@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

571028

รายละเอียด

571028_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ เรื่อง เครื่องวัดค่าคุณธรรมสังคมไทย ตอน 2

พ่อครูว่า...วันนี้อังคาร 28 ต.ค.​57 ฝนก็ยังตกอยู่ ทุกอย่างแปรปรวนหมด ธรรมชาติแปรปรวน เพราะฉะนั้นคนก็แปรปรวนไป มีนิสิต วนบ.นั่งอยู่หน้าจะหรือไม่? ดูอาตมานั่งหน้าน้ำตก มีคนกลัวว่าอาตมาจะเปียก แต่ที่จริงเขาใช้เทคนิค เดี๋ยวนี้เขาใช้เทคนิคหลอกกัน ทุกวันนี้ยังมีคนสงสัยว่าที่ว่าไปเหยียบดวงจันทร์นั้นจริงหรือไม่? ก็สงสัยกันไป แต่อาตมาไม่เสียแคลอรี่ไปสงสัย แต่จะใช้พลังงานมาช่วยคนดีกว่า

 

ทุกวันนี้กิเลสเข้า ทำให้คน สังคม เดือดร้อน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่รู้จักกิเลสเลย แต่วันนี้ก็จะเปิดให้ผู้ชมทางบ้านส่งประเด็นหรือถามได้

 

วันนี้ก็คงจะพูดต่อจากวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งได้ตรวจสอบคุณธรรมของประชาชน สังคม ชาวพุทธ จะตรวจสอบได้อย่างไร ก็ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า ซึ่งในนักบวชท่านใช้หลักการตรวจสอบพระธรรมวินัย และโคตมีสูตร มีวรรณะ 9 หรือกถาวัตถุ 10 ก็ใช้ในการตรวจสอบสังคมพุทธได้

 

ตรวจสอบความจริงว่าพุทธธรรมในชาวพุทธทุกวันนี้ มีเนื้อหาสาระของพุทธกันบ้างไหม? ก็ตรวจจากหลักธรรมดังว่านี่แหละ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ล.12 ข.355

       [355] ดูกรพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ. เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภ สักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น. เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยลาภสักการะ และความสรรเสริญนั้น. เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่ปรากฏ [หรือมีคนรู้จักน้อย] มี ศักดาน้อย. อนึ่ง เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย เปรียบเหมือนบุรุษคนนั้น ที่มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จ ประโยชน์แก่เขา ฉันใด. ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น

 

พ่อครูว่า...แก่นของศาสนาพุทธคือเจโตวิมุติอันไม่กลับกำเริบ และกระพี้ของไม้คือปัญญา  เปลือกไม้เรียกว่าสมาธิ     สะเก็ดไม้ว่าเป็นศีล  และท่านเทียบอีกอันคือกิ่งไม้ใบไม้ผลไม้ที่ชวนชมชวนดู ท่านเทียบว่าคือลาภสักการะสรรเสริญ  มันยั่วยวนนัก นี่เป็นตัวที่แย่ที่สุด ยิ่งกว่าสะเก็ดไม้ที่เปรียบกับศีล

 

ทุกวันนี้เขาไม่ได้ศีลแท้ๆ ไม่เข้าถึงศีลที่พาให้เกิดจิตเป็นสมาธิและปัญญา ก็เป็นศีลที่เหมือนสะเก็ดไม้ที่เป็นโรคด้วย แถมยังแยกศีล สมาธิ ปัญญา อีกด้วย

 

ฆราวาสที่มาปฏิญาณตนต่อประชาคมว่า ตนเป็นผู้จะศึกษาศาสนา รักษาศาสนา แม้เป็นฆราวาส ก็จมไปด้วยลาภ สักการะ สรรเสริญ​ ก็ได้แย่งแค่นั้น ก็ไปวัดด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ได้เข้าหาแก่น ได้แค่สะเก็ด ไปขอศีลก็ถือตามจารีตประเพณี ไม่ได้เป็นศีลที่เข้าถึงจิต

 

ไม่รู้ว่า ศีล 5 ที่ว่านี้ เวลาปฏิบัติจะต้องอ่านองค์ประชุม กาย วาจา ใจ อย่างไร อ่านจิตใจอย่างไร เราเกิดจิตโทสะมูลอยากทำร้ายไหม? ไม่ได้เกิดจิตแผ่เมตตา แต่แค่พูดเอา ไม่ได้ทำใจในใจ หรือมนสิกโรติ ทำใจเวลาสัมผัส ว่าจิตเราเกิดจิตคิดร้ายจะทำร้ายสัตว์ แล้วเราก็รู้สึกตัวได้แก้ไขปรับปรุงจิต อย่างนี้คือเมตตาแท้ อย่าไปทำร้ายเขา ให้เขาเป็นสุข ไม่ได้เกิดความรู้ความจริงอย่างนี้เลย

 

ศีลทำให้เกิดจิตที่มีเมตตาอย่างไร ได้มีกรุณาอย่างไร จิตไม่เกิดอาการอย่างนี้ ศีลไม่ได้พาให้เกิดมรรคผล มีแต่ไปแผ่เมตตา สัพเพสัตตา อเวราโหนตุ ….ได้แต่ท่องไป ก็ได้แต่พูดกัน แล้วก็ไม่ได้ผลอะไรหรอก แต่ก็ได้เริ่มต้นเท่านั้น แล้วเมตตาต้องทำอย่างไร เจอสัตว์ก็เอาลงหม้อแกง ไม่ได้มีเมตตาเลย สัตว์เป็นเพื่อนทุกข์ แต่เอาเขามาเข้าปาก เป็นต้น

 

ทุกวันนี้ไม่เข้าใจกัน แม้แต่ผู้จะให้ความรู้ก็ไม่เข้าถึงปรมัตถ์ดังกล่าว ไม่มีเนื้อ แต่นี่เราพูดกันแค่สะเก็ด แต่ลาภ สักการะ สรรเสริญ แย่งกันก็ตามสัญชาติญาณสัตว์โลก เป็นปุถุชน เท่านั้น ทุกคนก็อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แม้แต่เรื่องศีลที่เป็นสะเก็ด ก็ยังไม่กระเตื้องเลย นี่คือการวัดค่าสังคมพุทธ

 

ศีลของพุทธต้องทำให้เกิดจิตเปลี่ยนแปลง ตั้งมั่นได้เป็นฌาน เป็นสมาธิ ศีลเราไม่ทำร้ายสัตว์ไม่ฆ่าสัตว์ ศีลข้อ 2 เราก็ไม่โลภ ไม่ทุจริต ไม่เอาของเขาเด็ดขาด เราต้องอ่านใจเราแล้ว ว่าเราจะโกงเขา จะทุจริตแล้วนะ ไม่ต้องไปพิจารณาถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ยังได้ฝึกเลย แต่ถ้าทำได้ก็ยิ่งเป็นวิปัสสนา

 

ว่ามันเป็นเหตุให้เราทำบาป ทุจริต เลวร้าย จนเราเห็นอนิจจัง เป็นเหตุแห่งทุกข์ มันจะต้องเกิดญาณปัญญา เมื่อได้สัมผัส ศาสนาพระพุทธเจ้าต้องมีสัมผัส อ่านจิตออกขณะนั้น ได้แก้ไขจิตขณะนั้นเป็นปัจจุบันธรรม เป็นผลแท้ๆ เกิดการลดละจางคลาย เป็นฌาน เป็นสมาธิ ก็เป็นของจริง มีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

 

ยิ่งลึกถึงเปลือกไม้เรียกว่าสมาธิ ขั้นนี้ลึกเข้าไปเกินสะเก็ด แต่ก็แค่เปลือกนะ ทุกวันนี้ก็ไปได้เปลือกไม่ได้เปลือกต้นพุทธ ไปได้เปลือกต้นตำแย ต้นพิษ ไม่ใช่ต้นพุทธ ไม่ใช่สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า

 

อาตมาเข้าใจสัมมาสมาธิ ในมหาจัตตารีสกสูตร ชัดมาก ท่านตรัสว่าสัมมาสมาธิของท่าน ปฏิบัติด้วยมรรค 7 องค์ เป็นเหตุให้ปฏิบัติ เป็นเครื่องประกอบองค์ประกอบแท้ของการปฏิบัติเพื่อไปสู่สัมมาสมาธิ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา การไปนั่งสมาธิหลับตาเป็นการเข้าในภวังค์สร้างรูปภพ อรูปภพในภวังค์ แล้วไปสร้างมโนมยอัตตา

 

อาตมามีเจตนาดีที่จะรักษาธรรมะพระพุทธเจ้าเพื่อสืบสานศาสนาไม่ได้มีเจตนาร้าย เพราะฉะนั้นแค่เปลือกก็มิจฉาแล้ว เป็นมิจฉาสมาธิ ซึ่งสมาธิของพระพุทธเจ้า นั้นปฏิบัติทุกกรรมการงาน อาชีพ เป็นสัมมาอาชีวะ การกระทำทุกอย่างก็ให้เป็นสัมมากัมมันตะ การพูดก็ให้เป็นสัมมาวาจา ให้เกิดผล จะสัมมาได้ก็คือกิเลสลด หากกิเลสไม่ลดก็เป็นมิจฉา และลืมตามีชีวิตปกติ มีศีลเป็นกรอบ ให้เกิดฌาน วิมุติในศีล ตั้งแต่ศีล 5 ให้พ้นศีลพตปรามาส พ้นวิจิกิจฉา จะเห็นกิเลสลด เห็นความจางคลาย มีอนุปัสสะ รู้ว่าสักกายะจางคลาย รู้อินทรีย์กิเลสว่าจางคลาย มีนิโรธานุปัสสี  แล้วรักษาผลเป็นทำทวนทำซ้ำ ปฏินิสสัคคานุปัสสะ ก็ไม่ได้ไปนั่งหลับตา แต่มีชีวิตปกติ แล้วอ่านจิตขณะสัมผัส มีองค์ประชุมภายนอกและใน พหิทารูปานิปัสสติ อ่านถึงภายใน เป็น อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ

 

สมาธิที่เขาทำไม่ได้มีอย่างนี้ก็เลยเป็นมิจฉาสมาธิ ทำกันเต็มไปหมด ก็ขออภัย ครูบาอาจารย์เขาถ่ายทอดมิจฉาสมาธิกันมานานแล้ว อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ในชาตินี้ แล้วอาตมาก็สอนไม่เหมือนใคร คนก็หาว่าอาตมาจะมาล้มล้างศาสนาพุทธ ก็ได้ข้อหานี้ แต่อาตมาจริงใจ การนั่งอย่างนั้นตอนเป็นฆราวาสก็ทำมา ก็หลงทำ อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็ออกป่านั่งสมาธิตามที่เขานิยมทำกัน ท่านก็นั่งได้หมด แต่ท่านบอกว่าไม่ใช่ ท่านก็แสวงหา แล้วไปหลงอัตตกิลมถะ ทรมานตนอีก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า 6 ปีที่ปฏิบัตินี้่ไม่ใช่ทางพุทธ แต่เดี๋ยวนี้เขาหลงพระป่า แต่ออกมาก็ไปปลุกเสกพระ เป่า พรมน้ำมนต์ อย่างนี้ไม่ใช่พุทธ โฆษณาขายพระเครื่องกันเต็มเลย แล้วยกกันว่าเป็นอรหันต์ แล้วมีอรหันต์ แต่อรหันต์เก๊

 

แม้สมาธิที่แค่เปลือกก็เพี้ยน แล้วเข้าหาปัญญา ก็เลอะเลย ปัญญาเป็นกระพี้ พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ในขณะท่านมีชีวิต เผยแพร่ศาสนากำลังเจริญ ท่านก็พยากรณ์ไว้ในอาณีสูตร์ ล.16 ข.672 ท่านพยากรณ์ไว้ว่า...7. อาณิสูตร [672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพน ชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉัน ใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้ง จิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตร อันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวก ภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญ ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

 

[673] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุ ดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสต ลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ จบสูตรที่ 7

 

พ่อครูว่า...ตะโพนอานกะก็เปรียบเหมือนศาสนาที่ชื่อว่าพุทธ เมื่อนานเข้าความเสื่อมของพุทธก็มี คือภิกษุไม่เอาเนื้อแท้ของพุทธแล้ว จะพากันสร้างส่ิงใหม่เป็นเนื้อหาใหม่ไม่ใช่เนื้อแท้ แต่ก็เรียกว่าพุทธ พุทธเดี๋ยวนี้เป็นศาสนาใหม่ในเนื้อแท้ มีตำราบางเล่มเขานับถือว่าเป็นตำราวิเศษ ก็อิงคำสอนพระพุทธเจ้าบ้างแต่เป็นคำสอนใหม่หมด ยิ่งกว่าอรรถกถาอีก มาถึงยุคนี้ผู้ที่เข้าใจสนใจแต่เรื่องอย่างนั้นก็เลยยืนยันชัดเจนว่า มันเป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าว่า เขายินดีในคำสอนใหม่ เป็นสาวกภาษิต เป็นปรัชญาสุดเท่ ที่สวยหรู แต่ไม่ใช่พุทธ ที่น่าสังเวชคือหลงยึดมั่นถือมั่นสิ่งไม่ใช่พุทธเป็นพุทธเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะก็น่าสงสาร

 

 

พระพุทธเจ้าท่านย้ำไว้ชัดว่า สาระของพุทธคือวิมุติ แก่นของพุทธคือวิมุติ ที่ไม่มีในศาสนาใด แม้ศาสนาเชนของศาสดามหาวีระเป็นอเทวนิยมก็ไม่มีวิมุติ ไม่นับถือพระเจ้า พูดแล้วเหมือนดูถูกพระเจ้า แต่พุทธนับถือพระเจ้า รู้จักจิตวิญญาณพระเจ้า และตัวแท้ของพุทธนี่แหละรู้จักจิตวิญญาณอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จับมั่นคั้นตายเลย ทำให้จิตวิญญาณเป็นจิตวิญญาณสุดยอดคือจิตวิญญาณพระเจ้า

 

พระเจ้าคืออัตตา อาตมัน ปรมาตมัน ศาสนาพุทธนี่เข้าถึงปรมัตถ์ หรือบรมอัตตา ทำจิตให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า นี่ของพุทธ ซึ่งเขาไม่ค่อยเข้าใจไม่ใส่ใจไม่นับถือไม่ยอมรับกัน เพี้ยนไปแล้ว ไม่ใช่ไม่มีเนื้อแท้ แม้คำสอนง่ายๆ เช่นคำว่า บุญ  คำว่าบุญเป็นโลกุตระแท้ การทำจิตให้ชำระกิเลสได้ก็เป็นบุญ แต่ทุกวันนี้เอาบุญไปค้าไปขาย

 

 

ไม่ต้องพูดถึงแก่นคือวิมุติ แต่แค่สมาธิ ปัญญา อันเป็นกระพี้ก็ไม่ใช่พุทธ ไม่เข้าหาปรมัตถ์ เช่นคำว่าสมาธิไม่เข้าปรมัตถ์เลย ปฏิบัติศีลก็ไม่เข้าถึงจิต ทั้งที่กิมัตถิยสูตรก็บอกว่าศีล ทำให้จิตเป็นอวิปฏิสาร...เป็นสมาธิ เป็นญาณทัสสนะไปตามลำดับ เป็นเรื่องของจิตเลย จนถึงนิพพิทาวิราคาะ ถึงวิมุติเลย ปฏิบัติศีลต้องถึงวิมุติเลย แต่ทุกวันนี้สอนศีลแต่ กาย กับวาจา ยังดีที่มีพระไตรฯยืนยัน ตรวจสอบได้

 

ปัญญาทุกวันนี้ก็ไม่เข้าเกณฑ์ ปัญญาเข้าใจในศีลสมาธิก็แค่นี้ มีแต่จารีตประเพณี เพื่อได้ลาภ สักการะ สรรเสริญ แค่นี้ นักบวชก็เป็นอย่างนี้ ตกลงศาสนาพุทธ มีพฤติกรรมแค่จารีตประเพณี สวดมนต์รดน้ำมนต์แค่นั้น ผู้ปฏิบัติก็ทำศีลเคร่งไปแต่ไม่เข้าใจว่าศีลจะเกี่ยวกับจิตอย่างไร อ่านสติปัฏฐาน 4 อย่างไร กาย เวทนา  จิต ธรรม ทำอย่างไร จะมนสิการอย่างไร ก็ไม่ได้ทำ เขาแปลมนสิการว่าแค่พิจารณา ก็ได้แค่ตรรกะ ทั้งที่โยนิโสมนสิการต้องทำใจในใจให้ถ่องแท้ให้ถึงที่เกิด ให้เปลี่ยนจิตได้

 

ก็ต้องพูดว่ามันเพี้ยนเสื่อมไป ยิ่งเอากถาวัตถุ 10 วรรณะ 9 ยืนยัน

เช่นวรรณะ 9 ต้องเป็นไปเพื่อ

1.สุภโร(เลี้ยงง่าย) แล้วเขาว่าเรามากินมังฯนี่เลี้ยงง่าย แต่เขากินดะนี่ถือว่าเลี้ยงง่าย นั้นไม่ใช่ เลี้ยงง่ายนั้นไม่ติดยึด

2.สุโปสะ (บำรุงง่าย)ทำให้พัฒนาสู่โลกุตระ ทำให้เจริญง่าย

3.อัปปิจฉะ คือมักน้อย อาตมาแปลว่า กล้าจน

4.สันตุฏฐิ ใจพอ คือมากกว่านี้ไม่เอา เราน้อยแค่นี้ก็พอ จนไม่เหลือตัวตนนั่นแหละ พวกเราก็ได้มรรคผล แต่ทางโน้นไม่เป็นอย่างที่ว่า

5.สัลเลขะ ขัดเกลากัน มีสติปัฏฐาน มีมรรค ทั้ง 7 ทุกคิด พูด ทำ อาชีพ ก็เป็นไปเพื่อลดกิเลส สังกัปปะเป็นตัวหลัก

6.ธูตะ ศีลเคร่ง คือศีลที่ทำได้แล้วก็เป็นศีลเคร่ง คือผู้ที่ทำไม่ได้ก็บอกว่ายาก แต่คนทำได้แล้วปกติก็ไม่เคร่ง แต่คนอื่นเห็นแล้วว่าเคร่ง เช่นฉันมื้อเดียวไม่ใช้เงินทอง ก็คือศีลเคร่ง ก็ทำได้ สบาย ขัดเกลาแล้วก็ปกติ

7.ปาสาธิกะ คืออาการน่าเลื่อมใสที่สอดคล้องกับคำสอนพระพุทธเจ้า คือเห็นเลยว่า ศีลเคร่งขัดเกลาคืออย่างไร มีปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ทุกอิริยาบทอย่างไร มีกายคตาสติ อานาปานสติ ซึ่งเขาพิจารณากายในกายไม่เป็น เขาไปพิจารณาร่างมันเปื่อยเน่า เป็นความไม่เที่ยงแค่รูปธรรม ไม่เข้าหาปรมัตถ์ ไม่เข้าถึงว่าจิตเป็นเหตุแห่งทุกข์ เลื่อนเข้าหาจาก กาย เวทนา จิต ธรรม มันต่อเนื่องกันอันเดียวกัน เป็นวงวน ก้นหอยที่สูงขึ้นๆ ตามลำดับ กายแล้วเข้าหาเวทนา จิต ธรรม เป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เป็นสติปัฏฐานที่สูงขึ้นเป็นอีกระดับ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล

 

อาการก็ดูออกจากกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ที่แสดงว่าเข้าถึงธรรมถึงวิมุติ อาตมาพูดส่ิงถูก คนผิดก็เลยถูกข่มโดยอัตโนมัติ เขาก็เลยว่าไปว่าเขาทำไม อาตมาก็เลยถูกว่าไปว่าเขาทำไม?

8.อปจยะ คือไม่สะสม กองกิเลส ก็เนกขัมมะออกหมด ทรัพศฤงคารก็ไม่สะสม อนาคามีก็ไม่สะสม หรือแม้ผู้ที่ไม่บรรลุแต่ปฏิบัติหน้านองน้ำตา ออกบวช โภคขันธาปหายะ ไม่มีทรัพย์สินเงินทองข้าวของ แต่ทุกวันนี้เขาสะสมกันบางคนพอตายแล้วเปิดทรัพย์สมบัติแล้วมีมากมาย หลายล้าน บางรูปก็บริจาค กี่ล้านๆ แล้วบอกว่าเท่ซะไม่มี ขออภัยที่พูดแล้วเหมือนว่าคนอื่น ว่าอาตมาปากจัด แต่ที่จริงอาตมาปากชัด

 

9.วิริยรัมภะ คือขยันเสมอ

 

นี่คือวรรณะ 9 คือชั้น ไม่ใช่ว่าเหลื่อมล้ำวรรณะ แต่เป็นสัจจะ

 

ยิ่งเอากถาวัตถุ 10 มาวัดคุณธรรมสังคมประเทศ ทั้งผู้ดูแลศาสนาและประชาชน

ข้อ 1 ถึง 5 ก็มี อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ ก็ซ้ำกับวรรณะ 8

 

6.ปวิเวกะ เขานึกว่าเอาร่างไปปลีกออกจากสังคมวุ่นวาย อย่างนี้ไม่ใช่ ของพระพุทธเจ้าเอาจิตเป็นหลัก ไม่มีเพื่อนสอง แต่เขาเข้าใจไม่ได้ เข้าใจกายไม่ได้ ก็เข้าใจแค่กายคือร่าง ก็เลยไปนั่งให้กายวิเวก สงบ อย่างนั้นไม่ใช่ กายของพุทธนั้นมีทั้งรูปและนาม ตัวที่ทำให้กายไม่สงบคือกิเลส ในองค์ประชุมทางภายนอกเราไม่ละเมิดทุจริตตามศีลแล้ว นี่คือกายสงบภายนอก จิตข้างในเราก็มีรูปภพ อรูปภพ ก็ทำให้สงบอีก อัชฌัชตังอรูปสัญญีก็ทำเข้าไป

 

เมื่อกายสงบ ก็ทำให้จิตสังขารสงบ เมื่อดับกิเลสได้หมดก็เป็นอุปธิวิเวก ...พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอุบาลีว่า ป่าทำความวิเวกได้ยาก แต่เขาไปนั่งสมาธิในป่าก็ขัดกับที่พระพุทธเจ้าสอน บอกว่าในเมืองทำสมาธิไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้าที่อาตมาบรรยายคือทำสมาธิในเมืองก่อนแล้วค่อยไปออกป่าก็ได้

 

 

7.อสังสัคคะ สวรรค์นั้นของลวง สวรรค์จริงมีตั้งแต่อุบัติเทพ ไม่ใช่ไปนั่งสมาธิหลับตาสร้างสวรรค์ แต่ว่าต้องดับกิเลส ดับอกุศลจิต ให้เป็นอุบัติเทพ เป็นสมมุติเทพ คือหมดกิเลสเลย การไปนั่งหลับตาได้เจโตสมถะ ในบุคคล 4 ก็มีพวกที่ได้แค่เจโตสมถะไม่ได้โลกุตระ แต่ผู้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้ามีที่ไม่ได้เจโตสมถะ แต่มีโลกุตระ ได้เพราะสัมมาทิฏฐิ มีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มาตลอดสาย แต่พวกนั่งหลับตาไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เขาหลงได้เจโตสมถะ นึกว่าเป็นอรหันต์เสียเยอะ แต่ของพุทธมีปัญญาวิมุติได้ ไม่ต้องมีเจโตสมถะก็ได้ ไม่นั่งหลับตาได้สมถะแต่ก็เป็นอรหันต์ก็มี

 

เขาไม่รู้เนกขัมมะ ในอนุปุพพิกถา มีทาน ศีล สัคคะ เนกขัมมะ กามาทีนวะ อ่านสวรรค์ที่เป็นเนกขัมมะไม่ออก ไม่สัมมาทิฏฐิ เรียนกันแต่นั่งสมาธิหรือยกหนอย่างหนอเท่านั้น

 

เมื่ออสังสัคคะก็ไม่รู้เรื่อง อัปปิจฉะก็ไม่เป็น สันตุฏฐิก็ไม่ได้ ปวิเวกะก็ไม่ใช่ อสังสัคคะก็ไม่รู้จักสวรรค์นรกที่จิตเป็น แล้วแยกสมมุติเทพ อุบัติเทพ สมมุติเทพก็ไม่ออก แล้วแยก มโนปวิจารไม่ออก ทำเหตุแห่งทุกข์ออกไม่ได้ก็ล้มเหลว ก็ตอบได้ว่าศาสนาพุทธไม่มีแก่น ไม่มีกระพี้ ไม่มีเปลือก แม้แต่สะเก็ดก็ไม่มี มีแต่กิ่งใบดอกผลที่เป็นลาภสักการะสรรเสริญ เป็นจริงหรือไม่ก็ฟังไปแล้วเอาไปตรวจสอบดู ว่าศาสนาพุทธน่าสงสารไหม? แม้สะเก็ดก็ไม่เข้า มีแต่กิ่งใบดอกผล

 

มาตอบประเด็น

 

_แก่นแท้ของศาสนาพุทธ ผมฟังไม่ทัน ท่านบอกว่าคือเจโตสมถะใช่ไหม?

ตอบ..ถ้าเรียกว่าเจโตสมาธิก็พอฟัง คือทำให้จิตเป็นสมาธิตั้งมั่น แต่ที่ท่านเรียกว่าเจโตสมถะคือจิตสงบได้แต่ไม่สัมมาทิฏฐิ (ดูในบุคคล 4 ) ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังเป็นผู้ได้แค่จิตสงบคือนั่งสมาธิหลับตา ไม่ได้เรียนรู้สติปัฏฐาน 4 แต่ท่านใช้ศัพท์ว่าผู้ได้เจโตสมถะนั้นไม่ได้แก่นแท้  ที่จริงแก่นแท้ของพุทธ คือ เจโตวิมุติอันไม่กลับกำเริบ

 

_อโศกเป็นธรรมยุติหรือไม่?

อโศกไม่ได้อยู่ในธรรมยุติ แต่ไม่ได้รังเกียจธรรมยุติ อโศกก็เป็นทั้งธรรมยุติและมหานิกาย

 

_ผมเคยทำงานได้เงินได้มาก็ใช้ไป พอดูรายการของท่านท่านว่าไม่ต้องใช้เงินเงินเป็นเพียงสมมุติ ก็เลยไม่อยากหาเงิน ทิฏฐิิอย่างนี้ถูกหรือไม่ครับ?

ตอบ...คำว่าไม่อยากหาเงินมันเข้าท่าแต่ถ้าเป็นฆราวาส ก็ยังต้องเลี้ยงชีวิต หากมีปัจจัยเลี้ยงชีวิตอย่างคนบ้านนอก ก็ไม่ต้องหาเงินก็อยู่ได้ มาอยู่ในชาวอโศก มีวัฒนธรรมสาธารณโภคีก็ไม่ต้องหาเงิน พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ คนมาอยู่ในอโศกเหมือนอนาคามี แม้ใจไม่ถึงก็อยู่ได้กดข่มกิเลสไป ค่อยลดละไป รูปนอกเหมือนอนาคามี ปาสาธิกะ แต่แน่นอนโสดาฯสกิทาฯไม่ยากนักแต่คนเข้าใจผิดนึกว่าสมัยนี้ไม่มีโสดาบัน ก็ให้มาศึกษาโสดาฯไม่ยาก ยิ่งโสดาปัตติมรรคก็เข้าใจแล้วหากฆ่ากิเลสตัวสักกายะได้เกินครึ่งก็เป็นผลของโสดาบันแล้ว สรุปแล้วไม่หาเงินไม่ใช้เงินได้ แม้ในยุคนี้ อย่างนักบวช อโศกก็ไม่ใช้เงินตลอดชีวิต แก่ตายไปก็มี แต่พระสมัยนี้บอกว่าไม่ใช้เงินไปไม่รอด แต่เราก็อยู่ยุคเดียวกันสมณะไม่ใช้เงินอยู่ได้ มีเงินผ่านมือได้ แต่เข้าสาธารณโภคี แม้สิกขมาตุเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช้เงินได้

 

_นโยบายพ่อครูหากจะเปลี่ยนแปลงภายในแวดวงอโศก หากกระทำโดยขึ้นตรงต่อพ่อท่านเท่านั้นสมณะสิกขมาตุถูกมองข้าม ถ้าต่างจากผู้นำ เพราะเห็นว่าต่างจริตผู้นำ แต่ฆราวาสใดเห็นด้วยก็ถือว่าเป็นญาณโพธิสัตว์ ฆราวาสใดไม่เห็นด้วยก็ว่าไม่ถูก อย่างนี้ใช่คนมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ บรรลุธรรม เป็นสายปัญญา หรือไม่?

ตอบ...นโยบายของอาตมา เขาบอกว่าไม่ใส่ใจนักบวช  ก็กลายเป็นโพธิรักษ์อิซึ่มเกินไป อาตมาก็ไม่ได้ทำขนาดนั้น ที่ว่าใครค้านอาตมาไม่ได้ อย่างใดก็ต้องอย่างนั้นเลย อย่างนี้ถือว่าตู่อาตมา หลายทีคนไม่เห็นด้วยก็ไม่เอาตามอาตมาก็มี หลายที จนคนเห็นว่าอาตมาไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่เปลี่ยนก็ว่า เปลี่ยนก็ว่า คนเอาไปอ้างไม่ถือว่าบรรลุธรรม ไม่สัมมาทิฏฐิ ใครเอาอาตมาไปอ้างก็อย่าเพ่ิงเชื่อทีเดียวมาถามอาตมาก่อน เพราะมันมีผล เขายอมรับ เพราะเขาศรัทธาอาตมา เขายกให้ส่วนหนึ่ง แต่อาตมาก็ว่าไม่ต้องเป็นประกาศิต เผด็จการตามอาตมา แต่คนอื่นเขาเกรงใจเขาเชื่อถือยกให้ หลายคนมีปัญญาเห็นด้วย เพราะคนส่วนใหญ่ที่มามีปัญญา พออาตมาเสนอส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย พอโหวตก็ชนะ หลายทีไม่ต้องโหวตก็เห็นด้วย น้ำหนักมันสูง อาตมาไม่ได้มานั่งหว่านล้อมล็อบบี้ อาตมาว่าน่าอาย ให้เขามีปัญญาเลือกเอง

 

_ที่ว่าธรรมะทั้งหลายไม่มีตัวตน เป็นอย่างไร?

ตอบ...คำว่าตัวตน เป็นภาษาไทย ในบาลีมีคำสามคำหลัก 1.สักกายะ 2.อัตตา 3.อาสวะ นี่คือหมายถึงตัวตน แล้วคำว่าตัวตนคืออะไร? ตัวตนคือองค์ประกอบของรูป_นามแล้วมันสังขารเป็นสัตว์ สัตว์ที่ว่าคือสัตว์ทางจิตวิญญาณเรียกว่า โอปปาติกสัตว์ ผู้จะเรียนรู้ตัวตนต้องรู้ตั้งแต่สักกายะ

 

อัตตาคือสามัญนาม ส่วนสักกายะคือวิสามัญญนาม อัตตาเป็นคำกลางๆเรียกตัวตนทั่วไป ส่วนสักกายะ เป็นคำจำเพราะว่าเราต้องมีญาณหยั่งรู้ตัวตนของเราต้องรู้กายในกาย มีตั้งแต่กายนอกกาย ตากระทบรูปแล้ว จิตรับรู้ เป็นกายวิญญาณ​อ่านเข้าไปกายในกาย เป็นองค์รวม แล้วกายในกายนี่ก็อ่านต่อเห็นเวทนาในกาย เห็นจิตในกาย แล้วอ่านเห็นตัวอกุศลจิตภายใน เช่นเวทนาเป็นสุข ทุกข์ ไม่สุขหรือทุกข์ เป็นสามอย่างใหญ่หรือแยกเป็น 108 ก็ได้ แล้วมีเหตุแห่งเวทนาอีก อาการจิตที่เป็นสมุทัย มันสุขเพราะเหตุนี้เรายึดถือชอบตรงอุปาทาน หรือสเปคก็ได้สมใจก็สุข ก็อ่านเหตุอุปาทานได้ เมื่อมันออกมาทำงานเป็นโคจรรูป วิสัยรูป แล้วมีรายละเอียด วิเคราะห์ได้วิจัยได้จนอ่านเหตุได้ ถ้าคุณแค่อ่านจิตรู้อ่านสภาวะได้ รู้สมุทัย แต่คุณยังกำจัดเหตุให้ลดละไม่ได้ก็ยังไม่ผ่านสังโยชน์ข้อ 3 ศีลพตปรามาส แต่คุณผ่านสังโยชน์สองข้อแรกได้ คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉาแล้ว

 

เมื่ออ่านสักกายะได้จนพ้นความสงสัยว่าอันนี้คือตัวตนกิเลส คือสมุทัยที่ต้องชำระออกให้ได้แต่ศีลพรตของคุณยังไม่ผ่านปรามาส ได้แต่แตะต้องลูบคลำ เล่นหัวกับโจรไม่เอาจริงหรือไม่มีวิธีทำให้มันตายได้ หรือสัมมาทิฏฐิแล้ว รู้ปหาน 5 แล้ว มีฌาน มีปัญญาที่ละลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้ ตรงที่สามารถสร้างให้เกิดพลังแห่งอุณหธาตุ เผากิเลสได้ ฌานแปลว่าไฟ เป็นไฟเหนือไฟ ถ้าถึงขีดแล้วสามารถสลายไฟราคะ ไฟโทสะไฟโมหะได้

 

ถ้าสักกายะลดลง ก็ตามอัตตาลงไปอีก  มันลดลงก็เป็นอัตตา เป็นตัวที่จางลงๆ จนถึงตัวปลายเป็นอาสวะ เมื่อทำให้อาสวะสิ้นเกลี้ยงก็คือไม่มีตัวตน ไม่ได้หมายถึงอะไรก็ไม่ใช่ตัวตนเลอะเทอะ ไม่มีจุดปฏิบัติ มันเป็นปรมัตถ์ ต้องอ่านรู้สักกายะ อ่านได้เป็นนามกาย เป็นนามรูป แล้วกำจัดมัน ด้วยปหาน 5 ทำได้ก็ทำไปซ้ำไปจนนิสรณปหาน ตั้งมั่นเป็นสมาหิตัง เป็นกาละที่ 3 เสร็จแล้วจบแล้ว

 

กิเลสตัวในตัวหนึ่งก็ตามเป็นตัวตน ถ้าทำให้หมดกิเลสได้ก็หมดตัวตน ธรรมะคือส่ิงที่ทรงไว้ในจิต อกุศลจิตก็ทรงไว้ที่จิตหากล้างอกุศลจิตออก จิตก็สะอาดขึ้นๆ ทรงไว้ซึ่งจิตสะอาดขึ้นเรื่อยๆ จะรู้ว่าสิ่งที่ทรงไว้ที่่จิตมีทั้งกุศลและอกุศล แม้จะรู้ว่าจิตเกิดจากเหตุปัจจัย วิญญาณเกิดจากเหตุปัจจัยไม่ใช่ตัวตนเที่ยงแท้ จะเข้าใจเลยว่าอกุศลจิตหมดไปแล้ว แม้กุศลจิต ก็จะเห็นว่าไม่เที่ยง สมมุติว่าคุณเป็นอนาคามมีเป็นต้นไป จะรู้เลยว่าอกุศลในกามภพหมดไปแล้ว ก็เลยมีแต่จิตกุศลที่อยู่กับกามภพเขา คุณมีแต่จิตปรารถนาดีต่อเขา คุณจะอนุโลมเขาก็ทำให้กุศลเกิดได้ ถ้าไม่ทำก็ไม่คงที่ได้ แม้กุศลก็ไม่เที่ยง อวิชชาข้อที่ ​5 และ6 ความเป็นอดีตกับอนาคตก็ไม่เที่ยง แม้กุศลก็ไม่อยู่กับตัวเองตลอด จิตก็เกิดจากเหตุปัจจัย อนาคามีจะรู้ว่าจิตคือส่ิงที่เกิดจากเหตุปัจจัย ถ้าคุณจะอาศัยกุศลจิตเพื่ออาศัย เมื่อละตัวตนแล้วจะเห็นแก่ผู้อื่น จะเต็มด้วยความเป็นพรหม ไม่ใช่หนีจากสังคมแบบฤาษี มีอัชฌาศัยที่ทนไม่ได้ด้วยความกรุณา เห็นเขาทุกข์ ก็ต้องการช่วย อย่างอาตมาทำงานนี่เหน็ดเหนื่อย แต่เห็นว่ามนุษย์น่าสงสาร อาตมาสร้างเลือดโพธิสัตว์มาหลายชาติ ขออภัยที่คนก็ตามพิสูจน์อาตมาไม่ได้ แต่เอาสิ่งจริงมาพูด

 

ตัวตนที่เป็นกุศลจะหมดได้ไหม? ตัวตนที่เป็นกุศลไม่ทำบาปทั้งปวง เพราะผู้นี้เชื่อกรรม แม้คิดดำริก็เป็นกรรม แม้ดำริท่านก็ไม่คิดทำบาป ยิ่งวาจา กัมมันตะย่ิงไม่ทำ แม้แต่กุศลจิตก็เป็น อาสยะ เป็นเครื่องอาศัย อาศัยไปถ้าจะอยู่หากเป็นอรหันต์แล้วไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว ทำแต่กุศล ทำจิตให้สะอาดขาวรอบแล้ว ท่านก็เป็นผู้ที่รับใช้โลก เป็นนักการเมืองเบอร์ 1 ของโลก อรหันต์ทุกรูป ไม่ได้ทำเพื่อโลกธรรม ทำด้วยใจบริสุทธิ์ เพราะท่านรู้ว่าทำเพื่อผู้อื่นคือคุณประโยชน์ก็เต็มใจทำ

 

ความไม่มีตัวตน เมื่ออาริยะระดับอรหันต์ทำกุศล ก่อนตายไม่ตั้งจิตไม่ต่อสันตติ เป็นอปณิหิตตะ ก็สลาย จิตก็ไม่ใช่ตัวตนก็หายไป เลิกทุกอย่าง จิตแตกตัวเหมือนไฮโดรเจนกับออกซิเจน แยกจากธาตุน้ำ น้ำสลายแล้วไม่มีธาตุน้ำอีก มีแต่ธาตุไฮโดรเจน ออกซิเจน เหมือนในพรหมชาลสูตร ว่าพระพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพานแล้วจะไม่มีใครได้เห็นพระพุทธเจ้าอีกแล้วทั้งรูปและนาม เหมือนมะม่วงหลุดจากขั้วแล้ว

 

พระอรหันต์ทุกองค์มีสิทธิ์เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ความเข้าใจในพระอรหันต์ในเถรวาทบอกว่าตายแล้วสูญก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วไปเข้าใจว่าเป็นโสดาบันแล้ว อีก 7 ชาติจะเป็นอรหันต์ เป็นอรหันต์ก็ตายแล้วสูญ การจะเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องไม่เป็นแม้โสดาบันก่อนเลย


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:04:54 )

571029

รายละเอียด

571029_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ เรื่อง แก่นแท้ของพุทธวัดกันอย่างไร?

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 29 ต.ค. 57 แล้วฝนก็ยังไม่หยุด ยังตกอยู่ เราก็มาอยู่กับธรรมาธรรมะสงคราม จะพูดไปอย่างไรก็หนีเรื่องโลกุตระไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องจำเป็น อาตมามั่นใจว่าโลกุตระเป็นเรื่องของศาสนาพุทธโดยตรง พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ในอาณีสูตรว่าจะต้องเสื่อม ศาสนาพุทธอยู่แต่ชื่อ แต่เนื้อหาไม่ใช่พุทธ แล้วเอาชื่อพุทธไปหลอกคนทั่วโลก มันเสียหาย

 

วันนี้ก็จะมาพูดเรื่องเนื้อหาของพุทธว่าทุกวันนี้ยังมีอยู่หรือไม่? เหมือนกลองที่เขาเอาไม้มาเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว ของเก่าไม่เหลือ เช่นเดียวกับพุทธ ก็มีแต่ของใหม่ไม่เหลือเนื้อหาเก่าแล้ว

 

ในต้นไม้มีทั้งแก่น กระพี้ เปลือก สะเก็ด และกิ่งไม้ใบไม้ ผลดอกใบ

 

กิ่งไม้ใบ ผล ดอก ท่านเปรียบคือ ลาภ สักการะสรรเสริญ

สะเก็ดคือศีล​ ซึ่งศีลเขาก็ยังไม่ได้ พูดเหมือนดูถูก แต่เป็นเช่นนั้นจริง ศีลจะต้องมีอานิสงส์คืออวิปฏิสารเป็นต้น ซึ่งเขาทำศีลได้แค่ภาษา อาจจะทำได้ แต่สอนกันว่าศีลทำได้แค่กายกับวาจา ทั้งที่ในพระไตรฯ บอกว่าศีลอันเป็นกุศล จะยังความเป็นอรหัตตผลให้บริบูรณ์ได้ไปโดยลำดับ

 

ได้อานิสงส์ 10 ของศีล .

กุสลานิ  สีลานิ  อนุปุพเพนะ  อรหัตตายะ  ปูเรนตีติ

ศีลที่เป็นกุศล ย่อมถึงอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

1.         อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .

2.        ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.        ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

ศาสนาพุทธนั้นมีโลกุตระ 46 คือ โลกุตระ 9 และโพธิปักขิยธรรม 37 ซึ่งมีการปฏิบัติเข้าหาแก่นไปตามลำดับ และเป็นโลกุตระ ถ้าไม่ใช่ไม่เข้าเขตพุทธ เขตของพุทธต้องเป็นบุญ(ปุญญเขตตัง) แต่บุญเดี๋ยวนี้ไม่ใช่โลกุตระ แท้จริงบุญคือเครื่องชำระกิเลส

 

บุญเปรียบเหมือนปืน ไม่ใช่ขนมปัง บุญไม่ใช่เรื่องได้มา ว่าปฏิบัติบุญได้ คือได้เอาออก ไม่ใช่ได้ แต่เอาบุญไปใช้เป็นกุศล ซึ่งคำว่า บุญวิบาก ไม่มี มีแต่กุศลวิบาก บุญนี่เป็นผลแล้วสูญไปเลย ไม่มีบุญวิบากให้คนได้อาศัยใช้บุญ จะบอกว่าอาศัย ก็เป็นสูญ ไม่มีอะไรจะไปอาศัยอะไร แต่ทุกวันนี้ใช้คำว่า ได้บุญเป็นเครื่องล่อ ว่าจะได้อะไร ทั้งที่บุญ แปลว่าการชำระจิตสันดานให้หมดจด ทำบุญได้จนกิเลสหมดก็เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญาปาปปริกขีโณ เป็นพระอรหันต์

 

คำว่า แก่น ของศาสนาพุทธ ที่เขาว่าเขาได้เสวยผลกัน ได้แต่ใบแต่กิ่งไม้ คือลาภสักการะ ไม่ใช่แก่น จะเอาแก่นไม่ได้ แม้แต่ศีลที่เป็นสะเก็ดก็ยังไม่ได้ ยิ่งสมาธิ ที่เหมือนเปลือกไม้ก็ไม่เป็นสัมมาสมาธิ เป็นสมาธินอกเขตบุญ มันก็ไม่ชำระกิเลส ก็ไม่เป็น สันตานังปุนาติ วิโสเทติ (ชำระจิตสันดานให้หมดจด)นี่คือหน้าที่ของบุญ

 

ผู้ปฏิบัติบุญเป็น ชำระกิเลสได้ เร่ิมตั้งแต่ กายในกาย รู้จัก กายคตาสติ รู้อานาปานสติ ตามเห็นความไม่เที่ยง เห็นกิเลสจางคลาย กิเลสดับ ทำได้ก็ทำซ้ำ ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำอาเสวนาภาวนพหุลีกัมมัง ให้เป็นอาเนญชาภิสังขาร ปฏิบัติซ้ำให้เกิดส่วนอดีต ปัจจุบัน อนาคต ด้วยการปฏิบัติปัจจุบัน 36 ที่เป็นมโนปวิจาร 18 ทำทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีตที่สูญ จนมั่นใจว่าอนาคตก็สูญ เป็นตถตา อัตโนมัติแล้ว

 

แม้สะเก็ดหรือเปลือกก็เพี้ยนไป ไม่ปฏิบัติสัมมาสมาธิ ตามมหาจัตตารีสกสูตร ที่พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติมรรค 7 องค์ให้เกิดสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ไปให้นั่งหลับตาทำสมาธิ ที่ท่านบอกว่าให้นั่งหลับตาแล้วเข้าไปปฏิบัติในภวังค์ มีที่ไหนในพระไตรฯ​ มีแต่ให้ปฏิบัติมรรค 7 องค์ ด้วยสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วหาเหตุ ในจิต เป็นเจโตปริยญาณ​16 ที่เป็นสราค สโทส สโมห เป็นเหตุที่เราต้องกำจัด ทางปฏิบัติท่านตรัสไว้ในมูลสูตร

 

ในมูลสูตร มีคำว่า เหตุและสมุทัย มีทั้งคำว่าแก่นคือวิมุติ

มูลสูตร

1.         มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.        มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) มนสิการไม่ได้แปลว่าแค่พิจารณา ซึ่งต้องพิจารณาด้วย และต้องทำจิตด้วยพิจารณาตั้งแต่กายในกาย กาย นี่แหละคือจิต กายนี่มีจิตด้วย แต่เขาไปแยกกายออกจากจิต บอกว่ากายแค่เป็นการปรุงแต่งดินน้ำไฟลม แต่กายนี่คือการปรุงแต่งของรูปและนาม ให้พิจารณาในรูป 24 อีก

 

ให้เห็นจิตเกิดและดับ ต้องรู้ว่าจิตตัวในจะให้เกิด จิตตัวใดจะให้ดับ ที่จะให้ดับก็คืออกุศลจิต ที่มีตัวเหตุ ที่เราอ่านได้รู้ได้ เป็นสักกายะ ที่เราเกี่ยวข้องสัมผัส ขณะมีชีวิตปกติ มีการงานอาชีพอยู่ สัมผัสแล้วก็อ่านกายวิญญาณ (ท่านไปแปลกายวิญญาณว่า วิญญาณที่เนื่องมาจากกาย แทนที่จะแปลว่าองค์ประชุมของธาตุรู้) เพราะท่านคิดว่ากายคือร่าง เนื่องจากร่าง มันก็เกี่ยวข้องกับโครงร่างแล้วเนื่องมาหาข้างในเป็นองค์ประชุมวิญญาณ ก็เข้าใจได้หากมีสภาวะ แต่ถ้าไม่มีสภาวะก็อาจเข้าใจผิด ตัดวิญญาณออกจากกายเลย

 

การปฏิบัติพระพุทธเจ้าให้เห็นการเกิดการตายทางจิตวิญญาณ เรียกว่าโอปปาติกโยนิ จิตตายแล้วเกิด ไม่มีอะไรคั่นเลย จิตที่เป็นอกุศลจิตตายไป ก็เกิดจิตที่เป็นกุศลทันที ต้องกำหนดรู้อย่างชัดเจนตอนลืมตามีผัสสะนี่แหละ มีนิโรธเกิดอย่างเห็นๆ กิเลสตายไปจิตเราก็มีนิโรธ เกิดที่ใจ เห็นความเกิดความดับ ตรงที่ใจนี่แหละ อย่างที่เขาว่าเห็นจิตเกิดดับตลอดเวลานี่เป็นแบบตรรกะ เดาเอาทั้งนั้นเลย ก็จิตตัวไหนเกิดตัวไหนดับ ซึ่งต้องชัดเจนว่าสมุทัยนี่แหละดับ ไม่มีซากการตายเลย ในจิต จิตไม่มีดินน้ำไฟลม ไม่มีสรีระ ก็เห็นความดับของกิเลสอย่างนี้

 

ถ้ามนสิการไม่เป็นอย่างสัมมาทิฏฐิ การจะสัมมาทิฏฐิต้องพบสัตตบุรุษบริบุรณ์ จึงฟังธรรมบริบูรณ์ จึงเกิดการโยนิโสมนสิการโดยบริบูรณ์ ยืนยันได้

3.        มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) 

4.        มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)  ตัวนี้ต้องอ่านต้องธัมวิจัย ตัวสุขทุกข์ แล้วแยกเป็นเวทนา 108 อ่านกายในกาย เพื่อจะอ่านเวทนา แล้วเจาะลงในจิตในจิต พอสัมผัสปุ๊ปคนอวิชชาก็สังขารปรุงแต่ทันที แยกไม่ออก ทำปุญญาภิสังขารไม่เป็น การสังขารแปลว่าการจัดการ การตกแต่ง ทำให้เจริญได้ ถ้าไม่สามารถทำเจริญ กิเลสก็มาจัดการเราแทน แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะมีอำนาจพอ ก็ไม่ปล่อยให้กิเลสมาสังขาร เราต้องมีความรู้สามารถรู้สังขาร แยกเวทนาออก ที่เกิดจากทวาร 6 กระทบ แล้วเราสามารถรู้แยกแยะเวทนา 108 ได้

 

อย่างตากระทบมะละกอ แล้วจิตเกิดชอบ ว่าน่ากิน น่าซื้อหา มันก็ปรุง เกิดอาการสุข ไม่ชอบก็ทุกข์ หรือเฉยๆ แต่เป็นเคสิตเวทนา คือแบบไม่รู้ เราต้องอ่านรู้เหตุให้ได้แล้วกำจัดเหตุแห่งสุขทุกข์ได้ จิตก็สะอาดขึ้น เป็นการชำระกิเลสไปเป็นส่วนๆ ก็เป็นส่วนแห่งบุญไปตามลำดับ ปุญญภาคิยา ก็ปฏิบัติในเวทนา 108 นี่แหละ ทำเนกขัมมะไปได้เรื่อยๆ เกิดฌานล้างกิเลสเพ่งเผา เพ่งรู้ใจ แล้วมีพลังไฟกองใหญ่ไฟวิเศษที่เผาไฟราคะโทสะโมหะ สั่งสมลงเป็นสมาธิ เป็นประมุข

5.        มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) ตกผลึกสั่งสมผล ไปเป็นสมาธิตั้งมั่นแข็งแรงไปเรื่อยๆ

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันยิ่ง

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ)  นี่คือแก่นของศาสนาพุทธ

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) กิเลสไม่ตายแล้วเพราะกิเลสไม่มีให้ตาย ตายแล้วตายเลย ไม่มีฟื้น จิตอรหันต์ที่ไม่ปรินิพพาน ก็มีความทรงไว้ซึ่งความไม่เกิดไม่ตายมีจิตที่เป็นอมตะ ความไม่เกิดไม่ตายหยั่งลงในจิตที่สะอาดอันนี้ จิตสะอาดนี้เป็นของอรหันต์ ยังไม่ตาย แต่มีนิพพานบริบูรณ์ แต่ท่านไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ดับสิ้น เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าท่านจะปรินิพพาน แล้วจะไม่มีใครได้เห็นท่านอีก ทั้งรูปและนาม เหมือนพวงมะม่วงหล่นจากขั้วแล้ว

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน)

 

นี่คือสาระแก่นสารของศาสนาพุทธ รวมแล้ว เหลือแต่กิ่งใบ มีดอกผล ที่ยั่วยวน เป็นเรื่องโลกีย์เต็ม ศีลไม่เข้าหาใจ สมาธิก็เพี้ยนไป ปัญญาก็เป็นตรรกะ ไม่ใช่อธิปัญญาสิกขา ที่มีผัสสะเป็นของจริง อาตมาแปลว่า รู้จัก (สัมผัส)รู้แจ้ง(มีองค์ประกอบชัด) รู้จริง (คือได้สภาวะจริง) พูดให้ท่านตรวจสอบกัน ไม่ได้ยกตนข่มท่านหรอก เพื่อให้เห็นว่า น่ากลัว น่าเสียดาย ต้องช่วยกันกอบกู้เหมือนคสช.กอบกู้ประเทศไทย เราก็มากอบกู้ศาสนากัน

 

บุญนิยมทีวีได้เปลี่ยนคลื่นความถี่ใหม่ การจูนให้ ทำดังนี้   กดเมนู เพ่ิมดาวเทียม ความถี่ 3480 ไปที่แนวตั้ง vertical แล้ว symbol rate 30000 แล้วค้นหาทั้งหมด สุดท้ายก็ ok แล้ว exit

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

_เศรษฐกิจทำไมถึงเดี๋ยวตกเดี๋ยวดี

 

ตอบ...ก็คือความไม่เที่ยงมันตกก็เพราะมันไม่ดี มันไม่ดีก็เพราะมันตก แต่มันดีก็คือความรู้สึก แต่ที่จริงมีแต่เศรษฐกิจเสื่อมลงเรื่อยๆ คือสัจจะของสังคมไทย คือไม่ทำที่ต้นเหตุ ผู้ทำงานบริหารบ้านเมือง จนถึงทำธุรกิจไม่ลดกิเลส เต็มไปด้วยกิเลส ก็จะไปทำให้ดีได้อย่างไร สรุป เพราะศาสนาการศึกษาไม่มีผลทำให้ดีขึ้นเลย การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้

 

_อยากถามพ่อครูว่า ถ้าอยากถามคำถามพ่อครูแบบนี้ถือว่าเป็นกิเลสไหม?

ตอบ...แล้วเมื่อไหร่คุณจะได้ถาม แบบเดียวกับที่เข้าใจว่าถ้าขืนมีตัณหาก็ไม่หมดตัณหา จะอยากอะไรไม่ได้เลย ต้องเฉย เด๋อ อาตมาก็ว่า พระพุทธเจ้าก็ยังมีวิภวตัณหา เป็นตัณหาที่ไม่ยึดภพ ไม่ยึดกาม ต้องล้างกาม ล้างรูปภพ อรูปภพ คุณก็ไม่มีภพ แล้วแต่คุณยังมีมโนสัญเจตนา ที่มุ่งหมาย เป็นกุศลได้

 

_เวลาคนหลับสนิทไม่ฝัน จิตไปไหนอย่างไร?

ตอบ...ถ้านอนแล้วจิตไม่สงบก็ไม่ฝัน ถ้านอนไม่ฝัน มีอยู่ที่จิตมันเหนื่อยจนไม่ฝัน หรือไปฝึกเจโตสมถะก็ดับได้ดี ส่วนสายปัญญา ปฏิบัติธรรแบบพระพุทธเจ้า มีมรรคองค์ 8 จะปรุงได้ดี ถ้าถึงอนาคามี จิตไม่มีเรื่องโลกีย์ จะมีแต่เรื่องโลกุตระ เป็นธรรมะไปปรุงเป็นเรื่องราว แม้บัญญัติพยัญชนะก็ร้อยเรียงเป็นสภาวะ เรียกว่าคุยกับเทวดา

 

_หมดคำถามแล้ว...เพราะจะยาก เป็นปรมัตถ์เสียเยอะ

 

อาตมาไม่เห็นว่าอะไรจะสำคัญเท่าธรรมะ ถ้าจิตมีอธรรมอยู่แม้น้อยนิด ก็คือไม่เป็นธรรมะแท้ ผู้เป็นอรหันต์ก็ทำกิเลสหมดแล้ว ก็เป็นผู้มีธรรมะ ท่านก็ทำแต่กุศล ไม่มีบาปแล้ว แต่วิบากก็ยังมีอยู่ ไม่หายไป วิบากชั่วเหมือนหมาล่าเนื้อที่ไล่ตาม แต่กุศลวิบากของท่านมีมากจนมาคั่น ยิ่งท่านทำดีมากเท่าไหร่ มันก็ย่ิงกั้นวิบากชั่วในอดีตที่ตามมาได้ยาวนาน ได้มากเท่านั้น แต่ไม่มีหายไปนะวิบาก ทั้งกุศลและอกุศล พระพุทธเจ้าท่านไม่รู้ที่ต้นหรอก ว่ามีวิบากอะไรมา เป็นเรื่องเกินคิด เกินจะเดาอย่าไปเดา พิสูจน์ปัจจุบัน ล้างกิเลสให้หมดแล้วจะรู้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ ถ้าถึงขีดจะรู้ได้ไม่รู้ไม่ได้ ทำสิ่งที่ละกิเลสไปจะรู้ตามลำดับ แล้วส่ิงที่มีเรียกว่าธรรมะ ก็ทรงไว้ซึ่งกุศล

 

ถ้าทรงไว้ซึ่งบาปเพ่ิม กิเลสเกิดปัจจุบัน จบไปแล้วไม่ใช่กิเลส จะเรียกว่ากิเลสก็เป็นตัวยึด แล้วออกบทบาทเป็นปัจจุบัน กิเลสกับตัณหาเกิดที่ปัจจุบันส่วนที่มันยึดเป็นอุปาทาน มาเป็นตัณหาออกมาปฏิบัติ

บุญคือภาวะการทำงานปัจจุบัน เมื่อทำบุญหมด สิ่งที่เป็นวิบากก็จะออกฤทธิ์ได้ยากขึ้นเพราะทำแต่กุศลมาคั่น ตราบจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน มีอรหัตตา คืออัตตาที่ไม่ลึกลับ แล้วแต่มีอัตตาลำลองไว้อาศัยรูปนามขันธ์ 5 จนกว่าจะปรินิพพาน พระอรหันต์ไม่มีธรรมชาติ มีแต่ธรรมะไว้อาศัย พระอรหันต์ไม่มีชาติแล้ว ดับภพชาติแล้ว แต่คนไปนิยามธรรมะว่าคือธรรมชาติ ก็ไม่แม่นไม่คม


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:06:28 )

571030

รายละเอียด

571030_ธรรมาธรรมะฯ สันติฯ เรื่อง สัมมาสมาธิของพุทธ

พ่อครูว่า...วันนี้ 30 ต.ค.​57 เป็นวันพระ 8 ค่ำ วันเวลาก็เดินไป ผ่านไปๆ ชีวิตของคนก็ ล่วงเลยไป และก็แก่ตายเปล่าไปเยอะ มันน่าเสียดายชีวิตนะ ที่ว่าน่าเสียดายเพราะอะไนในทัศนะของอาตมา น่าเสียดายเพราะเอาชีวิตไปหลงใหลกับโลกธรรม ซึ่งคนก็หลงใหลอย่างนั้นไม่รู้กี่ชาติ หลงสุข ทุกข์ กับมัน ถ้าเราไม่ได้มารู้ทางนี้เราก็ไปหลงวนเวียนไปกับเขาอีกนาน น่าเสียดาย ใครได้ฟังจะสะดุดใจหรือเปล่า ว่าชีวิตก็ดิ้นรนแย่งชิงหลงเสพ สุขเท็จ สุขขัลลิกะ

 

ที่ท่านบอกว่าเหมือนหมาเคี้ยวกระดูก เหมือนกินน้ำลายตนเอง มันก็เห่ากัดเคี้ยวกรอบแกรบไป แต่มันไม่ได้กินอะไรจากกระดูก เหมือนกลืนน้ำลายตนเอง ในพระไตรฯว่าไว้ ว่าแทะกระดูกที่เขาเอาเนื้อออกหมดแล้ว ซึ่งมันชัดเจนว่าคนเราหลง น่าเสียดายชีวิต อาตมาพูดไปนี่ก็น่าจะฟังแล้วสะดุดอะไรบ้าง แต่ก็ยากเพราะคนเรามันจมอยู่ในห้วงโลกีย์ ฟังไม่ขึ้น ฟังแล้วก็ผ่านไปเฉยๆ

 

หลายคนมีปฏิภาณปัญญาฟังเข้าใจ แต่ก็ว่าไม่เห็นมีอะไร คนก็เป็นอย่างนี้ อันนี้แหละที่เป็นเรื่องโลกุตระที่พระพุทธเจ้าค้นพบว่าคนเราวนเวียนในวัฏฏสงสารนานนับชาติ มีโลกีย์ทำให้เราหลง ว่าเราได้โลกธรรม มันไม่ยากนัก ก็เลยอยู่อย่างนั้น ก็พากเพียนปฏิบัติตนเป็นคนดี แล้วผลของกุศลวิบาก ทำให้ตนมีโลกธรรม มีวิบากน้อย ส่วนคนทำไม่ดีก็วิบากมากทุกข์ทรมาน แต่คนที่หลงว่าตนได้ดีวิเศษอย่านึกว่าตนไม่มีวิบากบาป

 

คนที่หลงเสวยผลโลกียกุศล เขาอยู่ในทุกสังคม เสวยผลโลกียกุศล มันเป็นอัตราของสังคมที่ตั้งมาเพื่อเอาเปรียบ โดยสัจธรรม ของคนชั้นบนที่เอาเปรียบ เป็นนักการค้าที่เขาไม่มีวันตั้งกติกาให้ตนเสียเปรียบ ก็เอาให้ตนได้เปรียบ นักธุรกิจระดับบน หรือข้าราชการก็เช่นกัน ก็ตั้งกติกาให้ตนได้เปรียบทั้งนั้น เป็นอกุศลที่ซ้อนอยู่ทั้งนั้น ในชาติที่คุณได้เกิดมาเสวยกุศลวิบาก

 

เมื่อคุณได้เสวยกุศล บัลลังก์กุศล คุณจะไม่ได้บาป ไม่ใช่ คุณจะได้ ถ้าคนใดทำกุศลท่วมท้น แล้วได้เสวยผล จะเรียกว่า กินกุศลเก่า (ไม่ใช่กินบุญเก่า) ให้ผล ได้เสวยบัลลังก์สุขโลกีย์ นานเข้าก็กินกุศลเก่า กุศลก็หมด แล้วก็สะสมอกุศล ก็หมุนมาวนเวียนคุณก็ลงนรกใหม่อีก คนก็วนขึ้นสวรรค์และลงนรก สลับกันไป ไม่มีใครขึ้นสวรรค์ไปตลอดหรอก คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดทุกชาติจะได้แต่กุศล มันมีอกุศลเก่าคุณอีกที่ตามมา

 

เพราะคุณเอาเปรียบโดยการอ้างอัตราให้แก่ตน ผู้อยู่บนเอาเปรียบคนฐานราก มีเยอะ มันไม่เที่ยง จะสุข ทุกข์ก็ไม่เที่ยง สุขก็ได้ชั่วคราว ดีไม่ดีไปทำบาปได้นรกได้ทุกข์หนัก หมุนเวียนไป สรุปแล้วมันน่าเบื่อ เพราะสุขหลอก มาเรียนรู้จะรู้ว่าสุขขัลลิกะ อาตมาได้พยัญชนะนี้มายืนยัน อาตมาพยายามแยกว่า สุข กับ อัลลิกะ

 

อัลลิกะ คือความเท็จ ความหลอก ความไม่จริง ท่านก็ไปศึกษากันอย่างไรไม่รู้ที่ท่านเรียนกัน ท่านก็ว่าอาตมาแยกผิด อาตมาพูดไม่ถูก แต่อาตมาว่าอาตมาพูดไม่ผิด มันมีหลักฐานอื่นอีกเยอะ แค่คำว่า กามสุขขัลลิกะ กับ อัตตกิลมถะ

 

แม้แต่อัตตทัตถสุข เป็นสุขที่เป็นอัตตาซ้อนในกามสุขขัลลิกะ มันน่าเบื่อในชีวิตก็เตือนสติผู้ที่เสวยสุขด้วยโลกธรรมก็ตาม ให้ศึกษาธรรมะเถอะเป็นที่พึ่งสุดยอด ส่ิงอื่นเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนหรอก คนเราเกิดมาอีกนานนับชาติ เป็นล้านๆชาติ คนก็เข้าใจยาก ไม่รู้หรอก แต่ศึกษาดีๆจะเข้าใจว่าชาติหนึ่งๆไม่ได้ยาวเลย แค่ร้อยปี ก็นิดเดียว แต่วัฏฏะสงสารมันนานนับล้านๆๆๆปี

 

มาเข้าสู่เรื่องที่อาตมาจะอธิบายเรื่อง สัมมาสมาธิ

 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสโดยตรง เพราะคำว่าสมาธิเป็นคำกลางๆ มีทุกยุคสมัย มีทั้งแบบสมาธิถาวร นั่งหลับตาสมาธิ มีอยู่ตลอดกาลนาน ไม่มีที่สิ้นสุด แม้พระพุทธเจ้าออกบวชตอนแรกก็ไปนิยมเช่นเขา พบอาฬารดาบส อุทกดาบสก็ได้ฌาน 4 ฌาน 8 ท่านก็ทำได้ แต่ท่านว่าไม่ถูกทาง ทั้งที่พระพุทธเจ้าตอนเกิดมาก็มีพราหมณ์ อสิตดาบส มาทำนายว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านมีบารมีจริง พอวันเพ็ญเดือนหกก็ได้ย้อนระลึกชาติได้ เป็นวันที่ธรรมะของพุทธขึ้นมาเต็มที่ ก็รู้ว่าตนเป็นพระพุทธเจ้า มีพุทธการกธรรม

 

อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ กว่าอาตมาจะรู้ตัวก็อายุตั้ง 36 ขออภัยไม่ได้เทียบกับพระพุทธเจ้านะ แต่อาตมาก็เป็นลิงลมอมข้าวพองเหมือนคนโลกธรรมดา

 

การปฏิบัติสัมมาสมาธิ นั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในหลายสูตร แต่ในมหาจัตตารีสกสูตร สูตรนี้แหละอาตมาว่าสมบูรณ์ บริบูรณ์ที่สุด การปฏิบัติมรรคองค์ 8 นั้นทำอย่างไร

 

ปฏิบัติตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันติ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ 

 

ต้องมีประธาน เป็นความเห็นความรู้เข้าใจ เป็นทิฏฐิ หรือ ทฤษฎี หลักการ สูตร จะต้องเป็นสัมมา เบื้องต้น แล้วภาคปฏิบัติก็ปฏิบัติ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ การคิด การพูด การกระทำ ก็ทำสัมมาสมาธิ การทำอาชีพเลี้ยงชีวิตก็ไม่ต้องหนีไปไหน สมาธิพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปหาที่สงบเสพ นั่งสมาธิ เพ่งกสิณ แต่เพ่งอ่านจิตในจิต

 

จิตในจิตตัวแรกที่อ่านเรียกว่า “กาย” หรือ “กายในกาย”

 

กรรม 4 อย่าง คือสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ 

 

กัมมันตะไม่ใช่แค่สรีระร่าง แต่รวมวาจาและความคิดด้วย

 

สัมมาอาชีวะคืออาชีพ คือท่านแยกมิจฉาอาชีวะไว้ 5

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง เป็นชั่วหยาบทางอบาย แต่อบายมุขลึกคือพวกเอาเปรียบสังคม กิเลสโลภจัด ในทางโลภ หรือใช้อำนาจบาทใหญ่ใช้อำนาจทำร้ายคนอื่นอย่างเลือดเย็น เช่นผู้บริหารระดับสูงทำร้ายผู้อื่นได้ชนิดไม่ทำเองแต่เป็นเหตุให้คนอื่นลำบาก โดยไม่มีใครรู้ หรือโกงเจ็ดแสนล้านก็อภิมหาอบายมุข ใครจะร่วมด้วยก็ได้บาปไปด้วย เอาไปมากบาปมาก ตามนั้น ด้วยสัจจะ

 

หรือนักธุรกิจ อย่างธุรกิจมอมเมาคน ค้ายาพิษ ค้าน้ำเมา ในมิจฉาวณิชชา 5

  1. การค้าขายอาวุธ       (สัตถวณิชชา)
  2. การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา) คือขายเอาไปใช้งาน
  3. การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา) ค้าขายสัตว์เป็นยังบาปน้อยกว่าค้าเนื้อสัตว์
  4. การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา)
  5. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วีสวณิชชา)

 

ชาวพุทธจะไม่ค้าพวกนี้ เป็นบาป อาชีพเช่นอาชีพนักกีฬา ดารา นักร้องที่ทำให้คนหลงติดอบายมุข ซับซ้อน หลงว่าเป็นศิลปะ สรุปแล้วกุหนาต้องเลิกก่อนเลย

 

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง คือคำพูด

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยงทายไม่ตรงแท้ เนมิตตกะ แปลว่าการทำนายเสี่ยงโชค คือคุณต้องปฏิบัติตามหลักพระพุทธเจ้า จะบรรลุหรือไม่แต่ก็มีทางเจริญ ไม่ใช่ว่าไปเสี่ยงทายอย่างอื่น เป็นเรื่องปฏิบัติ เริ่มตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ต้องนึกว่าตนมีบารมี ก็เร่ิมที่ศีล 5 ถ้ามีบารมีก็จะพาสชั้นไปเลย ถ้าไม่มีฉันทะก็ไม่มีทางหรอก จะปฏิบัติตามน้ำ ไปตามวาระ กาละ ก็ไม่มีทางบรรลุหรอก มูลสูตรต้องมีฉันทะเป็นมูล แล้วเอาไปมนสิการ ทำใจให้เปลี่ยนแปลงให้กิเลสลด หากทำไม่ได้ก็ไม่มีทางบรรลุอรหันต์

 

เมื่อปฏิบัติได้ผลก็อยู่ในสังคม แต่อย่าไปมอบตนในทางผิด

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา) คือเป็นเครื่องมือให้เขาทำผิด อย่างถ้าคุณยังติดว่าจะได้เงินเดือนมาก คุณก็ต้องอยู่ช่วยเขาทำบาปต่อไป แต่ถ้าแข็งแรงได้ก็ออกมา พ้นนิปเปสิกตาแต่ก็ยังเอาลาภแลกลาภอยู่

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา) เป็นสัมมาอาชีพขั้นสุดท้าย ข้อนี้ เข้าใจแล้วจะทำได้หรือไม่? คือทำงานไม่ใช้ลาภแลกลาภ สรุปคือทำงานฟรี ไม่ใช่เอาของแลกของ ไม่เอาเงินซื้อมา ไม่เอาแรงงานแลก ไม่เอาความรู้แลก ทำงานอย่างบริสุทธิ์ใจทำงานฟรี อาจมีด่างพร้อยบ้างตอนต้น แต่ทำไปจะบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ ทำเพื่อสละเพื่อให้แท้จริง นี่คืออาชีพที่สูงสุดประเสริฐสุด

 

อาตมาพาพวกเราชาวอโศกทำงานฟรีได้ ใครจะมีกิเลสส่วนตัวอยากได้คืนบ้างก็ตัวใครตัวมันตามกรรมวิบาก ใครทำใจได้ว่าเราทำเพื่อเสียสละให้ส่วนกลาง แต่ถ้าเขาไม่ให้เราก็เท่าที่ได้ บอกว่าจะใช้งบฯเท่านี้แล้วเขาไม่ให้หรือให้น้อยก็ทำไป เราก็ทำเพื่อส่วนกลางนี่ แต่ถ้ายึดก็เป็นตัวตนว่าจะต้องทำได้อย่างเราคิด

 

ขออภัยที่ต้องยกอโศก เพราะเป็นจริงได้แม้ยุคนี้ พวกเรามาทำงานฟรีได้ แม้ใจไม่เป็นอนาคามี ไม่ต้องการลาภสักการะสรรเสริญ​ไม่ติดทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่อง แต่หลายคนก็ปฏิบัติหน้านองน้ำตาอยู่ มาอยู่ในส่วนกลางก็ทำงานฟรี มีสิทธิ์รับสวัสดิการส่วนกลาง หลายคนภูมิไม่ถึงก็เข้าๆออกๆหลายเที่ยว บางคนทำได้ก็อยู่ได้ หรือบางคนก็กดข่ม แต่ก็รู้ว่าไม่เที่ยง ก็ปฏิบัติเพิ่มไป อนาคามีไม่มีกิเลสภายนอกแล้วมีแต่รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

 

การปฏิบัติสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ต้องหนีไปทำที่อื่น แต่อยู่ในสังคมปกตินี่แหละ ทำมรรค 7 องค์ไป มีสัมมาสติ สัมมาวายามะ เป็นผู้ช่วย ของสัมมาทิฏฐิที่เป็นประธาน มีสัมมากัมมันตะเป็นตัวจัดการ โดยเน้นคำว่า กาย

 

ในเมืองไทย คำว่า กาย มาเป็นภาษาไทย นั้นเป็นเพียงหมายถึง มหาภูตรูป ก็ไม่ได้คะแนนเลย ปฏิบัติไม่ได้ หรือได้คะแนนติดลบเลย กิเลสนี่คือร่างหรือจิต....กิเลสคือจิต แต่ภาษาบาลี กิเลสแปลว่า กายกลิ คือองค์ประชุมของความชั่ว คือกิเลส ส่ิงเป็นโทษ กายกลิคือสิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย คือจิต อกุศลจิต แต่มันมีความหมายว่าเป็นองค์ประชุมที่ต้องเกี่ยวข้อง มี มหาภูตรูป ปสาทรูป โคจรรูป

 

คนมีแท่งก้อน ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ต้องสัมผัสสัมพันธ์กับส่ิงอื่น แล้วจิตเราจะต้องทำงาน รู้พร้อม หลักปฏิบัติของพระพุทธเจ้าสำคัญ คือ กายคตาสติ อานาปานสติ

 

แม้อานาปานสติก็ต้องเหลือลมหายใจ เป็นกายนะ เช่นในวิโมกข์ 8 ก็ต้องมีภายนอก สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ ต้องทำการกำหนดหมายเรียนรู้ทั้งภายนอกและภายใน ทั้งรูป ถึงอรูปเลย ต้องสัญญา หรือกำหนดหมายให้ได้ตลอด

 

การปฏิบัติของพระพุทธเจ้าต้องมีสัมผัสรู้ อย่างมีสติ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาสวะภายในสิ้นก็ต้องรู้แจ้ง ขาดคำว่า กายไม่ได้ หรือเข้าใจกายเพี้ยนไม่ได้ กายนั้นหมายถึงจิต

 

ในโพธิปักขิยธรรม 37 ข้อแรกคือ กายในกาย

กายสังขาร คือสังขารของจิตที่เกี่ยวกับภายนอกด้วย ถ้าบอกจิตสังขารก็เฉพาะจิต ท่านอธิบายในอานาปานสติ ให้เรียนรู้ กายสังขารัง ปฏิสังเวที คือเรียนรู้กาย แล้วทำให้ ปัสสัทธิ​ ทำให้จิตปัสสัมภยังระงับ สำเร็จ อยู่ในจิตอภิปโมทยัง ทำจิตร่าเริงเบิกบาน ไม่ใช่จิตแข็งทื่อ เป็นจิตอาศัยให้แข็งแรง เมื่อเรารู้จัดอนุโลมปฏิโลม มีวิปัสสนาญาณ 9 มีอนุโลมได้

 

ทำฌาน เป็นศีลอาริยะ สำรวมอินทรีย์อาริยะ เกิดสติอันเป็นอาริยะ เกิดสมาธิอันเป็นอาริยะ ไม่ใช่ว่าเอาแค่ลมหายใจเข้าออก หรือว่าเข้าไปในภวังค์ ที่อธิบายกันเป็นเพียงอุปการะ เป็นการอนุโลม เพราะในสมัยนั้นมีแต่ไปนั่งหลับตาสมาธิ พระพุทธเจ้าก็เลยต้องปรองดอง ท่านทำงานหนัก แม้พระโมคคัลลานะก็ตาย แม้มีฤทธิ์มากตายถูกเขาฆ่านะ ท่านทำงานศาสนานะ

 

การปฏิบัติเมื่อสามารถรู้จักสักกายะ คุณก็ปฏิบัติโดยสติปัฏฐาน 4 พิจารณาตั้งแต่ กายในกาย แล้วเนื่องไป เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมไม่ได้แยกกันนะ

 

เมื่อตากระทบรูปภายนอก ก็ไปรู้ภายใน เกิดกายวิญญาณ เป็นองค์รวม เวทนา สัญญา สังขาร หรือแตกสังขาร เป็น เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

ต้องรู้อ่านองค์ประชุมตั้งแต่ กายในกาย แล้วองค์ประชุมเวลาสัมผัสข้างนอกมันก็เป็นเวทนาเลย มันสังขารทันทีด้วยอวิชชา คุณก็ต้องพิจารณา เมื่อทำสติปัฏฐาน 4 เป็น ก็ปฏิบัติสัมมัปปธาน 4 โดยสำรวม ทวาร 6 ไม่ได้หลับตา แล้วปหาน มันมีตั้งแต่ สังวรปธาน ปหานปธาน คุณต้องอ่านกิเลสคือสมุทัยให้ได้ คือสราค สโทส สโมห ได้ผลก็รักษาผลเป็นอนุรักขณาปธาน ด้วยอิทธิบาท 4 เป็นแรงช่วย เพื่อจะปฏิบัติให้ได้ผล ได้ผลสั่งสมเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 อินทรีย์คือได้ผลไปตามลำดับ แล้วจบที่พละ 5 บนฐานปฏิบัติคือโพชฌงค์ 7 มรรคองค์ 8

 

แท้โพธิปักขิยธรรมก็คือ โพชฌงค์ 7 นั่นแหละ อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน หรือแม้แต่สัมมาสมาธิ ก็มีเอกกัคคตาเป็นฐานในองค์ฌาน 4 สูงสุด

 

ในชีวิตเมื่อกระทบสัมผัสอะไรก็ต้องใช้สติปัฏฐาน ตั้งแต่กายนอก เข้าหากายใน กายคตาสติก็อันเดียวกันกับอานาปานสติ ต้องพิจารณากายสังขาร กายสังขารังปฏิสังเวที จะเดินไป เอี้ยวแขน ไกวขาก็เห็นความไม่เที่ยง เห็นเหตุแห่งทุกข์ มีอาริยสัจ 4 ทุกองค์ประชุม เมื่อปฏิบัติกายคตะ องค์ประชุมชีวิตดำเนินไปสัมผัสดิน น้ำ ไฟ ลม อาหาร บริโภค อุปโภคที่เนื่องกับชีวิต ต้องพิจารณาถึงเหตุ

 

เมื่อคุณจะปฏิบัติกับใครก็ต้องจับกิเลสได้ให้มันมาสังขาร เป็นกายสังขารอย่างไร ที่ปรุงแต่งกันภายนอก และภายในต้องอ่านภายในเป็นหลัก กิเลสมันเกิดในจิต จะไปโทษภายนอกไม่ได้ คุณไปโง่กับมันเอง คุณเจอมะละกอ (อยู่ข้างหน้านี้) อยากได้ ชอบ ก็จะเอา จะหาซื้อ เขาจะให้ก็เอา หรือว่าจะลดกิเลสก็ไม่เอา เอาอันอื่นที่มีโภชนาการแทน คุณปฏิบัติธรรมก็ล้างกิเลส เกี่ยวกับมะละกอเมื่อไรก็ปฏิบัติได้ทุกเวลา มีปสาทรูป มีโคจรรูป ทำปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธานให้ได้

 

กายคตาสติ อานาปานสติ สติปัฏฐาน 4 เป็นองค์ธรรมสามเส้าที่ต้องปฏิบัติตลอดเวลา ถ้าเข้าใจกายคตาสติไม่ได้ ต้องปฏิบัติภายนอกเชื่อมหาภายใน เชื่อมกับอานาปานสติ ทำให้กิเลสระงับได้ เป็นกิเลสระงับ ทำจิตให้สมาทหัง แข็งแรงสดชื่นตลอด แล้วก็ให้มีสติรู้ อนิจจานุปัสสี นิโรธานุปัสสี วิราคานุปัสสะ ปฏินิสัคคานุปัสสี ตลอดเวลา จับให้ได้มีกิเลสเกิดที่หทยรูป มันมีชีวิตมันยังไม่ตาย เป็นชีวิตินทรีย์ ของโอปปาติกสัตว์ ต้องรู้ว่ามันมีองค์ประชุมอย่างไรในสัตตาวาส 9ต้องใช้สัญญากำหนดรู้ อัชฌัตตังอรูปสัญญี จะเห็นความแตกต่างของกายกับสัญญา ต้องมีธาตุรู้ตลอด ต้องมีกายวิญญาณ​ต้องสัมผัสเกี่ยวข้องแล้วอ่านวิญญาณ คำว่า กายต่างกัน สัญญาต่างกัน คือการบอกสื่อของการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า

 

ถ้าเข้าใจกายไม่ได้ ปฏิบัติสัตตาวาส ความเป็นสังโยชน์คุณจะพ้นไม่ได้ แม้สักกายคุณก็ไม่รู้ ก็สุญโย ถ้าเข้าใจสักกายทิฏฐิ มีกายคตาสติ มีสติปัฏฐาน จะอ่านรู้ สัตตาวาส 1 กายต่างกัน สัญญาต่างกัน ความเป็นสัตว์จะเป็นสัตว์นรก เทวดา มนุษย์ คุณจะรู้ว่าเมื่อไม่มีหลักกำหนดจะกำหนดสัญญาไม่เป็น

 

กำหนดกาย เวทนา จิต ธรรม จะกำหนดได้อย่างไรถูก คนทั่วไปไม่เรียนหรือเรียนผิดก็กำหนดกายผิด ก็เข้าป่า ลงทะเลยะเยือกเย็น ก็ไม่ได้

 

ในข้อ 1 สัตตาวาส 9 หรือวิญญาณฐิติ 7

1.    สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

2.   สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น 

3.   สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) 

4.    สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)

 

การทำฌาน คือลดนิวรณ์ 5 ไม่ให้มีนิวรณ์ 5 แบบโลกีย์ฤาษีก็นั่งสมาธิ ก็ทำได้สำเร็จได้ไม่มีนิวรณ์ได้ แต่กิเลสไม่ลด แต่องค์ประชุมของจิตต่างกัน กายต่างกันกับของพุทธที่ลืมตาทำ

 

ด้วยสงสัยในระบบบุญนิยม จากผู้สงสัย

1. ชีวิตในสังคมบุญนิยม มีหลายฐานะ ทั้งคนโสด ที่พยายามส่งเสริม ทั้งคนมีครอบครัว หรือ ที่อนาคต อาจจะขอมีครอบครัว  เบิกเงินใช้จ่าย อย่างไร ?

ตอบ...พูดรายละเอียดไม่ไหว...เตรียมมาเบิกไม่ได้ไว้ก่อนเลย เสร็จแล้วมาศึกษาเรียนรู้ว่าจะมีสิทธิ์อย่างไรมีขั้นตอนอย่างไร? ถ้าเป็นสมาชิกจริง ในแท้ๆจะพึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้ แม้จะใช้เงินรักษาเป็นแสนเป็นล้านก็ได้ แต่เรื่องใช้จ่ายส่วนตัวเตรียมผิดหวังเลย แต่เรื่องเจ็บป่วยช่วยได้นอกจากคุณจะแย่จริงๆ หรือว่าคุณแย่ แต่ก็อยู่เขาก็ไม่ชอบคุณ แม้ไม่ผิดกฎแต่อยู่ได้อย่างแย่ๆ เขาก็ไม่ค่อยจ่ายสวัสดิการให้  นอกจากจะตะกละเสพจัด ก็อยู่ไม่ได้ หรือบางคนก็มามุบมิบ มีรายได้ข้างนอก แต่ก็อยู่ในนี้ ก็แล้วแต่บุคคล ไม่ได้บังคับกัน ก็ค่อยมาศึกษา

 

อย่างเด็กๆนี่อาตมาบอกว่านี่สมบัติของพวกเราทั้งนั้นเลย เป็นสาธารณโภคี ของลูกๆหลานๆ ก็รู้ว่าเราอยู่ในนี้ได้ ทำงานฟรี แล้วก็ไม่มีว่า ทำงานมานาน เวลาจะออกไปจะแบ่งส่วนออกไป ขอแบ่ง ไม่ได้นะไม่มีใครหักออกไปได้เลย ของที่นี่ คุณจะออกไปก็เรื่องของคุณ เพราะฉะนั้นตัดสินใจดีๆ ตัดสินใจไม่ดีจะอกหัก มหัศจรรย์ที่คนกล้าออกมาอยู่ พวกเรานี่แปลกถึงขั้น ก่อนตาย ตอนตาย ยิ้ม พอตอนตายหมดลมแล้วหน้ายังยิ้มเลย อย่าโยมเหมือนคำ พูดกับอาตมาว่า ดิฉันจะตายยิ้ม พ่อท่านบอก ก่อนจะตายแกก็ยิ้มจริงๆ ยิ้มค้างแล้วค่อยตาย เป็นไปได้ มันสงบถึงขนาดนั้น ตายรู้ตัวกำหนดยิ้มได้ สังคมเราพึ่งเกิด แก่ เจ็บตายกันได้ มีมา 40 กว่าปีแล้ว สังคมอโศกก่อเมื่อ 2516 ที่แดนอโศก แต่มาเป็นชุมชนจริง ปี 2557 ที่ปฐมอโศกเป็นแห่งแรก จะจัดงานตั้งแต่ 6-9 พ.ย. 57 นี้

 

1.1 ทุกคนที่มีสัมมาอาชีพในชุมชน... โดยเฉพาะในหน่วยงานที่ก่อเกิดมีรายได้ของระบบบัญนิยมที่มีหลายหน่วยงาน  เช่น ร้านค้า ผลิตปุ๋ย ทำสมุนไพร ทำขยะ ฯลฯ เมื่อเกิดรายได้ ผู้ทำงาน...จะสามารถนำเงินไปใช้ในกิจบางอย่าง ได้เองเลย หรือ ต้องนำรายได้ทั้งหมดเข้าการเงินกองกลางก่อน แล้วเมื่อจะใช้ ก็ค่อยมาเบิกจากกองกลาง

ตอบ...เป็นรายละเอียดตอบไม่ไหวตอนนี้ สรุปว่าเมื่อมาทำงานภายใน จะมีฐานอยู่กับกองกลาง เช่นบ.พลังบุญ บ.ฟ้าอภัย ในบริษัทเราอนุโลมให้มีเงินเดือน เดือนละ 2000 บาท ทำมา 20 ปีแล้ว บ.ฟ้าอภัยแต่ก่อนเงินเดือนสามพันบาท แต่เขาเจริญขึ้นก็ลดเหลือเดือนละ 2500 สูงสุด บางคนลดเหลือ สองพัน หรือบางคนไม่เอาเลยก็มี บ.พลังบุญสูงสุด 3000 บาท

 

ส่วนข้างเคียงร้านนั้นร้านนี้ไม่ใช่ร้านส่วนกลาง แต่เป็นของส่วนตัว เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็พยายามใช้บุญนิยม แต่ถึงขนาดนั้นก็มีคน..ที่มาอาศัยหากิน แล้วไม่ค่อยซื่อตรง อย่างอย.นี่ก็ไปปลอม นี่อย.จะมาตรวจสิ ก็พังไปทั้งแถบสิ ปลาตัวเดียว เน่าทั้งข้อง ก็ขอว่าหน่อยเถอะ ขอด่าหน่อยเถอะ อยู่ที่นี่หากินก็ทำไป แต่อย่าทุจริต อย่าซ้อนทำสิ่งผิด อาตมาถือว่าผิด คุณจะไปตั้งราคามากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่ทำผิดนี่อย่าทำ ซุกซ่อนบังแฝงนี่อย่าทำ มันบาปกว่าอยู่ข้างนอกนะ คนทำบาปในกองคนบุญมันบาปแพงกว่านะ คนทำบาปในกองคนบาป บาปไม่แพงหรอก เหมือนฆ่าอรหันต์ก็บาปกว่าฆ่าอนาคาฯ ฆ่าอนาคาฯก็บาปกว่าฆ่าสกิทาฯ ราคาบาปบุญมีจริง

 

_1.2คนที่มีครอบครัวเข้ามา หรือ มามีครอบครัวใหม่ ด้วยตนเองทำงานให้ส่วนกลาง หากเกิดลูกเต้าอาจจะอยากกินขนม หรือ พักผ่อนนอกหมู่กลุ่มแบบส่วนตัว จะเบิก จ่ายยังไง หรือว่า มาปฏกิบัติธรรมแล้ว ต้องหมดกิเลสพสกนั้นแล้ว หรือ ต้องฝืนใจตนเอง

ขอบคุณครับ

ตอบ...คุณมาอยู่ที่นี่ ทำตนให้ดี คนเขาจะช่วยเหลือ มีลูกน่ะคนเอ็นดู เขาไม่มอมเมาด้วย เขาจะขัดเกลา เมตตาเลี้ยงดู เด็กที่นี่เหมือนเด็กสาธารณะ เลี้ยงดูเป็นครอบครัวใหญ่ ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นภราดรภาพแท้จริง เป็นพี่น้องกันพึ่งพากันได้จริง อย่างปฐมอโศกนี่คุณน้ำดินดูแลอยู่ก็หนัก อาตมาจะตั้งชราภิบาลก็องค์ประกอบไม่พอ คนแก่เราก็ไม่ค่อยจะอยากมาอยู่ แต่ก็ยังอบอุ่น ถ้าคุณสนใจก็มาลองพักดู

 

_ในวันออกพรรษาที่ว่าพระพุทธเจ้าหลังเสด็จโปรดพระมารดาแล้วลงมาเห็นโลก 3 ทั้งมนุษย์ เทวดา นรก

ตอบ...คุณเข้าใจแบบเทวนิยม พระมารดาสิ้นพระชนม์แล้วก็เข้าใจเป็นเทวนิยม เป็นสวรรค์ที่เป็นตัวตนปั้นเอาเอง แต่แท้จริงเป็นเรื่องของจิตทั้งสิ้น มารดาเป็นผู้ไม่บรรลุจึงอยู่ดาวดึงส์ แต่ดุสิตจะเป็นที่อยู่ของผู้บรรลุ  มารดาคือผู้มีอิตถีภาวะ คือภิกษุทุกรูป พระพุทธเจ้าคือพ่อ พระสารีบุตรคือแม่เลี้ยง พระโมคคัลลานะคือแม่นม

 

เกิดเห็นโลก 3 คือผู้มีญาณปัญญาก็จะเห็นรู้สัตว์โอปปาติกะ ท่านเปิดโลกอันนี้ภิกษุที่อยู่กับท่านก็เกิดญาณปัญญา เห็นสัตว์ในจิตวิญญาณได้

 

_ทำไมคนเราชอบทำบุญวันเข้าพรรษา มากกว่าวันออกพรรษา ทำไม?

ตอบ...ไม่รู้นะ เหตุปัจจัยทำไม? ก็ขอแวะให้ปัญญาว่า พระพุทธเจ้าว่าความเสื่อมชาวพุทธข้อแรกคือไม่ไปพบภิกษุ ก็เลือกวัดหน่อยนะ เดี๋ยวไปบางวัดถูกล้วงเงินเสียหาย ต้องศึกษาว่าชีวิตนี่ต้องเข้าหาธรรมะอย่างอื่นไม่มีอะไรดีกว่าธรรมะหรอก

 

_โคจรรูปคือ

ตอบ...คือสิ่งที่คุณต้องรู้ เมื่อคุณประพฤติดำเนินการไปตามประสา หรือท่านเรียกว่าวิสัยรูป ตามวิสัย นิสัยที่คุณทำ โคจรรูป คู่กับ ปสาทรูป เมื่อดำเนินชีวิตก็มีกระทบสัมผัสทวาร 6 เช่นตากระทบรูป แต่คุณเอาประสาทไปใช้ที่อื่น หรือเสียงมันมา แต่คุณเอาประสาทไปรับเสียงอื่น คนตะโกนเรียกเท่าไหร่ไม่ได้ยิน แต่ได้ยินเสียงอื่น โคจรรูปคือสองอย่างสัมผัสดำเนินไปจะเกิดวิญญาณ

 

_แพทย์พยาบาลให้ยาด้วยปรารถนาดี แต่ยานี้ให้ผลร้ายหรือเป็นเครื่องสำอางค์ด้วยเป็นมิจฉาอาชีวะไหม?

ตอบ...ตอบไม่ไหวนะ ติดตามฟังพิจารณาให้ดีก็แล้วกัน ทุกวันนี้มอมเมากัน จนเลอะเทอะ

 

_คนไม่รู้ว่าตนเองตาย เขาคิดว่าลูกเมียเขายังอยู่ไหม?

ตอบ...คนตายไปสัญญายังมีอยู่ ยังยึดอยู่ ตายไปตอนแรกต้องห่วงหาอาวรณ์นึกถึง แต่คนละภพกันแล้ว คุณไม่มี ทวารนอกแล้ว คุณจะไม่รู้หรอกว่าตอนแรกคุณตาย ส่วนใหญ่ไม่รู้ ก็ตกนรกคือนึกว่ามี ทวาร 5 เหมือนมีชีวิตก็จะดิ้นรนเหมือนฝัน แล้วจะเมาไปหมด ว่าเอ๊ทำไมนึกถึงเมียก็ปั้นรูปเมีย แล้วก็ไม่เป็นอย่างที่จริง ขาดวิ่นเละสับสนวุ่นวาย นรกเลอะเทอะ ย่ิงห่วงหาก็ยิ่งดิ้น นรกก็เยอะ ทุกข์ก็เยอะ เขาไม่รู้หรอกว่าลูกเมียยังอยู่ ยึดมากก็นรกมา

 

_การปลุกเสกพระที่เขาทำมิจฉาทิฏฐิไหม?

ตอบ...สับธงว่ามิจฉาทิฏฐิ เสียหายมาก การปลุกเสกฯพระอาตมาก็เอามาทำใช้ภาษาว่าปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ไม่ได้ปลุกเสกพระอิฐหินดินปูนอย่างเขาทำ อย่างนั้นนอกเรื่อง ทำให้ศาสนาเสื่อม อาตมาพูดด้วยตำหนิ นิคคัณเห ไม่ได้พูดด้วยโกรธนะ  มันเป็นบาปนะไม่ใช่เรื่องบุญ หยุดเสียเถอะ หากหยุดไม่ได้ก็ให้เบาลง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:07:16 )

571101

รายละเอียด

571101_เทศน์ก่อนฉันที่นาแรงรักฯ โดยพ่อครู เรื่อง นักกสิกรรมและนักเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ

พ่อครูเดินทางจากปฐมอโศกมาที่นาแรงรักแรงฝัน อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

 

พ่อครูเกริ่นก่อนออกอากาศสด....มีนร.อยู่ที่นี่ 38 คน หลวงปู่ไปเดินดู จำไม่ไหวเขาว่านร.ดูแลๆ จำไม่ไหวเลย เก่งเหมือนกันนะพวกเรา หลวงปู่ว่าเด็กอโศกทุกคนต้องได้ลงนา ทำนาทุกคน รู้จักการปลูกการเกี่ยวข้าว  ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าข้าวมาจากไหน? มาจากจานจากหม้อ ไม่ไหวนะ ...ข้าวเมล็ดเล็กนิดเดียว กว่าจะได้กิน มันหกหล่นแต่ละเมล็ดๆเล็กๆ เม็ดหนึ่งต้องใช้ความเพียรอุตสาหะจะได้ดันชีวิตเราไปได้ ที่นาแรงรักที่นี่มีร้อยกว่าไร่ ทำให้เป็นนาตัวอย่าง

 

สามสิบ สี่สิบปีมาแล้ว หลวงปู่มาทางนี้เห็นความสำคัญในขีวิต พระพุทธเจ้าว่า ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อาหารเป็นหนึ่งในโลก เราจะต้องดูแลอาหาร นี่เดินไปตลอดคันนา ยังไงก็ไม่มีอดตาย เก็บข้างทางกินก็อยู่รอดเราเก็บมามันก็ออกใหม่งอกใหม่ บูรณะไปอย่าให้มันตายกลางทาง

 

ดูแต่ว่านาข้างๆยังไม่ยอมเปลี่ยน ยังใช้ปุ๋ยเคมีอยู่ นึกไม่ออกสิว่าเขาเห็นเทียบเคียงกัน นาเรานี่ต้นสูงท่วมหัว แต่ข้าวเขาแคระ เขาใช้ปุ๋ยราคาแพงกว่าเราด้วย ของเราถูกกว่า งามกว่า ปลอดภัยกว่า นี่สำคัญ แต่ไม่ยักเปลี่ยนแปลงหัวคิด มีเหตุปัจจัยอะไร มันน่าจะเปลี่ยนแปลงได้ ก็ทำร่วมกันไป เราทำพิสูจน์มาหลายปีเห็นผล ดูต้นข้าวสูงท่วมหัว รวงยาวยังไม่โค้งเลย ยังพุ่งตรงอยู่เลย

 

อาตมาก็จะรอดูผล ที่ศีรษะเกษ มีชาวอินเดียมาวิจัยจุลินทรีย์​ เก็บในที่ประหยัดสุด เห็นผลสูงสุด เขาว่า ไร่หนึ่งใช้หนึ่งแคปซูลเดียว ผลออกมาจริง แต่จะได้เสถียร แล้วผลที่ได้จะได้จริงไหม? ถ้าได้จะประหยัดน่าดูเลย 1 แคปซูลต่อไร่

 

แม้กระทั่งดินที่จะเอามาให้มันอยู่ ใส่ในแคปซูลก็เลือกสรร วิจัย ก็ได้มาขนาดหนึ่ง  (ส.เดินดินว่า...ได้ข้อสรุปว่า ส.ตรงมั่นว่าได้ข้อสรุปว่า 1 แคปซูลคือจุลินทรีย์ดึงฟอสฟอรัสมา แต่ก็ต้องใส่ปุ๋ยอินทรีย์เหมือนเก่า มันเป็นเพียงตัวช่วย ก็ยังต้องใช้ปุ๋ยงอกงามเหมือนเดิม )

 

พ่อครู...นึกว่ามันจะแทนปุ๋ยเลย ถ้ามันได้จะข่มปุ๋ยไปเลยก็ดี  เราไม่ว่านะจะได้ความทุ่นแรงเบาง่ายลง ขนส่งสะดวก

 

ออกอากาศสด....

 

พ่อครูว่า...นาแรงรักแรงฝัน มันเป็นความฝันของหมอฟากฟ้าหนึ่ง บอกว่าชาติหน้าเกิดมาจะไม่ขอเรียนสูงเลย ชาตินี้เผลอตัวไปเรียนหมอมาแล้วก็ช่างมัน จบหมอแล้วก็มาทำนา ก็ยังตั้งใจว่าชาติหน้าไม่ขอไปเรียนหมอ เกิดมาให้มาเป็นชาวนาเลย แล้วก็มาซื้อที่นาที่นี่ อาตมาก็ส่งเสริมหมอก็ทำหน้าที่สุดท้ายก็ไปตามวิบาก อายุได้ 54 ปีเท่านั้นเองก็เสีย 31 ธ.ค. 50 เราจัดงานปีใหม่อยู่บ้านราชฯข่าวทางนี้ก็ว่าเสียชีวิตเลย ไม่ได้รอเวลาอะไร มันเป็นเรื่องของความรู้สึกความเข้าใจของหมอฟากฟ้าหนึ่ง ว่าชีวิตนี้อะไรสำคัญ อะไรที่มนุษย์ควรรู้จัก

 

หลวงปู่นี่บอกมาตั้งแต่ต้นว่าชาวอโศกต้องเป็นชาวนา ต้องทำของกินใช้เป็นเรื่องของชีวิต ในประดาปัจจัย 4 เครื่องใช้อาศัยของชีวิต มีอะไรบ้างเด็กๆบอกมา....เด็กๆตัวยาวดีแล้ว อย่าให้ออกทางกว้างมาก ทำงานจะได้ผอมๆ

 

อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย ยารักษาโรค นี่อาหารเป็นที่หนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ท่านไม่ได้บอกว่าทองคำเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง หรือธนบัตรเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง สมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีธนบัตร ก็นี่แหละเป็นสิ่งมีค่าที่สุด สำหรับที่พักไม่มีก็อยู่ได้ ไม่มีเครื่องนุ่งห่มก็อยู่รอด แต่อาหารนี่ยังไงก็ต้องกิน ไม่กินก็ตาย สัตว์โลกต้องอาศัยกวลิงการาหาร ทุกสัตว์โลก ทุกชนิด ต้องกินทั้งนั้น

 

คนเรารู้ความสำคัญเช่นนี้แล้วจะต้องดูแล และอาหารหรือข้าว พืชพันธุ์ธัญญาหาร นั้นต้องไม่แพง อย่าขายแพง ต้องแบ่งปันกันกิน อย่าเอาไปเป็นเครื่องต่อรองชีวิต คนต้องกินก็เลยเอาไปค้ากำไรมาก บาปกินหัว คนทำเรื่องนี้จะไม่รวย ใครเอาเรื่องนี้ไปรวยนี่บาป

 

บาปหนักๆมีสองอย่าง หนึ่งคนทำงานเรื่องอาหารแล้วเอาไปขูดรีดมนุษย์ เขารวยได้เพราะคนจำเป็นต้องกิน แล้วใช้กลวิธีหากิน รวยติดอันดับโลกเลย

 

สองคือหมอ พวกนี้บาปมากถ้าเอาความกลัวตายของคนมาทำมาหากิน ก็ขู่เอาๆเพราะคนกลัวตายกลัวเจ็บ อาหารกับความเป็นหมอ ก่อบาปร้ายแรงบาปสูงโดยไม่รู้ตัว

 

สองอย่างนี้มันเป็นกุศลก็สูง ราคากุศลสูง ราคาบาปก็แรง ทำให้คนทุกข์ทรมานมากก็บาปมาก ส่วนคนเสียสละ หมอจะรักษาคนก็เสียสละใครจะให้อยู่ให้ค่าใช้จ่ายก็อยู่ไปก็เป็นกุศลสูง แต่เรื่องอาหารการกิน รัฐบาลดูแล ของมันก็เลยต้องถูก มันก็เฉลี่ยของกินก็เลยไม่แพงเท่าไหร่ ใครทำสวนทำไร่ทำอาหารไม่ต้องรู้หนังสือก็ทำได้ แต่การเป็นหมอไม่เรียนก็ทำไม่ได้ หมอก็เลยขู่มาก ราคาแพงมาก แต่ทำอาหารนี่ทำกันทั่ว ราคาก็เลยแพงไม่ค่อยได้ แต่ก็มีคนคิดหาวิธีเพื่อให้ได้เปรียบมากๆ แล้วใช้สารเคมีทำหมด ไม่ฟังเสียงว่าจะเป็นพิษภัยกับใคร เขาเลี้ยงไก่นี่ มันโหดมาก เขาคัดมาเลี้ยงก็โยนๆๆลูกไก่ แล้วก็เอามาอยู่ในช่องให้กินอาหารแล้วหลอกมันด้วยไฟทั้งวันทั้งคืน ให้มันไข่ วันละสองฟอง เอาไปขาย แล้วชีวิตมันก็สั้น มาก แค่ 39 วันหรือ 45 วันก็ปลดเกษียรขายเป็นเนื้อแล้วเอารุ่นใหม่มาเลี้ยง คนเอาเปรียบทั้งสัตว์และคน พวกนี้ตกนรกหมกไหม้ อาตมาไม่ได้ลงโทษ แต่เป็นสัจธรรม

 

เห็นแก่เงินรายได้ แต่ตนเองก็ทำบาป ทั้งคนคิดคนทำ ได้บาปไปเลย ติดตัวเป็นอกุศลวิบาก เป็นทรัพย์แท้จริง วิบากบาป บุญ​เป็นสิ่งที่จะทำให้เราสั่งสมใส่จิตวิญญาณ จะเรียกว่าอัตภาพก็เรียกได้

 

คนเราเกิดมาก็มีอัตภาพหนึ่ง มันพัฒนามาตั้งแต่พลังงานอุตุนิยาม (พลังงานทั่วไปในโลก) แล้วพัฒนามาเป็นพลังงานที่มีชีวะก็เรียกว่าพีชะ จนพัฒนามาอีกรอบเรียกว่า จิต นิยาม

 

พีชะก็เป็นพลังงานระดับที่ต่ำ พืชไม่มีวิญญาณไม่มีกรรมครอง ไม่มีวิบาก ไม่มีรัก ชัง โกรธ โลภ ไม่มีบาปบุญ ตัวมันเองก็มีสัญญา สังขาร แต่ไม่มีเวทนา ไม่รู้สึกสุขทุกข์ มันมีสัญญากำหนดรู้ว่าอันนี้ได้ไม่ได้ ควรไม่ควร มันก็สังเคราะห์ตนเองไป จนมันมีจิตนิยาม ก็มีรัก ชัง สุข ทุกข​์ เรียกว่ามีกรรมครอง

 

เกิดมาเป็นคน เป็นสัตว์ที่เจริญมาถึงเป็นคน คนในระดับต้นก็ไม่รู้ว่ากรรมคืออะไร กรรมนี่แหละเป็นของๆตน เป็นตัวพาเกิดพาเป็น ตนเป็นทายาทของกรรม กรรมนี่เป็นสุกฏทุกฏานัง ทำกรรมลงไปก็พาเราสุขเราทุกข์ เป็นผลวิบาก กัมมานัง ผลัง วิปาโก เป็นผลวิบาก พลังงานจิตนิยามของแต่ละคน มีพฤติกรรมบาปสั่งสมใส่จิตเรา จะเรียกว่าจิตนิยามก็ตาม แต่ละคนก็มีอัตภาพของแต่ละคน มีพลังงานเรียกว่าผลวิบาก จะดีชั่วจะสุขทุกข์ก็เราสั่งสม ทำในที่ลับหรือที่แจ้งคนรู้หรือไม่ ถ้าเป็นชั่วก็ของเรา ถ้าดีก็ของเรา ทำแล้วไม่เอาไม่ได้ เราไม่เอาไม่ได้ เอาออกไม่ได้ด้วย ทำน้อยก็ได้น้อย ทำมากก็ได้มาก เป็นของเราทั้งนั้น เป็นสัจจะเลี่ยงไม่ได้

 

หลวงปู่เชื่อ และอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะบุญกับกุศล ศานาพุทธเข้าใจคำว่าบุญผิดไป เข้าใจคำว่าบุญเป็นกุศลไป บุญเป็นภาษาโลกุตรธรรม แต่กุศลคือความดีงามโลกีย์โลกๆ

 

การทำไร่นานี่เป็นกุศลใหญ่ ทำเพื่อเผื่อแผ่คนในโลก แล้วเราก็ล้างกิเลสไปด้วยขณะทำนาไร่สวน ทำอาหารนี่เป็นอาชีพชั้นหนึ่งในโลกแล้ว แม้อุตสาหกรรมนั้นพารวย เขาคิดเก่ง เทคโนโลยีชั้นสูง ออกฤทธิ์เดชมากเลย พูดคุยกันติดต่อกันง่ายดาย เหลือแต่กลิ่นยังส่งไม่ได้ ส่งออกนอกโลกได้ เขาเก่งก้าวหน้า ในหลวงเราเป็นโพธิสัตว์บอกว่าการก้าวหน้าอย่างมากคือการถอยหลังเข้าคลอง ทุกวันนี้เขาก็รวยก็เก่งมาก แต่เขาก็ได้พึ่งทางเราที่ทำเรื่องอาหารนี่แหละ เขาก็สร้างอาวุธ เทคโนโลยีมาขาย เขารวยโลกีย์ แต่จนหรือเป็นหนี้ทางโลกุตระ เขาไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องกรรมวิบาก จิตวิญญาณ​ในหลวงเราตรัสเตือนแต่เขาก็ไปหลงโลกกัน ในหลวงเราตรัสชัดลึกสั้น ที่ท่านตรัสท่านเป็นโพธิสัตว์ เป็นคำอาริยะ คำลึก คนธรรมดาพูดไม่ได้

 

บอกว่าความก้าวหน้าอย่างเขานี่น่ากลัว เป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว เขาก็ฟังกันไม่รู้เรื่องหรอก เขารู้ก็ทำไม่ได้ แต่ต่อไปพวกเรานี่ หลวงปู่กำชับพวกเราให้ศึกษาธรรมะ พวกเราก็ไม่ด้อยเรื่องความรู้เทคนิคหรอก นร.สัมมาสิกขาจบไปก็ไปเรียนกับเขาได้ ได้เกียรตินิยม ได้ป.โทป.เอากัน ไม่ต้องกังวลว่า รร.นี้จะด้อยความรู้ทางโลก ไม่ด้อยกว่าเขาแน่ สู้เขาได้ แต่กำไรกว่าทางโลกสามต่อ ทางโน้นเรียนอย่างเดียว แต่ของเราเรียนคุณธรรมและทำงานด้วย เรียนด้วย สามเท่า ก็หนักหน่อย แต่ไม่เห็นมีนร.เรียนจนตาย หรือทรุดโทรม มีแต่บวมขึ้นน้ำหนักขึ้นสมบูรณ์แข็งแรงทั้งนั้น

 

ให้เห็นความสำคัญ ไม่ว่าจะศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา อย่าท้อถอย แม้ถูกดูถูกว่าเอามารับใช้ ใช้แรงงาน แต่แท้จริง เราเลี้ยงดูอย่างกับลูกหลาน เป็นการเลี้ยงอย่างลูกจริงๆ ให้กันอย่างจริงใจด้วย เป็นงานของสังคมมนุษย์โลก

 

ทางด้านการเมือง อโศกก็ทำช่วยชาติ หน้าที่สร้างพลเมือง เยาวชน ให้รอบรู้เฉลียวฉลาด ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ เพื่อเป็นพลเมืองดี เป็นหน้าที่ของนักบริหาร ของรัฐบาลเราก็ทำ ถือว่าเป็นงานการเมือง และเราทำงานการเมืองอย่างยิ่ง อย่างจริง เพราะไม่ได้เอานร.มาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน แต่รร.รัฐบาลก็มีที่อาศัยโรงเรียนทำมาหากิน อาศัยนร.ทำมาหากิน มากหรือน้อยเขาก็มีจริง หรือรร.เอกชนตั้งมาเพื่อทำมาหากินแท้ๆ แต่ของเราไม่ได้ทำเช่นนั้นเราตั้งรร.มาเพื่อช่วยสร้างคนจริงๆ ไม่เก็บค่าเรียนเลย อโศกเป็นพรรคการเมืองโดยธรรมชาติไม่ได้ขึ้นกับกรอบกฎหมาย แต่เป็นพรรคการเมืองที่อิสรเสรีที่สุด ข้อบังคับทางการเมืองไม่เกี่ยว เกี่ยวกับกฎหมายเท่านั้น เราก็ทำไม่ได้แข่งดีเด่นไม่เอาอำนาจบาทใหญ่ ไม่เอางบฯรัฐบาลมาหากิน เราทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองโดยตรง

 

แม้พรรคการเมืองเราทำงานการเมืองภาคประชาชน เป็นการงานช่วยเลี้ยงโลก ทำกสิกรรม พวกกระทรวงเกษตรก็พัฒนาการเกษตร สร้างปุ๋ยกัน ถ้าจะว่ากันแล้วการเกิดเกษตรอินทรีย์นี่ อโศกเป็นตัวเริ่มต้นแล้วทำจนประสพผลสำเร็จ เขามีคิดกันก่อนแต่ทำไม่สำเร็จ

 

หลวงปู่นี่ให้ไปติดต่อตั้งแต่ EM. พยายามติดต่อไปถึงญี่ปุ่น จนได้เอา ดร.โช มาบรรยายที่บ้านราชฯ (เขามาจากเกาหลี) ก็ได้น้ำพ่อน้ำแม่ ก็พัฒนาเป็นรูปร่าง ก็ไม่ได้มาทวงบุญคุณ ก็ทำมาจนกระเตื้องกันได้ขนาดนี้ เราก็พยายามต่อภพภูมิ อีกอย่างขอย้ำกับลูกหลานว่า นาแรงรักนี่ของใคร...ของเราทุกคนนะ ไม่ได้พูดเล่นนะ ของจริง จะอยู่ดูแลนานี่ไปจนตายก็ได้เลย สร้างให้ได้ผลผลิตดี ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเลย ได้ร้อยกว่าไร่เลย ก็ทำให้เจริญงอกงาม อย่าว่าแต่ท้องนาเลย ที่ดินชาวอโศกในทุกที่ก็เป็นของกองกลาง สมบัติเหล่านี้ทุกคนไม่มีสิทธิ์ผลาญทำลาย แต่มีสิทธิ์บูรณะให้ดีทำกินใช้ไปได้ตลอดจนตาย ไปถึงลูกหลานเลย แต่เอาทำเพื่อให้แจกจ่าย ไม่ใช่ทำเพื่อกอบโกยเอากำไร เราทำขาดทุนให้แก่โลก แม้เราขาดทุนเราก็มีกิน ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ เจ็บป่วยมีคนรักษา...

 

เป็นระบบของพระพุทธเจ้า ระบบสาธารณโภคี บุญนิยม เป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคมที่ย่ิงใหญ่ มั่นใจว่าถูกที่สุดแต่คนเข้าไม่ถึง พวกเราก็ยืนยันพิสูจน์ให้โลกเห็น ยุคนี่จะเจริญได้ เพราะยุคพระพุทธเจ้าเป็นยุคทาส เป็นนายทุนจริง ยุคนี้นายทุนหลอก ทุกวันนี้รวยต้องปกปิด ลึกๆเขามีปัญญารู้ว่ารวยนี่เอาเปรียบเขามา คนมีปัญญารวยแล้วไม่อยากอวด กลัวคนมาแย่งเอาไป มันรู้หมดแล้วว่ารวยไม่ดี รวยไม่ควรอวด

 

คนทุกวันนี้เข้าใจได้มากทฤษฎีพระพุทธเจ้าจึงเอามาใช้ในยุคนี้ได้ เรื่องความรู้ฉลาดของสังคม พระพุทธเจ้ารู้บริบูรณ์หมด สูงสุดได้ เอามาใช้กับสังคม ยุคนี้คนมีปัญญารู้ได้ ก็เหลือแต่ความจริง พระพุทธเจ้าประกาศศาสนามาสองพันกว่าปี ก็เสื่อมลง กิเลสมันชนะทฤษฏี หลวงปู่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้ามารื้อฟื้นกอบกู้เพื่อให้พุทธศาสนายืนนานไปถึงห้าพันปี

 

ก็เห็นรูปรอยว่าจะกอบกู้ชาติได้ต้องลดกิเลส ทุกวันนี้มีอำนาจใหญ่สองอย่างคือนายทุนกับอำนาจศักดินา นั้นจับมือกันแล้ว เขากอดคอกันโกงเลย ประเทศก็เสียหาย ที่จริงคนที่มีความรู้สามารถมาก จริงๆนั้นต้องช่วยคนความรู้น้อย สามารถน้อย ในสังคมมีคนที่จะต้องช่วย คือ เด็ก คนป่วย คนแก่ คนพิการ คนไร้สรรถภาพ สมองไม่ดี มีห้าลักษณะที่เราจำนนต้องช่วย แต่มีคนที่ชั่วมากอีกสองคน คือคนขี้เกียจกับคนขี้โกง คนพวกนี้ฉลาดมากเลยนะ ทั้งขี้เกียจและขี้โกงเขารวยได้มีอำนาจมากได้ แล้วไม่ปราณีคนด้วย ไม่มีจิตดีด้วย ยุคนี้เขาเข้าใจกันได้ เราไม่ต้องอธิบายมาก เป็นแต่เพียงมาช่วยกันสร้างคนให้เป็นคนพัฒนาตามที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นคนอาริยะ civilize

 

ศิวิไลซ์ของตะวันตกเป็นแบบกัลยาณชน กดข่มจิต แล้วทำช่วยสังคม เขากดความชั่วทำแต่ดี แต่ของพระพุทธเจ้าเรียนรู้จิตแล้วกำจัดความชั่วออกไป จนจิตสะอาด แต่ของกัลยาณชนเขาละชั่ว ทำแต่ดีกดข่มกิเลสลืมกิเลสไป ไม่รู้ความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ สัตว์ทางจิตวิญญาณนี่เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานนะ ทำร้ายสัตว์อื่น ทำร้ายคนด้วยกันด้วย พระพุทธเจ้าตรัสรู้มา หลวงปู่เป็นลูกศิษย์ก็ศึกษามาหลายชาติ แล้วเอามาสืบสาน ฟื้นสิ่งที่ดีมาทำจนกว่าจะหมดศาสนา ซึ่งช่วยไม่ได้สักวันก็ต้องหมดอายุลงไป

 

ชาวอโศกถ้ามีชีวิตเป็นกสิกร แล้วรับผิดชอบชาติเลย เราจะผลิตอาหารให้โลก โดยที่เราจะค้าขายอย่างถูก แจกแบบบุญนิยม เราจะไม่รวย เราเอาแบบคนจนที่ในหลวงว่า เราไม่สะสมกักตุน เรามีมากได้แต่เราไม่เอาเราเต็มใจเสียสละ ทรัพย์แท้ของคนอยู่ที่ไหน? คือทองคำ หรือธนบัตร? ...คือความรู้ความสามารถและความขยันหมั่นเพียร โจรก็ปล้นไม่ได้ แต่แบ่งให้คนอื่นสอนให้คนอื่นได้ แต่ต้องเอาไปทำเองนะ ไม่ใช่ว่าแบ่งแบบแบ่งข้าวของ แบบนั้นไม่ได้ แล้วให้ฟังว่าขยัน เก่งอย่างไรก็เอาไปทำ ขนาดรู้ๆบางคนยังทำไม่ได้ก็มี จบวิศวกรมาขันน็อตตัวหนึ่งยังทำไม่เป็นเลยก็มี สอนเขาได้แจ้วๆ แต่ทำไม่เป็น บางอย่างไม่มีในตำราหรอก ทำไม่ได้ต้องอาศัยความรู้ ชำนาญ​ เช่นเดียวกับกสิกรรม รู้อย่างเดียวไม่ได้

 

สรุปแล้วเราต้องยึดพื้นที่ทำกสิกรรม เราไม่เอาเกษตร เพราะมันรวมทั้งปศุสัตว์ด้วย สัตว์ทุกตัวมีวิบากของเขา เราไปช่วยหรือไปทำร้ายก็ไปเกี่ยวกับเขา เราอย่าไปมีวิบากร่วมกับเขาเลย พวกคนนี่แหละไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเยอะ ชาตินี้เกิดมาเป็นคน ชาติต่อไปเป็นสัตว์ก็เวียนวนไป เราอย่าไปเชื่อมวงจนวัฏฏะสงสารกับสัตว์ เราจะเกื้อกูลเขาบ้างก็ทำ แต่อย่าให้เขาติดเรา ให้มันดูดดึง กัน หรือพยาบาท หลวงปู่ก็เตือนกัน ว่าให้ตัดใจ เราทำกุศลกับเขาก็ดี แต่อย่าไปรักหรือชอบมันเป็นวิบาก รักมากก็เป็นภัย เป็นของฉัน อย่างหมูหมานี่รักเจ้าของมากใครใกล้ไม่ได้นะ ไม่เอาทั้งรักและชัง เป็นภัยทั้่งคู่

 

ถ้าเห็นว่าที่หลวงปู่พูดนี้ดีให้ทำ หลวงปู่ไม่ได้ทำเพื่อให้พวกเรามานับถือหรือมาเป็นบริวาร แต่บอกความจริงให้ไปปฏิบัติเอง อย่างนาที่ทำนี่ก็ทำไปให้ดี ที่อื่นก็มี ที่บ้านราชฯก็มี มีคนชอบทำนา จะให้หลวงปู่ไปบอกให้หาซื้อที่นาราคาหลายล้าน หลวงปู่ว่าไม่มีมีแต่หัวล้าน

 

ขอสรุป...ที่นาแรงรักแรงฝันนี่หลวงปู่เป็นคนตั้งชื่อ แล้วมีเนินพอกินอีกด้วย รวมแล้วสองร้อยกว่าไร่ ก็เป็นของพวกเราทุกคน ที่จะทำสิ่งดีงามเป็นอาหารไปช่วยโลก หากทำให้ทั้งนาและเนินทำเป็นผลผลิตช่วยประเทศชาติได้ด้วย 1.ของดี 2.ราคาถูก 3.ซื่อสัตย์ 4.มีน้ำใจ 5.ขายสด งดเชื่อ เบื่อทวงปวดท้อง

 

ไม่เอาสินเชื่อ เป็นเรื่องทำลายสังคม เป็นกลเม็ดของสังคม เรื่องสินเชื่อ เราไม่มี มีแต่เงินเกื้อกูลกัน มีแต่สมบัติพัสถานเกื้อกูลกัน เราให้ยืมกันได้แต่ไม่คิดดอก อโศกไม่มีเงินกู้ แต่มีเงินเกื้อ เกื้อกันได้แต่อย่ากู้ กู้นี่มีดอกเบี้ยไม่เอา แล้วมีเงินหนุน คือให้กันได้ ไม่มีหนี้

 

พืชพันธ์ุธัญญาหารนั้นไม่มีวิบากกรรมอะไร คนกินได้แต่พืช คนกินดินไม่ได้ คนเป็นสัตว์ไม่ใช่สัตว์กินดิน และคนก็ไม่ใช่สัตว์กินสัตว์ พืชกินดิน สัตว์กินพืช แล้วก็ตายเป็นดินหมุนเวียน แต่คนดันผ่าไปกินสัตว์ นี่ผิด

 

แม้แต่เศรษฐกิจ ที่จะรุ่งเรืองต่อไปคือเศรษฐกิจบุญนิยม ที่คู่เคียงกับเศรษฐกิจทุนนิยม หลวงปู่เป็นนร.เศรษฐศาสตร์นะ เคยเรียน ม.ธรรมศาสตร์ หมายเลขนักศึกษาคือ 2172/ศ 

 

คำว่าเศรษฐะ มาจากภาษาอังกฤษว่า Economic เขาแปลว่าประหยัด (ไม่ใช่ความตระหนี่) คือรู้จักมักน้อยสันโดษ ที่ในหลวงตรัสเศรษฐกิจพอเพียงนี่แหละ คำว่าเศรษฐะแปลว่าความเจริญ เป็นภาษาสันสกฤษ และคำว่าเศรษฐี  ฉันเป็นเศรษฐีเงินถัง แต่ว่าสตังค์ไม่มี ในคำลิเกเขา แต่เป็นเศรษฐีที่แจกจ่ายเจือจานคนอื่นเพราะรู้จักหลักเกณฑ์ชีวิต ที่พระพุทธเจ้าสอน ไตรสิกขา

 

ไตรสิกขานี่คือเศรษฐศาสตร์อย่างหนึ่ง ขยายไตรสิกขาเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นจรณะ 15 จากข้อ ศีล( ศีล อปัณกปฏิปทา ) สมาธิ(สัทธรรม 7  ) ปัญญา( ฌานอีก 4 ) ทำให้เกิดวิมุติ วิมุติญาณทัสสนะได้ ขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม  เป็นโลกุตรธรรม 37 เร่ิมด้วยกายในกาย แล้วจบที่อุเบกขา เป็นฐานนิพพาน พวกเด็กๆ ฟังเข้าหูไปก่อน ใส่ฮาร์ดดิสก์ไว้ หรือใครจะเข้าใจ หรือเข้าถึงได้ก็ย่ิงดี

 

ในโลกุตระ 37 เป็นหลักสูตรในศาสนาพุทธศาสนาเดียว พอปฏิบัติแล้วจะหลุดพ้นเป็นโลกุตรบุคคล 9 (บุคคล 8 และนิพพาน1) แต่ก็อยู่กับสังคม ผู้บรรลุธรรมพระพุทธเจ้าจะมีลักษณะ โลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ เพื่อ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชน) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชน) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่คือคุณสมบัติอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าจริงก็ใช่ ไม่จริงก็ไม่ใช่

 

หลวงปู่พารับใช้มวลมนุษยชาติ จะอยู่ไป 151 ปี อย่าตายก่อนหลวงปู่นะ เราจะอยู่เกื้อกูลทั้งคนและสัตว์ แผ่เมตตาจริง เป็นคนช่วยสังคมโลก ไม่ได้เอาโลกเป็นเครื่องมือหรือเป็นปัจจัยหากิน อยู่กับโลกใช้ปัจจัยช่วยโลก เป็นโลกานุกัมปายะ ผู้มีความรู้ความจริงเป็นเสฏโฐ ประเสริฐ ทำสำเร็จตามความสามารถก็ช่วยสังคมได้ยิ่งมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม เป็นสงฆ์ (แปลว่าหมู่กลุ่ม) ไม่ใช่ลัทธิปลีกเดีี่ยวหรือเผด็จการ แต่เป็นลัทธิประชาธิปไตยมีอำนาจที่ไม่เห็นแก่ตัว ฟังไว้ท่านผู้บริหารประเทศทั้งหลาย อำนาจที่เห็นแก่ประชาชนเห็นแก่คนอื่น พระพุทธเจ้าว่าถ้าเราทำเพื่อผู้อื่นทำเพื่อประชาชนไม่ต้องห่วงชีวิตเลย เป็น ปรปฏิภัททา เม ชีวิตกา แปลว่า ชีวิตนี้เนื่องไปด้วยผู้อื่น อย่างหลวงปู่นี่ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องกินเลย เราต้องเลือกกินส่ิงที่มีคุณค่าประโยชน์ไม่ได้กินตามกิเลส หรือว่าเราจะลดละจากกิเลสอันไหนติดเราก็งดกินได้ หัดไป

 

สรุปแล้วเมื่อผู้ใดมีความรู้ของพระพุทธเจ้าแล้วช่วยสังคม ก็ไม่ต้องห่วงตัวเองเลย จะกินอยู่ ไปมา จะใช้อะไรเขาก็จะช่วยเรา ขอให้เราทำจริง ช่วยประชาชนจริง จนเขาเชื่อมั่น คนมีปัญญาก็ช่วย คนโง่ไม่ช่วยก็ช่างหัวเขา เศรษฐศาสตร์จะเกิดคือช่วยให้คนเฉลี่ยความสุขอย่างทั่วถึง แม้จะมีคนขี้เกียจ ขี้โกงก็ปราบให้เขาหายโกงหายเกียจ แต่คนพิการ คนชรา เด็ก คนป่วย คนไร้สรรถภาพ ก็ต้องช่วยเขา แต่บางทีคนพิการก็ไม่ต้องให้คนช่วยเขาช่วยตนเองได้ บางคนเก่งด้วย

 

เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์เหมือนการเมือง แต่คืองานแท้ๆ ตั้งแต่ประชาชนคนหนึ่งจนถึงผู้บริหารประเทศ คือการมีอยู่มีกิน เกื้อกูลช่วยเหลือกันทั่วถึง นี่คือความหมายชัดๆของเศรษฐศาสตร์ ใครเข้าใจก็ช่วยกันทำงาน เพื่อช่วยคนอื่น

 

ชาวอโศกมาทำงานฟรีกันส่วนใหญ่ มีแฝงเอาส่วนตัวบ้างนิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่ทำฟรี ก็เลยมีเหลือไปช่วยคนอื่น แล้วไม่กักตุน ชาวอโศกจะจนไปตลอด แต่มีหมุนไปได้ เงินทองข้าวของต้องใช้ก็มี เช่นการสื่อสารก็ต้องใช้ เดี๋ยวนี้เขารบกันด้วยการสื่อสาร และที่ต้องบอกสื่อสารข่าวคราว ก็เลยสำคัญ อโศกเราก็เลยจำเป็นต้องมีสื่อสาร เราสู้เรื่องเครื่องมือเขาไม่ได้ แต่เราเอาความอดทน ความขยันสู้ ตอนนี้เขามีไม่รู้กี่ช่องเอาไว้หาเงินมอมเมาคนแต่อโศกเราไม่ทำบาป มีช่องเดียวก็พอแล้ว ไม่ได้ทำเอาเงินทอง เราทำสื่อสาร

 

เศรษฐกิจ ก็ทำ ทำงานอาชีพ ไม่เป็นภาระสังคม มีเหลือ ก็แจกแบ่งคนอื่น เราทำการงานอันไม่มีโทษ ที่ปราชญ์ไม่ตำหนิ ทั้งกสิกรรม ช่าง วิศวะ ของเราเด็กบางคนจบ เขาก็มาจองไปทำงานไปให้เรียนต่อเป็นวิศวกรเลย ให้กินอยู่หลับนอนด้วยเลย แล้วพวกเราก็ไม่เคยไปขอขึ้นเงินเดือน อย่างพวกเราบางคนไปทำงานการสื่อสารกับเขา แล้วก็ทนกับภาวะของโลกกดดันไม่ได้ ก็เลยจะขอลาออก เจ้านายก็ว่าจะขึ้นเงินเดือนให้นะให้อยู่ต่อ แต่เขาก็ว่าไม่ได้ต้องการเงินเดือนมาก แต่เพราะทุกข์ว่าไปทำงานเอาเปรียบได้เงินได้อะไรมาก ก็ไม่อยากอยู่ เป็นภาวะจิตที่สำนึกดีก็เลยจะออกมา มาทำงานในหมู่คนดีดีกว่า

 

อย่างหลวงปู่นี่ให้มาทำงานฟรีไม่มีเงินเดือน รายได้คือการถูกฝึกหัดขัดเกลานะหนักนะ ไม่ได้เงินแถมถูกตำหนินะ แต่ก็เป็นไปได้มีคนมาทำงานด้วย การทำงานโทรทัศน์นี่ราคาแพงนะหลวงปู่ตอนเป็นฆราวาสทำงานเรื่องนี้โดยตรง แต่ออกบวชมาแล้วก็ไม่ได้ทำ ไม่ได้ไปสอนเขาด้วย

 

เศรษฐศาสตร์คืองานที่ไม่เป็นโทษต่อสังคม แล้วเอามาแบ่งปันผลผลิตกัน เป็นหน้าที่ของนักการเมืองที่จะต้องมีความรู้เศรษฐศาสตร์ด้วย เพราะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ประชาชนต้องมีอยู่มีกิน แต่อย่างอื่นเป็นเรื่องรอง เรื่องความมั่นคง สุขภาพก็เป็นเรื่องรอง หลวงปู่จึงพาทำ ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อาหารเป็นหนึ่งในโลก จึงสำคัญ​ทางตะวันตกเขาเก่งเรื่องลูกปืนเขากินลูกปืนได้ไหม? เขากินคอมพิวเตอร์ได้ไหม แต่เรามีอาหารเราอยู่รอด แต่เราไม่ได้ดูถูกเครื่องมือ เราใช้อะไรได้ก็ใช้ แต่เราต้องรู้อะไรสำคัญกว่า เราอยู่ในประเทศโซนอบอุ่นต้องรู้ว่าเราทำเรื่องอาหารนี่สำคัญทำได้ดี ทำอย่างในหลวง ทำอย่างขาดทุนคือกำไร

 

ไม่ใช่ว่าขาดทุนจนตัวหมดไม่มีกินก็โง่ แต่ขาดทุนให้อยู่ได้ มีปัญญาทำได้ มันเป็นภาษาไม่ลึกลับ แต่ลึกซึ้ง คำว่าสาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์อย่างหนึ่ง พวกคอมมิวนิสต์ก็พยายามทำ เพื่อให้แบ่งเฉลี่ยผลผลิตกัน แต่เป็นการบังคับโดยกฎหมาย ตั้งระเบียบ ภาษี ใครขยันมากทำมากเก็บมากขอให้ประเทศมากๆ ซึ่งที่จริงก็ได้กุศลแล้วได้ช่วยคน แต่เขาไม่เข้าใจสัจธรรม ถ้าคณะบริหารของคอมมิวนิสต์ซื่อสัตย์ตนเองก็พออยู่พอกินไม่เอาเปรียบ คอมมิวนิสต์ก็รุ่งเรือง

 

แม้แต่เผด็จการ หรือประชาธิปไตยขาเดียวอย่างอเมริกาหรือปธน.แต่ละประเทศ เขามีแฝงหรือว่าเป็นประชาธิปไตยเป็นอำนาจใหญ่ แต่ตนเองทำเพื่อประชาชนจริง อย่างปธน.อุรุกวัย เขาเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ทำงานรับใช้สังคม แต่ตนเองจน รถของรัฐไม่ใช่ ใช้รถจนๆเก่าๆของตน ไม่รับเงินมาก มีบ้านของตนเล็กๆ เป็นจอมจักรพรรดิ์แท้จริง ไม่ใช่แบบอเล็กซานเดอร์มหาราชที่ฆ่าฟันแย่งอาณานิคม แม้เผด็จการแต่ตนเองไม่เอาให้ตนแต่ทำเพื่อประชาชนจริงๆ นี่แหละคือประชาธิปไตย ทำเพื่อประชาชนจริงๆ อย่างคานธีตายแล้วมีสมบัติไม่กี่ชิ้นเลย ไม่รับตำแหน่งการเมืองด้วย แต่ช่วยชาติได้มาก หรือผู้อื่นที่มีอำนาจ แต่บรรลุธรรมไม่เห็นแก่ตัว ตัวเราก็มีชีวิตให้สังคมเลี้ยงไว้ แล้วตนก็ทำเพื่อประเทศชาติประชาชนแท้จริงนี่ีคือนักเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์แท้จริง

 

เศรษฐศาสตร์ขั้นแรกคืออาหารการกิน ต่อไปประเทศตะวันตก ยุโรป จะเดือดร้อน แม้อเมริกาก็เดือดร้อน เพราะเขาทำอาหารไม่ได้เท่ากับเอเชีย และอาหารนี่มีแบบมอมเมาด้วย หลวงปู่กลัวว่าต่อไปอาหารไทยจะแพร่ระบาดทั่วโลก เพราะอาหารไทยมอมเมาคนเก่ง  รสอร่อยนี่แหละมอมเมาคน ปรุ่งแต่งไปเห็นแก่ได้ ใส่สารเคมี อะไรมากเกินก็เป็นโทษ หวานมาก เค็มมาก ก็ใส่เข้าไปทำให้สุขภาพเสื่อม

 

เศรษฐศาสตร์ คือเฉลี่ยให้ทั่วถึง มีน้ำใจสงเคราะห์กัน ไม่ใช่ว่าฉวยโอกาสเอาเปรียบเขา คนมีความได้เปรียบในสังคมแล้วเอาเปรียบคนอื่นเลว แต่คนที่ช่วยคนอื่นรับใช้สังคม นี่แหละยิ่งสามารถช่วยได้มากก็ยิ่งดีเป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคมการเมืองแท้จริงเลย เอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าตรวจเลย

 

หลักตรวจสอบธรรมวินัย 8

1.    เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด (วิราคะ)

2.   เป็นไปเพื่อความไม่ผูกมัดรัดรึงสัตว์ไว้ (วิสังโยคะ)

3.   เป็นไปเพื่อความไม่สะสม (อปจยะ)

4.    เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ)

5.    เป็นไปเพื่อความสันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิ)

6.    เป็นไปเพื่อความสงัด สงบจากกิเลส (ปวิเวกะ)

7. เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร (วิริยารัมภะ)

8. เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ)

 

เราจะเป็นคนมักน้อยสันโดษต้องเป็นคนลดกิเลส ลดโลภ ความโลภคือต้องการเอามาเป็นของคนหมด หวงแหน ส่วนราคะหรือกามคือได้มาเสพรสทางทวาร 6 ได้เสพก็สุข อร่อย คือกามราคะ ส่วนโลภคือเอามาเป็นของตน ส่วนโทสะคือต้องการทำร้ายทำลาย ผู้ใดลดกิเลสได้ก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์ แล้วก็อยู่กับสังคมไปแต่ก่อนเราชอบของสวยงาม อะไรเขาหลอกว่าน่าได้ก็สะสมหมด เราก็เข้าใจแล้วเราก็ไม่ไปสะสม รู้ว่าอะไรเป็นสาระต้องอาศัย เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง

 

ของพระพุทธเจ้านี่ไม่สะสม แต่ขยันมีความรู้ความสามารถ ศึกษากับสังคมไม่หนีสังคม ก็มีความรู้ความสามารถแต่ไม่เอาไปใช้เอาเปรียบเขาแต่เอาความรู้สามารถไปช่วยสังคม นี่คือวิชชาศาสตร์ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ วิชชาคือตัวล้างอวิชชา ล้างอวิชชาด้วยทฤษฎีของพระพุทธเจ้า แต่มีแบบฤาษีที่เขากดข่ม ทิ้งสังคมไปไม่ช่วยเหลือสังคม มีลัทธิหนึ่งพวกเชน ไม่นุ่งห่มเสื้อผ้า มักน้อยมาก ผมเขาก็ไม่โกน เขาถอนผมเลย มักน้อยไม่เบียดเบียนโลกสังคมเลย แต่ไม่รู้จักทฤษฏีล้างกิเลส เจ้าลัทธิคือพระมหาวีระ เกิดสมัยพระพุทธเจ้า เขาเชื่อกรรมเก่า เป็นอเทวนิยมเหมือนกัน เขาเชื่อธรรมชาติว่ามันเป็นไปของมัน มีชีวิติอยู่ได้ บิณฑบาต อาศัยผู้อื่นเลี้ยงไว้ แต่ไม่ทำร้ายอะไรเลย แม้สัตว์เล็กสัตว์น้อย ก็ไม่ทำ แต่เขาไม่รู้จักปรมัตถ์ เขาไม่รู้จักสักกายะ ไม่รู้วิธีล้างอาสวะ ทฤษฎีพระพุทธเจ้าล้างเหตุได้ แล้วอยู่กับสังคม ทำงานกับสังคมช่วยสังคม รู้ว่างานไหนเป็นโทษ ทำบาป ก็ไม่ทำ รู้มิจฉาวิณิชชา (อาวุธ สัตว์เป็น เนื้อสัตว์ ส่ิงเป็นพิษ ส่ิง มอมเมา) ทั้งห้าอย่างนี้เราไม่ทำ แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ทำหมด ค้าแล้วรวยด้วย

 

นักเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าจะมีความรู้และความจริง รู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน แล้วก็รู้ความรู้เทคนิคของสังคมด้วย หลายคนหลวงปู่ส่งเรียนถึงดร.เลยนะ เราเอามาทำงานให้ช่วยสังคมไม่ได้มาเอาเปรียบสังคมนะ อีกหน่อยเรามีมหาวิทยาลัยเองเลย ตั้งหลักปรัชญาของการเรียนป.เอกไว้ว่า ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา (อุดมศึกษา)

 

นักประชาธิปไตยที่ย่ิงใหญ่ที่สุดในโลกไม่ว่าจะอีกนานเท่าไหร่คือพุทธศาสนา จะเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์ก็ของพระพุทธเจ้านี่สุดยอดที่สุด จะออกกฎหมายก็ไม่ต้องตั้งสนช.เลย ตั้งเองหมด ทุกวันนี้ยังไม่มีใครกล้าเปลี่ยนนะ เป็นจอมเผด็จการเลยนะ ไม่ว่าจะระบอบไหนก็ทำเพื่อประชาชนเพราะสิ้นอัตตาตัวตนแล้วเป็นสัจจะเป็นจริง ไทยยังมีอาริยธรรมนี้อยู่ พวกเราเรียนให้ดีแล้วสืบทอดเอาให้ได้ เป็นประโยชน์ต่อโลกโลกทั้งโลกก็ต้องการสิ่งนี้ ศาสนาพุทธไม่ขาดศาสตร์ไหนๆเลย มีความรู้เหล่านี้หมด ที่โลกเขามี หากเป็นการงานอันไม่เป็นโทษ แต่การงานเป็นโทษเช่น ชงเหล้า บาร์เทนเดอร์ เต้นแร้งเต้นกา

 

พระพุทธเจ้าเป็นนักวิชาการชั้นหนึ่งของโลก ไม่ได้โมเมเอานะ พระพุทธเจ้าศึกษาเรื่องมนุษย์กับสังคมมนุษย์ กว่าจะสั่งสมจนเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็ศึกษาเรื่องนี้ ไม่ออกไปจากสังคมมนุษย์ อยู่กับสังคม ศึกษา ไม่ทำร้าย ทำเพื่อมวลประชาชน โดยกำจัดตัวเห็นแก่ตัว กำจัดได้จริง จึงเป็นวิชาการที่ทำเพื่อคนอื่นจริง เพราะกำจัดกิเลสได้ตายแล้วตายเลยไม่ฟื้น โลกก็ต้องการทฤษฎีหลักการถาวรยั่งยืนก็ของพระพุทธเจ้านี่แหละ ช่วอโศกเป็นตัวอย่าง และจะเป็นอย่างนี้อีกนาน ไม่ได้หลอกว่าจะให้มาเอาเสพสุข ได้โลกธรรม แต่ให้มาลดกิเลสให้เป็นสูญ เป็นการสร้างคนให้เป็นอาริยะ หรืออริยะก็ได้ ศิวิไลซ์ก็ได้ แต่ของหลวงปู่ให้เป็นอาริยะที่มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชน) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชน) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อย่างแท้จริง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:08:07 )

571103

รายละเอียด

571103_เอื้อไออุ่นก่อนมหาปวารณา ปฐมอโศก

อาตมาเข้าสู่พิธีบวชมาเป็นพระ ตั้งแต่พศ.2513​ วันที่ 7 พ.ย. เป็นวันบวช พอถึงวันที่ 7 เราก็เลยเอาเป็นหลักในการจัดงานมหาปวารณา ไม่ใช่งานวันบวชอาตมาหรือถืออาตมาเป็นหลักแต่วันออกพรรษาประมาณปลายตค.มีเวลานิดหน่อยก็นัดกันมา ใช้เวลาประมาณ​2 วันสำหรับสมณะทำพิธีมหาปวารณา แล้วก็ผนวกเอาวันเกิดปฐมอโศก

 

เมื่อมหาปวารณา เรามีตักบาตรเทโวออกพรรษา  แล้วปีนี้วันเกิดปฐมอโศกก็เป็นวันอาทิตย์เราก็เลยยึดเอาวันที่ 7 กับวันอาทิตย์เป็นหลัก มหาปวารณา 2​วัน ตักบาตรเทโว 1​วัน และวันเกิดปฐมอโศก ก็วันอาทิตย์ ก็เป็น 4 วันก็เลยต้องใช้วันพฤหัส_อาทิตย์ ทุกปีไป เอาให้มีวันที่ 7 กับวันอาทิตย์เป็นหลัก อาตมาใช้หลักอันนี้ ในการจัดวันงาน

 

วันนี้ใกล้วันงานแล้ว อีกสองวันก็จะจัดงานแล้ว วันนี้ฝนตกและมีฟ้าผ่าใหญ่ด้วย เสียงดัง มีทิวธงหลากสี เต็มไปหมด คล้ายงานวัด ก็เลยจัดวันนี้เป็นวันเอื้อไออุ่น ตามประสาพ่อลูก ปู่ๆหลานๆ มีอะไรก็พูดคุยโอภาปราศรัย

 

เมื่อกี้นี้มีสมณะแนะนำหนังสือ “ค้าบุญคือบาป” หนา 320 หน้า เห็นหนังสือหนาอย่าตกใจ อาตมาว่าพยายามพากเพียรอ่านหน่อยก็ดี คนที่มีอัตตาแล้วก็จะอยากให้คนอื่นอ่านแล้วมีอาการดีใจ แต่อาตมานี่ไม่ได้มีความอยากเช่นนั้น แต่เป็นวิภวตัณหา ถ้ายังมีความอยากให้อ่านของเราแล้วเราชื่นใจ ยิ่งเขาชอบของเราก็ยิ่งชื่นใจดีใจ ที่เขาอ่านของเรา เราอยากให้อ่านด้วย นั่นคืออยากอย่างมีกิเลส แต่ถ้าอยากอย่างไม่มีกิเลสเรียกว่าวิภวตัณหา อยากให้อ่านแล้วผู้อ่านจะได้ประโยชน์ สำหรับผู้เขียนเองก็ตาม ไม่ได้คิดไม่ได้ฝันไม่ได้อยากให้เขาอ่านแล้วดีใจ ไม่มีอาการโลกียรส (ต้องแยกอุเบกขา กับการมีโลกียรสออกจากกัน) มันมีความรู้ว่าเป็นคุณ_โทษ บางคนเขาอ่านหนังสือเราอ่านแล้วเป็นโทษมีเหมือนกันนะ คือคนที่อ่านหนังสือเราบางคนนี่ เราจะอยากให้อ่านหรือไม่ก็ตาม แต่เขาอ่านแล้วเป็นโทษคือ

เขาอ่านแล้วไปเข้าใจผิด หรือเขาอ่านแล้วเกิดกิเลสมาก ยิ่งอ่านแล้วยิ่งโกรธแค้นอย่างนี้ก็ไม่อยากให้อ่าน แต่ถ้าเขาไปอ่านแล้วเขาโกรธ เราก็ช่วยเขายากนะ สุดวิสัย ก็ไม่อยากให้อ่าน แต่ถ้าอ่านแล้วมันเป็นคุณ

 

มาฟังคำนำของหนังสือ ค้าบุญคือบาป กันดู

 

ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยยังไม่เข้าใจนัยสำคัญของคำว่าบุญ ….....หาอ่านได้ในหนังสือ “ค้าบุญคือบาป”

 

 

_คำถาม

_มีเด็กคนหนึ่งถามว่า ทำอย่างไรจะให้เรียนจบม.6ไปรอด

ตอบ...นี่เป็นคำถามของรร.สัมมาสิกขา รร.นี้ตั้งมา 20 กว่าปีแล้ว มีปรัชญาให้การศึกษาแก่อนุชน แก่ประเทศด้วยการศึกษา เราจัดทำเกิดโรงเรียน เป็นนิตินัยของก.ศึกษาฯ ทำการผลิตคน ช่วยประเทศชาติ เราได้ทำหน้าที่อยู่ในสังคม เป็นการเมืองภาคประชาชน ด้วยไม่หวังผลตอบแทน การศึกษาที่เราทำสัมมาสิกขาโดยเจตนาตั้งใจสร้างอนุชนให้แก่ชาติจริงๆ ไม่ได้ทำแบบเดาสุ่ม อาตมาพาทำนี่เพื่อกอบกู้การศึกษาจากความเสื่อม มันเสื่อมตรงที่ว่า คุณธรรมของเยาวชนไม่ได้ การศึกษาของประเทศ และทั้งโลกเลย อาตมาเสียดายประเทศไทยเป็นเมืองพุทธแต่ไม่เอาพุทธมาเป็นการศึกษา ไม่มีไตรสิกขาเลย ไม่เอามาเป็นหลักเลย ในวงการการศึกษาของประเทศไม่เอาใจใส่เรื่องนี้ทิ้งเลย ไม่รู้ว่ามีผลเสียอะไรเกิด ศาสนาหรือธรรมะก็ยิ่งสูญ กลายเป็นเยาวชนไม่มีการศึกษาธรรมะออกมาโตมาเป็นผู้ใหญ่ของประเทศ ประเทศก็เลยไม่มีธรรมะ เพราะการศึกษาไทยไม่มีธรรมะมาก่อน พอมาเป็นผู้ใหญ่ก็เลยไม่มีธรรมะ จะตั้งสตินำธรรมะมาสู่การศึกษาได้ไหม?

 

สมัยอาตมาเรียนมีวิชาธรรมะ วิชาศีลธรรมมีคะแนนแค่ 10 % วิชาหน้าที่พลเมือง คะแนนเต็มแค่ 10 แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วแม้แค่ 10 คะแนน แล้วก็บอกว่าทำไมโกงคอรัปชั่นทั่วบ้านทั่วเมือง ก็เพราะว่าไม่มีธรรมะ ก็โกงได้โกงดี ดังรายการของคุณวีระทางบุญนิยมทีวี ตอนนี้ประเทศไทยฉิบหายวายป่วงไปมาก ผู้ที่มีหน้าที่จะลงดาบหรือไม่ หรือเงื้อง่าราคาแพงเท่านั้น

 

สรุปการศึกษาไม่มีคุณธรรมไม่มีธรรมะ อาตมาก็มุ่งมั่นทำการศึกษาตั้งปรัชญาเลยว่า ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา สัดส่่วนศีล 45 เป็นงาน 35 ชาญวิชา 25 แม้วิชาการเราก็ให้การศึกษาเท่ากับที่กระทรวงศึกษาฯให้ด้วย เราให้การศึกษากันเหมือนลูกหลาน สอนกันเมื่อไหรก็สอนเลย ในเวลาไม่กำหนดว่าต้องเวลาไหนๆ เราอยู่ร่วมกันเหมือนบ้าน เราไม่ทำการศึกษาในกล่อง เราทำการศึกษาแบบ บ้าน วัด​ โรงเรียน

 

ไม่ใช่ว่าทำการศึกษาแบบทำไก่ตอน ทำเป็นฟรากรัว์ ด้วยการกรอกน้ำมันให้มันหรือเลี้ยงไก่ในกล่อง เช้าก็ให้เข้ากล่องแล้วกรอกความรู้ที่ไม่จำเป็นเลย เวลาไหนๆก็กรอกความรู้ กลับมาก็ทำการบ้าน นอนแล้วก็ตื่นมาเรียนอีก เราไม่ทำเช่นนั้น แบบเด็กที่เรียนมากฉลาดรู้มาก ก้าวหน้าความรู้แต่ไม่เป็นงาน ขาดคุณธรรม อาตมาก็เลยทำการศึกษาแบบ บวร บ้าน_วัด_โรงเรียน

 

บ้านคือสังคม วัดคือการเมือง โรงเรียนคือแหล่งให้การศึกษา คนมาอโศกมีเขาถามว่า วัดอยู่ตรงไหน? ก็รวมทั้งหมดคือ บ้าน วัด โรงเรียน รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วเราทำได้ นร.ก็อยู่ในบ้าน ในวัด ในโรงเรียน อยู่ในนี้แหละ ที่เด็กอยู่ แล้วที่ถามว่าทำอย่างไรจะเรียนจบม.6 ที่เด็กถามเพราะว่าตั้งแต่เข้าม.1 มีการคัดเลือกเข้ามาเรียน ปีนี้เช่นมี 30 คน พอถึงม.6 อาจเหลือ 10 คนก็เก่ง นอกนั้นก็ออก มีออกสองอย่างคือ ออกเองเรียนไม่ไหว หรือให้ออกไป เพราะว่าคุณสมบัติ สอนไม่ไหว พาลพาให้เสียหมู่ เสียระดับการศึกษาสัมมาสิกขาเราก็จำเป็นต้องให้ออกไป บอกได้เลยว่า เด็กที่ให้ออกจากเรา หลายคนไปดีที่อื่น ขนาดออกจากที่นี่ไปก็ไปดีไปเด่นในที่อื่นๆ ไม่ได้คุยตัวหรือคุยเด่นดังแต่เป็นเช่นนั้น

 

เด็กที่นี่จึงเรียนมากกว่าข้างนอก สามต่อ จะเห็นได้ว่าบรรยายธรรมะก็มีนร.มานั่งฟังธรรม เวลาอื่นเขาก็เรียนก็ปฏิบัติอยู่ในตัว สรุปคือเรียนหนัก สามต่อ เราให้การศึกษาเช่นนี้จริงๆ เมื่อจบออกไปก็ไม่เห็นว่าเด็กเราเก๊แต่อย่างไร ดีกว่าหลายโรงเรียนด้วย อาตมาเคยตั้งข้อสังเกต ว่าเด็กเราจบม.6 อาตมาก็ไปทำที่ม.อุบลฯ ร่วมกันทำการศึกษาอุดมศึกษา ทางม.อุบลฯก็ตั้งเศรษฐกิจพอเพียง แล้วใช้เด็กอโศกเป็นหลักในการเอาไปเรียนภาควิชานี้ เป็นชุมชนฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง แล้วเด็กนศ.ก็ไปเป็นนร.ประจำอยู่กับเรา ก็เป็นบ้าน วัด โรงเรียนเหมือนกัน แล้วก็เรียนม.อุบลฯ ปรากฎกว่า เด็กเราไปเรียนแต่ละปีๆ ปีแรก 20 กว่าคน ปีต่อมาก็น้อยลงๆ จนกระทั่งตอนนี้เขาปิดไปแล้ว ได้สี่รุ่นพอดี จะด้วยอะไรไม่ขอพูดถึง เป็นเรื่องซับซ้อน แต่ 4​รุ่นที่ไป เด็กสัมมาสิกขาจบไปไปเรียน และเด็กอื่นก็เข้ามาเรียนคณะนี้ด้วย ก็เรียนร่วมกัน พอจบปริญญาตั้งแต่รุ่น 1 เด็กของเราได้ เกียรตินิยม 4​คน เด็กอื่นไม่ได้ พอรุ่น 2 รุ่น 3 รุ่น 4 ก็ได้เกียรตินิยม เด็กเราไม่มากกว่าข้างนอกด้วย พวกเราไม่ได้ให้คะแนนนะ ก็อาจารย์ในมหาวิทยาลัยนั่นแหละให้คะแนน เพราะคุณธรรมของเด็กอโศกเข้าไปเรียนก็ได้เกียรตินิยมทั้ง 4 ปี

 

สรุปแล้ว ความรู้ทางวิชาการก็ตาม เราก็มี เด็กเราจบป.ตรี โท เอก ก็มีเยอะ ก็ทำงานการในสังคม แต่เราเพิ่งตั้งมาแค่ 20 กว่าปี ก็เลยไม่มีมากนัก และคำตอบว่าทำอย่างไรจะเรียนให้จบ ก็บอกว่าต้องอดทนหน่อย พากเพียรหน่อย แต่หลวงปู่บอกเลยว่าได้ดีแน่ๆ จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ ได้ดีอดทนเอาพากเพียรเอา ต้องทำความเข้าใจให้ได้ทุกคน เหลนๆหลานๆนี่

 

อีกอย่างหนึ่งก็คือ มันต้องยากแน่นอน จึงคำตอบจึงมีว่าต้องอดทน พากเพียร และต้องทำปัญญาให้แจ้งว่าเป็นสิ่งที่ดี คนที่ไม่จบหลายคน กลับมาร้องได้ ที่ออกไปกลางครัน โดยตนเองตัดสินใจออกเองเป็นหลัก คนที่ออกเองก็กลับมาร้องไห้ว่าหนูไม่น่าออกไป ผมไม่น่าออกไปเลย นึกถึงที่นี่ บอกหลานๆทั้งหลาย อดทนเอา พากเพียรหน่อย ทำความเข้าใจว่าที่นี่สร้างลูกหลานให้เป็นอนุชน เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต อย่างจริงใจ รับรองว่าไม่ด้อยกว่าทางโลกแน่ มันขาดทุนอะไรที่เราจะมีคุณธรรม เราจะเป็นงาน เราไม่ได้ขาดทุนเลย อย่าขี้เกียจ อย่าอ่อนแอ อดทนเข้าไว้ ทำความเข้าใจว่าที่นี่จะหล่อหลอมให้เราเป็นคนดีในอนาคต

 

_เมื่อก่อนเราทำงานมีเงินเดือน แต่เรารู้ว่ามีสมบัติที่เราได้จะข้ามภพชาติได้ ก็เลยลาออกมาปฏิบัติธรรม และตัวกรรมนี่แหละจะข้ามชาติได้ และเคยอ่านหนังสือว่า ตัวสัญญาจะเก็บแค่ความรู้สึก แต่ไม่เก็บความคิด แล้วสงคมเราเป็นสังคมใช้ความคิดค่อนข้างมาก ทำอย่างไรเราจะคิดอย่างไม่สิ้นเปลือง

 

ตอบ...ตีความว่า สัญญานั้นสะสมแต่ความรู้สึก ไม่สะสมความคิด ...ก็ต้องทำความเข้าใจว่า ความคิด กับความรู้สึก นั้นบันทึกใส่สัญญากันอย่างไร...อาตมาก็ขอพูดตามความรู้สึกว่า ความคิดก็บันทึกข้ามชาติไม่ได้แค่ความรู้สึก ...ที่ไปอ่านนี้คงอ่านหนังสือของคนอื่น...อาตมาไม่ได้เข้าใจความคิดเหมือนที่เขาตีความแน่ แต่อาตมาตีความว่า เขาคงคิดว่าความคิดเป็นความฟุ้งซ่าน ขอบอกเลยว่า แม้แต่ความฟุ้งซ่านก็บันทึก สิ่งที่บันทึกในสัญญาก็นั้นบันทึกยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์นะ เจตนา หัง ภิกขเวกัมมัง วทามิ แปลว่า เจตนาจึงเป็นกรรม ถ้าไม่เจตนาไม่เป็นกรรม ก็คงจะเป็นอันนี้ที่ทำให้เขาไปตีความว่า ความคิดไม่มีเจตนา ความรู้สึกมีเจตนา อาตมาว่าสับสนนะ เพราะกรรมนี่ คุณจะเจตนาหรือไม่เจตนา ก็คือกรรม คือการกระทำ เป็นกรรม 3 การกระทำในจิตไม่ออกมาเป็นกาย เป็นวจี มันบันทึกหมด เจตนาหรือไม่ก็บันทึกหมด กรรมบันทึกหมด แต่คำที่ว่า  เจตนา หัง ภิกขเวกัมมัง วทามิ เป็นเรื่องของวินัย ผู้ที่ทำกรรมที่ออกมา พิจารณาได้ว่าไม่มีเจตนา เขาไม่ถือว่าเอาผิด  แม้แต่หลงผิด เขาก็ไม่เอาผิด ต้องสืบไปถึงเจตนา แต่ถ้าสืบได้ถึงเจตนาก็เอาผิด แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นกรรมนะ เป็นกรรมหมด แต่เป็นมโนกรรม เช่นคุณคิดว่าอยากตีหัวคน คุณยังไม่ได้ตีไม่ได้พูดด้วย ก็บันทึกเป็นวิบากแล้ว เป็นอกุศลวิบากแล้ว

 

_ถ้าเราตามทันว่าให้มันเลิกคิดๆ....อย่างนี้เป็นกรรมไหม?

ตอบ...ถ้าเลิกคิดได้ก็ไม่มีกรรมสิ มันไม่มีอะไรบันทึก ถ้าคุณคิดแล้วมันก็บันทึกไม่ใช่บันทึกแค่ความรู้สึก ยิ่งเป็นความรู้สึกยิ่งบันทึก เช่นคุณโกรธ โลภ บันทึกแน่ แต่แม้มันไม่เป็นสุขหรือทุกข์มันก็บันทึกยิ่งเป็น กายหรือวจีก็บันทึกแน่ เพราะแค่มโนกรรมก็บันทึก

 

_เด็กไม่เหมือนกัน บางคนขยันมากบางคนขยันน้อย ก็เลยเกิดการเปรียบเทียบ บางคนเราก็เลยเกิดความรู้สึกไม่อยากใส่ใจ แล้วทำไมเราเลี้ยงเขาไม่ตลอดรอดฝั่ง เพราะเราบางทีก็ไม่ให้ความรักเมตตาเขาไม่ได้ตลอด ทำอย่างไรจะไม่ให้เกิดความลำเอียงต่อเด็กแต่ละคน

ตอบ...ก็คงเหมือนกับทำอย่างไรให้เด็กเรียนจบ มันก็เป็นเจตนาดี แล้วก็คงจะเข้าใจตนเองและพยายามทำอยู่ แต่บางทีก็รู้สึกว่าตนลำเอียง ต้องมีปัญญารู้ว่าตนลำเอียง แล้วก็คิดกลับ คนชั่วนี่น่าช่วยเหลือแต่คนดีไม่ต้องไปช่วยเขามากก็ได้เพราะเขาเป็นคนดี แต่คนชั่วนี่ควรช่วยเขาให้ดีขึ้นเพราะมันเสียตัวเขาและเสียสังคม แต่คนดีนี่ก็ไม่เสียเขาเสียสังคมเท่าไหร่ แต่ควรส่งเสริมให้ดีมากขึ้นก็ดี แต่คิดให้ดีคนชั่วนั้นน่าช่วยเหลือกว่า อาตมาไม่ค่อยเห็นใจคนดีมากนักหรอก เพราะเขาดีอยู่แล้ว แต่คนชั่วเห็นอยู่หลัดๆก็น่าช่วย  แต่คนชั่วที่ช่วยยากและเสียเวลาเราจัง พระพุทธเจ้าจึงตัดรอบว่าเราประมาณตนเอง ถ้าเราจะช่วยคนนี้ คือ เขาศรัทธาเราเพียงพอไหม? ถ้าเขาตีเราทิ้งแน่ก็อย่าเสียเวลา และแม้เขาไม่ศรัทธาเรา ถ้าคุณแทรกโอสถเข้าในขุมขน แม้เขาไม่ศรัทธาเราเราก็ควรมีใจเมตตา แล้วแทรกโอสถเข้าขุมขน เพราะเขาน่าสงสาร หรือช่วยเขาไม่ได้เขาไม่ฟัง ไม่อยู่ในฐานะที่จะสอนเขาได้ อย่างอาตมานี่ไม่อยู่ในฐานะที่จะไปสอนธรรมะให้ใครได้เขาไม่ฟัง ตีทิ้งด้วย อาตมาก็เลยพากเพียรทำงานกับคนมีบารมีฟังอาตมาได้ และคนที่แสวงหามีปรโตโฆษะ แม้เขาไม่มีบารมีพอแต่เขารับได้ ส่วนคนไม่มีปรโตโฆษะและไม่มีบารมีก็แน่นอนรับของอาตมาไม่ได้แน่ ต้องเป็นคนมีบารมีหรือเป็นคนไม่ปิดกั้นตนเอง แม้อาตมาจะถูกปิดกั้นก็ตาม เขาก็ยังปรโตโฆษะ มีโยนิโสมนสิการ คำนี้เป็นคำหลักของศาสนาเลย มีผัคคุณสูตร ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนเรื่องโยนิโสมนสิการ ถ้าใครทำไม่เป็นไม่ถูกต้อง เช่นเข้าใจโยนิโสมนสิการว่าแค่พิจารณาหรือคิด ก็ผิด ไม่ได้มีการกระทำใจ ศาสนาพุทธจึงสุญโญไม่เกิดมรรคผล เขาไปยึดการทำใจในใจแค่ไปนั่งสมาธิ ทั้งอาตมาก็ยืนยันว่ามหาจัตตารีสกสูตร ไม่ได้ให้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ หรือบางคนไปเข้าใจว่าอัตตาไม่มี ใครเข้าใจว่าอัตตามีก็มิจฉาทิฏฐิ เขาเข้าใจแบบนี้ก็ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน เช่นในสุริยเปยยาลสูตร มีบอกว่าต้องรู้อัตตาก่อน จึงไปทำมรรคองค์ 8 ได้ แล้วไปหลงว่าไปนั่งสมาธิคือการปฏิบัติ

 

จริงๆแล้วคนชั่วนี่น่าสงสาร อย่าลำเอียงให้เห็นใจกัน ต้องฝึกทำใจ

 

_หมอเกรียงศักดิ์...บุญกับกุศลนั้นต่างกัน บุญเป็นโลกุตระ กุศลเป็นโลกียะ อยากให้พ่อท่านยกตัวอย่างให้ฟังอย่างชัด

ตอบ...บุญเป็นภาษาธรรมะ ล็อคไว้เลยว่า แปลว่าการชำระกิเลส หน้าที่ของบุญคือหน้าที่ของคนที่จะชำระกิเลสหากชำระเป็นทำได้ก็ได้บุญ แต่กุศลคือคุณงามความดี แบบที่ไม่ละกิเลสเป็นความดีสารพัดก็เป็นกุศล แต่ถ้าไม่มีการละกิเลส ไม่ทำกิเลสลด แม้เป็นความดี แต่ไม่รู้ตัวกิเลส ทำกิเลสลดไม่ได้ ต้องมีปัญญารู้ว่ามีกิเลส มีปหานกิเลส เช่นปหาน 5 (วิกขัมภนปปาน กดข่มขาดปัญญาได้ชั่วคราว เป็นต้น) สรุปคือคำว่ากุศลคือความดีงามที่เข้าใจได้ทั้งโลก แต่บุญนี่เป็นของเฉพาะศาสนาพุทธ ที่จะรู้องค์ประชุมที่สัมพันธ์กับภายนอกแล้วอ่านจิต เจตสิก รูป นิพพานแยกออก จับตัวตนได้ก่อนเรียกว่าสักกายะ เป็นนามธรรม และสูงไปกว่านั้น อ่านสักกายะแล้ววิเคราะห์จับกิเลสได้ จนแน่ใจ พ้นวิจิกิจฉา รู้ว่านี่คือตัวที่จะปหาน พ้นสังโยชน์ข้อสอง แล้วทำการปหานตามวิธีที่ถูกต้อง ทำได้ลดกิเลสปหานกิิเลสได้ก็พ้นสังโยชน์ข้อ 3 เป็นโสดาบัน แล้วก็พัฒนาการลดกิเลสเป็น สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ได้ ก็คือคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญาปาปปริกขีโณ

 

คนยิ่งมีบุญยิ่งเจริญเป็นอาริยบุคคล มีความหมายชำระกิเลสถ่ายเดียว แต่คนไทยเอาไปเป็นกุศล แล้วหลอกคนว่าจะได้บุญ เอาบุญไปค้าขาย โฆษณาว่าได้บุญใหญ่มโหฬาร แล้วปรุงแต่เป็นวิมานมหาศาล คนเลยหลงว่ามีบุญมากคือมีความดีงามมาก แต่ทิ้่งโลกุตรธรรม ทำบุญไม่เป็น พุทธทุกวันนี้มีแต่กุศล ไม่มีบุญ

 

แล้วเด็กที่นี่ได้บุญหรือได้กุศล ...เด็กที่นี่ได้บุญโดยปริยาย บางคนเป็นโสดาฯ สกิทาฯ เลย แต่เขายังไม่ชัดเจนปริยัติ เขาจบออกไปก็เป็นคนดีในสังคม ทุกวันนี้สัมมาสิกขา เด็กเราจบไปก็ไม่ไปก่อคดีความ ไม่ไปตีรันฟันแทง เด็กดีได้รับการยกย่องก็มีมาก แต่สรุปคือบุญนั้นเพี้ยนไปมาก เขาแปลปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขารก็แปลผิด พุทธที่นับถือกันในไทยก็ไม่มีแก่นแล้วไม่มีบุญ และพุทธนี่เป็นศาสนาอิสระ ไม่เหมือนศาสนาอื่นที่เคร่งครัดในศีลในพิธีกรรมเขา แต่พุทธไม่บังคับให้เชื่อ พุทธจึงหลวมและเสื่อมมาก ไม่มีแก่น ไม่ถูกบังคับ ก็เลยบำเรอกิเลสตามใจชอบ ความเสื่อมของชาวพุทธจึงเยอะหาแก่นสารไม่ได้ คริสต์เขายังไปโบสถ์บ่อย แต่พุทธนี่เอาแต่หาลาภ ยศ สรรเสริญ​อย่างกฐินนี่อาตมาเรียกกระทะทองแดง พอออกพรรษาทีก็ต้มกระทะทองแดง เห็นแล้วน่าสังเวช ประเล้าประโลมให้คนหลง ว่าได้บุญใหญ่ ยิ่งเงินมากยิ่งได้บุญใหญ่ คนตะกละก็อยากได้มาก ก็กิเลสโต นี่คือกระทะทองแดง เพราะเอาบุญไปใช้ผิด เอาไปหลอกล่อ เอาไปต้มกระทะทองแดงกัน มันเป็นกุศลหลอกเท่านั้น แล้วถ้ามีสัมมาทิฏฐิ ทำกุศลนั้นจะได้บุญได้ถ้าละกิเลสไปแล้วทำความดีด้วย แต่ในกุศลนั้นไม่มีบุญมีเยอะมีแต่คุณงามความดีแต่ละกิเลสไม่เป็น

 

_พ่อท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับสัมมาสิกขาในยุคนี้

ตอบ...เด็กยุคนี้ เคร่งครัดน้อยกว่าเด็กยุคก่อน ศรัทธาปสาทะย่อมเยาว์กว่าเด็กยุคก่อน อาตมาก็ไม่ได้วิเคราะห์ถึงเหตุปัจจัย แต่เห็นถามมาก็ตอบไป ที่นี่เลี้ยงอย่างลูกหลาน แล้วอดทนให้จบให้ได้ เป็นนร.ที่นี่ก็อย่าเสียโอกาส ไม่ผิดมาก แต่เราหนีเอง เราไม่อดทน ไม่เห็นดีงามก็เท่านั้น หลวงปู่ก็เห็นว่าเสื่อมลงบ้าง จึงอยากสำทับกันว่าช่วยกันหน่อย พี่ป้าน้าอาในบ้านในวัดก็ช่วยกัน เพราะของเรายากที่เราไม่ได้บังคับว่าใครจะมาเป็นครู อยากออกเมื่อไหร่ก็ได้ อยากมาสอนเมื่อไหร่ก็ได้ ต้องขอบคุณผู้ที่มาเสียสละ ก็ได้เท่านี้ ของเราไม่ได้สอนเฉพาะในห้องเรียนในห้อง แต่ทุกคนก็เป็นครูโดยปริยาย โดยธรรมชาติ จะมีวุฒิสอนได้หรือไม่มีวุฒิก็สอนได้

 

_ธรรมะกับธรรมชาติต่างกันอย่างไร?

ตอบ...คำว่าธรรมะ ไม่มีคำว่าชาติ กับธรรมชาตินั้นต่างกัน ธรรมะคือสิ่งที่ทรงไว้ และจริงๆต้องเป็นความดี หากไม่ดีนิดนึงก็เป็นอธรรมนิดนึง ยิ่งไม่ดีมากก็เป็นอธรรมมาก ส่วนคำว่าชาติ แปลว่าความเกิด ธรรมชาติก็คือสิ่งที่ทรงอยู่ ทั้งกายและใจ ร่าง ดินน้ำไฟลม  แต่ที่ต้องเรียนรู้นั้นไม่เอากว้าง แต่เอาเฉพาะจิตวิญญาณมนุษย์ก็เป็นธรรมชาติ และหมายถึงความเกิด หากมีความเกิดของจิตวิญญาณที่เป็นอกุศลจิตก็คือธรรมชาติ แต่ถ้าทรงไว้ซึ่งธรรมะ ไม่มีอกุศลจิตเกิดอีกเลย สิ้นอาสวะตลอดไป ก็คือนิพพาน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คือธรรมะที่ไม่ได้หมายถึงธรรมชาติ

 

พระอรหันต์ทุกคนหมดกิเลสแล้วก็ยังเกี่ยวข้องกับภายนอก ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ท่านไม่ทำบาปทำชั่วแล้ว สรุปแล้ว ธรรมะยอดสุดคืออรหันต์ยอดสุดคือนิพพาน ส่วนธรรมชาติคือธรรมะที่ยังไม่ถึงนิพพาน แต่คนเขาสรุปว่า ธรรมะคือธรรมชาติ คนพูดเช่นนี้อาตมาชี้หน้าได้เลยว่าไม่ใช่อรหันต์ เพราะไม่รู้จักชาติ ว่ามี ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ อยู่ในปฏิจจสมุปบาท ให้เรียนรู้ สรุป ธรรมะคืออรหันต์ ธรรรมชาติคือยังไม่เป็นอรหันต์

 

_เคล็ดลับในการรักษาสุขภาพ

ตอบ...อาตมามีแค่เคล็ดสว่าง คือ 8 อ.

 

_การปวารณาของอโศกต่างจากที่อื่นอย่างไร?

ตอบ...ตอบอย่างเกรงใจนะ...ที่ของเราปวารณา กันโดยเฉพาะสมณะอโศกคือเรามีปวารณาตามพิธีในวันออกพรรษาด้วยคือท่องบาลี ทำสังฆกรรมตามหลักวินัย และมีอีกที่เราทำมหาปวารณากันจริงๆมีอะไรจะติงเตือนกัน ชำระกันก็ว่ากัน สองวัน แต่ก่อนทำกันข้ามคืนก็มี ให้รู้ว่าการติเตียนกันเป็นประโยชน์ให้ลดมานะอัตตากันจริงๆ เราไม่ทำแต่พิธีกรรม ส่วนที่สอนกันให้ติเตียนกันอย่าถือดีถือตัวก็ทำโดยปริยาย แล้วแต่สำนักครูอาจารย์ ส่วนตัวเราก็ทำด้วย

 

_ศานาใดไม่มีหลักมรรคองค์ 8 ศาสนานั้นไม่มีอรหันต์ ไม่มีนักบุญ​ นักบุญที่แท้คือผู้ที่สามารถลดละกิเลสได้

 

_ทำไมต้องมีเรื่องอจินไตยด้วย

ตอบ... ที่มีอจินไตยคือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ภูมิธรรม ของสัตว์โลก ท่านแบ่งเวไนยสัตว์ อเวไนยสัตว์ ,อเวไนยสัตว์คือเขามีกรอบความรู้ได้เท่านี้ เช่นคนอีเดียด สมองเขารับได้เท่านี้ คนโมหล่อน ก็ได้เท่านี้ มีทั้งอวัยวะ ที่ไม่ได้ปกติ ทางจิตวิญญาณก็มีกรอบความเจริญที่ต่างกัน เกินรู้ได้ บอกไปเขาก็รู้ไม่ได้จึงเรียกว่าอจินไตย แต่สำหรับผู้ที่มีภูมิ เข้าใจได้ ก็บอกได้ อจินไตยหลายกาละอาตมาก็พูดอยู่ เป็นความรู้ที่คนอีกระดับหนึ่งรับไม่ได้ แต่คนอีกระดับหนึ่งรับได้

 

_การทำบุญควรทำด้วยจิตยินดี แต่ถ้าทำเพราะหลงคำชม ได้บุญหรือบาป

ตอบ...ได้กุศลไม่ได้บุญ แล้วหลงคำชมทำแต่ความดีนี่ส่วนมากได้บาป บาปคือกิเลส กิเลสคือความอยากได้ ถ้าอยากได้จัดแรงก็ทุกข์ จะเรียกว่ากิเลสไหม? ถ้าทุกข์ก็กิเลสแล้ว แต่ถ้าไม่อยากมากไม่ถึงทุกข์ก็ไม่เรียกกิเลสก็ได้ กุศลนี่ล่อแหลมต่อกิเลส พวกความดีนี่ล่อแหลมต่อกิเลสหากอยากได้ความดีจัดนี่มันแรงทำร้ายทำลายกันได้ นี่มันซับซ้อน

 

_ถ้าเราต้องการให้กำลังใจตนทำอย่างไร

ตอบ...ใช้ปัญญาดีที่สุด หากบังคับก็ยาก ไม่เต็มกำลัง แต่ถ้าใช้ปัญญามีความเข้าใจได้ กำลังจะมา คนเข้าใจได้เรื่องอิทธิบาท 4​ มีความยินดี คนมีความเข้าใจว่าอันนี้ดี ก็มีวิริยะตามมา แม้บางอย่างยาก แต่ใจเห็นว่าดีก็ทำ เพราะมีปัญญา แม้จะยาก แม้จะขี้เกียจ แม้ไม่ค่อยชอบแต่มันดี เมื่อมีปัญญาจะเกิดกำลังใจ วิริยะ จิตตะ จะตามมา ต้องตรวจสอบว่าดีแน่ๆ ก็จะเกิดความเพียร และใจมีเท่าไหร่ก็โถมให้เต็ม แล้วก็เน้นเนื้อๆ ตรวจสอบไตร่ตรองเอาสิ่งดีที่เราโถมใส่ไป ว่ามันผิดไหม?

 

 

_อ่อนแอกับอ่อนโยนต่างกันอย่างไร?

ตอบ...อ่อนแอคืออกุศลไม่มีกำลัง แต่อ่อนโยนคือทำให้เกิดสัดส่วนที่ดี ให้ดูนิ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง

 

_อามะภันเต แปลว่า

ตอบ..แปลว่าขอรับ ครับผม

 

_ถ้าจิตเราไม่คิดร้ายกับใคร แต่คนอื่นคิดร้ายกับเรา จะถือว่าจองเวรจองกรรมหรือไม่ เราจะวางตัวอย่างไร

ตอบ..เราก็ไม่คิดแล้วเขาคิดอยู่ก็จองเวร

 

_ความสุขที่แท้จริงแล้วมันไม่มี อรหันต์แล้วไม่สุขทุกข์ แต่รู้ว่าอะไรควรยินดี ความสุขคือความเท็จความลวง เป็นสุขขัลลิกะ แต่วูปสโมสุขคือสุขที่ได้จากการลดกิเลสไปตามลำดับ จนจิตว่างกลางๆดีที่สุด ความสุขจริงคือจิตอุเบกขา

 

_การเป็นผู้นำที่ดีคือทำคุณอันสมควรก่อน แล้วค่อยสอนคนอื่น ทำตัวเป็นตัวอย่างเขา จะไม่มัวหมอง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:10:56 )

571104

รายละเอียด

571104_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฐมฯ พ่อครู+อ.กฤษฎา เรื่อง สลายอัตตา 3 อย่างพุทธ

.กฤษฎา...สังคมโลก วันนี้หากใครเรียนเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ถ้าเทียบแล้ว การพัฒนามนุษย์ จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทำเรื่องนี้มานานแล้ว เพราะหลายท่านในวงการนี้คงจะได้รับรู้เรื่องการประเมิน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ประเมิน มีทั้งรายบุคคล รายกลุ่ม องค์กรก็มี การประเมินย่อมมีทั้งผู้ประเมินและผู้ถูกประเมิน แล้วคนประเมินบริสุทธิ์ขนาดไหน? มนุษย์ย่อมมีกิเลสอยู่ถ้าไม่เป็นอรหันต์ ก็ย่อมมีอคติ แล้วสังคมเราใช้การประเมินอยู่ แล้วการปวารณาในหมู่สมณะ ได้มารวมกันแล้วพัฒนาปรับปรุงกันถึงจิต พระพุทธเจ้าก็ทำกระบวนการนี้มานาน แม้คนบวชก่อนบวชนานก็ให้อาวุโสประเมินได้ แม้แต่ว่าในมหาวิทยาลัย อ.หรือลูกศิษย์ล้วนถูกประเมิน ในโลกก็มี แต่ในพุทธศาสนามีมานานแล้ว

 

บทบาทของผู้ประเมินควรจะต้องปฏิบัติอย่างไร และคนที่ถูกประเมินควรปฏิบัติอย่างไร? เพื่อยกระดับจิต

 

พ่อครูว่า...เรื่องการปวารณานี้แปลว่า (ตามสำนวนโพธิรักษ์) เปิดเผยไปเลยบอกไปเลยว่าใครๆก็ด่าเราได้ นี่แปลตามสำนวนอาตมานะ ให้เขาว่าเราได้ตำหนิเราได้จะว่าแรงๆ ก็ว่าดุๆ หรือว่าหยาบๆ ก็เรียกว่าด่า ตำหนิแรงๆ หนักๆ ดุๆ ก็เรียกว่าด่า ในภาษาไทยนะ

 

การตำหนิได้ เป็นความเจริญ ผู้ที่เป็นคนที่รับคำตำหนิได้ไม่ขัดข้องที่คนจะตำหนิได้ผู้นั้นเป็นผู้เจริญ ใครจะตำหนิได้ก็ฟังได้จริงๆไม่ใช่ว่าเป็นโรคจิตที่ต้องการคนตำหนิ แต่เป็นปัญญาฉลาดรู้ว่าคนจะตำหนิเราก็มีได้หลายอย่าง ตำหนิเพราะโกรธ ก็มี หรือจะด่าเราก็คือโกรธ ด้วยอาการโกรธ ในใจโกรธ ถูกหรือผิดไม่รู้แต่ที่ด่าว่าเขาไปก็ไม่มีเหตุผลไม่มีสาระ ด่าสาดเสียเทเสียสะใจบำเรอใจตนก็เลยด่า

 

และมีตำหนิแบบโดยสัญชาติญาณ ชอบตำหนิ เป็นคนมีอัตตา ถือดีถือตัว รู้ว่าตนเก่ง ตนเข้าใจก็เลยตำหนิไป ตำหนิเพื่อแสดงออกว่าตนรู้ตนเก่ง เหนือเขาก็เป็นอัตตา ทีนี้ตำหนิที่ดี พระพุทธเจ้าสรรเสริญตำหนิ แล้วขอแทรกไว้ว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ยกย่องตำหนิมากกว่าชมเชย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ที่ตำหนิ เราจะตำหนิเธอเหมือนช่างปั้นหม้อ ตำหนิแล้วตำหนิอีกไม่มียั้ง ผู้ใดคบคนตำหนิที่มีปัญญามีเมตตาที่จะตำหนิ เรา คบคนเช่นนั้นมีแต่ดีถ่ายเดียว คือคำตรัสของพระพุทธเจ้าเลย

 

การตำหนินั้นผู้ที่ถูกตำหนิก็ไม่ชอบ จึงมีวิธีของพระพุทธเจ้า มันเป็นกิเลสสามัญของคน เป็นสัญชาติของคน แม้ตนเองจะผิดจริงก็ยิ่งไม่อยากให้ตำหนิ ถ้าไม่ผิดแล้วก็ไม่อยากให้ตำหนิ ก็ทั้งขึ้นทั้งล่องก็ไม่อยากให้ใครตำหนิ ตัวอัตตาไม่อยากให้ใครตำหนิ พระพุทธเจ้าถึงมีพิธีกรรมให้พระภิกษุมาพร้อมกันตอนออกพรรษาที่่ก่อนจะแยกย้ายกันไปที่ไหนๆ ก็ให้มาพร้อมกันแล้วปวารณากันซะ ปวารณาก็คือบอกให้ตำหนิได้ เปิดเผยตัว แล้วก็ผู้ที่บอกให้เขาตำหนิได้ก็ต้องตั้งใจจริง ไม่ใช่ทำแต่พิธีกรรม ของเราทำทั้งพิธีกรรม กล่าวพระบาลี อย่างที่เขาทำ เป็นจารีต ที่เขาทำสักแต่ว่าทำเป็นศีลพตุปาทานไม่ค่อยได้อะไร นอกจากใครที่มีสำนึกที่จะทำใจเปิดใจให้คนตำหนิได้ คนมีปัญญาก็จะทำ แต่ก็ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยทำ ได้แค่พูดบาลีแล้วก็จบ เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร บางทีอาจารย์หรือผู้เป็นภันเตก็ไม่ขยายความให้ ทำแต่เป็นพิธี แต่ของเราเรียนกัน ทำความเข้าใจ แล้วยังมีงานมหาปวารณา จัดงาน ทำกันเป็นกิจลักษณะให้เข้าใจเลยว่า การตำหนินั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งของมนุษยชาติ การให้คนอื่นตำหนินี่คือการลดตัวลดตน ลดอัตตา ที่มันไม่อยากให้ตำหนิไม่ว่าผิดหรือถูกนั่นแหละ มันถือดีถือตัวก็เป็นกิเลส มันขายหน้าหรือถูกดูถูก ถูกลดเกียรติ ศักดิ์ศรีอะไรก็แล้วแต่

 

.กฤษฎาว่า...สังคมโซเชียลมีเดีย เดี๋ยวนี้มี การกดไลค์ ใครเอาเรื่องไปลงในเฟสบุค คนเอาไปลงก็เลยอยากให้คนกดไลค์เยอะๆหรือให้คนมาชม

พ่อครูว่า...มันชอบยกยอปอปั้น ชอบที่จะให้มีคนชื่มชม แม้เราทำเรื่องเล็กน้อย แล้วคนชอบ เป็นกิเลสแท้ๆ จริงๆการชมเชยกันนี่มันพาเสียมากกว่าพาดีด้วยซ้ำ แต่การตำหนิด้วยปัญญา ด้วยปรารถนาดี มันเป็นประโยชน์คุณค่าต่อสังคม ให้เราสังวรกันว่าให้ติงเตือนกันอยู่เสมอ ให้สัญญาณกันเสมอ ว่ามันได้แก้ไขปรับปรุงเสมอ ในความไม่ดีงาม จะเรื่องเล็กน้อยก็แล้วแต่หรือเรื่องใหญ่ก็ควรติงเตือนกันอย่างยิ่ง แต่คนทำสิ่งดีก็ควรชมเชย แต่คนที่ทำดีแล้วไม่ชมเชยก็ไม่เสียอะไรนี่ ทำดีสังคมก็ดี ตนเองก็ดีอยู่แล้วไม่เสียหาย ไม่ชมก็ไม่มีอะไรเสีย แต่ถ้าชมเชยก็กลับยิ่งเหลิง หรือหยุดไม่เหลิงแต่เขาชมเราแล้วเราก็เลยไม่ดีต่อ เขาชมเราแล้วก็แค่นี้

 

สรุปแล้วในศาสนาพุทธ การได้รับคำตำหนิ และผู้ที่รู้ว่าเขาตำหนิ ทำให้เราได้ลดอัตตา การได้ลดอัตตานี่แหละคือตัวหลักการศาสนาใหญ่ของพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธเหนือกว่าศาสนาใดๆ (ขออภัยที่ยกตัวยกตน แต่พูดวิชาการไม่ได้เจตนาข่มใครนะ) ที่มีการลดอัตตาทำลายอัตตา จนหมดความเป็นอัตตา นี่คือสัจจะ

 

อาตมาปรามคนที่เป็นพุทธ แล้วเข้าใจผิดว่า พระพุทธเจ้าสอนอนัตตา แปลว่าความไม่ใช่ ไม่มี ตัวตน ก็แปลได้ เช่นไม่มีตัวตน ไม่เป็นตัวตนก็แปลได้ทั้งนั้น คนก็เข้าใจและมีปัญญาว่าอัตตาไม่ใช่อัตตา ตัวตนไม่ใช่ตัวตน ใครเข้าใจว่ามันใช่ คนนั้นแหละมีตัวตนมีอัตตา เขาเข้าใจเช่นนั้นเมื่อเขาเข้าใจว่าไม่ใช่อัตตา เขาเข้าใจแล้วก็ว่าเขาหยุดแค่นี้แหละ คนที่ไม่เข้าใจแล้วยังนึกว่ามีอัตตา ส่วนคำว่าไม่มีอัตตา ก็หมายถึงว่าอัตตามันมีได้ แล้วก็ทำให้หมดไปจนมันไม่มี แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่มีสิ แต่ถ้าไม่มีอัตตานี่แปลว่ามันมีได้

 

ศาสนาพุทธรู้อัตตา คนเกิดมาไม่ใช่อรหันต์หรอก เพราะฉะนั้นก็ต้องมีอัตตา ยกเว้นพระอรหันต์ขึ้นไปเวียนมาเกิดเพื่อบำเพ็ญพุทธภูมิต่อไปท่านไม่มีอัตตาแล้ว ท่านก็ไม่มีอัตตามาก่อนจะมาฟื้นความไม่มีอัตตาของท่าน เช่นพระพุทธเจ้าท่านสั่งสมบารมี เป็นอรหันต์แล้วเกิดมาอีกไม่รู้กี่ชาติ เป็นความเข้าใจที่ต่างจากเถรวาทที่เข้าใจว่าอรหันต์ตายแล้วสูญไม่เกิดอีก ถ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าก็พรวดไปเป็นอรหันตสัมมาสัมมาพุทธเจ้าเลย

 

คนเกิดมาทุกคนก็มาพร้อมกับอวิชชา ไม่รู้ว่าอัตตาคืออะไร ก็คือมีอัตตามาทั้งนั้น เมื่อมีก็ต้องเรียนรู้แล้วล้างอัตตา ปุถุชนก็ต้องเรียนรู้อัตตา พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอัตตานี้ไว้ในสุริยเปยยาลสูตร แสงเงินแสงทองต้องมาก่อน

สุริยเปยยาลสูตร (เล่ม 19  ข.129 - 136)

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134]  ทิฏฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

 

ถ้าไม่มี แสงเงินแสงทองนี้ 7 ข้อนี้ก่อน ก็ไม่มีทางปฏิบัติได้บรรลุ

 

มิตรดีต้องเป็นของจริงด้วย

แม้เป็นมิตรดีก็ต้องมีนิยามด้วยว่า ต้องเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้บรรลุธรรม มีคุณอันสมควรก่อนแล้วสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง อย่างน้อยโสดาบันเป็นต้นไป พระพุทธเจ้าก็ว่าท่านเป็นมิตรดีของเธอทั้งหลายนะ

 

ศีล ต้องมี และฉันทะเราก็ต้องมีในตน

 

อัตตา เราต้องมีความรู้เข้าใจในอัตตา ว่าอัตตาคืออะไร? มีคนเข้าใจผิดว่า..ก็เราเข้าใจแล้วนี่ว่าอัตตาไม่ใช่อัตตา แล้วจะไปมีมันทำไม คนพวกนี้น่าสงสาร เป็นภาษาตรรกะแล้วนึกว่าตนเองจบเหมือนพวกเซ็น ใช้แค่ความเข้าใจ ในสูตรนี้คุณต้องมีของจริงในอัตตา จะบอกว่าอัตตาไม่ใช่อัตตาก็ตีความใน 7 ข้อนี้ไม่ได้แล้ว

 

ในอัมพัฏฐสูตร ตรัสเรื่องอัตตา 3 คือ 1.โอฬาริกอัตตปฏิลาโภ 2.มโนมยอัตตปฏิลาโภ 3.อรูปอัตตปฏิลาโภ

 

โอฬาริกอัตตา คืออัตตาตัวหยาบใหญ่คือจิตใจเราถือดีถือตัวยึดเป็นเราเป็นของเรา แล้วไปยึดอะไรเป็นของเรา ไปยึดเอาสมบัติข้างนอก บุคคลเราเขา ดินน้ำไฟลม บ้านเมือง ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นของเรา ที่ดินของเรา เงินทองของเรา ข้าวของๆเรา อะไรๆก็ของเรา คนนี่ก็ของเรา ผัวเราเมียเรา พ่อเราแม่เรา ของเราใครอย่าแตะ แล้วก็ไม่ต้องการให้ของเราพรากเป็นของคนอื่น นี่คือความยึดติด คือกิเลสแท้ แล้วแย่งชิงกัน ทุกวันนี้แย่งกัน ยึดเป็นเรา กอบโกยเท่าไหร่มีมากเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ แล้วก็มีลัทธิ์สิทธิของเรา ให้ทั่วโลกเลย นอกจากยุคทาสก็ไม่มีสิทธิ์ แต่สมัยนี้สร้างแล้วก็เป็นของนายทุนอีก

 

สรุปแล้วใจเรายึดเป็นเราเป็นของเราเป็นความโลภที่เกินพอแล้วก็ไม่ให้ใคร ใครอย่าแตะก็เลยเกิดการพร่องขาดแคลน เพราะเอามากักตุน บางทีถึงตายเลย ไม่ได้รับการแบ่งให้ สรุปคือความขี้เหนียวเห็นแก่ตัว แม้ข้าวของแค่นี้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ชาญฉลาดรู้อัตตาที่สูงกว่านั้น รู้ว่าเราควรแบ่งแจกกันอย่าโลภมาก ต้องเฉลี่ยกันเหมือนคานธีบอกว่าทรัพยากรในโลกนี้มีพอสำหรับทุกคนแต่ไม่มากพอสำหรับคนขี้โลภคนเดียว

 

พระพุทธเจ้าศึกษาเรื่องนี้ รู้ว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะจิตวิญญาณคนไม่รู้ว่าอัตตา(เป็นเรา) อัตตนียา(เป็นของเรา) ท่านก็ให้เรียนรู้จิตที่มีลักษณะเช่นนี้คืออย่างไร ก็มีมโนมยอัตตา ผู้มีอัตตาสำเร็จด้วยใจ รูปที่สำเร็จด้วยใจ ก็ใจมันยึดอัตตามาเป็นตนเป็นของตนสำเร็จ ยึดใจตน อัตตาคือไปยึดอะไรเป็นเราเป็นของเรา ท่านก็เลยให้เรียนรู้แล้วตีแตก ลดอัตตา

 

ผู้ใดเก่งมีฤทธิ์สามารถทำลายอัตตาตัวนี้ได้ ที่เป็นมโนมยะตัวนี้ก็เป็นผู้มีวิชชาข้อที่ 2 เรียกว่ามโนมยิทธิ ที่รู้ว่าตัวยึดอัตตาคืออย่างไร แล้วมีอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ สามารถลดอัตตาได้

 

.กฤษฎาว่า..ข่าวทุกวันนี้มีสามีฆ่าภรรยา ภรรยาฆ่าสามี ทอมฆ่าดี้ ดี้ฆ่าทอม เป็นเช่นนี้

 

พ่อครูว่า..นั้นคือถ้าข้าไม่ได้ใครก็ต้องไม่ได้ คนนี้แหละเหมือนนักการเมืองว่าถ้าข้าไม่ได้ใครก็อย่าได้ นี่คือความเห็นแก่ตัวที่ต่ำชั่วมาก  พอไม่ได้สมใจตนก็ว่าอย่าให้ใครได้เลย ก็เลยทำลาย

 

ศาสนาพุทธค้นพบอัตตา 3 การกำจัดอัตตาได้ ผู้ใดเรียนรู้อัตตาได้ จับรูป จับอัตตาสำเร็จ อัตตาขยายออกเป็นตัวตนของเรา ผู้ใดสามารถเกิดญาณปัญญา เช่นให้ปวารณา คือการละอัตตาตัวตนเป็นหลัก เมื่อปวารณาให้คนอื่นเขาว่าเขาเตือนเราให้รู้ตัว อย่ายึดติด อรหันต์ทุกองค์ท่านให้ติได้ว่าได้ท่านไม่โกรธแน่ ติผิดหรือถูกก็แล้วแต่ ท่านก็สบายด้วย ท่านรับฟังเขา เขาตำหนิถูกก็ดี ขอบคุณเขาแล้วแก้ไขตน ส่วนคนติเราผิด ก็ความผิดอยู่ที่เขา เขาไม่รู้ข้อมูลก็เลยติผิด ก็เราจะไปสะดุ้งสะเทือนทำไม

 

คนที่สะสมไว้มากมาย แล้วพอตายไป ก็เอาไปไม่ได้ แล้วจะโลภไว้ทำไม ผู้ใดเข้าใจว่าเอาออกไป แบ่งแจกกันก็จะได้ไม่ทุกข์กันมาก ไทยเราโชคดีมากที่มีพระเจ้าอยู่หัวท่านตรัสแบบคนจน แต่คนก็ไม่รับเอาไปทำ ท่านก็ตรัสอีกว่า ให้เอาแบบ ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา คนก็ฟังแล้วรับไม่ได้อีก เมืองไทยมีพระโพธิสัตว์เป็นพระเจ้าอยู่หัวที่มีภูมิธรรม แต่ก็ไม่รับไปทำ

 

ผู้ยึดอบาย คือสิ่งเสื่อมต่ำหยาบหนัก เราไปยึดสิ่งเป็นโทษภัยหนัก สิ่งมอมเมา การพนัน กีฬาการละเล่นจัดจ้านต่างๆ ที่เขาส่งเสริมทั่วโลก จนเป็นราคาค่าตัวแพงมาก เป็นความเสื่อมของโลก ประเทศ สังคมไหนหลงใหลส่ิงเหล่านี้สังคมนั้นเสื่อม ขอชมสังคมอินเดียที่ไม่ไปหลงใหลสิ่งเหล่านี้ ต่อไปอินเดียจะมีพลเมืองมากกว่าจีน คนมากแต่ไม่หลงใหลอบายมุขมาก ไม่หลงดารา กีฬา เหมือนกับเขา

 

ทุจริตที่จัดจ้าน คืออบายมุขด้วย และกิเลสกาม หรือพยาบาท โทสะ ราคะที่จัดจ้าน ชอบรูป รส กลิ่น เสียง จัดจ้าน ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญที่จัดจ้าน จะต้องให้ได้มาก ต้องเป็นมหาเศรษฐี หมื่นแสนล้าน จะบ้าหรือ? คนเหล่านี้ทำลายโลก เป็นลัทธิสามานย์แห่งสามานย์ เพราะเอาไปกักตุนกับตน แทนที่คนอื่นจะเอาไปใช้ และยิ่งสามานย์เพราะอาหมื่นแสนล้านไปออกดอกผลอีก คุณหยุดได้แล้วมีมากแล้ว ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด แต่ก็ไม่พอ คือลัทธิพอไม่เป็น เป็นสัตว์นรกของโลก ในหลวงเลยตรัสเรื่องพอเพียง เป็น The Great Word

 

มโนมยอัตตา ตั้งแต่หยาบ ก็ให้ล้างออกไปจนหมดไปตามลำดับในข้างนอกที่เรียกว่ากามภพ เป็นวัตถุ จนมีภูมิสูงขึ้นเป็นสกิทาคามีก็ลดลง จนไม่ต้องยึดสมบัติ บ้านช่องเป็นเราเป็นของเรา เป็นคนทำงานรับใช้โลกฟรีๆ คืออนาคามี มีแต่กิเลสรูปราคะ อรูปราคะ เป็นพิษต่อตนเองอย่างเดียว

 

.กฤษฎาว่า...สิ่งสำคัญ เช่นเราต้องไปถูกสัมภาษณ์หรือพูดคุยกับผู้ใหญ่ ตอนรอเวลามันมีการหวาดกลัว แต่ถ้าตนจะพูดกับเด็กก็รู้สึกตนเองตัวโตเป็นผู้ใหญ่ หรือมีคนมากดๆไลค์ให้เราเราก็รู้สึกพอง แล้วอารมณ์อาการเหล่านี้คืออัตตาหรือไม่?

ตอบ...คำว่า อาการ นี่แหละเป็นลักษณะของจิตที่เป็นอาการ อันนี้คือนามธรรม นามธรรมนั้นไม่มีสี กลิ่น รูป ไม่สามารถสัมผัสด้วยทวาร ทั้ง 5 ภายนอก แล้วมันเคลื่อนไหวเชิงนั้นเชิงนี้ต้องอ่านให้ออก ว่าอาการที่มาสัมพันธ์เกี่ยว กับภายนอกด้วย ท่านเรียกว่า กาย  มีภายนอกเป็นรูปร่างสีสัน ถ้าสัมผัสด้วยตา แล้วมีประสาทสัมผัส ที่ยังใช้การได้คุณก็จะเห็น ว่ามันหนา บาง ใหญ่ เล็ก ก็เรียกไปแต่ลักษณะอย่างนี้ทุกคนก็รู้เช่นเดียวกัน คืออาการรู้ความจริงตามความเป็นจริงของส่ิงนี้ เกิดจากตากระทบรูปแล้ว รู้ ก็ยังไม่พอ ยังโง่ ชอบหรือชัง อยากเอามาหรือทำลายอีก

 

การรู้ว่าสิ่งนี้คือรูปร่าง สีสัน ตามสมมุติว่าสวยงามอย่างไร แต่เราก็ไม่ได้อยากได้ หรือมันขี้เหร่ เราก็ไม่ได้อยากทำลายหรือชังแต่อย่างใด ความมีความรู้อาการของจิตที่อยากได้หรืออยากทำลายหรือชอบหรือชัง นั่นคืออัตตา ให้ทำลายตัวนี้ไม่ใช่ว่าทำลายตัวรู้ที่มันรับรู้สีสัน รูปร่างหรือสวยหรือไม่สวยตามสมมุติ แต่ให้รู้ตัวอัตตา มีปัญญารู้ว่านี่คืออะไรแล้วจบ แต่ให้เรียนรู้อาการกิเลสที่มาพร้อมกับการกระทบสัมผัส ทางทวาร 6 แล้วให้เรียนรู้ล้างกิเลสไป

 

เมื่อล้างกิเลสหมด คุณก็สักแต่ว่าเห็นหรือรู้ตามที่คนอื่นก็เห็น แต่ไม่มีกิเลสชอบหรือชัง

 

แล้วอาการจิตที่ไม่ปกติ มีทุกข์ ไม่สบาย ไม่ยืนยันความเฉยต่อการรับรู้ทางทวาร 6 พุทธไม่ทำสมาธิแบบหลับตา หรือหนีผัสสะหนีโลก แต่พุทธให้ปฏิบัติมรรค 7 องค์ เปิดรับทุกทวาร แล้วล้างกิเลส จิตก็สั่งสมเป็นสมาธิ ลืมตาปฏิบัติกับนั่งหลับตาสมาธินี่ต่างกันมากเลย แต่คนทำไมไม่สะกิดใจแล้วเข้าใจได้ยาก สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นลืมตา จิตเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา คือไม่มีกิเลส แล้วไม่มีกิเลสชนิดถาวรเลยนะ จะลืมตากระทบอย่างไรก็ไม่มีกิเลส แต่ถ้าหลับตาแล้วรับรองได้ไหมว่าไม่มีกิเลส แต่ถ้าลืมตาทำงานอยู่ เช่นทำงานกับเงินแสนล้าน แต่คุณมีโอกาสที่จะโกงได้เต็มที่เลย เป็นงบลับที่ไม่มีใครรู้เลย จะโกงได้โดยไม่มีใครรู้แล้วจิตคุณจะทนได้ไหมที่ไม่โกง อย่างนี้ คุณไม่หวั่นไหวเลย นี่คือเครื่องยืนยันอรหันต์ของพระพุทธเจ้าหรือแม้ไม่มีเงินสักบาทเลย แต่บริหารเงินแสนล้านให้บริหารงบลับนี้เลยแล้วคุณก็ไม่เอาจริงๆเลย คุณแน่ไหน? ถ้าแน่อรหันต์ของพระพุทธเจ้าต้องเป็นอย่างนี้

 

.กฤษฎาว่า..ผมเห็นนร.เช็ดพื้น มีพี่ดินนาบอกว่า ที่นี่สอนเด็กให้มีสมาธิในการทำงาน แต่เด็กอีกแบบหนึ่งไปนุ่งขาวห่มขาวนั่งสมาธิมันต่างกัน

 

พ่อครูว่า..สมาธิของพระพุทธเจ้าเมื่อบรรลุแล้วได้งานไม่บกพร่องไม่เสียเวลา มันทำงานไปด้วยได้ทำสมาธิด้วย สมาธิคืออะไร? สมาธิคือจิตไม่มีกิเลส อย่าเถียง ใครเถีียงมาอาตมาก็ไม่เถียงด้วยเพราะมันถูกต้องที่สุดแล้ว และไม่มีกิเลสชนิดแข็งแรงด้วยนะ มีงบลับมาอย่างไรก็บริหารไปเลย ไม่ต้องมีบัญชีด้วยก็ได้ แล้วคุณไม่ละเมิดเลยไม่เอาแม้สัก 1 บาทจากแสนล้านนี้มาเป็นของตนเลย แล้วคุณแน่ไหน แน่นี่แหละคือไม่หวั่นไหวแม้โลกธรรมมาแตะต้องสัมผัสกระแทกอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว นี่คืออรหันต์ของพระพุทธเจ้า หรืออนาคามีก็ไม่หวั่นไหวแล้วในกิเลสภายนอก เหลือแต่เศษภายในเป็นมานะ ไม่ใช่เรื่องโลกีย์ข้างนอก จิตท่านสำเร็จแล้ว มโนเสฏฐา มโนมยา คือรู้อัตตา ทำลายอัตตาได้หมดแล้ว ก็เรียกว่าอนัตตา จิตที่เป็นอัตตามันตายแล้วไม่ฟื้น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ถ้าคนเป็นเช่นนี้แล้วบ้านเมืองจะไม่สงบสุขได้อย่างไร แล้วเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ 95% แล้วให้ทำความเข้าใจมหาจัตตารีสกสูตร ไปอ่านให้แต่ ศึกษาให้ครบจะเป็นอรหันต์ได้แบบพุทธ ไม่ใช่ว่าไปนั่งสมาธิให้จิตไม่ออกนอกตัว แต่ของพุทธสมาธินั้นต้องจิตออกนอกตัว คือต้องรู้จักองค์ประกอบที่เป็นการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จะนั่งสมาธิบ้าง ทำอานาปานสติ แต่ก็ไม่ทิ้งกาย คือลมหายใจก็เป็นส่วนของกายด้วย

 

.กฤษฎาว่า...เป็นกระแสสังคมที่เขานิยมการนั่งสมาธิหลับตานะ ต่างจากเด็กที่ทำงานไปด้วยแล้วทำสมาธิด้วย

 

พ่อครูว่า...ขอใช้ภาษาอังกฤษว่า สมาธิพระพุทธเจ้าเป็นConcentration ไม่่ใช่ Meditation การทำสมาธิแบบลืมตา concentration ก็ทำอะไรเช่นทำ ขัดพื้นหรือทำอะไรก็แล้วแต่นะ ยังไม่พูดถึงกิเลสมีหรือไม่ แต่ยิ่งในขณะปฏิบัติไม่มีกิเลสนะ แล้วรู้ว่ามีประโยชน์ก็ทำอย่างสบายใจ เป็น concentration ของพระพุทธเจ้าต้องใช้ concentration จะใช้ meditation ไม่ได้ ผิด ไม่ต้องไปศึกษา meditation​ก็ได้ เป็นอรหันต์ได้ที่ไม่ต้องมีเจโตสมถะเลย แต่ถ้าทำแต่ meditation ทำได้เก่งขนาดเดินน้ำดำดินเหาะเหินได้ แต่ไม่ได้ลดกิเลส หรือกดข่มได้ ตายไปก็กดข่มได้แต่ไม่ได้ล้างเกิดชาติหน้าก็ยังกิเลสมีเหมือนเดิม ศาสนาพุทธสอน conscious แล้วทำกิเลสในระดับสำนึกหมดไป หมดก็เป็นอนาคามี ต่อจากนั้น subconscious ก็จะออกมาทำงาน เราก็อ่านกิเลสต่อในขณะมีเหตุปัจจัยทำงานอยู่นี่แหละ แล้วก็ล้างกิเลสระดับ subconscious พอหมด กิเลส ระดับ unconscious ก็จะขึ้นมาทำงานเป็นอรูปอัตตาก็ล้างต่อจนหมดสิ้นอาสวะอนุสัยคือ unconscious หมดก็เป็นอรหันต์

 

.กฤษฎาว่าเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ ส่ิงที่อยู่ลึกมีมากกว่าที่เห็นอีก เป็นอาสวะอนุสัย

 

พ่อครูว่า...แล้ววิธีที่เขาจะล้างกิเลสเขาไม่ล้างกิเลสเหนือน้ำด้วยนะ แต่ของพุทธนั้นก็ให้เรียนรู้อยู่เหนือกิเลส มีชีวิตอยู่่กับสังคม กับเหตุปัจจัยที่เราเคยเกิดกิเลสแต่เราไม่เกิดกิเลสแล้วกับเหตุปัจจัยเดิมนั้นๆ การจินตนาการแบบภูเขาน้ำแข็งนั้นก็แทนไม่ได้หมดแต่วิธีการของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้หนีโลกธรรม นะ ความสามารถสร้างโลกธรรมก็มีเหมือนเขา หรืออาจมากกว่าด้วย เพราะไม่เสียเวลาทุนรอนแรงงานไปกับกิเลส เขาจะรู้จักส่ิงที่ควรสร้างควรทำได้เต็มที่เลยไม่เสียพลังงาน

 

แล้วของพุทธจะรู้สติปัฏฐาน 4 ตั้งแต่ กายในกาย (กายคือจิต) ต้องรู้องค์ประชุมทั้งนอกและใน อ่านกายวิญญาณให้ออก คือความรับรู้ที่เกิดจากการกระทบสัมผัสทั้งนอกและใน อ่านตัวเวทนา ที่มันเกิด สุข ทุกข์  การไม่ได้สมใจใดๆตามอุปาทานก็เป็นทุกข์ การได้มาตามอุปาทานก็เป็นสุข ในโลกธรรม มีทั้งได้ลาภ ยศ สรรเสริญ​ สุข ได้ก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์ ต้องหาเหตุที่ทำให้สุขทุกข์ ก็อยู่ในเวทนา เกิดเมื่อมีการกระทบทางทวาร 6 แล้วอ่านด้วยธัมวิจัยสัมโพชฌงค์วิจัยวิจารให้ออกว่า มันคือกามที่ดำริ หรือพยาบาทดำริ พระพุทธเจ้าแจกเวทนาเป็น 108 และที่ต้องแยกได้คือ เวทนาแบบเคหสิตะ กับแบบเนกขัมมสิตะ

 

แบบเคหสิตะคือได้สมใจหรือไม่สมใจกิเลส แบบโลกๆ เราก็ต้องอ่านรู้โดยตั้งศีลตั้งกรอบ ให้รู้กิเลส แล้วล้างกิเลสได้ จากเวทนาในเวทนานี่แหละ ถ้าทำออกได้ลดกิเลสได้ก็เป็น เนกขัมสิตเวทนา มีทางทวาร 6 ก็เป็น เนกขัมมสิตเวทนา3 ทางทวาร 6 ก็เป็น เนกขัมสิตเวทนาอีก 18 (ตรงกันข้ามก็เป็นเคหสิตเวทนาอีก 18) อย่างไม่ต้องไปหลับตาทำ คือโลกเห็นอย่างไรเราก็เห็น แต่เราเห็นกิเลสด้วยแล้วล้างกิเลสของเราไป ในขณะสัมผัสเราเห็นกิเลสจริงหลัดๆ ไม่ใช่ว่าให้ไปนั่งแล้วยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา นั่นเป็นเพียงในสัญญา ไม่ได้เกิดจากการกระทบสัมผัสจริง ในมหาจัตตารีสกสูตรว่าไว้ว่าทำมรรค ทั้ง 6 ด้วยสัมมาทิฏฐิ ก็มีองค์ 6 ของสัมมาทิฏฐิ เจริญจากสาสวะเป็นอนาสวะได้

 

เราต้องเห็นของจริงหลัดๆ เห็นกิเลสมันแล้วลดได้ก็เห็นเลย ทุกอานาปานสติ ซึ่งจะไปนั่งหลับตาก็ได้ แต่ต้องสัมมาทิฏฐิ (พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนแบบอนุโลมกับคนที่ติดอยู่ป่า) ก็เรียนรู้แม้ในอานาปานสติ ก็ต้องเรียนรู้กายสังขารัง ปฏิสังเวที คือการกระทบ ทวารทั้ง 6แล้วจิตรับรู้ได้จึง เกิดกาย  เป็นกายสังขาร แต่พวกมิจฉาทิฏฐิก็ให้ไปนั่งหลับตาแข็งินิ่งแล้วบอกว่าคือการระงับกายสังขารให้ลืมลมหายใจไปเลย เอาแต่จิต ก็เข้าใจผิดเพี้ยนไปเลย

 

.กฤษฎาว่า...เกิดผมได้กลิ่นที่สดชื่นถูกใจ พอได้กลิ่น เราจะมีอาการรู้กลิ่น แล้วเราก็มีอาการจิต สดชื่น ชอบหรือไม่ชอบตามมา นี่คือ เราต้องรู้กาย ทันทีที่เกิดวิญญาณ​เป็นองค์ประชุมของรูปและนามทันที ก็เป็นกาย

 

พ่อครูว่า..พระพุทธเจ้าถึงว่าของพระพุทธเจ้านั้นมี ลักษณะธรรมะพิเศษ

ระดับปรมัตถ์จริงแท้

 1.   คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

ที่เขาสอนกันว่านั่งสมาธิแล้วเห็นผี เป็นรูปร่างเป็นผีกระสือ ผีอื่นๆก็แล้วแต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่อาการมันเป็นรูป ไม่ใช่ตาทิพย์แต่เป็นตาปลอม ส่ิงที่จะเห็นผีนั้นคืออาการกิเลส ถ้านั่งสมาธิก็อ่านจิตที่ระริกระรี้ภายใน คุณจะอ่านได้ต้องผ่านการเรียนรู้กิเลสหยาบก่อน คุณจะอ่านอาการผี เทวาดหลอก เทวดาเก๊ อ่านให้ออกแล้วจะอ่านสังโยชน์ของอนาคามีได้ แม้กระทบสัมผัสก็อ่านได้ หลับตาก็อ่านได้และจะหลับตาแล้วอ่านได้ถูก เพราะรู้ว่าเป็นอัตตาแท้ไม่ใช่รูป การไปเห็นผีที่เป็นพวงใส้ลอยนั่นคือผีหลอกไม่มีจริง ผีจริงคืออาการกิเลส

 

 

แล้วไปสอนกันว่าไปดับทำให้จิตนิ่งเฉยไม่คิดนึก ก็ไปเข้าใจว่าจิตเฉยนี่คืออุเบกขา ฌาน 4​ หรือเข้าใจว่านิโรธคือดับหมด ก็เลยนั่งหลับดับปี๋ เป็นสุภกิณหะ ไปเรียกโลกพรหมมิจฉาทิฏฐิว่าเป็นสิ่งดี ไม่ใช่แบบพุทธที่เห็นอยู่รู้อยู่ว่ากิเลสเกิดหรือดับ เป็นอกุศล แล้วจิตอกุศลดับ จิตที่เหลือก็เกิดทันทีไม่มีอะไรคั่น จิตสกปรกหมดไป จิตสะอาดก็เกิดทันที ไม่มีแม้แต่ความหมองแม้เล็กน้อยก็ไม่มี จิตก็เกิดสว่างสะอาดทันที เห็นความเกิดดับ ที่ดับคือกิเลสตั้งแต่หยาบกลางละเอียด นี่คือเห็นจิตเกิดจิตดับ แต่เขาไปสอนว่าจะเห็นจิตเกิดดับอย่างเร็ว บางอาจารย์สอนว่าไม่มีใครตามทันหรอกว่าจิตเกิดดับ วินาทีละเป็นล้านครั้งไม่มีใครรู้ได้หรอก นี่คือคิดแบบตรรกะ แต่ของพระพุทธเจ้านี่รู้การเกิดดับ

 

ส่ิงที่ดับคือชาติดับ ชาติท่านแยกเป็นชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ เราต้องอ่านรู้สภาวะจริง การเกิดทั้ง 5 อย่างนี้ต้องมีนัยต่างกัน เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ติดอ่างจะพูดเหมือนกันทำไม 5 คำนี้

 

ชาติคือการเกิด ทั่วไป และสัญชาติก็คือ การเกิดตามสัญชาตญาณ เราก็ต้องอ่านจับตัวนี้ว่าตัวกิเลสไหนสั่งให้เป็นไปตามสัญชาติญาณ หากแยกกิิเลสได้ หยั่งลงได้เป็น โอกกันติ แต่ถ้าแยกกิเลสได้แต่ไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ก็ต้องเรียนรู้สักกายะ สัมผัสแล้วอ่านวิจัยหาเหตุ จนเจอเหตุก็ยิ่งรู้ตัวตนเป็นสักกายะ คือจิตในจิต เป็นสราค สโทส สโมห เป็นเจโตปริยญาณ 16 ต้องกำจัดกิเลส ถ้ากำจัดได้ จะเร่ิมเกิดเป็นโอปปาติกโยนิ เป็นนิพพัตติ เป็นการหยั่งลงด้วยวิชาความรู้ของพุทธแล้ว แม้สังโยชน์ 1 และ 2 ผ่านได้ รู้กิเลสสักกายะและไม่สงสัยเลยว่ากิเลสแน่ แล้วก็ต้องมีวิธีทำให้กิเลสลดเป็นสัมมาทิฏฐิในมรรคองค์ 8 คุณมีแล้ว และปฏิบัติ แต่ได้แต่ลูบๆคลำๆไม่กำจัดทำลายมันเสียทีหรือทำอย่างอ่อนแอกิเลสไม่ลดลงเลย แม้ลดได้นิดหน่อย คุณก็เร่ิมได้มรรคผลแล้ว คุณกำลังเร่ิมผ่านสังโยชน์ 3 แล้ว ยิ่งทำให้เป็นสมุจเฉทปหาน ทำในอานาปานสติ ตามเห็นจิตไม่เที่ยง แล้วไปยึดมันทำไม ก็ทำลายมันเสีย เมื่อทำให้ดับได้นิดหน่อย วิราคานุปัสสี แล้วถ้าดับได้เลยก็เป็นนิโรธานุปัสสี ทำกิเลสดับได้ก็ผ่านสังโยชน์ 3 เลย

 

เป็นอภินิพัตติ ถ้าจะเรียกอรหัตตผลก็ของโสดาบันขั้นที่ 1 ตัวเดียวตัวแรกของกิเลสที่ลดได้เลย เมื่อทำกิเลสตัวนี้ดับได้ก็เป็นโครงสร้างเราไปทำกับกิเลสตัวอื่นต่อ เป็นโสดาบันแล้วก็เลื่อนต่อเป็นสกิทาคามี อนาคามีอรหันต์ไปตามลำดับ สักวันก็เป็นได้ในที่สุด

 

ของพระพุทธเจ้าเห็นจิตเกิดดับ คือดับกิเลสแล้วจิตก็เกิดใหม่เป็นจิตกุศล ทันทีต่อเนื่องไม่ได้ขาดตอน พระอรหันต์ทำกิเลสดับได้หมด จิตก็สะอาด จะเป็นผู้อมตะจะเกิดหรือตายก็ได้ จะตั้งจิตต่อหรือไม่ตั้งจิตต่อก็ได้  จิตก็ต้องเกิดจากจิต ถ้าจิตไม่ให้เกิดก็ไม่เกิด ในอรหันต์จะรู้ และจิตจะสั่งให้เกิดหรือตายได้ตามสั่ง จะปรินิพพานก็ได้ หรือจะตั้งจิตต่อภพภูมิก็ได้ อรหันต์จะรู้เอง อย่างไม่ใช่ด้นเดาคะเนเอาเลย


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:11:39 )

571104

รายละเอียด

571104_พ่อครูให้โอวาทปิดสัมมาการศึกษา ที่ปฐมอโศก

การจัดการเรียนรู้ในห้องเรียน ในศตวรรษที่ 21 และ การเรียนการสอนแบบบูรณาการคุณค่าความเป็นมนุษย์  ณ ปฐมอโศก

 

.บบบ.ก็จะเริ่มปลายเดือน ธ.. ไปถึงต้นเดือน ม.. 58 ห้าวันตายตัว เราก็ต้องประกาศออกไป เราได้ไปช่วยประชาชน เอาเวลาส่วนตัวเราสละไปช่วยส่วนกลางประเทศ ปีหนึ่งผ่านไป เข็มที่อาตมาทำไว้รุ่น 3 ก็ยังตกมาถึงปีนี้อีกปีก็ยังไม่หม่นหมอง เพราะเป็นทองคำแท้

 

ขอเน้นเรื่องการศึกษา ถ้าเราสามารถหยั่งรู้ลึกถึงว่า คนเจริญได้ด้วยการศึกษา จะศึกษามีพยัญชนะหรือไม่ก็ศึกษากันมา เจริญได้ด้วย ศาสตร์และศิลป์ มาถึงทุกวันนี้ อาตมาขอบอกว่า ศาสตร์ตกกระป๋องไปแล้ว มันเป็นศิลป์ไปหมดแล้ว และซ้อนไปอีก ทุกวันนี้ศิลปะก็กลายเป็นศิลเปรอะ ไปหมดแล้ว ศาสตร์ก็ไม่เหลือ ศิลป์ก็ไม่มี เราก็ต้องมาฟื้น เพราะคนเราได้สะสมความรู้ได้มากเกินไป ไม่ต้องไปเรียนเพ่ิมอะไร แค่เรียนถ่ายทอดกันไปก็อยู่ในสัญชาติญาณ จารีตประเพณี วัฒนธรรม ยกตัวอย่าง การทำอาหารการกิน มันไม่ใช่อาหารแบบสมัยเก่า มันเป็นอาหารการกินที่มีความรู้

 

ความรู้นี่คือความคิดปรุงแต่งเพ่ิมเติมขึ้น สิ่งที่ปรุงแต่งเพิ่มเติมโดยสัจจะคือของหลอก หรู รวย อร่อยมากขึ้นก็คือความหลอก แต่คนก็ต้องอาศัยพวกนี้เขาไม่รู้ เขาถือว่าพวกนี้คือความก้าวหน้า สรุปแล้วคือสิ่งเฟ้อเกินไร้สาระ เสียเวลาแรงงานทุนรอน ไม่เสียเปล่าคือสูญเสียไป และไม่ได้อะไร ได้อารมณ์กลวงๆว่าหรูใหญ่ อร่อยเพลิดเพลินพอใจเท่านั้น แต่วัตถุ แรงงานมันผลาญจริง เวลาก็เสียไปจริง

 

ผู้รู้แล้วว่าเป็นความสูญเปล่า เช่นพระพุทธเจ้าก็เลิกมา จนรู้ความเพอเหมาะที่จะดึงลงมาน้อยเท่าไหร่ก็เป็นความสุญเสียน้อยที่สุด เหนื่อยน้อยที่สุด ก็คือตรงนี้ ผู้ใดเป็นอรหันต์ฺก็ศูนย์ได้ก็จบ และจากนั้นก็มีระดับชั้นไปตามจริง

 

ความรู้ที่เฟ้อเกิน กับที่พระพุทธเจ้าบัญญัติว่าความพอเหมาะพอดี มีศัพท์วิชาการศาสนาเยอะ เช่น คำว่า สัมมา ใช้ได้ทั้งวัตถุและจิตใจให้สมดุล ซึ่งไม่เที่ยง เปลี่ยนได้เรื่อยในคน หาจุดเที่ยงไม่ได้ คนต้องตื่นรู้สภาวะแท้ที่มีอยู่จริง แล้วนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นเหตุปัจจัยแห่งความจริงประเมินความพอเหมาะพอดี

 

อีกภาษาคือคำว่า ปโหติ เป็นความพอเหมาะพอสม เรียกว่าพอเหมาะได้ ผู้ที่เรียนรู้หลักธรรมพระพุทธเจ้าหัวใจศาสนาพุทธคืออาริยสัจ 4 รู้ต้นเหตุทั้งวัตถุและนามธรรม รู้ต้นเหตุที่พาเสื่อมก็ละเลิกออกได้ตามลำดับเป็นขั้นๆ ตั้งแต่เริ่มดำริ เอาออกมาเป็นวาจา มาเป็นกัมมันตะ เอามาเป็นอาชีวะเลี้ยงชีพสังคม ก็พอเหมาะพอดีไปเรื่อยๆ

 

ความพยายามคือแรงกล และสติคือตัวรู้พร้อมรู้ทั่ว มันมีความไม่เที่ยงตลอด ความรู้รอบต้องรู้ตลอดเวลา แล้วเอามาปรับให้เหมาะสมตลอด ผู้ใดมีจิตปฏิบัติ มรรค 7 องค์นี้ได้ เมื่อสัมมาทิฏฐิพอเหมาะได้ แล้วปฏิบัติต่อไปถึงสัมมาสังกัปปะ เมื่อทำสัมมาสังกัปปะพอเหมาะได้ก็เป็นสัมมาวาจาพอเหมาะได้ก็ไล่จนครบมรรค 8 แล้วต่อมาเป็นผลสอง คือสัมมาญาณ สัมมาวิมุิต ก็พอเหมาะได้ เป็นสัมมัตตะ 10 (มรรค 8 ผล 2 )

 

ทั้งวัตถุและจิตวิญญาณอาศัยกัน แต่จิตเป็นประธาน วัตถุเป็นประธานไม่ได้ แต่ทุกวันนี้คนหาวัตถุกันใหญ่ จิตวิญญาณเป็นทาสวัตถุนิยม แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ดูถูกวัตถุ ได้อาศัยวัตถุให้พอเหมาะ พวกเราศึกษาจนถึงวันนี้ก็ได้ตามลำดับ อาตมาก็พาทำใช้ศึกษา เป็นบูรณาการ Integrity เป็นของพัฒนามาเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าทำมาหมด แต่สมัยนี้เอาตามแต่ก็ไม่รู้ เป็นพฤติกรรมเดียวกัน แต่สังคมนั้นเสื่อม เขาก็แสวงหา มีทฤษฏีใหม่ แต่ก็แก้ไม่ได้เพราะจิตวิญญาณมีกิเลสแต่แก้ไม่ได้ นักรู้เขารู้ทั้งนั้นแต่ทำไม่ได้ ทฤษฎีแนวนี้ทุกคนรู้ว่าเป็นทฤษฎีของสังคม รู้ตั้งแต่พศ.ไหน โทมัส มอร์ เขียนเรื่องยูโทเปียเกือบสองพันปีมาแล้ว เขารู้แต่เขาทำไม่ได้

 

แค่ยูโทเปียจริงๆก็ไม่งามเท่าของพุทธ มันก็เป็นได้แต่มันมาเสื่อม ศาสนาพุทธเสื่อมจนทุกวันนี้เขาทวนไปไม่ได้ เขาเข้าใจไม่ได้ แม้ยุคตอนต้นสมัยพระพุทธเจ้าก็เป็นไม่ได้เหมือนตอนนี้เพราะเป็นยุคทาสสมบูรณ์แบบ ทาสเหมือนสัตว์ นายทาสเหมือนเจ้าของสัตว์ ใช้เหมือนสัตว์ ไม่ใช้จะฆ่าทิ้งก็ได้ ตีทิ้งได้ ขายได้เหมือนสัตว์เลย พวกเรายุคนี้เลิกทาสมาแล้ว หรือเป็นทาสก็ไม่เหมือนทาสยุคโน้นที่ทาสไม่มีสิทธิ์คิดอะไร เหมือนสัตว์เดรัจฉาน พระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าของทั้งหมด เป็นแต่พระเจ้าแผ่นดินจะอนุโลมนายทาสให้มีได้เท่าไหร่แต่ท่านจะริบคืนเมื่อไหร่ก็ได้

 

สมัยพระพุทธเจ้าเกิดแล้วประชาธิปไตย แต่เป็นธรรมาธิปไตย หากปชต.สมบูรณ์แบบก็คือธรรมาธิปไตย พระพุทธเจ้าแยกเป็น โลกธิปไตย(วัตถุ) อัตตาธิปไตย(จิต) ธรรมาธิปไตย

 

ตัดมาถึงปัจจุบัน เรามีผลจริง พวกเราเป็นนศ.ที่ได้รับผลถ่ายทอดเป็นตัวจริง ได้ผลจริง เราไม่เอาโลกธรรมาเป็นเหตุปัจจัยต่อรอง จะเอาลาภมาต่อรองก็ไม่มี ของเราทำแบบสาธารณโภคีซึ่งยุคพระพุทธเจ้าทำไม่ได้ เพราะเป็นยุคทาส ที่ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน แต่ยุคนี้ถือสิทธิมนุษยชนของแต่ละคนเต็มที่เลย ยุคพระพุทธเจ้ามีขีดจำกัดว่าเปลี่ยนระบบสมบูรณายาสิทธิราชไม่ได้ แต่ละคนก็ไม่รู้จักสิทธิตนเอง ทั้งความเป็นคน ความเป็นเจ้าของ สิทธิ์แสดงออกทางกาย วาจา ใจอย่างไร สิทธิ์ในการแสดงความเห็นก็ไม่มี แต่ทุกวันนี้ไม่ให้คิดนิดหน่อยก็โวยเลย ถ้าไม่ละเมิดกฎหมายก็เอาเลยขนาดมีกฎหมายังหาทางเลี่ยงเลย

 

สรุปแล้วคนรู้มากแล้วสมัยนี้เอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาใช้ได้เลย สมัยพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในวงสงฆ์ หรือในแวดวงพุทธบริษัท 4

 

การศึกษาของพระพุทธเจ้านี่รวมการศึกษา คือการศึกษา 3 ศีล สมาธิ ปัญญา จบหมดทุกศาสตร์เลย สมาธิคือจิตที่เกิดวิมุติ เกิดฌาน ถ้าปฏิบัติไตรสิกขาได้จบก็จะรู้หมด และไม่ทิ้งสังคม ไม่หนีออกไปไหน งามในเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย อาตมาพยายามทำอย่างประนีประนอมมา ไม่ถึงเจ็บถึงตาย เหมือนในสมัยยุคพระพุทธเจ้า แม้พระโมคคัลลานะก็ต้องตาย เพราะข้าศึกทางศาสนาฆ่า ของเราอาตมาพาทำมาก็ไม่ได้ตายเพราะศาสนา แม้ที่สุด จะถือว่าติดคุก ก็ไม่ได้ เขารอลงอาญา เขาตัดสินว่าเราแพ้ ก็ผ่านมาแล้ว

 

อาตมาพาพวกเราทำระบบพระพุทธเจ้าผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ยุคพระพุทธเจ้า ที่มีคนตาย คนเสียสละให้แก่ศาสนาเยอะ แต่อาตมาพาทำมานี่พวกเราเสียแต่วัตถุและแรงงานกับโลกซึ่งไ่ม่เป็นการเสีย แต่Our loss is Our Gain เป็นการได้ในความเสียสละ ก็ที่เราเสียไปนั่นแหละ คือเราได้ เราอยู่ได้มาแล้ว เราจะเจริญได้กว่านี้ไหม? ก็ได้ ทุกคนก็รู้ความบกพร่องของตนด้วย พวกเรายังไม่เพียรเอาจริงกันหมดเลย แต่ละคนนี่อาตมาว่าไม่ได้พูดเล่นนะ เรายังเพียรอุตสาหะได้มากกว่านี้ ถ้าอยู่ทางโลกคุณจะถูกบีบคั้นต้องดิ้นรนมากกว่านี้ แต่อยู่ทีนี่ไม่มีการบีบคั้นก็สลายๆ

 

อยู่ที่ตนจะสำนึกและขวนขวาย ด้วยการปฏิบัติมรรคของพระพุทธเจ้าไม่ได้แต่ปริยัติ ปฏิบัติ แต่ให้ได้ผลสั่งสมเป็นกุศลวิบาก มีแต่เจริญกับเจริญ ถ้าเราแต่ละคนเจริญ องค์รวมก็เจริญ ลัทธิของพระพุทธเจ้าเป็นลัทธิที่เจริญ คนหนึ่งคนเจริญ​แต่ละคนๆ ก็คืององค์กรทั้งองค์กร เป็นเอโกธัมโม ทั้งแรงงาน ความคิด วัตถุ

 

คุณคิดว่าที่ดิน วัตถุของอโศกเป็นของใคร...ก็พูดได้ว่าของผม....เด็กๆก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก่อนคุณมีบ้านมีครอบครัว มีที่ดินก็คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของตน แต่มาอยู่อโศกคุณจะไม่กล้าคิดว่าสมบัติอโศกเป็นของตนเท่ากับที่ของครอบครัว คุณนึกว่าของครอบครัวเป็นของคุณ แต่ผู้ที่เป็นพี่น้องของคุณแบ่งเอาไปจริงๆได้มากกว่า แต่ที่นี่อโศก ไม่มีใครแบ่งไปเลย นี่คือเป็นของคุณได้มากกว่า  ไม่มีรูให้แบ่งออกไปได้เลย ต่างกับของครอบครัวที่ พี่น้อง ลูกเต้าเอาไปแบ่งไปได้ อันนี้มันยังไม่ชัดเจน ไม่รู้แท้ มันลึกซึ้่งยิ่งกว่าที่เรารู้แบบโลกๆ อันนี้ไม่ใช่ของคุณแต่เป็นของคุณยิ่งกว่า เป็นภาษาสัจจะความจริง ยิ่งกว่าวิพากษ์วิภาษณ์(Dialactic)  ของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งซับซ้่อนกว่าอีก

 

ในการศึกษา อาตมาก็ยำ้ว่าตลอดชีวิตพระพุทธเจ้า ไม่รู้กี่ล้านชาติ ท่านไม่ได้ศึกษาอะไร นอกจาก ศึกษาเรื่องคนกับสังคมเท่านั้น ไม่ใช่อาตมาพูดเล่นนะ คนไม่เข้าใจก็ไม่รู้ค่า  เป็นการเจริญของคน และเจริญสุดเป็นพระพุทธเจ้า และอรหันต์ท่านก็คือคนธรรมดา ที่ท่านอยู่แบบท่าน คนมีภูมิจะดูอรหันต์เป็นคนน่าบูชาน่าเอาอ่าง แต่คนไม่มีภูมิเลวก็จะดูไม่ออก อาตมาไม่ได้โทษใคร ที่เขาเข้าใจไม่ได้ก็มีมา แต่อาตมาทำหยาบระดับหนึ่งก็ดีไม่มีปัญหาอะไรแต่อาตมาเป็นหัว ต้องเจตนาจะทำ

 

ยกตัวอย่างง่ายที่สุด นายกฯพล...ประยุทธ์ หยาบเท่าที่มีนายกฯมีมาในประเทศไทย แต่สมุคสมัยอย่างนี้จะปราบพวกแดงได้

 

คำถามจากคุรุ

_การรับเด็กประถม เรามีกติกาว่าผู้ปกครองต้องอยู่ได้ แต่ในการสัมมนาครั้งนี้ รร.สัตยาศัย ได้เอาเด็กมาเป็นนร.ประจำตั้งแต่ประถม ป.1 เลย อ.องอาจ บอกว่าง่ายกว่าเด็กโตมากเลย อยากถามมุมมองพ่อท่าน

ตอบ...อาตมาเห็นว่า หลายอย่างที่สัตยาศัยกับเราไม่เหมือนกันหลายอย่าง ที่สัตยาศัย มีโลกีย์หลายอย่างแต่ของเราเป็นโลกุตระ มีเหมือนกันคือกินมังฯ ของเราพยายามตัดอิทธิพลพ่อแม่กับเด็กเยอะ สำหรับของเรา เด็กประถม เราให้พ่อแม่มาอยู่ด้วย แต่อิทธิพลของพ่อแม่ก็ไม่ได้มีอิทธิพลมากกว่ารร. และของเขาไม่มีชุมชน องค์ประกอบของเขาจะไม่เท่าเรา ของเราเป็นวิถีชีวิต จากเช้าจรดนอน ของเราเป็นพฤติกรรมสังคมจริง แต่ของเขาเป็นรร.กินนอนก็เป็นสังคมบ้าน จะมีวัดก็ไม่เต็มหรอก เหตุปัจจัยต่างกัน เรามองดูได้ตั้งข้อสังเกตได้ ศึกษาได้ ขนาดนี้ที่เราทำได้ ของเราอยู่ยากกว่าของเขา คนเราน้อย จะทำอย่างเขาไม่ดี ของเราน้อยทั้งผู้สอนอบรม หากเรารับคนมากกว่านี้คนดูแลจะไม่พอ ผู้ดูแลต้องทำหน้าที่ทั้งครูและทำงานบ้านด้วย ก็ไม่เหมือนกัน อาตมาไม่รู้ลึกของสัตยาศัยอีกอย่างว่า เขามีลึกๆ ผู้ปกครองจ่ายเงินให้เด็กหรือไม่ เขาเรียนฟรี แต่เขาจะรู้กันว่าผู้ปกครองจะบริจาคกัน แต่ของอโศกนี่หาผู้ปกครองบริจาคยากนะ เราไม่ได้เก็บค่าอะไรทั้งนั้น มันคนละเรื่องกัน เรามีภาระเยอะจึงต่างกันกับเขาเยอะ เขาใช้เงินมาบริหารซ้อนอีกมากเลย ต่างกัน เราก็ศึกษาไว้อย่าเพิ่งตัดสิน

 

_เด็กสมัยนี้หรือต่อๆไปน่าจะเป็นเด็กที่กิเลสเพิ่มมากขึ้น กว่าจะมาถึงเรา ก็หนักขึ้นๆ ดิฉันก็รู้สึกเสียดาย ว่าถ้าถึงม.6 ก็จะไปจากเรา

ตอบ...เรายังเปลี่ยนไม่ได้หรอก แต่ว่าผู้ที่มีลูกก็ให้ลูกอยู่ให้ได้เถอะ คนจะอยู่ก็คือคนในอโศก พ่อแม่ก็อยู่ให้ได้ อาตมาว่าลูกจะอยู่ได้ พ่อแม่ต้องไม่มีสมบัติส่วนตัวมาก เพราะลูกจะรู้ว่าพ่อแม่ไม่มีเงินส่งมาก ก็ต้องอยู่ต่อ

 

_ถ้าเราให้ลูกเรียนต่อมากขึ้นในหมู่พวกเราเอง เด็กๆก็จะอยู่กับพวกเราได้ดีขึ้น

ตอบ...อาตมาก็พยายามอยู่นะ เด็กเราหลายคนก็จะรู้ ไม่ต้องบังคับ หากสนามแม่เหล็กแห่งธรรมะ วัฒนธรรมอโศกมีแรงมากพอ ก็จะได้ไม่ต้องบังคับ บังคับนั้นไม่ได้จริง เด็กคนไหนมีภูมิก็จะอยู่เอง คนไหนจะไปก็ให้ไป เพราะอยู่กับเราก็หนักเรา เขาจะเลือกเอง แม้เด็กที่จบม.6 ที่อยู่กับเรา อาตมาว่าให้ดูต่อไป อีกหน่อยเด็กที่จบไปจะทยอยเข้ามาเอง เพราะสัจจะข้างนอกนั้นมันร้อน จิตวิญญาณคนก็รู้ คนข้างนอกเขาสัมผัสพวกเราก็รู้ว่าเย็นกว่า เด็กเราอยู่กับเรากี่ปีเขารู้ทั้งนั้น อย่าไปกังวลมาก

 

_สรรค่าสร้างคน พ่อครูนำมาสอนใหม่อีก ผมตั้งข้อสังเกตว่าพื้นฐานชีวิตพวกเราด้อยลงไหม?

ตอบ...ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะในสรรค่าสร้างคนไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ อย่าลงโทษตนเอง อโศกทุกวันนี้อาตมาดูค่ารวมว่าไม่ได้เสื่อม อโศกเป็นสังคมนะไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรือในกรอบแคบๆ เช่นลัทธิฤาษีหรือเถรวาทที่เข้าใจว่าผู้บรรลุธรรมหรือไปบวชต้องไปอยู่ป่าช้าคนเดียว อย่างหลวงพ่อเกษม นั่งสมาธิ เดินจงกรม นั่นละเขาว่าสุดยอด แต่แท้จริงทำให้คนเป็นตอไม้ แม้จะรวมกลุ่มมีลูกศิษย์มีคนสอน แต่ก็ทำให้คนเป็นแบบเดียวกัน คนมองว่าความเจริญของศาสนาคือเช่นนั้น แต่คนมองแบบนี้ว่า อริยะคือนักบวชหนีโลกไปอยู่ป่า แต่อารยะ ซิวิไลซ์ คือเจริญแบบโลกๆ เขาแบ่งเป็นสองอย่างนี้ก็เลยหลงผิดไป แต่ของพระพุทธเจ้านั้นสูงกว่า อริยะ สูงกว่า อารยะ เอามารวมกัน จึงเข้าใจไม่ง่าย เพราะจิตอริยะคือจิตโลกุตระที่อยู่เหนือโลกธรรม แต่เข้าใจว่างานเช่นนี้จะสร้างโลกธรรม ที่ต้องอาศัย แต่กามกับอัตตานั้นตีทิ้งอยู่แล้ว ก็ประมาณโลกธรรมที่ต้องอาศัยจัดสรรให้พอเหมาะพอดี อาริยะของพระพุทธเจ้าจึงเหนือชั้นกว่าอริยะและอารยะ อโศกเรามีอาริยะไปตามลำดับแต่ไม่มากชัดจนคุณเห็นได้หมด

 

_ตอนนี้ลูกอยู่ม.6 แล้ว เขาบอกว่า เด็กหลายคนอยากอยู่เรียนในอโศกต่อ แต่ไม่มีคณะที่เขาต้องการเรียนในนี้ เช่นเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น

ตอบ...มันเป็นรสนิยม เทสต์ของเขาส่วนตัว เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาอยากได้มันดีจริงหรือไม่ เช่นเศรษฐศาสตร์เขาอยากเรียน แต่ที่จริงอโศกคือเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอดแล้ว เศรษฐศาสตร์สุดยอด อโศกมีแล้ว แต่ไม่ได้ตราว่านี่คือยอดเศรษฐศาสตร์ของโลก คุณอยู่ที่นี่คุณได้เรียนเศรษฐศาสตร์ไม่ตกต่ำแน่นอน อยู่ในสังคมนี้ หรือว่าภาษา เช่นภาษาอังกฤษไม่เก่ง มันเป็นรสนิยม มันเท่ ทันสมัย ระดับอินเตอร์พูดภาษาสากลได้ นั่นเป็นรสนิยมของเขา อาตมาพยายามปิดกั้นไม่ค่อยเชื่อมโยงกับต่างประเทศมันตรงกันข้ามกับที่เด็กเข้าใจ พูดภาษาต่างประเทศไม่เป็นมันไม่ได้เสียหายไม่ตกต่ำแต่อย่างใด อาตมาต้องใช้ภาษาอังกฤษปนบ้างก็เพื่อความเข้าใจ  แต่ถ้าเราเป็นเจ้าของเนื้อหาชีวิตที่ดีแล้วเขาก็จะมาศึกษาภาษาเพื่อเอาเนื้อแท้นั้นต่างหาก ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปศึกษาภาษาคุณเพื่ออธิบายให้คุณเข้าใจ เขาต่างหากต้องพากเพียรมาเอา พูดนี่ไม่ได้หยิ่งผยอง เพราะที่พูดนี่เป็นเรื่องยาก เราไม่มีเวลา แรงงานพอที่จะไปเรียนภาษาของคุณ เช่นในไทย อาตมาจะไปใช้ภาษาอังกฤษ แล้วให้คนน้อยจำนวนรู้ แต่คนส่วนใหญ่ในไทยไม่รู้ อาตมาก็ไม่เสียเวลานะ เราทำตามเหมาะสม แล้วมันจะดำเนินไปตามลำดับ สะดวกง่ายมีผลสูง แต่มันช้าเพราะยาก อาตมาทำงานศาสนามายากกว่าพระพุทธเจ้ามาก

 

เราไม่ต้องประชาสัมพันธ์ว่าวิชาเศรษฐศาสตร์ของเราก็มีนะ เราไม่สร้างข้อสอบให้เขาเอนทรานซ์เข้ามา ให้เขาเอาตัวเข้ามาเองเลย ถ้าเขารู้ เราก็อาจแนะนำได้บ้างในนร.เรา ควรแนะบอกเขาให้รู้ ไม่จำเป็นต้องไปโฆษณาแนะแนวข้างนอก ถึงอย่างไรเราก็บอกไปโดยปริยายแล้ว เขาก็จะรู้คัดเลือกมาเอง เราได้ช้างเผือกแท้ไม่ใช่ช้างเรซิ่น ไม่ใช่ช้างเผือกปลอม

 

_หัวข้อในการสัมมนาการศึกษาวันนี้มีสองหัวข้อ เป็นสิ่งที่เราน่าจะได้มาตกผลึกเนื้อหา คัดกรองว่าเนื้อหาเหล่านี้เป็นการเพ่ิมโลกวิทู แต่ที่เราได้รับจากวิทยากรเหล่านี้พวกเราก็ยินดีพอใจที่ได้รับความรู้มาก แต่คุรุหลายท่านก็บอกว่าท่านที่มาก็เป็นกัลยาณชน แล้วของเราจะไปโลกุตระ เราควรย่อยเนื้อหาที่จะเอามาไหม?

ตอบ...อาตมาว่ามันย่อยไปโดยอัตโนมัติไม่ต้องไปตีกรอบหรอก เป็นปฎิภาณปัญญาของแต่ละคน ของพวกเราแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่แล้ว พวกเราอยู่ในสังคมเดียวกัน บ้าน วัด​ โรงเรียน มันซึมซับกันมากว่า Absorb มัน osmosis มันเจือกันไปหมด ไม่ว่านักบวช ฆราวาส เด็กจนถึงคนแก่ ก็เห็นหน้ากันหมดไม่ว่างานไหนๆ นอกจากว่างานบางงาน เช่นบันเทิง นักบวชก็ไม่ไปเท่าไหร่ก็เข้าใจแล้ว นอกนั้นก็ เจือสมกันอยู่อย่างไหลซึมเข้าหากัน อันนี้คือเนื้อแน่นของสังคม มีพฤติกรรม จิตวิญญาณ วัตถุ ทั้งกินอาศัย ใช้ อยู่ พัก ทุกอย่างเลย พวกเรานี่ ข้อสังเกตง่ายๆ พวกเรานี่แม้จบไปแล้วม.6 เขาก็ยังใส่เสื้อนร.สัมมาสิกขาอยู่เลย เขาชอบใส่ เขารู้สึกว่า มันอันเดียวกัน เราก็เหมือนกับเด็กนร.ในนี้หรือง่ายๆ คนที่อยู่ในนี้แล้ว ออกไปอยู่ข้างนอกก็ใส่เสื้อข้างนอก แต่เข้ามาข้างในก็มาหาเสื้อแบบพวกเราใส่ แล้วก็หาเสื้อสัมมาสิกขาใส่ นี่คือจิตวิญญาณมันเจือสม จนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว แต่มีภาวะจำเป็นต้องออกไป พอกลับมาก็กลับมาใส่เช่นเดิม มันปักมั่น

 

_พ่อครูคิดว่าคุรุเรามี 3 โล(โลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ) มากหรือน้อยกว่าเขา

ตอบ...มีมากกว่าข้างนอกแน่ มีมากกว่าหลายโลฯ ที่คุณพูดนี่อยากให้ได้ดีมากๆใช่ไหม อาตมาก็พยายามทำให้ได้มากอยู่ แต่บังคับไม่ได้ โลกียะจะให้ดีอย่างไรก็ไม่หมดอัตตา แต่โลกุตระถึงจะเลวจะต่ำอย่างไรก็รู้จักอัตตาแล้ว แม้จะก.ไก่เริ่มต้นอย่างไรก็รู้อัตตาแล้ว แต่โลกียะจะเก่งอย่างไรก็ไม่รู้จักอัตตา

 

_วันก่อนได้ยินพ่อครูพูดว่า เด็กสัมมาสิกขาเดี๋ยวนี้ไม่เข้มวินัยมากกว่าแต่ก่อน หรือว่าวัฒนธรรมอโศก เมื่อก่อนนี้เน้นส่วนรวม แต่ตอนนี้อโศกจะทำเป็นส่วนตัวมากขึ้นๆ รู้สึกเป็นห่วงว่าพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆจะเป็นส่วนที่ทำให้วัฒนธรรมสาธารณโภคีลดลงไป

ตอบ...เห็นด้วย เรื่องนี้ ควรจะต้องขันชะเนาะ เรื่องที่ว่า เราปล่อยปละละเลยจุดที่ว่านี้ เราเคยแข็งขัน แต่ทุกวันนี้ลดลงมาก เหมือน นร.นายร้อยก็มีแบบฝึกหัดที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ต้องมีแกน ที่เราต้องฝึกฝนให้แข็งแรงก่อน แล้วเราค่อยอนุโลม แต่ถ้าไม่มีก่อน หลวมไปก่อน แล้วจะให้มามักน้อยสันโดษก็จะทำไม่ได้ จะอ่อนแอไปเรื่อยๆก็ขอให้สติไว้ จุดนี้

 

_ถ้าจะเป็นคุรุก็กังวลไปเสียหมดว่าจะต้องดูแลนร. มองตรงไหนก็เป็นปัญหาไปหมด โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องลงรายละเอียดกับเด็ก เช่นการนอนที่ตึกโรงครัว ก็พัดลมเปิดทุกอันที่มีพัดลม แล้วก็คลุมโปง แต่วันไหนที่เราไปไหน ไปที่พุทธสถานไหนก็รู้สึกว่าเป็นบ้านเราหมด ก็ต้องดูแล ต้องเหนื่อยมาก เด็กๆที่อยู่กับดิฉันก็บ่นว่าเหนื่อยมาก ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม? ดิฉันก็ไม่รู้จะยกตัวอย่างใครดี ก็ยกตัวอย่างพ่อครูว่าพ่อครูมีวันพักไหม? แต่ถามเขาว่าอโศกดีไหม? ก็ดี แต่เขาขอไปโลดโผนไปข้างนอกก่อน

ตอบ...ความซับซ้อนมันเป็นความซับซ้อนที่ยาก อย่างของคอมมิวนิสต์ที่เขาเข้าใจ ในระดับdialectic ในคอมมิวนิสต์เขาก็มีในระดับของเขา แต่ของพระพุทธเจ้าท่านมีมหาปเทส 4​และสัปปุริสธรรม 7 แล้วมีการประมาณว่าอะไรควรหรือไม่ควร เพราะสังคมที่เราอยู่มีความไม่เที่ยง จะใช้หลักตายตัวไม่ได้ โลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกวันๆต่างไป โลกเมื่อวานก็ไม่เหมือนวันนี้ เปลี่ยนทุกวัน ทุกวินาที หากเรายึดมั่นถือมั่นแล้วเราจะยึดไม่ได้เลย คำว่ามหาปเทส 4 ของพระพุทธเจ้าจึงมีคำอนุญาต และคำห้าม ถ้าไม่มีในบัญญัติ ว่าห้ามหรืออนุญาต ก็ดูว่าอะไรควรหรือไม่ควร เหตุปัจจัยไม่แน่นอนเลย

 

เช่นหมู่กลุ่มอโศกแต่ละคนก็มีภูมิระดับหนึ่ง พวกคุณก็มีวัยนี้ภูมิเช่นนี้ แต่พอออกไปกับคนหมู่อื่นก็ต้องใช้หมู่อื่นมาคำนวณตัดสินแล้วผลออกมาก็จะไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรเที่ยงเลย ตายตัวไม่ได้เลย นี่คือนัยที่อ่านยากว่าเจริญหรือไม่เจริญ อาตมาตอบได้แต่ว่า พวกครูก็ได้แต่บอกว่าเจริญๆ แต่พลอยไพรรู้สึกว่าเสื่อมบางเรื่องนะ นั่นแหละบางเรื่องดูเหมือนเสื่อมลง เช่นเด็กที่เราอยากให้ขันชะเนาะมากขึ้น บางอย่างเสื่อมก็ถูก แต่ค่าเฉลี่ยเสื่อมลง การน้อยลงไม่ได้หมายความว่าเสื่อม ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในปริมาณ และลักษณะเช่นนั้นก็ต้องเกิด ทุกอย่างจะต้องเป็นเช่นนี้ (พ่อครูทำมือเข้าๆออกๆ สูงๆ ต่ำๆ เล็กๆ ใหญ่ๆ) มีหลายระนาบด้วย วนไปมาซับซ้อนอีกหลายมิติ เราจะดูตื้นๆเขินๆไม่ได้

 

ยกตัวอย่างง่ายๆถ้าใครมองว่าอโศกแย่ลง แล้วอโศกทำงานได้มากขึ้นหรือไม่? คนที่มีความมั่นคงไม่ผันแปรแล้ว รู้สึกว่าตนเองมีความสบายใจในชีวิตมากขึ้นไปตลอดหรือไม่? ก็มากขึ้น แต่ถ้าทุกวันคุณก็รู้สึกว่ามั่นคงถาวร มากขึ้น ก็คือเจริญขึ้น มวลจะน้อยลงแต่ได้อรหันตฺ์ขึุ้นไปมากขึ้น มีโสดาฯลดลงแต่ได้สกิทาฯเพ่ิมขึ้น แล้วคุณว่าคุณเสื่อมลงหรือ? ก็ไม่ แต่ต่อไปโสดาบัน เพ่ิม แต่สกิทาฯลดลง เหมือนลดลง มันก็ไม่ได้เสื่อมลงนี่ มันก็ไม่ได้ เช่นพระพุทธเจ้าเทศน์สอนคน 180 คนพอเทศน์เสร็จ ก็สึกหนีไปเลย 60​คน อีก 60 คนอาเจียรเป็นโลหิตร้อนพุ่งจากปากตาย แต่อีก 60​ก็เป็นอรหันต์ เสียไปตั้ง 120 แน่ะ แต่ได้อรหันต์ 60 ก็ไม่ได้เสื่อม ก็เป็นภาวะที่เข้าใจได้ยาก แต่ถ้าคุณจะกลัวว่าเสื่อม อาตมาว่าอาตมาน่าจะกลัวมากกว่าคุณ อาตมาก็น่าจะเห็นเหมือนกัน เพราะอาตมาก็ฉลาดไม่เท่าคุณน้อยกว่าคุณบ้าง แต่ถ้ามันเสื่อม แล้วอาตมาพูดว่าเจริญ อาตมาก็โง่สิ อาตมาแกล้งโง่ว่าเจริญทุกคนก็ปล่อยสิ ก็ตายเลย อาตมาก็ยังบอกเลยว่าอันไหนต้องเตือนว่าเสื่อมก็บอก แต่ค่ารวมอาตมาเห็นว่าเจริญได้

 

การเจริญก็เจริญทั้งโลกุตระและโลกียะ ถ้าไม่เจริญโลกียะก็เหมือนฤาษีหรือเชน ก็ได้แต่ตัวเองไม่มีเจริญก็ได้แค่นั้น พวกสุดโต่งในโลกก็มีไม่กี่คนพวกนี้จะน้อยลงๆ ไม่มีเพ่ิม เราก็เอาแบบสมดุล อยู่ในโลก สุดท้ายก็จะมีการล้างโลก เราก็จะเหลืออยู่ ก็อยู่ไปทำให้ดีต่อไป สิ่งสำคัญคืออัตภาพวิบากของแต่ละคนเมื่อมีจิตนิยามก็มีอัตภาพสั่งสมเป็นวิบากจนกว่าจะปรินิพพานไป แต่จะอยู่ต่อมีวิบากตราบโลกแตกก็ต้องไปตามวิบาก ไปอยู่โลกที่จะดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่วิบาก อาจแย่กว่าโลกนี้อีกก็ได้ สรุปสำคัญคืออัตภาพของแต่ละคนเกิดมาแล้วให้ศึกษาตามที่พระพุทธเจ้าพาทำเถอะ ตราบใดยังไม่เป็นอรหันต์ก็ต้องมีตกต่ำขึ้นสูงอยู่ แต่ถ้าเป็นโสดาบันก็มีทางไปสู่ความเจริญ แต่ถ้าประมาทก็อยู่เป็นโสดาบันเป็นล้านๆชาติได้ สรุปคือเป็นอรหันต์ให้ได้แล้วจะรู้ว่าตนจะต่อภพภูมิต่อหรือไม่? อรหันต์แล้วเป็นหลักประกันว่าคนๆนี้จะไปเกิดโลกไหนๆ ก็แล้วแต่ อย่างอาตมาไม่ได้เกิดในโลกนี้โลกเดียวนะ แต่ถ้าเป็นอรหันต์แล้วจะเกิดหต่อหรือปรินิพพานก็ได้ เพราะส่ิงที่ยอดที่สุดก็คือคน คนเป็นอรหันต์นั้น ตอนไม่เป็นก็ว่าจะเป็นอรหันต์เท่านั้น แต่พอเป็นแล้วก็มีกตัญญูกตเวที ก็จะช่วยทดแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า ท่านทำไปแล้วก็ไม่ทุกข์ มีน้อยที่ไม่ต่อ แม้อรหันต์ที่แย่ก็ตาม ท่านก็ทำได้ ท่านอาจยาก แต่โพธิสัตว์ใหญ่จะยากกว่าอรหันต์ตอนต้นๆ โพธิสัตว์ใหญ่ต้องรับภาระมากหนัก ไม่อยากพูดเลยว่า ระดับ 7 นี่มันเหนื่อยหนักนะ ยิ่งระดับ8 ยิ่งมากกว่าอีกนะ ...


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:12:45 )

571107

รายละเอียด

571107_พ่อครูแจ้งสรุปมหาปวารณาต่อสาธารณะ

การหมั่นพรั่งพร้อมการประชุม เป็นเความไม่เสื่อมของศาสนาและมนุษยชาติ การประชุมเป็นการระดมสมอง Brain storm มาช่วยฟังช่วยรู้ช่วยคิดช่วยปรับปรุง จัดแจง สิ่งใดบกพร่องควรหยุด ควรชะลอ ควรเพ่ิม อะไรไม่ดีเราก็ต้องระงับต้องเลิก อะไรไม่ดีเราก็ต้องปรับปรุง มนุษย์มีปฏิภาณเรื่องนี้ การรวมกันก็ได้ระดมสมองและได้ลดละตัวตน ความยึดถือ แต่ละคนก็ต่างความเห็น เราต้องเรียนรู้ว่าแม้ความเห็นของเราเรามีสิทธิ์เสนอเข้าหมู่ เป็นวิธีการประชาธิปไตย แล้วเอามาวิเคราะห์วิจัย สุดท้ายเราก็ลงคะแนนเสียง ถ้าเอกฉันความเห็นตรงกันหมดก็ไม่ต้องลงคะแนนเสียง แต่ถ้าต่างกันก็ต้องโหวตลงคะแนน แล้วเอาคะแนนเสียงส่วนมากเป็นมติ แล้วก็ต้องคอยดูว่า ใครเสนอที่ขัดแย้งก็ต้องละวางตัวตนของเรา ความเห็นความเชื่อความยึดของเรา แม้ของเราจะถูกต้องก็ต้องเลิกหยุดพักแบบเรา แต่เอาตามหมู่ เราก็ร่วมทำตามมติ สนับสนุน เพราะเป็นความเห็นส่วนใหญ่ สังคมก็ไม่ขัดข้องมีพลังเดินไปตามความเห็นหนึ่งนั้น เป็นลักษณะของประชาธิปไตย องค์รวมของมนุษยชาติ เอโกธัมโม ไม่มีการขัดแย้งทะเลาะวิวาทหรือถูกดึงไว้

 

พระพุทธเจ้าทำมาก่อนแล้วสำเร็จแม้ในสมัยสมบูรณายาสิทธิราช ในยุคทาส และคนก็ยังไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน แต่ยุคนี้ไม่ใช่ แต่เป็นยุคแห่งประชาธิปไตย รู้จักสิทธิในตนและวัตถุ สิทธิมนุษยชน เป็นสังคมสมัยใหม่ ชาวอโศกนั้นเป็นสังคมสมัยใหม่ เอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาใช้และเราทำได้มีผลสำเร็จ จนถึงขั้นสาธารณโภคี มีลาภโดยธรรม ธัมมปฏิลาโภ มีส่วนที่ได้ขึ้นมาโดยสุจริต ไม่เบียดเบียน ไม่โกงไม่ทุจริต แต่ลาภโดยธรรมนี้เราได้เราก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา เราได้ลาภแล้วเอาเข้าส่วนกลางเป็นสาธารณโภคี เมตตา กาย_วจี_มโน ลาภธัมมิกา เอามาใส่ไว้ในกองกลาง แบ่งกันกินใช้เรียกว่าสาธารณโภคี

 

ในยุคพระพุทธเจ้าทำสาธารณโภคีได้แค่ในวงสงฆ์ แต่ยุคนี้ยุคอิสรเสรีภาพ เปิดกว้างทำได้ในฆราวาส ขอให้ใช้ทฤษฏีพระพุทธเจ้าทำให้จริง จะเกิดการรวมตัวกันเองเลย ใครจะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ ส่วนใครมาอยู่แล้วขัดกับหลักของหมู่ ถึงขั้นไล่ออกเขาก็ให้ออกจากหมู่ หรือถึงขั้นลงโทษก็มี แม้ในยุคโบราณก็มี

 

ลาภธัมมิกาแล้วเป็นสาธารณโภคีเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ อธิบายเป็นสมัยใหม่ก็คือเสียภาษี 100% ของพระพุทธเจ้าเสียภาษีแบบทุกคนเต็มใจเอาเงินนี้เข้ากองกลาง กำหนดหลักเกณฑ์ของการเสียภาษี อย่างคอมมิวนิสต์เขาก็มีกรอบให้คนเสียภาษี ใครได้มากก็เสียมาก ใครได้น้อยก็เสียน้อย ก็หลักเหมือนกัน ประชาธิปไตยก็เหมือนกัน แต่อัตราส่วนการแบ่งต่างกัน คอมมิวนิสต์นั้นคณะบริหารเข้ม ใครรายได้มากก็ตั้งภาษีมากๆ เลี่ยงไม่ได้ แต่ประชาธิปไตยคณะบริหารเศรษฐีร่ำรวยก็ถ่วงไว้ออกกฎหมายให้ไม่เอามากจากคนรวย เดี๋ยวนี้ก็สู้กันอยู่ในสภาการออกกฎหมาย รัฐบาลนี้ก็พยายามทำเฉลี่ยนให้คนที่มีน้อยด้วย แต่เพราะความเห็นแก่ตัว ความขี้เหนียวเลยไม่ทำ คนมีมากก็ไม่น่าขี้เหนียว แต่ก็มีจริง

 

เรามาปฏิบัติธรรมจนความขี้เหนียวเห็นแก่ตัวลดลง ก็อยู่กันอย่างไม่ต้องมีกฎหมายบังคับ เราก็ไม่เรียกว่าเสียภาษีเลย แต่เราเต็มใจให้ ไม่เหมือนภาษีที่ไม่เต็มใจให้แต่ให้เพราะกฎหมายบังคับ พวกเรามาอยู่ที่นี่ก็เลยให้ส่วนกลาง ส่วนกลางก็มีมาก ยินดีเต็มใจเกื้อกูลกันอย่างที่ทุกคนพยายามไม่เห็นแก่ตัวไม่ลำเอียง อันไหนควรก็แบ่งกันอันไหนไม่ควรก็ไม่ให้ มีเจ้าหน้าที่คอยแบ่งแจก แต่ทำด้วยใจบริสุทธิ์ไม่เห็นแก่ตัวแต่พวกมากกว่าคนโลกๆ เป็นคนลดกิเลสได้จริง มันจึงมีสภาพนี้ได้

 

สังคมในโลกเป็นแบบนี้ได้ยาก แต่เป็นได้อย่างในหมู่พวกเราก็ทำได้ และต่อเนื่องด้วย ถ้าจะเสื่อมไปก็เพราะสุดวิสัย สังคมโลกนั้นก็มีจุดหมายปลายทางเช่นนี้ ไม่ว่าจะคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยก็ต้องการเฉลี่ยให้เพียงพอทั่วกัน และในสังคมจะมีคน 5 ชนิดที่ต้องช่วย คือ เด็ก คนแก่ คนป่วย คนพิการ คนไร้สมรรถภาพ นอกนั้นก็คือแล้วแต่ความรู้ความสามารถของแต่ละคน แต่อีกอันหนึ่งคือคนที่สมองหรือภูมิปัญญาเขาได้แค่นี้จริงๆ ก็อยู่ในข้อที่ไร้สมรรถนะ คนพวกนี้ต้องเกื้อกูลเขา แต่มีอีกสองคนที่แทรกในสังคม เรียกว่าคนเลวคือคนขี้เกียจ กับคนขี้โกง คนพวกนี้มันต้องพยายามบีบบับคับให้ขยันขึ้นหรือหยุดโกง อย่าไปช่วยแต่ต้องให้เขาเปลี่ยนแปลง พวกนี้ไม่โง่นะ พวกขี้เกียจ ย่ิงพวกขี้โกงยิ่งไม่โง่ พวกนี้ทำให้สังคมฉิบหาย โดยธรรมะก็คือคนบาป คนขี้เกียจก็บาป เด็กๆฟังไว้นะ  ยิ่งฉลาดยิ่งโกงแนบเนียน แล้วโกงหนักด้วย

 

อาตมาพามาทำแบบนี้อาตมาก็เลิกทำงานส่วนตัวแล้ว ตั้งแต่อายุ 36​ทำมา 44 ปีแล้วก็อายุย่าง 81 ปีแล้ว ก็ยังดีว่า ทำงานทางโลก 36 ปีอาตมาแบ่งส่วนได้จากโลกมากอยู่นะ อายุไม่มากแต่หารายได้ได้มากกว่านายกฯสมัยนั้นนะ นายกฯเงินเดือนแปดพันบาท อาตมาเงินได้ต่อเดือนสองหมื่นกว่าบาทแล้ว

 

ในยุคสมัยนี้ ตั้งแต่มีประวัติศาสตร์มายังไม่มีระบบแบบนี้ สาธารณโภคี มันก็เป็นส่ิงใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ยุคนี้ เหมือนยูโทเปียก็ยังไม่บริบูรณ์เท่าของพระพุทธเจ้า แต่สาธารณโภคี เป็นบุญนิยม รายได้ทรัพย์สินที่ดินเป็นของส่วนกลาง  เราก็มีคณะผู้ที่ช่วยบริหารรองจากอาตมา ก็มีชุมชนหมู่บ้านต่างๆ และปีนี้ในที่ประชุมมหาปวารณาก็มีเรื่องที่จะแจ้งด้วย

 

ศาสนาวัตถุ ศาสนาพิธี ศาสนสถาน

_ปิดโรงเรียนสัมมาสิกขาหินผาฟ้าน้ำ ส่วนชุมชนหินผาฟ้าน้ำ ให้สมณะทางสีมาอโศกดูแล เราก็วิเคราะห์วิจัยกันมาก ว่าจะทำอย่างไร ถ้าไม่ทำเช่นนี้ก็จะเกิดการเสียหายมากได้

_สมณะ สิกขมาตุ อายุเกิน 60 ปี ไม่รับเงินดูแลผู้สูงอายุ จากรัฐบาล ส่วนฆราวาสชาวอโศกที่รับเงินเหล่านี้ ก็ใด้เป็นอิสระไม่บังคับไม่มีระเบียบเป็นสิทธิ์ส่วนตัวจะเอาเข้ากองกลางหรือไม่ก็ได้ ส่วนนักบวช ชายหรือหญิงก็ไม่รับ อาตมาก็ไม่เคยรับ

_บทสวด ภวตุสัพฯ ใช้ “พึง” ตัวแรก “จึง” ตัวหลัง” เช่น ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง มงคลทั้งปวง พึงเกิดขึ้น รักขันตุ  สัพพะเทวะตา จิตสูงทั้งปวง จึงรักษา

_บทสวด พาหุงฯ 8 เมื่อสัจจนิครนถ์ เปลี่ยนเป็น เมื่อสัจจกนิครนถ์ (ตามพระไตรปิฎก) ซึ่งเป็นประณามคาถา(คำสรรเสริญคุณพระพุทธ ธรรม สงฆ์ คนอื่นแต่งไม่ใช่พระพุทธเจ้า) สวดให้ใครฟังได้ยินได้ไม่อาบัติ แต่ถ้าเอาธรรมบท คือคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาไปสวดให้ฆราวาสฟังพร้อมกันตั้งแต่สองรูปขึ้นไปเป็นอาบัติ ไม่ให้ทำ แต่ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้สวดกันมากเลย ประชาชนก็นิยมกันด้วย บอกว่าสวดแล้วได้บุญ มันเป็นเรื่องผิดไปหมด ฟังแล้วขลังได้บุญ ซึ่งมันไม่ได้ แล้วก็ใช้บทมนต์เป็นสิ่งควรได้เอาไปหากิน สวดมนต์แล้วได้ส่ิงแลกเปลี่ยน เขาเรียกว่าได้ปัจจัย ปัจจัยเป็นของจำเป็น พระพุทธเจ้าว่ามีแค่ ข้าว ผ้า ยา บ้าน เท่านั้น แต่ปัจจัยมีแค่ 4 อย่างอื่นเป็นบริขาร ก็เอาไปตีความว่าเอาไปซื้อปัจจัย 4 ได้ แต่แท้จริงมันเป็นอสรพิษ

 

ศาสนบุคคล

  • สมณะช่วยงาน บุญนิยมทีวี มี 4  รูปคือ สมณะคมลึก  เมตตจิตโต, สมณะลั่นผา  สุชาติโก, สมณะหินมั่น สีลาปากาโร, สมณะใต้ดาว  เหฏฐานักขัตโต
  • เรารับสมัครคนทำงาน บุญนิยมทีวี ไม่จำกัดตำแหน่ง เพราะตอนนี้เราทำงานกับเป็นจำนวนสิบ ไม่เป็นร้อยเหมือนสถานีใหญ่เขา แต่ของเราฟรีหมด เบี้ยเลี้ยงเท่ากันหมด เสมอภาคดีจริงๆ ทำงานฟรีทุกตำแหน่ง

 

แม้แต่สมณะที่ปัจฉาฯหรือสมณะลงอาราม ก็ไม่ขอประกาศ เพราะส่วนใหญ่คงเดิม ส่วนอาตมาก็เหมือนอย่างเคย อาตมาและปัจฉาฯไม่ลงอารามประจำที่ เป็นสมณะสัญจร

 

โศลกธรรมงานมหาปวารณา ปีนี้ :

วัฒนธรรม “บุญนิยม” นั้น ต้องไม่ใช้ “บุญ” เป็น “วิมาน” หลอกคน

 

ก่อนจะได้ก็จะได้อ่านอาศิรพจน์

 

พระปรมาภิวาทะ

             

                          ๏ วันพิเศษพสกทั้ง                       ไผทไทย

                        รำลึกน้อมภูวไนย                ผ่านเผ้า

                        เทิดทิตอิศเรศไอ-                 ศุริยะ ยิ่งเทอญ

                        คุณค่าฟ้าปกเกล้า               เลิศล้นบารนี   

                          ๏ ไทยมีกีรติก้อง                ด้วยพระ

                        วิริยะกรุณมหะ                       กว่าพร้อง

                        ปรมาภิวาทะ                            ยิ่งวิเศษ สุดเลย

                        คือแบบคนจนต้อง              ทึ่งอึ้งคำสวรรค์

                          ๏ ทรงสรรคำอีกย้ำ          ชัดเจน

                        อาว์ล็อสอิสอาว์เกน                       ยิ่งซ้อง

                        เสริมพระอริเยนทร์                        เปรื่องปราชญ์

                        ปรีชญาณพฤทธิ์พ้อง                   พุทธแท้เธียรธรรม

                          ๏ พระคำวิเศษนี้                 อาริยะ

                        ใช่ตรัสแต่วาทะ                    แค่ถ้อย

                        ราชจริยวัตระ                         ประจักษ์สิทธิ์ พิสูจน์เทอญ

                        ทรงกิจไว้ไม่น้อย                 กว่าร้อยเกินพัน

                          ๏ พระสรรพระสฤษฎ์ให้          โลกระบือ

                        คำใหญ่ยิ่งนั้นคือ                 ทิฏฐิฟ้า

                        เคยมีฉะนี้หรือ                                   ในโลก

                        ที่ตรัสให้คนกล้า                  มักน้อยมาจน

                          ๏ ปกครองคนด้วยแบบ            ขาดทุน

                        ปรมัตถ์นี้คือบุญ                    แน่แท้

                        ชำระกิเลสคุณ                                    ใหญ่ยิ่ง 

                        โลกวัดมิได้แม้                                    ฉลาดด้วยปริญญา                                                

                          ๏ วาทะนี้กว่าพื้น                ปุถุชน

                        ทั้งขาดทุนทั้งจน                  สุขได้                    

                        สละชี้อัศจรรย์คน                อาริยะ                 

                        ประหลาดแน่แต่จริงไซร้           เพราะแท้พุทธธรรม                                             

 

                                                            ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

                                                                                    ข้าพระพุทธเจ้า น...เราคิดอะไร

                                                                                      (สไมย์ จำปาแพง  ประพันธ์)                       

                                                                                    28 ต.. 2557

วิมานหลอกคนก็บอกว่ามาทำทาน การทำทานคือการสละออกวัตถุ แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิแล้วคุณได้กุศลในการสละวัตถุ แต่คุณต้องได้บุญ ที่คือการลดละกิเลส ตามคำแปลของบุญที่แปลว่า การชำระจิตสันดานให้หมดจด สันตานังปุนาติ วิโส เทติ

 

คนเข้าใจบุญเพี้ยนไป เอาไปหลอกเป็นวิมาน เข้าใจว่าเป็นทาน แล้วเข้าใจว่าทานเป็นบุญ แต่ไปบอกว่าท่านนี่คุณจะได้วิมาน แล้วจะได้สิ่งตอบแทนจะรวยกว่าเก่า บุญใหญ่โต มหาศาล ไม่ใช่ขี้หลอก แต่เนื้อมันหลอกเลย เนื้อตัวต่อนเลย

 

ทำไมเขาใช้คำว่าบุญ เพราะบุญนี่มันมีค่าสูง บุญคือการชำระกิเลส มันมีค่าสูงกว่ากุศลที่เป็นเพียงคุณงามความดี โดยปัญญาคนก็ต้องการบุญ คนก็เลยต้องเอาบุญมาหลอกกัน ทั้งๆที่พากันทำตั้งแต่การตั้งจิต มีความคิดไม่ถูกบุญไม่ทำบุญถึงใจ ถ้าใจไม่เปลี่ยน มนสิการไม่เป็น จิตยังอยากได้เอามาให้แก่ตนก็ไม่เป็นบุญ จะได้แต่กุศลอย่างเดียว คนที่เอาบุญไปสอนคนหลอกคนว่าได้อะไร คนทำบุญกับโพธิรักษ์ไม่ได้อะไร อาตมาไม่ต้องการให้คนมาทำทานหากไม่ได้มาเป็นสมาชิก เราจะรับเงินบริจาคทานจากสมาชิกชาวอโศกเท่านั้น ถ้าไม่มาคบคุ้นว่าอโศกมีทิฏฐิอย่างไร หากไม่มาศึกษาครบ 7 ครั้ง (ไม่ใช่ว่ามาผิวเผิน) แต่มาศึกษาทำความเข้าใจมาถึง 7 ครั้งคงพอเข้าใจว่าอโศกมีแนวทางความคิดอย่างไร หรืออ่านหนังสือ 7 เล่ม เล่มพอสมควรหน่อย แต่ก่อนฟังเทป 70 ม้วน เดี๋ยวนี้ดูโทรทัศน์เกิน 70 ครั้งได้ไหมอาตมาก็ว่าไม่ได้หรอก

 

ถ้าคนที่ฉลาดจะสร้างวิมานหลอกคน คนพูดเองยังไม่รู้ว่ามีจริงไหม ว่าคุณจะได้ชาตินี้ชาติหน้าติดตัวไป จริงหรือไม่ก็ไม่รู้  บุญไม่ใช่วิมานในอนาคต ปัจจุบันธรรมคือทำบุญคือลดละกิเลส ขณะมีทวาร 6 กระทบสัมผัส แล้วเกิดกิเลส คุณจะกดข่มหรือวิปัสสนาก็ตาม ว่าเห็นถึงความไม่เที่ยงเหตุแห่งทุกข์ เห็นความเสื่อม แล้วก็ลดละได้ มีอนิจจานุปัสสี มีพลังงานปัญญาไปละลายพลังไฟกิเลสได้ พลังงานปัญญาหรือฌานที่เก่งพอก็ละลายพลังงานกิเลสได้ เราจะรู้อาการกิเลส ที่เป็นสักกายะ มันลดละเรียกวิราคานุปัสสี การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ารู้จักรู้แจ้งรู้จริง เป็นจิตเจตสิก รูป อ่านเห็นว่ามันลดละจางคลาย จึงชื่อว่าบุญ ไม่ใช่วิมานว่าจะได้อะไรมา คนใดเอาบุญไปหลอกว่าจะได้วิมานในอนาคตคนนั้นได้บาป

 

บุญไม่มีอะไรตอบแทนนอกจากการลดกิเลส ทำให้คนเป็นอาริยะมีคุณค่าพ้นทุกข์ มีทั้งกุศลและประสิทธิภาพต่อโลก พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชน) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชน) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ทำบุญแล้วลดกิเลสจนหมดกิเลสก็เป็นสิ้นปุญญักขยะ เพราะทำปุญกต สิ้นสุดการทำบุญเสร็จแล้วคือกต เป็นปุญญาปาปริกขีโณ เมื่อจบแล้ว บาปก็หมดบุญก็หมด ไม่ต้องทำบุญทำบาปอีก เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป แต่มันเพี้ยนไปว่าสิ้นบุญคือคนตาย แต่ที่จริงคนสิ้นบุญคืออรหันต์ เมื่อสิ้นบุญแล้วก็ไม่มีบุญหรือบาป ในปัจจุบัน แม้ต่อไปเป็นอดีตก็ไม่มี ในอนาคตก็ไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว

 

ผู้ใช้บุญเป็นวิมานหลอกคนก็ได้บาป คนไม่รู้ถูกหลอกก็โง่ให้เขาหลอกใช้ เหมือนหูกับขี้ทูต ไปด้วยกันได้ดีทั้งคนบาปและคนบาป ทั้่งคนที่จะเอาและจะให้ ก็ขยายผลของการหลอกไปทั่วโลก สำนักที่ทำนี้มีอยู่ เจตนาพูดให้ถึงเขา แต่ไม่ได้โกรธเกลียดเขานะ เขาสร้างวิมานเก่งมีความรู้ทางการตลาดเก่ง หลอกเก่งมากใช้วิชาการโลกีย์เต็มที่เลย มีคนนิยมชมชื่นมาก อาตมาไม่ริสยานะ เพราะคนหลงความผิดเป็นความถูกไปหลงนรกเป็นสวรรค์นี่คือคนไม่มีปัญญา อาตมาจะไปริสยา คนหลอกคนโง่ได้ทำไม อาตมาไม่หลอก อาตมาถึงไม่ไปริสยาคนที่รวบรวมคนโง่ได้มาก เอาไปให้หมด อาตมาจะได้เหลือคนฉลาด คนที่ตกเป็นเหยื่อของคนหลอกก็เอาไปสิ อาตมาไม่ต้องการคนถูกหลอกได้ อาตมาต้องการคนมีปัญญา มาที่นี่ไม่หลอก ใครเอาบุญเป็นวิมานหลอกคน นั้นเป็นคนทำลายศาสนา ได้บาป วัฒนธรรมบุญนิยมนั้น ต้องไม่ใช้บุญ เป็นวิมานหลอกคน

 

ระบบที่เราทำนี่เป็นแบบคนจน แบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ตามพระมหาโพธิสัตว์รูปหนึ่ง อาตมาพูดนี่ไม่ได้โหนเกาะสถาบันนะ อาตมาเอาความจริงมาขยายให้เห็นว่าประเทศไทยมีสิ่งประเสริฐแต่คนรับลูกไม่ได้รับสาระประโยชน์ไม่ได้

 

เขาบอกว่าคนเราต้องเท่าเทียมกัน แล้วพ่อแม่คุณกับคุณต้องให้เท่ากันไหม พ่อแม่เราก็ยกใส่เศียรใส่เกล้าได้เพราะท่านมีบุญคุณ แต่ในระดับพระเจ้าแผ่นดินท่านก็ทำมาพิสูจน์มาจนอายุเท่านี้แล้วแต่คุณก็สุดโต่ง เสมอภาคแบบอันธพาล คุณว่านิ้วมือ 5 นิ้วนี่เท่ากันไหม? นี่คือความซับซ้อน ท่านเป็นนิ้วโป้งท่านก็เป็นนิ้วโป้งสิ แต่ว่าคุณเป็นนิ้วก้อยจะให้เท่ากับนิ้วโป้งได้อย่างไร?

 

ท่านพยายามเผยแพร่ ท่านก็ไม่มีเวลา ท่านทรงงานมาก เพราะในหลวงมีคุณธรรมตรงกันกับของพระพุทธเจ้าอาตมาก็ช่วยทำ รับลูกได้ แล้วตั้งใจอุตสาหะพากเพียรท่านก็ทรงงานในหน้าที่ของท่าน อาตมาก็ทำหน้าที่ในฐานะพลเมือง อาตมาดำเนินตามรอยพระยุคลบาทแน่แท้ตรง แบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา อาตมาเลยเอาไปแต่งอาเศียรวาท อันนี้

 

เพื่อย้ำว่าสิ่งที่ในหลวงทรงพระจริยวัตรท่านทำมา มีโครงการกว่าสี่พันกว่าโครงการก็ให้ข้าราชการรับช่วงแต่ก็ไม่มีใครรับช่วงต่อ เขาเอามาทำบ้างเหมือนกัน ถ้าสนใจพระราชดำรัส สนใจโครงการในหลวง ขยายให้จริง อาตมาว่างานบริหารบ้านเมืองจะไปไกล โดยเฉพาะสร้างคนให้มีภูมิธรรม เข้าโลกุตระแบบในหลวงทรงทำ แบบเศรษฐกิจพอเพียงก็ทำให้สอดคล้องกับสัจธรรม ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโลก

 

ง่ายๆคือเป็นประเทศที่ไม่เป็นพิษภัยต่อสังคมโลก ให้ประโยชน์ต่อโลกด้วย ไทยจะมีผลผลิต จะเป็นของดีแล้วจะให้แก่ผู้อื่น เกื้อกูลคนอื่น แม้ขายก็ขายราคาถูก มีน้ำใจซื่อสัตย์ แบบขาดทุนให้แก่ประเทศอื่น คิดตามเศรษฐกิจโลกเลย ไทยขายขาดทุน โลกเขาขาย 100 ไทยขาย 70 หรือ60 หรือ50 เท่าที่ไทยจะอยู่ได้ แต่ยืนยันว่าขายต่ำกว่าราคาโลก หรือในไทยก็ขายต่ำกว่าราคากลางของประเทศหรือให้แจกฟรีด้วยความสุจริตใจ ไม่ต้องการส่ิงตอบแทนไม่สร้างอำนาจ  ให้โดยเมตตา ช่วยเหลือกันด้วยความจริงใจ แล้วไทยจะเป็นประเทศรวยไหม ไม่รวย แต่เหลือกินเหลือใช้แจกจ่ายคนอื่นได้ตลอด เพราะขยัน และคนไทยจะมีทรัพย์คือ ความรู้ความสามารถและความขยัน สร้างสรรอยู่ทุกวัน แต่ไม่สะสมไม่เห็นแก่ได้ ทุกคนมักน้อยสันโดษ ไม่เห่อ ไม่มีอบายมุขเลยในประเทศ ไม่มีโลกต่ำๆ

 

ถ้าประเทศไทยทำตามปรัชญาหลักของศาสนาพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ เมืองไทยมีพุทธศาสนิกชนกว่า 95% ฟื้นพุทธธรรม การศึกษาไทยเน้นศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา คือให้มีพุทธธรรม มีไตรสิกขาให้ได้ ให้เกิดจริงได้ ความรู้ทางโลกไม่ต้องห่วงหรอก ต้องมาฟื้นศีลธรรมให้ได้ ให้คนเป็นอาริยบุคคลได้จริง ไทยจะฟื้นจริง อย่างน้อยคอรัปชั่นขี้โกงจะลดลง การแจกจ่ายเกื้อกูล เป็นเศรษฐกิจของถูก เราสร้างเท่าไหรก็ขายหมดขายในประเทศคนต่างประเทศจะเข้ามาซื้อเลย ไม่ต้องโฆษณาชวนเชื่อเลย เราเอาสารัตถะเป็นเครื่องจูงนำเขา ต่างประเทศจะวิ่งมาเอง เราขายของดีราคาถูก ซื่อสัตย์มีน้ำใจ  ขายสดงดเชื่อเบื่อทวงปวดท้องมันจะสบายมากเลย เป็นเศรษฐกิจสุดยอดเลย ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจที่ไม่รวย ตามพระเจ้าอยู่หัวตรัส คำทุกพระราชดำรัสฟังแล้วสุดซึ้งสุดวิเศษ การก้าวหน้าอย่างนั้นมันถอยหลังเข้าคลอง

 

สังคมการเมืองเศรษฐศาสตร์ไม่ได้แยกกัน เราช่วยเศรษฐกิจ สังคมก็เจริญ​หากมีหมู่กลุ่มก็เท่ากับการเมืองการบริหารไปเอง เป็นหมู่กลุ่มแบบนี้ ใครจะมาร่วมทำก็มา

 

โลกก็ต้องการอารยธรรม civilization แต่อารยธรรมของแต่ละลัทธิ แต่ละแห่งก็ไม่เหมือนกัน ทางตะวันตกถือว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาไม่มีจิตวิญญาณ แต่อาตมาว่าพุทธนี่คือเนื้อของจิตวิญญาณเลย

 

ถ้าไทยเข้าใจสิ่งดีสิ่งควรฟื้นฟู อย่าอาย อย่ามีมานะอัตตา มาร่วมกัน จะมีพลังมาก ทำการศึกษาให้มีคุณธรรมแล้วเรื่องความรู้เราจะไม่ตกโลกเลย ในหลวงตรัสว่าอย่าไปหลงใหลติดตำรามากนัก ถ้าจะติดตำราให้ติดตำราไตรปิฎก เอาศาสตราจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักดีกว่า


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:13:30 )

571108

รายละเอียด

571108_ก่อนฉันงานมหาปวารณา โดยพ่อครู เรื่อง ขณะนี้เมืองไทยเป็นชมพูทวีปแล้ว

พวกเราก็ยังยินดีมีส่วนร่วมกิจกรรมของศาสนา ของธรรมะ คำว่าธรรมะนี่ยิ่งใหญ่มาก

ธรรมะนี้รู้กันโดยปริยายว่าเป็นส่ิงดี ถ้าไม่ดีก็ไม่ใช่ธรรมะ แม้นิดนึงก็ไม่ใช่ธรรมะ เปื้อนเศษธุลีแห่งความไม่ดีก็ไม่ใช่ธรรมะ ที่สุดแห่งที่สุดของความดีงามก็คือธรรมะ

 

คำว่าอธรรมก็คือส่ิงที่ยังไม่ใช่ธรรมะ ผู้จะถึงธรรมที่สุดก็คืออรหันต์ ธรรมะแปลว่าสิ่งที่มีอยู่ นิพพานคือสิ้นอธรรม ผู้ทำอธรรมหมดจากจิตเลย จิตเป็นประธาน กายกับวจีเกิดจากจิต จิตที่จริงบริสุทธิ์สะอาด แต่พฤติกายกับวาจา ออกมาข้างนอก อาจมีคนมองว่าผิด ไม่ถูกต้อง หยาบ แต่จิตของท่านไม่มีหยาบ สิ่งนี้เป็นเรื่องรู้ยาก จิตไม่ด่างพร้อย มีแต่จะอนุโลมกับภายนอก

 

เช่นอาตมาจำเป็นต้องหยาบ ทั้งแสดงออกท่าทาง สำเนียง เสียง กิริยาท่าทาง ทั้งความรู้สึกทางจิต ปรุงแต่งทั้งหมดเรียกว่ากายสังขาร

 

วันนี้เจตนาขยายคำว่า “กาย” ใครฟังได้เข้าใจสมบูรณ์แล้วปฏิบัติได้ก็จะได้เป็นอรหันต์ หากเข้าใจคำว่ากายไม่ชัดเจนก็ไม่มีทางเป็นอรหันต์

 

ในคำตรัสของพระพุทธเจ้า ที่ยืนยันว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เป็นเงื่อนไขที่พระพุทธเจ้าสำทับไว้ ท่านอธิบายถึงผู้ปฏิบัติธรรม แม้มีกายสักขี (สักขีแปลว่าพยานหลักฐาน) รวมทั้งรูปและนามคือคำว่ากาย

 

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ รูปคือมหาภูตรูป ดินน้ำไฟลมข้างนอก คำว่ากายไม่ใช่เพียงมหาภูตรูปเท่านั้น เช่น กล้วย เขาก็ไม่เรียกว่า กาย แม้พืชมีพลังงานทางชีวะ ก็ไม่เรียกกาย อย่างดอกสามปี บ่ เหี่ยว (ดอกบานไม่รู้โรย) ก็ไม่เรียกว่า กายแต่อย่างใด มันเป็นชีวะอย่างหนึ่ง เป็นเพียงมหาภูตรูป 4 แต่ถ้ามาเป็นอุปาทายรูป 24 ก็เป็นนามธรรมแล้ว

 

ต่อให้เป็นสายศรัทธานุสารีย์ เป็นถึงกายสักขีแล้วก็ตาม แต่ถ้าไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายพระพุทธเจ้าก็ไม่รับรองว่าเป็นอรหันต์ ทางสายศรัทธาหรือเจโตเร่ิมด้วยศรัทธานุสารีย์ ได้อย่างเก่งก็แค่กายสักขี อาสวะบางอย่างดับได้ แต่อาสวะที่ดับไปนั้นก็มีสิทธิ์กลับคืนได้ เวียนกลับได้ ถ้าไม่ครบเงื่อนไข ต้องมาพิสูจน์อย่างปฏิบัติลืมตามีผัสสะ

 

นี่เป็นงานศิลปะที่อาตมาเก็บตกหล่นได้ ภาพนี้ก็ยังเก็บได้มาจากสมัยอาตมาทำงานเป็นฆราวาสก็ช่วยทำคู่มือแม่บ้าน เมื่อไม่มีอะไรลงก็เลยเอาภาพที่อาตมาเขียนมาลง ซึ่งที่จริงมันไม่ใช่เรื่องของแม่บ้านเลย แต่อาตมาเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ ก็เลยเอาใส่ลงไปได้ ก็เลยเหลืออยู่นี่ ค้นหาได้สองเล่ม อาตมาจบวิจิตรศิลป์มานะ นี่เป็นงาน Painting ที่เหลืออยู่ เป็นงานองค์ประกอบศิลป์ ชื่อว่า “จะสิ้นโลกแล้วหรือ?” สีมันก็เกือบเน่าแล้ว ถ้าหมายถึงสัจธรรมคือโลกนี้เหลืออยู่นั้นใกล้จะเละเทะแล้ว ภาพนี้ที่พิมพ์หน้าหนังสือ มีวันกำกับว่า 11 ก.ย. 2511 เป็นวันเดียวกับที่เป็นเหตุการณ์ ตึกเวอร์ลเทรดถล่ม ภาพที่อาตมาวาดแต่ก่อนมันมีความหมายเกินกว่าที่อาตมาจะอธิบายตอนนั้น แต่ว่าตอนนี้อาตมาอธิบายได้ ภาพนี้ไม่มีความโค้งความคดเลย มีธรรมชาตินิดหน่อยที่โค้ง

 

นี่อีกภาพที่เป็นภาพใบไม้ ของธรรมชาติมีเท่านี้ นี่เอาภาพถ่ายมาประกอบ ถ่ายมากจากของจริง ต้นฤาษี ใบฤาษี แล้วจำได้ว่าเลือกเอาภาพที่ไม่ชัด เจตนาเลยนะ เลือกเอาภาพที่ถ่ายใบฤาษีที่ไหว ไม่ชัด เอามาประกอบตรงนี้ เป็น จุดสำคัญของภาพนี้ หมายความว่าโลกนี้เป็นโลกมัวหม่นไม่ชัด เป็นโลกอวิชชา กรอบนี้คือโลกที่อวิชชา มันไม่รู้ความสว่างหรือมืดหรืออะไรทั้่งสิ้น แต่ที่ความจริงใบไม้ต้องมีความตรงความระเบียบ แต่นี่มันไม่รู้เลยความต่ำสูงความตรงหรือโค้งก็ไม่ชัดเลย นี่คือภาพที่อาตมารู้ว่างานของตนเป็นเช่นนี้

 

หนังสือนี้ได้มาจากโรงขยะเขาทิ้งมา คนเจอก็เปิดดู ในนี้บันทึกว่าภาพโดย รัก รักพงษ์ เขาก็เลยหอบมาให้อาตมานะ ก็เหลือสองเล่มนี้เท่านั้น ก็เลยแกะภาพนี้ไปถ่่ายมาให้พอดูได้

 

คนที่ไม่รู้กายสังขาร ไม่รู้กาย ก็อวิชชาตราบโลกแตก กายเริ่มตั้งแต่รูปกาย แต่ถ้าแค่รูปรูปนั้นไม่ใช่กาย

 

วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 คือ รูปี รูปานิปัสสติ หมายความว่า ต้องสัมผัสเห็นรูป แม้เร่ิมต้นคุณก็ไม่รู้จักสังขารแล้ว เช่นคุณไม่รู้คำว่ากายไม่สัมมาทิฏฐิสมบูรณ์​ไปเข้าใจว่า กายคือมหาภูตรูปอย่างเดียวก็จบเห่แล้ว รู้ผิดแล้วว่ากายไม่มีจิต จะไปรู้จิตอย่างไร จะไปรู้วจีสังขารได้อย่าง ซึ่งวจีสังขารไม่ใช่วาจา แต่คือจิต แล้วออกมาเป็นวจีกรรม ส่วนวจีสังขารนั้นยังไม่เป็นคำพูดออกมาข้างนอกเป็นวจีกรรม แต่เป็นคำพูดอยู่ในใจเท่านั้น

 

จะรู้จักวจีสังขารต้องเป็นอาริยบุคคล แต่กายสังขารกับจิตสังขาร ผู้ไม่เป็นอาริยบุคคลก็ยังพอสัมผัสได้ แต่ถ้าอาริยบุคคลที่ทำใจในใจเป็น ทำมนสิการ จัดการกับใจเป็น ว่าดำริอะไร อ่านรู้ ว่ามันมีกามหรือพยาบาทมาผสม แยกให้ออก แยกตัวกิเลสได้ จับอาการกิเลสในจิตได้ แล้วก็ต้องกำจัด ชำระมัน กำจัดมันได้หมด ก็ตกผลึกเป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นตัวแข็งแรงตั้งมั่น เป็นเอกัคคตา ยิ่งขึ้นๆ

 

กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร คือสังขาร 3 ที่ภิกษุณีธัมมทินนา อธิบายคำถามของวิสาขอุบาสก ที่เป็นอดีตสามี ถามภิกษุณีธัมมทินนา ถามว่า เวลาทำนิโรธ สำเร็จคือดับกิเลสได้สำเร็จ สังขารอะไรดับก่อน ในสังขาร 3 นี้ ผู้ที่จะทำนิโรธสำเร็จ สิ่งที่ดับก่อน คือวจีสังขาร คือตัวจบของนิโรธ ทำมนสิการ เมื่อสำเร็จผลวจีสังขาร นั้น นิโรธคือการผ่านกระบวนการของ ตักกะ วิตักะ จิตต้องมีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ ทำการปหานกิเลส ลดได้ ผ่านมาสู่ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา มาเป็นวจีสังขาร ที่ดับแล้วนะ อะไรดับ ก็กายสังขาร จิตสังขาร ที่ได้รับผลของนิโรธ

 

แล้ววิสาขอุบาสกก็ถามต่อว่า แล้วเวลาออกอีกล่ะ (ที่จริงมันจบไปแล้วไม่ต้องถาม) สังขารใดเกิดก่อน ก็จิตสังขารเกิดก่อนแล้วเป็นกายสังขารแล้วถึงเป็นวจีสังขาร  เมื่อนิโรธแล้ว จิตก็เป็นตัวรู้ก่อน แล้วกายก็รองมา จนถึงวจีสังขารที่จะออกมาเป็นกรรมภายนอก

 

รายละเอียดพวกนี้คนที่ไม่มีสภาวะย่อมเดาไม่ออก คนที่ตอบได้ต้องขั้นระดับภิกษุณีธัมมทินนา มีปรมัตถ์ระดับละเอียด ที่เห็นความเกิดดับของวิญญาณหรือ กายวิญญาณ

 

ต้องรู้ชัดใน เวทนา สัญญา สังขาร ที่เป็นหมวดของกาย  สรุปแล้ว กายจึงแปลว่า จิต หรือเจตสิก แต่คนไทยซวยมากที่แปลว่า กายคือร่างภายนอก ศาสนาพุทธจึงไร้แก่นสาร

 

นามรูป คือธาตุรู้อันหนึ่ง ส่ิงที่ถูกรู้ทั้งหมด คือ รูป 28 ตั้งแต่มหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูปอีก 28 คือสิ่งที่ถูกรู้โดยนาม

 

นามมีอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าแยกไว้เป็น เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ (ล.16 ข.14)นี่คือความเป็นนาม ส่วนความเป็นรูปล่ะ คืออะไร? ผัสสะคือตัวกลางระหว่างข้างนอกกับข้างใน มันก็ต้องเป็นองค์ประชุมของทั้งนอกและใน ผัสสะจึงคือคำว่ากาย ผัสสะนั้นภาษาบาลีคือ ผุสสะ หรือโผฏฐัพพะ

 

แล้วรูป มี รูป 28​มีมหาภูตรูปและรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 (อุปาทายรูป) รูปคือสิ่งที่ถูกรู้เร่ิมตั้งแต่ปสาทรูป 5 มีตา หู จมูก ลิ้น กาย (กายนี่มีทั้ง นามและรูป) คนที่ประสาทใช้งานได้ เป็นปสาทรูป เมื่อประสาททำงานสัมผัสทางทวาร นอก รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน คำว่าโผฏฐัพพะก็เลยเป็นกึ่งๆ คำว่าวิสัยรูป คือร่วมกันทำงานระหว่างประสาทสัมผัสกับภายนอก เกิดภาวรูป เป็นสิ่งปรากฏ เป็นภาวรูป 2

 

เร่ิมจากปสาทรูป โคจรรูป จึงเกิดการดำเนินไปขององค์ประชุม เป็นกายคต

 

วันนี้เล็คเชอร์ระดับป.เอก ก็ขออภัยผู้เรียนชั้นตรี จัตตวา นะ

 

อย่างกายคตาสติ เขาก็อธิบายกันผิด ว่าให้ไป ย่างหนอ ยกหนอ ก้าวหนอ ให้รู้ตัวทั่วพร้อม ทุกอิริยาบท ทุกกรรมกิริยา แล้วท่านเองไม่ได้บอกว่าให้ดูที่กิริยาเท่านั้นท่านว่า จากทุกกิริยา เมื่อเกิดกรรมกิริยาคุณต้องมีสติ แล้วรู้ว่าองค์ประชุมเรียกว่า กาย นั้นต้องศึกษาจิต แม้เกิดอาการ ก้าว ย่าง แต่ไม่อธิบายถึงจิต ให้จิตได้แต่นิ่งไม่เกิดวิปัสสนา แต่อาจารย์ทั้งหลายก็บอกว่าเป็นวิปัสสนา ว่าตอนนี้ก้าวแล้ว ปลายเท้าสัมผัสนะ ส้นเท้ายกนะ คือรู้แต่ให้จิตไปจับอยู่เป็นกสิณเท่านั้น ไม่รู้ในระดับวิโมกข์ เป็นอัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ ต้องเห็นด้วยการสัมผัสจากนอกถึงในถึงอรูปเลย ผู้ใดปฏิบัติไม่สมบูรณ์ไม่เข้าถึงจิตก็ไม่บรรลุ

 

การศึกษาที่จะเรียกว่าสมาธิหรือฌาน นั้นทั่วไปเขาไม่รู้กาย ทั้งที่จริง กายคตาสติ อานาปานสติ สติปัฏฐาน 4 ก็ไม่ได้แยกกันเลย เป็นองค์รวม เพียงแต่จะเน้นอธิบายอันไหน ก็ย่ออันอื่นเข้าไปเท่านั้น การจะเรียนรู้ส่วนไหนก็ต้องเรียนรู้ใจด้วย แต่อย่างไปเรียนอานาปานสติ ก็ต้องนั่งสมาธิ อาจไม่รับรู้ภายนอกอันใดก็ต้องอย่าทิ้งลมหายใจภายนอกเลย รู้กายแล้วทำให้กายระงับ ทำให้ดับสงบที่เหตุที่ทำให้วุ่นวาย คำว่า กายปัสสัทธิ ทำให้สงบรำงับความเป็นกาย เมื่อเข้าใจคำว่ากายเพี้ยนไม่เข้าใจว่า กายคือความหมายของนามธรรม บอกว่ากายปัสสัทธิก็ต้องนั่งแข็งทื่ออยู่อย่างเดียวก็ไม่ได้ประโยชน์สิ มันก็ไม่ถูกต้องสัจธรรม

 

กายปัสสัทธิ แปลว่า จิตสงบจากกิเลส ระงับด้วยการระงับเหตุแห่งความไม่สงบ ที่เป็นทุกขสมุทัยคือกิเลส ตัณหา อุปาทาน ตัวสำคัญคือตัณหา คำว่ากิเลสเป็นองค์รวม แต่ตัณหาคือProper noun ตัวสำคัญที่ต้องอ่านตัณหา ซึ่งมันอยู่ในเวทนาด้วย  เช่่น สราค สโทสะก็คือตัณหา ตัณหาไม่ได้หมายถึงว่าอยากเชิงดูดอย่างเดียว อยากทำร้ายก็ตัณหาด้วย

 

เมื่อทำให้กายปัสสัทธิ คือสงบแล้วตอนนี้เราไม่ทำแล้ว กายกรรม วจีกรรม แม้มโนกรรมก็สิ้นเชื้อเหตุที่จะพาไปทำไม่ดีอย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

แล้วไม่ได้หมายความว่าไม่มีกรรมการงาน แต่ว่ากลับยิ่งมีกรรมการงานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีอสังขาริกังไม่มีตัวชักนำให้เกิดความชั่ว ทุจริต อกุศล การไปเข้าใจคำว่าสงบผิด ไปเข้าใจว่าคืออยู่เงียบๆน่ิงๆสงบก็ผิดแล้ว แต่ที่จริงที่ถูกต้องคือสงบจากกิเลสาสวะ จิตก็ปรุงแต่งได้อย่างดี มีปัญญากำกับ ให้การปรุงแต่งออกมา ก็ปราศจากธุลีละออง คืออรหันต์ แม้ไม่เป็นอรหันต์ แต่คุณทำได้ชั่วคราว แม้ไม่รู้ตัว มีกุศลจิตปรุงแต่งร่วมก็ไม่มีปัญหาเลย ไม่เสียหายเลย ประเสริฐด้วย

 

สังขารโลก ที่เรียกว่า โลกนรก นั้น นรกคือจิตวิญญาณต่ำ โง่ ไปหลงใหลส่ิงต่ำที่ไม่น่าเป็น เช่นหลงว่าไปโกง ทุจริต รู้นะแต่ก็ทำ พวกนี้คือผีชั้นต่ำ ใช้ความฉลาดแกมโกง ใช้ทวาร 6 (ฉฬายตนะ) ไปลวงคนอื่นหลอกคนอื่นแล้วไปโกง กุหนา ลปนา แล้วทุจริตหลอกด้วย คือสัตว์นรกชั้นต่ำ ที่ฉลาด และได้โอกาสฐานะกินงบลับ มีอำนาจอภิสิทธิ์ในการใช้งบลับพวกนี้ เอาของจริงมาพูดไม่ได้ด่าใครนะ อธิบายธรรมะอยู่นะ ไม่ได้ด่าแค่อาตมากำลังบอกว่าคุณเป็นผีนรก ถ้าคุณทำ

 

คุณทำแล้วร่วมกันโกงเจ็ดแสนล้าน แต่คุณจะเลี่ยงไปอีก ไม่ให้เขาตัดสินว่าโกงนั้น มันจะตกทบดอกเบี้ยบาปไปออกในอนาคตสูง คุณอย่าเลี่ยงเลย ให้ยอมรับวิบากเถอะใช้หนี้เสียเถอะ ชาติหนึ่งแล้วคุณจะสบายชาติหน้า ราคาบาปแพงเพราะว่าคุณโกงอัตภาพของคนทั้งประเทศเลย ใครร่วมมือด้วยก็ต้องได้รับผลตามนั้น ต้องเป็นหนี้คน 67 ล้านคนนะ

 

ตอนนี้เมืองไทยกำลังกระเตื้อง ใครเคยโกงมาก็หยุดเถอะ กรรมชั่วแม้น้อยนิดอย่าทำเสียเลย เป็นคำของพระพุทธเจ้า เมืองไทยกำลังจะก้าวหน้าจะเป็นชมพูทวีปของโลก คือ มนุษย์จะมีสุรภาโว สติมันโต อิทธพรหมจริยวาโส คือคุณสมบัติ สามประการของมนุษย์ชมพูทวีป คุณมีโลกกายยาววาหนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจ มีอาการ 32 ครบเต็มแข็งแรงเรียกว่าสุรภาโว แล้วคุณก็ปฏิบัติให้ใช้สติเป็น ทำสติปัฏฐาน 4 ทำกาย เวทนา จิต ธรรม เป็น ต้องรู้ว่า กายคตาสติ อานาปานสติ สัมพันธ์กันแล้วตัวปฏิบัติคือสติปัฏฐาน 4 คุณก็จัดการให้ กาย เวทนา จิต ให้ทรงธรรมไว้ พระอรหันต์ปรินิพพานอะไรก็ไม่เหลือแล้ว แม้ธรรมะก็เลิกล้มทุกอย่าง ไม่มีทั้งรูปและนาม

 

ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะแล้วก็เข้าใจเรื่องนามรูป ชัดเจน ว่ารูปมีความหมาย 2อย่าง คือ รูปคือสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยประสาทตา มีรูปทรงมีโฉม เสียงก็ถูกรู้ก็เรียกว่ารูป

 

คนอาจถามว่าอาตมาอวดตนทำไม อาตมาว่าอาตมาอวดตนทำงาน เพื่อเผยแพร่ธรรมะ อธิบายให้คนอื่นรู้ หากไม่สื่ออธิบายคนอื่นก็ไม่รู้ ถ้าอาตมาตายไปคนก็ไม่รู้สิ คนไม่อยากได้ก็ไม่เป็นไรไม่เดือดร้อนนอกจากคุณจะมารับแล้วก็ร้อนใจคุณเอง แต่ถ้าคุณไม่รับก็ไม่เดือดร้อน คุณก็ไม่ต้องเปิดช่องนี้สิ มีช่องอื่นเยอะแยะ

 

คุณไปฉลาดโง่ๆ ไปติดกาม ติดโลกธรรม ฉลาดแบบโลกีย์แล้วเอามาแข่งกันอวดกัน การทำรวยคือต้องโลภเอาของคนอื่นทำให้คนอื่นขัดข้อง แต่คนที่มุ่งมาจน อย่างในหลวงตรัสหรืออย่างพระพุทธเจ้าให้มักน้อย แล้วดีไหม แล้วคนที่มาจนนี่จะอวดบ้างจะเป็นอย่างไร แล้วเขาไม่ได้อวดอย่างน่าเกลียดด้วย ไม่เหมือนคนรวยที่อวดโดยใช้เงินซื้อทำสื่อ ตีฆ้องร้องเป่ามากมาย แล้วคนจนจะอวดก็ให้เขาอวดเถอะ แล้วสิ่งที่ควรบอกควรสื่อ ในเรื่องแบบคนจน

 

แล้วคนจนนี่ เป็นคนจนมหัศจรรย์นะ แต่ทำงานให้สังคมอย่างแท้จริง เป็นนักการเมืองเบอร์หนึ่ง ไม่ใช่ว่าเหมือนพวกนักการเมืองที่ไปอาศัยสมบัติส่วนกลางสังคม คอรัปชั่นคอมมิชชั่นอย่างนั้น

 

อาตมาว่าส่ิงที่มนุษย์ควรจะได้มากที่สุดคือความรู้ของพระพุทธเจ้า คนไทยเป็นพุทธกว่า 95% ก็ควรได้สมบัติพุทธ แต่คุณดูถูกทิ้งขว้างไม่ใส่ใจใยดี ก็ช่างศีรษะคุณ แต่คนใดสนใจก็เอาเถอะ อาตมาว่าเป็นสิ่งที่ควรได้ควรมีควรเป็นที่สุดก็คือ อาริยธรม โลกุตระธรรม ได้แล้วจะไม่กลัวจน จะกล้าจน อย่างนามสกุลหมอเขียว ใครกล้าจนมาเลย แล้วอาตมาจะพาคนกล้าจนบรรลุธรรม สุขแบบปรมังสุขัง สุขเพราะจนนี่แหละ เป็นบุญ

 

อาตมาตอนเป็นฆราวาส เปิดคอลัมน์ธรรมะในหนังสือบันเทิง ชือว่า “ชีวิตนี้มีปัญหา”ในหนังสือบันเทิงชื่อ ดาราภาพ เป็นหนังสือที่นิยมกันมาก จนมีคนไปลอกหัวคำว่าดาราภาพ ไปแปลงเป็นอย่างอื่นถึง 11 ฉบับนะ ก็คือคุณชวนไชย เตชศรีสุทีย์ ไปได้เครื่องพิมพ์ Offset มาได้ก็มาพิมพ์ภาพขาย ภาพดารา อาตมาก็เลยว่าดี ก็เลยออกหนังสือเกี่ยวกับนักร้อง ขวัญดาว ก็เลยออกหนังสือพิมพ์ขวัญดาว ก็หมดเนื้อหมดตัว หมดรถติดแอร์ไปคันหนึ่ง ออกมาได้สามฉบับมันทำต่อไม่ไหว ก็เลยหยุด ทีนี้คุณชวยก็เลยบอกว่า ตอนแรกเขาก็นึกว่าอาตมาแก่กว่าเขา เขาเรียกว่า พี่รัก บอกว่าพี่รักมีความรู้ทางทำหนังสือ แต่ผมมีความรู้ทางภาพ เรามาออกหนังสือทางด้านภาพของดารากันไหม? เรามีเครื่องพิมพ์ด้วย อาตมาก็ว่าร่วมกันทำ คุณออกทุนอาตมาออกแรง เอาชื่อหนังสือ ดาราภาพ ก็พิมพ์ออกมา อาตมาก็เหมาหลายคอลัมน์เลย ก็เลยดังขึ้นมามากเลย ขายกันจนหนังสือดาราภาพทรุดเลยเพราะคู่แข่งเยอะ ต่อมาก็ทำหนังโทนก็ได้ทรัพย์สินมาเยอะเลย แข่งกับมนต์รักลูกทุ่ง

 

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา แล้วท่านก็ประเมินว่า การตรัสรู้ของท่านจะไม่เสียของ ตรวจดูโลกว่า ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่ ท่านก็จึงประกาศศาสนา เรื่องเหล่านี้เป็นอจินไตย เรื่องเสียของก็ฝากให้คสช.ว่าอย่าให้เสียของด้วย

 

อาตมาทำงานมาได้ปานนี้ เอาอาริยธรรม พุทธธรรมของพระพุทธเจ้ามาสืบสาน ด้วยกตัญญูกตเวทีอย่างยิ่ง มาได้ขนาดนี้ก็เป็นสิ่งยืนยันว่าสิ่งไหนจริง คนเราก็โง่เท่าที่ตนเองฉลาด และฉลาดเท่าที่ตนเองโง่ ก็ใช้ตนเองตัดสิน อย่าช้านะ อาตมา 80 แล้วจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ แม้จะตั้งค่าไว้ 151​แต่ความไม่แน่นอนก็มี ก็พากเพียรอุตสาหะวิริยะ อาศัยทั้งพวกคุณและอาตมาเอง แต่อย่ามาประคบประหงมอาตมา พูดไปนี่ถ้ามามะรุมมะตุ้มจะตายไวนะ ทุกวันนี้มีคนอุปการะ คนอื่นเลี้ยงดูไว้ กินก็คนทำมาให้กินจนเกินพอ จะไปจะใช้สอยก็ตามสุจริต คนก็ทำให้ อาตมาก็ตั้งกติกาว่า คนไหนไม่ได้มาคบหากันจนรู้เข้าใจ ก็ไม่รับเงินบริจาค ต้องเข้ามาสัมผัส อย่างน้อยอ่านหนังสืออาตมา 7 เล่ม อย่างน้อยเล่มใหญ่หน่อยนะ อาตมาเขียนหนังสือเป็นร้อยเล่มแล้ว พิมพ์เป็นล้านเล่มแล้ว แต่ก็ไม่มีปัญหา เป็นไอ้ใบ้เสียงดัง ทิ้งเอาไว้อีกหน่อยคนก็เอาไปใช้ได้

 

อาตมาอาศัยพระไตรปิฎก ฉ.สยามรัฐนี่แหละ ก็เห็นว่าเป็นสัจจะของพระพุทธเจ้า มีเนื้อแท้จริง บางอย่างอาจแปลสำนวนออกมาแล้วไม่ค่อยตรง เพี้ยนไปอาตมาก็แก้บ้าง แก้เข้าหาสภาวะที่อาตมาว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ ถ้าใครเชื่อว่าอาตมามีอาริยธรรมแท้กว่า ก็จะฟังอาตมา แต่ถ้าเห็นว่าอาตมาแปลสู้ไม่ได้ ก็ไม่มารับรองอาตมาหรอกก็ไม่เป็นปัญหา อาตมาไม่แย่งลูกค้าใคร เพราะอาตมามีปัญญาอย่างหนึ่ง ถ้าลูกค้าอาตมาน้อยอาตมาจะเบางาน เมื่อยน้อย แต่อาตมาก็ไม่ขี้เกียจนะ มากก็ได้ก็ดี อาตมามั่นใจว่าเนื้อหาพุทธธรรม หรือแม้พุทธศาสนา พุทธศาสตร์ ออกฤทธิ์แล้วเป็นสัจธรรมของชมพูทวีป คือมีคนที่มีสุรภาโว มีอายตนะครบ มีปัญญาถึงขีด มีสติมันโต ใช้สติได้ดีพอ มีปัญญามีสติ มีสัมปชานะ มีประสิทธิภาพของจิตเจตสิก พอจะปฏิบัติอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า อยู่ในข่ายเวไนยสัตว์เรียกว่ามีสุรภาโว สติมันโต จึงมาปฏิบัติพรหมจรรย์นี้ ตั้งแต่ศีล 5 ไม่เรียกว่าพรหมจรรย์ ศีล5 ได้ผลก็ได้โครงสร้างของการปฏิบัติ อย่างน้อยผ่านสังโยชน์ 3 ได้รู้จักสักกายะ ไม่ลังเล แล้วปฏิบััติได้ผลลดกิเลสได้ ส่วนผู้ที่สามารถรู้และมั่นใจมากกว่าก็มารวมกันจึงเกิดพุทธบริษัท 4 เป็นอุบาสก อุบาสิกา นักบวชหญิง นักบวชชาย  กลุ่มสาวกสังโฆ ที่มีบุรุษ 8 มีบุคคล 4  เป็นฆราวาสเรียกอุบาสก อุบาสิกา และนักบวชหญิง นักบวชชาย มีสภาวธรรมของโสดาบันเป็นต้นไปจนถึงอรหันต์ สะสมผลของอรหัตตผลไปตามลำดับมีจริง พิสูจน์ด้วยสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์7

มีเมตตากาย วจี มโนกรรมแล้วมีลาภธัมมิกา มีสาธารณโภคี มีหลักศีลสามัญญตา มีอย่างน้อยศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 โอวาทปาติโมกข์ศีล เข้าใจว่าศีลคืออะไร ได้ผลของศีลด้วยถึงจิต เช่นจิตไม่ติดอบายมุขแล้วสบายแล้ว จิตฟรีแล้ว สบาย เกิดกลุ่มหมู่ของอิทพรหมจริยวาโส ของชาวอโศก คือโลกที่ปฏิบัติพรหมจรรย์ได้กันจริงๆ ชาวอโศกคือคนไทย มีคนต่างชาติก็น้อย แต่ไม่รวมเอาคนต่างชาติสมาชิกจริงก็คือคนไทยแล้วมีจำนวนมากพอ กล้ายืนยันสัจจะของอาริยะธรรม เป็นกลุ่มที่แน่นทั้่งมวลและคุณภาพแน่นและมากที่สุดในโลก ก็ยืนยันว่าครบ สุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส มากที่สุดแล้ว ที่อื่นยังไม่ก่อหวอดเลย ดังนั้นก็เป็นชมพูทวีปแล้ว


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:14:33 )

571108

รายละเอียด

571108_เอื้อไออุ่นศิษย์เก่าสัมมาสิกขาปฐมอโศก งานมหาปวารณา 57

อาตมาเป็นพระ มีหน้าที่เทศน์ ถ้าพวกเราบอกว่าวันนี้เฮงชะมัดโดนแม่เทศน์ให้ ก็แปลว่าโดนด่า โดยความหมายแล้ว การเทศน์คือการสอน แม่ด่าคือแม่สอน แม่จะด่าไปทำไม พ่อแม่ก็ต้องการให้ลูกดี ด่าเพื่อใช้ลีลาเพื่อให้ลูกรู้สึกตัวว่าไม่ดีต้องแก้ไข ไม่ว่าชาติไหน พ่อแม่ เวลาไม่ได้ดังใจก็ด่าหรือดุแรงๆ ดุเพื่อจะให้ดี คนคือสัตว์สังคม สัตว์โขลงแล้วมีจิตที่สัมพันธ์กันแล้ว เมื่อมีความสัมพันธ์ยิ่งผูกพันธ์เมื่อเจอกันแล้วก็มีภาวะดูดดึงชื่นใจ เป็นธรรมชาติของคน คนมีสัญชาติญาณเลยไม่ใช่วัฒนธรรม เดรัจฉานมีสัญชาตญาณแต่ไม่มีวัฒนธรรม แต่คนมีวัฒนธรรม

 

ทั้งสัญชาติญาณที่เป็นวัฒนธรรม เมื่อคนเรารู้จักกัน ผูกพันกันมาก ห่างกันไปนานๆจะรู้สึกยินดีปรีดา แต่ซ้อนลึกกว่านั้น การมีพลังรวมของมวลชน รวมเป็นคณะทำงานสร้างสรรเกิดประโยชน์ก็เกิดมวล เกิดพลังงานร่วมรวมกันมาก คนก็ยิ่งมีค่ามีประสิทธิภาพมาก การได้ชื่มชมยินดีก็ธรรมดา ยิ่งร่วมกัน อย่างชุมชนชาวอโศกก็อยู่่ร่วมกันตรงนี้ สมาชิกก็อยู่ร่วมกัน ดูง่าย เพราะอโศกมีวัฒนธรรมสาธารณโภคีเป็นครอบครัวใหญ่ เลี้ยงดูกัน มีแต่ต้องการให้เจริญ แล้วอยู่ร่วมกันพัฒนากันด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ ที่เราจะให้เกิดการเจริญ มีสัมมาอาชีพร่วมกันก็เกิดหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ ไปตามลำดับ

 

ยิ่งพวกเรามีระบบสาธารณโภคี ก็อยู่รวมสร้างสรร พึ่งเกิด แก่ เจ็บตายกันได้ เป็นวัฒนธรรม พฤติกรรมสังคม ซึ่งอาตมามั่นใจว่าสังคมทุกแห่งของโลกต้องการสาธารณโภคี แต่ความเห็นแก่ตัวเขามาก เขาไม่กล้าจะเสียสละให้กองกลางเพราะเห็นแก่ตัว ส่วนสาธารณโภคีมีทิฏฐิสามัญตาว่าจะร่วมกันทำเช่นนี้ เราไม่ได้บังคับใครมาทำแบบนี้ ถ้าใครอยู่แล้วไม่เต็มใจพอใจก็ลาออกไปอยู่กับสังคมอื่นก็ไม่มีปัญหา หรือถ้าคุณเอง องค์รวมเขาเห็นว่าไม่ให้อยู่แล้ว เขาก็ให้ออกไปเป็นธรรมดาธรรมชาติ จนตั้งเป็นกฎหมายของประเทศ

 

คนนี่เป็นสัตว์สังคม ให้อยู่ดูกันแล้วมีพฤติกรรม ปัญญา เข้าใจ ให้รู้ว่านี่สุดยอดแล้ว เสียภาษี 100% ตนเองทำได้ก็ไม่เอาไว้กับตัวเลย ให้กองกลางไปหมด เสียภาษี 100% ซึ่งยังไม่มีสังคมไหนทำได้ มีแต่ประเทศอโศกเท่านั้นทำได้ เราก็พึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้ เกิดจากเหตุคือจิตวิญญาณ และลดกิเลสได้จริง  ถ้าลดไม่ได้ก็อยู่ไม่นาน ฝืนข่มเดี๋ยวก็ระเบิด แม้นานไม่แตกก็จะรวนเรวุ่นวายในสังคม แต่ของเราอาตมามั่นใจว่าจะไม่รวนไม่วุ่นวายเพราะจิตวิญญาณเราลดความเห็นแก่ตัวมักได้ จนเป็นอาริยบุคคล ไม่หลงในโลภ โกรธ อยู่ช่วยสร้างสรรกันไป ตายก็เผาช่วยกันไป ไม่ต้องห่วง

 

พวกเรานี่อยู่ไปใครได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ อยู่กับโลกก็แย่งชิงลาภยศสรรเสริญสุขในโลกหรือผลิตเองก็หมุนเวียนในระบบโลกเขา แต่ในสาธารณโภคีก็ทำงาน ทางโลกก็ทำงาน แต่ว่าไม่เหมือนกัน ชาวอโศกมีมานานแล้วหลายสิบปีแต่เขาก็ดูไม่ออก เขาก็สงสัยว่าคนพวกนี้อยู่ได้อย่างไร? เขาอยู่กันอย่างญาติธรรมเป็นพี่น้องกัน รู้จักคำว่า กงสีไหม? แต่กงสีเขายังแยกออกไป แบ่งสมบัติส่วนกลางออกไปได้ แต่ของสาธารณโภคียอดกว่านั้นที่ไม่มีใครแบ่งเอาไปได้เหมือนกงสี ทรัพย์สินของระบบสาธารณโภคีจึงไม่มีสลายเลย สมาชิกของชาวสาธารณโภคีจะมีที่ดินก็เพ่ิมขึ้นๆ จะมีอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ก็จะเพิ่มขึ้น

 

คนทั้งโลกก็ต้องการ และมีคนทำสำเร็จแล้วเป็นหมู่กลุ่มอโศก ทุกวันนี้เขาไม่รู้ว่าอโศกเป็นอย่างไร แต่เขาก็ไม่กล้าทำลาย ลึกๆเขาก็รู้ว่าดี ไม่รบกวนใคร ช่วยสังคมด้วย เราออกไปทำงานกับสังคมหลายงวดแล้ว

 

การมารวมกันแล้วก็ถามไถ่กัน ใครเดือดร้อนก็ช่วยกันหรือใครพอช่วยกันได้ก็มีน้ำใจช่วยกัน อาตมาพยายามให้สร้างให้เป็นญาติธรรมกัน ไม่ใช่แค่มิตรหรือเพื่อน ให้พึ่งแก่ เจ็บตายกันได้ ถ้าได้ขนาดนั้นก็เข้าเป้า เข้าโกลด์เลยนะ

 

อยู่อโศกได้มีหลักพื้นฐานอะไรตอบกันได้ไหม? ละอบายมุข กินมังสวิรัติ ถือศีล 5 ยิ่งได้อาริยคุณ เป็นอาริยบุคคล โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ได้ยิ่งดี

 

พวกเราออกไปจากอโศกแล้วก็ชำเลืองแลกลับมามองอโศกบ้าง? ว่าอโศกเจริญหรือเสื่อมลง ...อโศกเจริญล้ำหน้าไปอีกอย่างAdvance ด้วย ของโลกเขาสมบัติผลัดกันชม เขามุ่งไปรวยพยายามให้ยั่งยืนแต่ก็ได้ชั่วคราว แต่ของอโศกใครจะรวยหรือจน แต่อโศกมันจนท่าเดียว ใครเคยสะดุดใจไหมว่าทำไมในหลวงต้องตรัสว่าประเทศเราบริหารแบบคนจน

 

พวกเราจนนี่แหละจะไปช่วยพวกคนจนกันได้ แต่คนรวยเขาก็ไม่ช่วยใครหรอก ไม่ใช่แค่ความคิดเพ้อฝันด้วย เป็นเรื่องจริง และเป็นไปได้แล้ว สังคมโลกยุคนี้เป็นยุคปัญญาสูงสุดแล้ว เขาหาทางออกมานานแล้ว แต่ยังไม่เจอทางออก ที่เราทำนี่ชาวอโศกทำสาธารณโภคีมันAdvance ปราชญ์ในโลกเขาก็ยังรู้ไม่ถึงอันนี้ เขางงๆ เพราะลึกๆเขาว่าคนจนจะมาช่วยคนได้อย่างไร? สามัญสำนึกธรรมดาคนก็คิดไม่ออก แล้วคนจนจะมาช่วยคน คนจนก็ให้เลี้ยงตนเองให้ได้ก่อนเถอะ แต่เขานึกไม่ออกว่าเราคือคนจนมหัศจรรย์ เรามักน้อย เรากินน้อยใช้น้อย ลดกิเลส แต่แรงงานสร้างสรรเราทำได้เกินกว่ากินกว่าใช้อยู่แล้ว และเราไม่เปลืองไปกับการละเล่นบันเทิง ชาวอโศกที่เป็นอาริยะแล้ว ก็ไม่ตื่นเต้นกับเขา ไม่ไปเสพขี้หมาพวกนี้หรอก มันรู้ว่าอารมณ์โลกีย์มันจะจัดจ้านไปเรื่อยๆ สักวันจะมีคนเตะบอลโลกที่ช็อคตายคาสนาม เป็นพลังงานที่สปาร์คมาก จนหมุนเวียนไม่ทันก็ตาย ตอนนี้ไม่ถึงขั้นนั้น มีแต่ตีลังกาตกคอหักตายเมื่อมันเตะเข้าโกลด์แล้ว อย่างคนเชียร์ก็ช็อคตายคาสนามมาแล้ว และย่ิงคนเตะเข้าเองก็จะยิ่งช็อคมาก เป็นปฏิกิริยาของจิต จิตเป็นพลังงาน มีไคลแมกซ์ จะสปาร์ค ไคลแมกซ์ก็จะดูดดึงพลังงานไปใช้มากทันทีทันใด พลังงานก็จะตกฮวบทันที พลังงานจะไปสูบฉีดไปถึงหัวใจไม่ทันก็ตาย ซึ่งมันไร้สาระ มาล้างรสโลกีย์ให้ได้ ทำได้แล้วก็ไม่ห่อเหี่ยวเบิกบานร่าเริง อาตมาไม่เห็นว่าอาตมาจะห่อเหี่ยวอะไร มันเบิกบานโดยสัจจะด้วย ไม่เบิกบ้านโดยร่าเริงที่ได้บำเรออารมณ์อยากเลย แต่นี่มันสดชื่นโดยถาวร ไม่ต้องเหนื่อยอีก

 

ตัดฉาก....ตั้งต้นใหม่ คน จะเกิดอีกกี่กัปป์อีกกี่กัลป์ก็ตาม ชื่อว่าคน สุดท้ายจริงๆแล้วก็จะมาได้คุณธรรมอันนี้ มาเป็นอรหันต์ ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วคือคนประเสริฐที่สุด อรหันต์นั้นไม่ใช่ตายแล้วสูญ​ จะไม่สูญก็ได้ แต่จะมีแต่ทำกุศลไม่ทำบาปอีกแล้ว จะเกิดอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าใครไม่หันมาทิศนี้ก็ต้องตกนรกขึ้นสวรรค์ปลอมอีกนานเท่านาน ไม่เข้าใจว่าทางออกของมนุษย์คืออันนี้ดีที่สุด ใครยังอยากวนเวียนในนรกและสวรรค์ลวงก็เอาเวลาไปอยู่ทางโน้นเถอะ แต่ถ้าอยากใฝ่ธรรมก็มาทางนี้ได้สัก 5 วันก็เชิญหรือถ้าสนใจจะมาสัก 100 วัน 200 วัน อาตมาว่าคุณเจริญจริงๆจึงมีความคิดเช่นนั้น ดีไม่ดี คนจบแล้วก็มาอยู่ที่นี่ ที่นี่ไม่ได้จ้าง ก็มีข้าวให้กิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญก็ต่างคนต่างทำเอา

 

มากันมากก็ฟังไว้ พวกเราอายุสูงสุดเท่าไหร?...37 ปี ยังไม่ 40​ ปี อาตมาจะอยู่ไป 151 คืออีก 71 ปี คนอายุมากที่สุดก็อายุบวกไปอีก 71 ก็ 108 ปี อาตมาจะฉลองครบ 36 ครบ 3 รอบ อาตมาอยู่ทางโลกมา 36 ปี ตอนนี้เข้าครบรอบ 2แล้ว ตอนนี้ย่างเข้า 36 รอบที่ 3 แล้ว จะอายุ 108 ปี พวกเราก็บวกอายุไปอีกนะ สูงสุดพวกเราก็ 108 ปี ถ้ามาอยู่ในนี้ทันอยู่ได้ แต่ถ้าไปอยู่ข้างนอก ตายก่อน ไม่ได้แช่งนะ ใครคิดว่าตนเองจะอยู่ได้ 108ปี ข้างนอกน่ะ … แต่คนอยู่ในชุมชนอโศกหลายคนเชื่อว่าจะอยู่ได้ มันมีเหตุผลนะ นี่ไม่ใช่มาเล่านิทานนะ เป็นสัจจะ

 

ขอย้ำสุดท้ายพวกเราต้องรู้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์โขลง ยิ่งเรารู้ว่าทิฏฐิของพระพุทธเจ้า นิพพานคืออะไรเป็นต้น คนเราจะมุ่งหมายนิพพานต้องทำอย่างไร ในสังคมที่เป็นสังคมคนสุดยอด เมื่อเช้าใครฟังเทศน์อาตมาบ้าง ในโลกเขาต้องการสังคมแบบนี้แหละ ในหลวงว่าเราไม่ต้องเอาก้าวหน้าแบบเขา ก้าวหน้าอย่างเขานี้เป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว ในหลวงเป็นโพธิสัตว์ท่านตรัสมาคนฟังไม่รู้เรื่องหรอก คนเขาไม่กล้าพูดว่าไม่รู้เรื่อง ไม่พอท่านยังตรัสอีกว่า ขาดทุนคือกำไร Our loss is our gain เจตนาใช้ภาษาอังกฤษให้รู้กันทั่วโลกด้วย เขาฟังกันไม่เข้าใจ ในหลวงท่านไม่ได้พูดเล่นนะตรัสกับมหาประชาชนด้วย อย่างโลกีย์อย่างเก่งก็ได้แค่รำ่รวยมีอำนาจมากแต่ไม่ได้ช่วยใคร แต่พวกเรานี่ผ่านมาเป็นลูกหลานด้วย อย่าใกล้เกลือกินขี้ ถ้าเราไม่เคยผ่านไม่เคยรับรู้สัมผัสเลยก็แล้วไป แต่นี่สัมผัสอยู่ร่วมกันหลายปี แต่ก็ใกล้เกลือกินขี้ ...เจ็บบ้างไหมนี่ พูดให้สะดุ้งสะเทือนหากไม่สะเทือนก็เกินไป จะด้านจะแข็งเกินไปแล้ว หมัดนี้หมัดฮุกแล้ว สุดท้ายแล้ว อัปเปอร์คัทแล้ว ถ้าไม่รู้สึกก็พอแล้ว อาตมาหมดแรงแล้ว ก็ไปคิดดีๆ อายุพวกเราก็พอเป็นไปได้ยังไม่แก่เกินแกงหรอก

 

อย่างน้อยที่สุดอย่าทิ้งธรรม ศีล 5 เป็นต้น เลี้ยงตนให้รอดในศีล 5 แม้ใจเรายังไม่ได้หมดก็ตาม มันเป็นวิบากจริง ถ้าเราได้โลกุตรธรรมนี้ไปบ้าง อย่างน้อยถือศีล 5 ได้ก็ไม่สั่งสมวิบากบาปให้แก่ตนก็ดีที่สุดแล้ว ศีล 5 นี้ไม่มีทุจริตนะ อย่าทุจริตใดๆ นั่นคือคำรวมของศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เอาของใคร ผัวเดียวเมียเดียว ไม่พูดปด ต้องรู้ว่าอันไหนมอมเมาระดับหยาบก็ต้องเลิก

 

โลกีย์นั้นเราไม่ควรสั่งสมใส่จิต เราต้องสะสมอาริยทรัพย์ ซึ่งโลกียทรัพย์ไม่ไปกับเราหรอกแม้เราได้เงินห้าล้านๆมันก็เอาไปไม่ได้ ต่อให้ได้มาอย่างสุจริตหรอก ให้ลูกให้หลาน ไม่ต้องเอากงเต็กหรอก เผาธนบัตรแท้ให้ปู่ไปเลย มีตั้ง ห้าร้อยล้านบาทมันไปไหมล่ะ ก็ไม่โง่เผากันสักคน มันไม่ใช่ทรัพย์ติดตัวเรานอกจากวิบากกรรม แม้แต่อารมณ์สุขก็ตามอย่าไปหลงให้มันหลอกกันมาก

 

ใครอยากจะถามอะไรส่งท้าย

_ พวกเราถูกปลูกฝังชิบคุณธรรมไป แต่บางอย่างก็อ่านชิปไม่ออก…บางคนรู้ว่า เรื่องบุญกุศลแบ่งกันไม่ได้แต่หลายคนก็ไปกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลอีก  ก็เลยต้องค้นพระไตรฯ แต่ก็ไม่รู้ว่าในพระไตรฯ เชื่อได้หรือไม่? แล้วมีในพระไตรฯก็พูดถึงเรื่องอุทิศส่วนกุศลได้ แล้วมันย้อนแย้งกัน?

ตอบ...มันมีแต่พวกเทวนิยมติดยึดมา เช่นพระเจ้าปเสนทิโกศลว่าเจอเปรต แล้วก็ต้องอุทิศส่วนกุศลให้เปรต ซึ่งพระเจ้าปเสนธิโกศลเป็นพระเจ้าแผ่นดินนะ พระพุทธเจ้าจะไปสอนขณะนั้นก็สอนยาก ก็ต้องอนุโลมไปตามเหตุปัจจัย  การอ่านพระไตรฯต้องหาหลักฐาน

 

_ตอน 5 ธ.ค. ชาวอโศกติดป้ายว่า ทำเพื่อถวายแก่ในหลวง อุทิศแก่ในหลวง อย่างนี้เป็นการขัดแย้งกับในคำสอนไหม?

ตอบ...การแปลไตรปิฎก นั้น เขาแปลผิด ความเป็นเปรตไม่ใช้ตัวบุคคล แต่เปรตมีในจิตปัจจุบัน อุทิศแปลว่าจงใจเจตนา  แล้วโรงบุญเราสอนให้ลดกิเลส เราก็ทำโรงบุญ เรามีหลักมากมายให้เกิดการลดกิเลส เพื่อให้เกิดวิธีการขัดเกลากิเลส เรียกว่าโรงบุญ เราใช้โอกาสตามวันที่ควรทำ เพื่อทำพิธีกรรม พระพุทธเจ้าก็มีพิธีกรรม และทุกพิธีกรรมของพุทธเพื่อลดกิเลสไม่ใช่ว่าทำเพื่อให้เพิ่มกิเลส  ในพระไตรฯนั้นคนแปลไม่มีภูมิธรรม คนแปลมีคนเป็นปราชญ์แห่งแผ่นดินที่เขานับถือกัน ท่านยังไปแปลคำว่าอภิสังขาร เช่นปุญญาภิสังขาร ซึ่งคือการจัดการจิตให้ลดกิเลสได้ แต่ท่านก็แปลว่าสังขารเป็นบุญ ก็ไม่เป็นปัญหา แต่อปุญญาภิสังขาร ท่านก็ไปตีความอุปญญะว่า เป็นการปรุงชนิดที่ไม่ใช่บุญ ก็คือบาป มันก็เลยวนไปวนมา แต่ความจริงแล้วอปุญญะคือไม่เป็นบุญอีก ก็คือไม่ต้องทำบุญอีก ก็มีชั้นใหม่ที่ต้องทำบุญอีก ชั้นโสดาบันไม่ต้องทำบุญอีก ก็ไปทำบุญชั้นสกิทาคามีอีกต่อไป แต่ระดับปราชญ์เมืองไทยแปลได้แค่นี้จะให้ทำอย่างไร?

 

บุญเป็นเครื่องมือกำจัดกิเลส ปุญญะมีรากศัพท์เดิมคือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ แปลว่าชำระกิเลสในสันดานให้หมดจด บุญไม่ได้แปลว่ากุศลหรือความดีงาม บุญนี่เป็นวิธีชำระกิเลส เมื่อชำระกิเลสหมดก็ไม่ต้องใช้บุญอีก ผู้ปฏิบัติบุญเป็นก็จะได้บุญไปตามลำดับ แม้เป็นสาสวะก็ได้ส่วนบุญ

 

ส่วนบุญไม่ใช่ว่าได้แต่ส่วนบุญคือการฆ่ากิเลสตั้งแน่โสดาบันก็ฆ่ากิเลสในระดับโสดาบันก็ได้ส่วนบุญ แล้วก็ฆ่ากิเลสระดับสกิทาคามีอีก เป็นส่วนบุญต่อไป คือการเสียนี่คือการได้ ได้สิ่งที่ไม่ได้ คือได้สูญ

สนามแม่เหล็กโลกใหญ่กว่าสนามแม่เหล็กอโศกนะ แทนที่เราจะไปอยู่ในสนามแม่เหล็กใหญ่ คุณก็จะถูกแปรไปเป็นโลกีย์ แต่ถ้ามาอยู่กับหมู่กลุ่มมิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์นะ แต่ใครจะมีพลังสนามแม่เหล็กแรงพอจะอยู่กับโลกีย์ได้ก็เชิญ แต่อย่างอาตมานี่มีพลังแม่เหล็กเพียงพอ ภาวจิตเรามีสภาพเป็นกลางเพียงพอ เราก็อยู่กับโลกีย์ได้ เขาเอาเราไปเป็นโลกีย์ไม่ได้แต่เราจะช่วยโลกีย์ได้อีก คนโลกุตระไปอยู่กับโลกียะได้แต่คนโลกียะมาอยู่กับโลกุตระไม่ได้

 

_กบแดนไท ถาม...ในฐานะศิษย์เก่า มีความเชื่อมโยงกันระหว่างแต่ละรุ่นศิษย์เก่า แต่แบบใหญ่ๆนี้ก็นานๆที ทำอย่างไรจะเชื่อมโยงระหว่างวัดกับพวกศิษย์เก่าเพ่ิมขึ้น

ตอบ...วัดไม่ได้มีความเรียกร้อง ถ้าคุณมาก็ต้องการ แต่ไม่เรียกร้อง ถ้าคุณเองจะมาสัมพันธ์กับวัดคุณก็มาด้วยอิสรเสรีภาพ ไม่ได้เรียกร้อง แต่วัดต้องการพวกคุณไหม? ….ตอบแทนอาตมาหน่อย...ต้องการ  วัดต้องการแต่ไม่กล้าเรียกร้อง แต่ถ้าจะมาสัมพันธ์กับวัด ก็ยินดีมาก มาสิ แต่จะให้วัดเรียกร้องมากดดันพวกคุณอาตมาไม่พาทำ อาตมาเคารพอิสรเสรีภาพของคน จะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ อย่างเอกนี่ก็อยู่ได้ก็อยู่ไปสิ กำลังจะยกฐานะให้เป็นผอ.โรงเรียน จะให้ต่อป.เอกต่อนี่ ที่นี่อิสรเสรีภาพใครจะมาสัมพันธ์กับวัดต้องการอย่างยิ่งแต่ไม่กล้าเรียกร้องอยู่ที่น้ำใจและความสมัครใจพวกคุณ ดีไหม? แม้รู้ว่าดีแต่ไม่ฝืนใจตนเองบ้าง การไม่มีธรรมะฝืนใจ ทมะ ขันติ คือฝึกฝน อดทน ต้องมา แต่ถ้ากลัวอดทนฝึกฝน คุณก็ไม่ได้มา แต่ถ้าคุณเป็นอรหันต์ไม่ต้องเรียกพวกคุณก็มา เพราะน้ำต้องไหลไปหาน้ำ น้ำมันต้องไหลไปหาน้ำมันโดยสัจจะ ก็ให้วัดเป็นศูนย์กลางจะไลน์จะเฟสก็ติดต่อกันได้เร็ว ก็ส่งข่าว จะมีวิธีการอย่างไรก็ทำสร้างสรร อาตมาอนุโมทนาสาธุเลย ไม่อยากเรียกร้อง แต่ต้องการอย่างยิ่ง

 

_จำเป็นหรือไม่ที่ศิษย์เก่าต้องมาทำประโยชน์ในอโศกเท่านั้น

ตอบ...ส่วนตัวแล้ว อาตมาว่าจำเป็นมาก ไม่เกี่ยวกับคุณนะ ส่วนคุณจะเห็นว่าจำเป็นหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ แม้แต่เรียกร้องก็ไม่เรียกร้อง แต่ต้องการไหม? หยุดไม่ต้องบอกอีก

 

แล้วถ้าพวกเรามาร่วมกันอยู่ในชุมชนอโศก มานี่ก็วันนี้ 190 กว่าคน มันก็จะไปได้เร็วเลย อาตมาเรียกร้องไม่ได้ ต้องการแน่นอน และจำเป็นไหม?จำเป็น ถ้าคุณมาช่วยอาตมาแล้วจะได้ผลงาน ได้แรงงาน ได้มีผู้ช่วยทำงานศาสนาเพ่ิมไหม? ก็ได้เพ่ิม ถามได้ว่าจำเป็นไหม? แต่ทุกวันนี้แต่ละคนในวัดทำงานไม่รู้จักกี่หน้าที่ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีงาน ที่นี่งานตกคน เป็นเมืองเจริญ สังคมไหนที่คนตกงานเป็นสังคมเสื่อม

 

_หากปฏิบัติในสังคมแล้วให้ตนเองลดละกิเลสโดยไม่ทุกข์ จะได้ไหม?

ตอบ...คุณไม่รู้จักทุกข์ คุณอยู่ข้างนอกแล้วตีความเองว่าไม่ทุกข์ ที่จริงคุณบำเรอกิเลสนี่กิเลสก็อ้วนสิ แล้วคุณบอกว่าลดกิเลสได้อย่างไร? เอาภาษามาตีกินไม่ได้  แต่ถ้าคุณเข้าใจดีในเรื่องลดละกิเลสแยกแยะทำมโนปวิจาร 18ให้เป็นเนกขัมมสิตะได้ ก็อยู่ข้างนอกแล้วลดกิเลสได้ คำถามนี้จึงเอาคารมมาเล่น อาตมาไม่หลงหรอก

 

_อยู่ทางโน้นยากอาตมาไม่เชื่อหรอกว่าพวกคุณอยู่ข้างนอกแล้วกิเลสไม่เพ่ิม อาตมาหวังไว้ว่าเวลาในการอยู่ในโลกีย์ของพวกคุณจะนานพอที่อาตมาติดชิปให้คุณ อาตมาขอใช้ศัพท์แรงหน่อยว่า คุณจะถูกโลกถีบเข้ามา เพราะทางโลกมันต้องแรงต้องหยาบกว่าเขาจึงอยู่ได้ หากคุณมีภูมิปัญญาที่ไม่ทำแบบโลกเขาแล้ว คุณจะระลึกถึงอโศก พวกเราก็ยินดีต้องรับ แต่ว่าอย่ามาตอนแก่ เป็นพากินสัน เป็นอัมพฤกต์ก็อย่ามาเลยเป็นภาระ ถ้าจะมาอีกก็มาเผาเลย

 

_ผมเรียนจบแล้ว และช่วยงานวัดตลอด ไม่ค่อยได้กลับไปบ้านดูแลแม่ที่อายุมากเลย

ตอบ...พ่อแม่ต้องการให้คนเป็นคนดีไหม? ก็เมื่อมาอยู่วัดแล้วเป็นคนดี คุณตอบแทนพ่อแม่หรือยัง? ถ้ามาอยู่นี่ก็มีกรรมดีเช่นทำงานฟรีเป็นต้น คุณทำดีก็ได้ช่วยแม่โดยสัจจะ แต่ถ้าไม่อยู่วัด คุณไปทำงานให้แม่ คุณไปหาเงินให้แม่ คุณก็ได้เอารายได้จากสังคมให้แม่ อย่างสุจริตก็เป็นโลกียะ แต่ถ้าอยู่นี่ได้ได้ช่วยแม่แล้ว เป็นอาริยบุคคลแล้วราคาแพงกว่าสามัญด้วย สูงกว่ากันหลายชั้น สรุปคุณได้ช่วยแม่แล้วสูงกว่าสามัญ​ เป็นวิสามัญแล้ว

 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ที่ได้ชื่อว่าได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่แล้ว คือผู้ได้ทำให้พ่อแม่เกิดภูมิปัญญาได้พัฒนามี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ให้พ่อแม่มีอาริยธรรม เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ หรือต่อให้เอาบ้านเอาเมืองมาให้พ่อแม่และดูแลบนบ้าให้ขี้เยี่ยวบนบ่าก็ยังไม่ได้ชื่อว่าได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ แต่ถ้าได้ทำให้พ่อแม่เกิดอาริยธรรมก็ถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณ และคุณได้ดีเกินสามัญอีกก็ย่ิงดี ถ้าลูกได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่โดยตนเป็นอาริยบุคคลก็ถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณ

 

_ตั้งแต่จบไป 10 กว่าปี กินมังฯได้ตลอด แต่ยังไม่กล้วจนพอ  พ่อท่านมีเทคนิคกล้าจนไหม

ตอบ...อาตมาเก่งเท่านี้มีวิธีเท่านี้ ถ้ามีมากกว่านี้มาช่วยอาตมาหน่อยเถอะ แม้ไม่มีวิธีแต่แค่แรงงานจิตใจที่มาช่วยก็เป็นการช่วยเพ่ิมวิธีแล้ว เช่นถ้าพวกคุณร้อยหรือสองร้อยคนไม่มาช่วย นะ อโศกจะมีการเผยแพร่ศาสนาได้เพ่ิมขึ้นไหม? อย่างน้อยก็หลายคนมาช่วยสื่อสาร หรือไม่ช่วยโดยตรงก็มาช่วยทำขยะก็ได้

 

_พระพุทธเจ้าท่านศึกษาความเป็นคนกับสังคมเท่านั้น ท่านเรียนจบ 18 สาขาวิชาในสมัยนั้น แต่ท่านก็ทิ้งหมดมาเอาพุทธธรรม ส่วนเรื่องความรู้เทคนิคนั้นเป็นส่วนประกอบเพื่อทำให้ประโยชน์สังคม คุณเก่งด้านไหนก็มาช่วยสิ ใครจะสมัครใจก็มาสิ คนที่ตั้งจิตทำเช่นนี้ก็ถือว่าดี แต่ถ้าทำได้ก็ยิ่งดีสิ แม้พวกเราไม่เชื่อว่าจะทำได้เต็มร้อยแต่เอาว่าเชื่อว่าทำได้ สามสิบเปอร์เซ็นต์ก็ดีแล้ว พวกคุณเข้าใจแล้วอาตมาว่า แต่ยังเหลือจะกล้าสู้ไหมล่ะ อาตมาไม่เรียกร้องหรือบังคับ แต่ต้องการไหม? อย่าถาม

 

_สุดท้าย รหัสสสฐ. 001 คือนายคมธรรม ยัพราษฎร์ (กอล์ฟ) เป็นผู้มอบทำเนียบศิษย์เก่าสสฐ. 540​คนเพื่อให้พ่อครูเรียกใช้งานได้ตลอดเวลา ขอให้พ่อครูอายุยืนไม่มีแก่

 

พ่อครูขอบคุณมากที่ตั้งใจดีร่วมกันมา ก็อนุโมทนาจริงๆ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:15:21 )

571109

รายละเอียด

571109_วิถีอาริยธรรมที่ปฐมอโศก พ่อครู+ส.ฟ้าไท เรื่อง ขุมทรัพย์มหาปวารณา

.ฟ้าไท...เราก็สิ้นสุดงานมหาปวารณาที่ปฐมอโศกกันแล้ว ได้รับคำชมว่า ปฐมอโศกสถานที่ดูเรียบร้อยงดงาม แต่ว่าคนผู้สูงอายุมีมาก และมีศิษย์เก่ามามากทำให้ชุมชนดูคึกคัก ที่นี่ไม่มีแก่อยู่แล้ว เพราะผู้นำเราไม่มีแก่  ปีนี้มีโศลกธรรมว่า “วัฒนธรรมบุญนิยมนั้น ต้องไม่ใช้บุญ เป็นวิมานหลอกคน”

 

พ่อครูว่า..ต้องทำความเข้าใจให้ชัดแล้วรู้ปรมัตถ์เนื้อแท้ ของบุญ​ของวิมานหลอกคน ถ้าเข้าใจเนื้อแท้ของบุญ อย่าใช้เป็นวิมาน แล้ววิมานคือส่ิงลอยลมที่ปั้นสร้างมาหลอกคน เป็นของลวงของอนาคต หรือสิ่งที่คนได้แล้วก็ชอบใจมนุษย์ต้องการ เป็นจินตนาการ ตรงกับศัพท์สมัยใหม่ว่า มโน

 

.ฟ้าไทว่า...อันนี้เป็นโศลกธรรมที่ดีมีสาระเข้ากับยุคสมัย ที่งมงายกับบุญกับวิมาน หลอกกันหน้าตาเฉย แล้วนับถือกันว่าเก่งอีกต่างหาก มันซวย เชาเชื่อว่าได้ดีจริงๆ เชื่อกันสนิท มีโน่นมีหนี้ มีหนี้สินด้วย มีประเด็นที่พ่อครูเทศน์ในงานนี้ ที่ว่า เวลาเราลดละปฏิบัติธรรม แล้วแค่จิตเราไปคิดเสพกิเลส ก็คือจิตวิญญาณเราออกนอกขอบเขตพุทธ เป็นคำสำคัญที่อาตมาจำไว้ต้องระมัดระวัง ต้องปหานกิเลสให้ได้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นจิตเราก็ออกนอกขอบเขตพุทธ

 

พ่อครูว่า ออกนอกปุญญักเขตตัง ที่พูดนี่ต้องหมายว่าผู้พูดก็ดี จะมีปฏิภาณรู้ว่าคำว่าบุญหมายถึงอะไร กิเลสหมายถึงอะไร ถ้าแม้ว่าเราไม่รู้ กิเลสเป็นอาการอย่างไร แล้วเราก็ปล่อยความรู้สึกไปเสพกิเลส ที่อาตมาว่า พอเร่ิมเสพกิเลสมันเร่ิมออกนอกขอบเขตพุทธ เราต้องอ่านอาการกิเลสออก เมื่อเรามีผัสสะ แล้วเรามีจิตไปเสพกิเลส กำลังออกนอกขอบเขตพุทธ ผู้ที่มีปัญญาญาณเช่นนี้มีนิพพานเป็นที่หวังแน่ ปฏิบัติไปเรียนรู้พยายามไป แค่ความรู้สึกว่าเรารังเกียจกิเลส ดูหน้ามันไปเรื่อยรังเกียจกิเลสไปเรื่อยๆ มันอยู่กับเราไม่ได้หรอก ขอให้ปฏิบัติได้ถูกเถอะ

 

.ฟ้าไทว่า...รู้สึกว่ามีกำลังใจมากเลย เราเป็นเสขบุคคล ซึ่งพ่อครูรู้จักโลกเรา ที่เราไม่ค่อยรู้จักโลกตัวเอง พ่อครูก็ต้องแซะโลกเราออกไป เราเหมือนดาวเคราะห์ไม่มีแสงในตนเอง พ่อครูเหมือนดาวฤกษ์ที่ส่องสว่างให้เรา อย่างไรก็อยู่ใกล้พ่อครูไว้ก่อน กิเลสเราก็จะลดไปแน่ ทุกอย่างเป็นสัลเลขธรรม มีตัวธรรมะตลอด ไม่นอกขอบเขตก็พาไปสู่นิพพานตลอดเวลา เราได้นิพพานก็สบายจะเกิดหรือตายก็ได้สบายมาก เรามางานนี้ก็ได้มาสร้างบุญได้ชำระกิเลสได้ถูกขัดเกลา หรือขัดเกลาตนเองบอกขุมทรัพย์กัน โดยธรรมชาติในการปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธ

 

ตอนประชุมการศึกษาพ่อครูบอกว่าชาวอโศกเจริญขึ้น ดูที่ไหน เช่นชาวอโศกมีโสดาบันลดลงแต่มีสกิทาคามีเพ่ิมขึ้น หรืออนาคามีเพ่ิมก็เจริญขึ้น มองว่าเรามีอาริยคุณมากขึ้นหรือไม่? แต่ละวินาทีๆ ขึ้นอยู่กับบุญบารมีกับความพากเพียรของเราด้วย ใครพากเพียรมากก็จะได้มาก ศาสนาพุทธไม่ใช่ว่าฟังแล้วได้บรรลุพรวดๆก็ยาก ต้องเข้าใจแล้วไปปฏิบัติจริง แล้วมาฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ฟังนับครั้งไม่ถ้วน ขนาดพ่อครูยังเทศน์หลายครั้งย้ำซ้ำทวนให้เราเลย

 

_มีผู้เขียนจดหมายถึงพ่อครูว่า....งานมหาปวารณาปีนี้ ได้พบผู้ที่ถูกลงทัณฑ์ในหมู่พวกเรา ให้ออกจากชุมชน มีหนังสือเวียนไปหลายชุมชน แต่ว่าเขาเข้ามาอยู่ในหมู่กลุ่มในงานนี้อย่างเปิดเผย คนที่รับรู้เรื่องนี้แล้วเป็นวงกว้าง แล้วเหมาะสมไหม? แล้วได้ข่าวว่า สังคมอโศกสนับสนุนคนที่ผิดศีล ผิดลูกผิดเมียคนอื่น มีคนไปบอกให้เขากลับแต่เขาไม่กลับทำให้ดูเหมือนเราหรือหมู่เป็นคนไม่เมตตา...

 

1. คำถามแรกถามว่า เขามาในงานนี้คนรับรู้ในวงกว้าง มาพบเห็นคนคู่นี้ในงานใหญ่งานรวม เขามาในงานนี้เหมาะสมไหม?...ตอบ...เมื่อยังไม่มีการตกลงกันจริงว่ามาได้หรือไม่ก็เหมาะสมที่จะมาได้ เพราะไม่ได้เกิดการรับรู้กันทั่ว แต่มาเลย เหมือนเราได้รับการปลดทัณฑ์แล้วก็ไม่ควร

 

2.เขาได้รับการชักชวนให้มาจากคนที่ใกล้ชิดพ่อครู แล้วสามารถขอให้ยกโทษให้ได้  เขามาขอพ่อครูจริงหรือไม่?

ตอบ...อาตมารู้แต่ของตนเอง เขามาขอจริง แล้วเขารับผิดชอบตนเองหรือไม่อาตมาไม่รู้เขา แต่มาขอแล้ว อาตมาตอบแค่นี้เพราะถามมาแค่นี้

 

3.สังคมอโศกสนับสนุนคนผิดลูกผิดเมียชาวบ้านหรือไม่?

ตอบ...เราไม่สนับสนุนอยู่แล้ว เขาถามเพื่อจะย้ำตอกลิ่มเข้าไปอีก

 

4.มีผู้ไปพูดไปบอกญาติธรรมฝ่ายหญิงให้ไปกลับ ว่ามาอย่างนี้ไม่เหมาะ ทำให้ดูเหมือนเรา หมู่ไม่เมตตาเขาจริงหรือไม่?

ตอบ...การตำหนิ ลงโทษ โดยสัจจะคือความเมตตา ของผู้รู้สัจจธรรม จนกลายเป็นกฎเกณฑ์ของสังคม การลงโทษเป็นเมตตา แต่ว่าถ้าลงโทษโดยไม่มีเหตุผล ทำโดยบำเรออารมณ์นี่คือไม่เมตตา แม้จะดุ ในขณะดุ ผิดจริง แล้วตัวผู้ดุก็ยังไม่มีสติรู้ตัวว่าเขาผิด แล้วก็ดุด้วยไม่รู้ว่าเมตตา แต่รู้ว่าเขาผิดก็ดุ อันนั้นก็คือเมตตา เขาดุว่าเขารู้ว่าผิดแล้วปรารถนาดีอยากให้ทำถูก นั่นคืออาการเมตตาจริง แต่ถ้าดุโดยที่ไม่เมตตาแล้วดุโดยไม่รู้ว่าเขาผิดจริงหรือไม่ อย่างนี้ไม่เมตตา บำเรออารมณ์โกรธ

 

5.โดยส่วนตัวชื่นชมเขาทั้งสองมาก่อน แต่ว่าพอเขาทำผิดก็รู้สึกผิดหวังมาก ยิ่งเขาเปิดเผยเรื่องกามแบบปกติ ทำเป็นไม่รู้เรื่องก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี แล้วสังคมอโศกควรเป็นแบบนี้หรือไม่? เหมือนอย่างโลกเขาที่เห็นว่าเรื่องผิดศีลธรรมเป็นเรื่องปกติ

 

ตอบ...ไม่ควรหรอก แต่มันเป็นขึ้นมาก็เป็นบทเรียนเป็นตัวอย่าง ว่าคนผิดควรอ่อนน้อมถ่อมตนควรสำนึก อย่าทำดึงดันดื้อด้าน ถ้าทำแบบนั้น มันจะก่อเกิดภาวะทำให้คนเกิดปฏิกิริยา

 

เมื่อกี้นี้คงมีคนหลายคนคิดว่าเมื่อมาบอกอาตมา ก็ถือว่าอนุญาต ซึ่งอาตมาเองวางตัวยาก ที่พูดนี่อาจจะหวาดเสียวเหมือนกัน จะลองดู อาตมาไม่มีเจตนาร้ายอะไร เป็นความรู้ลึกซึ้ง

 

อย่างในหลวง หลายอย่างท่านวางพระองค์ยาก เช่น รัฐบาลที่ตั้งขึ้นแล้วทูลเกล้าฯ คนที่ยี้ไม่ควรเลย หลายอย่างทูลเกล้าฯไป ท่านก็จำเป็นต้องลงพระปรมาภิไธยมา ถ้าไม่ลงให้ก็ยากเพราะผู้บริหารเขามีน้ำหนัก ถ้าไม่ให้ก็หักหน้ามากเกินไป ยากมากเลย นี่คือเรื่องของสังคม นี่ยกตัวอย่างใหญ่ ชัด ฉันเดียวกัน อาตมาก็วางตัวลำบาก แต่อาตมาก็ไม่พูดอะไรได้มาก เขาอยากให้อนุโลมอนุญาตนะ นิรโทษกรรม ต่างๆนานา อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะคนก็เยอะแยะ เขาก็ถือว่าความน่ิงของอาตมานี่ใช้ แต่อาตมาก็ว่าแล้วแต่คณะกรรมการนะ เพราะเราอยู่กันอย่างสังคมองค์รวม แล้วเขาก็โมเมว่าผ่านอาตมาแล้ว เหมือนอาตมาเป็นเครื่องกรองแสงว่าผ่านแล้วก็สะอาดเลย มีคนมาถามอีกอาตมาก็พูดอย่างเก่า จะให้อาตมาแข็งกว่านี้ใช้เผด็จการเลยมันก็ไม่สวย

 

.ฟ้าไทว่า..ในการบริหารงานพ่อครูน่าจะเป็นด่านสุดท้ายที่มาถาม ให้ผ่านหมู่กลุ่มก่อน ถ้านักบริหารที่ดีต้องคุยในคณะเล็กก่อน แล้วถ้าตัดสินไม่ได้ก็เข้าหาหมู่สงฆ์หากสงฆ์ไม่ได้ก็ค่อยไปหาพ่อครู

 

พ่อครูว่า...แล้วมาหาอาตมาก่อนเพื่อเอาไปให้คนอื่นรับได้ อย่างนี้ไม่ถูกต้องนะ

 

.ฟ้าไทว่า..หมู่กลุ่มเราขยายใหญ่มากขึ้นเรื่องต่างๆก็เข้ามามากขึ้น แม้แต่เด็กก็ต้องตั้งชื่อ อยู่ในท้องก็ตั้งชื่อให้แล้วมาแล้ว ซึ่งมีเรื่องราวมากมาย หากพวกเราอยากให้พ่อครูอายุยืนยาวเราก็ต้องเติบโตขึ้น ให้ในที่ประชุมชัดเจน แล้วก็นำไปรายงานพ่อครู ซึ่งบางทีพ่อครูก็เอาตามหมู่ อย่างเรื่องเปลี่ยนเป็นชุดขาวจะเปลี่ยนเป็นชุดอื่น พวกอาตมาก็ไม่ยอม พ่อครูก็เอาตามใช้ชุดขาวต่อ แต่ต่อมาก็ยอมเปลี่ยนตามพ่อครูในที่สุด ที่จริงเราน่าจะเคารพความเห็นของท่านมากกว่าที่จะให้ท่านยอมรับความคิดเห็นของเรา แต่ไม่ใช่ว่าพ่อครูเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แต่ต้องไม่ได้ แต่ก็ต้องรู้การประมาณ กาละเทศะ แล้วเราก็ต้องเติบโตเป็นพี่ที่ดูแลน้องได้ต่อไป ตอนงานว.บบบ.ปีแรก อาตมาเห็นใจพ่อครูมาก อาตมาก็ตึงเหมือนกัน มันวุ่นวายไปหมดทั้งที่เรื่องเยอะ พ่อครูเบิกบานได้อาตมาก็ตึงเป๊ะเลย เราต้องจัดสรรให้ดี พวกพี่ทั้งหลายต้องแข็งแรงขึ้น พี่ๆต้องจัดสรรเอาภาระกันก่อนชัดเจนแล้วจะพัฒนาไปได้ พ่อครูนี่ให้ท่านสอนธรรมะปรมัตถ์แค่นี้ก็หนักมากแล้ว อย่างอื่นให้พวกเราช่วยกันตัดสินช่วยกันทำดีกว่า นี่ถือว่าเป็นงานปวารณากันนะ รับกันไปคนละนิดหน่อย

 

พ่อครูว่า...ปวารณาแปลว่ายอมให้ว่ากล่าวได้ จะสำนึกหรือไม่ก็อยู่ที่เจ้าตัว ใครเกี่ยวข้องโยงใยกันไปหลายช่วงก็เมตตากัน สำนึกช่วยเหลือกัน คนละนิดคนละหน่อย ก็แก้ไขตัวเอง เพราะอะไร แต่ละคนๆ ที่ข้อบกพร่องอะไร เอาเหตุปัจจัยที่เกิดมาตรวจสอบข้อบกพร่องอะไร ถ้าตรวจแล้วไม่มีบกพร่องก็ตรวจให้ชัด อย่าลำเอียงเข้าข้างตนเอง พวกเราศึกษาพวกนี้มันเรื่องลึกซึ้ง เรื่องปฏิภาณปัญญา

 

สายปัญญาจะมีเหตุผลเป็นเงื่อนไข ในการศึกษา ส่วนสายศรัทธาศึกษาแต่จิต ไม่ค่อยชอบคิดวิจัยเหตุผลไม่ถนัด ฝึกแต่จิตๆๆไปก็เลยแคบ เอาแต่จิตไม่มีเหตุผลก็แคบ แต่ถ้าเอาแต่เหตุผลไม่เอาจิตก็กว้างกระจายไม่จบ

 

พระพุทเจ้าจึงสอนว่าให้เข้าหาความพอเหมาะพอดีส่วนกลางให้ได้ เมื่อมันผิดแล้วหลุดจากกรอบปุญญักเขต ไม่ปโหติ (เหมาะสม) เลยไปด้านปัญญาฟุ้งก็ผิด เลยไปทางจมดิ่งก็ผิด ท่านว่าไม่ลอยก็จม มีสองทิศ ตั้งแต่ละเอียดถึงหยาบ คนต้องรู้ความพอเหมาะพอดี จะเรียกว่าทางสายกลางก็ต้องรู้ว่ากลางอย่างนี้ ไม่ได้หมายเอาแค่รูปธรรม แต่ว่ากลางอย่างนี้คือจิต เราต้องรู้ฝ่ายลอยปัญญา สว่างจ้าเกินไป อีกฝ่ายก็มืด ดับสนิท พระพุทเจ้าให้เรียนใหญ่หยาบก่อน เราจะสัมผัสความจริงเป็นส่วนๆแล้วจะรู้ความจริงสภาพพอดีในใหญ่หยาบ กลาง ละเอียดพอดีอย่างไร จะให้ลงตรงกลางไม่มีความเข้าใจผิด ไม่มีมัว ที่มืดมิดก็ไม่มี หรือว่าสว่างอย่างไรไม่มัวไม่ชัดก็ไม่เอา ให้คมชัด แม่นจริงเต็ม ไม่มีอะไรเหลื่อมซ้อน มันตรงเป๊ะเข้ารูปให้ได้ นี่คือสัจจะที่พูดถึงนามธรรม แม้พวกเรายังไม่มีความคมชัด แต่ต้องฝึกให้เห็นรู้ชัดได้จริงๆ

 

วันนี้มีคอลัมน์ สมาธิชาวบ้าน โดย อ.บูรพา ผดุงไทย ตอน จิตประภัสสร (21 April 2556) เขียนในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์มาอ่านให้ฟัง ซึ่งไม่ได้เข้าสู่ปรมัตถ์จิตเจตสิกเลย ในขันธ์ 5 มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในปรมัตถ์มี จิต เจตสิก รูป นิพพาน คำว่ารูปในปรมัตถ์จึงไม่ได้หมายถึงรูปในขันธ์ 5 เพราะมันคนละระดับ การใช้พยัญชนะโดยไม่เข้าใจลักษระรูปนามที่ชัดลึก

 

และรูปมีอีกอย่างคือ รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ คำว่ารูปนี่ ถ้าเป็นนามธรรมที่เป็นธาตุรู้ แต่ถูกรู้โดยธาตุรู้ อีกที เช่นเวทนาเป็นธาตุรู้ แต่ว่าเรามีจิตเจตสิกที่เป็นปัญญาไปรู้ชัดว่าอารมณ์อาการเช่นนี้เรียกว่าสุขเวทนา แล้วนั้นอาการสุขก็คือรูปแล้ว เป็นนามรูป

 

ความรู้สึกสุขทุกข์นั้น เราต้องใช้ญาณปัญญาไปอ่าน ของตนได้เท่านั้น ของคนอื่นเราไปรู้ไม่ได้ ยิ่งกว่าช้อนในชามแกงอีก เพราะมันไม่รู้รสแกง คุณต้องสัมผัสอาการของคุณเอง ชามแกงคือตัวคุณ น้ำแกงก็คืออารมณ์ของคุณเอง คุณต้องสัมผัสรู้อารมณ์ของคุณเอง ของตนเอง เอโก ไม่ใช่ว่าไปรู้ของคนอื่น ในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 อัชฌัชตังอรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ

 

พวกเราที่อยู่ฟังนี่ ก็เป็นพวกเหลือเดน...แต่ที่จริงเป็นแก่นนะ ส่วนพวกเปลือกกระพี้ก็กระเด็นหลุดไปแล้ว เขาก็ว่าจะไปฟังรีรันได้แต่ว่าการได้มาสัมผัสในปัจจุบันนี่ถือเป็นเรื่องสำคัญ พระพุทเจ้าสอนไว้ในวิโมกข์ 8 ว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อยู่ในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย องค์ประชุมนอกและในจึงลึกซึ้งที่สุด มีสิ่งปรากฏมีนามและรูปอยู่ปัจจุบัน จึงได้

 

อาตมาจะอ่านบทความของอ.บูรพา ผดุงไทย....ไม่ยาวหรอก...

 

การฝึกปล่อยวางจิตไม่ยึดมั่นถือมั่น

    อารมณ์ที่เรายังเกิดเสียใจเมื่อบางสิ่งสูญสลาย เสียหาย เกิดจากจิตเราไปยึดว่าเป็นของเรา ใส่ความรู้สึกต่างๆ ผูกติดกับสิ่งนั้น ย่อมเกิดเป็นความรู้สึกต่างๆ ครั้นเมื่อฝึกจิตให้เข้าสู่ภาวะเดิมแท้ เราจะไม่มีจิตของเรา จิตที่เคยหลงยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นจิตของเราวิญญาณของเราหมดไป ภาวะนี้ต้องเป็นปัญญาพระนิพพานถึงปล่อยได้ ความสะสมทั้งกรรมดีกรรมชั่วต่างๆ ที่มีอยู่ในจิตของเรา วิญญาณของเรา จะปล่อยเป็นธรรมชาติหมดไม่เหลืออะไร 

 

    มีคำถามว่า สิ่งที่เคยรู้ผ่านจิตผ่านวิญญาณต่างๆ เมื่อตัดสิ่งเหล่านี้ออกไปเปรียบเหมือนตัดมือตัดเท้า ไม่มีเครื่องมือ ตัดหมดทุกสิ่งที่เคยใช้เครื่องมือ ในที่สุดไม่มีอะไรจะผ่านเป็นเจ้าของถึงการจบรู้แล้วโดนตัดหมด อวิชชาหมดไป ไม่มีจิต ไม่มีวิญญาณ เพราะจิตวิญญาณต่างๆ ตัด เขาคืนความเดิมแท้ไปหมด ถึงรู้อยู่ แต่ไม่มีอะไรให้รู้ หมดสภาพไปเองโดยปริยาย ถึงจะรู้ แต่ไม่มีอะไรให้รู้ ว่างอยู่อย่างนั้นตลอด ไม่มีสิ่งใดให้ไปหลงยึดมั่นถือมั่น และเป็นธาตุรู้ดิบลงไป ไม่มีปรากฏ เป็นอาการนิ่งเฉย สงบ สว่าง และไม่รับรู้ อาการนิ่งเฉย (อาตมาขออภัยที่ภูมิรู้อาตมาว่านี่คือนัตถิกทิฏฐิ)

 

    พระพุทธเจ้าเห็นว่าอาการแบบนี้เป็นอาการของจิตเดิมแท้ที่จะปล่อยวางจิตไปถึงอาการเดิมแท้ ย้อนกลับมาอย่างเราปฏิบัติตอนจิตถูกครอบงำ อวิชชาหลากหลายคลอบงำเรา ให้เราเห็นว่าจริง ให้เห็นว่าโลกนี้จริง สมมติโลกจริง เห็นตามที่บอก เมื่อจิตเรามีความตั้งเริ่มเห็นกิเลสแบบหยาบๆ ด้วยภูมิปัญญาของเราเบื้องต้น ก็เป็นการปฏิบัติธรรมขั้นโลกิยภูมิ คือเห็นความจริงของทุกข์ เห็นสิ่งต่างๆ เช่น มีหินก้อนหนึ่งตั้งอยู่ตามธรรมชาติ เป็นหินอะไรไม่รู้ เราไปเอาหินนั้นมา บอกเป็นของเรา คิดว่าหินก่อนนี้ดี สวย ใส่ความรัก ไปผูกพัน อยู่ๆ มีคนทำตกแตก ความยึดมั่นถือมั่นมีเท่าไหร่มันก็เกิดทุกข์เท่านั้น เท่าที่มันมีความรักใส่เข้าไป คนอื่นไม่เสียใจ เพราะไม่ใช่เจ้าของ

 

    เมื่อก่อนหินตั้งอยู่ตามธรรมชาติ คนเอาเป็นเจ้าของยึดถือมั่นเรื่อยๆ พอหินแตกก็เสียใจ อำนาจความเป็นเจ้าของมันนำความทุกข์มาให้เราพิจารณาแล้วไปเห็นจริงตามนี้ เมื่อหลายพันปีที่ใครบรรลุธรรมรู้เรื่องนี้ เช่น ทุกวันก็รู้อย่างนี้ อนาคตต่อไปใครเข้าไปถึงธรรมะข้อนี้ก็รู้แบบนี้ เหมือนกันแสดงเห็นว่าธรรมะนี้เป็นความจริง ธรรมะจึงเป็นสิ่งที่ปฏิบัติเวลาไหนก็รู้เช่นนี้ อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ใครปฏิบัติก็รู้อย่างนี้ เพราะเป็นความจริง(เป็นภาษาโวหารไม่ผิดเลย เรื่องก้อนหินใครก็เข้าใจและทำง่าย แต่ว่าถ้าเป็นอารมณ์สุขล่ะ คุณจะวางได้จริงไหม? พระพุทเจ้าว่าให้ดับที่เหตุแห่งอารมณ์สุขทุกข์นั้นเสีย)

 

    หากจะกล่าวถึงธรรมะขั้นพระนิพพานต้องเพียรฝึกขั้นสูงกว่านี้มาก ต้องกล้าพิจารณา ฝึกฝนเข้าไปอีก เพราะต้องสวนความรู้สึก การฝึกปล่อยการวางเป็นการสวนความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น เมื่อทำแล้วจะตอบสนองความรู้สึกของอวิชชาได้ดี การปล่อยการวางทำได้ยาก แต่ต้องทำต้องเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วเกิดปัญญาก็สามารถทำได้ เพราะหากไม่เกิดปัญญาย่อมทำได้ยาก

 

    "ปัญญา" อย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่เกิดปัญญาย่อมได้แค่เพียงพอรู้ธรรมแบบสะสมบุญ ไม่ได้รู้แบบพระนิพพาน รู้ว่าทำอะไรแล้วจะได้อะไร ทำอย่างนี้แล้วจะได้อย่างนี้ ไม่ได้รู้แบบปล่อยวาง ยังเป็นความคิดทางโลกที่ใส่อันนี้ไป ต้องได้อย่างนี้ ซึ่งในความเป็นจริง ปัญญาธรรมมันมีหลายระดับ เมื่อเราเริ่มต้นฝึกฝนเรื่อยๆ ควรทำต่อเนื่องให้ก้าวหน้าถึงธรรมขั้นสูงยิ่งๆ ขึ้นไป.

 

พ่อครูว่า...เลยไม่รู้ว่าจะสรุปจบอะไร ในตอนจบ อันนี้แหละขออภัยอ.บูรพา ที่เอามาอธิบาย แต่ก็เพื่อการศึกษาสัจธรรม

 

มาดูที่พระไตรปิฎก....

3. สมณพราหมณสูตรที่ 1

       

[38] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด

เหล่าหนึ่ง ไม่รู้จักชราและมรณะ ไม่รู้จักเหตุเกิด     แห่งชราและมรณะ ไม่รู้จักความดับแห่งชรา

และมรณะ ไม่รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึง ความดับแห่งชราและมรณะ ไม่รู้จักชาติ ... ไม่รู้จักภพ ...

ไม่รู้จักอุปาทาน ... ไม่รู้จักตัณหา ... ไม่รู้จักเวทนา ... ไม่รู้จักผัสสะ ... ไม่รู้จักสฬายตนะ ... ไม่รู้จัก

นามรูป ... ไม่รู้จักวิญญาณ ... ไม่รู้จักสังขาร ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งสังขาร ไม่รู้จัก  ความดับแห่งสังขาร

 ไม่รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งสังขาร สมณะหรือ พราหมณ์เหล่านั้นจะสมมติว่าเป็นสมณะ

ในหมู่สมณะ หรือสมมติว่าเป็นพราหมณ์   ในหมู่พราหมณ์ หาได้ไม่ แลท่านเหล่านั้นมิได้กระทำ

ให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของ ความเป็นสมณะ หรือประโยชน์ของความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่ง

เองใน  ปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ

       

 

[39] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้จักชราและมรณะ รู้จัก

รู้จักความดับแห่งชราและมรณะ   รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ รู้จักชาติ ... รู้จัก

ภพ ... รู้จักอุปาทาน ... รู้จักตัณหา ... รู้จักเวทนา ... รู้จักผัสสะ ... รู้จักสฬายตนะ ... รู้จักนามรูป ...

รู้จักวิญญาณ ... รู้จักสังขาร ... รู้จักเหตุเกิดแห่งสังขาร รู้จักความดับแห่งสังขาร รู้จักปฏิปทาที่จะให้

ถึงความดับแห่งสังขาร สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นแล สมมติได้ว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ

และสมมติได้ว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ และท่านเหล่านั้นได้กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของ

ความเป็นสมณะ และประโยชน์ของความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ

                           

จบสูตรที่ 3

 

สังขารเป็นปัจจัยของอวิชชา คนนั้นต้องตามตัวปัจจัยตัวแรกของอวิชชาคือสังขาร เพราะสังขารเป็นตัวสำคัญมากที่ต้องศึกษา แจกเป็น กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร แล้วต้องเรียนรู้สังขารที่ปรุงแต่งโดยเรา แม้เราเก็บข้างนอกก็ไปปรุงข้างในหรือแม้ทำลายที่ใจ ทำให้ใจตนเองเลวลงก็คือกรรมใจตนทำเอง คุณไปยึดถือมา ใครด่าคุณคุณก็เก็บคำด่ามาคิดมาเศร้าหรือเอามาเป็นสุข มันส์ดีพวกซาดิสม์ บางอย่างอาตมาไม่กล้าเหมือนเขานะ อย่างจะฆ่าคนนี่อาตมาไม่กล้านะ บอกตนเองแม้เขาจะทำร้ายทำลายเราอย่างไร เราก็ไม่กล้าจะฆ่าเขาหรอก

 

อาตมาไม่กล้า ใจไม่ถึง คือเพื่อนมันไปเสียเงินค่าโสเภนี เสียไปตั้งพันห้า อาตมาว่าเขากล้าเสียตั้งมาก เพื่อไปบำบัดความใคร่ ความกล้าอาตมาไม่มี เสียดายสตังค์ตั้งพันห้า บางคนเสียที่ดิน รถ หรือทรัพย์สินเพื่อให้ได้เสพสมกับผู้หญิง เราเห็นว่าไม่มีค่า แต่เขาเห็นว่ามีค่ามากมาย คนเห็นคุณค่าหรือยึดติดต่างกัน เราเห็นว่าเป็นของสวะมากเลย

 

ใครตัดเหตุแห่งสุขทุกข์ได้ก็จบ คนที่บรรลุแล้ว จะรู้จักส่ิงมีและไม่มี คำว่ามีหรือไม่มีก็คืออันนี้เอง คนที่รู้แล้วว่าความมีหรือไม่มีคืออะไร สุดแห่งความไม่มีคือปรินิพพาน แต่ถ้ายังพูดถึงความมีอยู่ก็อย่าทิ้งเหตุปัจจัย

 

การปฏิบัติธรรมหากใครไม่รู้จักสังขาร ก็เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

 

การที่คุณได้แต่คิดตรรกะ คิดอยู่ล้านๆชาติก็ไม่มีวันบรรลุ คุณก็จะรู้วนไปเรื่อยๆ มากขึ้นๆ เหมือนมหายานที่เขามีโศลก ว่าคิดได้นะ ว่านิพพานแต่ก็เป็นนิพพานตรรกะ พวกเซ็นนี่มีเยอะ แต่พวกดับด่ิงนั่งหลับตานี่ก็สนิทมืด ไม่รับรู้เลย

การกำจัดด้วยวิธีกดข่มมันไม่จริง ต้องใช้ปัญญาวิปัสสนา เห็นความไม่เที่ยง

 

  4. สมณพราหมณสูตรที่ 2

       

[40] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด

เหล่าหนึ่ง ไม่รู้จักธรรมเหล่านี้ ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านี้ ไม่รู้จักความดับแห่งธรรมเหล่านี้

ไม่รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งธรรมเหล่านี้ ไม่รู้จักธรรมเหล่าไหน ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่ง

ธรรมเหล่าไหน ไม่รู้จักความดับแห่งธรรมเหล่าไหน ไม่รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งธรรม

เหล่า ไหนคือ ไม่รู้จักชราและมรณะ ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งชราและมรณะ ไม่รู้จักปฏิปทา ที่จะให้ถึง

ความดับแห่งชราและมรณะ ไม่รู้จักชาติ ... ไม่รู้จักภพ ... ไม่รู้จัก อุปาทาน ... ไม่รู้จักตัณหา ... ไม่รู้จัก

เวทนา ... ไม่รู้จักผัสสะ ... ไม่รู้จักสฬายตนะ ... ไม่รู้จักนามรูป ... ไม่รู้จักวิญญาณ ... ไม่รู้จักสังขาร

ไม่รู้จักเหตุ  เกิดแห่งสังขาร ไม่รู้จักความดับแห่งสังขาร ไม่รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่ง

สังขาร ชื่อว่าไม่รู้จักธรรมเหล่านี้ ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านี้ ไม่รู้จัก   ความดับแห่งธรรมนี้ ไม่รู้

จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งธรรมเหล่านี้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น จะสมมติว่าเป็น

สมณะในหมู่สมณะ หรือสมมติว่าเป็น พราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ หาได้ไม่ และท่านเหล่านั้น

 มิได้กระทำให้แจ้งซึ่ง   ประโยชน์ของความเป็นสมณะ หรือประโยชน์ของความเป็นพราหมณ์ ด้วย

ปัญญา       อันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ

       

 

[41] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้จักธรรมเหล่านี้

รู้จักเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านี้ รู้จักความดับแห่งธรรมเหล่านี้ รู้จัก ปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่ง

ธรรมเหล่านี้ รู้จักธรรมเหล่าไหน รู้จักเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่าไหน รู้จักความดับแห่งธรรมเหล่าไหน

 รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งธรรมเหล่าไหน คือ รู้จักชราและมรณะ รู้จักเหตุเกิดแห่งชรา

และมรณะ รู้จักความดับแห่งชราและมรณะ รู้จักปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ รู้จัก

ชาติ ... รู้จักภพ ... รู้จักอุปาทาน ... รู้จักตัณหา ... รู้จักเวทนา ... รู้จักผัสสะ ...  รู้จักสฬายตนะ ...

รู้จักนามรูป ... รู้จักวิญญาณ ... รู้จักสังขาร รู้จักเหตุเกิดแห่ง   สังขาร รู้จักความดับแห่งสังขาร

รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งสังขาร ชื่อว่ารู้จักธรรมเหล่านี้ รู้จักเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านี้

 

รู้จักความดับแห่งธรรมเหล่านี้ รู้จัก ปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งธรรมเหล่านี้ สมณะหรือ

พราหมณ์เหล่านั้นแล   สมมติได้ว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ และสมมติได้ว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่

พราหมณ์   และท่านเหล่านั้น ได้กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของความเป็นสมณะ และ  ประโยชน์

ของความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ

                          

 จบสูตรที่ 4

                        

 

5. กัจจานโคตตสูตร

       

 

[42] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ  บิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระกัจจานโคตต์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค

ว่า พระพุทธเจ้าข้า ที่เรียกว่าสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะชื่อว่า

สัมมาทิฐิ ฯ

 

 

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความ

มี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ

ไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ

มีในโลก ย่อมไม่มีโลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก

ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็น

ที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิด

ขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้อง

เชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ

 

 

[44] ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ 1 นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่ 2 นี้ว่า

สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง 2 นั้นว่า เพราะอวิชชา

เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้

ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ

เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

จบสูตรที่ 5

 

พ่อครูว่า...พูดไปแล้วผู้ไม่มีสภาวะหรือผู้ไม่ใกล้สภาวะ ถ้าจะใช้ความคิดตรรกะ แม้ฉลาดอย่างไรก็จะงง โลกจะหมุนเลย คนไม่มีสภาวะพอผ่านแล้วฟังอาตมาเสร็จ คุณจะconcentrate อย่างไร ถ้าเข้าใจได้ก็ตอนที่คุณฟังอาตมานั้น แต่พอผ่านไป 5 วินาทีก็จะหมุนแล้วยากจะอธิยายได้

 

คุณเป็นผู้ที่ไม่มีแล้ว แต่คุณก็ยังเป็นผู้มีอยู่ คือมีความเป็นขันธ์ 5 ที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นผู้ที่มีอยู่ในโลก แต่เป็นผู้ที่มีความไม่มี เหลือแต่ขันธ์ ที่เป็น เป็นภาราหเว ปัญขขันธา แต่สิ้นทุกข์แล้ว....


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:16:37 )

571109

รายละเอียด

571109_เอื้อไออุ่นรร.ผู้นำ โดยพ่อครู เรื่อง ล้างบาปคุณได้ต้องใช้โลกุตรธรรม

วันนี้เรามาเอื้อไออุ่นกันที่รร.ผู้นำ จ.กาญจนบุรี ผู้ที่ฟังอาตมาแล้วไม่มีรสมมีชาติ เขาก็จะว่าพูดไปทำไม? เพราะส่ิงที่อาตมาพูดนี่ ไม่ใช่โลกียรส ให้พูดให้ชวนฟัง บำเรอกิเลสเป็นโลกียรส เขาก็ฟังไม่ติดใจ ยิ่งเป็นโลกุตระนั้นคนละโลกกับเขา เขาก็ว่าพูดอะไรไม่รู้เรื่อง พูดทำไม คือเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ เขาก็ว่าไร้สาระ เพราะสาระเขาเป็นกาม เป็นโลกธรรมเป็นอัตตา จึงเป็นสุข แต่ว่าอาตมามีหน้าที่ที่จะให้ส่ิงนี้ มาให้โลกุตระนี้ที่เป็นของพระพุทธเจ้าเป็นของศาสนาพุทธ

 

อาตมายำ้บ่อยระยะนี้ว่าศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมและเป็นโลกุตระ  คนทั่วไปเขานับถือเทวนิยมคือไม่รู้เรื่องแต่เขาเชื่อ แต่อเทวนิยมไม่ใช่ว่าไม่เชื่อพระเจ้า แต่ไม่เชื่ออย่างยึดมั่นถือมั่นไม่รู้สัจจะความจริงของความเป็นเทวะ ของเทวดาจนถึงเทพเจ้า พระเจ้า ที่ย่ิงใหญ่เขาไม่รู้ชัดแต่เขาเชื่อ นับถือบูชาสุดยอด

 

สรุปง่ายๆคือเขาเชื่อส่ิงที่เขาไม่รู้จัก นั่นคือเทวนิยม เขารู้แต่ความหมายแต่ไม่รู้ความจริงของเทวะแท้ๆ แต่อเทวนิยมนั้นไม่ได้หมายถึงไม่นับถือไม่รู้จักเทวะ แต่นับถือรู้จักพระเจ้าอย่างยิ่ง ขออภัยที่ต้องพูดคำนี้ต่อ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า และทำตนให้เป็นพระเจ้าได้จริงๆ นี่คือลัทธิหรือศาสนาอเทวนิยม ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

 

เทวะคือจิตวิญญาณ ที่เขาไม่เข้าใจว่าพุทธสอนจิตวิญญาณโดยตรง แล้วเอาความรู้จิตวิญญาณมาสอนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต เขาเลยบอกว่าพุทธไม่ใช่ศาสนา เขาจำนนต่อเหตุผล แต่เขาไม่รู้ว่าไม่ใช่แค่เหตุผลแต่เป็นการบอกลักษณะจิตวิญญาณ เขาว่าพุทธไม่ใช่ศาสนาเป็นแค่ปรัชญา เขาจำนนว่าเป็นเหตุผลแต่ไม่มีจิตวิญญาณ เขาว่าไม่ใช่ศาสนาเป็นแค่หลักปรัชญา

 

จิตวิญญาณของคนนั้นแหละพุทธรู้แจ้งและสัมผัสเลย เวทนาเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร สังเคราะห์สังขารกันอย่างไร จิตวิญญาณตัวร้ายคือผีซาตานเป็นอย่างไร และลักษณะที่เป็นพระเจ้าคืออย่างไร ตรีมูรติเป็นอย่างไร เป็นลักษณะ 3​ สภาพของกรุณาธิคุณ ช่วยเหลือ รักมนุษย์ทั้งโลก เป็นกรุณาธิคุณ บริสุทธิคุณ ปัญญาธิคุณ เป็นพลังงานไม่เห็นแก่ตัวสะอาดบริสุทธิ์และมีปัญญา พระอรหันต์ทุกพระองค์มีลักษณะตรีมูรตินี้ เป็นบัณฑิตแท้ ไม่ใช่รู้แค่ภาษาบัญญัติ แต่ปฏิบัติแล้วจิตเป็นอุภโตภาควิมุติ อุภโตภาคนิพพาน คือรู้และเป็นจริงได้ด้วย มีจิตพรหมวิหาร 4​ หรืออัปปมัญญา 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นจิตพระเจ้าจริงๆ มีความรู้

 

พระอรหันต์จะมีปัญญาและรู้โลก อรหันต์ทุกพระองค์รู้จักโลกีย์ไม่เท่ากัน มีปัญญาธิคุณไม่เท่ากัน ปัญญาที่ว่านี้คือ รู้ความเป็นโลกโลกีย์ คือเรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ​ โลกียสุข ทั้งหมดคืออัตตา แต่ละองค์รู้ไม่เท่ากัน ก็จะช่วยคนได้ไม่เท่ากัน จะช่วยได้แต่คนมีความเป็นโลกีย์ระดับนี้ แต่ถ้าโลกีย์เก่งกว่านี้ก็ช่วยไม่ได้ ก็ได้เท่าที่ท่านมีนิรุติโวหาร เพราะโลกีย์เฉโก ฉลาดที่ประกอบด้วยกิเลสคือเฉโก ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่าตนเฉโก แต่จะบอกว่าตนฉลาด  บางทีฉลาดหลอกคนอื่นให้คิดว่าตนดีมาก สนิทเลย ใช้วิธีซับซ้อนมาก แล้วพระอรหันต์หลายท่านรู้ไม่ทัน ช่วยคนที่เป็นอย่างนี้ไม่ได้ แม้อาตมาก็ไม่ค่อยเก่ง จึงช่วยคนที่ฉลาดเฉโกไม่ได้ เพราะพูดแล้วไม่สะดุดใจเขา เขาไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าอาตมามีปัญญาธิคุณมากกว่านี้จะช่วยเขาได้ อาตมาก็เกรงใจคนฉลาดแกมโกงที่ชั่วบาป ให้เขารู้สึกตัวว่านี่ฉันชั่วนี่ ถ้าทำได้คือเราช่วยเขาได้สำเร็จ เราก็ได้ช่วยสังคม หากเราไม่ช่วยเขาก็ทำลายสังคมอยู่ตลอดเวลา อาตมาก็บังคับให้เขาฉลาดปัญญาไม่ได้

 

คำว่าฉลาด มาจากคำภาษาบาลีว่า “ฉฬายตนะ” คืออายตนะ 6 ผู้ที่มีความรู้ในเรื่องอายตนะ 6 รู้ว่าทวาร 6 นี้สัมผัสกับสิ่งข้างนอก ดิน น้ำ ไฟ ลม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส วัตถุ เงินทอง ตำแหน่ง ยศศักดิ์ที่เขาสมมุติกันในสังคม เมื่อสัมผัสแล้วจิตก็มีการปรุงแต่งเป็นองค์ประชุมรวมทั้งหมดทั้งนอกและใน

 

เช่นสัมผัสธนบัตร ที่ละพันทีละหมื่น แต่เงินนี่เราก็ทำเองได้ไม่ต้องโกงนะ แต่ใบละร้อยละพัน เป็นหมื่นเราทำเองได้ แต่ถ้า ห้าหมื่น เราก็ยังชักพอทนได้นะ แต่ก็ชักตื้อๆนะ ว่านี่ก็ไม่ถึงโกงก็แค่ตามน้ำนะ ทั้งที่ไม่ใช่ความรู้ความสามารถของตนนะ เราทำได้แค่พันแค่หมื่น ความโลภมันก็จะเอานะ ว่าไม่เป็นไรนะ เอาๆ คนเช่นนี้ที่บริหารสังคม เงินผ่านมือแบบนี้มีเยอะ กินตามน้ำแบบนี้มีเยอะ

 

ฐานะของข้าราชการ นี่รู้กันทั่วว่ากินเงินประชาชนแล้วให้มารับใช้ประชาชน ต่างจากนักธุรกิจนะ เขาไม่ได้ทำเพื่อประชาชน เขาไม่ได้เอาเงินประชาชนมาใช้นะ เขาทำเขาก็ได้ผลผลิตเขานะ ตีราคาเท่าที่เขาได้ แต่ข้าราชการคุณจะเช้าชามเย็นชามก็แล้วแต่จะมีความสามารถคุ้มกับอัตตาที่คุณได้ แต่คุณได้กินเงินของประชาชนคุณทำให้ประชาชนคุ้มหรือไม่? หรือทำไปแค่ไหนก็กินเงินประชาชนถ้าทำไม่คุ้มก็บาปแล้ว ถ้าทำคุ้มก็รอดไป แต่ถ้าไม่แค่ทำคุ้มแต่โกงกินด้วย เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ได้บริหารเงินได้กินตามน้ำ ส่วนจะมีคนมาให้สินบนอีกทุจริต หรือบริหารแล้วมีเฉโก ซ้อนรับทำพวกนี้ เอามากๆขนาด เจ็ดแสนล้าน แล้วก็แบ่งกัน เพราะคนเดียวไม่ได้ ก้อนโต แต่ผู้ได้มากที่สุดก็บาปมากที่สุด อาตมาไม่รู้หรอกว่าใครได้มากหรือน้อย

 

มันมีซ้อนอย่างนี้ อย่างนักธุรกิจ ว่า เงินก้อนนี้ก้อนใหญ่ เป็นmega project แม้สมมุติมากก็แล้วกัน แสนล้าน หรือห้าแสนล้าน สมมุติว่า งบฯก้อนนี้ คุณเองเป็นหัวหน้าใหญ่คุณได้แค่ห้าหมื่นล้าน เอาไปใช้ทำงานสองแสนล้าน อีกสามแสนล้าน เอาไปปู้ยี้ปู้ยำ บางทีลูกน้องจะได้มากกว่าห้าหมื่นล้านก็เอา แต่คนเก่งคนฉลาดเป็นหัวหน้าใหญ่ก็จะเอามากกว่าทุกคนเพราะมีอำนาจมากกว่าฉลาดกว่า ว่าโกงไม่เป็นไร ขอให้แบ่งฉันด้วยนี่คือที่มาของคนเลว หนักหนาสาหัส ถ้าไทยไม่แก้เรื่องนี้ก็แย่  เป็นความฉลาดแกมโกงที่สาหัส เป็นอัจฉริยะในความโกง เพราะอามาแจกจ่าย โกงไม่ว่าขอให้ข้าได้ จนเกิดปรัชญาแห่งความเลวอันนี้มา

 

ทำกันเช่นนี้ ก็เลยคาคอ จะจัดการผู้นี้ลงก็ติดคาคอ อาตมาขอบอกสัจจะว่าถ้าใครแข็งแรงจริง ที่ได้มาแล้วก็จบไป ถ้าคุณฟันคอเขาเลย คุณจะรอดแล้วไม่บาปอีกต่อไป นี่คือสัจจะ เมื่อมีโอกาสแล้วคุณจงเสียสละให้ประชาชน ยิ่งเป็นข้าราชการประจำก็คือนักการเมืองตัวแท้ นักการเมืองคือผู้รับใช้ประชาชน ผู้ที่ว่าตนเป็นข้าราชการไม่ใช่นักการเมืองคนนี้ไม่รู้รัฐศาสตร์ที่แท้

 

คำว่าการเมืองเสีย คนไม่ยอมรับเพราะว่านักการเมืองทำตนแย่ โกงกินทุจริต จนคำว่านักการเมืองเป็นเรื่องแย่ แต่ถ้าบอกว่าเป็นข้าราชการนี่เขาจะรู้สึกดี ข้าราชการนี่คือพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่ถาวรด้วย นักการเมืองที่เลือกตั้งเข้ามาเป็นนักการเมืองจร เมื่อเราไม่สามารถรู้ชัดเจนในหน้าที่และสิทธิ ตอนนี้เรามีสิทธิแล้ว ได้รับการรับรองในประเทศเลย ตามระบบประชาธิปไตยขาเดียวหรือสองขาก็ตาม ระบุไว้ว่าคนนี้ได้รับการแต่งตั้งหรือระบุให้รับผิดชอบตามหน้าที่ก็มีสิทธิ์ และต้องทำหน้าที่ตามสิทธินั้น เช่นเป็นนายกฯ เป็นรมต. ต้องทำตามหน้าที่กฎหมาย หรือกฎกระทรวง ตามลำดับก็ต้องทำและต้องทำเต็มหน้าที่อย่าผิดอย่าเบี้ยง

 

กฎหมาย ม.157 ให้ปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มที่จึงถูกต้องแล้ว ถ้าใช้มาตรานี้ เป็นเหมือนเครื่องประหารหัวหมา ทำให้สำเร็จ สังคมไทยจะดีขึ้นทันที คุณไม่ทำหน้าที่คุณผิด ม.157 ต้องอาศัยคนกล้าและเห็นแก่ส่วนรวมมนุษยชาติ แทนที่จะเห็นแก่ตนและเกรงใจกัน อาตมาขอบอกว่าบาปบุญคุณโทษ คนที่เขามีบุญคุณกับเรานั้น เป็นบุญคุณสุจริต หากเป็นบุญคุณที่ทุจริต คุณเคยผิดพลาดทำไปก็บาปไปแล้ว ที่เขามาซื้อคุณไว้มันไม่สุจริต แล้วคุณนึกว่าคุณค้างบุญคุณเขาขออภัยที่ต้องบอกว่าคุณโง่ มันเป็นบาป คุณทำบาปจบไปแล้ว แล้วก็ถือว่าเขามีบุญคุณ เขาให้เรามาตั้งพันล้าน ร้อยล้าน สิบล้าน อันนั้นมันบาป ไม่ใช่บุญคุณ คุณต้องหยุดเลย เมื่อคุณมีสิทธิหน้าที่ต้องฟันเลย การฟันคนชั่วไม่บาปเลย

 

การฟันนี่ไม่ใช่ไปฆ่าแกงเขา แต่ตัดไม้ตัดมือไม่ให้เขาทำบาปอีก คุณมีสิทธิหน้าที่ต้องทำเลย จะได้กุศลมหาศาล คนที่จะปราบทุจริต คนไหนทำได้ ราคาของการลดทุจริตคอรัปชั่นได้ตอนนี้ราคาสูงมาก เพราะเป็นความต้องการอย่างยิ่งในสังคม ยิ่งคนนี้ควรฟันอย่างยิ่งนะ ต้องคิดให้ดี อย่าคิดว่าตนเองเคยได้อกุศลลาภจากเขา คุณนึกว่าเป็นบุญคุณนั้นผิดนะ ผิดเต็มร้อยตีลังกาคนละขั้วเลย  อย่าไปตอบแทนบาปคุณเลย ไม่ใช่ตอบแทนบุญคุณนะ อย่าไปตอบแทนบาปคุณ ต้องหยุดเลย ต้องช่วยกันเลย ถ้าคุณหยุดได้ ถ้าเขาจะโกรธเขาชั่วต่อก็บาปต่อ คนที่เคยให้เงินคุณโดยทุจริต แล้วคุณก็มีสิทธิ์ตัดไม่ให้เขาทำบาปก็ช่วยเขาและได้กุศลตนอย่างยิ่ง ผู้ที่ทำนี่เป็นการช่วยเขาไม่ใช่ทำร้ายเขา

 

นักธุรกิจนั้นบาปถาวร เพราะเขาทำหน้าที่จนตายไม่มีการปลดเกษียรเหมือนข้าราชการ นักธุรกิจจะบาปซับซ้อนมากว่าข้าราชการ แต่นักธุรกิจนั้นจะบาปน้อยกว่าข้าราชการ เพราะต้องทำด้วยตนเอง แต่ข้าราชการนั้นรับเงินจากประชาชน แต่นักการเมืองนั้นมีอำนาจมากกว่านักธุรกิจ แต่เดี๋ยวนี้นักการเมืองก็เป็นนักธุรกิจด้วย แล้วออกกฎหมายเฉโกว่า ตนเป็นทั้งนักการเมืองและนักธุรกิจไปด้วยในตัว ก็โกงได้มาก

 

ทิฏฐิ 62 มีสองอย่างคือตามรู้ขันธ์อดีตเอามาใช้ กับปรุงแต่งเป็นอนาคต ก็ฟุ้งได้มากมาย พระพุทธเจ้าแบ่งเสร็จเลย ขันธ์อดีตมี 18 ส่วนขันธ์อนาคตมี 46 อาตมาจะใช้ขันธ์ส่วนอดีตเสียส่วนใหญ่ เพราะผ่านมามากมายจึงเอามาใช้ได้ แม้ความรู้ระดับอาตมาไม่ถึงมหาโพธิสัตว์ไม่ถึงระดับ แปดหรือเก้าก็ผ่านวัฏฏสงสารมาเยอะ ก็มีขันธ์อดีตแต่ก่อนเก่าที่จะเอามาอธิบาย ชาตินี้อาตมาไม่ได้เรียนรัฐศาสตร์นะ แต่อธิบายได้เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาของมนุษย์กับสังคม ที่จะเป็นอยู่สุขและเป็นประโยชน์สูงสุด เป็นคุณค่า ที่เป็นน้ำใจบริสุทธิ์ ระดับพรหมวิหาร 4  หรืออัปปัญญา เป็นจิตวิญญาณที่หมดตัวตนไม่เห็นแก่ตัว ชีวิตตนไม่เกี่ยงแล้วอยู่รอด เพราะสังคมอุปถัมภ์ค้ำชู ชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่น ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา

 

ชีวิตเราฝากทิ้งไว้กับผู้อื่น เราทำทุกอย่างเพื่อสังคม ก็มีคนมีดวงตาเห็นได้ ช่วยอาตมาได้ อาตมาไม่ต้องสะสมสมบัติส่วนตัวเลย ทำงานไปให้ปรปฏิภัทธาเมชีวิกาให้คนอื่นเลี้ยงดูสงเคราะห์ไว้ มีเท่าไหรก็กินใช้เท่านั้น ใครอยากอุปการะก็มา อุปการะมาเท่าไหร่ก็ใช้ประโยชน์เท่านั้น ถ้าคนมาบริจาคเงินให้อาตมา ถ้าระบุว่าให้ใช้อะไร ผ่านอาตมา เขาเรียกว่าทำบุญแต่ที่จริงคือการให้ทาน แต่ถ้าทานเอาออกแล้วไม่กำจัดกิเลสก็เป็นกุศลธรรม กุศลวิบาก ซึ่งจะสนองผู้มีกุศลนั้น ส่วนบุญไม่มีอะไรสนอง บุญนี่ชำระกิเลสแล้วมีแต่พ้นทุกข์ บุญไม่ใช่ขนมปัง บุญคือปืน ไม่ใช่ของช่วยชีวิตแต่บุญคือเครื่องมือกำจัดกิเลส ฟังแล้วน่ากลัวนะ เป็นเครื่องปราบฆ่า แต่ก็ฆ่ากิเลส บุญคือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ เป็นรากศัพท์เลย

 

คุณทำทานก็ได้กุศลได้เครื่องอาศัย จะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นเครื่องสนอง บุญเป็นโลกุตระเป็นเครื่องล้างกิเลส ทำแล้วสำเร็จในบุญตัดกิเลสขาดได้ เมื่อมีปัญญารู้ทาง รู้สัมมาทิฏฐิ 10​ทานอย่างไรให้เกิดบุญ แต่ทุกวันนี้เขาทานแล้วได้บาป ให้ของราคา 5 บาท แต่ของแสนล้าน ตักข้าวทัพพีเดียวก็จบแล้วจบอีกขอให้ได้ลาภยศ ตำแหน่งขอให้ได้ร้อยพันล้าน จิตตั้งจิตเป็็นมโนกรรมจริง ไม่ได้ละโลภ เลย มีแต่โลภเต็มกระบุงเลย นี่คือนัตถิทินนัง เป็นมิจฉาทิฏฐิข้อแรกเลย ทานแล้วโลภเพิ่มขึ้น แล้วมันจะได้ผลของศาสนาไหมนี่ แต่คุณได้กุศล ทาน 5 บาทชาติหน้าก็มีส่ิงสนอง 5 บาท แต่คุณไปตั้งจิตจริง มีกรรมทางจิตไปโลภเพิ่มอีกกี่ล้าน เป็นสัจจะแล้ว คุณขาดทุนหรือกำไร แล้วก็สอนกันผิดๆ

 

ไม่ต้องพูดถึงวิธีการที่จะชำระกิเลส เช่นสมาธิ การนั่งหลับตามสมาธิไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้าspecial สมาธิ แต่ที่เขาทำเป็นแค่ General สมาธิ เท่านั้น แต่สมาธิของพระพุทธเจ้าเรียกว่าสัมมาสมาธิ ปฏิบัติลืมตาในขณะทำ คิด พูด ทำ อาชีพ ทำให้สัมมา

 

อาชีพก็ให้พ้นมิจฉา 5 กัมมันตะก็มี 3 วาจาก็มี 4 อยู่ในมหาจัตตารีสกสูตร แต่ความรู้ไม่พอก็ใช้ไม่เป็น วิธีปฏิบัติก็เอามาใช้ไม่เป็นตั้งแต่เรื่องทาน ในสัมมาทิฏฐิ

ทินนัง ยิตถัง หุตัง ก็ใช้ไม่เป็นไม่ได้เกิดผลลดกิเลสเป็นแค่ นัตถิ ไม่ได้อัตถิ ในทุกทาน ศีล ถ้าชำระกิเลสได้ก็เป็นอัตถิ แต่ถ้าไม่ได้ลดกิเลสก็นัตถิ แล้วตรวจสอบตนเอง คือหุตังที่เกิดผลสำเร็จลดกิเลสได้หรือไม่? ถ้าได้ก็อัตถิ ถ้าไม่ได้ก็นัตถิ ขออภัยที่ต้องพูดว่าการนั่งหลับตาเป็นการสร้างภพ เอาบุญมาล่อว่าจะได้วิมาน จะพารวย โศลกปีนี้คือ วัฒนธรรมบุญนิยมนั้น ต้องไม่ใช้บุญเป็นวิมานหลอกคน

 

สำคัญมากเรื่องบุญ อาตมาอายุก็ปูนนี้ทำงานมาย่างเข้า 45 ปีแล้วอายุพรรษา ก็ขอพูดเต็มที่หน่อยเถอะในฐานะที่เป็นนักบวชพระพุทธเจ้า แม้ทุกรุ่นที่ท่านบวชก่อนอาตมานะ เป็นมหาเถระแล้ว อาตมาจริงใจต่อศาสนา ต่อมนุษยชาติ

 

ข้าราชการคือนักการเมืองประจำของสังคม รัฐศาสตร์คือการบริหารรัฐ ข้าราชการคือผู้บริหารรัฐประจำเลย เมื่อไม่มีนักการเมือง ข้าราชการก็ทำหน้าที่ไปโดยหน้าที่ตำแหน่ง ก็คือเรื่องสังคม รัฐศาสตร์  ปลัดกระทรวงก็ต้องบริหารต่อได้ รับใช้ประชาชนนั่นเองก็คือนักการเมือง

 

อาตมารู้เจตนา คสช. ว่าไม่ให้พูดการเมือง คือไม่ให้พูดแล้วกระทบทำให้แตกสามัคคี แต่ว่าอาตมาขอเป็นนักการเมืองจนตายคือขอรับใช้ประชาชนจนตาย แล้วเป็นนักการเมืองที่ไม่รับเงินเดือนเลย ขออภัยไม่มีแม้นิตยภัต ซึ่งก็คือเงินของประชาชน อาตมาไม่มี ไม่รับ อาตมาเป็นประชาชนมีสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือคนแก่ อาตมาก็ไม่เคยยอมไปรับเลย อาตมายังไม่แก่ เรื่องอะไรไปรับเงินคนแก่ ไม่เคยไปมอบหมายให้ใครไปรับ

 

อาตมารับใช้อย่างบริสุทธิ์ใจจนตาย อย่างพาพวกเราออกไปทำงานชุมนุมต่อต้านประท้วงก็ทำหน้าที่ ในระบอบประชาธิปไตย ในยุคพระพุทธเจ้าไม่มีเรื่องนี้ ก็ไม่มีบัญญัติไว้ แต่จะบัญญัติใหม่ก็ของกรมการศาสนา ที่ระบุไว้ว่าห้ามออกไป อาตมาเห็นใจเขานะเพราะเขาควบคุมคนของเขาไม่ได้ ก็เลยต้องออกกฎหมายไว้ พระออกมาก็ยุ่งศาสนาฉิบหายหมด  อย่างสมณะอโศกก็บอกกันได้มีออกไปนอกบ้างก็น้อย พอดึงกันไว้ได้

 

ต้องรู้จักสิทธิหน้าที่ นักการเมือง ที่มีอำนาจตอนนี้ต้องทำหน้าที่ อย่างกล้าหาญ และถูกต้องเต็มหน้าที่ได้ จะดีมาก คนไทยไม่โง่ ผู้มีตำแหน่งหน้าที่เชื่อว่าเข้าใจได้ แต่อยากขอร้องว่าช่วยเหลือประเทศชาติหน่อยเถอะ ตอนนี้กำลังคัดเลือกคนดีมีความรู้ความสามารถไปทำหน้าที่ อาตมาเห็นใจเข้าใจนะ แล้วก็สำคัญคือ อย่าไปเข้าใจบุญคุณผิด ที่คุณได้รับสินบนจากคนชั่วมานั้นหรือแม้กินตามน้ำก็ตาม ที่เขาปิดปากคุณไว้ ขอพูดระบุชัดๆ จะเอาผิดก็เอา เช่นพวกที่เป็นสส.กินเงินจากหัวหน้าพรรค นี่เงินบาปคุณทั้งนั้นไม่ใช่บุญคุณ อย่าไปตอบแทนบาปคุณนี้ต่อไป หากคิดว่าเป็นบุญคุณต้องตอบแทนอยู่นี่ผิดนะบาปชั่วต่อไปนะ ให้ฝืนเถิด ตื่นเถิดชาวไทย อย่าหลับใหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองดำรง ก็เพราะเราทั้งหลาย ผู้ที่ทำอยู่ก็หยุดเถอะ กรรมเป็นอันทำมีผลวิบากจริง

 

พวกเราพยายามเรียนรู้เรื่องจิตเจตสิก อาตมาก็พูดลึกขึ้นทุกที ถ้าพวกคุณไม่มีบารมี บารมีคือชำระกิเลสสั่งสมมาได้ ไม่ใช่แค่ความดีคือกุศล ผู้ที่ทำกุศลมากจะได้เรียกว่า มหากุศล แต่ถ้าทำกุศลแต่ทำจิตให้เกิดกิเลส เช่นทำทานแต่กิเลสเพ่ิม คุณได้สั่งสมกิเลสใส่สันดาน สะสมบุญคือบารมี บารมีคือการชำระกิเลสได้ แต่ถ้าทำกุศลแต่จิตกิเลสเพ่ิมเรียกว่า สันดาน

 

ถ้าทำทานแล้วมนสิกโรติไม่เป็น การทำทานต้องให้ใจลดโลภ แต่ว่าทำใจไม่เป็น กลับทำให้ใจโลภมากว่า ค้ากำไรเกินควร ผู้เอาบุญมาขาย แล้วบอกว่าทานมากได้มาก ทานไม่ใช่บุญ บางสำนักบอกว่าทำทานแล้วะได้บุญมาก หลอกว่าจะได้วิมาน แต่ได้อวิชชากันทั้งนั้น เผยแพร่ไปทั่วโลก แค่ทำทานนี่แหละ มีการตลอด มีการคลอบงำความคิด ว่าซาบซึ้งว่าชาติหน้าจะได้รวยได้สวยได้โลกธรรม ก็เป็นโลกีย์ทั้งนั้นไม่มีภาคปรมัตถ์ที่ลดกิเลสเลย แล้วส่งเสริมกันให้ทำบาปทั้งโลกเลย หากพุทธในไทยส่งเสริมอันนี้เท่ากับทำบาปมหาศาลหนัก เท่ากับทำลายศาสนา อยากให้เขาหยุด อาตมาไม่เดือดร้อนกับเขานะ แต่อาตมาสงสาร อาตมาไม่เชื่อว่าเขาโง่ แต่เขาหยุดไม่ได้ เขาลงทุนมามากแล้ว เหมือนคนลงทุนสูบบุหรี่มาตั้งสี่สิบปีแล้วจะให้เลิกอย่างไร?...นี่ก็จะโง่ไปถึงไหน หายโง่ได้แล้ว

 

ในสังคมศาสนาทุกวันนี้กระเตื้องขึ้นนะมีผู้มีปัญญารับรู้ อาตมาวัดจากกระแสตอบรับ อาตมาปากชัดมากขึ้นนะ แต่กระแสตอบโต้ไม่ค่อยมา นั่นคือเมืองไทยมีปัญญารู้ว่าอะไรเป็นสัจจะจึงเงียบ เป็นดัชนีชี้ค่าว่าเมืองไทยยังมีคนมีปัญญาไม่ใช่แค่เฉกา เพราะอาตมาเอาสัจธรรมพระพุทธเจ้ามาอธิบาย ตอนนี้ธรรมะพระพุทธเจ้านี้กำลังเกิดการขยายตัว ผู้ใดจะกล้าหาญทางธรรมมาร่วมมือกัน ผู้มาร่วมมือทางธรรมถือว่ากล้าหาญอย่างยิ่งด้วย หรือข้าราชการจะร่วมมือสั่งสมการลดละกิเลสทำลายส่ิงไม่ถูกต้องให้หมดไป

 

ต่อไปจะพูดนี่เป็น Big word คือว่าจะช่วยโลกได้ โลกจะรับรู้เข้าใจ แล้วจะเอาไปใช้ เช่นเศรษฐศาสตร์ที่เป็นระบบสาธารณโภคี อาตมาใช้ชื่อบุญนิยม ที่จะไปลดทุนนิยม แต่ไม่ได้ไปเป็นศัตรูเขานะ เพราะบุญนิยมนี่ให้ แต่ทุนนิยมนี่เอา ก็เลยไปกันได้ แต่ทุนนิยมกับทุนนิยมนี่เขาเอาด้วยกันก็เลยทะเลาะกันสิ บุญนิยมก็ขอมาลดบาป ลดทุจริตอกุศลของคุณนะ ไม่ได้แย่งเงินนะ อาตมามีฝีมือในการแย่งเงินแย่งโลกธรรมนะ พิสูจน์ฝีมือตอนทำงานเป็นฆราวาส อาตมาเงินเดือนมากกว่านายกฯอีก นายกฯเงินเดือนแปดพัน แต่อาตมาได้สองหมื่นโดยสุจริตด้วยนะ ถ้าอาตมาอยู่ทางโลกก็ต้องพัฒนาไปตามอัตตาตัวเลข ตัวเลขมันขึ้นแต่เศรษฐกิจมันตก ไปแย่งกับโลก

 

สมมุติว่าอาตมาเป็นเจ้าสำนักบันเทิง อาตมาทำได้เยอะด้วย ทำได้หลายอย่างด้วย บันเทิง ข่าวสาร วิชาการ ทำได้หมด รายได้ก็ต้องมากด้วย สมมุติว่าเจ้าสำนักตอนนี้เขาได้เดือนละสี่ล้าน อาตมาก็ต้องได้อย่างนั้น แต่อาตมาไม่เอา มาทำแบบนี้ก็ได้ให้เขาไปสี่ล้าน เพราะไม่ได้ไปแย่งชิงกับเขาด้วย

 

เราจะรู้อาชีพการงานที่เหมาะควร บางอย่างเป็นอบายมุข ดารา นักร้อง นักแสดง กีฬาที่ได้ค่าตัวมากล้วนเป็นอบายมุข เป็นนรกปหาสะ คือความบันเทิงเริงรมย์ หรือกีฬาก็มีสนุกสนานปนความหนัก แต่บันเทิงสนุกสนานปนความพริ้ว กีฬาบำบัดกิเลสชอบใจเชิงซาดิสม์ มาซูคิสม์ ส่วนบันเทิงเริงรมย์สะสมเชิงโรแมนติกอิซึ่ม Romanticism พวกนักกีฬานี่พยาบาททุกคน กูแพ้ก็ไม่ยอม ต้องเอาชนะให้ได้ ส่วนที่ว่ากีฬาคือสามัคคีเสียสละคอยดูมันจะตีกันตาย ยิ่งระดับโลกก็จะแพ้ไม่ได้อีก มันก็จะทำลายโลก มันเป็นอารมณ์ลวงคือสุขขัลลิกะคือยอดอบายมุข นักการเมืองโกง ข้าราชการทุจริตก็คืออบายมุข คือปากทางคือหัวหน้านรก ที่เขาโกงกันเจ็ดแสนล้านคืออภิบรมมหาอบายมุข

 

นักธุริกิจที่มือขึ้นก็เพราะมีกุศล เป็นสันดาน เช่นคุณลงทุน 10​ล้าน แต่ให้ได้มาเป็น 100 ล้านก็บาปทั้งนั้นแม้จะมีกุศลเก่า ในชาตินี้ คุณได้ของเก่าก็ดีแล้ว หากคุณเอากุศลที่ได้ไม่ออกดอกผลก็มีเท่าเดิม ยิ่งคุณเอากุศล เช่นคุณมี พันหนึ่ง แล้วก็เอาไปคืนแก่โลก ห้าร้อย แต่ถ้าเอาไปออกดอกผล ไปทำกำไรอีกบานเป็นห้าล้านก็ยิ่งได้บาป มันสูงด้วยอัตราค้าหุ้น จากหุ้นละห้าสิบ กลายเป็นหุ้นละห้าร้อย เอาไปขาย แล้วก็ปั่นหุ้นเพ่ิมอีก อาตมาจุกตั้งแต่ประเทศไทยมีตลาดหุ้น ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ไทยจึงตกต่ำด้านเศรษฐกิจมาก อย่าไปตกในวังวนนั้น มันบาปทั้งสิ้น

 

เรามาเสียสละให้บริสุทธิ์ดีกว่า เราตั้งจิตเราได้ว่าจะเสียสละอย่างไร มันบำเรอราคะเสพรส หรือบำเรอโลภให้ได้สะสมของกู  เสพราคะเดี๋ยวก็หายไปแต่ได้โลภวัตถุนี่อยู่นานกว่าแม้อำนาจของกูก็เช่นกัน ถ้าไม่ชัดเจนก็ต้องหลงผิดทำผิดไปตลอด แต่ถ้ามาเรียนรู้ตั้งแต่โสดาฯ สกิทาฯ ...รู้ชัดในตัวตนตั้งแต่สักกายะ ศาสนาพุทธเข้าใจคำว่ากายไม่ได้ เข้าใจคำว่าบุญไม่ได้ ก็ไม่เกิดการบรรลุธรรม

 

เขาเข้าใจกายก็คือสรีระภายนอกไม่มีจิตวิญญาณ แล้วเข้าใจผิดเรื่องสมาธินั้นต้องไปนั่งหลับตาทำเอา ก็นั่งจนก้นเน่าก็ได้แต่เจโตสมถะไม่ได้โลกุตระ แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติลืมตาไปตามลำดับศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ไปตามลำดับ ลดละกิเลสไป พระพุทธเจ้าว่า 7 ปียกไว้ไม่ได้อรหันต์ก็ได้อนาคามีหากสัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติจริง ไม่ใช่เรื่องเล่นหรือหลอก

 

มันเป็นสัจธรรมที่ลึกซึ้งเรื่องเลข 7 ถ้า 1 และ 2 นี่จะเป็นระนาบไม่เกิดองศา แต่ถ้าเร่ิมต้น 3 ก็มีองศาแล้ว จะเจริญอย่างไรก็ต้องกลับมาที่ 3​จนกระทั่งเป็นจั่ว เป็น cyclic order มันจะวนเพ่ิมองศาจนครบ 45 องศาจะลงตัวหมด เป็นสูญ เป็นสามเส้าแรก แต่พอเป็นเส้าที่สอง ถ้าคุณทำธรรมะเป็นจะเกิดไปตามลำดับ

 

โสดาบันจะพ้นสังโยชน์​3​ ส่วนสัตตักขัตตุปรมโสดาบันก็ต้องทำอีก 7 สังโยชน์ จึงเรียกว่าสัตตักขัตตุ แปลว่า เจ็ด แต่เขาว่าอีก 7 ชาติก็เป็นอรหันต์ ซึ่งที่จริงคือต้องทำอีก 7 สังโยชน์ นี่ต่ำสุด ส่วนโกลังโกละโสดาบันก็เก่งกว่า ทำอีก 6 สังโยชน์ก็เป็นอรหันต์ ถ้าเอกพีชี มีสังโยชน์ข้อเดียวที่ทำได้ก็เป็นอรหันต์ เกิดจากเลข 1 ถึง 10 ทั้งนั้น

 

สกิทาคามีคือโสดาบันที่พัฒนา 7 สังโยชน์ได้อีก 1 คือเลข 7 เป็นเลขที่เร่ิมเส้าที่สาม เพราะถ้าเส้าที่สามคือเลข 7 ถึง 9ครบก็เป็นอรหันต์แล้ว สมบูรณ์ แม้ในทางฟิสิกส์ คณิตศาสตร์เลขพวกนี้ก็สำคัญ

 

พระพุทธเจ้าศึกษาเรื่องมนุษย์และสังคมมนุษย์เท่านั้น โพธิสัตว์คือนักศึกษาพระพุทธเจ้า

 

โพธิสัตว์ 9 ระดับ

1 เป็นโสดาบัน

2 เป็นสกิทาคามี

3 เป็นอนาคามี

4 อรหันต์

5.อนุโพธิสัตว์

6.อนิยตโพธิสัตว์

7. นิยตโพธิสัตว์

8. มหาโพธิสัตว์

9.สัมมาสัมโพธิญาณคือสูงสุดของความมี


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:17:28 )

571110

รายละเอียด

571110_ก่อนฉันที่โรงเรียนผู้นำ กาญจนบุรี โดยพ่อครู เรื่อง สัมมาทิฏฐิ ที่แสดงโดยสยังอภิญญ

พ่อครูว่า...เราก็จะได้สดับรับฟังธรรม ซึ่งพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นใครจะหาว่าอาตมาหลงใหลเพ้อคลั่ง หน้ามืดตามัวธรรมะพระพุทธเจ้า ก็ไม่ว่ากัน ที่พูดนี้ไม่ใช่ว่าอาตมางมงายอย่างที่เขาว่า คลั่งไคล้เป็นอาการของจิตใจคน ไทยเราเอาภาษาบาลีมาร่วม จิตก็เป็นบาลี ใจก็เป็นภาษาไทย จิตใจ ก็ร่วมเลย เป็นอาการอย่างหนึ่งของพลังงานแห่งความเป็นสัตว์ เป็นพลังงานระดับจิต ในนิยาม 5 ที่ท่านจำกัดความไว้

 

ความรู้สึก เป็นสิ่งที่ไม่ได้รู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส แต่รับรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เช่นอาการของความรู้สึกเป็นอย่างไร มันมีในตัวเราอยู่แล้ว แต่เราก็กำหนดรู้มันไม่ได้ เช่นรู้สึกดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์ อยาก  ทั้งหมดนี่เป็นอาการนามธรรม หากเราอ่านไม่ออกกำหนดไม่เป็นก็ไม่สามารถปฏิบัติให้บรรลุธรรมได้ ต้องฝึกกำหนดว่าอาการเช่นนี้เรียกว่าอย่างนี้ เป็นเช่นนี้เอง เป็นตถตา

 

 

จิตเราสัมผัสรู้ตั้งแต่ ดินน้ำไฟลมข้างนอก ว่าอันนี้คือดิน น้ำ ลม ไฟ ช่องว่าง มีลักษณะเช่นไร แล้วมีความรู้สึกประกอบอย่างไร เรารู้หมดเข้าใจได้ ผู้มีความรู้สึกเข้าใจได้กับองค์ประกอบที่เป็นเหตุปัจจัย มีองค์ประกอบร่วมกันแล้วเราก็รู้ทางอาการจิตว่ามันเป็น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง รูป รส กลิ่นเสียงหรือรายละเอียดเล็กๆน้อย เรารู้ความเป็นกาย กายก็มีเหตุปัจจัยต้องมีสองอย่างขึ้นไปเสมอ ที่สัมผัสรับรู้ ที่มันปรุงแต่งร่วมกันได้ แม้ดิน น้ำไฟลม พีชะที่มันไม่รู้ตัวมันเองได้ แต่มันกำหนดตัวมันเองไปตามเหตุปัจจัย มันไม่มีอารมณ์ความรู้สึก มันมีแต่สัญญากับสังขาร ธาตุรู้แค่นี้จึงไม่เรียกว่าวิญญาณ​ (วิญญาณต้องมีเจตสิกครบทั้งเวทนา สัญญา สังขาร)

 

จิตนิยามนั้นมีครบทั้ง เวทนา สัญญา สังขาร ตัวสัญญานั้นกำหนดจดจำ และกำหนดหมายรับรู้ ถ้าอวิชชา สัญญาก็ทำงานไปตามสัญชาตญาณ ถ้าไม่เข้าใจในหน้าที่ของเวทนา สัญญา สังขาร  เมื่อมีเหตุปัจจัยที่ประชุมรวมกัน เรียกว่า กายสังขาร เป็นสังขารที่ยังไม่ได้แยกเลย แต่พอเราอ่านรู้ในกายสังขาร มันมีตัวรู้ก็เรียกว่าจิต

 

เรารับรู้ตั้งแต่กายสังขารที่เชื่อมกับภายนอกแล้วก็เชื่อมเข้าไปในจิต ที่มีจิตสังขารอยู่ มีวิญญาณเกิด ก่อนในขณะสัมผัสอยู่ในปัจจุบัน หากผ่านปัจจุบันไม่มีวิญญาณแล้ว เป็นจิตแล้ว และถ้าลึกเข้าไปในจิตอีกก็เรียกว่ามโน เป็นส่วนลึกที่สุด

 

ถ้าเราไม่รู้กรรมกิริยาของตนว่าเป็นอย่างไร ก็ได้บาปเสมอๆ มีคนอยู่สองสาย สายแรกอยู่ในสายเศรษฐศาสตร์ และสายรัฐศาสตร์ สายเศรษฐศาสตร์ต้องรู้ว่าสิ่งไหนทำลายสิ่งไหนสร้างสรร และสายรัฐศาสตร์ก็ดูแลเศรษฐศาสตร์ด้วย และดูแลให้สภาวะองค์รวมให้สบาย ทั้งวัตถุและบุคคลรวมถึงนามธรรม ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าต้องเข้าใจองค์รวม แล้วแยกแยะได้ รับผิดชอบจิตวิญญาณของตนเอง แล้วจัดการจิตวิญญาณของตนอย่าให้ทำสิ่งไม่ดี ทำให้เหตุที่เป็นตัวติดยึดในทางอกุศลออกไป ศาสนาพุทธเรียนพลังงาน เรียนถึงระดับจิตนิยาม

 

ที่มีระดับถึงเวไนยสัตว์ที่สามารถเรียนรู้เข้าใจโลกุตรธรรมได้ แต่ว่าระดับอเวไนยสัตว์เขาไม่รู้หรือรู้ได้ก็ไม่ได้เข้าถึงโลกุตระ แยกแยะไม่ออก ระหว่างโลกุตระและโลกียะ

 

โลกุตระคือผู้รู้จักจิตเจตสิก รูป และสูงสุดถึงนิพพาน แยกกิเลสได้ กำจัดกิเลสได้ และทำได้อย่างไม่ใช่แบบกดข่มด้วย แต่ทำด้วยปัญญา เป็นพลังงานที่สามารถทำให้พลังงานกิเลส ผี หายไปได้ ปัญญามันรู้ทัน เรียกว่ามีฌาน แปลว่าไฟ เป็นอุณหธาตุ ที่มีฤทธิ์ทำลายสลายกิเลสได้ ไฟฌานจึงสูงกว่าไฟราคะโทสะโมหะ เมื่อมีฤทธิ์เพียงพอ ก็ทำได้ ผู้เห็นสิ่งนี้แล้วตรัสรู้อันนี้คือผู้มีวิชชาศาสตร์ จนทำลายได้อย่างถาวร แม้กระทบสัมผัสกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ​กาม อัตตาอย่างไร แม้จะหลอกล่อ บุกมาอย่างไร แรงหรือเบา มีเล่ห์เหลี่ยมอย่างไรกิเลสก็ไม่เกิดจริงๆนี่คือนิพพานอันสมบูรณ์ คืออรหันต์ มีอรหันตะ คือไม่ลึกลับ รู้แจ้งจริงสมบูรณ์หมดแล้วไม่มีสิ่งใดทำลายได้ นี่คือสัจจะ ลึกซึ้งกว่าวิทยาศาสตร์ ของปัจจุบัน ความรู้ทางโลกไม่มีใครเรียนถึงวิชชาศาสตร์ของพระพุทธเจ้า วิชชาศาสตร์นี้เหนือกว่าวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์เรียนรู้ไม่ถึงจิตนิยาม ยังจับสภาวะของสักกายะ ที่มีนามธรรมร่วมกับองค์ประกอบอื่น เป็นอาการทาง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม รวมเป็นองค์ประชุม รู้องค์รวมและแยกแยะได้ มีธัมวิจัย จิตเรามีความสามารถวิจัยละเอียด ตัวเหตุร้ายคืออกุศลจิต ตัวเจอตัว เรียกว่าสักกายะ ผู้จับตัวนี้ได้เรียกว่าพ้นสักกายทิฏฐิ อ่านของตนออก สักกะแปลว่าของตน แล้วองค์ประชุมนี้รู้ถึงจิต เจตสิก รู้จักตัวอกุศลเจตสิก อาการคือเหตุสมุทัยของตัวไม่ดีที่เราจะจัดการด้วยฌาน พลังงานตัวนี้แหละที่พาให้เกิดกรรม จากมโนออกไป

 

เมื่อเราสามารถจับตัวการใหญ่ แล้วได้ชัดเลยว่าสักกายะนี้เป็นอกุศลจิต เป็นเหตุร้าย ไม่ว่าจะทำไม่ดีเรื่องใดแล้วจับตัวเหตุได้ เราสามารถกำจัดชำระได้อย่างแท้จริง ผู้เริ่มต้นรู้สักกายะที่เกิดในปัจจุบันด้วย เป็นสังโยชน์ข้อแรก แล้วรู้ให้ชัดไม่ลังเลสงสัยเลย เป็นสังโยชน์ข้อที่ 2 เวไนยสัตว์นับตั้งแต่รู้จักสักกายทิฏฐิได้นี่แหละ ที่จะสอนให้เป็นอาริยะ เป็นโลกุตรบุคคลได้ เป็นหลักสูตรของพระพุทธเจ้าเป็นวิชชาศาสตร์

 

รู้รวมทั้ง ความคิด วาจา กัมมันตะ อาชีวะต้องสังเคราะห์สังขารองค์ประกอบเหล่านี้ที่มีเหตุอยู่ในจิต ดับเหตุได้ทุกอย่างก็จบ ตั้งแต่ตัวต้นทางคือจิต ต้องเรียนรู้กระทบแต่ภายนอกแล้วก็มีเรื่องเกิด เกิดจากตัวในคือมโน ที่มีเหตุอกุศลจิตอยู่ เราต้องแยกแยะให้ชัด ถ้าไม่ชัดก็จะกำจัดมั่ว สิ่งดีก็ต้องเอาออกด้วย ทั้งที่เราจะกำจัดสิ่งไม่ดี ดีไม่ดีไปกำจัดสิ่งดีแต่สิ่งไม่ดีเราก็ไม่กำจัดอีก เราต้องทำใจในใจให้เป็น มนสิกโรติให้เป็นโยนิโสมนสิการให้เป็น กำจัดได้อย่างถูกต้องตามวิธีการคือคนทำวิชชาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง

 

คุณอาจรู้พยัญชนะบาลีไม่ทั้งหมด อาตมาก็สื่อเป็นภาษาไทยส่วนใหญ่ แต่ก็เอาตัวสำคัญในบาลีมาประกอบบ้าง แต่ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก เมื่อเข้าใจกรรมนิยามว่ามีเหตุที่พาทุกข์พาชั่ว คุณทำเหตุนี้ตายไปได้ถาวรเลย มันก็ตั้งอยู่อย่างถาวร เป็นสิ่งสำเร็จ ก็คือจิตวิญญาณที่ตั้งอยู่ เราก็สะสมปฏิบัติให้วิญญาณตั้งอยู่อย่างมีอรหัตผล มีวิชชาศาสตร์ให้แข็งแรงตั้งมั่นเสถียรถาวรที่สุดให้ได้ ถ้าเสถียรถาวรได้ก็จบ นี่คือพฤติของการปฏิบัติ เราก็ทรงไว้ซึ่งธรรมะอันนี้ เมื่อเราเองเราทำได้เท่าไหร่ก็ติดอัตภาพเราไป จะตายอีกกี่ชาติก็ถาวร เป็นทรัพย์แท้ อาริยะของมนุษย์ประเสริฐที่สุดของอัตภาพ ตั้งแต่เริ่มได้จิตนิยามเป็นตัวตนขึ้นมา ตั้งแต่เป็นเซลล์เดียวมาเป็นอเวไนยสัตว์จนเป็นเวไนยสัตว์จนทำให้เกิดธรรมะทรงไว้ จนถึงอรหันต์ก็เป็นจิตวิญญาณสุดยอดแล้ว รู้ว่าอะไรเป็นโทษเป็นคุณ จึงทำแต่สิ่งเป็นคุณไม่ทำสิ่งเป็นโทษเลย คุณคือกุศล โทษคืออกุศล เพราะกำจัดกิเลสหมดสิ้นแล้วก็สิ้นบาปโดยใช้อาวุธทางธรรมคือบุญ

 

หมดสิ้นกิเลสอย่างถาวรเที่ยงแท้บุญก็ไม่ต้องทำอีก มันจบแล้วเสถียรเที่ยงแท้ไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว เป็นอรหันต์ ที่อาตมาไขความนี้ เพราะโศลกปีนี้คือ วัฒนธรรมบุญนิยมนั้น ต้องไม่ใช้บุญ เป็นวิมานหลอกคน  บุญเป็นเครื่องมือกำจัดบาป กำจัดอกุศล กำจัดกิเลสให้สูญสิ้นไป มีหน้าที่อันนี้อันเดียว ไม่ใช่หลอกว่าบุญนี่ทำแล้วจะได้วิมาน เป็นพุทธเกษตรที่มีพระพุทธเจ้า ไปกองกันอยู่ที่นั่นหมด เป็นวิมานหลอกคน ขอสับธงเลยว่า คำโกหกเหล่านี้ทำความเข้าใจให้ดีอย่าหลง พระพุทธเจ้าตายแล้วยังหลงว่าจะไปนั่งถวายข้าวพระพุทธเจ้าอีก มันบาปมาก บาปคนเดียวไม่พอไปชวนคนโลกๆทั้งหลายบาปด้วย เป็นบาปที่ยกกำลังเลย นี่คือความไม่รู้ของคน อาตมาเตือนท่านด้วยเมตตา ว่าอย่าทำเลย มันเป็นผลกระทบตน ตนทำไม่ว่าแต่กระทบให้คนอื่นแย่ด้วย ศาสนาพระพุทธเจ้าเพี้ยนเสื่อมด้วย บาปซ้ำซ้อนนะ ไม่ได้เตือนเอาทรัพย์หรือคำชม คุณจะไม่ชอบใจอาตมาด้วย อาตมาไม่ได้แคร์คำว่าหรือคำชม แต่อาตมาเจตนาดี มั่นใจว่าเป็นเช่นนี้เพราะมันกระเทือนมวลพุทธศาสนิกชน มันเป็นความหลอกความผิดนะ

 

ของพระพุทธเจ้าต้องรู้ต้องเข้าใจจนถึงหลักการ หรือทฤษฎีหรือทิฏฐิ ต้องรู้ข้อสำคัญ ในทิฏฐิ10 ที่ต้องรู้ก่อนอื่นในการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า จะสร้างบารมีได้

 

ในบารมี 10 ทัศมี

ทานนี่คือการเอาออก เอากิเลสออกจากตน สิ่งไม่ดีออกจากตนได้ ทำของตนให้สำเร็จได้ ทำไปถึงจิตสังขารให้อกุศลเจตสิกลดละดับได้ ดับได้ก็เนกขัมมะไปเรื่อยๆ เป็นส่วนแห่งบุญได้ เป็นการทานได้สำเร็จ หลักปฏิบัติใหญ่ต้องทานให้ได้ แล้วให้ทำกิเลสออกได้หมดก็นิพพานคือสุญญตา

 

ศีลคือหลักเกณฑ์ ส่วนปัญญาคือธาตุรู้กำกับตั้งแต่ต้นจนปลาย นี่คือการสั่งสมบารมี

 

เนกขัมมะ ปัญญา

 

แล้วบารมีอีก 4 คือ ขันติ การปฏิบัติธรรมหากไม่มีขันติก็ไม่รอด อาจมีทั้งคำข้างเคียงคือตบะ เป็นไฟเผาผลาญกิเลส มีไฟฌาน ไฟพลังงานสุดยอดในศาสนาพระพุทธเจ้า สลายไฟราคะโทสะโมหะให้ได้ ต้องทำอย่างมีวิริยะด้วย วิริยะคือความเพียร เมื่อทำทานศีลเนกขัมมะ ปัญญาได้ ก็ต้องมีขันติ มีวิริยะ

 

ให้ถึงสัจจะให้ลงไปถึงเนื้อแห่งความจริง ต้องมีสภาวะปรากฏจริงไม่ว่ารูปธรรม นามธรรม แล้วก็พากเพียรทำต่อจนได้แล้วต่อ เป็นอธิษฐาน ได้แล้วต่อจนสิ้นสิ่งที่จะทำให้หมดสมบูรณ์ไม่ใช่ว่าทำค้างอยู่เสพอยู่ฐานเก่า เป็นวัฏฏภิรตโสดาบัน คือเข้ากระแสโสดาบันแต่ก็ติดแป้นไม่เพิ่มภูมิ ถ้าทำได้ก็จะซ้อนชั้นไปเรื่อยๆ จนมีบารมีสมบูรณ์จบ ก็ได้มีเมตตาและอุเบกขาบารมีเป็นธรรมะสุดท้ายของอรหันต์ทุกพระองค์

 

เมตตา คือพลังงานทำงานเป็นdynamic อุเบกขาคือstatic อยู่กับที่นิ่ง เป็นพลังงานอาศัย นิ่งสงบหยุดพักหรือกลางๆ คนอุเบกขาแต่ทำงานแล้วสงบ มีพักและเพียรในตัว มีประสิทธิภาพทำงาน กายวจี เก่งแต่จิตอุเบกขาไม่สุขไม่ทุกข์ จิตไม่มีกิเลส ไม่ลำเอียงเป็นจิตอิสรเสรีแข็งแรงเสถียรไม่มีใครทำลายได้ อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

พลังงานที่ทำงานอยู่มีทั้งอัตโนมัติที่ทำอยู่แล้วมีปัญญาวิชชารู้สั่งการทำงานได้ หรือแม้ไม่เก่งในการสั่งการแต่พลังงานก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ ทำงานอยู่จริงไม่มีหยุด แม้พลังงานนี้จะนิ่งไม่มีเจตนาไม่มีพลังงานออกไปเลย เป็นอารัพธาตุหรือเริ่มออกมาทำงานเป็นเส้าที่สอง เป็นอารัมภธาตุ อยู่ในแนวระนาบเพียงสอง ไม่มีองศา จนมีองศาเกิดขึ้น จะเป็นสามเหลี่ยม ตั้งแต่ไม่สมบูรณ์ไม่ได้รูปร่างดี พลังงานที่เกิดก็เป็นวงวนแล้ว ทำงานแล้ว แต่พลังงานนี้ทำงานตลอดเวลา คนที่อวิชชาจะหยั่งไม่ถึง รู้ไม่ได้ เป็นอนุสัย อาสวะ ทำงานในก้นบึ้งตามรู้ไม่ได้ ธาตุรู้เข้าไปรู้ไม่ได้เป็น พลังงานแฝง แต่ทำงานอยู่ คุณไปควบคุมมันไม่ได้ เป็นสัญชาตญาณ พุทธพยายามหยั่งถึงอนุสัย เข้าไปควบคุมได้ เป็นพลังงานที่ไม่มีตัวตน อรหันต์ก็คุมของตนเองได้ เป็นพลังงานสุดยอด หากใครเรียนวิทยาศาสตร์มาฟังอาตมาก็จะเข้าใจในวิทยาศาสตร์ทางจิตด้วย

 

อรหันต์แล้วก็อยู่กับเมตตาและอุเบกขา เกิดจิตวิมุติเป็นได้แล้วก็มีปัญญารู้วิมุติด้วยก็เป็นวิมุติญาณทัสสนะ

 

สิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็คือทาน ในทิฏฐิ 10

เริ่มตั้งแต่ทาน ศีล(ยิถัง) ภาวนา(หุตัง)

 

สุกตทุกฏานัง ผลัง วิปาโก คือจะสุขทุกข์ได้ผลวิบากดีเลวอย่างไรก็คือผลของกรรม ทำแล้วเกิดผลอย่างไร คือสังเวยที่บูชาแล้วมีผล ถ้ามีผลคืออัตถิ ได้ผลถูกต้องชำระกิเลสได้ เกิดบุญ มีผลถูกต้องไหม

 

เราต้องมีความรู้ในเรื่องโลกเก่าที่เราต้องสุขทุกข์กับเหตุคือความอยาก เป็นโลกโลกียะ ที่พาเราสุขทุกข์ เราทำให้ตนพ้นจากโลกเก่าก็เข้าสู่โลกใหม่ อันไม่ต้องไปวนเวียนในโลกเก่า เป็นโลกโลกุตระ สมมุติว่าคุณฆ่าเขาตายก็เป็นวิบาก แต่คุณสมใจสุขใจก็เป็นวิบาก เป็นเวรภัยต่อเนื่อง แล้วคุณจะเลิกไหม ก็อ่านจิตว่าจะไปโกรธเคืองไปฆ่าเขาทำไม เราก็เลิก ดีไม่ดีเปลี่ยนเป็นมิตรสหายด้วย ทำจิตให้ได้อย่างจริงเลย ไม่ใช่แค่ปรองดองผิวเผินแต่นี่เราปรองดองแท้เลย พระพุทธเจ้าให้อ่านรู้กิเลสในปัจจุบันแล้วทำกิเลสตายได้เราก็เข้าสู่โลกใหม่ทันที แต่ถ้าไปเข้าใจว่าปรโลกเป็นโลกหลังตายแล้ว ก็อยู่นอกเขตของพุทธ อยู่นอกรีตวิชชาพุทธ ไม่เป็นปุญญักเขต ไม่อยู่ในขอบเขตบุญ

 

บุญนี้เป็นอาวุธ เหมือนปืน ที่ไม่มีดินปืนไกปืน แต่ว่าเป็นเครื่องชำระกิเลส เป็นเครื่องปหานกิเลส ยิ่งกว่าเครื่องประหารหัวสุนัขของเปาปุ้นจิ้น ไม่ใช่สมบัติที่เราจะเอาไว้ ทำแล้วก็จบ มันใช้ฆ่ากิเลสเท่านั้น

 

ผู้ที่ทำตามทิฏฐิ 10 นี้ได้ก็เพราะรู้ว่า มี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) คือผู้มีธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นได้แล้ว มีในตนเองแล้วเอามาสอนคนอื่นให้รู้แจ้งได้ด้วย เพราะท่านมีสยังอภิญญา คือมีภูมิตรัสรู้ของตนแล้ว  อาตมาทำได้สำเร็จ อาตมาไม่ต้องรับรองตนเอง แต่พวกคุณที่ทำได้นี่รับรองอาตมา คุณรับรองได้มากคนเท่าไหร่ อาตมาก็มีความรับรองเท่านั้น แล้วสิ่งที่ลดละได้มีศีลนี่ได้จริงไหม? แล้วดูไปจิตเขาลดละขาดได้จริงหรือไม่? อาตมาจะตรวจสอบเอง เห็นผลว่าเกิดแล้ว เกิดการรวมตัวของคนทำได้ทำเป็น

 

แล้วอีก 3 ทิฏฐิที่ต่อมาคือ

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ซึ่งผู้จะสอนคนอื่นต้องมีภูมิตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไป พระพุทธเจ้าสอนว่า บัณฑิตพร่ำสอนตนก่อนพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง แต่ทุกวันนี้สอนกันไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เป็นแม้แต่โสดาบัน ผู้มีภูมิตั้งแต่โสดาปัตติมรรคก็อย่าเพิ่งสอนเลย แต่ถ้าคุณทำกิเลสหยาบลดได้ แต่ก่อนทนไม่ได้แต่เดี๋ยวนี้ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 มันเกิดมาปั๊ก็ใช้ฌานทำลายได้เลย มันมีไฟราคะมาเราก็เอาไฟฌานทำลายได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4​ ถ้าถึงก็เก่ง แต่ถ้าไม่เก่งก็ตามฐาน ก็อาศัยสิ่งที่เป็นที่มี

 

โสดาบันก็เป็นคนที่สอนคนอื่นได้แล้ว อย่าสอนเกินความรู้ตน เรามีความรู้ร้อยก็สอนสักห้าสิบหรือหกสิบแต่ส่วนมากมีความรู้ร้อยแต่สอนเสียสามร้อย เพราะคนไม่มีคุณอันสมควรก่อนแล้วสอนคนอื่นศาสนาจึงมัวหมอง

 

แล้วไปสอนว่าเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้าสอนคนอื่นไม่ได้ แต่ที่จริงปัจจัตตังก็คือคุณมีความบรรลุของตนแล้ว ตั้งแต่โสดาบันก็มีของตนก็สอนได้แล้ว แต่ถ้าสอนเกินก็ให้ปลงอาบัติเสีย แต่ถ้าไม่มีแล้วไปสอนแล้วโกหกว่ามีก็ปาราชิกแล้ว ไม่มีใครไปปรับก็อยู่ที่คุณบาป ใครจะหน้าด้านดึงดันทำชั่วซ้ำว่าตนไม่ปาราชิกไม่ผิด ก็ยิ่งเติมนรกให้ตน อย่าโง่ฝืนทำชั่วซ้ำให้ตน ให้เลิกซะ กรรมเป็นอันทำนะ

 

ตั้งแต่เป็นโสดาบันก็เป็นผู้รู้สัตว์ทางจิตวิญญาณ เป็นสัตว์นรกเพราะไม่ได้บำเรอกิเลส แต่ถ้าได้บำเรอเสพสุขสมใจก็ยิ่งซวยมาก ไปเสพสุขบำเรอกิเลสอย่านึกว่าดี เพราะผนึกกิเลสยินดีพอใจกิเลสก็ยิ่งหนาอ้วนใหญ่มากปุถุไปอีก จิตมีกิเลสคือสัตว์ทางจิตวิญญาณ ต้องรู้วิธีทำให้กิเลสเกิดหรือตาย สัตว์ทางจิตวิญญาณเกิดหรือตาย เป็นสัตว์โอปปาติกะ ถ้ารู้ความเป็นสัตว์อันนี้ พระพุทธเจ้าแยกไว้ 9ขั้นเป็นสัตตาวาส 9

 

สัตว์นรก เทวดา มาร พรหม สัตว์นรกคือมีความทุกข์ทรมานเดือดร้อนมาก เราต้องรู้ก่อน ถ้ากิเลสมันต้องการโลภ ต้องโกงมา ถ้าได้มาก็สมใจเป็นกูเป็นของกู ได้ของมาแต่ได้กิเลสหนาขึ้นด้วย ถ้าเรารู้ว่าจิตเรามีกิเลสนี้ แล้วเราก็สามารถมีพลังฌาน พลังปัญญาไปสลายกิเลส ถ้าสลายได้ สัตว์นรกก็ตาย ถ้าตายสนิทก็ได้เป็นความตายที่สมบูรณ์ คือความตายเกิดทางปรมัตถ์ ไม่ใช่ทางวัตถุแค่สามัญลักษณ์ แต่ต้องทำจนถึงปัจจัตตลักษณ์ เป็นของตน ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหีติ ทำให้เฉพาะตน ของตน คุณเป็นโพธิสัตว์ขั้นที่ 1 มีสิทธิ์สอนคนได้แล้ว ถ้ายิ่งทำได้มากขึ้นก็เป็นโพธิสัตว์ระดับ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์น

ระดับสกิทาคามีก็สลายพลังยึดติดทางภายนอก ทรัพย์สมบัติข้าวของบุคคล สามารถไม่ยึดติดได้ ไม่ยึดว่าลูกต้องเป็นของเรา ใครแตะไม่ได้ แล้วก็รู้ว่าลูกนั้นอาศัยกันมาตามวิบาก ต้องทำให้เขาดี รับผิดชอบเพราะเราสร้างเขามา

 

เมื่อสามารถรู้ความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ แล้วทำให้มันตายได้ รู้จักความเกิดตายที่เป็นปัจจัตตลักษณ์ เป็นปัจเจกบุคคลได้ คนอย่างนี้ที่เป็นโพธิสัตว์ที่แท้ที่จะช่วยรื้อขนสัตว์ได้

เมื่อเป็นอนาคาฯก็เหลือแต่ข้างใน จิตก็เหลือแต่โอปปาติกะแท้ๆ ไม่ทำบาปกับคนอื่นสิ่งอื่นแล้วแต่มีบาปเวรกับของตน ตั้งแต่รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ก็ทำของตนไป จึงทำงานกับคนอื่นได้อย่างทำประโยชน์ให้เขาถ่ายเดียว ผู้ไปเป็นข้าราชการนักการเมืองถ้าเป็นอนาคามีจะดีที่สุด ไม่ได้ก็เป็นสกิทาคามี โสดาบันก็ยังดี

 

แต่คนเข้าใจอาริยบุคคลนี้เป็นเรื่องลึกลับงมงาย นั่งหลับตาฤๅษีไม่ยุ่งกับใครเขาถือเป็นอาริยะ แต่ที่จริงศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคม ให้คนได้สุขสงบ เป็นวูปสโมสุข สุขสงบร่มเย็น เป็นสังคมอาริยะ ทำงานรับใช้ประชาชน ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์

 

มาตา ปิตา นั้น คือแม่ พ่อ และ แม่นั้นไม่ได้หมายถึงแม่ที่คลอดลูกเป็นตัวๆ แต่ว่าหมายถึง สภาวะทางจิต เช่นศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ช่วยกันทำคลอดให้สัตว์โอปปาติกะสัตว์ทางจิตวิญญาณเกิดมาเป็นอรหันต์ พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระโมคคัลลานะเป็นแม่นม พระสารีบุตรเป็นแม่เลี้ยง นี่คือภาวะทางนามธรรม แม้สมมุติไปเป็นตัวคนก็ตาม แต่คำสอนศีลเป็นแม่ มีปัญญาเป็นพ่อ นี่คือพ่อแม่ หรือองค์ประกอบต่างๆที่หล่อหลอม ให้เกิดการคลอดทางจิตวิญญาณ

 

เมื่อคุณรู้ทานมีผล รู้ทิฏฐิ รู้ศีล แล้วเรียนรู้ กรรม 4 ของ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ที่จะทำให้เราออกจากหรือตายจากโลกเก่าเป็นโลกใหม่หรือรู้ว่าอิตถีภาวะหรือปุริสภาวะใดของตนที่ทำให้ตนเกิดสัตว์โอปปาติกะ เป็นโลกใหม่ได้ ก็เป็นผล สัมมัตตะ 10 มีมรรค 8 ผล 2 ถ้าไม่ได้ผลก็เป็นมิจฉัตตะ 10 นี่คือการสาธยายของผู้เป็นสยังอภิญญา เป็นผู้เอาอาริยบุคคลของพระพุทธเจ้าคืนมาได้ ขอย้ำว่าไม่ใช่แค่นักบวช แต่ฆราวาสก็เป็นอาริยบุคคลได้ เป็นอรหันต์อนาคามีก็ไปเป็นผู้บริหารของประเทศของโลกได้อย่างดี แต่ถ้าไม่เอาศาสนาเข้าไปช่วยโลกช่วยสังคม ก็จะเลวร้ายไปเรื่อยๆ การศึกษาศาสนาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ ถ้าใช้ทฤษฎีพระพุทธเจ้าก็จะแก้ไขได้ยั่งยืน แต่ว่าที่จริงก็ไม่เที่ยงแท้ไปตลอดหรอก มันมีหมุนเวียนไปตามวัฏฏะ

 

อาริยบุคคลนั้นจะทำงานกับทางโลกได้อย่างแข็งแรงจะเป็นฆราวาสด้วย แต่การบวชเป็นทางสำหรับผู้ไม่แข็งแรงมาปฏิบัติ แต่ถ้าเป็นอาริยบุคคลนั้นก็อยู่ทำงานกับทางโลกไปได้เลย แม้เป็นชาวนาอริยบุคคลก็ทำงานได้ดี หรือเป็นนักธุรกิจก็ตามก็ทำงานรับใช้ประชาชน ให้มีชีวิตอย่างให้คนอื่นเลี้ยงไว้ นี่คือสิ่งที่อาตมาตั้งใจจะสร้างให้สิ่งเหล่านี้เกิด ยิ่งสูงยิ่งไม่มีตัวตนของตน แล้วจะทำงานรับใช้ช่วยสังคมได้มากขึ้นอีก มีส่ิงรองรับด้วย นี่คือสิ่งที่เกินยูโทเปียของโทมัส มอร์ 


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:18:28 )

571111

รายละเอียด

571111_สรรค่าสร้างคน(7) วนบ. เรื่อง บุญคือกระดาษชำระจิตสันดานเฉพาะตน

พ่อครูว่า...วันนี้ วันที่ 11 พ.ย. 57 เราได้วรรคเว้น การเรียนวนบ.ไป 25 วัน ไปทำกิจกรรม ที่จริงการทำกิจกรรม การไปสังสรร ทำกิจกรรมด้านงานการ พิธีการ งานสังคม ไม่ว่าจะสังคมข้างนอกหรือสังคมในอโศกก็ตาม คราวนี้เราไปร่วมกับสังคมภายใน คืองานมหาปวารณา และยังมีงานเจอีก 2 ช่วง

 

การศึกษาของเราเป็น บ้าน วัด โรงเรียน เราต้องทำอย่างอิสระพอ ถ้าเรามีกรอบที่เขากำหนด จนเราทำการศึกษา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชาไม่ได้ มีสัดส่วนตามที่เราจะทำ ถ้าไม่ได้ เราก็อยู่อย่างพฤตินัยดีกว่า แล้วก็ปฏิบัติจนเราเป็นไปได้ เพื่อเน้นให้เกิดกุศล เกิดบุญ และเราจะเน้นบุญเป็นหลัก

 

คำว่า บุญ​คำเดียว ที่เข้าใจแบบมิจฉาทิฏฐิ ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม และก็ยังมีคำว่า กาย ที่อาตมานำมาอธิบาย ถ้าเข้าใจผิด ศาสนาก็เพี้ยน เขาใช้อย่างผิดๆ ก็ทำให้เกิดความเสื่อม อาตมาก็ว่าต้องเอาจริงเอาจัง ทำให้เต็มที่ ทำตามภูมิที่อาตมาเข้าใจว่าถูกต้อง มาฟื้นศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธนั้นสลบไศล ตายไปมากกว่าครึ่งแล้ว แต่อาตมาก็จะฟื้นได้ อาตมาทำมา 40 กว่าปีก็เห็นเนื้อหาเนื้อแท้ของความเป็นพุทธ

 

พุทธเป็นเช่นนี้มีหลักใหญ่อยู่ 3 อย่าง เรียกว่าตรีลักษณ์ หรือพุทธธรรมที่แท้จริง

 

1.โลกุตระ(เหนือโลก) คือศีลเด่น(ศีลเคร่ง)(ศีลเต็ม)

_เป็นความรู้ความสามารถทางวิชชาศาสตร์ ถ้าได้ความรู้แล้ว จิตจะลดกิเลส มีคุณธรรมได้จริง ธรรมะของพระพุทธเจ้าหรือพุทธธรรมที่จะอยู่เหนือโลกได้

2. โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) คือเป็นงาน (เก่งงาน) (เข้มงาน)

3. โลกวิทู(รู้ทันโลก) คือ ชาญวิชา (ชำนาญวิชา) (สืบสานวิชชา) ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคม รู้จักความหมุนของโลก ที่ไม่ได้หมายถึงว่าโลกลูกนี้หมุนไป หรือว่าโลกนี้มาจากการระเบิดของกาแลกซี่ แล้วหมุนเวียนไป แบบนี้ไม่ใช่ความรู้ของพระพุทธเจ้าที่หมายในข้อนี้ แต่ความหมุนเวียนนี้หมายถึงความหมุนเวียนของรูปและนาม ของกายและจิต และศึกษาเน้นไปที่จิต จนลดกิเลส ความเห็นแก่ตัวในชีวะ ในความเป็นสัตว์โลก

 

ผู้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าจะเป็นผู้มีโลกวิทู เป็นผู้มีความรู้อย่างหมดกิเลส เป็นอรหันต์ หากจะศึกษาต่ออีกจะรู้กว้างขึ้น แม้แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้วย ที่ว่าโลกกำเนิดมาจากไหน จากการแตกของแกแลกซี่มาเป็นโลกนั้นก็จะรู้หมด แต่พระพุทธเจ้าให้คนพ้นโทษภัยต่อโลกก่อน

 

จิตอรหันต์ เป็นโลกุตรจิต และมีความรู้โลกวิทูไปตามลำดับ เมื่อเป็นคนที่มีความรู้เช่นนี้เริ่มตั้งแต่โสดาบัน ก็จะลดพิษภัยที่มีต่อโลก เป็นระดับแรกเลย และจะมีคุณธรรมสูงไปตามลำดับอีกเป็นสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์  เป็นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ ไปตามลำดับ

 

จิตที่บรรลุโลกุตรธรรม เหนือโลก จะมีสุขที่เป็นวูปสโมสุข เป็นสุขที่ไม่สุขทุกข์วนเวียนแบบโลกีย์ คำว่าปรมังสุขัง ท่านแปลกันทั่วไปว่า สุขอย่างยิ่ง อาตมาเห็นว่าแปลแบบนี้เป็นแบบโลกีย์ บำเรอตัณหา เป็นโลกียรส ภาษามันให้ความหมายเช่นนั้น ก็ขอแวะตรงนี้ว่า เมื่อแปลว่า เป็นสุขอย่างยิ่ง และก็เข้าใจว่าความเป็นสุขต้องเป็นสุขสงบ เขาก็เลยต้องไปเสาะหาสุขสงบ พวกที่คิดหาทางสงบได้ด้วยวิธีอีกอย่าง เขาก็ได้สงบแบบหยุดเฉยๆ เขาก็ทำได้  คือควบคุมกามได้จริง สงบรำงับได้ และก็หยุด อยู่ในภพภูมิไม่พยายามเกี่ยวข้องกับสังคมมนุษยชาติเลย ไม่รู้การงานสิ่งเป็นประโยชน์สังคมเลยก็ไม่รู้เรื่องไม่มายุ่งเลย

 

เขาไม่รู้จักภพก็เลยไม่สามารถจะพ้นจากภพได้ เขาไม่รู้ว่ารูปภพ อรูปภพคืออย่างไร แล้วเขาก็ไปสร้างได้ มันสุขสงบได้ นิ่งๆ ควบคุมจิตได้ ที่ไม่แรงมาก เขาไม่อยู่กับโลกที่ต้องมีการกระทบกระทุ้งมอมเมา เขาก็ไม่รู้ หยุดกดข่มจิตอย่างเดียวมันก็ได้ ฝึกเอาก็ได้ เขาฝึกกันมาไม่รู้กี่ชาติเขาก็ได้ จนเป็นศาสนาเชน

 

แต่ของพุทธนั้นอยู่กับโลกีย์ได้ อย่างจิตเหนือโลกีย์ ไม่สุขทุกข์กับเขา และก็สามารถมีความรู้ค่ายกลของโลกีย์ได้ ที่เขาสร้างเป็นจารีต วัฒนธรรม ศาสตร์ต่างๆที่เป็นค่ายกลโลกีย์ ก็เข้าใจกับเขาได้ ว่ามันสมดุล สุจริต ยุติธรรมหรือไม่? จะรู้เข้าใจตามภูมิ อาตมาก็มีความรู้ตามภูมิ ก็จะสามารถช่วยโลกได้ตามภูมิ อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็ช่วยโลกได้ตามภูมิ มีกรอบขอบเขตที่ตามวิสัย

 

อย่างพระพุทธเจ้าสมณโคดม หรือพระพุทธเจ้ากัสสปะที่สร้างศาสนามาได้ นับตามกาลได้เป็นแสน เป็นล้านปี ท่านก็สามารถช่วยตามเหตุปัจจัยของยุคสมัย กาละได้ ที่มีจำนวนไม่เท่าเทียมกัน อย่างสมณโคดมช่วยคนได้น้อยมาก และท่านก็ทำตามสมควร ท่านทำงานศาสนา 45 ปีท่านก็หยุด เป็นวิสัย ท่านไม่ทำเกินวิสัย

 

ศาสนาพุทธนั้นเพี้ยนไปมากแล้ว (ในจูฬสาโรปมสูตร)ไม่เหลือแม้สะเก็ดก็ไม่เหลือ ศีลอันเป็นสะเก็ดก็ไม่มีแล้ว แม้แต่สมาธิที่เป็นเปลือกก็ไม่มี แม้แต่ปัญญาที่ท่านเทียบกับกระพี้ของไม้ ก็ไม่ใช่โลกุตรปัญญา ไม่ใช่อภิปัญญา ไม่ใช่สัมมัปปัญญา ไม่ใช่วิชชา 8 ไม่ใช่พุทธิปัญญา ก็ตีได้เลยว่า แก่นก็ไม่มี คือไม่มีวิมุติ และเป็นมิจฉาวิมุติไปหมดแล้ว ขออภัยที่พูดนี่ไม่ได้โกรธเคืองนะ ไม่ได้ยกตนข่มท่านด้วย อาตมาต้องพูดตามสัจจะ

 

ศานาพุทธตอนนี้มีแต่กิ่งใบคือ ลาภสักการะเสียงสรรเสริญ และแถมดอกผลที่ยั่วยวน แม้แต่พระสงฆ์ที่มีตำแหน่งใหญ่โตก็มีนิตยภัตทั้งนั้นเลย แม้แต่เจ้าหน้าที่ของศาสนาก็มี คือได้เงินเดือนนั่นแหละ อาตมาก็ได้ข้อมูลมา ขออภัยหากพระผู้ใหญ่ในประเทศไทยมีสัมมาทิฏฐิสัก 50 % ประเทศไทยก็จะไม่มีการโกงกินกันมากมายเช่นนี้ แต่เพราะกลัวจะเสียโลกธรรม เมื่อกลัวก็ไม่กล้า ก็ให้โลกียะชนะไปตลอด แม้มีหน้าที่บริหารประเทศก็ไม่สามารถทำให้ประเทศเจริญแบบอาริยะได้ แล้วก็เลยต้องเจริญไปตามโลกียะ ที่ในหลวงว่าเราไม่เอาหรอกก้าวหน้าแบบนั้น เพราะเป็นความถอยหลังอย่างน่ากลัว คนก็ฟังกันไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเราตกอยู่ใต้อิทธิพลของทางตะวันตก

แบบอารยะอย่างนั้นหรืออริยะของสายศาสนาที่ดับหลับตา เข้าป่า ส่วนสายออกเมืองก็ไปเป็นอารยะ ที่เพี้ยนทั้งคู่สุดโต่งทั้งคู่ อาตมาก็เลยขอใช้คำว่าอาริยะ คือศรีอาริยเมตตรัย เพราะสองคำที่เขาใช้กันคืออารยะกับอริยะนั้นไม่ตรงสภาวะที่พระพุทธเจ้าหมายไปแล้ว

 

คำว่าบุญนี้ทำลายศาสนามาถึงวันนี้ขนาดหนัก คำว่าบุญในพจนานุกรมฉบับภูมิพโลภิกขุ ที่ท่านธรรมปาละเจอและบันทึกไว้ว่า คือหมายถึง สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คือการชำระจิตสันดานให้หมดจด ซึ่งเป็นเชื้อแท้ที่เหลือไว้นิดเดียว นอกนั้นไม่เหลือแล้ว เป็นเชื้อสุดท้ายเลย เกือบไม่มีแล้ว อาตมาก็เลยเอามาขยายเชื้อ ใครเข้าใจเห็นด้วยว่าอันนี้เป็นเชื้อแท้ของศาสนาพุทธก็ตามมาศึกษาเอา ไม่บังคับ

 

คำว่าบุญ ผู้เรียนรู้สัมมาทิฏฐิ เช่นที่สอนไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร คำว่าบุญ ท่านตรัสไว้ชัดว่า เมื่อผู้ใดศึกษาสัมมาทิฏฐิแล้วก็จะปฏิบัติมรรค 7 องค์ให้เกิดอธิจิตสิกขา เป็นสัมมาสมาธิ จิตเกิดฌาน เกิดลดละกิเลส แล้วตกผลึกเป็นสัมมาสมาธิ แข็งแรงตั้งมั่น เมื่อปฏิบัติจากมรรค 7 องค์จะเกิดการชำระไปตามลำดับ เป็นส่วนแห่งบุญ ภาคิยะ

 

คำว่าบุญเป็นโลกุตระไม่ใช่โลกียะเลย ต่างจากคำว่ากุศล คำว่ากุศลเป็นโลกียะ และในปุญญะนี่เมื่อปฏิบัติได้ก็ได้กุศลไปด้วย เมื่อตัดกิเลสได้ก็เป็นโลกวิทู โลกานุกัมปาไปด้วย เป็นความรู้ในโลกด้วย เป็นสมมุติสัจจะของโลกก็รู้ด้วย เป็นโลกียกุศลไปด้วย แต่โดยจำเพาะในนิยามของบุญไม่ได้เอาโลกียะมาด้วย โดยสัจจะ แต่ทำแล้วเกิดกุศลด้วย คือโลกุตระนั้นมีคุณค่าประโยชน์ทั้งโลกีย์และโลกุตระ เป็นอุภยัตถะ คือได้ประโยชน์สองส่วน

 

เมื่อปฏิบัติมรรค 7 องค์ก็ได้ส่วนแห่งบุญไปตามลำดับ แม้เป็นโสดาบันก็ได้ผลบุญไปตามลำดับ จนกว่าจะหมดกิเลส ก็เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ผู้จะทำได้ถึงขนาดนั้นคือผู้สังขารให้เกิดบุญเป็น เป็นปุญญาภิสังขาร คือตกแต่งปรับปรุงจิตให้เกิดผลดับ ทำให้กิเลสตาย กุศลจิตเกิดได้ เป็นอภิสังขาร 3 คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เป็นคนโลกใหม่ ปโรโลโก ไม่ใช่อยังโลโกที่เป็นโลกของปุถุชน ต้องรู้ลักษณะของโลกุตระ-โลกียจิตออก แยกตั้งแต่เนกขัมมะ-เคหสิตเวทนาออก แล้วกำจัดไฟราคะ โทสะ โมหะ ด้วยไฟฌาน จนกิเลสไม่เกิดอีกสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิอันสุดยอด

 

เมื่อดับได้เป็นอปุญญาภิสังขารไม่ต้องชำระอีกแล้วก็เหลือแต่สั่งสมความควบแน่นให้ความเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ตั้งมั่นให้เป็นสัมมาสมาธิ เรียกว่าสมาหิตัง จิตตัง

 

คำว่าบุญนี่สุดท้ายอาตมาเอาตามหลักฐาน พยัญชนะหลักฐาน ไม่ได้นอกจากหลักฐานของพระพุทธเจ้าเลย เช่นในโอวาทปาติโมกข์ก็มี

1. การไม่ทำบาปทั้งปวง (สัพพปาปัสสะ  อกรณัง)

2. บำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม  (กุสลัสสูปสัมปทา)

3. ความชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว (สจิตตปริโยทปนัง) 

(พตปฎ. เล่ม 25  ข้อ 24)

 

แม้แต่อรหันต์ที่หมดกิเลส กับพระพุทธเจ้าก็หมดกิเลสเท่ากัน อัตภาพของท่านหมดสิ้นแล้วทั้งอรหันต์และพระพุทธเจ้า ส่วนบารมีโลกีย์นั้นต่างกัน เป็นโลกวิทู ไม่ใช่โลกุตรวิทู ของพระพุทธเจ้านั้นเหนือกว่าในบารมีโลกีย์ของอรหันต์อย่างมหาศาล ก็เลยช่วยโลกได้มากกว่าเลย แต่มีหลักประกันเหมือนกัน

 

คือส่วนแห่งบุญนี่ถ้าเข้าใจไม่ถูกต้อง ก็เลยกลายเป็นเหลวหล เอาบุญมาเป็นวิมานหลอกคน จนอาตมาต้องออกโศลกว่า “ วัฒนธรรมบุญนิยมนั้น ต้องไม่ใช้บุญ เป็นวิมานหลอกคน”

คนรู้ว่าบุญนั้นสำคัญมาก ได้บุญคือล้างกิเลสได้

ได้คือไม่ได้ มันเป็นคุณค่าสูงมาก คนก็ไม่นิยมเท่ากับกุศล

กุศลเท่าไหร่ก็ไม่เท่ากับโลกุตระหรือบุญหนึ่งหน่วย

 

ถ้าสัมมาทิฏฐิ ก็ทำบุญได้เป็นส่วนๆตามลำดับ จึงเป็นส่วนแห่งบุญ เป็นพฤติในจิตของแต่ละคน เป็นเอโก โดยตนเอง คือของตนในตนเอง ไม่เกี่ยวกับใครเลย จะมากหรือน้อยก็เป็นผลคือกิเลสตนนั้นลดลงตามจริง ก็เรียกว่าส่วนแห่งบุญ หรือส่วนบุญ (ปุญญภาคิยา) เป็นของตน (อัตนียา) โดยตนเอง(เอโก) เฉพาะตน (ปัจจัตตัง) ทำได้ก็ทำให้เป็นอเนญชา ทำแล้วเป็นของตน (กัมสกตา) เป็นปุญญภาค

 

เช่นคุณคิด เช่นคิดในใจเสร็จ จบความคิดมันก็เป็นความคิดของคุณ คุณจะแบ่งความคิดของคุณ ไปให้ใครๆ ความคิดอันนั้นจากของคุณ แล้วคุณก็แบ่งให้เขา นั้น เขาคิดหรือเขาฟัง เขาก็ฟัง ถ้าเขารู้ก็เป็นความคิดของเขา เป็นความรับรู้จากต้นคิดที่เกิดแล้ว นี่แหละรากเหง้าของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าเกิดก่อนแล้วคิดว่าท่านจะให้ใคร ก็เป็นความรู้ของท่านก่อน คนอื่นยังไม่ได้รู้ความรู้นี้จะคิดเองไม่ได้ ศาสนาพุทธต้องเป็นสาวกรับฟังจากผู้อื่นมา ไม่มีทางจะรู้เอง เป็นลัทธิสาวกสังโฆ ต้องฟังจากต้นตอ ถ้าไม่ได้ฟังจากผู้มีเชื้อแท้ก็เกิดเองไม่ได้

 

ท่านมีโลกุตรธรรม แล้วท่านพูด คนอื่นได้ฟังก็รับไป แต่แค่ความคิดของเราที่ไม่มีใครเคยฟัง แล้วเาก็เอาไปฟัง เขาจำได้เอาไปคิดไปทำต่อก็เกิดจากอันนี้ยิ่งโลกุตรอาริยธรรมนั้นคิดเองไม่ได้

 

เมื่อมีต้นคิด แล้วเขาก็เอาไปคิดต่อ การคิดต่อนั้นเป็นความคิดของเขา ได้โลกุตระก็เป็นผู้รู้ตาม แล้วจะเรียกว่าเขาแบ่งความรู้ความคิดไปให้คนนั้น นี่แหละคือ ปรทัตตูชีวกเปรต คือคนอื่นที่รู้จักปรโลก เป็นปรสัตตานัง เป็นสัตว์ที่ไม่ใช่อาริยสัตว์ ผู้ได้จากอันนี้จึงเป็นผู้ที่ได้รับส่วนบุญ จากผู้ที่เป็นต้นทาง

 

สรุปแล้วปรทัตตูปชีวี คือผู้ที่จะต้องรับโลกุตรธรรม ไม่ใช่เปรตที่แบ่งลาภ ยศ สรรเสริญหรือส่วนบุญโลกีย์ให้กันนั้นไม่มีทางได้ ถ้าเข้าใจว่าบุญนี้แบ่งให้กันได้ อาตมาทำงานทางธรรมมา 40 กว่าปีคงจะมีบุญอยู่บ้าง แล้วอาตมาก็แบ่งบุญที่อาตมามีอยู่นี่ให้คุณไป ...

ไม่มีทางได้

ต้องรับได้ตอนมีตาหูจมูกลิ้นกาย ปรทัตตูปชีวีนั้นต้องได้ส่วนบุญในขณะมีชีวิตอยู่เท่านั้น ต้องมีทวาร 5 รับรู้ อาตมาส่งจากสัญญาความรู้ไปทางภาษาให้คุณฟัง ให้คุณรู้ เช่นอาตมาส่งทางเสียงให้คุณรับได้ แล้วก็เอาไปปฏิบัติตาม อาตมาไม่ได้ว่าคุณนะว่าคือเปรต ผู้ที่อยากได้ความรู้นี้เอาไปปฏิบัติให้เกิดผล ให้ได้เท่านี้ ใครไม่อยากได้ก็ไม่ได้ คนที่ไม่อยากได้ก็ไม่ใช่ปรทัตตูปชีวี ไม่ใช่ปรโตโฆษะ อาตมาทำเสียงนี้โฆษะไปให้แต่คุณไม่มีปรโตโฆษะ อันใหม่คุณไม่เอา คุณยึดแต่ของคุณ คุณรังเกียจด้วยว่าอันนี้ไม่เอา มีโทสมูลจิต รังเกียจโพธิรักษ์ คุณไม่เอาคุณก็ไม่ได้

 

แม้การส่งให้เช่นนี้ ต้องส่งทางทวาร 5 ไม่ใช่ส่งทางกระแสจิต ซึ่งถ้าพระพุทธเจ้าส่งทางกระแสจิตได้ ก็ส่งไปให้สาวกเลยสิ หมดเลยไม่ต้องพูดอธิบายให้เมื่อย ถ้าส่งกระแสจิตได้ แต่ความจริงแล้วไม่ได้ สาวกแปลว่าผู้ฟัง ต้องพูดให้ฟังนี่แหละ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มีทั้งภายนอกและภายใน เราจะเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าสูงขึ้นได้

 

การจะแบ่งส่วนบุญ แต่ไม่รู้ว่าบุญคืออะไร ก็เอาบุญไปเป็นวิมาน หรือว่าแบ่งกันได้ แบบนี้ไม่สัมมาทิฏฐิ เช่นบอกว่าเผาแบงค์ไปให้จะให้คนตายได้ แล้วจะรู้ว่าเขาอยู่ไหน สวรรค์นั้นจะใช้เงินสกุลไหนก็ไม่รู้ เผาไปให้จะได้เรื่องอะไร เผาก็แบงค์ปลอมแล้ว แม้เผาแบงค์จริงก็ไม่ได้  แม้วัตถุก็ส่งให้ไม่ได้

 

ยิ่งนามธรรมแล้วก็ยิ่งส่งให้กันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ส่งให้ไปแล้วไม่ต้องเดินไปสอน ไปเทศน์ให้เหนื่อย ทั้งรูปและนามก็ส่งให้ไม่ได้ ส่วนแห่งบุญนั้นคือนามธรรม ไม่ใช่กุศล และนามธรรมนั้นก็ส่งให้กันไม่ได้ และบุญนั้นเป็นส่วนดีที่ทำเฉพาะตน เอโก โดยตนของตน เป็นหนึ่งไม่มีสอง ชำระแล้วก็ได้ของตน แบ่งเป็นสองไม่ได้ เอโก ในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 มีว่า สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต่อจากนั้นก็เป็นกุศล แม้ปรทัตตู ก็เป็นสองแล้ว เพราะฉะนั้น อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ คือทั้งภายนอกก็รู้ และสัมผัสต่อเนื่องเข้าไปถึงข้างใน ในองค์ประชุมทั้งหมด องค์รวมจะมีทั้งนอกและใน ปฏิบัติโสดาบันก็ต้องสัมผัสนอก แม้สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็ต้องมีสัมผัสนอก จนถึงอ่านรู้เข้าไปถึงอรูป เป็นเอโก ได้แล้วเป็นของตนแบ่งกันไม่ได้ ไม่มีสอง คำว่าเอโก สำคัญมาก ผู้ที่ลอกมาท่านหยั่งรู้คำนี้ไม่ได้ว่าแบ่งกันไม่ได้ บุญไม่มีทางแบ่งสองใครได้ก็เป็นเอโกของผู้นั้นโดยตนของตนส่วนตนได้เป็นบุญแล้วก็จบในตน

 

ถ้าจะแบ่งเป็นปรทัตตู ก็เป็นสองต้องมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ต้องให้สัมมาด้วยนะ เอาไปคิดเป็นความคิดของตนๆ

 

บุญคือกระดาษชำระ ถ้าคนนี้ใช้กระดาษชำระเช็ดก้นแล้วให้คนอื่นได้มั้ย?..คุณจะอยากได้ความสะอาดด้วย คุณต้องทำความสะอาดของตนเอง ถ้าจะแบ่งความสะอาดจากเขาคุณได้แต่กระดาษชำระไปอันใหม่ของคุณเอง แต่อันเก่าที่เขาเช็ดแล้วก็ต้องทิ้งไป  คนนี้เขาเช็ดของเขาก็สะอาดของเขาเองแล้วคุณจะสะอาดไปด้วยได้อย่างไร ก็ต้องจบในตัวต้องทิ้งไป เครื่องมือนี้ใช้ได้อันเดียว เครื่องมือก็หายไปด้วย เป็นหนึ่งเดียวอันเดียวใช้แล้วจบคนอื่นใช้ไม่ได้ต่อ เอโกคำนี้สำคัญสุดยอดแล้ว

 

ข้อที่ 2 ของวิโมกข์ 8 จึงสำคัญที่ท่านให้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แม้เป็นกายสักขีก็ไม่รับรองว่าเป็นอรหันต์แม้อาสวะบางอย่างหมดได้แต่ว่าต้องมาสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงอุภโตภาควิมุติได้

 

ถ้าไม่เข้าใจบุญกับกุศลก็เข้าใจเทวดากับนิพพานไม่ได้ เพราะคำว่าบุญจะไม่อยู่กับคำอื่นนอกจากคำว่านิพพาน คำว่าบุญไม่ได้อยู่กับกุศล ส่วนเทวดาหากใครไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่รู้เทวดาที่จริง คนทั่วไป ในโลกโลกีย์คือเทวดาสมมุติ ที่รู้ร่วมกันเป็นสามัญ​ ส่วนเทวดาของพระพุทธเจ้าเป็นอเทวะเป็นเทวดาวิสามัญ​เป็นเทวดามีบุญ เป็นบุญ ได้บุญ​ทำบุญเป็น ทำได้แล้วก็ได้เลย ชำระเสร็จแล้วก็ต้องทิ้ง บุญคือกระดาษชำระ ฟังแล้วน่าเกลียดแต่ชัดนะ แล้วคุณจะเอากระดาษชำระไปให้คนอื่นก็ไม่ได้ บุญคือเครื่องชำระ

 

เทวดาโลกีย์เป็นเทวบุตรมาร เป็นเทวดามีพิษภัย เป็นเทวดาหลอก แต่ตัวจริงเป็นมาร ถ้าเทวดาหยาบเหมือนนักการเมืองนักธุรกิจใหญ่นั่นแหละเทวบุตรมาร หลอกซับซ้อน ต้นคิดของคนคิดหุ้น ตลาดหุ้นคือเทวบุตรมาร สำนักของต้นตอเทวบุตรมาร คือผู้ยึดอำนาจทุนนิยมได้ก็ได้เปรียบตลอดเวลา มีค่ายกลเป็นผู้กำหนดได้ทุกอย่าง จนกว่าจะมีผู้คิดค่ายกลใหม่ล้มล้างอันนี้ได้ จะขยายไปในโลกีย์ที่อาตมารู้ไม่ทันมีอีกเยอะ สรุปคือบุญคือเครื่องชำระกิเลส

 

ผู้สะสมกุศลจะเป็นแค่สมมุติเทพ เป็นเครื่องอาศัยในโลกียะ จะได้สุขเพราะมีโลกธรรม มีกาม มีอัตตา จะอุดมสมบูรณ์​เป็นผู้มหาศาลด้วยโลกธรรมโลกียกุศล ถ้าทำแต่โลกียะก็จะได้แต่โลกียะเป็นเครื่องเสวย เครื่องอาศัยแต่ละชาติๆก็ทดแทนกันได้แต่หากไม่มีหลักประกันของโลกุตระ ยิ่งมีมากยิ่งทำภัยได้สูง จัดจ้านรุนแรง เป็นโทษภัย สิ่งที่เป็นพิษแก่ชีวิต เป็นนรกของชีวิต

 

คำว่าบุญนั้นง่าย ..ทำให้ได้เท่านั้นจะประเสริฐสุดไม่ซับซ้อนมากเหมือนกุศลที่เป็นโลกีย์จะซ้อนซับและลับลึกในโลกีย์ ส่วนโลกุตระไขความซับซ้อน เป็นความแจ้งใสสว่างซื่อสะอาด คือบุญ​ แต่กุศล ความดีนั้นซับซ้อนแฝงด้วยเฉกา ความฉลาดแกมโกง ฉลาดมีธุลีอกุศล ตัวทุจริต

 

เมืองไทยเขายกให้เป็นแกนของศาสนาพุทธ และเนื้อแท้ก็เป็นจริงด้วย ขอบอกว่าโลกุตรธรรมได้หยั่งลงและเปิดได้แล้วในเมืองไทย แต่ก่อนนั้นเปิดไม่ได้ เพราะมีแรงต้านเยอะ แต่ตอนนี้เปิดได้แล้ว ต้องมาช่วยกัน เหตุปัจจัยต่างๆสิ่งแวดล้อมของโลกีย์อาตมาไม่สามารถบอก เหตุปัจจัยมากมายทางโลกีย์ที่สังขารทั้งหมดในสังคม ทั้งโลกธรรม กาม อัตตา ต่างๆ มันมากที่เป็นองค์ประชุม ทั้งกายสังขารของธรรมะ มันมีอธรรมเท่าไหร่อาตมารู้ไม่หมด แต่ก็พยายามขยายคลี่ไปตามภูมิ อาตมามีเจตนาอุตสาหวิริยะเท่าที่มี ติดตามพรุ่งนี้ต่อ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:19:16 )

571112

รายละเอียด

571112_พุทธชีวศิลป์(18)วนบ.เรื่อง ก้าวหน้าแต่ถอยหลังอย่างน่ากลัวคืออย่างไร

 

ในสังคมเขาก็ออกมาแล้วว่าเขาจะเลื่อนการถอดถอนปู จากวันที่ 12 ไปเป็นวันที่ 18 เท่านี้ก็เอานะ มันเป็นลีลาของมนุษยชาติจริงๆ

 

อาตมายืนยันเลยถ้าบรรลุธรรมของพุทธจะรู้เรื่องของสังคม ต่างจากที่สายพระป่านั่งสมาธิเข้าใจกัน เขาถือกันว่าพระปฏิบัติต้องหนีสังคมเข้าไปอยู่ป่า แล้วก็ไม่รู้จักสังคมสักเท่าไหร่ ไม่มีพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะสักเท่าไหร่

 

คนอาจแย้งอาตมาว่าแต่ละองค์ก็มีคนนับถือแล้วท่านก็ช่วยคนเหล่านั้นให้สงบใจได้ ซึ่งมันยากที่จะเข้าใจกันว่า ช่วยสังคมนั้นช่วยแบบไหน สังคมมีทั้งรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ และเขากลับเห็นว่าถ้าพระจะเข้าไปช่วยเรื่องรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์กลับไม่ยอมรับ

 

ตอนนี้ก็ชื่นใจที่คสช.มีการจัดการช่วยสังคม มีการใช้กฎอัยการศึกอยู่ตอนนี้ มีการเปรยว่าจะให้การร่างรธน.ให้มีรูปแบบ ยูโทเปีย อาตมาว่าเป็นความคิดที่วิเศษจริงๆที่คิดได้อย่างไรว่าจะเอาความเป็นรัฐธรรมนูญเพื่อจะให้ได้เป็นประเทศที่มีความหมายว่าจะให้กลายเป็นยูโทเปีย เพราะยูโทเปียกับอโศกใกล้กันนะ อาตมามั่นใจว่าที่พาทำกันนี่ไม่ใช่แค่ความคิดฝันอย่างเซอร์โทมัส มอร์ เขียนยูโทเปีย ซึ่งอาตมาว่าแค่ความหมายยูโทเปียนั้นสู้สาธารณโภคีของพระพุทธเจ้าไม่ได้

 

อย่างดร.สมบัติ เขียนหนังสือออกมาตีพิมพ์ เรื่อง พุทธยูโทเปีย เมื่อ 20 กว่าปีก่อนมานี้ เขาเรียกอโศกว่าสังคมยูโทเปียเลย แต่เล่มแรกอาตมาเอามาพิมพ์ ของดร.สมบัติ ชื่อหนังสือ ชุมชนปฐมอโศก : การศึกษาพุทธยูโทเปีย:: ผู้แต่ง : สมบัติ จันทรวงศ์.

 

เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ตามที่อาตมาเข้าใจ ก็คือศาสตร์ความรู้ที่ทำให้สังคม มนุษยชาติ พลเมืองที่ใช้กรอบทั้งกฎหมาย รธน. หรือว่าวัฒนธรรม ทำให้ประชาชนเกิดการหมุนเวียน อุปโภค บริโภค เฉลี่ยกันได้อย่างสุขสงบ มีการแจกจ่ายเอื้อเฟื้อเจือจานกันอย่างดี ซึ่งในหลักสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 ของพระพุทธเจ้า จิตต้องมีลักษณะองค์รวมและลักษณะจริงของจิตคือ

พุทธพจน์ 7

1.         สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.        ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) เป็นความรักมิติที่สูงด้วย

3.        ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.        สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน)

5.        อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน)

6.         สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่)

7.        เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

นี่คือคุณลักษณะของสังคมพุทธ ที่ตรงตามพระพุทธเจ้าตรัส รวมแล้วท่านสรุปเป็นหลักใหญ่ ของสาราณียธรรม 6

1.         เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

2.        เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

3.        เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

4.        แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย   (ลาภธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) เมื่อคนมาอยู่รวมกันแล้วทำงานขยัน เกิดลาภโดยธรรม ก็เอามารวมไว้ที่กองกลาง แม้คอมมิวนิสต์หรือปชต.ก็เอาเข้ากองกลางทั้งนั้น ไม่มีลัทธิไหนที่ไม่เอาเข้าแต่ว่าวิธีการสัดส่วนในการเอาเข้ากองกลางต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องจิตใจที่จะยินดีเอาเข้ากองกลางก็ต่างกัน แต่สาธารณโภคีนั้นอสิรเสรีในการให้โอกาสเอาเข้ากองกลาง แต่เราก็ได้เท่าที่มีอยู่เป็นชาวอโศก เป็นหมู่บ้าน ชุมชน สัมพันธ์ุกันอยู่เป็นเครือแห สมบัติทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นของส่วนรวมจริงๆ แล้วก็ทางจิตวิญญาณก็เต็มใจเข้าใจ ในการปฏิบัติอยู่ ไม่ต้องออกกฎหมายว่าให้เอาเข้ากองกลางกี่ส่วน แต่ว่าเราให้หมดเลย เต็มใจให้ด้วย คนในประเทศไทยที่เห็นที่รู้อยู่ก็น่าจะมาทำวิจัยตรวจสอบแล้วเอาไปดูสิว่าเป็นไปได้อย่างไร มีอะไรซับซ้อน ลึกลับขู่เข็น โกหกโลกอยู่ไหม มาทำวิจัยให้ชัดเจน อาตมาก็อธิบายยังไม่เก่ง และมันมีลักษณะสาธารณโภคี นั้นแกนกลางคือผู้เป็นอรหันต์มีภูมิธรรมสูง เป็นปรมังสุขัง ทำงานเต็มที่ขยันหมั่นเพียร เท่าที่ตนมีความรู้ความสามารถ เป็นสุขอยู่ทุกวันไม่ว่าคนแก่ เด็ก ผู้ใหญ่ หนุ่มสาว อยู่ในสังคมที่เรียกว่าลัทธิการบริหารแบบนี้ เขามีคุณธรรมจริง ของอรหันต์ อนาคามีก็ไม่สะสมแล้ว ถ้าเป็นอนาคาฯ เหลือเศษกิเลสในจิต แต่เขาไม่ได้เป็นพิษภัยต่อมนุษยชาติในโลกเลย ความเห็นแก่ตัวเขาไม่กระทบคนอื่น อนาคามีเป็นต้นไป มีกิเลสเหลือของตนทุกข์ในระดับกิลมถะ ถ้าเป็นอรหันต์ก็เป็นทุกข์ระดับทรถะ เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ เป็นภาราหเว ปัญจขันธา

 

อนาคามีก็เหลือสังโยชน์เบื้องสูง แต่กายวาจาท่านไม่ได้เป็นพิษภัยต่อโลก มีแต่ประโยชน์ต่อโลก จึงเป็นผู้ที่ มี พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะอย่างแท้จริง บางท่านก็ขวนขวายมากอดทนได้มากตามอินทรีย์พละแต่ละคน

 

สกิทาคามีก็ยังมีที่เหลือต้องเสพบ้างตามฐานะ สกิทาคามีมีแบบสูง_กลาง_ต่ำ

 

โสดาบันเริ่มต้นไม่มีทุจริตแล้ว มีกิเลสอย่างไรก็ทำอย่างสุจริต ไม่มีทำเสียหายมาก ในกายกรรม วจีกรรม อาชีพ ก็ไม่มีกุหนา ลปนาแล้วไม่โกงไม่ทุจริตแล้ว ฐานศีล 5 หมดทุจริตแล้วเหลือแต่กิเลสโลภโกรธพอสมควร นี่คืออาริยบุคคลในศาสนาพุทธ แล้วมีสุขเท่าที่ตนลดกิเลสได้จริง

 

5.        มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย

            (สีลสามัญญตา)

6.         มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย .  (ทิฏฐิสามัญญตา) . (พตปฎ. เล่ม 22  ข้อ 282-283)

 

อาตมาถามชาวอโศกที่ฟังอยู่นี่ ลองตรวจภูมิธรรมของคนหน่อยสิ ผู้อยู่มาแล้วตั้ง 20 ปี แล้วก็ไม่คิดว่าจะออกไปไหน ก็คิดว่าอยู่ตายจนเผามีไหม?...ก็มีมาก แล้ว 10 ปีขึ้นไปมีไหม?....มีน้อนกว่าระดับ 20 ปี ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันเลย ว่าอยู่ไปจนตาย ไม่คิดไปแย่งโลกธรรม สุข อัตตากับเขา แค่นี้ก็อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ แล้วสันโดษ ใจพอแล้ว ไม่คิดจะได้รวย ได้ยศมากกว่านี้แล้ว กิเลสเหลือก็มีแต่จะลดลงให้มากกว่านี้เท่านั้นแหละ ไม่ไปหาเรื่องคลุกคลีกับสวรรค์อะไรมากกว่านี้แล้ว จิตคุณสบาย มีกาย_จิต_อุปธิวิเวกแล้ว

 

ไม่ได้ดับกิเลสอย่างกดข่มด้วย เราไปสัมพันธ์สังคม ไปกินกลางถนน ถูกปืนมาขู่มายิงเราก็เผชิญมาแล้ว เป็นปรากฏการณ์ที่แท้

 

เรื่องเศรษฐกิจ ที่แท้ ถึงบุญนิยมเข้าสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้า มีเมตตากายกรรม_วจีกรรม_มโนกรรม ต้องเข้าใจว่าเมตตาคืออย่างไร เราทำแล้ว มีกรุณาทำช่วยเขาจริงไหม แล้วมีมุทิตา อุเบกขาจริงไหม มีลาภธัมมิกา เราสร้างสรรพึ่งตนเอง ทำการงานเลี้ยงชีวิต สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะมาตลอดพิสูจน์มา 30 ปีที่่ตั้งหมู่บ้านชุมชนมา เป็นสังคมหมู่บ้านที่เป็นกิจลักษณะ ที่จริงเกิดก่อน30 ปี เราก่อตัวแต่ 2516 มีพุทธสถานลำลองมาปี 2519 สันติอโศก ศาลีอโศก ศีรษะอโศก จนบัดนี้มี 7 พุทธสถาน 2 สังฆสถานแล้ว ก็มีหลักตรวจสอบกันพลาด ว่าเป็นความจริงที่เป็นไปได้ ไม่น่าเชื่อ

 

คำว่าไม่น่าเชื่อ ทำให้คนข้างนอก นักวิชาการ ปราชญ์ผู้รู้ในประเทศที่มีความรู้ทฤษฎีโลกีย์ แต่เขาไม่เข้าใจทฤษฎีโลกุตระ

 

แต่ละคนก็มีจิตวิญญาณของตนที่ยืนยันอยู่มาหลายสิบปี มีมรรคองค์ 8 เห็นได้ชัด เอาศีล สมาธิ ปัญญา มาจับ เอาวิมุติ วิมุติญาณทัสสนะมาจับ มาชี้วัด ก็เห็นว่าเรามีศีล สมาธิ ปัญญา จริง เป็นสัมมาสมาธิด้วย เอาตามหลักสัตตาวาส 9 ก็พ้นความเป็นสัตว์ได้ วิญญาณฐีติ 7 ก็พ้นได้ ตามลำดับ

 

พวกเราปรุงแต่งกาย จิต วจี ในแต่ละวันๆ ฝึกฝนปฏิบัติเป็นอภิสังขาร เป็นปุญญาภิสังขาร และมีหลายพฤติกรรมของแต่ละคนที่เป็นอปุญญาภิสังขารที่ได้แล้วไม่ต้องชำระอีกแล้ว หลายคนอยู่มานาน หลายสิบปีก็ยืนยันได้ว่าเราก็เกี่ยวข้องวัตถุนั้นอยู่ ที่เมื่อก่อนเราหลงติดมัน ผู้หญิงจะเห็นเยอะ ติดมากกว่าผู้ชาย ส่วนผู้ชายติดทางภวภพ รูปภพ อรูปภพมากกว่า ทางอิตถีภาวะก็ทางกามภายนอกเห็นชัดเจน

 

ถ้าเราเข้าใจความหมายของพระพุทธเจ้าแต่ละพยัญชนะ ภาษา พวกเราจะมีอเนญชาภิสังขารที่อยู่ได้ทน ไม่ต้องทนเลย อยู่มา 30 กว่าปีก็มี

 

ถ้าเขาอวิชชาก็จะก้าวหน้าด้วยโลกียสุข กิเลสหนาขึ้นอ้วนขึ้นโตขึ้น ก้าวหน้าสู่ภพชาติของโลกธรรมเพ่ิมขึ้ืน อันนั้นคือความก้าวหน้าอย่างน่ากลัวอย่างในหลวงบอก เขาไม่รู้จักสังขาร กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร เขาทำปุญญาภิส้งขารไม่เป็นไม่สัมมาทิฏฐิไม่เข้าเกณฑ์มรรค 7 องค์

 

เมื่อไม่มีวิชชา ก็มีแต่อวิชชาก็ปรุงแต่งสังขารไปตามกิเลสเป็นเจ้าเรือน เป็นความก้าวหน้าอย่างน่ากลัว เป็นความถอยหลัง แม้แต่ศาสนาอื่นเขาได้แต่กดข่ม เขารู้กามภพ แล้วเขาก็หนีทิ้งกดข่ม แต่ไม่ได้ล้างกิเลส กามจิต เขาไม่ศึกษาเลย เขากดข่มให้เป็นภพชาติ เป็นภวตัณหาหมดเลย ดูเหมือนเขาไม่มาแย่งโลกธรรม กาม กับคนเขาเลย ก็เป็นได้แม้ในไทยพุทธศาสนาก็ยังนิยมแบบนั้นว่าเป็นทางของพุทธ นั่งสมาธิอย่าให้จิตออกนอกตัว ตรงกันข้ามกับของพุทธที่มีหลักตั้งแต่สมาธิของศีล 5 มีปัญญา วิมุติของศีล 5 มีผลลดกิเลสขั้นพื้นฐานไม่ได้ แบบไม่เข้าสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าจะไม่มีวันพ้นทุกข์เลย เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นชาติเลย ไม่มีความสำเร็จ มีแต่พักยกชั่วควาว ไม่รู้จักกิเลสแท้ ทำโจรให้ตายสนิทไม่ได้ ไม่มีความเที่ยง มีแต่ความวนตลอดกาล ไม่ลดกิเลสได้อย่างเที่ยงแท้ แต่ของพุทธนั้นลดกิเลสได้อย่างเที่ยงแท้ถาวรเลย ในแต่ละเหตุปัจจัย มีนิจจัง ทุวัง สัสตัง อวิปรณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปังเลย

 

ถ้าเรารู้ กาย ที่เป็นองค์ประชุม เราอ่านการดำเนินไปของชีวิต เป็นคติ มีวงจรที่เป็นวงวนไปแล้ววงโคจรของชีวิตแต่ละคน แต่ละวันก็ดำเนินกับสังคม ก็มีผลต่อสังคม แล้วแต่ละคน มีจิตที่อวจรหรือโคจร หรือคต หรือคติที่ดำเนินไป เป็นวงวนcyclic แต่ไม่เข้ารูปเข้าร่อง หากคนที่กิเลสไม่ตายเที่ยงแท้สักตัวเลย มันก็ทำให้วงจรชีวิตของคุณวนเวียนแบบเบี้ยวๆ มันจะรีเบี้ยวๆ จนกว่าคุณจะลดเหตุที่ทำให้ไม่เที่ยงก็จะเบี้ยวน้อยลง แต่ก็จะรีอยู่ สายเจโตที่ไม่รู้จักจิตลึกๆ จะเป็นวงวนแบบรีๆแนวตั้ง จิตลึกๆเป็น Prophecy ได้แค่ prophet ไม่ใช่สายปัญญาแท้

 

ส่วนทางผู้ที่ไม่เอาศาสนาเลยก็จะรีๆ แต่ขวางๆ สายเจโตจะวงรีทางขวาง แต่สายปัญญาจะวงรีทางตั้ง ส่วนของพุทธนั้นองศาจะเพิ่มขึ้นๆทั้งสายเจโตและปัญญา แต่ก็องศาจะเข้าหาวงกลม เป็น วงวนสมบูรณ์แบบ ศูนย์ของเทวนิยมกับศูนย์ของเทวนิยมนั้นต่างกัน

 

ศูนย์ของเทวนิยมเป็นวงรีตลอดกาลไม่เกิดวงกลมเลย มีรีดิ่งและรีตั้ง แต่ของพุทธเป็นวงกลมได้ ส่วนพวกรีนั้นก็ไม่รีสมบูรณ์ไปจนกว่าจะเป็นอรหันต์ ถ้าขยายเป็นสภาพโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็จะเป็นวงวน ทีละ 3 เป็น 6 เป็น 9 ไปเรืิ่อยๆ ความก้าวหน้าของวงรีที่อาตมาว่าไม่ใช่ก้าวหน้าแต่เป็นถอยหลัง เพราะมันก้าวหน้าด้วยโลกธรรม เพราะฉะนั้นวงรีของเขา สังเกตไหมว่าตัวเลขอารบิคจะรี แต่ตัวเลขไทยจะกลม ตัวเลขอาราบิคจะยาว แต่เลข 1 ของไทยจะกลม และ 1 นี่แหละคือวงกลมสุดยอด

 

ความก้าวหน้าของวงรี เขาก้าวหน้าคือถอยหลัง เลข 1 จะมาข้างหน้า เลข 0 จะอยู่ข้างหลัง มันก้าวหน้าแต่มันถอยหลัง  แต่ของสัมมาทิฏฐิจะก้าวหน้าไปตามลำดับ ไม่ถอยหลัง ตามที่ในหลวงว่าการก้าวหน้าแบบที่เป็นการถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัวด้วย เพราะทุกวันนี้มันแรงมากจัดจ้านมากด้วย ขณะนี้สงครามของโลก จะเกิดมากระหว่างเอเชียกับยุโรป เขารบกันนะ ใครเป็นหัวโจกทางเอเชีย ใครเป็นหัวโจกทางตะวันตก

 

เขาพูดกันนี่ก็เรื่องกำลังรวมหัวกันทำสงคราม แต่ไม่ใช่สงครามรบกันแบบอาวุธห้ำหั่นกัน แต่เขารบกันด้วยสมอง ใช้สารสนเทศน์รบกันนะ ไม่ใช่การเมืองนะ แต่สัจธรรมเลี่ยงการเมืองไม่ได้ เราเป็นพลเมืองสังคมต้องเอาความรู้อันนี้มาใช้ เป็นความรู้ที่เป็นไปเพื่อมนุษยชาติแท้

 

เมื่อมหาอำนาจรวมหัวกันก็เป็นเทวบุตรมาร โลกียะเป็นสมมุติเช่นนี้ แต่ละคนแสดงตนเป็นยักษ์ จตุมหาราชิกาแล้วได้เสพสุขในดาวดึงส์คือสวรรค์ลวงเท็จ เป็นอาการที่ 33 ที่ปั้นสร้างเองทั้งที่ตนมีแค่อาการ 32 แล้วก็พยายามว่ามหาอำนาจไหนจะอยู่ได้นานกว่า เป็นยามา จากจาตุมหาราชิกมาเสพสุขมีอำนาจใหญ่ได้ผลได้รายได้มาก เป็นนักล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจวัฒนธรรม สร้างตนให้เป็นเทวดา ให้ได้นานที่สุดตามกาละ แล้วตนเองก็จะเป็นจ้าว ถ้าสามารถทำให้ประเทศต่างๆในโลกอยู่ในอาณัติของจ้าวโลก ก็ทำให้โลกสงบสุขได้ชั่วคราว ให้เขาส่งส่วยให้ นี่คือการล้วงตับกินไส้กันยิ่งกว่าผีกระสือ เช่นจะมีสัมปทานพลังงาน แต่สัมปทานพลังงานนี้เหมือนคุณได้นะ แต่ให้คุณแค่ 30 ส่วนแต่เขาเอาไป 70 ส่วนเป็นต้น จะมีบริวารทั้งในประเทศ ให้รับใช้จ้้าวอำนาจภายนอก ทั้งนักธุรกิจและการเมืองฮั้วกันหมด แล้วดูดจากประเทศที่ด้อยกว่า ด้อยการพัฒนา ก็จะถูกเอาเปรียบจากประเทศพัฒนาหรือเจริญแบบโลกีย์

 

เขาไม่รู้จักนรก เขาเป็นเทวบุตรมาร คุณต้องศึกษากายสังขาร ซึ่งอยู่ในจิตวิญญาณ เท่านั้น กายคือประกอบไปด้วยนามเป็นหลัก ถ้าไม่รู้จักกายที่มีนามธรรมเป็นหลักก็ไม่รู้จักการอุบัติเกิดทางจิตวิญญาณ การเกิดมี 4 อย่าง แต่การเกิดจิตวิญญาณนั้นผุดเกิดแบบไม่มีซากเลย ตายเกิดพร้อมกันเลย ตายจากผีนรก ก็เป็นเทวดาอุบัติเทพ เพราะเราทำใจในใจของเรา ทำสังกัปปะ 7 ได้ จัดกระบวนการอภิสังขารได้ รู้จักนามรูป ทั้งปัญญาและเจโต

 

แต่ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมก็จะทำแต่ความก้าวหน้าที่ถอยหลัง เป็นวิชาการของพระพุทธเจ้าที่ในหลวงเอามาตรัสสอนเราไว้ ในหลวงเป็นที่ 1 ของประเทศตรัสอะไรแล้วศักดิ์สิทธิ์ ในหลวงมีภูมิธรรมลึกซึ้งแค่ไหน จริงๆไม่ใช่หน้าที่อาตมาที่จะมาขยายต้องให้มหาเถรสมาคมขยายแต่เขาไม่ขยายได้เพราะอะไร?

 

สรุปแล้วเทวดา 3 อย่างเป็นสัจจะที่ต้องรู้ปรมัตถ์ โลกมีแต่สมมุติเทพ มีแต่ความเจริญทางโลกีย์หลอกซ้อนจนเป็นเทวบุตร แท้จริงคือมารใหญ่  มหาอำนาจของโลกคือจ้าวโลกเป็นจอมมารใหญ่ไม่มีเสียสละจริง เราประเทศไทยนี่แหละจะเป็นเทวดาแท้ มีจิตช่วยจริงไม่เป็นโลกีย์แบบมหาอำนาจเขา ที่เขาหลอกกัน ของพุทธเราจะไม่หลอก เราจะพิสูจน์ความเป็นผู้มีน้ำใจเสียสละ มีปัญญา ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ เสียสสละนี่แหละที่เราจะมีให้โลก 4 อย่างนี้ คือคุณสมบัติของมนุษยชาติ ถ้าเราเป็นได้ทั้งประเทศ เรามีโลกุตรปัญญา ไม่ใช่ไปหลอกเขาด้วย แล้วเรามีน้ำใจจริง มีเสียสละช่วยเหลือจริง จะเป็นคนเช่นนั้น เป็นประเทศเช่นนั้นเอาไหม? จะได้มากหรือน้อยก็ช่วยกันทำ รักษาร่างกายไว้อย่าให้ตายไว

 

ต่อไปเป็นการถามคำถาม

_หนึ่งฟ้าถาม...ในวิชาสรรค่าฯ มีสูตรสู่ความสำเร็จ 7 ขั้นบุญนิยม ดิฉันเข้าใจว่า..ชาวอโศกมีการศึกษามา 40 ปีแล้ว และวนบ.มาทำให้จริงจังมากขึ้น เพื่อให้หมู่กลุ่มมีเอกีภาวะ และก็เข้าสู่ยุคขยายการงาน ในรอบอายุ 80 ปี แล้วให้เข้าสู่สังคมได้อย่างสง่างาม นี่คือการตลาดบุญนิยม แล้วการยกระดับการศึกษาชาวอโศกให้เข้าสู่บุญนิยม อยู่ในระเบียบของพรรคเพื่อฟ้าดิน

ตอบ...ถูกต้อง อาตมาทำทั้งรัฐศาสตร์ สังคม เศรษฐศาสตร์ บุญนิยม มีการใช้มหาปเทส 4 สัปปุริสธรรม 7 ทำเป็นหมู่กลุ่มตามหลักในหนังสือสรรค่าสร้างคน แล้วก็เผยแพร่ไปตามลำดับอย่างไม่หาเสียงครอบงำทางความคิด จูงนำเขา มีข้อสังเกตว่าอาตมาสงสัยอย่างหนึ่ง ผิดถูกก็ว่ากันนะ สังเกตว่ามี sms ของช่อง 7 ที่มีแต่ชื่นชมชอง 7 จะมีตลอดเลย นี่คือวิธีการหาเสียง ตลอดเลย เลยคิดว่าอาจมีกระบวนการตลาดของเขาก็ได้

 

หรือแม้แต่การตลาดของธรรมกาย มีลักษณะค้าบุญได้บาป อาตมาพูดนี่ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายทำลายนะ แต่ขอบอกหนักๆให้สะดุ้งสะเทือนบ้างพูดมานานแล้วไม่ได้ยินได้ฟังหรืออย่างไร? เพราะเป็นพุทธเหมือนกันนะ มันเสียหายไปทั่วโลก จะให้อาตมาไม่รู้ไม่ชี้อย่างทางมหาเถรสมาคมได้อย่างไร ทำเป็นคนไม่รักศาสนาพุทธได้อย่างไร?

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น?

 

_มีคำถามเกี่ยวกับการขอนิรโทษกรรมที่เนื่องจากในรายการวิถีอาริยธรรม ที่ผ่านมา ดิฉันเข้าใจว่าการลงโทษผู้กระทำผิดเพื่อเป็นไปให้เข็ดหลาบ ไม่กระทำผิดอีก สำหรับชาวโลกเขาก็ไม่คิดว่ามีชาติหน้าแต่ชาวพุทธนั้นควรเป็นการลงโทษเพื่อให้เข็ดหลาบทางจิตวิญญาณไม่กระทำผิดซ้ำอีก เป็นการลงโทษด้วยเมตตาไม่ใช่การทำร้าย การทำใดๆที่จะทำให้เขาพัฒนาขึ้นก็น่าจะดี ในโอกาสที่พ่อครูจะอายุครบ 80 ปี และวนบ.เกิดขึ้นและเป็นการศึกษาที่เอาจริง ดิฉันคิดเอาเองว่าคนที่ทำผิดแล้ว เป็นความผิดส่วนตัว และเป็นที่รังเกียจในหมู่มิตรสหาย และมีความผิดต่อความมั่นคงขององค์กร เสื่อมเสียองค์กร และดิฉันเข้าใจว่าที่เขาได้ทำผิดเป็นความผิดส่วนตัว และที่เอาคนนี้ไม่ได้คิดว่าจะช่วยเป็นส่วนตัว แต่คิดว่าเป็นภาระกิจที่ในฐานะเลขาธิการพรรค ก็เลยคิดว่าเขาน่าจะได้รับการพัฒนาในหมู่กลุ่มได้มากกว่าที่จะไปเร่ร่อนอยู่ภายนอก หลังจากต้องโทษอยู่ 8 เดือน เขามาเล่าว่ามีความทุกข์มาก และเขาก็ยินดีจะรับผิดและใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกแต่ต่อมาเขามากบอกว่าทุกข์มากไม่กล้าทำผิดแล้ว และการที่จะมาอยู่ภายในเขายินดีให้หมู่ลบหลู่ดูหมิ่นมากมายได้ไหม เขาก็ยินดีที่จะรับโทษนั้น เขาสำนึกได้เร็วเกินคาด ต่างจากญาติธรรมบางคนที่ไม่ยอมรับว่าผิด

 

ตอบ... เรื่องนี้เป็นเรื่องของหมู่กลุ่ม ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ที่คุณแสดงความเห็นมาก็เป็นความเห็นส่วนตัวและการลงโทษก็เป็นเรื่องสากล เรื่องนิรโทษกรรมก็เป็นส่วนตัว และอาตมาก็ยังเห็นว่าต้องใช้ความเห็นของหมู่กลุ่มสังคม คณะกรรมการกลางเป็นต้น อาตมาก็ไม่ได้ใช้ความคิดเห็นอาตมาตัดสิน อาตมาก็ดูเหตุปัจจัย ก็เสนอเข้ามาเป็นกิจลักษณะมา แต่ก่อนมาเราไม่มีนิรโทษกรรม แต่ก็อาจมีบางรายที่เขาผิด แต่กรรมการก็ไม่ได้เอาเข้าเรื่องราว ก็ให้อยู่ไปตามโทสานุโทส ทุกคนมีปฏิภาณ ที่เข้าใจได้ ถ้าเป็นอธิกัมมิกะที่จะเป็นหลักการเบื้องต้น ก็คงมีผู้ที่จะร่วมคิดว่าจะยอมให้นิรโทษแค่ไหน อย่างไรก็ว่ากันไปตามเหตุปัจจัยว่ามีคุณโทษอย่างไร

 

_ในช่วงที่พ่อครูอายุครบ80 ปีก็มีเหตุหลายอย่างบ่งบอก เช่นว.นบ.นี่ก็เกิดขึ้น ผมมีความเห็นว่าชาวอโศกน่าจะผนึกกันอยู่ที่บ้านราชฯเพื่อให้กิจกรรมเจริญขึ้นอีก และที่เป็นจุดอ่อนของชาวอโศกคือความไม่เรียบร้อยเป็นระเบียบในทรัพย์สินที่ทำให้เกิดความสูญเสีย

 

ตอบ...เร่ิมต้นที่ทำนาเป็นชาวกสิกรรมก็ดี เพราะเป็นพื้นฐานของประเทศ ดร.เราก็ต้องช่วยด้วยแต่ดร.นี่น่าช่วยมากกว่าชาวนาเพราะว่าเขาได้โอกาสในการทำบาปได้มากกว่าชาวนาด้วย

 

พ่อครูว่า...ก็ต้องตั้งใจช่วยกันสร้างความรู้แล้วปฏิบัติให้เกิดความจริงบริบูรณ์ไปตามลำดับ...

 


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:33:27 )

571114

รายละเอียด

571114_สรรค่าฯ(18)วนบ.เรื่อง ความล้ำลึก ของคำว่า สำนึก

พ่อครูว่า...สรรค่าสร้างคน อาตมาก็อธิบายสังคมศาสตร์ กว้างๆ เจาะลึกบ้าง บางวันก็กลายเป็นพุทธชีวศิลป์ไปเลย ซึ่งก็อันเดียวกัน คนที่มีธรรมะเป็นชีวิต ก็สุดยอดแล้ว อาตมาก็ยังขยันและเต็มใจ ที่จะบรรยายเผยแพร่ เท่าที่ตนเองมีดีที่สุดคือให้ความเข้าใจ ตามที่เราเข้าใจและเราเองก็เป็นผู้ได้รับสิ่งที่เราเข้าใจมาอาศัยในชีวิต

 

ได้รับคุณธรรม ประโยชน์ จากคำสอนของพระพุทธเจ้า เท่าที่มั่นใจว่าถูกสัมมาทิฏฐิ แล้วได้ผล อาตมาตั้งชื่อว่าผู้ได้ผลคือผู้บรรลุบุญนิยม

 

ในหนังสือสรรค่าฯมีลักษณะของผู้บรรลุบุญนิยม

1.เป็นคนประหยัดมีชีวิตเรียบง่ายสมถะ ไม่เป็นคนเผาผลาญทำลายไม่ทำตนหรูหราสุรุ่ยสุร่าย

2.เป็นคนมักน้อย กล้าจน เสียสละอยู่เสมอๆ ไม่เอาเปรียบใครๆ

3.เป็นคนใฝ่ศึกษาสร้างสรร สร้างสมรรถนะและขยัน เป็นทรัพย์ของมนุษย์ ของชาวบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งอาศัยเลี้ยงชีพ มีความรู้สามารถในตนและขยันทำงาน แล้วก็ไม่จบศึกษาฝึกฝน เพิ่มสรรถนะไปอีกได้ แต่กินน้อยใช้น้อยไม่สะสม มีแต่สะพัดออก ในผลประโยชน์ที่เกิดออกไป

4.เป็นคนทำงานอย่างตั้งใจ กล้าขาดทุนให้แก่ผู้อื่น และสังคม ด้วยความเห็นแจ้งความจริงว่า ผู้ขาดทุนคือผู้มีกำไรแก่ชีวิตตนเอง หรือคือผู้มีประโยชน์มีคุณค่าแก่ผู้อื่น อย่างถูกสัจจะ

5.เมื่อปฏิบัติธรรมได้สูงยิ่งจะเป็นผู้สร้างสรร ขยัน อดทน เสียสละ สะพัดออก ไม่สะสม ถึงขึ้นสูงสุดก็คือ อนัตตา คือไม่มีตัวตนที่เห็นแก่ตัว เหลืออยู่เลย อย่างสัมบูรณ์อันติมะ

 

เมื่อวานนี้มีดช.เบนซ์เอานิทานว่า ยายแกว่าแกหมดตัวหมดตน แล้วก็มีคนแหย่ว่าถ้าหมดตัวตนแล้วกล้าฆ่าตัวตายไหม? ยายคนนั้นก็กล้า แล้วก็ฆ่าตัวตาย...ดช.เบนซ์ก็งงว่า อย่างไรคือหมดตัวตน....

 

อาตมาก็ขยายความไปบ้างแล้วเมื่อวาน..หมดตัวตนคือหมดตัวตนของกิเลส ตั้งแต่กามภพ รูปภพ อรูปภพ คนที่หมดตัวตนกิเลสนี่คือคนที่ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย หมดอัตตาแล้ว หมดโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา หมดกามภพ รูปภพ อรูปภพ

 

โอฬาริกอัตตาคือกิเลสกามขั้นต้นที่ปรุงแต่งอยู่ภายนอกที่หยาบ ตั้งแต่อบายมุข ที่เกิดตัวตนจะต้องได้ต้องมีต้องเป็น ได้เสพเป็นรส ได้มาเป็นของตนสมโลภะก็สุข ถ้าไม่ได้ก็ทุกข์ หรือร้ายต้องแย่งชิง เสื่อมก็เสียดายต้องแย่งชิง หนักเข้าก็อกุศล ร้ายถึงโหดรุนแรงทำร้ายทำลายคนอื่นอย่างโหดเลือดเย็นในสังคม ถ้าสามารถเรียนรู้สัมมาทิฏฐิ ในอัตตา 3 แล้วล้างกิเลสตัวตนไปตามลำดับ รู้วิธีการในมรรคองค์ 8

 

 

หลักธรรมที่ฆ่ากิเลสของพระพุทธเจ้าชัดๆ ที่เป็นหลักธรรม ชื่อว่าเป็นหลักธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเข้าใจสัมมาทิฏฐิ ก็มีศีล แล้วขัดเกลาใจให้มีสมาธิ และก็มีปัญญา จิตที่เป็นสมาธิต้องพร้อมไปด้วยวิมุติ มีปัญญาที่รู้ ก็คือวิชชา และจบที่วิมุติ ก็ต้องรู้ว่าวิมุติคืออะไร

 

ศีล สมาธิ ปัญญา นี่สำคัญ ต้องมีศีล(อธิศีล)แล้วปฏิบัติให้มีจิตสมาธิ(อธิจิต) มีอธิปัญญาสิกขา ในปุถุชนก็เริ่มที่ศีล 5 ก่อนเบื้องต้น หรือจะเอาวิชชาจรณะสัมปันโณ ในจรณะ 15 ก็เริ่มที่สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วจะเกิดสัทธรรม 7(ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) แล้วจะเกิด ฌาน อีก 3  (อธิจิต) 

 

จิตที่เป็นฌาน ก็คือผลของอธิจิต ผู้สัมมาทิฏฐิต้องอ่านอาการจิตตนออก เข้าใจว่าอาการเช่นนี้คือกิเลส อาการเช่นนี้คือกำลังปฏิบัติ หลักปฏิบัติพระพุทธเจ้าก็ต้องลืมตา ใช้ชีวิตประจำวันปกติ ไม่ต้องไปหาที่พิเศษไปนั่งสมาธิหลับตา คุมไว้ สะกดไว้อย่างเดียว นั่นไม่ใช่วิธีของพุทธ

น่าเสียดายธรรมะพระพุทธเจ้าที่เพี้ยนไปไกล นั่งสมาธิ อย่าให้จิตออกนอกตัว นอกนั้นก็สอนเป็นโลกียะธรรมดาให้ทำความดีละชั่ว แต่ไม่สอนสจิตตปริโยทปนัง ทำจิตให้สะอาดผ่องใส ซึ่งต้องเป็นบุญ คือการชำระหรือสำรอกหรือกำจัดกิเลส ที่เป็นตัวตน คือสักกายะ คือตัวตนของตน เป็นสังโยชน์ข้อที่1

 

ถ้าเรียนรู้สักกายะ สภาวะที่เป็นสักกายะแท้ ให้รู้แจ้งเห็นจริง สัมผัสแล้วเห็นว่านี่คือตัวตนแท้ๆของเรา ที่จะต้องกำจัดออก ถ้าผู้ไม่รู้แจ้งเห็นจริง ก็เป็นนักสะกดจิตมั่วๆไป โดยเฉพาะสัมผัสไม่มีสติเต็ม

 

ผู้จะบรรลุผลของบุญนิยมต้องรู้จักการชำระกิเลสแล้วได้ผลจริง นอกนั้นก็เป็นผลอื่นๆ

ในลักษณะผู้บรรลุบุญนิยม แล้วถ้าปฏิบัติอย่างจริงแล้วไม่เหลือตัวตนสูงสุดขั้นอนัตตา เป็นอันติมะ ก็คือแก่นแท้บุญนิยมเลย

 

คนที่ลืมตาปฏิบัติมีสติแล้วก็มีสำนึก ท่านเรียกว่า สามัญสำนึก คนที่ไม่บ้า ก็เรียกว่ามีสติสัมปชัญญะ ถ้าคนไม่ศึกษาธรรมะก็มีสติโลกีย์ เป็นสติปุถุชน ก็เสพโลภ ได้ลาภยศสรรเสริญ ใฝ่หาแสวงหาแย่งชิง ได้มาก็สุข ไม่ได้มาก็ทุกข์ ทุกข์สุขปนกันไปมา

 

สติกัลยาณชนก็สูงขึ้น มีสำนึกใฝ่ดี ตามที่รู้ตามที่ได้รับการสอนหรือว่าตามศาสนา ก็มีสติพากเพียรให้ได้ความดีเป็นคนดี มีกัลยาณธรรม ก็ได้ตามความรู้ของศาสดา ก็เป็นคนดีในสังคม โลกก็มีแต่ปุถุชนกับกัลยาณชน การมีสติกัลยาณชนก็เริ่มมีความสำนึก จากสามัญสำนึก ขึ้นมาเป็นสำนึกดี พากเพียรตามภูมิของตน จึงเจริญด้วยสำนึก ใช้จิตสำนึกสามัญ มีชีวิต ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสกับโลกธรรมต่างๆ กามต่างๆ อัตตา ในชีวิตประจำวัน แล้วก็พยายามสร้างสำนึกตน ที่เป็นสามัญเต็ม แล้วก็ปฏิบัติสำนึกสามัญ แล้วคนที่มีศาสนาที่ต้องสร้างให้เจริญ ให้จิตมีสมาธิ มีนิพพาน แล้วจะเจริญ ให้แก่ตน ก็เลยไปสร้างการนั่งสมาธิหลับตา แล้วเขาไปนั่งนี่เขาไม่มีสามัญสำนึก เข้าภวังค์แล้วก็ไม่มีสามัญสำนึก เหมือนคนนอนหลับ ไม่มีพลังสร้างสามัญสำนึกที่จะให้ตนมีกรรมกิริยาในชีวิตให้ดีได้ สติเขาไม่เต็ม ไม่มีสัมปชัญญะที่จะเป็นไปเพื่อความเจริญไปตามลำดับ

สัมปชัญญะ =  ความรู้ต่อจากการมีสติรู้สึกตัว

สัมปชานะ    =  ความรู้สึกตัวในการปฏิบัติอยู่

สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ (พยายามทำให้สำเร็จตามเป้าหมายหรือถึงพร้อม จัดแจง กาย วาจา ใจตนให้ดีขึ้น ตามที่ตนเองรู้ว่าเราบกพร่อง ผิด อันนี้คือจุดแก้ไข เราก็ทำเลย พัฒนาตนเอง)

สัมปัชชติ     =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ    =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร

สัมปฏิสังขา  =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .

สัมปัชชลติ   =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง

สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล .

สัมปฏิเวธ    =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด  

 

เพราะการไปอยู่ในภวังค์นั้นสติไม่เต็ม คนไปนั่งสมาธิไม่มีปัญญาทำให้สติเต็มได้ ได้แต่ระลึกรู้ในภพ ในภวังค์ ในรูปภพ อรูปภพ ไม่มีสามัญสำนึก จึงไม่มีหวัง สติไม่อยู่ในสามัญสำนึก

การนั่งหลับตาในภวังค์ มีสติก็กำหนดในภพแคบๆ ความตื่นเต็มของสติในรูปภพ อรูปภพ ก็เป็นสติที่ควบคุมจิตในภวังค์ไม่เป็นสามัญสำนึก มันเป็นวิสามัญอย่างหนึ่งในภพ

เหมือนคนนอนหลับแล้วไม่ได้ฝึกให้สติแข็งแรงตื่นเต็มในภวังค์ คนไม่ได้ฝึกก็ควบคุมไม่ได้ คุณนอนหลับคุณควบคุมสติได้เหมือนตอนตื่นได้ไหม?ก็ไม่ได้ ควบคุมกรรมไม่ได้สักอย่าง

 

แต่ของพระพุทธเจ้ามีสติ สัมปชัญญะแล้วก็มีสำนึก สำนึกคือความมีสติรู้ว่าความบกพร่องความผิดของตนก็มีสำนึก แล้วก็ตั้งใจแก้ไข “สำนึก”เป็นความเจริญของมนุษย์ เมื่อใดก็แล้วแต่ ต่อให้อรหันต์ก็มีสำนึกที่จะทำกุศล ยิ่งตนไม่เป็นอรหันต์ก็ยิ่งต้องสำนึกให้มีภูมิธรรมสูงเป็นอรหันต์ให้ได้ คำว่าสำนึกคือความเจริญทางจิตใจ หากมีสิ่งบกพร่องไม่ดีก็รู้สำนึกเลยว่าจุดนี้เราไม่ดี เราผิด คนมีสำนึกนี่เป็นคนดีที่สุดเลย ต้องจริงด้วย แต่บางคนก็รู้นะ ว่าตนผิด สะดุดรู้ว่าตนบกพร่อง แต่จิตไม่ถึงความสำนึก ถ้าจิตถึงความสำนึกก็ลงมือแก้ไข หาเหตุที่ทำผิด เป็นสิ่งสำคัญของมนุษย์เลย คนที่เห็นจิตบกพร่องของตนได้ อาตมาเน้นคำว่าสำนึก เมื่อสำนึกก็จะแก้ไขตน มุ่งมั่นแก้ไขความบกพร่องของตนได้

 

จิตสำนึกจะพาให้คนเจริญได้ตาม สัมปาเทติ (มุ่งมั่นให้สำเร็จตามเป้าหมาย พยายามทำให้สำเร็จตามเป้าหมายหรือถึงพร้อม จัดแจง กาย วาจา ใจตนให้ดีขึ้น ตามที่ตนเองรู้ว่าเราบกพร่อง ผิด อันนี้คือจุดแก้ไข เราก็ทำเลย พัฒนาตนเอง)

 

ผู้มีสัมปชานะ คือความรู้สึกต่อจากสัมปชัญญะที่จะทำอย่างรอบคอบไปเสมอ เพื่อให้เกิดสติ สัมปชัญญะ ปัญญาต่อไป มีสัมปาญาตะ ทำไปเพื่อให้สำเร็จ จนมีผลสำเร็จเกิดเรียกว่า สัมปัชชลติ (เกิดผลถึงพร้อม) จนเป็น สัมปัชชลติ     =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง  คือมีไฟฌานทำลายไฟราคะ โทสะ โมหะ ได้ คือไฟโหมกองใหญ่ อีกมุมหนึ่งคือ เจริญรุ่งเรือง ก็เป็นผู้ถึงพร้อมบรรลุแล้ว เป็นสัปปัตตะ

 

 

ผู้มีสำนึกนี่แหละ ให้รู้ว่าอาการของการปฏิบัติตน ผู้เกิดความสำนึกที่แท้ ถ้าเราไม่เกิดความสำนึกในอะไรเลย มีสติปุถุชนไม่เคยรู้เลยว่าจะสำนึกอะไร มีแต่จะเสพไปเรื่อยๆ แต่ถ้ากัลยาณชนก็สำนึกว่าจะแก้ไข แต่เป็นไปตามโลกีย์ไม่สามารถชำระกิเลสในจิตได้อย่างอาริยะชน แล้วต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวัน มีอาชีพที่กุหนา คือโกง หยาบ ทำร้ายสังคม ก็มีสำนึกรู้เข้าใจว่าเรามีชีวิตในการงานนี้มีแต่เรื่องโกงๆ แล้วคุณก็ทำงานที่ไม่โกงก็ได้ เป็นข้าราชการ นักการเมืองหรือนักธุรกิจ ก็สำนึกว่าเราไม่โกงก็ได้ แต่บางทีไม่โกงน้อยๆนะ ต้องโกงเม็กกะโปรเจ็คMega Project แล้วต้องได้ต้องคุ้ม ไม่อย่างนั้นเสียเวลาโกง เป็นความคิดและการทำที่เลวจริงๆ แต่ผู้ใดสำนึกได้ ว่าเราเลวจริงก็แก้ไขได้นี่คือคนเจริญ คนรู้ตนเอง มีสำนึก พยายามให้ตนมีความคิดความรู้ที่รอบคอบ

 

เพิ่งรู้หรือรู้นานแล้วแต่ไม่สำนึก นึกออกไหมว่าสำนึกคืออะไร ใครมีสำนึกคือคนดีเจริญ ให้มีตลอดเลยสำนึก แม้อรหันต์ก็ควรมีสำนึก ไม่ว่าอันไหนเราไม่พัฒนา แม้กิเลสหมดแล้วหรือกิเลสไม่หมดก็ต้องสำนึกตลอด ขวนขวายเสมอ ความหมายของคำว่าสำนึกจึงสุดยอดประเสริฐ

 

อาตมาเคยตั้งชื่อให้คนๆหนึ่งว่าชื่อ “สำนึก”  แล้วเขาก็บอกว่าผมผิดอะไร? ผมต้องใช้ชื่อว่าสำนึก ก็ไม่ยอมรับ อาตมาก็เลยเห็นว่ายาก เพราะชื่อที่เขาใช้อยู่คือเขามีตัวตนแบบนี้เอง แต่ไม่ใช่นินทานะ แต่ขอยืมมาเป็นตัวอย่างในการบรรยาย แต่ก็คงไม่ถือสาว่าจะบอกว่าเขาชื่อ “มานะ” ถ้าเขารู้จักตัวนี้แล้วแก้ตัวนี้ได้ ว่าสำนึกนี่สุดยอด คำว่าสำนึกนี่คือสุดยอด แต่เขาถือดีมีมานะว่าตนผิดอะไร? ตนไม่ผิดนี่นะ จะให้สำนึกอะไร เพราะคำภาษาไทยคำว่าสำนึกคือคนที่ผิดบกพร่อง ซึ่งมันดี แล้วคุณเป็นอรหันต์แล้วหรือ? แม้อรหันต์ก็ต้องมีสำนึก เริ่มต้นผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีสำนึกแล้วมีสติ มีสัมปชัญญะสัมปาญาตะ(ดำเนินไปเรื่อยๆ พากเพียรไป) แล้วก็ปฏิบัติให้เกิดเจริญ สัมปัชชลติ จนถึงรอบแห่งการสันดาป เป็นจุดเปลี่ยน จุดแปรสภาพ สันดาปแปลจากความร้อนเป็นของเหลวหรือไอ คำว่าสัมปัชชลติคือจุดเปลี่ยนสภาพให้เกิดความรุ่งเรืองสำเร็จ แล้วก็เป็นตัวสำเร็จ สัมปันนะ

 

ในสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน (ปฏินิสสัคคะ) คือความหมุนทวนไปมาที่ไม่มีสวรรค์ คือดับสวรรค์แต่ละชั้นขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ต้องเข้าใจสวรรค์โลกีย์ที่เป็นสุขเท็จ สุขด้วยกาม หรือบำเรออัตตา สุขด้วยสมใจในโลกธรรม เป็นสวรรค์ของสมมุติเทพ แล้วเราต้องอสังสัคคะ ที่อยู่ในอนุปุพพิกถา ให้รู้ว่าเราจะดับสวรรค์ลวงขั้นหยาบอย่างไร แล้วก็จะได้สวรรค์สูงขึ้น เราก็ดับสวรรค์ต่อ จนไม่มีสวรรค์อะไร

 อสังสัคคะ ไม่ประกอบสวรรค์ให้ตนเลย ผู้ทำได้ก็มีอาทีนวะ เข้าใจโทษของสวรรค์หลอก ที่มันหลอกเราตลอดนิรันดร์กาลเลย เราต้องทำการเนกขัมมะออกให้ได้ ทำให้ได้ตามสัมมาทิฏฐิ 10 รู้ทานที่จะได้ผลลดกิเลส รู้ศีลหรือยัญพิธีที่จะทำให้ลดกิเลส รู้การเกิดผลหรือภาวนาหรือสังเวยที่บวงสรวงแล้ว ทำอนุปัสสี 4 ได้อย่างมีญาณปัญญา

 

การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าก็คือโพธิปักขิยธรรม 37 ผู้มีสำนึกนี่จะเป็นผู้เจริญ แม้อรหันต์แล้วก็เป็นผู้มีสำนึก ผู้มีสติแล้วก็มีสำนึก ทำสติปัฏฐาน 4 ที่รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ทั้งหมดปฏิบัติเช่นนี้ก็เป็นอรหันต์ ส่วนกายคตาสติ และอานาปานสติ นั้น เป็นเหตุปัจจัย องค์ประกอบ กายก็คือองค์ประชุม ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้แยกกัน ปฏิบัติต้องมีภายนอก ภายใน กายคตาสติ คือภายนอก ส่วนอานาปานสติคือภายใน

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

_คำว่ามารยาทมีขอบเขตแค่ไหน? เช่นเราอยู่บ้าน ของตกแต่มือเราเอื้อมไม่ถึง ถ้าเราใช้เท้าก็จะได้..แต่ติดมารยาท? ใครกำหนดมารยาท

ตอบ...มารยาทคือการปรุงแต่งกิริยาให้เหมาะสม กับความยึดถือขอสังคมนั้นๆเช่นวัฒนธรรมไทยถือหัวเป็นของสูง ก็อย่าเล่นกัน แต่ตะวันตกเขาไม่ถือก็เล่นกันได้ ก็แล้วแต่ที่จะประพฤติปฏิบัติ เมืองไทยเราถือว่าหัวนี่สูง ตีนนี่ต่ำ มารยาทก็คือ เราต้องเข้าใจวัฒนธรรมของเขา เข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตามตาม แต่ถ้าเราเข้าใจในสาระ ไม่ได้ติดในสมมุติหรือกฎเกณฑ์สังคม แต่รู้จักสาระ เช่นเราใช้เท้าจับผ้าขี้ริ้วเช็ดพื้นก็ไม่เห็นเสียอะไรจะใช้มือก็ได้ไม่เห็นเสียอะไร? และถ้าลึกลงไป มารยาทคือสิ่งที่ยึดถือกันตามวัฒนธรรม ถ้าจะอธิบายลึกซึ้งว่า เป็นมารยาสังคม มารยาทก็คือพ่อของมารยาสังคม ถ้าสังคมยึดถือก็ให้ทำตามนี้ ก็คือมารยาท แต่แท้แล้วคือมารยา ไม่ใช่สิ่งจริง สมมุติให้เหมาะสม ดูดี หรือแม้แต่อย่าใส่รองเท้าเข้าไปในวัดพระแก้ว แต่ว่าที่ทำงานต้องใส่รองเท้านะ ไม่อย่างนั้นไม่มีมารยาท เลยไม่รู้ว่าอะไรสูงกว่ากันแน่  เราก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมากกับมารยาสังคม แล้วเราก็ประมาณดูว่าเขาถือกันสมมุติกันก็อย่าไปทำขวางเขาก็ปลอดภัย เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตามตาม เท่านั้นเอง

 

_คำว่า สำนึก เป็นผลของสติสัมปชัญญะหรือว่าเกิดพร้อมกันเลย

ตอบ...สติคือรู้ตัวทั่วพร้อม สติปุถุชนก็รู้ตัวก็มีสติ ไม่รู้ก็ตามสัญชาตญาณ แม้สติปุถุชนก็เป็นสำนึก ต่อจากที่รู้แล้วก็ปรุงแต่งต่อจากที่รู้ ในขณะปรุงแต่ง หากมีสำนึกปุถุชนว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดีก็พากเพียรทำดี เป็นกัลยาณธรรมเจริญขึ้น สำนึกรู้ข้อพร่อง มีจิตรู้ข้อบกพร่อง ถ้าเป็นกาย วาจา แต่ไม่ถึงจิต จิตต้องสำนึก ถ้ารู้ว่ากาย วาจา มันบกพร่อง ก็ทำแต่กายวาจาก็เป็นกัลยาณธรรม แต่ถ้าของพุทธต้องมีจิตสำนึก ว่าเหตุชั่วตัวไหนพาเราต่ำก็กำจัดเหตุตัวนี้ เป็นการทำงานต่อเนื่อง สติมีสัปชัญญะ แล้วมีสำนึก เว้นขาดเลย ในสิ่งไม่ดี กุหนา ลปนา ก็เลิกเลย แล้วมีเนมิตกตา ทำให้ได้ต่อไป ให้ล้างกิเลสที่จิตเลย คือจิตสำนึก สำนึกมีหลายระดับ แล้วแต่ละคน

 

_ตอนเป็นเด็ก เคยสูบกัญชา รุ่นพี่พาไปฝึกทำบ้องกัญชา ถือมีดเข้าป่า ผมก็ตัดมากอหนึ่ง เขาก็ว่าใช้ไม่ได้ต้องเอาบ้องสวยๆ ผมก็คิดนึกว่า ผู้บริหารบ้านเมืองจะเป็นบ้องกัญชาสวยๆหรือไม่นะ อย่างอเมริกันพิมพ์แบ๊งค์ไม่มีทองค้ำประกันเลย ทำไมไปยอมกัน?

ตอบ...ที่ถามมานี่เป็นเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่การเมืองนะ ..ก็ไม่อยากให้เสียของล่ะสิ ก็อย่างที่เขาไปเชื่อถือดอลล่าร์dollarกันน่ะ ก็เพราะเขาเชื่อกันอยู่ก็ใช้กันไป แต่ถ้ามันล้มละลายกันเมื่อไหร่จึงจะรู้สึก แต่เพราะไทยเอาประเทศไปผูกไว้กับเขา อย่างอาตมาพาพวกเราทำ อย่าว่าแต่ดอลล่าร์เลย แม้แต่เงินบาท อาตมาก็ตัดวงจร ไม่ให้มีฤทธิ์มีอำนาจกับพวกเรา ไปมีส่วนได้เสียผูกพันเอาไว้ เช่นไปเป็นหนี้ธนาคาร ตอนนี้อเมริกาเขาถือว่าเงินเที่ยงอยู่ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ล้มก็หมดท่าเลย กลายเป็นกระดาษจริงๆ  เช่นเจ้าหนี้อเมริกาทวงหนี้แล้วอเมริกาไม่มีเงินให้เขาก็พัง เงินดอลล่าก็หมดค่า หลายคนมีไว้หลายพันล้านดอลก็ไร้ค่าทันที พวกเราไม่เอาแบบนี้ เราไม่มีจิตอยากไปรวย เราใช้ธนบัตรไทย เพื่อแลกเปลี่ยนในเมืองไทย เราไม่อ้าขาผวาปีกไปเงินสกุลต่างประเทศ แต่เขาเชื่อถือกันก็เพราะเขายังมีเครดิต ก็เลยเชื่อกัน แต่ที่จริงมันกลวงแทบแย่ ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลยที่จะไปริบมาได้ แต่คนเชื่อถือก็เลยแลกได้ ตอนนี้เงินหยวนก็กำลังขึ้น

 

ทุกวันนี้อโศกอาศัยธนาคารอยู่บ้าง แต่ไม่กู้เงินธนาคาร และธนาคารก็เป็นวิธีการหลอกเอาเปรียบกันอย่างซับซ้อนด้วย เราเอาเงินไปฝากธนาคาร เขาก็ให้ดอกเบี้ยเราก็จำใจรับไว้ แม้ธนาคารล่ม เราก็เสียไม่มากเพราะเราไม่มีเงินมาก ไม่กระทบกระเทือนเรา เรามีแต่จะสะพัดให้ไม่กักตุน เราไม่ไปเสียดอกเบี้ยด้วย มันเป็นสมมุติและเชื่อถือกันในสังคม การมีเงินแต่ไม่มีทองคำรองรับ เงินหมดจะริบทองก็ไม่มีทองให้ริบ แต่เขาเชื่อถือก็ยังทำได้อยู่ ใครประมาทก็พลาดล้มได้ แต่อโศกเราไม่ไปตกเป็นเหยื่อกับเขา แต่เราห้ามใครไม่ให้ไปเชื่ออย่างนั้นไม่ได้

 

_เห็นลูกค้าเขามากินมาก บางคนตักพูนจานเลย ใจก็รู้สึก...

ตอบ ตัวเรากล้าเสียสละให้คนอื่นได้ โดยประมาณไม่ให้ตนเองแย่ ให้เราน้อยลงไปอีกๆ เพราะกิเลสมันบำเรอตนหนามาก เราก็ลดลง จนถึงขีด เราใช้อัตราค่าเฉลี่ยของสังคมให้เราได้น้อยกว่าสังคมให้ตลอดเวลา ขาดทุนคือกำไร ทำได้ตลอดชีวิตไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อด้วย พวกเราทำกันได้แล้ว ก็พยายามลดละเถอะ อย่าหวงแหนกลัวร้านจะล้ม เพราะเขามากินมาก ตักพูนจานเลย ไม่ต้องกังวลมาก

 

_เราเคยโกรธ แล้วเรามีตัวหนึ่งมาแตะในจิต อารมณ์โกรธก็หายเลย แต่ไม่หาย มันมีหงุดหงิดอยู่ อยากถามว่า โกรธกับหงุดหงิดต่างกันไหม?หรือตัวเดียวกัน

ตอบ...ภาษาไทย อาการโกรธ มีน้ำหนักขนาดไหน? กับคำว่าหงุดหงิด มันก็อาการต่างกัน แรงต่างกัน ลักษณะต่างกัน ก็ขอตอบว่าโกรธ กับหงุดหงิด เป็นตระกูลเดียวกัน เป็นตระกูลทุกข์ ไม่ชอบใจ ไม่สบายใจ โกรธอาการแรง แต่หงุดหงิดอาการเบา มันมีขนาดต่างกัน โกรธมันเหลือมาก หงุดหงิดมันเหลือน้อย ไม่ดุเดือดเท่าโกรธ นัยต่างกันเราก็ต้องเรียนรู้ ไม่ให้มีในตัวเรา ต้องพยายามล้างออกจากใจเรา


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:48:04 )

571116

รายละเอียด

571116_วิถีอาริยธรรม พ่อครู+ส.ฟ้าไท เรื่อง นิยามความจริง 10 ประการ

.ฟ้าไท ช่วงปลายปี 28 ธ.ค. 57- 3 ม.ค. 58 เรารับสมัครตั้งแต่ 25 พ.ย. 57 เรามีมาแล้ว 2 รุ่น มาสอบความเป็นปรมัตถธรรม มีบำเพ็ญคุณ บำเพ็ญธรรม อาตมาเคยสอนเด็ก เด็กก็จำข้อสอบไปสอน แต่อาตมาจะบอกเด็กเสมอว่า การเรียนคือการสอบทุกครั้ง เรียนเสร็จก็สรุปบทเรียนเสมอๆ ประเมินผลว่าเรียนแล้วรู้เรื่องอะไรบ้าง แต่สอบfinal ก็เป็นประเมินเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ขณะอยู่ปัจจุบันทุกวันนี่แหละที่คือการสอบ

 

พุทธ สอนให้เราคบสัตบุรุษ แล้วสัตบุรุษคือใครกันแน่? สมัยก่อนได้ยินว่ามีพระโพธิสัตว์ มีพระพุทธเจ้ามา ก็จะรีบไป ไปฟังสัทธรรมให้ได้ เพื่อให้เกิดศรัทธา มีโยนิโสมนสิการ ต้องทำใจในใจให้เป็น อันนี้สำคัญมาก คือข้อปฏิบัติที่ต้องทำให้เป็นตั้งแต่ปัจจุบันที่ฟังธรรมเลย แล้วก็นำไปทำต่อ ให้ใจเราลดกิเลส แล้วตรวจสอบถึงอรูปฌาน

 

วันนี้ก็มีจดหมายมาถามพ่อครูอีก...

_ฟังธรรมจากสม.กล้าข้ามฝันเมื่อคืนนี้ ก็ได้ระลึกเทียบเคียงย้อนถึงการศึกษาทางโลกของตน นำความรู้มาทำเป็นวิชาชีพ เช่นเดียวกับสมณะ สม.ที่แสดงธรรมสื่อบอกความจริง สม.กล้าฯสื่อความรู้ที่ได้รับจากพ่อครู นักบวช จากเหตุการณ์ เอามาวิเคราะห์สังเคราะห์ร้อยเรียงนำสู่ความคิดการกระทำของท่าน จนดิฉันรู้สึกว่าความรู้ทางโลกไม่ได้มีรสชาติให้ดิฉันไปเรียนอย่างเดิม ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม สังคมกลุ่มนี้ก็ยังเป็นเช่นนี้ และมีผู้ที่เสนอประเด็นการสอบของวนบ.หรือว.บบบ. ว่าเป็นเพียงการจดจำและไม่ได้ถึงความจริง แต่ดิฉันว่า การได้ฝึกฝนจดจำก็มีความจำเป็นในการที่เป็นบันไดให้ศึกษาเรียนรู้

 

ตอบ...มีประเด็นที่ต้องตอบคือความจริงกับความรู้ และปรนัยกับอัตนัย

 

มนุษย์เรียนเพื่อรู้หรือเรียนเพื่อเกิดความจริง เราก็ต้องมาพูดถึงความจริงกับความรู้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ คนหลงความรู้ ไม่มีความจริง ไม่เข้าใจความจริง ความจริงมีทั้งสมมุติและที่ครบครัน

 

สิ่งที่เป็นจริงที่สุดนั้นคือปัจจุบัน นอกจากปัจจุบันแล้วไม่ถือว่าเป็นความจริง เช่นอาตมาอธิบายถึงอาการอารมณ์สุข คุณสัมผัสแล้วเกิดสุขเดี๋ยวนี้ แต่พอหมดผัสสะ ไม่มีเหตุปัจจัยรูปและนามสัมผัสแล้ว คุณก็ยังจำอารมณ์สุขไว้ แล้วคุณก็หลงว่าสุขนั้นมีอยู่ ทั้งที่เหตุปัจจัยนั้นได้หมดไปแล้ว ตาคุณมี แต่ตาไม่กระทบสิ่งนั้น หรือว่าประสาทไม่รับรู้ แต่ว่าจำอารมณ์สุขนั้นได้ เป็นความจริงตามสัญญา ไม่ใช่ความจริงตามปัญญา

 

ความจริงตามปัญญา คือความจริงตามความเป็นจริง ที่ครบพร้อมที่สุด คนที่เอาสัญญามาจำต่อเนื่องกันมา ถ้าคุณจะสัมผัสอันใหม่ก็เป็นความเกิดใหม่ที่จริง ความรู้สึกใหม่จริง จะตรงกับความรู้สึกเก่าที่จำได้ ก็เป็นความจำที่ซับซ้อนระหว่างความจริงกับสัญญา

 

ในทิฏฐิ 62 มี

 

1.อาศัยขันธ์ในอดีต 18

2.คาดคิดอนาคต ว่าจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ปรุงแต่งแล้วจำความคิด(ไม่ใช่ความจริง) คนที่มีอนาคตนี่แหละ อย่างชาตินี้เคยคิดไว้ ชาติหน้าความคิดที่คุณเคยคิดไว้ ทั้งที่ยังไม่จริง แต่แค่ตรรกะ แต่ว่ามาชาตินี้คุณก็ระลึกได้ถึงความคิดเก่า แต่คุณหลงนึกว่าความคิดเป็นความจริง ระลึกความจำแห่งความคิด ก็เลยเป็นจำนวนอนาคตอีก 44 ทิฏฐิ

 

ของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ที่เป็นความจริง และก็มีความรู้ที่ยังไม่จริงมาอธิบายทั้งหมดว่าคนยึดความไม่จริงก็มีด้วย เช่นพอคุณเกิดมาใหม่ มาสัมผัสสิ่งใหม่ก็เป็นความจริงใหม่ แต่ว่าความที่ท่านมีพุทธการกรธรรม นั้นก็เป็นความจำ ไม่ใช่ความจริงใหม่ ท่านก็ถูกครอบงำด้วยโลก เป็นความจริงในปัจจุบันใหม่ แต่มันมีพลังที่จะไม่ให้เป็นใหม่ร้อยเต็มเลย และยังมีวิบากเป็นตัวซ้อนอีก เป็นเรื่องที่ยากมาก  สรุปคือความจริงคือของใหม่ที่รับรู้ร่วมได้ทุกคน แต่พระพุทธเจ้าบรรลุธรรมมาแล้วเป็นความจริงในอดีต แต่ว่าไม่ถือเป็นความจริงในปัจจุบัน  แม้ท่านได้รับการมอมเมาจากความจริงใหม่ แต่ว่าพลังงานแห่งอดีตมีพลังมากจนมาล้างสิ่งปัจจุบันได้ นี่แหละคือที่เราต้องสั่งสมพลังแห่งวิมุติให้เต็มครบครันให้นิจจัง ทุวัง สัสตัง อวิปริณาธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง ไม่ทำบาปแล้ว มีแต่ของใหม่ที่เป็นกุศล ของใหม่ที่ทำก็เป็นกุศล มากทบเท่าทวีจนวิบากเก่าที่เหมือนหมาไล่เนื้อไล่ไม่ทัน

 

อรหัตตผลนั้นกิเลสไม่เกิดแล้ว แล้วท่านก็ซักซ้อมมีผัสสะที่แรงขึ้นๆ เท่าที่มนุษย์จะทำแรงได้ นั่นคือฐานของพระโพธิสัตว์ ตามระดับของพระโพธิสัตว์จะทนได้ต่างกัน ระดับ 9 เป็นสัพพัญญุตญาณ เรียกว่ามหาโพธิสัตว์ทนได้แค่นี้ แต่สัพพัญญุตญาณนั้นจะได้เกินไปอีกไกลที่ระดับ 9 ตามไม่ทันแน่ช่องว่างระหว่างมหาโพธิสัตว์กับสัพพัญญุตญาณ นั้นห่างกันมาก ห่างจนมหาโพธิสัตว์ไปไม่ได้ เป็นกำแพงหนาไกลมาก เป็นหลักประกันที่จริงแน่แท้

 

ในสรรค่าสร้างคนหน้า 90 ได้เกริ่นถึงนิยามของความจริงว่ามี 10 ข้อ

1.เป็นความดี

2.เป็นความถูกต้อง

3.เป็นคุณค่าประโยชน์

4.เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์(อาริยสัจ)

5.เป็นไปได้

6.รู้ได้แม้ขั้นนามธรรมระดับสูง ที่สุดถึงอนัตตา นิพพาน

7.เข้าถึงความจริงนั้น หรือตนเองเป็นได้ตามจริงนั้นแล้วก็รู้ตามความรู้ที่มีมาอย่างเต็มใจแม้ไม่สมบูรณ์ ยิ่งได้สมบูรณ์ก็ยิ่งจริงแท้

8.เป็นเรื่องที่ผู้ฉลาดหรือปราชญ์จำนนต่อเหตุผลและสิ่งจริงนั้น

9.ไม่เป็นอื่นอีกแล้ว อวิปริณาธัมมัง

10.เป็นสภาพที่ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้

 

ความจริงต้องเป็นปัจจุบันที่สัมผัสครบพร้อมทั้งกายและใจ เป็นสิ่งปรากฏจริง เป็น Phenomena แม้ผู้ที่เป็นได้จริงๆอยู่อย่างนั้น แม้เจ้าตัวไม่รู้ก็เป็นความจริง แต่เจ้าตัวยังรู้ไม่ครบ แต่ผู้ที่รู้เข้าใจว่าเป็นเช่นนี้แต่ตนเองเป็นไม่ได้ ผู้นี้มีแต่รู้แต่ไม่มีความจริง ส่วนผู้มีความจริงแล้วเป็นได้ทั้งนอกและใน เขาเป็นได้แล้วจริงแล้ว แต่เขาไม่มีภาษาที่จะพูดออกมาสื่อออกมาได้ ไม่มีเหตุผล แต่เป็นได้ทั้งใจและกาย คนนี้มีความจริง แต่ไม่มีความรู้

 

โลกทุกวันนี้มีแต่ความรู้แต่หาความจริงไม่ค่อยได้ แล้วเอาความรู้มาข่มความจริง นี่คือความผิดพลาด เพราะเอาความไม่จริงมาข่มความจริง เป็นความขบถต่อความจริง เขาหลงว่าเขาได้เปรียบแต่โดยสัจจะเขาได้วิบากบาป คนที่เอาเปรียบเอารัดคนในโลกนี่มีมากมาย เอาเปรียบคนที่มีความจริงด้วย ยิ่งบาปมาก คนไทยก็เป็นเช่นนั้น ทั้งที่เป็นพุทธ แล้วตนก็ได้บาป ไม่มีบุญเลย สะสมบาป เต็มไปด้วยอกุศล เพราะตนเข้าใจอกุศลเป็นกุศล เข้าใจสิ่งจริงเป็นสิ่งไม่จริง

 

ขอเตือนให้สติสำหรับผู้มีความรู้แต่ไม่มีความจริง แล้วเอาความรู้ไปเอาเปรียบเขา ให้เลิกเสียที เพราะกรรมสะสมจริงเป็นอกุศลของตนๆ เป็นกรรมของตนแท้จริง หากใครรู้แล้วเลิกได้เป็นสิ่งดีของคุณ แล้วพยายามล้างกิเลสตน

หยุดเอาเปรียบแล้วล้างกิเลสตัวอยากเอาเปรียบ ล้างได้หมดก็ไม่ดำริที่จะเอาเปรียบใครอีกเลย

 

ความถูกต้อง คือสัมผัสแตะต้องอยู่ ทั้งรูปกับนาม นี่ก็อีกความหมายหนึ่ง

ความเป็นคุณค่าประโยชน์มีสองนัย คือแบบโลกีย์ บำเรอกิเลส และประโยชน์โลกุตระคือรู้กิเลส ล้างกิเลสได้ก็เป็นประโยชน์ตนที่เป็นปรมัตถ์ ไม่บำเรออารมณ์ กิเลสตัณหาอุปาทาน

 

เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ ต้องอ่านรู้ จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้ว่าจิตเรามีกิเลส อ่านแล้วกำจัดมันได้ จึงพ้นทุกข์

 

และเป็นไปได้ ก็ต้องยืนยันในปัจจุบัน มีกระทบสัมผัสแล้วมีเวทนา โดยสังขารปรุงแต่ง สภาวธรรม ข้างนอกกระทบสัมผัส รู้นอก แล้วก็อ่านเข้าไปรู้นามธรรมภายในได้ ซึ่งภายในนั้นไม่มีใครรู้กับใครได้ของใครของมัน ต้องรู้ครบทั้งนอกและใน เป็นปัจจุบันธรรม เป็นกายในกายทั้งนอกและในของรูปทั้งหลาย พหิทารูปานิ เป็นกายในกาย ที่ไม่ได้ขาดจิตใจเลย ถ้าขาดจิตใจมาร่วมด้วยก็ไม่เรียกว่ากาย

 

ความเป็นทุกข์อาริยสัจนี่ลึกซึ้งมาก และความทุกข์ในความจำนี่ซับซ้อนและยากมาก พระพุทธเจ้าเปรยกับอานนท์ว่า ที่ยากมากคือความจำ แล้วคนก็เผลอเอาความจำมาเป็นความจริง มันยังจำสุข แต่ถ้ารู้ตัวแวบ ก็รู้ว่าไม่ใช่ความจริง เป็นความจำ ยากมากที่จะแยกให้ชัด แล้วจะล้างความจำมาเป็นความจริงไม่ง่าย

 

ผู้จะบรรลุธรรมต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วก็ตรวจด้วยอรูปฌานอีก แล้วกายที่สัมผัสภายนอก แล้วเหลือแต่ในถึงรูปราคะ อรูปราคะ เหลือเศษเสี้ยวของมานะ อุธัจจะอีก ก็ค่อยพูดกัน

 

.ฟ้าไท ว่า ฟังให้เข้าใจก็ยาก ปฏิบัติให้ถูกก็ยาก ให้บรรลุก็ยิ่งยากเข้าไปอีก

 

พ่อครูว่า...แม้มีสิ่งจริง มีธรรมะ อัตถะแล้วก็ต้องมาเรียนรู้นิรุตติปฏิภาณเพื่อสื่อออกให้ได้อีก แต่ต้องทำอัตถะ ธรรมะให้ได้ก่อน ถ้าเราไปเรียนนิรุติภาษาได้ก่อนก็ได้แต่ต้องรู้ก่อนว่าเรายังทำไม่ได้ต้องทำอุภโตภาคให้ได้

 

7. แล้วเข้าถึงความจริงนั้น หรือตนเองเป็นได้ตามจริงนั้นแล้วก็รู้ตามความรู้ที่มีมาอย่างเต็มใจแม้ไม่สมบูรณ์ ยิ่งได้สมบูรณ์ก็ยิ่งจริงแท้  รู้สอุตรจิต คือจิตที่ดีแล้วแต่ดีกว่านี้ยังมีอีกยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะอนุตตรังจิตตังไม่มีดีกว่านี้อีกแล้ว ผู้ไม่ประมาทจะไม่รีบจบ จนกว่าจะศูนย์ๆๆๆๆ ไม่กระดิกเลย ต้องทำปัจจุบันให้สั่งสมเป็นอดีตที่ศูนย์ ๆๆๆ แม้ผ่านปัจจุบันหนักแรงเท่าไหร่เท่าที่โลกมีก็ผ่านได้ศูนย์ได้

 

การทำบุญร่วมกันได้นี่จะมาอยู่ร่วมกันได้ง่ายกว่าการทำกุศลร่วมกัน เพราะมันกว้าง แต่การทำบุญนี่กิเลสก็มีเหมือนกัน ก็จะมาอยู่ร่วมกันได้ง่ายกว่า

ในอินเดียมีอุปาทานยึดติดว่ากีฬานี้ดียอดเลิศน้อยกว่าไทย แล้วไทยนี่ก็จะต้องชำระกิเลสนี้มากกว่าเพราะยึดติดมากกว่า ยิ่งต่างประเทศก็ยึดติดมากกว่าก็โง่หนักหนากว่าไทยอีก

 

8.เป็นเรื่องที่ผู้ฉลาดหรือปราชญ์จำนนต่อเหตุผลและสิ่งจริงนั้น

9.ไม่เป็นอื่นอีกแล้ว อวิปริณาธัมมัง  คือนิจจัง ธุวัง สัสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง พลังงานอะไรก็มาทำลายไม่ได้ ไม่เปลี่ยนแปลง

10.ได้แล้วเป็นเอหิปัสสิโก ได้แล้วไม่เก้อเขินเหนียมอายแล้วก็ไม่เห่อเหิม ไม่มีจิตใจท้าทาย แต่เชิญให้มาพิสูจน์ได้ ไม่กลัว ไม่ได้อยากหรือไม่ การหลอกล่อคนมานี่เป็นเรื่องผิดสัจจะ เอาให้ปริมาณมากมาขู่คนหรือว่าหลอกลวงเขา คนที่ไม่หลอกลวง ก็จะเอามามากให้หนักทำไม เราก็คัดสรรคนให้มาได้ ต้องมีปฏิภาณ มีความจริงระดับหนึ่งจึงมาได้  ก็จะได้เนื้อได้แก่นแท้  ขึ้นอยู่กับภูมิธรรมของตัวผู้นำที่จะทำ คนที่หลอกให้คนมา โดยหลงเอาปริมาณมาก โดยจะหลงกอบโกยให้มาก คนนั้นโง่แต่ต้นเลย คนที่ไม่มีเลย ศูนย์ได้นี่คือคนฉลาดมาก

 

เราได้ความผนึกหนาแน่น แต่ไม่แน่นไม่หนา จะเปลี่ยนแปลง หรือทำให้หายหมดเลยก็ได้ คือสิ่งสูงสุด เป็นภาษาที่พูดได้ต้องทำได้ ที่พูดนี่เป็นความรู้ แล้วเอาไปทำให้ได้ก็จะรู้ว่าจริงเป็นเช่นนั้น

 

โพธิสัตว์มีสัจจานุโลมมิกญาณ เช่นอรหันต์จี้กง กินเหล้าแล้วเมาไปกับเขา สนุกสนานกับเขา ความจริงแล้วท่านไม่ได้เมาเลย เมาดิบท่านไม่ได้ซับซาบความเมาเป็นสุขใจเลย ดีไม่ดีถ้าท่านไม่มีสังขารุเปกขาญาณท่านจะรู้สึกว่าทนเป็นทุกข์ แต่อนุโลมเพื่อช่วยเขา แต่ถ้าทนไม่ยากไม่ลำบาก อันนี้เป็นลักษณะของ ไม่ลำบาก พระโพธิสัตว์จะประมาณทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ก็ง่าย แต่ก็เหนื่อยอยู่แล้ว

 

ความจริง ไม่ใช่แค่ความรู้ของคำว่า กาย

 

กายคือองค์ประชุม ของทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นอุตุนิยาม ที่เป็นวัตถุธาตุ สิ่งนี้ไม่มีธาตุรู้ มีแต่พลังงานดูดซับสลาย คืออุตุนิยาม เอาตัวสสารมาเกาะแน่น ก็คืออุตุ 100% ต่อมาเป็นพืช มีพลังงาน สัญญา กับ สังขาร ไม่มีเวทนา ไม่จองเวรกับใคร คนไม่รู้ก็ว่ากินพืชก็บาป นั้นเข้าใจไม่ได้ว่าพืชมันไม่มีอารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์ จึงไม่จองเวรจองภัยกับอะไรทั้งนั้น องค์ประชุมของอุตุคือรูปธรรม ดินน้ำไฟลมที่ดึงดูดกันแท้ๆ เช่นแก้วนี่มาจากทราย มันไม่มีนามธรรมเลย ไม่มีแม้สัญญา มันผลักหรือดูดกันโดยธรรมชาติ อย่างไฟฟ้านี่เป็นพลังงานที่เริ่มเพิ่มจะมาเป็นชีวะขึ้นมา

 

จนเริ่มพัฒนาอัตภาพให้มีความสุข ทุกข์ รัก ชัง พยาบาท ดูดดึง ขึ้นมาตั้งแต่เซลล์เดียว จนมีหลายล้านเซลล์ ซึ่งมี

รูปกาย คือเกี่ยวข้องกับดินน้ำไฟลมข้างนอก เรียกว่ารูปกาย แต่ขาดนามไม่ได้  มนุษย์พืชคือมนุษย์ที่ไม่ยอมปล่อยตัวเอง หลงติดอัตตา เช่นคนตายแล้วผมยังงอก เล็บยังยาว มันเกินพลังงานยึดเฉลี่ยทั่วไป มนุษย์พืชไม่ยอมปล่อยเป็นสัตว์นรกหนัก คนไปกราบศพที่ไม่เน่าก็ยึดติดหนัก ก็ยิ่งโง่กันไปทั้งคู่

 

คุณเรียนรู้จิตใต้สำนึกขึ้นมาเป็นจิตสำนึกได้จึงเรียนรู้โอปปาติกะได้ ผู้ปฏิบัติธรรมหากฐานไม่ถึงอนาคามีจะไม่รู้จักสัตว์โอปปาติกะได้ ว่าเราดับกามราคะได้ แล้วมีพลังงาน รูปราคะ อรูปราคะเหลืออย่างไร สัตว์ที่ยังเหลือในรูป อรูปคืออย่างไร ก็รู้ตัวว่าตนเป็นสัตว์  คนโกรธคนที่ด่าตนว่าเป็นเดรัจฉานนั้น เป็นสัตว์มากกว่าเดรัจฉานอีก เราไปด่าสัตว์ว่ามันเป็นเดรัจฉาน มันก็ไม่โกรธ แต่คนนี่โกรธก็เลวกว่าเดรัจฉานอีก

 

แค่รับว่าเขาด่าฉันก็ตัวตนเกิดแล้ว ยิ่งไปโกรธก็หนักเข้าไปอีก โกรธหนักก็ยิ่งซ้อนอีก แล้วจะไปฆ่าแกงเขาอีกเป็นสัตว์ที่ร้ายกาจมาก ยิ่งกระทำจริงด้วยก็ยิ่งเลวหนัก เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีธาตุโพธิที่จะตรัสรู้ได้ ก็น่าจะพัฒนาได้ ไม่สิ้นไร้อาริยบุคคลจะมาช่วยมนุษยชาติได้

 

กายต้องมีธาตุจิตเข้าไปร่วมถึงคือกาย คุณอ่านนามธรรมของคุณเอง จากองค์ประชุมที่มีจิตร่วมในนั้น แยกเป็นเวทนา ก็คือสังขารอยู่นะ แล้วเหตุตัวไหน จิตตัวไหนที่เป็นสราค สโทส ออกแล้วกำจัดสัตว์นั้น กำจัดถูกก็พ้นโมหะ พ้นอวิชชาได้ พ้นมหคตะจึงพ้นโมหะ

 

แล้วคำถามที่ว่า สังคมกลุ่มนี้ก็ยังเป็นเช่นนี้ ยังปฏิเสธกล่องและเงิน ข้อเสนอแนะจากผู้เรียน วนบ. ว่าจะสอบวัดผล จะเอาปรนัยหรืออัตตนัย

 

คำว่าปรนัยหมายความว่ามีครูออกข้อสอบให้คุณตอบ พวกไม่มีความรู้ก็เดาได้ แต่ว่าอัตตนัยคุณต้องเอาความรู้ของตนมาตอบเอง แต่ก็ยังมีที่เอาความจำมาตอบได้อีก  แล้วอันไหนเป็นของจริงกว่า...ก็อัตนัย

 

ก็ให้ทำทั้งสองแบบได้ แบบปรนัยก็ง่ายในการตรวจ แบบอัตนัยก็ได้

 

ตอนนี้อโศกยังไม่มีคนมาช่วยทำงานมาก อาตมาไม่บังคับ ไม่หว่านล้อม เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง มั่นใจว่าที่ทำนี่ทำเอาแก่น เอาเนื้อ ได้แก่นแล้วแม้เล็กหรือน้อยจะไปนาน แล้วมั่นใจว่าไม่ประมาท เผื่อพอ ก็จะรักษาขันธ์หนักเหนื่อยทำงานไปอีก เพื่อให้แน่น

 

อาตมาตอนนี้ เกิน 72 ไปได้ ตอนนี้ 80 แล้ว ถ้าไปถึง 108 ปีก็ครบ 36 อีกเป็นรอบที่ 3 จาก 108 ไปถึง 144 จะเป็น 36 รอบที่ 4 ถ้าครบรอบที่ 4 ก็สมบูรณ์แบบแน่ ขอเสวยวิมุติอีก 7 ปี

 

 

.ฟ้าไท ว่า ประเด็นที่ชาวอโศกประมาทคือรีบจบง่าย ต้องทำซ้ำๆๆๆ จนเราเป็นจริงแน่นอนไม่มีปัญหาแน่ อนาคตก็ศูนย์ได้แน่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง แล้วพ่อครูเน้นย้ำเรื่องกาย เราต้องล้างกายให้สะอาดทั้งรูปกายและนามกาย

 

พ่อครูว่า...ที่ไอนี่บ่งบอกตัวตนนะ พวกคุณจะช่วยรักษาให้อาตมาหายไอได้ พวกคุณต้องทำตนให้เป็นพระอรหันต์ให้ได้ จริง


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:52:53 )

571118

รายละเอียด

571118-พุทธชีวศิลป์(19)วนบ.เรื่อง อย่างไรไม่เป็นกัมมารามตาและติรัจฉานกถา

พ่อครูว่า....วันนี้วันอังคารที่ 18 พ.ย. 57 แรม12 ค่ำเดือน 12 ปีมะเมีย วันนี้เราจะเรียนวิชาพุทธชีวศิลป์กัน พูดกันเรื่องพุทธรรมกัน มีคนที่อยู่ใกล้สมณะท่านหนึ่งมีโอกาสได้ยินท่านพูดเรื่องการงาน บางทีท่านก็พูดเรื่องการเมืองด้วย เลยทำให้รู้สึกว่าศรัทธามันลดลง เลยมีผู้ถามอาตมามาว่าพาหลงทางหรือเปล่า ที่สมณะพูดกันเป็นเรื่องเสื่อม เป็นเดรัจฉานกถาหรือเปล่า ยังเป็นการปฏิบัติธรรมหรือไม่?

....ก็ดี อาตมาก็จะได้ตอบ

 

ผู้ที่ยึดอะไรก็แล้วแต่ ยึดพระไตรฯ ยึดอะไรก็ตาม ยึดอดีต ยึดยุคสมัย ยึดสังคมเก่า ไม่ได้เคลื่อนไม่ได้รู้ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง คือไปยึดมั่นถือมั่นว่า มันคงที่เที่ยงแท้ จะยึดสภาพ กาละ ทฤษฎี แนวคิด ก็แล้วแต่ ทำให้เห็นว่าคนนั้นยังเข้าใจอะไรที่เปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัยมนุษยชาติ ไม่ได้

 

เป้าหมายเนื้อแท้คือลดกิเลส คือนิพพาน ไม่เปลี่ยนในอัตถะนี้ แต่ในตัวธรรมะคือสิ่งที่ทรงไว้ มันก็มีเพิ่มมีใหม่ มันไม่คงที่ สัพเพ ธัมมา อนิจจา ส่วนเป้าหมายไม่เปลี่ยน ผู้ใดแม่นในนิพพาน แล้วไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในนิพพานนั้นล่ะ แต่ผู้ที่ยึดถือไปตั้งแต่วัตถุ หลักเกณฑ์ ที่เปลี่ยนไปตามสมัย ก็ไม่ค่อยเข้าใจองค์ประกอบธรรม ก็ยึดกันไป ยึดกันว่า พวกเรานี่เอาแต่งาน

 

การงาน ที่ภาษาบาลีเรียกว่า “กัมมันตะ” ยุคสมัยพระพุทธเจ้า กับยุคสมัยนี้องค์ประกอบทั้งวัฒนธรรมสังคม วัตถุ เปลี่ยนไปมาก เรามาทำงานกันทุกวันนี้จึงไม่เหมือนกับยุคพระพุทธเจ้า คำว่าการงาน ซึ่งคำตรัสของพระพุทธเจ้าเราไม่เถียงไม่แย้ง แต่ว่ามีพยัญชนะคำว่า “กัมมารามตา” คือไปยินดีในการงาน(เขาแปลว่าอย่างนั้น) แต่อาตมาสะดุดตั้งแต่ต้น ถ้าคนไปยินดีในการงานแล้วเป็นความเสื่อม ไปบอกว่าการงานถ้าไปยินดี(รามตา) ซึ่งคำนี้เป็นความยินดีในปรมัตถ์ไม่ใช่แค่ฉันทะหรือปีติ ที่แปลว่าความยินดี แต่รามตาคือความยินดีที่ประกอบไปด้วยกิเลส เช่นทั้ง 4 คำ

1.กัมมารามตา

2.ภัสสารามตา คือการพูดที่ประกอบด้วยกิเลส เราไปยินดีกับมัน

3.นิททารามตา คือยินดีในการนอน

4.สังคณิการามตา คือยินดีที่อยู่รวมหมู่กลุ่ม ท่านแปลว่าการคลุกคลีด้วยหมู่

ซึ่งถ้าไม่เข้าใจก็ไปแปลสมคล้อยไปว่าให้ปลีกเดี่ยว ไม่ให้ไปร่วมเป็นหมู่คณะ ซึ่งย้อนแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้าว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ซึ่งคำนี้มันใหญ่กว่า

 

คนเราถ้าบอกว่าไม่ให้ยินดีในการงาน ก็เลยเป็นคนไม่เอาถ่านไม่ยินดีทำงาน ก็เลยปฏิบัติไม่เกี่ยวข้องกับใคร ไม่เกี่ยวกับหมู่กลุ่ม นี่คืออ่านพระไตรฯอย่างพาซื่อ แล้วยิ่งมีจิตน้อมปลีกแยกเดี่ยวแบบฤๅษี เหมือนพระพุทธเจ้าออกบวชเข้าป่า 6 ปีแรก พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทางที่ผิด เป็นการใช้หนี้วิบาก เขาก็ไม่กล้าเถียงเพราะมีหลักฐานในไตรปิฎก แต่เขาก็ไม่สนิทใจไม่เชื่อทั้งหมดหรอก เพราะอาตมาไม่มีอลังการให้เขาเชื่อ เพราะเขายึดผิดกันมานานว่า ปฏิบัติธรรมต้องปลีกเดี่ยวอยู่ป่า แล้วจะมี มรรคองค์ 8 ครบได้อย่างไร จะมีสัมมากัมมันตะ ได้อย่างไร เขาก็เอาแต่นั่งนิ่ง อย่าให้จิตออกนอก ถ้าเข้าใจไม่คมแม่นชัดตรง อย่างที่พูดไปนี่ ไปทิ้งการงานก็เลยเจ๊ง

 

มันคนละยุคสมัย  สมัยพระพุทธเจ้าเขาไม่มีการงานอย่างนี้ เขามีกินใช้ แล้วก็ไม่หลงปรุงแต่ง กินโก้เก๋ จุบจิบ อวดอ้างกันแต่อย่างใด เขาก็ไม่ต้องทำงานมาก ทำงานพออยู่ไปวันๆ แต่ถ้ายุคนี้ถ้าขืนใช้ชีวิตแบบพระพุทธเจ้าก็ตายลูกเดียว คนที่ยึดมั่นถือมั่นไม่เข้าใจสัปปุริสธรรม ก็ไปกันใหญ่ เพี้ยนไป เช่นการงานทุกวันนี้เราใช้เทคโนโลยีกันไม่เป็นไร ..สมัยก่อนไม่นานเลยแค่ 30 ปี พระนี่ถือกล้องถ่ายรูปไม่ได้หรอก เอากันตายเลย เป็นเรื่องละเมิด แต่ในยุคพระพุทธเจ้าท่านไม่มีกล้องเลยท่านไม่ได้ห้ามไว้แต่เขาก็ถือกันว่าไม่ให้ใช้กล้อง เป็นเรื่องผิดเลย คุณประสกนี่เขา เอาตายเลยเห็นพระถือกล้องนี่ ตอนที่อาตมายังไม่ได้แยกออกมาก็คบหาเขาดี แต่พอแยกมาเขาก็ใส่อาตมาเลย คุณประสก เป็นเปรียญ 6 แต่เดี๋ยวนี้พระถือกล้องโทรทัศน์เลย ถือมือถือ แท็บเล็ต กันเลย ก็ไม่มีใครว่าอะไร คือรู้ว่ายุคนี้ มันต้องใช้งานเผยแพร่ได้ เป็นประโยชน์ในการศึกษา แต่แน่นอนมันมีโทษภัยในนั้นจริงๆ พวกเราก็ดูแลกัน ผู้ที่พรรษายังไม่ถึงก็อย่างพึ่ง หรือผู้ที่เห็นควรก็ทำไป โดยเฉพาะเรื่องของการเมือง ยุคพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรมาก เป็นยุคสมบูรณาาสิทธิราช กระดิกไม่ได้เลยเรื่องการเมือง จะไปออกเสียงอย่างยุคนี้ไม่ได้แล้วก็ไม่ได้มีห้ามไว้ในคำของพระพุทธเจ้าเลย เรื่องการงาน ยุคพระพุทธเจ้าสงฆ์ก็ทำการงานไม่ใช่น้อย ก็สร้างกุฏิเอง แล้วท่านก็มักน้อยสันโดษ สังคมก็มักน้อยสันโดษ ไม่เหมือนยุคนี้ การสร้างที่อยู่ก็เล็กๆน้อยๆ แล้วสมัยนี้มันคนละเรื่องเลย ไม่ว่าสังคมเศรษฐกิจ รัฐศาสตร์ก็ตาม ผู้ที่ยึดขันธ์อดีต ยึดขันธ์อนาคต

 

ทุกวันนี้อาตมาเรียกว่ายุคหมาหอบแดด ทำงานกลางวันกลางคืนไม่ได้หยุดพัก สมัยพระพุทธเจ้าก็ทำงานไม่มากอย่างนี้ การยึดมั่นถือมั่นอย่างไม่รอบคอบพอก็จะดูผิดไป  แล้วสมณะเราพูดเรื่องการเมือง ผิดไหม? แต่สมณะเราก็ไม่ได้พูดเรื่องเดรัจฉานวิชชา เราพูดเรื่องการสร้าง ทำ การงาน แต่เราทำเพื่ออะไร? ทีนี้ซ้อนในการงาน อันนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจกันยาก ว่าการงานหรือกรรมทุกกรรมคือ การปฏิบัติ มรรคองค์ 8 ทั้งมโนกรรมวจีกรรมกายกรรม หรือแม้อาชีพเลี้ยงตน มรรคองค์ 8 สมณะก็มีอาชีพ เมื่อสอนคนได้ก็สอนไป หรือว่าสอนไม่ได้ก็ไปทำงานอื่น แล้วเขาก็จะว่ารับใช้ฆราวาส การรับใช้คือทำงานแล้วก็รับค่าจ้างหรือว่าทำงานได้ผลผลิตก็มาขาย นั่นคือไม่ได้ทำงานเพื่อผู้อื่น เป็นการรับใช้ แม้แต่เทศน์ได้ค่าตอบแทนก็คือการรับใช้ การทำงานแล้วแลกค่าอะไรมา ก็คือรับใช้ แม้แลกมาได้ลาภได้ยศก็รับใช้ หรือแม้แลกได้มาซึ่งสรรเสริญก็รับใช้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกามเลย

 

แต่ถ้าทำสิ่งควรทำ อะไรห้ามในวินัยก็ไม่ควรทำ แต่อะไรไม่ห้ามในวินัยก็ทำได้ แต่บางอย่างก็ไม่ควรทำ เราก็ใช้มหาปเทส 4 ทำในสิ่งที่เข้ากับสิ่งที่ควร เราก็ทำ เราทำงานช่วยประชาชนเป็นพหุชนหิตายะ  เป็นประโยชน์แก่หมู่ชนทั้งหลาย พหุชนสุขายะ  เกิดเป็นสุขแท้แก่หมู่ชนทั้งหลาย  โลกานุกัมปายะ เป็นไปเพื่อรับใช้อนุเคราะห์โลก เป็นอภิสมาจารไม่ใช่บาปสมาจาร เป็นการพิสูจน์ยืนยันความเป็น...ยุคนี้เป็นยุคประชาธิปไตย

 

การไปติดยึดในกรรมการงานก็เป็นความไม่ดีไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาส ทั้งฆราวาสและสมณะก็มุ่งสู่นิพพานได้เหมือนกัน ผู้มาบวชเป็นเพียงผู้มาบวชได้บริสุทธิ์ดุจสังข์ขัด โภคขันธา ปหายะ ญาติปริวัตตัง ปหายะ ชีวิตก็ทำงานช่วยสังคมไป คุณไม่เก่งในทางธรรม ไปพูดบรรยายธรรมะไม่ได้ ชีวิตเราเนื่องด้วยผู้อื่น ทำไมพระพุทธเจ้าให้บิณฑบาตเลี้ยงตนด้วยปลีแข้งจนตาย บวชเสร็จต้องให้เลย ตอนบวชก็ให้ถือนิสสัย 4 นิสัย​ 4 คือ เครื่องอาศัยของบรรพชิต หรือ สิ่งที่บรรพชิตพึงปฏิบัติ เพื่อการยังชีพ ประกอบด้วย

1. ถือบิณฑบาตเป็นวัตร 2. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล 3. อยู่โคนไม้ 4. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า

จะบอกว่าเราคุยกันนี่เป็นติรัจฉานกถาหรือไม่? มีข้อหนึ่งในศีลธรรมนูญ ว่า มัชฌิมศีล

 ข้อ 7. พระสมณโคดม เว้นขาดจากติรัจฉานกถา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญ บางจําพวกฉัน โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยัง  ประกอบติรัจฉานกถาเห็นปานนี้อยู่เนือง ๆ คือ เรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอํามาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องสงคราม เรื่องข้าว เรื่องนํ้า เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี   เรื่องบุรุษ เรื่องคนกล้า เรื่องตรอก เรื่องท่านํ้า เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้น ๆ. เรื่องความเจริญ และความเสื่อมด้วยประการนั้น ๆ.

 

ไม่ใช่ว่าไม่ให้พูด แต่พูดด้วยติรัจฉานกถาหรือไม่ต่างหาก? อย่าพูดแบบโง่ๆแบบเดรัจฉาน ไม่ได้แปลว่าไม่ให้พูดเรื่องพวกนี้ นี่ก็คือแปลอย่างเดรัจฉานตั้งแต่เริ่มต้นเลย จะไปสอนอะไรใครได้  คือที่ว่าไม่ให้พูดคือพูดเรื่องเหล่านี้อย่างโง่ๆ ส่งเสริมกิเลส การพูดส่งเสริมกิเลสนั่นแหละติรัจฉานกถา แต่ถ้าพูดขัดเกลากิเลสไม่ใช่ติรัจฉานกถา แต่เป็นคำพร คำประเสริฐ คือเราจะไม่พูดเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร แต่พูดกันแล้วเป็นไปเพื่อขัดเกลาหรือสะสมกิเลส ถ้าสะสมกิเลสคือติรัจฉานกถา

 

การพูดเรื่องการงาน เรื่องการเมือง จะเป็นติรัจฉานกถาหรือไม่ก็อยู่ที่ลดกิเลสหรือไม่?  แล้วเขาบอกว่าไม่เห็นคุยเรื่องธรรมะเลย นี่อาตมาว่า คนอโศกนี่พูดแต่เรื่องธรรมะจนไม่ค่อยพูดเรื่องอื่นๆเลยมากกว่า เขาก็เรียนกันผิดเพี้ยนไป  แล้วคนที่คุยกันนี่ไม่เป็นการปฏิบัติธรรม ...พระพุทธเจ้าเคยตรัสถามภิกษุที่เข้าพรรษาร่วมกันว่า เป็นอย่างไรอยู่กันอย่างสงบดีไหม? ภิกษุก็ว่าสงบดี แล้วสงบคืออย่างไร...ภิกษุตอบว่าก็อยู่กันอย่างไม่พูดกันเลย พระพุทธเจ้าท่านก็ว่า โมฆบุรุษ

 

นี่คือเลยเถิดไปไกล ท่านให้พูดกันได้ แต่ไม่ให้พูดติรัจฉานกถา มีในไตรปิฎกว่าพระพูดธรรมะกันข้ามคืนเลย แล้วอีกอันหนึ่งพระพุทธเจ้าสรรเสริญกันว่าสงฆ์อยู่กันเป็นหมู่ แม้แต่ในเนื้อหาอานาปานสติ ท่านก็บอกว่าหมู่สงฆ์น่าเลื่อมใส อยู่กันอย่างเงียบเสียง แต่ว่าพร่ำสอนกันอยู่ 10 รูปบ้าง 20 รูปบ้าง 40 รูปบ้าง มีนัยลึกซึ้งคือท่านไม่พูดติรัจฉานกถา แต่พูดเพื่อละหน่ายคลาย แต่เงียบเสียง อาตมาเห็นใจคนอ่านไตรปิฎกแล้วมีจิตโน้มไปไม่อยากอยู่กับผู้คนอีก แล้วไตรปิฎกเถรวาทก็เอียงไปทางฤๅษีตามพระมหากัสสปะ แล้วฉบับหลวงที่แปลมาเป็นภาษาไทยเป็นหลักนี่ เป็นการเอียงไปทางฤๅษี ติดสงบ ถ้าไม่ลึกซึ้งไม่เข้าใจไม่มีสภาวะแท้ก็น่าสงสาร ของท่านไม่ผิดนะ แต่ว่าเอาความเห็นของตนใส่ไป แล้วตนก็ไม่มีสภาวธรรมะที่ลึกพอ อาตมาก็เลยบางทีต้องเอาตามบาลี บางทีก็ใช้ขันธ์ในอดีตบ้างซึ่งก็ยากที่จะตรวจสอบ

 

เราปฏิบัติธรรม โดยเรารู้ว่าเราทำตามโพธิปักขิยธรรม 37 ทำกาย เวทนา จิตธรรม มีสัมมัปปธาน 4 สติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 โดยมีสัมมาทิฏฐิ ว่าทำทานที่ลดกิเลสเป็นไหม? มีศีล มีผลที่ปฏิบัติได้ลดกิเลสไหม? แล้วมีวิบากที่ดีและเลว สุกตทุกฏานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก ของคุณเป็นอย่างไร กรรมต่างทุกกรรมเราทำได้สัมมาไหม? รู้จักสังขารไหม? พ้นอวิชชาไหม? สังขารต่างๆก็เป็นสังขารทางจิต รู้ไหม? ไม่ว่ากายสังขารปรุงแต่งของอนาคามีก็ไม่ทุกข์แล้วเหลือแต่จิตสังขารที่ต้องทำต่อไป 

 

เราอ่านรู้ความเป็นสัตว์ ที่ผุดเกิดทางจิตวิญญาณได้ เป็นสัตว์เทวดา โลกีย์หรือโลกุตระ เป็นสัตว์นรก ก็เป็นชีวิตินทรีย์ เราอ่านออกหรือไม่ อ่านไม่ได้ก็มาฟังบรรยายแล้วเอาไปทำ ซึ่งอาตมามั่นใจว่าสัมมาทิฏฐิ พวกเราก็ฟังแล้วแม้ท่องไม่ได้ แต่เทียบเคียงสภาวะที่เรามีได้ บางอย่างอาตมาก็ยังท่องไม่ได้ แต่ว่าพอพูดคำบาลีออกมา พวกเราที่มีสภาวะพอฟังแล้วก็เข้าใจได้หรือแม้คำใหม่ก็ว่าใกล้เคียงสภาวะได้ เราก็ต้องอาศัยรากฐานพวกนี้

 

อาตมาต้องพูดบาลีไม่ใช่ว่าเก่งนัก แต่ทำไมต้องพูด ไม่เช่นนั้นจะหาว่าอาตมาพูดเอาเอง ก็ให้คุณไปตรวจสอบดูได้ ขนาดนี้ยังกันไม่ค่อยได้ คนไม่เชื่อก็ตีทิ้งไปอีก ก็ต้องทำด้วยจำนน ไม่ได้มีกิเลสประกอบอยู่

 

เราทำในหลักต่างๆของพระพุทธเจ้า ก็เอามาตรวจสอบ อย่างหลัก อาหารของอวิชชา ในตัณหาสูตร

1.         การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง

2.        การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)

3.        ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)

4.        การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ

5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์

6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)

7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5

8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา

9. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา

(พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 62)

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

-การเรียนของพวกเรานั้นแบบใหม่ ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา หรือสูงสุดเป็นศีลเข้ม เต็มงาน สืบสานวิชชา ของเรานั้นจะประเมินผลอย่างไร? เราก็ต้องมีคะแนนทั้งสามอย่าง ต้องแจกแยกกันเพื่อให้ง่ายต่อการให้คะแนน แต่เราก็ค่อยๆปรับไป เราจะไปทำแบบทางโลกนั้นมันคนละทาง คนละแบบ ตอนแรกๆก็หนักหน่อย เป็นหัวเจาะ ข้อสำคัญคือทนเอาหน่อย อาตมาอยากจะแจกปัญญาบัตร ไม่แน่ 4 ปีจะได้แจกนะ แต่ไม่ได้ก็ให้ 5 ปีหรือมากกว่า เราไม่มีรีไทร์ พระพุทธเจ้าว่า 7 ปียกไว้ พวกเราต่อไปในอนาคต คนจะต้องยอมรับว่าเขาเรียนแล้วเขาได้จริง พวกเราไม่ต้องกลัวว่าจะไม่จบ อยู่ไป 20 ปีก็ว่าไป ดีไม่ดีได้อรหันต์ก่อนปัญญาบัตรก็ไม่เห็นเป็นปัญหาอะไร?

 

-เรื่องการสอบนี่ มันเป็นอัตตา กลัวจะสอบไม่ได้  สอบไม่ได้ก็จะขายหน้า เราก็พิจารณาดีๆว่ามีเหตุปัจจัยอย่างไร จัดสรรเวลาให้ดี ในขณะที่เราเองยังไม่แบ่งว่า เป็นงาน มีคะแนนอย่างไร หรือศีลเด่นเป็นคะแนนอย่างไร อย่างอาตมานี่ ไม่มีคนช่วยหาวิธีให้คะแนนกัน บ้าน วัด โรงเรียน ก็อยู่กันแล้วจะให้คะแนนอย่างไร ก็ยังไม่ได้ดำริ  มันใหม่จริงๆ มันยังไม่เคยมีในโลก เขาก็มีบ้างแต่ไม่ตรงอย่างเราทำกัน ก็ขอผลัดไปก่อน อีก 10 ปีจะได้หรือเปล่าไม่รู้นะ ก็รอผู้มาจัดสรรได้อยู่ อย่ากลัวการสอบ อย่างมากก็ตก

-โยนิโสมนสิการ เป็นคำที่ชัดมาก มนสิกโรติ ท่านแปลกันว่าคือการทำไว้ในใจ ซึ่งก็เหมือนไปตั้งอุปาทานไว้ แต่บางท่านก็แปลว่าทำใจในใจ ก็คือการทำตรงใจของเรา ทำมนสินี่แหละ ในมูลสูตรนี่ชัดมาก ใน 10 ข้อของมูลสูตร ต้องมี

1.ความยินดี ถ้าไม่มีก็ยากเลย แต่ว่าแม้ว่ายาก นิพพานนี่แม้ยากแต่ว่าเหนือชั้นกว่าล่าลาภยศนี่ มีฉันทะเป็นมูลกา

2.มีฉันทะเป็นแดนเกิด จิตมันจะเกิดใหม่ จะรู้จักสัตตาโอปปาติกา คุณต้องจับจิตอ่านจิตออก แล้วจัดการจิต พิจารณาตั้งแต่ กาย เวทนา จิตธรรม มีสัมผัสเกี่ยวข้องข้างนอกแล้วอ่านใจ ว่าเหตุใดทำให้เราสุขหรือทุกข์ ทำการปหานเหตุ มันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุให้ทุกข์สุข แล้วก็มันไม่ได้มีตัวตนหรอก ต้องทำอย่างถ่องแท้แยบคาย เพราะมันไม่มีตัวตนรูปร่าง

 

ในสัมมาทิฏฐิ คนนั้นจะต้องปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ เพราะคนส่วนมากก็มีอวิชชาก่อน ซึ่งต้องมีสัตบุรุษมากล่าวคำที่จริงให้เรารับรู้ เป็นสิ่งควรรับฟัง ซึ่งถ้าไม่ยินดีจะต่อต้านอย่างอาตมานี่เขาต้านแล้วยึดแล้ว ซึ่งถ้าปรโตโฆษะได้ จึงเอาไปทำใจในใจให้เป็นให้ถูก คนเหล่านี้น่าสงสาร เพราะในสุริยเปยยาลสูตร ก็ต้องมีแสงอรุณเป็นนิมิตก่อนมีมรรคองค์ 8 ต้องมีมิตรดีก่อน มีโยสิโสมนสิการด้วย ซึ่งเขาไม่เข้าใจก็ไปปลีกเดี่ยวแล้วยกหอย่างหนอแล้วบอกว่ายกจิตสู่วิปัสสนา จิตว่างแล้วจะเกิดญาณปัญญาเอง ในขณะมีสมาธิกิเลสไม่ได้มากวนก็จะคิดได้เกินกว่าปกติ แต่ว่าคิดฟุ้งซ่านหรือคิดระลึกขันธ์ในอดีตก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้เป็นอาริยะก็ไม่มีขันธ์ในอดีตที่จริง แล้วก็คิดฟุ้งซ่านไปในอนาคตก็เพ้อเจ้อไปเยอะ สารพัด สรุปแล้วโยนิโสมนสิการเป็นตัวหลักแท้ๆเลย เป็นคำสำคัญหากไม่ได้ก่อนก็ปฏิบัติมรรคองค์ 8ไม่ได้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:53:59 )

571119

รายละเอียด

571119_ก่อนฉันที่ศีรษะอโศก โดยพ่อครู เรื่อง แบบคนจนให้ถึงนิพพาน

วันนี้สัญจรมาที่ศีรษะอโศก ก็มาเป็นธรรมเนียมแต่ละเดือนก็จรมาที่นี่ ที่อื่นๆก็อยากให้ไปแต่มันไปไม่ถึง ปีนี้ก็ตั้งใจจะไปเชียงใหม่ ไม่ได้ไปหลายปีแล้ว คุณจุ้ยก็เตรียมที่ไว้ เห็นว่ามีน้ำแร่ ก็อยากให้ไป ไปก็ยังไม่ถึงสักที เหมือนคนเล่นตัวงานมากแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เท่าที่ได้

 

วันนี้เรามาพูดเรื่องสำคัญของไทยเรามีสิ่งสำคัญประเสริฐคือในหลวงร.9 บางคนหาว่าอาตมาโหนในหลวงเพื่อเอาตัวรอด เพราะว่ามีความผิดเป็นชนัก คนก็มองไป แต่ความจริงอาตมาไม่ได้กลัว ไม่ได้โหนด้วย แต่เห็นความจริงว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ และทรงภาระอันเป็นภารกิจประเสริฐ อาตมาก็นำมาขยายความจริง ว่าพฤติกรรมมนุษย์ควรเป็นเช่นนี้จึงประเสริฐ

 

เช่นมักน้อยสันโดษมาจนนี่ดีกว่ามารวยนะ คนเราก็กระแสสามัญว่ารวยย่อมดีกว่าจน แต่คนที่มองเห็นว่าจนนี่ดีกว่ารวย จนอย่างมหัศจรรย์ไม่เป็นโทษภัยไม่ทุกข์ร้อน จนอย่างสบายซึ่งย้อนทวนกระแสสามัญ

นี่ก็ใกล้วันที่ 5 ธ.ค. แล้ว ก็เป็นวันพระราชสมภพของในหลวงเรียกง่ายว่าครบรอบวันเกิด เกิดพ.ศ.2470 ก็จะครบ 87 ปี เราเริ่มโรงบุญมังสวิรัติ ก็ยังไม่ค่อยได้กล่าว เราละเลยไปหน่อย ก็น่าจะได้บอกข่าวกัน เราเคยระดมโรงบุญได้ถึงกว่า เจ็ดร้อยโรงบุญในวาระที่ท่านอายุ 70 ปี เราระดมได้เกิน 700 โรงอีก ก็ส่งข่าวว่าใครจะจัดโรงบุญก็ส่งข่าวมานะ

 

เดิมเรียกว่าโรงทาน แต่เรามาแก้ไขว่าเป็นโรงทาน เพราะคำว่าทานกับบุญเขาเข้าใจผิดกัน เขาทานกันให้แต่ของ แต่ใจไม่ได้ให้ ใจกลับเอามากโลภมากกว่าเดิมมากๆ ไม่มีจำกัดเลย เอาให้ได้ ก็เลยทำข้างนอกเป็นการให้ แต่ข้างในใจกลับเอาอย่างหนักเลย นี่คือภาวะไม่เป็นสัจจะ ไม่เป็นบุญ

 

บุญคือลดกิเลส แต่นี่กลับทำให้ใจมีกิเลสเพิ่ม ก็เลยเป็นทานที่ไม่เป็นบุญ ทานไม่ชำระกิเลส ทั้งผู้ให้และผู้รับต้องทำใจให้เป็นบุญทั้งคู่ ให้แล้วต้องเป็นบุญ ผู้รับของทานต้องทำใจในใจอย่าหลงติดใจในสิ่งทาน แล้วย่ามใจจะเอาของเขามากขึ้น มันจึงสอดคล้องกับการสละออก หรือแม้แต่ผู้ทำทานเอง ก็อย่ายึดติดว่าเราเป็นเจ้าของทาน เป็นผู้ให้เขาต้องมาตอบแทนเรา เป็นหนี้เรา เราอย่าทำใจในใจเช่นนั้น ถ้าใครไม่รู้อาการใจว่าเราเอาออกหรือไม่หรือเราเอาเข้าเราโลภ ตระหนี่

 

คนที่อ่านอาการใจไม่ออกก็คือคนไม่มีโลกุตรธรรม คนที่มีโลกุตรธรรมจะอ่านอาการจิตออก ว่าอาการตระหนี่ถี่เหนียวเป็นอย่างไร อาการจิตไม่มีสีสันเส้นเสียงให้ดูได้ นอกจากรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คือเราหมายเอาว่าอาการเช่นนี้เป็นสภาพของวิญยัญญัติที่มีการไหว ของมโนวิญญัติ อันนี้ต้องศึกษานามธรรม ผู้ที่มีญาณหยั่งรู้อาการนามธรรม ว่ามันมีลักษณะอย่างไร มากหรือน้อย ด้านหรืออ่อน อย่างไร ก็จะรู้อาการจิตเรา รู้ว่าเศร้าคืออย่างไร ดีใจคืออย่างไร รื่นเริงใจ เสียใจ น้อยใจ อ่านอาการออก โดยใช้ภาษามาสื่อสภาวะจริงผู้อ่านอาการจิตเป็น ก็เป็นผู้ที่เข้าถึงจิตเจตสิกรูปนิพพาน คือผู้ทำใจในใจ แล้วปรับให้จิตเป็นอย่างไรได้ อย่างกดข่มก็ทำได้ แต่ไม่ได้ถาวร ต้องทำได้อย่างมีปัญญา สามารถทำให้จิตที่มีก้อนกิเลสมันจางคลายบางเบาจนมันหายไปได้หมดเลย ไม่มีสีสันรูปร่าง แต่มีอาการให้อ่านรู้ได้

 

คนไม่รู้ว่าอาการจิตมันมี ลิงค มีความต่างกัน ทั้งปริมาณ คุณภาพ มันดี มันชั่ว กุศล อกุศล ก็ต่างกัน ผู้อ่านจิตใจออก ก็คืออ่านกายออก จิตคือกาย อันนี้คนเขาเข้าใจผิดไปตัดจิตออกจากกาย คนไทยใช้คำว่ากายคือร่างของดินน้ำไฟลม ไม่เกี่ยวกับจิต

 

คำว่านามกายคือองค์ประชุมของจิตโดยตรงเลย แต่ถ้ารูปกาย ก็คือมีร่างภายนอกประกอบด้วย แต่ถ้ามีแต่รูปไม่มีจิตเลยก็เรียกว่ากายไม่ได้ ดังนั้น ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง ไม่ใช่กาย ฟันก็ไม่ใช่กาย แต่ตรงประสาทกลางฟันนั่นมีกาย แต่ถ้าผิวหนังออกมาชั้นนอกไม่มีประสาทก็ไม่ใช่กาย แต่ว่าถ้าลึกเข้าไปถึงประสาทก็เป็นกาย แต่เล็บมันไม่ค่อยรู้เรื่อง อาตมานำมาเป็นตัวอย่างให้รู้ว่าอะไรคือจิต อะไรคือกาย เพราะคำว่ากายนี่ถ้ารู้ผิดก็ปฏิบัติผิด

 

อย่างคำว่า สักกาย นี่ เป็นสังโยชน์ข้อแรกเลย ถ้าเข้าใจผิดเช่น กายนอกกาย ก็ตัดจิตออกเลย หรืออย่างกายในกายก็ตัดเอาแต่จิตไม่ต่อเนื่องระหว่าง ภายนอกและภายใน เป็นการเข้าใจผิดเพราะว่ากายนั้นต้องต่อระหว่างนอกกับในมีการเชื่อมต่อกัน เวลาไปปฏิบัติก็ก้าวหนอย่างหนอ เอาแต่กายแตะ กายย่างเหยียบไป อย่างนี้เป็นต้นก็เลยพิจารณากายคตาสติไม่ได้ ตัดกายคตาสติออกจากอาณาปานสติ หรือตัดสติปัฏฐาน 4 ออกไม่ได้ต้องสัมพันธ์กัน

 

กายคือองค์ประชุม มีทั้งกายวิญญัติ กายสังขาร มีกายวิญญาณ เข้าไปประชุมร่วมด้วย เคลื่อนไหวภายนอกคือกายวิญญัติ แล้วมีอะไรปรุงแต่งร่วมตั้งแต่ภายนอก แล้วเราก็สัมผัส มีจิตเข้าไปร่วมกระทบแล้วปรุงแต่งด้วยความรู้ รู้คือรู้ตัว มีธาตุรู้ทำงาน ต้องมีอาการ ชอบ ชัง เป็นอย่างไรหรือเฉยๆ มากหรือน้อยเป็นอินทรีย์ ว่าชอบมากหรือชอบขนาดพอสมควรชอบน้อยเดียว อาการเหล่านี้ถ้าเราเข้าใจไม่ละเอียดพอก็จะไปตรวจอรูปฌานก็ไม่มีทางเลย นี่แค่ขั้นแยกรูปกับนามเท่านั้น

 

รูปคือตัวถูกรู้ นามคือตัวที่เป็นตัวรู้ ในรูป 28 รูปภายนอกมี 4 แต่รูปภายในมีตั้ง 24 เพราะมีประสาทนั้นรับรู้ระหว่างกึ่งกลาง มีประสาทรับรู้ได้หรือไม่ก็ได้ ระหว่างปสาทรูปและโคจรรูปก็ตัดออกอย่างละครึ่งแทนที่จะเป็น 10 ก็เหลือ 9 ต้องรู้ทั้งสภาวะและบัญญัติภาษาจึงครบถ้วน

 

เมื่อไม่รู้จักสักกายะ ก็พิจาณากายในกายไม่ได้ ที่จริงมันต้องต่อเนื่องกันนอกเข้าหาในตามวิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ คือเห็นรูปทั้งหลายภายนอกที่เราสัมผัสอยู่ แล้วเราต้องเห็นต้องรู้ กำหนดรู้ทั้งนอกและใน รู้ไปหมดต่อเนื่องจากภายนอกคือกามภพ หรือกามาวจร และต่อเนื่องเข้าไปภายในเป็นรูปาวจร และต่อไปถึงอรูปาวจรก็ต้องต่อเนื่องรู้ไปหมดได้ ในวิโมกข์ 8 ที่ว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายนั้นสำคัญมาก

 

พระมหากษัตริย์ร.9เป็นพระโพธิสัตว์ท่านตรัส แบบคนจน แล้วบอกว่าก้าวหน้าอย่างประเทศอุตสาหกรรมนั้นเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลั แต่คนก็เข้าใจคำตรัสท่านกันไม่ค่อยได้ อาตมาได้แต่งโคลง พระปรมาภิทาวาท (คือคำตรัสที่ยิ่งใหญ่ของในหลวง) เป็น A Great Word

 

                                             พระปรมาภิวาทะ

             

                          ๏ วันพิเศษพสกทั้ง                       ไผทไทย

                        รำลึกน้อมภูวไนย                ผ่านเผ้า

                        เทิดทิตอิศเรศไอ-                 ศุริยะ ยิ่งเทอญ

                        คุณค่าฟ้าปกเกล้า               เลิศล้นบารนี   

                          ๏ ไทยมีกีรติก้อง                ด้วยพระ

                        วิริยะกรุณมหะ                       กว่าพร้อง

                        ปรมาภิวาทะ                            ยิ่งวิเศษ สุดเลย

                        คือแบบคนจนต้อง                    ทึ่งอึ้งคำสวรรค์

                          3 ทรงสรรคำอีกย้ำ                     ชัดเจน

                        อาว์ล็อสอิสอาว์เกน                  ยิ่งซ้อง

                        เสริมพระอริเยนทร์                        เปรื่องปราชญ์

                        ปรีชญาณพฤทธิ์พ้อง                   พุทธแท้เธียรธรรม

                          4 พระคำวิเศษนี้                อาริยะ

                        ใช่ตรัสแต่วาทะ                    แค่ถ้อย

                        ราชจริยวัตระ                         ประจักษ์สิทธิ์ พิสูจน์เทอญ

                        ทรงกิจไว้ไม่น้อย                 กว่าร้อยเกินพัน

                          5 พระสรรพระสฤษฎ์ให้         โลกระบือ

                        คำใหญ่ยิ่งนั้นคือ                 ทิฏฐิฟ้า

                        เคยมีฉะนี้หรือ                       ในโลก

                        ที่ตรัสให้คนกล้า                  มักน้อยมาจน

                          6 ปกครองคนด้วยแบบ            ขาดทุน

                        ปรมัตถ์นี้คือบุญ                    แน่แท้

                        ชำระกิเลสคุณ                                    ใหญ่ยิ่ง 

                        โลกวัดมิได้แม้                                    ฉลาดด้วยปริญญา                                                

                          7 วาทะนี้กว่าพื้น              ปุถุชน

                        ทั้งขาดทุนทั้งจน                  สุขได้                    

                        สละชี้อัศจรรย์คน                อาริยะ                 

                        ประหลาดแน่แต่จริงไซร้           เพราะแท้พุทธธรรม                                             

 

                                                            ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

                                                                                    ข้าพระพุทธเจ้า น...เราคิดอะไร

                                                                                      (สไมย์ จำปาแพง  ประพันธ์)                       

                                                                                    28 ต.. 2557

 

ก็ขอบอกไปสู่ผู้ที่เป็นชาวอโศกหรือไม่ใช่ชาวอโศกก็ตามที่ต้องการจัดโรงบุญหรือโรงทาน ดังกล่าวให้มีการสละออกเป็นบุญได้ลดกิเลส เนื่องในวันมหามงคล ขอเชิญชวนพี่น้องทุกท่าน ร่วมจัดโรงบุญมังสวิรัติ 5 ธันวามหาราช แจกอาหารมังสวิรัติพร้อม กันทั่วประเทศ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2557  เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมายุ 87 พรรษา  ขอความกรุณาแจ้งการจัดโรงบุญมาที่ ปะพัดชา โทร. 088-585-9108 และคุณใบแก้ว โทร. 087-391-8449  ก่อนการจัดงาน  และเมื่อจัดงานเสร็จแล้วกรุณาแจ้งบรรยากาศของงาน และภาพถ่าย มาที่ แผนกธรรมโสต พุทธสถาน สันติอโศก 65/1 ซอยนวมินทร์ 44 ถนนนวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. 10240 หรือ e-mail :  sanasoke130@gmail.com  เพื่อการเก็บสถิติ และลงบรรยากาศการจัดงานในหนังสือสารอโศก และ ข่าวอโศก

 

เรารณรงค์ให้เกิดการเคารพบูชาส่งเสริมในหลวงที่มีพระคุณอันล้ำเลิศ จะทำแค่ข้าวหม้อแกงหม้อก็ได้หรือจะทำใหญ่ขนาดไหนก็ทำได้ ว่าเราจะทำการแจกอาหาร สละเกื้อกูลกัน ก็มีทั้งผู้รับผู้ให้ ไม่ต้องเกี่ยงรวยจน แต่ให้มีปฏิกิริยาแห่งการให้ อันเป็นพฤติกรรมวิเศษของมนุษยชาติ การให้แก่กันนี้แหละสุดยอด ให้มากกว่าเอา ถ้าโลกนี้เต็มไปด้วยการให้มากกว่าการเอาโลกก็สงบสุข แต่ถ้าโลกจะมีการเอามากกว่าการให้โลกก็เดือดร้อน

 

คนที่กล้าประกาศ สอนให้คนมามักน้อยมาจน ก็ต้องมีพระปัญญาธิคุณสูงส่ง และคนก็อาจมองในหลวงว่าท่านก็รวย มองยากเพราะท่านมีทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่สืบทอดมา และท่านก็ต้องรักษาต่อ และผู้ที่จะให้โดยเสด็จพระราชกุศลก็มีมาตลอด ก็เลยมีมาก คนก็หาว่าท่านเอามาออกดอกผล คนเพ่งโทสแม้สื่อต่างชาติ ก็เป็นเรื่องยาก ท่านเป็นในหลวง แล้วจะให้ท่านมาเหมือนคนพื้นดินไม่ได้ ก็ต้องให้เหมาะควรตามเหมาะสม

 

จะให้มาจนเท่ากัน มากินกลางดินกลางทรายท่านก็ทำได้ ทำอยู่เป็นอยู่ ใจท่านติดยึดแค่ไหนไปรู้ใจท่านได้อย่างไร แต่โดยเฉพาะท่านกล้ากล่าวต่อประชาสังคมโลกที่กระจายทั่วโลกได้ ท่านก็เจตนาไม่ได้เหนียมอายเลย เป็นเรื่องประเสริฐควรกล่าว มารวยนี่ไม่ควรกล่าวชวนกันมารวยนี่หน้าด้าน รวยก็ต้องเอาของคนอื่นดูดมากองไว้ แต่คนมีน้อยแล้วกล้าเสียสละให้คนอื่นอีกนั้นยิ่งใหญ่ เป็นสัจจะของพฤติกรรมมนุษย์ที่ประเสริฐ เรามีสมรรถนะและขยันเราก็ทำได้มาก แล้วเราไม่ยึดติดว่าจะต้องได้มากได้สมใจได้เสพรสมากขึ้น เราก็ไม่แล้ว เราได้แค่นี้ก็พอ ได้แค่นี้ก็เต็มแล้วชื่นใจแล้ว คนมาสร้างจิตให้มีความพอ น้อยก็พอเป็นเรื่องของจิตแท้ๆ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ นี่คือคุณสมบัติสุดยอด แล้วก็ไม่ต้องอสังสัคคะ ไปหลงสวรรค์เท็จ อย่างนั้นไม่ต้องมี เป็นจริงได้ ก็ต้องอาศัยจิตเช่นนี้ อย่างอาตมาก็อาศัยจิตเช่นนี้ไม่ต้องแบกน้ำหนักไม่ต้องมีไขมันถ่วง

 

อาตมามีวิบากเป็นโรคไอ หมอผู้เชี่ยวชาญก็รักษาไม่ได้ คนก็ส่งโสมมาให้บ่อย ซึ่งอาตมาก็ขอบอกว่ารักษาไม่ได้ด้วยโสมหรอก ไม่ได้รังเกียจนะ อนุโมทนาที่ส่งมา ขอบคุณที่ส่งมาให้ แต่ไม่ได้หายด้วยการกินโสมหรอก ไม่ต้องส่งมาแล้วนะ ก็คิดว่าสร้างกุศลวิบากให้มากขึ้นจะรักษาได้ คนอื่นอย่าเอาอย่างอาตมานะ ถ้าฟังเป็นจะเข้าใจ โดยเฉพาะเรื่องในหลวงเรา ผู้ใดจะเตรียมทำโรงบุญก็บอกข่าวมานะ

 

แล้วมีเรื่องถามมาว่า mind soul spirit มีความหมายต่างหรือเหมือนกันอย่างไร?

ตอบ...ก็ตอบตามภูมินะ mind เอาเทียบกับบาลี คือ คำว่า มโน , ส่วน soul ก็น่าเป็นคำว่า วิญญาณ ,ส่วน spirit น่าจะคือ จิต นะ

 

วิญญาณคือกว้างๆองค์รวมทั้งหมด ส่วนจิตก็คือภายใน ส่วนมโนก็คือส่วนลึกของจิตล้วนๆเลย เหลือแค่แกนเชื่อมระหว่างสมถะกับปัญญาหรือ kinetic กับ dynamic เป็นอันสุดท้ายที่ต้องเรียนรู้แล้ว ส่วนวิญญาณคือธาตุรู้ที่จะต้องเรียนรู้ได้

 

ผู้ที่เข้าใจว่า ตายแล้ววิญญาณล่องลอยจากร่าง นั่นก็เป็นได้แต่ว่าเราไปเรียนรู้ไม่ได้ตรงนั้น ตายแล้วจิตมีแต่จะไปตามวิบาก แต่ถ้าจิตก็เป็นตัวกลางๆ ส่วนมโนคือตัวในตัวละเอียดตัวปลาย ละเอียดแทรกอยู่ทุกอย่างจะหยิบมาใช้ไม่ได้ จนกว่าจะมีญาณละเอียดคุณถึงมาหยิบเล็กในใหญ่ เช่นอนาคามีก็หยิบรูปอรูปในกามภพได้ ถ้าคุณหยาบก็หยิบไม่ติดหรอก ตะแกรงคุณตาห่างก็หยิบของละเอียดไม่ได้

 

พระพุทธเจ้าจึงให้ปฏิบัติหยาบก่อนซึ่งมีทั้งเล็กและใหญ่ในนั้นก็เรียนวิญญาณก่อน แล้วก็ให้มีผัสสะแล้วเกิดธาตุรู้ เกิดเต็มรูปเรียกว่าวิญญาณ แม้มีวิญญาณใหญ่ ถ้าคุณเหนือมันแล้วมีตาละเอียดก็หยิบจับสิ่งละเอียดได้ ยิ่งกว่าที่คนอื่นๆเขาทำไม่ได้ วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้าจึงต้องมาใช้ผัสสะเป็นปัจจัยไปตามลำดับ ตั้งแต่ปุถุชนมีอบายแล้วก็ดับกิเลสหยาบ แม้เป็นสกิทาคามีก็สัมผัสกามภพ เกิดกิเลสชัดๆ แต่กิเลสระดับรองลงมาแล้ว มีกามราคะน้อยลงก็จัดการ และรู้รูปราคะ อรูปราคะ ยิ่งเป็นอนาคามีเหลือแต่อรูปราคะ รูปราคะภายใน แต่ภายนอกกระทบสัมผัสเหมือนคนทุกคน หยาบใหญ่ก็สัมผัสได้แต่พลังอธิปไตยมียิ่งใหญ่อยู่เหนือสภาพกิเลสกามราคะทำอะไรท่านไม่ได้แล้วก็ไม่ต้องหนีเลย สัตว์นรกทำอะไรท่านไม่ได้ เหมือนผู้ใหญ่จับหัวเด็กน้อยไว้ เด็กจะทำอย่างไรก็ไม่ถึงตัวผู้ใหญ่ได้ นี่คือสภาพอนุตตระ เรียนรู้ต่อแม้เศษเป็นมานะ อุทธัจจะอวิชชา ก็สัมผัสได้ เป็นอรูปราคะแล้ว เลยจากนั้นสำรวจด้วยอรูปฌานต่อไปอีก

 

มานะสังโยชน์คือถือแต่ดี เรื่องชั่วไม่ติดใจถือสาทั้งนั้น แต่ถือสาเรื่องดี หยาบไม่มีแล้วมีแต่ละเอียด ก็ฮึดฮัดอึดอัดตนไม่ว่าใครหรอก แต่ใจตนมี ขั้นนี้ไม่เรียกกิลมถะแล้ว มันเลยกิลมถะแล้ว ถ้ากิลมถะในระดับรูป อรูป ยังมีอยู่ คือหมดกามราคะแล้วก็มีแต่กิลมถะแท้ๆ ซึ่งก็ไม่มากด้วย เป็นทรถะ คือกระวนกระวาย รำคาญ เป็นมานะ อุทธัจจะ ยุกยิกในใจเท่านั้น เป็นอาการใจที่เราจะรู้เลยว่าเราอนาคามีขั้นไหน?

1.       อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ) คืออนาคามีที่กิเลสน้อยที่สุด

2.       อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3.       สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ) ไม่ต้องปรุงแต่งปล่อยมันไปก็สูญได้

4.       อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.       อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

 

ขั้นละเอียดขนาดนี้คือของตนเท่านั้น จึงเรียกว่า อุปปาติกะ เป็นเฉพาะตนเท่านั้น ละเอียดบางเบาของตนเท่านั้น แล้วพระพุทธเจ้าไม่ให้ประมาท ต้องตรวจสอบด้วยอรูปฌานต่ออีก ตรวจล้างให้หมด แล้วต้องรู้ว่าตนเองสมบูรณ์ไหม จะว่ารู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ไม่ใช่ ต้องรู้ๆๆๆๆให้หมด มีการกระแทกกระเทือนเท่าไหร่ๆก็ไม่กระเทือน จะพันล้าน พันแสนล้าน แสนๆล้าน ล้านๆๆ ก็ไม่กระเทือน จิตเราก็ไม่กระเทือนเลย

 

จิต spirit คือตัวกลาง ปฏิบัติด้วยวิญญาณ แล้วจะมีจิต และมโนซ้อนครบแต่ถ้าไปนั่งหลับตาปฏิบัติก็จะจมอยู่ในภพ ได้แต่ละลึกเอา มโนเอา ซึ่งการนั่งสมาธิ เป็นประโยชน์แง่ได้สงบ ได้ศึกษาจิต แต่ก็ไม่ได้กระทบสัมผัสจริงกับของจริง ได้แต่นึกเอามโนเอา แต่คนที่สัมผัสของจริงจะรู้ดีกรีของอาการใจว่าแรงหรือเบาแค่ไหนอย่างไร แล้วก็จะทำการจัดการใจได้ พระพุทธเจ้าให้รู้วิญญาณ รู้ soul ก่อน แล้วทำจากกิเลสภายนอกให้อยู่เหนือ เหตุแรงขนาดไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้  ไม่ต้องหนีผัสสะเลย แม้เหลือเศษเล็กน้อยขนาดไหนก็ต้องอยู่กับผัสสะแต่ว่าต้องตรวจให้ละเอียดว่าเหลือน้อยอย่างไรก็ตรวจเข้าไปให้หมด จนกว่าจะเป็นสัญญาเคล้าเคลียอารมณ์ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ทำทุกปัจจุบันเป็นศูนย์สั่งสมเป็นอดีตที่สูญ ทุกปัจจุบันทำซ้ำย้ำทวนไปจนอดีตเป็นสูญแน่ปัจจุบันก็เป็นสูญ พยากรณ์อนาคตได้ว่าสูญ พ้นเนวสัญญานสัญญายตนะ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ พ้นอวิชชาสวะ พ้นอวิชชานุสัย หมดสิ้น พ้นหมดทั้งอนุสัยและอาสวะ เพราะพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพแล้ว ไม่เหลือความเป็นสัตว์ ไม่เหลือความเป็นภพแล้ว จิตเป็นกตญาณแล้ว

 

สังคมชาวอโศกเป็นสังคมที่ปฏิบัติตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า และในหลวง จะเรียกเศรษฐกิจพอเพียงหรือแบบคนจนหรือขาดทุนคือกำไร เราก็ทำอย่างชัดเจน และได้ผลจริง มีรูปธรรม มีนามธรรม เกิดวัฒนธรรม เกิดเศรษฐกิจบุญนิยม ซึ่งบุญนิยมนี้ลึกถึงสาธารณโภคี คือวิถีชีวิตที่ลดกิเลสเป็นหลัก จะรู้อะไรมากมายก็แล้วแต่ แต่ต้องมีความรู้อันนี้เข้าไปทุกศาสตร์และทำได้จริงด้วย ละกิเลสได้ในทุกกรรมกิริยา ในทุกศาสตร์ คุณต้องมีความรู้ของพุทธธรรมเข้าไปด้วย ไม่ว่าการศึกษาระดับไหนของอโศกจะเป็นแนวนี้หมด ไม่ว่าหลัก ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา, ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา , ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา 

 

การศึกษาที่เราทำเช่นนี้จึงเกิดคนที่กล้าจนมักน้อย มีระบบสาธารณโภคี จะเป็นในระบอบไหนก็เสียภาษี 100 % กินใช้ร่วมกันกับส่วนกลาง แม้คนในอโศกจะมีทุจริตอกุศลตามฐานะของเขาก็ตาม แต่ก็เพียรลดกิเลสไปเรื่อยๆ คนที่ลดได้มากเป็นอรหันต์ก็เป็นแกน ส่วนคนคุณธรรมต่ำลงมาเช่นโสดาบันเราก็ต้องรับไว้ เขาก็ต้องมีทุจริตกันบ้าง เราก็ต้องดูแลกัน สรุปแล้วในวงการคนอาริยะก็มีคนทุจริตไหม?ก็ต้องมีบ้าง แต่ไม่หยาบเท่าโลกียะ ซึ่งจะเลื่อนไหลจากปุถุชนมาหาโสดาบัน เลื่อนไปเรื่อยๆ สังคมก็จะไม่สะอาดหมดจดหรอก แต่มีคนจะไม่ให้มีการโกงเลย ก็ทำไปสิ แต่เป็นไปไม่ได้ เราก็ทำตามจริงแล้วก็พัฒนากันไปลงโทษกันไปหากผิด แต่คุณต้องลดละระดับหนึ่งที่จะอยู่ได้ แต่ถ้ากดข่มไว้ก็รอวันออกไปเท่านั้น เราก็ลงโทษกันตามฐานะ ผู้ใดจะมาเพ่งว่าแม้แต่การเงินก็จะให้เต็มร้อย แต่ก็ต้องพัฒนากัน ต้องขอบคุณคนทำที่ให้คนชังน้ำหน้า เพราะเขามาขันชะเนาะให้ ก็ทำให้คนเสียประโยชน์ ก็ต้องถูกต้านหน่อย ดีกว่าคนดูดาย ที่ปล่อยให้คนทำผิด ตนก็เสวยผลนั้น มันเป็นบาปซับซ้อน กินแรงเขาแล้วรับผลเสวย คนออกแรงแล้วมีวิบากยังเป็นกุศล แต่ว่าคนกินแรงทั้งวิบากบาปอกุศลถ่ายเดียว มุดอยู่คนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร ขออาศัยคนอื่นกิน พวกนี้บาป พวกเหลือบปลิง

 

สังคมพวกเรามันได้ธรรมะ ว่าอบายมุขไม่มี ในทางโลกมีการแย่งชิงฆ่าแกงกัน แต่พวกเราไม่มี มีบกพร่องบ้างก็เคี่ยวเข็ญกันไป ของเราไม่มีโทสะแรงจนทำร้ายกัน ฆ่ากัน ตีกันจนเลือดตกยางออกเราก็ไม่มี มีแต่พยาบาลช่วยเหลือกัน

 

ราคะทางเพศผู้หญิงชายก็มีบ้างไม่จัดจ้าน อโศกเรามา 40 ปีกว่าแล้ว ก็ทำได้ มีหลักฐานจริงให้พิสูจน์ เราทำได้ถึงสาธารณโภคี อันคอมมิวนิสต์ก็ต้องการแต่บังคับคนไม่ชอบ แต่ว่าประชาธิปไตยก็ปล่อยอิสระแต่ก็คนก็เลี่ยงได้หลบได้กิเลสมีนี่ แล้วคอมมิวนิสต์ผสมสังคมนิยมก็ให้มีสำนึกขึ้นก็เจริญกว่าคอมมิวนิสต์อย่างสแกนดิเนเวียน เขาก็บริหารได้ดี อย่างบรูไน เผด็จการแต่ท่านสุลต่านท่านแจกจ่าย ก็เลยไม่ยาก ทุกคนฐานะดี คลอดมาปุ๊ปมีเงินเดือนทุกคนในบรูไน ทุกคนพอกินพอใช้ แต่สมรรถนะการทำงานมันไม่มีอะไรบีบบังคับ ก็เป็นการติดสบาย ไม่เจริญ เป็นสัจจะสองด้าน พวกเราต้องเข้าใจเมื่อไม่มีอะไรบีบบังคับเราต้องสำนึกขวนขวายตัวเอง ผู้เป็นอรหันต์จะไม่ท้อถอยในการทำงาน เป็นกำไรในสัจจะ ไม่ขาดทุนหรอก แม้จะขาดทุนทางโลกนะ ให้เาเสียเปรียบเขา แต่เราได้กำไรในสัจจะ เราจะเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่อวดดีอวดอ้างแต่เป็นจริงโดยสัจจะทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ว่าทำแล้วจิตเราเป็นได้เราก็อยู่ในนี้เป็นคนจนมหัศจรรย์ไม่ผลาญพร่าทำลาย แต่ขยันสร้างสรรเผื่อแผ่เกื้อกูล

 

ถ้าประเทศไทยเป็นดังในหลวงตรัส เป็นคนจนขยันสร้างสรร อะลุ่มอล่วย ทำสัมมาอาชีวะ กัมมันตะ แต่เรากินน้อยใช้น้อยไม่ผลาญพล่าแต่ส่วนได้ส่วนเหลือมากแม้เราไม่ขายเรามีแต่แจกเราก็จน แต่ไม่ลำบากไม่ขาดแคลน พึ่งตนรอดอยู่ ถ้าประเทศไทยสามารถไม่เป็นหนี้ พึ่งตนเองรอด ทำเกิกินเกินใช้เหลือ และไม่กักตุน แจกทั่วโลกเลยไม่กักตุน เราพอมีหมุนเวียนไม่ติดขัดก็พอแล้วไม่ประมาท แล้วเรามีนโยบายต่างประเทศที่เราเป็นคนจน ไม่รวย แต่เราจะช่วยคนจน ไม่ช่วยคนรวยหรอก เราจะมีทูตที่ไปดูว่าจะช่วยใครไม่ใช่ว่าเป็นขี้ทูดที่จะไปสอดส่องว่าจะกินหูกินนิ้วมือใครได้ แต่เราจะไปช่วยเขา เป็นนโยบายต่างประเทศ เพราะเราเหลือกินเหลือใช้แล้ว ไม่ผลาญพล่า สร้างสรรแจกจ่ายไป

 

โลกทั้งโลกจะได้ประโยชน์จากไทยเราหากเราทำได้มากพอ แต่ถ้าเราไม่มากนักก็ช่วยประเทศรอบข้าง ถ้าเราทำได้จะทำไหม? ไม่เสียหายอะไรนี่ ไม่ได้พูดแค่โก้ๆนะ แต่จะพากเพียรทำให้เป็นได้ จะฝืนสังขารให้อยู่ไป 151 ปี ใครจะช่วยอาตมาทำบ้าง...มันเหลืออยู่อย่างเดียวคือกิเลสคุณ ที่ยังเอาไม่ออก มันก็เล่นงานคุณอยู่เช่นนี้ เราต้องเอาให้ออก เราเรียนรู้กิเลสแต่เราก็ไม่ได้เลิกเรียนรู้โลกนะ เราไม่เรียนรู้โลกที่จะเอาชนะคะคานกันเสพอารมณ์แรงๆ หรือได้โลกธรรมเราไม่เอาแบบนั้น ที่คนหลงติดอยู่

 

เราทำอย่างเหมาะควร กัมมนิยะ ในเสขบุคคล สูงขึ้นไปก็เป็นกัมมัญญา เป็นอรหันต์ เลยอรหันต์ก็มีปโหติ คืออาศัย มี สมบูรณ์แล้วสัดส่วนพอดี มีสัปปุริสธรรม 7 ได้เร็ว มีมุทุภูตธาตุ จิตหัวอ่อนมีกัมมัญญตาสูงสุด เป็นการงานอันเหมาะควร เป็นกัมมนิยะ เป็นกัมมัญญา เต็มด้วยความรู้ เป็นการทำอุเบกขาให้แข็งแรง เป็นสัจจานุโลมมิกญาณยิ่งขึ้น เป็นปโหติ มากขึ้นๆ เมื่อสัมมาทิฏฐิดีเหมาะควรจึงทำให้สัมมาสังกัปปะดีเหมาะควร จึงทำให้สัมมาวาจาดีเหมาะควร จึงทำให้สัมมากัมมันตะดีเหมาะควร จึงทำให้สัมมาอาชีวะดีเหมาะควร จึงทำให้สัมมาวายามะดีเหมาะควร จึงทำให้สัมมาสติดีเหมาะควร ทำให้สัมมาสมาธิดีเหมาะควร ก็จะเป็นผลอีก 2 ได้ ทำให้เกิด พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

อาการอารมณ์ เรามีญาณไปหยั่งรู้อาการของตน ไม่เกี่ยวกับคนอื่น เราอ่านมัน มันถูกรู้ จริงๆมันเป็นนาม เป็นสุข เป็นทุกข์ แล้วเราก็มีญาณไปอ่านมันได้ ก็อยู่ที่ญาณของแต่ละคน ตัวถูกรู้ที่เป็นนามธรรมก็เป็นนามรูป ของเราเอง ไม่ใช่ของหลอกเป็นของจริง จนทำได้ไม่เกิดอาการทุกข์สุขอีกไม่เกิดกิเลส แม้กระทบกาม โลกธรรม ทุกอย่างขนาดไหนก็เฉยไม่ทุกข์ไม่สุข สบายมากปกติหายห่วงจริงๆ (สบมทมดปกตหหจจ) ผู้มีความจริงของตนจะรู้ได้เป็นปัจจัตตังของตน เมื่อได้แล้วก็มาอยู่รวมกัน มาอย่างนี้เป็นได้มีรูปธรรมแล้ว ยังไม่ใหญ่ไม่โต ไม่ชนตาคน คนตาถั่วมองไม่เห็น เราต้องทำให้คนตาถั่วจนคนตาบอดเห็นได้ เราจะทำ ...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:56:12 )

571120

รายละเอียด

571120-ความรัก 10 มิติ(11)วนบ.เรื่อง มิติที่ 8 อเทวนิยม 2

พ่อครูว่า...วันนี้แรม 14 ค่ำ วันโกนเดือน 12 พรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายของปีตามจันทรคติแล้ว ที่จริงเขาไม่ได้นับสิ้นปีเดือน 12 หรอก เขานับสิ้นปีเดือน 4 เราก็เลยนับครึ่งๆกลางๆ ก็เรื่องขอวันเดือนปี ทีนี้เราก็มาพูดเรื่องของเรา เรื่องชีวิตของสัตว์โลก เรื่องความรัก 10มิติ เป็นเรื่องที่อาตมาเห็นสำคัญ เพราะคนเราต้องมีความรัก ไม่มีความรักไม่ได้ จิตที่พระพุทธเจ้าสอนว่าให้มีปิยกรณะ คือมีความรัก เราเป็นที่รักเขา เขาเป็นที่รักเรา ไม่ใช่รักแบบเปมะ 

 

ความรักที่มีในสาราณียธรรม 6 เป็น

1.        สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.        ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .

3.        ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.        สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .

5.        อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .

6.        สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .

7.        เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

ความรักในภาษาไทยต้องเข้าใจให้ดีว่าที่อาตมากำลังเอามาแยกแยะ นั้น ความรักเป็นความทุกข์ และถ้าสูงส่งของความรักก็พ้นทุกข์ได้ แม้เราอธิบายมาถึงมิติที่ 8 เป็นอเทวนิยมเลย เป็นแบพุทธ เป็นความรู้เรื่องความรักทั้งหลาย แม้เราจะไม่เกิดความรักแบบนั้น เช่นทางกามไม่เกิดเลย(ซึ่งคงมีน้อย) แต่ก็ต้องมีความรู้  และความรักทางกามยังสัมพันธ์ต่อเรื่องลูกหลานญาติโกโยติกา ปู่ย่าตายาย ก็ต้องมีญาติ มิตรสหาย เป็นความรักที่มีระดับสูงขึ้นๆ จนถึงเพื่อมวลมนุษยชาติ และมามิติที่ 8 ก็ต้องเรียนรู้ฝึกฝนมาตั้งแต่ความรักที่แคบๆตั้งแต่มิติที่ 1 มันอาจไม่จัดจ้าน แต่มันมีเชิงเช่นนั้นเราต้องเห็นให้ชัดเจน พุทธเรียนรู้อาการจิต เจตสิกที่ส่อถึงกามตัณหา กามราคะ จนขยายความกว้างมาสู่ความเป็นอัตตา ที่จริงกามก็เป็นอัตตา แต่เวลากามลดลงก็เหลือแต่อัตตา ในอนาคามีเหลือแต่อัตตา

 

ความรักมิติที่ 8 ….คือความรักที่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างให้ละเอียดทั้งนามธรรม รูปธรรม โดยเฉพาะนามธรรม และสัจจะของความรักมิติที่ 1 ถึง 7 เจาะลึกเห็นแจ้งสภาวะของความรักว่ามันคืออะไรกันแน่ อาการเป็นอย่างไร มีผลร้ายผลดีอย่างไร มันเกิดที่ไหน ตั้งอยู่ที่ไหน ดับที่ไหนมันอาศัยอะไรดำเนินไป ให้สุขหรือทุกข์ จริงหรือลวง แม้ให้ทุกข์แล้วมีประโยชน์บ้างไหน ใช้ได้อย่างไร มนุษย์ควรมีหรือไม่ ถ้าควรมีควรมีได้แค่ไหน หากจะดับไม่ให้มีในตนเลยได้หรือไม่ หากมีเพื่อสร้างประโยชน์โดยตนไม่ต้องติดยึดได้หรือไม่ ที่สุดไม่ต้องมีอะไรอีกเลย แม้แต่สิ่งที่ความรักต้องอาศัยจะได้หรือไม่? ที่กล่าวมาเป็นประเด็นปัญหาที่มีคำตอบแล้วในศาสนาพุทธ

 

ความรักที่แปลมาแต่ต้นว่าคืออาการชอบใจ ผสมความยินดี แต่แท้จริงแล้วก็คือความต้องการ สร้างหรือทำลาย นั้นเอง และต้องการเพื่อตัวกู และเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันนั้นก็อีกอย่าง มีสองอย่าง สรุปชัดคือความรักไม่ใช่อารมณ์เฉยนิ่งกลางๆ หรือไม่ใช่อารมณ์หยุดสนิทเลย แต่เป็นอาการทางจิตที่ต้องการให้ หรือต้องการเอา และต้องการสร้างหรือทำลาย ถ้าใครไม่มีอาการของการให้หรือเอา แม้ไม่มีชั่วคราวหรือยาวนานก็ตาม ก็เรียกว่าไม่มีความรักหรือไม่มีความต้องการนั่นเอง ถ้าไม่มีความต้องการให้หรือเอาก็ตามที ดังนั้นอาการทางจิตของใครที่เกิดความต้องการในจิตก็คือเกิดความรัก

 

ภาษาทางศาสนาพุทธเรียกว่า ตัณหา มี 3 ประเภท คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภาวตัณหา คือความรักเกี่ยวกับกาม ,ภพ ,วิภวภพ หรือวิภพ และสามอย่างนี้มีความพิสดารแค่ไหนกินความอย่างไร ต่างกัน อย่างไร เมื่อผู้ศึกษาได้ศึกษาได้อย่างสัมมาทิฏฐิ จนเกิดมีวิปัสสนาญาณก็จะจัดการความควรไม่ควรได้อย่างถูกต้อง และเจริญไปกับความรักได้ให้ตนเจริญได้อย่างดี ...อ่านอการจิตว่า ต้องการให้หรือต้องการเอา ต้องการสร้างหรือต้องการทำลาย ก็จะแม่นชัดในสัจจะแห่งความรัก แล้วจะทำการจัดการให้มีหรือไม่มีสิ่งเหล่านี้

โดยศึกษาเหตุว่ามันเกิดที่ไหน ตั้งอยู่ที่ไหน ดับอยู่ที่ไหน มันอาศัยอะไรดำเนินไปในโลก มันให้ทุกข์หรือสุข มันเป็นจริงหรือลวง ตามที่กล่าวมาแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ให้แจ่มแจ้ง แล้วเรียนรู้ฝึกฝนทำให้สมบูรณ์ ผู้ศึกษาและทำมรรคผลได้เราเรียกว่าอาริยบุคคล ในมิติที่ 8 เป็นศัพท์ที่กำหนดผู้บรรลุพุทธธรรม เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์

 

ไม่ใช่ว่าปรโลกคือโลกหลังตายไปแล้ว อย่างเดียว ซึ่งมันจะต้องไปตามวิบาก ยิ่งถ้าเข้าใจว่าไปนั่งหลับตาดับหรือนึกเอาสวรรค์ในภพ ก็จะไม่ได้สัมผัสของจริง ปรโลกของพุทธเป็นโลกที่รู้เห็นตั้งแต่เป็นๆ มีสติตื่นเต็มนี่แหละ จะรู้นรกสวรรค์ สัตว์นรกสัตว์สวรรค์คือเราเป็นนี่แหละ เราอ่านรู้ได้ในตัวเรา แต่เทวนิยมก็ว่ากันไปโลกหลังตาย หรือไปนั่งสมาธิปรุงแต่งสร้างภพชาติปั้นเอาเองในจิต อาศัยขันธ์อนาคตฟุ้งเพ้อปั้นไปอย่างบางสำนัก ที่ปั้นอุปาทานให้คนหลงติดยึด แล้วนึกว่าจริงก็เลยปั้นได้ และตายแล้วก็ไปหลงอย่างนั้นแล้วไม่ได้ก็ทุกข์เพราะสิ่งที่ตนสร้างเองนั่นแหละ อวิชชาพาเพิ่มสวรรค์ลวง เท่ากับเขาเพิ่มนรกจริงให้แก่ตนเอง ถ้ายิ่งเป็นคนที่เป็นอาจารย์สร้างสวรรค์ลวงโดยตนเองไม่รู้เรื่องว่าตนคือจอมสวรรค์นรก ตนนี่แหละตกนรกก่อนใครเลย หรือรู้อยู่ว่าหลอกคนนี่ก็ชั่วอยู่แล้วหนักเลย ตายไปก็ไปตามวิบากจริง

อาริยบุคคลเป็นได้เพราะเกิดมีสิ่งประเสริฐในตน เป็นคนโลกใหม่(ปรโลก)

โลกใหม่คือคนประเสริฐจริง เป็นคนโลกอื่น เป็นโลกโลกุตระ เป็นโลกที่ต่างจากโลกเก่า ทั้งที่เป็นคนเช่นกัน มีกาย มีจิตวิญญาณอยู่ในสังคมเดียวกันแต่ความรู้สึกนึกคิดต่างไปจากคนโลกเก่า ส่วนโลกใหม่นั้นแปลกไปจากโลกเก่าคนละทิศทาง ความเป็นโลกเก่าคือความหมุนเวียนไปๆมาๆไม่รู้จบ เป็นทาสของโลกธรรม วนเวียนไม่รู้จบ ไม่หยุดวนเวียนแน่ อาจจะหยุดได้ชั่วคราว แต่ไม่มีหลักเที่ยงแท้สมบูรณ์ แต่โลกใหม่ก็คือหมดโลกเก่าไม่วนเวียนในโลกเก่าที่ไม่รู้จบแล้ว อย่างชนิดที่จิตได้สำรอกสิ่งชั่วสิ่งเก่าได้อย่างจริงแท้ อย่างถูกตัวเหตุที่มันทำให้เราวนเป็นทาสในโลกเก่า

 

สวรรค์นี่มันลวง มีแวบเดียวแล้วก็หายไปสวรรค์จริง(ที่จริงหลอก) แต่เขาไปบรรยายกันว่าอยู่สวรรค์นี้นาน แต่ไม่ใช่หรอก สวรรค์นี้แวบเดียว แต่นรกนี่นานมาก ไม่จบซักที สวรรค์เผลอไปอยู่แวบเดียวก็นึกว่านาน แต่นรกสินานทรมาน ไม่รู้จักหมดเสียที สวรรค์นี่แวบๆทำไมเร็วจัง แต่เขาทำไมอธิบายว่าเวลาบนสวรรค์นั้นยาวนาน อย่างตำนานเทพธิดาเก็บดอกไม้ ลงไปในโลกมนุษย์ 80 ปี แล้ว ก็แวบกลับไปบนสรรค์บอกว่าไปมา 80 ปีแล้วแต่เพื่อนบอกว่าหายไปไหนมาแวบเดียว จริงๆแล้วนรกนั้นนานมาก มันโง่ซ้ำซ้อนด้วย น่ากลัว ใครก็ตามอย่าไปก่อกรรมชั่ว อย่าไปก่อนรก

 

โลกคือความวนตายวนเกิดตามอำนาจกรรมวิบากที่ตนไม่รู้จริง ตกนรกขึ้นสวรรค์สูงหรือต่ำ ดำหรือขาย ขี้เหร่หรือสวยก็ตามกรรม อยู่วนในโลกเก่า จะหาทฤษฎีที่ทำให้คนหยุดวนเวียนอย่างถาวร เป็นการดับโลกเก่าอย่างถาวร ก็มีคนที่คิดได้ทำการกดข่มไว้ได้แต่ว่าไม่มีหลักประกันจริงว่าจะไม่กลับมาอีก จะทำอย่างไรจะเที่ยงแท้ถาวร แต่ของพุทธนั้นมีหลักประกันทำได้จริง เพราะแม้ขณะนี้สัมผัสสิ่งเดิมที่เราเคยสุขทุกข์แต่ว่าตอนนี้ไม่มีแล้ว แม้จะมาแบบใหม่ลีลาอย่างไร เรารู้เลยว่าสัตว์นรกแบบนี้เราไม่มีแล้ว ไม่หวั่นไหว นกัมปติจริง หลุดพ้นได้แม้อันใดอันหนึ่ง ให้มีตัวอย่างแม้เรื่องใดเรื่องหนึ่งดับได้ก็จะเป็นตัวอย่างเป็นแบบให้แก่ตนเอง ก็เหตุปัจจัยต่างกันแต่อารมณ์นิพพานเหมือนกันหมด ไม่ว่าอรหันต์รูปไหน

โลกเก่าจึงหมุนวนเวียนสุขทุกข์ไป จนกว่าจะรู้จักโลกโลกุตระ ตั้งแต่รู้ กายในกาย เพราะโลกียะเราทุกคนเคยผ่านมาทั้งนั้น เคยมุ่งหวังเคยสุขทุกข์ เคยรักเคยจางคลาย เคยตายจากแต่ไม่วางไม่เลิก นานไปก็ชินชาไม่ติดยึดแต่ไม่จบไม่เลิก เพราะไม่รู้เหตุไม่รู้จริง ก็จะเวียนวนมาใหม่อีกไม่ชัดเจน เป็นความวนเวียนเกิดแล้วเกิดเล่าไม่สิ้นสุดได้อย่างแท้ ชนิดดับถูกเหตุสักที ไม่มีทางเห็นสักกายะ ไม่รู้องค์รวมของกิเลส

 

ส่วนโลกใหม่ในมิติที่ 8 เป็นปรโลก ที่ต่างหากจากโลกเก่า มีคุณลักษณะและดำเนินอุดมการณ์อีกอย่างเรียกว่าโลกอุดร อันต่างจากโลกโลกียะ ชนิดมีวิถีสู่นิพพานแน่นอนในอนาคต ผู้มีความรักแบบอเทวนิยม มิติที่ 8 จะเรียกอาริยนิยมหรือโลกุตรนิยมก็ได้

 

ลองมาขยายความกัน ที่ว่าความรักคือความต้องการให้หรือเอา สร้างหรือทำลาย ถ้าบอกว่าต้องการนี่คือตัณหา ซึ่งมี 3  คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

อันแรกกามตัณหาต้องรู้อาการกาม เราต้องการเอา กามนี่คือต้องการเอาไม่ได้ต้องการให้ แม้แต่ความเป็นภพมันก็ต้องการเอา กามภพคือต้องการเอา หรือแม้แต่ต้องการสร้างหรือต้องการทำลาย ที่จริงมันสร้างกามสร้างภพ มันไม่ทำลายกามไม่ทำลายภพ ทีนี้อีกตัณหาคือวิภพ ก็คือไล่จากคำว่าภพก็คือทำลายภพ เหตุทีมันสร้างภพก็หาให้เจอ ดับเหตุก็ไม่มีภพ ดับเหตุที่เกิดคือชาติ ภพก็ไม่เกิด

 

เราต้องการเอาหรือต้องการให้ เราต้องการเอาความไม่มีภพ  ดับเหตุแล้วกามหมดภพหมด ผู้นี้มีความต้องการ คนก็พาซื่อว่าถ้ามีความต้องการจะเป็นกิเลส ก็เลยหัดทำใจเฉยๆว่างๆ ไปนั่งสมาธิ แล้วคิดนึกตรรกะเอาว่าใจว่างไม่มีอาการกาม หัดทำใจไม่ให้เกิดกาม แต่ภพเขาเข้าใจยากกว่ากาม ภพคือการเข้าไปอาศัยอย่างนั้นต่อเนื่อง แต่เขาไม่รู้เขาก็ไปทำสร้างภพ เขาไม่รู้ว่าสการไม่ไปวุ่นวายกับกาม ทำใจให้ว่างก็คือเขาทำภพ ไปตามประสา บางคนก็สะกดให้นิ่ง ใช้แรงดำมืด หรือทำลืมทิ้งไป พาซื่อสร้างภพ ก็ไม่รู้จักเหตุที่เกิดกามหรือภพ

 

กามมีความหมายคือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบภายนอกแล้วจะเอาหรือจะทำร้าย ก็เป็นกาม และพยาบาท(โทสะ) เมื่อเราไม่รู้อาการเราก็ไม่รู้วิธีดับมันด้วย ไม่รู้ว่าอาการกามมันอยู่ในจิตแล้วมีการกระทบทางทวาร 5 แล้วมีอาการตามกระทบก็อยาก ถ้าไม่มีทวารไปกระทบ เขาก็จะไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ก็ได้อาการกามของมันเกิดตามสัญญา ไม่ได้เกิดวิญญาณผีหรือสัตว์นรก แต่เขาเอาสัญญาไประลึกปั้นเอาของเก่าหรือของใหม่มาก็ได้ เขางมอยู่ในภพทั้งนั้นเลย เขามีรู้เหตุว่ามีเหตุนะว่ากระทบ ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส แล้วเกิดวิญญาณจริง เราสัมผัสจริงเกิดวิญญาณจริง จึงครบกระบวนการ เราก็รู้ว่าจิตเราเกิดอาการในขณะนั้นจริง เป็นผีหรือเทวดาหรือสัตว์นรกก็ได้ มาจากตัวจริงที่เราจะอ่านปัจจุบันว่าอาการอย่างนื้คือ กามตัณหา พอดับกามตัณหา ภพก็ดับไปด้วย ไม่เหมือนกับพวกไม่ได้ดับกามแล้วไปสร้างภพ อย่างนั่งสมาธิหลับตาทำกัน ที่เอาสัญญาไปสร้างภพ ซ้อนภพอีกเพิ่มเข้าไปทั้งที่กามก็ไม่ได้ดับ น่าสงสารพวกนี้ อวิชชา เลวร้ายเข้าไปอีก เพราะวิธีปฏิบัติผิด

 

ส่วนของจริง ดับเหตุของกาม กามก็ดับ ภพก็ดับไปด้วยกันเลย ที่จริงดับแต่เหตุเกิดกาม ก็จบแล้ว กามภพก็ดับแล้ว เป็นตัวต้นเลยดับทางทวาร 5 แล้วก็เหลือแต่รูปภพ อรูปภพต่อไป เป็นเรื่องในใจเราเอง มันก็เบาแล้ว

 

โอฬาริกอัตตา ขั้นหยาบ เราดับได้หมดแล้ว ที่จริงเวลาดับเราก็เรียนรู้อัตตาข้างใน คำว่ามโนมยอัตตาคืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิต สภาวะของกาม ก็เป็นตัวตนของกาม อาการนั้นแหละคือจิตเราสำเร็จเป็นตัวตนเป็นสภาวะขึ้นมาแล้วมันซ้อน มันก็คือมโนมยอัตตา มันเกิดสัมผัสเดี๋ยวนี้ก็เป็นตัวตนเดี๋ยวนี้ที่คุณล้างไม่ได้ มันก็สำเร็จในจิตด้วย เหตุคือของหยาบ จนกว่าคุณล้างกิเลสที่เป็นเหตุปัจจัยหยาบได้ ล้างโอฬาริกอัตตาได้ก็เหลือสิ่งที่เหลือ ตาคุณกระทบสิ่งที่คุณได้ล้างกิเลสหมดแล้ว เช่น รูป เสียงเพชรนิลจินดาที่คุณล้างมันได้แล้ว คุณก็กระทบมันแต่คุณมีจิตเหนือมันไม่มีอาการแล้ว ดับแล้วก็เหลือพลิ้วพรายเป็นรูปราคะ ข้างนอกไม่ทำแล้วมีหิริโอตตัปปะ เป็นอุบัติเทพแล้ว ยังไม่เป็นวิสุทธิเทพก็เป็นมโนมยอัตตาแท้ที่เหลือที่สำเร็จด้วยจิต เป็นตัวตนอยู่ จนกระทั่ง คุณล้างมันได้อีกในมโนมยอัตตา ก็เหลือเบาบางคืออรูป พริ้วพรายบางที่ก็จับรูปไม่ติดแต่มีปฏิกิริยา ออกมากระตุก แต่ไม่ออกมาข้างนอก อาจแผ่ซ่านพลิ้วพรายเป็นอรูป มันยังเป็นตัวตน เมื่อคุณดับเสร็จแล้ว ดับอรูปแล้ว แต่คุณก็มีทวารครบ เห็นเต็ม แม้ดับอรูปอัตตาก็เห็นเต็ม อัตตาที่เหลือก็คือความเห็นเต็ม เป็นตัวที่สำเร็จด้วยจิตเป็นมโนมยอัตตา แต่ไม่เหลือความเป็นตัวกูของกูแล้ว เป็นอัตตาที่ไม่ลึกลับคืออรหัตตา ก็อาศัยอัตตา อย่างสำเร็จด้วยตนเองเป็นอมตบุคคลเลย

 

แล้วคนที่สัจจานุโลมมิกญาณ เช่นเราจะร่วมกับรูป กับรส เช่นเพลงนี้มันจะเพราะอย่างไร รูปนี่จะสวยอย่างไร อาตมาก็ต้องเอาสมมุติโลกมาปรุงด้วย ไปกับเขาได้ด้วย อาตมาก็แต่งเพลง ก็จัดว่านั่นนี่สวยก็อาศัยมโนมยอัตตาที่ไม่ลึกลับ ก็ทวนได้ จึงดูเหมือนคนกลับกลอก แต่เราทำด้วยฐานของสังขารุเปกขาญาณ และสัจจานุโลมมิกญาณ โดยปฏิสังขาญาณ นี่คือฐานญาณอีก 3 หลังจากทำฐานต้นที่ทำ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณและภังคานุปัสสนาญาณจะเห็นชัดลึกขึ้นว่ามันมีแต่ความสลายไปไปหาอนัตตา น้ำหนักความไม่เที่ยงไม่เกาะกุมกันจะเห็นจริงจังมากขึ้น พอเห็นอย่างนี้ก็จะเห็นความโง่ของเรา แล้วเราจะไปยึดให้มันอยู่ไปให้มันยาวนานเป็น ยามา ให้เป็นดาวดึงส์เป็นของแท้เป็นเทวดาองค์ที่ 33 แล้วจะให้อยู่ยาวนานเป็นยามา ..แต่ก่อนเราโง่อย่างนั้น

 

พอเราทำออกทำสิ้นหมดแล้วก็จะรู้ว่าเทวดาเท็จเป็นเช่นไร คนจริงจังก็ดูจริงจังมาก มันจะต้องให้ยามาถาวรนิรันดร แม้ไม่ออกมาใช้ตอนนี้ก็เก็บใส่ผลึกไว้ในอนุสัยอย่าไปไหนนะจ๊ะ เก็บความรู้สึกดีๆนี้ไว้  พอเราทำได้จะเห็นโทษภัย จะเห็นภยตูปัฏฐานญาณ คนอื่นเขายังไม่รู้ก็ทำอย่างน่าระรื่น หลอกกันเต็มโลกเลย ชื่นอกชื่นใจไม่เห็นเป็นภัยเป็นโทศ กว่าจะได้รู้ตัวเช่นนี้มันลึกซึ้งก็มีอาทีนวานุปัสสนาญาณ ก็เกิดนิพพิทานุปัสสนาญาณ มันน่าเบื่อมันทรมานเรามานานก็เกิดมุลจุติกัมมยตาญาณ เป็นความเห็นแจ้งอย่างพลังไฟปัญญา เป็นไฟฌาน ละลายกิเลส เป็นอุณหธาตุ ไปละลาย กาม ราคะ โทสะ ที่เป็นพลังก็ถูกพลังฌานทำลายได้ ด้วยความรู้ๆไม่ได้กดข่มเลย พลังงานมันเหนือชั้น นี่คือการจบการดับ

 

จากนั้นปฏิสังขานุปัสสนาญาณก็คือทำทวนทำซ้ำสั่งสม ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา เราไม่ได้หนีโลกเลย เราอยู่กับโลก แต่ก็อุเบกขาได้อย่างแข็งแรงขึ้น เก่งขึ้นทนทานต่อสังขาร เป็นอเนญชาภิสังขาร ไม่หวั่นไหว กระทบโลกธรรมที่หยาบเท่าใดก็ไม่หวั่นไหว ผุฏฐัสสะ   โลกธัมเมหิ   จิตตัง  ยัสสะ  น  กัมปติ เมื่อแข็งแรงก็จะสามารถ มีพหุชนหิตายะ  เป็นประโยชน์แก่หมู่ชนทั้งหลาย  พหุชนสุขายะ  เกิดเป็นสุขแท้แก่หมู่ชนทั้งหลาย โลกานุกัมปายะ เป็นไปเพื่อรับใช้อนุเคราะห์โลก จิตทำได้เจริญเป็นมโนเสฏฐา เจริญเรื่อยๆ เป็นมโนมยา คืออันสำเร็จด้วยจิต วิเศษเจริญขึ้น

สุดท้ายจิตมาจบอยู่ที่มโนมยอัตตา

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

-โลกเก่ากับโลกใหม่คืออย่างไร?

ตอบ...โลกเก่าคือความหมุนวนสุขทุกข์กับสิ่งเก่าโลกเก่า เช่นเราติดท็อฟฟี่ เราติดมันพอเราได้กินมันก็ได้สุข พอได้สุขแล้วก็หยุดพัก พอไม่ได้ก็ทุกข์ พอได้ก็สุข หรือหยุดพัก วนเวียนไปมา แต่พอโตขึ้นก็ไปติดยึดสิ่งใหม่ตามวัย ทั้งที่ข้ามไปในสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ล้างก็ติดในอนุสัยไปข้ามชาติ เกิดมาใหม่ก็ติดใหม่อีก เสพสุขทุกข์ลงนรกขึ้นสวรรค์วนไปมาตลอดกาล พระพุทธเจ้าสอนให้ล้างกิเลส คุ้ยให้มันขึ้นมาแล้วล้างมันไปๆ ล้างกิเลสได้คนที่ทำให้หยุดวน พอกิเลสตาย แล้วมันก็ไม่พาเราวนอีก นั่นคือโลกใหม่โลกหยุดวน ไม่ต้องเสพแล้วไม่ต้องติดตุ๊กตาท็อฟฟี่หรือระดับไหนที่เขาติดกันเราก็เข้าใจไม่ติด ล้างกิเลสอยากได้ จริงๆแล้วเราอยากได้เราก็สร้างด้วยสุจริต แล้วเราก็ไม่ต้องหวงแหนไว้ เราสร้างมาอาศัยใช้ประโยชน์ สรุปคือโลกเก่าคือโลกที่บำเรอกิเลสอย่างเก่า โลกใหม่คือโลกที่ไม่บำเรอกิเลสแล้วหยุดแล้ว

 

-ความจริงคือสภาพปัจจุบันที่เหตุปัจจัยครบพร้อมทั้งนอกและใน ส่วนความจำคือไม่มีเหตุปัจจัยภายนอกแล้วแต่คุณนึกเอาความจำที่เคยเกิด แล้วก็ดึงขึ้นมาจากความจำ หรือว่าไม่ได้เอาจากความจำแต่ว่าเนมิตขึ้นมาเองเลย ได้แต่คิดปรุง จะเป็นได้จริงหรือไม่ก็ไม่รู้ ก็ไม่ใช่ความจริงอยู่ดี ความจำกับความจริงมันต่างกันเช่นนี้ เรารู้เช่นนี้เรามีกิเลสดูดหรือผลักกับความจริงหรือไม่ เรารู้แล้วก็ล้าง ส่วนเราเอาความจำไปปรุงอีก หรือเพิ่มอีกก็คือคนบ้ากับความจำ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความจำนี่ทิ้งได้ยากกว่าความจริงภายนอก ทั้งความจำที่เก่าหรือเอามาปรุงใหม่ นี่แหละยาก แล้ววิบากกับอุปาทาน นั้นอุปาทานคือการยึด แล้ววิบากคือผล แต่ผลที่เกิดแล้วคุณจำได้ก็ไม่เป็นไร ต่างกับอุปาทานที่คุณยึดเป็นเราเป็นของเราอย่างพระพุทธเจ้าท่านจำได้เยอะแต่ว่าท่านไม่ยึด

การยึดนี่จึงยากที่สุดที่คุณจะรู้ แต่ว่าคุณจะรู้ว่าอาการปล่อยวาง กลางๆ นี่แหละคือที่ว่าเราไม่ยึด แล้วน้ำหนักของความไม่ยึดก็มีละเอียดเยอะ ความจำที่เป็นวิบากไม่เป็นไร ที่เป็นผล ผลดีหรือชั่วก็ไม่เป็นไร ผลดีเราควรจำแต่ผลชั่วไม่ควรจำหรือแบบดูดดึงก็ไม่ควรจะ จำแค่จะเอาไว้ใช้ประโยชน์ ต่างกับรสสุขทุกข์ อร่อย ซึ่งต่างกับรสประโยชน์ ไม่มีรสโลกีย์ เราจำสิ่งนี้จึงไม่เป็นพิษภัยกับเรา มันเหลือแต่อย่างเดียวคุณค่าประโยชน์ก็มีมานะถือดีเป็นอัตตาที่ว่าเราทำแล้วมีคุณค่าประโยชน์ แต่ไม่เป็นภัยมากมาย มันจะไปอวดดีถือดีก็เป็นอุปาทานไม่วาง แต่ก็เป็นระดับสูง ยึดดีถือดี แต่สิ่งโลกีย์นั้นไม่ยึดแล้ว

การยึดกับวิบาก เราล้างเหตุโลกีย์ได้มันก็เหลือแต่ความจำกับวิบาก เราหนีมันไม่ได้หรอก พลังงานที่จองเวรเราห้ามไม่ได้ เราสร้างแต่วิบากกุศลมาก มันจะเป็นกำแพงกั้นเราให้อกุศลวิบากตามมาได้ช้าลง แต่ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีเศษวิบากไล่ตามท่านทันเลยแต่ก็เบาลง มันฤทธิ์แรงลดลง เรื่องกรรมวิบากเป็นอจินไตย เรื่องอุปาทานเราควรเรียนรู้ที่จะวางปล่อย แต่วิบากมันแก้ไม่ได้ เราทำได้แต่กรรมใหม่ล้างอุปาทานให้หมดแล้วสร้างแต่กุศล

 

ราคากุศลของอรหันต์จะมีค่าสูง เมื่อเทียบกับปุถุชน คุณภาพกุศลจะต่างกัน ท่านทำอย่างสะอาดกว่าปุถุชน ต่อให้กุศลเรื่องเดียวกันก็มีผลต่างกัน

 

-สักกายะคือตัวตนขั้นแรกขั้นก่อน คำว่าสักกะนี่แปลว่า ตัวเรา อัตตาก็คือตัวเรา แล้วตัวเราของสักกะคือกำหนดว่าเราต้องมีญาณกำหนดรู้อัตตาตัวนี้ คำว่าอัตตาเป็นคำกว้างสามัญนาม แต่ว่าสักกะคือจำเพาะเลยว่าของคุณตัวนี้ที่จับได้นี่แหละ

 

-พระอาริยะนั้นย่อมไม่แสวงหากาม ไม่แสวงหาภพ วันนี้พ่อครูก็ได้อธิบายการไม่แสวงหากามไม่แสวงหาภพ ช่วงนี้บ้านราชฯมีงานหลายจุด อีกไม่กี่วันพ่อครูก็จะเดินทางไปกทม.ยาวด้วย มีคนตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อพ่อครูไม่อยู่ จำนวนนิสิตก็จะน้อยลง ...ชีวิตของคนเรานั้นน้อยมาก ถ้าไปถามคนอายุ 90 ว่ารู้สึกว่าอยู่มานาไหน...เขาจะบอกว่าไม่นานเลย แล้วเวลาชีวิตเรา 100 ปีก็ไม่นานเลย เวลาที่จะอยู่กับภพของเขามีอีกนาน งานที่เราจะทำตามภพนั้นทำอีก 100 ชาติก็ไม่ครบ แต่ว่าที่บ้านราชฯมีจุดแข็งที่เราจะออกจากภพมาทำงานร่วมแรงร่วมใจ อย่างการทำงานเจเป็นต้น เมื่อเราออกจากภพเราจะมีความสุข เช่นมีแขกมาเราจะยิ้มแย้มแจ่มใส แต่พอแขกไปเราก็กลับเข้าภพ แต่เรามีอาริยภูมิเราจะไม่แสวงหากามหรือภพ และในงานก็มีภพอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราออกจากภพมาพบกันไม่ได้ ทำให้พลังรวมไม่มี อยากให้นึกตอนชุมนุมเราต้องวางภพเราหมดเลยทำตามเหตุปัจจัย แต่พอชุมนุมเลิก เราก็เหมือนภาระกิจจบวางแล้วพร้อมกลับมามีความสุขต่อไป อาตมาคิดว่างานบ้านราชฯไม่ต้องคิดวางแผนเลย เราทำตามเหตุปัจจัยไป ให้เทวดาเป็นผู้จัดสรร อย่างข้าวเหลือ เราก็มีกทม.มาให้เราส่งข้าวไปขาย ทุกอย่างพระเจ้าจัดสรรกันมา แต่ต้องออกจากภพมาพบกัน ทำงานอย่างพระเจ้ากำหนดจะมีความสุขกว่าทำงานตามภพ

 

-พ่อครูจะต้องไปกทม.หลายวัน ราว 2 อาทิตย์ แล้วก็จะสิ้นปีแล้ว งานว.บบบ.จะเริ่มแต่ 28 ธ.ค. แล้วงานอื่นก็มากอยู่ ยังไง ผู้อยู่ช่วยกันได้ก็ช่วยกันหน่อย แม้ว่าอาตมาจะไม่ได้สอน มันก็มาเรียนได้ จัดกันขึ้นบรรยายกัน หรือเอาเทปมารีรัน ก็ได้ คิดกันดูว่าเราจะเรียนกันอย่างไร? จริงๆแล้วไม่ใช่เราทำเล่นนะ วนบ.นี่

 

-มีคนถามว่า แนวคิดช่างยนต์ ข้าวกล้องเหมือนน้ำมันเครื่อง ก๋วยเตี๋ยวเหมือนน้ำมันเบรก ส่วนขนมนี่เหมือนน้ำมันดีเซล แนวคิดแบบนี้เรียกว่าภพหรืออัตตา...

ตอบ...ก็มีทั้งภพทั้งอัตตา..จบไปนอน


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:03:07 )

571121

รายละเอียด

571121-สรรค่าสร้างคน(19)วนบ.เรื่อง นิยามความจริง 10 ประการ 2

วันนี้เราจะมาเรียนสรรค่าสร้างคน ตอนเดิมอาตมานำเอานิยามความจริงมาอธิบาย

ในสรรค่าสร้างคนหน้า 90 ได้เกริ่นถึงนิยามของความจริงว่ามี 10 ข้อ

1.เป็นความดี

2.เป็นความถูกต้อง

3.เป็นคุณค่าประโยชน์

4.เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์(อาริยสัจ)

5.เป็นไปได้

6.รู้ได้แม้ขั้นนามธรรมระดับสูง ที่สุดถึงอนัตตา นิพพาน

7.เข้าถึงความจริงนั้น หรือตนเองเป็นได้ตามจริงนั้นแล้วก็รู้ตามความรู้ที่มีมาอย่างเต็มใจแม้ไม่สมบูรณ์ ยิ่งได้สมบูรณ์ก็ยิ่งจริงแท้

8.เป็นเรื่องที่ผู้ฉลาดหรือปราชญ์จำนนต่อเหตุผลและสิ่งจริงนั้น

9.ไม่เป็นอื่นอีกแล้ว อวิปริณาธัมมัง

10.เป็นสภาพที่ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้

 

เมื่อวานได้พูดเรื่อง “ความจริง” กับ “ความจำ” ความจริงคือสิ่งที่เกิดในปัจจุบัน คุณมีทวาร 6 สัมผัสขณะปัจจุบัน รู้เห็นทนโท่ ทั้งนอกและใน เป็นพหิทารูปานิปัสสติ รู้ทั้งนอกและในลืมตา อ่านได้เป็นของจริง แต่ถ้าไม่มีทวารตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสแล้วไม่มีความจริง มีแต่ความจำ มีแต่อดีตคือความจำ

อย่างมะละกอนี่ไม่มีความจำหรอก มันจองเวรจองกรรมใครไม่ได้ แต่จิตวิญญาณจะมีความจำ กำหนดหมายรู้ได้ แล้วมีกิเลสบงการว่าอันนี้ชอบหรือไม่ชอบ แต่เมื่อคนตายไปจะไม่มีความจริง มีแต่วิบากจิต ที่ทำแล้วก็เป็นผลวิบาก สะสมในสัญญา ความจำ แต่ความจริงเป็นปัจจุบัน ใครอยากเป็นวิญญาณจริงต้องเห็นขณะลืมตา แต่ไปหลับตาก็ไม่เห็นวิญญาณ แต่ทีนี้พวกมโนมยอัตตา ที่นั่งอุปาทานเกิดเห็น ลืมตาเห็นเทวดา เห็นผีได้อย่างมีรูปร่างเลย ลืมตาเห็น นี่เกินกว่าความจริง มันหลอกมโนมยอัตตา ปั้นเอาเป็นตัวตน ที่ว่าได้ยินหรือได้เห็นผีข้างนอกหรือว่าได้กลิ่นมาเลยก็แล้วแต่ พวกนี้เป็นความหลอกไม่ใช่ความจริง เป็นความหลอก ปั้นเอง

 

จิตวิญญาณมันโง่ได้ระดับหนึ่ง ไม่มีมันก็สร้างให้มีได้ เหมือนมีตัวตนจริงเลย หรือว่าคนไปยึดมั่นถือมั่นในพลังงานชีวะ มีอัตตาตกผลึกแน่น แม้ร่างตนตายจากจิตนิยามแล้ว พลังงานมันตกลงตายแล้ว แต่จิตวิญญาณยึดมั่นถือมั่นในร่างตน ก็เหลือพีชะปรุงแต่งอยู่ หนังก็ไม่เน่า ยังมีพลังงานไปหมุนเวียน เล็บ ผม ก็ยังยาวอยู่ เขาก็ไปกราบไหว้บูชา เอาใส่โลงแก้วกราบกัน แท้จริงคือคนตกต่ำ เกินสามัญยึดติด กว่าคนธรรมดาเขาปล่อยวางแล้ว แต่นี่ไม่ยอมปล่อย อาตมาว่าแม้แต่ (อาตมาเดาว่า) พลังงานของคนหลงยึดเช่นนี้แม้มีพลังงานเหลือมาเลี้ยงต่อได้เป็นแรงเฉื่อย เราไม่ได้ให้อาหารแล้วหรือให้อาหารทางสายยางก็อาจเป็นได้ แต่ถ้าไม่ให้อาหารก็หมดพลังแห้งเหี่ยว ...แล้วจิตวิญญาณจะยังยึดอยู่กับร่างนี้แม้ว่าร่างนี้จะแห้งเหี่ยวหมดพลังงานไปเรื่อยๆจะยังยึดอยู่ไหมนะ

 

ถ้าตอนเป็นๆคุณมีอุปาทานว่า เห็นผี เทวดาแบบมโนมยอัตตา แล้วคุณตายไป ไปเกิดใหม่ก็ยึดติดแบบเดิม จะนึกเอาเองก็ระลึกสิ่งที่อุปาทานไว้ เป็นสัญญาเท่านั้น

 

ความดีเป็นสมมุติในโลก ส่วนกุศลอกุศลก็คือวิบาก ตายไปก็ไปตามวิบาก หากคุณมีสวรรค์แบบมโนมยอัตตาก็จะสร้างสวรรค์นรกตามนั้น และสวรรค์นั้นมันสั้นคุณต้องกำหนดสร้างขึ้น เสพแล้วหายวับ มันก็หยุด แต่ความอยากนี่มีมากเหลือเกิน ในอนุสัยอาสวะ คุณมีนับกระบุงไม่ถ้วนในความอยาก  เราไม่รู้หรอกว่าความอยากในแต่ละเวลามีขนาดไหน ทุกเวลาก็อยากทั้งนั้น ไปหาให้ได้ดังอยาก อยากนั่งอยากนอน อยากไปอยากมา อยากบิดขี้เกียจ สารพัดอยาก แล้วเราก็ไม่รู้ว่าจริงๆตลอดเวลาเราอยากอย่างนั้นทำเองเป็นสัญชาตญาณ มันกระทบใครไม่ง่ายก็ทำไป แต่ถ้ามันกระทบคนอื่นก็ไม่ง่ายหน่อย คุณอยู่ในห้องคนเดียวจะทำอย่างไรก็ทำคนเดียว ไม่ต้องระวังเลยด้วย มันไม่รู้ตัวว่าคนเราอยู่ด้วยความอยาก แล้วบำเรอความอยากใหญ่ ต้องแย่งชิง ต้องต่อสู้ ต้องฆ่ากันจึงจะได้ แต่ที่อยากน้อยๆไม่กระทบใครมันอยากทั้งนั้น บำเรอตนเอง นี่ก็คือสิ่งที่มันเป็นสมมุติมันบำเรอ

 

ในระดับสัญชาตญาณที่ไม่กระทบใครมันอยากเดิน ยืน นอน ควรพอขนาดนี้จะทำอย่างไหนควรพอศึกษาเราก็ทำให้พอเหมาะพอดีในสัดส่วนชีวิตที่ควรเป็นก็ว่าไป ในสมมุติหากเราไม่รู้ความอยาก โดยเฉพาะมีชีวิตเป็นๆ เราสมมุติกันว่าดีหรือไม่ดี หากเราไปละเมิดชีวิตสัตว์ก็ถือว่าไม่ดี เป็นวิบาก ฆ่าสัตว์  เอาของเขา ละเมิดศีล  5 โกหก ก่อวุ่นวายในโลก การจะไปฆ่าเขาอยากทำร้ายนี่แรงนะ หรืออยากจนต้องทุจริตนี่ก็แรง หากอยากได้ไม่แรงมาก ก็ไม่ทุจริตก็ไม่เดือดร้อน แต่ว่าที่อยากเกินศีล 5 นั้น ทุกข์ร้อนทั้งนั้น แม้คุณทำศีล 5 ภายนอกได้ กาย  วจีไม่ละเมิดก็ลดเดือดร้อนแล้ว แต่ถ้าทำได้ถึงจิต อ่านจิตได้ รู้ตัวเหตุปัจจัยที่จะพาผิดศีล 5 จิตหยาบถึงขนาดนี้อยู่ เราก็เรียนรู้ล้างจิตตัวนี้ ถึงมันไม่มีในจิต หรือเหลือนิดหน่อยจนพลังมันไม่พอที่จะมาเป็นชีวิตทำให้เราทำไม่ดีได้ พลังปัญญาก็มากพอ เจโตก็มากพอที่จะไม่ทำให้เราละเมิด มันวิมุติทั้งคู่ หลุดพ้นแม้ระดับอนาคามี

 

สมมุติกับ ปรมัตถ์ เขาเรียกว่าสัจจะทั้งนั้น เป็นสองความจริง สมมุติสัจจะนั้นเกี่ยวกับภายนอก ที่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ปัจจัยเหตุใหญ่คือปรมัตถ์ หากล้างปรมัตถ์กิเลสได้ก็จะเหลือแต่สมมุติ เช่นแต่ก่อนเราสัมผัสแล้วปรุงแต่งอยากได้ต้องเอา แต่ตอนนี้ไม่มีอาการจิตแล้ว ไม่มีความจริงทางสมมุติแล้ว หลุดพ้นแล้วในสมมุติสัจจะ ที่เป็นความจริงของโลก ท่านนิโรธได้แล้วในโลกภายนอกของสมมุติสัจจะ พระอรหันต์จึงเป็นคนของโลกแล้วเอาตามสมมุติสัจจะโลกว่าประมาณไหนถึงดี

 

คนเคร่งๆจะไม่ทำอย่างโลกทำ เช่นเราจะไม่อนุโลมอย่างนี้ มันเหมือนคนโลกๆ ตัวเราเองไม่มีแล้ว ก็อนุโลมคนอื่นเขา เราก็ทำอย่างคนโลกๆได้ปรุงแต่งมีพฤติกรรม กาย วาจา เหมือนกับทางโลก อย่างอาตมาร้องเพลง เหมือนโลก คนดูแต่อาการ อาตมาสอนเขาว่าเพราะอย่างนี้ร้องอย่างนี้นะ พระอรหันต์จะทำให้ถูกต้องตามสมมุติ เป็นประโยชน์ให้พ้นทุกข์แบบโลกก็ต้องให้เขาได้ และพ้นทุกข์ปรมัตถ์ด้วย (อาริยสัจจ์)

ความจริงนั้นต้องเป็นไปได้ด้วย และลึกถึงสุญญตา ถึงนิพพานด้วย ตนเองเป็นได้ตามความรู้นั้นๆได้ ยิ่งจริงแท้ เป็นเรื่องที่ผู้ฉลาดรู้จำนนต่อเหตุผล อาตมากำลังอธิบายสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ อาตมากำลังอธิบายว่าอรหันต์ท่านมีแต่สมมุติ ผู้เป็นปราชญ์ก็จำนนต่อเหตุผล ท่านไม่บำเรออารมณ์ตนแล้ว ท่านก็จะอนุโลมให้คนอื่น ผู้มีปัญญาก็เข้าใจ แต่คนไร้ปัญญาจะถือสา

8.เป็นเรื่องที่ผู้ฉลาดหรือปราชญ์จำนนต่อเหตุผลและสิ่งจริงนั้น

9.ไม่เป็นอื่นอีกแล้ว อวิปริณาธัมมัง

10.เป็นสภาพที่ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้

การล้างกิเลสเป็นบุญนี่เป็นความดีที่ยิ่งใหญ่ เป็นความดีที่จะพ้นทุกข์ ประเสริฐเป็นอาริยะ จะสูงกว่ากุศลธรรมดา หากปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้าแล้วจะมีทั้งกุศลและล้างกิเลสได้ด้วย เช่น เราให้อันนี้ ก็เป็นความดีในโลก เราให้ทาน ยิ่งเป็นปรมัตถ์ จิตเราทำใจเราได้ จิตก็เป็นบุญด้วย ยิ่งทำได้แล้วจิตไม่ได้อยากได้อะไรของเขาให้ก็ให้ไป ทำมนสิการใจเราอย่าไปมีอาการอยากได้ ยึดเป็นเราเป็นของเราว่าเขาต้องมาตอบแทนเรา มันไม่มี จิตไม่มีก็ทำได้ ก็ได้ทั้งสองส่วนเลย อุภยถะ เป็นความดีมีผลทั้งโลกียะโลกุตระ แต่โลกียะเขาไม่รู้จักโลกุตระหรอก

 

บางทีเขาทำทานไปเขาไม่ได้อยากได้อะไรตอบแทนหรอก เพราะว่าเขามีมากมาย เป็นแสนล้าน ทำทานไปแสนนึงก็ไม่ต้องตอบแทนหรอก หรืออย่างคุณนายรวยมาก บอกว่าตนเองพอแล้วฉันไม่มีแล้วความโลภ ฉันมีแต่ความโกรธอยู่น่า แต่อย่าไปบอกว่านี่มีของชิ้นเดียวในโลกนะ จะไปประมูลเอาเลย สมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะจะกลับไปกลับมา พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าอย่าไปนึกเอาตามอาการ ไปกำหนดรู้พระอาริยะไม่ได้หรอก

 

มีคนอยากให้อาตมาอธิบายเรื่องหลวงพ่อดีเนาะ ที่เป็นคนมองโลกในแง่ดี

หลวงพ่อดีเนาะ ผู้มองโลกในแง่ดี ขอให้ทุกท่านลองอ่านดูเนาะ.. (big happy smile)

...มีหลวงพ่อองค์หนึ่งซึ่งเลื่องลือกันว่า เป็นพระที่มีแต่ความสุข ไม่เคยมีความทุกข์ วันหนึ่ง โยมมานิมนต์ท่านไปเทศน์ที่บ้าน บอกท่านว่าจะมารับแต่เช้า หลวงพ่อก็นั่งรอจนสายโยมก็ไม่มาสักที ท่านจึงว่า “ไม่มาก็ดีเหมือนกันเนาะ เราฉันท์ข้าวของเราดีกว่า”

ท่านฉันท์ข้าวได้ไม่กี่คำ โยมก็มารับพอดี กราบกรานขอโทษที่มาช้าเหตุเพราะว่ารถเสีย

หลวงพ่อจึงหยุดฉันท์ “ก็ดีเนาะ ไปฉันที่งานเนาะ”

หลวงพ่อนั่งรถไปได้สักพัก เครื่องรถก็ดับ คนขับบอก “รถเสียครับ”

หลวงพ่อก็ว่า “ดีเนาะ ได้หยุดพักชมวิวเนาะ”

คนขับง่วนอยู่กับรถพักใหญ่ ทำอย่างไรเครื่องก็ไม่ติด จึงออกปากขอร้องให้หลวงพ่อช่วยเข็นรถ ความจริงหลวงพ่อก็แก่แล้ว ข้าวก็ฉันท์ได้ไม่กี่คำ แต่แทนที่จะบ่น ท่านกลับยิ้มแล้วบอกว่า “โอ้ดีเนาะ ได้ออกกำลังเนาะ”

แล้วท่านก็ขมีขมันออกแรงช่วยเข็นรถจนวิ่งได้ ปรากฏว่ากว่าจะถึงบ้านงานก็เลยเที่ยงแล้ว หมดเวลาฉันท์อาหารไปแล้ว เป็นอันว่า วันนั้นหลวงพ่ออดข้าวทั้งสองมื้อ แต่เนื่องจากได้เวลาเทศน์แล้ว เจ้าภาพจึงนิมนต์ท่านขึ้นเทศน์ทันที หลวงพ่อก็สนองด้วยดี “ดีเนาะ มาถึงก็ได้ทำงานเลยเนาะ”

ว่าแล้วท่านก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์จนจบ มีคนชงกาแฟถวาย แต่เผลอตักเกลือใส่แทนน้ำตาล หลวงพ่อจิบกาแฟไปได้หน่อยก็บอกโยมว่า “ดีเนาะ”

แล้วก็วาง ธรรมเนียมของญาติโยมที่ศรัทธาเกจิอาจารย์ เวลาท่านฉันท์อะไรเหลือ ลูกศิษย์ก็อยากได้บ้าง ถือเป็นสิริมงคล แต่ลูกศิษย์ดื่มกาแฟแค่อึกแรกเท่านั้นก็พ่นพรวดออกมา

“เค็มปี๋เลยหลวงพ่อ ฉันท์เข้าไปได้ยังไง !”

“ดีเนาะ ฉันกาแฟหวานๆ มานาน”

หลวงพ่อว่า “ฉันเค็มๆ มั่งก็ดีเหมือนกัน”

ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน จะแย่แค่ไหน หลวงพ่อก็มองเห็นแต่แง่ดี ท่านจึงไม่มีความทุกข์เลย

เคยมีลูกศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งไปทำผิด ถูกจับติดคุก ท่านก็ว่า “ก็ดีเนาะ มันจะได้ศึกษาชีวิต”

หลวงพ่อดีเนาะมิใช่เป็นหลวงตาธรรมดาๆ หากเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีชื่อของจังหวัดอุดรธานี ที่ใครๆ ก็รู้จัก ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาและผู้เคารพนับถือทั่วประเทศ การประพฤติปฏิบัติของท่านเป็นที่เล่าขานกันมากมายหลายเรื่อง เช่น มีผู้เล่าว่า กุฏิของท่านเป็นที่จับตาของโจรผู้หนึ่ง เพราะเห็นว่ามีสิ่งของมีค่ามากมายที่ญาติโยมนำมาถวาย วันหนึ่งได้โอกาสบุกเข้าประชิดตัวหลวงพ่อบนกุฏิ พร้อมปืนในมือ “นี่คือการปล้น อย่าได้ขัดขืนนะหลวงพ่อ”

หลวงพ่อแทนที่จะตกใจหรือโมโห กลับยิ้มให้โจรด้วยอารมณ์ดี และกล่าวกับโจรอย่างนิ่มนวลว่า “ปล้นก็ดีเนาะ”

โจรแปลกใจในคำพูดและท่าทีของหลวงพ่อ จึงพูดว่า “ถูกปล้นทำไมว่าดีล่ะหลวงพ่อ”

หลวงพ่อตอบว่า “ทำไมจะไม่ดีล่ะ ก็ข้าต้องทนทุกข์ทรมานเฝ้าไอ้สมบัติบ้าๆ นี้ตั้งนานแล้ว เอ็งเอาไปเสียให้หมด ข้าจะได้ไม่ต้องเฝ้ามันอีก”

โจรตอบว่า “ไม่ใช่ปล้นอย่างเดียว ฉันต้องฆ่าหลวงพ่อด้วย เพื่อปิดปากเจ้าทรัพย์”

หลวงพ่อก็ตอบเหมือนเดิม “ฆ่าก็ดีเนาะ”

โจรแปลกใจจึงถามว่า “ถูกฆ่ามันจะดีได้อย่างไรล่ะหลวงพ่อ”

หลวงพ่อตอบ “ข้ามันแก่แล้ว ตายเสียได้ก็ดี จะได้ไม่ทุกข์ร้อนอะไร”

โจรรู้สึกอ่อนใจเลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ฆ่าหรอก”

หลวงพ่อก็พูดเหมือนเคย “ไม่ฆ่าก็ดีเนาะ”

โจรถามอีก “ทำไมฆ่าก็ดี ไม่ฆ่าก็ดีอีก”

หลวงพ่อตอบว่า “การฆ่ามันเป็นบาป เอ็งจะต้องใช้เวรทั้งชาตินี้และชาติหน้า อย่างน้อยตำรวจเขาจะต้องตามจับเอ็งเข้าคุก เข้าตะราง หรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ตายแล้วก็ยังตกนรกอีก”

ได้ยินเช่นนี้โจรเลยเปลี่ยนใจ “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ปล้นหลวงพ่อแล้ว”

หลวงพ่อก็ตอบอีกว่า “ไม่ปล้นก็ดีเนาะ”

มีผู้เล่าต่อมาว่า ในที่สุดโจรคนนั้นก็สำนึกบาปเข้ามอบตัวกับตำรวจ เมื่อพ้นโทษออกมาก็ขอให้หลวงพ่อบวชให้และอยู่ในผ้าเหลืองเป็นเวลานาน ส่วนหลวงพ่อมีคนให้ฉายาท่านว่า “หลวงพ่อดีเนาะ” มาจนทุกวันนี้

หลวงพ่อดีเนาะ แห่งวัดมัชฌิมาวาส อุดรธานี เป็นผู้ที่มองเห็นข้อดีของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน อีกทั้งท่านยังมองคนอื่นในแง่ดีเสมอ ไม่เคยว่าใครหรือจับผิดใคร เจอปัญหาอะไรๆ ก็พูดว่า “ดีเนาะ” ในที่สุดจึงได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็น “พระเทพวิสุทธาจารย์ สาธุอุทานธรรมวาที” ซึ่งแปลว่า ผู้สอนธรรมด้วยการเปล่งคำว่าดีเนาะ*** อ่านแล้วชอบมากเลยขอนำมาแชร์ต่อเนาะ..

เขาถามมาว่าองค์นี้สัมมาทิฏฐิไหม เป็นอรหันต์ไหม

ตอบ...อาตมาว่าตอบยาก อาจเป็นอรหันต์ก็ได้ แล้วท่านก็ไปตามสมมุติสัจจะ มีปฏิภาณใช้วาจาภาษาจนคนโกรธไม่ลง ทำร้ายไม่ลง อาตมาจะไปตอบว่าท่านเป็นอาริยะ อรหันต์หรือไม่ก็ไม่ได้ แต่คนที่จะเอาสมมุติสัจจะมาใช้ได้อย่างนี้ก็เป็นอรหันต์ที่เยี่ยมเลย เอาเรื่องดีมาใช้ได้มากเลยก็เก่งมาก แต่ถ้าธรรมดาสามัญ แม้พระพุทธเจ้าก็จะว่าสิ่งไม่ดีเหมือนกันไม่ใช่ว่าดีเนาะอย่างเดียว พระพุทธเจ้าว่าสิ่งนี้ไม่ดีก็ตำหนิ บริภาษดุด่าว่าตามสมมุติ การจะใช้สมมุติก็อยู่ที่คนจะใช้ ส่วนจิตนั้นเดาเอาไม่ได้เลย เพราะอรหันต์แต่ละท่านมีสัปปุริสธรรมตามภูมิท่าน พระพุทธเจ้าจึงออกกฎวินัยไว้ว่าอย่าไปเอาผิดอรหันต์ ไม่ว่าจะสมมุติหรือปรมัตถ์ ท่านไม่ได้ผิดหรอก แม้บางทีผิดวินัย ละเมิดวินัยก็ถือว่ามีสติวินัย เป็นความซับซ้อนลึกซึ้งมากเลยนี่คือความจริง ความดี สัจจะ ที่ต้องศึกษากันอย่างสำคัญ ไม่ง่าย

 

ความจริงนี่เป็นความถูกต้องด้วย ทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ คนมีปัญญาระดับสูงจะไม่เพ่งโทสใครง่ายๆ เช่นเรามีภูมิปัญญาเช่นนี้ เขาทำเราก็ไม่รู้ว่าเขาทำด้วยจิตอย่างไร แต่เราว่าไม่ดี แต่เขาทำ ถ้าเราเห็นว่าควรแย้งก็แย้ง แต่ถ้าไม่ควรแย้งเราก็ไม่แย้ง ก็เป็นเรื่องของเขา แต่ใจเราไม่เพ่งโทส ยิ่งคนนี้ท่านทำด้วยความประมาณของท่าน เราไม่รู้หรอกว่าท่านทำนี่พอเหมาะพอดีหรือไม่ แต่บางที่เราก็เห็นว่าเกินไปไม่น่าทำ แต่ท่านก็ทำ จึงยากจะไปประมาณตาม ใครยึดอยู่ เราเองยึดก็ทุกข์ หากเราไม่ชอบใจล่ะ เช่นเรายึดกฎระเบียบ แต่แล้วผู้นั้นเราก็เคยศรัทธา แต่ถ้าเรายึดเราก็จะเสื่อมศรัทธา ทั้งที่ท่านทำตามสมมุติที่ท่านประมาณ แต่ใจเราเสื่อมแล้ว ถ้าถือสา ในหมู่เราต้องทำการศึกษา

 

หรือแม้แต่ความดี เป็นประโยชน์ การถูกหรือผิดก็เป็นสมมุติ ของอเมริกาก็ออกกฎหมายอย่างนี้ หรือมาเมืองไทยก็ไม่ถูก เช่นบางประเทศว่าทำแท้งได้ แต่ไทยว่าไม่ได้ผิดกฎหมายหรือบางที่เขาแก้ผ้าได้แต่บางที่ไม่ได้ก็สมมุติกันไปจะถูกต้องก็อยู่ที่สังคมนั้น สมมุติแปลว่ารู้ร่วมกัน ว่าอย่างนี้ใช่ ไม่ใช่ ถูกหรือไม่ถูก ในกลุ่มไหนก็ต่างกันไป มีพังเพยว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม

 

แล้วความจริงต้องเป็นคุณค่าประโยชน์ อย่างคนที่ชงเหล่าเก่งๆ เขาก็ได้ค่าตัวสูงไปทำงานในที่ๆเขาต้องการคนแบบนี้เงินไหลมาเทมา ก็เป็นประโยชน์เขา แต่เราต้องมีปัญญารู้ว่าสมควรหรือไม่ จริงๆแล้วง่ายนะ เป็นประโยชน์นี่

 

ความจริงต้องเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ อย่างอรหันต์จะอนุโลมให้เขา ก็จะไม่ปล่อยให้ตามสบาย จะต้องแทรกยาทิพย์เข้าขุมขนให้เขาได้มีการฝึกหัดอดทน มีการตั้งตนบนความลำบาก แต่ก็เป็นโลกียะก็อนุโลมให้เขาได้ แม้ยังไม่เข้าปรมัตถ์ก็ให้เขาได้ เช่นคุณมีราคะต้องมีเพศสัมพันธุ์ก็อนุโลมผัวเดียวเมียเดียวแต่ถ้ามาศีล 8 ก็วิรัติขัดเกลามากขึ้น เรียกว่าเป็นความพ้นทุกข์ไปตามลำดับ

 

ถ้ามีวิธีเรียนปรมัตถ์ให้ได้ด้วย เช่นเราถือศีล 5 ละอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์เมื่อมาข้างในนี้ แต่ถ้าไปข้างนอกก็แล้วแต่คุณก็ว่าไปแต่มาข้างในก็มีกรอบช่วยนะ ให้ฝืนเท่าที่คุณทนได้ในโลกีย์แต่ถ้าสอนโลกุตระด้วยก็พ้นทุกข์ได้ทั้งสองอย่างผู้รู้จะสอนได้ทั้งสองอย่าง ส่วนผู้ไม่รู้ก็พ้นทุกข์แต่โลกีย์คือบำเรอ เลี้ยงลูกก็บำเรอลูกไปส่งลูกลงนรกแท้ๆเลย ถ้าไม่เรียนโลกุตระก็เป็นความซวย กลายเป็นทำให้อัตตาโต ซวยมากๆ แม้อนุโลมต้องทำให้ตั้งตนบนความลำบาก

 

ความจริงต้องเป็นไปได้ด้วย อย่างพวกเราเป็นไปได้อย่างสาธารณโภคีเช่นนี้ พวกนักปรัชญาหลายคนไม่เชื่อว่าเราเป็นโลกุตระแท้ โดยปรัชญาเขารู้ว่าดีมาจนนี่ดีแต่ว่าเขาไม่เชื่อว่าจริงไหม เขาก็จะว่าเรากดข่มโชว์ออฟไป จะได้กี่ปีกี่วัน เขาไม่รู้ว่าได้ปรมัตถ์นี่จะได้แท้ถาวร  หรือว่าบางคนเคร่งแต่ไม่ถาวรไม่จริงไม่ยืนนานทำไปๆ อาจารย์ที่พาทำอาจจะกดข่มเก่งหรือมีความทนได้มากมีภูมิธรรมสูงหน่อยแต่พออาจารย์ตายไป พวกนี้จะไม่นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ไม่มีแม้โสดาบัน ไม่มีนิยตนะ ไม่มี โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ คือสัจจะที่แท้ เลยขีดตกต่ำแล้ว เข้าหานิจจัง ทุวัง สัสตังแล้ว เป็นจริงได้ แต่คนไม่เข้าปรมัตถ์จะเวียนวนกดข่ม หลายสำนักที่ดูดีมักน้อยสันโดษเหมือนโลกุตระ แต่ต้องรักษาความเคร่งไว้นะ อนุโลมไม่ได้จะพัง พวกนี้ส่วนใหญ่อาจารย์ตายไปก็จะไปต่อกันไม่ได้เพราะไม่มีโลกุตระแท้

 

แม้แต่พวกคุณนี่จะมาหลงอาตมาหรือไม่ นี่ขนาดอาตมาไม่อยู่ไปกทม.นี่จะเหลือกี่คน ถ้าอาตมาตายไปล่ะ... บางทีมันมีสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน แม้ยากก็เป็นไปได้ อย่างพวกเรานี่จะอยู่อย่างไม่ขายเลย ไม่ได้ เราขายบ้างพอสมควร แต่ยาก บางทีต้องเอาให้พอ ขนาดนี้พวกเราก็ยังไม่ได้คล่องตัวมากเกินเลย มันซับซ้อนเรื่องบารมี องค์ประกอบของมวล ที่ยอมรับอุปภัมภ์ค้ำชูอีก ก็ซับซ้อน เช่นอาตมาพามาหมดเนื้อหมดตัวหนักเข้ามาอยู่ในนี้ก็หมดตัวแล้วจะเอาอะไรมาช่วยอาตมา แต่บางคนก็มีมุบมิบไว้หรืออยู่ข้างนอกที่เขามีเงินทองมีรายได้ก็อาศัยหมุนเวียน ถ่ายเทมา จากคนที่เขาศรัทธาอโศก แล้วเขาก็ยังเอารายได้จากภายนอกมาก เขาก็มาทำทาน ก็เป็นกุศลของเขา หากเขายิ่งเรียนปรมัตถ์ ใจเขาก็ทำใจเป็น เขาจะทำมากเท่าไหร่ อโศกนี่ยังไม่เคยมีทำทีละ 10 ล้านเลย มี 5 ล้านก็เจ้าเดียวมั้งนอกนั้นก็ลดหลั่นลงไป แต่ไม่ต้องพูดถึงอสังหาริมทรัพย์นะ ในชีวิตนี้ทำงานศาสนามา หรือบางคนทยอยมาให้ถึง 10 ล้านก็มี

 

ตอนประเด็น ปัญหา

-เรื่องความเป็นกลางเป็นอย่างไร?

ตอบ...ความเป็นกลางที่แบบเข้าข้างคนดี เอาพฤติกรรมมาวัด ให้รู้ว่าที่ว่าไม่เข้าข้างใครเลยนี่มันมีผลเสียหายต่อสังคมนะ มันมิจฉาทิฏฐิ อาตมาแบ่งเป็น

1. ไม่รู้เลยว่าใครดีใครชั่วหรือโง่ ไม่มีปัญญา ไม่รู้เลยเข้าข้างไม่ถูก

2. รู้ มีปัญญาเข้าใจ แต่กลัว กลัวจะเสียลาภยศสรรเสริญ มีเยอะเลย คนนี้เห็นแก่ตัวมากเลย กลัวเสีย ลาภ ยศ สรรเสริญ ตำแหน่ง รู้ว่าอะไรผิด แต่ว่าบางทีต้องยอมเข้าข้างคนผิด คนผิดมันมีอำนาจใหญ่เดี๋ยวมันปลด คนประเภทนี้มีเยอะมากเลย ตั้งแต่สูงจนถึงต่ำ

3. ประเภทมิจฉาทิฏฐิ คือความเป็นกลางต้องอยู่เฉย คือสอนมาผิดๆ เข้าใจผิด ว่าเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร

สังคมเลยแย่เพราะว่าความเป็นกลาง 3 แบบนี้ โดยเฉพาะคนที่รู้ว่าอะไรดี หรือไม่ดี ควรเข้าข้างคนดี อาจเข้าใจด้วยว่าช่วยคนดีจะเป็นพลัง ยิ่งคนมีทุนทางสังคม เป็นที่ยอมรับของสังคม ยิ่งเข้าข้างใครจะมีน้ำหนักเยอะ ถ้าไม่ติดยึดโลกธรรม และอย่ามิจฉาทิฏฐิว่าเป็นกลางอย่าเข้าข้างใคร ถ้าทำได้ถอดถอนได้ สังคมจะพัฒนาเร็วส่วนที่ไม่รู้ว่าอะไรดีหรือชั่วก็แล้วไป ทุกวันนี้อาตมาว่าสังคมไทยกำลังจะพัฒนาปฏิรูป ผู้รู้อยู่ว่าอะไรถูกหรือผิด มันน่าจะลุยช่วยคนถูกให้เต็มที่เลย

 

-พูดถึงเรื่องเห็นภาพแล้วประทับใจ อาตมาประทับใจคุณสุรัตน์ ที่เก็บแผ่นซีดีไปขายแล้ว ถูกจับ แต่ เขาได้รับคำสอนจากใครนะ เขาได้รับเงินบริจาค แต่เขาไม่เอา เขาว่าเอาผมออกจากคุกได้ก็ดีนักหนาแล้ว ส่วนเงินอื่นนอกนั้นเขาเอาไปบริจาคต่อ คนอย่างนี้มีคุณธรรมเช่นนี้ แล้วคนรวยที่มีเกินนี่เห็นไหม คนจนแต่ก้าวหน้าเป็นเช่นนี้ คนเราเรื่องคุณธรรมไม่ได้อยู่กับอาชีพใด แต่คนเก็บขยะกับมีคุณธรรมสูง น่าชื่นชม อาตมาก็ชมคนที่ควรชม คนนี้เก็บขยะก็ชมได้ เป็นคนที่เขารู้ร่วมกันทั่ว


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:04:41 )

571123

รายละเอียด

571123_วิถีอาริยธรรม สันติฯ พ่อครู+ส.เพาะพุทธ เรื่อง ปฏิบัติลืมตาคือสมาธิพุทธ

ส.เพาะพุทธว่า...วันนี้เข้ารายการช้าไป 20 นาที พ่อครูปรารภพว่า ดีเนาะ ยังไม่ถึง ครึ่งชม. ต่อเนื่องคำว่า “ดีเนาะ” มีที่พ่อครูอธิบายไว้ที่บ้านราชฯ มีคนถามพ่อครูเรื่องหลวงพ่อดีเนาะ ล่าสุดพ่อครูนำเสนอ อาตมาอ่านเรื่องนี้อาตมาเข้าใจว่า คงไม่ใช่อรหันต์ แต่พ่อครูตอบว่าอาจเป็นหรือไม่เป็นก็ได้

 

หลวงพ่อดีเนาะ ผู้มองโลกในแง่ดี ขอให้ทุกท่านลองอ่านดูเนาะ.. (big happy smile)

...มีหลวงพ่อองค์หนึ่งซึ่งเลื่องลือกันว่า เป็นพระที่มีแต่ความสุข ไม่เคยมีความทุกข์ วันหนึ่ง โยมมานิมนต์ท่านไปเทศน์ที่บ้าน บอกท่านว่าจะมารับแต่เช้า หลวงพ่อก็นั่งรอจนสายโยมก็ไม่มาสักที ท่านจึงว่า “ไม่มาก็ดีเหมือนกันเนาะ เราฉันท์ข้าวของเราดีกว่า”

ท่านฉันท์ข้าวได้ไม่กี่คำ โยมก็มารับพอดี กราบกรานขอโทษที่มาช้าเหตุเพราะว่ารถเสีย

หลวงพ่อจึงหยุดฉันท์ “ก็ดีเนาะ ไปฉันที่งานเนาะ”

หลวงพ่อนั่งรถไปได้สักพัก เครื่องรถก็ดับ คนขับบอก “รถเสียครับ”

หลวงพ่อก็ว่า “ดีเนาะ ได้หยุดพักชมวิวเนาะ”

คนขับง่วนอยู่กับรถพักใหญ่ ทำอย่างไรเครื่องก็ไม่ติด จึงออกปากขอร้องให้หลวงพ่อช่วยเข็นรถ ความจริงหลวงพ่อก็แก่แล้ว ข้าวก็ฉันท์ได้ไม่กี่คำ แต่แทนที่จะบ่น ท่านกลับยิ้มแล้วบอกว่า “โอ้ดีเนาะ ได้ออกกำลังเนาะ”

แล้วท่านก็ขมีขมันออกแรงช่วยเข็นรถจนวิ่งได้ ปรากฏว่ากว่าจะถึงบ้านงานก็เลยเที่ยงแล้ว หมดเวลาฉันท์อาหารไปแล้ว เป็นอันว่า วันนั้นหลวงพ่ออดข้าวทั้งสองมื้อ แต่เนื่องจากได้เวลาเทศน์แล้ว เจ้าภาพจึงนิมนต์ท่านขึ้นเทศน์ทันที หลวงพ่อก็สนองด้วยดี “ดีเนาะ มาถึงก็ได้ทำงานเลยเนาะ”

ว่าแล้วท่านก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์จนจบ มีคนชงกาแฟถวาย แต่เผลอตักเกลือใส่แทนน้ำตาล หลวงพ่อจิบกาแฟไปได้หน่อยก็บอกโยมว่า “ดีเนาะ”

แล้วก็วาง ธรรมเนียมของญาติโยมที่ศรัทธาเกจิอาจารย์ เวลาท่านฉันท์อะไรเหลือ ลูกศิษย์ก็อยากได้บ้าง ถือเป็นสิริมงคล แต่ลูกศิษย์ดื่มกาแฟแค่อึกแรกเท่านั้นก็พ่นพรวดออกมา

“เค็มปี๋เลยหลวงพ่อ ฉันท์เข้าไปได้ยังไง !”

“ดีเนาะ ฉันกาแฟหวานๆ มานาน”

หลวงพ่อว่า “ฉันเค็มๆ มั่งก็ดีเหมือนกัน”

ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน จะแย่แค่ไหน หลวงพ่อก็มองเห็นแต่แง่ดี ท่านจึงไม่มีความทุกข์เลย

เคยมีลูกศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งไปทำผิด ถูกจับติดคุก ท่านก็ว่า “ก็ดีเนาะ มันจะได้ศึกษาชีวิต”

หลวงพ่อดีเนาะมิใช่เป็นหลวงตาธรรมดาๆ หากเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีชื่อของจังหวัดอุดรธานี ที่ใครๆ ก็รู้จัก ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาและผู้เคารพนับถือทั่วประเทศ การประพฤติปฏิบัติของท่านเป็นที่เล่าขานกันมากมายหลายเรื่อง เช่น มีผู้เล่าว่า กุฏิของท่านเป็นที่จับตาของโจรผู้หนึ่ง เพราะเห็นว่ามีสิ่งของมีค่ามากมายที่ญาติโยมนำมาถวาย วันหนึ่งได้โอกาสบุกเข้าประชิดตัวหลวงพ่อบนกุฏิ พร้อมปืนในมือ “นี่คือการปล้น อย่าได้ขัดขืนนะหลวงพ่อ”

หลวงพ่อแทนที่จะตกใจหรือโมโห กลับยิ้มให้โจรด้วยอารมณ์ดี และกล่าวกับโจรอย่างนิ่มนวลว่า “ปล้นก็ดีเนาะ”

โจรแปลกใจในคำพูดและท่าทีของหลวงพ่อ จึงพูดว่า “ถูกปล้นทำไมว่าดีล่ะหลวงพ่อ”

หลวงพ่อตอบว่า “ทำไมจะไม่ดีล่ะ ก็ข้าต้องทนทุกข์ทรมานเฝ้าไอ้สมบัติบ้าๆ นี้ตั้งนานแล้ว เอ็งเอาไปเสียให้หมด ข้าจะได้ไม่ต้องเฝ้ามันอีก”

โจรตอบว่า “ไม่ใช่ปล้นอย่างเดียว ฉันต้องฆ่าหลวงพ่อด้วย เพื่อปิดปากเจ้าทรัพย์”

หลวงพ่อก็ตอบเหมือนเดิม “ฆ่าก็ดีเนาะ”

โจรแปลกใจจึงถามว่า “ถูกฆ่ามันจะดีได้อย่างไรล่ะหลวงพ่อ”

หลวงพ่อตอบ “ข้ามันแก่แล้ว ตายเสียได้ก็ดี จะได้ไม่ทุกข์ร้อนอะไร”

โจรรู้สึกอ่อนใจเลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ฆ่าหรอก”

หลวงพ่อก็พูดเหมือนเคย “ไม่ฆ่าก็ดีเนาะ”

โจรถามอีก “ทำไมฆ่าก็ดี ไม่ฆ่าก็ดีอีก”

หลวงพ่อตอบว่า “การฆ่ามันเป็นบาป เอ็งจะต้องใช้เวรทั้งชาตินี้และชาติหน้า อย่างน้อยตำรวจเขาจะต้องตามจับเอ็งเข้าคุก เข้าตะราง หรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ตายแล้วก็ยังตกนรกอีก”

ได้ยินเช่นนี้โจรเลยเปลี่ยนใจ “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ปล้นหลวงพ่อแล้ว”

หลวงพ่อก็ตอบอีกว่า “ไม่ปล้นก็ดีเนาะ”

มีผู้เล่าต่อมาว่า ในที่สุดโจรคนนั้นก็สำนึกบาปเข้ามอบตัวกับตำรวจ เมื่อพ้นโทษออกมาก็ขอให้หลวงพ่อบวชให้และอยู่ในผ้าเหลืองเป็นเวลานาน ส่วนหลวงพ่อมีคนให้ฉายาท่านว่า “หลวงพ่อดีเนาะ” มาจนทุกวันนี้

หลวงพ่อดีเนาะ แห่งวัดมัชฌิมาวาส อุดรธานี เป็นผู้ที่มองเห็นข้อดีของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน อีกทั้งท่านยังมองคนอื่นในแง่ดีเสมอ ไม่เคยว่าใครหรือจับผิดใคร เจอปัญหาอะไรๆ ก็พูดว่า “ดีเนาะ” ในที่สุดจึงได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็น “พระเทพวิสุทธาจารย์ สาธุอุทานธรรมวาที” ซึ่งแปลว่า ผู้สอนธรรมด้วยการเปล่งคำว่าดีเนาะ                   *** อ่านแล้วชอบมากเลยขอนำมาแชร์ต่อเนาะ..

 

 

ส.เพาะพุทธว่า...พ่อครูตอบแบบภาคเสธว่า...อาตมาว่าตอบยาก อาจเป็นอรหันต์ก็ได้ แล้วท่านก็ไปตามสมมุติสัจจะ มีปฏิภาณใช้วาจาภาษาจนคนโกรธไม่ลง ทำร้ายไม่ลง อาตมาจะไปตอบว่าท่านเป็นอาริยะ อรหันต์หรือไม่ก็ไม่ได้ แต่คนที่จะเอาสมมุติสัจจะมาใช้ได้อย่างนี้ก็เป็นอรหันต์ที่เยี่ยมเลย เอาเรื่องดีมาใช้ได้มากเลยก็เก่งมาก แต่ถ้าธรรมดาสามัญ แม้พระพุทธเจ้าก็จะว่าสิ่งไม่ดีเหมือนกันไม่ใช่ว่าดีเนาะอย่างเดียว พระพุทธเจ้าว่าสิ่งนี้ไม่ดีก็ตำหนิ บริภาษดุด่าว่าตามสมมุติ การจะใช้สมมุติก็อยู่ที่คนจะใช้ ส่วนจิตนั้นเดาเอาไม่ได้เลย เพราะอรหันต์แต่ละท่านมีสัปปุริสธรรมตามภูมิท่าน พระพุทธเจ้าจึงออกกฎวินัยไว้ว่าอย่าไปเอาผิดอรหันต์ ไม่ว่าจะสมมุติหรือปรมัตถ์ ท่านไม่ได้ผิดหรอก แม้บางทีผิดวินัย ละเมิดวินัยก็ถือว่ามีสติวินัย เป็นความซับซ้อนลึกซึ้งมากเลยนี่คือความจริง ความดี สัจจะ ที่ต้องศึกษากันอย่างสำคัญ ไม่ง่าย

 

ส.เพาะพุทธว่า...ว่ากันว่าผู้จะรู้จักอรหันต์ต้องเป็นอรหันต์ด้วยกัน แต่อย่างบางที่อรหันต์บางรูปก็ไม่รู้ว่าใครเป็นอรหันต์ทั้งหมด

 

และมีประเด็นที่คนส่งมาว่า...เมื่อไม่นานมานี้มีญาติธรรมใหม่ เป็นผู้หญิง มายืมธรรมะโดยบอกว่า ขอยืมธรรมะที่พ่อครูเทศน์ เขายืมไปเกือบ 70 เรื่อง เขาเล่าให้ฟังว่า รู้จักกับกองทัพธรรม ช่วงที่ไปชุมนุมผ่านฟ้าฯ ได้ไปกินอาหารที่ครัวกองทัพธรรมบ่อย และได้ฟังพ่อครูเทศน์รู้สึกโดนใจหลายเรื่อง

 

ก่อนหน้านี้  เขาเคยไปศึกษาที่ ธรรมกาย ด้วยเหตุผลความทุกข์ใจ ที่คุณแม่เสียชีวิต พอไปถึงที่ธรรมกาย จะมีคณะต้อนรับรีบมาดูแลอย่างดี ราวกับเราเป็น คนสำคัญและสอบถาม(ล้วง)ข้อมูล พอรู้ว่าเป็นคนมีเงินมากหน่อย ก็บอกว่า ถ้าอยากให้แม่ได้ขึ้นสวรรค์ ชั้นสูงๆใหญ่ๆ ก็ต้องสร้างด้วย เงิน มากๆค่ะ เขาจึงไปขายที่ดินเอาเงินไปทำบุญเป็นล้านบาท

ไปทุกครั้ง คณะต้อนรับ ก็จะชักชวนให้ทำบุญ โดยเอาสวรรค์วิมานมาเป็นเครื่องจูงใจ จนสุดท้ายเขาเกือบ หมดตังค์ และพอดีมาร่วมชุมนุม จึงพบธรรมะแนวใหม่ โดนใจมากๆ ที่สอนให้คนมาจนค่ะ

 

ทางแม่บ้านตะวันงาย ก็แนะนำว่า ถ้ามาคบคุ้นกันบ่อยๆ ก็จะได้คะแนนสิทธิ์ในการซื้อ เพราะมีคนจองคิวยาว เขาก็บอกว่ารู้จักกับลุงเอ๋ที่สขจ.เพราะเอาของมาบริจาคให้ประจำค่ะ

 

ขออนุญาตจบการเล่าเพียงนี้ค่ะ

 

ส.เพาะพุทธว่าขอนิมนต์พ่อครูอรรถาธิบายธรรมต่อครับ

 

 

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาตั้ังใจบรรยายการทำสมาธิแบบที่อาตมาเข้าใจกับที่ส่วนใหญ่ชาวพุทธเข้าใจเกือบหมด ….วันนี้อ่านอินไซด์ไทยโพสต์ บทความของอ.บูรพา ผดุงไทย ซึ่งมีความเข้าใจเรื่องสมาธิแบบที่คนเกือบทั้งหมดเข้าใจ ต่างจากที่อาตมาเข้าใจว่า สมาธิ คือมรรค 7องค์ ปฏิบัติเพื่อลดละกิเลส จนเกิดฌาน เพ่งเผากิเลส แล้วสั่งสมเป็นสมาธิ แต่ที่คนทั่วไปเข้าใจกันจะเป็นการไปนั่งสมาธิแล้วเกิดฌานในภพ เป็นความเห็นต่าง แล้วความเห็นต่างที่พาไปเสื่อมนั้นก็น่าเวทนา อาตมาที่ทำนี่ก็เห็นใจสงสารคนไม่สัมมาทิฏฐิ

  • สมาธิชาวบ้าน อ.บูรพา ผดุงไทย

ภูมิวิปัสสนา 1
การทำสมาธินั้นไม่ง่าย ไม่ยาก เพียงแต่ต้องเข้าใจว่าจิตจะไปสู่ความเดิมแท้ได้ต้องมีวิธีการพรากจิตออกจาก ความคิด ซึ่งมีวิธีในการนำไปสู่เครื่องรู้ของจิตแทนการนำความคิดมาเป็นเครื่องรู้ เช่น กำหนดลมหายใจ กำหนดคำภาวนา ภาพนิมิตกสิณ วิธีต่างๆ เหล่านี้เพื่อให้จิตมีเครื่องรู้ ให้จิตมีเครื่องระลึก แทนที่จะตกอยู่ใต้อำนาจความคิดอันเป็นสมมติบัญญัติ
เมื่อเราให้เครื่อง รู้ จิตจะไปยึดกับเครื่องรู้ ยึดแบบไม่พรากจากกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่น ไปอยู่กับลมหายใจ ความรู้สึกหรือจิตนี้มันอยู่กับลมหายใจ เข้ารู้ ออกรู้ สั้นรู้ ยาวรู้ อยู่อย่างแนบแน่น สนิทกัน ไม่พรากจากกัน เพราะจิตไม่มีจังหวะใดที่จะหลุดไปคิด คือจิตอยู่กับกรรมฐานที่ให้อย่างแนบแน่น จิตจับความรู้สึก จับกับลมหายใจตลอดเวลาไม่พรากจากกัน แต่ช่วงขั้นนี้ผู้ปฏิบัติใหม่จะทำได้ยากหน่อย เพราะบางครั้งต้องใช้เวลา บางคนจะอยู่ได้ระยะหนึ่ง จิตจะพรากออกไปเอง เอาไปคิดซ้าย คิดขวาต่างๆ แต่เมื่อมีสติระลึกได้ จิตจะกลับมาใหม่และเป็นอยู่เช่นนั้น หากไม่นำรวมกันเป็นหนึ่งได้ จิตจะยึดติดกับความคิด เมื่อจิตไม่พรากจากความคิดก็จะไม่รู้สภาวะจิตเดิมแท้ได้ 
จิตเดิมแท้ เป็นอาการของธาตุรู้อย่างหนึ่ง ก่อนที่จะถูกครอบงำจากความคิดอันเป็นสมมติบัญญัติ เมื่อจิตติดสมมติบัญญัติจะขังอยู่ในกรอบความคิดนั้นๆ ทำให้รู้เฉพาะในสิ่งที่เป็นความคิด ความฝัน กายสังขารเกิดมาจากธาตุรู้ เรียกว่าอวิชชา ยึดมั่นถือมั่น คิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา จิตไปเกิดในความคิดความฝันของเราเอง มิติของความคิด ความฝัน คิดเป็นเรื่องเป็นราว เป็นความจริง เพราะจิตที่ไม่ได้ฝึกอบรมมาอยู่ในภาวะไม่รู้ความจริงต่างเกิดมาในความฝัน มีกรรมต่างๆ ผูกพันกัน เกิดในความฝันร่วมกัน ทั้งที่สิ่งที่เราอยู่มันเป็นมิติของความคิดและความฝัน แต่เราแยกไม่ออกว่าแท้จริงแล้วคือความคิดมาปรุงแต่ง รู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง ทำให้เวียนเกิดเวียนตายอยู่อย่างนี้ หลุดออกไปไม่ได้
พระพุทธเจ้ารู้ว่าความคิดเหล่านี้เป็นมิติของความคิด ซึ่งการจะหลุดพ้นออกจากมิติของความคิดได้ มีทางเดียวคือต้องมีปัญญาพระนิพพาน ถ้าไม่ได้ปัญญาพระนิพพานแล้วย่อมต้องเวียนว่ายตายเกิด เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในความคิด ความฝันของตัวเราเองนี้ ออกไปไหนไม่ได้
แนวทาง การอบรมจิต คือเมื่อเรารวมจิตแล้วเริ่มรู้ความจริง จิตสงบลงด้วยอุบายกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตออกจากความคิดได้ เกิดปัญญาเรียกว่า "ภูมิวิปัสสนา" เกิดขึ้น เมื่อจิตพ้นอำนาจความคิดแล้ว เกิดความรู้ ความจริงต่างๆ ขึ้นมา ผู้ฝึกปฏิบัติเริ่มแรกนานๆ จึงจะเกิดอาการนี้ครั้งหนึ่ง ต่อไปเมื่อสมาธิมันมั่นคงแข็งแรงดี อาการผุดรู้จะเกิดเร็วขึ้น ต่อมาความรู้จะหลั่งไหลเหมือนสายน้ำไม่ขาดตอน ไม่ขาดสาย แม้จะออกจากสมาธิมาแล้ว จิตก็ยังคงมีปัญญาความรู้หลั่งไหลออกมาตลอด เป็นภูมิวิปัสสนาที่จิตพ้นอำนาจครอบงำของความคิดเดิม เกิดภาวะรู้จริง.

 

 

อาตมาเคยสู้ ให้ยุงทะเลที่มาเป็นฝูงเป็นก้อนๆ มากัดเป็นร้อยๆตัวทิ้งภาวะข้างนอก สะกดจิตดับดิ่งไปเลย (ส.เพาะพุทธว่าน่าจะเป็นวิบาก) อาตมาก็ทำสัก 2 ครั้ง ก็ไม่ไหว มันคันเป็นตุ่มเยอะเลย เราก็รู้ว่าเราทำได้ก็เลยจบ อาตมาพูดนี่รู้ทั้งสองแบบ อย่างอ.บูรพาว่าและแบบสัมมาสมาธิแบบพระพุทธเจ้ามีสัปปุริสธรรม มหาปเทส ในการอยู่กับสังคม ไม่ใช่ปัญญานิพพานคือคิดอะไรไม่ออก รู้อะไรไม่ได้ เอกัคคตาเขาคือจิตเป็นหนึ่ง แต่หนึ่งที่อาตมาหมายคือจิตเป็นหนึ่ง อย่างเลิศยอด กิเลสไม่เกิดอีกเลย แม้จะสัมผัสกับโลกธรรมรุนแรงขนาดไหน ลาภ ยศ สรรเสริญ กาม อัตตา กระแทกอย่างไรก็ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ทั้งที่เราร่วมสังขารไปกับเขา แต่เรามีอภิสังขาร มีอนุโลม มีสัจจานุโลมมิกญาณ และเป็นสังขารที่แข็งแรง บริสุทธิ์อย่างเดิม มีมุทุภูตธาตุ ประมาณสัดส่วนในการทำงานกับโลกอย่างดี แต่ถ้าหนึ่งเดียวทำงานไม่ได้นี่ คุณทำงานไม่ได้ต้องอยู่กับกสิณเขานั่นแหละ นี่คือความเห็นต่าง ก็ตัดสินกันเอาเอง

 

แล้วเขาบอกว่ามีแต่จิตเดิมแท้ คิดไม่ได้ ฝันไม่ได้ แนวทางคือเราอบรมจิตคือเมื่อเรารวมจิตแล้วเริ่มรู้ความจริง นี่ยึดกสิณนะ... จิตสงบลงด้วยอุบายกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตออกจากความคิดได้ เกิดปัญญาเรียกว่า “ภูมิวิปัสสนา” ตอนที่ไม่รู้อะไรเลย รู้แต่อันนั้นอันเดียวแล้วมันเกิดปัญญาได้อย่างไร? แต่ปัญญาคุณได้แค่อยู่กับกสิณอย่างเดียว จิตเดิมแท้คืออยู่กับอันใดอันหนึ่งเท่านั้น กับกรรมฐานก็คือยึดกสิณ

 

เขาว่า...เมื่อจิตพ้นอำนาจความคิดแล้ว เกิดความรู้ ความจริงต่างๆ ขึ้นมา ผู้ฝึกปฏิบัติเริ่มแรกนานๆ จึงจะเกิดอาการนี้ครั้งหนึ่ง ต่อไปเมื่อสมาธิมันมั่นคงแข็งแรงดี อาการผุดรู้จะเกิดเร็วขึ้น ต่อมาความรู้จะหลั่งไหลเหมือนสายน้ำไม่ขาดตอน ไม่ขาดสาย แม้จะออกจากสมาธิมาแล้ว จิตก็ยังคงมีปัญญาความรู้หลั่งไหลออกมาตลอด เป็นภูมิวิปัสสนาที่จิตพ้นอำนาจครอบงำของความคิดเดิม เกิดภาวะรู้จริง.

 

สรุปว่าภาวะของอ.บูรพาคือไม่คิดนึก ให้ปัญญาความรู้หลั่งไหลมาเอง อันนี้อาตมาขอไขความว่า นี่เป็นทิฏฐิชนิดหนึ่ง ผู้ใดเมื่อนั่งสมาธิ เมื่อจิตมีสติสัมปชัญญะปัญญา ก็จะรู้ในภพ แล้วในภพนั้นไม่มีนิวรณ์ใดๆเลย ไม่ต้องคิด พอจิตเปิดมารู้มันก็จะรู้เหมือนรู้อะไรได้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นพลังกำลังความรู้ของใครก็จะอาศัยสิ่งเกิดได้ ถ้าไม่น้อมไปในขันธ์ส่วนอนาคตเลย จิตจึงมีแต่ขันธ์ในอดีต 18 ของทิฏฐิ 62 แล้วขันธ์ในอดีตก็จะไหลมาเท่าที่มันจะไหลมา นั่นคือความจำในอดีตไม่มีของใหม่ การเกิดปัญญาจึงไม่มี มีแต่สัญญา คือความจำ จะได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่บารมีของผู้นั้น

 

อย่างอาตมานี่ใช้ขันธ์ในอดีตได้เท่าที่ได้ ก็ยังไม่หมดยังไหลออกมาอยู่ แต่เข้าใจต่างกันที่ ถ้าผู้ใดเป็นอาริยะก็ได้ของที่เป็นอาริยะไหลออกมาใช้ แต่ถ้าผู้ไม่เป็นอาริยะก็ได้แต่ของโลกียะมาใช้ ถ้าคุณเป็นโสดาบัน ก็ได้โสดาบันมาใช้ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตวฺ์...ไปตามที่เรามีจริงในอดีต

 

ซึ่งแนวคิดของอ.บูรพาก็ทำกันทั่วไป แต่อาตมาก็ยืนยันแบบของพระพุทธเจ้าในมหาจัตตารีสกสูตร

 

ความรู้ความเห็นเรื่องวิญญาณทุกวันนี้ไปเห็นว่าวิญญาณนั้นเป็นรูปร่างตัวตนไปแล้ว ต่างกับพ่อครูที่ว่า มโนนั้นอสรีรัง ในพระไตรฯล.25 ข.13 ว่าไว้ว่า..วิญญาณอนิทัสสนัง อนันตัง สัพพโตปภัง เห็นไม่ได้ ไม่มีกรอบขอบเขต กระจายไปไม่มีที่จบ เหมือนแสงกระจายอยู่ไม่มีกรอบขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด หาที่สุดไม่ได้ เหมือนแสง วิญญาณไม่มีทรวดทรง โครงร่าง กรอบขอบขีด เส้นสีแสงอะไร มันเป็นได้แค่อาการ ไหว ยิ่งกว่าแสงที่จะอ่านได้

 

แม้พระพุทธเจ้าจะตรัสว่าวิญญาณนั้นอนิทัสสนัง แต่เขาก็มิจฉาทิฏฐิว่า เห็นเป็นรูปร่างด้วยตาเนื้อ หรือว่าเป็นในภวังค์ บางคนเห็นอยู่ภายนอกมีรูปโฉมโครงร่างมีทรวดทรง ปรากฏเป็นเป็นรูป(สิ่งที่ถูกรู้) จิตวิญญาณเรามีธาตุรู้ก็ไปรู้ทางทวาร 5 ได้ มีเสียง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหมือนได้กระทบสัมผัสสิ่งภายนอกได้เลย เป็นเนื้อตัวรูปร่างสิ่งอันเหมือนตอนสัมผัสทวาร 5 แม้จะหลับตาเข้าภวังค์ก็จะปรากฏเป็นรูปร่างสีสัน เป็นตัวตนได้ เช่นเห็นเปรตตัวสูงปากเล็กเหมือนเข็ม พุงโต หรือเห็นเทวดาแต่องค์ทรงเครื่องบันดาลมีฤทธิ์ได้เลย มีเสียงร้องหวยโหน หรือหัวเราะ มีกลิ่นเหม็นหรือหอมบ้าง เขาเรียกว่าเป็นรูปทิพย์ กายทิพย์แล้วนับถือผู้เห็นได้ว่ามีฤทธิ์เดช มีตาทิพย์จึงเห็นได้ โดยจะเห็นตอนมีสมาธิ หรือจะเห็นได้เสมอก็ยิ่งเก่งไม่ว่าจะหลับหรือลืมตา เขาเห็นและรับรู้ได้อย่างที่เขารู้จริงๆ เพราะว่าเขามีความรู้ว่าความเป็นกายก็แค่รูปธรรม ไม่มีส่วนของนามธรรมเลย เห็นเพียงภาวะร่างที่เป็นรูปธรรม ไม่มีส่วนของนามธรรมจึงเป็นเช่นนี้ เทวนิยมเห็นผี เทวดาเป็นเช่นนี้ ไม่นึกว่ารูปร่างจะมีญาณปัญญานึกคิดได้ด้วย พ่อครูเรียว่าผู้ได้มโนมยอัตตปฏิลาโภ

 

อาตมายืนยันตามพระไตรปิฎก...การเห็นแค่โครงร่างคุณก็มีกายสังขารได้เท่านี้ การเห็นของผู้นี้จึงรู้จัก รู้แจ้ง กายสังขารได้แค่รูปธาตุ ซึ่งมันคนละทิศกับความเห็นคำว่า กาย ของอาตมา จึงยังไม่รู้เรื่องกายเลย ไม่เอาไม่รู้ว่ากายนั้นเกี่ยวกับนามธรรมอย่างยิ่งกว่านามธรรมด้วย เพราะมโนเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ผู้ใดเรียนรู้กายได้แต่รูปธาตุก็ไม่สามารถศึกษา กายสังขารได้

 

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร แต่คุณไม่รู้ว่า กาย คือนามธรรม ก็ไม่รู้จัก กายสังขาร ที่เป็นการสังขารที่เกี่ยวเนื่องกับจิตอย่างสำคัญ ก็ไม่สามารถรู้ กายสังขารที่เป็นองค์รวมของนามและรูป ก็ไม่รู้สังขารก็เป็นผู้ไม่รู้จักวิชชาด้วย ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาทต่อจากสังขาร ไปอีกทั้งสาย เพราะตัดแล้วว่ากายเป็นแค่วัตถุ กายสังขารผู้นี้มีแค่ อวิชชากับสังขาร ...ก็ตัดไปทั้งสายก็ไม่รู้จักไม่รู้

 

พระไตรฯ ล.14 ข.[285ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็น  พระอรหันตขีณาสพ

อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดย

ลำดับ  สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็

มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นอุปปาติกะ  เพราะสิ้นสัญโญชน์

ส่วนเบื้องต่ำทั้ง  5  จะได้ปรินิพพานในโลกนั้นๆ  มีอันไม่กลับ  มาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา

แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นพระสกคาทามีเพราะสิ้นสัญโญชน์

3  อย่าง  และเพราะทำราคะ  โทสะ  โมหะให้เบาบางมายังโลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น  ก็จะทำที่สุด

แห่งทุกข์ได้  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุสงฆ์นี้  ก็มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นพระโสดาบัน  เพราะสิ้นสัญโญชน์

3  อย่าง  มีอันไม่ตกอบายเป็นธรรมดา  แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้ใน  เบื้องหน้า  แม้ภิกษุเช่นนี้ใน

หมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญ

สติปัฏฐาน  4  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

 

ในพระไตรฯล.31 ข.[620] ธรรมเหล่าไหนเป็นโลกุตระ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4

อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อริยมรรค 4สามัญผล 4 และนิพพาน

ธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตระ ฯ 

 

 

 

ต่อในล.14 ข.[286ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรใน

อันเจริญสัมมัปปธาน  4  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ (พ่อครูว่า..เริ่มตั้งแต่ กายในกาย ในสติปัฏฐานก็มีให้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน อานาปานสติก็ลืมตาทำ  และในสัมมัปปธาน 4 ก็มีให้สังวรอินทรีย์หากคุณจะไปนั่งหลับตาแล้วจะไปสังวรอะไรได้)

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

อิทธิบาท  4  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

อินทรีย์  5  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

พละ  5  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

โพชฌงค์  7  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

มรรคมีองค์  8  อันประเสริฐอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ก็มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

เมตตาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

กรุณาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

มุทิตาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญ

อุเบกขาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญ

อสุภสัญญาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญ

อนิจจสัญญาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

 

[287ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรใน

อันเจริญอานาปานสติอยู่  ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อานาปานสติ  อันภิกษุเจริญแล้ว  ทำให้มากแล้ว  ย่อมมีผลมาก

มีอานิสงส์มาก  ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว  ทำให้มากแล้ว  ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน  4  ให้

บริบูรณ์ได้  ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน  4  แล้ว  ทำให้มากแล้วย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์  7  ให้บริบูรณ์

ได้  ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์  7  แล้ว  ทำให้มากแล้ว  ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้  ฯ

 

[288ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็อานาปานสติ  อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร  ทำให้มากแล้ว

อย่างไร  จึงมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุใน  ธรรมวินัยนี้  อยู่ในป่าก็ดี

อยู่ที่โคนไม้ก็ดี  อยู่ในเรือนว่างก็ดี 

 

พ่อครูแทรกอธิบายคำว่า “ก็ดี” ว่าพระพุทธเจ้ามีนัยสำคัญในการพูดกับคนที่เขานั่งปฏิบัติในป่าหรือในภาวะฤๅษีทั้งนั้นเลย ท่านว่า ก็ดี คือ ก็เถอะ ท่านแปลมาจากคำว่า “วา” ก็คืออย่างนั้นก็ได้ คือจะอยู่อย่างนี้ก็เถอะ คุณจะอยู่เมืองก็เถอะ จะอยู่ป่าก็เถอะ จะอยู่อย่างไรก็ให้ล้างกิเลสให้ได้  คำว่า “วา”คือเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ก็ได้ จะอยู่ป่าหรือกรุงก็ได้แต่ให้ปฏิบัติสู่ปรมัตถธรรให้ได้นั่นเอง

 

ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าไม่ต้องหลีกจากชีวิตสามัญ ไม่ต้องออกป่า เขา ถ้ำ แต่ให้อยู่กับหมู่ อยู่กับชีวิตสามัญให้มีสัลเลขธรรม อยู่กับหมู่นี่แหละขัดเกลากันดีนัก ที่พระพุทธเจ้าว่าก็ดีนั้นก็คือ ถึงจิตอย่างสัมมาทิฏฐิจึงเป็นการทำใจในใจ สามารถพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม มีมรรคผลได้

 

แม้พระพุทธเจ้ายังถูกมอมเมาเป็นลิงลมอมข้าวพองไปหลงออกป่าตามเขาตั้ง 6 ปีเลย พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสว่าจะอยู่ป่าก็ดี จะอยู่โคนไม้ก็ดี จะอยู่ในเมืองก็ดี กับคนก็ดี จะอยู่เรือนว่างหรือไม่เรือนว่างก็ดี ก็ต้องปฏิบัติให้ถูก และพระพุทธเจ้าตรัสว่าการปฏิบัติอยู่ป่ามา 6 ปีเป็นการใช้หนี้วิบาก ท่านว่าท่านไม่ได้บรรลุด้วยทางนี้ เป็นทางผิด และแท้ๆแบบพระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ต้องทำเช่นนั้นเลย แต่ปฏิบัติได้ทุกลมหายใจเข้าออก ในทุกอิริยาบ มีสติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 สัมมัธาน 4 ได้ตลอดที่มีชีวิตปกติ ด้วยโพชฌงค์ 3 ผลที่ได้จะได้โพชฌงค์ 7 ในมรรคองค์ 8 ต้องพากเพียรในการปฏิบัติลดละกิเลส มีอิทธิบาท 4 เป็นแรงกลในการผลักดัน เป็นอินทรีย์ 5 จนบรรลุมีพละ 5 อยู่ในมรรค 8

 

แต่ปัจจุบันศาสนาเสื่อมไปดังอาณีสูตรทำให้ชาวพุทธหลงเชื่อไปปฏิบัติสมาธิในป่า ในโคนไม้เรือนว่าง โดยนั่งกายตรงดำรงสติคงมั่นแล้วไปทำใจในใจ เป็นมนสิการกันตอนเข้าภวังค์นี้คือหลงผิดไปไม่สัมมาทิฏฐิตามที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ใช่สัมมาสมาธิ ตามที่พระพุทธเจ้าสอน แต่สมาธิหลับตาก็เป็นอุปการะมาก ถ้าทำอย่างสัมมาทิฏฐิก็เป็นสิ่งช่วยเสริม การนั่งหลับตาสมาธิเป็นสิ่งสามัญไม่ได้ลึกซึ้งรู้ตามได้ยากเห็นตามได้ยากดังสมาธิพุทธ

 

 

วิธีปฏิบัติกับผลที่ได้ของสัมมาสมาธินั้นต่างจากสมาธิสามัญทั่วไปแน่

 

สมาธิทั่วไปที่ปฏิบัติในป่า ในเรือนว่า ตามโคนไม้ โดยนั่งกายตรงดำรงสติคงมั่นเธอย่อมมีสติรู้หายใจออกเข้...ฯ เขาจะไม่รู้แจ้งความเป็นกายได้อย่างครบถ้วน ไม่รู้จักสัตว์โอปปาติกะที่เป็น เทวดา มาร พรหมได้อย่างสัมมาทิฏฐิ ยิ่งเข้าใจว่ากายคือรูปนอกด้วยก็ยิ่งจบเห่ด้วยไม่มีกายเด็ดขาดเลย ทั้งที่กายนี่มีทั้งรูปและนาม คุณยิ่งบอกว่ากายไม่มีนามก็เลยไปกันใหญ่

 

ผู้สัมมาทิฏฐิจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงโอปปาติกะที่เป็นกาย มีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ในขณะที่ปฏิบัติ รู้ได้อย่างมีสัมมัปปัญญา ในขณะปฏิบัติมรรค 7 องค์ในชีวิตประจำวัน จึงเกิดมรรคผล เพราะปฏิบัติอย่างมีวิญญาณฐีติ มีวิญญาณตั้งอยู่ก็สามารถพิจารณาสัมมาสังกัปปะ 7 ที่ปรับปรุง วจีสังขาร 7 ได้

 

ถ้าไม่รู้กายก็จะอ่านวิญญาณที่เป็น ผี เทวดา สัตว์นรกไม่ได้ แล้วเมื่อไหร่จะปฏิบัติได้ การเกิดการดับของวิญญาณถ้าอ่านอย่างตอนลืมตาเป็นๆมีผัสสะก็จะรู้ได้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ในพระไตรฯล.10 ข.60 ว่ารู้นามรูป ด้วยอาการ ลิงค  นิมิต อุเทส อย่างตอนมีสัมผัส 3 มีตากระทบรูป เกิดวิญญาณ ทางทวาร 5

 

ผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งเห็นจริงกายทิพย์จะต้องรู้ได้ด้วยการสัมผัส แล้วจะเห็น ผี เทวดา สัตว์โอปปาติกะได้ ในทิฏฐิ 10 จึงรู้จักโอปปาติกสัตว์ได้ถูกต้อง อ่านรู้อาการผี อาการเทวดา แล้วหาเหตุ ล้างเหตุ ผีและเทวดาก็หายไป ดับสุขกับทุกข์ ดับทั้งนรกและสวรรค์ สรุปแล้วอานาปานสติก็คือปฏิบัติทุกลมหายใจเข้าออก แม้ในมรรคก็ให้เกิดสัมมาสติ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:05:50 )

571124

รายละเอียด

571124_ธรรมาฯ ปฐมฯ พ่อครู+อ.กฤษฎา สติปัฏฐาน+กายคตาสติ+อานาปานสติ

.กฤษฏาว่า...ครั้งที่ผ่านมาเป็นช่วงงานมหาปวารณา ผมค้างใจอย่างหนึ่ง คือผมขับรถเลย ตอนมาปฐมอโศก พอตั้งสติได้ก็คือเราขับรถเลย และรู้สึกมีตัวสองตัวคุยกัน ว่าเราหมายจะมาปฐมอโศก พอตั้งสติได้ว่าเลย ก็เรียกสติสัมปชัญญะคืนมา และก็เลยบอกตัวเองว่า เรามีวิชาอยู่ คือฝึกรู้ลมหายใจเข้าออก แล้วทำไมมันหายไปเลย ตัวสองตัวที่คุยกันมันพากันไปนี่แหละ อยากจะซักถามพ่อครู เรื่องความเชื่อมโยงกับสติปัฏฐาน 4 กระบวนการกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 4 เพราะผมขาดตรงนี้จึงทำให้ผิดพลาดหรือเปล่า? หลายคนบางครั้งก็หายไป ล่องลอยไป ทั้งที่ลืมตาอยู่ มีนัยอย่างไรในเรื่องสติปัฏฐาน 4 อานาปานสติ และกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คืออย่างไร?

 

พ่อครูว่า...คำถามนี้ดีนะ ชัดสำหรับผู้จะชัด แต่จะยากสำหรับผู้จะตามเข้าถึงปรมัตถ์ จิตเจตสิก รูป นิพพาน รูปที่ถูกรู้ เป็นดินน้ำไฟลม ก็แยกออกไปรู้เรื่องกันง่าย แม้หูได้ยินเสียงก็เป็นอรูปก็ยังรู้ได้ง่าย กลิ่น รส ก็เป็นอรูปก็ง่าย สัมผัสแตะต้องเย็นร้อนอ่อนแข็งก็ถือว่าเป็นความรู้สึกรวมที่รู้ได้ง่าย แต่ข้างในที่เราจะเข้าไปอ่าน โดยเฉพาะอารมณ์จิต เป็นธาตุรู้ยิ่งยาก เพราะคนเราถนัดรู้เรื่องภายนอก แต่พอบอกว่าเป็นเรื่องภายใน เรื่องจิต หรือกายนี่คืออย่างไร?

 

คุณถามว่า ที่เผลอสติไปคือเรื่องกาย นั้นมันเข้าใจกายผิดไปจากความเป็นจริง แม้ในคนไทยก็เข้าใจคำว่ากายที่เป็นบาลีผิดไป เข้าใจว่าไม่เกี่ยวกับนามธรรม กายคือร่างนอก ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ปรุงแต่งกัน แต่ไ่ม่รวมนามธรรมไปด้วย เป็นความผิดเพี้ยนทำให้พิจารณา กายในกาย ไม่เป็น และพิจารณากายในกายไม่เป็นนี่ บางคนจะแย้งว่า เขาพิจารณาเป็น เห็นกายทิพย์ เช่น เห็นกายผี กายเทวดา เป็นรูปภาพ ที่นั่งหลับตาเห็น เขาก็กำหนดกายเป็นแค่รูปร่างเส้นแสงเงาผีของเทวดา นั้นๆ

 

เขาไม่เข้าใจว่า เร่ิมแต่กายนอกกายก็กระทบภายนอก และกายในกายก็คือกระทบรู้เข้าไปภายในแล้ว แต่คนเขาเห็นว่าคือผี เป็นเปรตมีสรีระรูปร่างสีสัน ก็เห็นแค่นั้น แต่ที่จริง กายในกาย เป็นนามแล้วไม่มีรูปเลย เป็น อาการ ลิงค นิมิต อุเทส แล้ว เป็นรูปกาย(เนื่องกับภายนอก) และนามกาย(ไม่เนื่องกับภายนอก)

 

รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ด้วยนามธรรมของเรา ด้วยญาณปัญญาของเรา อย่างรูปภายนอกก็รู้ได้ง่าย แต่ว่านามธรรมที่เป็นเพียงความรู้สึก ธาตุรู้ กายในกายนี่เป็นธาตุรู้ที่จะต้องรู้อาการของความรู้สึก กายในกายแท้ๆคือเวทนา หรือจิต เป็นนามธาตุไม่ใช่รูปธาตุเลย

 

การทำสติปัฏฐาน กำหนดรู้กายในกาย อย่างคุณลืมตาไปขับรถแต่ไม่ได้พิจารณาอาการจิตเราว่าเป็นอย่างไร สติคุณไปอยู่กับนามธรรมไม่ต่อเนื่องกับภายนอกเลย การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมจะเชื่อมโยงกับภายนอก ต้องต่อเนื่องไม่ขาดสาย จึงเรียกว่ามีสติ การพิจารณา กายคตา แปลว่าอาการประชุมของรูปและนามไม่ใช่แค่ร่างกาย

 

คุณถามว่าไม่รู้สึกหรือ? เพราะว่าสติสัมปชัญญะคุณไม่ต่อกัน เพราะคุณไปตัดว่า ถ้ามีสติก็รู้แต่ภายนอก ส่วนความสืบต่อภายในนั้น คุณก็รู้ว่า คุณจะไปไหนดำเนินไปไหน จะย่างก้าวอย่างไรก็ไม่รู้ ก็เลยขาดไปอยู่กับนามธรรม ไม่ได้กำหนดว่าจะเลี้ยวไปไหน ก็ไม่ได้กำหนดตาม ตอนนั้นคุณขาดกายแล้ว มันไม่ง่ายที่จะรู้ว่าเราขาดสันตติกับกายแล้ว คุณต้องกำหนดรู้ต่อเนื่อง แต่ถ้าไม่ต่อเนื่องก็เลยไปแล้ว จะเลี้ยวแต่ไม่ได้เลี้ยว ขนาดลืมตานะ ได้แต่จำไว้ แต่ไม่มีสติควบคุม จิตคุณไปคิดอะไรอยู่ไม่ได้ร่วมกับภายนอก กายคุณจึงขาดแค่ภายนอก สติคุณจึงอยู่แค่ภายใน

 

คนส่วนใหญ่อธิบายว่าสติก็คือภายในไม่เกี่ยวกับภายนอก แต่ที่จริงเชื่อมต่อกันในและนอก คือกาย ถ้าไม่มีกายก็ไม่มีความเชื่อมต่อ สำหรับอายตนะไม่มีกาย คุณต้องสัมผัสดินน้ำไฟลม อย่าให้ขาด แม้จะเหลือแค่ลมหายใจก็อย่าให้ขาดนะ ถ้าลมก็ไม่รู้ด้วย ไม่สัมผัสลมเข้าออกกับภายนอกนี่นะ แต่ที่เขาอธิบายกันไปบางอาจารย์ไปรู้ลมเข้าลมออกอยู่ไปที่บนที่ท้องอะไรอย่างนี้ไม่ใช่เลย

 

ถ้านามกายนี่ไม่เกี่ยวกับรูปภายนอกแล้ว เป็นองค์รวมของนาม ไม่มีรูปแล้ว คำว่ารูปกายนี่ยังมีภายนอก แต่คำว่านามกายนี่ไม่มีภายนอกแล้ว มีแต่ใน ถ้าคุณจะเห็น ภาพเส้นแสงสีรูปร่างภายใน คุณจะระลึกเห็นอยู่มันไม่ใช่ความจริงที่คุณเห็นภายนอกนะ ถ้าคุณกำหนดรู้ภายนอกเช่นหนังสือ แต่พอคุณหลับตา ภาพหนังสือมันกำหนดรู้อยู่ภายใน เป็นภาพในใจ คุณเห็นภาพนั้นตอนเห็นเป็นองค์ประชุมของรูปกาย แต่ว่าตอนหลับตาแล้วเหลือแต่นาม จึงไม่่ใช่รูปกาย เป็นนามรูป (คำว่ารูปคือทั้งนอกและใน เป็นสิ่งที่ถูกรู้) แต่ภาษาไทยบอกว่ารูปหมายถึงภาพมีรูปร่างทรวดทรง เขาไม่หมายถึงสิ่งที่ถูกรู้ด้วยนามด้วย เรียกว่ารูป ความหมายนี้ขาดไป

 

พอบอกว่ารูปคือสิ่งที่ถูกรู้ด้วยนามธรรมของเรา แม้มันเป็นรูปมันก็เป็นนามรูป ถ้าเข้าไปข้างในไม่มีรูปให้กำหนดรู้ก็ไปกำหนดรู้ความจำ อารมณ์ ความคิดที่เป็นนามธรรม อารมณ์เหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เป็นรูปเหมือนกัน เรียกว่า นามกาย หรือนามรูป

 

พระพุทธเจ้าถึงแบ่งรูปเป็นรูป 28 มหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูป 24

มีโคจรรูป ปสาทรูป เช่นตาเรากระทบรูป เสียงกระทบหู จมูกกระทบกลิ่น แล้วเรากำหนดรู้ก็เรียกสิ่งที่ถูกรู้ว่ารูปทั้งน้ัน นี่เรียกว่า รูปกาย (คำว่ากายต้องมีนามและรูป) พอมันไม่มีรูปนอกแล้ว ไม่มีดินน้ำไฟลม หรือแม้ตา หู จมูก ลิ้น ก็ไม่กระทบสัมผัสกับส่วนภายนอกแล้ว ไปอยู่แต่ข้างใน เราเห็นภายนอกแต่เกิดภาพข้างใน ภายภายในคือนามกาย ที่เกี่ยวข้องกับรูปที่เอาไปปั้น เรียกว่าความจำ แต่ถ้าคุณปั้นเอาเองก็เป็นสิ่งใหม่ที่คุณปั้นเอง ไม่เกี่ยวกับความจำ หรือว่ารูปที่คุณปั้นสร้างในใจเองก็เป็นมโนมยอัตตา คือรูปที่สำเร็จด้วยจิต เป็นมโนมยอัตตา

 

.กฤษฏาว่า...ผมดูหนังเรื่องหนึ่ง แรกที่เราเห็นพระอาทิตย์นั้นไม่ใช่พระอาทิตย์แล้ว เพราะแสงมันเดินทางมากว่าจะถึงตาเราอีกหลายเวลา เป็นความต่อเนื่อง แต่เป็นสิ่งเดิมแต่มันเข้าสู่ภายในเรา

 

พ่อครูว่า..ถ้ามันต่อเนื่องก็เป็นรูปกาย แต่ถ้าขาดเข้ามาอยู่แต่ภายในก็คือนามรูป หรือนามกาย มันถูกรู้โดยธาตุรู้ ด้วยสัญญาหรือปัญญาก็ตาม มันเป็นองค์ประชุมของนามเท่านั้น สัญญาเป็นนามกายแท้ๆ ต้องใช้ตลอดด้วย สัญญาจะกำหนดรู้มาก่อนเสมอ เราต้องฝึกสัญญาให้สั่งสมเป็นปัญญา

 

.กฤษฏาว่า...ที่ผมขับรถเลยเพราะมันขาดความต่อเนื่องในการกำหนดรู้ เข้าไปอยู่แต่ภายในเท่านั้นก็เลยไม่รู้กายในกายที่เนื่องจากภายนอกเข้ามา

 

พ่อครูว่า..ที่ปฏิบัติธรรมไม่สมบูรณ์เพราะมันขาดจากกัน ตัดขาด รูป จากนาม ตัดขาดกาย แล้วไปพิจารณากายคตาสติที่แปลว่าบทบาทเรื่องราวกำลังดำเนินไปของชีวะเรากำลังดำเนินไป คำว่ากายเราต้องมีธาตุรู้ร่วมด้วยเสอม

 

ในสติปัฏฐาน 4 กายคตาสติที่เจริญมากแล้วจะมีผลมีอานิสงส์ จะพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม แล้วละลดกิเลสในจิต เราก็เลือกเอาตัวกิเลสแล้วกำจัดมันได้นี่คือเนื้อหาสำคัญในการพิจารณาปฏิบัติ กายคตาสติ  ต้องละความดำริพล่านที่อาศัยเรือน(เคหสิตะ) ให้ออกไปได้เรื่อยๆ กายคตาสติเป้าหมายคือละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้  แต่อิริยาบถต่างๆมีตั้งแต่หยาบไปจนละเอียด ตั้งแต่

 

[294]  พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็กายคตาสติอันภิกษุเจริญแล้ว
อย่างไร  ทำให้มากแล้วอย่างไร  จึงมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้  อยู่ในป่าก็ดี  อยู่ที่โคนไม้ก็ดี  อยู่ในเรือนว่างก็ดี  นั่งคู้บัลลังก์  ตั้งกายตรงดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า  เธอย่อมมีสติหายใจออกมีสติหายใจเข้า  เมื่อหายใจออกยาว  ก็รู้ชัดว่า
หายใจออกยาว  หรือเมื่อหายใจ  เข้ายาว  ก็รู้ชัดว่า  หายใจเข้ายาว  เมื่อหายใจออกสั้น  ก็รู้ชัดว่า
หายใจออกสั้นหรือเมื่อหายใจเข้าสั้น  ก็รู้ชัดว่า  หายใจเข้าสั้น  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้
กำหนดรู้กองลมทั้งปวง  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง  หายใจเข้า
สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักระงับกายสังขาร  หายใจออก  ว่าเราจักระงับกายสังขาร  หายใจเข้า
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่  อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่
อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง
 เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่นดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ
      

 

[295]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเดินอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังเดิน
หรือยืนอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังยืน  หรือนั่งอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง  หรือนอนอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังนอน
หรือเธอทรงกายโดยอาการใดๆ  อยู่  ก็รู้ชัดว่า  กำลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ  เมื่อภิกษุนั้น
ไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปใน  ธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

 

[296]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุย่อมเป็นผู้ทำความ  รู้สึกตัวในเวลา
ก้าวไปและถอยกลับ  ในเวลาแลดู  และเหลียวดู  ในเวลางอแขนและเหยียดแขน  ในเวลา
ทรงผ้าสังฆาฏิ  บาตร  และจีวร  ในเวลา  ฉัน  ดื่ม  เคี้ยว  และลิ้ม  ในเวลาถ่ายอุจจาระและ
ปัสสาวะ  ในเวลา  เดิน  ยืน  นั่งนอนหลับ  ตื่น  พูด  และนิ่ง  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท
มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้  เพราะ
ละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ
      

 

[297]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้  แล  ข้างบนแต่พื้น
เท้าขึ้นไป  ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา  มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ  เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ
ว่ามีอยู่ในกายนี้  ผม  ขน  เล็บ  ฟัน  หนัง  เนื้อ  เอ็น  กระดูก  เยื่อในกระดูก  ม้าม  หัวใจ
 ตับ  พังผืด  ไต  ปอดไส้ใหญ่  ไส้น้อย  อาหารใหม่  อาหารเก่า  ดี  เสลด  น้ำเหลือง
เลือด  เหงื่อมันข้น  น้ำตา  เปลวมัน  น้ำลาย  น้ำมูก  ไขข้อ  มูตร  ดูกรภิกษุทั้งหลาย

 

เป้าหมายคือให้ละความดำริพล่านนั่นแหละ แล้วมีอารมณ์อย่างไรก็ให้ปฏิบัติอานาปานสติ ให้อารมณ์เป็นตามอานาปนสติ 16 ข้อนั้น เพื่อละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ แต่ถ้าไม่รับรู้กายนอกเลยก็คือเลยไปแล้ว อีกอย่างคือไปปฏิบัติสร้างสติแต่ภายนอกก้าวหนอย่างหนอ แต่พอปฏิบัติภายในก็แยกส่วนไปเลย อย่างอ.บูรพาที่อ่านเมื่อวานไปก็คือให้นิ่งหยุดไม่คิดเลย ไม่ให้มีเครื่องรู้อะไรเลย จะกำหนดลมหายใจก็กำหนดแค่ลมหายใจ อยู่กับกสิณ ให้จิตรู้แต่หนึ่งเดียว เขาว่าแทนที่จะตกใต้อำนาจความคิดที่เป็นสมมุติบัญญัติ...ไปโน่นเลย

 

อาตมาก็ขออธิบายเองก็แล้วกัน...สรุปแล้ว กายคตาสติ ก็ไม่ได้ขาดจากอานาปานสติ เร่ิมต้นเลยก็บอกแล้วว่าท่านกล่าวในกายคตาสติ เหมือนกันกับอานาปานสติเลย เมื่อปฏิบัติต่อจากข้อ 294 ก็ให้พิจารณาความไม่เที่ยง ที่จิตไปยึดติด ก็ให้เข้าไปข้างใน สรุปคือต้องลำความดำริพล่านอันอาศัยเรือนทุกอิริยาบถ จนความไม่เที่ยงถึงร่างละลายเป็นน้ำเลือดน้ำหนอง แต่ให้พิจารณาจิต และไม่ใช่ว่าให้คงที่ตลอดร่างกายไม่ต้องเปื่อยเน่าไม่ได้แต่ใจเราไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันต้องเที่ยง ต้องได้ดังใจ ไม่ใช่คุณต้องอ่านใจคุณว่าอยากอะไร มีตัณหาอะไร ตั้งแต่รูปที่อยากให้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง กลิ่น เสียง รส ก็อยากให้คงที่ตลอดไป แต่พระพุทธเจ้าว่าให้ทำให้กิเลสหมดไปจนจิตเที่ยงแล้ว ต้องทำความละหน่ายคลายจนถึงอุเบกขา แม้กระทบสัมผัสอย่างไรก็อุเบกขา จนถึง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ความเป็นอุเบกขานี่ต่างหากที่จะให้เที่ยง ไม่ใช่แค่รูปหรืออารมณ์ที่จะให้เที่ยงในสุขทุกข์นั้นๆ และไม่ใช่ทำอย่างไม่คิดไม่นึกเลยอย่างอ.บูรพาเขียนมา

 

ส่ิงที่ต้องกำหนดรู้คือมันมีกามหรือพยาบาทเข้าร่วมในจิตไปปรุงแต่งด้วยหรือไม่ คือความดำริพล่านอันอาศัยเรือน (เคหสิตสังกัปปา เต ปหิยันติ) คือต้องปหานอันนี้ตัวเคหสิตที่เราไปยึดถืออย่างโลกๆ คือกามกับพยาบาทในสังกัปปะนี่ให้ออก ทำจิตให้เป็นอัญญา เป็นกายกัมมัญญตา คือตัวรู้ทางโลกุตระ แม้รู้นิดหนึ่งเหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัญญาสิ ฯ คือจิตเร่ิมมีการรู้โลกุตระแล้ว เร่ิมแต่ กายในกาย ในโลกุตระ 37 ให้พิจารณาให้เกิดอัญญา

 

เรามีโคจรรูป ปสาทรูป แล้วเกิดวิสัยรูปต่อเนื่องกันมา เป็นผัสสะ 3 ต้องมีตากระทบรูป จึงเกิดวิญญาณ และวิญญาณก็มีเจตสิก 3 คือเวทนา สัญญา สังขาร นี่คือเจตสิก 3 ของกาย กายไม่ได้หมายถึงรูปนะ แต่หมายถึงเจตสิก 3 นี้

 

.กฤษฏาว่า...ในขณะเรามีระบบการรับรู้  5 ทวาร เราลืมตาอายตนะก็ทำงานตามปกติแต่ต้องสัมผัสจึงเกิดอายตนะ เลิกผัสสะก็ไม่มีอายตนะ ขณะผมอยู่นี่ ลมพัดกระทบก็รู้ หูก็ได้ยิน ลิ้นรับรส แต่มันจะรับรู้ได้ทีละ อย่าง แล้วจะเข้าสู่ใจ ส่งทอดจากร่างเข้าหาเป็นกายเป็นจิตอีก แล้วตัวรับภายในจะรับได้ทีละ 1 อย่าง ก็จะเป็นความต่อเนื่อง อย่างผมขับรถอยู่ กายผมก็ไม่ต่อเนื่องแล้ว ทำให้ขาดสติเลยไป ตอนนั้นกายคุณไ่ม่มีคุณมีแต่ใจ และสัญชาตญาณ เป็นสัญญากำหนดไป แต่คุณอยู่กับการปรุงแต่งในจิต นั่นคือไม่มีกายเลย

 

พ่อครู...สรุปว่าที่คนปฏิบัติธรรมไม่เกิดผลมีมีปฏิเวธ เพราะกายคตาสติ อานาปานสติ กับสติปัฏฐาน ทำแยกกันไม่ได้ร่วมกัน กายคตาสติก็ทำอย่างตัดภายใน ทำแต่ภายนอก และในอานาปานสติก็คือการอธิบายผล เราต้องรู้ กายสังขารังปฏิสังเวที ต้องกำหนดรู้องค์ประชุมที่ประชุมกันอยู่่ แล้วทำให้ระงับ กายสังขารัง ปัสสัมภยัง คือละความดำริพล่านอันอาศัยเรือน ระงับได้ก็มีปีติ ในอานาปานสติ แล้วก็จะเหลือจิตสังขาร แม้กระทบภายนอกอยู่ก็พิจารณาเนื้อใน รู้กิเลส กำจัดกิเลสได้ก็จะปัสสัมภยัง มีองค์ฌาน แล้วก็เข้าหานามกายที่เป็นจิตสังขาร เราก็รู้จิตสังขารให้ได้แล้วก็ทำให้สงบรำงับจากกิเลสอีกนั่นแหละ

 

ที่จะระงับได้ก็เกิดจากสติปัฏฐาน 4 ตั้งแต่กายในกายเลย ต้องจับกายกลิ คือตัวโทษนี่แหละเมื่อทำให้ตัวร้ายเหตุร้ายระงับไปก็เป็นผลให้สูงขึ้นๆ จนกระทั่งเบาบางเป็นกายลหุตา มีการจัดการในสังขารให้มีสัดส่วนได้ดีก็ไปทำการปรุงแต่งเป็นกายที่พอเหมาะพอดี เป็นกายกัมมัญญตา เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องลึกละเอียดมาก

 

ผู้ที่ตัดความต่อเนื่องตัดสันตติ เช่นกายในกาย ต้องต่อไปที่เวทนาในเวทนา ต่อไปที่จิตในจิต และธรรมในธรรมต้องต่อเนื่องกัน ในกายสังขารมีกิเลสที่ก่อสุขทุกข์ เมื่อรู้เหตุแล้วก็อย่าให้มันปรุงแต่งเป็นโลกียรส ฆ่ากันก่อน เมื่อฆ่าราคะหรือโทสะมูลได้ ก็กำจัดอกุศลจิตในจิตได้ เวทนาก็เบาบางลงจากอารมณ์โลกีย์เป็นอุเบกขาที่เนกขัมมะเพราะระงับเคหสิตอุเบกขา ก็ต้องพิจารณาเวทนา 108 โดยเฉพาะมโนปวิจาร 18นี่แหละที่แยกแยะ เคหสิตะออกและทำให้เป็นเนกขัมมสิตะให้ได้ ทำให้เป็นบุญเป็นปุญญาภิสังขาร จนหมดบุญก็อปุญญาภิสังขารทำกิเลสหมดแล้วก็ทำซ้ำทำทวนไปเป็นอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมังให้ปัจจุบันศูนย์สั่งสมเป็นอดีตที่ศูนย์จนมั่นใจว่าอนาคตก็ศูนย์แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

_จากการศึกษากายคตาสติสูตร...เข้าใจว่า การละความดำริพล่านอันอาศัยเรือนนี่ จิตภายในแน่นิ่งที่ทำเท่านั้นไม่ใช่ภายนอก ภายนอกไม่ต้องน่ิงใช่ไหม?...

ตอบ...ใช่แล้วภายนอกนั้นทำกรรมการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีอีกด้วย ภายนอกเป็นอนิจจัง กิเลสก็อนิจจังคุณก็ทำกิเลสออกให้หมด แล้วเอาคำว่าเที่ยงมาแทนที่คือเที่ยงคือกิเลสไม่มีอีกแล้วไม่ใช่อย่างอื่นไม่เที่ยง แต่ว่าให้กิเลสออกไปอย่างเที่ยงแท้

 

_อรหันต์มิจฉาฯตายไปจะรู้ตัวไหมว่ายังมีอัตภาพอยู่ไม่หมดตัวตน

ตอบ...ไม่รู้หรอกขนาดเป็นๆยังไม่รู้ตัวเลย

 

_วิญญาณที่เกิดจากผัสสะเป็นวิญญาณตัวเดียวกันหรือแยกเป็นแต่ละตัว

ตอบ...ก็ทันทีมันก็เป็นวิญญาณเป็นอาการตัวนั้น แล้วมันก็ไม่เที่ยงแต่คุณก็อยากให้มันเที่ยงเช่นคุณชอบก็อยากให้เที่ยงแท้อยู่ตลอดไปเป็นต้น

 

_ไปเรียนนวดแผนไทยต้องบูชาพ่อปู่ชีวกกุมารเป็นพุทธไหม?

ตอบ...การบูชาพ่อปู่นี่ พิธีกรรมสมัยพระพุทธเจ้าไม่มีหรอก การแสดงออกการเคารพทุกวันนี้ปรุงแต่งมีดอกไม้ธูปเทียนเป็นต้น สมัยพระพุทธเจ้าก็มีปรุงแต่งกันมาก แต่พระพุทธเจ้าตัดทิ้งหมด ถามว่าบูชาครูที่ว่านี้เป็นพุทธไหม? พุทธไม่มีหรอก เขาทำกันจนนึกว่ายุคพระพุทธเจ้าก็มีแบบนี้ อย่างภิกษุรวมตัวกันออกไปสวดมนต์ให้ฆราวาส ท่านก็ห้ามไว้ในวินัยเลย อย่าสวดกันตั้งแต่ 2 รูปให้อนุปสัมบันฟังไม่ได้ สมัยโน้นไม่มี แต่สมัยนี้ก็ทำกันเป็นเรื่องเฉยเลย แถมบอกว่าถ้าพระสวดมนต์ไม่ได้ไม่ใช่พระอีก แต่ว่าสวดนั้นพระพุทธเจ้าให้สวดได้ให้จำได้ แต่อย่าไปสวดให้ฆราวาสฟังตั้งแต่ 2รูปสวดพร้อมกันไม่ได้ เพราะสมัยพระพุทธเจ้ามีการสวดเพื่อขลังเอาไปทำมาหากินแบบนั้นมันผิดพระพุทธเจ้าจึงห้ามไว้ในวินัย ต้องอาบัติกัน แต่ปัจจุบันไม่รู้ก็ทำกันไปไม่สะอาด

 

_พระบรมสารีริกธาตุจะรู้ได้อย่างไรว่าจริง?

ตอบ...อย่าไปรู้เลย แม้พระพุทธรูปนี้ก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเลยแน่ๆ แต่เราก็เคารพ แล้วพระบรมสารีริกธาตุนั้นไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าจริงไหม? อาจจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้แต่ก็ยังอาจจริงกว่า พระพุทธรูปแน่ๆ ดังนั้นเราก็อย่าไปยึดถือว่าจริงหรือปลอมเลย แต่ให้เป็นเครื่องระลึกถึงคุณงามความดีคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วเราเอาไปปฏิบัติได้ ไม่ว่าจะจริงหรือปลอมก็ได้ เปลี่ยนวิธีคิดดีกว่า

 

_ไปนิพพานมีหลายทางหรือทางเดียว

ตอบ..พระพุทธเจ้าตรัสว่า เอเสวมัคโค นัตถัญโญ มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ใครสอนว่ามีหลายทางก็ค้านแย้งคำสอนพระพุทธเจ้า พระไตรฯล.25 ข้อ 30 อย่าให้ใครหลอกว่าหลายทาง

 

_การที่คนเราไม่สมหวังเรื่องรักเป็นวิบากกรรมใช่ไหม?

ตอบ...การไม่สมหวังในเรื่องรักคงหมายถึงรักเรื่องเพศ ก็เพราะเราโง่ คือเรายังนึกว่าความรักเป็นความจำเป็น จะบอกว่าเป็นวิบากคือเรายังมีวิบากเก่าอยู่ แม้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยังมีลิงลมอมข้าวพอง ยังถูกครอบงำเลย แต่เนื้อแท้ท่านไม่ได้ไปกับเขาหรอก ความรักมันมีความรักอยู่หลายมิติ ความรักเรื่องเพศเรื่องกามราคะเป็นความรักหลอก เท็จ ไม่จริง จะถือว่าวิบากก็คือเป็นอวิชชาเป็นความโง่ จริงๆแล้วล้างได้ ส่วนความรักยิ่งใหญ่คือความรักของพระเจ้า มีพรหมวิหาร 4

 

_การปฏิรูปครั้งนี้ผมจะปฏิรูปครูว่าถ้าเด็กรร.ไหนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ให้ไล่ครูใหญ่ออกเลย ไม่ให้รับบำนาญด้วย อีกข้อหนึ่งถามว่า พ่อท่านคะเราไม่ให้สอบติดศูนย์ทำอย่างไร?

ตอบ...มันก็ต้องตั้งใจเรียนเท่านั้นแหละ ส่วนเรื่องจะไปออกกฎหมายก็ไม่บังอาจไปทำ แต่ก็ควรมีการลงโทษถ้าทำไม่ดี 

 

_ปีนี้รับกลดที่ไหนคะ?

ตอบ...ถ้าปกติก็รับกันที่ปฐมอโศก บางปีไม่ปกติก็รับที่ข้างเจ้าพระยา ข้างถนนเป็นต้น แต่ปีนี้ที่ประชุมคุรุตกลงให้ไปรับกลดที่บ้านราชฯ ในงานปลุกเสกฯ ช่วงงานปีใหม่ไทย

 

_อดีตพระวัดป่าถามว่าพระกรรมฐานเอาลมหายใจเป็นกสิณ แล้วก็สอนให้ระงับกายสังขารให้พรากความรู้สึกความสนใจลมหายใจ เป็นระงับกายสังขารใช่ไหม?

ตอบ...ท่านไม่เข้าใจนัยลึกว่า การเรียนรู้กายนั้นต้องเกี่ยวกับ ดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูป อย่าไปละ แม้ไม่ละก็ให้พิจารณาทั้ง 16 อย่าง แล้วจะสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องพร้อมเป็นรูปีรูปานิปัสสติ และทั้งพิจารณาภายนอกภายในมีสัญญากำหนดรู้ของตนเป็นเอโก เห็นองค์ประชุมทั้งนอกและในถึงอรูปเลย เป็นวิโมกข์ 8 ข้อ 2 อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ แล้วได้ผลเป็นวิโมกข์ 3 สุภันเตวอธิมุตโตโหติ แล้วก็ตรวจอรูปฌานใน วิโมกข์ ข้อต่อๆไป จนจบที่สัญญาเวทยิตนิโรธในวิโมกข์ข้อที่ 8 แต่ที่ว่าให้ระงับรู้ลมหายใจนั้นอาตมาก็เคยทำมา ดีไม่ดีไปเล่นลมภายในอีก เป็นแค่กสิณลม วาโยกสิณ เป็นการผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้าผิดจากพุทธวจนะ การนั่งสมาธินั้นผิดทางพระพุทธเจ้ามากกว่ามาก จนหลงว่าการนั่งสมาธิคือปฏิบัติฌานหรือสมาธิของพุทธ ขอยืนยันว่าผิด การนั่งถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ผิดหมด ยิ่งไม่เข้าใจมรรคองค์  8 ที่สร้างสัมมาสมาธิจากการสั่งสมทำมรรค 7 องค์ เป็นทางเดียวเท่าน้ัน


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:06:56 )

571125

รายละเอียด

571125_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ เรื่อง อานาปานสติสูตร 16 ขั้น

พ่อครูว่า...วันนี้ 25 พ.ย. 57 จะสิ้นเดือนแล้ว เดี๋ยววันๆ ไล่ไม่ทันแก่ไม่ทัน วันนี้อาตมาก็คงจะพยายามอธิบายเรื่องที่ชาวพุทธติดยึดกันเรื่องอานาปานสติ เข้าใจว่ากรอบนั้นอยู่แค่นั่งหลับตาแล้วเข้าภวังค์ปฏิบัติภายในจิตไม่รู้จักกายสัมผัสภายนอก ไม่มีสันตติต่อเนื่องกับภายนอก ไม่เข้าถึงปรมัตถ์อย่างที่ว่า

 

คำว่า กาย คือองค์รวมของทั้งรูป และนาม ของภายนอกและภายใน อัชฌัตตังอรูปสัญญี พหิทารูปานิ ปัสสติ ความเข้าใจการเชื่อมต่อภายในกับภายนอกนั้น ชาวพุทธทุกวันนี้แบ่งภายนอกก็ภายนอก ภายในก็ภายใน คนละอย่างคนละเวลา เมื่อไปศรัทธาอานาปานสติ โดยถือว่าในยุคพระพุทธเจ้าคนเข้าใจการนั่งสมาธิว่าคือเข้าไปรู้ภายใน แต่ไม่เข้าใจสมาธิพระพุทธเจ้าว่าเกี่ยวกับภายในด้วย กระทบสัมผัสแล้วอ่านวิญญาณไปด้วยขณะที่มีสัมผัสนั้นๆ ไม่ต้องไปหาที่อยู่เงียบๆ นั่งสมาธิ ที่เป็นสมาธิสามัญทั่วโลกที่เขาทำกัน แต่ผู้สัมมาทิฏฐิจะสามารทำสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าในขณะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ให้มีสัมมาสังกัปปะ มีการพูดสัมมาวาจา ก็ทำได้ แต่สัมผัสเกี่ยวกับข้างนอกอยู่ แต่อ่านจิตออก แยกกิเลส กำจัดกิเลสได้ในขณะปฏิบัติลืมตา เป็นสัมมัปปธาน 4 เป็นสังวรสำรวมอินทรีย์ 6 เกิดสัมมัปปธาน

 

ในจรณะ 15 ก็มีสำรวมอินทรีย์ตามฐานะ (กรรมฐาน) โสดาบันก็ศีล 5 สกิทาคามีก็ศีล 8 แล้วปฏิบัติในขณะ คิด พูด ทำ ทำอาชีพให้เกิดสัมมาให้ได้ ละมิจฉาในคิด พูด ทำ อาชีพ ก็สร้างสัมมาสมาธิปฏิบัติมรรค  7 องค์ในมหาจัตตารีสกสูตร เป็นเหตุ เป็นบริขารที่ประกอบให้เกิดสัมมาสมาธิ แล้วเรียนรู้วิจัยในโพชฌงค์ 7 มีสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรค 8

 

ยุคพระพุทธเจ้าต้องอนุโลมมาก เพราะเขาปฏิบัติออกป่ากันหมด แม้พระพุทธเจ้าก็หลงออกป่าไปกับเขาด้วยในช่วงแรก เช่นอยู่โคนไม้ เรือนว่าง หรือที่แจ้ง ลอมฟาง ก็ปฏิบัติคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง และที่ว่าคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง นี้ของพระพุทธเจ้ามีรายละเอียดว่า พระพุทธเจ้าไม่พาทำแบบนั่งซ้อนขา ขาไม่ทับกัน

 

ที่ต้องกล่าวซ้ำ ก็เพื่อให้เกิดปฏิภาณปัญญา พระพุทธเจ้าต้องอนุโลมมาก ท่านไม่ทำแบบหักโค่น เพราะเขาทำแบบฤาษีกันมานานมามากแล้ว แต่ของพระพุทธเจ้าให้สัมผัสนอก แล้วอ่านรู้วิญญาณที่เกิดขณะปัจจุบันหลัดๆเลย หมวดปฏิบัติจริงอยู่ที่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ (นาม 5)

 

เวทนาเป็นสังขาร(กาย_จิต_วจี) เวทนานี่คือสังขาร ในภาคที่จะปฏิบัติต้องใช้สัญญา รู้จักเจตนาเมื่อมีผัสสะ ในนาม 5 นี้ สังขารตัวนี้คืออวิชชา ผู้ไม่รู้จักสังขารก็อวิชชา ทำสังขารไม่เป็นก็จะเป็นอวิชชาเสมอๆ ต้องทำให้เกิดการละกิเลสเป็นบุญเสมอๆ ก็จะหมดกิเลสไม่ต้องทำบุญอีก เป็นอปุญญาภิสังขาร ความไม่มีสภาวะ ไม่รู้โลกุตระก็จะตีความว่า อปุญญะ ว่าปรุงเป็นบาปไป แต่ที่จริงคือการไม่ต้องทำบุญอีกเพราะทำกิเลสสิ้นเกลี้ยงแล้ว ก็เหลือแต่รักษาผล ทำให้มากอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง รักษาผลให้เกิดอเนญชาภิสังขาร ผุฏฐัสส โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสส น กัมปติ ปฏิบัติอรูปฌาน อีก 4 ทำให้เกิดอเนญชาภิสังขาร ท่านที่ไม่มีสภาวะโลกุตระจึงแปลคำว่าอปุญญาภิสังขารผิดๆ

 

พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าให้ทำสมาธิแบบหลับตาเลย ในพระไตรปิฎก และว่าให้ไปโคนไม้ก็ดี เรือนว่างก็ดี คำว่าก็ดี นี้แปลมาจากคำว่า “วา” ก็คืออย่างไรก็ได้นั่งเอง จะอยู่ป่าหรืออยู่เมืองก็ได้ แต่นั่งหลับตานั้นไม่เกี่ยวกับศีลเลย ไม่ต้องปฏิบัติศีล แม้ศีล 5 ก็ไม่เกี่ยว ปฏิบัตินั่งหลับตานี่ไม่มีศีล แต่เขาโมเมอธิบายว่านั่งหลับตานี่จะทำให้ศีลบริสุทธิ์

 

ศีล ทำให้เกิดสมาธิ เกิดปัญญา นั้นไม่เกิดในสมาธิหลับตา แต่ว่าของพระพุทธเจ้าอานิสงส์ของศีลทำให้เกิดอวิปฏิสาร ปราโมท  เกิด ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ ยถาภูตญาณทัสสะ นิพพิทาวิราคะ ...ทำให้เกิดวิมุติ วิมุติญาณทัสสะ (กิมัตถิยสูตร)

 

การปฏิบัติอานาปานสติ ก็ต้องปฏิบัติให้ถึงจิต ในพระไตรฯล.14 ปฏิบัติแล้วจะได้อาริยคุณ อรหันต์ อนาคามี สกิทาคามี โสดาบันฯ เป็นต้น อานาปานสติปฏิบัติแล้วจะเกิดผลอย่างนี้แม้ไม่บรรลุบุคคล 4 ก็จะต้องปฏิบัติอานาปานสติ สติปัฏฐาน 4  สัมมัปปธาน 4 หรือมาถึงมรรค 8 ยิ่งชัดเลยว่า ทำอาชีพก็ได้ พูดอยู่ก็ได้ ต้องรู้จักสังกัปปะ 7 แยกแยะสังกัปปะ 7 ได้ ทำมนสิการได้ รู้จักสังขาร รู้วจีสังขาร

 

ผู้จะรู้วจีสังขารต้องสัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าไม่รู้จะรู้เพี้ยนว่าวจีสังขารคือวจีกรรม แต่ที่จริงวจีสังขารคือจิต อยู่ในจิตสังขารนะ ถ้าไม่มีสภาวะก็จะยาก ผู้เรียนรู้สัมมาทิฏฐิจะรู้ว่า วจีสังขารก็คือกายคือวิญญาณ กายนี่คือหมวดของเจตสิก 3 (เวทนา สัญญา สังขาร) ตามพจนานุกรมไทย_บาลีนะ

 

ในอานาปานสติสูตร หากไม่เข้าใจจะไม่ต่อเนื่องถึงกายคตาสติ และสติปัฏฐาน ในอานาปานสติ อาตมายกตัวอย่างว่าสังวรสำรวมนั้นทุกกรรมกิริยาเกี่ยวกับภายนอก อาชีพอยู่ตลอดเวลา การทำอานาปานสติ ท่านอธิบายเข้าไปถึงจิต เพราะจะเหลือลมหายใจเข้าออก ตราบในมีลมหายใจเข้าออกก็พิจารณาอ่านรู้สติปัฏฐาน 4 เนื่องกัน กาย เวทนา จิต ธรรม องค์ประชุมมันเกี่ยวกันตั้งแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เมื่อเรามีปสาทรูป แล้วกระทบทางทวาร 5  แล้วก็เกิดภาวรูป ให้เรารู้ได้ คือวิญญาณ เป็นนาม_รูป

 

รูป คือส่ิงที่ถูกรู้ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง เสียงก็คือรูปเพราะเป็นตัวถูกรู้ สัมผัสแล้วเกิดองค์ประชุม เกิดภาวรูป (ปุริสสภาวะและอิตถีภาวะ) หากเป็นอิตถีภาวะอยู่ก็ไม่สมบูรณ์ต้องทำให้เป็นปุริสสภาวะไปเป็นรอบๆ มีสภาพวนรอบเหมือนก้นหอยขึ้นไปสูงเรื่อยๆ ไม่เหมือนโลกียะที่หมุนวนอยู่ในระนาบเดียว ไม่สูงขึ้นได้ แต่โลกุตระนั้นหมุนพ้นไปสูงขึ้นจนหมดได้เลยสุดยอด เป็นโลเก อัตถิตา ส่วนพวกโลเก นัตถิตาคือไม่มีความไม่มี ที่จะดับนี่คุณไม่มี คือเขาไม่มีโลกนิโรธ ไม่มีโลกสมุทัย คือไม่ได้ผลโลกุตระนั่นเอง

 

ในอานาปาสติสูตร ล.14

[288]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็อานาปานสติ  อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร  ทำให้มากแล้ว

อย่างไร  จึงมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุใน  ธรรมวินัยนี้  อยู่ในป่าก็ดี

อยู่ที่โคนไม้ก็ดี  อยู่ในเรือนว่างก็ดี  นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง  ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า 

 

เธอย่อมมี

สติหายใจออก  มีสติหายใจเข้าเมื่อหายใจออกยาว  ก็รู้ชัดว่า  หายใจออกยาว 

หรือเมื่อหายใจ

เข้ายาว  ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว 

เมื่อหายใจออกสั้น  ก็รู้ชัดว่า  หายใจออกสั้น 

หรือเมื่อหายใจ

เข้าสั้น  ก็รู้ชัดว่า  หายใจเข้าสั้น 

 

สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลม(เขาแปลมาจาก สัพพ กาย ปฏิสังเวที คำว่า กองลม เขาแปลมาจากคำว่า กาโย ซึ่งเขาแปลคำว่า กาโย หรือกาย นี้ผิดไป ) ทั้งปวง 

 

พ่อครูอธิบายแทรกว่า ….ต้องไม่ทิ้งกายในการปฏิบัติ ยกเว้นอยู่เหนือภายนอกแล้ว คนไม่เป็นอนาคามีทิ้งกายไม่ได้ เพราะอนาคามีอยู่เหนือกายสังขารแล้ว เหลือแต่จิตสังขาร ท่านก็อ่านแต่กิเลสในจิตสังขารเท่านั้น อ่านรู้นามรูปได้

 

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ อย่างรูป 28 นั้น มีรูป  ที่เป็นรูปนอก เป็นมหาภูตรูปแน่ แต่ว่ามันเนื่องเข้าหาใน จากปสาทรูป โคจรรูป มาเป็นภาวรูป เราต้องอ่านรู้ที่ไหน หทยรูป ว่ามันมีชีวิตของกิเลสไหม? เป็นชีวิตรูป...มันมีชีวิตินทรีย์ของกิเลสเหลืออยู่มากหรือน้อยก็ทำให้มันหมด ทั้งรูปฌาน ไปตรวจอรูปฌานต่ออีก พิจารณาถึงเวทนา 108 ในสามกาละ ให้นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

หายใจออก

ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง  หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักระงับกายสังขาร  หายใจ

ออก  ว่าเราจักระงับกายสังขาร 

 

หายใจเข้าสำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ  หายใจออก

ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ 

 

หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข  หายใจออก

ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข 

 

หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขารหายใจออก

ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร 

 

หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักระงับจิตสังขาร  หายใจออก

ว่าเราจักระงับจิตสังขาร 

 

หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต  หายใจออก  ว่า

เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต 

 

หายใจเข้าสำเหนียกอยู่  ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง  หายใจออก  ว่าเรา

จักทำจิตให้ร่าเริง 

 

หายใจ  เข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักตั้งจิตมั่น  หายใจออก  ว่าเราจักตั้งจิตมั่น

(สมาทหัง แปลว่าจิตหนุ่มอยู่เสมอทำให้แข็งแรง สดหนุ่มเสมอ เต็มรูปแข็งแรง) ให้จิตเบิกบานร่าเริงแข็งแรงตั้งมั่น

 

หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเปลื้องจิต  หายใจออก  ว่าเราจักเปลื้องจิต  (ก็ต้องรู้ว่าเราจะวางเปลื้องอะไร วิโมจจยังจิตตัง

 

หายใจเข้า  สำเหนียก

อยู่  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง

(ที่จริงต้องพิจารณาความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จนตัวตนมันหมดเนื่องจากเหตุมันหมด เช่นคุณปรุงแต่อร่อยสุขกับรสเผ็ด มันก็สุขตอนนั้นสัมผัส แต่ที่จริงมันร้อน hot แต่คุณไปหลงว่ามันอร่อยๆ เรียกว่า อร่อย ลำจ๊าดนัก หรือหร๊อยจั๊งฮู้ หรือแซบอีหลี ที่จริงมันแสบนะไม่ใช่แซบแต่คุณยึดติดสมมุตินั้นแล้ว หรือคนจีนซดน้ำร้อนเขาทนได้ หรือคนเหยียบไฟทนได้ก็เป็นอุปาทานจิตทั้งนั้น

 

พิจารณาไตรลักษณ์ เป็นว่าเหตุมันไม่เที่ยง เราสัมผัสสุขมันก็แวบเดียว พอหมดสัมผัสคุณก็หมดสุขแต่คุณไปจำไปสัญญามันไว้ ว่ามันเป็นสุข มันไม่ใช่วิญญาณ มันเป็นความจำ ไม่ใช่ความจริง แต่ถ้าเรามีปัญญาจะเห็นความจริงตามความเป็นจริงหลัดๆ แม้อาการสุขสัมผัสหลัดๆ คุณก็เมากับสุขเท็จ พอเลิกสัมผัสแล้ว แต่ก็ยังจำรสนั้นได้ นึกว่าเป็นจริง ติดใจผนึกเป็นอนุสัยอุปาทานไว้ เวรแล้วโง่แล้วที่ยึดไว้ ว่ารสอร่อยขนาดนี้ชาติไหนก็ต้องเอา คุณยึดไม่วาง บางทีรู้ว่าต้องวางแต่วางได้ง่ายๆที่ไหน ต้องล้างไปทีละลำดับ มันจึงเกลี้ยง แต่ไปนั่งหลับตาทำสมาธินั้นปฏิบัติแต่ความจำไม่ได้เป็นความจริงเลย

 

หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้ตาม

พิจารณาความคลายกำหนัด

 

หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส  หาย

ใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส 

 

หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้ตาม

พิจารณาความสละคืนกิเลส  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส  หายใจเข้า

 

4 ข้อหลังนี้ มีอนิจจานุปัสสี กิเลสไม่เที่ยง ทุก สุขก็ไม่เที่ยง ไปตามจับมันเหมือนจับพยับแดด เหมือนเงา ไม่มีแก่นเหมือนหยวกกล้วย ไม่มีแก่นสาร แล้วเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ไปยึดเป็นอนุสัยอาสวะ ต้องล้างมันให้หมด เรากำจัดเหตุตัวใดได้ก็จะไมเ่หลือตัวตนสุขทุกข์เหตุแห่งทุกข์ในนั้นๆ มันไปทั้งพวงเลย ด้วยประการทั้งพวก หมดยวงเลย เป็นอนัตตา ไม่มีสวรรค์นรก สุขทุกข์ อนัตตาได้

 

เราทำได้ แม้ไม่ถึงดับสนิทก็เห็นความจางคลาย เป็น วิราคานุปัสสี เกิดญาณปัญญาเห็นอนิจจสัญญา กำหนดอ่าน รู้อนิจจัง เป็นอสุภสัญญา ได้อนิจจสัญญา สองอย่างนี้ต้องพิจารณากำหนดอ่านให้ชัดจนเกิดปัญญา มันก็เปลื้องปล่อยได้ เป็นวิราคะ ไปเป็นขั้นๆ หรือบางคนทำได้เลยพรวดเดียวก็คือมีบารมีเก่าแล้ว เราทำอนุปัสสี 4 ได้ถึงวิราคานุปัสสะ จนหมดดับเป็นนิโรธานุปัสสี ก็ทำทวนทำซ้ำให้แน่นิ่งแน่นอนว่ากิเลสศูนย์แน่เป็น ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำทวนทำซ้ำ ในเวทนา 108 สามกาละ ให้เกิดฐานนิพพานเป็นอุเบกขา ทำให้เป็นสังขารุเปกขาญาณ เมื่อใดเมื่อใดก็ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ไม่หวั่นไหวแม้โลกธรรมใดๆ เป็นกายปาคุญญตา คล่องแคล่วว่องไว จิตก็ทำได้อย่างเหมาะควร จัดการทุกกรรมได้ทุกกรรม จิตคล่องแคล่วแววไว ปัญญาก็ไวรู้ได้เร็วไว เจโตจะอนุโลมปฏิโลมได้ เป็นจิตหัวอ่อน กายมุทุตา

 

ทำองค์ธรรมของอานาปานสติ ถึง 16 ขั้นก็เป็นปฏินิสสัคคานุปัสสี คือทวนทำแล้วทำอีกซ้ำซากจนไม่มีอีกแล้วไม่มีแล้วสวรรค์ แม้สวรรค์โลกุตระก็ไม่เหลือ คือปีติเป็นอุปกิเลสก็ไม่เหลือ เป็นปฏินิสสัคคะ จนสมบูรณ์ เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

การปฏิบัติต้องทำสติปัฏฐาน 4 ด้วย เร่ิมตั้งแต่ กายในกาย ต้องรู้สักกายะตัวแรกเลย จะเข้าสู่โลกุตระตัวที่ 1 ต้องรู้ กายในกาย ในโพธิปักขิยธรรม 37 มีกายในกายเป็นตัวแรกจนไปจบที่อุเบกขา สัมมาสมาธิ

 

ต้องรู้กายในกาย พิจารณาคือไม่ใช่ว่าแค่ขบคิด แต่ให้ทำใจในใจให้ได้ เห็นมันแล้วพิจารณามัน ว่ามันอนิจจา วิราคะ นิโรธได้ ตอนแรกคุณเห็นมันไม่เที่ยง พอพลังงานที่เห็นไม่เที่ยงนี้มากพอก็จะเห็นอสุภะได้ มีสองสัญญา ทำงาน คืออนิจจสัญญาและอสุภสัญญา ในอานาปานสติก็ใช้สองสัญญานี้ ทำอย่างมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ก็เป็นสุภันเตวอธิมุตโตโหติ โน้นไปจนถึงอรหันต์เลย ที่สุดแห่งที่สุดเลย สัมโพธิปรายนะ

 

สติปัฏฐาน 4 คือพิจารณากายนี่คือให้พิจารณาจิต กายนอกก็กระทบรับรู้ด้วย เช่นหัวปลีนี่ใหญ่โตกระทบตาแล้วอยากได้ๆ เราก็อ่านรู้กาย ที่เป็นสักกายะ รู้องค์ประชุมของจิตในจิตเรา ตั้งแต่ปสาทรูปโคจรรูปแล้วเกิดภาวรูปปรับปรุงให้เป็นปุริสสินทรีย์ให้ได้ แล้วที่หทยรูปก็ดูว่ามันมีชีวิตในเพศหญิงหรือเพศชายก็ทำให้เกิดเพศชายเป็นเอกบุรุษให้ได้ก็รู้ความเป็นชีวิตของสัตว์ ทำสัตว์นรกให้ตายกลายเป็นพรหม เราจะรู้กายได้

 

ผู้ไม่มีความรู้เรื่องกายจะเห็นกายอีกแบบหนึ่งกายอย่างมิจฉาทิฏฐิในสัตตาวาส 9

1.กายต่างกันสัญญาต่างกัน (เวลาปฏิบัติต้องทำในวิญญาณฐีติ 7) ซึ่งในสัตตาวาสมีเพ่ิมอีก2 อันคือ อสัญญีสัตว์และเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ซึ่งของพุทธไม่ต้องไปศึกษาสัตว์แบบนี้ คนที่ปฏิบัติแบบฤาษีก็จะไปจบที่วิญญานัญจายตนภพ ไม่ไปถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งเป็นของพุทธ แต่ฤาษีจะไปได้ความดำมืด สุภกิณหะหรืออาภัสสรา ก็สว่างแบบมโนมยอัตตา แต่ของพระพุทธเจ้านั้นสว่างไสวปภัสสร แบบไม่ใช่มโนมยอัตตา

 

ในสัตตาวาส 9 และวิญญาณฐีติ 7 นั้นตัวปฏิบัติคือวิญญาณฐีติ 7 ต้องปฏิบัติขณะมีวิญญาณ ตั้งอยู่เกิดอยู่เห็นหลัดๆ แล้วแตกเป็นนาม 5 ในเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ก็จะรู้จักกาย แม้ในเนวสัญญานาสัญญายตนะแบบสัมมาทิฏฐิ และสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นอายตนะ 2 ที่พระอรหันต์อาศัยอัตตานี้ อาศัยอายตนะนี้เป็นอายตนะที่สักแต่ว่าอาศัย พ้นสังโยชน์ 10 ปล่อยสัตว์ไปหมดแล้ว

 

_ดิฉันได้ดูรายการสดพุธที่ 22 มีการพูดถึงเรือเอี้ยมจุ๊นว่าเป็นเรือบรรทุกข้าว คำว่าเอี๊ยมแปลว่าเกลือ คำว่าจุ๊นแปลว่าเรือ คำว่าเกี่ย ก็แปลว่าเดิน ปฏิบัติ ส่วนก็เพี้ยนจากคำว่าเกี่ย เป็นเกียเอี๊ยมจุ๊น น่าจะแปลว่าไต้ก๋งเรือที่บรรทุกเกลือนะ แชร์ความรู้มา

 

_เคยบวชชี รักษาศีล 5 มาเป็น 10 ปีตอนแรกปฏิบัติหลับตามา แต่ต่อมาเมื่อมีสิ่งกระทบก็จะพิจารณา มีตัวระวังกิเลสเข้าตลอดเลย ดิฉันไม่วิปลาสใช่ไหม จะไปเล่าอาการจิตกับใครก็ไม่ได้ เขาไม่เหมือนเรา เราว่าสมาธิไม่ต้องไปนั่งหรอก สภาพจิตของตนตอนนี้ไม่สุขไม่ทุกข์ มองแม่กับคนอื่นก็เสมือนกับคนอื่นแต่มีสำนึกดูแลแม่

ตอบ...คุณมีบารมีตรงตามที่คุณพูด แน่นอนว่าคุณเองพูดกับใครไม่ได้ก็คือเขาไม่เหมือนเรา แล้วไปพูดว่าสมาธิไม่ต้องไปนั่งเอา เขาก็ไม่เข้าใจหรอก ศานสาพุทธเพี้ยนไปไกลแล้ว...สมาธิสองอย่าง ที่แบบนั่งหลับตาแล้วได้สมาธินั้น อาตมาทำได้ ทำมาแล้ว นั่งมาจนไม่ถึงก้นเน่า แต่ก็นั่งมาหลายปี เล่นไสยศาตร์มา 8ปีก็นั่ง สารพัดจะอยู่กับผี เทวดา พรหม ไล่ผี ปราบผี ไล่พระพรหมด้วยก็ทำ ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง แม้ที่สุดอาตมาเลิกไสยศาสตร์แล้ว

 

แต่เรื่องของสมาธิพุทธกระทบอะไรก็จะพิจารณา ไม่ใช่นึกคิดนะ สัมผัสแล้วอ่านรู้สุขทุกข์ มีวิธีทำใจคืออย่าไปให้มันได้ตามอยาก เราตั้งศีลว่าจะเว้นขาดตามศีล หูได้ยิน ลิ้นได้รับรส แต่ลิ้นนี่มันต้องแตะแล้วต้องเกิดรสอร่อยแน่ ไม่สามารถหลีกได้ ถ้าปฏิบัติจริง ในมัตตัญญุตา จ ภัตตสมิงหรือโภชเนมัตตัญญุตา หากปฏิบัติถูกสามารถเป็นอรหันต์ได้ อ่านกิเลสเห็นความไม่เที่ยง ทำให้มันจางคลาย จนมันหมดไปได้ จะรู้ความสามารถเราที่ทำได้ก็ทำไปแบบลืมตากระทบสัมผัส ตั้งแต่กุหนา มันทุจริตหยาบโกงทีละห้าแสนล้านนี่เลิกเสียเถอะ ผู้รู้แล้วว่าอาชีพนี้ชั่ว เลว ต่ำ ก็เลิกเสีย พวกนักการเมืองมาหลอกด้วยลิ้นเล่ก็คือลปนา ใช้เล่โวหาร จนเรียกโกหกสีขาว เล่นลิ้นกันชัดๆก็คือโกหกอยู่ดี แล้วโกหกเรื่องมีผลกระทบมากด้วย มันน้อยที่ไหน?

 

นัยสมาธิหลับตาทั้งสองแบบอาตมาพูดโดยสภาวะ พูดนี่ไม่ได้หลอกนะไม่ได้อยากอวด และเขาหาว่าอาตมาพูดนี่ตรรกะ พูดเอาเอง บัญญัติมาใหม่เอง เช่นว่าอรหันต์ในโสดาบันมีที่ไหน พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัส อาตมาก็ว่าเขาก็ไม่รู้ อาตมาว่าก็ได้ไปตามลำดับ จริงๆแล้วเป็นโสดาบันนั้นอบายมุขสิ้นซากแล้ว ได้ก่อนจึงรู้นิโรธแท้จริง แล้วทำให้ปฏินิสสัคคะ อาตมาก็พูดตามสภาวะ เขาบอกว่าไม่มีก็ไม่เป็นไรขอให้ทำได้ตามที่พยัญชนะว่าก็แล้วกัน

 

_ปฏิจจสมุปบาทเป็นของพุทธหรือเปล่า?

ตอบ...ย้ำเลยว่า ปฏิจจสมุปบาทเป็นของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก่อนพระพุทธเจ้าจะประกาศศาสนา นั้นยังไม่เกิด พอถึงพุทธการกรธรรม ท่านก็ตรัสรู้ได้ และรู้ปฏิจจสมุปบาทด้วย ในข้อที่ 8 ของปฏิจจสมุปบาท คือไม่รู้ในอวิชชา หากไม่รู้จักสังขาร (กาย จิต วจีสังขาร) ก็คืออวิชชา วจีสังขารอยู่ในจิต ยังไม่ออกมาเป็นกรรมภายนอก แต่เมื่อมีนิโรธแล้ว วจีสังขารเป็นตัวท้ายแล้วที่จะเกิดกรรมภายนอก ผ่านด่าน ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา กรองมาก่อนแล้วจึงเป็นวจีสังขาร

 

_กิเลสกับตัณหาต่างกันหรือเหมือนกัน?

ตอบ...กิเลสเป็นคำกลางๆ สามัญนาม ส่วนตัณหาและอุปาทาน นี่ อุปาทานเป็นตัวลึก ส่วนตัณหานี้จำเพาะเป็นวิสามัญนาม จะต้องอ่านเห็นตัณหา เหมือนสักกายะที่จำเพาะของตน ที่ต้องเห็น ส่วนกิเลสนี่ก็เรียกสิ่งพาชั่วว่าคือกิเลสหมด ตัณหาคือ Kinetic energy ส่วนอุปาทานเป็นพลังงานศักย์ Potential energy แต่ก็ทำงานอยู่นะเป็นอนุสัยอาสวะ แตกตัวเหมือนยีสต์อยู่นะ

 

_คนสิ้นบุญไม่ใช่คนตาย แต่เป็นสัตว์(สัตตาวาส)ตาย

 

_มีญาติธรรมในกลุ่มไม่ยอมกินของเพื่อน แม้เพื่อนจะให้กิน เขากลัวต้องไปใช้หนี้ต่อไป ทิฏฐิเช่นนี้

ตอบ...คุณจะอยู่คนเดียวใช่ไหม เกิดมากี่ชาติก็ไม่ต้องพึ่งใครใช่ไหม ไม่ใช่มันต้องเอามิตรดีสหายดี แม้ศัตรูก็เป็นตัวขัดเกลาเรา เราต้องรับให้ดี เราต้องเอาเพื่อน ถ้าจะเป็นหนี้บุญคุณกันก็เป็นได้ ถ้าคุณคิดว่ากินของเขา คุณก็ควรทดแทนเขาให้มากสิ ต้องเกื้อกูลกันมีแต่ให้กัน ก็คิดใหม่อะไรสมควรก็ทำ

 

_มนุษย์ตายแล้วสูญไหม? เพราะมนุษย์เกิดจากอสุจิ

ตอบ..ถ้าคนตายแล้วไม่สูญหากจิตไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คนจะปรินิพพานได้ต้องเป็นอรหันต์แล้ว ท่านสลายอัตตาได้ แต่อยู่ด้วยอรหัตตาทำงานศาสนาไป แต่มีสิทธิ์ปรินิพพานไม่เกิดอีกได้แต่คนไม่ปรินิพพานไม่อยากเกิดก็ต้องเกิด

 

_ลูกสาวไปเรียนปฐมอโศก กลับมาบ้านก็กินมังฯ แต่ก็ล้มบ้างไม่ล้มบ้างจะแนะเขาอย่างไร

ตอบ...ก็มองมุมดีของการกินมังฯ ต้องค่อยๆอธิบาย สำคัญที่คุณเป็นมังฯไหม ตนเองทำเป็นตัวอย่าง แล้วก็ไม่ทำกดดันเขา มีเวลาเราก็ค่อยส่งเสริมเขา จะช่วยได้

 

_เป็นครูสอนพุทธศาสนา แต่พบว่าเนื้อหาไม่ตรงกับพระไตรฯเช่นเรื่องบุคคล 3 เป็นต้น

ตอบ... นัยพระพุทธเจ้าว่ามี 3 ก็มี 4 ก็มี มันมีทั้งสองอย่าง

 

_พ่อครูเทศน์เรื่อง กายคตาสติ อานาปานสติ และสติปัฏฐาน 4 ละเอียดมากแต่ยังไม่เข้าใจครับ

ตอบ...ทำไมเรียกไม่เหมือนกัน … เรามีสติรู้ทุกกรรมเป็นกายคตาสติ ปฏิบัติทุกลมหายใจเข้าออก แล้วปฏิบัติมีสติทุกกรรมและให้เข้าถึงจิตตามอานาปานสติ 16


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:07:47 )

571126

รายละเอียด

571126_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ เรื่อง ตอบคำถามอานาปานสติ

วันนี้พุธ 26 พ.ย. 57 เราก็มาแสดงธรรม รายการธรรมาธรรมะสงคราม... อาตมาก็บรรยายเท่าที่เห็นควร ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นเอโกธัมโม สอดร้อยกันเป็นหนึ่งแม้ส่ิงที่ตรงกันข้ามกัน มันมีส่ิงที่เป็นกิเลสเราก็รู้แล้วเอากิเลสออกแล้วก็อยู่กับผู้อื่นไป  บอกข่าว นร.ที่จะจบม.6 ปีนี้ เดือนมี.ค. จะรับกลดกันที่บ้านราชฯยังไม่ได้กำหนดวันรับกลด ปีนี้ก็จะมีการสอบ ว.บบ. กันเช่นเดิม เป็นรุ่นที่ 3 เร่ิม 28 ธ.ค. 57 จะเริ่มสอบว.บบบ. งานนี้ต้องอ่านหนังสือ ค้าบุญคือบาป กัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เล่มก่อนๆนี้

 

เมื่อวานอธิบายไป วันนี้ก็จะอธิบายซ้อนไปอีก แต่ว่ามีผู้ที่ถามมา ส่งคำถามมาไว้ อาตมาก็ว่าเอาคำถามมาเป็นคำบรรยายไปในตัว...

 

20:17 NUCHI เวลามีคนทำอะไร พูดอะไร แล้วเราเถียงอยู่ในใจ นี่เป็นวจีสังขารไหมค่ะ หรือเลยขั้นวจีสังขารไปแล้ว จับตอนเกิดตักกะ วิตักกะ ไม่ทันค่ะ (บางเรื่องก็ทันบางเรื่องก็ไม่ทัน)

ตอบ...ที่ถามมานี่เป็นถามสภาวะ แสดงว่าอ่านใจเป็น ว่าใจเราเถียงอยู่ในใจนะ แต่เราไม่ได้พูดมาเป็นวาจา ถามว่านี่เป็นวจีสังขารไหม? ก็เรียกรวมว่าเป็นวจีสังขาร แต่ไม่ใช่ตัวปลายทางของสังกัปปะ 7 จึงเรียกว่า จิตสังขารเท่านั้น แต่มันยังไม่ได้กรอง ในกระบวนการทำการของกลไกสังกัปปะ มันยังไม่ได้ทำ ถ้ามันสังเคราะห์สังขารเสร็จเรียบร้อย ย่ิงมันมีผลสำเร็จ ตักกะคือเริ่มดำริ เราก็จับอาการแล้ววิจัยหาเหตุ แล้วจัดการปหานด้วยปหาน5 มันทำสำเร็จ ตัววิจัยเรียกว่า วิตักกะ เราเรียกในฌานว่า วิตักกะ เราเอาทฤษฎีเราไปทำใจในใจ มนสิการ ทำอภิสังขารก็เรียก ให้เกิดปุญญาภิสังขาร พอชำระได้ก็เป็นสัมมาสังกัปปะ เมื่อทำได้ก็ผ่านด่าน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปาน กรองกันสามชั้น แน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่น พอผ่านด่าน 3 อย่างนี้จึงเป็นวจีสังขาร นิโรธของพระพุทธเจ้าจึงเป็นสัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ

 

ในขณะปฏิบัติมรรค 7 องค์ มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ช่วยตลอด มีสัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ นี่แหละทำงานอยู่ในสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ก็เป็นอินทรีย์พละ เมื่อเราทำให้เสร็จเป็นวจีสังขาร จึงเรียกว่าตัวปลาย แต่จะเรียกวจีสังขารก็ได้ มันยังไม่ออกมาเป็นวจีกรรม ถ้าจะเป็นวจีสังขารสมบูรณ์ต้องผ่านกลไกสังกัปปะทั้ง 6 ก่อน ที่บอกว่าเลยวจีสังขารก็คือยังไม่เลย ยังไม่ได้ทำสังกัปปะ 7 ด้วยซ้ำ

 

0857308xxx อานาปานะสติคือโยนิโสมนสิการและสังกัปปะ7พอจะใช่หรือไม่คะ

ตอบ...อานาปานสติคือชื่อหลักทฤษฏีอย่างหนึ่ง เวลาปฏิบัติ อานาปานสติ มีหลายขั้นตอนแต่ถ้าเรียกว่าอานาปานสติ คือเข้าหาภายใน เน้นที่ กายสังขารที่เป็นกายในกายเข้าไปแล้ว ต่างจาก กายคตาสติที่จะเป็นองค์รวมภายนอก เกี่ยวกับมหาภูตรูปภายนอก เกิดกายในกายที่เป็นพลังงานทางจิตแล้ว แต่เนื่องจากภายนอกมาไม่ได้ขาดจากกัน

 

คำว่าโยนิโสมนสิการ คือเป็นคำบอกที่ให้ทำใจในใจ กายในกายเป็นเรื่องในใจแล้วก็ทำอันนี้แหละ พิจารณาองค์รวม เช่น ตากระทบรูป กระทบแล้วเกิดกายซึ่งก็คือใจ  ท่านก็ให้จัดการที่ใจนี่แหละ แยกเป็น กาย เวทนา จิต ธรรม จะแยกเป็นละเอียด กาย ก็จะมีลักษณะต่างๆมากเลย มันปรุงแต่งกันทั้งรูปและนามเรียก กายสังขาร เป็นวิญญาณ มันก็เกิดอารมณ์ เวทนา เช่น น่าได้น่าเอา ถ้าเขามาให้เราก็ชื่นใจสุขใจ หรือว่ามันอยากได้ แต่มันยังไม่เป็นของเรา อาการอยากนี่คือตัณหา ตามกิเลสทำงาน ตัวนี้แหละมันอยากได้ เราจะเอามาด้วยสุจริต แต่ไม่ใช่ถือวิสาสะเอาไป เราต้องรู้ว่าจะได้อย่างไร ควรได้อย่างไร แล้วเราต้องอ่านซ้อนในความอยากได้สามัญ แต่ในความโลภ ราคะมันซ้อนอยู่ ถ้าได้มาก็จะดีใจ หรือถ้าเราขาดธาตุอาหารนี้ น่าได้มาใส่ร่างกาย ก็เป็นสาระแท้ แต่ถ้าคุณได้มาเพราะมันหอม ชอบใจ ได้มาก็ชื่นใจนี่คือโลกียะ มันชื่นใจ ชอบ ชัง ตัวนี้คือกามตัณหา ภวตัณหา แต่ถ้าวิภวตัณหาคือไม่มีกามไม่มีภพ

 

ท่านก็ให้ทำไล่ไปตั้งแต่ กาม แล้วไปภวภพ ไปตามลำดับ เมื่อเรารู้จักการลดกิเลสตัวนี้ รู้สมุทัย จะรู้กลไกปฏิบัติธรรมได้อย่างวิทยาศาสตร์ ทำต่อไปในรูปภพ อรูปภพ มันก็กลไกเดียวกันแต่ยากขึ้นเนียนในขึ้น วิธีที่ทำการลดกิเลสนี่คือมนสิการ ทำใจในใจ ให้โยนิโส ให้ถ่องแท้แยบคายลงไปถึงที่เกิด ฆ่าเหตุคือกิเลส ไม่ใช่ฆ่าตัณหาทั้งพวง ไม่ใช่ ทั้งวิภวตัณหาด้วยก็ไม่ใช่ ให้ฆ่ากาม และภวตัณหา ทำได้ก็มีแต่วิภวตัณหา

 

เราสัมผัสแล้วต้องมีสติ รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ในจิตมีสราค สโทส สโมห ท่านตรัสไว้เป็นมาตรวัดเจโตปริยญาณ 16 ทำให้มันลดเป็นวีตราค วีตโทส วีตโมหะ ทำได้ตามมรรควิธี ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ทำวิปัสสนาวิธี ปหาน 5 ก็ทำได้ ไม่ทำแค่วิกขัมภนปหาน แต่อ่านลีลามันจางลงด้วยพลังปัญญา เห็นจริงตามความเป็นจริง ว่ากิเลสลดได้ไม่เที่ยง จางคลายดับได้จะเห็นรายละเอียด ที่ต่างจากสมาธิแบบโลกๆที่ไม่ให้นึกคิดอะไร แล้วจะมีจิตเดิมแท้แล้วมีตัวรู้เรียกว่าปัญญาเกิดเอง โดยไม่มีเหตุปัจจัย ไม่ได้เกิดในองค์ธรรม สัมมาทิฏฐิเลย นี่คือกลองอานกะที่เขาทำมาใหม่ ฟังแล้วเหมือนลึกซึ้งนะ แต่ไม่ได้มีโลกุตระเลย

 

อานาปาสติคือทุกลมหายใจเข้าออกต้องทำการรู้กาย และจัดการกายสังขาร อย่าขาดกาย องค์ประชุมต้องมีทั้งนอกและใน ส่วนมนสิการคือทำใจในใจ

 

ส่วนสังกัปปะ 7 นั้น ใช่ในอานาปาสติคือต้องโยนิโสมนสิการ ซึ่งก็คือสังกัปปะ 7 คือมนสิกโรติ ถูกต้อง

 

0824039xxx ปัญหาของมนุษย์มาจากความเป็นทาสของเวทนาคือมันจูงใจคนให้ไปทำอะไรก็ได้จะเป็นคนดีฤาคนเลวต่างก็มีเวทนาแบบตนเอง!ถ้าเป็นคนเลวก็ทำแต่บาปมีแต่เรื่องทุกข์เวทนา!ถ้าเป็นคนดีก็ทำแต่บุญก็ได้รับสุขเวทนาถูกต้องไหม?สกก.

ตอบ...ถ้าเป็นคนเลวทำแต่บาป พอสมบาปแล้วมันก็สุขนะ คนเลวนี่ แต่มันก็ยากหน่อยเพราะทำสิ่งไม่ดีไม่งาม แล้วก็เป็นบาปแน่ บาปคือกิเลส จะบอกว่าทุกข์ ถ้ามันลำบากอยู่ก็ทุกข์แต่เขาจะไม่กลัวหรอก เอาอำนาจกิเลสบังไว้ แล้วทำบาปเมื่อได้สำเร็จผลชั่วก็สุข แต่สัจจะนั้นทุกข์ ไม่ทุกข์ตอนนี้ก็มีวิบากต่อไป

 

แต่คนดีนี่ทำแต่บุญ (บุญเขาแปลเพี้ยนไปว่าแค่คุณงามความดี) หากคนดีทำแต่กุศลก็สุข ถูกต้อง การจะทำดี คุณก็ทำ อ่านจิตให้ได้ ถ้าจิตคุณมีกิเลส ทำดีแล้ว แต่กิเลสคุณโลภ อยากได้ผลตอบแทนจากการทำดี เป็นโลกธรรมก็ตามนั่นแหละไม่ได้บุญ การทำดีทีีคุณทำตามสมมุติโลก คุณก็ได้ดีแล้ว แต่ดีนั้นคือกุศล แต่คุณไม่ได้ล้างกิเลส ไม่ได้บุญ ทำดีนี่ไม่ได้ล้างกิเลสไม่เป็นบุญ เช่นทำทานให้วัตถุสมบัติหรือแรงงาน ความรู้ก็ให้เขา แต่คุณยังต้องการได้มาแลกเปลี่ยน แม้แต่ได้สวรรค์วิมาน เป็นภพชาติก็ได้ คุณยังจะเอาอยู่นั่นคือยังไม่ได้บุญ ดีไม่ดีตั้งจิตจะเอาด้วยเลย ท่าน 5 บาทแต่ตั้งจิตจะเอาเมีย 100 คนเอาสมบัติมากมาย นี่คือทำใจในใจให้เกิดกิเลสโลภ มีกิริยาจิตที่เป็นมโนกรรม นี่ไม่ได้บุญ แต่ถ้าทำจิตให้ลดโลภ โกรธ หลงนี่คือได้บุญ

 

บุญคือเครื่องมือตัดกิเลสด้วยปัญญา เมื่อลดกิเลสได้ก็ได้บุญ แต่เมื่อหมดกิเลสก็หมดบุญหมดบาป เป็นปุญญปาปริกขีโณ จบกิจไม่ต้องทำบุญอีก ถ้าทำได้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ถามว่า คนดีก็ทำแต่บุญก็ได้รับสุขเวทนา...แต่ดีอันนี้เป็นปรมัตถ์ลดกิเลสเป็นบุญได้ จะได้รับสุขเวทนาก็เป็นได้ เป็นเนกขัมมสิตโสมนัสเวทนา เป็นปีติ เป็นสุขได้ แต่ก็เป็นอุปกิเลส ทำฌาน 1 ได้ก็มีปีติ แต่ไม่ใช่ปีติโลกีย์ที่ได้ฟูใจบำเรอกิเลส แต่นี่เป็นเนกขัมมสิตโสมนัสเวทนา ต้องชัดเจนอารมณ์อาการจิต พระพุทธเจ้าว่าอย่าให้เกิดอันนั้นมาก ก็ทำให้มันบางเบา ทำให้เป็นผรณาปีติ ลงไปเป็นความยินดีพอใจให้ละเอียดอย่างยิ่งเป็นอภิปโมทยังจิตตัง ถ้าสุดท้ายจะเรียกว่าสุขก็ทับศัพท์ ยืมภาษามาใช้เรียกว่าวูปสโมสุข อุปสโมสุขหรือปรมังสุขัง เป็นผรณาปีติ เป็นอภิปโมทยังจิตตัง นี่คืออภิภายตนะจริงๆ ละเอียดลึกซึ้ง

 

0824039xxx เวทนาที่พ่อท่านสอนเป็นเรื่องเดียวกับเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานใช่ไหม?เวทนาที่เรียกว่าเครื่องปรุงแต่งจิตฤาจิตตสังขารคือการปรุงแต่งจิตเป็นปิติและสุขใช่ไหม?

ตอบ...ต้องแยกให้ได้ ว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานคือเข้าไปอ่านเวทนา แล้วล้างกิเลส เป็นเครื่องปรุงแต่งจิตได้ เราก็เป็นสติปัฏฐานแท้  แต่ถ้าเป็นเวทนาที่มันเป็นสังขาร เป็นปีติ สุข อาจเป็นโลกีย์ก็ได้ จะเป็นปีติหรือสุขก็ได้ สามัญทั่วไป เป็นกิเลสก็ได้

 

0824039xxx นมก.พ่อครูอานาปานสติภาวนาของเดิมที่เคยเรียนรู้มามีกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน,เวทนานุปัสสนาสติปฐ,จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน,ธัมมานุปัสสนาสติปฐ.มีเท่านี้เหมือนที่พ่อครูสอนไหม?

ตอบ...ก็เท่านี้แหละ ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว จะต้องแม่นว่า กายในกายจะทำมนสิการอย่างไร ที่จะเชื่อมาหาเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ถ้าทรงไว้ซึ่งกุศลธรรม เมื่ออกุศลจิตหมดไป ก็หมดหน้าที่ของบุญแล้ว ก็เหลือแต่กุศลธรรม ไม่มีภาษาว่าปุญญธรรม จะทรงไว้ซึ่งกุศล ถ้าไม่ได้ล้างกิเลส บุญก็ไม่ทำงานเลย

 

0824039xxx 1วิญญาณเช่นภูตผีเปรตเจตภูติที่ทุกคนเห็นอยากรู้ว่าเขาเห็นได้อย่างไร?ในเมื่อวิญญาณในพุทธศาสนาหมายถึงจิตที่ทำหน้าที่ตามอารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ!

ตอบ...แสดงว่าคุณก็ไม่เห็นนะ แล้วก็ถามว่าเขาเห็นได้อย่างไร? แล้วคุณก็เข้าใจได้ถูกต้องเลย  วิญญาณก็มี 6 สัมผัสก็มี 6 แต่เวลาทำงานมา ปสาทรูปมี 5 โคจรรูปอีก 5 แล้วทำงานไปทำไมเหลือ 9

 

แล้วที่เขาเห็นกันนี่ ทางแพทย์เขาก็เรียกว่าโรคทางจิต เป็นภาพลวง มีผีทางตา ทางจมูก ทางหู แต่ไม่ยักมีผีที่สัมผัสทางลิ้น ที่คุณกิรดั่งได้ยินมา เป็นอุปาทานทางจิต เขาได้ยินได้เห็นได้กลิ่นก็ได้รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แต่มันเป็นของที่เนรมิตเองด้วยใจ เป็นมโนมยอัตตปฏิลาโภ สำเร็จด้วยจิต คนที่เข้าใจแล้วว่าจริงๆมันไม่มี คนธรรมดาสามัญไม่มีอุปาทานหนัก ก็จะไม่เห็นผีเลย ในห้องนี้ไม่มีใครเคยเห็นผีเลย

 

การปั้นจิตขึ้นมาแล้วเห็นนี่มีทั้งเห็นทางตาเนื้อหรือนั่งสมาธิเห็นภายใน แต่เห็นภายในนี่มันยากกว่านะ เขาไม่รู้ว่าเขาปั้น คุณสังขารแล้วไม่รู้ว่าคุณสังขารมันไม่มีแต่คุณทำจนมันมี เช่นรสอร่อยมันไม่มี แต่คุณมีเพราะอุปาทาน แต่เมื่อคุณลดอุปาทานจนหมด รสอร่อยก็หายไป มันไม่มีตัวตน มันแล้วแต่กิเลสอุปาทานของใครก็ของใคร ไม่เหมือนกันแต่คนปฏิบัติธรรมลดจางคลายได้ถึงขีดมันก็หมด ดับ รสอร่อยไม่มีจริง อย่างนักโกงเมืองนี่ปากเขาใหญ่มาก

 

สรุปคือเขาเห็นผีได้อย่างไรก็คือเห็นด้วยโง่ ด้วยอวิชชา แต่พอล้างอุปาทานแล้วก็ไม่เห็นแล้ว จิตวิญญาณไม่มีรูปร่างสรีระ ซึ่ง มีแต่คุณจะเห็นอาการจิตว่านี่คือโกรธ โลภ นี่คืองอน ประชด ฯ มันต้องรู้อาการจิตเรา แล้วค่อยมาเป็นอาการภายนอกมันไหวในจิตให้รู้ก่อนได้ คนที่เข้าใจว่าจิตวิญญาณเป็นตัวตนก็เลยได้แค่รูป ไม่รู้ เวทนา ไม่รู้จิต ไม่รู้เหตุที่ในจิตมีสราค สโทส สโมห แต่ถ้าพิจารณาอาการเหล่านี้ ว่ามันมีเหตุปัจจัยเกิดจากอาการเหล่านี้ ทำโยนิโสฯให้เกิดฆ่ากิเลสตายจนหมดชีวิตตินทรีย์

 

0824039xxx  2วิญญาณมิได้เกิดอยู่เป็นประจำเกิดต่อเมื่อมีการกระทบทางอายตนะเช่นรูปกระทบตาเกิดจักษุวิญญาณ,เสียงกระทบหูเกิดโสตวิญญาณ,กลิ่นกระทบจมูกเกิดฆาณวิญญาณ,รสกระทบลิ้นเกิดชิวหาวิญญาณ,สัมผัสกระทบผิวหนังเรียกกายวิญญาณ,รู้สึกนึกคิดเรียกมโนวิญญาณ!วิญญาณที่ว่าเป็นเรื่องเดียวกันที่ท่านสอน!ถูกไหม?

ตอบ...ถูกต้อง ตรงกับพระวจนะของพระพุทธเจ้าด้วย วิญญาณจะเกิดตอนกระทบสัมผัส ตายแล้วไปตามวิบากจิต กุศลก็คือสวรรค์ อกุศลก็คือนรก แต่วิญญาณท่านให้กำหนดรู้ในปัจจุบันตอนเป็นๆ  แล้ววิญญาณแตกเป็น เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ อีก

 

0824039xxx  ตนดู รก.tvช่อง1!เขาเอาคนไปทดสอบกับผี!ถ่ายทำในบ้านร้างที่เคยมีคนตายฤาในสุสานป่าช้าหลายที่!ตนก็ดูแล้วดูอีกก็ไม่เห็นผี!แต่คนดำเนินรก.เห็นหมด!อยากรู้เขาเห็นจริงฤาไม่ที่เขาเห็นคือจิตอุปทานใช่ไหม?

ตอบ...ผีจริงอยู่ในตนคือกิเลสก็ไม่เห็น ดีไม่ดีเลี้ยงผีไว้ให้อ้วนปี๋ แข็งแรงฉลาดต่างหาก หลอกใครไม่หลอก หลอกตนเอง ประคบประหงมมันยิ่งกว่าอะไรเลย แตะก็ไม่ได้อีกต่างหาก คนเอ๋ยคน เป็นเช่นนั้น

 

คนเหล่านั้นก็เห็นตามอุปาทาน จริงด้วย แต่มันไม่ใช่ผีจริง เหมือนคำโกหกมีจริง แต่คำโกหกมันไม่จริง  แต่ก่อนเราก็โง่ทำมา

 

คำว่าสติแปลว่ารู้ตัว สัมปชัญญะแปลว่ารู้ตัวทั่วพร้อมจากองค์ประชุมนอกเข้าสู่องค์ประชุมใน

ตอบ..ถูกต้อง สติที่ต่อจากสัมปชัญญะ ว่าสัมปชานะ สัมปชติ ถ้าเราปฏิบัติไปมันก็จะเกิดต่อเนื่อง พระบาลีเหล่านี้อาตมาไม่ได้ตั้งเอง เอามาจากตำราด้วย

สัมปชัญญะ     =  ความรู้ต่อจากการมีสติรู้สึกตัว

สัมปชานะ       =  ความรู้สึกตัวในการปฏิบัติอยู่

สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ

สัมปัชชติ =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ    =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร

สัมปฏิสังขา  =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .

สัมปัชชลติ      =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง

สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล .

สัมปฏิเวธ    =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด   เป็นการเคล้าเคลียอารมณ์ ทำทวนซ้ำให้แข็งแรงสมบูรณ์สูงสุด อสังกุปปังไม่กลับกำเริบ

 

เป็นนามธรรมที่ทำแล้วก็เกิดพลังปัญญา ทำงานสังเคราะห์สังขาร เป็นอภิสังขาร จัดการทำลายกิเลส ด้วยวิธีที่เรารู้ดีแล้วก็ทำ ทำปหาน 5 ใช้ปัญญาเป็นหลัก กดข่มก็ช่วยด้วย แต่ใช้ปัญญาเป็นไฟปัญญาที่ไปละลายไฟราคะโทสะโมหะได้ เป็นฌานคือการเพ่งรู้เพ่งเผากิิเลส ถ้าเราอ่านอาการจิตตัวที่ถูกเผาแล้วเราก็เผาได้จริงก็สำเร็จผล ต่อเนื่องจากสติมา

 

คำว่า กาย คือองค์รวม เช่น ผมขนเล็บฟันหนังรวมในอาการ 32 แต่มันไม่ใช่นาม แต่ปสาทรูปนี่เร่ิมเป็นนาม เมื่อปสาทรูปกระทบเหตุปัจจัยก็เรียกรวม ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ใน 5 อย่างนี่รวมแล้วสำคัญที่สุดก็มี 4 อย่าง ตา หู จมูก ลิ้น ก็รวม 4 อันนี้เป็นกาย สรุปแล้วคำว่า กายนี่รวม ตา หู จมูก ลิ้น เมื่อทั้งหมด 4 อย่างนี้ไปกระทบสัมผัส รวม 4 อย่างนี้คือ กาย คือโผฐัพพะทั้ัง 4 สิ่งใดไม่มีจิตก็ไม่เกิดการรู้ เมื่อสัมผัสกันแล้วเกี่ยวข้องกันแล้ว จึงไม่นับเอา โผฏฐัพพะเป็นอีก 1 มันเหลือแค่ 9

 

เมื่อคุณลอกหนังออกหมด คุณก็จะเหลือแต่ ตา หู จมูก ลิ้น ก็เหลืออยู่ 4 แต่ไปเรียกผิวอีกอันที่ต้องรับรู้ รวมโผฏฐัพพะ มันต้องมีผัสสะ ต้องมีโผฏฐัพพะถ้าลอกหนังออกหมดมันก็ไม่มี ก็เหลือแต่ตา หู จมูก ลิ้นแต่มันต้องผัสสะ จึงเอามาครึ่งหนึ่ง

 

_ตอนปฏิบัติ เกิดวิญญาณ หลายตัวไหม ตอนเรารับรู้รับรู้ได้ทีละอย่างไหม?

ตอบ... ถ้าคุณเอาสติสัมปชัญญะตามดูจะรู้ว่ามันเร็วมากเลย จนกระทั่งที่เคลื่อนไหวภายนอกมันช้ากว่าที่จิตคุณรู้เลย อย่างอาตมาดูทีวี 3 จออ่านหนังสืออีกด้วย กินข้าวด้วย บางทีคนมาพูดให้ฟังอีกเป็น 6 อย่างมันก็ไม่ได้ทั้งหมดหรอก แต่เราก็ฟังหัว หาง แล้วก็รู้เรื่องได้จะมีปฏิภาณ แต่เราทำทีละเรื่องแต่รู้ได้เร็ว จิตมีมุทุภูตธาตุมีชวนจิต

 

_ทำไมเรากลัวความมืด

ตอบ...คนเรากลัวสิ่งที่ไม่รู้ หากรู้ว่ามันจริงและดีแล้วจะไม่กลัว แม้จะเป็นเสือ แต่ไม่รู้เลยกลัว ยิ่งไปเข้าใจว่าผีหลอก ก็ยิ่งกลัวผีชอบอยู่ในที่มืดด้วย กลัวเพราะโง่

 

_จิตเทวดาก็คือตัวหลง ได้มาเสพสุขก็เทวดาเก๊ แต่ถ้าเทวดาเกิดแต่ลดกิเลสก็คือเทวดาแท้

 

_เรากินเนื้อสัตว์เรียกว่าคนหรือสัตว์

ตอบ...ก็คือสัตว์ เราไม่ได้เป็นสัตว์ก็ไม่ต้องเลี้ยงไว้ด้วยเนื้อสัตว์

 

_กระผมเป็นคนสมาธิสั้นจะทำอย่างไร?

ตอบ...ไม่มีวิธีใดนอกจากเรียน ฝึก สมาธิมีโลกีย์กับโลกุตระ สมาธิคือจิตตั้งมั่น ถ้าเราลดกิเลสได้แบบตั้งมั่นยาวเลย สมาธิก็ยาว แต่สมาธิสะกดจิตก็ทำได้ยาวทำลืมได้แต่ไม่เที่ยงฟื้นคืนได้ แต่ความหมายที่หมายคือตั้งใจทำอะไรให้ยาวหน่อยจดจ่ออยู่นี่คือสมาธิสมถะ

 

_ปล่อยวางกับเฉยดูดายเหมือนกันไหม?การที่เราปล่อยวางเป็นจะทำให้เป็นคนเฉยดูดายไหม?

ตอบ...คำว่าปล่อยวางของพระพุทธเจ้า ภาษาพระพุทธเจ้าเรียกว่า มุลจิตุหรือมุลจุติหรือวิโมจจยัง แปลว่าเปลื้องออกปล่อยออก คือมีปัญญามันไม่ยึดมั่นถือมั่นมันมีอำนาจแห่งความรู้ว่าอันนี้วางอันนีเอา ไม่ใช่ปล่อยดื้อๆไม่มีเหตุไม่มีผลไม่รับรู้ด้วยเลย ไม่ใช่ แต่อุเบกขาของพระพุทธเจ้านี้ปล่อยวางอย่างไม่ร่วมเป็นทุกข์เป็นสุขด้วย เช่นเราไปชุมนุมก็ร้อนเหนื่อยทุกข์ แต่จิตเราวาง ไม่ยึดถือ นี่ก็ได้งานได้ผลไม่ดูดาย เราทำสิ่งเป็นประโยชน์คุณค่า เราทำเพื่อมวลมนุษยชาติ ก็คือรู้ว่าจะปล่อยวางอะไร จิตไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรืื่องราว

 

การดูดายนี่คือไม่เอาถ่านตีทิ้่ง มันจึงไม่ได้เรื่องไม่ได้งานไม่มีน้ำใจ คำว่าดูดายจึงไร้ค่า แต่การปล่อยวางมีสภาพแห่งความฉลาดรู้ เข้าใจว่าส่ิงควรทำเป็นอย่างไร

 

ในวิปัสสนาญาณ 16(โสฬสญาณ) 

4. (1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิด- ความเสื่อมไปของกิเลส ของชาติ เวทนาสุขทุกข์ต่างๆ มันโน้มเข้าหาความดับไป

5.    (2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย

6.    (3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร  เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป

7.   (4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ . ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย

8.   (5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส  เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย

9.   (6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น (อตัมมยตา)

 

คำสอนของพ่อท่านที่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 คนทั่วไปก็ทำได้แล้ว แต่เมื่อย้อนไปอดีตที่ยังไม่ได้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เขาจะใช้คำสอนในอดีตได้ไหม?

ตอบ...คุณเข้าใจผิดไปอาตมาก็ประกาศว่าเป็นโพธิสัตว์มาแต่ต้น แต่คำสอนที่อดีตก็เอามาใช้ได้

 

คนที่กลัวผีก็เพราะไม่รู้ความจริง ผีไม่มีจริงมีแต่ผีหลอก คนที่ไปเห็นผีก็โง่ซวยด้วย ของไม่จริงไม่มีจริงแล้วไปเห็นก็โง่ คนที่นึกว่าเป็นของจริงเราก็โง่ด้วย  ผีจริงๆคือจิต ผีนอกจิตใจไม่มี จิตใจที่เป็นกิเลสที่ดื้อ ที่พูดบอกไม่ฟัง ขี้เกียจพวกนี้ผีทั้งนั้น ที่แม่พ่อห้ามไม่ฟังก็ผี เราเป็นเช่นนั้นคือเรามีผีในตัว แต่ผีหลอกๆนั้นอย่าไปกลัว ไม่มีจริงหรอก

 

_จากผู้ใช้นาม....เส้นสายกลาง ทางประเสริฐ

ขออนุญาตนะครับ. พระอาจารย์พอทราบไหมครับ. ว่าพระอาจารย์ไหนเทศน์เรื่องนี้ครับ จากเว็บอโศกอินโฟ  เรื่อง. อรหันต์นั้นมีอยู่เต็มโลก แม้ท่านก็เคยเป็นอรหันต์เชื่อหรือไม่ เทศน์วันที่. 25เม.ย.2513ครับ

พระอรหันต์ คือ คนธรรมดาๆ ? อย่าเข้าใจผิดเลย "อรหันตบุคคล" หรือ "พระอรหันต์" นั้น ไม่ได้แปลกเปลี่ยน พิสดารอะไร ไปจากความเป็น "คน" หรอก "อรหันตบุคคล" ก็คือ ผู้มีรูปร่างหน้าตาคงเดิมเป็น "คน" อย่างเดิม ยังไม่มีกระบังที่หน้าผาก ยังไม่มีชฎา ยังไม่มี เกือกแก้ว และจะไม่ Tall, Dark and Handsome ด้วย

อาจจะไม่หล่อ ไม่สวย ไม่ผุดผาดอิ่มเอิบซาบซ่า เหมือน "คน" ผู้ยังเต็มไปด้วย กิเลส แห่งความรัก "รูปสวย" รัก "รูปงาม" และ รัก "รูปหล่อ" ทันสมัย เท่-สมาร์ต- น่าทึ่ง เป็นอันขาด นั่นคือ "ความจริง" นั่นคือ "ความตรง-ความถูก" ของลักษณะ "อรหันตบุคคล"

ถ้าจะนับ ว่า แปลก ว่า พิสดาร ก็คงจะผิดจาก "สำนึก" ที่ผู้คาดคิดเอาไว้ ตรงนี้เอง และ เป็นมุมกลับด้วย

เพราะ "อรหันตบุคคล" ไม่มี "ความหลง" แล้วในใจของท่าน ท่านมี "ร่างกาย" ก็ย่อมเหมือนไม่มี

ดังนั้น ท่านจะไม่อีนังขังขอบกับร่างกาย ว่า จะอ้วนท้วนสมบูรณ์ หล่อเหลา ได้รูป-ได้ร่าง อย่างไร?

และ จะไม่อีนังขังขอบกับเครื่องแต่งกาย ว่า จะสวย จะงาม จะทันสมัย หรือ เหมาะสมกับสังคม สถานที่ หรือไม่?แต่ ท่านก็จะมีร่างกาย เพียงให้มันทรงอยู่ได้ จะนุ่งห่มเพียงเพื่อ คลุมกาย กันร้อน -กันหนาว -กันแมลง เท่านั้น เป็นสภาพร่างกาย หรือ สภาพของ "คน" ธรรมดา ที่ไร้ความหล่อ -ไร้ความสวย -ไร้ความสง่า - ไร้ความโอ่อ่า - ไร้ความเท่ -ไร้ความทึ่ง พอเห็นปุ๊บ! ก็จะสะดุดตาปั๊บ! แน่ๆ

ด้วยเหตุดังนี้เอง จึงจะเห็น "อรหันตบุคคล" ไม่ได้ง่ายๆ เพราะสภาพที่เห็นได้ ไม่ได้ "สูง" ดังวาดไว้

เช่น จะต้องสมบูรณ์เพียบพร้อม-สง่า แต่งกายดีมีราศี หรือ มีรัศมี จนบางที คนที่คิดเอาไว้ หรือปรุงแต่ง หรือ วาดรูปไว้ มักจะวาด อย่างสุดสวย และแถมมีรังสี มีความพิเศษ ไปในทางที่เด่นๆ แบบทางโลกนึกคิด เอาเสียด้วย

ความตรงกันข้ามด้วยประการดังนี้ จึงทำให้ "คน" ไม่พบ "อรหันตบุคคล" และไม่มีโอกาส ได้พานพบ "อรหันตบุคคล" เป็นอันขาด ทั้งๆที่อาจจะได้เห็น มาแล้ว หลายครั้ง เพราะความสูงที่วาดไว้ อย่างคน กับความ "สูง" ที่ "อรหันตบุคคล" มีอยู่ในตัวท่านนั้น มันเป็นความสูงกัน คนละเรื่อง คนละลักษณะ...(เนื้อหาแบบสรุปครับ)

แต่ที่ข้างบนเขียนว่า ประกายธรรม 8 ครับ  ถามว่า ประกายธรรม 8 คืออะไรครับ?

ตอบ...ประกายธรรม 8 คือชื่อเรื่องชุดที่ 8 ที่ส.พิสุทโธ ขึ้นเว็บไซด์ไว้เท่านั้นเอง ชื่อประกายธรรมคือชื่อชุดเรื่องที่เทศน์ไว้  ถ้าเป็นอรหันต์ที่ท่าอนุโลมมากเช่นอรหันต์จี้กง คุณจะดูไม่รู้เลยว่าท่านเป็นอรหันต์ ท่านทำเพื่อคนอื่น เหมือนแม่เล่นขนมหม้อข้าวหม้อแกงเป็นกับลูกเพื่อให้ลูกได้เกิดประโยชน์อะไรบางอย่างเป็นต้น หรือเราไปร่วมทำงานกับเขาที่เขามีกิเลสปนแต่เราทำไปกับเขาเพื่อให้เขาลดกิเลสได้ ด้วยวิธีแทรกโอสถเข้าขุมขนก็ทำได้ เขามาเคร่งกับเราไม่ได้ สายมหายานก็เข้าใจ แต่สายเถรวาทเต๊ะจังทั้งที่โสดาบันก็ยังไม่ได้เลย


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:08:38 )

571127

รายละเอียด

571127_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ เรื่อง ว.บบบ.กับสัตตาวาส 9(ตอบของขลัง)

พ่อครูว่า...วันนี้ 27 พ.ย. 57 ใกล้เดือนสุดท้ายของปี ชาวอโศกเราจะมีงาน ว.บบบ. เราจะเร่ิมต้นรับสมัครนิสิต ว.บบบ. วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม เราได้ว่างเว้นไป 1 ปี เหตุการณ์บ้านเมืองทำให้เราต้องไปชุมนุมกลางถ.ราชดำเนินก็เลยสอบไม่ได้ ผ่านไป 1 ปี แต่ปีนี้ก็จะทำได้แล้ว บอกให้ทราบ ต้นเดือนธ.ค.ก็รับสมัครแล้ว 1-25 ธ.ค. 57 วันที่ 28-31 57เป็นวันบำเพ็ญคุณ วันที่ 1-3 ปี2558เป็นวันบำเพ็ญธรรม รวม 7 วัน มีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ

 

เรื่องของวิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยมหรือตัวย่อคือ ว.บบบ. ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ตัวย่อ . คือวิชชาลัย ส่วน บ. แรกคือ บรรดา หรือประดา ส่วน บ. ที่สองคือ บัณฑิต จำกัดความว่าเป็นบัณฑิตบุญนิยม บ. ที่สามคือบุญนิยมนั่นเอง

บรรดาคือเราไม่ได้จำกัดว่าเป็นใคร แม่แต่ศาสนาอื่นจะเข้ามาสอบเป็นบัณฑิตอันนี้ก็ได้ มันเป็นการทดสอบการศึกษาทดสอบสร้างให้เกิดภาวะบัณฑิตที่แท้จริงแก่คน เรามีใบรับรอง ที่เขาเรียกกันทั่วไปว่าปริญญาบัตร หรือประกาศนียบัตร แต่ของเราเรียกว่า “ปัญญาบัตร”  และมี “บัตรประจำตัวรุ่น” ผู้ใดสอบได้แต่ละรุ่นก็เข้ารุ่น ที่สำคัญคือจะมี “เข็มตราพระธรรม” ถือว่าเป็นบัณฑิตเลยมีเข็มนี่ติด จะติดเป็นประจำเลยก็ได้ หลังเข็มจะบอกรุ่นไว้ด้วย เป็นทองคำแท้ ไม่ใช่ทองชุบ นำหนักเกือบบาทหนึ่ง หนัก 13.27 กรัม ซึ่งหนึ่งบาทหนัก 15 กรัม เดี๋ยวนี้ 1 บาทราคาสองหมื่นห้าพันบาท ตกอันหนึ่งก็เกินสองหมื่นห้าพันบาท

พ่อท่านดำริงานนี้ขึ้นมาเพื่อ “สร้างคน” ให้คนพัฒนาเป็นชีวิตที่ดีประเสริฐที่เรียกว่า  “อาริยะ” เป็นความเจริญในระดับโลกุตระ ซึ่งเป็นชีวิตที่พ้นทุกข์ลดทุกข์ได้ ลดได้จริง แล้วก็เป็นคนดีของสังคม ลดกิเลสตามทฤษฏีของพระพุทธเจ้า ลดกิเลสแล้วเป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งพ่อท่านเห็นว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในความเป็นมนุษย์ ที่ตั้งใจทำตั้งแต่ออกมาจากชีวิตโลกๆ ที่เคยวิ่งไล่ล่าลาภ-ยศ-สรรเสริญ-โลกียสุข  ออกมาก็เห็นว่าดี ทำมาได้ตั้งแต่อายุ 36 ปี เราทำได้ผล จนเกิดกลุ่มหมู่อโศก เรียกว่าบุญนิยม เราพยายามให้เป็นหลักเป็นฐาน เป็นกรอบการศึกษา เป็นระบบการศึกษาเปิด ที่ไม่ชื่อว่าอยู่ในกรอบของกระทรวง เราพยายามทำแบบของเราเองโดยตรง จะกำหนดความรู้ขึ้นมาให้เป็นลักษณะที่เป็นอาริยะอย่างที่ตั้งใจ เข้าใจ มั่นใจ โดยไม่ถูกกฎระเบียบมาวุ่นวาย ก็เลยคิดโครงร้างการศึกษานี้ขึ้นมา แล้วตั้งชื่อว่า “วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม

นิยม” ชื่อย่อว่า “ว.บบบ.” แล้วก็ร่างโครงร่างเป็นการเรียนอย่างอิสระ เมื่อทำอันนี้ขึ้นมาแล้วก็มาทำรายการโทรทัศน์ว่า “เรียนอิสระ(ตามสำนึก)” ให้สำนึกเองมุ่งมั่นเอง พ่อท่านก็ถ่ายทอดทางสื่อสาร ออกอากาศสื่อออกไปอยู่ตลอดเวลา ใครสำนึกเห็นว่าควรศึกษา ก็ศึกษาเอา ถึงเวลาปีหนึ่งก็มา สอบทีหนึ่ง ซึ่งเปิดกว้าง ไม่กำหนดอายุ เปิดรุ่นแรกมีอายุ 7 ขวบ 8 ขวบ จนถึง 80 กว่า และเรียกผู้มาเรียนว่าเป็น “บัณฑิตาราม”เป็นการศึกษาที่พัฒนากาย วาจา และเน้นที่จิตต้องพัฒนาขึ้นให้ได้

โดยมีเกณฑ์ของผู้สมัครเรียนคือ

1.ต้องกินมังสวิรัติมาแล้ว 5 ปี และ 5 ปีที่ว่า ไม่ได้หมายความขาดหกตกหล่นไม่ได้เลย สรุปแล้ว คือตั้งใจกินมังสวิรัติได้อย่างน้อยสองในสามของที่เรากินมาหรือคิดเป็น 70% ใน 5 ปี ก็คือกินมาได้ 3 ปีกว่า นอกนั้นก็ขาดหกตกหล่นได้ไม่ได้เคร่งครัดเกินการณ์ ให้เข้าใจว่ามากินมังสวิรัตินี่เพื่อตัดกิเลส

2.ถือศีล 5 

3. ไม่มีอบายมุข

ผู้ที่มีคุณสมบัติอย่างที่ว่า คือเป็นมนุษย์ไม่มีอบายมุข ถือศีล 5 กินมังสวิรัติ สามเงื่อนไขนี้ถ้ามนุษย์มีและปฏิบัติอย่างนี้ได้ ปีหนึ่งไม่ต้องมากมาย ปีหนึ่งได้ซัก 20 คน ถ้าลงทุนไปห้าล้านบาทก็คุ้ม ก็พอแล้ว  พ่อท่านกล้าทุ่มเลยก็ลองดูว่า รุ่นหนึ่งก็ลงทุนไม่ถึงห้าล้านบาท ในปีแรกมาสมัครเกือบหนึ่งพันคน เราถือว่าให้เกียรติกัน ในความเป็นคน เขาก็ต้องมีสำนึกของเขา

เป็นงานมาปฏิบัติจรณะ 15 นั่นเอง เป็นหลักการ มีการทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น มีการฟังรายการธรรมะ มีการบำเพ็ญคุณ บำเพ็ญธรรม มีการสังสรรกับนักปฎิบัติด้วยกัน คนทั่วไปที่ยังไม่มีคุณสมบัติถึง แม้ไม่มาสอบ ก็มาร่วมปฏิบัติได้ จะมีการแบ่งกลุ่ม ก็ไปขอเข้ากลุ่มได้ เพียงแต่ไม่ได้ถูกคิดคะแนนเท่านั้นเอง

พ่อท่านสาธยายต่อว่า ถ้าชีวิตนี้ได้ช่วยคน ให้มีคุณธรรมให้มีคุณสมบัติดังกล่าว ประเทศก็จะมีอาริยะ ไม่เป็นภาระสังคม จะทำให้สังคมไม่วุ่นว่าย ไม่ได้มักมาหรอก ปีหนึ่งได้ 10-20-30 คน ร้อยคน มาถึงวันนี้หลายสิบปีแล้ว ก็ได้เป็นโล้เป็นพายอยู่ มาถึงวันนี้ก็มีหมู่กลุ่มชุมชน ทั่วประเทศ เกือบร้อยกลุ่ม มายืนยันปฏิบัติ ศีล-สมาธิ-ปัญญา ขั้นต่ำคือศีล 5 ศีล แต่ก็จะมี ศีล 8 ศีล 10 ตามฐานะ ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอบายมุข

เมื่อพ่อท่านเห็นว่าเป็นสิ่งประเสริฐจึงทุ่มเทลงทุนลงแรง จึงเกิดเป็น ว.บบบ.ขึ้นมา รุ่นแรกในต้นปี 2555 รุ่นที่สองเป็นรุ่นปี 2556 จะมีรุ่นสามปี 2557-2558 รุ่นสี่ ตามมาในปีต่อไป ซึ่งในปีแรก จะใช้วัน โพชฌังคาริยสัจจายุ คือ เกิดจากวันที่พ่อท่าน อายุ 77 ปี  7เดือน 7 วัน เป็นวันที่มีเลข 7 สี่ตัว และกำหนดจะจัดในวันที่ 28 ธันวาคม ถึงวันที่ 3 มกราคม ของทุกปี นี่คือที่ไปที่มาของวิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม

ผู้ที่จะมาร่วมศึกษา ตั้งใจมาเป็นนิสิตวิชชาลัยนี้ มาสมัครได้ตั้งแต่ ห้าหกเจ็บขวบ เขียนหนังสือไม่เป็นก็มาสมัครได้ จะต้องหาผู้ช่วยมาเขียนให้ ก็บอกเขาให้เขียนให้สอบให้ นอกนั้นไม่ตอบข้อสอบก็ปฏิบัติประพฤติ มีหลักคือ ศีลเต็ม-เข้มงาน-สืบสานวิชชา อย่างพระอรหันต์ถือว่าเป็นศีลบุคคล หรือผู้ใดปฏิบัติศีลได้เต็มระดับโสดาบัน ก็มีศีล 5 เต็ม เป็นปกติ ไม่ละเมิด มันมีขีดหยุดขีดพอ ศีลนี่มีคุณสมบัติให้จิตดับกิเลสจนเต็ม ตัดอบายต่างๆไปตามลำดับ

                        ในการสมัครจะเปิดตั้งแต่ 1-25 ธ.. 57 สมัครได้ที่สมณะที่รับสมัครตามพุทธสถานหรือสังฆสถานทั้ง 9 แห่งของชาวอโศก ถ้ามาตามเวลาก็จะไม่ตกหล่น ถ้ามาสายใกล้เวลาก็อาจตกหล่นได้ ผู้ที่จะสมัครไม่เสียเงินเสียทองอะไร ในปีหนึ่งจะมีการมาสอบไล่ทั้งหมด 7 วัน โดยแบ่งเป็นสองส่วนคือ  4 วันแรกเรียกว่าการ “บำเพ็ญคุณ” 3 วันหลังเป็นการ “บำเพ็ญธรรม” จะมีคุรุ มีอาจารย์มีพี่มีน้อง พาทำ แล้วให้คะแนน นอกไปจาก 7 วันที่มาสอบไล่แล้ว ก็สำนึกเอาเอง เป็นการเรียนอิสระตามสำนึก จะมีการจับกลุ่มกันทำเป็นระยะ ตามสำนึกมากน้อยแล้วแต่ ศาสนาพุทธไม่บังคับ ให้เป็นไปตามสำนึก มีญาณปัญญา มีอุตสาหะวิริยะ ให้รู้ว่าดีก็ควรทำ เพราะการปฏิบัติธรรมมรรคองค์ 8 ทำที่ไหนก็ได้ พระพุทธเจ้าไม่เกี่ยงเวลาสถานที่ ไม่เกี่ยงบรรยากาศ อย่างลดละกิเลสจริงๆจนเกิดมรรคผล ได้ทุกขณะ ไม่ใช่ว่าต้องไปแต่หาที่สงบ แล้วก็นั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไป  แต่สงบก็เป็นเพียงอุปการะ

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในวิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม เข้าง่ายออกง่ายไม่มีสัญญาอะไร เข้ามาแล้วก็ตั้งใจเอา ให้ขยันอุตสาหะพากเพียรเอา ให้อิสระเต็มที่ สำนึกเอง แล้วไม่ได้บังคับ ได้ผล พ่อท่านเน้นที่ผลจริง ไม่เน้นปริมาณ ปีหนึ่งรุ่นหนึ่ง ร้อยคนมาสอบ พันคนมาสอบ รุ่นหนึ่ง สมัคร 800 กว่าคน ไม่ได้เสียค่าสมัครอะไร เขาก็ไม่เสียดาย แต่มาสอบ 700 กว่าคน ถือว่าเป็นผลสำเร็จ สอบผ่านกันได้แล้ว 500 กว่าคน

สอบผ่านนี่ไม่ได้เข็มทั้งหมด ผู้ได้เข็มตราพระธรรมและปัญญาบัตร จะได้อยู่แค่ 154 คน แบ่งเป็นสองสาย คือสายวิชญ์ 77 คน กับสายชาญ 77 คน ผู้ที่เคยเรียนจบปริญญาตรีเป็นต้นไป มาสมัครเราให้สมัครใน “สายวิชญ์” ส่วนผู้ที่ไม่จบป.ตรีมาเราสมัครเราเรียกว่า “สายชาญ”

ส่วนผู้ที่สอบผ่านคือได้คะแนนตั้งแต่ 50 % ขึ้นไปแต่คะแนนต่ำกว่าผู้ที่สอบได้เข็มตราพระรรม จะได้บัตรประจำตัวนิสิตซึ่งบอกรุ่นที่มาสอบให้เป็นเครื่่องหมาย และจะได้เสื้อตราพระธรรม ที่มีตราของ ว.บบบ. ทุกคน แต่คน 154 คนแรกจะได้เสื้อสีเข้ม(สีกรมท่า) ส่วนนอกนั้นทุกคนที่สอบได้จะได้เสื้อสีอ่อน

ผู้ที่สอบได้แล้ว หรือสอบตก ก็มาสอบซ้ำได้ มาสอบได้ทุกปี ผู้ที่สอบได้เข้มแล้ว ในปีต่อไปก็จะสอบอีกก็ได้ ถ้าสอบได้อีก ก็จะได้เข็มตราพระธรรมอีก แต่จะได้จำกัดรวมแล้วไม่เกิน 4 เข็ม เมื่อสอบได้ครบ 4 เข็ม จะได้ตำแหน่งเรียกว่า “บูรณ์บุญบัณฑิต” ส่วนปัญญาบัตรนั้นจะแจกในปีแรกที่สอบได้ และจะแจกปีสุดท้ายที่สอบได้คือแจกตอนได้เข็มที่ 4  รวมปัญญาบัตรทั้งหมด สองใบ สำหรับตำแหน่งบูรณ์บุญบัณฑิต

ผู้ผ่านการสอบได้รุ่นที่ 1 ได้รับเข็มฯแรกหากจะมาสอบเอาเข็มฯที่สอง จะต้องได้คะแนน 70% ขึ้นไป ส่วนผู้ที่จะได้เข็มฯที่สามต้องได้คะแนนตั้งแต่ 80% ขึ้นไป ส่วนผู้ที่จะได้เข็มฯที่สี่ต้องได้คะแนนตั้งแต่ 90% ขึ้นไป  มีเกียรตินิยมด้วยในแต่ละปี ถ้าคะแนนตั้งแต่ 90 % ขึ้นไป เทียบได้กับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเรียกว่า “บุญบัณฑิต” ถ้าคะแนนตั้งแต่ 80 % แต่ไม่ถึง 90 % เรียกว่า “คุณนิยม”

ผู้ที่เป็นคุรุทั้งสมณะสิกขมาตุก็ช่วยกันอยู่ ต่อไปในอนาคต มีบูรณ์บุญบัณฑิตขึ้นมาหรือเป็นบัณฑิตที่สูงขึ้นมา ก็จะมาเป็นพี่เลี้่ยงหรือผู้ช่วยมารับผิดชอบช่วยงาน

มาขอใบสมัครไปกรอกได้ จะโหลดเอาได้จากเว็บ จะไปสมัครโดยตนเองกับสมณะตามพุทธสถาน 7 แห่ง และสังฆสถานอีก 2 แห่ง ของชาวอโศก หรือสมัครทางอินเตอร์เน็ตก็ได้ที่ อีเมล์ thatboon@yahoo.com ส่วนเวลาที่จะสอบให้ไปที่ราชธานีอโศก เริ่มการสอบปีนี้กำหนดตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2557 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2558 รวม 7 วัน

สอบเสร็จแล้วต้องรีบทำบัตร พร้อมกันกับแจกเลย ในวันท้ายของงาน เป็นงานจุลกฐิน ผู้ใดมีน้ำใจก็มาช่วยกันทางธุรการ ก็ขอบคุณล่วงหน้า ผู้จะมาช่วยให้แจ้งไปที่ราชธานีอโศก

            และจะมีหนังสือที่จะอ่านประกอบในการเรียนการสอบในแต่ละปี ซึ่งในปี 2557 กำหนดให้เป็นหนังสือ “ค้าบุญคือบาป”  ใครมาสมัครจะได้รับแจกได้ฟรีเลย

 

คนบอกว่าทำไมเอาทองคำมาล่อ ต้องเข้าใจว่าเมื่อยึดถือจนไม่ยึดถือแล้วแต่ก็ต้องยึดถือ คำว่า อาทาน มีสองอย่าง อุปาทานคือยึดถืออย่างมีกิเลส แต่ว่าผู้ที่ไม่ยึดถือจะยึดอย่างอาศัยเรียกว่า สมาทาน

พอเร่ิมสมาทานก็เร่ิมล้างสิ่งยึดติด แต่ถ้าล้างได้หมดก็ไม่ยึดถือ สมาทานอย่างไม่ยึดถือแล้ว ผู้ใดสนใจก็มาได้ คนทั่วไปแม้ไม่มาสอบก็มาสมัครได้ แต่ไม่คิดคะแนนให้เท่านั้นเอง การศึกษาจะได้รู้ ฤดูกาลของว.บบบ. มี 7 วันหรือมากกว่า 7 วันก็ได้ คนที่จะไปร่วมทดสอบก็มาได้

 

เข้าเรื่องปรมัตถ์

ที่จะพูดต่อไปเป็นเรื่องของสัตว์ในจิตวิญญาณ สัตว์คือชีวิต ที่เป็นจิตนิยาม ชีวิตที่มีจิตเป็นพลังงานอัตภาพ ถ้าเรียกสัตว์ก็คือรวมหมด พอบอกว่าคน เขาก็เรียกชื่อคนเพ่ิมเติมที่ไม่ใช่สัตว์ สัตว์หมายถึงเดรัจฉานทั้งหลาย หรือใช้บาลีว่า มนุษย์ เป็นสันสกฤษ สูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน คำว่าสัตว์จึงหมายถึงเดรัจฉานและคนด้วย และคนนี่แหละมีจิตวิญญาณที่ชั่วได้เหมือนสัตว์หรือย่ิงกว่าสัตว์ได้หลายเท่า ไม่มีสัตว์เดรัจฉานตัวไหนชั่วได้เท่ากับคน สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดก็คือคน ไปรังแกเขาหมด อยู่เหนือเขาหมด ช้างใหญ่แค่ไหนก็เอามาใช้ ถ้าไดโนเสาร์อยู่ก็คงเอามาใช้ ปลาวาฬก็เอามาแสดงได้ คนนี่เก่งจริงๆ ในทุกยุคกาล สัตว์มนุษย์หรือสัตว์คนนี่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุด ตัวสำคัญที่พาเลวร้ายคือ จิตวิญญาณ

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องจิตวิญญาณเป็นหลัก ก็เลยตราความเป็นสัตว์มา 9 ชั้นเรียกว่า สัตตาวาส 9 เป็นที่อยู่ของสัตว์ 9 ขั้น ในจิตวิญญาณ ก็ต้องล้างให้หมด หมดแล้วจึงเป็นมนุสโสที่แท้ เป็นจิตวิญญาณสูงที่แท้ เพราะหมดจิตวิญญาณสัตว์แล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่า จิตวิญญาณที่เป็นสัตว์มีอย่างไร อาการสัตว์เป็นอย่างไร?

1.       สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า ผู้รู้คำว่า “กาย” คุณจะได้กายต่างกันไปในองค์รวมของรูป นาม สังขาร การปรุงในขันธ์5 ผู้ที่ไม่รู้ก็มีกาย แต่ท่านจะไม่เรียกว่ารู้ แต่เรียกว่าได้ ปฏิลาโภ เรียกว่าได้กายปฏิลาโภ แม้ผู้อวิชชาก็จะได้ องค์ประชุมของรูปนามขันธ์ 5 ก็ต่างกันไป คนอวิชชาก็จะได้กายนี่ต่างกันไปหมด ไม่ว่าจะกายมนุษย์ ก็จะสัญญาตามที่คุณรู้ ว่ามนุษย์เป็นอย่างนี้ สัญญาต่างกันคือกำหนดหมายตามทิฏฐิ ปัญญา ว่ากายของมนุษย์ สัตว์นรก เทวดา ก็จะเข้าใจต่างกันไปตามที่เข้าใจของแต่ละคนๆ อาจคล้ายกันหรือเหมือนกันก็ได้  ในศาสนาอื่นสัตว์นรกก็ไม่เหมือนกัน แม้ศาสนาเดียวกันก็ไม่เหมือนกันหรอก

 

สรุปแล้ว กายอย่างมิจฉาทิฏฐิ กับผู้สัมมาทิฏฐินี่จะเป็นหลักที่ว่า  กายต่างกัน หากสัมมาทิฏฐิจะเข้าใจเป็นหนึ่งเดียวกันว่า กายมนุษย์ เทวดา พรหม นรกเป็นอย่างไรเหมือนกัน ทิฏฐิผู้ใดไม่ตรงย่อมสัญญาไม่ตรง แม้สัญญาจะตรงกันหากทิฏฐิต่างกันก็จะได้กายต่างกัน คือมิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐิ แม้สัญญาจะตรงกัน เช่นสัตว์ชั้นที่ 2

สัตตาวาสข้อที่ 1 ความเป็นมนุษย์นั้น ผู้มนุสโสสำหรับผู้มิจฉาทิฏฐิ นั้น ที่ว่าสัตว์กำหนดที่สัตว์ทางจิตวิญญาณนั้นเขาจะเข้าใจไม่ได้ โอปปาติกสัตว์นั้นเขาเข้าใจไม่ได้ เขาจะได้สัตว์ทางจิตวิญญาณต้องไปนั่งสมาธิ เห็นสัตว์ และองค์ประชุมกายของเขาก็จะมีรูปร่าง ทั้งๆที่สัตว์โอปปาติกะคือจิตวิญญาณที่ไม่มีรูป อนันตัง อสรีรัง สัพพโตปภัง รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ไม่มีรูปร่างเส้นแสงสี แต่ผู้มิจฉาทิฏฐิจะกำหนดเป็นรูปร่างสรีระ เขานั่งสมาธิเข้าไปเห็นสัตว์นรก สัตว์เทวดา เขาจะได้กายต่างกัน เห็นมีรูปร่างทรวดทรง โฉมกาย จะไม่เนื่องเกี่ยวถึงจิตวิญญาณ ไม่พิจารณาถึง การปฏิบัติของมิจฉาทิฏฐิ จะไม่เนื่องต่อ กาย เวทนา จิต ธรรม เขาจะปฏิบัติไม่ถึงจิต กายในกาย นั้นผู้สัมมาทิฏฐิ กายนั้นต้องลืมตาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถูกรู้ภายนอก รู้ดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุดินน้ำไฟลม ไม่ใช่กาย ในรูป 24 มี

 

ปสาทรูป 5 โคจรรูป 5

 

ปสาทรูป 5 มีตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง ถ้ามีประสาทจะเรียกว่าปสาทรูป ถ้าไม่มีประสาทเข้าไปร่วมรับรู้ทำงานมีสติสัมปชัญญะรับรู้ก็ไม่ใช่กาย

 

ในอาการ 32 ข้างนอก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ผิวหนัง ไม่ใช่กาย เพราะไม่มีประสาทรับสัมผัส หากมีประสาทรับสัมผัสแล้วรับรู้คือปสาทรูป เป็นกาย

 

ตา หู จมูก ลิ้น กาย กับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แยกให้ดีสิ่งที่ไม่มีประสาทเข้าร่วมคือกาย ถ้ามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ไม่มีประสาทเข้ารวมก็ไม่ใช่ “กาย” เช่น ตาคุณดูมีประสาท แต่จิตคุณไม่โคจรไปรับรู้ ไม่มีโคจรรูป ลืมตาจ้องตรง หรือบางทีคนเรียกชื่อเสียงดัง แต่จิตเราไปในภพแน่นไม่ได้ยินก็คือไม่เกิด ภาวรูป ไม่เกิดกาย

 

ตั้งแต่ปสาทรูปที่มีจิตเข้าไปร่วมรับรู้ถือเป็น เป็นนามธรรม รูปคือมหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูปอีก 24 คืออุปาทายรูป คำว่ากายนี้หนักที่นามธรรม รูปคือส่ิงที่ถูกนามธรรมไปรู้ คำว่า กายวิญญาณคือมี จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มี 5 อย่าง ส่วนมโนวิญญาณเป็นส่วนลึกในจิต

 

การที่ไปเห็นรูปในจิตก็คือเราปั้นเอง จากความจำ เป็นรูปจำไม่ใช่รูปจริง เป็นมโนมยอัตตา รูปที่สำเร็จด้วยจิต เมื่อกำหนดผิดมิจฉาทิฏฐิ จะได้กายอย่างที่มิจฉาทิฏฐิ

 

2.       สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น   ความเป็นฌานคือไม่มีนิวรณ์ 5 ทั้งมิจฉาทิฏฐิและสัมมาทิฏฐิ แต่กายที่ได้นั้นต่างกัน การไม่มีนิวรณ์อย่างที่ ทวาร 5 ยังสัมผัสอยู่ กับที่ไม่มีนิวรณ์แบบหลับดับทวารทั้ง 5 นั้นต่างกัน แถมยังบอกว่าไม่คิดไม่นึกไม่สัญญา แล้วจิตเดิมแท้จะเกิดอีก แล้วเรียกว่าภูมิวิปัสสนาอีก พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเช่นนี้ ในพระไตรปิฎกก็ไม่มีเลย

 

สัญญาไม่เคยมีความจริงเลย มีแต่ความจำ ความจริงคือสิ่งที่เกิดอยู่หลัดๆในสติเต็มเป็นชมพูทวีป มีวิโมกข์ ข้อที่ 2 ครบหมดเลย

 

.16 ข. [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความ

มี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ

ไม่มี(โลเกนัตถิตา)ในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก(โลเกอัตถิตา) ย่อมไม่มีโลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิด

ขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้อง เชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

 

            คำว่าปัญญาไม่ใช่สัญญา คุณเรียนรู้แต่ศีล สมาธิ สัญญา ไม่ใช่ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะคุณเรียนรู้แบบดับๆ ให้ปัญญามันเกิดเองไหลมาเอง ไม่ได้เกี่ยวกับศีล 5 ที่เป็นความจริงเลย คุณทำแต่ศีล สมาธิ สัญญา ไม่ได้เกิดปัญญา ปัญญาจะเกิดได้ในสัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะ องค์ 6 ปัญญาจะเกิดทิฏฐิจะตรงขึ้นเรื่อยๆ ทิฏฐิงอุชุงกโรติ

1.       ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา) .

2.       ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง)

3.       ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง)มีพลังงาน static แฝง

4.       ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค)

5.       ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น

6.       องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) มีพลังงาน Dynamic แฝง

 

3.       สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง)

4.       สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)

5.       สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์  เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)

6.       สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)

7.      สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง)

8.       สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..อากิญจัญญายตนะ (ดับดิ่งไม่มีอะไร

9.      สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ)

(ววัตถุสัญญา พตปฎ. .23   ข.228และ 11/353

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

_หัวใจบัณฑิต สุ จิ ปุ ลิ หมายถึงอะไร?

ตอบ..สุ มาจากสุตะ คือฟัง ,จิ คือจิตคือคิด ,ปุคือปุจฉาคือถาม ,ลิ คือลิขิต คือบันทึก เขียน... ความรู้ที่ว่าบัณฑิตคือสุ จิ ปุ ลิ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเป็นโลกียะ เอาแต่แค่ฟัง คิด ถาม บันทึก คือโลกียะ คำว่า จิ เขาไม่ได้มนสิการ ได้แต่รู้ เสริมสร้างความรู้เท่านั้น

 

_แต่ก่อนเข้าใจว่านับถือพระพุทธรูปเป็นเครื่องรางของขลัง แต่เมื่อพบสันติอโศก ฟังคำสอนเข้าใจ เดี๋ยวนี้ไม่ได้เคารพเช่นนั้น แต่เคารพเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า แต่เดี๋ยวนี้สันติอโศกมี

ตอบ...ส่ิงที่เรายังต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ถ้าเราไม่รู้ ไปหลงติดงมงาย เช่นเราไปติดดอกไม้ของหอม เราไปติดเรื่องเครื่องพอกทาตกแต่ง ตอนถือศีลตอนแรกต้องตัดขาดเสียก่อน พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ จนคุณมีภูมิคุ้มกันเข้าใจแล้วว่าพระพุทธรูปไม่ใช่เครื่องรางของขลัง เขาก็ปั้นกันไปตามยึดถือ ศิลปินแต่ละคนก็ปั้นกันไป แต่ไม่มีสิ่งใดจริงเป็นพระพุทธเจ้าเลย แต่เราก็เข้าใจเคารพนับถือว่าเป็นสิ่งแทนพระพุทธเจ้า เหมือนรูปถ่ายพ่อแม่เรา รูปถ่ายไม่ใช่ของจริงนะ หรือภาพเขียนก็เคารพกันได้ หรือปั้นมาเป็นรูปร่างเลย ก็ถือว่าเป็นสิ่งแทนพระพุทธเจ้า ในโลกนี้มีเอกบุรุษที่มาประกาศศาสนาพุทธ เราก็เอามาเคารพ การเคารพเราไม่ได้เคารพเพราะมันขลังบันดาลอะไรเราได้มีฤทธิ์เดช แต่เป็นตัวแทนคำสอนของท่านที่เป็นสวากขาตธรรม พิสูจน์ได้ เราทำได้เป็นอาริยะจริง สิ่งจริงอันนี้เราจึงเคารพ เหมือนเรามีภาพเคารพพ่อแม่ ที่ตายเราจำไม่ได้แต่คนบอกว่าภาพนี้คือพ่อแม่เราเราก็นับถือเคารพ เราก็เอาคำสอนของท่านมาปฏิบัติให้มีมรรคผล

สิ่งที่ยืนยัน เขาก็มีสิ่งที่ยืนยันอันหนึ่งว่า พระบรมสารีริกธาตุ เขาก็เถียงกันว่าจริงหรือเปล่า ? มีปลอมกันด้วย อาตมาก็เลยบอกว่าแล้วพระพุทธรูปนี่จริงหรือเปล่า? เป็นพระพุทธเจ้าจริงหรือเปล่าก็รู้ว่าไม่จริงแต่คุณก็เคารพได้ แล้วพระบรมสารีริกธาตุแม้ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่แต่อาจจริงได้มากกว่าพระพุทธรูปอีก ก็น่าจะเคารพได้มากกว่า

เราพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยาง แล้วใจเราไม่ยึดติด ก็นำมาให้ใช้เป็นประโยชน์ได้ ที่อื่นเขาเคารพแบบอ้อนวอนร้องขอให้บันดาลอะไรให้เรา แต่เราจะมาใช้สอนให้คนไม่ยึดติดแบบนั้น การไปนับถือเพี้ยนไปเป็นของขลัง มีฤทธิ์อันนั้นพระพุทธเจ้าบริภาษ ท่านเบื่อ อัตยามิ หรายามิ ชิคุจฉามิ เบื่อ ระอา เกลียดชังใน อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่ท่านสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เช่นถือศีลให้เกิดมรรคผล จิตหลุดพ้นได้ตามฐานะ เป็นโสดาบันในกรอบศีล 5 เป็นต้น

อาตมาก็เคารพกราบพระพุทธรูปไม่ว่าจะไปที่ไหน เขาจะปลุกเสกหรือไม่อาตมาก็กราบ มันอยู่ที่ใจเราเราเคารพที่ตรงไหน พระพุทธรูปเราจึงไม่เอาดอกไม้ธูปเทียนไปบูชา เมื่อเราพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกแล้วเรามีภูมิคุ้มกันเราก็เอาไม้ลงในน้ำได้ เราก็เอามาใช้ได้ เหมือนกลับไปกลับมา ต้องรู้นัยลึกซึ้งนี้ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน แต่ก่อนอาตมาเคร่งแต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำแบบนั้น แต่อาตมาไม่ได้มีกิเลส ยกตัวอย่างอาตมาทิ้งเรื่องเพลง แต่อาตมาก็มาแต่งเพลงได้ทีหลัง

 

_เป็นภรรยาน้อย ผิดศีลไหม?จะทำอย่างไร?

ตอบ...เป็นภรรยาน้อย ก็คือผิดศีล ทำอย่างไรก็เลิกซะ พพจ.ไม่ให้พระไปส่งเสริมการแต่งงาน เป็นอาบัติสังฆาทิเสสนะ คนโสดเป็นบัณฑิต คนโง่ฝักใฝ่ในเมถุนย่อมเศร้าหมอง

 

_กินน้ำแดงโซดานี่ผิดศีลไหมคะ

ตอบ...หมอเปี่ยมโชคห้ามกินน้ำตาล แต่น้ำตาลก็มีในอาหารหลายอย่าง ข้าวก็มี ผลไม้ก็มี แต่น้ำตาลไม่ต้องกินมากหรอก ไม่ดี ในข้าวก็มีน้ำตาลแล้ว


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:09:28 )

571128

รายละเอียด

571128_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ เรื่อง อุทิสมังสะ และอานาปานสติสูตร

พ่อครูว่า...อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปีแล้ว วันเดือนปีเคลื่อนเร็ว 12 ปี 36 ปี ก็ผ่านไป มาถึงวันนี้ 36 ปีเกือบ 3 รอบแล้ว ถ้าถึง 108 ปีเมื่อไหร่ก็ 3 รอบแล้ว มันก็ไวนะ อาตมามีสูตรที่จะใช้ตัวเลขเหมือนกัน 1,2,3 ก็เป็นสามเส้าที่หนึ่ง ถ้า 4,5,6 ก็เป็นสามเส้าที่สอง ถ้า 7,8,9 ก็เป็นสามเส้าที่สาม  ตัวเลขพวกนี้หากคนยังไม่ถึงฐานะที่จะใช้ก็ยังไม่ควรใช้จะเละเทะ

 

อาตมาถูกหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมเป็นการผิดธรรมวินัย หากมีจริงก็ปาจิตตีย์ หากไม่มีจริงก็ปาราชิก อาตมาเข้าใจนะ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็พูดได้ระดับนี้ แต่สมัยพระพุทธเจ้าท่านก็พูดได้อย่างเต็มที่เลย ประกาศเต็มที่ แต่อาตมาที่ยืนยันอาตมาไม่ได้พูดให้เป็นเรื่องอวดอ้างโชว์ตัว จิตอาตมาไม่มีสาเฐยจิต แต่คนรู้อาตมาไม่ได้ ในกาละนี้ อาตมาก็เป็นพระสาวกรูปหนึ่ง ที่อยู่ในพุทธุปาทกาละ เพื่อจะทำงานนี้ อาตมาก็ยิ่งต้องอวดแน่นอน ผู้ไม่เข้าใจก็จะหาว่าอาตมาอวดนี่แหละ อาตมาไม่ได้ตีตัวเสมอพระพุทธเจ้า

 

อาตมายกพระพุทธเจ้ามาอธิบายไม่ได้หมายถึงว่าอาตมาเท่าพระพุทธเจ้า แต่ว่าเป็นแบบแผนเรื่องราวคลายๆกัน ยิ่งทำงานมา 40 กว่าปี ก็ชัดเจนในผลงาน ชัดในการตรวจสอบกับพระไตรฯ พยายามอธิบายละเอียดลึกซึ้ง อาตมาเคยผิดพลาดบกพร่อง เมื่อสมัยใหม่ๆคะนองๆ ว่าไปตามลูกทุ่งบ้าง แต่ว่าความผิดพลาดอาตมาผิดที่บัญญัติไม่ได้ผิดในสาระ

 

เช่นอาตมาแปลบาลีตามคะนอง แต่เนื้อหาไม่ได้ผิด ผู้ที่ได้ยึดบัญญัติภาษาแล้ว ท่านก็เห็นว่าเราผิดไปตามภาษาที่ท่านเข้าใจเสียแล้ว แต่เนื้อหานั้นไปอีกชั้นหนึ่งแล้ว ที่ใช่กลับไม่ใช่ ที่ไม่ใช่ก็กลับใช่ เป็นต้น เรามีสภาวะรองรับก็จะรู้ความจริง

 

อาตมาถูกต่อต้านก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร แต่ถือเป็นการตรวจสอบ อาตมามาปุ๊ปอาตมาก็เห็นว่าต้องเอาที่อาตมารู้ประกาศ พอประกาศ ฝ่ายใหญ่ก็ตีเลย อาตมาก็รู้ว่าใช่แล้ว เป็นการยืนยันว่าที่อาตมาพูดนี่ใช่ อาตมายืนยันว่าอันนี้ถูก แต่ทางโน้นบอกว่าผิด แสดงตัวว่าเป็นเช่นนั้นจริง มันก็เป็นคำตอบชัดเจน แต่ถ้าอาตมาแสดงตัวออกไปแล้วทางโน้นเงียบ อาตมาว่าเขาผิด เราถูก มันต่างกันนะ แล้วทำไมเขาเงียบก็มีอยู่สองอย่าง

 

อย่างหนึ่งก็ยอมรับว่าที่อาตมาพูดนี่ถูกแล้ว ยอมรับ หรือว่าอาตมาแสดงออกไปนี่อาตมามีอิทธิพล เขาก็ต้องเงียบ แต่นี่อาตมาไม่มีอิทธิพลอะไรเลย อาตมาแสดงไปเขาก็ต้องเห็นว่าอาตมาไม่มีปัญญา หากอาตมาเป็นผู้มีปัญญาเขาจะฟัง แต่เขาว่าอาตมาไม่มีปัญญา อาตมาประกาศว่าไม่มีครูอาจารย์ในยุคนี้เลย แต่นี่ไม่เงียบ ตีมาเลย  แต่เดี๋ยวนี้ก็เงียบ

 

แต่สุดท้ายอาตมาก็ขอแยก เป็นนานาสังวาส ซึ่งตั้งแต่พระพุทธเจ้าตราบทนี้มา ก็มีแต่ตอนเทวฑัตนั่นเอง พระพุทธเจ้าประกาศแยกให้ชัดเจนว่าเป็นนานาสังวาส พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้จับสึกพระเทวฑัต แล้วพระพุทธเจ้าตราหลักเกณฑ์ ปฏิโกสนา คือค้านแย้งได้เลย แต่ว่าอย่าให้ถึงกับฟ้องร้องเป็นคดีความกัน แต่กรณีอย่างนี้มันไม่มี ก็เลยยาก แต่จริงๆเมืองไทยมีกรณีเช่นนี้นะ

 

คณะธรรมยุติ เคยเสนอแยกนานาสังวาสกับมหานิกาย เคยทำ สมเด็จพระสังฆราชที่เพ่ิงสิ้นไปนี่แหละก็เป็นองค์หนึ่งที่ได้ลงชื่อในครั้งนัั้น อาตมาจำไม่ได้ว่ากี่รูป จำได้ว่าตำแหน่งนี้คือเจ้าคุณโสภณคุณาภรณ์ เป็นเจ้าคุณระดับต้น แต่สุดท้ายก็ไม่ทราบว่าผลเป็นเช่นไร แต่ก็เห็นปฏิบัติแยกกันอยู่ อะไรร่วมได้ก็ร่วมได้ ในงานที่ไม่ใช่สังฆกรรม แต่ถ้ามีอะไรที่สังฆกรรมจะร่วมกันไม่ได้ เช่นโอวาทปาติโมกข์ มีวินัยเหมือนกันก็รวมกันได้เลย ในรายละเอียดอาตมาได้พยายามทำให้ดีที่สุด ถูกที่สุด จนอาตมามั่นใจ  เอามายืนยัน ถึงขนาดที่ชัดเจนว่าอาตมาตอนนี้ตีแรงเลย

 

ตีแรงก็คือ ว่าทางสงฆ์หมู่ใหญ่แทบจะไม่เหลือเนื้อโลกุตระแล้ว มีแต่เดรัจฉานวิชชาแล้ว ท่านก็ว่าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรม อาตมาก็ว่าอาตมาอวดอย่างที่ว่าอาตมามั่นใจว่าอาตมาอยู่ในฐานะอวดได้ อย่างผ้าป่านี่ พระเดี๋ยวนี้จัดเองเลย แต่ที่จริงผ้าป่านี่คือผ้าที่เขาทิ้งแล้วไม่มีเจ้าของ ตรวจสอบแล้วแน่ใจก็จึงไปเอาได้ ให้รู้ตัวผู้เป็นเจ้าของไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้มีประธานจัดทอดกระฐินเลย บอกชื่อรู้ตัวหมด อาตมาว่าเป็นทอดกระทะทองแดงมากกว่า มีแต่กิเลสหนาขึ้นๆ ทาน ศีล ภาวนา ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ อาตมามีแต่ว่าๆๆ ที่จริงท่านที่เป็นผู้ใหญ่น่าจะติ น่าจะเลิกทำ แต่ก็ทำเสียเอง อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เห็นใจเถอะ หน้าที่ท่านต้องทำหน้าที่ปราม แต่ก็ไม่ทำ กลับส่งเสริมสิ่งที่ไม่ควรอีก อาตมาว่าอาตมารักศาสนาพุทธ อาตมามาตำหนินี่เสียรังวัด ถูกเกลียดชังนะ แต่ก็ไม่มีทางเลี่ยง

 

ศาสนาพุทธมีบุคลิก ของการตำหนิเป็นหลัก มีสัลเลขธรรม ไม่ใช่มีการชมเชยยกย่องกันเป็นใหญ่ แต่มีการตำหนิขัดเกลา สัจธรรม สัลเลขธรรม นิยายิกธรรม สันติธรรม นี่คือลักษณะของศาสนาพุทธ แต่ไม่มีใครกล้ามาทำอย่างอาตมานะนี่ ความไม่กล้าของคนมีหลายอย่าง

1.ไม่กล้าเพราะกลัวเสียโลกธรรม

2.ไม่กล้าเพราะกลัวเขาทำร้าย ฆ่า

3.ไม่กล้าเพราะไม่รู้โง่

 

จะเรียกว่าอสุรกาย มีองค์ประชุมของนามรูปที่ไม่กล้า อสุระ คือจิตวิญญาณนรกชนิดหนึ่ง ส่ิงที่ถูกต้องเรามีหน้าที่ก็ไม่ทำ เรากลัวเสียโลกธรรม กลัวเขาว่าเขาตำหนิ เสียเหลี่ยมศักดิ์ศรี ไม่สุภาพ รักดีเกิน อะไรก็ดีเนาะ ไม่มีเสียสักอย่างเลย หรือไม่ก็กลัวเขาฆ่าจะทำร้าย

 

มาเข้าสู่โลกุตระ ในพระไตรฯล.31

[620] ธรรมเหล่าไหนเป็นโลกุตระ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4

อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อริยมรรค 4สามัญผล 4 และนิพพาน

ธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตระ ฯ

 

เร่ิมต้นคือ กายในกาย ถ้าเข้าใจคำว่ากายไม่สัมมาทิฏฐิก็จะไม่สามารถปฏิบัติโลกุตรธรรมได้ เช่นในศาสนากินเนื้อสัตว์บางอย่างได้เท่านั้น พุทธไม่ฆ่าสัตว์ก็ไม่มีสัตว์ตายด้วยการฆ่า ด้วยเจตนาที่ฆ่าให้ตาย เช่นอุทิสมังสะ คนก็แหลอุทิสมังสะต่างกันจากเรา ท่านเข้าใจว่าเจตนาระบุบุคคล ก็อ้างอิงพระไตรฯเล่มเดียวกันด้วย ในสูตรเดียวกันนี้ ต้องระบุว่าจะถวายตถาคตและสาวกตถคต นั่นไม่ใช่ เป็นคำบอกกว้างๆ ว่า ใน 5 ข้อนี้เป็นบาปเป็นอันมาก เป็นการทำบุญแต่ได้บาปคือ

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาป  มิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ วา   อุทฺทิสฺส  ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

 

คำว่าเจาะจงคือเจาะจงทำร้ายสัตว์ ตั้งแต่จิตมีเจตนาไม่ดี พอสัตว์ถูกจับมาก็ทุกข์ บทเดียวกันสูตรเดียวกันแต่อธิบายต่างกัน อาตมาเคยอธิบายอย่างสนุกๆนะ เช่น ถ้าสูตรนี้นะบอกว่า เราไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันอาหาร แล้วบอกว่าให้ไปฆ่าสัตว์ชื่อนั้นมา พระพุทธเจ้าก็ฉันไม่ได้ เพราะอุทิสมังสะคุณไปอธิบายแบบนั้น แล้วคุณทำไปทำไมให้เมื่อย ทำให้ฉลาดน้อยทำไม ถ้าแปลอุทิสมังสะว่าเจาะจงถวายพระพุทธเจ้าและสาวก ท่านจะฉันได้หรือ นี่คือการตีความเบี้ยวบาลี ให้ตนสามารถกินเนื้อที่ฆ่าขายในตลาด ว่าไม่ได้เจาะจงนะ แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ให้ค้าขายเนื้อสัตว์นะ ให้ฆราวาสว่าอย่าทำด้วย แล้วถ้าคนปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจะได้ค้าขายเนื้อสัตว์ได้อย่างไร ฆ่าก็ไม่ฆ่า ขายก็ไม่ให้ขาย จะมีเนื้อสัตว์มาให้กินได้อย่างไร?

 

ตอนนี้ปวัตตมังสะ คนยิ่งไม่มีทางที่จะมีกิน ก็มีแต่เนื้อหมาถูกรถยนต์ชนตาย แล้วสัตว์อะไรจะตายเอง ส่วนมากสัตว์ตายเองก็ไม่ค่อยกล้ากิน เป็นโรค หรือเดนเสือกินก็จะไปหากินได้อย่างไร สัตว์ที่ตายเองหรือเดนสัตว์กินก็จะหายากมาก คุณเลี้ยงก็ฆ่าเองไม่ได้ ยิ่งพูดนี่ยิ่งชัดว่าเนื้อสัตว์นี่กินไม่ได้ในศาสนาพุทธนะ

 

พระพุทธเจ้าสุดยอดแล้ว อย่างอินเดียปัจจุบันนี้ก็ไม่กินเนื้อสััตว์กันส่วนใหญ่ เขาเข้าใจกันดีว่าไม่กินเนื้อสัตว์เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติธรรม ยุคพระพุทธเจ้านะ ท่านมาจากพราหมณ์ชั้นสูง ไม่ฉันเนื้อมาตั้งแต่เกิดเลย แล้วไม่บังคับกันให้สำนึกกันเอา มันรู้กันทั่วเป็นวัฒนธรรมสากล ไม่จำเป็นต้องออกกฎให้เมื่อย พระพุทธเจ้าจะออกกฎวินัยเมื่อจำเป็น มีที่น่าสังเกตว่าพระเทวฑัตขอให้ออกกฎบังคับไม่ให้กินเนื้อสัตว์ ที่ขอมา 5 ข้อนี้เคร่งหมดเลย ยิ่งเรื่องกินเนื้อสัตว์นี่ ใครกินอยู่ก็ปล่อยไป แต่จริงๆแล้วไม่มีหรอกต้องหลบเลี่ยงกินเลย เหมือนชาวอโศกที่ใครจะมากินเนื้อสัตว์เขาก็ต้องหลบเลี่ยง แม้พระเทวฑัตยังไม่ฉันเนื้อสัตว์เลย

 

ยิ่งในประเด็นบริสุทธิ์โดยส่วนสาม อเจลกะ ท้วงพระพุทธเจ้าประกาศทั่วตลาดว่า พระพุทธเจ้าทั้งรู้ทั้งเห็นทั้งได้ยินว่าเขาจะถวายเนื้อสัตว์ให้พระพุทธเจ้าแล้วถ้าพระพุทธเจ้าจะฉันได้อย่างไร การไปประกาศทั่วไปแสดงว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์หรือไม่ฉัน หากท่านฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติจะไปประกาศทำไม ดิสเครดิตไม่ได้ แสดงว่าพระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์ เขาจึงต้องประกาศว่าพระพุทธเจ้าจะฉันเนื้อสัตว์เพื่อดิสเครดิตพระพุทธเจ้า นี่ก็ตีความเบี้ยวบาลีเข้าข้างตนเอง

 

มาเข้าเรื่องโลกุตรธรรม ในพระไตรฯล.14 ในอานาปานสติสูตร ว่าปฏิบัติ จะได้มรรคผลคือ

 

[285]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็น  พระอรหันตขีณาสพ

อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดย

ลำดับ  สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็

มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นอุปปาติกะ(อนาคามี)  เพราะสิ้นสัญโญชน์

ส่วนเบื้องต่ำทั้ง  5  จะได้ปรินิพพานในโลกนั้นๆ  มีอันไม่กลับ  มาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา

แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นพระสกคาทามีเพราะสิ้นสัญโญชน์

3  อย่าง  และเพราะทำราคะ  โทสะ  โมหะให้เบาบางมายังโลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น  ก็จะทำที่สุด

แห่งทุกข์ได้  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุสงฆ์นี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นพระโสดาบัน  เพราะสิ้นสัญโญชน์

3  อย่าง  มีอันไม่ตกอบายเป็นธรรมดา  แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้ใน  เบื้องหน้า  แม้ภิกษุเช่นนี้ใน

หมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญ

สติปัฏฐาน  4  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

 

 

 

[286]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรใน

อันเจริญสัมมัปปธาน  4  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

อิทธิบาท  4  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

อินทรีย์  5  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

พละ  5  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

โพชฌงค์  7  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

มรรคมีองค์  8  อันประเสริฐอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

เมตตาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

กรุณาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

มุทิตาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญ

อุเบกขาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญ

อสุภสัญญาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญ

อนิจจสัญญาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

 

เริ่มต้นโลกุตระ ข้อแรก คือ กายในกาย ถ้าเข้าใจคำว่า กายไม่ได้ ก็ปฏิบัติไม่ได้

 

กายเป็นองค์ประชุมของรูปและนาม กายคือองค์ประชุม สังขารร่วมกันอยู่ ของรูปกับนาม อาตมาอธิบายโดยรูป 28 มาอธิบาย คือมหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูปอีก 24 คำว่ากายต้องมีนามเข้าไปร่วม ในสังขารร่างของเรานี่ อาการ 32 ของร่างนั้น ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง ไม่ใช่กาย ไม่มีปสาทรูป ประสาทคุณไม่ทำงานก็ไม่ใช่กาย ไม่เอาสัญญาไปกำหนดรู้ ทั้งที่มีการกระทบสัมผัสแต่ไ่ม่รับรู้ก็ไม่ใช่ กาย

 

ตา หู  จมูก ลิ้น กาย คือปสาทรูป และต้องร่วมกับโคจรรูป(วิสยรูป) เข้าไปทำปฏิกิริยาร่วมกันเป็น ผัสสะ 3 มีวิญญาณเกิด ต่อมาเป็นภาวรูปอีก 2

 

แต่กายนี่ต้องใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสตลอด อย่างอนาคามี หมดกิเลสในกาม แต่ก็เหลือกิเลสในจิต แต่ท่านก็ยังมีรูป ยังมีการใช้ชีวิตประจำวัน ลืมตาปฏิบัติเพราะปฏิบัติกับกายสังขาร กายวิญญาณมาตลอด ในอานาปานสติ มีกายปฏิสังเวที แล้วทำให้กิเลสรำงับ ต้องรู้จักวจีสังขาร ทำสังกัปปะ 7 ได้

 

ในวิโมกข์ 8 ก็ต้องมีอัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ อุปาทายรูป นั้น ตา หู จมูก ลิ้น กายทำงาน เกิดวิญญาณ คุณก็อ่านวิญญาณ คือนามทั้ง 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ต้องเรียนรู้ตัณหา มีวิภวตัณหาเพื่อล้างกามตัณหา ภวตัณหา ทำให้หมดกามภพก็คืออนาคามี ก็ยังลืมตาปฏิบัติอยู่ปกติ ล้างกิเลสรูปภพอรูปภพต่ออีก

 

อานาปานสติ 16

1.ลมหายใจเข้า_ออก มีลิงค ว่า ลมหายใจอย่างนี้เข้านะ อย่างนี้ออกนะ คุณรู้ด้วยสัมผัสนะ ว่าลมนี่เข้า ต้องรู้ว่าใจเราดีใจตอนเข้า ออกไม่ดีใจ ไม่อร่อยก็ต้องอ่านใจ เกิดโคจรรูป วิสยรูป มีกายคตะ องค์ประชุมลมหายใจกับวิญญาณเราทำงาน ตอนแรกก็รู้ว่าลมออกลมเข้า แล้วอาการลมออก เข้านี่มีกิเลสร่วมด้วยไหม? บางทีก็บอกว่าหายใจออกนี่ไม่เหม็นแต่ลมหายใจเข้าเหม็นก็ไม่ชอบ อย่างไปนั่งที่ปฐมอโศกหายใจออกโล่ง แต่หายใจเข้าเหม็นก็อ่านนามที่ชอบใจไม่ชอบใจนี่แหละ อิฏฐารมย์ อนิฏฐารมย์ ประเด็นที่ 1 คือหายใจเข้าหรือออก สั้นหรือยาว

 

2.รู้ชัด(ปฏิสังเวที) ว่าหายใจเข้าสั้นก็รู้สั้น ยาวก็รู้ว่ายาว ออกสั้นหรือออกยาวก็รู้

3.ก็จัดการรู้ให้ได้ สัพกาโย(ท่านแปลในไตรปิฎกว่า กองลม ทั้งที่กาโยไม่ใช่วาโย) ให้ทำความรู้กายทั้งพวงก็คือลมหายใจเข้าออกกับนาม ดินน้ำไฟลมอื่นก็ไม่เหลือมีแต่ลมก็อ่านรู้ เข้าไปในจิตด้วย จิตชอบหรือชัง ทุกข์หรือสุข ก็ทำให้ระงับ ระงับอะไร กายสังขารัง ไม่ใช่ว่าไประงับว่ามืออย่ากระดิก ขาอย่ากระดิก ตัวอย่ากระดิกนี่คือกายระงับไม่ใช่ นี่ไม่เข้าหาปรมัตถ์เลย สิ่งที่ถูกรู้คือหมายเข้าหานามธรรม อ่านชอบหรือชัง สุขหรือทุกข์เป็นหลัก เป็นจิตแล้ว เป็นราคะหรือโทสะ เป็นเหตุแห่งการชอบหรือชัง มันสมใจก็สุขไม่สมใจก็ทุกข์  ต้นตออยู่ที่จิต จิตอุปาทานไว้ว่าอย่างนี้ชอบ เช่นบางคนว่ากลิ่นขี้หมูมานี่ชอบ เป็นมาซูคิสต์

 

ถ้าร่างมันทุกข์คุณก็เปลี่ยนอิริยาบทเสีย ที่จริงไม่ต้องไปนั่งหลับตาปฏิบัติเลย สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 ยิ่งชัดให้สังวรปธานคือสังวรอินทรีย์ 6 นะ

 

จากจิตปัสสัมภยัง ทำได้ คุณก็จะได้ฌาน 1 เป็นเนกขัมสิตเวทนา ก็มีวิตกวิจาร รู้กิเลส จัดการกิเลสให้ออกไปได้มีผลจางคลาย ดับได้ ก็ดีใจ มีปีติ ก็ให้รู้ปีติ แล้วก็ให้ลดลงเบาบางลงเหลือสุขอันสงบระงับลง ก็ลดสุขอีกให้เนียนเบาเป็นกายลหุตา ในวิการรูป รู้ว่ามันมีชีวิตของกิเลสอยู่เป็นชีวิตตินทรีย์อยู่นะ มันเป็นอบายสัตว์เป็นต้น

 

สุดท้ายถึงขั้นเปลื้องจิตออก วิโมจจังจิตตัง มีมุลจิตตุกัมมยตาญาณ

 

มีคำถาม จาก นักศึกษา กราบถามเข้ารายการพ่อท่าน

 

-หลวงพ่อคะ "  นวัตกรรมการสื่อสารการตลาดอย่างยั่งยืนของระบบบุญนิยม " คืออะไร คะ

เพราะหนูว่า มันแปลกไปจาก สื่ออื่น ๆ ที่มุ่งไปสู่รายได้ เม็ดเงิน ปรุงแต่งให้คนติดงอมแงม

-หลวงพ่อมีหลักคิด หลักปรัชญาอย่างไร ? ที่ต่างจาก ทิศทางสื่อที่อื่น ๆ ทั้งในมหาลัยที่มี

ที่สอน เพื่อให้ยั่งยืน ก้อ มันไม่มีรายได้ แล้วจะเอาอะไร มายืน

ขอบคุณค่ะ

ตอบ...นวัตกรรมคือของใหม่ บทบาทใหม่ นวัตกรรมการสื่อสาร การตลาด เอาบุญนิยมทีวีนี่แหละ เราสื่อสารเพื่อให้ประชาชนได้ ไม่ใช่ไปมอมเมาประชาชน เพื่อหาโลกธรรมให้แก่ตน ไม่นโยบายเอาอามิส การสื่อสารจึงทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง จะเห็นได้ว่าติดขัดตลอด ที่นี่ทำเหมือนคนธรรมดาสามัญ ชาวบ้านๆ เราของดีราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ เบื่อทวง ปวดท้อง นี่คือการตลาดของพวกเรา ของเราอยู่ในหลักของพระพุทธเจ้า เราไม่ได้ต้องการอามิส ไม่ต้องตามใจคนดู เป็นสาระศิลป์เสียมาก ไม่ปรุงแต่งมาก ให้ดูดีหน่อยก็แค่นั้นเอง เราไม่เอาอามิสมาล่อให้คนติดงอมแงม คนดูบุญนิยมทีวีต้องมีญาณปัญญา มีวรรณะ ถ้าไม่มีวรรณะไม่ดูหรอก ขออภัยพูดเหมือนยกตน

 

เรามีหลักปรัชญาอย่างพระพุทธเจ้าสอน ไม่ได้หนีสังคมเลย อยู่กับสังคม แล้วเรียนรู้ จิต เจตสิกรูป ให้เป็นนิพพานเป็นโลกุตระ เป็นทิศทางสื่อเราอย่างแท้จริง แม้วนบ.ก็เช่นกัน ไม่มีรายได้แม้ตั้งมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นำมาหารายได้ เราทำโรงเรียนสร้างคนให้แก่ประเทศมา 20 กว่าปีก็ไม่ได้คิดเงินเลย มีแต่สร้างให้สังคม เป็นการเมืองภาคประชาชน ทำมาก่อนรัฐบาลอีก

 

_สัตตาวาส 9 คือมิจฉาทิฏฐิทั้งหมดใช่ไหม?

ตอบ..ใช่เหลือความเป็นสัตว์อยู่ บางทีสัมมาทิฏฐิแล้วแต่ไม่พ้นอวิชชาสวะ ยังไม่พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ให้เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธได้พ้นสัตตาวาส 9

 

_ถ้าเป็นสัตตาวาส 9 ไม่ได้แม่โสดาบันใช่ไหม?

ตอบ..ใช่ ถ้าใครไม่รู้แม้ กายต่างกัน สัญญาต่างกัน แม้ข้อที่ 1 ของวิญญาณฐีติ 7 ต้องปฏิบัติขณะมีวิญญาณตั้งอยู่คุณก็ปฏิบัติไม่ถูก ก็ไม่มีทางพ้นความเป็นสัตว์ แม้แต่คำว่ากายก็ไม่เข้าใจสมบูรณ์สัตว์ตัวที่ 1 เห็นมนุษย์ เทวดา นรก พรหม จะเห็นอย่างไรในมิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐิิก็ต่างกัน แม้สัญญาอย่าเดียวกันในข้อ 2 ก็ยังมีกายที่ต่างกันอีก

 

_ดญ.ดูแล (แลเลื่อนฟ้า) ถ้าอยากจะกินไข่จะทำอย่างไรคะ เรารู้ว่าไม่ดีแต่ก็ทำค่ะ

ตอบ... จะทำอย่างไร? กินไข่นี่มันติดคาว ไข่นี่เป็นลูกสัตว์ สัตว์นี่กินเนื้อมันก็ไม่ดีแต่เขาก็มีขอว่ากินนม กินไข่อีก กินไข่นี่กินลูกของสัตว์นะ ถ้าเสือจะกินดูแล ขอพ่อเลื่อนผา จะให้กินไหม? กินไข่นี่แย่กว่ากินนม มีบาปเวรภัยมากกว่าอีก ทีนี้นมนี่มันก็ควรเลิก หากเลิกไม่ได้ก็อนุโลม ในอินเดียกินนมกันเยอะ ไข่เขาไม่กินหรอก

ก็ต้องพยายามพิจารณา ลึกๆเราชอบ ว่ามันอร่อย แต่อร่อยนี่ของเท็จของโกหก เราอดได้เราไม่ตาย เราก็เห็นว่ากินแล้วเป็นโทษ ถ้าไม่กินเราจะไม่บาป ไม่มีเชื้อโรค อันอื่นแทนได้ ถั่วงอกก็แทนไข่ได้

 

_กรณีผมมีภรรยา 1 คนเธอได้ยึดบัตร ATM ไปแล้วจ่ายให้ผมทีละวันครับ แบบนี้เศรษฐกิจพอเพียงไหม?

ตอบ..เป็น เศรษฐกิจพอเพียงอย่างหนึ่ง แต่แม้บ้านต้องซื่อสัตย์นะ

 

_เพื่อนชวนทำบุญทอดกฐิน เอาเงินไปสร้างห้องน้ำ เมรุเผาศพ เป็นวัดยากจน แบบนี้ทำไมเป็นบาป หากเขาไม่โกง...

ตอบ..จริงๆมันเป็นเรื่องเรื้อรังมานาน ทอดกฐินก็อนุโลมในยุคโน้นเรื่องผ้านี่มีน้อยมากจนต้องเอาผมคนไปทอ เป็นผ้ากัมพล ในกระบวนผ้าที่เลวที่สุดคือผ้าทำจากผมคน หนาวก็หนาวกว่าปกติ ร้อนก็ร้อนกว่าปกติ ผ้าแต่ก่อนหายาก เขาเอาผ้าบังสุกุลมาเย็บต่อกัน กฐิน แปลว่าสดึง อันใหญ่ มาเอาผ้ามาปะรวมกัน จีวรของพระจึงเป็นผ้าชิ้นๆต่อกัน กว่าจะเต็ม เรียกว่าผ้าบังสุกุล กฐินก็คือจอสดึง แต่มันหายาก นางวิสาขาก็ขอพระพุทธเจ้าว่าจะถวายผ้าดีเป็นผืนเอามาจากม้วนเลย จนพระอานนท์มาออกแบบเป็นขันธ์  แล้วก็ยึดถือกันมาพาซื่อว่าเป็นขันธ์จะเคร่งว่าไปนั่น แต่กฐินคือผ้า คือสดึงด้วยซ้ำ ผ้าที่นางวิสาขาขออนุญาตเอาผ้าดีมาให้ พระพุทธเจ้าก็อนุญาตให้ทอดได้หลังออกพรรษาเดือนเดียวเท่าน้ันวัดเดียวก็ทอดได้เจ้าเดียวนะ ไม่มีเงิน แต่ทุกวันนี้เรียกว่าบริวารกฐิน หาเรื่อง แล้วบริวารกฐินที่สำคัญคือธนบัตร เรื่องมันเยอะ หากพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมักน้อย จะมีห้องน้ำโบสถ์ กุฏิ มีผ้าห่มบริขาร

 

วัดใดที่เขาบำเพ็ญดีก็ช่วยกัน การสร้างส่ิงเหมาะควรก็ดี แต่ก็อย่าไปให้ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย อย่างอโศกนี่เขาจะหาว่าทำใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ที่จริงเราทำอย่างเหมาะสม โยมจะทำกัน เราไม่เรี่ยไร บางอย่างเราปฏิเสธด้วยนะ เราบอกบุญกันแค่นั้นที่หนักสุดตอนที่ดินสันติอโศก ก็มากอยู่แค่นั้น นอกนั้นก็เปรยนิดหน่อยแค่นั้น

 

_ทำไมวิทยาลัยถึงให้นร.คิดแต่จะสร้างเครื่องดีดฟุตบอล?

ตอบ..มันเป็นเรื่องอบายมุขหนักหนาไม่ควรส่งเสริมมันเกินไปไม่เข้าใจสัจจะกันทั้งโลกมอมเมาบอกข่ากีฬาบันเทิง แต่ไม่ออกข่าวสาระดีๆ

 

_กินนมวัวผิดศีลไหม?

ตอบ...ไปแย่งลูกวัวกินทำไม นมวัวเป็นนมสัตว์ เรากินนมแม่ก็พอแล้ว พอเหมาะก็เลิกกิน นมแม่มีสิ่งดีมากมาย แต่นมวัวเป็นนมสัตว์เรากินก็มีวิญญาณสัตว์มาปนเปด้วยเลย


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:10:13 )

571130

รายละเอียด

571130_พ่อครูให้สัมภาษณ์ คุณอำพา วิกฤติการศึกษาไทยและการเมืองไทย

.หญิงถามว่า...พ่อครูเห็นว่าจุดวิกฤติการศึกษาเมืองไทยตอนนี้คือจุดไหน?

พ่อครูตอบว่า...ที่อาตมาเห็นว่าที่เป็นจุดวิกฤติการศึกษาของไทยมากคือเรื่อง ศีลธรรม เป็นอันดับหนึ่ง และจุดต่อมาคือเรื่องการเป็นงาน เพราะเดี๋ยวนี้เก่งเรื่องความรู้ แต่การทำงานเป็นไม่ได้ ทำหยิบโหย่ง ทำไม่ได้ ยิ่งเรื่องศีลธรรมย่ิงไกลเลย เอาอย่างการศึกษาเมืองนอกมากไป ไปเรียนแต่ในกล่อง ในห้องเรียน การศึกษาที่เอาแต่ในห้องเรียน

 

แม้ว่าเราการศึกษาใดจะไม่มีห้องเรียนเลย ก็เรียนในใต้ร่มไม้ ครูจะสอนเมื่อใดจะขยายความ ก็ทำเป็นกลุ่มเป็นบุคคล มีชีวิตร่วมเป็นอยู่ในสังคมธรรมดา ทำงานไป อาตมาถึงเห็นว่าการศึกษาที่เรียกว่า บ้าน วัดโรงเรียน เป็นองค์รวม ของเรา รร.อยู่ไหน? ก็อยู่ในวัด บ้าน โรงเรียน  เรามีชีวิตร่วมกัน ส่วนชีวิตเด็กที่จะไปอ่านตำรา ติวให้วิชาการก็ให้ชั่วโมงไป ก็ไม่ต้องมากชั่วโมง เพราะการศึกษาที่ทำอยู่ในชีวิตก็พร้อมไปเลย ศีลธรรมก็พร้อมในชีวิตไป ตามมรรคงอค์ 8 คือคิด พูด ทำ อาชีพไปเลย แม้อาชีพก็ไม่ต้องแยกจากสงคม เด็กจะทำงานกับสังคม ตามฐานงาน ตามกลุ่มก็ทำไป จะเข้าใจ เด็กก็จะค่อยเข้าใจแล้วเลือกที่ตนถนัดในงาน ชอบงานไหนก็จะทำได้ดี จะเห็นความถนัดของเขา จะเป็นงาน วิชาการก็ได้ด้วย สิ่งสำคัญคือไม่แปลกแยก ย้ำว่าพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายาย อยู่อย่างไร ก็อยู่ร่วมเช่นนั้น เพราะผู้ใหญ่ไม่เรียนแล้วแต่ทำงานเป็นหลัก แต่เด็กเดี๋ยวนี้ เข้าเรียนในกล่องตลอดวัน แล้วก็แปลกแยกจากชีวิต ชีวิตอยู่ในกล่อง เอาเวลาชีวิตไปทิ้งในกล่อง

 

การสอนวิชาการไม่ได้มีแต่ในตำราที่ใช้แต่เหตุผล แต่วิชาการนั้นก็มีในการทำงานด้วย เพราะถ้าทำงานเป็นก็ต้องมีการวิเคราะห์ ใช้เหตุผลวิจัย ซึ่งจะเป็นจริงกว่าด้วย

 

.หญิงถามว่า...การประเมินผลจะต่างไหม?

พ่อครูตอบ..ก็ต่าง ของเขามีการสอบมีสำนักมาตรฐานสอบ แกท แพท ซึ่งสังคมของแต่ละแห่งก็จะมีตัวชี้วัดต่างกัน แล้วจะเอาของกลางๆมาสอบก็จะวัดผลในแต่ละที่ได้อย่างไร ซึ่งเราวัดผลในแบบของเรา กระทรวงเขาก็ไม่รับ เราก็ต้องไปกับเขาได้ด้วย แล้วมาตรฐานแบบเรานี้เขาวัดไม่เป็นกับเรา เพราะเราวัดผลแบบชีวิตจริง ได้ความรู้ได้ด้วย ที่สำคัญคือเรื่องศีลธรรม ต้องให้เขามีปฏิภาณ และให้ลดกิเลสได้ด้วย เราสอนโลกุตรธรรมด้วย ได้น้อยหรือมากก็แล้วแต่เด็กเขา

 

.หญิงว่า...เขาสอนพุทธศาสนากันเล่มเบ้อเริ่มเลย

พ่อครูว่า...เขาไม่รู้นัยความจริง ว่าธรรมะคืออย่างไร ของเราบอกทั้งวิชาการภาษาธรรมะและแปลให้เขาได้เข้าใจด้วย บางคนจะชอบบาลีก็ได้ บางคนไม่ชอบก็เราพูดบ่อยก็จำได้ ต้องสอนทั้งกาย วจี กรรม มันมีกิเลสในกรรมนั้นด้วย อ่านกิเลสออก คิดอย่างนี้มีกิเลสนะ เขาต้องอ่านรู้แล้วใช้วิธีลดกิเลส มีวิปัสสนาเป็นหลัก แต่กดข่มก็ทำกันเป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องเรียนก็มีวิธีโดยธรรมชาติระงับอยู่แล้ว

 

.หญิงว่า...ครูข้างนอกตีเด็กทำเด็กแรงมาก

พ่อครูตอบว่า...การตีเด็กนี่เป็นธรรมชาติว่าสัตว์โลกรู้การกลัวเจ็บ สัตว์ก็รู้ว่าเขายับยั้งเรานะ สามัญก็รู้กัน เราทิ้งไม่ได้หรอกกับการตี แต่เราตีไ่ม่ได้ตีด้วยอคติ แต่เรามีเหตุผลถึงที่จะต้องตี แล้วเราห้ามครูตีเอง ต้องให้ที่ประชุมตัดสิน แล้วก็ไม่ให้ครูที่เป็นคู่กรณีตีด้วย เด็กจะรู้ว่าที่ลงโทษไม่ได้แกล้งตีนะ ไม่ใช่โกรธแล้วก็ตีทันที อย่างนี้ไม่ได้เลย แต่ตีได้ลงโทษได้ ลงโทษมีหลายวิธี แต่สูงสุดก็ตีให้เจ็บให้กลัวแหละ ก็อย่างเลี้ยงสัตว์ถ้าตีมันก็เจ็บ  อย่างช้างนี้ใช้ขอสับเลยว่าอย่างนี้ผิดนะไม่ให้ทำ ม้า วัว ควายก็รู้

 

.หญิงว่า....การสอนเดี๋ยวนี้ไม่ได้เรียนความจริง

พ่อครูตอบว่า...ใช่ไม่ได้เรียนรู้ความจริง เอาแต่ความรู้ความจำ สำคัญคือศีลธรรมไ่ม่ได้เลย เขาฉลาดมากก็กลายเป็นดาบสองคม ยิ่งฉลาดยิ่งซับซ้อนหลอกให้คนจับไม่ได้ ใช้ความฉลาดในการเอาอำนาจให้คนยอมด้วย มันฉลาดแบบนี้ภาษาบาลีใช้คำว่าเฉกา หรือเฉโก  คือฉลาดมีกิเลส ส่วนฉลาดซื่อสัตย์มีปัญญา

 

.หญิงว่า...เวลาสอบแล้วเด็กตกทุกวิชา คะแนนต่ำหมดเลย

พ่อครูตอบว่า...อันนี้ก็รู้ไม่ได้ด้วย ถ้าตกก็คือครูสอนไม่ได้เรื่อง ครูก็ต้องสอนให้ได้ความรู้บ้าง ไม่รู้ก็สอบตกแน่ ถ้าสอนดียังไงก็สอบได้แหละ จะยากหรือไม่ก็เรียนรู้ตามหลักสูตรที่กำหนดมา

 

ของเรามีหลัก ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา หรือศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา หรือศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา เราไม่ได้เรียนแยกส่วน เด็กเรียนอยู่ในสังคม มีหมู่ใหญ่มีการงาน ฐานงานสารพัด ในหมู่บ้านหนึ่ง มีอาณาบริเวณพอแล้ว แต่หมู่บ้าน ตำบลก็พอแล้ว รู้จักช่วยสังคม ไม่ใช่เอาเปรียบสังคม เราอยู่อย่างช่วยเหลือเกื้อกูล สะพัดแจกจ่ายให้กัน

 

ของเขาแยกส่วนการศึกษา เด็กแยกออกจากสังคม เดี๋ยวนี้ย่ิงมีแทปเล็ต เด็กก็ไม่ได้ออกไปรู้สังคมเลย แต่ในเครื่องมืออินเทอร์เน็ตนี่ เขาไปเปิดส่ิงเลวร้ายมากกว่าด้วย เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก มีทั้งตลาดมืดและตลาดสว่างในนั้นหมดเลย  แต่ของเราเป็นการศึกษาองค์รวม บวร มากว่า 20 ปีแล้ว ก็ทำมาได้ ของเรามีหลักการ ปรัชญา เพื่อสร้างเด็กอย่างตรงเลย ครูทุกคนต้องเข้าใจ ทำอยู่แล้ว ก็มาช่วยกันสอน

 

.หญิงว่า...เราไม่เน้นว่าเด็กจบแล้วก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยใช่ไหม?

พ่อครูตอบว่า.....จะเป็นไปเอง เราไม่มีมหาวิทยาลัยของตนเองเด็กเขาก็ไปเรียนข้างนอกได้ เราก็พยายามเปิดมหาวิทยาลัยของเราเองก็ยังไม่ได้ เราเคยร่วมกับม.อุบลฯ มีหมู่บ้านเราเลยอยู่ในม.อุบลฯให้เด็กเรียนเศรษฐกิจพอเพียงในม.อุบลฯ มา 4 รุ่นแล้ว ได้เกียรตินิยมทุกรุ่นเลยเด็กเรา โดยอาจารย์เขานั่นแหละที่ให้คะแนน เรียนกับเด็กข้างนอกด้วย แต่เด็กเราได้เกียรตินิยมทุกรุ่น เราเปิดมา 4 รุ่น แต่ว่ามหาวิทยาลัยก็ปิดคณะนี้ไปเลย มีเหตุอยู่ที่ครูบาอาจารย์

 

.หญิงว่า...ต่อไปขอถามเรื่องเหตุการณ์บ้านเมือง

.หญิงว่า...มีความเป็นห่วงบ้านเมืองอย่างไรในรอบปีคะ

พ่อครูตอบว่า...ก็ห่วงใยจึงพาออกไปมีปฏิกิริยาร่วมกับเขา แต่เมื่อเหตุการณ์ถูกระงับไป ผู้ทำก็ดูเจตนารมย์ ความสามารถ ความจริงใจก็ดูอยู่ อาตมาก็เห็นดีนะ อย่างบุคลิกนายกฯประยุทธ์นี่นะ อาตมาว่าต่างจากทุกนายกฯที่อาตมาว่านะ เป็นคนจริงและมารยาทน้อย เอาความจริงใจเป็นหลักมากกว่ามารยาท อันนี้อาตมาว่าเป็นส่ิงที่ประชาชนจะรับได้ง่าย ถ้าเป็นมารยาทมากกว่าความจริงใจจะเสแสร้าง แปลไม่ออก แต่ว่าความจริงใจมากนี่ประชาชนเข้าใจง่ายเห็นความจริง อะไรไม่ดีก็ต่อต้านได้ อันนี้ดี

 

และในความสามารถ รอบรู้ รู้จักเอาคนมาใช้ ก็น่าเห็นใจที่ต้องปรองดอง กันไปสมควร อย่าให้แตกหักรุนแรง แต่องค์รวมที่ทำกันมา 6 เดือนแล้วอาตมาให้คะแนน อัตราก้าวหน้ารายทางก็มี ยังไม่ถือว่าคะแนนลบหรือสอบตก มีอัตราก้าวหน้าอยู่ แต่ความปรารถนาของคนก็มีความปรารถนาล้ำหน้าอีกเยอะ เขาต้องการความเร็ว อย่างนายกฯว่า ก็ทำอยู่แล้วนะนี่ จะเอาอะไรกันนักกันหนา

 

นายกฯมีมาตั้ง 20 กว่าคน แม้นางสาวปู ก็ยังให้เป็นได้ตั้งสองปี แต่อย่างนี้น่าชื่นชมกว่า จะเสี่ยงก็น่าเสี่ยงกว่าอีกนะ ให้เป็นไปสองสามปีก็ได้นะนี่ แต่ว่าลักษณะเขาโมโหบ้างก็เป็นไป และคำถามก็จะเอาให้ได้ให้เร็วไม่ให้เวลาเลย ก็ให้รู้ว่ามันไม่ก้าวหน้าหรืออย่างไร? และเร็วนี่ใครจะมาบันดาลได้หรือรีบทำได้ก็ต้องให้เป็นไปตามที่จะเป็น อาตมาก็ว่า บวกมากกว่าลบ ผลได้มากกว่าผลเสีย จะให้ไม่มีผลเสียเลยจะได้อย่างไร

 

.หญิงว่า...เขาเห็นกันว่าเลือกตั้งแล้วจะได้เป็นปกติ

พ่อครูตอบว่า...เลือกตั้งนั้นต้องเป็นเหตุการณ์ที่เรียบร้อยดีงามแต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเลือกตั้ง การเลือกตั้งเป็นวิธีการของคนที่จะหาประโยชน์ให้เร็วให้ได้อย่างเดิมนี่แหละ ประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงว่าแค่เลือกตั้ง แม้เผด็จการ แต่ผู้เผด็จการทำเพื่อประชาชนซื่อสัตย์จริงๆ เขามีความรู้สามารถพอที่จะทำเพื่อประชาชนนี่คือประชาธิปไตยเนื้อแท้ แม้คอมมิวนิสต์ ที่บริหารเป็นคณะคอมฯ แต่เขาซื่อสัตย์ต่อประชาชน ผลประโยชน์เพื่อประชาชนไม่ได้ทำเพื่อตนเพื่อกลุ่มเท่านั้น ประชาธิปไตยคือคนที่ทำเพื่อประชาชน ไม่ใช่ว่าประชาธิปไตยเป็นแค่นิยามว่า โดยประชาชนเพื่อประชาชนของประชาชน ตามที่อับราฮัม ลินคอนว่า มันจะได้หรือ ประชาชนจะทำเพื่อประชาชนหมด แต่ว่าแบบคอมฯที่ทำเพื่อประชาชน หรือคนเดียวที่ทำเพื่อประชาชนมาปกครองจะดีกว่าไหม ซึ่งถ้าจะให้ประชาชนทั้งหมดมาทำแล้วก็ได้ไม่โกงกันนี่ก็ดีแต่มันได้หรือ? คิดดูสิว่าเขาโกงกันหนักขนาดไหนโกงทีละแสนล้านเลย มันไม่ได้

 

.หญิงว่า...ตอนนี้ประชาชนตื่นตัวกันมากเรื่องการเมือง

พ่อครูว่า...ก็มีทั้งพวกงมงาย พวกค้านแย้ง และพวกรักษาผลประโยชน์ตน แบบหลังนี่ทั้งที่เขารู้แล้วว่าสิ่งไหนดีแต่เขาจะเอาอำนาจคืนด้วยการเลือกตั้ง จะเอาเสาไฟฟ้าลงหรือไม้จิ้มฟันลงก็ได้ อย่างนี้เอง เวลานี้ไม่ควรเป็นแบบนั้น เป็นความจำเป็นทำตามเหตุการณ์เฉพาะหน้าไปก่อน การปรับเปลี่ยนนั้นไม่ง่าย แต่ก็ต้องทำฐานใหม่ขั้นแทนฐานเก่าที่เขาสร้างแข็งแรงและบรรลัยจักร

 

.หญิงว่า...ปฏิรูปประเทศตอนนี้ต้องเปลี่ยนอะไรก่อน

พ่อครูตอบ...วิธีก็ทำไป มันมีทั้งแบบขัดแย้งด้วย อย่างจะเอาพวกตนเองไปก็ถูกด่า เอาทหารเข้าไปมากก็ต้องถูกด่าแต่ก็ต้องทำ ทำไปแล้วเขาก็มาค้านแย้ง แต่ถ้าไม่ค้านแย้งก็จะเร็วกว่านั้น เขาจะเอาให้เร็วแต่เขาก็มาค้านเองก็เลยช้า ถ้าจะให้เร็วก็อย่าต้านสิ แล้วก็เร่งว่าเมื่อไหร่จะเลือกตั้งเสียที แต่ก็ค้านแย้งตลอด พูดกับการกระทำขัดแย้งทุกที การเลือกตั้งไม่ใช่เป้าหมาย เป็นองค์ประกอบ หากคนไม่โกงกิน มีกระบวนการบริสุทธิ์ ก็ทำเลือกตั้งได้ดี แต่มันยังไม่เกิดแบบนั้นก็ต้องค่อยๆทำไป

 

.หญิงว่า...สันติอโศกไปร่วมอย่างไรในการปฏิรูปการเมือง

พ่อครูตอบ...ตอนนี้คสช.เขาให้เราพัก และเขาก็เพ่งมองว่าอโศกมีแฝงอะไร อาตมาก็บอกไปในที่นี้เลยว่าอโศกไม่แฝง เรามีจริงใจให้ เราไม่กลัวใครมาสอดแนมล้วงตับกินไส้เรา เราต้องการให้เขามาได้เลย อะไรเราพักเราก็พัก  อะไรเราจะทำก็ยังมีอีกมาก เราทำงานการเมืองภาคประชาชนอยู่

 

.หญิงว่า...แล้วท้อใจไหมคะ

พ่อครูตอบว่า...เราไม่ท้อใจ เราทำตามเหตุปัจจัยสังคมเราเข้าใจ พระพุทธเจ้าศึกษามาเป็นล้านปีเรื่องคนกับสังคมมนุษยชาติ มาเป็นล้านปี อาตมาก็เรียนตามพระพุทธเจ้าไม่สงสัยหรอก เรารู้อยู่แล้วว่าต้องเหนื่อยหนัก ไม่ท้อแท้ ก็พิสูจน์มาแล้ว ไปนอนกลางถนน กินกลางถนน จะกี่เดือนก็ทำได้ ขอยืนยันว่าแม้จะมากกว่านี้เป็นปีเราก็อยู่ได้

 

.หญิงว่า...ตอนนี้จะถอยหลังหรือเดินหน้าดีคะ

พ่อครูตอบ...อาตมาเห็นว่าตอนนี้กำลังคลี่คลาย และมีอัตราก้าวหน้า แต่มันไม่ได้ดั่งใจคุณ แต่คุณเองมีความตะกละต้องการจะได้เร็วๆ ในประโยชน์หรือต้องการอิสระเร็วๆ โดยเฉพาะสื่อสาร มันก็เลยต้องออกมาวิธีนี้ แต่ก็เห็นเลยว่ายังไม่ได้หรอก อาตมาประเมินไม่ได้ว่าจะเร็วแค่ไหน แต่ถ้าจะค้านต้านก็พอเหมาะอย่าไปเล่นเลอะก็จะได้สัดส่วนพอดี แต่ประมาณกันไม่ได้ ใจกิเลสมากกว่าไม่ประมาณให้พอดี ทำไม่เป็น ก็เลยต้องช้าไปบ้าง อาตมาไ่ม่กล้าพยากรณ์ ว่านานเท่าไหร่ แต่ถ้าพฤติกรรมขนาดนี้ที่ทำอยู่ จะไปกี่ปีก็ดีกว่าเดิมแน่นอน แต่จะทำตามแผนก็ทำได้ไม่เร็วเพราะมีคนต้านหรือว่ายังไม่ได้ก็ต้องรอไปก่อน ให้โอกาสกันก่อน แต่ถ้าไม่ลงทัณฑ์ ผู้ผิด รัฐบาลนี้อยู่ยากนะ แม้ลงโทษไม่คุ้มนัก อาตมาว่า คสช.นี่เสียรังวัดมากเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องเงินเท่านั้น เพราะมีเรื่องราวมากมาย มีกลไกค่ายกลโกงสารพัด ถ้าไม่ตัดจัดการก็ไม่เปลี่ยนได้จริง ตัดแต่เงิน แต่ค่ายกลเขายังมีอยู่ ก็ไม่สำเร็จ ต้องเห็นใจผู้จะไปชำระสะสาง เป็นงานหนัก

 

แม้คดีที่เปิดเผยตอนนี้ ทั้งโกงกิน ไม่รู้ไม่เห็นกันหรือ แต่ปล่อยมาได้อย่างไร ? งานนี้ไม่เบาเลย ถ้าลงมือจะได้ดี ต้องใจแข็ง กล้าหาญ และประเมินให้ดีมาก ยากอาตมาเห็นใจ เราพูดมากก็ไม่ได้ คสช.เพ่งเล็งอยู่ เขาไม่ไว้วางใจกองทัพธรรมอยู่ แต่ที่จริงเราไว้ใจได้ ไม่ทำร้ายอะไรหรอก

 

ตอนนั้นเขาปิดสถานีโทรทัศน์เขาก็ปิด  14 สถานีเราก็อยู่ในข่ายเราก็ไม่ต่อว่าเขานะ เรายอมให้ถูกปิดเท่าเทียมกัน

 

.หญิงสรุปว่า..การปฏิรูปประเทศต้องร่วมกันช่วยกันทุกฝ่าย แม้กองทัพธรรมที่เป็นตัวขับเคลื่อนศีลธรรมเพื่อประเทศไทยของเราก็ต้องร่วมช่วยกันด้วย


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:11:03 )

571130

รายละเอียด

571130_วิถีอาริยธรรม สันติฯ สติในกายคตาพาหมดอัตตาที่เป็นมายาของชีวิต

.เพาะพุทธ ว่า...ก่อนอื่นขอประชาสัมพันธ์ เรื่องที่พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมงาน ครบรอบ 60 ปีทีวีไทย ที่คณะนิเทศน์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันพุธที่ 3 ธ.ค. 57  เวลา 13.00 - 15.00 น. เชิญผู้สนใจไปร่วมงานได้ งานนี้ บุญนิยมทีวีไปบันทึกเทปด้วย งานนี้เห็นว่ามีนักทำรายการโทรทัศน์อาวุโสได้รับเชิญไปร่วมงานด้วยหลายคน

 

พ่อครูว่า..ที่เขาเชิญไปก็คนอายุ 80 ปีขึ้นไปทั้งนั้นเลย

 

.เพาะพุทธว่า..ในปฏิทินอโศกปีนี้มีโศลกว่า “วัฒนธรรมบุญนิยม นั้น ต้องไม่ใช้บุญ เป็นวิมานหลอกคน” ช่วงที่เรารณรงค์ โอวาทที่พ่อครูสรุปไว้ในการจัดงาน 80 ปีไม่มีแก่ ว่า.....เรากางเต็นท์ 7 หลัง คนก็มานิดเดียว เราตั้งส้วม 80 หลัง แล้วคนก็มานิดเดียว หรือจัดสถานที่ริมมูนไว้ก็ได้ใช้นิดเดียว ขนจอLED เตรียมไว้ก็ได้ใช้นิดเดียว ถ้าเราคิดอย่างทุนนิยมเขาก็ว่าไม่คุ้มเลย เขาไปคิดว่าเขาจะได้ แต่ว่าเราต้องคิดว่า เราได้ให้ เราไม่คิดว่าคุ้มหรือไม่ ถ้าเราเจตนาว่าเราทำเผื่อพี่น้อง ญาติโยมเรามามาก เราก็ทำไว้ ถ้าเขามาเกินกว่าที่เราเตรียมไว้มันแย่ แต่ถ้ามาน้อยกว่าที่เราคาด เราก็จ่าย ได้ให้ เราไม่เสีย เราได้ฝึกได้ อันนี้คืออาตมาว่า เราเสียสละแต่เราไม่ได้เสีย เราให้เต็มๆ ดีกว่ามันไม่พอ เป็นคนขี้เหนียว เราได้เสียสละ

 

สมมุติว่า คนมามาก เราก็คิดว่ามันคุ้ม มันก็เท่ากันนั่นแหละ ถ้าจะมองในแง่ความสมเหมาะสมควร สุรุ่ยสุร่าย มันก็อยู่ที่การคาดคะเน กะเอา ซึ่งเราไม่ได้สุรุ่ยสุร่าย อาตมาก็มองว่าน่าจะมากกว่านี้ แต่เอาเข้าจริง น้อยกว่าที่คาด ไม่ได้เจตนา จะไปโทษโทรทัศน์ไม่ได้ เรามีเสน่ห์เท่านี้ จุดที่เราต้องปรับมีอยู่

 

ถึงอย่างไร ส่วนเกินสูญไปก็ถือว่าสุรุ่ยสุร่าย เราก็ไม่เจตนา แต่ในด้านจิตวิญญาณการเสียสละเรามุ่งตรงนี้ดีกว่าขี้เหนียว ถ้าขี้เหนียวเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว เราก็ไม่ได้เรียนรู้ฝึกฝน แต่นี่อย่างน้อยเราได้ทำงาน ได้ฝึกซ้อม ได้อดทน ที่ลึกซึ้งคือเราไม่เสียใจ ไม่คิดเล็กคิดน้อย

 

.เพาะพุทธว่า...แร้งก็จะมีเสน่ห์อะไรนิดเดียว แต่เป็นหงส์ระวังจะเป็นโหงนะ เมื่อเราเป็นแร้ง เราเป็นสัตว์มีศีล แต่คนส่วนใหญ่ขอบนกยางดูดี กินปลามีชีวิต ดุร้าย  เหมือนคนที่ดูภายนอกงามแต่ว่าดุร้าย แต่นกแร้งเป็นนกกินซากที่ตาย เป็นนกมีศีล พ่อครูว่า เรามีเสน่ห์เท่านี้ ไม่ได้หมายความว่าจำนน แต่พ่อครูว่าจุดที่เราต้องปรับมีอยู่ พ่อครูบอกอีกว่า...อาตมาได้ข้อสรุปอยู่ 4 คำ

1.ปัญญา

2.น้ำใจ

3.ซื่อสัตย์

4.อุตสาหะ

อาตมาได้สี่คำนี้เป็นเรื่องที่เกิดจริงเป็นจริง ที่เราเป็นอย่างนี้ได้เพราะทฤษฏีพระพุทธเจ้า ทุกคนใช้ปัญญา อิสระส่วนตัว แล้วทุกคนก็ใช้น้ำใจของแต่ละคน ถ้าไม่มีน้ำใจ..เกิดไม่ได้ คำว่าน้ำใจนี่ลึกซึ้งมาก เป็นของใครของใคร ไม่ใช่บังคับ อิสรเสรีภาพ เป็นความพอใจภาคภูมิใจด้วย เป็นพลังงานปัญญา พลังงานน้ำใจ ซื่อสัตย์ ถ้าไม่ซื่อสัตย์จะเกิดความอลเวง เจ็บป่วย ไม่ดีไม่งาม ยิ่งพวกเรามีส่วนกลาง ถ้าพวกเราไม่รักษา ไม่เก็บงำ มันไม่ง่าย คำว่า ซื่อสัตย์นี่มันลึกซึ้ง ถ้าไม่ซื่อสัตย์ มีแต่การโกง เล่ห์เหลี่ยม ก็เกิดเรื่อง ที่มันไม่เกิดเรื่องเพราะเรามีความจริง

 

พวกเรามีอุตสาหะ นี่งานเสร็จก็เก็บได้หมด โอโห ใช้ปัจจุบันธรรมที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเยอะแยะ แค่ต้องรื้อเต็นท์กันกลางน้ำก็หนักหนา งานสังคมแบบเรา แล้วคนมามากๆโดยเฉพาะมีคนใหม่มาผสม ถ้าพวกเรากันเองก็ไม่มีเรื่องมาก

.เพาะพุทธว่า...ประเด็นที่ยกมาเพื่อให้พวกเราใช้ในการทำงานเป็นจิตสาธารณะในช่วงโรงบุญ 5 ธันวาฯมหาราชนี้ ทำทั้ง เพราะไม่มีกังวลในความร่ำรวย ไม่หิวโหยในความบันเทิง ไม่ปรารถนาความเป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีปัญหากับความเครียด ..ชีวิตจึงไม่ขาดแคลนความเบิกบาน

 

พ่อครูว่า....เอามาสรุปนี่ก็ดี อาตมาก็สรรค่าสร้างคนไป เกิดมาทำงานนี้คุ้มกับการได้เกิดมา ไม่ได้ไปล่าโลกธรรม ไม่หลงใหลความบันเทิงไม่หมกมุ่นในสิ่งที่เป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีปัญหากับความเครียด คนเขาถามว่าอาตมาเคยเครียดไหม? อาตมาก็ว่าไม่เคยมีอารมณ์เครียด

ไม่เคย ก็เลยไม่รู้จักว่าเครียดเป็นอย่างไร ก็เดาๆว่า คงอาการตึงๆปวดหัว เป็นทุกข์ คือยังแปลไม่ออก เข้าใจไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร ความกังวลก็เคยมีนะ ความห่วงหาอาวรณ์ เข้าใจภาษาไทยนะ หรืออาการไม่ชอบใจก็เคยมี แต่ว่าเครียดนี่นึกไม่ออกว่าเป็นอาการอย่างไร เขาว่าเครียดกันก็ตึงตังๆ เป็นอย่างนั้นหรือ?

 

.เพาะพุทธว่า...อีกอย่างคือแบบหน้านิ่คิ้วขมวดเป็นการแสดงออกความเครียดครับ เป็นคำที่เขารวมกันไว้

 

พ่อครูว่า...ที่เข้าใจผิดกันมานานจึงไม่พาบรรลุธรรม เสียเวลาทุนรองแรงงาน ลงทุนไปแต่ไม่ได้ผล ลงทุนทั้งชีวิต แต่ไม่ได้โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าที่พาไปนิพพาน เป็นเนื้อหาแท้ของพุทธ แต่ไม่ได้กัน ต้องกล่าวว่าไม่ได้แม้ถึงสถาบันหลักของประเทศ ขออภัยที่ต้องกล่าวเช่นนี้ สถาบันพุทธศาสนาหลักแกนเลยก็ไม่ได้เข้าถึงโลกุตระ เพราะเข้าใจผิดเรื่องกายคตาสติ อานาปานสติ แล้วก็เลยปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไม่ได้ผล

 

ที่ผิดคือแยกอานาปานสติ กับกายคตาสติ เป็นคนละเรื่องกัน แยกกัน แต่ที่จริงต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแยกกันไม่ได้ ในพระไตรฯล.14 อานาปานสติ สูตร หน้า 166 (ฉ.หลวง) ข.182 เป็นต้นมา...

 

ที่ต้องตำหนิกันว่ากันนั้น เพราะอาตมาเห็นว่าผิดจริงๆที่ทำกันมาอย่างไม่ได้ผล ไม่ได้แม้สะเก็ดคือศีล ไม่ได้แม้เปลือกคือสมาธิ เพี้ยนผิดไปหมดแล้ว ที่อาตมาพูดนี่ จิตอาตมาไม่มีอุปวาโท(ไม่ได้พูดร้าย)

 

พระพุทธเจ้าตรัสตั้งแต่ข.285 มาว่า ผู้เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าเอาไปปฏิบัติมาบวชเป็นภิกษุ ภิกษุณี มีตั้งแต่เป็นพระขีณาสพ หรืออนาคามี หรือสกิทาคามี หรือโสดาบัน ต่อจากนั้นก็มีผู้กำลังประกอบความเพียร แม้ไม่ได้เป็นบุคคล 4 ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าอานาปานสติ ก็จะได้ผลเช่นนี้ แม้ว่ายังไม่ได้ก็ยังเป็นผู้ประกอบความเพียรในการเจริญสติปัฏฐาน 4 อยู่ ที่เป็นตัวแท้ในการปฏิบัติเป็นโลกุตระ

 

ข้อแรกคือ กายในกาย ถ้าเข้าใจกายไม่ถูกต้อง ก็ปฏิบัติกายในกายไม่ถูกต้อง จะรู้ได้อย่างไรว่า กายต่างกันเป็นอย่างไร คนสัมมาทิฏฐิก็จะได้กายอย่างหนึ่งต่างกับพวกมิจฉาทิฏฐิ แม้สัญญาต่างกันว่าได้ฌานอย่างในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 แต่ว่ากายนั้นต่างกัน เพราะมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่คำว่า กาย แล้ว ก็จะเข้าใจผิดไปทั้งยวงเลย

 

ท่านก็ตรัสต่อมาในข้อต่อมาคือ เจริญสัมมัปธาน 4 และต่อไป อันเป็นโลกุตระ 46 ในพระไตรฯล.31 ข.620 คือ [620] ธรรมเหล่าไหนเป็นโลกุตระ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4
อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อริยมรรค 4สามัญผล 4 และนิพพาน
ธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตระ ฯ

 

อานาปานสติเป็นโลกุตระ คำว่า กายในกาย คือเริ่มปฏิบัติ กาย นะ ขยายคำว่า กายก็คือ กายคตาสติ ต้องมีสติ รู้กายที่ดำเนินไป องค์ประชุมของรูป นามที่ดำเนิน ให้มีสติ ปฏิบัติ หยั่งถึงอานาปานสติ 16 หลัก ยืนยันว่าศาสนาพุทธ หากเข้าใจกายคตาสติ กับอานาปานสติ ไม่ได้ แยกส่วนกันก็ไม่ได้บรรลุธรรม ที่เข้าใจกัน

 

ที่เขาเข้าใจกันนั้นคือ อานาปานสติ คือ ไปนั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นแล้วหลับตา เอาลมเป็นกสิณ วาโยกสิณ ซึ่งลมเป็นแค่ธาตุภายนอก

พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ทิ้งภายนอกแต่ให้อ่านภายในด้วย อ่านกายสังขาร แต่ถ้าเข้าใจกายผิด ก็ทำให้กายสังขารรำงับก็ทำผิดๆ เขาตัดกันว่ากายเหลือแค่รูปธรรม การทำให้กายสงบ ก็คือทำให้กายนิ่ง ก็ทำแค่นี้ก็ผิดแล้วไม่ได้ผลปรมัตถ์ ไม่เข้าจิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้วว่ากายไม่นิ่งนี่คือไม่สงบ แต่ถ้าจะทำจิตสงบก็คือทำให้จิตนิ่งเหมือนกายรำงับ(ปัสสัมภยัง) อย่าหาว่าสอนเลย คำว่า ปัสสัมภยังคือสงบรำงับคือให้ให้กิเลสระงับ ไม่ได้ให้ไปทำร่าง และวาจา นิ่งเลย แต่ต้องทำตัวการใหญ่ กิเลส ตัณหา อุปาทานระงับบทบาท นี่คือปัสสัมภยัง ต้องระงับในกายสังขาร ในจิตสังขาร

 

กายสังขารที่ปัสสัมภยังก็ไม่ได้หมายถึงกายนี้หยุดนิ่ง แต่กลับคล่องแคล่ว เป็นกายปาคุญญตา เวทนา สัญญา สังขารคล่องแคล่(กายคือ เวทนา สัญญา สังขาร) ไม่ใช่ไปนิ่งดับไม่ขยับหมด นี่ก็ทำให้เสียหายสังคมเศรษฐกิจหมด

ขออภัยที่ต้องกล่าวว่า ประเทศไทยเสื่อมเพราะการทำแบบนี้ ไทยเป็นพุทธ 95% แต่เข้าใจสัจธรรมของชีวิตผิดเช่นนี้ จะไปโทษคนออกกฎหมายนั้นผิดหมด ต้องโทษพระ โทษผู้นำทางจิตวิญญาณ (มโนปุพพัง คมา ธัมมา) ก็เลยไม่ เสฏฐา ไม่เจริญ ก็เลยมีแต่มายา มโนมยา มายากันตลอดเลย มีแต่มายาออกจากจิต ทั้งนั้นไม่สุจริต ไม่มีปัญญา ไม่มีน้ำใจ ไม่ซื่อสัตย์ ไม่มีอุตสาหะที่สมบูรณ์ ขออภัยที่ต้องชี้ชัดน้ำหนักความจริงชัดก็เลยฟังเหมือนตนเองใหญ่เหลือเกิ

 

มาต่อเรื่องในพระไตรฯ...ท่านบอกต่อจากโลกุตระ 46 คือโลกุตระ 37(โพธิปักขิยธรรม 37) กับโลกุตระ 9

 

ริ่มต้นคือสติปัฏฐาน4 ข้อแรกคือกายในกาย จากนั้นเป็นเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เริ่มคือต้องปฏิบัติกายในกายให้ถูก จึงได้โลกุตระ 9 ไปตามลำดับ

 

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก โพชฌงค์ 7 กับมรรค 8 จึงเกิด เป็นทฤษฎีหลักในการพาตรัสรู้ ถ้านอกเหนือจากพระพุทธเจ้าแล้วก็จะมีแต่ภาษาเท่านั้นไม่สัมมาทิฏฐิไม่เข้าปรมัตถ์ไม่มีสัมมาผล กลายเป็นอาริยเก๊ อรหันต์เก๊กันแล้วก็หลงเชื่อนับถืออาริยะเก๊ อรหันต์เก๊กัน ขออภัยที่ต้องพูดสิ่งผิด มันเลี่ยงไม่ออก พูดสิ่งผิด ก็เลยไปเจอคนที่ยึดผิดๆ ก็เลยกระทบ แต่จะให้พูดไม่กระทบคือถ้าเราพูดสิ่งผิดก็เลยกระทบคนผิด แต่เมื่อพูดถูกเราพูดสิ่งถูกก็กระทบคนถูก แล้วคนถูกดันเป็นพวกเราอีกก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องแจกแจงกัน ขนาดแจกแจงก็ยังไม่ปรโตโฆษะอีก ก็ไม่ได้สัมมาทิฏฐิสักที

 

ต่อมาดูในพระไตรฯต่อ...ปฏิบัติไปจะเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แม้ท่านจะไม่กล่าวว่าเป็นโลกุตระแต่เนื้อเป็นโลกุตระ เป็นเนื้อจิตเจโตที่จะเกิดจิตเช่นนี้จริง เกิดอัปปมัญญา 4 หรือพรหมวิหาร 4 นี้ ถ้าไม่เป็นหลักของพุทธจะเป็นเทวนิยม เป็นพรหมที่ใหญ่ๆๆ แต่ไม่ใช่พรหมคือจิตที่ผู้ปฏิบัติทุกคนจะเกิดพรหมกาย ..เป็นไปตามบารมี เราจะมีพฤติกรรมแสดงความจริง 4 อย่างนี้ เพราะจิตเป็นประธาน เมื่อจิตเป็นพรหม กาย วาจา ก็แสดงเป็นพรหม บริบูรณ์ไปตามบารมี ถ้าจะให้สัมบูรณ์ต้องเป็นอรหันต์ แต่ก็ทำไปตามรอบๆไป โสดาฯ สกิทาฯ....

 

ในความหมายของรูปและนาม เจโตคือรูป ปัญญาคือนาม สูงขึ้นไปในความหมายลึก ชั้นที่สอง เจโต จะเป็นนาม ปัญญาจะเข้าใจโพธิปักขิยธรรม 37 แล้วจะได้เจโต พรหมวิหาร 4 ก็เกิดลักษณะ 2 ปัญญาอย่างหนึ่งเจโตอย่างหนึ่ง ในบางคราวเจโตจะเป็นอิตถีภาวะ แต่บางภาวะเจโตจะเป็นปุริสภาวะ คือเมื่อเป็นเอกบุรุษแล้ว เจโตจะเป็นปุริสภาวะปัญญาจะเป็นอิตถีภาวะ ก็เรียนสองภาวะนี้แหละให้เป็นเอกบุรุษสมบูรณ์ก็เป็นอรหันต์ สลับไปสลับมา ระหว่างเจโตและปัญญา ระหว่าง อิตถีภาวะและปุริสภาวะ

 

แล้วกายคตาสติทำอย่างไรเจริญอย่างไรจึงมีผลมาก ...พระพุทธเจ้าว่า...

 

[294]  พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็กายคตาสติอันภิกษุเจริญแล้ว
อย่างไร  ทำให้มากแล้วอย่างไร  จึงมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้  อยู่ในป่าก็ดี  อยู่ที่โคนไม้ก็ดี  อยู่ในเรือนว่างก็ดี  นั่งคู้บัลลังก์  ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า  เธอย่อมมีสติหายใจออกมีสติหายใจเข้า  เมื่อหายใจออกยาว  ก็รู้ชัดว่า
หายใจออกยาว  หรือเมื่อหายใจ  เข้ายาว  ก็รู้ชัดว่า  หายใจเข้ายาว  เมื่อหายใจออกสั้น  ก็รู้ชัดว่า
หายใจออกสั้นหรือเมื่อหายใจเข้าสั้น  ก็รู้ชัดว่า  หายใจเข้าสั้น  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้
กำหนดรู้กองลมทั้งปวง  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง
(พ่อครูว่า...คำว่ากองลมนี่ท่านแปลมาจากคำว่า สัพกาโย นั้นไม่ได้หมายถึงแค่กองลม แต่ควรแปลว่า กายทั้งปวง ไม่ใช่กองลมทั้งปวง)  หายใจเข้า
สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักระงับกายสังขาร  หายใจออก  ว่าเราจักระงับกายสังขาร  หายใจเข้า
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่  อย่างนี้ 
ย่อมละความดำริพล่านที่
อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง
 เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่นดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

 

พ่อครูว่า...จุดสำคัญคือคำว่าย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือน บาลีว่า( เย   เคหสิตา   สรสงฺกปฺปา   เต  ปหียนฺติ  ฯ)

 

[295]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเดินอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังเดิน
หรือยืนอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังยืน  หรือนั่งอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง  หรือนอนอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังนอน
หรือเธอทรงกายโดยอาการใดๆ  อยู่  ก็รู้ชัดว่า  กำลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ  เมื่อภิกษุนั้น
ไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปใน  ธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ
(จุดสำคัญก็คือต้องละความดำริพล่าน)

 

[296]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุย่อมเป็นผู้ทำความ  รู้สึกตัวในเวลา
ก้าวไปและถอยกลับ  ในเวลาแลดู  และเหลียวดู  ในเวลางอแขนและเหยียดแขน  ในเวลา
ทรงผ้าสังฆาฏิ  บาตร  และจีวร  ในเวลา  ฉัน  ดื่ม  เคี้ยว  และลิ้ม  ในเวลาถ่ายอุจจาระและ
ปัสสาวะ  ในเวลา  เดิน  ยืน  นั่งนอนหลับ  ตื่น  พูด  และนิ่ง  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท
มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้  เ
พราะ
ละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ
      

 

พ่อครูว่า..มีแต่จิตเท่านั้นที่เที่ยง คงที่ ไม่มีกิเลสแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนๆก็ตาม ก็ให้จิตเป็นเช่นนี้

 

 

[297]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้  แล  ข้างบนแต่พื้น
เท้าขึ้นไป  ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา  มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ  เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ
ว่ามีอยู่ในกายนี้  ผม  ขน  เล็บ  ฟัน  หนัง  เนื้อ  เอ็น  กระดูก  เยื่อในกระดูก  ม้าม  หัวใจ
 ตับ  พังผืด  ไต  ปอดไส้ใหญ่  ไส้น้อย  อาหารใหม่  อาหารเก่า  ดี  เสลด  น้ำเหลือง
เลือด  เหงื่อมันข้น  น้ำตา  เปลวมัน  น้ำลาย  น้ำมูก  ไขข้อ  มูตร  ดูกรภิกษุทั้งหลาย

 

พ่อครูว่า...กายตั้งนับตั้งแต่มีประสาทรูปเข้าไป กายกับโผฏฐัพพะนั้นต้องนับอย่างละกึ่งหนึ่งในวิสัยรูป (โคจรรูป)และปสาทรูป (อันนี้ 5+5 เป็น 9 )นี่คือความพิเศษของพุทธธรรม อันลึกซึ้งไม่ง่ายที่จะเข้าใจ

 

รูป กับ นาม ทำงานร่วมกันต้องเรียนรู้ จิตวิญญาณ ธาตุรู้ที่มีอะไรเป็นตัวการ ก็ฆ่าตัวนั้นจึงเกิดปัสสัมภยัง กายสังขารัง จิตสังขารัง ผู้ปฏิบัติได้เป็นโสดาบัน ก็เข้าใจ กายสังขารัง เกี่ยวข้องกับดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป มันไม่มาร่วมเป็นกาย แต่มันก็มีอยู่ มะละกอลูกโตนี่บนโต๊ะ ก็เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เริ่มต้นเลยคือ ปสาทรูป โคจรรูป ที่เกิดดีไม่ดี สุขทุกข์ก็เกิดกับส่ิงเหล่านี้แหละ ถ้าศึกษาไม่บริบูรณ์ก็ไม่บรรลุ

 

แม้อาการ 32 ก็ต้องละความดำริพล่านอันอาศัยเรือนให้ได้ ...ต่อในพระไตรฯ ...เปรียบเหมือนได้มีปากทั้ง  2  ข้าง  เต็มด้วยธัญญชาติต่างๆ  ชนิด  คือ  ข้าวสาลี   ข้าวเปลือก
ถั่วเขียว  ถั่วทอง  งา  และข้าวสาร  บุรุษผู้มีตาดี  แก้ไถ้นั้นออกแล้วพึงเห็นได้ว่า  นี้ข้าวสาลี
นี้ข้าวเปลือก  นี้ถั่วเขียว  นี้ถั่วทอง  นี้งา  นี้ข้าวสารฉันใด  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ฉันนั้น
เหมือนกันแล  ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แลข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป  ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา
มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ  เต็มด้วยของไม่สะอาด  มีประการต่างๆ  ว่ามีอยู่ในกายนี้  ผม  ขน  เล็บ
 ฟัน  หนังเนื้อ  เอ็น  กระดูก  เยื่อในกระดูก  ม้าม  หัวใจ  ตับ  พังผืด  ไต  ปอด  ไส้ใหญ่
ไส้น้อย  อาหารใหม่  อาหารเก่า  ดี  เสลด  น้ำเหลือง  เลือด  เหงื่อ  มันข้นน้ำตา  เปลวมัน
น้ำลาย  น้ำมูก  ไขข้อ  มูตร  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความ  เพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
 ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายใน
เท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่งเป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่า
เจริญ  กายคตาสติ  ฯ

 

[298]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้  แล  ตามที่ตั้งอยู่
 ตามที่ดำรงอยู่  โดยธาตุว่า  มีอยู่ในกายนี้  ธาตุดิน  ธาตุน้ำธาตุไฟ  ธาตุลม  ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนคนฆ่าโค  หรือลูกมือของคนฆ่าโค  ผู้ฉลาด  ฆ่าโคแล้วนั่งแบ่งเป็นส่วนๆ  ใกล้ทาง
ใหญ่  4  แยก  ฉันใดดูกรภิกษุทั้งหลาย  ฉันนั้นเหมือนกันแล  ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล
ตามที่ตั้งอยู่  ตามที่ดำรงอยู่  โดยธาตุว่า  มีอยู่ในกายนี้  ธาตุดิน  ธาตุน้ำ  ธาตุไฟ  ธาตุลม
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ย่อมละความดำริพล่านที่
อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง
 เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ
      

 

[299]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  อันตายได้
วันหนึ่ง  หรือสองวัน  หรือสามวัน  ที่ขึ้นพอง  เขียวช้ำ  มี  น้ำเหลืองเยิ้ม  จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบ
กายนี้ว่า  แม้กายนี้แล  ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา  มีความเป็นอย่างนี้  ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่
อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

 

[300]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งใน ป่าช้า  อันฝูงกา
จิกกินอยู่บ้าง  ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง  ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง  หมู่สุนัขบ้านกัดกินอยู่บ้าง
หมู่สุนัขป่ากัดกินอยู่บ้าง  สัตว์เล็กสัตว์น้อยต่างๆ  ชนิดฟอนกินอยู่บ้าง  จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบ
กายนี้ว่า  แม้กายนี้แล  ก็เหมือนอย่างนี้  เป็นธรรมดา  มีความเป็นอย่างนี้  ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้
เมื่อภิกษุนั้นไม่  ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่
อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้นย่อมคงที่  แน่นิ่ง
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ
      

 

[301]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  ยังคุม
เป็นรูปร่างอยู่ด้วยกระดูก  มีทั้งเนื้อและเลือด  เส้นเอ็นผูกรัดไว้...
       เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก  ไม่มีเนื้อ  มีแต่เลือดเปรอะเปื้อนอยู่
เส้นเอ็นยังผูกรัดไว้...
       เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก  ปราศจากเนื้อ  และเลือดแล้ว
แต่เส้นเอ็นยังผูกรัดอยู่...
       เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  เป็นท่อนกระดูก  ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องผูก  รัดแล้ว  กระจัด
กระจายไปทั่วทิศต่างๆ  คือ  กระดูกมืออยู่ทางหนึ่ง  กระดูกเท้าอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกแข้งอยู่ทางหนึ่ง
กระดูกหน้าขาอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกสะเอวอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกสันหลังอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกซี่โครง
อยู่ทางหนึ่ง  กระดูกหน้าอกอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกแขนอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกไหล่อยู่ทางหนึ่ง
กระดูกคออยู่ทางหนึ่ง  กระดูกคางอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกฟันอยู่ทางหนึ่ง  กะโหลกศีรษะอยู่ทางหนึ่ง
จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า  แม้กายนี้แล  ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา  มีความเป็นอย่างนี้
ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละ
ความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น
ย่อมคงที่แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่า
เจริญกายคตาสติ  ฯ
      

 

[302]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  เป็นแต่
กระดูก  สีขาวเปรียบดังสีสังข์...
       เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  เป็นท่อนกระดูก  เรี่ยราดเป็นกองๆ  มีอายุเกินปีหนึ่ง...

เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  เป็นแต่กระดูก  ผุเป็นจุณ  จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า
แม้กายนี้แล  ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา  มีความเป็นอย่างนี้  ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้  เมื่อภิกษุนั้น
ไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่นดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ
      

 

พ่อครูว่า...จุดสำคัญคือต้องทำการละความดำริพล่านอันอาศัยเรือนให้ได้ คำว่าแน่นิ่ง คือไม่มีอะไรกระดุกกระดิกเลย ถ้าจิตนิ่งเกิดจากตัวการที่ทำให้วุ่นหมดไป จิตก็จะนิ่งจากกิเลส

 

[303]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุสงัดจากกาม  สงัดจากอกุศลธรรม
เข้าปฐมฌาน  มีวิตก  มีวิจาร  มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่  เธอยังกายนี้แล  ให้คลุก  เคล้า
บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก  ไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติ
และสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน  หรือ
ลูกมือของพนักงานสรงสนานผู้ฉลาด  โรยจุณสำหรับสรงสนานลงในภาชนะสำริดแล้ว  เคล้า
ด้วยน้ำให้เป็นก้อนๆ  ก้อนจุณสำหรับสรงสนานนั้น  มียางซึม  เคลือบ  จึงจับกันทั้งข้างใน  ข้างนอก
และกลายเป็นผลึกด้วยยาง  ฉันใด
  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ฉันนั้นเหมือนกันแล  ภิกษุย่อมยังกายนี้แล
ให้คลุก  เคล้า  บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก  ไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งกายทุกส่วน
ของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไป
ในธรรมอยู่อย่างนี้ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ
      

 

[304]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเข้าทุติยฌาน  มีความผ่องใสแห่งใจ
ภายใน  มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น  เพราะสงบวิตกและวิจารไม่มีวิตก  ไม่มีวิจาร  มีปีติ
และสุขเกิดแต่สมาธิอยู่  เธอยังกายนี้แล  ให้คลุกเคล้า  บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิด
แต่สมาธิ  ไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง
  ดูกร
ภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนห้วงน้ำพุ  ไม่มีทางระบายน้ำทั้งในทิศตะวันออก  ทั้งในทิศตะวันตก
ทั้งในทิศเหนือ  ทั้งในทิศใต้เลย  และฝนก็ยังไม่หลั่งสายน้ำโดยชอบตามฤดูกาล  ขณะนั้นแล
ธารน้ำเย็นจะพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้น  แล้วทำห้วงน้ำนั้นเอง  ให้คลุกเคล้า  บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วย
น้ำเย็น  ไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งห้วงน้ำทุกส่วนนั้นที่น้ำเย็นจะไม่ถูกต้อง  ฉันใด  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล  ภิกษุย่อมยังกายนี้แล  ให้คลุก  เคล้า  บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วยปีติและสุข
เกิดแต่สมาธิไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัย
เรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ
      

 

พ่อครูว่า...นี่คือลักษณะอภิปโมทยัง จิตตัง ถ้าแบบอุเพงคาปีติคือปีติเป็นก้อนใหญ่แรง ท่านไม่ให้เป็นเช่นนั้น เมื่อเกิดปีติก็ให้สลายปีติ อย่าเกาะติดสะสม ว่าอร่อยบันเทิง รื่นเริง กับมัน อย่างคนเตะบอลเข้าโกล แล้วช็อค หรือดีใจตีลังกาคอหักเลย มันติดใจยึดเป็นอัตตาที่เป็นมายา

 

คำว่าอัตตาที่เป็นมายา อาตมาเรียบเรียงไว้ว่า

 

“อัตตา คือ มายาของชีวิต ถ้าไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ชีวิตรูปของอัตตา แล้วดับชีวิตินทรีย์ของอัตตาให้หมดสิ้นได้จริง คนผู้นี้ก็ไม่สิ้นมายาของชีวิต

 

รู้จักคือได้สัมผัสกันมา ได้ศึกษากันต่อ ก็รู้แจ้งสว่างขึ้นได้รายละเอียดมากขึ้น จนสุดท้าย จบที่รู้จริง มันเป็นความจริงแล้วไม่ใช่แค่ความจำ

 

.เพาะพุทธว่า...รู้จักคือกระทบผัสสะ

 

พ่อครูว่า...ใช่ ความจริงต้องสัมผัส มีผัสสะ เป็นของจริงไม่ใช่ของจำ กระทบทวาร 5 แต่กิเลสก็ไม่เกิดเป็นต้น

 

.เพาะพุทธว่า...คำว่าบริบูรณ์คือรู้จักรู้แจ้ง มีรายละเอียดการสัมผัส แต่ถ้าเป็นความจริงแล้วก็คือสัมบูรณ์ เราต้องปฏิบัติให้รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง

 

ผู้บรรลุธรรม ไม่ใช่ว่าให้ตัดปีติทิ้ง แต่ว่ามีปีติ อย่างมุทุตา ลหุตา

 

จิตอันเป็นกาย กายอันเป็นจิต อย่างผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไม่ใช่กาย

 

พระไตรฯ ล.18 ข. [336] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังวรย่อมมีอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมไม่น้อมใจไปในรูปอันน่ารัก ย่อมไม่ขัดเคืองในรูปอันไม่น่ารัก
เป็นผู้เข้าไปตั้งกายคตาสติไว้ มีใจหาประมาณมิได้อยู่ ย่อมรู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อัน
เป็นที่ดับไปไม่เหลือแห่งอกุศลธรรมอันลามก ที่บังเกิดขึ้นแล้วแก่เธอ ตามความเป็นจริง ฯลฯ
ภิกษุรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ย่อมไม่น้อมใจไปในธรรมารมณ์อันน่ารัก ไม่ขัดเคืองใน
ธรรมารมณ์อันไม่น่ารัก เป็นผู้เข้าไปตั้งกายคตาสติไว้ มีใจหาประมาณมิได้อยู่ และย่อมรู้ชัดซึ่ง
เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับไปไม่เหลือแห่งอกุศลธรรมอันลามก ที่บังเกิดขึ้นแล้วแก่เธอ
ตามความเป็นจริง ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังวรย่อมมีอย่างนี้แล ฯ

 

พ่อครูว่า...อันนี้ยิ่งชัด พ่อครูเป็นนักคว้า ไม่ใช่นักค้น มันจะต้องพูดกันไปอีกนาน ผู้ใดเข้าใจยังไม่ทะลุ ไม่ตลอด จะต้องมีปฏิเวธ เพราะมันลึกซึ้งเห็นตามรู้ตามได้ยาก ไม่สามารถคาดคะเนด้นเดาได้ มาฟังก็ต้องทำความเข้าใจสัมมาทิฏฐิ แล้วเอาไปปฏิบัติให้เกิดปัจจัตตลักษณ์ ให้เป็นปัจจัตตัง

 

เราต้องรู้คำว่าอัตตา หากไม่รู้องค์ประชุมใดเป็นอัตตา ที่เป็นโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา หากรู้ตั้งแต่ความหมาย พระไตรล.9 ข.302 [302] ดูกรโปฏฐปาทะ ความได้อัตตา 3 เหล่านี้ คือ ได้อัตตาที่หยาบ 1 ได้อัตตา
ที่สำเร็จด้วยใจ 1 ได้อัตตาที่หารูปมิได้ 1 ความได้อัตตาที่หยาบเป็นไฉน คือ อัตตาที่มีรูป
ประกอบด้วยมหาภูต 4 บริโภคกวลิงการาหาร นี้ความได้อัตตาที่หยาบ ความได้อัตตาที่สำเร็จ
ด้วยใจเป็นไฉน คือ อัตตาที่มีรูปสำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
นี้ความได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ ความได้อัตตาที่หารูปมิได้เป็นไฉน คือ อัตตาอันหารูปมิได้ สำเร็จ
ด้วยสัญญา นี้ความได้อัตตาที่หารูปมิได้.

 

อรหันต์ไม่ลึกลับในอัตตา 3 นี้แล้ว รู้จักอัตตาหมดแล้ว แต่ก็กลับมาใช้อัตตาคืออรหัตตา เอาไว้อาศัยทำงาน ก็กลับไปกลับมาเช่นนี้

“อัตตา คือ มายาของชีวิต ถ้าไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ชีวิตรูปของอัตตา แล้วดับชีวิตินทรีย์ของอัตตาให้หมดสิ้นได้จริง คนผู้นี้ก็ไม่สิ้นมายาของชีวิต

 

.เพาะพุทธว่า...มีคนส่งคำถามมา...พ่อท่านรู้ไหมว่า อัญญาณังคืออะไร?

พ่อครูตอบ...อัญญาณัง นี่แปลว่าไม่รู้ ถ้า อัญญา คือรู้ยิ่งรู้พิเศษ เป็นวิชชาเลย

 

.เพาะพุทธว่า..มีคำถามว่า ถ้าเพื่อนเป็นคนขี้โมโห ทำอย่างไรดี

พ่อครูตอบ...โมโห ภาษาไทยแปลว่าโมหะ แต่ว่าโมหะในบาลีคือหลง ถ้าภาษาไทยคือโกรธ ไม่ชอบใจ เกิดมาก็รู้ว่าใจเราเป็นเช่นนั้น แล้วทำความโกรธให้ออกไปจากใจ แม้เศษธุลีละอองอย่างไรก็ไม่ให้มีใจิต ในความโกรธนี้ แต่บางอย่างต้องอาศัยเช่นอรหัตตาเป็นต้น ต้องมีอาศัย แต่ว่าความโกรธนี่ต้องเอาออกไปให้หมด


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:12:00 )

571202

รายละเอียด

571202_ธรรมาธรรมะสงคราม พ่อครู+อ.กฤษฏา ศีลคือกรรมฐานแท้

อ.กฤษฎาว่า...วันนี้เรามาจัดรายการที่สันติอโศก ผมขับรถมาก็เกิดคำถามว่า สติ คือ กาย หรือกายคือสติ หรือไม่? อารมณ์ที่มันเกิด เราบอกตนว่าเราต้องมีสติ แล้วมันเกี่ยวข้องกันหรือไม่ สติกับอารมณ์ เราควรทำใจในใจอย่างไร ในสติปัฏฐาน 4

 

พ่อครูว่า...อาตมาตอนนี้จะเน้นอานาปานสติ ,กายคตาสติ และสติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ใครจะใช้ภาษาว่าทำสมาธิ ซึ่งที่จริงธรรมะพระพุทธเจ้าต้องมี ศีล สมาธิ ปัญญา แต่เขาก็จะคิดว่า ศีลนั้นคนมีศีลธรรมเป็นคนดี แต่ทั้งที่ศีลนั้นพาไปนิพพาน พามีสมาธิ พาไปนิพพานได้ แต่เขาเข้าใจไปเช่นนี้แล้ว ให้ตรวจสอบให้ดี ว่าทุกวันนี้ นักปฏิบัติธรรมหรือพุทธสาสนิกชน ที่เข้าใจกันพอบอกว่าคนมีศีล ก็คือคนดี แล้วพอบอกว่าใครมีสมาธิ นั้นก็ว่าต้องปฏิบัติธรรม แต่คนมีศีลนั้นก็ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเท่าสมาธิ เขาเข้าใจว่าศีลแค่กุศล แต่สมาธิเป็นเรื่องการทำใจ ส่วนปัญญาก็แยกไปอีกอย่างว่ากันไป ให้เรียนให้ท่องเอาให้ได้ปริญญา เป็นต้น

 

ความจริงแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นปฏิบัติแยกกันไม่ได้ ศีล เป็นกรรมฐานของการปฏิบัติ กรรมฐานท่านแปลไว้ว่า อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งงาน การเจริญภาวนา หรือที่ตั้งแห่งงานทำความเพียรฝึกอบรมจิต หรือวิธีฝึกอบรมจิต นี่คือกรรมฐานหรือกัมมัฏฐาน ในภาษาบาลี

 

ท่านก็ไปใช้อธิบายในการปฏิบัติธรรมะ เช่นปฏิบัติสมาธิ ท่านก็ว่าต้องมีกัมมัฏฐาน ที่จริงกัมมัฏฐานก็คือมีศีล ศีลนี่เป็นกรรมฐานของแต่ละฐานะบุคคล ตั้งแต่ศีล 5 แล้วปฏิบัติศีล 5 ให้เกิดอธิจิตสิกขาหรือปัญญา วิมุติให้ได้

 

คนนี้เหมาะกับศีล 8หรือศีล 10  ก็ปฏิบัติให้เกิดอธิจิตสิกขาหรือปัญญา วิมุติให้ได้  นี่เป็นความเข้าใจของอาตมา พาทำจนเกิดผล ปรมัตถ์เป็นโลกุตรธรรมด้วย ขอยืนยันว่าปฏิบัติศีลตั้งแต่ศีล 5 ก็เป็นโลกุตรธรรม มรรคผลของพุทธคือโลกุตรธรรม ต่างจากศาสนาทั่วไปที่ได้แต่คุณงามความดี

 

กายกับวาจานั้นเป็นประโยช์ต่อสังคม ต่อผู้อื่น แต่ใจที่เปลี่ยนแปลงได้นั้นเป็นประโยชน์ตนโดยตรงเลย ที่ต้องแยก อย่างมรรคองค์ 8 ที่เป็นทฤษฎีใหญ่ ตัวปฏิบัติก็คือ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ซึ่งก็เป็นองค์รวม ปฏิบัติศีลให้เปลี่ยนแปลงจิตได้ ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์ให้บริบูรณ์ไปโดยลำดับ ในกิมัตถิยสูตร

1.      อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .

2.      ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.      ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

คำว่า กรรมฐาน ท่านแปลว่าอารมณ์ที่ตั้งแห่งงานการเจริญภาวนา ฟังคำแปลแล้วอาตมาก็ชัดเจนว่า กรรมฐานเขาคงหมายถึงตั้งอารมณ์ไว้อย่างหนึ่ง เป็นคำกลางๆ อีกอันที่ท่านแปลว่าที่ตั้งแห่งงานทำความเพียรฝึกอบรมจิต ก็หมายความว่า เกิดบทบาททำใจในใจเท่านั้น หรืออีกอันคือวิธีฝึกอบรมจิต อาตมาก็สรุปได้ว่ากรรมฐานคือการทำให้เกิดผลที่จิต

 

แต่อาตมาขยายความกรรมฐานว่า กระทำความฐานะ ที่เหมาะควรของแต่ละคน ถ้าการงานคือการประพฤติธรรมให้เกิดจิตอบรมจิต เป้าหมายเราคือต้องทำใจในใจให้เป็นสมาธิ เข้าเป้า เป็นฌาน สมาธิ วิมุติ กรรมฐานก็เลยไกลไปจาก ศีล

 

แล้วท่านก็เลยไปคิดว่า กรรมฐานคือท่องคำว่า พุทโธ กำหนดลมหายใจเข้า_ออก ก็คืออบรมจิตไม่เกี่ยวกับศีลเลย แต่อาตมาว่ากรรมฐานหมายถึงศีล แล้วเมื่อมีกรรมฐานก็ปฏิบัติตามโพธิปักขิยธรรม 37 และจรณะ 15 มีสังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ

 

ในสามข้อหลังนี่คือ หลักปฏิบัติที่ไม่ผิด คำว่าชาคริยานุโยคะ คือให้จิตตื่นหลุดพ้นจากโลกีย์ ต้องมีสติสัมปชัญญะรู้องค์ประกอบ นอกและในเต็ม ไม่ใช่ไปหรี่ในภพ หรือแม้แต่ลืมตา เปิดทวารทั้ง 5 แต่คุณกลับไม่ตื่นจากเมาโลกีย์ ในอัตตทัตถสุขและกามสุขัลลิกะ

 

ศีล เป็นบาทฐานในการปฏิบัติให้เกิดสมาธิ แต่ว่าเขาปฏิบัติกันได้แค่กายกับวาจา แต่ว่าสมาธิต้องไปแยกตัวไปนั่งหลับตา ส่วนคนมีศีล ก็ได้แค่กายกับวาจา เท่านั้น สมาธิต้องนั่งเข้าภวังค์ อาตมาต้องเน้นเรื่องนี้ อาตมาไม่ได้พาออกนอกลู่นอกทางคำสอนพระพุทธเจ้านะ

 

อาตมาพูดขยายความนี่ดูเหมือนใหญ่โตนะ แต่ด้วยความจริงใจในภูมิอาตมา เห็นว่า คนที่มีภูมิอาริยะที่จะยกย่องกันเป็นอาริยะหรืออรหันต์ในเมืองไทย อาตมาว่าไม่ได้เกิดจากอานุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า แต่เป็นเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ แล้วได้เจโตสมถะเป็นหลัก เป็นเจโตวิมุติ  ไม่ได้ทำด้วยไตรสิกขา ไม่ได้ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อย่างโลกุตรธรรม ไม่ได้เห็นจิตเราที่เนกขัมมะได้ จิตเรามีธรรมะที่ทรงไว้ แยกเวทนาเนกขัมสิตะกับเคหสิตะออก

 

อ่าน สราค สโทส สโมหะ ออก แล้วทำให้เกิด วีตราค วีตโทส วีตโมหะ จนเป็นสังจิตตัง หรือวิกขิตตัง จิตตัง เป็นจิตหดหู่หรือฟุ้งซ่าน

 

อาตมาแปลบาลี อย่างใช้สภาวะ ไม่ได้ตีภาษาทิ้งด้วย อย่างพระที่ท่านเคยสอนว่า ธรรมะพระพุทธเจ้านี่ให้ตัดสะ อย่างนะโมตัสสะ ภควโตฯนี่ท่านให้ตัดซะ นี่คือท่านแปลตามสภาวะด้วยญาณความรู้ลึกของท่านไม่ได้แปลตามภาษาเลย ท่านไม่รู้ว่ามันแปลอะไร ก็เลยแปลว่าตัดซะ ถ้าไม่เข้าใจที่ท่านหมายถึงเนื้อธรรมะ เข้าเนื้อหาเลยนะ ก็จะตีทิ้งท่านเอาแต่ภาษา

 

และที่ท่านทั้งหลายบอกว่าบรรลุนั้นไม่ได้เป็นไปตามอานุสาสนีย์ เช่นตั้งแต่คำว่ากรรมฐานนี่ท่านก็ปฏิบัติไม่ถูกแล้ว ท่านตีศีลทิ้ง แต่ที่จริงศีลนี่เป็นฐานของแต่ละคน พระพุทธเจ้าหมายถึงอย่างนี้

 

[620] ธรรมเหล่าไหนเป็นโลกุตระ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4

อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อริยมรรค 4สามัญผล 4 และนิพพาน

ธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตระ ฯ

 

เวลาปฏิบัติธรรม สติเป็นตัวหลัก อบรมกายคตาสติให้เกิดอานาปานสติ แล้วมี สัมมัปปธาน 4  เหมือนคุณไปขุดเพชร แล้วเจอเพชรแวววาวนิดหน่อยก็จะยิ่งยินดี มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ลืมกินลืมนอนเลย ฉันเดียวกัน เวลาคุณปฏิบัติธรรมเกิดมรรคผลแล้วจะยินดีในการปฏิบัติ แต่หากทำอย่างเสียไม่ได้ เล่นๆหัวๆไม่มีทางปฏิบัติถึงขั้นสูงสุด ต้องมีอิทธิบาทหนุนตลอด แล้วจะได้อินทรีย์ 5 พละ 5

 

ท่านตรัสรู้ ก็คือท่านรู้แล้ว แล้วก็เอาความรู้นี้มาตรัส คำว่าตรัสรู้คือพระพุทธเจ้ารู้แล้วเอามาประกาศ ผู้ใดรู้อย่างพระพุทธเจ้าตรัสตามคำสอนพระพุทธเจ้ารู้มรรคผลตรงอานุสาสนี ปาฏิหาริย์ ก็ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า เมื่อผู้ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 หรือโพชฌงค์ 7 ก็คือสติให้เกิดองค์แห่งการตรัสรู้ คือได้หน่วยองค์ธรรมตรัสรู้ วิธีปฏิบัติคือ

1. สติสัมโพชฌงค์           -->     สติปัฏฐาน 4 

2. ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์  -->     สัมมัปปธาน 4 

3. วิริยสัมโพชฌงค์                  -->     อิทธิบาท 4 

4. ปีติสัมโพชฌงค์                    -->     อินทรีย์ 5 

5. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์    -->     พละ 5

6. สมาธิสัมโพชฌงค์       -->     โพชฌงค์ 7 

7. อุเบกขาสัมโพชฌงค์  -->     มรรคมีองค์ 8

 

สูงสุดในมรรคองค์ 8 ก็เป็นสัมมาสมาธิ เป็นส่ิงชัดเจน หยาบจนถึงละเอียด 

 

อ.กฤษฎาว่า..สติเป็นเหมือนไม้ร้อยพวงมาลัย

พ่อครูว่า..ขาดสติไปไม่มีการปฏิบัติได้ สติคือความระลึกรู้ตัว รู้นอกรู้ใน ถ้าคนเรามีสติ คนธรรมดาก็มีสติสัมปชัญญะสามัญ แม้ผู้ปุถุชนหรือกัลยาณชนหรืออาริยบุคคล ปุถุชนเป็นโจรก็ต้องมีสติ

 

สติปุถุชนเป็นคนเลว อย่างไม่มีความรู้หรือไม่ก็ได้ ก็ชั่วทั้งนั้น ใช้สติ สัมปชัญญะ อย่างปุถุชน แต่ถ้าเสียสติ คือไม่รู้จักองค์ประกอบภายนอกเลย สติปุถุชนไม่เข้าถึงจิต ใช้สามัญสำนึกแล้วกิเลสเป็นตัวขับเคลื่อน สังคมเลยบรรลัยแต่พอมาเป็นกัลยาณชนก็มีสติระลึกถึงความดี พยายามสังวร หรือปฏิบัติธรรมรู้ข้างนอก องค์ประชุมภายนอกและภายใน ปุถุชนทำตามกิเลสเป็นหลัก ส่วนกัลยาณชนก็ควบคุมได้มากกว่าปุถุชน รู้กฎของสังคม รู้ศีลธรรมก็ทำดี ยิ่งปฏิบัติธรรมก็ย่ิงตั้งใจให้บรรลุตามที่รู้ แล้วแต่ว่าสัมมาทิฏฐิหรือไม่แต่ก็อ่านจิตยังไม่ชัดเจน สติปัฏฐาน ยังไม่รู้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม

 

สติปัฏฐาน 4 นั้น ปุถุชนก็มีสติ แต่กายของเขามีแต่ กายโลก เป็นสามัญสำนึกนอก แล้วไม่สังวรไม่รู้ชั่วดี แต่กัลยาณชนสังวรรู้ดีชั่ว แต่ไม่ได้เข้าถึงปรมัตถ์ ปุถุชนกับอาริยชนต่างกันที่มีญาณอ่านกายในกาย ถ้าเร่ิมตั้งแต่กายในกายทำได้สัมมาทิฏฐิก็คือเป็นโลกุตระขั้นแรกเลย แล้วอ่านต่อมาถึงเวทนา จิต ธรรม ปรับปรุงจิตให้เกิดปุญญาภิสังขาร

 

จะเป็นอาริยบุคคลได้ต้องเร่ิมตั้งแต่กายในกาย ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ กายคตาสติก็เหลว ในกายคตาสติ วันนี้สู่แดนธรรมก็เลยมีข้อความมา ที่มีคนถามคุณสู่แดนธรรมาว่า

 

ถาม : "แป้ง ภาษาบาลีที่ใช้กับคำว่า แน่นิ่ง ที่พ่อครูเทศน์วันอาทิตย์กะท่านจันทร์ พตปฎ.ล.14  คือคำว่าอะไร?

 

ตอบ : "เดี๋ยวเอาคำที่ถูกต้องทั้งประโยคให้นะ เพราะคำเต็มๆ นั้น ระบุไปที่ว่า มีแต่จิตภายในเท่านั้นที่แน่นิ่งจาก เคหสิตะ สรสังกัปปา หรือนิ่งจากความดำริพล่านไปด้วยกามฉันทะและอกุศลต่างๆ  (แต่ส่วนร่างกายนั้นเล่าไม่ต้องนิ่งหรอก เดินไปเดินมา เอี้ยวตัว ทำการทำงาน เคี้ยวกลืน ทำอะไรๆเป็นชีวิตปกติได้อยู่)

 

คำเต็มๆ ก็.. ไม่ว่าจะมีอิริยาบทต่างๆ ใดๆ ก็ทรงสอนให้ไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้

 

เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น  

 

ละดำริพล่านที่อาศัยเรือน มาจากคำว่า "เคหสิตา สรสังกัปปา เต ปหีนยันติฯ"  (ปหีนะ ก็คือประหาร  ดำริพล่านคือ สรสังกัปปา)

 

คำว่า  อาศัยเรือน ก็คือ เคหสิตา เรือนหรือเคหะก็หมายถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เกี่ยวข้องกับโลกภายนอก  แม้กายนอกจะเกี่ยวกับเรือนโลก แต่ก็มีแต่ใจหรือจิตภายในเท่านั้นที่  ตั้งมั่น  แน่นิ่ง

 

เตสํ  ปหานา  

เพราะละ ประหาร (ความคิดพล่านดังกล่าวนั้นเสียได้)

 

อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สนฺติฏฺฐติ สนฺนิสีทติ 

จิตภายในเท่านั้นที่ตั้งมั่น (สันติฏฐติ) และ แน่นิ่ง (สันนิสีทติ)

 

เอโกทิโภติ  สมาธิยติ

เป็นธรรมะอันเอก(ไม่มีสอง) ผุดขึ้น  และตั้งมั่น"

 

ล.14/295

 

พ่อครูว่า...ในการปฏิบัติ กายคตา คือองค์ประชุมของรูปและนาม ทั้งภายนอกและภายใน แต่ไม่มีภายนอกก็ได้ เป็นจิตสังขาร ในอานาปานสติก็ให้เรียนรู้ กายสังขาร ซึ่ง กายหมายถึงจิตวิญญาณเป็นหลัก คำว่า กายต้องเอามาใช้มากตั้งแต่ กายในกาย กายสังขาร สักกายะ ต้องรู้ว่ากายหมายถึงนอกหรือใน พระพุทธเจ้ายืนยันว่าแม้จะมีกายสักขี แต่ถ้าไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายก็ไม่มีทางบรรลุอรหันต์ได้เลย แม้อาสวะบางอย่างจะหมดได้แต่พระพุทธเจ้าไม่รับรองว่าเป็นอรหันต์

 

ยิ่งวิญญาณฐีติ 7 หรือสัตตาวาส 9 หากเข้าใจกายไม่ได้ ก็ปฏิบัติให้พ้นความเป็นสัตว์ไม่ได้ ทั้งวิญญาณฐีติ 7 ก็ไม่ได้ คุณไม่รู้ว่า สัตว์นรก เทวดา มาร พรหม นี่คืออย่างไร คือองค์ประชุมของรูปและนามนี่แหละคือสัตว์เหล่านี้

 

เวลาปฏิบัตินั้น อารมณ์ ก็คือกาย กรรมฐานนั้น ต้องเห็นข้างนอกมีภายนอกตลอดเวลา ในภาคปฏิบัติสามัญ เร่ิมตั้งแต่เรียนรู้เบื้องต้นเป็นโสดาบัน ต้องฆ่าสัตว์นรก อบาย เมื่อฆ่าได้ก็เป็นโสดาบัน แล้วก็เป็นสกิทาคามมีหากฆ่าสัตว์ในกามภพได้ ถ้าฆ่าสัตว์ในกามภพได้หมด ก็เป็นอนาคามี ไม่ได้ให้ไปนั่งหลับตา แต่ก็มีทวารทั้ง 5 เปิดมีผัสสะอยู่ในชีวิตประจำวันตลอด แม้ล้างสังโยชน์เบื้องสูงก็ยังมีชีวิตอยู่กับโลกอย่างเปิดทวารรับรู้ เป็นแต่คุณไม่มีกิเลสกับภายนอกแล้ว เหลือแต่กิเลสภายใน เมื่ออนาคามีดับรูปภพ อรูปภพได้อีก ก็ยังคงลืมตาเต็ม มีองค์ประชุมครบ แต่สัตว์ไม่มีแล้ว

 

ในคนสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ ก็ได้กายต่างกัน อย่างพระอาริยะสัมมาทิฏฐิแล้วหรือคนมีสติปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า เมื่อปฏิบัติกระทบสัมผัสมีสติเต็มรู้ตัวทั่วพร้อม มหาภูตรูปก็มี ปสาทรูป โคจรรูปก็พร้อม จับตรงหทยรูปได้ เห็นชีวิตรูปของสัตว์นรกเริ่มต้นเลยใหม่ๆโสดาบันก็จับสัตว์อบายก่อน ถ้าสัมมาทิฏฐิจะจับชีวิตสัตว์นรกได้ เห็นกายได้ ไม่ใช่เห็นเป็นรูปร่างนะ แต่กายคือรูปและนามองค์รวม เป็นสัตว์โอปปาติกะ

 

ที่สอนกันมาเดี๋ยวนี้ที่นับถือกันเป็นอรหันต์ว่าอย่าไปอ่านไปสนใจตำราให้ปฏิบัติไปนั่งหลับตาอย่างเดียว ไม่ให้จิตออกข้างนอก ต่างจากที่อาตมาอธิบาย และขัดกับหลักวิโมกข์ 8 ด้วยที่ในข้อ 2 ต้องมี อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ

 

ที่อาตมาพูดนี้ ขอเน้นที่ กายคตาสติ อานาปานสติ ให้สังเกตคำว่า ...จิตย่อมละความดำริพล่านที่

อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง

เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

 

ละดำริพล่านที่อาศัยเรือน ท่านแปลมาจากคำว่า "เคหสิตา สรสังกัปปา เต ปหีนยันติฯ"  (ปหีนะ ก็คือประหาร  ดำริพล่านคือ สรสังกัปปา) คำว่าเรือนคือ ตา หู จมูก ลิ้น กายที่เป็นแบบคนโลกๆ

 

มันน่าสงสารคนปฏิยัติผิด ประเทศไทยมีชาวพุทธ 95% แต่ไปปฏิบัติผิดๆจากพุทธ สังคมประเทศถึงได้โกงกันได้ขนาดนี้ ขอใช้ศัพท์ไทๆนะ มันถึงหน้าด้านในการทำชั่วขนาดนี้ เพราะคุณธรรมได้รับการหล่อหลอมมาอย่างนี้ก็ได้ผลเช่นนี้ ถ้าทำได้ตามพระพุทธเจ้าสอน อย่างคุณธรรมโสดาบันจะไม่โกงทางกายกับวาจาแล้ว แม้ใจจะมีอยู่ ยิ่งไปบริหารประเทศมีครูบาอาจารย์ตั้งแต่สังฆราชไปยันเจ้าคุณต่างๆที่นับถือกันเป็นอรหันต์ แล้วศีล 5 นี่ถ้าทำได้บรรลุ สมมุติว่าถ้ามีครูบาอาจารย์สัมมาทิฏฐิ ผู้บริหารประเทศต้องมีอย่างน้อยศีล 5 ประเทศไทยจะไม่แย่ขนาดนี้ ไม่โกหกสีขาว ไม่รับส่วยแน่ แต่เพราะเหตุจากศีลธรรมคุณธรรมหรือศาสนาพาพุทธศาสนิกชนเป็นเช่นทุกวันนี้ ขออภัยที่พูดจริงใจ ประเทศจึงล้มเหลว

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

_กายคตาสติ กับอานาปานสติ ต่างกันตรงไหน?

ตอบ...ต่างกันตรงที่ว่า อานาปานสติท่านเน้นเข้าไปภายใน ส่วนกายคตาสติ เน้นออกมาภายนอก แต่ทั้งสองอันนี้มีทั้งภายในและนอกด้วยกันทั้งคู่ กายคตาติ คือมีสติรู้องค์รวมของนอกและใน ส่วนอานาปานสติก็ต้องมีสติตลอดทุกลมหายใจเข้าออก รู้กายด้วย ให้รู้ อาการ ลิงค ทั้งมหาภูตรูป และอุปาทายรูป ด้วย คุณต้องรู้ว่าไม่ได้แยกกันเลยสองอย่างนี้ แม้แต่อานาปานสติ ก็มีนอกเหลืออยู่ อย่าทิ้ง สัพกาโยปฏิสังเวที ต้องอ่านรู้ทั้งนอกและใน แต่เน้นไปที่จิต

 

_ขออธิบาย สัมมัปปธาน 4 สติปัฏฐาน 4

ตอบ...ปัฏฐาน หรือฐานะ คือกรรมฐาน คือกระทำปฏิบัติตามฐานะ สติก็คือตัวเอาไปปฏิบัติทั้งหมด ทั้ง กาย เวทนา จิต ธรรม กายก็ลึกเข้าหา กายในกาย เวทนาก็ลึกถึงเวทนาในเวทน จิตก็ลึกเข้าไปในจิตในจิต  จนถึงธรรมในธรรม ต้องรู้คำว่ากายให้ลึกซึ้ง กายคือเจตสิก 3 (เวทนา สัญญา สังขาร) คำที่ผิดพลาดมากคือ กาย กับ บุญ เพราะเข้าใจผิดสองคำนี้ก็เลยไม่มีพระอาริยะที่แท้จริง อาตมาจะขออยู่ไป 151 เพื่ออธิบายส่ิงเหล่านี้เพราะอาตมาจริงจังต่อศาสนาพุทธ ใครจะมาแย่งความเป็นลูกพุทธเจ้าก็มายินดีต้อนรับ

 

_ท่านผู้รู้ก็ได้แปลไว้ว่า...คำว่า กายหรือกายา ก็คือ กองแห่งเจตสิก แต่ผู้ปฏิบัติไม่ได้โยนิโสฯเอง แต่ไปแปลกายว่าคือร่าง เช่นกายลหุตาคือความเบาของเวทนา สัญญา สังขาร เป็นต้น  กายปาคุญญตา ก็แปลว่าความคล่องแคล่วของกอง เวทนาสัญญาสังขารหากไม่เข้าใจกายอย่างสัมมาทิฏฐิไม่มีทางปฏิบัติได้เป็นอาริยบุคคล

 

_คำว่า ธรรมเอกผุดขึ้น หมายถึงอย่างไร?

ตอบ...เอก คำนี้คนจะไปแปลว่า เป็นหนึ่ง เยี่ยมยอด เป็นการหลุดพ้นอิตถีภาวะเป็นเอกบุรุษได้ เป็นเอโก ไม่มีเพื่อนสอง หมายความว่าจิตไม่มีกิเลส เป็นธรรมะโลกุตระที่สำเร็จผล เช่นฌาน ก็มีเอกัคคตา

 

_พระผู้เห็นธรรมโดยธรรมชาติจากความสูญเสียอย่างหนักจะถือว่าเป็นผู้บรรลุธรรมโดยปัจเจกหรือไม่?

ตอบ...จะเป็นพระหรือผู้ปฏิบัติธรรมก็ตาม ธรรมชาติคือสิ่งปรุงแต่งทั้งหมด ถ้าธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วธรรมะนั้นดับชาติหมด เหลือแต่ธรรมที่ทรงไว้ และธรรมที่ทรงไว้ไม่มีภพแล้ว ท่านไม่มีภพ เป็นแต่วิภวภพแล้ว ไม่มีธรรมชาติโลกีย์ แต่มีธรรมที่ท่านอาศัย …

 

คำว่าบรรลุธรรมอย่างปัจเจก คือของตนเอง เป็นสิ่งที่เห็นได้เอง ปัจเจกบุคคล ถ้าแปลทั่วไปก็คือตัวใครตัวมันไม่เกี่ยวกับใครก็แปลทั่วไปแต่ภาษาธรรม ปัจเจกคือผู้บรรลุธรรมตั้งแต่เริ่มต้นบรรลุ ท่านบรรลุไตรลักษณ์ ท่านเห็นอนิจจัง ลดกิเลสได้ กิเลสทำให้ทุกข์ ท่านก็ทำให้กิเลสดับจนเที่ยงแท้ถาวร ไม่มีตัวตนกิเลสได้แล้ว อนัตตาแล้ว อย่างนี้เป็นปัจจัตตลักษณ์ เป็นลักษณะ 3 ที่บรรลุด้วยตน เรียกว่าปัจเจกได้

 

_เวลานั่งสมาธิทำอย่างไรไม่ให้ฟุ้ง

ตอบ..สมาธิที่นั่งนั้นคุณต้องใช้กดข่มอย่างเดียว กดดื้อๆหรือหลอกให้จิตจดจ่อกับอะไรสักอย่างเป็นกสิณ คือสมาธิหลับตาทั่วไปก็ไม่ฟุ้งแต่ถ้าจะทำสมาธิแบบฟุ้งก็อย่านั่งทำเท่านั้น

 

_0824039xxx   ผู้น้อยก็เคยเป็นแบบอ.คือถ้าทำอะไรอยู่แต่ใจลอย!สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวผู้น้อยก็ทำงานฝีมือไม่ได้!งานทุกอย่างต้องใช้สมาธิมีสติตั้งมั่นอยู่กับงานที่กำลังทำอยู่!ถ้าไม่มีสติใจลอยก็ทำงานต่อไปไม่ได้!การมีสติรู้อยู่ทุกขณะจิตเรียกว่าสมาธิแบบไหน??

ตอบ...เป็นสมาธิสามัญที่ใช้กับการทำงานทั่วไป แต่สมาธิแบบพุทธ ปฏิบัติกรรมการงานต้องให้ลดกิเลส แม้ทำงานก็มีสติถึงสติสัมโพชฌงค์ได้ มีสติ สัมปชัญญะ สัมปชานะ สัมปัชลติ ฯลฯ ทำงานร่วมด้วย แล้วทำได้จะยิ่งมั่นคง เป็น concentration ไม่ใช่ meditation ที่เป็นสมาธิสามัญทั่วไป ของสมาธิพระพุทธเจ้าเป็น supra concentration เป็น supra-mundane เป็นสมาธิพิเศษ ลืมตาทำ

 

_0824039xxx   นมก.พ่อครูสณ.สม.จรธ.ญตธ.ทุกท่าน!ผู้น้อยก็นั่งสมาธิแต่บ่ได้นั่งกรรมฐานตามแบบบรมครูที่เคยสอนมาแต่นั่งทำสมาธิอยู่กับงานฝีมือเอาสติไปจดจ่ออยู่กับปลายพู่กันเพ้นท์รูปพระแม่กวนอิมไปฟังธรรมพ่อครูไปแบบนี้เรียกว่าสมาธิอะไร?

ตอบ...ก็เป็น meditation จดจ่อกับการเขียนไม่ได้มีสติปัฏฐานเลย พิจารณาแต่ว่ารูปจะสวยอย่างไรไม่ได้มีปรมัตถ์ เป็นสมาธิโลกีย์


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:12:54 )

571204

รายละเอียด

571204_ธรรมาธรรมะสงคราม โดยพ่อครู เรื่อง พระปรมาภิวาทะ

                                                พระปรมาภิวาทะ

             

                          1. วันพิเศษพสกทั้ง                          ไผทไทย

                        รำลึกน้อมภูวไนย                              ผ่านเผ้า

                        เทิดทิตอิศเรศไอ-                              ศุริยะ ยิ่งเทอญ

                        คุณค่าฟ้าปกเกล้า                              เลิศล้นบารนี          

 

                          2. ไทยมีกีรติก้อง                           ด้วยพระ

                        วิริยะกรุณมหะ                                            กว่าพร้อง

                        ปรมาภิวาทะ                                               ยิ่งวิเศษ สุดเลย

                        คือแบบคนจนต้อง                           ทึ่งอึ้งคำสวรรค์

 

                          3. ทรงสรรคำอีกย้ำ                           ชัดเจน

                        “อาว์ล็อสอิสอาว์เกน”                                      ยิ่งซ้อง

                        เสริมพระอริเยนทร์                               เปรื่องปราชญ์

                        ปรีชญาณพฤทธิ์พ้อง                             พุทธแท้เธียรธรรม

 

                          4. พระคำวิเศษนี้                              อาริยะ

                        ใช่ตรัสแต่วาทะ                                   แค่ถ้อย

                        ราชจริยวัตระ                                                 ประจักษ์สิทธิ์ พิสูจน์เทอญ

                        ทรงกิจไว้ไม่น้อย                               กว่าร้อยเกินพัน

 

                          5. พระสรรพระสฤษฎ์ให้                  โลกระบือ

                        คำใหญ่ยิ่งนั้นคือ                               ทิฏฐิฟ้า

                        เคยมีฉะนี้หรือ                                            ในโลก

                        ที่ตรัสให้คนกล้า                                มักน้อยมาจน

 

                          6. ปกครองคนด้วยแบบ                    ขาดทุน

                        ปรมัตถ์นี้คือบุญ                                แน่แท้

                        ชำระกิเลสคุณ                                              ใหญ่ยิ่ง   

                        โลกวัดมิได้แม้                                              ฉลาดด้วยปริญญา                                                    

 

                          7. วาทะนี้กว่าพื้น                          ปุถุชน

                        ทั้งขาดทุนทั้งจน                               สุขได้                 

                        สละชี้อัศจรรย์คน                               อาริยะ               

                        ประหลาดแน่แต่จริงไซร้                        เพราะแท้พุทธธรรม                                      

 

                                                            ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ 

                                                            ข้าพระพุทธเจ้า ...เราคิดอะไร

                                                 (สไมย์ จำปาแพง  ประพันธ์)     28 .. 2557

 

เป็นบทอาศิรวาทที่นำเอา สุดยอดที่เป็นพระปรีชาญาณ เป็นทุกอย่าง เป็นพระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ ที่คนนั้นถ้าเข้าไม่ถึงตามพระปัญญาไม่ได้ จะไม่รู้จักไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส เป็นพระคำวิเศษนี้ เป็นคำยิ่งใหญ่ เป็นพระปรมาภิวาทะ เป็นคำตรัสที่อาตมาว่าเป็นทิฏฐิฟ้า คือทฤษฎี หลักการใหญ่ ที่รวมความเข้าใจ หลักเกณฑ์ ที่ไม่เคยมีมาในโลกที่ผู้บริหารประเทศให้เอาแบบคนจน หรือ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มาบริหารประเทศ ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยได้ยินกันมา เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่

 

อาตมาภูมิใจที่ได้เกิดมาในสมัยของพระองค์ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ ตลอด 60 กว่าปีที่ครองราชญ์ ครองราชย์ พศ.2489 มาถึงปีนี้ก็ ได้ 68 ปีแล้ว เป็นเครื่องชี้วัดชัดเจนว่าพระองค์มีความลึกซึ้งถึงยอดอาริยะ มีคุณธรรมของสังคมที่สุดยอด เกี่ยวกับมนุษยชาติไม่ได้เป็นเรื่องคนๆเดียว แต่เป็นปัญญาที่ให้แก่สังคม ทรงให้ทฤษฎีฟ้าหรือทิฏฐิฟ้า คือเศรษฐกิจพอเพียง ,แบบคนจน, ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา,ก็ความหมายเดียวกัน ว่าต้องมามักน้อย สันโดษ ลดกิเลส ไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่สะสมกอบโกยแย่งชิง ไม่ใช่ที่คนต้องมามีนิสัย แนวคิดแบบนั้น คนควรมาเป็นแบบคนจน คือคนไม่เอาไว้กับตนมาก

 

หากจะบริหารแบบคนจนต้องเป็นคนจนแบบดี ไม่ใช่จนแบบกระจอกงอกง่อยอดอยาก แบบนั้นไม่ควรเป็น แต่จะต้องมาเป็นคนจนมหัศจรรย์ เป็นคนจนมีสุข มีสมรรถภาพ มีประโยชน์ต่อโลกต่อมนุษยชาติ เป็นเรื่องอาริยบุคคลของพระพุทธเจ้า ซึ่งผู้จะเป็นได้ต้องเร่ิมตั้งแต่เป็นโสดาบัน ขึ้นไป ไม่ได้หมายถึงนักบวชที่เป็นพระเท่านั้น ทฤษฎีนี้ใช้ได้หมด ไม่ว่านักบวชหรือฆราวาส

 

แต่ถ้านักบวชได้ผลจริง ก็จะต่อผลไปถึงประชาชน คุณธรรมจะถ่ายเทไปให้แก่พุทธศาสนิกชน ถ้าภิกษุเป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ก็ต้องถ่ายทอดให้แก่ประชาชน แล้วจะเป็นอาริยประเทศ ซึ่งไม่ใช่แบบอารยะประเทศที่ในหลวงตรัสว่า ก้าวหน้าอย่างมาก อันนี้ที่ท่านบอกว่า เราไม่เอาก้าวหน้าแบบนั้น แบบนั้นคือถอยหลังอย่างน่ากลัวด้วย

 

สาระอันยิ่งใหญ่ที่เป็นทฤษฎีวิเศษในการบริหารปกครอง ที่มีคนถามในหลวงว่าท่านบริหารบ้านเมืองแบบไหน?ท่านก็ว่าบริหารแบบคนจน ไม่ได้ตรัสเล่นๆนะ อาตมาก็ยกตัวอย่างชาวอโศกประกอบ เพราะเป็นได้จริงแล้ว ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างนี้

 

“เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่..ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก  เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก

เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง ประเทศเหล่านั้นที่่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า       จ ะ มี แ ต่ถ อ ย ห ลั ง  และถอยหลังอย่างน่ากลัว  แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า“แบบคนจน” แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอย่างมีสามัคคีนี่แหละ  คือ เมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”

 

แบบคนจนนี่คือเศรษฐศาสตร์ชั้นยอดเยี่ยมเลย คือคนอัปปิจฉะ คือมักน้อย หรือกล้าจน ขอบในความมีน้อยๆ ไม่สะสม (อปจยะ) สะพัดออกไป สองคำนี้ยืนยันชัดว่าเป็นคนจน เป็นอื่นไม่ได้ แล้วเป็นสุขไหม? ก็สุขสิ แล้วมีตัวอย่างไหม?...ก็อ้างอิงชาวอโศกได้ เพราะไม่ได้จนแบบกระจอก แต่จนแบบมี อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสะ คือกถาวัตถุ 10

 

หรือแม้แต่หลักตรวจสอบธรรมวินัย 8

วิราคะ วิสังโยคะ อปจยะ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ วิริยารัมภะ อปจยะ

 

หรือในวรรณะ 9 คือ สุภระ สุโปสะ  อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ สัลเลขะ ธูตะ ปาสาทิกะ อปจยะ วิริยารัมภะ

 

ซึ่งในสูตรที่ว่ามานี้มีคำที่ซ้ำกันมากที่สุดค่อ อัปปิจฉธ กับ สันตุฏฐิ มีวิริยารัมภะด้วย

 

เป็นคนสูงด้วยสัจธรรม มีศีล เป็นวรรณะ อาจแปลว่าผิวพรรณ แปลว่าชั้นวรรณะ ไม่ใช่วรรณะโลกีย์ที่ข่มเหงกัน แต่ว่าวรรณะนี้เป็นสัจธรรม เป็นความประเสริฐของมนุษยชาติ เป็นจิตไม่เห็นแก่ตัว เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สูง เจริญประเสริฐจริง 

 

แต่ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติไม่ตรงคำสอน ปฏิบัติไม่ได้ตามพระอานุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ก็ไม่เกิดผล ถ้าปฏิบัติเป็นไปเพื่อความเจริญ หากไม่มักน้อยลง ถ้าไม่เดินทางมาเป็นคนจนก็ไม่เข้าท่า ไม่ตรงธรรมะพระพุทธเจ้า คนก็ไปอธิบายเลี่ยงจากสาระแท้ ก็ทำให้คำสอนนี้ พระอนุสาสนีย์นี้เสื่อม ที่จริงคำสอนท่านไม่เสื่อมแต่คนเข้าใจเสื่อม ศาสนาพุทธก็เสื่อมลง

 

นี่คืออาสภิวาจา คือคำที่องอาจแกล้วกล้า ที่สมเด็จทวดของพระพุทธเจ้ารุ่นก่อนๆ บรรพชนของพระพุทธเจ้าที่เป็นศากยวงค์ ตั้งแต่แยกมากจากพระราชบิดา ก็บอกว่าพวกนี้กล้าหาญหนอๆ คืออาสภิวาจา

 

สิ่งประเสริฐส่ิงนี้ อาตมาเอามาขยายความยืนยันให้รู้ว่า เรามีสิ่งประเสริฐ ของในหลวง คืออันเดียวกันสอดคล้องกับอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องวิสามัญ ยิ่งใหญ่สุดยอด ถ้าผู้สนใจ รักประเทศชาติ รักความเจริญก็น่าจะเข้าใจให้สัมมาทิฏฐิแล้วส่งเสริม เมืองไทยเป็นพุทธกว่า 95% ท่านผู้นำศาสนาโดยตรงก็น่าจะศึกษาให้ดีแล้วนำพาตนและพุทธศาสนิกชนปฏิบัติ ไม่ต้องกระดี๊กระด๊าประกาศไปนอกประเทศ เพราะที่ทำกันนี่ไม่เป็นอาริยธรรมแท้จริง แล้วก็เสียเวลาทุนรอนแรงงานไปประโคมกัน อาตมาว่าเป็นการทำลายศาสนาพุทธนะ ให้ทำในวงการศาสนาเราให้จริงให้สอดคล้องกับพุทธวจนะ ให้มีอานุสาสนีปาฏิหาริย์เถิด

 

ทฤษฎีพระพุทธเจ้าคือศีล สมาธิ ปัญญา คือวิชชาจรณะสัมปัณโน 

 

จรณะ 15 เร่ิมด้วยศีล แล้วก็อปัณกปฏิปทา คือหลักปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 ข้อ โดยมีศีลเป็นบาทฐาน กรรมฐานของแต่ละฐานะ ฐานะพื้นเร่ิมตั้งแต่ศีล 5 เป็นหลัก ศีลที่เรากำหนดเป็นกรรมฐาน ไม่ใช่เอาไปท่องพุทโธหรือเอาลมหายใจเป็นกรรมฐาน อย่างนี้มันแต่สมถะไม่ใช่วิปัสสนา

 

ศีลข้อ 1 ปาณาติปาตาเวรมณี

2.อทินาทานาเวรมณีสิกขา

3.กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณี

4.มุสาวาทาเวรมณี

5. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานาเวรมณี

 

ศีลข้อ 5 นี้ระดับศีล 5 เอาความมัวเมาในอบายต่ำหยาบก่อน แล้วปฏิบัติถือศีล ก็คือปฏิบัติมรรคองค์ 8 ไปด้วย

ไม่ฆ่าสัตว์_ไม่เอาของใครในฐานะเป็นขโมย_ผัวเดียวเมียเดียวเรื่องเพศ หรือเรื่องกามคุณ 5 ก็อย่าฟุ้งเฟ้อจัดจ้านใน ราคะ โทสะ โมหะที่เป็นอบายหรือสัตว์นรกต่ำหรือถือดีถือตัวมีความเป็นอัตตาตัวตนสูง แล้วยึดติดมาก ต้องเข้าใจก่อนเบื้องต้น

 

แม้ถือศีลแค่กายกรรม วาจา เท่านั้น ถ้าใครควบคุมได้ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เอาของใคร ไม่มีทุจริตกรรมในฐานะแห่งความขโมย เมืองไทยน่าเศร้าแม้ผู้รักษากฎหมายก็เป็นขโมยตัวเอ้เอง ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกที่ไหน ทุกคนกลายเป็นนกกระจอกเทศไปหมดไม่รู้จะทำอย่างไร

 

ถ้าเข้าใจทำได้แค่ภายนอก โดยจิตยังไม่ถึงก็มีผลแล้ว แต่ไม่ได้ว่าคือการบรรลุนะ ตัวที่จะบรรลุนั้นจิตจะต้องเจริญ เข้าสู่ฌาน สู่สมาธิ แล้วมีอธิปัญญา อธิวิมุติ จิตเจริญโน้มน้อมไปสู่ที่สูง(อธิมุติ) ไปสู่นิพพานไม่ตกต่ำ อวินิปาตธรรม คือโสตาปันนะ ไม่ลงต่ำ และแข็งแรง อวินิปาตธรรม เที่ยงแท้ เข้าสู่สัมโพธิปรายนะ เป็นอาริยบุคคล

 

เมื่อชีวิตเราไม่ทำร้ายสัตว์ จิตเราก็จะมีผล ได้กำจัดโทสะมูลจิต ลดได้จริง อ่านจิตออก ปฏิบัติศีลเป็นปรมัตถ์ เป็นอภิธรรม เป็นอาริยธรรม หากปฏิบัติแยกศีลออกจากสมาธิ ออกจากปัญญา ก็ไปยึดกรรมฐานแบบสมถะ กสินดิน น้ำ ไฟ ลมที่ให้จิตจดจ่อสมถะ ก็ไม่เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้าที่รู้องค์รวมของสังขาร มีโยนิโสมนสิการได้ถูกต้อง

 

ถ้าทำแบบแยกส่วน ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ไม่ได้โลกุตรผล ที่เป็นโลกุตระ 46

 

เพราะเมื่อปฏิบัติศีล ก็ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัส มีปัจจัยต่อเนื่อง ต้องรู้ตั้งแต่สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพ ชาติ ชรามรณะ โศกฯ เมื่อไม่เรียนรู้ก็ไม่รู้สังขาร ที่เป็นองค์ประชุมของรูปและนาม

 

ตากระทบรูป ประสาททำงานเป็นปสาทรูป โคจรรูป ก็เป็นการดำเนิน เกิดวิสัยรูป เกิดอารมณ์ความรู้สึก เมื่อกระทบสัมผัส พอมีประสาททางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อดำเนินโคจรไปกระทบรูป เสียง กลิ่น รส เกิดบทบาทเป็นภาวรูป เกิดจิตวิญญาณ ในปฏิจจสมุปบาทว่าปฏิบัติต้องมีผัสสะ 3 ตากระทบรูป หูกระทบเสียง กลิ่นกระทบจมูก กายกระทบเย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็จะเกิดวิญญาณ

 

จะรู้วิญญาณได้ต้องมีญาณปัญญารู้นามรูป อ่านอาการวิญญาณออก อาการวิญญาณเป็นสิ่งที่ถูกรู้โดยญาณปัญญา คนที่ยังชอบล่าสัตว์ ล่ามากิน อยากกินปลาก็ไปล่าปลา เห็นปลาตัวงาม กำลังไข่ในท้องกำลังดีเลยก็เกิดอาการอยาก ขออภัยท่านผู้มีอาชีพประมงท่านก็ต้องรับวิบากไม่ละเว้น แม้จะฆ่ามากิน ยิ่งฆ่าเล่นฆ่าหัว นักกีฬาล่าสัตว์คะนองยิ่งบาปมากขึ้นอีก

 

เมื่อตากระทบแล้ว รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่าฆ่านะ ย่ิงรู้ว่าสัตว์มีชีวิต ไปเอาปลาตัวนั้นมา ย่ิงทุกวันนี้ทอดปลาตอนเป็นๆเลย มันพะงาบๆจะตายก็ตายไม่ได้ ทำไมเหี้ยมโหดเช่นนี้่นะ ใครสั่งใครสอนมา ให้ไปทำลายชีวิตสัตว์ ซึ่งมันมีพยาบาท เวรานุเวร ต่อเนื่องกันไป เป็นกรรมวิบาก คุณไม่ต้องเอาสัตว์มาเลี้ยงชีพก็ได้ ถ้าไทย เป็นคนไม่ฆ่าสัตว์เลย สัตว์ก็จะเยอะ อยู่กันอย่างเอ็นดู วิญญาณจะสมานกัน คนเราใจร้ายไปเอามากิน หรือมันมาทำร้ายนิดหน่อยก็ไปฆ่ามันคนเป็นคนต้องสูงกว่า รู้ว่ามันมีชีวิตของสัตว์เราก็เลี่ยงได้

 

ถ้าคุณงดเว้นการฆ่า จิตคุณจะเมตตาขึ้น จะรู้สึกเลยว่า ชีวิตเราเจริญขึ้น การเห็นสัตว์แล้วเมตตา จิตเรามีรังสีแผ่ อาการเมตตาเกิดจริงกับสัตว์เลยตอนเห็นๆ ไม่ใช่ว่าไปนั่งแผ่เมตตา แต่นี่สัมผัสกับสัตว์จริงแล้วเมตตาเกิด แต่ก่อนเราเห็นแมลงตกในโถส้วมเราไม่เคยใยดี ราดน้ำส่งเลย แต่พอมาถือศีลข้อนี้จิตเกิดจริงเลย ว่าแมลงตกในโถส้วม ก็เอาอะไรมาตักหรือบางคนกลัวมันตายก็เอามือไปจ้วงช่วยมันเลย นี่คือการแผ่เมตตา เป็นราสี รังสี แผ่เลย ปฏิบัติเลย การไม่กินเนื้อสัตว์นี่แผ่เมตตาเป็นจริงเลย ไม่ต้องไปนั่งท่องแผ่เมตตาเลย แต่อาตมาพาไม่กินเนื้อสัตว์นี่ได้แผ่เมตตาจริงเลย

 

ฟังกันมาแค่นี้ถ้าได้สภาวะเข้าใจก็คุ้มแล้วที่มานั่งฟังกัน 2 ชม.นี่ หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อยมันมาเราก็ทำปัดมันเบาๆ แต่ก่อนนี่สัตว์มาก็ว่าอย่ายุ่ง บี้มันเลย แต่เดี๋ยวนี้ทำอย่างเมตตา นี่คือเกิดอธิจิตสิกขาเลย คุณเกิดสภาวะแล้วพอฟังอาตมานี่

 

หรือศีลข้อ 2 ใจมันไม่อยากได้ของคนอื่น แต่ก่อนนี่เผลอไม่ได้ จะต้องหาทางเอามาให้ได้ ไม่ได้ด้วยเล่ก็ด้วยกล ไม่ได้ด้วยกลก็เอามนต์คาถา หรือฆ่ามันเลย แต่จิตเราปฏิบัติแล้วก็ไม่เกิดอาการอย่างเก่า ศีลข้อ 2 นี้อย่างน้อยเราไม่ทุจริต อยู่ในกฎหมายในกรอบสังคม แม้ทุนนิยมจะสร้างกฎเกณฑ์ที่บาปหลายอย่าง เช่นเงินเดือนข้าราชการเป็นเงินเดือนบาป ที่เอาเปรียบประชาชน มีแต่จะมากขึ้นๆ แต่ประชาชนนี่ลดลงๆๆ เป็นการเอาเปรียบกันมาก แต่ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจิตจะเกิด แต่ก่อนขี้โลภทุจริต แต่พอถือศีล อาชีพไหนก็ลดโลภ ไม่เอาเปรียบ เกิดผลทางจิต ปฏิบัติไปจะมีผล เห็นว่าจิตเราลดโลภ จริงๆ แม้ไม่ไว้ใจตนก็ยักไว้ก่อน แต่หลายคนแน่ใจว่าลดได้ จนไม่ต้องมีเลย ฝากชีวิตไว้กับเพื่อนกับผู้อื่นที่พึ่ง เกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้ สังคมเรามีหลักประกันสังคมถึงขั้นสาธารณโภคี ดูแลกันไปจนตายจากกันไม่จำเป็นต้องเป็นญาติสายโลหิต แต่เป็นพี่น้องทางธรรม เป็นญาติทางสังคม ยิ่งใหญ่ เชื่อมไปถึงสาธารณโภคี

 

ส่วนศีลข้อ 3 นั้น จะลดราคะได้ เมื่อกระทบสัมผัสต่อเพศตรงข้ามจะสังวรสำรวม ก็เร่ิมต้นที่จิตแล้ว ยิ่งคุณสำนึกใช้ปัญญา อ่านจิตเป็นว่าอาการราคะเกิดทางอาหาร ทางเพศ เกิดมาอย่างน้อยก็กดข่ม ยิ่งพิจารณาในใจเรามันไม่แรงขนาดออกไป เราก็ดูว่ากิเลสเรามันไม่มีจริง ไม่มีตัวตน แต่เราเลี้ยงมันไว้เป็นอนุสัยไว้นาน โง่มานาน ก็ไล่มันไปๆๆๆ สัตว์นรกก็ไม่มีในจิตได้ ปัญญาคุณถึงที่ก็ไม่เอา ราคะก็ไม่เกิด จิตก็ไม่มีราคะ หรือเราไม่เห็นมันลดทันทีก็เห็นความจางคลายเบาบาง ไม่ว่าในกามคุณ 5 ศีลจะเกิด จะมีปัญญารู้ว่าอาการโทสะ ราคะ เราลดได้

 

ศีลข้อ 4 ก็ไม่ต้องโกหก การโกหกไม่มีโกหกสีขาวว่าให้ทำได้นะ มีแต่เมืองไทยนี่แหละให้ทำได้ 

 

สรุปว่าการปฏิบัติธรรมมีศีลเป็นบาทฐาน แล้วมีการอยู่กับเครื่องอุปโภค บริโภค โดยเฉพาะอาหารที่มีกามคุณ 5 อยู่ในนั้นเกี่ยวกับศีลทั้งนั้น เราก็ล้างกิเลสไป จนเกิด ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ซึ่ง วิมุติเป็นอานิสงส์ที่แท้จริง ที่เขาสอนกันว่าสอนศีลปฏิบัติที่กายกับวาจาเท่านั้นเป็นการสอนผิด

 

เมื่อปฏิบัติอปัณกปฏิปทา โดยมีศีลเป็นบาทฐานก็จะได้ผลเป็น สัทธรรม 7 คือศรัทธาเชื่อถือ

 

หิริ คือละอายต่อการทำผิดศีล เราละอายที่จะทำให้สัตว์ตาย จะเกิดเมตตาในจิต

โอตตัปปะ จะกลัวต่อบาป และมีพหุสัจจะคือเกิดความจริงเป็นผลทางจิต และมีวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ทั้งหมดหล่อหลอมเป็น ฌาน 1 ,2,3,4 แล้วเกิดวิชชา คือ วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์ เจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ศีล สมาธิ ปัญญาจะเกื้อกูลกันเป็นหนึ่งเดียว

 

ปฏิบัติศีล 5 ได้ผลถึงจิตก็เป็นโสดาบัน ตั้งแต่เรื่องหยาบๆ อาตมามีเพื่อนตอนทำทีวีไทย คนนี้เขาว่าเจองูที่ไหนต้องตามไปฆ่า ไม่ฆ่าไม่ได้ อย่างนี้จิตพยาบาทกันมาก แต่เราปฏิบัติศีล 5 แล้วจิตจะเกิดเมตตา ลดพยาบาทได้ เมื่อเป็นโสดาบันก็จะได้หลักที่ได้ผลเป็นอานุสาสนีปาฏิหาริย์

 

เมื่อปฏิบัติแบบพอเพียง แบบคนจน ก็จะลดความกระเหี้ยนกระหือรือ ลดราคะ โทสะ โมหะ ก็จะเป็นคนใจดีเกื้อกูล ช่วยเหลือกันและกันจะสร้างมนุษย์ให้เป็นคนที่เสียสละ ไม่ต้องไปตั้ง สนช. สปช. อะไรต่างๆนานาหรอก แต่ว่าถ้าปฏิบัติพุทธธรรมได้จะสะดวกมากเลย

 

เมืองไทยมีของดี มีพระโพธิสัตว์ มีศาสนาพุทธ อยู่ สถาบันศาสนาพุทธก็ยังมีอยู่แท้ๆ และก็ระดับโลกก็ยกให้ จงทำให้สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติอาริยธรรมให้ได้ผลแท้จริง ประเทศชาติจะได้อยู่เย็นเป็นสุข เป็นอาริยะแบบคนจนด้วย ปะหลาดที่สุด เจริญแบบนัยของในหลวงนี่แหละ

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

_ติดตามดูท่านนานแล้วท่านสอนไม่เหมือนใคร อยากถามว่าอรหันต์ต้องดูตอนตายแล้วดูกระดูกเท่านั้นใช่ไหม?

ตอบ...ที่ว่าดูกระดูกเป็นพระธาตุนั้นอาตมาก็ไม่เคยเห็นในพระไตรปิฎกนะ หากใครเจอก็เอามายืนยันกับอาตมานะ อยากเห็นหลักฐานในพระไตรฯ อาตมาเข้าใจว่ากระดูกก็คือธาตุที่จับตัวกัน กระดูกที่จะจับตัวเป็นพระธาตุเป็นเรื่องพลังงานฟิสิกส์ไม่ได้เกิดจากคุณธรรม พวกสายที่ทำจิตให้เย็น พวกนั่งสมาธิหลับตานี่ทำได้เก่ง จะเป็นพระธาตุแบบนี้เยอะ สวยงาม เป็นลักษณะธรรมชาติธรรมดาไม่ใช่เรื่องคุณธรรม พระพุทธเจ้าไม่เคยรับรองเป็นแม้โสดาบัน ท่านจะรับรองว่าเป็นโสดาบันคือต้องได้ทำสติปัฏฐาน 4 ได้ผล แต่ไม่ได้หมายถึงว่าพระที่ปฏิบัติธรรมบรรลุธรรมจะมีจิตเย็นกระดูกเป็นพระธาตุได้ แต่สายปัญญาจิตจะไม่เย็นอย่างพระสารีบุตรพระธาตุไม่สวยเท่าพระโมคคัลลานะ อย่าเอาเรื่องพระธาตุมาบอกว่าใครเป็นอรหันต์ ต้องเอาที่โพธิปักขิยธรรม 37

 

_พล.เรือตรีมินทร์ถามว่าต่อไปนี้ผิดศีลหรือไม่?

1.ฉีดยาฆ่าเชื้อโรคในร่างกาย?

ตอบ..คุณจะกลัวบาปให้เชื้อโรคกินตายก็แล้วไป คือสัตว์นี่สัตว์เซลล์เดียวไม่มีพยาบาทหรอก พวกพีชนิยาม ไม่มีพยาบาท แต่พอเป็นสัตว์เซลล์ฺเดียวก็เพิ่งวิวัฒนาการก็ไม่มีพยาบาทหรอก มีรายละเอียดมากเลย อาตมาว่าเอาชีวิตไว้ก่อน เชื้อโรคนี่เป็นสัตว์ชั้นต่ำมาก แต่คนนี่ไม่รู้กี่ล้านเซลล์ก็ต้องเข้าใจให้ดีรู้ลำดับบ้าง

 

2.ฝันว่าขโมย เงินจากตู้เอทีเอ็ม?

ตอบ...ถ้าเป็นอกุศลจิต จิตที่ปรุงแต่งอยู่มีสองอย่างคือ จากความจำกับเรื่องกิเลส อย่างความจำที่เคยทำเรื่องเลวร้ายก็โผล่มาในความจำได้ พระพุทธเจ้าไม่เอาผิดในความฝัน มันสุดวิสัย

 

3.อยู่เป็นโสดผิดศีลไหม?

ตอบ...ไม่ละเมิดศีลหรอก ศีลย่ิงเจริญต่างหาก

 

4.เล่านิทานเรื่องโกหกผิดศีลไหม?

ตอบ..อยู่ที่เจตนา ...นิทานถ้าเล่าแล้วเกิดกิเลสมากขึ้นก็ผิดศีล แต่ถ้าเล่าแล้วเป็นกุศลก็ไม่บาป

 

5.สูดควันสุราที่ลอยมาในอากาศผิดศีลไหม?

ตอบ..คุณจะไม่ต้องดมอากาศก็เอาเถอะนี่มันละเลียดเกินเสียเวลา

 

_เคยชมรายการทีวีอินกับเรื่องราวจนน้ำตาไหลเลย ดีหรือไม่ดี?

ตอบ..มีสองนัย น้ำตาไหลเพราะสมใจในกิเลส อย่างคนโกรธมากจนน้ำตาไหลนี่เป็นสัญชาติญาณคน โดยเฉพาะโกรธแล้วทำอะไรเขาไม่ได้ก็ร้องไห้ หรือได้สมโลภ ซาบซึ้งก็ร้องไห้ อย่างนางสาวไทยพอเขาตัดสินก็ร้องไห้โฮ นี่คือน้ำตาไหลในกิเลส แต่อีกอย่างคือซาบซึ้งในสัจจะต่อให้เป็นอาริยะก็น้ำตาไหลได้ ขนาดนี้ทุกวันนี้อาตมาก็ยังน้ำตาไหลได้เลย อันนี้เป็นของดีแต่อย่าปล่อยให้แรง จนเป็นอุพเพงคาปีติ จนเต้นดีดทำแรงเป็นกายกรรม ก็ให้เข้าใจแล้วเป็นผรณาปีติ ธรรมดา แต่ทุกคนก็มีสัญชาติญาณระงับไว้เพราะคนดูภายนอกไม่เข้าใจได้

 

_ที่บ้านมีผึ้งทำรัง หากเราไล่ด้วยควันไฟจะบาปไหม?

ตอบ...ก็ไม่ถึงบาปหรอก เพราะไม่ควรอยู่ด้วยกันก็เชิญออกด้วยควัน ว่าที่นี่ไม่ควรอยู่นะ ก็ถ้าเผื่อว่ามีวิธีไล่ไปพอสมควรก็ไม่ถือว่าบาป

 

อธิวิมุติตรงกับวิโมกข์ ข้อที่ 3 หรือไม่

ตอบ...วิโมกข์ข้อที่ 3 คือสุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ ซึ่งสุภันเตวะคือสิ่งที่น่าพึงได้พึงเป็น ผู้ที่ปฏิบัติได้ผลเป็นอธิศีลอธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ คือจิตโน้มน้อมไปสู่ความเจริญ อย่างจิตโสดาฯเข้ากระแสแล้วก็ไปสู่ที่สูง แล้วจะไปอวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ ไม่ตกต่ำแน่นอน ลักษณะอธิวิมุติก็คือจิตเจริญ อย่างในวิโมกข์ข้อ 3  ก็คือจิตเจริญขึ้น แต่มีนัยว่าเจริญแบบฤาษีกับแบบพุทธนั้นต่างกัน

 

อย่างในวิญญาณฐีติ 7 ข้อที่ 4 กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน..กายคือองค์ประชุมของจิตที่มีนิโรธแล้ว เช่นพวกสุภกิณหะ เป็นภาษาที่ใช้เรียกทั้งพวกมิจฉาทิฏฐิและสัมมาทิฏฐิ ที่เข้าใจในนิโรธต่างกันไป จิตดับเป็นแบบฤาษีกับกิเลสดับจากจิตแบบพุทธนั้น แม้เจตนาจะนิโรธมีกายอย่างเดียวกัน ดับเหมือนกัน แต่ฤาษีได้อสัญญีสัตว์ สะกดจิตไว้ชั่วคราวไม่เที่ยงแท้ แต่ของพุทธดับแล้วเที่ยงแท้ กายที่ได้ดับเหมือนกัน สัญญาอย่างเดียวกัน แต่นัยลึกซึ้งต่างกัน

 

_คำว่าสัมบูรณ์กับสมบูรณ์ ต่างกันไหม?

ตอบ..เหมือนกันไม่ต่างกันเลย

 

_ชีวิตรูป กับชีวิตินทรีย์ต่างกันไหม?

ตอบ..ชีวิตรูปคือองค์รวม แต่ชีวิตินทรีย์คืออาการ คือลักษณะ มีน้ำหนัก ของความเป็นชีวิตสัตว์ในจิต

 

_ปัดมดออกจากตัวผิดศีลไหม?

ตอบ...ถ้าปัดมันแรงก็ผิดศีลนะ ต้องปัดด้วยเมตตา ปัดมันเบาๆ

 

_จากผู้เดือดร้อนเรื่องปลวก หากใครมีวิธีไล่โดยมันไม่ตายก็บอกมาที่เบอร์ 089_6578634

 

_สีที่พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ใช้เป็นสีจีวรมีสีอะไรบ้าง?

ตอบ..

1.    สีครามล้วน

2.   สีเหลืองล้วน

3.   สีแดงล้วน

4.    สีบานเย็นล้วน

5.    สีดำล้วน

6.    สีแสดล้วน

7.   สีชมพูล้วน

พตปฎ. เล่ม 5  ข้อ 169

 

_อาชีพผมกสิกร ทำไส้เดือนบาดเจ็บบาปไหม?

ตอบ...พวกเราถึงพยายาททำสวนทำไร่ โดยไม่ขุดให้อยู่กับไส้เดือนให้ช่วยให้ดินดี เราสร้างดินปรุงดินให้ดี จะมีพลังงานช่วยกันดี เป็นดินเป็นมีอาหารพึ่งพากัน ก็พยายามศึกษาวิธีการสร้างดินให้ดีโดยไม่ต้องขุดมาก

 

_วัดที่บ้านมีพระสองรูป รูปหนึ่งมีพฤติกรรมคล้ายเณรคำ อีกรูปหนึ่งบวชได้สองเดือนก็คล้ายผู้หญิง โยมอยากทำบุญกับพระดีพูดเพราะทำอย่างไรดี

ตอบ...คุณไม่อยากทำกุศลกับพระปฏิบัติไม่ดี เราก็ไม่ต้องร่วมส่งเสริม ไม่ต้องกลัวว่าศาสนาจะเสื่อม ขอพูดตรงว่านั่นไม่ใช่พระจะไปส่งเสริมทำไม  ยุคนี้ เขาเป็นกันทั้งนั้น อะไรผิดศีล ผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอนมีหมดเสียแล้วในศาสนาพุทธ พูดยากที่จะไม่กระทบคนผิด อาตมาทำงานยาก ก็ได้แต่พยายามพากเพียร ก็ขออภัยที่ต้องตำหนิ ให้ปรับปรุงกันก็แล้วกัน ท่านในทำดีอยู่แล้วก็อนุโมทนา แต่ท่านที่ทำผิด แล้วให้เขาเข้าใจว่าถูก เช่นรดน้ำมนต์กันอยู่นี่มันผิด เป็นเดรัจฉานวิชชา ในจุลศีล มัชฌมศีล มหาศีล ที่เป็นศีลของศาสนาพุทธใช้สร้างศาสนา แต่วินัยนี่เหมือนกฎหมายอาญามีบทลงโทษ แต่ศีลนี่เป็นธรรมนูญหลัก ไม่มีบทลงโทษ ความเสื่อมที่มีคือไม่ปฏิบัติตาม ศีลของพระ แต่ถ้าพระเข้าใจรักษาศีลได้ ศาสนาพุทธจะไม่บ้าๆบอๆอย่างทุกวันนี้เลย เละเทะจริงๆ แม้แต่ดอกไม้ธูปเทียนเป็นวัตถุอนามาส เป็นสิ่งที่พระไม่ควรยุ่งเกี่ยว ในศีล 8 มาลา คันธะ ก็ให้เว้นขาดแล้ว แต่ธูปเทียนพระพุทธเจ้าก็ให้เว้นในศีลพระ ไม่ให้รดน้ำมนต์ แต่เดี๋ยวนี้มีวัดไหนไม่ทำกัน

 

_ทำไมมดถึงกลัวน้ำคะ

ตอบ...รู้ได้อย่างไรว่ามดกลัวน้ำ แต่ดีนะมดมันก็คงไม่อยากลงน้ำ น้ำไม่ใช่ที่อยู่ของมด น้ำเป็นที่อยู่ของปลา สัตว์บกก็มีอยู่บนบก มันก็คงไม่อยากอยู่ในน้ำ มันคงลำบากที่จะว่ายน้ำ หากินลำบาก


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:14:20 )

571207

รายละเอียด

571207_วิถีอาริยธรรม สันติฯ พ่อครู+ส.เพาะพุทธ เรื่อง สุญญตวาทะ

.เพาะพุทธว่า...เมื่อคราวก่อนพ่อครูได้เทศน์เกี่ยวกับคำว่าบริบูรณ์ คือการสั่งสมเหตุปัจจัยไปสู่สัมบูรณ์ต่อไป ในครั้งก่อนพ่อครูได้พูดถึง สัพพกาโย คือการกำหนดรู้กองลมตามภาษาในพระไตรฯ แต่พ่อครูว่าน่าจะแปลว่า กำหนดรู้กาโย มากกว่า กองลม กายต้องประกอบด้วยรูปและนาม

 

พ่อครูได้ไปร่วมสนทนา 60 ปีโทรทัศน์ไทย มีเนื้อหาสาระตอนหนึ่งน่าสนใจ คือ การตั้งโทรทัศน์ช่องแรกของประเทศไทย ไม่ได้รับการยอมรับจากนักแสดงนักร้องโดยทั่วไป ซึ่งทำไม?วงการบันเทิงจึงต่อต้านการเกิดของโทรทัศน์ ซึ่งตามปกตินักแสดงน่าจะดีใจที่ได้มีช่องทางแสดง แต่ว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเหตุว่าเขามองว่าทีวีจะมาแย่งลูกค้าของเขา และเมื่อไม่ได้รับการยอมรับจากวงการบันเทิงสมัยนั้น อ.จำนงค์ รังสิกุล ที่เป็นหัวหน้าของช่อง 4 บางขุนพรหม จึงพยายามให้พนักงาน ทำงานให้เป็น แต่ละคนทำได้หลายอย่าง เช่นพ่อครูแม้ว่าจะมีงานอื่น เมื่อมาทำงานช่อง 4 เป็นงานเสริม ก็ได้ทำอะไรเยอะมาก ไม่ได้ทำอย่างเดียว หรือท่านอื่นที่มาร่วมเสวนาก็แต่ละคนทำหลายอย่าง ทำทดแทนบรรดานักแสดงที่ไม่มาร่วมกับช่อง 4 ตนเองก็เลยต้องมาเป็นนักแสดงมืออาชีพไปโดยปริยาย ทำให้บ่มเพาะความรู้ความสามารถขึ้น

 

และจากหนังสือค้าบุญคือบาป พ่อครูบอกว่า วิบากของท่านประการหนึ่งคือการไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมกระแสหลัก

 

ส่ิงเดียวทีี่ทำให้บ้านต่างจากโลงศพคือประตู บ้านของข้าต้องมีประตูเพื่อที่ข้าจะได้เข้าไปในตัวตนข้าได้ และบ้านของข้าต้องมีหน้าต่างเพื่อที่จะได้มองออกไปในโลกกว้างได้  นี่คือปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ สองอย่างนี้เป็นเหตุปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ

 

หน้าต่าง คือหน้าที่มีความต่างไปจากตน การฟังความเห็นอื่น มีปรโตโฆษะ ทำให้เราเบาสบายมากกว่าปิดหน้าต่าง ถ้าเราปิดประตูหน้าต่างก็เหมือนอยู่ในโลงศพ

 

ได้ฟังพ่อครูกล่าวถึงพระปรมาภิวาทะ จะนำมาอ่านในสองบทสุดท้าย

                        6. ปกครองคนด้วยแบบ                      ขาดทุน

                        ปรมัตถ์นี้คือบุญ                                   แน่แท้

                        ชำระกิเลสคุณ                         ใหญ่ยิ่ง           

                        โลกวัดมิได้แม้                          ฉลาดด้วยปริญญา                                                      

 

                          7. วาทะนี้กว่าพื้น                  ปุถุชน

                        ทั้งขาดทุนทั้งจน                                  สุขได้              

                        สละชี้อัศจรรย์คน                     อาริยะ                        

              ประหลาดแน่แต่จริงไซร้  เพราะแท้พุทธธรรม

 

พ่อครูว่า...เดือนนี้เป็นเดือนแห่งพระเจ้าอยู่หัว เราคงจะใส่เสื้อเหลืองกัันทั้งเดือน ไม่ว่ากัน แต่ซักด้วยนะหากไม่มีหลายตัว พระปรมาภิวาทะ หมายถึงวาทะอันยิ่งใหญ่ ยิ่งยอด ยิ่งเลิศ มีคุณเซียง(เป็นกลาง)อ่านบทประพันธ์นี้แล้วก็ยกย่องมา ชมเชยว่าเป็นบทกวีที่ดีมาก ซึ่งอาตมาก็แต่งด้วยความจริงใจ ซึ่งพระมหากษัตริย์พระองค์นี้มีคุณธรรมโลกุตระ มีแนวลึก มีพระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณยิ่งใหญ่ ท่านยังมีวาทะที่ยิ่งยอด วิเศษสุดเลย คือแบบคนจน ที่ต้องทึ่งอึ้งคำสวรรค์

 

เนื้อแท้คือจิตที่ลดความโลภ เป็นสัจจะเลย เป็นปรมัตถ์ที่เป็นบุญ คุณงามความดีไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่ากับการลดละกิเลส ไม่ใช่แค่กดข่มด้วย แต่มีพลังไฟฌานที่สลายกิเลส แล้วมีปัญญาสำทับว่ากิเลสต้องตายอย่างไม่ฟื้นเลย แบบนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นอุภโตภาควิมุติ

 

เป็นความจริง ความแจ้ง ในความจำและความจน  นี่คือความจริงที่ควรแจ้ง แล้วแจ้งแล้วก็ต้องจำว่าคือความจน เป็นความย่ิงใหญ่คือความจนมหัศจรรย์ เป็นสิ่งที่เปรียบเทียบไม่ได้ นัตถิอุปมา

 

 

จะเข้าสู่โลกุตระต้องรู้กาย คือองค์รวมของนามและรูป และเน้นไปนามธรรมด้วย และวิญญาณนั้นต้องเรียกตอนเกิดปัจจุบันขณะ ต้องมีผัสสะ 3 เป็นการรู้โดยส่วนตน เป็นวิสามัญนาม เมื่อไม่มีผัสสะ วิญญาณไม่เกิด ในปฏิจจสมุปบาทมีไว้ว่าเมื่อมีอายตนะจึงมีผัสสะ จิตเป็นสามัญนาม ส่วนวิญญาณเป็นวิสามัญนาม และในส่วนลึกละเอียดส่วนใน เรียกว่า มโน ตัวแกนจิตจริงๆคือมโน จึงมีคำว่า มโนบุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐม มโนมยา

 

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ตั้งแต่ภายนอกจนถึงนามธรรมภายในจิต ต้องใช้สัญญาในการกำหนดรู้ กำหนดหมายทั้งดึงเอาความจำ และกำหนดรู้ในปัจจุบันและจะกำหนดหมายในอนาคต เป็นวิสัยทัศน์ เป็นอนาคตังสญาณ ก็ต้องใช้สัญญา เร่ิมตั้งแต่ปฏิบัติกายในกาย จนถึงจบสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็ต้องใช้สัญญา ตราบจนนิพพาน สอุปาทิเสสนิพพานก็ต้องใช้สัญญากำหนดรู้ จุดนิพพาน จุดประเสริฐสุด ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วเอามาประกาศ

 

คำว่ามีและไม่มี ทำให้สายปัญญาฟุ้งเฟ้อ สายตรรกะก็เอาไปคิด เพราะที่จบสุดคือความไม่มี แต่คนจะต้องศึกษาความไม่มีให้ได้ แต่ลืมตัวไปว่าคุณจะต้องมีธาตุรู้ไปศึกษาตามหาความไม่มี แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรแท้ๆที่จะทำให้ไม่มี พวกตรรกะเฟ้อก็ไปเข้าใจผิด อาตมาก็อ่านบทความของอ.บูรพา เมื่อเช้านี้ อาตมาก็ขออภัยที่เอามาเป็นประโยชน์ ….

  • สมถะกรรมฐาน....การปฏิบัติสมถะกรรมฐานเป็นการทำสมาธิแบบเดียวกับสมาธิภาวนา คือกำหนดด้วยการให้อุบายกรรมฐานทำให้กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ กายรู้สึกเบาและหายไป ลมหายใจหายไป ความคิดหายไป โดยผู้ปฏิบัตินั้นรู้ตั้งแต่กายเบา ลมหายใจเบา ก็รู้ว่าลมหายใจเบาและเบาลงจนกระทั่งหายไป ก็รู้ว่าลมหายใจไม่มีแล้วหายไป ความคิดน้อยลงมันก็รู้ว่าความคิดน้อยลง ความคิดหมดไปมันก็รู้ว่าความคิดหมดไป

 

คำว่ารู้นั้นคือไม่มีอะไรให้รู้ จิตว่าง เพราะว่าจิตรู้แต่ไม่มีอะไรให้รู้ อาการนี้เป็นอาการที่เราทำสมถะกรรมฐานเบื้องต้น หลังจากนั้นถ้ารู้ตื่น แต่ไม่มีอะไรให้รู้ ต้องใช้วิธีการผลักให้เกิดรู้ขึ้น ในความว่างนั้นเมื่อถึงระดับหนึ่งจะเกิดอาการผุดรู้ เกิดเป็นความรู้ขึ้นมาในความว่างนั้น แรกๆ จะเป็นธรรมะหรือไม่ย่อมไม่เป็นไรจะเป็นสิ่งใดก็ได้ เพราะเมื่อมีอาการเราก็เกิดปัญญา เพราะการรู้ในช่วงแรกเรียกว่าวิปัสสนาขั้นโลกิยภูมิ ขั้นสมมติบัญญัติโลกซึ่งจะเป็นธรรมะต่างๆ ออกมาหลั่งไหลให้เรารู้ ให้เราเข้าใจธรรม ยังมีสมมติบัญญัติอยู่

 

(พ่อครูว่า...นี่เป็นบทความที่เน้นไปสู่นัตถิกทิฏฐิ ซึ่งเป็นทิฏฐิในทิฏฐิ 62 ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ  เป็นสุญตวาทะ คำว่ารู้จนไม่มีอะไรให้รู้

 

.เพาะพุทธว่า...ความว่างแบบนี้พ่อครูเคยวิเคราะห์ว่า คำว่าว่างไม่ได้แปลว่าว่างจากทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าคือว่างจากกิเลสไม่ใช่ว่างจากทุกส่ิงทุกอย่าง เราทำให้อัตตาสูญได้ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีอัตตาเลย แต่มีอรหัตตา ไว้อาศัยทำงานรับใช้โลก ในพระไตรฯว่า ศาลานี้ว่างจากช้างจากม้า แต่ไม่ว่างจากคนมาฟังธรรม คำว่าว่างไม่ได้หมายถึงว่างไปหมด ที่ท่านบอกว่าถึงระดับหนึ่งจิตจะมีการผุดรู้นั้น ก็เป็นธรรมชาติจิต ถึงจะกดข่มไว้อย่างไร แต่จิตก็ต้องตื่นรู้สู่วิถี นานเท่าใดก็ตาม )

 

พ่อครูว่า ถ้ายังไม่ปรินิพพาน แยกธาตุวิญญาณได้ก็ยังต้องกลับมาตื่นรู้อีกจนได้ จะกดไว้อย่างไรก็ตาม

 

ขั้นแรกในการฝึกอาการจะปรากฏทำให้เราเข้าใจนานๆ ครั้ง ต่อไปเมื่อจิตมั่นคงจะปรากฏบ่อยขึ้นๆ เราจะรู้ธรรมมากขึ้น จิตทรงตัวรู้ธรรมะลักษณะนี้ไประยะหนึ่งเป็นภูมิวิปัสสนาไประยะหนึ่ง แม้ในธรรมะนั้นมันจะมีธรรมะที่เป็นพระนิพพานอยู่บ้าง แต่ว่าผู้ปฏิบัติยังไม่ถึงอาการพระนิพพานจริง หากจิตมีกำลังแล้วกลับมาดูตนเองจึงปรากฏสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิต

 

ต่อมาเมื่อจิตข้ามไปสู่โลกุตรภูมิ ถ้าเป็นสมมติบัญญัติก็ทิ้งไว้บนโลกหมด จิตไปดูแค่อาการที่เกิดดับขึ้นภายในจิตตนเอง ผู้ปฏิบัติจะไปตามแนวทางนี้เช่นเดียวกันหมด แต่ทั้งนี้ หากเราไปข้ามขั้นตอนสู่โลกุตรภูมิจิตจะทรงตัวอยู่ไม่ได้เพราะในโลกุตรภูมิมันไม่มีสมมติบัญญัติมาคอยเลี้ยงให้รู้เหตุผลแบบนี้ เป็นอาการที่จิตกลับไปดูปรากฏการณ์ความคิดที่เกิดขึ้นภายในจิตตัวเองเป็นจิตสมมติบัญญัติ เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์เหมือนฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ที่ไม่มีสมมติบัญญัติมารองรับ ไม่รู้ว่าอาการฟ้าแลบมันมีสมมติบัญญัติยังไง ฟ้าแลบอย่างนี้ดีใจเสียใจ ต่อเมื่อมีสมมติบัญญัติเข้ามาบัญญัติอาการปรากฏการณ์ที่มันเกิดในจิตแล้ว จึงรู้มีสมมติบัญญัติมา ว่าบัญญัติความดีความรู้แบบนี้ ดีใจไหม พอใจไหม ชอบใจไหม ต้องอาศัยสมมติบัญญัติมาตีความและบัญญัติ

 

จิตเริ่มปรุงตรงนี้ ปรุงตรงที่มีสมมติบัญญัติ ถ้าเป็นอาการเฉยๆ ก็ไม่มีอาการปรุง เพราะเป็นแค่เพียงอาการเฉยเหมือนฟ้าแลบ ไม่รู้หรอกว่าจะดีใจหรือเสียใจ ชอบหรือไม่ชอบ เมื่อมีสมมติบัญญัติเข้ามาบัญญัติจึงจะนำไปสู่อารมณ์จิตถูกลากไปดีใจไปเสียใจ ต่างๆ นี้ มีจิตพิจารณาตรงนี้เห็นปรุงยังไง เรานั่งดูตรงนี้ตลอดก็จะเห็นปรุง จะทำให้ปรุงน้อยลง ถ้าเราเข้าไปยับยั้งได้เร็ว การปรุงจะน้อยลง จิตที่มันไม่ปรุง ไม่แต่ง ไม่ว่าจะปรุงให้พอใจก็ดีหรือไม่พอใจก็ดี ต่างๆ เหล่านี้การปรุงของจิตมันคว้าทัน ไม่ปรุงเสร็จเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์เฉยๆ นานไปปรากฏการณ์เฉยๆ นี้จะไม่มีอารมณ์จิต ไม่ถูกลากไปดีใจ ไม่ถูกลากไปเสียใจ แต่เป็นเพียงปรากฏการณ์เฉยๆ เรียกว่าจิตจะนิพพาน เมื่อเข้าใจตรงนี้แล้วจิตพิจารณาในนิพพาน จิตเข้าไปอยู่ดูอาการแล้วคว้าทันการปรุงแต่งจิตจะปรุงไม่ออก อาการพระนิพพานก็อยู่กับเรานาน

 

อาการแรกที่มันมีอยู่ที่มันเกิดในจิตไม่มีสมมติบัญญัติ ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหล่านี้ จะรู้สึกต่อเมื่อมีสมมติบัญญัติขึ้นมาบัญญัติรู้ว่าอย่างนี้ชอบ อย่างนี้ไม่ชอบ รัก เกลียด เพราะมีอุปาทานสัญญาเข้ามาแต่งตลอด เมื่อเราข้ามตรงนี้ก็จะเห็นที่สุดของการปฏิบัติ จากเดิมที่เรารู้ศีล สมาธิ ปัญญา กับกิเลสต่างๆ อย่างหยาบให้พอรู้ผิดรู้ชอบเท่านั้น แต่ท้ายสุดจะไปสู่ปัญญาพระนิพพานหลุดพ้นต่อไป.

 

พ่อครูว่าขออภัยที่อาตมาต้องบอกว่าเอาบัญญัติมาเขียน ไม่ได้มีตัวจริงแห่งปัญญา แล้วก็เป็นแต่สมถะกดข่ม ไม่ได้เกิดไฟฌาน ไฟปัญญาญาณเลย ที่จะมีพลังล้างกิเลส ให้มันลดละจางคลายจนหมดไป แล้วก็ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีแม้นิดแม้น้อย ตรวจสอบถึงอรูปฌานทำทุกปัจจุบันให้ศูนย์ได้ สั่งสมเป็นอดีตที่แข็งแรงแล้วพยากรณ์ได้ว่าอนาคตก็ต้องสูญแน่นอนไม่เปลี่่ยนแปลง

 

ที่นำมาอ่านให้ฟังว่า ท่านก็มีความลึกละเอียดแต่เป็นสุญญตวาทะ แต่อย่างที่อาตมาอธิบายต้องมีธาตุรู้ รู้กาย รู้ เวทนา รู้จิต รู้ธรรม รู้ด้วยอาการ ลิงค ความต่างของแต่ละอาการ มีกุศลและอกุศลอย่างไร มีเหตุให้ปรุงแต่งจนเป็นอารมณ์เวทนา แล้วยึดเป็นเราเป็นของเรา หรือแม้อ.บูรพาว่าไม่เอาชอบหรือชัง เอาแต่เฉๆย แต่ไม่รู้ว่าเฉยๆแบบเคหสิตะ กับเนกขัมสิตะ ต่างกันอย่างไรก็ไม่ทราบ จริงๆเหมือนกันที่เฉยๆ แต่เคหสสิตะไม่ได้ดับเหตุ แต่ว่าเนกขัมสิตะคือดับเหตุ ดับเหตุแล้วก็เกิดผลได้ นี่คือ นโหติ คือความไม่มีที่เป็นผลสำเร็จมีโลกนิโรธ

 

ตัวอัตตานี่คือตัวให้เกิดความวน เมื่อไม่มีอัตตาแล้วตั้งแต่โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา เรารู้หมด แล้วทำสำเร็จคือให้มีก็ได้ไม่มีก็ได้ เป็นมโนมยัง ถึงทีี่สุดแห่งความไม่ลึกลับ อรหัตตา เหลือขันธ์ 5 ให้ท่านอาศัย เกิดทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ 6 ประการ ปวดขี้เยี่ยว เจ็บป่วย วิบากกรรมไล่ทัน ทุกข์เพราะหางานมาทำ ทุกข์เพราะเกิดแก่เจ็บตาย ทุกข์นี้คุณไม่ได้มีน้อยใจเสียใจ ไม่มีทุกข์ที่จิต ท่านรู้ว่าควรอาศัยจิตแบบไหน นอกจากพูดแล้วทำได้ด้วย

 

ผู้ไม่ลึกลับในจิต เจตสิก รูปนิพพานแล้ว จึงยอมรับว่าเมื่อเราไม่ปรินิพพานก็รู้ว่าอะไรที่เรามี แล้วอะไรที่เราไม่มี ที่ทำความดับสำเร็จ แม้วัตถุสมบัติก็ไม่มี อาการจิตเศษธุลี อโศกะ วิรชะ ก็ไม่มี แม้จะเล็กเท่าธุลีหมอง (อโศกะ) หรือระชะ (ธุลีเริง) ก็ไม่มี มีก็ได้ไม่มีก็ได้ ถ้ามีก็มีอย่างวิเศษ ความโศกเราไม่เหลือเลย แต่วิรชะ นั้นมีก็ได้ไม่มีก็ได้ แล้วแต่เราจะประมาณ เรากำหนด มุทุตา ลหุตา ชรตาได้ เราเอาเบาหรือแรงเท่านี้ก็เรากำหนดได้ อยู่กับวิการรูป 3 และประมาณ กายวิญญัติ วจีวิญญัติได้ ปรุงแต่งกับภายนอกได้ เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น ทำโดยประมาณเป็น หรือจะมีแต่วจีสังขาร ท่านก็ปรุงมากหรือน้อยก็แล้วแต่ท่านจะดำริ

 

เมื่อเช้าคุยกับเทวดา ว่า เรือที่อยู่ที่บ้านราชฯที่มันพังลง อยู่บนเนินน่ะ มันยอดนะ จะสื่ออัตตาได้ สื่อตถตาได้ มันเป็นเรือเอี้ยมจุ๊นลำใหญ่เลย แต่มันทรุดเสื่อมให้เห็นคาตาเลยนะ หัวมันพังลงมาเลย อนิจจัง ชรตา อนัตตา ตถตา เลย ตกลงก็จะใช้เป็นอุปกรณ์แสดงศิลปะชนิดหนึ่งเลย มันอยู่ติดถนนเลย เขียนป้าย โดยใช้คำว่า อนิจจตา  ชรตา อนัตตา ตถตาเลย ให้ช่วยกันโหวตดู จะใช้คำไหน?

 

คะแนนตถตามาอันดับหนึ่ง ได้ 25 คะแนน ส่วนคะแนนอนัตตามาอันดับสองได้ 24 คะแนน  อนิจจตา มาอันดับ 3 ได้ 23 คะแนน ส่วนชราตามาที่ 4 คือ 18 คะแนน

 

สรุป ได้ป้ายติดเรือนี้ว่า ตถตา ….


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:15:00 )

571209

รายละเอียด

571209_พุทธชีวศิลป์(20) วนบ.เรื่อง การศึกษาสองอย่างคือไฉน

พ่อครูว่า...วันนี้วัันอังคารที่ 9 ธ.ค. 57 จะสิ้นปีแล้ว พวกเราสอบกันแล้วรู้ผลหรือไม่นะ จะมาแจ้งวันเสาร์นี้ อาตมาอ่านดูข้อสอบแล้วอาตมายังสอบตกเลย เห็นข้อสอบแล้วที่นี่ไม่ใช่ของเล่นธรรมดานะ คือการก็ศึกษา แม้เป็นครูก็ศึกษา อาตมาก็ศึกษา การศึกษามีสองอย่าง

1.ศึกษาตนเอง แล้วศึกษาอะไรในตน ก็ศึกษากิเลส แล้วทำกิเลสให้หมดนี่คือหน้าที่ของตน การศึกษาของตนนี่มีที่จบทำกิเลสหมดก็จบกิจ

2.การศึกษาสังคม ศึกษามวลมนุษยชาติ ศึกษาโลกทั้งปวง เป็นการศึกษาที่ไม่จบง่ายๆ โพธิสัตว์ต้องศึกษาอีกยาวนานมาก

ก่อนอื่น เราต้องรู้ว่าต้องศึกษาอะไร เราเกิดมามีชีวิต เราต้องเจอวิบากต่างๆ หลายอย่างเราไม่อยากเจอเลย แต่ก็ต้องเผชิญ ต้องเจอ หลายอย่างไม่คิดว่าจะได้เจอ ก็เจอ ก็ดีเกินคาด ศาสนาพุทธมีกรรมวิบาก เป็นอจินไตยมากมาย ที่เราได้สั่งสมไว้ แล้วออกผล แบ่งเป็นสองทิศง่ายๆ คือวิบากดีกับวิบากเลย

 

ก็พาให้แต่ละชีวิต อัตภาพ กว่าจะปรินิพพานนั้นกี่ล้านชาติ ที่พูดนี่เรื่องจริงนะ ไม่มีใครหรอกที่จะน้อยกว่าล้านชาติกว่าจะปรินิพพาน กว่าจะรู้โลกุตระ แม้โลกุตระที่พบแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเร็วกว่าจะบรรลุ ก็ใช้เวลาไม่น้อย ยิ่งจบแล้วเราจะต้องศึกษา ถ้าเป็นโพธิสัตว์ต้องศึกษาโลกวิทูกว่าจะรู้ กว่าจะจบกิจ ก็ต้องเผชิญกับวิบาก นอกจากจะไปศึกษาแบบฤาษี

 

ฤาษีเขานึกว่าตนเองจบกิจ หลายรูปว่าชาตินี้ชาติสุดท้าย นี่ซวยส่วนมากไปนั่งติดหลับดับ พวกนี้ก่อนจะตายก็ทำนิโรธดับ แล้วก็ดิ่งไปอีกนานเท่านาน เขาดับความหมุนของโลก แล้วไม่มีขันธ์ 5 ด้วย ก็นานมาก อาตมาไม่ได้ไปติดเช่นเขา เหมือนพระพุทธเจ้าว่าท่านไม่เคยไปอยู่สุทธาวาส 5 เป็นลักษณะส่วนตัวที่จมดิ่ง

 

พระพุทธเจ้าพาเราศึกษา ที่อาตมาพูดทุกวันนี้เป็นเรื่องปรมัตถธรรม เป็นสภาวะ แล้วอาตมาก็ตามหาภาษาเพื่อมาใส่กับสภาวะที่มี ของเราเรียนรู้เพื่อปฏิบัติจริง ไม่ใช่เรียนรู้เพื่อทำตำรา หรือทำวิจัยเลื่อนชั้น เราก็ไม่เรียนเช่นนั้น เราเรียนเพื่อรู้ พยัญชนะก็สื่อสภาวะ

 

ให้พยายามระลึกสภาวะที่เราได้รู้แล้วลึกซึ้งไป แล้วพยายามปฏิบัติมีแบบฝึกหัดให้เราได้เข้าใจสภาพเช่นนั้น จะจบกิจได้ก็อยู่ที่ความจริง อันใดดีซาบซึ้งก็พากเพียร แล้วจะปลดปล่อยหลุดพ้นได้

 

การสอบที่จะต้องตรวจมาตรฐานสื่อด้วยภาษา แม้แต่สอบเราก็ไม่ใช่จะตอบตรงสภาวะ เพราะคำนั้นก็ใช้ซำ้กันเพราะมันละเอียดไม่มีภาษาจะใส่ได้ละเอียดกว่านี้อีกแล้ว

 

อาตมาเอาจากหนังสือ เราคิดอะไร เล่มใหม่เอี่ยม หยิบมาเป็นไกด์นำ แล้วจะอธิบายไป เอาคอลัมน์ คนจะมีธรรมะได้อย่างไร ล.283 นี่แหละ

 

...ความเป็นผี เป็นเทวดาที่เราจะเรียนรู้กันให้สัมมาทิฏฐิ ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนที่หมายถึงวิญญาณแท้ ปรมัตถธรรม ชาวพุทธทุกวันนี้เข้าใจเรื่องวิญญาณ เป็นเทวนิยม เกือบหมดแล้ว เห็นผิดไป เห็นวิญญาณเป็นแบบมีตัวตน เป็นเทวนิยม เป็นรูปร่างสีสัน เป็นผี เป็นเทวดา เป็นเปรต แบบตัวๆ ไม่ใช่เห็นวิญญาณแบบที่พระพุทธเจ้าสอนกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า มโน นั้น อสรีระ คือไม่มีรูปร่าง ในพระไตรฯล.5 ข้อ 23 มีว่า มโน นี่ อสรีรัง หรือวิญญาณนั้น อสรีรัง อนิทัสสนัง อนันตัง สัพพโตปภัง

 

อนิทัสสนัง แปลว่า เห็นไม่ได้ ไม่อาจมองเห็นได้

อนันตัง คือไม่มีกรอบขอบเขตจึงไม่มีรูปร่างให้เห็นได้

สัพพโตปภัง คือกระจายอยู่ทั่วไปเหมือนแสงสว่าง

 

นี่คือธาตุวิญญาณเป็นเช่นนั้น แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสเช่นนี้ แต่เขาก็มิจฉาทิฏฐิ วิญญาณผี เทวดาก็ว่าเห็นรูปร่างโฉมกาย เหมือนตาเนื้อเห็น บางคนก็เห็นในภวังค์ หลับตาเห็นในใจ บางคนก็เห็นข้างนอกเลย มีส่ิงที่เป็นตาเห็น สัมผัสได้ เหมือนเห็นดิน น้ำ ก้อนแท่ง มีสัมผัสเหมือนสัมผัสทางทวาร 5 เลย แม้จะหลับตาเขาภวังคก์เห็นแสงสี รูปโฉมของผี เทวดา มีทั้งสองแบบ เช่นเห็นเปรต เป็นรูปร่างตัวสูง พุงโต ปากจู๋ มันอยากกินมากๆ แต่กินไม่ได้ แขนยาวคว้าได้มาก เห็นเทวดาก็เหาะได้ลอยได้ จะกินอะไรก็กินได้เลย มันสบาย ทำให้คนอยากเป็น บางสำนักเห็นเทวดาต่างชาติด้วย เห็นเป็นรูปทิพย์กายทิพย์ แถมบอกว่าคนเห็นนี่เป็นผู้วิเศษเก่งมาก ใครเห็นได้แม้ไม่ต้องนั่งสมาธิ ก็ยิ่งว่าเก่งมากขึ้นไปอีก มีตาทิพย์ เขาเชื่อกันเช่นนี้ แล้วเขาก็เห็นจริงๆด้วย

 

เขาเห็นผี เทวดา เป็นรูปกาย คือรูปที่ถูกเห็นด้วยญาณ เป็นองค์ประชุมของรูปและนาม แต่ถ้ารูปรูป ที่เห็นนี่ไม่มีนามธรรมร่วมด้วย การเห็นผี เทวดา ก็คือเห็นเหมือนฟักข้าว เห็นผีก็ไม่นึกถึงวิญญาณ ว่ามันชั่วเลวอย่างไร เทวาดก็ดีอย่างไร เขาเห็นกันก็รู้ง่ายๆว่า ผีก็ชั่ว เทวดาก็ดี พระพุทธเจ้าเรียกว่า มโนมยอัตตปฏิลาโภ เป็นตัวตนที่สำเร็จด้วยใจ การเห็นเพียงโครงร่างก็แค่กายสังขาร คือกายที่ปรุงแต่งเป็นรูปร่างกระดุกกระดิกได้ แต่ไ่ม่ได้เข้าไปศึกษานามธรรม เขาเห็นเทวดา ผี เป็นสัตว์ตัวอื่นข้างนอกไม่ใช่ตัวเรา นี่ก็คือผี เทวดาที่ไม่จริงเลย ไม่เคยจริงเลย แต่ที่จริงแท้คือเทวดาหรือผีที่อยู่ในจิตเรา นี่คือตัวแท้เลย สำนักไหนก็บอกว่าจิตเรามีกิเลส แต่ว่าเป็นผีเทวดาตอนเป็นไม่เป็น ต้องตอนตายไปแล้วจึงเป็น ผี เทวดา

 

สวรรค์ในอก นรกในใจ เขาก็ว่าเป็นเพียงสมมุติ ไม่ศึกษาไม่เรียนรู้ ต้องไปเรียนรู้ตอนตายแล้ว เท่านั้น ก็ไม่ได้ศึกษาอาการจริงในใจ ตอนชั่วในปัจจุบันขณะเลย เขาจะดับกิเลสก็เป็นสมถะ สอนให้นั่งหลับตาดับ นิ่งไม่ปรุงแต่งแล้วจะหมดกิเลส ถ้าจะหมดก็ตอนเรานั่งแล้วมันปวดเมื่อย มันไม่ขยันนั่งก็พยายาม ว่านี่คือกิเลส ก็ต้องสู้กับกิเลสตัวนี้ หรือมันปวดเมื่อยก็ต้องนั่งทั้งวันทั้งคืน นี่แหละเก่ง อธิบายกันอย่างนี้ ถ้านั่งแล้วทนได้ ขยันแล้วก็มีใจทนนั่ง ไปติดสงบ ก็เลยคิดว่าหมดกิเลสแล้ว ว่าพอนั่งไปก็สงบ เก่งเร็ว ดับเป็นนิโรธได้ หนักเข้า ก็ว่าตนเป็นอรหันต์แล้ว นั่งทีไรก็สงบนิโรธ ก็สักวันก็ว่าตนเป็นอรหันต์แล้ว จะประกาศตนหรือไม่ก็ว่ากัน แล้วที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง จิต เจตสิกต่างๆก็ไม่ได้เรียนรู้ แจกแจงไ่ม่ได้ ขยายอย่างที่อาตมาทำนี่ไม่ได้ พวกเราก็คงเคยไปศึกษาสำนักอื่นมาบ้าง

 

เมื่อตากระทบรูปปุ๊ป ก็ปรุงเป็นวิญญาณเลยต้องเรียกว่ามันเป็นสัตว์ก่อนเลยเพราะปรุงเป็นอวิชชาตามสังขารธรรมชาติ ก็เกิดองค์ประกอบของรูปและนาม ที่ไปเชื่อว่ามีแต่แค่รูปร่างโครงนอกไม่มีความรู้สึกก็ศึกษาต่อไม่ได้ หรือไม่ก็ไปเห็นวิญญาณนอกตัว หรือคิดว่า กายสังขารคือ โครงร่างเท่านั้น ก็จบเห่ ทั้งที่สำคัญที่สุดคือนามธรรม เพราะมโนเป็นประธานของส่ิงทั้งปวง  ตามปฏิจจสมุปบาท

 

เพราะความไม่รู้ คืออวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร มีวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ ซึ่งสังขารเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เขาเข้าใจแยกว่ากายสังขารคือมีแต่ภายนอก แต่จิตสังขารมีแต่ภายใน ก็เลยขาดกันไม่เนื่องกันเลย แต่ที่จริงมันต้องมีทั้งนอกแล้วมีจิตร่วมรับรู้ พร้อมกิเลสไปด้วย คือกายสังขาร เราต้องเรียนรู้อันนี้ เรียกว่า อบายภพที่อยู่ในกามภพนั่นเอง มันสังขารด้วยกิเลสเราก็เรียนรู้อภิสังขารคือปุญญาภิสังขาร

 

เบื้องต้นก็ถือศีล 5 เป็นบาทฐานปฏิบัติ เกี่ยวข้องสัมผัสภายนอก ก็ดูว่าใจเรามีแวบวาบไปตามที่ผัสสะ อันที่มากระทบ ในฐานศีลของเรา แล้วก็อ่านจิตเราที่สัมผัสที่เรากำหนดไว้แค่นี้ เราก็รู้จักกิเลส กำจัดกิเลสได้ กิเลสก็ลดลงๆ ดับหมดไม่เกิด แต่ก่อนนี้เรากระทบภายนอก ในโลกอบาย กามคุณ เราก็เกิดสุขทุกข์ แต่เราได้ดับสมุทัยได้ กายสังขารเราก็สงบ

 

เร่ิมต้นเป็นโสดาบัน อบายภพก็ดับ จนจิตเราแข็งแรง สัมผัสก็อปุญญาภิสังขาร องค์คุณอุเบกขาแข็งแรงขึั้น เราก็เพ่ิมฐานศีล เป็นศีล 8 ศีล 10 ได้ จนไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์จนมีใจเมตตาได้ หรือว่าศีลข้อ 2 แต่ก่อนเราก็โกงกับเขา ต่อมาเราก็ไม่เอากับเขาแล้ว เราเพ่ิมจากศีล 5 เป็นศีล 8 ก็เป็นสกิทาคามี ได้เต็มตัวก็เป็นสกิทาฯเต็มตัว แต่ก่อนเรากินกันเป็นมื้อเป็นคราวส่วนใหญ่ แต่เดี๋ยวนี้เราก็เสื่อมไปมาก ขนมก็แย่งกับเด็ก นี่เราต้องกำหนดตนเอง กรรมฐานตน เพ่ิมอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ถ้าเราไม่เพ่ิมก็ไม่เจริญ ปล่อยให้กิเลสละลาบละล้วงเราอยู่เรื่อยๆ นี่คือเพ่งเพียร ไม่ใช่เพ่งเพียรคือไปนั่งสมาธิ เพ่งเพียรคือเพ่ิม กรรมฐาน เรา

 

เมื่อกายสังขารเลื่อน จากสกิทาคามีเป็นอนาคามี ก็จบกายสังขาร แต่ไม่หนีโลก อยู่กับโลกอย่างเหนือโลก กายสังขารนั้น ปัสสัมภยัง อนาคามีมีนิโรธ ทางกายสังขารแล้ว อยู่เหนือมันแล้วสบาย แล้ว บางองค์จบกิจ มีอรหัตตผลในสกิทาคามีได้ ก็เหลือแต่จิตสังขาร มีรูปราคะ อรูปราคะ ต่อให้เรียนรู้อีก เป็นขั้นตอนไป ก็ตั้งกรรมฐาน ตั้งอธิศีลของตนไป เพราะรู้ฐานของตน สารพัดกิเลสก็รู้หยาบ กลางละเอียดแล้ว รู้ส่ิงที่เราอยู่กับอุปโภค บริโภค

 

อนาคามี รู้ทันหมดในทรัพย์ศฤงคาร ก็เหลือแต่ศักดิ์ศรี แวบเป็นราคะ หรืออุปกิเลสสายโทสะที่ลึกซึ้ง เป็นมัจฉริยะ มายา สาเฐยยะ ถัมถ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ ก็เรียนรู้รายละเอียดของตนเป็นจิตสังขาร

 

ภาษาที่ว่าจะเข้านิโรธ นั้น วจีสังขารเกิดก่อน แต่เมื่อจะออกไปก็เร่ิมจากจิตสังขารก่อน เป็นมโนปุพพังคมา ธัมมา แล้วค่อยออกไปกายสังขาร วจีสังขารเกิดทีหลัง

 

ต่อไปเป็นการถามประเด็น

 

_เมื่อหลายวันก่อน ปั่นจักรยาน เกิดจิตหม่่นหมองโดยไม่ทราบสาเหตุ ซักพักเห็นหญิงชราแบกของ ใจหนึ่งก็คิดจะช่วย แต่อีกใจก็คิดว่าเราก็กำลังจะไปทำดี เอาบทความฟรีไปส่ง แต่ความรู้สึกอยากทำดีในปัจจุบันก็ชนะ ก็เลยพ่วงเอาหญิงชราไปส่งให้ หญิงบอกว่า รถที่มาส่งปล่อยแก่ให้ลงห่างไปประมาณ สามกิโลเมตร เมื่อผมส่งแกเสร็จ ปรากฏว่าจิตใจที่หม่นหมองหายไป ก็นึกโดยปฏิภาณว่า แต่นี้ต่อไปหากจิตใจเราหม่นหมองก็จะหาเรื่องช่วยคน คำถามว่า จิตหม่นหมองหายไป แล้วช่วยไปแล้ว ไม่กลับมาหม่นหมองต่อ

ตอบ...มันเอามาแลกเปลี่ยนกัน ได้ทำความดี แต่นี่ไม่ใช่บุญทีเดียว จะเรียกบุญก็เรียกว่ามันตระหนี่แรงงาน ขี้เหนียว เห็นแก่ตัว ทีนี้พอมันได้คลายความขี้เหนียวได้ช่วยเขาเสีย มันก็เลยได้แก้ไข ได้ปีติ ก็ได้ปลดปล่อยก็หายไป ผ่องใส หยุดหม่นหมอง ไม่เสียหาย  แต่คุณตะกละความดีก็ทำไปได้ปีติ แต่ไม่ได้เรียนปรมัตถ์

 

_ต่อมาไปประท้วงที่ปตท.ได้คุยกับคุณสมาน ศรีงาม ก็ถามไปตามประสาผมว่า...อ.ประเสริฐที่สอนอ.สมานสอนว่าอย่างไร? อ.สมานว่า ก็ทำดีไป แล้วมันก็จะดีเอง จิตจะว่างเองประมาณนี้

ตอบ...ก็สอนแบบเทวนิยมอย่างนั้นแหละ ไม่ได้เรียนรู้ปรมัตถ์หรอก

 

_นามมี 5 อย่างที่ให้เรียนกัน แต่ที่จริง นามไม่ใช่มีแค่นี้ แต่เอาแค่ 5 อย่างนี้มาขยายเรียนกันก็จบได้ ส่วนรูป มีอุปาทายรูป 24 และมหาภูตรูป 4

 

เวทนา สัญญา เป็นตัวหลักของ เจตสิก 3 ของวิญญาณ(เวทนา สัญญา สังขาร)


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:16:48 )

571210

รายละเอียด

571210_สรรค่าสร้างคน(20)วนบ. เรื่อง ตรวจความเป็นโสดาบันในตน

คนเรารู้ว่าสิ่งดีคืออะไรก็พอรู้ แต่ทำไมไม่ทำ ก็เพราะกิเลส และกิเลสของเพื่อนฝูงพาไปอีกสารพัด หนักหนาสาหัส ไม่คำนึงกุศล อกุศล บาป บุญ เอาแค่เรื่องโกหก ก็คิดว่าเป็นเรื่องสามัญ ไม่นึกว่าเป็นอกุศล เป็นบาป เขาโกหกหน้าตาเฉยยินดีด้วย ยิ่งได้ลาภยศมาเสริมก็โกหกได้ทันที

 

อกุศลเกิดเมื่อได้เมื่อนั้นก็บาป ปากเปราะง่ายโกหก หากไม่โกหกอย่างเดียวสังคมประเทศชาติเจริญ จนเขาจะไม่เชื่อกันเลยว่ามีด้วยหรือคนในโลกที่จะไม่โกหก ย่ิงพวกเรามุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน มาจนจริงๆ เขาก็จะว่ามีด้วยหรือ มาจน

 

ทุกวันนี้เราอยู่กับสังคม ก็ไว้ใจสังคมไม่ได้เลย เผลอไม่ได้ด้วย แต่เราก็มีชีวิตสังคมเราที่เป็นไปได้วิวัฒนาการตามลำดับ เรามั่นใจว่าเราฝากชีวิตไว้กับสังคมกลุ่ม พึ่งเกิด แก่ เจ็บตายกันได้ อาตมาว่าคิดถูกจริงๆที่หนีจากสังคมโลกที่ไล่ลาโลกธรรม ออกมาตั้ง 36 ปีแล้ว คิดถูกที่สุด ดีที่สุด ยืนยันเลย เสียดายที่ไปหลงตั้ง 36 ปี มาเร็วกว่านี้ไม่ได้ ทุกวันนี้ก็วิ่งไล่เวลา เวลาไม่พอ จิตมันมีศรัทธาแน่ใจ แต่ติดที่กิเลสเราทำให้เราเป็นไม่ได้ตามที่เราเข้าใจ แล้วเราตั้งใจจะเป็นด้วย อย่างโลกีย์เราก็ไม่ได้สงสัยอยากเป็นด้วย ทุกคนก็คงอยากได้อย่างนี้ แม้คนหลงก็ตาม ตรวจจิตจริงๆของเราเลย มันอยากเป็นแต่กิเลสเราทำให้เราไม่ได้ดีอย่างนี้

 

คนมีจิตจริงอย่างที่อาตมาว่านี้เจริญ ไม่เสียชาติเกิด ยิ่งมามีหมู่กลุ่ม มีระบบทฤษฎีรูปแบบ เราก็นำพากันไป อย่างพวกเรามากัน ชีวิตนี้ไม่เสียหลาย แล้วทฤษฎีต่างๆที่พระพุทธเจ้าสอน ในพระไตรฯ ย่ิงเห็นว่าสุดยอดเลย อาตมาว่าเราทำมาถูกทางแล้ว ตรงสอดคล้องกับพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ลักษณะเด่่นคือ

1.มาเป็นคนจน

2.เป็นคนไม่หนีจากสังคม

3.มีความรู้ความสามารถพึ่งตนรอดในสังคม

4.เป็นคนจนที่ได้ช่วยเหลือสังคม เสียสละจริง

 

ไม่ใช่เอาสังคมเป็นเครื่องล่าโลกธรรม อัตตา ผู้ใดชัดเจนมุ่งมั่นเช่นนี้ ขอคารวะจริงๆเลย ใจอันนี้เขาเรียกว่า ใจโสดาบัน คือจิตเข้ากระแสโสตาปันนะ แม้คุณจะกระโผลกกระเผลกในสังคม แม้ไม่ได้มาตรงนี้แต่จิตเป็นแล้วก็เข้ากระแส มุ่งมั่นอยู่ แต่ถ้ายิ่งมาที่นี่เลยดำเนินไปนะ คนเป็นโสดาบันเราตรวจสอบว่า เรามีศีล 5 เราได้อย่างน้อย 75% ไม่ละเมิดกาย วาจา ใจ  75%ได้ นั่นคือโสดาบันแท้ พระพุทธเจ้าตรัสโลกุตระ อาตมาชัดเจนเลย ยืนยันในพระไตฯ ยืนยันโลกุตระ 46 รู้จัก กายในกาย

 

หรือในอานาปานสติสูตร ยิ่งชัดเจนยิ่งกว่าอะไรดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไล่มาเลย ตั้งแต่คนที่เป็นพระขีณาสพ ถ้าปฏิบัติอานาปานสติให้มากแล้วจะเจริญอะไร หรือเร่ิมต้นโลกุตระบทที่ 1 สติปัฏฐาน 4 เป็นกายในกาย คือข้อแรกเลย เป็นโลกุตระข้อแรกในโลกุตระ 37 ก็คือเป็นอาริยบุคคลแล้ว

 

ตอนนี้ ผู้รักษาการ สังฆราชเมืองไทยบอกว่าต้องให้เป็นหมู่บ้านศีล 5 กัน ฟังแล้วก็ชื่นใจ แต่อย่างชาวอโศกนี่เป็นหมู่บ้านศีล 5 เป็นอย่างน้อยกันเป็นปกติ เอาจริงเอาจังทำมานานจนทุกวันนี้ ใครบกพร่องก็ไล่ออกไปก็มี การปฏิบัติศีลก็ให้เกิดจิต ตามกรรมฐาน ฐานะของตน ศีล 5 เป็นเบื้องต้นให้เกิดมรรคผล จนจิตเข้ากระแส โสตาปันนะ ต่อด้วยอวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ ไปตามลำดับ

 

ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ ก็เข้าสู่โลกุตระไม่ได้ ถ้าสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติแล้วอย่างน้อยได้โสดาปัตติผล เราทำมานี่ไม่ได้มานั่งแฝงหรือทำอะไรไม่ดี มาตรวจสอบได้ เราทำมากว่า 30 ปีแล้ว  เมื่อละความดำริพล่านได้ จิตก็นิจจัง ทุวัง สัสตัง พระพุทธเจ้าสอนไม่หนีผัสสะ แต่อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นได้ ไม่หนี ปฏิบัติมีองค์ประชุม มีกาย เราก็เหนืออบายมุขอยู่ เราอยู่กับอบายมุข แต่จิตเราเหนืออบาย เป็นเครื่องยืนยันว่า เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

เร่ิมตั้งแต่โสดาบัน เลิกทุจริตแล้ว ก็อาจมีโลภโดยสุจริต เขาอาจมีจิตรุนแรง แต่ไม่ละเมิดกฎหมายศีลธรรมหยาบ ไ่ม่ทำแน่นอน แม้ไม่โกหกข้อเดียวนี่แหละคนชนิดนี้ มาเป็นตัวบริหารประเทศหรือทำธุริกิจในประเทศ ตั้งแต่ข้าราชการ พ่อค้า นักผลิตในสังคม เป็นคนไม่โกหก ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเรา เท่านี้บ้านเมืองก็เจริญแล้ว ไม่ยากเลย

 

แม้จิตจะไม่เข้ากระแส แต่ปฏิบัติได้สัมมาทิฏฐิ จะมีอัปปมัญญา 4 หรือพรหมวิหาร 4 บ้านเมืองจะเจริญกว่านี้มาก เพราะจะไม่งมงายด้วยเทวนิยม จะมีพฤติกรรม กาย วาจาที่เมตตา แม้จิตไม่ถึงโลกุตระ ยกตัวอย่างชาวอโศก ใครก็ตาม บอกไม่ได้ว่าเราเป็นโสดาบัน แต่ว่าเราอยู่ด้วยเมตตา กาย วจี กรรมกัน เรามีลาภธัมมิกา สาธารณโภคีทำมาหลายสิบปี แม้หลายคนก็รู้สึกฝืนอยู่ แต่องค์รวมค่าเฉลี่ยอยู่กันอย่างสารณียะ เป็นหลักฐานพิสูจน์ยืนยัน อาตมาสอนอย่างปัญญา แล้วมีเจโตด้วย

 

สายที่มีแต่ปัญญา ฉลาดแต่จิตไม่จริงก็วอบแว่บ ถ้าจิตจริงจะมุ่งมาเลย ไม่ไปไหน ในพรหมวิหาร 4 ต่อจากโพธิปักขิยธรรม หากสัมมาทิฏฐิ ก็เป็นโลกุตระลำลองหรือเข้าขีดโลกุตระ ถ้าไม่ชัดเจน แต่ถ้าปัญญาชัดเจนก็เป็นโลกุตระเลย

 

ต่อจากอัปปมัญญา 4 ก็มีสัญญากำหนดวิธีปฏิบัติ มีอนุสสติ 3 มีอนิจจสัญญา อสุภสัญญา

 

อสุภสัญญาคือรู้ทางโลกีย์เป็นอสุภะ เห็นทางโลกุตระเป็นสุภะ แล้วจะเห็นว่าโลกียะมันอนิจจัง

 

โดยตรรกะก็รู้ว่า ทุกอย่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตายแล้วเอาไปไม่ได้ คนเป็นพุทธก็พูดกันได้แทบทุกคน แต่ใจจริงเป็นอย่างไร การพากเพียรคือใช้สัญญากำหนดเสมอ พิจารณาไตรลักษณ์ว่าเราอยู่กับอะไร จะเอาอะไร ไม่ว่าจะเป็นอาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ ก็กำหนดรู้เสมอๆ

 

ทุกวันนี้อาชีพรักษากฎหมายไม่โกงกิน เขาประกาศกันทั่วโลก แต่ความจริงคือโจรร้าย เขาไม่กล้าเปิดมาหมดกระบินะ ยุคนี้ดีจังเลย กรุโจรใหญ่แตก โจรในคราบผู้รักษากฎหมายแต่เป็นโจรเสียเอง กรุแตก แต่มันชี้บ่งความเป็นประเทศไทย เป็นสถาบันที่ยาวนาน แล้วมีคนพูดว่ากรุทีี่ใหญ่กว่านี้เปิดไม่ได้หรอก เพราะถ้าต่อไปอีกจะหมดทั้งกรม

 

ยังไงก็ขอพึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาหน่อย ใส่วิญญาณเปาปุ้นจิ้น อาตมาจะช่วยแบกเครื่องประหารหัวสุนัข อาตมาพูดไม่ได้พูดด้วยหนำใจมีจิตรุนแรง แต่อาตมาเป็นนักธรรมะ อาตมาทำด้วยสัปปุริสธรรม และมหาปเทส 4

 

อาตมาโดนเล่นงานตั้งแต่เจ้าคุณประยุทธ์เขียนหนังสือจัดการอาตมา มหาเถระก็จัดการต่อเลย อาตมาก็ไม่ได้โกรธเคืองท่านถือสาท่าน อาตมาก็เขียนจดหมายขอบคุณท่านด้วย ในจดหมายอาตมาก็ติงท่านไว้ว่า ในฐานะที่ท่านมีปากเสียง ท่านแรงกว่านี้หน่อย อาตมาเชิงติท่านว่าเบาไปหน่อย ให้ท่านแรงกว่านี้หน่อย แต่ท่านไม่กล้า ขออภัยท่านไม่ใช้สัปปุริสธรรม มหาปเทส ถ้าท่านใช้จะประมาณได้ ต้องรู้ว่าฐานะอย่างท่านเป็นอย่างไร อาตมาไม่มีน้ำยาอะไร แต่มาวันนี้อาตมาสะสมเหตุปัจจัยจึงปรุงออกมาได้ขนาดนี้ อาตมาก็ใช้สัปปุริสธรรม มหาปเทส ไ่ม่อย่างนั้นไม่ได้ผล อาตมาจึงทำอะไรไม่ได้ทำด้วยคะนองเลอะเทอะ ไม่ใช่ อาตมาว่าทำได้ผลแต่ทีละนิด เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น ก็เอา อาตมาก็พยายาม เอาจริงให้ยิ่งกว่าแค่น

 

ตอนนี้ยุคนี้ก็นึกตามประสาอาตมาว่า...มันน่าจะได้นะ จริงๆอาตมาซาบซึ้งคำว่าประยุทธ์นะ อาตมาก็ติงท่านว่าเบาที่ท่านเป็นนักรบทางธรรม แต่ทางฆราวาสเขานี่ ลีลาท่าทางยุคนี้ต้องอย่างนี้ถึงจะได้ แล้วพวกที่โลกสวย ก็ว่าคุณประยุทธ์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็นอนฝันไปเถอะไม่เข้าใจสัปปุริสธรรม มหาปเทส

 

เมื่อใช้อานาปานสติ ก็เป็นทฤษฎีหลักที่มุ่งสู่จิต ก็ลดด้านนอกลดกาย แต่เข้ามาสู่มโน แต่ไม่ให้ทิ้งมหาภูตรูป ก็อธิบายเนื้อหาว่าลดกายสังขาร ให้ระงับ ก็คือระงับความดำริพล่านอันอาศัยเรือน ก็ไม่มีอื่นหรอก  อานาปานสติ ต้องรู้องค์รวมของการปรุงแต่งกาย แม้อนาคามีก็อยู่กับกามภพ องค์ประชุมครบแม้จิตอนาคามี แต่กายสังขารสบายแล้ว จิตเหนือแล้ว ก็ล้างจิตสังขารต่อ ทำการปุญญาภิสังขาร จนกิเลสหมดเป็นอปุญญาภิสังขาร เป็นอรหันต์สั่งสม อเนญชาภิสังขารต่ออีก

 

อาตมาจะอยู่ที่ไหนอย่างไรก็ทำงานสร้างคนนี่แหละ ให้เป็นอาริยบุคคล การพาทำงานก็เพื่อสร้างคนแม้ทำการศึกษาก็สร้างคน ตั้งแต่ มวช. วศว. จนจำไม่ได้แล้ว แต่จะเกิดจริง เพราะจิตของพวกเราแต่ละคน จนมีพฤติกรรมเป็นอาริยะแท้ เป็นพลังที่ออกไปมีผลต่อสังคม ซึ่งเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ แล้วจะเป็นชมพูทวีปต่อไป เพราะมีมนุษย์ชมพูทวีปอยู่มากที่สุด คือมีสุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส เป็นได้แล้ว เราก็ช่วยกันสร้างอันนี้ให้แก่สังคมประเทศชาติ อาตมาให้พรนะว่า “อย่าถอย”

 

ตอบประเด็น

_ได้ฟังเรื่องคุณประยุทธ์แล้วก็คลายใจ เหมือนบ่งฝีออก

ตอบ..อาตมาว่าเหตุปัจจัยที่มีเนื้อแท้คุณสมบัติเพียงพอจะไปได้ เราไม่มีหน้าที่ดู มันเหลือแต่เราทำตัวแปรที่จะเสริมสู่ทิศทางที่ควรเป็นให้ได้ไม่ต้องเสียเวลาคำนวณสิ่งเหล่านั้น อย่างหมอดูหรือพหมลิขิตที่ว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาเอาอดีีตมาทำนายอนาคต แต่จริงๆตัวแปรปัจจุบันคือส่ิงที่จะเปลี่ยนอะไรได้คือความไม่เที่ยงแท้จริง พรหมลิขิตก็ผิด หมอดูก็ผิด เพราะใช้สถิติของอดีตเป็นตัวพยากรณ์ ไปคำนึงอนาคต เขาเผื่อไม่แม่นหรอก อาตมาชวนพวกเราทำจะเป็นผลแปรให้เปลี่ยนสังคม มั่นใจไหมว่าเราทำเพื่อประชาชนไม่ได้หวังโลกธรรมใดๆ พวกเรานี่แหละมีมวลจริง เป็นหมู่ มาช่วยกันทำให้ดี ให้ได้ผลมากๆ จะเป็นตัวแปรที่คุณหวังหรืออยากให้เป็นไปได้ จะออกกฎหมายอย่างไรก็ไม่เก่งเท่าคนชั่ว ถ้าไม่แก้ที่ลดกิเลสก็วนในอ่าง ดีไม่ดีจะหนักกว่าเก่า  แต่ทีี่เราทำการศึกษาให้เป็นนิตินัยนี่จะเชื่อมเขาได้ อาศัยหลักฐานที่จะพาไปได้ พออาศัยได้ แล้วไม่เสียหลักการเรา

 

_วันนี้ได้ฟังเรื่องพระโสดาบัน จากที่ได้ฟังมาหลายครั้งแล้วอย่างไรที่ว่าจะติดแป้น ไม่พัฒนา

ตอบ...โสดาบันคือเรามีฐานปฏิบัติ ตั้งแต่ศีล 5 มาอยู่รวมกันก็อยู่ในสังคมศีล 5 ในหมู่กลุ่มเรามีศีล 5 อุปโภค บริโภค ก็ไม่เกี่ยวกับอบายมุข มีกินใช้ เราอยู่กับหมู่เราไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ของหมู่ เราก็ไม่ถูกไล่ออกไป แต่เราก็ไม่ขวนขวาย แต่ยังไงหมู่ก็เป็นฐานศีล 5 ส่วนใหญ่แต่เราเองต้องเพ่ิมฐาน ไตรสิกขาเรา

 

การกินอยู่ของพวกเราทุกวันนี้เสียไปหมด ไม่รวมกันกิน พากันแยกไปหมด หมู่ก็ไม่ว่าแต่เสื่อมนะ แม้เรื่องกิน ไปฟังเอาว่าใครจะเคี่ยวเข็ญตนเอง เรื่องโภชเนมัตตัญญุตา หรือมัตตัญญุตา จ ภัตสมิง นี่เป็นหลักปฏิบัติเลย ในรูป 24 ก็มีเรื่องอาหารรูป ให้พิจารณาให้ดีว่าเสื่อมหรือไม่ อย่าว่าแต่เสื่อมเลย ถ้าเราอยู่ที่เดิมก็เสื่อมแล้ว เพราะหมู่เจริญไปข้างหน้าทิ้งคุณไว้แล้ว แต่อาตมาก็ไม่กล้าว่าหมู่เจริญไปทิ้งคุณ

 

_มาเป็นชาวอโศกใหม่ แล้วเราสนุกไปกับหมู่ไป สนุกไปกับงานเป็นกิเลสไหม
ตอบ
...ไมเ่ป็นหรอกไม่เป็นกิเลส  คือเราต้องทำจิตให้อภิปโมทยัง มีสดชื่นเบิกบาน

 

_นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของอวิชชา แต่ก็นับว่าตนเองอยู่กับนิวรณ์ทั้งวัน แต่นึกถึงช่วงเวลาทำข้อสอบก็นึกถึงแสงอรุณ 7 ก็ประทับใจว่าไม่ค่อยมีแรงสู้นิวรณ์แต่ทำใจในใจไม่เป็นแม้รู้หลักการแต่ไม่มีแรง

ตอบ...ต้องพยายามฝึก อุตสาหะพากเพียร ให้จริงในอนิจจสัญญา อสุภสัญญา เวลามีผัสสะ ให้ได้จริงพิจารณาซ้ำย้ำ สองหลักใหญ่ อนิจจสัญญา และอสุภสัญญา เอาให้จริง

 

_มีเรือเอี้ยมจุ๊นที่บ้านราชฯ ลำหนึ่งพังลงมา จะให้โหวตว่าจะใช้ชื่อไหน 1.อนิจจตา 2.ชรตา 3.อนัตตา 4.ตถตา

ตอบ...ตกลงได้ ตถตา เช่นเดียวกับที่สันติอโศก


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:17:46 )

571211

รายละเอียด

571211_ความรัก10มิติ(12)วนบ.พากเพียรปฏิบัติธรรม(ทำ)ที่กายสังขาร

อาตมาได้บรรยายมาถึงมิติที่ 8 … คือมิติของพุทธศาสนา คือความรู้ตั้งแต่มิติ 1 ไล่มา 2 ,3 จนถึง7 เข้าใจมิติต่างๆได้ ว่าความรักที่เราหมายถึงความเห็นแก่ตัว แคบๆ นั้นคืออย่างไร มิติที่ 1 แคบที่สุด รักคนๆเดียว เป็นเรื่องเพศ ยึดติด เป็นอาการทางจิตของสัตว์โลก ไม่ว่าเดรัจฉานหรือมนุษย์ ถ้าติดเรื่องเพศจะไม่เห็นแก่ใคร หน้ามืดตามัว ใครมาแย่งก็เอาตายเลย คนก็ไม่ทิ้งสัญชาตญาณเดรัจฉานเท่าไหร่ ทั้งที่คนควรพัฒนาละความติดยึดพวกนี้ แต่ก็โง่ อวิชชา ถูกกิเลสครอบงำ เป็นรักที่แคบที่สุด จากนั้นก็จะเห็นแก่ผู้อื่นเพ่ิมขึ้น ค่อยคลายความยึด เจริญขึ้น ลดความเห็นแก่ตัวลง ก็เจริญขึ้นเผื่อแผ่สู่ลูก แม้สัตว์ก็มี คนก็มีพัฒนาขึ้น

 

มิติที่ 3 ก็พัฒนาขึ้นเผื่อแผ่ถึงญาติพี่น้อง  พอมิติสูงขึ้นก็กว้างขึ้น สู่สังคมมากขึ้นไป จากสังคมไปก็กว้างถึงรัฐ ถึงชาติ ความเจริญแบบนี้โลกต้องการสังคมต้องการ เป็นความเอื้ออารีกันในวงกว้าง แต่รู้แล้วไม่ทำก็ไม่ได้ ต้องรู้แล้วทำได้จึงครบทั้งนอกและใน ครบกาย คนที่ช่วยคนอื่นได้ก็เจริญ ความรักมิติสูงขึ้น สังคมที่มีจิตวิญญาณมีความรักแบบที่ว่า ที่จำเป็นต้องมี อาตมาจึงนำมาใช้เป็นวิชาการ ศึกษาจริง ให้รู้แล้วทำได้จริง ไม่ใช่เรียนรู้เฉยๆ จนถึงมิติที่ 7 เป็นเรื่องจิตวิญญาณ แม้ศาสนาไหนๆก็เพื่อเห็นแม่ผู้อื่น เห็นแก่มนุษยชาติ เป็นความรักระดับพระเจ้า เป็นเทวนิยม

 

ระดับที่ 8 เป็นระดับโลกุตระนิยม เป็นผู้บรรลุธรรมไปตามลำดับ เลิกอกุศลได้อย่างที่ไม่วนเวียนกลับอีกเลย แต่อเทวนิยมจะไม่ได้ ไม่ได้เลิกบาปแบบ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ส่วนระดับที่ 9 เป็นพุทธภูมินิยม เป็นระดับจบของความเป็นคน เลิกรักเพื่อตัวเองแล้ว ซึ่งในสายเทวนิยมจะไม่รู้ว่าจริงเลย เขาไม่รู้จักเหตุที่ทำให้ตนเลิกเห็นแก่ตัวเลย ที่ฝังในอุปาทาน เขาได้แต่กดข่ม ลืมไป เอาสิ่งดีมาข่มไว้ แต่ไม่ได้เข้าใจความไม่ดี แล้วเลิกความไม่ดี แต่ทำแต่ความดี ก็เกิดสะสมพลังงานเห็นประโยชน์คุณค่าต่อสังคมจริง ก็เลยชอบแล้วทำได้ ก็เลยทำจนแข็งแรง แต่ไม่ได้ล้างเหตุ ส่วนพฤติกรรมภายนอกอาจเหมือนกันได้ ระหว่างเทวนิยมกับเทวนิยม  แต่ว่าของพุทธนั้นไม่เวียนกลับ ทำได้อย่างถาวรยั่งยืน จึงเสียเวลาน้อย สั้นกว่า จริงกว่า สะอาดบริสุทธิ์กว่า เทวนิยม

 

ประเด็นที่ต่างกันระหว่างเทวนิยมกับของพุทธ นั้นคือ เทวนิยมไม่มีทฤษฎีที่เข้าถึงความรู้ปรมัตถ์ จิต เจตสิก รูป นิพพานได้ ของพุทธได้ชื่อว่าประโยชน์ตน คือล้างกิเลสได้ ส่วนเทวนิยมน้ันไม่มีประโยชน์ตน แต่พุทธไม่ได้ปฏิเสธพวกนี้

 

ศาสนาเทวนิยมทำไมไม่ยอมมาเอาศาสนาพุทธ...ยิ่งเขาเป็นศาสนาที่ศรัทธาจัด เขาไม่เอา บางทีต่อต้าน ล้มล้างด้วย ก็มี เหตุที่ไม่เอาก็เพราะว่า

_ไม่มีภูมิปัญญาจะรู้ได้ เพราะมันลึกซึ้ง

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)

 

แต่ผู้มีภูมิธรรมสะอาดพอจะรับได้ แต่อเทวนิยมไม่รับก็เพราะกิเลสของเขา คนที่อเวไนยสัตว์ภูมิไม่ถึงก็ไม่เกี่ยวกับกิเลส แต่ผู้มีปัญญาฉลาดพอรู้ได้แต่ไม่รับเพราะกิเลสเห็นแก่ตัว เพราะไม่ได้เรียนรู้อัตตา ความเป็นตัวกูของกู ศาสนาที่อัตตาจัดจะปฏิเสธศาสนาอื่น นั่นคืออัตตาตีกรอบระมัดระวัง ไม่ให้รับรู้ปิดประตูเลย คนพวกนี้ขาดปรโตโฆษะ เขาก็ไม่โยนิโสมนสิการ

 

ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงปรมัตถธรรม แม้ชาวพุทธก็ไม่เรียนรู้ เพราะไม่ใช่สามัญที่จะเข้าใจปรมัตถ์ สามารถทำใจในใจเป็น ต้องสัมมาทิฏฐิ แล้วต้องได้รับรู้จากผู้มีปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นผู้รู้ได้ด้วยตนเอง รู้ กาย เวทนา จิต ธรรมได้ แม้คนจะฟังพอรู้ แต่อ่านจิตไม่ถึงจิต แล้วภูมิปัญญาที่จะรู้ว่าเรายึด ปัญญาก็ไม่เข้าใจ แต่โดยสามัญ ก็พอรู้ เด็กๆก็รู้ว่ามันไม่ใช่ของเรา แล้วที่ยึดเป็นของเรา ของข้าใครอย่าแตะ แคบจนมิติที่ 0 คืออัตตา แท้ๆ ไม่มีเพื่อใครเลย เห็นแก่ตัวกูของกู ศาสนาฤาษีนี่เห็นแก่ตัวเต็มที่เลย ไม่เห็นแก่ใครเลย

 

เขาไม่รู้จักความเป็นอัตตา ไม่รู้ว่าจิตที่เป็นเราเป็นของเราก็แคบลงๆๆ จนเป็นมิติที่ 0 อย่างพวกฤาษีออกป่าเขาถ้ำ พวกนี้มีภาษาว่าไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แต่พุทธนั้นไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา แต่อยู่กับมันได้ อาศัยใช้สอยได้ มันไม่ยึดแต่อยู่ด้วย แต่ฤาษีนั้นบอกไม่ยึดแต่หนีไปเลย ได้แค่ตรรกะ

 

คนที่มีกิเลสอยู่นี่ ต่อหน้าบอกว่าไม่ วางได้ แต่กลับไปคิดสารพัดจะหาทางเอาให้ได้ แต่เขาไม่รู้หรอก เพราะไม่ได้เรียนรู้สัมมาทิฏฐิ ไม่ได้ฝึกจริงให้รู้ความตลบแตลงของตน เราว่าเราก็วางแล้ว แต่ทำไมมันไปคิดว่าจะแก้ตัว จะเอามาให้ได้อย่างไร ไม่ให้หลุดลอยไปอีก นั่นแหละตนเองคือคนตอแหลกับตนเอง ...ใครเคยตอแหลอย่างนี้บ้าง

 

แต่ก่อนนี้ไม่มีสังคมตัวอย่าง ที่มีวัฒนธรรม หลักการเป็นอยู่อย่างสาธารณโภคี มีรูปธรรมชัดเจน มีตกหล่นบ้าง แต่องค์รวมมีค่าสูง ชัดเจนว่ามีส่วนกลางนะ ในยุคพระพุทธเจ้าทำไม่ได้ในฆราวาส ไม่ครบพุทธบริษัท 4 ที่เป็นสาธารณโภคี  ที่พวกเราทำกันมานี่ จิตมีตัวจริง มีความยั่งยืนมั่นคง มั่นใจว่าในชาวอโศกมี ยิ่งในนักบวชนี่อาตมาว่าได้จริงเยอะ จะมีเศษเสี้ยวที่ต้องออกไปนี่น้อย มีวิบากที่ดึงออกไป ไม่ว่านักบวชหญิงหรือชาย จิตจะเป็นอุภโตภาค มีเจตโสอภินิโรปนา มีจิตที่เป็นประธาน แล้วทำให้เกิดระบบระเบียบ ไม่ได้คิดใหม่นะ แต่ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น อาตมานำมาขยายให้สัมมาอาชีพเพ่ิมขึ้น ซึ่งโลกเขาแสวงหานะ เราได้ถูกกีดกันไม่แพร่หลาย เราก็ตั้งใจไม่ให้เผยแพร่สู่ต่างประเทศ เราไม่ไหวหากกรูเกรียวกันเข้ามา อาตมาไม่รู้ขีดความต้องการของคนเจ็ดพันล้านว่าจะมีเวไนยสัตว์เท่าไหร่ อาตมาไม่มีพุทธุปาทกาละ อย่างพระพุทธเจ้านี่ท่านมีภูมิตรวจสอบภูมิของสัตว์โลกได้

 

ถ้าอาตมาตายไป เชื่อไหมว่าอาตมาจะถูกขุดขึ้นมาชมเชย แต่ก่อนตายอาตมาอาจถูกถลกถล่มก็ได้ เชื่อมั่นว่าที่ทำไปไม่สูญ เพราะมันได้หยั่งลงแล้ว พวกคุณยืนยันได้ ต่อไปในอนาคตก็จะมีคนพูดว่า เจอแล้วหามาตั้งนาน เป็นร้อยปีเลย แต่เราจะพยายามทำให้ไม่ถึงร้อยปี ให้โลกดู อาตมากะว่าถ้าอาตมาอยู่ถึง 151 ปี พวกคุณอยู่ให้ถึงอาตมาเชื่อว่าจะเห็น ความตื่นตัว การเข้าใจอาริยสัจ เพราะจะมีเนื้อมีแก่นที่มากพอจะรับคนที่เข้ามาได้ แต่ทุกวันนี้ไม่ได้เลย

 

อาตมามั่นใจว่าเมื่อปักมั่นลงแล้ว ก็ต้องมาช่วยกัน หากแต่ละคนมีความเจริญธรรม บรรลุไปมากขึ้น อย่างน้อยเราได้ ไม่ได้บังคับเร่งเร้า แต่ให้เข้าใจมีปฏิภาณ ให้พากเพียร

 

แล้วพากเพียรทำอย่างไร? ….ปฏิบัติมรรค 8 โดยปฏิบัติมรรค 7 องค์ ขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 เร่ิมตั้งแต่ กายในกาย คำว่ากายคือองค์ประชุมของรูป และ นาม

 

รูปคือ มหาภูตรูป ภายนอก แล้วเราเกี่ยวข้องก็เกิดวิญญาณ เป็นนามขึ้นมา เรียกว่า กาย เราต้องอ่านรู้ตัวนี้ เมื่อเราสัมผัสแล้วเกิดวิญญาณ ถ้าเป็นวิญญาณผี เราก็รู้ ว่ามันปรุงแต่งด้วยอวิชชา เป็นวิญญาณผี ภาษาอีกอย่างเรียกว่าสังขาร

 

สังขารตัวแรกคือกายสังขาร โดยมีองค์รวมคือ กายวิญญาณอยู่ภายใน ส่วนกายสังขารคือตัวที่เราต้องเรียนรู้ กายสังขารก็คือวิญญาณ เป็นวิญญาณผีก็รู้อ่านให้ชัด พากเพียรเรียนรู้เลย

 

คุณได้พากเพียรเห็นตัวนี้ของตัวเองวันละกี่เที่ยว กายสังขาร หรือวิญญาณผีตัวนี้ ได้อ่านได้เรียนรู้หรือไม่ ถ้าอ่านได้ก็ถูกทางแล้ว ถ้าเป็นอนาคามีก็หมดกายสังขารแล้วที่จะปรุงเป็นวิญญาณผี อนาคามีหมดกามภพภายนอก เหลือแต่จิตสังขาร แต่ความซ้อน กายสังขารเป็นกิเลสตัวใดตัวหนึ่ง เช่นเรื่องเพศ มิติที่ 1 กามนิยม เทวดาหรือผีนี่ วิธีปฏิบัติ ที่เขาเรียนเพี้ยนกันไปในสังคม ว่าวิญญาณเขาเรียนยึดถือแบบภิกษุสาติ คือเห็นว่าวิญญาณเรียนตอนตายไปว่าไปนรกสวรรค์ ก็ไม่ผิด แต่ไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าสอนที่ให้เรียนรู้วิญญาณตอนมีผัสสะเป็นๆ เพราะตอนตายแก้ไขไม่ได้ ไม่มีชมพูทวีปแล้ว อย่างแค่นอนหลับก็ไม่มีสติไปควบคุมมันเลย ไม่มีปสาทรูป โคจรรูปได้เลย ตายไปก็ไปตามวิบาก

 

การเรียนรู้วิญญาณ ต้องเรียนรู้ขณะมีกาย มีวิญญาณ มีผัสสะ 3 ในปัจจุบันแล้วเห็นอาการมันหลัดๆ ถ้าขาดเหตุปัจจัยแล้ววิญญาณไม่มี พระพุทธเจ้าว่าไว้

 

เรื่องกามนี่ กามเทพคือเทวบุตรมาร คือผีนี่แหละ ใครจะสามารถอ่านผีตัวนี้ได้ เรื่องเพศนี่เป็นเรื่องที่ต่อเผ่าพันธ์ แต่การเสพสมสุขสมนี่มันหลอกกัน แท้จริงไม่ได้เป็นรสชาติอะไร บางทีเป็นทุกข์ร้อน ฆ่ากันด้วยในสัตว์บางชนิด แต่คนนี่หลอกกันให้หลงว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น จนพูดกันอย่างไรเขาก็ไม่ค่อยเชื่อ มนต์ของเราไม่มีน้ำเลย เขาไม่ซึมซับเลย แข็งทื่อเป็นก้อน

 

ทำอย่างไรเราจะรู้ว่าผีตัวนี้เป็นกาย ต้องอ่านด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ในกามในการใคร่อยากได้อยากมีอยากเป็น ว่ามันเป็นทุกข์เป็นภัยอย่างไร ละล้างตั้งแต่กามภพ อ่านวิญญาณผีนี่แหละคือที่ต้องพากเพียร แล้วมีวิธีปหานอย่างไรก็ทำสิ พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ได้ จนมันหน่ายคลาย มีพลังปัญญาสูงขึ้น จนมันดับได้

 

ทำอย่างไรเราจะเห็น ก็ต้องอ่าน แม้จะเป็นกามเรื่องอื่น ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด  บางอย่างเช่น สมณะบิณฑบาตมา เด็กๆก็มาดูขนม ต้องมาดู จองไว้แล้ว นั่นเราต้องพากเพียรอ่านจิต แล้วคุณก็ประหารมัน มันเป็นของส่วนกลาง หวงแหนเป็นเจ้าของ ใครทำอยู่แผนกไหน ติดยึด เราต้องฆ่าผีไปเรื่อย ๆ เด็ก ๆ แย่งขนมกัน กินข้าวก็พอแล้ว กินข้าวทุกวัน อย่างขนมนี่ไม่กินมันก็ไม่ตาย แต่ไปหลงมันดีไม่ดีไม่กินข้าวเลยกินแต่ขนม สุขภาพก็แย่ เราล้างผีหมด เทวดาหลอกก็หมด จิตเราก็เป็น อุบัติเทพ วิสุทธิเทพต่อไป เป็นพรหม

 

เมื่อเราเป็นพรหมจะมีปัญญาช่วยเหลือโลก จะเป็นนักบริหาร เป็นนักเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ นักการเมืองที่ดี จะช่วยคนได้โลกได้แท้จริง

 

อ่านอารมณ์ที่มีวิญญาณผี ที่มันจะเอาให้ได้ พอได้มาก็ชอบใจ เป็นเทวดาเก๊ แล้วได้สมใจก็ฝังเป็นผีแท้ที่เป็นอนุสัย ชอบใจติดใจอยู่ตรงนั้น เป็นสัตว์นรกแท้ แต่เทวดาเก๊นั้นแวบเดียวหาย แต่บางที่ก็เอาสัญญามาปรุงเป็นเทวดาเก๊ แต่ที่ติดไปจริงแท้คือผี คืออุปาทานคืออนุสัย เทวดานั้นหมดผัสสะก็หมดแล้ว แต่ระลึกเอาสัญญามาปรุงก็คือขยำขี้ ขี้มันออกไปจบไปแล้วก็เอาขี้มาขยำมากินอีกเอาของเก่ามากิน แล้วบางคนอร่อยกว่าเก่าด้วย เอาสัญญามาปรุงใส่อารมณ์ตน มันมันส์ย่ิงกว่าเพราะไม่ต้องลงทุนลงแรง หลายคนก็เนรมิตเองเสพเองปั้นเองอร่อยเอง งมงาย นี่คืออวิชชามานานเท่าไหร่เมื่อไหร่จะเลิกเสียที

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

_กรรมที่เราทำเสร็จไปเราเรียกว่า วิบากกรรม แต่กรรมนี่เรียกของปัจจุบัน มากน้อย เบาหรือแรงอย่างไรก็คือกัมมสกะ แล้วที่บอกว่าสำรอกนั้น ไม่ได้ กรรมทำแล้วล้างไม่ได้ พระพุทธเจ้ายังไม่ได้เลย การสำรอกกรรมคือการทำกรรมปัจจุบันทำเสร็จแล้วเป็นวิบาก การสำรอกกรรมคือคุณยังทำอยู่ก็เลิกเสียทุกกรรมปัจจุบัน อย่างอรหันต์ท่านไม่ทำแล้ว ในอกุศลกรรม เพราะจิตอกุศลนั้นได้ตายไปหมดแล้ว ไม่มีจิตอกุศลเกิดอีกในใจ ทุกการกระทำของอรหันต์  เนื่องจากได้สำรอกไปตามลำดับ จนหมดเกลี้ยง ก็ไม่มีในทุกปัจจุบัน แต่อดีตที่เป็นวิบากก็ยังตามมาเล่นงานเลย กรรมที่ว่าที่เป็นวิบากก็ไม่ได้หายไม่ได้ลด แต่กุศลเป็นกำแพง เป็น Buffer เป็น Wall ท่านทำกรรมแต่กุศล เป็นกรรมดีทำให้กำแพงย่ิงไกลๆ ท่านมีชีวิตอยู่นานเท่าใดวิบากก็ตามมาเล่นงานท่านยาก แต่มีวิบากบางอย่างก็ตามได้อย่างพระพุทธเจ้า สุดท้ายจะล้างกรรมอดีตได้ต้องปรินิพพานเป็นปริโยสาน เราต้องฆ่ากิเลสปัจจุบันให้ตายไปทุกปัจจุบัน ทำแต่กุศลเป็นกำแพงกั้น ไม่ให้วิบากตามเราทัน กรรมไม่สิ้น แต่สิ้นแต่บาปกับบุญในอรหันต์ แต่ถ้าจะหมดกรรมต้องปรินิพพาน เลิกเลย  

 

_ในการปฏิบัติมีหลายฐานะ ที่พ่อครูบอกว่าต้องไล่ปฏิบัติไปตามลำดับ เป็นความรักมิติต่างๆไป แต่ถ้าคนไม่เคยมีครอบครัวจะศึกษาอย่างไร ท่านเป็นโสด

ตอบ...ก็ศึกษากิเลสมันเกิดสิ มันเกิดมาไม่ได้แต่งงานมันก็ยังเกิดกิเลสเลย แต่ถ้าไม่มีมันก็ดีแล้ว ถ้าคุณไม่มีอาการที่เกิดกามเมถุนกับใครเลย แล้วคุณจะไปแต่งงานทำไม หรือคุณไม่มีญาติ ดีแล้วที่ไม่มีญาติแล้วมาอยู่ในวงนี้ แต่ถ้าไม่มีญาติแต่ไปอยู่วงอื่นลำบากนะ แต่ที่นี่ญาติที่นี่อย่าไปติดยึดห่วงหาอาวรณ์ แต่เอาคนนี้มาเป็นกามราคะนั้นไม่มีก็ดีแล้ว แต่ว่าไม่มีก็เลยไม่ได้ปฏิบัติ แต่คุณรู้นี่ว่าจิตคุณมีไหม? ที่นี่ก็มีผู้หญิง ผู้ชายนะ

 

 

_วิจิกิจฉาคือมันสงสัยไม่รู้ไม้คลายข้องใจ มีสองนัยคือมันงงงงไม่เข้าใจก็สงสัย หรือสองมันรู้แล้วทำได้แล้วแต่ก็ยังสงสัยว่าเราได้หรือไม่ ผลจริงหรือเปล่าหรือว่าหมดหรือเปล่า แต่ถ้าเข้าใจชัดว่าจับกิเลสเราได้แล้วนี่คือกามราคะ คือรักมิติที่ 1 หรือ 2 เราจับกิเลสได้เลย ก็หมดวิจิกิจฉา จะมีสงสัยก็ว่าเราลดได้หรือไม่เหลืออยู่หรือไม่ ทำจนมันหมดสงสัย หมดความไม่รู้

 

_ปฏินิสัคคะ กับปฏินิสสัคคานุปัสสี คืออนุปัสสี ในปฏินิสสัคคะ ซึ่งปฏินิสสัคคะ คือทวนสวรรค์ คือเราล้างตัวผี สัตว์นรก ตัวสวรรค์ก็ลดตาม ล้างสวรรค์ลวงได้ ฆ่าเหตุได้ จนนิสสัคคะ คือไม่มีสวรรค์ เราทำได้ทำซ้ำทำทวนรักษาผล จนนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) อนุปัสสีคือเห็น ตามเห็นว่าเราทำได้ทำแล้วทำอีกจนสมบูรณ์บริบูรณ์ครบหรือยัง จะจบได้หรือยัง ตามรู้ ในอนุปัสสี 4 คืออนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสัคคานุปัสสี

_แล้วจะต่างกันอย่างไรในวิจิกิจฉา กับ ปฏินิสสัคคานุปัสสี

ตอบ...ปฏินิสสัคคานุปัสสีคือทำได้สำเร็จแล้วรักษาผล ทำซ้ำทำทวน แต่ถ้าวิจิกิจฉาคือสงสัยว่าหมดหรือยัง แต่ถ้ามีญาณรู้ว่าดีแล้วแต่ดีกว่านี้ยังมีอีก จนกว่าไม่ต้องทำอีก เป็นอนุตตระจิต ไม่เปลี่ยนแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ องค์คุณอุเบกขา แล้วเราจะอนุโลมช่วยเหลือคนอื่นได้ อนุโลมได้มากขึ้นๆ เราจะรู้ประสิทธิภาพจิตเรา จะช่วยสังคมได้โดยเราก็ยังบริสุทธิ์สะอาดใส มีปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

 

_คนกินมังมานาน 30 ปี มั่นใจว่าตนเองหมดแล้วเรื่องมังฯ แต่ว่าวันดีคืนดีมีคนเอาหมูปิ้งที่เคยชอบมาให้กิน ตนก็เลยลองกินดู ปรากฏว่าอร่อยอยู่ ก็เลยตกใจ ซึ่งตนจะไม่กินก็ได้ แต่จะลองเพื่อให้รู้วิจิกิจฉา

ตอบ...ถ้าเขาจะไม่กินก็ได้ แต่กินเพื่อศึกษา แต่อร่อยก็คือความจำ ไม่ใช่ความจริง เขาจำได้ แต่ตัวเขาไม่ได้อร่อยจริง ก็แสดงว่าเขาขาด แต่เขาจำได้ แต่ถ้ากินแล้วทีหนึ่ง แล้วก็ยังอยากกินอีก เข้าหา อันนี้ไม่ได้ขาดจริง จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ ซึ่งความจริงเราขาดได้ หรือไม่เมื่อทดลองแล้วก็จะรู้

 

_การกำหนดอาการต้องกำหนดเอาเองแต่ละคน มีนิมิตที่กำหนดเอง ดูอาการจิตตน ว่าเราได้ขนาดไหน อาการโกรธ เป็นอย่างนี้ อาการโลภ เป็นอย่างนี้ คุณต้องกำหนดหมายเอาเอง สัญญาเอง ว่าเป็นชนิดไหน แรงหรือเบาอย่างไร?

 

_ผมได้ยินเพลงกระต่ายเพ้อ ตอนที่ผมเคยอยู่ม.2 ที่พี่ชายไปอัดมา ผมก็อยากรู้ว่าเป็นเพลงใคร แล้วมันมีเพลงฟ้าสูงแผ่นดินต่ำออก แต่เพลงกระต่ายเพ้อไม่มี แต่ตอนนั้นผมมีความรักด้วย เพลงนี้เข้ากับอารมณ์ผมมากเลย แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์คุยกัน ตอนกลางคืนผมจะเดินไปหน้าบ้านเธอ ซึ่งอยู่ไกลไป 7 กม. ตอบ...พ่อครูว่า...ไม่ได้แต่งให้คนอกหักฟัง แต่แต่งด้วยอารมณ์ศิลปิน อย่างเพลงผู้แพ้ตอนแต่งก็ไม่ได้อกหักนะ เป็นความแพ้ทุกด้านของชีวิต

 

_ตอนปฏิบัติธรรมใหม่ๆ ก็มีความกลัวไปถึงชาติหน้าว่ากลัวจะไปแต่งงาน ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีวิบากเลย มีอันหนึ่งที่พ่อครูว่าถ้าเป็นตัวจริง กิเลสมันก็ลดได้จริง มีปัญญาด้วย ตอนใหม่ๆก็กลัวจะไม่อยู่พรหมจรรย์ได้แต่ว่าตอนนี้มั่นใจแต่ไม่วางใจวิบาก ในชาติหน้า

ตอบ..อย่าไปกังวลในวิบาก เราตั้งหน้าตั้งตาทำสิ่งที่เป็นกุศล ชำระกิเลสไป ทำบุญได้จะไม่มีเชื้อต่อได้ แล้วเราก็สร้างกุศลเป็นกำแพง เรื่องคู่นี่ไม่ถึงอนันตริยกรรม

 

_สม.กล้าข้ามฝัน ดิฉันมองว่าถ้าเราไม่รัก แม้มีลูกก็คงไม่ทุกข์มาก เพราะความทุกข์อยู่ที่เราไปรักเขาผูกพันเขา  แล้วเมื่อวานฟังเด็กเข้าค่าย ฟังเรื่องของเป็ดที่จะลางานมาอยู่บ้านราชฯ พวกน้องก็ว่าไม่กลัวสูญเสียที่เคยได้หรือ? พี่เป็ดตอบว่าเขาเคยสร้างได้แล้วถ้าอยู่ไม่ได้ก็ไปสร้างใหม่ได้ แล้วคนไม่แต่งงานเห็นทุกข์อะไรจากการมีครอบครัว ก็เห็นว่าเด็กๆที่อยู่ที่นี่ตื่นมาก็ร้องแล้ว หรือเห็นคู่สามีภรรยาที่รักกัน เราก็คิดต่อได้ว่าเวลาเขาทะเลาะกันเป็นอย่างไร เหมือนคนชกมวย เราดูแล้วก็ไม่ต้องไปชกกับเขาหรอก เห็นทุกข์แล้ว

 

_ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้ได้คุยกับคนที่ได้กราบพ่อครู เขาบอกว่าเห็นพ่อครูเหมือนคนอายุ 20 ปี อีกคนว่าเหมือน 40 เขาก็ถามว่าผมเห็นพ่อครูอายุเท่าไหร่? ...ผมก็ตอบว่า ผมสู้พ่อครูไม่ได้ ผมต้องอายุมากกว่า อย่างเดินก็เดินไม่ทันพ่อครูเลย เขาบอกว่าเขาคิดไปเองหรือไม่?  แล้วเขาก็ว่าเขาก็ต้องกลับไปบ้านอันแสนน่าเบื่อ

ตอบ...ที่เขาว่าเขาเบื่อนี่ไม่ใช่ว่าเขาเบื่อจริง มันเบื่อแบบเหมือนกินอาหารซ้ำแล้วเบื่อได้ เบื่อชั่วคราว แต่ก็วนไปติดได้ เป็นเบื่อที่ไม่ใช่เบื่อแบบถาวรที่ล้างเหตุจริงมีพลังปัญญาชัด มีวิปัสสนาญาณหรือไม่ แต่เบื่ออย่างนี้ก็ไม่แน่นอน แต่เขาเร่ิมเห็นความเบื่อหน่ายแล้ว หากขวนขวายต่อก็จะได้ปฏิบัติได้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:18:25 )

571212

รายละเอียด

571212_พุทธชีวศิลป์(21)วนบ. หากไม่เห็นวิญญาณจะไม่ได้นิพพานแท้

พ่อครูว่า...ตอนนี้อากาศที่อุบลฯก็หนาว วันนี้ศุกร์ที่ 12 ธ.ค. 57 แรม 6 ค่ำเดือนอ้ายปีมะเมีย เราก็สาธยายธรรมะกัน ซึ่งก็มีผู้ที่ถามปัญหาจากทางบ้านมาจะตอบตอนท้าย ตอนนี้ขอสาธยายก่อน

 

ขอย้ำเรื่องวิญญาณ ...ถ้าเข้าใจไม่สมบูรณ์จริง ก็ไม่บรรลุผล ในเมืองไทยเป็นเช่นนี้เกือบหมด เข้าใจว่าวิญญาณคือสิ่งที่ล่องลอยออกจากร่างไป ถ้าจะเห็นวิญญาณก็เห็นเป็นตัวตนเส้นแสงรูปร่าง ทั้งเทวดา มาร พรหม ก็เห็นเป็นรูปร่าง แล้วไม่เคยพิจารณาว่าจิตวิญญาณในกาย ในเวทนา จิต ธรรม เป็นอย่างไรไม่เคยอ่่าน แล้วที่เห็นวิญญาณผีนั้นไปเห็นของคนอื่น แทนที่จะอ่านจิตวิญญาณตนเป็นผีเป็นเทวดาก็เลยไม่เข้าเป้าปรมัตถ์ไม่รู้จักทุกข์ สุขที่แท้จริง ผีคือทุกข์ เทวดาคือสุขเท็จ ก็ไม่เห็นความจริง

 

เราสามารถเห็นสภาวจิตว่าวิญญาณเราเป็นผีเป็นเทวดาก็เห็นสัมผัสได้ แม้เทวดาแท้ก็รู้ได้ชัด สามารถจัดการให้ ผี เทวดาหมดไปจากจิตเราได้ อาตมาพยายามเรียบเรียงเป็นตัวหนังสือ เราปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้ามา ก็คงจะรู้ว่าผีหรือเทวดาแท้ตามปรมัตถ์คืออะไรอย่างไร เราสามารถรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ตัวผี เทวดาในภาวะจิตวิญญาณขณะปฏิบัติ โดยเฉพาะในองค์ธรรมสังกัปปะ 7 เราจะชัดเจน ในการเห็นผี เทวดาในตน

 

ผี หรือเทวดาก็คือจิตในจิตแท้ๆ ที่เป็นองค์ประกอบของรูป_นาม ที่ประชุมกันเป็นกาย อยู่ในใจเรา ขณะทีี่เราไม่ตายนี่เอง กำลังทำอาชีพอยู่ปกติ(อาชีวะ) หรือเราทำอะไรอยู่ก็ตาม(กัมมันตะ) กำลังพูด(วาจา) เราต้องใช้สติ ใช้ความคิด คนที่ไม่มีสติรู้ว่าตนพูดอะไร เราต้องรู้วจีสังขาร ก่อนออกไปเป็นกาย เป็นวจีกรรม จนเป็นอาชีพ เราต้องมีความคิด มีความรู้ตัว ใช้ปัญญาเท่าที่มี ไม่ใช่ปล่อยไปตามสัญชาตญาณ เราต้องจัดการที่สังกัปปะ ในจิตที่เป็นประธาน ที่กำลังดำริมีความนึกคิด เราต้องอ่านปัจจุบัน ของกาย ไม่ว่าจะทำอะไร เราอ่านเข้าไปในจิต แล้วจัดการที่สังกัปปะ 7 คือตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา

 

การปฏิบัติธรรมเราต้องรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงในการทำใจในใจให้ถ่องแท้ ถึงที่เกิด (โยนิโสมนสิการ) คือทำให้เสมอๆ เป็นพระโยคาวจร เป็นผู้ปฏิบัติธรรม เราต้องใช้ความพยายามเป็นสัมมาวายามะ มีสัมมาสติในการรู้ด้วย ต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน

 

ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิมาก่อนแล้วปฏิบัติ การปฏิบัตินั้นก็ไม่มีทางบรรลุ เมื่อมิจฉามาก่อนแล้ว ผลของการปฏิบัติก็ออกนอกทางพุทธ ไกลสุดกู่ กู่ไม่กลับ อาตมาอยู่มา 40 กว่าปีแล้ว กู่ยู้ฮูอยู่ กู่รอ กู่ไม่กลับ มันต้องสัมมาทิฏฐิก่อนสำคัญที่สุด ทิฏฐิคือความรู้ความเข้าใจทฤษฎี ข้อปฏิบัติ ซึ่งเป็นประธานของการปฏิบัติ อย่างน้อย พระพุทธเจ้าท่านกำหนดว่าต้องมีสัมมาทิฏฐิ 10 ก็ย่นย่อในทาน ศีล ภาวนา มีทินนัง(ทาน) ยิฏฐัง(วิธีการปฏิบัติ) แล้วจะทำอย่างไร ทำใจในใจอย่างไร หากไม่ชัดสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติมรรคองค์ 8 ก็สูญเลย พระพุทธเจ้าว่าปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิ ในมรรค 7 องค์ อยู่ในมหาจัตตารีสกสูตร ชัดมาก ตรง แล้วจัดการให้มิจฉาเราหมดไปในอาริยมรรคมีองค์ 8 ท่านตรัสชัดว่าให้ปฏิบัติมรรค 7 องค์นี่จะไม่ผิดเลย แต่การไปนั่งหลับตาทำสมาธิ เป็นแบบทั่วไป คนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ก็รู้ทั่วไปว่าทำสมาธิคือไปนั่งหลับตา เขาเชื่อกันอย่างปักมั่น

 

อาตมาไม่ได้ตีทิ้งนั่งหลับตาสมาธินะ แต่เน้นที่สัมมาสมาธิ เพราะถ้าสัมมาทิฏฐิจริง จะไปนั่งหลับตาสมาธิก็ตาม แต่กายนั้นต้องมีวิญญาณประกอบด้วย มีเจตสิก 3 คือเวทนา สัญญา สังขาร คือ กายวิญญาณ(เจตสิก 3) จึงปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 ได้ครบ รูปและนาม ที่ปฏิสัมพัทธ์กันเป็นพลวัติในโพธิปักขิยธรรม 37 คือมีการดำเนินเคลื่อนไปในองค์ธรรม เป็นความย้อนไปย้อนมาเป็นระบบ จึงเป็นโลกุตรธรรม 37 เพื่อบรรลุโลกุตรธรรม 9 ในพระไตรฯล.31 ข.620 ว่าไว้

 

ถ้าขาดวิญญาณจะไม่ครบกาย แม้แต่ถึงขั้นจิตสังขารก็ต้องมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร ครบ แม้พระอนาคามีก็ต้องมีครบ ท่านดับกายสังขารได้แล้วมีแต่่จิตสังขารก็ไ่ม่ทิ้งกาย แต่ท่านเหนือกามภพแล้ว

 

กายคือองค์ประกอบไปด้วย เจตสิก 3 

กายปาคุญญตา คือความคล่องแคล่วของเจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร

หรืออย่างพระภิกษุสาติก็เข้าใจผิด หรืออย่างที่เขาแปล สัพพกาโยว่า กองลมทั้งปวง ก็เลยเจ๊งแต่ต้น คือความเข้าใจเขาผิด ถ้าท่านเข้าใจเรื่องกาย จะไม่แปลว่า กองลมทั้งปวงแน่นอน

 

เขาเห็นผี เทวดากันแค่ในความจำ เป็นสัญญา ซึ่งไม่มีองค์ประชุมครบ ที่ต้องมีภายนอกภายในครบ พหิทารูปานิปัสสติ  แล้วก็รู้ภายในเป็นอัชฌัตตัง แต่คำว่าเห็นนี่พระพุทธเจ้าใช้คำว่าปัสสติ คือไม่ได้เห็นแค่ในสัญญา แต่เห็นเป็นของจริงที่มีองค์รวมของผี เทวดาบริบูรณ์ทั้งรูปธรรมและนามธรรม พระพุทธเจ้าว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ครบรูปนามจึงมีรูป 28 มีจิต 89หรือเจตสิก 52 ที่จริงมีมากกว่านั้น แต่รู้แค่นี้ปฏิบัติให้เต็มรูป_นามได้เท่านี้ก็อรหันต์ ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าไม่ชัดก็ไม่สามารถเห็นจิต 89 หรือรูป 28 หรือเจตสิก 52 ได้ ไม่มีความจริงให้เรารู้ได้ เพราะไปนั่งหลับตาทิ้งภายนอกก็เหลือแต่สัญญา ไม่ครบมันแหว่ง มันหายไป ทั้งที่โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯก็อยู่กับองค์ประกอบนอก กระทบ ว่าเกิดกิเลสไหม? ทิ้งกายไม่ได้ทิ้งข้างนอกไม่ได้ อรหันต์จบแล้วก็ไม่ทิ้งภายนอก ยิ่งอยู่เหนือสบายทิ้งไปเลย แต่หนีไปนั่งหลับตาดับปี๋ก็ไม่รู้สร้างแต่ความไม่รู้ให้จิต หยุดคิดหยุดรู้ไม่นึก พระพุทธเจ้าท่านว่าจะให้พิจารณาให้แทงทะลุแต่เขากลับให้หยุดคิด ให้จิตอย่าออกนอกตัว 

 

อาตมาพูดแล้วเหมือนแอค แต่ว่าที่ต้องทำเหมือนพูดข่มมีลีลาเช่นนี้เพราะไม่อย่างนั้นพวกคุณก็หลับหมด จะให้พูดเย็นๆเพราะๆ เรื่อยๆ อย่างนั้นพวกคุณก็ไม่ได้อะไร รับไม่ได้ แต่ที่ต้องพูดเช่นนี้นั้นเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง ให้จิตเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นได้ ไม่เช่นนั้นไม่ถึง

 

การปฏิบัติสมาธิที่มีแต่ใช้สัญญาในภวังค์ก็ไม่ครบ จิต เจตสิก รูป นิพพาน คำว่ารูปนี้หมายถึงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งรูปและอรูป คำว่ารูปนี้ไม่ใช่แค่รูปภายนอกอย่างเดียว แต่หมายถึงทั้งรูปนอก รูปใน ไปถึงเจตสิก รูป นิพพาน เราพาทำสัมมาทิฏฐิตามมรรค 7 องค์  ปฏิบัติ สัมผัสวิโมกข์ ด้วยกาย อย่างสำเร็จอิริยาบถอยู่ แล้วทำใจในใจให้เป็นฌานที่เป็นสัมมา คือการเพ่งรู้ เพ่งเผา เพื่อรู้ความจริงตามความเป็นจริงถึงตัวสมุทัย แล้วเผาเลย ทำฌาปนกิจเลย ทำลายให้ได้ ฌานคือการเผา

 

คำว่า กาย นี้หมายถึง รูปธรรม และนามธรรม แต่เน้นนามธรรมมากกว่า แล้วจึงสามารถเรียนรู้ในองค์ธรรมต่างๆ ในมโนปวิจาร 36 ปฏิบัติให้ถึงเวทนา 108 เมื่อมันกระทบสัมผัสแล้วปรุงเป็นสุขเป็นทุกข์ เราต้องเรียนรู้ว่ามันคือองค์ประกอบของสังขาร จนมันเป็นอัสสาทะรสอร่อยหรือไม่ได้ตามยึดก็ทุกข์เป็นพยาบาทแย่งชิง ลึกเข้าไปในเวทนาในเวทนา ก็ถูกเรารู้ได้ก็เป็นเจตสิกว่าเป็นสุข ทุกข์อย่างไร พิจารณาในความสุขทุกข์นั้นอีก แทงทะลุเข้าไปเราก็จะเห็น ปัสสติ เห็นใช้พยัญชนะบาลีว่า ปสามีติ

 

จิตที่เป็นอาการอารมณ์ปรุงแต่ง มันโกรธไม่ชอบใจเราก็เห็นแล้ว สัมผัสตัวนี้ แล้ววิปัสสนา หยั่งธาตุรู้ขั้นปรมัตถ์ มันกำลังกลายเป็นผีแท้ๆ เป็นอาการโทสะมูล จิตในจิตท่านใช้คำว่า สโทสะ เห็นมันโต้งๆสัมผัสมันเห็นๆว่านี่ผีแท้ๆทางปรมััตถ์ อาตมาขอรับรองว่าพวกเรา ถ้าฟังดีๆเรียนไปตามที่อาตมาสอน พวกคุณไม่เห็นผีเห็นเทวดาไม่เป็นไม่ใช่ลูกศิษย์โพธิรักษ์ แล้วไปเห็นผีหลอกผีเก๊ก็ไม่ใช่ลูกศิษย์โพธิรักษ์อีกนั่นแหละ

 

แล้วขอย้ำว่าจิตวิญญาณเท่านั้นที่เป็นผี เป็นวิญญาณ แม้แต่เส้น หรือแสงเป็นผีก็ไม่มี เพราะวิญญาณนั้นอนิทัสสนัง สัพโตปภัง อนันตัง ซึ่งมโนนั้นอสรีรัง ไม่มีสรีระ ไม่ใช่ร่าง มันเป็นนามธรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าชัดว่า ต้องอ่านด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ว่าอาการอย่างนี้คือผี มันเป็นกรรมกิริยา ว่านี่คืออาการโกรธ เป็นผีนรก คุณต้องกำหนดหมาย เป็นนิมิต ว่าอย่างนี้ผี ต่างกับเทวดานะ มีลิงค คนละเพศนะ ฟังเข้าใจแล้วก็ปฏิบัติอ่านอาการ ลิงค นิมิตของตน ในพระไตรฯล.10 ข.60

 

จิตวิญญาณเท่านั้นที่มีอาการผี ไม่ใช่ไปหลงแค่รูปร่าง ผู้ใดหลงว่ามีตาทิพย์เห็นผีเป็นรูปร่าง ผู้นี้ไม่มีทางบรรลุธรรม การทุกข์การโกรธไม่มีรูปร่าง แต่เป็นทุกข์อาริยสัจจ์ สมุทัยอาริยสัจจะ คือสัตว์ที่เรียกว่าตัวโกรธ ไม่ใช่สัตว์ สี่ขา สองขา สัตว์บกสัตว์น้ำ แต่คือสัตว์ทางนามธรรมคือโอปปติกะ ต้องรู้ว่าสัตว์โอปปาติกะคืออย่างไร ต้องรู้ว่าคือนามธรรมคือวิญญาณ คือมโน คือจิต แล้วจะเห็นได้อย่างไรก็เห็นได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส มันคือนามรูป ไม่ใช่รูปรูป

 

มันเป็นสัตว์โอปปาติกะ เกิดเมื่อสัมผัสเหตุปัจจัย ไม่ใช่แค่สัญญา หากคุณนึกคิดเอาก็เป็นสัญญา ไม่ใช่ความครบองค์ประกอบของกาย พร้อมทั้งการสัมผัสหลัดๆ โต้งๆ เป็นเหตุปัจจัยครบ แม้ที่สุดอายตนะขนาดมโนกับธรรมายตนะหากคุณตามรู้ส่ิงหยาบแต่ภายนอกชัดเจนว่าเห็นวิญญาณเป็นอาการ แล้วมนายตนะ ธรรมายตนะเป็นขั้นอรูปแล้ว ละเอียดมาก หากคุณเอาของหยาบไปใส่อรูป มันก็ไม่มีทางเห็นจริง จะเพี้ยนไปหมดเลย

 

ผู้ใดไม่ชัดเจน ก็จะไม่เกิดการรู้ การเห็นขั้นวิปัสสนา (การเห็นได้อย่างวิเศษ) เห็นมนายตนะ ธรรมายตนะปรุงแต่งกันอยู่ในใจเราทนโท่เลย มีวิญญาณผี เกิดในใจในมโนเราเลย แต่ไม่ทิ้งกาย จิตสังขารไม่ทิ้งกายสังขาร เป็นองค์รวมไม่ทิ้งกันเลย นี่คือรูปแห่งธรรม ที่เป็นขั้นปรมัตถธรรมหรือโลกุตรธรรม นี่คือผู้เห็นธรรมที่ทรงไว้ในใจเรา เป็นโลกุตรธรรมที่ทรงไว้ในใจเรา ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต เป็นเช่นนี้เอง ตถาคต

 

ตถตา แปลว่า ความจริง ผู้กำลังเห็น (ปัสสติ) เป็นวิปัสสนาญาณ คือผู้นั้นกำลังเห็นกำลังพบตถาคต เป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธเจ้า ,  พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต

 

เห็นนิดเดียวก็เป็นนิดเดียวตั้งแต่พ้นสักกายทิฏฐิ เรียนมาเป็นทฤษฏี รู้แต่ตอนนี้ปฏิบัติเห็นจริง จึงเรียกว่าพ้นสักกายทิฏฐิ เห็นอยู่โต้งๆแท้ๆ กำลังพ้นสังโยชน์ข้อที่ 1  เป็นสัตตาโอปปาติกา เป็นสัมโภคกาย คือเป็นองค์ประชุมของรูปและนามที่กำลังบริโภคอารมณ์เดียวกันอยู่ อารมณ์ผี เทวดา สุขทุกข์ จิตเสวยอารมณ์นั้นอยู่ เป็นสัมโภคกาย เกิดอาการผีที่เป็นอาการของมนายตนะ และธรรมายตนะ กำลังมีอกุศลจิต เป็นสัตว์นรก เรียกว่าผี มาร ก็ได้ โทสะมูลตัวนี้ไม่มีสรีระ รูปร่าง เราต้องกำหนดเครื่องหมาย อาการ ลิงค ของมันเองเองว่านี่คืออาการผี นี่คือเทวดา นี่แหละคือตัวการแท้ๆ

 

เราเห็นอาการต่างๆที่มีนัยต่างกันเป็น ลิงค ว่าโลภ กับโกรธไม่เหมือนกัน หรือว่ามันมากหรือน้อยกว่ากันก็ต่าง มันต่างกันด้วยอินทรีย์ หรือต่างกันด้วยเพศ ก็คืออันหนึ่ง นี่คือคำว่า อาการ ลิงค นิมิต อุเทส รู้แล้วอย่าปล่อยให้มันอ้วนขึ้น ต้องรู้ให้ครบ ความแตกต่างกัน ลิงค ท่านเรียกว่า ภาวรูป 2 คือเมื่อปสาทรูป แล้วเกิดโคจรรูป ก็เกิดภาวรูป

 

มันไม่เป็นเอก มีอาการอยู่ 2 ไม่เป็นหนึ่ง ก็คือภาวะสอง ที่คุณต้องทำให้เป็นหนึ่งเดียวเป็นเอกบุรุษให้ได้ ให้ไม่มีเพื่อนสอง ต้องจับอ่านให้รู้ที่หทยรูป ซึ่งไม่ใช่สถานที่อื่น แต่อยู่ในคูหาสยัง ในกายนี้แล้วก็อยู่ตรงนั้น เราต้องรู้ชีวิตินทรีย์ รู้ปริเฉทรูปที่จะตัดกรอบให้ว่างไปเป็นลำดับไล่ไป

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

_0824039xxx กราบเรียนพ่อครูระบ.สังคมนิยมที่มีธรรมะที่เรียกว่าธรรมิกสังคมนิยม!คำๆนี้คืออะไรหมายความว่าอย่างไร?จะช่วยแก้ปัญหาการเมืองในปท.ได้ฤา?เพราะที่ผ่านมาเรามีพระเต็มบ้านวัดเต็มเมืองธรรมะเต็มปท.แต่ก็ยังแก้ปัญหาไม่ตก?

ตอบ...มันยังมิจฉาทิฏฐิเต็มประเทศเต็มเมือง(ขออภัย) ก็เลยแก้ปัญหาไม่ตก แล้วที่เรียกว่าธรรมมิกสังคมนิยมเป็นบัญญัติของท่านพุทธทาสอาตมาไม่ทราบว่าท่านหมายแท้ๆคืออย่างไร? ของท่านหมายนะอาตมาสารภาพว่าไม่มีความรู้ในความหมายของท่านพุทธทาส แต่ก็ขอเดาว่า...เท่าที่พอเข้าใจว่าท่านหมายถึง  ท่านก็คงหมายความว่าเป็นองค์รวม ของสังคมมีธรรมะต่างๆทั้งหมดไม่ว่าจะของคณะไหนแบบไหน สรุปว่าสามารถประสานธรรมะของทุกอย่างรวมกันประนีประนอมกัน เอาส่วนดีมาประสมกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นเอามารวมกันเฉยๆ ความจริงแล้ว ถ้าจะพยายามตีความเป็นสัปปุริสธรรม รวมกันแล้วตัดสินเอาค่าเฉลี่ยกลางๆของสังคม อันนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาสังคม อาตมาว่าแทนที่จะหมายถึงอย่างนั้น ถ้าใช้ค่าเฉลี่ยรวมนี้มันคือผล แต่เหตุมันคือจะแก้ปัญหาให้ตก คือต้องเอาการศึกษาโลกุตรธรรมให้แก่มนุษย์ให้ได้ให้เป็นผล ซึ่งธัมมิก คือภูมิธรรมะ ...มีสู่แดนธรรมเอาความหมายของท่านพุทธทาสมาให้ดูว่า...คือ....สังคมนิยมในพุทธศาสนาเป็นไปตามธรรมะคือธรรมชาติ อุดมคติคือไม่เอาส่วนเกินคือรากฐานของสังคมนิยม ไม่เอาส่วนเกินคือปัจจัยที่บัญญัติไว้ในวินัยของภิกษุ

 

แล้วจะช่วยแก้ปัญหาได้หรือ?...ถ้าให้อาตมาตอบอีกที ที่แก้ปัญหาไม่ตกคือมิจฉาทิฏฐิ แล้วจะแก้ได้ต้องทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิแก่มนุษย์ในสังคม แล้วทำให้เป็นผลให้ได้ ประเด็นคือทำอย่างไร จึงได้ผลดี ต้องทำที่เหตุ แต่พูดให้สวยๆได้เท่ คนนิยม แต่พูดถึงเหตุ อย่างอาตมาพูดนี่คนไม่ค่อยกล้ามาเข้าใกล้หรอก แต่คือสัจธรรม

 

_0824039xxx ระบอบทุนนิยมแบบเสรีนิยมเป็นระบ.ที่เปิดโอกาสให้คนเห็นแก่ตัวครอบครองปัจจัย4ฤาปัจจัยการผลิตอย่างไร้ขอบเขตเช่นยุคที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน!ตราบใดที่จิตสำนึกของนกม.ปชช.บางส่วนยังไม่เข้าถึงปย.ของระบ.สังคมนิยมที่มีธรรมะ!ปัญหาปท.คงจบยาก!

ตอบ...สังคมนิยมพยายามช่วยสังคม พยายามเฉลี่ยกันให้ทั่วถึง คือความหมายสามัญ เป้าหมายเดียวกันหมดไม่ว่าศาสนาไหนพอรู้กันแต่เหตุใหญ่มันอยู่ที่กิเลสในตัวคน ขอให้แต่ละคนยอมรับว่าทฤษฎีนี้ต้องเอามาทำ แล้วยอมรับว่าตนมีกิเลสตัวนี้ ถ้าไม่ยอมรับทฤษฏีนี้ว่าคือต้องมาลดกิเลสแล้วไม่ยอมรับกิเลสก็ไม่มีทางแก้ได้

 

_0857308xxx ปิดเทอมจะไปขอแอบลองทำข้อสอบได้ไหมคะ

ตอบ...มาเลย welcome

 

_0857308xxx อยากเป็นนิสิตวบบบ.มากเรียนหน้าจอและดูรีรันทุกวันแต่ติดงานครูและอยู่ไกลมาก

ตอบ...ถ้าถึงจริงอยู่ฟากฟ้าไหนก็มา ถ้าไม่ถึงจริงไม่มาหรอก

 

_0824039xxx     การที่เราจะบรรลุธรรมได้นั้นเราต้องประสบปัญหาอุปสรรคต่างๆเพราะนั่นคือวิบากกรรมเก่าที่ทุกคนต้องเผชิญ!ถ้าเราเจอกรรมเก่าก็ถือว่าเราต้องยอมชดใช้กรรมนั้น!เมื่อผ่านมาได้กรรมเก่านั้นก็ลดลงไปเรื่อยๆโดยไม่สร้างกรรมใหม่!เราจะสำเร็จธรรมไหม?

ตอบ...ถ้าเราเจออุปสรรคคือกรรมเก่า คือวิบาก ที่มาออกฤทธิ์ เป็นโจทย์ของคุณ เป็นวิบากเก่า เป็นเรื่องก็ได้ ที่เราต้องเจอ หรือบุคคล เหตุการณ์ก็ได้ ที่มาออกผล ถ้าเราเจอกรรมเก่าก็ถือว่าเราต้องชดใช้ กรรมนั้น? ก็ถูก แต่ไม่ใช่ว่าต้องยอม เสียจนที่เราว่าเราไม่มีความสามารถทำให้ดีกว่านั้น เช่นวิบากเราต้องถูกฆ่า แล้วเราก็ยอมให้ถูกฆ่า เราอาจได้ชดใช้ แต่ว่าเราไม่ได้เกิดผลประโยชน์ให้คู่กรรมเก่าได้รับผลดีด้วย ว่าเขาเองเป็นผู้ถือเรานะ ถ้าเราไปถือเขาเป็นปฏิปักษ์เราก็จะทวงหนี้อีกจะย้อนกลับไม่รู้จบ แต่ทำอย่างไรต่างคนต่างจบได้ไหม? นั่นคือการต่อสู้กรรมเก่าอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกคนหยุดเรื่องราว อโหสิ แต่ถ้าไม่อย่างนี้เพราะผู้ที่แก้มือได้แล้วแก้แค้นได้แล้วไม่ได้จบ เขาจะย่ามใจถือเป็นผู้ชนะ เท่ากับเราใจดำปล่อยให้คุณเสีย นี่คือแนวลึกที่จะต้องศึกษา การต่อสู้เราถึงต่อสู้สุดทางก่อนได้เมื่อไหร่ก็จบ

 

อาตมาปล่อยให้เขาเล่นงานก่อน แต่อาตมาไม่ได้หยุดย้อนแย้ง เขาเล่นงานก็ยอมให้เขาเล่นงานแต่อาตมาไม่ได้หยุด ให้รู้ว่าที่จริงคุณไม่ได้ถูกนะ ยิ่งเราถูกแล้วคุณมาทำเราอีก คนถูกควรชนะ แต่ปล่อยให้คุณชนะนั้นล้มเหลวเสียทั้งคู่เลย เสียเปล่า ถ้าเราถูกเราก็ไม่ปล่อยให้เขาชนะตลอด มันผิด ให้ส่ิงผิดเป็นสิ่งถูกไม่ได้

       

_0824039xxx     ตอนฟังพ่อครูพูดถึงสำรอกกรรม!พอดีแบตหูเทียมหมดฟังไม่ทันได้ยิน!สำรอกกรรมหมายถึงหยุดการกระทำที่เป็นบาป!ทำแต่บุญลดละกิเลสใช่ไหม?

ตอบ...สำรอกกรรม ก็อาตมาบอกว่ากรรมอดีตสำรอกไม่ได้ แต่ทำกรรมปัจจุบันเป็นตัวแปรไปลดกิเลสได้

 

_คนไปบวชพ่อผมคนจีนบอกว่า บ่เถ่าโหล่ คือคนไม่มีทางไปผมก็เลยไปทำธุรกิจ แต่ตอนนั่งสมาธิ ก็รู้สึกตนบรรลุธรรม แต่ตอนกลางคืนก็ไปเที่ยวดื่มเหล้าสูบบุหรี แล้วไปเปิดคอกเทลเลาจ์ มอมเมาคนอื่นต่ออีก รายได้เดือนละหลายแสน ก็ไม่พอ จนป่วยเหมือนใกล้ตาย ก็ได้มารู้จักชาวอโศก ได้รู้ว่ากินเหล้านี่อบายมุข ต้องลดละก็เลยถือศีลลดละได้

 

_สายโทสะ สายราคะ เกิดจากเหตุอะไร? จำเป็นต้องรู้ของตนไหม?

ตอบ...จริตมันมีจริง ในสิ่งที่มี ก็มีสองเพศเสมอ ถ้าไม่เกิดสองอย่างมันไม่มีอะไรอยู่ได้ ถ้ามีอย่างเดียวนั้นมันหายไปเลย หากมีสองอย่างมันจะอยู่ การแยกสองอย่างมันก็ต้องต่างกันจึงเรียกว่าเพศ แล้วเป็นเพศถึงชีวะ บวกลบ เพศผู้เมีย สูงสุดก็มีสอง ในสัจจะของแต่ละจริต มันมีทั้งที่มีสองเพศในตน อย่างเจโตกับปัญญา ศรัทธกับปัญญามันมีสองอย่างแล้วมีเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง สองอย่างต้องไม่เท่ากัน การเท่ากันใดๆในโลกนี้มีแต่เรืื่องไม่มี ผู้จะให้มีก็อนุโลมให้เกิดได้ ว่าควรจะให้อะไรนำหน้า อะไรตามหลัง นี่คือสูงสุดของผู้ทำงานอย่างอรหันต์ สมมุติว่าอันนี้ถูกอันนี้ผิด ถ้าจะตัดสินให้อันถูกชนะแต่ไม่สงบ ก็ต้องให้คนถูกยอมคนผิด ก็จำต้องทำ แต่ก็ต้องให้คนผิดรู้ตัวว่าคุณผิด แต่เขายอมคุณ เพื่อให้รู้ว่าการลดตัวลดตนยอมนั้นประเสริฐ เหมือนกับอาตมาที่แพ้อาตมาว่าอาตมาไม่ผิด แต่อาตมายอมคุณ แต่ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่ได้ผิด ยืนยันได้ มันยากที่จะให้ผู้ถูกนี่ยอม เพราะบางทีมองตื้นๆว่าผู้ถูกจะให้ยอมได้อย่างไร มันก็ไม่ดีหากให้ผู้ผิดชนะ แต่ผู้ผิดที่ให้ชนะต้องให้เขารู้ว่ายอมนะที่ให้ชนะน่ะ การยอมนี่มันสูงกว่าชนะคุณ แต่ถ้าคุณยอมให้เราชนะเราก็ไม่เอาตัวตนไปข่มเขา อย่างทุกวันนี้อาตมาพูดสัจจะจึงเหมือนข่มเขาไป

 

สรุปว่าจริตมันมีสอง แม้รู้ว่าตนเองเป็นจริตอะไรก็อย่าดูถูก ปัญญานั้นดูเหมือนเหนือกว่าเจโต แต่ที่จริงเจโตนั้นเป็นตัวจบ ในลักษณะอิตถัตตะและปุริสัตตะ มันสลับกันอยู่ว่าใครให้ใครแพ้หรือชนะ แต่สุดท้ายต้องให้ผู้ถูกชนะ แต่สุดท้ายก็ไม่มีตัวตน ต้องทำให้เขาจนที่สุดยังไงเขาก็รู้ว่าเราเองเราถูกแต่เรายอม แต่ถ้าสุดท้ายเขายอมรับเข้าใจว่าเราถูกเขาผิด อาตมาว่าอาตมาทำอยู่แล้วได้ผล แต่เขามีอัตตาซ้อนว่าเอ็งถูกก็ไม่เปิดเผยหรอกขอให้ข้าตายก่อน เราต้องใช้สัปปุริสธรรมและมหาปเทส(ใช้ปัญญาตน) พระพุทธเจ้าว่าสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ก็ประมาณเอาเอง ก็ใช้สัปปุริสธรรม 7 ต้องประมาณด้วยไม่ประมาท เช่นว่าใน100 คุณต้องอย่าเอาเต็มร้อยต้องเอาลดลงไว้เสมอ แต่ถ้าคุณเอาเกินร้อยก็เสียแรง การเอาไม่เต็มร้อยคือการยอม การเสียสละ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:19:06 )

571214

รายละเอียด

571214_วิถีอาริยธรรมฯที่บุญลอมข้าวศีรษะฯ เปิดเผยความลับของมนุษย์และจักรวาล ตอน 1(ตอบปัญหาคุณFuse Kiss)

พ่อครูเกริ่นว่า...พวกเราเดินทางมาถึงวันนี้ยิ่งมั่นใจ ว่าเป็นผลของโลกุตรธรรม มาเป็นคนในโลกใหม่ ก็ตั้งใจพากเพียรศึกษาเอา เราก็กระจายไปหลายภาค พอถึงเวลาก็มารวมกัน จะเป็นพลังรวมของสนามแม่เหล็กของชาวอโศก ก็ตั้งใจเอา

 

ตัวแทนศิษย์เก่าฯกล่าวนำรายการ...เนื่องในโอกาสช่วงนี้เป็นช่วงที่ศิษย์เก่าพุทธธรรมแซงแซว และศิษย์เก่าสัมมาสิกขาศีรษะอโศก ได้จัดงาน รวมตัวศิษย์เก่าฯ  เพื่อน้อมรำลึกถึงครูบาอาจารย์  วันนี้ทั้งหมดได้นำพาลูกหลานมาในงานนี้ก็ประมาณ 200 กว่าคน จะขออนุญาตทำพิธีไหว้ครู ...ปาเจราฯ....

 

พ่อครูพาสวดมนต์สั้นๆก่อนเข้าสู่รายการ....วันนี้วันอาทิตย์ที่ 14 แรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย อาตมาก็เกิดแรม 8 ค่ำเดือน 7 ปีจอ พศ.2477 ...มนุษย์เราก็อย่างนี้แหละรู้จักวิธีการที่จะรวมจิต แล้วมีพิธี วิธีที่จะทำให้จิตใจพวกเราหลอมรวมกัน ….พลังงานจิตวิญญาณเป็นพลังงาน พวกที่เรียนอภิธรรมเขาว่าฟังไม่ขึ้นเพราะเขาถือว่าพลังงานเป็นมหาภูตรูป เขาจะไม่ยอมรับว่าจิตวิญญาณเป็นพลังงาน ที่จริงคำว่า พลัง ไม่ใช่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่มันรวมทั้งดินน้ำไฟลม เป็นจิตนิยามแล้วจิตนิยามก็จะพัฒนาไปตามลำดับ มีความเฉลียวฉลาดรอบรู้ สูงจนเข้าใจกรรมวิบาก เชื่อกรรมวิบาก แล้วรู้จักส่ิงทรงอยู่สุดท้ายคือธรรมะ แล้วทรงอยู่อย่างสังขตธรรม อย่างสนิทเนียน แยกกันยาก ทำลายยาก แต่ผู้ศึกษาชัดเจนแล้วทำให้พลังงานรูปและนามที่เกาะกันอยู่อย่างสังขตธรรม รวมหมด ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ และช่องว่าง สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าศึกษาแล้วรู้จักความจริง

 

คำว่า ความจริงเป็นส่ิงยิ่งใหญ่ พอดีมีคนที่เขาเขียนคำถามมาทางเฟสบุคกองทัพธรรม เขาใช้ชื่อว่า Fuse Kiss เขาถามมา ซึ่งเป็นคำถามที่จะถามเพื่อรู้หรือเอาไปทำงาน ก็ดี แต่เป็นคำถามที่ลึกซึ้งมาก ที่จริงวันนี้อาตมาจะต้องออกวิถีอาริยธรรม ก็ตั้งใจอธิบายให้พวกเรารู้ ที่จะพูดนี้เป็นความจบของความรู้ แต่ก่อนจะอ่านคำถามจะมีเพลงนำก่อน คือเพลง อีกหนึ่งฟากฟ้า ….

 

อีกหนึ่งฟากฟ้าชวนท้าทาย

ว่ามันหมายอย่างไร  ใครบ้างเคยไปเห็น

โลกนี้แปลกจัง  หยั่งรู้ยากเย็น เป็นโลกเทวดา

โลกเก่าเราเคยหลงนิยม

ด้วยสุขสมเสพ....ซม.... จมอยู่กับตัณหา 

รูปเสียง กลิ่นรส  ลาภยศต่างพา  เราบ้าจาบัลย์

 

แต่อีกหนึ่งฟากฟ้า กล้าทวนกระแส

ถึงใครหยามแหย่ ไม่แคไม่หวั่น

แม้ลือว่าบ้า  ยังท้าคงมั่น  โลกสั่นคลอนหวั่นไหว

อย่าหมิ่นอย่าเมินจนเผินมอง

ใช่เป็นของต่ำทราม หยามเหยียดไปถึงไหน

ศึกษาผ่าดู ให้รู้แก่ใจ ใครบ้า ใครดี ??

 

แต่อีกหนึ่งฟากฟ้า กล้าทวนกระแส ถึงใครหยามแหย่

ไม่แคร์ไม่หวั่น แม้ลือว่าบ้า ยังท้าคงมั่น

โลกสั่นคลอนหวั่นไหน

อย่าหมิ่น อย่าเมินจนเผินมอง ใช่เป็นของต่ำทราม หยามเหยียดไปถึงไหน

ศึกษาผ่าดู ให้รู้แก่ใจ ใครบ้าใครดี ??

 

โลกสองฟากฟ้า ฟากฟ้าหนึ่งเป็นโลกียะ กับโลกุตระ พระพุทธเจ้าค้นพบ กุศลกับอกุศล และกุศลของพุทธมีนัยลึกถึงบุญ ซึ่งปัจจุบันนี้เขารู้คำว่าบุญเพี้ยนไปแล้ว คำว่ากุศล นั้นหมายถึงความดีทั้งหมด ในกุศลมีโกลุตระด้วย ผู้มีโลกุตระก็มีบุญ บุญคือเครื่องมือในการชำระกิเลส คือสันตานังปุนาติ วิโส เทติ คือการชำระกิเลสในจิตสันดานให้หมดจน ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งความดีงาม ของกุศล แต่ไม่ใช่หน้าที่กุศล แต่เป็นหน้าที่ชำระกิเลสโดยตรง คำว่าบุญเมื่อทำหน้าที่หมดแล้วก็จบหยุด สิ้นบุญ สิ้นบาป ปุญญาปาปปริกขีโณ

 

คำถามจากนักศึกษาถามมาอย่างพิศดาร พ่อครูจะใช้เป็นโจทย์ในการเทศน์วิถีอาริยธรรม วันนี้ โปรดติดตามทางบุญนิยมทีวีหรือ ชมภาพ HD ที่ www.boonniyom.tv และ ชมภาพ SD ที่ www.fm-tv.tv/mobi เลือกช่อง3 -เว็บไซต์ชมออนไลน์เขาถามว่า....

 

สวัสดีค่ะ

 

พอดี ต้องทำรายงานทำแบบสอบถามซึ่งเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อของพุทธ จะขอความช่วยเหลือ..อยากให้ช่วยตอบแบบสอบให้หน่อยค่ะ ขอความกรุณาด้วยนะคะ

แบบสอบถามมี6ข้อ

1.ความจริงสูงสุดคืออะไร? อะไรเป็นตัวกำหนดว่าสิ่งใดจริงไม่จริง?

2.จุดเริ่มต้นของจักรวาลคืออะไร? อะไรคือจุดประสงค์ของการมีอยู่ของจักรวาล?

3.มนุษย์คืออะไรในศาสนาพุทธ จุดเริ่มต้นของมนุษย์มาจากไหน? มนุษย์เกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร?

4.มนุษย์ตายไปแล้วจะไปไหน? สำหรับพุทธศาสนาแล้วความตายมีความหมายหรือคุณค่าหรือไม่?

5.จริยธรรมคืออะไร อะไรเป็นบรรทัดฐานหรือมาตรฐานของจริยธรรม? และใครหรือสิ่งได้เป็นตัวกำหนด?

6. อะไรที่ระบุถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์? อะไรเป็นบรรทัดฐาน? และใครเป็นคนกำหนด?

ขอบคุณค่ะ

 

1.คำถามแรกคือคำถามเกี่ยวกับความจริง ว่าความจริงสูงสุดคืออะไร?

 

ตอบ...ความจริงมีสองอย่าง คือ ปรมัตสัจจะ กับสมมุติสัจจะ ความจริงที่สูงสุดคือปรมัตถสัจจะ ส่วนความจริงที่ไม่สูงสุดคือสมมุติสัจจะ

สมมุติสัจจะ คือความจริงที่โลกเขากำหนดว่าอะไรเป็นความจริง คนเดียวก็เป็นความจริงของคนเดียว กลุ่มหมู่ก็กำหนดในหมู่ว่าอันนี้เป็นจริง ถ้ายอมรับกันทั่วไป ทั่วโลกก็คือสมมุติสัจจะที่มนุษย์กำหนด

 

แต่ปรมัตถสัจจะขั้นสูงสุดนั้น ไม่มี สัจจะสูงสุดนั้นไม่มี แต่หากจะมีนั้นก็มี มีได้อันเดียวอันใดอันหนึ่งเท่านั้น ถูกที่สุดเป็นภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด ถ้ามีก็โหติ แต่ถ้าไม่มีคนไม่มีจิตวิญญาณก็ไม่มีอะไรกำหนดเลยว่าอะไรเปํนสัจจะ แต่เมื่อมีคนก็มีการกำหนด ถ้ายึดร่วมกันเท่าไหร่ก็อันนี้จริงที่สุดถูกที่สุด เช่น เห็นขี้ดีกว่าข้าว หากเห็นร่วมกันหมด ก็ขี้ดีกว่าข้าวก็เป็นสัจจะได้ ถ้ายึดร่วมกันไม่มีแย้งเลยก็อันนี้เป็นสัจจะหนึ่งเดียว แต่ถ้าไม่มีการกำหนด ขี้ก็อยู่กับขี้ ข้าวก็อยู่กับข้าวไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริงอะไรเลย

 

2.จุดเร่ิมต้นของจักรวาลอะไร..

ตอบ..คือไม่รู้....คือสังขารโลก ของการปรุงแต่งสังขาร ตั้งแต่เล็กๆจนใหญ่ เป็นดวงดาว เป็นจักรวาล วิวัฒนาการมาเป็นอุตุนิยามพัฒนาเป็นพีชนิยามแล้วมาเป็นจิตนิยามที่พัฒนาจิตจนรู้กรรมได้เป็นมนุษย์ แล้วเมื่อ ก็ทำความไม่มีให้มีได้นี่คือสูงสุดของที่เกิดมาในจักรวาล

 

จักรวาลเป็นสังขารโลก การปรุงแต่งของอุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ มันเลิกปรุงแต่งสังขารสลายหมดพลังงานดูดหมดเลยก็ไม่มีพลังงานแม่เหล็กดูด ตัณหาคือพลังงานแม่เหล็กที่ร้ายกาจมาก พอมันหมดฤทธิ์เป็นนิวทรอนก็ไม่มีการยึดติด ไม่มีอะไรเหลือเลยเรียกว่า นโหติ

 

จุดประสงค์ของจักรวาลเป็นไปตามธรรมชาติมันไม่รู้ตัวแต่มีภาวะของมัน เร่ิมด้วยแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า มันก็รวมกันหมดแรงก็สลายไปเป็นอุตุนิยาม จนมีการกำหนดตัวกูของกูมาเป็นชีวะ แต่ก็น้อยมากไม่มีเวทนา มันก็ดูดเกาะแล้วสลายไปตามธรรมชาติ ก็ได้แค่พลังงานฟิสิกส์ Biology จากนั้นพัฒนาจากพีชะเป็นจิตนิยาม มีเวทนา เป็นพลังงานมีจุดประสงค์มีความรู้รอบ จนเจริญสูงสุด สามารถทำให้พลังงานสลายได้ ทางวัตถุธาตุ ไอสไตน์สลายวัตถุได้เป็นปรามาณู แต่พระพุทธเจ้าเลยไปกว่านั้น สลายพลังงานทางจิตวิญญาณได้ สามารถเอาพลังงานจิตมาใช้ได้มากกว่าปรามาณู แล้วสลายได้สะอาดกว่า มีพลังงานมากกว่าปรามาณู เป็นฤทธิ์ที่ยิ่งกว่าพลังงานฟิสิกส์ พลังงานจิตนั้นเก่งกว่าละเอียดกว่า วัตถุอีก จุดประสงค์ของจักรวาล ตัวเจ้านายของจักรวาล ที่เป็นพระเจ้า คือเข้าถึงความสามารถใดก็สามารถสลายได้ เอามาใช้งานได้ จักรวาลหรือพระเจ้าอยู่ในมือใครที่สามารถกำหนดได้ก็คือจุดประสงค์ของจักรวาล เท่าที่ตนควบคุมได้ แต่ถ้ามีตัณหาเลยไปก็ควบคุมไม่ได้ ทำได้เท่าที่ตนเองสามารถควบคุมจักรวาลของตนได้

 

3....มนุษย์คืออะไรในศาสนาพุทธ..

 

ตอบ...คือสัตว์ที่มีนิยามของชีวิตในนิยาม 5 (คือ อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ) มนุษย์มีจิตนิยาม เจริญกว่าสัตว์อื่นๆ ไม่ว่าโลกลูกไหนก็มีมนุษย์ที่เจริญได้สูงกว่าสัตว์ทั้งหลาย สามารถที่จะเจริญได้มีวิสังขารได้ แต่ถ้าจะเลิกการปรุงก็สลายเป็นอสังขารได้ ถ้ามีอยู่ก็วิสังขาร เป็นอมตบุคคล ไม่สลายสังขตธรรมให้เป็นอสังขตธรรม ผู้สมบูรณ์สูงสุดรู้สังขารโลกก็กำหนดได้จะให้มีหรือไม่มีก็ได้ใสสังขารโลก ให้สูญสลายเฉพาะบางส่วนก็ได้ ในวงวนสังสารของตน

 

แล้วจุดเริ่มต้นของมนุษย์มาจากพลังงานอุตุ พัฒนาเป็นชีวะ มาเป็นจิตนิยาม สูงเป็นถึงเวไนยสัตว์ที่เป็นระดับโลกุตระได้ เร่ิมมาจากพลังงานที่จะกำหนดเจริญขึ้นเรื่อยๆ

 

มนุษย์เกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร....ถ้าอวิชชาก็จะต้องได้สิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็นเป็นลาภ ยศสรรเสริญ สุขโลกีย์ ได้บำเรออัตตาก็สุข นี่คือโลกียะ แต่วัตถุประสงค์ของผู้ที่เข้ากระแสโลกุตระก็จะมุ่งหมายรู้ความจริงให้ครบแล้วกำจัดกิเลสออกจากจิตได้ ได้หมดก็เป็นอมตบุคคล ได้วิมุติแล้ว แม้ยังไม่ปรินิพพานก็เป็นมนุษย์ที่รู้ความตาย ความเกิด ความมี หรือไม่มี แต่จะซื่อสัตย์ต่อโลกุตรธรรม จะส่งเสริมให้คนมีโลกุตรธรรม ถ้าจะมีลาภก็มีได้อย่างไม่เป็นพิษภัย จะมียศก็เอาไปทำประโยชน์ มีโลกธรรมได้ แต่ไม่ติดยึดในความเป็นโลกธรรมหรือกามคุณ แล้วไม่ลึกลับในความเป็นอัตตาด้วย หมดอัตตาในความเป็นสัตว์ จนเป็นมนุสโส จิตสูงสุดหมดความเป็นสัตว์ มีจิตวิญญาณบริสุทธ์ถาวรไม่วนเวียนกลับ เป็นจิตวิญญาณอมตะแท้จริง เป็นผู้หมดพิษภัยต่อโลกทั้งสิ้น เป็นมนุษย์ที่มีหลักประกันความจริงที่โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)  คือเป็นอรหันต์ เมื่อได้แล้วจะอยู่ในจักรวาลนี้อีกนานเท่าใดก็ได้ เพราะมีหลักประกันว่าจิตจะไม่มีชั่วมากลับกำเริบอีก  อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ท่านจะอยู่อีกนานเท่าใดก็ได้แล้วมีประโยชน์ต่อโลกด้วย จะสลายปรินิพพานก็ได้

 

อย่างอาตมามารู้พลังงานนามธรรมมากกว่า ทางวัตถุ ซึ่งไอสไตน์เป็นผู้รู้ด้านวัตถุ เป็นโพธิสัตว์ที่ทำงานด้านนั้น แต่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ด้านนามธรรมจึงรู้ E=mc2 + A ,ซึ่ง ตัวA คือ Abstract คือนามธรรม เป็นพลังงานทางจิต อาตมาเป็นโพธิสัตว์จึงรู้ว่าไอสไตน์เป็นโพธิสัตว์ ซึ่งไอสไตย์ก็เสียใจที่เขาเอาความรู้ E=mc2 ของแกไปใช้งานในทางที่ผิด ผลิตระเบิดทำร้ายคน เขาค้นพบการสลายและจับตัวของปรามาณู ทางฟิสิกส์ แต่มนุษย์ไม่มีปัญญาเอาไปใช้ผิดๆได้ เพราะจิตวิญญาณมนุษย์เลวร้าย แต่ของพระพุทธเจ้านั้นให้ล้างความชั่วในจิตให้หมดจดก่อนสิ้นเกลี้ยงไม่ทำชั่วอีกตลอดกาลก็เป็นหลักประกันได้

 

อันนี้ที่อยากให้คณะบริหารประเทศรู้ความสำคัญของการพัฒนาจิตวิญญาณ อย่าเอาแต่พัฒนาหลักเกณฑ์กฎหมายมาบังคับไม่สำเร็จหรอก มันจะหาทางเลี่ยงหลบให้จับไม่ได้ แม้จับได้ก็ด้านหนา ไม่ยอมรับอีก กำจัดยาก คนที่ด้านหนาและเลี่ยงหลบ ถ้าไม่พัฒนาการศึกษาให้จิตวิญญาณมนุษย์ลดละกิเลสได้อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ก็ไม่มีทางสำเร็จได้อย่างแน่นอน ที่จะถาวรมั่นคง

 

4.มนุษย์ตายแล้วจะไปไหน?

ตอบ...ไปตามวิบาก จิตวิญญาณเป็นตัววิบาก คือกรรม การทำดีปุ๊ปในเวลาวินาทีใดก็สั่งสมเป็นอัตตาของตนเองไม่เอาไม่ได้ นี่คือสิ่งที่จะเป็นจิตนิยามหรือเรียกว่ามโนหรือพลังงานอัตตาก็ได้ มันจะจับตัวเป็นพลังงานวิบาก หากคุณไม่มีวิธีสลายได้มันก็จับตัวไปตลอด แล้วออกผล ตายแล้วมันก็ออกผล

 

สำหรับพุทธศาสนาความตายมีคุณค่าหรือไม่?

ตอบ...จริงแล้วความตายไม่มีคุณค่า แต่ทำให้กิเลสตายนี้มีคุณค่าที่สุด

 

การตายจะมีประโยชน์คุณค่าก็มี คือพลังงานที่มีประโยชน์คุณค่าก็ควรมี อย่างอรหันต์ก็ควรมี แต่ก็ให้ท่านได้สลายตัวได้ตามเวลาอย่างพระพุทธเจ้าทำประโยชน์ต่อสัตว์โลกมากมาย แล้วจะไม่ให้ท่านสลายเลย พวกนี้ไม่รู้ว่ามันเหนื่อยมากนะที่ท่านทำให้โลกนั้น ก็ให้ท่านได้ไปสูญได้เสียทีเป็นที่สุดแห่งที่สุด สรุปว่า ผู้ที่รู้จักการตาย เกิดของพลังจิตวิญญาณ แล้วยิ่งเป็นอรหันต์ไม่มีพิษภัยต่อโลก ต่อจักรวาลแล้ว การตายจึงไม่มีคุณค่า อาตมาจึงบอกว่าพระอรหันต์จะรู้ดีว่าตนเป็นอรหันต์ ตอนแรกก็อยากตายเพราะเบื่อมันทุกข์ แต่ว่าพอต่อไปก็ทุกข์น้อยลงดับได้สนิทก็จะรู้ว่าอรหันต์ เกือบทุกองค์(ยกเว้นสมสีสีอรหันต์ คือเป็นอรหันต์แล้วตายพร้อมกับที่เป็นอรหันต์เลยก็เลยสูญไปเลย) แต่อรหันต์ปกติจะมีกตัญญู พอเป็นอรหันต์แล้วจะตั้งจิตอยู่ต่อเป็นโพธิสัตว์ช่วยศาสนาช่วยโลกต่อ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโพธิสัตว์ช่วยโลก แม้ตอนไม่เป็นจะไม่ตั้งจิต แต่ว่าพอเป็นแล้วจะได้เอง อรหันต์สมสีสีนี้มีน้อยมาก

 

5.จริยธรรมคืออะไร

ตอบ...หมายถึงสมมุติสัจจะ หมายถึงสภาพที่รู้ร่วมกันว่าเป็นพฤติกรรมกุศลที่ดี ถ้ามนุษย์กลุ่มนี้ยึดถือร่วมกันว่าขี้ดีกว่าข้าว เขาก็จะยึดถือว่าขี้ดีกว่าข้าว จะอาขี้มาทำประโยชน์มากมาย เขาจะถือว่าขี้เป็นต้นกำเนิดของข้าว เพราะขี้เป็นปุ๋ยให้ข้าวได้ นี่่ก็เป็นสมมุติที่เขายอมรับกันเป็นจริยธรรม เช่นอเมริกาถือว่าฟรีเซกส์เป็นเรื่องไม่เสียหายเขาก็เห็นว่าเป็นของธรรมดาแต่ว่าเขาก็ว่าอย่าหลายผัวหลายเมียนะ ถ้าแต่งงานแล้ว แต่ทางเอเชียยึดถือในความไม่แปดเปื้อนของพรหมจรรย์ นี่ก็ยึดถือต่างกันไป จะสตริ๊กมากกว่า

 

อะไรเป็นมาตรฐานจริยธรรม

ตอบ...ก็ตัวมนุษย์ที่รู้ร่วมกันในแต่ละสังคม ก็มนุษย์กำหนดเอง

 

6. อะไรที่ระบุความเป็นคุณค่าของมนุษย์

ตอบ...เอาใครตอบถูกให้รางวัลกินมื้อเดียว....ศิษย์เก่าสส.ษ.ที่อยู่หน้าพ่อครูตอบกันว่า....ความเสียสละ มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว สุดท้ายคือความไม่มีตัวตน  นี่คือคุณค่าของมนุษย์

 

แล้วอะไรเป็นบรรทัดฐานเป็นเครื่องชี้วัดว่าเป็นประโยชน์

ตอบ...คนตอบว่าญาณปัญญา หรือศีลธรรม สรุปคือทั้งศีลและปัญญามีเนื้อแท้คือ ความไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง คือผลของศีลและปัญญา เห็นแก่ผู้อื่นอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เป็นบรรทัดฐาน

 

แล้วใครกำหนดบรรทัดฐาน

ตอบ...มนุษย์ แล้วมนุษย์คนไหนกำหนด...คือมนุษย์ผู้รู้สุดยอด คือพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าต่างจากรพระเจ้า ซึ่งพระเจ้านั้นไม่มีตัวตนสัมผัสไม่ได้อยู่ไหนไม่รู้ พระเจ้าคือความหมาย แต่มนุษย์ที่สูงสุดคือมนุษย์ที่รู้จักความหมายสูงสุดแล้วเอามาให้คนปฏิบัติได้ พระพุทธเจ้ามีตัวตนไม่เหมือนพระเจ้า ที่สัมผัสไม่ติดไม่ได้ แต่รับความหมายได้รับของพระเจ้ามาศึกษามาใช้ จึงค่อนข้างยาก ส่วนของพระพุทธเจ้าเอาความยากมาศึกษาในพลังงานจิตวิญญาณ จึงรู้ว่าพลังงานที่สูงสุดมีตรีมูรติ มีพระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ พระกรุณาธิคุณ เป็นพลังงานพระเจ้า,  พระพุทธเจ้าเอาพลังงานพระเจ้ามาใช้ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้ามีตัวตนจริง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า

 

มาเจาะลึกกันอีกชั้นตามคำถามแต่ละข้อของคุณ Fuse Kiss

1.ความจริงสูงสุดคืออะไร?.... ซึ่งอาตมาได้นำพระไตรฯ ล. 25 ข.419 จูฬวิยูหสูตร เป็นเรื่องที่พระพุทธนิมิตมาถามพระพุทธเจ้า ซึ่ง พุทธนิมิต ก็คือเทวดาคือคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า เป็นนามธรรม มีจริง ไม่ใช่แบบตัวตนรูปร่างเทวดาที่เขาเข้าใจกันแต่เป็นพลังงานเทวดา มีสองอย่าง 1.เทวดาของเราเองคือความดีงามของเราเองมาบอก หรือ 2.เทวดาคือสภาพพลังงานที่จะถามเราให้เราตอบ เราก็จะดึงเอาคำตอบมาตอบ เทวดาพุทธนิมิตคือเทวดาที่จะถามให้เราตอบ ) คนจะตอบได้ก็ต้องมีภูมิของตนมาตอบ ยิ่งเป็นภูมิรู้ระดับปัจเจกก็ต้องเอาของตนมาตอบเท่านั้น เป็นภูมิของพระพุทธเจ้าเองที่มาบอกก็คือสัญญา แต่ถ้าเทวดาที่มาสะกิดถามก็คือเทวดาอย่างพุทธนิมิต เทวดาที่มาถามพระพุทธเจ้านั้นล้วนต่ำกว่าพระพุทธเจ้า แต่เทวดาที่มาถามอาตมานั้นบางอย่างอาตมาก็ตอบไม่ได้เพราะอาตมาไม่ใช่สยัมภู แต่พระพุทธเจ้าท่านมีความรู้ครบแล้ว จิตวิญญาณในเอกภพนี้ไม่มีจิตวิญญาณไหนสูงกว่าพระพุทธเจ้าแล้วท่านจึงตอบคำถามเทวดาได้ทุกองค์ในเอกภพนี้ นี่คือขีดที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้

 

 

จูฬวิยูหสูตรที่ 12

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่

[419] สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฐิของตนๆ ถือมั่นทิฐิแล้วปฏิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าวต่างๆ กันว่าผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรมคือทิฐิ ผู้นั้นคัดค้านธรรมคือทิฐินี้อยู่ ชื่อว่าเป็นผู้เลวทราม สมณพราหมณ์ทั้งหลายถือมั่นทิฐิแม้ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมโต้เถียงกัน และกล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด วาทะของสมณพราหมณ์สองพวกนี้วาทะไหนเป็นวาทะจริงหนอ เพราะว่าสมณพราหมณ์ทั้งหมดนี้ ต่างก็กล่าวกันว่าเป็นคนฉลาด ฯ

 

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

หากว่าผู้ใดไม่ยินยอมตามธรรม คือ ความเห็นของผู้อื่น ผู้นั้นเป็นคนพาล คนเขลา เป็นคนมีปัญญาทราม ชนเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นคนพาลเป็นคนมีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าชนเหล่านี้ทั้งหมดถือมั่นอยู่ในทิฐิ ก็หากว่าชนเหล่านั้นเป็นคนผ่องใสอยู่ในทิฐิของตนๆ จัดว่าเป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์เป็นคนฉลาด มีความคิดไซร้ บรรดาคนเจ้าทิฐิเหล่านั้น

ก็จะไม่มีใครๆ เป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าทิฐิของชนแม้เหล่านั้นล้วนเป็นทิฐิเสมอกัน เหมือนทิฐิของพวกชนนอกนี้อนึ่ง ชนทั้งสองพวกได้กล่าวกันและกันว่าเป็นผู้เขลา เพราะความเห็นใด เราไม่กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้ เพราะเหตุที่ชนเหล่านั้น ได้กระทำความเห็นของตนๆ ว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง(สิ่งอื่นเปล่า) ฉะนั้นแล ชนเหล่านั้น จึงตั้งคนอื่นว่าเป็นผู้เขลา ฯ

 

 

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า สมณพราหมณ์แต่ละพวก กล่าวทิฐิใดว่าเป็นความจริงแท้แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นก็กล่าวทิฐินั้นว่า เป็นความเท็จไม่จริง สมณพราหมณ์ทั้งหลายมาถือมั่น (ความจริงต่างๆกัน) แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว

ก็วิวาทกันเพราะเหตุไรสมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

          สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมาทราบชัดอยู่กล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไปด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

 

พ่อครูว่า...(ถ้าเรายึดถือความจริงของตนอยู่ แต่เราไม่แสดงออกไป มันก็ไม่เกิดการวิวาท เราส่งออกแสดงออกถึงความจริงที่เรายึดถือไปนิดนึงก็มีการวิวาทนิดนึ่ง แสดงออกมากเท่าใดก็แย้งมากเท่านั้น พลังงานละเอียดเท่าใด ผู้รู้แล้วจะไม่แสดงออกจะทราบในตน ว่าถ้าเห็นแย้งจะวิวาทแต่ถ้ากล่าวออกไปแล้วไม่แย้งก็ไม่วิวาท แต่ถ้าไม่กล่าวต่างคนต่างอยู่ในภพไม่ยึดของตน ผู้ใดอ่านวิจีสังขารออกจะไม่วิวาทเลย ถ้าไม่มีคำพูดในจิตเราไม่ออกไปเลย ต่างกันอย่างไรก็ไม่วิวาท เขาจึงออกกฎหมายว่าอย่าพูด อย่าทำเช่นนั้นๆ แต่ไม่ได้ออกกฎหมายว่า ไม่ให้คิดต่างกัน แต่ก็มีหลักในการคิดต่างกัน แล้วมีการจูงนำให้เกิดปฏิบัติทางกาย กับวาจา นำสืบได้ ผู้พิพากษาจำนำสืบให้ชัด เขาก็จะจำนนว่า อันนี้คุณมีกรรมทางกาย วาจา ที่มีนามธรรมเป็นตัวนำไปให้เกิดกายกับวาจา แต่ถ้าไม่ออกไม่นำสืบ ตัดเขตแต่ในจิตเราก็ไม่มีวิวาทะ

 

ส.เดินดินว่า...ผมเคยมีความขัดแย้งกับนักบวชรูปหนึ่งเรื่องอุทิศส่วนกุศลนั้นไม่มีผลหรอกกับคนที่ตายแล้ว ส่วนท่านเห็นว่าได้ผมเห็นว่าไม่ได้ ก็พูดเหตุผลกันแต่.... ไม่สามารถตกลงกันได้ แต่นักบวชอีกท่านหนึ่งมาฟังด้วยก็มาหนุนผม พวกที่สัสตทิฏฐิที่ว่าอุทิศส่วนกุศลได้นั้นก็แพ้ไป...ถ้าอย่างนี้สัจจะสูงสุดก็คือไม่ต้องวิวาทะกัน

 

พ่อครูว่า....ก็คือไม่แสดงออกให้เป็นวาทะ ให้อยู่ที่จิตเรา ต่างคนต่างอยู่ในภพ ไม่ออกมาทำอะไรกัน อาจมีกิริยาไม่กินกันบ้าง แม้อยู่ด้วยกันก็ไม่กินเส้นกันบ้าง แต่แค่ปรับปวาทะก็ได้แต่ให้อยู่ไม่นึกคิดเลยนั้นยาก ในกฎหมายก็เอาแค่กายกับวาจา แต่ว่านำสืบไปถึงจิตได้ ...แล้วอย่างนี้ถือว่าสัจจะสูงสุดคือไม่มี ไม่มีอะไรเกิดเลย เพราะฉะนั้นในที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในปฏิจจสมุปบาทว่า คนเราต้องอาศัยทั้งความมีและความไม่มี คุณมีแต่คุณไม่ออกไปทางวาทะก็อยู่ในโลกของคุณของใครก็ของมัน แต่ถ้าคุณสงบในจิตได้อีกก็หมดสมุทัย อะไรสัมพันธ์กันได้ก็สัมพันธ์กันอะไรไม่ร่วมได้ก็ไม่ร่วม

 

ถ้าอย่างนี้ฟังดูเหมือนพวกสมุทเฉทะคือสูงสุด คือขาดสูญอย่างต่อเนื่อง ต้องไม่งงด้วย ไม่งงที่ว่าจะต้องอยู่อย่าปริเฉทะ (แปลว่าตัด) อย่างเด็ดขาด แต่จะอยู่อย่างปริเฉทะ คืออยู่อย่างรู้กับความมี ผู้สูงสุดคือไม่มีให้มีวิวาทแม้ในจิต แม้วาจา กัมมันตะ ก็ไม่มีวิวาท แม้จะมีความมี แต่ว่าตัวก่อเรื่องในตนไม่มีแล้ว สงบทั้งในตนและในผู้อื่น จึงเรียกว่าว่าง เป็นอากาสธาตุ ทำปริเฉทรูปให้เป็นอากาสธาตุได้ รู้จักการตัดในสิ่งที่จะทำให้เกิดวิวาทะ ไม่สงบ ไม่หยุดได้ รู้จักวิธีก็ทำงาน

 

ส.เดินดินว่า...ก็คงเหมือนคนที่ไม่ยึดถือเรื่องเครื่องรางของขลังแล้ว ก็ไม่ไปทะเลาะกับพวกที่ยึดถืออยู่ ไม่ไปทะเลาะด้วย

 

พ่อครูว่า...เช่นเราหมดรสอร่อยแล้ว อีกคนไม่หมดรสอร่อย ถ้าเราไปบอกว่าไม่มีรสอร่อย เขาก็เถียงกันว่ามีรสอร่อยก็เถียงกันตาย เพราะฉะนั้นคนไม่มีก็จะยอมได้ เพราะเคยรู้ว่ามันมีรสอร่อยนะ แต่เราล้างได้ไม่มีรสอร่อยได้ ก็อนุโลมให้เขาได้ว่าอร่อยก็ได้ เพราะล้างยากความอร่อย แม้ในสัญญามันยังปรุงอร่อยได้เลย เหมือนคนขยำขี้เหมือนคนเอาสัญญามาปรุงต่อ เป็นอนาคามีได้แค่ข้างนอก แต่ว่ากูรู้กับตนอย่างเดียว ดีไม่ดีมันหลอกว่าเราไม่มีอีกด้วย

 

มาต่อในพระไตรปิฎก....พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

เพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลายกล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะมากหลายต่างๆ กันจะเป็นอันใครๆ ได้สดับมา หรือว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

          สัจจะมากหลายต่างๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มีในโลกเลย  (น เหว สจฺจานิ พหูนิ นานา

อฺตฺร สฺาย นิจฺจานิ โลเก)ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมากำหนดความคาดคะเนในทิฐิทั้งหลาย (ของตน) แล้ว จึงกล่าวทิฐิธรรมอันเป็นคู่กันว่า จริงๆ เท็จๆ ก็บุคคลเจ้าทิฐิ อาศัยทิฐิธรรมเหล่านี้ คือ รูปที่ได้เห็นบ้าง เสียงที่ได้ฟังบ้าง อารมณ์ที่ได้ทราบบ้าง ศีลและพรตบ้าง จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ และตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้วร่าเริงอยู่ กล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลาไม่ฉลาด บุคคลเจ้าทิฐิย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลาด้วยทิฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียนผู้อื่นกล่าวทิฐินั้นเอง บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาด ด้วยทิฐินั้น ชื่อว่าเจ้าทิฐินั้นเต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่งและมัวเมาเพราะมานะมีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วยใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฐินั้น ของเขาบริบูรณ์แล้วอย่างนั้น ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทรามด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทรามไปด้วยกัน

 

อนึ่ง หากว่าบุคคลจะเป็นผู้ถึงเวท เป็นนักปราชญ์ด้วยลำพังตนเองไซร้ สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่มีใครเป็นผู้เขลา ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฐิอื่นจากนี้ไปชนเหล่านั้นผิดพลาดและไม่บริบูรณ์ด้วยความหมดจดเดียรถีย์ทั้งหลายย่อมกล่าวแม้อย่างนี้โดยมาก เพราะว่าเดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนักด้วยความยินดีในทิฐิของตนเดียรถีย์ทั้งหลาย กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือทิฐินี้เท่านั้น หากล่าวความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่ เดียรถีย์ทั้งหลาย โดยมากเชื่อ

มั่นแม้ด้วยอาการอย่างนี้ เดียรถีย์ทั้งหลาย รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนนั้น อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนจะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลาในลัทธินี้เล่าเดียรถีย์นั้น เมื่อกล่าวผู้อื่นว่าเป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตนฝ่ายเดียวเดียรถีย์นั้น ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว นิรมิต ศาสดาเป็นต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป บุคคลละการวินิจฉัยทิฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาทในโลกฉะนี้แล ฯ

            จบจูฬวิยูหสูตรที่ 12

 

ส.เดินดินว่า....เมื่อเร็วๆนี้มีผู้จะใช้พลังจักรวาลในการรักษาสมณะเรา แต่ผมเห็นว่า ไม่ควรก็เลยต้องมาให้พ่อครูตัดสิน พ่อครูก็บอกว่าให้ทำได้เป็นฐานะของเขา ผมก็เลยเป็นศาสดาพยากรณ์แก่เขาไปเลย

 

พ่อครูว่า...มันสุดวิสัย เราได้ช่วยสูงสุดแล้ว เราจะมีศิลปะอย่างไรในการแทรกโอสถทิพย์ให้เขาให้เขาได้สำนึกได้คิด หรือบางคนดื้อดึงดันรู้อยู่ว่าผิดก็ทำอย่างไรให้เขาได้สติ สำนึกว่ามันน่าคิดนะ หรือยิ่งรู้ว่าเราผิดนะที่ดันทุรัง แต่สุดท้ายเขาแค่ได้สำนึกว่าผิดก็เป็นโอสถทิพท์ที่สุดแล้ว

 

ตัวสัญญา ย นิจจานิ นี่คือสุดยอดแล้ว ใน จูฬวิยูหสูตร คำว่าจูฬ คือละเอียดที่สุดยอดแล้ว

 

มีศิษย์เก่าว่า...ถ้าเราวินิจฉัยแล้วว่าที่เรายึดนี้ถูกที่สุดแล้ว...แล้วบางทีเราไปฟังเขาอีกเราก็หลงไปตามเขาอีกว่าเขาถูก

 

พ่อครูตอบ.... ก็คือเรายังไม่เที่ยง ไม่จริง แต่ผู้ที่จบจริงๆคือไม่มีภาวะที่เป็นโทษเป็นภัยทั้งในตนและผู้อื่นเลย นี่คือความสงบสุขแท้จริง แต่อย่างพีชนิยามมันดันไปตามสัญญา แต่ถ้าดันไม่ได้มันก็หยุด แต่จิตนิยามของคนนี่เลวร้ายได้อีก ดันมากกว่าพีชะอีก เพราะพีชะมันมีขีดของมัน ดีไม่ดีมันก็ชนกันไปเบียดกันไป ถ้าคนเป็นอย่างพีชะได้ก็สงบ พลังดันกันอยู่อย่างไม่ทำร้าย แต่มีพลังพีชะที่ร้ายไปกินคนอื่นหมด ก็มี อย่างไทรนี่แค่ดันให้แตก แต่ที่กินเลยนี่มี คืออย่างกาฝาก

 

 

แล้วอะไรเป็นตัวกำหนดว่าสิ่งใดจริง ส่ิงใดไม่จริง?

พ่อครูตอบ...มีสองนัยะ คือมีตัวเรา กับสังคม ถ้าสัจจะจริงยิ่งใหญ่ที่สุดเราก็ให้พระพุทธเจ้ากำหนด แต่ถ้าไม่ถึงพระพุทธเจ้าเราก็กำหนดของเราว่าจริงของเรา ถ้าตัวเรา ยกตัวอย่างอาตมา อาตมาไม่ได้ยึดว่าของอาตมาถูก แต่ความเห็นหมู่ว่าอย่างอื่นขัดแย้งกับอาตมา แต่ถ้าอาตมาดันเอาความเห็นอาตมาให้เป็นผลก็ต้องสู้ แต่หมู่เขายึดถือ บางคนยอม บางคนไม่ยอม บางคนสู้หนัก คุณก็ต้องประเมินว่าสู้ดีไหม ถ้าสู้แล้วดีได้ผลประโยชน์สูงเราก็สู้ ถ้าไม่ได้ประโยชน์สูงเราก็หยุด แต่ถ้าไม่เห็นด้วยมากก็ต้องสู้มาก แต่ถ้าเราเห็นว่าไม่ต้้านมากนัก มีคนเห็นมาหาทางเรามากกว่าไปต้าน เราก็สู้ได้ผล นัยะมากหรือน้อยที่ต้องประมาณให้ดีโดยสัปปุริสธรรม ส่วนมหาปเทสคือโอกาสในปัจจุบัน ในสมัยโบราณไม่มีอาวุธอย่างปัจจุบัน แต่ปัจจุบันการสื่อสารนี้สำคัญ อาตมาก็เลยต้องพยายามทำเรื่องนี้ เราต้องช่วยกันให้การสื่อสารเราไปได้ เราทำอย่างไม่ได้เอามาหากินค้าขาย ไม่ได้เอาอามิสไม่ทำร้ายใคร เราไม่มีหนี้ไม่มีภัย นร.นี่ควรรู้ว่าเราควรช่วยกัน ในยุคนี้เป็นมหาปเทสที่สำคัญต้องช่วยกัน ปรุงแต่งสื่อให้ออกไปได้ดี พวกเรามารวมตัวกัน

 

จะให้ครบ พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มีอัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงให้ชัด มีองค์ประกอบให้ครบทั้งนอกและใน ประเด็นกิจสำคัญเราก็ต้องทำ เราไม่ทำกิจอบายมุข เสียเวลาเป็นโทษภัย แม้แต่กามหยาบเราก็ไม่ทำ เป็นอาชีพเราไม่ทำ เป็นงานจรเราไม่ทำ เรากำหนดหมายเป็นศีลเรา เป็นกรอบขอบเขตตามลำดับตามฐานะไป เป็นกรรมฐาน แล้วปฏิบัติให้ได้เป็นโมเดล รู้แล้วว่าอันนี้เหตุ จับได้ กำจัดด้วยวิปัสสนา คุณก็จะสูงขึ้นแคล่วคล่องขึ้น สามารถกำจัดเหตุสูงสุดได้เมื่อกำจัดเหตุในจิตเราได้หมดจริงก็เป็นอรหันต์ ของพุทธก็ยังอยู่กับสังคม มีการฝึกฝน อาชีพ การกระทำ วาจา ไม่ได้ลดหย่อน มีแต่เลือกเฟ้นเหตุหรือที่ไม่ดีออกไป จนหมดเหตุก็ทำอย่างช่ำชองด้วยกุศลเหตุที่ชำนาญ เชี่ยวชาญประเสริฐ ไม่ใช้คนไร้สมรรถภาพ แต่จะสมรรถภาพดีย่ิงกว่าด้วยเพราะตัดลดพลังงานเสียๆออกไป ก็จะได้พลังงานดีมาทบต้นมาทำดี สร้างสรร เจริญกว่าโลกหลายต่อ โลกุตระไม่มีทางแพ้โลกด้วยคุณภาพ แต่จะแพ้ด้วยปริมาณ เพราะผีมันมาก เราจะห้ามไม่ได้เราฆ่าก็ไม่ได้บาป ก็เลยให้เป็นไปตามกรรมสุดวิสัยที่เราจะทำ แต่สัจจะจะจัดการทำลายกันเอง ด้วยธรรมชาติ ธรรมชาติจะซื่อสัตย์ที่สุดในการปราบคนบาป จะเหลือแต่คนบุญในสุดท้าย ให้พิสูจน์กันไปว่าจะจริงไหม อาตมาเชื่อกรรมวิบาก เราเชื่อว่าเราหยุดไม่ทำบาปแล้วทั้งปว ง ใครมาได้พบมาเห็นแล้วจะเอาหรือไม่เอาก็ตาม....เอวัง


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:20:00 )

571214

รายละเอียด

571214_วิถีอาริยธรรมฯที่บุญลอมข้าวศีรษะฯ เรื่อง เปิดเผยความลับของมนุษย์และจักรวาล (ตอบปัญหาคุณFuse Kiss)

พ่อครูเกริ่นว่า...พวกเราเดินทางมาถึงวันนี้ยิ่งมั่นใจ ว่าเป็นผลของโลกุตรธรรม มาเป็นคนในโลกใหม่ ก็ตั้งใจพากเพียรศึกษาเอา เราก็กระจายไปหลายภาค พอถึงเวลาก็มารวมกัน จะเป็นพลังรวมของสนามแม่เหล็กของชาวอโศก ก็ตั้งใจเอา

 

ตัวแทนศิษย์เก่าฯกล่าวนำรายการ...เนื่องในโอกาสช่วงนี้เป็นช่วงที่ศิษย์เก่าพุทธธรรมแซงแซว และศิษย์เก่าสัมมาสิกขาศีรษะอโศก ได้จัดงาน รวมตัวศิษย์เก่าฯ  เพื่อน้อมรำลึกถึงครูบาอาจารย์  วันนี้ทั้งหมดได้นำพาลูกหลานมาในงานนี้ก็ประมาณ 200 กว่าคน จะขออนุญาตทำพิธีไหว้ครู ...ปาเจราฯ....

 

พ่อครูพาสวดมนต์สั้นๆก่อนเข้าสู่รายการ....วันนี้วันอาทิตย์ที่ 14 แรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย อาตมาก็เกิดแรม 8 ค่ำเดือน 7 ปีจอ พศ.2477 ...มนุษย์เราก็อย่างนี้แหละรู้จักวิธีการที่จะรวมจิต แล้วมีพิธี วิธีที่จะทำให้จิตใจพวกเราหลอมรวมกัน ….พลังงานจิตวิญญาณเป็นพลังงาน พวกที่เรียนอภิธรรมเขาว่าฟังไม่ขึ้นเพราะเขาถือว่าพลังงานเป็นมหาภูตรูป เขาจะไม่ยอมรับว่าจิตวิญญาณเป็นพลังงาน ที่จริงคำว่า พลัง ไม่ใช่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่มันรวมทั้งดินน้ำไฟลม เป็นจิตนิยามแล้วจิตนิยามก็จะพัฒนาไปตามลำดับ มีความเฉลียวฉลาดรอบรู้ สูงจนเข้าใจกรรมวิบาก เชื่อกรรมวิบาก แล้วรู้จักส่ิงทรงอยู่สุดท้ายคือธรรมะ แล้วทรงอยู่อย่างสังขตธรรม อย่างสนิทเนียน แยกกันยาก ทำลายยาก แต่ผู้ศึกษาชัดเจนแล้วทำให้พลังงานรูปและนามที่เกาะกันอยู่อย่างสังขตธรรม รวมหมด ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ และช่องว่าง สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าศึกษาแล้วรู้จักความจริง

 

คำว่า ความจริงเป็นส่ิงยิ่งใหญ่ พอดีมีคนที่เขาเขียนคำถามมาทางเฟสบุคกองทัพธรรม เขาใช้ชื่อว่า Fuse Kiss เขาถามมา ซึ่งเป็นคำถามที่จะถามเพื่อรู้หรือเอาไปทำงาน ก็ดี แต่เป็นคำถามที่ลึกซึ้งมาก ที่จริงวันนี้อาตมาจะต้องออกวิถีอาริยธรรม ก็ตั้งใจอธิบายให้พวกเรารู้ ที่จะพูดนี้เป็นความจบของความรู้ แต่ก่อนจะอ่านคำถามจะมีเพลงนำก่อน คือเพลง อีกหนึ่งฟากฟ้า ….

 

อีกหนึ่งฟากฟ้าชวนท้าทาย

ว่ามันหมายอย่างไร  ใครบ้างเคยไปเห็น

โลกนี้แปลกจัง  หยั่งรู้ยากเย็น เป็นโลกเทวดา

โลกเก่าเราเคยหลงนิยม

ด้วยสุขสมเสพ....ซม.... จมอยู่กับตัณหา 

รูปเสียง กลิ่นรส  ลาภยศต่างพา  เราบ้าจาบัลย์

 

แต่อีกหนึ่งฟากฟ้า กล้าทวนกระแส

ถึงใครหยามแหย่ ไม่แคไม่หวั่น

แม้ลือว่าบ้า  ยังท้าคงมั่น  โลกสั่นคลอนหวั่นไหว

อย่าหมิ่นอย่าเมินจนเผินมอง

ใช่เป็นของต่ำทราม หยามเหยียดไปถึงไหน

ศึกษาผ่าดู ให้รู้แก่ใจ ใครบ้า ใครดี ??

 

แต่อีกหนึ่งฟากฟ้า กล้าทวนกระแส ถึงใครหยามแหย่

ไม่แคร์ไม่หวั่น แม้ลือว่าบ้า ยังท้าคงมั่น

โลกสั่นคลอนหวั่นไหน

อย่าหมิ่น อย่าเมินจนเผินมอง ใช่เป็นของต่ำทราม หยามเหยียดไปถึงไหน

ศึกษาผ่าดู ให้รู้แก่ใจ ใครบ้าใครดี ??

 

โลกสองฟากฟ้า ฟากฟ้าหนึ่งเป็นโลกียะ กับโลกุตระ พระพุทธเจ้าค้นพบ กุศลกับอกุศล และกุศลของพุทธมีนัยลึกถึงบุญ ซึ่งปัจจุบันนี้เขารู้คำว่าบุญเพี้ยนไปแล้ว คำว่ากุศล นั้นหมายถึงความดีทั้งหมด ในกุศลมีโกลุตระด้วย ผู้มีโลกุตระก็มีบุญ บุญคือเครื่องมือในการชำระกิเลส คือสันตานังปุนาติ วิโส เทติ คือการชำระกิเลสในจิตสันดานให้หมดจน ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งความดีงาม ของกุศล แต่ไม่ใช่หน้าที่กุศล แต่เป็นหน้าที่ชำระกิเลสโดยตรง คำว่าบุญเมื่อทำหน้าที่หมดแล้วก็จบหยุด สิ้นบุญ สิ้นบาป ปุญญาปาปปริกขีโณ

 

คำถามจากนักศึกษาถามมาอย่างพิศดาร พ่อครูจะใช้เป็นโจทย์ในการเทศน์วิถีอาริยธรรม วันนี้ โปรดติดตามทางบุญนิยมทีวีหรือ ชมภาพ HD ที่ www.boonniyom.tv และ ชมภาพ SD ที่ www.fm-tv.tv/mobi เลือกช่อง3 -เว็บไซต์ชมออนไลน์เขาถามว่า....

 

สวัสดีค่ะ

 

พอดี ต้องทำรายงานทำแบบสอบถามซึ่งเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อของพุทธ จะขอความช่วยเหลือ..อยากให้ช่วยตอบแบบสอบให้หน่อยค่ะ ขอความกรุณาด้วยนะคะ

แบบสอบถามมี6ข้อ

1.ความจริงสูงสุดคืออะไร? อะไรเป็นตัวกำหนดว่าสิ่งใดจริงไม่จริง?

2.จุดเริ่มต้นของจักรวาลคืออะไร? อะไรคือจุดประสงค์ของการมีอยู่ของจักรวาล?

3.มนุษย์คืออะไรในศาสนาพุทธ จุดเริ่มต้นของมนุษย์มาจากไหน? มนุษย์เกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร?

4.มนุษย์ตายไปแล้วจะไปไหน? สำหรับพุทธศาสนาแล้วความตายมีความหมายหรือคุณค่าหรือไม่?

5.จริยธรรมคืออะไร อะไรเป็นบรรทัดฐานหรือมาตรฐานของจริยธรรม? และใครหรือสิ่งได้เป็นตัวกำหนด?

6. อะไรที่ระบุถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์? อะไรเป็นบรรทัดฐาน? และใครเป็นคนกำหนด?

ขอบคุณค่ะ

 

1.คำถามแรกคือคำถามเกี่ยวกับความจริง ว่าความจริงสูงสุดคืออะไร?

 

ตอบ...ความจริงมีสองอย่าง คือ ปรมัตสัจจะ กับสมมุติสัจจะ ความจริงที่สูงสุดคือปรมัตถสัจจะ ส่วนความจริงที่ไม่สูงสุดคือสมมุติสัจจะ

สมมุติสัจจะ คือความจริงที่โลกเขากำหนดว่าอะไรเป็นความจริง คนเดียวก็เป็นความจริงของคนเดียว กลุ่มหมู่ก็กำหนดในหมู่ว่าอันนี้เป็นจริง ถ้ายอมรับกันทั่วไป ทั่วโลกก็คือสมมุติสัจจะที่มนุษย์กำหนด

 

แต่ปรมัตถสัจจะขั้นสูงสุดนั้น ไม่มี สัจจะสูงสุดนั้นไม่มี แต่หากจะมีนั้นก็มี มีได้อันเดียวอันใดอันหนึ่งเท่านั้น ถูกที่สุดเป็นภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด ถ้ามีก็โหติ แต่ถ้าไม่มีคนไม่มีจิตวิญญาณก็ไม่มีอะไรกำหนดเลยว่าอะไรเปํนสัจจะ แต่เมื่อมีคนก็มีการกำหนด ถ้ายึดร่วมกันเท่าไหร่ก็อันนี้จริงที่สุดถูกที่สุด เช่น เห็นขี้ดีกว่าข้าว หากเห็นร่วมกันหมด ก็ขี้ดีกว่าข้าวก็เป็นสัจจะได้ ถ้ายึดร่วมกันไม่มีแย้งเลยก็อันนี้เป็นสัจจะหนึ่งเดียว แต่ถ้าไม่มีการกำหนด ขี้ก็อยู่กับขี้ ข้าวก็อยู่กับข้าวไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริงอะไรเลย

 

2.จุดเร่ิมต้นของจักรวาลอะไร..

ตอบ..คือไม่รู้....คือสังขารโลก ของการปรุงแต่งสังขาร ตั้งแต่เล็กๆจนใหญ่ เป็นดวงดาว เป็นจักรวาล วิวัฒนาการมาเป็นอุตุนิยามพัฒนาเป็นพีชนิยามแล้วมาเป็นจิตนิยามที่พัฒนาจิตจนรู้กรรมได้เป็นมนุษย์ แล้วเมื่อ ก็ทำความไม่มีให้มีได้นี่คือสูงสุดของที่เกิดมาในจักรวาล

 

จักรวาลเป็นสังขารโลก การปรุงแต่งของอุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ มันเลิกปรุงแต่งสังขารสลายหมดพลังงานดูดหมดเลยก็ไม่มีพลังงานแม่เหล็กดูด ตัณหาคือพลังงานแม่เหล็กที่ร้ายกาจมาก พอมันหมดฤทธิ์เป็นนิวทรอนก็ไม่มีการยึดติด ไม่มีอะไรเหลือเลยเรียกว่า นโหติ

 

จุดประสงค์ของจักรวาลเป็นไปตามธรรมชาติมันไม่รู้ตัวแต่มีภาวะของมัน เร่ิมด้วยแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า มันก็รวมกันหมดแรงก็สลายไปเป็นอุตุนิยาม จนมีการกำหนดตัวกูของกูมาเป็นชีวะ แต่ก็น้อยมากไม่มีเวทนา มันก็ดูดเกาะแล้วสลายไปตามธรรมชาติ ก็ได้แค่พลังงานฟิสิกส์ Biology จากนั้นพัฒนาจากพีชะเป็นจิตนิยาม มีเวทนา เป็นพลังงานมีจุดประสงค์มีความรู้รอบ จนเจริญสูงสุด สามารถทำให้พลังงานสลายได้ ทางวัตถุธาตุ ไอสไตน์สลายวัตถุได้เป็นปรามาณู แต่พระพุทธเจ้าเลยไปกว่านั้น สลายพลังงานทางจิตวิญญาณได้ สามารถเอาพลังงานจิตมาใช้ได้มากกว่าปรามาณู แล้วสลายได้สะอาดกว่า มีพลังงานมากกว่าปรามาณู เป็นฤทธิ์ที่ยิ่งกว่าพลังงานฟิสิกส์ พลังงานจิตนั้นเก่งกว่าละเอียดกว่า วัตถุอีก จุดประสงค์ของจักรวาล ตัวเจ้านายของจักรวาล ที่เป็นพระเจ้า คือเข้าถึงความสามารถใดก็สามารถสลายได้ เอามาใช้งานได้ จักรวาลหรือพระเจ้าอยู่ในมือใครที่สามารถกำหนดได้ก็คือจุดประสงค์ของจักรวาล เท่าที่ตนควบคุมได้ แต่ถ้ามีตัณหาเลยไปก็ควบคุมไม่ได้ ทำได้เท่าที่ตนเองสามารถควบคุมจักรวาลของตนได้

 

3....มนุษย์คืออะไรในศาสนาพุทธ..

 

ตอบ...คือสัตว์ที่มีนิยามของชีวิตในนิยาม 5 (คือ อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ) มนุษย์มีจิตนิยาม เจริญกว่าสัตว์อื่นๆ ไม่ว่าโลกลูกไหนก็มีมนุษย์ที่เจริญได้สูงกว่าสัตว์ทั้งหลาย สามารถที่จะเจริญได้มีวิสังขารได้ แต่ถ้าจะเลิกการปรุงก็สลายเป็นอสังขารได้ ถ้ามีอยู่ก็วิสังขาร เป็นอมตบุคคล ไม่สลายสังขตธรรมให้เป็นอสังขตธรรม ผู้สมบูรณ์สูงสุดรู้สังขารโลกก็กำหนดได้จะให้มีหรือไม่มีก็ได้ใสสังขารโลก ให้สูญสลายเฉพาะบางส่วนก็ได้ ในวงวนสังสารของตน

 

แล้วจุดเริ่มต้นของมนุษย์มาจากพลังงานอุตุ พัฒนาเป็นชีวะ มาเป็นจิตนิยาม สูงเป็นถึงเวไนยสัตว์ที่เป็นระดับโลกุตระได้ เร่ิมมาจากพลังงานที่จะกำหนดเจริญขึ้นเรื่อยๆ

 

มนุษย์เกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร....ถ้าอวิชชาก็จะต้องได้สิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็นเป็นลาภ ยศสรรเสริญ สุขโลกีย์ ได้บำเรออัตตาก็สุข นี่คือโลกียะ แต่วัตถุประสงค์ของผู้ที่เข้ากระแสโลกุตระก็จะมุ่งหมายรู้ความจริงให้ครบแล้วกำจัดกิเลสออกจากจิตได้ ได้หมดก็เป็นอมตบุคคล ได้วิมุติแล้ว แม้ยังไม่ปรินิพพานก็เป็นมนุษย์ที่รู้ความตาย ความเกิด ความมี หรือไม่มี แต่จะซื่อสัตย์ต่อโลกุตรธรรม จะส่งเสริมให้คนมีโลกุตรธรรม ถ้าจะมีลาภก็มีได้อย่างไม่เป็นพิษภัย จะมียศก็เอาไปทำประโยชน์ มีโลกธรรมได้ แต่ไม่ติดยึดในความเป็นโลกธรรมหรือกามคุณ แล้วไม่ลึกลับในความเป็นอัตตาด้วย หมดอัตตาในความเป็นสัตว์ จนเป็นมนุสโส จิตสูงสุดหมดความเป็นสัตว์ มีจิตวิญญาณบริสุทธ์ถาวรไม่วนเวียนกลับ เป็นจิตวิญญาณอมตะแท้จริง เป็นผู้หมดพิษภัยต่อโลกทั้งสิ้น เป็นมนุษย์ที่มีหลักประกันความจริงที่โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)  คือเป็นอรหันต์ เมื่อได้แล้วจะอยู่ในจักรวาลนี้อีกนานเท่าใดก็ได้ เพราะมีหลักประกันว่าจิตจะไม่มีชั่วมากลับกำเริบอีก  อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ท่านจะอยู่อีกนานเท่าใดก็ได้แล้วมีประโยชน์ต่อโลกด้วย จะสลายปรินิพพานก็ได้

 

อย่างอาตมามารู้พลังงานนามธรรมมากกว่า ทางวัตถุ ซึ่งไอสไตน์เป็นผู้รู้ด้านวัตถุ เป็นโพธิสัตว์ที่ทำงานด้านนั้น แต่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ด้านนามธรรมจึงรู้ E=mc2 + A ,ซึ่ง ตัวA คือ Abstract คือนามธรรม เป็นพลังงานทางจิต อาตมาเป็นโพธิสัตว์จึงรู้ว่าไอสไตน์เป็นโพธิสัตว์ ซึ่งไอสไตย์ก็เสียใจที่เขาเอาความรู้ E=mc2 ของแกไปใช้งานในทางที่ผิด ผลิตระเบิดทำร้ายคน เขาค้นพบการสลายและจับตัวของปรามาณู ทางฟิสิกส์ แต่มนุษย์ไม่มีปัญญาเอาไปใช้ผิดๆได้ เพราะจิตวิญญาณมนุษย์เลวร้าย แต่ของพระพุทธเจ้านั้นให้ล้างความชั่วในจิตให้หมดจดก่อนสิ้นเกลี้ยงไม่ทำชั่วอีกตลอดกาลก็เป็นหลักประกันได้

 

อันนี้ที่อยากให้คณะบริหารประเทศรู้ความสำคัญของการพัฒนาจิตวิญญาณ อย่าเอาแต่พัฒนาหลักเกณฑ์กฎหมายมาบังคับไม่สำเร็จหรอก มันจะหาทางเลี่ยงหลบให้จับไม่ได้ แม้จับได้ก็ด้านหนา ไม่ยอมรับอีก กำจัดยาก คนที่ด้านหนาและเลี่ยงหลบ ถ้าไม่พัฒนาการศึกษาให้จิตวิญญาณมนุษย์ลดละกิเลสได้อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ก็ไม่มีทางสำเร็จได้อย่างแน่นอน ที่จะถาวรมั่นคง

 

4.มนุษย์ตายแล้วจะไปไหน?

ตอบ...ไปตามวิบาก จิตวิญญาณเป็นตัววิบาก คือกรรม การทำดีปุ๊ปในเวลาวินาทีใดก็สั่งสมเป็นอัตตาของตนเองไม่เอาไม่ได้ นี่คือสิ่งที่จะเป็นจิตนิยามหรือเรียกว่ามโนหรือพลังงานอัตตาก็ได้ มันจะจับตัวเป็นพลังงานวิบาก หากคุณไม่มีวิธีสลายได้มันก็จับตัวไปตลอด แล้วออกผล ตายแล้วมันก็ออกผล

 

สำหรับพุทธศาสนาความตายมีคุณค่าหรือไม่?

ตอบ...จริงแล้วความตายไม่มีคุณค่า แต่ทำให้กิเลสตายนี้มีคุณค่าที่สุด

 

การตายจะมีประโยชน์คุณค่าก็มี คือพลังงานที่มีประโยชน์คุณค่าก็ควรมี อย่างอรหันต์ก็ควรมี แต่ก็ให้ท่านได้สลายตัวได้ตามเวลาอย่างพระพุทธเจ้าทำประโยชน์ต่อสัตว์โลกมากมาย แล้วจะไม่ให้ท่านสลายเลย พวกนี้ไม่รู้ว่ามันเหนื่อยมากนะที่ท่านทำให้โลกนั้น ก็ให้ท่านได้ไปสูญได้เสียทีเป็นที่สุดแห่งที่สุด สรุปว่า ผู้ที่รู้จักการตาย เกิดของพลังจิตวิญญาณ แล้วยิ่งเป็นอรหันต์ไม่มีพิษภัยต่อโลก ต่อจักรวาลแล้ว การตายจึงไม่มีคุณค่า อาตมาจึงบอกว่าพระอรหันต์จะรู้ดีว่าตนเป็นอรหันต์ ตอนแรกก็อยากตายเพราะเบื่อมันทุกข์ แต่ว่าพอต่อไปก็ทุกข์น้อยลงดับได้สนิทก็จะรู้ว่าอรหันต์ เกือบทุกองค์(ยกเว้นสมสีสีอรหันต์ คือเป็นอรหันต์แล้วตายพร้อมกับที่เป็นอรหันต์เลยก็เลยสูญไปเลย) แต่อรหันต์ปกติจะมีกตัญญู พอเป็นอรหันต์แล้วจะตั้งจิตอยู่ต่อเป็นโพธิสัตว์ช่วยศาสนาช่วยโลกต่อ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโพธิสัตว์ช่วยโลก แม้ตอนไม่เป็นจะไม่ตั้งจิต แต่ว่าพอเป็นแล้วจะได้เอง อรหันต์สมสีสีนี้มีน้อยมาก

 

5.จริยธรรมคืออะไร

ตอบ...หมายถึงสมมุติสัจจะ หมายถึงสภาพที่รู้ร่วมกันว่าเป็นพฤติกรรมกุศลที่ดี ถ้ามนุษย์กลุ่มนี้ยึดถือร่วมกันว่าขี้ดีกว่าข้าว เขาก็จะยึดถือว่าขี้ดีกว่าข้าว จะอาขี้มาทำประโยชน์มากมาย เขาจะถือว่าขี้เป็นต้นกำเนิดของข้าว เพราะขี้เป็นปุ๋ยให้ข้าวได้ นี่่ก็เป็นสมมุติที่เขายอมรับกันเป็นจริยธรรม เช่นอเมริกาถือว่าฟรีเซกส์เป็นเรื่องไม่เสียหายเขาก็เห็นว่าเป็นของธรรมดาแต่ว่าเขาก็ว่าอย่าหลายผัวหลายเมียนะ ถ้าแต่งงานแล้ว แต่ทางเอเชียยึดถือในความไม่แปดเปื้อนของพรหมจรรย์ นี่ก็ยึดถือต่างกันไป จะสตริ๊กมากกว่า

 

อะไรเป็นมาตรฐานจริยธรรม

ตอบ...ก็ตัวมนุษย์ที่รู้ร่วมกันในแต่ละสังคม ก็มนุษย์กำหนดเอง

 

6. อะไรที่ระบุความเป็นคุณค่าของมนุษย์

ตอบ...เอาใครตอบถูกให้รางวัลกินมื้อเดียว....ศิษย์เก่าสส.ษ.ที่อยู่หน้าพ่อครูตอบกันว่า....ความเสียสละ มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว สุดท้ายคือความไม่มีตัวตน  นี่คือคุณค่าของมนุษย์

 

แล้วอะไรเป็นบรรทัดฐานเป็นเครื่องชี้วัดว่าเป็นประโยชน์

ตอบ...คนตอบว่าญาณปัญญา หรือศีลธรรม สรุปคือทั้งศีลและปัญญามีเนื้อแท้คือ ความไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง คือผลของศีลและปัญญา เห็นแก่ผู้อื่นอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เป็นบรรทัดฐาน

 

แล้วใครกำหนดบรรทัดฐาน

ตอบ...มนุษย์ แล้วมนุษย์คนไหนกำหนด...คือมนุษย์ผู้รู้สุดยอด คือพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าต่างจากรพระเจ้า ซึ่งพระเจ้านั้นไม่มีตัวตนสัมผัสไม่ได้อยู่ไหนไม่รู้ พระเจ้าคือความหมาย แต่มนุษย์ที่สูงสุดคือมนุษย์ที่รู้จักความหมายสูงสุดแล้วเอามาให้คนปฏิบัติได้ พระพุทธเจ้ามีตัวตนไม่เหมือนพระเจ้า ที่สัมผัสไม่ติดไม่ได้ แต่รับความหมายได้รับของพระเจ้ามาศึกษามาใช้ จึงค่อนข้างยาก ส่วนของพระพุทธเจ้าเอาความยากมาศึกษาในพลังงานจิตวิญญาณ จึงรู้ว่าพลังงานที่สูงสุดมีตรีมูรติ มีพระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ พระกรุณาธิคุณ เป็นพลังงานพระเจ้า,  พระพุทธเจ้าเอาพลังงานพระเจ้ามาใช้ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้ามีตัวตนจริง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า

 

มาเจาะลึกกันอีกชั้นตามคำถามแต่ละข้อของคุณ Fuse Kiss

1.ความจริงสูงสุดคืออะไร?.... ซึ่งอาตมาได้นำพระไตรฯ ล. 25 ข.419 จูฬวิยูหสูตร เป็นเรื่องที่พระพุทธนิมิตมาถามพระพุทธเจ้า ซึ่ง พุทธนิมิต ก็คือเทวดาคือคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า เป็นนามธรรม มีจริง ไม่ใช่แบบตัวตนรูปร่างเทวดาที่เขาเข้าใจกันแต่เป็นพลังงานเทวดา มีสองอย่าง 1.เทวดาของเราเองคือความดีงามของเราเองมาบอก หรือ 2.เทวดาคือสภาพพลังงานที่จะถามเราให้เราตอบ เราก็จะดึงเอาคำตอบมาตอบ เทวดาพุทธนิมิตคือเทวดาที่จะถามให้เราตอบ ) คนจะตอบได้ก็ต้องมีภูมิของตนมาตอบ ยิ่งเป็นภูมิรู้ระดับปัจเจกก็ต้องเอาของตนมาตอบเท่านั้น เป็นภูมิของพระพุทธเจ้าเองที่มาบอกก็คือสัญญา แต่ถ้าเทวดาที่มาสะกิดถามก็คือเทวดาอย่างพุทธนิมิต เทวดาที่มาถามพระพุทธเจ้านั้นล้วนต่ำกว่าพระพุทธเจ้า แต่เทวดาที่มาถามอาตมานั้นบางอย่างอาตมาก็ตอบไม่ได้เพราะอาตมาไม่ใช่สยัมภู แต่พระพุทธเจ้าท่านมีความรู้ครบแล้ว จิตวิญญาณในเอกภพนี้ไม่มีจิตวิญญาณไหนสูงกว่าพระพุทธเจ้าแล้วท่านจึงตอบคำถามเทวดาได้ทุกองค์ในเอกภพนี้ นี่คือขีดที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้

 

 

จูฬวิยูหสูตรที่ 12

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่

[419] สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฐิของตนๆ ถือมั่นทิฐิแล้วปฏิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าวต่างๆ กันว่าผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรมคือทิฐิ ผู้นั้นคัดค้านธรรมคือทิฐินี้อยู่ ชื่อว่าเป็นผู้เลวทราม สมณพราหมณ์ทั้งหลายถือมั่นทิฐิแม้ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมโต้เถียงกัน และกล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด วาทะของสมณพราหมณ์สองพวกนี้วาทะไหนเป็นวาทะจริงหนอ เพราะว่าสมณพราหมณ์ทั้งหมดนี้ ต่างก็กล่าวกันว่าเป็นคนฉลาด ฯ

 

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

หากว่าผู้ใดไม่ยินยอมตามธรรม คือ ความเห็นของผู้อื่น ผู้นั้นเป็นคนพาล คนเขลา เป็นคนมีปัญญาทราม ชนเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นคนพาลเป็นคนมีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าชนเหล่านี้ทั้งหมดถือมั่นอยู่ในทิฐิ ก็หากว่าชนเหล่านั้นเป็นคนผ่องใสอยู่ในทิฐิของตนๆ จัดว่าเป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์เป็นคนฉลาด มีความคิดไซร้ บรรดาคนเจ้าทิฐิเหล่านั้น

ก็จะไม่มีใครๆ เป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าทิฐิของชนแม้เหล่านั้นล้วนเป็นทิฐิเสมอกัน เหมือนทิฐิของพวกชนนอกนี้อนึ่ง ชนทั้งสองพวกได้กล่าวกันและกันว่าเป็นผู้เขลา เพราะความเห็นใด เราไม่กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้ เพราะเหตุที่ชนเหล่านั้น ได้กระทำความเห็นของตนๆ ว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง(สิ่งอื่นเปล่า) ฉะนั้นแล ชนเหล่านั้น จึงตั้งคนอื่นว่าเป็นผู้เขลา ฯ

 

 

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า สมณพราหมณ์แต่ละพวก กล่าวทิฐิใดว่าเป็นความจริงแท้แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นก็กล่าวทิฐินั้นว่า เป็นความเท็จไม่จริง สมณพราหมณ์ทั้งหลายมาถือมั่น (ความจริงต่างๆกัน) แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว

ก็วิวาทกันเพราะเหตุไรสมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

          สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมาทราบชัดอยู่กล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไปด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

 

พ่อครูว่า...(ถ้าเรายึดถือความจริงของตนอยู่ แต่เราไม่แสดงออกไป มันก็ไม่เกิดการวิวาท เราส่งออกแสดงออกถึงความจริงที่เรายึดถือไปนิดนึงก็มีการวิวาทนิดนึ่ง แสดงออกมากเท่าใดก็แย้งมากเท่านั้น พลังงานละเอียดเท่าใด ผู้รู้แล้วจะไม่แสดงออกจะทราบในตน ว่าถ้าเห็นแย้งจะวิวาทแต่ถ้ากล่าวออกไปแล้วไม่แย้งก็ไม่วิวาท แต่ถ้าไม่กล่าวต่างคนต่างอยู่ในภพไม่ยึดของตน ผู้ใดอ่านวิจีสังขารออกจะไม่วิวาทเลย ถ้าไม่มีคำพูดในจิตเราไม่ออกไปเลย ต่างกันอย่างไรก็ไม่วิวาท เขาจึงออกกฎหมายว่าอย่าพูด อย่าทำเช่นนั้นๆ แต่ไม่ได้ออกกฎหมายว่า ไม่ให้คิดต่างกัน แต่ก็มีหลักในการคิดต่างกัน แล้วมีการจูงนำให้เกิดปฏิบัติทางกาย กับวาจา นำสืบได้ ผู้พิพากษาจำนำสืบให้ชัด เขาก็จะจำนนว่า อันนี้คุณมีกรรมทางกาย วาจา ที่มีนามธรรมเป็นตัวนำไปให้เกิดกายกับวาจา แต่ถ้าไม่ออกไม่นำสืบ ตัดเขตแต่ในจิตเราก็ไม่มีวิวาทะ

 

ส.เดินดินว่า...ผมเคยมีความขัดแย้งกับนักบวชรูปหนึ่งเรื่องอุทิศส่วนกุศลนั้นไม่มีผลหรอกกับคนที่ตายแล้ว ส่วนท่านเห็นว่าได้ผมเห็นว่าไม่ได้ ก็พูดเหตุผลกันแต่.... ไม่สามารถตกลงกันได้ แต่นักบวชอีกท่านหนึ่งมาฟังด้วยก็มาหนุนผม พวกที่สัสตทิฏฐิที่ว่าอุทิศส่วนกุศลได้นั้นก็แพ้ไป...ถ้าอย่างนี้สัจจะสูงสุดก็คือไม่ต้องวิวาทะกัน

 

พ่อครูว่า....ก็คือไม่แสดงออกให้เป็นวาทะ ให้อยู่ที่จิตเรา ต่างคนต่างอยู่ในภพ ไม่ออกมาทำอะไรกัน อาจมีกิริยาไม่กินกันบ้าง แม้อยู่ด้วยกันก็ไม่กินเส้นกันบ้าง แต่แค่ปรับปวาทะก็ได้แต่ให้อยู่ไม่นึกคิดเลยนั้นยาก ในกฎหมายก็เอาแค่กายกับวาจา แต่ว่านำสืบไปถึงจิตได้ ...แล้วอย่างนี้ถือว่าสัจจะสูงสุดคือไม่มี ไม่มีอะไรเกิดเลย เพราะฉะนั้นในที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในปฏิจจสมุปบาทว่า คนเราต้องอาศัยทั้งความมีและความไม่มี คุณมีแต่คุณไม่ออกไปทางวาทะก็อยู่ในโลกของคุณของใครก็ของมัน แต่ถ้าคุณสงบในจิตได้อีกก็หมดสมุทัย อะไรสัมพันธ์กันได้ก็สัมพันธ์กันอะไรไม่ร่วมได้ก็ไม่ร่วม

 

ถ้าอย่างนี้ฟังดูเหมือนพวกสมุทเฉทะคือสูงสุด คือขาดสูญอย่างต่อเนื่อง ต้องไม่งงด้วย ไม่งงที่ว่าจะต้องอยู่อย่าปริเฉทะ (แปลว่าตัด) อย่างเด็ดขาด แต่จะอยู่อย่างปริเฉทะ คืออยู่อย่างรู้กับความมี ผู้สูงสุดคือไม่มีให้มีวิวาทแม้ในจิต แม้วาจา กัมมันตะ ก็ไม่มีวิวาท แม้จะมีความมี แต่ว่าตัวก่อเรื่องในตนไม่มีแล้ว สงบทั้งในตนและในผู้อื่น จึงเรียกว่าว่าง เป็นอากาสธาตุ ทำปริเฉทรูปให้เป็นอากาสธาตุได้ รู้จักการตัดในสิ่งที่จะทำให้เกิดวิวาทะ ไม่สงบ ไม่หยุดได้ รู้จักวิธีก็ทำงาน

 

ส.เดินดินว่า...ก็คงเหมือนคนที่ไม่ยึดถือเรื่องเครื่องรางของขลังแล้ว ก็ไม่ไปทะเลาะกับพวกที่ยึดถืออยู่ ไม่ไปทะเลาะด้วย

 

พ่อครูว่า...เช่นเราหมดรสอร่อยแล้ว อีกคนไม่หมดรสอร่อย ถ้าเราไปบอกว่าไม่มีรสอร่อย เขาก็เถียงกันว่ามีรสอร่อยก็เถียงกันตาย เพราะฉะนั้นคนไม่มีก็จะยอมได้ เพราะเคยรู้ว่ามันมีรสอร่อยนะ แต่เราล้างได้ไม่มีรสอร่อยได้ ก็อนุโลมให้เขาได้ว่าอร่อยก็ได้ เพราะล้างยากความอร่อย แม้ในสัญญามันยังปรุงอร่อยได้เลย เหมือนคนขยำขี้เหมือนคนเอาสัญญามาปรุงต่อ เป็นอนาคามีได้แค่ข้างนอก แต่ว่ากูรู้กับตนอย่างเดียว ดีไม่ดีมันหลอกว่าเราไม่มีอีกด้วย

 

มาต่อในพระไตรปิฎก....พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

เพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลายกล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะมากหลายต่างๆ กันจะเป็นอันใครๆ ได้สดับมา หรือว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

          สัจจะมากหลายต่างๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มีในโลกเลย  (น เหว สจฺจานิ พหูนิ นานา

อฺตฺร สฺาย นิจฺจานิ โลเก)ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมากำหนดความคาดคะเนในทิฐิทั้งหลาย (ของตน) แล้ว จึงกล่าวทิฐิธรรมอันเป็นคู่กันว่า จริงๆ เท็จๆ ก็บุคคลเจ้าทิฐิ อาศัยทิฐิธรรมเหล่านี้ คือ รูปที่ได้เห็นบ้าง เสียงที่ได้ฟังบ้าง อารมณ์ที่ได้ทราบบ้าง ศีลและพรตบ้าง จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ และตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้วร่าเริงอยู่ กล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลาไม่ฉลาด บุคคลเจ้าทิฐิย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลาด้วยทิฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียนผู้อื่นกล่าวทิฐินั้นเอง บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาด ด้วยทิฐินั้น ชื่อว่าเจ้าทิฐินั้นเต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่งและมัวเมาเพราะมานะมีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วยใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฐินั้น ของเขาบริบูรณ์แล้วอย่างนั้น ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทรามด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทรามไปด้วยกัน

 

อนึ่ง หากว่าบุคคลจะเป็นผู้ถึงเวท เป็นนักปราชญ์ด้วยลำพังตนเองไซร้ สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่มีใครเป็นผู้เขลา ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฐิอื่นจากนี้ไปชนเหล่านั้นผิดพลาดและไม่บริบูรณ์ด้วยความหมดจดเดียรถีย์ทั้งหลายย่อมกล่าวแม้อย่างนี้โดยมาก เพราะว่าเดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนักด้วยความยินดีในทิฐิของตนเดียรถีย์ทั้งหลาย กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือทิฐินี้เท่านั้น หากล่าวความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่ เดียรถีย์ทั้งหลาย โดยมากเชื่อ

มั่นแม้ด้วยอาการอย่างนี้ เดียรถีย์ทั้งหลาย รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนนั้น อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนจะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลาในลัทธินี้เล่าเดียรถีย์นั้น เมื่อกล่าวผู้อื่นว่าเป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตนฝ่ายเดียวเดียรถีย์นั้น ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว นิรมิต ศาสดาเป็นต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป บุคคลละการวินิจฉัยทิฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาทในโลกฉะนี้แล ฯ

            จบจูฬวิยูหสูตรที่ 12

 

ส.เดินดินว่า....เมื่อเร็วๆนี้มีผู้จะใช้พลังจักรวาลในการรักษาสมณะเรา แต่ผมเห็นว่า ไม่ควรก็เลยต้องมาให้พ่อครูตัดสิน พ่อครูก็บอกว่าให้ทำได้เป็นฐานะของเขา ผมก็เลยเป็นศาสดาพยากรณ์แก่เขาไปเลย

 

พ่อครูว่า...มันสุดวิสัย เราได้ช่วยสูงสุดแล้ว เราจะมีศิลปะอย่างไรในการแทรกโอสถทิพย์ให้เขาให้เขาได้สำนึกได้คิด หรือบางคนดื้อดึงดันรู้อยู่ว่าผิดก็ทำอย่างไรให้เขาได้สติ สำนึกว่ามันน่าคิดนะ หรือยิ่งรู้ว่าเราผิดนะที่ดันทุรัง แต่สุดท้ายเขาแค่ได้สำนึกว่าผิดก็เป็นโอสถทิพท์ที่สุดแล้ว

 

ตัวสัญญา ย นิจจานิ นี่คือสุดยอดแล้ว ใน จูฬวิยูหสูตร คำว่าจูฬ คือละเอียดที่สุดยอดแล้ว

 

มีศิษย์เก่าว่า...ถ้าเราวินิจฉัยแล้วว่าที่เรายึดนี้ถูกที่สุดแล้ว...แล้วบางทีเราไปฟังเขาอีกเราก็หลงไปตามเขาอีกว่าเขาถูก

 

พ่อครูตอบ.... ก็คือเรายังไม่เที่ยง ไม่จริง แต่ผู้ที่จบจริงๆคือไม่มีภาวะที่เป็นโทษเป็นภัยทั้งในตนและผู้อื่นเลย นี่คือความสงบสุขแท้จริง แต่อย่างพีชนิยามมันดันไปตามสัญญา แต่ถ้าดันไม่ได้มันก็หยุด แต่จิตนิยามของคนนี่เลวร้ายได้อีก ดันมากกว่าพีชะอีก เพราะพีชะมันมีขีดของมัน ดีไม่ดีมันก็ชนกันไปเบียดกันไป ถ้าคนเป็นอย่างพีชะได้ก็สงบ พลังดันกันอยู่อย่างไม่ทำร้าย แต่มีพลังพีชะที่ร้ายไปกินคนอื่นหมด ก็มี อย่างไทรนี่แค่ดันให้แตก แต่ที่กินเลยนี่มี คืออย่างกาฝาก

 

 

แล้วอะไรเป็นตัวกำหนดว่าสิ่งใดจริง ส่ิงใดไม่จริง?

พ่อครูตอบ...มีสองนัยะ คือมีตัวเรา กับสังคม ถ้าสัจจะจริงยิ่งใหญ่ที่สุดเราก็ให้พระพุทธเจ้ากำหนด แต่ถ้าไม่ถึงพระพุทธเจ้าเราก็กำหนดของเราว่าจริงของเรา ถ้าตัวเรา ยกตัวอย่างอาตมา อาตมาไม่ได้ยึดว่าของอาตมาถูก แต่ความเห็นหมู่ว่าอย่างอื่นขัดแย้งกับอาตมา แต่ถ้าอาตมาดันเอาความเห็นอาตมาให้เป็นผลก็ต้องสู้ แต่หมู่เขายึดถือ บางคนยอม บางคนไม่ยอม บางคนสู้หนัก คุณก็ต้องประเมินว่าสู้ดีไหม ถ้าสู้แล้วดีได้ผลประโยชน์สูงเราก็สู้ ถ้าไม่ได้ประโยชน์สูงเราก็หยุด แต่ถ้าไม่เห็นด้วยมากก็ต้องสู้มาก แต่ถ้าเราเห็นว่าไม่ต้้านมากนัก มีคนเห็นมาหาทางเรามากกว่าไปต้าน เราก็สู้ได้ผล นัยะมากหรือน้อยที่ต้องประมาณให้ดีโดยสัปปุริสธรรม ส่วนมหาปเทสคือโอกาสในปัจจุบัน ในสมัยโบราณไม่มีอาวุธอย่างปัจจุบัน แต่ปัจจุบันการสื่อสารนี้สำคัญ อาตมาก็เลยต้องพยายามทำเรื่องนี้ เราต้องช่วยกันให้การสื่อสารเราไปได้ เราทำอย่างไม่ได้เอามาหากินค้าขาย ไม่ได้เอาอามิสไม่ทำร้ายใคร เราไม่มีหนี้ไม่มีภัย นร.นี่ควรรู้ว่าเราควรช่วยกัน ในยุคนี้เป็นมหาปเทสที่สำคัญต้องช่วยกัน ปรุงแต่งสื่อให้ออกไปได้ดี พวกเรามารวมตัวกัน

 

จะให้ครบ พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มีอัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงให้ชัด มีองค์ประกอบให้ครบทั้งนอกและใน ประเด็นกิจสำคัญเราก็ต้องทำ เราไม่ทำกิจอบายมุข เสียเวลาเป็นโทษภัย แม้แต่กามหยาบเราก็ไม่ทำ เป็นอาชีพเราไม่ทำ เป็นงานจรเราไม่ทำ เรากำหนดหมายเป็นศีลเรา เป็นกรอบขอบเขตตามลำดับตามฐานะไป เป็นกรรมฐาน แล้วปฏิบัติให้ได้เป็นโมเดล รู้แล้วว่าอันนี้เหตุ จับได้ กำจัดด้วยวิปัสสนา คุณก็จะสูงขึ้นแคล่วคล่องขึ้น สามารถกำจัดเหตุสูงสุดได้เมื่อกำจัดเหตุในจิตเราได้หมดจริงก็เป็นอรหันต์ ของพุทธก็ยังอยู่กับสังคม มีการฝึกฝน อาชีพ การกระทำ วาจา ไม่ได้ลดหย่อน มีแต่เลือกเฟ้นเหตุหรือที่ไม่ดีออกไป จนหมดเหตุก็ทำอย่างช่ำชองด้วยกุศลเหตุที่ชำนาญ เชี่ยวชาญประเสริฐ ไม่ใช้คนไร้สมรรถภาพ แต่จะสมรรถภาพดีย่ิงกว่าด้วยเพราะตัดลดพลังงานเสียๆออกไป ก็จะได้พลังงานดีมาทบต้นมาทำดี สร้างสรร เจริญกว่าโลกหลายต่อ โลกุตระไม่มีทางแพ้โลกด้วยคุณภาพ แต่จะแพ้ด้วยปริมาณ เพราะผีมันมาก เราจะห้ามไม่ได้เราฆ่าก็ไม่ได้บาป ก็เลยให้เป็นไปตามกรรมสุดวิสัยที่เราจะทำ แต่สัจจะจะจัดการทำลายกันเอง ด้วยธรรมชาติ ธรรมชาติจะซื่อสัตย์ที่สุดในการปราบคนบาป จะเหลือแต่คนบุญในสุดท้าย ให้พิสูจน์กันไปว่าจะจริงไหม อาตมาเชื่อกรรมวิบาก เราเชื่อว่าเราหยุดไม่ทำบาปแล้วทั้งปว ง ใครมาได้พบมาเห็นแล้วจะเอาหรือไม่เอาก็ตาม....เอวัง


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:21:00 )

571214

รายละเอียด

571214_วิถีอาริยธรรมฯที่บุญลอมข้าวศีรษะฯ เปิดเผยความลับของมนุษย์และจักรวาล ตอน 1(ตอบปัญหาคุณFuse Kiss)

พ่อครูเกริ่นว่า...พวกเราเดินทางมาถึงวันนี้ยิ่งมั่นใจ ว่าเป็นผลของโลกุตรธรรม มาเป็นคนในโลกใหม่ ก็ตั้งใจพากเพียรศึกษาเอา เราก็กระจายไปหลายภาค พอถึงเวลาก็มารวมกัน จะเป็นพลังรวมของสนามแม่เหล็กของชาวอโศก ก็ตั้งใจเอา

 

ตัวแทนศิษย์เก่าฯกล่าวนำรายการ...เนื่องในโอกาสช่วงนี้เป็นช่วงที่ศิษย์เก่าพุทธธรรมแซงแซว และศิษย์เก่าสัมมาสิกขาศีรษะอโศก ได้จัดงาน รวมตัวศิษย์เก่าฯ  เพื่อน้อมรำลึกถึงครูบาอาจารย์  วันนี้ทั้งหมดได้นำพาลูกหลานมาในงานนี้ก็ประมาณ 200 กว่าคน จะขออนุญาตทำพิธีไหว้ครู ...ปาเจราฯ....

 

พ่อครูพาสวดมนต์สั้นๆก่อนเข้าสู่รายการ....วันนี้วันอาทิตย์ที่ 14 แรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย อาตมาก็เกิดแรม 8 ค่ำเดือน 7 ปีจอ พศ.2477 ...มนุษย์เราก็อย่างนี้แหละรู้จักวิธีการที่จะรวมจิต แล้วมีพิธี วิธีที่จะทำให้จิตใจพวกเราหลอมรวมกัน ….พลังงานจิตวิญญาณเป็นพลังงาน พวกที่เรียนอภิธรรมเขาว่าฟังไม่ขึ้นเพราะเขาถือว่าพลังงานเป็นมหาภูตรูป เขาจะไม่ยอมรับว่าจิตวิญญาณเป็นพลังงาน ที่จริงคำว่า พลัง ไม่ใช่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่มันรวมทั้งดินน้ำไฟลม เป็นจิตนิยามแล้วจิตนิยามก็จะพัฒนาไปตามลำดับ มีความเฉลียวฉลาดรอบรู้ สูงจนเข้าใจกรรมวิบาก เชื่อกรรมวิบาก แล้วรู้จักส่ิงทรงอยู่สุดท้ายคือธรรมะ แล้วทรงอยู่อย่างสังขตธรรม อย่างสนิทเนียน แยกกันยาก ทำลายยาก แต่ผู้ศึกษาชัดเจนแล้วทำให้พลังงานรูปและนามที่เกาะกันอยู่อย่างสังขตธรรม รวมหมด ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ และช่องว่าง สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าศึกษาแล้วรู้จักความจริง

 

คำว่า ความจริงเป็นส่ิงยิ่งใหญ่ พอดีมีคนที่เขาเขียนคำถามมาทางเฟสบุคกองทัพธรรม เขาใช้ชื่อว่า Fuse Kiss เขาถามมา ซึ่งเป็นคำถามที่จะถามเพื่อรู้หรือเอาไปทำงาน ก็ดี แต่เป็นคำถามที่ลึกซึ้งมาก ที่จริงวันนี้อาตมาจะต้องออกวิถีอาริยธรรม ก็ตั้งใจอธิบายให้พวกเรารู้ ที่จะพูดนี้เป็นความจบของความรู้ แต่ก่อนจะอ่านคำถามจะมีเพลงนำก่อน คือเพลง อีกหนึ่งฟากฟ้า ….

 

อีกหนึ่งฟากฟ้าชวนท้าทาย

ว่ามันหมายอย่างไร  ใครบ้างเคยไปเห็น

โลกนี้แปลกจัง  หยั่งรู้ยากเย็น เป็นโลกเทวดา

โลกเก่าเราเคยหลงนิยม

ด้วยสุขสมเสพ....ซม.... จมอยู่กับตัณหา 

รูปเสียง กลิ่นรส  ลาภยศต่างพา  เราบ้าจาบัลย์

 

แต่อีกหนึ่งฟากฟ้า กล้าทวนกระแส

ถึงใครหยามแหย่ ไม่แคไม่หวั่น

แม้ลือว่าบ้า  ยังท้าคงมั่น  โลกสั่นคลอนหวั่นไหว

อย่าหมิ่นอย่าเมินจนเผินมอง

ใช่เป็นของต่ำทราม หยามเหยียดไปถึงไหน

ศึกษาผ่าดู ให้รู้แก่ใจ ใครบ้า ใครดี ??

 

แต่อีกหนึ่งฟากฟ้า กล้าทวนกระแส ถึงใครหยามแหย่

ไม่แคร์ไม่หวั่น แม้ลือว่าบ้า ยังท้าคงมั่น

โลกสั่นคลอนหวั่นไหน

อย่าหมิ่น อย่าเมินจนเผินมอง ใช่เป็นของต่ำทราม หยามเหยียดไปถึงไหน

ศึกษาผ่าดู ให้รู้แก่ใจ ใครบ้าใครดี ??

 

โลกสองฟากฟ้า ฟากฟ้าหนึ่งเป็นโลกียะ กับโลกุตระ พระพุทธเจ้าค้นพบ กุศลกับอกุศล และกุศลของพุทธมีนัยลึกถึงบุญ ซึ่งปัจจุบันนี้เขารู้คำว่าบุญเพี้ยนไปแล้ว คำว่ากุศล นั้นหมายถึงความดีทั้งหมด ในกุศลมีโกลุตระด้วย ผู้มีโลกุตระก็มีบุญ บุญคือเครื่องมือในการชำระกิเลส คือสันตานังปุนาติ วิโส เทติ คือการชำระกิเลสในจิตสันดานให้หมดจน ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งความดีงาม ของกุศล แต่ไม่ใช่หน้าที่กุศล แต่เป็นหน้าที่ชำระกิเลสโดยตรง คำว่าบุญเมื่อทำหน้าที่หมดแล้วก็จบหยุด สิ้นบุญ สิ้นบาป ปุญญาปาปปริกขีโณ

 

คำถามจากนักศึกษาถามมาอย่างพิศดาร พ่อครูจะใช้เป็นโจทย์ในการเทศน์วิถีอาริยธรรม วันนี้ โปรดติดตามทางบุญนิยมทีวีหรือ ชมภาพ HD ที่ www.boonniyom.tv และ ชมภาพ SD ที่ www.fm-tv.tv/mobi เลือกช่อง3 -เว็บไซต์ชมออนไลน์เขาถามว่า....

 

สวัสดีค่ะ

 

พอดี ต้องทำรายงานทำแบบสอบถามซึ่งเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อของพุทธ จะขอความช่วยเหลือ..อยากให้ช่วยตอบแบบสอบให้หน่อยค่ะ ขอความกรุณาด้วยนะคะ

แบบสอบถามมี6ข้อ

1.ความจริงสูงสุดคืออะไร? อะไรเป็นตัวกำหนดว่าสิ่งใดจริงไม่จริง?

2.จุดเริ่มต้นของจักรวาลคืออะไร? อะไรคือจุดประสงค์ของการมีอยู่ของจักรวาล?

3.มนุษย์คืออะไรในศาสนาพุทธ จุดเริ่มต้นของมนุษย์มาจากไหน? มนุษย์เกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร?

4.มนุษย์ตายไปแล้วจะไปไหน? สำหรับพุทธศาสนาแล้วความตายมีความหมายหรือคุณค่าหรือไม่?

5.จริยธรรมคืออะไร อะไรเป็นบรรทัดฐานหรือมาตรฐานของจริยธรรม? และใครหรือสิ่งได้เป็นตัวกำหนด?

6. อะไรที่ระบุถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์? อะไรเป็นบรรทัดฐาน? และใครเป็นคนกำหนด?

ขอบคุณค่ะ

 

1.คำถามแรกคือคำถามเกี่ยวกับความจริง ว่าความจริงสูงสุดคืออะไร?

 

ตอบ...ความจริงมีสองอย่าง คือ ปรมัตสัจจะ กับสมมุติสัจจะ ความจริงที่สูงสุดคือปรมัตถสัจจะ ส่วนความจริงที่ไม่สูงสุดคือสมมุติสัจจะ

สมมุติสัจจะ คือความจริงที่โลกเขากำหนดว่าอะไรเป็นความจริง คนเดียวก็เป็นความจริงของคนเดียว กลุ่มหมู่ก็กำหนดในหมู่ว่าอันนี้เป็นจริง ถ้ายอมรับกันทั่วไป ทั่วโลกก็คือสมมุติสัจจะที่มนุษย์กำหนด

 

แต่ปรมัตถสัจจะขั้นสูงสุดนั้น ไม่มี สัจจะสูงสุดนั้นไม่มี แต่หากจะมีนั้นก็มี มีได้อันเดียวอันใดอันหนึ่งเท่านั้น ถูกที่สุดเป็นภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด ถ้ามีก็โหติ แต่ถ้าไม่มีคนไม่มีจิตวิญญาณก็ไม่มีอะไรกำหนดเลยว่าอะไรเปํนสัจจะ แต่เมื่อมีคนก็มีการกำหนด ถ้ายึดร่วมกันเท่าไหร่ก็อันนี้จริงที่สุดถูกที่สุด เช่น เห็นขี้ดีกว่าข้าว หากเห็นร่วมกันหมด ก็ขี้ดีกว่าข้าวก็เป็นสัจจะได้ ถ้ายึดร่วมกันไม่มีแย้งเลยก็อันนี้เป็นสัจจะหนึ่งเดียว แต่ถ้าไม่มีการกำหนด ขี้ก็อยู่กับขี้ ข้าวก็อยู่กับข้าวไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริงอะไรเลย

 

2.จุดเร่ิมต้นของจักรวาลอะไร..

ตอบ..คือไม่รู้....คือสังขารโลก ของการปรุงแต่งสังขาร ตั้งแต่เล็กๆจนใหญ่ เป็นดวงดาว เป็นจักรวาล วิวัฒนาการมาเป็นอุตุนิยามพัฒนาเป็นพีชนิยามแล้วมาเป็นจิตนิยามที่พัฒนาจิตจนรู้กรรมได้เป็นมนุษย์ แล้วเมื่อ ก็ทำความไม่มีให้มีได้นี่คือสูงสุดของที่เกิดมาในจักรวาล

 

จักรวาลเป็นสังขารโลก การปรุงแต่งของอุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ มันเลิกปรุงแต่งสังขารสลายหมดพลังงานดูดหมดเลยก็ไม่มีพลังงานแม่เหล็กดูด ตัณหาคือพลังงานแม่เหล็กที่ร้ายกาจมาก พอมันหมดฤทธิ์เป็นนิวทรอนก็ไม่มีการยึดติด ไม่มีอะไรเหลือเลยเรียกว่า นโหติ

 

จุดประสงค์ของจักรวาลเป็นไปตามธรรมชาติมันไม่รู้ตัวแต่มีภาวะของมัน เร่ิมด้วยแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า มันก็รวมกันหมดแรงก็สลายไปเป็นอุตุนิยาม จนมีการกำหนดตัวกูของกูมาเป็นชีวะ แต่ก็น้อยมากไม่มีเวทนา มันก็ดูดเกาะแล้วสลายไปตามธรรมชาติ ก็ได้แค่พลังงานฟิสิกส์ Biology จากนั้นพัฒนาจากพีชะเป็นจิตนิยาม มีเวทนา เป็นพลังงานมีจุดประสงค์มีความรู้รอบ จนเจริญสูงสุด สามารถทำให้พลังงานสลายได้ ทางวัตถุธาตุ ไอสไตน์สลายวัตถุได้เป็นปรามาณู แต่พระพุทธเจ้าเลยไปกว่านั้น สลายพลังงานทางจิตวิญญาณได้ สามารถเอาพลังงานจิตมาใช้ได้มากกว่าปรามาณู แล้วสลายได้สะอาดกว่า มีพลังงานมากกว่าปรามาณู เป็นฤทธิ์ที่ยิ่งกว่าพลังงานฟิสิกส์ พลังงานจิตนั้นเก่งกว่าละเอียดกว่า วัตถุอีก จุดประสงค์ของจักรวาล ตัวเจ้านายของจักรวาล ที่เป็นพระเจ้า คือเข้าถึงความสามารถใดก็สามารถสลายได้ เอามาใช้งานได้ จักรวาลหรือพระเจ้าอยู่ในมือใครที่สามารถกำหนดได้ก็คือจุดประสงค์ของจักรวาล เท่าที่ตนควบคุมได้ แต่ถ้ามีตัณหาเลยไปก็ควบคุมไม่ได้ ทำได้เท่าที่ตนเองสามารถควบคุมจักรวาลของตนได้

 

3....มนุษย์คืออะไรในศาสนาพุทธ..

 

ตอบ...คือสัตว์ที่มีนิยามของชีวิตในนิยาม 5 (คือ อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ) มนุษย์มีจิตนิยาม เจริญกว่าสัตว์อื่นๆ ไม่ว่าโลกลูกไหนก็มีมนุษย์ที่เจริญได้สูงกว่าสัตว์ทั้งหลาย สามารถที่จะเจริญได้มีวิสังขารได้ แต่ถ้าจะเลิกการปรุงก็สลายเป็นอสังขารได้ ถ้ามีอยู่ก็วิสังขาร เป็นอมตบุคคล ไม่สลายสังขตธรรมให้เป็นอสังขตธรรม ผู้สมบูรณ์สูงสุดรู้สังขารโลกก็กำหนดได้จะให้มีหรือไม่มีก็ได้ใสสังขารโลก ให้สูญสลายเฉพาะบางส่วนก็ได้ ในวงวนสังสารของตน

 

แล้วจุดเริ่มต้นของมนุษย์มาจากพลังงานอุตุ พัฒนาเป็นชีวะ มาเป็นจิตนิยาม สูงเป็นถึงเวไนยสัตว์ที่เป็นระดับโลกุตระได้ เร่ิมมาจากพลังงานที่จะกำหนดเจริญขึ้นเรื่อยๆ

 

มนุษย์เกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร....ถ้าอวิชชาก็จะต้องได้สิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็นเป็นลาภ ยศสรรเสริญ สุขโลกีย์ ได้บำเรออัตตาก็สุข นี่คือโลกียะ แต่วัตถุประสงค์ของผู้ที่เข้ากระแสโลกุตระก็จะมุ่งหมายรู้ความจริงให้ครบแล้วกำจัดกิเลสออกจากจิตได้ ได้หมดก็เป็นอมตบุคคล ได้วิมุติแล้ว แม้ยังไม่ปรินิพพานก็เป็นมนุษย์ที่รู้ความตาย ความเกิด ความมี หรือไม่มี แต่จะซื่อสัตย์ต่อโลกุตรธรรม จะส่งเสริมให้คนมีโลกุตรธรรม ถ้าจะมีลาภก็มีได้อย่างไม่เป็นพิษภัย จะมียศก็เอาไปทำประโยชน์ มีโลกธรรมได้ แต่ไม่ติดยึดในความเป็นโลกธรรมหรือกามคุณ แล้วไม่ลึกลับในความเป็นอัตตาด้วย หมดอัตตาในความเป็นสัตว์ จนเป็นมนุสโส จิตสูงสุดหมดความเป็นสัตว์ มีจิตวิญญาณบริสุทธ์ถาวรไม่วนเวียนกลับ เป็นจิตวิญญาณอมตะแท้จริง เป็นผู้หมดพิษภัยต่อโลกทั้งสิ้น เป็นมนุษย์ที่มีหลักประกันความจริงที่โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)  คือเป็นอรหันต์ เมื่อได้แล้วจะอยู่ในจักรวาลนี้อีกนานเท่าใดก็ได้ เพราะมีหลักประกันว่าจิตจะไม่มีชั่วมากลับกำเริบอีก  อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ท่านจะอยู่อีกนานเท่าใดก็ได้แล้วมีประโยชน์ต่อโลกด้วย จะสลายปรินิพพานก็ได้

 

อย่างอาตมามารู้พลังงานนามธรรมมากกว่า ทางวัตถุ ซึ่งไอสไตน์เป็นผู้รู้ด้านวัตถุ เป็นโพธิสัตว์ที่ทำงานด้านนั้น แต่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ด้านนามธรรมจึงรู้ E=mc2 + A ,ซึ่ง ตัวA คือ Abstract คือนามธรรม เป็นพลังงานทางจิต อาตมาเป็นโพธิสัตว์จึงรู้ว่าไอสไตน์เป็นโพธิสัตว์ ซึ่งไอสไตย์ก็เสียใจที่เขาเอาความรู้ E=mc2 ของแกไปใช้งานในทางที่ผิด ผลิตระเบิดทำร้ายคน เขาค้นพบการสลายและจับตัวของปรามาณู ทางฟิสิกส์ แต่มนุษย์ไม่มีปัญญาเอาไปใช้ผิดๆได้ เพราะจิตวิญญาณมนุษย์เลวร้าย แต่ของพระพุทธเจ้านั้นให้ล้างความชั่วในจิตให้หมดจดก่อนสิ้นเกลี้ยงไม่ทำชั่วอีกตลอดกาลก็เป็นหลักประกันได้

 

อันนี้ที่อยากให้คณะบริหารประเทศรู้ความสำคัญของการพัฒนาจิตวิญญาณ อย่าเอาแต่พัฒนาหลักเกณฑ์กฎหมายมาบังคับไม่สำเร็จหรอก มันจะหาทางเลี่ยงหลบให้จับไม่ได้ แม้จับได้ก็ด้านหนา ไม่ยอมรับอีก กำจัดยาก คนที่ด้านหนาและเลี่ยงหลบ ถ้าไม่พัฒนาการศึกษาให้จิตวิญญาณมนุษย์ลดละกิเลสได้อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ก็ไม่มีทางสำเร็จได้อย่างแน่นอน ที่จะถาวรมั่นคง

 

4.มนุษย์ตายแล้วจะไปไหน?

ตอบ...ไปตามวิบาก จิตวิญญาณเป็นตัววิบาก คือกรรม การทำดีปุ๊ปในเวลาวินาทีใดก็สั่งสมเป็นอัตตาของตนเองไม่เอาไม่ได้ นี่คือสิ่งที่จะเป็นจิตนิยามหรือเรียกว่ามโนหรือพลังงานอัตตาก็ได้ มันจะจับตัวเป็นพลังงานวิบาก หากคุณไม่มีวิธีสลายได้มันก็จับตัวไปตลอด แล้วออกผล ตายแล้วมันก็ออกผล

 

สำหรับพุทธศาสนาความตายมีคุณค่าหรือไม่?

ตอบ...จริงแล้วความตายไม่มีคุณค่า แต่ทำให้กิเลสตายนี้มีคุณค่าที่สุด

 

การตายจะมีประโยชน์คุณค่าก็มี คือพลังงานที่มีประโยชน์คุณค่าก็ควรมี อย่างอรหันต์ก็ควรมี แต่ก็ให้ท่านได้สลายตัวได้ตามเวลาอย่างพระพุทธเจ้าทำประโยชน์ต่อสัตว์โลกมากมาย แล้วจะไม่ให้ท่านสลายเลย พวกนี้ไม่รู้ว่ามันเหนื่อยมากนะที่ท่านทำให้โลกนั้น ก็ให้ท่านได้ไปสูญได้เสียทีเป็นที่สุดแห่งที่สุด สรุปว่า ผู้ที่รู้จักการตาย เกิดของพลังจิตวิญญาณ แล้วยิ่งเป็นอรหันต์ไม่มีพิษภัยต่อโลก ต่อจักรวาลแล้ว การตายจึงไม่มีคุณค่า อาตมาจึงบอกว่าพระอรหันต์จะรู้ดีว่าตนเป็นอรหันต์ ตอนแรกก็อยากตายเพราะเบื่อมันทุกข์ แต่ว่าพอต่อไปก็ทุกข์น้อยลงดับได้สนิทก็จะรู้ว่าอรหันต์ เกือบทุกองค์(ยกเว้นสมสีสีอรหันต์ คือเป็นอรหันต์แล้วตายพร้อมกับที่เป็นอรหันต์เลยก็เลยสูญไปเลย) แต่อรหันต์ปกติจะมีกตัญญู พอเป็นอรหันต์แล้วจะตั้งจิตอยู่ต่อเป็นโพธิสัตว์ช่วยศาสนาช่วยโลกต่อ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโพธิสัตว์ช่วยโลก แม้ตอนไม่เป็นจะไม่ตั้งจิต แต่ว่าพอเป็นแล้วจะได้เอง อรหันต์สมสีสีนี้มีน้อยมาก

 

5.จริยธรรมคืออะไร

ตอบ...หมายถึงสมมุติสัจจะ หมายถึงสภาพที่รู้ร่วมกันว่าเป็นพฤติกรรมกุศลที่ดี ถ้ามนุษย์กลุ่มนี้ยึดถือร่วมกันว่าขี้ดีกว่าข้าว เขาก็จะยึดถือว่าขี้ดีกว่าข้าว จะอาขี้มาทำประโยชน์มากมาย เขาจะถือว่าขี้เป็นต้นกำเนิดของข้าว เพราะขี้เป็นปุ๋ยให้ข้าวได้ นี่่ก็เป็นสมมุติที่เขายอมรับกันเป็นจริยธรรม เช่นอเมริกาถือว่าฟรีเซกส์เป็นเรื่องไม่เสียหายเขาก็เห็นว่าเป็นของธรรมดาแต่ว่าเขาก็ว่าอย่าหลายผัวหลายเมียนะ ถ้าแต่งงานแล้ว แต่ทางเอเชียยึดถือในความไม่แปดเปื้อนของพรหมจรรย์ นี่ก็ยึดถือต่างกันไป จะสตริ๊กมากกว่า

 

อะไรเป็นมาตรฐานจริยธรรม

ตอบ...ก็ตัวมนุษย์ที่รู้ร่วมกันในแต่ละสังคม ก็มนุษย์กำหนดเอง

 

6. อะไรที่ระบุความเป็นคุณค่าของมนุษย์

ตอบ...เอาใครตอบถูกให้รางวัลกินมื้อเดียว....ศิษย์เก่าสส.ษ.ที่อยู่หน้าพ่อครูตอบกันว่า....ความเสียสละ มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว สุดท้ายคือความไม่มีตัวตน  นี่คือคุณค่าของมนุษย์

 

แล้วอะไรเป็นบรรทัดฐานเป็นเครื่องชี้วัดว่าเป็นประโยชน์

ตอบ...คนตอบว่าญาณปัญญา หรือศีลธรรม สรุปคือทั้งศีลและปัญญามีเนื้อแท้คือ ความไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง คือผลของศีลและปัญญา เห็นแก่ผู้อื่นอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เป็นบรรทัดฐาน

 

แล้วใครกำหนดบรรทัดฐาน

ตอบ...มนุษย์ แล้วมนุษย์คนไหนกำหนด...คือมนุษย์ผู้รู้สุดยอด คือพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าต่างจากรพระเจ้า ซึ่งพระเจ้านั้นไม่มีตัวตนสัมผัสไม่ได้อยู่ไหนไม่รู้ พระเจ้าคือความหมาย แต่มนุษย์ที่สูงสุดคือมนุษย์ที่รู้จักความหมายสูงสุดแล้วเอามาให้คนปฏิบัติได้ พระพุทธเจ้ามีตัวตนไม่เหมือนพระเจ้า ที่สัมผัสไม่ติดไม่ได้ แต่รับความหมายได้รับของพระเจ้ามาศึกษามาใช้ จึงค่อนข้างยาก ส่วนของพระพุทธเจ้าเอาความยากมาศึกษาในพลังงานจิตวิญญาณ จึงรู้ว่าพลังงานที่สูงสุดมีตรีมูรติ มีพระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ พระกรุณาธิ คุณ เป็นพลังงานพระเจ้า,  พระพุทธเจ้าเอาพลังงานพระเจ้ามาใช้ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้ามีตัวตนจริง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า

 

มาเจาะลึกกันอีกชั้นตามคำถามแต่ละข้อของคุณ Fuse Kiss

1.ความจริงสูงสุดคืออะไร?.... ซึ่งอาตมาได้นำพระไตรฯ ล. 25 ข.419 จูฬวิยูหสูตร เป็นเรื่องที่พระพุทธนิมิตมาถามพระพุทธเจ้า ซึ่ง พุทธนิมิต ก็คือเทวดาคือคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า เป็นนามธรรม มีจริง ไม่ใช่แบบตัวตนรูปร่างเทวดาที่เขาเข้าใจกันแต่เป็นพลังงานเทวดา มีสองอย่าง 1.เทวดาของเราเองคือความดีงามของเราเองมาบอก หรือ 2.เทวดาคือสภาพพลังงานที่จะถามเราให้เราตอบ เราก็จะดึงเอาคำตอบมาตอบ เทวดาพุทธนิมิตคือเทวดาที่จะถามให้เราตอบ ) คนจะตอบได้ก็ต้องมีภูมิของตนมาตอบ ยิ่งเป็นภูมิรู้ระดับปัจเจกก็ต้องเอาของตนมาตอบเท่านั้น เป็นภูมิของพระพุทธเจ้าเองที่มาบอกก็คือสัญญา แต่ถ้าเทวดาที่มาสะกิดถามก็คือเทวดาอย่างพุทธนิมิต เทวดาที่มาถามพระพุทธเจ้านั้นล้วนต่ำกว่าพระพุทธเจ้า แต่เทวดาที่มาถามอาตมานั้นบางอย่างอาตมาก็ตอบไม่ได้เพราะอาตมาไม่ใช่สยัมภู แต่พระพุทธเจ้าท่านมีความรู้ครบแล้ว จิตวิญญาณในเอกภพนี้ไม่มีจิตวิญญาณไหนสูงกว่าพระพุทธเจ้าแล้วท่านจึงตอบคำถามเทวดาได้ทุกองค์ในเอกภพนี้ นี่คือขีดที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้

 

 

จูฬวิยูหสูตรที่ 12

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่

[419] สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฐิของตนๆ ถือมั่นทิฐิแล้วปฏิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าวต่างๆ กันว่าผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรมคือทิฐิ ผู้นั้นคัดค้านธรรมคือทิฐินี้อยู่ ชื่อว่าเป็นผู้เลวทราม สมณพราหมณ์ทั้งหลายถือมั่นทิฐิแม้ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมโต้เถียงกัน และกล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด วาทะของสมณพราหมณ์สองพวกนี้วาทะไหนเป็นวาทะจริงหนอ เพราะว่าสมณพราหมณ์ทั้งหมดนี้ ต่างก็กล่าวกันว่าเป็นคนฉลาด ฯ

 

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

หากว่าผู้ใดไม่ยินยอมตามธรรม คือ ความเห็นของผู้อื่น ผู้นั้นเป็นคนพาล คนเขลา เป็นคนมีปัญญาทราม ชนเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นคนพาลเป็นคนมีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าชนเหล่านี้ทั้งหมดถือมั่นอยู่ในทิฐิ ก็หากว่าชนเหล่านั้นเป็นคนผ่องใสอยู่ในทิฐิของตนๆ จัดว่าเป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์เป็นคนฉลาด มีความคิดไซร้ บรรดาคนเจ้าทิฐิเหล่านั้น

ก็จะไม่มีใครๆ เป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าทิฐิของชนแม้เหล่านั้นล้วนเป็นทิฐิเสมอกัน เหมือนทิฐิของพวกชนนอกนี้อนึ่ง ชนทั้งสองพวกได้กล่าวกันและกันว่าเป็นผู้เขลา เพราะความเห็นใด เราไม่กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้ เพราะเหตุที่ชนเหล่านั้น ได้กระทำความเห็นของตนๆ ว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง(สิ่งอื่นเปล่า) ฉะนั้นแล ชนเหล่านั้น จึงตั้งคนอื่นว่าเป็นผู้เขลา ฯ

 

 

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า สมณพราหมณ์แต่ละพวก กล่าวทิฐิใดว่าเป็นความจริงแท้แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นก็กล่าวทิฐินั้นว่า เป็นความเท็จไม่จริง สมณพราหมณ์ทั้งหลายมาถือมั่น (ความจริงต่างๆกัน) แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว

ก็วิวาทกันเพราะเหตุไรสมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

          สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมาทราบชัดอยู่กล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไปด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

 

พ่อครูว่า...(ถ้าเรายึดถือความจริงของตนอยู่ แต่เราไม่แสดงออกไป มันก็ไม่เกิดการวิวาท เราส่งออกแสดงออกถึงความจริงที่เรายึดถือไปนิดนึงก็มีการวิวาทนิดนึ่ง แสดงออกมากเท่าใดก็แย้งมากเท่านั้น พลังงานละเอียดเท่าใด ผู้รู้แล้วจะไม่แสดงออกจะทราบในตน ว่าถ้าเห็นแย้งจะวิวาทแต่ถ้ากล่าวออกไปแล้วไม่แย้งก็ไม่วิวาท แต่ถ้าไม่กล่าวต่างคนต่างอยู่ในภพไม่ยึดของตน ผู้ใดอ่านวิจีสังขารออกจะไม่วิวาทเลย ถ้าไม่มีคำพูดในจิตเราไม่ออกไปเลย ต่างกันอย่างไรก็ไม่วิวาท เขาจึงออกกฎหมายว่าอย่าพูด อย่าทำเช่นนั้นๆ แต่ไม่ได้ออกกฎหมายว่า ไม่ให้คิดต่างกัน แต่ก็มีหลักในการคิดต่างกัน แล้วมีการจูงนำให้เกิดปฏิบัติทางกาย กับวาจา นำสืบได้ ผู้พิพากษาจำนำสืบให้ชัด เขาก็จะจำนนว่า อันนี้คุณมีกรรมทางกาย วาจา ที่มีนามธรรมเป็นตัวนำไปให้เกิดกายกับวาจา แต่ถ้าไม่ออกไม่นำสืบ ตัดเขตแต่ในจิตเราก็ไม่มีวิวาทะ

 

ส.เดินดินว่า...ผมเคยมีความขัดแย้งกับนักบวชรูปหนึ่งเรื่องอุทิศส่วนกุศลนั้นไม่มีผลหรอกกับคนที่ตายแล้ว ส่วนท่านเห็นว่าได้ผมเห็นว่าไม่ได้ ก็พูดเหตุผลกันแต่.... ไม่สามารถตกลงกันได้ แต่นักบวชอีกท่านหนึ่งมาฟังด้วยก็มาหนุนผม พวกที่สัสตทิฏฐิที่ว่าอุทิศส่วนกุศลได้นั้นก็แพ้ไป...ถ้าอย่างนี้สัจจะสูงสุดก็คือไม่ต้องวิวาทะกัน

 

พ่อครูว่า....ก็คือไม่แสดงออกให้เป็นวาทะ ให้อยู่ที่จิตเรา ต่างคนต่างอยู่ในภพ ไม่ออกมาทำอะไรกัน อาจมีกิริยาไม่กินกันบ้าง แม้อยู่ด้วยกันก็ไม่กินเส้นกันบ้าง แต่แค่ปรับปวาทะก็ได้แต่ให้อยู่ไม่นึกคิดเลยนั้นยาก ในกฎหมายก็เอาแค่กายกับวาจา แต่ว่านำสืบไปถึงจิตได้ ...แล้วอย่างนี้ถือว่าสัจจะสูงสุดคือไม่มี ไม่มีอะไรเกิดเลย เพราะฉะนั้นในที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในปฏิจจสมุปบาทว่า คนเราต้องอาศัยทั้งความมีและความไม่มี คุณมีแต่คุณไม่ออกไปทางวาทะก็อยู่ในโลกของคุณของใครก็ของมัน แต่ถ้าคุณสงบในจิตได้อีกก็หมดสมุทัย อะไรสัมพันธ์กันได้ก็สัมพันธ์กันอะไรไม่ร่วมได้ก็ไม่ร่วม

 

ถ้าอย่างนี้ฟังดูเหมือนพวกสมุทเฉทะคือสูงสุด คือขาดสูญอย่างต่อเนื่อง ต้องไม่งงด้วย ไม่งงที่ว่าจะต้องอยู่อย่าปริเฉทะ (แปลว่าตัด) อย่างเด็ดขาด แต่จะอยู่อย่างปริเฉทะ คืออยู่อย่างรู้กับความมี ผู้สูงสุดคือไม่มีให้มีวิวาทแม้ในจิต แม้วาจา กัมมันตะ ก็ไม่มีวิวาท แม้จะมีความมี แต่ว่าตัวก่อเรื่องในตนไม่มีแล้ว สงบทั้งในตนและในผู้อื่น จึงเรียกว่าว่าง เป็นอากาสธาตุ ทำปริเฉทรูปให้เป็นอากาสธาตุได้ รู้จักการตัดในสิ่งที่จะทำให้เกิดวิวาทะ ไม่สงบ ไม่หยุดได้ รู้จักวิธีก็ทำงาน

 

ส.เดินดินว่า...ก็คงเหมือนคนที่ไม่ยึดถือเรื่องเครื่องรางของขลังแล้ว ก็ไม่ไปทะเลาะกับพวกที่ยึดถืออยู่ ไม่ไปทะเลาะด้วย

 

พ่อครูว่า...เช่นเราหมดรสอร่อยแล้ว อีกคนไม่หมดรสอร่อย ถ้าเราไปบอกว่าไม่มีรสอร่อย เขาก็เถียงกันว่ามีรสอร่อยก็เถียงกันตาย เพราะฉะนั้นคนไม่มีก็จะยอมได้ เพราะเคยรู้ว่ามันมีรสอร่อยนะ แต่เราล้างได้ไม่มีรสอร่อยได้ ก็อนุโลมให้เขาได้ว่าอร่อยก็ได้ เพราะล้างยากความอร่อย แม้ในสัญญามันยังปรุงอร่อยได้เลย เหมือนคนขยำขี้เหมือนคนเอาสัญญามาปรุงต่อ เป็นอนาคามีได้แค่ข้างนอก แต่ว่ากูรู้กับตนอย่างเดียว ดีไม่ดีมันหลอกว่าเราไม่มีอีกด้วย

 

มาต่อในพระไตรปิฎก....พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

เพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลายกล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะมากหลายต่างๆ กันจะเป็นอันใครๆ ได้สดับมา หรือว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

          สัจจะมากหลายต่างๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มีในโลกเลย  (น เหว สจฺจานิ พหูนิ นานา

อฺตฺร สฺาย นิจฺจานิ โลเก)ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมากำหนดความคาดคะเนในทิฐิทั้งหลาย (ของตน) แล้ว จึงกล่าวทิฐิธรรมอันเป็นคู่กันว่า จริงๆ เท็จๆ ก็บุคคลเจ้าทิฐิ อาศัยทิฐิธรรมเหล่านี้ คือ รูปที่ได้เห็นบ้าง เสียงที่ได้ฟังบ้าง อารมณ์ที่ได้ทราบบ้าง ศีลและพรตบ้าง จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ และตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้วร่าเริงอยู่ กล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลาไม่ฉลาด บุคคลเจ้าทิฐิย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลาด้วยทิฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียนผู้อื่นกล่าวทิฐินั้นเอง บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาด ด้วยทิฐินั้น ชื่อว่าเจ้าทิฐินั้นเต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่งและมัวเมาเพราะมานะมีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วยใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฐินั้น ของเขาบริบูรณ์แล้วอย่างนั้น ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทรามด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทรามไปด้วยกัน

 

อนึ่ง หากว่าบุคคลจะเป็นผู้ถึงเวท เป็นนักปราชญ์ด้วยลำพังตนเองไซร้ สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่มีใครเป็นผู้เขลา ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฐิอื่นจากนี้ไปชนเหล่านั้นผิดพลาดและไม่บริบูรณ์ด้วยความหมดจดเดียรถีย์ทั้งหลายย่อมกล่าวแม้อย่างนี้โดยมาก เพราะว่าเดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนักด้วยความยินดีในทิฐิของตนเดียรถีย์ทั้งหลาย กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือทิฐินี้เท่านั้น หากล่าวความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่ เดียรถีย์ทั้งหลาย โดยมากเชื่อ

มั่นแม้ด้วยอาการอย่างนี้ เดียรถีย์ทั้งหลาย รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนนั้น อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนจะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลาในลัทธินี้เล่าเดียรถีย์นั้น เมื่อกล่าวผู้อื่นว่าเป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตนฝ่ายเดียวเดียรถีย์นั้น ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว นิรมิต ศาสดาเป็นต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป บุคคลละการวินิจฉัยทิฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาทในโลกฉะนี้แล ฯ

            จบจูฬวิยูหสูตรที่ 12

 

ส.เดินดินว่า....เมื่อเร็วๆนี้มีผู้จะใช้พลังจักรวาลในการรักษาสมณะเรา แต่ผมเห็นว่า ไม่ควรก็เลยต้องมาให้พ่อครูตัดสิน พ่อครูก็บอกว่าให้ทำได้เป็นฐานะของเขา ผมก็เลยเป็นศาสดาพยากรณ์แก่เขาไปเลย

 

พ่อครูว่า...มันสุดวิสัย เราได้ช่วยสูงสุดแล้ว เราจะมีศิลปะอย่างไรในการแทรกโอสถทิพย์ให้เขาให้เขาได้สำนึกได้คิด หรือบางคนดื้อดึงดันรู้อยู่ว่าผิดก็ทำอย่างไรให้เขาได้สติ สำนึกว่ามันน่าคิดนะ หรือยิ่งรู้ว่าเราผิดนะที่ดันทุรัง แต่สุดท้ายเขาแค่ได้สำนึกว่าผิดก็เป็นโอสถทิพท์ที่สุดแล้ว

 

ตัวสัญญา ย นิจจานิ นี่คือสุดยอดแล้ว ใน จูฬวิยูหสูตร คำว่าจูฬ คือละเอียดที่สุดยอดแล้ว

 

มีศิษย์เก่าว่า...ถ้าเราวินิจฉัยแล้วว่าที่เรายึดนี้ถูกที่สุดแล้ว...แล้วบางทีเราไปฟังเขาอีกเราก็หลงไปตามเขาอีกว่าเขาถูก

 

พ่อครูตอบ.... ก็คือเรายังไม่เที่ยง ไม่จริง แต่ผู้ที่จบจริงๆคือไม่มีภาวะที่เป็นโทษเป็นภัยทั้งในตนและผู้อื่นเลย นี่คือความสงบสุขแท้จริง แต่อย่างพีชนิยามมันดันไปตามสัญญา แต่ถ้าดันไม่ได้มันก็หยุด แต่จิตนิยามของคนนี่เลวร้ายได้อีก ดันมากกว่าพีชะอีก เพราะพีชะมันมีขีดของมัน ดีไม่ดีมันก็ชนกันไปเบียดกันไป ถ้าคนเป็นอย่างพีชะได้ก็สงบ พลังดันกันอยู่อย่างไม่ทำร้าย แต่มีพลังพีชะที่ร้ายไปกินคนอื่นหมด ก็มี อย่างไทรนี่แค่ดันให้แตก แต่ที่กินเลยนี่มี คืออย่างกาฝาก

 

 

แล้วอะไรเป็นตัวกำหนดว่าสิ่งใดจริง ส่ิงใดไม่จริง?

พ่อครูตอบ...มีสองนัยะ คือมีตัวเรา กับสังคม ถ้าสัจจะจริงยิ่งใหญ่ที่สุดเราก็ให้พระพุทธเจ้ากำหนด แต่ถ้าไม่ถึงพระพุทธเจ้าเราก็กำหนดของเราว่าจริงของเรา ถ้าตัวเรา ยกตัวอย่างอาตมา อาตมาไม่ได้ยึดว่าของอาตมาถูก แต่ความเห็นหมู่ว่าอย่างอื่นขัดแย้งกับอาตมา แต่ถ้าอาตมาดันเอาความเห็นอาตมาให้เป็นผลก็ต้องสู้ แต่หมู่เขายึดถือ บางคนยอม บางคนไม่ยอม บางคนสู้หนัก คุณก็ต้องประเมินว่าสู้ดีไหม ถ้าสู้แล้วดีได้ผลประโยชน์สูงเราก็สู้ ถ้าไม่ได้ประโยชน์สูงเราก็หยุด แต่ถ้าไม่เห็นด้วยมากก็ต้องสู้มาก แต่ถ้าเราเห็นว่าไม่ต้้านมากนัก มีคนเห็นมาหาทางเรามากกว่าไปต้าน เราก็สู้ได้ผล นัยะมากหรือน้อยที่ต้องประมาณให้ดีโดยสัปปุริสธรรม ส่วนมหาปเทสคือโอกาสในปัจจุบัน ในสมัยโบราณไม่มีอาวุธอย่างปัจจุบัน แต่ปัจจุบันการสื่อสารนี้สำคัญ อาตมาก็เลยต้องพยายามทำเรื่องนี้ เราต้องช่วยกันให้การสื่อสารเราไปได้ เราทำอย่างไม่ได้เอามาหากินค้าขาย ไม่ได้เอาอามิสไม่ทำร้ายใคร เราไม่มีหนี้ไม่มีภัย นร.นี่ควรรู้ว่าเราควรช่วยกัน ในยุคนี้เป็นมหาปเทสที่สำคัญต้องช่วยกัน ปรุงแต่งสื่อให้ออกไปได้ดี พวกเรามารวมตัวกัน

 

จะให้ครบ พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มีอัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงให้ชัด มีองค์ประกอบให้ครบทั้งนอกและใน ประเด็นกิจสำคัญเราก็ต้องทำ เราไม่ทำกิจอบายมุข เสียเวลาเป็นโทษภัย แม้แต่กามหยาบเราก็ไม่ทำ เป็นอาชีพเราไม่ทำ เป็นงานจรเราไม่ทำ เรากำหนดหมายเป็นศีลเรา เป็นกรอบขอบเขตตามลำดับตามฐานะไป เป็นกรรมฐาน แล้วปฏิบัติให้ได้เป็นโมเดล รู้แล้วว่าอันนี้เหตุ จับได้ กำจัดด้วยวิปัสสนา คุณก็จะสูงขึ้นแคล่วคล่องขึ้น สามารถกำจัดเหตุสูงสุดได้เมื่อกำจัดเหตุในจิตเราได้หมดจริงก็เป็นอรหันต์ ของพุทธก็ยังอยู่กับสังคม มีการฝึกฝน อาชีพ การกระทำ วาจา ไม่ได้ลดหย่อน มีแต่เลือกเฟ้นเหตุหรือที่ไม่ดีออกไป จนหมดเหตุก็ทำอย่างช่ำชองด้วยกุศลเหตุที่ชำนาญ เชี่ยวชาญประเสริฐ ไม่ใช้คนไร้สมรรถภาพ แต่จะสมรรถภาพดีย่ิงกว่าด้วยเพราะตัดลดพลังงานเสียๆออกไป ก็จะได้พลังงานดีมาทบต้นมาทำดี สร้างสรร เจริญกว่าโลกหลายต่อ โลกุตระไม่มีทางแพ้โลกด้วยคุณภาพ แต่จะแพ้ด้วยปริมาณ เพราะผีมันมาก เราจะห้ามไม่ได้เราฆ่าก็ไม่ได้บาป ก็เลยให้เป็นไปตามกรรมสุดวิสัยที่เราจะทำ แต่สัจจะจะจัดการทำลายกันเอง ด้วยธรรมชาติ ธรรมชาติจะซื่อสัตย์ที่สุดในการปราบคนบาป จะเหลือแต่คนบุญในสุดท้าย ให้พิสูจน์กันไปว่าจะจริงไหม อาตมาเชื่อกรรมวิบาก เราเชื่อว่าเราหยุดไม่ทำบาปแล้วทั้งปว ง ใครมาได้พบมาเห็นแล้วจะเอาหรือไม่เอาก็ตาม....เอวัง


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:22:05 )

571216

รายละเอียด

571216_สรรค่าฯ(21)วนบ.  เปิดเผยความลับของมนุษย์และจักรวาล ตอน 2

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อาตมาได้ตอบคำถาม ที่เขาถามมา แต่อาตมาตอบไปแค่ข้อเดียว ซึ่งคนถามเขาก็ว่าได้รับประโยชน์ อาตมาก็เลยว่าจะตอบให้ครบทั้ง 6 คำถาม ซึ่งเป็นคำถามที่น่าจะได้รู้กัน

 

1.ความจริงสูงสุดคืออะไร? อะไรเป็นตัวกำหนดว่าสิ่งใดจริงไม่จริง?

 

ตอบ...ได้ตอบไปแล้วคำถามนี้ ก็ทวนอีกครั้งหนึ่งว่า ความจริงสูงสุดคืออะไร

 

ความจริง มีสองอย่างคือ สมมุติสัจจะ และปรมัตถสัจจะ

สมมุติสัจจะคือความรู้ของทางโลกทั่วไป ใครกำหนดหรือหมู่ใดกำหนดก็คือสมมุติสัจจะ ในหมู่ใดก็ถือกันไป เช่นศาสนาเทวนิยมก็นับถือพระเจ้าคือความจริงสูงสุด บางกลุ่ม เป็นอุทเฉจทิฏฐิ ก็ถือว่าทุกอย่างเป็นสูญ ก็นับถือเช่นนั้น ส่วนปรมัตถสัจจะก็เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าค้นพบว่า ถ้าจะเอาความจริงก็คือมนุษย์เป็นผู้กำหนดความจริง สัตว์เดรัจฉานไม่รู้หรอกว่าอะไรจริง แต่คนที่อยู่รวมกันเป็นสังคม แม้จะร่วมกฎหมาย วัฒนธรรมเดียวกัน แต่ถ้าเราไม่คำนึงถึงคนใดว่าเขาจะยึดความจริงนี้ด้วยไม่ได้ เพราะมันต้องเกี่ยวข้องกัน มันก็ต้องมีความจริงอันใดที่สูงสุดเท่าที่ควรจะเป็น ก็แล้วแต่แต่ละประเทศแต่ละกลุ่ม แต่ละศาสนาเขายึดถือกัน

 

ผู้ที่ถือว่ากลุ่มหมู่ผู้รู้หรือใครที่เขานับถือกันว่าเป็นผู้รู้ เช่นราชบัณฑิต ก็กำหนดพจนานุกรม เป็นภาษาไทยที่ถูกที่สุด อย่างศาสนาพุทธถือว่าอันใดที่พระพุทธเจ้าบัญญัติถือว่าเป็นสิ่งสูงสุด และความจริงสูงสุดในศาสนาพุทธคือปรมัตถสัจจะ ซึ่งมีทั้งรูปและนาม ที่มนุษย์ควรได้มากที่สุดคืออรหันต์(ความเป็น)และนิพพาน(สอุปปาทิเสสนิพพาน และอนุปาทิเสสนิพพาน)

 

สอุปปาทิเสสนิพพาน กิเลสตายสูญแล้วแต่ขันธ์ 5 ยังเหลืออยู่ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ส่วนผู้จะเข้าถึงความจริงสูงสุดได้คืออรหันต์ คือนิพพาน ส่วนทางโลกจะถือว่าอันใดเป็นความจริงก็แล้วแต่

 

อะไรเป็นผู้กำหนดว่าอะไรจริงหรือไม่จริง ก็มนุษย์เป็นผู้กำหนดทั้งนั้น แต่ละคนแต่ละคน พระพุทธเจ้าถึงสรุปคำตอบว่า ความจริงความไม่จริง ไม่มี มันมีอยู่ที่การกำหนด คือ สัญญา ย นิจจานิ

 

มีการกำหนดตามบุคคล ตามหมู่กลุ่ม ตามหลักเกณฑ์ วัฒนธรรม แล้วอะไรจะนิจจา คือไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเราสัญญากันไว้ว่าอย่างนี้ ถ้าผิดไปจากนี้ถือว่าผิดสัญญา ภาษาไทยเราก็เอามาใช้อยู่ แต่ละคนก็ใช้สัญญากำหนดหมาย แม้ข้างนอกจะกำหนดตามสมมุติ แต่ข้างในแต่ละคนก็แล้วแต่ใครจะกำหนดหมายของตนว่าอันไหนจริงกว่า เราอาจยอมตามกฎหมาย แต่ว่าใจเราอาจไม่เอาด้วย แต่ก็จำนนต้องทำตามเป็นต้น หรือว่าแย้งกันเถียงกันสองคน เขาก็กำหนดของเขา เราก็กำหนดของเรา ถ้าไม่ตรงกัน ขัดแย้งกัน พระพุทธเจ้าว่า เดียรถีย์แต่ละกลุ่มก็กำหนดกันไปต่างกันแล้วเขาก็เถียงกัน ว่าต่างคนต่างจริง แต่ถ้าเราจะอยู่ในสังคมอย่างสงบ เราก็รู้เรารู้เขา เราก็เรา เขาก็เขา เขาว่าจริงของเขา เราก็ว่าจริงของเรา ก็ต่างคนต่างคิด

 

เช่น ข้าวดีกว่าขี้ เราเห็นอย่างนี้ แต่เขาเห็นว่าขี้ดีกว่าข้าว ก็แล้วแต่เขา ดีเสียอีก เราก็เอาข้าว เขาก็เอาขี้ ดีเสียอีกสงบ ถ้าเราเข้าใจแล้วว่า สัจจะคือการกำหนด ถ้าจะเสียหายเราก็ต่อต้านบ้าง แต่ถ้าจะเสียหายถึงขีดหนึ่งเราก็ไม่ทำ ในหลักนานาสังวาส เราติเตียนกันได้เรียกว่าปฏิโกสนา ท้วงกันได้แต่ไม่ต้องเอาถึงฟ้องร้องกัน ทะเลาะกัน อะไรร่วมกันได้ก็อยู่ร่วม อะไรร่วมกันไม่ได้ก็ไม่ร่วม

 

อย่างชาวอโศก เราเห็นว่าเราถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ เราสมมุติหลักมาใช้ แต่ถ้าเป็นประโยชน์เราก็ใช้ เราก็ทำจนกระทั่งถ้าจิตเป็นปรมัตถ์แล้ว จิตว่างแล้วก็ไม่สุขไม่ทุกข์กับมันแล้ว ก็สบาย แต่ถ้าไปยึดถือก็สุขทุกข์กับมันไป สุดท้ายเราก็อยู่อย่างนี้ไม่ต้องมีสมบัติ สาธารณโภคี คนล้างความยึดถือก็อยู่อย่างสบาย ยิ่งคนหมดตัวตนก็สบาย อุดมสมบูรณ์เกิดพอ เป็นสัจจะที่พิสูจน์ มันอยู่ที่ปรมัตถ์ทางใจเป็นตัวกำหนด นอกจากรู้แล้วจะยึดถือหรือไม่?

 

การยึดถือ อรหันต์นั้นจะรู้ว่าอันไหนควรยึด อันไหนควรช่วย แต่แม้อันไหนท่านช่วยแล้ว รู้ประมาณว่า ถ้าเลยจากนี้จะเป็นภัยต่อท่านและผู้อื่นท่านก็จะรู้ว่าตัด ท่านจะเป็นผู้แพ้ได้อย่างง่ายเลย ไม่ดันทุรัง แต่ไม่ดูดาย มีเจตนาบริสุทธ์ต้านพอสมควร แต่ถึงขีดจะหยุดก็ต้องหยุด ท่านไม่ทำส่ิงเป็นโทษ ผู้รู้สูงสุดรู้จักปล่อยวางไม่ยึดถือ รู้จักคุณโทษ ท่านไม่สร้างโทษภัยสร้างแต่คุณ

 

2.จุดเริ่มต้นของจักรวาลคืออะไร? อะไรคือจุดประสงค์ของการมีอยู่ของจักรวาล?

 

ตอบ...คำว่าจักรวาลคือวงวน ที่เกิดขึ้น วนเวียน มีอยู่ (จักร แปลว่า วงวน เวียน) เช่นวงวนของดวงดาว ของโลก อยู่ในแวดวงของเขา ส่วนจะสัมพันธ์กับอื่นๆนอกนั้นก็แล้วแต่ตามนิยามของชีวิต ที่จะทรงไว้ จนสูญไป ถ้ามีอยู่ก็คือธรรมะถ้าสลายไปในความหมุนวน ดวงดาวก็หายไป กลายเป็นอันอื่นไม่มีวงวนแล้วก็ไม่มีธรรมะคือทรงอยู่แล้ว แต่ถ้าทรงอยู่ มีการปฏิบัติ คือกรรม ปฏิบัติวนอยู่ก็คือวงวน เป็นจักรวาล ...จุดเร่ิมต้นของจักรวาล ที่เป็นวัตถุนัั้น อาตมาอธิบายไม่ได้ ไม่มีใครตอบได้แม้พระพุทธเจ้าองใดๆก็ตอบไม่ได้ ในจุดเร่ิมต้นของจักรวาล ส่ิงใดมีการเกิด เช่น ต้นจักรวาลของโลกขอเอกภพ เราตอบไม่ได้ ใครจะตอบก็เรื่องของความสามารถของเขา เช่นนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น

 

แล้วจักรวาลของจิตวิญญาณล่ะ เร่ิมต้นเมื่อใด พระพุทธเจ้าตอบว่าไม่รู้ การเกิดของจิตวิญญาณ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้มีอยู่ในโลกไหนก่อนกี่ล้านๆปี ก็ไม่รู้ แม้การเกิดอย่างไร พระพุทธเจ้าก็อธิบายเป็นวิวัฒนาการเป็นนิยามชีวิต 5 คือ

อุตุ เป็นพลังงานไม่มีชีวะ ละเอียดลึกซึ้่ง เอามาใช้ได้ทั้งคุณและโทษ เช่นนิวเคลียร์ แล้วพลังงานอุตุก็มีสังเคราะห์สังขารละเอียด จนเป็นชีวะ เรียกว่าพีชนิยาม ซึ่งมีแค่สัญญา กับสังขาร สองอย่างนี้เราพูดถึงความจริง มันก็มีความจริงของมัน มันกำหนดของมันเอง โดยสัญชาติ ซึ่งมาจากสัญญา มันก็กำหนดรู้ มันไม่เป็นพิษภัยต่อใครได้มาก มันไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีบาป บุญ ไม่มีพยาบาท เวรภัย มันก็มีพลังงานยึดติด ดูดดึง และทำลาย ก็มี

 

จักรวาลที่เป็นวัตถุนั้นไม่อธิบายมากแล้ว  แต่มาดูจักรวาลในระดับจิตวิญญาณที่มีความวน อย่างการมีธรรมชาติ ก็คือมีการเกิด ผู้ใดรู้ ชาติ 5 อย่าง (ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตติ) เร่ิมเป็นโลกุตระได้ตั้งแต่โอกกันตะ ทำให้เกิดหรือดับ ถ้าเป็นโลกุตระได้ก็คือนิพพัตติ เป็นอภินิพพัตติก็เป็นระดับอรหันต์ หากทำให้เหตุที่ทำให้เกิดความมีหายสิ้นไป เป็นนิโรธ ก็เหลือแต่สิ่งที่ดีที่วนอยู่ก็มีโลกนิโรธ เพราะดับโลกสมุทัยไปแล้ว ไม่มีความวน ไม่มีชาติ ไม่มีเหตุแล้ว ผลที่จะเป็นภัยจากอกุศลก็ไม่มี มนุษย์ผู้ทำความไม่มีได้ คือโลเก น อัตถิตา นโหติ แปลว่าผู้ที่มีผลของความเป็นโลก จักรวาล ส่ิงที่ทรงอยู่ จนสูงสุดได้ ย่อมไม่มี นี่คือ นโหติ สุดยอดของศาสนาพุทธ ดับโลก ดับชาติ ดับกิเลส ตัณหาในสิ่งนี้เป็นผู้ไม่มีได้ นโหติ

 

จุดเร่ิมต้นของจักรวาลคือ อวิชชา แล้วเกิด สังขาร แล้วเกิดวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา...เมื่อดับตัณหา อุปาทานได้จนหมดอวิชชา จักรวาลก็สิ้นสุด

 

อะไรคือจุดประสงค์ของการมีอยู่ของจักรวาล?

 

ถ้าเป็นอุตุนิยาม ก็ไม่มีจุดประสงค์อะไร มันวนเวียนนานนับชาติ ที่จะมีจุดประสงค์ได้ต้องมีชีวะ ตั้งแต่ของพีชะก็มีประสงค์ของมัน ของสัตว์ก็มีประสงค์ของมัน ถ้ามีความรู้แค่โลกียะก็หวัง ประสงค์ ลาภ ยศ สรรเสริญ  โลกียสุข ซึ่งในสัตว์มันก็มีเช่นนั้น แต่ว่าความต้องการของมันไม่มากมาย มันก็สู้ของมัน อย่างต่อนี่มีอาณาจักรของมันนะไปยุ่งมันเอาตายเลย ยิ่งคนก็มีจุดประสงค์มากมาย

 

แต่ถ้าเป็นโลกุตระ หากจะมีจักรวาลก็ทำให้หมดโทษภัย มีแต่คุณ ทำให้เกิดวงวน เป็นชาติเป็นธรรมะ มีวงวน มีโลก มีจักรวาล การเกิดได้ ถ้าจะเกิดเป็นคนก็เป็นจิตนิยามที่ดีที่สุด และที่สูงไปกว่านั้น ผู้ศึกษาถึงขั้นทำเช่นนี้ได้ก็รู้จักรูป นาม รู้จักเหตุ รู้จักชาติ รู้จักรวาลของชีวะของตนคืออะไร และสามารถหยุดจักรวาล หยุดวัฏฏะ หยุดชาติ นิพพานได้ ดับจักรวาลของตนได้

 

ของคนโลกียะไม่รู้จะวนเวียนในจักรวาลนี้นานนับชาติไม่ถ้วน แต่ผู้รู้ ศึกษาเข้าใจก็รู้ว่าเราหลงวนเวียนอยู่นานนับชาติ เราจะไปวนเวียนต่อไปทำไม เราทำความวนเวียนให้หมดแล้ว ไม่ทำบาปอีกแล้ว ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้บริสุทธิ์ขาวรอบ จะเกิดอีกกี่ชาติก็เป็นจิตนิยามที่สุดยอดแล้วจะทรงอยู่ก็เป็นธรรมะที่สุดยอด

 

3.มนุษย์คืออะไรในศาสนาพุทธ จุดเริ่มต้นของมนุษย์มาจากไหน? มนุษย์เกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร?

 

ตอบ...อันนี้ฟังดีๆ คำว่ามนุษย์นี่ มนุสโส ท่านหมายถึง สัตว์ที่มีจิตสูงแล้ว มนุษย์นี่สูงสุดได้ยิ่งกว่าเทวดา และจริงๆแล้วสูงสุดได้ยิ่งกว่าพรหม เพราะมนุษย์นี่คือความจริง มนุษย์คือจิตสูง ทำไมอาตมาว่าสูงกว่าเทวดา พรหม เพราะรู้แจ้งในเทวดา พรหม เมื่อเป็นอรหันต์ก็อนุโลมเป็นได้ทั้งพรหม และเทวดาทุกชั้น อนุโลมช่วยโลกได้ โดยตนไม่ได้มีจิตกิเลสแฝงเลย เป็นสัตว์ที่มีจิตสูงสุด

 

ทำไมสูงกว่าเทวดา พรหม มนุสโส ต้องมีร่างกายขันธ์5 ก็มีประโยชน์พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

ถ้าไม่มีร่างนี้ เช่นอรหันต์ ตาย จิตวิญญาณของท่านไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีชมพูทวีป ก็ไม่มีประโยชน์คุณค่าอะไร แต่เมื่อมาเกิดมีชมพูทวีป (สุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส) จึงเป็นจิตวิญญาณที่มีรูปนาม ขันธ์5 อย่างมีคุณค่าประโยชน์สุดสูงกว่าสัตว์ใด

 

พระพุทธเจ้าอธิบายว่า มนุษย์ชาวชมพูทวีปนี่ประเสริฐกว่าชาวอุตรกุรุทวีป(ทวีปและโลกของโลกุตระแต่ไม่มีครบขั้นธ์ 5)และเทวดาชั้นดาวดึงส์(คือเทวดาชั้นเสพสุขในอาการที่ 33) มีเสพสุขทางโอชะ แม้สุขสงบหรือรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส(โลกียะ)

 

แล้วอะไรเป็นมนุสโสไม่ใช่สัตว์ ก็คือถ้ารู้และกำจัดสัตตาวาส 9 จบพรหมจรรย์ผู้นั้นจึงไม่ใช่สัตว์เลย เป็นมนุสโส แต่ท่านก็อนุโลมได้เพื่อประโยชน์ท่านไม่ได้แอบเสพ ไม่เป็นคนธรรพ์ คือพวกแอบเสพ พอไปอยู่ดาวดึงส์ก็แปลงตัวเป็นเล็นไปกับขนพระยาครุฑ แอบไปเสพกับนางกากี ทำอะไรชั่วๆเลวๆ

 

มนุษย์คือจิตวิญญาณสูงสุด รู้จักความเป็นสัตว์พ้นสัตตาวาส 9 ได้

มนุษย์มาจากจิตวิญญาณที่มีโลกุตระปัญญา เร่ิมที่รู้จักสักกายะ แล้วสามารถเปลี่ยนองค์ประชุมของจิตวิญญาณให้เข้าเกณฑ์โลกุตระตั้งแต่กายในกาย ไล่ไป เป็นโลกุตระ 37 และโลกุตระ 9 ก็เร่ิมเป็นมนุษย์ แต่ถ้าไม่เร่ิมรู้จักกายในกายไม่ทำด้วยก็ไม่ชื่อว่ามนุษย์เลย

 

รู้จักกายในกาย เร่ิมต้นรู้จักโลกุตระ ก็จะแยกแยะออกไม่สับสน แม้ผม ขน ฟัน เล็บ ผิวหนัง ก็ไม่ใช่กาย ตัดรอบที่ปสาทรูป แม้มีปสาทรูปแต่ไม่ได้โคจรกับผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง ประสาทของคุณไม่ได้โคจรไปตรงนั้น ไม่เกี่ยว มันก็ไม่เกิดความรู้สึกอะไรเลย มันก็ไม่รู้จักกาย ไม่เป็นกาย

 

จิตสูงของมนุษย์ตัดกรอบที่จิตโลกุตระเร่ิมที่กายในกาย ลดกิเลสในความเป็นกายก็เร่ิมเป็นมนุษย์ มาจากความรู้ของพระพุทธเจ้าสอนมา

 

แบ่งเป็นมนุษย์โลกีย์ก็หวังโลกียสุข แต่ว่ามนุษย์โลกุตระก็หวังนิพพาน

 

4.มนุษย์ตายไปแล้วจะไปไหน? สำหรับพุทธศาสนาแล้วความตายมีความหมายหรือคุณค่าหรือไม่?

 

ตอบ..ตายแล้วไปตามวิบาก ซึี่งคนโลกๆตายแล้วไปโลกีย์ เป็นสวรรค์ที่เป็นเท็จ ชั่วคราวมีสวรรค์ตอนเป็น กับตอนตาย ตอนตายจะเป็นเสพสวรรค์สัญญาบ้าๆบอๆ เหมือนฝันไป กำหนดไม่ได้เพราะไม่มีอาการ 32 แล้วอาการ 33 ก็ทำได้ไม่สมบูรณ์ได้ชั่วคราว เช่นคุณระลึกสุขในสัญญาก็ได้แค่นั้น เมื่อมีอาการ 32 ก็ควบคุมสัญญาได้ ระลึกได้แต่พอตกภวังค์ก็จะควบคุมยาก นอนหลับไปก็ควบคุมยาก ไม่รู้ตัว จะอยู่ในสัญญา ตกภายในการบงการกิเลส บ้าบอเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย อยากให้เป็นชิ้นเป็นอันหากต้องการมากอยากมากแม้ทางดีก็ทำได้ชั่วคราว ไม่เหมือนตอนเป็นๆ ตายไปไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีตับไตไส้พุง ไม่มีสุรภาโว ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้วิญญาณทำงานได้มันจึงยิ่งทำอะไรไ่ม่ได้ ขนาดคุณตอนหลับมีอาการ 32 ยังควบคุมฝันไม่ได้ตามต้องการ ยิ่งตายไปก็สติก็ไม่ควบคุมได้ตามต้องการหรอก สวรรค์ที่มีความครบนั้นคุณเอาความสุขจาก การเสพทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ในระลึกเอา ตายไปสวรรค์น้อยมาก แต่นรกคืออนุสัยนานมาก มีแต่นรก พระพุทธเจ้าเลยตรัสว่าคนตายไปจะได้เกิดมาเป็นเทวดา มนุษย์นั้นน้อยกว่าน้อย ส่วนใหญ่ตกนรก

 

สำหรับพุทธศาสนาแล้วความตายมีความหมายหรือคุณค่าหรือไม่?

 

ตอบ...ความตายมีความหมายที่สุด เพราะนิพพานคือกิเลสตาย คนเรามันต้องการเกิดทั้งนั้นแหละ บางคนทุกข์มากก็จากร่างนี้ไป หรือบางคนทรมานมากก็ยังไม่ยอมตายเลย สมัยนี้ร่างแย่แล้วอยากจะไปแต่คนอยู่ก็เลี้ยงไว้อยู่ด้วยการแพทย์

 

อรหันต์นั้นไม่มีสวรรค์หรือนรก ตายไปก็อยู่สงบที่ดุสิต ซึ่งในโลกของเทวดา 6 ภูมิ นั้น มนุษย์โลกีย์ก็หมุนเวียนไปทั้ง 6 ชั้นแต่อรหันต์นั้นก็รอเกิดที่ดุสิต ถ้าตั้งจิตต่อภพภูมิ จิตมันสัญญา ย นิจจานิ ท่านกำหนดว่าท่านจะอยู่ได้

 

ปุถุชนนั้นหรือสัตว์โลกนั้นลึกๆจะรู้ว่าตายไปนั้นไปนรก ส่วนไปสวรรค์นั้นน้อยมาก เพราะฉะนั้นสัตว์โลกนั้นไม่อยากตาย ความตายจึงสำคัญ

 

พอเป็นอาริยบุคคลแล้วรู้ว่าให้กิเลสตาย หมดชาติ ไม่ให้เกิดอีกมีความหมายมากความตายในโลกุตระนั้นจึงมีความหมายมาก แต่โลกียสัตว์ไม่อยากตายเพราะกลัวนรก

 

พอเป็นโลกุตรจิต หรืออาริยบุคคลก็รู้ความตายดี ทำดีขึ้นมาล้างเหตุกิเลสได้ลดนรกได้ ความกลัวตายจะลดลง พอเป็นอรหันต์ดับเหตุที่จะเกิดนรกได้ท่านก็ไม่กลัวตาย แม้จะเกิดอีกท่านก็ต้องสู้วิบาก เกิดทุกข์จากวิบากได้จะสู้ไหม โพธิสัตว์ท่านจะรู้ว่าต้องมีวิปากทุกข์ แต่ไม่มากกว่านี้อีกมีแต่จะน้อยลงเพราะสิ้นการสร้างเหตุแห่งทุกข์ได้ ทำแต่กุศล เป็นBuffer หรือ wall กั้นอกุศลให้ไกล เหลือมาน้อยจนไม่มาหรือมาไม่ถึงหรือมาถึงน้อย แม้พระพุทธเจ้ายังเหลือเลยวิบากบาป

 

 

5.จริยธรรมคืออะไร อะไรเป็นบรรทัดฐานหรือมาตรฐานของจริยธรรม? และใครหรือสิ่งได้เป็นตัวกำหนด?

 

ตอบ...คือคุณธรรมคุณงามความดีที่เกิดจากการกำหนดขึ้นโดย ตนเอง สังคม วัฒนธรรม กฎหมายกำหนด เรียกว่าจริยธรรม หรือคุณงามความดี moral ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละหมู่กลุ่มกำหนดสังคมกำหนด หรือตนเองกำหนด เป็นสมมุติสัจจะ แล้วอะไรเป็นบรรทัดฐานก็มนุษย์ ตนเอง สังคมกำหนด ก็คือสัญญา ย  นิจจานิ

 

 

6.อะไรที่ระบุถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์? อะไรเป็นบรรทัดฐาน? และใครเป็นคนกำหนด?

ตอบ...มนุษย์คือจิตวิญญาณสูง อะไรระบุคุณค่า...ที่ตรงกันส่วนใหญ่ก็คือ ความเสียสละ อาจมีมนุษย์ประหลาดที่ไม่เห็นว่าเสียสละคือคุณค่า หรือว่าถึงหมดอัตตาเป็นอรหันต์

 

คุณสมบัติของอรหันต์

1.ความหมดทุกข์ นี่คือคุณค่าสูงสุด

2.เป็นคนไม่มีภัย โทษ ต่อตนและผู้อื่น

3.เป็นคนมีคุณค่า

4.เป็นคนมีประโยชน์ต่อผู้อื่นถ่ายเดียว(ประโยชน์ตนหมดแล้วคือล้างกิเลสหมดแล้ว)

5.เป็นคนไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง

6.เป็นคนมีเมตตาจริง

7.เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้ (ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสรา)

8.เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว บาปคือกิเลส

9.เป็นคนที่ทำแต่กุศล

10.เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้วไม่มีประโยชน์ตน

11.เป็นคนรู้จักนรก สวรรค์นิพพานถูกแท้

12.เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสมบูรณ์

 

อะไรเป็นบรรทัดฐานก็ 12 ข้อนี้แล้วใครกำหนดก็พระพุทธเจ้า อาตมามาขยายความมากขึ้น

 

_ตอบคำถามหมอฟ้ารัก ที่ท้าวความว่าเคยได้ยินว่าพ่อครูว่าสูงคือของพุทธคือ nothing คือความไม่มี

พ่อครูตอบว่า...ความไม่มีอะไร ก็คือผู้นั้นทำให้จิตไม่มีกิเลสแล้ว ก็จะเข้าใจความไม่มี (นโหติ) เราไม่ได้งง แล้วอะไรยังมี ก็คือต้องรู้ประมาณในการอยู่กับโลก อาจทำผิดสมมุติได้แต่ไม่มีเจตนาทำผิด ไม่มีกรรมชั่วจากเจตนา อาจทำผิดได้เป็นวิบากได้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:22:57 )

571217

รายละเอียด

571217_พุทธชีวศิลป์(22) วนบ.เรื่อง กายในกายเริ่มและจบตรงไหน

วันนี้เราจะพูดถึงเรื่องพุทธธรรมล้วนๆ มีคน sms มาด่าทอก็มี แสดงออกถึงจิตที่ไม่ปกติ เป็นเรื่องยึดมั่นถือมั่นก็มีพลังออกมาทำร้ายหรือยึดติดเป็นของตนก็ได้ อาตมาไม่ได้แปลกใจตั้งแต่ทำงานศาสนา ก็รู้แต่ต้นว่าเป็นเช่นนี้เราต้องเจอกับอะไร ต้องเจอการต่อต้านไม่เห็นด้วย ต้องพิสูจน์กันว่าอะไรจริงอะไรเท็จ พระพุทธเจ้าว่า สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น สัจจะไม่มีสองอย่าง แล้วเราก็ไม่ไปวิวาทกับใคร ให้เขาว่ากันไป ต่างคนต่างเห็นไปได้ มันก็อาจมีเชิงข่ม เราก็ต้องบอกว่าเราถูก คนอื่นก็เลยผิด เพราะไม่ตรงกัน แต่ถ้าไม่มีกายวิญญัติ วจีวิญญัติที่ข่มกันก็จะดี อาตมาไม่มีปัญหาเลย อาตมามีแต่ปัญญา เพราะเข้าใจว่าเป็นธรรมดา

 

ที่สำคัญคือไม่ได้ทำงานเพื่อหาพวก หรือเอาแพ้เอาชนะ แต่ทำงานเพื่อสื่อว่านี่ถูกนี่ผิด ก็จบในตัวมันเอง ส่วนผลจะเกี่ยวข้องกับใครก็เอาไปไตร่ตรองปรับปรุงตนหรือว่าจะค้านแย้งก็ได้ อย่างปฏิโกสนา ก็ทำได้ อย่างไม่มีเรื่อง ค้านแย้งได้แต่ไม่ฟ้องร้องเอาเรื่องเอาราวอะไร แสดงออกได้อิสรเสรีภาพ อยู่กันได้ นานาสังวาส อยู่กันได้ แต่มีความแตกต่างกัน ผู้รู้ความจริงก็ประพฤติได้เหมาะสม ถ้าไม่ได้รู้จริงก็ทำได้ไม่ถูกผล 

 

วันนี้มีคนที่เขาเขียนแผนภูมิมาให้....

 

 
 

 

 

 

แผนผังนี้อาตมาใช้ได้เลย แต่อาตมาเติมว่าต้องมีกายนอกกายด้วย จึงสมบูรณ์ แล้วเขาถามว่า กายในกาย นับเอาจุดใดเป็นจุดเริ่มต้นถึงสุดท้าย(กรอบของกายในกาย)

 

จุดเริ่มต้นของกาย ต้องมีสัมผัส และต้องมีนามธรรมประกอบด้วยเสมอ ในผัสสะ 3 มีรูปมีนาม มีปสาทรูป มีโคจรรูป ถ้าเกิดสัมผัสกันแล้ว มันเข้าไปสัมผัสแตะกันเฉยๆ โดยที่ไม่มีนามธรรมเข้าไปทำงานแม้มีสัมผัสโคจระไป แต่นามธรรมไม่ไปรับรู้สึก จิตนิ่งเฉย ไม่เกิดความรู้สึกอะไรกับการสัมผัสก็ไม่เกิดวิญญาณ ก็ไม่เกิดกาย  แม้รูปกับนามมันร่วมกัน

 

รูปนาม นั้นมีนามหรือธาตุรู้เข้าไปแตะ เป็นรูปนาม ก็อยู่รวมกันแต่นามก็ไม่ทำงานอะไร ก็ไม่เกิด โคจร ก็ไม่ทำงานอะไร อันนี้ลึกซึ้ง

 

เมื่อมีรูปกายเมื่อใด ก็มีนามธรรมมาร่วมเมื่อนั้น มันทำงานร่วมกับปสาทรูป โคจรรูป และรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ก็ทั้งมหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูป 24 ส่วนนามคือตัวรู้ก็มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

ถ้าตัวรู้มันมีแต่อวิชชา มีกิเลสก็มนสิการไปตามกิเลส ทำใจในใจตามกิเลส แต่ถ้าเป็นวิชชา ก็มีอภิสังขาร ก็จะรู้มโนสัญเจตนา ตรวจกามตัณหา ภวตัณหา มีเจตนาในการกำจัดกิเลสตัณหา ในนามทั้งหลายเราก็จะรู้จักความเป็นนามรูปต่างๆ ที่โคจระ ไปดำเนินไป ก็จะต้องเรียนรู้ และที่ อโคจระก็มี คือดำเนินเฉยๆ ไม่ทำงานต่อ แตะกันเฉยๆ แต่ถ้าโคจระก็ทำงาน และมีซ้อนในโคจระ ก็มีย่อยอีกเป็น

โคจรคาหิกรูป คือที่มีนามธรรมมารับรู้ทวาร 5 ก็เริ่มรู้อาการจิต ที่เป็นนามธรรมขึ้นมา พวกปสาทรูปก็ทำงาน แต่ถ้าไม่มีวิญญาณเข้าไปร่วมกับปสาทรูปก็ไม่เกิดอะไร เมื่อมันทำงานกับปสาทรูป ก็แยกย่อยออกเป็น สัมปัตตโคจรคาหิกรูป กับอสัมปัตตโคจรคาหิกรูป มันก็แยกอีก 2

 

อย่าง สัมปัตตโคจรคาหิกรูป คือรูปซึ่งรับอารมณ์ที่ไม่มาถึงตนได้ มันมีอยู่สอง คือตากับหู คือรูปกับเสียง ขยายความว่า ก็คือรูปที่เป็นรูปรูป คือตัว ภาพ กับเสียง มันไม่มาถึงตน ไม่สัมผัสตน มันก็ไม่มาชิดแตะกับตน แต่เห็นได้ ได้ยินได้ คนอื่นก็ร่วมรู้ร่วมแตะกับเราได้ด้วย รูปนี้ใครเห็นก็รู้ได้กับเราด้วย คือมันไม่รู้จริงเท่ากับการแตะตัวแตะตน ลักษณะรูปกับเสียงนี่ไม่มาแตะตัวตน

 

ส่วนอสัมปัตตโคจรคาหิกรูป คือรูปซึ่งรับอารมณ์ที่มาถึงตนได้ คือ ฆานะ ชิวหา และโผฏฐัพพะ อาตมาก็ขยายความว่า เป็นสิ่งที่มาถึงตน คนอื่นจะไม่รู้กับเราได้ด้วย ผู้ไม่แตะกับเราก็รู้กับเราไม่ได้ มันมีกึ่งๆคือ สัททรูป คือมันกึ่งๆ คนอื่นก็รับรู้ด้วยได้ สัททรูป มันก็จะมากึ่งๆ ก็ไม่ชัดเจนเหมือนรูป ไม่ชัดเจนเหมือนเสียง มันละเอียดเหมือนกัน มันร่วมได้เหมือนกันโดยไม่แตะ แต่ใน รสา กับ โผฏฐัพพะนี่ต้องแตะเลยชิดเลย จึงรับรู้ได้

 

พวกนี้เป็นองค์ประชุมที่มาร่วมแล้วเกิดการรับรู้ภาวะ มีโคจรที่เต็ม ทั้งสองอย่าง แล้วที่ถามว่าตั้งแต่เร่ิมต้นจนถึงสุดท้าย กายในกาย ก็ตอบว่า เริ่มต้นคือมีสัมผัสก็มีกาย แล้วเมื่อพ้นสัมผัสไปแล้วก็ไม่มีกายในกาย ก็คือสิ้นสุดกาย ก็ถึงสุดท้าย กรอบของกายก็มีเท่านี้

 

_แล้วความรู้สึก นับจากจุดใด มาจากปสาทรูปเลยหรือไม่? เช่นตอนนี้รู้สึกหนาว หรือรู้สึกร้อน แล้วความรู้สึกที่ว่านับจากจุดใด มาจากปสาทรูปเลยหรือจุดใด

 

ตอบ.....ความรู้สึกนั้นเป็นการเกิดรู้ ถ้ามันไปแตะกันมันไม่เกิดความรู้สึก ไม่มีธาตุจิตวิญญาณ มันก็แตะไปแค่นั้นไม่ทำงานเป็นวิญญาณ ดังนั้นจะเริ่มต้นก็ต้องมี สัญญา มีสังขาร เป็นเวทนา ก็ต้องมีปฏิกิริยากัน แต่ถ้าแตะกันแต่ไม่ปรุงแต่งก็ไม่เกิดกายไม่เกิดวิญญาณ ไม่เกิดเวทนา

 

สรุปคือนับเริ่มที่มีเวทนา สัญญา สังขารมาร่วมทำงาน เป็นวิญญาณ ก็เกิดกาย แล้วเกิด เจตนา ผัสสะ มนสิการต่อไป  ผู้ปฏิบัติกายคตาสติ แต่เอาแต่อิริยาบถนอกหรือพิจารณาแค่ร่างภายนอก ไม่พิจารณาจิตวิญญาณจึงไม่เข้าเกณฑ์ปรมัตถ์ ไปเข้าใจกว่ากามีแต่ภายนอกไม่เข้าหาจิตเลยนี่คือการล้มละลายของธรรมะ ที่ไม่มีทางได้ไปถึงนิพพานได้เลย ถ้าผิดพลาดตรงนี้จบเห่เลย

 

คนอวิชชาเวลาสัมผัสแล้วก็สังขารอย่างอวิชชาเลย เป็นเวทนาสุขทุกข์ ทันที แต่ถ้าเราเรียนรู้แยกแยะเหตุได้ ไม่ทำสังขารอย่างอวิชชา แต่เริ่มจับสักกายทิฏฐิได้ ทำให้พ้นศีลพตปรามาส ทำให้เกิดวิราคานุปัสสีเริ่มเข้าโลกุตระไปตามลำดับๆ

 

 

_โคจรรูปและปสาทรูป เป็นอุปาทายรูป ได้อย่างไร? ทำงานมันน่าจะเป็นมหาภูตรูปมิใช่หรือ? เขาถามมาเช่นนี้

 

ตอบ...มันจะเป็นปสาทรูป โคจรรูปได้ ก็ต้องเริ่มมีกาย ต้องเป็นโคจรคาหิกรูปจึงเกิดกาย แล้วเกิดเป็นอิตถีภาวะและปุริสภาวะ เราต้องจับหัวใจมันให้ได้ที่มันเป็นอิตถีภาวะ มันเป็นสัตว์นรกมีอาการอย่างไร ก็ต้องจับที่หทยรูป ก็ต้องรู้ชีวิตรูป ดูว่ามันเป็นสัตว์มีชีวิตินทรีย์แข็งแรงอย่างไรเราสู้มันได้ไหม หรือมันอย่างกับไดโนเสาร์เลยแข็งแรงมากหรือว่าชีวิตสัตว์มันเล็กๆแค่กิ้งกือก็จะรู้อินทรีย์ของมันว่า หนักหรือเบา แล้วต้องดับเหตุให้ได้ ชีวิตก็ดับ สัตว์ตัวนี้ก็ตาย คุณฆ่าแต่สัตว์ในสัตตาวาส 9 หรือแม้แต่เทวดาสมมุติก็ฆ่าได้ แม้แต่พรหมก็เอาไว้อาศัยแต่ไม่ให้ติดยึด

 

รู้ว่าชีวิตินทรีย์มันดำเนินไปก็เพราะมีอาหาร 4 เป็นอาหารรูป แล้วมาเป็นปริเฉทรูปคุณก็ตัดกรอบของรอบกิเลสของคุณเป็นรอบๆ ของใครก็ของมัน แล้วทำให้มันว่างเป็นอากาสธาตุ ให้เป็นอุเบกขาเป็นอากาสาฯ เป็นฌาน ,อรูปฌาน

 

พอได้ผลเช่นนี้แล้ว ถึงเขตของวิญญัติรูป มาถึงวิการรูป ตรวจสอบด้วยอรูปฌาน 4 ทำซ้ำทำทวนไป มันก็จะดูได้ว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ไม่อยู่ในตัวเรา ต้องรู้ลักษณะของวิญญัติรูป ลักขณรูป มันพ้นมาแล้วเป็นอากาสาฯแล้ว รูปที่เหลือเราก็กำหนดเอาได้เลย จะให้แสดงออกเป็นวิญญัติรูปอย่างไรก็ใช้สัปปุริสธรรมและมหาปเทส แล้วจะให้เป็นวิการรูป ให้เบาแค่ไหน ให้ไวเร็วมุทุแค่ไหนทั้งเจโตและปัญญามันจึงเป็นกัมมัญญตา แล้วมันมีลักษณะของอุปจยะ ชรตา สันตติ อนิจจตา ในที่สุดได้ ถ้าไม่จบมันก็เกิดอยู่เรื่อย ๆ มีแรงอยู่  แต่หากขาดพลังงานไปก็ชรตา คุณต้องใช้ความรู้ในการเพ่ิมอุปจยะหรือชรตา ก็ได้

 

รวมแล้วภาวะพวกนี้มีอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ เป็นภาวรูป 2 เรากำลังเรียนว่าอะไรที่ไม่ควรให้มี ให้ชีวิตรูปมันหายไปเลยตายไปเลย หมดชีวิตได้ ก็ฆ่าเหตุเลย ที่ก่อชีวิตสัตว์มันตายคุณก็อยู่กับอาหารรูปได้ จิตก็ว่าง อากาสาฯ

 

แต่จะว่าเป็นมหาภูตรูป ก็ไม่ได้เพราะมันมีบทบาทำงานได้ เป็นนามธรรม ก็คืออุปาทายรูป ซึ่งเราสามาระหมดความยึดถือได้ แต่ถ้ามีอยู่ก็เป็น รูปูปาทานักขันโท เวทนูปาทาฯ สัญญูปาทาฯ สังขารูปาทาฯ เราก็ต้องสมาทาน ให้สงบ ควบคุมได้ก็เอาไว้อาศัยแต่ถ้ายึดมั่นถือมั่นไปเมื่อไหร่ ยิ่งยึดเป็นอภินิเวสายะ คือปลูกบ้านเรือนให้มันอยู่เลยก็เสร็จสิ แค่ยึดเป็นอุปาทานก็แย่แล้ว เราก็จะรู้ว่าอุปาทานเป็นอย่างไรสมาทานเป็นอย่างไร เราก็อยู่สมาทาน แต่แม้กระนั้นก็มี ภาราหเวปัญญจขันธา ทุกข์จากการมีขันธ์และทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้อีก

 

_นายก.เอื้อมมือไปหยิบวัตถุชิ้นหนึ่ง ซึ่งได้เคยขอจากนายข. แล้วก็ได้รับอนุญาตจากนายข.แล้วยกให้แล้ว โดยเจตนานาย ก.คือขอ แต่ในขณะที่เอื้อมมือไปหยิบนั้น จิตนายก.นี่คิดว่าจะลัก ของนี้ แล้วก็ดักไว้ คือไม่พยายามให้มันโผล่มา ที่จริงพูดน่ะว่าขอ แต่ใจน่ะใจคิดจะลัก ก็คิดว่าจะลัก แต่ดักไว้ทัน นายก.จึงไม่แน่ใจว่าจะหยิบหรือไม่เพราะรู้ว่าใจเรามีแฝงอยู่ ก็ทั้งๆที่เจตนาลักนั้นไม่มี จะขอ แต่มันรู้สึกว่าตนเองลึกๆว่าจะเอา แต่ทำทีหลอกนายข.ว่าจะขอ แต่ไม่เข้าใจจิตที่ดำริว่าจะลักนั้นคืออะไร? และจะแก้ไขอย่างไร เพราะใจนายก.ก็รู้สึกทุกข์ละอายอยู่ ขอถามว่าเป็นกามภพ รูปภพหรือ อรูปภพ มันเป็นวีติกมกิเลส ปริยุฏฐานกิเลสหรืออนุสัยกิเลส ,มันเป็นจิตสำนึก จิตใต้สำนึกหรือจิตไร้สำนึก...โปรดให้คำชี้แนะนายก.ด้วย?

 

ตอบ... จิตที่แฝงลึกนี่ มันเกิดเนวสัญญานาสัญญายตนะ มันจะใช้หรือไม่?ก็ไม่รู้ ถ้าอาการนี้ไม่หยาบแล้ว เจตนากิริยาภายนอกเหมือนดีทุกอย่าง ขอ เขาก็ให้ แต่จิตเรามันตั้งไว้ก่อนเลยว่า กูจะเอานะ จะให้หรือไม่ให้ก็เป็นในที แต่ว่าโจทย์บอกว่าเจตนาจะขอ แสดงว่าเขาอ่านเจตนาตนไม่ออก มันเป็นเนวสัญญาฯ แต่รู้สึกว่าใจตนไม่ดี แม้นายข.เขาก็ให้ด้วย แต่สะดุดจิตตนที่จะเอาก่อนที่จะขอเสียอีก

 

อย่างนี้อยู่ในอรูปภพ เพราะอรูปภพมันก็อยู่มีกามาวจรอยู่ แต่ว่ารูปภพนี้เขาก็ไม่รู้ชัดเจนนัก เป็น อนุสัยกิเลส

 

แล้วเป็นกิเลสขั้นไหน? ซึ่งวิติกมกิเลสแปลว่ากิเลสที่ก้าวล่วงพ้นแล้ว ส่วนปริยุฏฐานกิเลสคือกิเลสที่ทำงานอยู่ ในปัญญาโสดาบัน ข้อที่ 1 จะพ้นวีติกมกิเลส อยู่กับปริยุฏฐานกิเลส ถ้าอย่างนี้จะปรับเป็นอนุสัยกิเลสก็ไม่ได้ แต่เป็นเนวสัญญาฯ เพราะฐานลักนี่มันหยาบนะ ก็กำลังพยายามเป็นปริยุฏฐานกิเลสอยู่นะ นี่เรื่องทุจริตนี่มันเป็นแค่หยาบ จะเอาของเขานะ ไม่ใช่อนุสัย แต่เป็นปริยุฏฐาน

 

แล้วเป็นจิตลึกระดับไหน?...คุณพอรู้ได้มันก็ไม่ไร้สำนึกเสียทีเดียวมันก็อยู่กลางๆอยู่ระหว่างจิตใต้สำนึก เพราะสำนึกจริงมันมีมากพอ เรามีกายวิญญัติ วจีวิญญัตินั้นขอ เขาก็ให้ ไม่ผิดกฎหมายเลย แต่ตนเองรู้สึกสะดุดใจตนเอง

 

มันมีทั้งกุศลจิต อกุศลจิต เราต้องดูที่อกุศลจิตให้ดีต้องทำให้เกลี้ยงมันไม่ธรรมดานะซุกซ่อนจะเล่นงานเรา ให้เราเป็นสัตว์ แต่ถ้าปฏิบัติจริงก็จะได้อรหันต์ อรหันต์ในโสดาฯ อรหันต์ในสกิทาฯ อรหันต์ในแต่ละเหตุปัจจัยไป เราก็อ่านหยาบกลางละเอียดไป

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

_คุณหินแสงถามว่าจุดที่ทำให้พ่อท่านสนใจศึกษาทางจิตคืออะไร?

 

ตอบ...อาตมาไม่มีเจตนาทีเดียว อาตมาไม่ได้สนใจศาสนาธรรมะเลย แต่จิตมุ่งไปโลกีย์ แต่อาตมาก็ไม่เป็นคนหยาบก็เลยเลวไม่สำเร็จ หลายอย่าง มันทำชั่วไม่ขึ้น มันก็เป็นไปตามสัจจะ ชีวิตก็คงต้องดำเนินมาทางนี้ จุดเริ่มต้นแรก ตอนนั้นอาตมาไปกับแฟนคนที่ 2 ไปดูเขาสะกดจิตที่สมาคมค้นคว้าทางจิต ไปเจอเขาสะกดจิต ฝรั่ง ให้เขาระลึกชาติได้ ระลึกย้อนไปถึงเด็ก ถึงในท้อง ถึงก่อนเข้าท้อง เขาก็จะพูดได้ตามที่เขาย้อน ตอนเป็นเด็กก็พูดอ้อแอ้ ตอนในท้องก็ไม่พูด อาตมาก็เลยสนใจเรื่องทางจิต ก็ไปศึกษาเป็นสมาชิกค้นคว้าทางจิตไปกับเขาด้วยเลย อาตมาเป็นดาราทีวีด้วย

 

พวกสะกดจิตนี่มีหมอประพันธ์เข้าทรง อาตมาก็เลยไปศึกษาเข้าทรง ไปเจอเพื่อนที่ศึกษาไสยศาสตร์ว่าเข้าทรงเก่งก็เลยไปเล่นไสยศาสตร์ด้วยตอนกลางคืน ตอนกลางวันก็ไปศึกษาทางสมาคมค้นคว้าทางจิต ไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่ว่าไม่รู้ว่ามีเรี่่ยวแรงจากไหนไปทำ ก็ศึกษาทางไสยศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ศึกษาอยู่ 8 ปี เป็นอาจารย์ทางไสยศาสตร์ด้วย ก็เลยไม่สงสัย เข้าใจทั้งสองอย่าง สรุปว่าไสยศาสตร์ทำได้เก่งพิลึกกว่าวิทยาศาสตร์มากแต่ว่าไม่รู้ที่ไปที่มา อธิบายไม่ได้ แต่วิทยาศาสตร์อธิบายได้แต่ไม่ได้ลึก ทั้งสองอย่างก็ไม่ได้ทำให้ได้อะไรขึ้นมา แก้ไขอะไรไม่ได้ หรือแก้ได้พอสมควร แต่อาตมาคงมีภูมิมีบารมีเก่าก็เลยไม่ติด ก็เลยมาสนใจการค้นคว้าทางจิต แนวพุทธ เพราะเราเป็นชาวพุทธ ก็เลยศึกษาตำราของพุทธ เอาอภิธรรมมาอ่าน ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ก็รู้ว่ามันละเอียดมาก ก็เลยไปสำนักนั้นสำนักนี้ ไปนั่งสมาธิ ก็ทำได้ง่าย แต่ก็มีภูมิรู้ขึ้นมาว่าแบบพุทธนั้นต้องปฏิบัติแบบใด ก็ปฏิบัติลดละไปตามภูมิเก่าที่ขึ้นมาได้ ไปตามลำดับ ตอนนั้นทำหนังโทนอยู่ด้วย ก็มีแฟนด้วย ปฏิบัติธรรมก็พบกับแฟนน้อยครั้งลงไปเรื่อยๆ หนักเข้าก็ไม่ต้องพบกันก็ได้ ถ้าคิดถึงจะมาหาเอง จากนั้นก็ลาออกจากที่ทำงาน ต่อมาก็ออกมาปฏิบัติธรรมที่วัดอโศการาม ….ต่อมาก็บวช... สรุปจุดเร่ิมก็เป็นไปตามธรรม

 

_คุณเกื้อดิน...ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว ดีใจที่ได้เป็นลูกโพธิสัตว์แต่ว่าจับหัวข้อธรรมไม่ได้เลย พ่อท่านพาปฏิบัติ ช่วงของ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นบาทฐานในการปฏิบัติ แล้วถ้าเราปฏิบัติแล้วเราจำเป็นต้องเข้าใจภาษาที่พ่อท่านอธิบายให้ละเอียดไหม?

ตอบ...มันก็ควรต้องเข้าใจ เข้าใจแล้วจะได้ปฏิบัติได้ดีขึ้น เป็นทิฏฐิที่สัมมามากขึ้น มีอิทธิบาทมีกำลังเป็นอานิสงส์ของการฟังธรรม อิทธิบาทเต็ม ต้องเข้าใจ แต่ว่าจะจำภาษาหรือไม่ก็ไม่เป็นไรในภาษาบาลี จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจำเนื้อความได้ก็จะมีวจีสังขารตามที่จำได้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:24:06 )

571218

รายละเอียด

571218_ความรัก10มิติ(13)วนบ.เรื่อง มิติที่ 9 นิพพานนิยม

วันนี้วันเรียนความรัก 10 มิติ เราเรียนมาถึงมิติที่ 8

 

อาตมาว่าจะอ่านมิติที่ 9 และ 10 แล้วจะได้อธิบายรายละเอียด

 

มิติที่ 9 คือความรักของผู้ที่ได้เรียนรู้สัจจะแห่งความรัก แล้วปฏิบัติจนได้ผลสำเร็จสมบูรณ์สำหรับประโยชน์ตน จบ คือเลิกมีความรักเพื่อตัวเอง แม้มันยังมีความจำอยู่ ถ้าห่างไปนานก็ยิ่งไม่เหลือ เป็นอรูปนิดๆหน่อยๆ จนกระทั่งหมดไม่เหลืออาการนั้นในจิต แม้จะจำได้ เป็นนิทานเรื่องราวได้ ว่าเราผ่านอดีตมามีกรรมกิริยาอย่างไร แต่รสสุข เอร็ดอร่อย ความโหยหาอาลัยอาวรณ์ไม่เหลือแล้ว ให้เราตรวจดูว่าเรายังเหลืออีกเท่าไหร่ในแต่ละมิติ มันจะเป็นความรู้ไม่เป็นความรัก จะรู้คุณรู้โทษ ในอาการเช่นนั้น มีบทบาทปฏิกิริยา นิทานเรื่องอย่างไร ในชีวิตเราจะไปมีนิทานอย่างนั้นอีกก็รู้ ไม่มีรสสุขทุกข์แล้ว มันกลางๆ นี่คือความจริงที่เราต้องอ่าน แม้มีเหตุปัจจัยที่ต้องเจอกันอีกเหมือนเดิม แม้มีกระทุ้งกระแทกยั่วยวนอย่างไรก็ไม่เกิดอาการ เราต้องอ่านเองรู้สภาวะจริง

 

ความจบจะจบไปแต่ละรอบแต่ละขั้นในมิติที่ 1 ก็มีรอบของกาม ,รูปภพ,อรูปภพ ถ้าเรียนรู้มิติที่ 8 จิตวิญาณสัมมาทิฏฐิจะเรียนรู้มิติที่ 8 แม้จะมีกิเลสระดับกามนิยมระดับที่ 1 แคบใจดำมาก เผื่อแผ่น้อยมาก ยังสุขทุกข์กับกามราคะ แม้ลูกก็ไม่เผื่อแผ่ ฆ่าลูก ทิ้งลูก ขายลูกก็มี 

 

แม้ความรักระดับที่สูงส่งปานใด แม้ปรมาตมัน ก็ไม่มีสิ่งใดยืนยงคนทนไม่เปลี่ยนแปลงไม่สลายไปได้ ในมหาจักรวาลนี้ ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม สิ่งที่ปรากฏว่ามีจะต้องเปลี่ยนแปลง ไม่คงที่ ไม่มีความมีใดๆที่สามารถคงที่เที่ยงแท้ ไม่แปรเปลี่ยนไม่เคลื่อนไหว นอกจากความไม่มีจริงๆ ซึ่งได้แก่ความไม่มีกิเลส ที่ได้ละล้างด้วยทฤษฎีพระพุทธเจ้าที่เรียกว่านิพพาน แต่ก็ต้องเคลื่อนที่ไปกับเหตุปัจจัยกับขันธ์ 5 ของอรหันต์ผู้ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ซึ่งความไม่เที่ยงของอรหันต์คือกุศลที่มีแต่ทำดีไม่มีชั่วแล้ว สุดท้ายแห่งสุดท้ายคือสภาพปรินิพพานที่ดับไม่เหลือแม้อัตตา ปรมาตมัน ขันธ์ 5 ก็ไม่มีอีก

 

แต่ปุถุชนนั้นมีแต่ความชั่วที่ไม่เที่ยงแต่ทิศทางปุถุ หนาไปใหญ่ๆ แม้กัลยาณชนทำดีก็ไม่เที่ยง ทั้งกุศลและกิเลส แม้เป็นอรหันต์ก็ยังมีความไม่เที่ยงในรูปนามขันธ์ 5 แต่ท่านมีความเที่ยงที่กิเลสไม่เกิดอีกเลย คำว่ามีหรือไม่มีก็ต้องมีเงื่อนไข ว่าอะไรมีหรืออะไรไม่มี พวกฤๅษีหรือพวกนั่งหลับตา หรือกัลยาณชนก็ทำได้แค่ สะกดให้กิเลสนิ่งหรือดับชั่วคราว ไม่รับรู้ แต่ถึงเวลามันก็จะขึ้นมาทำงานอีกจนได้

 

นิพพานเป็นลักษณะสุดยอดที่จะสร้างก็สร้างอย่างพระเจ้า แต่ไม่มีสุขทุกข์ ไม่มีการเอา มีแต่การให้ แล้วสำหรับตนเองจะอยู่นิรันดรก็ได้ หรือจะสลายไปนิรันดรก็ได้ ซึ่งการให้แล้วไม่มีการเอามาเลยนี่ คนโลกๆเขาจะไม่เชื่อ แม้นักธรรมะทั่วไปเขาก็ไม่เชื่อ เพราะเขาเป็นไม่ได้ก็เลยไม่เชื่อ

 

ในทิฏฐิ 62 นั้น ทิฏฐิที่ ยึดกาม ยึด ฌาน 1- 4 ก็เป็นทิฏฐิปัจจุบัน เป็นสุดยอดของชีวิตก็คือนิพพาน

สิ่งที่เราเคยมีเคยเป็นเคยสุขทุกข์ แต่บัดนี้เราทำให้จางคลายได้ แต่แบบมิจฉาทิฏฐิแบบฤาษีนั้นก็จางคลายได้ จะแยกได้อย่างไรนั้น ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติแบบหลับตาแต่มีสายสมถะลืมตา สายอภิธรรม ก็คิดว่าทุกอย่างไม่มีตัวตน ไม่มีอะไร เป็นอนัตตา เขาก็วางได้ ไม่ได้นั่งสะกดจิตด้วย ทำจริงก็ได้แบบลืมตาอย่างนั้นมันก็เวียนวนกลับได้ไม่เที่ยง พอนานไปจะเห็นได้ว่าเขาเวียนกลับ แต่ถ้าสัมมาทิฏฐินั้นไม่เวียนวน จะมีสิ่งจริงพิสูจน์ได้ว่าเราหมดหรือไม่ จะมีเหตุปัจจัยมาทดสอบ หลายแบบหลายลักษณะ หลายน้ำหนัก เราก็จะอ่าน ว่าเราแวบไหม จะเป็นของจริงยืนยันได้ ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงมีผัสสะเป็นบทปฏิบัติและการทดสอบ แต่เราไม่ต้องวิ่งหาบท ทดสอบหรอก แต่ว่าอยู่ในปัจจุบันปกตินี่จะมีมาทดสอบในสังคม ในการงาน ในวิบากสังคมจะมีโจทย์ตามวิบาก แม้เป็นผู้มีบารมี ได้แล้วมันก็จะมีวิบากของตนเหมือนกันตามลำดับมาทดสอบ สุดท้ายจะทดสอบได้มันก็จะมีอยู่ในโลก จะมีคู่บารมี แบบทางศัตรูเช่นเทวฑัตกับพระพุทธเจ้า ท่านไม่ต้องสอบแล้ว แต่มันก็มีได้ตามวิบาก ไม่ต้องไปวิ่งหา ขนาดคนทดสอบอย่างเทวฑัตคุณจะสู้ไหวไหม จะมาตามบารมี ไม่ต้องวิ่งหา ถ้าเราไปหาเองสิ ไม่จริง ถ้ามีมาเองนี่จริง สู้ให้ดีก็แล้วกันสู้ให้ได้ก็แล้วกัน นี่ก็ขยายความ จนสุดท้ายก็จบสัมบูรณ์

 

เราทำอย่างไม่ได้อยากได้บริวาร ไม่ได้อยากได้มาบำเรอกาม บำเรออัตตา อยากทำเพื่อผู้อื่นหมด มันซับซ้อนมาก ยากที่จะเข้าใจ เขาจะว่าเราหลอกคนได้สนิทอีก เขานับถือว่าเราหลอกคนเก่ง คิดไปโน่นเลย จะซับซ้อนไปอีก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาไม่เข้าใจวิภวตัณหา ที่จะมีอย่างมีอิทธิบาทสูง มุ่งมั่นมาก แต่ท่านไม่ได้ทำเพื่อตัวตนเลย พวกเราฟังจะเข้าใจ

 

เมื่อเราทำได้ก็จะมีพลังแห่งปัญญา วิริยะ อนวัชชะ สังคหะ มีพลังเพิ่มขึ้น จะย้อนแย้งแทนที่คนที่ละกิเลสจะหมดพลัง แต่กลับมีพลังขยันพากเพียร แทนที่จะเฉื่อยช้าลง แต่กลับทวีการทำงาน มีความเพียรในการทำงานอยู่กับสังคม มันจึงตรงกันข้ามกับเทวนิยม ที่จะยิ่งเฉื่อย หยุดเพลาลง แต่ทางนี้กลับทวีมากขึ้น แต่ความบริสุทธิ์กลับมากขึ้นๆ ยิ่งไม่มียิ่งมี ยิ่งมียิ่งไม่มี ยิ่งหมดยิ่งเป็นกำลัง พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า วิมุติเป็นเครื่องแสดงกำลัง มีอิทธิบาทเป็นเครื่องแสดงกำลัง เห็นความคล่องแคล่ว แล้วอะไรเป็นเครื่องแสดงพละกำลัง ก็คือวิมุติ คนที่วิมุตินี่จะดูว่าเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาทำ ไม่เบื่อไม่เมื่อย

 

สังคมพวกเราอาตมามั่นใจว่าจะเป็นแก่นแกนของมนุษยชาติ เป็นชมพูทวีป ถ้าในตัวคนมีคุณลักษณะมนุษย์ชมพูทวีป อาการครบ 32 มีสุรภาโว สติมันโต สติเต็มรู้ตัวทั่วพร้อมจะปฏิบัติธรรมได้ ไม่จำเป็นที่จะฉลาดหรือไม่ แต่คนที่มีอะไรพร้อมก็ประกอบด้วยอิธ พรหมจริยวาโส มีสติสัมปชัญญะปัญญา พระพุทธเจ้าว่าพากเพียรไปเถอะ 7 วันไม่ได้เป็นอรหันต์ก็ได้ อนาคาฯ 7 ปีได้ แต่พวกเราหลาย 7 ปีแล้ว ก็ยังไม่ได้อรหันต์ เพาะอะไร?

1.ไม่สัมมาทิฏฐิสมบูรณ์

2.ความเพียรไม่พอ

คนสัมมาทิฏฐิแต่ไม่เพียรก็ไม่บรรลุ แต่ถ้าคนที่เพียรแต่ไม่สัมมาทิฏฐิก็ยิ่งแย่ง สัมมาทิฏฐิจึงสำคัญกว่า ความเพียรเป็นรอง

 

ที่ว่าไม่สัมมาทิฏฐิก็ต้องโทษอาตมาด้วย อาตมาไม่เก่ง พระพุทธเจ้าท่านเก่ง คนมาฟังก็มีบารมี ถ้าสัมมาทิฏฐิ 7 ปีก็ต้องได้ แต่ยุคนี้ 70 ปีจะได้ไหม?

 

พวกเราแม้ไม่ได้อรหันต์สมบูรณ์ครบรอบถ้วน แต่ได้อรหัตตผลในโสดาบัน จะอยู่ไปนานเท่าใด แม้คุณไม่เพิ่มฐานในสกิทาฯ แต่ก็ได้อรหัตตผลในโสดาฯควบแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่เพิ่มอธิศีลแต่ปฏิบัติทุกกรรมกิริยาไป ที่คุณสู้กับอบายมุขได้จะตกผลึกทับทวีไปเรื่อยๆ ถ้าคุณไม่เอาถ่านเกินไปหรือออกจากหมู่ มันก็จะเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิคุณมีบารมีเจริญได้ทวีขึ้นเรื่อยๆ อาตมาว่าทุกวันนี้ขัยความได้ละเอียดชัดเจนสูงขึ้นตั้งใจฟังกัน

 

แต่ละคนถ้ามีเนื้อหาของชมพูทวีปซึ่งจะไม่กลับกำเริบไม่เวียนกลับอีก แล้วเราก็รวมตัวกันมากขึ้น เป็นหลายหมู่บ้าน เป็นตำบลน้อยๆ สักวันหนึ่งก็ต้องเป็นตำบล อำเภอ เครือแห เป็นประเทศเป็นทวีปได้ ที่อื่นไม่มีคนเช่นนี้ธรรมะเช่นนี้ มันมาอยู่ที่นี่แล้ว ที่เขาเอาวัดไทยไปอินเดียนั้นที่โน่นเขาไม่ได้ยอมรับนะ ก็เป็นแต่เพียงเอายี่ห้อไปแปะให้เขารู้ แต่เราก็จะพยายามเอาเนื้อหาพุทธแท้เข้าไปพุทธอโศกตอนนี้ก็เป็นเหมือนเด็กเพิ่มโต จนกว่าจะแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาวก็จะมีคนยอมรับน่ามาเอาต่อไป

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

_ถามว่า ความจบคืออะไร?

ตอบ...ความจบมีสองนัย คือจบชั่วคราวกับจบถาวร เหมือนเรากินข้าว มื้อนี้จบอร่อยแล้ว แล้วมื้อต่อไปเราก็ไปอร่อยใหม่อีก นี่คือจบชั่วคราว แต่ความจบที่จบสนิทเลยถาวรก็คือ มันอร่อยจนหมดอร่อย มันอาจอร่อยหลายคราว เราก็จบได้มากขึ้น จนจบจริงไม่มีอร่อยอีกถาวรเลย เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

_การอ่านกิเลสคืออะไร?

ตอบ...เช่นขี้เกียจรู้จักไหม? เราไม่อยากทำ เราก็อ่านอาการใจว่าไม่อยากทำเป็นอย่างไร แล้วเทียบกับอาการขยันมีอิทธิบาท เป็นอย่างไร มันต่างกัน เราก็จะอ่านอาการออก หรือว่าอาการอร่อยในใจเรา กับอาการไม่อร่อย มันก็จะต่างกัน เช่นของกินอย่างเดียวกัน วันนี้อร่อย วันอื่นอาจไม่อร่อย อาการอยากนี่แหละคือกิเลส ไม่มีรูปร่างสีสันเส้นแสงเงาสีแต่อาการใจที่โกรธนี่คือกิเลสนะ มันไม่สบายใจมันร้อนๆ อ่านกิเลสโลภะ ราคะ โทสะ

 

_หนึ่งฟ้าถาม...ความรักมิติที่ 1 กับมิติที่ 8 จะไปด้วยกันได้ไหม? ถ้าเรายังไม่พ้นกาม ไม่เป็นอนาคามี แต่มีอุดมการณ์สูงส่ง อยากเกื้อกูลกัน อยากพัฒนากันไปในทิศทางที่ดี ในความรักมิติที่ 1 ที่กระทำอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะไปสู่ดี เชื่อมั่นว่าจะควบคุมกามได้ แม้ไม่พ้น..
ตอบ
...ถามซับซ้อนว่ามีตัวชั่วแต่ก็ตั้งใจทำดี ซ้อนกันอยู่ โดยชั่วก็ทำอยู่ ได้ไหม? ...ได้ แล้วก็ทำกันอยู่ ศาสนาเทวนิยมยังมีชั่วเป็นอนุสัยทั้งนั้นแม้เป็นศาสดาทำดีมากแต่ไม่ได้ล้างกิเลสได้ แต่ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น สอนนิพพาน ไม่ต้องเสียเวลาทำซ้ำซ้อน กลับมาล้างอีก อุตสาห์เป็นศาสดาแล้วต้องมาล้างมิติที่ 1 อีก ก็เสียเวลาไปเริ่มต้นใหม่ พระพุทธเจ้าว่าให้ทำไปตามลำดับ มันเสร็จไปในตัว อย่างสายศรัทธานั้นกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น 40 อสงขัยกับอีกเศษแสนมหากัปป์ แต่ถ้าวิตักกจริตก็ 80 ส่วนปัญญานั้น 20 แค่นั้น

 

_คำถามว่าถ้าเขายังมีพันธะทางกฎหมายกับคู่เก่าอยู่จะมีความเสี่ยงอย่างไร

ตอบ...ก็ให้พากเพียรเลิกให้ได้ อยู่ที่หมู่จะช่วยกัน

 

_สำหรับชาวอโศกทุกฐานะที่มีประสพการณ์เรื่องนี้ โดยตรงหรืออ้อมก็น่าจะได้เป็นประเด็นที่อภิปรายกันว่าจะมีความเสี่ยงอยู่หรือไม่?

ตอบ...คุณอยากจะได้สะอาดมากเกินไป ทำได้ขนาดนี้อนุโลมขนาดนี้ด่างพร้อยขนาดนี้อาตมาว่าแจ๋วแล้วดีแล้ว คุณจะต้องการสะอาด100% ทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าอยู่ก็ทำไม่ได้ พวกเราได้ขนาดนี้ 40 ปีแล้ว เหตุการณ์มีบกพร่องผิดพลาดขนาดนี้ก็เบาใจได้ว่าไม่แย่กว่านี้ ก็ไม่อยากให้บกพร่อง แต่ได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว ให้ได้เต็มร้อยนั้นอาตมาก็อยากได้

 

_พวกเชื่อมั่นในตนเองสูงมีสองลักษณะใหญ่ๆ 1.เชื่อมั่นในตัวเองสูงอย่างจริง อย่างพระพุทธเจ้าหรืออาตมาก็มี แล้วไม่เคยวอกแวก แต่กรรมกิริยาอาตมาทำแพ้เป็น โง่เป็น อนุโลมเป็น อาตมาเชื่อตนเองสูงแต่ก็ยอมได้ เราไม่ได้เสียหน้า ยอมได้ รู้สึกว่าเขาจับได้ว่าเราแพ้ก็ได้ เราผิดในสมมุติสัจจะได้ แต่ปรมัตถ์ท่านสมบูรณ์แล้ว จิตท่านไม่มีพลาดแล้ว แต่โลกวิทูไม่เท่ากัน

 

_มนุษย์อุตรกุรุทวีป คือผู้ได้โลกุตรธรรม แต่ไม่มีกาย มีแต่จิตวิญญาณ ไม่สูงส่งได้เท่ามนุษย์ชมพูทวีป

 

_จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ที่กลัวผีเพราะว่าสั่งสมอุปาทานไว้นาน  แต่ถ้ามีพลังปัญญาเพียงพอ อาตมาพาทำอธิบายมานาน ชาวอโศกลดความกลัวผีไปเยอะ แต่แม้ยังไม่หมด ก็ตาม เพราะเข้าใจจริง ในสัจธรรม จิตวิญญาณมาหลอกใครไม่ได้ถ้าไม่มีร่าง ไม่มีรูปร่าง ตายไปแล้วมาหลอกไม่ได้เพราะตกนรกไปแล้ว ออกมาไม่ได้ จิตวิญญาณในตัวคนนี่แหละคือผีจริงๆ มีเต็มสังคมไปหมด ผีต้องมีรูปร่างมนุษย์นี้จึงเป็นผีได้ แต่คนตายนั้นตกนรกออกมาไม่ได้  ถ้าคุณรู้จักเสือดีคุณไม่กลัวเสือ แต่ถ้าคุณรู้จักผีที่แท้จริง คุณจะไม่กลัวผีเลย หลวงปู่ยืนยันว่าผีไม่มี ใครที่เจอจริงก็ซวยมาก เป็นอุปาทานของตนเองเท่านั้น ให้พิสูจน์เลย เอาคาถานี้ แค่ตาย แล้วเดินเข้าไปพิสูจน์เลย

 

_ส.มือมั่นถามเรื่องพ่อครูตอนอยู่ที่บ้านครูล้วน ที่อยู่ไม่ได้เพราะถูกแกล้งแล้วอาจารย์ลำเอียงด้วย

พ่อครูว่า ตอนนี้ช่วยแต่งเพลง ทำเนื้อเพลง


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:24:57 )

571220

รายละเอียด

571220_สรรค่าฯ(22)วนบ. เรื่อง กวฬีการาหารอย่างพิสดาร

อีก 7 วันเราก็จะเข้าสนามรบ ว.บบบ. แล้ว วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม เริ่ม 28 ธ.ค. 57 – 3 ม.ค. 58 ปีนี้จะเป็นรุ่นที่ 3 ปีที่แล้วเราไม่ได้จัด เรามีรุ่น 1 และรุ่น 2 ไปแล้ว หลายคนก็ได้เข็มที่ 1 และ2 ไปแล้วจะมาเอาเข็ม 3 ก็มาได้

 

เข็มที่ 1 เรียกว่า บุกเบิก เข็มที่ 2 เรียกว่า บากบั่น เข็มที่ 3 เรียกว่า เบิกบาน เข็มที่ 4 เรียกว่า บูรณ์บุญ

 

พูดถึงคำว่าบุญอาตมาก็หนักมาก เพราะคำว่าบุญนี้ถูกบวชเป็นไทยแล้วแปรรูปเป็นกุศลไปแล้ว แม้อาตมาก็พลอยถูกครอบงำ ใช้ภาษานี้ติดปาก ระหว่างบุญกับกุศลเลย

 

ซึ่ง กุศลก็มีบุญด้วย และบุญก็เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ถ้าผู้ใดฝึกฝนกุศลโลกีย์ แล้วอ่านจิตเป็น อ่านอาการจิตเป็น จับสักกายะ ได้

 

เมื่อมีสัมผัส ก็เกิดปสาทรูป มีโคจรรูปที่เป็นการเริ่มบทบาท ที่มีรูปกับนามทำงาน มีตากระทบรูป ธาตุพลังงานก็ใช้ประสาททำงาน เมื่อเกิดโคจร เกิดบทบาทของสัตว์โลกที่จะดำเนินไปตามวิสัย พอเริ่มดำเนินก็เป็นกรรม ตั้งแต่ กายกรรม ข้างนอกเลย วจีกรรม แม้ที่สุดมโนกรรม แต่มโนนี่ลึกจะยากไป กายกรรมคือองค์ประชุมทั้งนอกและใน ในวิโมกข์ 8 ข้อ

 

มาถึงวันนี้ก็พอจะมีผู้ที่รับได้ ค่อยๆเข้าใจการทำใจในใจ (โยนิโสมนสิการ) การทำ กายในกาย ว่าเป็นเช่นนี้ กายในกายนี่เกี่ยวกับจิต จิตเป็นตัวสำคัญด้วยซ้ำไป องค์ประชุมมีทั้งรูปและนาม มีอาการ ที่เรียกว่า สักกายะ

 

กายคือเวทนา กายก็คือจิต องค์ประชุมนี่แหละเป็นเวทนา เป็นจิต แม้เป็นธรรมะที่ทรงอยู่กับเรา มันเป็นอัตตาของเรา เป็นสัตว์ด้วย มันมีชีวิตสัตว์เรียกว่า สัตตาโอปปาติกา แล้วมันอยู่ที่ไหน สัตว์นี่ มันอยู่ในนรกไง สวรรค์ไง มียมบาล มีเง็กเซียนฮ่องเต้ไหมควบคุม ก็เข้าใจกันไปไกล ที่จริงมันอยู่ในตัวเรา อยู่ใน กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญาและใจเรานี่ ถ้าเข้าใจไม่ตรงก็อ่านไม่ได้

 

ต้องกำหนดหมายรู้ชัดเจน ว่าเป็นสัญญา ให้เกิดการรู้แจ้งเป็นปัญญา รู้กามสัตว์ รู้อบายสัตว์ ในกามภพ ต่ำที่สุดเรียกว่าอบาย โอฬาริกอัตตานี่คืออัตตาตัวต้นตัวหยาบตัวแรกที่จะต้องเรียนรู้ให้ชัด เรียกว่าสักกายะ ใครไม่เข้าใจ จับอ่านอาการไม่ออก ก็คือไม่มีดวงตา ไม่มีวิปัสสนาญาณ ไม่มีญาณวิเศษ คือความรู้ที่วิเศษ ไม่ใช่ความรู้โลกๆ แต่เป็นความรู้ที่สัมผัสอาการอย่างรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง อ่านออกด้วย แม้ตอนแรกจะสัมผัสได้ รู้องค์รวมของการประชุม เป็นหมวดหมู่ขององค์ประชุม เป็น กายสังขาร จิตสังขาร

 

กายสังขารนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ร่าง ไม่ได้หมายถึงแขนขา รูปร่าง ยิ่งอธิบายไปว่า จะนั่ง ยืน เดิน นอน ก็ไปเห็นว่า กายคือตรงนี้ เดี๋ยวก็ทำ ท่านั้นท่านี้อิริยาบถ แม้มันจะเปื่อยเน่าสลาย เขาก็ปลงแค่นั้นว่าเป็นความไม่เที่ยง แต่เป็นรูปธรรมที่ชัด มันไม่คงที่ ไม่ว่าจะรูปหรือนาม ดิน น้ำ ไฟ ลม รวมกันเป็นร่าง มันก็ไม่เที่ยงแท้ สลายแยกธาตุไปในที่สุด ก็เห็นแค่ตรงนี้ยึดอยู่กับรูปธรรมแค่นี้ แล้วมันเป็นทุกข์ไหม? ก็แปลง่ายว่า ตั้งอยู่ไม่ได้ร่างนี้ ก็เป็นทุกข์อันนั้นก็ใช่ แต่ว่าไม่ใช่ที่พระพุทธเจ้าให้เราเรียนรู้ ให้พิจารณาตรงนั้นหรอก

 

ถ้าเราจะให้ไม่ทุกข์ก็ต้องสั่งให้มันอยู่ถาวร ตลอดกาล แต่ว่าถ้าจะยึดว่า มันต้องเปลี่ยนแปลงสลายได้จึงไม่ทุกข์ มันก็ได้ดังใจอีก แต่จะไม่ให้มันสลายถึงจะไม่ทุกข์อันนี้ก็ได้ดังใจอีก ก็ได้แค่นั้น

 

ก่อนจะได้สมใจนั้นมันก็มีสเปคไว้แล้ว ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ๆ แต่ละคนก็ไม่รู้ตัวหรอก แต่สเปคไว้แล้ว กำหนดว่าต้องได้ขนาดนี้ ได้เค็มได้หวาน เปรี้ยวขนาดนี้ ต้องได้เงินเท่านี้ๆ แต่ไม่เห็นพอใจเสียที เห็นแต่อยากจะได้เพิ่มขึ้นๆ แต่ได้ดังใจก็สุข บำเรอความอยากก็ได้สุข

 

ถ้าเราอ่าน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คือนาม 5 อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสในปฏิจจสมุปบาท ซึ่งผัสสะก็จัดในนามธรรม ตัวสำคัญคือ เจตนา ซึ่งเป็นบาป เป็นบุญ เป็นกุศลอกุศลได้ ถ้าไม่ชัดก็ไม่รู้ตัว เจตนานึกว่าทำกุศลแต่ได้บาปกันเยอะเลย เช่นเจตนาทำทาน แต่ตั้งจิตขี้โลภ สัญญาวิปลาส กำหนดหมายทำใจในใจเพิ่มกิเลส โลภยิ่งกว่าเก่าแทนที่จะกำหนดใจในใจให้ลดกิเลส เขาไม่รู้สัจจะตรงนี้ แล้วสอนกันเต็มโลกเลย เราไม่ต้องพูดถึงศาสนาเทวนิยมเลย เขาทำกุศลได้บาปกันเต็มเลยในศาสนา เทวนิยม แม้ในพุทธก็เพี้ยนไปแล้ว ขออภัยที่เหมือนกวาดเขาทิ้งเลย

 

พระไตรฯล.16 ข.240 3.

ปุตตมังสสูตร
[240] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่าง เพื่อความดำรงอยู่ของสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิดอาหาร 4 อย่างนั้นคือ 1. กวฬีการาหาร หยาบบ้าง
ละเอียดบ้าง 2. ผัสสาหาร3. มโนสัญเจตนาหาร 4. วิญญาณาหาร
ภิกษุทั้งหลาย
 อาหาร 4 อย่างเหล่านี้แล เพื่อดำรงอยู่แห่งสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่
เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ

 

พ่อครูว่า...วิญญาณเป็นสามัญนามของพลังงานธาตุรู้ทั้งหมด แล้ววิญญาณแจกไปเป็น เวทนา สัญญา สังขาร(เจตนา ผัสสะ มนสิการ)

กวฬีการาหาร คืออาหารคำข้าวที่มีครบ ที่จะอยู่ประจำกับชีวิต ทิ้งไม่ได้ เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องกินอาหาร แล้วมันก็มีความสำคัญที่มีกิเลสซ้อนในนั้นเนียนลึก เพราะติดมาตั้งแต่เป็นเดรัจฉานเป็นสัตว์เซลล์เดียว นอกนั้นเครื่องอุปโภคบริโภค สัตว์มันไม่เกี่ยวไม่สะสมยึดเป็นเราเป็นของเรา แต่พอวิวัฒนาการจากสัตว์ขั้นต่ำมาเป็นมนุษย์ก็สะสมกิเลสมาหนาหนัก มาไม่รู้กี่ล้านๆชาติ มันจึงหนาหนัก มาเป็นสัตว์โลกคนแล้ว ต้องมายึดติดกับเรื่องภายนอก เช่นเสื้อผ้า ต้องประดิษฐ์ประดอย หลอกกันมากี่ล้านชาติแล้ว

พ่อครูว่า แม้ภิกษุสมณะก็ให้พิจาณาทุกคำข้าว เอามาท่องด้วยก่อนฉัน หรือแม้แต่ในปาติโมกข์มีมัตตัญญุตา จ ภัตตสมิง หรือในอปัณกปฏิปทา คือให้ลดละ อ่านกำจัดเจตนาที่เป็นกามสัตว์ เราก็กำจัดให้ถูกตัวมัน ก็ได้ผล โดยมีเจตนาเป็นวิภวตัณหา จะดับภพกาม ที่เราติดตัวนี้แหละ เช่นมะละกอ ฟักข้าว เป็นต้น ที่อยู่ข้างหน้านี้  มันต้องสัมพันธ์กันหมดในอาหาร 4 เมื่อเกี่ยวข้องกับเหตุปัจจัยคืออาหาร ซึ่งพระพุทธเจ้ามี  นิทานในกวฬีการาหาร

 

[241] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กวฬีการาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เหมือน
อย่างว่า ภรรยาสามี 2 คน ถือเอาสะเบียงเดินทางเล็กน้อย แล้วออกเดินไปสู่ทางกันดาร
เขาทั้งสองมีบุตรน้อยๆ น่ารักน่าพอใจอยู่คนหนึ่ง เมื่อขณะทั้งสองคนกำลังเดินไปในทางกันดาร
อยู่ สะเบียงเดินทางที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นได้หมดสิ้นไป แต่ทางกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขา
ทั้งสองยังข้ามพ้นไปไม่ได้ครั้งนั้น เขาทั้งสองคนคิดตกลงกันอย่างนี้ว่า สะเบียงเดินทางของ
เราทั้งสองอันใดแลมีอยู่เล็กน้อย สะเบียงเดินทางอันนั้นก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ทางกันดาร
นี้ยังเหลืออยู่ เรายังข้ามพ้นไปไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เราสองคนมาช่วยกันฆ่าบุตรน้อยๆ
คนเดียว ผู้น่ารัก น่าพอใจคนนี้เสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง เมื่อได้บริโภคเนื้อบุตร
จะได้พากันเดินข้ามพ้นทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น ถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้งสามคนต้องพากัน
พินาศหมดแน่ ครั้งนั้น ภรรยาสามีทั้งสองคนนั้น ก็ฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียวผู้น่ารัก น่าพอใจ
นั้นเสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็ม และเนื้อย่าง เมื่อบริโภคเนื้อบุตรเสร็จ ก็พากันเดินข้าม
ทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น เขาทั้งสองคนรับประทานเนื้อบุตรพลาง ค่อนอกพลางรำพันว่า
ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย
ดังนี้ เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นอย่างไร คือว่าเขาได้บริโภคเนื้อบุตรที่เป็นอาหารเพื่อ
ความคะนองหรือเพื่อความมัวเมา หรือเพื่อความตบแต่ง หรือเพื่อความประดับประดาร่างกายใช่ไหม
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า จึงตรัสต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น เขาพากันรับประทาน
เนื้อบุตรเป็นอาหารเพียงเพื่อข้ามพ้นทางกันดารใช่ไหม ใช่ พระเจ้าข้า พระองค์จึงตรัสว่า
ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า บุคคลควรเห็นกวฬีการาหารว่า [เปรียบด้วยเนื้อบุตร] ก็ฉันนั้น
เหมือนกันแล เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬีการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่ง
เกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์
อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ

 

พ่อครูว่า...เขาพากันไปล่า โลกธรรม กาม อัตตา คือทางไกลกันดารที่ไม่รู้ทิศทางไม่รู้เรื่อง ว่าเป็นทางทุกข์ทรมาน กันดารมาก กว่าจะรู้ทิศทางหันทิศทางมาปฏิบัติได้ถูกก็นานมาก ไปแล้วพร้อมกับมีอาหาร ที่พยายามจะเดินทางสู่นิพพาน แต่ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร แต่ก็หลงทิศทางไปโลกีย์อยู่นั่นแหละ นี่คือทางไกลกันดาร แล้วก็มีอาหารคือความพร่องของความอยากได้ที่ไม่มีวันเต็ม อัตราก้าวหน้าของความอยากนั้นระดับยกกำลังเลย ไม่ใช่แค่บวกหรือคูณเท่านั้น โกงกันระดับแสนล้าน ล้านล้านไปเลย อาตมาหวาดเสียว หากเขาโกงสำเร็จที่เขาตั้งงบฯไว้ 2.2ล้านๆ บาท ต่อไปเขาจะทำอีกกี่ล้านๆ อัตตาก้าวหน้าจะไม่ใช่แค่คูณ จะยกกำลังไปเรื่อยๆ  คำว่าเสบียงเล็กน้อยนี่คือความอยากที่ไม่เคยพอเลย เขามีอำนาจที่จะทำได้ มี 10เบี้ยใกล้มือ คือทำชั่วโกงได้ เหมือนฆ่าลูกเอาเป็นเสบียงไปกิน  เขาเดินทางไกลกันดาร พวกคุณนี่ออกมาได้อย่าไปเลยทางนั้น ซึ่งในพระไตรฯบอกว่าเขาเดินทางไกลหาทางออกไม่ได้ เพราะมันคนละทิศกับทางออกเลย ทางกันดารยังมีเหลืออยู่เพราะคนละทิศกับนิพพานเลย ฆ่าลูกได้คือเลวสุดเลวเลย

 

แล้วเสร็จแล้วเขาเอามาไว้เป็นเนื้อเค็มเนื้อย่าง เอามาเป็นสมบัติ เป็นเบี้ยต่อไส้ เพื่อจะได้สมบัติอื่นมาอีก เหมือนเขาได้กินเนื้อบุตร เพื่อจะได้เดินทางต่อ แล้วบอกว่าถ้าไม่กินเราจะต้องพินาศ ก็เหมือนว่าถ้าเราไม่โกงนี่เราจะพินาศนะ สุดเลวเลย

 

แล้วก็ทำจำไม่ได้ว่าได้โกงไป เหมือนจำไม่ได้ว่าได้กินเนื้อบุตรไป บอกว่าเราไม่ได้โกง เราเป็นตถตาแล้ว ลืมหมด แล้วว่าหาทางทำดีอีก ก็คือทำชั่วต่อไปอีก หน้ามืดตามัว เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นชั่วเป็นดี  เขาว่าดีก็จะเดินๆๆๆไป แต่ถึงนรกสุดทางเลย เขาไม่ได้ทำเพื่อโลกีย์เล็กๆ ไม่ได้เพื่อประดับตกแต่ง ไม่ได้เพื่อยังร่างกายเท่านั้น ไม่ได้เพื่อมัวเมาด้วย แต่เขาจะไปนิพพาน ที่สูงสุดที่เขาหมายนั้น แต่มันตรงกันข้ามกับโลกุตระ คือสุดโลกันตะ คือสุดยอดนรกเลวที่สุด เขาจะเดินทางไปถึงที่สุดให้ได้ แต่ตรงกันข้ามกับนิพพานเลย

 

อาหารคำข้าวคือกิเลสมันเหมือนกินเนื้อบุตร คนเขาจะยกกันว่าอาหารที่สุดยอดเลิศยอดต้องกินเหลากินหรู ให้ตนได้มีอำนาจที่สุดในโลก รวยที่สุดในโลก ทุกคนต้องซูฮกฉัน นี่คือความอยากใหญ่ของผู้เป็นมหาอำนาจในโลก นี่คือความต้องการของมนุษย์โลก คือทางสูงสุดที่จะไปแต่แท้จริงคือทางยากทางลำบากกันดาร ทุกวันนี้มหาอำนาจเขาต้องพยายามรักษาอำนาจของเขาให้ได้ แต่ว่ามันทำได้ยากนะ แต่คนก็แย่งกันเป็นในโลกนี้นี่คือทางกันดารที่สุด

 

สรุปว่า อาหารกวฬีการาหาร เต็มไปด้วยผีกาม และผีชั้นหนึ่งชั้นยอด ผีเทวบุตรมารด้วย นอกจากตนเองไม่รู้จักเทวบุตรมาร ตนเองก็เป็นเทวบุตรมารด้วย แล้วแถม แพร่พันธุ์เทวบุตรมารไปเท่าไหร่ หลอกคนทั่วโลกว่าฉันเลิศยอดยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว...ใครจะไปก็ไปนะ ใครจะเอาก็เอานะ อาตมาพอแล้ว

 

จริงๆแล้วอาตมาผ่านมากี่ชาติต่อกี่ชาติ อาตมาเคยเป็นพระเจ้าแผ่นดินระดับไหน เจ้ามหาอำนาจระดับไหน อาตมาไม่สามารถรู้ได้ แต่อาตมาเชื่อว่าอาตมาเคยผ่านมา แม้อาตมาจะระลึกชาติได้ว่าได้เคยเป็นอย่างนั้นมาได้ อาตมาก็ไม่ปรารถนาจะไปเป็นเช่นนั้นแน่นอน ในบัดนี้เลย ไม่เอา ถ้าอาตมาจะพูดอีกเป็นเรื่องเล่น คือให้อาตมาไปเป็นนายกฯตนนี้ไม่เอา เพราะเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ อาตมาเป็นโพธิรักษ์อย่างนี้ จะยากหรือง่ายอาตมาสบายกว่า พล.อ.ประยุทธ์ หรือปูยิ่งลักษณ์หรือทักษิณเยอะเลย นอกจากสบายแล้วอาตมายังได้เสียสละ ไม่ได้พูดเล่นนะ แล้วพวกเราจะมาเอาไหมความเสียสละ มันไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เลิศยอดกว่าอันนี้แล้ว

 

ในกวฬีการาหารต้องเรียนรู้กามคุณ ไม่อย่างนั้นคุณก็งมงาย ได้เบี้ยสอดไส้คุณเอากิเลสเป็นพลังงานในการเดินทาง แล้วเอาไปต่อเลวร้ายฆ่าลูกแล้วก็ยังงมงายว่าลูกฉันไปไหน แล้วกินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้องเอง แล้วก็บอกว่าไม่ได้กิน คือมันมืดมัวไม่รู้อะไรเสียเลย แย่จริงๆ มนุษย์

 

กามนี่คือความใคร่อยาก ตั้งแต่อยากอบายมุข แม้ล้างอบายมุข ก็ยังอยากในกามภพ แม้ล้างกามภพ ก็อยากในรูปราคะ แม้ล้างรูปราคะได้ก็ยังอยากในอรูปราคะได้ จนกว่าจะหมดภพ ล้างเหตุที่มีความอยากบำเรออัตตา ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียดให้หมดภพ หมดชาติ อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะกามภพ รูปภพ อรูปภพ ไล่ถึงอากิญจัญฯ ทั้งอากาสาฯ วิญญานัญจาฯ แล้วรู้เศษที่เหลือธุลีละอองของอรูป จิตว่าง อากาโสวิญญานัญติ อ่านวิญญาณให้สะอาด มี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา อุเบกขาก้าวหน้าไปเรื่อยๆ อยู่ในโลกทำงานได้เหมาะควร อนุโลมได้ดีขึ้น ช่วยโลกได้ดีขึ้น เป็นคนดีมีประสิทธิภาพ มีกำลังของอุเบกขาสูง นี่คือหลักสูตรของพระพุทธเจ้า เรียนเลย อาตมาจะเรียนให้จบเพื่อกอบกู้โลก ตอนนี้เราก็กอบกู้โลกน้อยๆก่อน

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

_ ตุ๊กทะเลธรรมถามว่า potential คืออะไรกันแน่ ความสามารถซ่อนเร้นเป็นอย่างไร?

ตอบ...คำว่า potential แปลว่าสิ่งแฝงยังไม่เอาออกมาทำงาน เป็นพลังงานศักย์หยุดนิ่ง ไม่ได้หมายถึงว่าไม่มี เป็นแต่เพียงไม่ได้เอาออกมาทำงาน แล้วที่บอกว่าดึงออกมาใช้ วิธีของพระพุทธเจ้านี่คือวิธีดึงเอาพลังงานศักย์ไปใช้ โดยทำตามลำดับเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย potential เหมือนจิตไร้สำนึก เป็นอาสวะทำงานแตกตัวภายใน เราไม่รู้ได้ แต่เขาเอาไปอธิบายแบบโลกีย์ ว่าคือพลังงานเก่งวิเศษมันเป็นได้สำหรับคนมีของเก่า ฝึกมาอย่างชำนาญ หากคุณดึงเอาสิ่งที่คุณเคยมีทำงานได้ในชาตินี้ก็ได้ เพราะแต่ละได้ได้ฝึกฝนโลกีย์ เก่งทางด้านไหนๆ ก็เรียกว่าเป็นพรสวรรค์ talent มันมีในนั้นหากเอาออกมาใช้ได้ ก็ได้จริงๆ แต่มันไม่ง่ายมันยาก บางคนทำได้ บางคนมีออกมาจนล้นเลย เป็นสิ่งที่เกินมันมีมาเก่าไม่ต้องฝึกยาก นี่คือสิ่งที่เรียกว่าวิบาก เป็นกุศลหรืออกุศล บางคนทำชั่วได้เก่งมากเลย สุดท้ายต้องถูกประหารชีวิตจนได้ เป็นต้น ก็มีได้ทั้งกุศลและอกุศล ของพระพุทธเจ้านั้นสั่งสมโลกุตระไม่ได้แค่โลกียะ พระพุทธเจ้าจบทั้ง 18 วิชาในตักศิลาท่านได้เกียรตินิยมหมด ท่านผ่านมาไม่รู้กี่ชาติ มี potential หมด แต่พร้อมทั้งโลกุตระท่านก็มี แต่ถ้าคุณไม่สะสมโลกุตะเลยคุณก็ไม่มี คุณต้องสะสมจึงมีได้ แต่ละชาติที่สะสม ก็มีวาระที่จะเอาออกมาใช้ อย่างพระพุทธเจ้ามีพุทธุปาทกาละแล้วแต่ท่านก็ต้องใช้เวลากว่าจะตรัสรู้

 

แต่ละคนหากจะค้นอดีตมาก็เยอะมาก แม้จะไม่เหมือนกันทุกแขนง แต่ก็เป็นความรู้โลกีย์ที่มีคุณค่าก็เยอะ แต่ที่เป็นความรู้เหลวไหลก็มากเยอะ เราก็เลิกมาแล้ว จนเป็นกัลยาณชน แล้วมาเป็นโลกุตรชนก็สะสมพลังงานไป จนสักวันก็ดึงเอามาใช้ได้ ที่ว่าอยากจะเป็นนักเขียน เป็นนักโน่นนักนี่ก็เป็นได้หากเป็นสุจริต แต่ก็วนเวียน สมบัติผลัดกันชม คุณเก่งอันนี้ก็มีคนมาเก่ง แล้วก็แย่งกันเก่งไม่รู้กี่ชาติ มาโลกุตระดีกว่าไม่ต้องแย่งกับใคร ปลอดภัย แน่นอน สามารถเอามาใช้ได้เป็นพลังงานจลน์ ไม่ใช่แค่พลังงานศักย์

 

_อาหารนั้นเราต้องตัดคือรสติดยึดในอาหารที่เราไปกำหนดเอาเองทั้งนั้น สัญญา ย นิจจานิ ไว้ทั้งนั้น ไม่ยอมคลายไม่ยอมวางเสียที ไปติดยึดทำไม? เช่นเราติดอันนี้แล้วเราก็สัญญา กำหนดไว้ ว่าอร่อย ติดใจไว้ สั่งสมมาไม่รู้กี่ชาติ แต่ชาตินี้มาล้าง แต่กินทีไรมันก็อร่อยจะล้างได้อย่างไร ? เราก็ต้องพยายามไป พิจารณาให้เห็นว่าเพราะเราไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันอร่อยจริงๆ ต้องหาวิธีล้าง อาตมามีวิธี

คุณอร่อยอันนี้นะ คุณกิน กินแล้วคายออกมา กินเคี้ยวให้พอสมควร แล้วคายออกมาเป็นก้อนแหยะๆคายออกมาแล้วกินใหม่คุณจะรู้ว่าก็ที่คุณชอบนี่แหละคุณก็เคี้ยวอันเดียวกัน คุณไปติดรูป ก็เอาทำลายรูป คุณก็กินไปใหม่คุณจะจางคลายไปเรื่อยๆ เคี้ยวจนมันกลายเป็นรากหมาแล้ว อ้วกหมาแล้ว ก็ลองทำดู จะรู้ว่าอาหารที่เราว่าอร่อยนี่ พอผสมเสลดน้ำลาย มาดูรูปสิดูว่ามันจะอร่อยอยู่ไหม?

 

_เวลาเราเจอผัสสะ เราจะใช้บทใดมาทำใจ คือว่า ถ้าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วจะมีสภาวะอย่างไร? เช่นถ้าติดข้าวเหนียวนี่จะทำอย่างไร?

ตอบ...สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คำว่ากายนี้ เป็นอย่างไร? คือหมายถึงองค์รวม ก็คือวิโมกข์ทั้ง 8 ข้อนี้แหละ ต้องเรียนไปตามลำดับตั้งแต่ข้อที่ 1 จนถึงสุดท้ายเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

1.รูปีรูปานิปัสสติ คุณต้องมีรูป คุณต้องรู้รูป แล้วก็หมายความว่าต้องเห็นอย่างมีผัสสะนะ ปัสสติ เช่นตากระทบรูปหรือมีการกระทบสัมผัส หูกระทบเสียง เป็นต้น นี่คือปัสสติ 

2.อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทารูปนานิปัสสติ

คือรู้ภายใน จนถึงรูป ถึงอรูป แม้ภายนอก กามาวจร ก็รู้หมด ต้องรู้อย่างปัสสติเหมือนกัน

3.สุภันเตวอธิมุตโตโหติ ข้อนี้ทำได้เป็นผลแล้ว เกิดแล้วมีแล้ว ได้สิ่งที่ดีแล้ว โหติแล้ว ได้สิ่งน่าพึงใจ ตามที่มีทิฏฐิ เรียกว่างามหรือดีน่าพึงใจ

4.อากาสนัญจายตนะ

5.วิญญานัญจายตนะ

6.อากิญจัญญายตนะ

7.เนวสัญญานาสัญญายตนะ

8.สัญญาเวทยิตนิโรธ

 

เมื่อทำได้ถึงขีดขั้นก็สัมโพธิปรายนะ ไม่มีทางถอย จนวิโมกข์ได้ผลถึงอรหัตตผล 

ต้องเข้าใจว่าเป็นการสัมผัสภายนอกหรือภายในกับธาตุรู้ของคุณ ต้องมีสองเสมอจึงเกิดวิญญาณ ไม่มีเหตุปัจจัยไม่เกิดวิญญาณ จนแม้แต่เหลือภายใน มนายตนะกับธรรมายตนะ เป็นอรูปฌานแล้ว จิตเฉยว่างวางเฉยแล้ว ก็ดูความจางความว่างให้เบาบาง อากาสาฯอีก แล้วที่เกิดอาการว่าง จิตเราลดละไปได้ก็มีองค์ประชุมที่เป็นกาย มีรูปนามเหตุปัจจัยเดิมอยู่แต่จิตเราได้แล้วไม่ติดแล้ว เช่นเราเคยติดรสอร่อยอยู่เราก็เรียนรู้อ่านอาการติดยึดในขณะผัสสะเห็นของจริง ถ้าไม่มีผัสสะก็ดึงเอาแค่ความจำประสพการณ์มาปรุงเหมือนเคี้ยวเอื้อง เอามาเรียนได้แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องสดเป็นเรื่องแห้ง คิดได้ล้างได้อย่างนั้นพอเจอเรื่องสดมันจัดกว่าจริงแท้กว่ามันสู้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าเลยว่าเอาที่สู้กันสดๆดีกว่า เอาตั้งแต่แบบง่ายๆหยาบก่อนแล้วก็ล้างแบบละเอียด มีการลงบัญชีบ้าง เตวิชโชว่าเราได้เท่าไหร่ ทำอย่างไร แก้ไขอย่างไรก็พยายามพากเพียรเอาใจใส่  เรียนรู้จิตเจตสิก รูปนิพพาน ลดละปฏิบัติจริงจะเห็นว่ากิเลสถูกกำจัดด้วยปัญญาจะเห็นว่าจริงหรือไม่ มันไม่ใช่ของจริง เป็นเหตุปัจจัยผสมกันอยู่ที่จริงมันไม่มีเลย

 

เช่นฟักข้าวนี้ เราติดมัน แล้วพอเราได้กินฟักข้าวนี้ วันหลังได้ลูกใหม่มามันก็ไม่ใช่ของเก่า รูป รส กลิ่นมันอาจคล้ายของเก่าแต่ไม่เหมือนไม่ใช่หมดหรอก เปลี่ยนไป แต่เรายึดว่าต้องได้อย่างเก่า มันไม่มีอะไรเก่าหรอก มันมีอันเดียว หมดอันนั้นก็หมดเลย นี่คือนัยละเอียด หากคุณมีไฟปัญญา ไฟฌานจริง มันล้างความโง่ความผิดทำให้ถึงคุณจะรู้ว่ามันจางคลายได้จะเชื่อมั่นในพลังปัญญา เห็นจริงเชื่อมั่นมีอินทรีย์พละ ในขณะที่ปฏิบัติมีองค์ประชุมเช่นเดิม ติดข้าวเหนียวเราก็ยุดกิน กินแต่ข้าวสวยจะตายไหม กินข้าวกล้องรับรองไม่ตาย ดีไม่ดีจะดีกว่าข้าวเหนียวด้วย

_ใจดิน..


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:25:39 )

571221

รายละเอียด

571221_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ส.ฟ้าไท พ่อครูฯ ผัสสาหารและมโนสัญเจตนาหาร

.ฟ้าไท ว่า...เกริ่นนำถึงงานว.บบบ.ที่ใกล้จะมาถึงในปลายปีนี้และต้นปีหน้า เราจะมาสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายได้หรือไม่? ก็มากัน จะได้เข็มหรือไม่ก็น่ามานะ วันนี้พ่อครูก็คงจะมาตอบปัญหาที่เขาถามมาทางอินเทอร์เน็ต

 

พ่อครูว่า...ก่อนอื่นจะได้ตอบประเด็นที่ว่า กราบนมัสการ ครับ

พระใหม่ พรรษาน้อย ที่เพิ่งมาพบคำแปลพระวินัย 227 ข้อ เป็นภาษาไทย   จึงตั้งคำถาม เป็นคำถาม จาก ปาจิตตีย์ มีทั้งหมด 92 ข้อ ว่า

              เกล้ากระผม สงสัย ในปาจิตตีย์ ข้อ... 64. ที่ว่า... ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น

เกล้ากระผมเข้าใจว่า...  การที่เราเป็นภิกษุปฏิบัติตนดี อยู่ในศีล ในธรรม ในวินัย ณ อารามแห่งหนึ่งเป็นปกติ  ทว่า...ต่อมา มีภิกษุอารามเดียวกัน ทำผิด โดย...ที่เราไม่ได้ขวนขวายไปอยากรู้กรรมคนอื่น แต่ เขาทำผิดศีลของเขา แล้ว ไฉน เราผู้มารู้เรื่องราว จึงต้องมีความผิดด้วยปาจิตตีย์ไปด้วยล่ะครับ หากไม่บอก...

 

          ตามความหมาย อาบัติ ข้อ 64 เกล้ากระผมเข้าใจถูก หรือ ผิด ครับ

อาบัติชั่วหยาบ ที่ว่านั้น จากระดับไหน ขอรับ ?แล้ว หากจะต้องบอก เกล้ากระผม จะบอกกับใครดี ?

หรือสมมุตพระภิกษุ ในอารามที่เราจะเอ่ยปากบอกเพื่อเรานั้นจะได้ไม่บกพร่องในวินัยข้อนี้ เขาต่างก็มีผิดศีลเป็นปกติ เช่นเดียวกันกับผู้ผิด แล้วเราจะทำอย่างไร ?

 

พ่อครูว่า...สังคมทุกสังคมควรต้องเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้หมด ประเด็นคือว่าถ้าเราไปรู้อาบัติหยาบของภิกษุที่อยู่ร่วมกัน แล้วถ้าเราไม่บอกปกปิดไว้ จะผิดปาจิตตีย์ .เพราะถ้าขืนปกปิดอาบัติหยาบของเพื่อนไว้ก็จะหมัก หมม เน่าใน ผู้ปกปิดก็จะไม่คลายใจ อย่างเช่นสังฆาทิเสส เป็นอาบัติหนัก ถ้าผู้ใดผิดแล้วไม่เปิดเผย ไม่ปลงอาบัติ ทำให้เรียบร้อยจะค้างชาติไปเป็นชาติๆไป จะเป็นเวรภัยต่อเรา แม้ในชาตินี้คุณบวชเป็นพระแต่ทำสังฆาทิเสส แต่ไม่ปลงอาบัติ แต่แล้วสึกออกไป คุณก็คาอยู่เช่นนั้น ถ้ากลับมาบวชอีก คุณต้องอยู่กรรมที่ทำไว้ ในข้อที่ผิดตั้งแต่บวชเดิม เรียกว่าข้ามชาติเลย ที่ติดหนี้ไว้

 

ถ้าเปิดเผยแล้ว ตอนก่อนเปิดเผยจะยากทุกข์ แต่พอเปิดเผยแล้วจะเบาสบาย การปกปิดความผิดของตนนั้นทุกข์มหาศาล ถ้าเปิดเผยไปแล้วก็จบ จะบอกคนเดียวหรือบอกหมู่ก็ได้ทั้งนั้น แล้วผู้ที่รู้อาบัติของเพื่อน แล้วไม่บอกต่อสังคม คนที่ปกปิดไว้ก็ต้องอาบัติอีก ก็ต้องเปิดเผยแจ้งแก่สงฆ์ก็จะได้จัดการวินิจฉัยทำตามหลักเกณฑ์ จะลงโทษหรือไม่ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย เสร็จจบก็สบาย ไม่มีอะไรค้างติดข้ามชาติไป นี่คือผู้รู้คุรุกรรม ตั้งแต่สังฆาทิเสสเป็นต้นไป ก็ต้องแจ้งต่อหมู่

 

แล้วมีรายละเอียดอีกว่า อาบัติหนักนี่ไปเปิดเผยนอกหมู่ก็ไม่ได้ ปรับอาบัติคนเปิดเผยปาจิตตีย์อีก ไม่เปิดเผยในหมู่ก็เสียหาย ไปเปิดเผยนอกหมู่ก็เสียหาย ฟังไว้นะพวกเรานี่สิ่งที่ไม่มีความผิดต้องสังวรให้ดี เพราะอย่างน้อยทำให้คนอื่นลดศรัทธา เอากรรมไม่ดีไปบอกเขา เพราะคนอื่นเขาไม่เกี่ยว เขาอยู่วงนอกเขายังศรัทธาอยู่ เขาไม่ได้มารู้รายละเอียดก็ยังไม่ควรให้รู้

 

ขยายไปถึงประเทศ ก็ต้องให้ผู้ที่สูงมีคุณวุฒิ มีความไม่ลำเอียง มีความรู้สูงก็ต้องให้ท่านได้รับรู้ จะได้จัดการชำระสังคมให้ดีขึ้นได้ เหมือนอย่างเรื่องเน่าเหม็นในประเทศจะเอาไปบอกต่างประเทศได้ไหม? เรื่องในครอบครัวจะไปบอกนอกครอบครัวก็ไม่ควร อย่างนี้เป็นสังคมศาสตร์ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้

 

สรุปแล้วต้องบอกแก่หมู่สงฆ์ 1.แจ้งกลางที่ประชุมสงฆ์ในสภา 2.บอกแก่บุคคลที่เรานับถือที่เราเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่จัดการได้ บางอย่างไม่ควรบอกสงฆ์ บอกเฉพาะผู้ใหญ่ที่ควรบอกก็เท่านั้นก็มีที่เราจะพิจารณา ถ้าไม่เช่นนั้น บอกแก่สงฆ์ก็จะไม่เหมาะ ก็บอกผู้ใหญ่ที่จะวินิจฉัยได้ และก็ถ้าบอกไปนอกหมู่ก็จะเกิดความเสียหายได้อีก

 

.ฟ้าไทว่า...ก็ต้องบอกเพื่อให้ช่วยเพื่อนที่ทำผิดได้แก้ไขด้วย

 

พ่อครูว่า...มีคำถามของพล...มินทร์ ก็ถามมา ถ้าเกิดชาติหน้ากระผมอยากมีร่างกายเป็นเทวดาครึ่งหนึ่ง เปรตครึ่งหนึ่งจะต้องทำอย่างไร?

ตอบ...เทวดาคืออะไร? เปรตคืออะไร? เทวดาคือดี เปรตคือเลว หมายถึงจิตวิญญาณ ไม่ต้องเอาชาติหน้า เอาปัจจุบันนี้เลย คุณอยากเอาร่างกายที่มีกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญาและใจนี่แหละ ส่วนร่างนี้จะเป็นเปรต เทวดาไม่ได้หรอก มันต้องเอาที่จิตวิญญาณ จะเป็นเทวดาหรือเปรตก็ทำเอา ทำไมจะต้องเอาอย่างละครึ่ง เป็นเทวดาหมดไม่ดีกว่าเปรตหรือ เป็นไปทำไมเปรต เราต้องศึกษาจิตที่เจริญ ให้ดีก็ต้องเจริญแบบโลกุตระ จิตหลุดพ้นหมดกิเลสได้จะเจริญสูงสุดเป็นปรมัตถสัจจะ

 

 

พ่อครูว่า....มาเข้าสู่ปุตตมังสสูตร ล.16 ข.240

ในกวฬีการาหาร นั้นหนักไปทางอาหารคือคำข้าว ที่เขากินหลงติดอร่อย ติดหรู ในอาหาร ท่านก็เน้นไปที่การติดในกามคุณ 5 เป็นสิ่งมัดรัดรึงชีวิตไหว้หนาแน่นมาก พระพุทธเจ้าสร้างนิทานที่ซับซ้อนมาก อาตมาอธิบายตามภูมิตน

 

คำว่า บริโภคกามคุณ 5 หมายถึงเอามาเป็นของตนเชิงโลภ หรือเอามาเสพรสเป็นราคะ แม้เป็นอุปาทายรูปก็ยึดได้ ไม่ต้องเป็นข้าวของเครื่องใช้ก็ตาม เช่นคุณได้สัมผัสแหวนเพชรก็ชื่นใจแล้วสมราคะ ยิ่งได้มาเป็นของตนก็ยิ่งสมโลภ ก็คือมีความใคร่อยากแล้วได้สมใจอยากก็เป็นสุข แล้วก็พักยก หรือยกมาจำได้อีก สัญญานำขึ้นมาคิดอีก  แต่ไม่ได้ตลอดหรอก มันค่อยปล่อยวางลืมเลือน สุดท้ายก็ไม่สนใจ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรมา

 

การบริโภคกามคุณ 5 ไม่ได้หมายถึงแค่คำข้าว แต่มีอุปโภคด้วย เช่นการโกงโครงการพันล้านแสนล้าน หรือทำธุกิจโกง มากมายนี่ก็คือการบริโภคกามคุณ ผู้บริหารบ้านเมืองยุคนี้ควรจัดการการทุจิริตคดโกงได้ ไม่ช่วยกันปกปิดไว้ มันจะค้างคาไว้ไปไม่รู้กี่ชาติ

 

พ่อแม่มีลูกแล้วฆ่าลูกกิน เขาเดินทางไกลกันดาร ว่าจะไปเอานิพพาน แต่นิพพานเป็นเช่นไรเขายังไม่รู้เลย แต่ก็เดินไปทางไกลกันดาร หลงว่าลาภ ยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นนิพพาน มันลำบากเพราะต้องแย่งชิงฆ่ากันตายแย่งชิงกันไปไม่รู้กี่ชาตินี่คือทางทุรกันดาร แล้วก็ไปโง่อยู่ เขาว่ายอดสุดนะ แต่แท้จริงไม่ได้คลายจากการแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คุณไม่รู้ว่าต้องลดละจางคลายจนกว่าจะหมดตามฐานะ คุณไม่ได้ทำเลย ยังตั้งหน้าตั้งตาเดินอยู่นั่นแหละ แล้วพยายามหาเสบียงไป แม้ที่สุดลูกแท้ๆ คุณยังฆ่าได้ ทำมหิตได้ เพื่อให้ได้ผลอันนี้แก่ตนเอง ฆ่าแล้วก็ลืมเลย กินไปแล้วว่าลูกเราไปไหนนี่สุดยอดอัลไซเมอร์เลย กินลูกก็ไม่รู้ อาหารอุปโภค บริโภค ได้มาก็เพ่ิมกิเลสได้ ถ้าเป็นบริโภคก็เสพราคะ แต่ถ้าเป็นอุปโภค เป็นดิน น้ำ ลมไฟ เราก็สัมผัสก็เป็นรส ถ้าได้เป็นของเราก็ได้สมโลภ ใครมัวเมาตกแต่ง สร้างรูปวิมาน หอบหวงไว้อยู่ในมหาภูตรูปต่างๆ ก็หนักหนาสาหัส ยึดเป็นเราเป็นของเราอยู่เช่นนี้ ืถ้าได้สมใจก็เป็นราคะ โลภะ ไม่ได้สมใจก็เป็นโทสะ วนเวียนเช่นนี้ไปตลอด

 

[242] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผัสสาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า แม่โคนม
ที่ไม่มีหนังหุ้ม ถ้ายืนพิงฝาอยู่ก็จะถูกพวกตัวสัตว์อาศัยฝาเจาะกิน ถ้ายืนพิงต้นไม้อยู่ ก็จะถูก
พวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน หากลงไปยืนแช่น้ำอยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ที่อาศัยน้ำตอดและ
กัดกิน ถ้ายืนอาศัยอยู่ในที่ว่าง ก็จะถูกมวลสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะกัดและจิกกิน เป็น
อันว่าแม่โคนมตัวนั้นที่ไร้หนังหุ้มจะไปอาศัยอยู่ในสถานที่ใดๆ ก็ถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ใน
สถานที่นั้นๆ กัดกินอยู่ร่ำไปข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็นผัสสาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อ
อริยสาวกกำหนดรู้ผัสสาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้
เวทนาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

 

พ่อครูว่า...ต้องสัมผัสจากตาหูจมูกลิ้นกาย ในปัจจุบันนี่แหละคือความจริง นอกนั้นเป็นเพียงความจำเท่านั้น ความจำคือเหตุปัจจัย หากคุณจำ เรียกว่า สัญญา หากคุณทำความไม่เที่ยงในสัญญา คุณจะเลิกเมื่อไหร่ละลายมันเมื่อไหรก็ได้ มีมุทุภูตธาตุ จะให้ไม่มีตัวตนเมื่อไหร่ก็ได้นี่คือสัจจะของอมตบุคคล ทำี่พลังงานจิต ธาตุจิตได้

 

ในผัสสาหาร ถ้าคุณจะต้องมีชีวิตก็ต้องมีผัสสะ แต่ถ้าไม่มีอะไรป้องกันเลย การทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบากก็มีสัมผัสอยู่ เย็นร้อนอ่อนแข็ง กระทบแล้วคุณทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ที่ต้องทนเพราะเราต้องทำ กิจการงานมีคุณค่าประโยชน์สำหรับผู้ที่มี ถ้าโลกนี้มีแต่อาตมาคนเดียว มีแต่พืช อาตมาก็จะอยู่เป็นประโยชน์ต่อพืช จะอยู่กับอะไรก็มีประโยชน์ต่ออันนั้น

 

ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีรูป แม้มีจิตวิญญาณไม่มีผัสสะก็ไม่มีรูป แม้จะปั้นเอาเองฝันเองเองก็มีได้ ปะติดปะต่อเอง ก็ได้เนรมิตเองก็ได้ อันนั้นเป็นแค่สัญญา ถ้ามีแต่ผัสสะไม่มีความจริง มีแต่ความจำ จะสร้างเล่นๆอย่างไรก็ได้ คิดเอานึกเอาได้หมด ถ้าไม่สัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย พระพุทธเจ้าไม่ตัดสินให้เป็นอรหันต์ได้ ความจริงจึงอยู่ที่ผัสสะ จากความจริง จึงมาเป็นความจำ ผู้เป็นอรหันต์แล้วท่านจะเอาความจำมาเป็นความจริงท่านก็เอาออกมาภายนอก แต่ถ้าท่านไม่เอามาใช้ท่านก็ไม่ยึด แต่ถ้าจะอนุโลมยึด ก็สักแต่ว่ายึด เป็นคนจริงในปัจจุบันธรรม แต่อยู่ในจิตไม่จริง เอาออกมาภายนอกจึงจริง

 

.ฟ้าไทว่าผมดูพ่อครูดูเหมือนจริงจังมากเลย แต่พอผ่านไปแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรเลย ...เมื่อกี้พูดเรื่องหนึ่ง จริงจังมาก แต่ว่าพูดอีกเรื่องก็เหมือนไม่มีเมื่อกี้นี้เลย

 

พ่อครูว่า...ถ้าไม่มีผัสสะก็มีแต่ความจำไม่มีความจริง อย่างคุณตายแล้วมีแต่จิตกับวิบาก คนก็หลงความจริงแท้จริงอยู่กับวิบาก คนมิจฉาก็หลงความจำเป็นความจริง เขาก็หลงอยู่กับ สัญญา ย นิจจานิ ของเขา ถ้าคุณสามารถทำความจริงของปัจจุบันชัดเจนเลยว่าไม่จริง พอไปในความจำก็จะยิ่งง่ายในการรู้ว่าไม่จริง ต้องอาศัยเท่านั้นไม่ไปอาลัย อะไรเป็นสัจจะก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ให้มีหรือไม่มีก็ได้

 

ผัสสะกับอะไรก็เอาเข้าหมด ชอบไม่ชอบ ก็เอาเข้ามาหมด เหมือนโคไม่มีหนังก็รับหมด เหมือนถังขยะที่มีแต่ของเสียของทิ้งมาลง แต่คนไปหลงว่าน่าได้น่าเป็น

 

ถ้าไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือความจำ ก็จะหลงความจำเป็นความจริง ตอนเป็นๆนี่คุณอยู่กับความจริงมากหรือความจำมากกว่า .ก็ความจำ .เมื่อใดเรามองออกไปข้างนอก กำหนดสัมปชัญญะรู้นอก ก็ความจริงอยู่กับเรามาก แต่เมื่อใดเราอยู่กับภายในมากก็อยู่กับความจำมาก แต่ถ้าคุณจริงกับมันมากก็ทุกข์ แต่ถ้าสักแต่ว่าอาศัยทั้งความจำและความจริง ก็ไม่ทุกข์มาก ก็ต้องสักแต่ว่าอาศัย แต่ไม่อาลัยในความจำและความจริง

 

.ฟ้าไทว่า...คนที่อยู่แต่กับความจำมากกว่าความจริงก็ใกล้บ้า

 

พ่อครูว่า...ต้องอยู่กับทั้งความจำและความจริง เอาไว้อาศัยไม่อาลัย แจกแจงความจำกับความจริงให้ชัด เสร็จแล้วทั้งความจำและความจริงก็ไม่มี เพราะสัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น

 

.ฟ้าไทว่า...ตอนเรามีกิเลสก็ดูเหมือนเป็นจริง แต่พอพ้นไปแล้วก็เหมือนไม่จริง

 

พ่อครูว่า..ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกัน ผัสสะอะไรมาก็ทุกข์สุข แต่ว่าถ้ามีภูมิคุ้มกันก็ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ไม่ต้องทนอยู่กับผัสสะได้ ก็ต้องทำพลังงานของเราให้เป็นพลังงานทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก แม้แรงเราก็รับแรงนี้ได้เพื่อประโยชน์ผู้อื่น ไม่ใช่ว่ารับแรงได้เพื่อประโยชน์ตนนะ เพราะชีวิตนี้เพื่อผู้อื่น มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น

 

มาถึง [243] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มโนสัญเจตนาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า
มีหลุมถ่านเพลิงอยู่แห่งหนึ่ง ลึกมากกว่าชั่วบุรุษ เต็มไปด้วยถ่านเพลิง ไม่มีเปลว ไม่มีควัน
ครั้งนั้นมีบุรุษคนหนึ่งอยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากตายรักสุข เกลียดทุกข์เดินมา บุรุษสองคนมี
กำลังจับเขาที่แขนข้างละคนคร่าไปสู่หลุมถ่านเพลิง ทันใดนั้นเอง เขามีเจตนาปรารถนาตั้งใจ
อยากจะให้ไกลจากหลุมถ่านเพลิง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขารู้ว่า ถ้าเขาจักตกหลุมถ่านเพลิง
นี้ ก็จักต้องตายหรือถึงทุกข์แทบตาย ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็นมโนสัญเจตนาหาร ฉันนั้น
เหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดมโนสัญเจตนาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้
แล้ว เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้
ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ
(พ่อครูว่า...หมายความว่าต้องปฏิบัติเพ่ิมอีกในกุศล ไม่สันโดษในกุศล)

 

พ่อครูว่า....ถ้าผู้ใดรู้มโนสัญเจตนาหารก็มีผัสสะ 3 จะเกิดเวทนา 3 จะเกิดตัณหา 3 ตามมา คือกาม_ภว_วิภวตัณหา เมื่อเราไปติดเวทนาสุข เราก็ต้องมีตัณหาไม่กามก็ภพ ไม่อยู่ข้างนอกเป็นกามตัณหาก็อยู่กับภพ ไม่อยู่กับความจริงก็อยู่กับความจำ แต่เราต้องมีวิภวตัณหาที่ไม่เอาทั้งภพนอกภพใน จะทำอย่างไรล้างภพ ก็ต้องล้างไปตามลำดับ หมดสิ้นอรูปภพ ให้กำหนดรู้เคล้าเคลียอารมณ์ ทำเวทนา 108 จนเที่ยงสูญ ทั้ง 3 กาละ สุดยอด อะไรสุดยอดก็คือความไม่มีนี่ นโหติ

 

จะเจตนาก็จงเจตนาวิภวตัณหา แล้วจะหมดภพหมดชาติได้ต้องเข้าสู่ปฏิจจสมุปบาท จะล้างภพชาติได้ เพราะล้างตัณหาอุปาทาน ที่จะมีจริงได้ต้องมีผัสสะ หากไม่มีผัสสะก็เรียนไม่จริง คุณต้องมีผัสสะ วิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

อนาคามีเหลือแต่กิเลสในภพ แต่ก็อยู่กับชีวิตประจำวันอยู่กับกามาวจร แต่ก็ต้องล้างกิเลสในรูปภพ อรูปภพ จนไม่มีภพเลย เป็นวิภวภพสมบูรณ์ อย่างเที่ยงแท้แน่นอน กระทบอย่างไรก็ไม่เกิดกิเลส อุเบกขาตลอด อเนญชาไม่หวั่นไหว

 

เจตนา 3 ก็ต้องรู้ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ทุกวันนี้เขาแยกตัณหา 3 ไม่ได้ วิภวตัณหาเป็นตัณหาล้างกามล้างภพ แต่ถ้าไม่มีตัณหาเลย อยู่เฉยๆ มีตัณหาไม่ได้แล้วจะไปนิพพานได้อย่างไร ? การยึดอย่างโง่ๆ ก็ยึดอย่างอุปาทาน แต่ถ้ายึดอย่างสมาทานก็เป็นการยึดของอาริยะ จนกว่าจะสลายความติดยึดได้หมดสูญ

 

เป็นพระพุทธเจ้าแล้วช่วยโลกได้ไม่เป็นภัยต่อโลกแล้ว อย่างอรหันต์ก็เช่นกัน พระพุทธเจ้าช่วยโลกได้มากที่สุด แต่ปรินิพพานได้ แยกธาตุจิตวิญญาณได้ จึงไม่มีอะไรเหลือเลยได้

 

ไม่เช่นนั้น คุณก็ไม่อยากตกหลุมถ่านเพลิง แต่ถ้ามีภูมิคุ้มกัน ไม่มีตัวตนแล้ว ใครจะมาจับแขนไม่ได้หรอก หรือหลุมถ่านเพลิงก็ทำอะไรไม่ได้ เป็นผู้มีแต่ไม่มี เป็นผู้ไม่มีแต่มี

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความ

มี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ

ไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ

มีในโลก ย่อมไม่มี

 

 

[244] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวก
เจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้
ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมี
พระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มใน
เวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า ต่อมาเป็น
เวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้น
เป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแส
รับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน
ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษ
คนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมี
พระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่ม
ในเวลาเย็นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น ภิกษุ
ทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอก
ร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น
มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวย
ความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหาร
อยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน
 เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมา
กำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ
จบสูตรที่ 3

 

 

พ่อครูว่า..ต้องอ่านวิญญาณ ออก ทั้งนอกและใน รู้รูปนาม อ่านออก แล้วรู้ว่ามีวิญญาณสัตว์ แล้วกำจัดสัตว์ฆ่าเหตุแห่งความเป็นสัตว์ได้ตายหมด เป็นมนุสโส สูงสุด

 

.ฟ้าไทว่า การกำหนดหมายมักผิดว่าความจำเป็นความจริง พระพุทธเจ้าว่าการล้างกิเลสในสัญญาก็ยาก วันนี้ได้รู้ว่าความจริงไม่ใช่ความจำ พ่อครูว่า...เราต้องล้างความเป็นสัตว์ในความจริงก่อนแล้วล้างความเป็นสัตว์ในความจำต่อ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:26:40 )

571223

รายละเอียด

571223_พุทธชีวศิลป์(23) วนบ.เรื่อง บรมสมบัติของอาริยะ

พ่อครูว่า...วันนี้อังคาร 23 ธ.ค. 57 ขึ้น 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย วันเวลาเลื่อนไปไม่หยุด เวลาไม่พักไม่เหนื่อยไม่หยุดไม่รอ ไม่มีหายไปไหนตราบเท่าที่มีเอกภพ ทุกอย่างเป็นทศนิยม แม้ทศนิยมลบหรือบวกก็เคลื่อนไป ถ้าบวกก็เป็นภาวะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ตั้งอยู่นานหรือเคลื่อนต่อเร็วหรือช้าก็แล้วแต่ ก็เป็นทศนิยมไปอีก หมุนเวียนไม่มีจบ สำหรับวัตถุในเอกภพ และแม้แต่พลังงานก็ไม่หยุด มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ หมุนเวียนในวัฏฏะสงสารได้ อย่างทุกวันนี้พีชะทั้งหลายเสื่อมไปเยอะเลย

 

พีชะก็ไม่เที่ยง แม้จิตนิยามก็ไม่เที่ยง ที่เที่ยงมีอย่างเดียวในมหาจักรวาลคือนิพพาน ในจิตของอรหันต์ ผู้เจริญสูงสุดในโลกนี้ ใน นิยามชีวิต 5 อย่าง อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ หมุนเวียนอยู่นิรันดร ก็เป็นไป มีพลังวิเศษทั้งทางฟิสิกส์และนามธรรม เป็นได้ขนาดเกินสามัญ ซึ่งเขาอาจเรียกว่าพลังลึกลับหรือวิเศษ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์เป็นต้น เราก็รู้แล้วมีได้ แต่ไม่หลงใหล เรามีอานุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ตามปราชญ์เอกแห่งจักรวาล ที่จะเอาพลังงานเหล่านี้มาใช้เป็นประโยชน์ต่อโลก และมนุษยชาติ นี่คือความรู้สุดยอด แต่ที่พูดไปนี่เป็นโครงสร้าง อาตมาก็ยังมีไม่รอบ

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึง อาหาร 4 ที่เป็นเครื่องยังชีวิตของสัตว์ให้อยู่ได้ คนไม่รู้ก็ใช้เป็นโทษ แต่คนที่รู้ก็จะใช้เป็นคุณ โดยเฉพาะรู้นามธรรมจิตวิญญาณ ที่รู้คุณโทษที่แท้จริง ทั้งโลกีย์และโลกุตระ ทั้งหยาบ และละเอียด นอกจากรู้แล้วก็ยังทำได้ ผู้ทำได้ถึงนามธรรม ถึง ปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง จิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวงนั้นจริงที่สุด

 

เป็นประธานคือควบคุมพลังงานในตน แล้วรับผิดชอบ จะมีสัปปุริสธรรม มหาปเทส แล้วทำมีกรรมกิริยาบทบาทในโลก เป็นคุณอย่างเดียวไม่เป็นโทษแก่อะไรเลยนี่คือเรียกว่า จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ที่รู้ชัดถึงคุณและโทษ ส่วนของปุถุชนจิตวิญญาณก็เป็นประธาน ทั้งกรรมกิริยา จนถึงวัตถุในโลก กลายเป็นคนที่ทำโทษมากกว่าคุณ เพราะอวิชชา มีการทำลายมากกว่าสร้างสรรค์หรือรักษา

 

ผู้หมดกิเลสแล้วจะเวียนตายเวียนเกิดในโลกอีกกี่ชาติก็ไม่ก่อโทษ มีแต่ประโยชน์ต่อโลก แต่คนปุถุชนจะก่อโทษต่อโลก จนโลกถูกทำลายล้างไป เป็นการล้างโลก สัตว์ที่เหลืออยู่ไม่ตายก็อยู่ไม่ได้ เพราะเป็นพิษต่อชีวิต มันทำจนอยู่ไม่ได้ สัตว์โลกอยู่ไม่ได้ คนนี่แหละเป็นคนทำ แล้วก็ตายไปจนไม่เหลือ จนกว่าจะปรับตัวใหม่ได้รูปใหม่ คลายพิษไป แล้วกลับมาสังเคราะห์เป็นโลกใหม่ เช่นดาวอังคาร อาตมาไม่ชัด แต่พอรู้ว่าดาวอังคาร เคยมีสัตว์เกิดแล้ว ที่ไม่ชัดเพราะว่า เกิดแล้วแล้วก็สูญไปนี่ เจริญระดับไหน เพราะบางทีเจริญไม่ถึงมนุษย์โลกุตระจึงทำลายล้างเร็ว ยิ่งเป็นปรมาณูยิ่งเร็วมาก เป็นสิ่งที่เดเอาไม่ได้ มันเกิดในวัฏฏสงสาร

 

สิ่งที่จะย้ำกับชาวนิสิต ว.บบบ. ที่จะมาสอบรุ่นที่ 3/2558

 

1. ปิดรับสมัครนิสิตว.บบบ.รุ่น3 วันที่ 25 ธ.ค. 57 เวลา 18.00 น. ถ้าใครมาสมัครหลังจากนี้จะให้เข้ากลุ่มสมทบ ซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมได้ แต่ว่าไม่ได้รับเข็มพระธรรม โดยผู้สมัครควรเข้าพื้นที่อย่างช้าคือเย็นวันที่ 26 ธ.ค. 57 อย่าลืมนำเครื่องกันหนาวมาด้วย พวกเต็นท์หรือเสื้อกันหนาว หมวก เป็นต้น

 

2. ลงทะเบียนเรียนที่ ชั้นล่างเฮือนศูนย์สูญ วันที่ 27 ธ.ค. 58  เวลา 07.00-09.00 น. และเวลา 12.00-16.00 น.  กับสมณะประจำกลุ่ม ที่จะมารอรับอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียน โดยจะมีการจัดกลุ่มให้กับผู้สมัครเข้าเรียน เป็นกลุ่มๆตามลักษณะแผนกวิชญ์(จบป.ตรีเป็นต้นไป) และแผนกชาญ(ไม่จบป.ตรี) และแยกกลุ่มตามจำนวนเข็มที่ได้รับ โดยขอความร่วมมือกับผู้สมัครที่จะไม่เปลี่ยนกลุ่มโดยไม่จำเป็น เป็นการฝึกลดละอัตตาในเบื้องต้น ก่อนเข้าเรียนไปด้วย

 

3. เมื่อลงทะเบียนเสร็จ ให้ผู้สมัครถ่ายภาพกับช่างภาพที่บริเวณโต๊ะลงทะเบียน พร้อมทั้งเลือกเบอร์เสื้อ ว.บบบ. สำหรับผู้ที่สอบได้คะแนนพอมีสิทธิ์รับเสื้อได้

 

4. ปีนี้ จะมีการสอบวิชาการ ในวันสุดท้ายของงาน คือวันที่ 3 ม.ค. 58 ตอนเช้ามืด และจะเฉลยข้อสอบในตอนเย็นวันที่ 3 แต่ภายในงานจะยังไม่ประกาศผลสอบ เนื่องจากต้องมีการตรวจสอบผลการสอบให้เรียบร้อยก่อนประกาศผล โดยจำกำหนดประกาศผลสอบ ว.บบบ.รุ่นที่ 3 ในงานพุทธาภิเษกฯ ที่ไพศาลี จ.นครสวรรค์ระหว่างวันที่ 1-7 มี.ค. 58 และจะมีกำหนดให้มีพิธีรับเข็มพระธรรม ปัญญาบัตร และเสื้อ ว.บบบ. ในงานปลุกเสกฯ ที่บ้านราชฯ วันที่ 11 เม.ย. 58

 

5.นัดประชุมสมณะและสิกขมาตุ เรื่องว.บบบ. วันที่ 26 ธ.ค. 57  เวลา 14.00 น. ที่บ้านราชฯ

มาเข้าสู่รายการพุทธชีวิศิลป์ ...อาหารเป็นเครื่องอาศัย สัตว์โลกต้องใช้อาหารเป็นเครื่องอาศัย อาหารปริเยติทุกข์ เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องแสวงหาอาหารมาใช้อาศัย พระอาริยะก็รู้ทุกข์นี้ไม่ได้รังเกียจอะไร เต็มใจภูมิใจที่จะเป็น

 

แล้วเครื่องอาศัยมี 4 อย่าง สรุป อาหาร 4 มี  กวฬีการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร

 

ปุถุชนไม่รู้จักวิญญาณที่มีต่ออาหาร เลยกลายเป็นผีเป็นเทวดาเก๊ หลงลาภ ยศ บำเรอตน สร้างอำนาจให้ตนใหญ่โตไปเรื่อยๆ กวฬีการาหาร นั้นรวมทั้งบริโภค และอุปโภค การบริโภคคือเสพเป็นสุขทางกามคุณ ส่วนอุปโภคก็เอามาเป็นของตัวของตนเป็นโลภะ เพราะไม่รู้กามไม่รู้ความต้องการ ไม่รู้เครื่องอาศัยโลกีย์ก็เป็นเช่นนั้น ส่วนผู้มารู้โลกุตระจะรู้วิญญาณดี โสดาบันจะรู้ทิศทางความเจริญของชีวิต รู้โทษภัยแล้วหมดโทษภัยไปเรื่อยๆ

 

ในคำว่าอิจฉา แปลว่าความอยากกลางๆ แต่ว่าอิสสา คือความไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี ส่วนอิจฉา ภาษาบาลี หรือสันสกฤติ คือริษยา แต่คนก็เรียกเพี้ยนจากอิสสาเป็นริษยา คำว่าอิสสานี่อีสานเรียกถูก แต่ภาคกลางเรียกว่าอิจฉา จึงผิดไปจากความหมาย

 

 

เราจะรู้เครื่องอาศัยที่จะไม่เป็นโทษภัยต่อโลกต่อสังคมอย่างแท้จริง เป็นหลักประกันเอก ในกวฬีการาหาร ทั้งอุปโภค บริโภค ก็เป็นกามเป็นความใคร่อยากบำเรอกิเลสทั้งสิ้น แต่ถ้าเราเรียนรู้ไม่ติดยึดได้ก็จะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริงเป็นประโยชน์ต่อโลกอย่างแท้จริง ท่านจะมีสัปปุริสธรรม มหาปเทส ที่จะจัดสรร เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง อย่างอาตมานี่ทำ แต่ไม่เก่งได้เท่านี้ อาตมาไม่ใช่สายทำงาน อย่างเป็นนักกรรมกร อาตมาสายกรรมการ ก็เลยไม่ค่อยจะกรรมกรเก่ง คือเป็นผู้ลงมือทำมีฝีมือทำเลย แต่ทำอย่างโลกุตระคือรับใช้สังคม ไม่ได้ทำเพื่อตนเอง ส่วนกรรมการนั้นใช้ความรู้ สายปัญญาจะมาทางนี้ ส่วนสายเจโตจะไปทางการงาน จะเกื้อกูลกัน

 

ทุกอย่างในโลกต้องมีผัสสะจึงมีความจริง ถ้าคนเราไม่รู้จักความจริงก็จะงมงาย จมอยู่แต่กับตนเอง ถ้ามิจฉาทิฏฐิจะจมอย่างฤๅษี หาวิธีกดข่มไปชาติหนึ่งๆ อัตตาก็ยิ่งหนักซับซ้อน เห็นแก่ตัวชนิดไร้ประโยชน์ต่อโลก กินใช้ของเขานะ แต่ดีที่ไม่เปลือง อย่างศาสนาเชน ของพระมหาวีระ ที่มีความรู้ใกล้เคียงกับพุทธ เขาเชื่อกรรมวิบากแต่ไม่มีโลกุตระ ไม่เรียนรู้ผัสสะ ไม่มีผัสสะ ก็ไม่ได้เรียนรู้โลกุตระ แม้พุทธในประเทศไทยปัจจุบันก็โน้มเอียงไปทางนั้น

 

ถ้าไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนา 3 ที่เป็นความจริง ไม่รู้จักโลกจริง ไม่รู้จัก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่รู้ แม้ผู้ที่เป็นอรหันต์ก็อรหันต์ขี้โย สูบบุหรี่มวนใหญ่ อรหันต์ติดน้ำปานะ ก็ไม่รู้ว่าตนติดกามคุณ ไม่รู้จักเวทนา 3 ที่เป็นสภาพความจริงแต่พอจะเรียนธรรมะก็ไปนึกเอานึกว่าเป็นความจริง

 

ความจริงคือต้องมีองค์ประกอบของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ครบ แล้วเรียนรู้รูป 28 ปฏิบัติถึงทำรูปทั้งหลาย ที่เป็นชีวิตินทรีย์ ที่เป็นเหตุ เป็นสัตว์ที่ไม่พ้นสังโยชน์ ก็ฆ่าชีวิตของสัตว์โลกีย์ เป็นโอปปาติกสัตว์ สัตว์ทางจิตวิญญาณ สัมผัสแล้วมีปสาทรูป โคจรรูป มีอาการรูป เป็นอิตถีภาวะที่เป็นส่วนกิเลสที่ไม่หมด ก็ล้างเหตุแห่งอิตถีภาวะไปเป็นรอบๆ เรื่องๆ ก็ได้ปุริสภาวะเป็นรอบๆเรื่องๆ สุดท้ายก็ได้เป็นสัปปบุรุษ หรือสัตบุรุษ ก็คือเอกบุรุษสุดท้าย ซึ่งไม่ใช่เพศหญิงชายแบบร่างรูป แต่เป็นภาวรูป 2 ที่เรียนรู้ได้ใน หทยรูป ชีวิตรูป อาหารรูป จนทำให้สำเร็จ จิตก็จะรู้ประมาณ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ในการออกมาอยู่กับโลกเขา วจีวิญญัติเป็นตัวบงการทั้งหมด จัดสรร อภิสังขาร เป็นสัจจานุโลกมมิกญาณ เพราะมีสังขารุเปกขาญาณ จะมีความรู้ในวิการรูป  และลักขณรูป จะทำเร็วหรือช้า จะอนุโลมขนาดไหนก็ได้ จึงเป็นกัมมัญญตาที่สมบูรณ์ ออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม จากวิการรูปที่กำหนดได้ เสร็จแล้วก็อยู่กับลักขณรูป 4 รู้ อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตาจะรู้ว่าสิ่งที่เที่ยงมีอย่างเดียวในจักรวาลคือนิพพานนอกนั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยง เราจะสามารถทำให้ เกิดสันตติหรือชรตา ก็ได้ เราอยู่กับโลกจะรู้สิ่งที่อาศัยที่จะสร้างไว้แก่โลก เป็นพระเจ้า เป็นอรหันต์แล้วก็คือพระเจ้าที่ท่านมีบารมี ท่านทำเท่าที่ทำได้ ใครจะว่าเก่งหรือไม่ท่านก็ไม่หวั่นไหว ไม่ริสยาใครจะทำได้เก่งกว่าอาตมา ถ้าทำได้ก็น่าเชิดชูบูชานะ

 

ผู้ที่ท่านไม่มีกิเลสแล้วจะรู้จักประมาณในการทำงาน ถ้าเสียงไม่คุ้มค่าก็ไม่ทำ ไม่เป็นผลดีต่อโลกก็ไม่ทำ เพราะไม่ได้จะหวังที่จะได้อะไรอยู่แล้ว เราทำเท่าที่เราทำได้ อย่างที่เราออกไปร่วมทางการเมือง เราก็ทำได้เท่านี้ก็ดีแล้ว แต่เขาไม่มานิยมเรามากก็ดีแล้ว ถ้านิยมเรามากเราจะตายเอา อย่าไปน้อยใจเสียใจที่เขาไม่มานิยมเรา หากเขานิยมเราจะยากลำบากหลายประตูเลย ก็ไปตามควร แต่ไม่ได้เป็นคนมาซูคิสต์หรือซาดิสม์ก็ไม่ใช่ เรื่องน่ายินดีก็ควรทำ

 

เรื่องอาหารนี่ เป็นเครื่องอาศัย ผู้เป็นโลกียะใช้กามในการอาศัย ก่อโทษภัยต่อตนและโลกมาก ก็ใช้กำลังแห่งอวิชชา อยากได้มาเป็นสวรรค์ อยากได้มา ก็เป็นทุกข์ ไม่รู้ว่าทุกข์สุข ที่แท้จริง อย่างเวทนากับตัณหานี่ไปด้วยกัน เพราะมีเวทนาจึงมีตัณหา เมื่อไม่รู้ความต้องการ ไม่รู้การเสพอารมณ์เพราะไม่รู้เครื่องอาศัยทั้ง 4 ที่พระพุทธเจ้าท่านเล่าได้ซับซ้อน

 

อย่างปุตตมังสสูตร พระพุทธเจ้าท่านเล่าว่า กวฬีการาหาร นั้นเหมือนพ่อแม่และลูกที่จะเดินทางทางไกลกันดารแต่มีเสบียงคือโลกธรรม สุดท้ายเสบียงคือฆ่าลูกกิน ก็คือใช้โลกียะโลกธรรมเป็นเสบียง ที่ชั่วถึงขั้นฆ่าลูก ทั้งชั่วโง่ และลืม เต็มรูป จนไม่รู้ว่ากินเสบียงคือกินลูกตน แล้วหลงไม่รู้ว่ากินลูก กินเศษแห่งความชั่วหยาบเลวทรามมาเลี้ยงชีวิตตน แล้วจะเป็นสัตว์อะไร กินลูกตนเพื่อเป็นเสบียงไปทางไกลกันดารที่ไปแสนยาก ลำบาก จริงๆทางไปโลกุตระนี้โปร่งโล่งไม่กันดารแต่เขาไม่รู้ สรุปคือทั้งชั่วสุดชั่วโง่สุดโง่ ลืมสุดลืม ตนเองกินลูกเป็นเนื้อแห้ง กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง เช่นนักการเมือง นักธุรกิจปุจจุบันที่ไม่รู้ว่าเขาทำลายสังคมขนาดไหน เขาทำชั่วขนาดไหน หากเขารู้เขาจะไม่ทำ แต่เขาไม่รู้ เขานึกว่าเขาเป็นประโยชน์ต่อโลกต่อสังคมด้วย เขาทำทานทำให้ด้วยซ้ำ แต่ก็เอากุ้งตกปลากระพงตลอดเวลา

 

สรุปว่ามันสุดชั่ว สุดโง่ สุดขี้ลืม ทำชั่วขนาดไหนก็ว่าฉันทำอะไร?  จนไม่รู้ว่าเดินทางไกลไปไหน ไม่ได้เรื่องกันดาร คุณมาแย่งความจนกับแย่งความรวยอันไหนยากกว่ากัน เราก็ว่าความจนนี่ทำง่าย แต่พูดกับคนรวยมากนี่ เขาก็ว่ายาก เพราะเขามีมากแล้วจนไม่ลงหรอก ทั้งโง่ สุดชั่ว สุดขี้ลืม สรุปนิทานพฤติกรรมผัวเมียคู่นี้ในกวฬีการาหาร

 

ก็คือผัสสะ มโนสัญเจตนา และวิญญาณาหาร ไม่ได้แยกกันนะเครื่องอาศัยทั้ง 4นี่เป็นองค์รวมเป็นกาโย โลกีย์อวิชชาคือนักล่าอุปโภคบริโภคด้วยความใคร่อยาก เขามีภูมิปัญญาฉลาดที่จะเอามาบำเรอตน ไม่รู้ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา แต่ลึกเขารู้ว่าเสียสละดีแต่ว่ากิเลสพาเขามักได้มักใหญ่จะเป็นเจ้าโลก

 

ขออภัยที่จะต้องพูดเช่นนี้ ในศาสนาแต่ละศาสนาก็ช่วยคนได้พอสมควร แต่ไม่สมบูรณ์  วนเวียนสมบัติผลัดกันชม สุขทุกข์ กันไป ถ้าสามารถเรียนรู้สัจธรรมโลกุตรธรรม ของพระพุทธเจ้าจะเกิดสังคมเป็นสุขที่นาน ไม่ใช่ไม่เสื่อมแต่ว่าอีกนาน ก็สมบัติผลัดกันชมอีก ผู้ที่เป็นคนรวยจะอยู่ไม่นาน แต่ว่าถ้าเป็นโลกุตระจะสุขนาน สงบสุขยั่งยืน คนเขามองว่าอโศกเป็นศาสนาพุทธที่เหมือนกับทุกสำนัก ที่เมื่อเจ้าสำนักอยู่บริวารก็อยู่ได้ อยู่กับโลกไป ก็เป็นความเจริญพื้นๆโลกียะ แต่ว่าพอเจ้าสำนักไม่อยู่ ก็เสื่อมไป เขาก็มองว่าอโศกพอโพธิรักษ์ตายไปก็จะเสื่อมเหมือนสำนักอื่น แต่โดยสัจจะไม่ใช่ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้หัวหน้ารู้คนเดียว เก่งคนเดียว แต่พระพุทธเจ้าสอนให้สร้างคนให้มีความรู้วุฒิภาวะทำงานระบบหมู่ เป็นปชต.สุดยอด คอมมูนสุดยอด ถ้าจะพูดว่าเผด็จการสุดยอดก็อธิบายได้ เป็นเผด็จการที่ไม่ใช้เผด็จการ จะใช้ก็คือเขาให้ใช้ไม่เบียดเบียนใคร

 

นึกถึงในหลวงเลย ในหลวงทรงมีสิ่งที่ท่านมี จะเรียกว่าอำนาจหรือว่าอภิสิทธิ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านเบ่งเอาแต่ทุกคนให้ท่าน ประชากรยกให้ท่าน ให้ท่านบัญชามาเลย ท่านตรัสก็รับรองว่าได้ แต่อาตมาว่าปางนี้ท่านลำเพ็ญเป็นเตมีย์ใบ้กับพระมหาชนก สุดยอดแล้ว

 

พระเจ้าอยู่หัวท่านตรัสว่าให้บริหารแบบคนจน หรือขาดทุนคือกำไร เป็นการแสดง สัจจะเท่ากับไปด่าคนทั้งโลกนะ อาตมาไม่ได้ว่าในหลวงด่าใคร แต่กำลังอธิบายสัจจะลึกซึ้ง ท่านตรัสคือทำไมคนทั้งโลกไม่เอา มาแบบคนจน สิ แต่พาคนไปรวยนี่จะอยู่ได้อย่างไร จะถึงกลียุคก็เพราะแนวคิดทุนนิยม แต่ในหลวงเราไม่ใช้ศักดินาเลย แต่ท่านก็ตรัสถึงขนาดนี้ พวกเราต้องพยายามทำให้ถึง

 

พวกเราจบหลักสูตร ว.บบบ. ให้ได้ขั้นบูรณ์บุญ แค่ร้อยคนก็เถอะ รับรองว่า จะเคลื่อนจักรที่เป็นธรรมจักรนี้ไปได้ จริงๆโดยธรรม เพราะยุคนี้เป็นยุคที่คนแสวงหาทั้งโลก แต่เขาไม่รู้ว่าเขาแสวงหาอะไร เหมือนแม่พ่อที่ฆ่าลูกกิน เขาเดินไปโลกีย์แต่ไม่รู้ว่าเขาต้องการอันนี้ แต่เขาก็ต้องเดินไป ชั่วหนักหยาบ ยิ่งเป็นมหาอำนาจยิ่งชั่วหนัก เอาเปรียบหนัก จะรักษาเป็นมหาอำนาจให้นานเท่านาน แต่มันก็สมบัติผลัดกันชม ไล่ดูสิว่ากี่ชาติแล้ว อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น ถ้าเป็นโลกีย์นั้นไม่ตลอดรอดฝั่ง แต่โลกุตระนั้นนานกว่า ยั่งยืนกว่า เขาก็ต้องการยั่งยืน แต่ก็ต้องมีสิ่งสัจจะจึงอยู่ได้ยั่งยืน

 

สัจจะนั้นคงทนยั่งยืน ไม่ต้องอยากหรอกให้ทำตามสัจจะ เขาก็ว่าอโศกถ้าโพธิรักษ์ตายไปก็สลาย อาตมาก็ว่าให้ดูไป ถ้าอโศกเป็นสัจจะก็อยู่ได้ สัจจะเนื้อแท้มากก็ไปได้นาน มีเนื้อสัจจะน้อยก็ไปได้ไม่นาน ก็อยู่ที่ตัวพวกคุณจะมาเป็นเนื้อจริงแค่ไหน เป็นโลกุตระสาระ เป็นอาริยสาระแค่ไหน ไม่ใช่อารยะแบบที่ในหลวงว่าก้าวหน้าอย่างถอยหลังอย่างน่ากลัวเราไม่เอานะ

 

จิตวิญญาณใครทำได้จริงจะมีบรมสมบัติของอาริยะ ของชาวบุญนิยม คือ ปัญญา ซื่อสัตย์ น้ำใจ เสียสละ สี่อย่างนี้คือบรมสมบัติ คือความจริง

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

571218-21 Sms และข้อความ รายการธรรมาธรรมะสงคราม

 

0824039xxx นมก.พ่อครูทุกๆศาสนาต่างก็มีจุดหมายสำคัญอันเดียวกันคือต้องการสั่งสอนให้มนุษย์เป็นคนดีแต่ละศาสนาก็มีพิธีกรรมอันเคร่งครัดและสง่างามเป็นเอกลักษณ์รูปแบบของตัวเอง!

พ่อครูตอบ...ดีทุกศาสนา แต่ว่าดีได้เนียนได้กว้างได้ลึก ได้สะอาดสูงส่งก็เป็นไปตามสัจจะของแต่ละศาสนา

 

0824039xxx เจตนาผู้น้อยที่ถามเช่นนี้อยากให้พุทธกระแสหลักเข้าใจพุทธกระแสย่อยฤาพุทธกระแสอื่นบ้าง!ทั่วเอเซียก็มีพุทธหลายนิกายทั่วโลกก็มี!แต่ละปท.ทั่วโลกต่างก็ทำหน้าที่ในศาสนาของตัวเองกันไปก็มีแต่ศาสนาบ้านเราทำไมยังก้าวก่ายโจมตีกันอยู่แล้วจะเจริญได้อย่างไร?

 

ตอบ...คุณอยู่ในศาสนาพุทธก็เลยเห็นว่ามีแต่ศาสนาพุทธว่ากัน แต่คุณไม่รู้หรอกว่าศาสนาอื่นเขาก็รุนแรงถึงฆ่ากันเลย ศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาที่ไม่เคยเกิดสงครามของศาสนาพุทธที่ทำสงครามกันเองมีอย่างเก่งก็แค่นานาสังวาส เป็นนิกาย พุทธก็มีหไม่รู้กี่นิกาย ขนาดเขาเอาแบบมีผัวมีเมียได้ ก็ยังมีเลย เป็นนายทุนหลักเลยอย่างมหายานบางเจ้า หัวหน้านิกาย ถ้าถอนเงินจากธนาคาร นั้นธนาคารล้มเลย แต่ก็ไม่ได้ฆ่าแกงกันเลย เหมือนกับคนที่เข้ามาในอโศกพอเข้ามาก็มาเกิดความขัดแย้งโดยตั้งภพว่าอโศกจะไม่มีความขัดแย้งกันเลย แต่พอเข้ามานี่เจอว่าอโศกขัดแย้งกันเก่ง เพราะอิสรเสรีภาพ แต่ถ้ามีกฎระเบียบเคร่งข่มไว้ กดดันเขาก็ไม่แย้งกันมาก แต่มีสงครามก็แตกกันเลย มันเป็นความซับซ้อน คนที่ยกภาพอโศกไว้สูง ก็ไม่ตรง นี่ดูเหมือนวุ่นวายขัดแย้งกัน เพราะอยู่อย่างอิสระ ไม่ได้บังคับเกินการณ์ เป็นมา 40 ปีแล้ว

 

0824039xxx การกระทำแบบที่ไม่เคารพศาสนาอื่นนิกายอื่นเช่นกล่าววาจาให้ร้ายดูหมิ่นเหยียดหยามฤาเขียนบทความโจมตีซึ่งกันและกันเป็นการสร้างบาปให้แก่ตนเองไหม?เหตุการณ์นี้ไม่ควรมีในเมืองพุทธถ้ายังมีแปลว่าศาสนานั้นยังไม่เจริญเพราะยังมีอคติมีอัตตาใช่ไหม? แต่ทำไมทุกวันนี้แต่ละนิกายแต่ละศาสนาต่างก็หวังชักจูงผู้คนให้มาเป็นสาวกตนเพื่อครองความยิ่งใหญ่ในทางศาสนา! จึงมีการบั่นทอนมุ่งร้ายโจมตีศาสนาอื่นนิกายอื่นตลอดเวลา!

ตอบ...มันเป็นความเห็นแก่ตัวธรรมดา แต่ของพุทธเราไม่หาบริวาร เราให้อิสรเสรีภาพ

ภิกษุทั้งหลาย !  พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ...  หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง) มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน) มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ    มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป  มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้นก็หามิได้ ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ (พรหมจริยสูตร พตปฎ.เล่ม 21  ข้อ 25)

 

0824039xxx บรรดานักบวชสานุศิษย์สาวกผู้ที่ยอมรับนับถืออุทิศตนให้กับศาสนาใดศาสนา1จะต้องทำใจตัวเองให้เหมือนกับหมอที่ร.พ.คือมีแต่จิตใจที่อยากจะช่วยให้ผู้อื่นหายจากความเจ็บปวดทรมาน!ไม่ใช่มัวแต่จะคัดเลือกรักษาเยียวยาเฉพาะคนที่อยู่ในศาสนาเดียวกันนิกายเดียวกัน!

ตอบ....นี่พวกมองโลกสวย ขนาดคนพิการนี่ เขาบอกว่าไม่ต้องมาสงสารฉัน มันมีอัตตาหยิ่งผยองนะ แต่ละศาสนาอย่านึกว่าเขาไม่มีความหยิ่งผยองนะ เราก็เคารพกัน ต่างคนต่างทำดี แต่จิตที่ถือดีถือตัวอย่างคนพิการนี่ ขนาดเขาพิการนะ แต่นี่เขาดีอยู่แล้วด้วย

 

ข้อความจากFacebook ของกนฺตสีโล ภิกขุ

การกล่าวหาคนอื่น ว่าจะโกง (กรณี 2.2 ล้านๆบาท) โดยที่ยังไม่มีหลักฐานนี่ นิสัยเหมือนพรรค ปชป.เลยนะครับ แล้วทีรัฐบาลนี้ใช้เงินตั้ง 3 ล้านๆ ในโครงการเดียวกัน ท่านไม่กลัวโกงและกลัวเป็นหนี้บ้างหรือครับ ? แถมไปตกลงกับจีนเซ็นสัญญาเมื่อไม่กี่วันนี้ ประชาชนก็ไม่ทราบรายละเอียดอีกว่า

พ่อครูตอบ...อาตมาลองนึกว่าอาตมาได้เคยกล่าวว่าเขาโกงนี่เต็มรูปหรือไม่ แต่มันมีรูปรอยว่าให้ชำระกัน อาตมาไม่ใช่ผู้พิพากษา อาตมาก็ไม่ไปตัดสน แต่ว่ามีลีลารูปเรื่อง แม้แต่ทำให้ประเทศชาติเสียหายในการบริหารของเขาอีก แค่โครงการข้าวนี่ หกจุดแปดแสนล้านนะ มันไม่เคยมีใครทำเสียหายขนาดนี้ จะไม่ให้ว่าได้อย่างไร คุณบูชาเขามากไป การยึดถือหรือว่าเห็นดีเห็นด้วยกับใครมาก โดยลำเอียงอคติอยู่ก็ธรรมดาเป็นอย่างที่ว่า ก็มีสิทธิ์มองทุกคนก็ว่าตนไม่เอียง ก็ว่าไป ตอบเท่านี้ ต่างคนก็ต่างว่าก็เถียงกันแต่นั้นแล้วก็ไม่ใช่หน้าที่ด้วยที่จะมาเถียง มาช่วยกันดีกว่า ให้คนมีหน้าที่เขาทำไป การลูบหน้านี่ก็ต้องถูกจมูกถูกปากบ้าง ต้องเข้าใจอนุโลมปฏิโลม

ตอ ประเทศเสียเปรียบจีนหรือเปล่า ? เอ่อ...สงสัยปากท่านอมสากอยู่

 

-กล้าธรรม...ถามว่า ถ้าขับรถแล้วหลับใน เรียกว่าเป็นกายไหม?

ตอบ...ความเป็นกายนั้นมีรูปและนามประชุมกันอยู่ นามคือจิตวิญญาณหากจิตไม่มีสติ ก็เป็นนามที่บกพร่อง อย่าว่าแต่ไม่มีสติเลยมันหลับไปแต่มันต้องรับผิดชอบอยู่ มันขาดทั้งกาย ทั้งนามทั้งจิตที่รับผิดชอบเลย มันขาดกาย ขาดนามด้วย ขาดทั้งรูปและนามในการกระทำด้วย คือมันไม่ใช่กายยิ่งกว่าอีก คือกายนี่คือสูงสุดแล้ว พระอรหันต์ทำงานอยู่กับกาย มีกายวิญญาณสูงสุด แม้แต่ท่านนอนหลับ กายของท่านคือองค์ประชุมของรูปนามที่ตัดภพ เป็นองค์ประชุมของนามเท่านั้น ไม่ได้ใช้สติควบคุมเหมือนตอนตื่นเต็ม อรหันต์ก็อยู่กับกายวิญญาณ เป็นนามกายที่แท้จริง เท่าที่ท่านมีสติมันโต ท่านก็ทำเท่าที่ท่านตั้งเรื่อง ไม่มีเรื่องโลกีย์ แต่เป็นนิมิตที่ทำงานกุศล คำว่ากายมีทั้งนามและรูปแม้จะไม่มีรูปเลยก็เป็นกายได้ คำว่ากายนี้ต้องครบพร้อมทั้งรูปและนาม

 

ที่คุณถามมาว่าเป็นกายไหม? ...จึงต้องศึกษาความเป็นกาย ให้ลึกซึ้ง

 

-กล้าธรรมถามว่า ถ้านั่งสมาธิแล้วไม่รับรู้ภายนอกเลย ไม่ใช่กายไหม?

ตอบ...มันเป็นนามกายภายใน

1.รูปรูป คือวัตถุ ภายนอกไม่มีความรับรู้อะไร

2.รูปนาม คือสิ่งที่ถูกรู้ คือมีสิ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูป และสิ่งที่มารู้เรียกว่านาม มันเข้าไปรวมกันแต่ไม่มีปสาทะหรือโคจรสมบูรณ์ไม่มีภาวะสังเคราะห์สังขารกัน ในใจคนนี่มีรูปกับนาม คือมนายตนะ(นาม) และธรรมายตนะ(รูป) ถ้ามันไม่ทำงานก็เป็นรูปนาม แต่ถ้าทำปฏิกิริยากันจะเป็นรูปกาย กายนี้จะมีนามธรรมร่วมเสมอ ถ้าคนตื่นอยู่สามารถจัดปริเฉทรูปได้ จะควบคุมรับมากหรือน้อยก็ได้ หรือไม่รับเลย อย่างพระพุทธเจ้าเดินในโรงกระเดื่อง ท่านไม่รับข้างนอกเลย ฟ้าผ่าวัวตาย 4 คนตาย 2 ก็ไม่รับรู้ คือท่านตัดกรอบของท่าน เป็นปริเฉทรูป

3.รูปกาย คือมีองค์ประชุมรูปภายนอกกับนาม

4.นามกาย คือเข้าไปอยู่แต่ภายใน

5.นามรูป คือมีสิ่งที่ถูกรู้โดยนามคือธาตุรู้ แล้วไปรู้ ถ้ารู้รูปข้างนอกก็คือรูปกาย ถ้าแค่ไปประชุมกันเฉยๆก็เป็นรูปกาย แต่ถ้าเข้าไปรู้ในนามเลย ก็เรียกว่านามรูป คำว่านามรูป พระพุทธเจ้าจึงแยกเป็นนาม และรูปคือมหาภูตรูปและอุปาทายรูป สองอย่าง

 

-สุขแสงบุญ...ไปทำงานที่อุทยานบุญนิยม ไปเห็นข้าวต้มมัดที่ชอบ ก็เดินโฉบไปดู เจอจ้าวแรกก็ไม่กิน แต่ว่าพอไปเจอจ้าวที่สอง รู้สึกอยากกินแต่ว่ารู้ว่าเป็นกิเลสก็เลยอดได้ไม่กินหรอก

ตอบ...ใช้ภาษาว่าอยาก คือตัณหาก็ดีที่เราได้ระงับความอยากได้ แต่ก็ให้พิจารณาต่อว่า เราจะซื้อไปนี่จะไปกินหรือจะไปแบ่งให้คนอื่น ก็พิจารณาว่าเราสมควรซื้อไหมถ้าไม่ก็เป็นกิเลส มันแส่หาทำไม มีปัญญาเห็นความไม่เที่ยง ของกิเลส แล้วเราก็เห็นทุกข์จากการเกิดกิเลส แล้วเราพิจารณาทำให้กิเลสลดได้ก็ทำให้กิเลสหมดตัวตนได้ แต่ถ้าไม่พิจารณาก็ได้แต่เจโต แต่คนมีแต่เหตุผลก็ได้แต่ตรรกะ แต่คนมีปัญญาแล้วทำให้ได้จริง ก็ไม่ช้านานก็ได้อรหันต์ พิจารณาให้ถูกเถอะ

 

-สม.ผาแก้ว...รู้สึกว่าพ่อครูอธิบายได้ละเอียดพิสดารมากกว่าทุกครั้งเลยในปุตตมังสสูตร ก็เลยนึกถึงอีกสูตรหนึ่งว่า

อาทิตตปริยายสูตร

        [55] ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลา ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จ

จาริกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่ตำบลคยาสีสะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ 1000 รูป  ล้วนเป็น

ปุราณชฎิลได้ยินว่า  พระองค์ประทับอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ  ใกล้แม่น้ำคยานั้น พร้อมด้วยภิกษุ

1000 รูป.

        ณ ที่นั้น  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน  ก็อะไรเล่าชื่อว่าสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  จักษุเป็นของร้อน  รูปทั้งหลายเป็นของร้อน  วิญญาณอาศัยจักษุเป็นของร้อนสัมผัสอาศัยจักษุเป็นของร้อน  ความเสวยอารมณ์  เป็นสุขเป็นทุกข์  หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย  แม้นั้นก็เป็นของร้อน  ร้อนเพราะอะไรเรากล่าวว่า ร้อเพราะไฟคือราคะ  เพราะไฟคือโทสะ  เพราะไฟคือโมหะ  ร้อนเพราะความเกิด  เพราะความแก่และความตาย  ร้อนเพราะความโศก  เพราะความรำพัน  เพราะทุกข์กาย  เพราะทุกข์ใจ  เพราะความคับแค้น.

        โสตเป็นของร้อน  เสียงทั้งหลายเป็นของร้อน ...

        ฆานะเป็นของร้อน  กลิ่นทั้งหลายเป็นของร้อน ...

        ชิวหาเป็นของร้อน  รสทั้งหลายเป็นของร้อน ...

        กายเป็นของร้อน  โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นของร้อน ...

        มนะเป็นของร้อน ธรรมทั้งหลายเป็นของร้อน  วิญญาณอาศัยมนะเป็นของร้อน

สัมผัสอาศัยมนะเป็นของร้อน  ความเสวยอารมณ์เป็นสุข  เป็นทุกข์หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข  ที่

เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน  ร้อนเพราะอะไร? เรากล่าวว่า  ร้อน

เพราะไฟคือราคะ  เพราะไฟคือโทสะ  เพราะไฟคือโมหะ  ร้อนเพราะความเกิด  เพราะความแก่และความตาย  ร้อนเพราะความโศก  เพราะความรำพัน  เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ  เพราะความคับแค้น.


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:27:39 )

571224

รายละเอียด

571224-สรรค่าสร้างคน(23) ติชมให้ถูกพุทธ(ตอบปัญหากนฺตสีโลภิกขุ)

วันนี้พุธที่ 24 ธ.. 57 อีกไม่กี่วันก็หมดปีแล้ว ผ่านไปไวเหมือนโกหก เขาว่ากันอย่างนั้น วันนี้ เป็นคิวที่จะเรียนสรรค่าสร้างคน ก่อนจะได้บรรยายก็ขอ ย้ำเรื่องว.บบบ. ว่าพรุ่งนี้เป็นวัดสุดท้ายที่จะได้มีการรับสมัคร พวกเรามีการศึกษาการเรียนเป็นกิจจะลักษณะทุกวัน พรักพร้อม แม้จะมีห้องเรียนกันนี่ มีกันร้อยกว่าคน แต่มากันนี่ไม่ถึงร้อย มาเรียนกันวันละเกือบร้อยหรือร้อยคน เรามีวิชาที่เรียนที่สอนกัน อาตมาก็เต็มใจสอน พวกเราก็เข้าห้องเรียนกันได้พอสมควร ก็อบอุ่น ได้ประโยชน์ไม่น้อยก็มาก แต่ได้แต่ ไม่สูญเปล่า ก็ให้เข้าพื้นที่กันตั้งแต่ 26 ธ.. เลยนะ ถ้ามาได้

 

งานว.บบบ.นี่อาตมาสอนเป็นหลัก แต่ก็มีสมณะ สิกขมาตุที่ช่วยสอน ทั้งออกข้อสอบด้วย อาตมาก็ดูอยู่ด้วย ด้วยเหตุที่ว่าเจ้าสำนักตายทุกคนก็ทำต่อไม่เป็นสืบสานไม่ได้ ไม่เกิดมรรคผลเลย ไม่มีปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิเลย ก็แน่นอนว่าพอเจ้าสำนักตายก็สำนักสลายแน่ แต่ของพระพุทธเจ้านี่ให้เกิดเนื้อแท้โลกุตรธรรมได้ จึงไม่เหมือนกับสำนักอื่น ว่าได้มีสัตตาโอปปาติกะ อย่างเข้าถึงปรมัตถ์อ่านจิตได้ ไม่ใช่เดาเอา อ่านจิตเจตสิก รูป นิพพานได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่สืบเชื้อโลกุตระ แต่ถ้าศึกษาแล้วมีสภาวะจริง อาตมามั่นใจว่าไม่ผิดพลาด พวกเรามีมรรคผล ผู้มีมรรคผลย่อมทนอยู่ได้ ไม่ใช่ทู่ซี้อยู่ด้วย ในการอยู่ได้ทนได้โดยไม่มีภพชาติ ไม่มีอามิสอย่างแท้จริงจึงเป็นได้ ที่เราปฏิบัติจนถึงวันนี้ อาตมาก็พยายามหาหลักฐานจากพระไตรฯ อาตมายึดพระไตรฯนี่แหละได้อ่านได้ตรวจสอบมา 40 กว่าปีแล้ว

มาดูที่พระไตรฯล.16

มหาวรรคที่ 7

1. อัสสุตวตาสูตรที่ 1

[230] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก

เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ...

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้างคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้างวิญญาณบ้างปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา  ดังนี้ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

 

[231] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอัน

เป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้เมื่อดำรงอยู่   ปีหนึ่งบ้าง   สองปีบ้าง   สามปีบ้าง   สี่ปีบ้าง   ห้าปีบ้าง   สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง   สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้างย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้างวิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ

 

พ่อครูว่า...ที่ในพระบาลีนั้นใช้คำว่า กายํ หรือ กาโย แต่ในที่เขาแปลมานี้ใช้คำว่า ร่างกาย แทนคำว่า กาโย หรือกายํ ซึ่งพระพุทธเจ้ายืนยันว่า คือจิตบ้าง มโนบ้าง ...

 

อาตมาจะเอาที่พระภิกษุ กนฺตสีโล ภิกขุ ได้ตอบมาหลังจากอาตมาตอบที่เขาว่ามา ก็ดีนะเป็นการได้ศึกษา ท่านว่ามาว่า

571223 sms รายการพ่อท่าน

 

_กนฺตสีโล ภิกขุ ...ผม ก็ว่าท่านบูชากษัตริย์ (ที่ไม่สามารถตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์ได้) มากเกินไป และอย่าลืมมองความเสียหายที่พวกท่านทำแก่ประเทศบ้าง ตั้งแต่หลัง 49 มา อย่ามองแต่ความผิดคนอื่น แต่ยังไงเสียพวกท่านก็กลายเป็น "อภิสิทธิ์ชน" ไปแล้ว ทำผิดกฎหมายยังไงก็ไม่ติดคุกหรอก ล้าน % แล้วท่านไม่สงสัยในการทำงานอย่าง 2 มาตรฐานของ ปปช. บ้างหรือครับ ? หรือว่ามีอคติเห็นเป็นพวกเดียวกัน

 

ก็ ในเมื่อรู้ว่าตนไม่ใช่ผู้พิพากษาก็อย่าเพิ่งทำตนเป็นศาลเตี้ยสิตัดสินล่วง หน้า สิครับ ตามกฎหมายเขายังต้องสันนิษฐานจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน อย่า ลืมว่ายังมีข้าวที่ยังไม่ขายอยู่ในโกดัง ซึ่งรัฐบาลนี้ได้ตกลงขายให้จีนแลกกับการลงทุนสร้างรถไฟ ถ้าขายข้าวได้หมดจึงรู้ตัวเลขที่แท้จริง

พ่อครูตอบว่า...ที่บอกว่าไม่ได้เป็นผู้พิพากษาก็อย่าเพิ่งเป็นศาลเตี้ย ตัดสินไปก่อน ก็เอาเถอะ เรื่องที่ว่าอาตมาไม่ได้มีข้อมูลครบทีเดียว แต่อาตมาก็ว่าขายข้าวไม่พอคุ้มที่จะซื้อรถไฟหรอก แล้วที่เขาสำรวจว่าโครงการจำนำข้าวเสียหายไป 6.8 แสนล้าน ขายอย่างไรก็ไม่พอซื้อหรอก หรืออาจขายได้พอก็ได้ เราไม่ไปตัดสิน ก็ต่างคนต่างเข้าใจไป  ที่ลงทุนไปนี่ไม่รู้กี่แสนล้าน คิดดอกเบี้ยแบบทุนนิยมสิว่า เสียหายไปเท่าไหร่นะจ๊ะ ที่พูดนี่เราไม่ได้เถียงเอาแพ้เอาขนะ แต่เป็นการศึกษษวิเคามะห็วิจัย มีการวิจารณ์กันบ้างเพื่อหาผลที่ดีที่สุด จะวิจัยตำหนิ มีวิพากษ์วิภาษณ์ก็ไม่เป็นไร ใจเราไม่ได้ถือสากัน แล้วที่มีsms หยาบๆคายๆมาอย่างที่ คุณ 0844086xxx ว่ามาว่า _         สอนคนอื่นสาระพัดฯ แค่หัวก็เอาหมวกมาใส่ ถ้าไม่ใส่ หัวมึงจะเป็น หิมะหนาวตายรึ? ไม่ เหมาะสมที่พระจะทำ แค่นี้ทนไม่ได้จะคุยโม้ โอ้อวดฯลฯไปทำไม โพธิ.......ๆๆ พ่อครูว่า... ก็เป็นการสะใจที่เขาได้หยาบ เราก็ไม่ได้ถือสา เป็นการยึดมั่นถือมั่นและหยาบคายด้วยคุณ4086 นี่ก็มาหยาบเช่นนี้ แต่มาพูดถึงท่านกนฺตสีโลภิกขุต่อ

 

ที่ว่าท่านบูชากษัตริย์มากเกินไป อันนี้เป็นความเห็นต่าง ท่านกนฺตสีโลจะบูชาน้อยอาตมาก็ไม่ได้รู้ล่วงใจของท่านไม่ได้ แต่อาตมาว่าบูชาแปลว่าการยกย่องเชิดชู ถ้าปฏิบัติบูชาก็ยกย่องจนเกิดมรรคผล อันนี้พระพุทธเจ้าสรรเสริญสนับสนุน แต่ถ้าบูชาด้วยอามิสอันนี้พระพุทธเจ้าไม่สอนให้ทำ อาตมาว่าอาตมาปฏิบัติบูชาน้อยไปด้วย คุณประเมินผมผิดไปแล้ว เรายังไม่ได้บูชาอีกเยอะ ในหลวงพระองค์นี้ที่ท่านทำประโยชน์ไว้เยอะมาก ที่เราแสดงออกนี่น้อยไป เทียบกับพระจริยวัตรต่างๆที่ต้องบูชายกย่องเชิดชูกล่าวถึงมากมีอีกเยอะ แต่อาตมาทำน้อยเต็มที ก็ขอตอบท่านกนฺตสีโลว่าท่านว่าอาตมาโดยผิวเผินนะ แต่ถ้าจะแย้งกันก็ต้องหยั่งเข้าหาเนื้อแท้สาระที่จริงเพียงพอ แต่ถ้าแย้งโดยผิวเผินมันไม่ได้เนื้อแท้ ก็จะยิ่งเพี้ยนไป อันนี้ประเด็นแรก

 

ทีนี้ประเด็นที่ว่า(ที่ไม่สามารถตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์ได้) มากเกินไป

ท่านกนฺตสีโลว่า กษัตริย์ท่านนี้ไม่สามารถไปตัดสินหรือติชมได้ ว่างั้นนะ อาตมาก็พูดตามที่อาตมาเองมีภูมิปัญญาว่า การจะติหรือชมหรือตัดสินใคร แสดงออกหากเราจะแสดงออกถึงความเห็นของเราก็ทำได้ทุกคนมีสิทธิ์แต่ว่าในสังคมมนุษยชาติ การแสดงออก จะต้องมีการสำรวมสังวรระวังละเว้น การจะวิพากษ์หรือวิจารณ์ในคนสองลักษณะเราจะงดเว้นไว้ สำหรับผู้มีปัญญา (อาตมาไม่ได้เข้าข้างในหลวงนะ) ซึ่งไม่พูดถึงกฎหมายว่าเขาให้งดเว้น แต่พูดถึงสัจธรรมว่า ผู้มีปัญญา จะไม่วิพากษ์คนสองฐานะ จะไม่ตัดสินไม่ติคนสองฐานะ คือ 1.คนไม่เดียงสา 2.ถ้าเขารู้ว่าคนๆนี้ควรยกให้ อย่างเราไม่ตำหนิพระพุทธเจ้าแน่ ยกตัวอย่างนะ สองฐานะนี้เราไม่ทำ อาตมาไม่พูดถึงกฎหมายนะ

อาตมาว่า ที่ท่านเขียนตอบมานี่ดูจะมั่วๆนะ (อาตมาไม่ลบหลู่คุณนะ แต่เห็นเช่นนี้ก็เลยพูดไปตรงๆ) อาตมาว่า ในหลวงท่านนี้ท่านอยู่ในฐานะที่ควรยกไว้ อย่างอาตมานี่คนไม่ได้นับถือนักก็ไม่อยู่ในฐานะนี้ แต่ในหลวงนี่มีความจริงมากพอที่เราจะยกให้ เหมือนพระพุทธเจ้าที่เรายกให้ ไม่ใช้ยกให้เพราะกฎหมายนะ ย้ำว่ามีคนสองฐานะนี้ที่ควรยกเว้นไว้ เราก็เห็นได้ว่าท่านกนฺตสีโลมองในหลวงอย่างไรต่างจากอาตมาแน่นอน ท่านเห็นว่าควรวิพากษ์วิจารณ์ได้ไม่ควรยกไว้ ท่านก็คงทำไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย แต่ถ้าไม่ผิดกฎหมายก็คงทำ แต่สำหรับอาตมาจะผิดกฎหมายหรือไม่ก็ไม่ทำ นี่เป็นความเห็นอาตมานะไม่ได้เอาแพ้เอาชนะนะ ก็คงจบนะประเด็นที่ว่า บูชากษัตริย์และการวิพากษ์วิจารณ์ มาประเด็นต่อไป

 

ท่านกนฺตสีโลว่า....และอย่าลืมมองความเสียหายที่พวกท่านทำแก่ประเทศบ้าง ตั้งแต่หลัง 49 มา อย่ามองแต่ความผิดคนอื่น แต่ยังไงเสียพวกท่านก็กลายเป็น "อภิสิทธิ์ชน" ไปแล้ว ทำผิดกฎหมายยังไงก็ไม่ติดคุกหรอก ล้าน % แล้วท่านไม่สงสัยในการทำงานอย่าง 2 มาตรฐานของ ปปช. บ้างหรือครับ ? หรือว่ามีอคติเห็นเป็นพวกเดียวกัน(ที่ไม่สามารถตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์ได้) มากเกินไป และอย่าลืมมองความเสียหายที่พวกท่านทำแก่ประเทศบ้าง ตั้งแต่หลัง 49 มา อย่ามองแต่ความผิดคนอื่น แต่ยังไงเสียพวกท่านก็กลายเป็น "อภิสิทธิ์ชน" ไปแล้ว ทำผิดกฎหมายยังไงก็ไม่ติดคุกหรอก ล้าน % แล้วท่านไม่สงสัยในการทำงานอย่าง 2 มาตรฐานของ ปปช. บ้างหรือครับ ? หรือว่ามีอคติเห็นเป็นพวกเดียวกัน

 

พ่อครูว่า...การที่เราออกไปประท้วงนี่ อาตมาว่าเราได้ลงทุนไปเสียสละ แล้วก็เกิดผลดีมากกว่าที่เสียหายนะ แต่ท่านกนฺตสีโลเห็นว่าพวกเราไปทำเสียหาย แล้วที่คนที่ทำเสียหายคือใคร ที่เราออกไปเพราะเขาทำเสียหายมาก แต่แน่นอนเราออกไปอาจมีติดขัดบ้าง แต่ผลที่ได้ต่อสังคมมันเกินกว่าที่ลงทุนไปนะ มันเกินกว่าที่ได้มากเกิน ท่านกนฺตสีโลมาเตือนอาตมานี่ยิ่งทำให้อาตมาเห็นว่า เราไปประท้วงนี่มีแต่เราลงทุนจ่ายเสียสละ ทั้งแรงงานวัตถุทุนรอน อย่างดีก็ไปทำหญ้าบนถนนเขาตายไปบ้าง แค่นั้นเราไม่ได้ไปทำเสียหายอื่นเลย แต่ว่าวิจัยที่ว่าความเสียหายที่มีต่อประเทศนี้น้อยมาก แต่ผลที่ได้ต่อประเทศนี้มีมาก ขอบคุณที่เตือนให้เราได้คิด ทั้งที่เราไม่ได้คิดเลยว่าเราจะเอาบุญคุณหรือเอาดีเด่นอะไร แต่เราดูว่าเราก้าวหน้าได้ทำประโยชน์เยอะ

 

เราเริ่มตั้งแต่ปี 49 ท่านกนฺตสีโลพูดถูก ตั้งแต่เราไปที่สนามหลวง มีหลักฐานอาตมาเดินนำไป จนล่าสุดมีคสช.มาทำงานก็เท่านี้

 

แล้วที่ว่าอย่ามองแต่ความผิดคนอื่น....อาตมาว่าเราก็มองทั้งส่วนดีส่วนเสีย แต่ที่ว่าเราจะเป็นอภิสิทธิ์ชน ก็คือใครหนอ ตัดสินพวกเราแล้ว ใครหนอกว่าไม่เป็นผู้พิพากษาก็ไม่ควรตัดสินคนอื่นนะ ซึ่งอภิสิทธ์ชน แปลว่าชนที่มีสิทธิ์ที่เขายกให้หรือได้เกินกว่าคนอื่น พิเศษ ผู้ที่ควรได้อภิสิทธิ์แท้จริงก็มีอยู่ กับผู้เบ่งเอาอภิสิทธิ์ก็มี แต่ว่าอาตมาถ้าจะมีอภิสิทธิ์ก็เพราะเราไม่เบ่งเอาข่มเอา แต่เราแสดงออกในสิทธิ์ กาย วาจา ในสิทธิมนุษยชน และเราไม่พึงไปแสดงอภิสิทธิ์ว่าเรามีสิทธิ์เกินกว่าใคร มีแต่เราจะอ่อนน้อมถ่อมตนทำตามสิทธิ์ที่เรามี ขอยืนยันว่าเราไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์ เจตนาเราเป็นเช่นนั้น พยายามเป็นคนเช่นนั้น เมื่อกล่าวตู่ตัดสินอาตมา ก็ตามที่ท่านว่า อย่าเป็นศาลเตี้ยตัดสินสิ อาตมาก็ว่าตัดสินผิด แล้วที่ว่าไม่ติดคุกล้านเปอร์เซ็นต์ เราไม่ทำหรอกที่ผิดกฎหมาย แต่ยิ่งเขายกให้อย่างนั้นอาตมาว่ายิ่งเราต้องระวังว่าอย่าทำ ถ้าเขาให้เกียรติ ประเด็นนี้ทำให้อาตมานึกถึงในหลวง ว่าท่านมีอภิสิทธิ์โดยธรรมนะ แต่ท่านไม่ใช้ ไม่พยายามเบ่งละเมิด แสดงอภิสิทธิ์อะไร ท่านเป็นในหลวงที่ใช้ฐานะนี้น้อยกว่าที่จะทำได้มาก แต่ใครจะเห็นว่าใช้มากเกินก็แล้วแต่

 

แล้วที่ว่าไม่สงสัยการทำงานปปช.. ...อาตมาก็ศึกษาอยู่นะการทำงานปปช. แต่อาตมาก็ว่าอาตมาไม่บังอาจไปตัดสินปปช. แต่ท่านกนฺตสีโลบอกว่า ปปช.สองมาตรฐาน ท่านไปตัดสินเขาหรือเปล่า อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ตัดสิน แค่ตั้งข้อหาเท่านั้น แล้วเราก็ว่าให้ผู้ตัดสินทำงาน เรามีสิทธิ์ตั้งข้อหา แต่ไปตัดสินอาตมาเสียแล้ว ท่านว่าอาตมาตัดสินเสียแล้ว เราแค่ตั้งข้อหา อาตมาก็เข้าข้างสัจธรรม วิจัยตามสิทธิที่ทำได้ เราก็ตำหนิคนที่ควรตำหนิ นิคันเห นิคหารหัง ปัคคันเห ปัคคหารหัง ไม่ใช่ปล่อยให้อมตุ่นไม่วิพากษ์ พระพุทธเจ้าสอนให้ติมากด้วย ติให้หนัก พระพุทธเจ้าว่าเรานี่แหละเป็นนักติ ถ้าติแล้วผู้รับคำติได้จะเจริญแต่ถ่ายเดียวด้วย

 

อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธออย่างทะนุถนอม

เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียก-ยังดิบอยู่

อานนท์ ! เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด

อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด

ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร  ผู้นั้นจักทนอยู่ได้ .

(พุทธพจน์จาก พตปฎ.เล่ม 14  ข้อ 356)

นี่คือลักษณะของศาสนาพุทธเลย คือเนื้อแท้ของศาสนาพุทธเลย แต่ถ้าใครเข้าใจว่าอย่าไปติหรือชมเลย มองแต่ดี อย่างที่เขาว่า มองแต่ดี แต่ที่จริงศาสนาพุทธให้หันเข้าหาตัวเหตุแห่งทุกข์ตัวเลวแล้วศึกษาให้ดี กำจัดตัวเหตุแห่งทุกข์นี่เห็นหลัก เพราะอาริยสัจ 4 นี่คือทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์และวิธีแห่งการดับทุกข์ นี่คือถ้าเข้าใจไม่ถูกต้องจะผิวเผินไม่ตรงเป้าถึงที่หมายที่ควรเป็น แต่ต้องมีวิธีการตำหนิ ไม่มีวิธีการไม่ได้ ต้องเก่งสามารถ ท่านใช้คำว่า เปยยวัชชะ คือคำที่น่ารัก ปิยวาจา ในสังคหวัตถุ 4 คือ ท่าน ปิยวาจา ท่านเอาคำว่าเปยยวัชชะ อธิบายปิยวาจา คำว่า  เปยยะแปลว่าของควรดื่ม ส่วนวัชชะแปลว่าคำตำหนิ ใครตำหนิให้คนดื่มได้นี่คือปิยวาจา คำที่น่ารัก แต่ว่าใครชมคนให้คนดื่มได้นี่ไม่ใช่ปิยวาจาหรอกใครก็ทำได้ การตำหนินี่เป็นการช่วยคน

ศาสนาพุทธทั่วไปเขาไม่อธิบายปิยวาจา ให้ถูกต้อง ที่จริงคือเปยยวัชชะ เป็นคำยืนยัน ลักษณะสำคัญของศาสนาพุทธ ถ้าไม่ตำหนิ เอาแต่ยกย่องชมเชยจะเหลิง หลงไป เราจะต้องตำหนิ อย่างมีฝีมือด้วย

ก็ตอบท่านกนฺตสีโล ภิกขุ แค่นี้หมดเวลาแล้ว ก็คงได้ข้อคิดกัน ขอสรุปก่อน ก็ขอบคุณท่าน ที่สนใจ มีการโต้ตอบความเห็นมา ก็เป็นประโยชน์ผลดี แต่ขออภัยที่อาตมาเป็นคนตรงๆผ่าๆเป็นขวานจักตอก พูดเอาจริงเอาจังก็เลยพูดแข็งๆก็ขออภัย แต่ก็ยินดีที่ท่านใส่ใจ วิพากษ์วิจารณ์มาต่างคนต่างศึกษาเป็นประโยชน์ต่อกันและกัน

 

ขอสรุปสุดท้ายว่า ถ้าผู้ใดจะวิพากษ์วิจารณ์ ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ได้ดีก็คืออรหันต์เป็นต้นไป แม้บางที่เรื่องโลกๆพระอรหันต์ก็ตัดสินผิดได้แต่เรื่องปรมัตถ์อรหันต์ทุกองค์ไม่ผิดพลาดหรอก และการวิพากษ์วิจารณ์ก็ควรทำให้เหมาะควร ขอสรุปว่า ผู้จะวิพากษ์วิจารณ์ตัดสินได้อย่างไม่มีอคติต้องมีภูมิธรรม อาริยธรรม แม้อนาคามีก็มีอัตตาเหลือนิดหน่อย สกิทาคามีก็เหลือมากหน่อย โสดาบันก็มีอคติ แต่จะหวังว่าปุถุชนจะไม่มีอคตินี้ยากเพราะว่าอนุสัยอาสวะมันทำงานอยู่อย่างไร้สำนึก unconscious แต่ผู้ล้างโลภ โกรธ หลงหมด โดยวิธีพระพุทธเจ้า แล้วจิตใต้สำนึกก็จะขึ้นมาให้ล้างเป็นจิตสำนึก ล้างจิตใต้สำนึกแล้วจิตไร้สำนึกก็จะขึ้นมาเป็นจิตใต้สำนึกแล้วก็จะขึ้นมาเป็นจิตสำนึกให้ล้างจนหมดที่สุด

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

-ญาดา....ตนเองเคยทำงานที่อุทยานบุญนิยม ตอนนี้มีหมาไปอยู่ที่อุทยานเยอะเลย เพราะมีคนเลี้ยง คือคนที่มาช่วยล้างจานอยู่ เราก็จะวางแผนว่า จะล่อให้หมาเข้ากรงแล้วจะไปปล่อยศูนย์รับเลี้ยง แต่ก็ไม่สำเร็จ เราก็เลยปฏิบัติการโหดขึ้น ยิงหนังสติ๊ก ไล่ไป มีคนเสนอว่าเราควรจะเจรจาก่อน ถ้าไม่รู้เรื่องก็อาจใช้น้ำสาด

พ่อครูว่า..เราก็ไม่ทำด้วยวิธีโหดร้าย ให้ตางคนต่างอยู่ พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมให้เลี้ยงสัตว์ แม้ในชุมชนอโศก เราจะมีเมตตาเล็กๆน้อยๆไม่มีปัญหา เช่นเราโยนอาหารให้ปลาบ้างเล็กๆน้อยๆ ไม่ได้เลี้ยงอย่างตั้งใจเลย หรือเลี้ยงเอาไว้กินอย่างที่เขาทำ เป็นความอำมหิตอย่างยิ่ง เลี้ยงมาเพื่อข้าจะได้กินเอ็ง ลึกๆแล้วเป็นเรื่องเวรกรรม จิตวิญญาณเป็นปรมัตถ์ เป็นจริงเรื่องผู้พยาบาท แม้มันอยู่ผูกพัน หรืออาฆาต เรื่องอจินไตยกรรมวิบากมีมากเราอย่าไปสร้างวิบากกับสัตว์ใดในโลก แม้คนก็เช่นกัน อย่าให้มีวิบากต่อกันเลย เราควรจะมาเลิกวิบากที่ยึดติดทั้งดูดและผลัก ทั้งชอบและชัง ถ้าจะเลี้ยงสัตว์นั้นคนที่ควรเลี้ยงมีเยอะกว่ามากไป สัตว์มันเกิดมาเพื่อรับวิบากนะ ใช้หนี้วิบาก แต่เราไปช้อนมันมา แทนที่มันจะได้ต่อสู้อุปสรรควิบากของมัน ต้องเลี้ยงตน เพื่อใช้วิบากของมัน แต่เราไปร่วมเปลี่ยน รับมาเลี้ยงให้มันมาเสริมกิเลสแก่มันอีก ก็ซับซ้อน มีวิบากหยาบๆเช่น อาตมาว่าคุณเลี้ยงหมา ผูกพันกับหมา สักชาติคุณจะได้แต่งงานกับหมาจะสมสู่กับหมา อาตมาพูดกับคนที่ติดเลี้ยงหมาเลย ถ้าจะปฏิบัติธรรมมุ่งนิพพาน แต่ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมก็แล้วไป ปล่อยมันไป แต่ถ้าช่วยเหลือชั่วคราวก็ได้แต่ว่าอย่าให้ผูกพันติดยึด อย่างที่เราให้อาหารปลา หรือกระรอก ก็นิดหน่อย แต่ให้ใจไม่ติดยึดผูกพัน เราทำด้วยเมตตาธรรม แต่ถ้าทำประจำจนผูกพันก็ไปอีกไม่รู้กี่ชาติ เรามีวิบากไม่น้อยอยู่แล้วจะไปสร้างวิบากมาเสริมอีกทำไม ที่พูดนี่ไม่ใช่ใจดำหรือไร้เมตตาแต่อย่างใด ไม่ใช่นะ

 

-หินแสง....อยากให้พ่อครูอธิบายอนุสสติ 10

1.      ธัมมานุสสติ (ระลึกถึงพระธรรม)

2.      สังฆานุสสติ (ระลึกถึงพระสงฆ์)

3.      พุทธานุสสติ (ระลึกถึงพระพุทธเจ้า)

4.      สีลานุสสติ (ระลึกถึงศีล)

5.      จาคานุสสติ (ระลึกถึงจาคะ)

6.      เทวตานุสสติ (ระลึกถึงคุณธรรมที่ทำให้มีจิตใจสูง)

7.      อานาปานสติ (มีสติอยู่ตลอดลมหายใจเข้าออก)

8.      มรณสติ (ระลึกถึงความตาย เร่งขวนขวายอริยผล)

9.      กายคตาสติ (ระลึกถึงกายว่า.. เป็นของที่ไม่เที่ยง  ควรละหน่าย)

10.อุปสมานุสสติ (ระลึกถึงนิพพานอันเป็นที่ระงับกิเลสและความทุกข์)  (พตปฎ. เล่ม 20   ข้อ 180)

คำว่า อนุสสติ มีแต่มรณสติ ไม่ได้ใช้คำว่า มรณานุสนติ คำว่าอนุสสติ แปลว่ามีสติตามระลึกถึงคุณ คุณของพุทธ ของธรรม ของสงฆ์ของจาคะ ของเทวตา ทั้งหมดนี่ 6 ตัว แม้อุปสมา คือความสงบคือนิพพาน จะต้องระลึกคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ ส่วนกายคตา หรือมรณสติให้เห็นโทษภัยของความตายหรืออานาปานสติ กายคตาสติ ก็เป็นการปฏิบัติ ซึ่งกายคตาสติ อานาปานสติ หรือมรณสติ ก็ตาม ไม่ได้แยกส่วนกัน ความตาย นั้นเป็นความตายของไตรลักษณ์ เพราะว่าเราจะตายด้วยมรณะ ส่วนการตายของสัจจะนั้นคืออรณะ คือไม่มีสงครามแล้ว กิเลสตายแล้ว พระอรหันต์ก็จบ มีอรณะไม่ทำสงครามแล้ว

 แต่มรณะนี่เป็นเครื่องระลึกไม่ให้เราประมาทอย่าย่อหย่อนในการเพียร ส่วนกายคตาสติให้ปฏิบัติกาย แต่ว่าอานาปานสติ นั้นให้ทำทุกลมหายใจเข้าออกให้ปฏิบัติธรรม เป็นสติในความเป็นสังวรในความเป็นทุกลมหายใจเข้าออก ส่วนมรณสติคือให้เตือนระลึกถึงความตาย และกายคตาสติ ทุกขณะให้ระลึกถึงกาย แต่ต้องเข้าใจกายให้ถูกต้องด้วยนะ

 

พุทธคือสิ่งที่รวมไว้ทั้งหมด เป็นเจ้าของธรรมะคือสามี คือพระพุทธเจ้า ธรรมะคือคำสอนคือสะพานที่เอามาใช้กับเรา ส่วนพุทธคือยกไว้เลย แล้วทำให้เกิดผล มรรคคือวิธีปฏิบัติ คือธรรม ส่วนสงฆ์คือผู้ได้ฟังคำสอนพระพุทธเจ้าหรือได้ศึกษาแล้วทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าจนได้มรรคผลตามลำดับเป็นโสดาฯไปจน สูงสุดถึงอรหันต์เลยได้

 

ส่วนภาคปฏิบัติคือศีล คือจาคะ คือเทวตา ที่ว่าศีลก็คือปฏิบัติได้ถึงวิมุติเลย ศีลคือหลักเกณฑ์ปฏิบัติให้เหมาะสมกับตนตามฐานะ เช่นศีล 5 มีอะไรบ้าง เราก็ทำตามกรอบนั้น แล้วจะเกิดอธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ ทำตามกรอบขอบเขตแต่ละคนไม่ได้แยกส่วนกับสมาธิและปัญญา เรารู้คุณของศีล ของจาคะ การจาคะคือเอาออกไป ไม่ว่าวัตถุหรือนามธรรม ได้เสียสละออกไป นี่คือคุณค่าของมนุษย์ ตั้งแต่ให้วัตถุ แรงกาย ความคิด หรือธรรมทาน เราก็รู้คุณค่าน้อมมาสู่ตนให้ได้ ความได้ผลคือจิตเทวดา มี 3ขั้น คือสมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ

 

สมมุติเทพคือเทวดาโลกีย์ ได้เจริญลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็ได้เป็นเทวดา ส่วนอาริยชนเป็นเทวดาที่ต้องเรียนรู้ปรมัตถ์เรียนรู้กาย ตั้งแต่สักกาย เรียนรู้กายในกาย รู้องค์ประกอบตั้งแต่ปสาทรูป โคจรรูป ....ในรูป 24 อีก

 

สม.กล้าข้ามฝัน...ต่อไปถ้าใครเกลียดเราว่าเรารุนแรง เราก็อ่านใจในใจ ถ้าอ่านไม่ไหวก็นึกถึงพ่อท่านว่าทำดีขนาดนี้ยังโดนว่าเลย เราเองก็ไม่ได้ทำดีเท่าท่านจะถูกคนว่าไม่ได้หรือ ถ้าพ่อท่านไม่ได้ชี้แจงก็จะไม่เกิดประโยชน์ต่อโลก ก็ต้องชี้แจง

 

วิชงค์  ผมยังไม่เคยไปฟังธรรมพ่อครูที่อโศกเลย จะไปช่วยงาน ว.บบบใด้ใหมครับ

ตอบ...ก็มาได้ ถ้ามาแล้วไม่ไหวก็ค่อยออกไป แต่ถ้าไหวอยู่ได้ก็มาเลย

 

คุณแม่นแล้ว แก้วมาลา  กราบนมัสการครับ สมัคร ว.บบบ ทางไลน์ได้ไหมครับ จะถ่ายบัตร ปชชไว้ให้เป็นหลักฐานครับ

ตอบ...ก็ได้ก็ทำกันอยู่

 

0816956xxx     ธนาคาร ประกันชีวิต นักธุรกิจรวมพ่อค้า เงินกู้นอกและในระบบ พวกนี้ใช่ไหมครับ ที่กินลูกตัวเอง

ตอบ...ใช่ทั้งนั้นแหละ ที่ท่านว่ากินลูกตนเพราะว่าอำมหิตแล้วก็ไม่รู้ เช่นพวกทำนาบนหลังคน นักธุรกิจ นักการเมืองนี่ไม่แค่ทำนาบนหลังคนนะ เรียกว่าทำนาบนหลังประชากรทั้งประเทศเลย นักธุรกิจเขายังมีกลุ่มเป้าหมาย แต่นักการเมืองนี่ทำนาบนหลังคนทั้งประเทศเลย แล้วก็ไม่รู้ด้วย สรุปว่าพวกทุนนิยมทั่วโลกคือคนที่กินเนื้อบุตร เขารู้แต่โลกีย์ที่เป็นไกลกันดาร อันเป็นทั้งโง่ ชั่ว และขี้ลืม

 

สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายนี้ทางกายในหรือกายนอก?

ตอบ...ต้องมีครบทั้งกายนอกและกายในต่อเนื่องเข้าไป สรุปว่าต้องปฏิบัติธรรมลืมตาอยู่ในชีวิตประจำวันแล้วล้างที่จิตไม่ใช่อยู่ที่ร่าง เท่านั้น กายนี่หมายถึงจิตเป็นหลักแต่ไม่ขาดภายนอกด้วย ต้องปฏิบัติมีภายนอกอยู่ แล้วล้างกิเลสภายในจิตได้ ก็ยังอยู่กับภายนอกปกติ หมดกามภพเป็นอนาคามีแล้วก็อยู่กับภายนอกปกติ มีแต่จะเข้มแข็งอุเบกขาแข็งแรงขึ้นๆ

.เดินดินว่า...เมื่อกี้นี้พ่อครูพูดถึง ว.บบบ. แล้วคนที่ไม่สบาย แล้วก็ต้องการมาสอบก็สอบได้ บางคนถามมา ว่าความรู้ของเราฟังอยู่ทุกวันนี่มาลองดูได้ ก็เป็นการเช็คความรู้ แต่วันนี้ที่พ่อครูเอาพระไตรฯมาพูด ทำให้รู้สึกว่าแต่ก่อนพ่อครูพูดก็เข้าใจอยู่ แต่ว่าตอนนี้มีตัวอย่างที่ว่าประเทศไทยเสียหายมาก ที่ว่าประเทศไทยเข้าใจกายได้แค่ว่าคือร่าง แต่ว่าวันนี้ได้เข้าใจได้ลึกขึ้นเรื่องกาย อย่างในสำนักไหนๆในไทย เขาก็ให้เราพิจารณาว่าให้พิจารณาไตรลักษณ์ในเนื้อหนังร่างกายหรือให้พิจารณาศพ ให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในร่างกายนี้ เขาไม่ได้คำนึงถึงจิตเลย เพราะว่าไม่รู้วิธี ได้แต่ไตรลักษณ์โลกีย์ เพียงร่างนอก คำสอนของพ่อครูที่จะแตกต่างจากภายนอกที่ให้เราเข้าหาการอ่านกิเลสในจิต พระพุทธเจ้าตรัสว่าญาณของพระโสดาบันย่อมมีทิฏฐิแตกต่างจากปุถุชนหรือลัทธิอื่น


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:28:47 )

571225

รายละเอียด

571225-ความรัก 10 มิติ(14 ) วนบ. สัมมาสิกขาพาหมดกามหมดอัตตา

วันนี้เราจะเรียนความรัก 10 มิติกัน มี น..สัมมาสิกขามากันจากทุกโรงเรียน ก็เลยอบอุ่น หายหนาวเลย แต่ว่าอย่าเอาแน่นอนกับอากาศ อย่าไว้ใจ ให้เตรียมเครื่องกันหนาวมาบ้างนะ

 

คนเยอะๆนี่ยากในการอธิบายเพราะต่างภูมิธรรมกัน มากๆเข้าก็ภูมิธรรมที่จะเข้าไปหยังรู้สิ่งลึกก็ยาก ไม่ใช่ไปว่าผู้คนนะ แต่ว่ามันเป็นไปตามยุคสมัยที่ภูมิธรรมของคนเฉลี่ยต่ำ หมุนเวียนกันไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ อย่างดีหรือไม่ดี ดีถึงขีดก็มีเสื่อม จนเสื่อมสุดแล้วก็จะถึงเริ่มต้นใหม่เวียนไป แล้วพัฒนาไปสู่ดีใหม่ ไปถึงขีดหนึ่งก็เสื่อมลง วนเวียนไปเช่นนี้ก็พอเข้าใจกัน ไม่ได้สงสัยอะไรกัน

 

พระพุทธเจ้าตรัสในธัมมจักกัปปวัตนสูตร ว่าคนมีส่วนสองด้านนี่แหละ และไม่ได้ดับเหตุแห่งความสุดโต่งสองข้าง จึงเอียงไปข้างในข้างหนึ่งตลอดเวลา ยุคนี้ยิ่งเอียงมาก ข้างสองข้างนี้เรียกว่า กามข้างหนึ่งและอัตตาอีกข้างหนึ่ง มีสองอย่างนี้ เป็นคำสอนบทแรกเลยที่พระพุทธเจ้าประกาศ เรียกว่าธัมมจักกัปปวัตนสูตร ว่ามีเหตุแห่งทุกข์สองด้านนี้

 

ด้านกามก็คือหลงดูดดึงเป็นความรักว่าเป็นสุข ส่วนด้านอัตตานี่ก่อเกิดเป็นความทุกข์ อัตตาเป็นคำรวม แม้ความเป็นกาม ก็เป็นอัตตา โลกธรรม ก็เป็นอัตตา หากไม่รู้ในอัตตาหรือลึกลับในอัตตา เราก็จะถูกความเป็นอัตตาครอบงำ ให้ยึดเข้าฝั่นรักหลงสุข แต่พอจมกับอัตตา อย่างไรก็คือทุกข์ แม้เป็นอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าก็ยังเหลืออัตตาไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จนไม่เหลืออัตตาเลยก็ต้องมีอัตตาไว้อาศัย พระอรหันต์ขึ้นไปจนถึงพระพุทธเจ้าก็มีตัวตนรูปนามขันธ์ 5 ยังมีภาวะของสิ่งประกอบกันเรียกว่าอัตตาอยู่ รูปนามขันธ์ 5 เรียกว่า ภาราหเว ปัญจขันธา

 

พลังงานที่เป็นมนุษย์นี่สามารถทำลายได้เลวร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉาน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ให้เลิกทำเลวร้ายได้เด็ดขาด เพราะจิตวิญญาณนี่สะสมอัตตาไว้ ในอัตตามีพลังจิตนิยามเกิดภาวะที่ไม่หมดกาม เป็นความใคร่อยาก เอามาทับถมอัตตาตัวตนให้เกิดอัตตาโดยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ จึงต้องล้างอวิชชา สุดท้ายรู้จักอัตตาที่เห็นเหตุ แล้วล้างเหตุที่พาทุกข์พาเลวเสื่อม พาทำสิ่งไม่ดีงาม ทำบาป

 

ถ้าเอามาบำเรอตัวตนที่อยากหรือต้องการ ก็คือกาม เอามาเสพรส ราคะ โทสะ โมหะ แต่ถ้าไม่ได้อยากเอามาบำเรอ ราคะ โทสะ โมหะแล้ว มันหมดเหตุที่จะเอามาบำเรอแล้ว ความมุ่งหมายของพระอาริยะของอรหันต์จึงเป็นความอยากที่ไม่มีอัตตาทำลาย มีแต่อัตตาที่อาศัยทำคุณค่าประโยชน์ต่อโลก

 

ทุกวันนี้ความเข้าใจเรื่อง ธัมจักกัปปวัตนสูตรไม่ถูกต้อง แค่เรื่องคำว่ามัชฌิมาปฏิปทา คำว่าปฏิปทา แปลว่าทาง แต่คำว่ามัชฌิมาไม่ได้แปลว่าสาย แต่มันคือความเป็นกลางเลย ไม่มีอันตา ไม่มีข้างไหนในกามและอัตตาเลย เป็นกลาง สูญ ว่าง นิวทรอนเลย แต่เขาไปแปลว่า ทางสายกลาง อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด แต่ถ้าแปลว่า ทางไปสู่ความเป็นกลาง หรือวิธีปฏิบัติ ทฤษฎี ที่จะพาไปสู่ความเป็นกลาง อาการกลางๆ มัชฌิมา ความหมายเท่านี้ทำให้ศาสนาเพี้ยนไปไกลเลย

 

พระพุทธเจ้าสอนให้คนหมดทั้งกามและอัตตาได้ สุดยอดแห่งการสร้างคนทำให้คนมีคุณสมบัติวิเศษสุดของโลก เป็นวิชาที่สุดยอด ที่ทำให้คนดีที่สุดวิเศษที่สุดประเสิรฐที่สุดให้แก่โลกอย่างมีหลักประกันไม่กลับกลอก เปลี่ยนแปลง เป็นคนที่ไม่มีโทษภัยเลยมีแต่ทำให้แก่มวลมนุษยชาติ เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อย่างแท้จริง

 

ธรรมะพระพุทธเจ้าเริ่มต้นที่รู้กายในกาย รู้จักสักกายะของตน รู้พิจารณา กายในกาย อย่างสัมมาทิฏฐิ พาเกิดมรรคผลจริงๆ ยิ่งสูงไปรู้กายของนามธรรม ของ เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมก็ยิ่งเป็นโลกุตระสำคัญ

 

นร.สัมมาสิกขาหากจบไปได้แต่ความรู้โลกๆ แต่ไม่ได้ความรู้โลกุตระก็ไม่ได้ชื่อว่าจบสัมมาสิกขา คนใดก็แล้วแต่หากไม่ได้โลกุตรธรรม ไม่ได้ธรรมะที่พยายามสอน พาฝึกพาเรียน และก็เรียนตามหลักสูตรกระทรวงด้วยไม่ได้น้อย จบไปก็เรียนต่อกับวิชาการโลกๆได้ ต่อป.ตรีโทเอกได้ไม่บกพร่องหากตั้งใจ แต่ที่ให้คือโลกุตรวิชชา วิชชาของพระพุทธเจ้านี่ที่สัมมาสิกขามี เจตนาตั้งใจด้วย แต่ถ้าใครจบไปแล้วไม่ได้โลกุตระก็เป็นโมฆะนักเรียน เป็นน..สูญเปล่า เหมือนโรงเรียนอื่นๆ

 

เราผลิตน.. มา 20 กว่าปีแล้ว ผลิตคนให้สังคมมาเป็นพันคนแล้ว ก็เจตนาเลยว่าให้ได้ความรู้ของพระพุทธเจ้า แต่หลักสูตรวิชาการของโลกนั้น ก็สอนให้ได้ด้วย และวิชาที่แท้จริงของมนุษยชาติอย่างสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมืองก็ได้ด้วย ได้พาไปศึกษาฝึกฝนอบรม ไม่ใช่ให้แต่วิชาการนะ ทำอย่างเจตนาให้ได้ โดยเฉพาะสังคม น..สัมมาสิกขาอยู่กับสังคมมนุษย์จริงๆไม่ใช่เรียนแต่ในกล่อง ที่ไม่ได้สัมผัสรู้แจ้งรู้จริงกับสังคม ของเราเป็นบวร มีบ้าน วัด โรงเรียนด้วย อยู่กับหมู่บ้านชุมชน เราก็ร่วมไปกับหมู่บ้านชุมชนไป ไม่ว่าจะงานสังคมภายใน บางทีไปงานสังคมภายนอก เป็นน..ที่อยู่ในสังคม ไม่ใช่ไปอัดอยู่ในคอกในกล้อง อัดแต่ความรู้วิชาการไม่รู้จักสังคมจริง ธรรมชาติจริง รู้แต่ตรรกะเหตุผลวิชาการเท่านั้น แต่ไม่ได้สัมผัสซึมซับกับความจริง สังคมศาสตร์เศรษฐศาสตร์เราสอนจริง ถึงสาธารณโภคี อยู่แบบคอมมูนที่เผื่อแผ่แบ่งกันกินใช้ไม่เหมือนกับข้างนอกเลย อยู่กันอย่างกงสี ครอบครัวใหญ่ เป็นพ่อแม่พี่น้องญาติลูกหลาน เป็นภราดรภาพ เป็นเจตนาแล้วก็ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น อาตมาจึงมั่นใจว่าได้สร้างคนให้แก่สังคมประเทศชาติ จริง ตามที่เราจดทะเบียนเป็น ร..ทางนิตินัยด้วย

 

สมณะสิกขมาตุ ผู้ใหญ่ที่เข้าใจก็มาช่วยกันสอนอย่างสมัครใจเต็มใจ ช่วยกันทำมา ผู้มาช่วยทำก็คือผู้เข้าใจมีปัญญาความรู้ว่าจะสอนเด็กไปทำไม สอนเพื่ออะไรก็ต้องรู้องค์รวมว่าเราสอนแบบไหน ครูบางคนมีวิชาการมาก เราก็ไม่ได้ให้มาสอนแม้จะเก่งแค่ไหนก็ตาม เพราะจะปนเรื่องที่เราไม่ปรารถนาให้มาแพร่เชื้อที่เราไม่ต้องการ เราก็มีแกนหลักในการให้ความรู้แบบสัมมาสิกขาคืออะไรสรุปว่าน..ที่มาเรียนที่นี่ ถ้าไม่ได้ความรู้ของพระพุทธเจ้าไปก็คือโมฆะนักเรียน แต่ถ้าได้แต่ความรู้โลกก็ได้แต่ว่าเสียดายที่ไม่ได้ความรู้ของพระพุทธเจ้า  อยากให้ได้อันนี้ ส่วนวิชาการความรู้โลกเราให้อยู่แล้ว เด็กที่จบไปจากที่นี่ไม่ได้มีมาตรฐานด้อยกว่าข้างนอกเลย ก็ขอขอบคุณผู้ที่มาช่วยกันสร้างคนให้แก่มนุษยชาติ ผู้ที่มาแล้วหรือจะมาช่วยอีกก็อนุโมทนาด้วย เป็นประโยชน์แท้ต่อโลก

 

นร.ที่มาเรียนที่นี่รู้ตัวให้ได้ทุกคนว่าเรามาอยู่ที่นี่ เป็นผู้ที่จะมาศึกษาว่าจะได้สิ่งที่ อาตมาและผู้ร่วมช่วยกันเจตนาให้กันนี่ เราอยู่กันอย่างขาดทุนคือกำไรอย่างที่ในหลวงว่า น..จะน้อยจะมากก็ไม่ล้ม ตราบเท่าที่มีครู เงินทองไม่เกี่ยง ไม่มีเงินเลยก็ไม่ล้ม เหลือน..คนเดียวก็ไม่ล้ม สอนต่อได้จนจบหลักสูตร เป็นเรื่องเหนือชั้นกว่าโลกเขาเป็น เราเป็น ร..สร้างยุวชนให้แก่ประเทศชาติ ที่เป็นหน้าที่ของรัฐ เราก็ช่วยรัฐอย่างจริงใจ เราไม่ได้มาคุยตัวนะ

 

เรามาให้แก่น..โดยไม่ได้คิดจะเอา ไม่เคยคิดค่าเรียน เรียนจบแล้วก็ไม่ได้เรียกร้องเอาอะไร ให้เขาได้ทำดีต่อประเทศชาติไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงว่าจะได้ลาภด้วยวิธีซับซ้อน ได้ยศ ตำแหน่งหรือสรรเสริญก็ไม่ได้เอา หรือจะเป็นความภาคภูมิใจในสิ่งที่เป็นคุณค่าประเสริฐก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

 

วันนี้เป็นวันคริสมาสต์ก็พูดเรื่องดีๆ ถ้าใครมีสติปัญญาฟังให้ดี พวกเรามารวมกันตามประเพณีของสัมมาสิกขาที่เรียกว่าค่าย ยุวชนอโศกสัมพันธ์หรือ ยอส. ก็ให้มาร่วมกันให้มากที่สุด ให้เกิดสามัคคี แบ่งปันกัน เป็นสังคมศาสตร์ที่ประเสริฐ เราก็มีวิธีทำ ได้ผลได้ประโยชน์กัน เรามีเวลา ความรู้ก็ทำ เพื่อให้ได้รับสิ่งดีๆแก่ชีวิต เป็นการศึกษาที่แท้จริง ด้วยความตั้งใจให้เกิดคุณค่าประโยชน์แก่น..

 

ความรักที่กลางๆของสากล เรียกว่าความรักของพระเจ้า ที่จริงนัยเก่าก่อนที่จะมาเป็นศาสนาคริสต์ อิสลาม ศาสนาเก่าก่อนคือศาสนาฮินดู มีพระเจ้าเรียกว่าพระพรหม เป็นศาสนาเก่าแก่ พระพรหมมีความรักแบ่งเป็นสี่อย่างคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือความรักเมตตาต่อมวลมนุษยชาติ แล้วลงมือช่วย ใครเป็นลูกพระพรหมก็จะลงมือช่วย พระเจ้าไม่มีรูปร่างมาช่วยใครท่านก็ถ่ายทอดความรักของท่านมาให้แก่มนุษย์ เป็นความรักที่บริสุทธิ์ไม่เห็นแก่ตัว ให้คนเป็นคนดีไม่ว่าจะศาสนาไหน

 

พระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ประเสริฐสุด เป็นนามธรรม ของเทวนิยมคือยอดสุดคือพระเจ้าแต่ทำให้เป็นพระเจ้าไม่ได้ ถ้าจิตใจของคนมีคุณสมบัติ พรหมวิหารก็คืออันเดียวกับพระเจ้าก็คือพระบุตร ถ้ามีทฤษฎีความรู้เท่าใดก็พาไปสู่ผลเช่นนั้น อย่างอโศกนี่มี ทิฏฐิหรือทฤษฎีเช่นนี้ เราเรียนตามสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า จึงให้ผลได้ ให้คนได้รับประโยชน์ ตามการศึกษาของพระพุทธเจ้า ที่ท่านเรียกแยกว่าอเทวนิยมกับเทวนิยมนั้นมีความต่างกันที่ว่า

ทิฏฐิหรือทฤษฎีต่างกันก็แน่นอน แต่ว่าของพระพุทธเจ้าเรียนรู้เข้าถึงจิตวิญญาณ ทำจิตวิญญาณอย่างมีทฤษฎีวิเศษ ท่านเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ มีสูตรต่างๆสำคัญๆ สูตรใหญ่คืออาริยสัจ 4 ที่เป็นหัวใจของศาสนาพุทธที่รวมไว้ครบ หรือแยกเป็นโพธิปักขิยธรรม หรือจะเรียกสั้นๆว่าไตรสิกขาก็ได้ ถ้าเข้าใจ

 

รู้ฤทธิ์หรืออิทธิและมีญาณรู้ฤทธิ์ทางธรรมและฤทธิ์ทางโลกด้วย เป็นความเก่งพิเศษ มีอิทธิวิธญาณ คำว่าวิธ คือความหลากหลาย ผู้มีความรู้แบบพุทธมีความรู้แบบอิทธิวิธญาณ อยู่ในวิชชา 8

ข้อที่ 1 คือ เอโก ปิ หุตาวา พหุทาโหติ แปลเป็นไทยว่า หนึ่งเป็นความหลากหลายก็ได้ เป็นญาณวิเศษ อันที่ 1 เลย อิทธิวิธญาณ หมายความว่า ถ้าผู้ใดเข้าใจสิ่งหนึ่งของพระพุทธเจ้าแล้วจะเข้าใจสิ่งอื่นเป็นเนื้อเดียวกันหมดเลย เช่นถ้าเข้าใจสิกขา 3 เรียกว่าไตรสิกขาแล้ว อย่างเป็นหนึ่งเลยสมบูรณ์จบไตรสิกขาก็จะรู้ตลอดไปหมดเลยทั้งโพธิปักขิยธรรม อาริยสัจ 4 หรือมรรคองค์ 8 รู้หมดเลย หรือความรู้ทั้งหลายจะย่นย่อลงเป็นหนึ่งเดียวก็ได้

 

ตอบประเด็น

-ปฏิบัติธรรมอย่างไรจะได้บุญ?

ตอบ...ฟังดีๆนะ เรียนออกไปจากสัมมาสิกขาจะต้องให้ได้อันนี้ คำว่าบุญนี่แหละสำคัญที่ผิดพลาดกันในสังคมมนุษย์ คำว่าบุญ มาจาก คำว่า ปุญญะ นิยามคำว่าปุญญะคือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ แปลว่าชำระกิเลสจากสันดานให้หมดจด ก็ต้องปฏิบัติให้ชำระกิเลสจากสันดานให้หมดจด บุญไม่ได้ว่าทำแล้วจะได้รวย ได้สวย ได้หล่อ หรือได้โลกธรรม ต้องเข้าใจให้ถูกต้องคมชัด ไม่เช่นนั้นปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้บุญแต่ได้โลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขนั้นผิดเลย บุญคือเครื่องมือกำจัดกิเลส ก็ต้องเรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิ เมื่อเรียนถูกทฤษฎีพระพุทธเจ้าท่านให้อ่านกิเลสเป็น ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จะเกิดจิตวิญญาณ ตัวจิตวิญญาณที่มีกิเลสร่วมประชุมเป็นกายสังขาร ต้องอ่านอาการสังขารออก ว่ามันมีการปรุงเป็นจิตวิญญาณที่อยากได้เรียกว่าเปรต อยากได้มาเรียกว่าโลภ อยากได้มาเสพรสเรียกว่าราคะ อยากทำลายก็เรียกว่าโทสะ เราก็ชำระกิเลสนี่แหละ จึงจะได้บุญ

สรุปว่าต้องปฏิบัติธรรมลดกิเลส แล้วเรียนรู้กิเลสจากกระทบสัมผัสทวาร 6 แล้วอ่านวิจัยกิเลสให้ออกแล้วกำจัดกิเลสให้หมด

 

-ดญ.โมกข์ (แก้วกลั่นพร) อยากทราบว่าที่หนูไม่พอใจเสียงรอบข้าง หนูก็จะดับจิตไม่ให้ได้ยิน แล้วก็ไม่ได้ยินจริงๆ

ตอบ...เผื่อว่า น้องโมกข์ที่พูดมาเป็นสภาวะจริงของเขาก็เป็นการรวมจิตให้แล้วตัดทวารหู ตา ไม่ให้ได้ยิน แม้ไม่ให้เห็นก็ทำได้ เป็นวสี อำนาจการรวมจิต ทำได้กำหนดจิตไม่ให้รับเสียงหรือภาพ หรือรสก็ตาม ถ้าทำได้ก็เป็นสิ่งที่ติดตัวมา เป็นความพิเศษของจิต แต่ถ้าเราปิดไม่รับฟังเสียงของใครที่พูดให้เราไม่ชอบใจ ก็ดีที่ได้ปิดประตูฟังสิ่งที่เราไม่ชอบใจ แต่ไม่ดีอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนว่าให้รับรู้เสียงที่มากระทบ เป็นเสียงที่เราไม่ชอบใจเราก็รับฟัง แม้บางทีเขาด่าเรา เขาด่าถูกต้องด้วย เขาด่าดีด่าเก่ง หรือหยาบก็ตาม แต่เขาด่าถูก เราก็ต้องรับฟังเขา คำพูดหรือเสียงที่ไม่ต้องอารมณ์เรา เราก็ต้องรับฟังความหมายของสิ่งที่เขาพูดว่ามันถูกหรือผิดตามที่เป็น จะพูดอย่างหวานหรืออย่างด่า ถ้าพูดผิด เราก็เข้าใจว่าผิด เราจะโต้ตอบบอกว่าพูดผิดนะก็ทำ แต่ถ้าคิดว่าพูดแล้วจะเถียงกันเปล่าๆเราก็ไม่พูด แต่ว่าแม้พูดผิดเราก็ไม่โกรธ หรือเขาพูดไม่ดีเราก็ไม่โกรธ เราก็รู้ว่าเขาพูดไม่ดี เราจะไม่เอาอย่างไม่เอาตามหรือเขาพูดดีก็น่าศึกษา แต่ถ้าเราไม่รับเสียงมันก็เก่งดีอย่างหนึ่งพ้นทุกข์แบบเจโตสมถะ แต่ไม่ใช่โลกุตระไม่ใช่อาริยธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ให้รับรู้ความจริงว่าอะไรดีหรือชั่ว เราจะแก้ไขอย่างไร หรือเขาพูดผิดเราก็อย่าไปรับมา ศาสนาพุทธไม่สอนให้คนไม่รับรู้โลก แต่รู้โลก แล้วตัดสินได้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี เราถูกกระทบเราก็ไม่ถือสา เรารับรู้ได้ว่าเขาโกรธเราก็รู้ เราเอาประโยชน์ได้ก็ทำ เขาว่าเราไม่ดีแต่เราไม่ได้เป็นอย่างเขาว่า แต่เราดีอย่างที่ตรวจสอบแล้วนะว่าเราดี เขาคงไม่รู้ความจริง เขาไม่มีข้อมูลพอไม่ฉลาดพอเขารู้ไม่ได้ก็เลยว่าเราผิด ก็เท่านั้น ความผิดก็อยู่ที่เขา เขาข้อมูลไม่ครบ ไม่ใช่เรา หากเราจะแก้ไขให้เขารู้ก็แก้ หากไม่สมควรก็ปล่อยวางเสีย หากเขาตำหนิเราถูกต้องแม้เขาเจตนาร้ายก็นับว่าดีขอบคุณเขา

 

-จะลดอาการกามอย่างไร

ตอบ...อาการกามก็มีตามสรีระ คนมีความไม่บกพร่องก็มีฮอร์โมน เมื่อไม่มีคุณธรรมก็เกิดอาการกามจะทำอย่างไรให้หมดก็ต้องศึกษา ถามผู้ใหญ่ นักบวชดู ถ้าสนใจจริงก็ถามว่าเราเกิดอาการอย่างไรก็รู้แล้วถาม ไม่ใช่ไปนั่งสมาธิแล้วดับไม่รับรู้นะ ใส่ใจศึกษา ปฏิบัติ

 

-หนูอยากรู้ว่าหลวงปู่อ่านความคิดของคนอื่นได้ไหม? และจิ๋วแต่แจ๋วคืออะไรคะ?

ตอบ...อ่านได้บ้าง ไม่เก่งเท่าไหร่หรอก จากที่เรียนธรรมะพระพุทธเจ้าบ้างก็อ่านได้บ้าง แต่พระพุทธเจ้าอ่านได้มาก หรือคนที่พยายามฝึกก็จะอ่านได้ มีเอตทัคคะทางนี้ และจิ๋วแต่แจ๋ว คำว่าจิ๋วก็แปลว่าเล็ก คำว่าแจ๋วก็แปลว่าดี คือว่าเล็กๆนี่แหละดี ไปหลงใหญ่โตไม่ดีหรอก


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:29:55 )

571226

รายละเอียด

571226-พุทธชีวศิลป์(24) วนบ.เรื่อง ตถาคตว่ากายคือจิตบ้างมโนบ้าง

วันนี้วันศุกร์ที่ 26 ธ.. 57 แล้ว ใกล้สิ้นปีแล้ว แต่ละปีก็ผ่านไปแต่ละรอบ รอบของวันของเราก็ผ่านไปเรื่อย รอบของการเกิดของอาตมาก็ผ่านไปย่างเข้าปีที่ 81 เกินหกเดือนแล้วนะ อาตมาไม่ได้รู้สึกว่าแก่ เหมือนที่เขาเป็นๆกัน อาตมาไม่รู้สึกนะ ไม่ได้แกล้วนะ แล้วจะเป็นคนแก่ได้อย่างไร แต่หนังก็ย่นเหมือนกันนะ แต่เอาเถอะ ไม่เป็นไร ใจเราจะทำความมหัศจรรย์ให้เกิด ตั้งใจชิ้1.อิทธิบาท พิสูจน์ความยาวยืนของชีวิต โดยมีอิทธิบาทเป็นตัวนำ ตามหลัก 8 อ.

2.มีอารมณ์ ที่ไม่ได้ทอนอายุ  อาตมาไม่ได้มีอารมณ์ที่สปาร์ค ทางจิตวิญญาณ มันเหมือนไฟฟ้านี่แหละ แล้วมันก็สูญเสีย บั่นทอนชีวิต เพราะผู้ใดศึกษาธรรมะทำใจในใจให้มีอารมณ์ที่ดีสูญเสียพลังงานจะอายุยาวยืน ไม่ค่อยอ่อนแอ ไม่ค่อยเจ็บป่วย จะช่วยชีวิตได้มากเลย เป็นสิ่งวิเศษ

 

พวกสายสมถะฤาษีก็พยายามทำใจไม่ให้เกิดอารมณ์ เขาจะอายุยาวด้วย เพราะไม่ได้ปรุงเหมือนวิธีชาวโลกหรือของพระพุทธเจ้าก็ปรุงมากกว่าฤาษี ของเขาทำให้จิตเย็นสงบ ไม่สูญเสียพลังงานทางจิต ฤาษีจะอายุยาว แต่ของพุทธนี่นัยสามัญจะอายุไม่ยาวเท่าเขา แต่อีกอันหนึ่งของพุทธนี่ถ้าล้างกิเลสได้สูญ ได้จริง เกินสามัญ อนาคามีขึ้นไป จะให้อายุยาวยืนได้ ถ้าใช้อิทธิบาทเอา อายุจะยาวยืนยิ่งกว่าฤาษี

 

ตอนนี้อาตมาขยายความเป็นกายมาก ธรรมะของพระพุทธเจ้า คำว่ากายนี่เขารู้กันผิดไปจากสัมมาทิฏฐิ เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิต่อคำว่ากาย เขาก็สัญญา กำหนดผิด ทิฏฐิผิด สัญญาก็ผิด กำหนดกายก็ผิด ในการปฏิบัติจะล้างสัตตาวาส 9 ก็มีคำว่า กาย กับคำว่า สัญญา เป็นหลัก หากไม่รู้ความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณก็ไปหาเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ เหตุแท้ๆ ถึงอนุสัยของเหตุ จะไม่รู้ไม่เข้าใจเลยว่าสัตว์ทางจิตวิญญาณเป็นอย่างไร เช่นสัตว์นรก เปรต เพราะไม่รู้คำว่ากาย

 

แม้เขาจะบอกว่าเขาไปนั่งสมาธิแล้วมีญาณวิเศษเห็นกายผีหรือสัตว์นรก เขาก็จะเห็นเป็นรูปร่างสรีระ เส้นแสงเงาสี จะไม่รู้จักกายที่เป็นสภาพนามธรรม เพราะเข้าใจกว่ากายคือรูปธรรมเต็มๆไม่มีนามเลย คำว่ากายคืออัตตาของจิตวิญญาณ อัตตาของกิเลส ในจิต

 

กายต่างกัน สัญญาต่างกัน เขาก็รู้แค่กายเป็นร่างภายนอก มหาภูตรูป รูปร่างเส้นแสงเงาสีเป็นวัตถุ รูปรูปเท่านั้นไม่มีสันตติมาหานามธรรมเลย เขาจะเข้าใจกายต่างกัน กายเหมือนกันไม่ได้ ตามสัตตาวาส 9 เขาไม่เข้าใจเลย  1.          สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

 

หรือคำว่า กายกลิ ก็คืออกุศล คือกิเลส เขาก็เข้าใจกายกลิว่า คือตัวตนรูปร่างมือไม้แขนขาเป็นโทษ เช่นไปตีเขาด่าเขา ไม่ได้เข้าใจถึงกิเลสในจิตที่เป็นนามธรรมเลย กายวิญญัติ ก็เข้าใจว่าแค่อาการภายนอก แต่ที่จริงมีทั้งนอกและใน แม้วจีวิญญัติก็มีทั้งนอกและใน วจีสังขารก็คืออาการใจ เราจะเห็นอาการเคลื่อนไหว เป็นอาการกาม หรือพยาบาท

หรือกายสังขารข้างในก็เข้าใจไม่ได้ นี่คือความละเอียดลึกซึ้ง ถ้าเข้าใจเรื่องรูปนามที่ผิดก็ไม่เข้าเป้า พิจารณาให้ตายก็ไม่มีทางบรรลุธรรมอย่างถูกต้องแท้จริง ต่อให้มีกายสักขี ต่อให้อาสวะบางอย่างสิ้นไปได้ด้วย แต่ว่าก็ไม่รับรองว่าเป็นอรหันต์ จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะก็สิ้นไปหมดด้วย

 

กาย เวทนา จิต ธรรม ไม่ได้แยกกันนะ เมื่อวานนี้ ได้ยกอิทธิวิธญาณมาอธิบายที่ว่า เอโกปิ หุตวา พหุทาโหติ หนึ่งเดียวเป็นหลายก็ได้ หลายเป็นหนึ่งเดียวก็ได้นี่คือกาย จะแจกแจงอันเดียวเป็นหลายอันก็ได้หรือหลายอันเป็นหนึ่งเดียวก็ได้

ในพระไตรฯล.16 ข้อ

มหาวรรคที่ 7

1. อัสสุตวตาสูตรที่ 1

[230] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก

เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้างคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้างวิญญาณ บ้างปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา  ดังนี้ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

[231] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอัน

เป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ เมื่อดำรงอยู่   ปีหนึ่งบ้าง   สองปีบ้าง   สามปีบ้าง   สี่ปีบ้าง   ห้าปีบ้าง   สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง   สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้างย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้างวิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ

 

[232] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น

 ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุม

แห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น

ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ

 

[233] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับ ย่อมใส่ใจโดยแยบคายด้วยดีถึงปฏิจจสมุป

บาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า เพราะเหตุดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารเพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูปเพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้อนึ่ง เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

 

[234] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ มาพิจารณาอยู่อย่างนี้  ย่อมหน่าย

แม้ในรูป ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลายย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัดเพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้นเมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้วย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล ฯ   จบสูตรที่ 1

 

อาหาร 4 นั้นต้องรู้จักกาม จะรู้จักต้องมีผัสสะ แล้วจะเกิดวิญญาณ ปสาทรูป โคจรรูปทำงาน ในภาวรูปนี่คือวิญญาณที่รวมกันเป็นอาการปรากฏเรียกว่าภาวรูป เป็นวิญญาณ เป็นอัตถัตตะ เป็นปุริสสัตตะบ้าง เป็นอัตตาแบบอิตถีบ้าง อัตตาแบบปุริสสะบ้าง นั่นแหละคือภาวะปรากฏ เป็นองค์ประชุมที่เกิดปสาทรูป โคจรรูป ตากับรูป หูกระทบเสียงก็เกิดวิญญาณเราหมายเอาว่าคือจิต มโน วิญญาณ นี่พระพุทธเจ้าว่า ต่อจากนั้นจะอ่านเป็นอิตถัตตะหรือปุริสสัตตะ ถ้าอาการดิ้นไม่สงบไม่เป็นเอกคตาหรือไม่เป็นเอกบุรุษ มีกิเลสรวนดิ้นอยู่ก็เป็นอิตถินทรีย์มีตัวดิ้นอยู่ เป็นชีวิตินทรีย์ ของสัตว์นรก ในอบายภูมิ อย่างผู้หญิงหลงรูปร่างกาย ให้เขาผ่าเจ็บและเสียเงิน เสี่ยงด้วย นี่คือยึด จิตมันดิ้น เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ที่ออกไป มีข้างในเป็นมโนวิญญัติ

 

 

มาดูสูตรหลังจากปุตตมังสสูตรอีกมีว่า...4. อัตถิราคสูตร

[245] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกร

ภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่างเพื่อความดำรงอยู่ของสัตวโลกที่เกิดมาแล้ว เพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด อาหาร 4อย่างนั้น คือ 1 กวฬีการาหาร หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง2 ผัสสาหาร 3 มโนสัญเจตนาหาร 4 วิญญาณาหาร อาหาร 4 อย่างนี้แล เพื่อความดำรงอยู่ของสัตวโลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ

 

[246] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก มีอยู่ใน

กวฬีการาหารไซร้ วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามในกวฬีการาหารนั้นในที่ใด วิญญาณตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้น ย่อมมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่ใดมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้น ย่อมมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่ใด  มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้น ย่อมมีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่ใด มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่นั้น ย่อมมีชาติชรามรณะต่อไป ในที่ใดมีชาติชรามรณะต่อไป เราเรียกที่นั้นว่ามีความโศก มีธุลี (คือราคะ) มีความคับแค้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยากมีอยู่ในผัสสาหารไซร้ ... ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก มีอยู่ในมโนสัญเจตนาหารไซร้ ... ถ้าความยินดีความเพลิดเพลิน ความทยานอยากมีอยู่ในวิญญาณาหารไซร้ วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามในวิญญาณาหารนั้น ในที่ใดวิญญาณตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้น ย่อมมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่ใด มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้น ย่อมมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่ใดมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้น ย่อมมีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่ใดมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปในที่นั้น ย่อมมีชาติชรามรณะต่อไป ในที่ใด มีชาติชรามรณะต่อไป เราเรียกที่นั้นว่ามีความโศกมีธุลี มีความคับแค้น ฯ

 

พ่อครูว่า...แล้ววิญญาณนั้นเป็นเทวดาอัลลิกะ คือเทวดาเท็จ แต่เป็นผีอาริยสัจ เป็นสมุทัยแห่งผี ตัวร้าย เป็นสุขทุกข์ตัวเดียวกันเป็นของเท็จแต่เป็นตัวจริงของผี อารมณ์อร่อยนี่แวบแล้วหาย แวบๆๆ แต่อารมณ์ติดยึดนั้นมีอยู่นานเป็นเหตุแห่งทุกข์ ก็ให้พิจารณาให้อาหารนี่แหละ ให้สำรวมอินทรีย์ แตะทางลิ้นได้กลิ่นทางจมูก ตาเห็นหรือได้ยินเขาว่าน่ากินจัง ก็ชี้ชวนมาแล้วเพื่อนผีทั้งหลายมาเป็นกองเชียร์ พอได้มาก็กินเข้าไปก็นัวก็แซบเหลือเกิน นี่คือคนเรามันยากนะ อาตมาว่า ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องมาล้างไม่ให้อร่อยแล้วจะลดได้จริงไหม? แล้วที่ว่านี่ลดได้ไหมของตนเอง ก็ลดได้ แล้วที่ลดหมดเลยมีไหม บางคนมีได้นะ ไม่หมดก็ต้องพิจารณาต่อ ความเพียรคือเพียรส่งตนไปอยู่ นี่คือเพียรพิจาราเมื่อผัสสะในกวฬีการาหาร หรือโภชเนมัตตัญญุตานี่แหละ เรากินข้าวทุกวันไม่ต้องไปหาที่อยู่ไหนๆเลย อยู่ในชีวิตประจำวันนี่แหละจะได้เป็นอรหันต์ ถ้าไปเข้าป่าก็ลงเหวหมด ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ ฟังแล้วน่ากลัว

 

แบบนี้อย่าไปปฏิบัติเลย ว่ากินไม่อร่อยไม่ชื่นใจก็เหี่ยวหมด เหงาหมดฟังดูน่ากลัว แต่อาตมาก็เคยอร่อยเคยติดนะ แต่อาตมาก็หมดได้ อย่ารู้สึกท้อแท้ ใครทำได้บ้างแล้วก็คือความจริงแม้จะทำได้ไม่มากนักแต่ถ้าใครเห็นได้มากหรือว่าหมดจริงได้เลยในเรื่องใด การหมดที่ว่านี้เป็นการหมดในการเรียนรู้อย่างมีสภาวะ มีสติสัมปชัญญะ เป็นญาณปัญญา ชัดว่ามันเป็นตัวไม่จริงไม่แท้ ไม่อยู่อย่างนั้นมันเป็นเหตุให้เราติดยึดเป็นภาระ การจะได้มาก็ต้องแสวงหา แย่งชิง ฆ่าแกงกันทำร้ายกัน แย่งลาภยศสรรเสริญ แย่งกามกัน ก็มีข่าวฆ่ากันเรื่องเพศนี้ทุกวันหรือกิเลสในอาหาร

 

เรื่องจริงมีว่า มีคนซื้อขนมหม้อแกงเหลือชิ้นเดียวชิ้นละ 25 สตางค์ ซื้อไว้แล้วฝากไว้ ไปธุระ ก็ไม่มาตั้งนาน แต่ก็มีลูกค้าอีกคนมาถามว่าจะซื้อขนม แม่ค้าก็ลังเล แล้วก็เลยขายให้คนนี้ไป แต่คนที่จองไว้คนแรกมาเจอพอดี ก็เลยว่าของกู แต่อีกคนก็ว่าจ่ายเงินแล้วก็ทะเลาะกัน ก็แทงกันตาย...เป็นข่าวในนสพ.ด้วย แค่ของกินแค่นั้น ถ้าแย่งของมากกว่านั้นก็ฆ่ากันตายไม่ประหลาด มันบ้าได้ขนาด

 

เมื่อมาลดละล้างแล้วจะเห็นจิตตนสบาย อย่างอาตมาอาหารเขาก็ทำมาให้กินทุกวัน ก็กินไปตามนั้น นานมาแล้วกว่า 60 ปีก็กินมาตามที่เขาทำมาให้กิน เขาก็ลดรสจัดลง จนมาเป็นทุกวันนี้ ใครจะลองดูก็เอาอาหารอาตมามีเหลือมากินต่อได้ ก็ไม่ได้ห่อเหี่ยวอะไร ที่พูดนี่ยืนยีนว่าอาตมาไม่มีอาการติดยึดโหยหาอาลัย อยากได้ หรือว่าแม้กินก็ชื่นใจ

 

เราละได้แล้วเราไม่เคยโหยหาอาวรณ์ เราละได้แล้ว แต่ว่ามันยังจำได้อยู่ว่าอร่อยชื่นใจมีอยู่ เราก็จำได้ แต่แท้จริงเราขาดแล้วมันไม่มีเราก็ไม่เคยเรียกร้องหา แต่ไปพบสัมผัสเขากิน เขามี แต่เขาไม่ได้เอามาให้เราเราก็ไม่ได้อยากตามเขา จิตใจเช่นนี้ก็ไม่มีอาการเช่นนี้เราก็จะรู้ความจริงว่าจิตเราขาดคืออย่างไร ว่าเราโหยหาได้มาก็ดีหรือว่าสัมผัสแล้วก็จำได้อยู่ แต่ไม่มีอาการก็เรียนรู้ไป ไม่ได้นึกอาลัยอยากได้อะไร ก็อ่าน หยาบ กลาง ละเอียดว่ามีหรือไม่สิ้นไปแล้วหรือไม่ นี่อยู่กับความจริงไม่ใช่ปฏิบัติในความจำ เรามีเศษอาการ ราคะ นันทิ ตัณหาใดๆในจิต เราไม่มีแล้วมีแต่อภิสังขารในจิต ว่างจากกิเลส นี่คือฐานนิพพาน ว่าง วางเฉย กลาง ไม่มีชีวิตินทรีย์ของสัตว์ มีแต่ความว่างเป็นอากาสธาตุ เพราะได้ปฏิบัติในเรื่องนี้ จำเพาะว่าเป็นปริเฉทรูป กรอบนี้ตั้งแต่มันโต จนมันเล็กเหลือเป็นความว่าง อาหารรูปที่เป็นกวฬีการาหาร คืออาหารที่ปราศจากกิเลส คุณกินเพื่อยังชีพ แต่ไม่ได้กินเพื่อบำรุงกิเลส เพราะคุณอ่านสภาพจิตที่หทยรูป อาการของอิตถีภาวะ เป็นอิตถัตตะ ไม่มีแม้อุปกิเลสหรือมีเป็นผรณาปีติ แผ่บางเบาเป็นหลุตา จะบอกว่าไม่มีก็มีแต่บางเบา แต่เปลี่ยนได้เร็ว รู้ว่านี่คือความจำได้นะ จิตเราก็มีมุทุตาแววไวรู้ได้ว่ากำลังจะให้ผีเข้านะ แต่เราทำได้เป็นนิสรณปหาน ทำได้เร็วกว่าบุรุษคู้แขนเหยียดแขนเลย เราก็ทำได้เกิด มุทุตา กายกัมมัญญตา ลหุตาได้ เราก็ไม่ได้ยึดหวงว่ามาเป็นของเราเราก็แบ่งแจกให้คนอื่นได้เราก็ใช้แค่อาศัยอยู่เท่านั้น

 

คนที่จะให้เราจะอนุเคราะห์เรามีอยู่ เราเชื่อมันว่าสังคมเลี้ยงดูเราได้แม้อาหารก็ให้คนอื่นเลี้ยงไว้ เป็นชีวิตที่เนื่องด้วยคนอื่น ปรปฏิภัททา เม ชีวิกา และพระพุทธเจ้าว่าอย่าประมาท อย่ายินดีในความเนิ่นช้า แม้จิตที่เล็กละเอียดจนเหลือน้อยนิดกับหมดจริงๆนี่มันง่ายหรือยาก ที่จะตัดสิน มันเหลือน้อยหรือหมดแล้ว ตัดสินยาก แต่ถ้าคุณมีอาการนั้นก็ไม่ต้องกังวลหรอกจะเหลือน้อยหรือนิด แต่ถ้าไม่ประมาทก็ทำไป เป็นมุทุตา จะเกิดเร็ว พิจารณาไปมาได้จนมันไม่เกิด ปฏิบัติเองจะรู้ ชีวิตก็อยู่กับโลกด้วยกัมมัญญตา มีเหตุปัจจัยอยู่กับโลกธรรม กามคุณที่โลกมีเราก็ไม่แย่งชิงมาบำเรอตนก็เอาตามเหมาะควรได้อาศัย เราเป็นคนดีเสียสละรับใช้สังคมมีประโยชน์ไม่ต้องกลัวหรอกจะเหลือเฟือคนอื่นจะเอามาให้ อย่าทำตนให้น่าเบื่อน่ารังเกียจก็แล้วกัน

 

ให้พากเพียรก็แล้วกันอย่ากลัวเป็นอรหันต์นะ เราฟังนี่ก็ได้อานิสงส์แห่งการฟังธรรม 5 ประการ

1.มีสิ่งใหม่ได้เกิดเสริมมากขึ้น

2. เข้าใจสิ่งเก่ามากขึ้น

3.บรรเทาความสงสัย

4.ทิฏฐิก็ตรงขึ้น

5.เลื่อมใส่มากขึ้น จิตสบายมากขึ้น

 

คุณฟังก็ได้อานิสงส์จะเกิดปัญญามากขึ้นมีกำลัง จะเกิดอิทธิบาทมากขึ้นๆ

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

-เพชรพลัง....วันนี้กินข้าวที่บ้านราชฯมันเหนียวๆดี กินใช้ตะเกียบ ก็เลยนึกถึงเมื่อก่อนกินกับปลาทู พอสัญญามันขึ้นมาก็น้ำลายสอเลย...อันนี้คืออะไร?

ตอบ....มันยังมีอาการกิเลสที่เป็นพิษมีปฏิกิริยาอยู่ เราก็พอรู้ว่าไม่ได้จัดจ้านอะไร เป็นผีหลอน นอกจากคุณมีบารมีเก่า พอรู้ปั๊บมันก็ไม่เหลือเยื่อใย แต่คนไม่มีบารมีเก่าก็ต้องล้างไป ยิ่งเหลือน้อยยิ่งช้า อย่ารำคาญต้องเรียนรู้ทำทุกบทที่สัมผัสแล้วเกิดอาการคุณต้องสำทับมันทุกที จะมีมุทุภูตธาตุมากขึ้น จะทำให้จิตเราเจริญเร็วขึ้น เหลือน้อยกับหมดนี่มันอ่านยาก

 

-ใจฟ้า...ปกติฟังพ่อครูแล้วหลับตลอด ไม่รู้บาลีแต่วันนี้พอเข้าใจ มันไปได้เรื่อยๆ ไปสะดุดที่ว่าพ่อครูว่ามันน่ากลัว อนุมานว่าเหมือนคนติดบุหรี่ เห็นคนเขากระสับกระส่ายอยากได้ แต่ตอนนี้เราติดอาหารก็จะอาการเดียวกัน แต่ก่อนไม่ปฏิบัติธรรมเขาว่าอร่อยที่ไหนก็ไป เหนื่อยหรือว่าเสียเงินแค่ไหนก็ต้องไป แต่ว่าถ้าเราเลิกได้นี่มันวิเศษยิ่งกว่าเลิกบุหรี่ได้อีกมากเลยยิ่งใหญ่กว่าไปเลิกสิ่งเสพติดพื้นๆ

ตอบ...การเลิกติดอาหารนี่ค่าสูงกว่าเลิกติดยาเสพติด

 

-เป็นแม่ครัว คิดว่าเรามีหน้าที่ทำอาหารให้อร่อยคนกินได้เท่านั้น หน้าที่พิจารณาเป็นของคนกิน...คิดอย่างนี้ถูกไหม?

ตอบ...เราต้องเข้าใจว่า ทำเพื่อตนเองหรืออนุโลมเพื่อผู้อื่น การจะให้คนอื่นมาเป็นแบบเรา เพราะเราคิดว่าแบบเราดี ก็เป็นสิ่งดี แต่เราต้องรู้ว่าคนอื่นเขาก็มีความติดยึดของเขา เราก็ต้องอยู่อย่างอนุโลม แม่ครัวนี่ทำอาหารให้คนอื่นกินนะ เราไม่ติดก็เถอะ แต่คนอื่นเขาติดรสอาหาร แล้วเราก็ทำได้ด้วย เราก็ทำให้เขากินได้แล้วก็ค่อยให้เขาได้ลดละ แต่เรามีเกณฑ์ว่าไม่อร่อยจนมอมเมาให้อร่อยยิ่งขึ้นๆ ที่เขาติดอยู่ก็เหลือแหล่แล้ว เราก็ต้องทำให้เฉลี่ยให้ดี ถ้าเรามีศิลปะว่าถ้าปฏิบัติธรรมต้องลดละ ให้พิจารณา ขนาดพวกเราปฏิบัติธรรมในนี้ก็ยังกว่าจะเข้าใจก็ต้องพูดกันมาก แต่คนข้างนอกเลยเขาไม่ได้มารู้กับเรา ร้านอาหารมังฯเราไม่ใช่สักแต่ว่าไม่ให้กินเนื้อสัตว์อย่างเดียว แต่ว่าเรื่องกามคุณเราก็ประมาณด้วย ไม่ถึงกับว่ากินไม่ไหวจริงๆ มันไม่บำเรอทีเดียวแต่ก็ไม่ปรุงแต่งเต็มที่

 

ผู้ที่ปรุงรสเต็มที่ เอาใจคนกิน แต่เป็นมังสวิรัติได้เท่านั้น ก็มี เขาเอาแค่ไม่กินเนื้อ แต่ของเราก็รู้ว่าคนมากินนี้ก็มีหลายระดับ เราจะให้คนมาอุดหนุนมากก็ต้องใช้การปรุงแต่งหลายกระบวนท่า แต่ต้องรู้ ว่าเราเองเอาประเด็นสำคัญว่าเราไร้สารพิษ มีคุณค่าทางอาหารนะ มีสารอาหารดีนะ แม้จะเป็นรสชาติโลกีย์เราก็อธิบายว่าเป็นพิษพอสมควร อย่างนี้ดีกว่าก็ให้ความรู้กันได้ เราอยู่กับสังคม โดยเฉพาะเราออกร้านกับคนทั่วไป เราทำขายกับทำที่วัดก็ไม่เหมือนกัน ที่วัดต้องให้ลดค่าโลกีย์ลงไป อย่าบำเรอ นี่คือประเด็นสำคัญ แล้วเขาก็เข้าใจเต็มใจมาลดก็สำเร็จ

 

ต้องรู้จักเขตแห่งความพอเพียง ใน สัปปุริสธรรม 7 ต้องอนุโลมปฏิโลมให้เป็น ก็คนละส่วนที่เราจะประมาณให้พอเหมาะ นี่คือความพอเหมาะพอควรเรียกว่ากัมมัญญตา หรือในขณะทำงานเรียกกัมมนิยะ คือยังไม่เจริญได้ผล แต่พอเจริญเป็นอุเบกขาแล้วจะใข้คำว่ากัมมัญญตา แต่ในภาษาไทยว่า การงานอันเหมาะควรทั้งคู่ ทั้งกัมมนิยะกับ กัมมัญญาตา

 

-อาการปีติที่บีบคั้นจิตใจ เป็นอุพเพงคาปีติ อาจมีถึงกระโดดโลดเต้น ขนลุกชูชัน หรือน้ำตาไหล แต่ถ้าพพจ.ว่าจะให้อาศัยปีติก็ให้อาศัยแต่ ผรณาปีติ ให้บางเบา ถ้าเราได้อาการปีติแต่นี้ก็อาศัยได้ เป็นคนรู้พอสันโดษ ไม่ให้แรงมาก ให้เบาบางไว้ อาตมากลัวพวกกีฬาที่ดีใจมากแสดงออกมากเลย ซักวันจะช็อกตายได้คาสนาม เขาพยายามเอาตัวอย่างกัน

 

เดี๋ยวนี้เขา built อารมณ์กันจัดมากเลย ในสังคม อย่างบอลชนะกันก็เห่อกันมากเลย อย่าเตลิดเปิดเปิงเพราะจะเป็นภัยมาก คุณไม่รู้ว่าติดอันนี้ก็พาไปติดอันอื่นอีกมาก โลกียสุข โลกธรรม จนมันจะเลอะมีคนเขียนบทความว่าถ้าซิโก้สมัครเป็นนายกฯซิโก้จะได้ทันที ลองคิดดูว่าจะเหมาะสมไหมที่เอาคนที่ไม่ชำนาญการบริหารประเทศมา อย่างฟิลิปปินส์เอาดาราหนังมาเป็น ปธน. ก็ไม่กี่ปีก็ต้องลง อย่างทุกวันนี้เอาดารามาเป็นตัวแทนวัฒนธรรม พวกนี้มันแฝง คนละเรื่อง เขาก็เลยเอาอย่าง ชื่นใจอันนี้ ก็เลยมาเอาดาราแต่ได้อบายมุขของดาราด้วย สิ่งที่เขาติดนี่มันไม่ใช่เรื่องวัฒนธรรมแต่เขาติดอบายมุขที่ดารามีหนักกว่านะ

 

 

-คุณปิ๋ม จากสวีเดน เขียนมา....ถามว่าโยนิโสมนสิการ กับโยนิโสมนสิกโรติ ต่างกันตรงไหน?

ตอบ...ก็ต่างกันนิดเดียว มนสิการแปลว่าการทำใจในใจเป็นคำนามส่วนมนสิกโรติเป็นคำกิริยา เป็นการทำใจในใจ แต่เนื้อหาไม่ได้ต่างกันแต่อย่างใด ใช้คนละบริบทแค่นั้น

 

-.ฟ้าไท..ว่าผู้สมัคร ว.บบบ.ปีนี้มีน้อยกว่าปีก่อน พวกที่ได้เข็มแล้วก็ไม่มากันมากนักเพราะอะไร?

ตอบ...ศรัทธาก็ยังน้อย ปัญญาก็ยังน้อย เห็นว่าทำไมน้อยลงมีเหตุปัจจัยเยอะทั้งพวกเราและข้างนอก ข้างนอกเขาก็ไม่ได้แสดงออกว่าชื่นชมอโศก แต่อาตมาก็วัดศรัทธาและปัญญาของโศกที่ทำงานเผยแพร่ทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง หรือแม้แต่ออกไปทำงานกับสังคม เราสงเคราะห์ได้ยากเพราะเราตั้งหลักตั้งตัวยังไม่ได้ดี เพราะแบบเรานี่ทั้งจนทั้งตั้งหลักช้าทั้งการต่อต้าน ทั้งเรื่องสถานะ เป็นเรื่องใหญ่ สถานะของมหาเถรสมาคมกับของโพธิรักษ์มันเท่ากับฟ้ากับก้นเหว จะให้กระเตื้องสัมพันธ์กันขึ้นมาพากันใกล้ขึ้นมานั้นยากมาก ที่วัดคืออาตมาเทศน์กระทบเขามากนะ แต่เขาเงียบ เพราะเขามีปัญญา อาตมาถึงอุ่นใจว่าในยุคนี้ยังมีผู้มีธุลีในดวงตาน้อย ในมหาเถรสมาคม อโศกไม่ได้ตกต่ำ แม้จะเจริญช้า

 

แต่ในส่วนตัวชาวอโศกเขาก็ยังไม่ถึงขีด ในศรัทธาและปัญญา เมื่อไม่ถึงขีดก็ต้องยังไม่เปลี่ยนแปลง ที่ช้าเพราะทางสังคมไม่เห็นดีเห็นด้วยเพิ่มเท่าไหร่ ในพวกเราเอง ก็มาทางนี้ไม่ได้มาเพื่อที่จะอาศัยได้ทันทีเพราะเราก่อร่างสร้างตัวช้า เขาเห็นว่าเราก่อร่างสร้างตัวช้า แต่ถ้าเขามานี่มันจะน้อยกว่าเขามีฐานเขาจึงมาไม่ได้ ต้องรอจนกว่าเราจะมีอนุโลมมากกว่านี้ หรือว่าไม่ใช่เราอนุโลม แต่ของเราสะดวกสบาย มีเหตุปัจจัย คือสรุปว่ามาแล้วต้องเหนื่อยน้อยลง ก็จะมาแต่มาตอนนี้จะหนักเหนื่อย ต้องรอชุบมือเปิด คนที่จะมาก็ต้องมีอินทรีย์พละพอ เขารู้แล้วว่าเราทำอันนี้เพื่อให้เขาสนใจแต่เขาดูทีวีก็ได้แต่ถ้ามาเข้านี้ก็เหนื่อย ต้องทำอะไรต่างๆนานา แม้ที่สุดทำแล้วอาตมาให้มีเข็มทองคำเป็นอามิสแต่เขาอย่างหยาบเขาได้แล้วยังเอามาคืนเลย แล้วเขาจะอยากมาได้อะไร ก็เลยไม่มา


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:31:15 )

571228

รายละเอียด

571228_ทวย.งานว.บบบ.ครั้งที่ 3 เรื่อง บุญคือการทำสงครามกับกิเลส

ครั้งนี้เป็นว.บบบ รุ่นที่ 3 อาตมาก็เห็นกิริยาตื่นตัว ทางกาย วาจา แล้วก็ไม่ผิดที่ว่ากิริยานี้มาจากใจ เห็นได้ว่าพวกเรามีค่ารวม มีกายวิญญัติ วจีวิญญัติว่า เรารื่นเริงในธรรม ขณะนี้เราก็ยังไม่ระลึกถึงข้อสอบ อยู่ในช่วงบำเพ็ญคุณกัน แต่เมื่อถึงวันที่ 1 ก็จะระลึกถึงการสอบก็ว่ากันไป

 

เรื่องที่อาตมาต้องเน้น ต้องเปิดเผยต่อโลก ที่เป็นสัจจะที่เกิดจริงได้ เช่นกลุ่มพวกเราเป็นต้นที่เราได้เริ่มมาแล้ว มาจนถึงบัดนี้ ได้แสดงภาวะองค์รวม คือกาย คือความเป็นกายะหรือกายํ เป็นกายา(พหุพจน์)  แสดงออกภาวะองค์รวม ที่เป็นปึกแผ่น ที่เรามีคุณสมบัติที่เรามีในตนที่เป็นคุณที่เรียกว่าได้บุญ เป็นสิ่งที่เป็นทางดี เป็นสมบัติของเรา ที่เป็นบุญแบบพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วเราต้องมีภาวะคุณธรรมถึงขั้นคุณวิเศษ เป็นความรู้ความสามารถ

 

ควบรวมเป็นคุณนิธิ ที่เป็นคลังแห่งความดี ที่มีมากพอจนเป็นคุณราศี คือมีคุณธรรมที่เรามีเป็นคุณธรรมขั้นคุณวิเศษมีมากจนแผ่พลังให้คนอื่นได้เรียกว่าคุณราศี แผ่เป็นพฤติกรรมทางกายกรรม วจีกรรมหรือมีราศีรังสีอื่นก็ตามที่ออกไปพร้อมกายหรือวาจา ที่ออกไปเป็นกายวิญญัติหรือวจีวิญญัติก็มาจากมโน จิตของผู้นั้นที่มีคุณวิเศษ เมื่อมีอย่างนี้คนที่สัมผัสก็พอรับรู้ได้ และก็จะพออ่านออกว่า คุณสมบัติของชาวบุญนิยมเป็นอย่างนี้ เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดในบุคคลหมู่กลุ่มแล้วมีบทบาท ตั้งแต่อาชีวะ กัมมันตะ วาจา ซึ่งมาจากระบบความนึกคิดของคน พระพุทธเจ้าท่านตราสูตรต่างๆเราก็ได้ปฏิบัติตามนั้นมา จะเป็นการงานอาชีพ ก็บ่งบอกว่าพ้นจากกุหนา

 

กุหนาคือหยาบเห็นๆหน้าด้านหน้าทน ส่วนลปนานี่ทำโกงอย่างกลบเกลื่อนหลอกลวง ทุจริต ไม่ดีให้คนอื่นหลงผิดได้พรรคพวกเยอะ เรียกว่าอาชีพชั่ว กุหนา ลปนา เป็นมิจฉาชีพที่จะต้องหลุดพ้นก่อน ไม่มีในหมู่กลุ่มสังคมนั้น

 

อย่างชาวอโศกนี่เขาจะเรียกว่าพวกเคร่งศีล มันมีผลทั้งภายนอกและภายใน เป็นบาทฐานของการปฏิบัติ ศีลของชาวอโศก คนจะเห็นว่าเคร่ง อย่างอ.หมอประเวศ ก็บอกว่าถ้าจะเอาศีลก็ไปอโศก ไปสมาธิก็ไปธรรมกาย ไปด้านปัญญาก็ไปที่สวนโมกข์เป็นต้น แต่แท้จริงแล้ว ศีลก็ขัดเกลาถึงจิต ดูในกิมัตถิยสูตร

 

อโศกไม่มีกุหนา ลปนา อโศกอยู่ในระดับเนมิตกตา ต้องระวังสังวร (เนมิตกตาแปลว่าเสี่ยงโชค) เราไม่เสี่ยงแบบโลก แต่เราเสี่ยงทางธรรม ว่าเราจะเจริญไหม ในศีลของเรา อย่างศีล 10 นี่สามารถปฏิบัติให้ถึงอรหันต์ได้ มีโภคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะ มีชีวิตอยู่กับสาธารณโภคี อยู่กับกองกลาง ซึ่งเป็นได้จริงไม่ใช่ว่าแค่อวดโชว์ แต่เราทำด้วยทางกายและจิตที่จริง เมื่อปฏิบัติได้ ก็มีคุณราศี เป็นคุณสมบัติที่ระดับอุตริมนุสสธรรม เป็นโลกุตระทีเดียวที่ทวนกระแสโลก เป็นคนมาจนไม่สะสม สละออกเกื้อกูลโลกรับใช้โลก เป็น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) มีอยู่ในหมู่ชาวเราที่มั่นใจ นานเป็น 30 ปีแล้วก็ยังมีสภาพแข็งแรงมั่นคง มีผู้ทำถึงนิปเปสิกตา มองตนในทางที่ถูก แต่ถ้ามอบตนในทางที่ผิดคือไปรับใช้คนที่ผิด เอาเปรียบโลก รับใช้คนโลกีย์ อย่างนี้ไม่พ้นนิปเปสิกตา เช่นสมมุติว่าเราเป็นคนบริสุทธิ์แต่ในบริษัทของเขาไม่บริสุทธิ์มีโกงกิน เราก็รับรายได้เงินเดือนจากเขา เราบริสุทธิ์ เรายังเป็นหน่วยในข้องนั้นเป็นปลาเน่าในข้องเน่านั้น

 

คนจะบริสุทธิ์ได้ ปฏิบัติอาชีพที่บริสุทธิ์ ถ้าเราไม่ไปมอบตนในทางผิดก็มีสองอย่าง 1.ทำอาชีพส่วนตัวที่ไม่โกงกินไม่ทุจริต แต่ถ้าเป็นอาชีพรับใช้อื่นก็น้อยมากเลยเช่นข้าราชการเป็นต้นหาสุจริตยากมาก ยิ่งทางธุรกิจการค้าที่จะมอบตนในบริษัท ก็ไม่ต้องพูดเลย มีคอรัปชั่น ติดสินบนโกงบัญชี ต่างๆนานาสารพัด ยาก จึงต้องทำงานส่วนตัว  2.ต้องมาอยู่กับหมู่กลุ่มชาวอโศกจึงพ้นได้ แต่ถ้าอยู่ข้างนอกยากมากที่จะพ้นได้ แต่ของเราทำงานฟรีได้ ถึงขั้นลาเภ น ลาภัง นิชิคงสนตา ไม่เอาการใช้ลาภแลกลาภแล้ว ในหมู่พวกเราชาวอโศกจึงเป็นหมู่ที่มีคุณภาพพ้นมิจฉาชีพได้อย่างสง่างามมากเลย ไม่ได้คุยโอ่อวดนะ แต่ขอย้ำอ้างอิงตัวพวกเรา ให้มาเช็คผลดู ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน มาได้ 30 ปีกว่าแล้ว ในความเป็นสังคมมนุษย์ที่มีพฤติกรรมเป็นจริงได้ แค่ใด ให้พวกเราตรวจสอบ มีปัญญาดีก็พัฒนาตัวเองให้เกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ

 

คุณสมบัติของบุญนิยมต้องเป็นคุณธรรมถึงขั้นคุณวิเศษ เป็นอุตริมนุสธรรม เป็นเรื่องเป็นไปได้ ไม่ใช่ลึกลับอ่านไม่ออกจริงหรือไม่? เป็นไปตามอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ไม่ใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์

ดูกร เกวัฏฏะ  เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว  จึงได้ประกาศให้รู้   ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง  เป็นไฉน ?  คือ

       1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี)

       2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา)

       3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา8 เป็นปัญญาสัมปทา)

พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ)   ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์  แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์

 

การทำทานก็เป็นอุตริมนุสธรรม มีผลโลกุตระ แม้ศีลก็เป็นโลกุตระ เพราะจิตเราไม่ต้องการจะทำร้ายทำลาย เอ็นดู เกื้อกูลจริง จนไม่ไปทำร้ายสัตว์ใด แม้จะเอาเนื้อสัตว์มากินก็ไม่ จิตก็ลดได้จริง แม้ความโลภก็ลด นั่นคือศีลมีผลทางจิตโลกุตระ มีภาวนาคือการเกิดผล แต่เดี๋ยวนี้ไปทำแบบสะกดจิต ทั้งที่ภาวนาเป็นผลจากการปฏิบัติทาน ปฏิบัติศีล เป็นอาริยธรรมโลกุตรธรรม ให้ละหน่ายคลายจางกิเลสได้ แต่ไปแปลภาวนาว่าเป็นมรรค ไปนั่งบำเพ็ญหรือว่าไปนั่งท่องบ่นหรือนั่งสมาธิก็เพี้ยนไปหมด

 

ภาวนาคือหุตัง เป็นผลที่เกิดในจิต สังเวยที่บูชาแล้วมีผล ก็คือปฏิบัติบูชาแล้วจิตมีผล ตรวจสอบได้ว่าจิตเรามีผลแค่ไหน จางคลายหรือดับได้สนิท เป็นคุณธรรมที่จะละกิเลสได้จริง แล้วเช็คผลว่าเราก็อยู่กับสังคม เปิดทวาร5 แล้วเราก็อ่านได้ว่าเรามีกิเลสเหลือหรือไม่ เห็นอยู่โทนโท  มีอิตถีภาวะและปุริสภาวะอย่างไร ซึ่งเป็นสภาวะปรมัตถ์ไม่ใช่เรื่องของเพศอย่างเป็นร่างสรีระ เป็นบุญได้ ผู้ได้บุญต้องมีคุณธรรมขั้นนี้ ปฏิบัติแล้วลดกิเลสได้ เป็นส่วนแห่งบุญ เป็นปุญญภาคิยา คือส่วนแห่งการชำระกิเลสไปได้ตามลำดับ ถ้าชำระได้หมดก็รู้ว่าหมด การได้บุญที่อาตมาเน้นต้องเข้าใจบุญให้ถูก ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าบุญนิยมคืออย่างไร ? ค้าบุญคือบาปกันเกลื่อน ได้บุญเป็นบาปกันได้เยอะ ไม่ได้ใส่ความหรือว่านะ แต่เอาสัจธรรมมาแฉ เปิดเผยให้เห็นความจริง อาตมาไม่ได้เกลียดชังใคร เกรงใจแต่ก็ต้องทำเพราะไม่มีทางเลี่ยง ถ้าไม่เข้าใจบุญให้ถูกก็ไปไหนไม่รอด

 

บุญนิยมเป็นระบบที่เก่ามาก พระพุทธเจ้าอุบัติก็มีลัทธิบุญ อย่างสัมมาทิฏฐิ ที่จริงคำว่าบุญในยุคนั้นก็เพี้ยนๆอยู่ แต่พระพุทธเจ้าก็เน้นเข้าหาสาระจริง ในยุคพระพุทธเจ้าก็มีเก่า แต่ว่ายุคนี้ต้องยิ่งใหม่เลย ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง คำว่าบุญคือสัจจะ ทันสมัยยิ่งกว่าด้วยในยุคนี้ ล้ำสมัยเกินไป อาตมาว่าเมืองไทยเองคำว่าบุญมันล้ำยุคไปไม่รู้เท่าไหร่ อาจถึง 10 ปีเลย แต่ไม่แน่เมืองนอกอาจรู้บุญได้เร็วกว่าไทย ถ้าไทยยังงงอยู่เช่นนี้ ไม่มีปรโตโฆษะ โยนิโสมนสิการ แต่ว่าไม่น่าจะนานนัก อาตมาทำงานมา 30 กว่าปีก็หนักแต่ไม่ท้อ ไม่ได้เอากิเลสมาล่อ อย่างเณรคำยังมีสมาชิกมากกว่าอาตมา สำนักที่เขาเอาอะไรมาล่อก็ได้บริวารเยอะ แต่อย่างเราทำนี่ยากที่จะมีคนเข้าใจยากแต่ไม่ท้อ ต้องทำเพราะดีที่สุด ถึงอย่างไรแม้จะตายก็ยังไม่ตายง่ายๆ จะพยายามอยู่เพื่อเปิดเผยความจริงอันนี้

 

คำว่าบุญนี้เป็นของเก่า แต่นำสมัยยิ่งจริงๆ นำไปไกล นำล้ำยุคสมัย ใครเข้าใจบุญแล้วทำให้ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ คนนั้นนำสมัยสุดยอดแฟชั่นอาตมาเป็นพรีเซนเตอร์ชั้น 1 นะ พวกเราเดินแฟชั่นกันเกลื่อน โชว์พฤติกรรม เป็นแฟชั่นมนุษยชาติ ไม่ใช่อยู่ที่สวยเพชรนิลจินดาอบายมุข ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่โลกีย์หยาบ แต่ว่าเป็นขั้นอาริยธรรม

 

แม้แต่สมัยนี้คนเขาถวิลหานะ พยายามแสวงค้นหาระบบที่จะทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขไม่เดือดร้อนใจ มีแต่ความเป็นอยู่ที่เสียสละให้แก่กันไม่โหดร้ายรุนแรง แบ่งกันกินใช้ลึกๆเขาถวิลหากันนะ แต่ความจริงจะเป็นได้แค่ไหนอย่างไร

 

บุญนิยมทำให้คนอยู่เย็นเป็นสุข หากไม่มีกิเลสวิตถารกันเกินก็ต้องถวิลหา เป็นความวิเศษล้นของสังคม ผู้มีสุขแบบบุญนิยมเป็นวูปสโมสุขหรือปรมังสุขัง อาตมาแปลว่ายิ่งกว่าสุข ไม่ใช่สุขโลกีย์ และมีชีวิต พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

ระบบทุนนิยมที่เขาเป็นกันนี่ดูดเลือดกันอย่างเลวร้ายรุนแรง เราไม่ได้ไปรบกับเขา แต่เขาฆ่ากันเองเขาดูดกันเองสู้กันเองแม้คนจนหรือรวย คนจนเป็นเหยื่อ เขาสู้ทำร้ายกัน แย่งกันต่างคนต่างเอา แต่ชาวบุญนิยมนี่ต่างคนต่างให้ไม่เป็นศัตรูกับเขาเลย เขาจะเอาก็เอาเราไม่ได้แย่งกับเขา เราเสียสละไม่กอบโกยเอาเปรียบ ก็ไม่เป็นศัตรูทุนนิยม ทำให้เขาเบาด้วย  ผู้มาอยู่กับบุญนิยมก็จะพ้นวงจรเหล่านั้น เราไม่แข่งเขาหรอก เราแพ้เห็นๆ อัตราก้าวหน้าทุนนิยมมากกว่าบุญนิยมหลายต่อ บุญนิยมจะไม่ก้าวหน้าเท่าทันทุนนิยมหรอก อาตมาไม่ได้งง ไม่น้อยใจไม่ตะกละ เราก็ทำเต็มที่ได้เท่าไรก็เอา แต่ทุนนิยมกดดันไปถึงขีด ถึง จุดวิกฤติ ก็จะระเบิด เพราะเขาพยายามปิดอโศก แต่พอถึงจุดได้ขีดขนาดก็จะระเบิดออกมา เขารู้ว่าดีแต่ไม่แสดงออกคือลักษณะกดข่ม ไม่ยอมมาช่วยอโศก ก็มีหลายปัจจัยที่ทำให้เขาไม่มาช่วยยุคนี้เป็นยุคอัตตา เป็นยุคเห็นแก่พวก อัตตามานะรักหน้า อาตมาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรได้ก็ได้ อาตมาว่าการได้คนที่เจริญเป็นโลกุตระอาริยะแม้คนเดียวก็ถือว่าราคาสูงมาก

 

จบดร.สิบใบอาตมาว่าไม่ชื่นใจเท่านะ คนที่จบดร.สิบใบก็ไม่เท่าคนมาเป็นโลกุตระแม้แค่โสดาบันก็ราคาแพงกว่ามาก อุปสงค์สูงมาก อาตมาเองอาตมาตีราคาเองว่าแพง อาตมาสบายใจคนจะมาทีละน้อยก็ไม่ว่าแต่จะมามากก็ดี อาตมาไม่ได้เป็นคนสติเสีย ก็เข้าใจ ถ้ามามากก็ดี แต่มาน้อยก็รู้

 

เพราะว่าการศึกษาพุทธศาสตร์ทุกวันนี้เพียนไปมาก จนแม้พุทธศาสนาส่วนใหญ่ก็ต้องขออภัยว่าเขาได้เข้าสู่ระบบทุนนิยมอย่างแก่งแย่งลาภยศกันอย่างไม่อาย แค่สามัญยุคนี้แย่งลาภยศโลกีย์เหมือนคฤหัสถ์ต้องขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะเอาบุญนี่มาเป็นสินค้า พูดกันหน้าตาเฉย ว่ามาเอาบุญทำบุญ เพราะคำว่าบุญเพี้ยนผิดไป แทบจะพูดกันไม่รู้เรื่องเลย

 

บุญคือเครื่องมือที่ชำระกิเลส ปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิกิเลสจะลดลงนั่นคือได้บุญ ไม่ได้เป็นโลกียะเลย แม้จะว่าทำบุญแล้วสบายใจได้บุญนั่นไม่ใช่เลย บุญแท้ไม่ใช่การสบายใจที่ได้เสียสละ แต่บุญนั้นถ้าคุณจะสบายใจดีใจต้องได้เห็นว่าจิตคุณได้ลดกิเลสนั่นคือบุญ แต่ที่คุณสบายใจได้เสียสละ ได้เป็นเจ้าบุญเจ้าคุณได้เสียสละหน้าตาเบิกบาน ใครก็ว่าใจดีจัง ได้หน้าบาน ก็ได้สภาวะโลกียธรรม ไม่ใช่บุญเลย ที่ได้โลกธรรมเพิ่ม บำเรอกิเลสไม่ใช่บุญ มันทำให้จิตผยองกิเลสโตมากขึ้น ส่วนบาปนั้นคือกิเลส แต่เขาทำบุญก็ทีไรได้กิเลส อย่างน้อยก็อุปกิเลส มีปีติที่ได้ทำดีได้ทำทาน ทำดีแล้วใจพอง แม้แต่คุณทำกิเลสลดแล้วมีปีติ ซึ่งปีตินี้เป็นโสมนัสเนกขัมมสิตะ หรือไปนั่งสงบจิตเป็นปีติ ก็ไม่ใช่โลกุตระนะ ใจคุณฟูใจที่ยินดีในการลดกิเลส ท่านก็ให้ลดปีติอย่างให้เป็นอุพเพงคาปีติ ให้เป็นผรณาปีติให้บางเบา ไม่อย่างนั้นจิตฟูฟองดีใจมาก เหมือนที่เขาปลุกเร้าคนให้ยินดีในกีฬาเป็นตน พวกนี้กิเลสอ้วนๆ สักวันก็ช็อกตาย เพราะยินดีในโลกีย์ ในอบายมุขต่างๆ คนส่งเสริมกันทั่วโลก ในการบันเทิงก็เป็นอบายมุข ไม่ว่าเชิงธุรกิจหรือการเมืองก็เอาเปรียบกัน เป็นอบายมุขทั้งนั้น

 

บุญกับบาปหากไม่เข้าใจ ไปยึดกว่าโลกียะคือบุญก็ทำให้กิเลสหนาอ้วนขึ้นๆ ปุถุ แปลว่าหนาใหญ่อ้วน การทวีขึ้นของกิเลสเลย ปุถุชน เพราะเข้าใจคำว่าบุญหรือบาปผิดไป เอาคำว่าบุญไปปนกับกุศลที่เป็นความดีทั่วไป

 

เขาเข้าใจได้บ้างในเรื่องกามแต่ว่าเรื่องอัตตาเขาไม่รู้เรื่องกัน เขาเข้าใจแค่ว่าก็อัตตาไม่มีแล้วนี่ เข้าใจเป็นตรรกะก็เลยไม่ศึกษา ใครมาพูดเรื่องอัตตาเขาหาว่างมงาย อัตตานี่เป็นกิลมถะ ยึด ลำบาก ซึ่งลึกกว่ากาม กามเป็นเบื้องต้นให้ลดก่อน หมดกามเป็นอนาคามีก็เหลือแต่อัตตา เป็น มโยมยอัตตาหรืออรูปอัตตา ก็ต้องล้างต่อ

 

เพราะเข้าใจว่าบุญนี่คือการได้ ได้กาม ได้โลกธรรม ได้อัตตา การได้ตามใจอยากบำเรอจิตตนนี่แหละคืออัตตา  บำเรอใจตนเลย แม้ไม่ใช่ลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข แต่ก็บำเรอใจ มันเป็นอัตตทัตถสุข ซ้อนอยู่ หมดกามแล้วก็เหลือแต่อัตตทัตถสุข ก็ยังเหลือ ส่วนที่เป็นอนาคามีขึ้นไปก็เรียกว่าโอปปาติกะ เป็นสัตว์ในระดับรูปภพ อรูปภพ มีแต่จิตตน คนอื่นไม่เกี่ยวไม่เป็นภัยกับใคร ยังเหลือแต่ภัยแก่ตนเอง รบแต่ความเป็นสัตว์โอปปาติกะในตน ไม่เป็นสัตว์ร้ายกับใครเลย ถ้าได้อนาคามีไปบริหารประเทศก็ยอดเลย ไม่ต้องพูดถึงอรหันต์นะ แต่ได้โสดาฯสกิทาฯก็ยังดีทุกวันนี้

 

การไม่รู้จักใจ บำเรอใจ แยกกามสุขขัลลิกะ กับอัตตกิลมถะเพี้ยนไป เขาเรียกว่าทางสายกลาง กันไปเลยไม่รู้ว่ามัชฌิมาคืออะไร? มัชฌิมาคือสภาพจิตที่เป็นกลาง แต่เขาไปเข้าใจมัชฌิมาว่าเป็นเรื่องวัตถุแท่งก้อนไปอีก มัชฌิมาตัวแรกคืออุเบกขา แล้วมีคุณสมบัติมากขึ้นๆ อเนญชามากขึ้น เป็นสังขารุเปกขาญาณ ไม่ลำเอียงไปข้างกามหรืออัตตา กลาง ถ้ารู้จิตกลาง จิตเราไม่เอียงไปอัตตาหรือกาม ก็คือคนมีญาณรู้จักมัชฌิมา

 

 

บุญคือการเอากิเลสกามและอัตตา ออกจากจิต ไม่ใช่แค่สละวัตถุ แม้หมื่นล้านแสนล้าน แต่ไม่ได้ล้างอัตตาและกาม ก็ไม่ได้บุญ ได้แต่กุศล แม้ว่าโลกยอมรับ ได้กุศลไปชาติหน้าก็มีผล เพราะลงทุนไป ชาติหน้าก็ได้คืนมา สัจจะไม่ได้โกง แต่ได้ทางวัตถุ แต่โลกุตรธรรม ปรมัตถธรรม คุณไม่มี สิ่งเป็นลาภยศสรรเสริญหากมากก็เป็นภัยแก่ตน เอาไปเป็นอำนาจได้ ทุกวันนี้จ้างเทวดาโม่แป้ง แล้วก็นึกว่าตนแน่ ก็ยิ่งกอดคอกันทำความเดือดร้อนแก่ชาติ ถ้าคุณเป็นนายทุนใหญ่หากซื้อเทวดามาโม่แป้ง แต่ถ้าคุณทุจริตก็ต้องซื้อ แต่ถ้าทำสุจริตก็ไม่ต้องซื้อเพราะเขาทำดีอยู่แล้วก็ไม่ใช่เทวดาแล้ว ก็ถูกซื้อได้เป็นเทวดาตกสวรรค์แต่ถ้าไม่ถูกซื้อก็เป็นเทวดาดีหรือแม้คุณถูกซื้อก็หยุดเถอะ ยอมตามเขาไปกี่ครั้งแล้วบาปซ้ำซ้อนให้หยุดโม่แป้งให้เขาเสียที ตั้งหน้าตั้งตาใหม่ยิ่งยุคนี้สลัดตัวจากแอกของผีได้แล้ว ยุค คสช.นี่ สลัดแอกจากผีที่คุณได้ถูกซื้อมาโม่แป้งหลายถังก็หยุดได้แล้วมาร่วมมือกับเทวดาแท้ได้แล้ว ควรกลับใจแก้ไขปรับปรุงสังคมประเทศชาติเสียที มันควรถึงยุคแล้ว 80 ปีประชาธิปไตยไทย ยังขาหักไปไหนไม่รอดหนักกว่าเก่าด้วย

 

ถ้ายังไม่มีคุณธรรมระดับปรมัตถ์ ยังดับกิเลสไม่ถูกสภาวะ ไม่ถูกเนื้อแท้ ทำกิเลสให้จางคลายไม่ได้ส่วนตน เอโก เราทำของเราส่วนตน ไม่ใช่แปลว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขาแต่เป็นปรมัตถ์ สรุปว่าบุญไม่ใช่การเอาหรือการได้แต่คือการได้ให้ออกไป จิตเอาออกปล่อยคลายหมดตัวตน ปลดกามปลดอัตตาออกไป ต้องรู้กิริยาอาการของจิต ถ้าอาการของมันในภาษาเริ่มต้น แตกสภาวะผลิออกมา เป็นอาการส่วนแรกของบุญ สภาวจิตที่ผลิอาการจะเอาออก ใจก็มีหวังแล้ว แต่ถ้าผลิไปจนถึงผลิต ก็เกิดผลิตผลแห่งบุญเหมือนต้นไปไม้ผลิใบแตกผล ก็จะเป็นผลธรรมของอาการจิตที่ได้ชำระกิเลสเสร็จเป็นผลิตผล

 

การประกอบอย่างวิเศษเรียกว่าวิปยุตตัง องค์ประชุมที่ชำระกิเลสที่ประกอบอย่างวิเศษ เราสัมผัสได้ภาวะเป็นบุญเป็นเช่นนี้ มีการชำระได้ แต่ถ้าไม่ถึงวิปยุตตังก็ไม่เกิดผลแท้ ปยุตแปลว่าการรบ เรารบกับกิเลสได้อย่าง วิ คือไม่หรือยิ่งใหญ่ ไม่ก็คือไม่เอาอกุศลนั้นทำกิเลสออกได้คือวิเศษ สงครามใดทำกิเลสออกได้เรียกว่าวิเศษ วิปยุตสงคราม


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:32:27 )

571228

รายละเอียด

571228_พ่อครูให้โอวาทปฐมนิเทศ นิสิต ว.บบบ.ครั้งที่ 3

พ่อครูย้ำเรื่อง กายคือจิต

มหาวรรคที่ 7

1. อัสสุตวตาสูตรที่ 1

[230] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก

เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้างคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้างวิญญาณ บ้างปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา  ดังนี้ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

 

[231] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอัน

เป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ เมื่อดำรงอยู่   ปีหนึ่งบ้าง   สองปีบ้าง   สามปีบ้าง   สี่ปีบ้าง   ห้าปีบ้าง   สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง   สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้างย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้างวิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ

 

[232] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น

 ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุม

แห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น

ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ

 

คือปุถุชนที่เขาไม่ยึดหรือเบื่อหน่ายในร่างนี้ก็ได้ เคยดูเฒ่าหัวงูเบื่อคู่ของตนไหม แต่ก็ยังไปหาอีหนูใหม่ที่ไม่เหี่ยวย่นก็เบื่อได้ แต่พระพุทธเจ้าว่า แม้เขาจะยึด ถ้าจะยึดมหาภูตรูป 4 นี้ยังดีกว่าชอบกว่า การไปยึดจิตว่าเป็นตนเป็นของตนอีก 

 

เพราะดิน น้ำ ไฟ ลมมันก็ยังหยาบ มันเบื่อหน่ายคลายเองได้ มันเห็นความไม่เที่ยงเห็นความเสื่อมได้ หรือต่อให้คุณจะไปยึดเอาเนื้อ ก็ยังดีกว่าไปยึดเอาจิตโดยความเป็นตน นั้นหาชอบไม่ ไม่ไหวเลย ขืนไปยึดเอาจิต เพราะจิตเป็นตัวหลัก ถ้าไม่ศึกษาปล่อยวางจิต

 

อาตมาจะต้องอ่านเหตุให้เจอ ตามรู้ว่า เหตุอะไรทำให้ไอ การไอคือการบอกความบกพร่อง ตอนนี้ไม่รู้เหตุ โมเมรักษากันไป...

 

จิตเกิดดับๆเร็วยิ่งกว่าภาษาที่พูด เร็วกว่าไฟฟ้าหรือดิจิตอล อีก แล้วพระพุทธเจ้าก็ขยายต่อใน อิทัปปจยตา    หรือ ปฏิจจสมุปบาท ในข้อ 233 ต่ออีกว่า

[233] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับ ย่อมใส่ใจโดยแยบคายด้วยดีถึงปฏิจจสมุป

บาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า เพราะเหตุดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะ

สิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ เพราะ

อวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารเพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย

 จึงมีนามรูปเพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย

จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็น

ปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์

ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้อนึ่ง เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ

 เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

[234] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ มาพิจารณาอยู่อย่างนี้  ย่อมหน่าย

แม้ในรูป ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย

ย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัดเพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น

เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้วย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์

อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล ฯ

จบสูตรที่ 1

 

การปฏิบัติของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนนิโรธหลับตาที่ดับไม่รู้ แต่ของพระพุทธเจ้านี้ดับอย่างรู้ สัจฉิกตา ทุกปัจจุบันก็ทำให้กิเลสสูญ สั่งสมเป็นอดีตที่สูญ จนมั่นใจว่าอนาคตก็สูญ ในอวิชชา 8 ก็รู้ครบ พิสูจน์ในปัจจุบัน มีองค์ประกอบของความจริงเห็นครบทั้งมหาภูตรูป 4 ในปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 เรียนรู้ภาวรูป 2 ทำให้อิตถีภาวะหมดไป มีอิตถีลิงค์ ปุงลิงค์ หรือนปุงสกลิงค์ ต้องให้หมดความเป็นสตรีจึงเป็นเอก เป็นหนึ่งไม่อย่างนั้นจะเป็นสอง เพราะอิตถีลิงค์จะเป็นแหล่งแห่งความเกิด ต้องเป็นชายจึงไม่มีการเกิดแล้ว ต้องเป็นปุริสสะ

 

ตอนนี้ในสังคมเขาก็พยายามจัดสรรองค์ประกอบของสังคม แล้วเห็นเลยว่าเขาก็จัดสรรอย่างไม่ได้เอาธรรมะเข้าไปเท่าไหร่ ไม่ได้คำนึงองค์ประกอบนี้เลย แล้วไทยก็เป็นพุทธส่วนใหญ่ด้วย ปริมาณก็มีมากที่สุด แล้วต้องคำนึงสิ่งที่เป็นนามธรรม เป็นจิต จิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง แต่ถ้าไปวุ่นอยู่กับแต่วัตถุก็น่าเสียดาย ไม่มีผู้รู้ทางนามธรรมเข้าไปจัดสรร เพราะผู้เป็นสัตบุรุษจะรู้การประมาณในสัปปุริสธรรม ที่เป็นการตรวจสอบทั้งรูปและนามใน มหาปเทสหรือสัปปุริสธรรม 7

1.ธรรมะ คือสิ่งที่ทรงอยู่ ในเมืองไทยมีสิ่งทรงไว้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ต้องเอาของประเทศอื่นมาคำนึง เอาที่ตั้งอยู่ของจริงนี้ไม่ใช่เอาความจำหรือในตำราต่างประเทศมา เอาอย่างในหลวงตรัสว่าอย่าหลงตำรามาก เอาธรรมะประดามีแล้วเรียนรู้อัตถะ เนื้อแท้ให้ถึงปลายยอดสุดเท่าที่จะมีได้

2.อัตถะ เนื้อหาแท้ จุดหมายที่แท้

3.ตัวเรา อัตตัญญุตา ตัวเราคือประเทศไทยทั้งหมด ตัวเราเท่านี้ไม่ต้องไปเอาอย่างใคร อย่างจีน อินเดีย หรืออังกฤษ ไทยนี่เหมือนอเมริกาไหม?ก็ไม่เหมือน ไทยคล้าย จีนมากกว่าอเมริกา ไทยคล้ายอินเดียมากกว่าจีน ไทยคล้ายอินเดียมากกว่าอังกฤษ ไทยคล้ายอินเดียมากที่สุด ทั้งที่อยู่ใกล้จีน แต่ห่างจากจีนกว่าอินเดีย สรุปว่าตัวเราไทยไม่เหมือนใคร เราก็รวยเท่านี้ไมรวยเท่านี้ พระพุทธเจ้าสอนให้เราพึ่งตนเอง

 

อโศกเราเรียนตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าจนตอนนี้พึ่งตน จนถึงเป็นประชาธิปไตยเป็นคอมมิวนิสต์ เผด็จการ ขอยืนยันนะว่าอโศกเป็นเผด็จการ คนเขาเห็นเช่นนั้นเราก็รับเสียเลย เผด็จการคืออะไร คือนับถือคนใดคนหนึ่งสูงสุด เผด็จการที่คนเขายกให้ เช่นพระพุทธเจ้าแคว้นใหญ่ในยุคนั้นก็ยกให้ แล้วเคารพด้วย ท่านจึงเป็นผู้ประสพผลสำเร็จยิ่งใหญ่มาก ท่านเป็นจอมเผด็จการ จอมคอมมูน จอมสังคมนิยม เป็นจอมประชาธิปไตย ปลดแอกมาแต่ยุคโน้นเลย ใครมาเข้ารีตก็ปลดแอกเลย

 

ของพระพุทธเจ้ามีแกนหลักอยู่ว่า “ไม่มีตัวตน” แม้ประชาธิปไตยก็ไม่มีตัวตน แม้เผด็จการ สังคมนิยมหรือคอมมูนก็มีหลักคือ “ไม่มีตัวตน” เป็นตัวเลิศยอดและจริง ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ส่วนรวม พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นคำตอบของพระพุทธเจ้าบ่งชี้ว่าเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ โลกานุกัมปานี่แบกโลกไว้ทั้งโลก แต่เราต้อง อัตตัญญุตาตัวเราก็เท่านี้

 

ในสังคมนิยม คอมมิวนิสต์หรือ ประชาธิปไตยหลักใหญ่อยู่ที่คนลดความเห็นแก่ตัว จนไม่มีตัวตน หมดตัวตนเลย เมื่อไม่เห็นแก่ตัวก็เห็นแก่ผู้อื่น จะเป็นเผด็จการ คอมมูน หรือประชาธิปไตยก็เห็นแก่ผู้อื่น ตัวหลักไม่ได้อยู่ที่ระบบระบอบ แต่อยู่ที่จิตมีกิเลสตัวตนหรือไม่นั่นต่างหากที่เป็นตัวแท้

 

ทฤษฎีสัมมาทิฏฐิ เรียนรู้อัตตาตัวตน โอฬาริกอัตตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ก็ลดละมีทฤษฎีหลัก เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่รู้จักจัดสรรมีมัตตัญญุตา แม้แต่กาลัญญุตา ปริสัญญุถตา ปุคลปโรปรัญญุตา ยุคนี้ไม่ใช่ยุคพระพุทธเจ้ายุคนี้ต้องอนุโลมกัน ยุคพระพุทธเจ้าไม่มีอนาล็อก ดิจิตอล ยุคนี้มีก็ต้องใช้ เป็นสมมุติที่ใช้ร่วมกัน ก็ทำให้พอเพียงพอดีพอเหมาะพอสม สมดุลให้พอเหมาะพอดีตามที่ในหลวงตรัส แม้เศรษฐาสตร์ สังคมศาสตร์ก็พอเหมาะพอดี ปโหติ หรือว่ากัมมนิยะ กัมมัญญาก็คืออย่างพอเหมาะทั้งนั้น ก็ต้องจัดสรรทั้งรูปนาม วัตถุ จิตวิญญาณ บุคคล ให้เหมาะสมกับกาละและสังคม แต่ละหมู่ก็ทำไปตามเหมาะ อย่างเราก็ทำตั้งแต่หมู่เล็ก แล้วค่อยโตก้าวไปตามลำดับ

 

ในหมู่เล็กหรือหมู่ใหญ่ก็เจาะถึงแต่ละบุคคลต้องคัดเลือก  หากได้ผู้ซื่อสัตย์ไม่มีอคติ จะเลือกคัดเลือกโดยแต่งตั้ง ไม่เอาปชช.ไปคัดเลือก ยุคนี้ปชช.ถูกซื้อ ติดยึดเงินทอง เกือกข้างเดียวก็ซื้อได้ ปลาทูเข่งเดียวก็ซื้อได้ แต่เดี๋ยวนี้ซื้อหัวละห้าพัน เพราะโกงทีละล้านๆ จะจ่ายแค่ไหนก็ได้ มันซื้อแหลก ลัทธิซื้อแหลกในประเทศไทยเก่งมากจนต่างประเทศงง ว่าชั่วอย่างนี้คนไทยทำได้อย่างไร

 

กาละนี้ต้องล้มกระดานเลือกตั้งโดยปชช.ก่อน หยุดไปสัก 10 แล้วบูรณะ ไม่นานหรอก 10 ปี หากไม่มีผู้รู้ช่วยจริงก็ไม่ขึ้นอีก เขามีค่ายกล เอาเทวดาโม่แป้งหมดแล้ว เพราะผีมันก็ซื้อไปหมดแล้ว

 

ให้ปรึกษาในหลวง อย่านึกว่าท่านไม่รู้นะท่านติดตามอยู่ แต่ท่านบำเพ็ญเป็นปางเตมีย์ใบ้ ตรัสได้ยากนะ

 

สิ่งที่เราจะทำก็ประเมินสัปปุริสธรรม ทำให้เหมาะสมกับสภาพของประเทศไทย อาตมาก็เห็นว่าหยุดเลือกตั้งก่อน ต้องพยายามให้ปชช.ตั้งหลัก เรื่องสุจริตให้ได้ก่อน แล้วหลักสุจริตจะทำให้ปชช.มีความรู้ แล้วมีความสะอาดจากกิเลสหายโง่ หายอวิชชากิเลสลดได้จริง  สังคมไทยคนกิเลสน้อยหายาก ก็ต้องเอาคนที่กิเลสน้อยเข้าไปร่วมกับเขา แต่เลือกเอาหัวกะทิไม่กี่คนเข้าไป ทำกันไม่ต้องมากคนก็ทำได้ ในสังคมเรามี แต่ยิ่งมากคนก็ยิ่งแย่ ให้เอาน้อยคน เอาคนจริงใจฉลาด เข้าเฝ้าในหลวง ที่เป็นองค์กลางที่สุด อย่าไปฟังพวกร่ำร้องที่หาประโยชน์แก่ตนเอง แม้ชาวโลกจะมองว่าเผด็จการ แต่ว่าไม่ใช่อย่างฮิตเลอร์หรือมุสโสลินี เขาก็เห็นแต่เขาก็มองแค่ว่าเหมือนเผด็จการหมู่ ก็เท่านั้น นี่คือมองอย่างมหาปเทส 4 และสัปปุริสธรรม 7 แม้ไม่มีในคำสอนพระพุทธเจ้าแต่อาตมาประมาณตามภูมิว่าเห็นควรทำเช่นนี้ ใช้ประโยชน์สื่อสารก็ทำ ตอนนี้สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมมีไม่รู้กี่สถานี นายกฯคนนี้ขยันใช้การสื่อสาร แล้วใช้เป็นด้วย เป็น ปกาสก ที่ดีด้วย มีลูกล่อลูกชน ตลกด้วย ขืนทำแข็งก็แย่ แม้อาตมาก็ต้องให้ตลกให้บ้างไม่อย่างนั้นคนไม่กล้าเข้าใกล้

 

ถ้าได้มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ดีจะรู้องค์ประกอบ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม

 ทุกอย่างเกิดจาก ปสาทรูป 5 โคจรรูป 5

 

แล้วเกิดเป็นภาวรูป 2 มีอิตถีภาวะ คือเพศที่ทำการเกิดไม่สงบ ยังดิ้น กับเพศที่เป็นเอก เป็นปุริสภาวะ มีอินทรีย์มีกำลังอย่าง potential energy ผู้หญิงเดียวนี้หลงโชว์กันมาก ต้องไม่ทำความบกพร่องคืออิตถีภาวะให้ทำให้เป็นปุริสภาวะ โดยจับอ่านจิตเป็นหลักที่หทยรูป จะอยู่ที่ไหนก็ตามให้อ่านอาการจิตให้ออก มันอยู่ในกายยาววาหนาคืบกว้างศอกที่พร้อมสัญญาและใจนี่แหละในคูหาสยัง อ่านไปที่สัญญาและใจ มันอยู่ที่นี่และมันมีชีวิตินทรีย์ เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ อ่านออกแล้วฆ่าสัตว์ที่เป็นสัตว์หยาบ สัตว์นรก สัตว์เทวดา แล้วเหลือเป็นชีวิตของวิสุทธิเทพ วิธีเรียนต้องอาศัยอาหารรูป รู้เครื่องอาศัย พระพุทธเจ้าตรัสถึงอาหาร 4 ต้องรู้จักความปรารถนาใคร่อยากแม้จะธัมมกาโม ก็ใคร่อยากในธรรม อะไรเป็นอธรรมก็ต้องรู้ว่าใคร่อยากในอธรรมคือสิ่งเลว แต่ใคร่อยากในธรรมก็เป็นสิ่งดี

 

สิ่งที่จะเกิดจิตที่เรียกว่า กามจิต เกิดเมื่อไหร่อย่างไรก็ต้องมีผัสสะ แล้วมีเจตนา ในกามในภพ ต้องเรียนตั้งแต่กามภพ ในตา หู จมูก ลิ้น กาย เรียตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา ก็ดำเนินในกามาวจร ไม่ต้องไปหลับตาศึกาข้างในโดยไม่ศึกษาข้างนอกก่อน ต้องมีมหาภูตรูปร่วมด้วยตลอด เมื่อรู้เครื่องอาศัยก็ให้รู้นาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ก็เรียนรู้ไป แจกได้ แบ่งตีกรอบทำเรียกว่าปริเฉทรูป ยังทำไม่ได้มากก็ทำกรอบเล็กๆ พอทำได้ดีก็เพิ่มกรอบขยายเป็นเครือแหเครือข่ายจนสามารถรู้ทำให้เกิดความว่าง อากาสธาตุในทุกปริฉทรูปได้ ทำได้ฌาน 4 จนตรวจในอรูปฌาน ก็สามารถอนุโลมปฏิโลมได้ โดยไม่หนี แม้เป็นโสดาบันก็เป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 ได้ประโยชน์ตนก็มีประโยชน์ท่านไปด้วย พูดไม่เก่งก็แสดงเป็นตัวอย่าง ไม่เก่งพูดก็แสดงความบริสุทธิ์ใจของเราไป อย่างของอโศกเราก็มีสมณะพิสุทโธ ท่านไปเปลี่ยนชื่อเป็นสมณะ สมณะพิสุทธ พิสุทโธ ท่านก็แสดงบริสุทธิ์เต็มรูปของท่านไป

 

ถ้าจะเอาพูดเก่งและช่วยคนด้วยก็สมณะกรรมกร ท่านโหวกเหวกโวยวายไปแต่ท่านก็จริงใจช่วยคน ฉายาท่านคือกรรมกรท่านก็ทำด้วยบริสุทธิ์ใจตามที่ท่านรู้

 

ถ้าเราสามารถลึกซึ้งในรูป 24 แล้วเรามีสัจจะความจริงก็อนุโลมได้ในวิการรูปที่จะมี มุทุตา ลหุตา กัมมัญญตาได้ ให้มีกายวิญญัติ วจีวิญญัติได้อย่างเหมาะสมพอดี คือจัดการให้เกิดบทบาทพฤติกรรมกาละอย่าง วิ คือไม่ดีเอาออกอย่างดีวิเศษเอาไว้ ผู้จัดสรรวิการได้ก็ต้องรู้ว่าจะเอาเบาเท่าไหร่เรียกว่าลหุตาก็ใช้มุทุภูติธาตุของตน ประสมส่วนออกมาเป็นกัมมัญญตา จึงเกิดกายวิญญัติวจีวิญญัติ เป็นสมมุติธรรมในโลกนี่คือสัจจะ

 

ผู้สามารถจัดการองค์ประกอบภายใน นอกได้อย่างลหุตา มุทุตา อนุโลมได้อย่างไม่แข็งไม่อ่อนเกินไป จึงทำกายวิญญัติวจีวิญญัติได้เหมาะสมตามที่ผู้นั้นมีคุณวิเศษ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนเช่นนี้ ตรงกันไม่เปลี่ยน

 

พ่อครูพาปฏิญาณตนเพื่อเป็นว.บบบ................ถือศีล 8

 

แล้วเทศน์ต่อ....ในปัญญาของโสดาบันข้อ 5 เราต้องเพ่งเพียรปฏิบัติธรรมเอาใจใส่ในโพธิปักขิยธรรม สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 เราบำเพ็ญกิจกรรมการงานไปกับการปฏิบัติธรรม เราทำไปอย่างเป็นปรากฏการณ์วิทยา มีคุณใบฟ้าว่านาจะเรียกว่าปรากฏการวิชญา อาตมาก็ว่าดีแต่ต้องเปิดพจนานุกรมก่อน

 

ผู้มาเรียนว.บบบ.นี่ก็จะมีบำเพ็ญคุณ บำเพ็ญธรรม ใน 4 วันนี้ก็จะมีการให้คะแนนในที ใครจะควบคุมอย่างไรก็ให้ทำดีๆ จะเป็นวันสอบ จริงๆต้องทำทุกวัน แต่ถ้ามาทำ 4 วันนี้ให้ดีก็เอา ส่วนสามวันหลังจะเน้นทางธรรมะแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีทำงานเลย แต่ก็จัดลึกเข้าหาปริเฉท จะมีกรอบตามลำดับ

 

อาตมาว่าเราเป็นสุขอย่างสงบ ไม่สุขดี๊ด๊าแบบโลกๆนะ ใจจริงก็อาจอนุโลมไปกับเขา เหมือนแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงทำจริงจังไปกับเขา มีอนุโลม สัจจานุโลมมิกญาณ ไม่อย่างนั้นมันต่างกันมากรับกันไม่ติด เราต้องทำให้เกิดความต่อเนื่องเป็นสันตติ อย่างcontinuum ของไอสนไตน์มีspace and time of continuum แต่ของอาตว่ามีมากว่าคือ E = mc2 + A ตัว A คือนามธรรม เป็นพลังงานที่ใครจับมาใช้ได้จะมีอินทรีย์มีกำลังทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ สูตรที่อาตมานี่แหละเป็นคนดัดจริตไปเติม A ของพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสอันนี้ไว้

  E เป็นผล มาจาก M คือรูปทั้งหลาย  และ C คือนามทั้งหลาย ตัว ยกกำลังคือ นาม ใครจะเอานามมาเติมได้มากเท่าไหร่ มโนเสฏฐา มโนมยา นามเป็นตัวตั้งทั้งนั้น พร้อมทั้งมวลก็เป็นส่วนผสม ตอนนี้ที่โลกศึกษากันมีแต่รูป แต่ขาดนาม เขาค้นคว้ารูปไปถึงนาโน ด้วยนะ เราไม่ถนัดศึกษา แต่ก็ขอใช้ด้วยนะหากจำเป็น เอามาใช้ประโยชน์ได้ไม่เอาใช้ทางโทษ

 

เราต้องการความรวมของการจัดให้เหมาะตามสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 อาตมาก็ออกความเห็นตามประสาว่าอย่าเอาหมู่ใหญ่ เอาพอสมควร อโศกเราไม่ใหญ่โตก็เอาเท่านี้ก็พอได้ ตอนนี้ยอดสมัคร 680 คน


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:33:24 )

571229

รายละเอียด

571229-ทวช.งานว.บบบ.ครั้งที่ 3 เรื่อง เปิดยุคบุญนิยม ตอน 2

พ่อครูว่า...อากาศเย็นดีเขาบอกว่า 17 องศาฯ แต่วันที่ 26 นั้นได้ 26 องศาฯ แต่พอมาถึงวันนี้ก็เย็นยะเยือกพอได้ตอนนี้ 18 องศาฯ ตอนใกล้รุ่งนี่แหละจะเย็น ธรรมดาธรรมชาติจะเป็นเช่นนี้ เราไม่ต้องไปดอยอินทนนท์หรอก เรามาที่นี่มารับธรรมะรับอรุณ

 

อาตมาขอยืนยันว่า มีไฟ คือพร้อมในเรื่องการที่จะประกาศธรรมะพระพุทธเจ้าสืบสานธรรมะพระพุทธเจ้า พร้อมเสมอ ไม่เคยมีไฟอ่อน อาตมาไม่เห็นว่าอะไรจะสำคัญในความเป็นมนุษย์ เท่ากับธรรมะ อาตมาไม่เห็น ธรรมะคือคุณากร คือสิ่งดีสิ่งประเสริฐในความเป็นมนุษย์ สำหรับทุกสังคม แม้แต่ผู้บริหารก็ตาม สงสารที่ไปวุ่นแต่เรื่องระเบียบการ กฎหมาย ก็สำคัญแต่ว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือคุณธรรม คือธรรมะในคนนี่แหละสำคัญ การจะออกกฎหมายต้องคำนึงถึงต้องเอื้ออำนวยให้คนมีคุณธรรมเป็นหลัก ทั้งตัวผู้บริหารเองนี่แหละต้องมีคุณธรรมแล้วให้ประชาชนมีคุณธรรมด้วย ไม่ว่าศาสนาไหน แล้วจะเจริญโดยเฉพาะพุทธศาสนา

 

พุทธนั้นเพี้ยนไปไกลมาก จนมิจฉาทิฏฐิว่าคนปฏิบัติธรรมไม่ได้ ถ้าจะทำต้องไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม สวดมนต์ ตามที่เขาทำกันอยู่ในวัดวา ซึ่งผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้าสิ้นเชิง เพราะหลักธรรมเอกของพระพุทธเจ้าคือมรรคองค์ 8 ก็คือโพธิปักขิยธรรม 37 ก็คือโลกุตรธรรม 37 พระไตรฯ ล.31 ข.620 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่าโลกุตระมี 46 คือโลกุตระ 9 กับโพธิปักขิยธรรม 37

 

การปฏิบัติมรรคองค์8 โพธิปักฯ หรือศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละ การทำสมาธิของพระพุทธเจ้าคือปฏิบัติมรรค 7 องค์

.14     7มหาจัตตารีสกสูตร  (117)

          [252]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

          สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว  ฯ

          พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  แก่เธอทั้งหลาย  พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น  จงใส่ใจให้ดี  เราจัก กล่าวต่อไป  ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า  ชอบแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ

          [253พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมา อาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์ประกอบบ้าง  ฯ

 

พ่อครูว่า...การนั่งทำสมาธิก็เป็นอุปการะบ้าง แม้อานาปานสติก็ไม่ใช่ว่าให้นั่งทำเอาเท่านั้น แต่ถ้าจะอธิบายเฉพาะว่าการนั่งก็ได้ แต่ท่านตรัสว่าก็ดี คือจะอยู่ป่าเขาถ้ำก็ดี คำว่าก็ดีท่านแปลจากคำว่า วาเขาสอนกันก็คือว่า ก็ดี ก็คือก็ได้ ว่าให้เอาลมหายใจเข้าออกเป็นกาย ยิ่งครบ มหาภูตรูป 4 อุปาทายรูปอีก 24 ก็ต้องเรียนรู้ให้ครบ ทุกกายาคตาสติ และทุกลมหายใจก็คืออานาปานสติ ให้มีสติปัฏฐาน ใครไม่เข้าใจอย่างนี้ก็ไม่มีความรู้ในอิทธิวิธญาณ (เอโกปิ หุตวา พหิทา โหติ หรือ พหุทาปิ หุตาวา เอโก โหติ) คือหลายอันเป็นหนึ่ง หรือหนึ่งเป็นหลายอันก็ได้

 

คือกายคตาสติ อานาปาสนสติ หรือสติปัฏฐาน สามเส้านี้ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วหนึ่งก็แยกเป็นสาม คือปฏิบัติสังวร สำรวม ในโพธิปักขิยธรรม 37 ก็รวมเป็นองค์รวมเดียวคือกาโย พระพุทธเจ้าก็ตรัสใน ข.230 ในพระไตรฯ..16 และทุกอย่างเป็นอิทัปปัจจยตา หรือเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ก็ได้  นี่คือหนึ่งเป็นหลายอัน หรือหลายอันเป็นหนึ่ง ไม่ได้หมายถึงตัวตนบุคคลเราเขา แม้พระพุทธเจ้าจะพูดถึงอ้างเป็นปุคคลาธิษฐานก็ต้องเข้าใจให้เป็นปรมัตถ์เสมอ

 

เอโก คือโดยส่วนตน ของตน เช่นเคล้าเคลียอารมณ์ถึงเวทนา 108 ให้เกิดสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ คือมีญาณเห็นได้ว่าเป็นนิโรธสมบูรณ์ถาวร เที่ยงแท้เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ในพระไตรฯล.16  มหาวรรคที่ 7

1. อัสสุตวตาสูตรที่ 1

[230] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก

เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ... ดูกร

ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้างคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ใน

ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญ

ก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้

ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกาย

นั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง

วิญญาณบ้างปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็น

ต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้

ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา  ดังนี้

ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น

ในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

 

เมื่อวานนี้อาตมาได้ขึ้นต้นเรื่องบุญนิยม ที่ต้องเข้าใจบุญอย่างสัมมาทิฏฐิ ว่าบุญคือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ พระบาลียืนยันชัดเจน ว่าคือการชำระกิเลสในสันดานให้หมดจด ผู้ใดจะชำระได้ต้องรู้จักกายของกิเลส

 

วิญญาณจะรู้ได้ด้วยการมีตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส เรียกสั้นๆว่ามีผัสสะ 3 ต้องมีปสาทรูป โคจรรูป ทำงาน กระทบแล้วมีปฏิกิริยา จิตวิญญาณทำงานเป็นนามกาย เมื่อเป็นนามกายหรือเป็นรูปกาย

กาย คือองค์รวมของจิตที่รู้ร่วมกับภายนอก

1.รูปรูป คือมหาภูตรูป 4 คืออุตุนิยาม ดิน น้ำ ลม ไฟ  ไม่มีชีวะไปเกี่ยวข้อง

2.รูปนาม คือ รูป กับนาม ที่มาประชุมแตะกันแต่ไม่ได้สังขารกัน ทว่าถูกรู้ได้โดยแยกกันเป็นส่วนนามส่วนรูป

3.รูปกาย คือองค์ประชุมของรูปกับนามที่สังขารกัน

4.นามกาย คือองค์ประชุมของนาม(มีเฉพาะนาม)

5.นามรูป คือสิ่งที่ถูกรู้นั้นวินิจฉัยเฉพาะนามเท่านั้น

 

พระพุทธเจ้าเน้นที่อ่านจิต แล้วแจกเป็นเจตสิก เป็นปรมัตถ์ คำว่า กายนี้มีนามธรรมเริ่มทำงาน คำว่ากายนี้ไม่มีนามธรรมไม่ได้ ต้องมีนามธรรมร่วมทำงานตลอด แต่ไปเข้าใจว่า กายคือ รูปรูป หรือไปเข้าใจว่าคือแค่รูปนาม ประชุมกันเฉยๆก็ไม่ได้ ต้องมีปฏิกิริยาที่ทำงานร่วมกัน ทำงานรับรู้เต็มที่ครบพร้อม มีสติมันโต ก็ชัดเจน ต้องเกี่ยวทั้งส่วนนอกทั้งส่วนในเป็นรูป 28

 

แม้นามกาย ขาดจากรูป ก็ไม่หลงผิดว่า ไปกำหนดเอาแต่ภายใน ที่เป็นสัญญาที่กำหนดจากความจำหรือของใหม่ที่ไม่มีรากฐานเกี่ยวเนื่องจากมหาภูตรูป อันนี้คือสัญญาความจำ แม้จะเข้าใจดีอย่างไรก็เป็นแค่สัญญา ไม่ใช่ปัญญาที่คือความรู้ความจริงตามความเป็นจริง

 

ความจริงไม่ใช่ความจำที่คือต้องมีทวาร 6 ครบพร้อม ทำงานอยู่มีรูป 28 ที่ไม่ทิ้งมหาภูตรูป พระพุทธเจ้าให้อ่าน จิต มโน วิญญาณ เรียกว่า กาย ความจริงจึงต้องประกอบด้วยข้างนอก อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ ในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 ต้องสัมผัสเห็น รูปนามต้องทำงานร่วมกันอยู่ เป็นรูปกาย

 

ต้องเกิดธาตุจิต มโน วิญญาณ จึงเป็นปรมัถตธรรมคือจิต เจตสิก รูป นิพพาน คำว่า รูป นี้คือรูปที่เป็นนามธรรม เป็นรูปภายใน ที่พระพุทธเจ้าเรียกกายว่าคือ จิต มโน วิญญาณ พยัญชนะเหล่านี้หากไม่มีสภาวะก็แปลไปตามภาษาซึ่งแปลได้หลายนัย

 

ผู้ที่ได้ถึงความมีนิโรธ มีวิมุติ ท่านจะอนุโลมได้ ผู้อนุโลมภาษาโลกเรียกว่าแพ้ คือผู้ยอม แต่สิ่งที่ถูกเสนอไปเขารับก็เรียกว่าชนะซึ่งก็ไม่ต้องยินดีโลดแล่นดีใจ อย่าไปปรุงอารมณ์ปีติ แบบอุพเพงคาปีติ เหมือนนักฟุตบอลเตะเข้าโกลซักวันจะช็อคตายนะ ไม่ถูกต้องไปหาความเบาเป็นลหุตา เราจะปรุงให้แรงขึ้นก็ได้หากมีจิตแข็งแรงเป็นมุทุตา มีฐานอัปปนา(แน่วแน่) พยัปปนา(แนบแน่น) เจตโสอภินิโรปนาน (ปักมั่น)

 

อะไรเป็นกิเลสก็เอาออก เรียกว่าเป็นบุญ สำเร็จเป็นองค์ประชุมของสังกัปปะ ผ่านด่านตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ แล้วก็ผ่านอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็น Potential energy เป็นขั้วบวก เป็นสภาพปุริสัตตะ แต่ถ้าสภาพเคลื่อนไหวก็เป็น kinetic energy เป็นขั้วลบ พวกพลังงานเคลื่อนไหว

 

ผู้ใดใช้อภิสังขารจัดการจิตปรุงแต่งได้ ทำให้เป็นอภิสังขาร เป็นปุญญาภิสังขารคือสังขารอย่างยิ่งเท่าที่เราสามารถชำระกิเลสได้จนกระทั่งเราไม่ต้องสังขารอีก เป็นอปุญญาภิสังขารก็ทำอย่างอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง เป็นอนุรักขณาปธาน เป็นปฏิปัสสัทธิหปหาน ให้แข็งแรงเป็นอัตโนมัติเป็นเอง แข็งแรงเป็นนิจจัง ทุวัง สัสตัง เป็นสมาหิตจิต หลุดพ้นวิมุติถาวร เป็นอนัตตรังจิตตัง

 

ชาวอโศกทำงานร่วมกับสังคมเพิ่มขึ้น ก็ทำเท่าที่เรามีคุณสมบัติบุญนิยมที่มีตามจริง เราค่อยๆเปิดตัวไปขยายไปตามลำดับ ประชาชนในโลกจึงได้สัมผัสได้รู้จัก ได้เห็น ได้เห็นคุณค่าหรือคุณความดี เห็น บุญนิยม จากพวกเรา เราเป็นสังคมที่คนมีพฤติกรรมลดกิเลส ได้มากบ้างน้อยบ้าง แต่รวมกันเป็นหมู่ มีจิตเป็นประธาน แต่ก่อนเราก็ทำคุณอันสมควรก่อนไปพร่ำสอนคนอื่น

ลำดับการพัฒนาสู่ความสัมบูรณ์ของสังคม

1.ตนเองรู้แต่ทำไม่ได้

2.ผู้รู้ตาม เชื่อตาม แต่ทำไม่ได้

3.ผู้รู้ตาม เชื่อมั่นตาม แต่ยังทำไม่ได้ กระจายทั่วมากขึ้นๆ

4.ตนเองรู้ดีเข้าใจดีพร้อม และทำได้สำเร็จ

5.มีผู้รู้ตาม เชื่อมั่นตาม และทำได้สำเร็จมากขึ้นแต่ยังกระจายกันอยู่

6.มีผู้รู้ตาม เชื่อมั่นตาม และทำได้สำเร็จมากขึ้นรวมเป็นกลุ่ม มีระบบระเบียบ

7.มีผู้รู้ตาม เชื่อมั่นตาม และทำได้สำเร็จมากขึ้นเพิ่มกลุ่มมากขึ้น เป็นเครือแห

8. มีผู้รู้ตาม เชื่อมั่นตาม และทำได้สำเร็จมากขั้น เพิ่มมากเป็นกลุ่มหนาแน่น ซับซ้อนสานกันเป็นเครือแหอย่างเป็นระบบ

9.กลุ่มเครือแหทั้งหลาย รวมเป็นสังคมสาธารณโภคี อย่างมีระบบ สัมพันธ์สานกันอย่างเข้าใจกันดีปฏิบัติตนไปตามฐานะ มีการงาน

10.สังคมสัมบูรณ์เป็นเอกภาพ โตขึ้นเป็นปีระมิด เพิ่มความสูงแล้วมีฐานกว้าง เจริญขึ้นๆ ได้อย่างเป็นสัดส่วนแข็งแรง ยั่งยืนสุขสำราญ

 

เป็นคุณลักษณะ คุณสมบัติ ของบุญนิยม เกิดขึ้นเรื่อยๆ อาตมาก็รู้ว่าภาวะบุญนิยมที่เกิด ประชาชนท่านใดสัมผัสเจ้าตัวก็รู้ได้เองว่าเป็นคุณหรือบางคนเห็นเป็นโทษ มองดูเป็นเรื่องตลก ดัดจริตก็มี คนเข้าใจเพิ่มก็มี

 

ยุคนี้ มันควรเป็นยุคเปิดโลกบุญนิยมได้แล้ว เรามีรูปธรรมใดที่พอจะไปร่วมกับสังคมเขาได้เราก็ทำ 1.อะไรที่เขาไม่ไว้ใจเรา เราก็ไม่ไปทำด้วย หรือเราประมาณแล้วว่าเราไม่เข้าร่วมได้เราก็ไม่ทำ 2.หรือว่าเราประมาณตนแล้วว่ากำลังเราไม่ไหว เราก็ไม่ไปร่วม สุดวิสัย และ 3.โอกาสไม่มี เราอยากไปร่วมแต่โอกาสไม่ได้ 4.อยากไปร่วมแต่เขารังเกียจไม่อยากให้ไปร่วม

 

ทฤษฎีที่เรายืนยันว่าสัมมาทิฏฐิ ตามภูมิของอาตมา แล้วพวกเราก็เห็นสอดร้อยเอามาปฏิบัติดีขึ้นเรื่อยๆ ขอถามพวกเราบ้างว่ายุคปัจจุบันสังคมเกือบทั้งโลกที่เขาเป็นกันนี่ ไม่ใช่ยุคอาริยะที่แท้ เป็นยุคใกล้กลียุค โดยมีลักษณะของทุนนิยมประชาชนชัดเจน ประชาชนที่พวกนายทุนหรือศักดินาฮั้วกับนายทุน แต่ก่อนนักธุรกิจกับนักการเมืองเขาแยกกันนะไม่ร่วมมือกัน เขารู้ว่าร่วมมือกันแล้วจะแรงรวบอำนาจเผด็จการ ในประชาชนเขาจะรู้ว่าไม่ควรทำ ลักษณะของทุนนิยมกับกำลังคือกองทหาร จะไม่รวมกันหากรวมกันเมื่อไหรก็เป็นอำนาจใหญ่เผด็จการเต็มที่เลย เขาระวังกัน แต่เดี๋ยวนี้มันร่วมกันเห็นๆ ที่เรียกว่าอำนาจศักดินา ที่สังคมเขายกให้หรือกลัว มีอำนาจ

 

ส่วนอำนาจโดยธรรมเป็นอำนาจพิเศษที่ท่านใช้ความเบาลหุตาทำงาน อย่างในหลวงท่านทำงาน มีคนบอกว่าอาตมาลำเอียง ไปยกในหลวงเกินไป อาตมานี่ไม่ได้หลงในหลวง แต่อาตมายกในหลวงน้อยเกินไป อาตมาชัดว่าคุณธรรมคุณค่าในหลวงมีมากอย่างไร อาตมายกน้อยไปด้วย ท่านกตฺตสีโลภิกขุ ท่านก็ว่าขอต่างคนต่างอยู่แต่วันนี้ขออภัยทีพูดถึง

 

แล้วอำนาจที่ยัดเยียดกันก็ไม่ควรทำ อำนาจที่เรียกว่า Force นั้นไม่ควรใช้ ต้องใช้อำนาจที่เรียกว่า Authority เป็นอำนาจที่เขาสาธุการยกให้ อย่างในหลวงเรานี่ท่านทำความจริงทำความดีของพระองค์เอง คนก็เห็นได้ไม่บอดขนาดนั้น มีปฏิภาณรู้ ทั่วประเทศแม้ต่างประเทศ สหประชาชาติ มอบรางวัลให้เลย เป็นเรื่องจริงที่พระองค์มีพระจริยาวัตรที่งดงามดีงามแท้จริง

 

การไปด่าว่าผู้ที่เป็นอาริยบุคคลนั้นมีวิบาก ในหลวงท่านเป็นกษัตริย์แล้วเขาก็ว่าให้เสมอภาค เท่ากับประชาชนหมด ก็จะเป็นได้อย่างไร ซึ่งวิบากของการกล่าวโทษติเตียนให้ร้ายพระอาริยะมีถึง 10 ประการ

1.      ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ 

2.      เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว

3.      สัทธรรมย่อมไม่ผ่องแผ้ว

4.      เป็นผู้หลงเข้าใจว่าตนบรรลุในสัทธรรม

5.      ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์

6.      ต้องอาบัติเศร้าหมอง

7.      ย่อมถูกโรคอย่างหนัก

8.      ถึงความเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน

9.      เป็นผู้หลงใหลกระทำกาละ  (อยู่อย่างประมาท ชอบทำบาปให้แก่ตน  ตายไม่มีสติ)

10.    เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก

(พยสนสูตร  พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 88)

 

ตายแล้วตกนรก ....ตายแล้วมีแต่กองผลของวิบาก ผู้ตายไปที่มีนรก อกุศล มีบาป มีกองกิเลสมากทำงานอยู่จริง สั่งสมเป็นผลวิบากจากกรรมที่ทำ มันมีนามธรรมที่เป็นจิตนิยาม ผู้ไม่ได้ศึกษาจนล้างกิเลสหมดจริงมีญาณปัญญารู้แจ้งว่าจิตเกาะกุมอย่างไร สามารถถ้าเราไม่มีเจตนาให้จิตเกาะกุมกันก็ให้สลายได้แต่ถ้าจะตั้งจิตให้เกาะยึดไว้เป็นวิภวตัณหาก็ทำได้ ตั้งจิตจะอยู่ ไม่ปรินิพพานก็ตั้งจิตสู่พุทธภูมิต่อไป

ผู้ที่ยังไม่มีจิตสะอาดมีกิเลสเยอะแยะเป็นพลังงานแท้ของผู้นั้น  ก็ต้องจมทุกข์ทรมาน เพราะไม่มีมหาภูตรูป 4 แล้วไม่มีอวัยวะ 32 แล้ว ก็เหลือแต่อาการ 33 เป็นอาการพิเศษของนามธรรมโดยเฉพาะ ผู้คนหลงสวรรค์ก็อยากได้ดาวดึงส์ แต่อยากก็ไม่ได้เพราะต้องไปตามผลกรรมวิบาก ที่สั่งสมไว้ ก็คือความจริงในความจำที่คุณกำหนดไม่ได้แล้ว คุณไม่มีสุรภาโว ไม่มีอุปกรณ์ในการทำตามตัณหาที่เป็นกามเป็นพยาบาท เท่าไหร่ มันก็ไม่มีพลัง พลังงานของจิตที่ไม่มีสุรภาโวสติมันโต  นั้นจิตจะมีพลังไม่แข็งแรง แต่พลังงานของกรรมวิบากจะแรงกว่า เขาก็ไม่สามารถอยู่กับดาวดึงส์ อย่างนอนหลับนี่สติก็ตกแล้วทั้งที่ไม่ขาดจากดินน้ำไฟลมนะ ยิ่งถ้าขาดจากดินน้ำไฟลมก็ยิ่งสติตก ไม่มีสติเลย ตอนหลับนี่อุปกรณ์ก็ทำงานได้น้อยแล้ว อธิบายเหมือนเคมีทางจิต ก็ทำงานได้น้อย กรรมกิริยาของจิตอกุศลจึงแรงเป็นเจ้าเรือน ผู้มีอกุศลมาก ไม่ได้สร้างวสีที่จะต้านไม่ให้อกุศลทำงาน ตายไปจึงทุกข์ไม่ได้ดังใจนี่แหละคือทุกข์ กิเลสเป็นเจ้าเรือนจะดิ้นรนเหมือนติดยาเสพติดเสี้ยนยา จะฆ่าพ่อแม่ทำร้ายอะไรได้หมด นั่นแหละคือสัตว์นรกแล้วในนามธรรมทำเลวร้ายได้ยิ่งกว่าอีก ตอนตายนี่อาการตรนรกจะร้ายแรงรุนแรงยิ่งกว่าตอนเป็นๆสิบเท่าร้อยเท่าเลยนะ

 

แบ่งบุญบาปไม่ได้ มันเป็นสันทิฏฐิโก โอปนยิโก แบ่งใครไม่ได้ ถ้าแบ่งบุญบาป ได้พระพุทธเจ้าก็แบ่งให้ได้สิ แต่นี่ไม่ได้ แม้ลูกท่านก็แบ่งไม่ได้ บุญเป็นอาวุธใช้ทำลายกิเลสแบ่งกันไม่ได้ แต่ไปเข้าใจว่าบุญคือลาภยศสรรเสริญ เป็นชิ้นเป็นอันหรือว่าเป็นความฟูใจไปอีก ก็ผิดเพี้ยนตลก แบ่งบุญแบ่งบาปเป็นเรื่องตลกในศาสนาพุทธ

 

ทำอย่างไรจะมีการศึกษาระบบที่โน้นเน้นให้การศึกษาเกิดธรรมะให้คนได้ธรรมะกัน จะร่างรธน.กฎหมายอะไรก็ขอให้โน้มมาทางนี้ ไม่ต้องห่วงว่าจะขาดความรู้ ความรู้มากแล้วที่จะให้ไปล่าโลกธรรม แต่ว่าความรู้คุณธรรมแบบพุทธน่าจะเอาไปร่างกัน เช่นท่านสมเด็จวัดปากน้ำที่รักษาการสังฆราช ท่านบอกว่าให้หมู่บ้านมีศีล 5 อย่างนี้แหละดี ให้แพร่หลายให้ได้ ถ้าทำได้ก็ไปรอด ขอฝากคณะสนช.สปช.นี่ไปด้วยเรื่องนี้ จะทำอย่างไรออกระเบียบให้โน้มนำไปสู่การเกิดธรรมะ เกิดคุณธรรม นี่สำคัญกว่าอะไรเลย เพราะความรู้ทุกวันนี้ฉลาดมาก แต่แกมโกงมีกิเลสเป็นเจ้าเรือน ทำอย่างไรจะระงับหรือลดกิเลสได้เป็นเอกไปรอดหากทำได้

 

การลำระกิเลสได้ก็เป็นบุญ ซึ่งไม่ได้เป็นศัตรูกับทุนนิยม ระบบทั่วไปเป็นกุศลนิยมลัทธิคุณงามความดี ยังไม่ถึงบุญนิยม ยังไม่เป็นอุปกรณ์ชำระกิเลสด้วยวิธีวิปัสสนาวิธีหรือสมถะวิธี แล้วมีญาณตามรู้เห็นกิเลส ทำกิเลสจางคลายแล้วเห็นกิเลสดับด้วยญาณปัญญาแท้จริง ปฏิบัติเป็นลัทธิบุญนิยมจะได้แก้ขาปัญหาทุนนิยม เราไม่ไปล้มล้างเขา เขาก็หาสมาชิกของเขา แต่เราไม่ไปโฆษณาให้อามิสให้คนมาเอาบุญนิยม แต่เราประกาศความจริงใครรับได้ก็เอาไปทำไม่บังคับไม่หลอก ไม่ประเล้าประโลม อาตมาพยายามทำ ตามพระพุทธเจ้าว่าลัทธินี้ไม่ได้เพื่อต้องการบริวาร

ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ... 

หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง)

มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน)

มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ    มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป 
มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น        ก็หามิได้

          ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

(พรหมจริยสูตร พตปฎ.เล่ม 21  ข้อ 25)

 

บุญนิยมไม่ได้ไปทำร้ายบุญนิยม แต่อาจพูดได้ว่าทุนนิยมน่ะจะทำร้ายบุญนิยมก็พูดไม่ผิด เพราะว่าจิตใจมีกิเลสอยู่ ทุนนิยมแข็งมาก แต่เราก็สำเสนอบุญนิยมเป็นสินค้าให้เลือกเอา เราไม่ยัดเยียด เผยแพร่ไปตามกำลัง

 

ทุนนิยมกับบุญนิยมไปกันคนละทิศ 180 องศาเลย ทุนนิยมมุ่งไปรวย แต่บุญนิยมมุ่งมาจนจนหมดตัวตนเลย แล้วหมดตัวตนก็ยิ่งมีตัวตนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นได้แท้จริง

 

นามธรรมที่ว่า อยากได้ เรียกว่าตัณหา เกิดอาการอยากได้ในจิตเรียกว่าตัณหาแต่ถ้าตัณหาอยากล้างภพชาติ เป็นความอยากอุดมการณ์ ในตัณหา 3 นี้ คือวิภวตัณหาแต่ทุกวันนี้เข้าใจผิดไปว่า อยากไม่ได้เลยก็เลยใช้พลังงานไม่ได้เลยแม้พลังงานกุศลก็ใช้ไม่ได้กลายเป็นอุเบกขาเฉยเอ๋อ ผิดพุทธธรรมเลย ในพระ ล.24 ข.58 ในมูลสูตรหรือในสุริยเปยยาลสูตร

ในมูลสูตร

1.      มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.      มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) ต้องรู้จัก หทยรูป อยู่ในกาย ยาววาหนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจนี้ เวลาเกิดอาการจิตโกรธนี่มันเกิดในจิตไม่ได้อยู่ที่ไหน ปรุงแต่งตรงไหนก็คือหทยรูป ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่หัวใจห้องที่ 4 มีน้ำใสสีฟ้าอยู่ อย่างนี้ผิดสภาวะ แต่จะยึดสมมุติสถานที่เช่นนั้นก็ไม่ว่าแต่ให้รู้อาการของนามธรรม ว่ามันมีชีวิตอยู่นะ ชีวิตสัตว์อบาย มันมีอยู่ใคนที่ไม่ได้ล้าง รู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส  อ่านให้เห็นกำหนดให้รู้ มีชีวิตสัตว์อยู่ เป็นโอปปาติกโยนิ เราก็ชัดแล้วจับตัวมันได้เรียกว่าสักกายะ เป็นชีวิตรูปที่อาศัยอาหาร 4 อยู่ เราก็กำหนดกรอบปฏิบัติตัดเป็นปริเฉทให้กับตน เช่นกรอบศีล 5 หรือกรอบศีล 8 ทำจนสะอาดตรวจสอบถึงอรูปฌานไปอีก จนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ ทำได้ก็อยู่กับวิญญัติรูป ทั้งคำพูดท่าทางลีลาแสดงออกเพื่อให้คนได้เข้าใจสิ่งวิเศษ เป็นประโยชน์ท่าน โดยอนุโลมปฏิโลม โดยสัจจานุโลมมิกญาณ สังขารุเปกขาญาณ คำนึงว่าไม่ให้แรงเกินไป แต่ทุกวันนี้ยุคคนหยาบก็ต้องใช้อาวุธแรงหน่อย ก็ต้องปรุงแรงขนาดนี้ก็สามารถปรับจิตตนเองได้ มีความเป็นจิตหัวอ่อน ดัดได้ประมาณนี้ จึงได้ผลเป็นเช่นนี้ในสังคม ผู้ผ่านปริเฉทรูป จึงอยู่อย่างใช้วิญญัติรูป อย่างวิการรูป ส่วนลักขณรูปนั้นเราก็เป็นคนกำหนดได้ว่าจะให้เกิดขนาดไหน ประมาณโดยจิตเรา  รู้ว่าจะให้อะไรเจริญหรือเสื่อม ก็ประมาณได้ทำได้

 

เมื่อเรามีปสาทรูป มีโคจรรูป เราก็อาศัยสิ่งเหล่านี้ปรุงแต่งกันไป โดยคำนึงถึงสิ่งปรากฏเรียกว่าภาวะ สิ่งปรากฏ ไม่ใช่ความจำ เราอยู่กับความจริง ส่วนที่เราอยู่กับสังคมก็เป็นสมมุติสัจจะที่เราต้องอยู่กับคนอื่น ต้องประมาณตลอดเวลา ท่านประมาณไว้ว่า เป็นอัตตาของอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ ปุริสภาวะคือความจบรอบไปตามฐานะที่เราจะทำได้ ถ้าทำได้เพิ่มเป็นอธิศีลได้ก็เจริญไปตามลำดับ

 

ผู้ใดทำได้ตามที่อาตมาพูดก็จะเกิดบุญเกิดความเจริญในธรรมมีสภาวะจริงได้มรรคผล เกิดพลังแท้ของมนุษย์ บุญสูงสุดคือชำระกิเลสได้หมด หมดบาป อกุศลจิตไม่ทำแล้ว แต่อดีตแก้ไขไม่ได้แต่เราแก้ปัจจุบันได้ กำจัดกิเลสได้ก็คือกำจัดบาป เมื่อสิ้นกิเลสก็ไม่มีบาปจะต้องชำระแล้ว กิเลสสิ้นแล้วก็ไม่ต้องทำการชำระก็ไม่ต้องทำบุญอีก ไม่ได้ต้องได้บุญอีก มันจบไปแล้ว มันแข็งแรงถาวรเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นผู้หมดบาปหมดบุญ แต่ท่ากก็มีขันธ์ 5 อยู่ เป็นคนเป็นๆ แต่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่ดี เพราะได้ทำใจตนให้บริสุทธิ์

 

การได้บุญแบบโลกุตระคือได้ปหารกิเลสล้างกิเลสออกไป แต่ถ้าเข้าใจเพี้ยนไป หมายความว่าบุญเขาหมายว่าคือสิ่งที่จะได้มา แต่การเอาออกไปหมดก็ได้ความเอาออกไป เอาออกหมดก็คือความไม่มี อยู่ในพระไตรฯ ล.16 ข. [43]

 

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มีโลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

 ผู้ฟังแล้วเข้าใจแล้วก็ดีแต่ผู้ที่ฟังแล้วไม่เข้าใจงงงงก็ต้องพยายามทำความเข้าใจแล้วปฏิบัติให้มีสภาวะเทียงเคียงกับธรรมะพระพุทธเจ้า

 

ธรรมะพระพุทธเจ้านี้อาตมามั่นใจว่าจะช่วยโลกกอบกู้โลกได้อย่างแท้จริง เมืองไทย พ..2558 นี้ให้ตื่นเสียที จงคำนึงถึงธรรมให้ดี อย่าไปคำนึงถึงแค่กรอบ แม้กรอบจะดีอย่างไรก็สู้กิเลสของคนโกงไม่ได้หรอก ก็ฝากถึงคณะผู้บริหารจัดการประเทศด้วย


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:34:23 )

571229

รายละเอียด

571229-ทวย.งานว.บบบ.ครั้งที่ 3 เรื่อง เปิดยุคบุญนิยม ตอนที่ 3

พ่อครูว่าต้องทำความเข้าใจเรื่องบุญ บาป กุศล อกุศลให้ชัดเจนแม่นคมชัด ไม่อย่างนั้นจะไม่ถึงคุณความดีที่เป็นคุณวิเศษ ต้องให้รู้ทะลุถึงแก่นแท้ ถ้าพูดถึงบุญแล้วก็ต้องพูดถึงกุศล เพื่อให้กระจ่างลึกถึงคำว่าบุญได้อย่างลึก พจนานุกรมฉบับปรับปรุงใหม่ของเจ้าคุณพระอุดรคณาธิการ ท่านให้คำแปล ปุญญะว่า คือบุญ แล้วท่านก็ให้ความหมายอีกว่า ความผ่องแผ้วของดวงจิตก็ดี ความสะอาดก็ดี ความสุข ความดี มันก็ใช้ได้ แต่ไม่คมชัด แน่นอนว่าเป็นความดีชั้นพิเศษ เพราะว่าปุญญะนั้นมันถึงขั้นหมดสุขหมดทุกข์เลย ส่วนเป็นความดีนั้นเป็นแน่

 

การทำบุญสำเร็จหมายความว่าอย่างไร ซึ่งที่เขาได้ยึดถือกันนั้น เป็นเพียงความหมายกว้างๆ เป็นเรื่องของความดีทั่วไปแม้จะแปลว่าความผ่องแผ้วแห่งดวงจิตก็ยังหมายได้ไม่คมชัด ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ความดีกว้างๆกลางๆ

 

ถ้าพูดถึงความดีในภาษาไทยก็เป็นสิ่งกว้างๆ ความดีก็หมายถึงคำว่า กุศล ซึ่งถ้าบุญแปลได้แค่ความดีกว้างๆก็จะหลงทิศทางกัน หนักเข้าก็หมายบุญว่าคือโลกียะ ได้รวยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นอามิสไปเลย ซึ่งตรงกันข้ามกับโลกุตระเลย ขัดแย้งเลยก็ไม่มีคำชัด กุศลกับบุญก็เลยไม่ตัดรอบกัน

 

บุญเริ่มจากการออกจากกามภพที่เป็นอบายภูมิ ดับเหตุที่ทำให้วุ่น ให้ออกจากจิต เอากิเลสออกจากจิต จิตก็ตั้งมั่นแข็งแรงขึ้น จิตเป็นสมาธิ หลุดพ้นจากอบาย เป็นต้น ทำให้กิเลสตายก็หลุดพ้น กิเลสนั้นพาวน พอกิเลสตายก็ไม่วน เป็นโลกนิโรธ จิตจะวนสูงขึ้นเป็นชั้นสูงขึ้นเป็นภูมิใหม่ภพใหม่สภาวะใหม่ เริ่มตั้งแต่อบายภูมิ เราต้องอ่านอาการจิตออก ว่ามันเด็ดขาดไม่ไปไม่มาแล้ว อ่านให้ชัดในภาวะจริงไม่ใช่ความจำ อ่านจิตออกว่าอาการโลกีย์คืออย่างไร มันมีเหตุแห่งโลกีย์อย่างไร จับสักกายะได้ แล้วกำจัดให้หมดไป เราก็เลื่อนสูงขึ้นได้เรื่อยๆ

 

ถ้าเราทำได้จิตวิญญาณเราก็เกิดใหม่ เป็นโอปปาติกโยนิ จิตออกจากฌานออกจากสมาธิ ฌานคือการเพ่งรู้เพ่งเผา แล้วจัดการเป็นอภิสังขาร เป็นปุญญะให้ชำระกิเลส พอชำระกิเลสได้ ก็ออกจากฌาน พ้นจากฌาน

 

ที่เป็นฌานนั่งสมาธิ กันแล้วพอหยุดนั่งเขาก็ว่าออกจากฌาน นั่นไม่ใช่โลกุตระ แต่โลกุตระนั้นปฏิบัติลืมตา เพ่งทำลายเพ่งกำจัดชำระ ชำระได้ก็ออกจากภพภูมิเก่าไปสู่ภูมิใหม่ ทำได้ก็ทำให้แข็งแรงจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ออกจากนิโรธ หลุดพ้น จุติสู่ภูมิใหม่เป็นเทวดาแท้ เป็นเทพสูงสุด ออกแล้วออกเลยไม่ต้องออกๆเข้าๆเหมือนสมาธิหลับตา เขาทำกันได้เก่งนะ แต่ว่าไม่ได้เลื่อนภพภูมิ เขาก็แค่ทำได้เร็วได้นานได้แข็งแรงในความสงบนิ่งเท่านั้น ไม่ใช่โลกุตระ แต่ฌาน สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นองค์รวม ปฏิบัติลืมตา มีสัมมัปธาน 4 มีการเปิดทวารรับวิถี ปฏิบัติถูกต้องก็เป็นฌาน ทำสังกัปปะ 7 ได้ ชำระกิเลสได้ปหานกิเลสได้ จิตแข็งแรงตั้งมั่นไปตามลำดับ เรียกว่ารักษาผล จนเป็นตถตา

 

เข้าสู่ภูมิใหม่ ออกจากภูมิเก่า จนสูงสุดเป็นอรหันต์จบ แม้ไม่ได้เรียนภาษามากมายแต่ปฏิบัติได้รู้ภาษาลูกทุ่งนี่แหละแต่มีสภาวธรรมก็นับว่าใช้ได้แล้ว พูดถึงวิชชา 8 เห็นชัดเลยพวกที่เป็นโลกียะ พูดถึง วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธญาณ เขาก็พูดไป ว่าเป็นแบบไหน เขาหมายวนกันอยู่กับอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ไม่เข้าถึงอานุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ที่ทำให้กิเลสลดได้ตามคำสอนพระพุทธเจ้า

 

แม้ที่ว่าคนเดียวเป็นหลายคน หลายคนเป็นคนเดียว นั้นในบาลีไม่มีคำว่า คนเลย เป็นเอโกปิ หุตวา พหิทา โหติ หรือ พหุทาปิ หุตาวา เอโก โหติ แต่เขาอธิบายเป็นปาฏิหาริย์ ว่าคนเดียวเนรมิตเป็นหลายคน นั่งเต็มลาน อาตมาก็อธิบายได้ มีชาวโลกุตระนั่งเต็มลานเลย แต่เขาอธิบายอย่างโลกีย์ ถ้าทำได้เราก็เนรมิตคนมาเต็มโรงงานเลย ใครแก่ตายก็เนรมิตใหม่ ฟังดูตลกนะ อย่างไสยบาบาเขาก็เนรมิตทองคำ วักทองคำมาแจกเลย วักของมีค่ามาแจก อาตมาก็ว่า ทำไมไม่เนรมิตให้รัฐบาลนะ เนรมิตทองคำสักหลายกก. แต่ที่เนรมิตก็ไม่ให้ทุกคนด้วย ลำเอียง เขาเนรมิตนาฬิกาโรเล็กซ์ อาตมาว่า ผิด ศีลผิดธรรม ไม่ได้ซื้อมา แล้วเอามาจากไหน ถ้าสร้างมาเองก็ปลอมโรเล็กซ์เขานะ ไม่มีเลขประจำเครื่อง นอกจำนวนที่เขาสร้างก็ปลอม โกงเขามานะ หรือว่าเอาจากห้างเขามา ก็ขโมยนะ ก็หรือจะไปจ่ายเงินทีหลัง แต่เขาทำจริงอ่านตามข่าว มีชื่อยี่ห้อด้วย นาฬิกานี้

 

หรือยกตัวอย่างพวกคงกระพัน ก็ไปช่วยรัฐบาลรบเลย ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้าเลย แจกของขลังให้อาจารย์นี้มาเสก ไม่ต้องเรียนวิชาทหารเลย จะไปยากอะไร เศรษฐกิจบ้านเมืองก็รุ่งเรืองเลย ถ้ามันจริงนะ แต่มันจริงที่ไหน ก็หลอกกันไป ให้คนมาหลง ถ้าจริงเราก็เอามาใช้กับมนุษย์ส่วนใหญ่ได้เลย แต่ที่ทำได้ในบางคนก็อาจเป็นบารมีหรือมีความสามารถพิเศษซึ่งทำได้น้อยคนมาก คนที่ทำไม่ได้มีเยอะ

 

ยิ่งคนที่บนบานศาลกล่าวนั้น คนที่จะได้ตามที่บนนั้นมีน้อย แต่คนที่ไม่ได้มีมาก แต่คนที่บนแล้วได้ก็มาแก้บน  คนที่บนแล้วไม่ได้ก็ไม่มา คนมาทีไรก็เจอแต่คนบนได้ พระพรหมก็เลยขลัง เป็นตรรกะง่ายๆ คนมาทำกับนักไสยศาสตร์ก็นัยเดียวกัน คนที่มาแล้วได้ผลก็เชื่อ คนมาแล้วไม่ได้ผลก็ไม่เชื่อ แต่คนที่เรียกแขกให้คือคนที่ได้ที่มีน้อยนี่แหละ อาจารย์ได้โลกธรรมเพิ่มก็ยิ่งไปใหญ่เลย แต่เรามาทางโลกุตระเราก็พามาจน เราก็ไม่จำเป็นต้องมีอาจารย์พามาจน ถ้าไม่รู้จิตดับจิตเกิดเป็นอย่างไรก็ยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ อธิบาย วิชชา 8 นิโรธ นิพพานก็ไม่เข้าใจ

 

ความเป็นมิจฉาทิฏฐิที่ไม่เข้าใจความหมายความรู้ของรูป นาม เรื่องสรีระ และกาย ก็พูดกันเข้าใจกันยาก สื่อกันไม่รู้เรื่อง กายนี้พระพุทธเจ้าหมายถึงความสำคัญอยู่ที่ใจ และนอกก็ไม่ทิ้ง ปัจจุบันใดกระทบสัมผัสเราก็อ่านจิตใจได้ ทำใจได้ รู้จักจิตเจตสิก รูป แยกออก อ่านสภาวธรรมจนดับกิเลสได้อย่างไม่วนเวียนคืน เป็นสภาพที่เป็นองค์รวมของนอกและในด้วย ตากระทบรูป แล้วเข้าไปหาภายในเป็นองค์ประชุมของจิตเป็นวิญญาณ แม้เราจะทำงานปรุงแต่งสังขารก็สังขารได้โดยไม่มีเหตุที่ทำให้ทุกข์ เรารู้จักตัวมันชัดๆ ลักษณะนี้ ชอบรสนี้ กลิ่นนี้ เสียงนี้ สีอย่างนี้ อะไรก็แล้วแต่ ชัดเจนจำเพาะลงไปจากเหตุอันนี้เราก็ไม่มีแล้ว กระทบสัมผัสก็ยืนยันว่าไม่เกิด ยิ่งแต่ก่อนนี้เราเคยเกิดกิเลส แต่ตอนนี้มันลดละ จิตเป็นนิโรธ นอกจากกิเลสไม่เกิดก็ยังมีปัญญาด้วย เหตุตามจริงไปตามลำดับๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ไม่เป็นหุบเหว

 

เราจะรู้กาย กายก็คือจิต ก็คือเวทนา คือธรรมะ จะไม่สงสัยเลยว่ากายหมายถึงจิตได้อย่าไร กายหมายถึงเวทนาได้อย่างไร กายหมายถึงธรรมะอีก ทำไม่หนึ่งเดียวเป็นสี่ได้อย่างไร แล้วสี่อันนี้แหละคือกาย หลายอันเป็นหนึ่งอันได้ เอโกปิ หุตวา พหิทา โหติ หรือ พหุทาปิ หุตาวา เอโก โหติ

 

6. ปัญญาวิมุติ   ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญาเท่านั้น คือ ท่านที่ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย . (น  เหว  อัฏฐ  วิโมกเขฯแต่สิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา  หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้ปัญญาวิมุตติ  ก็สำเร็จเลยทีเดียว 

7. อุภโตภาควิมุต ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกายและสิ้นอาสวะแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา (หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้เจโตวิมุติ ขั้นอรูปสมาบัติมาก่อนที่จะได้ปัญญาวิมุตติ)   พตปฎ. .36  ข้อ 41

 

ในปัญญาวิมุติ มีคำว่า ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คำว่าไม่ได้นี้ท่านแปลมาจากคำว่านเหวะ แท้จริงคือท่านมีอยู่แล้ว ท่านอาสวะสิ้นไปได้เหมือนอุภโตภาควิมุติ คำว่าอาสวะสิ้นไปนี้เป็นเงื่อนไขเลยว่าท่านคืออรหันต์แล้ว

 

แต่ว่า ในกายสักขีนั้นท่านว่า...5. กายสักขี   ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือผู้ประจักษ์กับตัว  คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย  อาสวะบางส่วนก็สิ้นไป  เพราะเห็นด้วยปัญญา  หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป  จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต  ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ

 

อาสวะไม่สิ้นไปหมดก็ไม่ใช่อรหันต์ จะต้องมาสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงทำให้อาสวะสิ้นไปได้ ถ้าผู้มีสภาวะจะไม่สงสัย ยิ่งไปอ่านบุคคล 4 อีกก็ยิ่งชัดว่า

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ       แต่ไม่ได้โลกุตระ

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ          แต่ไม่ได้เจโตสมถะ .

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ       และได้ทั้งโลกุตระ

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ  และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

พตปฎ. เล่ม 36  ข้อ 10. 137.525

 

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ยิ่งชัดเจน ว่า บุคคลที่ได้แต่เจโตสมถะ แม้จะทำให้อาสวะบางอย่างสิ้นก็ไม่เป็นอรหันต์ ส่วนผู้สัมมาทิฏฐิ นั้นมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายตั้งแต่ต้นทำให้อาสวะสิ้นได้  คนปฏิบัติธรรมที่ไม่สัมมาทิฏฐิ กับไม่สัมมาทิฏฐิเพียงพอ สายศรัทธา ปฏิบัติได้ยากที่จะสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือสายปัญญาจะรู้จักกาย ครบนอกและในก็จะได้ถึงอรหันต์ แต่ว่าพวกกายสักขีถ้าไม่บริบูรณ์ด้วยวิโมกข์ อย่างเก่งก็ได้แค่อาสวะบางอย่างสิ้น ไม่ใช่โลกุตระนะ เพราะได้แต่เจโตสมถะ คนนี้ไม่ได้หมายเอาโลกุตระ ในความเป็นกายที่สัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ ไม่มีวิโมกข์ ได้แต่เจโตสมถะ ได้แต่ภายใน ภายนอกไม่มี เขาเข้าใจกายว่าแค่ร่างกายไม่เข้าหาจิต ไม่เน้นหามโนหรือวิญญาณ

 

สายปัญญานั้นปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าเป็นธัมมานุสารี ก็มีสัมมาทิฏฐิพอก็มีวิโมกข์ 8 จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงวิโมกข์ ธัมมานุสารี จะสัมผัสวิโมกข์มาตามลำดับ กิเลสดับไปตามลำดับ จึงเป็นผู้ทิฏฐิปัตตะ คือสัมมาทิฏฐิ พอมาเป็นปัญญาวิมุติ อาสวะก็หมดสิ้นไม่ต้องกล่าวถึงสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายเลย เป็นสายปัญญา

 

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเขาพอรู้เลาๆ หลักฐานยังครบ สายที่ไปนั่งหลับตาหรือออกป่าเขา พระพุทธเจ้าว่าอาสวะบางอย่างอาจสิ้นได้แต่ไม่มีหลักยืนยันชัดเจนว่าถ้าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายสำเร็จอิริยาบถอยู่ เห็นอาสวะสิ้น ด้วยสัมมัปปัญญา วิโมกข์ 8เป็นเครื่องบ่งชี้ว่ามีนอกและใน

 

วิโมกข์ 8 มี

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน) ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ)  (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต โหติ, หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น) สุภันเตวะ แปลว่าสิ่งสูง สิ่งดีที่สุด เจริญที่สุด แต่ไปแปลเป็นว่างาม เป็นสิ่งที่น่าพึงได้ เป็นโชค ส่วนอธิมุตโต คือจิตเป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เจริญสูงขึ้น ๆ เป็นจิตที่เจริญโน้นหาทิศทางหลุดพ้น นิพพาน เข้าสู่สิ่งน่าพึงได้ เป็นโชค

 

ว่าบุญนี่จะประสิทธิผลก็เพราะว่าชำระกิเลสในสันดานได้หมดจด เมื่อกิเลสหมดจดก็เป็นความผ่องแผ้วของจิต วูปสโมสุขก็เกิด อาศัยภาษาเรียกว่าสุข หรือเรียกว่าโลกตระสุข แต่ก็ไม่ชัดเพราะว่าที่จริงคือไม่สุขไม่ทุกข์จึงเป็นฐานนิพพาน เพราะอาการใจที่พอใจสมใจในกิเลสก็ไม่เป็นโลกุตระ คำว่าอุเบกขาจึงยิ่งใหญ่

 

ที่เป็นโลกีย์ก็มีเฉย วางเฉยเป็นธรรมชาติ บางทีอารมณ์อิ่มไปไม่ต้องการ สัมผัสไปมันก็ไม่สุขไม่ทุกข์ เช่นว่าบางทีเรากินอาหารที่ว่าอาหารอร่อย แต่ตอนนี้เรามีเรื่องเยอะ ก็เลยกินไปคิดไปก็เลยไม่รู้สึกสุข หรือบางทีเซ็งเบื่อมีเรื่องกวนใจมาก คุณก็อุเบกขาได้เซ็งๆ สิ่งเคยพาสุขก็ไม่สุข เป็นอุเบกขาพักยก เป็นธรรมชาติโลกีย์ เป็นลักษณะที่พระพุทธเจ้าแยกว่าเป็นเคหสิตอุเบกขา ในเวทนา โลกีย์ ท่านแยกเป็นมโนปวิจาร 18 เป็นพฤติของจิตที่เป็นโลกีย์ มีเคหสิตโสมนัส-โทมนัส-อุเบกขา ที่เกิดจากการกระทบทวาร 6 อายตนะ ก็เกิดรสสามอย่างนี้ได้เป็น 18 ผู้สามารถแยกโลกียะโลกุตระออก มีญาณมีตาทิพย์หูทิพย์ ถ้าผู้ปฏิบัติถึงขึ้นนี้อ่านออกแยกออกจริงๆในเนกขัมมะกับเคหสิตะ โดยเฉพาะอุเบกขานี่มันเฉยเหมือนกัน อทุกขมสุขเหมือนกัน มันยากที่จะแยกนะ

 

แต่ถ้าเข้าใจว่าเราลดกิเลสได้ก็ปีติมีอุปกิเลสก็โสมมนัส ส่วนที่ยังลำบากอยู่ยังกังวลอยู่ ยังทำได้ในระดับเบื้องต้น เคร่งคุมยังไม่เป็นเองแบบมีวสี เพียงพอ เหมือนคนหัดขับจักรยาน ไม่แข็ง ตี่ได้ ทำให้นิวรณ์ออกจากจิตได้แต่ยังต้องลำบากในการควบคุม ไม่คล่องจนเป็นอัตโนมัติเป็นเองอย่างกับตีลังกาบนจักรยานได้เลย ในลักษณะโสมนัสดีใจที่ได้ลดกิเลสได้หรือว่า โทมนัสเพราะว่ายังต้องฝึกต่อไม่สมบูรณ์ก็ยังมีความไม่สมบูรณ์ ยิ่งอุเบกขานี่มีคุณสมบัติลึกซึ้งละเอียด ทำให้ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสรา ทำให้เก่งจิตก็มีมุทุตา จิตแววไว มีปฏิสัมภิทาญาณ มีความแข็งแรงของอัตถะพยัญชนะ มีเวทนาสัญญาสังขารแคล่วคล่อง เป็นกายปาคุญญตา ตามที่นามธรรมเจริญในนาม 5 (เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ) มีเจโตที่ปรับได้ง่าย อนุโลมได้ง่าย จะไม่อนุโลมก็แข็งแรง จิตหัวอ่อนเร็วไวไหวพริบเร็ว จิตปรับได้เร็วขึ้นมีทั้งเจโตและปัญญา จิตบำรุงง่ายสุโปสะ นี่คือความพัฒนาเจริญของอุเบกขา ก็ทำกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ออกมามีกรรมกิริยา กัมมันตะอาชีวะก็เป็นกรรมการงานที่ดี ไม่มีโทษ เก่งขึ้นสูงขึ้น ไร้อคติขึ้นเรื่อยๆ สมบูรณ์เจริญขึ้นเรื่อยๆ

 

คุณสมบัติ ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสราคือความเจริญ ทำได้แล้วเป็นสมุทเฉทแล้วก็ทำให้มากรักษาผล อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ทำให้เยอะเข้า ทำกับสิ่งที่จริงตลอดเวลา ไม่หลบเลี่ยงแต่สัมผัสทุกปัจจุบันเห็นอยู่โต้ง ๆ ทุกปัจจุบันให้เป็นกิเลสสูญ  นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จะกระทบสัมผัสอย่างไรกิเลสก็สูญ ทุกปัจจุบันสั่งสมเป็นอดีตที่สูญจนมั่นใจได้ว่าอนาคตก็สูญแน่ นี่คือหนึ่งเดียวขยายเป็นหลายหรือขยายจากหลายเป็นหนึ่งเดียวก็ได้

 

ที่อธิบายมานี้เป็นวิธีการของบุญ ลัทธิบุญเป็นเช่นนี้ถ้าไม่แม่นคมชัดเรื่องบุญก็พลาดเป้าของพุทธไม่สามารถปฏิบัติโลกตระธรรมได้แน่ แยกบุญกับกุศลไม่ออกแน่ ไปเรียนรู้เลยว่ากุศลคือความดีงามกว้างๆ แต่กุศลใดชำระกิเลสได้ก็กุศลนั้นเป็นบุญ แต่บุญนั้นจะเรียกว่ากุศลหรือไม่ก็ได้ เพราะเป็นความดีงามระดับโลกุตระ แต่บุญทำสำเร็จได้เป็นผลแล้วไม่ได้อะไร มันได้สิ่งที่ไม่มี เป็นการชำระออก

 

ฟังธรรมแล้วมีธรรมรสจะไม่เบื่อ แค่โลกีย์ยังไม่เบื่อง่ายเลย แต่ก็ต้องเบื่อ เช่นกินเข้าไปเต็มท้องหรือกินบ่อยๆก็เบื่อแต่โลกตระไม่เบื่อ หรือคุณฟังเพลงก็ไม่เบื่อหากชอบชื่นใจแต่ที่สุดก็ต้องเบื่อ แต่โลกุตระจะซาบซึ้งเข้าไปในใจไม่เบื่อ

 

ผู้ที่เจ้าใจว่าบุญคือกุศลแค่ความดีเป็นกามสุขขัลละหรืออัตตทัตถสุข ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องบุญ อย่างถ่องแท้ไม่โยนิโส ฯ การทำใจในใจ จึงเป็นมนสิการไม่ชัดเจนถูกต้อง คุณไปหลับตาสมาธิก็ทำใจในใจนะ แต่ด้วยเหตุ ด้วยองค์ประกอบต่างๆ ก็ได้ผลต่างไป เหตุมันต่างกันผลก็ต่างกัน

 

มนสิการคือตัวสำคัญมาก แต่ทุกวันนี้มนสิการก็แปลเป็นเรื่องปัญญา ทั้งที่มนสิการคือเจโต ส่วนโยนิโสคือปัญญา รู้มั่นแม่นถูกต้องในสิ่งที่ตนเองทำ มนสิที่ใจกระทำกับใจเป็นเจโต โดยมีปัญญาคือโยนิโส เป็นตัวกำกับ

 

เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ องค์ประชุมทั้งหมดคือกายวิญญาณ เวทนากับสัญญายังใช้อยู่ แต่สังขารแจกเป็น เจตนา ผัสสะ มนสิการ ,ในเจตนาต้องอาศัยวิภวตัณหา อยู่ที่แดนเกิดของภพ แล้วทำมนสิการที่ใจตรงนี้ แล้วต้องทำการกับมัน ถ้าไม่ปฏิบัติก็ปล่อยให้กิเลสทำ คุณกิเลสหนาขึ้นเรื่อยๆ แค่ถ้าควบคุมไม่ให้กิเลสควบคุม แล้วจิตเราตั้งเป็นตัณหาล้างภพ เรามีกิเลสกามในภพอย่างไร อ่านให้เจอ กำจัดกิเลสได้ ในขณะมี ผัสสะ มีมนสิการ ปฏิบัติให้ครบ รูป 28นี่แหละที่มีมหาภูตรูป และอุปาทายรูป

 

ชาวบุญนิยมต้องทำการชำระกิเลสได้ ก็จบ จะมีกำลังปัญญา รู้จริงยิ่งๆมีรายละเอียดของจริงยืนยันได้ ดีไม่ดีเอามาอธิบายได้ด้วย เป็นนามธรรมไม่มีตัวตนนะ เมื่อเรามีของจริงเราได้วิมุติ นิพพาน คนอื่นจะว่าเราไม่ได้ก็ไม่หวั่นไหว และก็ไม่โกรธไม่ถือสานะ เพราะจะรู้ว่าไม่ง่าย ใครจะรู้กับเรา เราจะรู้อย่างจริงไม่งมงาย อย่างสัจฉิกตา จะไม่ปละหลานไม่งงไม่สงสัยไม่เป๋ ใครจะว่ามีหรือไม่มีก็ได้ ใครจะด่าจะว่าก็สงสารเขา

 

ตอนนี้อาตมาพูดชัด เอาหลักฐานในพระไตรฯมาตอก คนที่ไม่มีสภาวะไม่มีปัญญาจะย่ิงถือสา แต่ผู้มีปัญญาจะชัดขึ้น เขาไม่มีสภาวะตอบโต้ อาตมาจึงเอาอันนี้เป็นเครื่องชี้วัด ว่าอาตมาพูดตรงแรงแข็งขึ้น ทุกวันนี้มีแต่หน้าเก่าๆสะท้อนมา แต่ที่เอาไปแย้งจริงจังมีหลายคน เข้าคุกไปคนหนึ่งคือสะอาด จันทร์ดี แต่คนที่smsมาก็มีก็เห็นใจเขา


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:35:31 )

571230

รายละเอียด

571230_ทวช.งานว.บบบ. รุ่น 3 เรื่อง มูลสูตรอย่างคัมภีรา

ตอนนี้ประมาณ 19 องศา กรมอุตุฯว่าจะถึง 14 องศาฯนะ เผื่อจะได้ไปเที่ยวเอสกิโมนะ

 

ไม่มีอะไรดีกว่าธรรมะ ถ้าเผื่อว่ารัฐบาลก็ ดี สังคมครูบาอาจารย์ได้ระลึกถึงธรรมะแล้วมีเจตนารมณ์ คนเรามีเจตนารมณ์อยู่ลึกๆโดยธรรมชาติ ลองอ่านดู จิตเราจะอยู่เฉยๆ ไม่ประสงค์อะไรไม่มีจิตมุ่งหมาย สัญญะกำหนด มโน สัญ เจตนา คือกำหนดมุ่งหมายเลย มันจะมี น้อยหรือมาก โดยธรรมชาติจะมี หรือแม้ที่ึสุดมันเจตนาอยู่เฉยๆมมีนึกไม่คิด การที่จะฝึกตนไม่ให้นึกคิด แม้จะไม่สัมมาทิฏฐิ

 

อย่างอุเบกขาคนที่ทำให้จิตตนไม่สร้างอารมณ์อะไร อยู่เฉยๆ เราก็สร้าง เราก็ทำ โดยวิธีเฉยๆ กำหนดมันให้หยุด เช่นว่ามีกสิณ ก็เรียกว่าเอกัคคตา เป็นการกำหนดจิตให้เป็นหนึ่งก็เป็นวิธีโลกีย์ธรรมดา มีหลายวิธีในการกำหนดกสิณ อะไรก็ได้ ให้เรากำหนดจิตจดจ่อนิ่งตรงนั้น เรียกว่าวิธีสะกดจิต ทางวิทยาศาสตร์เขาทำกัน ใครก็ทำ ฝ่ายไสยศาสตร์ก็ทำ พุทธศาสตร์ก็รู้ก็ทำด้วย ถ้าทำก็จะกำหนดจิตให้สงบโดยวิธีสามัญไม่ลึกลับใครก็ฝึกได้ ไม่

 

ผู้สามารถรู้กิเลสในจิตตัวใดตัวหนึ่งเลย เมื่อสัมผัสกับมัน เป็นความจริงเลย คือมีอวัยวะครบทำงาน ไม่ใช่นิ่งหยุดระงับ แต่ทำงานสมบูรณ์ แล้วมีสติออกมาทำงานทั้งนอกและใน สัมผัสเหมือนทุกคนที่รับรู้ในสมมุติสัจจะนี้ได้ แล้วก็สามารถรู้ปรมัตถสัจจะภายใน มีความสงบภายใน ขณะที่จิตขึ้นรับวิถี โดยเฉพาะตอนสัมผัสกับสิ่งที่เคยทำให้เกิดกิเลส แต่เราก็สงบได้ ไม่มีกิเลสเกิด ขณะที่พฤติกรรมข้างนอกเหมือนคนอื่น จะมีความแคล่วคล่องของเวทนาสัญญาสังขาร กายปาคุญญตา มีวิญญาณเกิด มีผัสสะ 3 ครบ เป็นวิญญาณที่มีปัญญา ไม่ใช่แค่สัญญาอยู่ในภวังค์

 

ความสงบนี้่ไม่ใช่แค่นิ่งนั่งหลับตาอยู่ในภพภายในไม่ครบวิโมกข์ 8 ข้อ 2 คือพหิทารูปานิปัสสติ คือเห็นภายนอกก็เห็นเข้าไปในภายในด้วย ยิ่งมีความรู้ถึงอรูปเลยก็กำหนดรู้อ่านได้อ่านถึง ก็คือผู้มีญาณแบบพุทธ พุทธญาณ มีธาตุรู้ เป็นญาณเป็นอัญญา เข้าไปรู้สัมผัสอ่านได้ แล้วทำความสงบเฉพาะกิเลส มันไม่ทำงานหือตายไปเลย เป็นความสงบที่ ทุรนุโพธา รู้ตามได้ยาก เพราะมันคัมภีรา ลึกล้ำลึกซึ้ง มีทั้งสัจจะสมมุติ และปรมัตถสัจจะ นี่คือความจริงของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่แค่ความจำ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

ผู้ใดฝึกฝนทำใจในใจ เป็นความจริงเรียกว่าเกิดมรรคผล ใครไม่เกิดมรรคผลก็ไม่สามารถเกิดวิมุติหลุดพ้นได้ คำว่าวิมุตินี้ลึกซึ้ง ต่างกับนิโรธ

 

นิโรธแปลว่าดับ แต่วิมุติ แปลว่ารู้ มติคือความรู้ร่วมกัน เป็นการรู้ รู้เข้าไปถึงปรมัตถ์ แล้วกำหนดให้ใจได้ตรงสำเร็จตามที่เราต้องการ ถึงขั้นสันตา ไม่เหมือนสงบหยุดเฉยอุเบกขาเด๋อ ไม่ใช่แต่เป็นอุเบกขาที่ชัดเจน เป็นเนกขัมสิตอุเบกขา คำว่าเนกขัมมะเป็นภาษาเฉพาะศาสนาพุทธ เป็นการออกจากกิเลส ดับกิเลสตายสนิท นัยหนึ่งทำให้อาการกิเลสดับ หรือสอง เราไม่ได้อยู่ในวงจรกิเลสเรียกว่าหลุดพ้นไม่เกี่ยวข้อง สัมผัสอยู่ก็ไม่ดูดซึม ไม่ว่าจะซึมซับเข้าหาก็ไม่มี เรียกว่าหลุดพ้นเป็นตัวของตัวเอง เป็นเอกราชเด็ดขาดไม่มีใครทำลายได้ จิตเราไม่มีอะไรซึมเข้ามาร่วมล่วงล้ำอธิปไตยของจิตเราได้เลย อธิปไตยเป็นยอด โดยอธิปไตยมีสติ รู้ตื่นเต็มไม่มีอะไรเข้าได้แต่ถ้าหลับก็สติไม่เต็มเข้าได้บ้าง แต่ถ้ามีสติมันโต ตื่นรู้เต็มก็ไม่มี osmosis ไม่ได้ แทรกเข้ามาไม่ได้เลย จะมีพลังแห่งธาตุจิต เช่นนี้

 

พระพุทธเจ้าว่า....เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความ  เพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายใน เท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่งเป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญ  กายคตาสติ  ฯ

 

เรือนนั้นว่างจากกิเลส จะเป็นเรือนใจหรือเรือนกายก็แล้วแต่ที่ว่างจากกิเลสนั่นคือเรือนว่าง หมายถึงเรือนกายเรือนใจว่างจากกิเลส อาศัยเรือนเขาอยู่แต่เราไม่มีความดำริพล่านในเรือนกายเรือนใจได้สนิท จิตเราแน่ในภายในของเรา ส่วนข้างนอกสามารถคิดตาม อนุโลมตามเขาไปได้ มีจิตมุทุ หัวอ่อนรู้เร็วเชิงปัญญาก็ไว เจโตก็ปรับได้ง่าย ไม่ใช่ว่าไม่มีปัญญาควบคุม แต่มีสัปปุริสธรรม มหาปเทส ปรับจิตเราได้ เราจะเก่งในการทำใจในใจของตนเอง ผู้เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจะมีสติเต็ม ทำงานก็ตื่นอยู่ ชาคริยา ทำให้จิตเราเก่ง มีเอกกัคคตา มีธรรมเอกผุดขึ้นในจิต ตั้งมั่น เป็นหนึ่งไม่มีเพื่อนสองเราคุมได้ เป็นผู้ที่แต่เดียว ซึ่งไม่ได้หมายถึงตัวตนบุคคลเราเขา

 

สังคมทุกวันนี้วุ่นวายด้วยกิเลสเป็นพฤติกรรมโลกีย์ ยิ่งมีสื่อสารยิ่งวุ่นวาย คนนี่ส่งออกยิ่งกว่าธรรมชาติ ทำให้ธรรมชาติมีพลังงานเคลื่อนที่อีก คนเอามาใช้หมด พลังงานต่างๆในอุตุ คนนี่วุ่นวายเป็นพิษภัยมาก หากคนไม่มีภูมิคุมกันจะรู้ทันกระแสแม้ทางฟิสิกส์เหล่านี้ที่ทำงานสังเคราะห์สังขาร เป็นพลังงานอุตุ

 

ถ้าจิตเราได้ฝึกเป็นเอกกัคคตา ซึ่งไม่ใช่จิตอยู่รู้แต่ในภพ แต่สัมผัสสัมพันธ์กับภายนอก อย่างผู้มีจิตเหนือมัน มีสติ รู้ตื่นเต็ม มีสติเป็นอธิปไตย อยู่เหนือกระแสอุตุ ที่เขาเอามามอมเมาด้วยนัจจะคีตะวาทิตะ เช่นพวกผู้หญิงดาราที่ทำท่าทางชมดชม้อยมันดัดจริตจริงๆ Act art มัน แอ็คลามกเชิงกาม เชิงราคะ ยั่วให้คนเกิดอารมณ์พวกนี้ผีมาเกิด ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆอาตมาไม่ได้เกลียดดารา พวก sex symbol เป็นสัญลักษณ์แห่งกาม เขาไม่รู้ว่าเขาสร้างความลากมก ผียั่วยวน เป็นศัตรูร้ายของศาสนาพุทธ พุทธเราจะให้ลดสิ่งเหล่านี้ ถ้าได้ศึกษาพุทธจะมีภูมิคุ้มกัน

มีปัญญาเป็นอุตระ มีสติเป็นอธิปไตย

 

มีสติควบคุมสติได้ถึง 3 ชั้นคือ จิตสำนึก จิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก จึงเรียกว่ามีสติเป็นอธิปไตย ไม่เป็นทาสโลกีย์ที่จะมาทำให้จิตเราอ่อนแอ จะเป็นผู้อยู่เหนือโลกเป็นอุตระอย่างแท้จริง

 

คนไม่รู้ก็ได้แค่ ลาภ สักการะ สรรเสริญ โลกียสุข อันเป็นดอกใบผลกิ่งก้านของศาสนาเท่านั้น หรือว่าได้ศีลอันเป็นสะเก็ดที่หลุดร่วมจากต้นไม้ไม่มีชีวะของพุทธเลย หรือคนบางคนเข้าไปได้ถึงเปลือกก็คือสมาธิ ได้สัมพันธ์กับจิต แต่เป็นสมาธิโลกีย์ แต่ลึกว่านั้นก็ได้กระพี้ คือปัญญา พระพุทธเจ้าหมายถึงพุทธิปัญญา แต่ผู้ที่สามารถเลยกระพี้ถึงแก่นก็คือได้วิมุติ คนก็ยากที่จะเข้าถึงแก่น ที่จะเป็นสัมมาวิมุติ ไม่ใช่แค่โลกีย์นะ แต่เดี๋ยวนี้ได้ปัญญาโลกีย์ ป.เอกเลย ก็ไม่ได้ถึงแก่น

 

ผู้ทำสมาธิได้ถึงนอกและใน หยั่งลึกถึงอนุสัยอาสวะทำงานอย่างตื่นรู้ทั้งนอกและในเป็นชาคริยบุคคล ตื่นเต็ม ผู้ทำวิมุติได้ก็เป็นคนอมตะ เป็นคนไม่ตายไม่เกิด

 

 เพราะว่าเรารู้กายรู้จิต รู้จักบุญทำบุญเป็น สามารถเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาปได้ เราก็ทำจบกิจถึงแก่นสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ ท่านใช้คำว่า อมโตฆทะหรือนิพพาโนฆทะ เพราะว่าโอฆทะ แปลว่าจุ่มจมลงไปดิ่งเข้าหาอันนั้น หมายถึงลึกเข้าหาอนุสัย คนที่มีจิตมีพลังหยั่งลงไปถึงที่สุดเรียกว่าโอฆทา จมจุ่มแช่ลงไปในอมตะ ถึงที่สุดเป็นอมตะ ส่วน นิพพาโนฆทะ คือจมลงในนิพพาน ต้องให้จิตเราจม ดิ่ง แช่ หยั่งลงในนิพพานเลย

 

มาไล่ดู ในมูลสูตร ล.24

  มูลสูตร     [58] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกพึงถามอย่างนี้ว่าดูกรอาวุโส ทั้งหลาย ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นมูล มีอะไรเป็นแดนเกิด มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นที่ ประชุมลง มีอะไรเป็นประมุข มีอะไรเป็นใหญ่ มีอะไรเป็นยิ่ง มีอะไรเป็นแก่น มีอะไรเป็น ที่หยั่งลง มีอะไรเป็นที่สุด เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว จะพึงพยากรณ์แก่อัญญเดียรถีย์ ปริพาชกเหล่านั้นว่าอย่างไร ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นมูล มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็น ที่พึ่ง พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มี พระภาคเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาคแล้วจักทรงจำไว้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นเธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ พระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก พึงถามอย่างนี้ว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลายธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นมูล มีอะไรเป็นแดนเกิด ... มีอะไร เป็นที่หยั่งลง มีอะไรเป็นที่สุด เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่อัญญเดียรถีย์ ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็น แดนเกิด มีผัสสะเป็นเหตุเกิด มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง มีสมาธิเป็นประมุขมีสติเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นยิ่ง มีวิมุตติเป็นแก่น มีอมตะเป็นที่หยั่งลง มีนิพพานเป็นที่สุด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้แล ฯ                          จบสูตรที่ 8

 

มีแต่กายยาววาหนาคืบกว้างศอกนี้ คือเป็นมนุษย์จึงสามารถเป็นทั้งอรหันต์ได้หรือจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องมีชมพูทวีปนี้แม้เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ บรรลุคุณธรรมของสัมมาสัมโพธิญาณ สามารถประกาศศาสนาพุทธได้แต่ท่านไม่ได้ออกมาประกาศ ท่านก็มีความตรัสรู้แล้ว ได้ก่อนพระพุทธเจ้าบางองค์ด้วย นี่คือปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ สุดท้ายท่านก็รีไทร์ออกไปก่อน ปรินิพพานไปเลยก็มี เหมือนพวงมะม่วงตกลงมาแตกกระจายไป ไม่ได้ประกาศศาสนาของตน ว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งนะ ไม่ใช่ว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธก็สอนใครไม่ได้ นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะขนาดไม่มีสัมมาทิฏฐิก็สอนเก่งในสังคมมีมาก บางคนสอนถูกด้วย การเป็นธัมมกถึกต้องมีธรรมะของตน แล้วค่อยสอนจึงจะทำให้ศาสนาเจริญ แต่บางคนไม่บรรลุแล้วสอนเกินเลย สอนถึงอรหันต์ มีแต่อิทธิ_อาเทสนาปาฏิหาริย์ ก็เลอะเทอะไปหมด

 

ปัจเจกพุทธนั้นสอนได้แต่ว่าไม่ได้เปิดตัวเองไม่สร้างศาสนา เท่านั้น แม้ท่านจะอุบัติมาในโลก เป็นชมพูทวีป แต่ไม่ประกาศศาสนา ท่านก็ช่วยโลกไปตามปณิธานท่าน ท่านช่วยได้เท่าที่ท่านช่วย เหมือนที่คนพูดถึงพระอวโลกิเตศวร บางปางเขาว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิม หรือว่าเป็นตัวร้ายก็ได้ เพราะในสังคมนั้นมีแต่ความหลอกท่านก็เลยต้องแปลงเป็นยักษ์มาปราบเทวดาที่เป็นเทวบุตรมาร ขออภัยที่อาตมาก็เป็นยักษ์มาปราบเทวบุตรมาร แล้วถ้ารู้ที่อาตมาพูด เทวบุตรมารอาจกลับตนมาเป็นเทวดาจริง ดีจริงก็ได้

 

อมตบุคคลเป็นผู้รู้การเกิดการตาย ถ้าไม่ถึงขนาดก็กำหนดวันเกิดวันตายไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านทำได้ แม้อรหันต์บางองค์กำหนดเลยว่าเดินถึงก้าวที่ 7 ก็จะตาย ก็กำหนดได้ เป็นอรหันต์ที่เก่ง แต่อาตมาไม่ได้กำหนดวันตาย ผ่านวันตายมาหลายปี จะดื้อต่อไปอีก พระพุทธเจ้าว่าถ้ามีอิทธิบาทมีโพชฌงค์  มีวิจัยทั้งนอกและในทั้งสมมุติและปรมัตถ์ จะเป็นผู้อายุยืน ที่อาตมาแจกเป็น 8 อ.

อาตมาก็รักษาอิทธิบาทกับอารมณ์ นอกนั้นก็ให้พวกเราเป็นผู้ช่วย ปัจฉาฯก็ช่วย แต่บางทีอาตมาก็ดื้อท่านก็ไม่ว่าอะไร บางทีอาตมาทำงานเลยเวลาก็ไม่ได้ไปละลาบละล้วง เตรียมอุปกรณ์ออกกำลังกายมาบางทีก็ไม่ได้ออกก็เก็บกลับ เป็นต้น แต่อาตมาก็ประมาณไม่ให้ขาดเกิน

 

ใครที่ท่องโพชฌงค์ 7 แล้วจะอายุยืน ถ้าแค่ท่องก็ได้แล้ว ก็ดีสิแต่ไม่ได้หรอก ต้องทำด้วย มีโพชฌงค์ มีธัมวิจัยจัดสรรให้ชีวิตลงตัว จะอายุยาวยืนได้จริง อาตมาพยายามต่ออายุขัย ทางแพทย์เขาก็หาทางต่ออายุคน ทุกวันนี้เก่งขึ้น ก็อายุยาวขึ้น แต่ให้เป็นมนุษย์พืชไม่เอา เสียเวลา ทุนรอน แรงงาน ทั้งที่ควรตาย เป็นชีวะแล้ว พลังงานตกลงมากแล้ว แพทย์นั้นก็ขอบอกว่าถ้าแน่ใจว่าเหลือพลังงานแค่พีชะ ก็ถอดเครื่องช่วยชีวิตได้ ไม่บาปนะ แต่ต้องแน่ใจจริงๆนะว่าเป็นมนุษย์พืชแล้ว

 

ในมูลสูตร

ข้อแรกคือ

1.ฉันทะ....

 

ถ้าคุณยังยินดีในลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขอยู่ สมัยอาตมาทำงานกับคุณจำนงค์ รังสิกุล แล้วตอนอาตมาจะออกมาทางธรรม คุณจำนงค์ ก็ว่าดีแล้วที่ไปทางธรรม แต่ว่าคุณจำนงค์เขาก็ว่าเขารู้แต่ผมไม่ไปนิพพานหรอก จะขออยู่กับสุขกับทุกข์ของผมนี่แหละ คุณจำนงค์นี่เป็นผู้ที่เก่งและคงแก่เรียน จัดรายการได้ดี เป็นสาระมากกว่าสื่อทุกวันนี้ จัดรายการเป็นสื่อสาร ไม่ใช่สื่อสารมอมเมาหยาบคายหาแต่เงินเอากิเลสเป็นตัวตั้ง แค่ข่าวนี่เสนอแต่ข่าวอบายมุข พวกกีฬานี่ ส่วนข่าวธรรมะสาระประเสริฐสิ่งดีไม่มีเลย มีสาระทางโลกบ้างนิดหน่อยแต่สาระธรรมะหาได้ยาก

 

สรุปแล้วคุณยินดีในโลกียะ อย่างคุณจำนงค์ว่าผมไม่ไปนิพพานหรอก ผมรู้ อาตมาก็ว่าเขารู้เข้าใจว่านิพพานต้องหนีเข้าป่า แต่อาตมาไม่ได้เข้าใจเช่นนั้น ถ้าจิตคุณยังเอียงชอบโลกีย์ 50 หรือ 60 ส่วนในร้อยก็ไม่มาหรอก คุณก็อยู่รอบรั้วข้างนอกหรอก ไม่มาสัมผัสหรอก จิตวิญญาณจึงมีฉันทะ ยินดี คนจะยินดีได้อาจด้วยปัญญา หรือศรัทธา

 

บางคนก็เห็นดีด้วยศรัทธามากก็มาไว แต่บางคนปัญญาเฟื่องศรัทธาน้อยเข้ามาก็อยู่ไม่นาน ทั้งศรัทธาและปัญญาต้องพอเหมาะจึงเข้ามา อาตมาจึงไม่เรียกร้องมอมเมาล่อหลอกไม่โฆษณาสินค้า ให้ฉันทะของคุณขึ้นมาพอแล้วคุณตัดสินเอง เข้ามาแล้วอยู่ได้อยู่ไป อยู่ไม่ได้ก็ออกไป เข้ามาหมดตัวแล้วจะมาเรียกร้องเอาคืนก็ไม่ได้เพราะคุณมาเองนะ เราไม่มีสัญญาอะไรกับคุณ คุณสัญญาเองเข้ามาเอง สรุปแล้วฉันทะเป็นตัวต้นเป็นทั้งแสงอรุณและอิทธิบาท ท่านจึงจัดฉันทะอยู่ในข้อแรกของมูลสูตร

 

ฉันทะนั้นถ้าคุณผลักดันเองก็เร็ว จะมีปัญญาหรือศรัทธาแล้ว มาอยู่กับสัปปายะ 4 นี้ พาทำการงานอาชีพอย่างพ้นลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา พ้นลาภแลกลาภก็ประเสริฐ ผู้ใดมีฉันทะเพียงพอปัญญาเพียงพอก็มาได้นะ ที่บ้านราชฯนี้ต้องการเป็นพัน มีเพลงหนึ่งในพัน ก็ยังไม่เห็นพันในหนึ่งเลย คนแต่งเพลงก็ยังไม่มา แต่คนร้องอยูที่นี่

 

ถ้าฉันทะไม่มาเต็ม วิริยะ จิตตะ วิมังสาก็ไม่เต็มแต่ถ้าฉันทะเต็มอื่นๆก็มาเต็มเกิดเนื้อแท้แก่นแท้ไปเรื่อยๆ

 

2.มนสิการเป็นแดนเกิด เป็นแดนเกิดทางนามธรรมปรมัตถ์ ไม่มีสถานที่ เพราะแค่แสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้ามันยังไม่อยู่กับที่เลย คนเอามาใช้ได้ แต่นามธรรมหรือจิตนั้นจะอยู่ที่ไหนล่ะ ก็ตรงหทยรูป แต่ไม่จำเพาะเลย ไฟฟ้าไปไหนต่อไหนได้ หทยรูปก็ไม่อยู่กับที่ แต่อยู่ที่ต้นทางจะทำให้โยนิโสฯ นักวิทยาศาสตร์สามารถเอาพลังงานฟิสิกส์มาใช้ได้อย่างไร พลังงานทางจิตก็เช่นกัน สามารถเอามาใช้ได้ ซึ่งต้องรู้ รูป 28

1.ปสาทรูป 5

2.โคจรรูป 5

3.ภาวรูป คือสิ่งที่ปรากฏ เป็นความจริงต้องครบทั้งมหาภูตรูป ทั้งประสาทของเรา มีวิญญาณเข้าร่วมรู้ เป็นภาวรูป ก็มีลักษระอาการ อิตถัตตาและปริสัตตา แล้วในอัตตะนั้นมีพลังงานเป็นอิตถินทรีย์ถ้าทำได้เป็นเอกก็เป็นปุริสสินทรีย์ เป็นปุงลิงค์ เป็นเอกบุรุษ แต่ถ้าทำยังไม่ได้ก็ไม่สำเร็จ แม้ร่างเป็นชายแต่จิตคุณเป็นอิตถีลิงค์ มีอิตถินทรีย์ ก็ต้องรู้ชีวิตรูปเหล่านี้ รู้อินทรีย์ความเป็นชีวิตของมัน เราก็อ่านพลังงานว่ามันมีกำลังเท่าไหร่ เป็นชีวิตสัตว์นรก สัตว์เทวดา จนทำให้เป็นอุบัติเทพวิสุทธิเทพได้ ต้องอ่านของตนเองจับให้มั่นแล้วรู้พลัง รู้อินทรีย์

 

มันจะมีกำลังอินทรีย์ต้องมีอาหาร ตั้งแต่ อุปโภค บริโภค มีกิเลสในนั้นทั้งนั้นแหละ แล้วคุณก็มีเจตนาในการปฏิบัติ มนสิการเป็นตัวหลัก แล้วก็ต้องมีผัสสะเป็นเหตุหลักด้วย ที่จะพาบรรลุได้ คือรู้นาม 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

3. ผัสสะเป็นตัวสำคัญ เป็นมูลสูตร ไม่มีผัสสะก็ไม่เกิด แม้แตะเฉยๆ ตาเห็นรูปแต่ประสาทไม่เอาด้วย สติไม่เอาด้วย เสียงก็ตามคุณฟังอาตมาจดจ้อง เสียงอื่นๆคุณก็ไม่ได้ยิน การปฏิบัติพระพุทธเจ้าว่าต้องครบทั้งนอกและใน เป็นกาย แม้พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า กายนี้คือ จิต มโน วิญญาณ ในพระไตรฯล.16 ข้อ

มหาวรรคที่ 7  1. อัสสุตวตาสูตรที่ 1

 

4.เวทนา  เป็นสัมโมสรณา ที่ประชุมลง เมื่อมีผัสสะแล้วทุกอย่างก็ประชุมลงที่เวทนา พระพุทธเจ้าจึงแจกถึง 108 เวทนา ต้องชัดในปริยัติในความหมายก่อนแล้วเอาไปปฏิบัติ

 

5.สมาธิเป็นประมุข เป็นหัวหน้า คือผลของการทำเวทนาในเวทนาเป็น ผลคือกำจัดอกุศลจิต เมื่อสำเร็จคือทำเวทนาในเวทนา จิตในจิต ให้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาได้ แล้วทำให้ตั้งมั่น ทำใจในใจได้ถูกต้อง เป็นหัวหน้า มโนบุพพัง ไปเรื่อยๆ

 

6.มีสติเป็นอธิปไตยรู้ทั้งนอกและในเป็นกาย เป็นโฮลิสติค รู้ตัวทั่วพร้อมทั้งนอกและใน มีสัมปชาโน ไวเร็วขึ้น มุทุภูตธาตุ แล้วนอกจากมีอำนาจใหญ่ กิเลสไม่ดูดซึมทั้งรู้ตัวไม่รู้ตัว osmosis ก็ไม่มาได้ อนาคามีถ้าตื่นเต็ม จะไม่มีจิตแลบเลียเสพกิเลส แต่ถ้าหลับอยู่ก็ถูกกิเลสเข้าได้ แต่ถ้าตื่นมีผัสสะกับภายนอกจะไม่เสพในจิตก็แข็งแรงตั้งมั่น เป็นเอกราช

 

7.ปัญญา ..ต้องเป็นสัมมัปปัญญา อันพาหลุดพ้นไม่ใช่ปัญญาตรรกะ

 

8.วิมุติ เป็นแก่น เมื่อได้ฐานนิพพานเป็นเนกขัมสิตอุเบกขา สั่งสมอุเบกขาให้แข็งแรง สัมผัสโลกธรรมอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว หมดธุลีหมองอโศกะ หมดธุลีเริงวิรชะ สมบูรณ์แบบ

 

ยุคนี้เป็นยุคอโศก เราวิรชะไม่เก่ง หมายถึงว่าเราจะอยู่ในภาพของความหมองไม่สวยไม่งามเช่นนี้ แต่วิรชะเป็นเชิงสวยงามผ่องแต่พวกเรามอซอ ปางนี้จะเป็นเช่นนี้ไม่หมดคราบไคล อาตมาไม่ตกใจว่าเราจะเป็นที่เขารังเกียจ เหมือนแร้ง แม้เป็นสัตว์สุภาพ แข็งแรง มีระเบียบ ถ้าหัวหน้าแรงไม่มาเบิกฤกษ์กินก่อนก็แร้งไม่ลง

 

ชาวอโศกต้องทำให้ถึงแก่น คือโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ เป็นแก่นสาร เมื่อมีแก่นสารถึงจะเป็นอมตบุคคล

 

9.อมตะ เป็นผู้รู้จักการเกิดการตาย โดยเฉพาะท่านมีการตายของกิเลสในจิตถาวรเลยแต่ชีวิตร่างกายนี้ยังไม่ตาย เอาไปใช้ประโยชน์ได้ ยิ่งเป็นอรหันต์หมดกิเลสถาวรแล้วก็ไม่มีความเกิด กิเลสเข้าไปเกิดในจิตอรหันต์แล้ว ท่านจะตายจะเกิดก็ได้ อย่างอรหันต์หรือพระพุทธเจ้ากำหนดวันตายได้เลย มหัศจรรย์ แต่มหัศจรรย์ที่ท่านทำได้แล้วท่านมีประโยชน์ต่อโลกมาก

 

เราจะมาสร้างอโศกให้เจริญ คนมีศีลไม่ได้มาก็จงมา เมื่อเราได้ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตราบใด อมตบุคคลจึงอยู่อย่างเป็นสมบัติของโลก ประเทศไทยมีคนเช่นนี้ตามที่ได้สาธยายตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรฯ แล้วจะสาธยายต่อและจะต่ออายุไปถึง 151 ปี


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:36:45 )

571230

รายละเอียด

571230_ทวย.งานว.บบบ. เรื่อง จิตเกิดดับแบบไหนที่พาไปนิพพาน

เราก็เรียนกันมา ก็เห็นว่าจิตของเราเป็นตัวหลักในการเรียนรู้ แม้แต่ท่านตรัสเรื่องความเป็นกาย เราก็ได้ยืนยันแล้วว่า กายคือจิต

ได้หลักฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กายนั้น เรากล่าว ว่าคือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง เราก็จะมาเรียนเรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพาน

รูปข้างนอกก็เป็นกายที่มีนามธรรมประกอบเรียบร้อย แต่ตายแล้วไม่มีกาย มีแต่ร่าง ไร้จิตวิญญาณก็ไม่เรียกว่า กาย

จิตเกิด จิตดับ(ตาย) ก็พูดกันมามาก เรียนเรื่องการเกิดการตาย พูดกันติดปาก มากมายนักหนา ว่าเห็นความเกิด เห็นความตาย ต่างๆนานา พูดกันจัง แต่ว่าจริงๆแล้วเป้าหมายหลัก การเรียนรู้ที่จะเห็นการเกิดของมโน วิญญาณ จิต จะเป็นอย่างไร เขาก็เดากันไป ยิ่งพระพุทธเจ้าตรัส จิตเกิดดวงหนึ่ง ก็จิตดวงหนึ่งดับไป ก็เดาเอากันว่าจิตเกิดดับ แต่ไม่ได้เห็นแจ้งด้วยการสัมผัส ที่ต้องครบกาย มีทวาร 5 กระทบ แล้วเกิดวิญญาณ มีธาตุรู้ กระทบแล้วครบเหตุปัจจัย มีปสาทรูป โคจรรูป มีสติมันโต ในสุรภาโว กระทบแล้วเกิดวิญญาณก็อ่านวิญญาณได้ เป็นผัสสะ 3 นั่นคือการเกิด พอเกิดมาก็ปรุงแต่งปุ๊ปเป็นสังขาร คนไม่ได้ศึกษาก็ปรุงเป็นสัตว์เปรตก่อนเลย มันอยากเมื่อเกิดสัมผัส ก็มีเวทนาชอบหรือชัง หรือเฉยๆ แบบพักยก ซึ่งธรรมดาที่ต้องมีมโนสัญเจตนา

[162] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์เป็น

ไฉน เพราะอาศัยจักษุและรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม 3 ประการเป็นผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา ภิกษุทั้งหลาย นี้แล

เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์เพราะอาศัยหูและเสียง ... เพราะอาศัยจมูกและกลิ่น ... เพราะอาศัยลิ้น

และรส ...เพราะอาศัยกายและโผฏฐัพพะ ... เพราะอาศัยใจและธรรม จึงเกิดมโนวิญญาณความ

ประชุมแห่งธรรม 3 ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนาเพราะเวทนาเป็น

ปัจจัย จึงเกิดตัณหา ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ฯ

[163] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับแห่งทุกข์เป็นไฉน เพราะอาศัยจักษุและรูป

จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม 3 ประการเป็นผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิด

เวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหาเพราะตัณหานั้นเทียวดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ

อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความดับแห่งทุกข์ เพราะอาศัยหูและเสียง ...เพราะอาศัยจมูกและกลิ่น ... เพราะอาศัยลิ้นและรส ... เพราะอาศัยกายและโผฏฐัพพะ ... เพราะอาศัยใจและธรรมจึงเกิดมโนวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม 3 ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะตัณหานั้นเทียวดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลืออุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและมรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความดับแห่งทุกข์ ฯ

พ่อครูว่า สัจจะนั้นมีสองอย่าง คือสมมุติสัจจะ และปรมัตถสัจจะ ซึ่งสมมุติสัจจะนั้นทุกคนก็มี แต่เราต้องพัฒนาตนสู่ปรมัตถสัจจะ สูงขึ้นๆ

เรามาดูความเกิดความดับว่า มีอยู่ที่เดียวหรือหลายที่

ธรรมะทุกอย่างมาแต่เหตุ แล้วเหตุอยู่ที่ใด ....มีนิสิตคนหนึ่งถามมาว่าอย่างนี้ เราก็ต้องพิจารณาซึ่งต้องอ่านอาการจิตตามสภาวะที่เกิด มันประชุมมาก็เป็นกายสังขาร (องค์รวมทั้งหมด) ซึ่งในกายสังขารก็จะมีจิตสังขารและวจีสังขารที่ต้องเรียนรู้

ผู้มีนิพพาน คือผู้มีความตาย ...คือผู้ไม่เกิดอีก...ประโยคนี้คนที่ศึกษาธรรมะมาบ้างก็คงพอได้ยิน แล้วอะไรกันแน่ที่เกิด อะไรกันแน่ที่ตาย พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราต้องทำใจในใจของเรา (มนสิกโรติ)หรือว่า มนสิการ ให้ได้ ทำให้เป็น เราเอามูลสูตรมายืนยัน

ธรรมดาใจมันก็สังขารของมันเอง เป็นอัตโนมัติ สัญชาติญาณ ตามใจคน พอกระทบสัมผัสก็ปรุงแต่งเป็นสังขาร ผู้ไม่ศึกษาในโลก ไม่ได้ศึกษาปรมัตถ์ ก็จะปรุงแต่งหาสุข ทุกข์ เสพสุขทุกข์หรือเฉยๆ อย่างธรรมชาติ แท้จริง สุขคือสัตว์เทวดา ทุกข์คือสัตว์นรก ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 9ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ซึ่งสัมมาทิฏฐิเป็นประธานในมรรคองค์ 8

 

เมื่อสัมผัสแล้วก็ต้องอ่านทันที แต่ใหม่ๆก็ไม่ค่อยทัน แต่พอฝึกมากขึ้นก็จะรู้ทันมากขึ้น รู้เหตุ รู้ปัจจัยแล้วอ่านวิญญาณ พิจารณาตัวนั้น ไม่ใช่พิจารณาที่การขบคิด แต่ให้ทำอย่างมีของจริง มีจิตที่สังขารปรุงแต่งในองค์ประชุมรวม กายสังขาร แล้วในกายสังขารก็มี กาย เวทนา จิต ธรรม แต่ถ้าแค่ประชุมก็เป็นเวทนา ในเวทนามีอะไรเป็นเหตุ ที่ปรุงแต่งก็คืออกุศลจิตที่ต้องอ่าน แล้วเราจะไม่ให้มัน เราละเว้นตามศีลที่สมาทาน ไม่ให้มันก็ดิ้น เราก็เห็นตัวเหตุเลยที่ดิ้น ที่มันปรุงกันในจิตเลย เราก็พิจารณาเลย นี่คือการพิจารณาไตร่ตรองตรวจสอบ เป็นนักวิทยาศาสตร์ ว่าอาการอารมณ์เป็นเช่นนี้ ให้ดูที่สุข ทุกข์นี่แหละเห็นชัดเลย ที่จริงมันเป็นตัวเดียวกันนะ เวทนา ก็คือจิต แต่หลายๆอาการที่มันไม่เที่ยง

พอสัมผัสแล้วไม่ให้มันก็ทุกข์ แต่ได้มันก็สุข ไวมากอารมณ์นี่ รับเสพสัมผัสก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์ นี่คือการเกิดดับอย่างสามัญ แต่ถ้าเราจะทำให้จิตดวงหนึ่งดับ ดวงหนึ่งเกิด อย่างที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ จับให้แม่น ว่าอาการนี้ คือ สราคะ กระทบสัมผัสแล้วต้องการเสพรส เราก็จับให้มั่น แล้วทำให้มันจางคลาย เรามีปหาน 5 ก็ทำเลย

พิจารณาก็คือพิจารณาว่าไม่เที่ยง เห็นมันดิ้นตอนนี้เราไม่ให้มัน แล้วมันจะอยู่อย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เพราะมันเองเป็นอนุสัย เราหลงยึดว่ามันเป็นเราเป็นของเรา เราสัมผัสแล้วได้รส เดี๋ยวเดียวมันก็หาย พอสัมผัสปั๊ปเกิดปุ๊ป แล้วมันก็หายไป พอเอาออกมันก็ไม่มี แต่ที่เหลือคือความจำ ถ้าเราเอาไว้นานก็อยู่กับเรานานหน่อย แต่ที่สุดมันก็หายไป นี่คือความไม่เที่ยง จะเกิดแล้วก็หายไป เกิดดับชั่วคราว เราสามารถเรียนรู้หลักใหญ่ในปฏิจจสมุปบาท หรือโพธิปักขิยธรรม แจกเป็นกาย เวทนา จิต ธรรม มีอารมณ์อะไรปรุงอยู่ ว่ามี สราค สโทส เราก็ดับตัวนี้แหละที่เป็นเหตุ ปหาน ทำให้จริง เกิดเมื่อไหร่ทุกปัจจุบันก็พิจารณาว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นสุขหลอกชั่วคราว เหมือนพยับแดด ฟองคลื่น ต้นกล้วย

ถ้าเราจะต้องกินอะไร เราก็กินตามที่จำเป็นแต่เราก็มีกิริยาอาการจิตที่ดิ้นไปดิ้นมาเหมือนผู้หญิง เดี๋ยวชอบเดี๋ยวไม่ชอบ นี่แหละคือจิตใจที่เป็นอิตถัตตะ ถ้ามีอินทรีย์มากก็ดิ้นดุ๊กดิ๊กมาก เราต้องทำให้หมดอาการอิตถินทรีย์มาเป็นปุริสสินทรีย์ แม้กามคุณ โลกธรรม วัตถุ ก็เป็นเพียงสิ่งอาศัย เราสัมผัสแล้วเราไปสร้างอารมณ์บ้าของตน สุข ทุกข์ นี่แหละคืออวิชชา คือตัวโง่ ทุกคนเคยเป็น คุณต้องกำหนดหมาย นิมิตว่า อย่างนี้คือสุข ทุกข์ คือกิเลส ราคะ โทสะ ว่าอาการมันต่างกันอย่างไร โทสะ ต่างกับราคะ สุขกับทุกข์ก็คนละตระกูล ก็ทำเครื่องหมายอาการนามธรรมนั้นด้วยตนเอง

 

เมื่อทำได้สัมมาทิฏฐิ อบรมฝึกฝนได้ตามลำดับถูกต้อง ก็จะสามารถทำใจในใจของตน มนสิการเป็น เป็นการจัดการใจตนเองด้วยวิชชา ปุถุชนหรือคนเรียนรู้ไม่สัมมาทิฏฐิก็ทำไม่ตรงตามนี้ก็ไม่ได้ผลที่ถูก การทำได้จริงแล้วกำจัดเหตุได้ ก็เรียกว่าอภิสังขาร ไม่ใช้ให้กิเลสเป็นเจ้าเรือนพาสุขทุกข์ตลอด แต่ตอนนี้เราตื่นแล้ว แม้จะมีกิเลสอยู่เป็นข้าศึกเราก็จัดการมันอภิสังขารคือปุญญะ กำจัดกิเลส ใช้ปัญญาให้เห็นว่าเอ็งเป็นแขกไม่ใช่ตัวเรามาสิงสู่ในตัวเราท่านพุทธทาสว่าเป็นแขกจร แต่ว่ามันมาประจำเลยนะ เราต้องพยายามเอาออกจนมันไม่มีเราก็จะรู้ว่ามันเป็นเรา แต่เราโง่หลงยึดว่ามันเป็นเรา หลงยึดมานาน ที่จริงมันไม่ใช่เราจริงๆ จะค่อยๆเห็นแจ้งเห็นจริง ผู้ที่มีปุญญะสามารถชำได้ด้วยปัญญา ไม่กดข่ม แต่รู้แจ้งด้วยพลังปัญญามีพลังงานที่จะทำให้กิเลสที่สิงสู่ในตนสลายหรือดับได้ จะมีอินทรีย์พละ อำนาจ ทำได้จริง เกิดปุญญาภิสังขาร เกิดการชำระให้กิเลสจางคลายนี่คือการทำใจในใจอย่างมนสิการ โยนิโส อย่างลงถึงที่เกิด สัมภวะ ทำให้มันตายหรือดับได้เลย อ่านใจตนด้วยสติปัฏฐาน

สติคือระลึกรู้ได้ สัมปชัญญะคือรู้ตัว แล้วทำโยสิโสมนสิการ มีสัมปชติ ถ้าทำได้เด็ดขาดเรียกว่าสมุทเฉทปหาน ทำได้อย่างลงไปถึงที่เกิด ถ่องแท้แยบคายละเอียดลึกซึ้งประณีต ผู้มีญาณรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงตัวตนกิเลส นี่คือผู้รู้จักตัวตน ไม่ใช่ว่าพูดลอยๆว่าอะไรก็ไม่ใช่ตัวตนไม่มีตัวตน แต่ว่าถ้าปฏิบัติถูกเราจะอ่านตัวตนเป็น เรียกว่าสักกายะ หรืออัตตา คือที่สัมผัสแล้วมีปสาทรูป ตากระทบรูป หูกระทบเสียง เกิดวิญญาณ เราก็เห็นวิญญาณคือตัวตน แต่ตัวตนที่ชัดที่สุดที่เราจะรู้ได้คืออาการกิเลสที่เป็นอกุศลจิตเลย ไม่ใช่ดับจิตไม่ให้รับรู้เลย เหมือนจะจับโจรก็เลยเผาไปหมดเลยทั้งบ้านราชฯ ดีไม่ดีพวกที่ไม่รู้เรื่องก็ตายเลยแต่โจรขุดรู้อยู่ก็ไม่ตาย เหมือนกับการไปนั่งสมาธิหลับตาดับจิต แต่ของพุทธให้จับให้แม่นคมชัด ด้วยวิปัสสนา

ต้องดับที่เหตุปัจจัย ที่คือทุกข์ พอเวลาตั้งเจตนาอยากได้แล้วไม่ได้ก็ทุกข์ ได้ก็สุข มันอวิชชาก็มีตัวตั้งเป็นความอยากในกิเลส ถ้าเราอยากกินข้าวท่านก็เอาอาหารเคี้ยวกลืนท่านก็รับรสตามธรรมชาติ เกลือก็เค็ม พริกก็เผ็ดเป็นรสธรรมชาติ แต่ว่าที่ไปชอบหรือชังนี่แหละที่คือเหตุ คือกิเลส แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน มันบ้าๆบอๆ ก็กินพริกมันก็รสอย่างนี้แต่อาการอื่นที่ดีดดิ้นไปสิ ว่าได้ตามอุปาทานก็ว่าใช่ อย่างคน 83 กับอายุ 38 แต่งงานกัน

 

การเกิดก็เรียกว่าชาติ แล้วยึดไว้ในภพเลย เป็นอนุสัยไม่วางไม่ปล่อยไม่เลิกก็ตกในภพ หรือว่าเราหยั่งรู้ในกามตัณหาในสังกัปปะ 7 เมื่อจิตดำริปรุงแต่ง มันมีอาการกามหรือพยาบาท ที่เป็นมิจฉาสังกัปปะ 3 ส่วนวิหิงสาก็ละเอียดเอาไว้ก่อน เราก็จับกามหรือพยาบาทก่อน ว่ามันมาปรุงแต่งอย่างไร ในสังกัปปะ 7 นี่คือสังขาร หากเรามีอภิปัญญาเข้าร่วมก็เป็นอภิสังขาร เราจับตัวกามตัณหาได้ก็กำจัดมัน

อบายภพคือตัวหยาบที่เราถือว่าเป็นตัวต่ำของเราก่อน ส่วนกิเลสอื่นเราก็เอาไว้ก่อน ส่วนอบายก็ของใครของมันใจมีดำริเป็นโลภ โกรธก็ตาม เมื่อสัมผัสเหตุ เช่นสัมผัสธนบัตรหรือทอง ก็คือสิ่งที่เขาสมมุติกันว่ามีค่ามาก เราก็เอาไปใช้ในคุณสมบัติที่มันดีๆ แต่ที่เอามาหลอกเป็นแหวน จี้ สร้อยก็หลงกันไปเลอะเทอะ  ธนบัตรก็คือสิ่งแลกเปลี่ยน เขายอมรับเอาทองว่าเป็นหลักประกันในการปั๊มเงิน แต่เดี๋ยวนี้เขาว่าอเมริกาไม่มีทองหรอก แต่ว่าปั๊มเงินไปมากมายให้เรา แต่พอเราจะเอาทองมาก็ไม่มีให้ในที่สุด

เรามาอยู่ในนี้ก็คือถือศีล 10 พูดถึงตอนนี้ก็ขอแก้หน่อยว่า ที่ให้ปฏิญาณว่าให้ถือศีล 8 ตลอดชีวิตนั้นหลายคนก็ว่าแรง ก็ขอแก้ไขหน่อยว่า ให้ถือศีล 5 ตลอดชีวิต ถ้าเป็นลูกอาตมาต้องอย่างน้อยถือศีล 5 เป็นหลักพื้นฐาน ส่วนคนทำได้เป็นศีล 8 ศีล 10 ก็ยิ่งดี ก็ขอถอน เพื่อไม่ให้หนักเกินไป แต่ถ้าต่ำกว่าศีล 5 ก็คือไม่ขอเป็นลูกพระพุทธเจ้าไม่เป็นลูกอาตมา

 

มาฟังต่อ...ศีลพื้นฐานในความเป็นมนุษย์  5 ข้อ ถ้าผู้ใดไม่มีพื้นฐานของศีล 5 ก็คือจิตไม่เป็นมนุษย์ซึ่งคือผู้มีใจสูง หากไม่มีศีล 5 ก็คือจิตเป็นสัตว์ ไม่ใช่มนุสโส  ผู้ใดยังไม่มีใจมีศีล 5 ก็คือจิตใจเป็นเดรัจฉาน ผู้มีจิตใจเป็นมนุษย์อย่างน้อยต้องมีศีล 5 ถ้าคุณผิดศีล 5 ก็คือมีกิเลสจัดจ้านมาก ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณก็ยังไม่ใช่มนุษย์ ผู้ใดอยากเกิดเป็นมนุษย์ก็ทำให้จิตมีศีล 5 ถาวรก็เป็นมนุษย์ถาวร ต้องทำให้จิตที่ผิดศีล 5 นั้นตาย ก็จะเกิดจิตเป็นมนุสโส ต้องทำใจในใจตรงนี้

 

จะเป็นสัตว์หรือเป็นมนุษย์วัดกันที่ตรงนี้ นี่คือคุณสมบัติศาสนาพุทธโดยตรงเลย รู้ตัวเลยนะว่าใครจะเป็นมนุษย์หรือไม่เป็นมนุษย์ ถ้าใครละเมิดอยู่ก็คือสัตว์เดรัจฉาน เป็นโอปปาติกะโยนิ ไม่ใช่การเกิดเป็นตัวตนร่างเช่นชราพุชโยนิ หรือว่า เป็นสัตว์ที่เกิดจากไข่ อัณฑชโยนิ หรือว่าพวกแตกตัวเกิด คือสังเสทชโยนิ แต่ว่านี่คือโอปปาติกโยนิ

 

ถ้าในใจคนนี้มีมโนสัญเจตนาที่เป็นอาการใจ แม้พระพุทธเจ้าก็มีมโนสัญเจตนาที่จะสร้างศาสนา เราต้องรู้มโนสัญเจตนา มี 3 อย่างที่เป็นเครื่องอาศัย คนละจุดมุ่งหมายกัน เราต้องใช้วิภวตัณหาในการล้างกามล้างภพ ต้องใช้วิภวตัณหาทำงานไปแม้หมดกิเลสก็ใช้ต่อไป พระอรหันต์ก็มีวิภวตัณหาทำงาน อย่าโมเมว่าไม่ให้มีความประสงค์ แม้พระพุทธเจ้าก็มีความมุ่งหมาย ว่าจะสร้างศาสนาเลย ไม่ใช่ว่าดับตัณหาหมดเลย ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่ามันมีสามความต้องการ ก็ตีความไม่แตก แต่ก็ตีความว่าต้องดับตัณหาในปฏิจจสุปบาท หรือในอาริยสัจจ์ ก็เลยบอกว่าคนต้องไม่มีความต้องการเลย ก็เลยไม่มีความตั้งใจที่จะล้างกิเลสเลย แต่ไปทำใจในใจไปนั่งสมาธิหลับตา คนเข้าใจผิดเยอะ แม้สายนั่งหลับตาหรือสายลืมตารู้นิ่งเฉยวาง อย่าไปคิดปรุง อย่าอยากอย่าให้มีตัณหานะ ก็ฝึกได้เหมือนไม่มีตัณหาแต่ว่ามันก็มีอยู่ เดี๋ยวคุณก็อยากเดินอยากนั่ง อยากกินอยากทำโน่นทำนี่ แต่คุณไม่รู้ตัว มันเลยเถิด ต้องเข้าใจเบื้องต้นว่าความอยากไม่เสียหายแต่ที่ต้องล้างคือความอยากในกาม ในภพ ล้างกามล้างภพหมดด้วยวิภวตัณหาก็ใช้วิภวตัณหาเป็นพระพุทธเจ้าได้แล้วสร้างศาสนา แล้วปรินิพพานไป 

แม้อาตมาก็ต้องทำงานด้วยวิภวตัณหา แม้จะทำงานก็ต้องปรุง บางทีปรุงจนหัวร้อนต้องเอาผ้าชุบน้ำโปะหัว แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้นแล้ว แม้ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้เราก็อยู่กับมันได้ เราก็ทำงานได้อย่างมีปีติ เป็นผรณาปีติ ขณิกาปีติ เป็นปีติอยู่ในขณะๆ หมดขณะก็พอ เราไม่ปล่อยให้เป็นอุพเพงคาปีติ เราให้เกิดเป็นขณะใจเรายินดีแวบๆ เป็นผรณาปีติ ถ้าคุณทุกข์คือยึดมั่นถือมั่นจิตคุณอยากให้มีอารมณ์ปีติมากๆ คุณก็ติดสิ ถ้าไม่ได้ขั้นนี้ไม่ได้สุดยอดความสุข

 

หากไม่เข้าใจก็ไปสร้างสุขให้แรงๆ ถ้าไม่แรงไม่ถึงไม่มันส์ไม่อร่อยไม่จัด นี่คือคนอวิชชา สร้างอารมณ์มอมเมากัน อารมณ์ที่หลงในกามเรื่องรสชาติในกามคุณ ก็ต้องเป็นทาสมันต้องไปดูสิ่งปรุงแต่งเหล่านี้ ขนาดอาหารนี่คุณเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องกินอาหารรสต่างๆ หากไม่รู้ก็สร้างว่าอย่างนี้อร่อยนะ ดีนะ เป็นกามคุณที่ปรุงหลอกกันให้ติดยึด แล้วโง่อุปาทาน เราเคยโง่มานานแล้ว แต่เดี๋ยวนี้เรารู้ว่าต้องมาล้าง ไม่หลงสร้างความคิด อะไรง่ายยากก็รู้ พวกรสจัดๆนั้นยากทั้งนั้น อย่างอาตมานี่น้ำเย็นนี่ฉันยาก ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานนี้ไปต้าน ก็เอาที่กลางๆดีกว่า รสจัดๆนั้นไม่ต้อง เอาพอดี เบาบาง ลหุตา อาศัยแค่นี้อาศัยความเบา ไม่จัดจ้าน

 

แต่คนโลกๆนี่เอาแต่มอมเมากันด้วยสร้างรสอารมณ์จัดจ้านให้คนยึดติดทั่วโลก ในจอโทรทัศน์มอมเมาทั้งวัน ออกข่าวกีฬา ดารา บันเทิง ไปเที่ยวไปเสพอร่อยกันทั้งวัน คือไม่รู้สาระในสาระก็หลงไป

 

ถ้าผู้ใดยังระงับความจริงที่เกิดตั้งแต่ดำริ เป็นตักกะ ถ้าเราเก่งปรุงแต่งเป็นอภิสังขาร ก็อาศัยแค่ลหุตา มุทุตา ที่เราพร้อมจะปรับ ได้ไว ตามเหตุปัจจัยที่ไม่เที่ยง ถ้าเรามีความเก่งในกัมมัญญตา ทำให้มันปรุงแต่งจากจิต มุทุตา ทั้งจิตปัญญาเร็วไวไหวทัน ส่วนจิตเจโตก็ปรับดัดได้ง่ายไม่อ่อนไหวแต่เป็นไวเร็ว จิตหัวอ่อน อาศัยลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ออกมาเป็นวิญญัติรูป เราใช้งานวิการรูป ไม่เอาสิ่งที่เป็นกิเลสมาปรุงแต่งด้วยเหลือแต่สิ่งที่ดียิ่งแล้ว ก็ใช้ ประมาณเอาให้ลหุเท่านี้โดยประสิทธิภาพของมุทุตาเราก็ทำให้เหมาะควรด้วยสัปปุริสธรรม มหาปเทส 4 เป็นกัมมัญญตา ออกมาเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ แม้อยู่ในใจก็เป็นวิการรูป

 

ส่วนสัจจะในโลกจะให้เกิดก็มีอุปจยะ แต่มันก็จะมีชรตา อุปจยะคือเราให้มันเกิดทำความเกิดแก่จิต ผู้ควบคุมได้ให้จิตเกิด แล้วทำต่อเนื่องเป็นสันตติ แต่เราจะให้พลังเพิ่มก็ได้แต่หยุดเมื่อไหร่ก็ชรตา หยุดก็เสื่อมสำหรับผู้ไม่เติมแล้วมันจึงไม่คงที่ อนิจจตา อยู่ที่เราควบคุมอนิจจตา หาเราเติมมันก็ไปต่อ แค่หยุดก็เสื่อมแล้วสูญ ถ้ามีพลังงานเสริมอยู่ ก็ยังมีทศนิยม หากไม่มีทศนิยมก็เสื่อมสูญ เช่นน้ำถ้านิ่งไม่มีออกซิเจนไฮโดรเจนมาทำปฏิกิริยา น้ำนั้นก็เน่าๆไปเรื่อยๆ

 

กามตัณหาเป็นความอยากใคร่รวมหมดเลย แม้อยากฆ่าเขาก็เป็นกาม แม้จะอยากได้มาเป็นเราไม่ทำลายก็เป็นเชิงโลภะ หรือเอามาเสพรสเป็นราคะ ตัวเสพรสนี่แหละหายวับๆ ชั่วประเดี๋ยว เราไม่รู้จักอาการกามที่เป็นตน แต่ถ้าเป็นกามที่อาศัยทรงไว้ เป็นธรรมกาโม จิตมนุษย์ที่ไม่ปล่อยเป็นปรินิพพานปริโยสาน คุณจะต้องมีการยึดไว้อยู่ มีตัวตนอยู่ ผู้ไม่ลึกลับก็เป็นอรหัตตา ก็ใช้งานอย่างเหมาะควรไป

 

ในใจคนนี่มีมโนสัญเจตนาครองเรือนอยู่เสมอ อย่างอรหันต์เบื้องต้น จิตจะมีปรุงแต่ง อย่างการนอนหลับ อรหันต์ใหม่ๆถ้าตื่นเต็มกิเลสไม่เกิด แต่ถ้านอนหลับแล้วไม่ได้ทำความตื่นรู้ อย่างสายเจโตสมถะจะไม่มีเรื่องปรุงแต่งในฝันแต่อรหันต์ที่ไม่ได้ฝึกเจโต เมื่อหลับแล้วจิตก็ปรุงแต่งอยู่ นอนหลับจิตก็ค้างมีเศษเจตนารมณ์ แต่เมื่อเป็นฐานอนาคามีจะไปเสพหยาบก็ไม่มีแล้ว แต่จะมีปรุงแต่งเป็นรสในภพ แม้อรหันต์ก็มีพริ้วพราย เพราะสติไม่เต็มแต่ถ้าอรหันต์ตื่นเต็มจะไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าไม่เอาผิดในฝัน มันเป็นสิ่งตกค้าง ตอนหลับมันก็จะเป็นไปตามมโนสัญเจตนาที่ฝังในอนุสัย แม้สติไม่เต็มมันก็ทำงานตามที่มันเหลือ อรหันต์แบบนี้ก็ต้องผ่านอนาคามีมาแล้ว

 

วิภวภพ แปลว่าความต้องการให้ไม่มีภพหรือมีภพที่วิเศษยิ่งไปอีก วิ นี่แปลว่าแจ้งแล้ว มีพลังกำหนดความต่างด้วย ส่วน ภว หรือ ภพ เป็นความมีอยู่ วิภวตัณหาคือตัณหาที่ต้องการหมดภพ เป็นอรหันต์นั้นจะเป็นผู้มักน้อย อัปปิจฉะ ให้เหมาะควร กลางๆ หัดประมาณเป็น ซึ่งความต้องการนั้นจะมีตลอดแม้เป็นพระพุทธเจ้าก็มี แต่เป็นความต้องการที่ไม่มีภัยต่อโลกแล้ว

 

เช่นพระพุทธเจ้าท่านว่าท่านผ่องใสยิ่งอยู่สองวาระ คือตอนตรัสรู้ใหม่ๆยังไม่ปรุงมาก กับตอนปลงอายุสังขารแล้ว ท่านจะไปแล้วแต่ท่านก็ยังมีความต้องการ ท่านก็บอกให้อานนท์ปูผ้าให้เราหน่อย เราทุกขเวทนาหนัก นี่ก็คือความต้องการ ท่านจะปรินิพพานก็ตรัสเช่นนั้น ให้เข้าใจมโนสัญเจตนาให้ดีเป็นเครื่องอาศัย อย่าพาซื่อเป็นเดียรถีย์พาซื่อดับไปหมด

 

ต้องเข้าใจความต้องการที่ดีจนถึงวิภวตัณหา จนถึงวิหาร  คือการอาศัยอย่างมีคุณภาพ เก่ง ผู้นี้จึงอยู่กับวิสังขาร (วิสังขารแปลกันว่าไม่มีสังขารก็ได้คือไม่ให้กิเลสมาสังขารเลย) แต่อรหันต์ก็มีวิสังขารทิ่วิเศษ แม้อนาคามีก็ฝึกวิสังขารแล้วให้เป็น วิหาร เป็นสิ่งสูงยิ่งกว่าวิมุติ

พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ออกป่าถ้ามิจฉาทิฏฐินั้นไม่จม ก็ลอย อย่างฤาษีนี่พวกจม กดกาม ไว้ เอาแต่หยุดจม นั่นคือลักษณะจม ส่วนพวกที่กามจัด ถ้าไปอยู่ป่า ซึ่งคนจะออกป่านั้นจะไปเช็คผล อย่างอุบาลีสูตรนี่ 

พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด

พระพุทธองค์ตรัสว่า...  ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก 

ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว.      ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

            ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่   หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้   คือ  จักจมลง   หรือจักลอยขึ้น !!       (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 99)

ผู้จะออกป่าแล้วได้ประโยชน์ก็คืออนาคามีหรืออรหัตตมรรคที่ต้องการเช็คผล แต่ที่ว่าออกป่านั้นเขาก็เรียกว่าพระธุดงค์อีก (ขอแวะเล่าที่ว่าเขาทำธุดงค์กันอย่างหรูหร่าฟู่ฟ่านั้นไม่ใช่ธุดงค์) ธุดงค์คือศีลเคร่ง มาจาก ธูตะ อย่างท่านที่กินมื้อเดียวได้คนก็หาว่าเคร่ง แต่ท่านทำได้ปกติดีไม่ได้เคร่งแต่อย่างใด

ต้องเรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิ แม้คำว่า กาย ก็ต้องมีทั้งรูปและนาม เราเรียนรู้ให้จบใน รูป 28 จบที่ปริเฉทรูปนี่ก็เกิดอุเบกขา อากาสาฯ ในปริเฉทรูป นอกนั้นก็เรียนรู้มาตั้งแต่ ปสาทรูป โคจรรูป  ภาวรูป ที่มีชีวิตินทรีย์ ซึ่งเราก็ทำให้ชีวิตของสัตว์หมดแรง(อินทรีย์) หมดพลังงานเลย ไม่มีแม้นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ดับหมด ต้องเห็นความจริงของตนตรวจสอบให้ครบ เรียนรู้ในอาหาร 4 นี่แหละ แล้วอาศัยมโนสัญเจตนาล้างกิเลสในวิญญาณ แล้วก็อาศัยอาหารรูปได้อย่างบริสุทธิ์ เพราะทำปริเฉทรูปได้ถึงอุเบกขา อากาสาฯ ตรวจสอบ เป็นภาวะที่อรหันต์อาศัย ทำอากาศเป็นทำเรือนว่างให้อาศัยได้เป็นอรหันต์ ก็อาศัยอันนี้เรียกว่าอากาสาฯ ตรวจสอบจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

ผ่านปริเฉทรูปแล้วอาศัยเรือนว่างอย่างมีภูมิคุ้มกันจะอนุโลมกับโลกเขา ทำกายวิญญัติ วจีวิญญัติ อย่างอนุโลมให้เขาได้อย่างประมาณใน ลหุตา มุทุตา มีกัมมัญญตา ในโลกพร้อมทั้งกายวิญญัติ วจีวิญญัติได้อย่างสมบูรณ์

 

วันนี้อธิบายไล่มาถึงความเกิดความดับ เราทำเหตุคืออกุศลจิตดับได้ แม้อนุสัยก็ดับได้ นี่คือเห็นความเกิดความดับ ไม่ใช่ว่าเดาเอาตรรกะว่าเดี๋ยวจิตก็เกิดก็ดับแต่คุณเห็นความจริง อ่านจิตได้ แล้วทำจิตที่มีภาวะให้หมดอินทรีย์ของอิตถีให้เป็นอุตมบุรุษ เป็นเอกกัคคตา สูงสูดที่อาศัยในโลก เป็นความเกิดความดับต้องเห็นอย่างสัมมาทิฏฐิ รู้จิตอนุสัยตัวปลายท้ายสุดดับ จิตอรหันต์เกิด เกิดดับทันทีไม่มีอะไรคั่น นี่คือผู้เห็นความเกิดความดับ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:37:58 )

571231

รายละเอียด

571231_ทวย.งานว.บบบ.ครั้งที่ 3 แบบคนจนถึงนิพพาน

มนุษย์คนใดถ้ามีธรรมะ ซึ่งทุกศาสนาก็มีธรรมะ ถ้าเราจะพูดถึงความเป็นอยู่ของเรากับทั้งสังคมนั้นจะไม่แปลกแยกกันทุกศาสนา เพราะธรรมะนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับการเป็นอยู่ในสังคม อย่างศาสนาอิสลามเขาใช้ศาสนาเป็นกฎหมายเป็นหน้าที่เลย อย่างน้อยเขาต้องละหมาดวันละหลายครั้ง แต่ศาสนาพุทธนี่บางที่ก็ไม่เกี่ยวเลย ไม่ไปวัดวาหรอกยาปกติ จะไปก็ตอนทุกข์มากหรือตอนตายแล้ว มันน่าสงสารนะ แต่เนื้อแท้นั้นพระพุทธเจ้าท่านศึกษาความเป็นมนุษย์และสังคม ไม่ใช่ศาสนาหนีปลีกเดี่ยวเข้าป่าเขาถ้ำ แล้วคิดว่าจะหลุดพ้น ก็เข้าใจเนื้อหาศาสนาผิดไปไกลลิบ ทั้งที่ศาสนาพุทธนั้น เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ซึ่งเป็นความหมายที่ตรงกับปชต.เลย สร้างความสุขให้กับหมู่มวลประชาชน นี่คือสาระสัจจะของศาสนา น่าเสียดายที่เราศึกษาเพี้ยนผิดไป

 

อาตมาพยายามพาพวกเราทำปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าที่คิดว่าเป็นเช่นนี้ ได้มรรคผลเช่นนี้ ก็ทำอย่างที่มั่นใจจนเกิดผล แล้วพาเกิดประโยชน์ต่อประชาชนตามลำดับ ใครจะเข้าใจไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราไม่ทวงหนี้บุญคุณด้วย ใจเราจริงก็ทำตามใจจริง ตามสัจจะ

 

แล้วเห็นได้ชัดว่าคนไทยไม่ค่อยแยแสธรรมะแบบนี้ แต่ที่จริงเราให้สิ่งประเสริฐสูงสุดเป็นอาริยธรรม แต่เขาเข้าใจไม่ได้ ไปเอาแค่โลกียธรรม ที่จริงศาสนาพุทธเป็นโลกุตระเต็มๆ และแปลกกว่าศาสนาอื่น เพราะเป็นโลกุตระระดับที่ทวนกระแสกับโลกีย์สิ่งที่ได้คือสิ่งที่ให้ แล้วไม่ได้จดจำยึดถือว่าเรามีบุญคุณกับเขาด้วย เป็นสิ่งยิ่งใหญ่มาก อาตมาก็เสียดายมากก็เลยพยายามกอบกู้

 

ทุกวันนี้แม้แต่ผู้นำศาสนาพุทธกระแสหลัก เขาก็ให้ประโยชน์แค่ช่วยจารีตประเพณี นอกนั้นก็เป็นไสยศาสตร์ เดรัจฉานวิชา เป็นจารีตในงานเผา ก็เพี้ยนด้วย ไปทำบุญทำทานก็กลายเป็นเรื่องโลกๆ ทำทานแทนที่จะเป็นโลกุตระกิเลสลดก็กลายเป็นกิเลสมาก หรือกลายเป็นศีลพตุปาทาน ติดยึดศีลพรต แล้วหวงแหนมิจฉาทิฏฐิของตนด้วยเกิดมิจฉาผลก็ไม่ร้ว่าได้มิจฉาผล

 

ซึ่งถ้าทำได้ถูกพุทธแล้วเมืองไทยจะไม่โกงกันขนาดนี้ เป็นอันดับต้นๆของโลกเลย เลขสองตัวเลย ประเทศไทยลำดับสองในเอเชียนะ  องค์กรเพื่อความโปร่งใสและคอรัปชั่นสำรวจ ปี 2557 พบว่า เมืองไทยเป็นลำดับ 85 ใน 170 ประเทศ และเป็นอันดับ 28 ในเอเชียแปซิฟิกส์ นี่หมายความว่าคอรัปชั่นนะ ซึ่งอันดับต้นๆก็คือว่าคอรัปชั่นน้อย เทียบกับประเทศต่างๆ

 

มาฟังกวี                  ปฏิรูปด้วย"แบบคนจน" 

                                    (1) ปฏิรูป..ปฏิรูปไซร้             อะไร

                                    ปฏิรูปกันยังไง                         ลึกตื้น

                                    จึ่งจักเจริญไกล                                    ยิ่งกว่า เคยเฮย 

                                    ปฏิรูปกันแค่พื้น                       ไม่พ้น"อวิชชา"

                                    (2) ต้องหาจุดบอดให้             จนเห็น

                                    หาเหตุที่แท้เป็น                       จุดแก้

                                    หากหลงแต่ประเด็น                เช่นเก่า

                                    ก็บ่พ้นวนแพ้                            แก่ผู้"อวิชชา"

                                    (3)  ประดาคนหลากรู้             มีมาก

                                    แต่หนึ่งรู้สุดยาก                      สัจแท้

                                    คืออริยสัจหาก                         พ้น"อวิช- ชา"ฮา

                                    จึงจักเห็นจุดแก้                       ถูกถ้วนถาวร

                                    (4) สุนทรคนสุขด้วย              อามิส

                                    ทั้งเสพทั้งยึดติด                       ไป่รู้

                                    "อวิชชา"แน่นสนิท                  หลงแต่ "วิชา รา

                                    จึงจบแค่กอบกู้                                    สุขซ้ำโลกีย์

                                    (5) เพราะมีภูมิแค่รู้้                 สุขทุกข์

                                    แต่ลึกโลกุตรสุข                      ไป่แจ้ง

                                    สุขเท็จ-สุขแท้ฉุก                    ใจบ่ คนเอย

                                    ไทยชาติพุทธใช่แล้ง                ฉลาดชั้น"วิชชา"

                                    (6)  ศาสดาพุทธสุดรู้               สังคม มนุษย์แล

                                    ทรงกอบกู้มนุษย์จม                 โลกฟื้น

                                    ด้วยโลกุตระสม-                      ใจอยาก จริงเลย

                                    แต่ปราชญ์โลกยังตื้น               ไป่รู้"อาริยา"               

                                    (7)  หลง"อารยะ"พื้น              ปุถุชน             

                                    ปฎิรูปกันวกวน                        ย่ำย้ำ

                                    ไม่รู้"แบบคนจน"                    จนจบ จนจริง

                                    ปฏิรูปจึ่งซ้อนซ้ำ                      ไม่รู้"จน"แล้ว. 

           

                                                                        "สไมย์ จำปาแพง"                             

                                                                                    16 ธ.ค. 2557

                        [นัยปก "เราคิดอะไร" ฉบับ 295 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2558]

 

คำว่าจนจึงลึกซึ้งมาก อาตมาพูดถึงเรื่องนี้แล้ว คำว่าจนนี่ เป็นคำที่ไพเราะ เป็นคำยิ่งใหญ่ เป็นคำประเสริฐสุด เป็นคำที่มนุษยชาติต้องเข้าใจดีแล้วศึกษาให้เป็นคนเช่นนี้

 

คนจะเข้าใจคำว่าจนแล้วมามีชีวิตเป็นคนจน อยู่ด้วยระบบแบบคนจน ตามในหลวงตรัส ซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้ามีคุณวิเศษ มีมากก็เป็นคุณนิธิ เป็นคลังเก็บสะสม เป็นกองสมบัติ มีมากจนเป็นราศี แสดงราศีเปล่งออกเลย แต่นี่เมืองไทยกลับไม่

 

ศาสนาพุทธเร่ิมต้นที่โลกุตระคือโสดาฯมรรค ไม่ได้หมายความว่าบรรลุธรรมแล้วต้องมาเป็นนักบวช แต่ว่าทำงานกับโลกเหมือนธรรดา นอกจากเป็นพระนี่ท่านจัดสัดส่วนให้เห็นเป็นความบริสุทธิ์จริงๆ ถ้าจะพูดไปนั้นในบางยุค พระพุทธเจ้าชื่อว่า เป็นจอมจักรพรรดิ์ ซึ่งจอมจักรพรรดิ์นี่บริหารประเทศเป็นฆราวาส เหมือนทั่วไปแต่เป็นผู้มีอาริยธรรมสูงสุด เป็นอรหันต์ได้ แต่ไม่ใช่จอมจักพรรดิ์อย่างเจ็งกิสข่าน แต่เป็นผู้มีศีลมีธรรมจริงๆ มีทศพิธราชธรรม แล้วบริหารบ้านเมืองได้ด้วยโลกุตรธรรม เสียสละ เหมือนอย่างในหลวงเรา เป็นอาริยะที่ท่านเป็นโพธิสัตว์ แต่เขาเข้าใจไม่ได้ในความซับซ้อนว่า ทำไมต้องไปแต่งงานมีลูกเมีย มันมีความซับซ้อน อย่างอาตมาเคยบอกว่า ไอสไตน์ คานธีก็เป็นโพธิสัตว์ แม้มีลูกเมีย แต่โดยองค์รวมแล้วเป็นโลกุตร เป็นปฏินิสสัคคะ ในพระไตรฯไม่มีกล่าวไว้ด้วย

 

เพราะจอมจักพรรดิ์นี่เป็นหนึ่งในนี่บุคคลที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าควรนำเอากระดูกใส่เจดีย์ไว้บูชา

 

เนื้อแท้โสดาบันมีศีล 5 เป็นหลักใหญ่  พอดีมีพระท่านส่งคำถามมาว่า...จะแปลคำเหล่านี้

ปฐพฺยา เอกรชฺเชน (ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้่งแผ่นดิน)

สคฺคสฺส คมเนน วา (ยิ่งกว่าขึ้นสวรรคาลัย)

สพฺพโลกาฑิปจฺเจน (ยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลกทั้งปวง)

โสตาปตฺติผลํ วรํ . . . (คือรพระโสดาปัตติผล)

 

ย่ิงกว่าเอกราชทั่วทั้่งแผ่นดินนั้นสุดยอด เป็นสุขแก่ตนแล้ว ย่ิงถ้าทั้งประเทศเป็นได้ มีอาริยธรรม โลกุตรธรรม เร่ิมตั้งแต่โสดาบัน ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้่งแผ่นดินก็คือหลุดพ้นจากส่ิงติดยึดเบื้องต้นคืออบาย เช่นไม่เอาเลยการพนัน คืออบายมุขต่ำๆ แล้วผู้บรรก็เป็นผู้อยู่เหนือ ไม่ว่าจะมีการพนันที่ไหน ก็ตาม ผู้บรรลุโสดาบันแล้วจะไปที่ไหนก็ตามท่านหลุดพ้นหมดทานไ่ม่เกียวข้อง แต่สิ่งยั่วยวนท่านให้มาสังสรร เที่ยง ทั่วทั้งโลก

Than sole sovereignty over the earth,

Than going to celestial worlds,

Than lordship over all the worlds,

Better is the fruit of a Stream-Winner.

 

เมืองไทยเต็มไปด้วยอบายมุข ออกทางทีวีทุกวันออกมอมเมาเล่นเกมก็เป็นอบายมุข สื่อสารอย่างบุญนิยมทีวีเขาไม่สนใจ แล้วก็โกงกินกันมากมาย โกงระดับล้านๆแล้ว โดยเฉพาะนักการเมือง ส่วนใหญ่โกง ทำมา 80 กว่าปีนี้ขอเว้นวรรคไว้ก่อน ให้คนที่เขาไม่มีเหลี่ยมการเมืองมาทำแทน ล้างบางเลยก่อน คนเห็นเช่นนี้ก็เยอะเพราะว่านักการเมืองนี่เป็นยอดนักอบายมุข เป็นความเสื่อมไม่ใช่ความเจริญ แม้แต่การละเล่น บันเทิงเรงรมย์ก็เป็นอบายมุข แต่เลอะจัด เป็นกามจัด ดูพวกดัดจริตออกอากาศ โดยเฉพาะผู้หญิงท่าทีลีลา มันจัดจ้าน ผู้มีสติปัญญาอย่าส่งเสริมเลย ถ้ายุคที่อาตมาเป็นฆราวาสทำอยู่ใน พวกผู้หญิงที่แสดงอย่างนี้ไปอยู่ข้างป่าช้าโน้น แต่ยุคน่ี้ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมก็มากมาย แต่ละคนก็ไปนิยมอย่างนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นคนไม่ดู ก็มีแต่ช่องนี้แหละที่เชยๆ แม้แต่ช่องของรัฐก็พลอยเป็นเช่นนั้น จะไปไหวอย่างไร?

 

พระโสดาบันนี่ ยิ่งกว่าสวรรค์เลยนะ คือสวรรค์ของโลกียะคือสุขัลลิกะ ในพระโสดาบันก็ไม่สุขไม่ทุกข์ในอบายแล้ว จะมีเชื้อเหลือก็ในภพบ้าง แต่ถ้าเป็นอรหัตตผลในโสดาบัน ก็ไม่มีอาการเหลือแม้เศษรูปราคะ อรูปราคะก็ไม่มี สวรรค์นั้นไม่มี ศาสนาพุทธมีอุเบกขา มีเนกขัมมะ เป็นปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสสรา เป็นคุณสมบัติอุเบกขา 5

 

โสดาบันก็มีอุเบกขาจึงไม่สุขทุกข์ในอบาย ที่หยาบ หรือยังมีรูปราคะ อรูปราคะก็ต้องล้างต่อไป ยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ก็คือยิ่งกว่าสุข

 

แล้วคือย่ิงกว่าอธิปไตย ตัวนี้แหละคือ sovereignty แต่ท่านใช้คำว่า lordship แม้มีตำแหน่งหน้าที่ในสังคมก็ไม่ใช้ข่มเบ่ง มีวรรณะทางธรรม ไม่ใช่ธรรมะโลกีย์ เป็นวรรณะ 9 เป็นคุณสมบัติชั้นสูง เป็นผู้สุภระ เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย กล้าจน เป็นคนตั้งใจจน แบบคนจนมักน้อยสันโดษ (ใจพอ)  เป็นผู้มีสัลเลขธรรมขัดเกลาใจตน เป็นผู้มีศีลเคร่ง (ธูตะ) อย่างพระกัสสปะมีศีลเคร่งถึง 13ข้อท่านทำได้ก็เป็นปกติไม่เคร่งอะไร แล้วมีอาการน่าเลื่อมใส อาสาทิกะ คือมีพฤติกรรมที่ชั้นสูง เป็นอาริยชนที่แท้จริง ไม่โลภ ไม่โกรธ ติดดิน มักน้อยสันโดษ และอปจยะคือไม่สะสม เป็นคนจนที่ชัดทั้งรูปธรรมและนามธรรม แต่อันนี้แหละยาก อย่างคนไปเพ่งโทสในหลวง ที่เขาว่ารวยที่สุด

 

เขาไม่รู้ว่าเรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นเป็นส่วนกลาง แต่ว่าเป็นกษัตริย์ที่จะรักษาไว้ เป็นนิธิของกษัตริย์ แล้วจะให้ในหลวงเหมือนกับคนทั่วไป แท้จริงท่านเป็นมีวรรณะ 9 สมบูรณ์ ซึ่งก็ต้องมีผู้ยกให้ตามฐานะสมมุติที่ควร จิตใจท่านไม่ได้อยากแต่ต้องทำเพราะไม่ทำรูป นามก็ไม่สมบูรณ์ เหมือนนิ้วมือ คนมี 5 นิ้วเท่ากันแต่แต่ละนิ้วก็ไม่ได้เท่ากัน เพราะหน้าทีี่คนละอย่าง ตามฐานะ แต่ในความซ้อนฐานะ เราดูอาการปาสาทิกะได้ น่าเลื่อมใสได้ อย่างในหลวงเรา อาการของปธน.อุรุกวัย อันนั้นปธน.ไม่ได้เป็นในหลวง แต่ท่านก็มีอาการน่าเลื่อมใส ไม่ยอมรับแม้รถประจำตำแหน่ง บ้านประจำตำแหน่ง ใช้ของตน จนๆ ก็มีอาการน่าเลื่อมใส ในหลวงเราก็มีอาการน่าเลื่อมใส ติดดิน จนกระทั่ง king ของอังกฤษต้องอุทานว่าไม่น่าเช่ื่อว่าจะได้เห็น king of king คนไม่เข้าใจสัจธรรมก็ยากจะทำให้สังคมอยู่อย่างพอเหมาะเจริญรุ่งเรือง แล้วไม่จำเป็นต้องรุ่งเรืองอย่างมหาอำนาจทุนนิยมนะ แต่เขาให้เองเป็นสัจจะ แล้วคนได้รับก็ไม่เบ่งอวด ไม่ทำให้เป็นส่ิงไม่ดีงามซ้อน ท่านไม่เอาความสูงมากดขี่ทำร้ายใคร

 

อย่างคานธี ตลอดชีวิตไม่มีตำแหน่งทางราชการเลย แต่ว่าท่านพูดอะไรผู้บริหารประเทศยอมคานธีเลย แล้วคานธีก็ไม่ได้เบ่งกับใคร อาตมาก็มั่นใจว่าเมืองไทยต้องมีอาริยธรรมเกิดขึ้น เพราะโลกุตระนั้นได้มีเนื้อแท้มีแก่น แก่นคือวิมุติ แก่นคือสิ่งไม่เปลี่ยนแปลง แต่ต่อไปจะเสื่อมก็ธรรมดาแต่ตอนแรกนั้นมีคนได้แก่นแท้ โลกุตรธรรมในประเทศไทยเกิดแล้ว อาตมาเขียนหนังสือไม่รู้เท่าไหรว่าโลกุตระในเมืองไทยไม่มีแล้ว

 

โลกุตระนั้นเร่ิมที่ กายในกาย ในสติปัฏฐาน 4 ผู้ใดมีความรู้คำว่ากาย แล้วจับสักกายะเป็น พิจารณากายในกายได้ถูกต้อง มีสัมมาทิฏฐิ แล้วสัมผัสวิโมกข์ด้วยกาย เกิดความเจริญทางกาย ใจ เข้าหาเวทนา จิต ธรรม ที่จริงกายก็คือจิต อย่างพระไตรฯ ล.16 ข้อ 230 พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า กาย คือ จิต คือ มโน เขาเข้าใจเพี้ยนผิดแม้ในวงการศาสนาพุทธ ในพระบาลีใช้คำว่ากาย แต่เขาแปลว่าร่างกาย เสียอีก พระพุทธเจ้าก็ว่า กาย คือ มโน จิต วิญญาณ

 

ผู้ที่ไม่รู้จักกาย เช่น นักการเมืองที่รับเงินคอรัปชั่น รับเงินสินบน ถูกจ้างไว้ด้วยเจ้าของเงิน นี่คือคปรัปชั่น ก็ไม่เข้าใจว่านี่คืออบายภูมิ ถ้าจะปฏิรูปประเทศไทยต้องจัดการคอรัปชั่นที่เป็นอบายภูมินี้ ต้องปราบ จะปราบได้อย่างไรก็ต้องใช้คน ที่ปฏิรูปกันจะทำอย่างไร ทำแค่พื้นๆก็แค่พายเรือในอ่าง พ้นไม่ได้ ต้องหาจุดบอดให้เห็น แก้ให้ชัด โดยเฉพาะคำว่าทุจริต คอรัปชั่น ทำอย่างไรจะทำได้ อาตมาก็พยายามบอกแนะ ถ้าไม่ฟังไม่ศึกษาไ่ม่ปรโตโฆษะก็ยากจะปฏิูรูปได้ แล้วจะทำอย่างไรให้เปลี่ยนใจคนได้ ตั้งแต่กั้นไม่ให้คนทุจริตโลภมากมาบริหาร นักการเมืองก็ต้องชำระ เป็นฤกษ์ดีที่จะจัดการกับคอรัปชั่น แม้ในระดับนายพลตำรวจ และพวก ก็ทำกันได้เป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งในประเทศไทย ยุคนี้มีปาฏิหาริย์เช่นนี้ก็น่าชื่มชม ในกรมกองอื่นก็เช่นกันควรทำเช่นนี้ นี่คือการปฏิรูปต้องจัดการอันนี้เป็นหลัก เรื่องร่างรธน.เป็นเรื่องรอง สิทธิในการบริหารประเทศก็มีแล้ว อย่างคสช.ทำนี่มองเผินๆเหมือนเผด็จการ แต่ไม่ใช่นะ แต่ก็มีติดข้องที่ว่าทำไมไม่จัดการรัฐบาลที่แล้ว อาญาสิทธิ์ก็มี แม้แต่อยู่ในรูปเผด็จการ คอมมิวนิสต์ แต่ถ้าพฤติกรรมทำเพื่อมวลประชาชน จะอยู่ในยี่ห้อเผด็จการก็ตาม ก็แค่ยี้ห้อ แต่สัจจะแท้อยู่ที่พฤติกรรมจริง สมควรก็ทำ เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสกับนายกาสี คนเลี้ยงม้า

 

อนาคามีกับอรหันต์นั้น อนาคามียังจะดูเต๊ะท่ามากกว่าอรหันต์เหมือนถือศักดิ์ถือศรี แต่อรหันต์จะดูติดดินมากกว่าอนาคามี ยิ่งโสดาบัน สกิทาคามีก็มีมานะมากก็ดูแอ็คมากกว่า แต่เป็นคนทำประโยชน์แก่สังคมตามฐานะ มีคุณค่าต่อสังคม พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

อาตมาแสดงออกนี่ มีบทบาท นั้นรู้อยู่ว่าไม่ได้น่าเลื่อมใสในสายตาของผู้ที่มองไม่ออก แต่จะน่าเลื่อมใสในสายตาของผู้ที่เข้าใจ แต่ไม่เข้าใจก็มีเยอะ อาตมาก็ทำด้วยจำเป็น 

 

กายสักขี คือองค์รวมของสังคม ยกตัวอย่างเช่น องค์รวมของกลุ่มชาวอโศกก็เป็นสักขีพยาน เราทำมาได้ 40 กว่าปีแล้ว ทำกับสังคมอย่างจริงใจจริงจัง สังคมนี้มีองค์รวม กาโยทั้งรูปและนามเช่นนี้ สังเกตเรื่องกายแต่งตัว นุ่งห่ม ชาวอโศกองค์รวมดูได้ชัดเจนเลยว่านี่คืออโศกนี่คือคนจน เป็นภาวะซับซ้อนมากเลย ในกายสักขี ที่จิตของเราสัมผัสวิโมกข์ 8 แม้แต่รูป 28 ไม่ได้หนีสังคม ไม่ได้ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ แต่ไม่ได้ไปตีทิ้งนั่งหลับตานะ แต่ถ้าใครจะฝึกเป็นทั้งเจโตสมถะและวิปัสสนาก็ยิ่งดี และจะได้เร็วที่สุดด้วย  เพราะได้ครบ ทำเจโตสมถะนั้นได้พักได้สงบจิต ได้ศึกษาจิตในภวังค์ ที่จะรู้จิตรู้ในรู้นอก อ่านอาการใจได้ชัดขึ้น แต่ถ้าเราลืมตาปฏิบัติแล้วเกิดอาการกาม ก็อ่านยากกว่าตอนนั่งหลับตา ตอนนั่งนั้น มันอยู่ในภพความจำไม่ใช่ความจริง เราต้องทำให้ครบองค์รวมทั้งนอกและในครบรูป 28 ทำให้เป็นเอกบุรุษสมบูรณ์ ด้วยการรู้ต่อใน หทยรูป วิญญัติรูป วิการรูป ลักขณรูป

 

วิโมกข์ 8 ของพุทธ....วิโมกขสูตร

     [163] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์ 8 ประการนี้ 8 ประการเป็นไฉน คือ

 

  1. บุคคล

ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย นี้เป็นวิโมกข์ ประการที่ 1

  1. คนหนึ่งมีอรูปสัญญาในภายใน ย่อมเห็น

รูปทั้งหลายในภายนอก นี้เป็นวิโมกข์ประการที่2

  1. คนที่น้อมใจว่า งาม นี้เป็นวิโมกข์ประการ

ที่ 3

  1. เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา บรรลุอากาสานัญจายตนะ โดยมนสิการว่า อากาศไม่มีที่สุด นี้เป็นวิโมกข์ประการที่ 4

 

  1. เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง บรรลุวิญญาณัญจายตนะโดยมนสิการว่า

 วิญญาณ ไม่มีที่สุด นี้เป็นวิโมกข์ประการที่ 5

  1. เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง

 บรรลุอากิญจัญญายตนะ โดยมนสิการว่า ไม่มีอะไรหน่อยหนึ่ง นี้เป็นวิโมกข์ประการที่ 6

  1. เพราะ

ล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ นี้เป็นวิโมกข์ประการ

ที่ 7

  1. เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธนี้เป็น

วิโมกข์ประการที่ 8

ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์ 8 ประการนี้แล ฯ

                         จบสูตรที่ 13

 

เขาไปแปลกันว่าไม่ใส่ใจในนานัตตสัญญา ที่คืออัตตาต่างๆ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจ แต่ว่าท่านทำมนสิการได้หมดแล้ว ผ่านโอฬาริกอัตตามาแล้ว ผ่านขั้นรูปภพ มาถึงอรูปแล้วมีฐานคืออากาสาฯ ก็ตรวจสอบวิญญาณต่อว่ามีด่างพร้อย มีเศษส่วนเหลือไหม อากิญจัญญะ เนวสัญญาฯ มาสู่แดนสะอาด เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

การมนสิการว่า อากาศไม่มีที่สุด อนันโต อากาโสติ ถ้าเป็นรูป 28 ก็คือทำถึงปริเฉทรูปที่ตัดถึงความว่างแล้ว


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:39:10 )

571231

รายละเอียด

571231-ทวช.งานว.บบบ.ครั้งที่ 3  สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ตอน 1

วันนี้วันที่ 31 ธ.. 57 จะหมดปีเก่า ขึ้นปีใหม่ อาตมาจะขอโอกาสนี้ เฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ด้วยกวีในหนังสือพิมพ์เราคิดอะไร

                        พระปรมาภิวาทะ

             

                          ๏ วันพิเศษพสกทั้ง                ไผทไทย

                        รำลึกน้อมภูวไนย                     ผ่านเผ้า

                        เทิดทิตอิศเรศไอ-                     ศุริยะ ยิ่งเทอญ

                        คุณค่าฟ้าปกเกล้า                     เลิศล้นบารนี   

                          ๏ ไทยมีกีรติก้อง                    ด้วยพระ

                        วิริยะกรุณมหะ                         กว่าพร้อง

                        ปรมาภิวาทะ                            ยิ่งวิเศษ สุดเลย

                        คือ"แบบคนจน"ต้อง               ทึ่งอึ้งคำสวรรค์

                          ๏ ทรงสรรคำอีกย้ำ                ชัดเจน

                        “อาว์ล็อสอิสอาว์เกน”              ยิ่งซ้อง

                        เสริมพระอริเยนทร์                  เปรื่องปราชญ์

                        ปรีชญาณพฤทธิ์พ้อง                พุทธแท้เธียรธรรม

                          ๏ พระคำวิเศษนี้                     อาริยะ

                        ใช่ตรัสแต่วาทะ                       แค่ถ้อย

                        ราชจริยวัตระ                           ประจักษ์สิทธิ์ พิสูจน์เทอญ

                        ทรงกิจไว้ไม่น้อย                     กว่าร้อยเกินพัน

                          ๏ พระสรรพระสฤษฎ์ให้       โลกระบือ

                        คำใหญ่ยิ่งนั้นคือ                      ทิฏฐิฟ้า

                        เคยมีฉะนี้หรือ                          ในโลก

                        ที่ตรัสให้คนกล้า                      มักน้อยมาจน

                          ๏ ปกครองคนด้วยแบบ         ขาดทุน

                        ปรมัตถ์นี้คือบุญ                       แน่แท้

                        ชำระกิเลสคุณ                         ใหญ่ยิ่ง           

                        โลกวัดมิได้แม้                         ฉลาดด้วยปริญญา                                                       

                          ๏ วาทะนี้กว่าพื้น                   ปุถุชน

                        ทั้งขาดทุนทั้งจน                     สุขได้             

                        สละชี้อัศจรรย์คน                    อาริยะ             

                        ประหลาดแน่แต่จริงไซร้         เพราะแท้พุทธธรรม                                        

 

                                                            ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

                                                                                    ข้าพระพุทธเจ้า น.ส.พ.เราคิดอะไร

                                                                                      (สไมย์ จำปาแพง  ประพันธ์)                        

                                                                                    28 ต.ค. 2557

 

เป็นคำสั้นๆที่ท่านทรงตรัสออกมา เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ ซึ่ง มันก็น่าจะดีตั้งแต่ตอนโน้นแล้วที่ท่านตรัสบอกผู้ใหญ่ในบ้านเมืองว่าบ้านเมืองใกล้จะล่มจมแล้ว แต่ก็ไม่ใช้อาญาสิทธิ์ทำกัน ก็ปล่อยเลยมาจนตอนนี้พล..ประยุทธ์ก็มากอบกู้ ตอนนี้ถึงยุคที่ต้องทำให้สุจริต ทำแบบคนจน

 

เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ แบบคนจน

เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร พออยู่ได้

แต่..ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก 

เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก

เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก

ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง

ประเทศเหล่านั้นที่่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า       จ ะ มี แ ต่ถ อ ย ห ลั ง  และถอยหลังอย่างน่ากลัว 

แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่าแบบคนจน

แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอย่างมีสามัคคีนี่แหละ

คือ เมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”

ลองมาฟัง กวีบทที่จะต้อนรับปีใหม่

                                    ปฏิรูปด้วย"แบบคนจน" 

 

                                    (1) ปฏิรูป..ปฏิรูปไซร้             อะไร

                                    ปฏิรูปกันยังไง                         ลึกตื้น

                                    จึ่งจักเจริญไกล                                    ยิ่งกว่า เคยเฮย 

                                    ปฏิรูปกันแค่พื้น                       ไม่พ้น"อวิชชา"

                                    (2) ต้องหาจุดบอดให้             จนเห็น

                                    หาเหตุที่แท้เป็น                       จุดแก้

                                    หากหลงแต่ประเด็น                เช่นเก่า

                                    ก็บ่พ้นวนแพ้                            แก่ผู้"อวิชชา"

                                    (3)  ประดาคนหลากรู้             มีมาก

                                    แต่หนึ่งรู้สุดยาก                      สัจแท้

                                    คืออริยสัจหาก                         พ้น"อวิช- ชา"ฮา

                                    จึงจักเห็นจุดแก้                       ถูกถ้วนถาวร

                                    (4)       สุนทรคนสุขด้วย         อามิส

                                    ทั้งเสพทั้งยึดติด                       ไป่รู้

                                    "อวิชชา"แน่นสนิท                  หลงแต่ "วิชา"นา

                                    จึงจบแค่กอบกู้                                    สุขซ้ำโลกีย์

                                    (5) เพราะมีภูมิแค่รู้้                 สุขทุกข์

                                    แต่ลึกโลกุตรสุข                      ไป่แจ้ง

                                    สุขเท็จ-สุขแท้ฉุก                    ใจบ่ คนเอย

                                    ไทยชาติพุทธใช่แล้ง                ฉลาดชั้น"วิชชา"

                                    (6)  ศาสดาพุทธสุดรู้               สังคม มนุษย์แล

                                    ทรงกอบกู้มนุษย์จม                 โลกฟื้น

                                    ด้วยโลกุตระสม-                      ใจอยาก จริงเลย

                                    แต่ปราชญ์โลกยังตื้น               ไป่รู้"อาริยา"               

                                    (7)  หลง"อารยะ"พื้น              ปุถุชน             

                                    ปฎิรูปกันวกวน                        ย่ำย้ำ

                                    ไม่รู้"แบบคนจน"                    จนจบ จนจริง

                                    ปฏิรูปจึ่งซ้อนซ้ำ                      ไม่รู้"จน"แล้ว. 

           

                                                                        "สไมย์ จำปาแพง"                             

                                                                                    16 ธ.ค. 2557

                        [นัยปก "เราคิดอะไร" ฉบับ 295 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2558]                                                                                    

เพราะไม่รู้จน คำว่าจนนี่มีความหมายอีกอย่างว่า “ไปจนกระทั่งถึง” อีกความหมายคือ “ไม่มีมาก”  คือเขาปฏิรูปกันยังไม่ถึง ไม่จน ไม่เป็นอาริยะ ยังเป็นแค่อารยะ ที่โลกเขาบอกว่าต้องเจริญแบบอารยะหรืออริยะ ที่เพี้ยนไปแล้ว ไม่เหลือเนื้อแท้ปรมัตถ์ของพระพุทธเจ้า ไม่เกิดผลแก่สังคม ก็ปฏิรูปวนย้ำอยู่แค่นี้ คือ อยากรวย อยากใหญ่อยากโต

 

เราไม่ต้องอยากใหญ่โต ทั้งรูปธรรม แม้นามธรรมก็ไม่ต้องอยากใหญ่โต พระพุทธเจ้าท่านศึกษาเรื่องมนุษย์ กับสังคม เรื่องความรู้ทางเทคนิคก็ไม่ประสีประสาอะไร แม้ปางนี้ตอนแรกอาตมาก็งงว่าอาตมาทำไมไม่ไปเรียนอะไรมากมาย ตอนเด็กแม่ให้ไปเรียนวิทยาศาสตร์ก็ตกแล้วตกอีก ไม่ผ่านม.8 ไม่ผ่านวิทยาศาสตร์ พี่ชายญาติอาตมาก็ยังบอกว่า ถ้าแป๊กไปเรียนอักษรศาสตร์ก็ไปได้เลยแต่ว่าไปเรียนวิทยาศาสตร์ ก็อาตมาตามใจแม่ก็เลยเรียน สุดท้ายอาตมาก็จบทางศิลปะ fine art เลยน่ะ แต่ก็ไม่มีงานเขียนภาพมาเท่าไหร่เลย แต่อาตมาก็เป็นศิลปิน ทำงานศิลปะโลกุตระ ที่เข้าใจได้ยากกัน แล้วครูที่สอนกวีอาตมาก็ไม่จบป.6 นะแต่ก็อาตมาก็ทำงานกวีมาจนถึงวันนี้ อาตมาว่าอาตมาทำงานศิลปะใช้องค์ประกอบศิลป์ครบ “กาย”

 

กาย คือองค์รวม Holy สูงสุด  ผู้มีกายสักขี คือมีความเป็นกายทั้งภายนอก ภายใน ครบทั้ง 28 รูป มีมหาภูตรูปพร้อม มีปสาทรูป โคจรรูป พร้อมทำงานจนมีภาวรูป จนทำกายให้บริบูรณ์ มีวิโมกข์ สำเร็จอิริยาบถอยู่ แสดงออกทางกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ให้ออกมาอย่างลหุตา แต่เขาก็หาว่าแรง อันนี้ยาก ผู้จะมีปัญญาเห็นว่าอย่างนี้เหมาะสม อาตมาใช้สัปปุริสธรรม มหาปเทส เท่าที่เห็นควร เท่าที่อาตมามี มุทุภูเต กัมมนิเย ฐีเต อเนญชัปปัตเต แล้วคำนึงถึง อุปจยะ สันตติ และชรตาเสมอๆ ต้องทำให้เชื่อมต่อไม่ขาดสาย อยู่ใน space and time of continuum

 

พยายามรักษาชีวิตให้อยู่นาน เพราะว่ามันยากที่จะต่อเนื่อง เป็นความแน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่น ให้ควบแน่น เราไม่เก่งก็เลยต้องใช้เวลา เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่นเน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง มาช่วยกันทำอย่าทำอย่างแค่นๆ เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เอาเน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง เป็นศิลปะที่อาตมาใช้ทำงานอยู่ทุกวันนี้

 

มันซับซ้อนเพราะว่าแรงดีดดิ้นของสังคมเป็นอิตถีภาวะสูงมาก เป็นการสัปประยุทธ์ ซึ่งทางสายธรรมนี้ยกย่องท่านประยุทธ์ แต่สายทางบริหารก็มีพล.อ.ประยุทธ์มาก็ดีมาก เป็นจันทร์ที่สว่างสดใน โอชามาก ไม่ต้องพระอาทิตย์หรอก มันร้อนแรงไป เป็นกำลังเอก อามาก็ขอสนับสนุนทั้งสองประยุทธ์เลย ให้ศึกษาศาสนาให้ได้ เอาแบบในหลวง ทำให้เกิดจนเป็นกายสักขี

 

กายสักขีต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ (วิหารติ) คือเป็น ปัจจุบันไม่หายไป ดำเนินไปอยู่ ทั้งอาสวะทั้งหลายก็สิ้นแล้ว ในบุคคล 7 จำพวก

5. กายสักขี   ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือผู้ประจักษ์กับตัว  คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย  อาสวะบางส่วนก็สิ้นไป  เพราะเห็นด้วยปัญญา  หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป  จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต  ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ

6. ปัญญาวิมุติ   ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญาเท่านั้น คือ ท่านที่ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย . (น  เหว  อัฏฐ  วิโมกเขฯ)  แต่สิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา  หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้ปัญญ วิมุตติ  ก็สำเร็จเลยทีเดียว

ที่ว่า ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ ในสายปัญญาวิมุตินั้นท่านแปลจากคำว่า น เหว ไม่ได้หมายความว่าไม่มีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่ท่านมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายมาตั้งแต่ต้นแล้วเพราะท่านมีสัมมาทิฏฐิ

 

แต่ถ้าสายฤาษีนั้นจะหนักไปทางเจโต นั่งสมาธิหลับตา บางคนปฏิบัติแต่นั่งหลับตา แล้วไม่สามารถเข้าถึงโลกุตระเลย เลยกลายเป็นบุคคลคำพวกแรกในบุคคล 4

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ         แต่ไม่ได้โลกุตระ

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ            แต่ไม่ได้เจโตสมถะ .

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ         และได้ทั้งโลกุตระ

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ  และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

พตปฎ. เล่ม 36  ข้อ 10,  ข. 137,  ข.525

 

เจโตสมถะจึงเป็นอุปการะมาก แต่ไม่ใช่ทางเอก ทางเอกคือสัมมาสมาธิ ที่ต้องปฏิบัติมรรค 7 องค์สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ ต้องมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสังคมเต็มๆ

 

กายสักขีคือมีองค์ประกอบของกายครบ ใครหนักไปทางฤาษีก็ไม่ใส่ใจไม่กำหนดรู้ อโยนิโสฯ นานัตสัญญา  นี่เป็นความโน้มเอียงไปทางฤาษี ของคนแปลพระบาลีมา แต่ที่ว่าไม่ใส่ใจในนานัตสัญญานั้นเพราะว่าท่านทำจบกิจแล้วก็ไม่ต้องสัญญากำหนดรู้เรื่องนี้แล้ว พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ สู่สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นสัมมานิโรธ

 

พวกนั่งหลับตาไม่ครบองค์ประกอบของรูป 28 เพราะรูป 28 นี่ไม่ทิ้งมหาภูตรูป และมีอุปาทายรูปอีก 24 ครบ แม้จะมีผมขนฟันเล็บผิวหนังที่ไม่มีประสาท มันก็ไม่ใช่กาย ขาดสัญญาณทางจิตร่วมกับโคจรรูปปสาทรูปสมบูรณ์ แล้วไม่ใช่แตะกันไว้เฉยๆแต่ไม่มีปฏิกิริยาก็ไม่สมบูรณ์

 

พวกนั่งหลับตาสมาธิ ปีใหม่ปี 2558 นี้ก็ตื่นชาคริยาเถอะ มาศึกษาให้สมบูรณ์ อย่าคิดแค่ว่าส่งจิตออกนอกตัวนี้ผิด อาจารย์ใดพูดแบบนี้ก็ผิด พระพุทธเจ้าท่านเอากายมาหาจิตแล้วจิตออกนอกตัวเต็มๆ แต่เขาสอนว่าเอากายออกนอกจิตแล้วเอาจิตเข้าหาตัว อย่างนี้ก็สวนกระแสที่พระพุทธเจ้าตรัสสิ 

พระพุทธเจ้าให้เอาข้างนอกมาศึกษาเข้าหาภายในแล้วไม่ทิ้งข้างนอกด้วย รู้ให้ครบ แต่คำสอนที่ไม่สัมมาทิฐิก็เพี้ยนไป

 

กายคือกองของเวทนา สัญญา สังขาร แม้กายปัสสัทธิก็คือความสงบแห่งกองเวทนา สัญญา สังขาร นะกายไม่ได้หมายถึงแต่ร่างนะ ผู้ใดมีกายสักขีแล้วมีสัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกายก็บรรลุอาสวะสิ้นได้

 

กายสังขาร เขาก็คิดว่าแค่ร่างแต่ที่จริงต้องมีทั้งกายทั้งจิตทั้งวจี 

 

กายสัมปิลนะ ท่านแปลว่าการบังคับร่างกาย ที่จริงแล้วมันคือการทำให้องค์ประชุมรวมลำบากทั้งนอกและใน

 

กายสัมผัส ตัวสัมผัสนั้นต้องมีธาตุรู้ไปร่วมด้วย ท่านแปลว่าความรู้สึกสัมผัสก็ยังดีแปลเช่นนี้

 

กายสุจริต คือความสุจริตในกาย

 

กายสุจิ คือความสะอาดแห่งกาย ก็ต้องไม่ใช่แค่สะอาดภายนอก แต่ต้องสะอาดทั้งร่างและจิต เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่ากายคือจิต ข้อ 230 ล.16  กายสุจิ คือต้องทำให้องค์รวมกายใจสุจริต

 

กายานุปัสสนา คือปฏิบัติธรรมอย่างมีการตามรู้ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่ภายนอก

 

กายยิกทุกข์ ก็ต้องเน้นเข้าหาเนื้อในภายในใจ

กายมุทุตา กายวิการะ กายวิญญัติ กายวิญญาณ

 

คำว่ากายวิญญาณเขาจะเข้าใจได้ยาก เพราะว่าเขาแยกกายแยกวิญญาณ แล้วเอามารวมกันนี่เขาจะเข้าใจไม่ได้ แต่ที่จริงคือต้องเอาที่ปัจจุบันมีผัสสะพร้อมไม่อย่างนั้นไม่เรียกว่าวิญญาณ อย่างที่พระพุทธเจ้าบริภาษภิกษุสาตินะ ที่พระพุทธเจ้าว่ากล่าวตู่เรา ขุดศาสนานะ

 

ภาวรูป 2 นี่คือต้องเรียนให้จบ อย่าไปบอกว่าไม่เสมอภาค เพราะสิ่งที่เสมอภาคเท่ากันอยู่ที่ศูนย์ คือนิพพาน หากไม่ใช่ก็ไม่ใช่ศูนย์ คือจะมีทศนิยมเท่าใดก็ไม่เท่ากัน ทศนิยมเกินกว่าศูนย์ ก็ยังไม่เท่ากัน

 

กายวิเวก ท่านแปลว่า กายที่สงัดเงียบ ท่านก็แปลเป็นร่าง แต่ที่จริงหมายเอาที่จิต ที่สงบ ปณีตา เขาเข้าใจกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวกไม่ได้

 

ผู้ที่กายวิเวกแล้วก็คืออนาคามีภูมิ คือท่านเกี่ยวข้องกับมหาภูตรูป อยู่เหนือตั้งแต่ อบายภูมิ กามคุณ เป็นปุริสัตตมะ แล้ว แม้อยู่ทามกลางกามคุณจิตท่านก็ไม่ปรุงแต่งกับกิเลส ก็เหลือแต่รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ท่านจบกิจในภายนอกแล้ว อยู่อย่างตถตาสัมผัสอะไรกิเลสก็ไม่เกิด เพราะถึงนิสรณปหานแล้วเป็นอเนญชา สัมผัสโลกธรรมจิตก็ไม่หวั่นไหว แน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่น เด็ดขาด ก็มีกายสักขี มีองค์ประชุมที่ผู้อยู่ข้างนอกก็สัมผัสได้ ตัวท่านเองก็มีปรมัตถัจจะ เป็นอนาคามีภูมิ แต่กายสักขีนั้นต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย 

บุคคล 7 จำพวก

            [230] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล 7 จำพวกเหล่านี้มีปรากฏอยู่ในโลก 7 จำพวกเป็นไฉน

คืออุภโตภาควิมุตบุคคล 1 ปัญญาวิมุตบุคคล 1 กายสักขีบุคคล 1 ทิฏฐิปัตตบุคคล 1 สัทธา

วิมุตบุคคล 1 ธัมมานุสารีบุคคล 1 สัทธานุสารีบุคคล 1.

            [231] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุภโตภาควิมุตบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล

บางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมบัติ ด้วยกายอยู่ และ

อาสวะทั้งหลายของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา บุคคลนี้เรากล่าวว่า อุภโตภาค

วิมุตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมไม่มีแก่

ภิกษุนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ภิกษุนั้นทำเสร็จแล้ว และ

ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะประมาท.

            [232] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปัญญาวิมุตบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล

บางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่ แต่

อาสวะทั้งหลายของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้

เรากล่าวว่าปัญญาวิมุตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท

ย่อมไม่มีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ภิกษุนั้น

ทำเสร็จแล้ว และภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะประมาท.

 

ปัญญาวิมุติจึงเหนือชั้นกว่ากายสักขี

 

ใครอยู่ข้างนอกนั้นก็มีหลักประกันยาก ไม่ลอยไปกับโลกธรรม เพราะว่าอยู่กับเมือง ก็จมกับภพ เพราะหลงปฏิบัติผิดเข้าป่าเขาถ้ำ เอาแต่ข้างในไม่เอาข้างนอก ข้างนอกเกายสักขีป็นสนามแม่เหล็กโลกจัดมาก มันจะจัดเรียงทิศทางคุณไปหมด คุณต้องมาอยู่ในหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์

วิโมกข์ 8

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) . (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)  เพื่อให้เกิดอภิสังขาร ทำการกำจัดกิเลสให้ได้ จึงเกิดผลเป็นข้อที่ 3

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น) คือจิตเจริญด้วยมุตโตหรือโมกโข คือจิตกำจัดกิเลสได้ไปตามลำดับ จิตมีแนวโน้มไปหาสัมโพธิปรายนะ สู่จุดสูงสุดคืออันตะ เจริญสู่สิ่งที่น่ามีน่าได้น่าเป็น ปฏิบัติข้อ 1 และ 2 ได้ก็จะเจริญเป็นข้อ 3 ข้อ 4 ไปเรื่อยๆ ข้อที่ 1 ถึง 3 เป็นรูปฌาน ต่อไปก็เข้าสู่อรูปฌาน  ผู้ผ่านข้อ 3 แล้วก็เป็นอากาสาฯ จิตว่างยิ่งขึ้น ก็ต้องรักษาเป็นอนุรักขณาปธานหรือตรวจสอบเวทนา 108 เป็นจิตที่ว่าง แม้อยู่กับภายนอกที่ร้อนแรง อย่างสำนวนที่ท่านพุทธทาสว่า เป็นน้ำแข็งท่ามกลางเตาหลอมเหล็ก ไม่ละลายได้ ไม่หวั่นไหวแม้โลกธรรมใดๆ แล้วพิจสูจน์ต่อว่าเศษน้อยนิดก็ไม่ให้มี อากาสาฯคือรูป วิญญานัญจาฯคือนาม อากาโส วิญญานัญติ  ตรวจสอบแม้สิ่งที่น้อยนิดเท่าไหร่เหลือเศษเท่าใดก็ไม่ให้เหลือ แล้วรู้ให้หมดไม่มีไม่รู้ไม่ได้ จนเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่ใช่ว่าไปดับไม่รู้ ไม่สัญญา อย่างฤาษี เป็นอสัญญีสัตว์ แต่ที่จริงต้องกำหนดรู้ให้ครบหมด 

 

ตอนนี้อยากให้พวกเรามารวมกันให้มาก เพื่อให้เกิดการศึกษาที่จะพัฒนาตนเอง มาร่วมขับเคลื่อนศาสนา แต่ก็ต้องประมาณตนว่าไหวไหม หรือไม่ไหวจะมาก็ยักๆไว้บ้าง มาลองดูก็ได้ เรามีเมรุสุดชีวิตให้แล้วเป็นที่จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:40:19 )

57มวลมหาประชาชนทวงคืนอำนาจจากรัฐบาลกบฏ # Whistle Revolution # 

รายละเอียด

มวลมหาประชาชนทวงคืนอำนาจจากรัฐบาลกบฏ # Whistle Revolution # 


            ปลายพฤศจิกายนเข้าสู่อากาศหนาวของเหมันตฤดู แต่เรื่องราวการต่อสู้ของประชาชน บน “ราชดำเนินถนนแห่งประชาธิปไตย” ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างเข้มข้น เสียงนกหวีดที่ดังแสบหูอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศไทย คือเสียงที่ปลุกประชาชนให้ “ตาสว่าง” ออกจากบ้านเดินสู่ท้องถนน เพื่อต่อสู้กับระบอบทักษิณ มาเป็น “มวลชนตื่นรู้” ที่ “สนธิกำลังพล” รวมกันหลายกลุ่ม ยังคงมี “อัตราก้าวหน้ารายทาง” แต่ยังคงไม่ถึง “ผลสัมฤทธิ์ขั้นสุดยอด” เพราะความ “ด้านหนาราวคอนกรีต” ของ “กบฏรัฐธรรมนูญ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

 

            11 พฤศจิกายน 2556 "กำนันสุเทพ" พาทำ “อารยะขัดขืน” ทุ่มหมดหน้าตัก “ลาออก” จากการเป็นส..พร้อมส..พรรคประชาธิปัตย์ 9 คน  นัดชุมนุมใหญ่ 13-15 พฤศจิกายนนี้ พร้อมกำหนด 4 มาตรการ "อารยะขัดขืน" คือ 1.หยุดงานหยุดเรียนทั่วประเทศมาร่วมชุมนุม 2.ชะลอการจ่ายภาษี 3.ต่อสุู้เชิงสัญญลักษณ์คือใช้ธงชาติไทย 4.เป่านกหวีดฯไล่นายกฯและลิ่วล้อ

 

            15 พฤศจิกายน 2556 ยกระดับอีกขั้นไล่ระบอบทุศีล!!! "กำนันสุเทพ" ลั่นชัด “ถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ” งัด 4 มาตรการจัดการ "..ทาส-สมุนแม้ว-ต่อต้านสินค้าเครือทักษิณ-ชวนข้าราชการหยุดงาน" ย้ำคนร่วมครบล้านวันไหน ลุยเด็ดขาดทันที แม้วันนี้ประชาชนจะมาร่วมชุมนุมจำนวนมากล้น แต่ด้วยจิตใจคนที่ “ด้านหนาเกินกว่าจะจินตนาการ” รัฐบาลย่ิงลักษณ์ ก็ยังตะแบงโกงกินต่อไปอย่างไม่ยี่หระ  

 

             20 พฤศจิกายน 2556  คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกนั่งบัลลังก์ พิจารณา “คดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.. ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่โดยมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ว่า การดำเนินการและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 122, 125 วรรคหนึ่ง วรรคสอง, 126 วรรคสาม, 291 และมาตรา 3 วรรคสอง และมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ว่า เนื้อความที่เป็นสาระสำคัญขัดแย้งต่อหลักการพื้นฐานและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศเป็นการขัดต่อมาตรา 68 วรรค 1 ส่วนการเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งและยุบพรรคการเมืองยังไม่เข้าเงื่อนไข จึงยกคำร้อง ขณะที่สส.และสว.ทาสรับใช้ระบอบทักษิณพากันดาหน้าออกมาปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญกันจ้าละหวั่น

 

            20 พฤศจิกายน 2556 เวลา 02.49 . ที่รัฐสภา วุฒิสภาได้ประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่ประชุมลงมติเห็นชอบผ่านร่างพ...กู้เงินฯ2ล้านล้านบาทในวาระที่สาม ด้วยเสียง 63 ต่อ 14 งดออกเสียง3เสียง ก่อนจะส่งให้นายกรัฐมนตรีเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ประกาศบังคับใช้ และยังไม่สำนึกมีการเสียบบัตรแทนกันอีก แต่พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเมื่อเวลา 03.00.ทำให้รัฐบาลต้องชะลอการนำขึ้นทูลเกล้าฯ

 

            21 พฤศจิกายน 2556 คณะกรรมการ ปปปป. หรือประชาชนปฏิวัติปฏิรูปประเทศไทย  เปิดสภาประชาชนที่เวทีผ่านฟ้่าฯ มี.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เป็นประธานสภาฯและมีผู้รู้ด้านต่างๆมาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล  มีพี่น้องผู้รักชาติเข้าร่วมอภิปรายกันอย่างล้นหลาม เป็นการให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อให้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมเลวร้าย ของระบอบทักษิณที่โกงกินมายาวนานเกินกว่า 10 ปีที่ผ่านมา

 

            22 พฤศจิกายน 2556 ทางคปท.ได้ย้ายเวทีไปตั้งที่แยกนางเลิ้ง ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 23 พฤศจิกายน ทาง กปท.และกองทัพธรรม ได้ย้ายเวทีมาที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ หน้า UN เพื่อให้มีพื้นที่รองรับมวลมหาประชาชนที่นัดกันมาในวันที่ 24 พฤศจิกายน และช่วงเย็นวันนี้เป็นวันที่แกนนำของสามเวที รวมทั้งเครือข่ายร่วมโค่นล้มระบอบทักษิณ รวมตัวกันขึ้นเวที ประกาศร่วมมือกันอย่างเป็นทางการ เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ โดยเริ่มจากเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปเวทีมัฆวานฯแล้วไปต่อที่เวทีแยกนางเลิ้ง ระบอบทักษิณได้สั่นสะเทือนหวาดไหว ต่อความสามัคคีของคนดีที่กล้าหาญเหล่านี้

            แม้ว่าทางรัฐบาลจะมีการดำเนินการให้ร่างพรบ.นิรโทษกรรมถูกคว่ำในสภาสูง ซึ่งทางฝั่งรัฐบาลและพรรคร่วมได้ลงสัตยาบันว่า จะไม่เอากลับมาพิจารณาอีก แต่ประชาชนคงยากจะเชื่อได้สำหรับสัตยาบรรณของคนที่โกหกจนชิน เพราะร่างพรบ.ฉบับนี้ก็จะยังคงสามารถถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอีกได้ภายใน 180 วัน
 

            24 พฤศจิกายน 2556 ถือเป็นวันอีกวันหนึ่งที่จะต้องบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยรวมถึงโลกหล้าต้องจารึก อภิมหาชนคนไทย "ล้านหัวใจ" เฉพาะที่ปรากฏตัว-ปรากฏนาม ร่วมเขียน "อภิมหาประวัติศาสตร์" อีกหน้าของไทย ณ ถนนราชดำเนิน

            เพราะคลื่นมวลมหาประชาชนที่มากันอย่าง “มืดฟ้ามัวดิน” ยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา ล้นถนนราชดำเนินจนต้องไปตั้งอีกเวทีที่สนามหลวง เป็นปริมาณคนมาชุมนุมที่ทำลายสถิติ ทุกการชุมนุมทางการเมือง ที่เคยเกิดในเมืองไทย แม้ 14 ตุลาฯ 2516 ว่าประชาชนมามากแล้ว แต่ 24 พฤศจิกายน 2556 มวลมหาประชาชนมาอย่างมากมาย “ทุบทำลายทุกสถิติ”
            ตัวเลขที่คำนวณโดยหลักวิชาการนั้น “เกิน 2 ล้านคน” จาก เหนือ-ใต้-ออก-ตก "สี่ล้านบาทา" ออกเดินอย่าง สันติ อหิงสา เดิน...เดิน...เดิน ร่วมมหกรรม “สหบาทา” เพื่อขจัด"มารแผ่นดิน" ระบอบทักษิณให้สิ้นไปจากแผ่นดินไทย
            ภาพมวลมหาประชาชนถูกบันทึกด้วยกล้องเป็นภาพถ่าย มันบอกได้แค่ความมหาศาลของจำนวน แต่ไม่สามารถบอกได้ถึง "คลื่นขับเคลื่อน" เขยื้อนสังคมชาติให้เดินหน้าได้  เพราะพลังรักชาติใน "จิตวิญญาณ" เป็นส่ิงจริงแต่มันถ่ายเป็นภาพไม่ติด!

 

            หลังจากที่มวลมหาประชาชนนับล้านคน ออกมาบนถนนราชดำเนินในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 เพื่อไม่ให้มวลมหาประชาชนมาแล้วเสียของ ในวันถัดมาคือวันที่ 25 พฤศจิกายน 56 กำนันสุเทพจึงนำมวลชนทวงคืนสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลังสำเร็จ โดยตั้งแต่เช้าจนถึงคำ่วันนี้ กำนันสุเทพพามวลชน ดาวกระจายแยกไปตามจุดต่างๆ 13 จุด ทั้งหน่วยงานราชการและโทรทัศน์ฟรีทีวีช่องเลขคี่ ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อแกนนำได้พามวลชนไปถึงแล้วก็ได้เคลื่อนทัพกลับ จะมีก็แต่สำนักงบประมาณ กระทรวงคลังที่นำโดยกำนันสุเทพเท่านั้น ที่มีระยะทางเดินเท้าไกลที่สุดถึง 17 กิโลเมตร พอไปถึงก็ได้รับการต้อนรับที่ดีจากข้าราชการกระทรวงการคลัง สามารถเข้าไปได้โดยสะดวกและได้ทำการปักหลักพักค้าง พร้อมตั้งเวทีปราศรัยทำเป็นฐานที่มั่นอีกแห่งหนึ่ง

            ส่วนคปท.,กปท.และกองทัพธรรม แยกย้ายดาวกระจายไปปิดล้อมตำรวจที่มีฐานรวมกำลังพลกว่า 20,000 นาย อยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ และทำเนียบรัฐบาลรวมถึงศูนย์ราชการรอบบริเวณนั้น โดยคปท.ได้เคลื่อนกำลังพลไปทวงคืนกระทรวงการต่างประเทศแล้วปักหลักพักค้างเป็นเวลา 1 คืนก่อนเคลื่อนกับมาที่แยกนางเลิ้ง

 

            26 พฤศจิกายน 2556 พล.อ ปรีชานำทัพกปท.และกองทัพธรรม ทวงคืน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬาและกระทรวงคมนาคม ได้อย่างง่ายดาย เพราะเจ้าหน้าที่ข้าราชการพากันหยุดทำงานแต่โดยดี และร่วมเป่านกหวีดเป็นสัญลักษณ์ในการเลือกข้างประชาชน จากนั้น พล..ปรีชาจึงนำผู้ชุมนุม กปท.และกองทัพธรรม มุ่งหน้าไป กระทรวงมหาดไทย โดยภายในกระทรวงมีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครนับพันนายและตำรวจจำนวนหนึ่งอยู่ภายใน แม้ว่าวันนี้ฝนตกหนัก แต่มวลชนยังกางร่มสู้ไม่ถอย

            เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ นำผู้รับใช้หรือการ์ดจำนวน 10 นาย เข้ากระทรวงมหาดไทย เพื่อตรวจอาวุธภายในกระทรวง ข้าราชการระดับสูงในกระทรวงให้ความร่วมมืออย่างดี ยินดีออกจากกระทรวง คงไว้แค่อาสาสมัครไม่กี่สิบคน และทั้งหมดยินดีปลดกระบอง

            ช่วงคำ่วันนี้ แกนนำกปท.และกองทัพธรรม ประกาศนำมวลชนกลับมัฆวานฯ หลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงให้คำมั่นจะไม่ปฎิบัติตามคำสั่งรัฐบาล ก่อนกลับมวลชนยังได้มอบอาหารกล่องและน้ำดื่มผ่านรั้วเหล็กให้อาสาสมัคร ที่อยู่ภายในกระทรวงมหาดไทยอีกด้วย

 

             27 พฤศจิกายน 2556 วันปลดปล่อยข้าราชการของพระราชา ออกจากระบอบทักษิณ เมื่อรัฐบาลย่ิงลักษณ์ เปิดเกมรุกด้วยการออกหมายจับกำนันสุเทพ กรณีบุกยึดกระทรวงการคลัง ดังนั้นในเช้าวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 มวลมหาประชาชนได้พร้อมใจกันไปทวงคืนทุกกระทรวง รวมทั้่งศาลากลางทุกจังหวัด ปรากกฏว่า สามารถทวงคืนศาลากลางได้ทั้งหมด 30 จังหวัด และเกือบทุกกระทรวง โดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น เพราะข้าราชการส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือกับมวลมหาประชาชน

            โดยกำนันสุเทพได้เคลื่อนมวลชนจากกระทรวงการคลังเดินเท้าไปที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ แล้วเข้าไปในพื้นที่ได้อย่างเรียบร้อยง่ายงาม ไม่มีความรุนแรง และตั้งเวทีปราศรัย ใช้ศูนย์ราชการฯเป็นฐานที่มั่นอีกแห่งหนึ่ง ส่วนมวลชน กปท.และกองทัพธรรมเคลื่อนมวลชนไปกระทรวงพลังงาน อย่าง “สงบ สันติ อหิงสา และปราศจากอาวุธ” ข้าราชการกระทรวงออกมาโบกมือ เป่านกหวีด แจกน้ำให้กับผู้ชุมนุมอีกด้วย และข้าราชการได้ให้ความร่วมมือในการหยุดทำงาน ในช่วงค่ำมวลชนจึงเดินทางกลับมัฆวานฯ

           

            28 พฤศจิกายน 2556 มวลชน กปท.,กองทัพธรรมและเครือข่ายโค่นล้มระบอบทักษิณ ประกาศเคลื่อนพลไปเยี่ยมเยือน สำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือสตช. เพื่อเชิญชวนข้าราชการตำรวจของพระราชาและประชาชน ให้เลิกรับใช้ระบอบทักษิณ หันกลับมาเป็นตำรวจของประชาชนอย่างแท้จริง โดยการเดินเท้าเป็นระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร เมื่อไปถึงหน้า สตช.แล้วทางแกนนำก็ได้ปราศรัยเรียกร้องให้พี่น้องตำรวจหันมาทำงานเพื่อประชาชน หยุดรับใช้ระบอบทักษิณ และประกาศว่ามวลชนมาอย่างสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ

            ตัวแทนมวลชนได้เจรจากับตำรวจ ผลปรากฏว่าวันนี้ตำรวจยืนยันว่าจะไม่ทำร้ายประชาชน และจะทำงานเพื่อชาติและประชาชน พล..ปรีชากล่าวว่า “ชัยชนะครั้งนี้เป็นของชาวไทยทุกคนขอกราบขอบคุณในน้ำใจและความกล้าหาญของพวกเราทุกคน ที่มั่นสุดท้ายของระบอบทักษิณได้จบลงแล้ว เขากลับคืนสู่ประชาชน ให้เกียรติกับเขา”

            จากนั้นผู้ชุมนุมต่างพากันนำดอกกุหลาบ ยื่นผ่านรั้วลวดหนามส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นบรรยากาศแห่ง “ชัยชนะรายทาง”อีกครั้งหนึ่ง ของ “พลังแห่งมวลมหาประชาชน” ก่อนเดินทางกลับ

            ส่วนทางด้านมวลชนเวทีราชดำเนิน ได้เคลื่อนพลเดินเท้าถึงหน้ากระทรวงกลาโหม เพื่อปลุกสำนึกให้ทหารเลือกข้างความถูกต้อง ยืนอยู่ข้างประชาชน มีผู้ชุมนุมหลายพันคนร่วมเดินไป โดยนำดอกกุหลาบ นกหวีด มามอบให้ทหารที่กระทรวงกลาโหม โดยผู้บัญชาการของทหารมีคำสั่งให้เฉพาะ พันเอกคงชีพ ตันตระวานิชย์ ตัวแทนเท่านั้นที่รับได้ ผู้ชุมนุมส่งดอกกุหลาบ นกหวีด ให้ แต่ทหารรับไว้ไม่ได้ เลยเอาผูกไว้ที่ลวดหนามแทน อยู่ประมาณ 20 นาที แล้วก็เดินกลับราชดำเนินโดยสงบ สันติ

           

            29 พฤศจิกายน 2556 กลางดึกเมื่อคืนนี้!!คนร้ายเผารถ "เรือตรี แซมดิน" ผู้ประสานงานกองทัพธรรม รถเสียหาย ไม่มีใครบาดเจ็บ คาดโยงการเมือง! "เรือตรีแซมดิน"เผยเหตุเผารถยนต์ส่วนตัวกลางดึก ไม่ส่งผลการชุมนุม ยันเดินหน้าชุมนุมต่อ ยึดหลัก “สันติ-อหิงสา

            ช่วงบ่ายวันนี้ มวลชน คปท.ได้บุกเข้ากองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก มวลชนสามารถผ่านเข้าประตูกองทัพบกได้ แล้วกระจายเต็มสนามหญ้าหน้าตึกบัญชาการ แกนนำขึ้นเวทีบนรถปราศรัย บอกมวลชนว่าอย่าเข้าไปในอาคาร เป้าหมายการมาเพื่อถามจุดยืนทหารว่ายัง “ยืนอยู่ข้างประชาชนหรือไม่” และ “ไม่ได้มาเรียกร้องให้ปฏิวัติ” นายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำผู้ชุมนุม ได้ยื่นหนังสือผ่าน พล..พลภัทร์ วรรณพักตร์ เลขาฯทบ. ถึง พล..ประยุทธ์ ให้เลือกข้างประชาชน ไม่ทำตามคำสั่งรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม จากนั้นจึงเดินทางกลับไปเวทีนางเลิ้ง

            ในเวลา 19:30 .วันที่  29 พฤศจิกายน 2556 นี้ ที่เวทีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ“กำนันสุเทพ” ได้แถลงการณ์ถึงการรวมกัน ของหลายหลายองค์กรหลายเครือข่าย ที่มีเป้าหมายเดียวกันคือ “โค่นล้มระบอบทักษิณ และปฏิรูปประเทศไทย” ที่นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะรวมอยู่ ภายใต้ชื่อชื่อเดียว คือ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ชื่อย่อๆว่า “กปปส.” ทางกองทัพธรรมก็ได้เข้าร่วมอยู่ใน กปปส.ด้วย โดยมีเรือตรีแซมดิน เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ กปปส.

            โดยจากนี้ไปคณะกรรมการ กปปส. จะเป็นผู้กำหนดแนวทางตัดสินใจในการดำเนินการ และคุณสุเทพ เทือกสุบรรณจะเป็นเลขาธิการของ กปปส. และประกาศให้วันที่ 1 ธันวาคม 2556 เป็นวันชุมนุมใหญ่ จากนั้น “กปปส.” ได้ประกาศแผนปฏิบัติการสุดท้ายเพื่อกำจัดระบอบทักษิณให้สิ้นไปจากแผ่นดินไทย ด้วยการเข้าควบคุมทุกกระทรวงทบวงกรมของทางราชการ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

           

            30 พฤศจิกายน 2556 วันนี้เป็นวันนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่รัชมังคลากีฬาสถาน กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยรามคำแหง มีมวลชนมาไม่เต็มสนามกีฬาฯ แต่แล้วมีเหตุร้ายเกิดขึ้น เนื่องจากมีเหตุคนเสื้อแดง ทำร้ายนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง นักศึกษาจึงรวมตัวกันกว่า 2,000 คน เพื่อชุมนุมประท้วงให้คนเสื้อแดงหยุดชุมนุม จากนั้นมีนักศึกษาถูกยิงเสียชีวิตไป 1 คน และได้รับบาดเจ็บอีกนับสิบราย ผู้ช่วยศาสตราจารย์วุฒิศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ยืนยันกับ ช่อง 7 ว่า มี น..ราม ฯ เสียชีวิต 1 คน โดยถูกยิงบริเวณท้อง ด้านหลังมหาลัย "ลูกศิษย์ผมเสียชีวิตไป-บ้านเมืองไม่มีขื่อ-ไม่มีแป!" ขอเชิญศิษย์เก่า,ศิษย์ปัจจุบัน และศิษย์อนาคต มาร่วมกันปกป้องมหาวิทยาลัยของเราร่วมกัน พรุ่งนี้!

           

            1 ธันวาคม 2556 วันนี้เป็นวันที่ กปปส. นัดปฏิบัติการครั้งใหญ่ ทวงคืนอำนาจรัฐ กปปส. ส่ง "กองทัพมือเปล่า" แยกสายกันไปเยือน และขอความร่วมมือโทรทัศน์ช่องคี่ ฟรีทีวี 3, 5, 7, ไทยพีบีเอส และทีเอ็นเอ็น ให้ความร่วมมือ (ยกเว้นช่อง 9 และ ช่อง 11) ถ่ายทอดกำนันสุเทพอ่านแถลงการณ์ กปปส. "ฉบับแรก" ถึงประชาชนทั่วประเทศ เมื่อเวลา 16.38 น.

            ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนี้มีเหตุร้ายเกิดอีกที่ม.รามคำแหง เวลา 07:55 . ข่าวล่าสุด เสื้อแดงใช้เอ็ม79 ยิงเข้ารามคำแหงมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต!!!! กลุ่มเสื้อแดงและตำรวจ ร่วมกัน ล้อมมหาวิทยาลัย ถล่ม ยิง และ ปาระเบิดเข้าไปในมหาวิทยาลัย จำนวนเสียงปืน มากกว่า 100 นัด นักศึกษาถูกยิง 6 คน เสียชีวิต 2 คน กลุ่มเสื้อแดง เผาร้านค้า ย่านรามคำแหง วอด 2ห้องแถว รามคำแหง 24 สุมยางรถยนต์เผารอบมหาวิทยาลัย ศูนย์เอราวัณ แจ้งว่า วันนี้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย รายที่ 3 เป็นผู้ชาย อายุ 30 ปี และ  บาดเจ็บ 54 ราย จนแกนนำคนเสื้อแดงต้องประกาศสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในตอนค่ำวันนี้

            ในตอนบ่ายของวันนี้ ทหาร ร.11 พัน 1 รอ. ก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ นำนักศึกษารามทั้งหมดออกจากมหาวิทยาลัยได้โดยปลอดภัยในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับแกนนำคนเสื้อแดงประกาศสลายการชุมนุม ทหารเหล่านี้ล้วนเป็นทหารรักษาพระองค์ เหล่านักศึกษาต่างเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” อย่างกึกก้อง ด้วยซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน

            ส่วนแนวรบด้านทำเนียบฯ ด้านบช..และ สตช.ดุเดือดเลือดพล่านตั้งแต่เช้ายันค่ำ โดยเฉพาะ ศึกชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ที่เป็นสะพานข้ามคลองเปรมจากฝั่งพาณิชยการไปฝั่งทำเนียบรัฐบาล
ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาตั้งแต่ตอนเพลไปยันพลบค่ำ แต่กองทัพมหาประชาชนปฏิวัติ ภายใต้การนำของ คปท.มี "นิติธรและอุทัย" เป็นแม่ทัพใหญ่ เรียกว่า “สู้ด้วยมือเปล่ากันสุดใจขาดดิ้น” ตำรวจยิงแก๊สมา ฝ่ายประชาชนจับยัดถัง ก็มีทั้งล้มคว่ำคะมำหงาย มีทั้งสำลัก น้ำตากระจาย หายใจไม่ออก ที่ม่อยกระรอก ช่วยกันหามไปพยาบาล ที่ยังยืนได้ ก็หนุนเนื่องแท่งปูนกีดขวาง รูดลวดหนามเหมือนรูดยอดกระถินจิ้มน้ำพริก ขยิกเข้าไป...ขยิกเข้าไป...ตำรวจซัดใส่ตูม..ตูม ก็หงายท้องหงายไส้ คันคะเยอ แสบตากันไป อูยๆๆๆ โอยๆๆๆ ตะโบยน้ำล้างตา แล้วโดดผึง...อย่าหนีนะ!

            ประชาชนสู้ยิบตาจนเกิดวีรกรรม ฮีโร่กางเกงใน” จากเสื้อแดงกลับใจ มาเป็นฮีโร่ของประชาชน เป็นวันที่วีรชาติต้องจำไปอีกนานคือ เหตุการณ์ที่เขาเสี่ยงตายสู้กับตำรวจในม็อบด้วยสภาพกางเกงในตัวเดียว แถมยังถูกตำรวจยิงแก๊สน้ำตาลใส่เข้าที่หน้าผาก จนได้รับบาดเจ็บ กระทั่งหลายคนนึกว่าเขาจะไม่รอด แต่ก็ขอหมอรีบถอดนำ้เกลือกลับมาต่อสู้อีกจนได้

            ตำรวจยิงแก๊สน้ำตา ตามด้วยฉีดน้ำ มวลชนถอยมาถนนพิษณุโลก ตำรวจยังลุยหนัก?? ฉีดน้ำผสมสีม่วงสาดใส่ประชาชนหลังยิงแก๊สน้ำตา จนเกือบสามทุ่ม แนวรบด้านนี้จึงสงบ พักรบอยู่ในที่ตั้ง

            ส่วนมวลชนกปท.และกองทัพธรรม อยู่ตรึงกำลังปิดล้อมตำรวจที่อยู่ภายในทำเนียบและกระทรวงศึกษาธิการ หน้าสวนสัตว์เขาดิน สะพานเทวกรรม อย่าง สงบ สันติ อหิงสา แนวรบด้านสะพานมัฆวานฯ เป็นแนวรบที่มีการเจรจากับตำรวจได้อย่างดี ไม่มีความรุนแรง บนเวทีพ่อครูสมณะโพธิรักษ์เทศนาให้ผู้ชุมนุมยึดหลัก “สันติ อหิงสา” ท่ามกลางเสียงตูมๆๆของระเบิดแก๊สน้ำตา ที่ส่งกลิ่นฟุ้งกระจายจากสะพานชมัยฯโชยมาถึงสะพานมัฆวานฯ แนวหน้า มีพล.อ ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ดูแลอย่างใกล้ชิด คอยให้สติผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ แต่ตำรวจก็ใช้เครื่องขยายเสียงเปิดเพลงเสียงดังมากๆๆๆ ใครไม่มีเครื่องอุดหูปวดหูแน่ๆ

            เมื่อเวลา 21.37 .(1 ..) ที่ศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) แถลงว่า เมื่อประมาณ 1 ชั่วโมงเศษที่ผ่านมา ตนได้พบกับ น..ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และได้พูดคุยกัน ต่อหน้าผู้บัญชาการเหล่าทัพ ทั้งผู้บัญชาการทหารบก (พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ผู้บัญชาการทหารอากาศ (พล...ประจิน จั่นตอง) และ ผู้บัญชาการทหารเรือ (พล...สุรศักดิ์ หรุ่นเรืองรมย์ )

            นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า ไม่มีข้อต่อรองใดๆทั้งสิ้่น และยืนยันสิ่งที่ดำเนินการมาต้องเสร็จสิ้นเรียบร้อยภายใน 2 วันนี้ จึงไม่มีข้อเรียกร้อง ต่อรองใดๆ ที่จะเสนอต่อรัฐบาล น..ยิ่งลักษณ์จะยินยอมโดยดี มอบอำนาจคืนประชาชน หรือดำเนินการอย่างไรเป็นเรื่องของน..ยิ่งลักษณ์ แต่ประชาชนจะเดินหน้าต่อไป นายกฯไม่ได้ตอบข้อที่ตนกราบเรียนไป แต่ตนถือว่าได้เป็นตัวแทนประชาชนบอกเจตนารมณ์แล้ว
            นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ในการพบกันคราวนี้ เป็นข่าวดีเพราะผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพ ได้แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่ากองทัพยืนอยู่ข้างประเทศไทย ผบ.ทบ. ได้พูดต่อหน้า ผบ.ทุกเหล่าทัพและนายกฯ ว่า ไม่ต้องการเห็นประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เพราะกองทัพยืนอยู่ข้างประเทศไทย แล้วนายสุเทพ ยังเรียกร้องให้ข้าราชการหยุดงาน หยุดรับใช้ระบอบทักษิณ แล้วมายืนเคียงข้างประชาชน

           

            2 ธันวาคม 2556  วันนี้ โรงเรียน และมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร หลายแห่ง ประกาศปิดการเรียนการสอน ในวันที่ 2 ธันวาคม 2556 เนื่องจากสถานการณ์การชุมนุมมีความรุนแรงขึ้น มวลชนที่สะพานชมัยฯเปิดฉากรุก ด้วย สันติวิธี ปราศจากอาวุธ ตั้งแต่ 09:00 . โดยได้เคลื่อนพลเข้ารื้อแท่งปูนกีดขวางที่สะพานชมัยมรุเชษฐ์ แยกพณิชยการ ตำรวจก็ประเคนแก๊สน้ำตาออกมาไม่ยั้ง เพราะมีเฮลิคอปเตอร์เทียวบินส่งแก๊สอยู่หลายเที่ยว มีคนพูดติดตลกว่า “ใครแก๊สหมดมาเติมที่สะพานชมัยฯได้” ยังดีที่ “แก็สน้ำตาพัฒนาไปเยอะ ตอนปี'51แตกตูมมม!!ขาขาด,มือขาด แต่ปี'56 ไม่แตกตูมมม!!ลอยมาปล่อยควันน่ารักๆ แต่ถูกหัวก็แตก ฤทธิ์เดชแก็สน้ำตาปี'56 คงเทียบเท่ามาตรฐานสากล มวลชนคปท.หลายรายไม่มีหน้ากาก อ้วกแตกอ้วกแตน!! บางคนบอกแบบนี้รับได้เท่ามาตรฐาน ขาไม่ขาด!!!”

            วันนี้มวลชนมีการพัฒนาการต่อสู้ มีอุกรณ์เสริม เช่นกระสอบป่านชุบน้ำเอาไว้สยบแก๊สน้ำตาอย่างได้ผล มีหน้ากากกันแก๊สพิษใส่ มีโล่ห์ที่ทำเองแบบบ้านๆ และสารพัดประดามีตามประสานักรบมือเปล่า แต่ทั้งหมดไม่ใช่อาวุธร้ายแรงทำอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ได้เห็นน้ำใจของคนไทยที่ไม่ทิ้งกัน เมื่อบนเวทีประกาศว่าขาดสิ่งใด ไม่กี่เวลาข้าวของก็จะประเดประดังส่งมาจนหาที่เก็บไม่ได้ ต้องรีบประกาศของดรับของเนื่องจากพอแล้ว ส่วนตำรวจก็น่าชื่นชมที่ส่วนใหญ่จะพยายามไม่ใช้อาวุธร้ายแรง นอกจากยิงแก๊สน้ำตา ,ฉีดน้ำแรงดันสูงกับคลื่นเสียงความถี่สูงคอยรบกวน จะมีบกพร่องที่ใช้ปืนยิงกันจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายบ้างก็เป็นจำนวนน้อย สรุปคือไม่มีคนตายเลยแม้จะรบกันมาเป็นวันที่สองแล้ว แม้ทางตำรวจจะมีการใช้กระสุนยางด้วย

            ในขณะที่ตำรวจระดมยิงแก๊สน้ำตาบนแยกพล 1 รอ. ประชาชนวิ่งหลบแก๊สน้ำตา พบทหาร 2-3 นายช่วยกันกรอกน้ำใส่ขวดและยื่นส่งส่งให้ผู้ชุมนุม

            ส่วนประกาศบนเวทีราชดำเนินอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บอกว่า วันนี้จะเคลื่อนขบวนไป 2 จุด คือที่ บช.. และที่ทำเนียบรัฐบาล พอสายๆมวลชนไปถึงหน้า บชน.สภาพการต่อสู้ก็ไม่ต่างกับที่แยกพณิชยการนัก มีนักรบมือเปล่าเข้าโรมรัน กับห่าแก๊สน้ำตาที่มาจากเงินภาษีของประชาชน แม้กระนั้นมวลชนก็สู้ไม่ถอย ตำรวจหันมาใช้พัดลมมาช่วยเป่าแก๊สน้ำตาที่ผู้ชุมนุมใช้พัดลมยักษ์เป่ากลับมา จนต่อมาทางเวทีราชดำเนิน ส่งรถแทร็กเตอร์ฝ่าแนวแท่งปูนกีดขวาง เพื่อบุกยึดทำเนียบและบช.. แต่ก็ยังไม่สามารถฝ่าแนวแท่งปูนกีดขวางเข้าไปได้ เพราะแก๊สนำ้ตาที่เฮลิคอปเตอร์ขนมานั้นยังมีอีกมาก

            และบ่ายวันนี้(2 ธันวาคม )13:30 . นายกรัฐมนตรี แถลงผ่านทีวีพูล

1. ข้อเสนอจาก กปปส. นั้น รัฐบาลไม่ได้ติดยึด การคืนอำนาจนั้น ยังไม่เห็นข้อกฏหมายที่รองรับ ขอให้หารือหาแนวทางร่วมกัน

2. ไม่อาจละเลยแนวทางการลาออก หรือยุบสภา อะไรที่จำทำให้เกิดความสงบสุข ดิฉันยินดี เรียกร้องให้ทุกคนทุกกลุ่มให้มาเจรจาหารือข้อยุติ ไม่ได้ยึดติด

3. สถานที่ราชการยังเปิดอยู่ ข้าราชการให้ทำงานต่อไป โดยหาสถานที่บริการประชาชนอื่นๆ

            ทางรัฐบาลพยายามบอกว่าตอนยอมไม่ติดยึดลาออกหรือยุบสภาก็ได้ ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่ารัฐบาลถอยเพราะสู้กันซึ่งหน้าไม่ได้ แต่ก็ต่อสู้ในทางลับ หาข้อกฏหมายมาทำลายความชอบธรรมของฝ่ายประชาชน ทั้งที่ตนเป็นรัฐบาลกบฏตั้งแต่ดาหน้าออกมาปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญแล้ว โดยวันนี้รัฐบาลยังได้ขอให้ศาลออกหมายจับกำนันสุเทพ เนื่องจากข้อหาเป็น “กบฏ”

            20.30 . “กำนันสุเทพ” ขึ้นปราศรัย เวทีศูนย์ราชการ ลั่นจบงานนี้ไม่กลับไปเป็นส..และไม่กลับไปพรรคปชป.อีกแล้ว “สุเทพ” ขอโทษสื่อฯ ถ้าทำอะไรให้โกรธเกลียด ย้ำ ไม่มีทางเลือก แค่ต้องการให้ประชาชนทั่วประเทศรับทราบว่ามวลมหาประชาชน กำลังทำอะไรอยู่ พูดถึงเมื่อคืน ที่เจรจากับยิ่งลักษณ์ต่อหน้า ผบ.ทบ. ทหารไม่พูดว่าอยู่ข้างรัฐบาล แต่พูดว่าอยู่ข้างประเทศไทย แปลว่าเขาไม่เอายิ่งลักษณ์ แค่เขาประกาศว่าเขาอยู่ข้างประเทศไทยผมก็ชื่นใจแล้ว เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไรต่อไปเขาไม่มีวันหันปากกระบอกปืนมาหาประชาชนเด็ดขาด พรุ่งนี้ต้องยึดกองบัญชาการตำรวจนครบาลให้ได้ รวมกำลังมวลมหาประชาชนทุกสายยึด ตร.นครบาลให้ได้ สุเทพ เทือกสุบรรณท้าตำรวจมาจับ บอกชีวิตเป็นมาหมดแล้ว ยกเว้นนักโทษ ล้มระบอบทักษิณได้จะไปมอบตัวสู้คดีข้อหากบฏยันไม่หนีแน่นอน...

 

            แนวรบวันนี้ที่หนักสุดเป็นที่ รอบทำเนียบรัฐบาล ทั้งสะพานชมัยฯ แยกเทวกรรมและสะพานอรทัย มวลชนฮึกเหิม คึกสุด จนแกนนำคปท.ไม่สามารถควบคุมฝูงชนได้ ส่อเดือด!!! ตำรวจระดมยิงแก็สน้ำตา มวลชนฮึกสุด!!ขว้างปาทุกอย่างใส่ตำรวจ เสียงตูมมสนั่น!ต่อเนื่อง

            รถนักข่าวอัลจาซีราถูกยิง2 นัด ขณะรายงานสดอยู่ ถ.พระราม 5 วิถีกระสุนจากแนวตำรวจ และประกาศชัด!! ยกระดับใช้กระสุนยางควบคุมฝูงชน???"ต้น-สุรเชษฐ์" หัวหน้าช่างภาพ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดนกระสุนหูฉีก ขนะถ่ายรูปอยู่ฝั่ง คปท. และมีผู้ชุมนุม คปท.แยกพาณิชยการถูกยิงใต้ราวนมขวา กู้ภัยนำส่งโรงพยาบาลแล้ว

            ที่แยกเทวกรรม และสะพานอรทัยใกล้สะพานมัฆวาน ตลอดทั้งคืนมีเสียงปะทัดยักษ์ และพลุตะไล จากกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไร้แกนนำ จำนวนกว่า 1,000 คน ที่ระดมยิงใส่ตำรวจอย่างดุเดือด ตำรวจก็ตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาตลอดทั้งคืน รอบบริเวณแนวรบด้านนี้สว่างไสวไปด้วยแสงจากพลุตะไล จนกระทั่งประมาณ ตีห้าของเช้าวันที่ 3 จึงค่อยสงบลง โดยที่สะพานมัฆวานฯ มีพล..ปรีชา คอยประกาศให้สติแก่ผู้ชุมนุมอยู่จนดึกดื่นค่อนคืน รวมผู้บาดเจ็บเหตุชุมนุมวันนี้ 94 คน โดนกระสุนจริงสาหัส 2 คน

             

            3 พฤศจิกายน 2556 ปรากฏการณ์พระสยามเทวาธิราชิทธิ์ช่วยไทยผ่านพ้นวิกฤตินองเลือด

            ตั้งแต่เช้าค่ำวันที่ 2 ยันเช้าของวันที่ 3 ข้างทำเนียบรัฐบาลยังเป็นสงครามแก๊สน้ำตากับประดาพลุไฟตะไลที่ผู้ชุมนุมระดมยิงเข้าไปสู่ฝั่งตำรวจ ตำรวจก็ตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตา จนแทบว่าจะท่วมทับถนนเลยทีเดียว และเช้าของวันที่ 3 ก็ว่าจะลุยกันแหลก ประชาชนก็คึกคักเต็มที่ ตำรวจก็เตรียมตัวอย่างดี แต่วันที่ 3 พฤศจิกายนนี้พอมวลมหาประชาชนยาตราทัพไปถึงหน้าบชน.และที่ข้างทำเนียบรัฐบาล ตำรวจกลับเปลี่ยนใจ ตั้งแถวตำรวจแจกดอกไม้แก่ประชาชน ตลอดช่วงสายถึงบ่ายของวันที่ 3 ทั้งที่บช..และทำเนียบ ตำรวจพากันเก็บของกลับบ้านไปพบหน้าลูกเมีย ผู้ชุมนุมหลั่งไหลเข้ามาแล้วสวมกอดตำรวจ ชื่นมื่น ยิ้มแย้มจับมือขอโทษขอโพยกัน

            ขณะที่นักข่าว CNN รายงานสดจากกรุงเทพมีการ "พักรบ"(truce)ตำรวจกับผู้ประท้วงกอดถ่ายรูป พิธีกรบอก "How bizarre...this turn of events in Thailand.(แปลกประหลาดอะไรเช่นนี้กับการกลับกันของเหตุการณ์ในประเทศไทย)"

ส่วนนักข่าว BBC:"BKK mood shifts"บรรยากาศในกทม.วันนี้แตกต่างจากความตึงเครียด3วันก่อน มิตรภาพตำรวจ-ผู้ชุมนุมมีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจแต่ไม่น่าวางใจ 

            แม้ว่าเหตุการณ์ที่ผ่านไปดูคล้ายสงบศึกชั่วคราว แต่ว่าคงมีประเทศไทยประเทศเดียวที่ทำได้อย่างนี้ เมื่อคืนวานรบราราวจะฆ่าฟันกัน แต่อีกวันก็โอบกอดกันด้วยน้ำใจ แม้ว่าจะดูไม่น่าไว้ใจ แต่ภาพที่ปรากฏนั้น ทั้งประชาชนและตำรวจชั้นผู้น้อยนั้น ก็ต่างโล่งอกโล่งใจ เพราะไม่มีใครอยากให้คนไทยฆ่ากันเอง คงมีแต่ผู้ได้รับผลประโยชน์ที่อยู่ชั้นบนของรัฐบาลเท่านั้นที่จะใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจที่ได้มาอย่างฉ้อโกงของตนเอง

            และที่ปรากฏการณ์นี้เกิดได้นั้น ก็ด้วยพระบารมีของในหลวงที่เป็นที่รักของปวงชนชาวไทย ถ้าประเทศนี้ไม่มีในหลวง ร.9 ไม่มีวันที่ 5 ธันวาฯ การรบราก็คงไม่สงบไม่พักยก มิคสัญญีจะเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่พ้น เราคนไทยทุกคนไม่ว่าจะฝ่ายไหน สีไหน ควรสำนึกในบุญคุณของในหลวงให้มาก

            เลขาธิการ กปปส. "สุเทพ" แถลงการณ์ ว่าวันนี้มวลมหาประชาชนได้ยึด บช..และทำเนียบรัฐบาลได้แล้ว ด้วย 2มือเปล่าเป็นชัยชนะส่วนหนึ่ง ระบอบทักษิณยังอยู่จึงยังกลับบ้านไม่ได้ ต้องชุมนุมต่อ สู้ให้ถึงที่สุด เพื่อให้ประชาชนชนะ แล้ววางรากฐานประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ แล้วผมจะเลิกยุ่งกับการเมืองตลอดชีวิต ไม่ต้องการรับตำแหน่งใดๆ และ"กปปส.จะจัดงานวันพ่อที่ราชดำเนิน-กระทรวงการคลัง-ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ จะจัดให้ยิ่งใหญ่" ชวนประชาชนออกมาร่วมเฉลิมฉลอง+ถวายพระพรในวันที่ 5 ธันวาคม

 

            4 พฤศจิกายน 2556 แปลกแต่จริง

            แปลก... แต่จริง! ... ฝรั่งหลายสำนักข่าวทั่วโลกที่มาทำข่าวการประท้วง.. ในบ้านเราบอกว่าไอก็มาทำข่าวประท้วงใหญ่เมื่อสามปีก่อน...ซะใจจริงๆบู๊ล้างผลาญ.. ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้ามีเผายางรถ มีพกอาวุธแบบสงคราม.. เผาตึกลามบ้านช่อง.. ซะใจจริงๆเรดติ้งไม่แพ้การประท้วงทั่วโลก.... แต่ไอมาครั้งนี้ผิดหวังจริงๆ..ทั้งที่ราชดำเนิน.. เมื่อวานไอเดินไปพร้อมกับขบวนประชาชนที่ไปปิดศูนย์ราชการทั้งที่กระทรวงการคลังทั้งที่ศูนย์ ราชการที่แจ้งวัฒนะ นี่มันอะไรกัน.. ยังกะขบวนเฉลิมฉลอง festival อะไรซักอย่าง เต้นรำร้องเพลงเฮฮา กลางคืนมีการแสดงสี่ภาค.. อุ้มลูกจูงหลาน..ล้างรถเช็ดรถให้ตำรวจที่มาปราบจาราจล... ช่วยกันเก็บกวาดขยะ..โอ๊ย!.. ไอผิดหวังจริงๆ... พูดไปแล้วน้ำตาไหลภาพทุกภาพที่ ที่ปรากฏให้เห็น คนที่รักชาติ รักแผ่นดิน รักบ้านรักเมือง รักความถูกต้อง แม้แต่เม็ดทรายเล็กๆก็ต้องดูแลครับ... นี่คือพลังที่แท้จริงของพวกเราชาวไทยครับ... ที่เราจะมาร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมใหม่.. ร่วมพัฒนาประเทศไทย.. มาร่วมสร้างหัวใจแบบ.. อารยะขัดขืน....

            ยังมีสำนักข่าว เอเอฟพี รายงานด้วยว่าเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ทำให้เมืองหลวงของไทยกลับสู่อารมณ์แห่งความสงบ ผู้ประท้วงร่วมมือกับเจ้าหน้าที่พากันทำความสะอาดบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามแกนนำฝ่ายต่อต้านบอกว่าจะมีการประท้วงอีกครั้งในวันศุกร์(6) และจะไม่หยุดจนกว่านายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกับคืนอำนาจแก่สภาประชาชนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง           

 

            5 ธันวาคม 2556   ; 86 พรรษา มหาราชา “มหาสมาคม” ครั้งประวัติศาสตร์ ณ วังไกลกังวล.... ปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จออกมหาสมาคม เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 5 ธันวาคม พ..2556 ครั้งประวัติศาสตร์ในต่างจังหวัดเป็นครั้งแรก ณ ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก็ยิ่งทำให้ปวงชนชาวไทยพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าเพื่อชื่นชมพระบารมีและถวายพระพรชัยมงคล

       แน่นอนว่า เสียง “ทรงพระเจริญ” ซึ่งเป็นเสียงแห่งความปลื้มปีติที่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่มีพระพักตร์สดใสและมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ดังกึกก้องไปทั่วหัวหิน ตลอดรวมถึงในทุกๆ จังหวัดทั่วประเทศ

            พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสเนื่องในการเสด็จออกมหาสมาคมในครั้งนี้ว่า...ขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิต พร้อมๆกันมาให้พรวันเกิด รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาด้วยประการต่างๆ ข้าพเจ้าขอสนองพรและไมตรีจิตเหล่านั้นด้วยใจจริงเช่นกัน

            บ้านเมืองของเราสงบสุขมาช้านาน เพราะเรามีความเป็นปึกแผ่น ในชาติ และต่างบำเพ็ญกรณียกิจทำหน้าที่ให้สอดคล้องเกื้อกูลกัน เพื่อประโยชน์ ของชาติ คนไทยทุกคนจึงควรจะตระหนักในข้อนี้ให้มากและตั้งใจประพฤติตัว ปฏิบัติงานให้สมภาระและหน้าที่ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวม เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมืองไทย

            ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้มีแต่ความสุข ความเจริญตลอดไป

            ในช่วงเย็นวันที่ 5 ธันวาคมนี้ มีพิธีจุดเทียนชัยถวายในหลวงที่สนามหลวงนำโดยนายกฯยิ่งลักษณ์ คู่ขนานไปกับเวทีของมวลมหาประชาชน กปปส.ที่จัดกระจายหลายเวที เช่น เวทีมัฆวานทำอย่างไทยๆ กันเองมากแต่ละคนมาด้วยใจทำด้วยใจ ให้ในหลวง เวทีของทางคปท.ก็เอาจริงเอาจัง เทใจให้เต็มใจ เวทีของราชดำเนินก็เป็นฟอร์มใหญ่ที่พูดไปร้องไปน้ำตาไหลไปเพราะซาบซึ้งในหลวง เวทีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะก็อลังการด้วยดวงเทียนล้านดวง แทนดวงใจแห่งความจงรักภักดีต่อในหลวง ทุกเวทีของ กปปส.ประชาชนเนื่องแน่นมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ทุกเวทีมีการแสดงเทิดไท้องค์ราชัน มีการแสดงหลายรายการที่มีภาพน้ำตาของประชาชน ที่ไหลรินด้วยความรักความห่วงในหลวง ผู้เป็นพลังแผ่นดิน เพราะพวกเรารู้ว่าความสุขของในหลวงนั้น อยู่ที่พสกนิกรของท่าน หากชาติบ้านเมืองไร้ความเป็นอยู่ผาสุกเช่นนี้ ความรู้สึกของพระองค์ท่านจะเป็นอย่างไร?.....

            พ่อเหนื่อยเพื่อลูกมาเนิ่นนานแล้ว ตรากตรำพระวรกายเพื่อลูกมามากมายแล้ว ทรงพระชราภาพมากแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ลูกๆที่ "จงรักภักดีไม่ใช่แค่เปลือกหรือแค่ปาก" แต่จงรักภักดีทั้งกายใจและจิตวิญญาณ จะได้ออกมาร่วมกันให้มาก กำจัดมะเร็งร้ายที่กัดกินอวัยวะภายในของประเทศจนเสียหายใกล้ล่มจมแล้ว

 

            6 ธันวาคม 2556 วันประกาศนัดหมาย “เป่านกหวีด ครั้งสุดท้าย”.

            เมื่อเวลาประมาณ 20.35 . วันที่ 6 ธันวาคมนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) กล่าวปราศรัยบนเวทีการชุมนุมศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ว่า หลายคนบอกการชุมนุมครั้งนี้ถ้าทำไม่สำเร็จเสียดายมาก เพราะคนอุตส่าห์ออกมาเป็นล้าน พวกตนไม่ใช่พวกเพ้อเจ้อ เคารพความเป็นจริง ชีวิตพวกเราทุกคนวางเป็นเดิมพัน ทุ่มหมดหน้าตักในการสู้ครั้งนี้ ชัดเจนสู้ครั้งนี้หนเดียว สุดกำลัง แพ้หรือชนะก็ต้องยอมรับ แต่กราบเรียนด้วยความความเป็นจริงถ้าจำนวนมีกันแค่นี้ แม้จะมีหัวใจห้าวหาญอย่างไร กอดคอเหนียวแน่นอย่างไร ก็ต้องมีคนเจ็บ - ตาย เพราะพวกโจรห้าร้อยไม่เคยปราณีประชาชน ตนรู้พี่น้องก้าวพ้นความกลัวเหล่านั้นมาแล้ว แต่ว่าชัยชนะของเราไม่วัดกันที่จำนวนคนเจ็บ - ตาย แต่วัดกันที่จำนวนคนที่ออกมาร่วมกันต่อสู้ ถึงบอกว่าการต่อสู้เรื่องนี้ต้องกำหนดวันจบได้แล้ว

       ฉะนั้นวันจันทร์ที่ 9 .. เรื่องนี้ต้องจบ ไม่มีประโยชน์ที่ต้องยืดเยื้อ จะเป็นจะตาย แพ้ชนะ ให้มันรู้กัน บรรดาคณะกรรมการ กปปส. ทุกคน แกนนำทุกเครือข่าย ปรึกษากันและมีมติเอกฉันท์วันจันทร์ที่ 9 .. ต้องทำให้การต่อสู้ครั้งนี้จบลงให้ได้ ยืนยันใช้หลักสันติ ไม่มีอาวุธ จะชนะได้จำนวนคนที่ออกมาต้องมากมายมหาศาล จนมันยอมแพ้เท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกคนในประเทศไทยต้องตัดสินใจเลือกข้าง ถ้าตัดสินใจเป็นเสรีชน ต้องการปกปักรักษาบ้านเมือง สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องออกมา แต่ถ้าทำใจได้เป็นขี้ข้าทักษิณต่อไปทั้งชาติ ก็นอนเสพสุขที่บ้านไม่ต้องออกมา ถ้ายอมออกมาเพราะเลือกข้างถูกเราจะชนะโดยไม่มีคนเจ็บ ตาย และชนะตลอดไป วันที่ 9 ..นี้ ข้าราชการทั้งหลายถ้าเห็นแก่อนาคตประเทศไทย หยุดทำงานแล้วมาร่วมกับประชาชน

       ทั้งนี้รัฐบาลมีแผนการจะเกณฑ์ข้าราชการและเด็กนักเรียนแต่งเครื่องแบบเดินมาอ้อนวอนพวกเราให้เลิกชุมุนม ถ้าไม่เลิกนายทักษิณสั่งไว้แล้วให้ปราบปราบด้วยความรุนแรง ตนจึงได้ประกาศเลยถ้าเช่นนั้นวันที่ 9 .. ได้เห็นดำเห็นแดงกันเลย

       "วันจันทร์ที่ 9 เวลา 9 .39 . ลุกฮือทั้งประเทศทวงอำนาจอธิปไตยคืน ต่างจังหวัดเดินขบวนในจังหวัดตัวเอง แล้วก็มุ่งหน้าไปที่ศาลากลางจังหวัดทุกแห่ง ปิดทางเข้าไม้ให้ข้าราชการเข้าทำงานได้ นิสิต นักศึกษา นักเรียนทุกแห่ง 9.39 . เป็นสัญญาณนัดหมาย ปฏิเสธไม่รับรัฐบาลนี้ สำหรับพี่น้องกทม.เช้าวันที่ 9 .. ต้องออกมาบนท้องถนนทุกคน ใครนอนบ้านทรยศประเทศไทย เดินขบวนครั้งใหญ่ไปบนถนนทุกสายมุ่งหน้าไปที่ทำเนียบรัฐบาล"

       นายสุเทพ กล่าวอีกว่า 9 .. รวมพลังครั้งสุดท้าย ชนะก็เป็นไทย แพ้ก็ยอมก้มหน้าก้มตาเป็นขี้ข้าเขาไป ถ้าออกมาหลายล้านคน จะประกาศอำนาจอธิปไตยกลับมาถึงมือประชาชนแล้ว หลังจากนั้นใช้อำนาจประชาชนบริหารจัดการประเทศไทย ให้ประเทศเดินหน้าไปได้ มีกฎหมายรองรับแน่นอน กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และ 7 มีไว้ชัด ถ้าไม่มา พวกเราที่สู้ทั้งหมดนี้พร้อมยอมรับความพ่ายแพ้ ขอประกาศว่านี่คือการเป่านกหวีดครั้งสุดท้าย ถ้าพี่น้องประชาชนทั้งหลายและข้าราชการไม่เลือกข้าง พวกตนยอมเดินหน้าเข้าคุก ไม่สู้แล้ว ยอมติดคุกข้อหากบฎ ประหารชีวิตก็ได้ ดีกว่าเอาชีวิตพี่น้องไปเสี่ยง เราจะไม่บุกเข้าไปในทำเนียบฯเพื่อให้เกียรติทหาร แต่ก็จะเป็นการวัดใจทหารด้วยเช่นกัน ในวันจันทร์ที่ 9 .. นี้ เวลา 9:39 .

 

            9 ธันวาคม 2556 วันแห่งประวัติศาสตร์การชุมนุมประท้วง เมื่อยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภาตอน 08.45 . ของวันที่ 9 ธันวาคม 56 โดยไม่รอพระปรมาภิไธยจากพระเจ้าอยู่หัว แต่หาได้ลดทอนจำนวนของมวลมหาประชาชนไม่ แม้รู้ข่าวแต่ประชาชนก็ยังหลั่งไหลมาราวสายน้ำ มุ่งหน้าไปที่ทำเนียบรัฐบาล ตัวเลขประมาณไว้ที่หลักล้านนี้ ไม่เกินเลยเพราะมามากกว่าวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 แน่นอน...

            แต่ว่าการที่ยิ่งลักษณ์ยุบสภารอเลือกตั้ง แถมปชป.ยังทำท่าทางอยากลงเลือกตั้ง อีกทั้งนักวิชาการ สื่อสารฟรีทีวีช่องคี่ ก็ประโคมข่าวอีกว่า รัฐบาลถอยสุดซอยแล้ว ทำไมยังดื้อประท้วงอยู่อีก กองทัพก็ทำท่าทียินดีด้วยกับการยุบสภา ดูเหมือนทิศทางเป็นการทำลายความชอบธรรมของการตั้ง "สภาประชาชน"

            แต่พลังของมวลมหาประชาชนเรือนล้าน ที่พุ่งมาที่ทำเนียบรัฐบาล แม้ได้ยินประกาศยุบสภานั้น เป็นสิ่งบ่งบอกว่า ความคาดหวังของมวลมหาประชาชนที่อยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศ ตั้ง "สภาประชาชน" เพื่อปฏิรูปประเทศไทยนั้น มันมากมายล้นปรี่ขนาดไหน

            นาทีนี้ต้อง "ปฏิรูปประเทศไทย" ตั้ง "สภาประชาชน" เท่านั้น จึงเป็นคำตอบ ที่จะทำให้ประเทศไทยไม่วนเวียนในวัฏจักรเดิมๆ จนชินฯ กับการโกงกินอีกต่อไป 

            และแม้ว่าปรากฏการณ์ 9 ธันวาฯ วันแห่งมวลมหาประชาชน จะไม่สามารถชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตอนนี้ แต่ว่าประชาชนได้สะสมชัยชนะรายทางอยู่ตลอดเวลา......ครั้งนี้มีคุณลุงจำลองกับคุณลุงสนธิกลับมาเดินร่วมกับประชาชนบนถนนราชดำเนินแล้ว เดินนำเหลืองรักชาติพธม. .ปานเทพ พี่ตั้ว และอีกมากมาย แม้แต่พรรคการเมืองเก่าแก่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่เชื่อมั่นว่าการเมืองนั้นเป็นเรื่องในสภา ยังตัดสินใจลาออกมายกพรรค มาร่วมเดินขบวนเพื่อไม่ให้ตกรถด่วนขบวนประวัติศาสตร์

            เราได้เห็นนำ้ใจของคนไทย ที่ออกมาช่วยกันเดินๆๆๆเดินกันอย่างอึดเลย ทั้งไกล ทั้งร้อน ลุงกำนันเดินตั้ง 20 กม.ใช้เวลากว่า 7 ชม. พี่น้องมวลมหาประชาชนที่ร่วมเดินบอกว่ามันไกลและเมื่อยมากเหมือนขาจะลอยหลุดไป แต่ว่าใจกลับเป็นสุข กับการได้ร่วมมหกรรมประวัติศาสตร์ครั้งนี้

            เหล่าดารานักร้องนักแสดง คนมีชื่อเสียงในสังคม นักวิชาการ นักธุรกิจ รัฐวิสาหกิจ แรงงาน กสสิกร ทุกสาขาอาชีะ มารวมกันเดินครั้งประวัติศาสตร์ เราจะได้ใกล้ชิดเห็นตัวเป็นๆเห็นความเสียสละมาเป็น “กบฏต่อระบอบทักษิณ” ของท่านเหล่านั้น นี่สิคือ "คนของประชาชน" อย่างแท้จริง

            เราได้เห็นหลายบ้านหลายร้านรวงนำ “นำ้ใจและน้ำจริง”  รวมทั้งอาหาร มาแจกจ่ายหน้าบ้านหน้าร้าน เป็นกำลังใจให้กับการเดินครั้งนี้ และที่น่าประทับใจมากก็คือว่า ไม่มีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลย ไม่มีความรุนแรงเลย สวยงามมาก มันเป็นพัฒนาการของความเข้าใจว่า ประชาธิปไตยไม่ได้มีแต่การเลือกตั้งหรือในรัฐสภา การออกมาเดินประท้วงด้วยตัวเป็นๆนี่แหละคือประชาธิปไตย มาแสดงอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ของมวลมหาประชาชน ที่ไม่ทนต่อระบอบเผด็จการทุนนิยมสมานย์นี้อีกต่อไป..

            สื่อสารทั้งไทยและเทศต่างจับจ้องติดตามข่าวการประท้วงใหญ่ครั้งนี้ แต่ก่อนฟรีทีวีไม่แยแส แต่ตอนนี้แม้ไม่ต้องยกพลไปกดดันที่สถานี เขาก็ยอมถ่ายทอดสดให้ฟรี เช่นช่อง 3 ที่ถ่ายสดลุงกำนันแถลงการณ์ให้ อย่างนี้ก็เป็นความก้าวหน้ารายทางอย่างหนึ่ง

            ภาพมุมสูงที่คอยเก็บบรรยากาศบ่งบอกเลยว่า ไม่มีภาพไหนสมบูรณ์ที่จะเก็บภาพมวลมหาประชาชนได้ครบหมดองค์ประกอบ การเคลื่อนทัพมากกว่า 10 ทัพครั้งนี้ ทุกทัพนั้นมันมากมาย แต่ต้องกระจายไปตามถนนต่างๆ แต่ละจุดนั้นมันมากจนโดรนยังเก็บภาพแต่ละจุดๆไม่ครบหมดเลย นี่ยังไม่รวมถึงในต่างจังหวัดอีกบางจังหวัดมีเป็นจำนวนหมื่น คลื่นมวลมหาประชาชนที่ทะลักล้น ราวสึนามิหลั่งไหลไปตามตรอกซอกซอย เพื่อไปรวมกันที่ทำเนียบฯ แต่เป็นคลื่นสึนามิที่อบอุ่น เต็มไปด้วยน้ำใสใจจริง เต็มไปด้วยอุดมการณ์ในการเปลี่ยนแปลงประเทศให้พ้นความวอดวายหายนะ

            เป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศโดยมวลมหาประชาชนสองมือเปล่า สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ไม่รอหวังพึ่งพลังอำนาจอื่นใด นอกจากพลังอำนาจโดยธรรมของประชาชน ที่เรียกว่า “ประชาภิวัฒน์” ประเทศนี้ต้องดีขึ้นได้ด้วยมือของประชาชน

            ในช่วง18:00 . กำนันสุเทพเลขาธิการ กปปส. แถลงการณ์ ฟรีทีวี4ช่องคือช่อง3,5,7และ TPBS ลิงก์สัญญานสดจากช่องBlueSkyที่ไม่ใส่โลโก้หน้าจอ

            ประเด็นหลักที่พูดคือ

1.กล่าวแถลงความผิดรัฐบาลที่เป็นหุ่นที่ถูกเชิดของระบอบทักษิณนักโทษหนีคดีอาญา 1.ใช้เผด็จการรัฐสภาแก้รัฐธรรมนูญที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และนายกฯนำขึ้นทูลเกล้าเป็นการมิบังควร 2.ใช้เผด็จการเสียงข้างมากผลักดันร่าง พรัฐบาลนิรโทษกรรม การผ่านพรัฐบาลนิรโทษฯ เพื่อหวังล้างผิดเหตุการณ์ กรือเสะ ของพ...ทักษิณ และการผ่านร่างตอน 04.00 เป็นการเร่งรีบ เร่งรัด ผิดวิสัยประชาธิปไตย 3.รัฐบาลเพิกเฉยต่อการใช้ความรุนแรงของมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาล เป็นเหตุให้ นศ.รามฯเสียชีวิต 4.เลือกปฏิบัติ สร้างความแตกแยก เลือกปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมในปี 53 ให้ได้สิทธิพิเศษ   5.ใช้อำนาจบริหารราชการเล่นพรรคเล่นพวก รังแก ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งพวกพ้องรับตำแหน่งสูงในหน่วยงานรัฐเพื่อรับใช้ทักษิณ  6.รัฐบาลทุจริตคอรับชั่น เช่นจำนำข้าว การจัดการน้ำ และ ในราชการ-หน่วยงานรัฐใช้นโยบายประชานิยมเสียหายต่อเศรษฐกิจผู้รับผลประโยชน์คือทักษิณและครอบครัว

2.กปปส.ไม่อาจยินยอมให้เผด็จการเสียงข้างมาก ทำลายดุลยภาพของประชาธิปไตย ทำลายสัญญาประชาคมอย่างชัดแจ้ง ประชาชนจึงไม่ต้องอยู่ในอาญัติอีกต่อไป ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ขอประกาศว่ามวลมหาประชาชนมีความจำเป็นต้องพิทักษ์หลักการประชาธิปไตยใช้สิทธิ์เรียกคืนอำนาจให้กับประชาชนเป็นการ “ประชาภิวัฒน์”

3.กปปส.ขอประกาศว่า ปวงชนทั้งหลายขอประกาศว่า ทุกคนจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ และจะพิทักษ์ไว้ด้วยชีวิต

            และในเวลา 22:33. เลขาธิการ กปปส. ได้อ่านแถลงการณ์กปปส. ฉบับที่ 1/2556  ให้นายกฯลาออกจากรักษาการณ์นายกฯภายใน 24 .. โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องไม่ปฏิบัติหน้าที่ และแต่งตั้งใครขึ้นมาแทนภายใน 24 ชั่วโมง และให้ประชาชนชุมนุมต่ออีก 3 วัน

            คืนวันนี้เป็นคืนที่มวลมหาประชาชนจำนวนมากได้เสียสละ นอนตากยุงตากน้ำค้างกลางถนนราชดำเนินและบริเวณรอบๆทำเนียบรัฐบาล 

 

            10 ธันวาคม 2556 ภายหลังจากที่ กปปส.ออกแถลงการณ์ ให้นายกฯลาออก ทางฟากฝั่งรัฐบาล รวมทั้งแนวร่วมของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดง นักวิชาการเสื้อแดง ต่างดาหน้าออกมาประกาศไม่ยอมรับการทวงคืนอำนาจของกปปส.และหาเหตุผลสารพัดมาอ้างว่า “สภาประชาชน” ไม่สามารถทำได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างของคนที่ฉีกรัฐธรรมนูญ ถึงขั้นไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ดั้งนั้นการหาเหตุผลสารพัดมาค้าน ก็คือการไม่ยอมลงจากอำนาจรัฐที่ตนเองได้มาอย่างฉ้อฉลนั่นเอง

            ขณะนี้ประชาชนได้รู้เท่าทันเล่ห์กลของรัฐบาล ที่ประกาศยุบสภาฯแต่ไม่ลาออก นั้นเป็นเพียงการถอยเพื่อรุกของรัฐบาลทรราชย์เพียงเท่านั้น มวลมหาประชาชนจำนวนมาก จึงยังไม่ถอยจนกว่าอำนาจรัฐจะตกถึงมือประชาชน จนสามารถจัดตั้ง “สภาประชาชน” เพื่อ “ปฏิรูปประเทศไทย”ได้เท่านั้น

            สิ่งที่กปปส.ทำนี้แม้ไม่เรียกว่าการปฏิวัติ แต่แท้จริงเนื้อหาคือการทวงคืนอำนาจของประชาชน เพราะอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ย่อมสถิตอยู่กับประชาชน...ตลอดกาล ดังคำปราศรัยของอับราฮัม ลินคอล์น ในวันเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ปีพ.2404..." This country, which its institutions, belongs to the people who inhabit it. Whenever they shall grow weary of existing government they can exercise their constitutional right of amending it, or their revolutionary right to dismember or overthrow it. " แปลเป็นไทย "ประเทศนี้, กับทั้งสถาบันทั้งปวงของประเทศ, เป็นของราษฎร ผู้ซึ่งครอบครองอยู่ เมื่อใดราษฎรรู้สึกไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่บริหารอยู่ เมื่อนั้นราษฎรย่อมใช้สิทธิของตนตามรัฐธรรมนูญทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือใช้สิทธิแห่งการปฏิวัติ เพื่อปลดหรือขับไล่รัฐบาลนั้นเสียได้"

             ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเรียกว่า “ประชาภิวัฒน์” คือการปฏิวัติโดยประชาชน ซึ่งถ้าปฏิวัติโดยทหาร โดยปืน โดยรถถัง ก็ง่าย จบไปนานแล้ว คือเอาปืนไปจี้นายกฯ จับรัฐมนตรีและผู้ต่อต้าน ยึดโน่นยึดนี่ แล้วออกประกาศ แค่นี้ก็จบแล้ว แต่การปฏิวัติโดยประชาชนนั้นไม่ง่ายเหมือนทหารปฏิวัติ  ต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน เพราะผู้ครองอำนาจจะไม่ยอมง่ายๆ ตราบใดที่ยังไม่จนตรอก ก็จะดิ้นรนต่อไป

            ดังนั้น มวลมหาประชาชนต้องกระชับพื้นที่ไปเรื่อยๆเพื่อขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่นี่คือภาระที่ยิ่งใหญ่ของประชาชนคนไทย ยังต้องลุกกันขึ้นมาทำการประชาภิวัฒน์ ประชาชนต้องอดทน ต้องยืนหยัด พวกรัฐทรราชย์นั้นมีทั้งเงินและอำนาจ มีทั้งพวกพ้องบริวาร แต่ที่เขาต้องถอยกรูดก็เพราะพลังแห่งมวลมหาประชาชน การต่อสู้ด้วยมือเปล่า ไม่ใช้วิธีรุนแรง ไม่เผาบ้านเผาเมือง... มันต้องใช้เวลาและก็ต้องทนเมื่อย ช้าหน่อยแต่ยั่งยืน

            ในเวลา22:30. เลขาธิการ กปปส. "กำนันสุเทพ"อ่านแถลงการณ์กปปส. : บัดนี้ครบ 24 ชั่วโมงแล้ว ปรากฏว่านายกฯยิ่งลักษณ์ยังไม่ได้ปฏิบัติตามที่ กปปส.สั่งการ ดั้งนั้น กปปส.จึงมีคำสั่งเพิ่มเติม คำสั่งกปปส 2/2556 ข้อ
1. ให้ดำเนินคดียิ่งลักษณ์และพวกฐานกบฏตาม มาตรา113 เนื่องจาก จงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า
2.ให้ตำรวจถอนกำลังภายใน 12 ชั่วโมง
3.ทหารได้รับความไว้ใจจากประชาชนมากที่สุด ให้รักษาสถานที่ราชการให้เรียบร้อยต่อไป
4.ให้ประชาชนติดตามความเคลื่อนไหวตระกูลชินและครม.และแสดงออกต่อบุคคลอย่างสันติ อหิงสา ให้หยุดการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ

           

            11 ธันวาคม 2556 วันนี้ทางตำรวจก็ยังไม่ถอนกำลังออกจากกระทรวงศึกษาธิการและทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส.แถลงว่า การที่ตำรวจไม่ถอนกำลังออกจากที่ชุมนุม แสดงให้เห็นว่าพล...อดุลย์และตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นสมุนระบอบทักษิณชัดเจนดังนั้นแกนนำกปปส.จะหารือเพื่อกำหนดแนวทางการต่อสู้ต่อไป

            ในช่วงค่ำนายสุเทพ ได้กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า ได้พยายามติดต่อผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเพื่อขอร้องให้ตัดสินใจออกมาทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ มาเลือกอยู่ข้างประชาชน โดยได้ติดต่อไปยังผู้นำเหล่าทัพ ทั้ง 3 เหล่าทัพและผบ.สส เพื่อเข้าพบปะพูดคุยในวันรุ่งขึ้น

            แต่ในเวลาประมาณ 23.00 . มีรายงานว่า พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ระบุว่า วันพรุ่งนี้ (12 ..56) ทางผบ.สส. ผบ.3 เหล่าทัพ และผบ.ตร. ไม่สะดวกให้นายสุเทพ แกนนำกปปส. เข้าพบชี้แจง และถ้าประชาชนในประเทศยังคงแบ่งเป็นฝักฝ่าย ทหารย่อมเลือกข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้ ขอให้ทางนายสุเทพไปพบปะกลุ่มอื่นๆ ในสังคมก่อนเพื่อร่วมกันหาทางออก

 

            12 ธันวาคม 2556 เมื่อทางผู้นำเหล่าทัพได้ปฏิเสธการขอเข้าปรึกษาหารือของ กปปส. ดั้งนั้นวันนี้ทางกปปส.จึงได้นัดปรึกษาหารือกับ กลุ่ม7 องค์กรเอกชน

            วันนี้ในช่วงสาย มวลชนกลุ่ม คปท.ได้ปีนเข้าไปรื้อรั้วลวดหนามที่อยู่ภายในทำเนียบรัฐบาลออกได้สำเร็จ แล้วมวลชนก็ออกมาจากทำเนียบรัฐบาล เป็นการปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว ไม่มีการเกิดการบาดเจ็บหรือรุนแรงแต่อย่างใด

            ในเวลา 13.23 . พล..บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์หรือเสธ.อ้าย แถลงการณ์ นำเตรียมทหารรุ่น 1-11 เป็น “ทหารเก่าไม่มีวันตาย” สนับสนุน กปปส. ณ สนามม้านางเลิ้ง พล..บุญเลิศเป็นปธ.เตรียมทหารรุ่น 1 ได้ทำการเแถลงการณ์ร่วมกับตัวแทนเตรียมทหาร11รุ่น เห็นด้วยกับแนวทางกปปส.เพราะเหตุที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบัน

            ในช่วงบ่าย คณะกรรมการ กปปส. ได้เข้าปรึกษาหารือ กับภาคเอกชน 7 องค์กร ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ที่ห้องรัตนโกสินทร์ โรงแรมเดอะสุโกศล เพื่อแสดงจุดยืนและหาทางออกให้กับประเทศ โดยภาคเอกชนหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่าต้องมีการปฏิรูปการเมืองไทย

           

 

            แม้ว่ากรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.จะได้ประกาศวันเลือกตั้งสส. เป็นวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 แต่มวลมหาประชาชนภายใต้ชื่อ กปปส. ก็ยังคงเดินหน้าที่จะปฏิรูปประเทศให้ดีก่อนที่จะให้มีการเลือกตั้ง โดยระหว่างวันที่ 17-19 ..56 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มหาวิทยาลัยรามคำแหงและสถาบันพัฒนบริหารศาสตร์หรือนิด้า ได้เวียนกันจัดเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "ทำไมต้องปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" ถือเป็นการตกผลึกทางภูมิปัญญา ของมวลมหาประชาชนผู้ตื่นรู้ ทำให้ตาสว่างเสียทีว่า การเลือกตั้งภายใต้กติกาของคนโกงนั้น ไม่อาจจะทำให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริง

 

            14ธันวาคม 2556 มีเวทีเสวนา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกี่ยวกับการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ในวันนี้เองในตอนสายถึงบ่าย ทางกองทัพไทยก็มีการจัดเวทีเสวนาสาธารณะเพื่อความสงบสุขและประโยชน์สูงสุดของ ประเทศไทย ณ ห้องประชุม ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ กองบัญชาการกองทัพไทย ผู้บัญชาการกองทัพบก ผู้นำเหล่าทัพต่างๆ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และคณะกรรมการ กปปส. หน่วยงานต่างๆ องค์กรอิสระ นักวิชาการ และอธิการบดีมหาวิทยาลัย ได้เข้าห้องประชุมเพื่อหารือร่วมกัน การประชุมระหว่างฝ่ายกองทัพไทยกับกปปส.ครั้งนี้ ไม่ได้มีตัวแทนของรัฐบาลเข้าร่วมแต่อย่างใด การประชุมครั้งนี้ทหารก็ไม่ได้แสดงจุดยืนที่จะมายืนข้างประชาชน เพียงแต่ยังรักษาความเป็นกลางแบบที่จะไม่เข้าข้างฝ่ายใดอยู่เช่นเดิม

           

            19-20 ธันวาคม 2556 การเมืองข้างถนนคือประชาธิปไตยที่แท้จริงเมื่อกปปส.จัดเดินขบวนครั้งใหญ่่ในวันที่ 19-20 ธันวาคม 2556 เกิดอะไรขึ้น! ท่านขุนน้อยแห่งไทยโพสต์ได้ลิขิตไว้ว่า... บ้าไปแล้วครับ! ทั้งมวลมหาประชาชน ทั้ง "กำนันเทพ" ผมไม่เคยเห็นประชาชนลงไปเดินบนถนน แสดงความบ้าที่จะปฏิรูปประเทศไทย สลัดให้หลุดพ้นจากระบอบทักษิณอันชั่วร้ายมากมายขนาดนี้มาก่อนนับตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน ออกมาล้านกว่าคนนั่นว่าบ้าแล้ว วันที่ 9 ธันวาคม บ้ายิ่งกว่า ออกมาร่วม 5 ล้านคนมาวันที่ 18 ธันวาคม ทีแรกผมคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรมาก แค่ "กำนันเทพ" พามวลชนทัวร์กรุงเทพฯ ที่ไหนได้ มี "ม็อบข้างถนน" ออกมาบ้าตามไปด้วยภาพมันบาดตาระบอบทักษิณจริงๆ ครับ "ม็อบข้างถนน" ของจริงเสียงจริง ไม่ว่ามวลมหาประชาชน และกำนันเทพเดินไปถึงจุดไหน มี "ม็อบข้างถนน" ออกมาเป่านกหวีดริมสองข้างทาง ส่งเสียงสาปส่งตระกูลชินวัตรกันลั่น มันเยอะเสียจนผมคิดว่า วันที่ 22 ธันวาคมนี้ ตัวเลข 5 ล้านน่าจะถูกทำลายที่ต้องมาพูดเรื่องบ้าๆ อันประเสริฐนี้ เพราะผมนึกถึง "ทฤษฎีส้นตีน" ของ "ไตรรงค์ สุวรรณคีรี" ครับ การชุมนุมโดยสันติปราศจากอาวุธ จะสำเร็จได้ต้องมีมวลมหาประชาชนเข้าร่วม มากเท่าไหร่ยิ่งได้ผลเท่านั้นบอกตรงๆ ผมอยากเห็นตัวเลข 10 ล้านคน หรือถ้าเป็นไปได้ขอสัก 15 ล้านคน เอาให้เท่าจำนวนคนไปใช้สิทธิ์เลือก ส..พรรคเพื่อไทย จะได้เลิกอ้างกันเสียทีว่าข้าคือเสียงข้างมากผมชอบใจ "ม็อบข้างถนน" เป็นพิเศษ นั่งดูถ่ายทอดสดการเดินชวนเชิญขับไล่ยิ่งลักษณ์ ถึงกับขนลุกครับ!แม่ค้าริมทาง เจ้าของร้านทอง พนักงานบริษัท พนักงานธนาคาร ฯลฯ ออกมายืนหน้าร้านหน้าสำนักงาน ผูกธงชาติ เป่านกหวีด ส่งเสียงร้องให้กำลังใจโดยเฉพาะย่านอโศก ใครจะไปคิดล่ะครับว่า ยิ่งกว่าเบียดเสียดแหวกเข้าไปดู "ณเดชน์" ทั้งๆ ที่คนซึ่งเดินนำมวลมหาประชาชนคือ "ณเทพ"จำได้ว่าเมื่อครั้งที่เสื้อแดงชุมนุมใน กทม. ปิดแยกราชประสงค์แล้วออกอาละวาด ใช้จักรยานยนต์นำ เดินขบวนไปทั่วกรุง ชาวบ้าน ห้างร้าน รีบปิดประตูหนีครับแต่คราวนี้ฟุตบาทแทบไม่มีที่ยืน!ใจผมคิดอยากให้กำนันเดินนำมวลชนแบบนี้ที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ผมว่าผลไม่น่าจะต่างกันมาก แม้จะเป็นถิ่นของตระกูลชินวัตรก็ตามที เพราะที่นั่นคนเกลียดตระกูลการเมืองนี้ก็มีไม่น้อย เพียงแต่เขาไม่มีโอกาสได้แสดงออกแบบคนกรุงเทพฯ เท่านั้นเองไม่ได้หยาบคายนะครับ วันที่ 22 ธันวาคม ส้นตีนกู้ชาติโดยม็อบข้างถนนจะแสดงให้เห็นถึงพลังของมวลมหาประชาชนครั้งยิ่ง ใหญ่เป็นประวัติศาสตร์อีกครั้งแน่นอนร่วม 10 กิโลเมตรตั้งแต่ปิ่นเกล้ายันประตูน้ำ ต้องออกมาให้เต็มครับ!ขุดกันขนาดนี้ หาก "ยิ่งลักษณ์" ยังดื้อด้านอย่างหนาไม่ลาออก ก็ต้องยกระดับให้หนักขึ้นครับ ไม่ต้องรอคราวหน้า เอาคราวนี้เลย...เผด็จศึก! ขั้นเด็ดขาดแล้วเราจะได้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งเป็นผลิตผลของการปฏิรูป

           

            21 ธันวาคม 2556 กปท.และกองทัพธรรม นำมวลชนเดินขบวนไปให้กำลังใจพรรคประชาธิปัตย์ ให้เลือกข้างประชาชน ซึ่งในที่สุดแล้ว วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้มีมติลาออกจากการเป็นสส.ทั้งพรรค เป็นอีกหนึ่งชัยชนะรายทางของการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน ทำให้พรรคการเมืองเก่าแก่ที่ถือเป็นสถาบันหนึ่ง ได้เปลี่ยนแปลงแนวคิด จากเดิมที่ยึดถือว่า การเมืองต้องทำในสภาเท่านั้น แต่วันนี้แล้ว เมื่อเผชิญกับเผด็จการทางรัฐสภาของระบอบทักษิณแล้ว น่าดีใจที่พรรคประชาธิปัตย์ได้พบแสงสว่าง ว่าการเมืองที่แท้จริง ต้องออกมายืนเคียงข้างประชาชน ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่อยู่ตามท้องไร่ท้องนา อยู่บนถนน ประชาธิปไตยคือการออกมาประท้วง

 

            22 ธันวาคม 2556 มวลมหาประชาชน "เดินสู่ชัยชนะของประเทศชาติ" ...เมื่อมหาประชาชน จาก 1 ล้านในวันที่ 24  พฤศจิกายน  เป็น 5 ล้านในวันที่ 9 ธันวาคม และเพิ่มเป็น 6 ล้าน ในวันที่ 22 ธันวาคม 2556 วันนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่มวลมหาประชาชน ภายใต้ชื่อ กปปส. ได้ทุบทำลายทุกสถิติโลกในการชุมนุมทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการก้าวข้ามคำว่า “แพ้-ชนะ เพื่อตัวตนอีกแล้ว แต่เป็นการ “เดินสู่ชัยชนะของประเทศชาติ”

            มวลชนผู้ตื่นรู้นั้นได้เอาชนะตัวตนที่ไม่กล้าทำความดี เพราะกลัวเหนื่อย กลัวลำบากสารพัดในการมาชุมนุมไปแล้ว ทำให้แทนที่หมู่มวลมหาประชาชนจะอ่อนล้า  เมื่อรัฐบาลเดินเกมยื้อเวลาออกไป ใช้สารพัดวิชามารในการทำให้ กปปส.อ่อนล้า แต่กลับกลายเป็นแรงกระตุ้นให้หมู่มวลมหาประชาชนฮึดสู้ ออกมาเดินสู่ท้องถนนแน่นขนัดมืดฟ้ามัวดินทั้ง 5 จุดใหญ่ และ 10 จุดย่อย ไม่มีเหตุร้ายเกิด          เป็นการเดินขบวนทางการเมืองครั้งที่มีจำนวนคนมากที่สุดในโลกไปในเวลานี้ไปแล้ว และเดินอย่างสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ เต็มไปด้วยความสุข ทั้งคนเดินและชาวกรุงเทพฯ ห้างบางแห่งบอกว่าตั้งแต่เปิดห้างมาวันนี้เป็นวันที่ยอดขายของมากที่สุด และไม่มีเหตุของหาย หรือมีการขโมยของแต่อย่างใด ตามสองข้างทาง มีแต่คนโบกมือ เป่านกหวีด ประดับธงชาติ รวมทั้งให้น้ำให้อาหาร อย่างเต็มใจยินดีปรีดา สยามเมืองยิ้มได้กลับคืนมาสู่กรุงเทพฯเมืองฟ้าได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว

             และเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงๆ มันไม่มีวัน เสียของ โดยเด็ดขาด!!! เพราะด้วยผลแห่งการ อภิวัฒน์ ที่มันเกิดขึ้นมาจากด้านล่าง ไม่ใช่ถูกสั่งการลงมาจากข้างบน แบบการ ปฏิวัติ รัฐประหาร ทั้งหลาย มันย่อมนำมาซึ่ง การเปลี่ยนแปลง ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพนับตั้งแต่เบื้องต้น พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยน-ไม่เปลี่ยนกันในตอนไหน อย่างไร ไม่ว่ากลไกอำนาจรัฐหรือระบบราชการทั้งหลายจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ก็ตาม...แต่ประชาชนเปลี่ยนแล้ว!!! เปลี่ยนจากไทยเฉยเป็นไทยเข้มแข็ง เปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนทัศนคติค่านิยม หวิดๆ จะถึงขั้น เปลี่ยนอุดมคติทางสังคม แบบที่ ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเคยได้ตั้งความหวังเอาไว้นานแล้ว ถึง ประชาธิปไตยที่แท้จริง อันมีที่มาจาก ประชาชนผู้ยึดมั่นในธรรม

            แม้เพศหญิงจะถูกมองว่าเป็นเพศอ่อนแอ แต่ในความเป็นจริงนั้นเป็นเพศที่มีความอดทนเป็นเลิศ วันอาทิตย์ที่ 22 .. 56 นี้ คุณปอง-อัญชะลี ไพรีรัก และดร.เสรี วงษ์มณฑา สองหญิง ที่คนหนึ่งหญิงจริง อีกคนหนึ่งรักจะเป็นหญิง ก็ได้พร้อมใจกันพามวลมหาประชาชนทั้งสาวประเภท1 และประเภท 2 ตั้งขบวนเป็น "ดอกไม้เหล็กปราบกบฏ" ที่ราชดำเนิน ออกเดินเท้าไปที่บ้านของ รักษาการณ์นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ซอยโยธินพัฒนา 3 เพื่อแสดงสัญลักษณ์ของพลังหญิง และนำดอกไม้จันทน์ไปมอบให้พร้อมกับอ่านแถลงการณ์ขอร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก จากตำแหน่ง

            เมื่อเดินทางไปก่อนจะถึงบ้านของนส.ยิ่งลักษณ์นั้นก็ต้องเผชิญกับกำแพงรถตู้ของตำรวจ แต่เหล่านักรบดอกไม้เหล็กก็ได้รวมพลังกันขยับเขยื้อนรถตู้ของตำรวจออกอย่างง่ายดาย จนตำรวจเกรงรถจะพังเลยยอมถอยรถให้มวลมหาประชาชนเข้าไปถึงหน้าบ้านอดีตนายกฯได้อย่างเรียบร้อย

            และแน่นอนว่าเมื่อมีคนจำนวนมากหลายพันคน ในซอยแคบๆอย่างนี้ ก็ยอมต้องมีการประจันหน้า กระทบกระทั่งกันบ้างกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ข่าวว่ามีตำรวจตบหน้ามวลชนที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง จึงเกิดเหตุการณ์ มวลชนลุกฮือกันไปจะไปลุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งก็เป็นตำรวจหญิงเสียส่วนใหญ่

            แต่ด้วยความกล้าหาญของคุณปอง เธอก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยประกาศให้พี่น้องถอยออกจากรั้วบ้านนส.ยิ่งลักษณ์ได้สำเร็จ รวมถึงลุยลงไปเคลียร์ในพื้นที่ได้อย่างดี จนสถานการณ์สงบ พี่น้องมวลชนก็ได้นำดอกกุหลาบไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมขอโทษขอโพยกัน เป็นบรรยากาศที่ดีระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจที่หาได้ยากเหตุการณ์หนึ่ง ที่จะทำให้เกิดความสงบ สันติ อหิงสาได้

            ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของประชาธิปไตย ที่มีนิยามให้ถูกต้องว่า คือ "การออกไปประท้วงความอยุติธรรมอย่างสงบ สันติ อหิงสา" และคนไทยก็ทำได้อีกครั้งหนึ่ง ต้องชื่นชมทั้งตำรวจ ผู้ชุมนุม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสองหญิงแกร่งผู้นำกองทัพปราบกบฏในครั้งนี้

            วันนี้หลังจากที่มวลมหาประชาชน กปปส. ออกมาแสดงพลังอธิปไตย เป็นเชิงสัญญลักษณ์ นับอย่างมีหลักฐานทางวิชาการ คำนวณจำนวนคนได้ถึง 6 ล้านคน ในตอนค่ำของวันนี้ กำนันสุเทพก็พามวลชนออกเดินเท้าไปปักหลักพักค้างล้อมรอบ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง สนามกีฬาเวสน์ฯ ซึ่งเป็นสถานที่ที่กกต.จะใช้เป็นสถานที่รับสมัครเลือกตั้งแบบปาร์ตี้ลิสต์ในวันรุ่งขึ้น เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งก่อนปฏิรูป ยืนยันเดินหน้าไล่จนกว่ายิ่งลักษณ์จะหมดอำนาจ ไม่มีกำหนดยุติชุมนุม ยืนยันขอปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

 

            23 ธันวาคม 2556 ปฐมบทแห่งการ (ล้ม) เลือกตั้ง! เปลว สีเงิน แห่งไทยโพสต์ได้เขียนเกี่ยวกับการรับสมัครเลือกตั้งปาร์ตี้ลิสต์ที่สนามไทย-ดินแดงไว้ว่า เห็นจะต้องแสดงความยินดีล่วงหน้ากับ "ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1" ของเพื่อไทย นามว่า "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" พลันปรากฏชื่อในบัญชีรายชื่อยื่นสมัครต่อ กกต.วันแรก (23 ธ..56)
           
นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ต่อจากยิ่งลักษณ์ ก็จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากคนชื่อยิ่งลักษณ์
            หมายความว่า วันที่ 2 กุมภา 57 กกต.ปลุกเสกการเลือกตั้งให้เกิดได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายจริง!? เพราะผมไม่เชื่อว่าประเทศไทย-คนไทยจะสยบยอมให้ระบอบทักษิณ อาศัยพิธีกรรมเลือกตั้งเป็นฉากประชาธิปไตยให้ปล้นชาติซ้ำแล้ว-ซ้ำเล่า
            แม้ว่าตลอดทั้งวันมวลชน กปปส. จะนั่งปิดล้อมประตูทางเข้าทุกประตูของสถานที่รับเลือกตั้งไว้ จนผู้สมัครสส.ไม่สามารถเข้าไปสมัครได้  แต่ปรากฏว่า ในหลายสิบพรรค มีแค่ 7-8 พรรคเข้าไปยื่นได้ เพราะสามารถเล็ดลอดเข้าไปตั้งแต่ตอนตี 3 พอรับสมัครเสร็จ คณะกรรมการ กกต.ก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ออกไปจากสนามกีฬาเวสน์ 2 รวมทั้งผู้สมัครสส.และเจ้าหน้าที่ก็ได้ออกไปโดยวิธีเดียวกันนี้ 
            แม้ว่าจะสามารถสมัครได้ แต่มีคำถามจากสังคมว่าการทำแบบนี้ โมฆะหรือไม่ เพราะไม่ใช่เวลาที่ประกาศไว้เป็นทางการ และเป็นธรรมกับพรรคอื่นๆ หรือไม่?
           
รัฐธรรมนูญ มาตรา 181 ในข้อที่ใช้กับคณะรัฐมนตรีที่ยุบสภาฯ มีว่า.....
    (
2) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณี ฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน
    (3) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป
    (4) ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการ เลือกตั้ง และไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง กำหนด

            ส่วนผู้ที่ไม่สามารถเข้าไปสมัครได้ ก็พากันไปแจ้งความที่ สน.ดินแดง แต่ข่าวปรากฏว่า มีเจ้าหน้าที่ของกกต.บางส่วนได้ไปตรวจรับเอกสารการสมัครที่ สน.ดินแดงด้วย ดังนั้นมวลชน กปปส.จึงได้แบ่งกำลังไปปิดล้อมที่ สน.ดินแดงด้วย ซึ่งทั้งหมดเคลื่อนไหวด้วยความสงบ สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ไม่เกิดความรุนแรงใดๆ มวลชนได้ปักหลักพักค้าง ต่อสู้กับความหนาวเย็นของฤดูหนาวบนถนนคอนกรีต ยอมเผชิญกับความลำบากทั้งอาหารการกินและการขับถ่ายไม่สะดวกใดๆเลย อีกทั้งต้องเสียงอันตรายอาจถึงแก่ชีวิตได้ แต่ก็ปรากฏมวลชนเป็นจำนวนมากปักหลักพักค้างล้อมรอบสนามกีฬาเวสน์ 2 อย่างมากมาย

           

            24 ธันวาคม 2556 วันนี้ยังคงอยู่ในช่วงรับสมัครเลือกตั้งสส.ปาร์ตี้ลิสต์ กกต.ยังประกาศยืนยันใช้สถานที่เดิมในการรับสมัครต่อไป ซึ่งมวลชนก็ยังคงปักหลักพักค้างอย่างเหนียวแน่น ไม่มีทีท่าถอย และไม่ลดจำนวนลงด้วย แต่ว่ากกต.ก็หาวิธีให้การรับสมัครสำเร็จจนได้ ดังนั้นช่วงเย็นวันนี้ กกปส.จึงมีมติให้มวลชนกลับที่ตั้ง กำนันสุเทพ จึงได้พามวลชนเดินเท้ากลับมาที่เวที่ราชดำเนิน อย่างปลอดภัย

 

            25 ธันวาคม 2556 เป็นวันคริสต์มาสต์ คปท. ได้ตั้งขบวนออกเดินทางไปที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง หลังจากนั้นได้เข้าปิดล้อมอาคารกีฬาเวสน์ 2 ไม่ให้นักการเมืองเข้าไปยื่นใบสมัครได้ พร้อมนำธงชาติยาวกว่า 1 กม.ล้อมอาคาร

            ตลอดทั้งวัน มวลชนคปท.ได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พยายามกีดกันมวลชนไม่ให้เข้าไปภายในสถานที่รับสมัครได้ แต่ว่าไม่มีอันตรายร้ายแรงเกิดขึ้น เพราะไม่มีการใช้อาวุธประหัดประหารกัน ที่สุดแล้ว เจ้าหน้าที่กกต.ก็ไม่สามารถรับสมัครสส.ได้ วันนี้จบลงด้วยดี ตำรวจกับประชาชนจับมือกันตอนจบอย่างเป็นมิตรไมตรีต่อกัน 
            และในตอนบ่ายวันนี้เอง นายกฯยิ่งลักษณ์แถลงข่าวหลังครม.เห็นชอบตั้งสภาปฎิรูปประเทศ ที่บก.ทอ โดย "จะสรรหา สมาชิกสภาปฏิรูปซึ่งจะประกอบด้วยประชาชนจากสาขาอาชีพ 2,000 คน และให้ทั้งหมดมาเลือก 499 คน" โดยมี ทหาร,หัวหน้าส่วนราชการ,เลขาพัฒนาสังคม,อธิการบดีมหาลัย,ปธ.หอค้า ปธ.อุตฯ มาเป็นกรรมการคัดเลือก หลายฝ่ายมองว่า นี่เป็นเพียงการซื้อเวลาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เท่านั้น เพราะที่ผ่านมาตั้งสภาปฏิรูปมาหลายสภาแล้ว มีรายงานที่สภาได้ศึกษามามากมาย แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์หาได้มีความจริงใจในการปฏิรูปประเทศแต่อย่างใด
            ในช่วงเย็น โฆษกเวทีคปท.ประกาศเคลื่อนมวลชนกลับข้างทำเนียบ แกนนำคปท.ประกาศสลายชุมนุม พรุ่งนี้นัดมาที่นี่ใหม่!!เวลา06.00.

           

            26 ธันวาคม 2556 ไม่มีชัยชนะที่แท้จริงบนกองเลือดและน้ำตา

            ชัยชนะที่ได้มาโดยการใช้กำลัง ก็ไม่ต่างอะไรกับความพ่ายแพ้ เพราะมันเป็นเพียงสิ่งชั่วครู่
นี่คือวาทะของคานธีที่ได้กล่าวไว้เป็นคำสัจจ์ เหตุการณ์สงครามแก๊สน้ำตาของตำรวจ กับนักรบมือเปล่าของมวลชน คปท.ที่พยายามเข้าไปหยุดพิธีกรรมเลือกตั้งอันอัปลักษณ์และไม่ชอบธรรม ในวันที่ 26 ธันวาคมนี้ กินเวลายาวนานเกือบ 10 ชั่วโมง ตำรวจประเคนแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมตลอดทั้งวัน แต่การจับสลากเบอร์ผู้สมัครสส.ก็ยังดำเนินไปอย่างไม่ยินดียินร้ายต่อ เลือดและน้ำตาของผู้ชุมนุมภายนอกสนามกีฬาเวสน์ 2 โดยทางพรรคเพื่อไทยยังคงส่งยิ่งลักษณ์เป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 เช่นเดิม ซึ่งเป็นเหมือนกับการใช้เท้าลูบศีรษะของมวลมหาประชาชน ไม่เห็นความสำคัญของมวลมหาประชาชนหลายล้านคนแต่อย่างใด
            รอบนี้ รัฐบาลดูเหมือนจะได้เปรียบ ดูเหมือนจะได้ชัยชนะที่สามารถดำเนินการจับสลากเบอร์ผู้สมัคร สส.ได้สำเร็จ แต่เป็นความสำเร็จและชัยชนะบนกองเลือดและน้ำตาของผู้ชุมนุม แม้ว่าตำรวจสามารถสกัดมวลชนคปท.เสียอยู่หมัด ด้วยแก๊สน้ำตาสลับกับน้ำแรงดันสูงเจือสารสีม่่วง และกระสุนยาง ทั้งที่มวลชนมีแต่มือเปล่า พร้อมหัวใจที่ยอมพลีให้ชาติเกินร้อย มีอะไรอยู่ใกล้มือก็ใช้ขว้างใส่ตำรวจ ซึ่งตำรวจมีทั้งอาวุธมีทั้งโล่ห์และชุดป้องกันตัวครบชุด จะไปยี่หระอะไรกับก้อนอิฐก้อนกรวด สุดท้ายตำรวจสามารถจับมวลชนคปท.ไปกักขังไว้ได้กว่า 14 คน ซึ่งถูกซ้อมเสียจนสะบักสะบอม สามารถประกันตัวออกมาได้ในวันรุ่งขึ้น
            ภายหลังจากเสร็จสิ้นการจับสลาก กกต.ก็ได้ออกมาแถลงเสนอให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอย่างไม่มีกำหนด แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาแถลงว่ารัฐบาลไม่มีสิทธิ์เลื่อนวันเลือกตั้งก็ตาม ก็แสดงให้เห็นถึงว่ากกต.ไม่อาจจัดการเลือกตั้งภายใต้สภาวะบ้านเมืองเช่นนี้
            แม้ว่าภายหลังจากเหตุปะทะได้สงบลงในตอน 16.00 . แกนนำคปท.ได้พามวลชนส่วนใหญ่ถอนตัว แต่อารมณ์คุกรุ่นคั่งแค้นของตำรวจยังมีอยู่ พากันรวมตัวออกมาทุบตีรถและสิ่งของของผู้ชุมนุมและพยาบาลอาสา
            เพียงไม่กี่ชั่วโมงเหตุการณ์จากที่รัฐบาลดูเหมือนจะได้ชัยชนะ แต่ในยุคของการสื่อสารไร้พรมแดน ฟ้า บ่ กั้นนี้ ความจริงถูกตีแผ่ผ่านโลกของการสื่อสาร แม้มีบางฝ่ายพยายามบิดเบือนข้อมูลให้ร้ายว่าประชาชนยิงปืนใส่ตำรวจ แต่ประชาชนผู้ตื่นรู้หาได้หลงเชื่อไม่ เพราะทั้งโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและโซเชียลเน็ตเวิร์ค มีภาพการปรากฏตัวของชายชุดดำอยู่บนที่สูง พร้อมอาวุธปืนเล็งยิงมายังผู้ชุมนุมอย่างไม่เกรงกลัวต่อบาป ตรงกับผลการชันสูตรศพที่มีวิถีจากมุมสูง ยังมีหลักฐานที่ทหารช่วยขนอาวุธต่างๆ ออกจากรถตำรวจภายหลังเหตุการณ์สงบลง ซึ่งมีทั้งปืนจริง กระสุนจริง แก๊สน้ำตากระป๋องชนิดขว้าง ลูกระเบิดจริง และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำร้ายประชาชนมือเปล่า
            ศูนย์เอราวัณ ได้สรุปจำนวนผู้บาดเจ็บจากเหตุปะทะทั้งหมด 98 คน และเสียชีวิต 2 คน เป็นตำรวจ 1 คนคือ ดาบตำรวจณรงค์ ปิติสิทธิ์ ถูกยิงที่หน้าอกซ้าย กระสุนยิงจากมุมสูงตัดขั้วหัวใจ และผู้ชุมนุมเสียชีวิต 1 คนคือ คุณวสุ สุฉันทบุตร จากชุมพร ถูกยิงด้วยกระสุนจริงเข้าช่องท้องทำลายอวัยวะภายใน
            ทั้งสองชีวิต เป็นประชาชนชาวไทย ภายใต้พ่อหลวงเดียวกัน แต่กลับต้องมาเสียชีวิตลงในการปะทะกันครั้งนี้ แน่นอนไม่มีใครอยากเห็นการตาย แต่ผู้ที่สั่งการให้ตำรวจชั้นผู้น้อยกระทำการอย่างรุนแรง ใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง กับประชาชนที่สู้อย่างสันติวิธีมาตั้งแต่ต้น จะต้องรับผิดชอบในการก่อความรุนแรงก่อน
            ผู้ที่สั่งการรวมถึงผู้ที่ยิงกระสุนจริงเพื่อหวังผลให้เกิดการตาย คือผู้ที่จะต้องรับผลกรรมวิบากนี้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย แม้กฎหมายจะเอาผิดพวกเขาไม่ได้ในตอนนี้ แต่กฏแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ ไม่่ว่าจะทำในที่ลับหรือในที่แจ้ง บัญชีแห่งกรรมบันทึกละเอียดทุกขั้นตอน ไม่มีตกหล่นรั่วซึมแม้เท่าปลายเข็ม ยิ่งกรรมยุคนี้ติดจรวดเสียด้วย

           

             27-30 ธันวาคม 2556 ค่ำคืนของวันที่ 27 ธันวาคม ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยได้งดจัดรายการบันเทิงเพื่อจัดงานไว้อาลัยให้กับวีรบุรุษของมวลมหาประชาชน วสุ สุฉันทบุตร คราบน้ำตาแห่งความสูญเสียยังไม่ทันจะลบเลือนไป แต่แล้วเมื่อเวลา 03.00 .ของวันที่ 27 ธันวาคม ก็ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์ไม่ทราบจำนวนขับรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์-ทอง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน มาจากถนนพิษณุโลก ผ่านแยกนางเลิ้ง ตรงมาที่สะพานชมัยรุเชฐ ก่อนมีการจอดรถ จากนั้นคนที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังได้ลดกระจก ใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงใส่แนวรั้วเวทีปราศรัยของกลุ่มคปท. ก่อนขับรถหลบหนีไปทางถนนพระราม 5 เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อนายยุทธนา องอาจ อายุ 26 ปี และมีบาดเจ็บ 3 ราย

            ในค่ำของวันที่ 28 ธันวาคม เราก็ต้องมาจัดงานไว้อาลัยให้แก่ผู้กล้า ยุทธนา องอาจ อีกงานหนึ่ง เป็นสองวันติดต่อกันที่เวทีราชดำเนิน นับเป็นความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ “ในความตาย ชีวิตก็ยังคงอยู่ ในความอสัจจ์ สัจจะก็ยังคงอยู่ ในความมืดมิด แสงสว่างก็ยังฉายสู่ ข้าพเจ้าจึงกล่าวได้ว่า พระผู้เป็นเจ้า คือ ชีวิต สัจจะ แสงสว่าง ความรัก และความดีงาม อันสูงสุด” เป็นวาทะของมหาบุรุษแห่งอหิงสา "มหาตมคานธี" เหตุการณ์การเสียชีวิตของทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมในการชุมนุมของกปปส.ครั้งนี้ จะไม่สูญเปล่า เพราะตายหนึ่่งเกิดแสนเกิดล้าน มวลมหาประชาชนจักแปรความสูญเสียให้เป็นพลังแห่งสันติอหิงสา ออกมาร่วมกันยืนหยัดทำสิ่งที่ดี อย่างสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ มากันให้มากกว่าเดิม จนกว่าจะได้ชัยชนะ

            ชีวิตของชาวไทยที่ต้องสูญเสียในการดื้อดึงดันที่จะทำพิธีกรรมการเลือกตั้ง ทั้งที่ตนเป็นรัฐบาลที่โมฆะไปแล้วนั้น ทำให้เกิดกระแสที่จะปฏิรูปก่อนเลือกตั้งของประชาชนยิ่งพุ่งสูงขึ้น เกิดมวลชน กปปส.หลายจังหวัดพากันรวมตัวไปปิดล้อมสถานที่รับสมัครสส.ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะใน 8 จังหวัดภาคใต้ ไม่สามารถรับสมัครสส.ได้ มีกกต.บางจังหวัดแสดงความรับผิดชอบลาออกจากการเป็นกกต.จังหวัด ยิ่งทำให้เห็นว่าเป็นไปได้ยากที่จะเกิดการเลือกตั้งได้ตามกำหนดเดิม เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของอารยะขัดขืนของมวลมหาประชาชนไทย

            ขณะที่พรรคการเมืองและนักโกงเมืองกำลังขมักเขม้นหาวิธีไปสมัครสส.ให้ได้ แต่กกปส.ก็ปฏิบัติการ Big cleaning day โดยกำนันสุเทพพามวลมหาประชาชน ทำความสะอาดรอบบริเวณที่ชุมนุม ตลอดแนวถ.ราชดำเนิน โดยแบ่งกลุ่มกันไปทำความสะอาดสถานที่ต่างๆเช่นวัดวาอารามที่อยู่รอบที่ชุมนุม เป็นการกตัญญูสถานที่ และเป็นการบำเพ็ญกุศลกวาดล้างส่ิงสกปรก ก่อนทำการกวาดล้างชาติบ้านเมืองให้สะอาดจากระบอบทุศีลอันสกปรกโสมมในปีต่อไป

 

            31 ธันวาคม 2556 ส่งท้ายปีแห่งมวลมหาประชาชน...แม้ว่ามวลชน กปปส.ของทั้ง 3 เวทีจะหยุดเคลื่อนที่ และมาอยู่ในที่ตั้ง แต่ในรุ่งสางขอวันสุดท้ายของปีงูนี้เอง มวลชนยังต้องฝึกจิตใจให้สงบเย็นท่ามกลางเสียงกระสุนปืน,ระเบิด หรือเสียงพลุตะไล ที่ดังตลอดแนว ถ.ราชดำเนินและตลอดคืน จนรุ่งสางเสียงดังจึงสงบลง เป็นการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความหวาดกลัวไม่กล้ามาชุมนุมของคนร้าย แต่ก็หาได้บั่นทอนกำลังใจของผู้รักชาติย่ิงชีพไม่ กลับยิ่งทำให้จิตใจของมวลมหาประชาชนเข้มแข็ง แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

            วันส่งท้ายปีงูนี้ทุกเวทีของกปปส.ได้จัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดย จัดเตรียมพื้นที่ให้เป็นถนนคนเดิน พร้อมจัดกิจกรรมฉลองเทศกาลปีใหม่ ภายใต้ชื่องานว่า “ปีใหม่ของมวลมหาประชาชน ความหวังและพลังชีวิต” คืนวันส่งท้ายปีเก่าที่เวทีราชดำเนินมีกิจกรรม โดยที่เวทีราชดำเนิน มีกิจกรรมบันเทิงนานาชนิด เช่น ดูหนังหนังกลางแปลง เวทีแสดงดนตรี ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน และมีการตั้งร้านสร้างความบันเทิงตามรูปแบบงานวัด เช่น ปาลูกโป่ง และสาวน้อยตกน้ำ หลังจากนั้นในเวลา 22.00 น.จะมีการสวดมนต์เพื่อสร้างศิริมงคลให้กับผู้ชุมนุมและในเวลา 24.00น. จะมีกิจกรรมเคาท์ดาวน์นับถอยหลังสู่ปีใหม่

            ส่วนเวทีมัฆวานฯ ก็ได้จัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า กิจกรรมบนเวที มีศิลปินกู้ชาติ มีวิทยากรกู้ชาติผลัดกันมาให้สาระและความบันเทิงตลอดทั้งวัน ในภาคค่ำมีรายการสำคัญคือ สัมภาษณ์ เปิดหัวใจ เสนาธิการ คั่นด้วยรายการลุงกำนันสุเทพ ประมวลผลสำเร็จของกปปส.และก้าวย่างต่อไปในปีหน้าจากเวทีราชดำเนิน

            ระหว่างนั้นมีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจถ่ายทอดสด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพรปีใหม่ พุทธศักราช 2557ขอให้ชาวไทยรักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิต ให้สมบูรณ์ แข็งแรง เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มกำลัง ข้อสำคัญ จะคิด จะทำสิ่งใด ให้นึกถึงส่วนรวม และความเป็นไทยไว้เสมอ งานของตน และงานของชาติ จะได้ดำเนินก้าวหน้าไปโดยถูกต้อง เที่ยงตรง ไม่ติดขัด และบรรลุถึงประโยชน์ นับเป็นความปลืมปีติของปวงชนชาวไทย ที่ได้รับพรอันประเสริฐจากพ่อหลวงในห้วงเวลาสำคัญของประเทศชาติ

            จากนั้นพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้ พาอธิษฐานจิตร่วม โดยพ่อครูพาเปล่งกล่าว

            นโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3จบ)
            ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญญาณร่วมกันว่า...
           
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติตน
            ให้เป็นคนกิเลสลดลง น้อยลง ที่สุดจนหมดสิ้น
            อย่างเอาจริง เอาจัง
            สังคมประเทศชาติ จึงจะเจริญ สุข สงบ สำเร็จได้จริง
            สาธุ! สาธุ!! สาธุ!!!

            จากนั้นพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้เทศนาส่งท้ายปีเก่าอีก 1 กัณฑ์ ปิดท้ายเวทีวันนี้ ด้วยรายการ “เวียนธรรม” โดยสมณะสิกขมาตุ และร่วมเคาท์ดาวนับถอยหลังข้ามปีงูสู่ปีม้า ด้วยการสวดมนต์แปลข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ให้จิตใจตั้งมั่นในกุศล พร้อมเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองในภาระกิจศักดิ์สิทธิ์ต่อไปในปีม้า

           

            1 มกราคม 2557 ต้อนรับปีม้าชุมนุมเทวดา ณ ราชดำเนิน สู่ “ปีใหม่ของมวลมหาประชาชน ความหวังและพลังชีวิต” เริ่มวันใหม่ของปีม้า ด้วยการทำบุญตักบาตร ทั้ง 3 เวที โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้นำสมณะและสิกขมาตุออกบิณฑบาต เริ่มที่สะพานผ่านฟ้าฯไปสู่สะพานมัฆวานฯ มีเทวดาคือผู้มีใจสูงมาร่วมใส่บาตรมากมายล้นหลามตลอดแนวถ.ราชดำเนิน

            ที่เวทีมัฆวานวันนี้มีกิจกรรมสาระบันเทิงตลอดวัน โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้แสดงธรรมหลังบิณบาต เรื่อง ความไม่รุนแรงคืออาวุธอันยิ่งใหญ่ที่จะใช้กู้ชาติบ้านเมืองจากระบอบทักษิณในยามนี้

            กิจกรรมต้อนรับปีใหม่มีหลากหลาย โดยเน้นวัฒนธรรมบุญนิยม เช่น การจัดตลาดอาริยะ มีรายการสัมภาษณ์ปฏิบัติกรประจำพุทธสถานต่างๆ เป็นการแนะนำชุมชนบุญนิยมของชาวอโศกต่อมวลมหาประชาชน และยังมีกิจกรรมสอยดาว จับสลากแจกของขวัญ เป็นของใช้ที่จำเป็นในการชุมนุม เป็นต้น ในภาคค่ำมีรายการสัมภาษณ์เปิดใจ คณะเสนาธิการร่วมฯต่อจากวานนี้ สร้างความอบอุ่นคุ้นเคย เป็นพี่เป็นน้องในการร่วมชุมนุมเป็นอย่างยิ่ง

            ภาคค่ำมีการแสดงหลากหลายด้วยกัน อาทิ เช่น ทีมนักร้องประสานเสียง "สานใจรัก" อายุนักร้องตั้งแต่ 50-85 ปี, คณะสิงโต "มังกรหยก" ,น้าเสกก็มา "โชว์เดียว" ,ประทีป ขจัดพาล และเพือน , คุณ กรรนิการ์ อารีย์สมาน และ พิธีกรเวที คุณสุวิชาญ ให้เสียงเพลงเพราะๆกับพี่น้อง และปิดท้ายด้วย ตะลุง คณะ ส.. เริงร่า ที่เป็นที่ชื่นชอบของพี่น้องประชาชนอย่างมาก

            วันนี้ลุงกำนันออกมาแถลงการณ์ในตอนค่ำว่า วันที่5-8 ม..นี้จะเริ่มเดินขบวนทั่ว กทม.เพื่อนัดหมายและเชิญชวนประชาชนให้มาเดินขบวนครั้งใหญ่ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันที่ 13 ม..นี้ เพื่อเริ่มปฏิบัติการยึดเมือง โดยจะเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป ขอให้ประชาชนในต่างจังหวัดเตรียมตัว มีเวลาเตรียมตัว 12 วันในการจัดกระเป๋ามา เที่ยวนี้สู้ยืดเยื้อ หากใครไม่สะดวกมาที่ กทม. ก็ปฏิบัติการในจังหวัดของท่าน วันที่ 13 ม..นี้จะไม่มีการปฏิบัติราชการอีกต่อไป

            ปฏิบัติการยึดเมืองกรุงเทพฯครั้งนี้ เป็นเหมือนการรวมกันชุมนุมของเหล่าเทวดา คือผู้มีใจสูง เมื่อชุมนุมแล้วจะทำให้เกิดสิ่งดีสิ่งสร้างสรรค์มากมาย ซึ่งได้พิสูจน์มาแล้วหลายครั้งที่ได้นัดชุมนุมใหญ่ น้ำย่อมไหลไปหาน้ำ น้ำมันย่อมไหลไปหาน้ำมัน คนดีย่อมไหลไปหาคนดี คนชั่วย่อมไหลไปหาคนชั่ว เชื่อมั่นว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ยังมีคนดี มากกว่าคนชั่ว คนดีต้องออกมาร่วมตัวกันให้มาก ให้เป็นพลังแห่งสยามเทวาธิราช ที่รวมกันเป็นสยามเทวาธิราชิทธิ์ มีฤทธิ์ในการขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นไปจากแผ่นดินไทยในเร็ววัน

 

            4 ม.. 57  Michael Yon ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกัน สัมภาษณ์ พ่อครูฯ ที่หลังเวทีมัฆวานฯ

            พ่อครูได้บอกว่า...เมื่อกี้นี้มีนักหนังสือพิมพ์ต่างประเทศสัมภาษณ์อาตมา ว่ากองทัพธรรมออกมาทำงานมีจุดมุ่งหมายอย่างไร หรือเป้าหมายหลักอย่างไร เจตนารมย์หลักอย่างไร ที่มาร่วมกิจกรรมประท้วงนี้

            อาตมาก็บอกเป้าหลักใหญ่ให้ฟังเลยว่า เป้าหลักคือไม่ให้เกิดความรุนแรง และเราก็ทำงานได้ผล ลดความรุนแรงจนได้ผลทุกวันนี้ จนเกิดการชุมนุม ที่เรียกให้ออกมารวมกันเป็นครั้งคราว รวมเรียกว่า กปปส. จนกระทั่งเรียกรวมพลมาเป็นครั้งๆ เป็นวิธีการประชาธิปไตยแล้วมาร่วมกันเปล่งเสียงรวมกัน เมื่อมวลมหาประชาชนออกมารวมกันเปล่งเสียงพร้อมกันว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่งนายกฯรักษาการเสียเถิด นี่แหละถ้าเปล่งออกไปพร้อมกันเลย ให้กำนันสุเทพพูดนำความนี้ คำต่อคำ ให้ชัดเจนก่อน แล้วให้พูดพร้อมกันเลย “นายกฯยิ่งลักษณ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯรักษาการณ์นี้เสียเถิด” ถ้าเป็นจริง กลุ่มมวลมหาประชาชนร้องพร้อมกันนี่แหละคือ “เสียงประชาชน” แท้ๆเลย เป็นเสียงสดๆตัวเป็นๆ ออกมาแสดงคะแนนเสียง เป็นเจ้าของประชาธิปไตย ไม่ใช่ว่ามาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง มันคนละรุ่นเลย การลงคะแนนเสียงเป็นวิธีการที่ซับซ้อน เป็นอำนาจลำดับหลัง แต่นี่เป็นสิทธิเต็มที่เลย ของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจ นี่เป็นอำนาจที่ 1 เลย ไม่ใช่ตอนเลือกตั้งเท่านั้น

            ออกมาแล้วมาซาวเสียงประชาชนเลย จะมีคะแนนเสียงเท่าไหร่ โดยมีญัตติว่ารบ.นี้หมดความชอบธรรมแล้วใช่ไหม? จริงไหม ถ้าใครไม่เห็นว่าจริงก็งดออกเสียง แต่ถ้าใครเห็นว่าจริงก็ออกเสียงมา ประชาชนจะมาเอาอำนาจอธิปไตยคืน เป็นปรากฏการณ์พิเศษของโลก ที่ไม่เคยเกิด แต่คราวนี้น่าจะเกิด ถ้าคนมาสองล้านหรือห้าล้านนี้ออกเสียงมาจะกระเทือนฟ้ากระเทือนดินนะ

            ผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็ถามมาว่า การเลือกตั้งจะเกิดไหม อาตมาตอบว่าไม่น่าจะเกิดได้ แต่น่าจะเพิ่มว่า ถึงแม้จะดันให้เลือกตั้งได้ ก็จะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่สมประกอบ เสียดายเงินที่นำไปใช้จัดเลือกตั้ง จะสูญเปล่า โมฆะมากกว่า เราจึงสกัดไม่ให้เกิดการเลือกตั้ง นี่มันก็เสียไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่หมด 3,800 ล้าน เราก็ต้องสกัดไม่ให้เกิด ก็ยังไม่เคยมีมาในประเทศไทย

 

        13 ม.ค. 56 กปปส.ชุมนุม Shut Down Bangkok โดยจัดชุมนุม หลายเวที ในทั่วกทม. 13 มกราคม 2557 ถือว่าเป็นวันที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทยว่า เป็น วันที่มวลมหาประชาชนจะลุกขึ้นสู้อย่างสันติ อหิงสา กับรัฐบาลทรราช โดยกปปส.นำโดยกำนันสุเทพเริ่มออกเดินตั้งแต่เวลา 09.00 น. จุดหมายแรกคือ ไปแยกราชเทวี, อนุสาวรีย์ชัย, ปทุมวัน, ราชประสงค์ และไปจบที่อโศก หลวงปู่พุทธอิสระนำญาติโยมไปตั้งเวทีที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ส่วนที่ราชดำเนินนั้น กปปส.มีมติให้กองทัพธรรมเป็นผู้ดูแล เพื่อไม่ให้ใครเข้ามายึดพื้นที่ได้ และเมื่อกปปส.ได้รับชัยชนะ เราจะกลับมาฉลองชัยชนะที่ราชดำเนิน และกำนันสุเทพกล่าวว่า...การต่อสู้ครั้งนี้ หากแพ้เท่ากับว่า เราพ่ายแพ้ให้กับระบอบทักษิณ และหากเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่แค่ตนที่ต้องก้มหน้าเดินเข้าคุก แต่ยังมีลูกหลานของเราที่ยังคงต้องถูกนักการเมืองในระบอบทักษิณกดขี่ และเอารัดเอาเปรียบต่อไป

 

       นับเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ไม่เหมือนชาติใดในโลก เมื่อการชุมนุมขับไล่รัฐบาลเพื่อไทย โค่นระบอบทักษิณ และผลักดันให้มีการปฏิรูปประเทศไทย ภายใต้แคมเปญ 'ชัตดาวน์ กรุงเทพฯ' โดยการนำของ 'ลุงกำนัน' สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ได้ถูกขนานนามว่าเป็น 'ชัตดาวน์ แฟสติวัล'

      

       เพราะแม้แต่สื่อนอกอย่าง 'สำนักข่าวรอยเตอร์' ก็ถึงกับตีข่าวว่าทึ่งกับการชุมนุมดังกล่าวที่มีบรรยากาศไม่ต่างจากงานเฟสติวัลเลยทีเดียว

      

       จากปฏิบัติการปิดเมือง ให้คนหยุดทำงาน เพื่อออกมาร่วมต่อต้านอำนาจรัฐ โดยตั้งเวทีกระจายใน 8 จุด ได้แก่ ราชประสงค์ อโศก ปทุมวัน ชิดลม สวนลุมฯ ห้าแยกลาดพร้าว อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และแจ้งวัฒนะ เพื่อยึดพื้นที่กรุงเทพฯ ด้วยมวลมหาประชาชนที่มานั่งมานอนกันเต็มท้องถนน แต่ด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยสีสันและความสนุกสนาน มีศิลปินนักร้องหลากหลายแนวสลับสับเปลี่ยนกันมาขับกล่อมบนเวที มีการแสดงนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น ลิเก รำตัด มโนรา ศิลปะพื้นบ้าน แฟชั่นโชว์ ไปจนถึงอุปรากรจีนล้อการเมืองอันลือลั่น ภายใต้ชื่อ  “งิ้วธรรมศาสตร์” ที่หาดูได้เฉพาะในวาระที่มีการชุมนุมทางการเมืองอันร้อนแรงเท่านั้น แม้แต่นักวิชาการที่ขึ้นเวทีไฮปาร์คตีแผ่ปัญหาคอร์รัปชั่นและการใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐบาลก็ยังมีลีลาลูกเล่นที่เต็มไปความสนุกสนาน จึงทำให้หลายประเด็นที่เป็นเนื้อหาหนักๆ กลายเป็นเรื่องที่สนใจและเข้าใจง่าย

      

       นอกจากนั้นยังมีอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ทั้งที่ผู้ชุมนุมที่มีทุนทรัพย์นำมาแจกจ่าย และที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้านำมาขายรอบๆ พื้นที่ชุมนุม มีการขายสินค้านานาชนิด โดยเฉพาะสินค้าซึ่งมีสัญลักษณ์เกี่ยวกับการชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ หมวก ผ้าพันคอ ซึ่งสกรีนข้อความ “Bangkok Shutdown” ต่างหู ที่คาดผม สายรัดข้อมือ ที่สัญลักษณ์ธงชาติ รวมทั้ง มือตบ นกหวีด และธงชาติ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ในการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ผู้ชุมนุมแน่นขนัดไปทุกพื้นที่ และต่างพากันปักหลัก กางเต้นท์ กินดื่ม จับจ่ายซื้อของ นั่งร้องเพลงและเต้นรำบนท้องถนน ส่งผลให้บรรยากาศในการชุมนุมดูไม่ต่างจากงานเทศกาลดนตรีใหญ่ๆเลยทีเดียว นักร้อง ศิลปินดารา และเซเลบฯคนดัง ที่มาร่วมชุมนุมและเอนเตอร์เทนบนเวทีนั้นมีมากมายจนจาระไนไม่หมด 

      

       ทั้งนี้ แต่ละเวทีก็มีเอกลักษณ์และมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป ดังนี้     

              1.ชอบบันเทิงดารา ไปราชประสงค์

              2. ชอบศิลปิน แนวๆ ไปชิดลม    

              3.ชอบวิชาการ และอยากพบแพทย์หนึ่ง ไปอโศก     

              4. อยากใกล้ชิดลุงกำนัน และชอบวัยรุ่น ขาโจ๋ ไปปทุมวัน      

              5. ชอบสาระ พบปะนักธุรกิจ ไฮโซ นักวิชาการ ไปสวนลุม      

              6.ชอบอาหารอิสลาม สวนสวย ห้างใหญ่ ตื่นเต้นระทึกใจ ไปห้าแยกลาดพร้าว

      

              7.ชอบอาหารภาคกลาง อาหารใต้ ใฝ่ธรรมะ และบรรยากาศฮารด์คอร์ บู๊สนั่นเชิญ ไปแจ้งวัฒนะ      

              8.ชอบอาหารเหนือ ชอบชอปปิ้ง ได้พบเพื่อนใหม่จากทุกภาค ไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

       9. ชอบฟังธรรม ดื่มดำ่กับอาหารมังสวิรัติ และบรรยากาศเป็นพี่เป็นน้องอบอุ่น เชิญที่ผ่านฟ้า

       10. หรือจะนิยมถ่ายภาพ นอนกินลมชมวิว ที่อาจเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่ได้กินนอนบนสะพาน เชิญที่เวที่สะพานพระราม 8

 

      ผลดีของการ Shut Down BKK.

       โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

 

       แทนที่จะเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ แต่กลับยิ่งดีขึ้น ตรงกันข้ามกับการเดาส่ง การคาดคะเนที่ไม่ตรงกับสัจธรรมทั้งนั้น เช่น

 

1. หาเรื่องเดาว่า...การจราจรคงจะติดขัดวินาศสันตโร...ก็กลับจราจรปลอดโปร่ง โล่งสบาย อย่างไม่เคยมี การขนส่งมวลชนของสาธารณะนั้นเช่นรถไฟฟ้า,รถไฟใต้ดิน,รถไฟ สามารถขนส่งได้เป็นปกติ แถมผู้โดยสารมากกว่าเดิมหลายเท่า พราะคนกรุงเทพฯ เกรงจราจรติดขัด จึงไม่เดินทางด้วยรถส่วนตัว หันไปพึ่งพาระบบขนส่งสาธารณะเป็นหลัก

       ส่วนรถพยาบาลนั้นสามารถเข้าออกเดินทางได้อย่างสะดวก ซึ่งต่างจากการชุมนุมของนปช.ในปี 52 ที่รถพยาบาลไม่สามารถผ่านเข้าออกได้

 

2. หาเรื่องโดยเดาว่า...การค้าขาย ร้านรวง จะขายของไม่ได้...ก็กลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นับเป็นความสุขของมวลมหาประชาชนขาช๊อบ เดินสยาม ข้าม MBK ออก สยามพารากอน แล้วลากยาวไป CTW

       สิ่งที่มวลมหาประชาชน กปปส. เหมือนกับเสื้อแดง นปช. คือ ไปที่ไหน ของหมดเรียบ สิ่งที่แตกต่าง กันนั้นคือ กปปส. ช๊อบเรียบ ซื้อกระจาย เพราะกำนันสุเทพประกาศว่า “ช็อบปิ้งเลยพี่น้อง ซื้อให้เรียบห้าง” ส่วนแกนนำเสื้อแดงในปี '53 ประกาศว่า “เผาเลยพี่น้อง เผาให้เรียบ”ข่าวว่าบางสำนักว่า ราชประสงค์ ไม่ต้องผวาแบบปี '53??? กปปส.ทยอยเข้าร่วมในพื้นที่ราชประสงค์ แห่ใช้บริการจนแน่นขนัด โดยร้านฟาสต์ฟู้ด และร้านกาแฟ มีผู้เข้าใช้บริการมากกว่าปกติ

       แถมล่าสุดในเพจนามว่า "ล้านชื่อต้านล้างผิด" ได้แชร์ภาพห้องน้ำในบิ๊กซีราชประสงค์ แม้วันนี้ทางห้างไม่ได้เก็บค่าเข้าห้องน้ำ แต่ประชาชนที่เข้ามาใช้บริการ ได้ทิ้งเงินไว้หน้ากระจกล้างหน้า โดยที่บางคนได้ให้เงินเพิ่มอีก เนื่องจากผู้ชุมนุมเกรงใจไม่อยากใช้บริการฟรีและไม่อยากเป็นภาระให้กับผู้ดูแลทำความสะอาดห้องน้ำ ผู้ชุมนุมแบบนี้ยังมีอีกไหม !!! นี่ก็ Thailand Only!!!

 

3. หาเรื่องโดยเดาว่า...การท่องเที่ยวจะตก ไม่มีคนมาท่องเที่ยว...ก็กลายเป็น ย่ิงเป็นเรื่องแปลกประหลาด มหัศจรรย์ ที่มีประชาชนออกมาเป็นล้านๆ ปฏิวัติอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ ได้งดงามเรียบร้อย วิเศษยิ่ง สนุกสนาน ไร้ความน่ากลัว เต็มกรุงเทพฯ

       ทั้งนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ทั้งนักท่องเที่ยวคนไทยเอง กลับออกมาชมการประท้วง เลยกลายเป็นมวลมหาประชาชนร่วมปฏิวัติไปด้วย...เห็นไหมว่า มันเกินการคาดเดา

       ในวันที่ 13 ม.ค. นี้ สำนักข่าวไทยได้รับรายงานจากทางโรงแรมดุสิตธานีและโรงแรงใบหยกสกาย ซึ่งทางผู้จัดการ ได้เผยต่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยว่า ขณะนี้มีผู้ชุมนุมและประชาชนได้เข้าจองพักในโรงแรมจนล้นหลาม และห้องพักทุกห้องในโรงแรมเต็มสนิท ...นี่ไง มหาประชาชนเป็นนักท่องเที่ยวเสียเอง อย่างนี้การท่องเที่ยวจะตกได้ไง มาแต่ละทีหลายล้านคน

 

4. หาเรื่องโดยเดาว่า...หุ้นจะตกกราวรูด...แต่หุ้นกลับขึ้นปรูดอย่างประหลาด

       เพราะอะไร? เพราะความวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ อันเกิดจากสัจธรรมแท้ๆ ทำให้ในวันที่ 13 ม.ค. 56 ตลาดหุ้นขานรับShut down Bangkok นั้น พุ่งขึ้นกว่า 25 จุด

 

5. หาเรื่องโดยเดาว่า...เศรษฐกิจและรายได้ของประเทศจะเสียหายมากมาย...แต่กลับกลายเป็นว่า การชุมนุมได้ป้องกันเศรษฐกิจประเทศเสียหาย เพราะได้พักการคอรัปชั่นชั่วคราว เนื่องรัฐบาลไม่สามารถเบิกออกมาถลุงได้

แต่ไม่เกี่ยวกับเงินที่จำนำข้าวนะ! เพราะนั่นต้องเบิกออกมาก่อนหน้าการชุมนุม ซึ่งรัฐบาลเองไปคอรัปชั่นกันก่อนแล้ว

 

6. หาเรื่องโดยเดาว่า...แท็กซี่...กลัวจะหากินติดขัดหนัก ก็กลับสะดวกดายสบายมาก...คล่องตัว และมีลูกค้ามากขึ้นอีก เพราะมวลมหาประชาชนมามันอย่างล้นหลามจากทุกภาค เมื่อมาก็ย่อมต้องใช้บริการพี่น้องเแท็กซี่ ที่ต่างก็พากันติดสัญลักษณ์ ป้ายสีส้มเพื่อรับส่งนักท่องเที่ยว ทางกกปส.ก็จัดให้เข้าออกได้โดยดี

 

7. หาเรื่องโดยเดาว่า...ชาวกรุงเทพฯจะเดือดร้อน จะเกิดการจราจล ต้องกักตุนอาหารไว้ก่อน...แต่ปรากฏว่า เด็กๆบ้าง ผู้ใหญ่บ้าง ออกมาตีลูกขนไก่กันข้างถนน ได้ออกมาวิ่งเล่นกันในถนนโล่ง สนุกสนาน นานๆมีโอกาสอย่างนี้สักที รถราไม่ติดขัด ไม่วุ่นวาย เผลอก็ออกไปร่วมสนุกสนาน ฟังสาระความจริงจากเวทีกปปส.อีกด้วย

บริษัทห้างร้านในใจกลางเมืองหลายแห่งหยุดประกอบการเพื่อดูสถานการณ์ ถือเป็นโอกาสพักร้อนของบริษัทไปเลยก็ได้

 

8. หาเรื่องโดยเดาว่า...กปปส.เป็นมวลชนจัดตั้ง เป็นชนส่วนน้อย ส่วนใหญ่มาจากภาคใต้ เป็นพวกรุนแรงน่ากลัว มีอาวุธ ระเบิดและเสพยาเสพติด พยายามออกสื่อช่องแดงให้ภาพการชุมนุมดูน่ากลัว ให้คนเสื้อแดงเปลี่ยนเป็นคนเสื้อขาวไปจุดเทียนเพื่อสันติภาพ ทำให้ดูประหนึ่งว่า การชุมนุมของ กปปส.นั้นรุนแรงโหดร้าย คนจะได้ไม่ไปร่วมชุมนุม...

       แต่กลับกลายเป็นว่า...นอกจากไม่กลัวแล้ว มวลมหาประชาชนยังเพิ่มขึ้นทุกทีๆ จนเหล่าดารานักร้องต่างตบเท้าเดินร่วมขบวนและขึ้นเวทีกปปส.อย่างล้นหลาม เพราะเป็นโอกาสพิเศษที่เหล่าดาราจะได้มาพิสูจน์ว่า, มวลมหาประชาชนนี้ เป็นกลุ่มใหญ่ของประเทศจริงๆ จึงกล้าแสดงตัวร่วมกับมวลมหาประชาชน เพราะดาราจะต้องเลือกยืนข้างมวลมหาประชาชน นี่เพราะดาราเขาเห็นชัดเจน แจ่มแจ้งแล้วว่า มวลมหาประชาชนแท้ๆจริงๆ ไม่ใช่กลุ่มหมู่คนที่จัดตั้ง หรือกลุ่มคนที่น่ากลัว เพราะไม่ซื่อ แถมรุนแรงอำมหิต

       ข่าวจากทีนิวส์ว่า วันประกาศชัตดาวน์กรุงเทพมหานคร ของมวลมหาประชาชน เพื่อต้องการแสดงพลัง ยืนหยัดจุดยืนให้มีการปฏิรูปทางการเมืองก่อนจัดการเลือกตั้ง ซึ่งไม่เพียงได้กระแสตอบรับอย่างดีจากพี่น้องประชาชนทั่วไป แต่ยังรวมไปถึงคนดังในแวดวงบันเทิงอีกหลายท่าน ที่ได้ต่างแสดงตัวตน เข้าร่วมขบวนชัตดาวน์กรุงเทพฯ ร่วมกับพี่น้องประชาชนด้วยเช่นกัน อาทิ เปิ้ล จารุณี, หมิว ลลิตา, เจ เจตริน,บอย ถกลเกียรติ, แตงโม ภัทรธิดา, โตโน่ ภาคิน, สุเชาว์ นุชนุ่ม, อุ้ย เกรียงไกร, จอย ศิริลักษณ์,ครูก๊อง เคพีเอ็น,ครูลิลลี่,ท็อบ ดารณีนุช, แทค ภรัณยู,น็อต วรฤทธิ์, โบวี่ อัฐมา,โบ๊ท วิบูลย์นันท์ ฯลฯ ซึ่งได้สร้างสีสัน ความคึกคักให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นอย่างมาก

 

9. หาเรื่องโดยเดาว่า...ถ้าเชื่อกปปส.เป็นความคิดล้าหลัง เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี...แต่ว่าแม้แต่คนระดับที่ยอมรับกันว่า เป็นคนฉลาดระดับ 1 ของประเทศ เช่น แพทย์ ก็แสดงความจริงยืนยันว่า มวลมหาประชาชนนี้คือ ความชอบธรรม โดยนายแพทย์ส่วนใหญ่ของกระทรวงสาธารณสุข นำโดยปลัดกระทรวงทีเดียว ออกมาประกาศร่วมด้วย กปปส.อย่างองอาจแกล้วกล้าท้าทาย ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

10. หาเรื่องโดยเดาว่า...ข้าราชการไม่สามารถทำงานรับใช้ประชาชนได้เพราะกปปส.ปิดกรุงเทพฯ ปิดศูนย์ราชการฯ แต่ปรากฏว่าการประท้วง...ได้ปลุกจิตสำนึกรักชาติ และความกล้าต่อสู้กับความชั่วร้าย ของข้าราชการชั้นผู้น้อย ที่ทนไม่ไหว ต่อการกดขี่ข่มเหงและคอรัปชั่น ของนักการเมืองที่มากอบโกยผลประโยชน์ส่วนตน จนกล้าออกมาประกาศตนว่าจะร่วมต่อสู้ไปกับ กปปส. ยกตัวอย่างเช่น ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ และข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขทั้งแพทย์,พยาบาลและบุคลากรอื่นๆ นอกจากนั้น ยังมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จากหลายจังหวัด เป็นต้น ทั้งหมดออกมาเพื่อทำงานรับใช้มวลมหาประชาชนอย่างแท้จริง โดยเสียสละ ไม่ต้องการค่าตอบแทนอีกด้วย และ 14 มค.57 ท่านรองผู้ว่าฯสมหมาย รองผว.หญิงของภูเก็ต ขอเชิญชวน ข้าราชการในจังหวัดภูเก็ต ร่วมแสดงพลัง ในฐานะประชาชนทั่วไป บริเวณเวที กปปส. หน้าศาลากลางจังหวัดภูเก็ต สนับสนุน ปฎิรูป ก่อนการเลือกตั้ง พร้อมกัน หน้าศาลากลาง เวลา 18.00 น.

 

11. หาเรื่องโดยเดาว่า...กปปส.ชุมนุมเพื่อให้เกิดความรุนแรงและจราจล ทหารจะได้ออกมาปฏิวัติ...ทั้งที่ความเป็นจริง แกนนำกปปส.ต่างประกาศอยู่เสมอๆว่า ประชาชนจะปฏิวัติด้วยมือเปล่า อย่างสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ และแม้การเคลื่อนกำลังอาวุธเช่นรถถังมาก็เพื่อมาใช้ในงานวันเด็ก "พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ทางกองทัพมีความเป็นห่วงสถานการณ์ชุมนุมของกลุ่ม กปปส. จะเกิดความรุนแรง โดยเฉพาะความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุม จึงได้จัดส่งทหารเข้าไปช่วยเสริมดูแลความสงบเรียบร้อย โดยจะเน้นประจำการในสถานที่ราชการ อีกทั้งเตรียมชุดห้ามปรามตำรวจปราบม็อบ และชุดเจ้าหน้าที่แจ้งเตือนเหตุต่างๆ ไว้คอยดูแลประชาชนเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่กระทำการรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม" คนที่กลัวจะมีการปฏิวัติก็คือคนเสื้อแดงที่มาทั้งปั้นทั้งปูดข่าวอยู่ตลอดว่า ทหารจะปฏิวัติ บ่อยจนคล้ายว่าเป็นโรคจิตไปแล้ว โรคจิตกลัวการปฏิวัติ

 

12. หาเรื่องโดยเดาว่า...หาเรื่องโดยเดาว่า...การชุมนุมกปปส. มีกลุ่มนายทุนหนุนหลัง นักธุรกิจใหญ่ลงขันกันหลายพันล้านเพื่อล้มรัฐบาล จึงให้ DSI โดยนายธาริต ใช้อำนาจโดยมิชอบ พยายามอายัดบัญชีเงินฝากของแกนนำและครัวราชดำเนิน ...แต่กลับเป็นว่า ยิ่งทำให้เห็นถึงความเสียสละของกำนันสุเทพและแกนนำมากย่ิงขึ้น มีข่าวจากทวิตเตอร์@niphawan_kt วันที่ 13 ม.ค. ว่า : กำนันสุเทพบอกว่าสู้ครั้งนี้หมดที่ดินไปหลายแปลง ขายที่ดินบนเกาะสมุยหมดเกลี้ยงทุกแปลงแล้ว แปลงแรก 25 ล้าน  ย่ิงเสียสละมาก ยิ่งโดยกลั่นแกล้งมาก ประชาชนยิ่งเห็นใจแห่แหนกันมาบริจาคเงินให้กปปส.ไม่ขาดสาย จนกำนันสุเทพต้องเดินรับเงินขนปวดแขน

       

       ในช่วง Shut down BKK. นั้น กปท.และกองทัพธรรม ได้ขยายเวทีเพ่ิมอีกเวทีหนึ่งไปอยู่บนสะพานพระราม 8 เป็นที่ดึงดูดของพี่น้องมวลมหาประชาชนในการที่จะบันทึกภาพประวัติศาสตร์ ทั้งในยามเช้าและในเวลาค่ำคืนที่เพิ่มความงดงามจากแสงไฟที่ส่องสะท้อนเส้นสายเคเบิลที่ยึดโยงสะพานเพิ่มความตื่นตาตื่นใจและอิ่มอกอิ่มใจที่ได้พบและถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึก มีหลายท่านให้ความเห็นว่านี้คือการฉลองชัยชนะล่วงหน้า

 

        17 มกราคม 2557​ อาลัย!! “ประคอง ชูจันทร์” เหยื่ออำมหิต คำมั่นสัญญา “ไม่ชนะ ไม่กลับป่าตอง” จากผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ถึง กปปส.

      

       “ประคอง ชูจันทร์” ผู้เสียชีวิตด้วยความโหดหี้ยมจากเหตุระเบิด ระหว่างร่วมเดินรณรงค์ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ที่ ถ.บรรทัดทอง เมื่อบ่ายวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา โพสต์ภาพตัวเองในเฟซบุ๊ก “ประคอง ชูจันทร์” เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2557​ ขณะร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พร้อมข้อความ “รอบนี้จัดเต็ม ไม่ชนะไม่กลับ พร้อมกับคนชุมพร”

      

       “ประคอง ชูจันทร์” เป็นชาวนครศรีธรรมราชที่ไปประกอบอาชีพอยู่ที่หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต เดินทางมาชุมนุมในกรุงเทพฯ หลายครั้ง และมาตามที่ “กำนันนัดหมาย” ครั้งหลังสุดเมื่อ 12 ม.ค. 57

      

       ประคองเป็นคนชอบการเมือง ต่อสู้กับระบอบทักษิณตั้งแต่สมัยพันธมิตรฯ

      

       ช่องบลูสกายสัมภาษณ์ “ทิพเยาว์” ภรรยาประคอง เมื่อตอนสายวันนี้ ทิพเยาว์บอกว่าสามีรักในหลวงมาก กำนันเรียกชุมนุมตอนไหนก็มาตอนนั้น “ละออ” พี่สาวประคองบอกว่า น้องชายขึ้นมาชุมนุมรอบที่ 4 แล้ว และย้ำกับพี่น้องว่า “สู้ครั้งนี้ต้องให้ได้ชัยชนะ ไม่ชนะไม่กลับป่าตอง”

      

       ขณะที่มีผู้มาให้กำลังใจกับภรรยานายประคองจำนวนมากในเฟซบุ๊กดังกล่าว

      

       ผู้ชุมนุม กปปส.ท่านหนึ่งโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กที่แชร์ภาพสุดท้ายของ “ประคอง ชูจันทร์” ว่า “พี่เค้ามาชุมนุมตั้งแต่พันธมิตรฯ แล้ว ครั้งนี้พี่เค้าก็มาตลอดที่เรียกรวมพล จน shutdown bkk พี่เค้าบอกว่าไม่ชนะก็ไม่กลับ... มีพี่น้อง 9 คน มีลูก 3 คน... มีพี่เค้ากับพี่น้องเค้าอีก 1 คนขึ้นมารวมกับมวลชนที่กรุงเทพฯ ส่วนพี่น้องที่เหลือก็ร่วมชุมนุมคัดค้านอยู่ที่ภูเก็ต... หลับให้สบายนะพี่ประคอง ผู้ร่วมอุดมการณ์ขจัดทรราช ถึงแม้จะเรียกชีวิตของผู้สูญเสียกลับคืนมาไม่ได้ แต่การเสียชีวิตของพวกพี่ๆ ต้องไม่สูญเปล่า เราต้องกอบกู้แผ่นดินนี้ให้จงได้.... สู้โว้ยยยย!”

      

       ขณะที่ผู้ร่วมชุมนุมที่บาดเจ็บอีกมากกว่า 30 คนก็ยังคงเข้ารับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลหลายแห่ง ใครกันที่โหดเหี้ยมเช่นนี้!!!

 

ประ ชาชนหนึ่งสิ้น สังเวย

คอง แห่งสันติเอย ต่อสู้

ชู อหิงสาเหวย ขับไล่

จันทร์ ร่วงลับสดับรู้ ยิ่งสู้ ชูจันทร์

คาราวะดวงวิญญาณ “ประคอง ชูจันทร์”

...แด่วีรชนด้วยจิตคารวะ

 

        19 มกราคม 2557 เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น.เกิดเหตุระเบิดขึ้น 2 ครั้ง ที่เวที กปปส. อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ใกล้โรงพยาบาลราชวิถี เบื้องต้น มีผู้ได้รับบาดเจ็บโดนสะเก็ดระเบิด 28 ราย โดยผู้บาดเจ็บได้ถูกนำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว คือ โรงพยาบาลราชวิถี 13 คน โรงพยาบาลรามาธิบดี 9 คน โรงพยาบาลจุฬาฯ 4 คน และโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ 2 คน หนึ่งในนั้นเป็นนักข่าวโพสต์ทูเดย์ 

 

           นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปิดเผยว่า หลังจากคนร้ายปาระเบิดเข้ามาด้านหลังเวทีประชาชนและการ์ดก็วิ่งไล่ตามออกไป จากนั้นคนร้ายจึงปาระเบิดลูกที่ 2 มาอีก ประชาชนก็ช่วยกันวิ่งไล่ตามไปอีก ต่อจากนั้น คนร้ายได้ชักปืนออกมายิง 1 นัด ทำให้มีผู้บาดเจ็บ ส่วนคนร้ายนั้นมาประมาณ 6 คน ได้ขึ้นจักรยานยนต์หลบหนีไปทางแยกตึกชัย

 

        22 มกราคม 2557 มีข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรมที่อึดอัดกับการทำงานภายใต้การบริหารของ "แก๊งซ์ทรราชย์" ทนต่อไปไม่ไหวจึงแจ้งความจำนงขอให้ทางคณะเสนาธิการร่วมไปปิดที่ทำงานให้ คณะเสนาธิการร่วม นำโดย คุณลุง พล..ปรีชา เอี่อมสุพรรณ, พล...ชัย สุวรรณภาพ, พล..ชูเกียรติ ตันสุวัฒน์, พล...วัชระ ฤทธาคนี ,อดีตผู้ว่า สนธิ เตชานันท์ และ คุณแซมดิน เลิศบุตร จึงไปเยี่ยมเยือนและขอความร่วมมือให้เจ้าหน้าทีหยุดการทำงาน จนกว่าจะมีคำสั่งอีกครั้งหนึ่ง มีมวลชนเดินทางไปเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่กระทรวงด้วย ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที ก็เดินทางกลับพี่น้องข้างทางทีเห็นและได้ยินก็โบกมือ เป่านกหวีดทักทาย อย่างอบอุ่น กลับถึงผ่านฟ้าโดยสวัสดิภาพ

 

            วันที่ 26 มกราคม 2557 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้า มวลมหาประชาชน กปปส. ทั่วประเทศได้แสดงอาริยะขัดขืน ค้ดค้านการเลือกตั้งล่วงหน้า โดยได้ไปนอนไปนั่ง ติดป้ายคัดค้านการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่จัดขึ้นท่ามกลางค่ายกลของรัฐบาลทรราชย์ ย่อมจะไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม มวลมหาประชาชนจึงใช้สิทธิ์ตามรธน.ในการคัดค้านการเลือกตั้ง อย่างสงบ สันติ อหิงสา

            นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า ผลการเลือกตั้งล่วงหน้าในและนอกเขตจังหวัดทั่วประเทศ มี 89 เขตเลือกตั้งใน 375 เขตทั่วประเทศที่มีการปิดล้อมไม่สามารถจัดการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าได้โดย 89เขตเลือกตั้งแยกเป็น กรุงเทพ 33 เขตเลือกตั้ง และภาคใต้ 56 เขตเลือกตั้ง ทำให้มีผู้ที่ขอลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดที่ไม่สามารถใช้สิทธิได้จำนวน 440,000คน หรือคิดเป็น 22จากจำนวนผู้ลงทะเบียนของใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัดทั่วประเทศ 2,210,018 ล้านคน

 

            เมื่อเวลา 11.30 น.ของวันที่ 26 มกราคม มวลชน กปปส. ประมาณ 300 คน ที่เดินทางไปคัดค้านการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าที่โรงเรียนศรีเอี่ยมอนุสรณ์ ซึ่งเป็นหน่วยเลือกตั้งล่วงหน้า ของเขตบางนา เมื่อไปถึงแกนนำ นพ.รวี มาศฉมาดล และนายสุทิน ธราทิน ได้เข้าไปเจรจากับผู้อำนวยการหน่วยเลือกตั้งและรองผู้อำนวยการเขตนางนา โดยผลการเจรจานั้นปรากฎว่า เจ้าหน้าที่ได้ประกาศปิดการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า กลุ่มมวลชน กปปส. จึงได้เดินทางกลับมุ่งหน้าออกเส้นบางนา-ตราด

 

            ขณะที่กำลังเดินทางกลับ ปรากฏว่ามีกลุ่มคนเสื้อแดงมาราว 100 คน นำโดย พ...กุลธน ประจวบเหมาะ อดีต ผู้สมัคร ส.. มาดักรออยู่ที่หน้าวัด  ขณะเดียวกัน มีกลุ่มมวลชนของ กปปส.ได้เคลื่อนขบวนเข้ามาบริเวณดังกล่าว ทำให้ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ระหว่างนั้นได้มีเสียงปืนดังขึ้น 1 ครั้ง ปรากฎว่านายสุทิน ธราทิน แกนนำคนสำคัญของ กปท. และอดีตผอ.พรรคการเมืองใหม่ ถูกยิงล้มลง หลังจากนั้นมวลชนฝ่าย กปปส.ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำนวน 10 ราย และแตกฮือหลบเข้าไปภายในวัดศรีเอี่ยม ส่วนผู้บาดเจ็บมีผู้นำส่ง โรงพยาบาลวิภาราม ถ.ศรีนครินทร์ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ นายสุทิน ธราทิน แกนนำ กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ(กปท.) ซึ่งเสียชีวิตในเวลาต่อมา

"แด่...สุทิน ธราทิน"

เขาปราศัยบนรถกระจายเสียง

ปืนสัตว์ป่ายิงเปรี้ยงสั่งเสียงสิ้น

ร่างเขาทรุดล้มลงเลือดไหลริน

สิ้น"สุทิน ธราทิน" ลูกหลานไทย

คนไทยที่ยืนหยัดอย่างสัตย์ซื่อ

ยึดถือธรรมนำหน้าไม่หวั่นไหว

ร่วมมวลชนสู้โฉดชั่วที่ชอนไช

จากสหภาพการรถไฟด้วยใจทระนง

ร่วมกองทัพประชาชนโค่นทักษิณ

หมายกอบกู้แผ่นดินเป็นอานิสงค์

สู้ตั้งแต่ลุมพินีที่มั่นคง

สู้ด้วยใจซื่อตรงตลอดมา

หลับเถิด. "สุทิน ธราทิน"

ทั้งแผ่นดินจะจดจำนามผู้กล้า

คนอยู่หลังจะยึดมั่นทุกมรรคา

จะทดแทนทุกคุณค่าอย่ากังวล

ประเทศนี้จะต้องดีกว่านี้แน่

ธรรมะจะปกแผ่ทุกท้องถนน

ด้วยพลังมวลมหาประชาชน

จะเปลี่ยนประเทศที่มืดมนให้"สุทิน"

.แหวนลงยา

 

            ภายหลังจากที่มีการสูญเสียชีวิตจากเหตุการณ์อันเนื่องมาจากการคัดค้านการเลือกตั้งล่วงหน้า ทางกปปส. จึงมีการปรับเปลี่ยนการปฏิบัติการให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด โดยในวันเลือกตั้ง สส. ทั่วประเทศ ที่กกต.ประกาศให้จัดขึ้นในวันที่ 2 ก.. 57 นี้ ทางกปปส.จะไม่ระดมพลไปอาริยะขัดขืนที่หน้าหน่วย แต่จะจัดกิจกรรม ปิคนิคเดย์ ขึ้นแทน โดยให้มวลมหาประชาชน มาร่วมกันที่เวที กปสส. จัดกิจกรรมฉลอง รื่นเริง ฟังปราศรัยให้ความรู้จากวิทยากร และจัดการแสดงร้องรำทำเพลงกันให้สนุกสนาน เป็นการแสดงออกคัดค้านการเลือกตั้งอย่างสันติวิธีเพ่ิมขึ้นอีก

            ก่อนถึงวันเลือกตั้ง กำนันสุเทพก็พามวลมหาประชาชนเดิน ประชาสัมพันธ์ No vote รณรงค์ให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ไปทั่วกรุงเทพฯ และทั่วประเทศ จนกระทั่งวันที่ 1 ก.พ. 57 ซึ่งเป็นวันตรุษจีน กำนันสุเทพ พาแกนนำและมวลมหาประชาชน ทั้งกปสส. กปท.และกองทัพธรรม ใส่ชุดสีแดง เดินไปยังย่านเยาวราชฯ เพื่อรณรงค์ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง มีมวลชนเข้าร่วมเดินเป็นจำนวนมาก ครั้งนี้ กปปส.ได้สร้างปรากฎการณ์ “คืนสีแดงให้กับประเทศไทย” หลังจากที่คนเสื้อแดง นปช. ได้ยึดสีแดงไปเป็นสัญญลักษณ์ ทำให้คนรังเกียจที่จะใส่เสื้อสีแดง แต่วันนี้สีแดงได้กลับมาเป็นของชาติไทยอีกครั้งหนึ่งแล้ว

       หนังสือพิมพ์โพสทูเดย์ รายงานถึงกำนันสุเทพให้สัมภาษณ์ว่า...คำนวนมาว่าระยะทางที่เราเดินมาทั้งหมด 100 วัน เป็นระยะทาง 220 กิโลเมตร แต่ช่วงหลังจากธาริตอายัดบัญชีเรา ผมต้องเดินสลับฟันปลาเพื่อรับเงินจากพี่น้อง ทำให้เขาคำนวนว่าผมได้เดินมาแล้วกว่า 533 กิโลเมตร อีกนิดเดียวถึงสุราษฎร์ฯแล้วครับ

 

       นับเป็นเหตุระทึกขวัญสนั่นเมือง สำหรับกรณีการปะทะที่หลักสี่ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงของ 'โกตี๋' วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ เข้าปิดล้อมมวลชน กปปส. จากแจ้งวัฒนะ ภายใต้การนำของ “หลวงปู่พุทธอิสระ” ที่มาชุมนุมหน้าสำนักงานเขตหลักสี่ เพื่อแสดงอารยะขัดขืน ไม่ให้มีการขนหีบเลือกตั้งออกจากสำนักงานเขตหลักสี่ และทันทีที่ กปปส.จากลาดพร้าวซึ่งนำโดย “นายอิสระ สมชัย” อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ เข้าสมทบเพื่อช่วยเหลือก็ถูกชายชุดดำฝั่งโกตี๋ยิงถล่ม กระทั่งมี “กลุ่มชายนิรนาม” หรือที่ถูกเรียกขานว่า “กลุ่มป็อบคอร์น” เข้ายิงสกัดและช่วยพามวลชน กปปส.ออกจากพื้นที่ได้ กระทั่งกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก

 

      2 กุมภาพันธ์ 2557 เลือกตั้งอัปยศบนกองเลือดและน้ำตา

       

       ขณะที่ทั่วประเทศไทย มีการเลือกตั้งสส.ทั่วประเทศ แต่ที่หลายเวทีของกปปส.ก็ได้จัดกิจกรรม ปิคนิคเดย์ จัดฉลองรื่นเริงสนุกสนาน ร้องรำทำเพลง ฟังการบรรยายความรู้การเมืองจากวิทยากร ฟังดนตรีและชมการแสดงจากนักร้องนักแสดงมากมาย งานนี้มีมวลมหาประชาชนเข้ารวมอย่างคับคั่งทุกเวที

       ขณะที่การเลือกตั้ง สส.ทั่วประเทศก็ดำเนินไปท่ามกลางเสียงคัดค้านของมวลมหาประชาชนทั่วประเทศ

       คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้รับรายงานสรุปตัวเลขภาพรวมผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั้งประเทศรวม 68 จังหวัด ซึ่งไม่รวม 9 จังหวัดที่ไม่สามารถเปิดลงคะแนนได้ ประกอบด้วย กระบี่ ชุมพร ตรัง พังงา พัทลุง ภูเก็ต ระนอง สงขลา และสุราษฎร์ธานี โดยมีตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 43,024,042 คน มีผู้มาใช้สิทธิจำนวน 20,129,976 คน คิดเป็นร้อยละ 46.79 จำนวนบัตรดี 14,368,962 บัตร คิดเป็นร้อยละ 71.38 จำนวนบัตรเสีย 2,425,673 บัตร คิดเป็นร้อย 12.05 ขณะที่จำนวนผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3,335,334 บัตร คิดเป็นร้อยละ 16.57

 

        พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้เทศนาถึง การเลือกตั้งครั้งนี้ มีภาวะที่สื่อ ที่ส่อ ให้เราได้รู้อะไรบ้าง?

 

1. แสดงถึงความล้มเหลวอย่างย่อยยับขอบรัฐบาล ที่ไม่สามารถบริหารจัดการ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้

 

2. แสดงถึง ชัยชนะ ของประชาชนอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย โล่งโจ้ง ทั้งมวลปริมาณแสดงตัวทั่วประเทศ และทั้งคุณภาพที่เป็นคุณงามความดีและความถูกต้อง

 

3. ทั้ง 1+2 ชี้ให้เป็นถึง ความเป็นประชาธิปไตยอย่างชัดยิ่ง แสดงลักษณะรับสัมผัสได้ มากแง่มากมุม อย่างหมดเปลือก คือพฤติกรรมของประชาชนถูกต้องชัดเจน และแสดงพลังอำนาจอย่างเต็มที่ และชอบธรรมยิ่ง ส่วนรัฐบาล แสดงถึงความไร้อำนาจ และแสดงถึงความไม่ชอบธรรมอย่างเต็มที่

 

4. แสดงถึง ความยึดมั่นถือมั่น อย่างเห็นได้จนเกินคำที่คนไทยเรียกว่า ดื้อด้าน ดึงดัน หรือหน้าด้านหน้าทน ยึดอำนาจอันไม่มีแล้ว ไม่ชอบธรรมแล้ว ที่เรียกกันว่า เป็นกบฏแล้ว และอะไรอื่นๆเยอะแยะ แต่นายกฯ ก็ดี มวลลิ่วล้อที่มีตำแหน่งหน้าที่ทางรัฐก็ดี ก็ยังช่วยกันหน้าด้านหน้าทน กันเกินบรรยายจริงๆ หน้าดันทุรังไม่มียาง

 

5. เห็นความอุตสาหะอดทน ของมวลประชาชน

 

6. เห็นความ เสียสละ ของมวลประชาชน

 

7. เห็นความมีปัญญาที่รู้สัจจะมากขึ้นๆ ของประชาชนทั้งฝ่ายรัฐบาลที่แปลตัวมาเข้ากับประชาชน ทั้งมวลมหาประชาชนเอง

 

8. เห็นความตรงกันข้ามของฝ่ายบริหารรัฐบาลและข้าราชการบางหมู่ บางผู้บางคน ว่า ...ไม่เสียสละ ไม่อุตสาหะ แต่ดื้อดึงดัน(ไม่เรียกว่าอดทน) ไม่มีปัญญา ไม่รู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวอย่างร้าย รวมทั้งเห็นความไม่ถูกธรรม-ไม่ชอบธรรมอีกมากมาย

 

9. เห็นประกายแห่งความเป็นประชาธิปไตย โดยประชาชน เพื่อประชาชน และของประชาชน ลุกโชนขึ้น ในผืนแผ่นดินไทย

 

 

10. เห็นคนที่ยังโง่งมงายอยู่กับความอนาริยะ ไม่รู้จักประชาธิปไตย ยังหลงอยู่กับการยึดติดอำนาจ ยึดติดกับโลกธรรมทั้งประชาชนและข้้าราชการ โดยเฉพาะนักการเมือง

 

11. เห็นปรากฏการใหม่ของไทย ที่ไม่เคยเกิดได้มาก่อนเลย

 

12. เห็นความสุภาพความเป็นระเบียบวินัย ขององค์รวมมวลมหาประชาชน

 

13. เห็นความหยาบคาย ความลุแก่อำนาจของรัฐบาล และของข้าราชการ ทั้งประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาล ว่าหนักหนาสาหัสยิ่งๆขึ้น

 

14. เห็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง คือ เห็นว่าประชาชนคนไทย เข้าใจ ความสงบชนะความรุนแรง โหดเหี้ยมได้ เห็นผลว่า คนไทยเข้าใจอิทธิฤทธิ์ของความสงบสุภาพว่าชนะความรุนแรงได้มากขึ้น ยิ่งขึ้น

 

15. เห็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง คือ คนดี คนรักความถูกต้อง มีมวลปริมาณออกมาแสดงตัวต่อต้านคนชั่ว คนไม่ถูกต้อง ออกมาแสดงตัว (ปกติแล้ว คนดีก็ตาม คนถูกต้องก็ตาม จะไม่กระตือรืนร้นออกมาแสดงตัวต่อต้านอะไรนัก มักจะอยู่เฉยๆหรือไม่รู้ไม่ชี้)

 

16. เห็นภาวะจนแต้มของคน ...เมื่ออ้างคุณงามความดี ความถูกต้องตามสัจจะไม่ได้ ก็หันหน้าเข้าเถียง โดยอ้างเอาข้อกำหนด ข้อกฎหมาย โดยอธิบายรายละเอียดในพฤตินัยของข้อกำหนดและกฎหมายนั้นๆว่า ตนมีพฤตินัยโดยถูกข้อกำหนด ตนละเมิดกฎหมายนั้นๆไม่ได้ ต้องปกปิด กลบเกลื่อนความจริง เอาแต่ข้อกฎหมาย มาแย้งมาอ้าง ทั้งๆที่ตนก็ไม่ใช้ หรือผิดข้อกฎหมายนั้นๆแท้ๆ

 

       ซึ่งการเลือกตั้ง สส. ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นี้ เมื่อเลือกตั้งเสร็จ กกต.ก็ไม่สามารถประกาศผลได้อย่างเป็นทางการ ไม่สามารถรับรองสถานะ สส.ได้ อีกทั้ง ยังมีอีก 28 เขตในภาคใต้ที่ไม่มีผู้ลงสมัคร สส. อันเป็นผลเนื่องมาจากอาริยะขัดขืนคัดค้านการเลือกตั้งของพี่น้องกปปส.ในภาคใต้ ทำให้ ได้จำนวนสส.ไม่ครบจำนวนที่จะเปิดประชุมสภาฯได้ ...ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ส่อเค้าว่าจะโมฆะ

 

       5 กุมภาพันธ์ 2557 ทาง กปท. นำโดยกองทัพธรรม ในนาม กปปส. ได้ทำการเคลื่อนย้ายจุดชุมนุมบนสะพานพระราม 8 ลงมาสู่เวทีผ่านฟ้า โดนเริ่มทำการขนย้ายอุปกรณ์เครื่องใช้ตั้งแต่ฟ้าสางของเช้าวันนี้ ที่อากาศเป็นใจเย็นสบายด้วยมีเมฆบางบดบังแสงแดดตอนสายเลยไปจนกระทั่งเก็บของเสร็จ ทางจราจรและทางเขต ตลิ่งชัน และเขตพระนครได้นำเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดสะพานด้วยการเก็บขยะและฉีดน้ำ แต่ที่น่าประทับใจคือภาพที่ชาวกองทัพธรรม สมณะ ตำรวจตั่งแต่รองผู้การ จารึกจนถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยกันเก็บเต็นท์และถังน้ำแสตนเลสอย่างอบอุ่น จนถึงเวลาประมาณ 17.00 ท่านผู้อำนวยการเขต ตลิ่งชัน และท่านผู้การเดินทางมาดูผลงานและได้ทำการรับมอบคืนสะพานพระราม 8 โดย อาเปิ้ม ขวัญดิน สิงห์คำ ท่านว่าเป็นที่หน้าพอใจอย่างมากที่สภาพสะพานปกติไม่มีสิ่งใดเสียหาย สะอาดเรียบร้อยดี และที่สำคัญทางกองทัพธรรม ในนาม กปปส.ได้มอบคืนสะพานเร็วกว่ากำหนดที่ได้แถลงข่าวไว้ด้วย

 

                        ชาวอโศกจัดงานพุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 38

ในที่ชุมนุมผ่านฟ้าลีลาศ ตั้งแต่ อา. 9- . 15 ก.. 2557

 

            นี่มิใช่ครั้งแรก ที่ชาวอโศก มาจัดงานบำเพ็ญธรรมประจำปี ระดับศีล 8 ในที่ชุมนุมเช่นนี้  ครั้งนี้ก็เช่นกัน เป็นความจำเป็นที่เหมาะสมลงตัว ธรรมะจัดสรรให้ชาวอโศกต้องจัดงานพุทธาฯที่สะพานผ่านฟ้าฯ

            กำหนดการของงานก็เช่นเดียวกับที่เคยจัดกันมา คือ มีการฟังธรรม ช่วงทำวัตรเช้า(4.00-6.30 น.) ,ก่อนฉัน (9.00 – 10.00 น.) ,ธรรมะภาคบ่าย (14.00-16.00 น.)  ,มีการสัมภาษณ์ปฏิบัติกรต่างๆในช่วงค่ำ (08.00-20 .00 น.)

 

            วันแรกไม่มีการทำวัตรเช้า พ่อครูสมณะโพธิรักษ์เทศน์เปิดงาน และนำผู้เข้าอบรมร่วมปฏิญาณตนถือศีล 8  ภาคบ่ายก็เป็นการปฐมนิเทศ

           

            ส่วนวันมาฆบูชาปีนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง คือตรงกับวันแห่งความรักของชาวตะวันตก (วาเลนไทน์) พ่อครูได้เทศน์กัณฑ์พิเศษในช่วงภาคค่ำ

 

            นอกจากนี้ในวันมาฆบูชา ยังมีเรื่องน่าตื่นเต้น ทดสอบผู้เข้าร่วมอบรม เพราะเป็นวันที่มีตำรวจ โดยคำสั่งของ ศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) จะมาสลายการชุมนุมในจุดต่างๆของกปปส.

 

            โดยเฉพาะกลุ่ม คปท. ได้ไปช่วยลุงกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เดินขบวน "บอกรักประเทศไทย" ในขณะที่ตำรวจจำนวนมาก พรอมชุดปราบจราจล เข้ามาสลายพื้นที่ใกล้กับบริเวณที่ชุมนุมของกลุ่ม คปท. ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ชุมนุมของ กปททำให้ผู้ชุมนุมด้านสะพานผ่านฟ้า ต้องเตรียมพร้อมต่อการถูกสลายการชุมนุม ซึ่งทางกองทัพธรรม ที่ร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปท. กำลังจัดงานพุทธาภิเษกฯอยู่

           

            ในช่วงเช้าวันนี้ ที่กปท. มีญาติโยมมาใส่บาตรสมณะ และสิกขมาตุเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นวันสำคัญทางศาสนา

 

            แต่ในที่สุด ทางที่ชุมนุมผ่านฟ้าฯ ก็ยังจัดงานพุทธาภิเษกฯ ตามกำหนดการได้ตามปกติ เพราะตำรวจไม่ได้เข้ามาสลายการชุมนุม

 

            แต่ก็มีผู้ชุมนุมบางส่วน ไปช่วยหนุนที่กระทรวงมหาดไทย ที่ตำรวจทำท่าจะเข้าสลายเช่นกัน

 

            หลายแห่งที่ตำรวจจะเข้าสลาย ผู้ชุมนุมก็จะสวดอิติปิโส...เป็นการชุมนุมประท้วงอย่างสงบตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะที่แยกแจ้งวัฒนะ ที่หลวงปู่พุทธอิสระดูแลอยู่ ได้เกิดวีรสตรี ที่กล้าหาญ ออกมานั่งสวดมนต์อย่างสงบหน้าแถวตำรวจ ที่ยืนเป็นแถวทมึน พร้อมเข้าสลายผู้ชุมนุม อย่างน่ากลัวจนโด่งดังไปทั่วสื่อสารต่างๆในโลก

 

            "มาฆบูชา" บรรจบกับ "วาเลนไทน์" บอกรักประเทศไทยด้วย "อหิงสา"

 

" มาฆบูชา...รำลึก "

 

วันมาฆบูชาเวียนมาถึง

ประเสริฐสุดซาบซึ้งพระศาสนา

เป็นครั้งเดียวแห่งองค์พระศาสดา

ณ  มหาพระวิหารเวฬุวัน

 

ทรงประทานโอวาทปาฎิโมกข์

แด่ภิกษุทั่วโลกระลึกมั่น

คือหัวใจพระธรรมอย่างสำคัญ

คำสอนนั้นยังคงอยู่คู่ชาติไทย

 

ชาวพุทธควรสำนึกระลึกน้อม

กาย ใจพร้อมบูชาอย่างยิ่งใหญ่

บำเพ็ญพรตถือศีลเข้าถึงใจ

ทำจิตให้สุขสงบ พบนิพพาน

 

วันมาฆะบูชาในปีนี้

มาบรรจบพอดีกับวันหวาน

วาเลนไทน์ใจฝรั่งต่างเบิกบาน

เป็นตำนานชาวคริสต์ฤทธิ์รักแรง

 

อยากมีคู่สู่สมอัสสาทะ

เสพรูปรสผัสสะอันซ่อนแฝง

ความสุขทุกข์ทั้งมวลล้วนเปลี่ยนแปลง

คนยังแย่งแสวงหามายากาม

 

กามคุณทั้งห้าพาหลงไหล

อุปาทานท่วมใจก้าวไม่ข้าม

มองไม่เห็นตามตรงหลงว่างาม

คุณแห่งกามซ่อนเร้นสิ่งเป็นภัย

 

เมื่อมีรักก็มีทุกข์มิใช่หรือ

ห่วงหวงหวังยึดถืออยู่ใช่ไหม

หวาดระแวงกังวลจนอาลัย

ต้องพลัดพรากห่างไกลไปจากเรา

 

รักพระพุทธศาสนาดีกว่าไหม

วาเลนไทน์เป็นของฝรั่งเขา

หลงกระแสหลงแฟชั่นอันมอมเมา

กิเลสเผาร้อนรนไปจนตาย

 

รักทั้งที รักให้ดี ต้องรักศีล

ลดกิเลสให้สิ้นคือเป้าหมาย

ใจสงบใจสว่างไม่วุ่นวาย

สุขสบายชีวี ดีจุงเบย...

 

            โดย ชนะผี สิ้นป่าโลกีย์

 

            นักรบอหิงสา สมรภูมิผ่านฟ้า 18 กุมภาฯ' 57

 

       เช้ามืดของวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ตำรวจหลายพันนาย ปรากฏกายขึ้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่วนใหญ่แต่งกายครบชุด บางนายสวมหมวดปิดบังใบหน้า บางนายเปิดเผยใบหน้า มาจากหลายหน่วยงาน บางหน่วยมาพร้อมกระบอง, โล่ และปืนลูกซอง และบางส่วนก็มาพร้อมอาวุธหนักครบมือ ตั้งแต่ปืนพก ปืนกล จนถึงปืนสไนเปอร์!!! มีตั้งแต่ตำรวจปราบจราจลจนถึงหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 ,หน่วยอรินทราช 26 เป็นสัญญาณว่าวันนี้ตำรวจพร้อมสลายการชุมนุม ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 จุดที่ศูนย์รักษาความสงบหรือ ศรส. ประกาศขอคืนพื้นที่

       

       แม้ว่ากองทัพประชาชนและกองทัพธรรม จะมีเพียงมือเปล่ากับหัวใจอหิงสา แต่ก็ไม่ได้หวาดหวั่นต่อกำลังคนและอาวุธของตำรวจแต่อย่างใด ยังคงนำอาหารและน้ำดื่ม ไปบริการแก่พี่น้องตำรวจที่มาอย่างมีมิตรไมตรี ซึ่งพี่น้องตำรวจก็รับน้ำใจจากผู้ชุมนุมอย่างเป็นมิตร

 

       เวลา 08.40 น. พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บังคับการตำรวจจังหวัดสระแก้ว ได้เจรจากับตัวแทนกองทัพธรรมเพื่อขอพื้นที่การจราจรบริเวณดังกล่าว ซึ่งผู้ชุมนุมยอมให้เปิดการจราจรผ่านได้บางส่วน เจ้าหน้าที่จึงเริ่มถอนกำลังออกไป หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาขอเจรจาเปิดพื้นที่เพิ่มเติมอีกครั้ง โดยจะเปิดพื้นที่จากสะพานผ่านฟ้าฯ ไปจนถึงสะพานมัฆวานฯ ซึ่งผู้ชุมนุมไม่ยินยอม เพราะเห็นว่าตำรวจได้คืบจะเอาศอก

 

       เวลา 10.55 น. โดยไม่มีการปฏิบัติตามขั้นตอนการสลายการชุมนุมสากล เจ้าหน้าที่ตำรวจถือกระบองพร้อมโล่หลายร้อยนาย ได้ตั้งแถวพยายามรุกฝ่าแผงกั้นบริเวณแยกสะพานผ่านฟ้าฯ เข้าสู่ที่ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ชุมนุมซึ่งมีทั้งฆราวาสและนักบวช  รวมทั้งผู้สูงอายุ ต่างพากันนั่งสวดมนต์อิติปิโสฯ กั้นขวางตำรวจไว้ แต่ตำรวจก็เดินย่ำผ่านผู้ชุมนุม มีการผลักดันด้วยโล่และใช้กระบองตีผู้ชุมนุมที่มีแต่สองมือเปล่า โดยไม่ฟังเสียงวิงวอนขอร้องจากผู้ชุมนุม จนมีผู้บาดเจ็บและบางรายถูกตำรวจจับกุมส่งเข้ารถคุมขังผู้ต้องหาอีกด้วย

 

       จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้รถแทรคเตอร์ทำลายแนวกระสอบทรายของที่ชุมนุมได้สำเร็จ และรุกไล่ประชาชนถอยร่นเข้าไปเรื่อยๆ ขณะนั้นเวลา 11.11 น. อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้ถูกจับกุมบริเวณเต็นท์การ์ดหลังเวทีผ่านฟ้าฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รุกเข้ายึดพื้นที่ ทำลายเต็นท์และข้าวของของผู้ชุมนุม ขณะที่พ่่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้ขึ้นบนเวทีพร้อมสมณะและสิกขมาตุ โดยพ่อครูได้ประกาศทางเครื่องขยายเสียง ให้ผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบสันติและอหิงสาอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะถูกปิดเครื่องปั่นไฟ พ่อครูจึงพูดกับผู้ชุมนุมทางโทรโข่งแทนเพื่อให้มานั่งสงบรวมกันที่หน้าเวที โดยไม่ให้ผู้ชุมนุมตอบโต้ต่อตำรวจแม้กระทั่งยกมือป้องกันก็ไม่กระทำ ก่อนที่จะมีการติดตั้งเครื่องเสียงใหม่อีกครั้ง

       แม้ว่ามวลชนของกองทัพธรรมและกปท.ส่วนใหญ่จะต่อสู้ด้วยสันติิิอหิงสา ไม่ตอบโต้ใดๆ แต่ก็ยังมีการปะทะกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มบุคคลไม่ทราบฝ่าย ซึ่งอยู่ข้างเวทีด้านที่ติดกับวัดปรินายก ซึ่งตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมเป็นระยะ พร้อมกับยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมจนได้รับบาดเจ็บหลายคน โดยผู้ชุมนุมก็ได้ขว้างปาสิ่งของใส่ตำรวจ โดยมีพ่อครู ,สมณะและญาติธรรมได้พยายามห้ามปรามไม่ให้ตอบโต้เจ้าหน้าที่ตำรวจ

 

       เวลาประมาณ 11.40 น. มีการยิงอาวุธหนักจากกลุ่มบุคคลไม่ทราบฝ่ายที่อยู่รอบนอกการชุมนุม ใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ  และมีการโยนระเบิดที่อาจจะเป็นชนิดเอ็ม 67 เข้าไปในพื้นที่ชุมนุม โดยไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามาจากทิศทางใด ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ต่อมามีเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยและผู้ชุมนุมที่กล้าหาญ ฝ่ากระสุนปืนนำตำรวจที่บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลได้สำเร็จ ส่วนทางฝ่ายผู้ชุมนุมก็มีผู้บาดเจ็บเช่นกัน โดยตำรวจได้กลับไปตั้งหลักที่อาคารเทเวศน์ประกันภัย เป็นการตั้งแนวอยู่ ยังไม่กลับ เตรียมรุกเข้ามาใหม่ แต่ขณะนั้นได้มีมวลชนจากเวทีอื่นๆตามมาสมทบอีกเป็นจำนวนมาก และรุกไล่ตำรวจให้ถ่อยร่นออกไป

 

       เวลาประมาณ 12.00 น.ฝ่ายผู้ชุมนุมพยายามรุกเอาพื้นที่การชุมนุมคืน ไปถึงบริเวณหน้าลานเจษฏามหาบดินทร์ ส่วนตำรวจยังตั้งแนวอยู่ที่บริเวณกองสลาก และมีเสียงปืนดังขึ้นบริเวณแนวปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้มีผู้บาดเจ็บเพิ่มเติมอีก ในเวลา 12.25 น. ก็ได้มีชายนิรนามไปช่วยอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กลับมาที่เวทีสะพานผ่านฟ้าเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ผู้ชุมนุมพยายามรุกเข้าไปยึดพื้นที่คืน โดยช่วยกันผลักดันด้วยสองมือสองเท้า ขณะที่ตำรวจยิงปืนตอบโต้ด้วยกระสุนจริง จึงทำให้ผู้ชุมนุมถูกยิงได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตอีกด้วย จนเวลาประมาณ 13.20 น.เหตุการณ์จึงเริ่มสงบลง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถอนกำลังกลับไปทั้งหมด ทิ้่งรถแทรคเตอร์ 2 คัน และรถกระบะไว้อีกนับสิบคัน

       ต่อมาศูนย์เอราวัณ กรุงเทพมหานคร รายงานยอดผู้บาดเจ็บจากเหตุศรส.สั่งการให้ตำรวจ ขอคืนพื้นที่แยกสะพานผ่านฟ้าฯว่า มียอดรวมผู้บาดเจ็บ 68 คน เสียชีวิต 5 คน เป็นผู้ชุมนุม 4​ ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 ราย นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญที่ต้องจดจำในความกล้าหาญ ของเหล่านักรบอหิงสาในสมรภูมิผ่านฟ้าฯแห่งนี้

 

            แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง อาวุธครบมือ แต่ก็ต้องประสพความล้มเหลวกลับไป เพราะผู้ชุมนุมที่กปท.และกองทัพธรรม ล้วนเป็น “นักรบอหิงสา” ตั้งมั่นในอหิงสธรรมและเมตตาธรรม ไม่ได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตอบ จึงทำให้การสูญเสียเกิดขึ้นไม่มาก เป็นเครื่องยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ชุมนุม หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากกระทำด้วยจิตใจที่มีเมตตาธรรม แม้ประท้วงก็กระทำด้วย สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ก็ย่อมได้รับการตอบแทนด้วยเมตตาธรรม แต่หากกระทำด้วยจิตใจที่ไร้เมตตาธรรม เบียนเบียนเข่นฆ่าทำร้ายทำลายกันด้วยประการทั้งปวง ก็ย่อมจะประสพความเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง ดังนั้นชาวไทยทุกหมู่เหล่าพึงกระทำกรรมต่อกันด้วยเมตตาธรรมอันเป็นธรรมค้ำจุนโลก เหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้าฯครั้งนี้ เป็นการยืนยันสัจธรรมที่ว่า “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”

 

            19 กุมภาพันธ์ 2557 ศาลแพ่ง รัชดา อ่านคำพิพากษาในคดี ที่นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น..ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ร...เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะ ผู้อำนวยการ ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส.และ พล...อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. เป็นจำเลยที่ 1-3

 

เรื่องละเมิด จากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล และออกข้อกำหนดตาม พ...บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ..2548 โดยมิชอบ และยังไม่มีเหตุจำเป็น ซึ่งผู้ฟ้องขอให้ศาล สั่งเพิกถอนการประกาศ พ...ฉุกเฉิน และห้ามใช้กำลังสลายการชุมนุม

 

            โดยวันนี้ นายถาวร ฝ่ายโจทก์ ไม่เดินทางมาศาล มีเพียง นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ มาฟังคำพิพากษา ส่วนฝั่งจำเลยมี ผู้รับมอบฉันทะ จากจำเลยที 2 ที่ 3 มาศาล โดยศาลพิเคราะห์ จากคำเบิกความของโจทก์ จำเลย แล้วเห็นว่า กฎหมายให้อำนาจฝ่ายบริหาร ในการออก พรก.ฉุกเฉิน เมื่อเห็นว่า สถานการณ์บ้านเมือง อยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่การออก พรก. ฉุกเฉิน ดังกล่าว ต้องมีผลบังคับใช้กับ คนทุกกลุ่ม

 

            แต่ศาลเห็นว่า การออกประกาศ ของจำเลย นั้น เป็นการบังคับใช้ กับ ผู้ชุมนุม ที่มาชุมนุม ตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ ศาลจึงสั่งห้าม จำเลย 9 ข้อ

 

1. ห้ามจำเลย มีคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม

2. ห้ามจำเลยยึดอายัด สินค้า อุปโภค บริโภค ที่ใช้ในการสนับสนุนการชุมนุม ของโจทก์ และผู้ชุมนุม

3. ห้ามจำเลย ตรวจค้น รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ของผู้ชุมนุม

4. ห้ามจำเลย ห้าม ผู้ชุมนุมซื้อขายสิค้า เครื่องอุปโภค บริโภคที่ใช้ในการชุมนุม

5. ห้ามจำเลย ปิดการจราจรเส้นทางคมนาคม

6. ห้ามจำเลย สั่งห้ามบุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

7. ห้ามจำเลย สั่งห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ตามที่จำเลยกำหนดไว้ในประกาศ

8. ห้ามจำเลย สั่งผู้ชุมนุมห้ามใช้อาคาร

9. ห้ามจำเลย มีคำสั่งห้ามบุคคล เข้า และ ออก พื้นที่การชุมนุม

ส่วน ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ศาลแพ่ง ไม่มีคำสั่ง เพิกถอนแต่อย่างใด

           

            9 มีนาคม 2557 งานทำบุญ รำลึกวีรชนราชดำเนิน

                    งานทำบุญ รำลึกวีรชนราชดำเนิน จัดขึ้นที่ถนนราชดำเนินกลาง(อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย) เป้าหมายของการจัดงานนั้น เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีที่วีรชนได้เสียสละชีวิต ให้ลูกหลานได้อยู่อย่างผาสุก ความทุ่มเทของวีรชน เพื่อให้สังคมเกิดสิ่งที่ดี จึงสมควรที่จะระลึกถึงผู้กล้าและเป็นกำลังใจให้ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต ว่าสิ่งดีๆที่วีรชนได้ทำคุณงามความดีให้กับประเทศเป็นสิ่งที่สังคมควรรับรู้ว่า ผู้ที่ทำความดีจะได้รับการยกย่อง เป็นตัวอย่างแก่สังคม

            สำหรับกิจกรรมในงานเริ่มจากการทำบุญใส่บาตรในตอนเช้า มีการแสดงธรรมของพ่อครู สมณะโพธิรักษ์ มีคุณอุทัย ยอดมณี จาก เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)มาพูดคุยกับพี่น้อง และป้านิตตัวแทนจากชุมชนบางลำภู นอกจากนั้นยังมีการสวดให้พรตามแบบของศาสนาอิสลามในพิธีดูอาห์.

                มีการจัดเวทีเสวนารำลึกถึงวีรชน 16 ตุลา พฤษภาทมิฬและเวทีรำลึกเหตุการณ์ 18 กุมภา โดยมีการพูดคุยกับผู้อยู่ในเหตุการณ์และญาติของวีรชน รวมถึงมีกิจกรรมวางดอกไม้เพื่อรำลึกถึงวีรชนอีกด้วย

            ศิลปินที่มาร่วมงานอ.ธนิต ศรีกลิ่นดี, คุณบี๋ (ธณาคำ อภิรดี), วงแฮมเมอร์, คีตาญชลี, คณะนักร้องประสานเสียง สานใจรัก, เจริญกรุง, น้าหว่อง  (มงคล อุทก) น้าเสก น้าซู น้าโรจน์และโอ๋ ฆราวาส,

            ภายในงานมีโรงบุญแจกอาหารฟรี ซึ่งมีอาหารมังสวิรัติเป็นหลัก งานนี้มีชุมชนโดยรอบที่ชุมนุมฯ เช่น ชุมชนบางลำภู ชุมชนวัดปรินายก ชุมชนป้อมมหากาฬ ชุมชนวัดโสมนัสฯลฯ ต่างมาร่วมกิจกรรม และร่วมตั้งโรงบุญอีกด้วย งานนี้มีโรงบุญทั้งหมด 49 โรงบุญ  ซึ่งเปิดบริการตั้งแต่ 6.30 – 23 .00น.

 

            15 มีนาคม 2557 พิธีรับกลดสัมมาสิกขา รุ่น "ธรรมยุทธผ่านฟ้า"

 

            ซึ่งปีนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชาวอโศกจัดพิธีรับกลดนอกชุมชนชาวอโศก เนื่องจากเหตุชุมนุมทางการเมืองที่สะพานผ่านฟ้าฯ พ่อครูจึงให้ชื่อรุ่นนักเรียนสัมมาสิกขาที่จบการศึกษาปี 2557 ว่า รุ่น “ธรรมยุทธผ่านฟ้า” โดยปีนี้มีนักเรียนจบการศึกษา ม.6  จำนวน 47 คนจากทุกโรงเรียนสัมมาสิกขา

 

            พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ให้โอวาทก่อนจบการศึกษา........เราเกิดมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราจะต้องเห็นความสำคัญของธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ประทานไว้ให้แก่โลก อย่าเห็นเป็นของเล่น สังคมทุกวันนี้ตกต่ำมาก ศานาไหนก็ตามควรมีธรรมะ เพราะเป็นสิ่งดีงามประเสริฐ วาระนี้เป็นวาระสำคัญโดยเฉพาะนักเรียน สัมมาสิกขา จบม.6 แล้วจะมารับเครื่องหมายที่ถือว่าจบ นอกจากได้รับใบประกาศนียบัตรแล้ว เรายังได้รับกลด กับเข็มที่ระลึก พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นโมฆบุรุษ สูญเปล่า เกิดมาไม่ได้ส่ิงที่ควรได้ เปล่าดาย แถมได้ส่ิงเลวร้ายติดไป ซวย เปล่าๆ เกิดมาทำไม เกิดมาแล้วแทนที่จะใช้ร่างมนุษย์ครบอาการ 32 เป็นร่างกายที่ เป็น อิทธพรหมจริยวาโส (กายยาววาหนาคืบกว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ) นี่ พร้อมจะเจริญสู่พรหมจรรย์ ความเจริญ เป็นสภาพพรหม บริสุทธิ์สะอาด สูงสุด เรียกว่าพรหม เป็นของศาสนาเดิม พรหมจรรย์คือส่ิงที่เราต้องพากเพียรให้จิตวิญญาณเจริญ สูงขึ้นจนเป็นอรหันต์

 

            “ธรรมยุทธ ผ่านฟ้า” แปลว่า การรบที่มีธรรมะ ณ สถานที่นี่ สะพานผ่าฟ้าลีลาศ เรามาทำงานที่นี่หลายเดือนแล้ว พวกเราก็ได้มาร่วมช่วยงาน ช่วยรบอย่างธรรมะ  รุ่นนี้ผ่านอันนี้ รุ่นอื่นก็มีเครื่องหมาย สำหรับแต่ละรุ่นๆ เป็นเครื่องหมายให้เราใช้ ในการรำลึก สำนึก ปรับปรุงตนในการมีชีวิตทำอะไรควบคุมตนให้กาย วาจา ใจพัฒนาขึ้นไม่ใช่ปล่อยไปตามกิเลส เราต้องรู้ว่าจิตของเรามีกิเลสคืออะไร เราเรียนมาบางคนมากกว่า 6 ปี ตั้งแต่ชั้นปฐมศึกษา เราตายแล้วสิ่งที่ได้คือคุณธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่ถ้าได้ถึงขีดขั้นอาริยธรรม จะมีน้ำหนักอยู่กับอัตภาพของเรา เริ่มแต่โสดาบัน ที่มีคุณธรรมถึง นิยตะ ไม่ว่าชาติไหนจะไม่สูญหายไปจากเรา

 

            16 มีนาคม 2557 ประชุมใหญ่พรรคเพื่อฟ้าดิน ณ เวทีผ่านฟ้าฯ

 

            พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้เป็นประธานในการประชุมใหญ่พรรคเพื่อฟ้าดิน ที่ เวทีผ่านฟ้าฯ ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการเลือกหัวหน้าพรรคเพื่อฟ้าดินคนใหม่ แทนคุณขวัญดิน สิงห์คำ ที่ได้มีกำหนดหมดวาระในการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อฟ้าดิน ปรากฎว่าที่ประชุมใหญ่พรรค ได้เลือก คุณมิ่งหมาย มุ่งมาจน เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อฟ้าดินคนใหม่

            พ่อครูได้ให้โอวาทให้พรรคเพื่อฟ้าดินทำงานเพื่อ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อันเป็นจุดมุ่งหมายหลักของนักการเมืองและพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

 

            21 มีนาคม 2557 ทะลายค่ายกลการเลือกตั้งของระบอบทักษิณ 

 

            ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก(6 ต่อ 3) วินิจฉัยให้การเลือกตั้งสส. ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมานั้น เป็นโมฆะ เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้งวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร เพราะยังเหลืออีก 28 เขตเลือกตั้งยังไม่เคยมีการสมัครรับเลือกตั้งมาก่อนเลย

            เป็นอีกหนึ่งชัยชนะรายทางของประเทศชาติ ที่ศาลรัฐธรรมนูญท่านได้ใช้วินิจฉัยอย่างเที่ยงธรรม ทำให้ยิ่งเห็นว่า การเลือกตั้งจะบริสุทธิ์ยุติธรรม และเป็นประชาธิปไตยได้นั้น จำเป็นต้องมีการปฏิรูปเรื่องคุณธรรมให้เกิดในคนไทยก่อน มากเพียงพอที่จะทำให้เกิดการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมได้ต่อไป นับเป็นคุณูปการของพลังมวลมหาประชาชนที่สามารถทะลายค่ายกลการเลือกตั้งอันเลวร้ายของระบอบทักษิณไปได้

            และเพื่อเป็นการยืนยันว่า ถ้าไม่สามารถปฏิรูปบ้านเมืองก่อนแล้วไซร้ มวลมหาประชาชนจะไม่มีวันยอมให้ระบอบทักษิณใช้ค่ายกลการเลือกตั้งมาฟอกตัวกลับมาทำลายชาติได้อีก ทางกปปส.จึงนัดชุมนุมใหญ่แสดงพลังอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 29 มีนาคม 2557

 

      29 มีนาคม 2557 วันสองเท้าก้าวเดินเพื่อปฏิรูปประเทศไทย หรือมีชื่อเล่นว่า “วันส้นตีนแห่งชาติ”

       29 มีนาคม 2557 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อเวลา 12.40 น.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ได้นำมวลชนจากเวทีสวนลุมพินี เดินเท้าตั้งแต่เวลา 10.00 น.มาถึงที่หมายแล้ว เวทีภายในลานพระบรมรูปทรงม้า ท่ามกลางประชาชนที่มาร่วมชุมนุมอย่างเนืองแน่น ในอากาศที่ร้อนอบอ้าว แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเดินแสดงพลังของมวลมหาประชาชนแต่อย่างใด ร้องเพลงและเป่านกหวีดเดินไปด้วยกัน ทำให้ลืมเหนื่อยลืมหิวไปเลย

       มีขบวนแห่ที่แสดงออกถึงความรักชาติอย่างอหิงสา มีป้ายสารพัดหลากหลาย ตามแต่จะสร้างสรรกันมา มวลมหาประชาชนมาอย่าง คับคั่ง หน่าแน่น รื่นเริงเบิกบาน สู้แบบคนดี มีความสุข ตลอดสองข้างทางมีน้ำและอาหารบริการฟรีตลอด ห้องน้ำห้องส้วมก็มีบริการตามบ้านหรือร้านรวงสองข้างทาง ไม่ได้ขาด แถมมีคนหัวดีดัดแปลงรถเก๋งเป็นรถสุขามาบริการให้ฟรีอีกด้วย ทั้งหมดไม่ได้มาด้วยการจัดตั้งหรือจ้างวาน แต่เกิดเพราะคุณงามความดีที่เบ่งบานในจิตใจ ของคนดีที่เกิดขึ้นมากมายเต็มแผ่นดิน    
       อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า มีผู้ก่อความไม่สงบปาวัตถุคล้ายระเบิดบริเวณแยกเสาวนีย์ ใกล้สถานีรถไฟสวนจิตรลดา ทำให้มีรถแท็กซี่สีเหลือง และรถยนต์สีครีม ที่อยู่ในบริเวณนั้นเสียหายจำนวน 2 คัน แต่ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด       
       ต่อมาเวลา 13.37 น. นายสุเทพ พร้อมด้วยแกนนำได้นำมวลชนถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ โดยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เป็นผู้อ่านคำกล่าวสดุดี จากนั้นนายสุเทพ และแกนนำกลุ่มอื่นๆ อาทิ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ แกนนำกองทัพธรรม นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อดีตแกนนำพันธมิตรฯ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ แกนนำกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ได้ร่วมกันวางพวงมาลาดอกไม้ ก่อนถวายบังคมฯ
       
       จากนั้น นายสุเทพ กล่าวปราศรัยว่า พวกเรามวลมหาประชาชนขอประกาศเจตนารมณ์แน่วแน่ว่าเราจะทุ่มเททั้งร่างกาย จิตใจและทรัพยากรทั้งมวล เพื่อขจัดเภทภัยแผ่นดิน คือระบอบทักษิณ ให้หมดสิ้่นจากแผ่นดินสยาม และจะร่วมแรงร่วมใจสามัคคีดำเนินการปฏิรูประเทศไทยเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็น ประเทศที่มีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่แท้จริง โดยประชาชน เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบาก เราขอตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า เราจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเอาอำนาจอธิปไตยมาจากระบอบทักษิณ เพื่อปฏิรูปประเทศไทยด้วยมือของคนไทยไม่ใช่นักการเมือง การประกาศเจตนารมณ์เป็นธงชัย ด้วยสงบ สันติ อหิงสา ขอพระบารมีองค์พระพุทธเจ้าหลวงจงปกปักรักษามวลมหาประชาชน และดลบันดาลให้การต่อสู้จงประสบความสำเร็จ ชัยชนะเป็นของประชาชน
       
       เวลาต่อมา นายสุเทพ ได้นำมวลชนเคลื่อนไปยังหน้ารัฐสภา เพื่อสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ โดยตำรวจประจำรัฐสภาให้มวลชนอยู่ด้านนอก และอนุญาตให้นายสุเทพ และแกนนำเข้ามาสักการะเท่านั้น โดยนายสุเทพ ได้ถวายพานพุ่ม พร้อมกล่าวปราศรัย เราจะไม่ยอมให้สภาแห่งนี้เปิดทำการได้อีกจนกว่าจะปฏิรูปการเมืองให้ เรียบร้อย
       
       จากนั้นเวลา 15.15 น. กลุ่มกปปส.ได้ทยอยกลับสวนลุมฯ ซึ่งในคำ่วันนี้เอง กำนันสุเทพได้ปราศรัยว่า... “แน่นอนวันนี้ไม่ใช่วันเผด็จศึก แต่การที่มวลชนออกมาเป็นล้าน มนุษย์ที่มีสติสัมปชัญญะเฉกเช่นคนธรรมดาจะรู้ได้ทันทีว่ามวลชนเขาเอาจริง ที่บอกว่ามวลชนล้มแล้วไม่เอาแล้ว วันนี้เห็นชัดถ้านัดมวลชนมวลชนก็พร้อมออกมาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ทุกที ปรากฏการณ์ในวันนี้ยืนยันได้เลยว่ามวลมหาประชาชนไม่แพ้แน่นอน เราต้องเอายิ่งลักษณ์ออกไปให้ได้ภายในเดือนเมษายนนี้ จากนี้ไปจะต้องมีการนัดระดมพลครั้งใหญ่อย่างนี้อีกหนสองหนก่อนจบสิ้น”

 

      2​ เมษายน 2557  คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประชุมพิจารณาว่าจะรับคำร้องกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว. สรรหา ขอให้วินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ ม. 182(7) ประกอบ ม. 268 จากกรณีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการ สมช.

       ขณะเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องคดีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส.ขอให้สั่ง กปปส.ยุติการชุมนุม เนื่องจากไม่ใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ

       นับเป็นอีกหนึ่งชัยชนะรายทางที่ เกิดจากตุลาการภิวัฒน์ ร่วมกับประชาภิวัฒน์ เป็นไปตามกัมมาภิวัฒน์
 

        5 เมษายน 2557 กลุ่มนปช. หรือมวลชนคนเสื้อแดงที่มีนายจตุพร พรหมพันธ์ ได้นัดรวมตัวแสดงพลังเพื่อปกป้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง ที่ ถนนอักษะ เขตพุทธมณฑล และชุมนุม 3 วัน ปรากฎว่า มีผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่ถึง 20,000 คน แถมการชุมนุมยังทำให้เกิดขยะจำนวนมากมายทิ้งเกลื่อนกลาด ไม่ได้มีความรับผิดชอบต่อสถานที่ที่ได้ชื่อว่าถนนที่สวยที่สุดในประเทศไทยแต่อย่างใด

 

       และในวันที่ 5 เมษายน 2557 นี้เอง กำนันสุเทพได้ขอมติมวลมหาประชาชน ที่จะนัดชุมนุมใหญ่ เป็นครั้งเผด็จศึกโค่นระบอบทักษิณให้ได้ ลุงกำนันสุเทพได้ประกาศ D-Day คือ

1. วันที่ ปปช. ชี้มูลคดีโครงการรับจำนำข้าวว่า ยิ่งลักษณ์ ผิดต้องส่งไปให้ สภาถอดถอน กำนันสุเทพบอกว่าให้ฟังนกหวีด

2. วันที่ ศาลรัฐธรรมนูญ พิพากษาคดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า ยิ่งลักษณ์ ผิด ให้เคลื่อนพลได้ทันที

       วัน D-Day คือวันที่ กปปส.ต้องประกาศว่าอำนาจอธิปไตย กลับคืนสู่มือประชาชน ให้ยึดทรัพย์ตระกลูชินวัตร ประกาศให้พวกหนักแผ่นดินมารายงานตัว และหัวหน้าส่วนราชการมารายงานตัว เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีโดยทันที "ขอให้เตรียมเสื้อผ้ามาให้เรียบร้อย เพราะครั้งนี้จะต้องต่อสู้ติดต่อกันอย่างน้อย 15 วัน หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่านายกฯปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไม่ต้องรอฟังสัญญาณล้อหมุนทันที"

        ขณะที่ ทางฝ่ายนปช.ก็ได้นัดหมายกันว่า วันใดที่ ยิ่งลักษณ์ถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ พวกเขาก็จะนัดชุมนุมใหญ่เช่นกัน

 

        6-12 เมษายน 2557 ชาวอโศกจัดงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 38

 

       ณ ศาลาปลุกเสกฯผ่านฟ้าลีลาศ  สะพานผ่านฟ้า กทม.

       เป็นอีกงานปฏิบัติธรรมเข้มข้นศีล 8 ประจำปีอีกงานหนึ่งของชาวอโศก ที่ต้องย้ายมาจัดงานกันที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ เนื่องด้วยเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองอันยาวนาน เกินครึ่งปีเข้าไปแล้ว

       ชาวอโศกได้ผ่านการจัดงานพุทธาภิเษกฯไปแล้วในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งลักษณะการจัดงานปลุกเสกฯก็คล้ายกับงานพุทธาฯ ทำให้การบริหารจัดการงานไม่ยุ่งยากมาก เพราะได้ทำมาก่อนหน้านี้แล้วอย่างราบรื่น

       จุดเด่นของงานปลุกเสกฯ คือการสัมภาษณ์ปฏิบัติกร ที่เพ่ิงผ่านพ้นเหตุการณ์ ที่ ศรส.ส่งตำรวจมาสลายการชุมนุมในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557ที่ผ่านมา ทำให้มีเรื่องที่ทั้งตื่นเต้น น่าซาบซึ้งประทับใจและเป็นปาฏิหาริย์แห่งธรรมะ อันสงบสันติอหิงสา ที่สามารถสยบความรุนแรงได้จนเป็นปรากฏการณ์จริงที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน มาเล่าสู่กันฟัง

       งานนี้พ่อครูได้เน้นเรื่อง แสงเงินแสงทองทั้ง 7 ที่จะเป็นการเริ่มต้นปฏิบัติอาริยมรรคมีองค์ 8 ได้อย่างสัมมาทิฏฐิ

       ควบคู่กันไป เวทีกปปส.ที่สวนลุมฯก็ได้จัดให้มีการออกไปพูดคุยกับข้าราชการกระทรวงต่างๆ ให้หยุดรับใช้ระบอบทักษิณ เลิกทำตามคำสั่งของระบอบทักษิณ หันมายืนเคียงข้างประชาชน โดยเคลื่อนขบวนมวลมหาประชาชนไปตามกระทรวงต่างๆ

       ซึ่งทุกกระทรวงให้การต้อนรับมวลมหาประชาชนเป็นอย่างดี บางกระทรวงเปิดห้องรอต้อนรับกำนันสุเทพและแกนนำให้ไปปรึกษาหารือกันในกระทรวงเลยทีเดียว

       โดยทางกปปส.ก็ได้นำข้าวห่อ ไปเลี้ยงมวลมหาข้าราชการถึงหน้ากระทรวง และทางข้าราชการก็ได้นำน้ำและอาหารมาต้อนรับมวลมหาประชาชนรวมทั้งบริจาคเงินให้อย่างล้นหลาม

       (ต่อของอ.ปานปั้นสรุป)

       

       

        13-15 กุมภาพันธ์ ชาวอโศกจัดงานตลาดอาริยะ 3 แห่ง เป็นเทศกาลสงกรานต์ตลาดอาริยะ

 

       ประเพณีสงกรานต์ มีมาแต่โบราณ พ่อครูให้ความหมายของประเพณีนี้ว่า... แต่โบราณกาล การได้รดน้ำหน้าแล้ง ก็คือน้ำมันน้อย คนมีน้ำก็เอาน้ำมาใส่จอกมา คนมีน้อยก็รวมกับคนมีมาก ใส่อ่างโอ่ง ร่วมกัน เป็นสามัคคีร่วมใจกัน เป็นน้ำในโอ่งในอ่างภาชนะใหญ่อันเดียวกัน

       ผู้ที่สมควรได้อาบได้พรมน้ำเย็นๆ สมัยโบราณเขาราดเลยอาบทั้งตัว หากมีน้อยก็รดแค่มือ แค่ตัว เป็นวิธีรดน้ำดำหัวไม่เสียเศรษฐกิจ สอดคล้องกับความจริง ผู้ที่มีค่ามีประโยชน์ต่อสังคม ควรได้รับรางวัล ได้อาบน้ำเย็น ก็คัดหรือเชิญ ผู้ที่เหมาะควร เห็นดีเห็นพร้อมว่าท่านผู้นี้มีคุณค่า ก็ควรได้รับเกียรติ ควรได้รับการรดน้ำก็เชิญมา อย่างที่พวกเราทำกันนี่ก็ถูกแล้ว

       น้ำก็ไม่สูญเสียมาก เพราะน้ำหายาก ไม่น่าไปสาดเสียเทเสียเลย ...ซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็นประเพณีที่ปรุงแต่งเป็นเรื่องลามก และโทสะ ไปมากมายเลย

       ในขณะที่คนไทยทั้งประเทศกำลังฉลองเทศกาลสงกรานต์กันนั้น ที่ถ.ราชดำเนิน ชาวอโศกโดยกองทัพธรรม ก็ได้จัดงานสงกรานต์ตลาดอาริยะที่ถ.ราชดำเนิน ซึ่งเป็นปีที่ 35 แล้วที่ชาวอโศกจัดตลาดอาริยะติดต่อกันมา โดยครั้งนี้ตั้งเวทีที่หน้าลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ วัดราชนัดดา เพื่อให้ประโยชน์กับประชาชน เปลี่ยนจากถนนการเมือง ให้เป็นถนนแห่งการค้าที่ฟื้นคืนวัฒนธรรมไทยอันดีงาม

       โดยตลาดอาริยะครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ได้มาจัดที่ถ.ราชดำเนิน เป็นการค้าขายแบบบุญนิยม ได้มาสาดความสุข สาดร้อยยิ้มด้วยน้ำใจ ด้วยการขายสินค้าจำเป็นต่อชีวิต ในราคาต่ำกว่าทุน เป็นบุญนิยมระดับ 3       

       สินค้าที่นำมาขายในตลาดอาริยะมาจากหยาดเหงื่อแรงงานความเสียสละของชาวอโศก ที่มีค่านิยมในการเสียสละคือการได้บุญ จึงนำเงินที่มีเหลือมาจัดซื้อสินค้าจำเป็นในการดำรงชีวิต มาขายในราคาต่ำกว่าทุน หรือที่เรียกว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรานั้นเอง โดยงานนี้ขาดทุนตั้งแต่ 30-70 % มีทั้งสินค้าชุมชนที่ผลิตโดยชาวอโศกและสินค้าที่ซื้อจากภายนอก มีทั้งชาวอโศกและเครือแหชาวอโศกมาร่วมกันจัดงาน

       ไม่เฉพาะที่ถ.ราชดำเนินเท่านั้นที่ชาวอโศกจัดงานตลาดอาริยะ ในปีนี้ชาวอโศกยังจัดงานอีก 2 แห่งไปพร้อมๆกัน คือตลาดอาริยะที่ชุมชนราชธานีอโศก จัดขายสินค้าในราคาขาดทุนเช่นกัน ซึ่งปีนี้บรรยากาศก็ยังคึกคัก แต่ประชาชนมาน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เพราะเราจัดงานให้เล็กลงตามกำลังคน ที่ต้องแบ่งมาช่วยที่บ้านราชดำเนินด้วย บรรยากาศก็ยังคงเต็มไปด้วยความสุขด้วยการให้เช่นเคย อีกแห่งหนึ่งที่จัดตลาดอาริยะในเวลาเดียวกันนี้ด้วยก็คือ ที่ชุมชนศีรษะอโศก แต่ที่นี่จัดขายเฉพาะปุ๋ยอินทรีย์ในราคาขาดทุนอย่างเดียว

       ตลาดอาริยะกลางกรุงเทพฯที่บ้านราชดำเนินนี้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนกรุงที่ไม่ต้องไปเล่นสงกรานต์แบบสาดน้ำให้เปลืองผลาญ แต่มาแบ่งปันรอยยิ้ม เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับในงานตลาดอาริยะสงกรานต์ ณ บ้านราชดำเนิน

       ไฮไลท์อีกหย่างหนึ่งของตลาดอาริยะสงกรานต์ครั้งนี้ก็คือ เวทีบาทเดียว ให้ผู้ร่วมงานมาเต้นหรือร้องรำทำเพลงกับศิลปินหน้าเวที ก็จะสามารถมีสิทธิ์ซื้อสินค้าได้ในราคาบาทเดียว เรียกว่าได้รับทั้งความสนุกเพลิดเพลินมีสาระ และได้ซื้อสินค้าในราคาแสนถูก ประชาชนให้ความสนใจร่วมรายการนี้อย่างล้นหลามและไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

       ยังมีตลาดอาหาร ทุกอย่าง ราคา 1 บาท เป็นเรื่องที่ดูเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นได้แล้ว ที่ บ้านราชดำเนินแห่งนี้ ก๋วยเตี๋ยวชามละ 1 บาท, พิซซ่าก็ชิ้นละ 1 บาท, ส้มตำก็จานละ 1 บาท ฯลฯ …ทั้งหมดนี้ทำด้วยใจไม่มีใครจ้างให้มาทำอย่างนี้นะนี่

       มีคนบอกว่าได้ยินกับหูเลย โดยไม่ได้ตั้งใจจะฟังจากพระสงฆ์ที่ท่านมาในงานตลาดอาริยะแล้วก็โทรไปบอกญาติโยมปลายทางโทรศัพท์ประมาณว่า...ของที่นี่ถูกมากเลย คุณภาพดีด้วย มาเห็นกับตาเลย เลยชวนให้โยมมากันมากๆ...

       ส่วนแม่ให้พ่อให้บางคนก็บอกว่าได้ยินกับหูเหมือนกันว่า...ชาวประชาชนบอกต่อๆกันไปว่า...ของถูกมาก อาหารก็ถูกมาก มาเอาภาชนะมาใส่ได้เลย

       ทั้งหมดนี่เขาบอกกันด้วยความตื่นเต้นดีใจ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีตลาดอาริยะที่มีการให้การเสียสละได้มากมายขนาดนี้ หลังจากจบงานตลาดอาริยะ 1 วัน …ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ห้องการเงินสันติอโศกบอกว่า นับสถิติคูปอง อาหารอย่างละ 1 บาท ได้ทั้งหมด 91,000 บาท นี่ถ้าคิดเสียว่า คนๆหนึ่งก็จะใช้คูปองประมาณคนละ 10 บาท (นี่คิดให้อย่างมากแล้วนะ) ก็จะเป็นจำนวนคนทั้งหมด 9,100 คน ที่มาซื้อคูปองไปใช้บริหารตลาดอาหาร จานละ 1 บาท(แต่ที่จริงคนๆหนึ่งอาจกินไม่ถึง 10 บาทหรอก รวมแล้วก็น่าจะมาเกินหมื่นคนแน่นอน)

       มีผู้มารับบริการตลาดอาริยะบางคนก็ข้องใจมาก...ว่าการมาทำเช่นนี้ได้อะไร จนอดรนทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากถามเจ้าหน้าที่การเงินว่า....เขาไม่วางใจว่าพวกเรามาทำเช่นนี้ทำไม...เจ้าหน้าที่การเงินท่านนี้ก็ได้อธิบายกับเขาว่า …ประโยชน์ตนคือเราได้เสียสละ ประโยชน์ท่านคือการแบ่งปัน และเราไม่ได้ทำบ่อย ปกติทำปีละ 1 ครั้งแต่ ในเหตุการณ์นี้เป็นช่วงเวลาพิเศษที่ได้มาร่วมชุมนุมเราเลยทำได้หลายครั้ง และเราทำเท่าที่เราทำได้ ….

 

       ซึ่งเป็นแง่คิดให้ชาวอโศก ได้ฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้ให้ผู้เสียสละที่แท้จริง ไม่หวังว่าจะได้อะไรคืนมานอกจากได้สละกิเลส...เพราะคนเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน ที่ได้มารับซับซาบกิจกรรมนี้ของชาวอโศก...เขามีทั้งที่ตื่นเต้นดีใจ มีทั้งที่ยังไม่วางใจ เราก็ยิ่งต้องทำตนเองให้ดียิ่งขึ้นอีก เสียสละให้ได้มากขึ้นอีก …โดยตั้งอยู่ในการประมาณให้พอเหมาะ...และไม่ประมาท      

         


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:44:47 )

580101

รายละเอียด

580101- ทวช.งานว.บบบ.รุ่นที่ 3 ต้อนรับปีใหม่ 58

พ่อครูว่า วันนี้วันที่ 1 แล้ว ก็มีเสียงพลุดังกัน เขาจะสนุกสนาน เขาก็ต้องอาศัยสิ่งเหล่านั้นอยู่ เด็กก็ต้องอาศัยการเล่น ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยก็ตาม ลึกๆสัตว์โลกต้องการสิ่งที่รู้สึกพอใจ เรียกว่าบำเรออัตตา มันเกิดมาด้วยอวิชชา แล้วสร้างอัตตาโดยไม่รู้ตัว อย่างพีชะไม่มีอัตต าเพราะไม่มีรักมีชัง มีแต่อันนี้ใช่ อันนี้ไม่ใช่ แล้วก็รับมาสังขารรูป ส่วนสัตว์เริ่มมีอัตตา นอกจากรับมาให้ตนแล้วยังมีอัตตา หยั่งลงยึด ตั้งลงในจิต

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน จิตนิยามมีลึกถึง 3 ชั้น

จิตนิยาม มีลึกถึง 3 ชั้น (กาม รูป อรูป) (consciousness  subconsciousness unconsciousness) พีชะนิยาม ไม่ถึงอรูป ไม่มีสัญญาหยั่งถึง มันมีกิริยานะ พืชเคลื่อนไหวของมันเอง แต่ไม่มีธรรมะ มันจะไม่สั่งสม แต่ที่ทรงไว้เรียกว่าธรรมะมีในสัตว์เป็นต้นไป พีชะ กับ จิต ต่างกันที่มีธรรมะหรือไม่ เมื่อเป็นจิตนิยาม จะสั่งสมอัตตาได้ แต่พีชะไม่สะสมอัตตา ไม่มีเวทนา  มีแต่สัญญา กับสังขาร ปรุงแต่ง กับ กำหนด 

ตัวธรรมะนี่ตอนแรกจะเป็นอวิชชา เป็นสัญชาติญาณ เกิดโดยอัตโนมัติไม่รู้ กว่าจะมาเรียนรู้เป็นสัตว์     แม้อเวไนยสัตว์ก็ไม่มีปัญญาเรียนรู้ถึงระดับธรรมะ คนจะเรียนรู้ถึงระดับธรรมะต้องมีญาณปัญญาอ่านเข้าไปรู้ถึง ธรรมายตนะ กับ มนายตนะ หรือ มโน ซึ่งมโนเป็นแกนกลางจิตเลย

จิต มโน วิญญาณ มันมีสภาพภาวะซับซ้อน  มโน นี่ขั้นอรูป ส่วนกามภพ ก็ระดับจิตสำนึก เป็นระดับวิญญาณ  ถ้าลึกมาเป็นจิต ก็เป็นธาตุรู้รวม  แล้วลึกถึงแกนจิต สุดท้ายถือว่าไม่เกี่ยวกับสภาพข้างนอก เป็นเศษธุลีสุดท้าย เป็นขั้น อรูปสัญญี เป็นขั้นสุด ผู้มีก็สามารถอ่านวจีสังขารได้

มนายตนะ กับ ธรรมายตนะ ทำงานร่วมกันนี่ในระดับอรูป ผู้ใดมีญาณหยั่งรู้อรูป ได้นั้น ก็เพราะว่าเราได้ฝึกอย่างสัมมาทิฏฐิ ฝึกสังกัปปะ 7 เป็น อ่านจิต ตักกะ  แล้ววิตก วิจัย วิจาร ได้ คือเมื่อจิตดำริแรก ก็อ่าน วิจัย จัดการพฤติกรรม อภิสังขาร ตามความรู้ความสามารถของเรา เรียกว่า สังขาร หรือเรียกว่า เพ่งรู้ เพ่งเผา เพ่งกำจัด เพ่งชำระ(ปุนาติ) หรือ ปหาน

เมื่อวานเราพูดถึง วิโมกข์ 8 วันนี้มาพูดอีกให้ละเอียด

ผู้ใดสามารถอ่าน ดักวจี เรารู้สึกตัวในวจีสังขาร แล้วไม่ให้มันออกมาเป็น กายกรรม วจีกรรม ใครดักได้ทัน ยั้งไว้ได้ แล้วประมาณอีก ให้มันเบาหรือแรงกว่านี้  มีไหวพริบว่าจะเลือกคำพูดว่าให้เอาระดับไหน ผู้ดักทำได้คือ อ่านสังกัปปะได้ ใช้จิตตนทำกับจิตตนได้ คือผู้มีบารมี ส่วนผู้ทำไม่ได้ก็ไม่มีบารมี มันจะออกมาโดยสัญชาติ หรือสัญชาติญาณ  เป็นอัตโนมัติ เราไม่มีจิตเร็วไวพอ เรียกว่า ชวนจิต ที่เป็นมุทุภูตธาตุ ที่จะเจริญด้วยมุทุภูเต ทั้งเจโตและปัญญา รู้ก็เร็ว ปรับก็ง่าย  จะเป็นได้ต้องฝึก พวกเราหากพากเพียรก็จะได้

 

สังกัปปะ 7 คือการทำใจในใจ เราจัดการเป็นช่าง เป็นศิลปิน จัดการองค์ประชุมจิต ระดับสังกัปปะ ที่เป็นกายในกาย ที่ลึกระดับอรูป

เราจะทำสัมมาสังกัปปะ เราต้องรู้ธาตุที่เป็น อารัมธาตุ อารัพธาตุ แล้ว เป็นตัวที่4 คือ ปรักกัมธาตุ ก็จะมาสร้างเส้าใหม่ ก็เกิด ถามธาตุ ฐิติธาตุ มีกำลังตั้งฐานที่มั่นอีก ก็เป็นสองเส้า แล้วมีกำลังสูง เหมือนน้าวสายธนู ให้ลูกธนูพุ่งออกไป ที่จะเป็นตัวที่ 7 เรียกว่า ความสำเร็จของจิต ที่ได้เป็นธาตุพยายาม เป็นสัมมาวายามะ ผู้ใดจัดการได้ ยิ่งเรารู้จุดเริ่มอารัพธาตุ(ไม่มีอารมณ์เหมือนพีชะ) แล้วมีอารัมภธาตุ (อารมณ์) มี นิกกัมธาตุ

นาม คือ ธาตุรู้ รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ ในรูป 28 มี มหาภูตรูป อยู่ภายนอก ส่วน ปสาทรูป นี่กึ่งกายกึ่งจิต หากไม่มีจิตเข้าไปทำงานกับประสาท มันก็ไม่เกิดวิญญาณ แม้ร่างกายเรามีประสาท อยู่ในร่าง แต่ไม่ทำงานมันก็แปะกันไว้เฉยๆ แต่เมื่อไหร่มันคน ก็มี รูปนาม ที่สังขาร เป็น รูปกาย คือเริ่มสังขารแล้ว เกิดจิตรู้ แต่ถ้าเป็นนามกายก็เป็นความรู้สึกเต็มเลย นามกาย คือ จิตสังขาร รูปกาย คือ กายสังขาร

แล้วใน กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร เมื่อคนทำนิโรธได้ อะไรดับก่อน...ก็วจีสังขารดับก่อน นั่นคือการทำงานในสังกัปปะ 7  ก็จัดการวิตก วิจาร วิตกคือรู้จักจิตดำริ แล้วอ่านองค์รวมของความนึกคิด รู้เหตุปัจจัยว่าเป็น กาม หรือ พยาบาท แล้วเปลี่ยนพฤติของมันได้ ที่เป็นความเคลื่อนไหวของมัน เราก็จับมันได้แล้ว จัดการให้ดีได้ เป็นพฤติที่จะให้มีอย่างยิ่งก็เป็น วิจาร ทำได้สำเร็จก็เป็น สัมมาสังกัปปะ แล้วไปผ่านด่าน การกรอง เป็นความละเอียดอีกขั้น ทำได้ก็ละเอียดขึ้นๆ จนผ่านไประดับแรกก็ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา สามชั้น ก็สะอาดสุดยอด แล้วเป็นวจีสังขาร

ผู้จะนิโรธเป็น ต้องจัดแจงตัวนี้ ก่อนอื่นในจิตเป็น วจีสังขาร และอยู่ในกายด้วย เกิดใน มนายตนะกับธรรมายตนะ เป็นอายตนะสุดท้าย แล้วพอเป็นวจีสังขาร ก็คือสำเร็จ เป็นนิโรธที่วจีสังขารดับ พอเสร็จแล้วออกมาเป็นวจีกรรม ที่ท่านเรียกว่า ออกจากนิโรธ พวกฤาษีจะดับจิต ไม่รู้จักวจีสังขารหรอก เข้าใจสังขารไม่ถ้วนรอบ หรือเอาวจีสังขารไปปนกับวจีกรรม เพราะไม่รู้ว่าวจีสังขารเกิดที่ไหน หทยรูปที่ไหน ก็ไม่ชัด

กายสังขาร คือ สภาพของรูป 28 ครบหมดทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมองค์ประกอบครบ ก็เกิดกายสังขาร แล้วถ้าจะควบคุมก็ปุถุชน ก็ระงับ ควบคุมได้ตามมารยาทสังคม ระดับสามัญสำนึก เป็น วิกขัมภนปหาน กดข่ม แต่พอผู้ศึกษาเข้าใจ จักขายตนะ รูปายตนะ เกิดกายสังขาร ตา หู  จมูก ลิ้น กาย มีคู่กระทบ คือ รูป เสียง กลิ่น  รส สัมผัส ก็เป็นอายตนะ 10 ก็เหลือ อายตนะ 2 คือ มนายตนะ กับ ธรรมายตนะ เป็นขั้นอรูป

ผู้เรียนรู้ในกายก็จะระงับกิเลสในส่วน ภายนอก จนถึง กายตนะ โผฏฐัพพายตนะ ก็ขึ้นกามคือ สำนึกเป็นภพนอกขั้นที่ 1  แต่พอขั้นที่ 2 ทำได้แล้วก็ไม่ต้องทำอีก คือ อนาคามี เป็นผู้มีนิโรธ จะเป็นได้ต้องดับกายวิญญาณที่เกี่ยวกับภายนอก ทำนิโรธได้ ต้องอนาคามี แต่ถ้าไม่ถึงอนาคามีก็ได้แค่ วิราคะ บรรเทา ยังมีเวียนกลับได้ แต่ถ้านิโรธนี่ดับ ขั้นไม่เวียนกลับ นิยตะ แต่อรหันต์นี่ก็ยิ่งแน่นอนว่าไม่เวียนกลับ

 

เมื่อออกจากนิโรธ อะไรเกิดก่อน ก็จิตสังขาร ซึ่งมนายตนะกับธรรมายตนะเป็นจิตสังขารข้างใน แต่ถ้าจะออกมาภายนอกต้องเกิดจากจิตก่อน ผู้ไม่สัมมาทิฏฐิ ก็จะพูดนิโรธแบบเข้าๆออกๆ แต่ที่จริงคือ ลำดับการเข้า การออก ของคำว่ากาย ที่พระพุทธเจ้าว่า หายใจเข้าก็รู้ว่าเข้า หายใจออกก็รู้ว่าออก ไม่ได้หมายถึงแค่ร่างเท่านั้น แต่คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร ด้วย

ผู้จะรู้ต้องดับกามภพได้แล้ว ตัวรูป(subconscious) ก็จะออกมาให้รู้ถึงภายนอก แม้อนาคามีก็เรียนรู้จิตรูปาวจร แล้วกำจัดกิเลสรูปาวจร ขณะมีองค์ประกอบนอกครบ ในครบ แต่กิเลสที่จะไปปรุงร่วมกับภายนอกนั้นไม่มีแล้ว ตา ก็กระทบรูปปกติ แต่กิเลสไม่มีไปปรุงแล้ว นิโรธแล้ว จึงมีการสังขารได้อย่างแคล่วคล่อง ทำให้ ปริโยทาตา ปริสุทธา มี มุทุกัมมัญญา

พระอนาคามี มีการรู้ภายในได้ดี สัมผัสแล้วรู้ ในก็ตรวจสอบ อากาสาฯ วิญญานัญจาฯ อากิญจัญญาฯ  เนวสัญญาฯ  พระอนาคามีอยู่เหนือกิเลสกาม ล่วงพ้นกามสัญญา เข้าสู่ รูปสัญญา ล้างรูปสัญญา พ้นปฏิฆะสัญญา เหลือแต่อัตตาข้างใน กำหนดได้ว่าโอฬาริกอัตตา เราดับได้แล้ว ทำมนสิการได้ เราก็อมนสิการ เป็นอปุญญะแล้ว รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ใจเป็นจริงด้วย การไม่ใส่ใจในนานัตตสัญญา ก็คืออัตตานอกเราดับได้แล้ว รู้แจ้ง รู้ดี แต่อุเบกขาได้แข็งแรงเลย

ผู้ล่วงพ้นในขั้นอากาสาฯ นั้นไม่มีกามราคะ ปฏิฆะ ตัวโทสะ ปฏิฆะไม่ต้องมีเลยได้ แต่โลภะราคะก็ยังต้องอาศัยอยู่ก็เป็นขั้นตอน จนดับรูปสัญญา ก็คือ อนาคามีแท้ เหลือแต่อนุสัย เศษธุลีละอองจริง โดยไม่ได้ทิ้งรูป 28 การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า มีทั้ง วิญญาณและสัญญา แต่ว่าฤาษีจะมีแต่สัญญา ไม่มีกายครบพร้อม นอกและใน หรือมีจิตเป็นวิญญาณที่ต้องรวมนอกและในด้วย แต่ใน รูปภพ อรูปภพ ก็ไม่มีวิญญาณ มันมีแต่สัญญา ไม่ได้ไปรู้วิญญาณตอนตายหรอกนะ

ใครเห็นผี นอกตัวไม่มีหรอก ใครกลัวผีก็เดินเข้าไปหามันเลย ท่องไว้ว่าแค่ตาย คนเห็นนั้นมันเป็น มโนมยอัตตา ซึ่งมีเป็นธรรมชาติของทุกคน เป็นอัตตาที่ปรุงแต่งเองในจิต ในฝันนี่มโนมยอัตตาทั้งนั้น จะให้เกินจริงอย่างไรก็ได้ตามใจ  ถ้าเราเข้าใจจะรู้ว่าภาวะนิโรธเป็นอย่างไร จะเข้าใจสังขาร 3 อวิชชามีสังขารเป็นปัจจัย หากมีวิชชาก็จะสังขารได้ดีขึ้น ผู้จะสังขารได้ดีต้องรู้วิญญาณ ที่เป็นนามธรรมเกิด เมื่อมีผัสสะภายนอก แล้วเกิดอัตตาภายใน มีระดับหยาบ หรือกลาง ละเอียด

รูปที่รู้ด้วยตา เห็นเส้นแสง สีเสียง คุณก็กำหนดเอาเอง เป็นอินทรีย์ ขนาดของมัน มีความต่างเป็น ลิงค มีสองเพศคือ อิตถีภาวะและปุริสภาวะ ที่บอกสภาวธรรมไม่ใช่แค่รูปหยาบหญิงชาย แต่หมายถึงภาวะจิตที่มีสูงสุดเป็นปุริสสัตตมะ คือ ปุริสภาวะ ที่อยู่สูงสุดอุตตมะ อ่านได้ในส่วนตน เอโก จับสักกายะได้เมื่อไหร่คือ หทยะ(สถานที่-วิหารติ) มันเป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม ใครจะไปกำหนดที่ห้องหัวใจก็แค่ใช้งาน อย่านึกว่าเป็นรูปจริงๆ

มันมีชีวิตเท่าไหร่ แรง เบา มีอิตถินทรีย์ ก็ยังดิ้นอยู่ จนกว่าจะหมดดิ้น สงบ เป็นปุริสภาวะ เราต้องฆ่าชีวิตสัตว์โอปปาติกะ พอฆ่าได้ก็เป็นวิสังขาร ก็มาอยู่อาศัย(วิหาร) ส่วนผู้อวิชชา ไม่รู้หทยรูป มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน ก็อาศัยกวฬีงการาหาร อาศัยอย่างอวิชชา แต่ถ้าผู้ทำได้ก็อาศัยอย่างเหมือนมัน เป็นปุริสัตตมะ ทำไปตามกรอบปริเฉทรูป เราไม่เก่งก็ทำได้แต่ในหมู่กลุ่มเล็ก หรือรอบวงเล็ก แล้วค่อยขยายไป ทำให้มันว่าง เป็นอนันโต อากาโสติ เก่งขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็จบที่ปริเฉทรูป ควบคุมวิญญัติได้ ทั้งกายและวจีวิญญัติ ก็ควบคุมจากภายใน แล้วค่อยออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม แต่ถ้าอยู่ภายในคุณ จัดการกับมันโดยวจีสังขาร ผู้ปฏิบัติธรรมมีนิโรธจึงดับที่วจีสังขารก่อน มาการดักการกรอง วจีสังขารเป็นตัวท้ายก่อนปล่อยเป็นกรรม ถ้าจัดการทำจิตสังขารเก่งก็คือทำสังกัปปะ 7 แล้วผู้มีนิโรธจะควบคุมวจีสังขารได้ วจีสังขารจึงเกิดตามหลังจิตสังขาร กายสังขาร

ไปดูที่อากาสาฯ วิญญานัญจาฯ กัน

ดิน น้ำ ไฟ ลม มีอากาศธาตุแทรกอยู่ เป็นที่ๆนามจะไปเชื่อมต่อด้วยกับมหาภูตรูป ครบทั้ง ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ อากาศเป็นธรรมายตนะ ส่วนวิญญาณเป็นมนายตนะ ในขณะที่เป็นอรูปฌานจึงลึกถึงอากาสาฯ อากาศเป็นรูป เมื่อทำให้พ้นได้ตั้งแต่กรอบเล็กจนถึงกรอบใหญ่ หลายปริเฉท รวมเป็นcontent ก็ทำได้เก่งตามบารมี ทำให้ว่างได้ รวมเป็นบริบท เราต้องประมาณตนว่าตัวเราก็เท่านี้อย่าประมาทอวดดี

จากอากาศก็ถึงวิญญาณ เราอนุโลมไปสังขารกับเขา แล้วเราแลบเลีย ก็ให้รู้อย่าประมาทไปเล่นเชียวก็อ่านรู้เร็วไว ควบคุมยับยั้งหรือให้มันแข็งแรงได้ เราทำให้มันเป็นนักรบที่แข็งแรงเป็นสมาทหัง อ่านวิญญาณก็สะอาดอยู่ทำความบริสุทธิ์แม้จะปรุงแต่งไปกับเขา

ทำให้ทรงวินัย แล้วถึงมีเรือนว่างอาศัย เรือนว่างนี้เป็นนามธรรมนะ เป็นที่อาศัยของนามธรรม คุณก็อาศัยเรือนใจเป็นวิญญาณ วิญญาณก็เป็นเรือนว่างแข็งแรงขึ้น ทำงานให้สังคมดีขึ้นๆนี่คือ ความเจริญของลักษณะธรรม อนุโลมปฏิโลมได้ก็ระวังบัญญัติวินัยทรงวินัย ก็จะอนุโลมปฏิโลมได้ดี มีวิตกวิจารถึงอุเบกขาเร็วไว ไม่ได้คิดถึงปีติสุขสักเท่าไหร่ แต่มันมีเลี้ยงเราอย่างผรณาปีติเป็นพลังแฝง เป็นมโนวิญญัติ ของใครของมันไม่มีใครล่วงรู้ได้ แล้วเราก็อภิสังขารของเรา ซึ่งอเนญชาภิสังขารนี่สั่งสมให้เป็นองค์คุณอุเบกขาดีขึ้นๆ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา 

จะรู้โทษของความประมาท จะลดความอยากได้หน้าตา จะเห็นโทษภัยของความประมาท ไม่หลงโลกีย์อยากเด่นดัง อะไร พระพุทธเจ้าตรัส ความไม่ประมาทนีเป็นธรรมสุดยอด ในอุปกิเลส 16 ตัวท้าย มี มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ ตัวมานะนี่ดีประโยชน์แต่ถ้ายึดก็เป็นมทะ มัวเมาเลย มีทั้งหยาบละเอียด แต่นี่เป็นเมาละเอียดคือ มทะ  (สุรา เมาหยาบ –  เมรยะ คือเมาระดับกลางข้างนอกรู้ร่วมด้วย – เมาระดับ มัชชะ ก็เมาระดับละเอียด)  

ระดับละเอียดลึกเข้าไปก็ไม่มีภาษาจะพูดกันแล้ว อากิญจัญฯ คืออะไรล่ะที่จะไม่ให้มี ในอานาปานสติ ตัวที่ปัสสัมภยังจิตตัง(ทำจิตให้สงบรำงับ) และอภิปโมทยังจิตตัง คือรักษาจิตให้เบิกบานร่าเริงให้เบาลหุตาเท่าที่เราอาศัยได้ บางคนแล้วแต่จริตต้องอาศัยแรงเบาไม่เท่ากัน แต่ว่าต้องมีทิศทางไปหาความเบา รู้สภาวะแววไวเร็วไว ดัดได้ เป็นมุทุตา ก็สามารถทำกัมมัญญตาได้ อย่างมีสัปปุริสธรรม จะรู้ขนาดจัดสรรนอกในได้สัดส่วน ทำให้เจริญ อุปจยะ จะตัดก็ได้ก็ตัดสันตติได้ เราตัดเองเราเป็น อมตบุคคล เรากำหนดกรรมได้ เป็นผู้มีกรรมอยู่ในกำมือ ไม่มีใครล้างกรรมจัดกรรมให้เรา ไม่มีใครมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรเรา เราเป็นเจ้าของกรรม กัมมสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ  กำหนดตายเกิดได้

คำว่าปรสัตตานัง คือเราเป็นผู้รู้ความต่างว่าอันนี้เบาหรือแรง อ่อนหรือแข็ง เรากำหนดเองได้ ตามบารมีจริง ไม่ประมาท ประมาณได้สัดส่วนแล้วน้อยไว้ ไม่ทำมากเกิน ไม่ขาดทุนแต่ถ้าใครมากแล้วจะพลาด ใครเข้าใจรู้ดีจะอัปปิจฉะ อยู่กับความน้อยก็พอ ไม่ใช่ว่ามีมากแล้วพอ คนมีธาตุจิตมักน้อย จึงเป็นลูกพระพุทธเจ้า แต่ก็ไปกับเขาได้เขาจะมาก เราก็น้อย แต่ไปกันได้ แม้จะอุปจยะ ทำสันตติอย่างไร ก็ต้องมีชรตาไปตามลำดับ ทุกอย่างไม่เที่ยง เหตุปัจจัยบางอย่างทำลายได้เราต้องรู้ให้ทันต้องศึกษาฝึกฝน ลักขณะรูป 4 จึงเป็นเครื่องอาศัยของอาริยะ คนประมาทก็จะต่ออย่างห่ามๆ แต่คนไม่มีตัวตนอยากเด่นดังอะไรท่านก็ไม่เสียท่า แล้วจะไม่น้อยไปจนไม่พอ ท่านทำได้ผลพอดี จะประมาณตนว่าเสี่ยงไปไหม หากเสี่ยงไปจะไม่ทำ ถ้าเสียท่าจะสะสมอัตตาก็ไม่ทำ สัจจะจริงของคนไม่มีอัตตาจะไปเสี่ยงทำไม ในประโยชน์ท่านทั้งนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก คนรู้แจ้งเห็นจริงไม่ได้อยากใครได้อัตตาใส่ตนจะไม่ประมาทรู้คุณโทษของสิ่งเกิด ว่าเป็นโทสะ ราคะ โมหะ แต่ถ้าไม่เป็นเราจึงจะต่อ ต้องมีจริง จึงจะต่อได้

สรุปว่าผู้ที่รู้รูป 28  ในมรรคก็คือ ถึงปริเฉทรูป  ส่วนวิญญัติ(ใน)จะอยู่ในวิการรูป ผู้ใดจะให้เกิดให้ต่อก็ทำแต่แน่นอนว่ามันก็มีชรตาแต่ต้องมั่นใจ แน่ใจว่าเที่ยงจึงทำ เราก็จะไม่มีอนิจจตา แต่ต้องระวังว่าสุดท้ายก็อนิจจตา

ผู้ที่รู้อย่างที่อาตมาว่านี่ต้องรู้ แบบไม่รู้ไม่มี ให้เป็นเอกบุรุษ จึงจะพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา(ภพ) สู่สัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาทำงานหนักตรวจสอบครบ เป็นนิโรธเด็ดขาดพ้นอาสวสะ โดยมีมนายตนะ ธรรมายตนะทำงานอยู่ จนบริสุทธิ์บริบูรณ์จริง แล้วเที่ยงแท้ทุกผัสสะทุกปัจจุบันความจริงว่าสูญแน่ จนเป็นอัตโนมัติ มันมาแรงเบาแค่ไหนมาเหลี่ยมไหนมันก็มีกลไกธรรมจักรทำงานจัดการให้ศูนย์ได้ ทุกปัจจุบันความจริงแข็งแรงมั่นคงเป็นคุณนิธิ ของคุณวิเศษแรงพอ ทำได้อย่างเป็นพลังงานบวกลบ ต้องการให้เป็นอย่างไรก็ได้ อดีตก็สูญ อนาคตก็สูญ อนาคตไม่เคยมี มาถึงก็เป็นปัจจุบันเราก็ทำให้สูญได้เสมอ เป็นเช่นนั้นเอง ตถตา

ตถตามีสามนัย

1.ตถตายถากรรม พวกตรรกะจะใช้แบบนี้ ไปเป็นเรื่องนอกตัวหมด ห่านมันคอยาว มะม่วงมันต้นโตแต่ลูกเล็ก ฟักทองต้นเล็กต้นโต นี่ก็ตถตาแบบยถากรรม

2.ตถตาแบบมรรค คือเริ่มรู้สักกายะ รู้ทหยรูป มีอิตถีภาวะเช่นนี้ ไม่สงบ แต่ถ้าทำสงบได้ก็เป็นเอง ปุริสภาวะ พอเรารู้ตัวผีก็ตัวเดียวกับอิตถีภาวะ ตัวหลอกที่สุดคือมายา แต่เป็นแม่ของพระพุทธเจ้าเลยคือ สิริมาหามายา แต่ที่จริงคือตัวทำให้เกิด มีธาตุแห่งความเกิด ก็คือตัวเดียวกับอิตถีภาวะ ตัวหลอกที่สุดคือมายา แต่เป็นแม่ของพระพุทธเจ้าเลยคือ สิริมาหามายา แต่ที่จริงคือตัวทำให้เกิด มีธาตุแห่งความเกิด อิตถีภาวะ แต่ถ้าหมดธาตุแห่งความเกิดก็เป็นปุริสภาวะ คุณรู้ผีตัวแรกเลยก็คือรู้ว่าสักกายะ ยิ่งเป็นตัวแรกๆที่รู้เลยเป็น First impression เลย ว่ามันเป็นเช่นนี้เองหรือผี เป็นอิตถีภาวะ โลภะ ราคะ โทสะ มันเกิดธาตุรู้สัมผัสแรกพบเลย ก็เลยรู้ว่าเป็นเช่นนี้เอง ตถตา

3.ตถตาปรมัตถ์ คือ ตถตาแบบผล คือได้ผลแล้วเป็นเองแล้ว เป็นกตญาณ จบไม่ต้องทำอะไรให้มันเป็นอีก เป็นตถตาปรมัตถ์

อาตมารู้รากของบาลีนะแต่มันเลือนไปแล้ว เช่น

ก คือเริ่ม

ข คือคู่ของมัน

ค คือก่อร่างสร้างเรือนแล้ว

ปีนี้วันนี้วันที่ 1 มกราคม อย่ารู้แต่ภาษา แต่ไม่ได้สภาวะ นักอภิธรรมจะรู้ภาษามา จะไม่รับอาตมา รับได้ยาก เพราะคิดว่าตนเองเก่งกว่า ผู้ใดรับอาตมาได้มีปรโตโฆษะ โยนิโสมนสิการก็จะมีสัมมาทิฏฐิเพิ่มขึ้นๆ พวกเราที่มาเรียน ว.บบบ.


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:04:36 )

580101

รายละเอียด

580101-ทวย. งานว.บบบ.ครั้งที่ 3 สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายได้วิชชา 8

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 1 ปีใหม่ตั้งใจดีๆ เอาสิ่งประเสริฐใหแก่ตนเองให้ได้ รับพร คือธรรมะ ซึ่งธรรมะตอนนี้ที่อาตมาบรรยาย เป็นธรรมะที่ ไม่มีให้ช็อบปิ้งในซุปเปอร์มาร์เกต หรือห้างใหญ่ใดๆก็ไม่มี หรือจะไปหาเอาจากสำนักไหนนะ ตอนนี้เขาก็ให้แก่ประชากรเขาควักสินค้าออกมาใหญ่เลย แต่อาตมานี่ให้พวกเรา โดยพวกเราไม่ต้องไปเดินเลย ไม่ต้องไปนอนโลงเลย พวกเรานั่งตั้งใจฟังด้วยดี ย่อมเกิดปัญญา ได้สิ่งที่เป็นพรปีใหม่ ได้สินค้า ที่ยอดเยี่ยมเลย เป็นผลผลิตที่เราได้ปีนี้ ให้ตั้งใจรับ อาตมาตั้งใจจะให้ดีๆเลย

 

วันนี้จะจับประเด็นของความจริง และความจำให้ลึกขึ้น

 

ความจริงปฏิบัติถูกต้องตามธรรมพระพุทธเจ้า มีรูป 28 แล้วก็ศึกษานามธรรม ที่เรียกว่าเจตสิก 72 เป็นต้น นามธรรมเหล่านั้นล้วนเป็นลักษณะของกาย-จิต-วจีสังขาร ต้องหยั่งรู้นามธรรมเราที่เรียกว่ากาย รู้ถึงอาการ  เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ  แล้วรูปอีก 28 ท่านว่าไว้ครบ มีมหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูปอีก 24 ส่วนนามนั้นให้ศึกษาไปจาก นาม 5 อย่างนี้ ถ้าเราศึกษานามรูปนี้ได้ เราจะได้ความจริง เกิดครบทั้งวิญญาณ 6 สังขาร 3 (กาย-วจี-จิตสังขาร) แล้วจะเรียนวิญญาณ 6 ครบ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรปิฎก เล่ม16 ที่จะต้องศึกษาวิญญาณ 6 ไม่ใช่ว่าศึกษาแต่ภายใน ไม่มีทวารนอกเลย ก็เลยไม่ครบตามพระพุทธเจ้าสอน ก็ไม่เป็นความจริง เพราะเข้าไปอยู่ในภพ มีแต่ความจำ ไม่ครบตามสุรภาโว สติมันโต ก็เลยมีแค่ความจำ อยู่ในรูปจิต อรูปจิต

ศึกษาครบตั้งแต่ภายนอกเลย แต่ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง ไม่เป็นกาย แต่ส่วนที่ลึกเข้าไปถึงปลายประสาทก็เป็นกาย ผิวหนังหนาๆนี่เราเฉือนทิ้งได้สบายเลยไม่เจ็บ ผิวหนังนี่แหละคือสิ่งที่รวมแล้วทุกอย่างก็คือผิวหนัง เรียกว่า กาย หากมีปสาทรูป โคจรรูปเรียกว่านาม

 

ก่อนจะเริ่มต้นอาตมาตั้งหลักให้ ว่าผู้ปฏิบัติธรรมนั่งหลับตาสมาธิ ทำมนสิการแบบหนึ่งทำให้เกิดผลสมาธิ ที่เขาเข้าใจว่าเป็นฌาน สมาธิ ผลของการปฏิบัติหลบจิตเข้าในภวังค์ เป็นสัญญา แบบนั้นเขาจะได้ผลของจิต เป็นมนสิกโรติ ได้สมาธิแบบนั้นไม่ใช่สมาธิความจริง เป็นแค่สมาธิความจำ ไม่มีองค์ประกอบ นอก-ในครับ ที่ต้องเกี่ยวกับมหาภูตรูป โคจรรูป เป็นภาวรูป เป็นอิตถินทรีย์ ปุริสสินทรีย์ ตามภาวะจริงที่ปรากฏอยู่อย่างหลัดๆ เป็นปัจจุบัน นี่คือตัวภาวะที่ปรากฏแท้ๆ เป็น Phenomenal life เราจะอ่านภาวรูป 2 นี้ได้ แล้วต้องรู้ว่ามันเป็นชีวิต ผ่านหทยรูป ตรงไหนที่เราจับอ่านอาการจิตได้ ทางอภิธรรมเขาชี้ไปที่หัวใจห้องที่สี่ ก็ว่ากันไป แต่ความเห็นอาตมาไม่ได้กำหนดแบบนั้น ซึ่งเรากำหนดไม่ได้ไม่มีสถานที่แต่ตอนนี้อยู่ในคูหาสยัง ถ้ารู้ว่าตรงไหนก็คือรูปกาย เป็นนามก็ได้ มีนามร่วมด้วยเสมอ เพราะกายนี่แหละคือ จิต มโน วิญญาณ

 

การนั่งหลับตาสมาธิคือ ความจำ ไม่มีวิญญาณ 6 เวทนา 6 อายตนะ 6 ผัสสะ 6 ในปฏิจจสมุปบาท ครบตัณหา 6 ในภาคปฏิบัติต้องเรียนรู้จากตัณหา 6 ที่ทำงานครบนอกและใน เป็นกายสังขาร พระพุทธเจ้าย้ำว่าถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติครบ จนมีปัญญาเห็นความจริงจบ เป็นสัจญาณ กิจญาณ เห็นด้วยปัญญาว่าอาสวะสิ้นแล้ว แล้วมีสัมผัสวิโมกข์8ด้วยกาย มีกายสังขารไม่ใช่มีแต่จิตสังขารอย่างการนั่งหลับตาสมาธิ ไม่มีกายร่วม ก็ไม่ครบวิโมกข์8 ท่านก็ไม่ถือว่าบรรลุ แม้อาสวะบางอย่างจะสิ้นไป ในกายสักขี จะมีองค์ประชุมของจิต คุณทำกายให้เป็นสักขียืนยันว่า อาสวะบางอย่างสิ้นไป แต่ถ้าไม่ครบกาย รู้กายสังขารไม่ถูก คนนั่งหลับตาสมาธิจะมีแต่จิตสังขาร และไม่ค่อยรู้จักวจีสังขารหรอก

 

กายปัสสัมภยัง เขาก็ว่าคือทำให้ร่างนี้นั่งนิ่ง เขาก็ถือว่ากายสังขารพ้นแล้ว ไม่รับรู้ภายนอกเลย ซึ่งผิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายนี้คือ จิต คือมโน คือวิญญาณ กายสังขารเป็นองค์ประชุมของเจตสิก ทั้งภายนอกภายใน มีมหาภูตรูป 4 ครบเลย

 

แม้ลืมตาสมาธิก็ต้องปฏิบัติที่จิต ที่มีองค์ประชุมครบภายนอกและภายใน การนั่งหลับตาจะไม่รู้วจีสังขาร เพราะว่าวจีนี่กึ่งนอกกึ่งใน แต่ตอนวจีสังขารมันเป็นวิญญัติใน เป็นวิการรูป ไม่ออกมาเป็นกรรมตอนนั้น 

 

ความผิดพลาดของศาสนาพุทธที่ไม่ตรงคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักกายวิญญาณ ไปเอาแต่ความจำ แล้วระลึกว่าวิญญาณคือ ผีเป็นตัวๆ เทวดาก็เป็นตัวๆ มันไม่ใช่ เพราะว่ามันเป็นอาการจิตที่เป็นโลกียะ หรือโลกุตระ มันไม่มีการให้เรียนรู้จนเกิดปัญญา เห็นความจริงตามความเป็นจริง ตามลำดับนะ

 

อาจารย์ไหนๆก็อธิบายสมาธิมีแค่ความจำ ก็ฟังดีๆว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าฟังดีๆจะรู้ว่ามันต้องสัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกาย อาสวะก็สิ้นไปอย่างปัจจุบันหลัดๆเลย ถ้าทำได้แค่ความจำ ก็จะไม่ใช่ความจริง สติก็ไม่ครบ รูป 28 ไม่มีปสาทรูป โคจรรูป  ไม่มีกายวิญญาณ คุณหลับตาเข้าไปข้างใน พวกศึกษาธรรมะยึดว่า กายนี่คือ ภายนอก

 

ผู้ใดอวิชชาจะไม่รู้จักสังขาร สังขารมีวิญญาณเป็นปัจจัย มีนามรูป สฬยตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพ ชาติ ชรามรณะฯ พระพุทธเจ้าว่าสภาวะเหล่านี้ต้องถูกรู้โดยเรา รู้สังขาร 3

 

ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 มีสังขาร 3 (กาย-จิต-วจีสังขาร) คุณต้องมีผัสสะ ไม่มีผัสสะก็เรียนรู้ไม่ได้  ในกายสังขาร เมื่อมีตากระทบรูป มีปฏิกิริยามีธาตุจิตมารับรู้ ก็เป็นกายสังขารแล้ว

กายสังขาร ที่มีมหาภูตรูป มีองค์ประชุมทั้งนอกและใน แต่เวลาศึกษาต้องอ่านที่ จิต ต้องทำใจในใจตรงนั้น ร่างกายเราก็ดูแลมันพอควรก็พอ ไม่ต้องทำให้สวยหล่องามหรอก ไม่ต้องไปผ่าทำให้สวยหรอกแต่ว่าผ่าเพื่อรักษาโรคก็ได้

 

สังขาร วิญญาณ เป็นนามธรรมเราก็อ่านรู้มันได้ ต้องมีเหตุมีปัจจัย ต้องมีผัสสะ อายตนะจึงเกิด เมื่อเกิดเราก็อ่านได้ เรารู้ว่ามันเป็นเวทนาองค์รวม(สัมโมสรณา) ในมูลสูตรตรัสไว้ แยกแยะเวทนา 108 ไล่ต่อไปจนถึง ภพชาติชรามรณะฯ....

 

เราจะเริ่มรู้ตั้งแต่กายสังขาร สรุปย้ำว่านั่งหลับตาสมาธิ เป็นมนสิกโรติ ที่ไม่มีกายสังขารให้คุณศึกษา พระพุทธเจ้าว่าต้องมาสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ไม่อย่างนั้นอาสวะไม่สิ้น ไม่มีสภาวะความจริงว่ากิเลสหมดสิ้นได้เป็นอรหันต์ได้ ต่อให้ว่าอาสวะบางอย่างสิ้นได้ก็ตาม ไม่ง่ายด้วยนะที่จะอาสวะหมดได้ในการนั่งสมาธิ แต่การสัมผัสจริงก็จะรู้ตัวจริง จะดับก็ดับได้จริง ทำการปหาน 5  ได้จริง เป็นนิสรณปหานได้จริง พากเพียรทำตามที่พระพุทธเจ้าสอน ทำได้สุมเฉทแล้วก็ต้องทำต่อ นิสรณปหาน จนปฏิปัสสัทธิปหาน เลย อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตด้วย

 

กายสังขาร คือ ผู้มีญาณหยั่งรู้กายสังขารที่เรียกว่ารูปกาย คือองค์ประชุมของ รูป 28 คือ กายสังขารที่มีกายวิญญาณ มีนามธรรมปรุงแต่งอยู่  เมื่อมีผัสสะ 3 ก็เกิดวิญญาณอย่างปัจจุบันขณะ ไม่ใช่ว่าไปรู้วิญญาณตอนตาย หรือนั่งหลับตาทำ  ซึ่งกายวิญญาณเป็นนามธรรมปรุงแต่งกับรูป ที่มี มหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูปอีก 24 ซึ่งรูปนามนั้น แม้จะแตะสัมผัสกัน แต่ว่าไม่ได้ทำงานทำปฏิกิริยาก็ไม่เกิดอะไร เหมือนมนายตนะกับธรรมายตนะ เขาไม่เรียกว่าผัสสะ เพราะว่ามันอยู่ร่วมกันอยู่แล้ว เป็นธาตุภายใน ธรรมะคือสิ่งทรงอยู่ ถือเป็นจิต มันไม่ทำงานร่วมกันก็ไม่เกิดอายตนะ แต่เมื่อทำงานร่วมกันก็เกิดอายตนะ ท่านเรียกว่าธรรมารมณ์ ส่วนที่ทำงานร่วมกับภายนอกเรียว่าโผฏฐัพพารมณ์ ส่วน มนายตนะ กับ ธรรมายตะ ทำงานร่วมกันอย่างหยาบก็คือ รูปอย่างละเอียด คือ อรูป

 

ถ้าข้างนอกทำงานกับข้างใน คือ กายวิญญาณ เป็นมโน เป็นจิต ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คือกาย เพราะว่าเป็นอาการนามธาตุที่ปรุงแต่งกันเป็น กายในกาย ซึ่งเราปฏิบัติตามมรรค 8 จะมีความจริงครบ มีมหาภูตรูป และมีนามธรรม เราก็อ่านวิญญาณ แล้วแจกเป็น เจตสิก 3 คือ เวทนา สัญญา สังขาร ก็คือ กาย

กายในกาย ของผู้ทำมรรค 8 ก็ปฏิบัติมรรค 7 องค์ อย่างลืมตามีผัสสะ ส่วนผู้ปฏิบัติแบบนั่งหลับตาก็จะมีแต่ความจำ ไม่มีกาย การนั่งหลับตาทำฌานสมาธิในภวังค์เขาจะไม่มีกาย ยิ่งเขากำหนดกายเป็นรูป  รูปร่างก็ยิ่งไม่ใช่ มันขัดแย้ง เขาไม่มีกายสังขาร

 

ในปฏิจจสมุปบาท ถ้าไม่มีกาย ก็ไม่มีให้ศึกษา สังขาร ก็ต้องไม่รู้ไปอีกนานนับชาติ เพราะมิจฉาทิฏฐิ  ในเมื่อผิดตั้งแต่ต้นทาง ก็ไม่มีวันเข้าใจวจีสังขารได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งไปคุยกันอย่างภิกษุณีธัมมทินนา กับอุบาสิกาวิสาขา ว่าเข้านิโรธอะไรเกิดก่อน ก็จะตอบไม่ได้หรอก จะตอบว่าอย่างไร เมื่อคุณว่าคุณเป็นอรหันต์  ก็ตอบไม่ได้

 

กายในกาย คือปฏิบัติมรรค 8 มีสมาธิที่เกิดจากสั่งสมผลจากมรรค 7 องค์ เป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่ให้ไปนั่งหลับตาสะกดจิตให้ใสๆๆๆ  มันไม่ใช่สัมมาสมาธิ ที่เกิดจากอุปนิสา ปริขารัง เป็นเหตุเป็นองค์ประกอบเลย เป็นแค่สมมุติสัจจะ ไม่ใช่ปรมัตถสัจจะของพระพุทธเจ้า

 

เมื่อไม่มีกายสังขาร ด้วยไม่ครบรูป 28 ก็ไม่เรียกว่า กาย ไม่มีโคจรรูป ปสาทรูป ...ก็คือไม่มีกาย ไม่ครบ ไม่มีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ดังนั้นภาวรูป ที่เกิดต่อจากปสาทรูป โคจรรูป แล้วมาเป็น หทยรูป แม้ ภาวรูปก็ไม่มีให้เกิด เพราะไม่มีกาย ภาวรูปที่ต่อจากสังขาร คุณไม่มีกายสังขารให้ศึกษา

 

เมื่อมีความจริงให้สัมผัสก็เกิดกาย ก็มีกายสังขารให้ศึกษาเรียนรู้สังขาร 3 ได้ แต่ถ้าไม่มีการสัมผัสด้วยกาย ก็ไม่เกิด อายตนะ 6 ตัณหา 6 เวทนา 6 ตัณหา 6 ผัสสะ 6 ส่วนนามก็มี 5 รูปก็มีรูป 28  วิญญาณ 6 สังขาร 3 (กาย-วจี-จิตสังขาร) ก็อวิชชาก็คือ ความไม่รู้ในอาริยสัจจ์ และปฏิจจสมุปบาท

  ยมกวรรคที่ 2

                          อวิชชาสูตร

  1.    การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .

2.      การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.      ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ .สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์

6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต

7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์

8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .

9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์    

(อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61)

 

คาดคะเนว่า ฝ่ายคันถะธุระ (ศึกษาวิชาการ) เป็นพระบ้านส่วนใหญ่ ส่วนสายวิปัสสนาธุระ ก็พวกพระป่า นั่งหลับตา ซึ่งมันผิด ไม่มีกายแล้วจะปฏิบัติอย่างไร การปฏิบัติแบบลืมทิ้งไปนี่เป็นแบบฤาษีไม่ครบมรรค 7 องค์ที่มี อาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ เราก็ต้องควบคุมไม่ให้ผิด ไม่ว่าจะพูดผิด (มุสา) ตอนต้นต้องไม่โกหกเลย แค่อย่างนี้ถ้าทำได้บ้านเมืองวิเศษเลย ถ้ายิ่งเป็นผู้มีบทบาทการเมือง ไม่โกหกสีขาวสีดำอะไร ข้อเดียวไม่โกหกนี่ก็บ้านเมืองสุขสำราญแล้ว อย่างรักษาการพระสังฆราชว่าให้แต่ละหมู่บ้านรักษาศีล 5 อาตมาก็ว่าสนับสนุให้คสช.ให้ทำไปเลย

 

มนุษย์ถ้าไม่มีศีล 5 ที่เป็นผลนี่เป็นเดรัจฉานอยู่นะ โดยสัจจะเลย คุณต้องรู้สัจญาณ กิจญาณ กตญาณเลย ต้องยกเว้นไม่กินสัตว์ ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเรา เรื่องกามก็ผัวเดียวเมียเดียว ศีล 5 จะมีสวยงามตามฐานะก็มีอยู่บ้าง อาการการกินก็ไม่ต้องถึงกับกินสองมื้อหรือมื้อเดียว ไม่ต้องก็ได้ จะมีเงินทองบ้านใหญ่โตก็ไม่ว่า  แค่ศีล 5 นี่ยอดแล้วสังคมเป็นสุขแล้ว

 

ชาวอโศกคนจะมาอยู่ในชุมชนเราต้องอย่างน้อยศีล 5 ละอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ เพราะว่าแค่ไม่ฆ่าสัตว์นี่ก็ไม่ทำให้เกิดผลต่อจิตเท่าไหร่หรอก แต่ว่าไม่กินเนื้อสัตว์นี่ทำให้เกิดผลต่อจิตมากเลย

 

มาพูดถึงวิโมกข์ 8

 

สมติกมะ(บาลี) คือล่วงพ้น เราฆ่าเหตุ ดับสมุทัย เราก็ล่วงพ้นจากโลกเก่า เป็นวงวนก้นห้อยแม้ภาษาเก่าแต่รอบใหม่ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนไม่มีสวรรค์เก่า เป็นสวรรค์ใหม่เป็นอุบัติเทพ จนสูงสุดหนึ่งเดียวเป็น วิสุทธิเทพ เลิกวงวนแล้ว ดับภพ

 

ทุกวันนี้พูดกันไม่เข้าใจ วนกับที่อย่างเช่น ปุญญาภิสังขารกับอปุญญาภิสังขาร นี่ก็แปลแค่บุญกับบาป วนไปวนมา ไม่วนรอบจบแล้วขึ้นรอบใหม่ ท่านเข้าใจไม่ครบก็แปลออกมาเช่นนี้ ท่านแปลผิดว่า อปุญญาภิสังขาร คือสังขารเป็นบาป นี่คือวนที่เก่า  จะเข้าใจบุญว่าคือการชำระกิเลส ก็คือทำจนหมดบุญก็อปุญญะ คือทำบุญจนครบหมดรอบก็ขึ้นรอบใหม่

 

กายสังขาร จิตสังขาร จนถึงอรูป ตอนนี้เรามาถึงภาวะของอรูป ล่วงพ้นมาแล้วจากวิโมกข์ 3 ข้อแรก มาถึงวิโมกข์ข้อ 4 เป็นอุเบกขาฐาน ศึกษาสู่อากาสาฯ ตรวจสอบสภาวะว่าง คำว่าว่างไม่ได้หมายถึงจิตว่าเด๋อๆ ว่างโดยไม่มีเครื่องอาศัยเลย แต่ว่าว่างนี้คือ ว่างจากสิ่งสกปรก เป็นจิตดี ใสเจริญขึ้น แล้วถึงขั้นอรหัตตมรรค พอปฏิบัติไม่มีกิเลสแล้ว ไม่มีนิวรณ์ 5 ก็มีแต่อาการว่าง แต่ไม่ใช่ไม่มีจิต แต่มีจิตเจริญ ทำให้ว่างได้ เป็นปุญญะจนอปุญญะ ไม่ต้องทำบุญแล้ว แต่เมื่อไม่ต้องทำบุญแล้ว เป็นสมุทเฉทปหานก็ต้องทำซ้ำทำทวน ทำให้สงบ ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ในอานาปานสติช่วงแรก ถ้าไปหลับตาก็ทำอานาปานสติไม่ครบเพราะไม่มีกายสังขารัง ถ้าเข้าใจถูกก็มีกายสังขารัง จากรูปก็ทำอรูป มีอะไรเหลือก็ทำเพิ่ม แม้มันไม่เหลือก็ตรวจให้มั่นใจ ให้แน่วแน่ แนบแน่นปักมั่น เป็นสมาหิตจิต วิมุติจิต สมบูรณ์ เป็นเครื่องแสดงอนุตตรังจิตตัง

 

สมาหิตัง คือภาษาทางไวยกรณ์ ช่อง 3 past perfect tense คือจิตตั้งมั่นแล้ว เป็นนิจจัง ทุวัง สัสตัง อวิปริณาธัมมัง ในเจโตปริยญาณ 16

เป็นเจโตปริยญาณ ในบาลีว่า ปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง ท่านที่ไม่รู้ก็แปลไปว่ารู้ใจสัตว์อื่นคนอื่นเป็นตัวตนบุคคลไปแต่ไม่ใช่ ที่จริงคือรู้จักสัตว์กาม สัตว์รูปภพ อรูปภพมันต่างกัน ปรสัตตานัง เห็นความเป็นสัตว์โอปปาติกะ แต่ก่อนเราอยู่ในโลกเก่าเป็นสัตว์แต่ตอนนี้เป็นอาริยบุคคลเป็นคนโลกใหม่  มันชัดเจน ว่าคือสัตว์ผุดเกิดในจิต ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาหรอก

 

สราค สโทสะ สโมหะ เราอ่านรู้สราคะ อย่างกามหรือพยาบาทหรือโมหะ คือรากของกิเลส เรารู้สภาวะที่มันประกอบอยู่ แล้วเราก็ทำให้มันจางคลายหรือดับลง ดับได้บางครั้ง (ตทังคปหาน)หรือได้ชั่วคราว หรือทำได้ดีเก่งเด็ดขาด ทำไปแล้วจะเกิดลักษณะของ 7 หรือ 8 เป็นสังขิตตจิตหรือ วิกขิตตจิต เหมือนคนหัดขับจักรยานใหม่ก็ยังไม่คล่องทุกข์ จะมีวิกขิตตังจิตตัง คือ สายฟุ้ง(ปัญญา) ส่วนสาย สังขิตตังจิตตัง คือ สายหด(สายเจโตคือยังไม่สบายหรอก เราต้องทำให้มหรรคตะ ทำวิตกวิจารในการตรวจสอบสังกัปปะ ไม่ให้กิเลสมี อย่างตทังคปหานทำได้แล้วแต่ยังไม่เก่งก็ทำให้ยิ่งขึ้น มหรรคตะ ให้ดีขึ้นอีก เมื่อทำได้ก็พ้นอมหรรคตะ (ยังไม่เจริญ ได้แค่สังขิตตะ วิกขิตตะ) เมื่อทำได้ก็ทำให้มากทำให้บ่อย อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ให้ปรุงแต่งจัดการอย่างนี้แหละ ทำโพธิปักขิยธรรม จนจิตดีขึ้นๆ เป็นสอุตตังจิตตัง จะมีปฏิภาณรู้ว่าดีแต่ไม่จบ มันแต่สอุตตรัง แต่ดีกว่านี้มีอีก คุณจะรู้เอง ต้องทำให้เป็นอนุตตรังจิตตัง ทำให้ 3 กาลของเวทนา 108 ทำจนอดีต อนาคตมันสูญถาวร จิตก็สมาหิตัง ถ้าทำไม่ได้ก็อสมาหิตัง เป็นวิมุติจิต ถ้าทำไม่ได้ก็อวิมุตจิต

 

แม้แต่โสตทิพย์ รสทิพย์รสมนุษย์ สัตว์ทิพย์สัตว์มนุษย์ นี่คือเสียงสอง หรือรูปสอง สามารถแยกได้ว่าอันหนึ่งเป็นปุถุชนอีกอันหนึ่งเป็นระดับอาริยบุคคล อย่างเห็นรูปนี่เห็นเหมือนกันแต่ทิพย์นี่เป็นสิ่งวิเศษ เห็นกระทบรูปนี้แล้ว ใครก็เห็นเหมือนกันแต่ว่าคนมีตาทิพย์ รูปทิพย์เสียงทิพย์สัมผัสรูปนี้ เห็นผีของเรา เรียกว่าโสตทิพย์ ในวิชชาข้อที่ 4 รู้ของเกินมนุษย์สามัญ เพราะเป็นสัจธรรมปรมัตถ์ ไม่ใช่แบบโลกีย์ ที่เห็นปีเทวดาอย่างนิยายมีรูปร่าง แต่แท้จริงคือจิตผี จิตที่มีกิเลสแต่ถ้าจิตลดกิเลสได้นี่แหละจิตทิพย์ ถ้าได้ทิพย์แบบเสพสุขก็เทวดาโลกีย์ แต่ว่ารสทิพย์แบบโลกุตระคือตัดหัวใจเทวดาเก๊เลย  นี่คือทิพย์สองอย่าง อย่างสมมุติสัจจะโลกียะกับโลกุตระ ปรมัตถสัจจะ  ผู้ใดมีโสตทิพย์คือเช่นนี้  แต่เรื่องทิพย์แบบโลกๆนั้นหลงออกนอกขอบเขตพุทธมากเลย จนกู่ไม่กลับ

 

วิปัสสนาญาณ เขาเข้าใจกันเลอะเทอะ เขาอธิบายว่า ถ้าสามารถลืมตาก็เป็นวิปัสสนา แต่ถ้าหลับตาไม่เป็นวิปัสสนา คนก็เลยลืมตาเคลื่อนไหวมือ ไม่ต้องดูก็ได้แต่กำหนดจิตจดจ่อที่มือ หรือว่าเดินก็ได้ จดจ่อตรงนั้นที่กำหนด ก็ได้แต่สมถะ ไม่เป็นวิปัสสนาเลย  เขาก็ว่าเคลื่อนไหวเป็นวิปัสสนา หรือลืมตาก็วิปัสสนา ก็ดีขึ้นมา แต่ว่าไม่เห็นๆรู้แจ้ง ด้วยมีสัมผัสทวาร 6 ก็ยังไม่ใช่วิปัสสนา สำเร็จอิริยาบถอยู่ มีสัมผัสนอก ใน มีรูป 28ครบ

 

ถ้ามีเห็นข้างนอก รู้ตื่น ก็ยังดี แต่ว่าวิปัสสนาไม่ใช่แค่นั้น แต่ต้องมีปัญญา ทำจิตในจิตให้สำเร็จ ก็มีมโนมยิทธิ หรือ มนสิกโรติ ให้เป็นผลสำเร็จทางจิต มโนมยัง ให้เกิดจิตใหม่ เรียกว่ามโนมยินทธิ คือฤทธิ์ทางใจอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ที่ฤาษีเขาสอนกันแบบอิทธิ-อาเทสสนาปาฏิหาริย์  แต่มโนมยิทธินั้นเป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ มโนมยิตทธิคือ ทำจิตในจิตให้สำเร็จด้วยการลดกิเลสได้ผล จนจิตเกิดใหม่ จากการดับอกุศลจิต ไม่ใช่ดับแบบมืดๆ สุภกิณหา แต่ว่าของพุทธทำอย่างมี จักษุ ญาณปัญญา วิชชา แสงสว่าง 

 

อิทธิวิธญาณ  คือความหลากหลาย ผู้เก่งหลากหลาย เช่น อโกปิหุตวา พหุทาโหติ หนึ่งเดียวเป็นหลากหลายได้ ไม่ใช่ว่าเป็นตัวคนเป็นๆนี่เป็นเรื่องโลกีย์ ก็เลยเป็นเรื่องเมจิคไป แต่ว่าที่อาตมาอธิบายภพชาติ มาเป็นสังขาร หรือจากสังขารมาเป็นภพชาติได้ แจกแจงจากหนึ่งเป็นหลายอันได้ หรือหลายอันเป็นหนึ่งเดียวได้  ของพระพุทธเจ้านั้น ไล่จากจิตไร้สำนึกขึ้นมา เป็นจิตใต้สำนึก เป็นจิตสำนึก เพื่อจัดการตัวกิเลสได้ นี่ก็มีหลากหลายวิธี หรือคุณทำให้กิเลสหายไป ไม่ใช่ว่าแค่หายตัวได้ อย่างร่างหายไปแค่นั้น หรือคุณจะปรุงแต่งทำงานเพื่อคนอื่น โดยตนเองไม่มีตัวตน ไม่ทำเพื่อตัวตนเลย นี่คืออิทธิวิธญาณ เป็นฤทธิ์ที่แท้ในความหลากหลาย ทำสิ่งที่หายให้ปรากฏได้ โดยตนเองปรุงให้เขากินอย่างแม่ครัวอรหันต์ ไม่ทำเพื่อตนเอง ตนเองอาศัยกินได้ โดยตนไม่มีรสอร่อยอัสสทะ ทำให้ปรากฏหรือหายไปได้ มีมุทุภูตธาตุ เพราะมีวิมุติแล้ว เนรมิตได้ ทำให้เกิดหรือตาย ทำให้เร็วหรือช้าได้ ทำให้หายหรือมีก็ได้ ทำให้ทะลุภูเขาหรือกำแพงก็ได้ ก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้าทะลุภูเขาจริง แต่ว่าโลกียะกองเท่าภูเขา เราก็เดินผ่านได้ อย่างไปชุมนุม มีกองอาวุธมาเลย แต่อาตมาไม่ได้หวั่นไหว มีโลกธรรมกองเต็มไปหมด ทั้งอำมหิต ยั่วยวนกามเยิ้ม ราคะเยิ้ม โทสะหยาบคายมีเต็มโลกแต่เราเดินเหมือนไปในที่ว่า ไม่ติดขัดเลย ท่ามกลางโลกีย์หยาบคายกระด้างยิ่งกว่าภูเขา เราก็ไม่ติด ไม่ซึมซับ สิ่งนั้นทำลายเราไม่ได้ เหมือนไปในที่ว่า

 

ผุดขึ้นดำลงไปในดินเหมือนไปในน้ำได้ เดินไปบนน้ำโดยน้ำไม่แตกก็ได้ ไม่ใช่ว่ามีฤทธิ์แบบโลกีย์เดินน้ำดำดินได้ เป็นอภินิหารพิเศษ เช่น ถ้าคุณเจอ เงินลับเลย หมื่นล้านคนที่ใจไม่แข็ง หรือคนสามัญหวั่นไหวแน่  เหมือนตกลงไปในน้ำแน่  แต่คนมีอุตริมนุสธรรม อยู่เหนือเงินจะไม่ได้อยากได้เลย ของหลวงก็ทำให้หลวง นี่คือคนประหลาด เดินน้ำดำดินได้กลับกับโลกเขา นี่คือ อิทธิวิธญาณ

 

คุณเจอของอันนี้ใครมากินก็ต้องว่าอร่อย นี่คือธรรมดาต้องจมน้ำ หรือบนดิน แต่ของเรานี่เดินน้ำดำดินได้ ของเขาว่าอร่อยเราก็ว่าเฉยๆ ไม่อร่อย อันนี้เขาว่าสวยเพราะ แต่ว่าทำไมเธอไม่เพราะไม่สวยเหมือนเขา แต่ไม่ดูดไม่ผลัก แต่รู้ว่าเขาก็ชอบของเขาได้

 

คุณถูกกระทบสัมผัสถูกเขาว่าก็โกรธ แค่ว่าเบาๆก็โกรธ แต่ว่าคนนี้ว่าแรงๆก็ไม่โกรธ นี่คือคนประหลาดเดินน้ำดำดินได้ คืออนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ 

 

เหาะไปในอากาศเหมือนนกได้ ก็เบาลอยว่าง สบาย ไม่มีอะไรติดขัดเลย เบายิ่งกว่านกอีก นกมันยังหนักเลย

 

ลูบคลำพระอาทิตย์ได้ อาตมาเคยใช้ภาษาว่า ลูบหัวล้านพระอาทิตย์ได้ ไม่สะทกสะท้าน เราอยู่กับโลกีย์ เงินหมื่นล้านแสนล้าน เราก็อยู่กับมันได้ เขาให้เอามาทำงาน เราก็ทำ เหนื่อยก็ทำ ถ้าไม่หมดก็คืน  ใจไม่หวั่นไหวโลกีย์เลย ต่อให้อำนาจโลกีย์โลกธรรมร้อนกว่าพระอาทิตย์ เราก็อยู่ได้ เหมือนก้อนน้ำแข็งท่ามกลางเตาหลอมเหล็ก  เราก็เย็นได้  คืออำนาจทางกาย ไปตลอดพรหมโลก หมายความว่าพรหมโลกคือ ผู้สร้างทุกอย่างให้อย่างสุจริต

 

เราสร้างลาภ ยศ สรรเสริญให้แก่เมืองไทย เราอาศัยทำงานให้สังคมสะอาดสุจริต เป็นพระพรหมเป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ช่วยเขาได้เราก็จบวางอุเบกขา เป็นพระพรหมสร้างโลก เขาจะไม่ดีทุจริตอย่างไรเราก็อยู่ได้ แม้โลกธรรมอย่างไรแรงมากเราก็ไม่หวั่นไหวเลย จิตใจเราเบาเหาะได้ยิ่งกว่านก


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:05:38 )

580102

รายละเอียด

580102_ทำวัตรเย็น ว.บบบ.รุ่น 3 เรื่อง มหาศีลอันเป็นธรรมนูญพุทธ

พ่อครูว่า...สมาธิพุทธเป็น supra-concentration ไม่ใช่แค่ meditation แต่พุทธก็ศึกษาเข้าไปในภวังค์ก็ได้ต้องสัมมาทิฏฐิ

 

มาสู่มัชฌิมศีล ต่อจากเช้านี้

 

[17] 9. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบทูตกรรม

และการรับใช้เห็นปานนี้ คือ รับเป็นทูตของพระราชา ราชอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี

และกุมารว่า ท่านจงไปในที่นี้ ท่านจงไปในที่โน้น ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ไป ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ใน

ที่โน้นมา ดังนี้.

 

[18] 10. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพูดหลอกลวงและการพูดเลียบเคียง เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังพูดหลอกลวง พูด

เลียบเคียง พูดหว่านล้อม พูดและเล็ม แสวงหาลาภด้วยลาภ.(ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา)

 

 

อาตมาแปลว่า กินข้าวเขาแล้วยังมีน้ำหน้ามาหลอกลวงเขาอีก อันนี้เป็นศิลปะในการแสดงธรรมของอาตมา ประมาณแล้วว่าต้องทำท่าทีลีลาขนาดนี้ไปสื่อ ให้ชวนฟัง ได้เข้าใจ ไม่ใช่หลับไหลหมด ให้เข้าใจซาบซึ้งถึงอภิธรรมต่อจิต เป็นศิลปะ ถ้าผู้ฟังรู้ว่าตนผิด ก็ดี ยิ่งแก้ไขตนก็ยิ่งดี แต่ผู้โกรธ ก็ไม่ดี ถ้าโกรธน่ะ แล้วคุณผิดไหม ใครโกรธก็ตกผลึกในจิต พยาบาทซ้ำ เป็นกรรมใครกรรมมันด้วยอวิชชา

 

ไทยเป็นเมืองศาสนาพุทธ กว่า 95 ในร้อยของคนไทยเป็นพุทธ แต่ปฏิบัติไม่ได้มรรคผล แม้แค่ศีล กาย วาจาก็ยังไม่ได้ แต่พุทธนั้นยังสอนให้ปฏิบัติศีลให้ถึงมรรคผล แม้นิพพานเลยได้

 

                          จบมัชฌิมศีล.

 

 

                      มหาศีล

                         

 ติรัจฉานวิชา

 

พ่อครูแปลให้ชัดว่า เดรัจฉาน จิตวิญญาณยังไม่ใช่คน ยังเป็นแค่จิตระดับเดรัจฉาน  พูดนี้ถ้าไม่เข้าหูไม่ฟังเลย ก็ไม่ต้องพูดถึง ถ้าเข้าหูแล้วก็เข้าใจ ก็เริ่มมีปรโตโฆษะ เสียงนี้ ความหมายภาษานี้ อุเทสแล้วเข้าใจ ถ้าเข้าใจก็มีปรโตโฆษะ ถ้าจิตยินดีรับ ก็เข้าถึง ปัตตะ สัมปัตตะไปเรื่อยๆ บรรลุ ปฏิบัติเข้าไปอีก ก็จะสัมมาทิฏฐิ มนสิกโรติเป็น จะทำใจในใจเป็น

        [19] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

        1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา  เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต  ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ

(พ่อครูว่า อันนี้ชัด จะจุดไฟให้เป็นเปลว หรือมีควัน สมัยโน้นใช้น้ำมันเปรียงหรืออื่นๆ แต่สมัยนี้ใช้ไฟฟ้าเลย แต่โบราณถ้าให้เกิดควันก็ใช้กำยาน ใช้ข้าวสาร โปรยใส่ในไม้ไฟ ก็เกิดควัน สมัยนี้เอาขี้เลื่อยไปปั้นเป็นแท่งธูป จุดให้เกิดควัน ยิ่งบางที่เอาคนมาจุดให้ลอยไปถึงพระเจ้า ที่พุทธประกาศแบบนี้เพราะว่าสมัยนั้นมีการทำแบบนี้เยอะ เป็นศาสนาเทวนิยม หรือศาสนาบางศาสนาก็ไม่เอาการบูชาด้วยไฟแล้ว อย่างฮินดูนี่ เป็นต้น เขาเข้าใจมีปัญญาพ้นเดรัจฉานวิชชาข้อนี้แล้ว พระพุทธเจ้าก็ตั้งธรรมนูญเลยว่า ศาสนาพุทธไม่มีเช่นนี้นะ แล้วปัจจุบันเห็นไหมว่ามีวัดไหนที่ไม่มีจุดธูปเทียนบูชาไฟ ที่พูดไปนี้เกรงใจมาก แต่ก็ต้องตำหนิสิ่งควรตำหนิ ไม่เช่นนั้นก็กู่ไม่กลับ เพราะออกนอกพุทธ แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ ต้องไตร่ตรองดีๆว่าจิตใจจะเป็นแบบไหน ก็ออกนอก ไม่ชำระกิเลส ให้ควันไฟ เป็นสื่อถึงเทพ ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจประหลาด ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ทำลัทธิเช่นนั้นนะ วันนี้ฉลองปีใหม่เลยอธิบายให้ชัดๆ)

 

มาต่อ มหาศีล....ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำ

บูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ

 

พ่อครูว่า...ศาสนาพุทธไม่มีเวียนเทียน ถือธูปเทียนเวียนวน ไม่มี แล้วคิดดูสิว่าศาสนาพุทธเขาแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธไปเท่าไหร่แล้ว งมงายยิ่งกว่าศาสนาเก่าด้วย  เขาทำหยดเทียนลงในน้ำ บางทีมีเลขด้วย มันไม่มีศีลกันแล้ว พระเจ้าทั้งหลาย แล้วส่งเสริมสนับสนุนหลงใหลเชิดชูบูชา อาตมาไม่คิดว่าที่พูดนี่จะกู่กลับ จะกู่กลับไหมหนอ จะฟังรู้เรื่องไหม จะเข้าหูไหม จะเข้าใจไหม  ยู้ฮูๆ

 

อาตมาแสดงออกแสดงธรรมเช่นนี้ เป็นองค์ประกอบศิลป์ เพื่อให้เกิดผลได้สัดส่วนเหมาะสม มีฤทธิ์อำนาจในการเกิดผล ไม่น่าง่วง ให้น่าฟัง เป็นสุนทรียศิลป์ ด้วยรูป รส กลิ่น เสียง ระดับมัณฑนะ แต่ไม่ถึงวิภูสนฐานะ ไม่ถึงขั้นธุดงค์ธรรมชัย อย่างนั้นมันเป็นดราม่ามากไป มีการเดินเหยียบดอกไม้ มีหน้าม้ามากราบ เขาตกแต่ง วิภูสนฐานา เขาที่ทำนี่เป็นอนาจาร (คือไม่น่าประพฤติ ไม่น่ากระทำ หรือแปลว่า อุจาดลามก ) นี่คือเรื่องอุจาด ลามก เป็นเดรัจฉานวิชชา ต้องให้ละเว้นไม่ใช่ทำขึ้นมา ไม่มีสำนักไหนทำกันหรอก ในยุคนี้ ยุคดิจิตอล ขออภัยที่ยกตัวอย่าง ก็ขอบคุณที่มีตัวอย่างชั่วๆให้ยก เป็นเรื่องอนาจาร ไม่ใช่ศิลปะ เป็นกุหนา ลปนา หลอกลวงมาก อยู่ในมหาศีลก็มีเรื่องหลอกลวง เล่ห์เหลี่ยม ให้คนหลงออกนอกทาง

 

มาต่อมหาศีล....ทำพิธีเสกเป่า บูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก

 

เดี๋ยวนี้เขานับถือพระที่ปลุกเสกกันนี่ ว่าเป็นอรหันต์เสียด้วย มีโฆษณามาก เป็นการส่งเสริมเดรัจฉานวิชชานี่ถือว่าทำลายศาสนาพุทธ พวกสื่อสารก็เห็นแก่เงินช่วยประโคม อาจารย์แก่ๆบวชนาน ถูกมุขให้เป็นอาจารย์เกจิ แก่แล้วไม่มีแรงดิ้นไปไหน ก็ว่าขลังหมดแหละ อาตมาพูดชัด พูดของจริง ไปโดนสิ่งมีจริงที่มีเยอะ phenomena พูดไปก็กระทบสิ่งมีจริง อาตมาไม่ได้พูดให้ร้าย(อุปวาทะ)ใคร แต่เขาเป็นของเขาอยู่แล้ว เขาทำมันเดรัจฉานวิชชาทำลายศาสนา อาตมาพูดให้รู้ตัว มันนรกกินหัวแล้ว แล้วเข้าใจว่าเป็นสิ่งน่าเชิดชูบูชาไปอีก เอาหัวเดินต่างตีนเลยแบบนี้

 

มาต่อมหาศีล ….เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็น

หมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็น

หมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์.

       

แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

 

แล้วทำไมภิกษุถึงทำ เพราะอวิชชา ใช้ลาภแลกลาภ พูดไปแล้วถล่มฉลองปีใหม่อีก มันก็ควรจะต้องปฏิวัติ แต่ทุกวันนี้อาตมาก็พยายามส่งเสริมว่าปฏิรูป แต่อยากให้ทำเด็ดขาดแรงๆหน่อย เรียกว่าปฏิวัติ ที่ทำนี่เป็นโอกาสดี ทำให้เข้าหาเป้าหมายดีๆ รู้ทั้งนั้นว่าควรจัดการอะไร อยู่ที่จะทำหรือไม่ทำเท่านั้น แต่กล้าไหมๆ

 

[20] 2. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะผ้า

ทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค.

       

 

 พ่อครูว่า นี่คือพวกดูโหวงเฮ้ง นี่แหละ เอาสารพัดสัตว์มาทำนาย แต่เดี๋ยวนี้เอาสัตว์มาทำเครื่องรางของขลัง แม้นี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่งนะ

 

[21] 3. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก พระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิด พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัยพระราชาภายนอก

จักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาพระองค์นี้จักมีชัย พระราชาพระองค์นี้จักปราชัย เพราะเหตุนี้ๆ.

       

 

พ่อครูว่า...พระราชาจะไปรบก็ทำนายต่างๆนานา สรุปแล้วคือ ทำนายกองทัพ ต้องมีหมอดูประจำกองทัพ โดยเฉพาะหมอดูเป็นพระ แม้นี้ภิกษุก็ควร อารติ วิรติ ปฏิวิรติ เวรมณี 

 

[22] 4. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง

(พ่อครูว่า....ไม่ดูทางเดินของตนว่าออกนอกพุทธเลย แต่ไปทำนายทางเดินดวงดาว) ดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง(พ่อครูว่าไปแย่งงานกรมอุตุนิยมวิทยาเขาหมด )

 

ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์

และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้.

 

[23] 5. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่าย

จักมีภิกษาหาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนนคำนวณ นับประมวล แต่งกาพย์ โลกายตศาสตร์

       

 

พ่อครูว่า... ไม่ใช่ว่าไม่ไปแต่งกราบกลอนไม่ได้ แต่อยู่ในพระไตรปิฎก ก็เป็นกวีด้วย แต่ถ้าพาซื่อก็ว่าแต่งกลอน แต่ที่จริงคือ แต่งกลอนโลกีย์ นั่นเอง

 

[24] 6. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน

ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวง

ท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ.

       แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

 

[25] 7. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกัน

บ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์(มีวัดไหนไม่รดน้ำมนต์บ้างสมัยนี้ นี่คือการแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ ยุคนี้ยุคปฏิรูปปฏิวัติมันก็น่าจะได้เปลี่ยนแปลงแม้ศาสนา) ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัดถุ์

ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัดรักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้นเท่านี้แล.

                        จบมหาศีล.

 

จะเห็นว่าพระพุทธรูปเราก็มีองค์ใหญ่ แต่ไม่บูชาด้วยธูปเทียนบูชาไฟ เราก็กราบเคารพตลอดเวลา คนก็ยังหาว่าเราไม่เคารพพระพุทธรูป ไม่กราบ อย่างนายสะอาด จันทร์ดีก็ว่าเรามาเรื่อยตอนนี้ติดคุกไปแล้ว

 

แล้วจะไปเป็นหมอไปรักษาคนทั่วไปไม่ได้ อาตมาเอาจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มาพูดนี่ไม่ใช่ว่าหาเรื่องเอาเรื่อง แต่ว่าอยากให้หยุดทำสิ่งนอกขอบเขตพุทธ จะได้เจริญเป็นผู้ประเสริฐแท

 

ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นวัดแล้วก็ไม่น่าทำขึ้นมา จนพาฆราวาสหลงทางไป ถ้าพระเจ้าไม่ทำ ใครจะพาทำล่ะ อย่างพระพุทธรูป เราก็มีแต่ไม่ได้ทำแบบเทวนิยม เดรัจฉานวิชชา แต่เขาก็ได้แค่นี้จะเจริญกันได้อย่างไร ขออภัยที่มันไปกระทบ แต่มันเลี่ยงไม่ออก ถ้าคนนอกศาสนาพุทธก็ว่าไป พระพุทธเจ้าประกาศตอนศาสนาพุทธไม่มี มีแต่ศาสนาอื่น พอพูดธรรมนูญ  ศาสนาอื่นเขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะคนละศาสนา แต่ว่าอาตมานี่พูดแล้วมันก็มีผลกับคนในศาสนาเดียวกัน แต่พูดว่าผิด พอเราพูดก็โดนเขา แล้วพุทธเหมือนกันใครจะทำไม พูดว่ากันไม่ได้ จะให้ศาสนาอื่นมาพูด หรือเขาจะปรารถนาดีได้อย่างไรมากกว่าพุทธเรา อาตมาว่านี่ ว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จิตอาตมาดีนะ ให้เลิกทำเถอะ จิตปรารถนาให้เลิกชั่วเลิกผิด ให้มาทำดีเถอะ แต่ขออภัย ศาสนาอื่น ว่าคุณปฏิบัติอยู่อย่างนั้นไม่เจริญ แม้พูดนี่เขาไม่ได้ให้เราแก้ไขนะ เขาย่ำยี แต่ของอาตมานี่ปรารถนาดีนะ ให้ทำให้ดี เข้าใจมโนสัญเจตนาอาตมานะ อาตมาไม่ได้ว่าศาสนาอื่นนะ  เขาจะทำอย่างไรก็ของเขา แต่ของเรานี่พุทธสังวาสเดียวกันนะ แต่นานาสังวาส ตามธรรมวินัยก็ยังเจตนาดี พูดนี่เป็นปฏิโกสนา ท้วงว่าที่ทำผิดให้เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น  ไม่ได้ไปฟ้องศาลนะ  เจตนาพูดนี่เป็นทิฏฐาวิกัม เจตนาให้ปรับปรุง ไม่ได้ถึงคัดค้านมากจนเป็นเรื่องราว ถึงอุโกตนา หรืออโกสะ เป็นการติเตียนใส่ร้ายกัน เป็นแค่ปฏิโกสนา ถ้าให้จริงก็เป็นทิฏฐาวิกรรม

อาตมาเอาของพระพุทธเจ้าเอาธรรมวินัยมาอ้าง เพราะว่าอาตมาไม่ได้พาทำออกนอกธรรมวินัยเลย อาตมาให้มีหลักฐานอ้างอิงบ้าง ไม่เช่นนั้นคนไม่รู้ไม่เห็นอาจไม่เชื่อถือ ก็จะได้ไม่เข้าใจผิด

 

มาข้อ 121 เมื่อท่านกล่าวธรรมนูญเสร็จ ท่านก็ว่า

        [121] ดูกรมหาบพิตร ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เลย

เพราะศีลสังวรนั้นเปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษก กำจัดราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัย

แต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรมหาบพิตร ภิกษุก็ฉันนั้น สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้ว

ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุข

อันปราศจากโทษในภายใน ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถึง

พร้อมด้วยศีล.

         จบมหาศีล.

 

อาตมามั่นใจว่าจะไม่ได้รับภัยเพราะราชศัตรู ที่เข้ามา  พวกเรามั่นใจไหม เมื่อสมบูรณ์ด้วยศีลแล้ว เรามีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เราไม่มีเดรัจฉานวิชา น่าเสียดายวัดวาต่างๆอย่างน้อยก็มีรดน้ำมนต ์เวียนเทียนอีก ต้องพูดให้เตือนสติ กลับคืนสู่สิ่งพาเจริญ ถ้าผู้ใดปฏิบัติให้สมบูรณ์ด้วยศีลจะไม่ประสพภัย เพราะสังวรศีล ทำศีลให้เป็นผลอาริยธรรม ศีลพาให้เกิดอธิจิต จิตลดกิเลสได้ ปัญญาก็เป็นอธิปัญญา เกิดอธิมุติ เจริญสู่นิพพาน

 

ต่อจากศีล ก็สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วเกิดสัทธรรม 7 เป็น ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา

 

สัทธรรม 7 ต่างกับ เทวธรรม หรืออาริยทรัพย์  7 นิดหน่อย เทวธรรมจะมีศีลด้วย (ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พหูสูตร จาคะ ปัญญา) หรือย่อๆคือ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา นี่คือ กัลยาณธรรม ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ถ้าขยายไปอีกก็ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา  ในสัทธรรม 7 ไม่มีคำว่า สมาธ ิแต่ยกสมาธิไปไว้ในฌาน ไปตามลำดับ

 

อินทรียสังวร

       

 

[122] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย?

ดูกรมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ

เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก

คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์

ภิกษุฟังเสียงด้วยโสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ... ลิ้มรสด้วยชิวหา ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...

รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์

ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่า

รักษามนินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุประกอบด้วยอินทรีย์สังวรอันเป็นอริยะ เช่นนี้ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้

แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย.

                         

สติสัมปชัญญะ

       

[123] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ? ดูกร มหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแล

ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืนการนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล

ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ.

 

สันโดษ

       

[124] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ? ดูกรมหาบพิตร ภิกษุใน

ธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง

เธอจะไปทางทิสาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรมหาบพิตร นกมีปีกจะบินไปทางทิสาภาคใดๆ

ก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไปฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่อง

บริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิสาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง

ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ.

       

[125] ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะ และสันโดษ อันเป็นอริยะเช่นนี้แล้ว ย่อมเสพเสนาสนะ อันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง ในกาลภายหลังภัต เธอกลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า เธอละความเพ่งเล็งในโลก มีใจปราศจากความเพ่งเล็งอยู่

ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความเพ่งเล็งได้ ละความประทุษร้ายคือ พยาบาท ไม่คิดพยาบาท

มีความกรุณาหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือ

พยาบาทได้ ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง

มีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ ได้ละอุทธัจจะกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่

ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจะกุกกุจจะได้ ละวิจิกิจฉาแล้ว

เป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉา ไม่มีความคลางแคลงในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จาก

วิจิกิจฉาได้.

 

พ่อครูว่า...เป็นอาริยบุคคลแล้วจึงไปออกป่า แม้พระอุบาลี ไม่ใช่พระเล็กๆ ขนาดนั้นพระพุทธเจ้ายังทัดทานไว้เลยคือ พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด

 

พระพุทธองค์ตรัสว่า...  ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก  ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่   หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้   คือ  จักจมลง   หรือจักลอยขึ้น !!       

(พระไตรปิฎก เล่ม 24   ข้อ 99)

 

นี่คือสิ่งที่มันไม่ขัด ไม่แย้งกัน กับคำสอน สันโดษอันเป็นอาริยะคือ จิตพอ ใจพอ แม้สัมผัสลาภ แตะต้องด้วยกายวาจาใจ มีองค์ประชุมเป็นองค์ประกอบครบ แต่จิตเราปัสสัมภยัง เรามักน้อย แค่นี้เราก็พอ นี่คือสันโดษอันเป็นอาริยะ ไม่ใช่ว่าไปอยู่ผู้เดียว ก็ไม่ใช่อาริยะ นี่คือเข้าใจสันโดษอันเป็นอาริยะไม่ได้จนเข้าใจว่าต้องไปอยู่โดดเดียว นี่คือมิจฉาทิฏฐิ ผู้ไม่มีจิตเป็นสมาธิอันเป็นอาริยะ

 

 อุปมานิวรณ์

       

[126] ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงกู้หนี้ไปประกอบการงาน การงาน

ของเขาจะพึงสำเร็จผล เขาจะพึงใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้น และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเขา

จะพึงมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา เขาพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรากู้หนี้ไปประกอบการงาน บัดนี้ การงานของเราสำเร็จผลแล้ว เราได้ใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้นแล้ว และ

ทรัพย์ที่เป็นกำไรของเรายังมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความ

โสมนัส มีความไม่มีหนี้นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

       

 

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นผู้มีอาพาธถึงความลำบาก เจ็บหนัก

บริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย สมัยต่อมา เขาพึงหายจากอาพาธนั้น บริโภคอาหารได้

และมีกำลังกาย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นผู้มีอาพาธถึงความลำบาก เจ็บหนัก

บริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย บัดนี้ เราหายจากอาพาธนั้นแล้ว บริโภคอาหารได้

และมีกำลังกายเป็นปกติ ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีโรคนั้น

เป็นเหตุ ฉันใด.

       

 

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงถูกจำอยู่ในเรือนจำ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจาก

เรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัย ไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อน

เราถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ บัดนี้ เราพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัยแล้ว และเราไม่ต้อง

เสียทรัพย์อะไรๆ เลย ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีการพ้นจากเรือนจำ

นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

       

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นทาส ไม่ได้พึ่งตัวเอง พึ่งผู้อื่น ไปไหน

ตามความพอใจไม่ได้ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจากความเป็นทาสนั้น พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น

เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นทาส

พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่น ไปไหนตามความพอใจไม่ได้ บัดนี้ เราพ้นจากความเป็นทาสนั้น

แล้ว พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ ดังนี้ เขาจะพึงได้

ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความเป็นไทยแก่ตัวนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

       

 

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษ มีทรัพย์ มีโภคสมบัติ พึงเดินทางไกลกันดาร

หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า สมัยต่อมา เขาพึงข้ามพ้นทางกันดารนั้นได้ บรรลุถึงหมู่บ้าน

อันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดี เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรามีทรัพย์ มีโภคสมบัติ

เดินทางไกลกันดาร หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า บัดนี้ เราข้ามพ้นทางกันดารนั้นบรรลุถึงหมู่บ้านอันเกษม ปลอดภัยโดยสวัสดีแล้ว ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความ

โสมนัส มีภูมิสถานอันเกษมนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

 

       ดูกรมหาบพิตร ภิกษุพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 ประการเหล่านี้ที่ยังละไม่ได้ในตนเหมือนหนี้

เหมือนโรค เหมือนเรือนจำ เหมือนความเป็นทาส เหมือนทางไกลกันดาร และเธอพิจารณา

เห็นนิวรณ์ 5 ประการที่ละได้แล้วในตน เหมือนความไม่มีหนี้ เหมือนความไม่มีโรค เหมือน

การพ้นจากเรือนจำ เหมือนความเป็นไทยแก่ตน เหมือนภูมิสถานอันเกษม ฉันนั้นแล.

                          

รูปฌาน 4

       

[127] เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน ย่อมเกิดปราโมทย์

เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข

เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น. เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร

มีปีต ิและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่น เอิบอิ่ม ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่

วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิด แต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง

 

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน หรือลูกมือพนักงานสรงสนานผู้ฉลาด

จะพึงใส่จุรณ์สีตัวลงในภาชนะสำริด แล้วพรมด้วยน้ำ หมักไว้ ตกเวลาเย็นก้อนจุรณ์สีตัวซึ่งยาง

ซึมไปจับติดกันทั่วทั้งหมด ย่อมไม่กระจายออก ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ทำกายนี้แหละให้

ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว

ที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง

 

ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า

ทั้งประณีตกว่าสามัญผล ที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

       

 

[128] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต

ในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตก วิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุข

เกิดแต่สมาธิอยู่ เธอทำกายนี้แหละ ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่าน ด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ

ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิด แต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง.

 

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนห้วงน้ำลึก มีน้ำปั่นป่วน ไม่มีทางที่น้ำจะไหลมาได้ ทั้งในด้านตะวันออก

ด้านใต้ ด้านตะวันตก ด้านเหนือ  ทั้งฝนก็ไม่ตกเพิ่มตามฤดูกาล แต่สายน้ำเย็นพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้นแล้ว จะพึงทำห้วงน้ำนั้นแหละให้ชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็น ไม่มีเอกเทศไหนๆ

แห่งห้วงน้ำนั้นทั้งหมด ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้องฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมทำกายนี้แหละ

ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุข เกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง

 

ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผล ที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผล ที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

       

 

[129] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอทำกายนี้ให้ชุ่มชื่น เอิบอิ่มซาบซ่านด้วยสุข อันปราศจากปีติ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง

 

 ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง

หรือดอกบัวขาว บางเหล่าซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้ ดอกบัวเหล่านั้น ชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็น ตลอดยอด ตลอดเง่า ไม่มีเอกเทศไหนๆ

แห่งดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ทั่วทุกส่วน ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้อง ฉันใด

ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่น เอิบอิ่ม ซาบซ่านด้วยสุขปราศจากปีติ ไม่มีเอกเทศ

ไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง

 

 ดูกรมหาบพิตร นี้แหละ

สามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

       

 

[130]  ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขา เป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอ

ทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง

 

 ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงนั่ง

คลุมตัวตลอดศีรษะด้วยผ้าขาว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายทุกๆ ส่วนของเขาที่ผ้าขาวจะไม่

ถูกต้อง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว จะไม่ถูกต้อง

 

ดูกรมหาบพิตร

นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

 

ต่อจากนั้นก็เป็นวิชชา 8

 

สรุปว่า ถ้าเราปฏิบัติตนเป็นอาริยะ เสมอๆ สังวรอินทรีย์ อันเป็นอาริยะ สันโดษอันเป็นอาริยะ แล้วเราก็ประมาณในการออกทำงานสู่สังคม มีสติ เป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระ เราจะประมาณเป็น ทำสิ่งเหมาะสมด้วยกรรมกิริยาต่าง ๆจากมโนเป็นประธาน เพื่อให้สำเร็จด้วยใจเรา เป็นตัวตั้งใจเป็นอาริยะ สูงเท่าไหร่จะยิ่งมีประโยชน ์ทำงาน อย่างพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ยิ่งหมดประโยชน์ตน ก็เป็นประโยชน์แก่โลกยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าไม่ลืมตา ไม่พูด อยู่ป่าช้า เขานับถือบูชาว่าเป็นคนหยุดนิ่ง ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ ท่านเป็นผู้ควรได้ของทาน เป็นทักขิเนยบุคคล ท่านมักน้อยสันโดษพอสมควร ไม่เบียดเบียนโลกเลย ฤาษีต่างๆท่านอัตตาเต็มกระบุงเลย ไม่รบกวนใคร แต่ว่าเป็นตัวตนเต็มที่เลย นี่คือโต่งไปทางอัตตกิลมถะ อุตส่าห์ทรมาน ทำได้ แต่ว่าไม่เป็นพุทธ ไม่เบิกบานร่าเริง มีแต่ซึมนิ่ง จะยิ้มบ้างหรือเปล่า ไม่รู้นะ พระพุทธเจ้าว่า แม้จะทำฌานสมาธิได้ก็ให้จิตยินดีรื่นเริง เบิกบานในโลก เป็นอภิปโมทยังจิตตังได

 

ก็ขออวยพรว่า สิ่งที่จะประพฤติต้องเหมาะกับองค์ประกอบ กาลัญญุตา ซึ่งมีสิ่งเป็นภัยเป็นโทษเยอะ เราต้องแข็งแรง กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว เราจะต้องสร้างกรรมที่กล้าหาญ โดยเฉพาะผู้บริหารประเทศ ควรทำได้เป็นปฏิวัติให้ได้  ขอบอกข่าวว่าทางโน้น อำนาจเก่าจะเอาคืนแล้วนะ ทางผู้บริหารควรทำให้เด็ดขาด อย่าเห็นแก่เรื่องใดๆ เช่นรับสินบน หรือเห็นแก่หมู่พวก ขอบิณฑบาตตอนรับปีใหม่เถอะ ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเถอะ ตอนนี้ขอให้เป็นลักษณะปฏิวัติเลย ทำแบบปฏิรูปไม่ทันหรอก ทำให้สุจริตเลย ยังไงป๋าเปรมก็ส่งเสริม ชมว่ากล้าหาญด้วย คนที่มีอิทธิพลต่อบ้านเมือง เอ่ยปากเล็กน้อย คนเขียนการ์ตูนฝั่งตรงข้ามเอาไปเขียน ดอกพิกุลร่วมมาเป็นรถถัง นี่ชัดว่าเขาเป็นฟากไหน เขาว่าแสดงออกนี่เป็นเผด็จการ ซึ่งตอนนี้ได้รัฐาธิปัตย์เต็มๆ แล้วใช้เถอะ อาตมาว่าถูกแล้ว ใช้พลังเด็ดขาด เผด็จการ ขอให้สุจริตใจ ทำเพื่อประชาชนไม่เพื่อหมู่หรือเพื่อใคร เพื่อสิ่งถูกต้องจริงๆ ก็ทำเลย


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:06:36 )

580102

รายละเอียด

580102-ทวช.งาน ว.บบบ.ครั้งที่ 3 ธรรมนูญของพุทธสำคัญไฉน

เจริญธรรมปีใหม่ วันนี้ 2 มกราคม 2558 แล้ว เราจะได้บรรยายกันอีกวันหนึ่ง พรุ่งนี้ก็เข้าสนามสอบแล้ว เป็นวิธีการสร้างตนเอง ตรวจสอบลงบัญชีให้สมบูรณ์ เราปฏิบัติธรรมต้องทบทวนตรวจสอบ พระพุทธเจ้าก็สร้างทฤษฎีไว้แล้ว เรียกว่าเตวิชโช ที่เป็นรูปธรรมก็คือ นั่งสมาธิ อานาปานสติ มีลมหายใจเข้า ออก เป็นกสิณ เมื่อจิตสงบก็ตรวจสอบสิ่งที่ผ่านมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ เมื่อวานเรากินข้าวกับอะไร  อาหารนี้เราชอบใจ เราเผลอชอบใจรสปรุงแต่ง กับกิเลส เผลอไป ลืมปฏิบัติธรรม ลืมอปัณกปฏิปทา เติมโลกียรสเข้าผนึกในอนุสัย กิเลสหนาขึ้นอีก เจ็ดฟุต เติมความอร่อยเข้าไปเสียนี่ แล้วก็เห็นความอุบัติ ความจุติ เคลื่อนสู่ต่ำก็เรียกนรก เคลื่อนสู่สูงก็เรียกว่าเทวดา

คราวนี้อาตมาได้พูดถึงความเกิด ความตาย เราระลึกถึงลงบัญชี เหมือนร้านค้า หยุดขายก็ตรวจบัญชี ว่าสอบตกหรือสอบได้ ว่าเดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว ระลึกข้ามชาติก็ได้ถ้าทำได้จริง มีอะไรเกิดหรือดับ ว่าความเกิดของกิเลสมีไหม เราจัดการมันได้ไหม ดับไหม ดับถาวรไหม ถ้าดับถาวรก็ดับอาสวะอนุสัย ดับได้นาน เสมอ ไม่เกิดอีก ตลอดชีวิตนี้ ตั้งแต่เกิดมากอายุได้ 80 แล้วสัมผัสเหตุที่เคยทำให้เกิดกิเลส อาตมาก็มีเยอะ ชาตินี้สัมผัสแล้วไม่เกิดกิเลสเหมือนคนอื่น แสดงว่าสิ่งนี้เป็นตถตาแล้วเป็นความจริง

ความจริงกับความจำ ตัวนี้แยกวิเคราะห์ชัดเจน  ผู้ปฏิบัติธรรมนั่งหลับตาเข้าภวังค์ โดยเฉพาะผิดคำสอนพระพุทธเจ้าที่ว่าไม่มีความรู้สึกกับภายนอก ตัดภายนอกขาด ก็คือตัดกายออกแล้ว  ไม่มีความรู้สึกกับมหาภูตรูป ไม่มีตารับรูป หูรับเสียง ...แล้ว อะไรกระทบกระแทกภายนอก บางคนเก่งขนาดมีไฟมาจี้ ก็ไม่รู้สึก เพราะว่าไปหลงสมาธิ ตัดกายตัดจิต ผู้ทำได้ขนาดนั้นก็หลงทาง ไปยินดีในฌานสมาธิแบบขาดจากความจริง ที่เป็นทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะเสียแล้ว (สัจจะแท้จริงไม่มี เป็นเรื่องของ สัญญา ย นิจจานิ)

สัจจะจริงๆแล้วที่ต้องรู้ร่วมกับโลก เข้าใจกันดีในสังคมว่าอันนี้เป็นของจริงนะ  คนอื่นก็รู้เหมือนกันกับเรา นี่คือสมมุติ ส่วนปรมัตถสัจจะนั้นเป็นส่วนตน เอโก ใครไม่รู้ไม่เห็นกับเรา สูงสุดถึงนิพพาน รู้จักกิเลส ดับกิเลสให้ดับไปได้ สิ้นแล้วไม่ต้องชำระอีก ถาวร นิจจัง ทุวังฯ

แต่ถ้านั่งหลับตาดับเข้าไป ท่านย้ำว่าในลมหายใจเข้าออก ต้องรู้นะ ว่าหายใจเข้าหรือออกมันต่างกัน สั้นน้อย สั้นมาก ยาว สั้น ต้องมีความต่างระหว่างอิตถีภาวะ กับปุริสภาวะ มันต่างโดยตระกูล ระหว่างความหนักเบา หรือน้อยมาก เราก็ตรวจว่า หมดสิ้นกับเหลืออยู่มันต่างกัน ตรวจถึง เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ตัวบทเรียนสุดท้ายว่าอะไรก็ไม่เหลือ

อากิญจัญญาฯคือ เรื่องรูปที่เราต้องการไม่ให้มีเหลือ ส่วนเนวสัญญากำหนดรู้ นาสัญญาต่างๆ ไม่รู้ไม่ได้ เนวสัญญาคือธาตุปัญญา อากิญจัญฯคือธาตุเจโต คือวิญญาณมันว่าง จากกิเลสแล้ว อากาสาฯคือความว่าง วิญญานัญจาฯคือตัวรู้  ส่วนอากิญจัญฯคือตัวรูป เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาเป็นตัวนาม เป็นตัวที่ 9 ในสัตตาวาส 9 ส่วนในวิญญาณฐีติไม่มี  เป็นอสัญญีสัตว์ เราก็สามารถฝึกได้ เพื่อเรียนรู้แต่ไม่ต้องทำถึงชำนาญ เพราะว่ามันจะติด เช่นพรหมลูกฟัก นั่งอยู่แข็งทื่อผลักก็ล้มอยู่ในท่านั่งเลย แกะไม่ออก ไม่เปลี่ยนท่าเลย ล็อคเลย ถ้าเข้าได้เก่ง พอขับรถยนต์แล้วเผลอเข้าอสัญญีก็ตายเลย ไม่ได้ จึงไม่เอา พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาอสัญญี ก็ทำได้บ้าง แต่ไม่ให้ทำชำนาญเป็นอัตโนมัติ

ส่วนสุทธาวาส 5  ที่จะต้องไปเสพสุข สว่าง ว่างเบา ถ้านั่งหลับตาสมาธิก็เป็น ภูมิอาภัสรา ขออภัยไว้ก่อนที่จะต้องพูด เพราะว่าปีนี้ปี 58 แล้ว เลข 8นี่เป็นเลขก้าวของอาตมานะ เป็นการก้าวขยับไปของอาตมา   พูดแค่นี้นะ เป็นเรื่องที่รู้ได้ยาก ขออภัยพุทธกระแสหลัก และสายพระป่า อาตมาก็ตำหนิสิ่งที่มิจฉาฯทั้งสองสายเลย หรือสายเดรัจฉานวิชชาโดนกระหน่ำตำหนิแน่ แม้แต่สายธรรมกายอาตมาก็ตำหนิ เพราะสายธรรมกายทำให้ศาสนาฉิบหาย นี่ตำหนิหนักรับปีใหม่ เพราะว่าธรรมกายออกบทบาทแรง แพร่ฤทธิ์เดชเลวร้าย ขอภัยที่ต้องพูดแรง ไม่ได้โกรธนะ สงสาร ถ้าหยุดเสียได้อนุโมทนานะ  แต่อย่าโกรธเคืองอาตมานะ อาตมาตำหนิด้วยจริงใจ อาตมามีแต่ปรารถนาให้หยุดทำชั่ว เพราะว่าชั่วมันเป็นจริง แม้คิดก็เป็นจริง ยิ่งออกมาภายนอก สำเร็จอิริยาบถก็ยิ่งเป็นจริง หากหยุดบาปอกุศลได้ก็เป็นเรื่องดี

ขออภัยที่จะต้องตำหนิมากขึ้นอีก ขออภัยแม้ท่านพุทธทาส ขออภัยแม้ท่านพรหมคุณาภรณ์ ที่ตำหนินี้เป็นความจริงใจตามภูมิ อาตมาก็ซื่อเห็นว่าผิดก็ว่าผิด เห็นว่าถูกก็ว่าถูก  อาตมาจะตำหนิหนักขึ้นอีก ไม่ใช่ว่าจะหยุด จะชมยิ่งขึ้นอีกในด้านที่ต้องชม อาตมาได้ใช้ตำราของท่านพรหมคุณาภรณ์ ท่านเป็นนักศึกษาจริง มีความรู้มาก อาตมาเป็นคนละขั้วกับท่าน อาตมาน่ะไร้การศึกษาจริงๆอาตมาได้ใช้งานของท่านตรวจสอบบันทึกไว้ บุญคุณอันนี้ทดแทนกันทั้งชาติไม่หมด แม้ท่านพุทธทาสเช่นกัน แต่อาตมาไม่ได้เอางานของท่านพุทธทาสมาใช้มาก แต่ที่ใช้มากคือสองเล่มของท่านพรหมคุณาภรณ์ แล้วท่านพุทธทาสก็มีอีกอย่าง แต่ไม่ได้มากนัก แต่ก็มีส่วนดีส่วนถูกที่อาตมาใช้

แม้สายหลับตาออกป่า อาตมาตั้งแต่บวชก็เคยเข้าไปอยู่บนเขาครั้งเดียว เข้าไปสร้างกระท่อมบนยอดเขา อาตมานอนคนเดียว กลางคืนฟังเสียงสัตว์ อยู่พอสมควรก็ไปทดสอบ อย่างพระอุบาลีตรัส เมื่อเราเห็นว่าควรทดสอบ ว่าป่าช้า ป่าชัฏ นั้นยากจะทำความวิเวก ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกันพอ ป่าจะเอาใจของเธอไปแน่ ไม่จมก็ลอย ว่าเราจะติดป่าหรือกลัวหรือไม่ เรากล้าเกินไปหรือไม่ อย่างพวกพระป่าเอาชีวิตไปทิ้งในป่าเสียเยอะ ถ้าออกป่า ท่านห้ามไม่ให้ออกคนเดียวด้วย

มาเข้าสู่วิชชา เป็นวิชชา 8 เอาพระไตรปิฎก เล่ม9 มาใช้ วิชชาจรณสัมปัณโน นี่คือพุทธคุณ 9 ลูกพระพุทธเจ้าต้องมีดีเอ็นเอDNA.นี้ น้อยไป มากก็แล้วแต่ ไม่ใช่ว่าพุทธคุณจะมีอยู่แต่ในพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ พุทธเป็นประชาธิปไตย สิ่งดีสูงสุดใครก็มีสิทธิ์ทำได้ ไม่ใช่เผด็จการ ตามควร อย่างมีขอบเขตว่าทุกอย่างต้องเท่ากันหมด ก็บ้ากันไปใหญ่เลยเถิด ต้องมีลำดับ ขั้นตอน สิ่งยกไว้ก็ต้องมี ยกไว้แต่สัมผัสสัมพันธ์ได้อย่างมีสัมมาคารวะ

ในพุทธคุณ 9 โดยเฉพาะวิชชาจรณสัมปัณโน ท่านแบ่งจรณะ 15 วิชชา 9

จรณะ 15 มีศีลเป็นข้อแรก  และมีอปัณกปฏิปทาอีก 3 ข้อ สัทธรรมอีก 7 แล้วมีฌานอีก 4 รวมเป็น15

เริ่มแต่ศีล 5 เป็นบาทฐาน เป็นความครบกาย ครบรูป 28 ที่คนจะศึกษาได้ มีภายนอกเรียกว่ากาย กายไม่ขาดนามธรรม แล้วเวลาปฏิบัติ กายนั้นคือจิตคือมโนคือวิญญาณ ไม่ขาดกาย แต่เวลาปฏิบัติต้องเอาที่จิต วิญญาณ มโน เป็นหลัก

ศีลคือ กรอบ ปฏิบัติให้จิต วิญญาณเจริญ ตั้งแต่อบายมุขก็เรียนรู้ว่ามีอะไร ว่าฐานะของเรา เรามีอะไรหยาบที่สุดต่ำที่สุดเราก็ดูของเรา เรากำหนดแล้ว ปฏิบัติอปัณกะ 3 เครื่องอุปโภค บริโภค โดยเฉพาะอุปโภคนี่ต้องกินทุกวัน อย่างน้อยวันละครั้งก็พอดี  ต้องโภชเนมัตตัญญุตา แม้เรื่องอาหารอย่างเดียวรับรองว่าเป็นอรหันต์ได้เลย ส่วนอุปโภค มีบริขาร แล้วสิ่งเกินมีไหม เราต้องเรียนรู้กิเลสมันเกิดกับสิ่งใด อะไรจัดก็เอาก่อน อะไรพักไม่ต้องทำตอนนี้ก็ต้องตัดกรอบ เป็นปริเฉทะ เป็นcontext ต้องให้ชัด กรอบเดียวก็คือ context หลายกรอบก็เรียกว่า content  ถ้าเก่งกรอบนี้แล้วก็ทำกรอบอื่น จะเชื่อมโยงเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ มีหลายบทก็มีเรื่องในนั้นอีก

ชาคริยานุโยคะคือ การตื่น คือมีสติเต็ม ถ้าหลับไม่เป็นสติมันโต  ถ้าตื่นรู้ก็ชาคริยา รู้นอกใน ด้วยอาการ 32 มีสติมันโต แม้นอนหลับคุณก็ติดนอนหลับ อย่างนั้นหยาบมากแล้วติดหลับ แม้ตื่นก็มีธาตุเจตสิกละเอียดทำงานเท่าที่มีภูมิบารมี

การตื่นนี่มีองค์ประกอบนอกในครบ เราก็ทำให้ตื่นเต็ม ตื่นจากกิเลส กิเลสหมด ก็เป็นพุทธ จิตไร้กิเลส จิตเบิกบาน อภิปโมทยัง การชาคริยะคือ ทำให้ถึงพุทธะ แล้วทำสิ่งองค์ประกอบที่จะใช้เพื่อจัดกรอบ องค์ประชุมของแต่ละฐานะ ปฏิบัติได้

ก็มีผลเป็นสัทธรรม 7  ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา

ยกตัวอย่างไปเปิดผ้าให้คนดูนี่ก็ไม่อายกันเลย นี่หรือเมืองพุทธ แค่ความน่าละอายแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ไม่รู้ อย่างอิสลามเขาก็ยังเคร่งครัดนะ ทำไมไม่มีหิริเลย ไม่ละอายเลย ไม่ต้องพูดถึงโอตตัปปะนะ

จิต หิริ โอตตัปปะ มีทั้งปัญญาและเจโต ในความฉลาดคือ รู้รอบทั้งองค์ประกอบทางทวาร 6 เป็นความรู้ความเชื่อทางปัญญา  ก็มีพหูสูตร เป็นพหุสัจจะ คือมีความจริงมากขึ้น ทั้งสมมุติและปรมัตถสัจจะ ก็เป็นธัมมกถึกต่อไปตามศรัทธา 10 ทรงวินัย จิตมีเรือนว่าง ได้โดยไม่ยากในฌานทั้ง 4 เป็นต้น

ส่วนวิริยะ สติ ปัญญา เพิ่มจากอินทรีย์5 พละ 5 อันนี้จิตกำลังเกิดคุณธรรมของสัทธรรม 7 นี่แหละคือบาทฐานของฌาน จะมีศรัทธา หิริโอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา เพิ่มขึ้นๆ สั่งสมเป็นฌาน เพ่งรู้เพ่งเผา เมื่อเผาหมดแล้ว ก็เหลือแต่ตัวรู้ ฌานต้องมีปัญญา ปัญญาต้องมีฌาน เหมือนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า

ศีล สำรวมอินทรีย์ สันโดษ อันเป็นอาริยะ ตามฌาน เป็นฌาน 1 ถึง 4 ในฌาน 1 มีตักกะ วิตักกะ  เป็นกระบวนการของการทำสมาธิลืมตาเป็นสังกัปปะ 7 คือองค์ประกอบศิลป์อันยิ่งใหญ่ ในสังกัปปะ 7 ตักกะคือเริ่มดำริ วิตักกะคือวิจัยกิเลส ทำสังกัปปะ ที่ดับกิเลสได้ แล้วกลั่นกรองด้วยอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นวจีสังขาร แต่ถ้าจะออกไปสู่ภายนอกก็เริ่มที่จิตสังขาร แล้วตรวจสอบด้วยสังกัปปะ จิตสังขารเกิดก่อน วจีสังขารเกิดทีหลัง เมื่อนิโรธแล้ว แต่ก่อนจะนิโรธ ก็ดับวจีสังขารก่อน

ปฏิบัติได้สัทธรรม 7 ก็เกิดฌาน 1 ถึง 4 เป็นจรณะ แต่จะมีวิชชา8 ประกอบตลอดสาย

 

ปัญญาตัวแรกเรียกว่า วิปัสสนาญาณ วิคือยิ่ง ผู้วิปัสสนาต้องครบกระบวนการจรณะ 15 ครบกายวาจาใจ จึงเรียกว่าความจริงไม่ใช่ความจำ การนั่งสมาธิหลับตา ตัดประสาทให้หยุดนิ่งหมด ก็ทวนกระแสพุทธ ผิดไป หมดพุทธเลย การให้หยุดคิดหยุดทำนี่ ไม่มีวิปัสสนา การนั่งหลับตาไม่มีวิปัสสนา เพราะมีการรับรู้แคบๆ เพราะเอาจิตไปจดจ่อแค่กสิณเล็กๆ แล้วก็คิดว่าจิตเป็น เอกกัคคตา ที่ไม่ใช่แบบพุทธ สรุปว่า วิปัสสนาไม่มีในการนั่งหลับตาสมาธิ เพราะไม่มีรูป 28

ญาณรู้ครบเป็นวิโมกข์ 8 ที่รู้ทั้งนอกและใน ทำแล้วจิตเจริญเป็นโชค(สุภันเตวะ) คือส่ิงดีงาม โน้มสู่ทิศสูงตามฐานะ ถ้าอรหัตมรรคก็เกือบเก้าสิบองศา แต่โสดาบันก็เริ่มตั้งได้สักสิบองศา สกิทาก็เพิ่มอีก แต่วิปัสสนาญาณคือ รู้ๆเห็นๆ ถ้าหูไม่ได้ยิน ไม่เห็นรูปนี่ ก็ไม่มีวิปัสสนาญาณ ต้องสัมผัสอยู่กับเหตุปัจจัยทุกปัจจุบันอย่างเห็นๆ ต้องมีการสัมผัสของรูปและนาม แล้วมีปฏิกิริยา มีธาตุรู้ทำงาน เมื่อได้วิปัสสนสาญาณ ก็เป็นมโนมยิทธิ ซ้อนเข้าจากวิญญาณก็เข้าหาในคือมโน มีฤทธิ์สามารถเก่งทำให้จิตของเรา (ไม่ใช่ตัวตนเราเขานะ) แล้วมีจิตเราทำความสามารถ โดยการเรียนรู้ความเก่งหลากหลาย(วิธ) สรุปว่า มีฤทธิ์ในการตัด ทำลาย กำจัดกิเลสได้ ไม่ใช่ไปเล่นฤทธิ์อื่นๆ เช่นอ่านใจคนอื่น ไม่ใช่จะต้องอ่านใจตน สรุปว่าเป็นผู้มีฤทธิ์หลากหลาย เป็นหนึ่ง หนึ่งเป็นหลากหลายก็ได้

ทิพยโสต จะรู้สองสภาพคือ สภาพมนุษย์ และสภาพทิพย์ ที่เป็นสภาพวิเศษ เช่น ได้ยินเสียงไกล หรือใกล้ก็ตาม แต่ผู้มีโสตทิพย์ จะแยกออกว่านี่เสียงกลอง อันนี้เสียงเปิงมาง อันนี้เรียกว่าบัณเฑาะว์ อันนี้ตะโพน แยกออกแม้เสียงไกลหรือน้อยก็รู้ได้อย่างทิพย์ คือรู้กิเลส แม้กิเลสหยาบ หรือแม้กิเลสเล็กละเอียด สัมผัสเบาก็รู้ แต่ถ้าหยาบก็ยังไม่รู้ ไปกับมันเลย นี่คือโง่มากไม่รู้จักผี ที่โลกเขาว่าเป็นเทพบุตร แต่แท้จริงคือมาร , ทิพยโสต นั้นรู้เสียงสองเสียง รู้ทิพย์ อย่างสัมมาทิฏฐิ

เจโตปริยญาณ 16 เมื่อวานอธิบายแล้ว

บุพเพนิวาสานุสติญาณ  จุตูปปาตญาณ  อาสวักขยญาณ สามประการหลังนี้คือ เตวิชโช ต้องทำให้ประจำ ส่วนห้าอย่างแรก เป็นสิ่งที่จะเกิดเป็นผลจากการทำจรณะ 15 ทำฌาน แต่ว่าเตวิชโชต้องหมั่นทำตรวจสอบว่ากิเลสสูญทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีตที่สูญ อนาคตก็สูญ ทั้งหมดไม่ได้บอกเลยว่าให้ไปนั่งหลับตา ที่สำนวนว่าอยู่ป่าก็ดี  คำว่าก็ดี มาจากบาลีว่า “วา” ที่จริงไม่ใช่ว่าต้องไปป่า แต่อยู่กับเมือง มีสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่หนี(โลกันตะ ไปสุดโลกไม่มีที่ไปแล้วนั่นแหละ นรกสุด) ศาสนาพุทธไม่มีหนี ต้องสู้ไม่ใช่เป็นนักรบที่ได้ยินเสียงเกราะก็วิ่งหนี  ได้ยินเสียงม้าก็วิ่งหนี นั่นไม่ใช่นักรบพุทธ  ถ้าหนีก็จะเนิ่นช้า ต้องเข้ามาอยู่ในองค์ประกอบที่พร้อม มีสัปปายะ 4 มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ในสังคมอโศกมีพร้อม พาเจริญครบ ผู้ใดรู้ว่าสถานที่ๆควรอยู่ก็มาอยู่ มีมิตรดีสหายดี มีสิ่งอาศัยไม่มอมเมา เด็กๆเล็กๆ อยู่ที่นี่เป็นบุญมากเลยเขาจะซึมซับทุกวินาที แม้นอนหลับที่นี่ก็ osmosis ยิ่งกว่าโอสถทิพย์แทรกเข้ารูขุมขนนะ เพราะว่าคำสอนของอาตมามีฤทธิ์สูงแทรกได้ แม้คนนอนหลับก็แทรกได้ (ขออภัยยกตัวยกตน) ขอให้มีสัมผัสเถอะ แม้คุณปิดเครื่องมันก็เข้า ถ้าพลังงานเครื่องส่งเก่งและสูง

คุณสามารถมีวิชชา 8 ได้ไม่ใช่เรื่องประหลาดเลย ในวิชชาจรณะสัมปัณโน ไม่ใช่เรื่องลึกลับ หรือว่าเป็นแค่ของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้านั้นทุกคนมีสิทธิ์เอามาปฏิบัติได้ แต่ให้หยุดปลายเหวก่อนนะ พระพุทธเจ้าไม่หวงลิขสิทธิ์ ในสิ่งประเสริฐต่างๆ ที่อาตมานำมาอธิบาย จะมีทั้งตำหนิและชม แต่บุคลิกศาสนาพุทธจะมีติมากกว่าชม  การตินี่แม้เขาจะติด้วยอคติ ด้วยหวังร้ายก็ตาม แต่ถ้าเขาตำหนิถูกต้องเราก็เลือกเอาสิ่งดีมาใช้ ส่วนเขาจะร้ายเราไม่เอาด้วยหรอก ไม่รับ เป็นกรรมของเขา แต่ขอบคุณที่เอาสิ่งดีมาให้  คนจะติเลวร้ายอย่างไร แต่มีสิ่งถูกเราก็รับได้ แต่ว่าที่ด่าที่ติด้วยเมตตา นั้นละ อาตมาก็ติด้วยปรารถนาดี

พระไตรปิฎก เล่ม 9 ท่านสอนว่าอย่างไร ท่านขึ้นต้นด้วยศีลก่อน แล้วมีจรณะ 15 นี่คือภาคปฏิบัติลืมตา ขอย้ำที่ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นธรรมนูญรากเหง้า เหมือนรัฐธรรมนูญอินเดียที่ ดร.เอ็มเบ็ดก้าเขียน ก็ใช้มาจนปัจจุบัน และของพระพุทธเจ้าก็ตราไว้เป็นธรรมนูญฉบับแรกฉบับเดียว ไม่ให้แก้ด้วย แต่ทุกวันนี้เขาไม่เอา อโศกมากู้คืน ต้องทำให้ได้ตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ไปฉีกรัฐธรรมนูญ

จุลศีล

          [2] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด

นั่นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต

จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้น เป็นไฉน?

          [3] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

1. พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา

มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

2. พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้

ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่.3. พระสมณโคดม ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติ

ห่างไกล เว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน.

          [4] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

4. พระสมณโคดม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์

มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก.

5. พระสมณโคดม ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไป

บอกข้างโน้น  เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น  แล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้

คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง

ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน

กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน.

6. พระสมณโคดม ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ

เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ.

7. พระสมณโคดม ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำ

ที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐานมีที่อ้าง มีที่กำหนด

ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร.

          [5] 8. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคาม

          [6] 9. พระสมณโคดม ฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล.

 10. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่น

อันเป็นข้าศึกแก่กุศล.

 11. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการทัดทรงประดับและตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้

ของหอมและเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.

 12. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่ง ที่นอนอันสูงใหญ่.

 13. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทองและเงิน.

[7] 14. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.

15. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.(ไม่ใช่ว่าเนื้อสุกรับได้นี่พวกเบี้ยวบาลี)

16. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมาร.(ข้อนี้มีลูกศิษย์ผู้ชายได้ แต่ผู้หญิงอย่ามาเป็นไวยาวัจกร ซึ่งไม่ใช่ทาสหรือผู้รับใช้นะ แต่เป็นผู้ช่วย)

17. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.

18. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.(กินนมใช้ขน)

19. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร (กินเนื้อมัน)

20. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.(ใช้แรงงาน)  (ป่วยการจะพูดถึงสัตว์เลี้ยงไว้ดูเล่น ไม่ให้ทำอยู่แล้วเพราะทำให้ก่อนเวรานุเวรผูกพันต่อกัน)

21. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.(อาตมาก็มีคนมามอบที่ดินให้อยู่เรื่อยๆ แต่อาตมาไม่ได้รับที่ดินเป็นของอาตมา แต่ให้ส่วนกลาง แต่ว่าถ้าจะให้แล้วให้ตัดขาดเลย ไม่ให้มีเงื่อนไข ว่าให้ทำอะไรต่ออะไรอีก เรารับมาก็ต้องเอามาใช้ประโยชน์ อย่ามาเป็นตัวกูของกูอีก ให้ก็ให้เลย สรุปว่ารับเป็นส่วนกลางไม่ใช่ของตนเอง)

ขอแทรกว่าตอนนี้บ้านราชฯจะทำการจัดสรรที่ดิน 52 ไร่ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้เป็นทุ่งนา จะให้พวกเราจัดสรรอยู่พักอาศัย เพื่อให้พวกเรามีที่พักเมื่อมา มันจะมีถึง 300 แปลง ผู้จะมาก็จะไม่เรียกว่าซื้อ เพราะไม่ได้โฉนด แต่ว่าได้สิทธิ์ มี300 แปลง แปลงละ 50,000 บาท แปลงละ 100 ตารางเมตร ผู้จะมาซื้อแล้วอยู่ได้ต้องสมาทานศีล 5 ละอบายมุข ทานมังสวิรัติ คุณมีสิทธิ์ซื้อได้ถึง 225 ตร.ม.ต่อแปลง แต่มีสิทธิ์ปลูกบ้านได้ใหญ่ที่สุดแค่ 100 ตร.ม. จะซื้อหลายแปลงก็ได้ แต่บ้านจะอามาต่อกันไม่ได้  ต้องขยายที่พัก ขยายที่ทำกสิกรรม ทั้งต้องการบุคคลมาด้วย อย่างที่กุดระงุมก็ให้ธงชนะเขาทำกสิกรรม เขามีพรสวรรค์ในการทำกสิกรรม กะหล่ำนี่ใบเท่ากระด้ง ของดีราคาถูกซื่อสัตย์มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อเบื่อทวง ปวดท้อง

22. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรม และการรับใช้.

การทำงานเชื่อมต่อกับสังคมกับทุกคน การทูตกรรม นั่นเอง แล้วการรับใช้ ถ้าคุณทำงานให้เขา แล้วรับเงินจากเขานี่คือคุณรับใช้ แต่ถ้าทำให้เขานี่ไม่ได้เอาอะไรไม่คือ การรับใช้ แต่ไปเทศน์แล้วเอาเงินเขานี่แหละ คือการรับใช้ เทศน์ก็เอาเงิน แต่ว่างานการไม่ทำเดี๋ยวหาว่ารับใช้ฆราวาส แต่ไปพูดไปเทศน์นี่เอาเงินเขานะ สรุปว่าไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนคือไม่รับใช้ นอกจากงานบางอย่างผิดวินัย ผิดศีล ทำไม่ได้ แต่ถ้าไม่ผิดศีล ผิดวินัยก็ทำได้ เช่นประท้วง เป็นความจำเป็นด้วย ออกไปนี่เสียงระเบิดและโดนปืนยิงด้วย แต่เขายิงไม่ถูก

การรับใช้คืออะไร  การรับใช้ถ้าพ้นมิจฉาชีพข้อลาภแลกลาภ นี่คือผู้พ้นจากการรับใช้คฤหัสถ์ ไม่ใช่ว่าบิณฑบาตแล้วก็ไม่ทำอะไร สบาย เอาแต่นั่งสมาธิเดินจงกรม

อย่างทูตกรรม นี่ทุกวันนี้มหาเถรสมาคมก็มีทูตไปต่างประเทศ แต่เราเป็นทูตก็ไปช่วยเขาเชื่อมต่อ เพื่อให้ ไม่ใช่เพื่อเอาจากเขา นี่คือทูตที่แท้จริง เราเป็นทูตได้ ถ้าพ้นลาภแลกลาภ ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา นี่คือการพ้นจากการรับใช้ที่แท้จริง

23. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการซื้อการขาย.

24. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง การโกงด้วยของปลอม และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.

 

โดยเฉพาะปลอมธรรมะพระพุทธเจ้า เช่น  ธุดงค์ที่ทราม คือการตกแต่งประดิษฐ์ประดอย นี่คือการโกง หรือว่าการสร้างวัตถุมงคลนี่ก็ปลอมและโกง

25. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง.

การเทศน์แล้วได้เงินคือสินบน ผิดทั้งข้อ 22 และข้อ 25

26. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น

และการกรรโชก.

ธรรมนูญ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี่อย่าละเมิด เป็นพุทธธรรมนูญ แท้จริง

 

มัชฌิมศีล

          [9] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

 1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการพรากพืชคาม และภูตคาม เห็นปานนี้ คือ พืชเกิดแต่เง่า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบห้า.

[10] 2. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เช่น อย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้เห็นปานนี้ คือ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน

สะสมเครื่องประเทืองผิว สะสมของหอม สะสมอามิษ.

          [11] 3. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่น อย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่นอัน

เป็นข้าศึกแก่กุศลเห็นปานนี้ คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำเป็นต้น

การเล่านิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมืองที่สวยงาม

การเล่นของคนจัณฑาล การเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค

ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล

การจัดกระบวนทัพ กองทัพ.

(สมัยนี้มากกว่าสมัยพระพุทธเจ้ามากเลย ล้วนแต่มอมเมากัน แต่พวกเรา ถ้าจะอนุโลมเล่นฟุตบอลก็ให้โยนไปมากัน ไม่เล่นแข่งเอาชนะคะคาน หรือตะกร้อวง แบตมินตัน ก็ให้เล่นแต่ไม่แข่งเอาชนะคะคาน )

          คำตรัสของพระพุทธเจ้าต้องเอามาใช้ หากไม่ใช้ก็สูญ

มีคนเขียนมาให้ว่า..ป้ายที่เขาเขียนให้ธุดงค์นั้นเขาว่าโรยด้วยดอกดาวรวย ไม่ใช่โรยด้วยดอกดาวเรืองนะ นี่คือเล่ใช้ภาษาหลอก คำว่ารวยนี่ชูใจคน แล้วเลี่ยงคำว่าโรย ทำดราม่าตกแต่ง ก็ถล่มไปหนัก ขออภัยนะอย่าโกรธกันเลย พูดด้วยปรารถนาดี ถ้ารู้ว่าบาปอย่าทำต่อเลย เอาเรื่องใหญ่โตมาสร้างภาพ คนก็หลงใหญ่โต แต่พระพุทธเจ้าว่าอันใดพามักใหญ่ อันนั้นไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า แต่ว่าให้น้อยไว้ แล้วจะโตไปตามลำดับ อย่างอโศกนี่มีพระพุทธรูปใหญ่ หรือสร้างตึกใหญ่ เป็นส้วม

ลัดมาข้อนี้เลย อาตมาอ่านแล้วสะดุด

[17] 9. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบทูตกรรมและการรับใช้เห็นปานนี้ คือ รับเป็นทูตของพระราชา ราชอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีและกุมารว่า ท่านจงไปในที่นี้ ท่านจงไปในที่โน้น ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ไป ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ในที่โน้นมา ดังนี้.

การไปรับใช้ก็คือการไปเอาอะไรแลกเปลี่ยนมานั่นเอง..อีกหลายข้อก็มีเช่น  ติรัจฉานกถา ก็ทำกัน หรือว่าหลงสิ่งใหญ่สิ่งโต เลอะเทอะไปหมด ขออภัยที่วันนี้ถล่มเสียเยอะเลย


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:07:32 )

580102

รายละเอียด

580102-ทวช.งาน ว.บบบ.ครั้งที่ 3 ธรรมนูญของพุทธสำคัญไฉน

เจริญธรรมปีใหม่ วันนี้ 2 มกราคม 2558 แล้ว เราจะได้บรรยายกันอีกวันหนึ่ง พรุ่งนี้ก็เข้าสนามสอบแล้ว เป็นวิธีการสร้างตนเอง ตรวจสอบลงบัญชีให้สมบูรณ์ เราปฏิบัติธรรมต้องทบทวนตรวจสอบ พระพุทธเจ้าก็สร้างทฤษฎีไว้แล้ว เรียกว่าเตวิชโช ที่เป็นรูปธรรมก็คือ นั่งสมาธิ อานาปานสติ มีลมหายใจเข้า ออก เป็นกสิณ เมื่อจิตสงบก็ตรวจสอบสิ่งที่ผ่านมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ เมื่อวานเรากินข้าวกับอะไร  อาหารนี้เราชอบใจ เราเผลอชอบใจรสปรุงแต่ง กับกิเลส เผลอไป ลืมปฏิบัติธรรม ลืมอปัณกปฏิปทา เติมโลกียรสเข้าผนึกในอนุสัย กิเลสหนาขึ้นอีก เจ็ดฟุต เติมความอร่อยเข้าไปเสียนี่ แล้วก็เห็นความอุบัติ ความจุติ เคลื่อนสู่ต่ำก็เรียกนรก เคลื่อนสู่สูงก็เรียกว่าเทวดา

คราวนี้อาตมาได้พูดถึงความเกิด ความตาย เราระลึกถึงลงบัญชี เหมือนร้านค้า หยุดขายก็ตรวจบัญชี ว่าสอบตกหรือสอบได้ ว่าเดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว ระลึกข้ามชาติก็ได้ถ้าทำได้จริง มีอะไรเกิดหรือดับ ว่าความเกิดของกิเลสมีไหม เราจัดการมันได้ไหม ดับไหม ดับถาวรไหม ถ้าดับถาวรก็ดับอาสวะอนุสัย ดับได้นาน เสมอ ไม่เกิดอีก ตลอดชีวิตนี้ ตั้งแต่เกิดมากอายุได้ 80 แล้วสัมผัสเหตุที่เคยทำให้เกิดกิเลส อาตมาก็มีเยอะ ชาตินี้สัมผัสแล้วไม่เกิดกิเลสเหมือนคนอื่น แสดงว่าสิ่งนี้เป็นตถตาแล้วเป็นความจริง

ความจริงกับความจำ ตัวนี้แยกวิเคราะห์ชัดเจน  ผู้ปฏิบัติธรรมนั่งหลับตาเข้าภวังค์ โดยเฉพาะผิดคำสอนพระพุทธเจ้าที่ว่าไม่มีความรู้สึกกับภายนอก ตัดภายนอกขาด ก็คือตัดกายออกแล้ว  ไม่มีความรู้สึกกับมหาภูตรูป ไม่มีตารับรูป หูรับเสียง ...แล้ว อะไรกระทบกระแทกภายนอก บางคนเก่งขนาดมีไฟมาจี้ ก็ไม่รู้สึก เพราะว่าไปหลงสมาธิ ตัดกายตัดจิต ผู้ทำได้ขนาดนั้นก็หลงทาง ไปยินดีในฌานสมาธิแบบขาดจากความจริง ที่เป็นทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะเสียแล้ว (สัจจะแท้จริงไม่มี เป็นเรื่องของ สัญญา ย นิจจานิ)

สัจจะจริงๆแล้วที่ต้องรู้ร่วมกับโลก เข้าใจกันดีในสังคมว่าอันนี้เป็นของจริงนะ  คนอื่นก็รู้เหมือนกันกับเรา นี่คือสมมุติ ส่วนปรมัตถสัจจะนั้นเป็นส่วนตน เอโก ใครไม่รู้ไม่เห็นกับเรา สูงสุดถึงนิพพาน รู้จักกิเลส ดับกิเลสให้ดับไปได้ สิ้นแล้วไม่ต้องชำระอีก ถาวร นิจจัง ทุวังฯ

แต่ถ้านั่งหลับตาดับเข้าไป ท่านย้ำว่าในลมหายใจเข้าออก ต้องรู้นะ ว่าหายใจเข้าหรือออกมันต่างกัน สั้นน้อย สั้นมาก ยาว สั้น ต้องมีความต่างระหว่างอิตถีภาวะ กับปุริสภาวะ มันต่างโดยตระกูล ระหว่างความหนักเบา หรือน้อยมาก เราก็ตรวจว่า หมดสิ้นกับเหลืออยู่มันต่างกัน ตรวจถึง เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ตัวบทเรียนสุดท้ายว่าอะไรก็ไม่เหลือ

อากิญจัญญาฯคือ เรื่องรูปที่เราต้องการไม่ให้มีเหลือ ส่วนเนวสัญญากำหนดรู้ นาสัญญาต่างๆ ไม่รู้ไม่ได้ เนวสัญญาคือธาตุปัญญา อากิญจัญฯคือธาตุเจโต คือวิญญาณมันว่าง จากกิเลสแล้ว อากาสาฯคือความว่าง วิญญานัญจาฯคือตัวรู้  ส่วนอากิญจัญฯคือตัวรูป เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาเป็นตัวนาม เป็นตัวที่ 9 ในสัตตาวาส 9 ส่วนในวิญญาณฐีติไม่มี  เป็นอสัญญีสัตว์ เราก็สามารถฝึกได้ เพื่อเรียนรู้แต่ไม่ต้องทำถึงชำนาญ เพราะว่ามันจะติด เช่นพรหมลูกฟัก นั่งอยู่แข็งทื่อผลักก็ล้มอยู่ในท่านั่งเลย แกะไม่ออก ไม่เปลี่ยนท่าเลย ล็อคเลย ถ้าเข้าได้เก่ง พอขับรถยนต์แล้วเผลอเข้าอสัญญีก็ตายเลย ไม่ได้ จึงไม่เอา พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาอสัญญี ก็ทำได้บ้าง แต่ไม่ให้ทำชำนาญเป็นอัตโนมัติ

ส่วนสุทธาวาส 5  ที่จะต้องไปเสพสุข สว่าง ว่างเบา ถ้านั่งหลับตาสมาธิก็เป็น ภูมิอาภัสรา ขออภัยไว้ก่อนที่จะต้องพูด เพราะว่าปีนี้ปี 58 แล้ว เลข 8นี่เป็นเลขก้าวของอาตมานะ เป็นการก้าวขยับไปของอาตมา   พูดแค่นี้นะ เป็นเรื่องที่รู้ได้ยาก ขออภัยพุทธกระแสหลัก และสายพระป่า อาตมาก็ตำหนิสิ่งที่มิจฉาฯทั้งสองสายเลย หรือสายเดรัจฉานวิชชาโดนกระหน่ำตำหนิแน่ แม้แต่สายธรรมกายอาตมาก็ตำหนิ เพราะสายธรรมกายทำให้ศาสนาฉิบหาย นี่ตำหนิหนักรับปีใหม่ เพราะว่าธรรมกายออกบทบาทแรง แพร่ฤทธิ์เดชเลวร้าย ขอภัยที่ต้องพูดแรง ไม่ได้โกรธนะ สงสาร ถ้าหยุดเสียได้อนุโมทนานะ  แต่อย่าโกรธเคืองอาตมานะ อาตมาตำหนิด้วยจริงใจ อาตมามีแต่ปรารถนาให้หยุดทำชั่ว เพราะว่าชั่วมันเป็นจริง แม้คิดก็เป็นจริง ยิ่งออกมาภายนอก สำเร็จอิริยาบถก็ยิ่งเป็นจริง หากหยุดบาปอกุศลได้ก็เป็นเรื่องดี

ขออภัยที่จะต้องตำหนิมากขึ้นอีก ขออภัยแม้ท่านพุทธทาส ขออภัยแม้ท่านพรหมคุณาภรณ์ ที่ตำหนินี้เป็นความจริงใจตามภูมิ อาตมาก็ซื่อเห็นว่าผิดก็ว่าผิด เห็นว่าถูกก็ว่าถูก  อาตมาจะตำหนิหนักขึ้นอีก ไม่ใช่ว่าจะหยุด จะชมยิ่งขึ้นอีกในด้านที่ต้องชม อาตมาได้ใช้ตำราของท่านพรหมคุณาภรณ์ ท่านเป็นนักศึกษาจริง มีความรู้มาก อาตมาเป็นคนละขั้วกับท่าน อาตมาน่ะไร้การศึกษาจริงๆอาตมาได้ใช้งานของท่านตรวจสอบบันทึกไว้ บุญคุณอันนี้ทดแทนกันทั้งชาติไม่หมด แม้ท่านพุทธทาสเช่นกัน แต่อาตมาไม่ได้เอางานของท่านพุทธทาสมาใช้มาก แต่ที่ใช้มากคือสองเล่มของท่านพรหมคุณาภรณ์ แล้วท่านพุทธทาสก็มีอีกอย่าง แต่ไม่ได้มากนัก แต่ก็มีส่วนดีส่วนถูกที่อาตมาใช้

แม้สายหลับตาออกป่า อาตมาตั้งแต่บวชก็เคยเข้าไปอยู่บนเขาครั้งเดียว เข้าไปสร้างกระท่อมบนยอดเขา อาตมานอนคนเดียว กลางคืนฟังเสียงสัตว์ อยู่พอสมควรก็ไปทดสอบ อย่างพระอุบาลีตรัส เมื่อเราเห็นว่าควรทดสอบ ว่าป่าช้า ป่าชัฏ นั้นยากจะทำความวิเวก ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกันพอ ป่าจะเอาใจของเธอไปแน่ ไม่จมก็ลอย ว่าเราจะติดป่าหรือกลัวหรือไม่ เรากล้าเกินไปหรือไม่ อย่างพวกพระป่าเอาชีวิตไปทิ้งในป่าเสียเยอะ ถ้าออกป่า ท่านห้ามไม่ให้ออกคนเดียวด้วย

มาเข้าสู่วิชชา เป็นวิชชา 8 เอาพระไตรปิฎก เล่ม9 มาใช้ วิชชาจรณสัมปัณโน นี่คือพุทธคุณ 9 ลูกพระพุทธเจ้าต้องมีดีเอ็นเอDNA.นี้ น้อยไป มากก็แล้วแต่ ไม่ใช่ว่าพุทธคุณจะมีอยู่แต่ในพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ พุทธเป็นประชาธิปไตย สิ่งดีสูงสุดใครก็มีสิทธิ์ทำได้ ไม่ใช่เผด็จการ ตามควร อย่างมีขอบเขตว่าทุกอย่างต้องเท่ากันหมด ก็บ้ากันไปใหญ่เลยเถิด ต้องมีลำดับ ขั้นตอน สิ่งยกไว้ก็ต้องมี ยกไว้แต่สัมผัสสัมพันธ์ได้อย่างมีสัมมาคารวะ

ในพุทธคุณ 9 โดยเฉพาะวิชชาจรณสัมปัณโน ท่านแบ่งจรณะ 15 วิชชา 9

จรณะ 15 มีศีลเป็นข้อแรก  และมีอปัณกปฏิปทาอีก 3 ข้อ สัทธรรมอีก 7 แล้วมีฌานอีก 4 รวมเป็น15

เริ่มแต่ศีล 5 เป็นบาทฐาน เป็นความครบกาย ครบรูป 28 ที่คนจะศึกษาได้ มีภายนอกเรียกว่ากาย กายไม่ขาดนามธรรม แล้วเวลาปฏิบัติ กายนั้นคือจิตคือมโนคือวิญญาณ ไม่ขาดกาย แต่เวลาปฏิบัติต้องเอาที่จิต วิญญาณ มโน เป็นหลัก

ศีลคือ กรอบ ปฏิบัติให้จิต วิญญาณเจริญ ตั้งแต่อบายมุขก็เรียนรู้ว่ามีอะไร ว่าฐานะของเรา เรามีอะไรหยาบที่สุดต่ำที่สุดเราก็ดูของเรา เรากำหนดแล้ว ปฏิบัติอปัณกะ 3 เครื่องอุปโภค บริโภค โดยเฉพาะอุปโภคนี่ต้องกินทุกวัน อย่างน้อยวันละครั้งก็พอดี  ต้องโภชเนมัตตัญญุตา แม้เรื่องอาหารอย่างเดียวรับรองว่าเป็นอรหันต์ได้เลย ส่วนอุปโภค มีบริขาร แล้วสิ่งเกินมีไหม เราต้องเรียนรู้กิเลสมันเกิดกับสิ่งใด อะไรจัดก็เอาก่อน อะไรพักไม่ต้องทำตอนนี้ก็ต้องตัดกรอบ เป็นปริเฉทะ เป็นcontext ต้องให้ชัด กรอบเดียวก็คือ context หลายกรอบก็เรียกว่า content  ถ้าเก่งกรอบนี้แล้วก็ทำกรอบอื่น จะเชื่อมโยงเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ มีหลายบทก็มีเรื่องในนั้นอีก

ชาคริยานุโยคะคือ การตื่น คือมีสติเต็ม ถ้าหลับไม่เป็นสติมันโต  ถ้าตื่นรู้ก็ชาคริยา รู้นอกใน ด้วยอาการ 32 มีสติมันโต แม้นอนหลับคุณก็ติดนอนหลับ อย่างนั้นหยาบมากแล้วติดหลับ แม้ตื่นก็มีธาตุเจตสิกละเอียดทำงานเท่าที่มีภูมิบารมี

การตื่นนี่มีองค์ประกอบนอกในครบ เราก็ทำให้ตื่นเต็ม ตื่นจากกิเลส กิเลสหมด ก็เป็นพุทธ จิตไร้กิเลส จิตเบิกบาน อภิปโมทยัง การชาคริยะคือ ทำให้ถึงพุทธะ แล้วทำสิ่งองค์ประกอบที่จะใช้เพื่อจัดกรอบ องค์ประชุมของแต่ละฐานะ ปฏิบัติได้

ก็มีผลเป็นสัทธรรม 7  ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา

ยกตัวอย่างไปเปิดผ้าให้คนดูนี่ก็ไม่อายกันเลย นี่หรือเมืองพุทธ แค่ความน่าละอายแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ไม่รู้ อย่างอิสลามเขาก็ยังเคร่งครัดนะ ทำไมไม่มีหิริเลย ไม่ละอายเลย ไม่ต้องพูดถึงโอตตัปปะนะ

จิต หิริ โอตตัปปะ มีทั้งปัญญาและเจโต ในความฉลาดคือ รู้รอบทั้งองค์ประกอบทางทวาร 6 เป็นความรู้ความเชื่อทางปัญญา  ก็มีพหูสูตร เป็นพหุสัจจะ คือมีความจริงมากขึ้น ทั้งสมมุติและปรมัตถสัจจะ ก็เป็นธัมมกถึกต่อไปตามศรัทธา 10 ทรงวินัย จิตมีเรือนว่าง ได้โดยไม่ยากในฌานทั้ง 4 เป็นต้น

ส่วนวิริยะ สติ ปัญญา เพิ่มจากอินทรีย์5 พละ 5 อันนี้จิตกำลังเกิดคุณธรรมของสัทธรรม 7 นี่แหละคือบาทฐานของฌาน จะมีศรัทธา หิริโอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา เพิ่มขึ้นๆ สั่งสมเป็นฌาน เพ่งรู้เพ่งเผา เมื่อเผาหมดแล้ว ก็เหลือแต่ตัวรู้ ฌานต้องมีปัญญา ปัญญาต้องมีฌาน เหมือนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า

ศีล สำรวมอินทรีย์ สันโดษ อันเป็นอาริยะ ตามฌาน เป็นฌาน 1 ถึง 4 ในฌาน 1 มีตักกะ วิตักกะ  เป็นกระบวนการของการทำสมาธิลืมตาเป็นสังกัปปะ 7 คือองค์ประกอบศิลป์อันยิ่งใหญ่ ในสังกัปปะ 7 ตักกะคือเริ่มดำริ วิตักกะคือวิจัยกิเลส ทำสังกัปปะ ที่ดับกิเลสได้ แล้วกลั่นกรองด้วยอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นวจีสังขาร แต่ถ้าจะออกไปสู่ภายนอกก็เริ่มที่จิตสังขาร แล้วตรวจสอบด้วยสังกัปปะ จิตสังขารเกิดก่อน วจีสังขารเกิดทีหลัง เมื่อนิโรธแล้ว แต่ก่อนจะนิโรธ ก็ดับวจีสังขารก่อน

ปฏิบัติได้สัทธรรม 7 ก็เกิดฌาน 1 ถึง 4 เป็นจรณะ แต่จะมีวิชชา8 ประกอบตลอดสาย

 

ปัญญาตัวแรกเรียกว่า วิปัสสนาญาณ วิคือยิ่ง ผู้วิปัสสนาต้องครบกระบวนการจรณะ 15 ครบกายวาจาใจ จึงเรียกว่าความจริงไม่ใช่ความจำ การนั่งสมาธิหลับตา ตัดประสาทให้หยุดนิ่งหมด ก็ทวนกระแสพุทธ ผิดไป หมดพุทธเลย การให้หยุดคิดหยุดทำนี่ ไม่มีวิปัสสนา การนั่งหลับตาไม่มีวิปัสสนา เพราะมีการรับรู้แคบๆ เพราะเอาจิตไปจดจ่อแค่กสิณเล็กๆ แล้วก็คิดว่าจิตเป็น เอกกัคคตา ที่ไม่ใช่แบบพุทธ สรุปว่า วิปัสสนาไม่มีในการนั่งหลับตาสมาธิ เพราะไม่มีรูป 28

ญาณรู้ครบเป็นวิโมกข์ 8 ที่รู้ทั้งนอกและใน ทำแล้วจิตเจริญเป็นโชค(สุภันเตวะ) คือส่ิงดีงาม โน้มสู่ทิศสูงตามฐานะ ถ้าอรหัตมรรคก็เกือบเก้าสิบองศา แต่โสดาบันก็เริ่มตั้งได้สักสิบองศา สกิทาก็เพิ่มอีก แต่วิปัสสนาญาณคือ รู้ๆเห็นๆ ถ้าหูไม่ได้ยิน ไม่เห็นรูปนี่ ก็ไม่มีวิปัสสนาญาณ ต้องสัมผัสอยู่กับเหตุปัจจัยทุกปัจจุบันอย่างเห็นๆ ต้องมีการสัมผัสของรูปและนาม แล้วมีปฏิกิริยา มีธาตุรู้ทำงาน เมื่อได้วิปัสสนสาญาณ ก็เป็นมโนมยิทธิ ซ้อนเข้าจากวิญญาณก็เข้าหาในคือมโน มีฤทธิ์สามารถเก่งทำให้จิตของเรา (ไม่ใช่ตัวตนเราเขานะ) แล้วมีจิตเราทำความสามารถ โดยการเรียนรู้ความเก่งหลากหลาย(วิธ) สรุปว่า มีฤทธิ์ในการตัด ทำลาย กำจัดกิเลสได้ ไม่ใช่ไปเล่นฤทธิ์อื่นๆ เช่นอ่านใจคนอื่น ไม่ใช่จะต้องอ่านใจตน สรุปว่าเป็นผู้มีฤทธิ์หลากหลาย เป็นหนึ่ง หนึ่งเป็นหลากหลายก็ได้

ทิพยโสต จะรู้สองสภาพคือ สภาพมนุษย์ และสภาพทิพย์ ที่เป็นสภาพวิเศษ เช่น ได้ยินเสียงไกล หรือใกล้ก็ตาม แต่ผู้มีโสตทิพย์ จะแยกออกว่านี่เสียงกลอง อันนี้เสียงเปิงมาง อันนี้เรียกว่าบัณเฑาะว์ อันนี้ตะโพน แยกออกแม้เสียงไกลหรือน้อยก็รู้ได้อย่างทิพย์ คือรู้กิเลส แม้กิเลสหยาบ หรือแม้กิเลสเล็กละเอียด สัมผัสเบาก็รู้ แต่ถ้าหยาบก็ยังไม่รู้ ไปกับมันเลย นี่คือโง่มากไม่รู้จักผี ที่โลกเขาว่าเป็นเทพบุตร แต่แท้จริงคือมาร , ทิพยโสต นั้นรู้เสียงสองเสียง รู้ทิพย์ อย่างสัมมาทิฏฐิ

เจโตปริยญาณ 16 เมื่อวานอธิบายแล้ว

บุพเพนิวาสานุสติญาณ  จุตูปปาตญาณ  อาสวักขยญาณ สามประการหลังนี้คือ เตวิชโช ต้องทำให้ประจำ ส่วนห้าอย่างแรก เป็นสิ่งที่จะเกิดเป็นผลจากการทำจรณะ 15 ทำฌาน แต่ว่าเตวิชโชต้องหมั่นทำตรวจสอบว่ากิเลสสูญทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีตที่สูญ อนาคตก็สูญ ทั้งหมดไม่ได้บอกเลยว่าให้ไปนั่งหลับตา ที่สำนวนว่าอยู่ป่าก็ดี  คำว่าก็ดี มาจากบาลีว่า “วา” ที่จริงไม่ใช่ว่าต้องไปป่า แต่อยู่กับเมือง มีสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่หนี(โลกันตะ ไปสุดโลกไม่มีที่ไปแล้วนั่นแหละ นรกสุด) ศาสนาพุทธไม่มีหนี ต้องสู้ไม่ใช่เป็นนักรบที่ได้ยินเสียงเกราะก็วิ่งหนี  ได้ยินเสียงม้าก็วิ่งหนี นั่นไม่ใช่นักรบพุทธ  ถ้าหนีก็จะเนิ่นช้า ต้องเข้ามาอยู่ในองค์ประกอบที่พร้อม มีสัปปายะ 4 มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ในสังคมอโศกมีพร้อม พาเจริญครบ ผู้ใดรู้ว่าสถานที่ๆควรอยู่ก็มาอยู่ มีมิตรดีสหายดี มีสิ่งอาศัยไม่มอมเมา เด็กๆเล็กๆ อยู่ที่นี่เป็นบุญมากเลยเขาจะซึมซับทุกวินาที แม้นอนหลับที่นี่ก็ osmosis ยิ่งกว่าโอสถทิพย์แทรกเข้ารูขุมขนนะ เพราะว่าคำสอนของอาตมามีฤทธิ์สูงแทรกได้ แม้คนนอนหลับก็แทรกได้ (ขออภัยยกตัวยกตน) ขอให้มีสัมผัสเถอะ แม้คุณปิดเครื่องมันก็เข้า ถ้าพลังงานเครื่องส่งเก่งและสูง

คุณสามารถมีวิชชา 8 ได้ไม่ใช่เรื่องประหลาดเลย ในวิชชาจรณะสัมปัณโน ไม่ใช่เรื่องลึกลับ หรือว่าเป็นแค่ของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้านั้นทุกคนมีสิทธิ์เอามาปฏิบัติได้ แต่ให้หยุดปลายเหวก่อนนะ พระพุทธเจ้าไม่หวงลิขสิทธิ์ ในสิ่งประเสริฐต่างๆ ที่อาตมานำมาอธิบาย จะมีทั้งตำหนิและชม แต่บุคลิกศาสนาพุทธจะมีติมากกว่าชม  การตินี่แม้เขาจะติด้วยอคติ ด้วยหวังร้ายก็ตาม แต่ถ้าเขาตำหนิถูกต้องเราก็เลือกเอาสิ่งดีมาใช้ ส่วนเขาจะร้ายเราไม่เอาด้วยหรอก ไม่รับ เป็นกรรมของเขา แต่ขอบคุณที่เอาสิ่งดีมาให้  คนจะติเลวร้ายอย่างไร แต่มีสิ่งถูกเราก็รับได้ แต่ว่าที่ด่าที่ติด้วยเมตตา นั้นละ อาตมาก็ติด้วยปรารถนาดี

พระไตรปิฎก เล่ม 9 ท่านสอนว่าอย่างไร ท่านขึ้นต้นด้วยศีลก่อน แล้วมีจรณะ 15 นี่คือภาคปฏิบัติลืมตา ขอย้ำที่ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นธรรมนูญรากเหง้า เหมือนรัฐธรรมนูญอินเดียที่ ดร.เอ็มเบ็ดก้าเขียน ก็ใช้มาจนปัจจุบัน และของพระพุทธเจ้าก็ตราไว้เป็นธรรมนูญฉบับแรกฉบับเดียว ไม่ให้แก้ด้วย แต่ทุกวันนี้เขาไม่เอา อโศกมากู้คืน ต้องทำให้ได้ตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ไปฉีกรัฐธรรมนูญ

จุลศีล

          [2] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด

นั่นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต

จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้น เป็นไฉน?

          [3] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

1. พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา

มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

2. พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้

ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่.3. พระสมณโคดม ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติ

ห่างไกล เว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน.

          [4] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

4. พระสมณโคดม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์

มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก.

5. พระสมณโคดม ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไป

บอกข้างโน้น  เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น  แล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้

คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง

ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน

กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน.

6. พระสมณโคดม ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ

เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ.

7. พระสมณโคดม ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำ

ที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐานมีที่อ้าง มีที่กำหนด

ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร.

          [5] 8. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคาม

          [6] 9. พระสมณโคดม ฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล.

 10. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่น

อันเป็นข้าศึกแก่กุศล.

 11. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการทัดทรงประดับและตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้

ของหอมและเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.

 12. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่ง ที่นอนอันสูงใหญ่.

 13. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทองและเงิน.

[7] 14. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.

15. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.(ไม่ใช่ว่าเนื้อสุกรับได้นี่พวกเบี้ยวบาลี)

16. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมาร.(ข้อนี้มีลูกศิษย์ผู้ชายได้ แต่ผู้หญิงอย่ามาเป็นไวยาวัจกร ซึ่งไม่ใช่ทาสหรือผู้รับใช้นะ แต่เป็นผู้ช่วย)

17. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.

18. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.(กินนมใช้ขน)

19. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร (กินเนื้อมัน)

20. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.(ใช้แรงงาน)  (ป่วยการจะพูดถึงสัตว์เลี้ยงไว้ดูเล่น ไม่ให้ทำอยู่แล้วเพราะทำให้ก่อนเวรานุเวรผูกพันต่อกัน)

21. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.(อาตมาก็มีคนมามอบที่ดินให้อยู่เรื่อยๆ แต่อาตมาไม่ได้รับที่ดินเป็นของอาตมา แต่ให้ส่วนกลาง แต่ว่าถ้าจะให้แล้วให้ตัดขาดเลย ไม่ให้มีเงื่อนไข ว่าให้ทำอะไรต่ออะไรอีก เรารับมาก็ต้องเอามาใช้ประโยชน์ อย่ามาเป็นตัวกูของกูอีก ให้ก็ให้เลย สรุปว่ารับเป็นส่วนกลางไม่ใช่ของตนเอง)

ขอแทรกว่าตอนนี้บ้านราชฯจะทำการจัดสรรที่ดิน 52 ไร่ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้เป็นทุ่งนา จะให้พวกเราจัดสรรอยู่พักอาศัย เพื่อให้พวกเรามีที่พักเมื่อมา มันจะมีถึง 300 แปลง ผู้จะมาก็จะไม่เรียกว่าซื้อ เพราะไม่ได้โฉนด แต่ว่าได้สิทธิ์ มี300 แปลง แปลงละ 50,000 บาท แปลงละ 100 ตารางเมตร ผู้จะมาซื้อแล้วอยู่ได้ต้องสมาทานศีล 5 ละอบายมุข ทานมังสวิรัติ คุณมีสิทธิ์ซื้อได้ถึง 225 ตร.ม.ต่อแปลง แต่มีสิทธิ์ปลูกบ้านได้ใหญ่ที่สุดแค่ 100 ตร.ม. จะซื้อหลายแปลงก็ได้ แต่บ้านจะอามาต่อกันไม่ได้  ต้องขยายที่พัก ขยายที่ทำกสิกรรม ทั้งต้องการบุคคลมาด้วย อย่างที่กุดระงุมก็ให้ธงชนะเขาทำกสิกรรม เขามีพรสวรรค์ในการทำกสิกรรม กะหล่ำนี่ใบเท่ากระด้ง ของดีราคาถูกซื่อสัตย์มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อเบื่อทวง ปวดท้อง

22. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรม และการรับใช้.

การทำงานเชื่อมต่อกับสังคมกับทุกคน การทูตกรรม นั่นเอง แล้วการรับใช้ ถ้าคุณทำงานให้เขา แล้วรับเงินจากเขานี่คือคุณรับใช้ แต่ถ้าทำให้เขานี่ไม่ได้เอาอะไรไม่คือ การรับใช้ แต่ไปเทศน์แล้วเอาเงินเขานี่แหละ คือการรับใช้ เทศน์ก็เอาเงิน แต่ว่างานการไม่ทำเดี๋ยวหาว่ารับใช้ฆราวาส แต่ไปพูดไปเทศน์นี่เอาเงินเขานะ สรุปว่าไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนคือไม่รับใช้ นอกจากงานบางอย่างผิดวินัย ผิดศีล ทำไม่ได้ แต่ถ้าไม่ผิดศีล ผิดวินัยก็ทำได้ เช่นประท้วง เป็นความจำเป็นด้วย ออกไปนี่เสียงระเบิดและโดนปืนยิงด้วย แต่เขายิงไม่ถูก

การรับใช้คืออะไร  การรับใช้ถ้าพ้นมิจฉาชีพข้อลาภแลกลาภ นี่คือผู้พ้นจากการรับใช้คฤหัสถ์ ไม่ใช่ว่าบิณฑบาตแล้วก็ไม่ทำอะไร สบาย เอาแต่นั่งสมาธิเดินจงกรม

อย่างทูตกรรม นี่ทุกวันนี้มหาเถรสมาคมก็มีทูตไปต่างประเทศ แต่เราเป็นทูตก็ไปช่วยเขาเชื่อมต่อ เพื่อให้ ไม่ใช่เพื่อเอาจากเขา นี่คือทูตที่แท้จริง เราเป็นทูตได้ ถ้าพ้นลาภแลกลาภ ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา นี่คือการพ้นจากการรับใช้ที่แท้จริง

23. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการซื้อการขาย.

24. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง การโกงด้วยของปลอม และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.

 

โดยเฉพาะปลอมธรรมะพระพุทธเจ้า เช่น  ธุดงค์ที่ทราม คือการตกแต่งประดิษฐ์ประดอย นี่คือการโกง หรือว่าการสร้างวัตถุมงคลนี่ก็ปลอมและโกง

25. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง.

การเทศน์แล้วได้เงินคือสินบน ผิดทั้งข้อ 22 และข้อ 25

26. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น

และการกรรโชก.

ธรรมนูญ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี่อย่าละเมิด เป็นพุทธธรรมนูญ แท้จริง

 

มัชฌิมศีล

          [9] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

 1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการพรากพืชคาม และภูตคาม เห็นปานนี้ คือ พืชเกิดแต่เง่า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบห้า.

[10] 2. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เช่น อย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้เห็นปานนี้ คือ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน

สะสมเครื่องประเทืองผิว สะสมของหอม สะสมอามิษ.

          [11] 3. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่น อย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่นอัน

เป็นข้าศึกแก่กุศลเห็นปานนี้ คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำเป็นต้น

การเล่านิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมืองที่สวยงาม

การเล่นของคนจัณฑาล การเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค

ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล

การจัดกระบวนทัพ กองทัพ.

(สมัยนี้มากกว่าสมัยพระพุทธเจ้ามากเลย ล้วนแต่มอมเมากัน แต่พวกเรา ถ้าจะอนุโลมเล่นฟุตบอลก็ให้โยนไปมากัน ไม่เล่นแข่งเอาชนะคะคาน หรือตะกร้อวง แบตมินตัน ก็ให้เล่นแต่ไม่แข่งเอาชนะคะคาน )

          คำตรัสของพระพุทธเจ้าต้องเอามาใช้ หากไม่ใช้ก็สูญ

มีคนเขียนมาให้ว่า..ป้ายที่เขาเขียนให้ธุดงค์นั้นเขาว่าโรยด้วยดอกดาวรวย ไม่ใช่โรยด้วยดอกดาวเรืองนะ นี่คือเล่ใช้ภาษาหลอก คำว่ารวยนี่ชูใจคน แล้วเลี่ยงคำว่าโรย ทำดราม่าตกแต่ง ก็ถล่มไปหนัก ขออภัยนะอย่าโกรธกันเลย พูดด้วยปรารถนาดี ถ้ารู้ว่าบาปอย่าทำต่อเลย เอาเรื่องใหญ่โตมาสร้างภาพ คนก็หลงใหญ่โต แต่พระพุทธเจ้าว่าอันใดพามักใหญ่ อันนั้นไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า แต่ว่าให้น้อยไว้ แล้วจะโตไปตามลำดับ อย่างอโศกนี่มีพระพุทธรูปใหญ่ หรือสร้างตึกใหญ่ เป็นส้วม

ลัดมาข้อนี้เลย อาตมาอ่านแล้วสะดุด

[17] 9. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบทูตกรรมและการรับใช้เห็นปานนี้ คือ รับเป็นทูตของพระราชา ราชอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีและกุมารว่า ท่านจงไปในที่นี้ ท่านจงไปในที่โน้น ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ไป ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ในที่โน้นมา ดังนี้.

การไปรับใช้ก็คือการไปเอาอะไรแลกเปลี่ยนมานั่นเอง..อีกหลายข้อก็มีเช่น  ติรัจฉานกถา ก็ทำกัน หรือว่าหลงสิ่งใหญ่สิ่งโต เลอะเทอะไปหมด ขออภัยที่วันนี้ถล่มเสียเยอะเลย


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:09:22 )

580103

รายละเอียด

580103_โอวาทปิดงาน ว.บบบ ครั้งที่ 3 ณ บ้านราชฯ โดยพ่อครูฯ

ที่เราอบรมศึกษากันอยู่นี่ เป็นการศึกษาทั้งปริยัติ ปฏิบัติ แล้วหมายใจให้เกิดปฏิเวธ ให้เกิดการบรรลุธรรม อย่างที่คุณใบฟ้าว่า เป็นหลักสูตรที่ยิ่งใหญ่ ไม่เคยมีในโลก เป็นหลักสูตรประหลาด คุณใบฟ้า นี่เป็นอดีตรองคณบดี จบ ป.โท เป็นอาจารย์มาก่อน จะมาอยู่ที่นี่ ที่จริงเรามีป.โท มาสอบกับเราหลายคนนะ สอบข้อสอบเดียวกันทุกคนเลย ไม่ว่านาย กระบวย(เพชรเมืองพุทธ) เกาลัด ก็ดี ด.ญ.แลเลื่อนฟ้า ก็ดี ป.1 ป.2 ก็มี , มีดร.อภิสิทธิ์ ดังคนเดียว ที่จริงมีดร.หลายคนมาเรียนกับเรา ดร.ธำรงค์ ดร.มิ่งหมาย ดร.หนึ่งฟ้า ดร.ร้อยขวัญพุทธ มีผู้สังเกตการณ์ เป็น ดร.มหาวิทยาลัยข้างนอก ดร.วิชัย ครองยุทธ์ ก็มาสังเกตการณ์ มีดร.หมอเขียว ดร.กิติมาศักดิ์ ตอนนี้ก็ทำดร.

 

จริงอยู่ พวกเราไม่ได้ไปเห่อ ความเป็นดร.อะไร พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราหลงบัญญัติ แต่เราเอาจิตวิญญาณเป็นหลัก เป็นจิตที่เกิดผล เป็น สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เป็นคุณสมบัติที่จิตเกิดผลแล้ว ในผู้มีจริงเป็นจริง มีคุณธรรมแท้ๆในตน 

 

ไว้พรุ่งนี้ วิถีอาริยธรรม จะสาธยายให้ฟัง ได้คิดจากประสบการณ์ที่พวกเรามาเรียนกันนี่ น่าชื่นใจ พวกเราทุกคน ก็ทั้งนั้นแหละ แต่จะมีคนมีจิตไม่ยินดี ไม่ชอบ อาตมาว่าเป็นพิเศษนะ อาตมาว่าเป็นความชื่นชมยินดีที่พิเศษกว่าเคยเป็นนะ ที่เหตุการณ์ที่เราพึ่งผ่านมาหยกๆ มันเป็นพฤติกรรมครบพร้อม อาตมาว่าเต็มหลักสูตร ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา นี่เป็นหลักสูตรที่ยิ่งใหญ่ ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา หรือ ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา

 

สำหรับวันนี้ อาตมาว่า ที่เราผ่านไปนี่ ยังไม่ได้ประกาศผล ส่วนใหญ่เกือบทุกคนสอบได้แล้วนะ หรืออาจมีจิตบางคนมีจิตเบื่อ ก็น่าจะน้อยมาก หรือเข็ดไม่เอาอีกแล้ว ก็น่าจะยินดีชื่นใจ ปีหน้าต้องมาอีก อาตมาว่านะ นี่เป็นการสอบได้แล้ว ส่วนจะประกาศผลอย่างไร นั้น อาจารย์ออกข้อสอบไม่ตรงกับความเห็นของคุณเท่านั้นเอง แต่เกิดผลจริง ทางจิตใจจริงเลย อาตมาถือว่าเป็นผลสำเร็จที่งาน ว.บบบ.ครั้งที่ 3 นี้ผ่านไป ส่วนองค์ประกอบอื่นก็รอฟังผลในงานพุทธาฯ และมารับปัญญาบัตรกันที่งานปลุกเสกฯ ที่ราชธานีอโศก เดือน เม.ย. ก็ขอบคุณทุกคน

 

คนในยุคนี้พวกคุณเป็นคนยุคนี้ อาตมาก็ขอบคุณพวกคุณเป็นพิเศษ ที่ได้ผ่านอุปสรรคต่างๆนานามาหนักหนาสาหัส แล้วพรุ่งนี้จะได้ฟังความจริงที่เป็นจุดที่อาตมาว่าจะได้ขยายความให้ชัดๆ ความลึกซึ้งซับซ้อนเหล่านี้มีเยอะ พวกเราฟังอาตมาไปจะรู้สึกว่ามันมีขยาย ก็อันเก่าแต่มันมีใหม่แปลกขึ้นไปกว่านี้อีก

 

ยกตัวอย่างที่อาตมาย้ำว่า กาย คุณทุกคนเข้าใจคำว่ากายมาอย่างไร ทุกคน ไม่มีใครเข้าใจคำว่ากายที่มีอะไรใหม่ แปลก ลึกซึ้งกว่านี้อีกหรือ หรือคำว่าบุญ พวกคุณทุกคนหรือทั่วประเทศ แม้ในวงการศาสนาอื่นก็นำคำว่าบุญไปใช้ แต่อาตมายืนยันว่า บุญคือโลกุตระ ศาสนาคริสต์ไม่มีโลกุตระ จะมีบุญไม่ได้หรอก

 

คำว่า สมาธิ ศีล วิมุติ ก็ใหม่ ไม่เหมือนความรู้องค์รวมของโลกนะ แต่อาตมาเอามาเปิดเผย เอ๊ะ มันใช่หรือ มันมีหรือ แล้วพวกคุณรับได้ ว่าใช้ ดีกว่าอีก พวกคุณได้อันนี้ขึ้นมา แล้วว่าใช้ดี นี่ก็ไม่ครอบงำความคิด ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมการตลาด หรือใช้จิตวิทยาให้คุณหลงคารม ไม่มี คุณเข้าใจด้วยจิตใจ ปฏิภาณปัญญาของแต่ละคน ซึ่งเป็นฐานจิตแต่ละคนจะมีภูมิธรรมเข้าใจได้

 

ผู้ที่ได้ยิน แต่ว่าเข้าใจไม่ได้ แม้จะได้เรียนพุทธศาสนามาอย่างช่ำชอง หรือเป็นปราชญ์เลย ได้รับยกย่อง แต่ว่าไม่ได้เข้าใจเลยก็มี หรืออาจฟังภาษาบัญญัติก็จำนนด้วยหลักฐานที่อาตมายืนยันในพระไตรปิฎก เขาก็เถียงไม่ได้ แต่ว่าเขาก็ว่าของเขายังถูกกว่า แต่อาตมาว่ามีไม่น้อยที่ท่านจะมีปรโตโฆษะ ซึ่งคือจิตปรโตโฆษะ ที่เปิดใจ ไม่ใช่ว่าฟังแต่เหมือนคนอาบน้ำกลัวเปียก ไม่ใช่ว่าปรโตโฆษะคือไม่ฟังแค่นั้น แต่ว่าคือจิตต้องรับด้วย ต้องเป็นความดีขั้นวิเศษ เหนือสามัญ เรียกว่าโลกุตระ หรืออนุตตระ เหนือความเป็นทั่วไป แท้จริง

 

ผู้ที่เริ่มรับได้ก็ดี ถ้ายิ่งรับได้เข้าใจดี ซาบซึ้งจนเอาชีวิตมาเลย เรียกว่าเข้ากระแส ผู้เข้ากระแสต้องนับเอาผู้ปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ จะปฏิบัติส่วนตัว มีซับซ้อนที่ว่ากิเลสอัตตาถือดี กับโลกธรรม มีฐานะตำแหน่งหน้าที่ในสังคม แต่จิตเขารับได้ เข้าใจ แต่เขาจะแสดงตัวไม่ได้เพราะอัตตากับฐานะทางสังคม ยังมีมากทำให้เขาไม่เปิดเผย เพราะอโศกไม่อยู่ในฐานะที่จะมาแสดงตัวได้ อโศกยังเป็นจะบอกว่าจัณฑาลก็ดีกว่าแล้ว ขึ้นมาสู่ขั้น ศูทร แล้ว แต่ก่อนเป็นจัณฑาล แต่เดี๋ยวนี้กระแสรับดีขึ้น  เราต้องทำให้ดีจนคนตาบอดเห็นได้ เพราะเป็นยุคใกล้กลียุค ในสังคมปัจจุบันพุทธศาสนามันหมดไปแล้ว อาตมาต้องมาขุดขึ้นใหม่ นำมาเปิดใหม่ เพราะที่มีมันถูกโลกียะ ครอบงำ ไม่มีโลกุตระแล้ว อาตมาเป็นคนนำเชื้อโลกุตระมาเพาะใหม่ มันจึงยากมาก กว่าจะเพาะฟูมฟัก ต้นอ่อนให้แข็งแรง จำเป็นที่อาตมาต้องพากเพียรให้อยู่ยาวนานไป พวกคุณก็มาช่วยอาตมาหน่อย ….


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:08:13 )

580103

รายละเอียด

580103_โอวาทปิดงาน ว.บบบ ครั้งที่ 3 ณ บ้านราชฯ โดยพ่อครูฯ

ที่เราอบรมศึกษากันอยู่นี่ เป็นการศึกษาทั้งปริยัติ ปฏิบัติ แล้วหมายใจให้เกิดปฏิเวธ ให้เกิดการบรรลุธรรม อย่างที่คุณใบฟ้าว่า เป็นหลักสูตรที่ยิ่งใหญ่ ไม่เคยมีในโลก เป็นหลักสูตรประหลาด คุณใบฟ้า นี่เป็นอดีตรองคณบดี จบ ป.โท เป็นอาจารย์มาก่อน จะมาอยู่ที่นี่ ที่จริงเรามีป.โท มาสอบกับเราหลายคนนะ สอบข้อสอบเดียวกันทุกคนเลย ไม่ว่านาย กระบวย(เพชรเมืองพุทธ) เกาลัด ก็ดี ด.ญ.แลเลื่อนฟ้า ก็ดี ป.1 ป.2 ก็มี , มีดร.อภิสิทธิ์ ดังคนเดียว ที่จริงมีดร.หลายคนมาเรียนกับเรา ดร.ธำรงค์ ดร.มิ่งหมาย ดร.หนึ่งฟ้า ดร.ร้อยขวัญพุทธ มีผู้สังเกตการณ์ เป็น ดร.มหาวิทยาลัยข้างนอก ดร.วิชัย ครองยุทธ์ ก็มาสังเกตการณ์ มีดร.หมอเขียว ดร.กิติมาศักดิ์ ตอนนี้ก็ทำดร.

 

จริงอยู่ พวกเราไม่ได้ไปเห่อ ความเป็นดร.อะไร พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราหลงบัญญัติ แต่เราเอาจิตวิญญาณเป็นหลัก เป็นจิตที่เกิดผล เป็น สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เป็นคุณสมบัติที่จิตเกิดผลแล้ว ในผู้มีจริงเป็นจริง มีคุณธรรมแท้ๆในตน 

 

ไว้พรุ่งนี้ วิถีอาริยธรรม จะสาธยายให้ฟัง ได้คิดจากประสบการณ์ที่พวกเรามาเรียนกันนี่ น่าชื่นใจ พวกเราทุกคน ก็ทั้งนั้นแหละ แต่จะมีคนมีจิตไม่ยินดี ไม่ชอบ อาตมาว่าเป็นพิเศษนะ อาตมาว่าเป็นความชื่นชมยินดีที่พิเศษกว่าเคยเป็นนะ ที่เหตุการณ์ที่เราพึ่งผ่านมาหยกๆ มันเป็นพฤติกรรมครบพร้อม อาตมาว่าเต็มหลักสูตร ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา นี่เป็นหลักสูตรที่ยิ่งใหญ่ ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา หรือ ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา

 

สำหรับวันนี้ อาตมาว่า ที่เราผ่านไปนี่ ยังไม่ได้ประกาศผล ส่วนใหญ่เกือบทุกคนสอบได้แล้วนะ หรืออาจมีจิตบางคนมีจิตเบื่อ ก็น่าจะน้อยมาก หรือเข็ดไม่เอาอีกแล้ว ก็น่าจะยินดีชื่นใจ ปีหน้าต้องมาอีก อาตมาว่านะ นี่เป็นการสอบได้แล้ว ส่วนจะประกาศผลอย่างไร นั้น อาจารย์ออกข้อสอบไม่ตรงกับความเห็นของคุณเท่านั้นเอง แต่เกิดผลจริง ทางจิตใจจริงเลย อาตมาถือว่าเป็นผลสำเร็จที่งาน ว.บบบ.ครั้งที่ 3 นี้ผ่านไป ส่วนองค์ประกอบอื่นก็รอฟังผลในงานพุทธาฯ และมารับปัญญาบัตรกันที่งานปลุกเสกฯ ที่ราชธานีอโศก เดือน เม.ย. ก็ขอบคุณทุกคน

 

คนในยุคนี้พวกคุณเป็นคนยุคนี้ อาตมาก็ขอบคุณพวกคุณเป็นพิเศษ ที่ได้ผ่านอุปสรรคต่างๆนานามาหนักหนาสาหัส แล้วพรุ่งนี้จะได้ฟังความจริงที่เป็นจุดที่อาตมาว่าจะได้ขยายความให้ชัดๆ ความลึกซึ้งซับซ้อนเหล่านี้มีเยอะ พวกเราฟังอาตมาไปจะรู้สึกว่ามันมีขยาย ก็อันเก่าแต่มันมีใหม่แปลกขึ้นไปกว่านี้อีก

 

ยกตัวอย่างที่อาตมาย้ำว่า กาย คุณทุกคนเข้าใจคำว่ากายมาอย่างไร ทุกคน ไม่มีใครเข้าใจคำว่ากายที่มีอะไรใหม่ แปลก ลึกซึ้งกว่านี้อีกหรือ หรือคำว่าบุญ พวกคุณทุกคนหรือทั่วประเทศ แม้ในวงการศาสนาอื่นก็นำคำว่าบุญไปใช้ แต่อาตมายืนยันว่า บุญคือโลกุตระ ศาสนาคริสต์ไม่มีโลกุตระ จะมีบุญไม่ได้หรอก

 

คำว่า สมาธิ ศีล วิมุติ ก็ใหม่ ไม่เหมือนความรู้องค์รวมของโลกนะ แต่อาตมาเอามาเปิดเผย เอ๊ะ มันใช่หรือ มันมีหรือ แล้วพวกคุณรับได้ ว่าใช้ ดีกว่าอีก พวกคุณได้อันนี้ขึ้นมา แล้วว่าใช้ดี นี่ก็ไม่ครอบงำความคิด ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมการตลาด หรือใช้จิตวิทยาให้คุณหลงคารม ไม่มี คุณเข้าใจด้วยจิตใจ ปฏิภาณปัญญาของแต่ละคน ซึ่งเป็นฐานจิตแต่ละคนจะมีภูมิธรรมเข้าใจได้

 

ผู้ที่ได้ยิน แต่ว่าเข้าใจไม่ได้ แม้จะได้เรียนพุทธศาสนามาอย่างช่ำชอง หรือเป็นปราชญ์เลย ได้รับยกย่อง แต่ว่าไม่ได้เข้าใจเลยก็มี หรืออาจฟังภาษาบัญญัติก็จำนนด้วยหลักฐานที่อาตมายืนยันในพระไตรปิฎก เขาก็เถียงไม่ได้ แต่ว่าเขาก็ว่าของเขายังถูกกว่า แต่อาตมาว่ามีไม่น้อยที่ท่านจะมีปรโตโฆษะ ซึ่งคือจิตปรโตโฆษะ ที่เปิดใจ ไม่ใช่ว่าฟังแต่เหมือนคนอาบน้ำกลัวเปียก ไม่ใช่ว่าปรโตโฆษะคือไม่ฟังแค่นั้น แต่ว่าคือจิตต้องรับด้วย ต้องเป็นความดีขั้นวิเศษ เหนือสามัญ เรียกว่าโลกุตระ หรืออนุตตระ เหนือความเป็นทั่วไป แท้จริง

 

ผู้ที่เริ่มรับได้ก็ดี ถ้ายิ่งรับได้เข้าใจดี ซาบซึ้งจนเอาชีวิตมาเลย เรียกว่าเข้ากระแส ผู้เข้ากระแสต้องนับเอาผู้ปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ จะปฏิบัติส่วนตัว มีซับซ้อนที่ว่ากิเลสอัตตาถือดี กับโลกธรรม มีฐานะตำแหน่งหน้าที่ในสังคม แต่จิตเขารับได้ เข้าใจ แต่เขาจะแสดงตัวไม่ได้เพราะอัตตากับฐานะทางสังคม ยังมีมากทำให้เขาไม่เปิดเผย เพราะอโศกไม่อยู่ในฐานะที่จะมาแสดงตัวได้ อโศกยังเป็นจะบอกว่าจัณฑาลก็ดีกว่าแล้ว ขึ้นมาสู่ขั้น ศูทร แล้ว แต่ก่อนเป็นจัณฑาล แต่เดี๋ยวนี้กระแสรับดีขึ้น  เราต้องทำให้ดีจนคนตาบอดเห็นได้ เพราะเป็นยุคใกล้กลียุค ในสังคมปัจจุบันพุทธศาสนามันหมดไปแล้ว อาตมาต้องมาขุดขึ้นใหม่ นำมาเปิดใหม่ เพราะที่มีมันถูกโลกียะ ครอบงำ ไม่มีโลกุตระแล้ว อาตมาเป็นคนนำเชื้อโลกุตระมาเพาะใหม่ มันจึงยากมาก กว่าจะเพาะฟูมฟัก ต้นอ่อนให้แข็งแรง จำเป็นที่อาตมาต้องพากเพียรให้อยู่ยาวนานไป พวกคุณก็มาช่วยอาตมาหน่อย ….


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:10:19 )

580104

รายละเอียด

580104_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เรื่อง ทฤษฎีพุทธแท้มีอยู่กับหมู่ใด

.ฟ้าไทว่า...งาน ว.บบบ.ครั้งที่ 3 เพิ่งผ่านไป อาตมาก็ได้รับประโยชน์จากการฟังธรรมะท่ามกลางน้ำค้าง อากาศหนาวเหน็บ และไม่เคยเห็นงานไหนของชาวอโศกเลยที่คนจะมาตั้งใจสดับฟังธรรมแล้วก็พยายามถามกันว่ารู้เรื่องไหมนี่ สำหรับวันนี้พ่อครูก็จะมาอธิบายโลกุตรธรรม ที่จะมาปรับให้เราได้สัมมาทิฏฐิเพิ่มขึ้น เพราะถ้าเรามิจฉาทิฏฐิก็ยิ่งกว่าโจรฆ่าโจร เลวร้ายมาก หรือแม้จะมีความพากเพียรปานใด หรือศรัทธาแรงกล้าขนาดไหน แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็ล้มเหลว เสียดายเวลาชีวิต

 

พ่อครูว่า...คนที่ศึกษาได้เข้าใจรู้ แต่ไม่ได้เอาไปปฏิบัติ ก็แค่นั้น ดีไม่ดีเอาที่รู้ไปทำมาหาเลี้ยงชีพ ทั้งที่ตนเองยังเป็นไม่ได้ ทำไม่ได้ แต่ก็เอาไปสาธยายหากิน นี่คือผู้ไม่มีคุณอันสมควรในตน แล้วเอาไปสอนคนอื่นก็ทำให้ศาสนามัวหมอง ดีไม่ดีสอนไปพูดไป พอคนอื่นซักถามเข้า ก็เลยคิดเอาที่ตนคิดได้ไปตอบ ตอบไม่ได้ขายหน้า ก็ดันทุรังตอบไป ไม่มีสภาวะรองรับ ถูกๆผิดๆ ศาสนาเสื่อมเพราะผู้ยังไม่บรรลุธรรมจริงในตน แล้วพูดความเห็นของตนปนไปหมด ทั้งที่ความเห็นตนไม่สัมมาทิฏฐิแล้ว ก็ทำให้เติมความผิดพลาดไปเรื่อยๆจนกลายเป็นความผิด

 

เมื่อทิฏฐิไม่ตรง แล้วยึดถือกัน แล้วเป็นโลกียทิฏฐิ ไม่เป็นโลกุตระ ไม่ออกจากกาม พยาบาท ยังยึดติดโลกธรรม ต้องได้สุขเพราะกาม เพราะโลกธรรม กามคือได้ต้องกับอารมณ์อุปาทานไว้ ถ้าไม่ได้ก็โกรธ ถ้าไม่ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ จะเป็นวัตถุ หรือ นามธรรม ถ้าได้มาเป็นของเรา ได้มาก็สุข บำเรออัตตา สุขนั้นเป็นสุขหลอก ไม่ใช่สุขแท้ สุขสงบ แต่เป็นสุขร้อน สุขบำเรอ สปาร์ค ได้ปฏิกิริยา ไม่ใช่สุขสงบเย็น เรียบราบบางเบา มีแต่สร้างอารมณ์เสริมส่งอารมณ์ ให้มันให้จัด ให้สะใจ ทุกอย่างเลย เห็นได้ชัดว่ามีแต่บำเรออารมณ์ ชนะได้ตามเกมกีฬา สมรสก็ได้ตามกามราคะ เสพรสทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเสียดสีเท่านั้น ผสมไคลแมกซ์ ที่ตนตั้งสเปคไว้ ว่าต้องได้อย่างนี้ๆ จึงถูกใจเรา เป็น specification ตามของใครของมัน ไม่ตรงกันหรอก ถ้าตรงกันก็แย่งกันฆ่ากันตาย รุมแย่งกัน สรุปแล้วก็คือยึด ยึดว่าจริง ยึดไม่ปล่อยไม่คลาย เรียกว่าเที่ยง โดยไปกำหนดว่า สัญญา ย นิจจานิ การกำหนดไว้แล้วยึดว่าจริง

 

ที่พูดนี้ไม่ได้สอนให้ไม่เคารพความจริง ต้องให้เหมาะควร มีสัปปุริสธรรม 7 ตามความยึดถือของแต่ละหมู่กลุ่ม มันละเอียด อาตมาใช้สัปปุริสธรรมในการทำงานตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้เป็นทฤษฎีโลกีย์ ต้องได้ลาภ ยศ โลกียสุข แลกเปลี่ยน แล้วจัดจ้านหนัก เรียกว่าอบายมุข เป็นการแข่งขันจัดจ้าน ทุ่มโถมหนักหนา เพื่อให้ถึงจุดสุดยอดแห่งความสั่งสมอารมณ์ ก็คืออบายมุข ทิฏฐิโกลีย์ทุกวันนี้ ไม่มีใครยอมลด ไม่มีใครอยากลด แล้วไม่เห็นว่าต้องลดไปทำไม ลดให้มันจืดลงจางลงทำไม ก็มันอร่อยดี ก็มันน่าเห็นใจนะว่าหลงยึดติดกันจริงๆ ไม่ได้ก็จะตาย ดีดดิ้นหน้ามืดทำร้ายทำลาย ฆ่าได้ทั้งพ่อทั้งแม่ ร้ายแรงมากทุกวันนี้

 

เกิดมายุคนี้อาตมาต้องขออภัยเลย ว่าอาตมาเข้าใจสัจจะโลกียะกับโลกุตระ แล้วก็ตั้งใจจะเอาโลกุตระมาสถาปนาเข้าไปในสังคม เพราะเห็นว่ามันไม่มีจริงๆ แม้แต่ในกระแสหลัก ปราชญ์เอกของกระแสหลักก็ตาม ก็ไม่ได้ลบหลู่นะ แต่องค์รวมค่ารวม ไม่เข้าเขตโลกุตระ มันยังเป็นโลกียะ จุดเริ่มต้นก็ไม่ชัด ไม่ต้องพูดต่อไปเลย อาตมาสรุปว่า เป็นโลกียทิฏฐิไปหมดแล้ว ไม่มีทิฏฐิโลกุตระแล้ว ขออภัยที่ต้องพูดว่าศาสนาอื่นยากจะเข้าใจโลกุตระ แม้ศาสนาพุทธเองก็ยังยากเลย

 

ชาวอโศกเป็นกลุ่มคนที่อาตมานำเอาทิฏฐิ หรือทฤษฎีอันใหม่มาให้ปฏิบัติ ซึ่งเป็นทิฏฐิที่ไม่เหมือนกับที่เขายึดกันทุกวันนี้ แม้ปราชญ์เอกของพุทธที่เขานับถือกัน ก็ไม่ตรงกับทิฏฐิของอาตมา อาตมาเอามาเปิดเผยสาธยาย มีผู้เข้าใจ เห็นดีกว่าอย่างที่อาตมาอธิบายนี้ถูกกว่า ก็เอาไปปฏิบัติจนเกิดมรรคผลแก่ชีวิต ก็เป็นได้จริง มาอยู่ตามที่อาตมาอธิบาย มันทวนกระแสโลก ต่างกับที่เขาทำกัน บางทีใช้พยัญชนะเดียวกัน เช่น คำว่าสมาธิ ก็ใช้คำเดียวกัน ใช้คำยืนยันเดียวกับที่เขาว่า เอามาจากพระพุทธเจ้าสอนด้วย แต่คำอธิบายขยายความต่างกันกับของอาตมา มุมประเด็นที่ต่างกันคือ ทวนกระแสกัน

 

ของอาตมาพาลดละออกจากโลกธรรม ทุกวันนี้เห็นเป็นรูปธรรม ชาวอโศกเป็นองค์รวมว่าเป็นเช่นนี้ สรุปแล้วคำว่าทิฏฐินั้น ทิฏฐิของท่านก็ของท่าน ของอาตมาก็ของอาตมา ทั้งที่ใช้ภาษาเดียวกัน วันนี้เจตนาพูดถึงทิฏฐิ เรื่องกาย เรื่องบุญ

 

ชาวอโศกเข้าใจทิฏฐิอย่างที่อาตมาสาธยาย ว่าเป็นข้อปฏิบัติ เป็นความรู้ความเชื่อแบบนี้ ชาวอโศกก็มีกลุ่ม แต่เป็นกลุ่มเล็ก ชาวพุทธอื่นก็นับถือกันมาสืบต่อ ยึดมั่นถือมั่นอันนั้นอยู่ ไม่ว่าเป็นพระป่าหรือพระบ้าน อาตมาก็เข้าใจ ทั้งสองอย่าง อาตมาก็โน้มเอน หรือเอียงมาทางพระบ้าน พระป่าก็นับถือ แต่พระป่าเป็นเรื่องเจโต ศรัทธา เป็นอุปการะ เป็นส่วนหนึ่ง เป็นแก่น แต่แก่นนี่เล็กกว่าองค์รวม เราไม่ทิ้งแก่น เจโตวิมุติ แต่วิมุติต้องประกอบด้วยปัญญา กาโย ที่เป็นสมมุติสัจจะด้วย จึงเรียกว่าปรมัตถสัจจะ  ไม่ใช่ว่ารู้แต่เพียงคนสองคน หรือกลุ่มเล็กๆ

 

ชาวอโศกเป็นชาวพุทธที่ปฏิบัติตามทิฏฐิที่อาตมานำมาอธิบาย แต่ไม่ใช่ว่าอาตมาเป็นเจ้าของทฤษฎีนะ แต่เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้า แล้วคนส่วนมากบางคนเขายอมรับนับถือ เป็นปราชญ์กันทั่วไป ทั้งโลก เขานับถือกันเป็นปราชญ์  แต่อาตมามาประกาศ ก็ทวนกระแสกับเขา ก็เห็นว่าทฤษฏี หรือทิฏฐิไม่เหมือนกับเขา ท่านก็รู้ดี ยิ่งเชื่อถือยึดถืออย่างยิ่งเลย ท่านก็ยังไม่ปล่อยคลาย แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหลวมลงหรือไม่ก็ไม่รู้  แต่อย่างที่อาตมาพาทำถ้าเป็นสัจจะ ก็จะเที่ยงแท้แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปร ไม่กลับกำเริบ ก็พิสูจน์กันไป

 

ในประเทศไทยมีชาวพุทธถึง 95% ทุกวันนี้จำนวนทั้งหมดก็ยังมีความโน้มเอน เห็นไปตามทิฏฐิส่วนใหญ่ ชาวอโศกก็ยังน้อยอยู่ แต่อัตราก้าวหน้ามี แก่นที่ไม่เปลี่ยน ยิ่งมั่นคงเหนียวแน่นมากขึ้น อาตมาอ่านได้ว่า ท่านผู้ที่ได้ท่านเข้ากระแสมากขึ้น จาก โสดาฯ สกิทาฯ มาถึงอนาคาฯ นี่ไม่เปลี่ยนแน่ เข้าเขตอสังหิรัง อสังกุปปัง

ส่วนโสดาฯ สกิทาฯ ยังเหลาะแหละบ้าง แต่แกนหลักไม่เปลี่ยน ก็ไปเร่รอนไปจนเหนื่อยถูกเขาโขกสับ แล้วค่อยกลับเข้ามา แต่มีชิปฝังไปแล้วไม่กลัว มีแกนหลักอยู่แน่นแน่ ทั้งสองพวกลงหลัก แต่ไม่หนี มีแว่บบ้าง ส่วนระดับที่ 3 นั้นมาบ้างไปบ้าง ส่วนระดับที่ 4 นั้นไปมากกว่ามา ส่วนพวกที่ไม่มาเลยก็แน่นอนว่ายังมีมากอยู่ในโลก เพราะว่ายุคนี้เป็นปลายศาสนาแล้ว ขนาดพระพุทธเจ้า ก็มีพระอรหันต์มามาฆบูชาแค่ 1250 องค์ มีครั้งเดียวด้วย ซึ่งต่างจากพระพุทธเจ้าบางองค์ที่มีมาฆบูชาหลายครั้ง แต่ละครั้งก็อรหันต์เป็นล้านองค์เป็นต้น เพราะยุคนี้ พระพุทธเจ้าไม่อุบัติหรอก มีแต่โพธิสัตว์มารับหน้า มาทำงานต่อ อาตมารู้หน้าที่อาตมาก็ต้องทำเช่นนี้ อาตมาไม่สงสัยเหตุปัจจัยองค์ประกอบ

 

ความเป็นจริงนั้น หมู่ใหญ่คือหมู่ผิด หมู่น้อยคือหมู่ถูก มันเป็นจริง แล้วคุณจะเอาหมู่ใหญ่เป็นเครื่องตัดสินนี่ก็ผิดหลัก ที่ว่าเอาหมู่ตัดสิน ก็เป็นประชาธิปไตย แต่มันมีเล่เหลี่ยมเพื่อหามวลใหญ่ให้ได้ไว้ตลอดกาล จนเขาสร้างค่ายกลไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจึงหาทางที่สุดว่า จะต้องเลือกตั้ง เพราะค่ายกลเขายังไม่สลาย คำว่าค่ายกลประกอบด้วย โลกธรรม บุคคล โครงสร้างนักธุรกิจ ทั้งประชาชนรากฐาน ที่เขาใช้ประชานิยมผูกไว้หมด จึงมีทั้งฐานล่างและบนพร้อม และยังมีนักกฎหมายที่จะร่างกฎหมายให้เขาด้วย ทั้งสนช.ก็มี มันเลยยากมากเป็นค่ายกลที่เขาผูกสายไว้ครบหมดแล้ว เหลืออย่างเดียวคือต้องทำลายค่ายกลนี้เด็ดขาด ไม่ว่าจะในสนช.หรือสปช. ไม่ว่าในนักธุรกิจ ไม่ว่าแต่ในข้าราชการที่สุด แม้แต่ในมวลประชาชน ที่ยังเยี้ยวๆๆ ใช้ภาษาชัดว่ากลุ่มแดงนั้นเอง อยู่ในประเทศไม่ได้ ก็ไปตั้งหลักต่างประเทศ ที่พูดกล่าวนี้คือสายสนกลเมืองที่เขาสร้างไว้แข็งแรงมาก หากยอมรับในทิฏฐิเดิม ข้อปฏิบัติหลักเดิมก็แพ้ จะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ทฤษฎีเดิม ค่ายกลเดิมนี้มีบทบาทได้ จะทำอย่างไรเป็นเรื่องสำคัญ

 

หากแก้เหตุนี้ไม่ได้ ก็แพ้เพราะเขายังไม่หยุด เขายังกระเหี้ยนกระหือรือ เพราะไม่ใช่คนๆเดียว อาตมายังเชื่อว่าต่อให้หัวใหญ่ตายก็ไม่หยุด เพราะคนที่ได้ร่วมหัวจมท้ายนี้ มันไม่มีทางไปแล้ว ถ้าหยุดก็เข้าคุกหรือประหารชีวิต หรืออีกอย่าง จำเป็นต้องเร่ร่อนอยู่นอกประเทศ จนกว่าจะตายไป อย่างนักการเมืองต่างประเทศ ก็เป็น เท่านี้แหละ ใครเขาจะยอม เขาก็อยากจะมาเป็นใหญ่ที่นี่ หรือถ้าเข้ามาต้องเข้าคุกหรือประหารชีวิต เขาก็ไม่ยอมก็เร่รอนนอกประเทศจนตาย ก็มีอยู่ว่าต้องให้พวกนี้เร่รอนอยู่ภายนอก ถ้ามาก็ให้เข้าคุกหรือประหารชีวิต เท่านี้เอง ไม่มีอื่น นี่อาตมาพูดหลักวิชาการทั่วโลกเป็นเช่นนี้ ไม่ลึกลับอะไร

 

สรุปไปที่ทิฏฐิหรือทฤษฎี ส่วนใหญ่เป็นแบบโลกีย์ ในยุคนานมาแล้วหลายล้านปี ที่ศาสนาพุทธเป็นใหญ่ในโลกก็มี จนน้อยลงๆ จนมาถึงสมณโคดมก็เหลือแค่นี้ ฝืนไม่ได้เป็นสัจจะแห่งไตรลักษณ์ฝืนไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลย อาตมาไม่มักมากมักใหญ่ อาตมาทำอย่างเดียวคือ อุตสาหะตนเอง ไม่ทรมานตน ไม่ทำให้ตนเสื่อมทรุด จะอดทนมากขึ้นได้ก็ทำ เท่าที่เราจะทนได้ พากเพียรอุตสาหะ

 

แล้วทฤษฎีมีอย่างไร เมื่อปฏิบัติอย่างไรตามทฤษฏี ผลได้ก็ตามนั้น ชาวอโศกปฏิบัติที่อาตมานำของพระพุทธเจ้ามาประกาศ ก็ได้ผล ได้มากน้อยต่างกัน ก็ได้ ความใจพอ สันโดษ เป็นคำกลางๆ ตัดสินเอง ใจพอเอง พอใจเอง ใจตนพอ ใจตนมีปัญญารู้ว่าอะไรพอควร อะไรคือผู้รู้ที่ควรนับถือ อาตมาเกิดมาชาตินี้ ก็มองว่าใครหนอที่ควรให้อาตมานับถือ ก็ยากที่จะสาธยาย อาตมานับถือคนบางคน แต่บอกไม่ได้ เพราะเขามีอัตตามานะเยอะ เกินกว่าที่อาตมาจะบอกว่าอาตมานับถือเขา เขาจะเหลิง อัตตามานะจะทำให้เขาเสียจึงไม่พูด ส่วนผู้ที่ควรบอกก็บอก หรือจะประกาศกับสังคมอาตมาก็ประกาศ อย่างในหลวง หรือคานธี หรือไอสไตน์เป็นต้น อาตมาดูตามสัจจะ

 

พูดถึงมวลอโศก่อน ที่มีตัวบุคคลเป็นตัวปฏิกิริยาแท้ มีอยู่เท่าไหร่ที่อยู่ในชุมชน จนข้างเคียง จนไปๆมาๆ จนพวกไปมากกว่ามา ก็มีทั้งนั้น ก็รู้เห็นอยู่ ก็มีเท่านี้ ปีนี้ก็ขันชะเนาะอีกว่า มานะมาเอาที่ 300 แปลงจัดไว้ หลายคนบอกว่าทำไมถูกจัง แค่ ห้าหมื่น ต่อแปลง ได้ 225 ตร.. ก็เพื่อให้มีตัวบุคคลมารวมกันให้มีการสร้างสรร มีผลผลิตจำหน่ายจ่ายแจก อาศัยผลผลิต แน่นอนว่าเหลือกินใช้ เรามักน้อยสันโดษ มันสรรค่าสร้างคนได้อย่างนี้จริง เกิดความจริง อาตมาก็มีวิธีเสริมสร้างไปเรื่อยๆ มีแต่เปิดเผยความจริง เรียกว่ากลปราณี ไม่มีกลรุนแรงเหี้ยมโหด มีแต่กลปราณี มีเมตตาช่วยกันตลอด อาตมาก็ทำอย่างให้เกียรติ อิสรเสรีภาพ คุณจะมาซื้อก็ไม่บังคับ ไม่หลอก ไม่ประเล้าประโลม ไม่มีล่อว่าจะให้มีสุขร่ำรวย

 

ปีนี้ปี 58 นี้เป็นมิติกฤษณะเป็นมิติที่แรงกว่ารามคือเลข 7 แต่ปางกฤษณะนี่แรงกว่า ส่วนปาง 9นี้พุทธะ ส่วนปาง 10 นั้นไม่รู้เห็นได้ง่ายเป็นกาลกิริยาวตาร เหมือนพระเจ้า ผู้จะรู้ชัดก็ต้องปาง 9 เป็นตัวแทนกาลกิริยาวตาร

 

ชีวิตจริงอาศัยสมมุติสัจจะ ส่วนชีวิตลึกนั้นอาศัยปรมัตถสัจจะเป็นเอโก เป็นปัจเจก ส่วนตนของตนเท่านั้น คนอื่นไม่ได้อาศัยร่วมหรอก นอกนั้นก็อยู่กับหมู่ เป็นส่วนนอกที่ต้องสัมพันกัน ต้องศึกษาส่วนตนให้สำเร็จผล กิเลสเป็นต้น ของใครก็ของใคร กำจัดกิเลสได้ก็เป็นลักษณะของตน เป็นปัจจัตตลักษณ์ หรือลักขณรูป 4 คุณจะให้ต่อสันตติหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าจะให้หยุุดก็ได้ มันไม่เที่ยงหรอก มันเที่ยงเพราะคุณกำหนด สัญญาย นิจจานิ  เราก็อยู่กับโลกก็อนุโลมให้โลก ถ้าเราไม่มีแล้ว สิ่งที่มีคือโลก สิ่งที่ไม่มีคือเรา

 

เราทำได้อย่างมีบุคคลรองรับ พฤติกรรมสังคมรองรับ ชาวอโศกนั้นแม้จะเล็ก แต่แน่นโดยสัจจะ มันจริงและปัญญาก็จริง ศรัทธาก็จริง ครบสองอย่าง ก็เลยแน่น จนตั้งมั่น เป็นบุญที่ได้จบไปแต่ละอัน คนเหล่านี้หมดบุญหมดปาป ก็หมดสุขหมดทุกข์ เป็นกลางๆ มันไม่มีอาการอารมณ์ของสุข หรือมีเหลืออยู่ก็ตรวจสอบของตนว่าวิญญาณยังไม่สะอาด อากิญจัญฯ มีเล็กมีน้อยก็รู้ มีกำหนดรู้ จนพ้นเนวสัญญาฯ จนสิ้นอวิชชาจะเล็กน้อยอนุสัย ธุลีละออง หรือว่าเล็กเอียดกว่าก็กำหนดรู้ว่าไม่เหลือแล้ว ไม่มีใครไปรู้แทนคุณได้หรอก คนอโศกทำได้จนมั่นใจมาตั้งนามสกุลว่า มุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน จนอีหลีอีหลอ เป็นต้น

 

อย่างไอสไตน์มีทฤษฎี E = mc2 แต่อาตมาขอบวก A ไปด้วย ตัวนี้คือนามธรรม พวกเราเรียนนามธรรมปรมัตถ์ ที่ไม่ได้ทิ้งรูปธรรมด้วยนะ พวกที่ทิ้งรูปนี่พวกตาเดียว เพราะกายต้องมีนาม ไม่มีนามไม่ได้ พระไตรปิฎก เล่ม16 ข้อ230 บอกไว้ชัดว่า กายคือจิต คือมโน คือวิญญาณ แต่ทุกวันนี้เขาสอนกันว่ากายคือรูปอย่างเดียวเลย จึงไม่พาให้เรียนรู้ปรมัตถธรรม

 

อาตมามั่นใจว่าแม้ยุคนี้ ก็กำเนิดแผ่นดินพุทธได้ ขึ้นป้ายใหญ่ที่หลังคาเฮือนศูนย์สูญเลยนะ ตอนแรกจะขึ้นป้ายที่ปฐมอโศก แต่ก็องค์ประกอบไม่ครบ แต่ปฐมอโศกก็พึ่งพาตนเองได้ ช่วยน้องๆด้วย ส่วนราชธานีอโศกนี่ก็เป็นแกนใน ปฐมอโศกเป็นรอบนอก ส่วนสันติอโศกเป็นสารสนเทศ ปากฆ้อง สรุปว่า คนทำไมต้องมาหมดเนื้อหมดตัว ทำไมถูกโพธิรักษ์ล้างสมองได้ ก็อาตมาเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาเป็นน้ำยา โอสถล้างสมอง ล้างไปล้างมาเจ้าตัวก็บอกว่ายินดีให้ล้าง อาตมาก็เลยล้างได้ ตนเองก็ช่วยอาตมาล้าง ก็เลยสำเร็จมาอยู่ได้ ได้ตัวบุคคลมาโอคฆทา แล้วก็เลยรวมลงมาสัมโมสรณา เกิดหมู่กลุ่มที่เรามีไตรสิกขาแบบของเราเช่นนี้ มีวิมุติแบบนี้ ก็ได้ผลแบบนี้ ก็มาขยายตั้งแต่ศีลไปก่อน

 

ศีลคือหลักเกณฑ์ปฏิบัติ เราขอถือ อาทาน ยึดปฏิบัติ เพื่อสู่ความเป็น สมะ หรือ สมณะ คือสบายปกติ สงบ  ไม่ว่าจะฆราวาส หรือนักบวชก็เป็นสมณะ เรียกว่าสมณะ 1 ถึง 4 มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น ปฏิบัติมรรค 7 องค์ เป็นเหตุให้เกิดสัมมาสมาธิ ไม่ใช่ว่าไปนั่งเอา สมาธิในภพ แต่ว่าเหตุที่เกิดคือ มรรค 7 องค์ แล้วมรรค 7 องค์ต้องให้สัมมาทิฏฐิ

 

สัมมาทิฏฐิ ต้องให้เห็นว่า ทาน ศีล ภาวนา คืออย่างไร ทานแล้วให้รู้ใจตนว่าอาการโลภได้ลดลงไหม? ไม่ใช่ว่าใจโลภมากขึ้น รู้อาการใจโลภ ไม่ใช่ว่าตั้งอาการอยากได้ สาธุขอให้ได้มามากๆ ให้ห้าได้แสนเป็นต้น คือไม่ได้ลดโลภ คุณรู้อาการใจที่คุณทำได้เอง ปฏิบัติทานเสร็จก็จบ แต่ว่าจิตคุณโลภเพิ่มก็ นัตถิทินนังสิ ทานแล้วโลภมากขึ้น แต่ใครสอนกันนะ แม้ทานก็ไ่ม่สัมมาทิฏฐิ เป็นตัวแรกของสัมมาทิฏฐิเลยนะ มันยิ่งไปกันใหญ่เลย อ่านจิตไม่ออก ทำใจไม่เป็น มือเขาให้ แต่ใจเขาเอา กิริยาอาการใจ มีอาการเอามาให้ เป็นของตนจริงๆ มันก็ผิดตั้งแต่ต้น มิจฉาทิฏฐิเป็นประธานอยู่ สอนกันทั่วไปเลย

 

แม้แต่ยิตถัง องค์ประกอบของพิธีการทำแล้ว มีผลลดกิเลสหรือเพิ่มกิเลส แต่เขาตั้งจิตให้เป็นไปอย่างเป็นของขลัง ให้ได้มีฤทธิ์เดช หรือแค่ไหว้พระก็จิตไม่สำรวม อาตมาก็ต้องมาสอนจนเมื่อยเลย  ศีลที่เขาทำก็ไม่ได้เกิดผล

 

แล้ว หุตัง หรือภาวนา เขาก็แปลว่าไปท่องบ่น บริกรรมคาถาอะไรไปโน่น เพี้ยนไปหมด แต่ที่จริงภาวนาคือการเกิดผล ยิ่งผลดับกิเลสก็ยิ่งดี เห็นสภาวะกิเลสลดหรือดับ เห็นวิมุติ หรือนิโรธ วิมุติญาณทัสสนะ

 

ยิตถัง วิธีปฏิบัติประพฤติ ยกตัวอย่างการทำสมาธิเขาก็นั่งหลับตาอยู่ในภพ มันก็ตัดกายไปเลยนะ พระพุทธเจ้าว่าไม่ให้ทิ้งกาย แต่การไปนั่งหลับตาสมาธินั้น ตัดภายนอกหมด แม้ลมหายใจ เขาก็ตัดออก หรือว่าไปกำหนดลมหายใจเป็นมโนมยอัตตาภายในไปอีก ก็ผิดเพี้ยนไปใหญ่ แต่ของพุทธต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สัมผัสแล้วรู้ว่า จะให้ไม่มีอะไร ที่จะให้ไม่มีหรือหมด สำเร็จอิริยาบถ อยู่ในปัจจุบันขณะ

 

ให้มีสัมผัสแล้วมีภาวรูป ที่ตรงหทยรูป อยู่ใน กาย ยาววา หนาคืบกว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ ไล่ไปแต่ละปริเฉท จนเป็นเครือแหเชื่อมโยงกันมากขึ้น ในวิธีปฏิบัติ คุณรู้แจ้งเห็นจริงในศีลพรตที่จะปฏิบัติ เช่นศีล 5 จะเอาแค่นี้นะ ก็ปฏิบัติให้เกิดผลทางจิตได้ตามที่ปฏิบัติ แต่ว่าที่เขาปฏิบัติกันในศีลพรต ก็พากันไปทำแบบรดน้ำมนต์ พ่นไป ดูดวงทำนาย ฯลฯ ซึ่งมันผิดจากศีลของภิกษุที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ใน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ในมหาศีล ก็ต้องทำโดยเฉพาะนักบวช ถ้านักบวชยังทำแล้วฆราวาสจะเหลืออะไร...เดี๋ยวนี้ผิดไปหมด

ทั้ง [19] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

          1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา  เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต  ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ   ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำ

บูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่า บูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอ

ปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็น

หมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทางเสียงกา เป็น

หมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์.

 

[20] 2. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะผ้า

ทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ

ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส

ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา

ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค.

         

[21] 3. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก

พระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิด

พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัยพระราชาภายนอก

จักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาพระองค์นี้จักมีชัย พระราชาพระองค์นี้จักปราชัย

เพราะเหตุนี้ๆ.

 

[22] 4. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส

ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์

ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์

ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้

ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาต

จักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลเป็น

อย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้.

 

ทั้งหมดนี้คือ ศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ และมีสันโดษอันเป็นอาริยะ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:11:12 )

580105

รายละเอียด

580105_พ่อครูเทศน์งานบุญกุ้มข้าวใหญ่ วัดป่าติ้ว จ.ยโสธร

พ่อครูออกจากบ้านราชฯมาตั้งแต่ 05.00 น. เดินทางมาถึงวัดป่าสวนธรรมร่วมใจ(ป่าติ้ว) จ.ยโสธร ประมาณ เกือบเจ็ดโมงเช้า ภายหลังจากได้กราบพระพุทธโต และได้ทักทายโอภาปราศรัยกับสมณะและพระที่อยู่วัดป่าติ้วเรียบร้อยแล้วก็ออกบิณฑบาต ญาติโยมทางภาคอีสานตอนบน มาร่วมกันใส่บาตรอย่างล้นหลาม แถวยาวเหยียด มีเอกลักษณ์ของชาวอีสานคือกระติ๊บข้าวเหนียวกับข้าวเหนียวหลากพันธ์มาใส่บาตรกันอย่างเบิกบาน ยิ้มแย้ม แจ่มใส

 

พ่อครูว่า....วันนี้อาตมาขึ้น 80 ปี 7 เดือน ต้องนับชั่วโมง แม่บอกว่าอาตมาตกฟากตอนพระท่านกำลังบิณฑบาตกลับ เพราะว่าบ้านอยู่ติดวัด หลังบ้านชนวัดเลย แม่บอกว่าคลอดตอนพระกลับจากบิณฑบาต ก็ประมาณเวลานี้ แปดโมงครึ่ง

 

อาตมาเป็นคนอุบลฯ เมืองพิบูลมังสาหาร คุณปู่คุณทวดก็เป็นเจ้าเมืองที่นั่น แต่โยมแม่ไปค้าขายที่ศรีสะเกษ ก็เลยไปตกฟากที่ศรีสะเกษ วันนี้มายโสธร แต่ก่อนเป็นอำเภอหนึ่งของอุบลฯ

 

เราจัดงานก็เพื่อให้มนุษย์มารวมกัน ได้ปรึกษาหารือ คบคุ้น ได้ปรับทุกข์ปรับสุข มีความรู้ก้าวหน้าเรื่องดีๆที่เอามาพัฒนาให้ดี เช่นที่นี่ตั้งใจให้เป็น ธนาริยาคาร อาตมาตั้งชื่อให้เอง ธนะก็คือทรัพย์ อาริยะก็คือประเสริฐ โรงเรือนเป็นที่เก็บทรัพย์อย่างสำคัญ อาริยะ ประเสริฐ ก็เป็นการสะสมพันธ์ข้าว ซึ่งเป็นความคิดที่ประเสริฐ ถึงขนาดทูลเชิญพระเทพฯมาเสด็จเปิดธนาริยาคาร เพื่อจะรวมพันธุ์ข้าว อาตมาก็ต้องอาศัยที่นี่เพื่อทำโครงการข้าวแสนตัน

 

ข้าว เป็นสิ่งสำคัญ อาหารเป็นหนึ่งในโลก มีข้าวนี่ชีวิตอยู่ได้ แต่ต่อให้มีเพชรก้อนโตเท่าลูกแตงโมกับข้าวกระติบหนึ่งลอยคอกลางทะเล จะเอาอะไร เพชรหรือข้าว...ก็เอาข้าว ไปกลางทะเลนี่โยนเพชรก้อนเท่าหัวลงในทะเล จ้างให้ปลาก็ไม่แล แต่โยนข้าวลงไปนี่ปลาแย่งกันเลย ต้องให้รู้สิ่งใดสำคัญ เราเริ่มต้นดีแล้วก็ให้พากเพียรต่อ เรามารวมตัวกันผลิตข้าวแสนตันเป็นที่หมาย แล้วเราทำข้าวไร้สารพิษ เป็นข้าวชั้นดี เราก็ปรับปรุงพันธ์กัน ที่นี่มีตุ๊หล่างเป็นหลักเราพัฒนาให้ข้าวพันธ์ดี อาจมีโลกีย์หน่อย มันหอม มันนุ่มก็ไม่เป็นไร เราก็สร้างให้เป็นแก่นเป็นหนึ่ง ในปัจจัย 4 ข้าว ผ้า ยา บ้าน นี่ มีข้าวนี่แหละเป็นที่ 1 เลย อย่างอื่นเรายังไม่จำเป็นเท่ากับข้าว แต่เดี๋ยวนี้มอมเมาครอบงำ แม้เสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่มก็หลอกสารพัดแง่ แล้วตั้งราคาศักดินา แบรนด์เนม ถ้าได้เจ้านี้ราคาสูง เจ้านี้ราคาต่ำ ครอบงำกันไปหมด เป็นจิตวิญญาณคนฉลาดแกมโกงทำ ฉลาดมีกิเลสเห็นแก่ตัวเอาเปรียบ คือเฉกตา หรือเฉโก แปลว่าความฉลาดคู่กับคำว่าปัญญา ซึ่งปัญญาเป็นความฉลาดโลกุตระ แต่คนเราฉลาดจะเอาแต่ปัญญา ไม่เอาเฉกา ไม่ใช้คำนี้กับตน เพราะว่าแม้จะโกงก็ไม่อยากให้ใครว่าโกง คนเลี่ยงความจริง ฉลาดเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ แล้วหาเล่ฉลาดเชิงชั้นหลอกล่อ กุหนา ลปนา ทำจนเป็นแบบอย่างค่ายกลให้คนติดกับ ฉลาดเลวสร้างองค์ประกอบ แล้วมีอำนาจทำให้คนจำนน จะต้องอยู่ในข่ายนี้ หลุดออกจากค่ายกลนี้ไม่ได้ ทั่วไปเขาทำกันเรียกว่าทุนนิยม

 

ทุกวันนี้คนเข้าใจทุนนิยมเพิ่มขึ้น ว่าเขารวมหัวกันต้อนคนเข้าคอก แต่ชาวอโศกเป็นหมู่กลุ่มที่ออกนอกอำนาจทุนนิยม ออกนอกค่ายกลทุนนิยม ต้องให้เรามีความรู้เข้าใจว่ามีทางออก ทางเลือก ใครยังจะให้ทุนนิยมร้อยไว้อยู่ในคอกเขาก็แล้วไป แต่ใครจะออกจากคอกเขา ก็ออกมา ผู้ใดมีไหวพริบว่าเราต้องหลุดพ้นออกจากอำนาจวงจรทุนนิยม โลกโหดร้าย ไม่ได้ลงโทษเขานะ แต่พูดความจริงว่าทุนนิยมนี่ร้ายลึก มีหัวหน้าใหญ่ในเมืองไทยเป็นเศรษฐีติดอันดับโลก จะตัวเลขสองตัวแล้ว จวนจะตัวเดียวแล้ว รวบไปหมดเลยทั้งพื้นฐานเกษตรกรรม ให้โลกเป็นบริวารของเขาหมดเลย เขาก็ต้องรวย เพราะคนไทยมีอาชีพเกษตรกรรมกันมาก ทั้งกสิกรรม ประมง ปศุสัตว์ โดยเฉพาะกสิกรรมเป็นเขตอบอุ่น หนาวน้อย อุณหภูมิดี ทำกสิกรรมได้ดีเป็นเลิศ

 

เราต้องรู้พื้นฐานเราว่าอยู่ในภูมิภาคนี้ ไม่ใช่เหมาะทำอุตสาหกรรม แต่เด่นด้านกสิกรรม และคนทั้งโลกก็ต้องกินอาหาร บริโภค ส่วนอุตสาหกรรมนี่กินไม่ได้ อาศัยใช้เป็นส่วนใหญ่ มันก็ต้องใช้ แต่ไม่จำเป็นเท่าบริโภค แล้วก็ไปเห่ออุตสาหกรรม เขาก็เป็นคนชั้นบนที่ทำได้ ไม่คำนึงถึงคนชั้นล่าง เช่นผลิตอาวุธนี่กินไม่ได้แต่ไปใช้เป็นอำนาจเหนือคนอื่นได้ แต่กสิกรรมนี่ใช้บริโภค คนต้องอาศัยเลี้ยงชีพ คนเมื่อถูกอำนาจอุตสาหกรรมครอบงำ โดยอวิชชา เขาก็โฆษณา ครอบงำให้เราซื้อเราใช้ เราก็เลยต้องเป็นทาส ตีราคาเท่าไหร่ เราก็ต้องซื้อนี่คือความเจริญทางอุตสาหกรรมที่ ทำให้เกิดการก้าวหน้าอย่างมากแต่ถอยหลัง

 

ชาวเอเชียต้องตื่นตัวกันมาทำกสิกรรมกันทั่วโลก เป็นเอก ส่วนอุตสาหกรรมนั้นก็ใช้แต่เป็นรอง กสิกรรม ปืน ลูกระเบิดนี่เอาชีวิตคน แต่ข้าวนี่ให้ชีวิตคน โลกนี้ถ้าเราไม่มีลูกระเบิดปืนไปเอาชีวิตคน แต่เรามีข้าวไปให้ชีวิตคน แล้วอย่างไหนโลกจะอบอุ่นกว่ากัน  ข้อสำคัญคือคนเอเชียสร้างอาหารให้คนกินได้ แต่ถูกครอบงำให้ให้ค่ากับอุตสาหกรรม ราคาแพงเป็นพิษภัย แล้วเราก็ต้องเอาข้าวอาหารที่ผลิตไปแลกข้าวของอุตสาหกรรมที่แพงแสนแพง เราต้องตื่นตัวว่า อาหารนี่สำคัญกว่า เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ทุกวันนี้เทคโนโลยีมันก้าวหน้ามากเกินไปแล้วเราเรียนรู้พออาศัยใช้ก็พอแล้ว และมีนโยบายประเสริฐ เราทำให้มากแล้วไล่แจก ไม่ใช่เอาขายให้ได้มากๆ เราใช้เศรษฐศาสตร์บุญนิยม คือเศรษฐศาสตร์คุณธรรม เป็นเศรษฐกิจพอเพียงที่ในหลวงตรัส

 

ท่านตรัสว่า การก้าวหน้า อย่างที่โลกเขานิยม เป็นการถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว เป็นคำตรัสของท่านที่ประนีประนอมมาก ท่านให้เลิกหลงการก้าวหน้าอย่างนั้น ท่านให้สัญญาณคนไทยแล้ว แต่คนไทยก็ไปหลงวิศวกรรมยิ่งใหญ่กว่ากสิกรรม ไปหลงลัทธิเทคโนโลยีว่าสำคัญกว่ากสิกรรม ในหลวงว่าเราก็มีพอมีพอสมควร โดยเฉพาะพืชพันธุ์ธัญญาหาร เอเชียเราจะเก่งด้านกสิกรรม ส่วนยุโรปเก่งอุตสาหกรรม แล้วกสิกรรมนี่สำคัญกว่า เพราะอุตสาหกรรมเก่งอย่างไรก็กินไม่ได้ ส่วนกสิกรรมจะทำให้เป็นพิษภัยก็ได้ แต่เราไม่ทำ แล้วเราไม่เก่งที่จะไปสร้างให้เป็นอาวุธชีวะเราก็ไม่ทำ ตอนนี้เขาจะสร้างอาวุธแบบชีวะแล้ว กำหนดได้ด้วยว่าจะฆ่าชีวะระดับไหนได้เลย ฆ่าแต่คน คนแบบไหน ตระกูลไหนฆ่า ตระกูลไหนไม่ฆ่า มองโกเลี่ยนถูกฆ่า แต่คอเคเซี่ยนไม่ฆ่า (มองโกเลี่ยนคือพวกเอเชีย ) มันเป็นเช่นนั้นเลยร้ายกาจอำมหิต จะฆ่าแต่พวกตระกูลที่เขาคิดว่าเป็นศัตรู เราก็ไม่ต้องไปโกรธเกลียดเขา เราต้องชนะความไม่ดีด้วยความดี เรามีหน้าที่ผลิตสร้างให้อุดมสมบูรณ์ให้มากพอจนเหลือ ไปแจกจ่ายให้ทั่วโลกเลย เราต้องเอาจุดเด่นเราไว้อาศัย อย่าเข้าใจผิด ในหลวงเราเตือนตรัสหลายครั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงหรือแบบคนจนก็ตาม

 

สายของพวกเราสายตะวันออก เราทำให้หยั่งลงไปในเชื้อรากเหง้าที่ อาตมามั่นใจว่าได้แพร่เชื้อแบบพระพุทธเจ้าแบบบุญนิยมที่เราจะแพร่ที่มีรากฐานเก่ามีดีเอ็นเอแบบบุญนิยมอยู่ ทางตะวันตกเขาไม่มีเชื้อของโลกุตรธรรม เขาเป็นเทวนิยม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เอเชียมีรากฐานของบุญนิยม รู้จิตวิญญาณโลกุตระ

 

ของพระพุทธเจ้าเป็นอเทวนิยม สามารถเรียนรู้ได้ถึงขั้น unconscious หยั่งรู้ถึงจิตอนุสัย แล้วเอาตัวร้ายอนุสัยที่นอนเนื่องที่แตกตัวอยู่ ที่แม้จะนอนนิ่งแต่แตกตัวทำงานอยู่เหมือนยีสต์ มันเล็กละเอียดมากทำงานอยู่ แล้วพลังงานพวกนี้มันเป็นไวรัสทางนามธรรม ละเอียดยิ่งกว่าไวรัส ซึ่งไวรัสนั้นอยู่ได้นานเป็นล้านปี ขณะนี้เขาจะเอาเชื้อดีเอ็นเอของไดโนเสาร์ มาเพาะมันกี่ล้านปีเขาก็มั่นใจว่าเพราะได้เชื้อยังไม่ตาย เชื้ออายุชีวิตินทรีย์ของมัน เชื้อระดับสัตว์โบราณก็ยังไม่ตาย แล้วเชื้อทางจิตวิญญาณเล็กละเอียดกว่าอีก แล้วมันจะตายง่ายที่ไหน คนนี่มีเชื้อไวรัสระดับอนุสัยนี่มันตายยากกว่า แบบไวรัสทางโลกอีก แต่พระพุทธเจ้าค้นพบวิธีฆ่า ทำลายอนุสัยอาสวะได้ ทำลายได้เป็นคนประเสริฐอย่างถาวร

 

เทวนิยมไม่ถึงอนุสัยอาสวะ ได้แค่ระดับบน เพราะจิตวิญญาณระดับพระพุทธเจ้านี้ไม่ใช่ได้แค่ฤาษี สายเทวนิยมกับเทวนิยมนั้น แบ่งตรงที่ว่ามีธาตุรู้ที่สามารถรู้ชีวิตินทรีย์ของสัตว์ทางจิตวิญญาณที่ปรุงแต่งเป็นกายของสัตว์ ตามสัตตาวาส 9 หรือ วิญญาณฐิติ 7 เมื่อแยกกายของสัตว์ได้ว่ามีอกุศลจิตปรุงแต่งอยู่ ตั้งแต่ตัวต้น เราก็ต้องเอาตัวร้ายที่สุดก่อน จับตัวนี้ได้ ฆ่ากำจัดมันได้ นี่เป็นวิชาการของศาสนาพุทธ ที่เรียนรู้ถึงวิทยาศาสตร์ทางจิต หยั่งถึงดีเอ็นเอตัวก้นบึ้งอกุศลจิต ดำดิ่งไปหาจุดลึก มีวิธีดึงขึ้นมาตั้งแต่ เป็นโสดาบัน รู้และกำจัดอบายในกามภพ กำจัดอบายได้ก็เป็นสกิทาคามี แล้วก็จะ มีตัวที่อยู่ก้นบึ้งลอยขึ้นมาอีก เราก็ปราบไปอีก จนหมดกาม เป็นอนาคามี กามภพ กามาวจรก็หมด รูปาวจรก็มาเป็นจิตสำนึกแทน อรูปาวจรก็ขึ้นมาเป็นจิตใต้สำนึกแทนอย่างไม่ได้หลบหนีผัสสะเลย ไม่ได้เรียนในความดำมืด พระพุทธเจ้ามีวิธีการมีสูตรสำเร็จอันยิ่งใหญ่

 

คำว่า กายของพระพุทธเจ้าจึงเหนือ รูปภพ อรูปภพ ดึงให้มาอยู่ในจิตสามัญ จนเป็นอนาคามีชั้นสูง เหลื่อมเข้าหาอรหัตตมรรค ก็ฆ่าเชื้อที่เหลืออีก อรูปก็ขึ้นมาอยู่ในระดับที่1 เป็นระดับจิตสามัญสำนึกเลื่อนขึ้นมา ผู้เป็นอนาคามีขั้นสูงก็ปรับจิตไร้สำนึกที่ขึ้นมา เป็นจิตสำนึกสามัญแล้วปราบอรูปจิตนี้ได้อีกก็เป็นอรหันต์

 

ปราบพลังงานทางจิตวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์ก็เป็นอรหันต์ ให้อรูปจิตขึ้นมาเป็นจิตสำนึกแล้วปราบได้หมดแล้วสมบูรณ์แบบก็เป็นพระอรหันต์ ไม่ได้หนีจากกามภพ โลกธรรมที่เขามีกันเลย ร่วมอยู่ในสังคม คิด พูด ทำ อาชีพกับสังคม แต่ว่าเป็นสัมมา จิตเป็นจิตอัปปมัญญา เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่ไช่แค่พยัญชนะแต่จิตมีเมตตาจริง

 

การไปนั่งหลับตานั้น มีแต่ความจำที่เอาไปปฏิบัติ ไม่ได้มีความจริงที่จะเอาไปปฏิบัติ ไม่มีสุรภาโว ไม่มีองค์ประกอบของดิน น้ำ ไฟ ลม สติมันโตไม่เต็ม ธาตุจิตที่อยู่ในภพเช่นนั้น จึงถือว่าไม่สมบูรณ์ด้วยกาย ไม่มีปสาทรูป โคจรรูป ทำงานครบ ไม่ปฏิสังขารอย่างจริงเหมือนที่มีองค์ประชุมครบพร้อมนอกและใน โดยเฉพาะไม่มีสุรภาโว

 

เรามารวมกันนี่มีตัวตนบุคคลเราเขาครบ มีคุณสมบัติมนุษย์ชมพูทวีป แต่ถ้านอนหลับไป ก็ไม่ครบอุปกรณ์เรียนรู้ เพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นอุปกรณ์ใหญ่ ไปปิดมันก็ไม่ได้รู้ ยิ่งไปทำเก่งสมาธิหลับตา ตัดความรู้สึกภายนอกเลย อย่างอานาปานสติ เขาก็ว่าเลยเถิดตัดเข้าไปข้างในเลย ไม่มีปัญญา เพราะขาดองค์ประชุมมรรคองค์ 8 เข้าไปอยู่แต่ในภวังค์ จึงไม่ครบ สุรภาโว สติมันโต จึงไม่ใช่อิธพรหมจริยวาโส ที่เขาหลงไปนานแล้วว่าอย่าเอาจิตออกนอก ผู้คิดเช่นนี้คนละทิศกับพระพุทธเจ้า ผู้ที่ว่าอย่าให้จิตออกนอกตัวนี่ผิดจากพระพุทธเจ้าสอน เขานับถือกันมากเลยด้วยคนที่พูดเช่นนี้ ขออภัยที่ต้องพูด แต่เรื่องสัจจะ มีท่านเอาคำสอนอาตมาในนามของท่าน คือท่านตัดตอนเอาในคนคืออะไรทำไมสำคัญนักไปลงในหนังสือของท่าน ก็ไม่ได้ทวงนะ ก็ขอบคุณที่ช่วยเผยแพร่ ก็อบอุ่นใจดีใจด้วยซ้ำ อาตมาไม่มีอาการนี้ ก็เลยบอกว่าแค่ดีอยู่  

 

เมื่อเราตื่นเต็ม มีกายครบ อายตนะ 6 ครบ แต่ถ้าตัดอายตนะนอก ก็เหลือแต่มนายตนะกับธรรมายตนะ ก็ไม่ได้สัมผัสภายนอก ไม่มีกาย ซึ่งเป็นแบบเดียรถีย์ ไม่ใช่พุทธ เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่าต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องมี อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ คือเห็นทั้งภายนอกและภายใน ไม่มีขาดสันตติ เห็นทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ในวิโมกข์ 8 มีกาย ที่ต้องเรียนรู้องค์รวมทั้งหมด ตั้งแต่ข้อ 1 ถึง 8 จนสัญญาเวทยิตนิโรธก็ต้องมีกาย ในโลกกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ เป็นแท่งก้อนให้จิตวิญญาณอาศัยนี่แหละ กายจะต้องมี ทวาร 6 ครบ รู้ดินน้ำไฟลม รู้ว่าดิน นี้คือปืน คือธนบัตร คือที่เขาหลงติดยึดกัน ขนาดใช้ตัวเลขนี่ส่งไปตัวเลขตัวเดียวนี่มีฤทธิ์ถึงขั้นธนาคารล้ม ประเทศฉิบหายได้เลย ใช้ประสิทธิภาพของตัวเลขตัวเดียวนี่ นี่คือแบบทุนนิยม คนโกงจะใช้เทคโนโลยีที่เร็วแรง ทำร้ายได้มาก ช้าไปนิดเดียวกดไม่ทันก็ย้ำแย่เสียหายเลย

 

คำว่าปฏิรูปในประเทศไทยนี่ ตอนนี้ติดกระแส ที่จะกำลังสร้างค่ายกลใหม่ ตั้งคณะสปช. สนช. กำลังขมักเขม้นเอาเป็นเอาตายเลย อาตมาก็ไม่รู้นะว่าสมาชิกของ สปช. สนช.นี่ดูเหมือนจะเป็นช่างกลการเมืองบริหารประเทศ ก็ปฏิรูป ไม่ใช่ปฏิวัติ

 

ปฏิวัติ คือทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าปฏิรูปก็ใช้เวลานานเดินไปเรื่อยๆ ตอนนี้ในสังคมใช้คำว่าปฏิรูป คือให้มีเวลาผ่อนช้าๆ ไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า อาตมากำลังอธิบายให้รู้ว่า ผู้บริหารท่านจงใช้ลักษณะของปฏิวัติ ในการปฏิรูป ต้องใช้ลักษณะเร็ว ขืนช้านั้น เชื้อโรคจะแตกตัวเร็ว ตอนนี้คนไทยก็นอนใจเพราะคสช.แบกหน้าที่ไปแล้ว คนก็เลยรอ แต่หน้าที่คสช.นั้นทำไหม มีคนตีพุงหลบให้คสช.ทำ คสช.ก็มาตั้งสปช. สนช. ให้ทำ ค่อยๆทำ คสช.ก็ควบคุมหางเสือ ตอนนี้ว่ากันว่านายกฯก็ยังไม่บริหารสมบูรณ์แบบหรอก ต้องให้มีเลือกตั้งก่อนจึงเต็มรูป ก็อีกตั้งนาน เพราะฉะนั้น สปช. สนช. จึงเป็นตัวหลักของรูปนาม  ก็ไม่รู้ว่าใครจะมีพลังงานแบบไหน ใครจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า ใครสูงกว่าก็เป็นปุริสสินทรีย์ แต่ถ้าพลังงานใดเป็นแบบฟ่ามๆฟุ้งๆ ไม่แน่นก็เป็นอิตถินทรีย์ อันอ่อนด้อยกว่าภาวะเป็นเอกคือปุริสสินทรีย์ แต่ทั้งสองอย่างก็ขาดไม่ได้ ต้องรู้หน้าที่กัน จริงๆแล้วอิตถินทรีย์เป็นพลังปัญญา ถ้าปุริสสินทรีย์นี่เป็นพลังงานเอกภาพใหญ่ เป็นแกนหลัก ไม่แสดงท่าที ออกนอก แต่เป็นแก่น หลักแกน แล้วมีพลังงานร่วมเป็นพลังงานศักย์แต่ถ้าออกไปทำงานก็เป็นตัวจริงตัวชัด หากไม่ขัดแย้งกันก็ทำงานเป็นเอกีภาวะ

 

สปช. สนช. ก็ถ้าทำงานร่วมกันประสานกัน อย่าแย่งกันเป็นใหญ่ จะดีมากเลย ปุริสสินทรีย์คือพลังงานบวก potential energy แต่อิตถินทรีย์คือพลังงานลบเป็น kinetic energy ต้องรู้กาละ ว่าจะใช้อะไรออกไปมากกว่ากัน

 

ตอนนี้จะใช้คำว่าปฏิรูป ถ้าจะจัดเป็นสองภาวรูป คำว่าปฏิรูปจัดอยู่ในลักษณะ ถ้าเผื่อว่าไม่มีเหตุปัจจัยเดือดร้อน ก็จะเป็นปุริสสินทรีย์ แต่ถ้ายังเป็นภาวะเดือดร้อนไม่ลงตัว ปฏิรูปจะอยู่ในภาวะอิตถินทรีย์ ตอนนี้จะใช้อะไร อาตมาว่าผ่านช่วงใช้ปุริสสินทรีย์ คือในช่วงปฏิวัติ 22 พ.ค. 57 เป็นภาวะปุริสสินทรีย์ นั้นอาตมาว่าสง่างามมาก เป็นภาวะเอก  ไม่มีประเทศไหนทำได้ง่ายๆ จบปฏิวัติเสร็จแล้วก็ปฏิรูปก็ใช้ภาวะตามลำดับ ตอนแรกถ้าศัตรูอ่อนแรงยอมสยบ ก็ใช้ปฏิรูป จะมีอัตราก้าวหน้าดี แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว เพราะตัวศัตรูเพาะเชื้อ แม้ต่างประเทศก็ตั้งขบวนการเสรีไทยแล้ว แต่ตอนนี้ผ่านปฏิวัติมาปฏิรูป สิ่งจริงคือคุณปฏิรูปไม่ได้แล้ว ต้องปฏิวัติ ตัดไฟแต่ต้นลมได้ ไม่อย่างนั้นคุกรุ่นกับภายนอกตีเข้ามา ข้างในก็ตีออกไป แล้วประชากรก็นอนใจหมดแล้วด้วย

 

ตอนนี้ปฏิรูปคือปฏิวัติ กาละทุกวันนี้เร็วมาก ช้าไม่ได้ เผลอตาย แค่เหลียวหลังเอี้ยวออกไปข้างหลัง ก็ตายได้เลย เร็วกว่าเหยียดแขนคู้แขนเลย มันเร็วทุกอย่างกรรมกิริยาของโลกมันเร็ว ขณะนี้ไม่ใช่ยุคปฏิรูป เป็นยุคปฏิวัติ จะจัดการปราบเชื้อก็ทำ ถ้าไม่ทำก็ลาม จะไม่ทัน อีโบล่าก็สู้ไม่ได้ รับรองหนักว่าอีโบล่าหลายพันเท่า ถึงเวลาต้องปฏิวัติในปฏิรูป ขออ่านกวี

                                   

                                    ปฏิรูปด้วย "แบบคนจน

 

                                    (1) ปฏิรูป..ปฏิรูปไซร้             อะไร

                                    ปฏิรูปกันยังไง                         ลึกตื้น

                                    จึ่งจักเจริญไกล                                    ยิ่งกว่า เคยเฮย 

                                    ปฏิรูปกันแค่พื้น                                   ไม่พ้น"อวิชชา"

 

                                    (2) ต้องหาจุดบอดให้             จนเห็น

                                    หาเหตุที่แท้เป็น                                   จุดแก้

                                    หากหลงแต่ประเด็น                เช่นเก่า

                                    ก็บ่พ้นวนแพ้                            แก่ผู้"อวิชชา"

 

                                    (3)  ประดาคนหลากรู้             มีมาก

                                    แต่หนึ่งรู้สุดยาก                      สัจจ์แท้

                                    คืออริยสัจหาก                         พ้น"อวิช- ชา"รา

                                    จึงจักเห็นจุดแก้                                   ถูกถ้วนถาวร

 

                                    (4)       สุนทรคนสุขด้วย         อามิส

                                    ทั้งเสพทั้งยึดติด                       ไป่รู้

                                    "อวิชชา"แน่นสนิท                  หลงแต่ "วิชา"นา

                                    จึงจบแค่กอบกู้                                    สุขซ้ำโลกีย์

 

                                    (5) เพราะมีภูมิแค่รู้้                 สุขทุกข์

                                    แต่ลึกโลกุตรสุข                      ไม่แจ้ง

                                    สุขเท็จ-สุขแท้ฉุก                    ใจบ่ คนเอย

                                    ไทยชาติพุทธใช่แล้ง                ฉลาดชั้น"วิชชา"

 

                                    (6)  ศาสดาพุทธสุดรู้               สังคม มนุษย์แล

                                    ทรงกอบกู้มนุษย์จม                 โลกฟื้น

                                    ด้วยโลกุตระสม-                      ใจอยาก จริงเลย

                                    แต่ปราชญ์โลกยังตื้น               มิรู้"อาริยา"

                       

                                    (7)  หลง"อารยะ"พื้น  ปุถุชน             

                                    ปฎิรูปกันวกวน                                    ย่ำย้ำ

                                    ไม่รู้"แบบคนจน"                    จนจบ จนจริง

                                    ปฏิรูปจึ่งซ้อนซ้ำ                      ไป่รู้"จน"แล้ว

 

                                                                        "สไมย์ จำปาแพง"                             

                                                                                    16 ธ.ค. 2557

                        [นัยปก "เราคิดอะไร" ฉบับ 295 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2558]

 

ถ้าคนทั้งประเทศไม่เป็นคนที่ไม่เอาของใคร แล้วแบ่งแจก ช่วยเหลือเกื้อกูล  คนชนิดนี้ประเสริฐ แต่ทุกวันนี้มีแต่จะเอามาให้ตนมามากๆ แล้วเอาเงินที่มีไปอาละวาด หลอกคน ให้ดูดเงินเข้ามาเพิ่มอีกมากๆ นี่เป็นวิธีการเลวร้าย ตอนนี้ถ้าตีแตกว่าแบบคนจน นี่คืออะไร ค้นคว้าให้สัมมาทิฏฐิ ตอนนี้ต้องปฏิวัติแล้วไม่ทันแน่ ถ้าปฏิรูป ต้องตัดแข้งตัดขาพวกที่อยู่ในหรือนอกประเทศ ตามจับ ถ้าชนอย่างนี้ปฏิรูปเย็นๆอย่างนี้เสร็จ อย่าทำเป็นเล่นไป คุณจะเป็นพระยาจักรี สุดท้ายถูกประหารชีวิตทั้งนั้น ใครประหารชีวิตก็รู้นะ นี่อาตมาก็ให้สัญญาณ อาตมาไม่ได้มีแหล่งข่าวขนาดท่าน ท่านก็ต้องรู้มากกว่าอาตมา อาตมาว่าอย่าช้านะ ต้องใช้อำนาจปฏิวัติ ปฏิวัติซ้อน ถึงไม่ซ้อน คสช.ก็มีอำนาจเต็มทำได้ทันที อาตมาก็ขอย้ำบอกว่า ตอนนี้ถ้าขืนช้า เสียหาย ถ้าเร็ว ใช้อาญาสิทธิ์อย่างสุจริต ส่ิงที่ควรก็ทำ อย่าเงื้อง่าราคาแพง สิ่งทุจริตลงดาบ อย่าหาว่าหล่อไม่เตือนถ้าขืนช้านะ

 

นายกฯจะมาจากประชาชนเลือกตั้งหรือจะเอาแบบเดิม ซึ่ง 82 ปีมาแล้วนายกฯมาจากสส.เลือกในสภาฯ ก็วนแบบเดิม แล้วสส.นี่ไม่ใช่ประชาชน สส.มาจากนายห้างตีตั๋วให้ แล้วประชาชนก็ตีตั๋วให้เป็นสส. แล้วสส.นี่ก็คนของนายห้าง เขาก็ว่าเลือกคนของนายห้างเป็นนายกฯ แต่ถ้าตนเองอยู่นอกประเทศก็ให้เลือกน้องสาวนายห้าง แล้วน้องสาวนายห้างก็ฉลาด ไม่ค่อยเข้าสภาฯ ลาไปโน่นไปนี่ พวกนักกฎหมายรอฟันก็เลยรอเก้อ มีแง่เล่นเชิงตลอด ตุลาการก็เลยงงๆ อาตมาพิพากษาว่าผิดน่ะ อย่ามาดราม่ากันเลย

 

ตอนนี้เตรียมให้รับภัยพิบัติกัน อย่านึกว่าไฟใต้ตอนนี้มันไม่มีแรงฤทธิ์นะ ตอนนี้เขาก็มีป่าล้อมเมืองมาแล้ว ถ้าไม่รีบจัดการ ถั่วไม่สุกหรอก งาไหม้เหม็นหมดแล้ว

 

นี่เป็นเจตนาดีของอาตมา เราต้องมาร่วมกันสร้างจุดเด่นของเรา เราคือกสิกรมาร่วมกันสร้างอาหาร แม้แค่กวฬิงการาหารก็เป็นอาวุธใหญ่ ชั้นเลิศ ถ้าเอเชียนี่ร่วมมือกันทำเรื่องอาหาร พวกเครื่องบินเจ็ต ที่ใช้ขนอาวุธ เอาไปขนผักให้เขาไปกิน ขายขาดทุนเลย ขาดทุนของเราคือกำไรของเราขายพืชผักผลไม้เราถูกๆให้เขากิน การขนส่งตอนนี้มันเร็วมาก ยิงลงไปตามจุดที่ต้องการเลย ส่งลงทะเลได้เลย ให้วิ่งไปเอาตามพิกัดเลยละ

 

นโยบายในหลวง ให้เรามาให้ทำความเข้าใจดีๆ แล้วเอามาใช้ เอาแบบคนจนมาใช้ ทำให้ประชากรมีเศรษฐกิจพอเพียง ไม่เอาหรอก จำนำข้าว มีคนบอกอีกว่าข้าวเก็บไว้ไม่เสียหรอก แต่แท้จริงเสียหายมากขายให้ตายอย่างไรก็ไม่คุ้มทุนหรอก แล้วบอกว่าไม่เป็นไรอีกหรือ แล้วที่โกงไปอีกมาก อาตมาว่าจะเสียหายกว่าข้าวที่เสียหายอีกนะนี่ เอาเงินมาซื้อข้าวกี่ล้าน แล้วละลายไปกับข้าวชุดนี้ สรุปแล้วมีทุจริตแน่ แล้วยังเสียหายไปตามธรรมชาติอีก รับรองว่าโกงมากกว่าแน่

 

อาตมากำลังชวนคนมาเป็นคนจน ใครจะมาเป็นคนจนกับอาตมาบ้าง ….มาเป็นคนจนมหัศจรรย์ จนอย่างอบอุ่นอุดมสมบูรณ์ พอมีพอกิน เพราะเราเป็นคนกินน้อยใช้น้อย ระวังเทคโนโลยี ที่ว่ารุ่นใหม่ๆน่ะ มันมีอะไรใหม่ก็แค่เกมส์มาก เร็วมากแค่นั้น แล้วที่ตกรุ่นยังใช้ไม่หมดเลย เราต้องมาแบบคนจน คนจนมหัศจรรย์ แล้วทำข้าวนี่แหละ ให้เป็นข้าวที่ดี เป็นของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ ซึ่งระบบเงินเชื่ออะไรต่างๆนี่ เป็นระบบที่เลวมาก มีวิธีซับซ้อน เราต้องหันกลับมาใช้ระบบแบบพระพุทธเจ้า แบบในหลวง แบบคนจน ที่พูดไปก็หมดเวลา แล้วก็ขออภัยที่พูดไปกระทบกระเทือนใคร ก็พูดด้วยปรารถนาดี ….


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:12:53 )

580106_

รายละเอียด

580106_เทศน์กฉ.บุญฉลองข้าว ครั้งที่ 16 หินผาฯ ตายกับดีดีกับตาย

วันนี้ควรเป็นวันที่ฤกษ์งามยามดีมากสำหรับหินผาฟ้าน้ำ ซึ่งแต่เดิมก็ทำมาได้ดีนะ แต่มาขาเป๋กลางทาง ผิดพลาดระส่ำระสายกันพอสมควร อาตมาก็มาดูแล้วว่าทั้งสถานที่ ทั้งทางการทางรัฐด้วย ทั้งที่จะเป็นชีวิตพืชพันธุ์ธัญญาหาร รวมทั้งบุคคลก็มีอยู่ที่ตั้งใจจริง ที่ไม่อยากให้สลายให้หมดไปก็มีพอควร ศิษย์เก่าก็มี คนเก่าที่ถอยไปหน่อยบ้างก็มี ที่รู้สึกตัวจะเข้ามาก็มี นี่คือองค์ประกอบที่อาตมาประเมินค่าของหินผาฟ้าน้ำแล้ว

 

ดูแล้ว อาตมาก็ว่า สิ่งที่ผ่านมาแล้วเป็นบทเรียน เป็นสิงที่เกิดไปตามเหตุปัจจัย เราก็ยอมรับว่าอะไรบกพร่อง อะไรเสียหายก็แก้กลับ พระพุทธเจ้าส่งเสริมการแก้กลับ สิ่งที่สุดวิสัยเกินแก้ก็ยุติไป แต่ขณะนี้หินผาฟ้าน้ำ ยังไม่อยู่ในฐานะที่ไม่ถึงกับต้องยุติ องค์รวมยังพอไปได้ ก็มาตั้งตัวใหม่ อะไรที่ควรสร้างควรฟื้นก็มาร่วมกัน ผู้ใดเห็นควรจะเข้ามาก็มาหรือผู้มาใหม่อยากมาช่วยก็มา สมณะที่ยังจะช่วยดูแลท่าก็ยังเอาอยู่ ตอนนี้มาลงมือปลูกถั่วดาวอินคากัน ก็ปีนี้จะถวายข้าวอีก 5 ตัน ก็มีอะไรต่ออะไรอยู่ ยังได้อยู่ สิ่งใดผิดไปแล้วก็หยุด อย่าให้มีใหม่ ตั้งใจทำดีใหม่ กอบกู้ใหม่ สิ่งแล้วๆก็จบไป อย่าให้มีอะไรเป็นเชื้อที่ไม่เข้าท่า มันไม่ใช่ของหาง่าย โดยเฉพาะทางการเขาสนับสนุน พร้อมให้เราทำ อย่างราชธานีอโศกยังจะไม่ค่อยมีตัวช่วยเลย ยังล้อมรอบไปด้วยสิ่งที่จะทำลาย

 

พระพุทธเจ้าตรัสชัดเจนว่า ต้องเอาชนะความไม่ดีด้วยความดี ถ้าไปเอาสิ่งไม่ดีไปล้างไม่ดี ก็บรรลัยจักร ถ้าเขายิ่งไม่ดี เราก็ยิ่งต้องดีให้มาก จะไม่ดีแรงขนาดไหนเราก็ยิ่งต้องดี อย่าเอาความไม่ดีไปใส่อีก ถ้าเรายังทำแล้วไม่ดีก็เพราะว่ายังทำดีไม่มากพอ ให้ทำข้ามชาติเลย ตายไปกับดีไม่มีเสีย ข้ามชาติไปไหนๆ หากไม่สิ้นวัฏฏะสงสาร จะเป็นเชื้อต่อ อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ยังไม่ปรินิพพาน แม้อาตมาจะไม่ทำดีต่อ ก็มีบุญเก่ากิน แต่อาตมาเข้าใจสัจจะว่า องค์ประกอบมีให้เราทำดีต่อ เราก็ทำ ต้องสร้างพลังงานที่จะหยุดความไม่ดีได้เด็ดขาด พระอรหันต์ จะรู้มีพลังงานให้ความไม่ดีในตนหมด แล้วจะรู้ว่าอะไรที่จะเป็นสิ่งไม่ดีมากเกินท่านก็จะหลบ เพราถ้าเกินตัวไป เราก็เสียคนอื่นก็เสีย พระอรหันต์ไม่มีหน้ามีตา รู้อะไรควรไม่ควร เราทำสิ่งที่ควรเท่านั้น ท่านไม่มีตัวตน อยู่ที่มหาปเทส อะไรไม่ควรก็หยุด ท่านไม่มีตัวตน คนที่มีตัวตนเท่านั้นที่บ้าดีเดือด ทำสิ่งไม่ควร ถ้าผู้ทำอยู่ก็มีตัวตน

 

ถ้าท่านเองไม่ปรินิพพานท่านก็ทำ สิ่งที่มีต้องทำให้ดี สิ่งที่จะให้จบก็จบด้วยดี ถ้าเรามีความรู้สามารถว่า สิ่งไหนมีก็ทำให้ดี สิ่งไหนไม่ดีก็ไม่ทำ สิ่งที่ตัดสินว่าเป็นอรหันต์ ท่านไม่ทำสิ่งไม่ดีเด็ดขาด ใครจะหาว่าหน้าตัวเมียขี้กลัว ประชด ท่านก็ไม่ทำ คนที่รู้แล้วว่าไม่ดีก็ไม่ทำ จะเป็นคนเลวตรงไหน

 

ที่นี่ยังควรบูรณะต่อ ผู้ที่ยังอยู่ที่นี่ยังมากว่าทะเลธรรมอีก ที่ทะเลธรรมเขาก็ยังไม่เห็นเซเลย แต่ที่นั้นเขาไม่มีโรงเรียน ก็ยังองค์ประกอบไม่ครบที่จะทำ แต่เขายังแข็งแรง แต่ที่นี่มีอะไรมากกว่าทางโน้นอย่าให้เสียของ ผู้ที่เป็นหลักอยู่ ใครคิดว่าเราจะมารวมมือบูรณะต่อ มีกี่คน ก็พอมีอยู่นะ ศิษย์เก่าก็เห็นว่าน่าจะมากัน เราต้องรู้จักสิ่งที่มีคุณค่าที่น่าทำ

 

อาตมาเป็นคนอุบลฯ สุดท้ายอาตมาก็ต้องมาบูรณะที่อุบลฯ ปักหลักลงแหล่งเพื่อสร้างมนุษยชาติ สังคมวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมให้สมบูรณ์ไว้ในโลก อะไรที่เหมาะควรก็แบ่งกันไป ไม่ใช่ไปรุมกันที่เดียว ตรงไหนเป็นหลักก็ทำ อะไรควรแบ่งกันก็ทำไป อาตมาก็พยายามเดินสายไป ไม่อ่อนข้อให้นะ สุดท้ายเราจะตายเราก็ต้องตาย ก็มอบมรดกวัฒนธรรม สมรรถนะ ความรู้ความจริงเพื่อสืบสานความเป็นมนุษยชาติต่อไป ตายแล้วก็เกิดมาอีก

 

เราอาศัยในสังคม อำเภอ จังหวัด ประเทศ ทั่วโลก ทุกวันนี้โลก globalization เอเชียก็พยายามผนึกรวมตัวกัน เพื่อให้เป็นเอกีภาวะ ขัดแย้งน้อยลงจนเป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ ที่ไหนก็แล้วแต่ ไม่มีหรอกที่จะไม่มีขัดแข้งเลย สามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ ที่จะรู้ยากคือความเหมาะระหว่าง บวกกับลบ ที่จะเหมาะสมกับองค์รวมของตนเอง ถ้าสงบมากสิ่งที่จะเป็นลบก็ไม่ต้องมาก พลังงานความร้อนนี่ลดลงให้มากถ้าสมดุลดี ถ้าไม่สมดุลดีความร้อนจะมาก จะลำบาก เราถึงต้องให้ความร้อนให้น้อยลงๆ แต่ถ้าน้อยมากก็เย็นเกิน หนาว จับตัวแข็งก็ไม่ดี

 

สรุปแล้วที่นี่อาตมาเห็นว่ายังน่าบูรณะ พีชะ ผลไม้ยังอุดมสมบูรณ์ ข้าวก็ให้อาตมาถึง 5 ตัน ปฐมอโศกได้ 7 ตันที่ให้อาตมามา สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยัน ว่าแต่ละชุมชนเป็นอย่างไร ข้าวคืออาหารเป็นหนึ่งในโลก จะเป็นตัวชี้วัดถึงชีวะที่แข็งแรง ชี้บ่งรากเหง้าเลย แล้วเราก็แบ่งปันกันกินไป อาตมากำลังตั้งหลัก ทำโครงการข้าวแสนตัน เพื่อใช้ลักษณะการสร้างข้าวให้พัฒนาคุณภาพปริมาณให้ถูกตรง เราได้ประมาณแสนตัน เราก็เกื้อกูลได้ระดับหนึ่ง ถ้าเห็นว่าดีเราก็จะเพิ่มเป็นสิบแสนตันเป็นล้านตันต่อไป  ข้าวนี่เป็นหลักใหญ่กลางหนึ่ง ส่วนอื่นก็รองลงไป ในข้าวนี่มีธาตุอาหารครบมากที่สุดเท่าที่มี มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ เมื่อมีมากพอเราจะเผื่อแผ่ไปทั่วโลก ในที่ที่ปลูกข้าวไม่ได้ ยกตัวอย่างเอสกิโมเป็นต้น

 

เราจะบูรณะทั้งด้านการศึกษา การเมือง เรื่องสังคมมนุษยชาติ มีทั้งตัวตั้งที่เป็นหลัก และตัวตั้งใจที่จะมา หรือพวกที่จะร่วมมือก็ให้พยายามกันดู ตอนนี้อาตมาทำงานกว้างมากขึ้น เชื่อมโยงไปในประเทศมากขึ้น ก็อาศัยพวกเราเป็นกำลังบูรณะกอบก่อกัน รุ่นต่อไป รุ่นหนุ่มสาว ก็ต้องรู้ว่าเราจะไปช่วยบูรณะที่ไหนดี โลกียะ เป็นความเลวร้าย แย่งชิงมาก ไปหารวยมาก แต่โลกุตระนี้เป็นสิ่งน้อย แต่เป็นสิ่งดี เราควรไปเสริมกองที่ดีหรือไม่ดีนะ ก็ควรเสริมสิ่งดีสิ แม้เราจะดี แต่ว่าสิ่งอื่นไม่ดี แล้วเสียหายหมดเราจะอยู่โดดเดี่ยวได้อย่างไร

 

เราทำดีไว้ไม่มีเสีย เอาอย่างนี้ชาตินี้เรามีดีเท่านี้ ทำดีเท่านี้ ชาติหน้าหากเราตายลง เราจะไปเกิดชาติหน้า ถ้าชาติหน้าเราไม่ทำดีต่อ ก็ไม่มีดีที่จะดึงขึ้น แต่เลวที่มีอยู่มันดึงเราลงแน่ เหมือนหมาล่าเนื้อ มันไม่หยุด แต่ดีมีน้อยเราก็ทรุดลงสิ แต่ถ้าเราทำดี แม้น้อยเราก็ต้องทำ ต้องก้าวหน้าขึ้น จำเป็นที่ต้องทำ หากไม่มีดีไว้ดึง ก็จะถูกไม่ดีดึงลง มันก็ไม่มีทางไหนแล้ว ก็ต้องทำดี นอกจากจะตายคุณตายกับดี ก็ได้เท่านั้นไม่มีทางเลือก ตายกับดี ดีกับตายก็เท่านี้แหละ เป็นสิ่งสูงสุดที่ทำได้แล้ว ถ้าตายกับดีดีกับตายก็ยังมีตัวช่วย แต่ถ้าไม่ทำดี ก็รอวิบากเท่านั้น อาตมาไม่มีภาษาจะพูดให้อีกแล้ว

 

สิ่งมีน้อยที่ดีเราก็ควรส่งเสริม โลกุตระมีน้อยแต่เป็นสิ่งดีเป็นสัจจะ เราก็ควรส่งเสริม คนไม่รู้ก็ไปช่วยโลกียะ ซึ่งมีปริมาณคนชั่วมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเรารู้แล้ว ว่ามันเดือดร้อนเพราะชั่ว ชั่วมีกำลังมากเราควรไปช่วยโถมกำลังให้ฝ่ายไหน ก็ฝ่ายดี ดีต้องมาช่วยดี ให้มากจนกว่าความเดือดร้อนจะสงบ จะห้ามไม่ให้มีดีหรือชั่วเลยไม่ได้ มันต้องมีทั้งคู่ โลกต้องมีทศนิยมไปตลอด เอกภพต้องหมุนวนอยู่ตลอดเวลา

 

อาตมารู้จักมหาจักรวาลนี้ เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ เมื่อมีลักษณะเกิดกับดับตลอด จะขนาดเล็กลงมาก็มีจนกว่าจะเล็กที่สุดก็โตใหม่ แล้วก็โตจะขีดสุดแล้วก็หยุด ตลอดนานนับกัปกาล ในนั้นจะมีอุตุ พีชะ จิต แล้วมนุษย์ที่จะมีจิตมาทรงไว้ซึ่งธรรมะไป มันก็มีพลังงานศักย์ potential กับพลังงานจลน์ kinetic  แต่ในพลังงานศักย์หรือ static หรือ potential energy คนที่ไม่มีปัญญารู้พลังงานข้างล่างมาใช้ก็ใช้แต่พลังงานข้างบน แต่อาตมารู้พลังงานภายใต้ ก็เลยเอามาใช้ได้เพราะมันไม่พอ ผู้หยั่งถึงอนุสัยได้ถึงเอามาชำระล้างให้เป็นประโยชน์ นี่เป็นภาษาที่พูดสู่ฟังได้

 

อาตมาก็มาทำงานช่วยโลก ช่วยมนุษยชาติ ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง ผู้ใดเห็นดีก็อย่าช้า รีบมา อาตมาแต่งเพลงสมรรถภาพ ...มาเถอะมาอย่าช้า อยู่ไหนรีบมา คว้ามีดพร้าและจอบเสียม ไม่อย่างนั้นจะช้าเหมือนที่หินผานี่ ...คุณรู้ความหมายของคำว่าเสียดายไหม?....คนที่รู้จักหินผาฟ้าน้ำ ใครเสียดายหินผาฟ้าน้ำไหม? เมื่อรู้ว่าดีใครจะปล่อยให้ตายไปก็เชิญ อาตมาบอกให้รู้ด้วยปัญญา ให้เข้าใจ เมื่อคุณเสียดายก็ให้รู้ว่าทำไมต้องเป็นเรา แม้ที่คนไม่รู้เรื่องเขาก็ไม่มา หรือรู้แต่ไม่เสียดายก็ไม่มาแน่ ถ้าไม่มาช่วยก็สูญ หากช่วยกันก็น่าจะได้ ทำให้เจริญขึ้นได้แม้จะช้า ก็อย่าให้เน่า อย่าให้ตาย ถ้าไม่เน่าทำให้ไปได้ คำว่าเน่าคือพลังงานความสด พลังงานที่จะพัฒนาก้าวหน้า ท่านเรียกว่า protoplasm เป็นพลังงานสด พลังงานอยู่ในน้ำ แล้วจะทำให้ตัวพืชพัฒนา กับเม็ดเลือดขาว อยู่ในน้ำเหลืองก็มี อยู่ในสัตว์หรืออยู่ในพืชก็มี ที่สดและคาวมีออกซิเจนเป็นตัวหลัก สิ่งเหล่านี้เป็นตัวชี้บ่งถึงความสด ของชีวะ หากหมดความสดก็เน่า

 

อาตมาเห็นความสดที่นี่ยังมีมากที่ต้องบูรณะขึ้น แม้ทะเลธรรมเล็กกว่านี้ พลเมืองก็น้อยกว่านี้ก็ยังรักษาไว้ได้ แม้สังฆสถานก็มีความแข็งแรงกว่าที่นี่ แต่ที่นี่ก็ยังมีท่านดินทอง ท่านดินดี ก็ไปๆมาๆตอนนี้มีท่านชุบดินก็มาลงถั่วดาวอินคาแล้วต้องมารักษาต่อนะ ท่านดินดีก็เห็นว่าลงอินทผาลัมไว้ก็มาดูแล

 

โลกียะกับโลกุตระอาศัยกันไปตลอดกาล เราอย่าไปทำร้ายโลกียะ เราก็ช่วยโลกียะไปตลอด เราต้องชนะความร้ายด้วยความดี ถ้าเราตายก่อนก็แล้วไป ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็มีแต่ทำดีกับทำดี สุดท้ายมีแต่ตายกับดี ดีกับตาย ก็สุดท้ายแล้ว กัดแข่วยุ้มก้นใส่เลย ใครจะชั่วนิดนึง ดีมากหน่อย ก็ไม่เอา อาตมาไม่ทำชั่วแม้น้อย ให้ตายกับดี ดีกับตายเลย ให้มันตายไปเลยกับดี ไม่เอาชั่วนิดชั่วหน่อย ตายแล้วตายกับดีนี่แหละ

 

ทางการก็ยังช่วยเหลือเรา ก็อยู่ที่เรา เพราะเราก็เท่านี้ หนึ่งในชัยภูมิ คำว่าชัยภูมินี่แปลว่าชนะ ทำไมทำหน้าแพ้ๆ อยู่ในภูมิชนะ ไม่ใช่ภูมิแพ้ ถ้าใครภูมิแพ้ก็หนีไปเสีย ต้องเอาให้ชนะ ที่นี่ ต.นาหนองทุ่ม

 

สรุปแล้วเรามีชีวิตมีหน้าที่ทำสิ่งดี ทำลายสิ่งไม่ดี เราก็ตายกับดี ให้มันดีไปกับตาย ดีไปกับตายแล้วไม่มีวันตกต่ำ ชาติหน้าชาติไหน ศาสนาอิสลามว่าถ้าใครทำดีก็ได้ช่วยพระเจ้าก็จะได้ไปอยู่กับพระเจ้า มันก็มีนัยเดียวกัน แต่เขาสอนให้ตายเพื่อศาสนาเลย แล้วศาสนาพุทธควรตายเพื่อศาสนาไหม แล้วที่นี่เป็นแหล่งศาสนาหรือไม่ ก็ใช่ แล้วควรตายกับที่นี่ไหม....แล้วไปไหนกันหมด

 

ผู้เห็นว่าควรทำก็น่ามาอยู่ทำ อย่าเอาแค่พูด เอาแต่คิด พระพุทธเจ้าว่ามีสัปปายะ 4

1.เสนาสนนัปปายะ  2.อาหารสัปปายะ  3.บุคคลสัปปายะ  4.ธรรมสัปปายะ

ธรรมสัปปายะ คือคำสอนเนื้อแท้ คือโลกุตรธรรม อาตมารับรองว่าที่นี่มี เป็นธรรมะที่เหนือลาภยศสรรเสริญสุข อาศัยโลกธรรมได้ แต่ไม่ติด

อาหารสัปปายะ คือสิ่งอาศัย อาหารสิ่งอาศัยมีตั้งแต่ของกินท่านขยายความไว้มีสี่อย่าง สิ่งที่จะเอามากินใช้ที่นี่ก็พอกิน เหลือให้อาตมาด้วย ข้าวนี่ พืชพันธุ์ธัญญาหาร  ที่นี่เก็บกินไม่หมดแล้วเก็บไม่ทัน มันงอกใหม่เร็วกว่า มันเหลือทัน เรามาช่วยก็อาจไม่ได้สมใจเรา ก็อดทนหน่อย ใครพอมาทนได้ปักหลักได้ก็มา ใครมาได้แต่ไม่ปักหลักก็มา หรือใครมาอยู่ได้น้อยกว่าไปก็เอาไปๆมาๆก็ดี ดีกว่าไปหมดไม่มา ไปอยู่กับผีหมด มาอยู่กับพระบ้างก็ดี

มีอาหารอาศัย ก็มีบุคคล มีบุคคลก็มีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีความรู้สึก รู้สึกชอบรู้สึกไม่ชอบ สิ่งที่เราไม่ชอบเราก็ต้องอยู่เหนือให้ได้ ให้จิตไม่มีไม่ชอบ ทุกวันนี้สิ่งไม่น่าชอบมีเยอะกว่าสิ่งที่น่าชอบ เลวร้ายมีเยอะกว่า เราก็ต้องวางใจให้ได้ สร้างภูมิคุ้มกันให้อยู่ได้ ให้เป็นก้อนน้ำแข็งท่ามกลางเตาหลอมเหล็ก คนเราถ้ามีแต่เอาเปรียบ ทำแต่ร้ายๆ สุดท้ายมันต้องแพ้คนที่ให้เขา ทำให้ได้เถอะ

 

ตอนนี้เราอยู่ในประเทศไทยเป็นเสนาสนอันใหญ่ มีวัฒนธรรม มีคนเลว คนดี ตอนนี้คนดีกำลังลืมตาอ้าปาก คนเลวกำลังเพลี่ยงพล้ำ คนดีกำลังปราบคนเลวได้ ตอนนี้ตัวร้ายตายไปมากแล้ว เหลือแต่ตัวร้ายที่มีปัญญา รู้สึกตัว สำนึกได้มาเยอะแล้ว เหลือที่พวกตามืดบอดอีกมาก ธรรมะนั้นเป็นไปได้แล้วสำเร็จแล้ว ควรระดมเนื้อหาธรรมะให้มาก ส่วนด้านโลกีย์นั้น พูดในกรอบประเทศไทยนะ ที่มีการบริหาร สร้าง รัฐธรรมนูญกันนะ แต่ละคนก็พยายามช่วยกัน พยายามดึงเสริมกันมา ตัวเสริมก็ดี ตัวร้ายเขาก็ทำเต็มที่ เช่นขณะนี้เขามีทั้งเนื้อในและนอก ในมันก็เป็นตัวพลังงานจุดชนวน กองข่าวเขาก็รู้กำลังจัดการ อาตมาว่าเชื้อนี้ไม่น่าจะต่อได้ ส่วนไฟนอกเขาก็พยายามตี แต่ประเทศต่างๆรับรู้เข้าใจแล้ว ที่ตัวดิ้นจะสร้างเสรีไทยนั้นมันไม่มีอะไรดีหรอก ชาวโลกเขารู้ว่าเป็นตัวไม่ดี แม้เขาจะพยายามทำป่าล้อมเมือง แต่เขาเพลี่ยงพล้ำ เขามีแรงอยู่ทั้งนอกและใน เขาทำดีแต่ได้เบา ต้องรีบเผด็จศึก ทั้งในและนอก ถ้าทำได้ทุกอย่างฉลุย ผู้ทำได้จะเป็นรัฐบุรุษในโลกเลย ถ้าลงอาญาสิทธิ์ที่ทำได้ด้วย ตัดแรงนอกและในจบทุกอย่างไปรอด อาตมามีหน้าที่สื่อสารบุญนิยมก็แนะเชิงบุญว่าบุญคือการชำระการกำจัดสิ่งไม่ดีให้หมดให้จบ

 

เมืองไทยจะเป็นชมพูทวีป จะมีองค์ประกอบมากขึ้น ในวัฏฏสงสารต่อไป ประเทศไทยจะเป็นจุดเชื้อ อาตมากล้าพูดว่า DNAพุทธ มีโอฆทา(หยั่งสู่นาม) และโอกกันติ (หยั่งสู่รูป) จะมีนิพพัตติ อภินิพพัตติ ต่อไป อาตมาเข้าใจการเกิด 5

 

ชาติคือ การเกิดตัวตั้งต้น แต่สัญชาติคือ การกำหนดน้ำหนัก รูปร่างลักษณะ แล้วเกิดเป็นโอกกกันติคือ หยั่งลง แล้วเกิดเป็นสิ่งรุ่งเรืองดีงามเป็นนิพพัตติ สู่อภินิพพัตติ แต่ถ้าโอกกันติไม่เกิดโลกุตระ ก็วนกลับเป็นโลกียะกลับเป็นสัญชาติ ชาติต่อไปอีก

 

พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรปิฎก เล่ม16 ว่า ชาติเป็นไฉน?

 

[7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด(สัญชาติ)  ความหยั่งลง(โอกกันติ)   เกิด(นิพพัตติ)  เกิดจำเพาะ(อภินิพพัตติ)  ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ

       

 

[8] ก็ภพเป็นไฉน ภพ 3 เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ    นี้เรียกว่าภพ ฯ

       

 

[9] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน 4 เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน   สีลพัตตุปาทาน

อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ

 

วิญญาณกับสังขารนี่แหละที่เราต้องเรียนรู้ตั้งแต่ต้น สังขารก็มีกายสังขารก็็ต้องรู้กาย แล้วมีจิตสังขาร วจีสังขาร ทำให้เกิดปุญญาภิสังขาร ให้เป็น อปุญญาภิสงขาร อเนญชาภิสังขาร

 

ต่ำในตัวต้นคืออบาย ก็ดับตัวต้นนี้ก่อน จนอบายนี้ของกามภพจบ หมดเชื้อกุศลของกามภพสิ้นแล้ว การสิ้นแล้วก็จบในกามภพ แต่ในอนาคมีเหลือรูปภพ อรูปภพอยู่ ก็เป็นอนาคามี จะรู้สภาพของขันธ์ 5 จัดการกับนามก็เหลือรูป อนาคามีจะเรียนรู้รูปที่เหลือตัวหยาบตัวละเอียดตลอดเวลาจะรู้ รูปรูป รูปนาม รูปกาย นามกาย

 

รูปรูปก็อยู่ของมัน หรือรูปนามก็ยังไม่สังขารกัน ถ้าธรรมายตนะกับมนายตนะ ก็อยู่รวมกันเฉยๆ ไม่มีการสังเคราะห์สังขารกัน โดยมนะ นี่เป็นนามเป็นอิตถีภาวะเป็นตัวดิ้น ธรรมะเป็นตัวรูปเป็นปุริสภาวะเป็นแก่น แต่ต่างคนต่างอยู่รวมกันเป็นองค์รวมของจิต ท่านไม่เรียกว่า กายจิต มีแต่มโนวิญญาณกับกายวิญญาณ ในมโนวิญญาณก็มีธาตุรู้ทำกับธาตุรู้เรียกว่านามกาย สุดท้ายตัวปลายสุดเนวสัญญาฯกับนิโรธ นี่เป็นอายตนะ 2 สุดท้ายแล้ว ผู้เข้าใจจะจัดการได้สมบูรณ์

สุดท้าย เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ ที่สัญญาทำงานกำหนดรู้หมด อะไรไม่รู้ไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ต้องทำให้รู้จนได้ เมื่อรู้ได้สุดจึงสิ้นอาสวะ ดับอวิชชาสวะ หมดเลย ตัวปลายสุดท้าย อาสวะของตัวอวิชชาแล้วดับหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ เมื่อดับอวิชชาสวะก็นิโรธ เรียกว่าสัญญาเวทยิตนิโรธ เวทนาท่านถึงแตกถึง 108 สุดท้ายเข้าใจแยกมโนปวิจาร 18 ดับเคหสิตเวทนาให้หมดเป็นเนกขัมมสิตเวทนา อาศัยจิตเบิกบานร่าเริง อภิปโมทยังก็สักแต่ว่าอาศัย เบิกบานร่าเริงกับพวกคุณอาตมาก็ไม่หลงติดด้วย

 

 

ในอนาคามีก็ดับกามภพได้ ท่านเหลือแต่ความลำบาก เป็นอัตกิลมถะ ในสังโยชน์เบื้องสูง พระอนาคามีที่ดับรูปราคะก็เหลือแต่นามธรรมล้วนคืออรูปราคะ หากคุณดับก็ไม่มีรสราคะ เป็นอนาคามีขั้นสูงเป็น สสังขาริกัง อสังขาริกัง อกนิฏฐาฯ ก็เหลือ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานะนี่ถือยึดดีถือดี มานะเป็นตัวกลางของอรหันต์ ท่านก็ใช้ทำงาน ไม่ติดมานะ ท่านจะเรียนรู้ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ เป็นอุปกิเลสปลายสุด ดับอติมานะได้ก็เหลือ มทะ กับปมาทะ พระพุทธเจ้าสรุปลงรวมที่ประมาทหรือไม่ประมาท ใครไม่ประมาทก็ไม่เหลือเชื้อ ผู้ไม่เมาไม่เหลือเชื้อโลกียะก็จบได้แล้วจะเอาหรือไม่เอา จะเอาตัวตนมาใส่อาสยะหรือไม่ก็ได้ ถ้าจะเอามาใส่ก็เป็นอาสยะ ไม่อาลยะ หรืออาลัย ไม่ติดไม่ยึด สุดท้ายพระอรหันต์อยู่กับสองอย่างคือ ความมีกับความไม่มี (โหติ กับ นโหติ)

 

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี  1 ความไม่มี  1

ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มีโลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้อง

เชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

 

 

ในปฏิจจสุปบาท ข้อนี้คือ สิ่งอาศัยของอรหันต์ท่านจะมีหรือไม่มีก็ได้ ในความเป็นสภาวธรรมในโลกก็คือ ความทรงอยู่ ถ้าทรงอยู่อย่างมีชีวะ ก็มีธรรมะ หากเป็นธาตุก็เป็นสิ่งนิ่ง เป็นแกน เป็นอุตุเป็นพลังงานชีวะ ผู้รู้จะใช้อุปาธิที่ยึดไว้ทำงาน อรหันต์จะมีสิ่งยืมใช้คือ ชีรานุปาทิ และชีวานุปาทาน  เมื่อท่านไม่ใช้ ก็จะเสื่อมไป

 

ทุกวันนี้เนื้อธรรมะคือ ตัวบุคคล ในยุคนี้เรามีในหลวงเป็นโพธิสัตว์ มาบำเพ็ญปางมหาชนกกับเตมีย์ใบ้ ท่านตรัสอะไรราคาแพงมาก พิกุลร่วงลงมาราคาแพงมากรองลงมาก็เป็นพิกุลจากพล.อ.เปรม ที่ผ่านมาวันปีใหม่ พิกุลพล.อ.เปรมก็ร่วงลงมา พล.อ.ประยุทธ์นี่แปลว่าการประหาร การฟันนะ มีหน้าที่เป็นทหาร หากไม่ทำหน้าที่ก็กบฏต่อในหลวงต่อชาติ ต่อประชาชน มันถึงที่ถึงจุดแล้ว ถ้าประยุทธ์ทำงานก็จบ ทำหน้าที่ของผู้ประยุทธ์ผู้ประหาร ลงมือ จะจบ นี่เป็นสิ่งที่อาตมาพูดด้วยจริงใจปรารถนาดี ทุกประการ เทศน์กัณฑ์นี้ที่หินผาฟ้าน้ำ เป็นกัณฑ์ใหญ่ ใครเข้าใจได้ยิ่งกุศลมาก ใครไม่ปฏิบัติก็ช่างเศียรใครช่างเศียรมัน Let's it be ช่างหัวมัน สุดท้ายแล้วก็ต้องปล่อย ในหลวงก็ใช้ ท่านใช้โครงการชั่งหัวมัน สุดท้ายอาตมาก็ต้องใช้ ใครไม่ทำก็ Let's it be อาตมาใช้ได้เพราะรอดตัวแล้ว หากใครไม่รอดตัวก็ไม่พ้นน้ำ จม แต่อาตมาพ้นน้ำแล้ว คุณล่ะพ้นหรือยัง ต้องแน่ใจว่าพ้นไหม เช่นพ้นอนาคามีไหม คือเราอยู่กับโลกเขาสบายแล้ว ไม่ทำให้เราทุกข์ร้อนได้เลย คุณอยู่ได้ก็คือเหนือมันแล้ว หากอยู่ไม่ได้ก็ไม่เหนือมัน

 

หรือคุณเป็นสกิทาคามี คืออนุโลมไปกับโลก ลาภก็ประมาณนี้ ยศก็ประมาณนี้ ใครจะด่าว่าเรายังรับอยู่ก็ต้องปล่อย ส่วนชั่วหยาบกว่านี้เราไม่เอาแล้วเด็ดขาด นี่คือสกิทาคามี จะเป็นโลกธรรมขนาดไหนก็จิตกำหนดหมายอย่างไร

 

ยิ่งโสดาบันต้องกำหนดรู้สิ่งชั่ว อบาย ยกตัวอย่างโกงแสนล้านนี่ชั่วไม่ทำ ไม่ร่วมมือทำ พ้นนิปเปสิกตา ไม่รวมมือกับคนผิด ก็หลุดตัวออกมา หากอยู่ในกระแสก็ยังต้องมีผิด ทางมอมเมาโลกีย์ ถ้าหลุดออกมาก็พ้นได้ จะไปร่วมกับพวกทำเครื่องมอมเมาทำไม เช่นคุณเจริญทำของมอมเมา จะไปร่วมทำไม แม้มากหรือน้อย ก็จะไปร่วมทำไม หากช่วยคนผิดก็ไม่บริสุทธิ์ ขอขอบคุณคุณเจริญที่ให้เอาชื่อมายกตัวอย่าง ไม่ว่าคุณเจริญหรือคุณเฉลียว ที่เอาชื่อสัตว์เดรัจฉานมาตั้งชื่อน้ำเมาทั้งช้าง ม้า อีกหน่อยก็เอาเหี้ยมาเป็นยี่ห้อสิ เบียร์เหี้ย หรือไดโนเสาร์หรือว่าปลาวาฬ จะไปส่งเสริมสิ่งมอมเมากันทำไม แล้วมานั่งนับศพกัน จะอนุญาตให้ขายทำไม แม้อิสลามไม่อนุญาตเขาก็ลักลอบ ก็ปราบกันไปสิ พูดยาก ดีไม่ดีก็สร้างศัตรู ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ไม่มีเจ๊งอยู่แล้วมีแต่ตาย อย่างตนเองไม่กินน้ำเมา รู้ว่าไม่ดีแต่ไปมอมเมาคนอื่น อำมหิตเลือดเย็นขนาดหนัก

 

ฉันเดียวกับคนที่แฝง ไปสร้างอาหารที่คนต้องกินแล้วซ่อนสารเคมีให้อีก ธรรมชาติไก่มันก็มีธรรมชาติ แต่ไปสร้างใส่สารเคมีให้มันอายุสั้น แล้วก็มีให้มันไข่ๆๆๆ พอมันไม่ไข่แล้วก็เอาเนื้อไปขายอีก แพร่สารเคมีที่ตนเองใส่เข้าไปเอาไข่ ให้คนกินแล้วเกิดโทษภัยอีก  บาปซ้ำซ้อน เอาทุกเศษไปหาเงินมาเพื่อยิ่งใหญ่ในประเทศ นี่คือความอำมหิต เขาไม่รู้ตัวเขา ถ้าไม่หยุดก็บาป เขาไม่รู้ตัว อวิชชา หากเขาไม่เลิกก็บาป เขามีบาปมากก็ไปนรกแน่นอน เป็นสัจจะ

 

ขณะนี้เขาก็พยายามแนะสังคม เขาไม่หยุดหรอกเขาจะต้องหาวิธีแพร่ไปอีก เขาเลี้ยงทั้งไก่ กุ้ง ปลา หมู และอีกหลายอย่าง เขาจะเอาหมดเอาสารเคมีใส่เข้าไปอีก แล้วคนติดอยู่เท่าไหร่เขาก็เอาเท่านั้น ให้สีให้รส ให้กลิ่นตามคนติด ปรุงให้คนติด เป็นพิษมากขึ้น เพราะคนติดจัดมากขึ้นก็เสริมเคมีเข้าไปอีก ถ้ากินเนื้อสัตว์อีกไม่นาน พวกนี้กินไม่กี่วันก็เป็นมะเร็งแต่ก่อนนี้คนเป็นมะเร็งก็ต้องอายุ 40 ปีขึ้นไปแต่ตอนนี้อายุ 20 ก็เริ่มเป็นแล้ว นี่คือพิษเคมีที่เขาแพร่ในอาหาร เรามากินอย่างหินผาฟ้าน้ำนี่ปลอดภัย ไม่ได้เกลียดนะ สงสารด้วย  เขามอมเมาแม้แต่ลูกเขาเอง ให้ความเฟ้อบำเรอ อย่างสุรุ่ยสุร่าย ของเขามีแต่บำเรออารมณ์ตนเอง ไม่สมใจก็รื้อทิ้งไปเอาใหม่อีก ไปเรื่อยๆ

 

ทุกวันนี้อาตมาตายวันตายพรุ่งก็ได้แล้ว โลกุตระได้หยั่งลงแล้ว มีคนสานต่อแน่ ที่อาตมาต้องกระเสือกกระสนอยู่ต่อเพื่อจะสืบสาน พวกเราก็อาศัยร่มโพธิ์ร่มไทรนี้ต่อ เพื่อสืบสานศาสนา ..มาเถอะมารีบมา อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม เพลงนี้มีคนเอาไปใช้ต่อไม่มากนักเลย

 

เมืองไทยนี้จะเป็นชมพูทวีป หากมาช่วยกันมันก็เร็ว ทรมานน้อย แต่ถ้าไม่มาช่วยกันมันก็จะช้านาน ทรมานนาน นามธรรมเมืองไทยมีโลกุตระมีอเทวนิยม แต่อเทวนิยมไม่ใช่ไม่รู้จัก ไม่มีพระเจ้า แต่ว่าทำตนให้มีวิญญาณพระเจ้าได้ อรหันต์นี่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า แล้วเป็นโพธิสัตว์ตามลำดับ ที่สุดเป็นพระพุทธเจ้าสูงสุด เป็นพระเจ้าที่สุดยอดที่สุด มีทั้งรูปและนาม หากมีแต่นามก็เป็นเทวนิยม แต่นี่มีโพธิสัตว์ไปตามลำดับๆ มีถึงเป็นพระพุทธเจ้าหรือปัจเจกพระพุทธเจ้าคือ ไม่มาประกาศศาสนา แต่รีไทร์ตนเองไป มีสองอย่าง คือมีวิบากกรรม อย่างพระเทวฑัตได้อย่างเก่งก็แค่ปัจเจกพระพุทธเจ้าไม่มีสิทธิ์ประกาศศาสนา หรือว่าท่านมีสิทธิ์ประกาศได้แต่ท่านไม่ประกาศศาสนา แต่ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากับพระพุทธเจ้าเลย

 

ชมพูทวีปยุคใหม่จะเป็นการเริ่มต้น ศรีอาริยเมตตรัย แต่อย่าหลงตัวหลงตน หรือหลงว่ามีตัวตนบุคคลเราเขา ผู้อาริยะที่รู้จริงจะไม่พูดว่าใครเป็นศรีอาริยเมตตรัยแท้จริง เพราะอธิบายยาก เหมือนเอาน้ำรดหัวตอ พูดให้คนอวิชชาฟังนี่ยิ่งกว่าน้ำรดหัวตอ พูดเข้าแต่หู ไม่เข้าใจ บางทีหูไม่รับหรือรับนิดเดียวก็เขี่ยทิ้ง ในคนอวิชชา มันก็เป็นลำดับของความจริง อาตมาก็ให้สัญญาณว่าไทยมีสมบัติวิเศษหยั่งลงแล้ว ต่อไปจะเป็นชมพูทวีป ส่วนตะวันตกนั้นถึงจุดเสื่อมแล้ว จิตวิญญาณคนทั่วโลกรู้แล้วว่าประหารกันด้วยอาวุธนั้นเลย อาวุธจะยิ่งขายได้ยาก เขาจะหยุด ด้านเสื่อมร้ายแรงจะเพลาแล้ว การทำอาวุธขายจะไม่ได้แล้ว เขาจะเอาความเมตตา เอื้อเฟื้อกันด้วยจิต ผู้เก่งอาวุธจึงหมดสิทธิ์มีอำนาจต่อไป วิญญาณมนุษย์หยุดแล้ว บังคับเขาไม่ได้ คนจิตวิญญาณดีมีมากพอแล้ว เช่นฝ่ายแดงจะตั้งเสรีไทย หรือมีไฟสุมขอนในไทยก็สู้ขี้เถ้าได้หรอก อีกหน่อยก็ไฟมอด ข้างนอกก็ไม่ยอมรับ สังเกตว่าพล.อ.ประยุทธ์ไปเดินสายก็ได้คะแนน ที่เหลือที่เขาดิ้นอยู่ก็คือลมหายใจเฮือกสุดท้ายกำลังจะขาด ให้มาร่วมมือเสริมกำลังกัน เราไม่ไปลงมือหรอก แต่ตัดท่อน้ำเลี้ยงตัดมือไม้บ้างให้เขาตายเองด้วยโรค อะไรที่พอทำได้ทำไป หลายๆอย่าง เท่านี้อาตมาว่าก็จะเข้าใจทำได้ประเทศไทยไปได้ฉลุย อย่าเงื้อง่าราคาแพง จะกลายเป็นราคาถูกไปหากเงื้อนานไปนะ

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่ามโนปุพพัง คมาธัมมา จิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง มนุษย์เลวร้ายสุดแล้ว อย่างไรคนจะรู้ตัว ก็จะมาเป็นมวลทางนี้หมด ส่วนมวลคนเลวจะน้อยลง หากจะให้สุขสบายเร็วก็ต้องมาช่วยกัน ย่นย่อมาที่หินผาฯ หากคนตัดโลกีย์มาก็จะสบายเร็ว มาตายกับดี ดีกับตาย มีแต่เจริญ แต่ถ้าอยู่กับชั่วก็มีวิบากดึงไป การตายแต่ละชาตินี่เป็นเรื่องเล็ก แต่ อยู่กับดี ดีกับตายนี่เรื่องใหญ่กว่า แล้วจิตวิญญาณจะเป็นมโนปุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา สำเร็จด้วยใจ ...มาเถอะมาอย่าช้า...ช่วยจิตวิญญาณมนุษย์ได้ก็จะมาช่วยฟื้นดินน้ำไฟลม พีชะ ของคนที่ไม่ดี ก็จะเจริญ ดินน้ำไฟลมจะสังเคราะห์เพราะมีคนช่วย แต่ทุกวันนี้ก็ทำลายกันไปมากเลย หลอกคนอื่นให้กินของที่ตนโด๊ปสารเคมี เขาทำเขาบาป เราไม่ทำก็ไม่ต้องกังวล เราทำอย่างธรรมชาติ อาตมาบอกว่าสามอาชีพกู้ชาติ คนงงว่าขยะวิทยาจะกู้ชาติได้อย่างไร อาตมาก็พยายามพาทำกัน อาตมาตั้งอุดมศึกษาจะตั้งคณะขยะวิทยา จะมีการเรียนในคณะนี้หลายวิชาเลย จะมาปรับทุกอย่าง ที่อะไรรวมมาเป็นขยะ แล้วเราเอามาปรับใช้ซ้ำ แก้ไขซ่อมหรือสังเคราะห์ใหม่จนใช้ไม่ได้จริงค่อยทิ้งไป ให้อาศัยทั้ง สัตว์พืช มนุษย์ ตัวมนุษย์นี่ร้ายหรือดีได้มากที่สุด เรามาระงับมนุษย์ที่ร้ายสร้างมนุษย์ที่ดีไปช่วย สัตว์ พืช คน และทั้งโลกเลย …. ใครจะหมดเนื้อหมดตัวเข้ามาอโศกเลยก็ดี แต่ถ้าใครจะมีเนื้อเหลืออยู่ตามฐานะก็เข้ามา เราต้องการพลพรรคเนื้อแท้อาริยบุคคลเข้ามารวมตัวกัน อย่างหนุ่มสาวก็อย่าไปสงสัยว่ายังไม่เคยมีสิบล้านร้อยล้านเลย มันก็อย่างนั้นแหละอย่างสมัยพระพุทธเจ้า ปู่ของวิสาขา ชื่อปุนนะ รวยขนาดให้เงินวิสาขาไปสร้างเมืองเลย รวยขนาดไหน? แต่ปุนนะนี่เป็นเศรษฐีลำดับ 6 ของยุคนั้นนะ แล้วรวยกว่าบิลเกตสมัยนี้ขนาดไหนล่ะ อย่างทักษิณนี่อาตมาเคยมอบเรือ กับกลดให้เขานะ รับกลดจากมืออาตมานะ แต่เขาไม่ใช้หรอก เขาใช้เงินกับเครื่องบินเขาแหละ ก็ยังหวังว่าก่อนเขาตายจะได้สำนึกเพราะเขาได้สร้างบาปมากเกินมากแล้ว ผู้สำนึกเป็นลิ่วล้อก็กลับตัวมาช่วยประเทศชาติเสีย....


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:13:49 )

580107

รายละเอียด

580107_เทศน์กฉ.วังน้ำเขียว โดยพ่อครู สนามสัปประยุทธ์อยู่ที่สังกัปปะ

ตอนนี้อาตมาก็สัญจรมาที่วังน้ำเขียว ที่เขาเรียกกันว่าดินแดนสวิซเซอร์แลนด์ ก็ไม่ได้เอิกเกริกอะไร มีคนมาฟังธรรมก็คนอยู่ที่นี่ประมาณนี้ ดูเหมือนสมณะมากกว่าฆราวาส ก็จะบรรยายให้สมณะหนักไปทางปรมัตถ์มากหน่อย ก็สมณะมากกว่าฆราวาสมากหน่อยนี่

 

อาตมาชาตินี้ไม่ได้มาหาบริวาร ไม่ต้องการคนมานับถือ นี่พูดโดยโวหาร แต่ที่จริงก็ต้องการ ใครจะมานับถือก็อนุโมทนา เราไม่บังคับ ใครเห็นดีเห็นควรก็มาเอา ไม่เห็นดีก็ไม่มาเอาอยู่แล้ว จะพากเพียรแค่ไหนก็ตัวใครตัวมัน อิสรเสรีภาพ พระพุทธเจ้านี่สุดยอดเรื่องให้อิสรเสรีภาพ และก็ในหลวงอีกองค์ที่ให้อิสรเสรีภาพอย่างเต็มที่ เป็นนักประชาธิปไตยสุดยอด ท่านอยู่ในกฎเกณฑ์ และทรงอนุโลมด้วยตามมหาปเทส สัปปุริสธรรม ที่งดงาม ท่านจึงได้รับการยอมรับนับถือทั่วโลก ประชากรไทยเคารพนับถือ นี่อายุท่าย่างเข้า 88 แล้ว ตอนนี้เป็นยุค 8

 

เมืองไทยอาตมาขอย้ำอีกที ประเทศไทยมีโลกุตรธรรมหยั่งลงแล้ว ก็จะเริ่มต้นไปเรื่อยๆ พอมาถึงวินาทีนี้ อาตมาก็กล้าพูดชัดและขยายผล สุดท้ายเมืองไทยจะเป็นชมพูทวีปแทนอินเดีย

 

ชมพูทวีปคือ องค์ประกอบของสภาพ สุรภาโส สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส ถ้าเอาดินน้ำไฟลมก็เอาดินแดน แล้วมีคนเป็นนามเป็นจิตวิญญาณ แผ่นดินก็เป็นรูป แล้วอาศัยแผ่นดินรวมไปหมดองค์ประกอบทั้งคนด้วยก็เรียกว่า กาโย มีรูปนามครบ ส่วนนอกนั้นที่เป็นเสนาสนะสมบูรณ์ แล้วมนุษย์ที่เป็นจิตวิญญาณก็มีโลกุตระธรรม ที่มีสติเต็ม สติมันโต

 

สติมันโต คือธาตุรู้ตื่นอยู่เต็มร้อย รู้ทั้งข้างนอกข้างในที่สัมผัสอยู่มีองค์ประกอบพร้อม ครบรอบสมบูรณ์กาโย องค์ประกอบ นอกเขตนั้นไม่ใช่ ในเขตที่คนมีการรับสัมผัสรับรู้ได้ สตินั้นรับรู้ตื่นรู้ เรียกว่าไม่ตกหล่นไม่ขาดหายทั้งนอกและในเรียกว่าสติมันโต ไม่ใช่สติแต่เพียงภายในอย่างพวกนั่งหลับตาสมาธิ แบบนั้นไม่ครบกาโย ไม่เต็มรูปวิโมกข์ข้อ 2 ไม่ครบวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ที่มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม เข้าไปภายในถึงอรูป สติมันโต สรุปคือต้องรู้นอกและในอยู่เป็นปัจจุบัน ที่continuum เป็นเวลาปัจจุบันไม่ใช่เวลาอนาคต ท่านเรียกว่าสำเร็จอิริยาบถอยู่

 

สุรภาโว คือมีอาการ 32 ครบ และรับรู้ทั้งภายนอกภายใน อันประกอบด้วย รูป 28 ครบ สัมผัสสัมพันธ์ครบบริบูรณ์ด้วยความจริง ไม่ใช่แค่มีแต่ความจำ สร้างมโนมยอัตตา ไม่ครบด้วยโอฬาริกอัตตา จึงมีของหยาบพร้อม และมีของละเอียดภายใน เรียกว่าสุรภาโว ครบรูป 28 รูป มหาภูตรูปนั้นโดยตรงเรียกว่า รูปี คือความเป็นรูป ผู้ที่มีญาณปัญญาก็จะมีรูป รู้รูป สำคัญในรูป รูปีคือผู้มีรูป ส่วนรูปานิ คือรูปทั้งหลาย คือสิ่งที่เป็นตัวมันเอง หรือสภาพตัวมันเอง จะเป็นตัวที่ให้นามธรรมมาสัมผัสตัวมันเองเรียกว่า รูปรูป อย่างเช่นนี่แครอท เป็นพีชะ มันไม่รู้ตัวของมัน มันมีแต่สัญญา สังขาร ไม่มีเวทนา อย่างโน้ตบุคอันนี้ก็มีแต่อุตุ มีกลไกทำงานของมัน เป็นแค่อุตุ คือรูปรูป

 

ซึ่งมันก็มีอดีตที่ตกทอด กันมาเป็นจิตนิยาม ซึ่งจิตนิยามนี่แหละมีการสะสมตัวตนเรียกว่าอัตตา ทำกรรมได้ ทำเท่าไหร่ก็ทรงไว้เป็นธรรมะ อัตตาเป็นตัวยึดเองทรงเองด้วยอวิชชาหรือวิชชา ถ้าวิชชาจะยึดได้แต่ปล่อยได้วางได้ ถือได้วางได้ แต่ถ้าอวิชชาจะยึดโดยปล่อยไม่เป็นวางไม่ได้

 

จิตนิยามจะสูงขึ้นไปรู้กรรมได้ เป็น กรรมนิยาม รู้กรรมดีก็เป็น โลกียธรรม กัลยาณชน รู้ดีแต่ไม่สามารถสลายอัตตาได้ ส่วนโลกุตระ รู้จักกรรมที่ทำจริง ดีก็ได้ ชั่วก็ได้ โลกียะก็ได้ ถ้าเป็นเวไนยสัตว์โลกุตระก็จะเกิดโลกุตรธรรม แยกโลกียธรรมได้ สลายอัตภาพได้ ผู้ศึกษาจะรู้อะไรคือ อุตุ พีชะ มีกรอบขนาดไหน จิตนิยามแบบโลกีย์ อบาย กัลยาณชน หรือโลกุตระเป็นแบบไหน

 

รูป ที่มีแต่ธาตุความร้อน แสงสีเสียง แม่เหล็กไฟฟ้า เท่าที่มันมีเหตุหมุนเวียนผลักดันมีแรงดูดเรียกว่าแม่เหล็ก มีแรงสลายเรียกว่าไฟฟ้าและอื่นๆนี่ก็คืออุตุ จนมันพัฒนามาเป็น พีชะที่สังเคราะห์ตัวเองได้มากขึ้น จนหลากหลายมากมายในโลกในมหาจักรวาลนี้ก็มีพัฒนาไปตามลำดับ จากพีชะ ก็พัฒนามาเป็นจิตนิยาม จนเป็นสัตว์มีอัตภาพ มีธาตุรู้มีนามรู้เรียกว่าวิญญาณจึงรู้ กายะ

 

นาม เป็นธาตุรู้ รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ได้ แม้นามธรรมที่ประชุมกันเข้าเรียกว่า นามกาย มันก็สามารถให้ผู้มีธาตุรู้สัมผัสนามกายนี้รู้ได้ นามกายที่ถูกรู้ได้เรียกว่า นามรูป เป็น object ส่วนนามที่เป็นตัวไปรู้เรียกว่า subject ส่วนองค์ประชุมของกายต้องมีธาตุรู้อยู่เสมอ ไม่มีธาตุรู้ไม่เรียกว่า กาย

 

ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 16  1.อัสสุตวตาสูตรที่ 1 ข้อ 230

 

[230] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ... ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้างคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ใน
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญ
ก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้
ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกาย
นั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง
วิญญาณบ้างปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็น
ต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้
ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา  ดังนี้
ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น
ในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

 

[231] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้
เมื่อดำรงอยู่   ปีหนึ่งบ้าง   สองปีบ้าง   สามปีบ้าง   สี่ปีบ้าง   ห้าปีบ้าง   สิบปีบ้าง
ยี่สิบปีบ้าง   สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ

 

ถ้ารูป กับนาม แตะกันอยู่เฉยๆ ก็เรียกว่า รูปนาม แต่ถ้านามนั้นมีการสังขารสังเคราะห์เติมเข้าไป ก็เรียกว่า กาย ตั้งแต่อุตุนิยาม ถ้าคนไปสัมผัสแล้วมีการปรุงร่วมด้วย มีกาย พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ เลยนะ ถ้าสัมผัสเฉยๆ แต่นามธรรมไม่มีการรับรู้ด้วย เช่น มนายตนะ(kinetic, dynamic) กับธรรมายตนะ(potential ,static) ถ้ามันสัมผัสกันเฉยๆไม่ทำงาน ไม่มีธาตุรู้ทำงานเลย ก็เรียกว่า รูป หรือ รูปนาม ไม่เรียกว่ากาย  แต่ถ้ามันทำงานแม้น้อยนิด มีธาตุรู้ขึ้นมา ก็เรียกว่ากายทันที กาย จึงคือ จิต มโน วิญญาณ เลย

 

คำว่ากาย คำเดียวถ้าเข้าใจ ไม่สมบูรณ์ ไม่สัมมาทิฏฐิ ก็หมดท่าเลย คนไทยเรียก กาย ว่าแค่เป็นเพียงรูปธรรมเท่านั้น

 

คุณแรงเกื้อถามว่า สำนวนที่ว่า กายยาววา หนาคืบกว้างศอก จะให้เข้าใจคำว่ากายนี้ว่าอย่างไร?

ตอบ...กำหนดเอาองค์ประชุมรวมกัน ทั้งกายยาววาหนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจ แล้วสัญญานี่แหละ จะเป็นตัวกำหนดตั้งแต่ต้นจนปลาย ปุถุชนพอสัมผัสแล้ว ก็กำหนดรู้ตามอวิชชาธรรมชาติ ชอบก็เอามา ไม่ชอบก็ทำลายหรือเฉยๆ สัญญาทำงานตลอด แต่ตนเองไม่รู้ แต่พอมาสำคัญมั่นหมายว่า สัญญาสำคัญ จะให้กำหนดรู้แล้วสัญญาจะมีปัญญามีสติสัมปชัญญะทำงาน เป็นความรู้ที่ตื่นรู้เพิ่ม เจริญสูงขึ้นเรื่อยๆ สัญญาจึงเป็นธาตุรู้ที่ทำงานจากต้นจนปลาย แม้สัญญาเวทยิตนิโรธก็ต้องทำงาน แม้ปุถุชนก็มีสัญญา ทำงานไปตามกิเลส แต่จนรู้ควบคุมกิเลส แล้วให้กิเลสอยู่ในอำนาจได้มากขึ้นๆ เรื่อยๆจนสมบูรณ์ ถ้าเอาแต่กดข่ม ทำให้มันดับได้บ้าง ถ้าไม่ครบกาโย จะไม่สามารถทะลุทะลวงตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียด แม้เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา คือธาตุรู้ที่ไม่ครบ จะว่ารู้บ้างไม่รู้บ้างไม่ได้ ต้องรู้ให้ครบ หมดเนวสัญญาฯ แม้เหลือนิดหนึ่งก็ตาม ก็ต้องพ้นความไม่รู้ เรียกว่าพ้นอวิชชาสวะ หรืออวิชชาสังโยชน์ได้

 

พระพุทธเจ้าแตกความรู้ที่เป็นสุขทุกข์ เป็น เทวดา ผี เป็นเวทนา ถ้าใครเข้าใจเวทนาในเวทนาละเอียดถึงเวทนา 108 มันเป็นตัวบ่งบอกถึงความเป็นสัตว์ที่คนโง่ผูกไว้กับตน จนทำได้เป็น สัตว์ เทวดา เป็นพรหมสัตว์จนถึงวิสุทธิเทพ เป็นจิตวิญญาณพระเจ้า ตนเองทำตนเองรู้ตนเองเป็นจิตวิญญาณพระเจ้าเอง มีคุณสมบัติ โลกวิทู รู้โลกียธรรมหมดตามบารมี แล้วอยู่เหนือมันหมด เป็นโลกุตระ แต่ถ้ารู้แต่อยู่ไม่เหนือก็ต้องพยายามอยู่เหนือ แต่ถ้าอยู่เหนือได้หมดในกรอบที่ตนเคยรับรู้เรียกว่าอรหันต์ แต่ถ้าสัมผัสอีก ตนเองไม่เหนือ ก็ต้องสู้ต่อ คนเราเกิดมาไม่รู้กี่ล้านชาติ ถ้าสำเร็จอรหันต์แล้วไม่มีแพ้มีแต่ชนะ ชนะโลกอีกไม่รู้กี่โลก โพธิสัตว์ไม่มีทางแพ้โลกีย์ มีแต่ชนะไปเรื่อยๆ แต่ท่านจะศึกษาในเอกภพนี้อีกไม่รู้กี่ล้านชาติ จนเหนือหมดก็เป็นพระพุทธเจ้าได้

 

พระอรหันต์ รู้โลกเท่าที่ท่านเคยสัมผัส แล้วท่านอยู่เหนือมันหมด แล้วท่านจะเกิดมาเป็นคนเป็นสัตว์ เพื่อเรียนรู้สิ่งที่ไม่เคยสัมผัส ท่านก็ต้องไปเกิด แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปเกิดเป็นสัตว์ระดับต่ำเกินไป ต้องเป็นสัตว์ที่พอสอนได้นะ ศึกษาไม่ใช่แค่ตรรกะ แต่ท่านต้องไปเกิดเป็นสัตว์ที่ใกล้เคียงมนุษย์

สรุปแล้วคำว่า กาย หากเข้าใจไม่ชัดเจนถูกต้องไม่มีสิทธิ์บรรลุอรหันต์

คำว่า กายสักขี บางคนแปลว่า มีพยานหลักฐาน  หนึ่ง คือ ตนเองบรรลุ แล้วยืนยันกับตนได้ สอง หลักฐานที่เห็นอยู่หลัดๆ องค์ประชุมครบที่เราได้เกี่ยวข้อง แต่เรายังเป็นไม่ได้ นี่แหละเราจำเป็นต้องสร้างกายสักขีนี้ให้แก่เรา สัมผัสกับอันนี้หลัดๆ เป็นของแท้ที่ต้องสัมพันธ์เรียกว่า กายสักขี มีสองในนัยที่ตนเป็นแล้ว กับสิ่งสัมผัสจริงปัจจุบันแล้ว แต่ตนเองยังไม่ได้จริง ไม่เหนือมัน ส่วนสักขีที่ไปนึกคิดเอาอยู่นอกสัมผัสนั้นไม่นับเป็นกายสักขี

 

อย่างคนนี้สัมผัสกับคนอื่นสัมผัสกับอันนี้ก็รับรู้ได้ร่วมกัน อันนี้เรียกว่า กะหล่ำปี แครอท คนก็รับรู้ได้เหมือนกัน รวมกันได้ ในสังคมเดียวกัน มีพยานร่วมรับรู้หลายคน ยิ่งมากคนก็ยิ่งว่าจริงตามสมมุติ แล้วทุกอย่างก็ไม่เที่ยง ต้องสลายตัวไป ไม่อยู่ถึงล้านปีแน่นอน มันต้องเปลี่ยนแปลงจนได้ ยิ่งอยู่ในระยะที่ไม่นานเท่าไหร่เลย นี่คือองค์รวมหรือความรู้ สรุปแล้วเราไปเกี่ยวกับอะไรแล้วเราเกิดสุขเกิดทุกข์นั้นเอง

 

สุขหรือทุกข์เป็นสมมุติ ส่วนสัจจะนั้นไม่มีสุขหรือทุกข์ ถ้าคุณทำเนกขัมมสิตะได้สำเร็จ ก็จะมีความไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่อสัมผัส แต่ก่อนมีแต่ตอนนี้ไม่มี แต่ก็รู้ว่าควรได้ ควรใส่เข้าไป ถ้าได้สุจริตก็เอามาหรือไม่สุจริตก็ไม่ควรเอามา จะไม่ละเมิด คนที่มีปรมัตถสัจจะ รู้ความควรไม่ควร จิตจะโน้นเน้นไปว่า อันนี้เรียกว่าต้องการ เอามาให้ร่างกายนี้ดีก็ทำ จะซื้อก็ทำได้หรือได้อย่างสุจริต สรุปแล้วคนที่ ไม่เบียดเบียนใคร ช่วยเหลือโลก คนนี้แหละประเสริฐ

 

รูปรูป คือ สิ่งที่เป็นตัวมันเอง มีรูปของมันเองเรียกว่า รูปี แล้วมี รูปานิ คือรูปทั้งหลาย รูปเสียงกลิ่นรส มันเป็นรูปที่ถูกรู้ได้ทั้งนั้น สัมผัสได้เรียกว่า กาย หรือจะมีเงื่อนไขที่จะเอาแต่ข้างในก็ได้ แต่สามัญปกติมีข้างนอกด้วย

 

รูปีรูปานิ ปัสสติ รูปรูปคือ ตัวของมันเอง ไม่เกี่ยวข้องทำงานกับธาตุรู้เลย แม้มันจะมีธาตุรู้อยู่ แต่ไม่ทำปฏิกิริยากันเลย แตะกันเฉยๆ เหมือนมนายตนะกับธรรมายตนะ มันแตะกันเฉยๆ ทั้งมนะเป็นรูป ธรรมะคือนาม แต่ไม่เกิดปฏิกิริยากัน ก็เป็นรูป กับ นาม แต่ถ้ามีปฏิกิริยาเรียกว่า รูปกาย

รูปรูป รูปนาม รูปกาย

เริ่มรูปกาย นี่ท่านเรียกว่าเกิด โคจรรูป หรือวิสยรูป ถ้าไม่มีการโคจร ดำเนินบทบาท ไม่ทำงาน แม้จะมีประสาท มีธาตุรู้ เป็นนามธรรม แต่ว่าต่างคนต่างนิ่ง อันนี้เรียกว่ารูปนาม แต่ถ้าเริ่มทำงานเรียกว่ารูปกาย ถ้าเรามีเงื่อนไขว่าเอาแต่นามนะ กำหนดเป็นปริเฉทเท่านี้นะเป็น นามกาย

 

กายต้องมีธาตุจิตทำงานเสมอ ต้องเป็นพลังงานเคลื่อนที่เป็น kinetic energy สรุปแล้ว นามก็ดี รูปก็ดี เรียกเต็มๆว่า นามรูป ถ้ามีกายยาววา หนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจก็คือ นามรูป แต่ถ้ามันแตะกันเฉยๆ มันมีชีวะนะ แต่ไม่แสดงพลังงานก็เรียกว่าพลังงานศักย์

 

คำว่า กายนี้ท่านเรียกว่าจิต มโน วิญญาณ นี่คือความยืนยัน ปฏิจจสมุปบาท ตั้งแต่คำว่าอวิชชา คนไม่รู้ตัวแรก คือคำว่า สังขาร คือการปรุงแต่ง ทำงานรวมกันเริ่ม โคจรรูป วิสยรูป แม้นิดหน่อยเริ่มทำงาน เริ่มเคลื่อน เราก็เรียกว่าสิ่งนั้นว่า สังขารจะสังขารอย่างยาก เป็นอรูป นั้นถูกรู้ยากหรือรู้ไม่ได้ เรียกว่าอรูป ผู้มีญาณปัญญาลึกซึ้่งละเอียด พอจะรู้ได้ เริ่มมีสังขาร ก็มี วิญญาณ นามรูป สฬายตะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะฯ

 

จากชาติขึ้นมาถ้าดับชาติได้ ภพก็ดับ อุปาทานก็ดับ ตัณหาก็ดับ ตัวไหนให้เกิดชาติก็ ตัณหา kinetic กับอุปาทาน potential เบื้องต้นเรียนชาติ ภพเป็นรูป potential ชาติเป็นนามkinetic เราดับชาติ ภพก็ดับ เราดับภพ ก็ได้ อะไรจะเกิดภพ ภพนั้นต้องมีนามธรรมเข้าไปยึดถือ

 

อย่างพระอาทิตย์นั้นมีแต่อุตุนิยาม แม้จะแรงร้อนสูงสุดขนาดไหน คนก็เอามาใช้ไม่ได้หมดหรอก คนสู้พลังงานพระอาทิตย์ไม่ได้ ถ้าพลังงานประหลาดๆจากพระอาทิตย์มาชีวะทั้งหลายในโลกก็สูญหมดได้

 

ตัวพลังงานkinetic คือพลังงานเคลื่อนไหวรู้ได้มากกว่าพลังงานนิ่ง เคลื่อนเมื่อไหร่คือ ตัณหา หากไม่เคลื่อนก็เป็นอุปาทาน มันรู้ได้ยาก เราก็ไปรู้ตัวเคลื่อน ฆ่าตัวตัณหา อุปาทานก็ดับด้วย ภพ ชาติ ชราฯ ก็ดับด้วย เราต้องรู้ลีลาตัณหา อย่างนี้เรียกว่ากามตัณหา อย่างนี้คือ รูปราคะ อรูปราคะ เราต้องรู้ว่าตัณหานี้ต้องการใคร่มาบำเรออัตตา

 

ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา ที่หยาบมากก็เรียกว่าอบาย ในกามภพ โกงกันทีละแสนล้านนี่แย่สุดแล้ว โกงยิ่งมากยังบอกว่าตนไม่โกงอีกก็ซับซ้อน เขาฉลาดบำเรออัตตาตนเอง เขาทำจริงก็เป็นเวรของเขา จะไป

โกรธเขาอีกทำไม ต้องสงสารเขา ให้สัญญาณเขา ตอนนี้ขอบอกว่าคุณน่ะแพ้แล้ว อาตมาขอพยากรณ์ ยุคนี้ทหารพร้อมแล้ว การปฏิวัติครั้งนี้ในไทยเป็นการปฏิวัติที่สูงส่งสุดยอด เพราะปฏิวัติในนามของทหารเท่านั้น ไม่ต้องเอารูปออกมาให้เต็มแต่อย่างใด ผมขอยึดอำนาจเท่านั้น ตั้งคสช. แล้วมาปฏิรูปต่อได้อีก ตอนนี้คสช.เด็ดขาดสวยงาม มีแต่ฝ่ายคนแพ้เด็ดขาดที่ยังดิ้นอยู่ด้วยความอวิชชา คุณแพ้แล้ว ตอนนี้ก็มีหน้าที่ สัปประยุทธ์เลย เพราะคุณชื่อประยุทธ์อยู่แล้ว คุณมีสิทธิ์เต็มที่ อันอื่นองค์ประกอบไม่สมบูรณ์ อาตมาไม่กล้าพูด ในเมืองไทยมีประยุทธ์เป็นแกนธรรมะ นามธรรมคือ ท่านพรหมคุณาภรณ์ ท่านชื่อว่าประยุทธ์ ตอนนี้ทั้งรูปและนามลงตัวแล้ว ตอนนี้แม้ พล.อ.เปรม ก็ได้ รับรอง อนุมัติ ประทับตาแล้ว ก็เหลือแต่ว่าคุณจะทำหรือไม่ทำ ถ้าคุณทำรับรองว่าในหลวงหายพระประชวร ถ้าคุณทำในสิ่งที่ประชาชนเห็นว่าค้างคาอีกหลายเรื่องคุณรู้ คุณลงดาบได้ในหลวงหายประชวร แล้วท่านตั้งพระทัยอยู่ 120 ปีอยากได้ไหมล่ะ ..อยากได้จงทำ ถ้าทำแล้วจะสำเร็จผล

 

ขณะนี้เหตุปัจจัยสมบูรณ์ครบรอบที่ 8 เข้าสู่เส้าที่สาม จะถึง 9 ถ้า9เมื่อไหร่เต็มสามเส้าจะต่อcyclic order รันเต็มที่เลย เป็นความสมบูรณ์ของอาณาจักรและธรรมจักร เลย เคลื่อนทันทีเลย สามเส้าบอกก็ได้ 1.โลก 2.ธรรม 3.ราชประชาสมาสัย ตอนนี้นายกฯเป็นตัวแทนของประชาชนหากทำอันนี้จะเกิดราชประชาสมาสัยเต็มรูป คือราชและประชาชนร่วมกันทำงานให้เต็มแล้วโคจรทำงานเต็มเป็นธรรมจักร ตอนนี้สังคมไทยจริงๆแล้ว อาตมากล้าพูดได้ว่าต่อให้มีการเลือกตั้ง พวกที่ฝันหวานว่าจะชนะก็ไม่ชนะหรอก ในอดีตเขาเคยบอกว่าเอาไม้จิ้มฟันหรือเสาไฟฟ้าลงก็ชนะตอนนั้นเป็นอดีต แต่ตอนนี้ไม่สำเร็จหรอก ต่อให้มีการเลือกตั้งคุณก็ไม่ชนะ เพราะประชาชนตื่นรู้หมดแล้ว คุณจะหวังอย่างเก่านั้นผิดแล้ว แต่เขาก็ยังหวัง มีแรงงานด้วย ถ้าสู้กันจะปะทะกันแรง หากมีเลือกตั้งนะ ถึงขนาดฆ่ากันได้แต่ทางโน้นแพ้ แต่ถึงขั้นฆ่ากัน แล้วฆ่ากันก็คสช.คุมอำนาจ แล้วอันนั้นจะขึ้นมาได้อย่างไร อย่าเสี่ยงเสียหายได้ ประชาชนตายไปคนหนึ่งก็ไม่ดี ตอนนี้ประชานเรียกร้องควรทำ เท่ากับเผด็จศึก ตัดแขนขา อวัยวะสำคัญของเขาไปก็จะสำเร็จเร็ว

 

มาเข้าสู่คำว่า ชาติ

 

สังขาร คือการปรุงแต่ง มี กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร แต่คนไม่รู้กาย ก็ไม่รู้กายสังขาร ก็จะไม่รู้วจีสังขารด้วยแน่นอน ยิ่งยากกว่าด้วย การไปนั่งหลับตา ทำอานาปานสติ เหลือแต่ลมหายใจ หมดลมหายใจก็ขาดกายสังขาร ไม่สมบูรณ์ จะนั่งหลับตาให้ตายอย่างไรก็ไม่สมบูรณ์ พระพุทธเจ้าว่ากายคือ จิต มโน วิญญาณ แล้ววิญญาณนี่ต้องมีตาหูจมูกลิ้น กาย แล้วกายนี่ต้องสัมผัสรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ จึงเรียกว่ากาย คำว่ากายคือ จิต มโน วิญญาณ องค์รวมต้องมีทั้งรูปและนาม

 

กายสังขาร นี่คุณจะทำให้กายสงบ กายปัสสัมภยัง ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะเข้าใจไปหลงกายว่าคือร่าง หรือหลงว่าจิตมันดำเนินแต่ภายใน แต่ที่สัมมาทิฏฐิคือ มีการดำเนินภายนอกด้วย จิตคือ concept ส่วนมโน คือ context มโนนี่ตีกรอบเล็กๆแล้วใน ปริเฉทก็มีหลายอีกซ้อน ในนั้นก็ทำให้ว่างไปทีละกรอบๆ แต่ไม่ขาดทั้งรูปทั้งวัตถุด้วย แล้วต้องทำเป็นปัจจุบันด้วย ไม่ใช้เวลานานนะ ทันทีทันใด มีมุทุภูตธาตุ ไม่มีอะไรช้า

 

สรุปแล้วอานาปานสติ มีลืมตามีองค์ประชุมครบ เป็นโสดาบันก็ลืมตามีวิโมกข์8 ในอบาย ก็มาเป็นสกิทาคามี จนเป็นอนาคามีมีจิตเหนือกามภพ เหลือแต่รูปราคะ ที่มีราคะเป็นรูปถ้าหยาบที่สุด แล้วเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตกลงรูปกาย คุณอยู่เหนือมันแล้ว อนาคามีก็จะเหลือแต่ 4 คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในเวทนามีสุขทุกข์ของคุณเอง ข้างนอกไม่ทุกข์แล้ว รูปกายคุณเหนือมันหมดแล้วเหลือแต่นามกาย คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วคุณก็แตกเวทนาไปอีก เวทนากับสังขารก็อันเดียวกัน เมื่อมันปรุงแต่งก็มีสุข ทุกข์ ถ้าคุณเป็นอนาคามีก็มีแต่นามกาย ส่วนรูปกายไม่ทุกข์ไม่สุขแล้ว ก็ล้างนามกายอีก ทุกข์น้อยลงสุขหมดไป จนเป็นอากาศเป็นมัชฌิมา ในปริเฉทของรูปคือ รูปราคะ เหลือแต่อรูปราคะก็คือมานะ อุทธัจจะ อวิชชา

 

ต้องเรียนมานะ ขั้นนี้เป็นคนดีไม่ทำชั่วภายนอกเลย มีแต่ภัยโทษในตน ถือดีไม่เบียดเบียนคนอื่นก็ต้องเรียนรู้มานะ อติมานะ เรียนรู้อรูปราคะแล้วก็เหลือแต่มานะ อุทธัจจะ มานะนี่มีแต่ส่วนดี แต่ยึดมานะเป็นตัวเป็นตน ตนไม่ยอมใครเอาไปเบ่งข่มคนอื่น ก็อนุโลมให้เขาชนะบ้าง เพราะจะเอาชนะหมดไม่ได้ผลหรอก เพราะว่าเขาไม่ยอม แต่ถ้าคุณยอมเขาหน่อยเขาก็ร่วมกับคุณแล้ว

 

ถ้าคนโง่ไม่เป็นก็ไม่เป็นผู้ชนะทั้งโลกหรอก แต่คนโง่เป็นนี่จะชนะทั้งโลก ไม่มีตัวตนได้ ก็เหลือธุลีละอองของอุทธัจจะ ตัวนี้เป็นรูปฌาน เริ่มแต่อากาสาฯว่าง แล้ววิญญาณตนเองมีเศษเหลือไม่สะอาดหรือไม่ต้องขจัดเศษธุลีละอองแม้นิดน้อยขนาดไหนก็ตรวจสอบ แล้วต้องตรวจสอบว่าตั้งมั่นเป็นสมาหิตังทบทวนแล้ว อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง สั่งสมทุกปัจจุบันให้กายสักขี ได้สำเร็จสูญ จนอดีตปัจจุบัน เป็นศูนย์อย่างแข็งแรง ในอวิชชาส่วนอดีตกับปัจจุบันเป็นตัวกำหนดแล้วมีสองแล้ว ปัจจุบันก็ต้องสูญแน่ เพราะว่าเอาชนะปัจจุบันกับอดีตที่สูญไม่ได้อยู่แล้ว เป็นศูนย์ถาวร ทำ 18 กาละให้เป็นอุเบกขานี่แหละ จนตัดสินได้ว่าอนาคตต้องสูญ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)  ผู้พ้นได้จึงพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา(ฌาน) เรียกว่ารู้สมบูรณ์ทุกอย่างเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นสัญญาสุดท้ายเป็นภูมิสุดท้ายเป็นนิพพานธาตุอันสมบูรณ์ ดับได้เป็นเจโตและมีปัญญารู้ทั้งหมด ไม่มีไม่รู้เลย

 

กายสังขาร คือ องค์ประชุมครบ จิตสังขาร คือ เน้นถึงนามธรรม เน้นถึงยอดนามธรรมคือมโน ตัวมโนคือ ตัวในของธาตุรู้ ส่วนวิญญาณคือนอกสุด แล้วเป็นตัวปัจจุบันธรรม ต้องครบรูป 28 จึงเป็นวิญญาณ ต้องมีปสาทรูป โคจรรูปทำงาน เป็นปัจจุบัน แล้วเราเองเป็นตัวรู้ ทำงานแล้วเป็นอิตถัตตะหรือปุริสสัตตะ แต่ถ้าภาวะอุตมปุริสัตตะ คือเอกบุรุษสุดยอดในแต่ละ context ปริเฉเฉท อย่าตะกละ แล้วจะได้เป็นเครือแหเป็นคณะมากขึ้นโตขึ้นเอง

 

ในมโน มีธาตุรู้ที่กำหนดรู้ เรียกว่ามโน ใครยังไม่สามารถอ่านมโนได้ก็ไม่สามารถรู้ได้ ต้องรู้ว่ามโนมีลีลาอย่างไร ในกรอบเล็กของคุณเป็นปริเฉท หากคุณรู้มโนได้ ก็กำจัดอกุศลได้ มันมีที่เป็นอกุศลธาตุ อกุศลธรรม ทำลายธาตุ ทำลายธรรมตัวนี้ ไม่ให้ทรงอยู่ ก็ไม่มีธรรมชาติของอกุศลนี้ ธรรมก็ไม่มี ชาติก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลยเรียกว่า นโหติ

 

มนายตนะกับธรรมายตนะ หากอยู่กันเฉยๆ ไม่เกิดเวทนา ก็คือ รูป กับนาม หากเริ่มรู้ตัวก็คือกาย รู้แล้วทำงานแล้วถ้าเป็นอกุศลจิต ก็มี ญาณรู้ตัวโจร คือองค์ประชุมของธาตุจิต ของสักกะของตน ฆ่าโจรเสียไม่บาป ฆ่าอะไรไม่บาปก็ฆ่าโจรในตนเอง คือกายกลิ เป็นตัวโทษภัยเหตุร้าย ที่ต้องกำจัดเป็นอกุศลจิต ถ้าไม่รู้ตัวโจรก็จับโจรฆ่าโจรไม่ได้ หลงว่ามันเป็นเพื่อนอีกต่างหาก หลงว่ามันเป็นตัวกูของกูเป็นเนื้อเดียวกันอีกต่างหาก

 

ตั้งแต่กาม ภายนอก เราทำได้อย่างหยาบ บางเบาแล้ว มีปัญญาญาณแหลมคมลึกซึ้งกว่าเก่า ก็ทำต่อในรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ  อวิชชาต่อ

 

องค์รวมในสนามรบของจิต คือ สังกัปปะ 7 (ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา) จิตเริ่มดำริ เรียกว่าตักกะ คุณก็จับมันแล้ววิจัยถึงเวทนา ว่ามันสุข มีเหตุจากอะไร มันก็อยากได้ข้างนอก ไม่ใช่อนาคามี คุณก็เรียนรู้กามคุณ 5 คุณกำจัดมันได้ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่มีตัวตน คุณทำจนเกิดปัญญาญาณว่า แม้ได้มาสัมผัสก็ไม่มีรสสุขทุกข์มันจางคลายหรือไม่มีแล้ว ก็ต้องรู้ตาม เช่นแต่ก่อนติดแครอท แต่ตอนนี้สัมผัสก็ไม่มีรสชาติ ตัวดำริ แล้วก็ทำให้เกิด วิตักกะ คือวิคือแม้แต่เศษเหลือก็ไม่ให้มี ไม่ให้มีเหลือเลยเรียกว่า วิเศษ จิตก็เป็นวิตักกะ ของสิ่งที่ดำริมา ก็ล้างกามวิตก หรือกามสังกัปปะ ล้างได้เป็นวิตักกะ มีวิจัย วิจาร จนมันจางคลาย ทำสำเร็จ ก็มี อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา คือแน่วแน่ แนบแน่น ดีขึ้น ตั้งมั่นขึ้น จนเป็นเจตโสอภินิโรปนา ทำให้ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิมากขึ้น จิตแข็งแรงต่อกิเลสมากขึ้น แม้มันจะมาปรุงแต่งเท่าไหร่ก็ไม่สุขไม่ทุกข์ แตะเท่าไหรก็เฉย ได้องค์รวมเป็นสังขาร ตรวจสอบด้วย คสช. สตง.หรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องทั้งฉลาดและแข็งแรง โจรจะผ่านไม่ได้ อยู่ที่ความเป็นจริงของ อัปปนา ถ้าไม่แข็งแรงผ่านไปสู่พยัปปนา ถ้าผ่านไปถึงเจตโสอภินิโรปนา ก็ออกไปเป็นวจีสังขารตามกิเลส ผ่านฏีกาแล้ว ก็เสร็จมันเลย ต้องตัดไฟแต่ต้นลม ตั้งแต่อัปปนาเลย ตัววจีสังขารคือตัวสงบจะอนุโลมก็ทำได้ คุณจะอนุโลมหรือไม่อนุโลมก็ต้องให้เสร็จงานก่อนนะ อย่าอนุโลมก่อนเสร็จงานนะ อย่าเป็นพระยาจักรี 2

 

จะรู้วจีสังขารต้องทำองค์ประกอบที่เป็นทั้งขั้วบวกและลบ ทำงานร่วมช่วยกัน หน้าที่คนรบก็รบไป คนตรวจสอบก็ตรวจสอบไป ถ้าเก่งตั้งแต่อัปปนาก็จบไม่ต้องเลย ตอนนี้คสช.ต้องทำหน้าที่ตนตัดไฟแต่ต้นลมเลย ถ้าคุณประยุทธ์ทำสำเร็จก็จะได้เป็นรัฐบุรุษต่อจากป๋าเปรม แม้ไม่ได้รับแต่งตั้งจากในหลวงก็ประชาชนจะตั้งให้ แต่ถ้าทำได้อันนี้จะได้ทั้งสองอย่างเลย

 

ขออภัยที่อาตมาต้องพูดว่า อาตมาต้องมาช่วยทำงาน หลายด้าน อาตมาปีที่ 81 แล้วนะ เห็นว่าโลกุตรธรรมก็หยั่งลงได้ ทำงานมา 40 กว่าปีแล้ว จิตคนก็สูงขึ้นได้ โสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นอรหันต์ก็เป็นพระพรหมแท้จะทำงานอย่างมี ตรีมูรติ มีพระปัญญาธิคุณ _กรุณาธิคุณ _บริสุทธิคุณ ทำด้วย อัปปมัญญา 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) นี่คือคุณสมบัติของพระพรหมแท้ มีบทบาทพฤติกรรมจริง ชาวอโศกทำงานอย่างพรหม ตามฐานะ มีบุคคลจริง ในเมืองไทยมีคนเป็นผู้รู้สุขอันวิเศษที่ไม่ใช่โลกีย์ เช่นเป็นดาวดึงส์ เป็นสุขสงบร่มเย็นเพื่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)  องค์ประกอบของดาวดึงส์นี้ เป็นโลกียะก็ได้ เป็นโลกุตระก็ได้ ที่เป็นอาการที่่่ 33 ที่เป็นสุข แล้วทำให้เป็นยามะให้ได้ แล้วรู้จักพัก_เพียรให้เป็นอยู่ในดุสิต (อยู่ในความสงบ)โลกียะก็ขอสงบได้ แต่ไม่จริงเหมือนโลกุตระ ที่ไม่ติด จนเป็นได้ ก็เป็นปรนิมมิตวสวัตดี   คนอื่นมาช่วยทำให้ เป็นเทวดาโลกุตระ แต่ว่าโลกียะจะหลงหมดเลยในเทวดา 6  ภูมินี้ แม้จาตุมหาราชิกา ก็ถืออาวุธล่าทั้่งสี่ทิศ เป็นเทวดายักษ์อำมหิตโหดร้ายแย่งชิง แต่ถ้าเทวดาโลกุตระ ก็มียักษ์น้อยๆยังแย่งชิงบ้างเอาเปรียบบ้าง เราก็ลดลงๆ ลดความเป็นยักษ์จนเป็นเทวดาจริงนานขึ้นรู้พัก_เพียร แล้วเนรมิต (นิมานรดี) ถ้าเป็นโลกีย์ใครเนรมิตให้หรือตนเนรมิตก็ชอบใจ จนถึงล่าบริวารให้แก่ตนก็เป็นปรนิมมิตวสวัตดี  แต่ถ้าโลกุตระนั้นผู้อื่นจะทำให้ด้วยเต็มใจ เช่นในหลวงมีประชาชนทหารตายแทนได้ แต่ท่านก็ไม่ขอสั่งใครเลยสูงสุด เป็นเตย์มีใบ้ที่สูงสุด ส่งผ่านมาทางเปมะ แล้วภาษาก็สูงมาก สัปประยุทธ์นี่กล้ามากนะ เป็นผู้กล้า


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:14:54 )

580108

รายละเอียด

580108_  เทศน์ก่อนฉัน สีมาอโศก

เรื่องข้างนอกคือความจริง ข้างในคือความจำ

พ่อครูว่า...อาตมาก็สัญจรมาถึงสีมาอโศก ก็สัญจรมาที่ป่าติ้วแล้วไปหินผาฯแล้วไปวังน้ำเขียว แล้วค่อยมาสีมาอโศก แข่งกับหญิงลี เขายังสาวสด แต่อาตมาก็สดนะอย่านึกว่าแห้ง อาตมาก็สดๆ ไม่ยอมแก่ วันนี้อายุ 80 ปี 7 เดือนกับ 1 วัน ถ้านับวันที่ 5 ก็ 4 วัน ไปดูที่บ่อหิน เขาบอกว่ามีหินแกรนิต ที่เขาน่าจะเอาไปทำพระพุทธรูป เราก็มีแบบพระพุทธรูป ปางวิชิตอวิชชา ปางใหม่ อาตมาก็คิดเองว่ายุคนี้ต้องใช้ปางนี้ ใครมองมาจากข้างล่างจะเห็นหินแกรนิตดำ มีแสงแวววาม ตอนแรกเราบอกว่าจะสร้างหินทราย เราเคยสร้างพระพุทธาภิธรรมนิมิตมาแล้ว เป็นหินทราย ทำมือเป็นรูปที่ทางโลกเขาหมายถึง I love you. ภาษาจีนว่า ขันจอหว่อ หรือภาษาไทยว่า ฉันรักเธอ ยกมือมี 3 นิ้ว เรียกว่าตรีลักษณ์ ลักษณะ 3 คือโลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

 

พระพุทธรูปสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา เคยเอาไปออกงานในการชุมนุมมาแล้วเป็นแบบจำลอง แล้วเราจะสร้างองค์จริงที่บ้านราชฯ แล้วคนเขาก็บอกว่ามีบ่อหินแกรนิตดำที่จะใช้สร้างได้ สมเด็จปู่วิชิตอวิชชานี่จะสร้างโดยชาวอโศกที่เป็นคนจน แล้วจะสร้างวัตถุที่ใหญ่ แต่ทำโดยคนจน ชาวอโศกเป็นคนจน ใช้เลือดปูในการสร้าง แล้วเลือดปูนี่มีน้อย เป็นเลือดพิเศษนะ อันนี้ก็จะสร้างสมเด็จปู่ ราคาหลายพันล้านนะ เงินก้อนขนาดร้อยล้านอาตมาก็ไม่เคยจับ อย่างเก่งก็สิบล้าน แตะปั๊บหายปุ๊บ ไม่เคยอยู่กับอาตมานานหรอก หมุนเวียนเลย ไม่เคยกัก สะพัดเร็ว เป็นนักเศรษฐศาสตร์มือหนึ่ง แต่เราจะสร้างด้วยพลังจน

 

แล้วเรามีหลักปรัชญาชีวิตแท้เลยว่า 1.ไม่เป็นหนี้ 2.พึ่งตนรอด 3.ทำเหลือกินเหลือใช้ 4.มีมากเผื่อแผ่แจกจ่าย เราทำโดยเอาเลือดเนื้อตนทำอย่างอุดมสมบูรณ์เจริญงอกงาม มีมากก็แจกจ่าย จำหน่าย การจำหน่ายจ่ายแจกเราก็ไม่เอาของเราไปเอาเปรียบเอากำไร ไม่ขูดรีดทุจริต ที่เรารังเกียจ ขายถูกเพื่อช่วยสังคม ขายอย่างขาดทุนด้วย แต่อยู่ได้ ขายต่ำกว่าทุน

 

ถ้าเรายังไม่สามารถขายขาดทุนได้ ก็จำเป็น ก็ขายต่ำกว่าราคาตลาดให้ได้ ต่ำกว่าได้เท่าไหร่ยิ่งเป็นบุญนิยม จนที่สุดก็ขายเท่าทุนหรือขาดทุนได้เลย ถ้าขายสูงกว่าราคาตลาดหรือแม้เกินทุนก็ยังบาปอยู่นั่นแหละ พวกทุนนิยมที่ว่าให้ทำแบบ maximize profit นั่นมะเร็งบวกเอดส์กินหัวเลย

 

เราสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงไม่เบียดเบียนใคร แล้วทำให้มากเราก็เหลือแล้วแจกจ่ายหรือขายราคาต่ำกว่าทุนได้ หรืออย่างน้อยต่ำกว่าราคาตลาดที่ถือว่ายังบาป จนที่สุดขายเท่าทุนก็คือเจ๊ากันไม่บาปไม่บุญ แต่ว่าถ้าขายต่ำกว่าราคาตลาดได้ก็คือเป็นบุญแล้ว ในหลวงว่าให้ทำอย่างขาดทุนของเราคือกำไรของเรา จนที่สุดแจกฟรีได้จึงเป็นที่สุด ทำด้วยเมตตาเกื้อกูลไร้เล่ห์เหลี่ยม ทำด้วยใจเป็นสุข อย่างมีปัญญา นี่คือความเจริญประเสริฐของมนุษย์อย่างแท้จริง

 

เราก็ทำสำเร็จด้วยสูตรทฤษฎีนี้ จึงเกิดมนุษย์แบบนี้เป็นหมู่กลุ่ม ผู้ทำได้ก็มั่นคงถาวรยั่งยืน เพราะว่าลดกิเลสเห็นแก่ตัว หมดตัวหมดตนได้ เราก็เห็นแก่ผู้อื่นได้จริง ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเป็นได้แล้วมีปัญญารู้ซ้อนเห็นจริงเลยว่าดีจริง ทั้งปัญญา และเจโต เป็นอย่างนี้ได้จริงว่าประเสริฐดี สุขสงบ ไม่ก่อโทษภัยเป็นคุณถ่ายเดียว จึงแน่วแน่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ทำได้แล้วเป็นสุขด้วย มีประโยชน์คุณค่า เรามีหมู่กลุ่มด้วย แม้ใครจะแก่จะตายก็พึ่งพากันได้ คนก็มั่นใจว่าขนาดคนสายเลือดเดียวกันก็ยังไม่ได้ขนาดนี้เลย ขนาดนี้มาจากคนละเผ่าพันธุ์เลยก็มาได้ ขอให้มีจิตใจอันเดียวกัน ก็ช่วยกันได้ นี่คือหลักใหญ่ของสังคม แล้วมีทฤษฎีวัฒนธรรมแบบนี้ มีระบบแบบแผน มีคนมีปัญญาทั้งรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ยืนยันว่าทำได้แม้โลกมีกิเลสหนา ไม่โกรธกิเลส เขาจะคิดร้ายเรา เราก็ไม่ทำร้ายตอบ เราสู้ด้วยสัจธรรมความดีไม่เอาความร้ายไปสู้ไม่เอาความคดโกงไปสู้ สู้ไม่ได้ก็ยอมแพ้ ทำดีที่สุดถูกที่สุดแล้ว อาตมาเจอมาแล้ว อาตมาทำถูกต้องก็ยังถูกหาว่าผิด เราก็แพ้ ไม่เป็นไร แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง

 

เราก็ทำมาอย่างมีอัตราก้าวหน้าได้ คนมีปัญญาเข้าใจได้ก็มาเอา จนกระทั่งมายืนอยู่วินาทีนี้ อาตมาก็ทำต่อ ตั้งปณิธานว่ายังไม่ยอมตาย

 

แกนหลักของศาสนาพุทธ อยู่ที่ รูป กับ นาม

 

รูปคือสิ่งที่เป็น อุตุนิยาม เป็น สสาร วัตถุพลังงาน ที่ยังไม่เกิดชีวะ สิ่งเหล่านี้ไม่มีนามธรรมอยู่ จึงไม่รับรู้อะไรได้ มีดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ แล้วมีอีกธาตุคือวิญญาณ ที่เป็นนามธรรม ถ้านามธรรมไปร่วมกับ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ รวมกับนามธรรม เป็น 6 ธาตุ เรียกว่า กาย เรียกว่า กายวิญญาณ เมื่อทำงานกันเข้า จัดการกันเข้าก็เรียกว่า สังขาร ประกอบการ ทำงาน จัดการ  ปรุงแต่งกัน ก็เรียกว่า กายสังขาร

 

คนอวิชชาจะไม่รู้จักสังขาร ไม่รู้จักกาย แล้วก็ไปเรียนวิญญาณอย่างเทวนิยม ว่าวิญญาณไม่มีใครรู้ได้ เป็นสิ่งต้องห้าม ถ้าจะติดต่อกับวิญญาณก็มีแต่พระบุตรที่จะติดต่อกับวิญญาณได้ นอกจากพระบุตรไม่มีใครติดต่อกับพระเจ้าได้ คนอื่นจะทำอย่างใดไม่ได้ต้องให้พระบุตรมาบอกโองการพระเจ้า แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เช่นนี้ ความคิดแบบพระเจ้ามีจริง ในคนระดับหนึ่งที่จะศึกษา แล้วจะต้องทำตามพระเจ้าอย่างเข้มงวดซื่อสัตย์ได้ประโยชน์อย่างสูงสุดตามเทวนิยมแล้วจะอยู่อย่างนั้นนิรันดร ลัทธิเช่นนี้ก็มีอยู่ พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกอย่าง ส่วนศาสนาพุทธรู้จักพระเจ้าดีก็เอาอำนาจพระเจ้ามาทำเอง แล้วเรียนรู้ตั้งแต่พระเจ้าองค์เล็กๆ เรียกว่า โสดาบัน พระเจ้าโตขึ้นก็เรียกว่าสกิทาคามี เจริญเป็นคุณธรรมของพระเจ้าจริงๆ เป็นเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นความไม่เห็นแก่ตน เริ่มต้นเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนขึ้นมา หนึ่งในสี่ก็เป็นโสดาบัน พอเห็นแก่ตนสองในสี่ก็เป็นสกิทาฯ พอเห็นแก่ตนเหลือหนึ่งในสี่ก็เป็นอนาคามี พอไม่เห็นแก่ตนเลยก็เป็นอรหันต์ คือพระเจ้ารอบที่ 1 แล้วจะเป็นโพธิสัตว์ต่อไปเป็น อนุโพธิสัตว์ อนิยตนโพธิสัตว์ เป็นนิยตโพธิสัตว์ เป็นมหาโพธิสัตว์ต่อไป มีรูปนามครบถ้วน เป็นองค์ประชุมของกาย ของพรหม คือกายของพระเจ้า พรหมกาย หรือเรียกว่า ธรรมกาย คำว่าธรรมกายตอนนี้คนกำลังเอาคำว่าธรรมกาย ไปหลอกชาวบ้านว่าตนคือ พรหมกาย, ธรรมกายคือกายของพระเจ้านี่เป็นเท็จ อาตมาพิพากษาเลย พระพุทธเจ้าว่าธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักมาก ธรรมนั้นวินัยนั้นไม่ใช่ของเราตถาคต แม้ในหลวงเราก็ยืนยันให้มามักน้อยมาจน อย่าหลงทาง ต้องชัดเจนในวิถีพุทธ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นทำลาย ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต่อไป แล้วจะใช้เป็นลัทธิลวงโลกต่อไปอีก

 

เมื่อผู้มีปัญญารู้จักองค์ประชุมทั้งวิญญาณ อากาศ ดิน น้ำ ไฟ ลม ครบ 6 ธาตุ มีกายครบ ก็จะรู้จักสังขาร วิญญาณ ส่วนผู้มิจฉาทิฏฐิ มีอวิชชาจะไม่รู้จักสังขาร เพราะเป็นอันเดียวกันหมด อวิชชาก็คือสังขารคือวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพ ชาติ ชรา มรณะฯ ดับชาติได้ก็หมดทุกข์ ชาติปุทุกขา รู้ชาติ 5 ประการ คือชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

 

อากาศเป็นเครื่องเชื่อมระหว่างดิน น้ำ ไฟ ลม กับวิญญาณ อากาศเป็นฐานเชื่อมต่อ ซึ่งรูปรูป ก็คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ แต่ว่าแม้มีนามธรรมไปแตะอยู่ แต่ยังไม่สังขาร ไม่คนไม่กวนกันก็เป็น รูปนาม พอเริ่มทำงานปรุงกันเข้าจะมีเรื่องราว เป็นเรื่องโลกแตกเลย จากมหาภูตรูป 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม ส่วนคำว่าอากาศนั้นตัดไว้ก่อน เอาไว้ในรอบที่ตัดรอบปริเฉทแล้ว จนทำปริเฉทถึงรอบที่เป็นอากาสธาตุ แล้วรวมปริเฉทมาก็เป็นบริบท หลายบริบทก็รวมเป็นเครือแห รวมสานต่อกันไปเต็มรูปเต็มกรอบองค์รวม holistic แต่ละคนๆก็ของใครของมัน องค์รวมกาโยของใครก็ของมันหรือจะเรียกว่า แต่ละ concept ของแต่ละคนไป เป็นกาโย

 

สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูป ตั้งแต่วัตถุที่ไม่มีนามธรรม เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ไม่เคลื่อนที่หรือเคลื่อนที่ ก็ตามจริง เราก็เรียนรู้ไป เป็นอุตุนิยาม จนมันเริ่มเข้ามาสัมพันธ์เป็นรูปนาม ไม่ทำปฏิกิริยาสังเคราะห์สังขารกัน แต่พอเริ่มมีนามธรรม ที่มีเรื่องมากทั้งร้ายทั้งดีได้ ก็เกิดเป็นกาย กายจึงมีสภาวะของ จิต มโน วิญญาณทำงานแล้ว ไม่ใช่ว่าแปะกันเฉยๆ พอเริ่มทำงานก็เรียกว่าสังขาร มันแตะกันเฉยๆก็ไม่เรียกว่ากาย

 

ผู้ที่สามารถรู้จักสังขาร (สังขาร 3)  กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร อันไหนทำได้ยากที่สุด ตอบ...วจีสังขาร รู้ได้ยากที่สุด จะรู้ต่อเมื่อคุณทำนิโรธได้ จึงรู้จักวจีสังขารจริง เพราะวจีกรรมนี้เป็นสิ่งภายในจิตไม่ใช่วจีกรรมภายนอก เป็นพฤตินามธรรมในจิต จิตสังขาร วจีสังขารอยู่ในกายสังขาร ซึ่งจิตสังขารใหญ่ที่สุดในเชิงนาม ส่วนกายสังขารใหญ่ที่สุดในเชิงรูป แล้วเวลาเรียน จิตสังขารก็ละเอียดกว่า ส่วนกายสังขารก็หยาบกว่า ใหญ่กว่า พระพุทธเจ้าสอนให้เราเรียนตั้งแต่หยาบเข้าหาละเอียด

 

ความจริงที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทำหยาบไปหาละเอียด จะงามเหมือนฝั่งทะเล ที่ลาดลุ่มไปเป็นลำดับ ใครไปเริ่มที่ข้างในก่อน เอาละเอียดก่อน คือตีลังกาลึกสู่เหวหิน ตายเลย ไม่ได้หรอก ต้องเอาข้างนอกเข้าหาข้างใน ข้างนอกจึงชื่อว่าความจริง ส่วนข้างในคือความจำ ใครเริ่มที่ความจำก่อนก็ตายเปล่า ใครเริ่มที่กายก่อนก็ถูก ต้องสัมพันธ์กับมหาภูตรูป 4 แล้วเราก็มีประสาท ทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทุกส่วนเรียกว่ากาย สัมผัสก็เกิดความรู้สึกรวมเรียกว่าโผฏฐัพพารมย์

 

เมื่อสัมผัสนอกมีนามธรรมรับรู้มีวิญญาณ ก็เกิดกาย กายคือจิต คือมโน คือวิญญาณ การปฏิบัติต้องมีทั้งนอกและใน แล้วมีการโคจร คือรูปกับนามเริ่มทำงาน ดินน้ำไฟลม กับวิญญาณธาตุทำงาน วิญญาณใช้ประสาทในการรับรู้สึกทำงาน แต่ถ้าแตะกันเฉยๆ แต่ไม่รับรู้ก็ไม่เกิดการทำงาน ไม่โคจร ไม่ดำเนินบทบาท ต้องมีปฏิกิริยาดำเนินบทบาทจึงเป็นกายเป็นวิญญาณ

 

พอปสาทรูปทำงานกับโคจรรูป ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทำงานร่วมกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็เกิดวิญญาณ เรียกว่าสัมผัสหรือผัสสะ

3 ครบรูปนาม เป็นพลังงานสามเส้า หมุนเป็นวนโลก เรียกว่าโลกหรือcyclic order ทำงานแล้ว ระบบของมันจะเป็นองศา ถ้าองศาต่ำก็จะเป็นวงรีวงเบี้ยว แต่ถ้าองศาใครได้ระดับมากขึ้นก็จะเป็นวงกลมดี ไม่มีตัวต้านเลย หมุนวนอย่างราบรื่น

 

เมื่อเกิดสามเส้า ตากระทบรูปเกิดวิญญาณ เป็นหนึ่งวงจร ก็อยู่ในตนไม่เกี่ยวกับใคร เป็น อารัพธาตุ อารัมภธาตุ นิกกัมธาตุ พอเริ่มมีจุดที่สี่เป็น ปรักกัมธาตุ พอมีเพิ่มเป็น ห้า เป็นหก ก็เป็นสามเส้าสองอันแล้ว จนเป็นเส้าที่สามก็เป็น9 แล้วเริ่ม 0 ใหม่ เริ่มวงจรใหม่ ที่แตกไปจากเดิมอีก ถ้าจะจบเป็น 0 ก็ได้จบไม่ต่ออีก ใครรู้ทิศทางไปหา 0 ก็เป็นโลกุตระ แต่หากใครไม่เข้ากระแส ไม่รู้จักทิศทางไปหา 0 ก็จะบานไปไม่รู้จบ

 

ขีดที่คุณรู้กระแสทิศทางเรียกว่า โสตาปันนะ เรียกว่ามีจิตที่ทำให้เข้าสู่ทิศทางโลกุตระแล้ว ทำได้เริ่มเป็น โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหัตตมรรค แล้วก็ไม่มีทุกข์แล้ว สบม.ทมด.ปกต.หห.จจ.

 

ผู้เข้าใจกระแสโลกุตะต้องมีความเข้าใจโลกียธาตุ โลกุตรธาตุ แล้วธาตุเหล่านี้ไม่ใช่แค่ธาตุวัตถุ ธาตุวัตถุไม่พาไปโลกุตระ แต่ขาดไม่ได้ กายนี้ไม่ได้แปลว่าร่าง แต่เป็นองค์ประชุมรูป นามที่ขาดร่างไม่ได้ แต่เน้นที่นาม

 

พวกนั่งหลับตาสมาธิเขาก็ให้รู้จิตนะ รู้นิวรณ์ 5 แต่ก็ได้แต่ความจำนึกคิดได้ ไม่ใช่สัมผัสของจริง ไปหลงจินตนาการเยอะ ยิ่งไปยึดเอาแต่สิ่งไม่จริง ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งไม่จริง แม้สิ่งจริงพระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ยึดถือแต่ให้อาศัยได้

 

กายสังขาร มีองค์ประกอบครบทั้งรูปและนาม นอกและใน มีรูป 28 ครบ

โคจรรูป นั้น ตัว ค คือตัวเคลื่อนที่ เดินทาง ถ้าเดินทางแล้วปักหลักเรียกว่าคห แต่ถ้าเดินทางแล้วไปรวนอยู่ไม่นิ่งเป็นคณ หรือเรียกว่า คน

 

ผู้เริ่มมีวิชชาจะเข้าใจสังขาร แล้วสังขาร คืออะไร? คนที่เข้าใจสังขารคนนั้นเริ่มมีวิชชา อ่านเริ่มแต่กายสังขาร มีโคจรรูป ปสาทรูป ทำงานร่วมกัน มีวิญญาณปรุงแต่ง เป็นสิ่งปรากฏให้เราสัมผัสรู้ได้  ปสาทรูป ทำงานร่วมกับโคจรรูป เกิดปรากฏการณ์ภายนอกเรียกว่า phenomenal เราสัมผัสได้เป็นกาย เป็นองค์ประชุมทั้งนอกและใน เกิดโอฬาริกอัตตา แล้วเราก็มาพิจารณาภายในคือนามธรรมเน้นมาพิจารณาที่นาม ก็เรียกว่า กายในกาย ซึ่งมีเวทนาในเวทนา มีจิตในจิต มีธรรมในธรรม

 

กายในกายก็เลื่อนมาเป็นเวทนา ตัวเวทนาสำคัญคือ สุข ทุกข์ อุเบกขา ให้อ่านของตนให้ออกเป็นปัจจัตตัง เป็นเอโก ของตนเฉพาะตน ไม่ใช่ไปแส่อ่านคนอื่น มีตาทิพย์รู้คนอื่น ทำนาของคนอื่นเราก็ไม่ได้ เราทำนาของตนสิจึงจะได้ของตน 

 

เวทนาก็คือกาย จิตก็คือกาย ธรรมะก็คือกาย อาตมาอธิบายธรรมะหลากหลายเป็นหนึ่งเดียว จากหนึ่งเดียวเป็นหลากหลายได้นะ เวทนาแยกเป็น 3 แตก 3 เป็นเวทนา 5 คือความต่างระหว่างมากหรือน้อย ดีกรี น้ำหนักของมัน เบาหรือแรง หนาหรือบาง คือความต่างในเนื้อตัวของมันเอง

 

มาเป็นเวทนา 6 เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เกิดสุข ทุกข์ เกิดที่ทวาร 6  เรากำลังจะดับทุกข์ ให้เกิดไ่ม่สุขไม่ทุกข์ เราก็มาเรียนรู้เหตุให้เกิดทุกข์เรียกว่าอกุศลจิต ที่เป็นตระกูลใหญ่คือ โลภ โกรธ หลง ตัวหลงนี่เอาไว้ก่อน เอาโลภ กับโกรธก่อน โลภะคือเอามาเป็นของตน ส่วนราคะเอามาเสพรสแก่ตน ในอนาคามีไม่มีโลภ และราคะภายนอกเหลือ แต่ราคะภายในเป็นแค่รูปจิต ส่วนโลภะนั้นเอาแม้แต่รสด้วยนะ เป็นกายของผีใหญ่ ฆ่าผีนอกให้หมดโลภะ เหลือราคะให้ฆ่าต่อไปอีก

 

ก็อ่านวิญญาณผี สัตว์นรก เทวดา ถ้าเป็นทุกข์ คือผี คือนรก ส่วนเทวดาให้อารมณ์สุขก็ยังดี เป็นแบบโลกีย์ เป็นสมมุติเทพ เช่นได้เงินมากก็ดี ได้รูปสวยก็ดี กลิ่นหอมก็ดี กลิ่นขี้มันเหม็นก็ไม่ดี ก็เป็นสมมุติสัจจะรู้ร่วมกัน สุขโลกียะคือสมมุติเทพ แต่สูงกว่าสมมุติเทพคือ อุบัติเทพ คือทำให้กิเลสลดได้

 

สุขเพราะลดรสโลกีย์ได้ หรือทุกข์ เพราะลดโลกีย์ได้ก็เรียกว่าเนกขัมมะ (ไม่ใช่แค่ออกบวช) เมื่อลดกิเลสได้ก็เข้ากระแส กายของผีก็ตาย กายของเทวดาโลกีย์ก็ลดลงตายลง ผู้ใดมีตารู้จักเวทนา 18

 

เคหสิตเวทนา คือได้สมใจหรือไม่ได้สมใจโลกียะ หรือเฉยๆอย่างพักยกไม่ได้เกิดจาการลดกิเลส อุเบกขาโลกีย์ อย่ามาลวงเราต้องรู้ให้ทันจับให้ได้ เมื่อทำเนกขัมมะได้ ทำให้เกิดจิตอุเบกขา ที่เป็นฐานมัชฌิมา เป็นกลาง จะรู้อนุโลมกับชั่วได้ ทำงานร่วมกับชั่ว ให้เขาไม่ทำชั่วต่อ หรือไม่ได้ก็เลี่ยงเสีย ถ้าเขายินดีให้ยาก็ให้ยา คนไหนให้ยาแรงได้ก็ใช้ยาแรง คนไหนไม่ยอมให้ให้ยาก็แทรกยาทิพย์เข้าขุมขน อาตมาใช้นะ แต่ก็มีคนดื้อยาด้วย

 

เมื่อเวทนา 18 มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีทั้ง สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็คือ 18 เป็นมโนปวิจาร มีแบบเคหสิตะ คือแบบโลกๆ หรือแบบเนกขัมมะคือแบบโลกุตระ เราต้องตัดรอบทำทีละปริเฉท ทีละอย่าง ทีละรอบ ในศีล 5 นี่เป็นกรอบแรกเลย ขั้นแรกเลย ทำให้ได้ เมื่อสามารถเข้าใจมโนปวิจาร สองข้างนี้ ตั้งแต่ศีล 5 ทำได้ก็สบายขึ้น เราไม่ฆ่าสัตว์ใดเลย ไม่กินเนื้อสัตว์เลย เราก็ไม่ตาย สุขภาพดีด้วย ยุคนี้ปฏิบัติธรรมเข้าใจง่าย เวทนาในเวทนาก็คือ แยกมโนปวิจาร 18 สองข้างนี้ได้ เรามีกรอบศีล 5 แล้วจับสักกายะให้ได้ว่า คือผี คือศัตรูตัวร้าย ที่ทำเราทุกข์ เราก็ทำตั้งแต่ ขี่คอมันเลย วิกขัมภนปหาน ก็กดข่ม แต่ไม่ถาวร เราต้องทำอย่างมีปัญญา ว่าเอ็งไม่ใช่ตัวข้านะ เอ็งมาหลอกข้า เอ็งเป็นแขกประจำมานานแล้ว หลงเลยว่าแขกนี่คือตัวเรา เราต้องรู้ทันแล้วจัดการอย่างมีปัญญา มีไฟปัญญา คือไฟฌาน ไปสลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ แม้มันจะร้อนขนาดไหนแต่ไฟฌาน ไฟปัญญาไปสลายไฟราคะโทสะโมหะได้ มันละลายได้เลย

 

สลายด้วยปัญญาเป็นวิปัสสนาภูมิ จึงเหนือชั้นกว่าสมถะ การทำลืมกดข่มไปเฉยๆไม่ใช่วิปัสสนา ทำเป็นลืมโยนทิ้งอย่าใส่ใจ พวกนี้มีสมถะลืมตาก็ไม่ใช่วิปัสสนา หรือพวกหลับตาสมถะก็มี ทำลืม เอาแค่จิตว่าง หนักเข้า ดื่มเหล้าด้วยจิตว่าง โกงด้วยจิตว่าง หนักเข้า ฆ่าคนด้วยจิตว่าง อย่างในกามนิต เขาก็ว่าทุกอย่างมีแต่ความว่าง ดาบนี่ฟันเข้าในกายคนนี่ก็ฟันแต่ที่ว่าง นี่พวกเฉโก

 

ผู้ใดแยกเคหสิตะได้ลดกิเลสได้ แน่ใจว่านี่คือตัวจริง ไม่ใช่ผิดตัวนะ มีศีลพรต ก็ปฏิบัติ ยิตถังให้สัมมา พิจารณาว่ามันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวเราจริงๆ มันเป็นตัวปลอมมาหลอกเรา ว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น เราก็พิจารณาจนมันลดลง ไม่น่ามีน่าได้น่าเป็นก็ได้ ไม่ต้องมีมัน เอาอันอื่นอาศัยแทนก็ได้ แม้แรกๆจะเป็นทุกข์แบบเนกขัมสิตโทมนัส ต้องคุมเคร่ง เป็นวิตกวิจารณ์อยู่ เหมือนหัดขี่จักรยานแรกๆ แต่ไม่มีกิเลสเข้าแล้วนะ แต่ยากลำบากอยู่ แต่ทำได้ ก็ฝึกทำอีก ก็จะชำนาญ เป็นวสีมีพลังอำนาจ จนทำได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก มันดีใจที่ทำได้เป็นอุปกิเลสซ้อน เป็นปีติ ก็มีได้แต่อย่าไปติดมากให้มันแรงมากจะเป็นภัย ให้มันน้อยลง ตัดมันให้เร็ว ขุททกาปีติ ให้มันสั้นเข้า ให้มันเบาลง ลดปีติอย่าให้ตกผลึกยึดมั่นถือมั่น อย่างพวกดารา พวกนักร้องหรือนักฟุตบอล ที่ดีใจจัดมากๆ ยึดมั่นจะเป็นภัยร้าย

 

เราเข้าใจเนกขัมมะ คือปุริสภาวะ ส่วนเคหสิตะ คืออิตถีภาวะ เราต้องทำให้เป็นปุริสภาวะให้มากให้สูงสุดเป็นปุริสุตตมะ ในภาวรูปก็ต้องรู้สองอย่างนี้ มันเกิดเมื่อไหร่ในเหตุใด ก็จับให้ทันให้ได้ ว่าเป็นแหล่งที่เกิดที่อยู่ มันไม่มีที่อยู่เป็นดิน น้ำ ไฟ ลมหรอก ไม่อยู่ที่ใดๆ แต่อยู่ที่ใดก็คือจิตคุณกำหนดรู้ได้ หทยรูปจึงไม่ได้อยู่ที่สะดือ หรือที่ห้องหัวใจ แต่มีอยู่ จับให้ได้ แล้วปฏิบัติให้กิเลสลดได้ ปีติก็ลด โทมนัสก็ลด จนทนได้โดยไม่ยากทนได้โดยไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 (วิตกวิจาร ปีติ สุข อุเบกขา เอกัคคตา) พอสัมผัสปั๊บก็ฌาน 4 ได้เลย เป็นนิสรณปหาน ถ้าทำได้ก็ทำทวนเป็นปฏิปัสสัทธิปหาน ก็เป็นวสี ชำนาญแคล่วคล่องตั้งมั่นสั่งสมสมาธิ ตั้งมั่นแข็งแรง

 

ศาสนาพุทธทำทุกอิริยาบถเป็นฌาน ทำให้จิตสั่งสมอุเบกขาแข็งแรง ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ส่วนฤาษีนั้นทำสมาธิก่อน แล้วให้เกิดฌาน อันนี้กลับทางเลย

 

ทำเนกขัมมะได้อย่างไม่หนีเคหสิตะ ทำได้ครบทั้งทุกปัจจุบัน 36 เวทนาให้สั่งสมเป็นอดีตตกผลึกตั้งมั่นจนไม่เปลี่ยนแปลงเป็น สูญๆๆๆ ตลอด นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นสัจญาณ เป็นกิจญาณทำเสร็จตัดสินได้แล้วว่าเป็นตถตา ไม่ต้องรู้ตัวก็กิเลสสูญตถตาสุดยอดสำหรับคนทั่วไป ของพระพุทธเจ้าเท่านั้นยกให้เป็นตถาคตา เป็นความจริงสุดยอดแล้ว

 

จบโดยสรุปอีกว่า ..พวกเรามาแสดงตัวเป็นหลักฐานของอาริยชน คำว่าอาริยะมาจากศรีอาริยเมตตรัย อาตมาไม่ได้คิดคำนี้มาเองนะ เราก็จะทำให้เกิดเมืองศรีอาริย์นี้ จะเกิดเมื่อไหร่ที่ไหน โปรดติดตามฉบับหน้า...เอวัง


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:15:43 )

580109

รายละเอียด

580109-สรรค่าสร้างคน (24) ทฤษฎีพุทธจริงย่อมได้มรรคผลจริง

ปีนี้เข้าปี 2558 แล้ว เลข 8 เป็นเลขที่มีลักษณะเด่น มีอะไรไม่อยู่ในที่ลับ อยู่ในที่เปิด ชัดเจน เป็นที่รู้กันทั่วไป เข้ารอบที่จะแสดงตนแสดงตัวออกมาเยอะแล้ว ก็ว่าไปตามภูมิของอาตมานะ ใช้ตัวเลขในการบอกอัตราก้าวหน้า นับรอบในการทำงาน วันนี้ดูนร.มีน้อย เขาบอกว่าปิดเทอม แต่อาตมาไม่มีวันปิดเทอม อาตมามีหน้าที่บรรยายธรรม

คนที่ได้มาปฏิบัติธรรม เอาชีวิตมาอยู่ร่วม จนเป็นหมู่กลุ่มชาวอโศก เป็นปึกแผ่น มีความเป็นคนกลุ่มนี้ที่เกิดมาในโลก เกิดจากทฤษฎีหรือทิฏฐิ ที่ไม่เหมือนทิฏฐิใดๆที่เขามีกันในโลกตอนนี้ ซึ่งทฤษฎีเขาก็เป็นอย่างของเขา แม้แต่เรื่องศาสนา เขาเองก็พยายามละลดเลิกโลกียะ มุ่งหมายเช่นนั้น แต่ของชาวอโศกก็ยังไม่เหมือนของเขา อาตมาว่าไม่ประหลาดอะไร คนทั่วไป ที่รู้เข้าใจว่าชาวอโศกคือคนอย่างไรในสังคมไทย เขาก็เห็นรู้ว่าอโศกเป็นชาวพุทธ แต่ก็ถ้าคนส่วนมากเขาฟังแล้วคิดตาม ก็จะเห็นว่า ที่เขาศึกษากันมานั้น ยึดกันมานั้น บางท่านเป็นปราชญ์ที่เขานับถือกันทั้งประเทศหรือไปในโลกกว้าง ผู้เป็นปราชญ์เช่นนั้นก็ยังเห็นว่าชาวอโศกมีทิฏฐิไม่เหมือนกับทั่วไป ไม่ตรงกับที่ท่านรู้ดี ยึดถือกันอย่างยิ่ง ท่านก็ยังเห็นว่าอโศกไม่เหมือน ไม่ใช่

 

ลองฟังดูว่าชาวอโศกมีทฤษฎีที่ใช้เป็นอย่างไร ขอยืนยันว่าที่อโศกใช้เป็นทิฏฐิพุทธ แต่ท่านก็ว่าไม่เหมือนกับของท่าน อาตมาก็ยืนยันว่าจริง ใช่ เพราะอะไร เพราะชาวสังคมโลกยุคนี้ แม้ชาวพุทธแท้ๆในไทย ที่มีคนนับถือพุทธกว่า 95% ก็ยังเห็นว่าไม่เหมือนกับพุทธที่เขาถือกันทั่วไป  แล้วชาวอโศก ก็ใช้ตำราทางศาสนาพุทธ ฉบับเดียวกันกับที่ในพุทธกระแสหลักทั่วไปใช้กัน ก็ใช้คำเดียวกัน เช่น ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ หรือคำว่า กาย ที่อาตมากำลังเน้นเขาก็ใช้คำว่ากายเหมือนกัน แม้แต่คำว่า บุญ ก็คำเดียวกันภาษาพยัญชนะเดียวกันในพุทธศาสนา แต่ทิฏฐิหรือทฤษฎี ที่สุด สาระหรือผลลัพธ์ของชาวอโศกนั้นไม่เหมือนกับที่ชาวพุทธทั้งหลายยึดถือกัน นี้ก็คือความจริง ที่เป็นอยู่หลัดๆ ตอนนี้ขณะนี้ และอาตมาก็ขอย้ำว่า นี้คือเครื่องชี้บ่ง ที่อาตมายืนยันว่ายุคนี้ ความรู้ความเข้าใจโลกุตระนั้นไม่มีแล้วจริงๆ ทิฏฐิที่ปราชญ์ของพุทธเดี๋ยวนี้ที่มีในโลกนี้ มันไม่ใช่โลกุตระแล้ว เป็นเครื่องบ่งว่า โลกุตระนั้นหมดไปจากพุทธ ที่อาตมาหมายก็คือว่าอโศกนี้คือโลกุตระ  ส่วนนอกศาสนาพุทธไม่มีโลกุตระ และศาสนาพุทธหากไม่สัมมาทิฏฐิ ก็จะเพี้ยนออกจากโลกุตระไปแน่นอน  ที่พูดนี้เจตนาให้ชัดเจนในความจริง หากมีแต่อาตมาคนเดียวคนก็จะหาว่าบ้า แต่นี่ทำได้เป็นหมู่กลุ่ม ไม่ใช่บ้าไปคนหรือสองหรือสามคน แต่นี่บ้าเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นคนนะ

 

คนที่เข้าใจได้ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องบ้า แล้วก็เข้าใจด้วยว่า อันนี้เป็นแนวลึกด้วย เขาเข้าใจแล้วยอมนับถือด้วย แต่บางคนมาไม่ได้ แต่ปัญญานั้นรู้ว่าลึกซึ้งลึกล้ำ เห็นว่าประเสริฐจริง ไม่ใช่หลอกเล่นๆ  ซึ่งถ้ายอมรับว่าผิด แล้วก็ตั้งใจแก้ไขปรับปรุงจะดีนะ เพราะอาตมาเสียดายพุทธที่มีในไทยกว่า 95% ก็น่าได้เนื้อหาสาระแท้ของพุทธ แต่นับถือพุทธ กลับไม่ได้เนื้อของพุทธ ไปได้แต่เดรัจฉานวิชา ซึ่งเป็นภาษาที่ดูแรง บ่งบอกจิตที่เป็นสัตว์อยู่  ก็อยู่ในหลักวิชาของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ที่ใช้ภาษาเช่นนี้

 

พระพุทธเจ้าเรียกว่าไม่ใช่จิตสูง ยังเป็นจิตสัตว์ ท่านพูดถึงในสัตตาวาส 9 มีชั้นที่ 1 ถึง 5 ต่อให้ได้อรูปฌาน ขึ้นชั้นที่ 6 หรือ7 หรือ8 หรือ9 แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิ ก็ไม่พ้นความเป็นสัตว์ เพราะฉะนั้นจะต้องพ้นความเป็นสัตว์ไปตามลำดับ เป็นมนุสโส จิตเจริญไปตามลำดับ ต้องมีปัญญารู้ อ่านออกว่า สัตตาวาส 9 นั้น ต้องรู้

1.    สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า  ยังไม่พ้นสังโยค

2.    สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น

3.    สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้างแต่ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่ถือว่าเป็นมนุสโส ยังไม่มีใจสูงเลย

4.    สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) แต่ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่ถือว่า เป็นมนุสโส ยังไม่มีใจสูงเลย

ไม่ต้องไปกล่าวถึงชั้น 5 หรือ6 หรือ7 ก็ยิ่งล้ำลึก พวกมิจฉาทิฏฐินอกพุทธก็ยิ่งลึกไปไกล ยิ่งจะดึงกลับยาก เข้ามาให้สัมมาทิฏฐิยิ่งยาก เพราะมันจะถือดี หลงในมิจฉาผล  เหมือนกับชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิ ผู้ปฏิบัติได้มิจฉาฌาน มิจฉาสมาธิ ท่านก็ไปปฏิบัติได้ ฌาน อรูปฌาน ท่านได้จริงๆ แต่ได้มิจฉาฌาน 

อาตมาจึงเชื่อว่ายากที่ท่านจะฟังอาตมาแล้วเชื่อตาม เพราะว่าผลที่ได้เป็นฌาน  รูปฌาน หรืออรูปฌานนั้น มันไม่เหมือนกับของพุทธที่สัมมาทิฏฐิ เพราะมรรค ไม่เหมือนกัน ผลก็จึงไม่เหมือนกัน มิจฉาทิฏฐิก็มีผล เขาก็ได้ผล แล้วก็ไปยึดเอาผลสำคัญเสียด้วยว่า สงบเหมือนกัน ได้อุเบกขาเป็นเคหสิตอุเบกขา แต่ของพุทธเป็นเนกขัมสิตอุเบกขา ที่ยิ่งมีพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) แต่ทางด้านโน้นนั้น ยิ่งถอยห่างออกไป เป็นฤาษีนั้นไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ไม่เกี่ยวกับสังคม ท่านก็ถือว่าสูงส่งไปอีก เราก็เข้าใจแนวคิดเช่นนั้น แต่คนที่มีเศรษฐกิจแนวพุทธแท้ เป็นคนอยู่กับสังคม มีลาภ มียศ แต่ท่านไม่ติดไม่ยึด แม้เห็นเป็นรูปธรรมมียศด้วย เขายอมรับนับถือ จะสั่งการบอกได้ จนถึงประกาศิต ศักดิ์สิทธิ์ได้เลย ถึงเช่นนั้นสำหรับคนศรัทธาเลื่อมใสจริง คนที่ศรัทธามี และปัญญาชัด เขาจะยอมรับนับถือ ไม่เถียงด้วย อย่างพระพุทธเจ้านี่เรายอมยกให้เลย ไม่กล้าเถียงไม่กล้าแย้งใดๆเลย  ศาสนาพุทธให้อิสระ ใครจะนับถือก็คือด้วยตัวเขาเอง แล้วท่านก็ไม่แสดงความเบ่งข่ม หรือใช้อำนาจเลย ยิ่งจะให้เกียรติ มีแต่จะแสดงสัจธรรม ถ้าจะรับได้ก็รับไป หรือไม่เห็นด้วยก็โต้แย้งได้ ให้เกียรติ อิสรเสรีภาพ

อาตมาพูดจากใจอาตมานะ อาตมาให้เกียรติทุกคนอย่างที่ว่านี้ ใครจะเคารพยอมอาตมานั้น อาตมาก็มีใจเช่นนี้ อาตมาว่าใจของพุทธเป็นเช่นนี้ มันไม่ไปข่มใครเลย หรือใครจะข่มเรา ไม่นับถือเรา เราก็ไม่ถือสา เป็นแต่เพียงว่าเขาน่าจะเข้าใจเราได้บ้าง ก็เป็นเชิงแค่นั้น แต่จิตใจจะไปว่าเขา นอกจากจะใช้โวหารว่า เขาไม่เข้าใจก็คือเขาไม่รู้หรือยังโง่ ในบาลีเขาใช้ว่าอวิชชา  ใจไม่ได้ลบหลู่ แต่เห็นใจด้วย ว่าเขาน่าจะได้นะ แม้นิดนึงก็ยังดี เป็นต้น

 

ยิ่งคนที่ท่านศึกษามามาก แต่ไม่สัมมาทิฏฐิ รู้ละเอียดกว่าอาตมาอีกมากด้วยภาษาบัญญัติ แม้แต่เชิงจิตท่านก็ทำได้ แต่มันยังไม่เป็นโลกุตระ ไม่เข้าสาระโลกุตระแท้ มันยากมากเลย อย่างพระพุทธเจ้าว่า

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.    ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.    ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.    นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.    ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

ของพุทธนี่ยิ่งสงบ กิเลสดับแข็งแรงไม่ฟื้น จะมีพลังคู่กัน พลังดับกับพลังเกิด พลังดับก็ยิ่งแคล่วคล่อง เป็นกายของการดับการเกิด ที่เป็นสองด้าน ยิ่งดับได้มาก ยิ่งเกิดได้ยิ่ง ในองค์ประกอบของการตื่นรู้ มันเป็นสติที่เป็นอธิปไตย มันมีอำนาจมาก มันรู้ชัด เป็นปัญญาแบบอนุตตระ  มันสงบ แต่เร็ว มันมีทั้งหยุดและทำ ประกอบด้วยความคล่องแคล่ว จะว่าแรงมีน้ำหนักมากด้วย ท่านใช้ภาษาว่า กายปาคุญญตา เป็นความคล่องเร็วแรงของจิตเจตสิก ของ เวทนา สัญญา สังขาร มันมีมุทุธาตุ จิตที่เป็นตัวกลางจะมีคุณสมบัติทั้งเจโตและปัญญา เจโตจะมีน้ำหนักอยู่ ทนโดยไม่ต้องทน ทนต่อโลกียะ สูงๆๆๆ มาก ท่านพุทธทาสใช้คำว่า เหมือนน้ำแข็งท่ามกลางเตาหลอมเหล็ก โลกียะแรงจะมาก จะร้อนอย่างไร ก็ทรงอยู่ได้เต็มรูป แล้วหมุนได้คล่อง เป็นแต่เพียงท่านจะช่วยเท่าไหร่ อนุโลมเท่าไหร่ แล้วที่ท่านช่วยสังคม ไม่ใช่ว่าท่านมีเท่านั้น ท่านประมาณตามสัปปุริสธรรม  ประมาณได้เหมาะสม เป็นกายที่ท่านปรุงแต่งอนุโลมไป

 

อย่างเราไปร่วมชุมนุมทางการเมือง เป็นงานยิ่งใหญ่ของชาติ เป็นการแสดงออกให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชาติ เราก็เอาเวลาทุนรอนแรงงาน แรงกาย แรงใจ เข้าไปทุ่มเททำ ทำอย่างปรารถนาดีจริง พยายามไม่ให้เกิดความร้ายแม้น้อย ที่เกิดร้ายแรงไม่ใช่จากเรา เท่าที่เราพยายามทำได้ เราไม่ได้ทำอย่างที่ว่า ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ หรืออามิส เป็นเรื่องทำเพื่อประเทศชาติ แม้จริง กลุ่มอื่นก็ทำ แต่ลึกๆในใจชาวโศกกับกลุ่มอื่นใดต่างกันในนัยลึกๆ แล้วความต่างอันนี้คือ โลกุตระกับโลกียะที่ต่างกัน

 

โลกุตระคือ เหนือโลกียะ ไม่เป็นไปเพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่กลุ่มอื่นก็ไม่ที่ไม่ได้หวังโลกธรรม แต่ค่ารวมนี้เรามั่นใจว่า อโศกทำได้อย่างไม่มีอะไรซ่อนแฝงได้มากกว่า อาตมาไม่ได้มาพูดยกตัวยกกลุ่ม แต่ว่าพูดเพื่อให้ศึกษา ให้อโศกดูว่าอโศกเป็นอย่างที่ว่าได้หรือเปล่า ไม่ได้พูดเพื่อยกอโศกให้เด่น แต่เพื่อให้ผู้ที่แสวงหาคุณธรรมเช่นนี้ ถ้าอโศกมีแบบโลกุตรธรรมนี้ มากกว่าที่อื่น 

 

เราทำมาหลายงานแล้ว มีคนเจ็บคนเหน็ดเหนื่อย มีผลต่อจิตใจแล้ว เป็นบทบาทตำนานจริง ไม่ใช่เรื่องลิเกละคร แต่เป็นเรื่องสัจจะ อาตมาก็อยากจะให้ศึกษาสัจจะพวกนี้ ที่พูดย้ำนี่ ไม่ได้ยกตัวตนอะไรนะ เพราะอาตมาสงสาร มวลมนุษยชาติ น่าจะมีสุข มีความสงบ เจริญอย่างอาริยบุคคล ไม่ใช่เจริญแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ กามอย่างโลกียะ

ในศาสนาพุทธ สูงสุดนี่ก็คือ พฤติกรรมที่เรียกว่า กัมมัญญตา สูงสุดก็คือ หมายความว่าพฤติกรรมที่เหมาะสม เหมาะควรที่สุด เท่าที่จะใช้สัปปุริสธรรม 7 ได้ ใน 1 คนก็ทำ 1คน แต่ว่าถ้ามีหมู่กลุ่ม ก็เป็นพฤติกรรมสังคม อโศกก็มีการแสดงออกด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ทำอยู่ตลอด รู้ชัด ใครจะบอกว่าอโศกเป็นนักธรรมะบ้าบอ เราก็เห็นใจเขา เราไม่ได้ไปเบียดเบียนน้ำใจเขาหรอก แต่ที่เราทำเหมือนไม่ฟังเสียงเขาก็เพราะว่า มันต้องทำ เพราะเขาไม่ทำเขาก็มาต้านค้าน แล้วยิ่งต้าน เขาก็อยู่ในด้าน เป็นเครื่องมือของพาสุขพาทุกข์ อาตมาจึงทำอยู่เหมือนคนดื้อด้าน ก็เห็นใจอยู่ แต่มัวแต่เห็นใจอยู่มันไม่ได้ สังคมยิ่งทุกข์มากขึ้น อาตมาเห็นเช่นนั้นจริง ไม่ได้ลบหลู่

 

คนพบอาตมาแล้วจะด้วยมารยาทหรือจริงใจว่า เป็นอย่างไรสุขสบายดีหรือไม่? อาตมาก็ตอบจริง แต่เหมือนเล่นว่า...มีใครสุขมากกว่าอาตมาช่วยบอกด้วย หามาให้ดูสิว่าใครที่สุขมากกว่าอาตมา อาตมาว่าอาตมาสุขมาก เพราะคำว่าความสุขเป็นพยัญชนะโวหาร ภาษา คือ มันพอใจ ภูมิใจ สบายใจ เย็นใจ ปรารถนาดี ใจไม่เคยปรารถนาร้ายเลย คนเขาร้ายมา ก็ไม่เคยจะต้องไปร้ายตอบ พระพุทธเจ้าสอนให้เราอยู่กับใจ อย่างที่พระสายสมถะสอนกันว่า อย่าให้ใจออกนอกตัว ใช่แล้วใจอาตมาเป็นเช่นนั้น แต่ไม่ต้องไปนั่งหลับตา แต่ท่านนั่งหลับตากัน แต่ถ้าท่านจะลืมตา ท่านจะต้องสังวรระวังมาก แต่อาตมาไม่ต้องระวัง อาตมาปรุงไปกับเขาได้ด้วย แต่จิตอาตมามีมุทุภูตธาตุ มันแววไว ดัดง่าย ไม่แข็งกระด้าง ปรับง่าย เร็วไว มีกายปาคุญญตาหรือกายกัมมัญญตา หรือแม้ กายปัสสัทธิก็คือความคล่องแคล่วของ เวทนา สัญญา สังขารที่เป็นเจตสิกหลักในนามธรรม ที่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตัววิญญาณเป็นองค์รวม แล้วในเจตสิก 3 นี้มีความบริบูรณ์ได้มากเท่าไหรก็คือความสมบูรณ์ของจิตวิญญาณพุทธ ที่มีคุณสมบัติ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสรา เหมือนมีดที่ลับคมให้คมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด อนัญโต วิญญานัญติ ไม่มีที่สิ้นสุดเลย

 

เวลาท่านทำงานกับสังคม ท่านประมาณไม่ได้ หมายถึงว่าท่านทำได้น้อย แต่ว่ากาละนี้ เวลานี้ควรทำแค่นี้ เป็นความพอเหมาะพอดี เรียกว่า กัมมัญญตา ตามที่ได้ประมาณแล้ว โดยสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ใช้การจัดสัดส่วนองค์ประกอบ มีศาสตร์ศิลป์อย่างสมบูรณ์ ตามเหตุปัจจัยที่ได้ประเมินแล้ว ว่าเอาแค่นี้ก่อน เป็นประโยชน์กับสังคมอย่างมาก

 

เช่นในสังคมขณะนี้ เท่าที่อาตมาเห็น เข้าใจ รู้สึกว่าน่าจะทำ ประมาณนี้ ที่จะพอเหมาะกับกาละ สังคมไทยขณะนี้ สิ่งที่คิดว่า เหมาะที่สุดขณะนี้ อาตมาพูดมาหลายวันหลายทีแล้ว  ว่าเป็นโอกาสที่สังคมควรได้ล้างบาง เพราะว่ามันชัดมากแล้ว ที่จะไม่ปล่อยให้สิ่งเน่าเหม็นนี้มีต่อไป ไม่มียุคไหน ประเทศไหนที่ได้โอกาสเช่นนี้ ปฏิวัติก็งามที่สุด เขาบอกว่าเผด็จการก็ใช่เลย แต่คนไทยยอมรับนับถือ แม้ต่างประเทศที่มีปัญญา ตอนแรกเขาไม่เข้าใจ แต่ผู้มีปัญญาศึกษาแล้วว่าไม่ใช่เผด็จการแต่เป็นประชาธิปไตยเชิงหนึ่ง ที่ต้องทำในกาละนี้ ความยึดมั่นในสูตรเก่าสูตรเดิมที่ไม่เข้าใจความจริงก็ยาก อาตมาเห็นความตั้งใจของผู้หวังดีต่อประเทศก็ต้องขอบคุณอย่างยิ่งเลย ช่วยกันคนละไม้คนละมือ

 

อาตมาก็ขอเสริมว่า ถ้าจะจัดการทำเข้มๆหน่อย ตอนนี้เข้มได้ เพราะโอกาสเหมาะ มาถึงวันนี้เป็นเชิงรบของคนที่ยึดในหลักการเท่านั้น แต่เป็นเชิงบวกของพฤติกรรมที่ต้องทำให้เหมาะสมกับกาละ ที่มีตามสัปปุริสธรรม  7 ทั้งเนื้อหา สาระ ตัวหัวหน้าเอง และหมู่กลุ่มคนไทยด้วย  อาตมาก็ยังไม่เคยเห็นเกิดในประเทศไหนเลย ที่ปฏิวัติการเมืองจะเหมือนในไทยขณะนี้ ที่งดงามประเสริฐสุด เป็นประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่มาก ถ้าเผื่อว่าไม่ลำเอียง ไม่เห็นลูบหน้าปะจมูก ก็ควรต้องล้างบาง ทำได้เลยตอนนี้  มันเป็นยุคกาลที่เหมาะสม มีเหตุปัจจัยลงตัวอย่างยิ่ง เป็นโอกาสที่ควรทำอย่างยิ่ง หากไม่ทำก็....

 

ถ้าไม่ลงดาบ....มันเป็นโอกาสที่ต้องเป็นเช่นนั้น อาตมาพูดนี่ไม่ได้โกรธเกลียดใคร แต่เห็นแก่สิ่งประเสริฐในโลก ทั้งการเมือง รัฐศาสตร์ จะเป็นเหตุการณ์การเมืองที่ยิ่งใหญ่ เกิดได้ไม่ง่าย แต่สิ่งที่ดีถ้าพลาดโอกาสก็น่าเสียดาย คือถ้าดีจะดีมาก แต่ถ้าไม่ทำจะเสียมากเลย  เหตุการณ์ดูเหมือนไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่ก็มีอะไรยิ่งอยู่ในกอไผ่

 

การประมาณนั้นก็ประมาณไปตามลำดับ ของโพธิสัตว์แต่ละระดับ ...และต้องใช้จะใช้โดยรู้ภาษาว่ามี 7 ข้อ หรือไม่ก็เป็นเรื่องภาษา แต่เรื่องสัจธรรมนั้นใช้ทุกคนที่มีคุณธรรมและเป็นอาริยะจริง ตั้งแต่โสดาฯ สกิทาฯ....จนถึงพระพุทธเจ้า ก็ใช้เป็นสามัญ เพราะผู้มีอาริยธรรมท่านก็มีจริง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาลดความเห็นแก่ตัว ก็เห็นแก่ผู้อื่นไปตามลำดับ ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี.....ไปจนถึงระดับพระพุทธเจ้า ส่วนบัญญัติภาษาก็คือ มาชี้บ่งสัจจะ แม้ไม่มีภาษาเลยแต่ก็มีความจริงในจิตวิญญาณของแต่ละท่าน ก็ตามบารมี

 

คำว่า โพธิสัตว์ คือผู้มารื้อขนสัตว์ พาสัตว์ไปสู่ที่เจริญ คือผู้ช่วยคนอื่น แต่จะช่วยคนอื่น ต้องมีคุณอันสมควรก่อน ค่อยพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง เหมือนกับคนว่ายน้ำไม่เป็นแล้วจะไปช่วยคนตกน้ำยังไม่ได้ เราว่ายน้ำได้ในภาวะเท่าใดก็ช่วยคนได้เท่านั้น แต่ถ้าแข็งแรงขึ้นก็ช่วยได้มากขึ้น ต้องประมาณตน จะไปช่วยตะพึดไม่ได้ ต้องช่วยตามเหมาะสม

 

อาตมาก็น่าสงสารเถรวาท ที่ไม่เข้าใจโพธิสัตว์ ไม่เข้าใจว่าโพธิสัตว์นั้นคือผู้บรรลุธรรมแล้ว โสดาบันก็เป็นโพธิสัตว์ระดับหนึ่ง แต่ไปเข้าใจผิดว่า โพธิสัตว์บรรลุธรรมก่อนไม่ได้ เป็นแม้แต่โสดาบันก็ไม่ได้ เขาสอนกันผิดเพี้ยนไปไกล ก็เลยยาก อโศกทำโดยทิฏฐิที่ต่างจากเถรวาทในเมืองไทย

 

ผู้ทำทานอย่างให้ผู้อื่นไปจริงๆ โดยใจเราไม่ได้หวังอะไรตอบแทนจริงๆ เราได้ลดละกิเลสเราก็เป็นประโยชน์ตนพร้อมทั้งเป็นประโยชน์ท่านด้วย จนสุดท้ายอรหันต์ไม่มีตัวตน เอาอะไรก็ไม่เอาอะไร รับอะไรก็ไม่ได้รับอะไร สุดท้ายคือผู้ยืนอยู่ตรงความไม่มี

 

ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ) ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก(โลกสมุทัย) ย่อมไม่มีโลกนี้ โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

 

พ่อครูว่า...เหตุดูเหมือนนิดเดียว แต่ผู้ที่เข้าใจได้ต้องมีเหตุปัจจัยพอจะเข้าใจได้ สูตรนี้ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่นะ ไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆ แค่ความมีกับความไม่มี แล้วขยายความได้ซับซ้อน เหมือนคำโกหกที่เป็นคนไม่จริง ที่มีจริง

 

ใครเห็นว่าพวกอโศกนี่แน่นอนแล้วไม่ถอยหลัง ตายแล้วเกิดมาก็ยังจะมาอยู่ในหมู่นี้ มันแน่ใจจริง มีในคนจริง ทั้งที่ทวนกระแสกับภายนอกเขา ปฏิโสตัง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) แต่เราก็มาด้วยใจยินดี ถ้ามาแล้วมีการจัดการ ปรับปรุง ตกแต่ง ปรุงแต่ง ใจในใจ ทำใจในใจของตน ใจเป็นตัวตั้ง มโนเสฏฐา มโนมยา บริบูรณ์เป็นอรหันต์ ใจนี้เป็นตัวเป็น แล้วทำให้กาย วาจา ชีวิตเป็นไปได้ สำคัญคือ ทำใจในใจให้เป็น

 

คนไปนั่งสมาธิหลับตาก็ทำใจในใจแบบเขา อโศกไม่เหมือนเขา เราเห็นว่าอย่างนี้สัมมาทิฏฐิ ทำใจในใจได้ เขาก็ทำแบบของเขา ทำทินนัง ยิฏฐัง แบบเขา อโศกก็ทำแบบอโศก ก็ทำได้ผลเช่นนี้ แล้วมีผัสสะเป็นสมุทัย เป็นเหตุภายนอก ส่วนสมุทัยเป็นเหตุภายใน ถ้าไม่มีผัสสะไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า การไปนั่งหลับตาสมาธิ ไม่มีกาย มีแต่ความจำกับใจ มันเพี้ยนไปที่ไม่มีผัสสะเป็นสมุทัยในมูลสูตร แต่อโศกอยู่กับเหตุปัจจัยไม่หนี ทั้งขัดเกลา ช่วยเหลือ

 

มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง โดยเฉพาะ เวทนา 108 ถ้าเข้าใจแล้วทำมโนปวิจารได้ เก็บละเอียดครบ 3 กาละ ทำกิเลสสูญได้ทุกปัจจุบัน ในเวทนาในเวทนา แล้วก็จะอ่านจิตในจิต ว่ามีสราค สโทสะที่ทำให้เกิดเวทนา เป็นสุข ทุกข์ ถ้าทำเวทนา 108 ได้เป็นมนสิการที่สังกัปปะ 7 นี่แหละ เป็นการสร้างสมาธิ ลืมตา ที่ปฏิบัติมรรค 7 องค์ จึงเกิดวจีสังขารที่เป็นผลของอภิสังขาร เมื่อปฏิบัติได้มรรคผลจริง เพราะทำเวทนาในเวทนาได้เก่ง แจกเวทนาแล้วปฏิบัติสัมมัปธาน 4 สติปัฏฐาน 4 ทำตรงเวทนานี่แหละ วิจัยจากเวทนา แล้วกำจัดอกุศลจิตในเวทนาสั่งสมเป็นธรรมะตกผลึกไว้ บริบูรณ์เป็นสมาธิคือประมุข ในมูลสูตรก็เกิดฌาน สมาธิ สติ ก็ยิ่งเก่ง ปัญญาก็ยิ่งเก่ง เป็นอธิปไตย เป็นอุตระยิ่งขึ้น จนสมบูรณ์ด้วยวิมุติเป็นแก่น เป็นอรหันต์ เมื่อวิมุติแล้วจึงเป็นอมตบุคคล เป็นคนทำเกิด หรือตาย ในสังคม ตราบที่ยังไม่ปริโยสาน ผู้อมตบุคคล จะอยู่หรือไปก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ท่านไม่เป็นคนมีภัยโทษต่อคนอื่นแล้ว จะเกิดเป็นมนุษย์อีกกี่ชาติ ก็เกิดเลย เพราะมีแต่ช่วยโลก หมดความเห็นแก่ตัวจริง

 

อรหันต์อมตบุคคล จึงดูเหมือนคนกลับกลอก เดี๋ยวก็ว่ามีหรือไม่มีก็ได้ แต่ท่านทำด้วยใจบริสุทธิ์ แต่ที่ท่านต้องกลับไปกลับมา เพราะเหตุของคนภายนอกทำให้ท่านต้องทำ ไม่ใช่ท่านทำเองนะ เพราะท่านไม่มีตัวท่าน อรหันต์นั้นพระพุทธเจ้าให้อยู่ในสติวินัย อย่าเอาผิดพระอรหันต์ แต่ถ้าคนไม่รู้ก็เลยไปเอาผิดพระอรหันต์ ก็เป็นวิบากไป คนตำหนิอรหันต์จึงเป็นเวรภัยต่อคนตำหนิเอง  ทำแล้วจะได้ทุกข์หรือสุขก็อยู่ที่การสั่งสมวิบาก พระพุทธเจ้าว่าแม้อกุศลแม้น้อยนิดที่คุณรู้อย่าทำเสียเลย มันเป็นอันทำ เป็นกรรมลงไปแล้วเป็นผลวิบากไม่เอาไม่ได้ด้วย ทำแล้วสั่งสมตกผลึกในตน

 

อมตบุคคลคือ อรหันต์เป็นต้นไป ใครเข้าใจผิดเป็นอุจเฉททิฏฐิ ก็น่าสงสารมาก อรหันต์นั้นท่านหมดประโยชน์ตนแล้ว แต่ซ้อนที่ท่านมีความเก่งมากขึ้น โลกวิทูมากขึ้น ช่วยคนได้มากขึ้น เป็นไปตามสัจจะ แต่ท่านจบกิจที่จะต้องทำให้ตนเอง แต่กิจอื่นก็มีอีก จะเป็นโพธิสัตว์ที่มีบารมีสูงขึ้นๆ ก็ตามบารมี แต่ท่านมีเหมือนไม่มี เพราะไม่ได้ยึดเป็นของท่าน ท่านมีมากก็ทำประโยชน์ให้คนอื่นมาก เพราะท่านไม่มีตน ไม่ได้ทำเพื่อท่านเองเลย ผู้อื่นก็ได้ประโยชน์จากท่าน ท่านก็ได้เหนื่อยเพิ่มขึ้นทำเพื่อคนอื่น แต่ท่านมีสิ่งที่จะมาทำงานให้คนอื่นมากขึ้น เท่านั้น อมตบุคคลนี้สุดยอด อยากให้เถรวาทเข้าใจเสียทีว่า อรหันต์นั้นไม่ได้ตายแล้วสูญทันที ท่านจะสูญหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน  ต้องมาแก้อุจเฉททิฏฐินี้ของเถรวาท  ต้องศึกษาให้ดี

 

เรื่องง่ายๆ ...ถ้าอรหันต์ทุกองค์ตายในร่างนี้ตายลง ก็สูญทันที อรหันต์ก็เอาอาริยภูมิไปหมด แต่ปล่อยให้ผู้ที่ทางเถรวาทว่า คนจะเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องไม่บรรลุธรรมเลย เพราะว่าแม้แต่สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ก็ยังมีแค่เจ็ดชาติก็จะเป็นอรหันต์ก็ตายสูญ ก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ นี่คือตรรกะของเถรวาท ก็เลยบอกว่าโพธิสัตว์ไม่มีสิทธิ์เป็นอาริยะ  เถรวาทจึงเข้าใจว่าโพธิสัตว์คือปุถุชน จะเป็นอาริยะไม่ได้แม้ขั้นโสดาบัน เขาเข้าใจผิดเช่นนี้ โลกุตระจึงเสื่อมลงไปจนไม่มีแล้วเดี๋ยวนี้

 

ตกลง เมื่อเขาเข้าใจว่าอรหันต์ตายแล้วสูญหมด ผู้ที่เป็นปุถุชนไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า แล้วถามว่าพระพุทธเจ้าองค์นั้นเอาอาริยธรรมจากที่ไหน  ไม่ได้เป็นแม้โสดาบันจะเอาโลกุตรธรรมอาริยธรรมมาจากไหน? นี่คือความผิดพลาดของเถรวาทอย่างน่าสงสาร เข้าใจโพธิสัตว์ไม่ได้

 

อมตบุคคลนั้นแหละคือ โพธิสัตว์ที่ท่านปรารถนาพุทธภูมิ บำเพ็ญต่อไป จะช่วยรื้อขนสัตว์ แม้ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ทำไปจะเกิดบารมีเอง หลายองค์ท่านทำเพื่อกตัญญูต่อศาสนา เพราะท่านเป็นอรหันต์แล้วนี่ จะรู้ว่าเกิดได้หรือไม่ได้ ก็เรื่องของท่าน  อาตมาจึงบอกว่าอรหันต์ส่วนใหญ่ พอบรรลุอรหันต์แล้ว ไม่ค่อยจะไปตายแล้วสูญ เพราะท่านไม่ทุกข์แล้ว แล้วท่านจะกตัญญูต่อศาสนาไหม? ก็ต้องมีกตัญญูแน่ ก็ทดแทนพระพุทธเจ้า ทดแทนศาสนา ท่านจะเกิดอีกกี่ชาติก็เรื่องของท่าน ของใครของมัน ไม่ต้องตั้งหรอกโพธิสัตว์ แต่ท่านจะรู้ตัวเอง แต่แน่นอนต้องทำงานหนัก ยิ่งคนรู้ทุกข์ แค่พูดกับพระอรหันต์ที่มีองค์หนึ่งพูดว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็อรหันต์พูดนะ อรหันต์เริ่มต้น มีรู้ทุกข์อาริยสัจจ์พ้นแล้ว เท่ากันหมด แต่ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ก็แล้วแต่วิบาก บางองค์ท่านก็รู้วิบาก แต่บางองค์ท่านก็รู้วิบาก เป็นวิปากทุกข์  แม้พระพุทธเจ้าก็มีวิบากมาเล่นงานเลย ท่านเคยไปบำเพ็ญทุกกรกิริยาในป่า 6 ปี ก็เพราะวิบาก


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:16:41 )

580111

รายละเอียด

580111_พ่อครูให้โอวาทประชุมชุมชน ราชธานีอโศก และเนื่องในวันเด็ก

ปีนี้วันเด็กของไทยดูครึกครื้นมาก เพราะนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ลงมาเล่นกับเด็กนักเรียน ได้น้ำใจจากเด็กๆเป็นกระบุง เป็นนิมิตที่ดีมากที่ผู้ใหญ่ลงมา เพราะหลายอย่างเขาทำอย่างเสียไม่ได้ กับการทำอย่างมีน้ำใจก็ดูดีกว่ากัน อาตมาก็ดูตามภูมิอาตมา ก็ดูเข้าทีอยู่

 

สรุปคือสังคมไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เปลี่ยนผ่านความเลวร้ายไปบ้าง ก็หวังว่าจะดีขึ้นๆ แม้เด็กๆเราจะไม่ได้พบลุงตู่ ก็มาพบหลวงปู่โพธิรักษ์ก็พอได้นะ แม้จะน้อยกว่ากันนิดนึงก็พอได้

 

ขอย้ำสำหรับเด็กๆทุกคนว่า ผู้ที่ได้มาอยู่ในที่นี้ ที่พูดนี้ไม่ได้พูดเอาดี หรือหลงตนว่าของเราดีหมู่นี้ดี ยกแต่ตน ก็ไม่ใช่นะ หลวงปู่นี่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องมนุษยชาติและสังคม ในสังคมใดที่ใครอยู่ร่วมหากเป็นสังคมไม่ดีก็นำต่อไปไม่ดี หลวงปู่ย้ำว่า พวกเราได้มาอยู่ในที่นี้เป็นสังคมดี ปลอดภัย พวกเราคงรู้ว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย เลวร้าย เละเทะ สังคมภายนอก แม้ในโรงเรียนต่างๆ ทั่วไป มันเละเทะ จัดจ้านด้วยกิเลสของคน ที่มากขึ้นๆ จนเด็กๆถูกครอบงำ ด้วยกระแสโลกจัดจ้าน เขาทนกระแสโลกไม่ได้ เป็นกระแสแรงแม่เหล็กสนามแม่เหล็ก ไม่ว่าเหล็กแท่งไหนตกลงไป แม่เหล็กก็จัดการ จับให้อยู่ในทิศทางที่แม่เหล็กต้องการ เสร็จสนามแม่เหล็กเลย มันแรงมาก พวกเราได้มาอยู่ในสนามแม่เหล็กชาวอโศก ไม่ใช่สนามแม่เหล็กโลกีย์ แต่เป็นสนามแม่เหล็กโลกุตระ ก็รู้อยู่นะให้พากเพียร แต่เช้าตื่นตีสี่ตีห้ามาฟังธรรม เอาใจใส่ในสิ่งดี ไม่น้อยเลย มากพอสมควร พวกเราอย่าเบื่อหน่ายในสิ่งที่ดี ให้พวกเราฝึกฝน ตั้งใจพากเพียร ฟังหลวงปู่ดีๆ หลวงปู่เคยผ่านวัยเด็กเหมือนพวกเรา

 

แต่หลวงปู่ตอนเด็กๆไม่ขี้เกียจ เป็นคนเอาถ่าน แม้อายุแปดหรือเก้าขวบก็ทำงานอย่างกับผู้ใหญ่ แม่ส่งไปอยู่กับครอบครัวที่แม่เลือกแล้ว เขาเอาจริงเอาจัง ขยันเอาการเอางาน แล้วแถม อาตมาเรียกว่าพ่อใหญ่ (ตาหรือปู่)  แกเป็นคนเข้ม ขยัน เอาการเอางาน ไม่ขี้เกียจ ละเอียดยิบ หลวงปู่ไปอยู่กับแกตอนเก้าขวบ อยู่ป.5ในสมัยนี้ หลวงปู่ถูกใช้งานขนาดหนักเลย เหมือนคนโต ต้องทำงานบ้านเรือน นึ่งข้าวแต่เช้า ที่นั่นเขาทำอาหารขายที่โรงเรียน ถูกใช้งานทุกอย่าง เป็นลูกมือ แม่ครัว ตำน้ำพริก ขูดมะพร้าว ทำทุกอย่าง แล้วไม่ได้ทำแต่ครัว สวนครัวก็ต้องทำตักน้ำรดต้นไม้ แล้วไม่ได้มีสปริงเกอร์ด้วย แต่ตักน้ำจากบ่อ ใช้ไม้สาวตักน้ำ 

 

มะพร้าว 1 ลูก ไม่ได้ทุบให้เสียนะ แต่ว่าใช้เลื่อยให้โค้งงอ ไม่เสียหาย เอากะลามาใช้งานได้อีก ประหยัดขยัน แต่ตอนนั้นไม่ชอบใจไม่สบายใจตามประสาเด็ก ร้องไห้หนีกลับบ้าน แต่แม่ก็เอามาส่งคืนให้อยู่ต่ออีก อาบน้ำนี่ถูสบู่นี่ไม่ให้ถูทั้งก้อนนะ เห็นว่าเปลืองมาก ต้องเอาน้ำใส่มือแล้วเอาสบู่ไปถูที่มือ แล้วเอามือที่ติดสบู่ถูตัวอีกที วันๆทำงานทั้งวัน เหนื่อย เสร็จแล้วจับให้มาอ่านหนังสือต่อหน้าด้วย เราก็ง่วงสิ ทุกวันนี้นึกถึงบุญคุณพ่อใหญ่ ฝึกเราได้ดีมาก แล้วจากนั้นไม่เคยกลัวเลย งานอื่นด้อยไปหมดเลย วันหยุดไม่มีพัก เข้าป่าตัดฟืน ตัดไม้ไว้ทำคันกระบวย มัดไว้เป็นฟืน ไม้สดนะ แล้วเอาลงเรือไหลมอง กว่าจะเสร็จก็สามหรือสี่ทุ่ม แล้วก็ค่อยมานอน นอนนั้นก็กลัวเสือ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องนอน วันอาทิตย์ก็กลับเข้าบ้าน ปลาที่หาได้ก็เอาเครือย่านางร้อยปลาที่ได้ มัดฟืน หาบมา เอาไม้มาทำคันกระบวย เลือกไม้ที่เนื้อเหนียว แบกหามมา พักกลางทางไม่รู้กี่ครั้ง ถูกฝึกหนัก เหมือนทหาร แต่เป็นสาระของชีวิต ซึ่งขยันแล้วทุกอย่างเป็นประโยชน์ ประหยัด ตอนเด็กไม่รู้หรอก คิดแต่ว่าแม่ทำไมส่งเรามาอยู่ทรมานอย่างนี้ แต่ก็สู้ จนอยู่สิ้นปี ก็บอกแม่ว่าไม่ไหวแล้ว ขนาดปีเดียวก็ได้อะไรติดตัวมา ทุกวันนี้ก็นึกถึงบุญคุณพ่อใหญ่ สร้างระบบระเบียบสร้างประโยชน์ให้มาก ที่พวกเราอยู่ที่นี่เจอไม่ถึงครึ่งของที่หลวงปู่เจอมา

 

ให้ตั้งใจทำไปเถอะ อย่าท้อ ไม่รู้อะไรก็เหนื่อยก็นอนพัก ตื่นมาก็ค่อยว่ากันใหม่ กำลังวังชายังดี มีแต่ใจที่ต้องเป็นนักสู้ ที่นี่ไม่ได้พาไปทำอะไรเสื่อมเสียไร้สาระหรอก ที่นี่ไม่แน่นอน พาเราทำสิ่งดีแน่ แม้ธรรมะก็ต้องฝึกฝนฟังธรรม พวกเราอยู่ตั้งแต่ประถมก็ดี หรือคนอยู่แต่มัธยมก็ดี ใครสู้ไม่ไหวก็ไม่ได้ทน แต่พวกเราที่อยู่กันนี่หลวงปู่ว่าไม่หนักหนาหรอก หลวงปู่เจอมาหนักกว่าเยอะ แล้วเราจะเป็นเด็กที่ไม่เหมือนกับเด็กทั่วไป หลวงปู่ทำการทำงานทำหมด งานกุลีที่เขาบอกก็ทำหมดไม่กลัว อะไรเป็นประโยชน์คุณค่าก็ทำ ไม่ต้องขอตังค์แม่ใช้ หาเอง ตั้งแต่อายุ เก้าหรือสิบขวบ แม่ก็ใช้แต่เป็นเรื่องค่าเทอมค่าหนังสือ เป็นหลักๆ แต่เรื่องที่ใช้ส่วนตัวก็ไม่รบกวนแม่ หลวงปู่ไม่เคยซื้อของเล่นแม้ชิ้นเดียวในชีวิต เคยเล่นแต่ของเล่นตามธรรมชาติ หลังบ้านมีคนเขาทำกาบมะพร้าว เราก็หามาเล่น ไปหากาบมะพร้าวที่หงิกงอทำเป็นปืนยิงกัน ซ่อนหากัน เจอใครก็โป้งก่อนคนนั้นแพ้ตาย ต้องเสียปืนให้ เขาก็ต้องมีปืนอีกหลายอัน ใครช้าคนนั้นแพ้เสีย ถ้าใครเร็วจะได้ปืนกาบมะพร้าวมามาก ก็เล่นแค่นั้น นอกนั้นก็เล่นเม็ดมะขาม มะค่าแต้ แล้วก็มีซองยา เป็นปึกเลย เอาไว้เล่นตีหรือร่อน หรือทอด แต่ของเล่นที่ต้องไปซื้อจากร้านไม่เคยเลย

 

ชีวิตเด็กทุกวันนี้ขออภัย คือชีวิตฉิบหาย สมัยโบราณไม่เสียหาย เล่นแต่ของธรรมชาติ เล่นเม็ดน้อยหน่า เม็ดมะขาม เมื่อเล่นได้เม็ดมะขามมามากๆ หลวงปู่คิดเอง เอามาแช่น้ำ แล้วเอาไปขาย ที่ตลาดวาริน แม้เม็ดมะค่าแต้ก็กินกรุบๆ ขายได้เหมือนกัน ต่อมามีคนเอาอย่างด้วย หลวงปู่คิดขายเป็นคนแรกๆเลย ของพวกนี้ เล่าอะไรสู่ฟังพวกเราจะได้รู้ว่าชีวิตเรามีคุณค่าไหม หากเราเอาแต่ไปเล่นก็ไร้สาระ การได้ฝึกฝนศึกษาก็น้อย แต่ถ้าเราได้ทำก็จะได้ ไปทำปุ๋ย ทำกสิกรรม ทำงานสาระก็จะดี ยิ่งทำได้ความรู้ ถามผู้ใหญ่หากใครสนใจก็จะได้ความรู้ทำเองเป็น ที่จะได้ใช้อาศัยในชีวิต ไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างข้างนอก พาเล่นแต่เกมส์ นึกว่าเราจะได้รู้มากๆ แต่ไม่ได้เจริญเลย ทุกวันนี้ยากจริงๆที่จะพาเจริญ เขาหลอกเด็กให้เล่น แต่ถ้าจะเล่นต้องให้ผู้ใหญ่แนะนำ วันนี้พูดสาระให้พรแก่เด็ก ฟังไปก็เอาไปทำความเข้าใจ ใครเห็นดีเข้าใจก็ไปตั้งใจขยันหมั่นเพียรเอาใจใส่

 

 

เรื่องโรงขยะที่กำลังเป็นรูปเป็นร่างนี้ อาตมาก็เห็นว่าที่เรากำลังเตรียมที่ที่จะเป็นที่ตั้งของสขจ. (สถาบัน ขยะวิทยาด้วยหัวใจ) มีเรือ 7 ลำอยู่บนนั้น เป็นเฮือนเฮือมี 8 ลำ ลำหนึ่งเป็นเรือตถตา อีก 7 ลำก็มีชื่อ

เฮือนเขา  เฮือนเฮา เฮือนเจ้า เฮือนโต๋ เฮือนเพิ่น เฮือหมู่(ลำเล็กกว่าเพื่อนแต่เป็นเฮือหมู่ เป็นนัยแฝงที่อาตมาตั้งชื่อ ให้รู้ว่าหมูเราเล็กนัก)  แล้วค่อยทำตามเหมาะสม จะให้เป็นร้านโชว์ของหรือขายของอย่างไร  จะขอแรงศิลปินให้ปั้นหินเป็นฐานเรือ ที่ได้รองไว้กับแท่นปูนแล้ว ปั้นหินหุ้มแท่นปูนเลย เหมือนกับฐานพระพุทธโต 

 

ส่วนด้านหลังที่ถมที่ไปแล้ว จะเป็นโรงเรือนขยะวิทยา อันนี้ที่ทำ สขจ. ตอนนี้เป็นแค่ซ้อมมือ แต่ที่กำลังจะทำก็จะเป็นที่จริง แล้วจะมีหลังคาโรงเรือนเป็นโซล่าเซลล์  ราคา แปดล้านแปดแสนบาท สามารถผลิตไฟฟ้าเลี้ยงบ้านราชฯ ได้ยกเว้นโรงปุ๋ย ทำแล้วคุ้มค่านะ ให้ออกแบบกันเลย โรงเรือนจะเป็นที่พัก ที่ทำงาน เป็นoffice เป็นที่เก็บเงิน จะเป็นย่านของสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจเลย เป็นอาคารที่คนเห็นแล้วแปลกหูแปลกตา เรื่องขยะจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ทำให้ดี ข้างหน้าจะเป็นที่โชว์ ข้างหลังก็ทำให้ดีๆ อาตมาคิดแล้วก็อยากให้พวกเราเข้าใจแล้วทำให้ได้ ถ้าทำได้อย่างที่ท่านถักบุญว่ามีโซล่าเซลล์ด้วยยิ่งดี

 

 

อยากจะแนะเรื่องอาชีวะ เรามีทั้งปวส. และปวช. เราจะเปิดแผนกเรือ อาชีวะสร้างเรือ เขามีหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการด้วย ท่านหินกลั่นเอาหลักสูตรมาให้อาตมา เราจะต่อเรือเอง เรือเหล็กเรือไม้ก็แล้วแต่ เราจะเป็นผู้มีความรู้ทางเรือ อโศกมีแม่น้ำมูนฟรี 1 สาย

 

อย่างบ้านราชฯนี่บอกเลยว่า จะเป็นแหล่งในการสร้างระบบใหม่ ที่ไม่ได้ทำแบบโลกๆที่เอาเงินเป็นตัวตั้งเลย เราทำงานนี่ดูเหมือนไม่มีเงินเลย แต่ก็ทำไป อาตมาได้ให้ทฤษฎีงานไว้ 19 ข้อ พวกเราจะรังสรรค์ สร้างบ้านสร้างเมือง สังคม ไม่ว่ากิจการงานด้านไหนๆ ทางด้านเศรษฐกิจการเมือง ฐานย่อยๆต่างๆ มันเป็นการก่อเกิด สร้างขึ้นโดยหลักบุญนิยมทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องที่ให้พวกเราใส่ใจศึกษาหน่อย เป็นการเรียนรู้ด้วย สร้างไปในตัวด้วย โดยไม่มีแบบอย่างการสร้างสังคมไหนๆในยุคนี้ให้ดู แต่ก็เอามาจากที่พระพุทธเจ้าพาทำมาก่อน โดยมีหลักเกณฑ์ของสังคมที่มีศีลสามัญตา เป็นหมู่บ้านมีศีล เราทำมาก่อนแล้ว ทำแล้วเป็นแล้ว ก่อนที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่สังฆราชองค์นี้พูดด้วย แต่ก็ดีที่ท่านจะทำแบบนี้ เรามีศีล 5 กันทั้งหมู่บ้าน ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์เราถึงขนาดไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย มีสาธารณโภคีด้วย ในศีลข้อ 2 มันเฉลี่ยส่วนกลาง จะมีการสำรวม มีลักษณะลึกซึ้ง การให้ ให้ทั้งหมด การเอามาเป็นของตัวจะสะดุด ของกลางทุกคนมีสิทธิ์ให้ทั้งหมด แล้วเราจะเอามาเป็นของตัวนั้นจะมีสำนึกในจิตของคน ศีลข้อ 2 เราจึงเป็นอัตโนมัติเลย เรื่องกามเราก็สังวรกันดี เรื่องพูดปดนี่ เราต้องระวัง มันเป็นวิบากบาปจริงๆ ถ้าเราพูดไปจะเป็นวิบากบาปไปในทุกชาติไป แล้วในโลกเขาเห็นว่าเรื่องโกหก เป็นเรื่องปกติเลย ไม่เห็นมีอะไร แต่อาตมาว่าโกหกก็ไม่ถือว่าเป็นคนแล้ว เป็นพื้นฐานความเป็นคนนะ เราทำกันนี่เป็นการศึกษาแนวใหม่ของโลก อาตมาอยากจะเรียกว่า ปรากฏการณ์วิชชา ที่เขาเรียกว่าปรากฏการณ์วิทยา Phenomenology เพราะในการศึกษาของเราเป็นการสร้างคนที่สำคัญ ใครจะรู้สึกตัวเข้าใจ สร้างการศึกษาใหม่ จะได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่ที่สำคัญให้ช่วยกันดูแลเด็กและนักศึกษาที่จะขึ้นมา เขาจะรับสืบทอดต่อไป เพราะพวกเราอยู่ไปก็จะมีแต่นับวันไปสู่ตาย ตายก็หมดไปกับเรา หากเราไม่ปลูกฝังลงไปก็สูญนะ จะเห็นได้ว่าอาตมาเอาการศึกษามัธยมมาให้พวกเราทำ ก็ให้ปลูกฝังสิ่งดีเข้าไป จะได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ แล้วจะมาสืบสานต่อไปเอง แต่ถ้าไม่มีการสืบต่อ ไม่เท่าไหร่ ผู้ใหญ่ที่จะมาเสริมก็ไม่กี่คนเลย แล้วที่ออกไปก็มีเหมือนกัน ถ้าไม่เอาใจใส่ให้สืบทอดก็ไม่นานก็หมด นี่ก็ขอย้ำ สำทับให้รู้ความสำคัญ ให้เอาใจใส่ดูแลให้เขาเป็นคนดีจริง

 

ถ้าเราสามารถให้ทรัพย์แท้ติดตัวเขาไป ได้มากเท่าไหร่ก็เป็นเนื้อแท้ หากได้น้อยก็ถูกทางโน้นล้างไม่เหลือ เราก็ต้องทำเผื่อไว้ด้วย จะด้วยวิธีใด ไม่มีหลักตายตัว ก็ย้ำอย่างนี้ก็คงพอเข้าใจ มาถึงวันนี้ จะเห็นว่า การเกิดของอโศก จะเห็นได้ว่า คนข้างนอกทยอยเชื่อมเข้ามา เป็นผลสำเร็จแล้วแม้น้อย เพราะมันยากที่จะเกิดโลกุตระ แต่มันเกิดได้แล้วเชื่อมเข้ามา มาถึงปีนี้มีหลักฐานเกิดขึ้นจริง เช่น อุทยานบุญนิยม คนมาอุดหนุนร่วมมือ อุ่นหนาฝาครั่ง เจริญขึ้น สถานที่ต้องเพิ่ม แต่คนก็ยังไม่ค่อยเพิ่มนะ

 

แนวของพวกเรานี่มั่นคงอยู่แล้ว มา 40 กว่าปีแล้ว ก็ลงตัว เข้าฝักไปเรื่อยๆ ไม่วูบวาบอย่างทุนนิยมโลกีย์ ที่เป็นเรื่องอวดอ้างใช้จำนวนใหญ่มาโชว์ แต่เรามีแต่น้อย มาหาน้อย การพัฒนาไปสู่น้อย ต่างกับการพัฒนาไปใหญ่ที่มันก็เห็นได้ง่าย แต่เราไปหาสูญที่ไม่มีตัวตน แต่เห็นได้มากขึ้นนะ ต้องเห็นคุณค่าในสิ่งเจริญนี้ให้ดี แล้วช่วยกันให้มาก  ก็ขอบคุณทุกคนที่มามุ่งมั่นประโยชน์ตนแล้วก็ได้เกิดประโยชน์ท่านอย่างที่เห็น...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:18:56 )

580111

รายละเอียด

580111_พ่อครูให้โอวาทเรื่องโรงขยะวิทยาด้วยหัวใจ ที่บ้านราชฯ

เรื่องโรงขยะที่กำลังเป็นรูปเป็นร่างนี้ อาตมาก็เห็นว่าที่เรากำลังเตรียมที่ที่จะเป็นที่ตั้งของสขจ. (สถาบัน ขยะวิทยาด้วยหัวใจ) มีเรือ 7 ลำอยู่บนนั้น เป็นเฮือนเฮือมี 8 ลำ ลำหนึ่งเป็นเรือตถตา อีก 7 ลำก็มีชื่อ

เฮือนเขา  เฮือนเฮา เฮือนเจ้า เฮือนโต๋ เฮือนเพิ่น เฮือหมู่(ลำเล็กกว่าเพื่อนแต่เป็นเฮือหมู่ เป็นนัยแฝงที่อาตมาตั้งชื่อ ให้รู้ว่าหมูเราเล็กนัก)  แล้วค่อยทำตามเหมาะสม จะให้เป็นร้านโชว์ของหรือขายของอย่างไร  จะขอแรงศิลปินให้ปั้นหินเป็นฐานเรือ ที่ได้รองไว้กับแท่นปูนแล้ว ปั้นหินหุ้มแท่นปูนเลย เหมือนกับฐานพระพุทธโต 

 

ส่วนด้านหลังที่ถมที่ไปแล้ว จะเป็นโรงเรือนขยะวิทยา อันนี้ที่ทำ สขจ. ตอนนี้เป็นแค่ซ้อมมือ แต่ที่กำลังจะทำก็จะเป็นที่จริง แล้วจะมีหลังคาโรงเรือนเป็นโซล่าเซลล์  ราคา แปดล้านแปดแสนบาท สามารถผลิตไฟฟ้าเลี้ยงบ้านราชฯ ได้ยกเว้นโรงปุ๋ย ทำแล้วคุ้มค่านะ ให้ออกแบบกันเลย โรงเรือนจะเป็นที่พัก ที่ทำงาน เป็นoffice เป็นที่เก็บเงิน จะเป็นย่านของสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจเลย เป็นอาคารที่คนเห็นแล้วแปลกหูแปลกตา เรื่องขยะจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ทำให้ดี ข้างหน้าจะเป็นที่โชว์ ข้างหลังก็ทำให้ดีๆ อาตมาคิดแล้วก็อยากให้พวกเราเข้าใจแล้วทำให้ได้ ถ้าทำได้อย่างที่ท่านถักบุญว่ามีโซล่าเซลล์ด้วยยิ่งดี

 

 

อยากจะแนะเรื่องอาชีวะ เรามีทั้งปวส. และปวช. เราจะเปิดแผนกเรือ อาชีวะสร้างเรือ เขามีหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการด้วย ท่านหินกลั่นเอาหลักสูตรมาให้อาตมา เราจะต่อเรือเอง เรือเหล็กเรือไม้ก็แล้วแต่ เราจะเป็นผู้มีความรู้ทางเรือ อโศกมีแม่น้ำมูนฟรี 1 สาย

 

อย่างบ้านราชฯนี่บอกเลยว่า จะเป็นแหล่งในการสร้างระบบใหม่ ที่ไม่ได้ทำแบบโลกๆที่เอาเงินเป็นตัวตั้งเลย เราทำงานนี่ดูเหมือนไม่มีเงินเลย แต่ก็ทำไป อาตมาได้ให้ทฤษฎีงานไว้ 19 ข้อ พวกเราจะรังสรรค์ สร้างบ้านสร้างเมือง สังคม ไม่ว่ากิจการงานด้านไหนๆ ทางด้านเศรษฐกิจการเมือง ฐานย่อยๆต่างๆ มันเป็นการก่อเกิด สร้างขึ้นโดยหลักบุญนิยมทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องที่ให้พวกเราใส่ใจศึกษาหน่อย เป็นการเรียนรู้ด้วย สร้างไปในตัวด้วย โดยไม่มีแบบอย่างการสร้างสังคมไหนๆในยุคนี้ให้ดู แต่ก็เอามาจากที่พระพุทธเจ้าพาทำมาก่อน โดยมีหลักเกณฑ์ของสังคมที่มีศีลสามัญตา เป็นหมู่บ้านมีศีล เราทำมาก่อนแล้ว ทำแล้วเป็นแล้ว ก่อนที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่สังฆราชองค์นี้พูดด้วย แต่ก็ดีที่ท่านจะทำแบบนี้ เรามีศีล 5 กันทั้งหมู่บ้าน ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์เราถึงขนาดไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย มีสาธารณโภคีด้วย ในศีลข้อ 2 มันเฉลี่ยส่วนกลาง จะมีการสำรวม มีลักษณะลึกซึ้ง การให้ ให้ทั้งหมด การเอามาเป็นของตัวจะสะดุด ของกลางทุกคนมีสิทธิ์ให้ทั้งหมด แล้วเราจะเอามาเป็นของตัวนั้นจะมีสำนึกในจิตของคน ศีลข้อ 2 เราจึงเป็นอัตโนมัติเลย เรื่องกามเราก็สังวรกันดี เรื่องพูดปดนี่ เราต้องระวัง มันเป็นวิบากบาปจริงๆ ถ้าเราพูดไปจะเป็นวิบากบาปไปในทุกชาติไป แล้วในโลกเขาเห็นว่าเรื่องโกหก เป็นเรื่องปกติเลย ไม่เห็นมีอะไร แต่อาตมาว่าโกหกก็ไม่ถือว่าเป็นคนแล้ว เป็นพื้นฐานความเป็นคนนะ เราทำกันนี่เป็นการศึกษาแนวใหม่ของโลก อาตมาอยากจะเรียกว่า ปรากฏการณ์วิชชา ที่เขาเรียกว่าปรากฏการณ์วิทยา Phenomenology เพราะในการศึกษาของเราเป็นการสร้างคนที่สำคัญ ใครจะรู้สึกตัวเข้าใจ สร้างการศึกษาใหม่ จะได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่ที่สำคัญให้ช่วยกันดูแลเด็กและนักศึกษาที่จะขึ้นมา เขาจะรับสืบทอดต่อไป เพราะพวกเราอยู่ไปก็จะมีแต่นับวันไปสู่ตาย ตายก็หมดไปกับเรา หากเราไม่ปลูกฝังลงไปก็สูญนะ จะเห็นได้ว่าอาตมาเอาการศึกษามัธยมมาให้พวกเราทำ ก็ให้ปลูกฝังสิ่งดีเข้าไป จะได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ แล้วจะมาสืบสานต่อไปเอง แต่ถ้าไม่มีการสืบต่อ ไม่เท่าไหร่ ผู้ใหญ่ที่จะมาเสริมก็ไม่กี่คนเลย แล้วที่ออกไปก็มีเหมือนกัน ถ้าไม่เอาใจใส่ให้สืบทอดก็ไม่นานก็หมด นี่ก็ขอย้ำ สำทับให้รู้ความสำคัญ ให้เอาใจใส่ดูแลให้เขาเป็นคนดีจริง

 

ถ้าเราสามารถให้ทรัพย์แท้ติดตัวเขาไป ได้มากเท่าไหร่ก็เป็นเนื้อแท้ หากได้น้อยก็ถูกทางโน้นล้างไม่เหลือ เราก็ต้องทำเผื่อไว้ด้วย จะด้วยวิธีใด ไม่มีหลักตายตัว ก็ย้ำอย่างนี้ก็คงพอเข้าใจ มาถึงวันนี้ จะเห็นว่า การเกิดของอโศก จะเห็นได้ว่า คนข้างนอกทยอยเชื่อมเข้ามา เป็นผลสำเร็จแล้วแม้น้อย เพราะมันยากที่จะเกิดโลกุตระ แต่มันเกิดได้แล้วเชื่อมเข้ามา มาถึงปีนี้มีหลักฐานเกิดขึ้นจริง เช่น อุทยานบุญนิยม คนมาอุดหนุนร่วมมือ อุ่นหนาฝาครั่ง เจริญขึ้น สถานที่ต้องเพิ่ม แต่คนก็ยังไม่ค่อยเพิ่มนะ

 

แนวของพวกเรานี่มั่นคงอยู่แล้ว มา 40 กว่าปีแล้ว ก็ลงตัว เข้าฝักไปเรื่อยๆ ไม่วูบวาบอย่างทุนนิยมโลกีย์ ที่เป็นเรื่องอวดอ้างใช้จำนวนใหญ่มาโชว์ แต่เรามีแต่น้อย มาหาน้อย การพัฒนาไปสู่น้อย ต่างกับการพัฒนาไปใหญ่ที่มันก็เห็นได้ง่าย แต่เราไปหาสูญที่ไม่มีตัวตน แต่เห็นได้มากขึ้นนะ ต้องเห็นคุณค่าในสิ่งเจริญนี้ให้ดี แล้วช่วยกันให้มาก


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:19:36 )

580111

รายละเอียด

580111_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เรื่อง คนยากจนกับคนอยากจนเป็นไฉน

ส.ฟ้าไทว่า....วันนี้พ่อครูอยู่ที่ราชธานีอโศก ตอนนี้อากาศมีหนาวสลับร้อน วันนี้พ่อครูจะมานำเสนอสิ่งที่ทางโลกเขาไม่ต้องการ เขาต้องการไปรวย ไปฟุ้งเฟ้อ หรูหรา ซึ่งพ่อครูสอนให้คนมาจน เขาก็ไม่ค่อยต้องการมาจนกัน คนที่มาลดกิเลสได้ จะไม่มีใครมุ่งไปรวย จะเป็นนักบวชหรือฆราวาส ใครประกาศตนว่าตนรวยก็ไม่ใช่อาริยะแล้ว ถ้าใครมาจนได้อย่างที่พ่อครูเทศน์ชีวิตจะสบาย ไม่มีอะไรต้องห่วง

 

พ่อครูว่า...เจริญธรรม อาตมาวันนี้เทวดาบอกว่าให้เทศน์เรื่องนี้เถอะ ก็เลยลุกมาเตรียมเรื่องแบบคนจน จะใช้หลักแบบคนจนนี่แหละที่ยิ่งใหญ่มาก แบบคนจน

 

* พระราชดำรัส *

            "แบบที่เรียกว่า ทำ"แบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน

            ไม่ได้มีการลงทุนมากหลาย อย่างของเขา เราก็ทำไป

            ก็เลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเรา

ไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศ

ที่ก้าวหน้าอย่างมาก

            เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว

            แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป

            ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้ว

พลิกไปถึงหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคตยังมี" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่

            "ถอยหลังเข้าคลอง"

            แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ

                        [พระราชดำรัสเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2534]

 

ที่อาตมาเอามาเปิดซ้ำ เพราะเจตนาให้คนได้ฟัง ฟังเมื่อไหร่ก็ประเสริฐเมื่อนั้น แล้วยิ่งพากเพียรให้เป็นคนจนได้ตามนัยสำคัญที่ในหลวง และพระพุทธเจ้าตรัส คำว่าคนจนนี่จะได้ขยายความว่ามีคนจนสองแบบ คนจนปุถุชน กับคนจนอาริยะหรือโลกุตระของพระพุทธเจ้า

 

ในพระราชดำรัส แบบคนจน ท่านตรัสว่าไม่อยากจะเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะถอยหลังอย่างน่ากลัว

 

แบบคนจนที่เป็นอาริยะจะทำได้จริงต้องลดกิเลสจริง ที่อยู่ในจิตใต้สำนึกหรือจิตไร้สำนึก ตำราหรือความรู้ในโลกยังไม่สามารถดึงเอา จิตไร้สำนึก เอามาจัดการให้หมดเหตุที่ทำให้เห็นแก่ตัว ซึ่งตัวตนนี้พระพุทธเจ้าว่าคืออัตตาที่เป็นตัวหยาบใหญ่ จะเป็นอาสวะ อนุสัย ที่เราจะต้องกำจัดให้หมดอวิชชาสวะ สูงสุด ไม่ใช่แค่พยัญชนะ แต่เป็นสิ่งจริงเป็นปาตุภาวะหรือสิ่งปรากฏจริงสัมผัสได้ เป็น Phenomenal ทุกคนสัมผัสได้ หรือ Phenomena คือพหุพจน์ ที่คือความรู้ที่อาตมาพากเพียรให้เป็นความรู้ปรากฏการณ์วิทยา หรือ ว่าปรากฏการณ์วิชชา

 

คำว่าแบบคนจน ที่ในหลวงตรัส อาตมาว่า อาตมาพอมีภูมิรู้ว่าใครคือโพธิสัตว์ ไม่ได้พูดเล่น เป็นคำสำคัญ พูดเล่นแล้วเสียหาย และอาตมาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไป เสแสร้งที่จะยกย่องในหลวง อาตมายกย่องด้วยความจริงใจตามภูมิ ว่าพระองค์น่ายกย่องอย่างไร แล้วไม่ได้เอาประเด็นเลอะเทอะ แต่ใช้บางประเด็น โดยเฉพาะแบบคนจน

 

แบบคนจนเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ในโลก ตั้งแต่พระพุทธเจ้าประกาศแล้ว

 

ขออ่านเนื้อความ มาร์ชประเทศคือชีวิต

 

“มาร์ชประเทศคือชีวิต”

(Intro) แม้น..ลองคิดชีวิตคนกลไกในร่างดังหนึ่งประเทศไซร้

(Verse)    ทั้งชีวิตร่างกายเทียบคล้ายดังแดนประเทศ

               จากเขตแดนผองชนหน่วยงานทั้งสิ้นจนถิ่นเนา

               เทิดองค์กษัตริย์ไซร้ ดั่งดวงใจของเรา

               ถนอมและเฝ้าเชิดชูสุดชีวีจวบจีรกาล

                               ยกเอามันสมองเป็นเหมือนรัฐบาลป้อง

               ซึ่งคอยตรองคิดคุมช่วยอุ้มชูมิให้ชีพแหลกราญ

               เฝ้าคอยบริหาร สั่งบงการผลงาน         

               เสริมพัฒนาการให้ชีวีดีดังหวังปอง

                               ประชาชนนั้นเป็นเช่นดังสายเลือด

               ไม่แห้งเหือดหายไปจากกายพี่น้อง

               กระทรวงทะบวงหรือรวมทั้งกรมแหละกอง

               เปรียบระบบของประสาท ในร่างกายของเรา

                               หากส่วนใดเสียไปเหมือนกายพบโรค

               ต้องทุกข์โศกทรุดโทรมเสื่อมทรามโฉดเฉา

               หากแม้นแรงร้าย ถึงตาย คล้ายดังชาติเรา

               หากเมามัวเขลา ใครบ่อนใน ชาติไทยสูญสิ้น

(Intro)     รัก..แดนถิ่นดินไทย ต้องสามัคคีเหมือนดังอวัยวะ

(Trio)                     ไม่ปล่อยปละหน้าที่ทำทุกอย่าง

               ทั้งคิดทั้งจิตถางทางก้าวเดินชูช่วยชีวี

               หากต่างดี- จิตดี- เลือดเดินดี- ประสาทดี-

               สมองดี- ชีวิตมั่นขวัญยืน

                               ชีพเช่นไร ประเทศคงคล้ายกัน

               มาเถิดมาเสกสรร สร้างเมืองไทยให้แน่นเป็นแผ่นผืน             

               เชิดชูไทยในทุกทางให้ยั้งยงยืน

               ไทยทุกคนตื่นเถิด ประเทศคือชีวิตเรา.

               [แต่งทำนอง 8 มี.ค.2502 ใส่คำร้องเสร็จ 23 มี.ค.2502

               ปัจจุบัน เอาไปใส่คำร้องใหม่เป็นเพลง "กองทัพพุทธธรรม"

               10 ธ.ค.2530]

 

"ประเทศคือชีวิต" ถ้าแม้นคนไทยเข้าใจกระบวนการ"แบบคนจน"

หรือจะเรียกอย่างสัมบูรณ์ ก็คือ

"ถ้าเรามีการปกครอง แบบคนจน  แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ  มีเมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป"

               ดังพระราชดำรัสของพระเจ้าแผ่นดินไทย รัชกาลที่ 9 แห่ง

ราชวงค์จักรี ตามที่ได้ยกขึ้นมาอ่านผ่านไปแล้วนั้น

               คำว่าไม่ติดกับตำรามากเกินไป ในที่นี้ ตามความเข้าใจของอาตมา คือตำราที่นับถือกันทั่วไปในโลกสากลขณะนี้ ทั้งหลายทั้งปวง

               แต่อาตมามั่นใจว่า ยกเว้นตำราของพระพุทธเจ้า หรือทฤษฎีของพระพุทธเจ้า เราคนไทยคงต้อง"ยกไว้"

               แต่เราก็"ไม่ติดกับตำรามากเกินไป"แน่ แม้ตำราของพระพุทธเจ้า

               เพราะพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนเราอยู่ชัดๆ ว่า ไม่ให้ติดตำรา ไม่ให้ติดแม้แต่ครูของเรา หรือไม่ให้เชื่ออย่างยึดมั่นถือมั่น ตามหลักกาลามะสูตร

 

ตามพระราชดำรัสก็ดี ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็ดี สอดคล้องตรงกันทุกอย่าง คือ พระพุทธเจ้านั้นสุดยอดแห่ง"คนจน"

               คำว่า "คนจน" หรือ"ความจน"นี้ ไม่ใช่คนในความหมายของคำว่า

               "ทลิทฺทตา" ในภาษาบาลี ที่แปลว่า ยากจน 

               แต่คือ ความ "อยากจน" หรือความต้องการจะจนของตนเองต่างหาก

               ซึ่งเป็น"คนจน"หรือ"ความจน"ในคำว่า"อัปปิจฉะ"ของภาษาบาลี

               ที่แปลว่า มักน้อย หรือปรารถนามีน้อย (อัปป=น้อย อิจฉ=ปรารถนา)

               มีน้อย หมายความว่า มีอะไรน้อย?

               ก็มีทั้งสมบัติวัตถุเป็นของตน มีทั้งกิเลสเป็นของตน นั่นแหละน้อย หรือไม่มีเลยก็ได้ โดยเฉพาะกิเลส"ไม่มีเลยอย่างบริสุทธิ์สัมบูรณ์ ยิ่งดีสุด 

               คนที่หลง "ความรวย" เป็นภัยต่อตน ต่อสังคม

               ถ้าพูดให้ชัดเจน ซึ่งฟังแล้วจะรู้สึกว่า เป็นคำพูดที่รุนแรง

               แต่ก็เป็นความจริงในความจริง

               ตั้งใจฟังให้เป็นการศึกษา เป็นภาษา"วิชาการ"กันดูดีๆ

               "ความรวย" นั้น พาคน "เลวชั่ว" และเป็น "ความเลวชาติ"

               ที่สุดเป็น "เลวบรรลัย"

                               ความรวย หมายความว่า อะไร?

                               ความจน หมายความว่า อะไร?

                               ทำไมต้อง "แบบคนจน" ?????

 

เปรียบเทียบ

1.กษัตริย์เป็นดวงใจ

2.มันสมองเป็นรัฐบาล

3.ประชาชนเป็นสายเลือด

 

(เหมือนมาต่อคนละเรื่อง? ผมทำข้อความอะไรหายไปหรือเปล่าครับ???)

ตอนอัดออกประกวด ต้องส่งทั้งแผ่นเสียง และเนื้อร้องทำนอง ไปประกวดนะ สมัยก่อนแผ่นก็ไม่ดี เป็นแผ่นครั่งแตกง่าย แผ่นบางมาก ในยุคก่อนนั้นมีแต่ครั่ง แตกง่าย แต่ยุคต่อมามีโลหะ ฉาบครั่งบางกว่าก็ดีขึ้นมา แต่ก็สูญหายไปหมดแล้ว ไม่ได้เอามาขยายผล เราทำเองไม่ได้ ต้องไปจ้างโรงงานทำ พอใช้งานแล้ว มีไม่กี่แผ่นก็หายไปหมดแล้ว ก็ไม่ได้ฟัง ก็ทั้งนักร้องทั้งวงดนตรี ก็จำไม่ได้ว่านักร้องมีใคร ความจำเลือนไปแล้ว ก็น่าจะเป็นวงประสานมิตร อาตมาร้องลูกคู่ให้นักร้องวงประสานมิตร แต่ร้องหมู่เป็นส่วนใหญ่

 

เนื้อความ หมายถึงประเทศคือชีวิต ดังที่ว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็นดวงใจของคนไทย แล้วพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ เป็นพระโพธิสัตว์ แล้วท่านก็เป็นดวงใจของประชาชนไทยจริง ไม่มีใครบังคับ เขารักเชิดชูจริงจัง เป็นสัจจะ ในหลวงพระองค์นี้ไม่เคยหาเสียงให้ตนเอง เป็นในหลวงที่ทรงไว้ซึ่งความภาคภูมิพระทัยในตน ไม่ทำอะไรเพื่ออวดอ้างหาเสียง หรือหาบริวาร ไม่ได้ทำเพื่อลาภสักการะ ไม่ได้ทำเพื่ออวดตัวตนเห็นว่าเก่งหรือดี ตรงตามคำตรัสของพระพุทธเจ้าทุกประการ ปฏิบัติตรงตามความเป็นโพธิสัตว์ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า

 

ทุกวันนี้ ทุกองคาพยพในประเทศไทยนั้นทำงานอย่างไม่สามัคคี มีจิตโทสะมูล ร้ายแรงทำลายกัน หรืออย่างเบาก็ประชดประชันแดกดัน แต่ก็ตอนนี้ไม่ใช่แค่เบามีแรงด้วย ตามสภาวะจริง เราเป็นคนมีหลักวิชชาของพระพุทธเจ้าอยู่ ที่เรียนที่สอนกันได้ ขออภัยที่ต้องพูดว่า...แม้ว่าศาสนาพุทธจะเพี้ยน กระแสหลักนั้นเพี้ยนไปจากความถูกต้อง พูดจากสัจจะนะ ไม่ได้เจตนากดข่ม แต่อาตมาเห็นเช่นนั้นจริง มันก็เลยไม่เกิดผลตามจริงของพระพุทธเจ้า ก็เลยไม่ให้ประสิทธิภาพตามที่พระพุทธเจ้าสอน คนที่ได้มาบริหารบ้านเมืองก็มีคุณภาพตามนั้น รุ่นไหนๆสืบทอดกันมาบริหารประเทศมาตั้งแต่เปลี่ยนประเทศเป็นประชาธิปไตยมา 80 กว่าปี มาถึงวันนี้ประชาธิปไตยไทยมีความเข้าใจสูงขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้แก้ค่ายกลที่วางไว้มาตลอด 82 ปีก็ทำลายค่ายกลไม่ได้

 

ตอนนี้ประสิทธิภาพของผู้รู้ องค์ประกอบ กลไกธรรมะในประเทศไทยเกิดแล้ว อุบัติมาแล้วมีบทบาทใช้กลไกทางคุณธรรมอย่าง ถือว่าเป็นรัฎฐาธิปัตย์ เป็นอำนาจอธิปัตย์ของไทย แล้วอธิปัตย์นี้ไม่ใช่สมบูรณายาสิทธิราช แต่เป็นประชาธิปไตย มีคณะตามหลักสากล แม้แต่อาตมาก็มีหน้าที่ตามประชาธิปไตยจริงใจปรารถนาดีตามภูมิ จะให้ประเทศไทยเจริญพัฒนาไปตามภูมิ ว่าควรเจริญแบบโลกุตระ อาริยะแท้ที่ควรเป็น ในระดับนี้ ซึ่งเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีอาริยธรรมโลกุตรธรรมที่ กระแสหลักเสื่อมโลกุตรธรรมแล้ว แต่กระนั้นสภาพDNA ของพุทธก็ยังไม่ยอมตาย พัฒนามาอยู่เรื่อยๆ

 

ขณะนี้การพัฒนาDNA อยู่ในรอบที่กายกับจิตควรประสมประสานกันได้แล้ว ถ้าเข้าใจได้ดี ทางมวลประชาชนสามัญนั้นหัวหน้าใหญ่คือนายกฯ ส่วนทางด้านจิตวิญญาณคือในหลวง จิตวิญญาณกับกาย คือองค์รวมองค์ประชุมประชาชน อาตมาเชื่อว่านายกฯกับในหลวงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อาตมาเชื่อมั่นที่สุด ไม่มีอะไรระแหงหรือแยกกันเลยในความคิดความเห็น อาตมาก็อยากจะเสนอแนะว่า ท่านนายกฯควรเข้าเฝ้าในหลวงให้มาก จะไม่เป็นการรบกวนหรอก เพราะในพระทัยของในหลวงไม่มีอะไรหรอกนอกจากประชาชน ถ้านายกฯเข้าเฝ้าแล้วขอพระราชปัญญาของท่านให้ท่านทรงแนะนำ เรื่อยๆ เพราะว่าเป็นวาระเข้าด้ายเข้าเข็มอย่างสูงมาก จะทำเป็นเล่นไปไม่ได้ ถ้ายิ่งนายกฯจะขอ พระราชทานคำอธิบาย เข้าไปถึงคำว่าแบบคนจน ถ้าทำได้จะดียิ่งเลย แต่ในหลวงพระองค์นี้ไม่สาธยายเยอะ เหมือนพระพุทธเจ้าไม่สาธยายเยอะ พระสารีบุตร พระกัจจายนะก็สาธยายเยอะกว่าพระพุทธเจ้า เป็นเอตทัคคะทางขยายความได้มาก จากแก่นแกนที่พระพุทธเจ้าสอนที่ไม่ได้ขยายความมาก เช่นเดียวกับในหลวงพระองค์นี้ มีพฤติภาพเดียวกัน ไม่ขยายอะไรมาก อาตมานี่แหละจะเป็นสารีบุตรมาขยายความสืบทอดแม้แต่ของพระพุทธเจ้าหรือในหลวงแต่ว่าอย่าเข้าใจซื่อพาซื่อว่าอาตมานี้คือพระสารีบุตรในยุคพระพุทธเจ้ามาเกิดในชาตินี้ นี่คือเข้าใจธรรมะไม่ได้ ว่าสิ่งหนึ่งที่เคลื่อนไปเป็นอีกอย่างหนึ่งไมใช่สิ่งเดียวกันแล้ว แต่ก็สืบทอดต่อเนื่องกันไปได้

 

สรุปแล้วในหลวงตรัสแต่ว่าแบบคนจน จึงเป็นคำยิ่งใหญ่ที่ต้องศึกษาให้ดี อาตมาว่าอาตมามีภูมิเข้าใจแบบคนจน พาพวกเรามาจนจริงๆ มุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน จนให้แล้วจนให้รอด ในหลวงตรัสว่า  

แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า“แบบคนจน”

แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอย่างมีสามัคคีนี่แหละ

คือ เมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”

 

คำว่าติดตำรามากเกินไปก็คือตำราที่เขาเรียนกันทั่วไป แต่ยกเว้นตำราของพระพุทธเจ้า แต่เราก็ไม่ติดในตำราของพระพุทธเจ้าเกินไป เพราะพระพุทธเจ้าก็สอนให้เราไม่ยึดถือตำรา ตามกาลามสูตร ในหลวงท่านทำมา แล้วก็มีการอุปถัมภ์ค้ำชูกันตามบารมี อย่างอาตมาก็มีผู้อุปถัมภ์ตามบารมี อย่างพระพุทธเจ้าก็มี แต่ว่าอาตมาเทียบไม่ได้หรอก ปางนี้อาตมาเป็นปางหมากลางตลาด อาตมานี่บารมีด้านวัตถุชาตินี้ยังสู้คุณจำลองไม่ได้เลย แต่อาตมานี่เฉียดแล้วเฉียดอีก

 

ตำราที่ทั่วไปถือกัน เป็นตำราโลกียะ ไม่เป็นตำราโลกุตระ

 

คำว่า ความจน คือ ทลิทฺทตา เป็นความจนทั่วๆไป ที่จนแบบโลกีย์ คำว่าทลิทฺทตานี่คือแปลว่ายากจน ไม่ใช่แปลว่าอยากจนที่เป็นบาลีว่า อัปปิจฉะ ความจนคือความมีน้อยๆ ถ้าความมีน้อยๆอย่างปุถุชนก็ดิ้นรนไม่อยากมีน้อย อยากจะมีมาก ส่วนโลกุตระบุคคลถึงอยากมีน้อยเรื่อยๆจนหมดตัวหมดตน ไม่มีของตน แต่ว่ามีไว้อาศัยอย่างพอดี ถ้ายิ่งมันมีเพิ่มเติมยิ่งเห็นเป็นความเฟ้อเกินซื่อสัตย์ต่อตนจริง

 

มีคำสองคำ คือ อัปปิจฉตา และ คำว่า ทลิทฺทตาคือยากจน แบบจำนน เขาไม่อยากจนหรอกแต่มันจน

 

ส่วนอัปปจิฉตาคือคนอยากจน ต้องการมาเป็นคนมีน้อย ตนเองเป็นคนจริงใจ เห็นด้วยปัญญาว่ามาจนนี่ดีกว่าไปรวย มีชีวิตยืนบนฐานความจนดีกว่าฐานความรวย จนอย่างสุขใจด้วยและคนจนโลกุตระหรืออาริยบุคคล ถ้าจนแล้วอยู่คนเดียวไม่ได้ไปไม่รอด หมดเนื้อหมดตัว อยู่คนเดียวไม่รอด แต่คนจนโลกุตระอาริยบุคคลจริง จะมีทฤษฎีปัญญาอธิบายให้คนอื่นฟังคนอื่นเห็นดีด้วยจะมาอยู่เป็นหมู่เป็นพวกมีพลังงานรวมสร้างสรรผลิตส่ิงที่ดี ตั้งแต่ปัจจัย 4 แห่งชีวิตและมีบริขารที่ขยายออกไปเผื่อแผ่คนอื่น ในเนื้อหาสิ่งจำเป็นสำคัญให้คนอื่น สิ่งจำเป็นสำคัญไปตามลำดับเช่น ข้าวเป็นหนึ่งในโลก ข้าวเป็นเอกมีวิตามี มีอาหารที่ดีที่สุดในกระบวนพืชทั้งหลาย ซึ่งรู้กันหมด ทั้งวิทยาศาสตร์ แม้พระพุทธเจ้าก็ว่าข้าวคือหนึ่งในโลก ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ข้าวเปลือกเก็บไว้นาน กินได้ไม่ตาย

 

คนจนจะอยู่คนเดียวไม่ได้คนเดียวไปไม่รอด หากอยู่สองคนขึ้นไปจะเป็นพฤติภาพแห่งชีวิต หากเป็นสามคนก็มีองค์ประกอบมากขึ้น หมุนวน ถ้ามีความรู้แต่ละด้านหรือหลายด้าน มีคนละสองนัยก็เป็นหก หากมีความรู้คนละสามนัยก็เป็น 9 ก็รวมกันสร้างสิ่งจำเป็นสิ่งดีของคนได้อาศัย มีพลังสร้างมากกว่าตนเองอาศัยกินใช้ ในสมรรถนะของตน คนที่ศึกษาปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าจะขยันสร้างสรรแล้วเหลือเฟือ แต่ละคนหรือรวมกันหลายคนจะมีอัตราก้าวหน้าเป็นบวก คูณ หรือยกกำลังมากขึ้นต่อไป แค่สามคนนะ

 

สรุปแล้วคนที่ศึกษาตามคุณธรรมพระพุทธเจ้าก็จะมีคุณสมบัติแบบนี้ แม้ 3 คนเกิด 1 เส้า แต่ถ้า 9 คนหรือ 10 คนก็จะเห็นรูปลักษณ์สมบูรณ์ขึ้น แล้วจะไม่ติดยึดเป็นเราเป็นของเรา จะสร้างให้มากแล้วสะพัดช่วยคนอื่น

 

คนเดียวก็พึ่งตนรอด อัตตาหิ อัตตโนนาโถ  แต่จะยังชีพได้เท่านั้นเป็นผลต่อคนอื่นได้ยาก ไม่เจริญดี เช่นอาตมาไม่เคยกลัวเลย ถ้าอาตมาเหลือคนเดียวไม่มีใครร่วม อาตมาก็จะปลูกมัน เผือกไว้รอบ มีที่ดินประมาณหนึ่ง ปลูกพืชผักเก็บกินแล้วกินเผือกเป็นแป้ง ผังหัวเผือกรอบที่อยู่ ไว้เก็บกินให้พอหมุนเวียนทุกวันเลย ไม่มีขาด มีชีวิตตามอายุขัย

 

ตอนอาตมาจะออกบวช มีคุณชวยไชย ช่วยหาที่อยู่ให้ ก็ไปคุยกับแม่ค้าที่ตลาดก็แนะให้ไปวัดอโศการาม แล้วไปดูที่ในป่าแสม ก็ดีเลย อาตมาก็ตัดสินใจอยู่ที่นี่ เอาเงินมาสร้างกุฏิ แม่พลวงที่เคยดูแลอาตมาก็ไม่ยอมพรากก็จะขออยู่ดูแลอาตมาต่อ อุปัฏฐากอาตมาทำอาหารมังสวิรัติให้ ตอนนั้นอาตมาเป็นฆราวาส อาตมาไม่ศรัทธาพระ เพราะเห็นว่าเสื่อมแล้ว จนกระทั่งอาตมาพูดกับท่านเจ้าคุณ ที่ท่านว่าทำไมไม่บวช อาตมาก็ว่าอีก 10 ปีจะบวช แต่ที่จริงก็ไม่เห็นว่าจะต้องบวช เพราะว่าไม่เห็นว่าใครจะมาสอนเราได้ ในเรื่องของศาสนา พูดแล้วเหมือนคนหลงตนหยิ่งผยอง ก็เลยอยู่ไป แต่อยู่ไปคนก็มามากตั้งแต่ที่พักอาตมาจนเลยถึงวัด แม้แต่พระทั้งมหานิกายและเถรวาทก็มาหา จนต้องสร้างที่รับแขกเพิ่ม พระที่อยู่ในวัดก็มองสิ เขาก็ว่าจะมาสร้างสำนักซ้อนสำนักหรือไง ก็เลยดูขัดหูขัดตา คนก็มานับถือ และสำคัญที่สอนกันคนละอย่าง มันก็เลยอยู่ไปไม่ไหว ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร โดยเฉพาะอาตมามาบรรยายธรรมะนุ่งขาสั้นใส่เสื้อคอกลมรองเท้าไม่ใส่ เดินสงบไม่วอกแวก สุขุม คนก็หาว่าบ้าเสียอีก อยู่ในร่างฆราวาส ยิ่งเป็นดาราด้วย ที่ออกโทรทัศน์มากที่สุด ออกมากกว่าพิธีกรประจำวันด้วย ดูแลหลายรายการ บางวันออกสามถึงสี่รายการ แต่เป็นรายการไม่ได้เงินคนไม่ค่อยทำอาตมาก็เลยต้องออกมาก มีคนรู้จักมาก เป็นโทรทัศน์ช่องแรกของไทยด้วย

 

แล้วออกบรรยายคู่กับคนอื่น กับพระด้วย ก็นุ่งขาสั้นเสื้อคอกลมไม่ใส่รองเท้า แล้วบรรยายโลกุตระด้วย ไม่เหมือนเขา ก็สังเกตเขาก็รับไม่ได้ เห็นว่าบ้ามากกว่าดี ก็คิดว่าไม่ลงตัว ก็เลยจะต้องใช้จีวร นี่แหละเขาว่าไม่ได้บวชโดยบริสุทธิ์ มาเอาจีวรเท่านั้นแล้วก็จริง มันซ้อนหลายชั้น อาตมาก็เลยต้องว่าจะบวช ยังไม่ถึงปีเลย ท่านเจ้าคุณก็ว่าไหนว่าอีก 10 ปีแต่อาตมาก็ว่าต้องถึงเวลาทำงาน ท่านเจ้าคุณท่านหัวเราะเอ็นดู ท่านเป็นเจ้าคุณชั้นราชฯ ก็บวชให้ ท่านก็หาบาตรให้ จีวรท่านก็มีให้ วัดอโศการามเป็นวัดพระป่า นุ่งห่มสีแก่นขนุนถูกธรรมวินัย อาตมาก็ได้ชุด มีแต่น้องซื้อบาตรให้ นอกนั้นท่านเจ้าคุณหาให้หมดฟรี

 

พอบวชแล้วเดินสำรวมอย่างเก่า คนกราบเคารพกันมากเลย นี่คือสัจจะ ไม่ได้ต่างจากรัก รักพงษ์ก็เดินเหมือนกันแต่คนหาว่าบ้า แต่พอบวชแล้ว คนกราบตามทางเลย ท่านกุสโลบอกว่าเดินเหมือนลอยเลย ผมเห็นแล้วขนลุกเลย แต่ท่านเจ้าคุณเสียชีวิตแล้ว ก็เอามาอ้างไม่ได้ สรุปอาตมาบวชแล้วก็ทำงานมีประสิทธิภาพ คนมาร่วมกัน จนเป็นอโศก อย่างมุ่งมาจนกัน จนมาเป็นกลุ่มคนจนอย่างไม่ได้เปลี่ยนจุดยืน จุดมุ่งหมายเลย

 

ขอยืนยันว่าลักษณะคนจนนี่มีสองแบบ คนจนอย่างยากจน กับคนจนอย่างอยากจน นั้นต่างกัน คนอยากจะนั้นมีปัญญาที่จะมาจน

 

จนแปลว่าไม่มีสมบัติวัตถุมาก แต่มีสมบัติทางคุณธรรมเยอะขึ้นเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดจนเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนสมบัตินั้นน้อยลงๆ มีไว้พออาศัยตามบารมี ไปสุดยอดแห่งฐานที่อาศัยพอเหมาะไม่เบียดเบียนชีวิตตน พอสบายที่ไม่แอบเสพ แต่เป็นสัปปายะ อยู่อย่างสงบ

 

คนจนทางโลกีย์คือคนที่มีวิบากบาป มีกิเลส ส่วนคนจนโลกุตระนั้นเป็นคนลดวิบากบาป ลดได้มากก็เป็นคนจนมหัศจรรย์คนจนโลกุตระได้มากเท่านั้น

 

คนรวย คืออะไร คนรวยมีนัยเดียวคือโลกียะ ส่วนโลกุตระนั้นไม่เป็นคนรวย แต่โลกียะมีแนวเดียวสายเดียวคือรวย สมบัติทางคุณธรรมนั้นยิ่งลด ถ้ายิ่งรวย เพราะสะสมกอบโกยไปหาตน แล้วไม่ทำให้เสมอภาคกับคนอื่น คนรวยคือคนที่มีไม่ให้น้อยกว่าเขา นี่คือเขตตัดสินคนรวย หากเขาเป็นคนที่มีให้น้อยกว่าเขาได้ คนนั้นคือคนจน นี่คือเขตตัดสินง่ายๆ คนรวยนั้นวัดได้ทางวัตถุ ส่วนจิตวิญญาณนั้นหากอยากรวยก็โลกียะ หากไม่อยากรวยนั้นก็เป็นโลกุตระ

 

รวยแล้วไม่พอคือโลกียะ รวยแต่ใจพอ อยากรวยน้อยลงคือโลกุตระ จนถึงขีดที่ว่าน้อยได้ที่สุดเท่าไหร่ แล้วจะมีอจินไตยที่คนมีจิตไม่อยากมีได้เลย ยิ่งมีจิตอย่างนี้ยิ่งจะมีมาก ยิ่งจะมีคนยอมรับนับถือศรัทธาสงเคราะห์เป็นสัจจะอจินไตย อาตมาถึงไม่กลัวจน ทุกวันนี้อาตมาก็จนอย่างไม่จน ไม่ขาดแคลน แต่ก็ต้องเคยแบบสบายๆ มีแต่รู้สึกว่าตื่นเต้นจะไปรอดไหมนี่ตลอดเวลา ที่พูดนี้ไม่ได้ตื่นเต้นตลอดเวลาแต่ก็สงบไม่ได้อย่างสบาย ว่าเดี๋ยวก็มาเอง พวกคุณนี่ไว้ใจอาตมาว่าเดี๋ยวก็มาเอง ไม่ได้นะ ตายเลย

 

ส.ฟ้าไทว่า..ถ้าได้ง่ายพวกผมก็จะไม่ขยัน แต่ถ้าต้องลุ้นช่วยพ่อครูก็เลยต้องขยันไปด้วย

 

พ่อครูว่า...ขณะนี้เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ และมีดีเอ็นเอพุทธหยั่งลงแล้ว ขยายไปเรื่อยๆ แพร่ DNA พุทธไปเรื่อยๆ ไม่ได้พูดลอยลม แต่เป็นเชื้อจริง เชื้อนี้เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งเป็นธาตุพลังงานทางวิญญาณ ถ้าได้จริงก็จะอยู่หากไม่จริงก็ไม่อยู่หรอกเพราะอาตมาพามาเหนื่อย แล้วก็มีแต่ถูกว่าด้วย

 

ความจนที่มหัศจรรย์คือจนแต่ไม่ขาดแคลน จนแต่อุดมสมบูรณ์ จนกระทั่งเผลอไม่ได้ ถ้าเผลอจะสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยทิ้งขว้างนี่เกิดแล้วในชาวอโศกบ้างต้องช่วยกันดูแล เป็นนิสัยที่ดีของแต่ละคน ก็ช่วยกันเก็บงำมัธยัสถ์ ถ้าช่วยกันแล้วจะอุดมสมบูรณ์กว่านี้ แล้วเราก็ไม่สะสมด้วย มีนิสัยสะพัด ไม่ต้องการมาก ต้องการที่จะพอหมุนเวียนสมดุล เรามีภูมิธรรมรู้ ทั้งก้อนที่เป็นคงคลังทั้งทรัพย์สำรองและหมุนเวียนอย่างได้สัดส่วน พอเหมาะไม่กักตุน เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้เรื่องนี้ ทำกันอย่างเหนื่อย ตื่นเต้น ไม่เชื่อถามคุณแมวดู ที่ดูแลเงินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปะงามงาน ปานรุ้งที่ช่วยดูแลอยู่ ที่บ้านราชฯ ที่สันติฯก็มีวนิดา บุษดีดูแลอยู่ เหมือนนายธนาคาร แต่เป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อโลกุตระ จึงบารมีของโพธิรักษ์จึงเฉียดฉิว ตื่นเต้นตลอดเวลา

 

ประเทศไทยในหลวงตรัสว่า...“เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่..ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก  เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง ประเทศเหล่านั้นที่่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า       จ ะ มี แ ต่ถ อ ย ห ลั ง  และถอยหลังอย่างน่ากลัว  แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า“แบบคนจน” แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือ เมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”

 

 

พวกประเทศอุตสาหกรรมทางยุโรปทำได้เจริญก่อน พอเจริญก่อนก็มาตีเอารายได้ แม้ทุกวันนี้เอเชียก็ไม่เก่งอุตสาหกรรม แต่รู้ว่า แม้เขาเก่งอย่างไรทางนี้ก็มีเงินไปซื้อมาแข่งได้ อย่างไรๆทางเศรษฐกิจทางยุโรปก็สู้เอเชียไม่ได้ ยิ่งเอเชียจะจับมือกันแล้วจับมือกับจีนอีก เมื่อเอเชียผนวกกับจีนแล้วอินเดียที่อยู่ตรงกลาง เขาจะไม่แคร์ใครเท่าไหร่ พลเมืองเขาจะมากเท่าไรก็ตาม นอกจากจะมีสิ่งลึกซึ้งว่าอินเดียไปอยู่ในประเทศไหนก็จะไม่ถูกกลืน ยังมีเลือดอินเดียอยู่เสอม คนเหล่านั้นลึกทั้งเจโตและปัญญา เขาเจริญมาก่อนใครแล้ว ทุกวันนี้ไทยจะขอแบ่งส่วนจากอินเดียมาบ้าง เพื่อทำให้สมกับยุค แต่ไทยก็จะไม่ขัดแย้งกับอินเดียว และไทยก็จะไม่ขัดแย้งกับจีนด้วย ส่วนทางอเมริกาก็ไม่ขัดแย้งแต่ไม่ร่วมด้วย เพราะจิตมีเนื้อเมตตาร่วมด้วย ถ้ามีเมตตาที่จิตก็จะเกิดกาย_วจี เมตตาด้วย เมื่อมีเนื้อแท้เมตตาจะเกิดสาธารณโภคี มีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ในสาราณียธรรม 6 ได้จริง

 

ภูมิใจที่ยุคนี้มีสาธารณโภคีได้ อโศกเป็นได้จริงก็พิสูจน์กันต่อไป เพราะมีแก่นแกนพุทธธรรมแล้วมีแต่จะขยายเชื้อDNAพุทธออกไป จะแพร่ไปอีกจนกว่า(ขออภัยที่พยากรณ์) อีก 500 ปีจะถึงยอด ไม่มีเสื่อมพอถึง 500 ปีก็ค่อยเสื่อมลง จนกว่าจะสิ้นสุดอายุศาสนาพุทธ ครบ 5000 ปี ก็จะน้อยลงๆๆไป พูดโดยมั่นใจว่าเป็นความจริง ตอนนี้เราจะทำให้ถึง 500 ปี ใครตายก่อนก็จะมาเกิดมาร่วมกันทำไป จะมีพวกอโศกที่ตายไปแล้วเกิดในในท้องคนอโศก แต่เกิดไม่ทันเพราะเกิดน้อยก็ไปเกิดอยู่ภายนอกแล้วก็จะกลับมา แต่อย่าหมายว่าลูกของใครในนี้จะมีโลกุตรธรรมหมด อย่ายึดมั่นถือมั่นเช่นนั้น ก็ทำใจให้ดีไม่เช่นนั้นจะอกหัก

 

คนไทยมีDNA ของคนจนมหัศจรรย์หยั่งลงแล้วก็จะช่วยคนได้เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

ความจนกับความรวยนี้ดูเผินๆดูยาก คนภายนอกมาก็จะบอกว่าอโศกเป็นคนรวยทั้งนั้น เขาไม่บอกว่าบ้านราชฯเป็นคนจนหรอก แต่คนเหล่านั้นไม่เห็นยอดของหัวอกโพธิรักษ์หรอกว่ากระเบียดกระเสียนเท่าไหร่ พยายามหมุนอยู่ อย่างอดอย่างเยี่ยงอย่างเสือสงวนศักดิ์ โซก็เสาะใส่ท้องจับเนื้อกินเอง(เอาโคลงเขามาว่านะเราไม่กินเนื้ออยู่แล้ว) คือได้กินก็รอดไม่ได้กินก็ตาย แม้จนก็ปรารถนาดีช่วยคนอื่น คนที่ได้ศึกษากล่อมเกลาให้คนมีจิตเช่นนี้มีเมตตากาย_วจี/มโน แล้วอยู่รวมกันมีของส่วนกลางเป็นสาธารณโภคี แล้วทุกคนก็กินเจียมนุ่งเจียมห่มเจียม คนมีฐานแข็งแรงก็ให้อยู่ไหนก็ได้ เขาให้อยู่ ปลอดภัยไม่ว่าหญิงชาย พออยู่ได้ ฐานของคนมาอยู่ที่นี่จึงพอเหมาะ(ปโหติ) ทั้งรูปและนาม

 

เมื่อแก่นแกนโลกุตรธรรมหรืออาริยธรรมนี้เกิด ทุกวันนี้ดีขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่สิ่งจำเป็นสำคัญ เรามีความรู้ความสามารถแล้วจะมีบุคคล ที่จะค่อยเห็นจริงแล้วมาเสริมมาร่วม ทั้งผู้มีบารมีความรู้ความสามารถทางโลก เรายืนหยัดสาธารณโภคี มาทำงานฟรี มาลดกิเลส ถ้าเป็นอนาคามีก็สบาย แล้วไม่โทษใครแล้วโทษแต่ตนเอง เราจะมีปัญญารู้ว่าเหลืออะไรในตน ถ้ายังไปโทษคนอื่นก็ยังไม่ใช่อนาคามี มีแต่โทษตนเอง อนาคามีจึงเป็นโอปปาติกะ ไม่โทษใคร ไม่เป็นภัยกับใคร นี่คือจิตอนาคามีเป็นต้นไป จะทุกข์ร้อนก็อยู่กับตน อึดอัดก็อยู่กับตนไม่ถือสา มีปัญญารู้ว่าคนไหนสูงหรือต่ำ อนาคามีจะเข้าใจไม่หนีจากหมู่ จะเข้าใจมาตามขั้นตอน ให้ตายอย่างไรก็ไม่หนี เขาขับก็ไม่ไป แต่สัจจะลงตัวคนดีแล้วไม่มีใครขับหรอก

 

สรุปแล้วพลังงานสร้างสรรของคนกลุ่มนี้สร้างสรรแต่ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา เราไม่หนีสังคมไม่เหยียดความรู้ทางโลก เราเอามาสร้างสรร สร้างแล้วก็ไม่เอามาเป็นเครื่องมือเอาเปรียบสร้างแล้วสะพัดแจกจ่าย มารวมกันหมดก็เป็นการสร้างเพื่อผู้อื่นและเป็นสิ่งสำคัญจำเป็นกับโลกด้วยที่สร้างมา

 

ความรวยกับความจน คนที่เข้าใจรู้ว่าความจนเป็นเรื่องไม่เดือดร้อนไม่ทุกข์ แต่กลับสงบ สบายเป็นประโยชน์ จะยินดีพอใจเอง มันเป็นของใครของมัน แล้วเห็นเลยว่ามาจนนี่ไม่เบียดเบียน เรามาจนนี่ก็ไม่เอาจากคนอื่น เราสร้างได้มากก็สะพัดสู่คนอื่นอีก คนมีจุดยืนเช่นนี้ มีสมรรถภาพสร้างให้มากพึ่งตนรอด แล้วมีเหลือเกินก็สะพัดให้คนอื่น เราไม่มีสะพัดที่ไหนก็มีกองกลางรวมช่วยคิดสะพัด เป็นระบบบริหารที่ไม่ต้องไปเรียนที่ไหน แต่รู้จักคงคลัง สำรอง สะพัด ก็ทำอย่างรู้ ก็ระมัดระวังช่วยกันอย่าให้เกินจริงที่เรามีทั้ง คงคลัง สำรอง สะพัด ให้ไม่ติดขัด

 

สรุปแล้วอโศกพึ่งตนรอด มีส่วนเกินมากขึ้นแล้วสะพัดสู่คนอื่น ทำให้จนถึงขีด คนมีคุณ บุญมีค้ำ กิจกรรมมีผลเจริญ คนมีคุณคือเมื่อสละกิเลสได้ก็จะมีประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน จนเป็นอรหันต์ก็มีแต่ประโยชน์ท่าน คือคนกำไรไม่มีขาดทุนเลย กำไรแต่ถ่ายเดียวคือได้ให้เขาถ่ายเดียวเลย คือคนรวยไม่รู้สิ้นสุด ไม่สะสมเป็นของตนด้วย โดยเฉพาะมีระบบองค์รวมสาธารณโภคี ก็อาศัยกินใช้ส่วนกลาง สบายมาก แล้วเราก็หมุนเวียนสร้างสรร แล้วเสริมสมรรถนะ ไปเรื่อยๆ

 

ทิศทางพระพุทธเจ้านี้เพิ่มความขยันสมรรถนะความสามารถ เพิ่มความรู้ที่มีดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าชาวกสิกร วิศวกร ไม่ว่าจะกรอะไรในงานที่ควรในโลก จะเป็นนิเทศกร, โภชนากร, เภสัชกร, แพทยกร, ปฏิบัติกร, กรรมกร ตกลงสุดท้ายมาเป็นกรรมกร นอกจากใครจะมาขอให้เป็นกรรมการก็เป็นชั่วคราว ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าจะเป็นกรรมการตลอด ตกลงเราเป็นกรรมกรตลอดกาล ...จะเอาไหม....เอา ทำไมมักน้อยจัง

 

คนจนที่มุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน นี่คือคนมีปัญญา แล้วคนรวยที่ต้องการให้ตนมีมากนี้คือคนบาป คนรวยนั้นจะเป็นคนเลวชั่ว แล้วก็เจริญขึ้น (รวยโลกีย์) เป็นเลวชาติ แล้วเป็นเลวบรรลัย สามขั้นตอน

เลวชั่ว_เลวชาติ_เลวบรรลัย

 

เลวชั่วคือ คนรวยจะเริ่มชั่วไปเรื่อยๆ สะสมรวยสะสมชั่วไปเรื่อยๆ สะสมชาติ เกิดชาติใดในจิตก็คิดแต่รวยนี่ก็เลวชาติ ส่วนเลวบรรลัยไม่ต้องขยายความเลย เลวทำร้ายทำเสื่อมเดือดร้อนทั้งนั้น ถ้าสั่งสมความชั่วชนิดอยากรวยนี่รวยชาติ เกิดเมื่อไหร่ก็อยากรวย

 

ขอยืนยันว่าคนจนแบบนี้ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์เป็นศัตรูกับคนรวย เป็นแต่เพียงไม่อยากให้คุณติดยึดอยากรวยนี่ไปสู่ชั่วแล้ว ถ้าคุณอยากจนนี่มันเป็นการมาสู่ดี คนมาอยู่กับอโศกนี่ต้องจน ใครไม่กล้าจน ก็ถอยได้ไม่อยู่ในตระกูลของหมอเขียว เพราะหมอเขียวนี่แต่เดิมชื่อว่า สำเริง ยังระริกระรี้อยู่ไม่มาก แล้วนามสกุลว่า มีทรัพย์ ถ้าอยู่ทางโลกนะ แต่พอมาเจอของจริงก็ไม่เอาแล้วก็มาเอาจริง ตัดเลย เป็นใจเพชร แล้วก็มาจนดีกว่า ตั้งหลักเลย จะขอเป็นคนจน เป็นใจเพชร กล้าจน นี่เป็นสัจจะที่ดูกันไปเข้าใจกันไปตามสัจจะ

 

สรุปว่า โปรดติดตามฟังต่อๆไปเรื่อยๆ สรุปอีกทีว่า ประเทศไทยกำลังมีDNAชมพูทวีปหยั่งลงแล้ว มีสุรภาโว สติมันโต แล้วมีคุณสมบัติของพรหม คือเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีจิตเมตตาจริงแล้วรูปลักษณ์ตั้งแต่มหาภูตรูป โคจรรูป ปสาทรูป ภาวรูป มีภาวะที่สร้างปรากฏการณ์แก่โลกให้ได้อาศัย ได้อยู่อย่างแท้จริง เพราะเป็นความจริงของใจที่เป็นรากเหง้าเป็นมโนเสฏฐา มโนมยาต่อไป....


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:21:08 )

580113

รายละเอียด

580113-สรรค่าสร้างคน(25) เรื่อง ข้าวเปลือกคืออาวุธอย่างยิ่ง

พ่อครูว่า...วันนี้อังคาร 13 ม.ค. 58 แรม 9 ค่ำ เดือนยี่ปีมะเมีย ...มีคนบอกว่าตอนนี้เลยหกโมงมา 6 นาที แต่อาตมาว่า 7 นาที .เวลาของอาตมามันวิ่ง เวลาของพวกคุณมันเดิน  ก็เลยต่างกันนิดนึง  วนบ.ปิดเทอม อาตมาไม่รู้ว่าจะเปิดเมื่อไหร่ แต่อาตมาก็จะบรรยายตาพึด

 

เราเป็นคนที่อยู่เป็นหน่วยหนึ่งของประเทศไทย เราจะทำเป็นนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็นไม่ได้ อาตมาไม่ทำ แล้วอาตมาก็มาบอกแจ้งความเห็นควรว่า คนไทยควรมีจิตสำนึก เอาใจใส่บ้านเมือง ถ้าคุณมีแนวคิดจะไปอยู่ป่าเขาถ้ำก็อีกเรื่องหนึ่ง แนวคิดเช่นนี้นอกรีตศาสนาพุทธโดยตรง เอาชีวิต เอาความรู้สึก ความเห็นหนีไปจากสังคม เพื่อนร่วมโลก แต่แล้วเอาตัวเองหนีไปนอกสังคม อาตมาว่า ศาสนาพุทธไม่ได้มีแนวคิดเช่นนี้เลย แนวคิดออกป่าเขาถ้ำ นี่นอกรีตจริงๆ ขออภัยที่พูดแรง แต่ใครฟังเอาปัญญา ได้ประโยชน์ ถ้าไม่เห็นก็ลองปฏิบัติดู อาตมาไม่ได้พูดให้ใครมานับถือ มีเจตนาจริงใจปรารถนาดี ไม่อยากให้ผิด หลงทิศทาง

 

อาตมายิ่งเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย จนเกิดรูปสังคมที่มีพฤติกรรมสังคม ที่อ้างอิงได้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส วันนี้จะเอาบทความที่กำลังเป็นที่สนใจ Hot กันในสังคมมาพูด

แน่แค่ไหนก็เอาไม่อยู่(ไทยรัฐ) 580113

ในการชี้แจงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในฐานะผู้ถูกร้องถอดถอน นอกจากอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะอ้างว่าจากผลการศึกษาวิจัย ว่าโครงการรับจำนำข้าวแก้ปัญหาดีที่สุดแล้ว ยังได้วางมาตรการขั้นตอนต่างๆ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพ และป้องกันการทุจริตด้วย แต่ไม่ได้บอกว่าอะไรคือมาตรการเสริมสร้างประสิทธิภาพ และป้องกันการทุจริต?

แต่จากการตรวจสอบของนักวิชาการหลายฝ่าย ยืนยันตรงกันว่าโครงการรับจำนำข้าว ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง จากการตรวจสอบของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่ามีข้าวเหลืออยู่ 17.9 ล้านตัน เป็นข้าวคุณภาพดีเพียง 10% คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน 90% เป็นข้าวสีเหลืองที่เสื่อมคุณภาพ 70% ที่เหลือเป็นข้าวเน่าเสียบริโภคไม่ได้ ต้องเอาไปทำเอทานอล

รายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีระบุว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 4 โครงการ ในเวลาสองปีเศษ ขาดทุนไปราว 5.1 แสนล้านบาท แม้แต่รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลท่านหนึ่ง ก็คงจะคาดไม่ถึงว่าจะก่อความเสียหายร้ายแรง จึงให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ถ้าโครงการเสียหายถึง 6 หมื่นล้านบาท เท่ากับที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ใช้ รัฐบาลเพื่อไทยคงอยู่ไม่ได้

คณาจารย์นิติศาสตร์ชื่อดัง สามท่าน ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ ให้ตรวจสอบและเอาผิดผู้เกี่ยวข้องโครงการรับจำนำข้าว ฐานประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ส่วนมาตรการป้องกันการทุจริต ถ้ามีอยู่จริงก็ต้องถือว่าไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง จึงมีหลายฝ่ายเตือนรัฐบาลมาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นสถาบันวิจัย สำนักงานการ ตรวจเงินแผ่นดิน และ ป.ป.ช.

แม้แต่ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ที่ปรึกษารัฐบาล ก็เคยเตือนว่าโครงการรับจำนำข้าวทำลายวินัยการเงินการคลังของประเทศ และมีการทุจริตหลายขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกโรงสีจนถึงการระบายข้าว ไม่ว่ารัฐบาลจะแน่แค่ไหนก็เอาไม่อยู่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ระบุว่ามีพ่อค้าพรรคพวกนักการเมืองได้ส่วนแบ่งจากโครงการ 84,000 ล้าน

ทำไมโครงการรับจำนำข้าวของ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงขาดทุนระดับอัครมหาศาลไม่ต้องระดับอัจฉริยะ แค่เด็กชั้นประถมก็คิดออก ผู้บริหารสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยท่านหนึ่งเคยชี้ให้เห็นภาพว่า ต้นทุนข้าวรับจำนำเกือบ 30 บาท ต่อ 1 กก. พ่อค้าข้าวส่งออกขาย 20 บาท แต่รัฐบาลขายได้เพียง 10–11 บาท เท่ากับว่าลงทุนไป 30 บาท แต่ได้คืนแค่ 10 บาท

มีการกล่าวหาเรื่องการทุจริตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบนำข้าวประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิจำนำ การรับจำนำข้าวลม และการทุจริตในการขายข้าวภายใน ประเทศ และการส่งออก รัฐธรรมนูญชั่วคราวจึงกำหนดไว้ชัดเจนห้ามบริหารประเทศโดยมุ่งสร้างความนิยม ทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศและประชาชนผู้ฝ่าฝืนต้องรับผิดชอบ.

ทีนี้มาถึงบทความของ นสพ.ข่าวสด เป็นหนังสือในเครือมติชน

วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8812 ข่าวสดรายวัน

ใช้สมองหรืออำนาจ

ชกไม่มีมุม         โดย  วงค์ ตาวัน

คน กลุ่มหนึ่งป่าวร้องว่า ถ้าลงเอยสนช.ไม่ถอดถอน ยิ่งลักษณ์ เท่ากับว่าการปฏิวัติของคสช.นั้นเสียของ และเท่ากับว่านโยบายปราบคอร์รัปชั่นไม่บรรลุเป้าหมาย

ถ้าไปถามคนอีกฝ่าย เขาก็จะตอบว่า คนที่รักประชาธิป ไตยจะไม่สนับสนุนการปฏิวัติ จึงไม่แคร์ว่าปฏิวัติแล้วเสียของหรือไม่เสียของ

เป็นเรื่องของคนฝักใฝ่การรัฐประหารเท่านั้น ที่จะห่วงใยว่ายึดอำนาจจากประชาชนไปแล้ว จะเสียของหรือไม่เสียของ!?

ประการ ต่อมา ถ้าไม่ถอดถอนยิ่งลักษณ์ เท่ากับการปราบคอร์รัปชั่นไม่บรรลุเป้าหมาย ก็ต้องถามคนพูดว่า แล้วการจำนำข้าวมันคอร์รัปชั่นตรงไหน ตอบอย่างเป็นหลักเป็นฐานหน่อยได้หรือไม่

จนป่านนี้ป.ป.ช.ยังไม่สามารถชี้ได้เลยว่า จำนำข้าวคอร์รัปชั่นอย่างไร ใครคือคนโกง

แต่กำลังจะเอาผิดผู้รับผิดชอบนโยบายหาว่าปล่อยปละละเลยให้โกง!??

ทั้งปลายทั้งปวงจึงสะท้อนความกลัวของคนกลุ่มหนึ่งมากกว่า

กลัวยิ่งลักษณ์ กลัวว่าถ้าไม่ใช่อำนาจพิเศษจัดการให้หมดอนาคตทางการเมืองแต่บัดนี้

ปล่อยให้ลงสนามเลือกตั้งใหม่ พวกตนจะสู้ไม่ได้

กลัวว่าจะสู้ในสนามเลือกตั้งไม่ได้ เลยต้องทำลายให้สิ้นซากไปเสียก่อน

ความคิดตื้นๆ เช่นนี้ ทำมาแล้วกับทักษิณ ผลก็คือ พรรคเครือข่ายทักษิณยิ่งได้รับเสียงจากชาวบ้านถล่มทลาย

นี่กำลังจะคิดจัดการกับยิ่งลักษณ์แบบไม่ฉลาดอีกครั้ง!

ถ้าจะจัดการกับยิ่งลักษณ์อย่างฉลาด ถ้าจะล้มนโยบายจำนำข้าวอย่างใช้สมอง ต้องไม่ใช่อำนาจพิเศษมาจัดการ

ต้อง ให้ประชาชนส่วนใหญ่มองเห็นว่า นโยบายจำนำข้าวไม่ถูกต้องเช่นไร หรือทำให้เสียหายต่อประเทศชาติอย่างไร ให้ประชาชนตัดสินใจให้ได้ว่านโยบายนี้ดีหรือไม่ดี

หากคนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วยกับจำนำข้าว เขาจะฮือกันไปลงโทษนโยบายนี้และยิ่งลักษณ์ รวมทั้งพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไป

นั่นคือการจัดการกับเครือข่ายทักษิณและนโยบายที่โจมตีกันว่าเป็นประชานิยม

อย่างฉลาดและอย่างถูกจุดมากกว่า!

จัดการอย่างเคารพในกติกาที่โลกยอมรับ และจัดการด้วยการตัดสินใจของชาวบ้าน

ในเมื่อยิ่งลักษณ์มาจากการเลือกตั้งและนโยบายจำนำข้าวยึดโยงกับคะแนนเลือกตั้ง ต้องทำลายให้ถูกจุดถูกช่องทาง

ไม่ใช่ด้วยอำนาจพิเศษและสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

อันสะท้อนถึงความกลัวมากกว่า กลัวว่าจะสู้ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านั้นเอง

ใช้สมองจัดการกับยิ่งลักษณ์เถิด!

 

พ่อครูว่า นี่ใครอ่านหรือฟังตามเขาไปก็อาจมึนๆงงๆ แล้วเขาให้ใช้สมองจัดการ  พ่อครูว่านอกนั้นเขาใช้ปัญญาหมด ส่วนสมองนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจเท่านั้น แต่คนนี้เขาบังคับให้ใช้สมอง แต่เราใช้ปัญญาที่เป็นตัวแท้ความเข้าใจ นี่ไม่ได้พูดเลี่ยงเล่นนะ แต่พูดด้วยหลักวิชาของศาสนานะ

ต่อไปเป็นบทความของคุณปู จิตรกร บุษบา ...

ถอดถอนยิ่งลักษณ์ : นักแสดงชั้นเลิศ กับบทชั้นเลว!

“แล้วเราจะทิ้งชาวนาที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติได้อย่างไร ข้าวที่อยู่บนโต๊ะท่าน ก็มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของชาวนา”

นี่คือ “บทพูด” ที่ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ตั้งใจนำเสนออย่างที่สุด ด้วยน้ำเสียง สีหน้า ภาษากาย และจังหวะจะโคน ที่ “บรรจงสื่อสาร” เพื่อคั้นอารมณ์สะเทือนใจและสร้างความประทับใจอย่างที่สุด

หากเป็น “นักแสดง” คนหนึ่ง ผมเชื่อว่าคนเขียนบทก็ดี ผู้กำกับก็ดี คงจะบอกกับเธอว่า บทพูดตรงนี้คือ “จุดสุดยอด” ของเรื่อง เราจึงเห็นนักแสดงคนนี้ มีอาการที่วัยรุ่นสมัยนี้เขาเรียกว่า “ฟิน” เมื่อได้พูดประโยคนี้ออกมา

หากแต่การ “รับจำนำข้าว” ที่มีมูลค่าความเสียหายหลายแสนล้าน และการสูญเสีย ชีวิตชาวนาที่ต้องฆ่าตัวตายไปหลายสิบคน เพราะทนทุกข์กับการถือใบประทวนที่ขึ้นเงินไม่ได้ มันเป็นเรื่องจริง และเป็นชีวิตจริงๆ ที่ “หลุดลอย” ออกจากร่างของพวกเขาไปแล้ว มิใช่การแสดง

หากคุณยิ่งลักษณ์ “ใส่ใจ” ว่ามันคือเรื่องจริง สิ่งที่เธอควรสะเทือนใจคือ การกระทำของเธอเอง!

เธอบริหารโครงการรับจำนำข้าวล้มเหลว สร้างผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินให้เสียหายไปกับเรื่องที่ไม่ควรเสีย แถมยัง ต้องเสียชีวิตของชาวนาที่รอคอยเงินจากใบประทวนของเธอจนสิ้นหวัง กระดูกสัน หลังของชาติที่เธออาทรนักในวันนี้ ตายไปเพราะรัฐบาลของเธอไม่มีเงินไปให้พวกเขา แต่เธอก็เดินยกเท้าก้าวความคนตายเหล่านั้นมาอย่างไม่ไยดี แล้วมารับบท “นางเอก” พูดประโยคที่แสนสวยงามนี้ ขณะเป็นแค่ “อีชาติชั่ว” ของครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป

โปรดตั้งสติ และยอมรับกันได้แล้วว่า การเมืองของบ้านเรา บุคลากรทางการเมืองของเราบางคน คือประจักษ์พยานที่สมบูรณ์ยิ่งในการยืนยันว่า “การเมืองของเรา มาถึงยุคที่ไร้คุณธรรม จริยธรรมอย่างสิ้นเชิงแล้ว”

A) ยิ่งลักษณ์แสดงวาทกรรมจากโพยเรื่อง “การถูกถอดถอน” ว่า จะมาถอดถอนอะไรกับคนที่ไม่มีตำแหน่งให้ถอดถอนแล้ว และที่สำคัญ ตัวเธอนั้นถูกถอดถอนมาถึงสามครั้งสามคราแล้ว จาก 1.การยุบสภา 2.การถูกคำสั่งศาลให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ และ 3.ประกาศของคณะรัฐประหาร

มาดูความจริงกัน ว่า “บทพูด” นี้ เป็นคำพูดของ “นางเอก” หรือ “นางตอแหล” ประจำโรงลิเก

1) กระบวนการถอดถอน เป็นกระบวนการเอาผิดในทางการเมือง เพื่อนำนักการเมืองที่ไร้คุณธรรม จริยธรรม ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ หรือทำผิดกฎหมาย สร้างความเสียหายออกจากวงการเมืองชั่วคราว เขาจึงเลือกให้ “ฝ่ายการเมือง” เป็นผู้พิจารณา ตามคำเสนอของ ป.ป.ช. ซึ่งมีหน้าที่ทั้ง “ป้องกัน” และ “ปราบปราม” การกระทำทุจริต ประพฤติมิชอบ

ในการถอดถอนนี้ กฎหมายกำหนดให้พิจารณาแต่เพียงว่า แม้พฤติกรรมนั้น “ส่อว่า” จะกระทำความผิด ก็ให้พิจารณาถอดถอนได้ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดตามมาอีกมาก และมีผลตามมาคือ ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ดังนั้น การพิจารณาว่าจะถอดถอนหรือไม่ จึงไม่ได้มีแค่ประเด็นว่าคนคนนั้นยังดำรงตำแหน่งอยู่หรือไม่ แต่การกระทำเมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ส่อว่าหรือเชื่อได้ว่าทำผิดหรือไม่ต่างหากเล่า หากเชื่อได้ว่า ก็ต้องมีมติถอดถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งหลังมีมติ ใครไม่มีอะไรจะให้ถอดแล้ว ก็ช่างเขาหรือหล่อน แต่โทษตัดสิทธิ 5 ปี จะมีผลกับเขาหรือหล่อนทันที การพิจารณาถอดถอนจึงเป็น “ภาระผูกพัน” ให้ต้องกระทำ เพื่อผลตรงนี้ เพราะเป็นกระบวนการที่ออกแบบไว้ เพื่อคัดนักการเมือง “สายพันธุ์เลว” ออกจากระบบชั่วคราว ให้เขามีเวลาปรับปรุงตัว แล้วค่อยหวนกลับมาเสนอตัวใหม่ หากอ้างว่า ไม่มีตำแหน่งแล้ว กระบวนการถอดถอนต้องจบไป ต่อไปคนที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูล แล้วส่งต่อสู่กระบวนการพิจารณาถอดถอน มันมิรีบลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้กระบวนการถอดถอนจบสิ้นกันหมดดอกหรือ แล้วโทษตัดสิทธิ 5 ปี จะมีไว้ใช้กับสุนัขตัวไหน? ดังนั้น ยิ่งลักษณ์แสดงบทนี้ได้ดีครับ ช่วยทำให้ สนช. หลายคนไขว้เขว ต่อหลักการถอดถอนได้ เพียงแต่บทพูดและตัวละครที่เธอแสดง เป็นบทหญิงกะล่อน และตัวละครเลวๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น

2) ยิ่งลักษณ์อ้างว่า ตัวเองถูก “ถอด” มาแล้ว 3 รอบ ก็เป็นบทมุสาวาจาและวาทกรรมบิดเบือนจากนักเขียนบทใจทราม ไร้ศีลธรรมเท่านั้น เพราะ 1.การประกาศยุบสภา ไม่ใช่การถอดถอน แต่เป็นการ “จนมุม” ทางการเมือง ประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านเธอเป็นล้านๆ คน เธอจึงเลือก “หนีความรับผิดชอบ” เรื่องการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มีเนื้อหาเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพี่ชาย ผิดหลักกฎหมายนิรโทษกรรมตามที่สากลประเทศเขาทำกัน จึงไม่มีใครไป “ถอด” เธอ แต่เธอเลือก “เปลี่ยนเสื้อผ้า” เพื่อจะ “หนี” เท่านั้น

2.การถูกศาลพิพากษา ว่าแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี โดยมิชอบ เป็นการกระทำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้เครือญาติได้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ก็มิใช่การถอดถอน แต่เป็นการ “ทำผิดกฎหมาย” อุปมาเหมือนโจรปล้นบ้านคนอื่นเขา แล้วแอบอ้างเป็นว่าฉันเป็น เจ้าของโรงทาน บุญไม่มีหรอกครับ เพราะทรัพย์ที่เอามาแจกเป็นทรัพย์คนอื่น เป็นการกระทำที่ไม่สุจริต เป็น “เจ้าแม่กาลี” มิใช่ “เทพธิดา”

3.ประกาศของคณะรัฐประหาร ยิ่งมิเกี่ยวอะไรกับนางสาวยิ่งลักษณ์เลย เหตุเพราะเธอกระทำการต้องห้ามตามกฎหมาย เป็นผลให้เธอพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ไปแล้ว ไม่แม้แต่จะอยู่ในสภาพ “รักษาการ” การยึดอำนาจของ คสช. จึงไม่ได้ยึดอำนาจคุณยิ่งลักษณ์ แต่ยึดอำนาจรัฐที่อยู่ในสภาพ ผีหัวขาด” และ “ป่วยหนัก” มาควบคุม และบริหารจัดการเพื่อให้ประเทศชาติมีทางออก ประชาชนไม่ต้องเผชิญหน้ากันจนอาจถึงขั้นบาดเจ็บ ล้มตาย สถาบันพระมหา กษัตริย์ไม่ต้องถูกดึงไปสู่การตัดสินทางการเมืองเรื่อง “ใครจะเป็นนายกฯ” เพื่อ “ผ่าทางตัน”

ในข้อนี้นั้น จึงเท่ากับว่า คุณยิ่งลักษณ์หยิบบทผิดมาเล่น เสมือนคว้าบท “นางตอแหล” มาแสดง โดยนึกว่ามันเป็นบทพูดของ “นางเอก” ซึ่งน่าเห็นใจเธอเป็นอย่างยิ่ง แต่ผู้ตัดสินอย่าง สนช. ไม่ควร “เห็นใจ” เพราะท่านมีหน้าที่ “กึ่งตุลาการ” ต้องตัดสินความถูกผิดตามความเป็นจริง ไม่ได้อยู่ในฐานะ “พ่อยกนางเอกลิเก” ที่จะตัดสินจากอารมณ์ความรู้สึกจากการชม “การแสดง”

B) คุณยิ่งลักษณ์ซึ่งรูปโฉมโนมพรรณควรเป็นนางเอ๊กนางเอก หยิบบทพูดของ “นางตอแหล” ประจำโรงมาเล่นอีกหลายตอน เช่น

1.โครงการรับจำนำข้าว ไม่ใช่โครงการใหม่ ทำมาตั้งแต่ปี 2524 สมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ การช่วยเหลือชาวนาไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกรัฐบาลในโลก ก็มีโครงการช่วยเหลือในลักษณะนี้

ตอบ : การที่รัฐบาลมีโครงการช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งเป็นราษฎรของประเทศน่ะ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก และไม่ใช่ประเด็นที่เขาจะถอดถอนคุณยิ่งลักษณ์ด้วย ใครเขาจะบ้า ถอดถอนคุณ เพราะคุณทำโครงการช่วยราษฎรล่ะ แต่ “วิธีที่คุณทำ” ต่างหากล่ะ

ที่สร้างปัญหา ถามว่ารัฐบาล พล.อ.เปรม หรือกระทั่งรัฐบาลพี่ชายคุณยิ่งลักษณ์ มีโครงการรับจำนำข้าวใช่ไหม ตอบว่าใช่ แต่เขารับทุกเมล็ด ในราคาสูงกว่าตลาดไหม เขาโง่ เก็บในรูปของข้าวสารเพื่อให้มันเสื่อมสภาพเร็วๆ ไหม เขามีอิทธิพลเหนือตลาด ทำลายตลาดซื้อขายข้าวในประเทศจนย่อยยับไหม พ่อค้าไม่มีปัญญาซื้อข้าวแข่งกับรัฐบาล จนไม่สามารถทำยอดส่งออก เท่าที่เคยทำใช่ไหมวิธีการของพวกเขาจึงไม่ได้สร้าง ปัญหาและความเสียหายเท่าวิธีการของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อุปมาเหมือนผู้หญิงมีผัว ผิดเหรอ? ไม่ผิดหรอก แต่จะผิดทันทีหากผัวที่มีนั้น เป็นผัวของหญิงอื่นอยู่แล้ว จู่ๆ คุณก็เอามาทำผัวซ้ำ ส่วนตัวเลขที่ไม่ตรงกัน จะใช้ฐานไหน ว่ามูลค่าความเสียหายเท่าไหร่ อันนั้นเป็นเรื่องปลีกย่อย เถียงกันได้ สนช. มีหน้าที่ดูที่หลักการใหญ่ ว่าวิธีการแบบนี้ เปิดช่อง เปิดทาง ให้เกิดการทุจริตได้โดยง่าย โดยไม่อุดช่องโหว่ทั้งๆ ที่มีการเตือนแล้วเตือนอีกหรือเปล่า ส่อว่าจะเปิดทางให้มีการ หากิน” กับโครงการที่ “อ้างว่า” ทำขึ้นเพื่อช่วย “ชาวนา” เท่านั้นหรือไม่

2.ผลการประกอบการดีกว่าที่ถูกกล่าวหา และโครงการแบบนี้ อย่ามาพูดกันเรื่องกำไรหรือขาดทุน

ตอบ : คุณยิ่งลักษณ์มีกลโกงในตอนนี้ เพราะเธอแสดงผลประกอบการแค่ 3 ฤดูกาลผลิต จาก 5 ฤดูกาลผลิต 2 ฤดูกาลสุดท้ายมีผลเสียหายหนักหน่วงมาก เธอกลับแสดงแค่ 3 ฤดูกาลแลกเพื่อกลบเกลื่อนความเสียหายที่ควรจะมีมากกว่าที่นำมาแสดง จึงเท่ากับเป็นการ “ให้ข้อมูลเท็จ” กับ สนช. โกหก หลอกลวง ใช่หรือไม่ ส่วนเรื่องขาดทุนกำไร ก็ไม่ใช่ประเด็นที่เขาจะถอดถอนเธอ ประเด็นคือ เงิน 100% ที่ใช้ เกิดประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์คือ “ช่วยชาวนา” ได้เท่าไหร่ เมื่อมีคนเตือนว่า ถึงมือชาวนาน้อย เปลี่ยนวิธีการเถอะ เงินจะได้ถึงมือชาวนามากกว่านี้ ถ้าคุณตั้งใจแค่จะช่วยชาวนาเท่านั้น ไม่ได้เอื้ออำนวยประโยชน์ให้ใคร ทำไมไม่เปลี่ยนวิธี ถึงตอนนี้ตัวเลขชัดเจนมากว่า หากเอาเงินทั้งหมดที่ทุ่มลงไป โอนเข้าบัญชีชาวนาเสียเลย ชาวนาจะได้เงินมากกว่านี้ ความเสียหายรายทาง เช่น ข้าวหาย ข้าวเสื่อม จีทูจีเก๊ การสวมสิทธิ์ชาวนา ฯลฯ จะไม่มีเลย

3.ป.ป.ช.ข้ามขั้นตอน ยังไม่มีการสอบเรื่องทุจริต เรื่องเป็นความพยายามเอาผิดกันทางการเมือง

ตอบ : นี่ไม่ใช่การกล่าวหาว่าคุณยิ่งลักษณ์กระทำการ ทุจริต แต่คุณยิ่งลักษณ์มีอำนาจยับยั้งโครงการหรือเปลี่ยนวิธีการดำเนินการ เมื่อได้รับหนังสือเตือนจาก สตง. ป.ป.ช. และนางสาวสุภา ปิยะจิตติ ว่าการดำเนินโครงการด้วยวิธีการแบบนี้ เปิดช่องให้ทุจริตได้หลายขั้นตอน แต่คุณยิ่งลักษณ์ไม่ยับยั้ง ไม่เปลี่ยนวิธี มันส่อเจตนาว่า คงวิธีการนี้ไว้เพื่อเอื้ออำนวยให้ใคร “หากิน” อยู่หรือเปล่า

4.คดีนี้พิจารณาเร็วมาก คดีอื่นๆ ช้ามาก จงใจเล่นงานกันหรือไม่

ตอบ : การทำคดี ขึ้นอยู่กับพยาน หลักฐาน ไม่ใช่การทำข้าวหมากหรือดองผักดองหอย ที่ต้องมีกำหนดเวลาชัดๆ คดีใดพยานหลักฐานพร้อม เป็นไปตามข้อกฎหมาย ก็สรุปสำนวน และเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเพื่อตัดสินได้

5.ในช่วงปลายรัฐบาล พยายามจะหาเงินมาจ่ายชาวนา แต่ถูกขัดขวางจาก กปปส. จึงขอกู้จากธนาคารหลายแห่งไม่ได้

ตอบ : นี่เป็นการ “โกหก” 100% เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว ยิ่งลักษณ์ยุบสภาไปแล้ว กฎหมายระบุว่า รัฐบาลรักษาการไม่สามารถดำเนินการใดๆ ที่จะก่อหนี้ผูกพันไปยังรัฐบาลใหม่ ดังนั้น หากธนาคารใดยอมปล่อยกู้ และยิ่งลักษณ์กู้ ก็จะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ยิ่งลักษณ์จึงกู้ไม่ได้ในเวลานั้น

6.กำลังเดินหน้าสร้างความปรองดองกันอยู่ ทำอย่างนี้จะปรองดองกันได้หรือ

ตอบ : ปรองดองกับการตรวจสอบตามกฎหมายเป็นคนละเรื่องกัน ไม่เช่นนั้น ตำรวจจะจับผู้ร้ายไม่ได้เลย เราไม่ปรองดองกับโจร เพราะโจรทำร้ายเรา ทำร้ายสังคม ปรองดองเป็นเรื่องการสร้างความรักความเข้าใจและให้อภัยในเรื่องที่เข้าใจผิด ต่อกัน ไม่ใช่เรื่องที่ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง นางเอกต้องเล่นบท “รักษามาตรฐานทางศีลธรรม จริยธรรม” ไม่ใช่อ้างความปรองดอง เพื่อจะงดเว้นกฎเกณฑ์ทางกฎหมายและจริยธรรม

ผมอยากให้ประชาชนจับตาดูการทำงานของ สนช. ดูว่าเรื่องสำคัญขนาดนี้ ใครไม่มาประชุมบ้าง ใครงดออกเสียง ทั้งๆ ที่มีหน้าที่ต้องตัดสิน สภาควรเปิดเผยชื่อให้ประชาชนได้ทราบ และดูประเด็นซักถามที่จะมีตามมา ว่าถามแบบ “เอาจริง” หรือถามพอเป็นพิธี

ผมมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่า คุณยิ่งลักษณ์จะไม่ถูกถอดถอน เพราะท่าทีของ สนช. ดูจะตกหลุมพรางและตั้งธงในใจกัน

ไว้มาก ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง เราอย่าไปร่วมเป็นคู่ขัดแย้งกับเขาเลย ดังนั้น สนช. หลายคนจะลอยตัวออกจากเรื่องนี้

แต่ก็ดีใจที่ได้เห็นกระบวนการทางกฎหมายทำงาน เห็นการ ชี้แจงที่แฝงความเท็จและการบิดเบือนมากมายของคุณยิ่งลักษณ์ เพราะมันย้ำให้ เราเห็นว่า คุณยิ่งลักษณ์เธอเป็นนักแสดงที่มีความตั้งใจ แต่เธอได้บทเลวๆ มาเล่นโลกนี้มีมายา แต่ สนช. กับกระชาชน ไม่ควรหลงกลมารยา

 

อย่าไปอ่านบทความของฝ่ายเดียวข้างเดียว เพราะจะทำให้เกิดฝังเป็นอุปาทานในใจมากขึ้น คนที่เขาไม่กล้าสู้ความจริงเขาจะใช้วิธีสื่อสารทางเดียว ครอบงำความคิด ก็เสียหาย ที่อาตมานำเอามานี้ เพื่อให้เกิดการสื่อออกของแนวคิดที่ขัดแย้ง สำหรับอาตมาไม่ต้องบอกก็รู้ว่า อาตมาเห็นว่าคุณยิ่งลักษณ์น่าจะยอมรับความเป็นจริงว่าตนได้ทำความผิดไว้มาก ทำให้คนฆ่าตัวตายไปมากมาย เพราะนโยบายของตนที่เป็นนายกฯ ถ้าเป็นประเทศอื่นเขาลาออกไปนานแล้ว มันเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่นี่ทำลอยหน้าลอยตา ทำเป็นว่าเป็นเรื่องไม่เสียหายด้วย แล้วคนที่สนับสนุนนายกฯที่ทำเช่นนี้ มีปัญญาและใช้มันสมองของตนขนาดนี้ อาตมาก็ว่าประเทศไทยเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ โดยมีมวลประชาชนที่ถุกร้อยเอาไว้ ส่งเสียงเชียร์เป็นปาหี่ อาตมาว่าประเทศไทยมาถึงขนาดนี้ควรต้องเปลี่ยนแปลง มันไม่ใช่เพิ่งเป็น คือแบบที่มีนายกฯเหลวไหลมานาน พยายามบังคับ ซื้อ เอาอำนาจกดขี่ เป็นค่ายกลการเมือง ผู้จะปูนบำเหน็จขรก.ระดับสูง ต้องขึ้นต่อใครก็เห็นกัน แล้วคนนั้นเป็นนักโทษหนีคดีด้วย แล้วผู้ไปให้ปูนบำเหน็จก็เป็นผู้รักษากฎหมายด้วย มันเสื่อมต่ำมาก ไม่ได้ลงโทษ ที่ต้องทำสีหน้าท่าทาง ไม่ใช่ว่ามีจิตโกรธเขา อาตมาเป็นศิลปิน ต้องสื่อน้ำหนัก เหมือนกับคุณจิตรกร เขาก็กล้าใช้คำในฐานะเช่นนั้น แต่ฐานะอาตมาก็ใช้ไม่ถึงขนาดนั้น

 

มาถึงวาระนี้ การเมืองของไทยในลมหายใจเฮือกนี้ควรจะต้องล้างบาง ต้องตัดสิน ตามที่คาดไว้ ต้องจัดการให้พวกนี้หยุดไปอีก ตามเจตนารมณ์ ให้หยุดเรื่องเก่า ค่ายกลเก่าของเขา เขาจึงพยายามดึงไปสู่ระบบเก่า บทความของค่ายโน้นไม่มีน้ำหนักเลย มีแต่เอาประเด็นที่เขาได้เปรียบตื้นๆ พูดๆไปเหมือนคนตาบอด ประเทศไทยถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ไหวแน่ๆ อาตมาเป็นคนไทยคนหนึ่ง ในฐานะมีชีวิตจะใจดำไม่รับรู้ไม่ช่วยเลย ที่อาตมาพูดนี่เป็นการช่วยประเทศไทย ใครจะหาว่าอาตมาพูดใหญ่โต ก็ไม่ว่า แต่อาตมาว่าแม้เป็นเศษธุลีนิดๆ ก็จะช่วย อาตมาดูดายไม่ได้ ใจดำอำมหิตไม่พอ หรือว่าฉลาดน้อยไม่พอ ที่จะไม่ทำ ใครจะฉลาดน้อยไม่เอาตาดูหูแล อาตมาจริงใจไม่ได้ทำผิดสากลนิยม

 

มีผู้ที่ส่งคำถามมา

 

1.ช่วยขยายความจากที่ฟังต่อๆๆ มา ที่พระพุทธเจ้าตรัสฯว่า ทรัพย์ คือ ข้าวเปลือก  มันอย่างไร ครับ?โยมว่า น่าจะมีความลึกซึ้ง ซ่อนอยู่มาก

2.ถ้าผมจะบวช ต้องทำอย่างไรบ้างครับ?

ตอบ...ถ้าจะไปบวชกับทาเถรสมาคมก็ไปหาพระ แล้วท่านก็มีธรรมเนียมอยู่แล้ว แต่ถ้ามาอยู่กับชาวอโศก จะมาบวชเป็นสมณะ ต้องมาศึกษามาอยู่ ตั้งแต่เป็นคนวัด อย่างน้อย 1 ปี แล้วเมื่อถึงเวลาก็แจ้งกับสมณะว่าปรารถนาจะบวช ท่านก็จะดูว่าเหมาะสมไหม? หากไม่เหมาะสมก็จะให้อยู่ต่อ หรือว่าถ้าเหมาะจะบวชก็จะให้บวช หรือว่าดูแล้วไม่เหมาะสมจะบวชกับทีนี่ก็จะบอก แต่น้อยคนที่จะบอกเช่นนี้ ส่วนมากก็จะให้อยู่ต่อจนพิสูจน์ตนว่าเหมาะสมจะบวชได้ หรือว่าจนได้บวช เมื่อได้รับสมัคร ก็จะต้องอยู่ในฐานะผู้ปฏิบัติอีก อย่างน้อย 4 เดือน แล้วจะผ่านโหวตไปสู่การเป็นนาค เป็นวิธีการของพระพุทธเจ้า เราทำจริงจัง ซักถามอันตรายที่จะมีกับการบวช ถ้าผ่านก็จะผ่านจากผู้ปฏิบัติมาเป็นนาค อีกอย่างน้อย 4 เดือน แล้วถ้าผ่านก็จะไปเป็น เณรอีกอย่างน้อย 4 เดือน แล้วสุดท้ายก็เข้าหมู่ซักถามไม่มีอันตรายจริงๆต่อการบวช ก็จะให้บวช แม้แต่คุณมีเงินทองมีที่ดินอยู่ก็ไม่ให้บวช แม้เป็นขรก.มีเงินเดือนก็ไม่ได้ พอเป็นเณรหากผ่านหมู่ตัดสินถ้าไม่เหมาะก็ไม่รับเข้าบวช ฟังแล้วสยองไหม? รวมแล้วอย่างน้อย 2 ปี ถ้าเจ๋งจริงๆผ่านตลอดนะ เร็วสุด 2 ปี บางคนรู้ตนเองไม่ขอเข้าหมู่ให้สงฆ์พิจารณา อยู่ไปจนกว่าจะรู้ตัวว่าเหมาะ บางคนสี่หรือห้าปี สมณะที่นี่บวชน้อย บวชเพื่อไปนิพพานจริงขนาดนั้นก็ยังมีสึกเลย ไม่ใช่เรื่องธรรมดา บวชนี่จะไม่ทำให้ศาสนาเสื่อม ที่ไปบวชเล่นกันบวชทีละพันทีละหมื่นทีละแสนนี่ทำให้ศาสนาเสื่อม การนุ่งห่มจีวร นั้นพ่อแม่ต้องกราบนะ แล้วคุณมีความดีอะไรให้เขากราบ แล้วคุณมีศีลกี่ข้อ อย่างน้อยสามเณรก็ศีล 10 เป็นต้นไป พ่อแม่หรือขรก.ผู้ใหญ่ก็ต้องยกมือไหว้พระ ถือว่าเป็นธงไชยพระอรหันต์นะการนุ่งห่มจีวร เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แต่เมื่อการบวชกลายเป็นเรื่องดราม่า ตกแต่งประดับประดาไม่พ้นศีล 8 เลย เต๊ะท่าดราม่า ไม่ใช่ธุดงค์เลย แม้แต่ศีลข้อนัจจะคีตะวาทิตะ ธารณ มัณฑนา วิภูสนฐานา ที่ต้องงดเว้นก็ไม่ได้งด เอามาเป็นเครื่องหลอกคนอีกให้ซาบซึ้งประทับใจต่างๆนานา ก็บาปทั้งคนทำและคนที่ไปร่วมหลงด้วย เหมือนวิธีการตลาด ยกป้ายเชียร์เหมือนเล่นเกมโชว์ ยกป้ายหลวงพี่สู้ๆ  ขอยืมปากคุณจิตรกรว่า ดูแล้วทุเรศ ดูแล้วน่าเกลียดมาก เขาทำกัน

และ...

การที่มีการหลงผูกค่าเงินประเทศ ไว้กับดอลล่า ใน ขณะที่อเมริกาเริ่มเสื่อมตกต่ำ

ทางเมืองจีน เริ่มคงคลังไว้กับปริมาณทองคำ

หากพระพุทธองค์ ทรงย้ำ ทรัพย์ คือ ข้าวเปลือก เรื่องราว เป็นเช่นไร ???

 

ตอบ...เรื่องนี้ผู้ถามมาลึกซึ้งซับซ้อนเป็น อิทัปปจยตา ได้สัดส่วน เป็นเรื่องเดียวกันได้ ถามว่าเรื่องข้างเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง แล้วยกอ้างว่า อเมริกา พิมพ์ดอลล่า โดยไม่มีทองคำเป็นหลักประกัน หากโลกไม่ยอมรับจะแย่ แต่เมืองจีนใช้ทองคำ ยืนยัน เมืองจีนก็ยืนยันว่า อเมริกาทำอะไร ใช้ธนบัตร อาตมาว่า จีนจะให้เห็นว่าธนบัตรของจีนมีหลักประกัน เขามีทองคำนะ บอกกับโลก แล้วธนบัตรของบางประเทศเขาไม่มีหลักประกัน นี่เป็นการแข่งความนับถือระหว่าประเทศ

แล้วจริงที่สุดที่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ส่วนอาหารเป็นหนึ่งในโลก อาหารคือเครื่องอาศัย กว้างและลึกคืออาหาร 4 อาหารในอวิชชาสูตร อาหารในสูตรอื่นๆอีกหลายสูตร

ข้าวเปลือกคือทรัพย์อย่างยิ่ง อาตมาพาชาวอโศกทำนา เด็กที่มาอยู่กับชาวอโศกต้องหัดทำนาเป็น อย่างน้อยให้คุณรู้บุญคุณของการทำนา ข้าวเมล็ดเล็กๆ กว่าจะอิ่มใช้กี่เมล็ด มันเป็นอาหารยังชีพ เพชรกับข้าว หากถึงเวลาสำคัญ เพชรไม่มีค่าอะไร คุณต้องเอาข้าวเลี้ยงชีพ มันเป็นปัจจัยที่แท้ในปัจจัย 4 (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย) สามอย่างที่แม้ไม่มีก็อยู่ได้ ไม่ตายทันที แต่ข้าวนี่ไม่กินก็ตาย อาหารจึงเน้นที่ว่า ข้าวเปลือกคือทรัพย์อย่างยิ่ง แต่อาหารนี่เลี้ยงจิตขันธ์อย่างสำคัญเลย ทีนี้กลับมาที่กวฬีการาหาร นั้นข้าวเป็นสิ่งสำคัญ ข้าวมีธาตุอาหารที่คนเข้าใจทั่วโลกว่า ข้าวเปลือกคือทรัพย์อย่างยิ่ง

 

อาตมาให้โศลกว่า “ข้าวไม่ใช่สินค้า แต่ข้าวคืออาหารที่ต้องแบ่งปันกันกิน” มีความหมายนัยซับซ้อนว่าเป็นอาหารที่ต้องทำให้มากแล้วเผื่อแผ่กันกิน แต่จะขายก็เพื่อเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ อย่างชาวนาก็ขายข้าว แต่ก็ต้องขายให้ถูก ไปตั้งราคาแพงไม่ได้

 

เพราะฉะนั้นที่อาตมาให้พวกเราทำข้าว แล้วบอกว่าไม่ใช่อาหารที่จะต้องเอามาเป็นเหตุ อย่างที่คุณยิ่งลักษณ์ทำ ว่า ให้ราคาแก่ชาวนาแพงๆ ให้ชาวนาดีใจที่ขายได้แพงๆ แทนที่จะบอกว่า ชาวนาทำข้าวให้คนกินนี่เป็นกุศลมหาศาล คนที่สร้างข้าวให้ประชากรเลี้ยงชีพ คือคนที่มีกุศลมหาศาลแล้ว เป็นคุณงามความดีแล้วเป็นวิบากที่คุณได้ คุณค่าราคาของการทำข้าวให้คนกินมีชีวิตอยู่ได้ ราคากุศลนี่มันแพง เป็นกุศลที่น่าทำอย่างยิ่ง

 

คนที่เขาเป็นดารา นักฟุตบอลเตะบอลแล้วได้เงินมาก ไม่ใช่กุศลเลย แต่เป็นบาปมากด้วย พวกรื่นเริงบันเทิงเพลิดเพลินมากๆนี่ตกนรกปหาสะนะ เขาไม่เข้าใจหรอก ว่าคุณติดอบายมุข การละเล่น มันคือนรกของคุณ

 

นโยบายจำนำข้าวเป็นนโยบายบาป อกุศลหนัก นอกจากจะทำให้ข้าวราคาแพง ทำไม่ไม่ให้ข้าวราคาแพง เพราะคนจนหรือรวยก็กินข้าว แต่ถ้าข้างแพง คนจนก็ตายสิ รัฐบาลต้องทำให้ข้าวราคาถูก มีข้าวกินนี่ชั้นหนึ่งแล้ว ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ทรัพย์นี้ไม่ใช่ว่าได้เงินทองมามากนะ

 

เมืองไทยนี่ยืนหยัดไว้นะ อาตมาบอกชาวอโศกว่า ต้องทำเรื่องนาเรื่องข้าว ทุกวันนี้ก็ยังทำได้ไม่ถึงที่อาตมาปรารถนานะ แต่พูดเรื่องเนื้อแท้ของข้าวที่ท่านว่าเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าเอาไปค้าร่ำรวย แต่เป็นทรัพย์ทางธรรม คุณค่าแห่งชีวิต เลี้ยงชีวิต เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ผู้ใดทำข้าวให้คนกินได้แล้ว ทำให้ราคาถูก หรือแจกฟรีได้ อย่างชาวอโศกก็ทำตลาดอาริยะก็ขาดทุนเท่าที่เราจะเสียสละได้แม้เราจะฐานะไม่ดีก็ต้องทำเป็นวัฒนธรรมที่ควรส่งเสริมแล้วจะพัฒนาให้สูงให้กว้างมากขึ้น

 

เรื่องข้าวจึงเป็นทรัพย์อย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจหากเมืองไทยดำเนินนโยบายทำข้าวให้เป็นที่หนึ่งของโลก ทำข้าวให้มีคุณภาพดี แล้วเอาไปแจกจ่ายให้แก่ประเทศที่เขาขาดแคลน ถ้าเราทำได้มากแล้วมีวิธีการสะพัดแพร่แก่ประเทศต่างๆ เรามีเยอะนะ สมมุติประเทศไทยเรามีข้าวล้นเลย เราก็ส่งทูตไปประเทศไหนที่จะเอาข้าวราคาถูก ของดีด้วย ตลาดไหนก็สู้ไม่ได้ เราขายได้หมด เราขายของดีราคาถูก เรามีมาก มีน้ำใจ เราเดินไปประเทศไหนที่จนก็ให้ ประเทศไหนมีเงินก็เอาเงินเขามาถัวกันบ้างเท่าที่ควร ถ้ามันมากก็ใช้ข้าวนี่เป็นสินค้ายิ่งใหญ่ จะมีนโยบายขายหรือสงเคราะห์แก่ประเทศที่อดอยาก เพื่อเกื้อกูล ไม่ได้ไปเอาเปรียบ อาจเป็นนโยบายที่ดูว่าอยู่ไกล แต่อาตมาว่าประเทศไทยมีจุดเด่นเรื่องนี้ ก.เกษตรฯน่าจะทำได้ ประเทศไทยอยู่ในถิ่นที่ทำได้ ส่งให้เขาเป็นข้าวเปลือกเก็บได้นานกว่าข้าวสาร แต่ละปีทำได้ เป็นเรื่องใหญ่มาก ฝากถึงชาวอโศกให้เอาใจใส่ ใครจะเสียสละ ตอนนี้มีคนเข้าใจอยู่มาก เอาดร.แสวงที่จะมาทำ เอาให้จริงเลย เรายินดีส่งเสริมช่วยกันทำ ตอนนี้ชาวอโศกจะมีที่ทางพอทำได้ ชาวอโศกจะได้สำนึกมีปัญญาเข้าใจเรื่องนี้จะได้ช่วยกันทำข้าวขึ้นมา

 

แล้วเรื่องลึกซึ้งคือ ข้าวคือกวฬีการาหาร ที่เป็นแก่นแท้ของอาหารที่ทุกประเทศเข้าใจดี มีแค่ข้าวนี่แหละทำให้สุกแล้วก็กินก็อยู่ได้แล้ว กินแต่ข้าวเฉยๆก็ได้ กินอย่างอื่นไม่มากก็อยู่ได้  เพราะมีธาตุที่ครบแล้ว จริงก็ต้องมีอย่างอื่นบ้าง ก็ไม่แย้งในเรื่องนี้ เพราะอาตมาก็ตามที่เข้าใจก็พูดไป

 

ข้าวเปลือกนี่แพร่ไปได้ไกล รักษาได้นาน ข้าวสารก็ต้องเก็บได้ไม่นาน หากทำข้าวเปลือกจะสะพัดได้ไกล ยิ่งทุกวันนี้การคมนาคมก็รวดเร็วดีขั้น พร้อมส่งให้ ถ้าเราทำดีๆ ไทยเราทำเชิงนี้ทำถึงขั้นเราเองแสดงให้เห็นว่าเรามีข้าวเป็นอาวุธ

 

มีข้าวเป็นอาวุธ  ส่วนประเทศไหนจะสร้างปืน อาวุธเก่งขนาดไหน แต่เราจะสร้างข้าวเป็นอาวุธ (ศาตรา) เป็นสิ่งลึกซึ้งเอาไปให้แก่โลก เกื้อกูลโลก เอาไปเป็นสินค้าออกของประเทศ แทนที่จะผลิตอาวุธสังหารคน แม้แต่เครื่องบินฆ่าคนก็ไม่ต้อง ให้สร้างข้าว แล้วดำเนินนโยบายอย่างที่ว่าบุญนิยม ไม่ใช่ทุนนิยม แต่มันทำทีเดียวพรวดพราดไม่ได้ แต่อาตมาพาพวกเราทำมาตั้งแต่กลุ่มเล็กๆนี้ได้แล้ว ไม่ทำอ้าขาผวาปีกเกินไป แต่อาตมาก็พูดถึงวิสัยทัศน์อาตมาว่าควรเป็นเช่นนี้ ถ้าไทยทำอย่างที่อาตมาว่า ขออภัยทีต้องใช้คำว่า ประเทศมหาบุญ มหากุศล ไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจ

อาตมาว่าจีนที่ทำนี่เป็นวรยุทธอย่างหนึ่ง ที่พูดไม่ได้เพื่อให้ทะเลาะกัน แต่โลกีย์เขาก็แข่งขันกันไปเช่นนั้น แต่ของเราที่อาตมาบอกนโยบายก็แข่งขันนะ แต่ว่าเรานี่เราเสียสละให้คุณชนะไปเลย ไม่ใช่เป็นวิธีรบราฆ่าฟันเอาชนะเขาแต่ว่าเกื้อกูลมีน้ำใจให้ ถ้าทำได้จะไม่เป็นประเทศมหาอำนาจ แต่เป็นประเทศมหาบุญ มหากุศล เริ่มที่โครงการข้าวแสนตันที่เป็นข้าวคุณภาพดี แล้วเราจะได้มาแบ่งปันกันกิน แต่ว่าก็มีขายบ้าง หรือต่อไปจะเอาข้าวไปแลกของก็ได้ แลกธนบัตร

 

อาตมาว่ายังพูดไม่สมบูรณ์ไม่เก่ง วันหลังก็จะได้มาเติมให้สมบูรณ์ แล้ว อย่างที่ในหลวงว่า เราไม่ทำแบบก้าวหน้าอย่างมาก แต่ทำแบบในหลวงว่า ทำแบบขาดทุน แบบคนจนนี่แหละ เราทำให้มีข้าวกินไม่อดอยากในประเทศไทย แล้วทำให้เป็นประเทศที่มีข้าวเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ เราจะใช้อันนี้แหละ อาวุธ นี่แปลว่าช่วยชีพ แต่อาวุธอย่างเขานี่ใช้เป็นการทำลายชีพ เป็นอาวุธบาป แต่อันนี้เป็นอาวุธบุญ แล้วไม่ใช้เป็นอาวุธโก่งราคาด้วย เพราะอาวุธฆ่าคนเขานี่มีประสิทธิภาพสูงก็ยังโก่งราคาอีก นี่บาปซ้ำซ้อน ไม่รู้กี่ชั้น  ประเทศไทยทำไม่เป็นทำไม่ได้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปสร้างปืนหรือระเบิดอาวุธหรอก พูดไปคนก็จะหาว่าอาตมาสุดโต่งเกินไป

 

อย่างในหลวงท่านตรัส ว่าอุตสาหกรรม แม้มือถือ คอมพิวเตอร์อะไรต่างๆนานา พวกแพดๆเพิ่ดๆ แล้วมีวิธีเล่น ที่อาตมาเรียกไม่ถูกเลย ไม่ว่าจะเป็นไลน์ เฟส มันมีพิษในนั้นเหมือนอาวุธทางจิตวิญญาณที่ร้ายแรง มันมีประโยชน์แต่ที่ไร้ประโยชน์จริงๆคือปืนคืออาวุธ

 

ในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นอาหารที่เป็นอุปโภค(บริโภคใน) หรือบริโภค (บริโภคนอก) ที่จำเป็นต้องใช้ เรามีปัญญาสร้าง ก็ควรต้องคิดต้องทำ อย่างเรานี่อุตสาหกรรมไม่ค่อยเอาอ่าว แต่ตอนนี้เราจะมาทำเรือกัน เป็นเรือในแม่น้ำ ไม่ใช่เรือในทะเล แต่เราก็จะตั้งร.ร.อาชีวะ เป็นสาขาการต่อเรือ เป็นหลักสูตรของก.ศึกษาธิการอยู่แล้ว เหมาะเลยเป็นเรื่องที่เราต้องทำ จะเรียกว่าอุตสาหกรรมก็แล้วแต่  เราทำเรือเหล็กมาใช้ได้แล้ว ท่านหินกลั่นพาเด็กนร.ทำมา เรือฉลาดใช้ เรือไฉไลสันติ แล้วตอนนี้จะให้ทำแพขนานยนต์ขึ้นมา หรือทำเรือขายราคาถูกชาวบ้านจะได้ใช้ แล้วจะได้ปลุกชีพลำน้ำมูนขึ้นมาให้เป็นการคมนาคม ตลาดน้ำก็ได้ ปลอดภัยกว่าการคมนาคมทางบก แล้วใจเย็นกว่า ทางเรือนี่ใจร้อนตาย ต้องใจเย็น ยังไงต้องยอมใจเย็น ไม่ได้ดังใจหรอก แม้จะมีเรือเร็วเราก็ยังไม่สนับสนุน

เราจะอยู่ทางกสิกรรมเป็นหลัก เรื่องอุตสาหกรรมก็ค่อยเป็นไร แจ้งให้ทราบ เรามีเรือเอี้ยมจุ๊นเป็นเรือใหญ่ เขาเรียกอีกอย่างว่าเรือฉลอม อายุไม่ต่ำกว่า 50 ถึง 70 ปี หาได้ยากแล้ว

 

ที่พูดนี้จะได้ปลูกฝังการงานอาชีพที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต สังคม แต่ที่เขาเพลิดไปนั้นทุกวันนี้ เขาเรียกว่า สังคม วัวลืมตีน มีอะไรมาสวมตีนวัวให้เดินไปแล้ว จริงๆ แต่เราจะกลับไปสู่ความเป็นมนุษยชาติที่เราไม่ลืมความจริงที่ควร เราอยู่ย่านนี้มีแม่น้ำมูน อุบลฯไม่ใช่จังหวัดเล็ก แล้วมีหลายจังหวัดใช้แม่มูน อย่างเจ้าพระยาเขาก็ใช้ได้ประโยชน์หลายอย่าง ทำไมเราผิวเผิน การที่เขาไม่ทำโรงงานให้แม่มูนเสียมันดีมากแล้ว ทางแม่น้ำเจ้าพระยานั้นเจอเข้าไปเยอะแล้ว เน่าเสีย ผู้ใดจะส่งเสริมช่วยอาตมาก็เชิญ ...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:40:14 )

580113

รายละเอียด

580113-สรรค่าสร้างคน(25) เรื่อง ข้าวเปลือกคืออาวุธอย่างยิ่ง

พ่อครูว่า...วันนี้อังคาร 13 ม.ค. 58 แรม 9 ค่ำ เดือนยี่ปีมะเมีย ...มีคนบอกว่าตอนนี้เลยหกโมงมา 6 นาที แต่อาตมาว่า 7 นาที .เวลาของอาตมามันวิ่ง เวลาของพวกคุณมันเดิน  ก็เลยต่างกันนิดนึง  วนบ.ปิดเทอม อาตมาไม่รู้ว่าจะเปิดเมื่อไหร่ แต่อาตมาก็จะบรรยายตาพึด

 

เราเป็นคนที่อยู่เป็นหน่วยหนึ่งของประเทศไทย เราจะทำเป็นนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็นไม่ได้ อาตมาไม่ทำ แล้วอาตมาก็มาบอกแจ้งความเห็นควรว่า คนไทยควรมีจิตสำนึก เอาใจใส่บ้านเมือง ถ้าคุณมีแนวคิดจะไปอยู่ป่าเขาถ้ำก็อีกเรื่องหนึ่ง แนวคิดเช่นนี้นอกรีตศาสนาพุทธโดยตรง เอาชีวิต เอาความรู้สึก ความเห็นหนีไปจากสังคม เพื่อนร่วมโลก แต่แล้วเอาตัวเองหนีไปนอกสังคม อาตมาว่า ศาสนาพุทธไม่ได้มีแนวคิดเช่นนี้เลย แนวคิดออกป่าเขาถ้ำ นี่นอกรีตจริงๆ ขออภัยที่พูดแรง แต่ใครฟังเอาปัญญา ได้ประโยชน์ ถ้าไม่เห็นก็ลองปฏิบัติดู อาตมาไม่ได้พูดให้ใครมานับถือ มีเจตนาจริงใจปรารถนาดี ไม่อยากให้ผิด หลงทิศทาง

 

อาตมายิ่งเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย จนเกิดรูปสังคมที่มีพฤติกรรมสังคม ที่อ้างอิงได้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส วันนี้จะเอาบทความที่กำลังเป็นที่สนใจ Hot กันในสังคมมาพูด

แน่แค่ไหนก็เอาไม่อยู่(ไทยรัฐ) 580113

ในการชี้แจงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในฐานะผู้ถูกร้องถอดถอน นอกจากอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะอ้างว่าจากผลการศึกษาวิจัย ว่าโครงการรับจำนำข้าวแก้ปัญหาดีที่สุดแล้ว ยังได้วางมาตรการขั้นตอนต่างๆ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพ และป้องกันการทุจริตด้วย แต่ไม่ได้บอกว่าอะไรคือมาตรการเสริมสร้างประสิทธิภาพ และป้องกันการทุจริต?

แต่จากการตรวจสอบของนักวิชาการหลายฝ่าย ยืนยันตรงกันว่าโครงการรับจำนำข้าว ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง จากการตรวจสอบของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่ามีข้าวเหลืออยู่ 17.9 ล้านตัน เป็นข้าวคุณภาพดีเพียง 10% คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน 90% เป็นข้าวสีเหลืองที่เสื่อมคุณภาพ 70% ที่เหลือเป็นข้าวเน่าเสียบริโภคไม่ได้ ต้องเอาไปทำเอทานอล

รายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีระบุว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 4 โครงการ ในเวลาสองปีเศษ ขาดทุนไปราว 5.1 แสนล้านบาท แม้แต่รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลท่านหนึ่ง ก็คงจะคาดไม่ถึงว่าจะก่อความเสียหายร้ายแรง จึงให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ถ้าโครงการเสียหายถึง 6 หมื่นล้านบาท เท่ากับที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ใช้ รัฐบาลเพื่อไทยคงอยู่ไม่ได้

คณาจารย์นิติศาสตร์ชื่อดัง สามท่าน ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ ให้ตรวจสอบและเอาผิดผู้เกี่ยวข้องโครงการรับจำนำข้าว ฐานประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ส่วนมาตรการป้องกันการทุจริต ถ้ามีอยู่จริงก็ต้องถือว่าไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง จึงมีหลายฝ่ายเตือนรัฐบาลมาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นสถาบันวิจัย สำนักงานการ ตรวจเงินแผ่นดิน และ ป.ป.ช.

แม้แต่ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ที่ปรึกษารัฐบาล ก็เคยเตือนว่าโครงการรับจำนำข้าวทำลายวินัยการเงินการคลังของประเทศ และมีการทุจริตหลายขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกโรงสีจนถึงการระบายข้าว ไม่ว่ารัฐบาลจะแน่แค่ไหนก็เอาไม่อยู่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ระบุว่ามีพ่อค้าพรรคพวกนักการเมืองได้ส่วนแบ่งจากโครงการ 84,000 ล้าน

ทำไมโครงการรับจำนำข้าวของ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงขาดทุนระดับอัครมหาศาลไม่ต้องระดับอัจฉริยะ แค่เด็กชั้นประถมก็คิดออก ผู้บริหารสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยท่านหนึ่งเคยชี้ให้เห็นภาพว่า ต้นทุนข้าวรับจำนำเกือบ 30 บาท ต่อ 1 กก. พ่อค้าข้าวส่งออกขาย 20 บาท แต่รัฐบาลขายได้เพียง 10–11 บาท เท่ากับว่าลงทุนไป 30 บาท แต่ได้คืนแค่ 10 บาท

มีการกล่าวหาเรื่องการทุจริตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบนำข้าวประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิจำนำ การรับจำนำข้าวลม และการทุจริตในการขายข้าวภายใน ประเทศ และการส่งออก รัฐธรรมนูญชั่วคราวจึงกำหนดไว้ชัดเจนห้ามบริหารประเทศโดยมุ่งสร้างความนิยม ทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศและประชาชนผู้ฝ่าฝืนต้องรับผิดชอบ.

ทีนี้มาถึงบทความของ นสพ.ข่าวสด เป็นหนังสือในเครือมติชน

วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8812 ข่าวสดรายวัน

ใช้สมองหรืออำนาจ

ชกไม่มีมุม         โดย  วงค์ ตาวัน

คน กลุ่มหนึ่งป่าวร้องว่า ถ้าลงเอยสนช.ไม่ถอดถอน ยิ่งลักษณ์ เท่ากับว่าการปฏิวัติของคสช.นั้นเสียของ และเท่ากับว่านโยบายปราบคอร์รัปชั่นไม่บรรลุเป้าหมาย

ถ้าไปถามคนอีกฝ่าย เขาก็จะตอบว่า คนที่รักประชาธิป ไตยจะไม่สนับสนุนการปฏิวัติ จึงไม่แคร์ว่าปฏิวัติแล้วเสียของหรือไม่เสียของ

เป็นเรื่องของคนฝักใฝ่การรัฐประหารเท่านั้น ที่จะห่วงใยว่ายึดอำนาจจากประชาชนไปแล้ว จะเสียของหรือไม่เสียของ!?

ประการ ต่อมา ถ้าไม่ถอดถอนยิ่งลักษณ์ เท่ากับการปราบคอร์รัปชั่นไม่บรรลุเป้าหมาย ก็ต้องถามคนพูดว่า แล้วการจำนำข้าวมันคอร์รัปชั่นตรงไหน ตอบอย่างเป็นหลักเป็นฐานหน่อยได้หรือไม่

จนป่านนี้ป.ป.ช.ยังไม่สามารถชี้ได้เลยว่า จำนำข้าวคอร์รัปชั่นอย่างไร ใครคือคนโกง

แต่กำลังจะเอาผิดผู้รับผิดชอบนโยบายหาว่าปล่อยปละละเลยให้โกง!??

ทั้งปลายทั้งปวงจึงสะท้อนความกลัวของคนกลุ่มหนึ่งมากกว่า

กลัวยิ่งลักษณ์ กลัวว่าถ้าไม่ใช่อำนาจพิเศษจัดการให้หมดอนาคตทางการเมืองแต่บัดนี้

ปล่อยให้ลงสนามเลือกตั้งใหม่ พวกตนจะสู้ไม่ได้

กลัวว่าจะสู้ในสนามเลือกตั้งไม่ได้ เลยต้องทำลายให้สิ้นซากไปเสียก่อน

ความคิดตื้นๆ เช่นนี้ ทำมาแล้วกับทักษิณ ผลก็คือ พรรคเครือข่ายทักษิณยิ่งได้รับเสียงจากชาวบ้านถล่มทลาย

นี่กำลังจะคิดจัดการกับยิ่งลักษณ์แบบไม่ฉลาดอีกครั้ง!

ถ้าจะจัดการกับยิ่งลักษณ์อย่างฉลาด ถ้าจะล้มนโยบายจำนำข้าวอย่างใช้สมอง ต้องไม่ใช่อำนาจพิเศษมาจัดการ

ต้อง ให้ประชาชนส่วนใหญ่มองเห็นว่า นโยบายจำนำข้าวไม่ถูกต้องเช่นไร หรือทำให้เสียหายต่อประเทศชาติอย่างไร ให้ประชาชนตัดสินใจให้ได้ว่านโยบายนี้ดีหรือไม่ดี

หากคนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วยกับจำนำข้าว เขาจะฮือกันไปลงโทษนโยบายนี้และยิ่งลักษณ์ รวมทั้งพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไป

นั่นคือการจัดการกับเครือข่ายทักษิณและนโยบายที่โจมตีกันว่าเป็นประชานิยม

อย่างฉลาดและอย่างถูกจุดมากกว่า!

จัดการอย่างเคารพในกติกาที่โลกยอมรับ และจัดการด้วยการตัดสินใจของชาวบ้าน

ในเมื่อยิ่งลักษณ์มาจากการเลือกตั้งและนโยบายจำนำข้าวยึดโยงกับคะแนนเลือกตั้ง ต้องทำลายให้ถูกจุดถูกช่องทาง

ไม่ใช่ด้วยอำนาจพิเศษและสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

อันสะท้อนถึงความกลัวมากกว่า กลัวว่าจะสู้ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านั้นเอง

ใช้สมองจัดการกับยิ่งลักษณ์เถิด!

 

พ่อครูว่า นี่ใครอ่านหรือฟังตามเขาไปก็อาจมึนๆงงๆ แล้วเขาให้ใช้สมองจัดการ  พ่อครูว่านอกนั้นเขาใช้ปัญญาหมด ส่วนสมองนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจเท่านั้น แต่คนนี้เขาบังคับให้ใช้สมอง แต่เราใช้ปัญญาที่เป็นตัวแท้ความเข้าใจ นี่ไม่ได้พูดเลี่ยงเล่นนะ แต่พูดด้วยหลักวิชาของศาสนานะ

ต่อไปเป็นบทความของคุณปู จิตรกร บุษบา ...

ถอดถอนยิ่งลักษณ์ : นักแสดงชั้นเลิศ กับบทชั้นเลว!

“แล้วเราจะทิ้งชาวนาที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติได้อย่างไร ข้าวที่อยู่บนโต๊ะท่าน ก็มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของชาวนา”

นี่คือ “บทพูด” ที่ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ตั้งใจนำเสนออย่างที่สุด ด้วยน้ำเสียง สีหน้า ภาษากาย และจังหวะจะโคน ที่ “บรรจงสื่อสาร” เพื่อคั้นอารมณ์สะเทือนใจและสร้างความประทับใจอย่างที่สุด

หากเป็น “นักแสดง” คนหนึ่ง ผมเชื่อว่าคนเขียนบทก็ดี ผู้กำกับก็ดี คงจะบอกกับเธอว่า บทพูดตรงนี้คือ “จุดสุดยอด” ของเรื่อง เราจึงเห็นนักแสดงคนนี้ มีอาการที่วัยรุ่นสมัยนี้เขาเรียกว่า “ฟิน” เมื่อได้พูดประโยคนี้ออกมา

หากแต่การ “รับจำนำข้าว” ที่มีมูลค่าความเสียหายหลายแสนล้าน และการสูญเสีย ชีวิตชาวนาที่ต้องฆ่าตัวตายไปหลายสิบคน เพราะทนทุกข์กับการถือใบประทวนที่ขึ้นเงินไม่ได้ มันเป็นเรื่องจริง และเป็นชีวิตจริงๆ ที่ “หลุดลอย” ออกจากร่างของพวกเขาไปแล้ว มิใช่การแสดง

หากคุณยิ่งลักษณ์ “ใส่ใจ” ว่ามันคือเรื่องจริง สิ่งที่เธอควรสะเทือนใจคือ การกระทำของเธอเอง!

เธอบริหารโครงการรับจำนำข้าวล้มเหลว สร้างผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินให้เสียหายไปกับเรื่องที่ไม่ควรเสีย แถมยัง ต้องเสียชีวิตของชาวนาที่รอคอยเงินจากใบประทวนของเธอจนสิ้นหวัง กระดูกสัน หลังของชาติที่เธออาทรนักในวันนี้ ตายไปเพราะรัฐบาลของเธอไม่มีเงินไปให้พวกเขา แต่เธอก็เดินยกเท้าก้าวความคนตายเหล่านั้นมาอย่างไม่ไยดี แล้วมารับบท “นางเอก” พูดประโยคที่แสนสวยงามนี้ ขณะเป็นแค่ “อีชาติชั่ว” ของครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป

โปรดตั้งสติ และยอมรับกันได้แล้วว่า การเมืองของบ้านเรา บุคลากรทางการเมืองของเราบางคน คือประจักษ์พยานที่สมบูรณ์ยิ่งในการยืนยันว่า “การเมืองของเรา มาถึงยุคที่ไร้คุณธรรม จริยธรรมอย่างสิ้นเชิงแล้ว”

A) ยิ่งลักษณ์แสดงวาทกรรมจากโพยเรื่อง “การถูกถอดถอน” ว่า จะมาถอดถอนอะไรกับคนที่ไม่มีตำแหน่งให้ถอดถอนแล้ว และที่สำคัญ ตัวเธอนั้นถูกถอดถอนมาถึงสามครั้งสามคราแล้ว จาก 1.การยุบสภา 2.การถูกคำสั่งศาลให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ และ 3.ประกาศของคณะรัฐประหาร

มาดูความจริงกัน ว่า “บทพูด” นี้ เป็นคำพูดของ “นางเอก” หรือ “นางตอแหล” ประจำโรงลิเก

1) กระบวนการถอดถอน เป็นกระบวนการเอาผิดในทางการเมือง เพื่อนำนักการเมืองที่ไร้คุณธรรม จริยธรรม ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ หรือทำผิดกฎหมาย สร้างความเสียหายออกจากวงการเมืองชั่วคราว เขาจึงเลือกให้ “ฝ่ายการเมือง” เป็นผู้พิจารณา ตามคำเสนอของ ป.ป.ช. ซึ่งมีหน้าที่ทั้ง “ป้องกัน” และ “ปราบปราม” การกระทำทุจริต ประพฤติมิชอบ

ในการถอดถอนนี้ กฎหมายกำหนดให้พิจารณาแต่เพียงว่า แม้พฤติกรรมนั้น “ส่อว่า” จะกระทำความผิด ก็ให้พิจารณาถอดถอนได้ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดตามมาอีกมาก และมีผลตามมาคือ ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ดังนั้น การพิจารณาว่าจะถอดถอนหรือไม่ จึงไม่ได้มีแค่ประเด็นว่าคนคนนั้นยังดำรงตำแหน่งอยู่หรือไม่ แต่การกระทำเมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ส่อว่าหรือเชื่อได้ว่าทำผิดหรือไม่ต่างหากเล่า หากเชื่อได้ว่า ก็ต้องมีมติถอดถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งหลังมีมติ ใครไม่มีอะไรจะให้ถอดแล้ว ก็ช่างเขาหรือหล่อน แต่โทษตัดสิทธิ 5 ปี จะมีผลกับเขาหรือหล่อนทันที การพิจารณาถอดถอนจึงเป็น “ภาระผูกพัน” ให้ต้องกระทำ เพื่อผลตรงนี้ เพราะเป็นกระบวนการที่ออกแบบไว้ เพื่อคัดนักการเมือง “สายพันธุ์เลว” ออกจากระบบชั่วคราว ให้เขามีเวลาปรับปรุงตัว แล้วค่อยหวนกลับมาเสนอตัวใหม่ หากอ้างว่า ไม่มีตำแหน่งแล้ว กระบวนการถอดถอนต้องจบไป ต่อไปคนที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูล แล้วส่งต่อสู่กระบวนการพิจารณาถอดถอน มันมิรีบลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้กระบวนการถอดถอนจบสิ้นกันหมดดอกหรือ แล้วโทษตัดสิทธิ 5 ปี จะมีไว้ใช้กับสุนัขตัวไหน? ดังนั้น ยิ่งลักษณ์แสดงบทนี้ได้ดีครับ ช่วยทำให้ สนช. หลายคนไขว้เขว ต่อหลักการถอดถอนได้ เพียงแต่บทพูดและตัวละครที่เธอแสดง เป็นบทหญิงกะล่อน และตัวละครเลวๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น

2) ยิ่งลักษณ์อ้างว่า ตัวเองถูก “ถอด” มาแล้ว 3 รอบ ก็เป็นบทมุสาวาจาและวาทกรรมบิดเบือนจากนักเขียนบทใจทราม ไร้ศีลธรรมเท่านั้น เพราะ 1.การประกาศยุบสภา ไม่ใช่การถอดถอน แต่เป็นการ “จนมุม” ทางการเมือง ประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านเธอเป็นล้านๆ คน เธอจึงเลือก “หนีความรับผิดชอบ” เรื่องการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มีเนื้อหาเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพี่ชาย ผิดหลักกฎหมายนิรโทษกรรมตามที่สากลประเทศเขาทำกัน จึงไม่มีใครไป “ถอด” เธอ แต่เธอเลือก “เปลี่ยนเสื้อผ้า” เพื่อจะ “หนี” เท่านั้น

2.การถูกศาลพิพากษา ว่าแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี โดยมิชอบ เป็นการกระทำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้เครือญาติได้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ก็มิใช่การถอดถอน แต่เป็นการ “ทำผิดกฎหมาย” อุปมาเหมือนโจรปล้นบ้านคนอื่นเขา แล้วแอบอ้างเป็นว่าฉันเป็น เจ้าของโรงทาน บุญไม่มีหรอกครับ เพราะทรัพย์ที่เอามาแจกเป็นทรัพย์คนอื่น เป็นการกระทำที่ไม่สุจริต เป็น “เจ้าแม่กาลี” มิใช่ “เทพธิดา”

3.ประกาศของคณะรัฐประหาร ยิ่งมิเกี่ยวอะไรกับนางสาวยิ่งลักษณ์เลย เหตุเพราะเธอกระทำการต้องห้ามตามกฎหมาย เป็นผลให้เธอพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ไปแล้ว ไม่แม้แต่จะอยู่ในสภาพ “รักษาการ” การยึดอำนาจของ คสช. จึงไม่ได้ยึดอำนาจคุณยิ่งลักษณ์ แต่ยึดอำนาจรัฐที่อยู่ในสภาพ ผีหัวขาด” และ “ป่วยหนัก” มาควบคุม และบริหารจัดการเพื่อให้ประเทศชาติมีทางออก ประชาชนไม่ต้องเผชิญหน้ากันจนอาจถึงขั้นบาดเจ็บ ล้มตาย สถาบันพระมหา กษัตริย์ไม่ต้องถูกดึงไปสู่การตัดสินทางการเมืองเรื่อง “ใครจะเป็นนายกฯ” เพื่อ “ผ่าทางตัน”

ในข้อนี้นั้น จึงเท่ากับว่า คุณยิ่งลักษณ์หยิบบทผิดมาเล่น เสมือนคว้าบท “นางตอแหล” มาแสดง โดยนึกว่ามันเป็นบทพูดของ “นางเอก” ซึ่งน่าเห็นใจเธอเป็นอย่างยิ่ง แต่ผู้ตัดสินอย่าง สนช. ไม่ควร “เห็นใจ” เพราะท่านมีหน้าที่ “กึ่งตุลาการ” ต้องตัดสินความถูกผิดตามความเป็นจริง ไม่ได้อยู่ในฐานะ “พ่อยกนางเอกลิเก” ที่จะตัดสินจากอารมณ์ความรู้สึกจากการชม “การแสดง”

B) คุณยิ่งลักษณ์ซึ่งรูปโฉมโนมพรรณควรเป็นนางเอ๊กนางเอก หยิบบทพูดของ “นางตอแหล” ประจำโรงมาเล่นอีกหลายตอน เช่น

1.โครงการรับจำนำข้าว ไม่ใช่โครงการใหม่ ทำมาตั้งแต่ปี 2524 สมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ การช่วยเหลือชาวนาไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกรัฐบาลในโลก ก็มีโครงการช่วยเหลือในลักษณะนี้

ตอบ : การที่รัฐบาลมีโครงการช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งเป็นราษฎรของประเทศน่ะ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก และไม่ใช่ประเด็นที่เขาจะถอดถอนคุณยิ่งลักษณ์ด้วย ใครเขาจะบ้า ถอดถอนคุณ เพราะคุณทำโครงการช่วยราษฎรล่ะ แต่ “วิธีที่คุณทำ” ต่างหากล่ะ

ที่สร้างปัญหา ถามว่ารัฐบาล พล.อ.เปรม หรือกระทั่งรัฐบาลพี่ชายคุณยิ่งลักษณ์ มีโครงการรับจำนำข้าวใช่ไหม ตอบว่าใช่ แต่เขารับทุกเมล็ด ในราคาสูงกว่าตลาดไหม เขาโง่ เก็บในรูปของข้าวสารเพื่อให้มันเสื่อมสภาพเร็วๆ ไหม เขามีอิทธิพลเหนือตลาด ทำลายตลาดซื้อขายข้าวในประเทศจนย่อยยับไหม พ่อค้าไม่มีปัญญาซื้อข้าวแข่งกับรัฐบาล จนไม่สามารถทำยอดส่งออก เท่าที่เคยทำใช่ไหมวิธีการของพวกเขาจึงไม่ได้สร้าง ปัญหาและความเสียหายเท่าวิธีการของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อุปมาเหมือนผู้หญิงมีผัว ผิดเหรอ? ไม่ผิดหรอก แต่จะผิดทันทีหากผัวที่มีนั้น เป็นผัวของหญิงอื่นอยู่แล้ว จู่ๆ คุณก็เอามาทำผัวซ้ำ ส่วนตัวเลขที่ไม่ตรงกัน จะใช้ฐานไหน ว่ามูลค่าความเสียหายเท่าไหร่ อันนั้นเป็นเรื่องปลีกย่อย เถียงกันได้ สนช. มีหน้าที่ดูที่หลักการใหญ่ ว่าวิธีการแบบนี้ เปิดช่อง เปิดทาง ให้เกิดการทุจริตได้โดยง่าย โดยไม่อุดช่องโหว่ทั้งๆ ที่มีการเตือนแล้วเตือนอีกหรือเปล่า ส่อว่าจะเปิดทางให้มีการ หากิน” กับโครงการที่ “อ้างว่า” ทำขึ้นเพื่อช่วย “ชาวนา” เท่านั้นหรือไม่

2.ผลการประกอบการดีกว่าที่ถูกกล่าวหา และโครงการแบบนี้ อย่ามาพูดกันเรื่องกำไรหรือขาดทุน

ตอบ : คุณยิ่งลักษณ์มีกลโกงในตอนนี้ เพราะเธอแสดงผลประกอบการแค่ 3 ฤดูกาลผลิต จาก 5 ฤดูกาลผลิต 2 ฤดูกาลสุดท้ายมีผลเสียหายหนักหน่วงมาก เธอกลับแสดงแค่ 3 ฤดูกาลแลกเพื่อกลบเกลื่อนความเสียหายที่ควรจะมีมากกว่าที่นำมาแสดง จึงเท่ากับเป็นการ “ให้ข้อมูลเท็จ” กับ สนช. โกหก หลอกลวง ใช่หรือไม่ ส่วนเรื่องขาดทุนกำไร ก็ไม่ใช่ประเด็นที่เขาจะถอดถอนเธอ ประเด็นคือ เงิน 100% ที่ใช้ เกิดประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์คือ “ช่วยชาวนา” ได้เท่าไหร่ เมื่อมีคนเตือนว่า ถึงมือชาวนาน้อย เปลี่ยนวิธีการเถอะ เงินจะได้ถึงมือชาวนามากกว่านี้ ถ้าคุณตั้งใจแค่จะช่วยชาวนาเท่านั้น ไม่ได้เอื้ออำนวยประโยชน์ให้ใคร ทำไมไม่เปลี่ยนวิธี ถึงตอนนี้ตัวเลขชัดเจนมากว่า หากเอาเงินทั้งหมดที่ทุ่มลงไป โอนเข้าบัญชีชาวนาเสียเลย ชาวนาจะได้เงินมากกว่านี้ ความเสียหายรายทาง เช่น ข้าวหาย ข้าวเสื่อม จีทูจีเก๊ การสวมสิทธิ์ชาวนา ฯลฯ จะไม่มีเลย

3.ป.ป.ช.ข้ามขั้นตอน ยังไม่มีการสอบเรื่องทุจริต เรื่องเป็นความพยายามเอาผิดกันทางการเมือง

ตอบ : นี่ไม่ใช่การกล่าวหาว่าคุณยิ่งลักษณ์กระทำการ ทุจริต แต่คุณยิ่งลักษณ์มีอำนาจยับยั้งโครงการหรือเปลี่ยนวิธีการดำเนินการ เมื่อได้รับหนังสือเตือนจาก สตง. ป.ป.ช. และนางสาวสุภา ปิยะจิตติ ว่าการดำเนินโครงการด้วยวิธีการแบบนี้ เปิดช่องให้ทุจริตได้หลายขั้นตอน แต่คุณยิ่งลักษณ์ไม่ยับยั้ง ไม่เปลี่ยนวิธี มันส่อเจตนาว่า คงวิธีการนี้ไว้เพื่อเอื้ออำนวยให้ใคร “หากิน” อยู่หรือเปล่า

4.คดีนี้พิจารณาเร็วมาก คดีอื่นๆ ช้ามาก จงใจเล่นงานกันหรือไม่

ตอบ : การทำคดี ขึ้นอยู่กับพยาน หลักฐาน ไม่ใช่การทำข้าวหมากหรือดองผักดองหอย ที่ต้องมีกำหนดเวลาชัดๆ คดีใดพยานหลักฐานพร้อม เป็นไปตามข้อกฎหมาย ก็สรุปสำนวน และเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเพื่อตัดสินได้

5.ในช่วงปลายรัฐบาล พยายามจะหาเงินมาจ่ายชาวนา แต่ถูกขัดขวางจาก กปปส. จึงขอกู้จากธนาคารหลายแห่งไม่ได้

ตอบ : นี่เป็นการ “โกหก” 100% เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว ยิ่งลักษณ์ยุบสภาไปแล้ว กฎหมายระบุว่า รัฐบาลรักษาการไม่สามารถดำเนินการใดๆ ที่จะก่อหนี้ผูกพันไปยังรัฐบาลใหม่ ดังนั้น หากธนาคารใดยอมปล่อยกู้ และยิ่งลักษณ์กู้ ก็จะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ยิ่งลักษณ์จึงกู้ไม่ได้ในเวลานั้น

6.กำลังเดินหน้าสร้างความปรองดองกันอยู่ ทำอย่างนี้จะปรองดองกันได้หรือ

ตอบ : ปรองดองกับการตรวจสอบตามกฎหมายเป็นคนละเรื่องกัน ไม่เช่นนั้น ตำรวจจะจับผู้ร้ายไม่ได้เลย เราไม่ปรองดองกับโจร เพราะโจรทำร้ายเรา ทำร้ายสังคม ปรองดองเป็นเรื่องการสร้างความรักความเข้าใจและให้อภัยในเรื่องที่เข้าใจผิด ต่อกัน ไม่ใช่เรื่องที่ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง นางเอกต้องเล่นบท “รักษามาตรฐานทางศีลธรรม จริยธรรม” ไม่ใช่อ้างความปรองดอง เพื่อจะงดเว้นกฎเกณฑ์ทางกฎหมายและจริยธรรม

ผมอยากให้ประชาชนจับตาดูการทำงานของ สนช. ดูว่าเรื่องสำคัญขนาดนี้ ใครไม่มาประชุมบ้าง ใครงดออกเสียง ทั้งๆ ที่มีหน้าที่ต้องตัดสิน สภาควรเปิดเผยชื่อให้ประชาชนได้ทราบ และดูประเด็นซักถามที่จะมีตามมา ว่าถามแบบ “เอาจริง” หรือถามพอเป็นพิธี

ผมมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่า คุณยิ่งลักษณ์จะไม่ถูกถอดถอน เพราะท่าทีของ สนช. ดูจะตกหลุมพรางและตั้งธงในใจกัน

ไว้มาก ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง เราอย่าไปร่วมเป็นคู่ขัดแย้งกับเขาเลย ดังนั้น สนช. หลายคนจะลอยตัวออกจากเรื่องนี้

แต่ก็ดีใจที่ได้เห็นกระบวนการทางกฎหมายทำงาน เห็นการ ชี้แจงที่แฝงความเท็จและการบิดเบือนมากมายของคุณยิ่งลักษณ์ เพราะมันย้ำให้ เราเห็นว่า คุณยิ่งลักษณ์เธอเป็นนักแสดงที่มีความตั้งใจ แต่เธอได้บทเลวๆ มาเล่นโลกนี้มีมายา แต่ สนช. กับกระชาชน ไม่ควรหลงกลมารยา

 

อย่าไปอ่านบทความของฝ่ายเดียวข้างเดียว เพราะจะทำให้เกิดฝังเป็นอุปาทานในใจมากขึ้น คนที่เขาไม่กล้าสู้ความจริงเขาจะใช้วิธีสื่อสารทางเดียว ครอบงำความคิด ก็เสียหาย ที่อาตมานำเอามานี้ เพื่อให้เกิดการสื่อออกของแนวคิดที่ขัดแย้ง สำหรับอาตมาไม่ต้องบอกก็รู้ว่า อาตมาเห็นว่าคุณยิ่งลักษณ์น่าจะยอมรับความเป็นจริงว่าตนได้ทำความผิดไว้มาก ทำให้คนฆ่าตัวตายไปมากมาย เพราะนโยบายของตนที่เป็นนายกฯ ถ้าเป็นประเทศอื่นเขาลาออกไปนานแล้ว มันเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่นี่ทำลอยหน้าลอยตา ทำเป็นว่าเป็นเรื่องไม่เสียหายด้วย แล้วคนที่สนับสนุนนายกฯที่ทำเช่นนี้ มีปัญญาและใช้มันสมองของตนขนาดนี้ อาตมาก็ว่าประเทศไทยเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ โดยมีมวลประชาชนที่ถุกร้อยเอาไว้ ส่งเสียงเชียร์เป็นปาหี่ อาตมาว่าประเทศไทยมาถึงขนาดนี้ควรต้องเปลี่ยนแปลง มันไม่ใช่เพิ่งเป็น คือแบบที่มีนายกฯเหลวไหลมานาน พยายามบังคับ ซื้อ เอาอำนาจกดขี่ เป็นค่ายกลการเมือง ผู้จะปูนบำเหน็จขรก.ระดับสูง ต้องขึ้นต่อใครก็เห็นกัน แล้วคนนั้นเป็นนักโทษหนีคดีด้วย แล้วผู้ไปให้ปูนบำเหน็จก็เป็นผู้รักษากฎหมายด้วย มันเสื่อมต่ำมาก ไม่ได้ลงโทษ ที่ต้องทำสีหน้าท่าทาง ไม่ใช่ว่ามีจิตโกรธเขา อาตมาเป็นศิลปิน ต้องสื่อน้ำหนัก เหมือนกับคุณจิตรกร เขาก็กล้าใช้คำในฐานะเช่นนั้น แต่ฐานะอาตมาก็ใช้ไม่ถึงขนาดนั้น

 

มาถึงวาระนี้ การเมืองของไทยในลมหายใจเฮือกนี้ควรจะต้องล้างบาง ต้องตัดสิน ตามที่คาดไว้ ต้องจัดการให้พวกนี้หยุดไปอีก ตามเจตนารมณ์ ให้หยุดเรื่องเก่า ค่ายกลเก่าของเขา เขาจึงพยายามดึงไปสู่ระบบเก่า บทความของค่ายโน้นไม่มีน้ำหนักเลย มีแต่เอาประเด็นที่เขาได้เปรียบตื้นๆ พูดๆไปเหมือนคนตาบอด ประเทศไทยถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ไหวแน่ๆ อาตมาเป็นคนไทยคนหนึ่ง ในฐานะมีชีวิตจะใจดำไม่รับรู้ไม่ช่วยเลย ที่อาตมาพูดนี่เป็นการช่วยประเทศไทย ใครจะหาว่าอาตมาพูดใหญ่โต ก็ไม่ว่า แต่อาตมาว่าแม้เป็นเศษธุลีนิดๆ ก็จะช่วย อาตมาดูดายไม่ได้ ใจดำอำมหิตไม่พอ หรือว่าฉลาดน้อยไม่พอ ที่จะไม่ทำ ใครจะฉลาดน้อยไม่เอาตาดูหูแล อาตมาจริงใจไม่ได้ทำผิดสากลนิยม

 

มีผู้ที่ส่งคำถามมา

 

1.ช่วยขยายความจากที่ฟังต่อๆๆ มา ที่พระพุทธเจ้าตรัสฯว่า ทรัพย์ คือ ข้าวเปลือก  มันอย่างไร ครับ?โยมว่า น่าจะมีความลึกซึ้ง ซ่อนอยู่มาก

2.ถ้าผมจะบวช ต้องทำอย่างไรบ้างครับ?

ตอบ...ถ้าจะไปบวชกับทาเถรสมาคมก็ไปหาพระ แล้วท่านก็มีธรรมเนียมอยู่แล้ว แต่ถ้ามาอยู่กับชาวอโศก จะมาบวชเป็นสมณะ ต้องมาศึกษามาอยู่ ตั้งแต่เป็นคนวัด อย่างน้อย 1 ปี แล้วเมื่อถึงเวลาก็แจ้งกับสมณะว่าปรารถนาจะบวช ท่านก็จะดูว่าเหมาะสมไหม? หากไม่เหมาะสมก็จะให้อยู่ต่อ หรือว่าถ้าเหมาะจะบวชก็จะให้บวช หรือว่าดูแล้วไม่เหมาะสมจะบวชกับทีนี่ก็จะบอก แต่น้อยคนที่จะบอกเช่นนี้ ส่วนมากก็จะให้อยู่ต่อจนพิสูจน์ตนว่าเหมาะสมจะบวชได้ หรือว่าจนได้บวช เมื่อได้รับสมัคร ก็จะต้องอยู่ในฐานะผู้ปฏิบัติอีก อย่างน้อย 4 เดือน แล้วจะผ่านโหวตไปสู่การเป็นนาค เป็นวิธีการของพระพุทธเจ้า เราทำจริงจัง ซักถามอันตรายที่จะมีกับการบวช ถ้าผ่านก็จะผ่านจากผู้ปฏิบัติมาเป็นนาค อีกอย่างน้อย 4 เดือน แล้วถ้าผ่านก็จะไปเป็น เณรอีกอย่างน้อย 4 เดือน แล้วสุดท้ายก็เข้าหมู่ซักถามไม่มีอันตรายจริงๆต่อการบวช ก็จะให้บวช แม้แต่คุณมีเงินทองมีที่ดินอยู่ก็ไม่ให้บวช แม้เป็นขรก.มีเงินเดือนก็ไม่ได้ พอเป็นเณรหากผ่านหมู่ตัดสินถ้าไม่เหมาะก็ไม่รับเข้าบวช ฟังแล้วสยองไหม? รวมแล้วอย่างน้อย 2 ปี ถ้าเจ๋งจริงๆผ่านตลอดนะ เร็วสุด 2 ปี บางคนรู้ตนเองไม่ขอเข้าหมู่ให้สงฆ์พิจารณา อยู่ไปจนกว่าจะรู้ตัวว่าเหมาะ บางคนสี่หรือห้าปี สมณะที่นี่บวชน้อย บวชเพื่อไปนิพพานจริงขนาดนั้นก็ยังมีสึกเลย ไม่ใช่เรื่องธรรมดา บวชนี่จะไม่ทำให้ศาสนาเสื่อม ที่ไปบวชเล่นกันบวชทีละพันทีละหมื่นทีละแสนนี่ทำให้ศาสนาเสื่อม การนุ่งห่มจีวร นั้นพ่อแม่ต้องกราบนะ แล้วคุณมีความดีอะไรให้เขากราบ แล้วคุณมีศีลกี่ข้อ อย่างน้อยสามเณรก็ศีล 10 เป็นต้นไป พ่อแม่หรือขรก.ผู้ใหญ่ก็ต้องยกมือไหว้พระ ถือว่าเป็นธงไชยพระอรหันต์นะการนุ่งห่มจีวร เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แต่เมื่อการบวชกลายเป็นเรื่องดราม่า ตกแต่งประดับประดาไม่พ้นศีล 8 เลย เต๊ะท่าดราม่า ไม่ใช่ธุดงค์เลย แม้แต่ศีลข้อนัจจะคีตะวาทิตะ ธารณ มัณฑนา วิภูสนฐานา ที่ต้องงดเว้นก็ไม่ได้งด เอามาเป็นเครื่องหลอกคนอีกให้ซาบซึ้งประทับใจต่างๆนานา ก็บาปทั้งคนทำและคนที่ไปร่วมหลงด้วย เหมือนวิธีการตลาด ยกป้ายเชียร์เหมือนเล่นเกมโชว์ ยกป้ายหลวงพี่สู้ๆ  ขอยืมปากคุณจิตรกรว่า ดูแล้วทุเรศ ดูแล้วน่าเกลียดมาก เขาทำกัน

และ...

การที่มีการหลงผูกค่าเงินประเทศ ไว้กับดอลล่า ใน ขณะที่อเมริกาเริ่มเสื่อมตกต่ำ

ทางเมืองจีน เริ่มคงคลังไว้กับปริมาณทองคำ

หากพระพุทธองค์ ทรงย้ำ ทรัพย์ คือ ข้าวเปลือก เรื่องราว เป็นเช่นไร ???

 

ตอบ...เรื่องนี้ผู้ถามมาลึกซึ้งซับซ้อนเป็น อิทัปปจยตา ได้สัดส่วน เป็นเรื่องเดียวกันได้ ถามว่าเรื่องข้างเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง แล้วยกอ้างว่า อเมริกา พิมพ์ดอลล่า โดยไม่มีทองคำเป็นหลักประกัน หากโลกไม่ยอมรับจะแย่ แต่เมืองจีนใช้ทองคำ ยืนยัน เมืองจีนก็ยืนยันว่า อเมริกาทำอะไร ใช้ธนบัตร อาตมาว่า จีนจะให้เห็นว่าธนบัตรของจีนมีหลักประกัน เขามีทองคำนะ บอกกับโลก แล้วธนบัตรของบางประเทศเขาไม่มีหลักประกัน นี่เป็นการแข่งความนับถือระหว่าประเทศ

แล้วจริงที่สุดที่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ส่วนอาหารเป็นหนึ่งในโลก อาหารคือเครื่องอาศัย กว้างและลึกคืออาหาร 4 อาหารในอวิชชาสูตร อาหารในสูตรอื่นๆอีกหลายสูตร

ข้าวเปลือกคือทรัพย์อย่างยิ่ง อาตมาพาชาวอโศกทำนา เด็กที่มาอยู่กับชาวอโศกต้องหัดทำนาเป็น อย่างน้อยให้คุณรู้บุญคุณของการทำนา ข้าวเมล็ดเล็กๆ กว่าจะอิ่มใช้กี่เมล็ด มันเป็นอาหารยังชีพ เพชรกับข้าว หากถึงเวลาสำคัญ เพชรไม่มีค่าอะไร คุณต้องเอาข้าวเลี้ยงชีพ มันเป็นปัจจัยที่แท้ในปัจจัย 4 (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย) สามอย่างที่แม้ไม่มีก็อยู่ได้ ไม่ตายทันที แต่ข้าวนี่ไม่กินก็ตาย อาหารจึงเน้นที่ว่า ข้าวเปลือกคือทรัพย์อย่างยิ่ง แต่อาหารนี่เลี้ยงจิตขันธ์อย่างสำคัญเลย ทีนี้กลับมาที่กวฬีการาหาร นั้นข้าวเป็นสิ่งสำคัญ ข้าวมีธาตุอาหารที่คนเข้าใจทั่วโลกว่า ข้าวเปลือกคือทรัพย์อย่างยิ่ง

 

อาตมาให้โศลกว่า “ข้าวไม่ใช่สินค้า แต่ข้าวคืออาหารที่ต้องแบ่งปันกันกิน” มีความหมายนัยซับซ้อนว่าเป็นอาหารที่ต้องทำให้มากแล้วเผื่อแผ่กันกิน แต่จะขายก็เพื่อเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ อย่างชาวนาก็ขายข้าว แต่ก็ต้องขายให้ถูก ไปตั้งราคาแพงไม่ได้

 

เพราะฉะนั้นที่อาตมาให้พวกเราทำข้าว แล้วบอกว่าไม่ใช่อาหารที่จะต้องเอามาเป็นเหตุ อย่างที่คุณยิ่งลักษณ์ทำ ว่า ให้ราคาแก่ชาวนาแพงๆ ให้ชาวนาดีใจที่ขายได้แพงๆ แทนที่จะบอกว่า ชาวนาทำข้าวให้คนกินนี่เป็นกุศลมหาศาล คนที่สร้างข้าวให้ประชากรเลี้ยงชีพ คือคนที่มีกุศลมหาศาลแล้ว เป็นคุณงามความดีแล้วเป็นวิบากที่คุณได้ คุณค่าราคาของการทำข้าวให้คนกินมีชีวิตอยู่ได้ ราคากุศลนี่มันแพง เป็นกุศลที่น่าทำอย่างยิ่ง

 

คนที่เขาเป็นดารา นักฟุตบอลเตะบอลแล้วได้เงินมาก ไม่ใช่กุศลเลย แต่เป็นบาปมากด้วย พวกรื่นเริงบันเทิงเพลิดเพลินมากๆนี่ตกนรกปหาสะนะ เขาไม่เข้าใจหรอก ว่าคุณติดอบายมุข การละเล่น มันคือนรกของคุณ

 

นโยบายจำนำข้าวเป็นนโยบายบาป อกุศลหนัก นอกจากจะทำให้ข้าวราคาแพง ทำไม่ไม่ให้ข้าวราคาแพง เพราะคนจนหรือรวยก็กินข้าว แต่ถ้าข้างแพง คนจนก็ตายสิ รัฐบาลต้องทำให้ข้าวราคาถูก มีข้าวกินนี่ชั้นหนึ่งแล้ว ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ทรัพย์นี้ไม่ใช่ว่าได้เงินทองมามากนะ

 

เมืองไทยนี่ยืนหยัดไว้นะ อาตมาบอกชาวอโศกว่า ต้องทำเรื่องนาเรื่องข้าว ทุกวันนี้ก็ยังทำได้ไม่ถึงที่อาตมาปรารถนานะ แต่พูดเรื่องเนื้อแท้ของข้าวที่ท่านว่าเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าเอาไปค้าร่ำรวย แต่เป็นทรัพย์ทางธรรม คุณค่าแห่งชีวิต เลี้ยงชีวิต เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ผู้ใดทำข้าวให้คนกินได้แล้ว ทำให้ราคาถูก หรือแจกฟรีได้ อย่างชาวอโศกก็ทำตลาดอาริยะก็ขาดทุนเท่าที่เราจะเสียสละได้แม้เราจะฐานะไม่ดีก็ต้องทำเป็นวัฒนธรรมที่ควรส่งเสริมแล้วจะพัฒนาให้สูงให้กว้างมากขึ้น

 

เรื่องข้าวจึงเป็นทรัพย์อย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจหากเมืองไทยดำเนินนโยบายทำข้าวให้เป็นที่หนึ่งของโลก ทำข้าวให้มีคุณภาพดี แล้วเอาไปแจกจ่ายให้แก่ประเทศที่เขาขาดแคลน ถ้าเราทำได้มากแล้วมีวิธีการสะพัดแพร่แก่ประเทศต่างๆ เรามีเยอะนะ สมมุติประเทศไทยเรามีข้าวล้นเลย เราก็ส่งทูตไปประเทศไหนที่จะเอาข้าวราคาถูก ของดีด้วย ตลาดไหนก็สู้ไม่ได้ เราขายได้หมด เราขายของดีราคาถูก เรามีมาก มีน้ำใจ เราเดินไปประเทศไหนที่จนก็ให้ ประเทศไหนมีเงินก็เอาเงินเขามาถัวกันบ้างเท่าที่ควร ถ้ามันมากก็ใช้ข้าวนี่เป็นสินค้ายิ่งใหญ่ จะมีนโยบายขายหรือสงเคราะห์แก่ประเทศที่อดอยาก เพื่อเกื้อกูล ไม่ได้ไปเอาเปรียบ อาจเป็นนโยบายที่ดูว่าอยู่ไกล แต่อาตมาว่าประเทศไทยมีจุดเด่นเรื่องนี้ ก.เกษตรฯน่าจะทำได้ ประเทศไทยอยู่ในถิ่นที่ทำได้ ส่งให้เขาเป็นข้าวเปลือกเก็บได้นานกว่าข้าวสาร แต่ละปีทำได้ เป็นเรื่องใหญ่มาก ฝากถึงชาวอโศกให้เอาใจใส่ ใครจะเสียสละ ตอนนี้มีคนเข้าใจอยู่มาก เอาดร.แสวงที่จะมาทำ เอาให้จริงเลย เรายินดีส่งเสริมช่วยกันทำ ตอนนี้ชาวอโศกจะมีที่ทางพอทำได้ ชาวอโศกจะได้สำนึกมีปัญญาเข้าใจเรื่องนี้จะได้ช่วยกันทำข้าวขึ้นมา

 

แล้วเรื่องลึกซึ้งคือ ข้าวคือกวฬีการาหาร ที่เป็นแก่นแท้ของอาหารที่ทุกประเทศเข้าใจดี มีแค่ข้าวนี่แหละทำให้สุกแล้วก็กินก็อยู่ได้แล้ว กินแต่ข้าวเฉยๆก็ได้ กินอย่างอื่นไม่มากก็อยู่ได้  เพราะมีธาตุที่ครบแล้ว จริงก็ต้องมีอย่างอื่นบ้าง ก็ไม่แย้งในเรื่องนี้ เพราะอาตมาก็ตามที่เข้าใจก็พูดไป

 

ข้าวเปลือกนี่แพร่ไปได้ไกล รักษาได้นาน ข้าวสารก็ต้องเก็บได้ไม่นาน หากทำข้าวเปลือกจะสะพัดได้ไกล ยิ่งทุกวันนี้การคมนาคมก็รวดเร็วดีขั้น พร้อมส่งให้ ถ้าเราทำดีๆ ไทยเราทำเชิงนี้ทำถึงขั้นเราเองแสดงให้เห็นว่าเรามีข้าวเป็นอาวุธ

 

มีข้าวเป็นอาวุธ  ส่วนประเทศไหนจะสร้างปืน อาวุธเก่งขนาดไหน แต่เราจะสร้างข้าวเป็นอาวุธ (ศาตรา) เป็นสิ่งลึกซึ้งเอาไปให้แก่โลก เกื้อกูลโลก เอาไปเป็นสินค้าออกของประเทศ แทนที่จะผลิตอาวุธสังหารคน แม้แต่เครื่องบินฆ่าคนก็ไม่ต้อง ให้สร้างข้าว แล้วดำเนินนโยบายอย่างที่ว่าบุญนิยม ไม่ใช่ทุนนิยม แต่มันทำทีเดียวพรวดพราดไม่ได้ แต่อาตมาพาพวกเราทำมาตั้งแต่กลุ่มเล็กๆนี้ได้แล้ว ไม่ทำอ้าขาผวาปีกเกินไป แต่อาตมาก็พูดถึงวิสัยทัศน์อาตมาว่าควรเป็นเช่นนี้ ถ้าไทยทำอย่างที่อาตมาว่า ขออภัยทีต้องใช้คำว่า ประเทศมหาบุญ มหากุศล ไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจ

อาตมาว่าจีนที่ทำนี่เป็นวรยุทธอย่างหนึ่ง ที่พูดไม่ได้เพื่อให้ทะเลาะกัน แต่โลกีย์เขาก็แข่งขันกันไปเช่นนั้น แต่ของเราที่อาตมาบอกนโยบายก็แข่งขันนะ แต่ว่าเรานี่เราเสียสละให้คุณชนะไปเลย ไม่ใช่เป็นวิธีรบราฆ่าฟันเอาชนะเขาแต่ว่าเกื้อกูลมีน้ำใจให้ ถ้าทำได้จะไม่เป็นประเทศมหาอำนาจ แต่เป็นประเทศมหาบุญ มหากุศล เริ่มที่โครงการข้าวแสนตันที่เป็นข้าวคุณภาพดี แล้วเราจะได้มาแบ่งปันกันกิน แต่ว่าก็มีขายบ้าง หรือต่อไปจะเอาข้าวไปแลกของก็ได้ แลกธนบัตร

 

อาตมาว่ายังพูดไม่สมบูรณ์ไม่เก่ง วันหลังก็จะได้มาเติมให้สมบูรณ์ แล้ว อย่างที่ในหลวงว่า เราไม่ทำแบบก้าวหน้าอย่างมาก แต่ทำแบบในหลวงว่า ทำแบบขาดทุน แบบคนจนนี่แหละ เราทำให้มีข้าวกินไม่อดอยากในประเทศไทย แล้วทำให้เป็นประเทศที่มีข้าวเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ เราจะใช้อันนี้แหละ อาวุธ นี่แปลว่าช่วยชีพ แต่อาวุธอย่างเขานี่ใช้เป็นการทำลายชีพ เป็นอาวุธบาป แต่อันนี้เป็นอาวุธบุญ แล้วไม่ใช้เป็นอาวุธโก่งราคาด้วย เพราะอาวุธฆ่าคนเขานี่มีประสิทธิภาพสูงก็ยังโก่งราคาอีก นี่บาปซ้ำซ้อน ไม่รู้กี่ชั้น  ประเทศไทยทำไม่เป็นทำไม่ได้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปสร้างปืนหรือระเบิดอาวุธหรอก พูดไปคนก็จะหาว่าอาตมาสุดโต่งเกินไป

 

อย่างในหลวงท่านตรัส ว่าอุตสาหกรรม แม้มือถือ คอมพิวเตอร์อะไรต่างๆนานา พวกแพดๆเพิ่ดๆ แล้วมีวิธีเล่น ที่อาตมาเรียกไม่ถูกเลย ไม่ว่าจะเป็นไลน์ เฟส มันมีพิษในนั้นเหมือนอาวุธทางจิตวิญญาณที่ร้ายแรง มันมีประโยชน์แต่ที่ไร้ประโยชน์จริงๆคือปืนคืออาวุธ

 

ในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นอาหารที่เป็นอุปโภค(บริโภคใน) หรือบริโภค (บริโภคนอก) ที่จำเป็นต้องใช้ เรามีปัญญาสร้าง ก็ควรต้องคิดต้องทำ อย่างเรานี่อุตสาหกรรมไม่ค่อยเอาอ่าว แต่ตอนนี้เราจะมาทำเรือกัน เป็นเรือในแม่น้ำ ไม่ใช่เรือในทะเล แต่เราก็จะตั้งร.ร.อาชีวะ เป็นสาขาการต่อเรือ เป็นหลักสูตรของก.ศึกษาธิการอยู่แล้ว เหมาะเลยเป็นเรื่องที่เราต้องทำ จะเรียกว่าอุตสาหกรรมก็แล้วแต่  เราทำเรือเหล็กมาใช้ได้แล้ว ท่านหินกลั่นพาเด็กนร.ทำมา เรือฉลาดใช้ เรือไฉไลสันติ แล้วตอนนี้จะให้ทำแพขนานยนต์ขึ้นมา หรือทำเรือขายราคาถูกชาวบ้านจะได้ใช้ แล้วจะได้ปลุกชีพลำน้ำมูนขึ้นมาให้เป็นการคมนาคม ตลาดน้ำก็ได้ ปลอดภัยกว่าการคมนาคมทางบก แล้วใจเย็นกว่า ทางเรือนี่ใจร้อนตาย ต้องใจเย็น ยังไงต้องยอมใจเย็น ไม่ได้ดังใจหรอก แม้จะมีเรือเร็วเราก็ยังไม่สนับสนุน

เราจะอยู่ทางกสิกรรมเป็นหลัก เรื่องอุตสาหกรรมก็ค่อยเป็นไร แจ้งให้ทราบ เรามีเรือเอี้ยมจุ๊นเป็นเรือใหญ่ เขาเรียกอีกอย่างว่าเรือฉลอม อายุไม่ต่ำกว่า 50 ถึง 70 ปี หาได้ยากแล้ว

 

ที่พูดนี้จะได้ปลูกฝังการงานอาชีพที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต สังคม แต่ที่เขาเพลิดไปนั้นทุกวันนี้ เขาเรียกว่า สังคม วัวลืมตีน มีอะไรมาสวมตีนวัวให้เดินไปแล้ว จริงๆ แต่เราจะกลับไปสู่ความเป็นมนุษยชาติที่เราไม่ลืมความจริงที่ควร เราอยู่ย่านนี้มีแม่น้ำมูน อุบลฯไม่ใช่จังหวัดเล็ก แล้วมีหลายจังหวัดใช้แม่มูน อย่างเจ้าพระยาเขาก็ใช้ได้ประโยชน์หลายอย่าง ทำไมเราผิวเผิน การที่เขาไม่ทำโรงงานให้แม่มูนเสียมันดีมากแล้ว ทางแม่น้ำเจ้าพระยานั้นเจอเข้าไปเยอะแล้ว เน่าเสีย ผู้ใดจะส่งเสริมช่วยอาตมาก็เชิญ ...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 16:50:53 )

580114

รายละเอียด

580114-ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ การเมืองคืองานอาสารับใช้ไม่ใช่อาชีพหากิน

ตอนนี้ในบ้านเมืองก็กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ที่มีปัญหากำลังจะตัดสินกันอยู่ เพราะอาตมาเห็นว่าปัญหานี้ ถ้าแก้ได้ถูกต้อง ทำงานให้ถูกต้องจะเกิดประโยชน์มาก แต่หากทำงานไม่ถูกต้องจะก่อปัญหาเลวร้ายมาก เพราะสังคมไทยได้สะสมความเลวชั่วทางการเมือง เขาสร้างค่ายกลทางการเมืองมาตั้งแต่ 82 ปีมาแล้ว เป็นความเฉโก ซึ่งงานการเมืองไม่ใช่งานอาชีพ แต่ว่างานการเมืองคืองานอาสาเสียสละ เป็นงานตั้งแต่ปชช.ทุกคนต้องทำหน้าที่ เวลามีกฎเกณฑ์ให้ทำก็ควรทำหรือว่าต้องอาสาทำ เพราะเป็นการอาสาทำงานให้บ้านเมือง ไม่ใช่การรับจ้าง แต่เป็นงานอาสา แม้แต่จะเกิดระบบนักการเมืองเป็นขรก.การเมืองไปแล้วก็ตาม ก็ต้องอยู่ในข่ายงานอาสาเหมือนกันเวลานกมงหาเสียงก็ต้องบอกว่าอาสาทำทั้งนั้น แต่เสร็จแล้วกลับเอามาเป็นอาชีพ เลี้ยงตน ครอบครัว สร้างความโด่งดังทางตระกูลให้เป็นเรื่องโดดเด่น ที่จริงก็โดดเด่นได้ ถ้าอาสาทำงานให้ปชช. จริงๆ

 

การเมืองคืองานของบ้านเมือง เป็นการสมัครมาทำงานรับใช้บ้านเมือง ไม่ใช่เอกชน แต่งานข้าราชการคือทำงานให้แก่รัฐ ได้เงินของปชช.ไปอาศัยให้ตนอยู่ได้ แต่ก็เห็นใจว่า เมื่อเป็นขรก.แล้วก็ต้องมีเงินให้เขาเลี้ยงชีพบ้างก็มีสวัสดิการรัฐให้แล้ว เงินเดือนก็มีอีกต่างหาก พอกินพอใช้ ก็ตนเองสมัครว่าอาสามารับใช้นะ เดิมเรียกว่าราชการ ติดมาจากสมบูรณายาสิทธิราช คือมีผู้รับใช้เบื้องพระยุคลบาท เป็นข้าราชบริพาร รับใช้พระเจ้าแผ่นดิน ช่วยราชการ คืองานของพระเจ้าแผ่นดิน ก็มีคนสมัครไปช่วยพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีเงินเดือนเงินดาว แล้วแต่ในหลวงพระราชทานให้  แต่ต่อมามีระบอบใหม่ก็ต้องทำงานรับใช้แผ่นดินนั่นแหละ แต่ก็มีอิสรเสรีภาพมากกว่า สรุปคือ ข้าราชการก็ทำงานให้พระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งท่านก็ทำงานเพื่อประชาชน เลี้ยงดูปชช.เหมือนลูก  แต่พอเปลี่ยนมาให้ปชช.มีสิทธิมากขึ้น อิสรเสรีภาพมากขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ก็มีพระเจ้าแผ่นดิน คำว่าราชการก็ความหมายเดิม คือมาช่วยปชช.เหมือนกัน พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ทำเช่นนั้น  แต่คนมาหลงอำนาจเบ่ง จะต้องมีอำนาจยิ่งกว่าในหลวงอีก ก็บ้าๆบอๆ ลบหลู่วิจารณ์ได้ จะต้องให้เท่าเทียมกันเป็นต้น

 

สรุปว่าราชการหรือนักการเมืองก็ตาม เป็นขรก.การเมืองที่ได้รับเลือกตั้งทำหน้าที่ตามวาระก็คือขรก.การเมืองที่จร ไม่ประจำ  ซึ่งการเมืองก็ราชการ ขรก.ก็ข้าราชการ ได้เงินสวัสดิการ ซึ่งเป็นเงินของรัฐหรือของปชช. นั่นแหละข้าราชการ ต่างจากงานอาชีพส่วนตัวที่ไม่ได้รับเงินของรัฐ แล้วไม่ได้ปฏิญาณไม่ได้สมัครเข้ามาอาสาช่วยปชช. แต่โดยสำนึกว่าต้องช่วยปชช. โดยหน้าที่ต้องเอาตาดูหูแล โดยเฉพาะเราให้เงินคนที่ให้เขามาดูแล หรือจ้างเขามาดูแลบ้านเมือง ถ้าเขาทำไม่ถูกไม่ควรก็ต้องท้วงติง ประท้วง ให้หยุด เลิก ในกฎหมายรธน.ก็มีหมด สรุปก็ขอแยกให้ชัดว่า งานการเมืองจะเป็นขรก.หรือขรก.การเมืองก็ตาม งานการเมืองก็อย่างหนึ่ง งานเอกชนก็อย่างหนึ่งต่างกันตรงที่เอกชนไม่ได้อาสามาช่วยบ้านเมือง แต่โดยสามัญสำนึกก็ต้องช่วยสิ เพราะรับประโยชน์จากบ้านเมืองเหมือนกัน ควรกตัญญุ เอกชนที่ไม่ดูแลบ้านเมืองเอาแต่ทำมาหากินนี่เป็นคนเห็นแก่ตัวร้ายเลวมาก ไม่มีจิตวิญญาณเป็นกุศลคุณค่าเลย จึงเป็นปชช.ที่เลวร้ายกาจ ไม่ตาดูหูแลว่าอะไรควรช่วยได้บ้าง

 

เอกชนเขาไม่ได้อาสา แล้วเขาไม่ได้เอาเงินจากปชช. แต่ขรก.นี่ได้ชื่อว่าอาสาเข้าไปทำ  ซึ่งงานการเมืองคืองานอาสาช่วยประชาชน ไม่ใช่งานอาชีพเลี้ยงตน แม้ไม่ได้สมัครเป็นขรก.หรือนกม.ที่ได้รับเงินเดือนเลยก็ตามหรือมีตำแหน่งกินเงินเดือนของรัฐ คนอย่างนั้นก็ไม่น่าเรียกอาชีพ เรียกว่างานอาสา แต่ปชช.อย่างเราที่เลี้ยงชีพ แต่เราก็อาสาไปช่วยปชช. โดยไม่เกี่ยวกับราชการหรือคณะบริหารเลย เราไม่ได้สมัครเข้าไป แต่เราสมัครใจทำด้วยเต็มใจ เรียกว่า การเมือง ภาพประชาชน เป็นหน้าที่บุคคลที่เราเต็มใจทำ

 

เช่นเราทำประโยชน์ผลิตผลผลิต หรือได้สินค้า ก็ทำการสะพัด  เรียกว่าพาณิชย์ จะมีการแลกเปลี่ยนโดยระบบต่างๆก็เรียกว่าพาณิชย์ มีสิ่งของแลกเปลี่ยน จำหน่ายกันไปมา เราก็ช่วยพาณิชย์ ช่วยธุรกิจ โดยพยายามทำให้เป็น ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ แล้วพยายามให้เป็นระบบขายสด ไม่เอาแบบสินเชื่อ ซึ่งไม่ดี การเป็นหนี้เป็นเรื่องทุกข์ พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำ ศาสนาพุทธยืนยันให้ตัดประเด็นพวกนี้ อาตมาก็ยืนยันตามพระพุทธเจ้าสอน ระบบพาณิชย์เราก็สร้างของดี ทำให้ถูก แล้วขาย ต่ำกว่าราคาตลาด เท่าทุน ต่ำกว่าทุน แล้วแจกฟรี มีสี่ระดับ นี่คือการช่วยปชช. คือการเมืองภาคปชช.ที่เราทำกับบ้านเมือง มีแนวคิดเช่นนี้ แต่ว่าทางโลกเขาไม่ได้คิดเช่นนี้ เขามีวิธีการเอาเปรียบกัน คนฉลาดมีค่ายกล เอาเปรียบได้มากสร้างกฎระเบียบของสังคมมีกฎหมายรองรับอีก คนฉลาดน้อยก็ต้องแพ้คนที่ฉลาดมากเป็นธรรมดานี่คือความโหดเหี้ยมของสังคม แนวคิดโหดเหี้ยมของสังคม พระพุทธเจ้าไม่พาทำ

 

ยิ่งมาเป็นนักบวช เป็นลูกพระพุทธเจ้า นี่ได้อภิสิทธิ์หลายอย่างปชช.ยกให้ แต่ก็ใช้โอกาสนั้นซับซ้อน สร้างความร่ำรวยกอบโกย อยู่ดีกินดีแบบโลกีย์มีกลวิธีเผยแพร่ เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาทำให้คนหลงว่าเป็นบุญกุศล แต่แล้วไม่ได้ชำระกิเลสไม่ได้บุญที่แท้จริง มีแต่ทำให้คนหลงสร้างวิมานหลอกคนอีกเยอะแยะ

 

การเมืองภาคประชาชนที่เราทำ ไม่ว่างานการศึกษา การสื่อสาร การผลิต การกสิกรรม การสาธารณสุข อาตมาเน้นกสิกรรม ผลิตให้แก่ปชช.ก็ทำมา ให้ปชช.ได้รับสิ่งที่ดี ผลผลิตกสิกรรมที่มีสารอาหารมีประโยชน์แก่ชีวิตที่ดี แล้วซื้อขายอย่างมีหลักพาณิชย์บุญนิยม มี 4 หลักดังกล่าว ต่ำกว่าราคาตลาด เท่าทุน ต่ำกว่าทุน แล้วแจกฟรี เราเข้าใจว่าเป็นการทำอย่างอาริยะอย่างไร เป็นการกระทำแท้ แล้วเราทำอย่างมีหลักเกณฑ์ ตามที่พระพุทธเจ้าสอน เราก็ได้ประโยชน์ พยายามทำให้สัมมาทิฏฐิ  เราก็ได้มรรคได้ผล จึงทำงานการเมืองอยู่ อย่างผู้เจริญ ที่เราใช้คำว่าอาริยะ ทำงานการเมืองคือช่วยบ้านช่วยเมือง ไม่ได้ทำเพื่อเห็นแก่ตัว

 

เราพึ่งตนเองให้รอด แล้วมีส่วนเหลือเผื่อแผ่แก่สังคมประเทศชาติแท้จริง เรามุ่งหมายจริงใจ ไม่ได้พูดเอาเท่เก๋ แต่เราทำให้จริง พวกเราก็เข้าใจแล้วมารวมเป็นหมู่กลุ่มอโศก ทำอย่างจริงจังจริงใจ อาตมากล้ายืนยันท้าให้มาพิสูจน์ได้ แต่กิเลสส่วนตัวของแต่ละคนก็มี เพราะไม่ได้เป็นอรหันต์หมด แต่ก็ดูแลกันอยู่ไม่ให้กิเลสออกมามากเกินไป

 

มนุษยชาติที่รู้เนื้อแท้การเมือง ก็จะทำเพื่อบ้านเมือง โดยไม่จำเป็นต้องไปมีตำแหน่งในรัฐสภาหรือบริหารหรือศาล เราก็ไม่ได้เป็นไม่ได้อาศัยงานพวกนั้นแต่เราทำงานการเมืองภาคประชาชน

 

การเมืองนั้น แม้เป็นเอกชนก็ต้องเอาใจใส่ช่วยด้วย แล้วไม่ต้องไปรับเงินเดือนเลย แต่เป็นหน้าที่ ทำการเมืองภาคปชช. ถ้าไม่ช่วยคุณก็ออกไปนอกประเทศสิ ถ้าอยู่ในประเทศก็ต้องช่วยบ้านเมือง เพราะแผ่นดินเป็นของรัฐส่วนกลางทุกคนมีสิทธิ์แล้วจะแบ่งกันอย่างไรก็แล้วแต่

 

ชาวอโศกที่อาตมาพาทำนี่เราทำงานการเมืองภาคปชช.ตลอดมา แม้เราจะมีพรรคการเมืองตามนิตินัยก็มี เราก็ทำไปแต่เราไม่เคยกระดี๊กระด๊า ที่จะเอาพรรคการเมืองไปแย่งอำนาจบริหาร เราไม่เคยเลยนอกจากจำเป็นต้องลงสมัครเพราะกฎหมายบังคับ ที่ต้องสมัครนี่ก็ไม่ได้อยากจะไปเป็นผู้มีตำแหน่งใดๆเลย เรามีหน้าที่ทำการเมืองภาคปชช.อยู่แล้ว เรารู้ว่ายังไม่ถึงกาละที่ปชช.จะรู้ว่าเรารับใช้ปชช.แท้จริง แต่อาตมาจะพาพวกเราชาวอโศกทำงานการเมืองภาคปชช. จนกว่าปชช.จะเรียกร้องให้พวกอโศกนี่ไปเป็นผู้บริหารหรือนิติบัญญัติ เพราะเราทำงานภาคปชช.ได้ เราช่วยด้วยจริงใจ เราทำด้วยจิตอาสาทำจริง

 

อาตมาไม่เคยให้ความรู้กับชาวอโศกว่า การเป็นนกม.คืออาชีพหรือว่าเป็นงานเพื่อได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วที่เราทำนี่เขาก็ว่าเราเล่นการเมือง เราก็ว่าเราไม่ได้เล่น เราทำจริง การเมืองไม่ใช่เรื่องเล่นๆ งานบ้านงานเมืองเป็นเรื่องจริง แต่หากคุณจะเล่นก็เล่นส่วนตัว แต่เอาความจริงมาเล่นก็เสียหายส่วนรวมมาก

 

สรุปที่ว่า ขณะนี้การเมืองมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อ สำคัญมาก อาตมาก็เป็นปชช.ก็อาสาทำ แม้ถูกด่าว่านอกรีต แต่อาตมามั่นใจว่าไม่ได้ทำเกินขีดเขต เป็นเรื่องช่วยสังคมจริง ที่พาทำ ด้วยบริสุทธิ์ใจ ใครจะว่าก็ว่าไป แม้จะยึดถืออย่างไรก็ว่าไป อาตมาก็เข้าใจ ที่เขาว่า  พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามไม่ได้อนุญาตด้วย เราทำไม่ได้เพื่อล่าลาภ ยศ เงินทองหรือสร้างชื่อเสียง แต่เราทำไปจนกว่าปชช.จะเรียกร้องให้เราไปบริหารบ้านเมืองไปเป็นนกม.ในระบบ ซึ่งนกม.จะรวยไม่ได้ จะต้องมาจน หากจะไปเป็นนักการเมืองในระบบ  รับใช้อย่างบริสุทธิ์

 

วันนี้ขอพูดเรื่องหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง ที่จะทำการถอดถอน ประเด็นหลักตอนนี้ มีผู้จะถูกถอดถอน 3 คน ถ้าเกิดผิดพลาดตัดสินผิด ประเทศชาติ หนักหนาสาหัส ถ้าตัดสินถูก ประเทศชาติจะดีขึ้นทันตาเห็นเลย จริง ก็ลองดูความเห็นทางการสื่อสารที่ปรารถนาดีกัน

 

      • 580114 ปมประเด็นการถอดถอนยิ่งลักษณ์ของคุณสิริอัญญา ในนสพ.แนวหน้าวันนี้

 

ปัญหาการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเป็นเรื่องใหญ่หลวงของบ้านเมือง เป็นเรื่องที่เกิดความเสียหายกับประเทศมากเป็นลำดับที่สอง รองจากโครงการ ปรส. แต่ถึงวันนี้ยังไม่มีใครต้องรับผิด คนผิดยังคงลอยนวล และประเทศชาติยังคงไม่ได้รับการชดใช้ความเสียหายนั้นเลย

ความเสียหายจากโครงการ ปรส. เป็นจำนวนเงินสูงถึง 1,400,000 ล้านบาท นับถึงเวลานี้ก็ยังชำระหนี้ไม่หมด ยังคงมีภาระหนี้อยู่กว่า 1 ล้านล้านบาท ในขณะที่จ่ายค่าดอกเบี้ยไปแล้วหลายแสนล้านบาท

ส่วนโครงการรับจำนำข้าว เฉพาะความเสียหายจากผลขาดทุนก็มีจำนวนสูงถึงประมาณ 700,000 ล้านบาท ยังไม่รวมถึงความเสียหายของข้าวค้างสต๊อกประมาณ 17 ล้านตัน ซึ่งยังไม่รู้ว่าเสียหายอีกเท่าไหร่ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงความเสียหายจากการทำลายระบบการค้าข้าวของประเทศอย่าง ย่อยยับ

มีการดำเนินการเอาผิดกับขบวนการโกงชาติในโครงการรับจำนำข้าวหลายสำนวนคือ

หนึ่ง สำนวนนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการดำเนินการในสองทาง คือ ดำเนินคดีอาญาซึ่งขณะนี้ยังคงยักแย่ยักยันยึกยักกันอยู่ที่อัยการสูงสุด และการดำเนินการถอดถอนนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่ง

สอง สำนวนขบวนการทุจริตที่ทุจริตในการรับจำนำข้าวโดยตรง ซึ่งมีอยู่หลายสำนวนและหลายคน

ส่วนความเสียหายจากโครงการนี้ ทั้งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และภาคประชาชนต่างเรียกร้องให้กระทรวงการคลังฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ กระทำความผิด ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีก็เคยแถลงว่าจะต้องดำเนินการเรียกร้องความเสียหาย ทางแพ่งให้ได้ภายในอายุความด้วย

ทั้งสองส่วนและการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ และที่กำลังฮือฮากันในขณะนี้ก็คือเรื่องสำนวนการถอดถอนนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินงานของ สนช.

มีการถกเถียงกันในหลายประเด็น เช่น รัฐธรรมนูญ 2550 ยกเลิกไปแล้ว จะมาถอดถอนไม่ได้ หรือ สนช. ไม่มีอำนาจพิจารณาถอดถอน หรือนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้ทุจริต รวมทั้งเรื่องราวที่นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้หยุดยั้งโครงการจนทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง

ในประเด็นเหล่านี้มีความสับสนพอสมควร จึงสมควรจะได้ทำความเข้าใจโดยสังเขปดังนี้

ประเด็นแรก รัฐธรรมนูญ 2550 ยกเลิกไปแล้ว จะดำเนินการถอดถอนต่อไปได้หรือไม่ ข้อนี้ต้องรู้และเข้าใจให้แจ่มชัดว่าการถอดถอนออกจากตำแหน่งนั้นเป็นกระบวน การตามกฎหมาย ป.ป.ช. ที่บัญญัติไว้ชัดเจน ดังนั้นถึงแม้รัฐธรรมนูญ 2550 จะยกเลิก ก็ยังดำเนินการตามกฎหมาย ป.ป.ช. ซึ่งมีผลบังคับต่อไปได้

ประเด็นที่สอง สนช. มีอำนาจพิจารณาถอดถอนหรือไม่? ในข้อนี้ สนช. ได้วินิจฉัยโดยการลงมติแล้วว่า สนช. มีอำนาจถอดถอน กระทั่งได้มีการตราข้อบังคับ สนช. เกี่ยวกับกระบวนการถอดถอนแล้ว คำวินิจฉัยโดยการลงมติดังกล่าวเป็นที่สุดตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ใช้ บังคับอยู่ ผู้ใดจะเปลี่ยนแปลงหรือนำไปฟ้องร้องใดๆ มิได้

ประเด็นที่สาม นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุจริตหรือไม่? ในข้อนี้เรื่องที่ถอดถอนไม่ใช่เรื่องสำนวนกล่าวหาว่ามีการทุจริต แต่เป็นเรื่องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ คือไม่สั่งระงับยับยั้งโครงการที่ก่อให้เกิดความทุจริตและเกิดความเสียหาย จึงเป็นคนละเรื่องกับสำนวนเรื่องทุจริต ที่กำลังดำเนินการกันอยู่ และเรื่องการถอดถอนนั้นไม่ใช่เรื่องคดีอาญาที่กำลังดำเนินการอยู่ในชั้น อัยการสูงสุด

ประเด็นที่สี่ ในการพิจารณาถอดถอนมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างไรบ้าง? ในข้อนี้ปรากฏตามคำร้องของ ป.ป.ช. ที่ส่งแก่ สนช. ว่ามีอยู่สองประเด็น คือ

(ก) ประเด็นว่าโครงการรับจำนำข้าวมีความเสียหายเกิดขึ้นหรือไม่? ซึ่งข้อนี้แม้มีความเสียหายเพียง 1 บาท ก็ถือได้ว่ามีความเสียหายแล้ว แต่เรื่องนี้ผลการปิดบัญชีของกระทรวงการคลังที่ต่อเนื่องมาก็ชัดเจนว่ามี ความเสียหายหลายแสนล้านบาทและผลการตรวจสอบทั้งของ ป.ป.ช. และสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ปรากฏผลว่ามีความเสียหายประมาณ 700,000 ล้านบาทเป็นอย่างน้อยที่สุด ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นยุติชัดเจนแล้ว อย่าสร้างความสับสนเบี่ยงเบนปิดฟ้าด้วยฝ่ามืออีกต่อไปเลย

(ข) ประเด็นว่านางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีหน้าที่ต้องยกเลิกหรือหยุดโครงการนี้หรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้กฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดินบัญญัติว่า ในกรณีที่มีพฤติกรรมหรือมีข้อเท็จจริงส่อว่าจะเกิดความเสียหายขึ้นในการ บริหารราชการแผ่นดิน นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ที่จะสั่งยกเลิก ที่จะสั่งหยุด ที่จะสั่งระงับ ที่จะสั่งแก้ไข ที่จะสั่งเปลี่ยนแปลง หรือสั่งใดๆ เกี่ยวกับการนั้นเพื่อป้องกันความเสียหายได้ แต่ปรากฏว่าในเรื่องนี้ สตง. มีหนังสือแจ้งความเสียหาย 3-4 ครั้ง ป.ป.ช. มีหนังสือแจ้งความเสียหาย 2 ครั้ง และมีการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรแจ้งชัด 1 ครั้ง แต่ยังเถียงว่าไม่เสียหาย ต้องดำเนินโครงการต่อไป จนเกิดความเสียหาย ดังนั้นจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 157

ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในเรื่องนี้ก็มีเท่านี้ แต่ขบวนการอุ้มโกงกำลังบิดเบือนเพื่อให้เกิดความไขว้เขว กระทั่งอ้างการปรองดองเพื่อจะยกคนโกงไว้เหนือกฎหมาย ซึ่งประเทศไทยไม่สามารถยอมรับได้!

 

มาอีกคอลัมน์ ของแนวหน้า ผ่าประเด็นร้อนวันนี้

 

บ้านเมืองจะเหลือหลักยึดอะไร ถ้าปล่อยคนผิดทำลายชาติลอยนวล!

 

แม้จะมีสมาชิกสภานิติบัญญัติบางคนเริ่มตาสว่างขึ้นบ้างหลังกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อท่าทีสนช.สายทหารและตำรวจกลุ่มหนึ่งตั้งธงอ้างความปรองดองบังหน้าเพื่ออุ้ม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ให้พ้นผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ส่อรู้เห็นเป็นใจกับขบวนการโกงชาติปล้นแผ่นดินโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความวิบัติให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ตัวการสำคัญที่ต้องจับตาเพราะจะเป็นตัวแปรการเดินเกมชี้ชะตาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในวันที่ 23 ก.พ.นี้ ก็คือสนช.แก๊ง “วงษ์สุวรรณคอนเน็คชั่น”

 

แกนนำแก๊ง “วงษ์สุวรรณคอนเน็คชั่น” ที่สำคัญคือ พล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อนสนิทร่วมรุ่นของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) น้องชายของ พล.อ.ประวิทธิ์ พล.ร.อ.ดิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ น้องชายคนสุดท้ายของ พล.อ.ประวิตร พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม

 

เสียง 3 ใน 5 หรือ 132 เสียง เพื่อถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะว่ายากก็ยาก แต่จะว่าง่ายก็ง่ายโดยตัวแปรสำคัญที่สุดก็คือจุดยืนของ คสช.ว่าจะตั้งธงปรองดองกับระบอบทักษิณเหมือนที่แก๊ง “วงษ์สุวรรณคอนเน็คชั่น” ใช้เป็นข้ออ้างเดินเกมล็อบบี้อยู่ในขณะนี้หรือไม่ ซึ่งหากคสช.ยึดความถูกต้องเรื่อง 132 เสียง จากสนช.ทั้งหมด 220 ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะสนช.ทั้งหมด คสช.ตั้งมากับมือ แม้แต่แก๊ง “วงษ์สุวรรณคอนเน็คชั่น” ก็คงไม่กล้าหือหากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. เอาจริงสั่งให้ลงมติโดยยึดความถูกต้อง

 

การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ท่องสคริปต์แก้ตัวในวันแถลงเปิดการถอดถอนด้วยการบิดเบือนสารพัดและอ้างข้อมูลแบบจับแพะชนแกะและบางทีก็ยกข้ออ้างขัดแย้งในตัวเอง โดยเฉพาะที่อ้างหน้าตาเฉยว่าโครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดีสามารถช่วยเหลือชาวนาและไม่ได้ขาดทุนมากมายอย่างที่มีการกล่าวอ้าง

 

เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการตอกย้ำจับโกหกน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชัดๆ อีกครั้งก็คือ คำแถลงของ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ที่ก่อนหน้านี้แถลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับตัวเลขความฉิบหายโครงการรับจำนำข้าวอันเกิดจากผลงานสุดอัปยศยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่บริหารประเทศไม่ถึง 3 ปี แต่ก่อหนี้ละเลงเงินแผ่นดินไปกับโครงการรับจำนำข้าวเกือบ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งคนรุ่นหลังพอเกิดมาต้องแบกรับภาระใช้หนี้หลังอานไปอีก 30 ปี ขณะที่ตัวเลขการขาดทุนเบื้องต้นที่เกิดขี้นแล้วไม่ต่ำกว่า 5.19 แสนล้านบาท ไม่รวมข้าวค้างสต๊อกเกือบ 20 ล้านตัน ที่เสื่อมคุณภาพและข้าวหายอีกจำนวนมากซึ่งจะทำให้ยอดขาดทุนเพิ่มอีกมหาศาล ยังไม่ต้องพูดถึงการทุจริตอย่างมโหฬารโดยเฉพาะข่าวสะพัดคนในแวดวงตระกูลชินร่ำรวยมหาศาลนับแสนล้านบาท อีกทั้งนโยบายจำนำข้าวภาคพิสดารที่ตั้งราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดเกือบเท่าตัวยังทำลายวงจรข้าวของประเทศทั้งระบบจนพินาศย่อยยับ และที่สำคัญชาวนาเครียด

ฆ่าตัวตายไป 16 คน เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ล้มเหลวถังแตกกู้เงินจนชนเพดานไม่มีเงินจ่ายค่าจำนำข้าวให้ชาวนาข้ามปี

 

ความจริงโดยบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดว่า ผู้ที่มีพฤติการณ์เพียงแค่ส่อไปในทางประพฤติมิชอบก็สามารถยื่นถอดถอนได้แล้ว แต่นี่บ่อนทำลายสร้างความหายนะแก่ประเทศอย่างร้ายแรงโดยมีใบเสร็จมัดชัดเจนถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นในนานาอารยประเทศที่เอาจริงกับการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ป่านนี้ ไม่ปล่อยให้ขบวนการบ่อนทำลายชาติเหิมเกริมออกมาขู่ฟ่ออย่างลอยนวลแบบนี้ เพราะรัฐบาลประเทศเหล่านี้เด็ดขาดเอาจริงไม่จำนนต่อคำขู่และไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรตามมา

 

เพราะฉะนั้นต้องวัดใจสนช.ในวันที่ 23 ม.ค. นี้ ว่าจะกล้าหาญลงมติโดยยึดความถูกต้องหรือจะยอมจำนนต่อคำขู่ของแก๊งโจรการเมืองภายใต้ข้ออ้างเพื่อความปรองดอง และถึงที่สุดแล้ว หากน.ส.ยิ่งลักษณ์รอดจากการถูกถอดถอนพ้นผิดลอยนวล บ้านเมืองนี้ก็คงไม่เหลือความถูกต้องชอบธรรมใดๆ เป็นหลักยึดได้อีกต่อไป และผู้ที่จะต้องรับผิดชอบอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือคสช.ในฐานะผู้ตั้งสนช.มากับมือ

 

ทีมข่าวการเมือง

 

ก็มาดูในแนวหน้าอีก ของวันที่ 12 ม.ค. 58 แนวหน้าวิเคราะห์

ปล่อยผีปูกับพวกลอยนวล รัฐประหารคสช.เสียของ? สนพ.แนวหน้า 13 ม.. 58

 

หลายคนเริ่มตั้งคำถามและสงสัยในท่าทีของนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าคือร่างทรงของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ออกมาส่งสัญญาณในทำนองให้เห็นความจำเป็นที่จะต้องประนีประนอมกับขบวนการระบอบทักษิณเพื่อความสงบในบ้านเมืองจากกรณีที่สนช.จะลงมติชี้ชะตาถอดถอน น..ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯที่ถูกชี้มูลความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบส่อรู้เห็นเป็นใจกับมหกรรมทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์และกรณีการถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภาจากพรรคเพื่อไทย นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา รวมทั้งอดีตสส.และสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีกกว่า 38 คน ที่ร่วมกันรวบรัดหักดิบฉ้อฉลผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาสว.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ความสำคัญหากบรรดาขบวนการระบอบทักษิณถูกลงมติถอดถอนก็คือผลทางการเมืองที่จะตามมานั่นคืออาจจะถูกห้ามเล่นการเมืองและดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกระดับไปตลอดชีวิตตามบทบัญญัติของธรรมนูญปกครองชั่วคราวมาตรา 35 ซึ่งกำหนดโทษสำหรับผู้ที่เคยถูกศาลหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายตัดสินความผิดฐานทุจริตประพฤติมิชอบหรือทำลายระบบการเลือกตั้ง

 

จึงไม่แปลกที่เหล่าแกนนำระบอบทักษิณทั้งหลายจะออกมาข่มขู่กดดันไม่ให้มีการลงดาบ น..ยิ่งลักษณ์ นายสมศักดิ์ นายนิคม และพวก โดยจับประเทศเป็นตัวประกัน ด้วยคำขู่ที่ว่าหากขบวนการระบอบทักษิณถูกลงโทษก็อย่าหวังว่าบ้านเมืองจะสงบสุขและเกิดความปรองดอง

 

ขณะเดียวกันที่ผ่านมาก็มีข่าวมาตลอดหลังจากที่คสช.ยึดอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 ..ปีที่แล้วมีการเจรจาระหว่างบุคคลสำคัญในคสช.กับ พ...ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นนักโทษหนีโทษจำคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีบทบาทสำคัญในการประสานการเจรจาก็คือ พล..ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม โดยหนึ่งในข้อเรียกร้องของ พ...ทักษิณ ก็คือต้องไม่เอาผิดขบวนการระบอบทักษิณในทุกเรื่องเพื่อแลกกับการยุติการเคลื่อนไหวป่วนเมืองชั่วคราวของระบอบทักษิณภายใต้ข้ออ้างเพื่อสร้างความปรองดอง

ท่าทีของคสช.ผ่านสนช.ซึ่งเป็นร่างทรงทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตว่า การเจรจาเพื่อประนีประนอมกันระหว่างคสช.กับระบอบทักษิณมีเค้าที่จะเป็นจริงชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการลงมติรับเรื่องถอดถอนขบวนการระบอบทักษิณก่อนหน้านี้โดยผลการลงมติในรอบแรกของสนช.ที่รับพิจารณาการถอดถอนนายสมศักดิ์ และนายนิคม ฝ่ายที่สนับสนุนให้รับเรื่องถอดถอนไว้พิจารณาชนะอย่างเฉียดฉิวด้วยเสียง 87 ต่อ 75 ชี้ให้เห็นสัญญาณค่อนข้างชัดเจนว่าถึงที่สุดในขั้นตอนลงมติชี้ชะตานายสมศักดิ์และนายนิคมมีแนวโน้มรอดจากการถูกถอดถอนเพราะมติถอดถอนในขั้นชี้ชะตาจะต้องใช้เสียงถึง 3 ใน 5 ของสนช.ทั้งหมด 220 คน หรือ 132 เสียง เพราะฉะนั้นการที่ฝ่ายที่ส่อเจตนาต้องการให้ถอดถอนซึ่งมีอยู่ 87 เสียง ต้องการเสียงเพิ่มอีกถึง 45 เสียง ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเพราะ 75 เสียง ที่ลงมติตรงกันข้ามส่อจุดยืนแน่ชัดแล้วว่าไม่ต้องการให้ถอดถอน ส่วนอีก 58 เสียง ที่ไม่ลงมติอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพวกที่งดออกเสียง 15 เสียง นอกนั้นเป็นสนช.สายทหารที่จงใจไม่เข้าร่วมประชุม

 

สำหรับการลงมติเบื้องต้นรับเรื่องการถอดถอน น..ยิ่งลักษณ์ ไว้พิจารณาคะแนนก็ออกมาใกล้เคียงกับกรณีของ นายสมศักดิ์กับนายนิคม

 

ทั้งนี้ เบื้องหลังผลคะแนนที่ออกมาย่อมเป็นสัญญาณแนวโน้มการลงมตินัดชี้ชะตาขบวนการระบอบทักษิณในอนาคตโดยสนช.เกือบทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นสายทหารและตำรวจล้วนทำตามใบสั่งของ คสช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีข่าวว่าสนช.กลุ่ม วงษ์สุวรรณคอนเน็คชั่นมีบทบาทสำคัญในการล็อบบี้สนช.โดย พล..นพดล อินทปัญญา เพื่อนสนิทร่วมรุ่นและที่ปรึกษาของ พล..ประวิตร ล็อบบี้สนช.สายทหารส่วน พล...พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) น้องชายของพล..ประวิตร พล...ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พล...บุญเรือง ผลพานิชย์ รับผิดชอบล็อบบี้สนช.สายตำรวจ และ นายธานี อ่อนละเอียด รับผิดชอบสนช.สายพลเรือน

 

พล..ประวิตร นั้นเป็นพี่ใหญ่ของนายทหารกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ โดยมี พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ

หัวหน้าคสช. เป็นน้องคนกลาง และ พล..ประวิตร นั้นมีความสัมพันธ์กับทุกฝ่ายทั้งฝ่ายคสช.และฝ่ายระบอบทักษิณ

 

เพราะฉะนั้นต้องจับตาการประชุมสนช.ภายใต้อำนาจคสช.เพื่อชี้ชะตาขบวนการระบอบทักษิณโดยเฉพาะกรณี น..ยิ่งลักษณ์ที่คาดว่ามีขึ้นอย่างช้าต้นเดือนหน้า ว่าจะเอาจริงในการขุดรากถอนโคนขบวนการอันเลวร้ายที่เคยบ่อนทำลายประเทศแล้วเดินหน้าปฏิรูปอย่างจริงจังหรือจะปล่อยผี น..ยิ่งลักษณ์ และพวกซึ่งเท่ากับสะท้อนให้เห็นว่าการรัฐประหารเพื่อปฏิรูปประเทศ

ของคสช.เป็นแค่ปาหี่เสียของเสียเวลาของชาติบ้านเมืองสิ้นเชิง โดยคนที่แอบดีใจคือนายใหญ่ระบอบทักษิณในต่างแดน

ทีมข่าวการเมือง

 

มาฟังอีก 2 ฉบับ

 

.พาณิชย์ตอกย้ำใบเสร็จมัด ประจานโคตรโกงจำนำข้าวยุครัฐบาลปู จาก นสพ.แนวหน้า วันนี้

กระทรวงพาณิชย์แม้จะช้าไปบ้างเพิ่งจะมาแจ้งความเอาผิดขบวนมหกรรมโกงชาติปล้นแผ่นดินโครงการรับจำนำข้าวแต่ก็ยังดีกว่าเกียร์ว่างไม่ทำอะไรเลย ซึ่งก็น่าเห็นใจระบบข้าราชการไทยที่ต้องอยู่ภายใต้อุ้งเท้าแห่งอำนาจของเหล่าโจรการเมืองลากตั้งที่มีสันดานทุจริตคอร์รัปชั่นอยู่ในสายเลือด

 

นับเป็นนิมิตหมายที่ดีเมื่อข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์โดย น.ส.ชุติมา บุณยประภัสร์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ แสดงความกล้าภายใต้จิตสำนึกในความเป็นข้าราชการของแผ่นดินด้วยการเข้าแจ้งความต่อกองบังคับการกองปราบปรามเพื่อดำเนินคดีอาญากับคู่สัญญาโครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ในความผิดฐานลักทรัพย์ ฉ้อโกงด้วยการนำข้าวเสื่อมคุณภาพไม่ได้มาตรฐานมาสวมสิทธิ์เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวทั่วประเทศปริมาณ 3.6 ล้านตันคิดเป็นมูลค่าความเสียหายต่อรัฐ 6.5 หมื่นล้านบาท โดยมีเอกชนที่เกี่ยวข้องราว 100 ราย

 

อธิบายข้อเท็จจริงเสริมให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ โครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดตันละ 15,000 บาท ยุครัฐบาลหุ่นเชิดยิ่งลักษณ์ที่บงการโดยนักโทษหนีคุกผู้เป็นพี่ชายมีขบวนการมหกรรมโกงชาติบ่อนทำลายแผ่นดินซึ่งล้วนเป็นเครือข่ายคนใกล้ชิดนายใหญ่ทั้งสิ้นโดยใช้วิธีนำเข้าข้าวคุณภาพต่ำราคาถูกแค่ตันละ 3,000-4,000 บาท จากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เขมร พม่า เข้ามาสวมสิทธิ์โครงการรับจำนำข้าวเพื่อหากินส่วนต่างกำไรตันละกว่า 10,000 บาท ซึ่งเป็นการโกงชาติปล้นแผ่นดินที่สร้างความร่ำรวยให้ขบวนการอุบาทว์มูลค่ามหาศาล

 

ไม่แต่วิธีเลวทรามใช้ข้าวคุณภาพต่ำสวมสิทธิ์แต่ยังมีการใช้วิธีการสกปรกโกงแผ่นดินอีกหลายวิธี อาทิ การเวียนเทียนทำบัญชีผี หรือตั้งบริษัทผีรับซื้อข้าวที่รัฐบาลนักการเมืองขายให้ในราคาถูกโดยอ้างข้าวเสื่อมคุณภาพแล้วเวียนเทียนนำกลับมาขายในราคารับจำนำฟาดกำไรส่วนต่างพุงกางอย่างไม่กลัวนรก

 

จากผลวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอชี้ว่า โครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์มีการทุจริตทุกขั้นตอนคิดเป็นมูลค่าเงินที่ทุจริตเบื้องต้นไม่น้อยกว่า 1.09 แสนล้านบาทจากงบที่ทุ่มไปกับโครงการรับจำนำข้าวซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเงินกู้มีมูลค่ารวมถึง 9.85 แสนล้านบาท

 

มูลค่าความเสียหายของรัฐจากโครงการรับจำนำข้าว 6.5 หมื่นล้านบาท ที่กระทรวงพาณิชย์ไปแจ้งความดำเนินคดีคู่สัญญารัฐ 100 ราย จึงเป็นเพียงส่วนน้อยนิดหากเทียบกับความเสียหายทั้งหมดโดยทีดีอาร์ไอชี้ว่าเฉพาะตัวเลขการขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์เบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 6.6 แสนล้านบาทไม่รวมข้าวเสื่อมคุณภาพที่ค้างสต๊อกอีกราว 18 ล้านตัน ซึ่งหากระบายข้าวหมดภายใน 10 ปีจะทำให้ยอดขาดทุนเพิ่มเป็น 9.6 แสนล้านบาท ซึ่งยอดความหายนะจากโครงการรับจำนำข้าวของทีดีอาร์ไอใกล้เคียงกับตัวเลขที่แถลงอย่างเป็นทางการของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของกระทรวงการคลังก่อนหน้านี้

 

ด้วยเหตุนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงถูกชี้มูลความผิดส่อรู้เห็นกับมหกรรมโกงชาติปล้นแผ่นดินซึ่งนอกจากสมควรถูกถอดถอนและเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองแล้ว ยังสมควรต้องชดใช้กรรมทางอาญาและชดใช้ค่าเสียหายแก่แผ่นดินเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างเพราะหลายฝ่ายเตือนแล้วแต่ยังดันทุรังเดินหน้าโครงการทั้งๆ ที่รู้ว่ามีการทุจริตและสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศ

 

เมื่อน้ำยิ่งลดตอยิ่งผุดสำหรับอัปยศโครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งเมื่อหลักฐานข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนขนาดนี้แล้วอยากรู้นักว่า วันชี้ชะตา น.ส.ยิ่งลักษณ์ 23 ม.ค.นี้สนช.คนไหนยังคิดจะลงมติปล่อยคนทำผิดกฎหมายทำลายชาติลอยนวล

 

ทีมข่าวการเมือง

 

มาดูเนื้อข่าวในนสพ.แนวหน้าอีกอันหนึ่ง

580114  แจ้งจับโกงข้าว100ราย

 

http://www.thaipost.net/news/130115/101585 แจ้งจับโกงข้าว100ราย ปลัดพณ.ลุยเองเสียหาย6.5หมื่นล./สนช.บี้‘ปู’ตอบ

วันเดียวกัน ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป. และ  พ.ต.ท.มิ่งมนตรี ศิริพงษ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ  กก.2 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับคู่สัญญาในโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในความผิดฐานลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ และข้อหาฉ้อโกง โดยนำเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน

    น.ส.ชุติมากล่าวว่า หลังจากคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.57 มอบหมายให้ตนในฐานะเลขานุการ นบข.แจ้งผลการประชุมให้กับองค์การคลังสินค้า(อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) รับทราบ เพื่อดำเนินคดีกับคู่สัญญาในโครงการรับจำนำข้าว ที่นำข้าวซึ่งไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้มาเข้า โครงการ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มผิดชนิดข้าว 5 ราย รวม 5  จังหวัด 10 โกดังกลาง 2.กลุ่มข้าวเสีย 13 ราย รวม 22  จังหวัด 94 โกดังกลาง และ 3.กลุ่มข้าวไม่ตรงตามมาตรฐาน  59 ราย รวม 51 จังหวัด 652 โกดังกลาง รวมปริมาณข้าวทั้งสิ้นประมาณ 3.6 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท

    น.ส.ชุติมากล่าวต่อว่า กรณีของคู่สัญญา 3 กลุ่มนี้น่าจะมีผู้เกี่ยวข้องนับร้อยราย ซึ่งได้นำเอกสารหลักฐานต่างๆ  มอบให้พนักงานสอบสวนไว้เพื่อพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว โดยหากพบว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้องกระทำความผิดก็ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนกรณีของข้าราชการ หากมีส่วนรู้เห็นหรือร่วมกระทำความผิดก็ต้องถูกพิจารณาดำเนินการทั้งวินัย และอาญา ซึ่งต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนดำเนินการ โดยในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐก็อาจต้องถูกส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช.ดำเนินการต่อไป

    พ.ต.อ.ณษกล่าวว่า ได้รับเรื่องและมอบหมายให้ พ.ต.ท.มิ่งมนตรีสอบปากคำผู้แทนปลัดกระทรวงพาณิชย์แล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แต่เนื่องจากเหตุเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ  จึงเตรียมทำเรื่องเสนอไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลคดี ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการดำเนินการก่อนพิจารณาเรียกตัวผู้ที่ เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ.

 

พ่อครูว่า...ที่อาตมานำทั้งบทความและข่าวมาให้ฟัง ก็เพื่อจะยืนยันชัดเจนว่าเหตุการณ์บ้านเมืองเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมาก ตั้งแต่อาตมาเกิดมา 81 ปีแล้ว ก็ผ่านมาตามที่อาตมาก็พอมีภูมิปัญญาของอาตมา ว่ายังไม่เห็นรัฐบาลใดที่ขอใช้คำว่าบังอาจ ที่จะทำอย่างจัดจ้าน ด้านทน อนธกาล มารร้าย คือ ทำอย่างแรงจัดจ้าน แล้วคนก็ทักท้วง ก็ด้าน อนธกาล มืดแปดด้าน สิบหกด้าน

 

จัดจ้าน ด้านทน อนธกาล มารร้าย เขาทำด้วยใจมารร้ายไม่อาจบอกอย่างอื่นได้เลย อาตมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าต้องเรียนรู้ จิต มโน วิญญาณ เรียนรู้กุศล อกุศลจิต อาตมาเป็นคนไทยคนหนึ่งก็ไม่ใช่คนใจดำ อกตัญญู ที่จะเห็นประเทศชาติเลวร้าย แต่ถ้าเราไม่รู้ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่ก็พอรู้ เห็นอยู่ตำตาหลัดๆ อยู่หัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นเหตุการณ์ที่ผู้ที่จะมา clear cut มาจัดการให้เด็ดขาดให้บ้านเมืองสะอาดขึ้นให้ได้ ซึ่งมันดีมากเลย อาตมาก็ส่งเสริมสนับสนุนมาก เห็นชัดมีความหมายหลักฐานชัดขนาดนี้แล้ว อาตมาขอพูดเชิงธรรมว่า แต่ละคนผ่านชีวิตมา การทำสิ่งผิดก็บาป หลายคนได้เข้ากับคนบาป มันบาปด้วยไม่น้อย คราวนี้ถ้าได้ทำร่วมก็จะได้แก้บาป แม้ไม่ล้างทีเดียว แต่เป็นกุศลใหม่เติมไปในวิบากทีเป็นผลสูงมาก อันนี้ ตีราคาตามเศรษฐศาสตร์ เป็นดีมานด์ที่สูงมาก ปชช.ต้องการให้สะอาดเรียบร้อย แล้วหาคนทำได้ยากมานานมาก ราคาอุปสงค์จึงสูงมาก ทั้งคุณงามความดี สูงมาก คุณได้กระทำคราวนี้ อย่าหนี ผู้มีหน้าที่อย่าหนี ทำเถอะ เป็นกรรมที่คุณจะได้สัจจะให้แก่ตน ยิ่งคุณทำผิดพลาดมาก่อนก็ทำกุศลไปช่วย ทำดีนี้มีราคาแพง แพงมาก มันเป็นครั้งคราวโอกาสที่ดีจะได้กลับเนื้อกลับตัว ใครที่เคยทำผิดพลาดมาแล้ว เช่นได้หลงตัวไปกับนักโทษเขาแล้ว ได้รับเงินทองเขามาแล้ว อาตมาว่าอันนั้นคือบาปที่ทำแล้วแก้ไม่ได้ คุณต้องทำกุศลใหม่ ถ้ากล้าทำก็จะเป็นประโยชน์ต่ออัตภาพของตนไปในชาติไหนๆ ถ้าคุณพลาดอันนี้แล้ว คุณจะหาราคาของกุศลกรรมอันนี้ได้ยาก นี่เป็นกุศลกรรมของใครของมัน ไม่ใช่ว่าเขาทำไปแล้วก็กุศลหมดไม่ใช่ ของใครของมัน

 

ขอพูดอีก ถ้าคุณได้ทำอันนี้เสร็จ งานครั้งนี้มันจะตัดเชือก การแก้แค้นคุณไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมาแก้แค้นคุณได้ ไม่มีทางกลับมาผู้ร้ายไม่มีทางกลับมาเลย จบ มันถึงขนาดนั้น งวดนี้ พยายามร่วมมมือกันเถอะผู้ที่หวังดีต่อประเทศชาติ

 

ช่วยในหลวงเราหน่อยได้ไหม ครั้งนี้ถือว่าเป็นการช่วยที่สุดยอด นี่พูดด้วยความจริงใจนะ อาตมาไม่พูดมากกว่านี้มันไม่ดี แต่ถ้าคุณทำมันเป็นสิ่งประเสริฐสุดยอดเลย เกิดมาเป็นคน อีกกี่ชาติก็อาจหาไม่ได้อีก เป็นโอกาสที่ดีที่สุดใครทำได้ก็ตัดใจทำ ถ้าเด็ดขาดผู้ร้ายไม่มีสิทธิ์มาแก้แค้นคุณได้ อาตมาพูดตามภูมิอาตมา เพราะเป็นความสำคัญจริงๆ อาตมาดูตามสัปปุริสธรรม มีคนที่มีหน้าที่ตรงแล้วคู่ต่อสู้ แล้วประเมินประมาณ แล้วขึ้นกับยุค โอกาส กาลัญญุตา เป็นการสร้างกุศลอันสุดยอดไม่ได้เท่าครั้งนี้เลยจะเกิดอีกกี่ชาติก็แล้วแต่ และองค์รวมคสช.ผู้ร่วมและองค์รวมปชช. ทั้งอาตมาก็ร่วมด้วย เพียงพอมากพอ ที่คุณจะต้องช่วยก็ควรทำอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงรายบุคคลเลย ปุคคลปโรปรัญญุตา อยากให้ทำทั้งนั้น อาตมาพูดแทนได้

 

ถ้าพลาดครั้งนี้แล้ว ดีได้ดียิ่ง ถ้าเสียก็เสียอย่างยิ่ง ตายอย่างศพไม่สวยด้วย ใช้สำนวนนี้ ถ้าไม่เด็ดขาดไม่ชนะตายอย่างศพไม่สวยเลย

 

ปรส.คือองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินในบทความสิริอัญญาพูดถึง มีคนค้นคำแปลมาให้

 

เรื่องสัจธรรมอาตมาก็ย้ำซ้ำอีก ว่า อย่าเป็นหนี้ ปลดหนี้ได้ให้กับชีวิต ผู้จะมาเป็นชาวอโศกก่อนอื่นล้างความเป็นหนี้ให้ได้

หลักของชีวิตคือ 1.ไม่เป็นหนี้ 2.พึ่งตนเองรอด 3.ทำให้เหลือให้เกินกินใช้ 4.เหลือก็แจกจ่ายแก่สังคม ถ้าทำได้สี่อย่างนี้ก็พ้นทุกข์ได้ แล้วถ้าสัมมาทิฏฐิก็สามารถเป็นอาริยบุคคลได้ จิตจะมีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 อย่างชาวอโศกแล้วจะมีเครือข่ายเครือแหที่เชื่อมโยงกันไป แม้จะไม่เป็นที่ยอมรับต่อสังคม แต่ถ้าเรามีหลักสาราณียธรรม 6ให้จริง จะเกิดพุทธพจน์ 7 คือจิตจะเป็นเช่นนี้จริง คือ สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 16:52:35 )

580115

รายละเอียด

580115-ความรัก 10 มิติ  เรื่อง มิติที่ 1 อธิบายแบบง่ายแต่ลึกซึ้ง

มีข้อเขียนของคุณสันติ ในเอเอสทีวีผู้จัดการ เรื่อง เมื่อฝรั่งเรียกร้องของความเป็นไทย ฟังหัวข้อแล้วก็ตลก คนไทยหายไปไหนหมด ...คือฝรั่งมาที่เมืองไทย เขาชื่มชมวัฒนธรรมไทย แต่ฝรั่งเขาสงสัยว่า ทำไมสาวไทยต้องย้อมผมเหมือนฝรั่ง ทำไมไม่แต่งแบบไทย สรุปคือทำไมสาวไทยจึงอยากจะเป็นฝรั่ง มีแฟนเป็นฝรั่งไป 

 

คนไทยทุกวันนี้ ไม่ได้แต่งเสื้อผ้าไทย โดยเฉพาะในกรุง ทั้งเสื้อผ้า แต่งผมเผ้าไม่เหมือนแบบไทยๆ ไม่มีเอกลักษณ์ของไทย ไม่เป็นวัฒนธรรมไทย ไปเลียนแบบฝรั่งตะวันตกทั้งที่เราเป็นคนไทย จะมีวัฒนธรรมไทยมันมีได้เยอะแยะ แต่ไปเอาแบบฝรั่ง จนฝรั่งมาในเมืองไทยหาแบบไทยๆไม่ได้เลย จะมีบ้างในต่างจังหวัด ยังเหลือเชื้อความเป็นไทยๆอยู่บ้าง ถ้าเป็นชนบทก็มี แต่ถ้าจังหวัดใหญ่ๆ เจริญๆยิ่งไม่เหลือ วัฒนธรรมไทยไม่เหลือ มันน่าเสียดาย ประเทศลาว พม่า เขมร เขาก็มีของเขาอยู่เลย ยังภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของชาติ แต่ไทยนี่ไม่เลย ออกไปต่างชาติ ไปโชว์ก็ประยุกต์แบบไทย มันเป็นเรื่องตลกไปประกวดนางสาวโลก บอกว่าชุดประจำชาติ แล้วประดิษฐ์ประดอยซะ มันเป็นของชาติไทยตรงไหนนะ มันไปไกลลิบเลย

ป้ายที่ฝรั่งคนนี้เขาเขียนบอกไว้ว่า..... "ผู้หญิงไทย กำลังไม่มีแล้ว ทิ้งตัวเองไม่ยอมเป็นตัวเองแล้ว เพื่อตามแฟชั่นฝรั่ง เปลี่ยนเป็นโคลนฝรั่งกันทั้งหมด น่าอับอายจริงๆ ช่วยชีวิตความสวยงามที่แท้ของผู้หญิงไทย

'ขอเลิก' ทำสีผมเหมือนฝรั่ง ทำจมูกโด่งเหมือนแม่มด เปลี่ยนใบหน้าเหมือนฝรั่งทำศัลยกรรมทุกชนิด ทำสีผิวขาวๆ เหมือนเป็นโรคมะเร็งโลหิต ทำร่างกายผอมๆ เหมือนโครงกระดูก

 

มันไม่เป็นธรรมชาติ ไม่แท้ และ ขี้เหร่มากต่างหากด้วย ถ้าไม่มีใครเสียใจการสูญเสียหายของผู้หญิงไทย แต่ผมเสียใจเต็มหัวใจ เพราะว่าผมรัก ไม่มีอะไรสวยกว่าผู้หญิงไทยแท้บนโลก เลยขออภัยที่มาประท้วง"

 

อาตมาว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ นี่เป็นความหลง เป็นความใคร่ กาม เรื่องความสวยงาม ประเด็นหลักคือหลงว่านั่นคือความสวยงาม ซึ่งความสวยงามนี้เป็นสมมุติ แล้วพยายามโฆษณาว่าอย่างนี้สวย แล้วก็สมมุติยึดถือกัน จนคนทั้งโลกมีแนวโน้มไปสู่จุดเดียวกันคล้ายกันไป แต่ก็ไม่ทีเดียว ก็ยังมีความต่างกันไม่น้อย แต่จะเป็นจุดเดียวกันเลยว่าอย่างนี้สวย ทั้ง.โลกเห็นเป็นเช่นนั้นก็ตามมันก็คือการสมมุติ สัญญา ย นิจจานิ กำหนดหมายว่าอย่างนี้คือสวย พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นการสัญญา สมมุติกันขึ้นมาเห็นตามกันไป มันต่างกันที่แต่ละประเทศก็มีต้นตอ ในตระกูลหลักๆ เขาก็แบ่งว่า เป็น มองโกเลี่ยน คอเคเซี่ยน  นิกรอยด์ เป็นต้น สรุปแล้วก็คือการยึดถือ แท้จริงเลย

 

ภาษาบาลี ว่า อุปาทาน ไปหลงยึดถือว่าเป็นสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็น แล้วอยากได้อยากมีอยากเป็นจนต้องเสี่ยงตายแล้วได้ตายกันมาแล้วก็มีจริง เพราะรักสวยงามตามที่ตนอยากได้ จนกระทั่งพิกลพิการกันก็มี อันนี้เป็นเรื่องที่รู้ง่าย เป็นอบาย เป็นกามนิยม เมถุนนิยม เสพ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในทางตัวตน บุคคลเราเขา

 

ในกามเมถุนก็ง่ายๆคือได้สัมผัสเสียดสีทางเพศ แล้วเกิดรสสมมุติ จะสัมผัสอย่างไรเย็นร้อนอ่อนแข็ง ถ้าได้ตามที่เราได้ยึดไว้สมมุติไว้ ได้แตะสัมผัสเสียดสี แล้วใจมีความสุขอย่างนั้นจริงๆ ตั้งแต่เรื่องเพศ เพราะเป็นกามใคร่อยากที่สัตว์โลกทุกชนิดต้องยึดต้องติด ติดยึดแม้เป็นสัญชาตญาณ ไม่ได้เป็นกามนะ เป็นสัญชาตญาณที่จะต้องสืบพันธ์ต่อเชื้อต่อเผ่าพันธ์

 

สัตว์หลายชนิดไม่ได้มีความสุขแต่เป็นสัญชาติญาณต่อเผ่าพันธุ์ สัตว์หลายชนิดสืบพันธุ์แล้วตัวผู้ก็ตาย ตัวเมียก็ต่อเผ่าพันธุ์ต่อไป มีสัตว์หลายชนิด  มันไม่ใช่กามแต่เป็นสัญชาติญาณลึกๆ เรื่องสืบพันธุ์ ในสัตว์โลกแท้ๆไม่ใช่เรื่องกามรส ได้สัมผัสเสียดสีอย่างนั้น มันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าท่านค้นพบจึงให้มาล้างความติดยึดหลงโมหะอวิชชา ว่ามันเป็นของจริงมีจริง จะต้องได้ต้องมีแล้วไปผนวกรสนี้ไว้ในการสืบพันธ์ในการเสียดสี มันก็ผนวกกับสัญชาติญาณ มันก็เลยดิ่ง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเลย

 

หลายศาสนาทางตะวันตกนั้น แต่ว่าโดยพุทธแล้วสามารถหยุดกิจกรรมทางเพศเลย ไม่ต้องสัมผัสเสียดสี แต่ต่างประเทศงงมากเขาว่าเป็นธรรมชาติสัตว์โลกไปเลิกทำไม เขาว่าถ้าเลิกสัตว์ก็สูญพันธุ์นะ ฟังแล้วน่าเชื่อนะ ผลแท้ก็คือการสืบพันธุ์ แต่ผลไม่แท้ผลรองคือการเสพรส แต่ทุกวันนี้การเสพรสเป็นผลแท้ไปเสียแล้ว ถ้าไม่ได้เสพรสรู้สึกว่าเกิดเป็นคนเสียชาติเกิด นี่คือสิ่งที่ลึกซึ้งมาก เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เปิดเผย แล้วขัดแย้งกับหลายศาสนา แต่ก็มีบางศาสนาเห็นว่าควรละรสทางเพศ โดยเฉพาะของพระพุทธเจ้ามีวิธีล้างละฝึกฝนเลย อาตมาวันนี้ตั้งใจจะพูดเรื่องกามให้ละเอียดให้ง่าย เป็นพื้นฐาน ไม่เจาะจงไปที่เพศ ผู้หญิงผู้ชาย

 

การสัมผัสเสียดสี เกิดได้ 5 ทวารหลัก คือตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส แล้วทั้งหมดของภายนอกร่างกายนี่ ได้สัมผัสเสียดสี ตา หู จมูก ลิ้น สี่อย่างก็รวมอยู่ในกาย อยู่ในการสัมผัสเสียดสีทั้งสิ้น คำว่ากายจึงรวมทั้งตา หู จมูก ลิ้น ไปด้วย

 

ตาไปกระทบรูป ได้ดูแล้วเกิดว่าน่าดูน่าชม ได้ดูได้ชมแล้วสบาย เป็นสุข จะเป็นรสเสพต้องใช้เวลาอยู่กับความสุขนั้นให้นาน จนถึงวาระเวลาก็เบื่อ บางคนไม่นานก็เบื่อ บางคนก็เบื่อเร็ว แต่บางคนไม่เบื่อง่าย แต่ก็เบื่อได้ แม้สัมผัสอย่างเดิมที่เคยดู เคยสุข แต่บางอารมณ์บางกาละสัมผัสแล้วอันอื่นมากวน คราวนี้ก็ไม่เห็นสุข มันไม่ใช่ของจริง ถ้าจริงต้องสุขทุกครั้งแล้วอยู่นาน คนใดสัมผัสก็ต้องสุขสิ แต่ว่าบางอันคนนี้สัมผัสแล้วชอบ บางอันคนนั้นสัมผัสแล้วไม่ชอบ  ทั้งสัมผัสในองค์รวมแล้วไม่ชอบใจก็มีหรือว่าชอบใจในส่วนใดก็แล้วแต่ อาตมามีเพื่อนที่ทำงานโทรทัศน์คนหนึ่งเขาอยู่ฝ่ายช่าง เพื่อนคนนี้เขาเกลียดงู เห็นเมื่อไหร่ต้องฆ่า ถ้าสัมผัสงูเมื่อใดต้องตามฆ่าให้ได้ ถ้าตามฆ่าไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่ว่าเห็นที่ใดเมื่อไหร่ อาตมาก็ว่ามันยึดอะไรกันนักหนา อาตมาก็มองว่าเป็นอจินไตยกรรมวิบาก หรือว่าเป็นองค์รวมที่เห็นแล้วไม่ชอบ งูทุกชนิด มันก็แปลกๆ

 

มาพูดง่ายๆ เช่นเด็กๆนี่ ชอบขนม อะไรก็แล้วแต่ บางคนชอบท็อฟฟี่  ในใจเด็กมีอุปาทานยึดติด ไม่ชอบ ซึ่งติดก็ไม่ตรงกันทีเดียว บางคนเขาชอบขนมนั้น แต่เราไม่ชอบ แล้วหลายคนก็ชอบซ้ำกันก็มี ไม่ซ้ำกันก็มีเยอะ ทั้งขนม อาหาร อะไรต่างๆนานา

 

กามคือความใคร่อยากตามสมมุติอุปาทานที่ยึด ว่าต้องได้ รูปอย่างนี้ เสียงอย่างนี้ กลิ่นอย่างนี้   รสอย่างนี้ สัมผัสอย่างนี้ แต่อาหารนี่ชัดที่รูป รส กลิ่น สัมผัส พอตากระทบรูป แล้วขนมนั้นคือดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุที่ผสมในนั้น ทั้งดิน น้ำ ไฟ ลมเป็นวัตถุรูป  แล้วตาเราไปกระทบเข้า ยิ่งได้แตะเลยสัมผัส แล้วใส่ปากแตะที่ลิ้น ก็จะเกิดวิญญาณ บางคนสัมผัสทางตาก็เกิดวิญญาณ บางคนแตะต้อง ได้กลิ่น ได้รส ก็เกิดวิญญาณ ถ้าวิญญาณนั้นชอบ ได้ดีใจสุขใจ อร่อยก็เรียกว่าวิญญาณเทวดา เป็นเทวดาเก๊ นี่เป็นเทวดาจริงๆ ที่ตายไปขึ้นสวรรค์เป็นเทวดานั้นไม่ใช่ของจริง ของใครตายไปก็อยู่ในความนึกคิดในภพของตน แต่เทวดาคือจิตใจจิตวิญญาณตน มันเป็นสุข มันชอบใจก็เรียกว่ามันเจริญแบบโลกๆ เป็นเทวดา พระพุทธเจ้าเรียกว่าสมมุติเทพ 

 

จะเป็นสมบัติวัตถุเงินทองข้างของวัตถุใดก็แล้วแต่ มันก็มีทั้งที่เราสัมผัสแล้วดีใจ ถูกใจติดใจ ทั้งอุปโภค และบริโภค มันไปยึดติดทั้งนั้น เน้นมาที่เราใช้เป็นตัวอย่างคือขนมนี่แหละ เพราะเมื่อตาเรากระทบรูป ก็คือตาเป็นปสาทรูป

 

ขนมเป็นมหาภูตรูป เป็นดิน น้ำ ไฟ ลมที่เขามาปรุงเป็นขนม แล้วในคนนี่มีตา หู จมูก ลิ้น กายที่เป็นปสาทรูป 5 (กายคืองอค์รวมภายนอกคือตา หู  จมูก ลิ้น ที่จะไปสัมผัสเรียกว่าโผฏฐัพพะ เมื่อเกิดสัมผัส จิตเกิด แล้วจิตนั้นมันมีจิตที่ใช้ประสาท มันมีการโคจระ เป็นวิสัย ที่เป็นธรรมชาติ

 

ถ้าได้สัมผัสแตะต้องกันเข้า แล้วเกิดธาตุรู้ตั้งแต่เย็นร้อนอ่อนแข็งได้กลิ่นได้รส ได้เสียง ได้เห็นรูป จิตวิญญาณจะเกิดรู้ขึ้นมาว่าเป็นอย่างนี้ ตัวจิตวิญญาณทีเกิดรู้ขึ้นมานี่แหละเป็นตัวการหลัก หากไม่ได้เรียนธรรมะวิญญาณนี้จะเป็นผีหรือเทวดาทันที มันตั้งค่าไว้เลย ตามที่อุปาทาน อันนี้ตรงกับอุปาทานก็ชอบเลย แต่อันนี้ไม่ตรงอุปาทานก็ไม่ชอบเลย สัมผัสปั๊บปรุงปุ๊บเลย ไวมา ถ้าสัมผัสแล้วชอบใจก็เป็นเทวดา หรือถ้าสัมผัสแล้วไม่ชอบใจ เอาไปทำลายเลย อันนั้นเป็นโทสะ อันนี้ก็เป็นราคะเป็นกาม ได้สมใจ ได้ตามต้องการ ถ้าตาก็ต้องดู ถ้าหูก็ต้องฟังเสียง ถ้าเสียงก็ได้ยิน ลิ้นก็ต้องสัมผัส ถ้ากายก็เป็นทุกอย่าง 

 

เป็นเรื่องเหลวไหลเลอะเทอะที่ไปยึดติด หากกิเลสขึ้นมาก็ต้องไปแสวงหาให้ได้ใครติดมากแรงกด้วยก็ต้องเป็นภาระมากในการบำเรอความอยากตนเองมาก แล้วพักยก จากนั้นก็อยากใหม่ เช่นคนติดบุหรี่ มวนแล้วมวนอีก แล้วก็พัก ขนมก็เหมือนกัน กินแล้วพอเบื่อ เต็มท้องหรือมีธุระก็พักไว้ก่อน แต่เดี๋ยวก็อยากกินอีก มันกินไม่ได้เพราะจำเป็นหรือควรกิน แต่กินเป็นโทษด้วย มีการเฟื้อเสียหาย แสลงร่างกายอย่างไรก็ไม่ฟัง มันชอบ ติด นี่คือลักษณะกามที่เป็นอยู่จริง

 

การเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องเรียนรู้ลักษณะเหล่านี้แล้วมันก็ไม่เที่ยง มันไม่จริงแท้ มันเป็นภาระที่ต้องหามาบำเรอสุขเท็จ เป็นของพระพุทธเจ้ายืนยันว่าเท็จ หลวงปู่ปฏิบัติมา เคยมีรสสุขอย่างที่คนเขาเป็นกัน ไปยึดอะไรก็สุขหรือทุกข์อย่างนั้น ไม่ได้เป็นคนพิศดาร แต่ว่ามาเรียนรู้แล้วพระพุทธเจ้าว่าเป็นของหลอกของเท็จ หลวงปู่มีบารมีเก่า ปฏิบัติไม่นานก็หายไป เคยอร่อยเคยสวย เคยไพเราะ เคยสัมผัสเสียดสีแล้วเกิดรสชื่นอกชื่นใจมันก็หมดไป หายไปจากจิตเลยอาการเช่นนี้ สัมผัสกับสิ่งที่เคยเป็นรสอร่อย (อัสสาทะ) แต่ก่อนมันมีอาการที่เป็นรสจริง สุขใจ ได้บำเรอ แต่พอปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า ปัญญามันเห็นจริง จิตมันเลิกละจริงทิ้งได้ กิเลสถูกชำระกำจัดไปแล้ว มันก็เป็นรสเฉยๆ เรียกว่าไม่ทุกข์ไม่สุข อุเบกขา เฉยๆ นี่เป็นความจริงที่หลวงปู่ได้พิสูจน์มาด้วยตนเอง

 

นี่คือกามนิยม หรือเมถุนนิยม(ต้องมีคู่ในการสัมผัส สิ่งสองสิ่งในการสัมผัสกัน ตากระทบรูปเป็นต้น) เมื่อได้สัมผัสแล้วก็เกิดสิ่งที่หลงถูกหลอกว่าเป็นจริง คนไม่ได้เรียนรู้ล้างก็มีอยู่ จนมาศึกษาล้างไป เป็นระดับ จนกว่ามันจะหมด ก็จะไม่เกิดรส มันจืดไปเลย แต่มันยากที่จิตลึกๆเราวางแล้วเฉยได้แล้ว แต่ความจำ ที่แต่ละคนเคยจำได้ว่าอย่างนี้เป็นรส เป็นอาการสุข พอสัมผัสมันทีไร ความจำนั้นก็เป็นรสอย่างที่เราเคยคิดว่าจริง แต่เราไม่ได้ติดมัน จิตคนที่ล้างได้แล้วไม่ติดมัน เมื่อไม่ติดแล้วคนนี้ ถ้าสัมผัสเดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่าเหมือนมีรสแต่ว่าเป็นความจำ แต่ถ้าไม่ได้สัมผัสเลยก็ไม่นึกถึง ถ้าติดมากจะนึกถึงบ่อย ถ้าไม่ติดแล้วก็ไม่นึกถึง ถ้าถึงขั้นลืมไปเลยก็ได้ จนกว่ามันจะมาสัมผัสก็นึกได้ว่าเคยมีสุขกับมัน แต่ถ้าไม่มาสัมผัสเลยก็ลืมไปเลยหายไปเลย

 

ผู้ลึกซึ้งเป็นจริงแล้วแม้ยังจำได้ระลึกถึงก็ระลึกถึงได้ในเหตุปัจจัยนั้นที่เป็นคู่เมถุน ทีเคยเกิดอารมณ์สุข แต่นึกถึงแล้วรสที่เคยได้สัมผัส ก็เคยเกิดอารมณ์สุข แต่นึกอารมณ์สุขนั้นไม่ออก แม้ที่สุดสัมผัสมันใหม่ก็ไม่เกิดอารมณ์สุขเลย อาตมาเคยพูด รสพริก แต่ก่อนกินได้ถึงกินข้าวคำแล้วกินพริก 1 เม็ด ก็กินได้อย่างไรก็ไม่รู้แต่ก่อน แล้วก็รู้รสว่ามันอร่อย จนเดี๋ยวนี้ลืมไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้แตะพริกเมื่อไหรก็แสบ นึกไม่ออกว่าเราเคยหลงว่าเป็นสุขได้อย่างไร มันลืมรสสุขเมื่อเคยได้สัมผัสพริกเป็นอย่างไร มันแซบได้อย่างไร มันลืมไปสนิท

 

บางอย่างก็จำได้ แต่ไม่ติด บางอย่างก็จำได้ดี บางอย่างก็เลือนไปแล้ว แต่ส่วนมากพอจำได้ว่าไม่ติดแล้ว จะสี รูป เสียง กลิ่น จะรสทางลิ้น สัมผัสเสียดสีต่างๆก็ไม่ติด แต่มันมีสิ่งที่จำได้บ้างกับสิ่งที่พยายามจำให้ได้

 

ผู้ที่ได้ฟังก็ให้รู้ว่าสัจจะที่ไม่มีคือไม่มีโลกียรส อัสสาทะ ไม่สุขไม่ทุกข์ นี่แหละคือนิพพาน มันยากมากเลยที่คนจะไปเดา ทุกวันนี้อาตมาเห็นใจ คนเรียนโลกุตระวันนี้ เขาก็ได้แต่ว่าปล่อยวาง แต่ที่จริงเขาเจตนาลืมทิ้งไป รู้แล้วรีบตัด ไม่ได้ล้างเหตุเลยว่า รสสุขทุกข์ได้ล้างเป็นอย่างไร แล้วตัวเหตุคืออย่างไร ได้ล้างเหตุจนจิตไม่มีอาการ คือเจโตวิมุติ จนมีปัญญาสำทับเห็นเลยว่าจริงที่สุด แล้วจบเป็นอุภโตภาควิมุติ จบเลย ถึงสองอย่างนี้ครบก็จบกิจ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

 

เด็กฟังเข้าใจไหม?...ใครมีสิ่งที่มันหมดอย่างนี้บ้าง ...ยังไม่มีเลย ...ใครสัมผัสสิ่งที่เคยติดเคยสุขทุกข์มาก่อน แต่ตอนนี้สัมผัสแล้วก็ไม่เกิดสุขทุกข์ ไม่เจอก็ไม่นึกถึงเลย ใครมีอย่างนี้แล้วบ้างผู้ใหญ่ ...มีคนยกมาก อาตมาถือว่าเป็นผลสำเร็จ เป็นวิมุตินิพพานของกาม แล้วเป็นแต่เพียงพวกคุณจะดับอนุสัยอาสวะได้อย่างไรก็แล้วแต่ เหลือความจริงของใครของมันที่จะตัดสินว่าเที่ยงแท้ถาวร ต้องตรวจด้วยอรูปฌาน 4 จนถึงสัญญาเทวยิตนิโรธ ตรวจเวทนา 3 กาละ ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ว่าเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาแล้วหรือยัง บางอย่างก็จำความอร่อยไม่ได้แล้ว อื่นๆ ที่เป็นรสของลิ้น ของอาหารนี่ง่ายกว่ากวฬีการาหาร ที่จำยาก ส่วนรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสนี้หายได้ง่ายกว่ามาก อันนี้เคยสวย แต่เดี๋ยวนี้มันหายไปจริงๆ จนคุณตรวจสอบได้เลยว่าแต่ก่อนเราติดสีแดง มันรู้สึกขาดไม่ได้ ติดใจ ชื่นอารมณ์ชื่นใจแต่เดี๋ยวนี้สัมผัสสีแดงแล้วนึกไม่ออกว่าเราเคยชื่นใจอย่างไร เสียงก็ตาม เราเคยชื่นใจ แต่ฟังเสียงเดิม เดี๋ยวนี้ไม่เกิดรสเช่นนั้นอีกเลย สัมผัสกระทบอยู่อย่างเคยมีเคยเป็นแต่ไม่มีรส ไม่มีกามรส อัสสาทะ นี่คือสัจจะของนิโรธ นิพพาน หรือความดับความหลุดพ้นที่ชาวโลกเขาติด แม้แต่ก่อนเราก็เป็นอย่างชาวโลก แต่เดี๋ยวนี้เราวิมุติหลุดพ้นได้จริง

 

ในเรื่องเงินทองทรัพย์สินก็เช่นกัน แต่ก่อนชื่นใจจริงจะได้ทรัพย์ เครื่องอุปโภค บริโภค แต่ก่อนมีรสสุข มีกาม ใครอยากได้โลกียรส ได้ข้าวของลาภ ยศ สรรเสริญ ก็นัยเดียวกัน เกิดอาการชื่นใจชอบใจ แต่ก่อนมีอาการนี้ แต่เดี๋ยวนี้บางเบาหรือไม่มีรสนั้น แม้ได้แก้วแหวนเงินทองที่เคยติด ได้สิ่งที่เคยติด หลายอย่างเป็นสิ่งที่ไม่น่าชอบใจเลย

 

อ.สอนปริญญาโทสอนศิลปากร เขามาคุยฟุ้งว่าเขาไปได้เสลดของเกจิอาจารย์พระดังถิ่นอีสานมา ไปได้เสลดมาแล้วก็ใส่ผ้าที่ซับเสลดไว้ อาตมาก็พูดแรงไปหน่อยว่า ทำไมคุณโง่ดักดานเช่นนั้น เขาโกรธอาตมาทันทีเลยเห็นๆ เขาเล่าทีหลัง ก็มันของเขาทิ้งเสลดแล้วไปเก็บมาบูชาได้อย่างไร การจะยึดเงินทองอะไรก็ว่าไปแต่นี่ยึดเสลด ที่เขาทิ้งไป บางคนก็ยึดดอกไม้แห้งที่เธอให้ไว้ สำคัญมาก เหมือนเสลดของอาจารย์ที่เขายึดถือ มันเป็นจริงเป็นจังเลย อาตมาก็เคยของแฟนคนแรก มันเหมือนจริงจังเลย สำคัญไปหมด ได้มาก็มีความหมายเป็นเครื่องหมายที่เรารู้กัน ทั้งที่ไม่มีค่าราคา แต่มันมีค่าสำหรับเรายึดถือ คนเราสมมุติตั้งเป้า สัญญา ยนิจจานิเอง เที่ยงแท้เอง ยึดเองใครเห็นความโง่ บ้า ของตนไหม.? ....ยกมือกันหลายคนเลย

 

คนเราติดยึดเช่นนี้ทั้งนั้น เพชรแก้ว แหวนเงินทองทางโลก เราก็เอามาเปลี่ยนเป็นเงินไปซื้อสิ่งจำเป็น สิ่งที่ไม่จำเป็นเราก็ไปสมมุติยึดว่าสำคัญ เช่นทองคำ เขายึดกันว่ามีค่า เราก็เอามาใช้  จริงๆเราไม่ได้ติดทองคำเลย แต่เราไปติดค่าของมัน บางอย่างของเล็กน้อยขนาดน้อย แต่ราคาแพงกว่าทองคำก็มี มันขี้เหร่ด้วย แต่คนเราเห็นว่าทองคำมีค่าสูง ถ้าเห็นตกก็เก็บ แต่บางอย่างตกอยู่ก็ไม่เก็บ เหมือนกับสมบัติอโศกบางอย่างแพงกว่าทอง แต่ไม่เก็บ ทองตกก็เก็บ บางอย่างราคาแพงกว่าธนบัตรอีก แต่ไม่เก็บ แต่ถ้าเจอธนบัตร เรากลับเก็บ เห็นไหมว่าความโง่ของคนมีกี่ชั้น

 

มาดูที่ฝรั่งเขาก็มาหลงสมมุติของไทย เป็นชาตินิยม เขาเห็นว่าอันนี้น่าอนุรักษ์ ของฝรั่งเขาก็มี แต่เขาเห็นว่าคนไทยทำไมไม่รักชาติตน ไม่เป็นชาตินิยม โลกทั้งโลกเขาก็ว่าน่าจะยึดถือ อย่างชาติแต่ละชาติ ก็มีวัฒนธรรมไม่ว่าอาหาร บ้านเรือน เครื่องใช้ เครื่องเล่น ที่เราคิดเอง สร้างเอง ยิ่งคิดสร้างเองยิ่งเป็นเลือดเนื้อเราเลย แม้ไม่คิดเองแต่ได้ยึดถือได้ปรับปรุงมานาน ผสมผสานมา แต่เรายึดเป็นของเราแล้ว ยึดแล้วเราได้อาศัยใช้สอยเป็นประโยชน์คุณค่า จะเป็นอุปโภค บริโภคก็ตาม หรือยาไทยก็ได้อาศัยใช้สอย อาหารกับยาคือบริโภค ส่วนเครื่องนุ่งห่มคืออุปโภค เราใช้มาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย มันน่าจะมีเลือดชาตินิยมบ้าง

 

ฝรั่งมาเห็นก็มีได้เทียบเคียงได้ว่าอย่างนี้แบบไทยๆ จะเป็นวัฒนธรรม ศิลปะก็มีของเราเหลืออยู่ ฝรั่งก็เอาเรื่องง่ายเช่นผม หน้าตา เครื่องแต่งงกาย ก็ของคนไทยมองโกเลี่ยน อีสานก็ดังแหมบ อย่างนี้ไม่จมูกโด่งก็น่าภูมิใจว่าสวยอย่างนี้ละวะ ได้จมูกโด่งน่าเกลียดนะ ดีไม่ดีดั้งหักเหมือนชิมแปนซี แล้วจะไปติดอย่างฝรั่งทำไม ต้องเสียเวลา แรงงาน หรือทุนรอน เจ็บตัวด้วย มันไม่มีเลือกแห่งวัฒนธรรมชาตินิยมเอาเลย ไปเสียเวลาทุนรอนแรงงานทำไม

 

ความมีประโยชน์คุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์เลย ไม่ต้องเสียเวลาแรงงานทุนรอน อาตมาถึงบอกว่าเอาสิ่งที่สูญเสียคืนมา ถ้าเอาคืนมาได้จะได้มามหาศาลเลย ยิ่งสังคมไฮโซยิ่งมากเลย คนจนไม่มีตังค์ไปบ้าอย่างเขาก็เลยไม่ทำ แต่ถ้าทำได้อาจบ้ากว่าเขาอีก การแก้เศรษฐศาสตร์ต้องแก้สัจธรรมพวกนี้แล้วเราจะได้มีเวลาทุน แรงงานไปทำประโยชน์แก่ชาติ

 

อโศกเราไม่ได้ไปเสียอย่างเขา เราจึงเป็นคนจนที่รวย แม้เราหาไม่ได้มากก็ตาม คือเรามีผลผลิต แล้วทำให้มาก เหลือก็แจกจ่ายแม้ขายก็ขายให้ขาดทุนไม่เอาเปรียบให้เสียสละ ชาวอโศกมันไม่มีวันรวยหรอก แม้ไม่รวยแต่คนข้างนอกเขาไม่เข้าใจว่าอโศกมาจน เขามาถึงอโศกด้วยซ้ำไป

 

อบายมุข ถ้าแก้ปัญาเศรษฐกิจประเทศ ต้องแก้ที่อบายมุข ต้องเอาออกไปให้หมดเลย สนช.ออกกฎหมายเลย ที่เป็นอบายมุขเขาอนุโลมกันเยอะเลย ตอนนี้มีข่าวโรงฟิตเนส เขาเอาจำบ๊ะค้ากามมาด้วย เขาแก้ตัวเป็นไฟเลย ถ้าปราบกันไป ถ้าบ้านเมืองไม่อบายมุขจะเป็นอย่างไรให้แข็งใจทำไม่ให้คนมีอาชีพเช่นนี้ ทำจริงเหมือนต่างประเทศเขาเอาจริง ตัดแขนขา หรือแขวนคอเลย มันไม่ใช่เรื่องเป็นเรื่องตาย เอาจริงเอาจังเลย แล้วไม่ต้องกลัวเลยว่าคนจะไม่นับถือ อย่างศาสนาอิสลามเขาทำก็ไม่เห็นเป็นไร ใครละเมิดก็มี แต่เขาก็อยู่ได้

 

ศาสนาพุทธไม่มีลักษณะบังคับก็จริง แต่ว่าสิ่งที่เป็นความเสื่อมน่าจะขันชะเนาะนะ แม้ฝรั่งเขาก็มาประท้วง คนทีได้ยินน่าจะสำนึก ขอบคุณฝรั่งเขา ถ้าใครรู้สึกสำนึกได้ก็เป็นทั้งประโยชน์ตนและประเทศชาติ

 

การไม่มีภูมิปัญญาสมรรถนะแล้วแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยอบายมุข เอาบันเทิงมาชูเชิดต้องอาศัยเขา แสดงถึงความอ่อนด้อยของผู้บริหารที่ดูแลสังคม แล้วไม่เข้าใจว่าอบายมุขคืออะไร ง่ายก็การพนัน บันเทิงการละเล่นที่ไม่มีสาระ แล้วไปหลงในรสชาติ มันส์ อร่อย ที่เป็นนรกปหาสะ หรือไปหลงจัดจ้านที่จะได้ลาภให้ได้ก้อนใหญ่ โกงทีละแสนล้าน หรือล้านๆเลย นั่นแหละคือยอดอบายมุข แนวคิดกล้าโกงด้านๆนี่แหละยอดอภิมหาอบายมุข ถ้าอย่างนี้ไม่เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ต้องปิดกั้นต้องต้านเลย ถ้าอย่างนี้ไม่เข้าใจก็จะไปบริหารสังคมได้อย่างไร ที่มีการซื้อยศกันก็คือยอดมหาอบายมุขแล้วหรือแย่งตำแหน่งกันก็บาปแล้วนี่ใช้เล่กลในการได้ยศมาบำเรอตนนี่อภิมหาอบายมุข หยาบคายมาก ก็ไปใหญ่ บานทะโร่ด้วยอบายมุข

 

รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จัดจ้านคืออบายมุขทั้งนั้น แต่ไม่เข้าใจไปหลงส่งเสริมกันอีก สนุกเพลิดไปอีก การอนุโลมต้องมีขอบเขตไม่ให้เกินเลย การจะบริหารบ้านเมืองให้สงบสุขด้วยสัจจธรรมถ้าเข้าใจเรื่องอบายมุขก็ยาก

 

อาตมาเผยแพร่ให้คนเลิกอบายมุขได้ไม่กี่อย่าง เขาเลิกเหล้ายา เที่ยงแต่ เลิกรสจัดได้บ้างให้จิตใจเข้มแข็งได้บ้าง แค่เลิกอบายมุขแค่นี้ชีวิตก็ผาสุกแล้ว พวกเราก็สืบสานช่วยต่อเถอะ

 

ทำความเข้าใจกับอบายมุขให้ได้ แล้วจะแข็งแรง ปฏิรูปเรื่องอบายมุเลย จะออกกฎหมายอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ทุกวันนี้อ่อนแอกัน ลูบหน้าปะจมูกันไป นี่ก็เริ่มทำได้แล้ว เอาตำรวจใหญ่ลงได้ ดีเลย เอาอย่างอื่นอีก อย่าทำลูบหน้าปะจมูกกันนัก หากทำได้สังคมไทยกระเตื้อง แล้วที่สำคัญคือหันมาศึกษาโลกุตรธรรมให้สัมมาทิฏฐิ ช่วยประเทศได้จริงๆ

 

อาตมานี่พูดไปแล้ว เดี๋ยวจะหาว่ามาหาเสียงให้ตนแต่ไม่หรอก ...คืออาตมาพาทำนี่มันช้าเพราะหลายเหตุปัจจัย มีอจินไตยด้วย อาตมาไม่ได้ท้อถอยเลย มันจะช้าจะยากอย่างไรก็เข้าใจ เพราะมีเหตุปัจจัยในสังคมโลกและวิบากอาตมาด้วย ก็ไม่ได้งง ไม่ท้อแท้ แล้วเห็นว่าในไทยก็มีอัตราก้าวหน้าได้ ใครมีดวงตา ปัญญา ปฎิภาณที่จะดูความจริงที่อาตมาพาทำนี่ มันกอบกู้เศรษฐกิจได้ ทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขได้ การเมืองก็ทำประโยชน์แก่บ้านเมืองจริง เราเห็นว่าภาครัฐภาคบริหารเรายังเป็นไม่ได้ แม้เราจะมีปัญญาความรู้เข้าใจเชิงโลกุตระที่จะทำให้สังคมดี แต่เหตุปัจจัยองค์ประกอบเราไม่พร้อม เราไม่ฝันไม่หวังเลยว่าเราจะไปทำงานภาครัฐ แต่เราทำงานการเมืองภาคปชช. การเมืองคือการช่วยสังคม อย่าไปแยกว่าการสงเคราะห์ การเมืองไม่ใช่งานสังคมสงเคราะห์ไม่ถูก แต่การเมืองคือการสงเคราะห์ประชาชนเลย แต่ทุกวันนี้การสงเคราะห์กลายเป็นเรื่องปลีกย่อย แต่การเมืองเอาจริงเอาจัง  การเมืองนี่เป็นการสงเคราะห์ที่จริง ไม่ใช่งานอดิเรก การเมืองที่แท้คือการช่วยเหลือสังคมอย่างไม่ได้หวังเอาอะไรตอบแทน เข้าใจให้ได้ ว่าปชต.ภาคปชช.คืออย่างไร จนไปเข้าใจกว่าการเมืองต้องในรัฐสภา ไม่อยู่ในรัฐสภาไม่ใช่การเมือง ใครจะเข้าใจเช่นนั้นก็เชิญ แต่อาตมาเข้าใจว่าการเมืองอย่างนี้คือการเมืองแท้ แต่การเมืองในรัฐสภาคือการเมืองแฝง

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น คำถาม

-น้องโมกข์...ทำไมพระพุทธเจ้าจึงไม่ประสูตรในเวลาที่คนดีเยอะเกินหรือน้อยเกิน?

ตอบ....เพราะถ้าพระพุทธเจ้าเกิด ถ้าคนดีมากเกิน หรือคนชั่วมากเกิน เพราะถ้าพระพุทธเจ้าเกิดมาในยุคแบบนั้นมันเสียของ เสียของหมายความว่า ไม่คุ้มกับของดีที่พระพุทธเจ้ามี ถ้าคนดีมากก็ไม่ต้องทำอะไรเลย งานไม่มากพอมือพระพุทธเจ้า หรือคนชั่วมาก ถ้าพระพุทธเจ้าเกิดมาคนชั่วนี่ทำชั่วได้ แล้วพระพุทธเจ้าจ้ะต้องหนัก เสียสภาพ เพราะการทำงานกับคนชั่วต้องอนุโลมชั่วไปกับเขาด้วย อันนี้หลวงปู่ซาบซึ้งลดความสวยงามสะอาดลงไป ทั้งเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สมณสารูป

 

-สังเกตมานานว่าเพื่อนๆผมที่จะมีความรักเขาดูที่หน้าตา แล้วอยู่ได้ไม่นาน ก็เปลี่ยนคน แล้วก็เมื่อไหร่เพื่อนๆผมถึงเลิกมีความรัก

ตอบ...เมื่อเขามีปัญญาจริงๆ 1.ปัญญาเขาเชื่อ เชื่อหลวงปู่หรือผู้ใหญ่ที่ควรเชื่อมาแนะนำ(อันนี้ยังไม่เต็มดีต้องทนฝืนกดข่ม 2.มีปัญญาของตนเอง เห็นว่าเรื่องนี้ควรเลิก ไม่จริง มีแฟนนี่มันเป็นของหลอก ที่ถามว่าเลิกเมื่อไหร่ก็คือเมื่อมีปัญญาเห็นจริงด้วยตนเอง

 

-เวลาหนูถูกเพื่อนๆว่า แล้วหนูอยากตอบ แล้วหนูไม่ตอบเขาเรียกว่า การทำใจในใจไหม?

ตอบ...ดีมากเก่งมาก ถูกต้อง เวลาถูกเพื่อนว่า แล้วหนูไม่ตอบกลับ แล้วฟังว่าเขาพูดอย่างไร?นี่เป็นการทำใจในใจได้ดี

 

-วิบากคือผลของสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว อย่างคนที่เขาไม่ชอบใจงู ไม่ว่าจะงูชนิดไหน เขาเกลียดหมด เขาก็ไปสมมุติยึดติดอันนี้ อาตมาคิดอื่นไม่ได้เลยว่าเป็นสิ่งที่ติดมาแต่ชาติก่อน สั่งสมอุปาทานติดยึด แล้วเขาต้องฆ่าให้ตายด้วย

 

พ่อครูสรุป....เด็กๆนี่แหละที่ต้องสืบสานให้เขารู้ค่าโลกุตรธรรม มีวิธีให้เขาฝังใจจำได้ เป็นการติดชิปไป ให้เห็นทุกข์ เวลาเขาเจอจริงมันจะขึ้นมา อาตมามั่นใจว่าอนาคตโลกจะยิ่งหยาบ มั่นใจว่าเด็กเราออกไปเจอหนัก เพราะว่าโลกุตระจะเผยแพร่อย่างไรก็ไม่ก้าวหน้ากว่าโลกีย์หรอก ไทยเรานี่จะเพิ่มพลเมืองมากเท่าไหร่ ก็จะเป็นพลเมืองโลกีย์ มากเท่านั้น ก็ไม่ทันอยู่ดีที่โลกุตระจะไปช่วย อันนี้ไม่ได้สงสัยรู้ดี ไม่ได้งงเลยว่าได้น้อย ทำมา สี่สิบกว่าปี ตั้งแต่ประชากรไทยไม่ถึง 60 ล้านคนดี ตั้งแต่เริ่มทำมา แต่ตอนนี้ 70 กว่าล้าน อีกไม่นานคงถึง 80 ล้าน อโศกจะเพิ่มอีกมากกว่านี้เป็นจำนวนสักไม่ถึงเท่า ครึ่งเท่าก็บุญนักหนาแล้ว แต่น้ำหนักของสัจธรรม โลกุตระ มันเหมือนปรอทกับโฟม โฟมจะมีมากเท่าใดก็ไม่มีน้ำหนักเท่าปรอท ปรอทแม้มีน้อยแต่มีน้ำหนักมาก แต่ก็ถ่วงสังคมได้ แม้จะเห็นว่าน้อย พวกนั้นจะมากก็ตาม น้อยจะถ่วงได้ นี่คือนัยซ้อน อย่าไปท้อว่าอโศกมีน้อย จริงๆไม่น้อย แล้วมีคุณภาพเหมือนปรอท ให้เป็นเนื้อแท้ปรอทนี่มีน้ำหนักมาก 


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 16:53:41 )

580116

รายละเอียด

580116_ธรรมาธรรมะสงคราม พ่อครูฯบ้านราชฯ นิยามของครูคือผู้มีคุณธรรม

พ่อครูว่า...วันนี้ 16 ม.. 58  เป็นวันครู อาตมาเองต้องรำลึกถึงสมเด็จพ่อครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ก็ถึงวาระที่คนไทยทุกคนควรต้องเห็นความสำคัญในการระลึกถึงครูกันให้สำคัญ ว่าคำว่าว่าครูเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ เป็นความสูงสุดมีคุณค่ามากแค่ไหน ขอกราบคารวะต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

เราจะมาพูดถึงคำว่าครู และสิ่งที่เกี่ยวกับครู ใครเป็นครู หากไม่มีครู จะเป็นอย่างไร? คำว่าครู มาจากคำว่า คุรุ(อ่าน กุรุ) แปลว่าหนัก หนักก็หมายถึง เรื่องหนัก เรื่องยาก ทำให้เกิดผลได้ไม่เบา มันหนัก ในมนุษยชาติหากไม่มีครูก็สืบทอดสิ่งดีๆไม่ได้

 

คำว่าครูมีในคน แม้ในสัตว์เดรัจฉานมันก็มีแบบอย่าง แล้วก็เอาตาม ทำตามแบบอย่างกัน จะสอนกันก็สอนไปอย่างนั้น สอนไม่มีความรู้ จิตใจ ทิศทางอย่างแท้จริงเหมือนคน คนนี่ใช้น้ำใจ จริงใจ เป็นตัวหลัก แล้วก็ทำกันอย่างถ่ายทอดจริงๆ

 

ผู้ที่เป็นครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เกิดผลถ่ายทอดสืบทอดให้เกิดผลทางกาย วาจา โดยเฉพาะถ่ายผลไปถึงจิต เป็นDNA เป็นเชื้อพันธุ์เดียวกันเลย ซึ่งถือว่าเป็นการสอน การถ่ายทอด ลึกสุด สูงสุด มีค่าประเสริฐสุด ในเชื้อพันธุ์ของพระพุทธเจ้า แล้วการถ่ายทอดความเป็นครูถ่ายทอดสำคัญที่จิตที่เป็นครู

 

จิตที่เป็นครูคือ จิตที่ต้องการถ่ายทอดจริงๆ ถ่ายทอดความดีงาม ความรู้ที่ตนเองมีดีสูงสุด ให้สืบต่อให้มากให้นานเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้เป็นจริง นี่คือจิตแท้จิตลึกของความเป็นครู อย่างพ่อแม่ นี่ก็คือครูคนแรกของลูก แล้วต้องการถ่ายทอดสิ่งดีที่สุดตามที่ตนมีความรู้แล้วสามารถถ่ายทอดได้ แต่บางพ่อแม่ก็ถ่ายทอดไม่เป็น ก็ได้เท่าที่ได้

 

ส่วนคนที่ไม่ใช่พ่อแม่ แต่มีจิตเป็นครู คือเป็นผู้มีจิตใจ เข้าใจ มีเจตนาถ่ายทอดความรู้ความสามารถที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรถ่ายทอด ไม่ว่าความสามารถสมรรถนะ มีทั้งเชิงเทคนิคและเชิงคุณธรรมมีสองประเด็นใหญ่

 

ประเด็นที่อาตมาอยากเน้นที่สุด แล้วคนที่เป็นครูอย่างที่อาตมาว่า มีเจตนาดี พากเพียรทำให้เกิดผลกับผู้สืบทอด การให้นั้นจึงไม่ใช่แค่ศิษย์ แต่เป็นลูก คือลูกศิษย์ อย่างพ่อแม่ถ่ายทอดให้ลูก ไม่มีคำว่าศิษย์ แต่ครูนี่ถ่ายทอดให้ศิษย์จึงเรียกว่าลูก

คนที่เป็นลูกศิษย์นี่ เป็นทั้งศิษย์และลูกอย่างแท้จริง

 

ที่เป็นครูกันทุกวันนี้ เป็นผู้รับจ้างถ่ายทอดความรู้เป็นหลัก คุณธรรมเป็นรอง คนจะเป็นครูทุกวันนี้ต้องมีความรู้ นอกจากมีความรู้แล้ว ยังกีดกันครูที่เป็นครูมีจิต ครูแท้ แต่ไม่ได้มีวุฒิ จะเก่งจะดีสามารถอย่างใด ก็ไม่ได้เป็นครู อาตมาถือว่าเป็นการกีดกันความเป็นครู เลยได้แค่มีศิษย์ ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ ให้รู้เท่าที่กระทรวงกำหนด แล้วให้เทคนิคความรู้ที่จะเลี้ยงชีพได้ การเป็นครูอย่างนี้ จึงเป็นเพื่อถ่ายทอดตามหลักสูตรเท่านั้น แล้วได้เงินจากการเป็นครูมาเลี้ยงชีพ

 

ครูนั้นแท้จริงไม่ได้เกี่ยวกับรายได้ ถ้ามีคนจะให้สอน อยากให้สอนก็แนะนำกันได้จริง มีโอกาสทั้งวัน เวลาไหนก็สอนได้ทั้งวัน เจตนาตั้งใจสอนตลอดเวลา นี่คือครูจริงที่สร้างลูกศิษย์ ไม่เกี่ยวกับเงินทองค่าจ้าง คนอย่างนี้มีไม่น้อย ในสังคมภราดรภาพตามแบบพระพุทธเจ้า ที่มีความรู้แล้วบรรลุธรรมตามแบบพระพุทธเจ้า จะมีเลือดวิญญาณของความเป็นครูจริง

 

ในชาวอโศกที่มีผลธรรมของพระพุทธเจ้า จึงมีเลือดครูแล้วมาถ่ายทอด โดยไม่ต้องบอกเขา อาจบอกบ้าง แนะให้ทำอย่างมีปฏิภาณ ที่เป็นอยู่นี่ แล้วก็มากที่ไม่ได้มีใบรับรองวุฒิเป็นครู แต่ทำอย่างครูในหมู่บ้านเรา คนมีเลือดครูก็จะถ่ายทอด แล้วผู้ที่จะรับถ่ายทอดก็ไม่ได้มีแค่เด็ก แม้คนอายุมากกว่าเราก็เป็นลูกศิษย์ได้ ถ่ายทอดคุณธรรมความรู้ที่เรามีด้วยศิลปะและศาสตร์ นี่คือคุณธรรมในสังคมที่คนมีจิตวิญญาณครู

 

วันนี้วันครูขอบอกให้ความรู้ ถ้ามีเลือดมีวิญญาณอย่างที่ว่าในตน จงอย่าออมมือ จงทำเท่าที่ทำได้ มีโอกาส แต่ก็ไม่ถึงกับต้องลนลานไปเป็นครู ทำอย่างที่ควรเป็น เพราะอาตมามั่นใจในคุณธรรมของพวกเราที่จะถ่ายทอด แต่เรื่องเทคนิคความรู้สัมมาอาชีวะก็ต้องทำ ในสังคมอโศกเรามีครูเยอะ แต่ถูกรัฐกัน ก็เลยไม่ได้เป็นครูโดยนิตินัย มากเท่าที่ควร แต่เราก็ทำตามพฤตินัยไปตามควร จะจับเราเข้าคุกก็ไม่ว่า อาตมาก็ต้องขอขอบคุณด้วยใจ สำหรับคนที่ทำอย่างคุรุด้วยเลือดเนื้อจิตวิญญาณจริง จึงถูลู่ถูกังมาได้

 

เพราะเราไม่ได้ทำแบบทางโลก ที่มีการจ้างงานกันเลย ก็ทำไปจนกว่าจะเกษียณ แต่ของเราไม่มีปลดเกษียณ มันเรื่องของจิตวิญญาณเรื่องใจ แล้วได้ถ่ายทอดพยายามให้มีความรู้คุณธรรม อันนี้ตกทอดสู่รุ่นๆไปให้นาน อาตมาทำงานทางครูมา 45 ปีย่างเข้าแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นมา ถือว่าอาตมามารับหน้าที่ครูโดยตรง แต่ที่จริงทำมาตั้งแต่ก่อนบวช แต่ก็นับตั้งแต่บวชตามนิตินัยของพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน เพื่อสืบทอดถ่ายทอดกันให้เต็มคุณธรรม เท่าที่สามารถ

 

ความเป็นครูที่พูดถึงนี่ ทางรัฐไม่ให้บรรจุมีวุฒิ แต่สอนด้วยใจสอนอย่างดี อย่างให้ลูกเลย ไม่เหมือนกับข้างนอกที่รับจ้างได้เงินทอง แต่ของเราบรรจุก็ไม่มีเงินเดือนให้ แม้ไม่ได้บรรจุก็แน่นอนว่าสอนฟรี

 

คุณค่าของครูสองชนิด ชนิดที่รับรายได้รายจ้าง กับครูที่เป็นครูด้วยเลือดเนื้อด้วยวิญญาณมันจะมีแนวลึกในความเป็นครูมากหรือน้อยกว่ากัน ก็ใช้ปฏิภาณดู โลกและสังคมอยู่ได้ด้วยความเป็นครูอย่างนี้ สังคมจะแข็งแรงก็เกิดจากการถ่ายทอด จากคนมีจิตวิญญาณครู แล้วเป็นคนดี (ต้องวงเล็บว่าเป็นคนดี) ส่วนความรู้ความสามารถเป็นเรื่องประโยชน์ อย่างครูมีที่สอนความรู้สามารถแต่ไม่ได้มีคุณธรรมนั้น โจรก็สอน คนชั่วคนเลวก็สอน แล้วเขาสอนก็เพราะว่าจะได้ประโยชน์จากศิษย์ มาเสริมหนุนให้เขา หรือได้เงินด้วย ส่วนครูที่มีใจเป็นคุณธรรมไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนจากลูกศิษย์ เป็นความต้องการถ่ายทอดให้ลูกศิษย์โดยบริสุทธิ์ใจ ฟังแล้ว จะเห็นว่า สมควรจะเทิดทูนบูชาครูที่ทำด้วยเลือดด้วยวิญญาณไหม?

 

หากคนที่เป็นครูในประเทศไม่ได้เข้าใจความหมายอย่างที่ว่าเลย ประเทศจึงมีคนที่ไม่ใช่ครูอยู่เยอะ แต่ถ้าประเทศที่เข้าใจว่าความเป็นครูคืออย่างไร แล้วมีครูเช่นนี้อยู่เยอะ ประเทศนั้นเจริญแน่ ดีแน่ ขออภัยที่ต้องกล่าวว่าประเทศไทย มีการเรียนการสอนตั้งแต่โบราณ จนถึงยุคปัจจุบัน ถ่ายทอดวิชาการมา อาตมาก็ดูค่ารวมผลที่ได้จากการศึกษา การได้คุณธรรมในสังคมนั้น อาตมาไม่ภูมิใจ ไม่สบายใจที่เห็นว่าการถ่ายทอด หรือการศึกษาเล่าเรียน มันไม่น่าภาคภูมิใจดีใจเลย มันเสื่อม

 

นิยามคำว่า ครู ต้องมีคุณธรรม ย่ิงสุดยอดมหาบรมครูก็คือ พระพุทธเจ้า ซึ่งแม้ครูจะสอนเรื่องเทคนิคไม่เก่ง แต่คนเป็นอาริยบุคคลสอนคนให้เป็นอาริยะอย่างเดียว ไม่ต้องสอนเทคนิคอื่นเลย ก็อยู่รอด ไม่เป็นหนี้ด้วย ดีไม่ดีพวกจบสูงๆทางความรู้ ดร. เป็นหนี้เป็นสินมากมาย หรือทุจริตทำร้ายสังคม แต่ถ้าคนมีคุณธรรมไม่ทุจริตทำร้ายสังคม แล้วเอาตัวรอด ไม่เป็นหนี้ด้วย จึงสำคัญที่การศึกษาต้องสร้างคุณธรรมให้คน แต่ทุกวันนี้การศึกษาไม่เข้าใจ แต่ไปเน้นความรู้เทคนิค แล้วยังไปหลงความรู้ของประเทศอื่นที่บางอย่างไม่เหมาะกับไทย แล้วยัดเยียดให้เด็กไทยได้ความรู้เช่นนั้น จนสังคมแหลกเหลวไปหมดแล้ว

 

ขออภัยที่ดูเหมือนมองสังคมไทยในแง่ร้าย ตำหนิติเตียน ขอใช้คำว่าแก้ตัว เพราะทางโน้นก็คิดว่าอาตมาไม่จริงใจ หาว่าแก้ตัว แต่ที่จริงอาตมาไม่ได้แก้ตัว แต่พูดจริงโดยสัจจะ ด้วยจริงใจ ว่าผลของการถ่ายทอดการศึกษามา ตั้งแต่มีวิธีการศึกษาแบบใหม่ เข้าระบบประเทศเป็นโรงเรียน เป็นมหาวิทยาลัย เจริญกันมา ทำให้คนไทย เสื่อม การศึกษาล้มเหลว เพราะฉะนั้นจะไปโทษการบริหารบ้านเมือง การช่วยบ้านเมืองหรือเป็นมวลสมาชิกประเทศ ที่ทำหน้าที่ทุกบทบาทเรื่องราว เกิดผลต่อสังคมแล้วเป็นผลจริง ที่รวมค่าพฤติกรรมของแต่ละคน รวมค่าแล้วอาตมาว่าสังคมไทยทุกข์มากขึ้น แย่งชิงกันมากขึ้น ปรารถนาร้ายต่อกันมากขึ้น

 

คำว่าปรารถนาร้าย คือ เห็นแก่ตัวมากขึ้น ความเห็นแก่ส่วนรวม จนเรียกว่า เสียสละนั้น เกือบไม่มี ที่ว่าเสียสละจริง แล้วที่ว่าเกือบไม่มี เพราะการให้ผู้อื่นโดยไม่ต้องการแลกเปลี่ยนไม่ว่าจะวัตถุ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่จะได้แลกคืน เกือบจะไม่มีเลยที่ให้โดยบริสุทธิ์ใจ

 

อาตมาว่า อาตมาได้ให้การศึกษาแก่พวกเรา เพื่อให้ให้โดยไม่ต้องการอะไรแลกเปลี่ยน อาตมาว่าชาวอโศกสอบได้ เป็นคนทำงานเสียสละแก่มวลชนประเทศชาติมากกว่า อยากได้รับการตอบแทน

 

การได้รับตอบแทนนั้นมีทั้งลาภ เป็นวัตถุ หรือได้รับการรับใช้ตอบแทนคืน ต้องการได้คืนในใจ จนมีหลักเกณฑ์ว่าต้องชดใช้เป็นราคาเท่าใด เกือบจะทั้งนั้น แม้กฎของรัฐก็เป็น เพราะไม่มีการให้โดยบริสุทธิ์ใจเลย มันจึงไม่ใช่การถ่ายทอดให้เกิดคุณธรรมอันเป็นการเสียสละที่แท้จริง การได้แลกเปลี่ยนกลับมาด้วยวัตถุ แรงงาน ยศศักดิ์ การสรรเสริญเยินยอตอบ เช่นนี้เป็นโลกธรรม โลกียธรรม

 

อาตมาว่าคนเราหากได้ปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้า สัมมาทิฏฐิ จิตใจที่อยากได้สิ่งแลกเปลี่ยน จะลดลงจริง จนมีชีวิตเสียสละสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่น หากครบองค์ประกอบชุมชนเรียกว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี สหายคือร่วมประโยชน์ที่ไม่ใช่ว่าได้มา แต่ประโยชน์ได้สร้างสรรเผื่อแผ่คนอื่นไป จนครบสัมปวังโก คือสิ่งแวดล้อม ทั้งวัตถุและปริมาณมวลคนที่จะอยู่รวมกัน แล้วเกิดเป็นสังคมที่มีอาชีพ เป็นกัมมันตะ มีการงานพร้อม วาจา สังกัปปะ เป็นองค์รวมของสังคม แล้วรวมกันอย่างเป็นคุณค่า

 

อย่างอโศกเรามีองค์รวม กรรมที่ร่วมกันทำ ก็เกิดผลที่เกิดจาก กรรม ทั้ง จิต เจตนา ซึ่งเจตนาที่ปนด้วยกามด้วยภวตัณหา หากได้ลดจริง ความใคร่อยากได้มาเป็นของตน หรือได้มาเสพรส มันลดลง จนกลายเป็นความอยากใคร่ทำเพื่อผู้อื่น เสียสละจริงขึ้นเรื่อยๆแล้วก็ทำกันไป อยู่ที่สำนึก พากเพียรอุตสาหะขวนขวาย

 

ขอยกตัวอย่างรูปธรรม ง่ายๆ พวกเราอาตมาส่งเสริมกสิกรรม แบบไม่ได้บังคับด้วย อย่างทำกสิกรรมริมมูน คนที่ไปดูที่เห็นที่ แล้วก็รู้ว่าจะทำ รวมกันประกาศว่าจะแบ่งที่กันทำ คนมีจิตจริงก็จะไปทำ แล้วก็เหลือแต่คนมีจิตจริงก็ทำเท่าที่เห็น ที่ตั้ง 70 ถึง 80 ไร่ แบ่งส่วนกันทำ ก็มีทำกันอยู่แปลงๆ แปลงละ คนหรือสองคน ทั้งหมดตั้งเกือบร้อยไร่มีทั้งหมด 3 5 คน คนเหล่านั้นมีจิตเสียสละ เพราะเขารู้ว่าไม่ได้ทำงานเพื่อตนเลย แต่เป็นการทำเพื่อสาธารณโภคี อย่างวันนี้คุณหินพันเขาทำนา ข้าวญี่ปุ่น วันนี้มีคนช่วย 1 คนคือ ด..เป๊ก ส่วนทางด้านนี้ก็มีสามคน มีดาวเพ็ญ ป้ามีมี่ ทางโน้นก็มีเกษตรสมพงษ์ ส่วนน้อยร้อยหล้าก็ทำอยู่ตลอด นอนเฝ้าโซล่าเซลล์ด้วย อาตมาพูดเช่นนี้ไม่ได้ไปว่าใคร แต่พูดสัจธรรมว่าจิตคนที่มีความเอาจริงขวนขวาย แล้วงานนี้เป็นงานเสียสละ เป็นวิญญาณแห่งการเสียสละ มีจริงเป็นจริงเกิดไม่ง่ายในคน แต่ก็มีคนไปทำที่อื่นบ้าง นี่ยกตัวอย่างแปลงนี้ รู้สึกว่าเป็นรูปธรรมชัด ส่วนที่สวน 200 ไร่ก็ทำกันอยู่ คุณหินพันสนใจที่ 51 ไร่ทางฝั่งโน้น อาตมาก็ไปดูที่แล้วเห็นว่า ต้องสร้างแพขนานยนต์หรือใช้เรือเดินทางไป

 

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่มนุษย์ควรถ่ายทอดคือ สิ่งดีสิ่งประเสริฐ ส่วนการศึกษาทางประเทศเป็นความล้มเหลว ก็ขออ้างอิงนิดเดียว....แต่มันก็เป็นดัชนีชี้ความใหญ่ของความล้มเหลวของคนไทย ที่ไทยพยายามให้การศึกษา จะเป็นการเรียนในประเทศแล้ว ก็ไม่เข้าใจว่าการศึกษานั้นพอดีกับการเป็นคนดีสร้างชาติได้พอหรือไม่? แต่จะไปศึกษาต่างประเทศเพิ่มก็ต้องให้พอเหมาะ แต่ทุกวันนี้ศึกษาจากต่างชาตินั้นไม่ได้เพื่อเสริมดัดแปลงให้ดีต่อสังคมไทยหาไม่ แต่เป็นการเอาความรู้เขามาทั้งดุ้นเลย เอาลูกส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็กจนโต แล้วเอาวุฒิที่ได้มาให้บรรจุ ไปเป็นผู้บริหารชั้นสูง ร่วมมือกันทำให้ประเทศไทยพิการไม่เหลือความเป็นไทย เป็นไทยขาหักขาเป๋ ขาเป็นต่างประเทศยุโรป อเมริกา บ้าง

 

ประเทศไทยทุกวันนี้เป็นประเทศพิการไม่เหลือความเป็นไทย จนคนต่างประเทศต้องยกป้ายประท้วง ทำไมผู้หญิงไทยไม่รักความเป็นไทย อะไรก็จะเอาอย่างต่างชาติ ไม่เหลือความเป็นไทย ถูกครอบงำทางความคิดไป นี่คือผล ผลจากประเทศไทยได้รับ มาจากการศึกษาอบรมคนไปทำงานจนเป็นผู้บริหารประเทศแล้ว มีผลเป็นเช่นไร? นี่

 

จั๊งซี่ ต้องถอด(ถอน)

บทความพ่อครูใช้อ่าน

 

 หนูกำลังเพาะเห็ดอยู่ดีๆ พี่ก็เอารถถังมาพังเรือนเพาะเห็ดของหนู แล้วยังจะมาถอดมาถอนอะไรหนูอีก ก็หนูไม่มีอะไรให้ถอดให้ถอนอีกแล้ว จะเอาอะไรกับหนูนักหนา

 

ถ้าเป็นบทละครโทรทัศน์ไร้ออกซิเจน ที่นำแสดงโดยนางเอกยอดนิยม เรตติ้งก็คงพุ่งกระฉูด แต่ถ้าเป็นเรื่องการเมือง เรื่องถอดถอน ค้อนไวรัสปู นั้นประชาชนส่วนใหญ่ที่หาเช้ากินค่ำ เพื่อให้มีพอกินคงจะไม่สนใจโดยเฉพาะถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเผาไทยก็คงจะบอกว่า รังแกผู้หญิง

 

แต่การถอดถอน ค้อน ไวรัส ปู นั้น เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเพศ ไม่ใช่การรังแกผู้หญิง แต่เป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้เพราะค้อน ไวรัส ปู นั้นดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง เป็นประธานรัฐสภา เป็นประธานวุฒิสถา และเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถึงจะมีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน ก็ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ต้องปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถึงแม้จะมีตำแหน่งใหญ่โตมีอำนาจมากเพียงใด ก็ต้องใช้อำนาจนั้นตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เมื่อมีผู้ร้องเรียนว่าประพฤติมิชอบละเมิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแล้วถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณา เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่า มีความผิดก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งและศาลฯก็จะส่งเรื่องไปยังรัฐสภาเพื่อถอดถอน แต่เมื่อรัฐสภาถูก คสช.ยุบ เรื่องถอดถอนก็ต้องส่งไปที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ แทน แต่เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19(ชั่วคราว) ที่คสช.สั่งให้เขียนขึ้น ไม่มีบทบัญญัติเรื่องให้อำนาจในการถอดถอน ก็ทำให้สนช.สามารถใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ถอดถอนได้

 

แต่ถึงจะไม่ถูกถอดถอน ก็ไม่ได้หมายความว่า ค้อน ไวรัส ปู ไม่มีความผิด แต่เป็นเพราะ ความบกพร่องของกระบวนการซึ่งก็ต้องไปถามคณะผู้ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 ว่า ทำไมไม่ใส่บทบัญญัติในเรื่องการถอดถอน และก็ต้องถามนายกรัฐมนตรีด้วยว่า ทำไมไม่จัดการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 เพื่อให้ สนช.มีอำนาจถอดถอน

 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ค้อน ไวรัส ปู มีความผิดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ดังนั้นถ้าจะยึดตามประโยคที่ว่า ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปถามถูกนั้น ก็ต้องยึดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มิใช่ยึดตามคำวินิจฉัยของ สนช.ที่ไม่ถอดถอนเพราะไม่มีอำนาจ ไม่ใช่เพราะ ไม่มีความผิด

 

ถ้าปล่อยให้เลยตามเลยตามคำวินิจฉัยของ สนช.ก็เท่ากับผิดไม่ว่าไปตามผิดเพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่า ทั้งสามมีความผิด แต่ สนช.ไม่ว่าตาม เพราะอ้างไม่มีอำนาจ ดังนั้นคำถามก็คือ เมื่อไม่มีอำนาจ ทำไมไม่ร้องขออำนาจ หรือไม่มอบอำนาจ เท่ากับปล่อยให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ จะให้เป็น บกพร่องโดยสุจริตอีกหรือ ไม่ใช้พร่ำเพรื่อไปหน่อยหรือ

 

และอีกประการหนึ่งเมื่อ ทุกองค์กรมีหน้าที่ในการปฏิรูปประเทศ โดยมีอำนาจเต็มที่จะจัดการได้ แต่กลับปล่อยปัญหาผ่านไปโดยอ้างว่าไร้อำนาจจะไม่ไร้เดียงสามากไปหน่อยหรือครับ

 

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ จำเลยในเรื่องนี้กล่าวอาฆาต ข่มขู่ สนช.ว่า ระวังจะเจอเองบ้างหรือถ้าถูกถอดถอน ก็จะไม่มีวันได้ปรองดอง แต่สนช. มิได้มีท่าทีอะไร เหมือนยอมรับคำขู่ ทั้งๆ ที่เป็นการละเมิดอำนาจ และกดดัน สนช.อย่างเห็นได้ชัดเจน แสดงว่าผู้ที่กล้าขู่ สนช.ต้องถือไพ่เหนือกว่าแน่ๆ ซึ่งก็ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าการปฏิรูปประเทศจะเป็นเพียงปาหี่

 

ทำไมประเทศไทยต้องตกเป็นเบี้ยล่างนักการเมืองชั่วอยู่โดยตลอด ทำผิดก็ไม่ยอมรับผิด กลับขู่อาฆาตจะทำร้ายประเทศไทยต่อไปอีก ทำผิดก็ไม่ต้องรับผิด ผิดแล้วต้องนิรโทษ ไม่นิรโทษก็ไม่มีวันปรองดอง อยากจะปรองดองก็ต้องไม่ถอดไม่ถอน ถ้าได้กลับมามีอำนาจอีก ก็คงจะต้องบังคับให้คนไทยทุกคนเอาธูปเทียนแพไปกราบขอขมาพวกมันด้วยมั้ง พร้อมกับอนุญาตให้พวกมันโกงกินใช้อำนาจโดยไม่มีขอบเขต

 

ไม่ว่าพวกมันจะทำอะไรก็ไม่ถือว่าผิด...หรือไง

 

น้ำตาลเมา(อำนาจ)

 

อาตมาว่าคนเขียนคงเขียนด้วยความ เหลือใจ บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า เราได้คนมาบริหาร เป็นกลุ่มคนอย่างไร อาตมาพูดตามภูมินะว่า ความผิดครั้งนี้มันชัดมาก ถ้าไทยคราวนี้ไม่ลงมือจัดการให้ดี ตามที่ควรเป็น ตามสิทธิอำนาจ อาตมาว่าประเทศไทยจะล่มจมหนักหนาสาหัสเลย อาตมานึกถึงสุดยอดอันหนึ่งเลยแต่พูดไม่ได้ ถ้าเขาจัดการไม่ได้คราวนี้ อาตมาว่าจะกระทบอย่างมากเลย หากคนมีภูมิปัญญา รักเมืองไทยอย่างแท้จริงจะรู้ ...อาตมาพูดไม่ได้ understood คิดเอาเองนะ อาตมาไม่มีจิตเกลียดชัง ปรารถนาร้าย แต่จริงใจให้ปรับปรุงแก้ไข

 

อาตมานี่โตมาไม่ชอบครู ไม่คิดเป็นครู แต่เสร็จแล้วอาตมาก็ต้องมาเป็นครู ตั้งแต่เรียน อาตมาก็นำพาเพื่อนทำไป หลายอย่างไม่ว่าด้านไหนๆที่อาตมาเห็นควรก็พาทำตลอด อย่างวัยเด็กก็ทำงานแบบที่ไม่ใช่เด็กๆ แต่ทำเพื่อประโยชน์เป็นจับกัง เป็นคนรับใช้ ด้วยซื่อสัตย์จริงใจ ได้เงินมาตั้งแต่เด็ก โตมาก็ทำงาน จนเรียนหนังสือก็ทำงานเลี้ยงตนตลอด ก็ค่อนข้างมีนิสัยเป็นผู้นำ อาตมาตอนเรียนเพาะช่างเป็นประธานนร. เป็นประธานเพาะช่าง ซึ่งเพาะช่างนั้น ครูใหญ่จะเป็นคนตั้งประธานมาแต่ไหนแต่ไร อาตมาก็เป็นคนเสนอแนะให้นร.เป็นผู้เลือกตั้ง อาตมาเป็นหัวหน้านร.อยู่แล้ว ประธานนร.ให้เลือกตั้งเอา ก็ลงมือทำ ให้หาเสียง สมัคร ให้หัวหน้าแผนกมาเป็นคนสมัคร ปี 5 ปีสุดท้ายให้สมัคร อาตมาเป็นหัวหน้าแผนกวิจิตรศิลป์ ก็สมัคร อาตมาก็ได้รับเลือกเป็นประธานนร. แต่สุดท้ายก็ต้องลาออก ผู้ที่ทำงานด้วยก็ถึงกับถือปืนไปหาอาจารย์ใหญ่ สุดท้ายอาตมาก็เลิกจบไม่เป็นประธานนักเรียน

 

อาตมาก็ทำงานรับใช้ตนเอง พึ่งตนเอง แม้ฐานะดีก็ทำ ฐานะไม่ดียิ่งต้องทำ จนสุดท้ายจบออกมา มารับผิดชอบ เพราะแม่เสียชีวิต อาตมาก็ต้องดูแลน้อง 6 คน ที่ฝากลุงเลี้ยงไว้แต่ลุงก็มีลูก 8 คนแล้ว อาตมาจบแล้วก็รับน้องมาเลี้ยง การเลี้ยงน้องนี่หนักกว่าเลี้ยงลูกนะ เพราะไม่มีเวลาสะสมฐานะ แต่นี่โตหมดแล้ว ต้องใช้เงินเรียน มหาวิทยาลัยก็มี อาตมาก็จำเป็นต้องทำงานหาเงินเลี้ยงน้อง เช่าบ้านเดือนละ 700 บาท จบมาหางานยาก แต่ดีที่ได้ทำงานโทรทัศน์ เขาเชื่อมือ ก็บรรจุทำงานบ.ไทยโทรทัศน์ ชั้นตรีได้เงินเดือนเดือนละ 750 บาท ก็ต้องหาลำไพ่เพิ่ม ก็ต้องเป็นครู นอกนั้นก็ทำงานแต่งเพลง กลอนโคลง ต่างๆนานา แล้วทางโรงเรียนก็อยากได้ดาราไปสอน ตอนนั้นสอนชั่วโมงละ 15 บาท เงินเดือนชั้นตรีนะ แต่อาตมาเขาให้ ชั่วโมงละ 30 บาท ตอนนั้นภูมิใจ แต่ว่าถ้าตอนนี้คงไม่ทำเพราะเป็นบาป แล้วทำอีกหลายอย่าง สอนสามโรงเรียนก็มี วิ่งรอกไป บางวันไม่มีเวลากินข้าวกลางวัน แต่ก็ต้องทำ ได้เงินมาเลี้ยงน้อง ส่งน้องไปเรียนเมืองนอกก็มี

 

อาตมาจำเป็นต้องเป็นครูอย่างที่ว่า สอนหลายอย่าง แม้ที่สุดจนเลิกหากินทำงานทางโลก ออกมาทางธรรม ก็ไม่นึกว่าต้องเป็นครูนะ ที่ไหนได้ เต็มๆ ตอนนี้ก็เลื่อนตำแหน่งเป็นพ่อครูแล้ว ทั้งๆที่มาจากไหนก็ไม่รู้ เขาเรียกพ่อท่านๆอยู่แต่แล้วมาเป็นพ่อครูได้อย่างไร? ตกลงเป็นครูก็ต้องเป็นครู เลยเข้าใจ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ และครูที่ยิ่งใหญ่ของไทยอีกคนคือ ในหลวง

 

คนที่สอนโรงเรียนสอนคนใบ้ เขาใช้ภาษามือ แต่ในหลวงสอนโดยใช้พฤติกรรมชีวิตของพระองค์ แต่คนมองไม่ออก คนรู้ รู้แล้วทำตาม เสียดายที่ผู้บริหารประเทศไม่เห็นว่าในหลวงเราทรงเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ ทรงพระจริยวัตรสุดยอด แต่พระองค์เป็นผู้สุภาพสุดยอด จึงทำให้ผู้บริหารต่างๆ ไม่ทำตามที่ควรจะทำ ท่านทรงแนะทรงสอน ไปอ่านที่บันทึกไว้สิ พระราชดำรัส สอนไว้อย่างผู้ดี ให้เกียรติ แล้วคำสอนนั้นเป็นคำสอนสำหรับผู้บริหารทั้งนั้น ส่วนเพื่อคนทั่วไปก็มี แต่ให้ผู้บริหารมาก แต่หาศิษย์ยากหรือลูกศิษย์ไม่มี ประเทศจึงเป็นเช่นนี้ น่าเสียดาย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? ก็ต้องให้เป็นไป

 

ก็ขอบคุณ มีคนไลน์มา แสดงความเห็นว่าอาตมาเป็นครู มีคุณสุชัย มีคุณnatwarat คุณแยม คุณโชติมณี ก็ขอบคุณ ไม่อ่านคำที่ส่งมานะ ก็ขอบคุณที่แสดงออกในวันครู อาตมาเองตั้งใจจะมีอายุถึง 151 จะเป็นการทำลายสถิติคนยุคนี้ เพราะคนอายุยืนในยุคนี้ มีอายุไม่ถึง 120 ดี สถิติก็มี แล้วก็ร่วงไป คนมาแทนก็ไม่ถึง 120 แต่ก็มีที่บอกว่ามากกว่านั้นก็ไม่มีหลักฐานชัดเจน

 

อาตมาก็พยายามใช้ 8 อ. พากเพียรอยู่ เพื่อพิสูจน์ความจริง ว่าให้อายุยืนยาวเพื่อจะทำหน้าที่เป็นครูตลอดไป เพราะไม่ว่าเป็นพ่อแม่ ผู้นำ หรือคนสมควรทำ แม้เด็กก็เป็นครูได้ ดีไม่ดีเด็กๆอาจจะสอนได้ด้วย เด็กแก่แดดหน่อย ดีไม่ดีลูกบางคนสอนพ่อแม่ด้วย ที่จริงการเรียนรู้นั้น เป็นครูคือผู้มีได้เป็นได้แล้วเอามาบอกให้รู้ จะเป็นพฤติกรรมก็เป็นครูได้ การเป็นรูปแบบครูเลยหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่เป็นครูคือ การถ่ายทอดความรู้ คุณธรรม

 

อาตมาเหมามาถ่ายทอดคุณธรรมเสียส่วนใหญ่ เรื่องเทคนิคอาตมามีก็ไม่ได้สอนเท่าไหร่ พวกเรามีโทรทัศน์ อาตมาทำงานโทรทัศน์มา ก็ไม่ได้สอนพวกเราสักเท่าไหร่? ทุกบรรยากาศคือ การรายงานความจริง แต่อย่าให้เละมากนะ อาตมาเคยทำรายการโทรทัศน์ สอนวิชาการหรือสอนทางทีวีนี่ จะเป็นร้อยรายการเลยนะ ทั้งที่วิชาบางอย่างไม่ถนัดเลย ก็เอาอาจารย์มาสอน  รายการคนเก่งรุ่นจิ๋ว เป็นรายการทีวีของเด็ก เป็นรายการแรกของประเทศไทยเลย อายุเด็กไม่เกิน 13 ปี สมัครตอบปัญหาได้

 

อาตมาทำหนักนะ ไม่มีสปอนเซอร์ด้วย แล้วได้เงินทำทีละ 150 บาท แล้วจะให้ที่1 ได้ 150 ก็ไม่น่าจะดีก็น่าจะได้มากกว่านั้น จะทำอย่างไร? อาตมาครั้งแรกเบิกมาได้ 150 บาท ก็ยังไม่ต้องให้แข่งได้ที่ 1 แต่ทำหลายครั้ง ก็เบิกมาทีละ 150 บาทจนสะสมได้เป็นพันก็ให้คัดเลือกที่ 1 ได้เงินให้เป็นพันบาทเลย ต้องพลิกแพลง

 

ทำงานโทรทัศน์มา 12 ปี ทำหลายรายการ แม้แต่เพลงไทย เพลงสากล ก็สอนทางโทรทัศน์ แม้เรื่องต้นไม้ รายการลับสมอง ปัญหาสาธิต สิงสาราสัตว์ โลกของเรา วิทยาศาสตร์ พุทธศาสนา นอกนั้นก็เป็นสารคดี อาตมาอยากทำรายการบันเทิง เขาแย่งไปหมด เพราะบันเทิงมีสปอนเซอร์ แต่รายการนอกนั้นก็ทำอย่างเหนื่อย ไม่มีต้นทุน แต่ก็ภูมิใจที่เราได้ทำงานมากๆ อาตมาเคยน้อยใจว่าทำไมเราทำงานหนัก แต่อัตราค่าจ้างเรา 80 บาท แต่กำธรได้ 120 บาท คนอื่นก็เป็นดารา เขาได้มาก อย่างอาตมาเขาไม่เรียกดารา เขาเรียกผู้จัดรายการ พิธีกร ไป อาตมามาเข้าใจ อาจมีบารมีเก่ามา มันทำงานได้เยอะ ทำงานไม่ขี้เกียจ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เกี่ยง ไม่ริสยาใคร แต่ก็รู้ว่าโลกเขาก็ต้องให้ค่าคนเด่น ไม่ได้น้อยใจอะไร สาระเหล่านี้ยืนยันคุณธรรม เราทำงานมาก เสียเปรียบเขา เป็นคุณธรรมทั้งสิ้น ทำงานมากได้กำไรนะ หรือการที่เราทำมากกว่าเขาก็ดี เราเป็นคนมีประโยชน์คุณค่ามาก ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะน้อยใจว่าเราเสียเปรียบ แต่ถ้ามองในลักษณะสัจธรรมแล้ว คนอวิชชากับคนมีปัญญา จะมองกลับกันคนละด้าน มองเสียเปรียบเป็นการเสียเปรียบ กับมองเสียเปรียบเป็นการเสียสละ เราทำมากกว่า แล้วก็บอกว่าเราเสียท่าสิ ซึ่งคิดดีๆเลย ภูมิธรรมแท้จริงมันทวนกระแส ปฏิโสตัง คนคิดโลกๆโลกีย์เป็นคนขาดทุนโดยสัจจะ

 

คำตรัสของในหลวงที่ว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นี่ลึกซึ้งมาก เราเป็นผู้ให้ ผู้รับใช้ ผู้เสียสละ ผู้เสียเปรียบแต่ไม่เสียหายล้มละลาย แต่ทำได้ดีอีก เป็นผู้เจริญ คนโลกุตระเข้าใจดี มันเป็นเรื่องปัญญา คนมีปัญญา จะเสียสละแล้วสบาย แพ้ก็สบาย คนเขาจะขี้โกงเราแล้วเขาชนะก็สบาย อย่างอาตมาแพ้คดี ก็เอามาอธิบายแล้ว

 

สิ่งที่เป็นตัวอย่าง ชี้เน้นให้รู้นี่คือการสอน การแนะนำ การบอกให้ศึกษา ให้ทำความเข้าใจ หากพวกเราเข้าใจได้เห็นด้วย ทำตามก็ได้ประโยชน์ เจริญ อาตมาก็จะนำพาอย่างที่เข้าใจนี่แหละ

 

ถ้าผู้ใดเข้าใจว่าความเป็นครูคือเป็นผู้ถ่ายทอดสิ่งดีงามเป็นคุณค่าทีดี ให้แก่คนรุ่นนี้หรือรุ่นต่อไป คนมีอายุมากหรือน้อยกว่าเราก็ตาม การให้การถ่ายทอดความรู้ ความสามารถ นี่แหละคือหน้าที่ครู การให้เงินทองวัตถุไม่ใช่คือครู แต่ให้คุณธรรมนี่แหละคือ การให้ของยอดครู การให้คุณธรรม นี่เป็นยอดครู โดยเฉพาะการให้โลกุตรธรรม อาริยธรรมนี่แหละจะคลุมไปได้หมด อย่างอาตมาไม่เก่งทางเทคนิค แต่ก็รู้ว่าคนไหนที่ควรมาช่วย สิ่งที่เขารู้มากก็ให้ทำ ดูว่าอะไรมากหรือน้อย อันไหนพร่องก็เติม แนะนำตักเตือน แต่ทางด้านคุณธรรม อาตมาเป็นโพธิสัตว์มาสายศาสนาโดยตรง ก็เปิดเผย โดยอาตมามีภูมิโลกุตรธรรมมาก่อนเก่า ชาติก่อนๆ คนก็อาจตามรู้ไม่ได้ แต่เป็นสิ่งจริงที่อาตมาต้องพิสูจน์ความจริงกับโลก ว่าความจริงต้องเอามาถ่ายทอดสืบสาน ว่าจริงอย่างที่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกไหม

 

ทุกวันนี้อาตมาก็เลยเกาะพระไตรปิฎกเป็นหลัก ต้องขออภัยศาสนากระแสหลัก เพราะเมื่อเอามายืนยัน ก็พบความผิดเพี้ยนจนเสื่อมไป ไม่เป็นไปตามธรรมะพระพุทธเจ้าจึงทำให้สังคมประเทศชาติเสื่อมไป เพราะสังคมประเทศไม่ได้เจริญด้วยความรู้เทคนิค ประกอบการแต่อย่างเดียว แล้วความรู้ฝีมือเทคนิคการประกอบการนี้ไม่ได้เป็นเอกด้วย แต่คุณธรรมความดีต่างหากที่สำคัญ เป็นเอกในสังคม โดยเฉพาะความรู้ของพระพุทธเจ้า ที่ไม่ได้ทิ้งความรู้ สมรรถนะ ในหลักเอกของพระพุทธเจ้านั้นสัมมาอาชีพมีจริง ไม่ได้ทิ้งเลย แต่เขาเข้าใจผิดไปทิ้งกรรม การงาน อาชีพ ไปนั่งหลับตาเอาสมาธิ ทั้งๆที่การมีชีวิตต้องเรียนรู้ทั้งวจี ภาษาที่จะต้องสื่อ สอนเป็นพูดได้ สื่อได้ แล้วสำคัญด้วย ภาษานี่ ถ้าไม่มีภาษาก็ถ่ายทอดสืบต่อยาก พระพุทธเจ้าไม่ให้ตกหล่น แต่ปัญญาเชิงคิดนั้น ไปนั่งหลับตาที่ไหนก็คิดได้ แต่ของพุทธไม่ใช่แค่คิดนึก แต่องค์ประกอบต้องครบกาโย ทั้งมหาภูตรูป บุคคล จนเกี่ยวกับตากระทบหูกระทบ ทางทวารทั้ง 6 แล้วเกิดองค์ประชุมครบ เกิดหลัดๆเป็นพฤติกรรมอันนี้คือความจริง ไม่ใช่แค่เอาความจำในภพชาติมาเป็นความจริง ความจริงไม่ใช่ความจำ พระพุทธเจ้าไม่ให้ทิ้งความจริง จะบรรลุธรรมต้องครบในองค์ประกอบปัจจุบันหลัดๆ เป็นความจริง

 

ยืนยันความจริงว่า อันนี้ประกอบด้วยกิเลส อันนี้ไม่ประกอบด้วยกิเลส แม้บางอย่างดูด้วยอาการว่าเหมือนมีกิเลส แต่ไม่มีกิเลส ยืนยันโดยเวลาเหตุปัจจัยพิสูจน์ สรุปคือ เป็นเรื่องต้องถ่ายทอดต้องสอนกัน ต้องมีความรู้ต้องมีความจริงที่ถ่ายทอดกันไว้ ไม่เช่นนั้นโลกก็เสื่อมไปๆ สิ่งที่ดีจริง คุณธรรมไม่ควรเสื่อม แต่แน่นอนว่ามันก็ต้องเสื่อมโดยสัจจะห้ามไม่ได้ แต่แม้ในยุคที่คนสอนได้ มีเวไนยสัตว์ ในยุคใดก็ตามที่มีผู้มีธุลีในดวงตาน้อย พอสอนได้ มีอยู่ ก็สอนได้ทั้งนั้น ไม่ว่ายุคไหน แต่ถ้ายุคที่คนสอนไม่ได้เลย เสื่อมมากก็สอนสิ่งที่เป็นคุณงามความดีไม่ได้ มียุคเช่นนั้นอยู่ เป็นอจินไตย

 

ยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุคแล้ว ถ้ายุคนี้พระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นแล้ว จะเสียค่าความเป็นพระพุทธเจ้า อย่างอาตมาที่ต้องมาแสดงออก ทั้งนัจจะคีตะวาทิตะ มันไม่ค่อยจะสุภาพ แต่โลกเป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆว่าดนตรีต้องแรง ถ้าไม่แรงก็ไม่ถึงใจ มันต้องบ้า ยกตัวอย่าง แต่ก่อนโทรทัศน์ต้องสุภาพเรียบร้อย ถ้ามาแสดงบทพิธีกรอย่างปัจจุบันนั้นโดนไล่ออกหมดแล้วเขาไม่ให้ทำหรอก แต่ยุคนี้ต้องทำ พวกพิธีกรโทรทัศน์ดาวเทียมทั้งหลาย ดูแล้วก็สลดใจ มันทั้งจริตจก้าน สุ้มเสียงท่าทางการแต่งตัว นั้นคือยุคสมัย ก็เลยจำนน จำเป็นที่ต้องอนุโลมในสิ่งจำเป็น สรุปคือพระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้ อย่างอาตมาก็ต้องอนุโลม เสียสภาพไปบ้าง แต่เป็นการคัดเฟ้นคน ที่ไม่ให้ดูที่เปลือกนอก แต่ให้ดูสาระสัจจะแท้ ถ้าคนถือสา ว่าต้องให้สุภาพมาก ไม่ได้รับอาตมาหรอก  แต่ผู้ที่มองเอาแก่นสารสาระนั้นจะรับได้ อย่างอรหันต์จี้กงนั้น แต่อาตมาไม่ทำอย่างอรหันต์จี้กง ที่กินเหล้าเมายา แต่ที่จริงอรหันต์จี้กงไม่ได้ทำอย่างในหนังหรอก แต่อนุโลมบางครั้ง ไม่ได้ทำแบบตัวตลกในหนัง

 

ตอนจบวันนี้มีตัวแทนนิสิต ว.นบ.คือ อาเถา แก่งธรรมได้กล่าวคำบูชาครู ….

 

ตอนท้าย อาตมาก็มีสิ่งที่อาตมาจะเอาข้อปฏิญาณของ ดร.อัมเบดการ์ ที่ได้ออกจากศาสนาฮินดูมาเป็นศาสนาพุทธ ก็มีคำปฏิญาณของท่านมาอ่านให้ฟัง  ดร.อัมเบดการ์เป็นจัณฑาลแต่เป็นคนที่ร่าง รัฐธรรมนูญอินเดียที่เป็นฉบับแรก และฉบับเดียวที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน

 

คำปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ และ คำปฏิญญาน 22 ข้อ ของ ดร.อัมเบดการ์ ดังนี้

 

1. ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุต่อไป

2. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระราม พระกฤษณะ เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพต่อไป

3. ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทวดาทั้งหลายของศาสนาฮินดูต่อไป

4. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตารต่อไป

5. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าคืออวตารของพระวิษณุ การเชื่อเช่นนั้น คือคนบ้า

6. ข้าพเจ้าจะไม่ทำพิธีสารท และบิณฑบาตแบบฮินดูต่อไป

7. ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า

8. ข้าพเจ้าจะไม่เชิญพราหมณ์มาทำพิธีทุกอย่างไป

9. ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีศักดิ์ศรีและฐานะเสมอกัน

10. ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน

11. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 โดยครบถ้วน

12. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบารมี 10 ทัศ โดยครบถ้วน

13. ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาแก่มนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก

14. ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมยคนอื่น

15. ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติผิดในกาม

16. ข้าพเจ้าจะไม่พูดปด

17. ข้าพเจ้าจะไม่ดื่มสุรา

18. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในทาน ศีล ภาวนา

19. ข้าพเจ้าจะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ

20.ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง

21. ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าหันมานับถือพระพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดใหม่ที่แท้จริง

22. ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด 

 

เอวัง...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 16:54:52 )

580117

รายละเอียด

580117_วิถีอาริยธรรม สันติฯ ปฏิบัติศีลต้องมีโพธิปักขิยธรรมเป็นสาระ

 

ส.เพาะพุทธว่า วันนี้ขอให้ออเดิร์ฟ เป็นภาพที่พ่อครูมอบเรือที่ชาวราชธานีอโศกได้แกะสลักจากไม้

 

พ่อครูว่า...อาตมาก็ให้สลักคำว่า นาวาบุญนิยมในเรือลำนี้ ตั้งแต่พศ.2545 ประมาณนั้น

 

ส.เพาะพุทธว่า...เป็นภาพที่พ่อครูมอบเรือลำนี้ให้กับคุณทักษิณ ชินวัตร โยมถามอาตมาว่า ท่านนำภาพนี้มาติดด้วยเหตุผลใด

 

พ่อครูว่า..ท่านจันทร์ได้ทำองค์ประกอบก่อนการเทศน์ได้ดีมากเลย ไม่ได้นัดกันมาก่อน ไม่ทราบว่าท่านจะนำภาพที่คุณทักษิณมานี่ เข้าเรื่องกันพอดี มีคอลัมน์ ของคุณเปลว สีเงิน จาก นส.เพาะพุทธ ไทยโพสต์ อาตมาอ่านแล้วก็ต้องเผรแพร่ต่อ เพราะอ่านแล้วติดหมัดขึ้นมาทันทีก็เลยถือมาใช้ ณ บัดนี้เลย

 

"นาย...นาย...มันจบแล้วล่ะนาย"

 

มีคำของประธาน สนช. "พรเพชร วิชิตชลชัย" อยู่คำ ท่านเปรยระหว่างประชุมเมื่อวาน (16 ม.ค.58) ว่า..."กรรมเป็นเครื่องส่อเจตนา" หลังทราบ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ไม่มาตอบคำถามในที่ประชุม สนช.

    ครับ...พลันได้ยิน.......

    มันแปล๊บเข้าไปถึงขั้ว "จิตใต้สำนึก" แห่งความรู้สึก ผิด, ชอบ, ชั่ว, ดี ของมนุษย์ทันที!

    เพราะเป็นคำเปรยที่เฉลย "ทุกข้อสงสัย" คนทั้งโลก ให้กระจ่าง ว่า.......

    "กรรม" คือ การทำโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด โดยให้ราคาสูงกว่าราคาตลาดกว่า 100% นั้น

    ยืนยันถึง "เจตนา".........

    ให้เกิด "ฉ้อฉลเชิงนโยบาย" ภายใต้การเป็นผู้ควบคุม ผู้กำกับ ผู้ตัดสินใจ และผู้สั่งการของ "ยิ่งลักษณ์" โดยตรง ในฐานะนายกฯ

    และ...ทั้งที่รู้ว่าผิดพลาด เสียหาย มีการทุจริต-คอร์รัปชัน "ทุกขั้นตอน" ผลาญเงินทองหมดท้องคลัง กระทั่งรัฐบาลไม่มีเงินจ่าย

    ข้าวที่รับจำนำไว้ก็ขายไม่ได้ เพราะทั้งแพงกว่าตลาดเกินเท่าตัว และทั้งไม่มีคุณภาพ

    สุดท้าย รัฐบาลต้องโกงค่าข้าวที่รับจำนำ เป็นเหตุให้ชาวนาหลายสิบคนต้องฆ่าตัวตาย ประชาชนนับล้านๆ ต้องออกมาคัดค้าน

    แต่นั่น.......!

    แทนที่ยิ่งลักษณ์จะสำนึก ระงับยับยั้งโครงการ กลับเดินหน้า "รับจำนำทุกเมล็ด" ต่อ มิสนใจคำเตือนใดๆ ของ "คนทั้งโลก"

    ทั้งกรรม และทั้งเจตนาเยี่ยงนี้........!

    จะให้ผู้คนเข้าใจเป็นอื่นไปได้อย่างไร นอกจากให้เข้าใจผ่านกรรมและเจตนานั้นว่า...มุ่งเป้า

    "ฉ้อฉลเชิงนโยบาย" ชัดๆ!  

    ดังทราบกันแล้ว นัดแถลงเปิดคดี ทีมทนายร่างคำแถลงให้อ่านได้ เธอจึงระริก ครั้นเมื่อวาน เป็นการถาม-ตอบสด จากระริกจึงกลายเป็นสลด หายจ้อย

    หายไปอยู่ชั้นไหน ไม่มีใครทราบ?

    กระทั่งนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ประธาน สนช.บอก...ให้โทร.ไปตามตัวมาตอบ จะรอถึง 6 โมงเย็น ยังบอกว่า ไม่ทราบอยู่ที่ไหน ติดต่อไม่ได้

    สรุปแล้ว ในเรื่องถอดถอนนี้ สนช.ผู้ถอดถอน และนิคม-สมศักดิ์-ยิ่งลักษณ์ ผู้ถูกถอดถอน เท่ากับ 220+3

    แต่ ป.ป.ช.ผู้ยืนต่อกรในฐานะ "ผู้ให้ถอดถอน" ทั้งการแถลงเปิดคดี ทั้งการตอบคำซักถามทุกฝ่าย ไปจนถึงแถลงปิดคดี มี 1 คน คือ "นายวิชา มหาคุณ"

    ปรากฏว่า 1 ต่อ 220+3 ยืนครบยก สบายๆ!

    ชนะใจแฟนรอบสนาม และประเมินท่าทีเมื่อวานนี้ สนช.ที่ยังข้องจิต ตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่า "ตัดสินใจได้แล้ว" จะโหวตทางไหน

    การที่จำเลยคือยิ่งลักษณ์ "ไม่มาศาล" ในนัดสำคัญ บ่งบอกถึงอะไร วิญญูชนย่อมรับรู้ได้เองอยู่แล้ว

    เหมือนวัวชนในสนาม อีกฝ่ายยืนฟืดฟาด ค้อมหัว ชูเขา ตะกุยดิน แต่อีกฝ่ายเยี่ยวแตก หันหลังโกยแน่บ

    ไม่ใช่ยอมแพ้ ........

    แต่ "ยอมรับสภาพ" ด้วยหมดทางสู้!

    ยิ่งถึงขั้นประธาน สนช.เปรย "กรรมเป็นเครื่องบอกเจตนา" ก็ต้องบอกว่า ลิเกคณะ "ทักษิณคิด-ยิ่งลักษณ์ทำ"

    มันจบแล้ว!

    22 มกรา นัดแถลงปิดคดี เธอจะมา-ไม่มา ค่าเท่ากัน เพราะทีมทนายจะจดคำถามเมื่อวานไปประดิษฐ์เป็นคำแก้ตัวให้เธออ่านผ่านคำแถลงปิดคดี...ชืดๆ

    ฉะนั้น ศุกร์ 23 มกรา 58 จะเป็นประวัติศาสตร์ สภา โดย สนช.ด้วยเสียงน่าจะมากกว่า 132

    โหวต "ถอดถอนยิ่งลักษณ์" ได้สำเร็จ!

    มีทางเดียว ที่ยิ่งลักษณ์และแก๊ง จะไม่ถูกถอดถอน

    นั่นคือ....

    สนช.ต้องการให้พลเอกประยุทธ์ "ถอดถอน 220 สนช."!?

    "ถอดถอน" ไม่น่ากลัวเท่า "เข้าคุก" เพราะฟังที่นายวิชาตอบข้อซักถาม สนช.เมื่อวานถึงขั้นตอนต่อไปของคดี

    รวมทั้งฟังที่ประธาน ป.ป.ช. "นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ" แถลงนักข่าว คดีเดินทางมาจ่อ "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง" แล้ว!

    ท่านที่ดูถ่ายทอดทางโทรทัศน์รัฐสภา น่าจะประเมินท่าทีและความรู้สึก สนช.ส่วนใหญ่ขณะนี้ได้ผ่านบรรยากาศในสภาฯ เมื่อวาน

    หนาาาาาาวแทนนะ...ยิ่งลักษณ์!

    เพราะรูปมวยของเธอ ถึงกรรมการอยากจะช่วย ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ในเมื่อเธอไม่มารำมวยให้กรรมการดู

    การส่งคนมาเป็นตัวแทนนั้น มันได้เฉพาะบางเรื่อง-บางสถานการณ์ อย่างเมื่อวาน มันเรื่องในอ้อมแขน จะให้ "ทีมทนายมาทำแทน" ได้อย่างไร?

    ยิ่งมอบหมายให้ นายพิชิต ชื่นบาน เป็น "ผู้แทนคดีผู้ถูกกล่าวหา" และทั้งนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ในฐานะทนายแก้ต่าง

    แทนที่จะขาว กลับดำ!

    ความจริงผมชอบนะ ทั้งนายพิชิตและนายนรวิชญ์ ห้าวหาญ เสียงดังฟังชัดไม่เกรงใคร

    แต่อยากบอกว่า นั่น...สภาของสถาบันอำนาจนิติบัญญัติแห่งชาติ

    ไม่ใช่ศาลที่มี "คอกทนาย" เป็นที่ให้ทำหน้าที่แก้ต่างแทนโจทก์-จำเลย หน้าบัลลังก์ศาล

    ฉะนั้น ต้องเข้าใจคำว่า "นักเลงผิดซอย" ให้ดี!

    เก๋าผิดที่ แทนจะเป็นผลดีกับลูกความคือยิ่งลักษณ์ เผลอๆ กลายเป็นผลลบไปเลย

    ยิ่ง "นายพิชิต บานชื่น" ด้วยแล้ว ตีโวหารเก๋ากฎหมายกับนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย แต่ที่นั่นคือสภา ไม่ใช่สถานที่ทนายจะไปทำ "รู้กฎ-รู้ระเบียบ" สั่งนั่น-สั่งนี่ กับประธานสภา

    แล้วมั้ยล่ะ...เขาท่านให้ราคาซะที่ไหน!

    อันที่จริง ถ้าผมเป็นนายพิชิต ยิ่งลักษณ์ หรือทักษิณ หรือคุณหญิงพจมาน บอกให้ช่วยมาเป็น "ผู้แทนคดี" ให้หน่อย

    ผมจะปฏิเสธ!

    ไม่ใช่ไม่ช่วย แต่ปฏิเสธเพราะรัก เพราะหวังดีต่อยิ่งลักษณ์ หวังให้มีทางชนะตะหาก

    เอา "ดำรองดำ" แล้วจะมีขาวตรงไหนโดดออกมาล่ะ?

    ยิ่งลักษณ์กำลังสู้กับข้อหาศีลธรรม-จริยธรรม ควรต้องหาคนมีภาพสวยงามทางศีลธรรม-จริยธรรมมาเสริม

    ส่วนนายพิชิต ถึงปัจจุบัน ใจซื่อ มือสะอาด ปราศจากทั้งโลภ ทั้งหลง ดำรงศีล-ดำรงธรรม ก็จริง แต่อดีต มีภาพเสื่อมเสียทางฝ่าฝืนศีลธรรมและผิดมรรยาททนายความร้ายแรงประทับอยู่

    คงจำกันได้ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองสั่งจำคุก 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล และยังถูก "สภาทนายความ" ลบชื่อออกจากทะเบียนทนายด้วย

    บันทึกที่ประชุมสภาทนายความมีว่า..........

    "ที่ประชุมคณะกรรมการมรรยาท 13 คน ที่เข้าร่วมประชุม จากจำนวนทั้งหมด 15 คน ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า

    นายพิชิต ชื่นบาน น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความ และนายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ กระทำผิดข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529 ข้อ 6

    ที่ไม่เคารพยำเกรงอำนาจศาล หรือกระทำการใดอันเป็นการดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา และข้อ 18 ที่ประกอบอาชีพดำเนินธุรกิจ หรือประพฤติตน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดี หรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ

    จากการที่บุคคลทั้งสาม ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล ที่นายธนา ผู้ประสานงานคดี ได้นำเงินสด 2 ล้านบาทที่บรรจุในซองสีน้ำตาล เพื่อจะมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 10 มิถุนายน 2551 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เดินทางไปรายงานตัวต่อศาลคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก

    "คณะกรรมการมรรยาทลงมติ 9 ต่อ 3 เสียง ให้ลงโทษหนักสุดตาม พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ.2528 ด้วยการลบชื่อทนายความทั้งสามออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ซึ่งทั้งสามไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความได้เป็นเวลา 5 ปี"

    ถึงต่อมา นายพิชิตไปยื่นฟ้องสภาทนายความต่อศาลปกครองกลาง ขอให้สภาทนายความเพิกถอนคำสั่งต่างๆ รวมทั้งคำสั่งที่ให้ลบชื่อออกจากทะเบียนทนายก็ดี

    แต่ตุลาการศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาว่า.....

    "เป็นการกระทำที่อุกอาจท้าทายอำนาจศาล ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ยำเกรงอำนาจศาล จึงเป็นพฤติกรรมที่ผิดมารยาททนายความอย่างร้ายแรง

    ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องอ้างว่าไม่ได้ประพฤติผิดมารยาททนายความ อีกทั้งความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลก็ไม่ใช่ความผิดอาญาและความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.144 ฐานให้สินบน พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องแล้ว การลงโทษลบชื่อผู้ฟ้องทั้งสองออกจากทะเบียนทนายความ เป็นการลงโทษที่รุนแรงเกินสัดส่วนนั้น จึงไม่อาจรับฟังได้ พิพากษาให้ยกฟ้อง"

    เนี่ย....สำหรับผม เข้าใจได้ เพราะไม่นิยมนำอดีตมาสรุปความเป็นปัจจุบันของใคร

    แต่กับสังคมทั่วไป โดยเฉพาะ สนช.ทั้ง 220 คน ตอนนี้ เขาอาจฉงน "ในคอกทักษิณ" มีทนายที่ภาพศีลธรรมและมรรยาทงดงาม มีเป็นร้อยๆ คนให้เลือกใช้....

    แต่ทำไม...ยิ่งลักษณ์จึงเลือก "ทนายถุงขนม"?.

 

มาฟังอีกคอลัมน์ของไทยโพสต์

 

อย่ามโน

 

สัปดาห์นี้ในทางการเมือง พระเอกตัวจริงคงต้องยกให้ อ.วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ที่มาตอบข้อคำถามสนช. ในคดีถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพาณิช ประธานวุฒิสภา,นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีต นายกฯ ที่เต็มไปด้วยข้อมูลที่่ส่อไปในทางทุจริต และลีลาที่ดุเดือด ที่ใครถูกพาดพิงแล้วต้องเจ็บเข้ากระดูกดำ

 

ที่น่าสนใจ บางโอกาสยังยกคำสอนของเพลโต ปราชญ์ชาวกรีก มาอธิบายหลักปชต. รวมถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าตามหลักศาสนา และการกระทำของผู้นำบางประเทศ มาเปรียบเทียบกับผู้นำการเมืองของไทย เล่นเอากระตุกอารมณ์ของคนฟังได้ และชาวบ้านยังได้รู้ถึงคุณสมบัตินักการเมืองต้องยึดหลัก คุณธรรม จริยธรรม ประกอบการทำงานด้วย มิใช่ยึดช่องว่างของกฎหมายอย่างเดียว

 

ปะหน้า “อ.วิชา” เลยถามว่า หากถอดถอนไม่สำเร็จ จะเสียใจหรือไม่? กรรมการปปช. บอกว่า “ไม่อยากให้คาดการณ์หรือฟังกระแสล่วงหน้า เพราะยังไม่จบกระบวนการถอดถอน ซึ่งภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่า อย่ามโน”

 

แห่ะๆ ข้อมูลเด็ดอย่างนี้ หากไม่สำเร็จ อย่างน้อย จำเลยสังคมก็ไม่ตกอยู่ที่ ป.ป.ช. 555

 

มาอีกคอลัมน์

คอลัมน์ ถูกทุกข้อ  ไทยโพสต์

 

ถอดถอน

 

เรียน คุณ อัตถ์ อัตนัย ที่นับถือ.....ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. และอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงการเปิดคดีโครงการรับจำนำข้าว ต่อสนช. เมื่อ 9ม.ค. 58

 

มีคำถามว่า..แถลงการปิดคดีของคู่ความ เพื่อประสงค์ใด

 

 

อำนาจแถลงการเปิดคดีของคู่คาม กฎหมายบัญญัติไว้ในม.174 ป.วิ อาญา และมาตรา 186 ป.วิแพ่ง มี 2 ฝ่าย ได้แก่

 

1.แถลงการเปิดคดีของโจทย์ เป็นการแถลงด้วยวาจา ก่อนสืบพยานโจทก์ โดยแถลงถึงลักษณะ และของฟ้อง และพยานหลักฐานที่จะนำเข้าสืบต่อศาล เพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยว่ารูปคดีของโจทย์น่าเชื่อถือ รับฟังตามข้อกล่าวหาของโจทย์อย่างไร โดยมีพยานหลักฐานที่สำคัญอย่างไร เสร็จแล้วจึงนำพยานโจทก์เข้าสืบ ความมุ่งหมายของการแถลงก็เพื่อให้ศาลทราบว่า ฝ่ายโจทก้มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ถึงการกระทำของจำเลย โดยแบ่งออกเป็นขั้นตอนอย่างไรบ้างที่จหะแสดงว่าจำเลยได้กระทำ หรือละเว้นการกระทำอย่างใด อันเป็นคามผิดตามที่โจทก์ กล่าวหา เป็นการแถลงให้ศาลทราบเป็นการเริ่มต้น เพื่อสะดวกแก่ศาลที่จะได้ทราบพื้นฐานของคดี และเจ้าใจถึงขั้นตอนของพยานที่โจทก์จะได้นำสืบต่อไป

 

2.แถลงการเปิดคดีของจำเลย คือการแถลงข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่จำเลยตั้งใจจะอ้างอิง โดยแสดงถึงพยานหลักฐานที่จำนำเข้าสืบแล้วจึงนำพยานของจำเลยเข้าสืบ ความมุ่งหมายของการแถลงเปิดคดีของจำเลย ก็เพื่อให้ผู้พิพากษา ผู้พิจารณษเข้าใจถึงข้อต่อสู้ของจำเลย และเข้าใจความมุ่งหมายของจำเลยในการนำพยานหลักฐานเข้าสืบในลำดับต่อไปด้วยว่า จำเลยมีความมุ่งหมายในการนำพยานหลักฐานเพื่อหักล้างพยานโจทก์ในประเด็นใด หรือจะนำสืบพยานหลักฐานตามข้อต่อสู้ของจำเลยในข้อใด เป็นการให้ความสะดวกแก่ศาลที่จะพิจารณาคดีตามข้อต่อสู้ของจำเลยต่อไป

 

ครับ เพื่อให้ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ มิใช่จำเลยตอบคำถามโจทก์ ดังที่ลิ่วล้อระบอบทักษิณเขาว่า


ด้วยความนับถือ เฒ่า 72

 

ตอบ...สัปดาห์หน้าถึงคิวแถลงปิดคดีแล้วครับ 23 มกราคม ก็เป็นวันเชือด แต่วันที่ 16 ที่ผ่านมา วันหวยออก แต่นางยิ่งลักษณ์ไม่ออกจากบ้านไปชี้แจงที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เธอช่างกล้าครับ

 

นี่แหละครับนายกฯ ทั้งสวย ทั้งเก่ง ทั้งรวย ของคนเสื้อแดงเขา สุดท้ายก็แค่หนูไม่รู้ตามเคย ประกาศให้รับรู้โดยทั่วกัน ที่จริงก็รู้กันดีอยู่แล้ว ฮ่่าๆๆๆ ที่ผ่านมานายกฯ ที่ชื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนั้น ไม่มีสติปัญญาที่จะบริหารประเทศแม้นิดเดียว มีคนอื่นทำแทนตลอด ตัวเองมีบทบาทเพียงออกงาน ตัดริบบิ้น จำไว้นะครับว่า ยุคหนึ่งเรามีนายกฯที่มีระดับสติปัญญาเท่าเด็ก 3 ขวบ

 

ผมจะรอดูว่า  สนช.ที่จะโหวตให้นางดอกไม้ รอดจากการถอดถอน มีใครบ้าง ถึงวันนั้นจะตั้งคำถามว่า ในเมื่อนางดอกไม้ ทำงานไม่เป็น ชี้แจงไม่ได้ แล้วมีเหตุผลอะไรที่ปล่อยให้พ้นผิด หากไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นใต้โต๊ะ หรือเป็นทาส แบบที่ ดอกเหลิม สารภาพก็บอกมา...

 

อาตมาอุ่นใจในสังคมไทยเพ่ิมขึ้น หลังจากที่มีการพัฒนาการเรื่องศีล หลังจากที่อาตมาออกมาแสดงออกมากมาย จนเขาหาว่าพระอะไรมาออกอากาศ มาแสดงออกเช่นนี้ แต่แม้เหน็ดเหนื่อย ปืนยิงโป้งๆๆ อยู่ตรงนี้ก็ยังไม่ถอย

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องกรรม เราเองแก้กรรมเราเอง พระเจ้าแก้กรรมไม่ได้ นอกจากคนฟังธรรมะของพระเจ้าแล้วเอาคำสอนพระเจ้าไปทำก็จะได้ พระพุทธเจ้าดึงพระเจ้ามาเป็นกรรมเลย จงเรียนรู้กรรมปัจจุบันนี่แหละที่จะเป็นตัวแปรที่แก้ไขได้ เพราะอดีตทำแล้วแก้ไม่ได้ อนาคตก็ยังมาไม่ถึง แต่ถ้าทำปัจจุบันได้ อดีต อนาคตก็เปลี่ยนได้ ปัจจุบันนี่ยิ่งใหญ่นะ อย่าไปจมกับอดีตหรือกังวลกับอนาคตที่มาไม่ถึง

 

ส.เพาะพุทธว่า...ทำไมอดีตเปลี่ยน

 

พ่อครูว่า...อดีตคือการสั่งสม ถ้าอดีตมีชั่ว 100 แต่ปัจจุบันเราทำกุศล ใส่เข้าไป แล้วปัจจุบันก็ใส่ลงไปเป็นอดีต อดีตก็ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไป ส่วนอดีตที่เป็นส่วนเดิมเปลี่ยนไม่ได้ แต่แก้อดีตที่เกิดจากปัจจุบันใหม่นี่แหละที่จะแก้ได้

 

ในพระไตรฯ ท่านสรุปไว้ว่า ศีลอันเป็นกุศลนั้น มีผลให้เกิดอรหันตผลไปโดยลำดับ ศีลไม่ได้ให้ผลแค่กายกับวาจา แต่มีผลถึงจิตด้วย ส่วนกายกับวาจานั้นได้ด้วยแน่ แต่ไปเข้าใจผิดว่าศีลทำให้เกิดผลแค่กายกับวาจา แต่จิตต้องไปนั่งสมาธิเอา นั้นก็ไม่เป็นอิทัปจยตา ตัดตอนเลย ศีลคือกาย กับวาจา สมาธิ คือ

 

กุสลานิ  สีลานิ  อนุปุพเพนะ  อรหัตตายะ  ปูเรนตีติ

ศีลที่เป็นกุศล ย่อมถึงอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ

1.        อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .

2.       ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.        ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

การที่สอนว่าศีลได้แค่กายกับวาจา นี่คือความผิดพลาดประการใหญ่ของศาสนาพุทธ แม้พจนานุกรมหลายฉบับที่คนเขานับถือว่าคนเขียนเป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธ ก็เขียนว่าศีลให้ผลแค่กายกับวาจาเท่านั้น แปลว่าศาสนาพุทธในไทยหมดแล้ว ที่บัญญัติกันเรื่องศีลไว้อย่างนี้ ต่อทอดกันมานี้ เป็นบัญญัติที่ควรชำระใหม่ได้แก้ไขใหม่ได้แล้ว ถ้าขืนปล่อยไปก็คือการฆ่าศาสนาพุทธไปทันที นี่คือบัญญัติเป็นเช่นนี้นี่คือเนื้อแท้สาระของศีล

 

ศีลท่านแปลว่าปกติ ปกติอย่างไร?

คนนี้ฆ่าสัตว์เป็นปกติ คนๆนี้ดื่มเหล้าเป็นปกติวันละขวด คนๆนี้โกหกเป็นปกติ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันเป็นปกติอะไร คือคุณทำเป็นนิสัยเลย วิสัยเลย แต่เป็นวิสัยอกุศล ทุจริต ดังนั้นศีลที่แปลว่าปกติต้องมีเงื่อนไขที่ทำการเลิกเว้นขาดตามศีลได้จนเป็นปกติ อัตโนมัติ ตถตา ไม่ต้องทำอะไรมันก็เป็นเช่นนั้นเอง นั้่นคือความหมายของศีลโดยสาระแท้เลย

 

พระอรหันต์คือศีลบุคคล ที่ท่านได้ละส่ิงที่พระพุทธเจ้าให้ละได้จนเป็นปกติสามัญแล้ว อัตโนมัติไม่ต้องควบคุมดูแลอีก ความหมายคำว่าปกติที่เป็นสาระแท้ของศีลจึงลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าทำผิดศีลจนเป็นปกติ มันต้องมีเงื่อนไขคำว่าปกติ

 

พวกเราที่พากเพียรปฏิบัติ การจะปฏิบัติศีล 8 นั้นมีบัญญัติเพ่ิมจากศีล 5 แล้วถ้าผู้ทำตามน้ัน ควบคุมกาย วาจา (ยังไม่พูดถึงใจ) เพ่ิม วิกาลโภชนา ,นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกทัสสนา มาลาคันธ วิเลปน ธารณ มัณฑนะฯ , อุจจาสยนะมหาสยนาฯ) คำว่าวิกาละนั้น ถ้าเรากำหนดเวลา กำหนดครั้ง ก็เป็นเบื้องต้นไม่ว่า 1 หรือ 2มื้อ แต่ความหมายเนื้อแท้มีสูงกว่าแค่มื้ออาหาร แต่สัมพันธ์กับโภชเนมัตตัญญุตาหรือมัตตัญญุตาจ ภัตตสมิง ว่าโทษภัยของอาหารคือติดยึดในกามคุณ 5 ถ้าเราสามารถประมาณ ควบคุมกาย วาจา แล้วมนสิการ ทำใจในใจ อ่านใจให้เป็น รู้จักกิเลส อ่านกิเลสได้ ทำให้เกิดโลกุตระ ซึ่งมีโพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่ กายในกาย ไปจนถึงข้อสุดท้ายคือ อุเบกขา ในมรรคองค์ 8ที่ท่านรวมความไว้ ที่จริงอุเบกขาอยู่ในโพชฌงค์ แต่เนื้อแท้ของมรรค อยู่ที่ฐานนิพพานคือ อุเบกขา

 

 

เมื่อตั้งศีล คุณก็มีบัญญัติเป็นกรอบให้เรา ว่ามีศีล 5 แม้เราจะมีกิเลสอื่นเราก็เอาไว้ก่อน ตัดรอบก่อน ไม่ใช่ว่าจะทำเอาอรหันต์เลยทีเดียวพรวดไม่ได้หรอก

 

ที่คนมาเข้าอุโบสถศีลนั้น ดีที่เดียว แต่เรามาทำศีล 8 ไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียใจ เราทำศีล 5 ของเรานี่ให้ได้ พระพุทธเจ้าสอนว่าวิธีปฏิบัติต้องมีสัญญากำหนดรู้ กาย ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ามีสัญญา และกาย ในการปฏิบัติตลอด ข้อต้นที่ 1 ของโลกุตรธรรมคือ กายในกาย

 

กายในกาย ไม่ได้หมายความว่าตัดทิ้งข้างนอก หรือว่าเอาแต่ข้างใน ตัดข้างนอกออก ก็ทำให้เสียไปอีก ไม่สมบูรณ์ กายนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรฯล.16 ข.230 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า กายคือจิต

 

พระไตรฯล.16 ข.230 1. อัสสุตวตาสูตรที่ 1

230] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก

เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ... ดูกร

ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้างคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ใน

ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญ

ก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้

ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกาย

นั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง

วิญญาณบ้างปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็น

ต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้

ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา  ดังนี้

ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น

ในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

 

พ่อครูว่า..กายนี้หมายเอานามธรรมเป็นหลัก แล้วไม่ได้ขาดร่างด้วย แต่ถ้าแปลกาย ว่าร่างกายนี้ผิดหนักเลย การแปลกายว่าคือจิตนี้ยังถูกเลยอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส การแปลกายผิดจึงล้มเหลวในการปฏิบัติธรรม

 

พระเทวทัต ยิงนกตกลงมา เจ้าชายสิทธัตถะไปช่วยพยาบาลจนดีขึ้น พระเทวทัตก็บอกว่าเป็นของตนนะนกนี้ ข้าพเจ้าเป็นคนยิงตก นกต้องเป็นของฉัน แต่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ลอกว่าข้าพเจ้าเป็นคนช่วยชีวิตนกนี้ควรเป็นของข้าพเจ้า สุดท้ายศาลก็ตัดสินว่า เป็นของเจ้าชายสิทธัตถะ

 

พ่อครูว่า...มีทริคว่าถ้านกนี้ตายเลยตอนถูกยิงก็ควรเป็นของพระเทวทัต

ส.เพาะพุทธว่า..ถ้ามีคนตกเบ็ดไว้ แล้วมีคนมาแกะปลาออกจากเบ็ด ปลาควรเป็นของใคร

 

พ่อครูว่า...เรื่องของสาระกับบัญญัติควรชัดเจน การปฏิบัติกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมไม่ได้แยกกัน ในกายก็มีรูป 28 ตั้งแต่ มหาภูตรูป 4 สัมผัสเกิดมาเป็นวิญญาณ เป็นภาวรูป ที่ยังไม่เป็นหนึ่งไม่เป็นอุตตมปุริสสะ ก็ยังมีอิตถินทรีย์ หรืออิตถัตตะอยู่ อย่าไปคิดว่าแค่ตัวตนบุคคลหญิงชาย แต่เป็นภาวะธรรมะนะ

 

เมื่อผู้ใดปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าในรูป 28 ต้องมีดิน น้ำ ไฟ ลม มีการสัมผัส จึงเกิดผัสสะ ทำให้เกิดวิญญาณ เราเรียนวิญญาณตัวนี้ ตามปฏิจสมุปบาท ถ้าไม่มีปัญญาอ่านนามรูป ก็ไม่รู้จักวิญญาณ

 

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แม้เป็นนามธรรมก็ถูกรู้ เมื่อเกิดผัสสะ เกิดวิญญาณ ถูกเรารู้ก็เป็นรูป คือนามรูป ซึ่งในนามก็มีเวทนา สัญญา สังขาร ล้วนเป็นนาม แต่ในสังขารมีคำว่า กายสังขาร

 

คำว่า กายสังขารจึงเป็นตัวต้นที่รู้ก่อนจิตสังขาร วจีสังขาร เวทนาคือการสังขารของกาย เป็นองค์ประชุมองค์รวมของอารมณ์สุข ทุกข์ เวทนานี่ซดน้ำแกงแล้วอร่อยหรือไม่อร่อย สุขทุกข์ ชอบหรือชังเป็นอารมณ์แล้ว ในกายจึงรวมทั้งอารมณ์อยู่ด้วย แล้วมีเหตุคือกิเลสในจิต ชอบก็เพราะสมใจ ไม่ชอบก็เพราะไม่ได้สมใจ ก็คืออกุศลจิตที่เป็นเหตุคือตัณหา ก็ต้องรู้เวทนาในเวทนา มีกุศลหรืออกุศลจิตเป็นตัวการที่ทรงไว้ หากล้างไม่หมดอธรรมก็ทรงไว้อยู่ ทรงอยู่อย่างไม่ละอกุศลเจตสิกนั้น

 

 

ปฏิบัติศีลต้องมีโพธิปักขิยธรรมเป็นสาระ แม้ศีลข้อ 1 มันเกี่ยวข้องสัมผัสกับสัตว์ ไม่เกี่ยวข้องก็ได้แต่ปั้นเอาในภพ นึกคิดเอามโนเอา ต้องอ่านของจริง ตอนสัมผัสสัตว์แล้วเกิดชอบหรือชัง เกิดรักหรือผลัก พระพุทธเจ้าว่าให้เลิกเลยไม่ให้ทำร้าย ศีลข้อ 1 นี้ลดการทำร้าย เพราะความสัมพันธ์นั้นยังมีประโยชน์แต่ความร้ายนั้นไม่มีประโยชน์เลยให้เลิกเลย ทำศีลข้อ 1 ก็ให้วิจัยจิต รู้กิเลสที่เป็นเหตุก็ให้จัดการ แต่เมื่อสัมผัสแล้วไม่เกิดกิเลสเลย ทั้งหยาบกลางละเอียด แล้วมันมีต่อ มีรักไหม รักผู้พันธ์ เราก็ล้างต่อ รักผูกพันธ์เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ แต่รักสัมพันธ์กันนั้น เป็นประโยชน์ต่อกัน เกื้อกูลกัน ต่างคนต่างเป็นประโยชน์ต่อกัน เป็นความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ ต้องล้างตัวเหตุสมุทัยที่ทำให้ใจเราไม่เกิดคุณค่ากุศลที่แท้จริง ความสัมพันธ์ก็จะบริสุทธิ์ขึ้น 

 

จากพิจารณา กายในกาย ก็ต่อเนื่องเป็นเวทนาในเวทนา ซึ่งมีเหตุคือ จิตในจิต แล้วมีวิธีล้างละชำระให้กิเลสตาย

 

ส.เพาะพุทธว่า...การที่พ่อครูอธิบายเรื่องศีลข้อ 1 เรื่องความผูกพันธ์และความสัมพันธ์ จนที่สุดเราสอนไม่ให้กินเนื้อสัตว์ ไม่ให้มีการเลี้ยงสัตว์ ที่จะทำให้เกิดการผูกพันธ์ เป็นนัยของการรักษาศีลข้อ 1 ที่ทำให้สัตว์ผูกพัน สัตว์อ่อนแอ เป็นการฆ่าสัตว์ในรูปแบบหนึ่งใช่หรือไม่
 

พ่อครูว่า...เข้าใจถูก อยู่ในศีลธรรมนูญ หมวดแรกเลย

 

18. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.(กินนมใช้ขน)เครื่องอุปโภค

19. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร (กินเนื้อมัน) เครื่องบริโภค

20. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.(ใช้แรงงาน)  (ป่วยการจะพูดถึงสัตว์เลี้ยงไว้ดูเล่น ไม่ให้ทำอยู่แล้วเพราะทำให้ก่อนเวรานุเวรผูกพันต่อกัน)

 

ท่านระบุชื่อแค่แพะกับแกะ ก็ไม่ได้หมายถึงมีแค่นั้น แต่มีมากกว่านั้น

 

ส.เพาะพุทธว่า...มีคนหาทางเลี่ยงว่า ไม่ได้มีพูดเรื่องหมาแมวนะ

 

พ่อครูว่านั้นยิ่งหนักกว่าอีกนะ เพราะหมาแมวนี่เป็นการเลี้ยงเพื่อความผูกพันหนักเลย เอามาเป็นตัวกูของกู รักกันจริง ชาติหน้าอีก ห้าร้อยชาติก็ไปด้วยกันนะ แต่ว่าแพะแกะหรือสัตว์ที่คนเอามาใช้งานกินนั้นก็ยังไม่หนักเท่าสัตว์ที่เลี้ยงไว้เพื่อผูกพัน เอามากอดมาดม เอาน้ำหอมน้ำเหม็นมาใส่มัน

 

ส.เพาะพุทธว่า...ส่วนใหญ่คนเลี้ยงหมาจะไม่ค่อยรักคนข้างบ้านนะนี่คือผูกพัน สัมพันธ์ แล้วพ่อครูบอกว่าสัมผัสแปลว่าแตะต้อง ส่วน สัมพันธ์ แปลว่าเกี่ยวข้อง ถ้าผูกพันนี่หนักหนาสาหัสเลย

 

พ่อครูว่า...จะมีสัมมัปธาน 4 ร่วมด้วย ต้องเรียนรู้เหตุที่เป็นสมุทัยในจิต แล้วปหานในกาย ในองค์ประชุม ไม่ใช่ไปทำลายกาย ต้องเจาะหาเนื้อแท้ที่เป็นเป้า เหมือนแพทย์ผู้ผ่าตัด ต้องเจาะผ่าเอาเนื้อที่เสียหาย โรคแท้ โจรแท้ออกไป เนื้อดีอย่าให้เสียนะ

 

สังวรปธาน แล้วก็ปหานปธาน ทำได้ก็เป็นภาวนาปธาน แต่ทุกวันนี้ภาวนาแปลว่าเป็นมรรค เป็นวิธีปฏิบัติทั้งที่ภาวนาเป็นผลแล้ว จากนั้นก็ให้อนุรักขณาปธาน สังวรในทวารทั้ง 6 นี้แหละ

 

ทำด้วยอิทธิบาท ทำสามอย่างนี้คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 อิทธิบาท 4 ก็จะเกิดผล เป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 เราไม่ได้เชื่อใครหรือตำราใจ เราเชื่อผลสำเร็จที่เกิด ตามกาลามสูตรที่เราได้ผลที่เกิดแล้ว มีศรัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ คนไปขุดเพชรเจอเพชร นั้นแล้วจะไม่ขี้เกียจเลยต้องโถมทุ่มเท เอาแต่เพชรๆๆๆ นี่ก็วิมังสา ก็ช่วยกันทั้งอิทธิบาท แล้วมีวิริยะตามมามีสติตื่นเต็มเลย จิตก็ตั้งมั่นแข็งแรง มีปัญญารู้ครบแจ้งสว่างมีอินทรีย์ครบที่เจโตและปัญญา พอถึงพละก็จบ พละคือผล เป็นตัวกำลังเป็นตัวจบ ยืนอยู่บนฐานมรรคองค์ 8  โดยการก้าวตาม โพชฌงค์ 7

 

โพชฌงค์ 7 ขยายออกมาเป็นมรรคองค์ 8

 

มรรคองค์ 8 ย่นย่อลงก็คือกรรม ที่ปฏิบัติศีลไปโดยลำดับ ให้สัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติมรรคองค์ 8 คือกรรม สังกัปปะ(จิตป วาจา กัมมันตะ(กรรมรวมทั้งชีวิต) เลี้ยงชีพอยู่เลย นี่คือแกนการปฏิบัติคือกรรม ถ้าคุณไม่รู้กรรม ว่าเหตุแห่งกรรมเป็นกุศลหรืออกุศลแยกไม่ได้เลย โดยเฉพาะแยกโกลียะกับโลกุตระ

 

โลกุตระนั้นจะรู้โลกียะด้วย ทำเหตุแห่งโลกียะให้ลดลง แล้วเราก็ทำแต่กุศล เราไม่เอาเราก็ได้ให้ มันจะเป็นเช่นนั้นเลย เราไม่เบียดเบียนเราก็ได้ช่วยเหลือ แต่คุณอยู่เฉยๆก็ไม่ได้ทำอะไรเลย พวกเฉยๆที่ไม่เป็นอาริยะก็พักยกไปแค่นั้น

 

ผู้ใดปฏิบัติโพชฌงค์ 7 ก็เท่ากับปฏิบัติโพธิปักขิยธรม 37 สรุปลงที่ตัวจบของมรรคองค์ 8 คืออุเบกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสะ หรือคือศีล สมาธิ ปัญญา

 

ส.เพาะพุทธว่า...มีความเชื่อมโยงระหว่าง โพธิปักขิยธรรม 37 กับโพชฌงค์ 7 คือ

1. สติสัมโพชฌงค์ . .                       -->       สติปัฏฐาน 4 .

2. ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ .   -->       สัมมัปปธาน 4 .

3. วิริยสัมโพชฌงค์                         -->       อิทธิบาท 4 .

4. ปีติสัมโพชฌงค์              -->       อินทรีย์ 5 .

5. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์      -->       พละ 5

6. สมาธิสัมโพชฌงค์ .        -->       โพชฌงค์ 7 .

7. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ .    -->       มรรคมีองค์ 8

 

ปฏิบัติจนเกิดฌาน 4 ก็เกิดอุเบกขาจิตตั้งมัั่นเป็นสมาธิ ด้วยคุณลักษณะ 5ของอุเบกขาคือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา

 

ปริสุทธาคือบริสุทธิ์ ปริโยทาตาคือขาวรอบ ไม่ว่าจะแง่มุมไหน ได้มีสัมผัสอย่างไรก็บริสุทธิ์ขาวรอบ แล้วมีมุทุคือจิตหัวอ่อนปรับได้เร็วไวทั้งเจโตและปัญญา มีชวนจิต ดัดแปลงได้ เป็นมุทุภูตธาตุ แล้วก็เลยเอาไปทำงาน เป็นกัมมัญญา

 

ส.เพาะพุทธว่า..พ่อครูว่ามีทั้่ง มุทุตา และ ลหุตา คือมีทั้งความเบาและเร็ว ก็สามารถทำกรรม

 

พ่อครูว่า..ก็ทำกรรให้เจริญ ทั้งเจโตและปัญญา ทำอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 ได้สัดส่วนพอเหมาะพอดี ได้อย่างไม่มีอคติ ทำงานเท่าไหร่ คบคุ้นสัมผัสสัมพันธ์ คลุกคลีอย่างไรก็ยังคงคุณสมบัติอุเบกขา 5 ไว้อย่างดี

 

ส.เพาะพุทธว่า...อัญญานี่คือปัญญาระดับโลกุตระระดับสูงกว่าปัญญา

 

พ่อครูว่า..ถ้าอนัญญานี่คือไม่เข้ากระแสโลกุตระเลย

 

ส.เพาะพุทธว่า...ความไม่มีเป็นที่สูงสุด ความมีนี่ยังไม่เป็นที่สูงสุด

 

พ่อครูว่า...ในพระไตรฯล.16 ข้อ 43 เรื่องความมีกับความไม่มีคือ

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความ
มี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ
ไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก น นัตถิตา นโหติ)  เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ
มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก น อัตถิตา นโหติ)

 

พ่อครูว่า...คำว่า นัตถินี้ยังไม่มีมรรคผล ยังดับโลกสมุทัยไม่ได้ ย่อมไม่มีก็คือคุณย่อมไม่มีมรรคผล ไม่มีสิ่งที่มนุษย์ควรมีแล้วต้องมี

 

โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก
ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็น
ที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิด
ขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้อง
เชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

 

ส.เพาะพุทธว่า...เราต้องสั่งสมความไม่มี เพราะคนในโลกนี้มึนอยู่กับความมี (พ่อครูว่าอีสานแปลมึนว่าหน้าด้าน) พ่อครูอธิบายวันนี้ ชัดเจนขึ้น วิญญาณ จะไม่เกิดเมื่อไม่มีผัสสะ หลายคนบอกว่าตายไปแล้วเป็นวิญญาณแต่พ่อครูว่าตายไปแล้วไม่มีวิญญาณมีแต่วิบาก คุณจมกับวิบาก

 

กิเลสเมื่อถูกเอาออกจากจิตด้วยโลกุตระปัญญาจะออกไปได้อย่างถาวร เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ปฏิบัติธรรมต้องมีผัสสะต้องมีสัมผัส เราควรสัมผัส สัมพันธ์ แต่ไม่ผูกพัน พ่อครูไม่มีท่าทีในการผูกพัน แม้ญาติทางสายโลหิตพ่อครูมาก็ไม่ผูกพัน คือผู้มีความวิเศษจะไม่มีความพิเศษ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 16:56:07 )

580119

รายละเอียด

580119_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฐมฯ เรื่องของอำนาจ และรูป 28

พ่อครูว่า...วันนี้ วันจันทร์ ที่ 19 ม.ค. 58 อาตมาก็จะเทศน์ที่ปฐมอโศก ตอนนี้ก็จะสัญจรไปที่ต่างๆมากหน่อย ว.นบ.ก็ปิดเทอม แล้ววันนี้ก็ได้อ่านนสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์: เตือนภัยโลกไร้พรมแดน: การใช้อำนาจไร้ความรุนแรง จาก นสพ.ไทยโพสต์ วันนี้  ซึ่งอาตมาก็เคยอธิบายเรื่องอำนาจไว้ ในตอนไปชุมนุม ซึ่งคำว่า อำนาจ นี้ไม่ง่ายที่จะเข้าใจ โดยเฉพาะอำนาจโดยธรรม หรืออำนาจที่ไม่ใช่อาญา หรือบังคับ แต่เป็นอำนาจคุณธรรมที่เขายอมรับ ยอมยกให้อย่างแท้จริง อย่างพระพุทธเจ้านี่เรายอมยกให้อย่างดุษณีเลย หรืออย่างในหลวงที่ประชาชนให้อำนาจเลย เป็นอำนาจแห่งคุณงามความดี ความที่เห็นแก่มวลชน ทำเพื่อประชาชนโดยแท้จริงเลย ที่เขายกย่องให้มีอำนาจเต็ม โดยยอมรับนับถือให้ใช้อำนาจอย่างเต็มใจเลย

 

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แล้วพระพุทธเจ้าก็ทำมาก่อน ท่านประกาศธรรมวินัยของท่าน แล้วเจ้าแคว้นทุกแคว้นก็ยกให้ท่าน ถ้าคนในแคว้นใดที่พระพุทธเจ้าได้ไปประกาศศาสนา แล้วคนในแคว้นที่เป็นคนของพระเจ้าแผ่นดิน นั้นๆ แต่พระเจ้าแผ่นดินยุคนั้น ยอมยกคนให้ มีหลักฐานคือพระเจ้าอชาตศัตรูตรัสกับพระพุทธเจ้าไว้ในสามัญผลสูตร ว่าท่านยกให้ แล้วพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทำเพื่อให้คนมานับถือ แต่คนเขายกให้พระพุทธเจ้า พอมาเป็นคนของพระพุทธเจ้าก็มีประชาธิปไตยอิสรเสรีภาพ ปลดแอก ไม่ว่าจะวรรณะใดๆ ก็เสมอกันหมด ประสิทธิภาพของการมีอำนาจอันวิเศษจึงเป็นเรื่องจริงอันสุดยอด อาตมาก็มั่นหมายมุ่งหมายเอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่ย่อเป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นโลกุตรธรรม 9 และ 46

 

คนของพระพุทธเจ้านั้นมาลดละความเห็นแก่ตัวให้น้อยลงๆ จนเป็นอรหันต์ แล้วคนเหล่านี้แหละจะเป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)  เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ทำได้ ขอยืนยันว่าชาวอโศกทำได้ แล้วจะก้าวหน้าเพ่ิมขึ้นอีก จะไม่สร้างอำนาจโลกีย์ แต่จะทำอำนาจโดยธรรม

 

มาฟังบทความของคุณพิทยา ว่องกุล ….

ซุนวูให้ความสำคัญทางการเมืองการปกครอง และสงคราม ว่าจักต้องมีศิลปะ (Art) เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น การปกครองจักต้องเป็นการปกครองที่ชอบธรรมและมีศิลปะ สงครามจักต้องใช้ข้อมูล ความเป็นธรรม และศิลปะการยุทธ์ แม้กระทั่งในการยอมแพ้สงคราม ซุนวูก็ยังกล่าวถึงการแพ้อย่างมีศิลปะ เหตุนี้ นักปกครองที่ดี นักการเมือง และนักการทหารที่ดี จำเป็นต้องมีคุณสมบัติพิเศษเหนือใครตรงคำว่า "ศิลปะ" ในเรื่องนั้นๆ

 

ไม่มีใครสอนใครได้ว่า ศิลปะในทางรัฐศาสตร์และการทหารคืออะไร อาจจะมีผู้นิยามถึงองค์ประกอบของศิลปะได้ หรือสามารถแนะนำบทเรียนวิธีคิดได้ ดังเช่น คาร์ล วอน เคลาซ์วิท ปรมาจารย์การทหารชาวปรัสเชียน หรือ ซุนวู ปรมาจารย์การทหารจีน ซึ่งเป็นผู้สร้างศิลปะการทำสงครามที่ปราดเปรื่องของโลก ความสำเร็จของชัยชนะในสงคราม หรือความสำเร็จในการปกครอง จึงเป็นเงื่อนไขความรู้ เหตุปัจจัยที่เหมาะสมสอดคล้องในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง โดยมีจุดยืนที่แน่วแน่คือ ปกครองโดยธรรม หรือทำเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง เป็นแกนกลางแห่งความสำเร็จ

 

ในทางตรงกันข้ามกัน ศิลปะไม่ใช่อำนาจ หากแต่อำนาจเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะที่จะนำไปสู่ความสำเร็จเผด็จการฟาสซิสต์หลายคน เช่น ฮิตเลอร์ แห่งเยอรมนี เคยสร้างรัฐแห่งอำนาจเบ็ดเสร็จขึ้นมา แต่ในที่สุด "อำนาจการบีบบังคับ" ที่ขาดศิลปะ นอกจากใช้กำลังการข่มขู่คุกคาม และการเข่นฆ่า ก็ได้สร้างกรรมแห่งการตื่นกลัวและต่อต้านอย่างรุนแรง จักรวรรดิของนาซีก็ล่มสลายไปในที่สุด

 

ในปัจจุบันนี้ นักการเมือง ผู้นำการทหาร หรือนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง รวมไปถึงนายกฯ ที่มาจากเผด็จการทหาร เข้าใจผิด หลงใหลว่าอำนาจเป็นปัจจัยความสำเร็จในการปกครองบ้านเมือง รวมไปถึงในระบอบการปกครองประชาธิปไตย รัฐบาลจากพรรคการเมืองก็เข้าใจผิดคิดว่า อำนาจเสียงข้างมากเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จ สำหรับบริหารประเทศได้ตามที่ต้องการ ดังนั้น ชัยชนะในรัฐสภาอย่างเบ็ดเสร็จ จึงนำไปสู่ระบบเผด็จการรัฐสภาตามมา หรือเป็นเผด็จการทุนนิยมสามานย์ ซึ่งลงทุนเข้ามาโกงกินบ้านเมือง แบ่งปันความมั่งคั่งแบบวินวินระหว่างผู้นำและพรรคการเมือง โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลและการตรวจสอบ สุดท้ายก็ยกระดับไปสู่จุดจบ นั่นคือใช้อำนาจรัฐทั้งปวง รวมถึงอำนาจตำรวจ และสร้างระบบความกลัวทำให้ตนเองกลายเป็นมารครองเมือง ต่อเนื่องกรรมใหญ่ให้ประชาชนลุกขึ้นมาปฏิเสธอำนาจรัฐ และทวงคืนรัฏฐาธิปัตย์มาเป็นของประชาชน

 

อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม อำนาจรัฐที่ไม่ได้ปกครองเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง รวมไปถึงอำนาจรัฐเฉพาะกาลที่เข้ามาแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่ง แล้วเผด็จการทหารไม่ยอมลงจากเวที กลับสืบทอดอำนาจต่อไป โดยอ้างสาเหตุต่างๆ นานาด้านความมั่นคงของรัฐ (ตัวเองหรือรับใช้ระบบทุนใหญ่) ปัญหาการไม่ทำหน้าที่บทบาทผู้ปกครองโดยธรรมอย่างแท้จริง หลงใหลอามิสจากอำนาจเป็นใหญ่ และสืบทอดอำนาจต่อไป ด้วยวิธีการ "ปากหวาน ก้นเปรี้ยว" จึงเป็นอุปสรรคในการปกครอง และเป็นสิ่งล้าสมัยในยุคโลกาภิวัตน์ จำต้องเสื่อมสลายไปตามกฎแห่งอำนาจที่ว่า "ย่างเข้าสู่ขั้นปกป้องอำนาจ ด้วยการใช้อำนาจ" แล้วเกิดอาการ  "กลัวสูญเสียอำนาจ ด้วยการสร้างอำนาจบีบบังคับเบ็ดเสร็จ" อันเป็นจุดเปราะบาง และแตกหักง่ายที่สุด เนื่องจากจะนำไปสู่กฎแห่งกรรมที่ว่า การปฏิเสธอำนาจรัฐของมวลมหาประชาชนตามมา

 

พ่อครูขอแทรกว่า...(ถ้าคราวนี้ประชาชนออกมาเป็นล้านๆคน แล้วสู้ ถ้าคนนี้ยังขืนใช้อำนาจต่อไป คิดว่าเขาจะปราบประชาชนได้ อาตมาว่าเขาคิดผิดแล้ว เพราะอาตมาว่าประชาชนตื่นรู้แล้วจริงๆในยุคนี้ ดีแต่่ว่ามันมีอะไรซ้อนให้เขาแพ้ภัย อาตมาก็ถือว่าอำนาจประชาชนเป็นฝ่ายชนะ มีคนตั้งข้อสังเกตว่าที่ทุกอย่างของฝ่ายโน้นอ่อนแอลง จนพล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจโดยง่ายดายเพราะประชาชนลุกขึ้นมาทางรัฏฐาธิปัตย์ มีมวลจำนวนมากด้วย ที่สำคัญคือเขาจะปราบมวลประชาชนด้วยอำนาจรุนแรง โดยเขาอวิชชา เขาก็ไปปราบเอากลุ่มที่เขาคิดว่าปักหลักคือกลุ่มกองทัพธรรม เขาถือว่ามีน้อยแล้วอ่อนแอ ส่วนกปปส.นั้นใหญ่กว่าที่ผ่านฟ้า เขาก็เลยจะปราบอันนี้ก่อน แต่เขาไม่รู้อำนาจโดยธรรมของกองทัพธรรม พอปราบก็จะใช้อำนาจรุนแรง แล้วมีผลโดยย้อน ซึ่งไม่ใช่กองทัพธรรมตอบโต้เขา เขาก็หาว่าแฝง แต่เราก็บอกว่ากองทัพธรรมไม่มีแฝง สรุปคือคนมาปราบก็พ่ายไปสิ้นท่า พลังนี้ทำให้เขาแพ้ เขาแพ้อำนาจธรรมะ แม้คนไปรักษาการณ์ก็อ่อนแอ ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจอย่างง่ายดาย สวยงาม เกิดจากธรรมะซ้อนธรรมะที่ปราบอธรรมซ้อนอธรรม)

 

บทเรียนของระบอบทักษิณที่ล้มลงไป เป็นตัวอย่างที่ดีว่า เมื่อประชาชนหลายล้านคนลุกขึ้นมาปฏิเสธอำนาจรัฐนอมินี โดยการไม่ให้ความร่วมมือ ดื้อแพ่ง และการชุมนุมขับไล่ กลายเป็นกระแสธารมวลมหาประชาชนที่ทรงพลัง  พร้อมที่จะยกระดับกลายเป็น "การปฏิวัติประชาชนครั้งใหญ่" ในประวัติศาสตร์ไทย เพียงแต่ฝ่ายกองทัพได้ชิงตัดหน้า ก่อรัฐประหารไปก่อน (ตามคำเรียกร้องที่ประชาชนไม่ต้องการให้เกิดสงครามกลางเมืองของคนชาติเดียวกัน) พร้อมกับสถาปนาอำนาจรัฐทหารแบบรวมศูนย์ขึ้นมา ใช้กฎเหล็กในนามการปรองดอง คืนความสุขให้ประชาชน  หรือสร้างวาทกรรมใหม่บิดเบือนความจริง โดยหาว่า "ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ น้าอา ทะเลาะกัน ทั้งที่มวลมหาประชาชนลุกขึ้นมาปกป้องสถาบันชาติ พระมหากษัตริย์ และต่อต้านการโกงบ้านกินเมือง อาศัยเหตุผลทางการเมืองต่อต้านเผด็จการรัฐสภาที่ครอบงำประเทศ" มีการใช้เด็กมาเป็นเครื่องมือ ร้องเพลงแดกดัน สอนเด็กว่าปัญหาการเมืองเป็นเรื่องผู้ใหญ่ทะเลาะกัน จำได้ไหมเคยสอนเด็กให้สามัคคีกัน โดยบิดเบือนสัจจะความจริง กลายเป็นว่ามวลมหาประชาชนหลายล้านคน เป็นพวกหาเรื่องทะเลาะกัน  และปลุกเด็กเยาวชนแดกดัน สู่รู้ อวดตัวเป็นผู้เฒ่า (ทำเฒ่า-ภาษาปักษ์ใต้) ไม่เคารพผู้ใหญ่อย่างผิดวัฒนธรรมไทย ทำลายวัยวุฒิและคุณวุฒิประชาชนไทยไปโดยไม่รู้ตัว

 

ผู้ปกครองประเทศใดมีความเข้าใจผิดคิดว่า อำนาจคือความสำเร็จในการปกครองด้านเดียว  พร้อมทั้งสร้างความมั่นคงของตนเองโดยใช้อำนาจรัฐปกป้องอำนาจตน จะนำไปสู่พัฒนาการผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จ เหมือนฮิตเลอร์ได้สร้างโศกนาฏกรรมให้กับโลกมาแล้ว จากการศึกษาของนักวิชาการตะวันตก  บ่งชี้ให้เห็นถึงการเสื่อมอำนาจรูปแบบหนึ่ง ยิ่งพยายามสร้างสถาบันการทหาร หรือออกกฎหมายมาควบคุมประชาชนมากเท่าไหร่ ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความกลัว ความเสื่อม และจุดปะทุแห่งการเสื่อมสลาย  ซึ่งนักวิชาการตะวันตกเรียกว่า "ทฤษฎีการควบคุมอำนาจทางการเมืองโดยไร้ความรุนแรง" (Gene Sharp, The Political of Nonviolent Action, ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ และคมสัน หุตะแพทย์ แปล, อำนาจและยุทธวิธีไร้ความรุนแรง (Power, Struggle, and Defence, 2529.) และหากทฤษฎีนี้ถูกควบคุมด้วยความรุนแรง ก็จะยกระดับไปสู่การปฏิวัติโดยประชาชนด้วยความไม่รุนแรง หรือด้วยความรุนแรงก็ได้

 

ในที่นี้ขอนำองค์ประกอบของทฤษฎี 3 ประการมากล่าวถึง โดยมิได้เรียงลำดับเพื่ออธิบายให้เห็นว่ากฎนี้จะเริ่มจากส่วนใดก็ได้ สำหรับผู้เขียนเห็นว่าองค์ประกอบทั้งหมดเกี่ยวเนื่องกัน จะทำให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน ได้แก่

 

การควบคุมกระบวนการในทางสถาบัน อ้างสถาบันต่างๆ เพื่อใช้อำนาจรัฐ หรือเมื่อเกิดความรู้สึกว่ามีการต่อต้าน พบเห็นการเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มต่างๆ มีความขัดแย้งที่เกิดจากประชาชนไม่พอใจนโยบาย  คำมั่นสัญญา ปัญหาในการปกครอง รวมไปถึงความไร้สติปัญญาในการบริหารบ้านเมือง

 

"กระบวนการในทางสถาบัน กระบวนการเหล่านี้เกี่ยวพันไปถึงการจัดตั้ง หรือการเตรียมวิธีการในการเลือกตัวผู้จะมาดำรงอำนาจ การกำหนดนโยบายของรัฐบาล  และการควบคุมการทำงานของรัฐบาล กระบวนการในทางสถาบันและทางรัฐธรรมนูญของประเทศเสรีประชาธิปไตยนั้น เป็นตัวแบบที่สำคัญสำหรับการควบคุมทำนองนี้  ระบบดังกล่าววางอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ในขั้นสุดท้ายแล้ว  รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งก็จะเต็มใจยอมรับการจำกัดอำนาจของตนเอง และกลุ่มพลังต่างๆ ภายในก็ไม่ได้มีอิทธิพลมากมายอย่างไร หรือไม่สามารถที่จะรบกวนหรือทำลายกระบวนการทำงานตามปกติของระบบได้" (อ้างแล้ว)

 

แต่ในระบอบเผด็จการทหาร สถาบันต่างๆ การจัดตั้ง หรือตำแหน่งบุคคล จะขึ้นอยู่กับอำนาจของผู้นำ สถาบันขึ้นต่ออำนาจผู้ยึดรัฏฐาธิปัตย์สูงสุด และทำให้ประชาชนรู้สึกถึงสัมพันธ์แห่งการขึ้นต่อนี้ ดังนั้น เมื่อมีความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้น ผลจะกระทบไปยังผู้กุมอำนาจโดยตรง และไม่สามารถใช้กระบวนการประชาธิปไตย หรือสถาบันที่เกิดขึ้นโดยระบอบประชาธิปไตยมาแก้ไขได้  นี่เป็นจุดอ่อนที่เปราะบาง หากเกิดความผิดพลาด และถ้าสะสมความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานของรัฐบาล  ย่อมมีโอกาสเกิดความรุนแรงขึ้นง่าย ยิ่งมีสถาบันที่ตั้งขึ้นให้อำนาจควบคุมประชาชนเพิ่มขึ้น กฎหมายความมั่นคง  หรือกฎหมายที่ลิดรอน กดขี่ ควบคุมมากเท่าไหร่ แรงปะทุจะหนักและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้น พร้อมกับความสูญเสียใหญ่หลวง

 

ระบอบประชาธิปไตย ในด้านหนึ่งก็พบว่า สถาบันต่างๆ ของระบบ กลายเป็นเกราะป้องกันความรุนแรง  หรือสามารถใช้ "ความไร้ความรุนแรง" ของสถาบันต่างๆ แก้ไขปัญหาความเปราะบางนี้ได้

 

การควบคุมตนเองของผู้ปกครอง เป็นปัญหาสำคัญที่จะยับยั้ง แก้ไข หรือผ่อนคลายปัญหาความรุนแรงจากความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐบาล ในระบอบเผด็จการนั้น เมื่อการนิยมอำนาจเป็นใหญ่ การยึดติดกับการใช้อำนาจควบคุม การใช้อำนาจปกป้องอำนาจของตน และทัศนะที่เห็นการขัดขืนอำนาจเป็นการทำลาย เป็นศัตรู  หรือท้าทาย จะก่อกรรมต่อเนื่องจากเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่  ความขาดเหตุผล และการเอาชนะด้วยกำลัง การระบายอารมณ์ หรือการใช้กฎหมายเผด็จการ แรงต้านที่เปิดเผยออกมา จะพัฒนาเป็นแรงกดดันที่ซ่อนเร้น และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทรงพลานุภาพของประชาชน

 

ความอ่อนไหวในการควบคุมตัวเองของผู้ปกครอง  เมื่อกลายเป็นการยึดมั่นถือมั่นในอำนาจเป็นใหญ่ จะสะสมขึ้นไปสู่การขาดความเชื่อถือ และใช้ความรุนแรงตอบโต้  ขณะที่รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย มีกระบวนการประชาธิปไตยในการเจรจา แลกเปลี่ยน ควบคุม โดยไม่ใช้ความรุนแรง ผ่านสถาบันต่างๆ มากมาย รวมถึงสื่อมวลชน

 

ในระบอบประชาธิปไตย "การควบคุมตนเอง การควบคุมตนเองนั้นได้เคยเป็นพลังที่จำกัด หรือควบคุมตัวผู้ปกครองที่สำคัญมาเป็นเวลานานแล้ว ผู้ปกครองสมัครใจยอมรับข้อจำกัดบางประการของขอบเขตอำนาจของตน  และข้อจำกัดของวิธีการที่จะใช้อำนาจนั้น ผู้ปกครองจะไม่เต็มใจที่จะก้าวข้ามขอบเขตดังกล่าวนั้นไป ทั้งนี้ ก็เพราะความเชื่อที่ว่า การกระทำดังกล่าวอาจเป็นการละเมิดมาตรฐานทางศีลธรรมและมาตรฐานอื่นๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกัน ทั้งโดยตัวผู้ปกครองเองและโดยสังคมของตน การควบคุมตนเองดังกล่าวนั้น มีผลทั้งโดยตัวมันเองและโดยร่วมกับการควบคุมวิธีอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการในทางสถาบัน" (อ้างแล้ว)

 

นี่คือความล้มเหลวของการควบคุมประชาชน ด้วยระบบอำนาจเป็นใหญ่ อำนาจจะทำให้ผู้ปกครองไม่อาจควบคุมตัวเอง และไม่มีระบบควบคุมรัฐบาลที่ผ่านสถาบันประชาธิปไตย จุดสำคัญของความล้มเหลว ยังขึ้นกับความนิยมอำนาจของบุคคลในระดับอื่นๆ จะเกิดความเคยชินในการใช้อำนาจเป็นใหญ่ต่อประชาชน หรือตีความคำสั่ง  บทบาท และอำนาจหน้าที่ของตนแบบอำนาจนิยม ปัญหาเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ สะสมเป็นความเกลียดชังผู้นำหรือรัฐได้

 

"การใช้วิธีการรุนแรงที่เหนือกว่า เมื่อการโน้มน้าวและควบคุมผู้ปกครองทางการเมืองวิธีอื่นๆ ล้มเหลวทั้งหมด คำตอบที่ทำกันมาเป็นเวลาช้านานก็คือ การขู่เข็ญว่าจะใช้หรือการใช้ความรุนแรงที่เหนือกว่ากำลังของผู้ปกครอง ความรุนแรงเพื่อการนี้หรือเพื่อเป้าหมายดังกล่าวนี้ มีรูปแบบต่างๆ กัน รวมไปถึงการจลาจล การลอบสังหาร การปฏิวัติด้วยความรุนแรง  สงครามจรยุทธ์ การรัฐประหาร สงครามกลางเมืองและสงครามระหว่างประเทศ" (อ้างแล้ว)

 

นี่เป็นข้อสรุปทางทฤษฎี เมื่อรัฐใช้อำนาจความรุนแรงกับประชาชน และแสดงถึงความเปราะบางของอำนาจอย่างถึงแก่น หรืออำนาจนั้นจักต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง  รัฐบาลยังต้องรู้จักศิลปะการใช้ "อำนาจความรุนแรงหรือบีบบังคับ" ซึ่งระบอบเผด็จการฟาสซิสต์นั้น ขณะที่ผู้นำคิดว่าอำนาจเป็นจุดแข็งที่สุด แต่ถ้าขาดศิลปะแล้ว จุดแข็งนั้นย่อมเป็นจุดอ่อนที่สุดด้วย ดังนั้น การปกครองที่เสมือนมีประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตย จึงมีกระบวนการ  สถาบัน และยุทธวิธีในการผ่อนคลายความขัดแย้งทางการเมืองมากมาย ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ประชาชนตรวจสอบ และควบคุมรัฐบาลด้วยวิธีการไม่ใช้ความรุนแรง  สงครามหรือความรุนแรงแตกหักจึงไม่เกิดขึ้นดังเช่นอดีตที่ผ่านมา.

 

พ่อครูว่า...นี่เป็นบทความที่ลึกซึ้ง ออกมาในตอนนี้ แหลมคมมาก ที่หยิบเอาคำว่าอำนาจมาขยายความ

 

คำว่าอำนาจเป็นเรื่องลึกซึ้ง โดยเฉพาะคำว่าอำนาจโดยธรรม...การใช้อำนาจหรือว่าการมีกฎเกณฑ์บังคับนั้นมีความจำเป็นต้องใช้บ้าง เช่นในขณะที่กลุ่มชนมีกิเลสดื้อด้านมาก จึงต้องใช้กฎบังคับ แข็งๆไว้ก่อน ในมวลชนที่ไม่มีปัญญาเพียงพอ ไม่รู้ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง

 

 

แต่ถ้ามวลชลมีกิเลสน้อยลงไปโดยเฉลี่ย แล้วมีปัญญาเข้าใจเพียงพอถึงคุณธรรมประชาธิปไตยแท้จริง ในอำนาจโดยธรรมนั้นเหนือกว่าอำนาจที่บังคับกัน ถ้าถึงกาละนั้นก็ไม่ต้องใช้อำนาจบังคับ

 

แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตั้งธรรมนูญ เป็นสิ่งสำคัญ ว่ารัฐของท่านจะเป็นเช่นนี้ กลุ่มผู้นำเรียกว่าภิกษุต้องอยู่ในกฎนี้ เช่นเดรัจฉานวิชชาไม่มี ต้องเว้น ต้องขาดต้องเลิก ในจุลศีล แล้วก็ไล่ไปตามลำดับ ส่วนมัชฌิมศีลก็ไล่รายละเอียดมากขึ้นกว่าจุลศีล เหมือนศีล 5 มาเป็นศีล 8 เป็นต้น  แต่ทุกวันนี้ภิกษุไม่ได้ปฏิบัติตามศีลธรรมนูญนี้เลย

 

ที่ในหลวงเราทำนี่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ผู้บริหารไม่ประสีประสาเลย แล้วบางรัฐบาลยังละลาบละล้วงด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มนักการเมืองที่นึกว่าตนเองมีปัญญามาก แต่เข้าใจแค่อำนาจบาทใหญ่ อย่างคอมมิวนิสต์ หรือว่าใช้เชิงสุภาพ แต่ว่ากดข่มด้วยโวหารความรู้

 

อย่างอำนาจทางสภาที่หลงกันว่าเป็นเสียงตัวแทนประชาชนเบ็ดเสร็จ กับอำนาจของมวลชนที่เห็นร่วมกัน ยุคใดก็แล้วแต่ มันอาจสอดคล้องกันได้เมื่อประชาชนเขามีความรู้เพียงพอ รู้คนดีเลือกคนดีไปเป็นสส.หรือสว. ไปบริหาร  แต่ทุกวันนี้ สส.เป็นทาสของเจ้าของคอกพรรคการเมือง จะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร ปรากฏการณ์ประชาธิปไตยในไทย เป็นตัวอย่างของประชาธิปไตยที่เลวร้ายฉิบหายวายป่วงขนาดนี้ น่าจะจบได้แล้ว คือมีเลือดของโลกธรรมมาก  เป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไป เลยกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาเลวร้ายที่สุด อันเกิดจากกรรมวิธี ซื้อนักการเมืองเข้าคอก เป็นวิธีการของนักค้าธรรมดา เจ้าของบริษัทธรรมดา ถ้าจะยอมให้ประชาธิปไตยไทยเป็นเช่นนี้อีก ไทยก็ไม่มีวันโงหัวขึ้นเลย ถ้าไม่จัดการล้างเชื้อ เชื้อของคอกชนิดนี้ เป็นเชื้อร้ายที่หนักกว่าอีโบล่า หรือเชื้อเอดส์ เพราะเอดส์นี่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หากร่างของประเทศไทยมีเชื้อเอดส์เขาก็ครอบครองได้ตลอดกาล

 

อำนาจรัฐที่ไม่ได้ปกครองเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง แม้จะเป็นอำนาจเฉพาะกาลหรืออำนาจถาวรก็ไม่ใช่อำนาจโดยธรรม ไม่ใช่อำนาจจริง เป็นอำนาจปลอม ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยตลอดกาล การจะเกิดอำนาจโดยธรรมก็ต้องให้คนมีธรรมะ ถ้าประชากรไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยคุณธรรมคือย่างไร แล้วทำไม่ได้ เราก็จะได้แต่คนเลวไปบริหาร ตราบเท่านั้น เราต้องให้การศึกษาให้คนปฏิบัติตนให้มีคุณธรรม นี่เป็นดีมานที่สูงมาก ต้องสร้างคนให้เป็นอาริยะหรือโลกุตรบุคคลของพระพุทธเจ้า

 

อาริยบุคคลของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ฤาษีที่หนีสังคม ไม่สามารถมีคุณภาพที่จะทำตนให้มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) จะไม่รู้จัก สัปปุริสธรรมเลย ฤาษีคือคนที่เต็มบ้องด้วยอัตตา หนีสังคม แล้วได้อัตตาเป็นภวตัณหาเต็มบ้องเลย คือลัทธิอัตตาเต็มบ้อง ไม่มีสาระอะไรเลย อย่างพวกเชน ศาสนาของพระมหาวีระนี่ ไม่มีอะไรเลยมักน้อยสันโดษมาก ไม่เอาโลกธรรมจริง แล้วใช้ชิวิตเปล่าดายไปจนตาย ไม่มีประโยชน์ต่อโลกเลย ตนจมกับอัตตาตน เป็นภวภพ หรือรูปภพ หรือสุภกิณหะ หรืออาภัสราพรหม ก็อาศัยภพเช่นนี้ไม่เข้าใจองค์ประชุมของพรหมสุภกิณหะ จะปฏิบัติให้บรรลุแต่ไม่รู้จักกาย ไม่รู้จักการใช้สัญญากำหนดรู้รูปนามให้ละเอียด ใช้สัญญาไม่บริบูรณ์

 

 

คำว่ารัฏฐาธิปัตย์นั้น อำนาจคือของประชาชน แล้วจะได้อำนาจรัฐ ก็ต้องเป็นของประชาชนแท้ๆ วิธีการของการให้ผู้ไปใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ก็เลือกตั้ง เมื่อเลือกตั้ง ประชาชนก็ถูกครอบงำ ถูกซื้อได้ แล้วเลือกผู้แทนเข้าไปได้ เลือกเป็นผู้แทนในสถาบันนิติบัญญัติ  ส่วนการบริหาร ประชาชนก็ควรเลือกผู้บริหารโดยตรง แต่เมื่อประชาชนไม่ไหวเขาก็ตีขลุมให้เลือกสส. แล้วก็เหมาว่าประชาชนเลือกแล้วเป็นตัวแทนประชาชน แล้วให้สส.ไปเลือกนายกฯ แล้วให้นายกฯไปแต่่งตั้งคณะบริหารเอง ถือว่าเกิดจากประชาชนแล้ว แค่นี้ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้ว ยิ่งสส.เป็นของพรรค ก็อยู่ในคอก ก็เลือกนายกฯและผู้บริหารเป็นของพรรค หัวหน้าพรรค เจ้าของพรรคหมด แม้รัฐสภาฯก็คนของพรรคนี้ นายกฯก็ของพรรคนี้ แล้วเหลี่ยมจัดว่านายกฯไม่เป็นหัวหน้าพรรค เพราะกฎหมายออกกันไว้ ตนเองก็เลยจัดการดูแลไม่ให้คนของตนที่เป็นนายกฯ ที่เป็นน้องสาวถูกจับได้ แม้แต่จะเข้าสภาฯก็ไม่ให้เข้า แล้วทีหลังก็บอกว่าหนูไม่รู้ เป็นวิธีการที่เลวชาติที่สุด แล้วใช้อันนี้ตีรวนอยู่ทุกวันนี้นี่คือเล่กลสุดเลวร้าย ก็ต้องดูว่าวันที่ 23 นี้เลือดทหารจะตื่นรู้กันหรือยังว่าอย่างมงายกันต่อไปเลย ถ้าเรายังจะเหลือเชื้อนี้ไม่ให้หมอรักษาหรือตนเองจะไม่รักษาตนเองเชื้อนี้จะไม่หมดไปได้

 

คำว่ารัฏฐาธิปัตย์นั้น จริงๆแล้วรัฐบาลที่ได้อำนาจไปบริหาร แม้พยัญชนะคำว่ารัฐบาลก็ไม่ใช่รัฏฐาธิปัตย์ ผู้เป็นตัวแทนประชาชนนั้นโดยนัยที่ไม่จริง เป็นรัฐบาลที่ไม่ใช่เป็นประชาชนที่มีปัญญาแล้วไม่ใช่รัฏฐาธิปัตย์ ถ้าบริหารไม่ได้จริง ประชาชนก็ยังเป็นเจ้าของอำนาจอยู่ดี มีสิทธิ์ให้เลิกทำบริหาร แม้ประชาชนคนเดียวก็ประท้วงได้ แต่นี่ประชาชนเป็นหลายล้านคน ครั้งนี้ถือเป็นสถิติที่สุดยอดที่สุดแล้วถือเป็นรัฏฐาธิปัตย์ที่สุดยอดแล้ว เขาก็หาว่าคนแค่นี้ ของเขามีคนเลือกตอนเลือกตั้งมากตั้ง 15 ล้าน คือใช้นัยเปรียบเทียบแบบนี้ก็ได้แค่คนตื้นๆ แต่คนลึกๆแล้วมันไม่ใช่ การที่รัฐได้อำนาจไปบริหารนั้นเป็นอำนาจชั่วคราว ไม่ใช่อำนาจ รัฏฐาธิปัตย์ แม้ประชาชนคนเดียวก็ต้องฟัง นี่เป็นล้านก็ยังไม่ฟังอีก ยิ่งประชาชนที่บริสุทธิ์ไม่ลำเอียงนี่ต้องฟังให้มากด้วย

 

แม้สมัยโบราณ ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินท่านก็ทุ่มเทชีวิตปกป้องสร้างบ้านเมือง เอาเลือดเอาเนื้อเสียสละเพื่อประชาชนทำเพื่อประชาชนจริงๆ เป็นนัยลึกซึ้ง อย่างในหลวงพระองค์นี้ทำเพื่อประชาชนอย่างไม่ต้องเป็นอย่างเจ็งกิสข่าน ทหารก็มีอยู่แล้วทำเพื่อประชาชนอยู่แล้วด้วย สัจจะพวกนี้เป็นภาวะซับซ้อนลึกซึ้ง

 

ความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ขณะนี้เรายกให้รัฐประหารตั้งแต่สนธิ บุญรัตนกลินทร์แล้ว เขาก็เห็นว่าแบบรัฐสภาไปไม่ได้แล้วก็มาให้คณะขิงแก่มาบริหารแต่ก็ล้มละลายไป มาคราวนี้ คงไม่เสียของเหมือนคราวก่อน เพราะดูท่าจะดี แต่ก็ทำให้ดีเถอะ อาตมาว่าประชาชนเขาเข้าใจนะว่ามีความจำเป็นต้องใช้อำนาจ กฎบังคับในช่วงนี้เพราะยังล้างไม่ได้ สื่อสารต้องเข้าใจให้ดี ให้เขาใช้ดาบอาญาสิทธิ์ล้างบางก่อน หลังจากนั้นถ้าเขาติดลมบนสื่อสารก็ให้ร่วมมือกันทำอีกทีก็ได้ อาตมาจะร่วมด้วย ใช้สื่อสารเท่าที่เรามีนี่แหละ

 

คำว่ารัฏฐาธิปัตย์น้ันอำนาจเป็นของประชาชนจึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ไม่มีวันใดเลยที่อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ไม่ได้เป็นของประชาชน แต่ช่วงนี้ให้แต่ละคณะไปบริหาร ถ้าไม่เข้าท่าก็เอาลงได้ ประชาชนไทยไม่เข้าใจ เพราะไม่ได้สอนประชาธิปไตยให้ชัดเจน ส่วนคอมมิวนิสต์ คนไทยก็ไปเรียนได้เพียงครึ่งหนึ่งของอำนาจ ทุกวันนี้ก็ยังใช้อำนาจหมู่ หลงว่าตนเองเป็นมวลใหญ่ ซึ่งคอมมิวนิสต์มันแหลกเหลวไปนานแล้ว ในโลกนี้คอมฯหมดท่าแล้วแม้จีนแดงก็ไม่เหลือความเป็นคอมฯในวิญญาณแล้ว แม้รัสเซียก็ตาม ส่วนสแกนดิเนเวี่ยน เขามีสังคมนิยมที่มีเนื้อประชาธิปไตยทำเพื่อประชาชนได้ดี เขาโกงกันน้อย ทำเพื่อประชาชนมาก จึงเป็นสังคมนิยมคอมฯที่ใช้ได้อยู่ แต่ถ้าโกงกันมากใช้อำนาจมากจนไม่เห็นแก่ประชาชนอยู่ไม่ได้หรอก

 

ในโลกตอนนี่มีสองค่าย ฝ่ายคอมฯก็ต้องการให้ประชาชนเป็นใหญ่แต่ไปได้ครึ่งๆกลางๆ แล้วที่สำคัญคือจิตวิญญาณมนุษย์ไม่ได้ล้างกิเลส แม้ปัญญาพอเข้าใจว่าทำเพื่อประชาชนดี แต่กิเลสมี พอได้อำนาจได้บัลลังก์ โลกธรรมก็ลวงให้ล้มเหลว ไปไม่ออก แม้ในประเทศจีนก็จัดการกัน มีซ้อนในนั้น เนื้อแท้ไม่ได้ล้างกิเลสจริง เพราะฉะนั้นทฤษฎีที่จะล้างกิเลสได้จริงคือพุทธ

 

มาสู่เนื้อหาพุทธที่แท้กัน

 

รูป 28 มหาภูตรูป 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม คือสิ่งข้างนอกทั้งหมด แม้คน สัตว์ ที่มีจิตก็ถือเป็นสิ่งภายนอก เป็นพหิทารูปานิ ที่เรานับในองค์รวมของ กาโย ของรูปนามทั้งหมด  คนก็คือแท่งของดิน น้ำ ไฟ ลมที่มีวิญญาณอยู่ด้วย

 

รูปกาย อยู่ภายนอก แล้วลึกเข้าไปก็เป็นนามกาย เราต้องมีปัญญาอ่านรูป แยกรูปแยกนามออก แล้วรู้เข้าไปถึงนามที่ถูกเรารู้ได้เป็นนามรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้) ตากระทบรูปก็ถูกรับรู้ กลิ่นถูกรับรู้โดยจมูก กลิ่นนั้นก็คือรูป รสไปแตะลิ้น รสก็ถูกรับรู้เป็นรูป กายทั้งหมดรวมทวารทั้ง 4 และผิวหนังเป็นสัมผัสภายนอกเรียกว่าโผฏฐัพพะ เมื่อรูปทั้งหลายภายนอกเมื่อได้สัมผัสเห็นรู้ส่ิงนั้นก็เป็นองค์ประชุมของกาย โดยมีใจเป็นตัวรู้

 

องค์รวมรูป 28 นี่แยกเป็นวัตถุหรือเป็น วัตถุวิสัย เป็นobject ส่วนตัวคนเป็นตัวประธานที่จะเป็นผู้รู้ คือsubject แม้เข้ามาหาข้างใน เป็นอัชฌัชตังอรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิ ปัสสติ ซึ่งเอโกนั้นหมายถึงส่วนตน ภายใน ทั้งรูป และอรูป  ผู้จะดำเนินเรื่อง อัชฌัชตัง อรูปสัญญี  นี้ต้องเป็นอนาคามีจึงทำได้แท้

 

รูปที่เป็นมหาภูตรูปนั้นจัดอยู่ภายนอก ไม่เกี่ยวถึงวิญญาณล่องลอยภายนอกด้วย ต้องเอาสิ่งที่สัมผัสได้ เมื่อเราไม่รู้จักรูป 24 ที่คนต้องสัมผัสรู้ แต่คนที่ไม่รู้นั้นพระพุทธเจ้าไม่ยอมรับว่าเป็นอรหันต์ได้ แม้เป็นกายสักขีทำอาสวะบางอย่างดับไปสิ้นไปได้ท่านก็ไม่รับว่าเป็นผู้บริบูรณ์ เป็นอรหันต์ได้ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย 

 

อุปาทายรูปนั้นมีทั้งนอกและใน ตั้งแต่ทวาร 5 รับจากภายนอกมา แล้วมีการโคจร มีพฤติกรรม แต่ต้องมีวิญญาณเข้าไปร่วม เพราะแม้ว่ามีการกระทบสัมผัส แต่ไม่มีวิญญาณไปทำงานในประสาท คุณก็ไม่รับรู้ เช่นแสงเข้าตาแต่ก็ไม่รับรู้ก็ไม่รู้ได้ไม่เห็นได้ สติไม่ได้กำหนดหมาย ก็ไม่เกิดวิญญาณ ดั้งนั้นผัสสะต้องมี 3 เช่นตากระทบรูป แล้วมีวิญญาณร่วมรับรู้เป็นโคจร กำหนดรู้ไม่ว่าจะทวารหู จมูก ลิ้น กาย มีการวิจัยวิจาร ในนั้น ยิ่งมีสังกัปปะ 7 ให้เป็นวิตักกะ เอาอะไรที่ควรออกให้ได้อย่างวิเศษให้ดับสิ้นเลยจึงเป็นวิตักกะได้สมบูรณ์

 

องค์ความรู้ที่เริ่มเกิดแรกคือตักกะ แล้วไปวิจัยวิจารในนั้นผ่านวิตักกะ กำจัดอกุศลได้จนเป็นวิจาร (พฤติกรรมอันวิเศษ) วิ คือกำจัดได้แล้ว แล้วผ่านไปเป็นตัวกรองอีกที เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปาน วจีสังขารา

 

เมื่อมีผัสสะ ก็เกิดปรากฏการณ์ เป็นภาวะจริง เป็นปาตุภาวะหรือปาตุสัจจะ แล้วเกิดภาวะก็มีสอง คืออิตถีภาวะและปุริสภาวะ ปุถุชนก็มีอิตถีภาวะทั้งนั้น ไม่เป็นปุริสัตตะ ไม่เป็นเอก ไม่เป็นผู้ดับกิเลสได้หมดไม่มีเพื่อนสองแล้วคุณยังทำไม่ได้สมบูรณ์ก็มีอิตถีภาวะทั้งนั้น ก็ต้องเรียนอิตถินทรีย์เป็นพลังงานอิตถีภาวะแล้วมันมีชีวิตอยู่จึงต้องเรียนรู้ชีวิต รูปของชีวิตเรียกว่าชีวิตรูป ต้องมีญาณอ่านชีวิตของสัตว์ที่เป็นอัตตาของอิตถัตตะ

 

 

อ่านว่ามันเป็นสัตว์นรก สัตว์เทวดาปลอม ต้องล้างกำจัด จนไม่มีพลังงานชีวิตของสัตว์ทั้งหมด ก็ต้องเรียนรู้อาหาร 4 หรืออาหารในอวิชชาสูตรว่าอวิชชามีนิวรณ์ 5 เป็นอาหารไล่มาจนสัตบุรุษ เรื่องอาหารในการปฏิบัติต้องมีเครื่องอาศัย จนสามารถทำไปตามลำดับที่ตีกรอบ ปริเฉทของมัน ศีล 5 ก็ต้องชัดเจนในแต่ละกรอบ รูปเรื่องที่สัมผัส

 

เรื่องสัตว์ คนที่เราสัมผัส แล้วก็เรื่องสิ่งของที่เราสัมผัสแล้วอยากได้ไหม เรื่องเพศก็ต้องตัดกรอบเราว่าเอาแค่ศีลเท่านี้นะ จนคัดเขตทำให้เป็นฐานนิพพานคืออากาศ เป็นอุเบกขาแล้วว่างแล้ว แต่เป็นธาตุของวิญญาณว่างแล้วกลางแล้ว จิตได้ขนาดนี้แล้วก็ศึกษาสภาพว่างเป็นอากาสาฯ แต่ละปริเฉทก็ทำให้ถึงความว่างๆๆ นี่คือฐานอาศัย ฐานอากาสาฯฐานว่าง ไม่ใช่ว่างลอยลมไม่มีเหตุปัจจัยว่าจิตว่างๆๆ

 

เมื่อผ่านภาวรูป 2 มีหทยรูป ที่จับตัวมันได้ที่ไหนก็คือที่อยู่ของจิตวิญญาณ แล้วปฏิบัติชีวิตรูป อาหารรูป จนทำให้เป็นอากาสได้ ทำได้จะมีสัจจานุโลมมิกญาณ มีสังขารุเปกขาญาณ มีองค์ธรรม 5 อุเบกขาแข็งแรงขึ้นทำงานอนุโลมช่วยโลกได้มีอุเบกขาเป็นฐานอาศัย ในบารมี 10 ทัศ ปฏิบัติ 8 ทัศน์แล้วเหลือ เมตตากับอุเบกขาเป็นฐานอาศัยของอรหันต์ โพธิสัตว์

 

เมื่อผู้นี้จบกิจ ก็สามารถสร้างรูป กาย วจี วิญญัติ ออกไปทำงานกับสังคมโดยการกำหนด ผู้อวิชชาจะกำหนดวิญญัติรูปไม่ได้ ทำตามกิเลสที่เอียงไปทางเห็นแก่ตัวอยู่ ส่วนอรหันต์หมดตัวตนก็ทำเพื่อคนอื่นก็จะประมาณทำอย่างมีสัปปุริสธรรม เป็นผู้ประมาณในวิการรูป 5 (รวมวิญญัตรูปด้วยเป็นกึ่งของผู้อวิชชากับผู้มีวิชชา) คือตัวที่จะปรุงแต่งออกไป ตั้งแต่วจีสังขารก่อนปรุงแต่ออกเป็นกาย วาจา กรรมข้างนอก โดยประมาณอย่าง มุทุตา คือตัวที่สามารถปรับได้ เป็นจิตหัวอ่อน เชิงปัญญาก็เร็วแววไว แหลมคม ปรับได้ดัดได้ ไม่ใช่จิตอ่อนฟังแล้วอ่อนแอจัง ที่จริงเป็นจิตวิเศษ ที่จะประมาณทำกรรมทำออกไป ก็ประมาณว่าจะให้เบาเท่าไหร่เป็นฐานอย่าให้รุนแรง แต่ถ้าเห็นว่าจะต้องให้แรงก็ทำได้โดยประมาณ ผู้เป็นอรหันต์แล้วใช้เป็นฝึกไปแต่ระวังทำงานกับโลกต้องระวังโลกธรรม ที่เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้อรหันต์ขีณาสพ แม้ท่านไม่ทุกข์แล้วแต่หน้าแหกได้นะ คนธรรมดายังรักหน้า แต่อรหันต์ไม่ใช่คนหน้าด้านนะ ต้องรักษาหน้านี่คืออันตรายอันแสบเผ็ด ไม่ทุกข์แต่มันพัง ท่านจะไม่ประมาทแล้วไม่เสี่ยง ท่านไม่ต้องการโลกธรรมแล้ว

 

ส่วนมากอรหันต์จะอ่อนแอกว่าจริง จะไม่ทำแรง ไม่ใช่อรหันต์แบบห่ามๆ แม้อรหันต์ก็มีวิบาก แต่โพธิสัตว์จะต้องทำงานไปอีกก็จะประมาณมากกว่าอรหันต์ ให้เบากว่าอีก ที่จะเป็นการงานอันเหมาะที่จะเป็นมุทุภูตธาตุตามบารมีของตน อรหันต์คนไหนเผลอก็มีอันตรายอันแสบเผ็ดนะ ในลาภ สักการะ สรรเสริญ ก็มีอันตรายนะ เพราะอรหันต์ทำงานกับสังคมไม่หนีสังคมนะ

 

สุดท้าย ลักขณรูปอีก 4 ท่านจะรู้จักอปุจย กับชรตา ท่านเป็นอมตบุคคล จะทำเกิดหรือทำตายไม่ต่อก็ได้ มันชรตาได้ มันอุปจยะ ไม่เที่ยงนะ ประมาณให้ดี อรหันต์จะคำนึงว่าใจท่านแน่นะ ระวังเสียหาย ถ้าเห็นว่าเสียหายท่านจะไม่ทำ ท่านจะกำหนดสิ่งที่ท่านแน่ใจ สัญญา ย นิจจานิ ต้องเตือนด้วยอนิจจตา มันไม่เที่ยงนะ อย่าประมาทนะ ท่านก็ทำงานอย่างรู้ว่าในโลกสังคม จะทำให้เกิดอุปจยะคือความเกิด เราเป็นอมตบุคคลก็จะทำเกิดหรือตาย แต่ทำเกิดแล้วก็ต้องมีอนิจจตา

 

อย่างอาตมาทำงานศาสนาทำไปสุดที่ จากนั้นไปมันจะเสื่อม อาตมาก็ต่อลูกไว้เท่าใดก็เท่านั้น อาตมาไม่กล้าพูดว่าจะทำไปจนสุดยอด อาจมีโพธิสัตว์มาต่อยอดก็ได้ แต่ถึงยอดแล้วก็ชรตา ศาสนาพุทธยังจะไปอีกสองพันกว่าปีก็จะเสื่อม อาตมาไม่่สงสัยว่าศาสนาพุทธจะต้องเสื่อมในที่สุด ตัวนี้เป็นอุปจยะ เป็นสัจจะของโลก ถ้าสันตติ  เกิดเกินกว่าจริงก็ผิดพลาด  ท่านจะรู้ว่าจะเกิดเท่าไหร่จึงปโหติ คือประมาณได้สัดส่วนที่ถูกต้อง

 

ผู้เป็นโพธิสัตว์ท่านจะบริหารโดยธรรม ท่านก็ได้อำนาจโดยธรรม ประชาชนให้ท่าน คนตาบอดเท่านั้นที่จะมาลบหลู่ในหลวงพระองค์นี้ไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ สังคม บริหาร เขาไม่มีปัญญารู้ว่าท่านทำได้งามมาก อาตมานี่ทำแล้วดูกระด้าง

 

ศาสนาพุทธนั้นผู้ได้โลกุตรธรรมไม่ได้หนีจากโลกีย์แต่ว่าเป็นผู้ที่ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) รับใช้อย่างไม่มีจิตที่จะต้องการอะไรตอบแทนเลย นั่นคือไม่ได้รับใช้อย่างที่พระวินัยหรือศีลธรรมนูญห้ามไว้ ผู้ใดรับสิ่งตอบแทนเป็นลาเภ น ลาภัง นิชิคิงสนตา ก็เป็นการรับใช้ แต่คนไม่เอาอะไรตอบแทนเลย แต่ทำงานให้เขาก็คือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด อย่าพาซื่อว่าผิดวินัย ภิกษุเลยไม่ได้ทำงานรับใช้ประชาชนความเสื่อมเลยมีด้วยประการฉะนี้

 

อย่างพระนี่ไปเทศน์เอาค่าเทศน์นี่อาบัตินะทำงานรับใช้คฤหัสถ์ แต่ถ้าคนเขาจะอุปถัมภ์ค้ำชูด้วยใจจริงเราไม่ได้อยากได้เลยก็จะดี แต่นี่ใจเราอยากได้ด้วยแล้วก็ทำลงไปก็ผิดสิ เราต้องรู้ว่าจิตเราจะให้หรือจะเอา อ่านพฤติกรรมทางจิตนี้ถ้าไม่ชัดไม่จริง ไม่มีสิทธิ์เป็นอรหันต์ ผู้จะเป็นอรหันต์ต้องมีจิตจริงเลยว่าจะให้ แล้วยิ่งให้นี่จะเป็นอำนาจด้วย อย่างในหลวงท่านว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แล้วเราเสียนี่แหละคือเราได้  นี่ก็ยากที่จะเข้าใจ ในหลวงเหมือนพระพุทธเจ้าที่ไม่ค่อยอธิบายขยายความ พระพุทธเจ้าก็ให้อัครสาวกเป็นผู้ขยายความ แต่ในหลวงท่านสุดยอดเลย มาสร้างบารมีแบบพระเตมีย์ใบ้ และพระมหาชนก

 

ก็ขอสรุปว่าเรื่องอำนาจเป็นเรื่องวิเศษ ผู้ไม่ต้องการอำนาจ อย่างในหลวงเรา ในหลวงเราว่าเสียอำนาจด้วยคือเสียสละด้วยจริงใจ ท่านไม่เอาอะไร ท่านเสียสละเพื่อมวลมนุษยชาติโดยแท้ อาตมาว่าทหารที่ปฏิญาณตน วันสำคัญไม่เห็นแก่ใครก็เห็นแก่ในหลวงเถอะ วันสำคัญขอให้ทำหน้าที่ของทหารให้สมบูรณ์แบบเถอะ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 16:57:11 )

580120

รายละเอียด

580120_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ ปราชญ์กับคนแค่ฉลาดต่างกันตรงไหน

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 20 ม.ค. 58 อีกไม่กี่วันก็หมด 1 เดือนของปีใหม่แล้ว วันเวลาผ่านไปไวปานโกหกเขาพูดอย่างนั้น ความไวของทุกวันนี้มากจริงๆ ทำอะไรก็ยังรู้สึกไม่มีอะไรเป็นงานเป็นการมากเลย อาตมาจะบ่นเรื่องวันเวลาผ่านไปเยอะ ยิ่งอายุเยอะยิ่งเห็นว่าวันเวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก วันเวลาผ่านไปมันน่าจะเกิดประโยชน์ทั้งตนและท่าน

 

ประโยชน์ตน พระพุทธเจ้าชี้ไว้ชัดคือ “การได้กำจัดกิเลสของตนออกไปให้ได้” การจะต้องรู้วิธีสัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติให้เกิดผลล้างกิเลสให้ได้ นี่คือประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของการเกิดเป็นคน จำอะไรไม่ได้ก็จำอันนี้ไว้ หาไม่บรรลุอรหันต์ก็ต้องทำต่อให้ได้ ชะระกิเลสจนหมดเป็นอรหันต์ หากไม่หมดก็เป็นไปตามลำดับ ผู้สามารถทำให้ประโยชน์ตนครบก็หมดประโยชน์ตน ชีวิตจะเกิดอีกกี่ชาติก็ล้วนเป็นชีวิตเพื่อผู้อื่นทั้งสิ้น นี่คือหลักสูตรการศึกษาของพระพุทธเจ้า

 

ประโยชน์ตนที่พระพุทธเจ้าว่าคือการชำระกิเลสคือประโยชน์แท้ คนที่ลดกิเลสไม่ได้มันมีแต่โทษตน ไม่มีประโยชน์ตน มีแต่โทษภัยที่คุณสะสมใส่ตน ไม่ว่าการศึกษาจบดร.กี่ใบก็แล้วแต่ ไม่ต้องไปเรียนตามวิธีการก็ตาม จะเรียนแล้วเกิดความรู้มากๆๆ แต่ถ้าความรู้นั้นไม่ได้ชำระกิเลส ก็ล้วนเป็นความรู้ที่เป็นโทษแก่ตนทั้งนั้น เพราะยิ่งรู้มากก็ยิ่งเอาความรู้เป็นเครื่องมือในการเอาของคนอื่นมาให้แก่ตน เป็นการเห็นแก่ตัว ให้ได้เปรียบให้ได้มาก ให้สะสมกอบโกยไป จนมีระบบวิธี Maximize profit คือวิธีการของทุนนิยมทั่วโลกต่างแข่งขันอันนี้ จะต้องให้ได้เปรียบ ได้กำไร นึกว่าเป็นประโยชน์ตน แต่แท้จริงเป็นตนเองไปทำร้ายคนอื่น อาตมาไม่ได้ใส่ความ เล่นลิ่น หาเรื่องหรือพูดผิดแต่อย่างใด

 

เรื่องลึกซึ้งอันนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้ดี คนเราพระพุทธเจ้าว่าเกิดมาด้วยอวิชชา สิ่งที่ปรุงแต่งอยู่ก็อย่างเรียกว่าสังขาร คือปรุงแต่งสิ่งเป็นพิษภัยต่อตน เป็นโทษต่อตน เป็นเรื่องน่าเศร้ามากเลย ไม่ฉลาดเลยเป็นเรื่องวิชชาแท้ๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง

 

สัตว์เดรัจฉานก็เห็นแก่ตน แต่ไม่ได้รุกรานคนอื่นมาก ไม่ได้ศึกษาความรู้ที่จะไปล่า ไปทำร้ายเบียดเบียนคนเก่งได้อย่างคน อย่างเก่งสัตว์มันก็เลี้ยงชีพไป หรือกักตุนก็ไม่มากเกินการ เหมือนคน คนนี่แหละเป็นพิษภัยต่อโลก มีแนวคิดเช่นนี้จึงเป็นภัยต่อกัน ต่อสังคม จนใกล้กลียุคแล้วต่างจะเข่นฆ่า สร้างอำนาจให้เป็นพลังให้ตนเองได้เปรียบ

 

 

การสร้างอำนาจนี้ มันมีแนวลึกอันหนึ่งที่อาตมาได้เรียบเรียงคำไว้คือ.....ปราชญ์จะไม่สร้างอำนาจให้กับตนเอง จนคนเกรงไม่กล้าติไม่กล้าท้วง แต่คนแค่ฉลาด จะสร้างอำนาจให้กับตนเอง จนคนเกรงไม่กล้าติไม่กล้าท้วง ...สมณะโพธิรักษ์

 

เรื่องการสร้างอำนาจให้กับตนเอง แล้วตนเองก็เอาอำนาจนั้นไปสร้างให้คนตกอยู่ใต้อำนาจเรา คนไม่เจริญก็ทำเช่นนี้มาตั้งแต่โบราณกาล คนไม่ฉลาดก็จะสร้างอำนาจให้แก่ตนเอง

 

อำนาจคือพลังงานชนิดหนึ่งที่เกิดจากจิตวิญญาณมนุษย์ ….อำนาจคือพลังงาน ที่มีในสังคม อันเกิดจากพฤติกรรมของตนเอง คือกาย วจี มโนกรรม ที่ประพฤติอยู่กับสังคม คนในสังคมใกล้หรือไกลก็ตาม รับซับซาบ หรือเกี่ยวข้องกับผู้นั้นก็จะรับไป แล้วพิจารณาตามปัญญาของตน แล้วเขาก็จะ

1.เคารพยกย่อง หรือ 2.กลัว เกรง  อาจมีอื่นอีกแต่ว่าเอาสองประเด็นง่ายๆ เป็นอำนาจในสังคมของมนุษยชาติ

 

ผู้ใดจะสร้างอำนาจให้กับตนมันก็มีพฤติกรรมแสดงออกให้คนอื่นได้รับกระทบสัมผัสหรือเป็นประโยชน์หรือโทษก็ตามจริงที่คนประพฤติออกไป คนอื่นๆเขาก็จะใช้จิตตนเป็นตัวตัดสินวินิจฉัย ว่า เขาจะเคารพนับถือพอใจ ยกย่องเชิดชูหรือเขาจะเกรงกลัว พลังงานแบบนี้ มีลักษณะสองอย่างนี้ใหญ่ๆ

 

ลักษณะอำนาจที่ทำให้คนเกรงกลัว นั้นเกิดจริง แล้วเขาก็ใช้อำนาจที่คนเกรงกลัวนี้ยึดอำนาจในการบริหารปกครอง ทำกันมาแต่ดึกดำบรรพ์จนทุกวันนี้

 

อำนาจที่คนเกรงกลัวคืออำนาจไม่เจริญ เป็นอำนาจไม่ควรทำ คนมีภูมิปัญญาพอสมควรจะเข้าใจแล้วรู้ดี แต่ก็ทำ เพราะกิเลสมันต้องการอำนาจที่จะเป็นใหญ่ ส่วนพลังงานที่อาตมาอนุโลมว่า อำนาจที่เป็นพลังงานคุณธรรมที่ผู้ใดประพฤติออกไปแล้วคนอื่น รับแล้วเห็นว่าเป็นพลังงานหรืออำนาจ เป็นฤทธิ์แรง คนอื่นเขามายอมรับนับถือ เชื่อฟัง อยากจะเป็นผู้ได้คุณธรรมอยากเป็นผู้มีพฤติกรรมอย่างคนๆนี้ แล้วให้ยกย่องว่าเป็นครู เป็นหัวหน้า เป็นคนสอน บอก ใช้สอย ถึงเช่นนั้นเลยเป็นไปตามสัจธรรม

 

 

ผู้อยู่ใต้อำนาจก็ยอมในอำนาจโดยธรรมนี้ อย่างที่ในหลวงของเราได้ ถึงขั้นปชช.พูดจะขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป ถึงอย่างนั้น ปชช.เขาพูดของเขาเองนะ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าอยู่หัวให้มาพูดคำนี้นะ

 

ส่วนพลังงานที่เรียกว่าอำนาจชนิดที่สร้างให้กับคนกลัว เกรง แล้วฉลาด นี่คือคนแค่ฉลาด จะคิดหาวิธีต่างๆที่สร้างอำนาจใส่ตนให้คนเกรงกลัว จนไม่กล้าติดไม่กล้าท้วง ไม่กล้าค้านแย้งเลย ในการสร้างพลังงานอำนาจให้แก่ตนเอง จึงเป็นเครื่องชี้บ่งว่าเจริญหรือเสื่อม คนใดเป็นแบบไหนก็คิดดูกันเอา

 

ถ้าเกิดทั้งหมู่กลุ่ม ชุมชน ประเทศ เกิดเป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ กลายเป็นคนมีอำนาจ แล้วมีลักษณะนี้กันทั่วโลก แต่พอตั้งหลักดีๆก็พอรู้ว่าไม่ดี แต่อดไม่ได้ที่จะต้องมาเป็นคนเช่นนี้ เพราะอะไร เพราะรากเหง้าของจิตเต็มไปด้วยวิชชา ซึ่งท่านแปลว่าโง่ ตามภาษาไทย แต่คำว่าฉลาดนี้ เป็นคนฉลาดเลวชั่ว มีอยู่เยอะแยะมากมาย เขาฉลาดเห็นกลดนะ มีไหวพริบรอบรู้ ยอดเยี่ยม แล้วก็ทำร้ายสังคมตนเองให้เสื่อมต่ำ การสั่งสมความรู้ความชำนาญ โดยเฉพาะจิตที่สั่งสมอวิชชานี้ คุณไม่ได้เลวชาตินี้ชาติเดียว แต่คุณจะเลวไปอีกชาติต่อๆไปอีกนาน แล้วยิ่งภูมิใจย่ามใจก็ยิ่งฝังเป็นวิบากในจิตต่อไปแต่ละชาติๆ ยิ่งมีวิบากบาป เกิดชาติต่อไป ก็ไม่มีอำนาจเป็นใหญ่ แต่จิตลึกมันฝังในอนุสัยว่าเคยได้เคยเป็น แม้ตนเองระลึกชาติไม่ได้ มันก็จะผลักดันให้ตนเองทำร้ายทำเลวได้มาก เป็นอจินไตยของวิบาก เป็นสิ่งที่ไม่น่าทำเลย

 

คนที่น่าเคารพบูชาให้อยู่ในหมู่กลุ่มให้เป็นใหญ่เลย ให้ได้อย่างนี้ ความจำที่เป็นความรู้สึกวิบากก็นิยมแบบนี้ด้วย แต่ถ้าคนไม่มีจิตอวิชชา แม้จะเป็นคนโง่ เข้าใจอย่างนี้ศรัทธาเช่นนี้ไปอีกกี่ชาติเขาก็จะนิยมแบบนี้

 

ทั้งเรื่ององค์ประกอบของ ศัตรู มิตรสหาย ยังมีอีกมากในความเป็นอยู่ของมนุษย์ เกิดเป็นคน ในชีวิต เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากที่จะต้องมาสั่งสมสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่สะสมแต่อวิชชา ที่แม้จะฉลาดมากแต่อวิชชา แล้วคนที่ไม่ฉลาดจะขึ้นมามีอำนาจไม่ได้ คนที่มีความเฉลียวฉลาดแล้วได้ขึ้นมาปกครอง ก็เป็นคนโง่อย่างยิ่ง (อวิชชา) แต่จริงๆนั้นมันฉลาดมากด้วย ตกลงคนที่ได้อำนาจ ปกครองหมู่กลุ่มแม้ที่สุด ปกครองบ้านเมือง คือคนอวิชชา ก็คือคนโง่ มหาโง่เลย เพราะอวิชชาเยอะ ฉลาดเยอะ ฉลาดอะไร ? ฉลาดเลวไง....ไม่สับสนนะ คนไม่ฉลาดเป็นไม่ได้หรอก แต่ฉลาดในลักษณะที่มันไม่ดี เพราะฉะนั้นผู้ที่จะฉลาดในลักษณะที่ไม่เป็นคนอวิชชา เป็นคนมีวิชชา

 

คนที่ได้มีการศึกษาส่วนมาก เมื่อไทยเรามาแปลอวิชชาว่าคือโง่ แต่เขาฉลาดมีไหวพริบ ล่าโลกธรรม ล่าอำนาจได้มาก มีลิ่วล้อ มีคนนับถือบูชายกย่อง แม้มีคดีติดตัวไป ยังไม่ได้ชำระ เพราะรู้ว่าตนเข้าคุกแน่ๆ ฉลาดยิ่งกว่าเป็นกลด

 

เมืองไทยเป็นเมืองที่โชคดีมาตั้งแต่ตั้งประเทศที่มีพุทธศาสนาเป็นทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ แต่มีคนใช้อำนาจที่ฉลาดฉิบหายที่เรียกว่าอวิชชา

 

เรามาพูดเรื่องอำนาจกันต่ออีกหน่อย สังคมทุกวันนี้ ใกล้กลียุค อวิชชาจะหนักขึ้น ฉลาดฉิบหายมากขึ้น เน้นเพื่อให้ลึกถึงจิตวิญญาณคนที่จะจี้ลงไป ก็ต้องแสดงท่าทางลีลาน้ำเสียงเช่นนี้นะ

 

ผู้ที่ยังแสวงหาอำนาจที่ไม่พัฒนาเป็นคนไม่ประเสริฐ ให้ทุกคนมาเป็นบริวาร มาเป็นคนอยู่ใต้อำนาจ ให้คนเกรงกลัว ไม่ใช่อำนาจที่ให้คมยอมยกให้โดยเต็มใจ เป็นอำนาจที่เป็นไปโดยธรรม ส่วนอำนาจที่เขาสร้างกระทำอย่างซับซ้อนหลากหลายมากขึ้นๆ นัยทั้งรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ อื่นๆอีก จนเขาได้อำนาจอันนี้แล้วได้เป็นอำนาจอยู่ในสังคมตอนนี้ ซึ่งอำนาจที่ดีนั้นเขารู้กันแต่ทำได้ยาก เพราะกิเลส นี่คือทรัพย์สมบัติของแต่ละคน มันอยู่ในจิตวิญญาณไม่ได้อยากได้แต่มันอยู่ แล้วก็โง่สั่งสมเป็นอวิชชา ยิ่งซับซ้อน อจินไตยกรรมวิบากที่อธิบายไม่ไหว

 

ถ้าเราอวิชชาเรื่อยๆไป ไม่แก้ไข เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วไม่ทำการแก้อวิชชาหรือกำจัดชำระอวิชชาให้เป็นวิชชาให้ได้ เรียกว่าความฉลาดไม่พอ หรือเรียกว่าอวิชชาก็คือตรงๆเลยว่าคือฉลาดฉิบหาย แล้วคนไม่รู้ตัวว่าตนสั่งสมความฉลาดฉิบหาย แล้วใช้เป็นเครื่องมือให้ได้อำนาจ ได้อำนาจเพราะมีวัตถุ ลาภ ยศ สรรเสริญ สมมุติตำแหน่งหน้าที่ แกล้งยกย่องป้อยอกันสารพัด ใช้เล่ เหลี่ยมมาเสริมหนุนความฉลาด แล้วคนก็หลงใหลเอาอย่างเลียนแบบ จนมีคนประวัติศาสตร์มากหลาย เช่นคนฉลาดอย่างฮิตเลอร์ มุสโสลินี เป็นต้น

 

ความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านได้ตรัสรู้เรื่องความเป็นมนุษย์กับสังคม แล้วเกี่ยวกับวิชาเทคนิคไหม? ก็เกี่ยวสิ ไม่ว่าจะสร้างซ่อมอะไรก็แล้วแต่ เป็นเทคโนโลยี อย่างเด็กทุกวันนี้ไม่งงว่ามีโทรศัพท์มือถือส่งข่าวกันได้พูดกันได้เขาไม่งงนะ แต่คนในยุคก่อนก็จะงงเลย เมื่อก่อนจะไปไหนก็ใช้โทรโข่ง แต่ว่าถ้าไม่มีมาตามลำดับแล้วมีอยู่ๆก็มีโทรศัพท์มือถือมาเลยคนจะแปลกประหลาดใจมากเลย

 

ความรู้เรื่องเทคนิคก็ต้องมีเพราะว่าต้องอาศัยเลี้ยงชีพ ช่วยสังคมไป ไม่มีปัญหา แต่ยิ่งวิชาความรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ทิ้งความรู้เทคนิคเลย ไม่ทิ้ง มรรค 8 เลย สัมมาสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ก็เป็นอย่างของคนประเสริฐ ศาสนาพุทธไม่หนีสังคม แต่รู้ยิ่งรู้ว่าอาชีพเลี้ยงตน เป็นกุหนา ลปนา เนมิตกตา นิเปสิกตา ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา เป็นเช่นไรรู้ อยู่กับสังคม แล้วทำงานเลี้ยงชีพ ทั้งกรรมกิริยา กัมมันตะ พูดจาอธิบายสาธยาย มาจากความคิดที่เป็นสัมมาสังกัปปะที่มีจิตเป็นประธาน แล้วอยู่กับสังคม ช่วยสังคม ที่มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

นี่คือทฤษฎีใหญ่ยิ่งของพระพุทธเจ้าหากจบวิชชาของพระพุทธเจ้าท่านให้ตำแหน่งอรหันต์คือบัณฑิตคือปราชญ์แท้ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ทำได้ ฝึกอะไรอยู่ก็ทำได้ คิดหรือทำอะไรอยู่ก็ทำได้ หลักสูตรของพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปหาเวลาหรือที่สร้างจิตที่ไหน ให้เกิดจิตเจริญมีปัญญาจนเป็นอรหันต์ วิธีนั้นมันนอกรีตพระพุทธเจ้า ตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติก็มีอยู่แล้ววิธีนี้เป็นแบบเก่ามาก มีหลากหลายแต่เรียกว่า สมาธิ เป็นวิชาอยู่กับโลกนิรันดร เป็นวิชานอกรีต ที่จริงพระพุทธเจ้าท่านประยุกต์เอาวิธีนี้มาใช้ประโยชน์เป็นอุปการะได้ ท่านฉลาดพอจะเอาวิชานั่งสมาธิมาใช้ได้ท่านเข้าใจ ใช้ในวาระที่่ควรทำ เช่นเอาไว้เตวิชโช

 

และเตวิชโชก็ไม่จำเป็นต้องหาเวลาหรือที่ไหนทำ ในขณะที่อาตมาพูดนี่ทุกคนมีเตวิชโชได้ทั้งนั้น ว่าอดีตเราเคยเป็นอย่างไร เราเคยโง่ อย่างไรมี อุบัติอย่างไร แล้วเราก็ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว มีจุติ เคลื่อนออกจากอันเก่าแล้ว ถ้าเรียนสัมมาทิฏฐิก็ทำให้สิ้นอนุสัยอาสวะได้ ในขณะนั่งฟังธรรมก็บรรลุธรรมได้ อย่างอรหันต์หลายรูปก็ฟังธรรมพระพุทธเจ้าก็บรรลุอรหันต์ทั้งนั้น ต้องเตวิชโช แต่มันลึกซึ้งหน่อย

 

มีประเด็นที่ขอแวะพูดหน่อย...เพราะมีคนพูด เราไม่เดือดร้อนใจ แต่คนได้ยินได้ฟังแล้วเขว เพราะว่าเขาบอกว่าสันติอโศกอวดอุตริมนุสธรรม แล้วก็พูดในเชิงว่าเป็นเรื่องร้ายแรง ถ้าเข้าใจไม่สมบูรณ์ เพราะว่าร้ายแรงถึงปาราชิก แล้วก็ไม่ใช่อย่างที่คนเข้าใจว่าปาราชิกนั้นบวชไม่ได้เท่านั้นนะ คนที่ปาราชิกแล้วไม่ให้บวชเป็นพระแน่ สึกหรือไม่ก็ตาม ก็ตายจากศาสนาแล้วเป็นใบไม้ที่หล่นจากขั้วแล้วไปต่อไม่ติดอีก หรือเป็นตาลยอดด้วนแล้ว

 

ก็ขออธิบายเรื่องนี้เป็นวิชาการ ไม่ได้พูดเป็นการแก้ตัว เดือดร้อนใจแต่อย่างใด แต่ให้ความรู้แก่ผู้ที่เขาก็ว่าเขาพูดไม่ผิดหรอก แล้วโทรทัศน์เขาก็กว้างขวางด้วย เขาก็ว่าสันติอโศกอวดอุตริมนุสธรรม ซึ่งก็จริง แต่นัยที่เขาพูดทำให้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าอุตริมนุสธรรมคืออย่างไร ทำให้คนเข้าใจว่าคนอวดอุตริมนุสธรรมก็ปาราชิกหมด สำนักสันติอโศกเป็นสมีไปหมดสิ แต่ผู้พูดนี้ไม่เข้าใจว่าอวดอุตรินั้นคืออย่างไรบ้าง

 

อวดอุตริมนุสธรรมนั้นแบ่งเป็น 7 ข้อ

 

1ไม่มีอุตริมนุสธรรมในตน แน่นอนว่าอย่าอวดหากไม่มี อวดว่าฉันมีนี่ปาราชิก ถ้าเป็นผู้ไม่อยู่ในธรรมนูญพระพุทธเจ้าไม่ได้มาเป็นภิกษุ สมณะก็ไม่มีใครเอาผิด แต่กรรมกิริยานั้นก็เป็นแล้ว อวดว่าเป็นนั้นเป็นนี่ ก็แล้วแต่

 

2.รู้ว่าไม่มีในตน บางคนก็พอรู้หรือบางที่ก็นึกว่าตนมีเบลอ แต่ถ้ายิ่งรู้ว่าไม่มีในตน แต่พูดเลอะอาจไม่อวดว่าตนเป็นนะ แต่ว่าอวดโวหาร เอาอาริยธรรม โลกุตรธรรมมาพูด จนคนอื่นเจ้าใจผิดว่าคนนี้ต้องบรรลุแน่ แล้วตนรู้นะว่าตนไม่มีแต่แสดงออกเหมือนรู้ พูดจังเลย ดีไม่ดีสอนบอกจนคนอื่นเข้าใจ หลงกันว่าเป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธด้วยแต่ตนรู้ว่าตนไม่บรรลุ เป็นการอวดในที จนคนหลงว่าเป็นอาริยะจริง ใครมาบอกก็จะไม่พูดตรงๆ แต่อาจพูดว่าไปดูเอาเองแต่จริงๆตนรู้ว่าตนไม่บรรลุ คนนี้น่ากลัวมาก

 

3.หลงว่าตัวมี ความหลงว่าตนเองมีแล้วอวดว่าตนเองมี พระพุทธเจ้าไม่เอาผิด เพราะเขาหลงงมงาย ส่วนที่เขาหลงมันจะตรงกับพระพุทธเจ้าหรือไม่ก็แล้วแต่ อยู่ในอมูฬหวินัย คือไม่เอาผิดกับคนหลงคนบ้า

 

4.รู้ว่าไม่มีในตน แล้วอวดด้วยความอยาก อยากอวด จะไปรู้มากหรือน้อยก็อยากอวด แต่รู้นะว่าไม่มีในตน

 

5.รู้ว่ามีในตน แล้วก็แสดงอธิบาย โดยประมาณผิด ไม่มีประมาณ ก็อธิบายด้วยกิเลส อันนี้มีโทษ แม้มีในตน แต่ไม่ประมาณมากหรือน้อยไปก็แล้วแต่ในการแสดง เป็นโทษภัยต่อผู้ได้รับ ตนเองมีแต่ไม่ลึกซึ้งรู้ว่าตนมีก็อาจคะนอง แล้วเป็นโทษภัย

 

6.รู้ว่ามีในตน ผู้มีของตนจริงก็ประมาณไม่เหมาะ แสดงแก่คนไม่ควร ไม่เหมาะก็อาบัติ ปาจิตตีย์ ไม่ถึงปาราชิกนะ

 

7.ส่วนผู้ที่รู้ว่าตนมี ประมาณตนเหมาะ แสดงแก่คนที่เหมาะควร คนนี้แหละไม่มีอาบัติใดๆเลย อาตมามั่นใจว่าตนเองอยู่ในข้อที่ 7 ในสันติอโศก ไม่มีใครนอกจากอาตมาคนเดียวที่แสดง แล้วอาตมาก็มั่นใจว่าอาตมาไม่ได้ปาราชิก อาตมาไม่ได้ผิด

 

ต้องเข้าใจว่าอวดอุตริมนุสธรรมในตนเป็นอย่างไร แล้วมีผู้ที่เขาถือว่าเป็นปราชญ์ของศาสนาในไทย พูดว่า คนที่อวดอุตริมนุสธรรมคนนั้นไม่ใช่อาริยะ อาตมาก็ว่าคำพูดนี้ผิด เพราะว่าศาสนาพุทธ ตั้งแต่พระพุทธเจ้ามาท่านก็อวดอุตริมนุสธรรม แล้วท่านก็มีหลักวินัยให้อวด แล้วอย่าให้อวดในสิ่งที่ไม่มีในตน

 

เขาเข้าใจว่า อวดอุตริมนุสธรรม ไม่ได้ตามผู้รู้ในประเทศไทยพูดกัน อาตมาขอยืนยันหลักฐานสำคัญข้อแรกก่อน

 

คำว่าอวดอุตริมนุสธรรม ในปัจจเวกขณ์ ข้อที่ 10

10. คุณวิเศษยิ่งกว่ามนุษย์สามัญ(อุตริมนุสธรรม)ที่เราบรรลุแล้ว มีอยู่หรือไม่ ที่จะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขิน(มังกุ) เมื่อถูกเพื่อนสหพรมจรรย์ถาม ในกาลภายหลัง คำว่าเก้อยาก คือมังกุ คือเมื่อเขามาถามว่าท่านบรรลุขั้นไหนบ้าง ก็ลำบากอึดอัด เพราะตนไม่บรรลุหากบอกว่าบรรลุจะปาราชิก แต่ว่าแสดงออกแล้วเขาเข้าใจว่าตนบรรลุอีก ก็จุกเลย นี่คือยิ่งกว่าเก้อเขิน คือมังกุ แต่ถ้าคุณไม่แสดงโวหาร ความมีธรรมเลย ใครเขาจะถามคุณล่ะ เขาก็จะถามคนที่แสดงท่าทีมีภูมิธรรมว่าอย่างกับปราชญ์เลย ก็ไปเจอเข้าลูกศรคำว่ามังกุนี่เสียบ จะทำอย่างไร? หากอัตตาสูงก็จะตอบว่าตนมี ทั้งๆที่ตนไม่มี ถ้าอัตตาสูงก็ตอบเลี่ยงหรือตอบว่าไม่มีก็ขายขี้หน้าตาย ก็ใช้โวหารให้คนเข้าใจ จะได้ไม่เสียท่าเสียหน้าแล้วให้คนเข้าใจผิดว่าเรามี เช่นตอบว่าเขาไม่ตอบกันหรอก ผู้เป็นอรหันต์ด้วยกันก็จะรู้อรหันต์ด้วยกัน...คนฟังเขาก็เข้าใจว่าท่านนี้เป็นอรหันต์แน่เลย แต่ตอบเพื่อไม่ให้ปาราชิกแน่...นี่แหละคือมันซับซ้อน

 

ผู้ที่ไม่มีความรู้เพียงพอ ก็อย่าไประบุชื่อเลย มันจะเสียหาย อาตมาพูดนี่ก็ไม่ได้พูดชื่อที่เขาพูดเรื่องนี้ออกไปในสาธารณะ แต่ในยุคที่อาตมาถูกเป็นคดีความก็มีพูดกันเยอะเลย

 

มีผู้ส่งสารมาอีกว่า...ลูกศิษย์สมีเกษมบอกว่า ถึงอาจารย์จะทำผิดก็จะให้อยู่สั่งสอน เพื่อให้สติปัญญาแก่พวกเขาต่อไปเพราะได้ประโยชน์จากการสั่งสอนที่ไม่ติดยึด ความเห็นแบบนี้ถูกต้องไหม?

 

ตอบ..ความเห็นแบบนี้ไม่ถูกต้อง คือผู้ปาราชิกแล้วคือผู้ขาดไปจากศาสนาพุทธ 1ชาติไม่มีสิทธิ์มาเกี่ยวข้องโยงใยกับศาสนาพุทธอีกชาตินี้ เป็นภัยด้วยไม่ให้เกี่ยวข้อง ถือว่าเป็นการตายไปจากศาสนาพุทธ เป็นโทษสูงสุดในศาสนาพุทธ สูงกว่าพรหมทัณฑ์ ซึ่งพรหมทัณฑ์นั้นไม่บอกไม่สอนแต่ให้อยู่ในแวดวงศาสนาได้ ฟังธรรมได้ แต่เราไม่สอนคนผู้นี้แม้เขามีอยู่ก็เหมือนไม่มีอยู่ แต่เขาจะแสวงหาเองติดตามเองได้แต่ปาราชิกนี่ไม่ได้เลย จะมาต่อภูมิของศาสนาพุทธในชาตินี้ไม่ได้ ผู้ให้ธรรมะก็ไม่ให้เขา ในชาวพุทธด้วยกันห้ามคบค้าสมาคม ถึงขนาดนั้น แต่เดี๋ยวนี้ปาราชิกก็ซูเอี๋ยกันศาสนาพุทธเลยเน่า เพราะเอาเชื้อร้ายเข้ามา เน่าเหม็นยิ่งกว่าปลาร้า เพราะเข้าใจปาราชิกไม่ได้ การจะบอกว่าลูกศิษย์บอกว่าถึงแม้จะผิดก็ให้อยู่สั่งสอนนี่คือความเสื่อมของศาสนา หากไม่แข็งแรงก็แย่ รู้ว่าปาราชิกก็ซูเอี๋ยกัน ไม่เชื่อพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า

 

คำว่า ศึกษาแบบไม่ติดยึด คำว่าไม่ติดยึดคือคนที่จิตว่างสิ นี่คืออวดชนิดที่รู้ว่าตนเองผิด แต่กลบเกลื่อนว่าตนมีภูมิธรรม แต่ตนทำผิดร้ายแรงปาราชิก คนที่มีศาสนามีคุณธรรมจริง ธรรมะระดับไม่ติดยึดคืออรหันต์ แม้แค่โสดาบันก็ไม่กล้าทำปาราชิกหรอก มันย้อนแย้งในตัวเลย ผู้มีจิตว่างไม่ติดยึด

 

คำว่าว่าง นี่ มี 3 ประเด็นง่ายๆ

1.ว่างคือ มีความรู้ เข้าใจ เป็นหลักเกณฑ์แห่งเหตุผล นั้นๆ หลงว่าจิตตนว่าง เข้าใจเหตุผลลึกซึ้ง แล้วหลงจริงว่าจิตตนว่าง คนแบบนี้มีเยอะ เข้าใจดีเลย ลึกซึ้งเลยว่าไม่ติดยึด ว่าง แต่เป็นแค่เหตุผลตรรกะ นี่คือจิตว่างที่มีอยู่แล้วทำให้เสียหาย คำว่าจิตว่างคืออุตริมนุสธรรมนะ แล้วตนอธิบายก็ไม่ได้ คนมีจิตว่างต้องอธิบายสภาวจิตได้ นอกจากอธิบายตรรกะ ซึ่งก็จะถูกจับได้ สายปัญญาฉลาดนี้มีหลงตนเยอะ ว่าจิตว่าง

 

2.จิตว่าง คือจิตที่มีอาการอยู่เฉยๆ คนนี้หยังรู้ปรมัตถ์ รู้จิตตน โดยการควบคุมให้จิตตนมีภาวะเฉยๆได้ มีหลายวิธี เมื่อทำได้ก็ยึดว่าจิตตนว่างแล้วเป็นสมถะ แต่เป็นแบบสมถะ ไม่ใช่ของพุทธ โดยเฉพาะสายเจโตนั่งสมาธิ ทำได้แข็งแรง จนนอนก็ไม่ฝัน ดับได้ แล้วก็มาตีความขยายความกันว่า อรหันต์แล้วจะนอนไม่ฝัน ที่จริงอธิบายเช่นนั้นผิด การนอนฝันหรือไม่ก็เป็นสมถะก็ทำได้ไม่ฝัน

 

3.จิตว่างอย่างถูกต้อง คือจิตที่เรียนรู้ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นปรมัตถธรรมที่แท้ รู้จักอาการจิต รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส รู้สมุทัย แล้วทำให้มันจางคลาย มีอนุปัสสี 4 แล้วมันดับได้อย่างถาวร มีแลบเลียไหมก็ทำให้ดับถาวร จนครบเวทนา 108 จนครบอวิชชาข้อที่ 7 อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

พวกจิตว่างแต่ตรรกะมีเยอะสายมหายานมีเยอะผิดไปไกล แล้วนับถือกันว่าเป็นอรหันต์ เขาเรียกว่าโกอาน เป็นปรัชญา เป็นเชิงปรัชญาเยอะ เอามาเล่นคารม มาพูดกับอาตมา ก็รู้ว่าเขาไม่มี มันย้อนแย้งตนในตัว ไม่มีสภาวะรองรับ

 

ส่วนพวกได้สมถะก็หลงตนเอง น่าสงสาร เขาได้จริง แต่ได้ความไม่แท้ พระพุทธเจ้าแบ่งคนออกเป็นบุคคล 4 บางคนได้แต่เจโตสมถะไม่ได้โลกุตระ ซึ่งแม้แต่โสดาบันก็ต้องรู้กายในกาย แล้วเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ตั้งแต่มีผัสสะ แล้วมีองค์ประชุมกาย ต้องอ่าน รูปกาย อ่านออก แล้วก็รู้ว่ารูปกาย นี้มีลักษณะอารมณ์อย่างไรเรียกว่าเวทนา ก็คือจิตตน มีองค์ประชุม แล้วเกิดสุขทุกข์หรือเฉยๆอย่างไร มากหรือน้อย แรงหรือเบาก็รู้อีกมาก เป็นของตนตามเวทนา 108 ก็แยกเนกขัมมะกับเคหสิตะได้ รู้อย่างไม่มีวิจิกิจฉา อ่านทั้งภายนอกภายใน เป็นอัชฌัตังอรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ ให้รู้ว่าตัวเหตุแท้คืออย่างไร ทำสำเร็จได้ตามลำดับ ถ้าได้นิยตะระดับหนึ่งแม้ไม่รู้ว่าอาสวะตนเองสิ้นหรือไม่ก็ได้ตั้งแต่ระดับโสดาบันเป็นต้นไป รู้ จิต  มโน วิญญาณ ก็คือกาย อย่างที่พระไตรฯพระพุทธเจ้าตรัสไว้

 

ต่อไปเป็นการตอบปัญหา ประเด็น

 

_อาการทุกข์จากการเจ็บป่วย เช่นปวดอย่างนี้ถือเป็นผัสสะไหม? แล้วเลี่ยงได้ไหม?์

ตอบ...เป็นผัสสะเป็นทุกข์เรียกว่าพยาธิทุกข์ ก็ต้องผัสสะอาการสรีระนั้นของคุณเกิดจากอวัยวะเจ้าการไม่สมดุล ปวดเจ็บเป็นผัสสะ แต่เป็นทุกข์อันเลี่ยงไม่ได้ ทุกอาริยสัจนั้นเนื่องมาจากจิต  ซึ่งทุกข์อาริยสัจนั้นสามารถดับได้อย่างเด็ดขาด แต่ทุกข์เพราะเจ็บปวดนี่เลี่ยงไม่ได้

 

_พอเราทุกข์เช่นนี้เราจะพิจารณาทำใจในใจอย่างไร
ตอบ..
.ก็เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ มีขันธ์ 5 ก็เลี่ยงไม่ได้ก็ต้องปลง ว่าเป็นทุกข์แล้วคิดหาต้นทางว่าเราไปหามาเพราะว่าเราแส่หา หรือว่าอย่างที่บาดเจ็บไปตีรันฟันแทงหรือเอายาพิษยาเสพติดมากินก็ทำเอง หรือไม่ได้ไปหาเลย แต่ก็เกิด ไม่ได้อยากได้เลยแต่มันเป็นก็ต้องยอมรับ สุดท้ายก็ต้องปลงว่านี่แหละคือขันธ์ 5 ซึ่งทุกข์อาริยสัจนั้นแก้ได้แต่ทุกข์ขันธ์แก้ได้ สามารถบรรเทาได้โดยหัดฝึกเจโตสมถะ ตัดการรับรู้ที่จะไปเกี่ยวข้องกับสรีระ ท่านใช้สำนวนกว่า แยกกายแยกจิต ที่จริงควรบอกว่า แยกร่างแยกจิต แยกปสาทรูปที่ไม่มีจิตเข้าไปร่วม เช่นตากระทบรูป แต่จิตไม่ไปรับรู้ก็ไม่เห็น เสียงดังอย่างไรก็ไม่ได้ยินได้หากจิตไม่รับรู้ พระพุทธเจ้าก็ทำได้ คนก็ทำได้หากฝึกเอา

 

_สตอว์เบอรี่ที่คนเขาเขาบอกว่า คาดว่าจะไร้สารพิษ จะถวายพ่อครูได้ไหม?

ตอบ...ก็อย่าทำร้ายอาตมาเลย หากไร้สารพิษจริงก็ค่อยเอามาเถอะ หากถวายมาก็มาจ้องดูอีกว่าอาตมาฉันไหม?

 

_ถามว่า ปรัชญาคืออะไร

ตอบ...ปรัชญาเป็นภาษาบาลี คู่กับคำว่าปัญญา แต่ปรัชญาหมายถึงฉลาดที่ได้ใช้ความฉลาดนั้นมาประมวลแล้ว ไม่ใช่ฉลาดทั่วไป แต่เป็นความฉลาดที่ผู้รู้ผู้นั้นรวบรวมมาเป็นหมวดหมู่บทตอน เขาก็เลยเลือกไปเรียนวิชาความฉลาดอย่างปรัชญานี้เป็นวิชาหนึ่ง

 

_ชื่อใหม่ของสิกขมาตุ สัจฉิกตา เขียนอย่างไร ชอบการเทศน์ของท่านมาก ท่านเทศน์แล้วโดน

ตอบ...สะกด สัจฉิกตา แปลว่า ผู้แจ้งแล้ว

 

_คนทำบุญกันเพื่อหน้าตา เงินวัด นำไปเก็บไว้ไม่ได้เอาไปทำให้เป็นประโยชน์กับคนเป็นจำนวนมาก ได้บุญไหม?

ตอบ...คำว่าบุญ นี้ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง แต่การทำกุศลเพื่อเอาหน้าตา อันนี้หมายถึงทำทาน ก็ได้เงิน แล้วเอาไปเก็บไว้ไม่ทำประโยชน์... ตอบว่าส่วนหนึ่งเป็นการเสียสละเงินจริงเป็นกุศลเป็นความดีงามว่าสละ แต่จิตใจนั้นไม่ได้เป็นบุญเลยไม่ได้ชำระกิเลสเลย การทำทาน แต่จิตคุณขี้โลภ แล้วก็ยังเอาหน้าเอาตาอีก แล้วยังเก็บเงินนั้นไว้อีก คนที่รับทานก็ไม่ได้เอาไปทำประโยชน์ เป็นทานที่ทั้งผู้ให้(ทายก) ผู้รับ (ปฏิคาหก) ไม่เกิดกุศลสมบูรณ์ แต่ทานบริจาคของคนทานก็อย่างน้อยได้กุศลบ้าง แต่โทษมันมากกว่า เพราะถ้ากิเลสแรงกว่า ถ้าทำทานแค่นี้แต่ทวงบุญคุณมากมาย ให้เขาทดแทนมากกว่าเก่าก็ยิ่งเลอะ คนนั้นยิ่งได้แต่บาป อกุศล

 

_ความรักเป็นเช่นไรคะ?

ตอบ...ความรักก็คือจิตใจ เป็นความเกื้อกูลเมตตาช่วยเหลือ เรียกว่าความรักที่ดี มีแมตตาปราณีช่วยเหลืออุ้มชูเลี้ยงดู แต่ความรักเดี๋ยวนี้มันเยอะเป็นความรักทางเพศต้องการมาเป็นตนเป็นของตน เป็นโทษเป็นทุกข์เราก็อย่าไปมี

 

_ธรรมะพ่อครูถ้าใครเข้าใจดีๆก็จะเข้าถึงองค์พุทธาภิธรรมนิมิต

ตอบ...ถ้าเป็นองค์ใหญ่ก็เป็นหินทราย ถ้าเข้าถึงองค์นั้น ถ้าจะหมายถึงอภิธรรม ก็คือเข้าถึงพุทธที่ยิ่งกว่าธรรม (อภิธรรมนิมิต) ก็ถูกต้อง

 

_ทำไมคนถึงพูดชื่อน้องหนูผิดๆถูกๆ

ตอบ..ไม่บอกก็รู้ว่าใครถาม ด.ญ.หน้าต่าง ตอนนี้กำลังมีน้อง ตอนนี้ตั้งชื่อน้องว่า ปองเอี้ยม ที่จริงแล้วคำว่า ปองเอี้ยม เพี้ยนมาจากคำว่า ปองเยี่ยม แปลว่าหน้าต่าง ซึ่งพี่สาวเขาคนที่ถามมาก็คือหน้าต่าง

 

คำว่าปอง แปลว่า หน้าต่าง หรือไปเยี่ยมกันได้ให้มีช่องเยี่ยมกันได้ หรือปอง แปลได้อีกหมายความว่า เฉลียวฉลาด  ตรงกันข้ามกับคำว่า ปึกที่แปลว่าโง่ แล้วคำว่า เยียมนี่แปลว่ายอดอีก คือฉลาดยอด ปองเยี่ยม


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 16:57:54 )

580121

รายละเอียด

580121_ธรรมาธรรมะฯสันติฯ เรื่องอำนาจ 3 อย่างคือ

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 21 ม.ค. 58 แล้ว บ้านเมืองไทยเรายุคนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่ ในบ้านเมืองก็มีเรื่องมีราวที่คนที่ไม่ค่อยจะเอาใจใส่ ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาอาศัยบ้านเมือง เพื่อล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุขให้แก่ตน คนนี้อาตมาว่ากตัญญูมากเลย ก็คล้ายกัน กับคนที่ออกบวชแล้วเข้าป่าเขาถ้ำไป บิณฑบาตเลี้ยงชีพไป อันนั้นก็ไม่ได้ขูดรีดสังคมมาก แต่คนที่ขูดรีดสังคมอยู่ หรือคนที่ไม่ได้ดูดำดูดีอะไรสังคมเลย ทั้งที่ตนเป็นหน่วยหนึ่งในสังคมก็น่าจะช่วยสังคมได้เท่าที่ควรทำได้ตามฐานะของตน แต่ก็ไม่ทำเลยไม่เอาใจใส่เลย บางคนร่ำรวย ก็ไปขูดรีดเขาอีก แม้การเลือกตั้งกฎหมายมีให้ไปเลือกตั้งแต่ก็ไม่สนใจเลย ไม่สนใจว่าการเมืองคืออย่างไร จะต้องช่วยบ้านเมืองก็ไม่ทำเลย อันนี้คือคนอกตัญญู ต่อบ้านเมืองได้แต่หนี้ได้แต่นรก ก็มีคนแบบนี้อีกเยอะ

 

เราต้องศึกษาความเป็นคน ความเป็นมนุษย์ว่าควรทำอย่างไรบ้าง ตอนนี้ผู้ที่บริหารบ้านเมือง มีหน้าที่ต้องช่วยบ้านเมืองมีจนท.ประจำ มีขรก.ก็มี ที่อาศัยเงินภาษีจากปชช.โดยตรงเลย แม้ขรก.การเมืองก็มีการเข้ามาตามแบบปชต. แต่แล้วก็มีปู้ยี้ปู้ยำประเทศทำร้ายประเทศตนเองก็ทำบาป จนบ้านเมืองไม่สงบ ตนเองเป็นคนไม่ดีก็เลยเดือดร้อนมาก เพราะเพาะบ่มความชั่วเลวมีเชิงซับซ้อนสืบทอดกันมาอีก หาวิธีฉลาดชั่วได้อีกมากมายวิธีการ อาตมาก็เรียกภาษาทางวิชาการว่า อวิชชา คือฉลาดฉิบหาย

 

ยกตัวอย่างนะ อย่างนายกฯปู เป็นนายกฯคนก่อนก็ได้รู้มาจากพี่ชายคนก่อน มีวิธีการง่ายๆ คือไม่เข้าไปสภาฯ ไม่ไปรับรู้ ตั้งแต่เริ่มต้นเลย ไม่ยอมเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งไม่เคยเลยที่หัวหน้าพรรคเองไม่ได้เป็นนายกฯ เป็นอิทธิพล รู้กันทั่วโลก ว่าอิทธิพลอันนี้มาจากทักษิณ ไม่ต้องปิดบังเลย มันเรื่องจริง เป็นกลวิธี เป็นเล่ห์ชนิดหนึ่ง ถ้ามียุบพรรคจะได้ไม่โดน แม้เลี่ยงกันอยู่ก็คือ ตนเป็นคนควบคุมการบริหาร แต่แล้วโครงการใหญ่คือจำนำข้าวเสียหายหลายแสนล้าน ก็บอกว่าตนเองไม่เกี่ยวเลย นี่คือเป็นความฉลาดฉิบหาย ที่แปลมาจากคำว่าอวิชชาแท้ๆเลย เจตนาใช้เล่กลเลี่ยงหน้าที่ ไม่ยอมรับผิด ไม่ใช่คนที่มีจิตใจกล้าหาญจะมาทำงานใหญ่ระดับอย่างนี้เลย ต้องใช้สำนวนว่า “หน้าตัวเมีย” ถ้าเป็นผู้ชาย แต่นี่ผู้หญิงก็ต้องใช้คำอื่น

 

อาตมาพูดนี่ก็ไม่ได้มีจิตโกรธแค้นนะ ที่พูดนี่ก็เป็นการอวดอุตริมนุสธรรมด้วย ที่ตอนนี้เขาก็มีกรณีพระเกษม เขาก็วิจารณ์กันไปในสังคม ก็เป็นนานาสังวาสก็เข้าใจกันไปต่างๆกัน ก็ท่านเจตนาดีก็แล้วไป แต่ท่านที่เจตนาร้ายก็ต้องช่วยกันปราม หรือแม้ท่านว่าท่านเจตนาดีแต่ว่า มันกระทบกับความเป็นพุทธร่วมกัน ก็ท้วงติง ปฏิโกสนาได้ วิจัยวิจารกันอย่างแรงก็ได้ แต่อธิกรณ์กันไม่ได้ คือฟ้องร้องเอาผิดกันไม่ได้ อาตมาก็ทำตามหลักนี้ตลอด ซึ่งถ้าไม่วิจัยวิจารก็ไม่รู้ว่าที่ทำนี่ผิด ร้ายแรงนะ ก็ด้วยความปรารถนาดี อาตมาก็ทำตรงนี้เพราะว่าไม่มีใครเขาทำกันมากนัก

 

อาตมาก็ขอเอาบทความจากไทยโพสต์ ที่เป็นบทบรรณาธิการวันนี้มาอ่านสู่ฟัง
ต้องกล้าเลือกความถูกต้อง

“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี  หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้" พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11  ธันวาคม 2512

    ถือเป็นพระบรมราโชวาทที่ยังสดใหม่อยู่เสมอไม่ว่าเป็น  พ.ศ.ใด โดยเฉพาะเพลานี้ซึ่งเป็นช่วงวัดการทำหน้าที่ของ  220 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อย่างแท้จริงว่าสมกับการกินภาษีประชาชนหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะสมาชิกที่มาจากฟากฝั่งความมั่นคงทั้งทหารและตำรวจ  เพราะล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาในวันกองทัพไทย ผู้นำทั้ง 4 เหล่าทัพได้เข้าร่วมพิธีถวายราชสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 พร้อมทั้งบวงสรวงบูรพกษัตริย์ ตลอดจนเหล่าบรรพชนที่ได้สร้างวีรกรรมอันกล้าหาญสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยไว้

ในงานดังกล่าว ผู้นำกองทัพได้ให้โอวาทยืนยันการทำหน้าที่ว่า จะปกป้องรักษาชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์  เป็นที่พึ่งของประชาชนทุกโอกาสตลอดไป ซึ่งบทพิสูจน์ส่วนหนึ่งก็จะสะท้อนออกมาในการลงคะแนนถอดถอน 3 อดีตนักการเมือง ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหาในวันที่ 23 ม.ค.นี้ว่าจะออกมาแบบใด

    เราต้องยอมรับความจริงว่า ไม่ว่าผลการลงมติถอดถอนนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา, นายสมศักดิ์  เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีบทสรุปอย่างไร จะได้เสียงถึง 3 ใน 5 หรือ 132 เสียงถอดถอนสำเร็จหรือไม่อย่างไร ย่อมมีผลกระทบทั้งด้านบวกและลบอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่สิ่งที่สมาชิก สนช.ต้องคำนึงมากกว่าเรื่องของผลกระทบจากมติ นั่นคือการธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม และการเลือกยืนบนความถูกต้องตามหลักฐานที่มี

    ที่สำคัญการลงมติดังกล่าว สนช.ต้องพึงสำเหนียก โดยเฉพาะกรณีของนายสมศักดิ์ และนายนิคมนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไปแล้ว ซึ่งแม้รัฐธรรมนูญปี 2550 จะถูกฉีกทิ้งไป แต่คำตัดสินนั้นเกิดก่อนการทำรัฐประหาร ที่สำคัญตัวองค์กรศาลรัฐธรรมนูญเองก็มิได้ถูกยุบแต่ประการใด  ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นต้องถือให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐตามที่เคยระบุไว้ ดังนั้น หาก สนช.จะลงมติที่ขัดหรือแย้งต่อคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ต้องตระหนักว่า สนช.ทั้งหลายจะกลายสภาพเป็นผู้บั่นทอนและทำลายกระบวนการยุติธรรมเสียเอง

    เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตยอย่างเต็มใบเสียทีเดียวนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่ารัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็มิได้ใช้อำนาจเยี่ยงเผด็จการในเรื่องดังกล่าวเหมือนนานาประเทศที่มีการยึดอำนาจรัฐประหารกัน เพราะยังให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหามาแก้ตัวแก้ต่างชี้แจงการถอดถอน ซึ่งหากเป็นประเทศอื่นที่ถูกรัฐประหารยึดอำนาจแล้ว อย่าไปพูดถึงเรื่องของการมาชี้แจงเลย เขาเหล่านี้แค่จะเห็นแสงเดือนแสงตะวันยังตอบไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร

    ฉะนั้น บรรดาพวกลิ่วล้อหรือนักวิชาการบนหอคอยงาช้างทั้งหลายจึงพึงตระหนัก อย่าเพียงคิดแต่เรื่องของโลกสวย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ออกมาตีโพยตีพายกรณี สนช.มิให้ตัวแทนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอบข้อซักถามแทน เพราะในความเป็นจริงเขาเหล่านั้นมิใช่ผู้ถูกกล่าวหา ที่สำคัญการพิจารณาของ สนช.ก็เหมือนกับกรณีการซักค้านในศาลสถิตยุติธรรมทั่วไป ที่จำเลยก็ต้องเป็นผู้ตอบคำถามเอง มิใช่ให้ใครหน้าไหนมาแก้ต่างแทน

    ยิ่งพิเคราะห์สื่อต่างประเทศในเรื่องนี้แล้ว ก็เห็นชัดแจ้งว่าเป็นพวกติดรูปแบบ โดยมิได้สนใจข้อเท็จจริงความเป็นไปอันเป็นเนื้อแท้ของประเทศไทย จากการเปรียบเทียบว่า สนช.เป็นสภาหุ่นของคณะรัฐประหาร ซึ่งหากเป็นเช่นดังสื่อนอกแล้วไซร้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเป็นตัวอะไร เพราะหากเจ้าตัวมิใช่หุ่นเชิดที่ถูกพี่ชายหรือคนรอบข้างชักใยไปซ้ายไปขวา จะเกรงกลัวอะไรกับการต้องมาตอบคำถามด้วยตัวเอง หรือต้องรอดูคำถามเสียก่อน เรียกว่าเป็นพวกสันดานชอบใช้สิทธิพิเศษเหนือคนธรรมดาสามัญหรือไม่อย่างไร

    นับตั้งแต่วันพุธเป็นต้นไปจนถึงสุดสัปดาห์นี้ เราจะได้เห็นการทำหน้าที่ของ สนช.ว่าสมฐานะ สมกับภาษีของคนทั้งประเทศหรือไม่ ที่สำคัญคนไทยกว่า 65 ล้านคนจะวาดหวังกับการปฏิรูปประเทศที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้มากน้อยเพียงใด ทั้งหมดขึ้นกับการลงมติของสมาชิกทั้ง 220 ท่านนั่นแล.

 

พ่อครูว่า...พระราชดำรัสนี้เป็นพระราชดำรัสที่มีค่ายิ่ง ...“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี “ อันนี้แน่นอน แม้พระพุทธเจ้าอยู่ก็ยังมีคนดีและไม่ดีอยู่ในนั้น นับประสาอะไรกับคนทั่วไปที่ไม่ได้ตั้งใจปฏิญาณตนว่าจะประพฤติดีเลยก็ต้องมีบ้าง

 

ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด..นี่เป็นความจริงที่แย้งไม่ได้

 

 การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี  ...พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดี แต่อาตมาก็ว่า ก็ต้องพยายามช่วยกันทำให้คนเป็นคนดี แต่ทำให้ทุกคนเป็นหมดไม่ได้

 

หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"

 

จุดนี้แหละที่สำคัญมาก เพราะว่าที่เดือดร้อนกันทุกวันนี้เพราะปล่อยให้คนไม่ดีไปมีอำนาจ เพราะคนไม่ดีก็ย่อมต้องแย่งอำนาจไป ประเด็นนี้คือสำคัญอย่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ต้องช่วยกันอย่างสำคัญ ต้องช่วยกันกวาดล้างคนไม่ดีที่ปรากฏชัดแล้ว ผู้มีดวงตา ปัญญา ความรู้ อย่านอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น

พ่อครูว่า..สังคมประเทศไทยที่ได้มาถึงทุกวันนี้ได้พยายามออกแบบให้เป็นโครงสร้างของการเมืองแบบนี้ อาตมาเรียกว่า “ค่ายกลการเมือง” เขาสร้างค่ายกลต่างๆนานาสารพัด นักการเมืองเข้าใจกันดีเลยว่าจะใช้ช่องทางไหน จนปชต.ของไทยเละยิ่งกว่าขี้แพะ

 

สอนกันจนคณะรัฐศาสตร์ว่าผู้ใดได้อำนาจผู้นั้นแหละมีสิทธิ์ในการทำทุกอย่างได้ แล้วก็เลยต้องแสวงหาอำนาจกัน คำว่าอำนาจนี่ลึกซ้อนด้วยอำนาจเลวร้าย อำนาจบาทใหญ่

 

อำนาจมีสองอย่าง คืออำนาจที่เลว และอำนาจที่ดีเป็นปชต. แต่ว่าอำนาจดีนี้ก็แยกออกเป็นสองอย่างคือ  อำนาจแบบโลกียธรรม กับอำนาจแบบโลกุตรธรรม ซึ่งเมืองไทยจะทำได้ในอำนาจแบบโลกุตรธรรม

 

1. อำนาจ ซึ่งเกิดจากอวิชชา คือ ความฉลาดฉิบหาย เพราะความเป็น ความโง่ หรือความไม่รู้ทางธรรม

มีแต่ ความฉลาดที่เต็มไปด้วยอธรรม คือ ความชั่ว ความเลว ทุจริต อกุศลจิต แท้ๆทั้งโกง ทั้งกิน ทั้งกาม ทั้งหน้าด้านในระดับ ง่าน และ โด้ สารพัด

 

ง่าน คือ คน ด้าน (ชั่ว) ที่สุดโง่(อวิชชา)

โด้ คือ คน โง่(อวิชชา) ที่สุดด้าน (ชั่ว)

สังคมที่ตกอยู่ในอำนาจชนิดนี้ เป็นสังคมเถื่อน รุนแรง นี่คืออำนาจ ที่ได้ด้วยอวิชชา เป็นโลกีย์ทั่วไป จึงชั่วได้ เลวได้ ร้ายแรงได้ หยาบคาย รุนแรง ดื้อด้าน หน้าด้าน หน้าทน ก็กล้าทำ

 

2. อำนาจ ซึ่งเกิดจาก อวิชชา คือ ความฉลาดฉิบหายซับซ้อน  เพราะมีความฉลาดหรือความรู้ในกัลยณธรรมโลกีย์

 

ซึ่งมีทั้งความฉลาดที่พอเป็นธรรม ที่เป็นกุศลด้วย แต่นำคุณธรรมของกัลยาณชนนั้นมาหลอกปะหน้า แต่จิตลึกๆก็เห็นแก่ตน ยังคงสร้างอำนาจที่อวิชชาให้แก่ตนๆ ด้วย อธรรม จึงยังชั่วยังเลว ทุจริต อกุศลจิตแท้ๆ โกง ทั้งกิน ทั้งกาม ซึ่งดูเหมือนไม่หน้าด้าน ไม่หยาบคาย หลอกคนให้หลงว่า ตนไม่ชั่ว ไม่เลว

แต่บางทีเขาก็มีคุณงามความดีในตนบ้าง ครั้งคราวใดที่สังคมมีกัลยาณชนแบบนี้มาปกครองสังคมก็ดีขึ้นบ้าง ทั้งโลกก็ใช้เชิงนี้ทั้งนั้น อาจเป็นกลุ่มคนดีที่ร่วมกันมากก็จะดีบ้าง แต่ไม่ถาวร เป็นกัลยาณชน ทั้งสิ้น ก็จะไม่อยู่ได้นาน หมุนเวียนกันไป เป็นกันทั้งโลกเลย มีการบริหารที่แบบสมบัติผลัดกันชม แล้วความสงบจะมีนัยต่างกันไปด้วย

 

จึงดูไม่รุนแรง ดูสุภาพ น่าเคารพ นับถือ แต่หมักหมม เน่าใน ถ้าความจริงเปิดเผยออกมาว่า อำนาจนี้ คือ อำนาจชั่วที่ฉลาดซับซ้อน มีเชิงชั้น ทั้งเลวชั่ว ทั้งหลอกลวง ให้หลงเชื่อสนับสนุน ด้วยเล่ห์กลสารพัด คนที่ถูกหลอก จะโกรธแค้น ถ้าหมักหมมอัดแน่นได้ที่ ถึงจุด ความชั่ว เปิดเผยชัดเจน รู้กันออกมาแบบถึงจุดวิกฤติ Critical point เมื่อไหร่ ก็คือการระเบิดของสังคม จราจลทันที

 

สังคมที่ตกอยู่ในอำนาจชนิดนี้ เป็นสังคมที่หลงกันว่า เจริญในโลกปัจจุบันนี้ แต่ที่แท้ซ่อนร้ายไว้ลึกลับ หลอกให้คนหลงคิด ไม่รู้ชั่วของตน

 

“อำนาจ” แบบที่ 1 ถือว่าชั่วร้ายหนักมาก ถือเป็นอารยชนของโลกีย์

 

ส่วนอำนาจ แบบที่ 1 นั้นเป็นโจรชั้นต่ำ นักเลงโต หยาบๆซื่อๆ จริงใจ โต้งๆเห็นๆ

 

แต่อำนาจ แบบที่ 2 นั้น เป็นโจรชั้นสูง ผู้ดีผู้ร้ายแท้ๆ จึงเป็นผู้ถือว่า ชั่วด้วยความคด ความไม่ซื่อ ไม่จริงใจ ทั้งหลอกลวง เล่ห์กลสารพัด ใช้ความฉลาดมาทำร้ายผู้อื่น อำนาจแบบนี้จึงเลวร้ายลึกร้าย ฉลาดฉิบหายซับซ้อน ส่วนอำนาจแบบที่ 1 ฉลาดฉิบหายแบบซื่อๆ

 

3. อำนาจ ซึ่งเกิดจาก วิชชา คือความรู้ ความจริง แบบพระพุทธเจ้า แบบที่ 3 นี้เป็นโลกุตรธรรม เป็นอาริยชนของโลกุตระ เป็น “อำนาจโดยธรรม” เพราะโลกุตระมีแต่ในศาสนาพระพุทธเจ้าเท่านั้น

 

เป็นความรู้ขั้นปรมัตถธรรมที่ผู้มีวิชชา เป็นความรู้แบบวิสามัญ แตกต่างจากชาวโลกีย์ เพราะจิตมี “ความจริง” และมี “อาริยะ” จริง

 

ความจริง นี้แหละเรียกว่า ปรมัตถสัจจะ เช่นเป็นโสดาบันจิตก็มีความจริงเช่นนั้นแบบไม่เดาเอา ไม่ใช่ได้แค่เหตุผลตรรกะ ความจริงต้องเป็นปรมัตถสัจจะ แตกต่างจาก ความจริง ที่เรียกว่า สมมุติสัจจะ เร่ิมต้นเป็นโลกุตระ 37 ตั้งแต่ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ไปจนถึง สัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ 8 ที่มีคุณสมบัติถึงฐานนิพพานคือ อุเบกขา ต้องเข้าใจอย่างละเอียด ซับซ้อนแต่เป็นระบบระเบียบ

 

ความจริงทั้งสมมุติสัจจะ และปรมัตถสัจจะ ซึ่งนับกันว่า เป็น “ความจริง”ทั้งคู่

 

เรามาแยกแยะ รายละเอียด ของ “ความจริง” 2 อย่างนี้กัน เร่ิมจากสมมุติสัจจะ คืออะไร?

 

แล้วจึงว่ากันถึง ปรมัตถสัจจะ

 

เราก็จะได้รู้ “อำนาจ” ทั้ง 3 อย่าง ชัดขึ้น โดยเฉพาะ “อำนาจ” โดยธรรม แบบที่ 3 ดีขึ้น รู้แล้วเราก็ต้องรู้ว่าเกิดเป็นคนต้องเอาอันนี้ให้ได้ ใครไม่ชัดว่าต้องเอาอันนี้ให้ได้ก็จะจมในวัฏฏะสงสารต่อไปอีกนานเท่านาน แต่ก็ต้องสั่งสมไป สำหรับอเวไนยสัตว์คงสอนไม่ได้

 

สมมุติสัจจะ ก็คือ ความจริงระดับโลกีย์ ที่มีสองขั้นง่ายๆคือ ปุถุชนกับกัลยาณชน

 

พวกกัลยาณชนคือคนดีศึกษาธรรมะได้ แม้หลายศาสนาก็เป็นคนดีสูงเยี่ยมยอดได้ แต่ประเด็นโลกียะกับโลกุตระมีการตัดเส้น ตัดเขตตรงไหน? จะข้ามไปโลกุตระ ก็คือ จิตตนเองจะต้องอ่านจิตตนเองออก โดยเฉพาะอ่านตัวแรกที่จะต้องอ่านได้คือ รู้เวทนาในเวทนา รู้อารมณ์ของจิต นี่คือประเด็นแรก อารมณ์จิตคือเวทนา ที่ปรุงแต่งเป็นกาย อารมณ์มี สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ นี่คือเวทนา 3 เป็นโลกียารมณ์ทั้ง 3 แล้วผู้จะแยกเป็นโลกุตระได้ คือเริ่มรู้ปริยัติว่าให้รู้ตัวจริงของสภาพที่เป็นอัตตาตัวตนของปรมัตถ์ของจิตเจตสิก เมื่อเรามีญาณอ่านรู้จิตของเราได้ โดยเฉพาะแยกตรงที่ว่า จับตัวเวทนาที่มีจิตเจตสิกปรุงแต่งอยู่ก็อ่านอาการจิตได้ เรียกมันว่า โทสะหรือราคะ มันประกอบด้วยลักษณะใดอ่านรู้เลย ผู้รู้เริ่มรู้ตัวนี้ ผู้นั้นเริ่มเข้ามรรค เป็นโสดาปัตติมรรค เริ่มรู้ กายในกาย เวทนาในเวทนาที่มีจริงในจิตเรา

 

ไม่ใช่เกิดจากความจำ เช่นการไปนั่งสมาธิเอา พระพุทธเจ้าถึงมีเงื่อนไขว่าแม้ทำถึงกายสักขี ทำอาสวะบางอย่างหมดได้แต่ก็ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงบรรลุ แม้โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ ก็ตาม ก็ต้องมีรูป 28 ครบ ยืนยันว่าสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

คำว่า กาย จึงสำคัญมาก ที่ต้องมีทั้งรูปและนาม ถ้าไปรู้กายแค่ว่าร่างเนื้อภายนอก ก็ไม่ได้อ่านรู้จิตที่เนื่องจากภายนอก แล้วไปเรียนรู้แต่ภายในอีก ตัดทวารนอกอีก ก็ได้แต่ความจำเป็นสัญญา จึงศึกษาไม่มีความจริง มีแต่ความจำ แม้อาสวะบางอย่างสิ้นไปได้ก็ไม่สมบูรณ์ ต้องมาสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ปฏิบัติให้เข้าถึงความจริงหากได้แค่ความจำไม่มีทางได้อรหันต์ ผู้ที่นั่งหลับตาแล้วบอกว่าบรรลุนี้ได้แค่ความจำ

 

ถ้าเราสามารถปฏิบัติรู้รูป นาม แล้วปฏิบัติแบบที่พระพุทธเจ้าสอนได้ ซึ่งไม่ใช่เป็นคนแบบพิศดารประหลาด ไม่ใช่ แต่เป็นผู้มีคุณวิเศษที่เขาสามารถล้างกิเลสได้ ลดกิเลสได้จริง แล้วพฤติกรรมในการปฏิบัติกาย วาจา ก็เหมือนคนทั่วไป ก็มีพฤติกรรมที่เกี่ยวกับความไม่ดี เรื่องอบาย เรื่องโลกธรรมที่เฟ้อเกิน หยาบแรง ที่ไม่ไปยุ่งด้วย แต่ในโลกก็มีอยู่ของมันไปไหนก็มีอบายมุขเต็มไปหมด หาที่ไหนก็ได้ เรารู้จักแล้วเราก็อยู่รวมสัมผัสกับมันได้ แต่ผุสฏัสสะ โลก ธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นกัมปติ จิตเราไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งกระทบเลย นี่คือจิตที่บรรลุเป็นโลกุตรธรรมสมบูรณ์เป็นอรหัตตผลแล้ว โสดาบันก็มีอรหัตตผลในอบายแล้ว แม้ไม่อรหันต์ก็อนาคามี ไม่มีสวรรค์ในอบายแล้ว แต่ก่อนเราเคยสุขทุกข์ มีรสชาติ แต่เมื่อเป็นโสดาบันก็เบาลงมา สกิทาฯก็เบากว่า อนาคามีก็หมดรสในกามคุณ แต่มีรูปราคะ หรืออรูปราคะ ที่เป็นระริกระรี้ เป็นพลิ้วพรายภายใน ศึกษาไปจะมีธาตุรู้ของเราเก่งขึ้นๆ ลึกซึ้งละเอียดกว่าพลังงานทางเจตสิก

 

การไปนั่งหลับตาจะไม่รู้จักองค์ประชุมภายนอกภายใน อ่านกายไม่ออก กายนั้นมีทั้งรูป กับนาม ไม่ใช่มีแค่วัตถุธาตุ การแตะกันอยู่เฉยๆเรียกว่า รูป กับ นาม แต่ไม่ทำปฏิกิริยากันอยู่เลย เหมือนขนมชั้น มันไม่คนกันไม่ปนกัน นี่คือ “รูปนาม” ไม่เรียกว่า “รูปกาย”

 

ถ้าเป็น “รูปกาย” รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ คุณรู้ว่านี่คือสักกายะ ก็อ่านมันได้อ่านเข้าไปลึกละเอียดแต่ไม่ขาดจากภายนอก แม้โสดาบันก็ไม่ได้ดับภายนอก มีองค์ประชุมครบพร้อมทั้งนอกและใน สกิทาฯ อนาคาฯก็ยังอยู่กับภายนอกปกติแม้จะเหลือแต่กิเลสภายในจิตในจิตแท้ก็ยังมีสัมผัสภายนอก เป็นความจริงไม่ใช่ความจำ สำเร็จอิริยาบถอยู่ในปัจจุบัน สำเร็จอรหันต์ก็สัมผัสสัมพันธ์อยู่ไม่หนีไปไหน จะรู้สังคมเศรษฐกิจการเมืองของมนุษย์ไม่ต้องปลีกไปไหน หากจะปลีกก็เป็นการทดสอบเช็คผล ว่าตนติดป่าไหม แต่ไม่เช็คก็ได้ พระพุทธเจ้าว่า ป่านี้หาความวิเวกได้ยาก ไม่น่าอภิรมย์ ใครไม่มีจิตสมาธิพอสมควร ประมาณอนาคามีเป็นต้นไปหรืออรหัตตมรรคนี่แหละ ที่จะไปเช็คผล ว่าเรายังมีอาลัยฟุ้งลอยหรือไม่ เราห่างจากโลกธรรม แล้วจิตมันจะอยากมาหา อาลัยอาวรหรือเปล่าก็คือตรวจโลกีย์ หรือว่าหลงติดป่า ติดความสงบอีกเป็นอีกอย่าง

 

ความสงบเที่ยงแท้คือจิตอรหันต์ที่จิตสงบอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ความสงบเที่ยงแท้อยู่ในจิตเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในวัตถุแท่งก้อนใดๆ

 

เมื่อดับได้ละเอียดไปถึง อากาสาฯ วิญญานัญจาฯ อากิญจัญญาฯ เนวสัญญาฯ จนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็ไม่ต้องหนีไปจากสังคม แต่ปฏิบัติมรรค 7 องค์ เรียนรู้เหตุปัจจัยให้เกิดผลจนหมดสิ้นกิเลสก็เป็นอรหันต์อยู่ในสังคมจึงเป็นผู้โลกวิทู รู้จักโลก จึงช่วยโลกได้ เขาทำงานอาชีพ ทำกรรมกิริยากัน ในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สังคม กีฬาสารพัด ก็อยู่สัมพันธ์กัน ชัดเจน อาตมาเคยวิจัยวิจารณ์ว่า คนเรียนรู้ทางโลก เขาเรียนกันให้เด็กไปอยู่ในกล่องห้องเรียน วันแล้ววันเล่าไม่ได้มีชีวิตในสังคมจริง ไม่ครบสังคม บ้าน วัด โรงเรียน ไม่มีความรู้จริงที่ครบองค์ประกอบ มีการศึกษารู้กับของจริง แล้วได้เรียนทฤษฎีพระพุทธเจ้าที่ไม่ได้เอาเวลาไปปฏิบัติพิเศษนั่งหลับตาแต่อย่างใด แต่ของพระพุทธเจ้านี่อยู่กับของจริง จับโจรต้องจับตัวโจรให้แม่นๆ ให้เอาโจรตัวสำคัญไม่ใช่ว่าเผาไปหมดเมืองเลยแต่โจรไม่ตายหรือตายหรือไม่ก็ไม่รู้

 

อาตมาพูดนี่เพื่อให้เห็นว่าทฤษฎีพระพุทธเจ้าไม่ได้หนีโลกเลย เป็นโลกวิทู แล้วเกิดพรหมวิหาร 4 ไปด้วยเลย หรืออัปมัญญา 4 คือจิต เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาจริง เกิดความเป็นพระเจ้าหรือพระพรหมที่รู้จักโลก รู้จักสังคม อะไรที่ตนลดลงแล้วจะได้ช่วยสังคมเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่านไปในตัว ไม่ได้แยกจากสังคมเลย ถ้าศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าสัมมาทิฏฐิ เราจะได้พลเมืองที่มาช่วยสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุขไปอีกนานเท่านานเลย  ก็ต้องยกตัวอย่างชาวอโศกเพราะเป็นได้จริง

 

อาตมามั่นใจว่า ชาวอโศกจะไม่สูญสิ้นไป และจะเป็นต้นตอ เป็นผู้สืบสานศาสนาพุทธต่อไปอีก สองพันห้าร้อยกว่าปี แม้ตอนนี้อาจจะยังไม่มีต้นทุนต่อไปได้ อาตมาจึงยังไม่ยอมตายใช้หลักเดียวกับพระพุทธเจ้า ที่มารมาอาราธนาว่าท่านตายเสียเถอะ บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ตายเสีย พระพุทธเจ้าก็ตรัสกับมารว่ายังไม่ยอมตาย

...หากภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกและสาวิกาของเราจักยังไม่เฉียบแหลม  ยังไม่ได้รับคำแนะนำ  ไม่แกล้วกล้า  ไม่เป็นพหูสูต  ไม่ทรงธรรม   ยังปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม   ไม่ปฏิบัติชอบ  ไม่ประพฤติตามธรรมที่เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว

       ยังบอกแสดงบัญญัติแต่งตั้ง  เปิดเผย  จำแนก  กระทำให้ง่ายไม่ได้  ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์  และข่มขี่ปรับปวาทะ(คือแสดงวาทะจนเขายอมรับได้)ที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้เพียงใด   เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น  ฯลฯ .  (มหาปรินิพพานสูตร พตปฎ.เล่ม 10  ข้อ 102)

 

อาตมาจึงไม่ห่วงชาวอโศก คือถ้าอโศกเพี่้ยนผิด ไม่เป็นจริงแล้วก็เป็นไปไม่นานหรอก ที่อาตมาพูดไปนี่ก็เป็นบาปของอาตมา พวกคุณก็ได้เพียงชั่วคราว เหมือนกับสำนักอื่นที่หัวหน้าสำนักตายไปไม่นานก็เสื่อมสูญ เพราะไม่ได้เนื้อแท้จริง แต่ถ้ามีเนื้อแท้ก็อยู่ต่อไปอีกนาน สังคมต้องการคนอาริยะจริง ผู้เจริญจิริงที่จะเป็นผู้บริหาร ที่มีอำนาจแบบที่ 3

 

อำนาจที่ 3 นี้ไม่ได้เบ่งข่มใครไม่โลภ เอาของใคร เป็นคนมีวรรณะ 9

1.    เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.   บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.   มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) 

4.    ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.    ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.    เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.   มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.   ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.   ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

 

เลี้ยงง่าย คือคนชั้นสูง ที่ไม่ใช่ชั้นวรรณะที่เบ่งข่มถือศักดิศรีเท่านั้นนะ เลี้ยงง่ายไม่ใช่มักง่าย แต่คือมีเหตุผลมีกรอบขอบเขต ไม่ใช่ว่ากินดะคือกินง่าย มาว่ากินเนื้อสัตว์นี่เลี้ยงยาก ก็ไม่เถียงหรอก คนกินเนื้อสัตว์นี่กว่าจะได้สัตว์มายากกว่าเอาพืชอีก ความเลี้ยงง่ายคือไม่เรื่องมาก เป็นคนติดดินสามัญไม่ถือศักดิ์ศรี ไม่เจ้ากี้เจ้าการเจ้ายศเจ้าอย่าง

 

บำรุงง่าย คือทำให้เป็นคนเจริญง่าย

 

เป็นคนมักน้อย อาตมาแปลว่า กล้าจน อัปปิจฉะ มักนี่คือชอบ คือชอบจะมีน้อยๆยินดีที่จะมีน้อยๆ ภาษาอีสานนี่ใช้ชัดว่ามัก หรือชอบ สังคมเรานี่แม้มีคนเจ็บคนป่วยก็พึ่งพากันได้ ถึงสาธารณโภคี ทำมาเกิน 30 ปีแล้ว แต่ถ้าคุณไม่อัปปิจฉะ ต้องการมากๆอยู่ก็บอกว่าไม่พอ แล้วมาหาว่าที่นี่ไม่มักน้อย เขาก็อยู่ได้ แต่คุณอยู่ไม่ได้เพราะคุณตะกละเกินขีดเขาเขาก็ไม่ให้แล้วคุณก็ว่าเขาไม่มักน้อย เป็นต้น

 

มักน้อย เป็นตัวชี้บ่ง เป็นคนกล้าจน ไม่เอามาก แล้วอยู่ได้จริง ยกตัวอย่างเช่น แต่ก่อนเรากินจุบจิบ กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ก็มาตั้งเกณฑ์ให้กินน้อยลง ให้กินเป็นมื้อเป็นคราว เช่นกิน 3มื้อต่อวัน แล้วไม่จุบจิบเลย ลองดูนี่ได้มักน้อยลงแล้ว แล้วรับรองว่าไม่กินจุบจิบนี่ไม่ตายหรอก ไม่กินเล่นกินหัว กินเป็นมื้อเป็นคราวเรียกว่าวิกาลโภชนามีเวลาจำกัดในการกิน เรากินแค่ 3 มื้อน้อยลงมาได้ แล้วจะรู้ว่าเราอยู่ได้แล้วก็ดีด้วย เราไม่ได้เรียนแค่มื้อคราว แต่ต้องเรียนรู้ เรื่องหลอกลวงต่างๆเรื่องอัตตาด้วย เราลดลงมาได้ จาก 3 มื้อก็ว่ามากก็กินเหลือ 2 มื้อต่อวันมักน้อยลง แล้วสบายแล้วก็ลดลงเหลือ 1 มื้อต่อวัน อาตมาเคยฉัน สองวัน ครั้ง ก็ไปบิณฑบาตวันเว้นวัน แต่โยมก็ว่าจำไม่ได้ว่าท่านมาวันไหนมันเป็นวันคี่ ใน 7 วันนี่ ญาติโยมก็ว่า ท่านจะไปฉันสองวันครั้งนี่มันมากไป ก็เลยมาหยุดอย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่าวันละมื้อที่สลายแล้ว ทุกวันนี้จะให้วันละสองมื้อก็เมื่อยเลย

 

หรือเดือนหนึ่งคุณใช้ ห้าหมื่น ก็หัดลดลงมาเหลือเดือนละสามหมื่น จนว่าสามหมื่นก็ยังมากก็ลดลงอีกเหลือหมื่นห้า ถ้ายังมากอีกก็ลดลงเหลือเดือนละห้าพัน จนสุดท้ายเราเข้ามาอยู่กับหมู่กลุ่ม ไม่ต้องมีเงินเลยอยู่กับสาธารณโภคีรับรองว่าอยู่ได้ มักน้อยลงมาเรื่อยๆ ใช้กินกับหมู่กลุ่มไป เงินก็คือกระดาษทดแทนค่าของสังคม เป็นตั๋วแลกสิ่งของ

 

แต่การแปลว่า สันโดษคือพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ อย่างนี้ไปถามพวกเศรษฐีที่ได้รวยด้วยหลักโกงของทุนนิยมจนรวยมากเขาก็ว่าเขาก็พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่สิ เราต้องให้น้อยลงถึงพอนี่สิคือใจพอ น้อยก็พอจนกระทั่งทำงานฟรี พ้นลาภแลกลาภได้ในที่สุดในมิจฉาอาชีวะ 5 เราไม่ทำงานแลกแม้สรรเสริญ เราทำฟรี ทำให้ทำเสียสละ เรียนรู้จริงๆ แล้วอยู่กับมรรคองค์ 8 เป็นอรหันต์ จึงเป็นผู้อยู่เหนือโลก ใครถนัดด้านไหนก็เลือกแต่สิ่งดีสัมมา ทำงานรับใช้โลก คนเช่นนี้ไปเป็นนักบริหารหรือฐานะไหนก็ดีต่อโลก

 

ทุกวันนี้ชาวอโศกกลุ่มเล็กๆ แต่เราไปแสดงสมรรถนะ คนเป็นล้าน เราก็ทำตลาดอาริยะแถมขาดทุนให้สังคมเราก็ทำได้ เช่นผลไม้ผักหญ้า ขนมามากเกินไปตอนอยู่ราชดำเนิน เราก็ให้เด็กขนใส่รถไปแจก เขาก็งงๆว่าเอามาให้ทำไมเราก็ว่าเราเหลือกินก็เอามาแจก เราก็เห็นว่าเรามารบกวนพวกเขาด้วย เขาก็เข้าใจว่าเราไม่ได้มาทำด้วยเจตนารบกวน แต่ทำเพื่อเสียสละต่อชาติ เราไม่ได้ทำเอาหน้า ดราม่าเหมือนบางสำนัก แอคอาร์ท กันทำโชว์ จะเดินก็มีดอกไม้มาโรย ธุดงค์อะไรอย่างนี้

 

แล้วมีการขัดเกลา คำนี้ลึกซึ้ง ธรรมะพระพุทธเจ้ามีสัจธรรม สัลเลขธรรม นิยานิกธรรม สันติธรรม ตนเองขัดเกลาตน แล้วขัดเกลาได้ก็ช่วยขัดเกลาคนอื่นต่อ แต่ต้องมีศิลปะในการขัดเกลา แล้วเกิดความพ้นทุกข์แล้วเกิดสันติธรรม

 

มีธูตะคือศีลเคร่ง องค์แห่งศีลแต่ละข้อก็เคร่งขึ้นแล้วสำเร็จ ได้ธุตังคะ คือองค์ของศีล ธุดงค์ ไม่ใช้ทะลุดงไปป่าเขาถ้ำ ปฏิบัติได้ผลสบายตามองค์ของศีลแต่ละข้อ เช่นทำศีลข้อกินมื้อเดียวทำได้ก็เคร่งแต่ทำได้สบายๆ ใจเป็นแล้ว

 

มีอาการน่าเลื่อมใส มีคุณลักษระสมณะผู้สงบ น่าเลื่อมใสสำหรับผู้มีปัญญา

ไม่สะสม ทั้งกองกิเลสทั้งวัตถุสมบัติ ทั้งกิเลสตน อยู่กับสังคมอย่างสร้างสรร ยอดขยัน คำวาขี้เกียจไม่รู้จัก แต่ก่อนมีขี้เกียจแต่ตอนนี้ไม่มีขี้เกียจ แต่ดูรู้นะว่าอย่างไหนขี้เกียจ เป็นคนขยันเสมอ  คนรู้ว่าตนขี้เกียจคืออย่างไรก็คือคนฉลาดแล้ว เวลากำลังล่วงไปบัดนี้เธอทำอะไรอยู่ กายกรรมวจีกรรมที่ดีกว่านี้ยังมีอีก พระพุทธเจ้าว่าไว้ เราจะรู้ลักษณะการหมุนเวียนที่พอเหมาะสะพัดได้อย่างดีที่สุด จัดสรรได้อย่างดีเรื่องการเงินไม่ตะกละจิตไม่โลภมากจริง คือสังคมที่เจริญด้วยเศรษฐศาสตร์เจริญด้วยการไม่มุ่งร้ายใครเลย ช่วยคนอย่างดี อำนาจนี้แหละคืออำนาจที่สุดยอดประเทศไทยจะเป็นได้เราต้องมาช่วยกันทำอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วประกาศให้คนอื่นรู้แล้วทำตามได้แม้ท่านอยู่ในยุคสมบูรณายาสิทธิราช ไม่รู้สิทธิมนุษยชนเลยเป็นระบบทาสขนาดนั้นพระพุทธเจ้าก็ยังสร้างความเป็นอิสรเสรีภาพ เป็นสาธารณโภคีในวงสงฆ์ แต่ทุกวันนี้ทำได้ในฆราวาสด้วย เพราะเป็นยุคเสรี ทุกวันนี้เขาพยายามเปิดอาเซี่ยน ให้เชื่อมโยงใช้กันได้หมด เขาก็กำลังพาไปสู่สิ่งที่พระพุทธเจ้าพาทำ อาตมาพาพวกเราสร้างชุมชนก็ไม่ต้องทำรั้วบ้าน ของพระพุทธเจ้าทำไว้หมดแล้ว ของเรานี่ทำก่อน ให้เรียนฟรีเลย เรามีโรงเรียน ต่อไปจะทำถึงอุดมศึกษา

 

การสร้างอำนาจถ้าสำนึกว่าอำนาจจะทำลายกันก็จงระลึกถึงพระราชดำรัสที่ว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี  หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"

 

ตอนนี้ผู้ปกครองบ้านเมืองรู้ว่าใครดีใครไม่ดีก็เลยคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจได้ จงทำอย่างพระราชดำรัสเถิด ด้วยความภักดีเถิด อย่าได้แต่เปล่งกล่าวสาบานแต่ไม่ทำระวังนะ เป็นความขบถ เป็นกรรมจริงนะ ในวาระนี้เป็นวาระสำคัญมาก หัวเลี้ยวหัวต่อของชาติ ก็ฝากถึงผู้มีอำนาจในสังคม


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 16:58:33 )

580122

รายละเอียด

580122_เทศน์ก่อนฉัน ชมร.เชียงใหม่ ปรองดองแบบพุทธ 5 แบบ

พ่อครูเดินทางจากสันติอโศกในเช้าวันพฤ. 22 ม.ค. 58 เวลา 05.00 น.ไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง กทม. เพื่อเดินทางไปจ.เชียงใหม่ ระหว่างอยู่บนรถพ่อครูก็ได้แง่คิดเรื่องที่จะเทศนาระหว่างสนทนากับปัจฉาฯ และระหว่างรอขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง กทม.พ่อครูก็ได้พบกับพระสุเทพ และพระที่เคยเป็นอดีตสส. เช่น พระอิสระ มชัย ที่รอจะขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางไปจ.สุราษฎร์ธานี ก็ได้โอภาปราศรัยกันอย่างอบอุ่น ที่ครั้งหนึ่งได้เคยร่วมต่อสู้ ร่วมเป็นร่วมตายกัน ในการชุมนุม กปปส.   พ่อครูเดินทางมาถึงสนามบินเชียงใหม่ ในเวลาประมาณ 08.15 น. แล้วเดินทางต่อมาที่ชมร.เชียงใหม่

 

...พ่อครูเริ่มเทศน์ก่อนฉันที่ ชมร.ชม. เริ่มประมาณ 09.00 น.

 

...อาตมามาถึงสนามบินเชียงใหม่ก็มีพวกเรามาต้อนรับกันเยอะเลย อบอุ่นนะ สนามบินแทบแตก ก็ไม่ได้มาตั้ง 7 ปีแล้ว ถ้าเป็นเด็กก็เข้าประถมหนึ่งแล้ว เมื่อถึงนานก็ยังไม่ลืมนะ อาตมาก็มาตามทางก็ได้คิดถึงเรื่อง เมื่อมาพบกันตอนนี้บ้านเมืองก็มีเหตุการณ์เข้าด้ายเข้าเข็มหัวเลี้ยวหัวต่อ ลุ้นระทึก วันนี้ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 2 ก็เลยไม่รู้ว่าจะตัดสินกันออกมาอย่างไร พรุ่งนี้ 23 แล้ว ก็เป็นวันตัดสิน น่าจะเหมือนกับวันชิงแชมป์โลกมวยของไทย แต่ก่อนนี้ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยนิยมแล้ว ครั้งนี้ถ้าตัดสินเป็นอกุศลก็จะเกิดผลสูงมาก ราคาบาป นรกก็มากลึกสูง แต่ถ้ามาทางกุศลจะได้ประโยชน์มากเลย งวดนี้ ลองลุ้นกันดู

 

เมื่อวานอาตมาได้เทศน์เรื่องอำนาจ วันนี้ก็ว่าจะเทศน์เรื่องปรองดอง...

 

เปิดเรื่องนำด้วยอารัมภบทว่า ….เหตุการณ์บ้านเมือง มีประชาธิปไตย 82 ปี ได้หมักหมมเชื้อร้ายอกุศล ทุจริตมา มาถึงวันนี้ถึงคราวเพราะคนดีตื่นตัวคนดีทนไม่ไหวแล้ว มามากจนถึงมีปฏิวัติ เห็นปฏิวัติที่งดงามมาก สุภาพมาก ยึดอำนาจอย่างสวยงาม ไม่มีประเทศไหนทำได้สวยงามเช่นนี้มาก่อน และไม่ได้เกิดอย่างไม่มีเหตุ แต่มีเหตุอยู่ เป็นการปฏิวัติที่เรียบร้อย ราบลื่น ง่ายงาม ก็เหลือแต่ปฏิรูป ซึ่งปฏิรูปก็ยังไม่ยอมให้ทำกัน ดึงดันกันอยู่ เกือบจะถึงปีแล้ว ก็สู้กันมาเรื่อยๆ แต่ก็สู้กันอย่างผู้ดี แม้ทางโน้นจะหยาบคายและด้านทน อาตมาต้องใช้ภาษาว่า ง่าน โด้ คือยิ่งกว่าด้าน

 

ง่าน คือด้านสุดโง่ ส่วนโด้ คือโง่สุดด้าน....อาตมาก็บัญญัติคำมาใช้เอง ก็เคี่ยวข้นมาถึงจุดนี้ เป็นจุดวิกฤติแล้ว ผู้มีหน้าที่ที่จะต้องทำก็ขอให้ทำหน้าที่อย่างสุจริต มีสติสัมปชัญญะเถิด

 

ประเด็นปัญหาคราวนี้อยู่ที่ไหน ที่คาราคาซังคือ สังคมไทยเรื่องการเมือง มาถึง ณ ลมหายใจเฮือกนี้ คือฝ่ายหนึ่งก็อ้างคำว่าปรองดอง เขาไม่มีทางออกก็เลยต้องหยิบเขาคำนี้มา คือความผิดของเขามันมากจนไม่มีทางเลี่ยงแล้ว ก็เอาคำนี้มาแก้ตัว มาเล่นลิ้นว่าเพื่อความสงบสุขน่า แล้วเราก็ต้องมาวิจัยว่าจะปรองดองกันได้ไหมอย่างไร...อาตมาก็จะใช้วิชาการของพระพุทธเจ้า

 

วิชาการพระพุทธเจ้าจะปรองดองหรือไม่ ก็ให้ประมาณใน 5 สภาพ

 

1.สังวาส

2.สมานสังวาส

3.นานาสังวาส

4.นิกาย

5.อสังวาส

 

คำว่าสังวาส คำนี้แปลว่า ธรรมะอันเป็นเครื่องอยู่ร่วมกัน ตอนนี้ภาษาไทยคำว่าสังวาสนี้เขาไปใช้เรื่องต่ำเรื่องเพศ แต่เรื่องความหมายดีงามของคำว่า สังวาส คนที่ไม่มีการศึกษาก็ไม่รู้ คนที่ศึกษาก็จะรู้ คนไทยอยู่ร่วมกัน เป็นพุทธเสียส่วนใหญ่ก็ใช้ธรรมะอันเป็นเครื่องอยู่ร่วมกันนี้

 

ในหลวงตรัสว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี  หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้" พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11  ธันวาคม 2512 

 

ฟังดูก็รู้ว่าอาตมาเข้าข้างใคร ซึ่ง ความเป็นกลางนั้น อาตมาแบ่งเป็น 3 นัยคือ

1.คนที่เขาไม่รู้ว่าจะเข้าข้างไหน คือคนโง่ ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนถูก ฝ่ายไหนผิด เขาไม่รู้ ก็เขาก็ต้องอยู่เฉยๆกลางๆ ไม่เข้าข้างใคร

2.ต้องอยู่เฉยๆกลางๆแม้จะรู้ว่าข้างไหนดีข้างไหนไม่ดี ข้างไหนถูกข้างไหนผิด แต่เราก็อยู่กลางๆ ให้เขารบกันไปเอง เหมือนเราดูมวย พวกนี้ซาดิสม์ ชอบดูคนตีกัน ทั้งที่คุณไม่โง่รู้นะแต่ว่าก็ยังอยู่เฉยๆ พวกนี้แหละมิจฉาทิฏฐิ พวกนี้ต้องเตือนกัน เพราะเขาเข้าใจอยู่ว่ารู้อยู่ว่าอะไรผิดหรือถูก แต่เขามิจฉาทิฏฐิว่า ความเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร ให้เขาซัดกันไป นี่มิจฉาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าว่าต้องเข้าข้างคนดี เช่นให้คบบัณฑิตไม่คบพาล อันนี้ทั้งกัมมัสตะเลย และให้นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคหารหัง นี่ด้วยวาจานะให้ทำความเป็นกลางของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อยู่เฉยๆกลางๆนะ

3.พวกติดยึดอีกพวก...พวกที่ไม่เข้าข้างคนดีอีกอย่างคือ ติดยึด หลงแล้วว่าจะต้องเอาข้างนี้ ผิดหรือถูกก็ไม่รู้ แม้ผิดทั้งๆที่รู้ก็จะทำ ฉันรักของฉัน ผูกพันของฉัน พวกนี้มโน ท่านก็ว่าต้องทำจิต ให้มีปัญญาปสาทะ คือมีปัญญาอยู่บนยอดปราสาท bird eye view มองให้รอบถ้วน ให้เห็นรอบว่าอะไรคืออะไร ให้ชัดเจนใช้ปัญญาตัดสินจริงๆ สุดท้ายเราจะใช้ปัญญาด้วยไม่อคติจริงๆได้ เห็นใครถูกก็ต้องเข้าข้างคนถูก เห็นใครผิดก็ไม่เข้าข้างคนผิด ไม่ใช่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล

4.ติดสินบน ซื้อไว้ ตกอยู่ใต้อำนาจ พวกนี้มีมากด้วย วันนี้มีบทความเขาก็เขียนว่า ถ้าวันนี้มีถุงขนมมาโปรยอีกสัก ห้าพันล้าน อุณหภูมิของประเทศจะเปลี่ยนไหม? คนพวกนี้กิเลสหนา ตกอยู่เป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป เขาเอาอำนาจเงินทอง ตำแหน่งหน้าที่ หรืออื่นๆมาซื้อไว้

 

 

แล้ววิธีตัดสินคดีความของพระพุทธเจ้ามี อธิกรณสมถะ 7 อย่าง

 

 1. สัมมุขาวินัย ตัดสินในที่พร้อมหน้าทั้ง โจทย์และจำเลยพร้อมพยาน ตามพยานหลักฐาน

 2.สติวินัย ถือสติเป็นหลัก การยกเลิกความผิด เพราะเป็นพระอรหันต์หรืออริยบุคคลที่จะไม่ทำผิดวินัยในข้อนั้นได้ แม้แต่ในสังคมก็มีให้เอกสิทธ์แก่ผู้ใหญ่ในสังคมหลายๆตำแหน่งเป็นต้น

  3.  อมูฬหวินัย ผู้หายจากเป็นบ้า การเลิกความผิดเพราะผู้กระทำผิดนั้นวิกลจริตหรือเป็นบ้า

  4.  ปฏิญญาติกรณะ ทำตามที่รับ การตัดสินตามการยอมรับผิด คำสารภาพของผู้กระทำผิด

  5. ตัสสปาปิยสิกา ลงโทษแก่ผู้ผิดที่ไม่รับ การลงโทษพยานผู้ที่ไม่ยอมพูดในการสอบสวนของคณะสงฆ์

  6.   เยภุยเยสิกา การตัดสินตามมติเสียงข้างมาก

 7.   ติณวัตถารกะ ดุจกลบไว้ด้วยหญ้า วิธีประนีประนอม การตัดสินยกฟ้อง เลิกแล้วต่อกัน(ในกรณีทะเลาะกัน) ศัพท์สมัยนี้เรียกว่าซุกไว้ใต้พรมเลย

 

ซึ่งแม้ว่าในองค์กรที่ตัดสินความผิดของนักการเมืองตัดสินมาแล้วหรือศาลตัดสินแล้วเขาก็ไม่ยอม ยังง่ายโด้อยู่อีก....

 

1...สังวาส แปลว่ามีธรรมะอันเป็นเครื่องอยู่ร่วมกัน เรามีพุทธธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นหลักตัดสิน เราก็อยู่รวมกันเป็นทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา 

 

2. สมานสังวาส คือ อย่างไร?.... สังคมธรรมดาจะให้คนไม่ขัดแย้งกันเลยไม่ได้ ปรมาณูสองหน่วยขึ้นไปไม่มีวันเหมือนกัน ยิ่งของใหญ่ขึ้นมาก็ไม่มีอะไรเหมือนกันเป๊ะหรอก สรุปคือสังคมต่างจิตต่างใจอยู่กันอย่างสมานสังวาส คือไม่แย้งกันเลยก็ไม่ได้ อาตมาแปล ความสามัคคีว่า คือความขัดแย้งอันพอเหมาะ เพราะเมื่อมีความมีแล้วไม่มีอะไรที่ไม่ขัดแย้ง ยิ่งวัตถุยิ่งแล้ว แม้จิตใจก็มีนิพพานที่เป็นที่สุด เป็นความไม่ขัดแย้ง แม้อรหันต์ท่านก็จะเป็นผู้ยอม ซึ่งถ้าคนอื่นดึงดันจะเอาชนะแล้วไม่ยอม พระอรหันต์ท่านก็ยอมได้ อย่าไปเข้าใจว่า ผู้ยอมคือ ผู้แพ้อย่างเด็ดขาด จริงๆผู้ยอมแพ้นั้นแหละคือผู้ชนะ อาตมาเคยยอมแพ้มาแล้ว นี่คือเรื่องจริง แล้วที่เขาไม่ยอมอยู่ทุกวันนี้ แม้รู้ว่าตนเองผิด ก็จะเอาชนะ หรือไม่รู้ว่าตนผิดก็แล้วแต่

 

3. นานาสังวาส....อันนี้อาตมาเป็นตัวอย่างเลยของนานาสังวาส เพราะในยุคพระพุทธเจ้าก็เกิดครั้งเดียวแล้วไม่ได้ใช้อีก แต่ในยุคกทม.นี่ก็มีการใช้ ในธรรมยุต เขาประกาศนานาสังวาส ตอนนั้นในสมัย ร. 4 ที่มีหลักฐานการลงชื่อนานาสังวาส แต่เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน ก็อยู่กันอย่างพะอืดพะอม อยู่กันไป คำว่านานาสังวาส เป็นเรื่องความเห็นแยกกัน พระพุทธเจ้าว่า

1.มีการประพฤติไม่เหมือนกัน   2.มีการอธิบายขยายความธรรมะ(อุเทส)ต่างกัน เช่นอธิบายศีล สมาธิ ปัญญา คนละอย่างกัน วิมุติ นิโรธ นิพพาน ต่างกันเลย ซึ่งมนุษย์มีความเห็นต่างกันได้ธรรมดา อาตมาก็เห็นอย่างอาตมาเขาก็เห็นอย่างเขา   3.กรรมต่างกัน คือความประพฤติปฏิบัติต่างกัน เช่นพวกเราไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นต้น ยิ่งเป็นนักบวชยิ่งต่าง เช่นพวกเราไม่รับเงินเป็นต้น ความเข้าใจศีลก็ต่างกัน เขาเข้าใจว่าศีลแค่กายกับวาจา แต่ของเราว่าศีลต้องเข้าถึงจิต   4.อุเทส การตีความเข้าใจธรรมะต่างกัน ก็ประกาศแยกกันทำ

 

ผู้จะแยกนานาสังวาส นั้น ฝ่ายมีน้อยคนจะขอแยกก็ได้ หรือหมู่ใหญ่คนมากจะขอแยกก็ได้ เช่นพระพุทธเจ้าประกาศนานาสังวาสกับหมู่พระเทวทัตนะ พระพุทธเจ้าว่าความเห็นของพระเทวทัตก็อย่างหนึ่ง ความเห็นของตถาคตก็อย่างหนึ่ง เราก็แยกกันทำ

 

ในนานาสังวาส แม้ไม่อยู่ร่วมหมู่กันแต่ก็อยู่ในโลกใบเดียวกัน ตำหนิกันได้ คัดค้านแย้งอย่างจังได้ พูดไปว่าไป แต่อย่าตีรันฟันแทงหรือไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องกันได้ เพราะต่างคนต่างเห็นกันต่างกันก็ไม่มีใครตัดสินได้ แล้วอย่าฟ้องร้องกัน ฟ้องก็ผิดหลัก แต่เขาก็ฟ้องอาตมาอีก ขออภัยอาตมาขอรื้อฟื้นนิดนึง แล้วทางโน้นก็เอาทั้งธรรมยุติ และมหานิยายมาร่วมกันฟ้องอาตมาอีก ผิดหลักคณปูรกะ ที่พระพุทธเจ้าว่าแม้คนเดียวก็ร่วมกันไม่ได้ แต่นี่มาเป็นหมู่เลย เล่นนอกกฎ ชกใต้เข็มขัดด้วย ก็ต้องยอมอย่างเดียว แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคงก็แล้วกัน

 

4. นิกาย....อันนี้แยกกันจริงแล้ว จะมาร่วมกันอีกคุณต้องเปลี่ยนทั้งรูปธรรมและความคิดความเห็น เช่นคุณบวชอยู่ฝ่ายเก่า แต่จะเปลี่ยนมาอยู่อีกฝ่ายก็ต้องเปลี่ยนทั้งรูปแบบคือ ต้องสึกมาก่อน แล้วมาเปลี่ยนเป็นอีกนิกาย แล้วเอาใจจริงเป็นหลักที่คุณต้องเปลี่ยน แต่ก็เอารูปแบบด้วยที่ต้องเปลี่ยน แล้วมีนัยของธรรมวินัยอีกมากที่ต้องคำนึง  เช่นนิกายบางนิกายคือพระญี่ปุ่นศีลวินัยของเขาคือมีเมียได้ หรือว่าใช้เงินได้ อีกนิกายว่าใช้เงินไม่ได้ หรือนิกายหนึ่งว่า ปาราชิกแล้วก็อยู่กับหมู่ได้ แต่บวชไม่ได้เท่านั้น เราก็ว่า สมี นี่นะ เป็นโทษร้ายแรงสุดของศาสนา เรียกว่าตายไปชาติหนึ่งจากศาสนาเลย เป็นตาลยอดด้วนหรือกระเบื้องแตก ใบไม้เหลืองหลุดจากขั้ว ก็ต่อกันอีกไม่ติด แต่อีกคณะหนึ่งก็ยังคบหากันอยู่ เป็นปลาแดกที่เน่าแล้วไม่ไหวแล้ว ก็ยังรับประทานอยู่ เราก็ว่าไม่ไหวหรอก เราก็ขอแยก

 

ในระดับนิกาย จึงเป็นพวกต่างก็อยู่ ต่างก็ทำ ถ้าจะเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนทั้งความเห็นและการกระทำ

 

5.อสังวาส คือร่วมกันไม่ได้เลย ตายจากกันไป1ชาติเลย เพราะปาราชิกเป็นโทษร้ายแรงสุด ร้ายแรงกว่าพรหมทัณฑ์ ที่เป็นโทษร้ายแรงรองจากปาราชิก พรหมทัณฑ์คือ ไม่บอกไม่สอน ทำเหมือนเขาเป็นคนที่ไม่มีตัวตน ช่างศีรษะเลย คุณจะดีหรือชั่วก็แล้วแต่คุณ ไม่บอกไม่สอนเลย  แต่ก็ให้อยู่กับหมู่ได้ ส่วนพรหมทัณฑ์นี่มีสิทธิ์เข้าหมู่ได้ แต่ปาราชิกนี้ไม่สามารถเข้าหมู่ได้อีก ความเห็นอันนี้ของอาตมากับมหาเถรสมาคมนั้นก็ไม่เหมือนกัน อาตมาก็อยู่ร่วมกันไม่ได้ เพราะปาราชิกนี่โทษหนักนะ แต่ไปซูเอี๋ยกัน แล้วใครจะไปกลัวโทษปาราชิก ถ้าคนปาราชิกมาในที่นี้ก็ต้องหยุดเทศน์ ให้เขาออกไปพ้นรัศมีที่จะฟังเทศน์ได้จึงเทศน์ได้นี่โทษร้ายแรงขนาดนี้เลย แต่รู้ทั้งรู้ว่าคนนี้ปาราชิก แต่ก็ทำลูบหน้าปะจมูกไป ไม่ไหว เราก็ไม่เอาด้วย สรุปแล้วอสังวาสคือขาดกันไป 1 ชาติเลย แต่ก็เรื่องเมตตาเป็นสัตว์ร่วมโลกกันก็ให้ได้แต่ว่าเรื่องธรรมะนี่ไม่เอื้อไม่ให้เลย

 

ตกลง อสังวาส ปรองดองกันไม่ได้เลยนะแต่ นิกายนี่ปรองดองได้ถ้าคุณถอนความเห็น แต่อย่างเรื่องการเมืองนี่คุณไม่ถอนทิฏฐิก็ปรองดองกันไม่ได้

 

มาถึงนานาสังวาส คุณประพฤติกรรมต่างกัน ทิฏฐิต่างกัน อุเทสต่างกันทางโน้นก็ยังดึงดันไม่เหมือนแน่  เขาไม่ยอมรับเลยว่าตนผิด ตนเองลดเลี้ยวเคี้ยวคด ยิ่งกว่าปลาไหลใส่สเก็ต อาบจารบี วิ่งอยู่บนลานน้ำแข็ง สรุปคือตอนนี้นานาสังวาสไม่ได้

 

ในระดับสมานสังวาส ก็ต้องมีความขัดแย้งกันพอเหมาะ แต่นี่ไม่เหมาะสรุปคือ สมานสังวาสก็ไม่ได้ แล้วมันก็เหลือแต่ต้องตัดสินอย่างเดียว ประเทศไทยปชต.ไทยย่างมา 83 ปีแล้ว

 

ในหลวงท่านว่า จะต้องส่งเสริมคนดีให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง แล้วควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ อาตมาก็พยายามทำอยู่ในช่วงนี้ก็ทำอยู่ อย่างที่พระพุทธเจ้าว่า อาตมาก็ทำตามที่อาตมาได้ศึกษา มั่นใจว่าไม่ได้มีอคติ อาตมาก็อ่านอาการเหล่านั้น อาตมาดูจิตอาตมาแล้วว่าไม่มี อคติ (ฉันทา_โทสา_โมหา_ภยาคติ) อาตมาว่าอาตมาไม่เป็นคนโง่ ไม่ดึงดันดื้อด้านไม่ยึดมั่นถือมั่นจนไม่เปลี่ยนแปลง คนไหนไม่ดีอาตมาก็ถอย แต่ว่าคนไหนดีไม่เปลี่ยนอาตมาก็ยิ่งส่งเสริม แล้วอาตมาก็ไม่มีใครมาติดสินบนอาตมาได้ ไม่ว่ากี่ล้านก็ตาม อาตมาทิ้งมาหมดแล้ว

 

แล้วประเด็นพวกมิจฉาทิฏฐิ ที่มีปัญญารู้ว่าอะไรดีหรือชั่ว แต่เขาเข้าใจผิดว่าต้องไม่เข้าข้างใครเลย ไม่ได้หรอก ตอนนี้มันวิกฤติแล้วต้องใช้เสียงตัดสิน มีองค์กรหลายองค์กรตัดสินแล้วศาลตัดสินแล้วมันก็ไม่ยอม ตัดสินตามหลักฐานแล้วก็ไม่ยอม เขาไม่ใช่คนมีคุณวิเศษที่คนยกให้ด้วย แล้วก็ไม่เป็นคนบ้า แล้วไม่อยู่ในข่ายปรองดอง ไม่อยู่ในหลักสมานสังวาส นานาสังวาส นิกาย ก็ได้แต่อสังวาส ประเด็นเดียว นี่คืออาตมาว่า ว่าโดยหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า อาจไม่ละเอียดพอแต่ก็ได้น่า

 

ขณะนี้ยังเหลือวิธีการ เยภุยสิกา เป็นการใช้เสียงข้างมากตัดสิน ก็ใช้สภา เป็นองค์ประชุมระดับประเทสที่จะว่าความกัน ก็เหลือแต่ว่ากองเชียร์มีสิทธ์เชียร์ อาตมาก็กำลังทำอยู่ สามารถพูดได้ ท่านอาจบอกว่าไม่ให้ชุมนุม แต่เราทำนี่เป็นประเพณี แล้วเราก็ให้ความรู้กัน ไม่ได้ไปตีรันฟันแทงกับใครนะ พรุ่งนี้เราก็จะขึ้นภูฯ

 

เกิดเป็นคนก็อย่าทำตัวเป็นคนไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ช่วยเหลือสังคมเลย เพราะมนุษย์เป็นสัตว์โขลงเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่ใช่สัตว์ที่แยกตัวออกไปในเวลาหนึ่ง วัฒนธรรมตะวันตกนี้พลาดจุดนี้ เขามองว่า คนต้องพึ่งตนรอด เขาก็เลยมีวัฒนธรรมเลี้ยงลูกโตระดับหนึ่งก็ให้แยกออกไปมีครอบครัวใหม่ ไปหาเลี้ยงตนเอง ฝึกฝนสู้ชีวิต ถ้าไม่รอดก็มา รอดก็ไปเลย แต่มันเป็นการตัดขาดเยื่อใยมนุษย์เป็นจิตวิญญาณที่ไม่รวมญาติรวมมิตร ไม่เป็นภราดรภาพ แต่เอเชียเรามีวัฒนธรรมรวม เป็นกงสี ยิ่งของพระพุทธเจ้าเป็นสังฆมณฑลเลย เป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเลย อยู่กันอย่างมี สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7

 

พุทธพจน์ 7

1.    สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.   ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .

3.   ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .

5.    อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .

6.    สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .

7.   เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. 282-283)

 

ในหลักนานาสังวาส หากถือปาติโมกข์เล่มเดียวกันก็มาสวดร่วมกันได้ แต่ต้องปลงอาบัติให้บริสุทธิ์ก่อน เช่นต้องสละเงินทองให้พ้นอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ อย่าง พวกเราหากมีพระทางมหาเถรสมาคมมาก็ร่วมสวดปาติโมกข์ร่วมกันได้ แต่ก็ต้องให้เป็นพระปกตัตตะก่อนนะ แต่เมื่อคุณจะเห็นดีกับทางเรามาบวชเป็นสมณะก็ไม่ต้องสึกแล้วบวชใหม่เราก็รับเข้าหมู่ รับศีลธรรมนูญก็ได้เลย

 

แต่ถ้าเป็นต่างนิกาย นั้นมาศึกษาร่วมกันก็ไม่ได้เพราะวินัยต่างกันมาก เช่นคุณมีเมียได้ เราก็ว่ามาอยู่จะวุ่นวายมากนะ ส่วนปาชาชิก อสังวาสนั้นไม่ได้อยู่แล้ว

 

ไทยเราเป็นพุทธมาตั้งแต่ดั้งเดิม ศาสนาอื่นก็มีบ้างมาผสมหรือมีพราหมณ์เป็นศาสนาดั้งเดิมบ้าง

 

สรุปว่าตอนนี้บ้านเมืองมันซีเรียสนะ ให้ปล่อยคลายบ้าง มาคบกับพวกเรานี่มีคลายสนุกบ้างที่ไม่ใช่สนุกอย่างอบายมุขนะ ไม่จัดจ้านแบบเขา ซึ่งอีกหน่อยจะดีใจจนช็อกตาย

ขณะนี้เป็นหน้าที่ของประชาชนเลย ยิ่งคนที่ได้รับหน้าที่ให้ทำ ได้รับแต่งตั้งให้ทำ ก็ต้องนึกถึงพระราชดำรัสของในหลวงเลยว่า  “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี  หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้" พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11  ธันวาคม 2512  

 

คราวนี้ที่ลุ้นระทึกนี่เป็นดัชนีชี้วัดการเมืองไทย ผลจะออกมาอย่างไร หวยก็ออกที่ คสช.ทั้งนั้น

 

อาตมาขอยืนยันว่า การเมืองคือธรรมะทั้งสิ้น คุณไม่ศึกษาก็ถูกให้เขาผลักเป็นสวะลอยไปกับสายน้ำ เขามีอำนาจชั่วดีมีแรงด้านไหนก็ไปด้านนั้น ตอนนี้เราต้องเสริมแรงด้านดี อย่างในหลวงว่า อย่าไม่ดูดาย สรุปคือการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน คนหนีการเมืองคือ ลัทธิฤาษี ก็บิณฑบาตแล้วหนีเข้าอยู่ป่าไม่ช่วยสังคมเลย อันนี้กตัญญู หากจะอยู่ในป่าเลยไม่เกี่ยวกับคนเลยก็ไม่ว่า แต่นี่ยังอยู่กับคนบิณฑบาตเลี้ยงชีพอยู่ ก็ต้องกตัญญูต่อสังคม อาศัยเขากินแล้วไม่ให้อะไรเขาเลย คนไหนช่วยสังคมได้ดีแล้วไม่ต้องการอะไรตอบแทนจากสังคมเลย คนนี้แหละยอด

 

ตอนนี้ต้องมาส่งเสริมคนดี โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่ให้ตัดสินให้ดี สิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว ก็ให้หยุด เช่น เราบอกว่าเราลงทุนสูบบุหรี่มาแล้ว 10 ปี จะให้เลิกก็เสียดาย อย่างนี้เป็นความคิดที่ผิดมาก ก็ต้องหยุดให้ได้ต่างหาก อย่างที่ไปรับถุงขนมเขามาแล้ว ทำผิดไปแล้ว ก็ต้องทำกรรมใหม่ให้ดี จะบอกว่าเขามีบุญคุณ ก็ช่วยเขาแล้ว อย่าไปคิดผิดไปช่วยทำให้เขาถลำจมในผิด เท่ากับคุณทำร้ายเขานะ คุณไปเข้าข้างคนผิดอีกก็คือเท่ากับกระทืบซ้ำให้เขาจมไปกับคนชั่วอีก เพิ่มคะแนนชั่วให้เขาอีก คุณคิดได้ไหม หยุดได้แล้ว อย่าไปให้กำลังกับสิ่งชั่วอีก การไปตอบแทนเขาไม่ใช่ไปเข้าข้างในสิ่งที่เขาผิดอีก นี่ไม่ใช่การตอบแทนบุญคุณ แต่เป็นการอกตัญญู แต่การช่วยให้เขาเลิกทำสิ่งผิดนี่คือ การกตัญญู

 

ถ้าชัดเจนว่าเขาผิด แม้จะมีส่วนชั่วอยู่ 51 ไม่แน่ใจ 49 ส่วน นี่ก็ชัดแล้วว่าเขาชั่วมากกว่าดี ยิ่งเขาชั่วมากกว่านั้นก็จะไปอยู่กับเขาทำไม ต้องมาช่วยทางดี ขณะนี้มันเข้าด้ายเข้าเข็ม ต้องทำให้ดี ไม่เช่นนั้นจะจม การตัดสินครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนประเทศไทยถึงจุดวิกฤติ ถ้าคราวนี้ชนะ การเมืองไทยจะเปลี่ยนสภาพ critical point เช่น น้ำจะเปลี่ยนเป็นไอน้ำ หรือว่า ก้อนน้ำแข็งแข็งจะละลายแล้วกลายเป็นไอน้ำ

 

บุญ แปลเป็นบาลีว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ แล้วบุญแปลเป็นไทยว่า การชำระจิตสันดานให้หมดจด แต่ทุกวันนี้เอาคำว่าบุญไปใช้เพี้ยนเป็นคำว่ากุศลไปหมด

 

บุญคือการชำระกิเลส เป็นความดีสุดยอด เป็นกุศล แต่กุศลคือคุณงามความดีที่รวมทั้งหมด เช่นทางตะวันตกเขาว่าการกอดกันถือว่าเป็นเรื่องดี แต่คนไทยบอกว่าเป็นเรื่องน่าอาย ต้องล้างออกไป หรือทำถ้าทนไม่ได้ก็ไม่ให้เปิดเผย  อย่างอเมริกันเขามีการใช้วัฒนธรรมอเมริกันแชร์ แต่ไทยเราไม่ใช้แบบนั้น

 

สรุปกุศลคือโลกุตรธรรม เป็นปรมัตถสัจจะ แต่กุศลเป็นสมมุติสัจจะ เป็นโลกียธรรม เปลี่ยนแปลงไปตามกาละเทศะ ทุกวันนี้ไทยเราเอาบุญเป็นเครื่องล่อ เพราะบุญเป็นความดีงามระดับยอดเยี่ยม เป็นเรื่องล้มล้างความยึดถือแม้สวรรค์และนรก ล้างทั้งดีใจและเสียใจ มันเหนือชั้นกว่า แม้กัลยาณธรรมบางอย่างจะดูเหมือนมักน้อยมาก ทำดีได้มาก แต่ที่สุดแล้วจะเวียนกลับได้ในที่สุด

 

บุญนี้ไม่ได้มีอะไรตอบแทน มีแต่สิ้นกิเลสไป จนหมดกิเลสก็สิ้นบุญไม่ต้องทำบุญ เป็นปุญญปาปปริกขีโณ หมดบุญหมดบาป อรหันต์คือผู้สิ้นบุญแล้ว เพราะชำระกิเลสหมดแล้ว อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จบ บุญมีวันจบ แต่กุศลไม่มีวันจบ เป็นอรหันต์แล้วทำกุศลไปได้อีกเรื่อยๆ เป็นพระโพธิสัตว์ไปอีกเป็นรอบๆเป็น โพธิสัตว์ 9 ระดับ

1 เป็นโสดาบันโพธิสัตว์

2 เป็นสกิทาคามีโพธิสัตว์

3 เป็นอนาคามีโพธิสัตว์

4. อรหันต์โพธิสัตว์

5.อนุโพธิสัตว์

6.อนิยตโพธิสัตว์

7. นิยตโพธิสัตว์

8. มหาโพธิสัตว์

9.สัมมาสัมโพธิญาณ

 

เพราะคำว่าบุญเพี้ยนไปเป็นกุศลหมดแล้ว ทุกวันนี้ในศาสนาพุทธ จึงไม่มีเครื่องมือชำระกิเลส เข้าใจไม่ได้ คำว่าบุญ เมื่อเร่ิมต้นปฏิบัติให้กิเลสลดได้เป็นส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยะ หรือปุญญภาค ถ้าได้ 1 หน่วยก็คือส่วนแห่งบุญ 1 หน่วย จนครบหมด 100 ก็หมดบุญ มีแต่ทำให้ถาวรรักษาผล อนุรักขณาปธาน คนนั้นจะต้องเข้าใจกิเลสแล้วมีวิธี ทุกขนิโรธคามีนินีปฏิปทา รู้จักวิธีล้างกิเลส จับสักกายะได้เป็นตัวตนกิเลส แล้วกำจัดได้ อย่างวิปัสสนาหรือสมถะ การสมถะก็กดข่มไม่ถาวร แต่วิปัสสนาก็ทำได้อย่างถาวร ไม่กลับกำเริบอีกได้ จะเกิดญาณปัญญาเห็น ขออภัยที่ต้องอวดอุตริมนุสธรรม เห็นว่ากิเลสจางคลาย แล้วมันไม่เที่ยงมีแวบก็ทำอีก จนหมด จนแน่น สั่งสมการล้างกิเลสจนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ สัมมาสมาธิ ระหว่างล้างกิเลส เพ่งรู้ เพ่งเผา ชำระกิเลส เรียกว่าทำฌาน เห็น วิราคานุปัสสี กิเลสจางคลายได้ มีการกำหนดรู้ว่ามันจางคลาย มันเบาว่างขึ้น จนกระทั่งไม่มี การเหลือน้อยกับไม่มีนี่กำหนดรู้ยาก แต่คุณจะรู้ของคุณเอง เราจะต้องรู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่างแม้นามธรรมกิเลสที่ปรุงแต่กันเรียกว่า กายกลิ

 

ผู้ปฏิบัติแบบพุทธจะแยกบุญกับกุศลได้ บุญคือโลกุตระ กุศลคือโลกียะ ทุกวันนี้อาตมาบางทีอาจเผลอใช้พยัญชนะผิดเลย แต่ต้องเข้าใจให้ถูกว่าพฤติกรรมที่ทำคืออย่างไร เป็นบุญอย่างไร มีปหาน 5 อย่างไร มี วิกขัมภนปหาน ตทังคปหาน สมุจเฉทปหาน ปฏิปัสสัทธิปหาน นิสรณปหาน อ่านความจริงจากสภาวธรรมทั้งหมด ต้องเอาบุญฟื้นคนมาให้ศาสนาพุทธให้ได้ มาเรียนวิธีการให้ดี แล้วมาปฏิบัติหากสัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติธรรมไม่ได้ดี อาตมาให้ตัดคอเลย...เอวัง


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:00:00 )

580123

รายละเอียด

580123_เทศน์ก่อนฉัน ธุลีฟ้ารีสอร์ท จ.เชียงใหม่ เชิดวิชชา มหาคุณ

วันนี้วันที่ 23 ม.ค. 2558 เป็นวันที่ ลุ้นระทึกอย่างสำคัญสำหรับประเทศไทย เว้นแต่พวกที่เป็นคนไทยแต่ไม่ได้มีเลือดเนื้อวิญญาณไทย เป็นคนที่กินอยู่อาศัยในแผ่นดินไทย เหมือนพวกสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวหรือหลายล้านเซลล์ เป็นคนอยู่ในประเทศไทยแต่หากิน โกงกินอยู่บนประเทศไทย คนเหล่านี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตหลายล้านเซลล์แต่จิตไม่ถึงมนุสโส

 

มนุษย์นี่มีจิตที่รู้ว่าตนเป็นสัตว์โขลง หากหมู่กลุ่มเป็นอยู่ดีเราก็อยู่ดีด้วย แต่นี่คนมีปัญญาต่ำกว่าสามัญอยู่กับโขลงแต่ไม่ดูดำดูดีหมู่ ไม่เข้าใจว่า หมู่กำลังลำบาก ที่จริงจะลำบากหรือไม่ก็ต้องช่วยกัน หากเอาแต่ตนเอง ดีไม่ดีเอาของหมู่มาเป็นของตนอีก จนทำเป็นหลักเกณฑ์ทำอย่างให้สังคมจำนน อย่างระบบโลกียะที่เขาทำกัน ส่วนคนโลกุตระหรืออาริยะจะไม่ทำ เพราะรู้ว่าเป็นความเลว นี่พูดไม่ได้ด่าว่าใคร แต่พูดให้รู้ว่าเขตความเป็นคนกับไม่เป็นคนต่างกันอย่างไร ซึ่งมีคนที่แม้ร่างเป็นคนแต่จิตไม่เป็นคนก็เลยอยากให้พัฒนาขึ้น พูดด้วยปรารถนาดีนะ

 

ขอยกพระราชดำรัสที่ว่า ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี  หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้" พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11  ธันวาคม 2512

 

ตอนนี้เรากำลังคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจมาก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ นี่คือคำตรัสที่สอดคล้องกับของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็จัดให้คนไม่ดีออกไปอยู่อีกที่หนึ่ง ตอนนี้บ้านเมืองเรากำลังถอดถอนคนไม่ดีออกไปก่อน แต่เขาก็ว่าเขาถอดไปหมดแล้ว แต่ที่จริงคุณยังไม่ได้ถอดถอนสิ่งที่สำคัญเลย ซึ่งตอนนี้ที่เขากำลังทำการอยู่นี่ไม่ได้ทำเกินเลย เป็นการทำที่สวยงามมาก พยายามคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ แล้วส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง

 

ตอนนี้สถานีโทรทัศน์บุญนิยมทีวี ที่เนื้อแท้คือ FMTV คือเนื้อแท้อย่างเดิมคือเพื่อมวลมนุษยชาติ อาตมากำลังสื่อสารออกไป คนจะรับรู้มากหรือน้อยก็ตาม อาตมาก็ทำตาม ลักษณะของบุญนิยมทีวีคือ ทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง

 

เมื่อสองวันก่อนชาวกองทัพธรรม ชาวบุญนิยมก็พูดคุยกันว่า เราก็น่าจะได้ส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ทำหน้าที่ ได้ปกครองบ้านเมือง ทำหน้าที่ให้ดีไม่ว่าเป็นภาคธุรกิจหรือว่าภาคราชการก็ดี ทำให้แก่ประชาชนพลเมือง ตอนนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ กำลังรับหน้าเสื่ออย่างมากเลย เราก็เห็นว่าท่านเป็นคนดี ทำหน้าที่อย่างหนัก ชั้นหนึ่งเลย เราก็ปฏิบัติตามพระราชดำรัสในหลวง ช่วยปกป้องส่งเสริม เราก็เลยดำริกันว่า เราจะมอบ หยาดน้ำใจทองคำ มอบแก่ท่านวิชา มหาคุณ เพื่อเชิดชูให้กำลังใจท่าน ส่งเสริมท่าน จริงๆ ซึ่งการทำของท่านนี่เป็นพฤติกรรมที่ต้องเชิดชูอย่างแท้จริง เราไปบอกให้พล.ต.จำลอง   ศรีเมืองช่วยติดต่อท่านไปก่อน ที่จริงเราไม่บอกก็ได้ เราทำเลยประกาศเลย เพราะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียหายแต่อย่างใด หยาดน้ำใจทองคำก็เป็นวัตถุแต่เราก็พยายามเอาสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำเป็นเครื่องหมายให้ หยาดน้ำใจทองคำของชาวบุญนิยม ไม่ได้มอบให้ใครง่ายๆ ตั้งแต่ทำมาหลายปีก็ได่้แค่มอบให้คนเพียงสองคน ชายคน หญิงคน ไม่บอกว่าคือใคร แต่อ.วิชา มหาคุณเป็นท่านที่ 3

 

เราก็ติดต่อไป แล้วท่านก็ต้องระวัง เพราะกองทัพธรรมก็เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง แต่เราก็จริงใจทำ แล้วถ้าไม่ให้ท่านตอนนี้แล้วจะให้ใคร เดี๋ยวจะได้อ่านประวัติท่านให้ฟัง เราติดต่อไปแล้วท่านก็บอกมา คุณจำลองบ่นเลยว่า ติดต่อได้ยาก คุณจำลองก็ฝากข้อความไว้ ปรากฏว่าท่านก็ติดต่อมา ท่านก็อ่อนน้อมถ่อมตนมาก แล้วจะติดต่อมาใหม่ ท่านก็ยังไม่ติดต่อมาเลย แต่ท่านจะติดต่อมาหรือไม่เราก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่ดี เพราะงานครั้งนี้จะแพ้หรือชนะก็ตาม เราเข้าใจดี เราแพ้มานักต่อนักแล้วทางโลก เรามั่นใจว่าเรามีสิ่งดีเป็นสัจจะหรือไม่ก็จบ เรารู้องค์ประกอบสังคมดี เราก็ใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4

 

เราต้องทำตามพระพุทธเจ้าสอน ต้องยกคนดี ตำหนิคนชั่ว นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ใครเห็นดีอย่างไรก็ไปตามนั้น เราไม่ได้บังคับใคร ตอนนี้เราก็ขอยกย่อง แม้ยังไม่ได้มอบหยาดน้ำใจทองคำให้ก็ตาม เราก็จะทำพิธีมอบก็ได้หรือท่านไม่สะดวกใจจะให้เราไปมอบให้เงียบๆก็ได้ เพื่อให้รู้ว่าใจต่อใจ ใจถึงใจ ท่านก็คงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เราไม่ได้ทำอะไรลึกลับ หลบเลี่ยง ทุกอย่างเปิดเผยตลอด ไม่มีอะไรปิดบังเลย

 

มาดูประวัติ

ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ

กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

ข้อมูลส่วนบุคคล

เกิด 8 มีนาคม พ.ศ. 2489 (68 ปี)

 

ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ (8 มีนาคม พ.ศ. 2489 - ) กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีกังขาในการทำงานมากที่สุดคนหนึ่งและอดีตประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา

 

การศึกษา

 

นายวิชา จบการศึกษาปริญญาตรีและโท จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนติบัณฑิตไทย ปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาบัตรการป้องกันราชอาณาจักรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่41ประกาศนียบัตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 11 (สถาบันพระปกเกล้า) นิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษ แห่ง คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยได้รับทุน จากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ ให้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง "การเผยแพร่ความรู้กฎหมายไปสู่ชนบท"ณ ศูนย์ศึกษาเมืองเบลลาจิโอ ประเทศอิตาลี กับได้รับทุนจากองค์การอนุเคราะห์เด็กแห่งนอรเวย์ ให้ศึกษาวิจัยเรื่อง "การทารุณกรรมเด็ก" รวมทั้งได้รับทุนฝึกอบรมด้านบำบัดผู้ติดยาเสพติด ณ นครนิวยอร์ก จากองค์การเดท็อป แห่ง สหรัฐอเมริกา และผ่านการศึกษาหลักสูตร Cambridge-Thammasat Executive Education Programme ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ

 

การทำงาน

 

นายวิชา เริ่มรับราชการครั้งแรกในตำแหน่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ต่อมาได้โอนไปรับราชการเป็น พนักงานอัยการ ตำแหน่งสุดท้ายก่อนไปเป็นตุลาการ คือ อัยการจังหวัดผู้ช่วยจังหวัดกำแพงเพชร ส่วนตำแหน่งในทางตุลาการเคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลจังหวัดแพร่ ผู้พิพากษาประจำกระทรวงช่วยทำงานทำเนียบนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัวนายกรัฐมนตรี (นายธานินทร์ กรัยวิเชียร) ผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลคดีเด็กและเยาวชนจังหวัดอุบลราชธานี ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดอุบลราชธานี เลขานุการศาลฎีกา ขณะดำรงตำแหน่งเลขานุการศาลฎีกาได้ถูกคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้ออกจากราชการ เมื่อ พ.ศ. 2535 ด้วยข้อหาขัดคำสั่งรัฐมนตรี เมื่อครั้งเกิดกรณี "วิกฤตตุลาการ" แต่ได้ทูลเกล้าถวายฎีกาคัดค้านคำสั่งดังกล่าว ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาธิคุณโดยมีพระราชกระแสว่า ไม่สมควรออกจากราชการ รัฐมนตรีจึงมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งที่ให้ออกจากราชการ ดังนั้นนายวิชาจึงยังคงดำรงตำแหน่งตุลาการเช่นเดิม ต่อมาจึงได้รับโปรดเกล้า ฯให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค1 รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ผู้พิพากษาศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ภาค2และภาค1ตามลำดับ กับได้รับเลือกตั้งให้เป็นกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ผู้ทรงคุณวุฒิ สองสมัย และเป็นศาสตราจารย์พิเศษแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[กรณีวิกฤตตุลาการ นายวิชาได้บันทึกไว้ในหนังสือชื่อ บันทึกประวัติศาสตร์ 100ปี กระทรวงยุติธรรม"การต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระแห่งอำนาจตุลาการ กรกฎาคม 2534-มีนาคม 2535"

 

นายวิชา มหาคุณ ดำรงตำแหน่งสุดท้ายในราชการศาลยุติธรรม คือ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา ก่อนจะถูกเสนอชื่อจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้เป็นกรรมการการเลือกตั้ง และได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับเลือกเป็น กกต.เพราะได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2549

 

นายวิชา มหาคุณ ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2549 ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 19 ]ลงวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549[2] ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ และได้รับโปรดเกล้าฯเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550โดยได้รับการคัดเลือกให้เป็นรองประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คนที่ 3 ประธานอนุกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญกรอบที่ 3 ว่าด้วยองค์กรอิสระและศาล

 

ตลอดเวลานับแต่เข้ามาเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)นายวิชา มหาคุณกรรมการและโฆษกปปช. ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสูงกว่าบรรดาคณะกรรมการปปช.ทุกคนเลยก็ว่าได้ แต่สิ่งที่ถูกจับตามองจากสังคมอย่างมากคือในเรื่องของจุดยืนและความเป็นกลางเนื่องจากต้องยอมรับว่าในสังคมภาพรวมได้เกิดคำถามขึ้นมากมายว่าจริงๆแล้วนายวิชามีความเป็นกลางทางการเมืองมากน้อยเพียงใดเมื่อดูจากพฤติกรรมการแสดงออกคำพูดคำจาเวลาที่ให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็น

 

 

งานที่ท่านทำเป็นราชการ เป็นขรก. ซึ่งขรก.ก็คือนักการเมือง แล้วนักการเมืองนี่คือทำงานรับใช้ประชาชนโดยรับเงินเดือนจากภาษีประชาชน แล้วขรก.นี่แหละคือนักการเมืองตัวแท้ เป็น นักการเมืองตัวจริงตัวยืนยงเลย แต่ว่าตอนนี้เขายอมรับกันแล้วว่า นักการเมืองนี่ไม่ใช่ขรก. ไปจัดเป็นขรก.การเมือง

 

ตอนนี้เหตุการณ์บ้านเมืองก็แค่ขั้นถอดถอน ไม่ได้ถึงขั้นลงโทษแต่อย่างใด อธิบายเชิงธรรมะว่า การถอดถอนเป็นบริบทเฉพาะของรัฐบาลชุดนี้ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลชุดอื่น แล้วเป็นเรื่องของ 3 คนสำคัญ โดยเฉพาะยิ่งลักษณ์ ที่เป็นเหตุปัจจัยพิเศษ ที่เกิดจากกรรมการงานของยิ่งลักษณ์ที่ทุจริตห่วยแตก หยาบหยาม ยิ่งกว่านายกฯคนใด

 

ตอนนี้อาตมาก็รับข้อมูลคนไทยที่เขาเชิดชู คนดี อย่างคุณสุริยะใสก็ว่า..สุริยะใส โพสต์เฟสบุค ชื่นชม วิชา มหาคุณ หลังทำหน้าที่ตามเอาผิดการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคม พร้อมยกเป็น  “วิชาผู้เป็นมหาคน”

 

หรือแม้จากคนที่ไม่ได้บอกชื่อ แต่มีนามว่า ISN 12 ก็รวบรวมข้อมูลที่ดีๆ มาให้

 

สรุปแล้ววันนี้ก็ขอให้กำลังใจทุกท่าน ทุกคน พยายามทำหน้าที่ของท่านตามพระราชดำรัสเลย คนก็หาว่าอาตมาโหนในหลวง อาตมาไม่ทำหรอก ไม่ใจโหดใจร้ายหรอก ท่านอายุมากกว่าอาตมา

 

ผู้ทำงานให้ระลึกว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเลยนะ ต้องทำอย่างที่พระราชดำรัสว่าไว้ เพราะท่านมีพระเมตตาแม้ผู้ที่ทำร้าย แล้วก็ให้ควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้มาก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ จะถูกจะผิดอย่างไรหากทำตามพระราชดำรัสก็ไม่ผิดแน่ ถ้าท่านยังชอบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ก็ทำตามท่านเถอะ โดยท่านจะชอบด้วยอะไรก็แล้วแต่ จะช่วยก็ช่วย แต่ท่านผู้ใดเห็นด้วยใจเป็นกลางหรือแม้ใจไม่เป็นกลางก็ขอให้ทำในสิ่งที่เห็นว่าดีนั่นแหละ เพราะว่ากรรมคือความจริง กระทำทางกาย วจี ก็มาจากมโนเป็นตัวหลัก หากมโนบิดเบี้ยวเป็นอกุศล สั่งสมเป็นผลวิบากติดตัวไปจนกว่าปรินิพพาน

 

หน้าที่สำคัญ ณ ลมหายใจเฮือกนี้ที่จะช่วยชาติ แล้วท่านจะทำกรรม ทางกาย วาจา ที่ใจเป็นทุจริตอกุศลก็จะได้อกุศลเป็นวิบากไป อย่าประมาทเรื่องกรรม กรรมเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ กรรมนี่ตัวเราเป็นผู้กำหนดกรรม หากเราทำกรรมจริง God ไม่สามารถเบี้ยวความจริงได้ บิดเบี้ยวไม่ได้ God ก็ต้องทำความจริง

 

ซึ่งทางโน้นยึดเอาคำว่า ปรองดอง มาสู้ เราก็ต้องดูว่ามันจะพอปรองดองได้ไหม หากเหตุปัจจัยมันปรองดองไม่ได้ ก็ต้องพิจารณาวินิจฉัยแยกชัดว่าทำไมปรองดองไม่ได้ ก็เพราะเชื้อร้ายมันแรง ต้องเอาออก สังคมไทยไม่มีเร่ี่ยวแรงสู้เชื้อร้าย ก็ต้องตัดออกก่อน อาตมาก็ยกของพระพุทธเจ้ามาเป็นหลัก

 

1.อยู่ร่วม ไม่แยก

2.หลักการตัดสิน (อธิกรณสมถะ)

3.ลักษณะแห่งความเป็นกลาง

 

วันนี้ขอทวนหน่อย

ความเป็นกลาง อาตมาแยกไว้ 5 นัยยะ

1.คนโง่ คนไม่รู้ผิดหรือถูก เขาไม่เสแสร้งเลย

2.คนใจดำอำมหิตไม่ดูดำดูดีกับสังคมเลย มีสองอย่าง อย่างหนึ่งอยู่กับสังคม อีกพวกหนึ่งหนีออกจากสังคม แต่บิณฑบาตกินอาหารเขาด้วย นี่คือพวกเห็นแก่ตัวเต็มบ้อง อีกพวกก็อยู่กับสังคมแต่ว่าใช้ภาษาบัญญัติว่าตนไม่เกี่ยว การเมืองเดือดร้อนอย่างไรกูไม่รู้ เห็นแต่ว่าตนต้องมีสุขเท่านั้น นี่คือพวกเห็นแก่ตัวเต็มบ้องอีกอย่าง

3.คนติดหลง ตกอยู่ใต้อำนาจ เหมือนถูกมนต์สะกด พวกนี้โง่ติดยึด สนใจการเมืองแต่หลงกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กูจะเอาคนนี้ แม้ขี้ก็หอม

4. คนกลัว เสียโลกธรรม 4 พวกนี้รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่หลบเลี่ยงหาทางหนีทีไล่ไป ลอกแลก กลัวเสียโลกธรรม คนนี้พึ่งไม่ได้เป็นกลางไม่ได้

5.คนมิจฉาทิฏฐิ พวกนี้เข้าใจด้วยปัญญาได้ด้วยว่า อะไรดีหรือชั่ว แต่ว่าไปเข้าใจผิดว่า ความเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใครเลย  พวกนี้มิจฉาทิฏฐิ มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองเลย เขากลัวจะเสียความเป็นกลาง อย่างนี้ไม่ได้ทำตามพระราชดำรัสในหลวง ไม่ได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าว่า ต้องเลิกคบคนพาล ให้อยู่กับบัณฑิต หรือว่าต้องตำหนิคนชั่ว ยกย่องคนดี นี่สิคือที่พระพุทธเจ้าสอน ส่วนมโนกรรมต้องอยู่อย่างผู้มีปัญญา ปาสาโท เหมือนยืนอยู่บนที่สูงมองได้รอบถ้วนครบ แล้วก็ต้องส่งเสริมคนถูกอย่างในหลวงเราตรัส ทั้ง กาย วาจา ใจของพระพุทธเจ้าให้เข้าข้างที่ถูก ไม่ใช่ให้อยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลย

 

วันนี้เราจะพูดถึงเรื่องพิจารณาคดี (อธิกรณสมถะ) คือการตัดสินคดีความ พระพุทธเจ้าว่าแปลว่า การทำให้เกิดความสงบท่านมีหลัก 7 ข้อ

วิธีตัดสินคดีความของพระพุทธเจ้ามี อธิกรณสมถะ 7 อย่าง

 

 1. สัมมุขาวินัย ตัดสินในที่พร้อมหน้าทั้ง โจทย์และจำเลยพร้อมพยาน ตามพยานหลักฐาน

 2.สติวินัย ถือสติเป็นหลัก การยกเลิกความผิดเพราะเป็นพระอรหันต์หรืออริยบุคคลที่จะไม่ทำผิดวินัยในข้อนั้นได้ แม้แต่ในสังคมก็มีให้เอกสิทธ์แก่ผู้ใหญ่ในสังคมหลายๆตำแหน่งเป็นต้น

 3. อมูฬหวินัย ผู้หายจากเป็นบ้า การเลิกความผิดเพราะผู้กระทำผิดนั้นวิกลจริตหรือเป็นบ้า

 4. ปฏิญญาติกรณะ ทำตามที่รับ การตัดสินตามการยอมรับผิด คำสารภาพของผู้กระทำผิด

 5. ตัสสปาปิยสิกา ลงโทษแก่ผู้ผิดที่ไม่รับ การลงโทษพยานผู้ที่ไม่ยอมพูดในการสอบสวนของคณะสงฆ์

 6. เยภุยเยสิกา การตัดสินตามมติเสียงข้างมาก

 7. ติณวัตถารกวินัย ดุจกลบไว้ด้วยหญ้า วิธีประณีประนอม การตัดสินยกฟ้อง เลิกแล้วต่อกัน(ในกรณีทะเลาะกัน)

 

สภานั้นต้องมีบัณฑิต จึงเป็นสภาฯ แต่ว่าทางโลกเขาก็พยายามซื้อคะแนนเสียง เพราะคนที่ติดลาภยศสรรเสริญมีมาก เขาจึงใช้เงินหรือตำแหน่งซื้อคนได้ แล้วก็ให้ได้คะแนนเสียงมาก เขาซื้อคนมีกิเลสหนาและคนโง่ได้มาก เพราะคนเหล่านี้มีมาก เขาก็เลยได้คนมีกิเลสหนาคนไม่ดีเข้าไปเป็นสส.มาก นี่คือที่เขาใช้เป็นค่ายกลอย่างตื้นๆเลย มาหลอกกัน สภานี้จึงไม่ได้เป็นบัณฑิตอยู่ในสภา ก็ไม่เป็นสภา

 

คะแนนเสียงในระบอบประชาธิปไตยก็ไม่ได้อยู่ที่คะแนนเสียงประชาชน ซึ่งคะแนนเสียงมีนัยที่คนต้องมีปัญญาพอสมควร ไม่ถูกหลอก แต่ทุกวันนี้นักการเมืองหลอกคนได้ เอาคนที่ถูกหลอกไปเป็นคะแนนเสียงให้ตนอีก แม้อย่างประเทศอเมริกาแดนประชาธิปไตยก็มีวิธีการซื้อเสียงได้ มีเชิงชั้นรวบรวมคนโง่และคนมีกิเลสเอาไว้เป็นพวกเช่นกัน

 

วิธีตัดสินด้วยสติวินัย คือยกเว้นไว้สำหรับคนมีเอกสิทธิ์ คือคนที่มีคุณงามความดีที่ควรยกให้ท่าน หรือว่าเว้นไว้สำหรับบางตำแหน่งสำคัญๆ

 

วิธีการอมูฬหวินัยคือยกเว้นไว้สำหรับคนเป็นบ้าหรือไม่มีสติ

 

ส่วนปฏิญญาตกรณะ คือเอาคำสารภาพของจำเลยตัดสิน

 

ส่วนตัสสปาปิยสิกา อันนี้ตัดสินเหมือนผู้พิพากษาตัดสินเลย อันนี้ทำกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะจำเลยมักเลี่ยงหลบ

 

ส่วนติณวัตถารกวินัย อันนี้ที่เขาเอามาตีกิน สมัยพระพุทธเจ้าเรียกกลบไว้ด้วยหญ้า แต่สมัยนี้คือซุกไว้ใต้พรม เขาว่า ให้ปรอดอง นิรโทษกรรม ใครเคยผิดมามากหรือน้อยก็ยกให้เลย อันนี้คนจะพูดอันนี้ต้องเป็นคนที่ผิดมาก อาตมาว่าตอนนี้ไม่อยู่ในขั้นปรองดอง มันอยู่ในขั้นระงับ ถอดถอนก่อน แล้วที่คุณยิ่งลักษณ์ว่า เขาถอดของเขาเองก็มี เช่นเขายุบสภาฯ แล้วมาคุยอีกว่า ฉันไม่มีตำแหน่งแล้วจะมาถอดถอนได้อย่างไร คำนี้เป็นนามธรรม อันนี้เหมือนขรก.ต้องให้หยุดก่อนคุณจะมานั่งหาเสียงไม่ได้ ดีไม่ดีจำคุกไว้ก่อนด้วยคนนี้ ส่วนทางรัฐบาลนี้อนุโลมคุณแค่ไหนให้ออกไปต่างประเทศก็ได้ แต่ตอนนี้อาตมาว่าอย่าให้ออกนอกประเทศเลย

 

คำว่าปรองดองคำนี้ เขาจะหมกใต้พรมไม่ได้ เขาหมกมานานแล้ว ตอนนี้ต้องให้ผู้มีหน้าที่ตัดสิน ใช้หลักนานาสังวาส(การร่วม)

1.สังวาส

2.สมานสังวาส

3.นานาสังวาส

4.นิกาย

5.อสังวาส

 

สังวาสคำนี้เป็นคำกลางๆหมายถึงธรรมะอันเป็นเครื่องอาศัยอยู่รวมกัน คือต้องอาศัยธรรมะในการอยู่ร่วมกันใครมีอธรรมก็ต้องจัดไว้ต่างหาก

 

นานาสังวาสนี่ต่างคนต่างแสดงความเห็นได้ แต่ให้กรรมการคนมีหน้าที่เป็นคนตัดสิน แสดงความเห็นได้แต่อย่ารุนแรงอย่าฟ้องร้องกัน อย่าชกกัน นี่คือตอนถอดถอนอยู่ในระดับนี้ ไม่เช่นนั้นไม่ยอมกัน ใช้กฎอัยการศึกก็ยังไม่ยอมเลย ดึงดันดื้อด้าน ตอนนี้เขาต้องใช้ไม้แรงหน่อย

 

นิกาย นี่เป็นความแตกต่างที่ชัด แยกกันทั้งปรมัตถ์และสมมุติ เช่นศาสนาคนละศาสนานี่แยกกันทำต่างคนต่างทำ โดยมารยาทสังคมศาสนาจึงไม่ละเมิดไปว่ากันต่างคนต่างให้อิสรเสรีภาพ แล้วในระดับนิกายก็นัยเดียวกันนี้ ต่างคนต่างทำ คนละธรรมวินัย ส่วนนานาสังวาสนี้รวมวินัยเดียวกันใช้โอวาทปาติโมกข์เดียวกันสวดร่วมกันได้แต่ต้องปลงอาบัติให้เป็นพระปกตัตตะก่อนร่วมทำสังฆกรรม นิกายนั้นแยกกันทั้งรูปและนาม นิกายนั้นแยกกันเด็ดขาด แต่ก็ยังสัมพันธ์กันได้แต่ถ้าจะไปอยู่ร่วมกันต้องเปลี่ยนทิฏฐิและรูปแบบเลย ทั้งรูปและนามต้องเปลี่ยนต้องสึกมาเป็นต้น แต่นานาสังวาสไม่ต้องสึกมา เปลี่ยนมาได้เลยหากเห็นดี

 

แต่อสังวาสนั้นเด็ดขาดแยกกันแตกกันเด็ดขาดตลอดชาติ ไม่ร่วมกันได้เลย เช่นพระปาราชิกนั้นชาตินี้ไม่ได้เลยร่วมกันไม่ได้ คุณไปขวนขวายเอาธรรมะส่วนตัวก็ได้แต่ว่ามาให้เห็นไม่ได้ เป็นตาลยอดด้วน ตัดคอขาดเลย แต่ทุกวันนี้ยังมาร่วมกันได้อีก นี่ผิดธรรมวินัยแล้ว ปาราชิกแล้วก็ยังกราบเคารพเขาได้อีกไม่ถูก

 

ทางด้านโน้นเขาคำว่าปรองดองมาตีกิน เพื่อไม่ให้พิจารณาความ เป็นติณวัตถารกวินัย เราไม่ยอม เพราะความผิดมันมากเกินพอ มันเป็นเชื้อร้ายที่เขารู้กันแล้ว ว่าชั่ว เลว ทุจริต โกงกินจัด มากไปแล้ว มันไม่ได้ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ เหตุผลหลักฐาน การตัดสิน ชัดหมดแล้ว ก็หลักฐาน เอาเงินคืนมา หกแสนล้านบาทมาไม่ได้เลย

 

เรื่องของความเป็น นัจจะ คีตะ วาทิตะ รวมเป็นวิญญัติ เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ เป็นองค์รวมของกายและจิต การแสดงออกทั้งลีลาท่าทาง ทั้งสุ้มเสียง สำเนียง ประสมออกไป มีเสียงหนัก เบา หวาน แข็ง อ่อน ท่าทีลีลาของคนหยาบแรง แต่เป็นโลกีย์ กับท่าทีของคนหยาบแรงแต่เป็นโลกุตระจะต่างกัน ทั้งภาษาสำเนียงสุ้มเสียงที่ออกมา รวบรวมเรียบเรียงเป็นองค์รวมแล้วทางโลกีย์เพื่อต้องการให้ยึดติดเป็นโลกธรรมกิเลสก็แรงจัดได้ไม่มีจำกัด no limited ไม่ว่าจะท่าทางสำเนียงเสียง หรือองค์ประกอบตกแต่งประดับให้ตรงกิเลส ให้มอมเมาให้จมไปในโลกียะ ไม่มีขีดจำกัด ส่วนปรุงแต่งท่าทางสุ้มเสียงสำเนียงลีลาโลกุตระทุกวันนี้ต้องปรุงมากหน่อย เพราะไม่ถึงรสเขาก็รับไม่ได้ เขาต้องการเผ็ดก็ต้องให้เผ็ดยิ่งขึ้น เราก็ต้องเอื้อมเอาเหยื่อไปให้ถึง เพื่อดึงเขามาได้ ทุกวันนี้ต้องปรุงแต่งขนาดนี้ พระพุทธเจ้าจึงมาอุบัติไม่ได้ อาตมาจึงต้องทำเช่นนี้ อย่างในหลวงท่านก็ปรุงแต่งได้เท่านี้ เกินกว่านี้ไม่ได้หรอก

 

ผู้ที่เข้าใจฐานะไม่ได้ก็ไม่อยู่ในฐานะ ส่วนผู้ที่เข้าใจฐานะได้จึงเป็นคนอยู่ในฐานะนั้น ผู้มีปัญญารู้อยู่วางตำแหน่งได้ถูกก็จะเป็นผู้ช่วยเหลือที่ดี อาตมารู้ว่าทำไมต้องปรุงแต่งขนาดนี้ คนไม่เข้าใจเขายึดถือก็ต้องว่าอาตมา เขาก็ทำได้เท่านั้น คุณบังคับหมาให้กระดิกหางมากกว่านี้ก็ไม่ได้มันทำเกินกว่านี้ไม่ได้ ต้องรู้ขีด อย่างคุณต้องเข้าข้างคนนั้นคนนี้คุณก็ต้องทำต้องออกเสียง สำเนียง ท่าทาง สนับสนุนด้วย

 

พระพุทธเจ้าท่านแบ่งนิยามของชีวิตเป็น 5 อย่าง

 

ธรรมะนั้นถ้าไม่มีวิญญาณอยู่ก็ไม่เรียกธรรมะ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่เรียกว่าธรรมะ

 

นิยามแห่งชีวิต 5

อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ

 

อุตุคือพลังงานวัตถุแท้ๆ

 

พีชะ มีชีวิต มีชีวะ แต่ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญญากับสังขาร ไม่มีธาตุวิญญาณครองจึงไม่มีวิบากกรรม ไม่มีรักหรือชัง มีแต่รู้สัญญาจำได้ว่าอันนี้ใช้เอามาใช้ อันนี้ไม่ใช่ก็เอาออก

 

จิต นั้นมีวิญญาณแล้วมีเวทนามีรักชัง ชอบหรือไม่ชอบ มีแก้แค้น พยาบาทได้ นี่คือจิตนิยาม ธาตุจิตจึงขึ้นอยู่กับกรรมแล้วจะทรงอยู่เรียกว่าธรรมะจนกว่าจะปรินิพพานหรือเป็นอรหันต์ก็ทรงไว้แต่กุศล ส่วนกิเลสคือเหตุแห่งอกุศลไม่เกิดอีกเลย ทรงไว้แต่กุศล ไม่ต้องทำบุญ พระอรหันต์คือผู้มีความทรงไว้ซึ่งธรรม

 

ธรรมะ อรหันต์คือผู้ทรงธรรมะ ไม่มีอธรรมเลย อรหันต์ไม่มีกรรมที่มีเจตนาเป็นอกุศลเลย ธรรมะคือสิ่งทรงไว้ ถือเป็นนามธรรมเป็นหลัก ถ้ามีผิดนิดหนึ่งทรงไว้ในสิ่งไม่ดีนิดนึ่งก็เป็นอธรรม

 

จิตวิญญาณของผู้ไม่รู้ กาย วาจา ใจ ไม่เข้าใจว่าอย่างนี้คือพอดี อย่างนี้คือสมดุล ตามแต่สังคมสมมุติ แม้แต่กฎหมายก็แล้วแต่สังคมกำหนด อย่างในอโศกคนจะมาต้องมีศีล 5 ละอบายมุขกินมังฯ แต่หลักเราไม่ขัดแย้งกับกฎหมายของไทย ไม่ผิดจารีตประเพณีของไทย แม้ในประเทศอื่นเขาก็ยอมรับหมดแน่ หลักศีล 5 นี่น่ะ

 

มีข่าวด่วนมาว่า อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง"ปู"ทำชาติเจ๊งจำนำข้าว เตรียมส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ภายใน 1 เดือน

 

กรรมระดับไหนเรียกว่าโลกียะ และระดับไหนเป็นโลกุตระ

 

ขีดแบ่ง คือผู้นั้นรู้จักจิตเจตสิก รู้จัก กายเวทนาจิตธรรม รู้กายรู้องค์ประชุมแล้วแยกจิตเจตสิก ที่มันประชุมเป็นเวทนาสุขทุกข์มันมาจากอะไรมาจากต้นตอคือ สราค สโทส ที่เป็นตัวการ อ่านอย่างมีปัญญาเห็นหลัดๆ ไม่ใช่ความจำ มีการกระทบสัมผัสทางทวาร 6 สัมผัสวัตถุจนถึงโลกธรรม ฐานะยศศักดิ์ตำแหน่งหน้าที่ ต้องอ่านใจตนว่าตนมี จิต สราค สโทส มันจะเอา นี่คือจิตวิญญาณคนเข้ากระแสจะอ่านจิตเจตสิกตรงนี้ออก ตรงนี้คือจุดแบ่งขีดโลกียะ กับโลกุตระ

โดยเฉพาะแยกมโนปวิจารออก แยกทวาร 6 แล้วกับสุข ทุกข์ กับไม่สุขไม่ทุกข์ รวมเป็น 18 ย่ิงเข้าใจว่านี่ทำบำเรอกามหรืออัตตา นี่คือรู้ว่าสิ่งนี้มีแนวโน้มไปโลกีย์เป็นเคหสิตเวทนาออก แล้วทำให้เป็นเนกขัมมสิตเวทนาได้ ทำให้ตัวเหตุตัวกิเลสมันลด หากรู้ก็ต้องจัดการมัน ไม่ใช่ว่าปรองดอง ปูดอง กับมันอีก คุณต้องรู้เองเห็นเองกับตนเอง ว่าได้รู้เห็นจัดการกับตัวเหตุ สราค  สโทส สโมห ก็พ้นสังโยชน์ 3 เป็นโสดาบัน

 

เกิดจากกรรม แล้วต้องมีปฏิบัติหลัดๆ ขณะกระทบสัมผัส มีเหตุปัจจัยมีตากระทบรูป มีจิตเข้าไปรับรู้ เกิดวิญญาณ แล้วจับตัวผีได้จัดการผีได้ นี่ทุกโอกาสทุกวินาที จริงๆจิตมันเร็วกว่าวินาที เราพูดนี่ยังนับเป็นวินาทีเลย พูดนี่เร็วกว่าวินาทีนะ จิตนี่เร็วกว่าวินาทีอีก เร็วกว่าพูดอีก วจีสังขารเร็วกว่าวจีกรรมอีก คำพูดที่ออกมานี่หยาบแล้ว แต่วจีสังขารนี่จิตคุณว่าชอบหรือไม่ชอบ จิตมันไม่ได้บอกนะ มันเกิดก่อนแล้วคุณไปใส่ภาษาบัญญัติว่าชอบหรือไ่ม่ชอบ คำว่าชอบนี้คือความถูกต้องดีงามคุณก็ชอบใจ หรือว่าคุณชอบส่ิงที่ไม่ดีงามก็เป็นโลกียะ

 

ทุกอย่างเกิดจากกรรม เกิดแล้วสั่งสมเป็นธรรม ทรงไว้ได้ชั่วคราวก็ไม่แน่แท้ ยังไม่จริงจังปักมั่นก็ทำไป สั่งสมให้ถึงจุดที่เที่ยงแท้ให้ได้

 

สรุปว่า การปรองดองคราวนี้มันเป็นกรรมของคุณ คุณจะทรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมหรือไม่ก็เป็นกรรม เป็นผลเป็นวิบากของคุณ สุกฏทุกตานังกัมมานังผลังวิปาโก ทำแล้วไม่เอาไม่ได้ต้องเอาไปหมด ตราบจนปรินิพพาน ไม่ระเหย ไม่ระเหิด เป็นของคุณหมดไม่ไปไหน โอกาสดีแล้วควรทำ มันราคาแพงมาก เพราะสำคัญมากของชาติประเทศ คราวนี้การเปลี่ยนแปลงประเทศ ถ้าเปลี่ยนได้จะเปลี่ยนยกเข่งเลย ต้องร่วมกันทำ ประสิทธิภาพในการเผด็จศึกนี้มีผลสูงมาก เพราะอัดอั้นกันมากว่า 82 ปีแล้ว ถึงคราวที่คุณจะได้ทรัพย์นี่คืออาริยทรัพย์ คือโอกาสอันดี คุ้มที่ว่ากับคุณที่เคยทำชั่วทำบาปมาเยอะ ขอบอก คราวนี้ตัดสินใจให้ดี เหลือไม่กี่นาทีเท่านั้น อาตมาว่า

 

มนุษย์อยู่ร่วมกันในโลกก็เป็นคุณประโยชน์ จนสมมุติว่านี่ประเทศของฉันนะ เรามีคน มีกลุ่ม มีคณะ ในประเทศไทยก็เข้าใจกัน ว่าต่อไปจะเปิดอาเซี่ยน เพื่อเชื่อมโยงกันด้วยปัญญา ด้วยคุณธรรมเมื่อคุณธรรมสูง วัตถุก็แบ่งแจกกัน คนมีคุณธรรมสูงจะกินน้อยใช้น้อย มีวรรณะ 9 ทำประโยชน์แก่โลกจริง มั่นใจว่าคนไทยมีอาริยธรรมของพระพุทธเจ้าจริง มีคนที่มีคุณธรรมอาริยธรรมตามพระพุทธเจ้าแล้ว เรากำลังจะส่งเสริมความดีให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองแล้วควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้มาก่อความเดือดร้อนแก่บ้านเมือง เราจะฉลองพระราชดำรัสในหลวงได้ คนที่เคยปฏิญาณ อย่าตระบัดสัตย์นะ ๆๆ ต้องสามที จริงๆไม่ได้บังคับหรอก เป็นของดี กรรมที่ทำแล้วแก้ไม่ได้ แต่การทำกุศลใหม่จะไปช่วยทาน แต่ลบล้างไม่ได้ คุณทำดีใหม่ก็จะเป็นสิ่งกั้นไม่ให้ฤทธิ์บาปอกุศลมาทำร้ายคุณ ทำให้มากๆก็กันได้มากขึ้น วิธีพระพุทธเจ้าคือหยุดทำบาปทำชั่ว มีแต่ดีอย่างเดียวก็เลยมีกำแพงมากั้นบาปอกุศลวิบากได้ไกลๆๆๆ ไว้หมด ไม่มีรูมีร่องให้มาได้เลย เพราะท่านสอนให้หยุดบาป ทำแต่ดีถ่ายเดียวอย่างบริสุทธิ์ที่จิตบริบูรณ์ไม่เปลี่ยนแปลงได้เลย ศาสนาพุทธไม่ได้ล้างบาปได้ แต่เมื่อปรินิพพานไปแล้วก็ไม่เหลือรูปหรือนามอีกเลยจบบุญ บาป กุศล อกุศล ก็หมดเลยเลิกยกทิ้ง ปลอดภัยกับตนและสังคม...นี่คือวิธีของพระพุทธเจ้า...จบ

 

กลอนของอิสรา แต่งมาสดๆ

 

ธุลีฟ้าธีุลีงามดุจความฝัน

ธุลีนั้นยิ่งใหญ ในคุณค่า

พิสูจน์จริงยิ่งให้ยิ่งได้มา

ยิ่งศรัทธายิ่งสดใส ซึ้งในธรรม


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:00:45 )

580123

รายละเอียด

580123_พ่อครูมาถึงดอยแพงค่า ภูผาฟ้าน้ำ เทศน์กัณฑ์ที่ 3 ของวันนี้

พ่อครูเดินทางจาก บ้านพืชผัก 13.30 น. วันที่ 23 แล แวะเยี่ยมที่ดิน 19 ไร่ ที่คุณจุ้ย(นิวัช)และครอบครัวถวายต่อมูลนิธิธรรมสันติ ที่ดินนี้ คุญจุ้ยได้มอบไว้ให้มูลนิธิ ธรรมสันติไว้นานแล้ว แต่เพิ่งได้มีเวลานิมนต์พ่อครูให้แวะเยี่ยมชม เป็นที่ดินที่อยู่ติดถนนเส้นไปอ.ปาย ซึ่งอยู่ระหว่างภูผาฟ้าน้ำ กับบ้านพืชผัก คุณจุ้ยเล่าว่าแต่ก่อนรู้สึกทำใจไม่ได้ ที่เมื่อมอบให้มูลนิธิฯแล้ว ทางมูลนิธิจะเอาไปขายต่อ ซึ่งปกติแล้วทางมูลนิธิธรรมสันติ นั้นหากจะมีญาติโยมมามอบที่ดินให้ถ้ามีเงื่อนไขใดๆทางมูลนิธิจะไม่รับที่ดินมา แม้ว่ามูลนิธิจะขายก็ตาม แต่คุณจุ้ยก็ได้มอบให้มานานแล้วแต่ยังทำใจไม่ได้ แต่มาถึงปัจจุบันนี้ คุณจุ้ยบอกกับพ่อครูว่า ตนเองฟังธรรมแล้วก็คลายความยึดติด แม้มอบให้แล้วก็ยังติดว่าต้องให้ทำประโยชน์อย่างที่ตนต้องการไม่อยากให้ขายไป แต่ตอนนี้ละวางความยึดติดได้ ทางมูลนิธิจะนำไปทำอะไรก็ได้ เพราะว่าที่ดินนี้ไม่ใช่ของเรามาตั้งแต่ต้น เราถวายก็เพื่อให้ทำประโยชน์ตามควรอย่างไรก็ได้...นี่ก็เป็นอานุสาสนีย์ปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งของธรรมะของพระพุทธเจ้าที่พ่อครูนำมาเผยแพร่ต่อให้พวกเราได้มีดวงตาสว่างมีวิชชาขึ้นบ้าง

 

 

มาถึงบริเวณสะพานแขวน ก่อนเข้าพุทธสถานภูผาฟ้าน้ำเวลาประมาณ 16.20  น. แล้วพ่อครูพาหมู่สมณะและญาติธรรม เดินเท้าขึ้นสู่ดอยแพงค่า พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ ซึ่งตลอดเส้นทางผ่านป่าเขา นาไร่ธรรมชาติของชาวดอยแพงค่าอันงดงามล้ำค่าเกินคำบรรยาย (ติดตามดูภาพได้ในเฟสบุค กองทัพธรรมFP)

 

แม่ทองธรรม ว่า...ชาวเขามาช่วยเตรียมงาน 5 วัน วันนี้ก็มาช่วยห่อข้าวต้มด้วยใบเลา

 

พ่อครูว่า...มันจะเป็นบ้านของเขาแล้วนะ พวกเราที่มานี่คือแขกนะ เขาก็ทำด้วยจิตใจดี ไม่เสแสร้างไม่ได้มุขไม่ได้หลอก เกิดจากจิตวิญญาณที่พอใจ สมัครใจ ยินดีของเขาเองก็ได้มิตรดี สหายดี มิตรดีคือสร้างที่จิต ระดับสหายคือร่วมประโยชน์ หากจิตใจดีก็จะร่วมประโยชน์กันดี แต่ทางโลกเขามาเพื่อต่างยึดประโยชน์ตน ถ้าเก่งก็มาร่วมประโยชน์เป็นสหายก็ร่วมประโยชน์หากจิตวิญญาณเป็นเนื้อเดียวกันพอเป็นมิตรดี จิตก็เป็นหนึ่งเดียวกัน ก็จะเกิดสหายดี เกิดสัมปวังโก เป็นสังคมสิ่งแวดล้อมดีได้

 

.เดินดินว่า..ดร.แสวงมาที่บ้านราชฯ เห็นพวกเราทำงานแล้วก็บอกว่า ทำงานอย่างกับมดกับปลวก ไม่มีหยุดเลย

 

พ่อครูว่า...ไม่มีเกี่ยงเพราะรู้ว่ากรรมเป็นอย่างไร ทำดีก็เป็นกรรมของเราเอง ทำมากก็แบ่งแจกไป ทำไปสิปัญญามันจะรู้ ทำไปสิ เมื่อยก็พัก ไม่มีปัญหา มีแต่ปัญญา ไม่ติดขัดติดข้องเลย

 

สด.ว่า...สูตรเคออสของ ดร.ยุคก็อยู่ในนี้ก็ดูเหมือนใช้ได้

 

พ่อครูว่า...ของเราไม่ได้วางระบบแต่มันเข้าระบบเองโดยไม่ต้องจัด เอาทฤษฎีใครมาคิดก็ไม่ได้ เพราะต่างจริต ต่างกิเลส ต่างปัญญา คนนี้ติดอยู่ตรงนี้ เขาไม่เพียรก็ไม่ได้ แต่คนมีบารมีก็ได้นะแม้ไม่เพียร แต่คนมีบารมีหากไม่เพียรก็ช้าหน่อย แต่คนนี้ไม่มีบารมี และไม่เพียรอีกก็ไม่ไปไหน

 

สด.ว่า..เหมือนตอน 18 ก.พ. 57 ไม่มีใครจัดสรรว่าใครจะทำอะไร แต่เป็นไปได้

 

พ่อครูว่า.วันที่ 18 นี้ได้ข่าวว่าทางผู้มีอำนาจที่มีกำลังพล บอกว่าถ้าพวกคุณ(ฝ่ายรัฐ)ไม่หยุด พวกผมจะลุยนะ เขาก็เลยต้องหยุด ทุกอย่างมาแต่เหตุ เป็นเรื่องดี ซึ่งจริงๆแล้วเรามีสิทธิ์ตายกันเป็นเบือ เพราะเขาพร้อมเลยที่จะจัดการ

 

.ฟ้ารู้ว่า...วันนี้ทางสภาเขาโหวตว่ายิ่งลักษณ์ ให้ถูกถอดถอนพ่อครูมีความเห็นอย่างไร?ครับ

 

พ่อครูว่า...ก็เห็นเหมือนคุณเห็น ไม่เห็นมีปัญหาอย่างไร ไม่ได้วิเคราะห์ต่อ ก็เข้าใจว่าเขาต้องทำเช่นนี้ได้ขนาดนี้ ผมไม่ได้คิดว่าต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ แต่แนวโน้มลึกๆเราก็ว่าน่าจะถอดถอนหมด แต่ก็ไม่ได้ มันมีเหตุปัจจัยที่เขาต้องทำ เราก็ศึกษา อย่างสมศักดิ์กับนิคม เขาก็คงมีเหตุผลที่ไม่ได้ถูกถอด แต่ว่ายิ่งลักษณ์นี่มันพร้อม ส่วนหนึ่งเขาก็ว่าต้องประนีประนอมกันบ้าง แต่ถ้าลงทั้ง 3 นี่แรงนะ แต่ถึงจริงๆ 2 คนนี้ก็ไม่อะไรนักหนานะ ผมว่าสองคนนี้ยากจะทำงานการเมืองอีกแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะหลุดวันนี้นะ หรือเขาเองก็ว่า เจ็บปวดเต็มทีไม่ไหวแล้ว สุดยอดแล้วได้เป็นประธานสภาฯแล้ว ก็คงจะค่อยเป็นค่อยไป นี่ดีมากแล้ว ไม่เคยเกิดมาในไทยเลยที่นายกฯจะถูกถอดถอนเช่นนี้ เป็นนายกฯคนที่ 27 เสียด้วย

 

พ่อครูเทศน์กัณฑ์ที่ 3 ที่หน้าศาลาซาวปี๋ เสร็จแล้วก็เดินเท้าต่อขึ้นไปยังเขตสงฆ์ เพื่อพักที่ ตึกภูฟ้าฯ ซึ่งปีนี้นิมนต์พ่อครูพักที่ตึกนี้ เนื่องจากถ้าขึ้นไปส่วนบนของดอยแพงค่าที่เป็นกุฏิเดิมของพ่อครู อากาศชื้นเกินไปไม่เหมาะกับสุขภาพของพ่อครู นิมนต์พ่อครูพักเพื่อเตรียมทำกิจกรรมต่อในวันรุ่งขึ้น

 

ส่วนกิจกรรมของที่ลานธรรมชาติหน้าศาลาซาวปี๋ ภาคค่ำ มีกิจกรรม รำลึกชีวิตนวกะ โดยท่านอ.1 สมณะบินบน ถิรจิตโต จะได้สัมภาษณ์สมณะที่เคยผ่านชีวิตนวกะ ว่ามีแง่คิดชีวิตดีๆจากการเป็นนวกะมาบอกญาติโยมบ้าง บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่นท่ามกลางอากาศที่เร่ิมหนาวเย็นลงเรื่อยๆ

 

กิจกรรมวันพรุ่งนี้ เป็นวันเริ่ม “งานฉลองหนาวธรรมชาติอโศก” ครั้งที่ 11

บิณฑบาต ตอนเช้าเร่ิม 08.00 น.ตั้งแถวสมณะหน้าศาลาซาวปี๋

พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน 09.00-10.30 น.

กิจกรรมพุงยิ้ม

ภาคบ่ายมีการแข่งขันกีฬาอาริยะ 2 ชนิด

ภาคค่ำมีรายการที่เวทีธรรมชาติ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:01:27 )

580123

รายละเอียด

580123_พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ณ บ้านพืชผัก สวนชายดอย ชุมชนภูผาฟ้าน้ำ

พ่อครูเดินทางจากธุลีฟ้าฯ มาถึงบ้านพืชผัก ประมาณ 14.15 น. ของวันที่ 23 ม.ค. 58

 

พ่อครูกราบพระฯแล้วกล่าวนำก่อนทำพิธีกรรม

…..การทำพิธีกรรมใดๆ เขาก็รู้กันทั่วว่าสามารถใช้เป็นวิธีการสะกดจิต รวมจิตได้ ความไม่รู้ของคนก็คิดว่าเป็นความขลัง แต่ก็ไม่รู้กันว่าที่ทำไปจะได้อะไรขึ้นมา อาจคิดกันว่า ได้บุญ ได้กุศล เป็นสวรรค์วิมาน ได้สร้างภพสร้างชาติ เดากันว่าได้บุญได้กุศล หรือได้อะไรตามปรารถนา เรียกว่าได้ตัณหา เดาว่าได้สุข สวรรค์แสนวิเศษ อุดมสมบูรณ์ด้วยสิ่งที่เขาชอบตามจริต ต่างคนก็ต่างสร้างภพชาติ แต่ก็ไม่ชัดเจนในตนนักว่าสร้างอะไร? สรุปคือเป็นความงมงาย ไม่รู้ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตายไปแล้วไม่รู้กี่ชาติก็ยังไม่รู้ นี่คือคนที่อวิชชา ไม่มีสิ่งจริงยืนยันได้อย่างเอหิปัสสิโก

 

แต่พุทธเข้าใจในสิ่งนี้ แล้วไม่ได้ลบหลู่ สามารถร่วมกันได้ ทำให้สงบได้ สามัคคีกันได้ ก็เป็นผลทางโลกีย์ ทางสังคมศาสตร์ คนที่ใช้วิธีนี้ ไม่ว่าจะเป็นฤทธิ์สั่งสมในจิตได้ อาจเป็นเชื้อสายสืบกันมาอย่างชาวอินเดีย เขาก็ถ่ายทอดกันมา แล้วในสังคมต้องอาศัย ในคนระดับนั้น ส่วนคนระดับที่มีปัญญาแล้ว ถ้ารู้จริงแล้วจะเป็นจิตที่ประเสริฐมีปัญญาจะรู้ว่าสิ่งนี้มีประโยชน์และไม่ลบหลู่วิธีการนี้ ให้เขาอาศัย แม้เราไม่ทำ เราก็อย่าไปขัดขวาง เราก็ร่วมกันเขาได้ไม่ได้ดูถูก ส่วนคนโง่จะไปลบหลู่เขา ดีไม่ดีก็ทำให้โกรธถึงฆ่ากัน เขาหาว่าไม่จริง แต่ก็มีที่เขาไม่รู้ว่าทำไปทำไม แต่ว่าในโลกของสัจจะนั้น มันคือสัญญา ย นิจจานิ อย่างอรหันต์นี่ไม่ยึดในปรมัตถสัจจะแล้วก็อยู่กับสมมุติสัจจะได้ เหมือนพระพุทธเจ้า เกิดมาในยุคเทวนิยมก็ต้องอยู่กับพวกเทวนิยมไป อาศัยกันไป ซึ่งเป็นเรื่องปัญญาจริงๆ ความจริงสูงสุดอย่างไรก็รู้จะอนุโลมก็รู้ ผู้ที่เข้าใจสัจธรรมชัดเจนจริง ก็จะเข้าใจคนที่มีอัตตา มานะ อติมานะ เข้าใจชัดเจนไปตามลำดับเข้าใจได้

 

 

อาตมาทำอนุโลมถึงขั้นนี้ แต่ก่อนก็ไม่ให้มีพระพุทธรูปในวัด ทำการพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางจากน้ำ เขาก็โวยวาย แต่ก็ไม่ได้เหมือนที่เขาว่าพวกนี้มันไม่เคารพพระพุทธรูป ซึ่งเราก็มีคารโว ยิ่งตอนนั้นยังไม่แยกจากหมู่เขาเราก็อนุโลมกับเขา แม้เราจะปลีกไปเราก็เคารพพระพุทธรูปกันทั้งนั้น จริงที่ตอนแรกเราไม่มีพระพุทธรูปในวัด แต่เราก็ไม่ได้ลบหลู่นะ เราไปที่ไหนก็กราบพระพุทธรูป

 

แต่ต่อมาทำไมอาตมาให้มีพระพุทธรูป เพราะเรามีฐานจิตที่ ชาวอโศกไม่ติดยึด แล้วปฏิบัติเคารพเป็นสิ่งแทนเป็นสมมุติสัจจะที่เป็นจุดศูนย์รวม เท่าที่จะให้มีพระพุทธรูปเป็นตัวอย่าง อย่างที่โลกเข้าใจกัน แต่เราก็ไม่เคารพอย่างเดียรัจฉาจวิชชา เคารพอย่างอามิส ด้วยดอกไม้ธูปเทียน เราไม่ทำ พระพุทธเจ้าห้ามไว้ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล พระพุทธรูปของเราสร้างมา เกือบ 10 ปีแล้วก็ไม่ได้ผิด ไม่ได้ออกนอกรีต ไม่ได้ผิดศีล ไม่ได้เป็นเดียรัจฉานวิชชา ไม่ผิดธรรมวินัย ใครเผลอมาเป็นพวงมาลัย ดอกบัวบ้าง แต่ที่จะมาตกแต่งไม่มีใครมาทำได้เพราะพวกเราตาสับปะรด เราก็จะได้เรียนรู้กำหนดจิต อ่านอาการจิตที่ยึดติด มันไม่เข้าใจไม่เกิดปัญญาละเอียดลึกก็จะได้เข้าใจ

 

ครบองค์ประชุมทั้งกายสังขาร กายวิญญาณ เข้าใจรูป 28 ที่จะต้องพัฒนาลดอาการที่ยังค้างคา ยังติดตั้งแต่ภาวรูป 2 ไป จนหมดความเป็นสัตว์ถึงอรูป เราก็จะรู้รูปของความเป็นสัตว์ชีวิตสัตว์ที่เป็นชีวิตินทรีย์ ให้สัตว์โอปปาติกะหมดสิ้นไปจากจิต เราก็จะรู้ค่าของสมมุติสัจจะ ที่เขาต้องอาศัย แม้แต่ในพวกเรา กราบเคารพยังอธิษฐานอีก ถ้าอธิษฐานแล้วขอให้ตนเจริญอย่างไรก็ไม่ได้แต่ถ้าตั้งจิตว่าเราจะปฏิบัติให้มีกำลังก็ทำได้ แต่บางคนมีเหลือเชื้อเทวนิยม ก็จะได้เรียนรู้ให้ลึกลักษณะพวกนี้ เรามาเก็บรายละเอียดอ่านจิตว่าเรายังติดภพ ชาติ แลบเลีย มีขออะไรอีก เราเองต้องปฏิบัติให้ได้

 

บางคนว่า ฤทธิ์เดชบารมีก็ขอได้ แต่ว่าที่จริงแล้วบารมีก็เป็นของแต่ละคน ขอกันไม่ได้ บารมีของใครก็ของใคร หากขอได้ก็ไปขอจากพระพุทธเจ้ากันทุกคน พระพุทธเจ้าก็เมื่อยสิ ถ้าขอได้จะขอกี่คนวันหนึ่งไม่รู้กี่ล้านคน มันขอไม่ได้ แต่มันมีสิ่งที่ไม่รู้ บารมีคือความจริง เป็นของใครก็ของคนนั้น แบ่งบารมีกันไม่ได้ บารมีคือภาวะที่คุณลดกิเลส กิเลสดับแล้วก็มีกุศลขึ้น คุณล้างกิเลสลงกุศลมีขึ้นทันที คุณล้างกิเลสหมดก็มีแต่กุศล พอเมื่อไม่ต้องล้างกิเลสก็จะได้พลังทำกุศลทดมาไม่รู้กี่เท่า เพราะไม่ต้องใช้พลังงานไปลดกิเลส ก็ได้มีพลังทำกุศลอย่างเดียวเลย เป็นของจริงนะ มีแต่เป็นนามธรรมคุณต้องทำให้ถึง ถ้าไม่ถึงคุณก็ต้องทำให้ได้

 

ต่อไปพ่อครูจะได้นำพาทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

 

พาไหว้พระแล้วก็จะทำพิธีบรรจุ

ขอถาม ว่าพระบรมฯ ของพระพุทธเจ้าเห็นมีกันมากมาย

 

พ่อครูว่า...พระธาตุนี่เชื่อกันว่าเป็นพระอัฐิของพระพุทธเจ้า แล้วเขาก็เห็นว่า สิ่งนี้เพิ่มเติมได้ พระพุทธศาสนาไปที่ไหนก็เกิดได้เพิ่มขึ้น เขาก็ว่างอกได้ เพิ่มได้ คนก็ว่าจริงหรือไม่?

 

พระพุทธรูปมีจริงไหม? ก็ไม่จริง ไม่มีส่วนใดเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้าเลย แล้วเราก็สมมุติยึดกันว่าเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ขนาดพระพุทธรูปน้อยใหญ่เราก็กราบได้ แต่พระบรมฯนี้สมมุติว่าจริงเราก็เคารพได้ แต่ถึงไม่จริงก็เหมือนพระพุทธรูปเราก็เคารพได้เหมือนกัน เขาอาจมีพิสูจน์อย่างนั้นอย่างนี้เอาไปลอยน้ำหรือเอาไปทำอย่างอื่น ก็ตาม แต่จริงหรือไม่เราก็เคารพได้ เหมือนพระพุทธรูป

 

ผอบทองอาตมาเล็กนิดเดียว เขาก็ให้พระธาตุมา แล้วของคุณองค์โตนะ เขาว่างอกได้ด้วย แล้วมันมาจากไหน ใครแอบเอาไปใส่ คุณผึ้งนี่ให้เอามาใส่ อาตมาก็ว่าพอดีเลย คุณผึ้งก็มานี่ จะได้คลายสงสัย คุณจะได้คลายสงสัย หลายอย่างพระพุทธเจ้าท่านว่ามีอิทธิปาฏิหาริย์ เราก็รู้แต่เราพิสูจน์ไม่ได้ เราเชื่อเราก็จบ สิ่งที่เราไม่รู้มีอีกมาก ถ้าเราเข้าใจเราใช้เป็นประโยชน์เป็นนัยอะไรเรารู้แล้วเราก็จบ เป็นประโยชน์เราก็เอา ไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่เอา สิ่งสมมุติขึ้นมามีใหม่เรื่อยๆไม่รู้จบเลย

 

ครูดีบุญ...รายงานความเป็นอยู่ของ บ้านพืชผัก สวนชายดอย..ระหว่างนั้นพ่อครูแจกเหรียญพญาแร้ง 80 ปีไม่มีแก่  พ่อครูจะถามญาติโยมว่า จะเอาสีอะไร มีสีแดง สีขาว สีน้ำเงิน พอจะรับโยมบางคนก็บอกว่า เอาสีเขียว (ตามสีถุงที่ห่อหุ้มเข็มพญาแร้ง) พ่อครูก็จะบอกว่าไม่มีสีเขียว ….มีแต่สีแดง ขาว น้ำเงิน... จนท่านอ.1 ต้องประกาศว่า คงมีโยมบางคนเข้าใจผิดเหมือนอาตมาว่าให้เลือกสีตามถุงที่บรรจุ ...มีสะเก็ดข่าวอีกเล็กๆว่า ตอนที่พ่อครูแจกเหรียญพญาแร้งที่ชมร.เชียงใหม่ มีคนอินเดีย มาขอเหรียญพญาแร้งเนื่องจากฟังภาษาไทยไม่เข้าใจนัก พ่อครูถามว่าจะเอาสีอะไร...เขาก็ตอบมาว่า...ศีรษะอโศก(เขาเป็นคนอินเดียไปศึกษาที่ศีรษะอโศกมา) พ่อครูก็เลยขำ แล้วก็ให้เหรียญเขาไป ….


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:02:21 )

580124

รายละเอียด

580124_เทศน์ก่อนฉัน ฉลองหนาวฯ ภูผาฯ  ศาสนาพุทธมีลักษณะเช่นนี้

เช้านี้เป็นวันแรกของงานฉลองหนาว ธรรมชาติโศก ครั้งที่ 11 พ่อครูจำวัดที่อาคารภูฟ้า ในเขตสงฆ์ ซึ่งทางภูผาฯ จัดให้อยู่ในที่มิดชิด อุณหภูมิตอนเช้า ณ ที่จำวัดพ่อครูวัดได้ 17 องศาเซลล์เซียส แต่ภายนอกอาคารนั้น อุณหภูมิ 4.5 องศาฯ ต่างกันมากเลย

 

หลังจากตื่นนอนพ่อครูก็ได้ออกกำลังกาย ด้วยการโยคะ พ่อครูไม่ประมาทในวัน ไม่หยุดเพียรในการรักษา 8 อ. โดยเฉพาะข้อออกกำลังกาย ซึ่งหาคนทำได้ต่อเนื่องได้ยากอย่างพ่อครู แม้ว่ากิจการงานในการสืบสานพระพุทธศาสนาจะมีมาก พ่อครูก็ไม่เคยหยุดเพียร ในการทำอายุให้ยืนยาว เพื่อทำประโยชน์ต่อโลก

 

ในเวลาประมาณ 07.30 น. พ่อครูและสมณะก็ได้เดินลงมาจากเขตสงฆ์ เพื่อตั้งแถวรอออกบิณฑบาตที่หน้าศาลาซาวปี๋ โดยก่อนบิณฑบาตพ่อครูก็ได้เดินชมโรงบุญมังสวิรัตที่อยู่บริเวณป่าต้นสักข้างศาลาซาวปี๋ เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นมา ต่างคนต่างมาเป็นผู้ให้ แม้แต่สส.สอ.นำโดยอาสุรเดช และอาพลอยไพร ผู้เป็นคุรุนำนร.สส.สอ.มาร่วมงาน ก็เตรียมอุปกรณ์ปิ้งย่าง สำหรับทำข้าวจี่และอื่นๆมาจากสันติอโศกทีเดียว ส่วนอาหารในโรงบุญ นั้นสาธยายกันไม่หมดเลยทีเดียว

 

ในเวลา 08.00 น. พ่อครูนำหมู่สมณะ สิกขมาตุออกบิณฑบาตที่หน้าศาลาซาวปี๋ เริ่ม 08.00 น. เดินบิณฑบาตผ่านบ้านอย่ายึด  แล้วผ่านไปทางบ้านรักษ์สุขภาพ ตัดไปสู่บ้านบัวสวรรค์แล้วผ่านหลังโรงครัว กลับสู่หน้าศาลาซาวปี๋ มีญาติธรรมมารอใส่บาตรเป็นจำนวนมาก แถวยาวเหยียด

 

วันนี้วันที่ 24 ม.ค. 58 ผ่านเหตุการณ์อันลุ้นระทึกไปแล้ว ตอนนี้ปล่อยวางคลายใจได้แล้ว รู้คำตอบว่าบ้านเมืองเราจะดำเนินกันไปด้วยกฎเกณฑ์อะไร ที่พูดนี้เป็นเรื่องบ้านเมืองหรือการเมือง ซึ่งเรื่องการเมือง มีคนเข้าใจผิด หมายความว่า คนเข้าใจผิด แต่ก็เป็นความถูกต้อง คือในสังคมของนักปฏิบัติธรรมหรือนักบวชนั้นเขาว่าอย่ามายุ่งกับการเมือง ผู้ที่ที่ไม่สมควรมายุ่งกับการเมืองคือผู้ที่ไม่มีคุณธรรม หรือมีน้อย หรือถ้าปล่อยให้นักบวชมาทำนี่ก็ยุ่งเลย เพราะว่าไม่มีภูมิคุ้มกันทางคุณธรรม เช่นโสดาบันก็ยังมีภูมิธรรมน้อยไม่เก่งพอก็จะยุ่งอยู่ สกิทาคามี จะมีภูมิโลกุตระเพิ่ม มีโลกวิทูด้วยก็ช่วยได้เพิ่มขึ้น แต่เป็นอนาคามีนี่จึงเหมาะสม เพราะหมดกิเลสในกามภพ อยู่ในกามาวจรได้อย่างอยู่เหนือ ดำเนินพฤติกรรมชีวิตเกี่ยวข้องกับสังคมกลุ่มหมู่ได้อย่างดี คนไม่มีภูมิธรรมก็อย่าเพิ่งมาเกี่ยวข้อง จะทำให้สังคมวุ่นวายเดือดร้อน ไม่มีคุณอันสมควรก่อน แล้วพร่ำสอนคนอื่นจะมัวหมอง หรือต้องเป็นผู้มีศีล

1.    ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.   ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15)

3.   พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น) .

4.    เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)

5.    เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น) .

6.    แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7.   ทรงวินัย

8.   อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา) . .

9.   ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10.  ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง  (สัทธา 10  จาก สัทธาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 8)

 

ต้องเป็นผู้ที่เข้าถึงปรมัตถ์สัจจะ เพราะถ้าคนไม่มีความรู้ปรมัตถ์แต่เข้ามาเป็นผู้สืบสานศาสนา ศาสนาก็เสื่อม นี่ไม่ได้ลงโทษใครนะ

 

ศาสนาพุทธมีคุณลักษณะคือ

  1. เป็นอเทวนิยม
  2. เป็นอาริยะ
  3. เป็นโลกุตระ
  4. มีอาริยสัจ (ไตรสิกขา)
  5. มีสัมมาสมาธิ เป็นผล
  6. มีโพธิปักขิยธรรม 37
  7. มีสาธารณโภคี
  8. มีวิมุติ นิพพาน สุญญตาเป็นแก่นสาร
  9. มีการสิ้นภพ จบชาติ ขาดวัฏฏะสงสารอย่างยั่งยืน ถาวรนิรันดร์
  10. มีปรินิพพานเป็นที่สุด (ปริโยสาน)

 

1.เป็นอเทวนิยม นั้น พุทธมีลักษะที่ต่างจากเทวนิยม ซึ่งเขาก็มีคุณความดี มีสิ่งดีจะช่วยโลก เป็นพระเจ้าที่เป็นผู้สร้างโลก ทั้งหมดศาสนาอื่นๆเป็นเทวนิยม มีแต่พุทธที่เป็นอเทวนิยม (แต่ก็มีศาสนาเชน ของพระมหาวีระเป็นอเทวนิยมเช่นกันแต่หลักปฏิบัติไม่เหมือนของพระพุทธเจ้า) เขาว่าศาสนาพุทธไม่มีพระวิญญาณ พระจิต เขาว่าพุทธไม่ใช่ศาสนา ตีทิ้งศาสนาพุทธว่าเป็นเพียงปรัชญา ที่จริงพุทธนั้นเข้าใจจิตวิญญาณ เข้าใจพระเจ้า แล้วทำให้ตนเป็นพระเจ้าได้มีคุณสมบัติดุจเดียวกับพระเจ้าด้วย มีพระกรุณาคุณพระบริสุทธิคุณพระปัญญาธิคุณ มีพรหมวิหาร 4 เช่นกัน ไม่ได้เป็นอย่างที่เทวนิยมเข้าใจศาสนาพุทธ พุทธไม่ได้ข่มไม่ได้ดูถูกว่าพระเจ้าไม่ดี เราก็เคารพพระเจ้า แต่ความเป็นพระเจ้าที่เป็นความจริงไม่ใช่แค่ความจำ ไม่ใช่พระเจ้าที่ล่องลอยไปไม่รู้อยู่ที่ไหน ไม่ใช่ แต่พุทธรู้จักเทวนิยมดี เข้าใจแล้วเอาความเป็นเทวะมาอยู่ในตนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า ช่วยโลกอยู่ได้อย่างแตะต้องสัมผัสได้ เอหิปัสสิโก  นี่คือนัยต่างกันของเทวนิยมกับอเทวนิยม

 

2. อาริยะที่เป็นคุณธรรมประเสริฐ

 

3.เป็นโลกุตระ คือเหนือโลก ไม่ใช่ข่มเบ่ง ไม่ได้เหนือกว่าอย่างทำร้ายข่มขี่แต่เหนือกว่าเพราะมีคุณธรรมความสามารถที่จะช่วยโลกได้อย่างจริงใจเป็นจิตพระเจ้า ถ้าเป็นอาริยะระดับอรหันต์ก็มีเต็มที่ แล้วอนาคา สกิทาฯ โสดาฯก็ช่วยได้ตามลำดับ ส่วนปุถุชนหรือกัลยาณธรรมก็ช่วยได้บ้างแต่มีจิตแอบแฝงที่เห็นแก่ตัวเป็นตัวอยู่ก้นบึ้งจิตใจ ที่คุณรู้มันไม่ได้ เมื่อคืนนี้อาตมาก็พูดกับท่านยุทธวโร ท่านไปเข้าใจตัวปลายมาก่อน ว่าผู้ทำให้อนุสัยบางอย่างหมดได้ อันนั้นก็จริงแต่ไม่เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย

 

4.มีอาริยสัจ เป็นแก่นแท้ศาสนาพุทธ แล้วมีหลักปฏิบัติเป็นไตรสิกขา ที่แจกเป็นโพธิปักฯ

5.มีสัมมาสมาธิ คือมีจิตสมาธิที่ต่างจากสมาธิส่วนใหญ่สากล ที่เข้าในว่าสมาธิเป็นเพียงจิตสงบหรือร่างสงบ แต่ไม่มีประโยชน์ต่อโลกเลย ทำให้อยู่เฉย ไม่มีประสิทธิภาพสูงอย่างพุทธ พุทธนั้นน่ิงอยู่แต่มีประสิทธิภาพ มีจิตแววไว แคล่วคล่อง แล้วจิตนิ่งว่างก็มี ประสิทธิภาพนี้วิเศษมาก อาตมาไม่ได้พูดปากเปล่า แล้วไม่ได้พูดแค่ที่ตามพระพุทธเจ้าบัญญัติ แต่พูดตามจริงเป็นสภาวะ

 

เช่นอาตมาจะนั่งนิ่งเหมือนเทวนิยม แต่รู้อยู่เห็นอยู่ว่าอะไรอยู่ตรงหน้า จิตก็นิ่งอยู่ก็ได้ หรือจะเฉยเลยไม่คิดอะไรเลยไม่ได้ดับหลับนิโรธสะกดไว้ ไม่ใช่แต่สัมผัสอยู่ แต่บางอย่างไม่รับรู้ได้เลย มีสัมผัสอยู่แต่ไม่รับรู้ได้เลย อาตมาทำได้ ขออภัยไม่ได้อวดดีเพื่อให้คนมานับถือ แต่ที่พูดเพื่อยืนยันว่าเป็นเรื่องเป็นได้ไม่ใช่แค่ปรัชญาเท่านั้น อาตมาไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรมในตน แม้ยุคใกล้กลียุค ธรรมะพระพุทธเจ้าก็มีผลได้ สมาธิของพุทธคือ supra concentration แต่พอนานไปสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นหายไป แล้ว เขาได้แต่สมาธิแบบดับ อาสวะบางอย่างดับได้ ได้อันนี้นิดอันนี้หน่อย รวมกันไม่ได้ ดีไม่ดีไม่รวมกันด้วยขัดกันเองด้วย ผู้เป็นวิตักกจริตจึงปฏิบัติได้บรรลุช้า กลับไปกลับมา มันเลยเสียเวลาเยอะ ขออภัยที่ต้องบอกว่าท่านยุทธวโรเป็นแบบนี้ แต่ก่อนท่านมาจากสายปัญญาแต่เยอะเกินก็เลยไปฝึกทางเจโตมากๆ มันก็เลยกลับไปกลับมา ขออภัยที่เอามาใช้เป็นตัวอย่าง ตอนนี้ไปศรัทธาหลายอาจารย์ แต่ไม่ไปไหน ยังศรัทธาพ่อท่าน แต่ก็ไปศึกษาหลายอย่างว่าอันนี้ก็ใช่ อันนี้ก็ใช่ไปหมด คนแบบนี้ไม่ได้ลงหลักปักแหล่งง่าย ขอบคุณท่านที่ได้เอามาใช้  คิดว่าท่านคงไม่ถือตัวนะ

 

6.มีโพธิปักขิยธรรม 37 และโลกุตรธรรม 9 รวมเป็นโลกุตระ 46 ผู้ใดเริ่มเข้าใจคำว่า “กาย” อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วเริ่มพิจารณากายในกาย ซึ่งเป็นองค์รวมกับ เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม พิจารณารู้เวทนาในเวทนา แล้วทำให้สั่งสมธรรมะทรงได้ เอาอธรรมออก เอาเหตุออกสั่งสมทรงไว้แต่จิตสะอาด เข้าใจแล้วจัดการใจในใจเราจะเกิดผลอย่างที่ว่า

 

7. มีสาธารณโภคี ปฏิบัติแล้วจะเกิดผลจริงกับตน เป็นอาริยะ แล้วมารวมกันเป็นสาธารณโภคี ที่มีกฎเบื้องต้น ว่า ต้องสมาทานศีล 5 ละอบายมุข กินมังสวิรัติ ก็มาอยู่กับระบบสาธารณโภคีได้ตามลำดับ มีสิทธิ์กินใช้ร่วมกันกับส่วนกลางได้  สาธารณโภคีเป็นคุณสมบัติยอดเยี่ยมของมนุษยชาติทุกวันนี้เราทำได้แล้ว เราก็ทำให้มันมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ

 

8. มีวิมุติมีนิพพานมีสุญญตา เป็นแก่นสารของศาสนาพุทธ ต้องเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้เป็นไวยพจน์กันคำเหล่านี้

 

9.มีการสิ้นภพ จบชาติ ขาดวัฏฏะสงสารอย่างยั่งยืน ถาวรนิรันดร์ พุทธนั้นเป็นอรหันต์แล้วมีสิทธิ์ที่จะปรินิพพานแต่ก็มีสิทธิ์ตั้งจิตกลับมาเกิดเป็นโพธิสัตว์ต่อได้จนถึงเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งกลับมาอาจถูกโลกมอมเมาไปชั่วคราว เป็นลิงลมอมข้าวพอง อาตมานี่แต่เดิมคิดว่าจะต้องแต่งงานนะ แต่มีกุศลวิบากบารมีให้อาตมาหลุดรอดนะ ไม่อย่างนั้นอาตมาก็ต้องมีลูกมีครอบครัวแล้วก็มาไม่ได้ หลุดมาอย่างฉิวเฉียดนะ แต่ก่อนอาตมาก็อยากเด่นอยากดังเหมือนโลกๆ แต่ก็ไม่ได้เป็น อย่างพระพุทธเจ้าแม้พราหมณ์จะทำนายสองคติกี่คนก็ตาม ท่านก็ไม่ไปเป็นพระเจ้าจอมจักรพรรดิแน่ สรุปว่า คนที่เป็นพุทธอย่างได้ถึงที่สุดจะเป็นคน สิ้นภพ จบชาติ ขาดวัฏฏะสงสาร ได้ แล้วจะรู้ลิงลมอมข้าวพองเป็นอย่างไร

 

10.มีปรินิพพานเป็นปริโยสาน คือจบนิพพาน สิ้นรอบการเกิดอีกเป็นปริโยสาน ยกเลิกกรรม ไม่มีพลังงานมารวมกันอีกในวัฏฏะสงสาร ไม่มีความมีใดๆเกิดอีกเลย

 

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนาพุทธเสื่อมจึงเกิดเหตุการณ์ให้คนเลวมาปกครองบ้านเมืองได้ สั่งสมดัดแปลงความเลวเป็นค่ายกลการเมืองปชต. กลายเป็นคนไม่ดีมีอำนาจ คนไม่ดีปกครองบริหารบ้านเมืองเกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย ขอภัยที่ต้องพูดตามความเป็นจริง อาตมาต้องเข้าข้างอยู่ฝ่ายคนดี อาตมาเป็นกลาง

 

ความไม่เป็นกลางมี 5 อย่างคือ

1.คนโง่ คนไม่รู้ผิดหรือถูก เขาไม่เสแสร้งเลย

2.คนใจดำอำมหิตไม่ดูดำดูดีกับสังคมเลย มีสองอย่าง อย่างหนึ่งอยู่กับสังคม อีกพวกหนึ่งหนีออกจากสังคม แต่บิณฑบาตกินอาหารเขาด้วย นี่คือพวกเห็นแก่ตัวเต็มบ้อง อีกพวกก็อยู่กับสังคมแต่ว่าใช้ภาษาบัญญัติว่าตนไม่เกี่ยว การเมืองเดือดร้อนอย่างไรกูไม่รู้ เห็นแต่ว่าตนต้องมีสุขเท่านั้น นี่คือพวกเห็นแก่ตัวเต็มบ้องอีกอย่าง

3.คนติดหลง ตกอยู่ใต้อำนาจ เหมือนถูกมนต์สะกด พวกนี้โง่ติดยึด สนใจการเมืองแต่หลงกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กูจะเอาคนนี้ แม้ขี้ก็หอม

4. คนกลัว เสียโลกธรรม 4 พวกนี้รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่หลบเลี่ยงหาทางหนีทีไล่ไป ลอกแลก กลัวเสียโลกธรรม คนนี้พึ่งไม่ได้เป็นกลางไม่ได้

5.คนมิจฉาทิฏฐิ พวกนี้เข้าใจด้วยปัญญาได้ด้วยว่า อะไรดีหรือชั่ว แต่ว่าไปเข้าใจผิดว่า ความเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใครเลย  พวกนี้มิจฉาทิฏฐิ1.คนโง่ คนไม่รู้ผิดหรือถูก เขาไม่เสแสร้งเลย

 

คนที่เป็นกลางที่แท้ต้องเป็นคนที่ว่า คนนี้เข้าใจดีว่าอะไรถูกอะไรผิด แล้วปฏิบัติอย่างในหลวงว่าในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี  หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"

 

เราปล่อยให้คนที่ไม่ดีเป็นนายกฯ แล้วเก่งมากฉลาดฉิบหายด้วย เราต้องช่วยกันควบคุมตนไม่ดี ทำอย่างละมุนละม่อม ทำอย่างเรียบร้อยด้วย

 

ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องมีเบื้องต้น_ท่ามกลาง_บั้นปลาย ถ้าเราไม่รู้ว่าคืออย่างไร เบื้องต้นพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติศีล 5 ถ้าเรามีบารมีเลยศีล 5 ปฏิบัติเดี๋ยวเดียวก็เป็นศีล 8 ศีล 10 ศีลธรรมนูญ แต่ถ้าเป็นวิตักกจริตก็จะช้านานเลย เอาไปเอามาอาตมาปรินิพพานเป็นปริโยสานเลย ก็ไม่ได้ ยกตัวอย่างท่านยุทธวโร อยากให้ไปด้วยกันจนกว่าจะปรินิพพาน ให้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเลย ถ้าเป็นได้ แล้วยังจะไปหาอะไร ถูกศรัทธาธิกะหลอกได้ ปัญญาธิกะหลอกอีก ลึกๆรู้แต่ว่ายังไม่เชื่อว่าอาตมาคือใคร อาตมาเป็นจริง อาตมาจะใช่หรือ?ก็เลยเป็นอย่างนี้ เอ๊ะอันนี้ก็น่าจะใช่ จะใช่อีกนานไหม?

 

ที่บ้านเมืองไปได้ช้า อาตมาขอลงโทษคณะที่เป็นแกนจิตให้สังคม เมื่อไม่เข้าใจความสำคัญในความสำคัญ สิ่งเลี้ยงชีพ เป็นอาชีวะเลี้ยงชีพนั้นเป็นรองธรรมะ อย่างเดรัจฉานก็เลี้ยงชีพได้ ไม่เข้าใจธรรมะหรอก อย่างสัตว์กับคนนี่ เช่นคนเลี้ยงหมา ก็ทำให้เสียหมาหมด หมาก็ถูกมอมเมา เกิดอกุศล ก็เกิดวิบากกับหมา แล้วคนก็ทำให้เกิดวิบากร่วมกันอีกเป็นอกุศล อย่าไปเลี้ยงหมาอีกเลย คุณมาอยู่วัดไม่ได้เพราะหมา 4 ตัวแทนที่จะได้มาช่วยได้อีกหลายชีวิตเป็นต้น

 

คนก็เลี้ยงชีพ อย่างปุถุชน คนสัตว์นรก คนโลกอบาย พระพุทธเจ้าแจกอาชีพไว้ 6 อย่าง กุหนา ลปา เนมิตกตา นิปเปสิกตา ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  คือทุจริตโกงเลวทั้งกาย วาจาใจ

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) คือทุจริตทางวาจา นี่คือลิ่วล้อทั้งหลายของคนโกง เลวชั้น 2 ตอนนี้สังคมไทยจะปราบให้พวกนี้หยุดทำอกุศล คนที่ลงคะแนนเสียงหยุดคนพวกนี้ คุณได้กุศลสูงมาก ใครทำอย่างเต็มใจกุศลสูงมาก แม้ไม่เต็มใจก็ได้ผลสูง

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  คือ ผู้เริ่มต้นมีศีล ศีลเมื่อสมาทานแล้ว อย่างชาวอโศกก็ค่อยปฏิบัติให้มีมรรคผล ศีลพื้นฐานคือศีล 5 แต่ก็ยังเสี่ยงทายไม่ตรงแท้

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา)

 

อย่างเบญวรรณ เคยทำงานกับที่ดิน เขาเล่นโกงกินกันรอบด้านเลยตนเองบริสุทธิ์แต่ยังรับเงินเดือนจากเขา ก็ต้องเซ็นชื่อกับเขา ก็เลยรู้สึกว่าละอาย สุดท้ายลาออกมา ตอนแรกเกร็งนะ ต้องช่วยกัน ตอนนี้ก็คงไม่ไปไหน ตายก็จะเผาให้

 

คนที่จะบริสุทธิ์ต้องทำงานส่วนตัว แต่ยาก แต่ถ้ามาอยู่กับหมู่สาธารณโภคีก็ง่ายกว่า ข้อที่ 5 นี่สุดยอดแล้ว ไม่เอาทำงานของแลกของหรือของแลกเงินหรือเงินแลกเงินเลย บางคนถึงกับเอาธรรมะไปแลกเงินเลย เสียหาย ดีไม่ดีเอาธรรมะผิดๆไปแลกเงินด้วย บาปซ้ำซ้อนอีก

 

ศาสนาพุทธ ยุคพระพุทธเจ้าอาริยะก็มีอรหันต์ อาริยะที่เป็นฆราวาสมากกว่า แต่พระนี่ปฏิบัติได้คล่องกว่าบริสุทธิ์ดุจสังข์ขัด ปลดภาระมาก เบา ได้เปรียบ แต่ต้องอดทนหน่อยมีหลักเกณฑ์เยอะ ตั้งใจมาแล้วอย่าละเมิด อดไม่ได้ก็กดข่มไว้ก่อน อย่าให้เหมือนนายเกษมนะ ที่อดไม่ได้ทนไม่ได้ก็ละเมิด แล้วมาบอกว่าผมทำไปไม่รู้ตัว เหมือนนายกฯหญิง ที่บอกว่าหนูไม่รู้จะบ้าหรือ ฉิบหายไปมากแล้วนะนี่

 

สรุป เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีDNA เป็นโลกุตรธรรม ในหลวงเราทรงเตือนว่าอย่าหลงตำรา แต่ท่านตรัสมากไม่ได้ ไทยมีหลายศาสนา คุณก็ต้อง understood เอาบ้าง ให้ทำตามตำราเราเอง ไม่ใช่เราไม่รับของคนอื่นนะ อันไหนดีเราก็เอาด้วย แต่ต้องรู้ว่าสิ่งไหนเป็นอันเอก อันไหนเป็นรอง การจะให้มีความรู้เทคนิคก็มาช่วยทำ ตามที่ตนจะมีการหยุดมิจฉาชีพได้ขนาดไหน

 

ผู้เข้ากระแสจะระงับกุหนา ไม่เอาอย่างทุจริตเอาเปรียบ อย่าทุจริต เราต้องหยุด ถ้าคุณไม่ก้าวหน้าแต่หมู่เขาเดินไปข้างหน้าแล้ว คุณก็คือถอยหลัง หมู่นี้เขาไปจนหายไปเลย ไปไหนไม่รู้ ตนเองก็เลยถูกหมาไล่เนื้อตามทัน พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญคนหยุดอยู่ เรียกว่าฐีติ (อปหานะ) ไม่สรรเสริญแม้ฐีติ ท่านสรรเสริญวุฒิๆ คือเจริญขึ้นๆ ในกุศลกรรม

 

พระพุทธเจ้าไม่เอาหยุดอยู่ ต้องให้เจริญขึ้น ป่วยการกล่าวในใยถึงความเสื่อม ต้องมาศึกษาให้สัมมาทิฏฐิแล้วพวกเพียร เดี๋ยวนี้ความรู้เทคนิคเต็มไปหมดแล้วแต่ขาดความรู้ทางธรรมะ  ถ้าสนช.ปฏิรูปให้ความรู้ทางธรรมะเจริญเกินกว่าความรู้เทคนิค เราก็ทันโลกด้วย เราระวังว่าเครื่องมือเทคนิคมีผีอยู่ในนั้นเราก็ป้องกันกันอยู่ เราทำให้เกิดประโยชน์สูงประหยัดสุดกันให้ได้

 

ก็มาฉลองหนาวกัน เมื่อเช้านี้อาตมาตื่นมาในห้องที่เขาทำให้อย่างดี ในห้อง 17 องศาฯ ออกมานอกห้อง 4.5 องศาฯ ลงมาอีกหน่อยก็ 3.5 องศาฯ พอพระอาทิตย์ขึ้นก็อุ่นขึ้นหน่อย

 

เราจะมีกีฬาอาริยะ มีสันทนาการบ้าง ตามประสา คนที่ยังมีเล่นๆอยู่บ้าง เราก็ไม่ต้องเคร่งเครียดเอาจริงมาก เราก็รู้ว่าต้องอนุโลมปฏิโลมตามกาละ อย่าให้ผีเอาไปกินกัน ศาสนาพุทธรู้จักผีที่แท้ ผีไม่มีอยู่นอกตัว ที่ว่าลอยไปโน้นนี่ ในโลกนี้หรือโลกไหนๆก็ไม่มี มีแต่ผีอยู่ในตัวคนเยอะด้วย ไม่ใช่ผีสิงนะ ตัวจิตวิญญาณเขาเองทำตนเป็นผีเอง เราป้องกันอันนี้อย่าให้ผีเหล่านี้มาปกครองบริหารบ้านเมือง ผู้จะป้องกันได้ต้องมีความรู้ ถ้าไม่มีความรู้ป้องกันไม่เป็น ดีไม่ดีจะรบราฆ่าฟันกันด้วย จะต้องช่วยกันศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าสิ่งที่ดีมีอยู่แล้วในไทย เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมาแต่ดั้งเดิม แต่เราไม่รังเกียจศาสนาอื่นๆ อย่างในหลวงเราทำนี่สุดยอดแล้ว ทุกศาสนาสอนให้คนทำดี

 

ก็ขอให้ทุกคนสนใจธรรมะ ศาสนา แล้วพัฒนาศาสนาของแต่ละ ศาสนิกทำตนให้เจริญตามศาสนาตน โดยเฉพาะพุทธ หากทำให้ได้โลกุตระธรรมในตนมากขึ้น เมืองไทยก็จะเจริญ...สาธุ

 

ภายหลังจากเทศนา พ่อครูก็ได้ฉันภัตราหารพร้อมสมณะสิกขมาตุ ที่ศาลาซาวปี๋ ระหว่างฉันอยู่ พ่อครูก็ยังได้แจกเหรียญพญาแร้ง 80 ปีไม่มีแก่ และล็อกเก็ตรูปเหมือนพ่อครูไปด้วย

 

ภายหลังจากพ่อครูเทศนาเสร็จ ประมาณ 10.30 น. ก็มีการเปิดตลาดอาริยะสำหรับ ขายของราคาถูกมาก เป็นสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีวิต ชาวบ้านทั้งชาวเราชาวเขา พากันมารอเข้าคิวซื้อของดีราคาถูกกันยาวเหยียด แถวยาวมาก โดยเฉพาะ ไม้กวาดและเครื่องมือทำกสิกรรม คนต่อคิวย้าวยาว เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง ชาวบ้านชาวเขา และชาวเราชาวอโศก


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:03:13 )

580124

รายละเอียด

580124_พ่อครูให้ธรรมะแทรกในรายการภาคค่ำ งานฉลองหนาวฯ ภูผาฯวันแรก

วันที่ 24 ม.ค. 58 เวลา 18.00 น. มีการแสดงภาคค่ำ วันนี้ เริ่มต้นด้วย วงดนตรีฆราวาส มาขับกล่อมเสียงเพลง ของชาวอโศก จากนั้นจึงมีญาติธรรมมาร่วมร้องเพลง ที่เป็นเพลงแบบธรรมชาติ ตามแบบชาวอโศก เป็นบทเพลงที่บรรยายถึงความเป็นมาเป็นไปของชาวภูผาฟ้าน้ำ รำลึกถึงคุณงามความดีของบรรพชน ผู้สร้างภูผาฟ้าน้ำ ซึ่งเสียงเพลงก็เป็นแบบเราๆ คือมีผิดคีย์บ้าง ถูกคีย์บ้าง ดำน้ำบ้าง ขึ้นดอยบ้างตามประสา แต่พวกเราก็ฟังกันอย่างยินดีซาบซึ้งไปด้วย

 

พ่อครูให้ธรรมะแทรก ระหว่างการร้องเพลงว่า....

 

...สิ่งที่เกิดมานี้  มีพวกเราออกมาร่วมร้องเพลงกันอย่างเป็นธรรมชาติ มันเกิดจากจิตวิญญาณที่จริงใจ ซึ่งจะผิดหรือถูกก็ดี พวกเราก็ฟังกันได้อย่างดี ถ้าทำได้ถูกต้อง ได้ดีก็ยิ่งดีแน่นอน สิ่งเหล่านี้คือเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของภราดรภาพ อันมีความเป็นมิตร มีความเป็นญาติ เป็นสิ่งรวมที่จะหาอคติไม่ได้เลย

 

ซึ่งถ้าผู้มาแสดงถูกจ้างมา แล้วมาทำอย่างนี้ ผู้ที่มานั่งดูนั่งเสพ จะคิดอย่างไร จะทำอย่างไร รับรองว่าหน้ามุ่ยหน้าบูด ดีไม่ดีจะขว้างใส่เวทีเลย นี่คือสิ่งที่ไม่เข้าใจเป็นอวิชชาที่เขาทำนะ การจะมาแสดงอะไรที่มาสันทนาการเช่นนี้มีอะไรก็แสดงรื่นเริง เชื่อมโยงให้สนุกสนาน ของโลกีย์เขาจะมีเช่นนี้ หากคนที่มานี้จ้างมา ถ้าไม่ได้ดังที่เขาคาด หากต่ำกว่าที่เขาคิด ยิ่งเขาเสียตังค์จ้างเขามาด้วยรับรองว่าโดนโห่ โดนปาเลย มันไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์เรื่องมิตรสหายเลย มันเป็นเรื่องของการได้เปรียบเสียเปรียบ หากคุณแสดงไม่ถึงค่าที่เขาตั้งใจไว้ เขาก็ว่าเขาขาดทุนเขาก็ไม่ยอม มันเป็นเรื่องตัวใครตัวมัน คนมาแสดงก็มาทำเพื่อเอาเงิน คุณฝึกฝนมาอย่างดีเพื่อจะเอาเงิน กลายเป็นเรื่องหากิน เป็นการค้า

 

ในโลกของสัตว์โลกก็หากินหาใช้ ก็เลยเป็นวิธีการของมนุษย์ที่จะมาหาเงิน คนที่ให้เขาจ้างก็คือเพื่อจะหาเงิน คนที่จ้างก็คือคนที่ถูกมอมเมาว่าต้องเสพรสที่เขาปรุงแต่งมา ซึ่งแท้จริงมันไม่ต้องมีเลยก็ได้ รสอย่างนั้น เช่นที่อย่างเราแสดงกันนี่ จะดำน้ำ ผิดคีย์บ้างถูกคีย์บ้างก็เป็นไปได้ เบิกบานได้ ไม่เห็นต้องอย่างที่เขาทำเลย เป็นเรื่องที่แสดงถึงโลกที่แตกแยกแล้ว พวกที่มาเสพนี้ก็เป็นคนกลุ่มหนึ่ง พวกที่แสดงมอมเมาเขาก็เป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง ก็ทำไป เป็นโลกที่แตกแยกแล้ว เขาตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างขูดรีด ต่างคนต้องได้กำไร คนมาเสพก็ต้องได้เสพ คนมาแสดงก็ต้องได้กำไร เขาไม่เข้าใจว่านี่คือสังคมแตกแยก อยู่กันอย่างว่า ใครจะได้เปรียบเสียเปรียบ แล้วก็ครอบงำความคิดกันได้

 

แม้ว่าคนที่เขาตรึงคนได้ มีชื่อเสียงมาก หากแสดงผิดเละเทะก็ผิดค่า จะถูกถล่มมากเลย ตนเองก็ต้องรักษาค่าการแสดงไว้ให้ไว้ตลอดไม่ตก เพื่อรักษาสภาพที่ตนเองได้เปรียบ ไม่ใช่เรื่องสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณอยู่ร่วมกันเลย เป็นเรื่องทีใครก็ทีใคร ใครอย่ามาเอาเปรียบฉันนะ ให้กันไม่ได้เลย นี่คือเรื่องที่อาตมาแทรกให้พวกเรารู้ธรรมะ สิ่งที่มันเกิดนี้ อย่างที่พวกเราทำนี้ เป็นเรื่องหาได้ยาก คนบางคนก็มาดูแล้วก็อาจหาว่า บ้าบอ ไม่มีค่า ของเขามันต้องสังคมขั้นสูง ต้องได้อย่างค่านิยมเขา มีศิลปินใหญ่มา ไม่ต้องอธิบายถึงพวกลามก นี่ก็อีกอย่างที่เลวร้าย จะไม่พูดถึงตอนนี้

 

...จากนั้น พิธีกรทักทายท่านผู้ชมด้วยคำทักทาย ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาปากะญอ พ่อครูทักว่า คนปากะญอฟังออกไหมนี่...

 

จากนั้นมีการแสดงจาก เด็กนร.สัมมาสิกขาจากหลายพุทธสถาน

 

ระหว่างพักรอการแสดง พิธีกรบอกว่า.... ตอนนี้มีสินค้าใหม่มานำเสนอ คือเม็ดมะขามคั่ว เพื่อรำลึกถึงตอนพ่อครูเป็นเด็กที่เป็นคนเริ่มขายเม็ดมะขามคั่ว พิธีกรถามพ่อครูว่า มีวิธีการกินอย่างไร

 

พ่อครูว่า...อาตมาตอนเด็กๆไม่ได้เล่นเกมหรือเล่นอย่างเด็กปัจจุบัน ก็เป็นการทำงาน แม้แต่ที่ไปขายเม็ดมะขามคั่ว ซึ่งก็ต้องมีวิธีกิน บางคนชอบกินแบบแข็งๆกรอบๆ ก็แกะเปลือกออกแล้วก็เคี้ยวกิน ขบกิน แต่คนไม่ขอบแบบเข็งๆก็เอาไปแช่น้ำแช่น้ำจนอ่อนตัว โดยใส่เกลือในน้ำให้พอดีๆ จะมีรสปะแล่มๆ เคี้ยวมัน เป็นเรื่องกินกันเล่นๆไม่มีใครคิดขาย อาตมาก็ลองทำขายดู ใส่กระทงเอาไปขายที่ตลาด จำไม่ได้ว่าขายกระทงละกี่บาท ตอนนี้เงินเป็นตังค์ กระทงละตังค์สองตังค์ ปรากฏว่าขายได้ ต่อมาก็มีเม็ดมะค่าแต้ก็ทำขายได้ ….

 

ในการแสดงของนร.สันติอโศกซึ่งเด็กชายใส่ชุดสัมมาสิกขาปกติ ส่วนเด็กนร.หญิงใส่ชุดสัมมาสิกขาแล้วมีผ้าเป็นลายพาดบ่าเพียงแค่นี้...เพื่อเต้นรีวิวประกอบเพลง “บ่ ใส่เกิบ” หลังจากจบแสดง พ่อครูให้ความรู้ทางธรรมะแก่พวกเราเพิ่มเติมว่า....

 

….พวกเราดูนี่ต่างจากรายการที่เขาจ้างทำ เราดูนี่นะเราลุ้น ผิดๆๆก็หัวเราะเห็นใจๆ แต่ถ้าไปจ้างดูนี่คนละเรื่องเลย ดูแล้วจะเสพหากเขาทำดี เขาทำไม่ดีก็หงุดหงิด ยิ่งทำไม่ดีอาจโดนปาอะไรใส่ก็ได้ 

 

…..นี่ก็คือความแตกต่างของ “สังคมคน” และ “สังคมที่ไม่ใช่คน” แล้ว


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:03:52 )

580125

รายละเอียด

580125_พ่อครูมอบรางวัลกีฬาอาริยะ และเอื้อไออุ่น

 

พ่อครูว่า...ตอนนี้เราเริ่มต้นถ่ายทอดออกอากาศไปแล้ว ชีวิตนี้เราไม่มีพลังงานพอที่จะไปคิดเรื่องไหนๆมากมายกับเขา ทุกวันนี้อาตมาวางเรื่องอื่นๆเยอะ เอาพลังงานมาใช้ด้านปรมัตถ์เสียเยอะ เพื่อให้ดึงให้ฟื้นคืนสู่มนุษยชาติ อาตมาใช้คำว่าดึงธรรมะขึ้นมา ไม่ได้หมายความว่าไปคิดผกผันว่า 1 บวก 1 เป็นสองหรือบวกลบคูณหารอะไรอย่างนี้ไม่ใช่ แต่ดึงเอาจากสัญญา ที่เรามีเก่า การระลึกชาติหรือการดึงเอาของเดิมออกมา ซึ่งมันมีของเดิมแล้ว เป็นเรื่องยากแต่คนเราก็พอเข้าใจว่าเรามีความจำ เราก็คงนึกออก หลายอย่างเราดึงไม่ออก หลายอย่างไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามี เยอะเลย จริงๆน่ะเยอะมากที่ไม่รู้ว่าเรามี เราจำในคลังสัญญา อัตภาพ ง่ายๆที่อาตมาพูดไปว่า เราดึงความจำมา บางอย่างดึงตั้งหลายวันกว่าจะออกมา บางชาติก็ต้องนานมาก ที่กว่าจะดึงออกมาได้ ค่อยๆเป็นไปปะติดปะต่อมาเรื่อยๆ เรื่องธรรมะจึงไม่ใช่ตรรกะคิดผกผัน แต่เป็นลักษณะดึงออกมา มันจะดึงได้มากตอนพักผ่อนเรียบร้อยแล้วใกล้จะเช้า นี่แหละ ที่อาตมาใช้ภาษาว่าเทวดามาบอก เหมือนถามเทวดา พระพุทธเจ้าว่าท่านคุยกับเทวดา มีรัศมีทั่วพระเชตวันเลย นี่คือท่านตรัสเป็นบุคคลาธิษฐาน แต่แท้จริงเป็นธรรมาธิษฐานของใครของมัน แล้วเทวดานี่คือจิตวิญญาณตนเองทั้งนั้น การที่บอกว่าไปเห็นเทวดา ผี ข้างนอก เป็นมโนมยอัตตา สร้างภาพทั้งสิ้นไม่มีของจริง ของจริงคือจิตเราเอง เป็นจิตเทวดาหรือผีนรก เราก็รู้ว่ายังเป็นสัตว์ แม้เทวดาก็เป็นสัตว์ นรกก็เป็นสัตว์ แม้พรหมก็เป็นสัตว์ คือสัตว์ที่มีจิตสูง ความเป็นสัตว์คือการที่มีชีวิตอยู่ สัตว์ที่มีจิตสูงเป็นมนุสโส เริ่มต้นเป็นปุถุชน เจริญมาเป็นอเวไนยสัตว์แล้วเวไนยสัตว์ตามลำดับ

 

กัลยาณชนไม่อาจอ่านรู้จิตตน ว่าอาการอย่างนี้เป็นสัตว์นรก สัตว์อบาย อย่างนี้กามสัตว์ รูปสัตว์ อรูปสัตว์ แล้วแยกออกไปอีกเยอะ แค่แยกรูป 28 นี่ก็มีอีก เป็นพระสารีบุตรท่านแยกแยะแจกแจงไว้ ว่าระดับไหนเรียนขนาดไหน? การปฏิบัติต้องมีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ถ้าไม่มีลำดับพระพุทธเจ้าไม่ยอมรับ ที่บอกว่า กายสักขี ฟังให้ดีโดยเฉพาะท่านร่มเมือง ยุทธวโร ถ้าเรียกไม่ดีก็กลายเป็นล่มเมืองเลยนะ ต้องร่มเมือง

 

กายสักขีแปลว่ามีกายเป็นองค์ประชุมรูปนาม ที่มีพยานโดยเฉพาะสัมผัสของตนอยู่โต้งๆ กายสักขีไม่ใช่ของคนอื่น คำว่าสักขีพยานที่มีจริงคือกาย กายนั้นต้องมีมหาภูตรูป 4 สัมผัสอยู่ข้างนอกหลัดๆเลย ผู้ใดจะมีอาสวะสิ้นบางอย่างก็ตาม คำว่า อาสวะสิ้นตรงนี้เป็นคำกลางๆ หรือสุดท้ายอาสวะบางอย่างสิ้นหมดแล้วเห็นด้วยปัญญา ก็หมายความว่า บุคคลที่อาสวะบางอย่างสิ้นก็ไม่ได้หมายความว่าอาสวะสิ้นนี้เป็นการสิ้นโดยตกๆหล่นๆ ไม่เรียงลำดับต้นกลางปลาย แต่อาสวะบางอย่างจะสิ้นก็ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสายปัญญาวิมุติ ที่บอกว่า น เหวะ ไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่อาสวะสิ้นหมดแล้ว เห็นด้วยปัญญาอย่างชัดเจน คือผู้หมดอาสวะก็เป็นอรหันต์ แต่สายกายสักขี อาสวะบางอย่างคุณต้องสิ้น ไม่หมด ถ้าคุณไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกาย มีแต่ทำด้วยสัญญาไม่ถือว่าสิ้นอาสวะได้

 

กายคือครบพร้อมหมดเลย ทั้งอบายภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สำเร็จอิริยาบถอยู่ แม้โลกอบาย กามภพก็ลืมตาสัมผัสเห็นๆ อยู่ รูปภพ อรูปภพก็สัมผัสอยู่เดี๋ยวนี้ อาสวะของอรหัตตผลบางอย่างสิ้นไป คือตากระทบอยู่...คือองค์ประชุมครบ ผู้ที่ยังไม่ได้ครบอย่างนี้อาสวะไม่สิ้น เพราะไม่มีกาย ไม่มีอบายภูมิ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ มีแต่ในภพ ดังนั้นนั่งหลับตาสมาธิไม่นับว่ามีผู้ใดได้อาสวะสิ้น

 

อย่างใดเรียกว่าวิปัสสนึก อย่างใดเรียกว่าวิปัสสนา

 

วิปัสสนึกอย่างลืมตา อย่างสายปัญญาที่ลืมตา ใช้ concentration เพ่งไปอย่างหนึ่งให้จิตจดจ่อ หลายคนก็เก่ง เข้าฌานลืมตาของตน พอ concentration ได้ที่ก็จะไม่วอกแวก แล้วเขาก็นึกคิด แล้วเอาตรรกะต่างๆมาคิดนึก พวกนักเรียนปรัชญา นักคิดพวกนี้วิปัสสนึกทั้งนั้น พวกนี้มีทั่วไปสามัญสำนึกเขาก็มีอยู่แล้ว

 

วิปัสสนึกสายหลับตา เขาก็หลงกันมากว่าเป็นวิปัสสนา คือพอนั่งสมาธิหลับตาเข้าไปแล้ว จะเรียกว่า   concentration หรือ meditation ก็ตาม แต่ถ้าของพระพุทธเจ้าเรียกว่า supra meditation ผู้ที่นั่งสมาธิเข้าที่แล้ว จิตก็นิ่งดิ่ง ดีไม่ดีก็มัวๆมะลำมะเลือง ไม่คิดนึก แต่สติไม่ตก ไม่มีนิวรณ์​5 แล้วเขาจะคิดอะไรไม่ออก เขาก็จะบอกว่าถอนจากฌาน 4 มาฌาน 1 ให้มาอยู่ในวิตกวิจาร ให้แจ่มใสนึกคิดเต็มที่ อยู่ในภวังค์นิ่ง แล้วใช้จิตนั่นแหละ พอจิตแจ่มใสแล้วก็ให้โน้มจิตไป เช่นคิดถึงคำว่าเทวดา สัตว์นรก หรือเหตุผลความหมายของภาษาธรรมะที่ตนติดใจข้องใจ แต่จิตมีลักษณะโน้มน้อมแต่ตนไม่รู้ จิตโน้มไปหาอันนั้นอันนี้ บางทีใช้ภาษาว่าอธิโมกโข อธิมุตโต ใช้ความคิดวิเคราะห์ตอนนี้จะเข้าใจรู้ชัดได้มากเลย แล้วตีขลุมตรงนี้ว่าคือวิปัสสนา เป็นปัญญาของสายวิปัสสนา เป็นปัญญาที่รู้ได้ลึกซึ้งแจ่มแจ้งกว่าที่มีทั่วไป ทั้งที่สามัญนึกคิดไม่ออก ขบไม่ออก แต่ในวาระนั้นขบคิดออก เขาก็ถือว่าอันนี้คือวิปัสสนา ซึ่งที่จริงก็คือวิปัสสนึก ของสายหลับตา

 

วิปัสสนาก็คือความรู้ที่ท่านว่าเห็นด้วยปัญญาอันยิ่ง สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แล้วตรวจด้วยเจโตปริยญาณ 16 ของตน แล้วไปสั่งสมอนุตตรจิต ที่จะมีผลให้ทำถึงอรูปฌาน ปฏิบัติให้มีวิมุตติเป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ต้องมีสัมผัสทั้งนอกและในครบพร้อมจึงเป็นวิปัสสนา ตามภูมิ ของโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็รู้ตามภูมิของตนเองแต่ละคน นี่คือวิปัสสนา ต้องมีผัสสะ มีปัสสติ ต้องมีสัมผัสเห็นด้วยทุกทวาร ครบพร้อมไม่ใช่แหว่งไปไม่ครบองค์ประชุม วิปัสสนาใช้สัญญา ส่วนวิปัสสนาใช้ความจริง เห็นจริงตามความเป็นจริง ผู้ใดสัมมาทิฏฐิก็ปฏิบัติให้ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล

 

พิธีกรว่า ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มาที่นี่และท่านที่อยู่ทางบ้าน

 

พ่อครูเลยบอกว่า … อนุโมทนากุศล แต่ถ้าใครจะได้บุญด้วยนี่ยิ่งดีมากๆเลย

 

ต่อไปเป็นรายการเอื้อไออุ่น โดยพ่อครู

 

พ่อครูว่า...ก่อนจะพูดอาตมาจะขอขยายความกีฬาอาริยะด้วย ว่ามีอย่างนี้ด้วยหรือ รางวัลที่ 3 ได้ 5 บาท รางวัลที่ 2 ได้ 3 บาท รางวัลที่ 1 ได้ 25 สตางค์ ซึ่งมีอย่างนี้ด้วยหรือ? ของเขานี่ยิ่งได้รางวัลที่ 1 จะได้มากมายเป็นพันล้านเลย ของเราทวนกระแสเขาเลย

 

ทุกวันนี้เขาไม่รู้จักอบายมุข รสอร่อยทางด้านกีฬาบันเทิง เป็นการสร้างกิเลสใส่จิต เป็นการกินแรงงงานทุนรอนมันมากเกิน ซึ่งผู้อยู่ในฐานะต้องพักพิงอาศัยสิ่งเหล่านี้ก็จำเป็นแต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญต้องเป็นหลักอย่างนี้ แต่ทุกวันนี้เขามอมเมาโถมถั่งเอาทั้งทุนรอนเงินตรา มาโถม แล้วเพื่อจะได้สิ่งตอบแทนกลับมาให้มาก แต่กิเลสเจริญขึ้นไม่รู้จบ ไม่ว่าจะทางบันเทิงทางกามหรือทางอัตตา

 

ทุกวันนี้เราทำเพื่อทวนกระแส เพื่อให้ได้คิด เพื่อให้ได้รู้ความจริงว่าเราเจริญหรือตกต่ำ แต่ทุกวันนี้ตกต่ำ เพราะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ยกตัวอย่างประเทศอินเดียมีพลเมืองเป็นพันล้าน เขาสามารถคัดคนมาแข่งกีฬาเอาชนะได้แน่แต่เขาไม่ทำ แต่ต่อไปจีนเขามีพลเมืองมากมายหลายพันล้าน เขาก็จะชนะหมด เขาคัดคนได้อย่างมาก ต่อไปจีนจะทำ แต่อินเดียไม่เหมือนจีน เขาไม่มีรากเหง้าฐานจิตเหมือนจีน

 

แกนของจิตวิญญาณมีเจโต กับปัญญา มีสายธัมมานุสารี กับศรัทธานุสารี ความไม่รู้ไม่มีภูมิธรรมจะเหลิงไปกันใหญ่กับส่ิงเหล่านี้ เขาไม่เข้าใจหรือเข้าใจก็สู้ไม่ได้ เขาต้องเตลิดเปิดเปิงไปอีกมากมาย จะโอลิมปิกหรืออย่างอื่นจะทำอย่างเสริมเติมไปอีกมากมาย

 

การแข่งขันกีฬาอาริยะก็ไม่ได้ทำที่ชุมชนอื่น เราทำที่ภูผาฯนี่ทำมาตั้งแต่ครั้งแรกๆเลย แต่ไม่เหมือนกับทางโลกที่จะข่มเบ่งกันไปเรื่อยๆ นี่ชาวหัวเลาเขาก็มาแข่งกับเราทุกที แข่งมา 11 ครั้งแล้ว แข่งเสร็จเขาก็ไม่ได้มารอลุ้นรับรางวัลหรอกเขารู้ว่าเขาชนะเขาก็ไปนอนรอแล้ว จะไม่ดีใจสูบฉีดเหมือนพวกแข่งกีฬา หรืออย่างพวกนักฟุตบอลที่จริงจังกับเรื่องพวกนี้มากสร้างสถิติแข่งกัน หนักหนามากสำหรับทางธรรมแต่ไปห้ามเขาก็ไม่ฟังหรอก เราอยู่ด้วยไปว่าเขาก็ไม่ได้ แต่อธิบายให้ฟังสิ่งด้อยหรือเด่นให้ฟังก็ได้ เราไม่สร้างศัตรู

 

_ใบฟ้า ถามว่า พ่อครูจะพลิกฟื้นคืนอายุขึ้นมาใช่หรือไม่?อย่างไร?

ตอบ...อาตมาเชื่อว่าจะพลิกฟื้นร่างกายได้ เพราะองค์ประกอบในการปฏิบัติ 8 อ. ก็ขออธิบายย่อๆนี่คือการจะพลิกฟื้นได้ ในเรื่องอ.ก็มีอิทธิบาทกับอารมณ์ ถ้าไม่มีอิทธิบาทนั้นก็อย่าหวังว่าจะอายุยืนยาวเลย อิทธิบาทต้องมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ซึ่งสามัญทุกคนก็คงอยากอายุยาวยืนแต่ไม่มีอิทธิบาทในการทำ 8 อ. อย่างพวกดารานี่บางคนขี้เกียจออกกำลังกายนะ แต่เขาต้องฝืนทำเพราะผลให้เกิดโลกีย์ได้เงินจากความสวย แต่เราต้องให้มีอิทธิบาทเพื่อให้อายุยืนยาวนะ

 

อารมณ์ คุณต้องปฏิบัติให้ไม่มีอารมณ์โลภ โกรธ หลงนี่แหละคือสุดยอดแล้ว อารมณ์ที่ดูดมาก จัดจ้านด้วยราคะ กับผลักมาก จัดจ้านด้วยโทสะ สองอย่างนี้ไม่ทำให้อายุยืนหากเราทำอารมณ์ไม่ให้สปาร์คมากทั้งสองเชิงก็อายุยืนได้ ทำจิตตนให้ดีเป็นที่อาศัย

 

อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ

 

อาหารต้องเอาอาหาร 4 ให้ครบพร้อมเป็นสิ่งดีสิ่งประเสริฐเป็นธรรมะจึงทำให้อายุยืนยาวด้วย 

 

เราอยู่กับป่า ก็ได้รับความชมเชยจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ด้วย เราเอาภาพเก่ามาฉายเมื่อก่อนไม่ได้อุดมสมบูรณ์อย่างนี้หรอก แต่เดี๋ยวนี้เขียวสดดูงาม เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเขาเข้าใจว่าเราคือพวกไม่ได้มาทำลายป่า แต่เป็นผู้ที่มาช่วยอนุรักษ์ป่า ให้สิ่งแวดล้อมเจริญ เรามีอาคารอาศัยก็เพียงเล็กน้อย

 

ออกกำลังกาย อันนี้เห็นใจจริงๆว่าคนจะขี้เกียจทำกันแต่อาตมาก็ไม่นิยมความขี้เกียจเลย อาตมานี่ไม่ได้ขี้เกียจเลย ต้องพยายามทำให้ครบ 8อ.จึงได้อายุยืนเกินกว่าขันธ์ อาตมาเคยบอกว่าอายุอาตมานี่ 72 ปี แต่ก่อนถึงอายุ 72 อาตมาก็เห็นว่าต้องพากเพียรให้อายุยืนยาวขึ้นอีก ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นว่าทรุดเสื่อม แต่ก็อะไรก็ไม่มีวันไม่เสื่อมไม่ได้ ก็ต้องพยายามให้พลิกคืนกลับมา

 

การออกกำลังกายนี่คนรอบตัวใกล้ชิดก็พยายามนิมนต์ให้พักให้นอนให้สมดุล คืองานเยอะ นอนก็เสียเวลา แต่งานก็ไม่เสร็จเราไม่เก่งก็เลยต้องพยายามให้พักหน่อย

 

เอาพิษออก พวกเราทำกันเก่งนะ แต่ก็ต้องระวังอย่างพวกล้างพิษตับ ต้องระวังให้ดี บางทีมากไปถึงตายได้นะ ต้องให้น้อยเข้าไว้ก่อน แล้วทำให้สมดุล

 

อาชีพ พูดมาแต่ต้นงานนี้ก็ได้อธิบายมิจฉาอาชีวะ 5

 

พวกฤาษีที่ออกป่า เขา ถ้ำ ทำไมอายุยืน เพราะว่าสิ่งที่จะทำให้สปาร์คทางอารมณ์มีน้อย เขาก็อายุยืนได้ แต่พวกที่อยู่อย่างขั้วโลกเหนือเย็นมากเกินก็อายุสั้น 40 กว่าปีก็ตายแล้ว ร้อนมากก็ตายไว เย็นเกินไปก็ตายไว แต่เอนไปทางเย็นนั้นอายุยืนกว่า แล้วพวกเอนไปทางเย็นนั้น กระดูกจะเป็นพระธาตุกันเยอะ คนไปหลงพระธาตุว่าเป็นเครื่องชี้บ่งอรหันต์นั้นผิด แต่ผู้เป็นอรหันต์มีที่ท่านมีธาตุเย็นด้วยมีกระดูกเป็นพระธาตุได้ แม้มีกระดูกเป็นพระธาตุแต่มิจฉาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าไม่รับแม้เป็นโสดาบัน ทุกวันนี้เห็นอยู่ชัดๆว่าอบายมุขเขาก็ยังไม่พ้นเลย ของตื้นๆง่ายๆนี้ยังไม่รู้ แล้วเขาจะว่าเป็นอนุโลมเหมือนอรหันต์จี้กงนั้นไม่ใช่  ท่านติดจริงๆ แล้วหลงอรหันต์อย่างนี้เยอะ แล้วที่บอกกันว่ามีหนังสืออรหันต์ออกมากี่องค์ อาตมาก็ว่าจะทำอย่างไรหนอ เพราะในนั้นไม่ใช่อรหันต์สักองค์ แต่มีความรู้เชิงฤาษีอยู่แต่ไม่มีอาริยคุณ เพราะไม่ได้มีลำดับ ไม่ได้แม้อรหัตตผลในโสดาบัน อรหัตตผลในสกิทาฯ ในอนาคาฯในอรหันต์ ก็ไม่รู้หรอก ไม่เป็นลำดับ ไม่สมบูรณ์ด้วยกาโย ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายสำเร็จอิริยาบถอยู่ อาสวะสิ้นไปด้วย

 

_สู่แดนธรรม ว่า...อยากให้พ่อท่านช่วยอธิบายเกี่ยวกับเคออส ที่มี space and massที่เป็นมรรคหรือผลก็ได้

ตอบ...อาตมาขยายความไว้บ้างว่าเคออส(Chaos) คือความ ไม่มีระบบระเบียบ แต่ที่จริงมันต้องมีระบบระเบียบของมันไม่เช่นนั้นอยู่ไม่ได้ ในอวกาศมีอุกกาบาต ที่ไม่มีวงโคจรแน่นอนมันอยู่ไม่นานก็สูญ แต่อย่างอื่นที่มีวงจรก็จะมีชีวิตยืนยาวไปตามวัฏจักร ทุกอย่างมีระบบระเบียบของมันซับซ้อน ที่อธิบายเมื่อเช่านี้คนพยายามจะรู้ พยายามส่องกล้องดู ทุกอย่างมันมีวงวนมีอะไรซ้อนอยู่มาก ทุกอย่างก็วนในนี้แต่ถ้าขยายออกดูมันก็จะเห็นเส้นทางโคจรของแต่ละอย่างที่ไม่ชนกันหรือสัมพันธ์กันอย่างไร ตาเราเห็นว่ามันซ้อน มันไม่ได้ชนกันนะ แต่ว่าเราเห็นมันซ่อนกันอยู่ หากมันไกลห่างออกไปจะเห็นว่ามันไม่ได้ทับซ้อนกัน ถ้ามันซ้อนกันจนบังกันมิดมันก็จะไม่เห็น แต่ว่าถ้ามันเหลื่อมกันนิดนึงก็เห็นแล้ว ถ้ามันอยู่กันแน่นมากก็ดูไม่ออกหรอก คนที่ไม่ได้ศึกษาอย่างมีความจริงสัมผัสอยู่ เหมือนเราไม่รู้อวิชชา เราไม่รู้เรื่องก็เป็นเคออส เป็นสิ่งไม่เป็นระบบระเบียบ

 

แต่พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ในกรอบที่ตนตีกรอบ ทีละปริเฉท เอาเหตุปัจจัยเรียนรู้ให้หมดในแต่ละปริเฉท แล้วมีความรู้ทำให้หมดได้ จะรู้ mass ในแต่ละรอบ เราทำจิตวิญญาณเราเป็น space เป็นความว่างได้แต่เราก็ทำให้เกิด mass โคจรอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่ขัดแย้งกัน อยู่รวมกันได้ ในองค์ประกอบศิลป์ก็จะจัดให้อยู่กันอย่างดี มีทั้งสิ่งขัดแย้งกัน ตรงกันข้ามก็ให้อะไรเป็นจุดเด่นจุดเสริมเป็นไฮไลต์ได้ ธรรมะก็เหมือนกัน เรารู้รูปนาม เราจัดสัดส่วนได้ เพราะไม่มีอะไรไม่ขัดแย้งกันเลย เพราะมันอยู่รวมกันยิ่งมากยิ่งขัดกันมาก ดูไม่เป็นระบบ แต่มันก็มีระบบระเบียบของมันอย่างในอวกาศมันก็มีระบบของมัน ถ้าไม่มีระบบระเบียบมันกระทบกันมากมายแล้ว แต่ไม่ใช่ นานๆทีจะมีอุกาบาตมาชนโลกบ้าง โลกเราไม่ไปชนอย่างอื่นหรอก มันก็จะเสื่อมสลายไปเอง

 

แต่ก็มีที่ดูดเอามาเป็นบริวารของดวงดาวได้ เหมือนกับคนเลย แต่คนนี่มีสุขมีทุกข์โง่หลงโลกธรรมด้วย บางคนไม่อยากเป็นบริวารแต่มีวิบากบาปด้วยต้องไปเป็นลูกน้องเขาให้เขาใช้ อันนี้ลึกกว่าดวงดาว ชีวะในระดับอุตุ พีชะ ไม่มีวิบาก แต่ว่าในระดับจิตตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็สั่งสมเป็นกรรมวิบากมา พระพุทธเจ้าว่าอย่าทำเสียเลยชั่วแม้น้อย อย่าบ้าเลย อย่าไปเล่นกับกรรม พยายามสู้ให้ได้ สุดวิสัยก็แล้วไป แล้วสำนึก อย่าไปทำต่อ วิบากเก่าก็ให้หลุดอย่าให้พัวพัน วิบากใหม่อย่าไปก่อ

 

เคออสนี่คืออวิชชา แต่ว่าทุกอย่างสามารถจัดให้มีระบบระเบียบได้หมด ผู้มีวิชชาจะจัดสรร mass and space ให้เป็น space and time of continuum

 

_ต่อไปเป็นคำถามแห้ง จากหนังสือหิโตปเทศกล่าวว่าผู้มีทรัพย์ย่อมสะดวกต่อการปฏิบัติธรรม จริงหรือไม่?

ตอบ..เอาความรู้อาตมาตอบ คำว่าทรัพย์นี้มีความหมาย ถ้ามีทรัพย์วัตถุมากแต่ไม่มีทรัพย์ทางธรรม ทรัพย์ทางวัตถุจะประหารคุณทำร้ายคุณก่อวิบากมากขึ้น ใช้ทรัพย์ก่อกิเลสมากขึ้น ต้องมีธรรมะเป็นทรัพย์เป็นอาริยทรัพย์ คิดตื้นๆว่าเรามีเงินมากเราก็จะเอาเงินไปทำทาน...คิดง่ายๆว่าเราไปฆ่าปลาแล้วจะเอาไปถวายพระ แต่คุณก็ไม่ได้เอาปลาไปทั้งหมด ก็เอาไปส่วนหนึ่งไปก็ต้องแบ่งให้ตน แล้วถ้าฆ่าช้าง ก็เอาไปถวายพระแค่น้อยเดียวที่เหลือก็มาก ฉันเดียวกับได้เงินมา ได้มาพันหนึ่งถวายไปสองร้อย เหลือให้ตนแปดร้อย คุณคิดดูถ้าฐานเงินมากขึ้น แต่สัดส่วนการทานเท่าเดิม ก็คือทานน้อยลงเรื่อยๆ คนที่รวยเป็นพันล้านนี่ทำท่านน้อยนะ คนจนนี่ทำทานมากกว่าคนรวยนะ คิดตามสัดส่วน อย่าไปทำบาปก่อนทำกุศล  คนไม่มีทรัพย์สิน คนจนขอทานเลยปฏิบัติธรรมยิ่งสะดวกเลย ปฏิบัติธรรมด้วยความจนจะบรรลุเร็วกว่าปฏิบัติด้วยความรวย

 

 

_ใจประนม...มีคนถวายที่ที่ผาลิ้น พ่อครูดำริให้สร้างรีสอร์ทธรรมะ นั้น ลักษณะของรีสอร์ทธรรมะ อย่างที่พ่อครูหมายเป็นอย่างไร?

ตอบ...เราจะประสมประสานโลกด้วยแต่น้ำหนักจะให้ธรรมมากกว่าโลก อย่าให้โลกดึงไป เราจะมีสุนทรียศิลป์ มีน้ำหนักไม่ไปกินน้ำหนักสาระศิลป์ ไม่ให้คนหลงสุนทรีย์ศิลป์ เราจะสร้างเหมือนชาวโลกเขาสร้างแต่ไม่หวือหวาเท่าแต่ก็ไม่ดูด้อยนัก อย่างอาตมาพยายามออกแบบ การก่อสร้างจะไม่เป็นรูปหวือหวาแบบโลกีย์ จะใหญ่ก็จะไปเชิงธรรมชาติ เช่นตึกใหญ่ๆ แต่เป็นภูเขาเลย เป็นmonolith เป็นคอมเพล็กซ์ใหญ่เลย แต่เป็นภูเขา 

 

อย่างที่ธุลีฟ้าฯ เขาทำรีสอร์ท คนจะเข้ามาต้องกินมังสวิรัตินะ จะเอาเหล้ายาอบายมุขมาในนี้ไม่ได้  ที่นี่เราจะตั้งชื่อว่า รีสอร์ทภูธรรมน่าจะดีนะ

 

_ส.บินก้าวส่งมา สมัยพพจ.ผู้เป็นอรหันต์ มีหรือไม่ที่ตั้งจิตมาช่วยงานเพื่อมนุษยชาติหรือมีเหตุให้ไม่มาเกิด

ตอบ...ผู้ที่จะจบเป็นอรหันต์ ที่ปฏิบัติธรรมนั้นเขาไม่เข้าใจหรอกว่าอรหันต์มีจิตแบบไหน แต่ส่วนใหญ่คนที่ปฏิบัติไปเป็นอรหันต์เพราะว่าทุกข์ไม่อยากเกิดอีก แต่พอปฏิบัติจบไปเป็นอรหันต์ ไม่มีทุกข์แล้ว คุณว่าคนนี้จะคิดอย่างไร ตอนไม่เป็นอรหันต์ก็ทุกข์มากก็ไม่อยากเกิด แต่เป็นอรหันต์จริงๆแล้วก็ไม่ทุกข์แล้วก็จะตั้งจิตต่อ แต่พอปฏิบัติไปพุทธภูมินั้นก็จะรู้ว่าหนักกว่าตอนล้างกิเลสอีก จะรู้เลยว่า สอนยากจริงๆน่าเตะจริงๆ ทำอย่างนี้นะ มันยากนะ ไม่ใช่ยากธรรมดามันจะฆ่าเราด้วย โพธิสัตว์ต้องรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางนะ ไปฆ่าเขาก็ไม่ได้ด้วย อรหันต์จะช่วยคนเท่าที่ท่านทำได้ จะมีกตัญญูต่อศาสนา เราได้ประโยชน์จากศาสนาก็จะตอบแทนหากไม่กตัญญูเป็นอรหันต์ไม่ได้หรอก คนที่จะตั้งจิตไปเป็นโพธิสัตว์ระดับสูงๆต่อไปจะมีน้อยลงๆ

_พ่อครูมอบรางวัลกีฬาอาริยะ และเอื้อไออุ่น

พ่อครูว่า...ตอนนี้เราเริ่มต้นถ่ายทอดออกอากาศไปแล้ว ชีวิตนี้เราไม่มีพลังงานพอที่จะไปคิดเรื่องไหนๆมากมายกับเขา ทุกวันนี้อาตมาวางเรื่องอื่นๆเยอะ เอาพลังงานมาใช้ด้านปรมัตถ์เสียเยอะ เพื่อให้ดึงให้ฟื้นคืนสู่มนุษยชาติ อาตมาใช้คำว่าดึงธรรมะขึ้นมา ไม่ได้หมายความว่าไปคิดผกผันว่า 1 บวก 1 เป็นสองหรือบวกลบคูณหารอะไรอย่างนี้ไม่ใช่ แต่ดึงเอาจากสัญญา ที่เรามีเก่า การระลึกชาติหรือการดึงเอาของเดิมออกมา ซึ่งมันมีของเดิมแล้ว เป็นเรื่องยากแต่คนเราก็พอเข้าใจว่าเรามีความจำ เราก็คงนึกออก หลายอย่างเราดึงไม่ออก หลายอย่างไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามี เยอะเลย จริงๆน่ะเยอะมากที่ไม่รู้ว่าเรามี เราจำในคลังสัญญา อัตภาพ ง่ายๆที่อาตมาพูดไปว่า เราดึงความจำมา บางอย่างดึงตั้งหลายวันกว่าจะออกมา บางชาติก็ต้องนานมาก ที่กว่าจะดึงออกมาได้ ค่อยๆเป็นไปปะติดปะต่อมาเรื่อยๆ เรื่องธรรมะจึงไม่ใช่ตรรกะคิดผกผัน แต่เป็นลักษณะดึงออกมา มันจะดึงได้มากตอนพักผ่อนเรียบร้อยแล้วใกล้จะเช้า นี่แหละ ที่อาตมาใช้ภาษาว่าเทวดามาบอก เหมือนถามเทวดา พระพุทธเจ้าว่าท่านคุยกับเทวดา มีรัศมีทั่วพระเชตวันเลย นี่คือท่านตรัสเป็นบุคคลาธิษฐาน แต่แท้จริงเป็นธรรมาธิษฐานของใครของมัน แล้วเทวดานี่คือจิตวิญญาณตนเองทั้งนั้น การที่บอกว่าไปเห็นเทวดา ผี ข้างนอก เป็นมโนมยอัตตา สร้างภาพทั้งสิ้นไม่มีของจริง ของจริงคือจิตเราเอง เป็นจิตเทวดาหรือผีนรก เราก็รู้ว่ายังเป็นสัตว์ แม้เทวดาก็เป็นสัตว์ นรกก็เป็นสัตว์ แม้พรหมก็เป็นสัตว์ คือสัตว์ที่มีจิตสูง ความเป็นสัตว์คือการที่มีชีวิตอยู่ สัตว์ที่มีจิตสูงเป็นมนุสโส เริ่มต้นเป็นปุถุชน เจริญมาเป็นอเวไนยสัตว์แล้วเวไนยสัตว์ตามลำดับ

 

กัลยาณชนไม่อาจอ่านรู้จิตตน ว่าอาการอย่างนี้เป็นสัตว์นรก สัตว์อบาย อย่างนี้กามสัตว์ รูปสัตว์ อรูปสัตว์ แล้วแยกออกไปอีกเยอะ แค่แยกรูป 28 นี่ก็มีอีก เป็นพระสารีบุตรท่านแยกแยะแจกแจงไว้ ว่าระดับไหนเรียนขนาดไหน? การปฏิบัติต้องมีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ถ้าไม่มีลำดับพระพุทธเจ้าไม่ยอมรับ ที่บอกว่า กายสักขี ฟังให้ดีโดยเฉพาะท่านร่มเมือง ยุทธวโร ถ้าเรียกไม่ดีก็กลายเป็นล่มเมืองเลยนะ ต้องร่มเมือง

 

กายสักขีแปลว่ามีกายเป็นองค์ประชุมรูปนาม ที่มีพยานโดยเฉพาะสัมผัสของตนอยู่โต้งๆ กายสักขีไม่ใช่ของคนอื่น คำว่าสักขีพยานที่มีจริงคือกาย กายนั้นต้องมีมหาภูตรูป 4 สัมผัสอยู่ข้างนอกหลัดๆเลย ผู้ใดจะมีอาสวะสิ้นบางอย่างก็ตาม คำว่า อาสวะสิ้นตรงนี้เป็นคำกลางๆ หรือสุดท้ายอาสวะบางอย่างสิ้นหมดแล้วเห็นด้วยปัญญา ก็หมายความว่า บุคคลที่อาสวะบางอย่างสิ้นก็ไม่ได้หมายความว่าอาสวะสิ้นนี้เป็นการสิ้นโดยตกๆหล่นๆ ไม่เรียงลำดับต้นกลางปลาย แต่อาสวะบางอย่างจะสิ้นก็ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสายปัญญาวิมุติ ที่บอกว่า น เหวะ ไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่อาสวะสิ้นหมดแล้ว เห็นด้วยปัญญาอย่างชัดเจน คือผู้หมดอาสวะก็เป็นอรหันต์ แต่สายกายสักขี อาสวะบางอย่างคุณต้องสิ้น ไม่หมด ถ้าคุณไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกาย มีแต่ทำด้วยสัญญาไม่ถือว่าสิ้นอาสวะได้

 

กายคือครบพร้อมหมดเลย ทั้งอบายภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สำเร็จอิริยาบถอยู่ แม้โลกอบาย กามภพก็ลืมตาสัมผัสเห็นๆ อยู่ รูปภพ อรูปภพก็สัมผัสอยู่เดี๋ยวนี้ อาสวะของอรหัตตผลบางอย่างสิ้นไป คือตากระทบอยู่...คือองค์ประชุมครบ ผู้ที่ยังไม่ได้ครบอย่างนี้อาสวะไม่สิ้น เพราะไม่มีกาย ไม่มีอบายภูมิ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ มีแต่ในภพ ดังนั้นนั่งหลับตาสมาธิไม่นับว่ามีผู้ใดได้อาสวะสิ้น

 

อย่างใดเรียกว่าวิปัสสนึก อย่างใดเรียกว่าวิปัสสนา

 

วิปัสสนึกอย่างลืมตา อย่างสายปัญญาที่ลืมตา ใช้ concentration เพ่งไปอย่างหนึ่งให้จิตจดจ่อ หลายคนก็เก่ง เข้าฌานลืมตาของตน พอ concentration ได้ที่ก็จะไม่วอกแวก แล้วเขาก็นึกคิด แล้วเอาตรรกะต่างๆมาคิดนึก พวกนักเรียนปรัชญา นักคิดพวกนี้วิปัสสนึกทั้งนั้น พวกนี้มีทั่วไปสามัญสำนึกเขาก็มีอยู่แล้ว

 

วิปัสสนึกสายหลับตา เขาก็หลงกันมากว่าเป็นวิปัสสนา คือพอนั่งสมาธิหลับตาเข้าไปแล้ว จะเรียกว่า   concentration หรือ meditation ก็ตาม แต่ถ้าของพระพุทธเจ้าเรียกว่า supra meditation ผู้ที่นั่งสมาธิเข้าที่แล้ว จิตก็นิ่งดิ่ง ดีไม่ดีก็มัวๆมะลำมะเลือง ไม่คิดนึก แต่สติไม่ตก ไม่มีนิวรณ์​5 แล้วเขาจะคิดอะไรไม่ออก เขาก็จะบอกว่าถอนจากฌาน 4 มาฌาน 1 ให้มาอยู่ในวิตกวิจาร ให้แจ่มใสนึกคิดเต็มที่ อยู่ในภวังค์นิ่ง แล้วใช้จิตนั่นแหละ พอจิตแจ่มใสแล้วก็ให้โน้มจิตไป เช่นคิดถึงคำว่าเทวดา สัตว์นรก หรือเหตุผลความหมายของภาษาธรรมะที่ตนติดใจข้องใจ แต่จิตมีลักษณะโน้มน้อมแต่ตนไม่รู้ จิตโน้มไปหาอันนั้นอันนี้ บางทีใช้ภาษาว่าอธิโมกโข อธิมุตโต ใช้ความคิดวิเคราะห์ตอนนี้จะเข้าใจรู้ชัดได้มากเลย แล้วตีขลุมตรงนี้ว่าคือวิปัสสนา เป็นปัญญาของสายวิปัสสนา เป็นปัญญาที่รู้ได้ลึกซึ้งแจ่มแจ้งกว่าที่มีทั่วไป ทั้งที่สามัญนึกคิดไม่ออก ขบไม่ออก แต่ในวาระนั้นขบคิดออก เขาก็ถือว่าอันนี้คือวิปัสสนา ซึ่งที่จริงก็คือวิปัสสนึก ของสายหลับตา

 

วิปัสสนาก็คือความรู้ที่ท่านว่าเห็นด้วยปัญญาอันยิ่ง สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แล้วตรวจด้วยเจโตปริยญาณ 16 ของตน แล้วไปสั่งสมอนุตตรจิต ที่จะมีผลให้ทำถึงอรูปฌาน ปฏิบัติให้มีวิมุตติเป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ต้องมีสัมผัสทั้งนอกและในครบพร้อมจึงเป็นวิปัสสนา ตามภูมิ ของโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็รู้ตามภูมิของตนเองแต่ละคน นี่คือวิปัสสนา ต้องมีผัสสะ มีปัสสติ ต้องมีสัมผัสเห็นด้วยทุกทวาร ครบพร้อมไม่ใช่แหว่งไปไม่ครบองค์ประชุม วิปัสสนาใช้สัญญา ส่วนวิปัสสนาใช้ความจริง เห็นจริงตามความเป็นจริง ผู้ใดสัมมาทิฏฐิก็ปฏิบัติให้ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล

 

พิธีกรว่า ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มาที่นี่และท่านที่อยู่ทางบ้าน

 

พ่อครูเลยบอกว่า … อนุโมทนากุศล แต่ถ้าใครจะได้บุญด้วยนี่ยิ่งดีมากๆเลย

 

ต่อไปเป็นรายการเอื้อไออุ่น โดยพ่อครู

 

พ่อครูว่า...ก่อนจะพูดอาตมาจะขอขยายความกีฬาอาริยะด้วย ว่ามีอย่างนี้ด้วยหรือ รางวัลที่ 3 ได้ 5 บาท รางวัลที่ 2 ได้ 3 บาท รางวัลที่ 1 ได้ 25 สตางค์ ซึ่งมีอย่างนี้ด้วยหรือ? ของเขานี่ยิ่งได้รางวัลที่ 1 จะได้มากมายเป็นพันล้านเลย ของเราทวนกระแสเขาเลย

 

ทุกวันนี้เขาไม่รู้จักอบายมุข รสอร่อยทางด้านกีฬาบันเทิง เป็นการสร้างกิเลสใส่จิต เป็นการกินแรงงงานทุนรอนมันมากเกิน ซึ่งผู้อยู่ในฐานะต้องพักพิงอาศัยสิ่งเหล่านี้ก็จำเป็นแต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญต้องเป็นหลักอย่างนี้ แต่ทุกวันนี้เขามอมเมาโถมถั่งเอาทั้งทุนรอนเงินตรา มาโถม แล้วเพื่อจะได้สิ่งตอบแทนกลับมาให้มาก แต่กิเลสเจริญขึ้นไม่รู้จบ ไม่ว่าจะทางบันเทิงทางกามหรือทางอัตตา

 

ทุกวันนี้เราทำเพื่อทวนกระแส เพื่อให้ได้คิด เพื่อให้ได้รู้ความจริงว่าเราเจริญหรือตกต่ำ แต่ทุกวันนี้ตกต่ำ เพราะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ยกตัวอย่างประเทศอินเดียมีพลเมืองเป็นพันล้าน เขาสามารถคัดคนมาแข่งกีฬาเอาชนะได้แน่แต่เขาไม่ทำ แต่ต่อไปจีนเขามีพลเมืองมากมายหลายพันล้าน เขาก็จะชนะหมด เขาคัดคนได้อย่างมาก ต่อไปจีนจะทำ แต่อินเดียไม่เหมือนจีน เขาไม่มีรากเหง้าฐานจิตเหมือนจีน

 

แกนของจิตวิญญาณมีเจโต กับปัญญา มีสายธัมมานุสารี กับศรัทธานุสารี ความไม่รู้ไม่มีภูมิธรรมจะเหลิงไปกันใหญ่กับส่ิงเหล่านี้ เขาไม่เข้าใจหรือเข้าใจก็สู้ไม่ได้ เขาต้องเตลิดเปิดเปิงไปอีกมากมาย จะโอลิมปิกหรืออย่างอื่นจะทำอย่างเสริมเติมไปอีกมากมาย

 

การแข่งขันกีฬาอาริยะก็ไม่ได้ทำที่ชุมชนอื่น เราทำที่ภูผาฯนี่ทำมาตั้งแต่ครั้งแรกๆเลย แต่ไม่เหมือนกับทางโลกที่จะข่มเบ่งกันไปเรื่อยๆ นี่ชาวหัวเลาเขาก็มาแข่งกับเราทุกที แข่งมา 11 ครั้งแล้ว แข่งเสร็จเขาก็ไม่ได้มารอลุ้นรับรางวัลหรอกเขารู้ว่าเขาชนะเขาก็ไปนอนรอแล้ว จะไม่ดีใจสูบฉีดเหมือนพวกแข่งกีฬา หรืออย่างพวกนักฟุตบอลที่จริงจังกับเรื่องพวกนี้มากสร้างสถิติแข่งกัน หนักหนามากสำหรับทางธรรมแต่ไปห้ามเขาก็ไม่ฟังหรอก เราอยู่ด้วยไปว่าเขาก็ไม่ได้ แต่อธิบายให้ฟังสิ่งด้อยหรือเด่นให้ฟังก็ได้ เราไม่สร้างศัตรู

 

_ใบฟ้า ถามว่า พ่อครูจะพลิกฟื้นคืนอายุขึ้นมาใช่หรือไม่?อย่างไร?

ตอบ...อาตมาเชื่อว่าจะพลิกฟื้นร่างกายได้ เพราะองค์ประกอบในการปฏิบัติ 8 อ. ก็ขออธิบายย่อๆนี่คือการจะพลิกฟื้นได้ ในเรื่องอ.ก็มีอิทธิบาทกับอารมณ์ ถ้าไม่มีอิทธิบาทนั้นก็อย่าหวังว่าจะอายุยืนยาวเลย อิทธิบาทต้องมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ซึ่งสามัญทุกคนก็คงอยากอายุยาวยืนแต่ไม่มีอิทธิบาทในการทำ 8 อ. อย่างพวกดารานี่บางคนขี้เกียจออกกำลังกายนะ แต่เขาต้องฝืนทำเพราะผลให้เกิดโลกีย์ได้เงินจากความสวย แต่เราต้องให้มีอิทธิบาทเพื่อให้อายุยืนยาวนะ

 

อารมณ์ คุณต้องปฏิบัติให้ไม่มีอารมณ์โลภ โกรธ หลงนี่แหละคือสุดยอดแล้ว อารมณ์ที่ดูดมาก จัดจ้านด้วยราคะ กับผลักมาก จัดจ้านด้วยโทสะ สองอย่างนี้ไม่ทำให้อายุยืนหากเราทำอารมณ์ไม่ให้สปาร์คมากทั้งสองเชิงก็อายุยืนได้ ทำจิตตนให้ดีเป็นที่อาศัย

 

อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ

 

อาหารต้องเอาอาหาร 4 ให้ครบพร้อมเป็นสิ่งดีสิ่งประเสริฐเป็นธรรมะจึงทำให้อายุยืนยาวด้วย 

 

เราอยู่กับป่า ก็ได้รับความชมเชยจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ด้วย เราเอาภาพเก่ามาฉายเมื่อก่อนไม่ได้อุดมสมบูรณ์อย่างนี้หรอก แต่เดี๋ยวนี้เขียวสดดูงาม เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเขาเข้าใจว่าเราคือพวกไม่ได้มาทำลายป่า แต่เป็นผู้ที่มาช่วยอนุรักษ์ป่า ให้สิ่งแวดล้อมเจริญ เรามีอาคารอาศัยก็เพียงเล็กน้อย

 

ออกกำลังกาย อันนี้เห็นใจจริงๆว่าคนจะขี้เกียจทำกันแต่อาตมาก็ไม่นิยมความขี้เกียจเลย อาตมานี่ไม่ได้ขี้เกียจเลย ต้องพยายามทำให้ครบ 8อ.จึงได้อายุยืนเกินกว่าขันธ์ อาตมาเคยบอกว่าอายุอาตมานี่ 72 ปี แต่ก่อนถึงอายุ 72 อาตมาก็เห็นว่าต้องพากเพียรให้อายุยืนยาวขึ้นอีก ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นว่าทรุดเสื่อม แต่ก็อะไรก็ไม่มีวันไม่เสื่อมไม่ได้ ก็ต้องพยายามให้พลิกคืนกลับมา

 

การออกกำลังกายนี่คนรอบตัวใกล้ชิดก็พยายามนิมนต์ให้พักให้นอนให้สมดุล คืองานเยอะ นอนก็เสียเวลา แต่งานก็ไม่เสร็จเราไม่เก่งก็เลยต้องพยายามให้พักหน่อย

 

เอาพิษออก พวกเราทำกันเก่งนะ แต่ก็ต้องระวังอย่างพวกล้างพิษตับ ต้องระวังให้ดี บางทีมากไปถึงตายได้นะ ต้องให้น้อยเข้าไว้ก่อน แล้วทำให้สมดุล

 

อาชีพ พูดมาแต่ต้นงานนี้ก็ได้อธิบายมิจฉาอาชีวะ 5

 

พวกฤาษีที่ออกป่า เขา ถ้ำ ทำไมอายุยืน เพราะว่าสิ่งที่จะทำให้สปาร์คทางอารมณ์มีน้อย เขาก็อายุยืนได้ แต่พวกที่อยู่อย่างขั้วโลกเหนือเย็นมากเกินก็อายุสั้น 40 กว่าปีก็ตายแล้ว ร้อนมากก็ตายไว เย็นเกินไปก็ตายไว แต่เอนไปทางเย็นนั้นอายุยืนกว่า แล้วพวกเอนไปทางเย็นนั้น กระดูกจะเป็นพระธาตุกันเยอะ คนไปหลงพระธาตุว่าเป็นเครื่องชี้บ่งอรหันต์นั้นผิด แต่ผู้เป็นอรหันต์มีที่ท่านมีธาตุเย็นด้วยมีกระดูกเป็นพระธาตุได้ แม้มีกระดูกเป็นพระธาตุแต่มิจฉาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าไม่รับแม้เป็นโสดาบัน ทุกวันนี้เห็นอยู่ชัดๆว่าอบายมุขเขาก็ยังไม่พ้นเลย ของตื้นๆง่ายๆนี้ยังไม่รู้ แล้วเขาจะว่าเป็นอนุโลมเหมือนอรหันต์จี้กงนั้นไม่ใช่  ท่านติดจริงๆ แล้วหลงอรหันต์อย่างนี้เยอะ แล้วที่บอกกันว่ามีหนังสืออรหันต์ออกมากี่องค์ อาตมาก็ว่าจะทำอย่างไรหนอ เพราะในนั้นไม่ใช่อรหันต์สักองค์ แต่มีความรู้เชิงฤาษีอยู่แต่ไม่มีอาริยคุณ เพราะไม่ได้มีลำดับ ไม่ได้แม้อรหัตตผลในโสดาบัน อรหัตตผลในสกิทาฯ ในอนาคาฯในอรหันต์ ก็ไม่รู้หรอก ไม่เป็นลำดับ ไม่สมบูรณ์ด้วยกาโย ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายสำเร็จอิริยาบถอยู่ อาสวะสิ้นไปด้วย

 

_สู่แดนธรรม ว่า...อยากให้พ่อท่านช่วยอธิบายเกี่ยวกับเคออส ที่มี space and massที่เป็นมรรคหรือผลก็ได้

ตอบ...อาตมาขยายความไว้บ้างว่าเคออส(Chaos) คือความ ไม่มีระบบระเบียบ แต่ที่จริงมันต้องมีระบบระเบียบของมันไม่เช่นนั้นอยู่ไม่ได้ ในอวกาศมีอุกกาบาต ที่ไม่มีวงโคจรแน่นอนมันอยู่ไม่นานก็สูญ แต่อย่างอื่นที่มีวงจรก็จะมีชีวิตยืนยาวไปตามวัฏจักร ทุกอย่างมีระบบระเบียบของมันซับซ้อน ที่อธิบายเมื่อเช่านี้คนพยายามจะรู้ พยายามส่องกล้องดู ทุกอย่างมันมีวงวนมีอะไรซ้อนอยู่มาก ทุกอย่างก็วนในนี้แต่ถ้าขยายออกดูมันก็จะเห็นเส้นทางโคจรของแต่ละอย่างที่ไม่ชนกันหรือสัมพันธ์กันอย่างไร ตาเราเห็นว่ามันซ้อน มันไม่ได้ชนกันนะ แต่ว่าเราเห็นมันซ่อนกันอยู่ หากมันไกลห่างออกไปจะเห็นว่ามันไม่ได้ทับซ้อนกัน ถ้ามันซ้อนกันจนบังกันมิดมันก็จะไม่เห็น แต่ว่าถ้ามันเหลื่อมกันนิดนึงก็เห็นแล้ว ถ้ามันอยู่กันแน่นมากก็ดูไม่ออกหรอก คนที่ไม่ได้ศึกษาอย่างมีความจริงสัมผัสอยู่ เหมือนเราไม่รู้อวิชชา เราไม่รู้เรื่องก็เป็นเคออส เป็นสิ่งไม่เป็นระบบระเบียบ

 

แต่พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ในกรอบที่ตนตีกรอบ ทีละปริเฉท เอาเหตุปัจจัยเรียนรู้ให้หมดในแต่ละปริเฉท แล้วมีความรู้ทำให้หมดได้ จะรู้ mass ในแต่ละรอบ เราทำจิตวิญญาณเราเป็น space เป็นความว่างได้แต่เราก็ทำให้เกิด mass โคจรอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่ขัดแย้งกัน อยู่รวมกันได้ ในองค์ประกอบศิลป์ก็จะจัดให้อยู่กันอย่างดี มีทั้งสิ่งขัดแย้งกัน ตรงกันข้ามก็ให้อะไรเป็นจุดเด่นจุดเสริมเป็นไฮไลต์ได้ ธรรมะก็เหมือนกัน เรารู้รูปนาม เราจัดสัดส่วนได้ เพราะไม่มีอะไรไม่ขัดแย้งกันเลย เพราะมันอยู่รวมกันยิ่งมากยิ่งขัดกันมาก ดูไม่เป็นระบบ แต่มันก็มีระบบระเบียบของมันอย่างในอวกาศมันก็มีระบบของมัน ถ้าไม่มีระบบระเบียบมันกระทบกันมากมายแล้ว แต่ไม่ใช่ นานๆทีจะมีอุกาบาตมาชนโลกบ้าง โลกเราไม่ไปชนอย่างอื่นหรอก มันก็จะเสื่อมสลายไปเอง

 

แต่ก็มีที่ดูดเอามาเป็นบริวารของดวงดาวได้ เหมือนกับคนเลย แต่คนนี่มีสุขมีทุกข์โง่หลงโลกธรรมด้วย บางคนไม่อยากเป็นบริวารแต่มีวิบากบาปด้วยต้องไปเป็นลูกน้องเขาให้เขาใช้ อันนี้ลึกกว่าดวงดาว ชีวะในระดับอุตุ พีชะ ไม่มีวิบาก แต่ว่าในระดับจิตตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็สั่งสมเป็นกรรมวิบากมา พระพุทธเจ้าว่าอย่าทำเสียเลยชั่วแม้น้อย อย่าบ้าเลย อย่าไปเล่นกับกรรม พยายามสู้ให้ได้ สุดวิสัยก็แล้วไป แล้วสำนึก อย่าไปทำต่อ วิบากเก่าก็ให้หลุดอย่าให้พัวพัน วิบากใหม่อย่าไปก่อ

 

เคออสนี่คืออวิชชา แต่ว่าทุกอย่างสามารถจัดให้มีระบบระเบียบได้หมด ผู้มีวิชชาจะจัดสรร mass and space ให้เป็น space and time of continuum

 

_ต่อไปเป็นคำถามแห้ง จากหนังสือหิโตปเทศกล่าวว่าผู้มีทรัพย์ย่อมสะดวกต่อการปฏิบัติธรรม จริงหรือไม่?

ตอบ..เอาความรู้อาตมาตอบ คำว่าทรัพย์นี้มีความหมาย ถ้ามีทรัพย์วัตถุมากแต่ไม่มีทรัพย์ทางธรรม ทรัพย์ทางวัตถุจะประหารคุณทำร้ายคุณก่อวิบากมากขึ้น ใช้ทรัพย์ก่อกิเลสมากขึ้น ต้องมีธรรมะเป็นทรัพย์เป็นอาริยทรัพย์ คิดตื้นๆว่าเรามีเงินมากเราก็จะเอาเงินไปทำทาน...คิดง่ายๆว่าเราไปฆ่าปลาแล้วจะเอาไปถวายพระ แต่คุณก็ไม่ได้เอาปลาไปทั้งหมด ก็เอาไปส่วนหนึ่งไปก็ต้องแบ่งให้ตน แล้วถ้าฆ่าช้าง ก็เอาไปถวายพระแค่น้อยเดียวที่เหลือก็มาก ฉันเดียวกับได้เงินมา ได้มาพันหนึ่งถวายไปสองร้อย เหลือให้ตนแปดร้อย คุณคิดดูถ้าฐานเงินมากขึ้น แต่สัดส่วนการทานเท่าเดิม ก็คือทานน้อยลงเรื่อยๆ คนที่รวยเป็นพันล้านนี่ทำท่านน้อยนะ คนจนนี่ทำทานมากกว่าคนรวยนะ คิดตามสัดส่วน อย่าไปทำบาปก่อนทำกุศล  คนไม่มีทรัพย์สิน คนจนขอทานเลยปฏิบัติธรรมยิ่งสะดวกเลย ปฏิบัติธรรมด้วยความจนจะบรรลุเร็วกว่าปฏิบัติด้วยความรวย

 

 

_ใจประนม...มีคนถวายที่ที่ผาลิ้น พ่อครูดำริให้สร้างรีสอร์ทธรรมะ นั้น ลักษณะของรีสอร์ทธรรมะ อย่างที่พ่อครูหมายเป็นอย่างไร?

ตอบ...เราจะประสมประสานโลกด้วยแต่น้ำหนักจะให้ธรรมมากกว่าโลก อย่าให้โลกดึงไป เราจะมีสุนทรียศิลป์ มีน้ำหนักไม่ไปกินน้ำหนักสาระศิลป์ ไม่ให้คนหลงสุนทรีย์ศิลป์ เราจะสร้างเหมือนชาวโลกเขาสร้างแต่ไม่หวือหวาเท่าแต่ก็ไม่ดูด้อยนัก อย่างอาตมาพยายามออกแบบ การก่อสร้างจะไม่เป็นรูปหวือหวาแบบโลกีย์ จะใหญ่ก็จะไปเชิงธรรมชาติ เช่นตึกใหญ่ๆ แต่เป็นภูเขาเลย เป็นmonolith เป็นคอมเพล็กซ์ใหญ่เลย แต่เป็นภูเขา 

 

อย่างที่ธุลีฟ้าฯ เขาทำรีสอร์ท คนจะเข้ามาต้องกินมังสวิรัตินะ จะเอาเหล้ายาอบายมุขมาในนี้ไม่ได้  ที่นี่เราจะตั้งชื่อว่า รีสอร์ทภูธรรมน่าจะดีนะ

 

_ส.บินก้าวส่งมา สมัยพพจ.ผู้เป็นอรหันต์ มีหรือไม่ที่ตั้งจิตมาช่วยงานเพื่อมนุษยชาติหรือมีเหตุให้ไม่มาเกิด

ตอบ...ผู้ที่จะจบเป็นอรหันต์ ที่ปฏิบัติธรรมนั้นเขาไม่เข้าใจหรอกว่าอรหันต์มีจิตแบบไหน แต่ส่วนใหญ่คนที่ปฏิบัติไปเป็นอรหันต์เพราะว่าทุกข์ไม่อยากเกิดอีก แต่พอปฏิบัติจบไปเป็นอรหันต์ ไม่มีทุกข์แล้ว คุณว่าคนนี้จะคิดอย่างไร ตอนไม่เป็นอรหันต์ก็ทุกข์มากก็ไม่อยากเกิด แต่เป็นอรหันต์จริงๆแล้วก็ไม่ทุกข์แล้วก็จะตั้งจิตต่อ แต่พอปฏิบัติไปพุทธภูมินั้นก็จะรู้ว่าหนักกว่าตอนล้างกิเลสอีก จะรู้เลยว่า สอนยากจริงๆน่าเตะจริงๆ ทำอย่างนี้นะ มันยากนะ ไม่ใช่ยากธรรมดามันจะฆ่าเราด้วย โพธิสัตว์ต้องรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางนะ ไปฆ่าเขาก็ไม่ได้ด้วย อรหันต์จะช่วยคนเท่าที่ท่านทำได้ จะมีกตัญญูต่อศาสนา เราได้ประโยชน์จากศาสนาก็จะตอบแทนหากไม่กตัญญูเป็นอรหันต์ไม่ได้หรอก คนที่จะตั้งจิตไปเป็นโพธิสัตว์ระดับสูงๆต่อไปจะมีน้อยลงๆ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:05:01 )

580125

รายละเอียด

580125_วิถีอาริยธรรม ที่ภูผาฯ ความเป็นระเบียบในความไร้ระเบียบแบบพุทธ

พ่อครูว่า...วันนี้ 25 ม.ค. แล้ว งานฉลองหนาวเราที่ภูผาฟ้าน้ำ นี่ก็จะเป็นวันปลายของรายการแล้ว จริงๆวันสุดท้ายคือวันพรุ่งนี้ เราก็จะช่วยเก็บหาง เป็นวัฒนธรรมชาวอโศก เรามีปัญญารู้ดีว่าเราต้องช่วยกัน เราก็จะต้องช่วย เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไปบ้านไหนก็เป็นทั้งแขกทั้งเจ้าภาพเอง แล้วก็ร่วมกันสังสรรกันไม่ใช่ว่าจากไปเลย คนอยู่เก็บงานก็หนัก แต่ของเราจะช่วยกันตลอด ช่วยกันเก็บเลย ทำจนเป็นสัญชาตญาณ เป็นการสร้างคนแบบนี้

 

พวกเราชาวอโศกได้พัฒนามาตามแนวพระราชปัญญาของในหลวงด้วย แล้วสอดคล้องตรงกับของพระพุทธเจ้าเลย เราทำมาได้อย่างนี้แม้ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราก็จะทำไปจนตาย ตายแล้วเกิดมาอีกก็จะทำสิ่งดีงามเช่นนี้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์โขลงอยู่ร่วมกันเพื่อจะช่วยกัน แต่คนอวิชชาจะอยู่ร่วมกันเพื่อเอาเปรียบกัน เอามาเป็นเบี้ยล่าง นี่คือความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ทำด้วยความเสียสละ วันนี้อาตมาตั้งใจอธิบายสังคมที่เป็นแนวคิดพระพุทธเจ้าแนวคิดในหลวง

 

จิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ที่จะมีความระลึกถึงกัน ไม่ใช่ว่าไปอยู่คนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร อยู่แต่ผู้เดียว เลยกลายเป็นความเห็นแก่ตัวอยู่คนเดียว ขออภัยอย่างศาสนาเชนของพระมหาวีระ มักน้อยสุดโต่ง เบียดเบียนจากผู้อื่นแค่ไม่ทำประโยชน์แก่คนอื่นเลย กลายเป็นเห็นแก่ตัวเต็มบ้องเลย

 

คำว่าแบบคนจนนี่ เป็น The great word ของในหลวง ที่เราต้องเอามาปฏิบัติให้เป็นผล ตรงกับของพระพุทธเจ้า สัจจะมีหนึ่งเดียว สาวกสังโฆ คือสงฆ์ผู้ฟังสาระแล้วเข้าใจ ปฏิบัติเกิดจริงเป็นจริงแล้วมารวมกัน คนที่มีทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา แล้วปฏิบัติจะมารวมกันโดยธรรมชาติเป็นเอง ตถตา จึงเกิดกลุ่มหมู่บุคคลอยู่อย่างแบบคนจน แต่เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ แปลกนะ เป็นคนจนที่ไม่ขาดแคลน ไม่แย่งชิง แต่แบ่งแจก มีสันติภาพ ภราดรภาพ อบอุ่น อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ แล้วแบ่งแจกกันตามฐานะ สังคหะ จะเอาแลกกันบ้างขายบ้างก็ตามฐานะ มันแจกเลยไม่ไหวก็ขายถูกๆ อย่างพวกเรามาจัดตลาดอาริยะก็ดีมาก บางคนมีเงิน 200 บาท กำเงินมา แล้วถามว่าได้อะไรบ้าง ได้เยอะแยะเลย  200 บาทนี่เขาได้ปัจจัยอุปกรณ์ชีวิตอยู่ได้ทั้งปี ของเราขายให้ถูก ถูกกว่านี้คงไม่ไหวก็เอาแค่นี้ ถ้าใครจะให้ถูกกว่านี้ก็ทำสิ นี่เป็นตลาดอาริยะ แต่ภาวะแจกก็ทำกันอีกแบบ คนเขาพูดกันไม่เป็นแล้วเงินบาท เงินห้าบาท เขาว่ามีเหรียญห้าบาทใช้ด้วยหรือ เขาพูดกันเป็นร้อยเป็นพันอย่างต่ำ

 

ของเรามีความไม่เป็นระเบียบซ้อนอยู่ในความไม่มีระเบียบ ในสังคมวุ่นวายเดือดร้อนกันตรงความไม่มีระเบียบ พวกนักคิดเขาคิดกันเรื่อง เอกภพแตกจากบิกแบงแล้ว มีความเป็นระบบระเบียบหรือไม่ หรือไม่มีระบบระเบียบอะไรเลย อาตมาก็ขอบอกว่ามันมีระบบระเบียบ แต่คุณมองไม่ออกต่างหาก ดีไม่ดีคุณเข้ามาใกล้ๆ บีบเข้ามาเป็นก้อนเล็กก็จะดูเส้นทางโคจรไม่ออก มันเหมือนชนกัน แต่ถ้าขยายไกลๆมันมีทิศทางไม่ชนกัน แต่ถ้าย่อมาเล็กซ้อนกันก็ดูชนกันเส้นทับกันมากมาย หากขยายออกจะเห็นเส้นทาง ถ้าขยายไปไกลก็จะเป็นเส้นทาง ของมหาจักรวาลเป็นระเบียบ แต่ธาตุรู้ของคนนี้มันบีบเข้ามาจนแน่นเลยดูเหมือนไม่มีระบบระเบียบ

 

ความหมายของคำว่า เคออส คือสิ่งที่จับเหตุปัจจัยอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าคนที่รู้องค์ประกอบมีพลังอำนาจจัดองค์ประกอบได้จะเรียบร้อย คนโง่จะอยู่ในภาวะที่วุ่นวาย คนไม่มีปัญญาจะอยู่กับความวุ่นวายโดยจัดระบบของตนให้มีระบบระเบียบไม่ได้ แต่คนรู้จะทำให้มันเป็นระเบียบที่ไม่ทำร้ายกันได้ ช่วยเหลือกันได้ อย่างชาวอโศกนี่ดูวุ่นวายแต่อยู่กันอย่างช่วยเหลือกันได้ อย่างของเขาอยู่รวมกันจะทำร้ายทำลายกันได้ แต่ของเราอยู่กันอย่างเกื้อกูลกัน นอกจากเขามาทำร้ายเรา หากคนเข้าใจเขาจะไม่ทำร้ายเรา เราชนะความไม่ดีด้วยความดี นอกจาเราไม่ทำร้ายเขาเราก็ยังช่วยเหลือเขาด้วย แม้แต่ศัตรู สิ่งที่เป็นคุณงามความดีจะชนะ คุณงามความดีนี่จะชนะทุกสิ่งในโลก

 

ในยุคใกล้กลียุค คนชั่วคนไม่ดีจะมีมากกว่าคนดี อาตมาพาทำตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าที่อาตมาพาทำนี่ ให้เกิดต่อไปจนถึงจุดที่สิ้นสุดโลก เรียกว่าโลกแตกเลย ไม่เกี่ยวกับมหาจักรวาลที่เป็นไฟประลัยกัลป์นะ แต่โลกแตกนี่คือมันจะทำร้ายทำลายกัน แล้วมันจะล้างโลกกันอย่างทำลายกันอย่างสุดยอดแห่งการทำลาย แล้วสิ่งที่เสียหายเลวร้ายจะถูกปราบกันไปจนหมดไม่เหลือ ก็จะเหลือแต่ที่เขาเรียกว่า คนดี แม้แต่วัตถุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เป็นพิษร้ายก็จะหายไปด้วย แล้วจะมีการสังเคราะห์ใหม่ มนุษย์สัตว์พืชจะอยู่กันอย่างดีไม่มีพิษภัย

 

เราก็จะเก็บเอาผู้มีบุญมีคุณธรรมไว้ แล้วก็จะงวดลงๆ หมดลงๆ จนกว่าจะสิ้นสุดศาสนาสมณโคดมก็จะหมดคนดี สิ้นเกลี้ยง อีกประมาณ 2500 ปี ก็จะเหลือแต่คนไม่ดี หยิบเอาใบหญ้ายอดหญ้ามาก็เป็นอาวุธประหารคน แต่ที่จริงคือทุกอย่างแม้แต่อากาศก็เป็นพิษร้ายได้ คว้าอากาศมาเป็นอาวุธ เดี๋ยวนี้นึกถึงไหม? คุณหลบไปไหนไม่ได้เลย อยู่ในรู้เลี้ยวมันก็ทำลายได้ ต่อไปอาวุธชีวภาพมันจะกำหนดได้ว่าทำลายชีวะแบบไหน ไม่ทำลายสัตว์จะทำลายแต่คนได้เลย

 

* พระราชดำรัส *

            "แบบที่เรียกว่า ทำ"แบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน

            ไม่ได้มีการลงทุนมากหลาย อย่างของเขา เราก็ทำไป

            ก็เลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเรา

ไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศ

ที่ก้าวหน้าอย่างมาก

            เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว

            แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป

            ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้ว

พลิกไปถึงหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคตยังมี" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่

            "ถอยหลังเข้าคลอง"

            แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ

                        [พระราชดำรัสเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ..2534]

 

อาตมาก็อ่านมาร์ช ประเทศคือชีวิต ที่แต่งตอนอายุ 20 ปี

‘ มาร์ชประเทศคือชีวิต

(Intro) แม้น..ลองคิดชีวิตคนกลไกในร่างดังหนึ่งประเทศไซร้

(Verse)   ทั้งชีวิตร่างกายเทียบคล้ายดังแดนประเทศ

       จากเขตแดนผองชนหน่วยงานทั้งสิ้นจนถิ่นเนา

       เทิดองค์กษัตริย์ไซร้ ดั่งดวงใจของเรา

       ถนอมและเฝ้าเชิดชูสุดชีวีจวบจีรกาล

              ยกเอามันสมองเป็นเหมือนรัฐบาลป้อง

       ซึ่งคอยตรองคิดคุมช่วยอุ้มชูมิให้ชีพแหลกราญ

       เฝ้าคอยบริหาร สั่งบงการผลงาน   

       เสริมพัฒนาการให้ชีวีดีดังหวังปอง

              ประชาชนนั้นเป็นเช่นดังสายเลือด

       ไม่แห้งเหือดหายไปจากกายพี่น้อง

       กระทรวงทะบวงหรือรวมทั้งกรมแหละกอง

       เปรียบระบบของประสาท ในร่างกายของเรา

              หากส่วนใดเสียไปเหมือนกายพบโรค

       ต้องทุกข์โศกทรุดโทรมเสื่อมทรามโฉดเฉา

       หากแม้นแรงร้าย ถึงตาย คล้ายดังชาติเรา

       หากเมามัวเขลา ใครบ่อนใน ชาติไทยสูญสิ้น

(Intro)     รัก..แดนถิ่นดินไทย ต้องสามัคคีเหมือนดังอวัยวะ

(Trio)            ไม่ปล่อยปละหน้าที่ทำทุกอย่าง

       ทั้งคิดทั้งจิตถางทางก้าวเดินชูช่วยชีวี

       หากต่างดี- จิตดี- เลือดเดินดี- ประสาทดี-

       สมองดี- ชีวิตมั่นขวัญยืน

              ชีพเช่นไร ประเทศคงคล้ายกัน

       มาเถิดมาเสกสรร สร้างเมืองไทยให้แน่นเป็นแผ่นผืน         

       เชิดชูไทยในทุกทางให้ยั้งยงยืน

       ไทยทุกคนตื่นเถิด ประเทศคือชีวิตเรา.

              [แต่งทำนอง 8 มี.ค.2502 ใส่คำร้องเสร็จ 23 มี.ค.2502

         ปัจจุบัน เอาไปใส่คำร้องใหม่เป็นเพลง "กองทัพพุทธธรรม" 10 ธ.ค.2530]

 

อาตมาก็จะอ่านกวี

                        ปฏิรูปด้วย"แบบคนจน

 

                                    (1) ปฏิรูป..ปฏิรูปไซร้             อะไร

                                    ปฏิรูปกันยังไง                         ลึกตื้น

                                    จึ่งจักเจริญไกล                                    ยิ่งกว่า เคยเฮย 

                                    ปฏิรูปกันแค่พื้น                       ไม่พ้น"อวิชชา"

                                    (2) ต้องหาจุดบอดให้             จนเห็น

                                    หาเหตุที่แท้เป็น                       จุดแก้

                                    หากหลงแต่ประเด็น                เช่นเก่า

                                    ก็บ่พ้นวนแพ้                            แก่ผู้"อวิชชา"

                                    (3)  ประดาคนหลากรู้             มีมาก

                                    แต่หนึ่งรู้สุดยาก                      สัจจ์แท้

                                    คืออริยสัจหาก                         พ้น"อวิช- ชา"รา

                                    จึงจักเห็นจุดแก้                       ถูกถ้วนถาวร

                                    (4)       สุนทรคนสุขด้วย         อามิส

                                    ทั้งเสพทั้งยึดติด                       ไป่รู้

                                    "อวิชชา"แน่นสนิท                  หลงแต่ "วิชา"นา

                                    จึงจบแค่กอบกู้                                    สุขซ้ำโลกีย์

                                    (5) เพราะมีภูมิแค่รู้้                 สุขทุกข์

                                    แต่ลึกโลกุตรสุข                      ไม่แจ้ง

                                    สุขเท็จ-สุขแท้ฉุก                    ใจบ่ คนเอย

                                    ไทยชาติพุทธใช่แล้ง                ฉลาดชั้น"วิชชา"

                                    (6)  ศาสดาพุทธสุดรู้               สังคม มนุษย์แล

                                    ทรงกอบกู้มนุษย์จม                 โลกฟื้น

                                    ด้วยโลกุตระสม-                      ใจอยาก จริงเลย

                                    แต่ปราชญ์โลกยังตื้น               มิรู้"อาริยา"                 

                                    (7)  หลง"อารยะ"พื้น              ปุถุชน             

                                    ปฎิรูปกันวกวน                        ย่ำย้ำ

                                    ไม่รู้"แบบคนจน"                    จนจบ จนจริง

                                    ปฏิรูปจึ่งซ้อนซ้ำ                      ไป่รู้"จน"แล้ว.

 

                                                                        "สไมย์ จำปาแพง"                             

                                                                                    16 ธ.ค. 2557

                        [นัยปก "เราคิดอะไร" ฉบับ 295 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2558]

 

แทรกเรื่องของ ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ที่อาตมาว่า ชื่อท่านเป็นวิชา แต่เนื้อแท้ท่านทำด้วยวิชชา ที่สามารถทำให้สังคมไทยเกิดความสงบได้ แต่ว่าเชื้อร้ายก็ยังมีอยู่นะ ยังดิ้นอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้ เราก็จะทำการเชิดบูชา มหาคุณ มอบหยาดน้ำใจทองคำให้ แต่ทางโน้นก็ ระวังเพราะจะผิดกฎหมาย

 

หยาดน้ำใจนี้อาตมาสร้างมานานแล้ว เป็นสิ่งที่อาตมาออกแบบมาเป็นหยาดน้ำใจ แล้วก็มีทั้งในระดับ เงิน และในระดับที่เป็นฉาบริ้วทองบ้าง และอีกระดับหนึ่งก็เป็น ทองคำ อันที่เป็นทองคำนี้ทำมาไม่มากชิ้นหรอก เป็นเรื่องของจิตใจจริงๆที่จะเชิดชูกัน เป็นเรื่องจิตวิญญาณต่อจิตวิญญาณที่เราจะต้องเสริมสร้างคนดีให้คนดีได้มาปกครองบริหารบ้านเมือง พยายามควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มามีอำนาจ ต้องทำตามเจตนารมณ์ในหลวงท่านเลย เราก็สนองพระราชประสงค์ ราคาแม้จะเกิน 3000 บาท แต่เราทำอย่างจริงใจไม่ติดสินบน เราเป็นพวกหยิ่งผยอง แม้เราจนก็อย่างเสือสงวนศักดิ์ โซก็เสาะใส่ท้อง เก็บผักกินเอง

 

ท่านก็ระวังผิดกฎหมาย ก็ให้ไปมอบให้ที่สนามบินน้ำ ปปช. เป็นองค์รวมแต่เนื้อแท้ที่ทำงานก็คือของท่านวิชา มหาคุณ ให้รู้ไปเลยว่าเจตนาดีเราเหนือกว่า เป็นเรื่องสะอาดบริสุทธิ์จริง นัดกันวันที่ 30 ม.ค. 2558 นัดกันประมาณ 14.00 น. ใครจะไปก็ไป

 

สังคมแบบคนจน มีคุณลักษณะของสังคมชั้นสูง ชั้นสูงคำนี้เรียกว่า Class ไม่ใช่ไฮโซแบบโลกียะ แต่เป็นความเจริญของคน เป็นชั้นทางอาริยธรรม คือโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ เราจะต้องช่วยคนให้มีอาริยธรรมแท้จริงไม่ได้ทำอย่างมีอามิสด้วย ซึ่งในโลกนี้มีสมมุติที่เราควรยกให้ด้วย ไม่ใช่ว่าเหมือนคนบางประเภทที่มีแนวคิดว่าทุกคนเกิดมาต้องเท่ากัน ซึ่งเหมือนกับทุกคนเกิดมามี 5 นิ้วเท่ากันแต่ละมือแต่คุณไม่เคยดูเลยว่า ในมือนี่ ห้านิ้วไม่เท่ากันเลย นิ้วที่เท่ากันไม่ได้หมายถึงนิ้วที่เท่ากันหมดทุกนิ้ว แต่หมายถึงพระพุทธเจ้าท่านมีความเสมอภาคไม่มีเอียงเลย พระพุทธเจ้าว่าผู้มีญาณทิพย์จะรู้เสียงหนึ่ง เสียงสอง รู้ว่าอย่างนี้มีลักษณะดี อย่างนี้ลักษณะชั่ว บางทีเขาเอาลักษณะที่ดูดีมาหลอกคน แต่ที่จริงชั่วหลอก เช่น

โครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด นี่ทำให้คนผูกคอตายไปมากเลย แล้วเงินหายไปไหนหมดนะ

 

พระพุทธเจ้าว่า The class หรือมนุษย์ Classic เราจะทำให้มนุษย์เป็นเช่นนี้ให้มาก แต่ความจริง The masses ก็จะเป็นมวลที่มากๆอยู่เป็นตามปกติ

 

The classes นี่แปลว่ามีวรรณะ พวกเรานี่กำลังจะมาทำตามรอยพระยุคลบาทพระพุทธเจ้าและในหลวง มาเป็นคนจนที่ไม่เบียดเบียนใคร แต่รับใช้สังคม มีจิตโลกุตระคือเหนือโลก ไม่ใช่อย่างข่มขี่เขา แต่ว่ามีภูมิคุ้มกันต่อเชื่อโลกโลกีย์ที่แม้จะร้ายแรงอย่างไรพวกเราก็อยู่เหนือโลกธรรมเหล่านี้ได้ทำอะไรเราไม่ได้ คุณธรรมเหล่านี้พระพุทธเจ้าแยกเป็น วรรณะ 9

1.         เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.        บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.        มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) เป็นคนไม่สะสมติดยึด มีเท่าไหรก็ใช้อาศัยมีมากก็เผื่อแผ่สะพัด เมื่อมากคนรวมกันก็จะเป็นเศรษฐกิจสังคมโลกุตระ แม้จะช่วยบ้านเมืองเป็นนกม.ที่ไม่เอาอะไรตอบแทนเป็นการเมืองภาคปชช.เอง แล้วถึงเวลาเขาจะให้ไปเป็นผู้บริหารเองไม่ต้องอยากหรอก

4.        ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.        ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) มีการขัดเกลาพัฒนากัน ผู้ขัดเกลาเก่ง มีภูมิธรรม จะขัดเกลาอย่างไม่ให้เขารู้ว่าถูกขัดเกลา แทรกโอสถทิพย์เข้าขุมขนจึงเป็นผู้ทำงานเป็นActivist อยู่ในสังคม ไม่หนีสังคมเข้าป่าเขาถ้ำ คนไหนขัดเกลาหยาบได้ก็ใช้อย่างหยาบขัด คนไหนยินดีให้ขัดรับรองว่าออกกราวๆเลย รับรองว่าไม่ขัดเกินเนื้อสนิม ไม่ขัดเกินเนื้อหรอก สังคมข้างนอกเขาไม่ให้ขัดเกลา เราก็แทรกให้ตลอด แม้สื่อสารมวลชนเราก็เอาบ้างทั้งที่เราก็จนนะ

6.         เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) เป็นศีลที่สำเร็จแล้ว สบายเป็นปกติ อย่างพวกไม่ใช้เงินใช้ทองอย่างพวกฆราวาสทำงานฟรีสบายในนี้ ใช้เงินส่วนกลาง ไม่ได้เอาไปบำเรอตนเอง เอาตามจำเป็น ขอเบิกส่วนกลางได้ เขาให้ก็ใช้ ไม่ให้ก็เอาอย่างอื่นทดแทน คนมักน้อยไม่รับเงินส่วนตัว อย่างนี้เป็นคนศีลเคร่ง แต่เดี๋ยวนี้แม้แต่พระข้างนอกออกปากเลยว่าไม่มีเงินอยู่ไม่ได้ แต่ของเราแม้ฆราวาสก็ไม่ใช้เงินได้ ทั้งที่อยู่ในสังคมเดียวกันกับเขา เศรษฐกิจเดียวกับเขาเราก็ทำได้ อย่างพวกเครื่องใช้ไม้สอย พวกเราก็ศีลเคร่ง ที่อยู่อาศัยก็มีส่วนกลางใช้ ของตนมีน้อยหรือไม่มีเลย นี่ก็ศีลเคร่ง

7.        มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  รวมแล้วเป็นอาการที่น่าเลื่อมใส

8.        ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  ยืนยันเลยว่าไม่สะสมทั้งสมบัติวัตถุ และกิเลส ลดจนไม่มีสมบัติวัตถุบ้านช่องเรือนชาน เป็นอนาคาริกชน อยู่กับสาธารณโภคี นอนไหนก็ได้ แล้วปลอดภัยด้วย เด็กหญิงก็นอนที่นั่นที่นี่ได้ปลอดภัย แต่เราก็ระมัดระวังอยู่เพราะมีคนมีกิเลสหยาบก็ยังมีอยู่ แต่ก็จะลงตัวในระบบ 1. วิมาน(มีสวรรค์ปนอยู่มาก) ในขั้นตอนของ 2. วิโมกข์(กึ่งหลุดพ้น มีทฤษฎีพาหลุดพ้นแล้วทำได้บ้าง แล้วเป็น 3.วิมุติ เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว” สุดท้ายเป็นชั้น 4.วิหาร (หลุดพ้นหมด) เป็นผู้ที่อยู่ช่วยชั้นต่างๆให้ขึ้นไปสู่วิหารได้เป็นพุทธเกษตรสูงสุด

9.         ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

 

แล้วพวกแดงนี่จะให้ในหลวงมีสมบัติเท่ากับคนทั่วไป จะได้หรือ? เพราะท่านก็ต้องดูแลคนทั้งประเทศที่จะต้องใช้เงิน แม้แต่เขาโมเมว่าทรัพย์สมบัติส่วนพระมหากษัตริย์ก็ไม่ใช่ของท่านแต่ว่าเป็นส่วนกลางที่ท่านมีสิทธิ์ใช้  พวกนี้ไม่คนที่เจตนาทำร้ายให้ร้าย หรือเป็นพวกที่ไม่รู้จริงๆเลยก็มี อย่างเราเข้าใจแล้ว เห็นว่าในหลวงท่านเจียมพระองค์ที่สุด มีคนมาถวายทรัพย์สินให้ท่านใช้ตามพระราชอัธยาศัยท่านก็ได้ตามฐานะ ท่านก็ไม่ได้ไปเรียกร้อง หรือหลอกลวงให้คนมาถวาย ท่านมีอาการน่าเลื่อมใส่ ไม่สะสมก็ตามฐานะของพระองค์

 

เป็นคนยอดขยัน ไม่รู้ว่าความขี้เกียจคืออะไร อาตมากล้าพูดว่า ในหลวงพระองค์นี้ไม่มีความรู้หรอกว่า ความขี้เกียจคืออะไร? อาตมาเห็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านดูสิ ว่าขนาดทรงประชวรก็ทำงานให้ปชช.สุดยอด เป็นคุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ ท่านตรัสน้อย อาตมาว่าท่านบำเพ็ญเป็นพระเตมีย์ใบ้ ท่านไม่ขยายความมาก อาตมาก็เอามาขยายความแม้ภูมิแค่นี้ ขยายผิดก็ต้องขออภัย รวมแล้ว 9 ขั้นนี้คือวรรณะคือ The classes นี่คือคนชั้นสูง คนอาริยะ ประเสริฐ คนจึงเป็นตัวสำคัญที่สุดในการเป็นอยู่ของมนุษย์ ถ้าคนๆเดียวจะหนีไปหรือกินคนเดียว อยู่คนเดียว ออกป่าเขาถ้ำไป พึ่งตนเองไปก็ทำให้ได้ อย่างศาสนาเชนก็ทำไป แต่ไม่ใช่พุทธ ของพุทธนั้นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูง ประหยัดสุด

 

อย่างฤาษี อย่างเชนนี่ ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เขาไม่รู้หรอกว่าอนุสัยจะล้างได้อย่างไร แต่ของพุทธมีวิธีล้างได้ เราก็อยู่กับโลกช่วยโลก ทำงานช่วยสังคมอย่างบริสุทธิ์ใจ นี่คือวิชชาของพุทธ ทำให้คนมีวรรณะ 9 แล้วจะเกิด สาราณียธรรม 6 พุทธพจนฺ์ 7 ได้ เป็นสังคมที่คอมมิวนิสต์ต้องการแต่เขาทำไม่เป็นไม่มีวิธีทำ คอมฯไม่ได้มีหลักในการล้างกิเลส ทำไม่เป็น ใครมีเล่เหลี่ยมเขาไปบริหาร ทำทีว่าช่วยปชช.แต่มีกิเลสที่ซับซ้อนโกงกิน เพราะกิเลสไม่ได้ล้าง แต่อย่างคอมมูนฯเขาตีทิ้งศาสนาด้วย แล้วเขาก็ไม่มีโลกุตระด้วย ถ้าคานมาร์กซ์ มาเจอของพระพุทธเจ้าจะได้ดีกว่านี้มาก พุทธนี่คือพ่อของคอมมูนฯเลยนะ เพราะคอมมิวนิสต์นั้นทำได้แต่รูปแต่ว่าใจมีกิเลสจะไม่ยอมแล้วมีซับซ้อนโกงกินแฝงไปอีก ทำให้กิเลสลดไม่ได้ กิเลสหมดไม่ได้

 

สังคมใดมีอรหันต์มาก เป็นทั้งฆราวาส เป็นทั้งนักบวช สังคมนั้นเป็นสังคมชมพูทวีป เป็นมนุษย์ชมพูทวีปของจริง เราจะพิสูจน์จากผู้มีปัญญา ทุกวันนี้อาตมาภาคภูมิใจที่ทำมา 40 กว่าปีนี่เป็นไปได้

 

ในทฤษฏีงาน 19 ข้อที่อาตมาเคยเขียนไว้

ทฤษฎีงาน 19ข้อ

1. มีคนที่ดี 

2.มีงานที่ดี

3.ความรู้ความสามารถที่ดี   ทั้งหมด 3 ข้อนี้แยกกันไม่ได้ นี่คือทุนแท้

4.เวลา โอกาส เราต้องดู กาลัญญุตา อันควร ถ้าทำผิดกาละก็พังได้ง่ายๆ ตอนนี้เป็ฯเวลาโอกาสสำคัญที่จะต้องทำ ปชช.ไม่ได้ต่อต้านด้วย แม้มีกฎอัยการศึก ปชช.ก็ไม่ต่อต้าน เขาก็อยากให้มีต่อไปด้วย เพราะกลัวพวกผีเปรตที่เรียกร้องอยู่นี่แหละ

5.ทุนที่เหมาะควร เป็นวัตถุ มาถึงข้อที่ 5 ถึงกล่าวถึงทุนวัตถุ ส่วน 5 ข้อแรกเป็นทุนทางนามธรรม ในคน

ส่วนวัตถุนั้น เช่นเรามีภูผาฟ้าน้ำ เรามีงานก็เป็นโอกาสที่จะมาบูรณะกัน หรือชุมชนอื่น เช่นที่หินผาฟ้าน้ำก็เพิ่งไปโปรดมาก็ช่วยกันทำ ส่วนที่จะเกิดใหม่ขึ้นก็ช่วยกันทำ

เช่นขณะนี้ ย่านนี้ เขามีคนจะถวายที่ให้ แต่ก่อนเขาทำใจไม่ได้ถ้าเราจะเอาไปขาย อาตมาก็ว่าถ้าคุณมีเงื่อนไขว่าให้อาตมาแล้วมีเงื่อนไข อาตมาจะไม่รับ แต่สุดท้ายตอนนี้เขาตัดใจได้ ถ้าจะขายก็ได้ แต่ถ้าจะสร้างก็จะมาช่วยสร้างเต็มที่เลย อาตมาถึงรับที่นี้มา แล้วแปลกที่ตรงนั้น เป็นนส.3 ก. มี 31 ไร่ ที่งามมากเลยด้วย ตัวเขาตอนนี้เขาไปสร้างรีสอร์ทธุลีฟ้า พยายามให้เป็นรีสอร์ทธรรมะเขาก็ดีมีภูมิปัญญา พอมาที่นี่เขาก็จะตามมาเป็นผู้ช่วยอีก อาตมาก็คิดถึงว่าที่นี่ก็ทำไป ที่นั่นก็เป็นส่วนข้างหน้า เป็นรีสอร์ท ถ้าทำตรงนี้ได้แน่นอน

6.สุขภาพร่างกายดี

7.มีอุตสาหบากบั่น

8.มีหลักเกณฑ์มีระเบียบมีเป้าหมาย

9.มีการจัดสรรและจัดโครงการ ถ้าใครพิจารณาดีๆ หลัก 19 ข้อนี้รับรองทำงานเจริญไม่มีเสีย มีแต่ได้

10.มีการแบ่งงานและประสานเนื่องหนุน เป็นเรื่องความรู้

11.มีกระจิตกระใจใส่ใจขวนขวายไม่ดูดาย ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่มันสำคัญมาก ถ้ามีอันนี้เท่านั้น สังคมกลุ่มไหนก็เก็บความตกหล่นมาเป็นพฤติกรรมสร้างสรรได้เยอะ

12 .มีการปรับใจกันให้เกิดความเข้าใจกันเสมอ   คนอยู่กันตังแต่ 2 คนต้องมีการปรับใจกันเสมอ

13.มีการปฏิบัติขัดเกลากิเลสเสมอ  ขัดอันนี้ไม่ขัดแย้งขัดแตก เป็นสัลเลข ไม่ใช้เภท  ขัดเกลาลดละกิเลสมานะอัตตาตัวตนเสมอๆ

14.มีความเห็นดี ยินดี จะมีความเข้าใจว่าดีอย่างไร อย่างพวกเราตั้งใจมาเรียนมันเห็นตัวยินดี คนสัมผัสก็รู้ ทำไมยินดีเพราะอะไรก็จะเข้าใจ วิจัย อธิบายได้

15.มีความเห็นจริง ซาบซึ้งเชื่อมั่น จะเรียกว่ายึดถือก็ได้ แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น มีความซาบซึ้งเชื่อมั่น

16.มีสติ ปฏิภาณ ปัญญา นี่คือคุณวิเศษของคน ลึกซึ้ง

17.มีฌาน สมาธิ อุเบกขา  ฌานเป็นฐานของสมาธิ จะมีพลังงานที่เร็วที่ไวและมั่นคง ทั้งพลังงานศักย์ (Static energy)และพลังงานจลน์(Dynamic energy)

18.มีความเสียสละแท้ ไม่มีอะไรซ่อนแฝง

19.มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นเอกีภาวะที่มีวิมุติเป็นพลัง   โลกไหนทำได้จะแข็งแรงไม่มีอะไรตีแตก อสังหิรังไม่มีอะไรหักล้างได้

 

เขาว่าตอนนี้ทำไมทีวีเรามีสีแดง (คนใส่สีแดง)มามาก ก็เพราะว่า ชาวเขามางานนี้มากเขาก็มีชุดประจำเผ่าเขามีสีแดงด้วย เราไม่ติดยึดสี

 

แต่ก่อนอาตมาเป็นศิลปิน อาตมายังนึกว่าสีอะไรเราชอบสุด เราซาบซึ้งสีอะไรที่สุด ...สีน้ำเงิน อาตมาว่าโอ้ แล้วก็ยังดูเฉดด้วยนะ

 

เราเป็นพวกที่เป็น Activist ในสังคมด้วย เราไม่ใช่ศาสนาแบบเข้าป่าเข้าถ้ำไปเบียดเบียนสัตว์ เราอยู่กับสังคมแล้วช่วยสังคม เรามีกรรมการงานช่วยสังคมตลอดเวลา เราทำงานไม่ได้ต้องการอำนาจ ไม่ได้ไปแย่งชิงโลกธรรม ไม่ได้แย่งชิงทรัพย์สมบัติ เราไม่ได้ทำเพื่อเอา เราทำเพื่อให้ เราจึงทำงานได้มีคนไว้ใจเชื่อใจให้เราทำงานได้มากขึ้น ทุกวันนี้ได้มากขึ้น แต่คนก็ยังมีกลัวเราอยู่บ้าง ต้านกั้นเราบ้าง เราทำงานกับสังคมให้สังคมได้รับประโยชน์ที่ดี จัดระบบให้เป็นเคออสที่มีระบบระเบียบดี เคออสนี่คือระบบระเบียบในความวุ่นวาย นะ เราก็ช่วยจัดระเบียบ เราทำให้มากเท่าที่เราทำได้ ไปจนกว่ากลียุคนั้นปริมาณความวุ่นวายจะมากกว่า แต่กลุ่มที่มีระบบระเบียบเป็นเอกีภาวะจะอยู่ได้ พวกไร้ระเบียบมาแทรกเราได้ยากไม่ได้ เป็นก้อนน้ำแข็งท่ามกลางเตาหลอมเหล็กได้ อยู่จนกว่าไฟไหม้โลกล้างโลก เราอยู่ได้แม้ไฟโลกันต์มาล้างโลก เรามีภูมิคุ้มกัน ...สิ่งที่เป็นอบาย คือโลกชั่วหยาบต่ำยกตัวอย่างเช่นคนจะเอาเงินในระดับ เรียกว่ามาถึงหลายแสนล้าน แล้วเอาหลายแสนล้านเป็นเหตุปัจจัยเพื่อให้คนน้ำลายไหลมาเป็นบริวาร แต่ผู้มีภูมิคุ้มกันไม่ติดยึดเรื่องเงินแล้วน้ำลายไม่ไหล เราไม่ไปแย่งคุณแต่ถ้าคุณจะเอาเงินไปทำประโยชน์ให้ปชช.เราส่งเสริมแต่ถ้าเอาไปโกงทำเสียหายเราคัดค้านแน่ อย่าเล่นลิ้นว่าจะทำเพื่อชาวนาเลย พูดไม่จริง โกหกตลบแตลงเป็นบาปไปอีก

 

คุณต้องรู้จักตัวเหตุตัวที่ตะกละไม่รู้จบ แต่เรารู้หมดแล้วเราไม่เอาสุขจากสิ่งหยาบต่ำ ปิดอบายได้ คุณจะทำโลกอบายนี้อยู่เราก็ไม่แย่งคุณ แต่ก็ไม่ให้คุณทำขึ้นมาเพราะทำความเดือดร้อนนะ เราไม่ได้แย่งเอามาจากคุณ สรุปแล้วเราเหนือโลกอบาย แล้วเราก็ช่วยคนที่จะลงอบายด้วย ถ้าสังคมไทยไร้อบายไม่หยาบขนาดนี้จะอยู่สุขกว่านี้ โลกที่หยาบสุดคืออบาย โสดาบันก็ล้างที่หยาบสุด ก็มามีอบายของสกิทาฯ จนความหยาบของสกิทาฯหมด ก็เหลือความหยาบของอนาคาฯ ก็ล้างต่อจนหมดสิ่งละเอียดก็หมดก็เป็นอรหันต์ แต่อยู่กับโลก เหนือโลก ช่วยโลก มีภูมิคุ้มกันช่วยโลกด้วย

 

อย่างหยาบสู้ได้ แต่อย่างละเอียดสู้ไม่ได้ เหมือนพวกเราบางคน ไม่เอาหรอกคนข้างนอก แต่มาเจอกับผู้หญิงอโศกก็ข้ามไม่ได้เสร็จ แม้ไม่สวยหรือไม่จริตจก้านเท่ากับข้างนอกด้วย แต่มีซ้อนลึกกว่า

 

เราทำตนให้หลุดพ้นได้แต่ไม่ไปไหน ช่วยสังคม อยู่ด้วย เป็นสัตว์โลกมนุษย์โลกที่ไม่เสียของ ช่วยสังคมอยู่จริง ฤาษีนี่เสียของ ของพุทธนี่จะอยู่เป็นคนจนมหัศจรรย์ เราก็ไม่สะสมแต่คงคลังเราจะมีฐานะ โตไปตามลำดับที่ควร มีคงคลัง_สำรองจ่าย_สะพัด สามอย่างที่เป็นจริง ไม่ใช่แบบที่เจตนากองไว้กองกลางให้คนอื่นเขาขาดแคลน ให้เขาจำนนกับเรา ไม่ใช่


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:08:30 )

580130

รายละเอียด

580130_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ เรื่อง คนจิตว่างสามแบบ

ใกล้จะสิ้นเดือนอีกแล้ว รู้สึกว่าโลกหมุนเร็วจริงอาตมาชักสงสัย อาตมาพักไปหลายวัน คนก็บอกว่าอย่าเพิ่งเทศน์เลย อาตมาก็ว่าอาตมาแข็งแรงดี

 

สังคม ก็คือ กลุ่มมนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้นมีกลุ่มมนุษย์ขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ พลโลกมี เจ็ดพันล้านคนแล้ว เมืองไทยมี 67 ล้านคนแล้ว

 

มีคนเขียนคำถามมาว่า

 

1.คนไทยชอบมีลูกพี่ส่งเสริมคนมีบารมี ตั้งแต่ครอบครัว ชั้นเรียน จนถึงสังคมวงกว้างทุกระดับ จะหาคนไทยที่เป็นคนเป็นไทยจริงๆยาก ทำอย่างไรให้คนไทยเป็นคนพึ่งตนเองได้ ไม่ต้องก้มหัวให้นักเลงโต

 

2.หาคนไทยที่กล้าคิดกล้าทำยาก ส่วนใหญ่ชอบทำเลียนแบบกัน ทำตามกันในเรื่องไร้สาระ จะทำตัวดีมีคุณค่ากลับอาย ปัญหานี้ท่านเห็นว่าควรแก้ไขอย่างไร

 

ตอบ...คำตอบขอบอาตมาตีหัวเข้าบ้านคือต้องมาสร้างจิตให้มาปฏิบัติธรรม สร้างจิตให้เป็นอิสระ แล้วมีปัญญา พอมีปัญญาจะกล้าคิดกล้าทำ ถามว่า ทำไม? คนไม่กล้า ทำไมอาย เพราะเขาเองเขาไม่มีปัญญา ยิ่งเรื่องดีๆไม่กล้า แต่เรื่องไม่ดีกลับกล้าทำตาม นั่นแหละยิ่งไร้ปัญญา คำว่าปัญญาคำนี้ไม่ใช่แค่ฉลาด คำว่าฉลาดนี้กว้าง มีฉลาดแกมโกงด้วย มีกิเลสเห็นแก่ตัวยิ่งยากใหญ่ สังคมยิ่งส่งเสริมคนฉลาดยิ่งเป็นภัยกับสังคม สรุปสร้างให้คนฉลาดแล้วไม่มีคุณธรรมะนี่เป็นภัยกับสังคม

 

ตราบใดโลกยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ พุทธเป็นศาสนาที่เป็นเจ้าของโลกุตระเลย อาตมาภูมิใจที่เป็นชาวพุทธ แล้วมาทำงานสืบสานศาสนาด้วย ทำให้คนได้รับศาสนาพุทธยิ่งภูมิใจ เกิดมาไม่เสียชาติเกิดเลย

 

อาตมาสัญจรไปทางเหนือก็อาพาธ เป็นหวัด ตอนเดินลงจากดอยก็มีจังหวะดีสอนองค์ประกอบภาพให้

 

วันนี้ก็ได้โอกาสไปมอบหยาดน้ำใจ ตามใจจริงที่จริงใจกับท่านวิชา ก็ดีใจที่เราได้เห็นคนที่เอาจริงเอาจัง คนกล้าซึ่งหาคนที่กล้าเอาจริงเอาจังยาก อย่างที่คำถามว่า คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำดี แต่ทำชั่วได้ง่าย มันเป็นเรื่องกิเลสจริง แต่ที่เรากล้าทำดีเพราะมีคุณธรรมของพระพุทธเจ้า

 

เราก็มอบให้เรียบร้อย อย่างนี้น่าเป็นข่าว แต่ทุกวันนี้ข่าวไม่ดีมีมาก ข่าวอบายมุข เล่นกีฬานี่เป็นข่าวดัง แต่ข่าวคนทำดีนี่ไม่เป็นข่าวหรือเป็นข่าวไม่ได้ก็ไม่รู้ สิ่งที่จะเป็นตัวอย่างสิ่งจูงน้ำให้เด็ก ผู้ใหญ่ได้เห็นใคร่ทำตามเอาแบบอย่างไม่มี มีแต่ข่าวฆ่ากันอำมหิตโหดร้ายฆ่ากันไปทั่ว ในหน้านสพ.แต่ละวัน ข่าวจะยกย่องคนดี ปีๆหนึ่งจะได้กี่ครั้ง แต่ข่าวที่เอาคนเลวร้ายมาโฆษณา มาว่า ที่จริงก็ควรให้รู้ แต่ก็ไม่น่าจะน้อยกว่ากัน มันน้อยมากเลย ที่จะเอาคนดีมายกย่องเชิดชู ก็เลยลำบากมากในเรื่องจิตวิทยาสังคม อาตมาก็ใคร่จะชักชวน หากผู้ใดเห็นดีเห็นงามก็ช่วยกัน สื่อสารมวลชนเดี๋ยวนี้มีอิทธิพลสูงมาก ที่มีผลต่อสังคม อาตมาว่าน่าจะได้ช่วยกัน อาตมาว่ามีผลสูงนะ น่าจะได้คิดดูดีๆ น่าจะทำ ด้านที่ไม่ดีมาโฆษนาแล้วคนก็ชอบซื้อกัน แต่ข่าวดีที่เขาว่าไปยกย่องคือยกย่องพวกเล่นกีฬาการละเล่นบันเทิงเต้นๆดีดๆ อย่างนั้นอีก อาตมาว่าถ้าตั้งหลักตั้งใจดีๆ ถ้าสื่อสารนี่จะได้มีอะไรใหม่ๆ ที่ส่งเสริมแบบนั้นทำมากเก่าทำมานานแล้วมันน่าจะเปลี่ยนแบบใหม่ได้ไหม ถ้าเปลี่ยนแบบใหม่ประเทศไทยน่าจะดีขึ้นก็ส่งเสริมคนดี แล้วนานๆที่จะส่งเสริมกัน แล้วไปส่งเสริมกลุ่มหมู่องค์กร แต่คนดีทำดีเล็กๆน้อยๆ ที่ทำทั่วไปไม่มีคนส่งเสริมเท่าไหร่

 

คนเก่ง คนดี คนฉลาด คนกล้า คนควรฝึกอย่างใดก่อนให้ความสำคัญอย่างใดก่อน  ?

ตอบ...คำว่าคนเก่งนี่ เอาไว้บ๊วยสุดเลย ไม่เก่งช่างมันเถอะ คนฉลาด นี่ก็ยิ่งพอพูดถึงฉลาดนี่ คนฉลาดเอาไว้บ๊วยกว่าบ๊วยอีก ฉลาดนี่คือมีไหวพริบ คิดทันรู้อะไรที่พฤติกรรมมนุษย์สังคมนี่คือคนฉลาด แต่เขาไม่ให้คนล้างกิเลส คนฉลาดนี่ยิ่งฉลาดแต่ไม่มีธรรมะเป็นหลักประกันในตนยิ่งเป็นภัย ถ้าจะปฏิรูปประเทศไทย ต้องสร้างการศึกษาที่พัฒนาจิตวิญญาณ แม้สมองก็เป็นอุปกรณ์ให้จิตวิญญาณใช้งาน สมองแต่ละคนก็แล้วแต่บารมีว่าของใครจะดีหรือไม่ แต่เจ้าสมองนี่เป็นอุปกรณ์วิญญาณเป็นตัวใช้ หากวิญญาณเป็นตัวผี เป็นตัวควบคุมจัดการ ก็ยิ่งแย่ใหญ่ ยิ่งไปฝึกให้การศึกษานำพาให้ฉลาดรู้มากเอาเปรียบคนทำร้ายคนซับซ้อนทำให้คนนึกว่าไปช่วยเขาอีกด้วย

 

อาตมาขอตอบกำปั้นทุบดินเลยว่าการแก้ปัญหาทุกอย่างอยู่ที่ธรรมะอย่างเดียว ไม่ว่าศาสนาไหนก็ได้ แต่ว่าไทยเราเป็นพุทธส่วนใหญ่ก็เอาพุทธยิ่งเป็นโลกุตรธรรม จะเป็นคนฉลาดแท้ๆ ฉลาดมาจากคำว่า ฉฬยตนะ คืออายตนะ 6 คำว่าฉฬ แปลว่า 6 แล้วก็กร่อนมาเป็นฉลาด

 

ฉฬายตนะคือสะพานของวิญญาณที่เป็นธาตุรู้ เมื่อผัสสะเมื่อใด ฉฬยตนะเกิด เมื่อเกิดแล้วก็รู้ ปสาทรูป โคจรรูป ตากระทบรูป หูกระทบเสียงเกิดธาตุรู้คืออายตนะ คือฉลาด หกทวาร คนเราจะมีความรู้จาก 6 ทวารนี่แหละ ส่วนข้างในที่ไม่เกิดจากฉฬายตนะไม่เกิดจากความจริง ถ้าต่างคนต่างคิดอยู่ภายในไม่ออกมาเลยก็ไม่เกิดโทษภัย แต่ไปคิดแล้วแสดงออกมาเป็นภัยเป็นโทษต่อข้างนอก แต่ถ้าคุณคิดเป็นโทษเป็นภัยแล้วไม่ออกมาทางกายวาจาเลยก็ไม่เป็นภัย ความจริงที่จะอยู่กับสังคมต้องมีพฤติกรรม กาย วาจา เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติแล้วจะเป็นผล  พอเป็นปริเฉทรูปคือความว่าง แล้วเกิดวิญญัติรูป 2 ผู้บรรลุฌาน 4 เป็นอุเบกขาเป็นความว่างความวางเฉยแล้ว ผู้ได้ฐานเป็นจิตว่าง แม้จิตว่างโลกีย์เคหสิตอุเบกขาเวทนาก็ไม่เกิดอะไร ไม่มีผลออกฤทธิ์เดชชอบชังอะไรชั่วคราว วิญญัติ ทั้งกายวิญญัติ ความเคลื่อนไหวทางองค์ประกอบนอกก็ไม่เกิด จิตเป็นประธาน มาเป็นองค์ประชุมทางความเคลื่อนไหวทั้งกายและวาจา

 

ผู้มีอุเบกขาเคหสิตะ แล้วก็ไม่มีวิญญัติอะไร แต่ถ้าผู้ได้อากาสาฯตัดรอบถึงปริเฉทรูปแล้ว จิตว่างแล้ว ของพระพุทธเจ้า ว่างอย่างเนกขัมสิตอุเบกขา ขอเจาะลงถึงปรมัตถ์และโลกุตระ

 

อุเบกขา ถ้าของพระพุทธเจ้าแล้วจิตว่างจากอกุศล ว่างจากกิเลส ไม่ใช่ว่างอย่างตรรกะ คือคนจิตว่างอย่างแรก เขาเข้าใจจนคิดว่าตนเองว่าง ซาบซึ้งได้เข้าใจได้ ว่าตนเองว่าง ความว่าง สามชนิด ชนิดที่สอง นั่งสมาธิหลับตาแล้วได้ความว่าง ออกจากการนั่งบางคนก็ว่างได้ พยายามกดข่มว่าไม่เอาโลกธรรม กามคุณ ฝึกไปมันก็พอกดข่มได้ แต่เขาก็บอกจิตตนเองไม่ได้ว่าว่าง เพราะเขาไม่ได้ศึกษาฝึกฝนตอนสัมผัสเงินทองชื่อเสียงข้าวของแล้วอ่านอาการว่ามีชอบหรือชัง มีความรู้สึกอิฏฐารมย์หรืออนิฏฐารมย์ ไม่ได้ฝึกเรียนรู้ขณะผัสสะ แต่พอมีคนอธิบายให้ฟังก็ไปนั่งคิด แล้วพอปฏิบัติจริงๆ กับของจริงหลัดๆ นั้นการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าต้องมีผัสสะทั้งนอกและในครบ สำเร็จอิริยาบถอยู่ ก็หมายถึงอิริยาบถอย่างครบพร้อมทั้งรูป 28

 

ผู้ที่มีจิตว่าง 1.ว่างอย่างตรรกะ 2.ว่างอย่างนั่งสมาธิหลับตา ทำให้จิตวางว่างเฉยอย่างไม่ชัดเจน โดยเฉพาะนามธรรม เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี่คือนามธรรม 5 ที่พระพุทธเจ้าแจกไว้ในหลักปฏิจจสมุปบาท ในวิภังคสูตร ท่านไล่ไปอย่างชัดเจนว่า นามคืออะไร มี 5 อย่างนี้  

 

ผัสสะ เกิดวิญญาณ มันปรุงแต่งเป็นอารมณ์มันมีเจตนาเป็นเหตุ มีเจตนา 3 คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

 

วิภวตัณหาคือตัณหาที่เรียนรู้ภพชาติ เรียนรู้สัตว์ในภพชาติ แล้วล้างเหตุให้เกิดสัตว์ตามสังโยชน์แล้วศึกษา จิต มโน วิญญาณ มนสิการคือการทำจิต มโน วิญญาณนี่แหละ จัดการเรียกว่าสังขาร ถ้าให้กิเลสสังขารก็คือคนอวิชชา ปล่อยให้สังขารกิเลสโต เกิดสุขทุกข์บทบาทเป็นไปตลอด แต่พอมาศึกษาจึงทำวิสังขารได้ คือจัดการจิตตัวการได้ มีมนสิการ

 

ในมูลสูตร เรามีฉันทะเป็นมูล แล้วต้องมนสิการเป็นเลย ถ้ามนสิการไม่เป็นทุกอย่างก็สุญโย แล้วต้องมีผัสสะเป็นเหตุให้เรียนรู้ ผัสสะเมื่อไหร่เกิดเป็นความจริงไม่ใช่ความจำ โผฏฐัพพะ จึงเป็นหนึ่งในโคจรรูป คือวิสยรูป โผฏฐัพพะคู่กับกาย เมื่อผัสสะเกิดวิญญาณเกิด ผู้จะรู้องค์ประชุมของสัตว์ต้องรู้วิญญาณฐีติ 7 ในขณะผัสสะ เมื่อคุณหลับตานอนลงไปไม่มีผัสสะไม่เรียกวิญญาณท่านเรียกจิต มโน เท่านั้น

 

ผู้จิตว่างอย่างตรรกะ อย่างนั่งหลับตาสมาธิไม่เป็นโลกุตระ แบบโลกุตระคืออยู่เหนือโลกีย์ โลกธรรมทั้งหมด โลภโกรธหลง ไม่ใช่จะเหนือมันทีเดียวหมด แต่ทำไปทีละลำดับ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ว่างอย่างโลกุตระนี่ต้องศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามีเนกขัมสิตอุเบกขา กำจัดกิเลสให้หายไป มันรู้จักตัวกิเลส

 

ถามหมอว่าเวลารักษาให้เชื้อโรคเกลี้ยงแล้ว ไม่มีกลับมาอีก แต่กิเลสนี่ออกหมดจากจิตได้จิตว่างอย่างเสถียรถาวร ได้อย่างพุทธถึงมี นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เมื่อจิตว่างแล้วสามารถทำงานกับสังคมตามบารมีของท่าน อนุโลมให้เขามีแต่ผลดีทั้งสิ้นเลย ไม่ใช่ว่าว่างแล้วไม่ทำอะไรเลย ไม่รับรู้อะไรเลย แต่ว่ากลับมีภาวะตอบรับอย่างบริสุทธิ์ใจไร้อคติ หากเห็นว่าเป็นผลดีก็ทำ ไม่ดีมีผลเสียจะไม่ทำ คนจิตว่างของแบบพระพุทธเจ้านี่จะมีคุณค่าสูงสุดต่อโลกต่อสังคมด้วย

 

คนเราทำงานนี่มีสองอย่าง คือมันชอบก็ทำ ชอบมากก็ทำมาก หรือสองเอาเงิน แม้ไม่ชอบแต่ต้องทำเอาเงิน มีสองอย่างนี้แหละที่จะทำงาน เอาลาภ ยศ สรรเสริญสุข กับเอาชอบ รสบำเรอใจ แต่โลกุตระนั้นไม่ได้ทำเพื่อเสพรส แต่ทำเพราะปัญญา ทำเพราะความรู้ที่แท้จริงว่าเป็นประโยชน์คุณค่า ถ้าไม่สมควรแล้ว ก็ไม่เป็นปัญหาก็อยู่เฉยๆไม่สมควรทำก็ไม่ทำ เพราะไม่ได้ทำเอาลาภยศ ไม่ได้บำเรอใจ ทำไปก็เหนื่อยฟรี แล้วประโยชน์ตนท่านไม่มีอีกแล้วมีแต่ประโยชน์ท่าน

 

สรุปคือจิตว่างอย่างพระพุทธเจ้านี่ไม่เป็นโทษภัยกับใครเลย แล้วขยันทำประโยชน์สร้างสรร แล้วไม่ใช่ว่าไม่ได้ทำแล้วจะเป็นจะตาย ไม่ทำก็ได้ ก็ผ่านวันผ่านเดือนปีไปเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์คุณค่าไม่ใช่ว่าอยากจะสอนจะบอกอะไรนัก สำคัญคืออาตมาอ่านอาการใจ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ต้องอ่านนามรูป คือสภาพนามธรรมเราที่ถูกรู้ เราก็มีนิมิตเครื่องหมายว่าอาการนี้คืออย่างไร โลภ โกรธ ดีใจ เสียใจเป็นเช่นนี้ รู้อาการใจ  แต่ที่ต้องทำนี่เพื่อบรรยาย เอาตัวเองเป็นตัวอย่างว่าคนเป็นได้ทำได้ คนที่ศรัทธาก็จะตามมาพิสูจน์แล้วจะรู้ว่าอาตมาพูดเท็จหรือจริง เพื่อยืนยันว่าเป็นไปได้ จิตบรรลุธรรมเป็นเช่นนี้ ซึ่งอธิบายยากที่สุดว่าจิตบรรลุธรรม ไร้กิเลสจิตว่างแล้วเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าจิตว่างแล้วจะอยู่เฉยๆเด๋อๆ แต่ขยันสร้างสรร คนก็จะคิดว่าอยากไหม?

 

ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้วมารก็มาอาราธนาว่าตายเสียสิ พระพุทธเจ้าก็ว่ายังไม่ตาย จนกว่าจะมีพุทธบริษัท 4 เก่ง รู้ บัญญัติ จำแนก ต้องสาธยาย ปรับปวาทะ(วาทะที่ต่างกันก็ต้องปรับกัน) ก็ต้องทำ อย่างเดียรถีย์คือต่างลัทธิความเห็นกัน พระพุทธเจ้าท่านพอรู้ว่าคนนี้เดียรถีย์ยึดทิฏฐิคนละอย่าง ท่านก็ว่าความเห็นของเรากับของเธอคนละอย่าง หากเขาพอทำความเข้าใจได้ก็ทำ ไม่ใช่ว่าทำข่มเบ่งหรือเอาชนะคะคานเขานะ ปรับวาทะ ทำให้ความเห็นลงกันได้ สงบได้ แต่สุดท้าย พระพุทธเจ้าก็ว่าของเธอก็อย่างหนึ่งของเราก็อย่างหนึ่ง ต่างคนต่างทำก็แล้วกัน

 

ต้องให้คนดีที่กล้าก่อน เราต้องการคนดีที่กล้า ทั้งที่คนดีก็มี แต่ไม่กล้า คำว่ากล้านี่ลึกซึ้งนะ คนที่ไม่กล้าเหตุใหญ่คือมีอัตตา กลัวจะเสียตัวเอง จะเสียรังวัด เสียผลดีไม่ได้อะไร ทำไปแล้วเสียผล กลัว หรือกลัวจะเสียรู้ อัตตาทั้งนั้นเลยทั้งที่คนดีมีแต่ไม่กล้า ตอบว่าจะเอาอะไรก่อนก็เอาคนดีที่กล้า

 

คนดีคือคนมีธรรมะมีคุณธรรมที่แท้จริง ถ้าเป็นโลกุตระคือถาวรแท้จริง ตรวจแล้วตรวจอีกว่ากิเลสหมด รู้โลกด้วย จิตเป็นโลกุตรจิต

คำว่าปรมัตถ์กับโลกุตระ

 

ชาวพวกที่ยังไม่ใช่พุทธหรือผู้ไม่เข้ากระแสพุทธสามารถมีปรมัตถธรรมได้แต่ไม่มีโลกุตระ คือไม่เข้ากระแส เพราะเข้ากระแสโลกุตระต้องเริ่มรู้ตั้งแต่กายในกาย ไปจนกว่าจะจบโลกุตระ 37 ทีนี่ผู้ที่ได้ปรมัตถ์ ชาวฤาษีเขาก็มีปรมัตถ์เขาเข้าถึงจิตนะ อย่างพวกนั่งสมาธิหลับตานะให้อยู่ในจิตอย่าออกนอกจิต เพราะไม่ศึกษาผ่าน ทวารนอก พวกนั่งหลับตาทั้งหมดทั้งมวลไม่มีโลกุตระเลยไม่มีกายในกาย เข้าใจกายว่าแค่ร่างเนื้อนอก แล้วกายนี่ต้องมีการกระทบนอกด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วมีจิตรับรู้ด้วย จึงจะเรียกว่าครบทั้งนอกและใน

 

พวกนั่งหลับตาอยู่กับจิต ทำจิตในจิตได้ด้วย แบบของเขาสงบได้แต่ไม่ถูกอาริยธรรม ทำจิตได้เก่ง ดีไม่ดีส่งจิตให้มีอิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์ได้แต่ไม่รู้โลกุตระ ศาสนาพุทธไม่เน้นสิ่งเหล่านั้นเลย แต่ถ้าคนเป็นพุทธบรรลุแล้วจะมีเอง เกิดอิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์

 

ของพระพุทธเจ้านั้นผู้มีสัมมาทิฏฐิเท่านั้นจึงเป็นผู้ทำจิตในจิตเป็นโลกุตระ โลกุตระนั้นเริ่มที่ กายในกาย การทำจิตสมบูรณ์สุดอยู่ที่การทำสมาธิ สำเร็จแล้วคือสมาหิตัง จิตตั้งมั่นจากการล้างกิเลสออกจากจิต แต่ศาสนาพุทธต้องรู้ข้างนอกด้วยจึงเรียกว่ามีความจริง หากเอาแต่จิตในจิต ไม่มีกายในกายไม่ได้เลย ต้องลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอย่างสำเร็จอิริยาบถอยู่ จึงถอนอาสวะสิ้น

 

บุคคล สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ ทิฏฐิปัตตะ

 

ปัญญาวิมุติไปถึงอุภโตภาควิมุติถือว่าเป็นอรหันต์

สายปัญญา

2. ธัมมานุสารี .

4. ทิฏฐิปัตตะ .

6. ปัญญาวิมุติ . .

(มีวิโมกข์ 8 มาตลอด)

 

ส่วนกายสักขี

สายศรัทธา

1. สัทธานุสารี . >

3. สัทธาวิมุติ .  >

5. กายสักขี  .   >

(ต้องอาศัยวิโมกข์ 8)

 

ศาสนาพุทธตั้งแต่โสดาบันก็มีกาย ตั้งแต่กายของสัตว์อบาย คือสัตว์ชั้นต่ำ ที่มีความชั่วเสื่อม เช่นโกงที่ละแสนล้านนี่สัตว์ชั้นต่ำมาก อยู่อบาย คนโง่จนไม่รู้ว่าตนเองโง่ คนตายเพราะตนมากมายฉันก็ไม่เกี่ยว แทนที่จะสลดใจว่าตนไม่มีฝีมือน่าละอายขอลาออก แต่ไม่เลย

 

กายสักขี หมายความว่า มีอันนี้ยืนยันอยู่โทนโท่ เป็นสักขีพยาน ทั้งนอกและใน ถ้ามีแต่ภายในคนอื่นไม่รู้ด้วยไม่ใช่สักขี สักขีต้องมีผู้รับรอง อย่างน้อยตนเองต้องรับรอง บอกกลางๆให้คนอื่นรับรู้ด้วย จึงประกอบไปด้วยทั้งนอกและในตลอดเวลา โสดาบันต้องเริ่มตั้งแต่รู้อบายแล้วตีกรอบเป็นบริบท ปริเฉทรูป เราโกงจัดก็พอที ชีวิตนี้ไม่โกงเลยได้ไหม ทั้งชาติจะไม่หยุดโกงหรือยังไง จะไปเอาแต่ทุจริตเอาของใครหรืออย่างไร บางคนทั้งชาติก็กินไม่หมดก็ไม่หยุดโกง แค่ตีกรอบว่าหยุดโกงแค่ปริเฉทรูปนี้ก่อน มันคิดจะทุจริตก็หยุดก่อนได้ไหม ตีกรอบอบายของตน ยิ่งคุณใจละเอียดมันติดในสวย อย่าไปหลงใหล ยึดติดไปกับเขา

 

คุณเห็นกายสัตว์องค์ประชุมที่เรียกว่า กาย เห็นอันนี้แล้วตาวาว ผีมันมีช่องทางโอกาส ต้องรู้ว่าตอนสัมผัสแล้วมีโอกาส คุณว่าคุณไม่โกง ก็ลองให้เจอโอกาสเป็นผู้บริหารก่อน ล้านนึงไม่โกง สิบล้านก็ไม่ ถ้าร้อยล้านก็ชักเป๋ พอถึงพันล้านก็ไม่โกงหมดหรอก แต่เอาแต่บางส่วนตามน้ำได้ก็เอา เป็นต้น พวกข้าราชการผู้บริหารชั้นสูงมีเหตุปัจจัยให้เรียนธรรมะพระพุทธเจ้าเยอะ ขอให้สัมมาทิฏฐิ การไปนั่งหลับตาไม่ใช่โลกุตระไม่ได้กายในกาย

 

การคือองค์ประชุมของรูป นาม ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส พอสัมผัสปั๊บมันก็เกิดวิญญาณผี ถ้าคุณไม่ได้ศึกษาสัตว์มันก็ทำงานโดยที่คุณเองไม่รู้ตัวด้วยว่ามันคิดโกงสารพัดไปแล้ว อัตโนมัติ เราต้องรู้ด้วยความฉลาดที่เห็นๆ ครบความจริงทั้งนอกและใน เราเองพิสูจน์ด้วยตนสิว่า งบฯก้อนนี้เป็นพันล้าน เราไม่โกงกินได้เลย พิสูจน์ความจริงหลัดๆเราชนะได้เลยก็พิสูจน์ความจริง ทำได้ก็เป็นโลกุตระไปตามลำดับจิตก็เจริญไปเรื่อยๆ

 

ทั้งข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมืองก็มีโอกาส ขรก.คือผู้จัดสรรงบ จัดสรรวัตถุเพื่อปชช. มีเงินเดือนที่มาจากภาษีปชช. ที่จริงเงินเดือนที่ได้ของขรก.นี่เป็นบาปนะ เอาเปรียบชาวบ้าน ยิ่งค่าเงินทุกวันนี้ประชาชนชั้นล่างมีรายได้น้อยแต่ขรก.มีรายได้มากขึ้นไปไม่รู้จบ ทุกวันนี้ประชากรเกิดมาเป็นหนี้ทันที

 

อาตมานี่จริงๆมีฝีมือในการเอาเปรียบสังคมนะแม้ไม่ได้เรียนจบอะไรสูงๆ แต่ว่าก็มีความสามารถหาเงินได้มาก กว่าคนเรียนจบดร.สมัยนั้นอีกนะ 

 

พวกนั่งสมาธิหลับตา รู้จักจิต เจตสิก พอรู้บ้าง แต่ไม่ละเอียดลออ ยิ่ง รูป นิพพานไม่รู้ได้เลย  จะไม่รู้รูป 28 ไม่รู้หรอก ในภาวรูป 2 ไม่รู้ชีวิตินทรีย์ ที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วเกิดชีวิตสัตว์ คุณเอาแต่อยู่ภายในจิต ไม่มีโลกุตระในพวกนั่งสมาธิหลับตา

โลกุตระในระดับผู้ที่จะเข้ากระแส อย่างกายในกายนี่ไม่ได้มีแค่ ร่างกับวิญญาณรวมกันแต่ว่า มี เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมไม่ได้แยกกันเลย

 

กายสเภท ปรัมมรณา คือดิน น้ำ ไฟ ลมที่รวมตัวกันเป็นร่างแยกจากจิตวิญญาณ ไม่เกิดผัสสะแล้ว วิญญาณไม่เกิดทางทวารนอกแล้วคนตายไปแยกเด็ดขาด ก็ไปตามวิบากหลังจากการตายแล้ว พระพุทธเจ้าว่าหลังจากการตายแล้วนรกเป็นที่หวังได้ ส่วนใหญ่จะตกนรก คำว่ากาย จึงยิ่งใหญ่ที่จะยืนยันว่าผู้ใดจะเข้ากระแสโลกุตระ

 

การศึกษาของพระพุทธเจ้าทุกวันนี้มันเสื่อมเสีย พลาดผิด พระพุทธเจ้าท่านว่า ถ้าไม่ได้มีผัสสะ วิญญาณมิได้มี กายคือองค์ประชุมของหมวดหมู่หมวดกองของ สัญญา เวทนา สังขาร คือวิญญาณ เมื่อคุณไม่มีการกระทบสัมผัสทางทวารนอก ก็ไม่มีวิญญาณ ไม่มีกาย

 

กายสักขี พระพุทธเจ้ากำหนดเลยว่าถ้าจะมีสักขีพยานของคำว่ากาย ต้องพร้อมไปด้วยสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยความเป็นกายอย่างสำเร็จอิริยาบถอยู่ คุณจึงทำให้อาสวะบางอย่างสิ้นไปได้ ถ้าคุณไม่สามารถครบกาย ครบองค์ประชุม มีทวารนอกและวิญญาณ คุณไม่สามารถทำให้อาสวะสิ้นไปได้ คุณนั่งหลับตาให้ตายไปอีกล้านชาติ สมาธิหรือจิตตั้งมั่นของคุณก็ไม่มีอาสวะสิ้นได้เลย

 

อาสวะคือกุศลจิตตัวปลาย โสดาบันเอาหยาบก่อน เช่นคุณโกง ต้องหยุดโกงให้ได้ เช่นคุณอยู่ในตำแหน่งสูงสามารถโกงได้มาก ไม่มีหรอกชาติไหนๆก็มีโกง อย่างน้อยก็ต้องคอมมิชชั่น

 

สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ อาสวะบางอย่างสิ้น ต้องสัมผัสครบทั้งนอกและใน ต้องมีอัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ ตั้งแต่กามภพ รูปภพ อรูปภพ ในโสดาบันจะมีอาสวะบางอย่างสิ้นได้เช่นการโกงนี่แหละในมิจฉาอาชีวะระดับกุหนา เช่นเราไม่โกงไม่ให้คนโกงได้ด้วยก็ยิ่งดี แค่เขาจะโกงเก่งก็แล้วไปเราไม่เก่งแข่งโกงกับเขา

 

เมื่อสามารถเรียนรู้กิเลสตัวนี้ได้ในระดับกามภพ จนคุณสัมผัสภายนอกอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว เหลือแต่แวบวาบเป็นรูปราคะ อรูปราคะ อยู่ อาสวะบางอย่างสิ้นได้ คุณจึงจะทำให้อาสวะทุกอย่างหมดสิ้นได้ จะสิ้นสุดได้ต้องรู้ว่าความหมดสิ้นอาสวะเป็นเช่นใด ก็ต้องอานาคามี อรหัตตมรรคแล้วจึงรู้ได้ ..จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:10:04 )

580131

รายละเอียด

580131_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ สมาธิหลับตาไม่พาบรรลุ

พ่อครูว่า... วันนี้ 31 ม.ค.2558 แล้ว วันนี้อาตมาเทศน์ได้เขาให้มาเทศน์ ที่จริงวันนี้เป็นคิวเทศน์ทางบ้านราชฯแต่เขายกให้อาตมา วันนี้พรุ่งนี้ก็เทศน์เช้า แล้วเข้าบ้านราชฯวันที่ 2 ก็ส่งข่าวถึงนิสิต ว.นบ. ใครหนีห้องเรียนอยู่ก็เข้าสู่ห้องเรียนซะ ก็คงไม่ปิดเทอมกันนานนักนะ ตอนนี้อาตมาก็ตั้งใจจะเทศน์ต่อ ว.นบ. แนวลึกอีกเยอะ ตอนนี้สัญจรมาภายนอก ซึ่งบางอย่างอาตมาก็ลงลึกถึงปรมัตถ์มาก และก็ต้องเทศน์ที่เป็นฐานให้คนต่อได้ ไม่อย่างนั้นจะต่อไม่ติด ทุกวันนี้เอาแค่รูปมาพูดนะ ไม่ได้พูดถึงจิตเจตสิก แต่รูปก็เป็นปรมัตถ์ก็ลึกอยู่ ก็รู้ง่ายกว่าจิต กระนั้นก็ยังยาก อาตมาก็ต้องค่อยอีกนานจะเชื่อมโยงเข้าหาจิตเจตสิก กายในกาย ก็ไล่ไปเวทนาในเวทนา จิตในจิตต่อไป

 

ก่อนจะพูดถึงธรรมะก็จะขอพูดถึงข่าวคราวในสังคม มีแนวหน้าonline ออกข่าว แล้วช่องลีน่าจังก็เอาไปออกต่ออีกนะ แต่เนื้อหาก็ไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ เขารายงานข่าวให้ก็ขอบคุณแต่เนื้อข่าวเคลื่อนไปบ้าง เขารายงานข่าวว่า...30 ม.ค.58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วย ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม , สมณะโพธิรักษ์ และลูกศิษย์จากสันติอโศก จำนวน 25 คน เดินทางมาให้กำลังใจ นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ในการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงได้มอบพระ หนังสือธรรมะ และผลไม้ให้แก่นายวิชาด้วย โดยการเข้าไปพูดคุยและให้กำลังใจนายวิชาในครั้งนี้ ใช้เวลากว่า 30 นาที ซึ่งบรรยากาศในการพูดคุยเป็นไปอย่างกันเอง

 

ก็ขอบคุณแต่ว่ามีข้อคลาดเคลื่อน ก็มีว่า จริงๆแล้วคุณจำลอง ศรีเมืองไม่ได้ไปในนามแกนนำพธม. ผู้ที่ไปทั้งหมดเราใช้ว่า ชาวบุญนิยม ไม่ว่าจะเป็นพล.ต.จำลองหรือเรือตรีแซมดิน หรือสมณะโพธิรักษ์และลูกศิษย์ และอีกอย่างที่คลาดเคลื่อนคือเราไม่ได้มอบพระ เรามอบหยาดน้ำใจ เป็นรูปหยาดน้ำใจ มีเพชรรัสเซียเป็นรูปหยาดน้ำใจอันเล็กๆ แต่ที่เรามอบไป ท่านทางโน้นท่านก็ว่าเดี๋ยวท่านจัดการเอง

 

ก็มีคำถามมีคนเขียนมาว่า พ่อครูช่วยยกตัวอย่าง การส่งจิตออกนอก คิดอยู่ภายใน ไม่ดูความคิดของใคร ดูแต่ใจตนเอง ไม่วิจารณ์ใคร วิจัยอารมณ์ทำอย่างไร ไม่กำหนดสิ่งใดทำอย่างไร กำหนดใจไม่ให้คิด ทำใจให้เบาๆทำอย่างไร?

 

ตอบ...ก็คงมีบางสำนักสอนว่าทำใจให้ใสๆ เบาๆ เดี๋ยวคงจะได้ตอบปัญหานี้ต่อไป

 

อีกเจ้าหนึ่งบอกว่า...

1.ผมอยากทราบว่า ในพระไตรฯ มีกำหนดไว้ไหมว่า ถ้าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์จะต้องนั่งสมาธิหลับตามแบบสำนักทั่วไปสอนกันหรือจะต้องกำหนดพุทโธ ครับ

 

2. มีพระรูปหนึ่งเทศน์ เป็นห่วงพระภิกษุสงฆ์แล้วสอนว่าให้ถวายหอยแครงแก่พระ ผมอยากทราบว่าสอนถูกไหม?

 

ตอบ...อาตมาว่าพระถ้ามีความรู้แค่นี้ไม่น่าจะเป็นธัมกถึก ถ้ามีความรู้แค่นี้เสียหมด ก็ถ้าลวงหอยแครงนี่ไม่บอกว่าลวกด้วยน้ำเย็น เขาก็ต้องลวกด้วยน้ำร้อนสิ มันก็ครบผิดศีลข้อ 1 ดื้อๆ ฆ่าสัตว์ แค่นี้ก็ไม่มีปฏิภาณรู้ แค่นี่ไปแนะให้ลวกหอยแครง ท่านคงจะชอบกิน วัดไหนหากมีพระอย่างนี้อย่าให้เทศน์อย่าให้เป็นพระธัมกถึก สรุปแล้วให้เป็นอย่างน้อยโสดาบันก่อน มีคุณอันสมควรก่อนค่อยพร่ำสอนผู้อื่นจึงมัวหมอง แต่ปล่อยให้สอนกันก็เละสิ นี่ก็ก่อนหน้านี้มีผู้ให้ข้อมูลว่า การธุดงค์เขาให้เด็กไปนั่งข้างถนนแล้วถูกรถเฉี่ยว อาตมาก็ขออธิบายอันนี้

 

ศาสนามันเพี้ยนไปไกล คำว่าธุดงค์ไม่ได้แปลว่าการเดินเลย แม้มีคำว่าดง ก็ไม่ใช่รากศัพท์บาลี รากศัพท์บาลีคือ ธุตังคะ มาเป็นธุดงค์ก็มี ค์ ไม่ใช่เดินบุกดงบุกป่า แล้วก็เดินกัน ในธุดงค์ต่างๆไม่มีข้อเดิน แม้ข้อว่าจาริกก็ไม่มี ในธุดงควัตรของพระมหากัสสปะ ก็ไม่มีเดินธุดงค์ มีแต่ให้เดินในแนวฝั่งถนนทางเดียวนะ แม้จะมีญาติโยมใส่บาตรฝั่งตรงข้ามก็ไม่เดินไปรับ ญาติโยมต้องเดินมาใส่ จึงรับ ธุดงค์แปลว่าเคร่งต่างหาก

 

 

แล้วยิ่งไปทำให้เกิดวิภูสนฐานา ผิดศีลอีก ไปทำดราม่าแอคอาร์ทจัดฉากมันไม่ธรรมชาติ ประดิษฐ์ ประดอย เป็นลิเก ละคร หลอกชาวบ้าน ให้หลงศรัทธางมงาย มีผู้สนับสนุนอีกว่า ในชีวิตนี้ยังไม่เคยเหยียบกลีบกุหลาบอีก ยิ่งไปใหญ่เลย บวชมาตั้ง 60 ปีแล้ว อาตมาว่าไปส่งเสริมในทางที่ผิดนี่ไม่ดีเลย ที่พูดนี้นานาสังวาสกันสามารถตู่ท้วงกันด้วยปฏิโกสนา คัดค้านตำหนิกันได้ นิคคัณเห นิคคหารหังกันได้ เพื่อให้เกิดการพัฒนา

 

มาข้อที่ว่า 1.ผมอยากทราบว่า ในพระไตรฯ มีกำหนดไว้ไหมว่า ถ้าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์จะต้องนั่งสมาธิหลับตามแบบสำนักทั่วไปสอนกันหรือจะต้องกำหนดพุทโธ ครับ

 

ตอบ..ขออธิบายอีกว่านั่งหลับตาเข้าอยู่ในภวังค์ข้างใน ยิ่งไม่รู้ลมหายใจอีกด้วย การนั่งหลับตาทำสมาธิในภวังค์โดยไม่มีสติเป็นสติมันโต สติมันโตคืออะไร? คือมีสติครบเลยรู้จักตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีภายนอกเป็นองค์ประชุมพร้อมมีสัมผัสก็รู้อะไรเต็มทุกอย่าง อย่างน้อยนั่งหลับตาเข้าไปก็ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ท่านก็กำชับว่าคือกาย ไม่ให้ทิ้งนะ แต่นี่เขาสอนให้ทิ้งแม้ลมหายใจ อย่างนี้ผิดเลยไม่ใช่สมาธิพระพุทธเจ้า แม้จะสามารถรู้อะไรในจิต ก็เป็นการรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ด้วย ที่พระพุทธเจ้าว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายสำเร็จอิริยาบถอยู่ อาสวะบางอย่างจึงสิ้นได้

 

แล้วถามว่าอรหันต์นั้นจะทำได้ด้วยการนั่งหลับตา นั้นเวลาจะบรรลุต้องลืมตามีสติมันโต แต่ถ้าบรรลุแล้วจะนั่งหลับตาก็ได้

 

ลัทธินั่งหลับตาในภวังค์เหมือนฤาษี ชีไพร ไม่ใช่ของพุทธและไม่มีวันบรรลุอรหันต์ ขอยืนยันเลย

 

แล้วที่ถามว่า....ก็มีคำถามมีคนเขียนมาว่า พ่อครูช่วยยกตัวอย่าง การส่งจิตออกนอก คิดอยู่ภายใน ไม่ดูความคิดของใคร ดูแต่ใจตนเอง ไม่วิจารณ์ใคร วิจัยอารมณ์ทำอย่างไร ไม่กำหนดสิ่งใดทำอย่างไร กำหนดใจไม่ให้คิด ทำใจให้เบาๆทำอย่างไร?

ตอบ...การทำใจในใจเรียกว่ามนสิกโรติ หรือโยนิโสมนสิการ คือการทำใจในใจโดยแยบคายอันนี้คือวิตก วิจัย วิจาร ก็คือกระบวนการของสังกัปปะ 7 เป็นการทำใจในใจ ถ้าใครทำใจในใจอย่างนี้ไม่เป็นไม่ได้บรรลุอรหันต์ การทำใจอย่างนี้ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วไปอยู่ในใจ อาตมาเคยบอกว่าทำใจแบบนี้มีปรมัตถ์อยู่ มีรูปอยู่ข้างในเป็น นามรูป ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ท่านแบ่งนามไว้อย่างหนึ่งรูปอย่างหนึ่ง

 

นามก็มี 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

รูปคือ มหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูปอีก 24

 

แล้วต้องมีองค์ประชุมต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย รูปนามไม่ได้ขาดกัน ขาดไม่ได้ ขาดไม่ได้ ขาดไม่ได้ รูปนามไม่ได้ขาดกัน ต้องศึกษา

 

รูปกับนาม จะต้องสังขารกัน ปรุงแต่งกัน อย่างรูป 28 มี ดิน น้ำ ไฟ ลม มีการสัมผัส ปสาทรูปมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสภายนอก สัมผัสแล้วมีภาวะให้เห็นให้เกิด คือภาวรูป เป็นวิญญาณ ซึ่ง วิญญาณ หรือจิตหรือมโน พระพุทธเจ้าว่านี่แหละคือกาย

 

มันขาดไม่ได้คือ ตาสัมผัสเกี่ยวข้องกับปสาทรูป โคจรรูปมีองค์ประกอบเกี่ยวข้องทั้งดิน น้ำไฟลม ทั้งข้าวของ เราก็มีสติมันโต รู้พร้อมไม่ใช่ตัดไปอยู่ในภวังค์จะไม่เห็นของจริงเลยมีแต่จินตนาการ มีแต่ความจำกำหนดขึ้นมาหรือไม่ก็ดึงเอาความจำกว่ามา ไม่มีความจริง พระพุทธเจ้าไม่รับว่าจะตรัสรู้ ใครจะตรัสรู้ต้องครบความจริง

 

จะบอกว่าวิจัยอารมณ์ ตาก็กระทบรูป หูกระทบเสียงอยู่ มีรูป 28 นี้แหละ คือมีอาการของชีวิตสัตว์ เป็นการปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7 ปฏิบัติใช้สัญญา ของนามของเรานี่แหละ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ตอนนี้เรามีผัสสะ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง เกิดวิญญาณ เรียกว่ามโนหรือมนะ ก็จัดการทำใจ จับให้ได้ พอจับได้ก็พบหทยรูป เราจับอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ได้ในพระไตรฯล. 10 ข.60 ต้องรู้นามรูปด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส โดยสัญญาเรากำหนดรู้ สิ่งที่ถูกรู้ ภาวะที่ถูกรู้เรียกว่ารูป รูปในอาการของมโน วิญญาณที่เกี่ยวข้องกับมหาภูตรูปด้วย มีทั้งปสาทรูป โคจรรูปด้วย คุณกำหนดรู้ แล้วอ่านอาการของความเป็นสัตว์เรียกว่าโอปปาติกสัตว์ ที่มันยังมีชีวิตไม่สิ้นความเป็นสัตว์ อวิชชาผูกมันไว้ จิตเราเป็นสัตว์เรียกว่าโอปปาติกสัตว์ เราก็ต้องรู้ว่ามันมีชีวิต ไม่ตายไม่ดับสูญไปจากชีวิตเรา สัตว์อันนี้เป็นสัตว์แท้ๆที่เราต้องกำจัดชำระให้หมดเกลี้ยงจากจิต ตายสนิทจากจิต นี่คือจิต คือมโน คือวิญญาณ

 

จิตตัวที่เป็นสัตว์นี้คือตัวเหตุ สมุทัยหรืออกุศลจิต หรือเรียกว่ากิเลส ตัณหา อุปาทาน หรือกายกลิ แปลว่าองค์ประชุมของรูปนามที่เป็นโทษ ตัวนี้แหละรู้ให้ได้อย่างพ้นวิจิกิจฉา คุณรู้ได้เมื่อไหร่พ้นวิจิกิจฉา จับ จิต เจตสิก รู้รูปได้ แต่ยังไม่ถึงนิพพาน เป็นปรมัตถ์ชัดเจน เสร็จแล้วก็ปฏิบัติต่อจากนั้น

 

มันอาศัยอะไร อาหาร อาศัยผัสสะ ข้อแรกคือมันอาศัยเครื่องอุปโภค บริโภค เราอยากได้มาเป็นของเรา เช่นธนบัตร คุณอยากได้มาเป็นของตน เป็นอุปโภค คุณเกิดกิเลสกับมันไหม อ่านตรงนี้แหละคือวิจัย หากมันอยากอยู่ก็คือทุกข์ ถ้าพอสัมผัสแล้วได้มาก็สุข มันกลบเกลื่อนทำให้วิจัยกิเลสได้ยาก เช่นโกงได้นี่สำเร็จผลแล้วดีใจอีก น่าสงสารบำเรอกิเลสตลอดเวลา แล้วดีใจที่อวิชชาออกดอกผลเบ่งบาน ไม่รู้ว่าตนได้อะไร ได้กิเลส

 

คนที่บำรุงกิเลสตนให้เกิดสุขนี่ ซวยทุกคน กิเลสอ้วนบวมหนาเรียกว่าปุถุ

 

แต่ฟังแค่นี้อย่าเพิ่งกลัวว่าอะไรก็กิเลสสิ มันก็ต้องกำหนดแบ่งทำตั้งแต่ศีล 5 เป็นต้น ต้องขยายความให้ชัด ผู้ที่วิจัยอารมณ์ก็มนสิการอารมณ์ ทำใจในใจ เวทนาในเวทนาจัดการอารมณ์ อ่านในอารมณ์ก็คือจิต เป็นอาการจิต ที่ปรุงแต่งเป็นอารมณ์เป็นรส หากปุถุชนก็มีรส โสดาฯ สกิทาฯก็สามารถไม่เกิดรสแต่ไม่ถาวร แต่อรหันต์แล้วไม่เกิดรส

 

อย่างเห็นดอกไม้สีขาวมันมีระเบียบเรียบร้อยนี่เป็นธรรมดาธรรมชาติ ตามโลกสมมุติ แต่อารมณ์ชอบไม่มี คุณต้องแยกออกเลยว่าอารมณ์ชอบคุณไม่เกิด โสดาบันนี่ยังยาก แต่ก็เรียนรู้ค่อยลดละจางคลาย จนดับถาวร คุณเป็นโสดาบันก็มีอรหัตตผลของอันนี้ที่ตื้นๆง่ายๆ เช่นไปหลงเงินทองข้าวของคุณได้มาก็เอามาใช้ก็ไม่เป็นไรแต่ว่าหลงชอบมันเป็นโลกียรส เป็นอัสสาทะไม่ว่าจะได้กามคุณ ได้โลกธรรมหรืออัตตาก็ตาม อัตตานี่เป็นตัวลึก บำเรออัตตาบำเรอใจ ที่ไม่ใช่กามคุณ ได้บำเรอศักดิ์ศรี บำเรอใจตามสมมุติที่มีได้สารพัด ผู้หมดอารมณ์สุขทุกข์ก็ไม่มีอาการ แล้วรู้ตามโลกสมมุติได้ อย่างอาตมาเรียนศิลปะก็รู้ว่าอย่างใดสวย หรือเพลงแบบไหนๆ ก็รู้แต่ไม่มีโลกียรส ซึ่งไม่ง่าย แล้วมันหลอกคนได้ด้วย หลอกว่าไม่มีแล้ว ผู้ไม่มีในตนแล้วไปหลอกคนอื่นเป็นนักบวชก็ปาราชิก ฆราวาส นั้นไม่มีปาราชิก แต่ว่ากรรมก็คือกรรมอย่าทำเป็นเล่นนะ

 

การวิจัยชนิดนี้ที่อาตมาสรุปลงที่สังกัปปะ 7 คือตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา ต้องรู้ว่าจิตเริ่มดำริ แล้วก็วิจัยจิต วิจัยกาย เวทนา จิต อันนี้ต้องรู้ไม่รู้ไม่ได้เพราะเป็นโลกุตระ กาย เวทนา จิต ธรรม มีสัมมัปปธาน 4 ต้องพากเพียรวิจัยกิเลสให้ออกแล้วกำจัดกิเลสได้ ทำได้ก็เป็นภาวนาปธานก็รักษาผลเป็นอนุรักขณาปธาน แล้วไล่เป็นคุณสมบัติโลกุตระไปตามลำดับ มีอินทรีย์พละ โดยหลักของโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ไปอีก เป็นโลกุตระ 37 ก็คือทำสังกัปปะ 7

 

เร่ิมดำริก็อ่านเวทนาในเวทนา อ่านอาการ เจตสิกออกว่า นี่เคหสิตะ เกิดจาก ทวาร 6 กระทบ ภายนอก แล้วเกิด สุข ทุกข์ อุเบกขา รวมแล้วเป็น 18 อย่าง ถ้าไปนั่งสมาธิไม่มีการกระทบสัมผัสก็ไม่มีมโนปวิจาร 18ที่ไหนจะไม่มีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายได้เลย

ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นมีลักษณะพิเศษระดับปรมัตถ์

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

ที่พูดนี่เห็นใจสงสารที่ท่านสอนผิด พากับบาป ยิ่งอาจารย์ใหญ่ๆนี่ไม่ได้บาปคนเดียว หากสมมุติคุณเป็นเชื้อโรค แล้วคุณแพร่เชื้อนี้ให้คนอีกเท่าไหร่ ไม่ได้บาปคนเดียวนะ แม้จะหลงผิดกรรมก็มีผลนะให้ศึกษาอย่าให้ผิด แล้วแก้ไขอย่าดึงดันดื้อด้านอัตตามานะสูง

 

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ  คือหลักของวิปัสสนา

อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา คือหลักสมถะ

 

จโตสมถะของพระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งหลับตา พระพุทธเจ้าแยกบุคคล 4 ไว้

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ  แต่ไม่ได้โลกุตระ

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ     แต่ไม่ได้เจโตสมถะ .

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ และได้ทั้งโลกุตระ

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ  และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

พตปฎ. เล่ม 36  ข้อ 10,  ข. 137,  ข.525

 

ผู้ที่มีปัญญาจะวิจัยวิจาร แล้วรู้ตัวที่จะกำจัดนี่คือกระบวนการทำใจในใจ 7 ข้อ ของสังกัปปะ จิตดำริขึ้นก็ตามรู้ ถึงต้องกำหนดกรอบศีลให้ แล้วมาวิจัยวิจาร ให้จิตเกิดวิตักกะ จิตดำริแล้วเราก็เห็นพฤติกรรมจิต  อาการจิต แล้ววิจัยแยกแยะเข้าไปจนได้ตัวเหตุ แล้วก็กำจัดเหตุไม่ให้มี วิคือ ให้วิเศษ ให้ดีขึ้นทำได้จิตก็วิเศษจิตเจริญ เราทำอกุศลจิตออกได้ ทำได้ก็เป็นวิตักกะ เสร็จแล้วสมบูรณ์เป็นสังกัปปะ จิตล้างกิเลสได้แล้วจะสังขารปรุงแต่งก็เป็นวิสังขาร สังขารที่ดี (วิ ถ้าแปลทิศเดียวคือไม่ปรุงแต่งไปตามกิเลสเพราะเราปหานมันได้แล้ว) อภิสังขารเพื่อเอามาใช้งาน จะไปสู่วจีสังขาร หากจะเอาไปใช้งานก็ผ่านด่านสมถะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา คือสำรวจ เลือกเฟ้นแล้วปล่อยให้ไปทำงาน นี่คือฐานตรวจสอบ ฐานแข็งแรง ฐานกำลัง ตรวจสอบให้ดีให้บริบูรณ์อนุโลมปฏิโลมได้เท่าไหร่ จะออกไปทำงานได้เท่านี้นะ พอผ่านด่านก็อภิสังขารหรือวิสังขาร

 

เป็นตัวมโน อยู่ในใจหรือเรียกว่าจิตสังขาร แต่จิตสังขารอันนี้ตัวสำเร็จจริงคือวจีสังขาร ที่ธัมมทินนา กับวิสาขาอุบาสกที่ถามว่าเมื่อตอนเข้านิโรธนั้นสังขาร 3 กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร อะไรดับก่อน การจะปรุงแต่งอะไรดับก่อน ท่านธัมมทินนาก็ว่าตอนจะนิโรธต้องดับวจีสังขาร ใน 7กระบวนการก่อน เมื่อเสร็จกระบวนการก็เสร็จเป็นนามธรรมจะส่งออกก็ส่งให้จิต การนิโรธแล้ว จะออก จิตสังขารก็เกิดก่อน

 

ขอย้ำในพระไตรฯล.16 ข้อ 30 ที่ท่านว่าจิตเกิดดับเกิดดับทั้งวันทั้งคืน เหมือนลิงโหนกิ่งไม้ไปอันนั้นอันนี้เปลี่ยนไป อันนั้นเป็นภาวะธรรมชาติของจิต ไม่ต้องไปทำอะไรมัน แต่ความเกิดดับที่จะต้องดับชาติ ดับความเกิดคืออันนี้ ถ้าทำความดับนี้ไม่ได้ จิตเกิดดับก็ดับกิเลส ให้วจีสังขารดี พอจะเกิด จิตสังขารเกิดก่อนแล้วกายสังขารตามมาวจีสังขารตามหลัง

 

อวิชชามีสังขารเป็นปัจจัย  คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารนี่แหละ อวิชชาไม่รู้อันนี้ สังขารคือกาย คือจิตคือมโน คือวิญญาณ

 

เป็นไง ฟังธรรมแล้วมีรสปีติ เป็นเนกขัมสิตโสมนัสเวทนา มันยินดีพอใจ ปีติ โสมนัส เป็นอุปกิเลสยินดีชูใจ ถ้าเราไปติดมันก็จะอยากได้ไม่รู้จบ ต้องเสพรสจัดขึ้นแต่ใครไม่มีก็ดีแล้ว เรามีอุเบกขาเป็นฐานนิพพานตั้งมั่นแข็งแรง เป็นอัปปนา(แน่วแน่) พยัปปนา(แนบแน่น) เจตโสอภินิโรปนา(ปักมั่น)

 

ที่ถามมาว่าไม่กำหนดสิ่งใดคืออะไร?

ตอบ...จิตไม่ส่งออกนอก นั้นเราก็ต้องรู้ทั้งนอกและในรู้พร้อมกันหมดเลยขาดนอกหรือในก็ไม่ได้ แม้ว่าคุณจะบรรลุแล้ว ดับกิเลสแล้วคุณก็ยังมีนอกและใน ขาดกันไม่ได้ ตากระทบรูปอยู่ แต่อยู่เหนือมันได้เป็นโสดาฯ ดับกิเลสอบายได้ก็อยู่กับอบาย เป็นสกิทาฯอนาคาฯดับกามภพได้ก็อยู่กับโลกเขาได้ แม้อรหันต์ดับได้หมดก็อยู่กับโลกเขาไม่ได้หนีไปไหน มันเพี้ยนไปไกลผิดกันมานาน แล้วไปเข้าใจอานาปานสิตก็เอาแต่ภายใน แล้วกำหนดลมหายใจเป็นตัวเป็นตน แต่เป็นลมภายในเล่นลมบนลมล่าง อะไรไม่รู้

 

การไม่กำหนดสิ่งใดความหมายของเขาคือทำจิตให้ว่าง แม้ตากระทบอะไรก็อย่าไปคิดไปรู้อะไร ไม่ให้วิจัยวิจารไม่กำหนดรู้ก็โง่สิ ขนาดเราพยายามกำหนดยังจำไม่ได้เลย แต่เล่นไม่ให้จำไม่ให้เข้าใจเลย ก็แย่สิ

 

แล้วที่บอกว่า ผัสสะแล้วไม่ตามกำหนดรู้จิตใจ...พ่อครูว่า..ต้องตามรู้กิเลสสิ ให้ตามรู้ตัณหาสิ แต่ก็ต้องตามรู้ตามเข้าใจ แยกแยะวิจัยวิจาร ถ้าไม่วิจัยก็แยกแยะไม่ได้

 

การไม่กำหนดสิ่งใดก็คือสอนกันเลอะเทอะ คุณไม่มีโอกาสจะรู้สิ่งใดได้เลย จำอะไรไม่ได้เลยไม่กำหนดอะไรให้มันผ่านไป ตาผ่านรูป หูผ่านเสียง ไม่รู้เลย ชีวิตจะอยู่ได้อย่างไร เดินไปสู่กลิ่นพิษก็ไม่รู้ สัมผัสแล้วก็ไม่กำหนดรู้ เหยียบขี้หมาก็ไม่กำหนดรู้ เราควรกำหนดรู้ให้ชัด แล้วให้รู้ว่าเรามีจิตปรุงแต่งรสโลกีย์ไหม ต้องกำหนดรู้ปรุงแต่ง ว่ามีอัสสาทะโลกีย์อยู่นะ จึงพ้นสังโยชน์

 

ต้องรู้องค์ประชุมของกายของสัตว์ในวิญญาณฐีติ ถ้าไม่กำหนดรู้นี่ผิดจากพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติ รู้ สัตตาวาส 9 และวิญญาณฐีติ 7 ถ้าไม่เข้าใจอันนี้ ไม่ได้ใช้สัญญาอ่านกาย อ่านองค์ประชุม ไม่เข้าใจกระบวนการสังขาร

 

กำหนดใจที่กำลังคิดทำใจให้เบาๆ ...อันนี้ที่เขาสอนกัน...พ่อครูว่า การทำใจให้เบาๆ ลหุตาในรูป 28 แปลว่าความเบา ความเบาเป็นคุณลักษณะ ของงานของจิต การงานของจิต การงานเบาๆหรือแรงๆก็อยู่ที่คุณจะกำหนดให้เบาหรือแรง ตามที่คุณจะสัจจานุโลมมิกญาณหรือใช้สัปปุริสธรรม วจีสังขารออกเป็นกรรมจะพูดให้เบาหรือแรงอย่างไรมีเจตนามีประมาณมัตตัญญุตาจึงสื่อเป็นกรรมให้ผู้รับได้ประโยชน์

 

จิตเบาๆนี่ ผู้ปฏิบัติถึงปริเฉทรูปทำจิตให้ว่างได้เป็นอากาสาฯ ทีนี้จะให้ประมาณกายวิญญัติวจีวิญญัติออกไปเป็นการเคลื่อนไหวทางกาย วจีที่จะแสดงออก คุณมีสัจจานุโลมมิกญาณ สังขารุเปกขาญาณ คุณได้สั่งสมปฏิสังขารญาณให้รักษาผลตั้งมั่นแข็งแรงเพื่อจะยืดหยุ่นได้ขนาดไหนอนุโลมกับเขาได้เบาแรงขนาดไหน

 

ลหุนี่เบา แต่ไม่ใช่ทำใจให้เบาๆไม่มีแรง ก็คืออาการทำใจให้เหมือนกับนิ่งๆ ก็คือสมถะเบาๆเข้าหาว่าง ที่เขาถามมาว่ามีอาจารย์สอนให้ทำใจให้เบาๆคืออย่างนี้

 

วิการรูปเริ่มที่ลหุตา แล้วมีกัมมัญญุตาจะสังขารออกมาเป็นกาย วาจาภายนอก ให้เป็นกรรมให้แรงให้เบาเท่านี้ด้วยสัปปุริสธรรม 7 จะพูดกับใคร จะว่าแรงๆก็ได้ ยิ่งบางคนก็ให้ว่าเขาได้แรงๆ อาตมาก็ใส่เต็มที่เลย แต่ถ้าบอกว่าเอาแค่นี้เฉลี่ยๆนะ แต่ถ้าวาระนี้เอาแรงหน่อย จิตเราจะมุทุตา จิตเราปรับเปลี่ยนได้ง่าย จิตหัวอ่อนจะให้เป็นอย่างไร แม้เชิงปัญญาก็รู้ได้เร็วไว กระทำได้ทันทีจะมีปฏิภาณไหวพริบเร็ว มุทุตา จึงจัดสรรให้เป็นกรรมการงานที่เหมาะควร ต่อจากวิการรูปก็เป็นวิญญัติรูป ออกเป็นกรรมก็ผ่านลหุตา มุทุตา เราต้องมีความเข้าใจแล้วทำได้เช่นนี้จริง เราอาจเคยทำแต่ก็มาเป็นพยัญชนะเช่นนี้ เราก็ใช้สัปปุริสธรรมไปตามลำดับ หรือว่าเราไม่ค่อยประมาณผิดพลาดแล้วเสียใจภายหลังต้องมีสติรู้ประมาณแล้วจิตจะเร็วไวปรับได้ ใหม่ๆอาจช้าหน่อยพลาดได้บ้าง นี่คือวิการรูป คือการงานที่วิเศษ ไม่ใช่การงานที่บกพร่อง คุณต้องกำหนดรู้จิตเจตสิกคุณ กำหนดแล้วจิตคุณเป็นประธานให้สำเร็จผลอย่างไร คุณดูแลจัดการจิตคุณ เป็นผู้เก่งทางจิต ไม่ใช่เอาจิตเล่นปาฏิหาริย์ แต่ทำให้เป็นประโยชน์ตน_ท่าน การมีสังกัปปะพอเหมาะก็เกิดวาจาพอเหมาะ เกิดกัมมันตะพอเหมาะ อาชีวะพอเหมาะ ความเพียรและสติอันพอเหมาะจะเกิดสัมมาสมาธิ

 

ในรูป ลักขณรูป 4 อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา ไม่ใช่ส่ิงที่เราจะทำ แต่เราทำอุปจยะ มันก็ละไว้ในฐานที่เป็นไป เพราะมันทำตั้งแต่วิการรูปออกไปเป็นกรรมแล้ว เรารู้อุปจยะคือเคลื่อนที่อยู่เกิดอยู่ไม่เลิกไม่หมดไป แล้วมันก็จะเชื่อมต่อเป็นสันตติ ปรุงแต่งแรงก็มีพลังงานแรงหมดพลังงานก็สู่ชรตา ทั้งหมดตั้งอยู่อย่างนี้ เป็นอนิจจตา แม้พระพุทธศาสนาก็มีเกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมไปทั้งนั้น

 

อาตมามาสืบสานศาสนา ศาสนาก็จะสืบต่อไป นี่พูดคุยตัวมากนะ ขออภัย ถ้าไม่มีอาตมาขึ้นมาศาสนาหมดไปแน่ อันนี้ขออภัยที่ต้องพูด ก็มาช่วยต่อไป ถึงต่อไปอย่างไรก็เสื่อมอาตมาถึงเผื่อพอจะอยู่อีก 151 ปี พยายามฟูมฟักต่อไป เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสกับมารที่มาอาราธนาให้ตาย ท่านก็บอกว่าจะต่อ จนเมื่อท่านอายุ 80 ปีมารมาอาราธนาท่านก็บอกว่าจะตายในอีก 3 เดือน เพราะภิกษุ ภิกษุณีเราจำแนก บรรยาย ปรับปวาทะได้แล้วก็จะขอตายในอีก 3 เดือนเป็นวันปรินิพพาน

 

สิ่งเหล่านี้มีเหตุปัจจัยอยู่ คุณจะพูดกับสังคมก็ต้องประมาณว่าจะแรงจะเบาขนาดไหนก็ต้องทำ อย่างคุณประยุทธนี่เจตนานะ บางครั้งแหย่แรงนะ ศิลปินนี่ต้องแสดงออกให้เหมือนจริง มันจึงจะมีผล ถ้าไปบอกว่า ถ้าว่าเด็กแรงๆแล้วบอกว่าไม่ได้โกรธหรอก แล้วเด็กมันจะกลัวอะไร? อาตมาเจอมาแล้วในยุคที่อาตมาเป็นลูกศิษย์วัด ท่านเจ้าคุณให้เด็กอาตมามาดูแลอีก 3 คน มันซนดื้อมาก แล้วอาตมาดุมัน มันก็ไม่กลัวมันรู้ว่าใจดี อาตมาต้องซ่อนไข่ต้ม ไว้ในข้าวสาร สำหรับกินเย็น มันมีผู้ที่แย่งชิงอาตมาก็ต้องซ่อนไว้ ก็มันรู้ อาตมาดูแลอยู่มันก็รู้ว่าอาตมาใจดี เช่นบอกว่าเดี๋ยวไม่ให้กินข้าวเย็นนะ แต่มันก็รู้ว่าเดี๋ยวก็ให้กิน แต่ตอนนี้อาตมาดุจริงนะ เขากลัว ใจจริงไม่ได้มีกิเลสด่าดุ ไม่ได้โกรธ แต่ว่าต้องลหุตา หนักแรงก็ต้องทำ ต้องรู้ว่าเราควรทำแค่ไหนอย่างไร แล้วก็ทำให้จริง

 

โลกุตระต่างกับปรมัตถ์ที่ ปรมัตถ์นั้นผู้ศึกษาจิตเขาก็ไม่ใช่ไม่เข้าถึงจิต เจตสิก เขาเข้าถึงแต่รูป 28 นี่เขาเข้าไม่ถึง ปฏิบัติไม่ได้ แต่คนได้โลกุตระแล้วแม้จะยังจำภาษาไม่ได้แต่สภาวะมันมี สายเทวนิยมรู้จิตเจตสิกเก่ง แต่ไม่มีโลกุตระเลย ไม่รู้กายในกาย เลย ไม่รู้เวทนาในเวทนา ไม่รู้เนกขัมมสิตเวทนา ก็จะไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เนกขัมมะคือทำนิพพานให้แจ้งในปรมัตถ์ในโลกุตระ ไม่อย่างนั้นไม่รู้จิตในจิต ไม่รู้มโนปวิจาร ไม่รู้เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา เป็นฐานนิพพานก็ไม่ได้ แต่ถ้าทำได้เก่งแล้วโดยไม่ยากไม่ลำบากในฌาน 4 ก็อนุโลมปฏิโลมเก่ง กิเลสไม่ฟื้นแล้วมีแต่คุณจะอนุโลมยืดหยุ่นกับเขา อรหันต์นี้บารมีสุดท้ายคือเนกขัมมะ กับอุเบกขา

 

ในบารมี 10 ทัศ

1. ทานบารมี                2.  ศีลบารมี

2.เนกขัมมบารมี            4.  ปัญญาบารมี

5. ริยะบารมี                        6.  ขันติบารมี

7. สัจจะบารมี                     8.  อธิษฐานบารมี

9. เมตตาบารมี                    10. อุเบกขาบารมี

 

ทานต้องเป็นปรมัตถ์ ต้องเป็นการสละออก ได้เนกขัมมะ เพราะปัญญาไม่เข้าใจ ไม่เห็นจิตตนเนกขัมมะ เราลดกิเลสไม่ได้เสริมกิเลส จิตเราเป็นอาริยะไม่ใช่ปุถุชน ทานหรือศีลต้องเนกขัมมะมีปัญญารู้ แล้วทำได้จะมีวิริยะเพียรมากขึ้น มีขันติพากเพียรอดทนจะขึ้น สัจจะก็จะเจริญ สูงขึ้นตั้งมั่นเป็นอธิษฐาน

 

อธิษฐานคือ 1.จิตตั้ง หรือ 2.ตั้งจิต คุณจะตั้งจิตอย่างไรก็เท่าที่มีบารมีว่าจะแรงหรือเบาอย่างไร ฝึกขึ้นจิตก็แข็งแรงขึ้น มีเมตตา เป็นตัวงาน อุเบกขาคือตัวพักเป็นแกนจิตสบายว่าง ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสสรา ไปตลอดเวลา มีคุณสมบัติอุเบกขาที่เจริญขึ้นๆเมตตาก็ทำไป พระอรหันต์ก็อาศัยเมตตากับอุเบกขาเป็นปรมัตถบารมี คือปฏิบัติ วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานเป็นอุปบารมี แล้วจบด้วยปรมัตถบารมี คือเมตตากับอุเบกขา

 

ขอสรุปด้วยธรรมะพระพุทธเจ้าถ้าอาตมาอายุยืนยาวจะช่วยสังคม เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ที่เป็นคุณภาพคุณธรรมของศาสนาพุทธเลย ไม่ใช่สิ่งที่คนเห็นว่าเป็นสิ่งประหลาดๆ มีฤทธิ์เดชอะไรแปลกๆ แต่คนจะเข้าใจว่าปฏิบัติได้จริงจะเป็นประโยชน์กับตน จิตตนสบายจริง แล้วงานการจะมีประโยชน์ต่อโลกจริงๆ อย่างพวกเราหากอยู่ไปนานเข้าจะรู้ว่ามีจริง ไม่ต้องได้ลาภยศสรรเสริญเยินยออะไร แต่ได้ทำประโยชน์ต่อโลกจริง

 

ถ้าเผื่อว่าเกมที่ต่อสู้ อาตมาไม่ได้แพ้เกมของมหาเถรสมาคมนั้นถูกแล้วแต่อาตมาไม่ได้มีความหดหู่ท้อแท้เลย อาตมาก็ทำงานของอาตมาเพราะมันถูกแล้ว ผู้เห็นความถูกของคนถูกเป็นความความผิดก็คือคนผิด ...ก็ถูกแล้วนี่ อย่างอาตมาทำไปนี่ เขาคณะใหญ่นะ อาตมาจะมีกำลังใจที่ไหนทำ อาตมาทำด้วยไม่มีเงินทองไม่ได้เอาโลกีย์มาช่วยเลยไม่ได้มีอิทธิพล อิทธิเดชอะไรไม่เอาเดรัจฉานวิชชา เอาโลกุตระสู้อย่างเดียวเอามุ่งมาจนพามาจนสู้ แล้วอาตมาไม่ท้อได้อย่างไร อาตมาเข้าใจสัจจะว่าทำอย่างนี้ถูกแล้ว

 

ผู้ที่เห็นความถูกของคนถูกว่าผิดอยู่ก็คือคนไม่รู้คือคนผิด ...ถูกแล้ว

 

สังคมไทยตอนนี้ ถามว่าควรจะปฏิรูปอะไร?...ควรปฏิรูปธรรมะ แล้วธรรมะจะเกิดได้อย่างไร ก็ด้วยการศึกษา ต้องเอาธรรมะเข้าไปในการศึกษา ขอให้เชื่อเลย อย่าไปหลงตำราเมืองนอก ให้เอาตำราอย่างไทยๆ อะลุ่มอล่วยกันเมตตากัน เอาแบบคนจน เอาอย่างที่สมัยโบราณอาตมาอยู่ไปได้ของฝากของอะไรมา ทำเสร็จแล้วมันหม้อโต ก็ให้ลูกไปใส่ถ้วยไปเดินไปแจก อยู่บ้านใต้ก็เดินไปแจกบ้านเหนือ มันน่าเอ็นดู มันอบอุ่น แต่เดี๋ยวนี้เห็นอดอยากตรงนั้นยังไม่ให้เลยเททิ้งใส่ถังขยะเลย มันน้ำใจแห้งแล้วไม่ไหว พวกเรากลับมามีชีวิตเพราะเกิดจากธรรมะเป็นรากเหง้าทำให้พวกเรามีอะไรมาได้ อยู่กันอย่างแบ่งแจกเลี้ยงดูกันไปไม่มีโทษภัยอะไรกันเพราะกิเลสน้อย

 

พวกเราเขาดูถูกว่ามันไม่รอดหรอก มันคลุกคลีกันทั้งหญิงชาย เขาก็ว่าเดี๋ยวก็มีลูกนักบวชออกมา เขาเก็งกันอย่างนั้นเลย แต่เราก็ยืนยัน 30 ถึง 40 ปีแล้ว แม้ฆราวาสเราก็ไม่เละเทะ แม้สังคมสงฆ์เราก็ไม่เละเทะ เพราะเราทำจริง เราพึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ อาตมาภูมิใจที่ยังมี สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง

 

สันทิฏฐิโก คือเอาตัวเองมาพิสูจน์ถ้าไม่เข้ามาก็เหมือนช้อนไม่รู้รสแกงต้องซดน้ำแกงเองเลย เอาตัวเข้ามา

 

อกาลิโก คือแม้กาละนี้ก็ไม่ละเว้น พระพุทธเจ้าว่าถ้ามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตราบใดโลกไม่ว่างจากอรหันต์ หลายคนปัญญารู้ดี อรหันต์แล้วแต่เจโตไม่เข้าถึง ก็ได้ยุคนี้ก็มีได้ แล้วจะช่วยสังคมได้จริง เพราะพุทธเป็นกลองอานกะไปแล้ว ชื่อเป็นพุทธแต่เนื้อไม่ใช่แล้วเราก็ต้องมาเติมเนื้อ

 

เอหิปัสสติโก เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ได้ เราก็ไม่ได้อยากอวดโอ่อะไร แต่ให้มาดูความจริง

 

โอปนยิโก คือ ดอกฟ้าที่หมาวัดต้องเอื้อมเป็นของสูง

 

ปัจจัตตัง คนที่ได้แล้วเป็นแล้วจริง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่ไม่มีมรรคผลจะทนอยู่ไม่ได้ ผู้มีมรรคผลจะทนอยู่ได้เพราะไม่ต้องทน


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:10:44 )

580201

รายละเอียด

580201_คุณอัมพา มาสัมภาษณ์พ่อครู เรื่องสำคัญของบ้านเมืองไทยยามนี้

คุณอัมพา สันติเมทนีดล....ถามพ่อครูว่า... จะเรียนถามว่า วันที่ไปพบท่านวิชา มหาคุณทำไมต้องไปพบช่วงนี้

 

พ่อครูว่า..เจาะเอาเหตุปัจจัยองค์ประกอบสำคัญเลยนะ เหตุปัจจัยสำคัญที่ทำขึ้นเพื่อให้สังคมได้รับรู้ด้วย เพื่อสงเสริมให้กำลังใจเชิดชูบูชาคุณผู้ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ โดยการทำหยาดน้ำใจทองคำ ที่เป็นสัญลักษณ์ชาวบุญนิยมไปให้ท่าน เพราะไทยเราสู้กับเหตุการณ์เลวร้ายของบ้านเมืองมา 80 กว่าปีแล้ว ก็ไม่ได้ไปถึงไหนเลย อย่างปปช.นี่มีหน้าที่ปราบคนชั่วคนผิดโดยตรงก็ไม่ได้มีผลอะไรมาก แต่คราวนี้องค์ประกอบมีครบสมบูรณ์ทั้งเหตุการณ์พฤติกรรม ความหนักของความเลวร้ายก็ครบ เหตุผลหลักฐานทุกอย่าง กระนั้นก็ยังไม่มีคนแสดงตนโดนเด่นอย่างท่านวิชา มหาคุณ ทั้งที่ถูกอำนาจมืดคุกคามมา แต่ท่านวิชาก็ทำมา เราต้องทำอย่างในหลวงบอก ต้องส่งเสริมคนดี แล้วควบคุมคนไม่ไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ เหตุการณ์ก็ครบพร้อม เราเจตนาอย่างจริงใจเลย

 

หยาดน้ำใจสีทองนี้ อาตมาทำมานี่ให้คนมานี่แค่สองคน คนหนึ่งก็ให้แม่ที่เลี้ยงอาตมามา ซึ่งอาตมานับถือ ก่อนท่านเสียชีวิตก็ได้ให้ไว้ อีกอันก็ให้แก่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สองคนนั้นเป็นคนในเรา แต่อ.วิชานี่เป็นคนนอกคนแรกที่เราให้หยาดน้ำใจทองคำ อาตมาเกิดมา 81 ปีแล้วก็เพิ่งจะมีคนที่เข้าตา ซาบซึ้งใจจึงได้ทำขึ้น

 

เท่าที่จับกระแสการปฏิรูป ตอนนี้ยังไม่ตรงเป้า เป้าแท้ๆอยู่ที่การศึกษา ต้องปฏิรูปคน ไม่ได้อยู่ที่นโยบายหรือกฎหมาย เพราะว่า คนมันหน้าด้านหน้าทน ผิดก็ทำ ทั้งที่รู้ว่าผิด กูก็จะทำ กฎหมายก็มีแต่ไม่สนใจ มันด้านยิ่งกว่าด้าน อาตมาต้องใช้คำว่า ง่าน โด้ ง่านคือโง่ยกกำลังด้าน โด้คือโง่ยกกำลังด้าน

 

กฎหมาย รธน.ก็ต้องทำ ทำให้ดีที่สุด ละเว้นไม่ได้ แต่อาตมาว่าข้อสำคัญคือคน ต้องสร้างคน พัฒนาคน ต้องให้การศึกษาคน ต้องเปลี่ยนแปลงคน โดยเฉพาะให้คนลดความเห็นแก่ตัว ลดกิเลส ต้องใช้การศึกษา

 

ทุกวันนี้เขาใช้การศึกษาทำกันแต่ไม่สัมมาทิฏฐิ พระพุทธเจ้านี่คือยอดแห่งนักปชต.ยอดแห่งมหาจักรวาล ปชต.ของพระพุทธเจ้านี่ประชากรเสียสละเต็มใจเสียภาษี 100 % ทั้งคอมมิวนิสต์ก็ให้คนเสียภาษีเต็มแต่บังคับ แต่ปชต.ไม่กล้าทำ แต่ก็ให้คนเสียภาษีแต่เขาก็เลี่ยงไปได้ แต่ของพระพุทธเจ้านี่ให้ทำงานฟรีให้แก่ส่วนกลางได้เลย อย่างเต็มใจ อย่างชาวอโศกทุกวันนี้เสียภาษีให้ส่วนกลาง เต็มร้อย ไม่ได้บังคับ

 

คุณอัมพาว่าจะทำอย่างไรให้คนเสียสละ

พ่อครูว่า...การเมืองไม่ใช่อาชีพ การเมืองคืองานเสียสละ จะเรียกว่าอาชีพการเมืองไม่ใช่ การจะเลี้ยงตนเอง อย่างขรก.นี่ก็ใช้เงินเดือนจากปปช. ขรกก็คือข้ารับใช้ประชาชน แต่ก่อนนี้มีในหลวงก็ใช้คำว่าข้าราชการแต่ก็คือผู้รับใช้ราษฎรนี่แหละ การเมืองคืองานรับใช้ประชาชน ส่วนที่เลือกไปเป็นคราวๆ เป็นวิธีการที่เลือกขรก.การเมือง

 

ต้องศึกษาคำตรัสในหลวง ท่านพูดให้ความรู้จริงชัด ถ้าใครเจาะเอาเนื้อแท้สาระได้ ในหลวงนี่สุดลึก ต้องเอาพระราชดำรัสไปทำให้เป็นผล แต่ก็ยังดีใจที่ตนเองก็พยายามทำให้ใกล้เคียงที่สุด

 

คุณอัมพาว่า..คนจะเข้าสู่การเมืองต้องมีคุณธรรมใช่หรือไม่?

 

พ่อครูว่า..ไม่ใช่แค่แวดวงการเมืองเท่านั้นที่ต้องมีคุณธรรม แต่ประชาชนด้วยต้องมีคุณธรรมต้องช่วยบ้านเมือง คำว่านักการเมืองคือผู้ช่วยบ้านช่วยเมือง ช่วยมากก็เป็นนักการเมืองมาก ช่วยน้อยก็เป็นนักการเมืองน้อย คนไม่ช่วยบ้านเมืองเลยไม่ใช่นักการเมือง เราก็เลือกคนที่เหมาะสมที่จะเข้าไปทำงาน มีความรู้ความสามารถจริงก็ให้เข้าไปทำงานได้ก็จะรู้กันดีกว่าคนไหนควร

 

คุณอัมพาว่า...ทุกวันนี้สภาพสังคมที่เป็นแบบนี้สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนมีปัญหามาก

 

พ่อครูว่า...เกิดจากคำสอนพุทธศาสนาที่เพี้ยนไปมาก อย่างธุดงค์ธรรมชัยที่ทำกันนี่เป็นเรื่องอุตริแท้ๆ ย่ำยี่ศาสนาทำให้ศาสนาเสื่อมนะ วิธีทำของเขานี่เป็นมัณฑนวิภูสนฐานา เป็นการตกแต่งจัดฉากสร้างให้ใหญ่โต ที่พระพุทธเจ้าว่าต้องให้เว้นให้ขาดในศีล 8 เขาทำงานศาสนาทำไมไม่เข้าใจ แค่นี้จะเอามาเผยแพร่ได้อย่างไรก็เลยกลายเป็นสร้างสิ่งมอมเมาสังคม ก็เลยเละกันไปใหญ่ แล้วแก้ตัวเลี่ยงภาษาไป ขออภัยที่ต้องพูดเพราะไม่ไหวแล้ว ผิดศีลผิดธรรมพระพุทธเจ้า ศีลแค่นี้พระพุทธเจ้าให้เว้นขาด เขายิ่งทำใหญ่เลย เดือดร้อนกันไปหมดก็ยังไม่เข้าใจอีก เอาอสัจธรรมเข้าไปอย่างนี้ก็หมดสิ

 

คุณอัมพา.....สำหรับอนาคตประเทศไทยที่ต้องปฏิรูปจะเป็นอย่างไร?

 

พ่อครูว่า...ฝากไว้กับคณะที่จะทำงานกัน ก็กลัวจะเสียของ ขอฝากไว้กับท่านนายกฯและท่านที่รับผิดชอบทำงาน มันเป็นช่วงที่จะทำงาน ถ้าครั้งนี้เสียของ ประเทศไทยจะเละอีกนานเลย ถ้าเขาได้อำนาจกลับคืนจะยากมาก เพราะมันสุกงอมจนสุดแล้วมันจึงเกิด เช่นปฏิวัติโดยไม่ต้องปฏิวัติ ใช้แค่คำพูดก็จบแล้วไม่เสียเลือดเนื้อได้ทันที แล้วขอยืนยันว่าต้องมีกฎอัยการศึกต่อ ประชาชนขานรับ มีประเทศไหนที่ทำได้สวย กรุณาอย่าทำให้เสียของ

 

คุณอัมพาว่า...เลือกตั้งจำเป็นไหม

 

พ่อครูว่า...เลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการหนึ่งของปชต.เอาสาระแท้ของการเมืองคือรับใช้ จะชื่อระบอบอะไรก็ตาม ถ้าผู้ปกครองผู้บริหารทำเพื่อประชาชน ก็ได้รับความนับถือให้ทำต่อไป สืบต่อไป จะเป็นราชาธิปไตยอีกกี่ชาติเขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะประชาชนมีความสุข ยกตัวอย่างเช่น บรูไน ก็ให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข  อยู่ที่เนื้อหาสาระว่าทำเพื่อประชาชนหรือไม่ คานธีบอกว่าทรัพย์สมบัติในโลกนี้เพียงพอสำหรับทุกคน แต่ไม่เพียงพอสำหรับคนโลภเพียงคนเดียว

 

คุณอัมพาว่า....ปชต.ไม่ใช่รูปแบบ แต่อยู่ที่เนื้อหาสาระว่าทำเพื่อประชาชน ทุกคนได้แบ่งปันกันกินกันใช้ต่างหาก


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:11:52 )

580201

รายละเอียด

580201_วิถีอาริยธรรม สันติฯพ่อครู+ส.เดินดิน เรื่อง 8 อ. แบบพิสดาร

.เดินดินว่า...วันนี้สันติอโศกคงได้ต้อนรับคณะบุคลากรคณะแพทย์วิถีธรรม มาช่วยทำให้บรรยากาศครั้งนี้ค่อนข้างมีสีเข้มขึ้นเยอะเลย คงจะเดินทางไปทางเดียวกับพ่อครูคือพ่อครูจะอยู่ไป 151 ปี มีพวกเราเล่าให้ฟังว่า ลูกเขาจับไปตรวจที่รพ. กลัวว่าปอดจะมีโรคอะไร เขาก็บอกว่าไม่เจออะไรหรอก เขาจะอยู่ไปถึง 100 ปี หมอเอาไปตรวจก็เลยไม่เจออะไรจริงๆ

 

ช่วงนี้พ่อครูไปฉลองหนาวมา พ่อครูเป็นหวัดไปด้วย ตั้งแต่อยู่สันติอโศกติดเชื้อ พอไปเจออากาศหนาวก็เลยcatch a cold ในพระไตรฯมีพูดถึงว่าคนจะมีอายุยืนยาว ต้องเป็นผู้ทำความสบายแก่ตนเอง 1 รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย 1

บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย 1 เป็นผู้ไม่เที่ยวในกาลไม่สมควร 1 ประพฤติเพียงดังพรหม

 

พ่อครูว่า...การที่จะทำให้เกิดความสบาย ต้องพูดให้ชัดว่าคำว่าสบาย ในภาษาไทยเพี้ยนไปจากคำว่าสัปปายะ สัปปาะย แปลว่าเจริญ อปายะแปลว่าเสื่อม เอาให้ชัดๆ เพี้ยนสปายะมากเป็นสบาย คือสมอารมณ์หมาย มันบำเรอกิเลสนี่ มันเพี้ยนไปเลย สปายะนี่เจริญ เอาชัดๆคือหมดกิเลส

 

สถานที่สปายะของชาวธรรมะคือที่ลำบาก ไม่ใช่ที่สบาย ใครเข้าใจว่า รีสอร์ทที่สบายบำเรออารมณ์คือสัปปายะไม่ใช่เลย สถานที่นั้นคืออปายะ เข้าใจให้ชัด

 

.เดินดินว่า...มีคนบอกว่าอยู่วัดนี่ป่วย แต่ออกไปข้างนอกนี่หายป่วย

 

พ่อครูว่า...กำลังใจนี่มันแข็งแรงนะ แต่ถ้าไม่พอใจนี่อ่อนเปลี้ยเลย มนุษย์ออเซาะนี่จะเป็นเลย พอเจอสิ่งพอใจมีพลังวังชาเกินสามัญเลย แต่พอเจอสิ่งไม่พอใจก็ท้อแท้เลย เหมือนเป็นลมไปเลย นี่คือเรื่องจริงของจิตวิญญาณ ถ้าชอบก็มีแรง ถ้าไม่ชอบก็อ่อนแรงเกินกว่าควรจะเป็น เคยเห็นไหม? น้อยคนที่จะมีแบบนี้เป็นน้อย คนที่จะมีอะไรเกินสามัญเป็นได้

 

.เดินดินว่า...อารมณ์ชอบหรือชังเป็นปัจจัยให้เกิดโรคภัยได้มาก

 

พ่อครูว่า..เพราะฉันทะเป็นมูล  ถ้าไม่มีฉันทะ อิทธิบาทไม่เกิดเลย ไม่มีวิริยะ จิตตะ วิมังสาเลย ไม่สำเร็จ

 

.เดินดินว่า...เราพยายามหาต้นแบบคนที่มีอายุยืนแข็งแรง ไปหามากมาย แต่พ่อครูอยู่กับพวกเราตลอดเลย

 

พ่อครูว่า...อาตมาไม่อยากพูด อายุตั้ง 80 กว่าแล้ว จะทำเหมือนอายุ 20 ได้อย่างไร แต่ที่จริงอาตมาทำได้นะ แต่ทำแล้วมันไม่คือ แต่ที่จริงอาตมารู้ว่าอายุ 18 ไม่ใช่ 80 สรีระร่างกายอาตมานะ

 

.เดินดินว่า...ผมมองว่าที่พวกเรามองข้ามพ่อครูเพราะว่าข้อ 8อ.นี่แต่ละข้อทำได้ยากเลย

 

พ่อครูว่า... วันนี้เขาจะให้เทศน์เกี่ยวกับนโยบายสุขภาพ ซึ่ง อาตมาก็มีหลักเดิมคือ 8 อ. อาตมาเอามาจากหลักของเขา ของเขามีอาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย ที่เขามีก่อน อาตมาก็ว่าไม่สมบูรณ์ ก็เลยมาขยายจนเป็น 7 อ. แล้วมาเก็บตกอาชีพ เป็น 8 อ. ก็คิดว่าครบแล้วจริง

 

อาตมาจะยกไว้ 2 อ.แรก อิทธิบาท กับ อารมณ์ขอยกไว้ก่อน เพราะลึกซึ้งมาก

 

อารมณ์คือจิตใจ เมื่อจิตใจสมบูรณ์แบบแล้วอารมณ์จะสมบูรณ์ อารมณ์สมบุรณ์คือปราศจากกิเลส สิ้นเกลี้ยงจากกิเลสแล้วจึงเป็นอารมณ์สมบูรณ์ เป็นอุเบกขา ซึ่งอุเบกขาพระพุทธเจ้าไม่ใช่อยู่เฉยๆไม่รู้เรื่อง แต่ฉลาดประกอบด้วยปัญญาสมบูรณ์แบบ และประกอบด้วยการงาน เป็นอัญญา(ปัญญาสุดยอด) เป็นปัญญาโลกุตระ อย่างโกณทัญญะ เร่ิมมีปัญญาก็คืออัญญา สิ เป็นสาวกคนแรกที่เกิดญาณปัญญาโลกุตระเช่นนี้เป็นต้น ใครทำการงานด้วยอัญญา (กัมมัญญา) เป็นตัวขับเคลื่อน นั่นแหละคือผู้มีอารมณ์สุดยอด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา นี่คืออารมณ์ของพระอรหันต์

 

หลัก 8 อ. เพื่อสุขภาพดีอายุยืนยาว

 

1.อิทธิบาท

2.อารมณ์

3.อาหาร

4.อากาศ

5.ออกกำลังกาย

6.เอนกาย

7.เอาพิษออก

8.อาชีพ

ในเรื่องอิทธิบาท กับอารมณ์จะไม่สาธยายมากวันนี้

 

3.อาหาร คือเครื่องอาศัย ในชีวิตเรามีเครื่องอาศัยที่ดี สุขภาพก็จะดี อันแรกที่สำคัญคือ อาหารที่กินเข้าไปเลี้ยงขันธ์ เป็นคำข้าว คือกวฬีการาหาร ที่จะอาศัย ขอไม่พูดขยายเรื่องนี้มาก ทางพุทธไม่ได้สอนเรื่องธาตุอาหารที่เป็นคำข้าว แต่สอนสิ่งที่แฝงในคำข้าว ผสมในอารมณ์ ในรส ของอาหาร ว่าอะไรเป็นพิษเป็นภัย เป็นผัสสะ ท่านให้ศึกษา จิต มโน วิญญาณ ให้ตีแตก อาการนามธรรมของคน ศึกษาตัวนี้ แล้วแยกสภาพจริงของธรรมชาติ ส้มมันก็เปรี้ยว สะเอามันก็ขม ไอ้นี่กลิ่นนี้ รสฝาด ขม กลิ่นอย่างนี้ก็เป็นธรรมชาติ รูปเช่นนี้ก็เป็นธรรมชาติ สีมันเหลืองๆเขียวๆ รู้เท่ากันหมดทุกคนไม่เพี้ยน แต่ผิดเพี้ยนกันที่อารมณ์ชอบหรือไม่ชอบ แต่ละคนไม่เหมือนกัน อาจคล้ายกันมากได้ แต่ไม่เหมือนกัน เพราะจิตวิญญาณเป็นธาตุเล็กละเอียดยิ่งกว่าธาตุใดๆที่เขาได้ศึกษากันมา ไม่ใช่จะเดาได้ง่ายๆ อาการอารมณ์ที่จะอ่านได้

 

อาการอารมณ์มันผลักหรือดูด มันชอบหรือชัง นี่คือภาวะไม่เป็นกลางไม่ใช่มัชฌิมา คำว่ามัชฌิมาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ว่าจิตไม่ไหวติงไม่เคลื่อนเลย แต่จิตมีสภาพสองอย่าง สภาพนิ่งและสภาพเคลื่อน บวกกับลบ จิตมี

 

เจโต คือ static

ปัญญา คือ dynamic

 

ทุกอย่างที่มีนั้นมีการเคลื่อนไหวหมด แม้จะหยุดนิ่งเป็นพลังงานศักย์แต่ก็เคลื่อนมีสภาพ potential มันนิ่ง static แต่มันก็มีนัยสภาพจริงที่มันเคลื่อนมันแตกตัวอยู่ สิ่งที่มีอยู่ไม่สลายออกจากกันมีภาวะสองทั้งนั้น

 

ผัสสะ และเจตนา ...ผัสสาหารกับเจตนาหารก็อยู่กับกวฬีการาหาร วิญญาณาหารนั่นแหละ

 

ในจิตวิญญาณคือธาตุพลังงานพิเศษที่เรียกว่า จิตนิยาม ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมาจนพัฒนาเป็นมนุษย์มีจิตนิยาม แล้วจิตมันมีสภาพหยุดกับการเคลื่อน เป็นstatic และ dynamic ในภาษาพระพุทธเจ้าเรียกว่า มีสิ่งที่มี กับ ไม่มี หรือมีสิ่งที่ว่าง กับ เคลื่อน

 

ถ้าสิ่งที่มีจริงๆจะมีสองอย่าง แม้วิทยาศาสตร์ก็บอกว่าทุกอย่างมีสองอย่าง คือสสารกับพลังงาน แล้วพอมีการสัมผัส ผัสสะ ก็มีสามแล้ว

 

สองลักษณะ คือ 1.นิ่ง  กับ 2.เคลื่อน หรือ จัดแบ่งเป็น 1.ปสาทรูป  กับ 2.โคจรรูป 

 

มาผัสสะกันก็เกิดภาวะใหม่ เป็นวิญญาณ เป็นธาตุรู้ที่เกิดจากปฏิกิริยาสองสิ่งสัมผัสกัน แล้วธาตุรู้นี่แหละ ไปเรียกในภาษารูป 28 ท่านเรียกว่า ภาวรูป

 

อันที่ 3 นี่แหละเป็นตัวการที่จะต้องศึกษา พอเกิดผัสสะ แล้วเกิดอาการที่ 3 เป็นวิญญาณ เป็นนามธรรมแตกตัวออก พระพุทธเจ้าแยกเป็น 5 อย่าง เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

การศึกษาทั้งเรียนรู้ปฏิบัติเรียกว่า มนสิการ จึงเกิดผล ใครมนสิการไม่เป็นไม่มีปริยัติที่สัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติไม่ถูกต้องก็ไม่เกิดผล ต้องมนสิการ เมื่อมีผัสสะ แล้ว สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

สัญญาคือตัวหลักของอัตภาพที่จะทำงานตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่ปุถุชนจนถึงพระพุทธเจ้าแม้พระพุทธเจ้าก็ใช้สัญญาทำงานในปัจจุบันที่เป็นธาตุรู้ที่สอดรู้สอดเห็น แม้เบื้องต้นการศึกษาก็ต้องใช้ (พ่อครูไอ)

 

.เดินดินว่า...ในศาสนาพุทธไม่เน้นธาตุอาหาร แต่จะเน้นตัวชอบไม่ชอบที่มากับธาตุอาหารที่เป็นตัวลากเราไปสู่การมีสุขภาพดีหรือไม่ แม้เราจะเข้าคอร์สสุขภาพมาแต่ไม่ได้ศึกษาตัวชอบหรือไม่ชอบออกจากคอร์สตัวชอบหรือไม่ชอบก็จะลากเราไปสุขภาพเสีย

 

พ่อครูว่า..ตัวเวทนา ชอบหรือไม่ชอบ นี่แหละ มันเกิดเพราะได้สมกับเจตนาหรือไม่ ต้องสัญญากำหนดเลยว่าเกิดอารมณ์ชอบหรือชังเกิดจากอะไร เกิดจากเจตนา คือตัณหา (กาม_ภว _วิภวตัณหา) เราต้องใช้วิภวตัณหา เรียนรู้กามตัณหา ภวตัณหา

 

เรียนรู้กามตัณหาที่มันใคร่อยากได้ หรืออยากทำลายทำร้ายมันมีสองนัยเท่านั้นแหละ ถ้ามันแรงจนว่ามีข้าต้องไม่มีเอ็ง บางทีมันร้ายแรงขนาดนั้น มีแค่ดูดกับผลักแต่ลึกซึ้งซับซ้อน ก็มีสองจุดชอบกับชัง เมื่อใช้สัญญากำหนดหมาย ว่าเป็นตัณหาใครทำร้ายนี่คือชัง ใครมาเป็นตนหรือเสพกับตนนี่คือชอบ

 

คนเราแม้ไม่ศึกษาธรรมก็เป็นกลางได้ มันพักยกเฉยๆเป็นธรรมชาติ แต่ของพระพุทธเจ้าต้องล้างธรรมชาติ มีแต่ธรรมะล้วนๆ อย่าไปบอกว่าธรรมะคือธรรมชาติ แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีชาตินะ

 

สัญญาต้องกำหนดรู้เหตุ จับได้ว่าชอบหรือชัง นี่เป็นตัวสำคัญต้องล้างทั้งอาการชอบหรือชังให้สิ้นเกลี้ยงให้เป็นไม่ชอบไม่ชังเป็นอุเบกขาที่คุณต้องไปเรียนรู้ให้เกิดสภาวะนี้ในตน ไม่ผลักไม่ดูด ไม่เอนไปทางกามไม่เอนไปทางอัตตา เป็นกลางๆสูญ พูดได้เป็นภาษาแต่คุณต้องไปรู้ได้ด้วยปัญญาญาณของตนเอง ถ้าได้จุดนี้ นี่แหละคือตัวสัปปายะ

 

คุณมีผัสสะมีเจตนาก็ต้องทำให้เกิดจุดนี้ให้ได้ นี่คือเครื่องอาศัยคืออาหาร 4 ที่กินใช้ เป็นองค์ประกอบหยาบ มาเป็นวัตถุรูป แล้วเกิดเจตนา ต้องทำให้ไม่ชอบไม่ชัง เป็นวิญญาณสะอาด นามรูปก็สะอาด ผู้ที่อ่านนามรูปออก จบ ชัดเจนก็มีเท่านี้ เจตนาก็มี กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา  เวทนาก็มี 3

นี่คืออาหาร 4 ที่ต้องเรียนรู้ หากคุณมีอาการไม่สุขไม่ทุกข์เป็นเครื่องอาศัยอาหารคุณดี สุขภาพคุณดีแน่

 

.เดินดินว่า...พวกที่ไม่มีความรู้เรื่องสารอาหาร แต่กินข้าวกับผักน้ำพริกนี่อายุยืนยาว

พ่อครูว่า...พวกรู้สารอาหารมากนี่ตายไว

 

.เดินดินว่า...ตอนไปฉลองหนาว พวกชาวเขากินขนมที่เป็นข้าวเหนียวตำกับงากับเกลือ คนถามเขาว่ากินแล้วได้อะไร เขาก็ว่ากินแล้วอิ่มเขาไม่มีอุปาทานไปกินเพื่ออร่อยนักเหมือนชาวเมืองเลยสุขภาพดี

 

4.อากาศ แปลว่าช่องว่าง เราหายใจนี่เราก็อนุมานว่าเราหายใจเอาธาตุลมไปสังเคราะห์ร่างกาย แต่ถ้าลมนี้มีแก๊สอะไรมากมายหลายอย่างผสมอยู่ คุณก็สูดเข้าไปสิ มีทั้งเป็นชิ้นเล็ก มีทั้งอากาศที่เป็นความว่าง (ทางวิทยาศาสตร์ก็แยกแยะเป็นธาตุได้อีก) ลมคือมหาภูตรูป แต่อากาศนี่ละเอียดกว่าลม แปลว่า ว่าง

ธาตุอากาศเรียกมันว่า ว่าง

 

ทีนี้อาการทางจิตมันว่าง นี่คืออย่างไร อาการทางจิตมันว่าง คือมีสองนัย ว่างอย่างโลกียะ กับว่างอย่างโลกุตระ

 

ว่างอย่างโลกียะคือว่างโล่งเฉยๆ เหมือนกับไม่มีอะไร แล้วไม่มีปฏิกิริยาอะไร ยิ่งว่างก็ยิ่งนิ่ง ยิ่งสงบ นี่คือนัยที่สัมผัสได้ ยิ่งว่างยิ่งไม่มีอะไร? ทีนี้ทางปรมัตถธรรม ความว่าง คือว่างจากกิเลส นะจ๊ะ

 

ว่างจากกิเลสหยาบ กลาง ละเอียด จนไม่เหลือแม้นิดนึงน้อยหนึ่งก็ไม่มีในสิ่งที่จะให้ไม่มี อากิญจัญฯ นั่นคือว่าง ต้องการให้กิเลสออกไป คุณต้องจับกิเลส แล้วทำให้มันเล็กๆๆๆลงยิ่งกว่าธุลีละออง จนไม่มีเลย อากิญจัญฯคือนิดนึงน้อยหนึ่งก็ไม่มี เนวสัญญาฯคือมันยังข้องอยู่ จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ ยังเหลือเศษนิดๆๆ จะต้องรู้ให้ครบถ้วน เมื่อรู้หมดครบก็จะเรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธังโหติ คือสัญญาเคล้าเคลียอารมณ์ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก ในเวทนา 108 ทุกปัจจุบัน 36 ก็กิเลสสูญ ตลอดๆ จนอดีตสูญ อนาคตก็สูญ อาการว่างสูงสุด นี่คือสภาวะทางธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าได้ตัวนี้แก่จิตแล้วจะเป็นผู้อมตะ จะสั่งให้ตัวเองเกิดหรือตายได้ พระอรหันต์บางองค์บอกเลยว่าเราจะตายในก้าวที่ 3 เดินไปสามก้าวก็ตายได้เลย สั่งตายสั่งเกิดได้ ทั้งร่างกายชีวิต มาจากจิตเป็นเหตุ จะทำให้ทุกอย่างสำเร็จได้สูงสุดได้ สั่งตายหรือเกิดให้แก่อัตภาพได้

 

อากาสธาตุ คือผู้ทำจิตว่างได้แล้ว อารมณ์ที่คุณเกิดอาการสมบูรณ์แบบได้เป็นอารมณ์สัปปายะ แล้วทำอากาศให้เป็นความว่างได้ อารมณ์จะเป็นสิ่งประเสริฐให้สุขภาพดี ทำให้เกิดมโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหารที่ดีได้ แม้พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่กำหนดว่าจะตายในก่อนสร้างศาสนา มารมาอาราธนาท่านก็ไม่ยอมตาย แต่ว่าพอสร้างศาสนาเสร็จท่านก็กำหนดว่าอีก 3 เดือนจะตาย

 

อากาสธาตุ คือตัวว่าง ต้องรู้อาการว่างของจิต แล้วโลกียะก็ว่างได้ว่างพักยก จิตว่างไม่ดูดไม่ผลักไม่ทุกข์ไม่สุข แต่มันไม่รู้ กำหนดมันไม่ได้เพราะไม่มีความรู้ไปกำหนดมันได้ แต่ผู้สามารถกำหนดให้จิตว่างจากกิเลสได้ ทำจนเป็นอัตโนมัติก็มีสุขภาพดีแน่

 

5. ออกกำลังกาย

 

ก็คือให้เคลื่อนไหว ให้เคลื่อนไหวสรีระได้สมดุล เพียงพอ น้อยไปหรือมากไปก็ไม่ดี แต่จะไปกำหนดความพอดีเป๊ะนั้นยาก ก็ต้องเผื่อพอไว้ เด็กตามสัญชาตญาณก็ดิ้นมากกว่าเฉย แต่ผู้ใหญ่หนุ่มสาวก็ดิ้น ไปบำเรอแสวงหาโลกีย์ พอชักชินชาเบื่อบ้างกำลังวังชาไม่ดีก็จะหยุดเคลื่อน ต้องออกกำลังกายเสริมให้มัน ไม่อย่างนั้นไม่สมดุล

 

ตอนนี้อาตมาต้องขยายหน่อย คือตอนนี้มีธุดงค์ธรรมชัย ก็สังเวชใจสถาบันหลักเป็นผู้ใหญ่ในศาสนาพุทธ ออกมาเถียงข้างๆคูๆว่าการทำธุดงค์ธรรมชัยเป็นศาสนาพุทธ อย่ามาพูดเลย มันไม่ใช่เลย เริ่มต้น เอากันที่ธุดงค์ก่อน 1.ธุดงค์ไม่ได้แปลว่าเดิน ถ้าเข้าใจธุดงค์ว่าคือเดินนี่ผิดตั้งแต่ต้นทางเลย  ในยุคพระพุทธเจ้า เป็นยุคการคมนาคมสัญจรไม่ได้สะดวกอย่างนี้ เอาแต่เดิน คำว่าเดินไม่ได้มีความหมายกับคำว่าธุดงค์เลย แต่ท่านต้องเดินกัน 2.บริบทของนักปฏิบัติธรรมยุคนั้นเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมคือเดินออกป่าหรือดง แต่คำว่าดงในธุดงค์คือภาษาเพี้ยนมาจากคำว่าธุตังคะ

 

ธุตังคะ หรือ ธูตะ+ อง  คำว่า อง แปลว่าหน่วยหนึ่ง แล้วองค์หนึ่งของธุดงค์ คือองค์หนึ่งของ ธูตะ

 

ธูตะ คือผู้ทำศีลเคร่งได้แล้ว เมื่อผู้ปฏิบัติศีลข้อนี้ แล้วไม่ใช่ศีลพื้นๆเช่นศีล 5 ศีล 8 นั้นศีล 8ก็ถือว่าเคร่งกว่าศีล 5 ผู้ปฏิบัติศีล 8ได้แล้วก็ถือว่าเคร่งกว่าศีล 5 คุณทำธูตะเรื่องใดได้ก็ได้องค์หนึ่งของธูตะแล้ว เช่นพระมหากัสสปะ มีธุดงควัตร 13 ข้อ เช่นอยู่ป่าตลอดชีวิต ซึ่งไม่ง่ายเลย

 

ธุดงค์ไม่ได้แปลว่าเดิน ใครไปแปลว่าเดิน ก็ผิด เขาบอกว่าการเกินธุดงค์ในเมืองนี่ผิด แต่ก็อีกนัย แม้ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วพระพุทธเจ้าก็ส่งไปในเมือง ไปเดินในเมือง ท่านบอกเลยว่าอย่าไปรวมกันเป็นหมู่ จงแยกกันไปทีละรูป แต่นี่เขามาเดินรวมกันเป็นพันๆ นี่ผิดแล้ว ดราม่าบทนี้ ถ้าอาตมาวิจารณ์แล้วจะแหลกเลย คือน่าเกลียดทุเรศ เป็นมัณฑนวิภูสนฐานาที่น่าเกลียดมาก ขนวัตถุสมบัติมาตกแต่งประดับประดาวิลิสมาหรา เป็นเรื่องมนุษย์หลงความสวยงามโลกีย์ แต่ไม่รู้ตัว ว่าตนเองเอาสิ่งนี้มาหลอกมนุษยชาติ เขาก็หลงไปตามคนตกแต่ง เพราะกิเลสเป็นเจ้าเรือนใจอยู่ ตกแต่งประดับประดาจัดสรรให้คนโง่ที่สุดก็รู้ว่านี่คือตกแต่งสร้างภาพ แล้วนี่หรือคือการเผยแพร่ธรรมะ มีสาเฐยยะเช่นนี้ โง่ยกกำลังร้อย สุดง่านนะ อาตมาว่าไม่ใช่เขาไม่รู้แต่เขาหน้าด้านหน้าทน กูจะทำ จะทำไม อย่างนี้ เป็นทั้งภาวะมานะอัตตา อาตมาถล่มหนักก็คือให้หยุดเถอะ คุณทำกรรมใด กรรมนั้นเป็นของคุณ ถ้าไม่หยุดก็ได้กรรมบาป ที่พูดนี่เบรกให้หยุดทำชั่วด้วยเจตนาจริงใจ ขอทำตัวเป็นผู้พิพากษา โดยเขาไม่ได้แต่งตั้ง มันทำลายศาสนานะ คุณไปหลงผิดว่าเป็นการเผยแพร่ศาสนาไปอีกนะ

 

ในการเดินออกกำลังกาย ในศาสนาพุทธ จึงไม่ต้องออกกำลังกาย เดินก็ได้แล้ว สมัยพระพุทธเจ้าก็มียาน มีรถ แต่ท่านไม่ใช่ ตลอดพระชนชีพท่านไม่ใช้ แต่ในยุคนี้ไม่ใช่ยุคพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะมาปฏิบัติมรรคองค์ 8

 

ในมรรคองค์ 8 มีหลัก ทำการงานอาชีพ กัมมันตะ การพูด ความนึกคิด นี่คือหลัก 4 องค์ของมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติ 4 อย่างนี้ให้สัมมาตามประธานคือทิฏฐิ แล้วมีสติกับความเพียรช่วย ให้มีสติมันโต รู้ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้แข็งแรง แล้วทำให้เกิดอาชีพที่สัมมา  มีสัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ ทำให้ตกผลึกตกในจิตให้ตั้งมั่นแข็งแรง แน่นเหนียวมั่นคงยั่งยืน โดยปฏิบัติมรรค 7 องค์ตาม มหาจัตตารีสกสูตร

 

เดินธุดงค์นี่คือนอกรีต ธุดงค์เรียกร้องหาบริหาร ลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข เป็นธุดงค์ที่มีเจตนาเลวร้ายเป็นอกุศล เป็นความทุจริต นี่อาตมากำลังว่าอย่างจังๆ คัดค้านตำหนิจังๆ ในฐานะนานาสังวาส ทำปฏิโกสนา(คัดค้านตำหนิแรงๆก็ได้) แต่ไม่ทำถึงอุโกสนา(คือฟ้องร้องกันเอาเรื่องกัน)

 

อาตมากับธรรมกายนี่ ไม่ใช่นานาสังวาสอีก แต่ยิ่งกว่า อสังวาส กันอีก แต่ดันทุรังว่าเป็นพุทธอีกก็เลยต้องพูด เพราะคุณออกนอกพุทธไปไหนต่อไหนแล้ว ไม่ใช่แค่นิกายด้วย อสังวาสเลย แต่จะมาตั้งข้อฟ้องร้องอาตมาตามทางการไม่ได้ พระพุทธเจ้าห้าม แต่การวิจัยวิจารณ์กันก็ต้องทำเต็มที่

 

การออกกำลังกายในยุคพระพุทธเจ้าท่านเดินเอาก็พอแล้ว แต่อย่างอาตมานี่อยู่กับที่มาก ก็ต้องเดิน แต่อย่ามาตีกินว่าการเดินนี่คือการแสดงธรรม อย่ามาหลอกกันเลย  หลงตั้งแต่คำว่าธุดงค์นี่คือเดินนี่ก็ผิดแล้ว สมัยพระพุทธเจ้าเขาเดินกันเป็นปกติ

 

.เดินดินว่า...ดูเหมือนทุกวันนี้เราต้องตั้งหลักยามอ่านพยัญชนะ แม้คำว่าธุดงค์ก็ต้องเอามาอธิบาย

 

พ่อครูว่า...พูดจนต้องเสียเสลด เสลดต้องออกเลย เริ่มต้นแต่คำว่าดง นี่ก็ไม่ใช่ดงใช่ป่าแล้ว สมัยพระพุทธเจ้าหลงผิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องเข้าป่า พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า บรรลุธรรมแล้วต้องเข้าเมือง แม้แต่ในอัมพัฏฐสูตร ท่านก็ว่า สมัยต่อไปคนจะไปแสวงหาอาจารย์ในป่า นี่คือความหลงผิด พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ก่อนเลย ว่าอนาคตจะหลงผิดออกป่ากัน ในความเสื่อมของผู้แสวงหาอันผิดๆ

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

 

ที่เขาทำนี่จัดจ้านมากเลย ธรรมโกย อาตมาก็ขอสรุปดีกว่า ว่าธุดงค์ไม่ใช่การเดิน ธุดงค์คือหน่วยแห่งศีลเคร่งที่คุณปฏิบัติได้ ธุดงค์คือองค์คุณเครื่องกำจัดกิเลส หรือชื่อข้อวัตรปฏิบัติ ท่านก็ขยายว่าธุดงค์คือข้อปฏิบัติที่ผู้สมาทานจะเต็มใจกำหนดประพฤติเพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส เขารวบรวมมามี 13 ข้อ

พระพุทธเจ้าทรงสอนเกี่ยวกับธุดงควัตร 13 ประการคือ 1. ถือการนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร 2. ถือการนุ่งห่มผ้าสามผืนเป็นวัตร 3. ถือการบิณฑบาตเป็นวัตร 4. ถือการบิณฑบาตไปโดยลำดับแถวเป็นวัตร 5. ถือการฉันจังหันมื้อเดียวเป็นวัตร 6. ถือการฉันในภาชนะเดียวคือฉันในบาตรเป็นวัตร 7. ถือการห้ามภัตตาหารที่เขานำมาถวายภายหลังเป็นวัตร  8. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร 9. ถือการอยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร 10. ถือการอยู่อัพโภกาสที่แจ้งเป็นวัตร 11. ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร 12. ถือการอยู่ในเสนาสนะตามมีตามได้เป็นวัตร 13. ถือเนสัชชิกังคธุดงค์ คือการไม่นอนเป็นวัตร

 

คือเป็นข้อปฏิบัติที่พระมหากัสสปะ จนชินแล้ว ท่านทำมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ สั่งสมสัญชาตญาณนี้ให้ตนเอง พระพุทธเจ้าก็ต้องยกให้ท่าน ท่านก็ตัดกิเลสท่านได้แล้ว อันนี้เป็นวาสนาบารมีของท่านติดมา มันก็ไม่ได้ล้างง่ายๆ ต้องยกให้ท่านว่าท่านไม่มีเวลาแล้ว

 

ยุคนี้ บริบทต่างกัน เราไปเดินมากไม่ได้ มียานพาหนะแล้ว แต่นี่เขาก็ทำมาสร้างภาพเดินบนถนน ที่เป็นที่ให้รถยนต์วิ่งนะ สร้างภาพมาก เป็นการจูงนำ สร้างอุปาทานใส่จิตคน ไม่ใช่ได้บุญเลย ที่จริงบุญคืออาวุธหรืออุปกรณ์ที่ใช่กำจัดกิเลส บุญ คือ เครื่องชำระกิเลส จากสันดานให้หมดจด แปลนิยามคำว่าบุญเช่นนี้ แต่เดี๋ยวนี้เพี้ยนไปหมดแล้ว กลายไปเป็นว่าการได้บุญคือการได้มีอะไร เป็นเครื่องมือใช้เพื่อความดี แต่ที่จริงบุญคือเครื่องมือที่จะไปสู่ความไม่มี จนหมดบาป หมดบุญ แล้ว ผู้สิ้นบุญสิ้นบาปคือพระอรหันต์ ที่พูดไปให้เขาหยุดทำบาปนี่ พูดเพราะรักศาสนาพุทธ แม้จะเหลือความหวังอีกนิดก็พูดเพื่อศาสนาพุทธ ไม่เชื่อว่าจะได้นะ คนโง่ย่อมมีมากกว่า เขาจึงได้มีคนไปกับเขามากมาย ก็ขออภัยที่พูดเหมือนย่ำยี แต่ก็ต้องคัดค้านอย่างจังนี่แหละ ปฏิโกสนา

 

ออกกำลังกาย  นี่ต้องทำให้พอดี อาตมาเดินออกกำลังกาย ไม่วิ่ง เดินหลายแบบด้วย ต้องให้พอดี

 

6.เอนกาย คือการพัก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้รู้จักพัก รู้จักเพียร ผู้ใดจัดสัดส่วนพักและเพียรได้ พระพุทธเจ้าว่า เราไม่พักเราไม่เพียร เราข้ามโอฆสงสารได้ ธรรมชาติของชีวิตต้องมีเพียร เพียรจนไม่ต้องเพียรแล้วเป็นอัตโนมัติ แต่ถ้าถึงเวลาควรพักก็ต้องพัก หรือป่วยก็ต้องพัก ผู้ใดจัดสัดส่วนได้ก็จะสุขภาพดี หากไม่พอก็ต้องออกกำลังกาย คนใดที่ออกกำลังกายเกินแล้วก็ไม่ต้องเพิ่ม ส่วนอาตมารู้ตัวว่าไม่ได้ไปออกกำลังสรีระมาก ออกกำลังทางสมองเยอะก็ต้องไปพักให้สมองได้พักบ้าง

 

7.เอาพิษออก อาตมาไม่เข้ามะพร้าวห้าวมาขายสวน พวกคุณเรียนรู้มากกว่าอาตมาเยอะ อาตมาก็ทำพอสมควร อาตมาเข้าใจเอาเองว่าอาตมาไม่ได้เป็นคนไปแสวงหาสิ่งเป็นพิษใส่ตน แม้คนเขาทำอาหารก็เอาสิ่งไม่เป็นพิษมาให้อาตมาฉัน

 

ในพระไตรฯ

5. อนายุสสสูตรที่ 1

       

[125] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม 5 ประการนี้ เป็นเหตุให้อายุสั้น 5 ประการ 5 ประการ

เป็นไฉน คือ บุคคลไม่เป็นผู้ทำความสบายแก่ตนเอง 1 ไม่รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย 1

บริโภคสิ่งที่ย่อยยาก 1 เป็นผู้เที่ยวในกาลไม่สมควร 1ไม่ประพฤติเพียงดังพรหม 1 ดูกรภิกษุ

ทั้งหลาย ธรรม 5 ประการนี้แล เป็นเหตุให้อายุสั้น ฯ

 

1.  บุคคลไม่เป็นผู้ทำความสบายแก่ตนเอง อันนี้อาตมาก็พยายามทำอยู่

2. ไม่รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย....อาตมาแปลความสบายว่าไม่ได้บำเรอกิเลสนะ สบายคือสิ่งเจริญตรงข้ามกับอบาย   สิ่งเจริญถ้าไม่รู้จักประมาณก็เสียประโยชน์ อย่างอาตมาถ้าตั้งหน้าตั้งตาจะยำคนอื่นไปหมด อาตมาก็คือคนไม่รู้จักประมาณการสบาย เพราะว่ายำเขานี่มันร้อน เพราะต้องตั้งใจนะ เพราะจิตใจอาตมาไม่ได้อยากทำนะ ต้องฝืนนะ ต้องเป็นเลือดศิลปินนะ

 

3.บริโภคสิ่งที่ย่อยยาก อาตมาก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าจะย่อยยากนะสิ่งที่เขาทำมาให้เขาก็เลือกเฟ้นแล้วอาตมาก็ถือว่ามีบารมีหรือกุศล เก่าที่ได้สั่งสมมาแล้ว

 

4.เป็นผู้เที่ยวในกาละไม่สมควร ไม่รู้จักที่ที่ควรไปแล้วไปเที่ยวในที่ไม่สมควรด้วย

 

5.ไม่ประพฤติพรหมจรรย์

 

ในพระไตรฯ ล.22 ข.125 ชัดเจนมากเลย

 

เอาพิษออก ก็พวกคุณรู้ดีกว่าอาตมา แต่อย่าเอาพิษออกแล้วก็กลับไปเอาพิษเข้าไปอีกล่ะ

 

8. อาชีพ

 

อย่างนักบวชนี่มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น (ปรปฏิพัทา เม ชีวิกา) ศาสนาพุทธไม่ได้ให้ไปให้พึ่งป่าพึ่งสัตว์ไปอาศัยผลหมากรากไม้ แต่เราจะพึ่งคน เราจะเป็นประโยชน์แก่กันและกันอย่าเป็นโทษแก่กันและกัน ผู้ที่มาช่วยเหลืออาตมาก็คือคนที่เข้าใจศรัทธาต้องการให้อาตมามีชีวิตยืนยาว ทั้งอุปโภค บริโภค อาตมาไม่อยากเอ่ยปากเท่าไหร่ เดี๋ยวมาเยอะเลย บางที่ยังไม่พูดก็มาเป็นถุงๆเลยนะ

 

อย่างอาตมา มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น อาตมาก็พึ่งญาติโยม อาตมาก็เอาตัวเองมาเป็นธรรมะ อย่างไปชุมนุมนี่ก็เอาตัวไปเลย ทำตามเหตุปัจจัยไม่ได้เพื่ออวดอ้าง ทำเต็มที่เลย ในอาชีพที่เราจะทำ อย่างพวกคุณไม่มีหน้าที่รับโดยตรงว่าจะมาเผยแพร่ธรรม นั้น ผู้จะเผยแพร่ธรรมะจะเป็นธรรมทูตต้องเป็นธัมกถึก ต้องมีศีล มีศรัทธา

 

คำว่าศรัทธา มาจาก สัททะคือสิ่งดี ถ้าคุณไม่มีสิ่งทรงไว้ที่เป็นธรรมะ อย่างน้อยโสดาบัน ที่เป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล คุณก็ไปอธิบายมรรค ให้เขาปฏิบัติได้ผล เลิกอบายมุข เลิกโกงกิน (กุหนา) ผู้จะแสดงธรรมเป็นธัมกถึกต้องเป็นผู้บรรลุธรรมก่อน ต้องมีคุณอันสมควรก่อนแล้วพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง

 

ถ้าตนเองไม่มีธรรมะก็ไม่ควรเผยแพร่ แล้วเมื่อตนไม่มีก็ต้องค้นหาผู้ที่มีธรรมะ ผู้เป็นสยังอภิญญา เพื่อเอาธรรมะมาให้แก่ตนให้ได้ก่อน ผู้จะมีอาชีพแสดงธรรม มั่นใจว่าเราจะทำสิ่งดีเป็นอาชีพ ก็มั่นใจเลยว่า เขาจะเลี้ยงคุณไว้ ขอให้คุณเป็นคนมีวรรณะ 9 หากไม่มีวรรณะเขาก็ไม่เลี้ยงคุณไว้หรอก

 

ธัมกถึก ผู้จะเป็นธรรมทูตต้องมี

1.    ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.   ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15)

3.   พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น) .

4.   เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)

5.    เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น) .

6.    แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7.   ทรงวินัย

8.   อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา) . .

9.   ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10.  ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

(สัทธา 10  จาก สัทธาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 8)

 

อาชีพ พระพุทธเจ้าว่าให้เลิกมิจฉาอาชีวะ 5 ไปตามลำดับ

กุหนา คือที่ต้องเลิกเลย กุหนาคือการโกงกินทุจิต

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง .

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยงทายไม่ตรงแท้

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา)

(พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 275   มหาจัตตารีสกสูตร)

 

.เดินดินว่า...หลายคนใส่เสื้อ หมอที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง แล้วปัญหาคือว่าเราจะรู้จักตัวเราเองแค่ไหน สิ่งที่จะทำให้เราไม่รู้จักตัวเราเองก็คือ ความชอบหรือความชัง อย่างเรื่องธุดงค์นี่เขาก็ทำมาหลายปี ก็มีคนว่ามามากมาย แต่พอปีต่อไปเขาก็ทำอีกเป็นต้น เขาว่ากันทั่วบ้านทั่วเมืองนี่เขาไม่รู้เลย เขาชอบก็เลยมีแต่เหตุผลที่ว่าชอบๆๆๆ คืออันตรายแห่งความชอบหรือไม่ชอบ อาตมาเวลาเดินบิณฑบาต ปวดปัสสาวะ แต่ว่าพอเดินไปถึงศาลาเจอเรื่องที่ชอบอาการที่ปวดก็หายไปเลย เป็นต้น กามตัณหา ภวตัณหาทำให้เราไม่รู้ตัวเองง่ายๆ พ่อครูมีงานมากกว่าอาตมามากมายแต่ทำไมท่านบริหารตัวเองออกกำลังกายได้ มีเวลามาเทศน์มาพูดคุยกับพวกเราได้อีก ...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:13:13 )

580202

รายละเอียด

580202_พ่อครูให้โอวาทปิดประชุม ข้าวแสนตันและปุ๋ยสะอาด ณ เฮือนศูนย์

ที่เราทำกันนี่เป็นเรื่องใหม่ แปลก แม้ยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทำเช่นนี้ แต่นี่เราเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาทำมายำเส็งอย่างนี้นี่ ก็ดูตามประสาอาตมาว่ามันไปได้ อย่างที่ขัดแย้งกันนี่อาตมาก็ดูแล้วดี สนุกดี (คนหัวเราะกันทั้งห้อง) อ้าวเมืองที่มีการขัดแย้งกันพอเหมาะนี่เจริญนะ ปชต.ที่มีความสามัคคีต้องมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ มีแต่ฝ่ายรัฐบาลแล้วไม่มีฝ่ายค้านนี่ไม่ใช่ ปชต.แต่ถ้าฝ่ายค้านแข็งขันจับได้ไล่ทันรัฐบาลด้วยนี่เจ๋ง มันสนุกแล้วพัฒนาเจริญได้

 

แต่อาตมาจะให้สติว่า คุณทำงานไปด้วยปฏิบัติธรรมไปด้วยนี่สำคัญที่สุดคือ อย่าให้เสียประโยชน์นะ นี่แหละว่ากันไปว่ากันมานี่ ต้องระวังอย่าให้ขึ้นนะ(หัวเราะกันทั้งห้อง) อ่านใจให้ทันนะ แล้วก็ทำประโยชน์ให้ได้ว่า นี่แหละคือรายได้ นี่แหละคือคะแนน คือสิ่งที่เราจะต้องได้เป็นประโยชน์ที่แท้จริง  ไม่ว่าจะเป็นการประชุม ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการพูดเป็นครั้งเป็นคราว หรือการวิจัยวิจารณ์ อะไรกันก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่คือแบบฝึกหักของการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น

 

พูดเล่นก็เล่น พูดจริงก็จริง เป็นครั้งเป็นคราวเราก็ตองปฏิบัติ จริงก็คือจริงก็มีอยู่  ให้รู้ทันทุกอย่างเลย แล้วโอกาสจริงๆมันมีรายละเอียดของมัน ถ้าคุณพูดในขณะไม่อยู่ในห้องประชุม กับการพูดเปรยๆกันส่วนตัวเล่นๆนี่ โอโห มันดีนะ มันจริงยิ่งกว่าจริงไม่จริงนะ มาประชุมนี่ ยังต้องระวังสังวร ความจริงยังไม่ครบหรอก มารยาท ท่าทีเชิงฉลาดเอามาใช้หมดตอนประชุมนี่ ถ้าอยู่สามัญ เปรยปรายกัน บางทีว่ากันไปว่ากันมา ถกกันด้านนอกเวที  นั่นน่ะจริงกว่า ก็ต้องปฏิบัติธรรมอ่านใจเราจริงๆ ให้ได้ประโยชน์ ยิ่งเราทำงานทำการเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆเลย พอถึงเวลาเขาห้องประชุมจริงเรียนจริงเลย มันยิ่งมีความระมัดระวัง รักษามารยาทความจริงก็น้อยลง มันมีความแฝงเพื่ออะไรต่างๆมากขึ้น แต่จริงๆมันเป็นเรื่องดี สังคมต้องมีมารยาทกัน เป็นธรรมชาติสังคมที่ต้องทำ

 

สรุปแล้วที่เป็นไปทุกวันนี้ มันดี อาตมาว่าดีทุกขนาด ขนาดนี้ก็ค่อยเป็นค่อยไป ตอนนี้มีคนมาร่วมเพิ่ม ข้อสำคัญคือมันมีกิเลส อภิชปา คือตัณหาล้ำหน้า ก็ไม่เสียหรอก ไม่เช่นนั้นมันจะเฉื่อย ถ้าเฉื่อยแล้วก็ไม่เจริญ แต่ถ้ามันล้ำหน้าไปจนเราไม่ทัน มันจะเกิดปฏิกิริยาการทดท้อ จะทำให้กำลังลดลง ระวังตรงนี้ก็แล้วกัน เรื่องของจิตวิญญาณเป็นเรื่องยาก แต่เราก็เรียนรู้ด้วยการฝึกฝนปฏิบัติจริง

 

อาตมามั่นใจจริงๆว่าลักษณะอาริยธรรมเรียกเต็มๆว่า โลกุตรธรรมจะเป็นผลในยุคปลายศาสนาพระพุทธเจ้า จะแพร่หลายในโลก เราเริ่มก่อหวอด อาตมาทำงานมา 40 กว่าปีก็พอใจ พอใจ แต่อาตมาก็ไม่หยุด ก็เลยต้องฝืนอยู่ต่อ อาตมากับพระพุทธเจ้านี้ต่างกัน พระพุทธเจ้าท่านทำเสร็จก็ตายไปเลยไม่อยู่ต่อ แต่อาตมาแม้จะทำได้พอใจพอสมควรแต่ก็ไม่ยอมตาย ต้องทำต่อ เพราะว่าต้องเผื่อพอ พระพุทธเจ้าท่านแม่นคมชัด เด็ดขาดกว่าอาตมา ท่านก็จบ แต่อาตมาไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้า ที่ทำนี่ทำเพื่อเผื่อพอ เมื่อยไม่เป็นไร แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทำของท่านจนจบ แม้พระพุทธเจ้าท่านอยู่ได้ถึง 100 ปีแต่ท่านทำแต่อายุ 80 ปีก็จบ พอเป็นไปได้ดั่งที่ได้สัญญากับมารเอาไว้ ว่าศาสนานี้เป็นไปได้แล้ว ท่านรู้หมดว่าจะมีอะไรมาต่อ ท่านทิ้งไว้ให้อาตมาทำต่อหนักหน้าไปนี่ พระพุทธเจ้าท่านมีกรอบชัดเจนไม่ผิดพลาด แม่นยำ ของเราไม่แม่นยำต้องเผื่อพอไว้เยอะ

 

สรุปอีกที มันดีแล้วล่ะ ใจเรามีอภิชปา ก็เท่านั้นเอง ขัดแย้งกันดีแล้วล่ะ แม้แต่ที่สุด อาตมาก็ขอบอกตรงๆว่า ในพวกเรามีอคติ มีวิบาก มีชิงชังกันอยู่บ้าง ตัวนี้แหละที่มันถ่วงหน่อย แต่อาตมาก็ไม่อยากไปละเมิด ก็ตัวใครตัวใคร แต่ละคนก็ใช้วิบากกันไป อาตมาก็ไม่อยากไปยุ่งด้วยก็ปล่อยให้มันเป็นแล้ว เป็นประโยชน์ในการขัดเกลากันด้วย แต่ละคนก็จะศึกษา แล้วจะสำนึกเข้าใจด้วย เราเองยังไม่เข้าใจกัน

 

อาตมาขอบอกว่า พวกเราที่ทำงานอยู่ด้วยกันคือพวกเรากันเองทั้งนั้น ไม่ใช่ศัตรูกันหรอก ขอยืนยันว่าไม่ใช่ศัตรูหรอก แต่คุณจะไปยึดกันเป็นศัตรูกันในส่วนตัวก็แล้วแต่คุณ คุณจะเป็นศัตรูกันกี่ชาติก็เรื่องของคุณ อย่างพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตเป็นศัตรูกันไม่รู้กี่ชาติ  เป็นต้น เป็นเรื่องจริงก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณจะลากไปจนจะตายค่อยสำนึก เหมือนพระเทวทัตก็แล้วแต่คุณ ดีไม่ดีก็ไปทำเลวทำร้ายหนักขึ้น มันสั่งสมความบาปไว้มากมันก็ทำสิ่งที่เป็นกรรมหนัก จนเลยถึงขั้นทำอนันตริยกรรมก็ซวยไป แทนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เป็น เป็นได้แค่ปัจเจกพระพุทธเจ้า ถ้าคุณจะสำนึกได้ก่อนก็ดีกว่าไหม จะไปสั่งสมทำไมจนเป็นอนันตริยกรรม ไม่มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้าได้เป็นแค่ปัจเจกพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญไปอีกนานแสนนาน สูงสุดไม่มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า มีอยู่สองอย่างที่จะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้คือ มีอนันตริยกรรม และเป็นเพศหญิงเท่านั้น

 

ก็ขอบคุณพวกเราจริงๆ ก็ขอบยอกย้ำอีกว่า ผู้ที่มีจิตชังกัน ถ้าใครคลายความชังกันได้คุณได้ประโยชน์ทางธรรม ถ้ายังปล่อยให้ความชังมี จนกระทั่งมานั่งประชุมกันก็ไม่มานี่อาตมาก็ว่า  ก็เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ก็แล้วแต่ใครนะ ตัวใครตัวมัน ไม่สามารถที่จะมานั่งรวมกัน ก็รู้นะว่าอาตมาเอง ยังไงๆ ก็คือคนที่อาตมาต้องรับอยู่ดี แต่ก็ไม่ยอม ไม่รู้จะดึงดันไปถึงไหน ก็ตัวใครตัวมัน ผู้ที่ควรจะได้ยินไม่มาร่วมประชุมก็หลายคน ก็ใครจะเป็นอีกาคาบข่าวให้ฟังก็ดี ที่จริงการขัดกันมันก็ดี มีประโยชน์แต่ก็ทำให้ช้า หรือทำให้เร็วก็ได้ มันพาให้ช้าแล้วพาให้เร็วได้ด้วย ถ้าไม่มีอันนี้ก็ไม่มีการขัดเกลาไม่มีสัลเลขธรรม ไม่มีถ่วงดุล โดยเฉพาะปชต.ต้องมีฝ่ายค้านและฝ่ายบริหาร สำคัญคือจิตของใครของมัน จะถูกอย่างไรก็ไม่พร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก ผู้รู้แล้วและสำนึกได้อย่างนี้ทำไปเถอะจะปลอดภัยตลอดกาล ใครรู้ทันก็ได้เร็ว ใครไม่รู้ทันก็ได้ช้า ตัวใครตัวมันนะ

 

สามัคคีคือความขัดแย้งกันพอเหมาะ จะเถียงกันหน้าดำหน้าแดง คือปฏิโกสนากัน ก็ให้พอเหมาะ แล้วอย่าไปเคืองกัน ขัดกันให้ได้มติ ขัดแย้งกัน ถกกันอย่างไรก็ให้ได้มติ แล้วทำตามมติให้ได้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:13:58 )

580202

รายละเอียด

580202_พ่อครูให้โอวาทปิดประชุม ข้าวแสนตันและปุ๋ยสะอาด ณ เฮือนศูนย์

ที่เราทำกันนี่เป็นเรื่องใหม่ แปลก แม้ยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทำเช่นนี้ แต่นี่เราเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาทำมายำเส็งอย่างนี้นี่ ก็ดูตามประสาอาตมาว่ามันไปได้ อย่างที่ขัดแย้งกันนี่อาตมาก็ดูแล้วดี สนุกดี (คนหัวเราะกันทั้งห้อง) อ้าวเมืองที่มีการขัดแย้งกันพอเหมาะนี่เจริญนะ ปชต.ที่มีความสามัคคีต้องมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ มีแต่ฝ่ายรัฐบาลแล้วไม่มีฝ่ายค้านนี่ไม่ใช่ ปชต.แต่ถ้าฝ่ายค้านแข็งขันจับได้ไล่ทันรัฐบาลด้วยนี่เจ๋ง มันสนุกแล้วพัฒนาเจริญได้

 

แต่อาตมาจะให้สติว่า คุณทำงานไปด้วยปฏิบัติธรรมไปด้วยนี่สำคัญที่สุดคือ อย่าให้เสียประโยชน์นะ นี่แหละว่ากันไปว่ากันมานี่ ต้องระวังอย่าให้ขึ้นนะ(หัวเราะกันทั้งห้อง) อ่านใจให้ทันนะ แล้วก็ทำประโยชน์ให้ได้ว่า นี่แหละคือรายได้ นี่แหละคือคะแนน คือสิ่งที่เราจะต้องได้เป็นประโยชน์ที่แท้จริง  ไม่ว่าจะเป็นการประชุม ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการพูดเป็นครั้งเป็นคราว หรือการวิจัยวิจารณ์ อะไรกันก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่คือแบบฝึกหักของการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น

 

พูดเล่นก็เล่น พูดจริงก็จริง เป็นครั้งเป็นคราวเราก็ตองปฏิบัติ จริงก็คือจริงก็มีอยู่  ให้รู้ทันทุกอย่างเลย แล้วโอกาสจริงๆมันมีรายละเอียดของมัน ถ้าคุณพูดในขณะไม่อยู่ในห้องประชุม กับการพูดเปรยๆกันส่วนตัวเล่นๆนี่ โอโห มันดีนะ มันจริงยิ่งกว่าจริงไม่จริงนะ มาประชุมนี่ ยังต้องระวังสังวร ความจริงยังไม่ครบหรอก มารยาท ท่าทีเชิงฉลาดเอามาใช้หมดตอนประชุมนี่ ถ้าอยู่สามัญ เปรยปรายกัน บางทีว่ากันไปว่ากันมา ถกกันด้านนอกเวที  นั่นน่ะจริงกว่า ก็ต้องปฏิบัติธรรมอ่านใจเราจริงๆ ให้ได้ประโยชน์ ยิ่งเราทำงานทำการเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆเลย พอถึงเวลาเขาห้องประชุมจริงเรียนจริงเลย มันยิ่งมีความระมัดระวัง รักษามารยาทความจริงก็น้อยลง มันมีความแฝงเพื่ออะไรต่างๆมากขึ้น แต่จริงๆมันเป็นเรื่องดี สังคมต้องมีมารยาทกัน เป็นธรรมชาติสังคมที่ต้องทำ

 

สรุปแล้วที่เป็นไปทุกวันนี้ มันดี อาตมาว่าดีทุกขนาด ขนาดนี้ก็ค่อยเป็นค่อยไป ตอนนี้มีคนมาร่วมเพิ่ม ข้อสำคัญคือมันมีกิเลส อภิชปา คือตัณหาล้ำหน้า ก็ไม่เสียหรอก ไม่เช่นนั้นมันจะเฉื่อย ถ้าเฉื่อยแล้วก็ไม่เจริญ แต่ถ้ามันล้ำหน้าไปจนเราไม่ทัน มันจะเกิดปฏิกิริยาการทดท้อ จะทำให้กำลังลดลง ระวังตรงนี้ก็แล้วกัน เรื่องของจิตวิญญาณเป็นเรื่องยาก แต่เราก็เรียนรู้ด้วยการฝึกฝนปฏิบัติจริง

 

อาตมามั่นใจจริงๆว่าลักษณะอาริยธรรมเรียกเต็มๆว่า โลกุตรธรรมจะเป็นผลในยุคปลายศาสนาพระพุทธเจ้า จะแพร่หลายในโลก เราเริ่มก่อหวอด อาตมาทำงานมา 40 กว่าปีก็พอใจ พอใจ แต่อาตมาก็ไม่หยุด ก็เลยต้องฝืนอยู่ต่อ อาตมากับพระพุทธเจ้านี้ต่างกัน พระพุทธเจ้าท่านทำเสร็จก็ตายไปเลยไม่อยู่ต่อ แต่อาตมาแม้จะทำได้พอใจพอสมควรแต่ก็ไม่ยอมตาย ต้องทำต่อ เพราะว่าต้องเผื่อพอ พระพุทธเจ้าท่านแม่นคมชัด เด็ดขาดกว่าอาตมา ท่านก็จบ แต่อาตมาไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้า ที่ทำนี่ทำเพื่อเผื่อพอ เมื่อยไม่เป็นไร แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทำของท่านจนจบ แม้พระพุทธเจ้าท่านอยู่ได้ถึง 100 ปีแต่ท่านทำแต่อายุ 80 ปีก็จบ พอเป็นไปได้ดั่งที่ได้สัญญากับมารเอาไว้ ว่าศาสนานี้เป็นไปได้แล้ว ท่านรู้หมดว่าจะมีอะไรมาต่อ ท่านทิ้งไว้ให้อาตมาทำต่อหนักหน้าไปนี่ พระพุทธเจ้าท่านมีกรอบชัดเจนไม่ผิดพลาด แม่นยำ ของเราไม่แม่นยำต้องเผื่อพอไว้เยอะ

 

สรุปอีกที มันดีแล้วล่ะ ใจเรามีอภิชปา ก็เท่านั้นเอง ขัดแย้งกันดีแล้วล่ะ แม้แต่ที่สุด อาตมาก็ขอบอกตรงๆว่า ในพวกเรามีอคติ มีวิบาก มีชิงชังกันอยู่บ้าง ตัวนี้แหละที่มันถ่วงหน่อย แต่อาตมาก็ไม่อยากไปละเมิด ก็ตัวใครตัวใคร แต่ละคนก็ใช้วิบากกันไป อาตมาก็ไม่อยากไปยุ่งด้วยก็ปล่อยให้มันเป็นแล้ว เป็นประโยชน์ในการขัดเกลากันด้วย แต่ละคนก็จะศึกษา แล้วจะสำนึกเข้าใจด้วย เราเองยังไม่เข้าใจกัน

 

อาตมาขอบอกว่า พวกเราที่ทำงานอยู่ด้วยกันคือพวกเรากันเองทั้งนั้น ไม่ใช่ศัตรูกันหรอก ขอยืนยันว่าไม่ใช่ศัตรูหรอก แต่คุณจะไปยึดกันเป็นศัตรูกันในส่วนตัวก็แล้วแต่คุณ คุณจะเป็นศัตรูกันกี่ชาติก็เรื่องของคุณ อย่างพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตเป็นศัตรูกันไม่รู้กี่ชาติ  เป็นต้น เป็นเรื่องจริงก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณจะลากไปจนจะตายค่อยสำนึก เหมือนพระเทวทัตก็แล้วแต่คุณ ดีไม่ดีก็ไปทำเลวทำร้ายหนักขึ้น มันสั่งสมความบาปไว้มากมันก็ทำสิ่งที่เป็นกรรมหนัก จนเลยถึงขั้นทำอนันตริยกรรมก็ซวยไป แทนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เป็น เป็นได้แค่ปัจเจกพระพุทธเจ้า ถ้าคุณจะสำนึกได้ก่อนก็ดีกว่าไหม จะไปสั่งสมทำไมจนเป็นอนันตริยกรรม ไม่มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้าได้เป็นแค่ปัจเจกพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญไปอีกนานแสนนาน สูงสุดไม่มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า มีอยู่สองอย่างที่จะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้คือ มีอนันตริยกรรม และเป็นเพศหญิงเท่านั้น

 

ก็ขอบคุณพวกเราจริงๆ ก็ขอบยอกย้ำอีกว่า ผู้ที่มีจิตชังกัน ถ้าใครคลายความชังกันได้คุณได้ประโยชน์ทางธรรม ถ้ายังปล่อยให้ความชังมี จนกระทั่งมานั่งประชุมกันก็ไม่มานี่อาตมาก็ว่า  ก็เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ก็แล้วแต่ใครนะ ตัวใครตัวมัน ไม่สามารถที่จะมานั่งรวมกัน ก็รู้นะว่าอาตมาเอง ยังไงๆ ก็คือคนที่อาตมาต้องรับอยู่ดี แต่ก็ไม่ยอม ไม่รู้จะดึงดันไปถึงไหน ก็ตัวใครตัวมัน ผู้ที่ควรจะได้ยินไม่มาร่วมประชุมก็หลายคน ก็ใครจะเป็นอีกาคาบข่าวให้ฟังก็ดี ที่จริงการขัดกันมันก็ดี มีประโยชน์แต่ก็ทำให้ช้า หรือทำให้เร็วก็ได้ มันพาให้ช้าแล้วพาให้เร็วได้ด้วย ถ้าไม่มีอันนี้ก็ไม่มีการขัดเกลาไม่มีสัลเลขธรรม ไม่มีถ่วงดุล โดยเฉพาะปชต.ต้องมีฝ่ายค้านและฝ่ายบริหาร สำคัญคือจิตของใครของมัน จะถูกอย่างไรก็ไม่พร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก ผู้รู้แล้วและสำนึกได้อย่างนี้ทำไปเถอะจะปลอดภัยตลอดกาล ใครรู้ทันก็ได้เร็ว ใครไม่รู้ทันก็ได้ช้า ตัวใครตัวมันนะ

 

สามัคคีคือความขัดแย้งกันพอเหมาะ จะเถียงกันหน้าดำหน้าแดง คือปฏิโกสนากัน ก็ให้พอเหมาะ แล้วอย่าไปเคืองกัน ขัดกันให้ได้มติ ขัดแย้งกัน ถกกันอย่างไรก็ให้ได้มติ แล้วทำตามมติให้ได้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:14:00 )

580202

รายละเอียด

580202_พ่อครูให้โอวาทปิดประชุม ข้าวแสนตันและปุ๋ยสะอาด ณ เฮือนศูนย์

ที่เราทำกันนี่เป็นเรื่องใหม่ แปลก แม้ยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทำเช่นนี้ แต่นี่เราเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาทำมายำเส็งอย่างนี้นี่ ก็ดูตามประสาอาตมาว่ามันไปได้ อย่างที่ขัดแย้งกันนี่อาตมาก็ดูแล้วดี สนุกดี (คนหัวเราะกันทั้งห้อง) อ้าวเมืองที่มีการขัดแย้งกันพอเหมาะนี่เจริญนะ ปชต.ที่มีความสามัคคีต้องมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ มีแต่ฝ่ายรัฐบาลแล้วไม่มีฝ่ายค้านนี่ไม่ใช่ ปชต.แต่ถ้าฝ่ายค้านแข็งขันจับได้ไล่ทันรัฐบาลด้วยนี่เจ๋ง มันสนุกแล้วพัฒนาเจริญได้

 

แต่อาตมาจะให้สติว่า คุณทำงานไปด้วยปฏิบัติธรรมไปด้วยนี่สำคัญที่สุดคือ อย่าให้เสียประโยชน์นะ นี่แหละว่ากันไปว่ากันมานี่ ต้องระวังอย่าให้ขึ้นนะ(หัวเราะกันทั้งห้อง) อ่านใจให้ทันนะ แล้วก็ทำประโยชน์ให้ได้ว่า นี่แหละคือรายได้ นี่แหละคือคะแนน คือสิ่งที่เราจะต้องได้เป็นประโยชน์ที่แท้จริง  ไม่ว่าจะเป็นการประชุม ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการพูดเป็นครั้งเป็นคราว หรือการวิจัยวิจารณ์ อะไรกันก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่คือแบบฝึกหักของการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น

 

พูดเล่นก็เล่น พูดจริงก็จริง เป็นครั้งเป็นคราวเราก็ตองปฏิบัติ จริงก็คือจริงก็มีอยู่  ให้รู้ทันทุกอย่างเลย แล้วโอกาสจริงๆมันมีรายละเอียดของมัน ถ้าคุณพูดในขณะไม่อยู่ในห้องประชุม กับการพูดเปรยๆกันส่วนตัวเล่นๆนี่ โอโห มันดีนะ มันจริงยิ่งกว่าจริงไม่จริงนะ มาประชุมนี่ ยังต้องระวังสังวร ความจริงยังไม่ครบหรอก มารยาท ท่าทีเชิงฉลาดเอามาใช้หมดตอนประชุมนี่ ถ้าอยู่สามัญ เปรยปรายกัน บางทีว่ากันไปว่ากันมา ถกกันด้านนอกเวที  นั่นน่ะจริงกว่า ก็ต้องปฏิบัติธรรมอ่านใจเราจริงๆ ให้ได้ประโยชน์ ยิ่งเราทำงานทำการเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆเลย พอถึงเวลาเขาห้องประชุมจริงเรียนจริงเลย มันยิ่งมีความระมัดระวัง รักษามารยาทความจริงก็น้อยลง มันมีความแฝงเพื่ออะไรต่างๆมากขึ้น แต่จริงๆมันเป็นเรื่องดี สังคมต้องมีมารยาทกัน เป็นธรรมชาติสังคมที่ต้องทำ

 

สรุปแล้วที่เป็นไปทุกวันนี้ มันดี อาตมาว่าดีทุกขนาด ขนาดนี้ก็ค่อยเป็นค่อยไป ตอนนี้มีคนมาร่วมเพิ่ม ข้อสำคัญคือมันมีกิเลส อภิชปา คือตัณหาล้ำหน้า ก็ไม่เสียหรอก ไม่เช่นนั้นมันจะเฉื่อย ถ้าเฉื่อยแล้วก็ไม่เจริญ แต่ถ้ามันล้ำหน้าไปจนเราไม่ทัน มันจะเกิดปฏิกิริยาการทดท้อ จะทำให้กำลังลดลง ระวังตรงนี้ก็แล้วกัน เรื่องของจิตวิญญาณเป็นเรื่องยาก แต่เราก็เรียนรู้ด้วยการฝึกฝนปฏิบัติจริง

 

อาตมามั่นใจจริงๆว่าลักษณะอาริยธรรมเรียกเต็มๆว่า โลกุตรธรรมจะเป็นผลในยุคปลายศาสนาพระพุทธเจ้า จะแพร่หลายในโลก เราเริ่มก่อหวอด อาตมาทำงานมา 40 กว่าปีก็พอใจ พอใจ แต่อาตมาก็ไม่หยุด ก็เลยต้องฝืนอยู่ต่อ อาตมากับพระพุทธเจ้านี้ต่างกัน พระพุทธเจ้าท่านทำเสร็จก็ตายไปเลยไม่อยู่ต่อ แต่อาตมาแม้จะทำได้พอใจพอสมควรแต่ก็ไม่ยอมตาย ต้องทำต่อ เพราะว่าต้องเผื่อพอ พระพุทธเจ้าท่านแม่นคมชัด เด็ดขาดกว่าอาตมา ท่านก็จบ แต่อาตมาไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้า ที่ทำนี่ทำเพื่อเผื่อพอ เมื่อยไม่เป็นไร แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทำของท่านจนจบ แม้พระพุทธเจ้าท่านอยู่ได้ถึง 100 ปีแต่ท่านทำแต่อายุ 80 ปีก็จบ พอเป็นไปได้ดั่งที่ได้สัญญากับมารเอาไว้ ว่าศาสนานี้เป็นไปได้แล้ว ท่านรู้หมดว่าจะมีอะไรมาต่อ ท่านทิ้งไว้ให้อาตมาทำต่อหนักหน้าไปนี่ พระพุทธเจ้าท่านมีกรอบชัดเจนไม่ผิดพลาด แม่นยำ ของเราไม่แม่นยำต้องเผื่อพอไว้เยอะ

 

สรุปอีกที มันดีแล้วล่ะ ใจเรามีอภิชปา ก็เท่านั้นเอง ขัดแย้งกันดีแล้วล่ะ แม้แต่ที่สุด อาตมาก็ขอบอกตรงๆว่า ในพวกเรามีอคติ มีวิบาก มีชิงชังกันอยู่บ้าง ตัวนี้แหละที่มันถ่วงหน่อย แต่อาตมาก็ไม่อยากไปละเมิด ก็ตัวใครตัวใคร แต่ละคนก็ใช้วิบากกันไป อาตมาก็ไม่อยากไปยุ่งด้วยก็ปล่อยให้มันเป็นแล้ว เป็นประโยชน์ในการขัดเกลากันด้วย แต่ละคนก็จะศึกษา แล้วจะสำนึกเข้าใจด้วย เราเองยังไม่เข้าใจกัน

 

อาตมาขอบอกว่า พวกเราที่ทำงานอยู่ด้วยกันคือพวกเรากันเองทั้งนั้น ไม่ใช่ศัตรูกันหรอก ขอยืนยันว่าไม่ใช่ศัตรูหรอก แต่คุณจะไปยึดกันเป็นศัตรูกันในส่วนตัวก็แล้วแต่คุณ คุณจะเป็นศัตรูกันกี่ชาติก็เรื่องของคุณ อย่างพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตเป็นศัตรูกันไม่รู้กี่ชาติ  เป็นต้น เป็นเรื่องจริงก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณจะลากไปจนจะตายค่อยสำนึก เหมือนพระเทวทัตก็แล้วแต่คุณ ดีไม่ดีก็ไปทำเลวทำร้ายหนักขึ้น มันสั่งสมความบาปไว้มากมันก็ทำสิ่งที่เป็นกรรมหนัก จนเลยถึงขั้นทำอนันตริยกรรมก็ซวยไป แทนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เป็น เป็นได้แค่ปัจเจกพระพุทธเจ้า ถ้าคุณจะสำนึกได้ก่อนก็ดีกว่าไหม จะไปสั่งสมทำไมจนเป็นอนันตริยกรรม ไม่มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้าได้เป็นแค่ปัจเจกพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญไปอีกนานแสนนาน สูงสุดไม่มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า มีอยู่สองอย่างที่จะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้คือ มีอนันตริยกรรม และเป็นเพศหญิงเท่านั้น

 

ก็ขอบคุณพวกเราจริงๆ ก็ขอบยอกย้ำอีกว่า ผู้ที่มีจิตชังกัน ถ้าใครคลายความชังกันได้คุณได้ประโยชน์ทางธรรม ถ้ายังปล่อยให้ความชังมี จนกระทั่งมานั่งประชุมกันก็ไม่มานี่อาตมาก็ว่า  ก็เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ก็แล้วแต่ใครนะ ตัวใครตัวมัน ไม่สามารถที่จะมานั่งรวมกัน ก็รู้นะว่าอาตมาเอง ยังไงๆ ก็คือคนที่อาตมาต้องรับอยู่ดี แต่ก็ไม่ยอม ไม่รู้จะดึงดันไปถึงไหน ก็ตัวใครตัวมัน ผู้ที่ควรจะได้ยินไม่มาร่วมประชุมก็หลายคน ก็ใครจะเป็นอีกาคาบข่าวให้ฟังก็ดี ที่จริงการขัดกันมันก็ดี มีประโยชน์แต่ก็ทำให้ช้า หรือทำให้เร็วก็ได้ มันพาให้ช้าแล้วพาให้เร็วได้ด้วย ถ้าไม่มีอันนี้ก็ไม่มีการขัดเกลาไม่มีสัลเลขธรรม ไม่มีถ่วงดุล โดยเฉพาะปชต.ต้องมีฝ่ายค้านและฝ่ายบริหาร สำคัญคือจิตของใครของมัน จะถูกอย่างไรก็ไม่พร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก ผู้รู้แล้วและสำนึกได้อย่างนี้ทำไปเถอะจะปลอดภัยตลอดกาล ใครรู้ทันก็ได้เร็ว ใครไม่รู้ทันก็ได้ช้า ตัวใครตัวมันนะ

 

สามัคคีคือความขัดแย้งกันพอเหมาะ จะเถียงกันหน้าดำหน้าแดง คือปฏิโกสนากัน ก็ให้พอเหมาะ แล้วอย่าไปเคืองกัน ขัดกันให้ได้มติ ขัดแย้งกัน ถกกันอย่างไรก็ให้ได้มติ แล้วทำตามมติให้ได้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:14:04 )

580202

รายละเอียด

580202_พ่อครูให้โอวาทปิดประชุม ข้าวแสนตันและปุ๋ยสะอาด ณ เฮือนศูนย์

ที่เราทำกันนี่เป็นเรื่องใหม่ แปลก แม้ยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทำเช่นนี้ แต่นี่เราเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาทำมายำเส็งอย่างนี้นี่ ก็ดูตามประสาอาตมาว่ามันไปได้ อย่างที่ขัดแย้งกันนี่อาตมาก็ดูแล้วดี สนุกดี (คนหัวเราะกันทั้งห้อง) อ้าวเมืองที่มีการขัดแย้งกันพอเหมาะนี่เจริญนะ ปชต.ที่มีความสามัคคีต้องมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ มีแต่ฝ่ายรัฐบาลแล้วไม่มีฝ่ายค้านนี่ไม่ใช่ ปชต.แต่ถ้าฝ่ายค้านแข็งขันจับได้ไล่ทันรัฐบาลด้วยนี่เจ๋ง มันสนุกแล้วพัฒนาเจริญได้

 

แต่อาตมาจะให้สติว่า คุณทำงานไปด้วยปฏิบัติธรรมไปด้วยนี่สำคัญที่สุดคือ อย่าให้เสียประโยชน์นะ นี่แหละว่ากันไปว่ากันมานี่ ต้องระวังอย่าให้ขึ้นนะ(หัวเราะกันทั้งห้อง) อ่านใจให้ทันนะ แล้วก็ทำประโยชน์ให้ได้ว่า นี่แหละคือรายได้ นี่แหละคือคะแนน คือสิ่งที่เราจะต้องได้เป็นประโยชน์ที่แท้จริง  ไม่ว่าจะเป็นการประชุม ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการพูดเป็นครั้งเป็นคราว หรือการวิจัยวิจารณ์ อะไรกันก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่คือแบบฝึกหักของการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น

 

พูดเล่นก็เล่น พูดจริงก็จริง เป็นครั้งเป็นคราวเราก็ตองปฏิบัติ จริงก็คือจริงก็มีอยู่  ให้รู้ทันทุกอย่างเลย แล้วโอกาสจริงๆมันมีรายละเอียดของมัน ถ้าคุณพูดในขณะไม่อยู่ในห้องประชุม กับการพูดเปรยๆกันส่วนตัวเล่นๆนี่ โอโห มันดีนะ มันจริงยิ่งกว่าจริงไม่จริงนะ มาประชุมนี่ ยังต้องระวังสังวร ความจริงยังไม่ครบหรอก มารยาท ท่าทีเชิงฉลาดเอามาใช้หมดตอนประชุมนี่ ถ้าอยู่สามัญ เปรยปรายกัน บางทีว่ากันไปว่ากันมา ถกกันด้านนอกเวที  นั่นน่ะจริงกว่า ก็ต้องปฏิบัติธรรมอ่านใจเราจริงๆ ให้ได้ประโยชน์ ยิ่งเราทำงานทำการเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆเลย พอถึงเวลาเขาห้องประชุมจริงเรียนจริงเลย มันยิ่งมีความระมัดระวัง รักษามารยาทความจริงก็น้อยลง มันมีความแฝงเพื่ออะไรต่างๆมากขึ้น แต่จริงๆมันเป็นเรื่องดี สังคมต้องมีมารยาทกัน เป็นธรรมชาติสังคมที่ต้องทำ

 

สรุปแล้วที่เป็นไปทุกวันนี้ มันดี อาตมาว่าดีทุกขนาด ขนาดนี้ก็ค่อยเป็นค่อยไป ตอนนี้มีคนมาร่วมเพิ่ม ข้อสำคัญคือมันมีกิเลส อภิชปา คือตัณหาล้ำหน้า ก็ไม่เสียหรอก ไม่เช่นนั้นมันจะเฉื่อย ถ้าเฉื่อยแล้วก็ไม่เจริญ แต่ถ้ามันล้ำหน้าไปจนเราไม่ทัน มันจะเกิดปฏิกิริยาการทดท้อ จะทำให้กำลังลดลง ระวังตรงนี้ก็แล้วกัน เรื่องของจิตวิญญาณเป็นเรื่องยาก แต่เราก็เรียนรู้ด้วยการฝึกฝนปฏิบัติจริง

 

อาตมามั่นใจจริงๆว่าลักษณะอาริยธรรมเรียกเต็มๆว่า โลกุตรธรรมจะเป็นผลในยุคปลายศาสนาพระพุทธเจ้า จะแพร่หลายในโลก เราเริ่มก่อหวอด อาตมาทำงานมา 40 กว่าปีก็พอใจ พอใจ แต่อาตมาก็ไม่หยุด ก็เลยต้องฝืนอยู่ต่อ อาตมากับพระพุทธเจ้านี้ต่างกัน พระพุทธเจ้าท่านทำเสร็จก็ตายไปเลยไม่อยู่ต่อ แต่อาตมาแม้จะทำได้พอใจพอสมควรแต่ก็ไม่ยอมตาย ต้องทำต่อ เพราะว่าต้องเผื่อพอ พระพุทธเจ้าท่านแม่นคมชัด เด็ดขาดกว่าอาตมา ท่านก็จบ แต่อาตมาไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้า ที่ทำนี่ทำเพื่อเผื่อพอ เมื่อยไม่เป็นไร แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทำของท่านจนจบ แม้พระพุทธเจ้าท่านอยู่ได้ถึง 100 ปีแต่ท่านทำแต่อายุ 80 ปีก็จบ พอเป็นไปได้ดั่งที่ได้สัญญากับมารเอาไว้ ว่าศาสนานี้เป็นไปได้แล้ว ท่านรู้หมดว่าจะมีอะไรมาต่อ ท่านทิ้งไว้ให้อาตมาทำต่อหนักหน้าไปนี่ พระพุทธเจ้าท่านมีกรอบชัดเจนไม่ผิดพลาด แม่นยำ ของเราไม่แม่นยำต้องเผื่อพอไว้เยอะ

 

สรุปอีกที มันดีแล้วล่ะ ใจเรามีอภิชปา ก็เท่านั้นเอง ขัดแย้งกันดีแล้วล่ะ แม้แต่ที่สุด อาตมาก็ขอบอกตรงๆว่า ในพวกเรามีอคติ มีวิบาก มีชิงชังกันอยู่บ้าง ตัวนี้แหละที่มันถ่วงหน่อย แต่อาตมาก็ไม่อยากไปละเมิด ก็ตัวใครตัวใคร แต่ละคนก็ใช้วิบากกันไป อาตมาก็ไม่อยากไปยุ่งด้วยก็ปล่อยให้มันเป็นแล้ว เป็นประโยชน์ในการขัดเกลากันด้วย แต่ละคนก็จะศึกษา แล้วจะสำนึกเข้าใจด้วย เราเองยังไม่เข้าใจกัน

 

อาตมาขอบอกว่า พวกเราที่ทำงานอยู่ด้วยกันคือพวกเรากันเองทั้งนั้น ไม่ใช่ศัตรูกันหรอก ขอยืนยันว่าไม่ใช่ศัตรูหรอก แต่คุณจะไปยึดกันเป็นศัตรูกันในส่วนตัวก็แล้วแต่คุณ คุณจะเป็นศัตรูกันกี่ชาติก็เรื่องของคุณ อย่างพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตเป็นศัตรูกันไม่รู้กี่ชาติ  เป็นต้น เป็นเรื่องจริงก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณจะลากไปจนจะตายค่อยสำนึก เหมือนพระเทวทัตก็แล้วแต่คุณ ดีไม่ดีก็ไปทำเลวทำร้ายหนักขึ้น มันสั่งสมความบาปไว้มากมันก็ทำสิ่งที่เป็นกรรมหนัก จนเลยถึงขั้นทำอนันตริยกรรมก็ซวยไป แทนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เป็น เป็นได้แค่ปัจเจกพระพุทธเจ้า ถ้าคุณจะสำนึกได้ก่อนก็ดีกว่าไหม จะไปสั่งสมทำไมจนเป็นอนันตริยกรรม ไม่มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้าได้เป็นแค่ปัจเจกพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญไปอีกนานแสนนาน สูงสุดไม่มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า มีอยู่สองอย่างที่จะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้คือ มีอนันตริยกรรม และเป็นเพศหญิงเท่านั้น

 

ก็ขอบคุณพวกเราจริงๆ ก็ขอบยอกย้ำอีกว่า ผู้ที่มีจิตชังกัน ถ้าใครคลายความชังกันได้คุณได้ประโยชน์ทางธรรม ถ้ายังปล่อยให้ความชังมี จนกระทั่งมานั่งประชุมกันก็ไม่มานี่อาตมาก็ว่า  ก็เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ก็แล้วแต่ใครนะ ตัวใครตัวมัน ไม่สามารถที่จะมานั่งรวมกัน ก็รู้นะว่าอาตมาเอง ยังไงๆ ก็คือคนที่อาตมาต้องรับอยู่ดี แต่ก็ไม่ยอม ไม่รู้จะดึงดันไปถึงไหน ก็ตัวใครตัวมัน ผู้ที่ควรจะได้ยินไม่มาร่วมประชุมก็หลายคน ก็ใครจะเป็นอีกาคาบข่าวให้ฟังก็ดี ที่จริงการขัดกันมันก็ดี มีประโยชน์แต่ก็ทำให้ช้า หรือทำให้เร็วก็ได้ มันพาให้ช้าแล้วพาให้เร็วได้ด้วย ถ้าไม่มีอันนี้ก็ไม่มีการขัดเกลาไม่มีสัลเลขธรรม ไม่มีถ่วงดุล โดยเฉพาะปชต.ต้องมีฝ่ายค้านและฝ่ายบริหาร สำคัญคือจิตของใครของมัน จะถูกอย่างไรก็ไม่พร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก ผู้รู้แล้วและสำนึกได้อย่างนี้ทำไปเถอะจะปลอดภัยตลอดกาล ใครรู้ทันก็ได้เร็ว ใครไม่รู้ทันก็ได้ช้า ตัวใครตัวมันนะ

 

สามัคคีคือความขัดแย้งกันพอเหมาะ จะเถียงกันหน้าดำหน้าแดง คือปฏิโกสนากัน ก็ให้พอเหมาะ แล้วอย่าไปเคืองกัน ขัดกันให้ได้มติ ขัดแย้งกัน ถกกันอย่างไรก็ให้ได้มติ แล้วทำตามมติให้ได้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:14:11 )

580203

รายละเอียด

580203_พ่อครูพบพระอิสระ พระอุทัย และคณะ ที่บ้านราชฯ

บ่ายวันที่ 3 ก.พ. 58 พระอิสระ(อดีตสส.ปชป.อิสระ สมชัย) และพระอุทัย(อดีตแกนนำ คปท.) มาเยี่ยมเยือนพ่อครูที่บ้านราชฯ ในเวลา 15.30 น.

 

คุณวิทยา แก้วภราดัย ว่า...ไปทอดกฐินที่เมืองลาวมาก็เลยมาแวะกราบนมัสการพ่อท่าน และก็มาฟังเทศน์ด้วย

 

พ่อครูว่า.... เทศนานี่ภาษาไทยแปลว่าด่านะ เทศน์นี่คือตำหนิ ติติง เรียกว่าเทศน์ โดนเทศน์แล้วคือโดนติติง นี่เป็นลักษณะของศาสนาพุทธ เขาไม่เข้าใจถึงเลือดเนื้อศาสนาพุทธ ที่คือลักษณะการติติง เป็นการชี้ข้อบกพร่องข้อผิด เป็นศาสนาที่ระวังเรื่องความไม่ดี ไม่ไปวุ่นกับความดี ความดีให้มันก่อตัวไปเป็นเครื่องอาศัยอยู่แล้ว ศาสนาพุทธเอาจริงเอาจังกับความชั่ว เอาจริงเอาจังแล้วจัดการกับความชั่ว นี่คือเนื้อแท้ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธทุกวันนี้จึงเสื่อมมาก เพราะติไม่เป็น มีแต่จะประเล้าประโลมเอาจากเขา

 

ศาสนาพุทธให้หาเหตุแห่งทุกข์คือความไม่ดี คือที่ต้องจัดการระมัดระวัง ต้องตรวจสอบหาแล้วทำลายให้หมด ใครทำลายความไม่ดีไม่ให้มีเศษเหลือเลยคนนั้นคือพระอรหันต์ เมื่อเอาความไม่ดีออก ก็เป็นความดีโดยปริยายแล้ว ความดีไม่ต้องไปเรียนเลย หาเหตุความไม่ดีทำลายความไม่ดีนี่คือยอดของศาสนาพุทธ แต่ไปเผินแล้วเดี๋ยวนี้ ศาสนาพุทธนี่คือนักด่า นี่คือเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ หากไม่มีการตำหนิ ด่าทอกัน ศาสนาพุทธก็ไม่ต้องมีเพราะสังคมดีอยู่แล้วไม่ต้องตำหนิกัน เพราะไม่มีข้อบกพร่องกันเลย แต่ถ้าสังคมนั้นไม่ได้เป็นสังคมดี แต่ไม่มีเสียงด่าไม่มีตำหนิ นั่นคือสังคมนั้นไม่มีศาสนาพุทธ เพราะเนื้อแท้ของศาสนาพุทธหายไปแล้ว นี่พูดตรงๆไม่ลดเลี้ยวเล่นโวหารเลยนะ พูดตรงๆให้ฟัง

 

ศาสนาพุทธท่านชมเชยคนที่ตำหนิให้คนอื่นดื่มได้ สังคหวัตถุ สังคหะคือการสงเคราะห์ให้ดีขึ้นมา มีทาน เปยยวัชชะ อัตถจริยา สมานัตตตา  คำว่าเปยยะคือของควรดื่ม วัชชะคือคำตำหนิ ใครทำคำตำหนิให้เป็นของที่คนดื่มได้นี่เรียกว่ามีปิยวาจา

 

คำว่าทานเขาก็เพี้ยนไปแล้ว เพราะกิริยาที่ทานแล้วกลับทำให้คนเพิ่มกิเลสทั้งพระและโยม คำว่าบุญไม่ใช่ทาน คำว่าบุญไม่ได้เป็นของควรได้เลย คำว่าบุญ แปลว่าชำระกิเลส ในพจนานุกรมภาษาบาลี ไทย ก็เกือบไม่เหลือ มีเล่มเดียวที่เหลือคำแปลคำว่าบุญ ท่านแปลเป็นบาลีว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ แปลว่าการชำระกิเลสในสันดานให้หมดจด ปุนาติแปลว่าการชำระ วิโสเทติ คือให้หมดจน เดี๋ยวนี้เพี้ยนไปหมดแล้ว เอาบุญไปแทนทาน เอาบุญไปแทนกุศล ผู้ชำระจิตสันดานได้ก็เป็นอาริยบุคคลได้ไปเป็นลำดับ บุญนั้นสูงกว่าทาน

 

คนที่ชำระบาปได้หมด บาปคือกิเลส คนนั้นก็ไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว สัพปาปสอกรณัง คนเป็นพระอรหันต์คือสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญาปาปริกขีโณ จบ ไม่มีบุญไม่มีบาป บาปคือกิเลสหมดแล้ว  คนเดี๋ยวนี้เอาบุญมาค้ามาขายกันหมด อย่างธุดงค์ธรรมชัยนี่ มันพาสวนกลับกับคำสอนพระพุทธเจ้าเลย สร้างกันดราม่า สร้างเรื่องปรุงแต่ง ไม่รู้แม้ผิดศีล ข้อมาลาคันธวิเลปน ธารณ มัณฑณ วิภูสนฐานา พูดไปนี่เขาก็หาว่าเราทำไม่ได้เท่าเขา ริสยาเขา บริวารน้อย อาตมาจะไปริสยาความผิด ความบาป ไปทำไม เขาทำลายศาสนานี่บาปมีค่าสูงนะ แต่เขาไม่รู้ตัวหรอก เขาอวิชชา สรุปแล้ว

 

ทาน เปยยวัชชะเขาก็ไม่รู้ไม่เข้าใจแล้ว  อัตถจริยา คือความประพฤติ พฤติกรรมที่เป็นเนื้อหาสาระ เข้าสู่แก่นสาระ อัตถะ ประโยชน์ที่แท้จริง แต่ทุกวันนี้ไม่มีเนื้อแท้แล้ว ส่วน สมานัตตตา คือสมานสามัคคี ไม่ทะเลาะวิวาทกัน พึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันได้ นี่คือคุณลักษณะเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ

 

อาตมาเห็นแล้วว่า สังคมประเทศชาติเขาก็ต้องการสิ่งนี้ ผู้บริหารที่อาสาไปบริหารประเทศ ตั้งแต่นักการเมืองขาประจำ นักการเมืองคือผู้มาทำงานรับใช้ปชช. โดยไม่ต้องมีอาชีพให้ปชช.เลี้ยงไว้ ก็กินเงินเดือนจากปชช. ส่วนนักการเมืองคือผู้ที่ถูกเลือกไปเป็นครั้งคราวตามหลักบริหารประเทศ นักการเมืองคือนักการเมืองจร ส่วนขรก.คือนักการเมืองประจำ มีหน้าที่รับใช้ปชช. แต่ว่าเข้าไปทำงานแล้ว กลับไปเป็นเข้านายปชช.หมดเลย นกม.คือผู้มีหน้าที่ไปตรวจสอบขรก.ประจำ ปชช.เลือกเข้าไป หากเข้าไปแล้วทำงานไม่ดี ปชช.ก็ปลดออกได้ ทีละ 4 ปีเป็นต้น ไม่ใช่อาชีพ แต่เป็นงานอาสาไปรับใช้ปชช. แต่ว่าเวลาหาเสียง พฤติกรรมไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็เลยไปกันใหญ่ ก็ไม่ตรงสัจจะ

 

นักการเมืองนี่ตัวดี พอได้อำนาจก็เลยกีดกันนักธรรมะ นักสัจจะที่รู้ความจริง กันนักตรวจสอบออก จนสำเร็จ เพราะตนเองก็จะได้โกงกินได้สะดวก ไม่ว่าจะศาสนาไหนก็ถูกนักการเมืองกันออก ก็เลยหลงไปว่านักธรรมะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ถูกนักการเมืองครอบงำความคิด แต่ก็สมแล้วเพราะไม่มีความฉลาดพอ แต่นักการศาสนาที่จริงจะไม่กลัวการเมือง อย่างพระพุทธเจ้าท่านเป็นคนในประเทศเล็กๆนะ แคว้นสักกะของท่านนี้แคว้นน้อย แต่ท่านเป็นนกม.ตัวจริงยิ่งใหญ่ จนพระเจ้าแผ่นดินไม่ว่าแคว้นไหนๆก็ยอมให้ท่านหมด ให้ท่านมีธรรมนูญของท่าน เป็นกฎเกณฑ์ของปชช.ของท่าน เรียกว่าศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เดี๋ยวนี้เขาไม่เอากันแล้ว แต่ก็มีในพระไตรฯอยู่ ท่านตราอันนี้ขึ้นมา

 

ถ้าศาสนาพุทธแล้วต้องอยู่ในเกณฑ์นี้ หากไม่อยู่ในเกณฑ์นี้ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ใครมาขอเข้ารีตนี้ไม่ว่ารัฐไหนๆก็ยอมหมด พระเจ้าอชาตศัตรู ยังยอมเลย พระพุทธเจ้าว่าถ้าเผื่อว่าคนของท่าน เป็นคนที่ท่านรักด้วย ท่านต้องพึ่งพาเขา พระพุทธเจ้าว่า ถ้าเขามาบวชกับเรา ประพฤติธรรมกับเรา แล้วท่านจะว่าเขาไหม ท่านจะเอาคืนไปไหม? พระเจ้าอชาตศัตรูก็ว่าไม่ มีแต่ต้องส่งเสริมเคารพเขา อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าไปที่ไหนๆ แม้พระเจ้าพิมพิสารก็ว่าจะยกแคว้นให้ครึ่งหนึ่งเลย พระพุทธเจ้าว่าท่านไม่เอาแล้ว เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คนยุคโน้นมีปัญญาจริงๆ ยุคนี้คนไม่รู้เรื่องเลย

 

อย่างพระเจ้าอยู่หัวเรานี่ อาตมาก็ว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ท่านยิ่งกว่าจักรพรรดิ ท่านบริหารประเทศด้วยพระกรุณาธิคุณ อาตมาเห็นพระทัยท่านมากเลย ท่านเป็นผู้ดีที่สุดเลย ท่านเป็นแต่เพียงแนะนำ ขนาดประเทศชาติจะล่มจม ท่านก็ตรัสว่าให้ช่วยประเทศหน่อย ท่านตรัสกับศาล แต่ศาลก็ไม่รู้เรื่องไม่ทำ ถ้าตัดสินตั้งแต่ตอนนั้นบ้านเมืองไม่มาแย่ขนาดนี้ ขนาดนี้ ท่านประยุทธต้องใช้ลีลาบทบาท อย่างที่เบาก็ไม่ได้ แรงก็ไม่ได้ มันพร้อมจะบ้าเลือด รักษาสภาพยาก แต่อาตมาชมเชยนะ ฝีมือไม่เบาฝีมือใช้ได้ ต้องเหนื่อย แต่คนไม่เข้าใจว่ามันไม่ง่าย ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง

 

อาตมาเห็นว่าสังคมถึงช่วงที่ต้องปรับตัว เหตุการณ์คราวนี้ผ่านไป ก็ปรับตัวกัน อาตมาคิดว่าจะปรับไปสู่ความดีงาม ที่เหลือก็เป็นโมเมนตั้มของความไม่ดีสุดท้ายแล้ว

 

พระอิสระ ถามว่า สถานการณ์ของประเทศชาติไทยยุคนี้สมควรมีเลือกตั้งไหม?

 

ไม่สมควร เพราะตอนนี้ค่ายกลที่เขาสร้างมา 82 ปีเข้าฝักแล้วเป็นค่ายกลการเมืองอันอำมหิต ตอนนี้ต้องรื้อค่ายกลนี้ให้ได้ ถ้ารื้อค่ายกลนี้ไม่ได้ก็เข้าไปที่เก่า

 

พระอิสระว่า...ผมเห็นว่ากระบวนการต่างประเทศก็บีบเราให้มีเลือกตั้งให้เลิกอัยการศึก รวมมือกับเพื่อไทยอีก

 

พ่อครูว่า...พวกนี้ครอบงำและเห็นแก่ประโยชน์ไม่ได้หวังดีต่อปชต. แต่ต้องการอาณานิคม ประเทศราช เบ่งอำนาจมาหากินง่ายๆ คือต้องให้มีการเลือกตั้ง ถ้าความรู้รัฐศาสตร์หรือปชต.มีแต่เลือกตั้งก็ไม่ยากเลย จะต้องไปเรียนดร.ทำไมให้ลำบาก

 

แล้วจะต้องมีเลือกตั้งไวไหม? อาตมาเห็นว่า ถ้าจะไม่ให้มีการเลือกตั้งไปอีกนานเท่าไหร่ได้ยิ่งดี จนกว่าจะทำให้ปชช.เข้าใจปชต. จนกว่าจะมีผู้บริหารที่เป็นปชต.จริงๆพอ ตอนนี้ความรู้ปชต.ของคนไทยยังไม่มากพอ ปชต.อาตมานิยามไว้ 10ข้อ

เช่น นักการเมืองที่เป็นนักปชต.ทำงานให้แก่ประเทศอาสาทำงาน คือผู้รับใช้จริงๆ ผู้อาสา ไปเสียสละไม่ใช่ผู้ไปรับประโยชน์ แล้วไม่ใช่อาชีพเลี้ยงตน จริงๆแล้วของพระพุทธเจ้านี่สุดยอดเลย พระ นักบวชนี่ ไม่ต้องมีอาชีพเลี้ยงตนให้ปชช.เลี้ยงไว้แล้วทำประโยชน์ให้ปชช. ปชช.เขาก็เลี้ยงไว้เอง อยู่ได้อยู่รอด นักการเมืองคือนักบวชแท้ๆ ผู้ต้องมีจิตวิญญาณไม่เห็นแก่ตัวเลย ทำแต่ประโยชน์แก่สังคมอย่างคานธี ทำไมคนนับถือทั่วโลก คานธีมีทรัพย์สินน้อยมาก มีผ้าเตี่ยวเป็นต้น แต่คนนับถือทั่วโลก ทำงานให้สุจริตจริงไม่ข่มเบ่งกัน พยายามให้มีความเสมอภาค ทั่วถึงกัน เสร็จแล้ว มันก็มีกิเลสของคน ของโลกก็เลยกลบเกลื่อนให้คนเข้าใจผิด หลงผิด แล้วนักการเมืองที่รู้รัฐศาสตร์ ก็ไม่สอนปชช.เพราะว่าตนเองก็ยังโลภ ไม่เสียสละก็เลยไม่กล้าที่่จะสอนปชช.ให้รู้ เพราะจะเข้าเนื้อตนเอง ไม่จริงนี่เอง

 

ถ้าจะให้จริง อาตมาก็ว่าไม่ง่าย แต่ต้องทำ ไทยเป็นเมืองพุทธ ให้ระดมสร้างพุทธศาสนาให้เกิดมีเนื้อแท้มีมรรคผลให้คนลดกิเลส หมดกิเลส แต่เขาสอนกันผิดว่า ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมลดกิเลสแล้วต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคม แท้จริงศาสนาพุทธไม่ใช่แบบนั้น พวกสายเทวนิยม นั้นไม่รู้จิตวิญญาณแท้ ที่รู้โลกรู้สังคมด้วย ไม่ได้เป็นทาสโลกด้วย เป็นมนุษย์อยู่เหนือโลกธรรมเป็นโลกุตระ เป็นได้ไหม พระพุทธเจ้าทำได้ แล้วพาทำได้ ให้เป็นคนที่เหนือโลกแล้วรู้ทันโลกด้วย มีความรู้เทคนิคสร้างสรรช่วยโลกได้ด้วย ไม่ใช่ศาสนาฤาษีหนีโลกเข้าป่าเขาถ้ำ

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เสร็จแต่ยุคนั้นมีแต่คนหนีโลก มีแต่ฤาษี แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ให้คนมี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ท่านตรัสตั้งแต่ได้อรหันต์ 60 รูปแรก และสามอย่างนี้แหละคือเนื้อแท้ของปชต.เลย แต่เพี้ยนไปหมด พอศาสนาพุทธมาครึ่งของศาสนาแล้วก็เพี้ยนไปหมด มีแต่ศาสนาที่หนีเข้าป่าเขาถ้ำ อาตมาก็ไม่ยอมให้ศาสนาพุทธหมดไป เราอยู่กับสังคมก็ไม่ได้ไปหลงโลกธรรมกับเขา เราไม่ได้อยากได้อยากมีอยากเป็นอย่างเขาหรอก แล้วมั่นใจว่าชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่น ออกมาเป็นอนาคาริกชน มีโภคขันธาปหายะ ญาตปริวัตตังปหายะ อย่างที่อาตมาให้มาบวชกับอาตมานี่ ถ้ามีทรัพย์สินสมบัติอะไรก็ต้องให้สละออกให้หมด มาเลี้ยงตนด้วยปลีแข้งบิณฑบาตกิน แม้แค่สิกขมาตุถือศีล 10 ก็ทำได้แล้ว และไม่ใช่แค่นักบวชนะ ฆราวาสก็ทำได้ แม้ยุคพระพุทธเจ้านี่ฆราวาสก็เป็นอรหันต์มากกว่านักบวชอีก นักบวชมีหน้าที่สืบสานคำสอน ฆราวาสอรหันต์ก็เป็นผู้บริหารทำงานรับใช้สังคม พระอรหันต์ของพระพุทธเจ้าเป็นฆราวาสนะ เยอะ แม้อนาคามีก็ไม่เป็นพิษภัยต่อใครแล้ว

 

ปชต.ไม่ใช่มีแค่การเลือกตั้ง ตอนนี้สังคมถกเถียงเรื่องการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่เห็นว่าปชช.จะได้อะไร ผมผ่านการบวชมาเมื่อเดือนที่แล้ว รู้สึกเหมือนที่พ่อท่านว่า นักบวชนี่อยู่ได้เพราะปชช.เลี้ยง นักการเมืองก็ต้องเป็นอยู่ได้อย่างที่ปชช.เลี้ยงไว้ ตอนนี้เขาปฏิรูปการเมืองก็ยังไม่เห็นอะไร ไม่ได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามืออย่างที่ไปร่วมชุมนุม ผมเห็นว่าคนได้เอาความดีออกมากัน คนเสียสละ เอาข้าวมาเลี้ยงกัน ชาวบ้านที่มาชุมนุม ตอนแรกไร้ระเบียบ แต่ตอนหลังเข้าแถว แบ่งปันกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีในกฎหมาย

 

พ่อครูว่า..มันทันสมัยกว่าเขาคิด ไม่ได้ล้าสมัย

 

คุณภราดรว่า...เราไปชุมนุมจะรู้ว่าความเสียสละการแบ่งปันคืออะไร ที่เราเห็นทุกวันนี้ เขาปฏิรูปก็ดูว่าจะตอบโจทย์อะไร ก็คิดแบบพ่อท่าน ว่าเห็นใจ ผมไปที่ภาคใต้ก็โดนรุกเร้าเรื่องราคายาง ผมก็ว่าให้ใจเย็นๆให้โอกาสเขาทำงานไปก่อน แต่ถ้าทำไม่สำเร็จจริงก็คงต้องร่วมกันต่อสู้กันอีก

 

พ่อครูว่า..ที่นี่เราอยู่อย่างคอมมูน คนอยู่ในนี้ทำงานเอาเข้ากองกลางหมด ทำงานแล้วรายได้เอาเข้ากองกลางหมด แล้วกินใช้ร่วมกันทุกชุมชนชาวอโศก เราเรียกว่าสาธารณโภคี ตามที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ เป็นการกินใช้ร่วมกัน เท่ากับเสียภาษี 100 % ใครจะใช้จ่ายก็มีระเบียบเบิกใช้ เหนือชั้นกว่าปชต.เหนือกว่าคอมมิวนิสต์ เป็นภราดรภาพ พึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันได้ เป็นหลักฐานที่ชี้ชัดถึงสังคมมนุษย์ที่เป็นหลักฐานว่าธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นไปได้ แม้จะไม่ใหญ่โต แต่ถ้าผู้บริหารเข้าใจแล้วทำให้เกิดมีขึ้นมาได้มากขึ้น เราเรียกว่าเครือแห ที่เชื่อมโยงกันหลายมิติ เป็นเรื่องจริงที่ผู้อยู่สูงสุดก็เป็นได้ยาก เป็นพวกจนที่สุด จนกระจุก รวยกระจาย ผู้อยู่ล่างก็รวยมีส่วนแบ่งตามลำดับ อรหันต์ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ทุกวันนี้เขาทำแบบรวยกระจุก จนกระจาย แต่เราทำแบบ จนกระจุก รวยกระจาย เราทำแบบในหลวงที่ท่านตรัสให้ทำแบบคนจน ที่เป็นคนจนพิเศษ ท่านตรัสแล้วแต่นักบริหารไม่เข้าใจ ไม่กระดิกหู ก็สงสารประเทศชาติ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:14:55 )

580203

รายละเอียด

580203_สรรค่าสร้างคน(24) .นบคนจะมาเอาระบบบุญนิยมเพราะอะไร

พ่อครูว่า...วันนี้ 3 ก.. 2558 จะมาพูดกันเรื่อง สรรค่าสร้างคน เราได้ตั้งวิชาเรียนสรรค่าสร้างคน เขามีการรวบรวมที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เป็นหลักเกณฑ์ไว้ ก็มีความจริงอยู่เยอะ คือสิ่งจริงเป็นจริงมีจริงในสังคม เกิดขึ้นอยู่ ที่เขาว่าการโกง ทุจริต วุ่นวาย ทุกข์ สุขโลกีย์ก็มีอยู่ แล้วถามว่าสุขโลกุตระมีไหม? แล้วต่างกับสุขโลกีย์อย่างไร อาตมาว่า สรรค่าสร้างคนจะสร้างคนให้มีสุขโลกุตระ เพราะสุขโลกียะนั้นไม่มีจริง เป็นสุขเท็จ แต่ก็รู้ได้ยากว่าเป็นเท็จ เพราะต้องมีปัญญาญาณที่เข้าใจ

 

จิต เจตสิกของตนเอง อันนี้เป็นหลัก ถ้านักปฏิบัติธรรมต่างๆพอจะเรียนรู้ไปนิพพาน แล้วนิพพานคือการดับความทุกข์ แต่อาตมาว่าท่านไม่เข้าใจว่า ความทุกข์ สุข นั้น แบบสามัญโลกีย์กับทุกข์อาริยสัจนั้นต่างกัน

 

ทุกข์โลกีย์คือไม่มีลาภ ยศ สรรเสริญ กามารมณ์ ไม่ได้เสพสมอัตตา แต่พอได้เสพสมใจให้แก่ตนเอง เขาก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์ หรือเฉยๆว่างๆ เพราะพักยก อย่างนี้ก็รู้กันทั่วไป พระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องนี้ แต่สอนขั้นสูงกว่านี้คือหมดทั้งสุข ทุกข์โลกีย์นั่นคือทุกข์อาริยสัจะ และทุกข์อาริยสัจเท่านั้นที่มี แต่ไม่มีสุขอาริยสัจะ แต่ท่านมีสุขที่ยิ่งกว่าสุข ที่แปลว่ายิ่งกว่าสุข แต่เขาแปลกันว่าสุขอย่างยิ่ง ก็เลยไปกันใหญ่ หลงทิศทางกันไปใหญ่มันไม่ใช่ มันกลับเป็นความไม่มีสุขโลกียะ ต่างหาก แต่พระพุทธเจ้ารู้ว่าไม่ง่ายก็เลยมีลำดับ เบื้องต้นท่ามกลาง บั้นปลายให้

 

ทางนักปฏิบัติสายเทวนิยมเขาก็มีทฤษฎีปฏิบัติเพื่อจะไม่หลงโลกีย์เพราะว่าการได้โลกียสุขโลกธรรมนั้นไม่ดี เขาก็พอรู้ แล้วหาวิธีการทฤษฎีที่พาพ้นสุขทุกข์อย่างนี้ แต่เขาไม่ชัดหรอกว่า สุข ทุกข์โลกีย์มันสองขั้วของอารมณ์เท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านสูงกว่านั้นที่เข้าใจสภาพอารมณ์เวทนา ว่าเป็นความปลอม ปั้นเอาสร้างเอาตามกิเลสตัณหาอุปาทาน หากยึดอยู่ก็ได้ทุกข์ตลอดกาลนาน อยู่ในอนุสัยไปอีก หยาบ กลาง ละเอียด อยู่ในนั้นจริงๆ

 

เมื่อกี้นี้เห็นที่ประดับฉากอยู่นี่คือต้นคะน้า นะ ไม่ใช่ต้นกระดาษ นะที่อาตมาต้องอุทานเพราะเป็นอาหารที่มนุษย์ต้องอาศัย แล้วอาหารนี่เป็นหนึ่งในโลก พวกเราต้องพยายามผลิตอาหารเลี้ยงตนให้รอด ไม่ต้องพึ่งคนอื่น ให้ได้ เศรษฐกิจโลกจะปั่นป่วนอย่างไร เราก็มีอยู่มีกินได้ อันอื่นเป็นรองนะ อาหารเป็นหนึ่งในโลก ก่อนอาตมาจะตาย ให้พวกเรามีจนแจกจ่ายเลี้ยงดูคนอื่นได้ ถ้าเรามาปฏิบัติธรรมแบบพระพุทธเจ้าแล้วจะรู้ว่า ความหลงเป็นสุข จะต้องมีลาภ วัตถุสมบัติทรัพย์ศฤงคาร ได้มาแล้วสุข ก็มีสามัญสำนึกเข้าใจทุกคน ตกในสภาพนี้ทั้งนั้น มากหรือน้อยก็แล้วแต่ บางคนต้องการมากจนต้องทำทุจริตอกุศล ฆ่าแกงกัน สารพัด หลงมันว่าจะต้องมี ทั้งที่มันสำคัญน้อยกว่าอาหารในปัจจัย 4 นี่ อาหารเป็นปัจจัยสำคัญสุด

 

ถ้าเราศึกษาจิตเราว่าไปมีกิเลสหลงใหลอยากได้อยากมีอยากเป็น แต่พระพุทธเจ้ามีวิธีให้เราล้างกิเลสได้จริงๆ เท่าที่อาตมาพาทำมานี่ก็มีผล ไม่นานก็มีคนเข้าใจมาลดละเลิก จนมารวมตัวกันเป็นหมู่กลุ่ม อาตมาไม่เคยคาดคิดนะ ตั้งแต่เริ่มทำงานมา เพราะอาตมาเห็นโลกแห่งวงการศาสนาพุทธ ที่เขาจะต้องทำงานแล้วสอนแล้ว สร้างคนเสร็จแล้ว จนคนจะต้องละเลิกจากโลกีย์ออกมารวมตัวจับกลุ่มเป็นชุมชน กลุ่มคนมีวัฒนธรรมระเบียบแบบแผนอย่างชาวอโศกนี่ ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้นะ แม้สมัยพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทำในฆราวาส แต่ท่านทำในวงสงฆ์มีสาธารณโภคี นานมาจนป่านนี้ กว่า 40 ปีลึกๆอาตมาทึ่ง เพราะยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เป็นถึงในฆราวาส แล้วซ้อนคือ โลกยุคนี้กิเลสมันมาก เห็นแก่ตัวจัด หลงโลกีย์หนัก แต่มันยังทำได้เป็นได้ เอหิปัสสิโก สันทิฏฐิโก โอปนยิโก จนต้องแต่งเพลงทึ่ง ทึ่งตะลึงซาบซึ้งจับใจ ดูไฉนเขาก็คนเช่นเราทุกอย่าง...แล้วมาเป็นเช่นนี้ได้ คนเหมือนกันแต่ไม่เป็นเหมือนเขา จนเขาหาว่าเราบ้าบอ เขาก็ต้องว่า อาตมาทึ่ง ธรรมะพระพุทธเจ้ามีประสิทธิภาพที่เป็นได้ อกาลิโกได้ ไม่จำกัดกาล คนออกมาได้ขนาดนี้

 

อาตมาพูดพาดพิงถึงแม้ในวงสงฆ์เขาก็สอนมาเป็นร้อยเป็นพันปีก็ไม่ได้เกิดหมู่กลุ่มสังคมแบบเรานะ สังคมข้างนอกเขามอง ไม่เชื่อหรอกว่าเราจะเป็นได้อย่างมั่นคงถาวรยั่งยืนได้ เขาก็ว่าก็คงทำได้เท่ๆระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ในตอนที่อาตมาอยู่ เขาก็หาว่าอาตมามีน้ำมนต์ ให้คนหลงงมงายบ้าบอ มันดูแล้วไม่น่าจะเข้าท่าอะไร แต่เมื่อสาธยายตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าแล้วมันทวนกระแสโลกจริง เขาไม่เชื่อว่าถาวร แต่อาตมาว่านี่คือความถาวรยั่งยืนเสถียร อาตมามั่นใจไปอีก สองพันกว่าปีนะ

 

ถ้าจะเหลือแต่อาตมาคนเดียวอาตมาก็ไม่เปลี่ยนแปลงความเข้าใจนะ แต่ก็ไม่ร่อยหรอนะ จนอาตมานี่มั่นใจกว่านั้นตรงที่ คนต้องหันมาเอาระบบนี้ ในสรรค่าสร้างคนหน้า 21 คนจะหันมาเอาระบบนี้เพราะอะไร

 

1.คนทุกข์กันมากขึ้น สาหัสมากขึ้น เอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น ไม่รู้สึกอบอุ่น ไร้ความไว้วางใจ หวาดระแวงกันมากขึ้น ทำรายกันรุนแรงย่ิงขึ้น ทุจริตหยาบคายยิ่งขึ้น

2.ทรัพยากรของโลกร่อยหรอก ขาดแคลน ไม่พอกันจริงๆ

3.ไม่มีทางอื่นให้เลือก หมายความว่าทางที่เราทำ แบบที่เราเป็นตัวอย่างที่เราได้แล้ว

 

อาตมาว่า โลกต้องการอย่างที่เราเป็นแล้ว แล้วทำทางอื่นทางใดไม่มีทางได้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าว่าไว้แล้ว ว่า เอเสวมัคโค นัตถัญโญ ไม่มีทางอื่นให้เลือกนอกจากทางนี้อีกแล้ว

 

4.มีตัวอย่างของสังคมที่ไปรอดได้แล้วจริงๆให้ดู เป็นการยืนยัน แล้วจริงๆ

5.ระบบบุญนิยมเป็นระบบที่ยั่งยืนจริง พิสูจน์ได้ด้วยกาละ จนคนต้องเชื่อในที่สุด อาตมาไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าเมื่อไหร่ เราก็พยายามสร้างเหตุปัจจัยให้เป็นองค์ประกอบ เช่นกลุ่มคนนี้อยู่อย่างเบิกบานร่าเริง แจ่มใสไม่เดือดร้อน ถ้าเรากล้าให้คนมาพิสูจน์เข้ามาสัมผัส จะเห็นว่าอย่างหยาบเราไม่เดือดร้อนกับเขาดูได้ง่าย ข้างนอกเขาเดือดร้อนกันแย่งชิงกันมากมาย เขาก็พอรู้ได้ว่าอะไรดีกว่ากัน พิสูจน์ได้ แล้วเหตุปัจจัยที่คนจะรู้ได้ เราต้องมีมากพอ มีคุณลักษณะต่างๆว่าอย่างนี้ถูกต้องสงบสบายไม่เดือดร้อนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความโกรธ ความโลภ

 

ความโลภคือความต้องการมาให้ตน ทีนี้มันซ้อนที่ว่า คนอย่างพวกเรานี่ มีพฤติกรรมว่าพวกเราทำงานเหมือนเขา ไม่ขี้เกียจด้วย อาตมาว่าคนข้างนอกเขาเข้าใจ เช่น คนข้างนอกเขาบอกเด็กของเรากับเด็กของเขานี่ เด็กของเขามาไล่ทำร้ายเด็กของเรา มันมากวนเด็กเรา คนข้างนอกก็ว่าเด็กที่มากวนเด็กเรา  ว่าจะมาทำชั่วอะไร พวกนี้เขามาเรียนมาขยันเป็นคนดี พวกเอ็งมาทำร้ายเขาทำไม ทำไมชาติชั่วแรงอย่างนี้ (ว่าเป็นภาษาอีสาน) นี่คือสามัญ ลึกๆเขามองออกว่าเด็กเราขยันทำการงาน

 

เราไม่ต้องการล่าบริวาร ต้องการให้คนมานับถือ อาตมาไม่มีจิตเช่นนี้ อาตมาทำตามที่พระพุทธเจ้าว่า พรหมจรรย์นี้เราไม่ได้ทำเพื่อให้คนมานับถือ ให้ได้บริวาร ไม่ทำเพื่อแลกลาภยศสรรเสริญหรือไม่ได้ทำเพื่อให้คนว่าเราวิเศษเก่งกล้า เรามาทำความจริงให้ปรากฏว่าสิ่งนี้ดีจริง แล้วให้คนตัดสินเองว่าดีจริงไหม ถ้าคุณเกิดปัญญาของคุณเอง อาตมากลัวนะ กลัวว่าแสดงออกไปแบบหว่านล้อม ครอบงำทางความคิด แค่มีการหว่านล้อมนี่ก็ไม่ดีแล้ว เราไม่ให้มีลักษณะเช่นนั้น แล้วเราไม่ครอบงำความคิด ถ้าเราทำเราก็ได้คนถูกครอบงำมา อาตมาก็ได้คนโง่มาสิ อาตมาเอามาทำควายหรือ?

 

ถ้าคุณเข้าใจเองเห็นดีเห็นงาม อาตมาก็ไม่ลำบาก แต่ถ้าหลอกมา อาตมาก็ต้องคอยระวังว่าคุณจะรู้ความจริง มันเหนื่อยนะ จะไปทำทำไม อาตมาเห็นหลายสำนักใช้วิธีหว่านล้อมสารพัด อาตมาสงสารไม่รู้หรือว่าคุณต้องเหนื่อยจนตายเลย อาตมาว่าถ้าให้เขามีปัญญาเต็มใจมาเอง มาแล้วมันก็ง่าย สบาย และที่สำคัญคือมันเป็นความจริง ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ง่าย ในสนามแม่เหล็กโลกีย์มันหยาบแย่งชิง หลอกลวง ครอบงำ สารพัด มอมเมาให้ติดยึดอีกต่างหาก แล้วคนก็ติดยึดจัดจ้านเท่าไหร่ไม่รู้ ก็ยังดีมีพวกคุณมีธุลีในดวงตาน้อย ยังสามารถมองออกเข้าใจเป็นได้มาถึงอย่างนี้ ก็ขอยืนยันว่าอันนี้แหละยั่งยืน มันมีอยู่ว่าถ้าอาตมาสอนไปแล้ว เข้าใจว่าอันนี้เป็นของจริง แต่มันไม่ใช่ของจริง มันผิด เท่านั้นแหละที่พามานี่อาตมาหลงทำ ด้วยจริงใจ แต่อาตมาก็ตรวจตามพระไตรปิฎกดู ส่วนใหญ่อ่านแล้วยอดเยี่ยมเข้าใจได้ทันที ซึ่งเขาไม่ได้อธิบายกัน เอาแค่มรรคมีองค์ 8 ท่านสรุปมาเป็นทฤษฎีหลัก หนึ่งเดียว หลักของศาสนาพุทธสรุปรวมไว้ข้นเข้มเต็มครบรอบ เช่น

1.สัมมาทิฏฐิ คำว่าสัมมาเป็นศัพท์เฉพาะของพระพุทธเจ้าหมายความว่าดีแล้วถูกต้องที่สุด พ้นทุกข์ทุกอย่างไม่เป็นภัยเป็นโทษ ทฤษฎีที่พาให้คนเป็นพระอรหันต์ หมดพิษภัยกับใคร แล้วเป็นคนรับใช้สังคมรับใช้โลกตลอดตาย แล้วกลับมารับใช้ต่อ แล้วของพระพุทธเจ้านี่ได้แล้วได้เลยตั้งแต่โสดาบัน เป็นนิยตนะ ไม่สูญไม่เสื่อม สกิทาฯก็ยิ่งยั่งยืน เป็นอนาคาฯ อรหันต์ก็ยิ่งไม่มีเปลี่ยน เป็นการสรรค่าสร้างคนได้จริง

 

ตั้งแต่คนเข้ากระแส ก็คือคนมีปัญญาอ่านจิตได้ แล้วอ่านออกจริงว่าจิตตัวนี้คือตัวเหตุ ตัวกิเลสตัวต้นที่เรียกว่าสักกายะ เป็นองค์ประชุมรูปนามของสิ่งที่เราสัมพันธ์เช่นติดการเมืองเป็นสักกายะ เป็นกิเลส มันติดจริงๆ การเมืองมันออกไม่ได้ แล้วการเมืองที่จะเล่นต้องเล่นแบบนี้ เขาไม่เข้าใจการเมือง ทุกวันนี้อาศัยคำว่าการเมืองแต่ไม่ใช่เลย มันเป็นเกม เอามาสร้างโลกธรรม ให้แก่ตน เอามาเป็นอาชีพ อย่างเก่งก็แค่ทำให้ได้ว่าอย่าทุจริตมาก แต่ก็เพื่อให้สร้างฐานะให้เจริญงอกงามเป็นศักดิ์ศรีไปตลอดชาติ แม้มีปฏิภาณว่าจะมารับใช้ปชช.แต่ไม่จริงเต็มที่หรอก

 

โครงสร้างการเมืองไทยนี่ ตอนที่อาตมาอยู่นครปฐม เขาเป็นกำนันบ้านนอกธรรมดา แต่ต่อมาพยายามเล่นการเมือง จนเป็นสส.ได้หลายสมัย ชีวิตก็มีฐานะดี มีอำนาจ แค่เป็นสส.ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเลยนะ แต่มีอาณาจักร กิจการ มีรถสิบล้อไม่รู้กี่คน เป็นร้อยคัน เดิมเป็นกำนัน คือเขาไปเป็นสส.แล้วจะได้เงิน เจ้าของคอกก็ให้เงินเขา เป็นอาชีพเลวร้ายจริงๆ อันนี้เป็นสักกายะของเขา ถ้าเขารู้ตัวว่าติดยึด ไม่ดี ถ้าเขาเข้าใจนะอาชีพพวกนี้ยิ่งกว่าทำนาบนหลังคน เขารวมเงินทองกลวิธีมาให้ แล้วให้คุณมาทำงาน ได้ทำนาบนหลังคนนี่เป็นอาชีพ บาปมากเลย ถ้าศึกษาธรรมะรู้ว่าอาชีพบาป ก็เลิก คุณก็อ่านใจตน ตั้งศีลว่าจะต้องเว้นต้องเลิกอาชีพนี้ คุณเข้าไปวงจนการเมืองนี้ คุณไปเป็นแกะดำในฝูงแกะขาวในนั้น เป็นไม่ได้หรอก

 

คำว่าการเมืองคือรับใช้ประชาชน อย่างที่อาตมาพาพวกเราทำ นี่เป็นการเมืองภาคปชช. แต่เขาไม่เข้าใจหรอก เขาว่าการเมืองนอกรัฐสภาไม่มี ปชต.นอกสภาไม่มีหรอก แล้วประชาธิปไตย ก็เป็นปชช.นะ จะไปอยู่แต่ในสภาได้อย่างไร? คุณต้องอ่านใจตนว่าตนเสพติด มีส่วนได้ส่วนมีอย่างไรก็ต้องล้างออก นี่โลกีย์หยาบนะ อ่านจิตออกมีวิธีลดกิเลสได้นั่นแหละคือโลกุตระ

 

โลกุตระต่างจากโลกียะคืออ่านจิตตนเองออก มี อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี

 

อนิจจานุปัสสี คือตามรู้เห็นความไม่เที่ยง กว่าจะได้ก็ยาก จะรักษาก็ยิ่งยาก พูดก็เมื่อยแล้ว แล้วอยู่อย่างนี้เป็นสุขกว่าไม่ต้องไปตะเกียกตะตายให้ได้ อยู่อย่างนี้ก็มีพอแล้ว

 

เป็นคนกว่าจะเข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้ายังเป็นคนหรือจะเป็นคนต่อไป เป็นคนแบบพระพุทธเจ้าสอนนี่ไม่ต้องไปติดกามติดอัตตาไม่ติดกิเลส ได้แล้วได้เลย ไม่ต้องปฏิบัติอีก ถ้าถึงรอบเป็นอรหัตตผลแล้วก็จะติดตัวเราไป ถ้าเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่เถรวาทเมืองไทยถือว่าเป็นอรหันต์แล้วต้องตายเป็นอุจเฉททิฏฐินี่ไม่ได้มรรคผลนะ ศาสนาพุทธในเมืองไทยจึงมีแต่คนหลงเป็นอรหันต์เก๊ แต่ที่ศึกษากันจริงๆไม่มีใครกล้าว่าตนเป็นอาริยะ นอกจากสายนั่งหลับตาแล้วนึกว่าตนเป็นอรหันต์ แต่ถ้าสายที่ศึกษาปริยัติพระพุทธเจ้าแล้วจะไม่กล้าประกาศ แม้แต่เข้าใจว่าเป็นอรหันต์แล้วต้องปรินิพพานเลยนะ

 

กว่าคนจะมาเข้าใจแล้วได้อย่างนี้ต้องมีจิตจริง แล้วเป็นมนุษย์ที่มีประโยชน์แก่สังคมต่อไป เขาจะว่าโพธิรักษ์จะทนได้กี่น้ำ หรือว่าแค่โพธิรักษ์ตายก็จบ แต่อาตมากลับเห็นว่าจะต้องอยู่ไปอีกสองพันห้าร้อยปีนะ ชีวิตมนุษย์ไม่มีอะไรสำคัญกว่าอันนี้ เป็นเรื่องที่เกิดมาเป็นสัตว์มีจิตนิยาม ตั้งแต่เดรัจฉาน จนเป็นมนุษย์เป็นเวไนยสัตว์ (โลกียะกับโลกุตระ)

 

ถ้าตรวจสอบจริงๆนะ อย่างคุณจำลอง ไม่ศึกษาตำราพระพุทธเจ้าแล้วตรวจจิตตน ว่าเป็นอาริยะระดับไหน ถ้าไม่เป็นจริงอยู่ไม่ได้ขนาดนี้หรอก คลุกคลีกับลาภยศสรรเสริญ แต่ตนไม่เลอะเทอะเผลอไผลไปกับเขา มันมีจิตจริงของตน แต่ไม่ได้ศึกษาว่าพระพุทธเจ้าว่าจิตโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์มีจิตแบบไหน ถ้าศึกษาแล้วอ่านจิตตน จะรู้ว่าได้ขนาดไหน เผลอๆตนเป็นอรหันต์แล้วก็ไม่รู้ อรหันต์จริงคือคนช่วยโลก

 

คุณว่าคานธีเป็นอรหันต์ไหม?... เป็น

 

คนเข้าใจยาก ไปเข้าใจว่าเป็นเรื่องเลอะ พิลึกพิลือ อรหันต์คือตัวตลกอะไรไม่รู้เสีย ไม่ใช่เลย อรหันต์คือคนสามัญที่อยู่ช่วยโลกทำคุณงามความดีนี่แหละไม่ใช่คนประหลาดอะไรเป็นคนรับใช้สังคม แม้ไม่โด่งไม่ดังอะไรเลยนะ

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

ดั้นเมฆถามว่า...อุปาทาน มันเริ่มจากตรงไหน? มันเริ่มจากที่เราบำบัดทุกข์ตรงไหน ทุกที่เลี่ยงไม่ได้ เป็นกายิกทุกข์หรือไม่?

ตอบ..ไม่ใช่สบายใจ มันติด จิตมันเป็นอาการติดอยู่ คนไม่รู้หรอกว่าตนติด แม้รู้แล้วจะให้อาการจิตนี้ออกไป แต่มันไม่ออกนี่แหละมันติด ใครอ่านใจตนจะรู้ว่า อ๋อ อย่างนี้ตนยังยึดยังชอบอยู่ เรารู้แล้วว่าอันนี้เป็นการติดอยู่ แล้วที่ถามว่า กายิกทุกข์ คนก็มักเข้าใจว่าเป็นทุกข์ทางร่างเนื้อ นั่นไม่ใช่กายิกทุกข์เลย แต่กายคือองค์ประชุมของรูปนาม ที่มีการกระทบสัมผัสแล้วเกิดสุขทุกข์ นี่คือกายยิกทุกข์ไม่ได้หมายความว่า ร่างเนื้อนี้ไม่สมดุล แล้วเกิดทุกข์ ถ้าจะว่าไปแล้ว รูปร่างก็เกี่ยวด้วย ถ้าคุณไม่ติดยึด รูปร่างมันปวดเมื่อยคุณจะไม่มีจิตเศร้าหมอง คุณจะรู้ว่าเป็นเหตุปัจจัยสรีระ คุณจะไม่เศร้าหมอง คุณจะเบิกบานร่าเริง แต่เจ็บปวดเป็น แต่ถ้าคุณมีจิตไม่เบิกบาน มันเศร้าหมอง แล้วกายยิกทุกข์อาจไม่เกี่ยวกับการเจ็บปวดร่างเนื้อเลย แต่คือองค์ประชุมรูปนาม

 

เช่นอยากได้แตงโม เห็นแล้วนี่ อยากได้มากๆ เขาไม่ขายให้เรา เราจะเอาอย่างไร เขาก็ไม่ให้เลย อยากได้มากก็ทุกข์ กายิกทุกข์คือองค์ประกอบทั้งหมดนอกและในก็เกิดทุกข์ ส่วนเจตสิกทุกข์รู้แล้วว่าเกี่ยวกับข้างนอก คุณก็พิจารณาเข้าไปในภายใน เป็นกายในกาย ส่วนเหลือทางจิตเจตสิกทุกข์ก็เลื่อนเข้าไปเป็นเวทนาในจิต เป็นเวทนา 108 ลึกเข้าไปแต่กายยิกทุกข์คือทุกข์หยาบแต่เวลาศึกษาต้องศึกษาถึงจิต พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า กาย คือ จิต มโน วิญญาณ แต่ท่านก็ว่า กายไม่ได้หมายถึงแค่ จิต มโน วิญญาณเท่านั้น ต้องมีการเชื่อมโยงจากนอกไปถึงจิต พิจาณาว่ามันสุขทุกข์มีอกุศลจิตที่ไปติดยึด เป็นราคะ เป็นกามยังยึดมันอยู่ก็พิจารณาล้างให้มันหมดไปได้ พอหมด เวทนาก็เป็นอุเบกขา แล้วกายนี้จะสัมผัสเมื่อไหร่ก็ไม่เหมือนเก่าแล้ว เพราะมันไม่ติดแล้ว ได้ก็ได้ ได้แตงโมเพราะกินได้ธาตุอาหาร กินอย่างอื่นแทนก็ได้ ถ้าไม่มี

 

อุปาทานคือตัวติด พอเกิดอาการมันก็ขึ้นมา อุปาทานมันฝังอยู่ เรียกว่าอนุสัยก็คือฝังนิ่งไม่ได้ล้างออกก็ไม่หมดจากจิต อุปาทานพอมันเคลื่อนก็เป็นตัณหา เป็นอาการกิเลส เป็น kinetic energy ออกมา มันไม่ตายหรอกมีบทบาท เป็น Potential energy พระพุทธเจ้าว่าฆ่าตัวที่เห็นง่ายคือ ตัณหา ฆ่าตัณหาอุปาทานก็หายไปด้วย

 

ดั้นเมฆถามว่า...ขั้นตอนที่มันเริ่มยึดว่าสุขคือมันได้บำบัดทุกข์ใช่ไหม ..เร่ิมที่ไหน

 

ตอบ...พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตอบว่าเริ่มที่ไหน คุณจะไปรู้ทำไมว่าติดตอนไหน? ให้รู้ว่าจะล้างได้อย่างไรต่างๆหาก ของคุณใครจะไปตามรู้ว่าคุณไปติดตอนไหน ขนาดพระพุทธเจ้ายังตอบไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าว่าอวิชชานี่ตามหาที่ต้นไม่ได้

 

ถามว่านิพพานคือดับทุกข์ดับสุข แต่ดิฉันมีว่าเกิดแก่เจ็บในร่าง แต่มันก็เหมือนไม่เจ็บ บางคนถามว่า ทำงานนี่ยังเจ็บอยู่นี่ทำไหวหรือ? ฉันก็ว่าไม่ทุกข์หรอก

ตอบ...ทุกข์ร่างกายนี่ ไอ้ที่เรายึดมั่นถือมั่นคือทุกข์อาริยสัจ แต่เหตุที่มาจากร่างเนื้อนี่เราก็บำบัดไป ส่วนเราไม่ยึดได้นี่พ้นทุกข์อาริยสัจ ถ้าร่างกายมันเป็นแล้วเราไม่เศร้าหมอง นี่คืออาริยสัจแต่หากเรายึดแล้วเศร้าหมอง เพราะเหตุปัจจัยร่างกายไม่ปกติไม่สมดุล เราก็บำบัดเหตุที่ทำให้ร่างไม่สมดุล แต่ถ้าเราไม่เศร้าหมองนี่คุณมีอาริยสัจ พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนหนุ่มสาวมีไฝมีฝ้าแล้วทุกข์ นี่แหละคือโง่อาริยสัจ อ้าวมันมีไฝมีฝ้า ก็บำบัดรักษาให้หายไป ไม่เศร้าหมองคุณมีจิตโลกุตระ

 

สุขโลกุตระนี้ต้องทุกข์มาก่อนเสมอหรือไม่?

ตอบ...ใช่แล้ว ถ้าล้างเหตุก็ไม่สุขไม่ทุกข์ จะเรียกว่าสุขก็ไม่เหมือนสุขโลกีย์แต่เป็นวูปสโมสุข

 

ทิศทางของความกว้างเกื้อช่วยสังคมได้ขนาดไหน ?อย่างหมอเขียวจะมาทำคอร์สสุขภาพ แล้วได้คนมาช่วยทำงานได้หรือไม่อย่างไร?มีขอบเขตแค่ไหน?

ตอบ..ขอบเขตของอาตมานี่ไม่อยู่กับที่หรอก อาตมานี่ยืนอยู่บนความไม่เที่ยง ของอาตมานี่ยืนอยู่บน อภิมหาปรมานิจจัง พูดถึงหมอเขียว ก็พยายามสัมพันธ์มามากขึ้น คือตัวหมอเขียวเขาก็ทำได้อยู่ ทีนี้อาตมาเข้าใจเองว่า หมอเขียวอยากจะมาสัมพันธ์กันมากขึ้น แต่ทีนี้อาตมาอยากให้รู้ตัวเอง อาตมาว่า พวกเราหลายคนขัดข้องหมอเขียว ขัดไม่ได้แต่มีตัวกีดกันอยู่ อาตมาเข้าใจเช่นนั้น ขอบอกว่า เราไม่ต้องไปกีดกันใครหรอก แม้แค่คนข้างนอก จะแค่ป้องปันคนที่จะมารวน แต่คนที่จะมาทำสิ่งดีงาม เราเองเราไม่รู้หรอกว่าใจเราลำเอียง จะอดีตและปัจจุบันมีเหตุมาก็ตาม แต่เราดูองค์รวมว่าเขาประพฤติดีงามแล้วเขาก็จะมาทำดี เราก็ไม่น่าปฏิเสธอะไร เป็นแต่เพียงองค์ประกอบที่เกิดจะมาฉุดแรงงานให้เกิดสะดุดเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เราก็รีบหรือไม่รับบ้าง ก็ดูเหตุปัจจัย ถ้าจะมาร่วมกับเรา เราเองเราต้องการบางอย่าง ก็มีคนมาชัดจูง บางอย่างเขามาร่วมเอง สิ่งที่เขามาร่วมใครก็แล้วแต่ที่จะมากวน เราป้องกันแต่ถ้าดูแล้วว่า ไม่ได้เสียผล มีผลดีมากกว่าชัดๆ นี่ไม่มีปัญหาอะไร ที่พูดไปพูดมา อยากให้พวกเราปลดเปลื้องตัวจองเวรจองกรรมกัน จิตวิญญาณพวกคุณนี่ มันเกลียดชังริษยากันไปทำไมกัน พอได้แล้ว ตรวจจิตตนเองให้ดีๆ

 

.เดินดิน...วันนี้เหมือนกับพ่อครูตอกย้ำให้พวกเราเข้าใจว่า ศาสนาพุทธจะไปได้อีก สองพันห้าร้อยปี แต่ถ้าพ่อครูไม่เห็นก็คงไม่กล้าประกาศ ในช่วงพ่อครูมั่นใจพวกเราก็เดินตาม แต่วันนี้ทิศทางที่พ่อครูบอกเราว่า ผู้เข้ากระแสจะอ่านจิตตนเองได้ แล้วลดกิเลสตนเองได้ ในช่วงเดินทางกันไปนี่ หลักสูตร ว.นบ. จะมีปริยัติและปฏิบัติ มีผัสสะตลอดเวลา มีสนามรบตลอดเวลา จะรู้ว่าใครเข้ากระแสหรือไม่? ก็ตรงนี้ รบกันไปแล้ว มันเห็นกิเลสเราหรือเราเห็นกิเลสมัน คือถ้าเห็นกิเลสตน กิเลสเราก็คือเข้ากระแส แต่ถ้าเห็นกิเลสมัน ๆๆ ก็จะทนไม่ได้ แล้วจะถอย แต่ถ้าเห็นกิเลสเราได้ชัดแล้วตั้งใจลดละได้ ก็จะเจริญ มีสนามสอบได้ทุกวันๆ

 

ที่พ่อครูพูดถึงลุงจำลอง ที่ว่าคงไม่ได้เน้นศึกษาวิชาการทั้งที่ลุงจำลองอาจปฏิบัติได้มากกว่าพระเสียอีก ก็รักษาศีลได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ที่แม้แต่พระก็ยังทำไม่ได้ ก็นึกถึงพพจ.พูดถึงความเสื่อมของ

1.มีกัมมารามตา คือยินดีในการงานหมกมุ่นจมไปกับงานเลย

2.มีภัสสารามตา ยินดีในการเจรจาปราศรัย

3.ยินดีในการนอน นิททารามตา

4.สังคณิการามตา ยินดีในการเข้าสังคม

5.ไม่พิจารณาตามจิตตนที่หลุดพ้นแล้ว บางที่เราปฏิบัติธรรมแบบมวยวัด ก็ไม่รู้ว่าได้อะไร ไม่รู้ว่าเราได้หรือไม่ได้

 

พ่อครูว่า..มันน่างงนะ ข้อ 1 กัมมารามตา คำว่าอารามแปลว่า ความยินดี แต่เราแปลกันตื้นๆ ที่จริงแปลว่าไม่มัวหลงเพลินกับการงาน หมกมุ่นอยู่กับการงาน เพราะพอบอกว่าผู้ยินดีในการงาน ก็แปลกันตื้นๆ มันก็เลยกลายเป็นว่า ฟังแล้วหากใครยินดีในการงานนี้ก็เสื่อม ตกลงเลยไม่ทำการงานอะไร ตีกินเลย นี่คือนัยละเอียดลึกซึ้ง หากเข้าใจไม่ได้ ก็ปฏิบัติไม่ถูก คือเราไม่ไปติดยึด เพลินจนติดจนเสีย อยู่กับการงานจนอ่านใจตนไม่ทันไม่เป็นเลย อยู่กับการงานแต่ไม่รู้ว่ากิเลสเกิดกี่ตัว กองไว้ๆ จับจิตตนไม่ได้ไม่ทันเลย หากทำการงานเช่นนั้นถือว่าเป็นกัมมารามตา อันนี้เสื่อมแน่ แต่ถ้าไม่ให้หลงกัมมารามตาต้องเข้าใจนัยนี้ คุณจะขยันหมั่นเพียรไม่เป็นไร แต่อย่าหลงติดมุ่นพาเราเสริมกิเลส แต่ที่จริงการทำการงานเยอะนี้จะมีผัสสะเยอะ มีโพธิปักขิยธรรมพร้อม คนทำงานไม่เกี่ยวกับคน แม่ครัวยังเกิดกิเลสกับตะหลิวอีก คุณมีผัสสะกับอะไรก็เกิดกิเลสได้ทั้งนั้นไม่เช่นนั้นคุณนั่นแหละเป็นกัมมารามตา คุณทำมากไปเถอะ มันมากสุขภาพจะเสียก็หยุดบ้างแต่ทำมากแล้วสุขภาพดีก็ทำไปเถอะ
จบ....


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:15:44 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์