@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ต้องรู้ตัวที่มันฉุด

รายละเอียด

เวทนาเป็นตัวรู้แรก สังขารเป็นตัวปรุงเป็นองค์รวม สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ทั้ง 2 ตัว ทั้ง กำหนดรู้เวทนา กำหนดรู้สังขาร 

เสร็จแล้วก็ต้องจัดการ จัดการเรียกว่า อภิสังขาร จัดการอย่างยิ่ง จัดการอย่างมีภูมิปัญญา จัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อภิสังขาร ตัวที่จะทำให้เกิดพัฒนาการได้ก็คือต้องรู้ตัวที่มันฉุด ตัวที่มันฉุดไม่ให้เจริญไม่ให้ก้าวหน้า คือตัวกิเลส เรียกโดยศัพท์วิชาการ หรือเรียกมันโดยศัพท์ลึกว่า กลิ ตัวเป็นโทษ มันเป็นตัวโทษตัวภัย 

ก็ต้องเรียนรู้ตัวนี้ ตั้งแต่มันเป็นพลังงาน เป็นอาการ ตั้งแต่มันทำจากหยาบ ข้างนอกเรียกว่า กาย คือ กายกลิ มันทำให้กายเราเคลื่อนไปได้ การที่คนพัฒนาการทางจิต สัญญาก็ดี สังขารก็ดี ตัวที่กำหนดรู้กับตัวที่มันปรุงแต่งกันขึ้น จิตของเราทั้งนั้น เรารู้ตัวที่กำหนดรู้กับตัวที่มันปรุงแต่งกันขึ้นจิตของเราทั้งนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนากัณฑ์พิเศษ เริ่ม 53 ปี โพธิกิจ ยังเป็นรองต้องอุตสาหะ

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 13:07:48 )

ต้องรู้ทั้งในทั้งนอกพร้อมกัน

รายละเอียด

ถ้าเข้าใจกายในกายผิดแล้ว กายคุณไม่เกี่ยวกับภายนอก คุณมีแต่ใจข้างใน กายในกายคุณก็ไปหลงว่ามันเป็นภายในทั้งหมดมีแต่จิต คุณไม่มีกาย ไม่มีการสัมพันธ์กับภายนอกกับกาย คือเหมือนคนตาบอด เหมือนคนหลับตา เหมือนคนอยู่ในที่มืดแล้ว แต่กายนี้ต้องสว่าง ต้องเห็นด้วยตาหูจมูกลิ้นกายต้องรับสัมผัสได้หมด แล้วก็ต้องรู้ร่วมกันกับจิตด้วย ต้องรู้ทั้งในทั้งนอกพร้อมกันเรียกว่าอายตนะ พร้อมกัน 

แล้วก็แยกอายตนะอีก ไปแยกเวทนาในเวทนา เพราะฉะนั้น ท่านก็สำทับลงไปอีก พระพุทธเจ้าว่าคุณต้องมีผัสสะนะถึงจะมีเวทนา เพราะฉะนั้นถ้าอายตนะของคุณไปหลับตาคุณมีแต่ในจิตไม่มีภายนอกไม่มีกายไม่มีสัมผัสภายนอก คุณก็ผิด เพราะฉะนั้นหลับตาปฏิบัตินี้เป็นโมฆะทั้งสิ้น เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนใน อินทริยภาวนาสูตร

พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ

อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต ฯ

พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม งานอโศกรำลึก 2566
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประกาศธัมมิกราษฎร์ต้องมีองค์ประกอบครบ
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2566 ( 20:10:26 )

ต้องรู้อาการ ลิงค นิมิต นี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุด

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นก็จะต้องรู้อาการ ลิงค นิมิต นี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุด อาการเป็นอย่างไร คุณต้องจับอาการนั้น ทำนิมิตมีเครื่องหมายของอาการนั้น มันจะแตกต่างกันเสมอถ้ามี 2 อาการ ถ้ามี 2 อาการจะต้องมี อิตถีภาวะ กับ ปุริสภาวะ เสมอ ต่างกัน ธาตุ 2 ตัวที่เกิดอยู่ สังขารกันอยู่ มีความต่างกันทั้งนั้น ลิงค นิมิต รู้ความต่างกันให้ได้ 

เพราะฉะนั้น ความต่างใดที่เราจะใช้ 2 ความต่างนั่นแหละ สมกับ กาละเทศะฐานะ จะบอกว่าดี ก็ใช้คำว่า ดี เป็นคำกำกับเท่านั้น แต่ละยุคแต่ละสมัยไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน 

เพราะฉะนั้นไปยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ยุคนี้ต้องใช้ความดำ ยุคนี้ไม่ใช้ความดำแล้วใช้ความขาว หรือจะใช้ความเป็นเฉดสีอื่นก็ว่าไป อย่างนี้เป็นต้น แล้วมันก็ต้องเหมาะสมกับยุคกาล เหมาะสมกับกาละเทศะฐานะต่างๆ 

เพราะฉะนั้น ความมีปัญญาที่จะรู้อาการ ลิงค นิมิต ตามที่อาตมาอธิบาย อุเทส จะเป็นคนที่รู้ภาวะ 2 สิ่งที่เกิดนี้จะมีภาวะ 2 ให้คุณเรียนรู้สิ่งใหม่ แล้วเลือกเอาสิ่งที่ถูกต้อง ตามกาละเทศะฐานะได้ ในกาละนี้หมู่นี้ใช้อันนี้ ตรงกับหมู่ก็อบอุ่นสบาย ถ้าคุณเป็นหมาหัวเน่าแยกกันอยู่ คุณก็ไม่สบาย สัจจะก็คือยอมรับกันเป็นหมู่ เขาใช้ประโยชน์ได้พอสมควรแต่ละคนมีความเฉลียวฉลาดมีปัญญาที่จะรู้ว่า อันนี้คืออันนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้อันนี้ 

เพราะฉะนั้นสัจจะเป็นหนึ่งเดียวก็ตรงกันหมด คนที่แยกแปลกไปก็จะประหลาดๆ ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นตัวไม่ยึดมั่นถือมั่นได้ 

เพราะฉะนั้นชาวอโศก แตกต่างกันจากชาวพุทธอื่น ยิ่งเขายึดของเขา ชาวอโศกจะว่ายึดอันนี้ก็ยึดถือโดยสมมุติ ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไร คนอื่นเขายึดมั่นถือมั่นเลย ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเลยก็เรื่องของเขา แต่อโศกเราเปลี่ยนแปลงได้ถ้ามันถูกต้อง เป็นสัจจะที่ไม่เที่ยงแท้ เปลี่ยนแปลงได้ตาม กาละเทศะฐานะ เห็นไหมว่าไม่ได้เที่ยง 

ที่ไม่เที่ยงเพราะเราไม่ได้ยึดตัวตนเป็นความเที่ยง เพราะเรามีอนัตตา เพราะเรามีที่จบแล้ว คุณไปยึดความเที่ยงอยู่คุณไม่มีอนัตตาหรอกไม่มีวันเป็นอนัตตาได้ เมื่อคุณไม่ยึดแล้วคุณจึงเป็นอนัตตา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 ประการ 3 ข้อแรก โดยพิสดาร วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2565 ( 21:54:34 )

ต้องลดละกำจัดกามตัณหาเป็นเบื้องต้นก่อนจึงจะล้างตัณหาภายในได้

รายละเอียด

เมื่อคนรู้จักกามตัณหา ล้างกามตัณหาได้หมด ก็เหลือภายใน เรียกว่า ภวตัณหา หรือ รูป อรูปภวตัณหาก็แยกเป็น รูป กับ อรูป ก็ล้างรูปตัณหาก่อน ดับให้ได้ที่เรียกว่าอยู่ภายในไม่ใช่ว่าตาหูจมูกลิ้นกายไม่กระทบสัมผัส แต่กระทบสัมผัสอยู่นั้น กามมันดับแล้ว เราลดละจับมันได้หมดแล้ว มันก็เลยอยู่แต่ภายใน ไม่แสดงออกทางกายทางภายนอกแล้ว แต่มันยังอยู่ภายใน กดข่มก็ได้นะ ยังไม่หมดกาม แต่กดข่มไว้ นั่นแหละยากที่จะรู้ คนกดข่มไว้ สะกดจิตตัวเองเก่งๆ มันก็แสดงออกทางภายนอกอยู่ อันนี้แหละยาก 

เพราะฉะนั้นต้องเปิด อย่าไปกดมันไว้ มันจะแสดงออกมีอาการ กาม จนรู้จัก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส รู้อาการรู้เครื่องหมายของมันว่า กาม มันเป็นอย่างนี้ มันอยาก เป็นภายนอก เป็นอาการ สราคะ สโทสะ ที่จริง กามหรือปฏิฆะ โทสะนี่ อยู่กันคนละมุมเท่านั้น โทสะคือไม่ชอบ กามคือชอบ เพราะฉะนั้นถ้าเราล้างกาม ปฏิฆะก็จะลดลงด้วย ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐินะ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไปเอาแต่กดข่ม ปฏิฆะก็เกิดได้ หากกดข่มปฏิฆะไม่กดกาม กามมันก็เกิดได้ แต่ถ้าถูกต้อง กาม กับปฏิฆะ เป็นคู่กัน มันจะลดทั้งคู่ แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิมันเร็วกว่า มันได้ครบครัน 

เมื่อผู้ใดทำมนสิการเป็น เมื่อผัสสะแล้วจิตมันปรุงแต่งเป็นสังขาร แล้วก็ทำใจในใจ มนสิการแปลว่าการจัดการกับใจ ทำใจในใจของเรานี่แหละ ความหมายของใจในใจ เราทำ จัดการกับจิตในจิต 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของ นาม 5 รูป 28 วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2565 ( 13:07:33 )

ต้องละอายต่อความจริงโดยสัจจะ

รายละเอียด

มันต้องละอายต่อความจริงโดยสัจจะ มันจะละอายจริงๆ แม้ชาตินี้คุณจะละอายแต่ไม่กล้าเปิดเผย เมื่อคุณรู้ความจริงเช่นนั้นจะไม่กล้าละลาบละล้วงอีกจะเงียบ ก็โดยสัจจะถ้าคุณไปละลาบละล้วงแล้วบาปจะกินหัวเมื่อคุณรู้แล้ว คำว่ารู้คือรู้นะไม่ใช่ว่ามันไม่รู้หรือแค่เมามัวก็ไม่ใช่ เพราะมันรู้ แล้วคุณเกิดปัญญาหรือตัวรู้ที่รู้จริงๆ คุณปฏิเสธความจริงอันนี้ไม่ได้หรอก ถ้าคุณยังปฏิเสธยังหลบเลี่ยงก็คือยังไม่รู้จริง ถ้ารู้จริงแล้วมันจะไปหลบเลี่ยงอย่างไร ใช่ไหม นี่คือสัจจะที่อาตมาเห็นว่า มันยังจะมีอีกเยอะแยะที่อยากจะพูด 

เพราะฉะนั้นเมื่อคุณมีฉันทะ จะเป็นสิ่งที่ได้ยินจากมิตรดีสหายดี แล้วมาปฏิบัติศีล คุณปฏิบัติศีลแล้วจะเกิดความยินดีคือฉันทะ เพราะฉะนั้น มิตรตีจะพาคุณปฏิบัติศีล จำไว้ จะเข้าใจว่าศีลนี้เป็นหลักสำคัญ ถ้าคุณไม่มีหลัก คุณปฏิบัติเป๋ไปเป๋มาแกว่งไปแกว่งมา มันไม่มีหลักเริ่มต้น คุณต้องมีหลักเริ่มต้นจาก 1 ไป เป็น 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ถ้าคุณไม่มีหลักเริ่มต้น คุณไม่มีอะไรต่อได้เลย ต่อไปก็สเปะสปะเละเทะ ฉะนั้นศีลจึงเป็นหนึ่งสำคัญเลย แล้วก็จะแตกลายแตกขบวน 

ศีลข้อที่ 1 2 3 แล้วมาสัมพันธ์กัน มาขยาย มันก็จะเกี่ยวข้องกับวัตถุเกี่ยวข้องกับพืชเกี่ยวข้องกับจิตนิยามเกี่ยวข้องกับสัตว์โลกเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษยชาติ เกี่ยวข้องกับพฤติการณ์ของสังคม แล้วเราก็ปฏิบัติให้เข้ากับสังคม คุณก็เจริญอยู่กับสังคมไม่เบียดเบียนสังคมอยู่กับสังคมอย่างสบายอบอุ่น ใครจะทำร้ายเรา เราไม่มีตัวตน เราเข้าใจแล้วว่าเขาทำร้ายเราก็เป็นกรรมวิบากของเขา เราไม่ไปทำร้ายใคร การไปทำร้ายมันดีตรงไหน 

นอกจากคนที่โง่เขาก็ทำร้าย หรือว่าเข้าใจผิดเขาก็ทำร้าย คนโง่คนเข้าใจผิดอวิชชาแน่นอน ก็ต้องทำสิ่งที่ไม่ถูก มันเป็นสัจจะของมันอยู่ในตัว จึงต้องพยายามศึกษาให้เกิดความรู้ความฉลาดที่ถูกตรง พยัญชนะก็มีสัมมาทิฐิของพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2565 วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2565 ( 22:06:47 )

ต้องลืมตาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8

รายละเอียด

ถ้าอาตมาไม่บอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ เพราะคนเข้าใจผิด ไปเข้าใจมหาบัวสายหลับตาว่าเป็นอรหันต์ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้นะ ไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมไม่ได้เป็นอะไรหรอก มันต้องลืมตาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้านะ ไปนั่งหลับตาเป็นของเดียรถีย์ ยืนยันได้เลยเต็มป่าเป็นของเดียรถีย์ทั้งนั้นนอกพุทธ แค่นี้คุณรู้ไม่ได้ คุณฉลาดยาก ว่าอะไรเป็นพุทธอะไรไม่ใช่พุทธอย่างนี้ฉลาดยาก 

อาตมาพูดความจริง ไม่ได้อวดอะไร ไม่มีสาเฐยจิต อาตมาเป็นอรหันต์รู้ว่า สาเฐยจิตเป็นอย่างไร อาตมาไม่มีมันในจิต อาตมาพูดจริงบอกจริง แล้วย้ำอีกทีต้องบอกคือ บอกให้รู้ว่าอรหันต์เป็นอย่างนี้ อย่างนั้นมันไม่ใช่ ต้องยืนยันตัวจริงให้สัมผัสเลย กายกรรม วจีกรรมมโนกรรม แสดงธรรม มีพฤติกรรม แล้วก็สร้าง อธิบายมนุษยชาติให้มนุษยชาติปฏิบัติ จนมาเกิดสังคมสาธารณโภคี มีสาราณียธรรมอย่างนี้ยืนยัน คุณก็ยังไม่เข้าใจยังไม่รู้อีก 

ทางเถรสมาคมวงการศาสนาพุทธเขายืนยันสาราณียธรรม 6 หมู่บ้านชุมชนสาราณียธรรมได้ไหมล่ะ นี่ อาตมาทำได้ เป็นของพระพุทธเจ้าอยู่ในตำราพระไตรปิฎก เอามายืนยัน นี่ก็ลองลืมตาดูความจริงบ้างสิ ว่า คนสอนแล้วเป็นไปได้ และเป็นง่ายหรือเปล่า ซึ่งไม่ง่าย ตรงตาม พระไตรปิฎกหรือเปล่า ตรง คุณธรรมพุทธพจน์ 7 อย่างนี้เป็นต้น สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ที่นี่ไม่มีตำรวจที่จะมาตัดสินคดีกันที่นี่เลยสักครั้งเดียว ไม่มีการทะเลาะวิวาทกันเลย อวิวาทะ 

สามัคคียะ พร้อมเพรียงกัน เป๊ง…พรึ่บ ไป ช่วยกันทำงานสามัคคีพร้อมเพรียง เอกีภาวะ นี่มันตรงกับสภาวะที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ทั้งสิ้นเลย คุณมาศึกษาดีๆสิ อาตมาพูดว่าเป็นสารีบุตรนั้น พูดไป ไม่ได้จะให้คุณมาเชื่อหรือไม่เชื่อ จะใช่หรือไม่ใช่อาตมาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร คุณเขียนมาว่า อาตมาเป็นตา ขอบคุณที่ยกให้อาตมาเป็นพ่อของแม่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาสื่อสภาวธรรมโลกุตระ วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565 แรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2565 ( 12:40:17 )

ต้องวนเอาแกนมาเป็นรากเหง้า

รายละเอียด

 แสดงว่าคนอ่านยังไม่รู้รายละเอียดของรายละเอียด อ่านธรรมะของอาตมาวน ใช่ อาตมาวน โดยไม่ได้ทิ้งแก่นแกนของเรื่องแล้วขยายได้ละเอียดอีก แต่คุณไม่รู้จักรายละเอียดที่อาตมาขยาย คุณก็เลยจับได้แต่แก่นแกน ก็เลยบอกว่าพูดซ้ำพูดวนอยู่ได้ ก็หมายถึงจิตคุณเท่านั้นเอง อาตมาจะไปวนโดยไม่มีรายละเอียดทำไมให้มันเมื่อย อาตมาแสดงรายละเอียดแต่คุณตามไม่ได้ไม่รู้รายละเอียดพอ ขออภัยที่อาตมาพูดความจริง ศึกษาดีๆอะไรไม่เข้าใจก็อย่าเพิ่งพูดว่ามากนัก เพราะอาตมาไม่ไปเสียเวลาเขียนให้ละเอียดอย่างนี้หรอก 

อาตมาจะวนเวียนอย่างไรก็ขยายรายละเอียดของแก่นทุกที มันจะเป็นแบบนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราพูดวน ต้องวนเอาแกนมาเป็นรากเหง้า ถ้าหากอาตมาขยายใหม่โดยไม่มีแกนเลยคุณจะไปจับอะไรติด คุณจับไม่ติดหรอก คุณไม่มีตัวเชื่อมโยงเลย ไม่มี connect ไม่มี relative อะไรเลย คุณจะไม่ได้ไม่มีอะไรเกี่ยวพันเป็นตัวต่อ ไม่มีconnectไม่มี relative ไม่มี Continuum อะไรเลยไม่มีอะไรต่อเลย ไม่มีอะไรเชื่อม คุณให้ตัดเป็นชิ้นมันไม่รู้เรื่องหรอกคุณเอ๋ย 

อาตมาอธิบายสู่ฟัง ซึ่งอาตมาเข้าใจอยู่อาตมาทำไม่ได้ผิดอะไร แต่คุณเองคุณแสดงภูมิออกมาว่าคุณยังเข้าใจไม่ได้ก็ฟังดีๆ ก็ขอบคุณ คุณก็มาเป็นผู้ให้คำปรึกษาอาตมาด้วยขอบคุณจริงๆด้วยความจริงใจ ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนคุณหรอก คุณมาช่วยได้ก็จะดีทีเดียว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตย 3 อย่าง ในโลก

วันพุธที่ 4 มกราคม 2566 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2566 ( 10:50:42 )

ต้องวางต้องฝึกตนด้วยอปัณณกปฏิปทา 3 

รายละเอียด

ตั้งแต่ศีลเป็นไปเพื่อจะต้องเวลาอยู่กับสัตว์อยู่กับสิ่งที่มีจิตวิญญาณ โดยเฉพาะมนุษย์ อยู่กันสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมันจะเกิดกิเลส ครบ 3 ราคะ โทสะโมหะ ต้องวางต้องฝึกตน ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านี้สมบูรณ์แบบ อปัณณกปฏิปทา 3 

ถ้ามีในตัวผู้นั้นหวังเจริญและถึงอรหันต์ได้ ถ้าไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไปหลับตาปฏิบัติอย่างนี้เป็นต้น อย่าหวังเลย อย่าหวังว่าจะได้บรรลุสิ้นอาสวะไม่มีทาง เพราะเริ่มต้นตั้งแต่กิเลสกามซึ่งจะต้องอาศัยตาหูจมูกลิ้นกายใจจากทวาร 5 ภายนอกไม่มี เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นกระดุมเม็ดแรกไม่มีให้กลัดเริ่มต้นก่อน ไปกลัดกระดุมเม็ดไหนก็ไม่รู้ มันต้อง 1 2 3 4 5 ไม่ได้เริ่มต้นเลยกระดุมเม็ดที่ 1 ไปจับกระดุมเม็ดไหนไม่รู้เริ่มต้น มันไม่มีลำดับอันน่าอัศจรรย์ มันก็เลยไม่มีความสำเร็จเสื่อมไปหมด 

เพราะฉะนั้นนั่งหลับตาปฏิบัติ อาตมาก็พูดย้ำซ้ำซาก ก็ต้องพูดเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ยังมีอยู่ยังยึดถือ ยังหลงใหลกันอยู่ในมวลที่เป็นพุทธศาสนิกชนด้วยกัน อาตมาก็ต้องเอื้อเฟื้อเกื้อกูลช่วยเหลือ ติง ติง แล้วติงอีก พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะเขายังไม่กระเตื้อง ฟังหูทวนลมบ้าง ไม่ค่อยได้ยินบ้าง ก็ต้องให้ได้ยิน ได้ยินแล้วยังเอาหูทวนลมก็ต้องฟังให้หูแตก หูไม่แตกก็จะต้องรู้สึกสำนึกเข้าใจ มันก็จะเกิดประโยชน์ได้ อาตมาทนที่จะพูดซ้ำซากไม่มีปัญหา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2566 ( 12:26:03 )

ต้องวิบัติกิเลส

รายละเอียด

วิบัติฝากไม่ได้ คุณต้องวิบัติกิเลสของคุณเอง ต้องกำจัดกิเลสของคุณเอง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้ อรรถกถาจารย์ เกจิอาจารย์ผู้รู้ที่เพี้ยน นี่แหละพาให้ศาสนาพุทธเสื่อม ผิดไปเรื่อยๆๆ ตามนี้ แล้วก็เรียนต่อกันมาเป็นตำราเห็นไหม ฟังดีๆนะอาตมาชำแหละวันนี้ 

อัปปัจจายนมัย เวยยาวัจจมัย 2 ข้อนี้เป็นกรรมกิริยาที่ดี เป็นการอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นการขวนขวายดี แต่พอเข้าถึงเนื้อหา ปัตติทานมัย ปัตตานุโมทนามัย บรรลุทานอย่างมิจฉาทิฏฐิของคุณก็ไปได้กุศล ไปได้สมบัติมา ไปได้ภพชาติมา ไม่ได้ตัดกิเลส ทานคือการให้ ให้แล้วเป็น 0 เลย ให้แล้วไม่ต้องไป สาเปกโข ไม่ต้องต่อภพชาติอันใด ให้แล้วจบ ไม่ต้องถือว่าเราได้ทำดี เราได้ทำกุศล หรือไปเรียกว่าเราได้ทำบุญอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 13:25:11 )

ต้องวิบากดีมีกุศลเพียงพอจึงจะเป็นกษัตริย์ได้

รายละเอียด

ผู้ที่เข้าใจความเป็นกษัตริย์ ซึ่งจะไปลดไปอะไร กษัตริย์ผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ถ้าเข้าใจสัจจะธรรมเรื่องกรรมวิบากแล้ว อยู่ดีๆคนจะได้เป็นตำแหน่งกษัตริย์นี่ไม่ได้ ไม่ได้ง่ายๆ จะมีการสืบสันตติวงศ์ หรือว่าแม้จะเป็นต้นราชวงศ์ จะปฏิวัติเป็นต้นวงศ์ก็ตามต้องมีความสามารถ และในความสามารถนั้นขึ้นอยู่กับวิบากด้วย ถ้าผู้ที่จะมาล้มล้างวงศ์กษัตริย์แล้วตัวเองจะขึ้นมาแต่ไม่มีวิบากดีไม่มีกุศลเพียงพอไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ ขึ้นไปก็โดนฆ่าลงมาอีกไม่นานหรอก หรือไม่ได้สำเร็จด้วยซ้ำ จะมีการกบฏไม่สำเร็จ ซึ่งมันมีความซับซ้อนมากมายในเรื่องนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 11:19:47 )

ต้องศึกษาความไม่เป็นกลางของจิต

รายละเอียด

จนกระทั่งไปแปล มัชฌิมาปฏิปทา ว่าเดินทางสายกลาง ก็เลยเดินไปในทางสายกลาง ก็อยู่กลางๆนี่แหละไม่ไปไหน กลางที่ว่า ไม่รู้ว่ากลางอะไร ก็ติดอยู่กับความเป็นกลาง แต่จริงๆก็ไม่ได้ศึกษาความไม่เป็นกลางของจิต ก็ได้แต่เอาใจให้พออาศัยให้อยู่ได้ไม่หนักไม่หนา ให้พอเป็นไป ถ้าไม่ยินดีก็อึดอัด ก็อาศัยธาตุยินดีๆ พอใจๆ เหมือนกับมหาบัว แล้วก็ไม่รู้ว่าอันนั้นคืออะไร หยาบขนาดเคี้ยวหมากจับๆ ก็ยังไม่รู้ว่ามีอาการจิตเสพติดมันเป็นอย่างนั้น แล้วก็จะสมมุติไปเรื่อย เป็นภพชาติไป แล้วก็จะยึดถือภพชาติที่ตัวเองสมมุตินั่นแหละ โดยที่ไม่รู้จักภพชาติเพราะเรื่องหยาบก็ยังไม่รู้ อย่างละเอียดก็ไม่ต้องไปอธิบาย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 09:31:40 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:26:14 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:29:55 )

ต้องศึกษาธรรมะให้สัมมาทิฏฐิกันจริงๆจึงจะเจริญสู่โลกุตระ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็เห็นพวกเดียรถีย์นั่งหลับตากันเต็มป่า เป็นวิธีสามัญที่ครองโลกเพราะว่าทำให้จิตมันดับ สะกดจิตมัน มันเป็นแบบตื้นพื้นง่ายๆ พระพุทธเจ้าบอกว่าธรรมะพระพุทธเจ้านั้นไม่ต้องหลับตาเลย ของพระพุทธเจ้าต้องลืมตา มีสติเต็มร้อย จะมีกายกรรม วจีกรรมก็มีสติเต็มร้อย เพราะว่ามโนกรรมมีความเต็มร้อย 

ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิก็พากันนั่งหลับตากันเลอะเทอะ มีความแตกต่างจากผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิที่ยังลืมตากันอย่างมีนัยสำคัญที่จะต้องศึกษาความแตกต่างกันให้จริง ดังนั้นจึงขอปรามไว้ในที่นี้อย่างสำคัญเลยว่า ต้องศึกษาให้สัมมาทิฏฐิกันจริงๆ ถ้าเรายังไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ยังไม่เจริญสู่โลกุตระ ที่จะเป็นผู้ที่ตีแตกแยกแยะความเป็นเทวะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 20:24:48 )

ต้องสนับสนุนคนดีให้มาเป็นผู้ปกครอง

รายละเอียด

คนที่เห็นคนเข้าใจอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหา คนที่ไม่เห็นอย่างนี้ก็จะหาว่ามายุ่งการเมือง ถ้าไม่ยุ่งมันก็ยิ่งยุ่งต้องจัดการให้มันถูกต้องถ้าไม่ยุ่งเหมือนจะไม่ถูกต้อง อาตมารู้ว่าอะไรถูกต้องอะไรไม่ถูกต้องขอยืนยันว่า อาตมารู้อะไรถูกต้องและอะไรไม่ถูกต้อง แล้วอาตมาก็ต้องไปช่วยสิ่งที่ถูกต้องให้มันถูกต้องด้วยดี คำพูดของอาตมานี้ตรงกันกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ต้องสนับสนุนคนดีให้มาบริหารประเทศ ถ้าไม่สนับสนุนคนดีให้มาบริหารประเทศประเทศจะเสีย ก็อันเดียวกันความเดียวกัน 

เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักสิ่งที่ดีแล้วต้องมาสนับสนุนสิ่งที่ดี ส่วนคนโง่ที่เขาไม่รู้จักคนดีจริง ไปเข้าใจคนชั่วว่าดี แต่เข้าใจคนดีว่าชั่ว อันนั้นเป็นเรื่องความโง่ของเขาก็สุดวิสัยที่เราจะไปช่วยเขา ถ้าเขาตั้งจิตตั้งใจตั้งสติดีๆ ดูให้ชัดๆเลยว่า ใครดีใครชั่วกันแน่ แล้วให้รู้ชัดๆว่า เรานี้โง่เง่าไปถูกครอบงำทางความคิด ไปถูกเขาหลอก ไปหลงสนับสนุนคนชั่วคนไม่ดีอยู่ได้ คุณจะตื่น แล้วคุณจะละอายตัวเองทำไมตัวเองถึงโง่มาได้นานปานนั้น หรือโง่เพราะต้องเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จากเขา ยังเป็นทาส เราก็จะต้องเลิกเป็นทาส เลิกเป็นผู้โง่ได้ ถ้ายังโง่เป็นทาสอยู่ก็ช่วยไม่ได้ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แพ้แน่ๆถ้าพลังเงียบไม่ช่วย

วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 วันขึ้น 9 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2566 ( 12:30:22 )

ต้องสรุปเข้าไปหา 1 ไปหา 0

รายละเอียด

เขาก็บอกว่านี่แหละอธิบายคนที่มีพยัญชนะหรือมีโวหาร อธิบายสภาพรูปธรรมนามธรรม มันวิจิตรประหลาดพิเศษอะไรต่ออะไรไป คุณภาพของหู คุณภาพของจมูก ของตาเบี้ยวๆ มี 3 ตาบ้างอะไรบ้างอธิบายวิจิตรกันไป คนก็เพ้อไปตามฝันเฟื่อง 

มันก็ยิ่งออก ยิ่งอธิบายยิ่งมีอะไรตกแต่งปรุงแต่งเข้ามา มันก็ยิ่งออกนอกสัจธรรมไปใหญ่ ทั้งๆที่สัจธรรมของพระพุทธเจ้านี้จะต้องสรุปเข้ามาให้ได้ ไปหา 1 ไปหา 0 นี่มันก็บานเป็นโลกจินตา เป็นโลกแห่งความคิดโลกจินตา ไป บานทะโร่ไปหาที่สุดไม่ได้  

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดหาที่สุด หาเรื่อง หาฐาน หากรอบของความจบ กรอบของความพอดีของความจบ หาไม่ได้ก็ไปไม่ออก ไม่มีทางบรรลุ 

อาตมาเทศน์ไว้มากแล้วฟังเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ คนที่ฟังธรรม ฟังเทศน์ไม่เบื่อ คือธรรมะที่เป็นโลกุตระ เป็นธรรมรส เป็นวิมุตติรส พระอรหันต์ก็ฟังไม่มีเบื่อ บรรลุอรหันต์แล้วก็ไม่มีเบื่อ เพราะว่าถ้าอรหันต์แล้วนะ มันยังไม่จบง่ายๆ อรหันต์มีตั้ง 6 ขั้นที่อาตมาขยายความมา มีตั้ง 6 ขั้น 

ที่อาตมาพูดนี้ไม่ใช่เพ้อเจ้อนะ เพราะอาตมานี้ขั้น 7 ซึ่งขั้น 7 นี้นับโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์มีถึง 9 ขั้น 

1, 2, 3, 4 นี้อรหันต์ 1 แล้วบวกอรหันต์อีก 5 ขั้น ก็เป็น 9 ขั้น ถ้า 10 ท่านก็หายไปเลยหมดความเป็นพุทธะ พระพุทธเจ้าก็อยู่ที่ขั้นที่ 9 เป็นขั้นที่ 9 ของโพธิสัตว์ ถ้าพ้นโพธิสัตว์ไปแล้วก็เป็นทางศาสนาพราหมณ์เขาเรียก กัลกิริยาวตาร คือเป็น 0 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #40 พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2567 ( 16:51:11 )

ต้องสันทิฏฐิโกและโอปนยิโก

รายละเอียด

ต้องเอาตัวเองมาปฏิบัติ เรียกว่า สันทิฏฐิโก เอาตัวเองมาปฏิบัติเลย ถึงจะได้ของสูงที่ต้องเอื้อม โอปนยิโก จนได้แล้วเอามายืนยันกับโลก ยืนยันประกาศบอก เขาก็หาว่าอวดดี อย่างอาตมาประกาศ เขาก็หาว่าอวดดี ก็ดีต้องอวดโชว์สิ ที่คุณโชว์แต่ของไม่ดีขี้หมามาอวด เอาความซ้อนว่า คนอยากอวดดีมันไม่ดี แต่เราไม่ได้อยากอวด แต่เปิดเผยความจริง โดยจิตเราไม่มีสาเฐยจิตไม่อยากอวด แต่มันเหมาะควร ควรอวด ควรโชว์แสดง ควรให้คนอื่นได้รับรู้ตามมันเป็นของดี ถ้าจะว่าแล้วควรซ้ำควรย้ำควรทวน เอาให้หนักเลย ยัดเยียด แต่ยัดเยียด ไม่บริสุทธิ์ไม่สะอาด ต้องให้เขามีปฏิภาณปัญญารู้และมาเอาเอง อาตมาไม่ได้ล่อหลอก ไม่ได้มาแฝง เพื่อให้ได้โลกธรรมไม่มี บริสุทธิ์สะอาด ใครได้ก็ได้ไม่ต้องมาขอบคุณ ไม่ต้องมายกย่อง ไม่ต้องมาทำอะไรให้ก็ได้ ไม่ต้องเลย ได้แล้วคุณก็เอาไปทำต่อก็แล้วกัน ไปช่วยมนุษยชาติต่อก็แล้วกัน ให้เขาลด ละหน่ายคลาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 19:48:43 )

ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

รายละเอียด

ในวิโมกข์ 8ท่านกำชับที่ประโยคที่ว่า ต้องมีการสัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกาย บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่  แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า “ปัญญาวิมุติ” (กตโม จ ปุคฺคโล  ปญญาวิมุตฺโต อิเธกจฺโจ  ปุคฺคโล น เหว โข อฏฺฐ วิโมกฺเข  กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ ปญญาย จสฺส  ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ อยํ  วุจฺจติ ปุคฺคโล ปญญาวิมุตฺโต ฯ)

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 30ตุลาคม 2562

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎกเล่ม 29 ข้อ 41


เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2562 ( 13:18:46 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:34:14 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:34:05 )

ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

รายละเอียด

การนั่งสมาธินั้นมันก็เป็นเรื่องที่ควรทำเป็นอุปการะอย่างยิ่ง ผู้ที่ปฏิบัติสายปัญญาวิมุติโดยตรง ไม่ปฏิบัตินั่งหลับตาสมาธิ แต่ปฏิบัติเรียนรู้กิเลสโดยตรง มีคำว่ากาย คู่มาตลอดเวลา มีภายนอกตลอด จะบรรลุอรหันต์ได้เป็นปัญญาวิมุตได้เลย แต่ถ้าหากว่าเราจะให้พร้อมทั้ง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติสมบูรณ์แบบ แม้ในปัญญาวิมุติ ก็มีคำที่ทำให้สงสัยกันอยู่ว่าถ้าเผื่อว่ามันไม่สมบูรณ์นี้  น เหวะ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มีประเด็นนี้อยู่ตรงนั้น หมายความว่าสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายมันก็เป็นความหมายทั้งสภาพกาย ต้องมีทั้งภายนอกและภายใน วิโมกข์ 8 สายหลับตา เขาจะเข้าใจว่าวิโมกข์ 8 เป็นการนั่งหลับตา ซึ่งจริงๆแล้ววิโมกข์ 8 ไม่ได้เป็นการนั่งหลับตา ในวิโมกข์ 8 ต้องมีทั้งภายนอกและภายใน อัชฌัตตัง แปลว่า ภายนอก คำว่าไม่ทิ้งภายนอกแม้แต่ในอานาปานสติสูตร แม้คุณจะนั่งหลับตาอยู่ก็ไม่ทิ้งภายนอก ไม่ทิ้งลมหายใจ ถือว่าคุณจะต้องมีสติสัมปชัญญะรู้จักภายนอกอยู่เต็ม ความละเอียดของลมเข้าลมออกภายนอกภายใน ถ้าไม่มีสติแล้วรู้ความละเอียดของลมออกลมเข้าลมสั้นลมยาว เข้าสั้นออกยาวอะไรพวกนี้เข้าสั้นออกสั้นพวกนี้ คุณจะไม่มีการกำหนดโดยไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีการกําหนดหมายรู้ชัดเจนเข้าสู่สัมปชัญญะ มีการกำหนดเข้าไปรู้รายละเอียดแจกแจงคุณจะไม่ตื่นเต็ม ไม่เป็นชาคริยา เพราะฉะนั้นจะต้องตื่นเต็ม จากนอกไปใน แต่คนเข้าใจอานาปานสติผิดไปตรงที่ไม่มีใครบอก เข้าไปอยู่ในภพแล้วก็เกิดภาพข้างใน สภาพข้างในมันจึงไม่เกิดความเป็นครบบริบูรณ์ของความจริง สัจจะบริบูรณ์ไม่ครบความจริงสัจจะบริบูรณ์ เป็นสัจจะที่สำเร็จด้วยจิตเท่านั้นเกิดด้วยจิตเท่านั้นจึงเป็นอัตภาพ จิตที่มันมีสำเร็จแต่ภายในจิตเท่านั้นมันเป็นอัตตา มันไม่มีกาย 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 14:48:36 )

ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงจะทำให้กิเลส อาสวะสิ้นได้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมบรรลุได้ ถ้าคำว่ากายยังไม่สัมมาทิฏฐิปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ไม่บรรลุ เป็นข้อแรกของสังโยชน์ข้อที่ 1 เลย ต้องพ้นสักกายทิฏฐิ อย่างนี้เป็นต้น 

เมื่อไม่พ้น สักกายทิฏฐิ ก็ไปปฏิบัติธรรมโพธิปักขิยธรรม 37 ไม่ได้ โพธิปักขิยธรรม 37 ท่านเริ่มต้นก็คือ พิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม 

ฉะนั้นเมื่อเข้าใจกายในกายไม่ได้ ผิดไปแล้ว มันก็ไม่ต่อเนื่องไปถึงเวทนา ไม่ถึงจิต ไม่ถึงธรรม เพราะกายเป็นนึกว่าเป็นร่างเฉยๆ มีแต่กายภายนอก เข้าใจว่ากายคือร่างนี้ เข้าใจแต่กายภายนอกไม่มีจิตไปร่วมด้วยเลย แล้วมันจะไปเข้าไปถึงเวทนาในเวทนา เข้าถึงจิตในจิต ธรรมในธรรมได้อย่างไร เมื่อมันแยกแล้ว 

ฉะนั้นเขาจึงหลับตาสบายมากปฏิบัติธรรมเพราะเขาไม่เอานี่ข้างนอก จึงไปหลับตาปฏิบัติธรรมเฉยๆ ก็เลยไม่ได้เรื่องเพราะการปฏิบัติธรรมไม่มีกายไม่ได้ ในอาริยบุคคล ท่านกำชับไว้เลยว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะทำให้กิเลส อาสวะ สิ้นได้ 

เพราะฉะนั้น ปฏิบัติวิโมกข์ 8 ไม่มีกาย เพราะไปหลับตา พอเขาบอกว่าเข้าวิโมกข์ หรือเขาเรียกว่าเป็นสมาบัติด้วยนะ เข้าสมาบัติ สมาบัติ 8 หรือวิโมกข์ 8 แล้วไปหลับตาไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 นี้ด้วยกาย ไม่มีกายไม่มีภายนอก กายต้องมีทั้งภายนอกและภายใน ไม่แยกกันด้วย นี่แหละเข้าใจกันยาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 19:09:37 )

ต้องสัมพันธ์กับโลกอยู่ร่วมกับสังคม

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเรื่องลาภเรื่องยศชั้น เรื่องตำแหน่งหน้าที่ยศชั้น มันไม่แล้ว โดยเฉพาะยิ่งตำแหน่งหน้าที่ที่จะไปสัมพันธ์กับโลก โอ้โห..ไม่เอาเลย เหน็ดเหนื่อย ยุ่งยาก 

แม้แต่ในตำแหน่งหน้าที่ในที่นี้ อย่าขี้เกียจเกินไปก็แล้วกัน รับหน้าที่บ้าง ตำแหน่งหน้าที่ มันไม่มีเงินค่าตำแหน่ง ไม่มีอะไรให้ ดีไม่ดียกย่องสรรเสริญก็ไม่ คุณรับตำแหน่งนะ ทำไม่ค่อยเต็มที่ ในหน้าที่ของคุณนะ มันซ้อนเห็นไหม มันไม่เหมือนข้างนอกหรอก เพราะฉะนั้นอย่าไปขี้เกียจ อย่าไปรังเกียจนักกับตำแหน่งหน้าที่ บางทีก็ช่วยกันหน่อย ไม่งั้นจะหาใครทำงานรับผิดชอบอะไรไม่ได้เลย เราไม่ได้อยู่ในป่าในเขาในถ้ำในรูอยู่คนเดียว เราเกี่ยวกับสังคมเกี่ยวกับคนอีกเยอะแยะ มันก็ต้องสัมพันธ์กับโลกเขาอยู่ ก็ต้องช่วยกันบ้าง ไม่ช่วยกันไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นอาตมาถึงให้มาตั้งพรรคการเมืองดู มันเป็นการรับผิดชอบตำแหน่งหน้าที่ แล้วก็บ่นว่ามันต้องมีบัญชี มีการลงทะเบียน มีการรายงาน มีการทำเอกสาร เอ้า..เราก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นก็กลายเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาวตายกันพอดี มันต้องรู้จักสังคม อยู่ร่วมกับสังคมทำให้พอเหมาะพอเป็นไป 

เราไม่ได้กระดี๊กระด๊าอยากจะได้เป็นส.ส. อยากจะเป็นผู้มีอำนาจ อยากจะเป็นผู้ชี้บอกโลก เราก็ทำอย่างนี้เราเป็นผู้บอกโลกอยู่ ไม่ใช่เราไม่ได้บอกโลก อาตมานี้บอกโลกนะ แต่เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่ได้ยิน เขาไม่เข้าใจ มีพวกคุณนี้อยู่ในโลกที่พอมาเข้าใจพอได้ยินว่าใช่ก็มา เพราะอาตมาไม่ได้เป็นพวกที่จะไปหาบริวาร ใครมีปัญญารับรู้ได้ก็มาเอาเอง ใครไม่มาเอา มีปัญญารู้แต่อยู่ข้างนอกก็ได้ ไม่เป็นไร แต่มาเอาในนี้ได้ก็ โอ้โห…ง่ายกว่า สัมผัสได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 1 วันพุธที่ 29 มีนาคม 2566 วันขึ้น 8 ค่ำเดือนห้าปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 พฤษภาคม 2566 ( 20:45:11 )

ต้องสัมมาทิฏฐิจึงจะปฏิบัติบรรลุโลกุตรธรรม

รายละเอียด

จริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็นมูลกา”(ข้อที่ 1 ของ“มูลสูตร 10” พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ“ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เป็น“โลกุตระ”ได้สำเร็จผล

ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”

ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียวก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 20:32:27 )

ต้องสัมมาทิฏฐิในคำว่ากายกับสัญญา

รายละเอียด

เมื่อไม่มีกายปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 โพธิปักขิยธรรมไม่ได้ คุณจะไปได้ผลอะไร คุณจะได้มีมรรคมีผลอะไร คุณก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเวลาจะไปตรวจสอบ ด้วยวิญญาณฐิติ 7 ต้องสัมมาทิฏฐิในคำว่ากายกับสัญญา แล้วใช้สัญญาเข้าไปกำหนดหมายกำหนดกายให้รู้ ตั้งแต่วิญญาณฐิติข้อที่ 1 จนกระทั่งถึงข้อที่ 7 คุณก็ไม่เข้าใจไม่รู้เรื่อง กายต่างกันสัญญาต่างกัน ไม่รู้มีมาทำไม ใช้ไม่เป็น ปฏิบัติไม่เป็น ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับชีวิตนักปฏิบัติธรรมโลกุตระของพระพุทธเจ้าเลย เพราะคุณไม่รู้เรื่องกาย มิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ข้อแรก ข้อที่ 2 ก็ปฏิบัติไม่ได้แล้ว ข้อ 3 สุดท้ายกาย ตรวจสอบด้วยกายด้วยวิญญาณฐิติ 7 คุณก็ไม่รู้เรื่อง 

ผู้ที่ไปหลับตามันน่าสงสารจริงๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่หลับตาปฏิบัติได้ฟังอาตมาบ้าง ใช้สำนวนไทยว่า เป็นบุญหู จะได้รู้ แล้วก็มีปฏิภาณรู้ตัวเองว่าตายๆๆ เราหลงผิดไปแล้ว นอกจากหลงผิดแล้วมีความรู้จริงๆว่าเราหลงผิด ดีไม่ดีเคยลบหลู่โพธิรักษ์ด้วย ที่เคยข่มอาจารย์เรา ดูถูก ซึ่งมันถูกจริงๆอาตมาเห็นถูกๆเลยว่าอาจารย์ของคุณนั้นสอนผิด เขาก็จะโกรธอาตมา เขาก็จะเคือง พอเขารู้สึกตัวแล้ว เขาจะมีหิริอย่างแรงกล้า ละอายอย่างแรงกล้า มีโอตตัปปะอย่างแรงกล้า คำนี้สำคัญนะอาตมาเอามาอธิบายซ้ำ คำตรัสสอนของพระพุทธเจ้า 

คนในโลกไม่เคยได้ยินคำสอนพระพุทธเจ้า  พอได้ฟังคำสอนพระพุทธเจ้าก็เกิดปัญญาข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ปัญญาข้อที่ 1 ไม่เคยได้ฟังโอ้โห อย่างนี้ ของเทวนิยมไม่มีปัญญาแม้ข้อที่ 1 เพราะเขาไม่ได้ฟังธรรมะพระพุทธเจ้า เขาไม่ได้พบพระพุทธเจ้า เขาไม่ได้พบสัตบุรุษ เขาไม่ได้ฟังคำสอนจากพระโอษฐ์หรือจากสัตบุรุษหรือจากผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิเป็นครูได้ เขาไม่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะเกิดได้เลยในโลก ในศาสนาเทวนิยมเขาถือว่าเขาจะต้องรู้จักพระเจ้า แล้วก็มีตำราพระเจ้า ตำราพระเจ้าก็คือพระศาสดาเอง ไม่กล้าเชื่อว่านี่เป็นคำสอนของตัวเอง โอ้โหคำสอนนี้มันยอดเลิศเลย หรือเชื่อว่าคำสอนตัวเอง อาตมาเชื่อว่าพระศาสดาของแต่ละศาสนานั้นไม่กล้าหรอกที่จะยึดว่าคำสอนนี้เป็นของตัวเอง ไม่กล้า จะยกเป็นคำสอนต้องผู้รู้ยอดเยี่ยมเลย เรามิบังอาจ แต่เราก็เป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าก็มอบมรดกนี้ให้เรา คือคำสอนอันสุดยอดให้เรา 

เพราะฉะนั้นคำสอนของพระเจ้า เขาก็นับถืออย่างยิ่งยอดแน่นอน คำสอนของพระเจ้านั้นคือคำสอนของพระศาสดาเอง แต่ละศาสนาก็ของศาสดาแต่ละองค์ แต่พระศาสดา แต่ละองค์ไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้อันนี้รวบรวมได้ขนาดนี้ ก็ตัวเองได้มา สั่งสมมามีบารมีรู้ความรู้นี้มาของตนเอง แต่ไม่เข้าใจไม่รู้ ก็เลยได้แต่บอกว่า นี่คำสอนของพระพุทธเจ้าของเรา ไม่ใช่ของพระเจ้าอีกศาสนาหนึ่งนะ สายเทวนิยมเขาก็ทะเลาะกัน 

เพราะฉะนั้นในศาสนาเทวนิยมแม้อยู่ในยุคเดียวกันสมัยเดียวกันก็มีศาสนาหรือมีพระศาสดาได้หลายองค์ แต่ของพระพุทธเจ้าศาสนาพุทธ ศาสดาไม่มี 2 องค์ ศาสดามีพระองค์เดียวคือพระพุทธเจ้า ทุกคนไม่มีใครบังอาจเป็นศาสดา นอกจากคนบ้า คนไม่รู้ตัวก็บ้าๆบอกว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิด เป็นศาสดา มีความรู้จริงว่าเรายังไม่ถึงความเป็นพระพุทธเจ้า อย่างอาตมานี้รู้ ว่าอาตมายังไม่ถึงพระพุทธเจ้า อาตมาไม่บังอาจพูดมันผิด ความถูกของเราคือยังไม่ถึง เรายังไม่บังอาจหรอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การถืออยู่ป่าของพระป่าเป็นสิ่งผิดตามธุดงควรรคที่ 6 วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2566 ( 13:08:34 )

ต้องสำคัญกันที่จิตวิญญาณ

รายละเอียด

“เศรษฐศาสตร์”คือ“ภาวะแห่งความเป็นจริง”ที่เป็น“สัจธรรม”ทาง“จิตวิญญาณ” ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องของ“เงินๆทองๆ”ที่หลงยึดถือกันสูง หลงหนักว่า “ตัวเลข”นั่นแหละคือ“พระเจ้า” หรือเคารพบูชาแต่“จำนวนของตัวเลขที่แข่งกันสูง-แข่งกันมาก”เท่านั้น

ที่จริงแล้วมันต้องสำคัญกันที่“จิตวิญญาณ”จึงจะดีแท้ ถูกต้องจริง แต่ถ้าแม้น“จิตวิญญาณ”หลงเงินๆทองๆกันหนักหนา หนักหน้ากันอย่างที่เป็นๆกันอยู่ รับรองเด็ดขาดว่า เขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ“ไม่เสร็จ” ไม่“จบกิจ”ได้นิรันดร  

เพราะมันวิปลาสหลงผิดไปแล้ว เขาไม่รู้ตัวกันเลยหรือว่า เขาหลงบูชานับถือ“วัตถุเงินทอง-ตัวเลข”กันหนักหนาสาหัสนั้น นั่นคือ หลงจำนวน “ตัวเลข”โดยหลงยึดถือเอา“รายได้”จากวัตถุแปรมาเป็นเงินทอง แล้วก็นับจำนวน“ตัวเลข”มาเป็นเครื่องชี้บ่งยืนยันความเจริญ“เศรษฐกิจ” มันก็เป็นแค่การบ่งบอกว่า ความสำคัญของมนุษย์ทั้งหลายอยู่ที่“วัตถุ” ชีวิตคนจะอยู่ดีมีสุขด้วย“วัตถุ”เท่านั้น “วัตถุ”สำคัญยิ่งใหญ่ที่สุด เป็น“ที่พึ่ง”คือ“พระเจ้า”คือ God ของชีวิตคนทั้งหลายทั้งหมด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิโดยพ่อครู GDPแบบพุทธที่ต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยม วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 15:23:11 )

ต้องสำนึกรู้ จะเกิดมีความละอายในการเผากิเลส

รายละเอียด

ซาบซึ้งอย่างมากกับคำว่า "สำนึก" ดีมากเลย ดีมาก คำนี้คุณฟังออกและเข้าใจ อาตมาสำทับลงไป แล้วก็ชัดเจน 

“เพราะคำๆ นี้ "สำนึกๆๆ" ที่นำไปสู่การเผากิเลสใช่ไหมคะ “ ถูกต้อง ถ้าคุณไม่สำนึก คุณไม่เกิดศรัทธา คุณไม่ละอายต่อสิ่งที่คุณผ่านมาว่า เรานึกว่าอันนี้ถูกต้องอันนี้ดีแต่มันสำนึกแล้วรู้ว่า “ไอ๊หยา ไอ้นี่มันผิด นี่มันยึดถือ นี่มันยังเป็นกิเลส ยังเป็นอุปกิเลส” อะไรก็แล้วแต่ คุณสำนึกอย่างนี้ขึ้นมา 

ไปยึดไปเข้าใจผิดก็ละอายตัวเอง เช่น คนเข้าใจว่าอาตมานี่เป็นเทวทัต เป็นคนผิด พอรู้เข้า “อัยย๊ะ!..ไม่ใช่ แท้จริงเป็นผู้ถูก ไม่ใช่เทวทัตเลย เป็นสัตบุรุษอีกต่างหาก” คนที่รู้สึกจริง เกิดภูมิปัญญา เกิดปฏิภาณอย่างนั้นจริงขึ้นมา เขาจะสำนึกละอายจริงๆ 

เพราะฉะนั้นตราบใดที่เขายังไม่เข้าใจ ยังไม่มีภูมิปัญญารู้ เขาจะไม่สำนึก เขาจะไม่ละอาย นี่เป็นเครื่องชี้บ่ง เป็นเครื่องชี้บอกสำหรับผู้ที่ผิด สำหรับผู้ที่ถูกก็แน่นอนเข้าใจถูก ก็ต้องรู้ว่าสัตบุรุษถูถูกตัวถูกตน ก็จะไม่ผิด ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าผิด ทีนี้จะยังไง 

มันก็มีอีก 2 อย่างคือเจ้าตัวที่เข้าใจเอง กับผู้ที่เราว่าท่านผิด จริงๆแล้วคุณถูกหรือคุณผิด คนที่คุณเข้าใจว่าผิด นั่นถูกหรือผิด จริงๆแล้วใครกันแน่ถูก ใครกันแน่ผิด เพราะมันขัดแย้งอยู่ในตัวของคุณ 

ส่วนคนที่ไม่ขัดแย้ง-เข้าใจถูก ผู้ที่ดี ผู้ที่เป็นสัตบุรุษ ผู้ที่ถูก เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ก็รับรอง เคารพนับถือ หรือคุณเป็นผู้ถูกคุณก็ต้องเข้าใจคนถูกสิ คุณเป็นผู้รู้คุณเป็นผู้ถูกก็ต้องเข้าใจผู้ที่ถูกสิ คุณจะเข้าใจผู้ที่ถูก เป็นคนที่ผิดได้ยังไง เพราะฉะนั้นถ้าคุณยังขัดแย้งอยู่ ผู้หนึ่งถูก คุณต้องผิดแน่ 

ผู้ยังมีความเข้าใจผิดเข้าใจไม่ได้ ไม่จบในตัว คุณนั่นแหละ ผู้ที่ไม่จบในตัวนั่นแหละ ยังมีขัดแย้งอยู่ แต่อาตมาไม่ขัดแย้ง อาตมารู้ว่าผู้ผิดคือผู้ผิด ผู้ถูกคืออาตมา แล้วอาตมาจะไปขัดแย้งทำไม เพราะผู้ผิดคือผู้ผิด อาตมาผู้ถูก อาตมาไม่ขัดแย้ง ที่ไม่ขัดแย้งไม่ใช่ว่าเราไปข่มไว้ เป็นผู้อยู่สูงกว่า แต่เรารู้ว่าท่านมีภูมิแค่ไหน ท่านมีความรู้อะไรออกมา เรารู้ได้ว่าท่านมีผิด เพราะรู้ว่าท่านผิดอยู่ 

ผู้ถูกจะรู้ความผิดในผู้ผิด ส่วนผู้ผิดนั้นไปเข้าใจความรู้ของผู้ถูกไม่ได้ เพราะยังหลงความผิดของความผิดตัวเองอยู่ ยังโง่อยู่ ก็ย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรู้ความถูกของผู้ถูก เพราะคุณยังโง่อยู่ 

ชัดขึ้นไหม แค่พูดแค่นี้ถ้าไม่มีสภาวะจะเมานะ ถ้าไม่มีสภาวะจริงคุณจะมาแยกแยะอย่างนี้ให้ฟัง ถ้าคุณไม่มีสภาวะจริงรับรองคุณเมาตกใต้ถุนเองเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สำนึกรู้เพื่อเข้าสู่โลกที่ดีที่สุด คือโลกโลกุตระ วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2566 แรม 14 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2567 ( 15:33:36 )

ต้องสำนึกรู้ จะเกิดมีความละอายในการเผากิเลส

รายละเอียด

ซาบซึ้งอย่างมากกับคำว่า "สำนึก" ดีมากเลย ดีมาก คำนี้คุณฟังออกและเข้าใจ อาตมาสำทับลงไป แล้วก็ชัดเจน 

“เพราะคำๆ นี้ "สำนึกๆๆ" ที่นำไปสู่การเผากิเลสใช่ไหมคะ “ ถูกต้อง ถ้าคุณไม่สำนึก คุณไม่เกิดศรัทธา คุณไม่ละอายต่อสิ่งที่คุณผ่านมาว่า เรานึกว่าอันนี้ถูกต้องอันนี้ดีแต่มันสำนึกแล้วรู้ว่า “ไอ๊หยา ไอ้นี่มันผิด นี่มันยึดถือ นี่มันยังเป็นกิเลส ยังเป็นอุปกิเลส” อะไรก็แล้วแต่ คุณสำนึกอย่างนี้ขึ้นมา 

ไปยึดไปเข้าใจผิดก็ละอายตัวเอง เช่น คนเข้าใจว่าอาตมานี่เป็นเทวทัต เป็นคนผิด พอรู้เข้า “อัยย๊ะ!..ไม่ใช่ แท้จริงเป็นผู้ถูก ไม่ใช่เทวทัตเลย เป็นสัตบุรุษอีกต่างหาก” คนที่รู้สึกจริง เกิดภูมิปัญญา เกิดปฏิภาณอย่างนั้นจริงขึ้นมา เขาจะสำนึกละอายจริงๆ 

เพราะฉะนั้นตราบใดที่เขายังไม่เข้าใจ ยังไม่มีภูมิปัญญารู้ เขาจะไม่สำนึก เขาจะไม่ละอาย นี่เป็นเครื่องชี้บ่ง เป็นเครื่องชี้บอกสำหรับผู้ที่ผิด สำหรับผู้ที่ถูกก็แน่นอนเข้าใจถูก ก็ต้องรู้ว่าสัตบุรุษถูถูกตัวถูกตน ก็จะไม่ผิด ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าผิด ทีนี้จะยังไง 

มันก็มีอีก 2 อย่างคือเจ้าตัวที่เข้าใจเอง กับผู้ที่เราว่าท่านผิด จริงๆแล้วคุณถูกหรือคุณผิด คนที่คุณเข้าใจว่าผิด นั่นถูกหรือผิด จริงๆแล้วใครกันแน่ถูก ใครกันแน่ผิด เพราะมันขัดแย้งอยู่ในตัวของคุณ 

ส่วนคนที่ไม่ขัดแย้ง-เข้าใจถูก ผู้ที่ดี ผู้ที่เป็นสัตบุรุษ ผู้ที่ถูก เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ก็รับรอง เคารพนับถือ หรือคุณเป็นผู้ถูกคุณก็ต้องเข้าใจคนถูกสิ คุณเป็นผู้รู้คุณเป็นผู้ถูกก็ต้องเข้าใจผู้ที่ถูกสิ คุณจะเข้าใจผู้ที่ถูก เป็นคนที่ผิดได้ยังไง เพราะฉะนั้นถ้าคุณยังขัดแย้งอยู่ ผู้หนึ่งถูก คุณต้องผิดแน่ 

ผู้ยังมีความเข้าใจผิดเข้าใจไม่ได้ ไม่จบในตัว คุณนั่นแหละ ผู้ที่ไม่จบในตัวนั่นแหละ ยังมีขัดแย้งอยู่ แต่อาตมาไม่ขัดแย้ง อาตมารู้ว่าผู้ผิดคือผู้ผิด ผู้ถูกคืออาตมา แล้วอาตมาจะไปขัดแย้งทำไม เพราะผู้ผิดคือผู้ผิด อาตมาผู้ถูก อาตมาไม่ขัดแย้ง ที่ไม่ขัดแย้งไม่ใช่ว่าเราไปข่มไว้ เป็นผู้อยู่สูงกว่า แต่เรารู้ว่าท่านมีภูมิแค่ไหน ท่านมีความรู้อะไรออกมา เรารู้ได้ว่าท่านมีผิด เพราะรู้ว่าท่านผิดอยู่ 

ผู้ถูกจะรู้ความผิดในผู้ผิด ส่วนผู้ผิดนั้นไปเข้าใจความรู้ของผู้ถูกไม่ได้ เพราะยังหลงความผิดของความผิดตัวเองอยู่ ยังโง่อยู่ ก็ย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรู้ความถูกของผู้ถูก เพราะคุณยังโง่อยู่ 

ชัดขึ้นไหม แค่พูดแค่นี้ถ้าไม่มีสภาวะจะเมานะ ถ้าไม่มีสภาวะจริงคุณจะมาแยกแยะอย่างนี้ให้ฟัง ถ้าคุณไม่มีสภาวะจริงรับรองคุณเมาตกใต้ถุนเองเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สำนึกรู้เพื่อเข้าสู่โลกที่ดีที่สุด คือโลกโลกุตระ วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2566 แรม 14 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2567 ( 15:33:39 )

ต้องสู้เพราะเป็นสิ่งดีที่สุดที่มนุษย์พึงมี

รายละเอียด

อาตมาเอาจากพระไตรปิฎกมาขยายความ แต่เขาไปแปลพระบาลีผิดเพี้ยนอีก อาตมาก็ต้องแก้กลับอีก เฮ้อ เหนื่อยจริงๆเมื่อยจริงๆ แต่เมื่อยก็ต้องสู้ เพราะเป็นสิ่งดีที่สุดที่มนุษย์พึงมีอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ อาตมาเป็นจริงๆแล้วซาบซึ้งในธรรมะพระพุทธเจ้าจริงๆ เกิดมาเป็นคนกับเขาเจออันนี้แล้วและก็ได้อันนี้มาจริงๆ จนกระทั่งบอกไปตรงๆว่าจะมาเป็นโพธิสัตว์และบอกลำดับด้วย เพราะอาตมาไม่ได้ไปสับสนอะไร 

ลำดับ 1 2 3 4 5 6 ก็รู้สภาวะชัดๆเอามาเรียบเรียง ซึ่งมันไม่มีในพระไตรปิฎกทีเดียว ที่อาตมาเรียบเรียงเรื่องโพธิสัตว์ระดับต่างๆ ในศาสนาเถรวาทไม่มี มหายานก็มีหลายเจ้า เพราะว่าเป็นลัทธิแก้ อาจาริยวาทแตกไปเยอะ มันมาก มหายาน ก็รู้ แต่เรามาสอนจากเถรวาทไปแล้วก็จะเกิดค่อยๆมากไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนจนสาธารณโภคีที่เหาะได้ทั้งชุมชน วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 16:30:52 )

ต้องหมดกามภพก่อนจึงเห็นรูปภพ หมดรูปภพจึงเห็นอรูปภพ

รายละเอียด

นเหลือไง กามภพกามาวจรมันหมดแล้ว กิเลสกามหมดแล้วไม่เหลือแล้ว กิเลสขั้นที่เหลือเรียกว่า รูปภพ ไม่ได้หลับตาเข้าไปหรอก ถ้าคนที่หลงผิดก็ไปหลับตา แล้วบอกว่ากิเลสชั้น 2 จากการหลับตาคือรูปภพ เขาก็ไปทำเป็นในรูปภพอย่างนั้น ดีไม่ดีลัดเป็นอรูปที่มันหมดอีกชั้น หมดหยาบไปเหลืออรูป แล้วเขาก็หลงไปทำโดยที่เขาไม่ทลายกิเลสกามภพ ที่เป็นภายนอกของภูเขาก่อนแล้วจะทะลุไปทำลายชั้น 2 เข้าไปทำลายชั้น 3 ได้อย่างไร 

เขาก็จินตนาการฝันเพ้อของเขาเองซึ่งมันไม่ได้มันไม่ถูกต้อง มันไม่เป็นอย่างนั้น นี่คือการสมมุติให้เห็นเป็นภาพเป็นภูเขาอะไรให้ชัด คนที่ปฏิบัติลัดปฏิบัติผิด ศาสนาพระพุทธเจ้ามีการปฏิบัติเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ช่วงนั่งหลับตาเข้าอยู่ในรูปภพ อรูปภพ แล้วไปนั่งหลับตาสะกดจิตอีก ทำให้เป็นสมถะเท่านั้น ให้หยุดจิต ไม่ให้มีอะไร กลายเป็น อสัญญีสัตว์ เลยตกเป็นสภาพ อสัญญีสัตว์ กันเยอะเลย ก็เลยน่าสงสาร ใครฟังรู้ดีก็เลิกเสียอย่างที่ควรจะเลิก อย่างที่มันผิดอย่าไปหลงใหลอยู่ คุณฟังดีๆเชื่อถือก็หยุดได้ไม่ต้องไปเสียเวลาแรงงาน ทุนรอนไปทางโน้นอีกเลย มาปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ที่เป็นของพระพุทธเจ้า ที่เป็นพุทธคุณแท้ๆของศาสนาพุทธนี้เถอะ 

ขณะนี้เป็นขณะที่ต้องประหารกิเลสในรูปภพอันอยู่ในฐานะภพนอก ความเป็น"กาย" ในขณะนี้เป็นการที่ทวาร5ผัสสะกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสแล้วเกิดเฉพาะกิเลสรูปภพใช่ไหม ไม่อาจเกิดกิเลสกามภพได้อีก และไม่อาจเข้าไปรู้หรือประหารกิเลสในอรูปภพได้อาตมาอ่านภาษาของคุณ คือกามภพหมดแล้ว มันก็ยังอยู่ที่กามาวจรในภพ ยังดำเนินอยู่ตากระทบรูปแต่กิเลสกามมันหมดก็เหลือกิเลส รูปภพ ถูก สัมผัสแล้วก็เหลือแต่กิเลสรูปภพ ไม่อาจเกิดกิเลสกามภพได้อีก ก็ใช่ ไม่อาจไปประหารอรูปภพได้ ก็ใช่ ต้องทำ รูปภพหมดก่อน แล้วจึงไปทำอรูปภพต่ออีก รับรองว่าความเข้าใจของคุณถูกต้อง อย่างนี้แหละต้องมีลำดับอย่างถูกต้องและทำไปไม่ใช่ไปทำเลอะเทอะอย่างที่เขาทำผิดๆกัน 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังสาธยายธรรมจากคำถามของคนจริง วันพุธที่ 25 มกราคม 2566 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:17:14 )

ต้องหาสัตบุรุษให้เจอ

รายละเอียด

ตรงนี้เป็นเป้าประเด็นสำคัญที่สุดเลย คุณต้องหาสัตบุรุษให้เจอ ถ้าใครในโลกนี้ไม่เห็นสัตบุรุษที่แท้ หรือผู้อยู่ในฐานะครู ถึงตรงนี้อาตมาขออธิบายความผิดของประเทศไทย ในประเทศไทยได้เรียนรู้ธรรมะมาก็นานก่อนที่อาตมาจะเกิด ก็มีครูอยู่ในฐานะที่จะสอน จนกระทั่งอาตมาเกิดแล้วอาตมาก็ปรากฏตัวในสังคม วงการศาสนา แล้วประกาศตัวเองว่าเป็นสัตบุรุษ ไม่ได้แค่ฐานะครู แน่นอนสัตบุรุษต้องอยู่ในฐานะครูแน่นอน มาประกาศว่าตัวเองเป็นสัตบุรุษ ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งฐานะครูที่ประกาศตัวเองก่อน แล้วคนเขาก็เชื่อ คนอยู่ในฐานะครูนั้นที่ไม่ใช่สัตบุรุษ เมื่ออาตมาประกาศตัวเองเป็นสัตบุรุษ ถ้าเผื่อว่าผู้ที่อยู่ในฐานะครูอยู่ก่อนนั้นเป็นผู้รู้ที่ถูกต้อง ก็จะต้องตรงกับสัตบุรุษที่จริงนะ นอกจากสัตบุรุษนั้นไม่จริง เป็นสัตบุรุษเก๊ มิจฉาทิฏฐิ แน่นอน ผู้ที่อยู่ในฐานะครูถ้ามันขัดแย้งกัน อันหนึ่งต้องถูกอันหนึ่งต้องผิด ถ้ามีความขัดแย้งกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2563 ( 13:50:46 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:26:53 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:32:30 )

ต้องอยากได้นักการเมืองที่ดี

รายละเอียด

คุณห้ามไม่ให้มีนักการเมืองไม่ได้ บ้านเมืองต้องมีนักการเมือง นักบริหาร ไม่เอานักการเมืองไม่ได้ มันต้องมี ต้องอยากได้นักการเมืองที่ดีสิ จะไปบอกว่าไม่อยากได้นักการเมืองก็ไม่มีใครบริหารเลย ไม่มีใครทำงานเพื่อบ้านเมืองเลยก็ตาย อาตมาจึงพามาทำเป็นนักการเมืองทำงานเพื่อบ้านเมือง แต่อาตมาไม่ได้เป็นนักการเมืองแย่งตำแหน่งหาหน้าที่การงานอะไรจากการทำงานนั้น อาตมาทำงานอย่างราษฎรเต็มขั้น ทำงานการเมืองที่ช่วยบ้านเมือง เพื่อบ้านเพื่อเมือง อาตมาไม่ได้มีงานเพื่อส่วนตัว อาตมาพาพวกเราทำงานก็ทำเพื่อที่จะให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น สำหรับพวกเรานั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:28:40 )

ต้องอ่านกิเลสตัวเองออกและต้องไม่หลงในภาษา

รายละเอียด

 ใช่ๆๆ ศีลข้อที่ 1 2 3 จะไล่เป็นลำดับซ้อนๆกันไป อันนี้ได้มาก อันนี้ได้กลาง อันนี้ได้ปลาย อันนี้ได้เสริมกันไป อันนี้ได้หมดเลยต้นกลางปลาย ขอเสริมศีลข้อต่อไปอีก จาก 3 ข้อเลยไปเป็นข้อ 4 5 6 ภาวะข้อ 4 กับข้อ 5 ข้อที่ 4 คือวาจา ข้อที่ 5 คือมโน มันบอกรายละเอียดของจิตที่มันจะได้ตามข้อของศีลแต่ละข้อพาเป็น เมื่อคุณบรรลุแล้ว วาจามันก็จะดีตาม เพราะว่ากายกรรม วจีกรรม กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เป็นการเคลื่อนไหวภายนอก ก็ปฏิบัติไปก็ต้องอ่านกิเลสตามลำดับนั่นแหละ

ใช่ มันอาจจะดูขาดวาจา กายกับใจ วาจา แต่ว่าใจมันไม่ขาดไปตลอดหรอก แต่กายกับใจ มันจะต้องคู่กันไปตลอด ใจลึกลงไปก็ใช้ตัวสัญญากำหนดรู้ กำหนดรู้ใจ กำหนด รู้กาย หรือแม้แต่กำหนดรู้วาจา สัญญาจึงเป็นตัวเก่งที่สุด เป็นตัวงานที่สำคัญมาก คือ ส กับ อัญญา อัญญาคือปัญญา คืออัญญะ ที่เป็นพหูพจน์ 

ส คือตัวแรกของ เศษวรรค ย ร ล ว ส ตัว ส.เป็นตัวที่ 5 กึ่งกลางของ 9 เอาความหมายของสภาวะ สะ มาประกอบใช้ให้รู้ เพราะฉะนั้น ในพยัญชนะก็ดี ในภาษาและในตัวสภาวะธรรม เป็นสภาวะต่างๆอันเกี่ยวเนื่องเกี่ยวข้องด้วยเนื้อหาของทั้งกายและใจ ก็ต้องศึกษา มันเป็นสภาวะเทวะคือสภาวะคู่ ต้องรู้คู่ไปเรื่อยๆ จบด้วยวิญญาณฐีติ 7 ก็ตรวจสอบด้วยกายกับสัญญา อาตมาจะไม่ลงลึกวิญญาณฐีติ 7 เป็นเครื่องตรวจสอบที่สมบูรณ์แบบ จบครบสัมมาทิฏฐิครบ 7 ข้อนี้แล้ว คุณก็พ้นความเป็นสัตว์ 9 ชนิด ซึ่งพระพุทธเจ้าสรุปไว้เป็นสัตว์ 9 ชนิด 

คนทั้งหลายที่ปฏิบัติธรรมก็ไม่พ้นความเป็นสัตว์ 9 ชนิดนี้แหละ แล้วค่อยฟังไปเรื่อยๆรายละเอียด เพราะไปหลงใหลสัตตาวาส 9 

ตัวที่ 5 คือ อสัญญีสัตว์ ไปดับสัญญาซะ หรือว่ามิจฉาทิฏฐิ แม้แต่ฌาน ก็เป็นแบบ เดียรถีย์ ฌาน 2 3 4 ก็เป็นแบบเดียรถีย์ กายก็ดี สัญญาก็ดี เขาก็ได้เป็นแบบ เดียรถีย์ เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น หลัง อสัญญีสัตว์ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ. แม้ที่สุดจะแถมสัญญาเวทยิตนิโรธด้วย ซึ่งไม่มีในสัตตาวาส 9 มีใน อนุปุพพวิหาร 9 ใน สัตตาวาส 9 ไปจบที่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 และอสัญญีสัตว์ ก็เป็น 9

อาตมาจะค่อยเทียบให้ฟัง 

1. วิญญาณฐีติ 7

2. วิโมกข์ 8

3. อนุปุพพวิหาร 9 กับสัตตาวาส 9 ซึ่งเข้าใจไม่ง่ายหรอกแต่สัมผัสด้วยกายนี้ไม่ใช่เล่นๆ ต้องการตอกเข็มอันแรก คือคำว่ากาย เป็นหลักเท่านั้นเอง 

เพราะฉะนั้นไปถึง วิโมกข์ ​8 ก็ต้องขยายความให้รู้ทั้งกายทั้งจิต ทั้งนอกทั้งในทั้ง อัชฌัตตัง พหิทา ถึงสภาพอาภัสรา เป็น สุภกิณหา อย่างไร

ถ้าเป็นวิญญาณฐีติ 7. ก็จะจบที่ อากิญจัญญายตนะ แต่ถ้า ปฏิบัติอนุปุพพวิหาร คุณก็จบที่ สัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาเวทยิตนิโรธ ที่สัมมาทิฏฐิจริง คุณก็จะพ้น สัตตาวาส 9 หมดความเป็นสัตว์ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูท้องฟ้าสวย วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2566 ( 13:24:14 )

ต้องอ่านอาการสุขและทุกข์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นศึกษาดีๆ ตัดรอบจบ ให้แก่เราให้ได้ อันนี้บอกเป็นภาษาก็ไม่ได้แล้ว รูปธรรม อรูปธรรม เพราะฉะนั้น อ่านเวทนา เป็นตัวที่พระพุทธเจ้าท่านสอนที่ความรู้สึก 

มันรู้สึกมันก็ไม่มีอะไรมาก ผลักดูดหรือ จริงๆ เวทนาก็ต้องอ่านอาการสุขและทุกข์ มันก็ไม่สุขไม่ทุกข์อะไร มันก็พออาศัย มันก็ไม่เป็นรสเป็นชาติอะไรมากมาย ก็ไม่มีแล้ว หรือยังมีรสกามมากอยู่ก็ระวัง หมดรสกาม แล้วมันก็ไม่มีอะไร มันเป็นสามัญ จะกินทางลิ้น รสทางลิ้น เป็นตัวตัดสินได้ง่ายทางลิ้น ขออภัย เป็นตัวตัดสินที่ลึก ลิ้นนี่ลึก อันอื่นไม่ลึกเท่า รู้ง่ายกว่า เช่น กลิ่น หรือเสียง ยิ่งรูปยิ่งง่ายกว่า ลึกซึ้งที่สุดก็คือ ตัวสัมผัส สัมผัสนอกสัมผัสในเข้าไปจริงๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนา บำเพ็ญธรรมภาคค่ำ ว.บบบ. เตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่ 2566 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2566 ( 13:53:47 )

ต้องเก่งจริงๆถึงจะได้ประโยชน์จากการอยู่ป่า

รายละเอียด

ในสิ่งแวดล้อมที่เงียบสงัด ไม่มีอะไรยั่วยวนกวนใจ มันก็ง่าย ปฏิบัติได้ง่าย ตื้นๆ เป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นอะไรเลย เพราะฉะนั้นก็ถือเอาประโยชน์อันน้อยนี้ จะเอาประโยชน์จากสิ่งแวดล้อม มันไม่ได้ต่อสู้ ไม่ได้ขัดเกลาเลย มันก็ขัดเกลาแบบมีน้อย สิ่งแวดล้อมบังคับให้ทำ มีประโยชน์น้อยมากเลยเหมือนเศษเนื้อข้างเขียง ถ้าอยู่แล้วอย่างอุปาลีสูตร คุณจะจมลงหรือจักฟุ้งซ่านลอยเท่านั้น ต้องเก่งต้องแน่ ผู้ไม่ได้สมาธิและออกป่าไม่จมก็ลอย เพราะฉะนั้นคุณต้องเก่งจริงๆ ถ้าไม่เช่นนั้นคุณไม่ได้เศษเนื้อข้างเขียง ที่คุณจะได้คือสิ่งเล็กๆน้อยๆจากธรรมชาติ ต้องเก่งจริงๆถึงจะได้ประโยชน์จากความเป็นแห่งป่า มันไม่มีโลกีย์ให้คุณ คุณต้องพอ จะตะกละไม่ได้มาก ไม่มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไร ไม่ใช่โลกีย์ไม่ใช่กาม ตามธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติที่จำกัด มันจำนน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2564 ( 11:39:32 )

ต้องเข้าข้าง ผู้ที่ชัดเจน

รายละเอียด

สรุปอีกที ใครจะว่า อาตมาเข้าข้าง ต้องเข้าข้าง ผู้ที่ชัดเจนต้องเข้าข้าง อาตมาไม่เคยพบกันกับพลเอกประยุทธ์เลย ไม่เคยคุยกันสักคำ นายกทักษิณยังเคยคุยกัน รู้จักกัน โอภาปราศรัย แต่นายกประยุทธ์ไม่เคยปะหน้ากัน ทำงานก็ต่างคนต่างทำ แต่อาตมาก็บริสุทธิ์ใจ ไม่ได้แกล้งเชียร์เพื่อให้นายกประยุทธ์มาให้อะไร ไม่ต้องหรอก นายกประยุทธ์ทำงานเถอะ อาตมาพูดเพราะเห็นแล้วเป็นกำลังใจให้ ไม่ได้ไปยกเมฆอะไร คุณก็ตรวจสอบความจริงได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แบบมีกษัตริย์กับไม่มีกษัตริย์ ประชาธิปไตยแบบไหนดีกว่า วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2566 ( 19:32:21 )

ต้องเข้าถึงสภาวะจริง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้ามาถึงยุคนี้ที่อาตมายืนยันว่า ศาสนาพุทธ 2,500 ปี ยุคนี้มันเสื่อม แต่ อาตมาก็มากู้กลับได้ ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้อวดดี ไม่ได้อยากเบ่ง อยากข่มใครหรอก แต่ขอยืนยันว่า อาตมาพูดความจริง ทุกอย่างที่อาตมาพูดไปเป็นความจริงทั้งนั้น แม้แต่เป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่าจะเป็น สยังอภิญญา เป็นผู้ที่รู้ได้ด้วยตนเอง มาอธิบายโลกนี้โลกหน้า มาต่อศาสนาในยุคนี้ ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 คนฟังแล้วก็หมั่นไส้ คนที่เขาไม่เชื่อถือ  อาตมาพูดจะไปน่าหมั่นไส้อะไร อาตมาพูดตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อ้างอิงหลักธรรม ไม่ได้พูดลอยๆพูดโดยไม่อ้างอิง ไม่ อิงหลักอิงธรรม แล้วก็พามาปฏิบัติศึกษาแล้วก็เกิดหลักฐานยืนยันอ้างอิงได้อีกอย่างที่อาตมายืนยัน 

ชาวอโศกมีอาริยะ มีสมณะ 4 เหล่า เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ กันจริงๆเพื่อที่จะยืนยันว่า ให้เขาเทียบดูว่า อรหันต์จริงกับอรหันต์เก๊ อาริยะจริง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จริง กับ ของเขา เขาไม่สามารถแยกแยะแบ่งเกณฑ์ว่าเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เขาแบ่งไม่ได้ชัด เขาแยกจิตเจตสิกต่างๆ แยกรูปแยกนาม รูป 28 เอารูป 24 นาม 5 แม้แต่ สัญญา 10 เวทนา 108 เขาก็แยกภาษากันทางอภิธรรมเขาก็ท่องกันแจ้วๆ แต่เขาไม่ได้เข้าถึงสภาวะกัน แต่พวกเรานี้เข้าถึงสภาวะ เข้าใจ มโนปวิจาร 18 แยกเวทนา มโนปวิจาร 18 

อาตมาเคยยืนยันว่าผู้ปฏิบัติธรรมถ้าแยกเจตสิกของตัวเองเป็น เคหสิตะ แล้วก็ทำให้เป็นเนกขัมมสิตะ แล้วก็ทำจิตให้เป็นเนกขัมมะ ออกจากกาม ออกจากปฏิฆะ. ออกจากกิเลส ออกไปได้ตามลำดับๆ ถ้าไม่รู้สภาวะจริงของอันนี้ ไม่มีทางบรรลุอรหันต์หรอก เอาแต่นั่งหลับตา หลับตา หลับตาดับไปให้ก้นแตก ปึ๊ง บรรลุอรหันต์ก็น่าสงสาร ก็ไม่รู้หลักของศาสนาพระพุทธเจ้าเลยอย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรมโดยพ่อครู ครั้งที่ 14 GDP แบบพุทธสุดจบกิจ วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 20:55:12 )

ต้องเข้าใจถึงกรรมและผลของกรรมจึงทำให้เป็นอย่างนี้

รายละเอียด

มันต้องระลึกถึง นามธรรม นึกถึงพฤติกรรมของมนุษยชาติที่แท้จริง แล้วเอามาพูดเอามาใช้ได้ ตัวตนบุคคลเราเขาเราจะไปเป็นตัวนั้นตัวนี้ตามเขามันจะได้ยังไง มันไม่ได้ เราเอาพฤติกรรม เราเอาคุณธรรม เราเอาจิตวิญญาณ 

เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้าใจกรรมวิบากได้ดีๆจะต้องเข้าใจถึงกรรมและผลของกรรมจึงทำให้เป็นอย่างนี้ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก  เพราะกรรมที่ทำมา จึงทำให้เป็นอย่างนี้อย่างนี้ จนกระทั่งเราได้ที่พึ่ง ที่พึ่งท่านใช้คำว่า สรณะ ท่านไม่ใช้คำว่า อรณะ คำว่า อรณะ แปลว่าหมดการรบ สรณะคือ ยังเกี่ยวข้อง ยังประกอบด้วยการรบอยู่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเกิดมาหากไม่ได้โลกุตระ เท่ากับชิงหมาเกิด วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 15:19:59 )

ต้องเท่าเทียมกันคือกิเลสมานะอัตตา

รายละเอียด

ความเป็นกษัตริย์ ท้าวไปแต่สมัยดึกดำบรรพ์เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มีจ่าฝูง ฉันใด ธาตุรู้จิตมนุษย์ เป็นช้างม้าวัวควายมันก็มีหัวหน้า มันมีผู้นำเป็นธรรมชาติของจิตวิญญาณ แต่เมื่อเป็นคนแล้วมันโง่ซ้ำซ้อนกว่าสัตว์แต่ละชั้นมันกลับตาลปัตร สุดท้ายบอกว่าต้องเท่าเทียมกัน เข้าใจผิดไปยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เห็นไหมว่ามันสลับซับซ้อนๆเข้าใจผิดไปต่ำกว่าเดรัจฉาน ซึ่งเกิดจากกิเลสมานะอัตตาแล้วถือว่า โลกนี้ ดี

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 11:15:07 )

ต้องเป็นคนมีจิตอาริยะจึงจะอยู่กับหมู่ชาวอโศกอย่างเป็นสุข

รายละเอียด

เห็นด้วย เคยเทศน์ด้วยเนื้อหาด้วยภาษาเรื่องนี้ไปมากแล้วตรงกันชีวิตไม่มีอะไรดีไปกว่า อยู่เป็นคนที่มีชีวิตเพิ่มพูนการเสียสละเป็นอาการสุดท้ายของชีวิตนอกนั้นเราก็อยู่กับมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีมีญาติธรรม พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้จริงๆ แล้วเราก็เป็นคนดีที่เขาไม่ได้เป็นหมาหัวเน่าอยู่ในหมู่กลุ่ม เราก็เป็นคนดีอยู่ในนี้ได้ นี่คือสุดยอดแล้วในชีวิตคนเรา หมดเรื่องทุกข์ อาตมาว่าไม่น่าจะทุกข์ นอกจากว่ามันโง่ 

คนที่อยู่ในสังคมของชาวอโศก อาการที่คนอื่นเขาทำให้ทุกข์ มันน้อย น้อยจนแทบจะไม่มีนอกจากเราเองยึดติดมาก เรียกร้องมาก บำเรอตนเองมาก แล้วตนเองก็ทุกข์เพราะว่าตนเองโง่อยู่ตรงนี้อยู่ในนี้ เพราะฉะนั้น คนจะมาอยู่ในสังคมของชาวอโศกได้ มันไม่ใช่ธรรมดาเป็นอาริยบุคคลทั้งนั้น คุณคนหนึ่งถ้าเริ่มมาอยู่ได้คุณก็เริ่มเป็นอาริยบุคคลแล้วถ้าอยู่ไม่ได้คุณก็ทุกข์ คุณมีตัวขัดแย้งกับหมู่ไม่เป็นอาริยะ ถ้าจิตเป็นอาริยชน มันก็ขัดน้อยหรือจนกระทั่งไม่ขัด นอกจากไม่ขัดก็อยู่ด้วยกัน สนับสนุนเป็นสามัญญตา มีแต่พากันเจริญๆเป็นสุข นี่คือสังคมสงบสุขสุดยอด  

ความเสียสละ มันเป็นความลึกซึ้งสูงสุด เพิ่มพูนความเสียสละเป็นตัวสุดท้ายจากที่อาตมาเรียบเรียงพยัญชนะ 1. อิสระ 2. สบาย 3. สงบ 4. อบอุ่น 5. อิ่มเอม 6. เกษมใส 7. ใจเกื้อกูล 8. เพิ่มพูนการเสียสละ พยายามเอาภาษามาร้อยเรียงให้มันคล้องกันเป็นร่าย มาสัมพันธ์สัมผัสกันจำง่าย เป็นร่ายเป็นคำสัมผัสซึ่งเป็นคุณสมบัติของการเป็นอยู่สุข ผู้ใดได้คุณธรรม 8 ตัวนี้ ได้กันบ้างไหม เอ้อ..ขานรับเนอะว่า ได้… เข้าใจความหมายของ 8 ตัวนี้ว่ามีความหมายอย่างไรแล้วเราก็มีสภาวธรรมอยู่ด้วย มันเป็นจริงเราปฏิบัติธรรมมีผลสำเร็จอย่างนี้ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วสุดท้ายก็อยู่ได้คนเดียว นั่งสบายสงบแล้วก็ค่อยๆซึมหลับนิ่ง ผ่านวันไปด้วยความหยุดนิ่งไม่สดชื่น ไม่เบิกบาน  กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมก็ไม่กระปรี้กระเปร่าแววไว.. 

แต่ของเราคล่องแคล่ว เราไม่พัก เราไม่เพียร ถึงเวลาควรพักก็พัก ถึงเวลาเพียรก็เพียร แต่ละวันแต่ละวัน อาตมาอ้าวเช้าแล้วหรือ ก็ตื่นก็ทำงานไป ถึงเวลานอนแล้วหรือ ก็นอน วันๆเราก็อยู่กับการกระทำอยู่กับกิจที่ควรทำไป โดยเฉพาะกรรมหรือกิจที่ควรกระทำตลอดเวลาแต่ละวันๆ เราไม่ได้ทำชั่ว เราทำแต่ดีตามสมมุติโลกและปรมัตถ์หรือโลกุตรธรรม จิตเราแต่ละวันๆเราก็ไม่ได้ทุกข์ สุขก็ไม่ได้เสพ นี่ยิ่งเป็นโลกุตระ ทุกข์ก็ไม่ทุกข์อยู่อย่างนี้เข้าใจอาการของทุกข์จริงๆมันไม่มีอยู่กับหมู่ สุขเราก็ไม่ได้ไปติดไปยึดอะไร ไม่ได้เสพ จนกระทั่งอาการที่มันจะมีรสชาติของสุข หลงอาการสุขขนาดนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมะพ่อครูไม่เหมือนใครตรงที่...คนทำตามบรรลุได้จริง วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2566 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2566 ( 20:33:14 )

ต้องเป็นคนแบบไหนจึงเทศน์ได้อย่างไม่เกรงใจคนรวย

รายละเอียด

อาตมาก็คนนึง ไม่เกรงใจแล้วล่ะคนรวย ที่เกรงใจคนรวยกันอยู่นั้นก็เพราะว่า เดี๋ยวไปว่าคนรวยแล้วคนรวยเขาก็จะไม่มาบริจาค ไม่มาทำทาน เขาจะอดอยากปากแห้ง เขาก็เลยไม่ค่อยกล้าที่จะว่าคนรวย อย่างเรานี้ อาตมาก็ดี  สมณะด่วนดีก็ดี ไม่ได้ฟังเสียง เพราะมันเป็นเรื่องจริงของธรรมะ เป็นเรื่องจริงของสัจธรรม คนที่ไปรวยนี้ คนที่มุ่งจะไปรวย เป็นคนที่คิดผิด มันเป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของมารครอบงำที่แท้จริงเลย ซึ่งพูดไปแล้ว มันขัดแย้งไปหมดโดยคนที่ยังมีฐานปุถุชน นอกจากจะเป็นฐานอาริยบุคคลแล้วต้องเป็นอาริยบุคคลในฐานที่สูงขึ้นๆ ด้วย จึงจะเห็นจริง จริงๆเลยว่า โอ้ เป็นคนต้องมาจนนะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิธรรม‌ของ‌ศีล‌ข้อ‌ ‌1‌ ‌ที่‌ชาว‌อโศก‌ปฏิบัติ‌ได้‌ ‌วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน2 ปีฉลู


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:24:23 )

ต้องเป็นผู้ที่เจริญขึ้น

รายละเอียด

คุณจะรู้อะไร พระสารีบุตรเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว กับสารีบุตรตอนนี้ ยาวนานมาอีก 2000 ปี ก็ต้องพัฒนามา อาตมาบอกคุณได้ว่า อาตมาเป็นสารีบุตร ถ้าอาตมาเป็นสารีบุตรจริงแล้วอาตมาก็มาเกิดอีก มีชาติใหม่ๆมาเกิดอีก สารีบุตรตายแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์อีก แล้วก็ดำเนินพัฒนาความเจริญแก่ตนเองมาอีก จนมาถึงฐาน มาถึงชีวิตพระโพธิรักษ์ ถ้าอาตมาเป็นพระสารีบุตรจริง อาตมาผ่านเวลามาตั้ง 2,500 ปี ไม่เจริญขึ้นไปอีก จะมาเกิดทำไม เกิดแล้วเกิดอีกทำไม เกิดแล้วไม่เจริญขึ้น เกิดแล้วเสื่อมลง เสื่อมลง 

ถ้าคุณบอกว่าพูดอย่างนี้ผิด คุณก็เกิดมาอีกแล้วก็เสื่อมลงเสื่อมลงก็เรื่องของคุณ แต่อาตมาไม่เอา อาตมาจะต้องเป็นผู้ที่เจริญขึ้น จะเป็นสารีบุตรจริงหรือไม่เป็นสารีบุตรจริงอาตมาก็ต้องเจริญขึ้น เป็นสารีบุตรเจริญขึ้นกว่า อาตมาเป็นสารีบุตรจริงในยุคพระพุทธเจ้า ยุคนี้ก็ต้องเป็นสารีบุตรที่เจริญกว่าในยุคโน้นอาตมาไม่ยอมต่ำกว่าเดิมหรอก พัฒนาจริงๆ ใช่ คนโง่ไม่เชื่ออาตมา ก็คนมีปัญญาก็คงเชื่อ คุณพูดถูก พูดจริง คนโง่ไม่เชื่ออาตมาหรอก มีแถมว่า ปัญญาอ่อนอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาสื่อสภาวธรรมโลกุตระ วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565 แรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2565 ( 12:37:04 )

ต้องเป็นผู้ได้ นี่คือพวกอันธพาล

รายละเอียด

เป็นผู้ไม่ยอม ผู้จะเอาเปรียบชนะให้ได้ ไม่ยอมสละเด็ดขาด กูต้องเป็นผู้ได้ นี่คือพวกอันธพาล อยู่ในโลกนี่แหละเทวนิยมเขาจะเป็นอย่างนั้น นี่ดูสิยูเครนกับรัสเซียยังไม่ยอมกันเลย ยังไม่มีใครเสียสละ และพวกก็ต่างคนต่างถือหางกัน ใครจะได้ผลประโยชน์อะไรก็ฉวยโอกาสนี้กันไป เพื่อที่จะสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตัว จนกระทั่งคนกลัวว่ามันจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 

แต่อาตมาบอกให้เลยว่าไม่เกิด ทำไมไม่เกิดรู้ไหม เพราะลึกๆมันรู้กันแล้วถ้าขืนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ปรมาณูลูกเดียวลงที่ไหนๆบรรลัยหมดทุกประเทศ ตูม 1 ของปรมาณูทุกวันนี้มีฤทธิ์ถึงขั้นครึ่งประเทศตายหมดเลยนะ กว่าครึ่งประเทศมันปึ๊ดเดียว มันรู้ฤทธิ์กัน ก็เลยบอกว่าอย่าทำเป็นเล่นไปนะ ถ้าเกิดสงครามโลกแล้วนี่ทุกคนมีปรมาณูอยู่ในมือกันทั้งนั้น แล้วใครคะนองกูทนไม่ได้กดปัง แล้วเป็นยังไง ลองคิดเล่นๆต่อ ถ้าประเทศใดกดปุ่มปรมาณูใส่ประเทศนั้น ประเทศใดประเทศหนึ่งตูมเข้าไป ประเทศอื่นๆเขาจะมองอย่างไร จะดูดายไหม แล้วมันจะเป็นยังไง 

มันจะเป็นอย่างนี้ประเทศที่กดปุ่มฆ่าเขาก็จะมีพวกเหมือนกัน มันก็จะไปช่วยสิมันก็จะไปช่วยสิ พวกนี้ก็จะต้องรุม พวกนี้ก็จะต้องช่วย มันจะไม่ไปช่วยกันทีเดียวหมดทั้ง 200 กว่าประเทศนี่มันไม่หรอก มันก็จะไปช่วยกันกลุ่มนึง แล้วมันก็จะเรียกร้องกันหมด คือมันจะเลวร้าย พูดกันไม่รู้เรื่อง นี่คือกลียุค ซึ่งคนทุกวันนี้ก็ฉลาดขึ้นแล้วที่จะรู้จักภัยรู้จักโทษ รู้จักความฉิบหายที่รุนแรง ทุกวันนี้มันรู้มากขึ้น และมันก็ทำความฉิบหายความรุนแรงได้มากด้วย สมัยก่อนนี้ฆ่ากันด้วยหอกด้วยดาบ เก่งนะ สมัยนี้อะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นรูปเห็นร่างเลย ไม่เห็นตัวเห็นตนเลย หนีไม่ทัน ไหวไม่ทัน มันร้ายแรงรุนแรงมาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงาน ปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 15 เมษายน 2566 ( 16:50:44 )

ต้องเป็นพระอรหันต์จึงจะรู้จักพลังงานขั้นรูป 28 นาม 5

รายละเอียด

ต้องเป็นพระอรหันต์จึงจะรู้จักพลังงานขั้นรูป 28 นาม 5 ที่จะปฏิบัติทำใจในใจมนสิการของใจตัวเอง ทำใจในใจตัวเอง สร้างใจในใจของตัวเอง ผลิตใจของตัวเองให้เป็นประธานที่จะมีชีวะ จะต้องรู้จุดของชีวิตินทรีย์ หทยรูปเป็นรูป ชีวิตินทรีย์เป็นนาม เป็นคู่ Static กับ Dynamic แล้วก็มีเหตุปัจจัยมีอาหารรูปต่อ ก็ต้องอธิบายไว้ โพธิสัตว์หรือผู้จะศึกษาต่อก็จะได้มีแผนที่ ต้องให้โครงสร้างให้ทฤษฎีไว้ แล้วผู้มีภูมิถึงก็จะทำได้ ศึกษาฝึกฝนพิสูจน์เอาเอง แล้วคุณจะรู้เองโดยไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อสัจจะอันนี้เอง โดยไม่ต้องเชื่อใคร สรุปอีกทีหนึ่งคุณสติพล รู้นะว่า เทวนิยมทำไม่ได้ ขนาดเป็นสายอเทวนิยม เป็นอรหันต์อย่างที่พูดไปแล้ว อรหันต์ธรรมดายังทำไม่ได้แล้วเทวนิยมจะทำให้เป็นอุตุเป็นพีชะไม่มีทางจะมั่วทำไม่เป็น แต่มันดูเหมือนว่า แล้วก็คนเข้าใจไม่ได้ก็ไปเข้าใจเอาเอง คุณสติพล ไปเก็งความจริง ไปประมาณเอาว่า โดยมีธาตุดี มีเจตนาดีและเข้าใจว่าเขาก็จะน่ามีสิ่งอันนี้ได้ มันไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ นี่คือสำนวนพระพุทธเจ้านะ ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ เขาจะไม่รู้รายละเอียดของจิต เจตสิก รูป นิพพานอย่างนี้ โดยเฉพาะยิ่งจะไปแยกธาตุถึงรูป 28 นาม 5 ไปทำงานไปจัดการอย่างนี้ No way station ไม่มีทางเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 10:47:55 )

ต้องเป็นสยังอภิญญาจึงจะอะิบายคำว่ามาตาได้ถูกตรง

รายละเอียด

“มาตา(ความเป็นแม่ทางอภิธรรมหรือปรมัตถธรรม)”ที่เป็น“สัมมาทิฏฐิ” ข้อ 7 ใน“สัมมาทิฏฐิ 10”ของพุทธศาสนา จึงไม่ใช่เรื่องโลกีย์ปุถุชน ที่ยังเข้าใจคำว่า“กาย”ก็ดี “ปัญญา”ก็ดี “บุญ”ก็ดี แม้“สมาธิ”ผิด(มิจฉาทิฏฐิ)อยู่แน่ๆ เพราะในที่นี้ไม่ใช่หมายถึง“ผู้เป็นแม่” ที่ยังเป็น“ตัวตนบุคคล”ที่มีเนื้อมีหนัง ให้กำเนิดร่างสรีระ ที่“ก่อเกิดกันทางมดลูก(ชลาพุชะ)-ทางไข่(อัณฑชะ)-ทางจุลินทรีย์(สังเสทชะ)”แต่นี่คือ“การเกิดทางโอปปาติกโยนิ” ซึ่งเป็นการเกิดทางจิตวิญญาณโดยเฉพาะ“เกิดได้ด้วยกรรม(กรรมโยนิ)”เท่านั้น ผู้จะอธิบายมาตาได้นั้นต้องเป็น อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 06 มีนาคม 2564 ( 12:24:17 )

ต้องเรียนรู้ ตนะ กับ อายะ

รายละเอียด

แต่สิ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือเราเกิดมาเป็นชีวะแล้วเป็นจิตนิยามแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าก็เป็นคนเหมือนเรา ท่านก็มีจิตนิยามและท่านก็ตรัสรู้จิตนิยามว่า จิตนี้คือแค่สังขาร ปรุงแต่งกันขึ้นมา แล้วเรียกกันว่า วิญญาณ เรียนรู้มันแยกได้เป็น 2 อย่างคือ นามกับรูป ก็เรียนรู้นามรูปนี้ไป แม้มันจะไปรวมกันเป็นอายตนะ ก็สามารถแยกออกได้เป็น 2 เรียนรู้อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ ถ้าไม่รู้ก็กลายเป็นโทษ กลายเป็น ตนะ คือ ตัวตน ไม่รู้ว่ามันรวมกันอยู่เพื่อประโยชน์ อายะ

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดรู้ได้ โดยอาศัยผัสสะ มีผัสสะกระทบสัมผัสตื่นเต็มด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จะรู้จัก รู้ได้ด้วยมีเวทนาเป็นตัวบ่งชี้ เพราะฉะนั้นเวทนาจึงเป็นฐานที่เรียนรู้อย่างสูงสุด ศาสนาเทวนิยมไม่มีปัญญาที่จะรู้ปฏิจจสมุปบาท ไม่มีปัญญาที่รู้ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เขาก็จมอยู่ในโลกียะ มีแต่ดีชั่ว ชั่วดี ไม่รู้จักสุขไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักจิตวิญญาณเต็ม ไม่รู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่มีนิพพาน 

เขาจึงจมอยู่กับจิตนิรันดร ส่วนพระพุทธเจ้านั้น คุณจะอยู่ต่อไปโดยไม่ทำชั่วเลย ทำแต่ดี จะเกิดอีกกี่ชาติก็ทำแต่ดี แล้วสุดท้ายไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เรียนรู้เวทนาสมบูรณ์แบบ เป็นคนที่ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นคนที่รู้จักจิตวิญญาณคืออะไร อยู่ต่อไปก็มีแต่ประโยชน์ มีแต่ อายะ เพราะฉะนั้นจึงอยู่กันอย่างเป็นพวกที่มี พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ เป็นอายะที่สอง อยู่กันอย่างเป็นคนที่สร้างประโยชน์ แล้วเป็นคนที่ทำให้โลกนี้หรือมนุษยชาติมีสุข 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาใครคือเผด็จการใครคือประชาธิปไตย วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2567 ( 10:34:21 )

ต้องเรียนรู้กามคุณ 5 เป็นเบื้องต้น

รายละเอียด

ถ้ารู้กามคุณ 5 มันต้องเริ่มเรียนเป็นเบื้องต้น แล้วก็จะต้องเรียนรู้เหตุแห่งกามคุณ 5 แล้วต้องฆ่าหรือประหารจัดการกับตัวเหตุที่มันเป็นตัวตั้ง ที่มันเป็นกามราคะ ที่มีตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอกกระทบกับผัสสะ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์สิ่งของ กระทบทางทวาร 5 ก็รวมทั้งปฏิฆะคือผลักกับดูด ปฏิฆะคือผลัก ฆ่าแกงกันข้ามชาติเลย ต้องทำให้ได้ก่อนต้องทำของหยาบก่อน ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีสิทธิ์ทำขั้นต่อไป ซึ่งมันไม่ใช่ง่าย จะมาเรียนลัด จะมาตีกิน เหมือนคุณจะไปอยู่กลางใจกลางภูเขาทั้งลูก คุณก็ต้องจัดการเอาเปลือกภูเขาข้างนอกออกก่อนแล้วจึงทะลุเข้าไปถึงข้างในตรงกลางได้ ไม่อย่างนั้นตรงไปอยู่ตรงกลางเลยได้อย่างไร ก็ไม่รู้จะมีอุทาหรณ์เปรียบเทียบอย่างไรดี หากไปเอาแต่ในใจเรียนรู้แต่ในใจไม่รู้ภายนอก ไปนั่งหลับตาแล้วไปทำความสะอาด ไม่รู้เขาทำอะไร ที่จริงแล้วเขาสะกดจิตสร้างมโนมยอัตตาเท่านั้นเอง มันมีแต่ นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมาณกาย ซึ่งมีเยอะมากเลย พญานาคกับพญาครุฑนี่แหละคือนิรมานกาย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2563 ( 13:07:26 )

ต้องเรียนรู้ตามลำดับในอนุปุพพิกถา 5

รายละเอียด

เพราะไม่ได้เรียนรู้เรื่องกถาวัตถุ 5 ทาน ศีล สัคคะ กามาทีนวะ เนกขัมมะคือ อนุปุพพิกถา 5 เป็นเบื้องต้น ของลำดับที่จะต้องควรรู้เสียก่อน

แสดงธรรมไปโดยลำดับ (อนุปุพพิกถา)

1. ทาน การสละ  การให้ 

2. ศีล  การชำระขัดเกลา ด้วยเจตนางดเว้น 

3. สัคคะ (สวรรค์) .

4. กามานัง  อาทีนวัง  โอการัง  สังกิเลสัง 

โทษของกาม  ความต่ำทรามของกาม    ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย . .

5. เนกขัมมะ อานิสัง  อานิสงส์การออกจากกาม 

 คือ ทาน กับศีล คนทำทาน ปฏิบัติศีลเพื่อจะให้เกิด ไปหลงทานหลงศีล แล้วไปหลงว่า ทานได้สวรรค์ ศีลได้สวรรค์ แล้วไปติดยึดสวรรค์ เป็นกามคุณ สมความใคร่อยากได้สมใจ สวรรรค์เป็นกามคุณ ท่านก็บอกว่าไม่ใช่ สัคคะ ไม่ใช่คุณ เป็นโทษ เป็นกามโทษ ตัวที่ 4 ของอนุปุพพิกถาคือ กามาทีนวะไม่ใช่กามคุณ 5 กามาทีนวะ คือโทษ แต่ไม่กระดิกหูเพราะติดอยู่ในสวรรค์ กามาทีนวะไม่ศึกษา มันมีคู่เป็นกามคุณก็ไปหลงอยู่ในกามคุณเป็นสวรรค์ สวรรค์ของกามทั้งหมด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 14:57:35 )

ต้องเรียนรู้เรื่องความเป็นจริงที่ดีที่สุดของมนุษยชาติที่ควรจะเป็น

รายละเอียด

เศรษฐกิจเป็นภาษาสมัยใหม่สมัยพุทธเจ้าไม่มีภาษานี้ ก็ดูกันไปก็แล้วกัน คำว่าเศรษฐกิจของเขาก็บอกว่า ในสิ่งที่กินที่ใช้ มีผลผลิตแล้วก็สามารถเฉลี่ยสิ่งที่มีจำนวนจำกัดนี้ให้ทั่วถึงกันได้ดี ตามความเหมาะสม คนที่ควรได้มาก คนที่ควรได้น้อยคือใคร อย่างเช่นคนที่อ่อนแอ คนที่ช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ก็ต้องให้ช่วยได้มากกว่า คนที่แข็งแรงช่วยเหลือตัวเองได้สร้างสรรได้มากก็จะเป็นผู้ให้ ซึ่งมันเป็นหลักของสัจธรรม เพราะฉะนั้นสรุปแล้วก็ต้องเรียนรู้เรื่องสัจจธรรมให้สมบูรณ์แบบ เรียนรู้เรื่องความเป็นจริงที่ดีที่สุดของมนุษยชาติที่ควรจะเป็น เป็นอริยบุคคล เราใช้คำว่า อาริยบุคคล อาตมาไม่ค่อยได้พูดถึงอริยบุคคล หรือ อารยบุคคล ก็ไม่ขยายความล่ะ นานนานค่อยขยายความที 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2563 ( 11:44:51 )

ต้องเรียนรู้โลกแห่งกามคุณ 5 ที่มันมีในโลก

รายละเอียด

แม้แต่เราจะปฏิบัติรูปาวจรต่อไป ก็ยังอยู่ในกามาวจรต่อไป ก็ยังอยู่ในอวจรอยู่ในโลกแห่งกามคุณ 5 ที่มันมีในโลก มันจะจัดจ้านสุดยอดในการหลอกล่อมนุษยชาติให้ตกเป็นเหยื่อเก่งขนาดไหนก็ตาม ไม่ได้หนีเลย 

แต่ที่เหลือเป็นรูปาวจร รูปราคะ คุณก็ต้องเรียนรู้ต่อ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่ปอกเปลือกทุเรียนเลย จะไปกินเนื้อทุเรียนได้อย่างไร และคุณจะหายตัวไปกินได้อย่างไร  มันเป็นไปไม่ได้เขาดันทุรังไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมเข้าไปหา รูปาวจร อรูปาวจร ที่เป็นภพใน

ดูถูกเปลือกทุเรียน ดูถูกกามคุณ 5 เขาไม่ได้ปฏิบัติในเบื้องต้น ที่เขาบอกว่าเขาได้กินเนื้ออยู่นั้นเป็นเรื่องปลอม เพราะเขาไม่ได้ปอกเปลือกออกเลย เขาจึงปากแดงเหมือนมหาบัว เคี้ยวหมากอยู่แต่เขาไม่รู้จักกามคุณ 5  แต่เขาไม่ได้ก็กินหรอกนะ เพราะมันกินไม่ได้หมากพลู แต่เขาติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของมัน โง่ไม่รู้กี่ชั้น มันไม่ใช่ของจริงแต่มันก็จริง ทั้ง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เขาไม่รู้จักกามคุณ 5 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูพบอาจารย์หมอเขียวและทีมงานแพทย์วิถีธรรม วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2565 แรม 6 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2565 ( 20:00:17 )

ต้องเรียนเป็นพระอรหันต์ก่อนจะเรียนเป็นพระโพธิสัตว์

รายละเอียด

อย่าไปพูดเลยมันเป็นอจินไตย มันเป็นเรื่องยาวยืดไปมากมาย ใครจะเรียนเป็นพระโพธิสัตว์ก็เรียนเป็นพระอรหันต์ก่อน เรียนเป็นพระอรหันต์ได้แล้วก็ไม่ไปอธิบายอะไรมากหรอกเพราะพระโพธิสัตว์จะค่อยๆรู้เอง จะค่อยๆเข้าใจตามลำดับ จะค่อยๆเข้าใจความรู้สืบต่อ มีอะไรไปอีกยังไงก็ค่อยๆรู้ไปตามลำดับ

เป็นอรหันต์แล้วจะบำเพ็ญต่อเป็นพระโพธิสัตว์ จนเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 2 วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2564 ( 18:51:42 )

ต้องเลื่อนฐานขึ้นใหม่ไปสู่อันใหม่ที่จะทำให้เป็นปกติ

รายละเอียด

ก็ต้องเลื่อนฐานขึ้นใหม่ไปสู่อันใหม่ที่จะทำให้เป็นปกติ ถ้ามันยังไม่ราบเรียบไม่มีผลักไม่มีดูดผลักก็ต้องเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดาธรรมชาติปฏิบัติไปตามลำดับ ภาษาที่พูดสื่อให้เข้าถึงสภาวะ เมื่อมีสภาวะแล้วก็จะอธิบายให้เป็นภาษาเข้าใจกันได้ ผู้ที่มีสภาวะจะเข้าใจกันทันที 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 09:35:53 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:27:44 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:32:49 )

ต้องเอาจริง

รายละเอียด

ผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่เอาจริง จะไม่มีการบรรลุได้จริงๆ รู้ทั้งรู้ ยังยากแสนยาก
ถ้าไม่เอาจริงแล้วไม่มีการบรรลุ ต้องเอาจริง นี่คือ เคล็ดที่สำคัญที่สุด ต้องเอาจริง!!


 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เจริญชีพด้วยการก้าว  น.14


เวลาบันทึก 24 เมษายน 2567 ( 18:31:37 )

ต้องเอาอนุสาสนีปาฏิหาริย์ให้ได้ก่อนเป็นหลักประกัน

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นก็ควรจะปฏิบัติธรรมให้บรรลุอรหัตผลก่อน จบแล้วมาเป็นโพธิสัตว์ คุณอยากจะเพิ่มอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสสนาปาฏิหาริย์ มันต้องทำอยู่แล้ว เป็นโพธิสัตว์ต้องทำอยู่แล้ว มันจะได้เอง ได้แล้วก็ทำได้ง่ายด้วย ทำได้แล้วไม่หลงไม่ได้เอาสิ่งเหล่านี้ไปทำให้แปดเปื้อน ธรรมะที่เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ธรรมะที่จะไปสู่นิพพานให้เสียหายด้วย เพราะฉะนั้นจึงเป็นหลักประกัน ว่าต้องเอาอนุสาสนีปาฏิหาริย์ให้ได้ก่อน เอาอรหันต์ให้ได้ก่อน คนที่ไม่เข้าใจอย่างอาตมาพูดนี้เขาก็จะไปเอาฤทธิ์เดชก่อนเอาอนุสาสนีปาฏิหาริย์ก่อน คนพวกนี้นานช้ามาก ดีไม่ดีไม่สำเร็จด้วยเลย เพราะว่าอิทธิปาฏิหาริย์  อาเทศนาปาฏิหาริย์มันเป็นโลกียะ ดีไม่ดีแค่พระโสดาบันยังไม่ได้เลย ไปหลงแค่อาเทสนาปาฏิหาริย์อิทธิปาฏิหาริย์ คุณจะหลงวนเวียนอยู่ในโลกีย์อีกนานนับชาติ ไม่มีหลักประกันเลย ถ้าเผื่อว่ายังไม่มี อัญญธาตุ ไม่มีโลกุตระธรรมที่จิตเข้ากระแสเป็นพระโสดาบัน 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 14:52:32 )

ต้องเอาโลกุตรธรรมมาต่อเพราะศาสนาพุทธเสื่อม

รายละเอียด

ก็ขออภัย ทำให้เกิดแค่หงุดหงิดนะ คงไม่ถึงกับโกรธเคือง คือยุคนี้เป็นยุคปลายของความเสื่อม แล้วขาดแคลนความจริงที่จะต้องต่อไปถึงห้าพันปี เราก็พูดไปกันแล้ว หากไม่มีอาตมามาเกิด แล้วนำเอาความรู้โลกุตรธรรมมาต่อ คุณวินัยจะว่า โลกุตรธรรมจะต่อไปได้ไหม เพราะตอนนี้มันเสื่อมไปหมดแล้ว มีแต่ศาสนาสวดมนต์พิธีกรรมไป ไม่มีอะไรก็นั่งสวดมนต์กัน อย่างนี้แสดงว่าคุณเอาแต่โลกียธรรม ไม่เอาโลกุตรธรรมที่ยาก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) ต้องมีผู้มาต่อเชื้ออันนั้น คิดเอาเองไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2563 ( 12:11:03 )

ต้องแก้กรรมต้องถือศีลและอยู่กับหมู่มิตรสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี

รายละเอียด

อันนี้จริงที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การอยู่กับหมู่มิตรสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนา ไปอยู่คนเดียวปลีกตัวนั้นมันผิด ไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย แค่นี้ถ้าเข้าใจแล้ว จะไม่หนีไปออกป่าไปนั่งหลับตาอยู่ผู้เดียวหรอก ถ้าเข้าใจแค่นี้นะ แต่ทำไมมันถึงยากเย็นนัก ถึงยิ่งเห็นเลยว่า โลกุตรธรรมในความเป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้านี้ มันไม่ง่ายเลย โพธิรักษ์สู้ๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณา ครั้งที่ 39 สร้างอาหารให้กับโลก วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 12 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2564 ( 12:28:54 )

ต้องแก้กรรมปัจจุบัน

รายละเอียด

ไม่ต้องไประลึกหรอกชาติที่แล้ว เป็นอะไรก็แก้ไขไม่ได้ เอาปัจจุบันในสิ่งที่เป็นประโยชน์ จะประพฤติเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดี แม้แต่เมื่อวานเราทำผิดไปแล้วมันก็ชั่วแล้ว เป็นวิบากแล้ว คุณแก้ไม่ได้ด้วย สิ่งที่เสร็จแล้ว กรรมเป็นอันทำ มีแต่ต้องแก้กรรมปัจจุบัน ที่จะเดินทางไปอนาคต ทำในปัจจุบัน รู้แต่อนาคตไปข้างหน้า ทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็แค่ว่าเราตั้งใจทำดีต่อไปเสมอ อดีตเอาไว้เปรียบเทียบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำไมไม่อยากให้ลูกมีแฟน


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:24:16 )

ต้องโทษเพราะหลับตาปฏิบัติจึงงมงายสำคัญผิด!

รายละเอียด

แต่เขาทั้งหลายนั้น“ไม่รู้ตัว”กันหรอกว่า เขาได้พากันหลงติด

“สุข”อย่างงมงายกันขนาดไหน เหตุเพราะปฏิบัติ“หลับตา”นี่เอง จึงยังหลง“ติดสุข” ยังมี“อุปาทาน”ใน“สุข” เพราะไม่มี

ความรู้ใน“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน” ไม่มีความรู้ในความเป็น

“ภาวะ 2” อันมี“กาย”ที่มีทั้ง“ภายนอก-ภายใน”คู่กันไปเสมอ  

และ“ภายนอก”นั้นคือ“กามคุณ 5”อันเป็นขั้นต้นที่จะต้องเรียนรู้ก่อน และกำจัด“กิเลสกาม”ที่เป็น“สุข-ทุกข์”นี้ให้ได้ก่อนเป็นลำดับต้น จึงจะกำจัดขั้นต่อไปเป็นลำดับกลาง-ปลายอย่างมีขั้นตอน  แต่ผู้“หลับตา”ปฏิบัติ ไม่ได้ปฏิบัติเป็นลำดับอย่างสัมมาทิฏฐิ จึงไม่สามารถ“กำจัดกิเลส”ได้เลย   

เพราะปฏิบัติไม่เป็นลำดับของ“ต้น-กลาง-ปลาย”

จึงไม่มี“ความรู้”หรือ“วิชชา”ที่เป็นลำดับได้แท้จริง

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 371 หน้า 271


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 12:27:32 )

ต้องใช้พลังเจโตในการระงับความเจ็บปวดใช่ไหม

รายละเอียด

ถ้ามันสุดวิสัยจะใช้บ้างก็ได้ แต่มันไม่เห็นทุกข์ ถ้าคุณทำคุณก็กลบทุกข์เฉยๆด้วยอำนาจพลังงานชนิดหนึ่ง ที่เรียกพลังงานเจโต พลังงานสมถะ มันก็ทำให้ดับๆลืมๆไปได้ แต่มันไม่มีปัญญา มันไม่บรรลุธรรม มันไม่พาบรรลุธรรม มันได้แต่ชะลอ มันได้แต่ Symtomatic treament เท่านั้นเอง รักษาตามอาการที่มันเจ็บปวดกดข่มมันไป มันไม่ได้ไปถอนเหตุไม่ใช่ Radical treatment ไม่ใช่ไปดับเหตุฆ่าเหตุ จะไปกดเหตุข่มเหตุไว้เฉยๆชั่วคราวมันเป็นการชลอเฉยๆ ก็ต้องใช้ปัญญาสลายเหตุมันจะหายไป เราก็จะรู้ได้ว่า อ๋อ.. เพราะเหตุมันดับ ทุกอย่างจึงดับ ทุกอย่างมาแต่เหตุ เหตุดับทุกอย่างก็ดับ

ชะลออยู่นานอย่างนั้น เสียเวลา แล้วหลงด้วย หลงว่าเป็นฤทธิ์เป็นเดชด้วย ซวย ให้ดับเหตุ มันเป็นวิบากก็รับวิบากไป หรือคุณทำกุศลวิบากเพลาทุกข์นั้นได้ ก็เห็นความจริงว่า อ๋อ.. เราทำเหตุ ที่เป็นกุศลไม่ใช่ไปหนีเหตุ มันก็เหมือนหมาไล่เนื้อ ไล่ไม่ทันเราก็พ้นไปเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน วันพุธที่ 26 เมษายน 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2566 ( 21:00:32 )

ต้องให้สิ่งที่ดีงามจึงจะเป็นความมั่นคงยั่งยืน

รายละเอียด

ฉะนั้นพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่ถาวร ยั่งยืน มั่นคง แน่นอน เป็นลักษณะของความมั่นคง ยั่งยืน ถาวร นี่แหละ มันเป็นการพิสูจน์ความมั่นคงที่นายกตู่พูดอยู่ ความมั่นคงของสิ่งที่ดี ในความหมาย ใน Concept ของพลเอกประยุทธ์ก็ตาม มั่นคงของสามัญสำนึกของคนทั่วไปว่าต้องให้สิ่งที่ดีงามจึงจะเป็นความมั่นคงยั่งยืน ใช่มั้ย จะไปให้สิ่งที่ไม่ดีมันจะมั่นคงได้อย่างไร 

มันไม่เที่ยง มันไม่มั่นคงได้ง่ายๆ ถ้ามีคุณธรรมอย่างพระพุทธเจ้านี้จริงเลยนะ ลดละกิเลสความมีตัวตนเห็นแก่ตัวอะไรพวกนี้ลงไปจริงๆแล้ว ได้จริงมันมั่นคงจริงๆ โดยไม่ต้องไปพูดมันเลย ไม่ต้องไปกำหนดมันก็เป็นเช่นนั้นเอง ตถตา มันจะมั่นคงของมันแน่นอนเอง นี่เป็นเครื่องที่จะพิสูจน์ได้มาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ นวนิยายโลกุตระที่เราอย่ารีบตายก่อนได้ดู วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 2 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2565 ( 21:04:38 )

ต้องไปตามลำดับอันน่าอัศจรรย์

รายละเอียด

คือ  กามทั้งหลายในโลกไม่เป็นอันที่นรชนละได้ง่ายก็เพราะคุณหนีจากกามมาก่อน ซึ่งมันล้างได้ง่ายที่ไหน มันไม่ง่าย  บอกแล้วบันไดขั้นต้นคุณก็ยังไม่ได้เลย คุณปีนให้ขาฉีกก็ขึ้นไปไม่ได้  คุณต้องไปตามลำดับอันน่าอัศจรรย์  เพราะฉะนั้นคุณทำผิดลำดับอันน่าอัศจรรย์นี้แล้ว  คุณก็เป็นโมฆะไปเลย สมณะโพธิ์รักษ์เอาพระไตรปิฎกมาเปิดเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นหลักเลย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 25ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 13:35:30 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 14:12:13 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:33:33 )

ถกเถียงชี้แจงอย่างไรไม่ให้ทุกข์

รายละเอียด

ที่เราจะให้เขาเข้าใจคำชี้แจงของเราเป็นตัวเป็นตนของเราเป็นความอยากของเราอยากให้เขาเข้าใจ มันเป็นความอยากของเราเป็นกิเลส เมื่อเรามีกิเลสมันก็ทุกข์ คุณก็อย่าไปมีความอยากนี้ อย่าไปมีความอยากมาให้เขาเข้าใจ แต่เรารู้ว่าจะต้องให้เขาเข้าใจ เจตนา แต่อย่าอยาก อ่านอาการเจตนากับอยากให้ได้ เป็นมโนสัญเจตนาหาร แต่อย่าใส่พลังงานอยาก ที่ต้องได้ต้องมีต้องเป็น ถ้าไม่ได้ไม่มีไม่เป็นเราก็ไม่สบายใจไม่ชอบใจ เพราะมันเป็นไปได้ 2 อย่าง 1.คุณอธิบายไม่เก่ง   2. คือคนมันโง่ …เป็นได้ทั้ง 2 อย่างใช่ไหม ถ้าสมมุติคนมันโง่คุณจะอธิบายอย่างไร พระพุทธเจ้าแท้ๆยังต้องบอกว่าความเห็นของเธออีกอย่างหนึ่งต้องเป็นของเราก็อีกอย่างหนึ่งจบ แต่ถ้าเราอธิบายไม่เก่งคุณก็ต้องทำตัวเองให้เก่งให้ได้ จะได้อธิบายให้เขาเข้าใจได้ก็มีอยู่ 2 ทางเท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2563 ( 09:30:20 )

ถวายของไปให้ผู้ที่ไม่สมควร

รายละเอียด

ถวายของไปให้ผู้ที่ไม่สมควร คือ ถวายเนื้อสัตว์แด่ภิกษุสาวกพระพุทธเจ้ากับพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นของไม่สมควรก็บาปแล้ว  ทำให้เกิดความอร่อยอีก แล้วก็จะให้เขาติดรสเนื้อสัตว์อีกก็บาปอีกทำบาปกับคนธรรมดาก็บาปประมาณหนึ่งแต่ไปทำบาปกับพระพุทธเจ้าจะบาปกี่ซับซ้อนในบาปข้อที่ 5 นี้บาปที่สุด  ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่าแล้วในการเรื่องการทำบาปกับการกินเนื้อสัตว์ แม้เอามาถวายสมณะโพธิรักษ์ท่านก็ไม่ยินดีรับเลย

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 29กันยายน 2562


เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2562 ( 17:37:44 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 14:16:59 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:55:16 )

ถอดรหัสนักวิชาการ 

รายละเอียด

นามธรรมรูปธรรม ระหว่างนายทุนกับศักดินา ก็มีการศึกษาการเป็นนักวิชาการ 

นักวิชาการทางโลกก็จะศึกษาตำราวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ญาณวิทยา ปรัชญา ศึกษากันไปแม้ที่สุดจะมาศึกษาปรากฏการณ์วิทยาก็ตาม ก็ตื้นๆ ยังไม่เข้าถึงจิตวิญญาณเป็นการศึกษาได้แค่ทางวัตถุ ทางรูปธรรม จะเข้าไปถึงความรู้สึกเป็นชีวะเข้าไปบ้างก็ไม่ลึกซึ้ง ไม่เข้าใจไปถึงขั้นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่รู้ไปถึงขั้นรูปนามขันธ์ 5 ไม่เข้าไปถึงขนาดนั้น

นักวิชาการอยู่ทุกวันนี้จะมีเยอะ ไปเรียนตามมหาวิทยาลัยตักศิลาเยอะแยะ ส่วนมากก็เรียนมาจากเมืองนอก แม้แต่พุทธศาสนาก็เรียนมาจากเมืองเทวนิยมเขา เป็นอาจารย์ทางเทวนิยม อาจารย์ฝรั่ง ที่ไม่เคยเป็นพุทธจริงจัง อยู่เมืองนอกไม่เคยมาในเมืองไทย บางคนอาจจะเคยไปอินเดีย ไม่รู้จักโลกุตรธรรมหรอก แล้วโลกุตรธรรมในอินเดียก็ไม่มีแล้ว มีแต่ในเมืองไทยเท่านั้นที่มีคนจริงสอนจริงมีเรื่องจริง เขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว อาตมาทำงานมา 50 ปีนี้ พยายามประกาศโลกุตระไปในสังคมโลก ก็ไปยาก เพราะมันรู้ยากเป็นอจินไตยจริงๆ ยาก แค่กรรมวิบากก็ไม่ค่อยเข้าใจกันเท่าไหร่ ยิ่งฌานวิสัย

เพราะฉะนั้นนักวิชาการที่พยายามจะรู้นี้ ก็รู้ 

1. ทางทุนนิยมศักดินาและเขาก็เป็นนักวิชาการส่วนมากก็เป็นโลกีย์ ก็จะชัดเจนอย่างศักดินามันชัด

ทุนนิยมวัตถุเต็มๆ ศักดินาเป็นนามธรรมเต็มๆ ความสุขสมใจในอุดมการณ์ดูหรูหราฟู่ฟ่า แล้วก็ได้เป็นชาวศักดินา ได้ตั้งแต่ชั้นต่ำไปจนถึงชั้นสูงสุด ศักดินา แล้วเขาก็จะเกื้อกูลกันระหว่างนายทุนกับศักดินา คนหนึ่งวัตถุคนหนึ่งนามธรรม มีอำนาจทางนามธรรมก็จะเกื้อกูลกัน ทางวัตถุก็จะต้องรับใช้ทางนามธรรม เพราะนามธรรมนักวิชาการเป็นผู้รู้ทางศาสดา มีวิชาการสูงสุดคือศาสดา พวกศาสดาเทวนิยมก็จะรู้ขั้นตอนของนามธรรมที่ละเอียดสูงขึ้นไปได้ แต่เป็นโลกีย์นะ  วนกับความยิ่งใหญ่ ข้านี่แหละใหญ่ๆ เรียกภาษาทางอินเดีย ทางพุทธเราก็เป็นพวกพระพรหม ก็คือพระเจ้าเป็นพรหมใหญ่

ซึ่งเขาก็ไม่รู้จักตัวพระเจ้าหรอก ทางอินเดียเขาก็ไม่เคยสัมผัสตัวพระพรหมจริงๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม  ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 17:15:54 )

ถอดรหัสนายทุน

รายละเอียด

นายทุน คือ พวกที่หลงวัตถุหนัก เงินทองเพชรนิลจินดา ที่เป็นราคาสมมุติโลกตั้ง ที่ดอนที่ดินป่าเขาลำเนาไพรต่างๆนานาเขาจะเอาหมด เป็นรูปธรรม เป็นวัตถุเต็มๆเลย เพราะฉะนั้นเขาเอาเปรียบอะไรใครได้เอาหมด แล้วพยายามจะเอาหน้ามืดตามัวโลภโมโทสันไม่รู้จักจบ ได้เท่าไหร่ไม่รู้จักพอ แต่เสร็จแล้วก็จะตายจากไป เพราะแค่นี้เขาก็ไม่รู้แล้ว ตายจากไปคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรอก แต่วิบากบาปของคุณ คุณจะต้องไปใช้หนี้เขา คุณไปโกงเขาคุณไปเบียดเบียนไปข่มขี่เอาเปรียบเขา ดีไม่ดีถึงฆ่าแกงทำร้ายไอ้นั่นมันหนักวิบากกรรมมันหนัก เขาไม่รู้ ไม่ได้ศึกษา เขาไม่รู้ด้วยว่าการเกิดการตายจะมีอีก เทวนิยมยิ่งตายชาติเดียวไปอยู่กับพระเจ้าประจบประแจงพระเจ้าเข้าไว้ พระเจ้าไม่ให้ตกนรกก็อยู่กับพระเจ้าอยู่ในสวรรค์ตลอดกาล ถ้าประจบประแจงไม่ได้พระเจ้าให้ตกนรกก็แล้วแต่เสี่ยงเอา อย่างนี้เป็นต้น นี่คือนิยายของทุนนิยม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม  ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 17:02:36 )

ถอดรหัสนายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน

รายละเอียด

นักวิชาการเป็นตัวกลางๆ เป็นตัวที่ 3 ระหว่างนายทุน ศักดินา ข้าราชการ กับพาลชน

พาล แปลว่าผู้ยังไม่เจริญ ผู้ยังไม่โต ผู้ยังไม่เดียงสา ผู้ยังโง่เง่า พาลชน ผู้ที่ยังเกเรเกตุงเกะกะ ยังสร้างบาปสร้างเวร สร้างความเลวร้าย ความไม่ดีงาม ความไม่ถูกต้อง ยังไม่เป็นอะไร ยังไม่เดียงสา ยังเยาว์ ยังเล็กยังน้อยอยู่ก็เรียกว่า พาลชน ชนก็คือคนนั่นแหละ 

คนเหล่านี้ก็ตรงกันข้าม ไม่ฉลาด ยังไม่โต ยังไม่มีอำนาจเหมือนนายทุนเหมือนศักดินา ยังไม่เจริญเหมือนศักดินาเหมือนนายทุน ก็ทำไปเละเทะ ก็กลายเป็นเหยื่อของนายทุนและศักดินา หรือเป็นนักวิชาการมาเรียนรู้ใส่ความรู้เป็นนักวิชา ได้มีความรู้ในวัตถุเก่งทางนายทุน รู้ทางนามธรรมเก่งทางศักดินา เสร็จแล้วนักวิชาการนี้มาหาข้าราชการ 

คำว่า ข้าราชการ คือ ผู้รับใช้ศักดินา หรือ ผู้รับใช้นายทุน ทีนี้ระหว่างศักดินากับนายทุนนี่แหละชิงดีชิงเด่นกันอยู่ในโลก ในโลกทางนามธรรมหรือทางวิญญาณ ศักดินาสูงกว่านายทุน เพราะนายทุนเป็นวัตถุ ศักดินาเป็นนามธรรม เป็นวิญญาณ วิญญาณก็เป็นประธานสิ่งทั้งปวง วิญญาณจึงละเอียดลึกซึ้ง ไม่รู้ตัวตนไม่รู้พฤติกรรม ไม่รู้กระบวนการทั้งหมด ที่ผู้ที่เป็นยอดของผู้รู้ ยอดของผู้มีอำนาจเรียกว่า พระเจ้า หรือคน คนก็คือ เป็นผู้ที่ยอดอำนาจที่สุด แต่ไม่ใช้อำนาจเลยคือพระพุทธเจ้า มันกลับกันเป็นสิริมหามายา 

มีอำนาจที่สุดแต่ไม่ใช้อำนาจที่สุด ไม่ใช้อำนาจเลย มีแต่รับใช้ผู้อื่น เป็นผู้รับใช้ผู้อื่นไม่ใช่ผู้บงการผู้อื่น ไม่ใช่ผู้ที่ชี้ใช้ผู้อื่น แต่เป็นผู้ที่รับใช้ผู้อื่น นี่สัจธรรมฟังดีๆ สัจธรรมมันเป็นความจริงอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นข้าราชการก็คือ ผู้รับใช้ศักดินาอีกทีหนึ่ง

ศักดินาคือ ทางจิตวิญญาณจะใหญ่กว่านายทุนอยู่เป็นธรรมดาต้องยกให้ เพราะว่ามีทั้งรูปธรรมและนามธรรมของทางศักดินา เรียกว่าเป็นเจ้า เป็นกษัตริย์ ประเทศที่เป็นเทวนิยมก็มีกษัตริย์ ประเทศที่เป็นอเทวนิยมหรือเป็นพุทธก็มีกษัตริย์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม  ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 17:24:23 )

ถอดรหัสศักดินา

รายละเอียด

ศักดินาไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นอารมณ์เป็นความรู้สึก เป็นทางนามธรรม กอบโกยนามธรรมกอบโกยความสุข จะสุขเพราะวัตถุ จะสุขเพราะได้ประพฤติ ได้ประพฤติตน มีกรรมกิริยาทางกาย ทางวาจา ไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ยิ่งไปเกี่ยวข้องถึงขนาดซาดิสม์ ไปซัดคนอื่นรุนแรงเท่าไหร่ยิ่งชอบใจ คนอื่นชิบหายคนอื่นตายโหงคนอื่นเจ็บปวดทรมาน พวกซาดิสม์จะชอบ คนอื่นแพ้ พวกนี้จิตใจซาดิสม์ อาการหนักกว่านั้นมาโซคิส ตัวเองเจ็บเองแล้วยิ่งชอบ พวกนี้ไม่ต้องพูดถึงเลย พวกนี้จะจมในเรื่องของความหลงอัตตา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม  ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 17:08:41 )

ถอดรหัสองค์ความรู้สู่วิธีปฏิบัติทางลัด

รายละเอียด

แนะนำให้ไปทีละคู่แล้วก็เป็น 4 เก่งขึ้นจึงเป็น 5  5 และเป็น 6 แต่ 6 นี้ชักงง สามเส้าสองอันจะไปอย่างไรจนกว่าจะเป็น 7 มีตัวตัดสิน มีพลังที่จะรู้เพิ่มอะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็อธิบายไปตามประสาที่คิดได้ตอนนี้ รู้สึกว่ายังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่อาจจะมีคนเข้าใจแล้วอาจจะมีคนไม่เข้าใจอยู่ในนี้ เข้าใจยังไม่ได้ก็จะมีคุณพอเข้าใจขึ้นได้ก็จะดี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 27

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:14:52 )

ถอนตัวจากการกระทำแบบเดียรถีย์ได้ไหม

รายละเอียด

อ่านมาถึงตรงนี้ก็นึกถึงผู้เอาตัวผู้อยู่ป่าเขาถ้ำ ดับเข้าไปอีกให้ดิ่งจมหนักเข้าไปอีก พูดก็เหนื่อยแล้วเมื่อไหร่ท่านจะพอจะมีปฏิภาณไหวพริบที่จะเข้าใจที่อธิบายขยายความดีบ้าง ถอนตัวจากการกระทำแบบนั้นได้ไหม แบบนั้นเดียรถีย์เขาทำพระพุทธเจ้าก็แก้ไขแล้วแต่คุณก็กลับไปทำ ลงไปหาความหลง แต่ก็เตือน เป็นผู้ที่ใฝ่ดีมีปฏิภาณฟังอาตมาเข้าใจก็สะดุ้งสะเทือนบ้าง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 1 วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 กรกฎาคม 2564 ( 11:07:03 )

ถอนพิษพญานาคและพญาครุฑได้อย่างไร

รายละเอียด

สร้างความรู้ทั้งความจริง จะถอนได้ทั้งพญาครุฑและพญานาค นาคมันไม่อยากคิดก็คิด ครุฑ หยุดคิดก็พยายามให้หยุดคิดว่าฉันนั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายให้หยุดได้แล้ว ให้ปฏิบัติจริงในศีล สมาธิ ปัญญา ขยายไปเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ให้ได้เพราะท่านรู้มากอยู่แล้ว เอาศีลข้อที่ 1 ปฏิบัติให้ถูก อปัณกปฏิปทา 3 แล้วจะเกิดสัทธรรม 7 เกิด ลดกิเลสด้วย ฌาน 1 – 4 สั่งสมจิตสะอาด ฌาน 4 หมดอาสวะ แล้วทำให้มาก อเนญชา จิตจึงตกผลึกเป็นสมาธิ สมาธิจึงเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เกิดง่ายๆ

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 10:09:33 )

ถะ

รายละเอียด

ตกตะกอน สมถะเหมือนตกตะกอนอยู่ก้นถัง จนกลายเป็นก้อนหิน เป็นฟอสซิล แข็งโป๊ก ตีไม่แตก

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 13:35:38 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:28:33 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:55:38 )

ถังขยะใหญ่หนึ่งนั้นคือใจนั้นฤา อย่าโง่บ้าบอดใบ้ หยุดได้อรหันต์

รายละเอียด

เขาสะกดจิตเข้าไปทำให้จิตมันหยุดมันเป็นอุเบกขาได้ แต่ไม่เกิดธาตุรู้ที่มีหลักฐานเหตุชัดเจนแล้วจิตใจเราก็วางได้ มุญจิตุกัมญตญาณ ด้วยปัญญาที่เรารู้จริงไม่ต้องกดข่มหลีกเร้นเรา เราก็อยู่ทำงานกับเขา เขาก็อยู่กับเราอนุโลมทำงานกับเขาได้อย่างดีด้วยซ้ำไปอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งก็ต้องฝึกฝนเรียนรู้รายละเอียดทั้งความรู้ความหมายแล้วเอาไปปฏิบัติให้ตัวเองเกิดสภาวะอย่างนั้นจริงๆได้ มันก็จะบรรลุความเป็นจริงได้

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซีวิต ที่บวรปฐมอโศก วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 16:04:40 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 14:19:47 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:56:41 )

ถัญญา

รายละเอียด

น้ำนม

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 13:49:46 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 14:21:51 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 02:33:06 )

ถัมภะ

รายละเอียด

1. ดื้อด้าน 

2. ดื้อด้านยึดมั่นถือมั่น ไม่ยอมอนุโลม ไม่แก้ไข ไม่ไถ่ถอน

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 46 , 433

สมาธิพุทธ หน้า 367

 


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:09:03 )

เวลาบันทึก 03 พฤษภาคม 2563 ( 15:46:56 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 02:34:52 )

ถาดทองหรือธรรมของพระพุทธเจ้านั้นทวนน้ำหรือทวนกระแส

รายละเอียด

(146) “สักกายทิฏฐิ”จึงเป็น“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1ใน“สังโยชน์ 10”

แม้แต่ว่า ถาดทองหรือธรรมของพระพุทธเจ้านั้น “ทวนน้ำ”หรือ“ทวนกระแสสามัญโลกียะ”นะ!  ก็ไม่รู้ว่า“ทวนกระแส”คืออะไร? ก็ยังพากันหลงจมงมงายไปกับโลกียะอยู่ จึงหยำเหยอะไปด้วย“ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข”อยู่นั่นแหละ ไม่รู้จัก“กาย”กันเลย ยิ่ง“สัก”ก็ยิ่งมองไม่เห็น!ด่ำดิ่งอยู่กับ“กาย” มืดบอดอยู่กับ“สัก”กันอยู่นั่นแหละ

คลุกคลีอยู่กับสวรรค์-นรกโลกีย์กันอยู่หน้าระรื่น รู้จักรู้แจ้งรู้จริง แม้แต่คำว่า“กระแส(โสต)”กันที่ไหน? ตนเอง“ไหลลิ่ว แย่งกันไหลไปกับกระแสโลกีย์กันอีกด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ตัวกันเลย ไม่ต้องพูดถึง“การทวนกระแส”หรอก

ล้วนยังจมงมงายเป็น“พญานาค”กันอยู่หน้าตาเฉย ถ้าไม่มี“ตำนาน”ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าที่แต่ละพระองค์ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน มีเสียงดัง“ด้วยเสียงของถาดทองคำ”นั้น ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่ง“โลกุตรธรรม” อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทฺวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้“พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า”ได้อย่างเดียวเท่านี้ เท่านั้น นอกนั้น“ไม่รู้”อย่างอื่นอะไรเลยสักนิดทั้งสิ้นทั้งนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 20:52:49 )

ถามตัวเองทำไมเสียสละไม่ได้

รายละเอียด

หนูถาม ก็ถามตัวเองสิ ว่าทำไม เราเสียสละไม่ได้ เราจะอดไม่เถียงทำไม่ได้ ถามตัวเองว่ามันจะตายหรือ รับรองว่าไม่เถียงเพื่อนมันไม่ตายหรอก เสียสละก็ลองเสียดูสิ เสียสละอะไรบ้าง ก็คงจะเสียสละ ไม่ต้องถึงขั้นตัดแขนตัดขา อย่างเก่งก็แค่ข้าวของ ข้าวของมันก็อะไรที่จำเป็นเรายังให้ไม่ได้ก็บอกเพื่อน อันไหนที่พอให้ได้ก็ให้เพื่อนไปก็ลองดูสิ มันดีนะ เสียสละให้เพื่อน แล้วก็ไม่ได้เถียงกัน ตั้งใจดีๆ ที่ทำอย่างนี้มันก็ดี ส่วนคนที่อยากจะแสดงออกและอยากจะทำความเข้าใจ ถามมา แล้วอาตมาก็ตอบไป คนอื่นที่ฟังก็จะได้เข้าใจได้ด้วย และคนที่ถามเอง จะมี อัตราการก้าวหน้าไปในตัวไม่มากก็น้อย ถ้าไม่กล้าถามเลยแล้วไม่เอาถ่านเลยไม่สนใจ คนนี้เสียโอกาสและไม่เจริญ แต่ตั้งใจถาม ตั้งใจฟังนี้ดีแล้ว ไม่ได้มากก็ได้นิด

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 13 กันยายน 2563 ( 12:05:33 )

ถามธาตุ

รายละเอียด

สภาพต่อจากปรักกมธาตุไปอีก เป็นสภาพมีเรี่ยวแรง มีกำลัง มีความแข็งแกร่ง มีแรงต้านทาน มีอินทรีย์มีพละขึ้นทีเดียว มีสภาพมีตนเกือบครบตัว

มีทุนรอนเพราะก่อนเกิดสะสมการเกิดมามากแล้วเท่ากับนักวิ่งผลัดคนที่ 5 รับช่วงทางไกลมาได้ใกล้จะครบรอบขึ้นไปแล้ว เป็นตัวมีผล เห็นความชนะขึ้นมารอมร่อ ไม่มีใครต้าน

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 359


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:09:45 )

เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 14:54:19 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 02:35:41 )

ถามย้ำให้ชัดเจนว่าเป็นคนแบบไหนดีกว่า

รายละเอียด

ก็อธิบายเขาสิว่า ผู้ที่ทำงานมากมีผลประโยชน์มากแล้วเอาไปแจกจ่ายได้มากก็นั่นแหละเป็นคนน่าภาคภูมิใจเป็นคนประเสริฐ ให้เขาเข้าใจความจริงอันนี้ เรามีสิ่งที่เสียสละในเรี่ยวแรง ความสามารถความขยันของเรา ทำอะไรได้มากๆ รับใช้คนอื่นได้มากๆ เราเป็นคนมีประโยชน์ เราเป็นคนมีคุณค่าไง เราจะไปทำให้ตัวเองเป็นคนด้อยค่า ลดค่าทำไม เราก็ไม่ได้โง่อย่างนั้น คนที่มีประโยชน์ต่อคนอื่น ขยัน สร้างสรร เสียสละ ต่อผู้อื่นกับคนที่จะเอาเปรียบคนอื่น รอเกาะกินผู้อื่น แล้วก็ไม่มีคุณค่าประโยชน์อะไร อันไหนมันดีกว่ากัน ก็ถามย้ำเขาเข้าไป เขาก็จะชัดเจน มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย มันเป็นเรื่องสัจจะเป็นเรื่องง่ายๆ ก็ค่อยๆอธิบายกันไป 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2563 ( 11:36:33 )

ถามเคยทำงานทางสรรเสริญ ขอสัมมาทิฏฐิเพิ่ม

รายละเอียด

เดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนที่หลงสรรเสริญอยู่ ไม่กล้าที่จะออกมา เพราะกลัวคนตำหนิ คำสรรเสริญ ไม่มีค่า พระพุทธเจ้าให้ละหน่ายคลายจากกิเลสเลย จะหนีออกมาจากการได้รับคำสรรเสริญ มาอยู่อย่างโพธิรักษ์ไม่มีใครสรรเสริญ มีแต่คนว่า ๆๆๆ แต่คนนับถือเท่านั้นเอง ไม่ต้องสรรเสริญ แต่ก็สรรเสริญ เขากราบเคารพอย่างสูงยิ่งตลอดเวลาเลย มันเป็นสัจจะเป็นไป 

พวกเรามีอาสโภในจิต มีความกล้า มันชัดเจนมากก็เป็นมรรคผล มันก็กล้าพูด แต่คนข้างนอกไม่กล้าหรอกว่าเขามีมรรคมีผล เขาไม่กล้า เขาไม่ชัดเจน แล้วเขาก็ไม่มีความมั่นใจ ไม่มีอาสโภ ไม่มีความอาจหาญแกล้วกล้า อาตมาขยายความให้บ้างแล้ว พอแค่นั้นก็แล้วกัน

ที่พูดออกมาพูดจากความจริงใจธรรมดาไม่ได้เขินอะไร เป็นอาสโภ ความอาจหาญแกล้วกล้าของคนที่มีสัจธรรม นี่เป็นโลกุตรธรรม ต่างกับคนที่ไม่แกล้วกล้าไม่มี อาสโภ ได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้มรรคผลอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่มีสัมมาทิฏฐิมันต่างกันเห็นชัดๆ สื่อสารก็ทำให้เราเกิดความซาบซึ้งใจ ได้ดีมีประโยชน์ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติ รูป 28 ในสติปัฏฐาน 4

วันพุธที่ 21 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 ตุลาคม 2565 ( 14:42:13 )

ถามเรื่องพยัญชนะกับการสัมผัสสภาวะจริง

รายละเอียด

คุณเข้าใจถูกเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว และที่คุณหยิบตัวอย่างมาอ้างอิงพูดพาดพิงไปนั้น เป็นประเด็นที่อาตมาเตรียมไว้ที่จะพูด ในวันนี้ด้วย เป็นประเด็นสำคัญ เพราะฉะนั้นค่อยๆอธิบายประเด็นสำคัญนี้ เป็นประเด็น สำคัญที่คนยังเข้าใจได้ยากมาก ประเด็นสำคัญคือสภาวะ 2 คุณที่พูดมานี้คือสภาวะจริงกับพยัญชนะ หรือพยัญชนะกับสภาวะจริง ทีนี้

PLAY MOREอาตมาจะเอาเป็นภาษา 2 ภาษาว่า กฎหลักเกณฑ์กับพฤติกรรมจริง พยัญชนะกับสภาวะจริง กฎหลักเกณฑ์ กับพฤติกรรมจริง ที่อาตมาจะใช้พยัญชนะอันนี้พูด แต่ไม่ได้ห่างไกลจากพยัญชนะกับสภาวะจริง ก็จะไม่ต่างกันอะไรเท่าไหร่ เดี๋ยวค่อยย้อนกลับไปสาธยายอันนั้น ตะลุ่มก็คือภาชนะชนิดหนึ่ง ที่เป็นเครื่องสาน บางทีก็ยาชัน เป็นลูกกลมๆ ตาลุ้ม ต้องออกเสียงภาษาอีสานถึงจะไปวัดใต้ถุนบ้าน ตะลุ่มตุ้มม้ง เสียงฆ้อง

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาพ 2 ของกฎหลักเกณฑ์กับพฤติกรรมจริง วันพุธที่ 31 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 29 กันยายน 2565 ( 11:20:30 )

ถีนมิทธจิต

รายละเอียด

จิตที่เป็นความง่วงเหงา หรี่ซึมเซา

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 99


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:10:21 )

เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 14:55:03 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 02:43:28 )

ถีนมิทธะ

รายละเอียด

1. ความง่วงงุน ความเซื่องซึม ความหรี่ผล็อยของจิต

2. ความหลับ ความหรี่ลง ความสะลึมสะลือ

3. จิตหรี่ 

4. สภาพซึมเซา , สภาพกระด้าง ท้อแท้ มึนชา เฉื่อยเฉย

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 204

ทางเอก ภาค 2 หน้า 196

ทางเอก ภาค 3 หน้า 240

สมาธิพุทธ หน้า 254


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:11:21 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 17:04:57 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 02:44:01 )

ถีนมิทธะ

รายละเอียด

ความง่วงงุน ความเซื่องซึม ความหรี่ผล็อยของจิต

หนังสืออ้างอิง

จากคนคืออะไร? หน้า 189


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:12:13 )

เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 14:57:15 )

ถีนมิทธะ

รายละเอียด

ถีนมิทธะ เขาจะหรี่เขาจะหลับ ไม่เข้าใจหนีเข้าป่าไปสงบไปนั่งหลับตา นั่นแหละมันเป็น ถีนมิทธะทั้งนั้น เข้าป่าหลบจากสังคมเป็น ถีนมิทธะ ทั้งนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ผลงาน 50 ปี ตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพ่อครู วันพุธที่ 18 มกราคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ปี 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 มกราคม 2566 ( 11:49:51 )

ถึง 108 ปีโบกธงชัยเลย

รายละเอียด

ขณะนี้ก็ไม่รู้สึกว่ามันจะอ่อนแอ หรือว่ามันจะไปไม่รอด ไม่ใช่ มันไปได้ อาตมาดูแล้วไปได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ประมาทอีก 3 ปีก็ 90 ปี ถ้าครบ 90 ปี จะไปถึง 96 ปี ก็สบายมาก ครบอีก 1 นักษัตร จาก 72 ปีไป 84 ปี และไป 96 ปี เรียกว่า 3 นักษัตรเลย จาก 96 ปี ก็ไปหา 108 ปี อีก 36 ปี แหมถ้าถึง 108 ปี ก็โบกธงเลยนะ โบกธงชัยเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 20 วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:15:29 )

ถึงจิตอนัตตาได้ต้องรู้จักความเป็นอัตตา 

รายละเอียด

พวกนั้นอวดดีทำเก่ง ตีความพยัญชนะมาเถียงกันแย่งกันทั้งนั้น  ความจริงความเป็นอนัตตาไม่มีตัวตนนั้นมันไม่ใช่ภาษา ผู้ที่จะถึงจิตอนัตตาจริงนั้น จะต้องเป็นผู้ที่รู้จักความเป็นอัตตา 

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ไม่รู้จักอัตตา คนนั้นไม่มีทางจะปฏิบัติธรรมบรรลุสูงสุดเป็นวิมุติ เพราะฉะนั้นพวกเทวนิยมไม่เคยศึกษาอัตตา เขามืดบอด เขาไม่มีวันจะได้มาศึกษา ไม่มีวัน

จะได้นิพพาน ไม่มีวันได้พ้นทุกข์ แต่เขาจะหลงแต่สุขนิยม หลงยึดแต่สุขจะเอาแต่สุข อยู่กันอย่างรบราฆ่าฟันแย่งชิงไป เป็นแต่เพียงว่าบันยะบันยังกันได้บ้าง แต่จะไม่มีความรู้ปัญญาที่จะไปรู้ความจริงอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างทะลุทะลวงว่า อัตตานี่แหละมันคือตัวกลางที่คืออวิชชา ที่คือวิญญาณ อัตตาคือธาตุรู้ คือวิญญาณ ที่อยู่กับอวิชชาไปตลอด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 19:24:08 )

ถึงพร้อมด้วยศีล

รายละเอียด

        ถึงพร้อมด้วยศีล คือศีลอันเป็นอาริยะ ต้องเข้าถึงใจด้วย เช่นไม่ฆ่าสัตว์ คุณต้องอ่านจิตว่ามีหิริโอตตัปปะไหม มีจิตชอบ รัก หรือชังหรือไม่ถ้ามีจิต ทั้งรักทั้งชัง ที่ดูดทั้งผลัก คุณจะมีความละอาย เกี่ยวกับสัตว์ คุณพบสัตว์ก็จะมีความรู้

ศีลข้อ 2สัมผัสของก็จะรู้ว่านี่ไม่ใช่ของเราไม่เอา ไม่ถือวิสาสะ

ศีลข้อ 3สัมผัสแล้วเกิดกิเลสคุณก็ต้องรู้ กามคุณ 5ก็เรียนรู้ตามศีลเป็นขั้นตอน 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2562 ( 10:59:20 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 14:33:38 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 02:44:32 )

ถึงพร้อมด้วยศีล 3

รายละเอียด

ศีลข้อ 1คือศีลอันเป็นอาริยะ ต้องเข้าถึงใจด้วย เช่นไม่ฆ่าสัตว์ คุณต้องอ่านจิตว่ามีหิริโอตตัปปะไหม มีจิตชอบ รัก หรือชังหรือไม่ถ้ามีจิต ทั้งรักทั้งชัง ที่ดูดทั้งผลัก คุณจะมีความละอาย เกี่ยวกับสัตว์ คุณพบสัตว์ก็จะมีความรู้อย่างอาตมาว่า 

ศีลข้อ 2สัมผัสของก็จะรู้ว่านี่ไม่ใช่ของเราไม่เอา ไม่ถือวิสาสะ

ศีลข้อ 3สัมผัสแล้วเกิดกิเลสคุณก็ต้องรู้ กามคุณ 5 ก็เรียนรู้ตามศีลเป็นขั้นตอน

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 15:11:35 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 14:42:01 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 02:45:14 )

ถึงมุ่งมั่นปฏิบัติ แต่ไม่มีปรโตโฆสะก็ยิ่งน่าสงสาร!

รายละเอียด

หรือแม้บางพวกจะไม่หลงยึดลาภสักการะสรรเสริญ เช่น

พระป่า หรือที่หลับตาปฏิบัติเป็นต้น 

ก็ไม่ตรวจสอบตามพระไตรปิฎกกันให้แม่นคมชัดดีๆว่า นั่น

มัน“มิจฉามรรค” มันไม่ใช่ของศาสนาพุทธ 

ก็ไม่มี“ปรโตโฆสะ”กันเลย

แม้จะมีผู้ที่มี“ทิฏฐิ”ที่แตกต่างไป และทั้งได้อธิบาย 

ทั้งได้ปฏิบัติพิสูจน์ให้เห็นว่า เกิดมรรค-เกิดผลตรงตาม

พระพุทธพจน์กันจริงๆ ตรวจสอบได้  

ก็ยังหลงยึดมั่นถือมั่นไอ้ที่“ผิดๆ”กันอยู่ อย่างเดิม ทั้งปริยัติที่

ผิดๆ และปฏิบัติกันผิดๆนั่นแหละ

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนืยม เล่ม 2 ข้อ 157 หน้า 139


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 10:48:18 )

ถึงวันนี้พ่อครูพบโพธิสัตว์ผู้พี่หรือยัง

รายละเอียด

ไม่มี ไม่พบ อาตมาก็เลยกลายเป็นโพธิสัตว์ตัวพี่อยู่ในยุคนี้ ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่แล้ว แต่พูดไปเพื่อให้ครบ อาตมาเกิดมาเป็นไก่ตัวพี่ ก็พูดไปแล้วเคยพูดแล้วว่า โพธิสัตว์ ก็บอกแล้วว่ามีพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง เกิดมาก่อนอาตมา 7 ปี 

ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านตามหน้าที่ตามปางของท่านสำเร็จไปแล้ว อาตมาก็ทำไปเรื่อยๆช่วยกัน นอกนั้นก็มีโพธิสัตว์น้อง ๆ มาเรื่อยๆยังไม่เด่นนักหรือมีมาตามสมควร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 13:22:28 )

ถึงวันนี้แล้วพ่อครูรู้เลยว่าไม่ถึง 151 ปีแน่

รายละเอียด

ตอนนี้อาตมารู้สึกว่า 151 นี่ไม่ถึงแน่ มาถึงวันนี้แล้วรู้เลย ก็เลยตั้งค่าไว้ประมาณ 120 ให้มันถึงเถอะนะ ขนาดลดลงมาตั้ง 30 ก็ยังไม่กล้าที่จะไปคิดเลย ขอ 120 นี่แหละอาตมาว่าถึงธงชัยได้ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปยังไง เดี๋ยวคำตอบก็อาจจะพอเป็นไปได้ อาจจะลดลงมาอีกเหมือนพวกสักมังกร 7 หัว สักไปก็เหลือ 6 หัว สักไปเหลือ 5 หัวเหลือ 3 หัว สักไปอีกหน่อยเอาหัวเดียวก็พอ ไม่ต้องคาบแก้วด้วย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 34 วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 21:24:28 )

ถึงแก่นพุทธธรรมได้ก็เพราะเวทนาในเวทนานี่แหละที่มีสัมผัสทวาร 6 เป็นตัวรับรู้ขั้นต้น!

รายละเอียด

มีศาสนาพุทธนี้แหละที่สอนให้คนเรียนรู้“เวทนา”และปฏิบัติบรรลุธรรมเป็นอรหันต์กันก็ที่“เวทนาในเวทนา”นี่เอง ตามหลักปฏิบัติ“วิชชาจรณะสัมปันโน” ที่มีกระบวนการ“เวทนา 108” โดยเฉพาะ สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เคหสิตเวทนา 18” แล้วปฏิบัติ

“เนกขัมมสิตเวทนา 18”กันอย่าง“ลืมตา” บรรลุกันด้วย“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก” พร้อม“การสัมผัสด้วยทวาร 6”แท้ๆ ไม่มีคำสอนพระพุทธเจ้าที่พาบรรลุด้วยการ“หลับตา”เลย

นอกจากจะใช้เป็น“เตวิชโช”ตรวจสอบ“ความรู้เดิมของตน”

เช่น พระพุทธเจ้าทรงใช้“เตวิชโช”ในคืนขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ใต้ต้นโพธิ์ ริมแม่น้ำเนรัญชลา วันวิสาขบูชานั้น เป็นต้น

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 389 หน้า 282


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 13:05:56 )

ถึงแม้จะเลือกตั้งใหม่ พลเอกประยุทธ์ก็จะได้

รายละเอียด

สำหรับอาตมานั้นชัดเจนว่า ถึงแม้จะเลือกใหม่ พลเอกประยุทธ์ก็จะได้ เพราะว่าประชาชนเข้าใจเกินกว่าความเข้าใจเดิมแล้ว เปลี่ยนวิสัยทัศน์แล้ว เปลี่ยนคอนเซ็ปต์ เปลี่ยนความคิดองค์รวมแล้ว เป็นการวัดค่าประชาชนคนไทยตามที่อาตมามีเจโตปริยญาณ หยั่งรู้จิตมนุษย์เท่าที่พูดนี้อย่างบริสุทธิ์ใจ ที่พูดนี้ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับพลเอกประยุทธ์ อาตมาก็มีคณะประชาธิปไตยของอาตมาและเป็นประชาชนที่อยู่ในกลุ่มใหญ่ ไม่ได้ขาดไปจากสังคมโลก แม้จะเชื่อมต่อไปยังประชาธิปไตยโลกก็เชื่อมต่อ แม้จะเป็นกลุ่มเล็กของชาวอโศก ก็มีความบริสุทธิ์ใจ มันมีความซับซ้อนลึกซึ้ง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมะสองของประชาธิปไตย  วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 12:18:53 )

ถือดีถือตัวเป็นมานะอติมานะ

รายละเอียด

ต้องทำปัญญาให้แจ้งให้ชัด ศรัทธาคือความเชื่อถือ นับถือ ยึดถือ ไปถึงขั้นนั้นเลย ส่วนปัญญานั้น เป็นความรู้เป็นความเข้าใจ เราจึงต้องเพิ่มความรู้ความเข้าใจ เพราะฉะนั้นตัวเราเองมันไปรู้สึกว่าเราเองรู้ตัวดีมีปฏิภาณดีบอกว่า เราไปทำอย่างนั้นไปนึกคิดอย่างนั้น เราไปไม่ชอบใจใครเขามาตำหนิ ละลาบละล้วง รู้สึกอาการอารมณ์เราไม่ดี รู้ก็ดีแล้ว ก็ดูให้ได้ว่าเขาเองมีภูมิปัญญาเท่านั้น เรานึกถึงอย่างนี้สิ เหมือนเด็กเขาไม่เดียงสาเวลามาทำอะไรกับเรา มาทุบตีเราด้วยซ้ำ เราก็ไม่ได้ถือสา เขาไม่รู้เขาก็ทำไปตามประสาของเขา เราต้องกำหนดชัดเจนให้รู้ว่า อันนี้เขาเป็นเช่นนี้ เขาไม่รู้ จุดสำคัญก็คือเขาไม่รู้ เราจะไปลงโทษคนไม่รู้ เราก็เป็นคนโง่นะ เราไปลงโทษคนไม่รู้ไปถือสาคนไม่รู้ นอกจากคุณจะช่วยเขา เขาจะตำหนิเขาจะว่าอะไรเขาก็ว่าไป แต่ใจของเราอย่าไป โทษเขา อย่าไปข่มเขา อย่าไปเกลียดเขา มันต้องสงสารเขาต้องเห็นใจเขาให้มาก ในผู้ที่เขายังไม่เข้าใจมาละลาบละล้วงเรา มาทำการละเมิดเรา ทำความไม่ดีไม่งามกับเราหรือสิ่งที่เรารักเรานับถือ เราก็จะต้องให้อภัยเขา ต้องดูว่าเขาเอง คือเราจะรู้ไม่ยากหรอกที่คนเขาไม่เข้าใจเรา เขามาว่าพวกเรามาละเมิดพวกเรา ละลาบละล้วงพวกเราอะไรต่างๆนานาพวกนี้รู้ไม่ยากหรอก เราก็ต้องอย่าไปมีจิตใจไปถือสาเป็นต้น อันนั้นมันคือตัวเอง ใครแตะต้องไม่ได้ ใครมาว่าไม่ได้ ใครมาลดความจริงของเรา เราจริงอย่างนี้เราสูงอย่างนี้ เราเป็นอย่างนี้ใครมาลบหลู่ เราก็ไม่ได้อะไรอย่างนี้ นั่นแหละคือการถือดีถือตัว อย่าไปติดใจอย่านั้นเลยมันยังเป็นอัตตา เป็นอุปกิเลส ถือดีถือตัวเป็นมานะอติมานะ มันไม่เข้าท่า 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2563 ( 08:38:39 )

ถือตนว่าดี สำคัญตนว่าเลวคืออะไร

รายละเอียด

คนที่ถือตนถือตัว ก็คือคนยึดตัวเองว่า ดี หรือ เมื่อยึดแล้วก็ยึดมั่นถือมั่น สำคัญตน สำคัญตนว่า เลว ก็คือ ผิดไปจากความจริงทั้งคู่ ถือตนว่าดี ถ้าคนที่ดีจริง แล้วก็มองอ่านความจริงว่า ตนเองดีตามที่เป็นความจริงไม่ผิดไม่พลาดว่า คนนั้นจะถือไม่ถือ เขาก็เป็นความจริงของเขา ส่วนคนอื่นที่ถือหรือนับถือคนนี้ เขาแล้วแต่เขาจะนับถือหรือไม่นับถือ เขารู้ความจริงหรือไม่รู้ความจริง เขาจะศรัทธานับถือหรือไม่นับถือ 

ส่วนนับถือหรือสำคัญตนว่าเลวนั้นตนเองเลว ตนเองวิปลาสตนเองเข้าใจผิด สำคัญตนว่าเลวก็คือจริงๆตนไม่ได้เลว ก็คือวิปลาส สำคัญตนผิด สำคัญตนว่าตนเองเลว มันก็ไม่ดีเหมือนกันนั่นแหละ มันต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริงให้ได้ทั้งหมด เอาล่ะนะ แค่นี้เดี๋ยวจะเยอะเกินไปวนมากไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 15:31:20 )

ถือศีล 10 หมายถึงว่าใจเราไม่ได้ติดเงินจริงๆ

รายละเอียด

หากเล่นไม่แตะเงินเลย...แต่คุณเถาว์เข้าใจถูก เขาก็เอาเงินใช้ประโยชน์ แต่พวกเราเข้าใจเคร่งเกิน พาซื่อแบบนี้เยอะนะ ส่วนกลางเขามี ส่วนกลางเขาต้องมี แต่พระก็ตีกิน ไม่มีเงินไม่ได้ แต่เขาให้เงินเป็นส่วนกลาง มีไวยาวัจกรที่เป็นฆราวาสก็ว่าไป จะใช้ก็บอกฆราวาสเขา คุณไม่ต้องแตะเงินเลยเป็นพระไม่ต้องแตะเงินเลย แต่คุณเป็นฆราวาสจะไม่ใช้เอง ก็ไปกับเพื่อนให้เพื่อนถืออย่างนั้นมันก็แอ็คไป 

แต่หมายถึงว่าจิตใจเราไม่ได้ติดจริงๆ เงินถ้าอยู่ในสังคมมนุษยชาติจะทำเป็นไม่ใช้เลยมันไม่ใช่ ถ้าเข้าใจพาซื่ออย่างนั้นมันไม่ได้เลย ขนาดคุณเถาว์ยกมือคนเดียว แต่คุณเถาว์ก็ใช้เงิน เคยขออาตมาไปทำงาน ไปซื้อสายท่อมาทำน้ำตั้งเป็นพันเป็นหมื่นก็ยังเอาใส่ซองธนบัตรไป อาตมาก็ยังถือเงินไปให้เลย ก็เอาจากไวยาวัจกรไปให้เขา ที่จริงมันก็ไม่งามหรอกแต่พวกคุณก็เข้าใจกันแล้วอาตมาไม่ได้มีปัญหาในเรื่องเงินทองพวกเราไว้ใจ อาตมาไม่ได้มีความเสียหายในเรื่องเงินอาตมาก็บริสุทธิ์สะอาดไม่มีปัญหา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาวันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 14:46:18 )

ถือศีล 2 แบบ แบบโลกีย์กับแบบโลกุตระเป็นอย่างไร 

รายละเอียด

คนถือศีลแบบโลกียะก็มี หมายความว่าอะไร คนถือศีลแบบโลกุตระ ก็มี หมายความว่าอะไร เออ ดี ใช้คำขยายแบบนี้ก็เข้าท่า

ถือศีลแบบโลกียะนี้ก็คือ ถือศีลแบบมิจฉาทิฏฐิ ท่านเรียกว่าถือศีลแบบ”สีลัพพตุปาทาน” คือยึดศีลยึดพรต ปฏิบัติไปตามจารีตประเพณีที่มันเสื่อมแล้ว ทุกวันนี้นี่แหละปฏิบัติกันส่วนมาก ไม่ได้เป็นศีลที่เป็นสัมมาทิฏฐิหรอก แต่ศีลเป็นมิจฉาทิฏฐิปฏิบัติกันไป 

เขาก็มีศีลนะ ศีลก็ของพระพุทธเจ้าจริงๆ ศีล 5 เป็นต้น ศีล 8 เขาก็ยังมีอยู่ ศีล 10 เขาก็มี อย่างศีล 5 ถือศีล 1 ไม่ฆ่าสัตว์ 2 ไม่ลักทรัพย์ 3 ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร 4 ไม่พูดปด 5 ไม่ดื่มสุรา นี้เป็นรูปธรรม เขาก็ปฏิบัติตามนั้น ถึงขั้นไปวัดไปนอนวัดแล้วก็ปฏิบัติศีล 8 นอกวัดต้องอุโบสถศีลนะ ศีล 8 มาลาคันธะวิเลปะนะ ธาระณะ ไม่เกี่ยวไม่ข้องกับดอกไม้ดอกอะไรๆ  เขาก็ถือ เขาก็ทำ ปฏิบัติ มันก็ได้ ได้ผลเกิดความชิน มันเกิดความชำนาญ ก็ได้บ้าง 

แต่มันไม่เป็นศีลอีกแบบหนึ่งคือแบบโลกุตระ แบบโลกุตระเป็นอย่างไร ก็คือแบบจรณะ 15 วิชชา 8 เดี๋ยวนี้ไม่รู้เรื่องกันแล้วว่าจรณะ 15 วิชชา 8 คืออะไร ไม่รู้เรื่องก็ปฏิบัติแบบโลกีย์อย่างที่อธิบายไปแล้ว 

ถือศีลแบบโลกุตระหรือแบบตามคำสอนพระพุทธเจ้า ตามพระอนุสาสนีคือ เมื่อถือศีลแล้วก็รู้ว่า ศีลนี้ท่านให้กำหนดเรื่องอะไร เช่น ศีลข้อ 1 ก็แปลชัดๆง่ายๆว่า ไม่ฆ่าสัตว์ ที่จริงเนื้อหาบาลีว่าปาณาติปาตา มันลงลึกไปถึงขั้นปาณะ ไม่ไปทำให้ตกร่วงทางจิตวิญญาณระดับปาณะ อาตมาเคยอธิบายผ่านมาแล้ว วันนี้จะยังไม่ลงลึกถึงขั้นนั้นนะ  

แบบโลกุตระ เมื่อปฏิบัติศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ เอาความหมายนี้ก็ได้ เราก็ต้องมี อปัณณกปฏิปทา 3 เราก็ต้อง สำรวมสังวร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีการสัมผัสเกี่ยวข้องอะไรๆ ในชีวิตอย่างตื่นอยู่ ก็ต้องมีโพชฌงค์ มีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ ที่จะให้รู้ตัวทั่วพร้อม แล้วก็วิจัยธรรมเมื่อไปสัมผัสแตะต้องกับสัตว์ โดยเฉพาะคน คนนี้แหละคือสัตว์ตัวสำคัญที่จะต้องเกี่ยวข้องกันแน่ในวันๆหนึ่ง เราถือศีลข้อที่ 1 เกี่ยวข้องกัน เมื่อสัมผัสกับคนแล้วเราเกิดกิเลส เราก็ต้องมี ชาคริยานุโยคะ คือต้องตื่นตัว ต้องอ่านนะ ต้องวิจัยธรรมนะ มีสติปัฏฐาน 4 กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ต้องรู้ตัวทั่วพร้อมว่า นี้เรา กายภายนอกสัมผัส สัมผัสคนนี่แหละ เกิดกิเลสกาม เกิดกิเลสปฏิฆะ ก็ต้องให้รู้ตัวทั่วพร้อม รู้แล้วเราก็ปฏิบัติ โภชเนมัตตัญญุตา คุณต้องได้ประโยชน์โภชนะ คุณต้องได้ประโยชน์ไม่ใช่คุณได้แต่กิเลส ไม่ใช่คุณได้โทษ-ได้กาม ได้ประโยชน์ที่สัมผัสแล้วจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันจะต้องกินหรือใช้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ถือศีลให้รู้รูปนาม ให้เกิดปัญญาจนอวิชชาหายไป วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2567 ( 18:11:32 )

ถือศีล 5 แต่เปิดดูคลิปโป๊ได้ไหม

รายละเอียด

ได้ไหม? ไม่ได้ จะละอายต่อบาปแล้ว รู้ว่าเป็นภัยเป็นปฏิปักษ์ต่อการเพิ่มกาม จะรู้ว่ามันเป็นการเพิ่ม ถ้าเป็นการเพิ่มแล้วคุณจะมาถือศีล 5 ทำไม ถือศีล 5 ก็มีให้ดู รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แล้วคุณก็ต้องรู้เรื่องกามคุณ 5 คุณก็ต้องลดละหน่ายคลายลงไป แล้วจะไปเติมเหตุปัจจัยให้มันเพิ่มขึ้น แล้วมันจะไปเป็นศีล 5 ได้ยังไง อย่าไปใส่ไม้เอกก็แล้วกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาต้องเกิดในปัจจุบัน จึงรู้เท่าทันเทวทัตยุคดิจิตอล วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2566 ( 17:12:53 )

ถือศีลมีสัมมาทิฐิ

รายละเอียด

การที่เขาถือศีลแต่ไม่ได้ปฏิบัติลดกิเลสก็เรียกว่าสีลัพพตตาปรามาส ลูบคลำเล่นหัวเหลาะแหละ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:01:45 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 14:46:33 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 02:45:49 )

ถือศีลอย่างมีอานิสงค์

รายละเอียด

เขาถือศีลเคร่งสีลัพพตุปาทาน

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:01:00 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:32:58 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 02:46:21 )

ถือศีลแบบมิจฉาทิฏฐิ

รายละเอียด

ปฏิบัติศีล แต่ปฏิบัติแบบมีทิฏฐิว่า“ศีล”จะควบคุมกายกับวาจาเท่านั้น ส่วน“สมาธิ”ก็ไป“หลับตา”ปฏิบัติต่างหาก “ศีล-สมาธิ-ปัญญา”ไม่ได้“ปฏิสังเคราะห์(synthesis)”กันเลย แยกกันไปทำคนละส่วน

“จิตวิญญาณ”ก็“จิต”อยู่ที่“วิญญาณ”ไป ส่วน“พยัญชนะ”ก็อยู่ที่“บัญญัติ”ไป “สภาวะกับพยัญชนะ”ไม่มีโอกาสร่วมรู้-ทำสัมพันธ์ หรือร่วมสังเคราะห์อะไรกันเลย

“จิตวิญญาณ”นั้นคือ“เทฺว”ในตัวคน คือ “ธรรมะ 2”คือ“สภาวะของธาตุรู้”ที่ตนรู้ตนได้

แต่“เทฺวนิยม”เป็นเหมือนวัตถุ ตนเองคิดอะไรไม่เป็น ตัว“เทฺว”ในตัวคนนั้นเป็นได้แค่“ลูกทาสแห่งแท่งความรู้ที่สำเร็จรูป”เท่านั้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:27:29 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 14:49:23 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 02:47:11 )

ถือศีลแล้วต้องมีอปันกปฏิปทา 3 

รายละเอียด

คุณอยากได้แก่น คือวิมุต แต่คุณยังไม่ได้อะไรเลยแม้แต่ศีลก็มิจฉาทิฏฐิ สมาธิก็มิจฉาทิฏฐิ พันเปอร์เซ็นต์หรือล้านเปอร์เซ็นต์ ไม่มีศีลก็ไม่ได้ เป็นสีลัพพตุปาทาน ยังไม่เข้าถึง สีลัพพตปรามาส 

สีลัพพตุปาทานคือ ถือศีลตามประเพณี อยู่ในวัดก็ท่องรับศีล แต่ไม่รู้ว่าต้องเอาไปปฏิบัติ ไม่รู้ว่าศีลนี้คือจะต้องปฏิบัติตามอปันกปฏิปทา 3 

นี่คือคำสอนตามพระพุทธคุณ 9 อันนี้คือ วิชชาจะระณะสัมปันโน คือเนื้อแท้ของศาสนาพระพุทธเจ้าคือวิชากับจรณะ ถือศีลแล้วต้องมี อปัณกปฏิปทา 3  ถ้าไม่มีก็ไม่มีสมาธิไม่ต้องพูดถึงฌาณ ไม่ต้องพูดถึงวิชชาเลย ศีล มันยังโมฆะมันยังเลอะเทอะ ยังไม่ได้สัมมาทิฏฐิอะไรเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกคือชุมชนบุญนิยมที่มีมรรคผลจริง วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่สันติอโศก


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:50:39 )

ถือศีลให้เกิดอธิจิต อธิปัญญา

รายละเอียด

ฟังดีดีแล้วเอาไปปฏิบัติปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าก็จะมีผลตามไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นหลักเกณฑ์ ถือศีลให้เกิดอธิจิต อธิปัญญาสิ

ศีลข้อที่ 1 ก็จะเกิดอธิจิต ในศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์  ศีลข้อที่ 2 ก็เกี่ยวกับของ ศีลข้อที่ 3 ก็เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งยากกว่า

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึกครั้งที่ 37 วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน 2561 


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:20:01 )

ถือศีลให้เกิดอานิสงส์ 10 ประการ

รายละเอียด

อานิสงส์ 10 ของศีล 

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) 

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี) 

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส) 

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข) 

6. สมาธิ (จิตมั่นคง) 

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส) 

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)  

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208) 

อานิสงส์ 10 ประการ มี อวิปฏิสาร ปามุชชะ ปิติ สุข มีพวกนี้ ไล่มา 10 ขั้นจนถึงวิมุตติญาณทัสนะ เขาไม่มีเลย ศีลของเขากั้นแค่กายวาจา ไม่ให้ประพฤติผิดตามศีล ก็พาซื่ออยู่แค่นี้ มันไม่เป็นไปอย่างเป็นอิทัปปัจจยตา คือ ศีลแล้วปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา 3 ก็จะเกิดสัทธรรม 7 เกิดฌาน 4 เกิดวิชชาอีก 8 สมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นปฏิสัมพัทธ์ซึ่งกันและกันตั้งแต่ต้นจนปลาย ศีลก็ถึงวิชชา ขัดเกลากัน ๆๆ เจริญขึ้นไปจนถึงวิมุติเลย เขาไม่เป็นเลย ไม่มีอันนี้เลย จึงมีแต่แค่ศีล ตั้งไว้ได้แค่กาย วาจา ประพฤติซื่อ เขาก็ได้นะได้อยู่บ้าง แต่มันไม่มีทางจะบรรลุธรรม นี่คือความลึกซึ้ง 

“ผู้ทรงสมาธิ  ก็ยังมิ สำคัญพอ” ทีนี้ผู้ทรงสมาธิ สมาธิก็ไม่ถูกต้อง ไม่สำคัญพอ “เปลือกไม้ ที่ใช้ก่อ เปลวไฟบ่ สู้ขี้ชัน”  สะเก็ดแล้วถัดเข้าไปก็เปลือก ศีลคือสะเก็ด สมาธิก็คือเปลือก เพราะฉะนั้นไปได้เปลือกมาก็ไม่ได้เป็นท่าเลย เอามาทำเปลวไฟสู้ขี้ชันก็ไม่ได้ นี่เขาเปรียบเขา อโศก สัมปวังโกเขาเขียน 

“ญาณะ ทัสสนะ  ก็ใช่จะ สุดสำคัญ”  ญาณทัสนะก็ตาม ก็ไม่ได้เรื่องอะไร “กระพี้-ไม้ที่พัน  รอบแก่นท่าน ทรงเปรียบแล” ท่านเปรียบเหมือนกะพี้นะ”ญาณทัสสนะ”นี้  ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเหมือนกัน 

“เจโต วิมุตินั้น  สุดสำคัญ ยิ่งจริงแท้”  ยิ่งวิมุติ เป็นเจโตวิมุติ “เปรียบดัง แก่นไม้แล  เทียบเนื้อแท้ พระสัทธรรม”  ยิ่งวิมุตินี้ เข้าไปถึงแก่นเลย 

“ดูกร ชนชาวพุทธ  อันวิมุติ ทรงค่าล้ำ 

อย่าหลง โลกธรรม  ที่พาต่ำ บ่เจริญ” 

ก็พูดไปอีก ก็ไปว่าเถรสมาคมที่เป็นตัวอย่างอยู่นี่แหละ ศาสนาพุทธกระแสหลักก็จมกันอยู่กับลาภสักการะสรรเสริญเยินยอเป็นสุข ได้แค่โลกีย์ ได้แค่ใบดอกผลอันงามงดอยู่นั่นแหละ วิจารณ์ไปแล้วเมื่อกี้ว่า แม้แต่ศีลก็ไม่สัมมาทิฏฐิ สมาธิก็ไปนั่งหลับตาเอา ปัญญาก็เป็นเรื่องตรรกะ เป็นเรื่องของความรู้ผิวเผินข้างนอก ไม่ได้เข้าเนื้อเข้าหนัง ไม่ได้เข้าถึงแก่นถึงสาระอะไรของความเป็นปัญญาเลย 

อาตมานั้นเขียนปัญญา 8 ขยายความไปถึงเล่ม 2 เล่ม 3 แล้วอ่านกันให้ตาเหลือกตาลานก็แล้วกัน ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว พยายามจะขยายให้ละเอียด ให้มันง่ายเหมือนหงายของที่คว่ำ อาตมาก็พยายามใช้ความสามารถที่จะทำ ก็น่าสงสารจริงๆ ศาสนาพุทธยุคนี้ พูดไปแล้วคนเขาก็หาว่าอาตมานี่ไปข่ม ไปยกตนข่มท่าน ไปทำอะไรที่ แหม! 

คือเขาเข้าใจไม่ได้ เขาก็ไปหลงเลอะเทอะ เป็นต้นไม้พลาสติก ที่เขาหลงอยู่ทุกวันนี้ แม้เขาหลงดอกใบอะไรพวกนี้ แล้วต้นไม้ที่เขาหลงอยู่นั้น ไอ้ดอกใบเป็นของปลอม เป็นต้นไม้พลาสติก โอ้โห ต้นไม้พลาสติก เดี๋ยวขยายความ 

คนยุคนี้งมงาย หลงใหลว่าเป็นเมืองเจริญ เป็นเมืองใหญ่ เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์ แต่งเพลงเอาไว้ มี 2 เพลง วันนี้เดี๋ยวเปิดให้ฟัง เต๋อตายไปแล้วล่ะ แต่งไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ 28, 29 มั้ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คณะสงฆ์เมืองไทย ใครได้ดอกไม้พลาสติก ใครได้มูลสูตร 10 วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2567 ( 18:33:14 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์