@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ผู้มีวรรณะ 9 เป็นคนเหาะได้มีอยู่ในสังคมชาวอโศกทุกสังคม

รายละเอียด

ผู้มีวรรณะ 9 (พตปฎ.เล่ม 1 ข้อ 20) 

1. เลี้ยงง่าย  (สุภระ) 

2. บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) 

3. มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) 

4. ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) 

5. ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) 

6. เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) 

7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  

8. ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 6  

9. ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

สุดท้าย 2 อันคือไม่สะสมได้ ยอดขยัน ขยันพากเพียร กินน้อยใช้น้อย ไม่เบื่อหน่าย ขี้เกียจไม่เป็น แต่ก็ไม่ใช่ขยันจนสุขภาพเสีย ไม่ใช่ รู้จักความพอเหมาะพอดี อัปติฎฐัง อนายูหัง รู้จักพักรู้จักเพียร ซึ่งเป็นคุณสมบัติสมบูรณ์แบบด้วยวรรณะ 9 จึงมีสังคมสาธารณโภคี 

คนเหาะได้เป็นอย่างนี้ เกิดจริงไหม มีจริงไหม เป็นจริง ดูได้ ไม่ใช่สังคมเดี่ยว ไม่ใช่หมู่บ้านเดียว มีหลายหมู่บ้านอยู่ในประเทศไทย สังคมชาวอโศกทุกสังคมเป็นสังคมสาธารณโภคีอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสังคมใหญ่สังคมเล็ก มีประมาณ 10 20 30 ถึง 50 ไหมไม่รู้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนจนสาธารณโภคีที่เหาะได้ทั้งชุมชน วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 17:19:36 )

ผู้มีวรรณะ 9 เป็นมนุษย์เจริญคือมนุษย์ Classic

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องพยายามเป็นจริงให้เขารู้เขาเห็นว่าเราไม่ได้เสแสร้ง เราเป็นคนจนที่เป็นคนจนให้อยู่เสมอ แล้วก็ไม่ทุกข์ร้อนไม่เดือดร้อนไม่เสแสร้ง จริงใจสบายใจ จนจริงๆมาตรวจสอบ ทรัพย์ศฤงคารหรือสิ่งที่เรามีเรากินเราใช้เป็นคนจนอย่างแท้จริง แต่มันมีวิธีปฏิบัติมีวิธีประพฤติ คนจนอยู่เดี่ยวๆๆเป็นไปได้ยาก จะต้องอยู่เป็นหมู่กลุ่มแล้วจะรู้สึกเบาขึ้นมากแล้วจะช่วยฟื้นได้มาก เพราะคนจนนี้จะเป็นคนจนที่ไม่สะสมแต่ยอดขยัน วิริยารัมภะ กับอปจยะ คือวรรณะข้อที่ 9 กับ 8 วิริยารัมภะคือข้อ 9 อปจยะคือ ข้อ 8 คือเป็นคนเพียร แล้วเป็นคนที่รู้จักพักรู้จักเพียร ไม่ใช่ทำจนตนเองเสียสุขภาพ จนตายลำบากลำบน แต่มีความเข้าใจมีความรู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมีอย่างนี้ได้ แล้วเป็นคนอย่างนี้ แค่เป็นคนขยันหมั่นเพียร เพียรอยู่เสมอ วิริยะ สร้างสรรผลผลิตมีแรงงานมีความคิดและก็แจกความคิดจากแรงงาน แจกวัตถุ ผลผลิตต่างๆให้แก่ผู้อื่น อาการอย่างนี้น่าเลื่อมใสแค่พูดก็น่าเลื่อมใสแล้ว มาชวนกันไปอย่างนี้ก็น่าเลื่อมใสแล้ว คิดเป็นความจริงรู้เป็นความจริงเข้าใจเป็นความจริง จึงทำให้เกิดพรรคพวกทำให้เกิดการทำจริง เป็นผู้ให้ พูดก็จริงเป็นผู้ให้ทำก็จริงเป็นผู้ให้ อาการอย่างนี้จึงเป็น ปาสาทิกะ คือ ข้อที่ 7 ของวรรณะ 9 อาการที่น่าเลื่อมใส ผู้ที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะว่ามีหลัก ธูตะ มีศีลที่บรรลุแล้วมีศีลที่เป็นอริยะ มีศีลเคร่ง มีศีลสูง มีศีลประเสริฐตามหลักของพระพุทธเจ้า ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ปฏิบัติเป็น อธิศีล อธิปัญญา อธิวิมุติ เป็นวิมุตติญาณทัสสนะ แล้วก็ขัดเกลาตนเอง ธูตะ สัลเลขะ ขัดเกลากายวาจาใจ กายวาจาที่ดีกว่านี้มีอยู่อีก แม้ว่าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังมีกายวาจาที่ดีเพิ่มขึ้นขัดเกลาอีกได้อีก กายวาจานะ… แต่ใจจบแล้วไม่มีปัญหา ใจไม่ต้องขัดเกลา มีแต่จิตใจจะเจริญเป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่มีความรู้ความเผื่อแผ่เจือจาน มีอะไรต่ออะไรที่เป็นโพธิสัตว์ ผู้ช่วยรื้อขนสัตว์ อนุเคราะห์มนุษยชาติได้อีกมากๆขึ้น เพราะฉะนั้นมีทั้ง ธูตะ สัลเลขะ เพราะหลักใหญ่สำคัญคือมี สันตุฏฐิ มีความสันโดษ มีใจที่มันพอ รู้จักพอ พอจริงๆ ไม่ได้กดข่ม ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเสแสร้งอะไรเลย ใจมันพอจริงๆ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เอามาใช้เป็นคำว่า “พอเพียง” มันพอ เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว มันเป็นจริงมันรู้สึกพอจริงๆแล้วไม่มีฝืน ถ้ามีมากกว่านั้นก็สะพัดออกไปได้ มันพอ ใจพอ และ อยู่ก็เป็นคนอัปปิจฉะ สันโดษแล้ว อัปปิจฉะ มีน้อย มักนัอย น้อยที่สุดของคนคือ 0 ไม่ต้องกัก ไม่ต้องเก็บไว้มาก สะพัดออกไป เร็วที่สุดที่จะสะพัด ไม่กักไว้นาน เพราะถ้าไปกักไว้นาน เศรษฐกิจเขาก็เรียนกันเศรษฐกิจจะแย่ ถ้าให้มันเคลื่อนเร็วเท่าไหร่ก็จ่ายให้ทุกคนหมุนเวียนกันไปได้เท่าไหร่ สะพัดได้เร็วนั่นแหละคือเศรษฐกิจดี นี่เป็นพื้นฐานเข้าใจยังดี เพราะฉะนั้นไม่ได้ขัดแย้งกับทางสากลเลย ใจพอมักน้อย มีคุณสมบัติพวกนี้จริงตามวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้า และจึงเป็นคนที่เจริญง่าย สุโปสะ เป็นอยู่ง่ายเลี้ยงง่ายไม่เดือดร้อน เบา ต่างคนต่างช่วยดูแลกันและกัน สุภระ สุโปสะ เป็นคนที่เลี้ยงง่ายเจริญง่าย พัฒนาง่าย ว่าง่ายสอนง่าย เรียนง่าย ศึกษาง่าย ปฏิบัติง่าย มีผลสำเร็จง่าย กิเลสลดง่าย และก็มีพัฒนาการ สมรรถนะสามารถมากขึ้น ขยันมากขึ้น มีแต่ความเจริญและเจริญ เพราะฉะนั้นวรรณะ 9 นี้คือ ผู้มีวรรณะผู้มีชั้น เป็นมนุษย์คลาสสิค ถ้ามนุษย์ทั่วไปเรียกว่ามีแบบโลกียและความมนุษย์ masses ถ้ามนุษย์เจริญคือมนุษย์ Classic แต่ชั้นวรรณะที่เขาก็ใจเป็นเรื่องโลกีย ข่มเบ่งกัน เดี๋ยวนี้เขาก็ยังพูดถึงพวกนักการเมืองก็บอกว่า ให้ลดศักดินา (เอานามาเป็นเครื่องวัดศักดิ์ของคน เป็นเรื่องของประเทศไทยแต่โบราณ พระเจ้าอยู่หัวจะประทานนาไปให้ เป็นเครื่องวัดว่าคนนี้มีนาเท่านี้เท่านี้ ร้อยไร่พันไร่เมื่อได้ก็แล้วแต่เป็นเครื่องชี้บอกว่าเป็นผู้ที่มีฐานะดี เป็นคนเจริญ )

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2563 ( 08:29:56 )

ผู้มีศีล 10 ขึ้นไปไม่ใช้เงินไม่ซื้อไม่ขายจะเป็นผู้หญิงหรือเณรก็ตามมีสิทธิ์บิณฑบาต

รายละเอียด

ที่บอกว่าให้ผู้หญิงบวชและเป็นความผิดร้ายแรง เห็นมานะอัตตาในชาวอโศก ...ก็มองให้ดีให้ถึงความไม่มีตัวตนของชาวอโศกบ้าง อาตมาบอกไม่ได้หรอก ก็ขอยืนยันว่าผู้หญิงชาวอโศกที่บวชเป็นสิกขมาตุ เป็นผู้ที่ไม่ใช้เงินทองแล้วจริงๆ ไม่ใช่เหลาะแหละ ไม่ซื้อไม่ขาย เหมือนสามเณรขึ้นไปถือศีล 10 แต่สิกขมาตุเราไม่ใช้เงินถือว่าเป็นพระจริงๆถือว่าเป็นเณรจริงๆ ศีลของเณรศีลของพระไม่มีเงินไม่ใช้เงิน ใช้เงินก็ผิด ศีล 10 ขึ้นไป ผู้ที่มีศีล 10 ขึ้นไปไม่ใช้เงินไม่ซื้อไม่ขาย ต้องพึ่งพาตนเองเลี้ยงตนเองด้วยปลีแข้ง หมายความว่าต้องเดินบิณฑบาต เพราะฉะนั้นผู้หญิงก็ตามหรือเณรก็ตามที่มีศีล 10 ขึ้นไปแล้วจริง ไม่ใช้เงินแล้วจริง จึงมีสิทธิ์จะบิณฑบาตเลี้ยงตนเองด้วยปลีแข้ง เป็นสัมมาอาชีพ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อานาปานสติอย่างพุทธ ไม่มี
นัตถิกทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2565 ( 18:45:15 )

ผู้มีศีลมีจิตเอ็นดูปราณีกรุณา

รายละเอียด

แต่ก่อนคุณไม่มีความละอายต่อการฆ่าการทำร้ายเลย ไม่หวังดีต่อสัตว์ทั้งปวง แสดงว่าเราเองไม่ได้เป็นผู้มีศีล ไม่มีอธิจิตที่เป็นจิตเจริญ พอรู้ตัวเราเริ่มเข้าใจ สัมผัสกับสัตว์แล้วกระทบ มีจิตเอ็นดูปราณีกรุณาหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อย่าว่าแต่ฆ่าเลย แม้แต่จะไปต้านกั้นไม่ให้ทำอะไรก็ไม่ทำหากทำดี แต่สัตว์มันเป็น งูจะไปกินเขียดจะไปห้ามอย่างไร จะเอาแตงโมให้งูกิน ไม่ให้กินเขียด เราต้องมีปฏิภาณรู้ว่ามันเป็นวิบากของเขา สิ่งเหล่านี้เป็นความเข้าใจเป็นปฏิภาณปัญญาที่ละเอียดลึกซึ้ง แม้แต่ที่สุดเราเห็นสัตว์คน เขาทำร้ายกัน บางทีเราก็ทำเป็นไม่เห็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะเรารู้ว่าเป็นวิบากเขาต้องฆ่ากันเอง เราอย่าไปร่วม อันนี้เป็นอจินไตยลึกซึ้ง หรือแม้ไม่ลึกซึ้ง แต่ว่าคุณเห็นว่าเขาจะฆ่ากัน แต่เราไปช่วยไม่ได้ก็จะรู้ บางคนรู้ตัวเองว่าช่วยได้ก็จัดการไม่ให้เขาฆ่ากันได้ ออกแรงหน่อยบางทีก็ต้องทำ ก็ช่วยได้ แต่ถ้ามันรู้ตัว ขืนเข้าไปแหยมก็ตาย พวกนั้นก็จะไม่ทำ เราไม่มีสิทธิ์ขัดขวาง ไม่ใช่ว่าเราเห็นแก่ตัวไม่มีน้ำใจ แต่ไม่ใช่ เราประมาณแล้วเราไม่ใช่ฐานะจะไปช่วยเขามันมีความจริงใจว่าเราช่วยได้  แต่เราต้องเจ็บตัวหน่อย เขาก็จะช่วยก็มีน้ำใจหน่อย บางคนมีน้ำใจช่วยเขารอด แต่ตัวเองตาย ก็เป็นน้ำใจอย่างมากไม่ใช่ของเสียนะ แม้จะช่วยเขารอดแต่ตัวเองเสียสละชีวิตตาย เขาไม่ได้เลวลงนะ แต่จะหาน้ำใจอย่างนี้ไม่ใช่ง่ายๆ แล้วเราไม่ยุแหย่ ประมาณเองตามฐานะ ซึ่งมันมีในโลก คนไม่อยู่ในฐานะนี้ก็ไม่ต้องทำ หากทำแล้วแย่ก็จะไม่ดี

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 23 มิถุนายน 2563 ( 09:36:46 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:54:54 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:47:40 )

ผู้มีสรรเสริญสูงทางโลกุตรธรรม

รายละเอียด

คือ ผู้แสวงสันติภาพได้ชัด ผู้ประกาศเผยแพร่ความพ้นทุกข์ ได้แจ้งกระจ่าง ผู้ล้วนแล้วแต่ความหมด ความสูญ จูงคนสู่การปลดปล่อย หรือคลายอยากได้มาก ช่วยคนให้อิสระเสรีได้จริง โน้มน้าว ก่อค่านิยมให้คนรู้จักมักน้อย ประหยัด ได้ลึกซึ้ง ดีสุด พาคนเป็นสุขเย็น ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างกลมกลืนและมีความ สงบ สุภาพ ได้แท้

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 239


เวลาบันทึก 29 ตุลาคม 2562 ( 10:32:31 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 03:58:20 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:48:18 )

ผู้มีสัทธรรม 7 ในจรณะ 15

รายละเอียด

พวกเรารู้แล้วล่ะแต่ยังจนไม่ลง มันมีวิบากต้องไปทรมานทรกรรมต้องรวย รู้นะรู้แล้ว เดี๋ยวก็ถูกว่าเดี๋ยวก็ถูกกระแนะกระแหน พวกเราพูด บางทีก็มองด้วยสายตา รู้สึก เขาจะรู้สึก คนจะรู้สึกได้เพราะเป็นคนมีหิริโอตตัปปะเป็นคนมีสัทธรรม 7  คนที่มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต แล้วก็มีวิริยะ สติ ปัญญา แล้วก็มีความเพียรมีสติสัมปชัญญะปรับตัวเอง ให้เข้าสู่ความเป็นพื้นฐานของคนที่เป็นพื้นฐานเสมอสมานกันอย่างชาวอโศก ชาวมนุษย์ที่เขามีพฤติกรรมอยู่อย่างนี้ ตัวเองยังจะมีความรวยมีมากมีหรูหราอยู่ พอเข้ามาในกลุ่มนี้จะมีหิริ นี่คือคนมีสัทธรรม7 ในจรณะ 15 แต่ถ้าคนที่ไม่มีคุณธรรมพวกนี้จะไม่รู้สึกรู้สาอะไร เข้ามาในนี้ ดีไม่ดี ไม่ใช่ละอาย แต่จะรู้สึกข่ม พวกนี้ไม่มีกินมีใช้น่าสงสารนะ เชิงข่ม ดีไม่ดี เอาให้ไปใช้หน่อยให้คนนั้นคนนี้ทำทีเป็นใจดี ทำทีเป็นเกื้อกูลช่วยเหลือ แต่ก็ดีนะ ที่จริงก็ดี แต่ยังไม่รู้สึกเป็นหิริโอตตัปปะว่า ที่จริง เราไปลดเถอะแล้วให้เท่าๆกับเขาไม่ใช่ให้เขาพออาศัยพอกิน ใครที่อยากได้ก็เจ็บใครเจ็บมันแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยอยากได้อะไรหรอก พูดมานี้ก็ให้ตัวเองว่าใครอยู่ในฐานในอย่างที่ตัวเองเป็น อาตมาอธิบายธรรมะนะตามหลัก ทฤษฎีจรณะ 15 ของพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 13:44:16 )

ผู้มีสัมมาทิฏฐิต้องเข้าพบสัตบุรุษ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นที่อาตมาอธิบาย ถ้าอาจารย์สอนพุทธศาสนาต่างประเทศเขาอยากบรรลุเขามีสัมมาทิฏฐิ เขาจะรีบมาเมืองไทย   ดีไม่ดีเขาจะรีบหาโพธิรักษ์ ถ้าเขาสัมมาทิฏฐิจริงๆเขาจะรู้ว่าสัตบุรุษอยู่ที่ไหนต้องเข้าพบและนั่งใกล้ เงี่ยโสตสดับ ฟังธรรมอย่างบริบูรณ์แล้วจึงได้มีศรัทธาบริบูรณ์ แล้วถึงจึงไปทำโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์ได้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมอย่างบริบูรณ์คบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ศรัทธาก็จะไม่บริบูรณ์การทำใจในใจก็ย่อมไม่บริบูรณ์ 

1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ 

2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์ 

3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์  

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์ 

6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต 

7. สุจริต 3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์ 

8. สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ 

9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติบริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้วิญญาณฐิติ 7 ให้ถึงอรหันต์ 

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 15:28:16 )

ผู้มีสิทธิ์รู้ในปัญญาข้อที่ 1

รายละเอียด

ทีนี้ในปัญญาข้อที่ 1 ประเด็นที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าความรู้กฎอะไรไม่มีใครมีสิทธิ์จะรู้ได้เลย ในมหาจักรวาลนี้ นอกจากจะเป็นสายตระกูลของพระพุทธเจ้ามาเท่านั้นสืบทอดมาตั้งแต่ปางบรรพ์ยังไม่รู้ด้วยว่าองค์แรกพระพุทธเจ้าคือองค์ไหน แม้แต่พระสมณโคดมก็ตอบไม่ได้ เราไม่รู้ที่ต้น แต่เรารู้ที่ปลายที่จบสุดได้ เธอไม่ต้องไปตามหาหรอก ที่ต้น

โลหิตตัส จะไปตามหาที่ต้นของดินน้ำไฟลม หรือความสิ้นสุดของดินน้ำไฟลม มันอยู่ที่ไหน ก็เหมือนกับไปตามหาว่าพระพุทธเจ้าองค์แรกเกิดเมื่อไหร่ที่ไหน เหมือนกัน ไปตามหาดินน้ำไฟลม จะตั้งไว้อยู่ที่ไหน แล้วจะไม่ให้มีจักรวาลไม่มีอะไรเลยในมหาเอกภพนี้หรือ คิดไปทำไม ถ้าตัวเองก็ไม่มีมหาจักรวาลก็ไม่มีสัตว์ใดในโลก ก็ไม่มีเรา ก็ไม่มีใครอยู่ในมหาจักรวาล แล้วจะเป็นทุกข์อะไร ถ้าใครสามารถล้มล้างเอกภพ ล้มล้างมหาจักรวาลได้ เราก็ถูกล้มล้างไปด้วย เรียกว่าไม่ต้องลงแรงทำนิพพานเลยมีคนทำให้เสร็จเลยเขาลบล้างเอกภพมหาจักรวาลไปให้เลยมันก็หมดทุกอย่าง มีแต่ความว่างเปล่า 0 เพราะโดยจริงแล้ว ถ้ามันมีแต่ความสูญแล้วพวกคุณจะเกิดมาได้อย่างไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 09:30:25 )

ผู้มีอภิปัญญาสามารถจัดการ 4 ฐาน อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย

รายละเอียด

สงครามที่มันทำลายเวิลด์เทรดคือสงครามศาสนาทุนนิยม ศาสนาสมัยใหม่คือศาสนาทุนนิยมคือรับใช้พระเจ้า 

ผู้สามารถมีอภิปัญญารู้ดีว่า สก คืออย่างไร?.. สว คืออย่างไร?.. สย คืออย่างไร?.. ก็อยู่กับมันจัดการมันได้รวมลงไปเป็น จัดการ 4 ฐานอาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย

นิสัย วิสัย คือผู้รู้แจ้งแล้ว จัดการ นิ จัดการ วิ ได้ จัดการนิ คือจัดการตัวที่ไม่มีให้มีก็ได้ ส่วนจัดการ วิ คือ จัดการตัวที่มีก็ได้ไม่มีก็ได้ มีอย่างยิ่งด้วย วิสัยจึงสูงกว่านิสัย เมื่อครบได้ทั้งอาศัย นิสัย วิสัย คนนี้ก็เป็นอนุ 

นุ คือไม่เลย เป็นคู่ของ อ กับ นุ สองตัวนี้ นุ ไม่ ก็ยังไม่พอ สำทับด้วยพลังงานสระ คือ อะ อิ อุ เอารัสสระมาใช้เลย สามเส้านี้เป็นพลังงานวงวนของ ไม่ ไม่ ไม่ 

อะ กับ ยะ คือพลังงานแม่เหล็กจับตัวกัน ตัว ย คือตัวเศษวรรคตัวต้น 

สย จึงเป็นตัวที่เกี่ยวข้องกัน ผสมกันจัดการกันตัวสุดท้ายเลย ขยายเป็น สก มีความรู้เพิ่มขึ้นเป็น สว สย เป็น สย สก สว ตลอดกาลนาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 16:56:34 )

ผู้มีอรหัตตผลจิตจริงจะพูดได้อย่างถนัดใจ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีเองรู้จักจิตที่เป็นอรหัตตผลจิตที่ไม่เหลือโลกียะ ก็เป็นความจริงของตนเองผู้ใดพูดได้อย่างถนัดใจ ไม่มีการเขิน ไม่มีการเหนียมอาย ไม่มีการมังกุ ดุ๊กดิ๊กทางจิตเลย พูดตรงๆพูดความจริง ชมตัวเอง พูดความจริงที่เป็นความจริงอันสามารถยิ่ง สามารถทำจิตเราให้ไม่มีกิเลสได้หมด   ก็บอกความจริงเป็นการชมตัวเอง อย่างไม่ได้มีอาการอาย อาการเขิน อาการมังกุอะไร คนเขาไม่เชื่อก็ท้วง ก็ติ อวดตัวเอง ไม่เชื่อ ไม่จริง เขาก็จะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

เขารู้สึกก็รู้สึกไป แต่เราไม่ได้เป็นอย่างที่เขารู้สึก เราเป็นจริง เขาไม่เชื่อก็เพราะว่าเขาไม่เห็นว่าเราจะเป็นจริง ก็เขามีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อเรา ไม่เชื่อว่าเราเป็นจริง ก็ไม่เป็นไร เราเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็เรื่องจริงของเรา เราไม่จริงก็เป็นการโกหกคนอื่น ถ้าเราเป็นจริงแล้วก็บอกความจริง เราบอกความจริงที่จริงอย่างเป็นจริง จบ ไม่มีปัญหาอะไร 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ประกาศโลกนี้โลกหน้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2564 ( 11:12:25 )

ผู้มีอัจฉริยะในการทำดีจนคนตาบอดเห็นได้

รายละเอียด

อาตมาเหนื่อยแสนเหนื่อยรู้ว่ายาก ต้องประมาณว่าจะเอาเมล็ดข้าวมาให้แก่ลิงแก่ไก่ เอาแหวนเอาเพชรมาให้ลิงไก่ที่ตาบอด จนต้องใช้ศัพท์ว่า ทำดีจนคนตาบอดเห็นได้ 

พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่ อาตมาก็เห็นเช่นนั้น คนที่มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่ ส่วนคนที่มีภูเขาอยู่ในดวงตามีเยอะแยะอาตมาจะไปทำอย่างไร ก็เขาไปทำให้ภูเขาบังตาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาตมาพูดโดยใช้สติสัมปชัญญะใช้ปัญญาใช้ภาษา ใช้นัจจะคีตะวาทิตะ พยายามเรียบร้อยไม่ให้คุณหมั่นไส้เกิน ใช้สุ้มเสียงสำเนียงสุภาพ ให้คุณรับได้ แต่เขาไม่ได้อธิบาย นัจจะคีตะแบบอาตมาเขาก็อธิบายว่าเป็นอบายมุขไปหมด ก็ถูกต้องแต่อาตมาไม่ได้แปลนัจจะคีตะวาทิตะว่าเป็นอบายมุข แต่อาตมาแปลว่า อัจฉริยะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แก้กรรมฐานให้ถูกพุทธ วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:15:21 )

ผู้มีอัญญธาตุจึงจะทำบุญเป็น

รายละเอียด

ทีนี้ก็พูดถึงประเด็นที่เราจะพูดกัน บาป แม้แต่บาปกับบุญ ซึ่งมันเป็นภาษาที่คู่กัน แต่คนก็เข้าใจยาก ยากมาก จนกระทั่งแม้กระทั่งคำว่า บาป มันไม่สูญหายไปได้ แต่บุญนี่ มันก็ไม่สูญแต่เข้าใจผิด ถ้าเข้าใจถูกแล้วเป็นอาริยบุคคล คำว่าบุญ มันไม่มีเกินกว่าปัจจุบัน และ พระอรหันต์ขึ้นไปก็ไม่มีบุญอีกแล้ว อันนี้ก็เป็นความเสื่อมที่ชาวพุทธเข้าใจไม่ได้แล้ว อาตมาก็จำเป็นที่จะต้องเอาความจริงนี้ขึ้นมาสถาปนาให้ได้ใหม่ 

เพราะฉะนั้นสรุปง่ายๆก็คือชาวพุทธทั้งหลายเข้าใจคำว่า บุญ ไม่ได้แล้ว เข้าใจผิดเป็นกุศล ซึ่งบุญไม่ใช่กุศล กุศลเป็นเรื่องของสมบัติ แต่บุญเป็นเรื่องของวิบัติ ก็เลยพูดกันไม่รู้เรื่องเมื่อพูดถึงบุญก็เข้าใจเป็นสมบัติทุกที ก็เข้าใจว่าเป็นสมบัติแล้ว พฤติกรรมของคนจะทำบุญก็ทำเป็นสมบัติหมด ทั้งๆที่บุญมันเป็นสมบัติไม่ได้ บุญมันเป็นวิบัติ 

เพราะบุญคือ เครื่องชำระกิเลส อาวุธร้าย ชำระกิเลส ให้สะอาดบริสุทธิ์จากจิต เมื่อชำระหมดสิ้นอาสวะแล้วบุญก็หายไป บุญก็หมดหน้าที่ บุญก็ไม่มีในใคร แม้แต่พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ระดับ 4 คือขั้นอรหันต์  อาริยะระดับ 4 พอหมดอาสวะสิ้น ปุญญปาปปริกขีโณ ทั้งบุญทั้งบาปก็ปริกขีโณก็สูญสิ้นหมดไม่เหลืออย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 7 พ่อครูพบ ดร.นพ.มโน เลาหวณิช เรื่อง บาปของทุนนิยม วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2565 แรม 11 ค่ำเดือน อ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2565 ( 18:50:39 )

ผู้มีอำนาจโดยธรรม

รายละเอียด

หาก จิตเราเป็นชาวนรก ไปติดภพนรก วงการนรก เช่น วงการการเมืองเป็นวงการนรกวงการนึง เป็นนรกที่ดุเดือดเลวร้ายด้วย แล้วก็อยากจะไปเป็นใหญ่ในอำนาจนรก แล้วหลงว่าเป็นอำนาจสวรรค์ ที่จริงและเป็นอำนาจนรกแต่เขาไม่รู้เขาก็ต้องแย่งกันไป ถ้าหากมาเรียนรู้ศาสนาพุทธแล้ว จะไม่ไปติดในเรื่องโลกีย์ งมงายเรื่องเหล่านี้เลย แต่จะเป็นผู้ที่ได้อำนาจโดยธรรม อย่างเช่นชาวอโศก ทุกคนมีอำนาจในตัวเองเต็ม แล้วทุกคนก็ไม่ไปละเมิดไปเบียดเบียนใครของใคร ดีไม่ดีก็เกื้อกูลช่วยเหลือกันด้วย อาตมาพูดผิดไหม พิสูจน์ได้จริงไหม พวกเราเป็นจริงได้นะ อาจจะมีไม่เต็มที่บ้างบางคนเท่านั้น แต่ก็ชัดเจนเลยว่าต้องเป็นอย่างนี้ต้องเป็นคนที่ไม่มีตัวตนต้องเป็นคนเกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่นเสียสละอะไรพวกนี้เข้าใจหมดแล้วแล้วก็ทำให้ได้ ใครทำได้มากเท่าไหร่ก็เป็นความจริงเป็นอริยบุคคลเท่านั้นจริงๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องภาษาเล่นๆแต่เป็นภาษาที่ทำได้จริงนะ ใครว่าตัวเองทำได้บ้าง ยกมือหมดทุกคนเลย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 09:54:14 )

ผู้มีอิทธิพลเหนือความมีความไม่มี

รายละเอียด

ผู้มี“อภิภุยฺย”เป็น“อนุปคัมมะ”คือผู้มีอิทธิพลเหนือ “ความมี-ความไม่มี” จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง-ความไม่จริง” จึงเห็นชัดเจนได้ว่า คนผู้“มี” เขาก็ยัง“มี” จนกว่าเขาจะเข้าถึง“ความไม่มี”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้ จึงจะทำ“ความไม่มี(น โหติ)” ที่เป็น“อนัตตา”หรือเป็น“สูญ” แยก“ธาตุจิตของตน(จิตนิยาม)”ให้หมดสิ้นไปเป็น“ดินน้ำไฟลม(อุตุนิยาม)”สำเร็จเป็นที่สุดก็จริงที่สุด  

มันเป็นเรื่อง“อจินไตย” เป็นเรื่องนิรันดร ทั้งความมี-ทั้งความไม่มี โลกียะเขาก็“นิรันดร”ใน“ความมี”ส่วนพุทธที่เป็น“โลกุตระ” ก็“นิรันดร”ใน“ความไม่มี” 

ผู้“มี”ก็คือ“ผู้ยังต้องมี” ส่วนผู้ “ไม่มี” ได้แล้วจริง ก็เป็น “ผู้ไม่มี” จึงทำที่สุดแห่งที่สุดที่“ความไม่มีนิรันดร”ได้จริง

ศาสนาพุทธเป็น“อเทฺวนิยม” รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ของไตรลักษณ์ มี“อนัตตา” มี“สุญญตา” มี“นิพพาน” และที่สำคัญมี“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” 

“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”คือ คนผู้เป็นเจ้าของ“จิตวิญญาณ”เองสามารถจัดการกับ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น “อุตุนิยาม” นั่นคือ “จิตวิญญาณ”ของคนผู้นั้นสูญสลายกลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป หมดสิ้น“อัตตา”ของตนไปนิรันดรเลย 

จึงไม่ใช่“ศาสนา”ที่จะมีอยู่ใน“กาลของโลก”ประจำโลกนิรันดร มีบางช่วงที่เป็น“พุทธันดร” หมายความว่า ระหว่างกาลเวลาช่วงใดที่ไม่มีศาสนาพุทธอยู่เลย  ช่วงนี้แหละคือ “พุทธันดร” เป็นช่วงที่โลกกาละนั้น“ไม่มีศาสนาพุทธ”

ในโลกกาละนั้นมีแต่ศาสนาที่ไม่ใช่พุทธ คือ มีแต่ศาสนา“เทฺวนิยม”ที่เป็นโลกียธรรมทั้งหลาย มากมายหลายศาสนาที่จะมีอยู่ในโลก ในโลกจึงมี“เทฺวนิยม”ประจำโลก ไม่ขาดหายไปจากโลกในกาละไหนเลย

ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาเดียวที่มี“โลกุตรธรรม” แต่ก็มีบางช่วง“โลกุตรธรรม”ขาดหายไปจาก“โลก”ในบางกาละ แม้ในวงการ
“พุทธศาสนา” หรือในกาละนั้นๆไม่มี“พุทธศาสนา”เลยในโลกก็เป็น“พุทธันดร”แท้ๆ

“พุทธศาสนา”จึงไม่ใช่ศาสนาที่มีประจำโลก แม้แต่ในวงการ“พุทธศาสนา”เองแท้ๆ ก็ยังมีบางกาละ บางยุคที่ชาวพุทธเสื่อมหนักมี“โลกุตรธรรม”ไม่ได้ เช่น ในยุค พ.ศ. 2,500 นี่เอง ไม่มี“โลกุตรธรรม”ในชาวพุทธ ชาวพุทธเองแท้ๆในโลกช่วงนี้ไม่มี“โลกุตรธรรม”กันอยู่ในช่วงหนึ่ง

อาตมาเกิดมาในยุคพ.ศ. 2,500 นี้ จึงต้องนำ“โลกุตรธรรม”ฟื้นคืนกลับขึ้นมาให้แก่ชาวพุทธ ตามสัจจะที่ต้องเป็นไป ขออภัยที่พูดความจริงซื่อๆ ตรงๆ เหมือนอวดตัวอวดตน  แต่แท้จริงในจิตใจของอาตมาไม่มี“สาเถยฺยจิต”เลยจริง


 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 21:59:28 )

ผู้มีอิทธิพลเหนือความมีและความไม่มีเป็นอนุปคัมมะ 

รายละเอียด

ศาสนาพระพุทธเจ้าแม้เป็นกาม กาย เรียนรู้การตกอยู่ในอำนาจ กาม กาย ตัวโง่  ตัวไม่รู้เท่าทัน ตัวปัญญาก็ต้องชัดเจนเลยว่า อ๋อ อันไหนที่เราต้องอาศัย มันเป็นสิ่งที่มีนะ เราต้องอาศัยกันและกัน แต่อะไรที่จะให้ไม่มี ...ตัวโง่ตัวกิเลส ตัวไม่รู้ถึงความมี เรามี แต่กิเลสเราไม่มี เพราะฉะนั้นเราจะเห็นทั้งความมีกิเลสแล้วก็ไม่มี ไปถึงความไม่มีแล้วกิเลสเราก็ไม่มี จึงรู้ทั้งสองฝ่าย มีเราก็ทำให้ไม่มีได้ ไม่มีเราก็ทำไม่มีได้ แต่เราก็ไม่หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะโลกมันก็ต้องมีทั้งความมีและความไม่มี เราก็เป็นคนที่อยู่เหนือ มีอภิภุย เรียกว่ามีอิทธิพลเหนือความมีและความไม่มีเป็น อนุปคัมมะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 18 วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 17:13:56 )

ผู้มีเชื้อของโลกุตระจึงรับจิตสัมผัสได้

รายละเอียด

มีศาสดาองค์เดียวในมหาจักรวาลคือพระพุทธเจ้า แต่หลายองค์นะ แต่ท่านได้ตรัสรู้ความรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันเดียวกันของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก็จะรู้อันนี้หมด แม้จะยังไม่ถึง อย่างอาตมานี่ก็รู้เอามาพูดแล้ว รู้แล้วและทำได้ด้วย และมันก็มีนัยยะที่รู้ยิ่ง รู้ขึ้นไปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันมีขั้นตอนของอรหันต์ถึง 6 อรหันต์  6 ขั้น 6 ระดับ ที่อาตมาก็ขยายความไว้แล้ว อย่างอาตมานี่อยู่ในระดับ 4 อรหันต์ระดับ 4 แล้วต้องไปเป็นอรหันต์ระดับ 5 จะไปเป็นอรหันต์ระดับ 6 ระดับสุดท้ายคือเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งมันเป็นความรู้ ถ้าอาตมาไม่เอามาพูดมาอธิบายพวกนี้ ก็ไม่มีใครจะรู้หรอก แต่อาตมารู้เพราะอาตมาเป็นความจริง อาตมาเป็นความจริง เป็นตัวจริง เป็นความรู้ที่อยู่  DNA เดียวกันกับของพระพุทธเจ้าจริงๆ ก็พูดความจริงสู่กันฟัง 

เพราะฉะนั้นโลกในยุคนี้ ที่อาตมาเอาโลกุตระเข้ามาสถาปนาลงไปนี้ จึงเป็นสุดยอดของความรู้ ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้ มันหมดแล้ว มันไม่มีแล้ว มันเสื่อมจริงๆ แล้วอาตมาก็เอามาสถาปนาลงไป 

ทำไมพูดว่ามันเสื่อม มีอะไรพิสูจน์ มีอะไรชี้บ่ง มีอะไรยืนยันว่ามันเสื่อม ก็อาตมาประกาศมา 53 ปีแล้ว ท่านผู้ที่ดูแลศาสนาพุทธอยู่ รู้เรื่องที่ไหนล่ะ มีแต่พวกคุณนี่รู้เรื่อง คือพวกที่ไม่ใช่ผู้งมงายตามเถรสมาคม แต่เป็นผู้มีดวงตา ผู้มีเชื้อของโลกุตระ จึงรับจิตสัมผัสได้ รู้คุณค่า เข้าใจ เชื่อมั่นในความจริงอันนี้จึงมาเอา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูบวชมาครบ 53 ปี มีอะไรจริง พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครั้งที่ 41 วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2566 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2567 ( 14:33:32 )

ผู้มี“วิชชา”ย่อมรู้ “ธรรมนิยาม 5” แยก “อุตุ-พีช-จิต”ได้จริง!

รายละเอียด

“วิญญาณ”หรือ“จิตนิยาม”นี้เอง ที่จะเป็น“ธาตุ”หรือเป็น

“ธรรม”ที่มีอยู่ใน“ตัวตน” 

ด้วยการ“สมาทาน”เรียนรู้ของผู้มี“วิชชา”

จึงจะสามารถเรียนรู้“ธรรมนิยาม 5” 

แยกความเป็น“อุตุ-พีช-จิต”ได้ด้วย“กรรม” ด้วย“ธรรม” ตาม

หลักธรรมต่างๆของพระพุทธเจ้า

เริ่มยึดถือสมาทาน“มรรค”ปฏิบัติไปตามลำดับ จึงจะเกิด“ผล”ไป

ตามลำดับๆ ต้น-กลาง-ปลาย 

“สมาทาน”คือ ผู้ถือเอาพร้อม 

นั่นคือ ผู้ที่ยึดถือปฏิบัติในขณะเป็นมรรค ก็ต้องมีขั้นตอนไปตาม

ลำดับ

ไม่ใช่จะปฏิบัติลัดเอา หรือปฏิบัติกลับไปกลับมา ไม่ไล่เรียงไป

ตามลำดับ

ซึ่งผู้ใดยึดได้“มิจฉามรรค”ก็บรรลุ“มิจฉาผล” 

และ“มิจฉาผล”นั้นจะมีอยู่ประจำตนอยู่ตลอด(หลงว่ามี“นิรันดร”ด้วยซ้ำ)

ไม่ว่าจะเป็น“ฌาน” หรือเป็น“สมาธิ” หรือเป็น“อวิชชา”! 

และ“มิจฉาผล”นั้นจะมีอยู่ให้เราได้ศึกษา ไม่ขาดไปได้หรอก 

แม้ในขณะที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่แท้ๆ ก็ยังมีมิจฉามรรค-

มิจฉาผลได้เลย 

ไม่ว่าจะเป็น“มิจฉาฌาน” หรือเป็น“มิจฉาสมาธิ” หรือเป็น“อวิชชา”

เป็นต้น

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 455 หน้า 332


เวลาบันทึก 16 มิถุนายน 2564 ( 09:02:06 )

ผู้ยอมแพ้ได้คือคนสร้างความสงบสุขในมหาจักรวาล 

รายละเอียด

การยอม นี่คือสูงสุดในมนุษ์ชาติ มนุษย์ที่ยอม มนุษย์ที่แพ้ ยอม โดยยอม ไม่ใช่ยอมแบบที่คนเขานับว่าชนะด้วยนะ ถือว่า ยอมด้วยแพ้ คือยอมคือแพ้ นี่แหละคือต้นตอของผู้ให้เกิดความสงบ คนชนะเขาจะรุกรานอีกเท่าไหร่ๆ คนก็จะเห็นละทีนี้ ผู้ที่แพ้แล้วจะถูกคนชนะรุกรานข่มเบ่งอะไรไปอีก สายตามนุษย์โลกสามัญสำนึกก็จะเห็นแล้วว่า ไอ้คนนี้อะไรกัน คนเขายอมคนเขาแพ้ เขาไม่สู้อีกแล้ว คุณก็ยังไปข่มไปรุกรานไปทำร้ายทำลายเขาอีก มันก็ดูได้เห็นได้ว่าคนๆ นี้จะดีหรือจะเลว ใช่ไหม เพราะฉะนั้น จบที่สวยที่สุดก็คือการยอม 

เพราะฉะนั้นธรรมะที่ลึกซึ้งที่สุดในคนที่ยอมให้เขาตราหน้าว่าเป็นผู้แพ้ ไม่ต้องไปพูดถึงคำว่าผิดหรือถูก แต่เป็นผู้แพ้ แน่นอนถ้าเป็นผู้ผิดแล้วแพ้ก็ไม่มีปัญหาอะไร แม้เป็นผู้ถูกก็เป็นผู้แพ้ได้ คนนี้ต่างหากเป็นคนที่สร้างความสงบในมหาจักรวาล เป็นผู้ที่สร้างความสงบในมหาจักรวาล 

เพราะฉะนั้นคนไม่ถึงความจริง ไม่มีความจริงถึงขั้นอย่างนี้จริงๆ เลยนะ จะไม่ทำความยอมแบบนี้ ไม่ทำความยอมเป็นผู้แพ้ แม้จะถูกก็ยอมเป็นผู้แพ้ได้ 

ขออภัยต้องยกตัวอย่าง เช่น อาตมาพาพวกเรายอมแพ้ ทั้งๆที่เราถูก เราไม่ได้ผิดเลย ขอยืนยัน เขาจะหาว่าผิดอย่างโน้นอย่างนี้แย้งมา เขาแย้งได้ เขาก็มีปมมีมุมมีแง่ที่จะแย้ง ก็เป็นอันสรุปแล้วมันมีผลอะไร ผลสงบไง หยุดแล้ว เราหยุดแล้ว แต่เธอสิยังไม่หยุด ก็ชัดอีก เราหยุดแล้วแต่คุณยังจะมากระหน่ำย่ำยียังไม่หยุดอีก อะไรกันนักกันหนา แพ้แล้วนะ หยุดแล้วนะ ควรจะหยุดรุกรานกันได้แล้ว ยิ่งแพ้ ยิ่งจะย่ามใจ ยิ่งเบ่งอำนาจ ยิ่งอะไรต่ออะไร ใครเขาก็เห็นแล้วต่อไปจากนั้น ว่าคุณควรจะเป็นคนเช่นนั้น 

เพราะฉะนั้น สิ่งจริงสิ่งที่เป็นสัจธรรมที่ควรหรือไม่ควร ในสังคมมนุษยชาติ ก็จะมีความรู้แบบที่อาตมาอธิบายไปคร่าวๆ แล้วก็มีเหตุการณ์ของสังคมเหตุการณ์ของพฤติกรรมมนุษย์อย่างที่เป็นอยู่ให้เราศึกษานะ 

เพราะฉะนั้น การยอมด้วยการทำให้ปัญหาในวิกฤติมันยุติลงไปได้ ก็คือผู้ที่ไม่มีตัวตน ยอม แล้วก็แพ้ ไม่มีตัวตน โดยสัจธรรมมันเป็นอย่างนั้น ไม่มีตัวตน ก็สวยที่สุด 

เสร็จแล้วคุณมดแดงบอกว่า สัจธรรมที่พ่อครู ที่สุดของการแพ้ ก็คือหมดอัตตา คุณเข้าใจถูกต้องแล้ว คนที่ยอม สุดท้ายที่สุดคือ การแพ้นี้ คือผู้หมดอัตตา คนที่ฉลาด เพราะยอมแพ้เป็น นั้นจบ ถูกต้อง ยอมแพ้เป็น ยอมแพ้ได้ เป็นอันจบ 

ใช่ อาตมาทำ แล้วอาตมาก็พาพวกเราทำ แล้วอาตมาก็ไปบังคับใครให้มาทำตามไม่ได้ คุณจะมาทำตาม คุณก็มาด้วยอิสรเสรีภาพ มาเห็นดีเห็นด้วยทำตามอาตมา ก็อันเดียวกันเท่านั้นเอง อันเดียวกันกับอาตมาก็เหมือนว่า รวมตัวกัน เป็นพวกเดียวกัน 

แต่ที่จริงเราไม่ได้มาหาพวก แต่สิ่งนี้มาเป็นสิ่งเดียวกันโดยสัจจะของมันเอง มาเป็นสิ่งเดียวกันโดยสัจจะของมันเองอย่างนี้เท่านั้น นี่คือสัจจะที่เราก็จะยืนยัน จะพิสูจน์ความจริงอันนี้กันไปเรื่อยๆ นะ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #45 Soft power โลกุตระของพ่อครู นำสู่การพ้นคนโลกเก่า วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2567 ( 15:41:53 )

ผู้ยังมิจฉาทิฏฐิในความเป็นกายกับสัญญาคือสัตตาวาส 9

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ท่านถึงอธิบายความเป็นสัตว์แยกให้รู้ว่า คุณต้องรู้ว่ากายคืออะไร  โดยคุณมีธาตุรู้คือ สัญญาตัวกำหนดรู้ ถ้าสัญญาไม่วิปลาส สัญญาเป็นธาตุรู้ที่แน่นอนถูกต้อง สัญญาคือตัวสัญญาที่กำหนดรู้ในระดับปัญญา ในระดับโลกุตระ 

รู้จริงรู้แท้ แม่น ตรง คม ลึก ชัด ก็จะสามารถกำหนดรู้ กาย ได้ถูกต้อง 

เพราะฉะนั้นในสัตตาวาส 9 ผู้ที่กายกับสัญญาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้ยังมิจฉาทิฏฐิในความเป็นกายหรือความเป็นสัญญา หรือสัญญาของตัวผู้นั้นยังวิปลาส ยังยึดมิจฉาทิฏฐิ ยังไม่ถูกต้องไม่ตรง ก็จะกำหนดความเป็นกาย สัญญากำหนดรู้ความเป็นกายผิดเพี้ยนไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 18:33:51 )

ผู้ยังมีสัมภาระวิบากยังมาเป็นชาวอโศกไม่ได้

รายละเอียด

ก็เป็นสัมภาระวิบากของคุณ สินอโศก ไปอยู่ต่างประเทศมีสามีและลูกอยู่ต่างประเทศ จนติดตามกันมา อาตมาเห็นภาวะของสามี ยังไม่สามารถนำพาเข้ามาอยู่ในนี้ได้ มาแล้วก็ไปซื้อที่อยู่ที่คำกลาง สร้างบ้านอาศัยอยู่ตรงนั้นก็ศึกษาตาม ก็ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจอย่างที่ส่งข้อความมา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 10:32:19 )

ผู้ยังยึดเทวะเป็นตัวตนไม่รู้จักเรื่องกรรมเรื่องวิบาก

รายละเอียด

จึงไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่อง“กรรม” เรื่อง “วิบาก”อย่างถ่องแท้แยบคายบริบูรณ์ได้เลย แม้จะได้รับคำสอนจากพระศาสดาว่า อย่า“ผูกพยาบาทอาฆาตแก้แค้นนิรันดร” ซึ่งมันเป็น“คู่หู”คือ เป็นภาวะตรงกันข้ามกับ“รักผูกพันนิรันดร” ศาสดาก็ไม่รู้ ว่ามันเป็น“เทฺว”ที่แยกกันไม่ได้ จึงได้แต่สอนกันไป      

แม้จะทำได้ก็เป็นการ“ผูกพยาบาทอาฆาตแก้แค้นหรือรักกันวนเวียนไม่รู้จบ” เพราะมันเป็น“กรรมวิบาก” อันปรารถนาร้าย-ปรารถนาดีสุดๆ ตามล้างตามฆ่าตามแก้แค้นกัน“เป็นรัก-เป็นชัง”ด้วย“อวิชชา” อันไม่มี“จบ”ลงได้ ดังที่เล่าขานเป็นนิยายนับเรื่องไม่ถ้วน เป็นตำนาน“มหากาพย์-มหารามเกียรติ์”กันอยู่ไม่รู้“จบกิจ” ไม่รู้แล้ว เพราะยังไม่สิ้น“อวิชชา”นั่นเอง

มันเป็น“เทวาเทวสงคราม”แห่งอวิชชา สงครามของ“เทฺว” คือ “ภาวะ 2”ของคนที่ไม่มี“ปัญญา”ไม่มี“วิชชา” จึงมีแต่“อวิชชา”ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“กรรมวิบาก” ซึ่งเป็น“อจินไตย”แท้ๆแน่นอน ว่า มันเป็น“ภาวะ 2”ที่ตามแก้แค้นกัน ผูกพัน คือ รัก-ชัง ชาติแล้วชาติเล่า

และการตามรัก การตามแก้แค้นล้างผลาญกันก็มีอยู่จริงในผู้ยัง“อวิชชา” ไม่รู้จบ ไม่รู้แล้ว ไม่มีอภัย ไม่ปล่อยวางจริง ไม่หลุดพ้นไปได้ 

ไม่มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “ทุกสรรพสิ่งล้วนคือ

อนัตตา(สัพเพธัมมา อนัตตา)” เพราะตนไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“ตน” เป็น“กาย” เป็น“บุญ” แม้แต่เป็น“ฌาน” เป็น“สมาธิ” ฯลฯ เป็น“อัตตา” เป็น“นิพพาน” เป็น“ปรินิพพาน” และเลิก“ความเป็นตน” ทำ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ให้แก่ตนสุดท้ายได้สำเร็จแท้ 

ผู้มี“อวิชชา”ทุกคนนั้นยังไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง

“เทฺว”อันคือ “ภาวะ 2”ของตนเองที่“ปรุงแต่ง”กันอยู่ เรียกว่า “สังขาร”ของสัตวโลกที่มีความเป็น“จิตนิยาม”ทั้งหลาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1

วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 21:10:46 )

ผู้ยังไม่พ้นสักกายทิฏฐิ

รายละเอียด

สักกายทิฏฐิ เมื่อยังไม่พ้น ยังไม่บรรลุสักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อนี้เขายังมิจฉาทิฏฐิ ได้แค่สักกายทิฏฐิ เพราะสักกะคือตัวของเรา รวมทั้งหมดเลย เกี่ยวกับตัวเราคือ สักกะ 

กายคือต้องมีคู่ ภายนอกภายใน เขาก็ยังไม่เข้าใจ สักกะ มันก็ไปติดอยู่กับตัวเขา เขาก็ยังจมอยู่กับพยัญชนะภาษา วาทะความรู้ เขายังไม่เข้าถึง จิต เจตสิก รูป ไม่ต้องพูดถึง นิพพาน เขายังไม่เข้าถึงจิตเจตสิกของเขานะ แต่เขาก็พยายามเข้าใจว่าจิตคือธาตุรู้ ๆๆตามบัญญัติพยัญชนะภาษา แล้วก็มีเหตุผลในพยัญชนะภาษา ร้อยเรียงกันเป็นเหตุเป็นผลของพยัญชนะภาษาทั้งนั้น เป็นตรรกะของเหตุผลของพยัญชนะ เขาไม่ได้เข้าไปแตะเรื่องจิตของตนเอง จิตเจตสิกเขายังไม่ได้แยก 

เพราะฉะนั้นคำว่ากายคือเจตสิก 2 ข้างนอกเรียกว่า กายเจตสิก ข้างในเรียก เจตสิกะ โดยตรง เขายังแยกไม่ได้ แยกได้บ้างก็อาจจะ ไม่สมบูรณ์ เช่น กาย ไปหนักทางสรีระ กาย ไปหนักทางวัตถุ ไม่สัมพัทธ์กัน ไม่ด้วยกันเลยนะกายไปแยกจิต แยกข้างนอกไม่ได้ แยกข้างนอกก็แยกจิตออกจากกันไม่ได้ กาย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ปลุกธรรม ตอบปัญหาผ่ามิจฉาอาชีวะ 5 วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2567 แรม 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2567 ( 19:10:53 )

ผู้ยึดมั่นถือมั่นแตกเป็นนิกายเกิดอนันตริยกรรม

รายละเอียด

แต่กระนั้นพุทธก็มีนิกาย แต่นิกายนั้น ทั้งหมดไม่มีใครไปล้มล้างพระไตรปิฎกเป็นแต่เพียงความเห็นแตกต่างกันไปแยกกันไปของแต่ละเจ้าสำนักเท่านั้นสูงสุดเรียกว่านานาสังวาส ส่วนผู้ที่โง่จัดกว่านั้นก็มีความยึดมั่นถือมั่นเกินไปก็แตกเป็นนิกาย เพราะฉะนั้นผู้ใดทำให้เกิดนิกายก็เกิดอนันตริยกรรมของแต่ละคน ผู้ใดที่ยึดถือว่าตัวเองเป็นนิกาย ก็เกิดอนันตริยกรรมของคุณไป เพราะฉะนั้นอย่าเอาคำว่านิกายมาใส่อาตมาเป็นอันขาดอาตมาไม่ยอมรับ ไม่เป็นด้วย ส่วนคุณเองจะมีความเห็นอย่างไรก็แล้วแต่อาตมาไม่เกี่ยวเมื่อจะยืนยันพระไตรปิฎกเรื่องนี้เรื่องเดียวกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 8 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 23 เมษายน 2563 ( 13:06:16 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:55:35 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:48:47 )

ผู้รักษาศีล 5 ศีล 8 อย่างครบบริบูรณ์กับไม่บริบูรณ์บ่มีสัจจะอย่างไหนจะดีกว่ากัน

รายละเอียด

ครบบริบูรณ์จะต้องมีสัจจะด้วย ที่บอกว่าพร่องบ้างแต่ไม่มีสัจจะ อาตมาว่าพร่องบ้างก็คือไม่ครบบริบูรณ์ ครบบริบูรณ์ต้องไม่พร่องหากครบบริบูรณ์จะต้องมีสัจจะด้วย

ที่มา ที่ไป

เอื้อไออุ่นแพทย์วิถีธรรม วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 09:37:24 )

ผู้รับใชัผู้อื่นคือผู้มีประโยชน์คุณค่า

รายละเอียด

สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ท่านก็เทศน์เรื่องกินกัน อาตมาก็มาพูดเรื่องกินกันและกันเดือดร้อนหนักหนาสาหัส เพราะฉะนั้นเราหยุดที่จะมากินใคร เลิกเป็นยักษ์เป็นมารไม่มากินกัน มีแต่ให้คนอื่นเขากินได้ โดยเราเป็นมนุษย์ธรรมดา เรามีแรงงาน เรามีความรู้ความสามารถ เราก็เอาความรู้ความสามารถนี้มาให้ นั่นคือให้คนกิน รับใช้คน ความรู้ความสามารถเราก็เอามาใช้ เราขาดทุนๆๆ เป็นผู้รับใช้ ผู้รับใช้ผู้อื่นคือผู้มีประโยชน์คุณค่า ผู้ที่เอาแต่ใช้คนอื่น เป็นคนที่ไร้ค่าที่สุดเลย เป็นผู้ที่ไม่มีค่าอะไรไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่มาเบียดเบียนคนอื่นเอาเปรียบคนอื่น ใช้ผู้อื่น 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันที่ 2 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2564 ( 13:31:51 )

ผู้รับใช้ประเสริฐกว่าผู้รับจ้างอย่างไร

รายละเอียด

“เรา”ได้มีประโยชน์แก่คน เราได้“รับใช้”คน นี่ดีสุดแล้ว 

แต่อย่าทำตนเป็น“คนรับจ้าง”เป็นอันขาด 

“ผู้รับใช้” กับ “ผู้รับจ้าง” เป็น“ภาวะ 2”หรือ“เทฺว”คู่หนึ่งที่มีความสำคัญยิ่ง มีนัยะลึกซึ้งในความแตกต่างกันยิ่งๆ

ผู้ที่ได้รับค่าจ้าง 

1. เป็นเงินทอง 

2. เป็นการปูนบำเหน็จเป็นตำแหน่งลาภยศ 

3. ไม่มีทั้งทรัพย์สินเงินทองให้ ไม่มีทั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่ให้สรรเสริญ ให้คำยกย่องเชิดชู 

4. ไม่มีทั้งสรรเสริญยกย่องเชิดชู ไม่มีทั้ง 1 2 3 เลย ลาภก็ไม่ได้รับ ยศก็ไม่ได้รับ สรรเสริญก็ไม่ได้รับ แต่ยังยึดความสุขอยู่ ทำแล้วก็อาศัยความสุข ก็ยังไม่ใช่ผู้ที่หมดตัวหมดตน ยังมีโลกธรรมอยู่ 

อาการสุขที่คุณยังยึดอยู่เป็นอย่างไร อาการที่คุณยังยึดสรรเสริญเป็นอย่างไร ยึดในยศศักดิ์ ยึดขั้นตอนว่าชั้นสูงนะ เขาไม่ได้มาปูนบำเหน็จให้ยศคุณหรอก แต่อย่างอาตมาเขาปูนบำเหน็จให้เป็นพ่อครู อาตมาก็ต้องรู้ตัวว่าเป็นพ่อครูจริงไหม เป็นพ่อครูจริง แต่อาตมาไม่ได้ไปติดในรสว่าเป็นพ่อครู ต้องมีอำนาจบาตรใหญ่เขากลัว ไม่ใช่ 

พ่อครู คือผู้สอน คือผู้บอกความจริงจบ ใครจะมาเอาก็เอา ใครไม่เอาก็เป็นตัวใครตัวมัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2 
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2564 ( 19:25:00 )

ผู้รู้

รายละเอียด

1. คนผู้ที่รู้ความเป็นพุทธ , คนผู้รู้ธรรมะที่เป็นพุทธอย่างถูกต้องแท้จริง หรือรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ ซึ่งมิใช่ผู้ที่รู้อะไรอย่างใดอื่นหรือผู้ฉลาดเฉลียวอื่น จบด็อกเตอร์ เป็นอัจฉริยะ เป็นปราชญ์ซึ่งเป็นความรู้ต่าง ๆ สารพัดอันมิใช่รู้แจ้งจริงในพุทธธรรม 

2. ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอาริยสัจ 4  รู้แจ้งจริงคนโลกีย์ – คนโลกุตระ

หนังสืออ้างอิง

เปิดโลกเทวดา หน้า 117


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:15:22 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:34:37 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:49:20 )

ผู้รู้ความไม่เที่ยง

รายละเอียด

คือ ผู้ที่ทำความไม่เที่ยงได้

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู จากรายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 21:13:24 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:56:04 )

ผู้รู้จริงถึงขั้นพูดอย่างมีสติและรู้ตัวเองว่าไม่มีกิเลสในจิตแล้ว

รายละเอียด

ถ้าไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิเรื่อง กาย ไม่มีการวิจัยวิจารณ์ คุณโมฆะแล้ว แม้แต่  สัตตาวาสข้อที่ 1 กายของคุณก็โมฆะ สัญญาคุณก็วิปลาส 

อาตมาอธิบายนี้เข้าใจไม่ง่ายนะ พวกคุณมีบารมีเก่าคงพอฟังได้ง่ายกว่า หรือแม้แต่คนมีบารมีเก่าแต่เกิดอคติขึ้นมาไม่ยอมรับอาตมา เขาปิดประตู คนที่มีบารมีเก่ามาก็ดี แต่ปิดประตูอาตมาเพราะไปเชื่อฟังคนสมัยนี้ เป็นครูบาอาจารย์เป็นคณะใหญ่ บอกเลยโพธิรักษ์มันไม่ใช่  มันจะมาทำลายศาสนาพุทธ ก็หลงเชื่อตามเขา ให้เขาจูงจมูก สักวันหนึ่งก็จะฟื้นขึ้นมารู้ว่าอาตมาไม่ใช่คนอย่างที่เขาพูดกัน แต่อาตมาคือผู้รู้จริง พูดซื่อๆ แต่คนอาจหาว่าอวดตัวอวดตนหลงตัวตน แต่อาตมาไม่ได้หลง พูดอย่างมีสติ รู้ตัวเองว่าไม่มีกิเลสในจิตใจแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 4 วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 12:04:03 )

ผู้รู้จะเข้าใจว่าความเห็นต่างกันเป็นธรรมดา

รายละเอียด

เราก็ออกความเห็นในเรื่องสังคม ประชาชนเขาจะมีการต่อต้านกฎหมายคัดค้านบ้างส่งเสริมกันบ้างก็ว่ากันไปในสังคม เราก็ออกความเห็นไปบ้าง ซึ่งจริงๆแล้วการออกความเห็นไปนี้ ผิดบ้างถูกบ้างเป็นธรรมดา อาตมาก็แสดงความเห็นไป แน่นอนว่าไม่ตรงกับอีกหลายคน เขาก็ว่าไม่ถูกเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า นอกจากอาริยสัจ 4 นอกจากสัจธรรม ที่เป็นอาริยสัจ 4 ผู้ปฏิบัติธรรมอาริยสัจ 4 แล้วก็บรรลุธรรมเป็นนิพพานด้วยกันอันนั้นแหละเป็นหนึ่งเดียวกันตรงกันทั้งหมด

นอกนั้นพูดขึ้นมาไม่มีอะไรที่จะไม่ขัดแย้งกัน ขัดแย้งกันได้ทั้งนั้น ซึ่งมันประกอบไปด้วยกาละ เวลา ฐานะ คนที่อยู่ในฐานะคนละฐานะ ยกตัวอย่างง่ายๆ ตื้นๆ ชาวศาสนาเทวนิยม ก็อยู่ในฐานะของการยึดถือ เทวะ หมายถึง 1 เราชาวพุทธ 1 ก็ได้เราก็เข้าใจ แต่ว่าเทวหมายถึง 2 เป็นสัจธรรมที่จะต้องศึกษา มันก็ต้องเห็นต่างกันตลอดเวลาแน่นอนมันไม่ตรงกันเป็นอันเดียวกันได้ ผู้รู้แล้วก็เข้าใจว่าเขาเป็นอย่างนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการวิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:08:09 )

ผู้รู้ติดยึดในพยัญชนะเป็นพระใบลานเปล่าหรือปทปรมะ

รายละเอียด

ถ้ายังได้แต่พยัญชนะจะเถียงกันไม่จบ แย้งกันไม่จบ เสียเวลาไปกับพยัญชนะ ซึ่งน่าสงสารมากติดยึดกันเยอะ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีผู้รู้ติดยึดในพยัญชนะเยอะ 

ในยุคพระพุทธเจ้ามีพระโปถิละ พระพุทธเจ้าเรียกว่าพระใบลานเปล่า เดี๋ยวนี้มีผู้รู้อยู่เยอะเลยเป็นแบบนี้ ได้รับปริญญาเอกได้เปรียญ 9 ปริญญาพุทธศาสนาบัณฑิต ได้อภิธรรมอะไรหลายชั้น ก็เรียนพยัญชนะเก่งท่องจำ จำได้เยอะ อธิบายได้เจื้อยแจ้วเลย แต่เป็น ปทปรมะ เก่ง จำภาษาได้มาก ท่องจำได้มาก สอนคนอื่นก็มาก แต่ตัวเองไม่ได้บรรลุธรรม ในชาตินั้นแหละ พูดไปก็น่าสงสาร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ทำไมพ่อครูพาชาวอโศกลงสู่สนามการเมือง วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 05:14:56 )

ผู้รู้ทันสิริมหามายา

รายละเอียด

คือการตีความเป็นสภาพสภาวะ 2ใครตีความได้ตรง อันนั้นเป็นผู้รู้ทัน สิริมหามายา ว่าจะเอาหน้าไหนตามเหตุปัจจัยใช้อันใด คนไหนจับได้ทันคนนั้น เป็นคนฉลาดที่เป็นจอมสิริมหามายา เหมือนนักมายากลที่รู้ทันความเร็วที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนมาจะเอาหน้าไหนก็ได้จนคนอื่นจับไม่ติดคนไหนจับได้คนนั้นเป็นสิริมหามายา มุมนี้อาตมาเอามาเปิดเผยซึ่งเป็นความลึกซึ้งมาก คนที่เกิดภูมิปัญญาถึงขั้นมีสิริมหามายา จิตในแต่ละคู่มากคู่เข้า คนนั้นเป็นสิริมหามายา ยอดขึ้นเรื่อยๆ ต้องรู้ทันความเร็วความคิด ของจิตที่มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมามี 2 แบบ 1.  เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบคนขี้โกง เป็นนักมายากลเหมือนกัน  2.  แบบสิริมหามายารู้ทันนักเล่นกลและเป็นคนจริงที่จะมาปราบนักมายากล

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 11:44:12 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:57:27 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:53:07 )

ผู้รู้ที่จะแยกสัจจะ

รายละเอียด

ชอบหรือไม่ชอบ ชอบหวานหรือไม่ชอบหวานอันนี้ของเก๊ของใครของมัน มีอาตมมานี่แหละพยายามแยกสัจจะเหล่านี้ให้ฟัง นอกนั้นไม่มีผู้รู้ที่จะแยกสัจจะเหล่านี้ให้ฟังจึงไม่มีนิพพาน นิพพานถึงไม่มีรสของความสุขความทุกข์ไม่มีรสของความชอบความชัง สัมผัสแล้วก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงไม่เดือดร้อน สบาย ไม่รักไม่เกลียดรู้ความจริงตามความเป็นจริงเหมือนคนอื่นเขารู้ ส่วนคนอื่นเขาดูแล้วเขาจะมีความดูดความผลัก เขาจะเป็นความทุกข์ความสุขก็ขึ้นอยู่กับเขาตัวใครตัวมัน 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2563 ( 09:23:13 )

ผู้รู้ทุกข์เป็นผู้เจริญ เป็นสัจจะของผู้ประเสริฐ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในเรื่องสุขเรื่องทุกข์นี้ เป็นเรื่องโลกุตระซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากๆเลย อาตมาพูดไปแล้วคนก็ยังไม่เข้าใจลึกซึ้ง เป็นภูมิธรรมเป็นสัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้าเรื่องสุขเรื่องทุกข์ เพราะฉะนั้นเทวนิยมทั้งหลายแหล่เขาไม่ประสีประสากับเรื่องสุขเรื่องทุกข์ เขาหลงความสุขเป็นสุขนิยม เขาไม่รู้เรื่องทุกข์ พระพุทธเจ้า จึงบอกว่ ผู้ที่รู้ทุกข์เป็นผู้เจริญ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นสัจจะของผู้ประเสริฐ ถ้าไม่ใช่ผู้ประเสริฐจริงเป็นมิลักขะอยู่ พวกเทวนิยมทั้งหลายแหล่ พูดไปแล้วก็เหมือนไปข่มเขา ไปข่มชาวเทวนิยมทั้งหลายแหล่เขา ซึ่งมันเป็นสัจจะที่อาตมาพูดไม่รู้กี่ทีแล้ว มันก็มีเชิงข่มแน่นอน เพราะเขายังไม่รู้ 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครบถ้วนทุกอย่าง ทั้งสุขและทุกข์ และสุดท้ายก็รู้ว่าเป็นมายา ก็ไม่ไปมีอาการ คนที่จิตไม่มีอาการสุขอาการทุกข์ เรียกว่าอทุกขมสุข มันไม่ใช่เรื่องสามัญ ไปจัดการให้ไม่สุขไม่ทุกข์แบบกดข่มมันก็พอได้ แต่มันไม่ถาวรมันไม่จริงไม่มีปัญญาเข้าไปจัดการเลย เพราะฉะนั้นคำว่าปัญญาคำนี้จึงยิ่งใหญ่มาก 

ที่มา ที่ไป

 พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 แรม 15 ค่ำเดือน 4 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2565 ( 14:11:48 )

ผู้รู้ธาตุอื่นจากโลกคนแรกของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

อาตมา อธิบายเรื่องอัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ อาตมาว่า ไม่มีใครมาอธิบายขยายได้ชัดเจนอย่างอาตมาหรอก ก็คือโกณฑัญญะเป็นผู้รู้ที่มีธาตุรู้อันอื่นจากโลกคนแรกของศาสนาพุทธ เกิดการหายโง่ โง่คือไม่รู้โลกุตรธรรม แต่โกณทัญญะมีธาตุรู้อันนี้ อัญญะเป็นคนแรกต่อมาก็เป็นอัญญา เป็นพหูพจน์ จนเป็นปัญญา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 22 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2563 ( 20:25:30 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:58:25 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:54:23 )

ผู้รู้รู้ว่าจตุมหาราชเป็นผี

รายละเอียด

แม้ที่สุดจะเป็นเจ้าโลก เหมือนอย่างที่คนเขาแย่งอำนาจอยู่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในโลกขณะนี้กัน เขาก็ไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นผี 

ผีนี่คือ ผู้รู้ได้ตั้งสมมุติไว้ให้ศึกษาว่า เป็น จตุมหาราช เป็นผี เป็นยักษ์สี่หน้าสี่ทิศ ​ตาโปน มีเขี้ยว ถือดาบถือง้าวรุกรานใครต่อใครหมด นั่นแหละคือพวกที่สร้างระเบิดปรมาณูไปรุกรานใครต่อใคร นั่นแหละคือพวกจตุมหาราช พอได้แล้วก็ดีใจเป็นดาวดึงส์ เป็นจิตขี้เก๊ ตัวที่ 33 เป็นอาการตัวที่ 33 ของจิตที่สร้างขึ้นมาเสพ ตัวที่มันไม่มีอาการจริงของใจอย่างไร 

ธรรมดาคนเรามีอาการ 32 แล้วก็สมมุติขึ้นมาว่ามีอะไรอีกอัน เป็นภพชาติ อาการที่ 33 ขึ้นมาอีกอันหนึ่ง สมใจสุขใจ ชนะเขาแล้ว แย่งลาภได้แล้ว แย่งยศได้แล้ว แย่งสรรเสริญได้แล้ว แย่งสุขได้ แย่ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แย่งความเป็นใหญ่ อัตตาใหญ่ แย่งปรมาตมันได้ โอ้โห! มันมืดบอด มันหลงอยู่ในภพชาติหนักหนาสาหัส ไม่รู้จัก ปฏิจจสมุปบาท เลย 

เพราะฉะนั้นกว่าคนที่จะมารู้ว่าเรานี่เองเป็นผี ผีใหญ่ โอฬาริกอัตตา ผีในโลกอบายมุข

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2565 ( 21:04:52 )

ผู้รู้สัตตาวาส 9 จริงๆคือพระอรหันต์

รายละเอียด

คนที่จะรู้สัตตาวาส 9 จริงๆ คือ พระอรหันต์เป็นต้นไปก็ต้องรู้ว่าสัมมาทิฏฐิเป็นคนพวกหนึ่ง มิจฉาทิฏฐิก็คือคนอีกพวกหนึ่ง 

สัตตาวาส 9 ทั้ง 9 อย่างมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นความเป็นสัตว์ทั้งนั้น พระอรหันต์พ้นจากความเป็นสัตว์ทั้งหมด ท่านรู้ทั้งหมดแล้ว ท่านก็ไม่ติดยึดสิ่งเหล่านี้ ไม่เป็นสิ่งเหล่านี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 18:42:23 )

ผู้รู้สาระว่าเป็นสาระผู้นั้นเป็นผู้มีสาระ

รายละเอียด

ผู้ไม่รู้จักสาระไปเข้าใจสิ่งไร้สาระว่ามีสาระคือผู้ไร้สาระ ยิ่งเรียนยิ่งโง่ยิ่งโตยิ่งเซ่อ ผู้รู้แล้วมาเรียนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนสร้างสัจจะเลย ไม่เสียเวลาแรงงานทุนรอน กับสิ่งไร้สาระ เอาเวลาแรงงานทุนรอนสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่โลกสูญเสียอันยิ่งใหญ่

ที่มา ที่ไป

วิถีอาริยธรรม บ้านราช เศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่นี่ วันอาทิตย์ 5 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 14:12:13 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:59:09 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:55:11 )

ผู้รู้เองมี 3 ระดับ

รายละเอียด

ความรู้เริ่มจาก ปัจจัตตัง รู้ได้ด้วยตน สะสมมาเป็นปัจเจก ไปเรื่อยๆ จนมากพอขั้นกลางคือสยังอภิญญา จากนั้นบำเพ็ญต่อไปเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ เพื่อเข้าไปหาการเป็นพระพุทธเจ้าจึงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่าสยังอภิญญา น่าเห็นใจที่เขารู้ได้ยาก เพราะว่าเขาไปเข้าใจว่าผู้รู้ต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น แท้จริงแล้วผู้รู้เองนั้นมีหลายระดับตั้งแต่ สยังอภิญญา ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 22 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:51:51 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:00:06 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:57:34 )

ผู้รู้แล้ว ไม่อยู่นิรันดร

รายละเอียด

นี่คือความรู้ความฉลาดที่มีทั้งเหตุและผล มีทั้งสุดยอดที่มนุษย์จะพึงรู้สึกคือเวทนา หรือจะเรียกตามภาษาโลกๆเขา ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีนอะไรก็แล้วแต่ที่หมายถึงเวทนา หมายถึงความรู้สึกนี้ เรียนรู้ความรู้สึกตัวนี้ รู้ธาตุคู่ที่เป็นเวทนา จะรู้ทุกอย่างของจิตนิยาม และสามารถที่จะสลายจิตนิยามได้ หรือจะมีจิตนิยามอยู่ก็อยู่อย่างดีอย่างประเสริฐอย่างไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไรอยู่ในโลกอีก นิรันดร ถ้าจะอยู่นิรันดร 

แต่ผู้รู้แล้ว ไม่อยู่นิรันดรหรอก เพราะถ้าจะอยู่ก็เป็นธาตุคู่ ธาตุคู่ที่ร้ายที่สุดก็คือความสุขความทุกข์ ที่มันมีตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด ที่สุด แม้ที่สุดทุกข์เพราะ ภาราหเวปัญจขันธา ทุกข์เพราะตัวเองต้องมีขันธ์ 5 ต้องมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นภาระที่สุด ภาราหเวปัญจขันธา ต้องบริหารให้มัน มันต้องเจ็บต้องป่วย มันต้องเกิดตายวนแล้วเวียนเล่า คุณรู้จักความวน เลิกความวนจบไม่เกิดอีก ไม่มีอีกไม่เป็นอีก ศูนย์ไปเลย 

นี่คือ ความสุดยอดที่พระพุทธเจ้ามี ใครที่เขาไม่มีศาสนาเพราะเขาไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร ไม่มีเหตุไม่มีผล แท้จริงมีทุกอย่าง มีเหตุมีผลมีประโยชน์มีโทษให้รู้หมด แล้วก็สามารถที่จะแยกธาตุตัวเองให้เป็นศูนย์ได้ด้วย คุณอยากจบก็จบไปได้ คุณไม่อยากจบคุณจะเป็นคนดีที่สุดอยู่เหนือความทุกข์ความสุขคุณก็อยู่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 53 ประโยชน์อันสูงสุดจากศาสนาที่มนุษย์พึงได้ วันจันทร์ที่ 5 กันยายน 2565 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2565 ( 12:15:56 )

ผู้รู้ในไทยรู้อย่างผิดๆไม่รู้ถูกโลกุตระแท้

รายละเอียด

ผู้รู้ทั้งหลายอยู่ในประเทศไทยนี่ ถ้าเขารู้ว่าโพธิรักษ์พูดนี่แหละของจริง อย่างที่เขาเข้าใจเขายึดถือมานั้นมันไม่ใช่ มันผิด โลกุตระอย่างที่เขาเข้าใจมันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเขารู้ ที่เรียกด้วยศัพท์ว่าปัญญา เขายังฉลาดเพี้ยนๆ หรือรู้อย่างผิดๆเขาไม่ได้รู้ถูกโลกุตระแท้ พออาตมาเอาโลกุตระแท้มาพูด เขาก็จะว่าพูดอะไรวะ ไม่เห็นเหมือนที่เขาเข้าใจ เมื่อไหร่เขาจะรู้ว่า เฮ้ย เราเข้าใจว่าโลกุตระเป็นอย่างนี้อยู่ตั้งนานแล้ว ที่จริงมันไม่ใช่ มันต้องเป็นอย่างโพธิรักษ์บอกนี้ ก็จะละอายมาก เขาจะละอายมาก เพราะเขาเคยดูถูก ข่มขี่ ย่ำยี โพธิรักษ์มามากแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 2 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันอังคารที่ 6 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 14:00:08 )

ผู้ละอายเกรงกลัวต่อบาปอย่างแรงกล้าคืออาริยะที่แท้จริง

รายละเอียด

อธิบายคำว่า อริยะ อารยะ กับอาริยะ ว่าต่างกัน แต่อริยะ กับอารยะ เขาปฏิบัติกันไม่มีมรรคผล อาตมาจึงมาใช้คำว่า อาริยะ แทน 

ถ้ามีความละอายเกรงกลัวต่อบาปอย่างแรงกล้า ผู้นั้นเป็นอาริยะ ที่แท้

ถ้าหากเป็นผู้ที่ไม่มีความละอายต่อบาป หรือแม้แต่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้ที่มีบาปไม่ถูกต้อง ผู้ที่ถูกต้องเป็นอีกคนนึง คนนี้ยังไม่เกิดจิตละอายหรือเกรงกลัวต่อ เราก็ต้องละอายที่คนนั้นเขาเจริญ ซึ่งเราก็มุ่งความเจริญ เราเห็นความเจริญแบบนั้นมันถูกต้อง จริงด้วย เรายังไม่เกิดความละอายคนนี้ก็ยังไม่กระเตื้องยังไม่มีเทวธรรม ก็ยังถือตัวถือดียังไม่ยอมลดราวาศอก ยังจะถือดีถือตัวยึดมั่นที่ตัวเองอยู่ มีตำแหน่งหรือพอจะรู้แล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่ยอม อย่างนี้ก็ไม่เข้าข่ายที่จะเจริญพัฒนาโลกุตรธรรมได้ ต้องมีความยินดี มีความละอาย มีความจริงใจที่แม้ว่าเกิดอาการจิตอย่างนี้ ยิ่งละอายชัดเจนเพราะรู้จริงๆว่า ตนเองยึดผิดว่าถูก แล้วมาเถียงมาแย้งมาโต้มาต้าน ดีไม่ดียกสิ่งผิดไปข่มสิ่งถูก มันน่าอายนะ เอาขี้หมาไปแข่งทองคำ มันน่าอาย ช่างงมงายเหลือเกินเรานี่ มันจะละอายจริงๆ นี่เป็นสัจธรรม ธาตุจิตที่มันจะเกิดสภาวะอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 10:52:32 )

ผู้สงบแล้ว คือ ผู้ที่คล่องแคล่ว

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น คนที่จิตสงบจากกิเลสเป็นโลกุตระที่แท้จริง ผู้สงบแล้ว คือ ผู้ที่คล่องแคล่ว ว่องไวปราดเปรียว แข็งแรง ไม่ใช่คนเซื่องซึมเหงาซึม เศร้าหลบหลับดับไม่รู้เรื่องไม่ใช่ มันผิดไปหมดเลย จิตก็ต้องแข็งแรง ปราดเปรียว คล่องแคล่ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มาฝังชิปโลกุตระใส่จิตวิญญาณตนจนเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565 วันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 ธันวาคม 2565 ( 11:44:49 )

ผู้สันโดษ

รายละเอียด

สันตุฏฐิ น้อยที่สุด คือ ศูนย์ คุณจะมีธาตุรู้คือตัวตนกับศูนย์ คุณทำส่วนได้ คุณก็จะรู้ว่าศูนย์เป็นอย่างไร ศูนย์อันนี้น้อยที่สุดไม่ไป ไม่ไปบอก ไปน้อยกว่าศูนย์ ก็ไม่เอา มากกว่าศูนย์ก็ไม่เอา ตอนนี้ตัวใครตัวมันน้อยเกินศูนย์ก็ไม่เอา จนกระทั่งคุณวสามารถชัดเจนว่าเรา ศูนย์นี่คืออะไร ศูนย์ได้สนิทแข็งแรง มั่นคง ตั้งมั่น เพราะฉะนั้น จึงทำให้คุณจะต้องเรียนรู้ว่า เวทนาในเวทนา ทุกปัจจุบันคุณต้องลืม ให้เป็นศูนย์ทุกปัจจุบัน ทำความศูนย์ ศูนย์ได้สะสมเป็นฐานของอดีต ทำได้ในทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีตที่ศูนย์ อนาคตจะมาอีกเท่าไหร่ก็ตาม จะมาทางทวารทั้ง 6 เป็นความสุข ความทุกข์ ความเฉย เป็นมโนปวิจาร 18 ทำเวทนา เคหสิตะอาการโลกีย์ เราไม่พ้นมัน ทำให้ศูนย์ได้ เกิดจิตปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสรา บริสุทธิ์ได้แข็งแรง รวดเร็วสุดยอด คุณก็จะรู้ตัวจบได้ในตัวเอง คนที่เข้าใจปัจจุบัน 36 แล้วสั่งสมตกผลึกเป็นอดีต 36 อย่างแข็งแรงมั่นคง อดีตกับปัจจุบัน 2 ตัวเป็นคู่หู ที่อนาคตมาอย่างไรก็สู้ไม่ได้ ปัจจุบันกับอดีตนี้แข็งแรง อนาคตเข้ามาไม่ถึงรัศมีหรอก เพราะฉะนั้นอนาคต 36 ปัจจุบัน 36 อดีต 36 จึงศูนย์หมด

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 19:56:16 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:02:05 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:30:29 )

ผู้สัมมาทิฏฐิจริงแท้ สามารถอธิบายสภาวธรรมได้ทั้ง 2 ทิฏฐิ

รายละเอียด

ทีนี้ไม่มีอย่างไม่เห็น ไม่รู้ ไม่สว่าง คือพวกมิจฉา แต่ดำมืดอย่างสัมมาคือรู้ว่าทำให้มืดทำให้ดำชัดเจนไม่สว่างมืด ก็ต้องรู้ว่ามันมีนัยยะสำคัญต่างกัน จบที่สภาวะอันนี้ อาตมาไม่มีภาษาพูดต่ออีกแล้ว เข้าใจไหมว่าจบตรงไหน ที่ยังไม่เข้าใจก็งง นิ่งอยู่ คนที่เข้าใจก็อยู่ที่กิเลสดับ ก็ไม่มีความมืดมีแต่สว่าง แต่จะเรียกว่าดับมืดหรือดับ ก็เรียกได้ ตามพยัญชนะ ตามภาษาที่คุณเรียก ไม่ได้ขัดแย้งเลย คนที่มีสัมมาทิฏฐิไม่ขัดแย้งแม้คุณจะเรียกด้วยภาษานั้นอธิบายสภาวะ ซึ่งเป็นสภาวะอีกอย่างหนึ่งดิ้นได้ด้วย สภาวะอย่างคนที่เป็นมิจฉาแต่จะอธิบายให้สัมมา คนที่มิจฉาอธิบายให้เป็นสัมมาไม่ได้ คนที่สัมมา จึงจะอธิบายเป็นสัมมาได้หรืออธิบายให้รู้มิจฉาได้เข้าใจ 2 อย่างเป็นสิริมหามายาจะเอามุมไหนมาโชว์มาแสดงก็ได้ 

จึงมีคำพูดว่า ไอ้ที่พูดได้ไม่ใช่ของจริงของจริงต้องนิ่งใบ้ ใช่คนใบ้ไม่รู้จะพูดอะไรให้ฟังแต่คนอย่างนั้นจะมาพูดได้ แต่คนที่พูดไม่ได้จริงๆ พูดไปก็จะยิ่งงงหนักเลอะเข้าป่าก็เลยนิ่งดีกว่า ก็ถือว่าเป็นตัวจบลึกซึ้งมาก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมวิจัยให้รู้ความต่างในวิญญาณฐิติ 7 วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 20:33:22 )

ผู้สัมมาทิฏฐิแล้วจึงตำหนิคนที่มิจฉาทิฏฐิได้

รายละเอียด

พูดด้วยความจริงใจว่าอาตมาสัมมาทิฏฐิแล้วก็มาตำหนิคนที่มิจฉาทิฏฐิ แต่คุณเองก็เข้าใจว่าสิ่งที่คุณยึดถือนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ คุณก็น่าจะเปิดใจมาฟังทางนี้บ้าง เห็นความขัดแย้งอะไรก็แสดงความเห็นออกมาได้ ต่างคนต่างจะได้เข้าใจ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการวิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:35:33 )

ผู้สัมมาทิฏฐิแล้วใน สักกายทิฏฐิ ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 กายในกาย

รายละเอียด

ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

อาตมาเห็นความสำคัญเหล่านี้ ไม่มีใครเขาเอามาพูดหรอกในยุคนี้ อาตมาพูดถึงนี้ ในพระวินัยเล่มแรกเลย ผู้ที่ไม่รู้จึงแปลพยัญชนะบาลีเป็นไทยว่า มิได้ถูกวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ซึ่งมันก็จะคาอยู่ เพราะต้องถูกวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงจะบรรลุ แต่นี่มันจะข้ามยาก ในเนื้อหาอาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว แต่ทำไมไม่ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกายในปัญญาวิมุติ ซึ่งมันเหมือนกันกับ อุภโตภาควิมุติ มีอาสวะสิ้นแล้วเหมือนกันก็เป็นพระอรหันต์แล้วสิ 

ก็ยิ่งไม่ต้องไปคำนึงถึงอะไรทั้งสองอย่าง ถ้าเป็นปัญญามีปัญญาอันยิ่งเพราะเห็นด้วยปัญญา เป็นปัญญาวิมุติ ก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ คือเป็นผู้สัมมาทิฏฐิแล้วใน สักกายทิฏฐิ แล้วก็มาปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 กายในกาย กายนอกกาย ก็ชัดเจนหมดแล้วจึงจะบรรลุธรรม แม้ที่สุดจะตรวจด้วยกาย ด้วยสัญญา ด้วยวิญญาณฐิติ 7 เป็นอันสุดท้าย ตรวจว่าเรายังมีอะไรมิจฉาทิฏฐิอยู่ มีอะไรที่ต่างจากสัมมาทิฏฐิหรือว่าสัญญาอันใดมันยังวิปลาสอยู่ก็มาตรวจ ตั้งแต่วิญญาณฐิติ 1 2 3 4 5 6 7 อย่างนี้เป็นต้น 

 [42] บุคคลชื่อว่ากายสักขี เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาบุคคลนี้เรียกว่า กายสักขี กายสักขีก็ต้องต่ำกว่าปัญญาวิมุติ อันนี้บอกว่ามีกายเป็นสักขีเลย แต่ปัญญาวิมุติ บอกว่าไม่ต้องถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ที่จริงบล็อกไว้เป็นนัยยะว่าไม่ต้องไปกล่าวถึงแล้ว ก็มันผ่านมาแล้ว ทำได้มาแล้ว 

อธิบายผู้ที่ปฏิบัติได้แล้วอย่างนั้นก็ได้ แต่อันนี้กำลังอธิบายเรื่องสามัญกำลังปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้กายแล้วจึงจะทำให้อาสวะสิ้นไปได้ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิในเรื่องกาย อาสวะสิ้นไม่ได้แม้บางอย่างก็สิ้นไม่ได้ อย่าไปพูดถึงอาสวะสิ้นทั้งหมดเลย อาสวะบางอย่างก็สิ้นไม่ได้ กายสักขีมันต้องมีกายเป็นสักขีพยาน ต้องสัมมาทิฏฐิในเรื่องกาย ถึงจะทำให้อาสวะสิ้นได้เพราะเห็นด้วยปัญญา อันนี้เรียกบุคคลว่าเป็นกายสักขี 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายในบุคคล 7 วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 แรม 13 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2566 ( 21:19:17 )

ผู้สั่งสมบารมี

รายละเอียด

ผู้ใดมาร่วมช่วยอาตมาสร้าง เป็นผู้มีบารมีมาร่วมสร้างกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะสร้างเกาะรัตนราชธานีอโศก เป็นผู้สั่งสมบารมีทั้งนั้น อาตมาก็เห็นว่า อาตมาก็อายุปานนี้แล้ว ก็ตั้งใจ ถ้าทำสองอันนี้เสร็จ สะพานกับภูเขา น้ำตกก็มีแล้ว เหมือนโมโนลิธ ก็ได้ แต่ที่จริงตั้งใจจะให้สูงกว่านี้ก็ได้แค่นี้ ผาแหงน เอาแค่นี้ก็เท่านี้ อาตมาไม่เห่อเหิมมโหฬารพันลึกกว่านี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติปรากฏได้ในยุคโควิด วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:50:18 )

ผู้สามารถทำอาชีวะระดับ 5

รายละเอียด

ผู้สามารถทำได้ต้องเป็นโลกุตรธรรม สามารถทำอาชีวะระดับ 5 ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา คือ ลาภที่ได้มาโดยธรรม ลาภธัมมิกา ไม่เอามาเป็นของตัว เอาเข้าไปสู่สาธารณโภคี นี่เป็นเศรษฐศาสตร์สุดยอดที่สุดที่คอมมิวนิสต์ก็ต้องการ ประชาธิปไตยก็ต้องการ คือ คนสมาชิกของสังคมนี้ เสียภาษี 100% ทุกคน สมาชิกทุกคนของสังคมนี้ อยู่ในระบบ สาธารณโภคีนี้ ทุกคนเสียภาษี 100% 

 คอมมิวนิสต์เขาก็พยายาม ประชาธิปไตยเขาก็พยายาม แต่ทำไม่ได้ ทำได้เฉพาะพุทธศาสนาโลกุตระนี้เท่านั้น ในโลกมีหนึ่งเดียว ไม่ได้บังคับนะ คุณจะเป็นสมาชิกเมื่อไหร่ ได้ คุณไม่เป็นสมาชิกคุณก็ออกไป แต่คุณเข้ามาคุณก็มาใช้บริการนี้ได้ ปฏิบัติตามกฎ ระบบระเบียบของที่นี่ก็แล้วกัน คุณก็มาใช้บริการ สาธารณโภคี ได้ แต่ถ้าคุณไม่ คุณจะไปส่วนตัวก็ออกไปข้างนอก อิสระ ไม่มีปัญหาอะไร อิสระ เราไม่ได้ไปละลาบละล้วงอะไรคุณ ของเราก็มีกฏระเบียบเหมือนกับประเทศเขาก็มีกฎหมายมีระเบียบของเขา เหมือนในโลกอันเดียวกัน นี่สุดยอดที่สุด นี่คือ สาธารณโภคี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ปลุกธรรม ตอบปัญหาผ่ามิจฉาอาชีวะ 5 วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2567 แรม 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2567 ( 18:46:19 )

ผู้สำคัญในสาระก็ได้สาระ

รายละเอียด

ชีวิตควรจะมีสาระ พูด-ทำ-คิด มีแต่สาระ ไม่เอาเวลาไปพูด ไม่เอาเวลาไปคิด ไม่เอาเวลาไปทำกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ผู้มีสาระ ผู้สำคัญในสาระก็ได้สาระ ผู้ไม่สำคัญในสาระก็ไปสำคัญสะเปะสะปะเป็นธรรมดา ตามภูมิของแต่ละบุคคล 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #36 ชีวกสูตรคือเจาะจงฆ่าไม่ใช่เจาะจงชื่อคนกิน วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2566 แรม 13 ค่ำ เดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กันยายน 2566 ( 15:28:52 )

ผู้สำเร็จปัญญา คือผู้สำเร็จธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ 

รายละเอียด

สรุปเข้าเป้าอีกทีว่า โพชฌงค์หรือสัมโพชฌงค์ของพระพุทธเจ้านี่จึงเป็นความรู้ความตรัสรู้ประกอบไปด้วยความตรัสรู้อันยิ่งใหญ่ ที่เป็นเงื่อนไขหลัก คุณจะมีวิจัย คุณจะมีธัมมวิจัย แต่มันไม่เป็นธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ก็ไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ปัญญินทรีย์ ไม่ใช่ปัญญาพละ ยังเป็นแค่ เฉโก จะเป็นอัจฉริยะขนาดไหน เก่งที่สุดได้เป็นแค่ศาสดา ทางโลกอาจจะได้เป็นศาสตราจารย์ เป็นทางธรรมะก็ได้เป็นศาสดา เป็นศาสตราจารย์พิเศษ เกียรติคุณ ตั้งกันเข้าไปเยอะแยะ ซึ่งมันไม่ใช่ผู้สำเร็จปัญญา ผู้สำเร็จธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ 

อาตมาจะเน้นสรุป วิจัย ธัมมวิจัย ก็ยังเป็นโลกๆ ถ้ายังไม่มีสัมโพชฌงค์ ไม่มีโลกุตระไม่มีปัญญา ไม่ใช่ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เมื่อคืนเทวดาก็มาคุยสำทับกับอาตมา เอาอันนี้ ให้ เอามายืนยันให้พวกเราชัดเจนคำว่า สัมโพชฌงค์ ซึ่งเขายังผิดเพี้ยนกันอยู่ ใช่ไหม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 3 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 เมษายน 2564 ( 21:24:22 )

ผู้สิ้นบุญสิ้นบาปแล้วไม่สันโดษในกุศล

รายละเอียด

อาตมาก็ต้องเขียนอธิบายคำว่าบุญ เพราะว่าคนชาวพุทธเองแท้ๆเข้าใจคำว่าบุญไม่ได้แล้วเข้าใจคำว่าบุญผิดเพี้ยนเป็นคำว่ากุศล มีความหมายเดียวกับคำว่ากุศล ซึ่งมันผิดกันคนละเรื่องเลย เพราะกุศลนั้นเป็นเรื่อง ทำเถอะ ไม่ต้องหยุด แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า เราไม่สันโดษในกุศล พระพุทธเจ้าก็ตรัสอย่างนี้ ท่านก็ตรัสว่าเราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว มีหลักฐานเลย แม้พระอรหันต์บางท่านก็บอก อาตมาเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเข้าใจภาษาคำว่าบุญกันไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าบุญคืออะไร ก็อยากได้บุญกัน คนที่อยากได้บุญคือคนโง่ จำไว้ คนที่ชัดเจนดีแล้วว่าโอ้โห..หมดบุญแล้วสบายแล้ว หมดสิ้นบุญไม่ต้องใช้บุญอีกเลยในชีวิตตลอดไปนิรันดร คนนั้นก็คือคนจบกิจเป็นอรหันต์ขึ้นไปเลย ซึ่งยิ่งใหญ่ ความหมายแค่นี้ก็ไม่ได้เข้าใจกันง่าย คือเข้าใจยากอยู่นะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูผู้ปราบมารเพื่อยังพุทธศาสนาให้ถึง 5000 ปี วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 05:06:30 )

ผู้สุคะโต ผู้ไปดีแล้ว

รายละเอียด

มันมีความซับซ้อน เป็นภาวะสิริมหามายา ยิ่งหยุด ยิ่งดิ้น ยิ่งหยุดแล้วยิ่งไปดี เราหยุดแล้ว แต่เธอสิยังไม่หยุดนั่นแหละคือ ผู้สุคะโต ผู้ไปดีแล้ว ยิ่งไป ท่านจะไปหยุดตรงไหน จะ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ท่านก็ไป ไปแต่ดีไม่มีชั่วเลย สุคะโต อย่างนี้เป็นต้น ค่อยๆฟังไป ค่อยๆทำความเข้าใจไป ก็ขอเบรกกันอย่างแรง อย่าต่อเลยนะ แล้วคณะไทยโพสต์ โดยเฉพาะคุณเปลว สีเงิน ก็ได้ข่าวว่าเป็นเทวนิยมอยู่อีกเยอะ ขออภัยที่พูดความจริง ยังติดในเทวนิยมอีกเยอะ ก็บวชเรียนมา มีความรู้ทางศาสนาไม่น้อย แต่ยังไม่สัมมาทิฏฐิเพียงพอ มันก็เลยยังเป็นอะไรต่ออะไรอยู่เยอะ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 10 ออกจากกาละได้โดยใช้ มูลสูตร10 และวิญญาณฐิติ 7 วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:45:35 )

ผู้หญิงกับทอมรักกันมันผิดไหม

รายละเอียด

ผิด แม้แต่ผู้หญิงกับผู้ชายก็ยังผิดในที่นี้ หากเขาจะรักกันในวัย ฐานะที่จะรักกันได้ไม่สำส่อนก็ว่ากันตามฐานะ แต่ถ้าเลิกกันได้ดีกว่า ที่นี่มีคนคู่น้อยมีคนโสดเยอะ อย่าไปใส่ใจไปหา เพราะว่าในอนุสัยจิตเรามันมีมาแต่เดรัจฉานแล้ว ความเป็นคู่จึงเป็นความยากที่จะถอดถอน การถอดถอนให้จิตใจเราไม่มีอาการกามจึงเป็นความยิ่งใหญ่ที่สุดในความเป็นมนุษย์โลก ยิ่งยุคนี้สมสมัย แปลว่าไม่จำเป็นต้องมีลูกไปสู่ต่อเผ่าพันธุ์ หลายคนที่นี่เอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงมาดูแลเยอะแยะไม่ต้องกลัวจะไม่มีลูก ให้เลี้ยงเด็กให้ดีเถอะ ที่นี่มีเด็กให้เลี้ยง ที่นี่ คนไม่ดีก็จะมาอยู่ไม่ได้ด้วยเพราะเป็นดินแดนที่เป็น ปฏิรูปเทสวาโส พูดโดยโลกว่าบุญไม่ถึงมาอยู่ไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ สำมะปี๋ซี่วิต  ครั้งที่ 36 วันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 11:14:25 )

ผู้หญิงทุกข์กว่าผู้ชาย

รายละเอียด

ที่ทุกข์กว่าผู้ชายเพราะว่าเกิดเป็นผู้หญิง ผู้หญิงเป็นภาวะที่ทุกข์มากกว่ามีภาระมีอะไรต่ออะไรต่างๆในสังคม ที่จะต้องเป็นเรื่องรับผิดชอบ แม้แต่เกิดมา ก็ต้องตั้งท้อง อุ้มลูก โตจากท้องผู้หญิง ท้องผู้ชายไม่ได้ มันเป็นภาวะหลายอย่างที่เป็นธรรมชาติ คนที่เกิดมาเป็นผู้หญิงจึงต้องทนต้องรับว่ามีทุกข์มากกว่าผู้ชาย นี่เป็นสัจจะ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 08:45:26 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:03:15 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:58:03 )

ผู้หญิงผู้ชายกับความเป็นพระโพธิสัตว์

รายละเอียด

แต่ถ้าจริงๆแล้ว ถ้าผู้นั้นเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมจริงๆ ถ้าหากท่านจะคลายปณิธานแบบพระอวโลกิเตศวร เพราะว่ากวนอิมก็คือพระอวโลกิเตศวร ถ้าจะคลายความเป็นผู้หญิง ไปเป็นผู้ชาย ท่านก็เป็นผู้ชายแล้วท่านก็ตรัสรู้ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลยก็ได้ ไม่มีปัญหาเพราะว่าท่านมีภูมิธรรมมากพอ หลังวิบากไปในชุดนั้นก็มาเป็นองค์ใหม่ เป็นผู้ชายแล้วก็จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน แค่อรหันต์ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้ว แต่ถ้าสยัมภู คือเป็นพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แต่ไม่ประกาศศาสนา เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่มานานแล้วจนกระทั่งเมื่อไหร่ไม่รู้ก็เท่านั้นเอง จริงหรือไม่…จริง แต่เป็นโพธิสัตว์ระดับยอดด้วย ก่อนพระพุทธเจ้ามาไม่รู้กี่องค์แล้ว เพราะว่าท่านทำงานมา รื้อขนสัตว์ยังไม่หมดโลกเสียที

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2562 ( 20:35:21 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:03:57 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:59:01 )

ผู้หญิงสนใจธรรมะมากกว่าผู้ชาย

รายละเอียด

เพราะอะไรทำไมผู้หญิงสนใจ ทำไมผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะว่าผู้หญิงมีทุกข์มากกว่าผู้ชาย ผู้ชายมีทุกข์น้อยกว่าจึงประมาทเลินเล่อ ไม่ดิ้นรนไม่แสวงหามากเท่าผู้หญิง 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ทานและบุญที่ฆ่าตัวตนและของๆตน วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม2562


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2562 ( 19:32:37 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:06:51 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:29:28 )

ผู้หญิงอยากเกิดเป็นผู้ชาย

รายละเอียด

การละกิเลสก็เป็นอรหันต์แต่จะเป็นเพศหญิงเพศชายนั้นเป็นสมมุติเท่านั้นเอง แล้วก็สมมุตินั้นหากลงตัวเป็นผู้ชายก็ทำประโยชน์อย่างนี้ได้มากกว่า ผู้หญิงก็ทำประโยชน์อีกอย่างได้มากกว่าคนจะชอบแบบนี้ หากชอบจุกจิก ละเอียด ผู้ชายออกไปนอกบ้าน ผู้หญิงก็อยู่ในแวดวงในบ้านอย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เป็นความซับซ้อน ผู้หญิงอยากจะเป็นใหญ่อย่างนั้นอย่างนี้จะเท่าเทียมกับผู้ชายอย่างไรก็ว่ากันไป ซึ่งจะต้องศึกษาแล้วก็จะรู้ว่ามันเป็นสัจจะ ที่เราต้องรู้สัดส่วนของการผสมส่วน

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 17:12:23 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:44:57 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:00:36 )

ผู้หญิงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้

รายละเอียด

สรุปว่าพระอวโลกิเตศวรจะมีตัวตนจริงหรือไม่มีตัวตนจริง ก็ได้ จะเป็นเจ้าแม่กวนอิมหรือไม่ก็เขาว่าอย่างนั้นโดยอวตารมาเป็นปางหนึ่ง เชิงคิดคือ ผู้หญิงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นหลักการของศาสนาพุทธ แต่ก็สามารถเป็นผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ สามารถที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติได้ยิ่งใหญ่ ถ้าหาก กวนอิมคือ อวตารของพระอวโลกิเตศวรคือคนที่ยังไม่ยอมตายไม่ยอมพัฒนา แต่เอาภาคที่เป็นผู้หญิงก็มาใช้งาน บางคนว่าหากเป็นผู้หญิงก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ก็เลยเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมก็แล้วกัน ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ไม่เป็นไร ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้จริงก็แล้วกันเพราะคนนั้นอาจจะรักสภาพความเป็นผู้หญิง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2562 ( 20:34:27 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:08:38 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:01:40 )

ผู้หมดปัญหาเศรษฐกิจคือ คนผู้มีวรรณะ 9

รายละเอียด

ผู้หมดปัญหาเศรษฐกิจคือคนผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า  บรรลุธรรม มีวรรณะ 9 เช่น  กลุ่มชุมชนชาวอโศกนี่ เพราะมายืนยันได้ว่า เป็นคนเลี้ยงง่าย เจริญเร็ว ก้าวหน้าได้เร็ว สุภระ สุโปสะ เป็นคนเจริญเร็ว ก้าวหน้าได้เร็วคือ สุโปสะ เป็นคนยินดีในความจนและมุ่งมาจน อัปปิจฉะ เป็นคนใจพอ สันตุฏฐิ รู้จักขอบเขตของความพอ  ไม่อยากได้มาให้แก่ตนอีก นี่คือสันโดษหรือสันตุฏฐิเป็นคนพัฒนาตนเอง ขัดเกลาตนเองเสมอๆ สัลเลขะ มีหลักปฏิบัติที่เป็นองค์ธรรมนำไปสู่ความเจริญได้สูงขึ้น สูงขึ้น ถึงสูงสุด คือ ธูตะ

จึงเป็นคนมีกายกรรม มีวจีกรรม มีมโนกรรม น่าเลื่อมใส ปาสาทิกะ มีหลักปฏิบัติที่เป็นองค์ธรรมนำไปสู่ความเจริญสูงสุดจริงๆนั้น จึงทำให้มีที่สุดได้ เป็นที่สุดได้ ที่สุดคือ ไม่สะสม อปจยะ เป็นคนไม่สะสม แต่เป็นคนพากเพียรขยัน เป็นคนไม่มีความขี้เกียจแล้ว วิริยารัมภะ ขยันเป็นอัตโนมัติ ขยันเป็นวิสัย ขยันหมั่นเพียรทำงานอยู่ งานที่ควร งานที่หมู่พากันทำอยู่ ตนเองรู้ก็แนะนำหรือปรึกษากัน ตัดสินว่าจะทำงานอะไร ทำอะไร อย่างพวกเรานี้ตัดสินกันมาว่าจะเอากสิกรรม ไม่เอางานที่จะไปทาง โดยเฉพาะประมงหรือปศุสัตว์ หรือ ไปสร้างอุตสาหกรรมที่มันจะเป็นพิษเป็นภัย เพราะอุตสาหกรรมพวกเรานี้ก็จะไม่ถนัด ก็ทำพออาศัยทำได้พอประมาณ เครื่องยนต์กลไกทางวิศวะ ก็ได้ประมาณนี้ อาศัยคนอื่นไปก็พอได้ แต่เราจะเน้นกสิกรรม อาตมาก็ย้ำ พยายามยืนยันมามากมายแล้ว พยายามที่จะสร้างเศรษฐกิจแบบโลกุตระ หรือเศรษฐกิจแบบบุญนิยม 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 11:24:40 )

ผู้หลงผิดตั้งแต่เริ่มต้นไม่รู้ตนเองก็น่าสงสารยิ่ง

รายละเอียด

ผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่มีแม้การเริ่มต้นที่“สัมมาทิฏฐิ”ก็ไม่มีลำดับต้น มันก็ไม่สามารถจะมี“ปัญญา 8”และไม่มี “วิชชา 8”ได้ครบถ้วนเด็ดขาด ก็น่าสงสารยิ่งนัก  “วิชชา 8”นั้นเป็นสุดยอดแห่งความมี“ปัญญา”ครบสูตรแห่ง“ปัญญา”ของศาสนาพุทธ ที่เริ่มจาก“วิปัสสนาญาณ”อันเป็น“สัมมาทิฏฐิ” ซึ่งทุกวันนี้“วิปัสสนาญาณ”ก็ได้พากันหลงวิตถารพิสดารผิดเพี้ยน“มิจฉาทิฏฐิ”ไปมากมาย ซึ่งผู้“อวิชชา”หรือยังเป็น“เทฺวนิยม”อยู่ ไม่สามารถแยกความแปลกกัน-ความแตกต่างกันในความเป็น“เทฺว” คือ“ภาวะ 2”ได้นี่เองเป็นสำคัญ เพราะเขาไม่ได้ยินไม่ได้ฟังความเป็น“ปัญญา”จากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า หรือจากสัตบุรุษ หรือจากคนผู้มี“สัมมาทิฏฐิ”แล้วที่อยู่ในฐานะครู หรือแม้จะได้ยินได้ฟัง แต่เขาก็ยังหลงติดยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิ”เดิมๆอยู่ คงงมงายมืดมนอยู่นั่นแล้ว ยังหลงยึดถือ“เทฺว”หรือ“พระเจ้า”ที่ไม่สามารถแยก ความเป็น“เทฺว”อันมี“กาย”กับ“กรรม”ตนเองได้ จึงไม่สามารถรู้ตนเองว่า ตนเองเป็นใคร ทั้งๆที่ตนเองคือ“พระเจ้า”เอง คือ“ศาสดา”ของชาวเทฺวนิยมซึ่งแสดง“ความรู้เองของตนเองแท้ๆ”ที่ตนเองได้ สั่งสมมาเอง เป็น“วิบาก”ของตนเอง เป็น“มรดกกรรม”(กัมมทายาท)ของตนเอง ไม่ใช่ของ“พระเจ้า”ใดเลย ก็ไม่รู้สัจธรรมนี้ จึงเป็นผู้ที่น่าสงสารยิ่งอยู่แท้ เพราะยังจม“อยู่ในสงสาร”กับ“อุปาทาน”กับ“อวิชชา” จึงเป็นผู้น่าสงสารยิ่ง

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 แรม 15 ค่ำเดือน 4 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2565 ( 13:54:46 )

ผู้หลงผิดต้องบำเรออาจารย์ที่เสื่อมไม่มีวิชชาและจรณะ

รายละเอียด

สรุปแล้ว 2 ข้อหลังนี้เต็มรูปเลย ทั้งสร้างความเก่งความใหญ่ สร้างวิหาร ตึกสร้างอาคารเป็นนครวัดนครธม เป็นอะไรก็แล้วแต่ เข้าใจว่านั่นแหละคือพระโพธิสัตว์ต้องแสดงเรื่องใหญ่เรื่องยาก สร้างวิหารใหญ่เป็นบุโรพุทโธ นครวัดนครธมเป็นต้น คล้ายๆกับสร้างทัชมาฮาลอย่างนั้นเป็นเรื่องโลกีย์ไปเลย แต่อันนี้บอกว่าเป็นเรื่องของศาสนา พวกนครวัดนครธมสร้างปราสาท สร้างวิหาร บุโรพุทโธอะไรอย่างนี้เป็นต้น เพื่อให้คนทึ่งนับถือว่ามีบารมี ซึ่งมันก็ดูขลังเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ซึ่งมันไม่ใช่ง่ายเลยนะที่จะสร้าง ถ้าไม่มีเงินทอง ไม่มีความเชื่อถือศรัทธาที่จะใช้คนมากเพียงพอก็ทำไม่ได้ก็สร้าง แต่เสร็จแล้วคนเหล่านี้ไม่มีวิชชาไม่มีจรณะ เพราะว่าไม่มีวิชชาจรณะเป็นอาจารย์ที่อยู่ในป่า ทั้งสร้างวิหาร สร้างอาคารที่มีมุขสี่ด้านในทางสี่แพร่งจุดบูชาไฟ พากันทำไปเป็นเดรัจฉานวิชา ท่านเหล่านั้นเป็นอาจารย์ที่เสื่อมไม่มีวิชชาไม่มีจรณะ แต่ผู้ที่หลงผิดก็จะต้องบำเรออาจารย์ผู้นี้อยู่เท่านั้นแหละ คำว่าบำเรอก็ดี สรุปแล้ว ทั้ง 4 ข้อเป็นความเสื่อมและความผิด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ศาสนายังไม่เสื่อมเลยนะบอกไว้ก่อนว่า 4 ข้อนี้จะเป็นความเสื่อมต่อไปในอนาคตซึ่งเดี๋ยวนี้มีไหม สร้างมุขสี่ด้านในทางสี่แพร่งก็ธัมมชโยไง มีรถไปต้อนคนรับส่งคนเข้าไปเตรียมพร้อมหมด ทันสมัยหมด ใช้วิธีแบบสมัยใหม่เยอะด้วย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2563 ( 11:39:45 )

ผู้หลงโลกความรู้โลกจินตาไม่ใช่สายปัญญา

รายละเอียด

คำว่าโลกียะที่ปรุงแต่งกันขึ้นเป็นความมากหลากหลายจนนับไม่ถ้วน ภาษาบาลีว่า โลกจินตา เป็นอจินไตยข้อที่ 4 แล้วคนหลงในโลกจินตานี้มาก 

ในสายเถรสมาคมจะมี 2 สายคือ สายพระป่ากับสายปัญญา เขาเอาคำว่าปัญญาไปใช้ ที่จริงไม่ใช่ปัญญา มันเป็นความเฉลียวฉลาดแบบโลกีย์ เป็นเฉโก แล้วเขามีโลกจินตา มีเยอะมากแล้วหลงความรู้ โลกจินตา วน..จนกระทั่งไปไกล เป็นดาวหางวิ่งรอบเอกภพ เป็นวงรีไม่กลม มันมีส่วนโค้งยังไม่สามารถกลมด้วยซ้ำไป เขาก็หลงอันนั้น วิ่งแล้วก็ได้หน้าลืมหลังแล้วก็นึกว่าตัวเองได้อันใหม่ วนไปอีก แม้จะได้มากขึ้นก็เป็นโลกียะ สูงสุดสั่งสมจนได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยม แต่ก็ยังไม่เข้ากระแสโลกุตระ น่าสงสาร เดี๋ยวนี้ก็มีเยอะอยู่ในเถรสมาคม จะเอ่ยชื่อก็เกรงใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 31 วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 21:43:50 )

ผู้หลับตาปฏิบัติเหมือนโจรทำลายศาสนาต้องฆ่าให้ตาย

รายละเอียด

ทุกวันนี้ก็คือโจรที่เป็นผู้ทำลายศาสนาอยู่นี่ ก็คือผู้ฆ่าไม่ตาย  เป็นมิจฉาทิฐิเป็นผู้ทำลายศาสนา ทุกวันนี้ก็ได้แก้ไขพวกหลับตาปฏิบัติ ไม่มีจรณะ 15 ไม่มี สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ มันเป็นสิ่งที่ผิดไปจากศาสนาพุทธ ก็ยืนยันในทุกหมวดทุกหลักเกณฑ์ สอนได้แต่ส่วนน้อย คือพวกชาวอโศก

แต่มวลหลักของศาสนาเขามีมากมาย ทั้งมวลพวกที่บวชตามๆกันไปมากมาย อโศกเทียบไม่ติดหรอกในจำนวน ที่พูดนี้ก็เข้าใจเขาว่าเป็นยุคที่เสื่อมจริงๆ เสื่อมจนอาตมาต้องมา กอบกู้ เมื่อยแสนเมื่อย จนกระทั่งสังขารร่างกายทุกวันนี้เลยอายุขัยมาแล้ว 80 กว่า อายุขัยของอาตมา 72 ตอนนี้เป็น 88 ปีแล้ว จะพยายามกระเสือกกระสนไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ มีตัวเลขประหลาดๆ 151 มา เดี๋ยวนี้ก็ยอมแพ้แล้วไม่ถึงแน่นอน 

จนกระทั่งบอกก็ได้ว่าอาตมาพยายามพากเพียรอยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ กระเสือกกระสนดิ้นรนไปจริงๆให้ได้จะได้สักเท่าไหร่อย่างเก่ง ก็คิดว่า 133 นี้ก็สุดยอดแล้ว ลดราคาจาก 151 เหลือ 133 ก็ยังมุ่งมั่น แต่ใจอีกใจหนึ่งก็คิดว่า 120 นี่จะถึงไหมเนี่ย 120 มันจะถึงไหมหนอ 

พยายามอยู่ทุกวันนี้ กินอาหารนอนพักแต่ละคนช่วยดูแลเหลือเกิน จะพักที่ไหนจะนอนนั่งที่ไหนเอาออกซิเจนมา อย่างกับคนอยู่ใน ICU ตลอดเวลาเลย พยายามประคบประหงม ที่จริงไม่น่าเล่าเลยมันเปิดโปงหมด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การปฏิวัติโดยประชาชนของไทย เป็น Soft Power วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 17:30:22 )

ผู้อมตะ

รายละเอียด

ผู้ไม่มีกิเลสตนตายอีกแล้ว

หนังสืออ้างอิง

ค้าบุญคือบาป หน้า 274


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:16:30 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:35:26 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:02:09 )

ผู้อยู่จบทั้งสามโลกเป็นเช่นไร

รายละเอียด

ในยุคนี้ก็ยังพิสูจน์ความจริงของพระพุทธเจ้าได้ มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เข้าใจความเป็นโลก โลกนี้คืออย่างไร โลกหน้าคืออย่างไร ตั้งแต่เป็นลูกโลกของวัตถุภายนอก จนกระทั่งเป็นโลกภายในตน กามโลก หรือรูปภพ อรูปภพ แล้วเข้าใจโลก เรียนรู้จนเหนือโลก โลกกาม โลกรูป โลกอรูป ก็จบสามโลก เป็นผู้อยู่จบทั้งสามโลกแล้ว เป็นสุดยอดความรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เป็นคนเป็นพระอรหันต์ รู้จัก 3 โลกแล้วก็ทำอย่างไม่เป็นทาสของโลก แล้วก็ไม่ไปจัดการอะไร โลกมันก็ต้องเกิดเป็นสามัญ สำหรับผู้ที่ไม่รู้ก็ต้องเกิดอยู่ตลอดกาล เราก็ช่วยเขาให้มารู้อย่างที่เรารู้ เรามาอยู่ในโลก เพื่อที่จะไม่เป็นภัยเป็นโทษเลย มีแต่เป็นคุณ ช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นไป แล้วก็มาสอนเขา ให้รู้จักโลก รู้จักตัวตน โลกกับอัตตา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำหนิให้เขาดื่มได้คือหน้าที่ของผู้ทำงานศาสนา วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2564 ( 19:24:37 )

ผู้อยู่เหนือ

รายละเอียด

ผู้ก้าวหน้า ผู้เจริญ ต้องเป็นผู้ที่มีจิตอันแยบคาย มีความละเอียดในสิ่งที่เรา รู้เท่าทัน อยู่เหนือ ทําจิตเป็นผู้ที่ชนะได้เสมอ รู้ และอยู่เหนือ เป็นปรัชญา ของศาสนาพุทธ เราไม่ได้หนี แต่เราอยู่เหนือ เรารู้ว่า...สิ่งนั้นตามความ เป็นจริง ว่าดีกว่านั้นได้ เราทําให้ดีกว่านั้นขึ้น และปล่อยสิ่งที่เราได้ไปเป็น ทาส ทําจิตของเราแปรปรวน ไม่มีอํานาจ ไม่มีความอยู่เหนือ การอยู่เหนือ ไม่ใช่ข่ม แต่เป็นผู้วางได้ เป็นผู้เกื้อกูลกันได้ เป็นผู้ช่วยเหลือได้ หรือ เป็นผู้ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสิ่งนั้นๆ และเป็นผู้ช่วยเหลือ สิ่งนั้น พัฒนาเจริญได้ นั่นเอง

ที่มา ที่ไป

สมณะโพธิรักษ์ 27 เมษายน 2525


เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 13:06:26 )

ผู้อยู่เหนือภพชาติ 

รายละเอียด

วิภวะ แปลว่า ไม่มีภพ ในขณะที่เรากำลังปฏิบัติ เรามีกามตัณหา เรามีภวตัณหา คือรูปตัณหากับอรูปตัณหา เราก็ล้างกามตัณหาให้หมด หมดแล้วก็ล้างต่อ รูปตัณหากับอรูปตัณหา หมดอีก ส่วนคำว่า วิภวะ คือ ตัณหาที่ไม่ต้องการ ภพ ก็เหลือกิเลสในรูปภพ อรูปภพกิเลสก็หมด 

กิเลสในภพต่างๆหมด จิตก็เป็นจิตวิภวตัณหา เป็นตัณหาอุดมการณ์ อาตมาเคยอธิบายจนกระทั่งบอกว่าพระพุทธเจ้าก็มีวิภวตัณหา ตัณหาอุดมการณ์ ต้องการจะสอนคนสอนใคร พระโพธิสัตว์ก็มีวิภวตัณหาทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่คนเด๋อๆ ไม่อยากได้ใครดีอะไรไม่ใช่ เป็นความปรารถนาดีอย่างมีพลังด้วยมี ติพพัง มีแรงมีพลัง ต้องการให้คนได้ดี 

เพราะฉะนั้นเราจะเข้าใจที่อาตมาขยายความไปบ้างแล้ว ในปฏิจจสมุปบาท จนกระทั่งอยู่เหนือภพชาติ พอบรรลุอรหันต์แล้วก็เป็นผู้ที่ไม่มีปัญหาแล้ว จะดับภพจบชาติก็ทำได้ จะยังไม่ดับภพจบชาติเราก็ทำได้ จึงเรียกว่า ผู้อยู่เหนือภพชาติ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 19:13:20 )

ผู้อยู่ใกล้นิพพาน

รายละเอียด

นัตถิ  ฌานัง  อปัญญัสสะ     ปัญญา  นัตถิ  อฌายโต 
ยัมหิ  ฌานัญจะ  ปัญญา  จ   ส  เว  นิพพานสันติเก 
ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา   ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน
ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด   ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน
 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฏก เล่ม 25   ข้อ 35, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2562 ( 13:07:12 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:09:17 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:02:40 )

ผู้อยู่ในกรอบธรรมะจะพูดคุยเข้าหาธรรมะเป็นสิ่งจริง 

รายละเอียด

เราก็แปลกันเองบ้าง ก็ไปตรงกับเขานะ รวมความ แม้มีพลความอื่นๆ เดี๋ยวก็เข้าหาเป้า ผู้ที่อยู่กับศีลธรรมเดี๋ยวก็นึกถึงศีลธรรมอยู่กับชีวิตเสมอๆ จะอยู่ที่ไหนแม้จะทำงานอันนี้เดี๋ยวก็คุยกันไปคุยกันมา แม้จะพูดถึงเรื่องอันนู้นอันนี้ พูดถึงเรื่องลูกหลาน พูดถึงครอบครัว พูดถึงอาชีพที่เคยผ่านมา เดี๋ยวก็เข้าหาธรรมะแล้ว มันจะไม่ไปเชิงโลกๆ ไม่ใช่เตลิดเปิดเปิงพูดถึงเรื่องครอบครัวพูดถึงเรื่องมิตรสหายอะไรไป ชักจูงไปหาโลก ไปกันใหญ่ ออกเรื่องทางโลกีย์สนุกสนาน พวกเราจะไม่...ชัดเจนสังเกตเลย ถ้าใครไม่อยู่ในกรอบธรรมะมันจะไป แต่ถ้าใครอยู่ในกรอบธรรมะแล้วจะเข้ามาหาอันนี้ มันจะเป็นเช่นนั้น นี่คือสิ่งที่จริง 
 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนอัตถิราคสูตรให้หมดสุขหมดทุกข์แท้จริง วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:59:13 )

ผู้อยู่ในฐานะครู

รายละเอียด

ปัญญาหรือความรู้ที่เป็นโลกุตตระของศาสนาพุทธจะต้องได้ยินจากพระศาสดาเอง หรือได้ยินจากพระสาวกเพื่อนพรหมจรรย์ผู้ที่มีภูมิธรรมแท้ตั้งอยู่ในฐานะครู ผู้ที่จะตั้งอยู่ในฐานะครูจะต้องเป็นสัตบุรุษ จะต้องเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ จะต้องเป็นผู้ที่มีธรรมะอันเป็นสัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธจริงๆถูกต้องแท้ๆ ถึงจะชื่อว่าผู้ที่ตั้งอยู่ในฐานะครู

ที่มา ที่ไป

รายการ ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 ผู้ข้องอยู่ในถ้ำอันไกลจากวิเวก วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 17:11:44 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:10:21 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:03:30 )

ผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิคือใคร

รายละเอียด

โลกุตรธรรมจะต้องได้รู้จากผู้อื่น คิดเองไม่ได้ ขบคิดจนหัวแตกเองก็คิดไม่ได้ 1. ต้องได้รับจากพระพุทธเจ้าโดยตรง หรือ 2. ต้องได้รับจากสัตบุรุษหรือผู้ที่อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิก่อนแล้วเท่านั้น 

ฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ ก็คือ ผู้ที่เป็นครูนั้น รู้มาถูกต้องสัมมาทิฏฐิมั่นใจแล้วก็ตอบได้ ทั้งๆที่ตัวเอง ผู้รู้ครูคนนั้นอาจจะยังไม่บรรลุ อาจจะรู้แต่บัญญัติ รู้แต่ภาษา รู้แต่ทฤษฎี รู้แต่เป็นความรู้ยังไม่มีความจริง ยังไม่เกิดมรรคผลที่ตัวเองเลย ซึ่งเดี๋ยวนี้มีเยอะ ในเถรสมาคมมีเยอะ เรียนแต่ปริยัติเรียนแต่บัญญัติ จนกระทั่งกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เป็นปราชญ์เอก ได้รับความเป็นปราชญ์ แต่ว่าสภาวธรรมนั้นยังไม่ได้บรรลุ 

ผู้ที่มีสัมมาทิฐิแต่ตัวเองยังไม่บรรลุก็มี แต่ต้องแม่นจริงๆ แต่ถ้าผู้ที่เที่ยงแท้แล้วถูกจริง รู้จักสภาวะ 2 ครบครันทั้งรูปนามบรรลุในตัวเองได้ นับตั้งแต่ สยังอภิญญา ถึงจะควรถึงจะพอที่จะมั่นใจได้ ถ้ายังไม่ถึง นิยตโพธิสัตว์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ขั้นตอนนี้ยาวนาน โดยเฉพาะพวกที่ศรัทธาธิกะจะยาวนานมากเลย อย่างเช่น ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นศรัทธาธิกะ อย่างคุณจำลองเป็นศรัทธาธิกะ จะนาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณกินข้าวได้ไหม อย่างไรคือสัมมาทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2564 ( 19:14:44 )

ผู้อยู่ในฐานะครูที่สามารถอธิบายฌานวิสัยของพระพุทธเจ้าได้ในยุคนี้คือใคร

รายละเอียด

ต้องผู้รู้ที่เป็นสัตบุรุษ หรือเป็นพระพุทธเจ้าคือผู้อยู่ในฐานะครู จะอธิบาย ฌานวิสัย พระพุทธเจ้าได้ อย่างโพธิรักษ์เป็นต้น ที่อธิบายกันอยู่ทั้งหลายแหล่ ขออภัย ต้องพูดความจริง ท่านอธิบายไม่ถูกกัน ฌาน พระพุทธเจ้านี้ ท่านอธิบายไม่ถูก ท่านจะไม่อธิบายว่าฌานต้องลืมตาถ้าหลับตามันก็เป็นเพียง สมถะ ไม่ใช่ฌาน ที่จะไปเจาะลึก เป็นลำดับ ลาดลุ่มเป็นลำดับ แยกเป็น ศีลข้อ 1 2 3 แยกเป็น จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เรียนกันที่ไหน แยกกันได้อย่างไรก็ไม่รู้ความแตกต่างพิสดาร ก็เลยปฏิบัติกันมั่วๆ ปฏิบัติไม่ถูก ไม่ปฏิบัติศีลกันด้วย ยิ่งลัดตัดความโยนทิ้ง ไปเอาแต่สะกดจิต นี่คือความเสื่อมที่ชัดเจน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสดงธรรมรายการพุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ชาว‌อโศก‌มี‌ความ‌มหัศจรรย์‌ได้‌ตาม‌ปหาร‌าท‌สูตร‌ ‌วันพุธที่ 5 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มกราคม 2565 ( 21:30:42 )

ผู้อวิชชาไม่รู้จักกาม

รายละเอียด

ผู้อวิชชาทั้งหมดไม่รู้จักกาม ไม่รู้จักกาย ไม่รู้จักภายนอก กายหรือกามภายนอก จึงไปหลงว่ากามมีคุณ เสพกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) 5 จึงหลงเสพกาม ติดกาม ไม่รู้จริงๆ หรือแม้รู้แล้วด้วยพยัญชนะรู้ด้วยบัญญัติ รู้ด้วยคำสอน แต่จิตของเราก็ยังติดอยู่ เสพติด มีอัสสาทะ มีรสอร่อย มีความต้องได้ ต้องมี ต้องเป็นอยู่ เช่น มหาบัว เป็นต้น ติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ภายนอก แค่ติดในรสของสิ่งเสพติด ไม่ใช่กวฬิงการาหารด้วยซ้ำ กินหมากพลูไม่ใช่อาหาร ไม่ใช่กวฬิงการาหาร แล้วก็เสพติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) มันโดยเฉพาะ ไม่ใช่อาหาร ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไปกิน แต่ไม่มีความรู้ถึงการเสพติด ไม่มีความรู้เรื่องกาม ก็มีกามคุณ 5 นี่อยู่ ตลอดชีวิต ตั้งแต่ติดมาจนกระทั่งตาย ไม่รู้ว่าตอนตายเขาใส่พานใส่อะไรไปให้ในโลงไหม (โยมว่า..เขาทำอยู่แล้ว) คุณไปเดา เขาอาจจะไม่ทำก็ได้ แต่เชื่อกันว่าน่าจะทำ ก็ท่านบอกของท่าน ตายเป็นชาติสุดท้าย ท่านไม่เกิดอีกแล้วไง 

นี่เป็นความไม่รู้ แม้แต่แค่กามเป็นกามาทีนวะ เป็นโทษไม่ใช่เป็นคุณ ยังไม่รู้ ยังเสพ ยังติดอยู่ในชีวิตตลอดจนตาย ก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่มีหิริไม่มีโอตตัปปะว่าเราเสพเราติดกิเลสพวกนี้ ไม่มีเลยหิริ โอตตัปปะ ไม่มี ไม่อายต่อกิเลส เสพกามต่อหน้าต่อตาผู้คน เฉย เสพกาม ดูด สูบ เสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) 

ขออภัยนะที่อาตมาต้องเอามหาบัวมาอธิบาย ใช้เป็นเหตุปัจจัย ที่จะขอเป็นตัวอย่าง เพื่อที่จะยืนยันอธิบายธรรมะ ก็ขอบคุณมหาบัว  ไม่ได้อนุญาตหรอก แต่อาตมาบังอาจเอาเอง หยิบมาอธิบายแล้ว เพราะเป็นคน Popular เป็นคนที่รู้จักกันดีไง แต่ท่านก็ทำสิ่งที่ผิด หลอก ถือว่าหลอกก็หลอก คือเป็นความไม่ถูกต้องนะ ก็ทำให้คนเข้าใจผิดนะ มันเสียหายไปถึงศาสนาไปถึงคำสอนพระพุทธเจ้า เพราะท่านเป็นตัวแทน ท่านเป็นนักบวชของพุทธศาสนา เป็นภิกษุแล้วสอนผิด แล้วก็ไปหลอกให้ผู้คนหลงผิดตาม แล้วมันก็พาให้ โอ้โห! เต็มเลยนี่ลูกศิษย์ลูกหา ผิดตามไปกัน โอ้โห! ลูกศิษย์มีมากกว่าอาตมา อาตมามีลูกศิษย์น้อยกว่ามหาบัวเยอะ มันก็เป็นการทำลายศาสนา เป็นการทำลาย  ท่านไม่ได้เจตนาจะทำลายหรอก เพราะท่านไม่มีปัญญาพอที่จะรู้ชัดเจน ท่านไม่มีเจตนาทำลาย ท่านนึกว่าท่านมีเจตนาจะสร้างสรรความถูกต้อง แต่ท่านไม่ถูกต้อง อาตมาก็บอกไปไม่รู้กี่ทีแล้วว่า อาตมาไม่เชื่อว่าท่านไม่รู้ความถูกต้อง แล้วท่านก็กลบเกลื่อนความถูกต้องนั้น อย่างติดยาติดหมากพลูนี้ อาตมาไม่เชื่อว่าท่านไม่รู้ว่ามันเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ไม่เชื่อว่าท่านไม่รู้ ก็พูดมาหลายทีแล้ว เพราะฉะนั้นจึงบอกมันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งนะ ที่อาตมาพูดนี้ลึกซึ้ง  เพื่อให้รู้ว่าคนในโลกนี้มันหลอกกันได้ หลอกกันสนิท คนก็ยังหลงใหลไปเชื่อถือ อาตมาไม่ได้ไปลบหลู่ ไม่ได้อยากให้คุณต้องไปชังมหาบัวเลย มันไม่มีชังหรอก มีแต่สงสาร สงสารมหาบัวนะ  ฟังให้ดีนะอาตมาพูดสัจธรรม จิตอาตมาไม่ได้มีความชังมีแต่สงสาร 

สงสารมากก็ตรงที่ว่า ถ้าสมมุติว่าท่านเข้าใจผิด ท่านเข้าใจว่าท่านไม่ได้มีกิเลสจริงๆ ท่านเข้าใจผิดอย่างนั้นจริงๆ อย่างนี้ยิ่งน่าสงสารมากที่สุด เพราะว่าถ้าท่านเข้าใจสิ่งที่เป็นกิเลสอยู่ แล้วท่านก็มีกิเลสอยู่เต็มๆรูป แล้วท่านก็หลงว่าท่านไม่มีกิเลส แล้วมันจะทำความสว่างให้เขาได้อย่างไร มันมืดสนิทใช่ไหม โอ้ย! อาตมาหมดทางที่จะช่วย

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #47 อโศกมีแค่แสนจะสืบแก่นศาสนาได้อย่างไร วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2567 ( 16:49:55 )

ผู้อวิชชาไม่รู้เวทนาจริงหรือปลอม

รายละเอียด

เวทนาที่มันเกิด ผู้อวิชชาก็ไม่รู้เวทนาจริง เวทนาปลอม เป็นอย่างไร เวทนาปลอมก็หลอกครอบงำเราเรื่อย คือมีตัณหาเป็นเจ้าเรือน ควบคุมเลย แล้วคุณก็อยู่กับอายตนะที่เป็นเวทนาตัวปลอมด้วยอวิชชา คือนายใหญ่ อวิชชาคือตัวมารใหญ่ ซาตานใหญ่ คุณต้องดับอวิชชาเปลี่ยนเป็นความรู้ วิชชา ซึ่งเป็นของศาสนาพุทธเท่านั้น แต่อวิชชาเป็นของผู้ไม่รู้ทั้งหมด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำหนิให้เขาดื่มได้คือหน้าที่ของผู้ทำงานศาสนา วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2564 ( 19:03:15 )

ผู้ออกมาบวชแล้วจะต้อง โภคักขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะ

รายละเอียด

แม้แต่เรื่องครอบครัว ผู้ออกมาบวชแล้วนี่ก็จะต้อง “โภคักขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะ” จะต้องตัดเรื่อง แม้แต่ครอบครัวก็ไม่ต้องไปรับผิดชอบ ไม่ต้องไปช่วยเหลือ ไม่ต้องไปรับหน้าที่อะไรมา ถึงขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่รู้เรื่อง เรียนไม่รู้เรื่อง มหาบัวไม่รู้เรื่อง ก็ไปทำใหญ่แบกประเทศชาติ 

ขนาดครอบครัว พระพุทธเจ้ายังบอกไม่ต้องรับผิดชอบ ให้ตัดออกมาได้ แม้ขณะนี้มองในมุมหนึ่งอาจจะบอกว่า ทำไมมันใจร้าย ทิ้งครอบทิ้งครัว ไม่รับผิดชอบครอบครัว ดูไปอีกมุมหนึ่งมันเหมือนมันใจร้าย เหมือนเลว เหมือนเป็นพฤติกรรมที่เลว แต่สิ่งที่ประเสริฐกว่านั้น ที่จะมาเรียนรู้ถึงโลกุตรธรรม แล้วก็มาประพฤติตัวเองเพื่อที่จะให้ได้สิ่งนี้ มันยิ่งใหญ่ที่จะช่วยโลกได้มากกว่านั้น มาเทศน์ให้คนรู้จักโลกุตระ แล้วก็จะได้แต่ละคนเขาก็จะไปทำเองเรื่องนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปทำเป็นเก่ง ไปทำหาเงินมาช่วยครอบครัว หาเงินมาช่วยประเทศ หาเงิน ปัดโธ่! แค่ ญาติปริวัตตังปหายะ โภคขันธาปหายะ ตัดเรื่องโภคทรัพย์สมบัติ เรื่องครอบครัว เรื่องวุ่นวายอะไรๆ ต่างๆ เราอย่าไปยุ่ง แต่เอาตัวเองเข้าไปทำนั้น มันไม่ใช่กิจของสงฆ์เลย อันนี้ก็คงจะเข้าใจกันไม่ได้ง่ายๆ อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือผู้สถาปนาโลกุตระปัญญา ล้างอวิชชาในยุคนี้ วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2567 ( 18:28:48 )

ผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว

รายละเอียด

คือ ผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้วคือ  อันความกำหนัด ความขัดเคือง  ความหลง  ความโกรธ  ความผูกโกรธ  ความลบหลู่  ความตีเสมอ  ความริษยา  ความตระหนี่  ความลวง  ความโอ้อวด  ความดื้อ  ความแข่งดี  ความถือตัว  ความดูหมิ่น  ความเมา  ความประมาท  ปิดบังไว้แล้ว  อันกิเลสทั้งปวง  อันความเดือดร้อนทั้งปวง  อันอภิสังขาร คือ อกุศลธรรมทั้งปวง บังไว้  คลุมไว้ หุ้มห่อไว้  ปิดไว้  ปิดบังไว้  ปกปิดไว้  ปกคลุมไว้  ครอบงำไว้แล้ว  เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า  เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ  เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว  ผู้ที่นั่งอยู่ในที่นี้  ใครเป็นผู้ที่เต็มไปด้วย สิ่งเหล่านี้  หนักหนา  สาหัส คือ คนผู้ไกลจากวิเวก

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 18 ตุลาคม 2562 ( 16:34:43 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:11:30 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:04:38 )

ผู้อาสวะสิ้นรอบแล้วเป็นพระอรหันต์ไม่ต้องพึ่งใครอีก

รายละเอียด

อุทธัจจะจะกลายมาละเอียดอ่อน มานานุสัย ภวานุสัย อวิชชานุสัย ก็ยังไม่ลงละเอียดในอนุสัย 7 ผู้หมดอาสวะสิ้นแล้วก็เป็นอรหันต์ได้แล้ว แม้อาตมาไม่สอน คุณก็ทำให้อนุสัยสิ้นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเรียนตามครูบาอาจารย์ไหนอีก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้อาสวะสิ้นรอบแล้วเป็นพระอรหันต์คุณไม่ต้องพึ่งใครอีก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มนุษย์ที่ยังมีทุกข์มีสุขอยู่ก็คือโง่กว่าพืช วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 20:23:48 )

ผู้อุปปาติกะ , ผู้โอปปาติกะ

รายละเอียด

อนาคามีภูมิ

หนังสืออ้างอิง

จากค้าบุญคือบาป หน้า 236, หน้า 237 


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:18:35 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:36:36 )

ผู้อุภโตภาควิมุติ

รายละเอียด

คือแน่นอนต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2562 ( 12:33:57 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:12:30 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:28:05 )

ผู้เกี่ยวข้องอยู่ในถ้ำคือผู้มีอวิชชา

รายละเอียด

ทีนี้มาขยายความลงไป ในโลกนี้เราจะเกี่ยวข้องอย่างไร เกี่ยวข้องด้วย ลาภ ยศสรรเสริญ สุข สุขที่เกี่ยวข้องกับกาม ได้เลิกละมันมาได้บ้างหรือยัง ผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในถ้ำคือผู้ที่มีอวิชชา ไม่เคยได้ยินจากศาสดา ไม่เคยได้ยินเพื่อนพรหมจรรย์ ที่เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในฐานะครู 

ที่มา ที่ไป

รายการ ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 ผู้ข้องอยู่ในถ้ำอันไกลจากวิเวก วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 17:10:41 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:14:21 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:05:27 )

ผู้เขียนต้องขออภัยที่ชี้ผิด ชี้สูงชี้ต่ำ แต่ยืนยันในกุศลเจตนา ไม่มีความคิดข่มเบ่งใดๆ!

รายละเอียด

ก็ต้องขออภัยกันจริงๆ ที่วิจัยวินิจฉัยกันปานฉะนี้ ก็ขอยืนยันว่า ไม่มีธุลีละอองของ“อคติ”ใดเลยที่ต้องการข่มหรือเบ่งว่า อันหนึ่งสูง อันหนึ่งต่ำ

แต่อย่างใด มันเป็นการขยาย“ความจริงตามความเป็นจริง”แก่กันและกัน

ฟังเท่านั้น ซึ่งมันเลี่ยง

“ความจริง”ไปไม่ได้เลย มันต้องสาธยายขยายความชี้ชัดกันด้วยเหตุผล-ตามเหตุปัจจัย ต้องอ้างอิงหลักฐานยืนยันกันให้ครบๆถ้วนๆ ให้แจ่มกระจ่างสุดๆกันนั่นเอง เพื่อจะได้ใช้ประกอบในการศึกษา“ความจริง”ให้ยิ่งๆ

ให้ยอดๆ ให้มากสุดๆเท่าที่จะทำได้ 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 266 หน้า 212


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 13:31:27 )

ผู้เข้าถึงบรรลุธรรมอยู่อย่างไม่รวยแต่ต้องอยู่ในระบบ

รายละเอียด

สิ่งอย่างนี้มันเป็นจริง ผู้ที่เข้าถึง ที่เข้าถึงบรรลุธรรม อาตมากล่าวมานี้ เป็นสภาวะที่คนมีความรู้สึก การเป็นคนไม่ต้องสะสมอะไรเลย อปจยะ ความรวยเราก็เข้าใจ ว่ามันคืออะไร คนสะสมมีอะไรเป็นของตนเองมากก็รวย เราก็อยู่อย่างไม่รวยเลย แต่ต้องอยู่ในระบบ ระบบนั้นต้องมีกลุ่มหมู่ มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี อยู่กันอย่างสาธารณโภคีจริงๆ ถ้ามีสาธารณโภคีและมีหมู่กลุ่มมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีพร้อมจริงๆแล้ว คนที่มี ความจริงที่เราก็นึกถึงจิตวิญญาณแล้วไม่มีตัวมีตนแล้วไม่มีของตัวของตนแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันเป็นการหยั่งรู้สภาวะนี้เรื่องนี้มันรู้จริงๆของเราเองโดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย เคยเชื่อพระพุทธเจ้ามาตอนนี้ไม่ต้องเชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้าเพราะมันเชื่อเพราะว่าเราเป็นเองอยู่มันเป็นคำตอบของตัวเองที่สุดแล้ว จบแล้ว ไม่มีใครจะมาตอบเราอีกแล้ว มันรู้สุด  รู้จบ รู้แจ้ง รู้จริง คนจะรู้ความจริงอย่างที่ว่านี้เป็นความรู้เกิดในจิตใจของเราเองจริงๆจึงเป็นผู้ที่ชื่อว่าบรรลุธรรมแท้ๆของพระพุทธเจ้าจริงๆ นอกจากจะใช้เศรษฐกิจบุญนิยมแล้ว เศรษฐกิจที่ถึงขั้นสาธารณโภคีจบเลย แต่ต้องไม่กดข่มนะ หากกดข่มเสแสร้งก็ไม่จริง พยายามกดข่มไว้แต่จิตไม่เกิดญาณปัญญา ไม่รู้ความสูญที่แท้จริง ที่เราได้ลดละหมดกิเลสหมดอาสวะ มันไม่มีจริง ก็ไม่ได้ ความจริงที่พูดโดยภาษานี้ พวกเราทุกคน ก็พยายามเข้าใจให้ถึงสภาวะจริงให้ได้ แล้วเราก็ดูของเรานี่แหละ ของคนอื่นดูไม่ชัดเท่าของเราเองหรอก หากเรามีแล้ว เราก็มั่นใจในหมู่ เราเป็นอย่างนี้หมู่ก็เป็นอย่างนี้ มันจะรู้กันและมั่นใจในกันและกัน นี่คือความจริงอันนี้อาตมามั่นใจแล้วก็เห็นว่าเมื่อมีความจริงนี้เกิดแล้วก็จบ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 23 มิถุนายน 2563 ( 09:09:29 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 04:12:57 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:06:46 )

ผู้เข้าใจสาระจริงจะรู้จักสาระตรงกัน

รายละเอียด

พูดถึงทองคำแพง มันก็มีนัยยะ พวกเราแตกความเห็นไปเยอะ ทั้งที่จะเน้นว่า “สู่แดนทองคำ” โดยแยกมาเป็นทอง แล้วก็แยกมาเป็นคำแพงแพ้แรงคนจนโลกุตระ โดยจะเอานัยยะสำคัญคือ ถ้ามองมุมภาษา คำแพง หมายถึง วาจาแพง วาจาที่ยิ่งใหญ่ วาจาที่ประเมินค่าไม่ได้ วาจาที่ไม่มีว่าจะอื่นมาลบล้างได้ วาจาอมตะ เหมือนทองคำที่น้ำกรดละลายไม่ได้ ตีความอย่างนี้ได้ไหม ได้ ใช้ได้ ซึ่งเรารู้จักสาระตรงกันผู้เข้าใจสาระจริง ถ้าเข้าใจในเรื่องภาษา คนจะใช้ภาษา สื่อกัน ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉานไหนๆ สัตว์เดรัจฉานเขาก็มีการ เดา ว่า สัตว์มันก็คงมีภาษาของมัน มันก็ส่งเสียงด้วยภาษา เสียงที่มันมีเสียงกำหนดหมาย มีน้ำหนักมีลีลาสูงต่ำ โทนต่างๆนาๆ ซึ่งมันก็เป็นเครื่องหมาย เป็นนิมิต ให้ผู้ที่จะร่วมรู้กำหนดหมายกัน เช่น ภาษาใบ้ ก็มีการกำหนดหมาย ก็รู้กัน กำหนดเสียง กำหนดภาษาแต่เสียง คำพูด นอกจากเสียงแล้วก็มาปั้นเป็นคำพูด ในมนุษยชาตินี้ทำมากที่สุด ทิ้งไม่ได้ แล้วก็บันทึกเป็นพยัญชนะเป็นตัวอักษร มีไม่รู้กี่พันๆๆๆอักษรภาษาในโลก ใช้กันอยู่ สำคัญนะ ที่นี่มาถึงในยุคนี้แล้วโอ้โห อักษรบันทึกมาพิมพ์สลัก จนกระทั่งเป็นตัวหนังสือพิมพ์ในกระดาษ อันนี้ใช้กันมานาน อย่างอื่นมันยาก แต่อันนี้มันง่ายขึ้นดีขึ้น จนกระทั่งไปบันทึกกันในเครื่องอิเล็กทรอนิกส์แล้ว คนก็เลยมาคิดว่าต่อไปหนังสือหรือตัวหนังสือที่บันทึกในกระดาษ มันจะไม่มีความสำคัญมันจะให้ไป ก็มีคนให้ข้อสังเกตว่า 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2563 ( 08:22:18 )

ผู้เบิกบาน

รายละเอียด

ผู้ที่หมดสิ้นโศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส

หนังสืออ้างอิง

เปิดโลกเทวดา หน้า 118


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:11:57 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:37:23 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:07:04 )

ผู้เป็น อภิภู อภิภุยฺยะ

รายละเอียด

ตัวนี้ยากมากที่จะเรียนรู้ ผู้ที่เรียนรู้อายตนะ 8 นั่นแหละคือผู้ที่เป็น อภิภู นอกจากจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่รู้จักอายตนะ 8 แล้ว ยังเป็น อภิภุยฺยะ เป็นคนที่อยู่เหนือสภาวะต่างๆนี้ มีอิทธิพลทั้งรู้ทั้งทำได้ ครอบงำสิ่งทั้งหลาย ครอบงำสิ่งทั้งหลายทั้งหมด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ชาติ‌ ‌5‌ ‌พา‌พ้น‌ขิฑฑาป‌โท‌สิ‌กะ‌และ‌มโน‌ป‌โท‌สิกะ‌ ‌วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มกราคม 2565 ( 20:47:49 )

ผู้เป็นกลางคือผู้วางกามกับอัตตา

รายละเอียด

มาเข้าสู่ความเป็นกลาง คำว่าความเป็นกลาง คนที่จะดำเนินชีวิตแล้วก็ใช้ศัพท์คำว่า ดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลาง คำว่าทางสายกลาง มันเป็นภาษาที่พาให้ออกนอกทางพระพุทธเจ้า มันมีภาษาบาลีว่า มัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาแปลว่ากลาง ปฏิปทาแปลว่าทางปฏิบัติ แล้วไปเอาคำว่าสายไปใส่ ปฏิปทาแปลว่าวิธีปฏิบัติ ทางปฏิบัติ หรือมรรค มรรคคือทางปฏิบัติ ไม่ใช่ทางเดิน ไม่ใช่ทางถนน แต่คือวิธี เส้นทาง เส้นทางที่พระพุทธเจ้าขีดเส้นไว้ให้ เดินตามเส้นนี้ แล้วจะไปถึงความเป็นกลาง 

ไม่ใช่เดินในทางสายกลาง แล้วไปเข้าใจว่า ทางสายกลางคือเดินตรงกลาง แล้วก็มีอีก 2 ข้าง เราก็เดินอยู่ตรงกลางนี้ไป แล้วไปไหน ไม่รู้ เมื่อไหร่จะเจอความเป็นกลาง ไม่รู้ ความเป็นกลางคืออะไร ก็ไม่รู้ อาตมาลองสรุปมาเป็นพยัญชนะ เขียนไว้ว่า คนที่จะดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลางได้แท้ ก็ต้องเป็นผู้บรรลุธรรม เลิกละวาง กาม กับ อัตตา ได้จริง 

อยู่ๆ ใครก็ไม่รู้ เขาจะให้ดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลางได้เลยนั้น เขาก็ออกมาพูดว่า ดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลางนะ แล้วจะเดินทางสายกลางได้เลยนั้น คือคนพูดชนิดที่ไม่รู้ภาษา ไม่รู้สภาวะของกามของอัตตาเลย เขาไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าตัวเองละล้างกามอัตตาหมดหรือยัง ไม่รู้แล้วมาพูดเท่ๆโก้ๆ ด้วยสำนวนของพระพุทธเจ้า แต่ตัวเองเข้าใจผิด เข้าใจภาษา ความหมายของภาษาก็ผิด ตัวสภาวะจริงก็ผิดไปไกลเลย เพราะเขาไม่รู้ ภาษามันผิดไปแล้วแล้วเขาไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้ง่ายๆ 

ที่มา ที่ไป

 พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 54 ผู้เป็นกลางคือผู้วางกามกับอัตตา วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 ธันวาคม 2565 ( 11:11:21 )

ผู้เป็นนักบวชแท้ๆคือผู้มีจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่วรรณะพราหมณ์

รายละเอียด

เขาก็บอกว่าวรรณะกษัตริย์นั้นเป็นคฤหัสถ์ แต่วรรณะพราหมณ์เป็นนักบวช เขาก็ข่มด้วยการเป็นนักบวช พระพุทธเจ้าก็ต้อนไปต้อนมา ว่า เนื้อแท้ของนักบวชคืออะไร ต้อนไปต้อนมา อัมพัฏฐะก็จำนน จำนนที่ว่า ผู้จะมาเป็นนักบวชแท้คือผู้ที่มีจรณะ 15 วิชชา 8 จำนน เขาก็บอกว่าเขามีวิชชาจรณะเขาเป็นผู้สอนวิชชาจรณะอยู่เลย พระพุทธเจ้าก็ต้อนอีก

แล้วเป็นยังไงในสารัตถะ คุณประพฤติจรณะ 15 ไหม คุณมีวิชชา 8 ไหม อัมพัฏฐะก็จำนน มีแต่รู้มีแต่ภาษา สภาวะของจรณะคืออะไร สภาวะของวิชชา ที่เป็นปรมัตถ์ด้วยคืออะไรเขาไม่รู้ เพราะมันไม่มีในตัวในตนของเขา ประพฤติศีลเขาก็ไม่ประพฤติ 

ประพฤติศีล แล้วมี อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วจะเกิดสัทธรรม 7 สะสมลงเป็นฌาน 4  ซึ่งเขาไม่รู้จัก เขาไม่มีฌาน ก็ไปนั่งหลับตา สัทธรรม 7 ไม่รู้เรื่อง ไม่มีเลย อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีเลยเขาก็ได้แต่นั่งหลับตา แล้วก็ท่องภาษาบัญญัติได้คล่องปากสอนผู้อื่นอยู่แจ้วๆ เสร็จแล้ว พอไล่ เข้าไปถึงเนื้อแท้สารัตถะจริงๆ เมื่อปฏิบัติวิชชาจรณะ ก็จะมีจิตเป็น สมาหิโต สมาหิตังจิตตัง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก ครั้งที่ 41 อาหารเป็น 1 ในโลก วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 19:57:00 )

ผู้เป็นพระอรหันต์

รายละเอียด

สภาพจริงของธรรมะพวกนี้ ไม่ได้เดาไม่ใช่อจินไตย แต่เป็นการรู้ได้ด้วยตนเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิ รู้ได้ด้วยตนของตนเพราะมันเป็นอย่างนี้ บอกใครมันก็ยากเพราะเป็นอจินไตย ต้องมารู้ได้ด้วยตนเป็นปัจจัตตัง และคุณจะรู้เองว่านิพพานเป็นอย่างนี้ จนเป็นอรหันต์แล้วจะรู้ว่าปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้วเป็นอย่างนี้ มันยังไม่ชัดคุณก็เกิดอีก เพราะเป็นอรหันต์แล้วเกิดอีกได้ ชัดขึ้นไปอีก ๆๆ 

ถึงแม้ว่าจะไม่ชัด แต่คุณเชื่อว่าปรินิพพานแล้วสูญได้ คุณก็เรียนรู้การทำใจในใจ เวทนาในเวทนา ทำใจในใจ ทำให้เกิดการตายโดยสภาวะตายอย่างนิพพาน 3 ตายอย่าง 0 จิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตสูญเป็นยังไง ไม่มีบวกไม่มีลบเป็นอรหันต์ รู้แล้วต่อด้วยสุญญตนิพพาน ไม่ได้ตั้งนิมิตอะไร อนิมิตนิพพาน ไม่ได้ตั้งใจอะไร อัปนิหิตตนิพพาน ก็ไม่ตั้งทั้งคู่ไม่ตั้งทั้งเจโตและปัญญา เป็นสุญญตนิพพาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบกิจทั้ง 4 อย่างมีปาฏิหาริย์ของพุทธ วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มกราคม 2567 ( 14:01:46 )

ผู้เป็นพระอรหันต์แล้วจะเป็นอัลไซเมอร์ไม่ได้จึงไม่มีสิทธิ์เป็นบ้า

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น โดยสัจจะไม่ใช่แค่ตรรกะ ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านจะยังมีกายกรรมวจีกรรมไปล้วงไปควักอย่างนั้นไม่ได้ ก็พระอรหันต์กิเลสไม่มีแล้ว ท่านก็ต้องมีเจตนาที่สมบูรณ์แบบ เจตนาท่านก็รู้ว่า อย่างนี้แค่โลกวัชชะ โลก เขาก็รู้ว่ากายกรรมวจีกรรมแค่นี้ไม่ดี แล้วพระอรหันต์จะไม่มีปัญญารู้ โลกวัชชะให้โลกมาตำหนิ แล้วทำไมจะต้องไปวนเวียนเป็นพระอรหันต์โง่พระอรหันต์ฉลาด พระอรหันต์ฉลาดแล้วพระอรหันต์โง่กลับไปกลับมาได้อย่างไร 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้ก็พูดจาสับสนปนเป ฟังดีๆ อาตมาแยกให้ชัด ผู้เป็นอรหันต์ จะเป็นอัลไซเมอร์ไม่ได้ ผู้เป็นพระอรหันต์แล้ว ยิ่งเป็นอัลไซเมอร์ไม่ได้ 

สรุปพระอรหันต์ไม่มีสิทธิ์เป็นบ้า หรือใช้อมูฬหวินัย

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้สภาวะของรูป 28 สู่ความเป็นอรหันต์ วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 18:33:19 )

ผู้เป็นสยังอภิญญาคือใคร

รายละเอียด

ตอนนี้อธิบายถึง ปัญญา 8   อภิภู คือผู้มีอภิภายตนะ 8 ซึ่ง อภิภายตนะ 8 ก็ขยายความไป ตอนนี้ขยายยังไม่จบ สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ของอาตมาที่ได้บำเพ็ญมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นของตนเองแล้ว เป็น สยังอภิญญามาแล้ว มาเกิดในยุคนี้ ตามที่พระพุทธเจ้ายืนยันหลักฐานเอาไว้ ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 ว่า ผู้เป็น สยังอภิญญา จะเป็นผู้ขยายโลกนี้โลกหน้าให้ผู้อื่นได้รู้ตาม อาตมาก็ยืนยันตัวเองเป็นอย่างนี้ ผู้ที่ฟังรู้เรื่องได้ประโยชน์ก็มากันได้ อย่างคุณ อ.แปลง ยังเข้าใจยาก เข้าใจไม่ได้ง่ายๆหรอก แค่คุณจะเข้าใจตามผู้อื่น ไม่ได้เข้าใจเองเหมือนอย่างอาตมานี่ก็ยังยากอยู่แล้ว แม้ผู้ที่เป็น สยังอภิญญาอย่างอาตมาอธิบาย แยกแยะตั้งเท่าใด มันก็เหมือนกับใช้หอก 100 เล่มแทงเช้า กลางวัน เย็น หอกอาตมาหักไปหลาย 300 เล่ม ก็ยังไม่รู้สึกรู้สา เวทนายังไม่เกิดยังไม่รู้สึกอะไร บื้อ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาความเข้าใจเรื่องกายของอ.แปลง วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2564 ( 14:31:49 )

ผู้เป็นสัตบุรุษแท้จึงจะอธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 ได้

รายละเอียด

 1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . .

2. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  . 

(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) . .

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ .

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) . . .

8.  บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) . .

9. สัตว์ที่ผุดเกิดเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) . . .

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . .

   (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

ผู้ที่เป็นสัตบุรุษจะอธิบายสัมมาทิฏฐินี้ได้ ผู้ที่ไม่ใช่สัตบุรุษแท้ อธิบายก็ผิดๆถูกๆอธิบายไม่ชัด อธิบายไม่ได้พิศดารหรอก แต่อาตมาอธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 นี้ได้

คุณก็ดูตรงนี้สิว่าอาตมาเป็นจริงหรือไม่ ก็จริง เพราะว่าอาตมาอธิบายได้และเอามายืนยันให้ปฏิบัติได้ผลจริงด้วย คุณจะบอกว่าอาตมาไม่ใช่โพธิสัตว์ สยัง อภิญญา  ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้อย่างไร คนเขาไม่รู้อย่างอาตมารู้เขาก็อธิบายไม่ได้แล้วพาให้ปฏิบัติเกิดมรรคผลไม่ได้ แต่อาตมาทำได้ แล้วคุณก็มาว่า อาตมาพาทำไม่ได้ แล้วมันคืออะไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาอย่างนานาสังวาส
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ไฟฌานทำลายกิเลสได้อย่างไร


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2564 ( 05:21:59 )

ผู้เป็นอนุปคัมมะหรือผู้เป็นกลาง

รายละเอียด

แม้กระนั้น ผู้ที่มี“โลกุตรธรรม”แล้วก็ยังคือ ผู้เป็น “อนุปปคัมมะ”หรือ“ผู้เป็นกลาง(ผู้มัชฌิมะ)” เป็นผู้ไม่ได้ชัง“คนผิด” แล้วชอบ “คนถูก”

เพียงเป็นผู้“ชี้บอก”เท่านั้น ว่า อันใด“ผิด” อันใด“ถูก” และควรข่ม“คนผิด”ก็ข่ม ยก“คนถูก”ก็ทำไปตาม“สัจธรรม”เป็นปกติธรรมดาของคนที่“ไม่ดูดาย” ไม่ยอมเป็นคนอยู่แบบหนักแผ่นดิน  แต่การ“ข่ม”นั้นย่อมเป็น“คำที่ไม่น่ารัก”ไม่น่ารื่นรมย์แน่ ยุคนี้ยิ่งเป็นยุคคนเสื่อมไปจากศาสนาพุทธตรงตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าอยู่แท้ๆ ก็แน่นอนว่า คนผู้บรรลุโลกุตรธรรมนั้นย่อมมีน้อย 

ผู้มี“อภิภุยฺย”เป็น“อนุปคัมมะ”คือผู้มีอิทธิพลเหนือ “ความมี-ความไม่มี” จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง-ความไม่จริง” จึงเห็นชัดเจนได้ว่า คนผู้“มี” เขาก็ยัง“มี” จนกว่าเขาจะเข้าถึง“ความไม่มี”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้ จึงจะทำ“ความไม่มี(น โหติ)” ที่เป็น“อนัตตา”หรือเป็น“สูญ” แยก“ธาตุจิตของตน(จิตนิยาม)”ให้หมดสิ้นไปเป็น“ดินน้ำไฟลม(อุตุนิยาม)”สำเร็จเป็นที่สุดก็จริงที่สุด  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำนานพญานาค ตอนที่ 2 

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 พฤษภาคม 2565 ( 20:44:02 )

ผู้เป็นอภิภูจะรู้รายละเอียดกว่าใครยึดน้อยยึดมากแต่ตัวเองเป็นอนุปคัมมะ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเลิกกันจริงๆ ก็คือศูนย์ไปเลย ก็หมดธาตุรู้ไม่มีธาตุรู้ที่จะรู้อะไรอีกแล้วแยกเป็นดินน้ำไฟลมไปหมดเลยจบ แต่ขณะที่ยังเป็นๆอยู่แยกได้ เป็น อนุปคัมมะ เป็นผู้อยู่กลางๆ ไม่สงสัยว่ามีหรือไม่มี ผู้ที่เขายึดอยู่ก็มี แล้วเราก็รู้ว่า มี คืออย่างนั้น ไม่มี คืออย่างนี้ คุณทะเลาะกัน ก็คือทะเลาะกันแย่งกัน เราไม่ทะเลาะเราไม่แย่ง คุณจะมีมากมีน้อยเราก็รู้รายละเอียดอีก นั่นคือเป็น อภิภู รู้รายละเอียดว่าใครยึดน้อยใครยึดมาก เป็นอภิภู ผู้ที่รู้รายละเอียดมีมิติ มีมุม
เหลี่ยม มีนัยยะสำคัญต่างๆ ที่แตกต่างกันอีกหลากหลาย เออ คุณก็ยึดไป เราเข้าใจได้เรื่อยๆเท่าที่เรามีภูมิเราก็อยู่กับคนอื่นๆ เป็นอภิภูสบาย

อาตมากำลังดำเนินจาก สยังอภิญญา ไปสู่ อภิภู พยายามอธิบายอภิภายตนะ ผู้ครอบงำสิ่งต่างๆ เรียกว่า อภิภุยะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พาปฏิญาณศีล 8 วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2565 ( 11:40:35 )

ผู้เป็นอมตะบุคคล

รายละเอียด

คือ  จะต้องให้เกิดขึ้น  ไม่ได้ต้องการให้เสื่อมลงไป  หรือแม้ที่สุดต้องการเกิดหรือต้องการตาย  พระอรหันต์ สามารถทำความตายของตัวเองให้จบ  ให้ต่อเนื่องได้  หรือจะให้จบเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานได้อย่างสนิท

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 12:52:23 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:15:48 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:07:50 )

ผู้เป็นอรหันต์อรูปไม่บำเรอจิตรู้ความจริงตามความเป็นจริง ก็จบ

รายละเอียด

สัมผัสอะไรก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง น่ายินดีหรือไม่น่ายินดี เป็นอนาคามีหรืออรหัตตมรรค ผู้ที่เป็นอรหันต์แท้จริงนั้น พวกอรูปพวกนี้จะต้องเข้าใจเท่าทันแล้วก็ต้องไม่ให้มีแม้แต่ อรูปนิดหน่อย ที่จะบำเรอจิตเรา เรารู้ความจริงตามความเป็นจริงแล้วก็จบ เพราะฉะนั้นคุณไม่มีความสุขความทุกข์ได้นี่เป็นศูนย์ ถ้ามีความสุขอยู่นิดนึงก็ไม่สุขนิดนึง เพราะฉะนั้นไม่ต้องสุขเลย กลางๆ อุเบกขา ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ มีความแววไวในการปรับ กัมมัญญา ปภัสสรา ยิ่งแข็งแกร่ง เป็นเพชรที่น้ำหนึ่งสุดยอดเลย อย่าเป็นอย่างหนึ่งหรืออย่างสอง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2563 ( 11:15:51 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:16:57 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:08:25 )

ผู้เป็นอรหันต์แล้วจึงจะรู้ว่าตนเองเป็นอรหันต์

รายละเอียด

อาตมาเคยบอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ รู้ได้อย่างไรว่าเป็นอรหันต์ ก็ถ้าอาตมาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอรหันต์แล้วจะบอกว่าเป็นอรหันต์ได้อย่างไร บอกว่าอรหันต์รู้ไม่ได้ นอกจากรู้ไม่ได้จะมีคนมาซักไซ้ถามไถ่อีก แล้วจะตอบเขาได้หรือ หน้าแตก หมอไม่รับเย็บเลยนะ ถ้าไปเปิดเผยขนาดนั้น 

ผู้อื่นจะมีผู้มาทำรู้อรหันต์ได้อย่างไร ไม่มี รู้ไม่ได้ถ้าเจ้าตัวไม่บอกจะรู้ได้อย่างไร ขนาดบอกแล้วอธิบายแล้วว่าอรหันต์เป็นอย่างนี้ ยังฟังไม่รู้เรื่องเลย แล้วก็จะไปเชื่ออรหันต์เดา ว่า องค์นี้ เป็นอรหันต์ ทำไมรู้ล่ะ ก็เดาเอาอย่างที่เขาว่า เขาไม่บอกก็เลยต้องเดาเอา ก็เลยมีแต่อรหันต์เดา ในสังคมทุกวันนี้ เมื่ออรหันต์จริงมาบอก ก็บอกว่าไม่ใช่ อรหันต์จริงต้องไม่บอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 19:51:14 )

ผู้เป็นอรหันต์แล้วทำจิตให้เป็นไปในอำนาจได้

รายละเอียด

กายคือภายในอย่างสำคัญ แต่สัมพันธ์กับภายนอกเท่าไหร่ก็อยู่ที่เราประมาณเรามีจิตที่มี วสวัตตี ยังจิตใจให้เป็นในอำนาจได้ ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วทำจิตให้เป็นไปในอำนาจได้แล้วเราจะสัมพันธ์เท่าไหร่เกี่ยวข้องเท่าไหร่ก็ได้ เรียกว่าอสังสัคคะ สังคณิกะ จะไม่เกี่ยวข้องเลยก็ได้จะเกี่ยวข้องเท่าไหร่ก็เอาตามประมาณ เราเป็นผู้ที่สบายเราเลือกได้ มาปฏิบัติธรรมแล้วจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วจะรู้ว่าชีวิตเราเป็นชีวิตที่เหนือ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2563 ( 10:54:49 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:19:50 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:08:56 )

ผู้เริ่มด้วยศรัทธาจึงจะได้ปัญญาอย่างสัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

ผู้ที่เริ่มด้วยศรัทธาจึงจะได้ปัญญาอย่างสัมมาทิฏฐิเพิ่มขึ้น  เรียนรู้ปฏิบัติมีสัมผัสก็จะเกิดจิต จิตของเราเกิดกิเลส  พอสัมผัสอะไรแล้วกิเลสมันเกิด ก็รู้นี่มันเป็นกิเลส  กิเลสเกิดในขณะปัจจุบัน มีสัมผัสที่เป็นความจริง แต่ถ้าไปหลับตาแล้วเป็นอดีตกับอนาคตมันไม่ใช่ปัจจุบัน  มันไม่ใช่ความจริงจริงๆ  อดีตก็เป็นเรื่องเก่าที่ระลึกขึ้นมาเฉยๆ อนาคตก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น  พระพุทธเจ้าจึงสรุปทิฏฐิ  18 อย่างในอดีต  ส่วนอนาคตมีตั้ง 44 ละเมอเพ้อพกไป  พระพุทธเจ้าไม่เอาการปฏิบัติทั้งอดีตและอนาคต ท่านเอาที่ปัจจุบัน ทิฏฐิธรรม นิพพานทิฏฐิ ผู้ที่แสวงหาเปิดใจรับฟังอาตมาบ้าง จะได้ความรู้เพิ่ม  ต้องมีปรโตโฆษะ ค่อยๆ เชื่อก็ศรัทธา แล้วนำมาปฏิบัติ แต่ถ้าปฏิบัติศีลผิดข้อ 1 สัมผัสกับสัตว์แล้วคุณเกิดจิตกับสัตว์หรือคนก็ตาม สัมผัสแล้ว หมายฆ่าหรือไม่ฆ่า ไม่ได้ใช้อาวุธ ละการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่  จิตเราไม่เป็นเช่นนี้  ก็จะละอายยิ่ง มีความละอายสูงขึ้นก็เรียกว่า โอตตัปปะ จิตเปลี่ยนแปลงได้ ลดกิเลสที่เป็นโทสะมูล  หรือ พยาปาทะ จนไม่มีกิเลสพวกนี้ ก็เป็นพหูสูตร

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2562 ( 19:53:38 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:21:49 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:19:29 )

ผู้เริ่มเรียนรู้“ธรรมะ 2

รายละเอียด

ธรรมะ 2 ของความเป็น“จิตวิญญาณ” จะเริ่มรู้ความเป็น“จิตวิญญาณ”ไป

ตั้งแต่ต้นได้ ก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงจาก“ของจริง-ความจริง”ของตนในตนนี้แหละ ตั้งแต่ต้น เป็นลำดับ ลาด ลุ่ม ลึก ลงไปอย่างน่าอัศจรรย์ จึงสามารถเรียนรู้“จิตวิญญาณ”ซึ่งก็คือความเป็น“เทฺว”ได้บริบูรณ์และสัมบูรณ์ครบสุดสูงสุดได้ด้วย“ปฏิจจสมุปบาท”บ้าง ด้วย“โพธิปักขิยธรรม 37”บ้าง ด้วย“จรณะ 15 วิชชา 8”บ้าง หรือด้วยสูตรนานาต่างๆมากมายของพระพุทธเจ้านั้นแล ตามแต่ใครใช้เหมาะ ซึ่งรวมลงในหลักการศึกษาสุดยอดคือ ไตรสิกขา อันมี“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”นี้เอง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:40:54 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:23:11 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:27:35 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์