คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี
เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit
วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5
วีดีโอ Loom 1 : https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044
วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk
รายละเอียด
โอ้โห..สังวรตนสำนึกตนมากเลยนะ อาตมาก็สุดสงสารนะ ผู้ที่ยังเข้าใจอะไรไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้จักกรรมเป็นของของตนตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก กรรมทุกกรรมไม่ได้มีพระเจ้าเป็นผู้สั่งเป็นผู้บัญชา มันเป็นสิ่งที่เรากระทำเอง เรารับผลของเราเองทั้งนั้น ตัวเราเองอัตตาของเราเองนี่แหละ ทำอะไรเองทั้งนั้น ไม่ใช่ใครคนอื่นเลย ซึ่งอาตมาก็อธิบายสาธยายทั้งเขียนทั้งพูดมาจนเอาของพระพุทธเจ้ามาขยาย จนวนซ้อนเข้าไปลึกแล้วลึกอีก จนกระทั่งคิดว่าเราจะขยายไปทำอะไรกันอีกหนอ แค่นี้มันก็รอบ สุดจะพอที่จะหลุดพ้น ที่จะพ้นทุกข์พ้นสุข พ้นโสมนัสโทมนัสได้แล้ว แต่ก็ต้องทำไป ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะทำ อาตมายังไม่ตายก็ทำไป
ดี..คุณเข้าใจแล้ว แล้วได้ผลแล้วก็ดีแล้ว ที่พูดมานี้อาตมาเข้าใจนะว่าสัจจะมันเป็นจริง พวกเราเข้าใจแล้วก็ได้ธรรมะ ได้แล้ว พวกคุณตัดรอบไม่เป็นเท่านั้น ตัดรอบเป็นคุณจะรู้เลยว่ามันจบกิจแล้ว เป็นอรหันต์ เป็นอรหัตตผล แต่มันไม่เข้าใจ ตัดรอบไม่เป็น สรุปไม่เป็น อ่านจิตเจตสิกไม่ครบ มันก็เลยสับสนวนไปวนมา ซ้ำไปซ้อนมา ซ้ำไปซ้อนมา มันกลายเป็นทั้งความจำกับความจริง มันหลงความจริงเป็นความจำ หลงความจำเป็นความจริง หลงความจริงเป็นความจำ หลงความจำเป็นความจริง เลอะเทอะอยู่อย่างนั้น นี่อาตมาสรุปให้ฟัง
เห็นความจริงให้ได้ว่า เออ จริงแล้วจบ แล้วก็จำได้ อ๋อ นี่ยังวุ่นวายเราจำได้ว่า เราจะต้องปฏิบัติต้องทำอย่างนี้อยู่ ก็คุณจบแล้วคุณจะต้องมานั่งเล่นมันอีกทำไม อาตมาเคยบอกว่า จะมานั่งขยำขี้อยู่ทำไม มันจบไม่เป็น มันไม่รู้ที่จบ เพราะฉะนั้นคำว่าจบกิจ กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ มันยากกับคนที่จะรอบรัดรวบรวมสรุปหยุดจบให้ได้
อันนี้อาตมาเคยส่งสัญญาณไปถึงท่านประยุทธ์ ปยุตโต สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ท่านรู้มาก แต่ท่านไม่รู้จักจิตเจตสิก ท่านไม่รู้จักกรอบของการรู้จบ โสดาบันก็จบซะที สกิทาคามีก็จบสักทีสิ อนาคามีก็จบซะทีสิ อรหันต์ก็จบ จบแล้วก็จบสิ ท่านสรุปไม่ได้ ระดับโสดาบันก็ยังฟั่นๆ เฝือๆ เอ๊! อย่างไงแท้โสดาบัน จิตเจตสิกไม่ละเอียดพอ แต่ท่านรู้มาก มากกว่าอาตมา อาตมายังต้องอาศัยพยัญชนะที่ท่านมีที่ท่านเขียนไว้ในพจนานุกรมของท่าน อาตมามีพจนานุกรมของท่านใช้อยู่ 2 เล่มสำคัญของท่าน อาตมายังใช้ประจำอยู่ของท่าน ท่านบันทึกไว้ถูกต้องในพยัญชนะทั้งหมด แต่ในสภาวะจริงแล้ว แหม..อาตมาก็สงสาร เพราะกลายเป็น ปทปรมบุคคล รู้มากแต่ไม่บรรลุธรรม ขออภัยที่อาตมาพูดเหมือนกับไปดูถูกดูแคลน ยกตนข่มท่าน ก็ต้องขออภัย ไม่ได้ยกตนข่มท่านอาตมาพูดสัจธรรม เป็นความเห็นด้วยบริสุทธิ์ใจ เป็นความจริงใจตามภูมิ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ปลุกธรรม #39 ฌานปัญญาของคนเจริญจริงคือทำจิตให้เป็นมหาภูตได้ วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2566 ( 19:24:35 )
รายละเอียด
อาตมาก็มาได้ความรู้ว่าเราฝึกจนกระทั่งรู้จักความหิวความกระหาย คือความต้องการมาให้ตนเองมันไปเสริมบำเรออัตตา
แต่ถ้าเผื่อว่าเราต้องการสิ่งที่ควรจะเอามาใช้ในร่างกายก็ต้องเติมน้ำเติมอาหาร ถ้าเราไม่ให้มันพอดีมันไม่เหมาะสมพอดีมันก็เสื่อมสิ อันนี้ก็ต้องเป็นความรู้ของแต่ละคน เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกว่าบอกความจริงกระหายหิวไม่มี ออกกำลังกายหนัก ควรจะกระหายน้ำก็ไม่เคยกระหาย แต่เขาเอาน้ำมาให้ดื่มก็ดื่มได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 27 วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:08:56 )
รายละเอียด
พูดอย่างนั้นทีเดียวก็ไม่ถูก เหมือนกับเหมาว่าเมืองไทยเสื่อม ที่จริงแล้วเมืองไทยไม่ได้เสื่อมทางคุณธรรม แต่เศษเหลือของความเสื่อมมันกำลังดิ้น เป็นธุลีสุดท้าย เศษเหลือของความเสื่อมในประเทศไทย ยังมีขาดหกตกหล่น ดิ้นรน ให้เห็นเป็นมวลสุดท้าย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมีความไม่มี สิทธัตถะและสิริมหามายา วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 กันยายน 2565 ( 14:59:33 )
รายละเอียด
คุณพูดกำกวม คำว่าธรรมะ ถ้าบอกว่าโลกกับธรรม ธรรมะเป็นโลกเป็นฝ่ายเดียวกัน ธรรมะที่เป็นโลกีย์หรือโลกธรรม คุณไม่ได้ศึกษาว่ามันมีโลกุตระอยู่นะ คุณก็จมอยู่ที่เก่าถ้าคุณไม่รู้จักโลกุตรธรรม คุณก็จะอยู่กับโลกธรรมที่เป็นโลกียธรรมอยู่อย่างนั้น ก็เป็นอย่างเดียวกันเป็นโลกธรรมไม่ใช่ 2 อย่าง เป็นรายละเอียดลึกซึ้งฟังให้ดีจะได้ปัญญา
ธรรมะกับโลก ถ้าจะพูดธรรมะนี้หมายถึงโลกุตรธรรมเพราะฉะนั้นโลกียธรรมกับโลกุตรธรรมเข้ากันไม่ได้ โลกุตรธรรมจะต้องขจัดโลกียธรรมออก ลดโลกียะ จนสุดท้ายจึงได้ชื่อว่าเหนือโลกีย์อยู่กับธรรมะเรียกว่าโลกุตรธรรม
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 23 วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 09:37:16 )
รายละเอียด
สัมมาสังกัปปะ 7 ที่เป็นอนาสวะ เป็นมรรคของพระอาริยะ
ฝ่ายไตร่ตรอง-ริเริ่มเคลื่อนไหว (dynamic ขั้วลบ หรือ Kinatic)
1. ความตริ,ตรึก-แรกเริ่มนึกคิด (ตักกะ)
2. ความตรอง-คิดวิตกยิ่งขึ้น (วิตักกะ)
3. ความดำริ-มีความคิดปรุง (สังกัปปะ)
(วิมุติแล้วย่อมมีชำนาญในครรลองแห่งใจ จะคิด-ไม่คิด ก็ย่อมทำได้ตามประสงค์ เพราะมี “เจโตวสิปัตตะ”)
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม พระอรหันต์มาตอบปัญหาประชาธิปไตยแท้ วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:16:35 )
รายละเอียด
แต่วันร้ายคืนร้าย พ.ศ. 2532 เขาก็ดึงอาตมาเข้าไปอยู่ในเถรสมาคมอีก การกระทำของเขาก็เป็นโมฆะ แล้วยังไม่พอ ไปเอามหานิกายกับธรรมยุตมารวมกันเพื่อทำประกาศนียกรรม มหานิกายกับธรรมยุตเป็นพระที่ต่างนิกายกัน ถ้าหากเอามาทำพิธีของสงฆ์ร่วมกันก็จะเป็นการผิดพระธรรมวินัย เป็นการโมฆะแต่เขาก็ทำ อาตมาก็ได้แต่เป็นผู้ถูกกระทำเป็น object ไม่รู้จะทำอย่างไร เป็นผู้ถูกกระทำตลอดมา อาตมาก็ยอมรับให้เขากระทำ ที่พูดนี้ไม่ได้โวยวายแต่พูดอธิบายสัจธรรมไม่ได้หาเรื่องอะไรหรอก แต่พวกคุณมาขุดคุ้ย ฟื้นฝอยหาตะเข็บอาตมาก็เลยพูดไปตามสัจจะความจริงเท่านั้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาอย่างนานาสังวาส
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน อโศกมิใช่นิกายแต่เป็นนานาสังวาส
เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2564 ( 05:08:53 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นพวกความรู้หัวโต หลงอยู่ในตรรกะเหตุผลก็คือพวกพญาครุฑ เหินหาวเหินเวหา เดินไม่ติดดินเลย ไม่ใกล้กับคนเลย ลอยฟ่องอยู่ประดับฟ้า พวกนี้ก็พูดกันยาก เพราะเขาเป็นพญาครุฑเสียแล้ว ส่วนบาดาลเราก็ลงไปไม่ถึงพญานาคเลย ช่วยยากสองพวกนี้ ช่วยยาก ยากจริงๆ
นี่คือสิ่งเปรียบเทียบแล้วคนก็ไปเข้าใจว่าพญาครุฑ พญานาคมีจริง แต่จริงๆมีไหม..มี คือความโง่ของคนทั้ง 2 ฝ่าย น่าสงสารพญาครุฑก็ดึงไม่ลง พญานาคก็ขุดไม่ขึ้น อาตมายอมพญาครุฑ ยอมพญานาค หมดสิทธิ์ที่จะไปช่วยอะไรเขา เพราะอาตมาไม่ได้อยู่ในฐานะ พระพุทธเจ้าก็ช่วยยากแสนยาก ยิ่งอาตมาเป็นโพธิสัตว์แค่นี้ อย่าไปเผือก มันไม่ใช่สถานะที่จะพูดกันได้ อาตมาเห็นแล้วก็สงสารได้แต่พูดอย่างนี้ เขาจะรู้สึกตัว เขาจะเข้าใจ พอจะเชื่อถือหรือไม่ อาตมาก็ไม่รู้จะบอกได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นคนที่จะมาเข้าใจโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งมาเป็นคนอย่างพวกเรา ไม่เป็นพญาครุฑ ไม่เป็นพญานาคแล้ว ไม่ไปหลงงมงายกับพญานาค พญาครุฑ บ้าๆบอๆ สร้างเป็นรูปธรรม นาคก็ใส่หงอนใส่เครื่องทรง ที่จริงนาคก็คืองูนอนเอือก ส่วนพญาครุฑมีปีกแข็งแรง บินฟ่องลอย เขาก็ไปเขียนรูปออกแบบพญาครุฑก็สมบูรณ์แบบ พญานาคก็สมบูรณ์แบบ นี่ยังน้อยไป รูปที่เขาออกแบบมายังน้อยไป
ผู้ที่หลงสิ่งที่สมมุติ สมมุติเป็นรูปธรรม สมมุติเป็นตัวตนพวกนี้ แม้กระทั่งสมมุติว่าเป็นสัตว์ ก็ยังไปหลงติดความเป็นสัตว์ สัตว์เดรัจฉานงูก็ตาม สัตว์เดรัจฉานนาคก็ตาม กว่าจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งเปรียบเทียบมันไม่มีจริงหรอก ต้องเข้าใจได้ว่าจิตของเราโง่เง่าเป็นอย่างนั้นจริง โง่เป็นพญาครุฑก็โง่จริงๆโง่เป็นพญานาคก็โง่จริงๆ รู้แล้วก็มาเข้าใจความเป็นกลาง ความเป็นกาม ความเป็นอัตตา
หลงในกาม หลงใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) หลงใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข รู้ตัวที่ไหน อยู่ในเถรสมาคม ส่วนพวกหลับตาเข้าป่า พระป่าเข้าป่าเป็นเดียรถีย์ ฤาษีบุกป่าเข้าดง ไม่รู้เรื่องเป็นคนละทิศ เป็น 2 ทิศ ยากมาก
ทีนี้ความเป็นจริงของสัจจะของพระพุทธเจ้านั้น ที่จะบรรลุธรรมเป็นคนที่เข้าใจ ชั้นฟ่องขึ้นไปถึงหาฟ้า ชั้นจมลงไปหาบาดาล รู้จักสิ่งฟูฟ่องทั้งจมหนัก อยู่ที่ความเป็นสามัญของคนมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วอยู่กับโลกธรรมที่เป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข
ไม่ว่าจะเป็นสุขทาง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) หรือสุขทาง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือภพชาติ ก็เป็นสิ่งที่เป็นอนัตตาทั้งนั้น แต่คนก็ยึดหยาบก็เป็น โอฬาริกอัตตา ลดอัตตาหยาบได้ก็เหลือ มโนมยอัตตา เชื่อมระหว่างภายนอกภายใน จนหมดภายนอก (สกิทาคามี ) เหลือข้างใน มโนมยอัตตา ภายในก็เป็นอนาคามี ก็มาเรียนรู้ข้างในจริงๆ เป็น รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา…ก็ลด
พยัญชนะที่เรียกสิ่งเหล่านี้มันเป็นสภาวะธรรมจริงๆ ถ้าคุณไม่ลดจริง คุณยังมีอยู่ ยังไม่ยอมปล่อย ยังไม่ยอมทิ้ง คุณยังเกี่ยวข้องยังสัมผัส คุณยังมีสุขกับมัน สุขด้วยรสชาติ จะหยาบกลางขนาดไหน มันต้องหมดสุขหมดทุกข์ คุณต้องอ่านเวทนาในเวทนาตัวหมดสุขหมดทุกข์นี้ให้ได้ แล้วคุณต้องรู้เหตุของมันคือ ลดเหตุ ลดกิเลสจริงๆ หยาบ กลาง ละเอียด หมดสุขหมดทุกข์ที่เป็นอุเบกขานั้น ไม่ใช่หมดทุกข์หมดทุกข์ที่แค่อทุกขมสุข ฤาษีก็กดข่มได้ ดับสัญญาดับเวทนา ไม่ให้มันทำงาน มันก็ไม่ได้ล้างเหตุให้สะอาดสมบูรณ์แบบ
นอกจากจะทำให้กิเลสหมด หายไปเป็นขั้นๆตอนๆ เกลี้ยงจริงๆ แล้วมันจึงจะไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วคุณก็จะไม่สุขไม่ทุกข์อีก อย่างอาตมาทุกวันนี้พยายามจะฟื้นกินอาหารให้มันอร่อยอีก เห็นเลยว่ามันหมด มันก็หมดจริงๆ มันไม่ได้แกล้งจะไม่อร่อยนะ แต่มันเมื่อยจริงๆในการกินข้าวแต่ละวัน แล้วยิ่งสังขารนี่บอกตรงๆว่า อยากตายแล้ว มันต้องยังขันธ์ไป เพื่อที่จะทำงาน .. ชาตินี้มีวิบาก สุดยาก ตรากตรำซ้ำเติม ย้ำตาม ก็พยายาม สุดความอุตสาหะเสริม
มันต้องอุตสาหะจริงๆเลย ต้องพยายามจริงๆเลย ถ้าไม่งั้นมันไม่เกิดบูรณะขึ้นได้ มันไม่เกิดบูรณะแล้วมันจมเลย มันตายแน่ๆ มันเสียหายแน่ๆ อาตมาก็เอา มันจะลากไปได้อีกนานเท่าไหร่ก็เอา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูปรับทุกข์ปลุกธรรม #20 คนที่ไม่รู้จักกายคือคนพิการ วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 15:32:41 )
รายละเอียด
ยิ่งคนที่เป็นพญาครุฑ เป็นพญาครุฑคืออะไร เป็นพญาครุฑก็คือผู้ที่เหินฟ้า รู้มาก หลงตัวเองว่า เป็นคนสูงเป็นคนรู้มาก ซึ่งเขาก็รู้มากจริงๆนะ รู้เกินปทปรมบุคคล คือเขาสามารถรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าได้ โอ้โห! รู้หมด รู้มาก จำพระพุทธพจน์ได้ก็มาก ท่องจำได้ขึ้นปากขึ้นใจ สาธยายอยู่ก็มาก จำได้มาก บอกสอนผู้อื่นอยู่ก็มาก แต่ตัวเองไม่ได้บรรลุมรรคผล อย่านึกว่าง่ายนะ บรรลุมรรคผล ไม่บรรลุมรรคผล ไม่เข้าไปถึงจิตเจตสิก
เริ่มตั้งแต่คำว่า กาย ก็ยังมิจฉาทิฏฐิ อย่างนี้เป็นต้น กาย ต้องเป็น 2 เพราะกาย ต้องมีภายนอกกับภายใน แค่ขั้นกาย ต้องมีภายนอกกับภายใน ต่อจากกายก็คือเป็นเวทนา เวทนา ก็จะมาร่วมประสานกับภายนอกแล้วมารู้เป็นเวทนาภายนอกด้วยกับกาย ในเวทนานี่แหละ เป็นตัวฐานปฏิบัติ เป็นตัวรู้สึก รู้สึกสุขรู้สึกทุกข์เป็นต้น เพราะมิจฉาทิฏฐิ ไปหลงมาร ไปหลงผี ไปหลงกิเลส คบกับกิเลส จึงเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ จนรู้จักตัวกิเลสของตัวเองแล้วทำกิเลสของตัวเองออกได้หมด ไปถึงหมดสุขหมดทุกข์ อธิบายอย่างลัด เร็ว ไว
ผู้ที่หมดสุขหมดทุกข์ได้ การหมดสุขหมดทุกข์นั้นเป็นอีกพยัญชนะหนึ่งที่เป็นคำไวพจน์เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ แต่ที่จริงแล้วไม่ได้หรอกมันลึกกว่ากันคือ อุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์นั้นพยัญชนะบาลีว่า อทุกขมสุข มีอีกตัวหนึ่งคือ อุเบกขา อุเบกขานั้นยิ่งกว่า อทุกขมสุข เพราะเหตุแห่งทุกข์แห่งสุขนั้นมันหมดไปจากจิต เพราะฉะนั้น อุเบกขาก็คือจิตที่สะอาด สะอาดจากตัวเหตุแห่งทุกข์ตัวร้าย อย่างละเอียดเลย หมดสิ้น จึงเรียกว่า ปริสุทธา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 31 วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2565 ( 14:35:29 )
รายละเอียด
พระสูตรพระพุทธเจ้าออกมาตีเท่าไหร่เหมือนแทงด้วยหอกร้อยเล่ม แทงเท่าไหร่ตีเท่าไหร่ ยิ่งกว่าพญานาคอยู่ใต้บาดาล รอพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาทีนึง ค่อยได้ยินเสียงถาดทองกระทบดังกริ๊ก พระพุทธเจ้าเกิดมาอีกแล้วหรือ เอาเท่านั้นดูเท่านั้นเสร็จแล้วก็หลับอยู่ใต้บาดาลต่อไปไม่ได้อะไรจากพระพุทธเจ้าเลย รู้แต่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดองค์หนึ่งเท่านั้นเองที่เขารู้ ตื่นขึ้นมาดู คิดดูซิว่าคนนี้มันจะดักดานไปถึงไหนพญานาคนี่ แล้วก็เชิดชูพญานาคกันจังเลย สร้างเอาสัตว์ดึกดำบรรพ์ดักดานมาเป็นที่สนุกสนาน พญานาคยิ่งใหญ่ แล้วก็ไม่รู้ว่าพญานาคคืออะไร
พญานาคคืองูที่ดักดานที่นอน งูนอน งูหลับ งูอยู่ใต้บาดาล เอาเข้ามาอีกเหมือน Harry Potter เหมือนสตาร์วอร์จริงๆ แต่เป็นแบบไทย ก็งมงายไปอย่างนั้น แล้วจะมาพูดสัจจะสาระให้ฟังไม่กระดิกไม่รู้เรื่องสาระ ไปเอาที่บ้าบออะไรไป น่าสงสารจริงๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 13:42:08 )
รายละเอียด
ฝากไว้ก่อนเรื่องพญานาค แล้วก็พ่วงพญาครุฑไปด้วย เพราะ 2 คำนี้ยิ่งใหญ่ คือ คนติดยึดสองทิศ ดับสุด กับสว่างสุด สว่างจนพร่ากระจาย อุทธัจจะกุกกุจจะ กับ ถีนมิทธะ ยิ่งใหญ่มาก ไว้ค่อยอธิบายต่อก็แล้วกัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 14:40:28 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563
เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 16:51:38 )
รายละเอียด
อาตมาก็ยังไม่เต็มที่ยังไม่พอใจตัวเองในการอธิบาย ยังจะแยกแยะและอธิบายไปอีก วันนี้มีของเก่าเขียนมาก็เลยยังไม่อยากอ่าน พญาครุฑยังไม่ได้ขยายความเท่าไหร่ แต่พญานาค พยายามทำความเข้าใจกันก่อน ว่าพญานาคมันเป็นสมมติสัจจะ แต่ว่ามีไหมมันเป็นสัจจะคือสมมุติ มันไม่ใช่เรื่องของภายในจิตวิญญาณ
คำว่าพญานาคไม่ใช่คำยกย่อง แต่เป็นคำดูถูกดูแคลน โดยเฉพาะพญานาคสำหรับคนที่ไม่เข้าใจเลยก็ติดยึดกันทำให้จมอยู่ในพญานาค จนมีอยู่ข้อหนึ่งบอกไว้ชัดด้วยว่า เป็นพญานาคชนิดที่นอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่พระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 อุบัติขึ้นมาในโลก ก็มีถาดทองคำที่ลอยทวนกระแส ก็เป็นความหมายบุคลาธิษฐาน ลอยมาซ้อนตั้งแต่ถาดใบที่ 1 จนกระทั่งมีพระพุทธเจ้าองค์ที่ล้านๆ แล้วพญานาคมีหน้าที่เฝ้าถาดทองคำใต้ก้นบึ้งมหาสมุทร แล้วจะรู้สึกเพียงแต่แค่เสียงของถาดทองคำ ที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแต่ละองค์ ลอยมาถึงที่นี่ก็จะตกลงมาที่เดียวกันหมด แล้วก็มากระทบกับถาดทองคำใบที่อยู่บนสุด องค์ใหม่มาก็ลอยถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ก็ลงมากระทบกับองค์ก่อนที่พึ่งจบไป
ได้กระทบกันเสียงดังจะเรียกว่า กริ๊กไม่ได้ เสียงนี้ต้องเป็นเสียงพิเศษ ที่พญานาคได้ยิน ปกติแล้วพญานาคนอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นไม่ได้ยินเสียงอื่นเลย ได้ยินแต่เสียงพระพุทธเจ้า เป็นธรรมาธิษฐานว่า โลกนี้มีศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้า นอกนั้นข้าไม่รู้อะไรเลย ตัวข้านี้มืดบอดสนิท หลับตลอดหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น หอกแทง 300 เล่มเช้า 100 กลางวัน 100 เย็น 100 ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่รู้เรื่อง ข้าก็จะหลับของข้าหลับตา หลับตาปฏิบัติเป็นโจรปล้นศาสนา
ผู้หลับตาปฏิบัติเป็นโจรปล้นศาสนา ความหมายอันนี้ลึกซึ้งมาก การหลับตาปฏิบัติมันเป็นโมฆะ มันทำลายศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องลืมตาปฏิบัติ ตื่น รู้รอบ ตาหูจมูกลิ้นกายใจสำรวมอินทรีย์ ตื่นอยู่ไม่มีหลับ ปฏิบัติลืมตาบรรลุธรรมก็ลืมตา หลับก็เป็นแต่เพียงนอนหลับพักเท่านั้นเอง ธรรมดาก็มีสติเต็มร้อยลืมตา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 10:42:14 )
รายละเอียด
พูดถึงพญานาคนั้น มันเป็นภาษาที่แทนสภาวะของคนที่นอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น นอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นอยู่ใต้ก้นบึ้งของบาดาล เฝ้าอยู่ที่กองของถาดทองคำ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์กว่าจะตรัสรู้ก็ลอยถาดทวนกระแส ซึ่งมีความหมายว่า ถาดทองคำคือพระธรรม แล้วธรรมะของพระพุทธเจ้าจะทวนกระแส อยู่ตรงนี้ก็จะมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซ้อนๆๆๆ กันอยู่ สูง ลึกมาก พญานาคอยู่ใต้ก้นบึ้ง อยู่ลึกมาก ลึกจนกระทั่งไม่น่าจะได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงพระพุทธเจ้าลอยถาดมากระทบกันดัง กริ๊ก เสียงนี้ยิ่งใหญ่มาก จนพญานาคอยู่ใต้บาดาลนอนเฝ้าก้นบึ้งใต้บาดาล ได้ยินเสียงนี้ ถาดจะลอยอีกกี่ใบ ๆ ก็ลอยซ้อนอยู่ด้านบน เสียงนี้ต้องยิ่งใหญ่ถึงปลุกให้พญานาครู้สึกว่า พระพุทธเจ้าเกิดอีกองค์หนึ่งแล้วหรือ
แล้วคำว่าพระพุทธเจ้าเกิดอีกองค์ก็คือ ชั่วระยะที่จะมีพระพุทธเจ้าเกิดอุบัติขึ้นในโลกแต่ละองค์นี้นาน ขนาดพญานาคก็หลับไปจนกระทั่งพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งเกิดแล้วก็หลับต่อ จนพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งเกิด ถึงได้ตื่นขึ้นมาอีกทีนึง
ต้องพระพุทธเจ้าเท่านั้นทำให้รู้จักเสียงว่าพระพุทธเจ้าเกิดแล้วก็รู้เท่านั้นนะ พอได้ยินว่าพระพุทธเจ้าเกิดแล้ว กริ๊ก แล้วก็หลับต่ออีก พญานาค คล้ายๆกับพวกหลับตาที่พยายาม หลับอยู่นั่นแหละ คล้ายๆกัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 14:02:34 )
รายละเอียด
ฉะนั้นดูเหมือนเขาจะเป็นผู้รู้ เป็น Lerned Man เป็นผู้คงแก่เรียน เป็นผู้เรียนมาก ปทปรมบุคคล อย่างที่อธิบายไปแล้วมันก็มีตัวอย่างให้เห็น พวกที่เข้าใจหลับตาปฏิบัติธรรมก็ไปสายมืดสายป่า ไปตามพยัญชนะความรู้ความเห็นที่เป็นตรรกศาสตร์มันก็ไปกันอีก มันก็เลยไปยึดติดสิ่งที่หลงเลอะเทอะพวกนั้น ทำไมต้องพูดจริงๆ ปราชญ์ทั้งหลายทางโลก ปราชญ์ เขาถือว่าเป็นผู้รู้ ส่วนผู้ที่บรรลุธรรม เขาไม่ถือว่าเป็นปราชญ์ เขาถือว่าเป็นอาริยบุคคล ปราชญ์นี้บางทีเขายังไม่ให้เป็นอาริยบุคคลเท่าไหร่ แต่ก็เป็นผู้ที่รู้มาก แต่ทางอาริยบุคคลถือว่า เป็นผู้ที่บรรลุทางจิตเลย นั่งหลับตาบรรลุทางจิต นี่คือมิจฉาทิฏฐิ นี่คือความเข้าใจผิด 2 ฝ่ายที่อาตมามาขยายความเป็นพญานาคกับพญาครุฑ
พญาครุฑไปโน่นเลยขึ้นเวหาไปนู่นเลย ส่วนพวกลงดิ่งในบาดาลก็เป็น อตัปปาไปเลย เวหัปผลากับอตัปปา พญาครุฑกับพญานาค อตัปปาคืออัตตา เวหัปผลาคือขึ้นสู่เวหาไปเลย ส่วนพวกที่เป็นคุ้มพญานาค คือเป็นพวกที่ไม่รู้เรื่องอัตตา อตัปปา ลงดิ่ง เป็นพญานาค
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 13:55:35 )
รายละเอียด
ไปหลงลมลุงพลหรือไง ก่อสร้างพญานาค ตอนนี้ออกข่าวไทยรัฐประจำ เป็นเครื่องมือโฆษณาให้ลุงพลจริงๆ ก็นิดหน่อย
มังกรนี่ของจีนพญานาคของอินเดีย
มังกรเหินฟ้าพญานาคอยู่ใต้บาดาลเฝ้าบาดาล
มันเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่นอนเอือกก็คืองูนั่นเอง ก็เลยสมมุติเป็นงูใหญ่แล้วทรงเครื่องเสียอีก แทนที่จะเป็นงูธรรมดาหัวอย่างนั้นก็เอามาประกอบกัน หัวก็เอาหัวงูเห่ามีแผ่แม่เบี้ย ก็ออกแบบตามศิลปินทำให้มีหงอนมีอะไรเป็นแฉก ให้มันดูพิสดารขึ้นมา ปากคอก็ให้มีลายกนก อ้าปากมีเขี้ยวน่ากลัวเป็นพญานาค ทุกวันนี้แพร่หลายกันพญานาคก็อาจจะแตกต่างกันบ้างตามศิลปินแต่ละคน โครงสร้างเหมือนกันแต่รายละเอียดแตกต่างกันไปเท่านั้นเอง
สรุปแล้วก็คือเป็นการสมมติอะไรขึ้นมาเพื่อที่จะให้เอามาใช้ในสังคม เราเอาความหมายของมัน หมายถึง สัตว์ที่นอนเอือก ในศาสนาพุทธก็มี ว่า นาค มาปลอมบวช ก็คืองูนี่แหละ เอาแต่นอน หลงนอน กินอิ่มแล้วก็นอน งูเหลือมกินวัว 1 ตัวนอนเอือก จนหญ้าคาแทงทะลุตัวออกไปหลังงูเลย ถึงขนาดนั้นเลย
พญานาคคือพวกหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น ประชดแดกดัน พวกหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นไม่รู้จักโลกเขา มันไม่เป็นประโยชน์อะไรกับโลกเลยอันนี้แหละเป็นเรื่องใหญ่ (มีภาพพญานาคขึ้นจอ) นี่ภาพนี้ ก็เป็นแค่นาคหัวงู ไม่พิสดารเท่าไหร่
เป็นเรื่องเล่าโบราณเก่าแก่มามีภาพต่างๆ นาๆ สารพัดศิลปินก็เขียนประกอบเพื่อให้รู้ แต่เรารู้ความหมายให้ลึกซึ้ง ว่าอย่าไปหลงหลับตาหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น ให้ตื่นมา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาพุทธคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ไม่ใช่ผู้หลับ ผู้รู้ผู้ตื่น ไม่ตื่นก็ต้องฝึกตื่น ชาคริยาก็แปลว่าตื่น ชาคริยานุโยคต้องพากเพียรตื่น ไปรู้อย่างหลับนั้นมันงมงายมันผิด มันเป็นของไม่จริง อันนี้แหละเป็นความหมายที่ลึกซึ้งสูงสุด
ส่วนพญามังกรหมายถึงพวกที่มีฤทธิ์เดชมีอำนาจลอยเหินฟ้า มีฤทธิ์มากพ่นไฟ เผาบ้านเผาเมืองล่าอาณาจักร มันก็เป็น 2 ทิศพญามังกรกับพญานาค
เหมือนกันหรือไม่?..ก็เป็นเรื่องทำลายเป็นเรื่องโง่ทั้ง 2 ฝ่ายทั้งคู่ ซึ่งเป็นธรรมะ 2 เป็นเทวะคู่ พวกหลับกับพวกตื่น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:10:24 )
รายละเอียด
พญานาคคืองู เขาก็มาแต่งองค์ทรงเครื่องใส่ลาย กนกให้หัวมัน ใส่เกล็ดเข้าไปตกแต่งเข้าไป งูคือสัตว์ที่ช้า เลื้อยนอน หลับ ติด เพราะฉะนั้นขยายความกันว่า ผู้มาปลอมตัวบวชคือพญานาค ปลอมตัวมาเป็นคนแต่ตัวเอง คือนาค คืองู พอเสร็จแล้วยังไม่ได้บวช มาขอบวช ก็เรียกว่า นาค เป็นผู้ขอบวชได้ฐานะนาค อยู่มาวันหนึ่งก็ไปนอนหลับ ก็เลยกลายเป็นงูนอนเลื้อยอยู่ในห้อง คนเข้ามาดูก็รู้ว่าเป็นงูเป็นนาค มันจะมาขอบวช ปลอมตัวมาบวช ฉะนั้นจึงมีคำถามที่อุปัชฌาย์จะซักถามผู้จะบวช ว่าเป็นนาคปลอมตัวมาบวชหรือเปล่า…นัตถิภันเต….หากโกหก ก็ได้บวช แต่อามะภันเตก็รับว่าเป็น ก็ไม่ได้บวช นี่คือเรื่องที่ผูกกันมา สรุปก็คือเป็นผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจมาบวช ปลอมตัวมาบวช ก็ไม่ให้บวชคนนี้ไม่ได้ตั้งใจจริงไม่ได้สมเหมาะสมควร ที่จะบวชเป็นเดียรถีย์ไส้ศึกมา เท่านั้นเอง พญานาคคืองูทรงเครื่องที่นักศิลปินเขียนหงอนเขียนลายให้บอกว่าเป็นงูใหญ่ที่มีฤทธิ์มาก จะเป็นผู้ที่มีลักษณะนิสัยที่เลวที่ไม่เหมาะสมจะบวชได้ จบ
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2562 ( 20:47:50 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:33:07 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:10:13 )
รายละเอียด
“พญานาค”ก็คือ “ชาวพุทธกระแสหลัก”ในยุคนี้ ในทุกวันนี้นั่นเอง ที่เป็นจริง ยืนยันความจริงนี้กันอยู่อย่างเห็นๆ เพราะ“หู”ของชาวพุทธกระแสหลักได้พิการไปหมดแล้ว วิตถารไปด้วยซ้ำ คือ รับรู้ได้แต่“เสียงของโลกธรรม”ว่าไพเราะสุดซึ้งเสียเหลือเกิน จึงหลงเพลินไปกับ“โลกียธรรม” เนื่องจากเสียงของ“โลกียะ” กับเสียงของ“โลกุตระ”มันเป็นคลื่นเสียงคนละคลื่นกันจริงๆ จึงรับคลื่นโลกุตระไม่ได้
เมื่อ“หูหนวกตาบอด’กับเสียง“โลกุตระ”กันแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ“สัตบุรุษ”ที่จะต้องรักษา“หู-ตา”ให้แก่ชาวพุทธกระแสหลักให้หายจาก“หูหนวก-ตาบอด”ให้ได้
กระนั้นก็สุดยากแสนยากกันจริงๆ เพราะชาวพุทธกระแสหลักเขาได้พากันหลงยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิ”กันหนักหนาสาหัสจนได้ชื่อว่า“พญานาค”กันดังที่เห็นและเป็นอยู่ แม้แต่“กาย”เขาก็ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ไม่“พ้นสักกายทิฏฐิ”กัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 21:00:27 )
รายละเอียด
เริ่มตั้งแต่คำว่า “กาย”ก็“มิจฉาทิฏฐิ”สนิทแล้ว ความเป็น“สัก”จึงไม่รู้ว่า“มันพิการ”ไปแล้วอย่างไร? หนักหนาสาหัสปานไหน? จึงเป็น“พญานาค”เต็มสภาพ ตั้งแต่“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1 ก็ “มิจฉาทิฏฐิ”กันบริบูรณ์ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” แม้จะมี“คนผู้สาธยาย“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าคอแตกปานใด “พญานาค”ก็ยังคง“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”อะไรทั้งนั้น มืดบอด สนิทกันอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรลึกสุดนั้นตลอดกาล “ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิ๊ด”ขึ้นมาเลย ราวกับก้อนหินก้อนดินก็ไม่ปาน ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล (2500 ปี)ไปแล้ว โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน มีก็แต่“พระโพธิสัตว์หรือ
“สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม”ที่เป็น“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ
แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า “พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกระทุ้งกระแทกด้วยปากหอก (มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค”ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้ “พญานาค”ก็คือ “ชาวพุทธกระแสหลัก”ในยุคนี้ ในทุกวันนี้นั่นเอง ที่เป็นจริง ยืนยันความจริงนี้กันอยู่อย่างเห็นๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 30 ตำนานพญานาค ตอนที่ 1วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 31 พฤษภาคม 2565 ( 14:00:53 )
รายละเอียด
พญานาคมีจริงไหม ก็มีจริง แล้วลัทธินอนลัทธิหลับมีจริงไหม ก็มีจริง ไม่โงไม่เงย จมอยู่อย่างนั้น “พญานาค”จึงชื่อว่า “มีจริง”แต่“พญานาค”คือ ผู้ปฏิบัติไม่ถูกไม่จริงในศาสนาพุทธ ใครว่า “พญานาค”นั้น“มีจริง”หรือ“ไม่มีจริง”กันบ้างเอ่ย? มันก็เหมือน“คำโกหก”และ“คนโกหก”นั่นแหละ“คำโกหก”นั้น“ไม่จริง” แต่“คนโกหก”ก็“มีจริง” ชัดมั้ย?
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหารย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 พฤษภาคม 2565 ( 09:23:37 )
รายละเอียด
ทีนี้มาสาธยายเรื่อง“พญานาค”ให้สิ้นสงสัยกันดูทีรึ! พญานาค“มีจริง” หรือพญานาค“ไม่มีจริง”ก็จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่องของความเป็น“พญานาค” หรือ“นาค”ที่เกี่ยวข้องในศาสนาพุทธกันชัดๆ แจ้งๆ กันได้บ้าง ติดตาม ไตร่ตรองไปให้แตกฉานกันดีๆ
“นาค”นี้คำบาลีหมายถึง “งู” หรือ“งูใหญ่” หรืออื่นๆ อีก แต่เราหมายเอา“งู”เป็นสำคัญมาใช้เทียบเคียงสาธยาย “งู”คือ สัตว์ที่อยู่ในท่า“นอน” จึงมีสัญญลักษณ์“การนอน-การหลับ”นี่แหละ นั่นก็คือ พุ่งเข้าไปที่“ลัทธิหลับตา” หรือหมายถึงคนที่มี“มิจฉาทิฏฐิ”เอาแต่“หลับตา”ปฏิบัติกันนั้นแล บาลีคือ “นาค” ไทยก็คือ “งู” ผู้หลงผิดที่เอาแต่“หลับตาปฏิบัติ”จึงยกให้เป็น“พญางู”ในภาษาไทย ทับศัพท์บาลีก็คือ “พญานาค” ซึ่งหมายถึงเดียรถีย์ หรือเทฺวนิยม ที่เขายังหลงใหลการปฏิบัติ“หลับตา” อันไม่ใช่วิธีปฏิบัติแบบพุทธ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 30 ตำนานพญานาค ตอนที่ 1วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 31 พฤษภาคม 2565 ( 12:52:24 )
รายละเอียด
เริ่มตั้งแต่คำว่า “กาย”ก็“มิจฉาทิฏฐิ”สนิทแล้ว ความเป็น“สัก”จึงไม่รู้ว่า“มันพิการ”ไปแล้วอย่างไร? หนักหนาสาหัสปานไหน? จึงเป็น“พญานาค”เต็มสภาพ ตั้งแต่“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1 ก็“มิจฉาทิฏฐิ”กันบริบูรณ์ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” แม้จะมี“คนผู้สาธยาย“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าคอแตกปานใด “พญานาค”ก็ยังคง“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”อะไรทั้งนั้น มืดบอดสนิทกันอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรลึกสุดนั้นตลอดกาล “ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิ๊ด”ขึ้นมาเลย ราวกับก้อนหินก้อนดินก็ไม่ปาน
ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล(2,500 ปี)ไปแล้ว โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน มีก็แต่“พระโพธิสัตว์หรือ“สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม”ที่เป็น “โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า“พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกระทุ้งกระแทกด้วยปากหอก(มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค”ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 20:56:26 )
รายละเอียด
อาตมาย้ำยืนยัน ถ้าชาวพุทธมาปฏิบัติธรรมแบบลืมตา ตื่นขึ้นมาศาสนาพุทธเจริญ แต่นี่เป็นโง่ดักดานยึดถือการหลับตาโพธิรักษ์พูดไปเถอะ..คอจะแตก จนกระทั่งเกิดสภาพ พยาธิ เป็นกะเปาะงอกจากหลอดลม จนไอไม่หยุด หรือแม้“วิธีปฏิบิติ”ที่แค่“หลับตาปฏิบัติ”นี้ก็เถอะ ก็ยังมี“ความรู้”กันแบบเดียรถีย์หรือเป็น“เทฺวนิยม”กันอยู่ ยังห่างไกล“วิธีปฏิบัติแบบพุทธ”ที่“สัมมาทิฏฐิ”กันอยู่หลาย“ปีแสง” “วิธีแบบพุทธ”นั้น ต้องเป็น“จรณะ 15 วิชชา 8” ซึ่งมันตรงกันข้ามกัน 180 องศากับ“วิธีปฏิบัติ”ที่เป็น “จรณะ 15 วิชชา 8”เลยทีเดียว
ดังนั้น คนผู้เอาวิธี“หลับตา”มาใส่ในศาสนาพุทธจึงเป็น“ของปลอม” คนที่เอา“ของปลอม”มาใช้ในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด ถ้ายังขืนยืนยันใช้“ของปลอม”อยู่ก็เป็น“โจร”อยู่ “พญานาค”จึงคือ“โจร” ผู้เข้ามาปล้นศาสนาพุทธที่แท้ ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธก็ยังพากันหลงยึดมั่นถือมั่น“หลับตาปฏิบัติ”กันว่า เป็น“วิธีสำคัญ” เป็นวิธีหลักในการปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน บรรลุสมาธิ บรรลุนิพพานกันทีเดียว ซึ่งมัน“ผิด”อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ
เหมือนอย่างมหาบัว อธิบายว่านั่งหลับตาไปแล้วจะบรรลุธรรม ปึ๊งเลย ไม่ได้อธิบายให้ลดกิเลสในจิต เจตสิก รูป นิพพาน เลย มีแต่อธิบายน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง มันผิดอย่างยิ่งใหญ่จริงๆ แต่ก็ยังหลงยืนยันยืนหยัดการปฏิบัติ“หลับตา”เป็นหลักที่จะทำให้เกิดบรรลุมรรคผลกันจริงๆจังๆกันอยู่ จึงยังเป็น“โจร”กัน เป็น“พญานาค”แท้ๆ เมื่อยึดมั่นถือมั่นกันอยู่ เป็นกันมีกันเอาจริงเอาจังกันอยู่ ยังไม่เกิด“ปัญญา”เลิกละได้ ฉะนี้แหละคือ “พญานาค”
“พญานาค”จึงชื่อว่า “มีจริง” คือ “โจรที่หลับตาปฏิบัติเป็นพญานาคในพุทธ” ซึ่งอวิชชาซับซ้อน“หมุนรอบเชิงซ้อน”อยู่มาก ซึ่ง“พญานาค”คือ โจรผู้ปฏิบัติผิด กบฏอยู่ในศาสนาพุทธ ใครว่า “พญานาค”นั้น“มีจริง”หรือ“ไม่มีจริง”กันบ้างเอ่ย? มันก็เหมือน“คำโกหก”และ“คนโกหก”นั่นแหละ"คำโกหก”นั้น“ไม่จริง” แต่“คนโกหก”ก็“มีจริง” ชัดมั้ย?
(166) ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้ มาพูดถึง“ตำนานพญานาค”กันเท่าที่อาตมาพอรู้นะ
1. นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ ยังมีมาก ครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ
2. นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่ บุญเขาทำไม่ได้แน่ เขาสร้างพลังงาน บุญไม่เป็น เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมี “อปัณณกปฏิปทา 3” ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่โต้งๆ
ถ้าการปฏิบัติใดไม่มี“อปัณณกปฏิปทา 3”การปฏิบัตินั้นก็“ผิด”ไปจากศาสนาพุทธ ก็ชัดแจ้งแดงแจ๋อย่างนี้ หรือถ้าผู้ใดยืนยันยึดมั่นถือมั่น ว่า “การหลับตาปฏิบัติ”นี่แหละเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด (อปัณณกปฏิปทา)”ของศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ตัวแท้ ซึ่งมีความคิดปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธอยโทนโท่ แท้ๆ ชัดๆ
“อปัณณกปฏิปทา 3 (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ)”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ 6-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ” อันเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ 3 ข้อ”ที่มียืนยันอยู่อ้างอิงได้ใน“พุทธคุณ 9”ของพระพุทธเจ้า”แท้ๆชัดๆ ใครจะบังอาจปฏิเสธ อปัณณกปฏิปทาข้อ[1] “สำรวมอินทรีย์ 6” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ 2”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ เช่น ยกตัวอย่าง ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ทำร้ายสัตว์เมตตาเอ็นดูสัตว์ คุณก็จะต้องเป็นผู้ที่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 เกี่ยวข้องกับสัตว์ สัมผัสกับสัตว์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกี่ยวข้องสัมผัสต้องสังวรระวัง อย่าได้ไปเบียดเบียนทำร้ายจนถึงขั้นฆ่ากัน เป็นอันขาด
อปัณณกปฏิปทาข้อ[2] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ เช่น เนื้อสัตว์เป็นของที่ไม่ควรจะรับมากินเลย มันเป็นอกัปปิยะ คือของไม่ควร ต้องมีปฏิภาณปัญญาแท้ๆ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[3] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา 3” มันผิด“วิธีปฏิบัติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณกปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้ ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้
คือโมเมทั้งนั้น อวิชชาตลอด ก็คือโง่สิ โง่หนักโง่หนาโง่ซับโง่ซ้อนตลอดกาล คนที่จะตื่นมีสติรู้ทำกายวาจาใจตื่นรู้โลกรู้แสงอาทิตย์มีจักษุปัญญาญาณวิชชาแสงสว่างรับรู้สัมผัสเกี่ยวข้อง เกี่ยวกับสัตว์ก็คือสัตว์ก็รู้ นี่ยังไม่ถึง ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืชนะ อาตมาอธิบายศีลละเอียดละออแยกชัดเจนเลยศีล 3 ข้อนี้ในศีล 5
ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวของกับพืช นัยยะต่างกัน สัตว์มันก็เป็นจิตนิยามส่วนของกับพืชก็เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม อธิบายละเอียดละออหมดแล้ว ฟังดีๆ จะมีคนมาอธิบายอย่างอาตมาอธิบายนี้ นานกว่านานเหมือนกันจะมีคนอย่างอาตมามาอธิบาย ฟังเถอะ จะเรียกเป็นภาษาสำนวนไทยง่ายๆว่า บุญหูแล้วที่ได้ฟังได้ยิน บุญหูจริงๆ
ผิดหมดทุกอย่างเลย ไปแจกก็ไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ของภิกษุที่จะทำ พูดไปแล้วก็ไม่อยากจะพูดมาก พูดมากแล้วด้วย คือ มันเสื่อมจนไม่รู้สึกรู้สายิ่งกว่าเด็กไม่เดียงสาเลยศาสนาพุทธทุกวันนี้ ในวงการศาสนาหลัก ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ดูถูก ไปหาเรื่องหาความมาใส่ มันเพี้ยนมันเสื่อมเสียจนตามที่พระพุทธเจ้าได้พยากรณ์เอาไว้แล้ว แต่มันก็เป็นไป เพราะฉะนั้นใครมีปฏิภาณปัญญา มีดวงตารู้ว่า ศาสนาพุทธเป็นโลกุตระ เป็นอาริยธรรม เป็นอย่างที่โพธิรักษ์ นำมาเสนอนี้ รู้ แล้วก็เข้าใจว่าใช่ ก็มาเอา คือได้ยินได้ฟังเหมือนกันแต่ไม่เชื่อ เชื่อกระแสหลัก เชื่อเถรสมาคมมันก็เป็นธรรมดา คนก็ไปเอาทางโน้น
อาตมาไม่ได้มีปัญหากับคนที่ไม่เชื่อหรือเชื่ออาตมา อาตมาเองมีหน้าที่มาเปิดเผยความจริงเท่านั้น อาตมาขอยืนยันว่า ศาสนาพุทธที่พูดนี้ตามหลักธรรม ยังดีที่มีพระไตรปิฎก เป็นหลักฐานยืนยันอ้างอิงได้ตลอดเวลา จรณะ 15 วิชชา 8 ก็อ้างอิงได้อยู่ในตำรา อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ยืนยันได้เป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 ข้อ ยืนยันอยู่ในพุทธคุณ 9 ของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครจะบังอาจปฏิเสธ
อปัณณกปฏิปทาข้อ[1] “สำรวมอินทรีย์ 6” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ 2”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ กายหมายถึงภายนอกหรือภายในอย่างเดียวก็มิจฉาทิฏฐิทั้งคู่ กายต้องสองเสมอ กายเป็นหนึ่งไม่ได้ กายมีภายนอกอย่างเดียวไม่ได้มีภายในอย่างเดียวไม่ได้ต้องมี 2 เสมอ ลึกซึ้งละเอียดในคำว่ากาย อาตมาอธิบายกายไปอีกนาน
อปัณณกปฏิปทาข้อ[2] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ จะกินจะใช้ก็อย่าให้เกิดกิเลส คุณไปนั่งนึกเอาว่ามันเกิดกิเลสไม่ใช่กิเลสจริงมันเป็นการนึกคิด ปั้นกิเลสขึ้นมาเอง ความจำไม่ใช่ความจริง ถ้าสัมผัสแล้วมันเป็นความจริง สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นความจริง กิเลสเกิดทางใจเราจริง ไม่ว่าจะสัมผัสของกินหรือสัมผัสของใช้ ถ้าเกิดกิเลสก็เห็นกิเลสไปจัดการกิเลส ถึงจะเป็นจริง คนไปนั่งหลับตาจะถือเป็นหลักปฏิบัตินั้นไม่เป็นความจริงเลยไปปฏิบัติก็สูญเปล่าไม่ได้มีอะไร เล่นแต่กับความจำลมลมแล้งๆไป เมื่อไหร่จะเกิดปฏิภานสักที อาตมาไม่เชื่อว่าท่านโง่นะ อย่าให้อาตมาเห็นว่าท่านโง่เลย อาตมายังเห็นว่าท่านไม่โง่ จะเรียกว่าทั้งนั้นแหละพูดภาษาก็เป็นไวพจน์กัน
มันทำได้ทำอารมณ์ให้ว่างจากสิ่งที่เกี่ยวข้องก็ฝึกเอา ทำพลังงานขจัดเอาออก ในสภาวะนั้นทำได้ อาฬารดาบส อุทกดาบส ธรรมะก่อนซึ่งไม่ใช่วิชาของพระพุทธเจ้า ง่าย อาตมาทำมาหนักหนาแล้วเคยทำมา ไม่ใช่พูดไปเหมือนหมาเห็นองุ่นเปรี้ยวไม่ได้กินองุ่นกับเขาแล้วเอามาพูด ไม่ใช่ แต่ทำมาหนักหนาแล้วรู้ทั้ง 2 ด้านอย่างนั้นก็รู้อย่างนี้ก็รู้ อาตมาจึงเปรียบเทียบได้ว่าอย่างนั้นมันไม่ถูกอย่างนี้มันถูก ถึงพูดความจริงเพราะเรารู้ 2 ด้าน อย่างที่อาตมารู้เขาไม่ได้รู้ไม่ได้ฝึกกัน ก็มาลองฝึกอย่างนี้ดูสิ จะได้รู้ว่าอย่างไรถูก อย่างไรไม่ถูก อย่างไรควร อย่างไรไม่ควร มันจะเข้าใจเห็นจริง
อปัณณกปฏิปทาข้อ[3] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด ผู้ปฏิบัติสมาธิก็จะรู้ว่าความสงบแบบสมถะกับความสงบแบบปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้นเป็นอย่างไร ต่างกันอย่างไร แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา 3” มันผิด“วิธีปฏิบัติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้ ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้
3. ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ เมื่อ“ปลอมตัว”เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายาม ที่จะไม่ทำตนเป็น“งู” ก็ยังพยายามไม่ให้แสดงหลับ ไม่ให้แสดงนอน เดี๋ยวจะจับได้ว่า เป็นเดียรถีย์คือ“งู” จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็ต้องเผย“ธาตุแท้”ออกมาจนได้ คือ ตอนมาขอบวชนั้นปลอมตัวเป็นคน แต่เผลอนอน เผลอหลับให้จับได้ นั่นคือ ร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู ตอนเผลอนอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมานอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็น“นาค”ปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึก ไล่ออกไป
แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธ จึงขอให้เรียกผู้ที่จะได้บวชเป็น“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธ โดยใช้คำว่า “นาค”เป็นอนุสรณ์ จึงมีคำว่า “นาค”เรียกผู้เตรียมบวชก่อนเป็นภิกษุจริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็นมูลกา”(ข้อที่ 1 ของ“มูลสูตร 10” พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ “ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ (มนสิการ)”ให้เป็น “โลกุตระ” ได้สำเร็จผล
ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”
ชาวเทวนิยมที่จบดร. เป็นนักศึกษาทางศาสนา จะเป็นคริสต์ก็ตาม (อิสลามไม่ค่อยแสวงหาเท่าไหร่ ) จะจบปริญญาเอกทางศาสนาพุทธ (ชาวคริสต์ ) เขาก็ไม่ได้ซาบซึ้งอะไรเพราะจิตเขายังเป็นคริสต์ ถ้าจิตรากเหง้าเขาเปลี่ยนมาศึกษาศาสนาพุทธ เขาจะไม่เอาแล้วศาสนาคริสต์เขาจะเปลี่ยนมาเป็นศาสนาพุทธเลย แต่ศึกษาปริญญาเอกแล้วเขาก็เป็นใหญ่เป็นโตในศาสนาคริสต์ของเขาอยู่ มันส่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีจิตฉันทะจริงเลยในศาสนาพุทธ ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียว ก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”ก็ขนาดคนมีฉันทะแล้วยังยากเลย ที่จะบรรลุธรรมแม้แต่เป็นชาวพุทธเอง จะปฏิบัติบรรลุโลกุตรธรรมก็ไม่ได้ง่ายๆ
ความเป็น“กาย”จึงอธิบายความเป็น“พญานาคเพราะ“โลกุตรธรรม”นั้นวิเศษ พิเศษเหนือไปจาก“โลกียธรรม”จริงๆ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย“ทิฏฐิ”คือ“ความเข้าใจ” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงนับตั้งแต่ความเข้าใจ“กาย” ซึ่งเรียนรู้ได้จาก ที่มี“ของตน”ที่บาลีว่า “สัก” นั่นคือ ต้อง“พ้นสักกายทิฏฐิ” หากเข้าใจความเป็น“กาย”จากภาษาว่า“กาย”นี้แล
ไม่ได้อย่างเป็น“สัมมาทิฏฐิ”ละก็ ต่อให้พากเพียรอุตสาหะหนักหนาอุกฤษฏ์ปฏิบัติปานใด ก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุพุทธโลกุตระ เช่น หลงผิดเอาวิธี“หลับตา”เข้ามาใส่ในศาสนาพุทธ หรือเข้าใจว่า “กาย”คือ “ร่างภายนอก”ที่หมายเอาเฉพาะแต่ “สรีระ”อย่างเดียว ไม่มี“จิต”ร่วมอยู่ด้วยก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”แท้ ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของ“เดียรถีย์”ในพุทธ ชื่อว่า “โจรร้าย”ของศาสนาพุทธ เป็นผู้ทำลายพุทธแท้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 30 ตำนานพญานาค ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 31 พฤษภาคม 2565 ( 13:25:45 )
รายละเอียด
ดังนั้น คนผู้เอาวิธี“หลับตา”มาใส่ในศาสนาพุทธจึงเป็น“ของปลอม” คนที่เอา“ของปลอม”มาใช้ในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด ถ้ายังขืนยืนยันใช้“ของปลอม”อยู่ก็เป็น“โจร”อยู่“พญานาค”จึงคือ“โจร” ผู้เข้ามาปล้นศาสนาพุทธที่แท้ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธก็ยังพากันหลงยึดมั่นถือมั่น“หลับตาปฏิบัติ”กันว่า เป็น“วิธีสำคัญ” เป็นวิธีหลักในการปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน บรรลุสมาธิ บรรลุนิพพานกันทีเดียวซึ่งมัน“ผิด”อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ
แต่ก็ยังหลงยืนยันยืนหยัดการปฏิบัติ“หลับตา”เป็นหลักที่จะทำให้เกิดบรรลุมรรคผลกันจริงๆจังๆ กันอยู่ จึงยังเป็น“โจร”กัน เป็น“พญานาค”แท้ๆ เมื่อยึดมั่นถือมั่นกันอยู่ เป็นกันมีกันเอาจริงเอาจังกันอยู่ ยังไม่เกิด“ปัญญา”เลิกละได้ ฉะนี้แหละคือ “พญานาค”
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 พฤษภาคม 2565 ( 09:16:18 )
รายละเอียด
เพราะ“หู”ของชาวพุทธกระแสหลักได้พิการไปหมดแล้ว วิตถารไปด้วยซ้ำ คือ รับรู้ได้แต่“เสียงของโลกธรรม”ว่าไพเราะสุดซึ้งเสียเหลือเกิน จึงหลงเพลินไปกับ“โลกียธรรม” เนื่องจากเสียงของ“โลกียะ” กับเสียงของ“โลกุตระ”มันเป็นคลื่นเสียงคนละคลื่นกันจริงๆ จึงรับคลื่นโลกุตระไม่ได้
เมื่อ"หูหนวกตาบอด"กับเสียง“โลกุตระ”กันแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ“สัตตบุรุษ”ที่จะต้องรักษา“หู-ตา”ให้แก่ชาวพุทธกระแสหลักให้หายจาก“หูหนวก-ตาบอด”ให้ได้ กระนั้นก็สุดยากแสนยากกันจริงๆ เพราะชาวพุทธกระแสหลักเขาได้พากันหลงยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิิ”กันหนักหนาสาหัสจนได้ชือว่า “พญานาค”กันดังที่เห็นและเป็นอยู่ แม้แต่“กาย”เขาก็ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ไม่“พ้นสักกายทิฏฐิ”กัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 30 ตำนานพญานาค ตอนที่ 1วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 31 พฤษภาคม 2565 ( 14:06:50 )
รายละเอียด
เมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นก็จะลอยถาดทองคำ ตรงที่พญานาคนอนเฝ้านี่แหละ นอนเฝ้าคือผู้ที่เป็นศาสนาพุทธแต่เป็นพวกจับกังแบกลังทอง ไม่ได้แอ้มทองหรอก ได้แต่แบกลังทองแต่รับเศษเงินไปนิดหน่อยจนตายเกิดมาก็มาแบบใหม่ หรือพญานาคที่นอนอยู่เมื่อถาดทองคำของพระพุทธเจ้ากระทบกัน เป็นเสียงพิเศษเสียงดังมาก จนพญานาคนั้นต้องตื่น ต้องรู้สึกตัวชาคริยา เสียงนี่พระพุทธเจ้าเกิดอีกพระองค์แล้วหรือ กว่าพระพุทธเจ้าจะเกิดแต่ละองค์มันนาน อ้อ.. เกิดอีกแล้วหรือ แล้วก็หลับต่อไปยิ่งกว่า หอก100เล่ม เช้าแทง ยิ่งกว่าหอกกลางวัน 100 เล่มแทง ยิ่งกว่าหอกตอนเย็น100 เล่มแทงนะพญานาคนี่ พอเข้าใจมั้ย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 12:53:32 )
รายละเอียด
“พญานาค”นั้น มีจริง? หรือไม่มีจริง?
ทีนี้มาสาธยายเรื่อง“พญานาค”ให้สิ้นสงสัยกันดูทีรึ!
พญานาค“มีจริง” หรือพญานาค“ไม่มีจริง”ก็จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่องของความเป็น“พญานาค” หรือ“นาค”ที่เกี่ยวข้องในศาสนาพุทธกันชัดๆ แจ้งๆกันได้บ้าง
ติดตาม ไตร่ตรองไปให้แตกฉานกันดีๆ“นาค”นี้คำบาลีหมายถึง“งู” หรือ“งูใหญ่” หรืออื่นๆอีก แต่เราหมายเอา“งู”เป็นสำคัญมาใช้เทียบเคียงสาธยาย
“งู”คือ สัตว์ที่อยู่ในท่า“นอน” จึงมีสัญญลักษณ์“การนอน-การหลับ”นี่แหละ นั่นก็คือ พุ่งเข้าไปที่“ลัทธิหลับตา” หรือหมายถึงคนที่มี“มิจฉาทิฏฐิ”เอาแต่“หลับตา”ปฏิบัติกันนั้นแล
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 20:05:19 )
รายละเอียด
ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็นคนไม่มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก”กันอยู่ เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง
นี่ปอกเปลือก“พญานาค”ให้ฟัง พญานาคมีจริงหรือพญานาคไม่มีจริงเป็นความรู้ระดับ“สิริมหามายา”กันทีเดียว!
แต่ชาวพุทธที่ยังไม่เห็น“พญานาค” เพราะ “อวิชชา” นั้นมีอยู่มากจริงๆ ทั้งๆที่ตนเองเป็น“พญานาค”อยู่เองแท้ๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำนานพญานาค ตอนที่ 2
วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 13 พฤษภาคม 2565 ( 12:22:25 )
รายละเอียด
มาสาธยายเรื่องพญานาคกันให้สิ้นสงสัยกันที แค่พญานาคหรือไม่ใช่พญานาค ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้มาปลอมบวชอยู่ในศาสนาพุทธ จริงๆนะไม่ได้ไปใส่ความ เขาไม่รู้ว่าเขามาปลอมบวชแล้วมาทำลายศาสนาเป็นโจรร้าย
“พญานาค”นั้น มีจริง? หรือไม่มีจริง?
ทีนี้มาสาธยายเรื่อง“พญานาค”ให้สิ้นสงสัยกันดูทีรึ!
พญานาค“มีจริง” หรือพญานาค“ไม่มีจริง”ก็จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่องของความเป็น“พญานาค” หรือ“นาค”ที่เกี่ยวข้องในศาสนาพุทธกันชัดๆ แจ้งๆกันได้บ้าง
ติดตาม ไตร่ตรองไปให้แตกฉานกันดีๆ
“นาค”นี้คำบาลีหมายถึง “งู” หรือ“งูใหญ่” หรืออื่นๆอีก
แต่เราหมายเอา“งู”เป็นสำคัญมาใช้เทียบเคียงสาธยาย
“งู”คือ สัตว์ที่อยู่ในท่า“นอน” จึงมีสัญญลักษณ์“การนอน-การหลับ”นี่แหละ นั่นก็คือ พุ่งเข้าไปที่“ลัทธิหลับตา” หรือหมายถึงคนที่มี“มิจฉาทิฏฐิ”เอาแต่“หลับตา”ปฏิบัติกันนั้นแล
บาลีคือ “นาค” ไทยก็คือ “งู” ผู้หลงผิดที่เอาแต่“หลับตาปฏิบัติ”จึงยกให้เป็น“พญางู”ในภาษาไทย ทับศัพท์บาลีก็คือ “พญานาค” ซึ่งหมายถึงเดียรถีย์ หรือเทฺวนิยม ที่เขายังหลงใหลการปฏิบัติ“หลับตา” อันไม่ใช่วิธีปฏิบัติแบบพุทธ
หรือแม้“วิธีปฏิบิติ”ที่แค่“หลับตาปฏิบัติ”นี้ก็เถอะ ก็ยังมี“ความรู้”กันแบบเดียรถีย์หรือเป็น“เทฺวนิยม”กันอยู่ ยังห่างไกล“วิธีปฏิบัติแบบพุทธ”ที่“สัมมาทิฏฐิ”กันอยู่หลาย“ปีแสง” พ่อครูว่า...ฌานของพุทธ เป็นสิ่งที่พูดกันรู้เรื่องตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่ แต่พวกหลับตาปฏิบัติฌาน พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง พูดมา 50 ปี ก็กระเตื้องขึ้นได้มานิดนึง พูดกันแล้วเขาก็หาว่ามาทำลายศาสนาพุทธ ทั้งๆที่เขาเป็นตัวทำลายศาสนาพุทธเป็นโจรร้ายทำลายศาสนา ได้นรกอเวจีอยู่เขาก็ไม่รู้เรื่อง มันสุดสงสารจริงๆ มันสุดสาครสินสมุทรจริงๆ
ปฏิบัติหลับตานั้นก็มีแต่ความมืด ซึ่งมันจะเกิดความมีแสงสว่าง เกิดความรู้ มันจะรู้โลกรู้อัตตา ไม่ได้เลยจริงๆ เพราะฉะนั้นเขาจะมิจฉาทิฏฐิ กว่าจะได้สัมมาทิฏฐิก็คงจะอยู่ไปอีกหลายปีแสง เป็นล้านปีแสงก็ไม่รู้ ใช้เวลานานในการเดินทาง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 29 พฤษภาคม 2565 ( 16:25:31 )
รายละเอียด
ทีนี้พญานาคที่เฝ้าสมมุติความหมายพญานาคคือนอนเอือกไม่รู้ไม่ชี้ ก็คือพวกนั่งหลับตา เป็นสมมุติที่ดุด่าว่าตำหนิ พวกหลับตาปฏิบัติที่เป็นปฏิปักษ์ในศาสนาพุทธ เดียรถีย์นั่นแหละ เป็นสมาธิที่เกิดจากการหลับตา ปัญญาเกิดจากการหลับตา ศีลไม่มี มีแต่สมาธิมีแต่ปัญญาที่เกิดจากการหลับตาหมด ก็ว่าดุด่าว่าหรือประชด พวกสายหลับตานั่นแหละ แต่เขาก็ไม่รู้ไม่ชี้คือ เขาไม่มีปฏิภาณไม่ฉลาด ก็จมหลงติดอยู่กับการหลับตา แล้วก็ไปงมงายไปสร้างนิรมานกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย มันก็เลยไม่บรรลุธรรมเสียเวลาไม่เข้าเรื่อง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชนีอโศก
เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:13:40 )
รายละเอียด
ก็นี่แหละเป็นเจตนาที่ยิ่งใหญ่ ที่ต้องการช่วยนาค ครุฑ ช่วยถึงขั้น พญานาคกับพญาครุฑ แต่นี่ก็ได้ตัวนาคน้อย ครุฑน้อย ไปเรื่อยๆ เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านไปเรื่อยๆ นาคก็ได้บ้าง ครุฑก็ได้บ้าง ก็เป็นรูปเป็นร่าง เป็นรูปธรรม
ถามว่า พญานาคมีจริงไหม พญาครุฑมีจริงไหม ...มี แต่ไม่มีจริงๆ หรอก ผู้ที่บรรลุหลุดพ้นความเป็นนาคความเป็นครุฑแล้วก็ไม่มี ผู้ที่ยังจมอยู่ในความเป็นนาค ความเป็นครุฑ จนกระทั่งไปเป็นพญานาค พญาครุฑ ก็มีอยู่จริงๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 28 จะเป็นสาธารณโภคีต้องไม่มีพญานาค วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:00:47 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2563 ( 16:40:10 )
เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:18:54 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:14:12 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561
เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 13:01:56 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2563 ( 13:49:02 )
รายละเอียด
1. อาการกาย
2. บำเพ็ญ
3. การบำเพ็ญประพฤติ การฝึกหัด การปฏิบัติ การทำจริง ๆ ตัวพฤติกรรม
4. ทำจริง ๆ ประพฤติตนให้เป็นการอบรมตน บำเพ็ญตนให้ได้สม่ำเสมอ
5. พรต
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า 82, หน้า 145,สมาธิพุทธ หน้า 240,คนคืออะไร? หน้า 489
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:23:15 )
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:41:49 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:16:11 )
รายละเอียด
เป็นแค่อาการประพฤติ เป็นแค่จารีตแบบอย่าง สักแต่ว่าทำตาม ๆ กัน
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า 81
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:24:05 )
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:42:45 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:17:26 )
รายละเอียด
อนุตตรังจิตตัง มีสองอันเป็นคู่ เป็นคู่สมาธิ อีกคู่หนึ่งเป็นคู่ปัญญา
คู่สมาธิ นั้นเรียกว่า สมาหิตะ กับอสมาหิโต ตรวจสอบอีก อันนี้ตรวจสอบด้วยเจ้าพนักงาน สามเส้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณอาสวักขยญาณ นี่แหละคือผู้ตรวจบัญชี
ตรวจยังไงตรวจบัญชี ในขณะที่คุณฟังอาตมา คุณเป็นนักบัญชีของตัวเอง ปัจจุบันคุณก็ตรวจ ก็ระลึกถึงของเก่า คุณระลึกอย่างอัตโนมัติ เออ.. อันนี้เคยผ่านอันนี้ได้แล้ว แต่มันเร็ว เรียกว่า บุพเพนิวาสานุสติญาณ สติ รู้จักของเก่า
สอง ในการตรวจก็ยิ่งเร็วอีก ตรวจอะไร ตรวจความเกิดกับตรวจความดับ กิเลสเราเคยเกิด กิเลสเราเคยดับ กิเลสเราดับได้มากได้น้อยก็ตรวจ
ตรวจสอบตัวนี้ จุตูปปาตะ จากของเก่า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ ก็มาตรวจตัวความเกิดความดับของกิเลส ก็คือจุตูปปาตญาณ แล้วเราสามารถทำให้กิเลสมันดับ ดับได้สนิทไหม คุณก็ตรวจได้ กลับไปถึงอาสวะตัวที่ 3
ดับไปถึงตัวที่ 3 อาสวักขยญาณ ไม่เกิดอีกๆๆ จนกระทั่งคุณมั่นใจของคุณเอง ว่า กระทบสัมผัสร้อยครั้งพันครั้ง หมื่นครั้งแสนครั้ง อะไรก็แล้วแต่มันก็ไม่เกิดอีก หรือมันยังหลอกหลอนเราอยู่ ก็ตรวจความมั่นคงได้ สมาหิตะ กับ ความหลุดพ้นหรือการมีปัญญารู้แล้วว่า เห็นแล้ว แจ้งแล้ว วิมุติแล้ว พ้นแล้ว ไม่เหลือแล้ว สะอาดหมดจดแล้ว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 08:01:22 )
รายละเอียด
คุณมีบารมีเก่านะ ถ้าไม่ได้พบอาตมาจะเข้าใจยาก คนที่จะเข้าใจเองโดยไม่ต้องฟังจากสัตบุรุษ ไม่ต้องฟังจากผู้รู้นั้น เป็นบารมีของเขามา คนที่อวดดีว่าฉันมีบารมีไม่มาฟังโพธิรักษ์ หรือจริงๆ ฟังโพธิรักษ์พูดก็บอกว่าฉันต้องรู้ของฉันเองและต้องแบบของฉัน อย่างนี้แหละจะเป็นคนที่ดักดาน จะโง่ไปอีกนาน เพราะว่าไม่ยอมรับสัจจะที่จริง นึกว่าตัวเองเป็นสัจจะทั้งที่เขาเป็นสัจจะจริงยืนยันให้ แล้ว มันจะต้องต่างกันความรู้ของเขากับความจริงมันจะต้องต่างกันใช่ไหม ความรู้ของเขากับความรู้ที่เป็นจริงมันจะต้องต่าง ถ้าคุณขัดแย้งความต่างกับความจริงตลอดเวลา ..ไปเถอะไป ถ้าหัวใจเธอจริงพอ.. แต่ไปสู่นรกนะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน วันพุธที่ 26 เมษายน 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2566 ( 20:52:50 )
รายละเอียด
คนที่บรรลุพระอรหันต์นั่นคือสุดยอด ส่วนอีกเจ้าหนึ่งคือลาสิกขาไป ก็ไม่ถึงขนาดอะไรอย่าง โลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก แต่นี้ไม่เอา เพราะฉะนั้นที่ฟังแล้วพวกที่ลาสิกขาบทนี้เลวกว่าเพื่อน ฟังเผินๆ จะบอกว่าโลหิตร้อนพุ่งออกจากปากจะแย่ที่สุด ไม่ใช่นะ
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 08:26:49 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:34:13 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:21:44 )
รายละเอียด
อย่างพวกคุณจะเข้าพบอาตมาให้มากกว่าคนนั้นคนนี้ไม่ได้ มันก็ได้ตามฐานานุฐานะอย่างนี้เป็นการเสมอสมานตามละเอียดนัยนี้ ตามควร เราได้เท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นโชคของเราแล้ว ก็ได้ไปตามเรื่อง ยังไม่ได้ก็ไม่ใช่โชคของเราหนอ เราก็พากเพียรไปถึงวาระเป็นไปได้เอง เหตุปัจจัยครบก็เป็นโชคของเรา เราก็เป็นไปตามฐานะเลื่อนไป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 10:41:13 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 08:43:20 )
เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:20:39 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:23:12 )
รายละเอียด
เมื่อคุณพบสัตบุรุษ ตามในอวิชชาสูตร เมื่อพบสัตบุรุษแล้ว คุณต้องพยายามเป็นครั้งคราว อย่าไปมากเกิน ไปนั่งเฝ้า ไปถามจู้จี้จุกจิก มันมากไป เป็นครั้งคราวตามควร แล้วไปถามท่าน อันที่เป็นปัญหายังสงสัย จะได้คลายปัญหาได้ ท่านจะคลายปัญหาให้ ไปถามแล้วถามอีกให้บริบูรณ์ เมื่อพบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ คือตัวสัตบุรุษนั้นท่านบริบูรณ์ ต้องเข้าไปพบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ คำว่าบริบูรณ์นี้คือเต็มรอบ เท่าที่เราจะทำได้ เหตุปัจจัยไม่เท่ากัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 10:38:50 )
รายละเอียด
ฉัพพรรณรังสี ตัว ฉ ฉิ่ง แปลว่า 6 สะกดด้วย พ พาน 2 ตัว ฉัพพ พ.พาน คือตัวไดนามิค คือตัวพฤติกรรม ป ผ พ ภ ม ตัว พ เป็นตัวกลางของพฤติกรรมที่เป็นแกนแข็งแรงที่สุด เหมือนกับตัว ท ทหารที่เป็น static ส่วน พ เป็น dynamic เอา พ มันเป็นตัวกลางของ ฉ คือพลังงาน 6 จะ เป็น 6 ใหญ่ก็เรียก ฬ จุฬา เป็นเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ เป็นตัวที่ 7 เป็นตัวพลังงานใหญ่สุดของเศษวรรค เอามาใส่ใน ฉฬ เป็น 6 เต็มที่ แต่ถ้าไม่ 6 เต็มที่ ฉัพพ ก็เต็มที่เหมือนกัน ฉัพพรรณรังสี ขยายไปเป็นสิ่งที่ขยายแสงออกไป อธิบายรูปธรรม แล้วก็สีเป็น 7 สี ฉัพ คือ 7 ส่วน ภ คือ 7
ที่มา ที่ไป
รายการ ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 สู่แดนทองฉลอง 50 ปีโพธิกิจ วันที่ 1 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 17:36:04 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:36:25 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:25:26 )
รายละเอียด
อ คือภาษาไทย ออ แต่ภาษาบาลีว่า อะ เขาไม่มี ออ ในบาลี คนไปอ่านแบบไทยแบบฝรั่ง บาลีไม่มี กอ มีแต่ กะ
อยากจะรู้ อาตมาว่ามันลึกเกินไปหรือเปล่า ย เป็นพลังงานเศษวรรค เป็นพลังงานที่มันเป็นตัวที่นอกจากระบบ แต่เป็นตัวสำคัญเริ่มเกิดในตัวมันเอง
ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
เศษวรรค พวกนี้มีความหมายของมันในตัว พยัญชนะต่างๆจะแทนพลังงานรูป และ พลังงานนาม
เศษวรรคเป็นพลังงานนามเป็นส่วนใหญ่ แต่มีรูปที่ทำเสร็จ
ย คือพลังงานตัวแรกของทุกอย่าง
ร ล เกิดเป็นสามพลังงาน cyclic
ว ส ห เป็นวงวนอีกอันหนึ่ง อีก cyclic
สามตัวนี้ก็เกิด ฬ เป็นพยัญชนะที่เกิดในตัววรรค
วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง
วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ
วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น
วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ฬ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นโอฬาร เป็นต้น ใหญ่ที่สุดมาเล็กก็ จุฬ
เป็นอจินไตยที่ยากมาก เพราะว่ามันยิ่งใหญ่จริงๆ
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 14:48:42 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:38:42 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:28:14 )
รายละเอียด
ส เป็นพลังงานในระดับที่ 5 เอาตัวที่ 5 ของเศษวรรคมาเรียก ย ร ล ว ส เป็นพลังงานเกิน 4 ทำงานที่เต็มที่สุดเรียกว่าพลังงานระดับ 9 พลังงานครึ่งหนึ่งของ 9 แล้วเป็นพลังงานที่จะไปต่อได้อย่างดีเรียกว่า 5 พนักงานระดับ 5 เหนือชั้นกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ถือว่าสัมโพธิปรายนะ มีแต่เจริญไปสู่ที่สูงที่สุดได้
ส.เพาะพุทธ 5 คือพระโสดาบัน แล้ว 6 7 8 ไปอีก
พ่อครูว่า...พอ 5 เป็นตัวที่เลยจากครึ่งไปแล้ว เราจึงเอาตัว ส ที่เป็นพลังงานเศษวรรค ไปรวมกับกับ ม ตัว ม คือจิต มนะ มโน นี่แหละ มนะ แปลว่าจิต แต่มันไม่ใช่จิตแต่มันยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นจิต มนะ ม คือตัวที่ 5 ของ ป ผ พ ภ ม ทำให้เจริญขึ้น ป มีผัสสะ แล้วทำเจริญเป็น พ เป็น ภ แล้วสูงสุดก็เป็น ม นี่คือสภาวะของวรรคนี้ สมะ ก็เท่ากับ ตัวงานที่เอา ส.เสือ เป็นพลังงานเศษวรรคในสังขยาเลข 5 มาใช้ ควบกับจิต จิตมีพลังงาน สัมประสิทธิ์ขั้นที่ 5 พร้อมที่จะสลายก็ได้พร้อมที่จะอยู่เหนือก็ได้ ก็เป็นสมณะ ณ ตัวนี้ ท่านมาใช้ตัว น หนู แต่ใช้ ณ เณร ตัว ณ อยู่ในวรรค ฏ ฐ ท ธ ณ กึ่งหนึ่งของพยัญชนะวรรคที่ 4 ท่านจึงเอาไว้ใช้ร่วมกับ สมะ กึ่งเดียว ณ เณร สมณะจะได้สลายได้ง่าย แต่ถ้าสมนะ ก็สูงไป จะสลายได้ยากกว่า ถ้าแปล น ว่าไม่อีก็ไม่ได้ ต้อง ณ นี่คือ ในขณะนั้นหรือ ณ ขณะนั้น ข แปลว่าว่าง ณ แปลว่ายังอยู่นะ ขณะนี้
ขยายพยัญชนะสู่สภาวะตามที่อาตมามีภูมิ ที่เข้าใจในพยัญชนะต่างๆ เดี๋ยวนี้ก็ดึงเอามาขยายอธิบายให้ฟังได้เยอะพอสมควรต่อไปจะเยอะขึ้นกว่านี้ เพราะอาตมายังชัด ความรู้เดิม อาตมามีความรู้เหล่านี้กล่าวมาแล้วมาในชาตินี้ก็เอามาใช้ อาตมาจึงไม่งงไม่สงสัยว่าทำไมอาตมาจำพยัญชนะบาลีพวกนี้มาได้ตั้งแต่เด็ก ก ข ค ฆ ง อะไรพวกนี้ อาตมาจำได้คล่องปรี๊ด เพราะว่าสภาวะของเก่ามาแล้ว ติดตามให้ดีพยัญชนะเหล่านี้จะสื่อถึงสภาวะให้พวกเรารู้ได้มากกว่านี้เพราะว่ารากฐานของภาษาไทยมาจากภาษาบาลี ภาษาไทยเอามาร่วมกับภาษาบาลีจึงกลายเป็นภาษาที่พัฒนามาแล้ว
ส.เพาะพุทธ...ข แปลว่า ว่าง ส่วน ณ คือให้มันมีอยู่ตอนนั้น ถ้าเราจะแปล ขณะ ว่า ในตอนนั้นว่างอยู่หรือจะแปลว่าอะไรดีครับ
พ่อครูว่า..พร้อมจะสลายสูญเลยขณะที่มันมีอยู่แต่พร้อมสลายสูญเลย พอปิดฉากปั๊บก็สลายไปเลย ขณะมันอยู่ในปัจจุบันนั้นเลย เมื่อปัจจุบันหมดขณะก็หายไปเลย ขณะนี้มันอยู่ในปัจจุบัน เร็วยิ่งกว่า สมยะหรือสมัย ยิ่ง สมยะ นี่เยอะเลย เอกังสมยัง นี่โอ้โห สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไหน
ส.เพาะพุทธว่า..ยาวไปเป็นมหาวรรคเลย สมัยยาวกว่า ขณะ จึงไม่แปลกแปลประโยคพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าขณะอย่าล่วงเลยไปเสีย ถ้าบุคคลที่ปล่อยให้ขณะล่วงเลยไป เขาจะพากันยัดเยียดอยู่ในนรกเศร้าโศกอยู่ วิธีที่จะทำให้เราไม่ยัดเยียดอยู่ในนรกคือให้เราบำเพ็ญขณะให้เป็น
ใน ปหาน 5 ท่านจึงใช้ ตทังคปหาน ต ท กับ วิกขัมภสะ กับสมุจเฉท และ ปฏินิสรณะ ตทังคะ ก็คือ ต กับ ท
ส.เพาะพุทธว่า...พ่อท่านอธิบายพยัญชนะไปสู่สภาวะ บางอันก็ผ่านหูไปแล้วแต่ทำให้เราชัดเจนมากยิ่งขึ้นที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นคือคำว่าสุข
สุ แปลว่าดี ข คือว่าง..คือ ว่างนั้นแหละดี
พ่อครูว่า..แม้แต่ สุคต คือไปนั่นแหละดี แม้จะหยุดอยู่ว่างอยู่ก็ดี สุข ก็ดี สุค ก็ดี
ส.เพาะพุทธว่า...ว่างนั่นแหละดี หากจำเป็นต้องไป สุคต ก็ไปนั่นแหละดี
พ่อครูว่า… สุคม ก็ไปเดินทางนั่นแหละดี
ส.เพาะพุทธว่า...เราจะเข้าถึงธรรมได้ต้องทำให้เกิดความสุขคือความว่างแล้วมีการดำเนินไปที่ดี
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2562
เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2562 ( 11:58:31 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:41:41 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:35:26 )
รายละเอียด
จง กม แปลว่า เดิน เป็นสันสกฤตว่า จงกรม จัง คือการเดิน จ คือธาตุรู้ อัง กม คือทำ หรือ จัง กับ ก กับ ม เป็นพยัญชนะตัวต้นตัวปลายของพยัญชนะทั้ง 5 วรรค
รากเหง้าของภาษาบาลี
วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง
วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ
วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น
วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ชีวะชีวิตเริ่มต้น ก็มี ก ตัว กก ตัว เกิด สุดท้าย ม คือจิตวิญญาณที่จะแตกเป็นธาตุรู้อย่างอื่นไปได้สูงสุดก็ตอนนี้แหละ มม มมังการ มนะ ก็ผันไปได้สารพัด ก็รู้ก็ใช้ควบคุมจัดการได้ทุกอย่าง ส่วนพลังงานเศษวรรค คือประสิทธิภาพของไดนามิก cyclic ของการปรุงแต่งการเกิดเป็นองค์รวมสภาพตัวตนขึ้นมา ก็อํ พยัญชนะรากเหง้าเหล่านี้มันมีความหมายในตัวมันเอง อาตมาก็ยังดึงขึ้นมาได้ไม่หมด คนเขาอยากจะทำพจนานุกรมแต่อาตมาก็ยังไม่รับรองว่าจะช่วยขยายความอธิบายให้ดีทีเดียวจนถึงขั้นเป็นตำราได้ แต่ก็ค่อยๆขยับไป สักวันอาตมาถึง 120 หรือ 150 ก็คงจะมีทางได้พจนานุกรมเล่มนี้ออกมาได้
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562
เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2562 ( 15:30:36 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:43:59 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:40:16 )
รายละเอียด
ย ร ล คือสามเส้าของ cyclic คุณก็ทำลายละนี้ได้ โดยมีพลังงาน ย ตัว ลัย คือ ล กับ ย
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562
เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 12:38:46 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:44:47 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:42:53 )
รายละเอียด
อักษรตัวแรกคือ "ก" ที่เป็น "กัญญะหรือกัญญา" อันหมายถึง พลังงานเพศหญิง ยังเป็น "เวทนา" ที่เป็นเพศหญิง ยังเป็น "ตัวให้กำเนิด" อยู่ ก็จะต้องปรับสร้างให้เป็นเวทนา "เพศชาย" แต่หนึ่งเดียวเท่านั้น อย่างถาวรยั่งยืนอีกจนสำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องของ "สัตว์โอปปาติกะ"
หนังสืออ้างอิง
รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร ? หน้า 133-134
เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 13:01:09 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:13:19 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:43:55 )
รายละเอียด
รส ตัวนี้เป็นเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ตัวที่ 2 กับตัวที่ 5 ของเศษวรรค 5 นี้มากกว่า 4 แต่ 4 สองอันเป็น 8 ตัว 5 ถึงเป็นตัวกลางของ 4 กับ 8
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เกิดปัญญามัชฌิมา วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 12 ธันวาคม 2562 ( 17:25:47 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:46:26 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:47:36 )
รายละเอียด
ตอนนี้ก็ขอบอกว่า อนุ คือน้อยเล็กละเอียด สย คือตัวตน สย ตัวนี้เป็นตัวต้นที่สุด เป็นตัวพลังงานที่น้อยที่สุด อาศัยพยัญชนะ ส กับ ย
ส คือ เศษวรรค ตัวที่ 4 เป็นตัวที่มีพลังงานของตัวเองแล้วและยังมีพลังงานพิเศษ ส คือ สี่
ย คือ รายงานตัวแรกของเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
สย เป็นตัวตนที่สลายได้ง่ายที่สุด หรือยากที่สุดสำหรับปุถุชน มันจะมีตัวตนอยู่ 3 คำ
สย สว สก
พยัญชนะ สย เป็นตัวที่ละเอียด สว เป็นตัวกลาง สก เป็นตัวต้น หยาบใหญ่ จึงเรียนรู้สักกายะ เป็นตัวตนหยาบก่อนเป็นตัวต้น แล้วล้างสักกะ ขั้นต่อมาคุณค่อยมาศึกษา สวะ ที่ต้องมาเรียนรู้ เมื่อกี้อธิบาย อภัพพะ อาภัพพะ แต่อันนี้คือาสวะ กับอสวะ ล้างสวะที่หยุดสับสนนี้ให้ดี สย คือตัวปลายสุด จะศึกษาอนุสยะก็เอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2562 ( 20:55:58 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:47:42 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:49:29 )
รายละเอียด
ตอนนี้ก็ขอบอกว่า อนุ คือน้อยเล็กละเอียด สย คือตัวตน สย ตัวนี้เป็นตัวต้นที่สุด เป็นตัวพลังงานที่น้อยที่สุด อาศัยพยัญชนะ ส กับ ย
ส คือ เศษวรรค ตัวที่ 4 เป็นตัวที่มีพลังงานของตัวเองแล้วและยังมีพลังงานพิเศษ ส คือ สี่
ย คือ รายงานตัวแรกของเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
สย เป็นตัวตนที่สลายได้ง่ายที่สุด หรือยากที่สุดสำหรับปุถุชน มันจะมีตัวตนอยู่ 3 คำ
สย สว สก
พยัญชนะ สย เป็นตัวที่ละเอียด สว เป็นตัวกลาง สก เป็นตัวต้น หยาบใหญ่ จึงเรียนรู้สักกายะ เป็นตัวตนหยาบก่อนเป็นตัวต้น แล้วล้างสักกะ ขั้นต่อมาคุณค่อยมาศึกษา สวะ ที่ต้องมาเรียนรู้ เมื่อกี้อธิบาย อภัพพะ อาภัพพะ แต่อันนี้คือาสวะ กับอสวะ ล้างสวะที่หยุดสับสนนี้ให้ดี สย คือตัวปลายสุด จะศึกษาอนุสยะก็เอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2562 ( 20:56:50 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:49:06 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:51:21 )
รายละเอียด
ผู้พ้นวิสัย สย แปลว่าตัวตน วิสยะ แปลว่าไม่ใช่ตัวตนหรือเป็นตัวตนอย่างยิ่ง วิ แปลได้สองด้าน คือ สุดยอดกับต่ำตีน
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ฌานวิสัยของอรหันต์และโพธิสัตว์ ศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2562 ( 15:39:45 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:49:56 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:52:32 )
รายละเอียด
หากมีวิชชาแล้ววิญญาณคือธาตุรู้ของขันธ์ 5 ที่มนุษย์จะอาศัยอาศัยนี่แหละ สก สว สย 3 คำนี้ หมายถึงตัวตนทั้งหมด คำว่า สย เป็นคำที่เป็นตัวตนลึกซึ้งละเอียดเล็กที่สุด ที่พระอรหันต์เจ้าจะอาศัย สย พระอรหันต์เจ้าจะไม่อาศัย สว และไม่อาศัย สกเริ่มศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจะเริ่มรู้ตัว สก ตัวหยาบที่สุดแล้วศึกษา สก ลงไปถึง สว ดับอาสวะสิ้นแล้ว อาสยะคืออาศัย ก ว ย คำว่า สก สว สย ย เป็นตัวละเอียดสุด ว เป็นตัวที่ 4 ของเศษวรรค ย ร ล ว ใหญ่แล้วมีพลังงาน coefficient ก เป็นตัวแรกของพยัญชนะ สักกายะ รูปนามของสักกะ ตัวธรรมะ 2 ของรูปนาม พระโสดาบันต้องเรียนรู้สักกายะ แล้วต้องเข้าใจกายคือเหตุปัจจัย 2 อย่างของตนและแยกรูปนามได้ จิตเราตัวที่ถูกรู้เรียกว่ารูป ตัวธาตุรู้เป็นประธานคือนาม
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 12:58:18 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:51:22 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:54:32 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2563 ( 09:54:14 )
เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:25:10 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:55:54 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 08 มีนาคม 2563 ( 08:41:42 )
เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:25:47 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:58:56 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2563 ( 10:53:01 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:47:23 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 09:02:35 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2563 ( 11:36:32 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:47:58 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 09:05:02 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 02 เมษายน 2563 ( 13:33:09 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:48:29 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 09:06:16 )
รายละเอียด
ศิลปะในการสื่อสภาวะรูปและนามธรรม
http://online.anyflip.com/frovl/demc/mobile/index.html
ที่มา ที่ไป
Guru Ultraman
เวลาบันทึก 17 เมษายน 2563 ( 04:28:44 )
เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:27:03 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 09:18:28 )
รายละเอียด
ตัวตนก็ซ้ำมาจากภาษาบาลีนั่นแหละคือ ตน บาลีก็คือ ตะ นะ ตน ตนคือพยัญชนะ 2 ตัว ตะ กับ นะ
ตะ ก็คือตั้ง ตั้งอยู่นี่แหละ
นะ ก็คือไม่มี
ฉะนั้นสิ่งที่ไม่มีก็คือสภาพ 2 ของทุกสิ่งที่มีความมี ตั้งอยู่กับไม่ ตั้งอยู่กับไม่ตั้ง ไม่มี มีกับไม่มีนั้นแหละ แต่มันเป็นพยัญชนะตัว ต.ตอ กับ ตัว น.นอ ถ้าเรียกอย่างบาลีก็ ตะ กับ นะ เท่านั้นเอง
2 ตัวนี้แหละรวมเรียกกันเป็น อัตตา
อัตตาก็คือ สภาพมุมเหลี่ยมของสิริมหามายา อัตตาคือ อะ หรือ อัตตะ กับ ตต
อัตตะ หรืออัตตา อัตตะคือ เอกพจน์ อัตตาคือพหูพจน์
อะคือ นะ ไม่
ตะตะ คือตั้งอยู่ ตั้งอยู่เป็น 2 นั้นเป็นรูปของความเป็น 2 ที่มี 3 ลักษณะ
นั่นคือเป็น 3 ลักษณะ อัตตา
แต่ ตะ นะ มีแค่ 2 ตัว
ที่เอา น มาใช้ กับ อะ มาใช้ อตต กับ ตน
อะ เป็นสระ บางเบายิ่งกว่าพยัญชนะ แม้แต่เศษวรรคก็ไม่ใช่
แต่ น นี่เป็นพยัญชนะ ก็ใช้แค่ 2 ตัวก็พอคือ ตน ตะนะ
แต่ อัตตา ต้องใช้ อ กับ ตต
ฟังเข้าใจไหมเด็กๆ ผู้ใหญ่เข้าใจไหม
เออ เนาะ มันยากอยู่พอสมควร
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมจากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:24:39 )
รายละเอียด
ตอนนี้ก็ขอบอกว่า อนุ คือน้อยเล็กละเอียด สย คือตัวตน สย ตัวนี้เป็นตัวต้นที่สุด เป็นตัวพลังงานที่น้อยที่สุด อาศัยพยัญชนะ ส กับ ย
ส คือ เศษวรรค ตัวที่ 4 เป็นตัวที่มีพลังงานของตัวเองแล้วและยังมีพลังงานพิเศษ ส คือ สี่
ย คือ รายงานตัวแรกของเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
สย เป็นตัวตนที่สลายได้ง่ายที่สุด หรือยากที่สุดสำหรับปุถุชน มันจะมีตัวตนอยู่ 3 คำ
สย สว สก
พยัญชนะ สย เป็นตัวที่ละเอียด สว เป็นตัวกลาง สก เป็นตัวต้น หยาบใหญ่ จึงเรียนรู้สักกายะ เป็นตัวตนหยาบก่อนเป็นตัวต้น แล้วล้างสักกะ ขั้นต่อมาคุณค่อยมาศึกษา สวะ ที่ต้องมาเรียนรู้ เมื่อกี้อธิบาย อภัพพะ อาภัพพะ แต่อันนี้คือาสวะ กับอสวะ ล้างสวะที่หยุดสับสนนี้ให้ดี สย คือตัวปลายสุด จะศึกษาอนุสยะก็เอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2562 ( 20:56:08 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:52:51 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 09:21:10 )
รายละเอียด
คุณเปลวกำลังอธิบายพยัญชนะกับสภาวะ ยึดอันใดอันหนึ่งไม่ได้ เขาฉลาดนะเปลวนี่ พูดกลางๆไว้อย่างนั้น แล้วตัวเองจะเอาข้างไหนบอกหน่อยสิคุณเปลว พูดทิ้งไว้กลางๆอย่างนั้น
อาตมาเองขอยืนยันว่า อาตมาเป็นคนยุคมาตั้งไม่รู้กี่กัปป์กี่กัลป์ ผ่านเรื่องการเมืองสังคมพวกนี้มาเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ดูแล้วก็ ตอนนี้เกาหลีก็หนังเอามาใช้ทำแบบนี้ขึ้น แต่ก่อนของจีนตอนนี้เกาหลีแล้ว ต่อไปจะเป็นของเขมรหรือเปล่าไม่รู้ ฮิตในตลาดโลก หรือว่าไทยจะตีตลาดโลกเขา เอาเถอะไม่ต้องเก่งอย่างนั้นก็ได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม สิ้นยุคประชาธิปไตย-เผด็จการ วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2561
ที่บ้านราชฯ สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน สิ้นยุคประชาธิปไตย-เผด็จการ
เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:39:35 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563
เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 16:28:03 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2563 ( 13:11:29 )
เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:32:59 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 09:23:51 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563
เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 10:39:34 )
รายละเอียด
ตัวสัญญา ใช้ ส.เสือเป็นเศษวรรค ย ร ล ว ส เป็นตัวที่ 5 ตัวที่ 5 นี้ เป็นครึ่งหนึ่งของ 9 มันจึงเป็นตัวกลางที่สำคัญ เป็นพลังงานเต็มของเศษวรรค พลังงานครึ่งเดียว
อาตมายังไม่เก่งอธิบายพยัญชนะ แต่พวกเราคงพอรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆว่า พยัญชนะไม่ได้ตั้งมาเฉยๆ แต่มันมีความหมายลึกซึ้งทั้งนั้นเลย บางตัวเอามาใช้น้อยบางตัวเอามาใช้มาก มันจึงครบสภาวะทั้งหมดในโลก ให้เราได้รู้ความหมายที่ใกล้เคียงกันที่สุด ทุกภาษา มีต้นทางแล้วขยายความออกไปบ้าง ตามแต่คนจะพลิกแพลงไป เช่น ภาษาอังกฤษคำว่าเบียร์ ภาษาญี่ปุ่นไปเป็นคำว่า เบียรุ เป็นต้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 12:15:46 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 10:07:51 )
รายละเอียด
ฟังธรรมดีๆ สุตสูสังลภเตปัญญัง แล้วจะได้ปัญญา ปัญญาก็เป็นโลกุตระไม่ใช่ความรู้ความฉลาดโลกียะ เฉโก มันเป็นความฉลาดของพระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธเท่านั้น แต่เขาเอาไปใช้เลอะอีก อาตมาก็ต้องมาแก้ มันเมื่อยจริงๆ พยัญชนะเพี้ยน ผู้รู้ทั้งหลายแปลสำนวนตัวเอง จนคนเข้าใจผิด ศาสนาพุทธจึงเป็นกลองอานกะใหม่หมดเลย ไม่เป็นพุทธที่เป็นโลกุตระแล้ว แต่เป็นพุทธเก๊ พุทธปลอม พุทธตกแต่ง ไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย สุข หรือมัวโมหะประกอบไปเป็นกลองอานกะ เป็นศาสนาพุทธเต็มรูปเลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น
จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 15:36:43 )
รายละเอียด
พยัญชนะแต่ละตัวๆ ผู้ที่สร้างผู้ที่บัญญัติ ตั้งแต่บาลีเป็นต้นบัญญัตินั้นไม่รู้ว่าเป็นใครหรอก มันเป็นพยัญชนะที่ใช้แทนสภาวะ มีความเป็นจริงของแต่ละสภาวะ แล้วคนก็ไกลห่างมา หลักฐานที่เก็บไว้ก็ไม่มีก็ยาก ก็ได้แต่ผู้ที่มีวิญญาณธาตุรู้อย่างอาตมานี้ ได้ผ่านได้รู้แล้วเก็บรายละเอียดจำมา นี่ไม่ได้บันทึกไว้ในหลักฐานตัวหนังสือ ก็มีอรรถกถาจารย์บางคน อาตมายังไม่เก่งในการอ่านอรรถกถาจารย์ มีอรรถกถาจารย์บางท่านที่เขียนไว้อาจจะมีบันทึกไว้อาจจะมี แต่อาตมาไม่เป็นนักอ่านก็เลยไม่รู้ แต่ของคนไทยอรรถกถาจารย์ที่เรียนกันมากคือคัมภีร์วิสุทธิมรรค ของพระพุทธโฆษาจารย์ นอกนั้นก็มีบ้าง ก็ไม่ได้เอามาใช้กันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เป็นสำคัญเท่าของพุทธโฆษาจารย์
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2ตอน 4
วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 15:46:40 )
รายละเอียด
1. ความแน่
2. แน่วแน่ขึ้น
3. แนบแน่น
หนังสืออ้างอิง
สมาธิพุทธ หน้า 115, หน้า 250, ป่ากับพุทธศาสนา หน้า 145, จากอีคิวโลกุตระ หน้า 140, รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 64
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:33:12 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 07:26:19 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 09:26:13 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 08 เมษายน 2563 ( 10:02:56 )
เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:39:17 )
รายละเอียด
ทุกข์เพราะอวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย
หนังสืออ้างอิง
ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 79
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:34:07 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 07:27:27 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 11:58:32 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
เวลาบันทึก 18 เมษายน 2563 ( 13:40:35 )
เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:49:11 )
รายละเอียด
1. คือสภาพของโทสะ การมุ่งร้าย การปองร้าย การหมายมั่นจะทำไปแต่ในทางไม่ดี
2. เป็นการมุ่งร้าย เป็นการปองร้าย เป็นการหมายมั่นที่จะทำไปแต่ในทางไม่ดี จะทำแต่ในทางหยาบ ๆ ขึ้น
3. ความรู้สึกนึกคิดที่ผูกใจโกรธ มุ่งที่จะทำร้าย ทำลาย ล้างแค้น อาฆาต เหตุผลใหญ่ของความพยาบาทก็คือความโกรธที่ไม่ได้สมใจอยาก หรือสมกามนั่นเอง
4. ปองร้าย
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 3 หน้า 433, หน้า 418
สมาธิพุทธ หน้า 363, หน้า 367
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:35:38 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 07:29:48 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:43:41 )
รายละเอียด
ปองร้ายเขา คือจิตที่พยาบาท
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 3 หน้า 99
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:36:28 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 07:31:02 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:44:09 )
รายละเอียด
ความดำรินึกคิดโกรธแค้น พยายาท เป็นความลำบากที่หลงสร้างอัตตา
หนังสืออ้างอิง
เปิดโลกเทวดา หน้า 60
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:37:09 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 07:32:17 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:44:32 )
รายละเอียด
ดำริในพยาบาท
หนังสืออ้างอิง
สมาธิพุทธ หน้า 114
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:38:10 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 07:33:17 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:44:54 )
รายละเอียด
คือ เพียรกระทำ แล้วก็มี สติ ประกอบ เป็นตัวสำคัญ จะตื่นรู้ทั้งภายนอก ภายใน ทั้งอารมณ์ รู้ตัวทั่วพร้อมทุกอย่าง เอามาอย่าให้ตก อย่าให้หล่น รวมมาให้ครบ ทำอย่างไรก็ทำตาม สัมมาทิฏฐิ ก็ทำตามทิฏฐินั้นให้สำเร็จผลออกไป ตลอดวเลาที่กระทำจะต้องอ่านต้องวิจัย ตรวจสอบเสมอ จึงเรียกว่า ธัมมวิจัยอยู่ตลอด จึงเป็นองค์สำคัญในสัมมาทิฏฐิองค์ 3 แรก
ที่มา ที่ไป
รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 13:38:20 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:54:52 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:46:17 )
รายละเอียด
แต่คนขี้เกียจกับคนขี้โกงพยายามกำราบมัน พยายามอย่าให้มันทำชั่ว คนขี้เกียจกับคนขี้โกง 2 คน ก็จะมีแทรกแซงอยู่ในสังคมหมดไปไม่ได้ง่ายๆ เลย แต่มันก็มีน้อยได้อย่างพวกเรานี้คนขี้เกียจกับคนขี้โกงนี้มีน้อย แต่ถึงมีน้อยเราก็พยายามขัดเกลาเขา พยายามให้หมดความขี้เกียจความขี้โกง ไปโกงอยู่ทำไมมันชั่ว ไปขี้เกียจอยู่ทำไม? มันไม่เจริญ พวกเรามีปัญญารู้ พูดเท่านี้ก็เข้าใจแล้ว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติปรากฏได้ในยุคโควิด วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:41:47 )
รายละเอียด
อาตมาเองก็ขอเสริมตัวอีกอย่างคือ ตอนนี้เผื่อจะได้มีเพื่อนมากขึ้น คือพยายามต่ออายุสังขารตัวเองมากขึ้น คนที่จะช่วยส่งเสริมอายุสังขารอาตมาก็ขอบอกว่า มีแต่คนรู้มาก เอาอันนี้มาให้กินวิตามินอันนี้มาให้กินมากมาย ก็เข้าใจเจตนาดี ตอนนี้อาตมาว่า อาตมาได้มีโอกาสทดลองที่เขาให้มา ไม่รู้จะเลือกใช้อันไหนก่อนหลังเลย ทุกอย่างบอกมานี่ดีที่สุดจังเลย ไม่มีอะไรที่ไม่ดีเล็กๆเลย มีแต่ดีใหญ่ๆทั้งนั้น มีความพยายามตั้งใจ อาตมาก็ตั้งใจอยู่ แต่อยู่ให้ดีนะ ถ้าอยู่ไม่ดีก็ขอตายเลย เพราะว่ามันสุดวิสัยแล้วไม่ยื้อเอาไว้ ไม่โตแล้ว ถ้ามันสุดวิสัย ตายแล้วรีบมาเกิดใหม่ดีกว่า ถ้าอย่างนั้นก็มาบูรณะสังขาร อวัยวะมันไม่ไหวก็เลิก ตายแล้วจะรีบไปเกิดใหม่ ไม่ไปไหนหรอก เกิดอยู่ในพวกเรานี่แหละ แล้วก็มาทำงานต่อ พวกเรานี่แหละที่มาเกิดใหม่ๆก็จะบอกว่าค่อยมาเกิดนะ ขอยืนยันว่าจริง แต่อย่าไปมองว่าองค์นี้เป็นองค์นี้ คนนี้เป็นคนนี้ เจ้าตัวก็เลยบอกไม่ได้ว่าฉันเป็นใครแน่ เจ้าตัวหัวหมุนตายพอดี ปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ เป็นเรื่องจริงแต่อย่าเอาไปเล่น คนเอาไปเล่นบ้าบอหลอกล่อทำมาหากินได้ด้วย เพราะฉะนั้นอย่าทำ เข้าใจแล้วก็ดูกันไม่ต้องไปเผยแพร่ขยายผล ให้คนอื่นเขาติด แล้วเอาไปใช้หากินหลอกลวงได้ จนกระทั่งชาติก่อนเธอเป็นเมียฉันชาตินี้ก็ต้องมาเป็นเมียฉันอีก เละเทะเลยที่เขาไปทำ มันไม่เข้าท่า นี่เป็นความซับซ้อนในสัจธรรม
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี สัปปายะ 4 ที่มีสัมประสิทธิ์ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561
เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:24:49 )
รายละเอียด
ตอนนี้ก็พยายามหาเรือ มาที่นี่ก็ได้รับความรู้พิเศษ หากได้ไปวางโครงสร้างให้ก็ดี เป็นเรือแคนูไทย เบามาก ผู้หญิงยกได้เลย ใช้วัสดุเบาๆของเราเอง ถ้ายิ่งมีเรือพายในลำคลอง
ตอนนี้ รัฐบาลอุตส่าห์ให้ทุนมาล้านหนึ่ง บอกว่าให้จัดตลาดน้ำให้ได้ อาจจะได้แค่บันได แต่ก็ยังดีช่วยกันมานิดนึง ถึงอย่างไรเราก็พยายามทำให้มีตลาดน้ำ ซึ่งจะเป็นเรื่องของดีทั้งทางด้านเศรษฐกิจดีทั้งทางด้านสังคม มันจะดีทีเดียว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ปัจฉิมกถาปิดงาน มหกรรมคืนชีวิตให้แผ่นดินครั้งที่ 12 ที่มาบเอื้อง จ.ชลบุรี วันที่ 18 มีนาคม 2561
เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:59:41 )
รายละเอียด
อธิบายด้วยความรู้ความสามารถ ทำไงจะอธิบายไปแล้วจะให้คุณเข้าใจทันทีได้ อย่างว่า ขนาดพระพุทธเจ้าอธิบายไปแล้ว โลหิตร้อนพุ่งออกจากปากไป 60 ลาสิกขาบทไป 60 คนได้ผลเป็นพระอรหันต์ 60 คน ได้แค่ 1 ใน 3 ตัวเราก็เท่านี้ขนาดพระพุทธเจ้ายังได้ 1 ใน 3 เราได้ 1 ใน 10,000 ก็ยังดีนะ ตั้งใจฟังให้ดีๆ วันนี้เป็นวันพุธ วันศุกร์เจอกัน ขยายบุคคล 7 อีก ให้พอสมควร ก่อนที่จะถึงวันพุทธาภิเษก เป็นพื้นฐานเอาไว้ แล้วจะได้อธิบาย ปัญญา 8
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:11:29 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:58:22 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:47:20 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 18:27:49 )
เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:16:10 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:48:04 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นมาอยู่ที่นี่ ถ้าขี้เกียจแล้วก็รู้จักหลบเลี่ยง อยู่ได้อยู่ในนี้ไป แต่คุณก็สะสมหนี้บาป ระวังกรรมเป็นอันทำ ที่อาตมาพูดไม่ได้ไปว่าใคร ถ้าใครเป็นอย่างที่อาตมาว่า คุณก็ต้องเป็นอย่างที่คุณทำ กรรมเป็นอันทำ คุณทำอย่างไรก็เป็นกุศลหรืออกุศล มันก็เป็นของคุณ เพราะฉะนั้นต้องพยายามพากเพียรศึกษาเรียนรู้ อาตมาทุกวันนี้ เรี่ยวแรงก็ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ ก็ฝืนตัวเองไป นี่ก็ลดลงมา สอนเทศน์อาทิตย์หนึ่ง 2 วัน วันอังคารกับวันศุกร์ อีกหน่อยก็คงลดเหลือวันเดียว สอนแต่วันพฤหัสบดีวันเดียวหรือไง มันได้แค่นั้นก็แค่นั้น ก็เป็นไป
อาตมาก็พยายามอยู่นะ ไม่ใช่อาตมาขี้เกียจ อาตมาไม่ใช่คนขี้เกียจ แต่ว่ามันจำนนต่อความเป็นจริง สังขารมันไม่ให้ แต่ก่อนนี้มันก็ไม่ค่อยไอเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้อาการมันมากขึ้นทุกวัน มันบำบัดไม่ได้มันเป็นวิบากของอาตมา อาตมาก็ทนทู่ซี้ไป ทนมันไปเรื่อยๆ นี่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นี่ก็มีคนออกความเห็นมาว่าอยากจะเอามณีแดง กับสเต็มเซลล์ เอ็นโดจีนัสสเต็มเซลล์ จะเอามาช่วย อาตมาก็ว่าโอ้ มันจะช่วยได้จริงหรือ ก็ดี เป็นมณีแดงหรืออินโดจีนัสสเต็มเซลล์ อาตมาก็ไม่รู้เรื่องหรอก มีคนเขาพูดก็บอกมา เขาเป็นพยาบาลเขาก็รู้เรื่อง คุณใบฟ้าก็ดูมา แอบหวังอยู่ว่าจะมีพวกนี้มาช่วย อาตมาฟังดูก็เข้าทีถ้าเป็นไปได้ก็ดี มันจะช่วยได้ง่ายๆ หรือ ก็ว่าไป เราก็ไม่รู้ได้หรอกว่าจะได้หรือไม่ได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิคนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 12:47:47 )
รายละเอียด
อาตมาก็พูดเปิดเผยตัวเองไปตามความจริงว่า อาตมาเกิดมาในยุคพระพุทธเจ้าด้วยแล้วก็รับช่วง รับปากพระพุทธเจ้าเลยล่ะ ซึ่งก็ไม่ได้มีคนมารู้ร่วมด้วยแต่ก็เป็นเรื่องจริง อาตมาพูดเรื่องนี้เรื่องจริง รับสืบทอดมาจนมาถึงวันนี้ ทำงานมาตั้ง 53 ปีเข้าไปแล้ว แล้วอาตมาก็เห็นว่ายังไว้ใจไม่ได้ศาสนาพุทธโลกุตระนี้จะไปอีกได้เท่าไหร่ จึงพยายามยืดอายุ เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าว่า จะต่ออายุขัยได้ไหม ซึ่งยืนยันว่าอาตมาทำได้ต่ออายุขัยมา 1 นักษัตรแล้ว ตอนนี้เข้านักษัตรที่ 2 จากอายุ 72 ตอนนี้อายุ 89 ย่างเข้า 90 แล้ว เข้านักษัตรที่ 2 จนถึง 96 ก็ครบ 2 นักษัตร ซึ่ง 1 นักษัตรมี 12 ปี ถ้าเลย 96 ก็เป็นนักษัตรที่ 3 ไปถึง 108 ก็จะครบ 3 นักษัตร
อาตมาก็พยายามที่จะดึงตัวเอง พยายามที่จะลากขันธ์ไปให้ถึง 108 ให้ได้ เมื่ออาตมาอายุ 108 อย่าเพิ่งรีบตายไปจากอาตมานะ ไปด้วยกันนะ จะมาดูผลงานไง มาดูโลกุตรธรรมที่จะเจริญในโลกขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะเป็นยังไง น่าดูนะอาตมาว่า Hollywood หรือ Bollywood ก็สร้างไม่ได้หนังเรื่องนี้ ยังไม่มีใครเขียนบทได้นะ อาตมาก็ไม่กล้าเขียนบทล่วงหน้าเหมือนกัน แต่มันน่าติดตามดู เรื่องนี้นี่ พูดไปแล้วก็เหมือนเล่นละครลิเก แต่ที่จริงมันเรื่องจริง เพราะฉะนั้นก็ตามไปดูก็แล้วกัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นอรหันต์นั้นมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2566 ( 10:53:50 )
รายละเอียด
ก็ยิ่งเห็นว่าองค์ประกอบที่จะทำให้สมดุล มันมีความละเอียดมากเลย ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่างๆนานา ที่อาตมาก็ยังไม่ฉลาดพอที่จะอธิบายให้ครบละเอียดดี ก็พยายามศึกษากันไป เป็นตัวอย่างกันไป อธิบายกันไปเรื่อยๆ อาตมาพอจะรู้ก็ขยายไว้บันทึกไว้พูดบ้างอธิบายบ้าง แล้วก็เขียนบ้างบันทึกไป แล้วพวกเราก็จะได้ศึกษาในสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตแก่สังคมมนุษยชาติไป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 32 วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2564 ( 21:17:11 )
รายละเอียด
เจริญธรรม Happy New Year ปีใหม่ 2566 อาตมาเกิดปี 2477 ถ้าไปถึง 77 เมื่อไหร่ก็อายุ 100 ปี อีก 11 ปีเท่านั้น กระเดื๊อกๆไปให้ได้ จริงๆ ลึกๆ ใจอาตมา ถ้าจะอายุ 100 ปีจริงๆ คิดว่า มันน่าจะต้องถึง 100 พยายามอยู่ ไม่ใช่เพื่ออะไรหรอก 1. เพื่อทำงาน และ 2. เพื่อพิสูจน์ สัมประสิทธิ์ พิสูจน์โพชฌงค์ 7 ของพระพุทธเจ้า พิสูจน์ว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ “อานนท์ เราประสงค์จะมีอายุถึงกัปหรือเกินกว่ากัปก็ได้” พิสูจน์ความจริงอันนี้อยู่จริงๆ
เพราะดูๆแล้วใครๆเห็น อาตมาไม่น่าจะถึง 100 หรอก อายุไม่น่าจะถึง 100 แต่ก็มันใกล้ๆเข้าไปเรื่อยๆอีก 11 ปี มันน่าจะเป็นไปได้นะ ก็ขนาดติดเตียงยังถึง 100 เลย นี่ วันนี้เดินได้ 4,000 กว่าก้าว เมื่อวานได้เป็น10,000 ก้าว ทำงานบ้างเดินบ้างนอนบ้าง ใช้เวลากินก็หลายชั่วโมง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตย 3 อย่าง ในโลก
วันพุธที่ 4 มกราคม 2566 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 มกราคม 2566 ( 12:27:35 )
รายละเอียด
มาปฏิบัติกับหมู่กลุ่มจะง่ายเลย จะเร็วด้วย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ หรือเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนา เพราะฉะนั้นพยายามเข้าหมู่กลุ่ม ซึ่งตรงกันข้ามกับมิจฉาทิฏฐิต้องปลีกจากหมู่ไปอยู่คนเดียว ประเดี๋ยวก็บรรลุเป็นอรหันต์ มันไปหาเหวมากกว่านะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:20:28 )
รายละเอียด
คือ เห็นแล้วมันน่าสงสารมันน่าขำมันน่าขัน เออ คนเรานี่มันโง่ได้ระดับ นานๆๆ ไอ้เราก็เออเนาะ เราก็มาดูแล้วทำไมเราถึงโง่ได้นานขนาดนี้ก็เห็นใจคนอื่นเขา ก็โง่ได้นานๆ เหมือนเราเคยโง่มา พอรู้เสียแล้วก็เลิก ลองเลิกดู พยายามเลิก ก็เอาที่เราเคยเลิกอะไรได้ตั้งแต่หยาบ มันก็เลิกเหมือนกันนั่นแหละ ก็เลิกที่หยาบได้ ที่มันละเอียดขึ้นมาก็เลิกเหมือนกัน เลิกมาอยู่ตรงไหนคือไม่ต้องมีรสอย่างนั้นเป็นไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอุเบกขา คนที่ทำได้จริงแล้ว สุขทุกข์กับสิ่งนั้นหมดสุขหมดทุกข์กับสิ่งนั้นจริงเลย คุณที่เคยเลิกเคยปฏิบัติมาได้แล้ว ก็จะอ่านอาการที่มันเฉยๆ คนที่ทำได้แล้วหมดสุขหมดทุกข์กับสิ่งนั้น ก็เอาอาการนั้นมาใช้กับสิ่งที่ละเอียดขึ้นไปเป็น รูป อรูป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนอัตถิราคสูตรให้หมดสุขหมดทุกข์แท้จริง วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:54:37 )
รายละเอียด
มันมีทั้งส่วนถูกและส่วนไม่ถูก แม้แต่คำว่า season ที่แปลว่าทะเลอาตมาก็ไม่ใช่เป็นคนแปล แต่ท่านประยุทธ์ท่านเป็นคนแปล ท่านเจตนาเพื่อจะยัดเยียดว่าอาตมาแปล season เป็น sea แปลว่าทะเล son แปลว่าลูกชาย ท่านยกตัวอย่างอาตมาพูดถึงพยัญชนะภาษาบาลีอธิบายเหมือนกับแยกวิเคราะห์ ไม่ได้ตรงตามที่ท่านเรียนมาเป็นเปรียญ 9 อาตมาไม่ได้เรียนมาก็ไม่ได้ขยายความไม่ได้แยกวิเคราะห์วิจัยพวกนี้ตามที่ท่านเรียนกันมา ท่านก็ว่าอาตมาแปลผิด เหมือนกับไปแยก sea เป็นทะเล อีกคำว่า son เป็นลูกชาย
พอแปล season ก็บอกว่าลูกทะเล ซึ่งท่านก็บอกว่าไม่ใช่ มันแปลว่าฤดูกาลต่างหาก ก็ถูกของท่าน แต่อาตมาไม่ได้แปล ท่านเอามาใส่อัตโนมัติเอง นี่ก็เป็นรายละเอียดที่จริงๆ ท่านเองอาจจะพยายาม คนเราพยายามจะเอาความฉลาดของตนเอง ขยายความให้คนอื่นเข้าใจตามที่ตนเองต้องการได้ ท่านก็อธิบายอย่างนี้ อาตมาก็ว่าท่านต้องการให้เป็นอย่างนี้ แต่อาตมาเห็นว่าท่านอธิบายผิด พยายามเอาสิ่งที่มันไม่ค่อยถูกมาใส่อาตมาว่า season อาตมาขยายความอย่างนี้ ซึ่งอาตมาไม่ได้ขยายความเลยนะ เรื่องของคำว่า season
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนถือศีล 5 ได้ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 มกราคม 2565 ( 13:36:46 )
รายละเอียด
สิ่งประเสริฐจากการปฏิบัติ “ธรรมที่เป็นพุทธ”
หนังสืออ้างอิง
ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 60
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:38:48 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 07:34:01 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:48:39 )
รายละเอียด
ธรรมเนียมที่ใช้ปฏิบัติกัน
หนังสืออ้างอิง
ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 62
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:39:34 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 07:34:38 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:48:58 )
รายละเอียด
"ผู้อยู่ขอให้อยู่แข็งแรงมั่นคงดีๆ แล้วพากเพียรพัฒนาตัวเองมั่นคงต่อไป ผู้ที่มีศีลยังไม่ได้มา จงมา เชิญมา โปรดมา มาเถิดมาอย่าช้า…อยู่ไหนรีบมา” มาเอาพร้าจอบเสียมที่นี่ก็ได้ไม่ต้องแบกมา ทำไมเราเน้นจอบเสียม เพราะเราเน้นการกสิกรรมพืชพันธุ์ธัญญาหาร เราไม่เน้นที่ปืนผาหน้าไม้ เราเน้นสิ่งที่กินที่ใช้ เราทำให้มันเจริญงอกงามงดงาม
ที่มา ที่ไป
รายการ ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 สู่แดนทองฉลอง 50 ปีโพธิกิจ วันที่ 1 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 17:41:32 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:59:20 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:49:32 )
รายละเอียด
อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ นี่คือพรปีใหม่
8 คำนี้นะ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ 8 คำนี้ มันเป็นผลสำเร็จของชีวิตมนุษย์ มนุษย์ที่มีอิสระจริงๆสมบูรณ์แบบยิ่งใหญ่นะ ศาสนาเทวนิยมไม่อิสระสมบูรณ์แบบยังเป็นทาสพระเจ้า
ศาสนาพุทธเป็นอิสรเสรีภาพที่สุดไม่เป็นทาสพระเจ้า เป็นตัวเองสมบูรณ์แบบ แล้วปรินิพพานเป็นปริโยสาน ให้แก่จิตนิยามตัวเอง แยกจบ ดินน้ำไฟลม จิตวิญญาณแตกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้ นี่เป็นความอิสรเสรีที่สมบูรณ์ที่สุด
เมื่อผู้ใดบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ ก็มีฐานอาศัย สบาย สงบ แล้วก็มีสังคม ตัวเองก็อบอุ่น อยู่กับสังคม อิ่มเอม เกษมใส สบาย ไม่มีอะไรหมอง ไม่มีอะไรหม่น ไม่มีอะไรทำให้ขุ่นมัวเลย
แล้วมีใจเกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกัน เอื้อเฟื้อกัน สุดท้ายเพิ่มพูนการเสียสละ สุดท้ายทิศทางมีแต่ก้าวหน้าไปหา เพิ่มพูนการเสียสละๆๆๆ เป็นสังคมที่เจริญสุดยอด เป็นสังคมที่จบกิจทางเศรษฐกิจ รัฐกิจ รัฐศาสตร์ จบกิจทางการเมืองด้วย จึงเป็นสังคมที่จบกิจบริบูรณ์
พูดไปนี่ พูดเอาเอง มีภาวะจริงของคนเป็นเช่นว่านี้ได้ไหม...ได้ครับ!
คนที่รู้สึกว่าตนเองมีสภาวะนี้ก็รู้จริง ขานรับได้จริง คนที่ยังไม่รู้ก็ไม่ชัดเจน ก็ย่อมไม่ขานรับเต็มที่ หรือรู้จริงเหมือนกันแต่ขี้เกียจจะขานรับ หรือยิ่งกว่านั้น คือ เรื่องอะไรจะขานรับให้ได้หน้าทำไม...ให้อาตมาได้หน้าหน่อยไม่ได้หรือไง
ที่อาตมาพูดไปเป็นสาระของสัจธรรมไม่ใช่เรื่องพูดเล่น เป็นสังคมที่สุดยอด คุณสื่อฟ้าศิลป์รู้ไว้แล้วนะ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ นั่นคือพรปีใหม่
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #18 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 15:46:45 )
รายละเอียด
ก็ขอพูดถึงพรรคทางการเมืองก็ถือว่าเป็นพรรคของชาวอโศก พรรคการเมือง เป็นพรรคชาวอโศกเราชื่อพรรคสัมมาธิปไตย อาตมาเองเป็นคนแนะให้ตั้งขึ้น แต่ก่อนก็มีพรรคการเมืองของเราแต่ก็เลิกไปแล้ว อาตมาก็มาเห็นกลับว่า เอ๊.. มันควรจะต้องมี ก็เลย ให้กลับมาตั้งขึ้นใหม่ ก็ตั้งขึ้นมา ก็ได้ชื่อใหม่เป็นพรรคสัมมาธิปไตย เพื่อที่จะไปกับโลกเขา ตามแนวคิด หรือ อุดมคติอุดมการณ์ที่เรามี ว่า ความเป็นประชาธิปไตย อาตมาใช้คำว่าประชาธิปไตยไทย หรือ ประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า อาตมาใช้คำว่าอย่างนั้น ประชาธิปไตยไทยหรือประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า
อาตมาเชื่อมั่นเป็นอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นประชาธิปไตยแบบโลกุตระ คนจะเข้าใจอย่างนี้ได้ยากซึ่งเราก็ต้องเริ่มทำ ค่อยๆทำไป ซึ่งอาตมาเห็นว่า กลุ่มของแพทย์วิถีธรรมเขานี่ เขามีคนที่มีไฟ และเป็นกลุ่ม จับตัวกันแน่นเป็นเอกีภาวะที่แข็งแรงดี เขาจะนำพาไปได้ ก็เชื่อว่าจะมีผลต่อสังคมมากกว่าที่เราได้ทำมาแล้ว ซึ่งมันมีนัยยะสำคัญที่ต่างกัน ก็คิดว่า ทำไป เราอยู่ในสังคมยังไม่ตาย
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรมโดยพ่อครู ครั้งที่ 14 GDP แบบพุทธสุดจบกิจ วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรสันติอโศก
เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 17:22:38 )
รายละเอียด
ตอนนี้เราชาวอโศกก็ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ไม่รู้ว่าอนุมัติหรือยัง ชื่อพรรคสัมมาธิปไตย เราก็ยื่นขอ ทำไมถึงยาก ที่อื่นทำไมเขาขอได้เร็ว แต่พวกเราไปขอมันก็ยังยากอยู่ นี่ก็เป็นวิบากของพวกเรา เราก็ขอ “สัมมาธิปไตย” เป็นพรรคการเมือง ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่จะเข้าไปแบบตามรูปแบบของเขา ซึ่งเราไม่ได้ไปแย่งอำนาจหรอก แต่เราจะไปทำอย่าง Concept ของเรา อย่างวิสัยทัศน์ของเรา อย่างความคิดของเรานี่แหละ เราจะไปทำ
ซึ่งเราจะไม่ได้ไปเที่ยวอยากยื้อแย่งไปสมัครส.ส,แข่งเขาอะไรต่ออะไร แรกๆนี่ก็คงจะ ถ้ากฎหมายเขาไม่บังคับให้ไปสมัคร เราก็จะไม่สมัครส.ส.อะไรเลย เราจะทำงานการเมืองภาคประชาชนไป แต่เขาบังคับให้สมัครก็อาจจะสมัครเข้าไม่ให้ผิดกฎหมาย เพราะว่าเราไม่มีพลเมือง ยังไม่มีประชากรที่จะเข้าไปแข่งขันมาก อย่างขณะนี้นี่นะ ได้ข่าวว่า รทสช. เขามีพร้อมแล้ว 400 คนที่จะลงสมัคร มันสมัครได้เท่าไหร่ มี 400 เขตทั่วประเทศ นี่เขาก็บอกว่าเขามีครบแล้ว เขาก็คัดเลือกกัน มีครบแล้วเขาก็อาจจะมีตัวสำรอง เผื่อคนนี้ดีกว่าก็จะเอาคนนี้ก็แล้วกันเขาก็จะพูดกัน ถ้ามันดูภาพที่ว่าคนนี้เหมาะกว่าก็ว่าไป ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะสมัคร แต่เขาก็ทำเขาทำงาน
แต่ของเรานี่เราก็พยายามที่จะทำ พรรคการเมืองของเรา ที่จะค่อยๆทำไป เพื่อที่จะยืนยันให้เห็นพฤติการณ์พฤติกรรมของนักการเมืองที่เป็นนักการเมืองไม่ใช่ไปล่าอำนาจ ไม่ใช่ที่จะไปแย่งชิงตำแหน่งหน้าที่ลาภยศอะไรไม่ใช่ แต่เป็นนักการเมืองที่จะรับใช้ประชาชน ทำงานเพื่อประชาชน อย่างเป็นโลกุตตรธรรมจริงๆ ซึ่งมันก็ถึงคราวถึงครั้งว่า ชาวอโศกน่าจะพยายามก่อหวอด ก่อตัวขึ้นมาในขณะที่อาตมาก็ยังอยู่ ยังพอจะเป็นที่ปรึกษาได้บ้าง เป็นที่จะพอถามไถ่พยายามแนะนำได้ ซึ่งอาตมาไม่ปิดบังหรอก
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 17:28:43 )
รายละเอียด
คือ มีความรู้เดิมของท่านติดตัวมาแต่ปางไหน แต่พรสวรรค์ ทรงธรรมแท้ เข้าขั้นเป็นอาริยะ ระดับโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ถึงขั้นนิยต เที่ยงแท้แล้ว เป็นของจริง เป็นสัจธรรมแท้ก็ยิ่งแน่แท้ สามารถตกทอดติดตัวข้ามภพ ข้ามชาติมาได้ ไม่มีหายไปไหน
หนังสืออ้างอิง
“สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 530
เวลาบันทึก 02 พฤศจิกายน 2562 ( 12:43:26 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:16:03 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:50:02 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 07:58:15 )
เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:50:07 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:50:24 )
รายละเอียด
พรหมหรือพราหมณ์ หมายถึง จิตบริสุทธิ์บริบูรณ์ หมดสิ้นอนุสัยอาสวะ จึงหมายถึง อรหันต์ด้วย
หนังสืออ้างอิง
“สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 192
เวลาบันทึก 27 ตุลาคม 2562 ( 12:00:01 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:19:13 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:50:47 )
รายละเอียด
1. มาจากคำว่า “พรหมะ” หมายความว่าใหญ่ มาก ลึก สูง โต
2. ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นจิตวิญญาณที่มีอำนาจที่สูงสุดเหนืออื่นใด
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 72
ป่ากับพุทธศาสนา หน้า 146
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:40:53 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 07:35:58 )
เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 12:51:33 )
รายละเอียด
ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ
ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ
ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ
ต่อมาอีก 3
ชั้นที่ 4 ปริตตาภาภูมิ
ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ
ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ
หมวด 3
ขั้นที่ 7 ปริตตาสุภา
ขั้นที่10 อัปปมาณาสุภา
ขั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ
ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ คือพวกลอย เช่นพวกมีศักดินา ยศ ชั้นสูงส่ง และมีความฉลาดสามารถทำให้คนเชื่อ เช่นธัมมชโย ถ้าจะเทียบธัมชโยก็เหมือนเวหัปผล ส่วนทักษิณเหมือนอสัญญีสัตว์ หลอกเชิงทักษิณใช้อำนาจการเมืองยศ เงิน ส่วนธัมมชโย ใช้อำนาจโวหารคารม ใช้นามธรรม อรูปมากกว่า ส่วนทักษิณใช้รูปมากกว่า
ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ ดับสัญญาไม่รู้เรื่อง
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2562 ( 14:18:29 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 17:01:47 )
Facebook : test
Youtube : Name
Twitter : Name
Line : Name
Telegram : Name
Wechat : Name
Skype : Name