คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี
เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit
วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5
วีดีโอ Loom 1 : https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044
วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk
รายละเอียด
มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอๆ ไม่หลับไหล
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า 44
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 09:09:13 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:48:11 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 13:49:59 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
เทศน์ทำวัตรเช้า วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2563 ( 17:40:46 )
รายละเอียด
คือการมีสติสัมโพชฌงค์ รู้ตัวทั่วพร้อมเป็นตัวตื่นจริงๆ มีความรู้ตัวทั้งภายนอก ภายในตื่นจริงๆ ไม่ใช่ตื่นแต่ภายใน จะต้องตื่นทั้งภายนอกและภายในที่เป็นกาย กายนั้นมี2 เสมอทั้งภายนอกและภายใน มีรูปกับนาม หรือเทวะ และมีการวิจัยธรรมะ มีพฤติกรรมของการวิจัย วิจาร จิตวิญญาณมีความสามารถในการวิจัย วิจัย เรียกอีกพยัญชนะว่า เป็นวิตกวิจาร
เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 13:28:29 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:26:08 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 13:50:43 )
รายละเอียด
มันไม่ง่ายนะ สติ นี่ อาตมาขยายความให้ฟังทั้งพยัญชนะและสภาวะ
สติ มาจากคำว่า สต คือ 100 คือ ความตื่นเต็มร้อย
สตะ ร้อยทั้งกาย วาจา ใจ จึงเป็นสติ คำว่า ติ คือ 3 ส่วน สต คือ 100 ส่วนสติ คือ 100 สาม 100 อาตมาเข้าใจพยัญชนะ สติมีเต็มร้อย ทั้งกายก็เต็มร้อย สติคือความตื่นเต็มทั้งกายกรรมก็ 100 วจีกรรมก็ 100 มโนกรรมก็100 ตื่นเต็มคือสติอันสมบูรณ์แบบ
สติที่ว่าเป็นความตื่นเต็มร้อย อันนี้พยายามเข้าใจแล้วก็ฝึกตรงนี้ ตื่นคือ
1.ไม่ใช่หรี่หลับเซื่องซึม แต่ตื่นโพลงให้รู้จักเลยว่า ตาเรากระทบรูปก็รู้รูปให้เต็มที่ หูกระทบเสียงก็รู้เสียงให้เต็มที่ จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส ผัสสะทางกายก็รู้ให้เต็มที่ ตื่นเต็ม นั่นเป็นอย่างหนึ่ง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 31 วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก
เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 21:00:14 )
รายละเอียด
กำลังความรู้ตัวทั่วพร้อม
หนังสืออ้างอิง
ป่ากับพุทธศาสนา หน้า 144
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 09:09:56 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:36:51 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 13:51:20 )
รายละเอียด
1. “นาม” คือ “ตัวรู้” เป็นปัญญาญาณทัสสนะ
2. วิปัสสนาสมาธิ “รู้” หรือ “เกิด” จะเป็นส่วนได้ซึ่ง “ปัญญาวิมุตติ”
3. ปัญญา (ญาณ)
4. รู้ตัว รู้ตน รู้ทวาร 5 ทวาร 6 ของตัวเสมอๆ
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า 43หน้า 236, ทางเอก ภาค 3 หน้า 39
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 09:11:28 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 13:52:19 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 13:52:56 )
รายละเอียด
การตั้งสติพิจารณาสิ่งทั้งหลายเป็นทางเอกเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง
1. ตั้งสติพิจารณาเห็นกายในกาย (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ได้แก่
- อาณาปานสติ (พิจารณาลมหายใจ)
- อิริยาบถ (พิจารณารู้เท่าทันอิริยาบถ)
- สัมปชัญญะ (พิจารณารู้จิตในทุกการกระทำ)
- ปฏิกูลนมสิการ (พิจารณาร่างกายเป็นของสกปรก)
- ธาตุนมสิการ (พิจารณาร่างกายเป็นเพียงธาตุ)
- นวสีวถิกา (พิจารณาร่างกายเป็นซากศพในที่สุด)
2. ตั้งสติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา (เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน)
3. ตั้งสติพิจารณาเห็นจิตในจิต (จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน)
4. ตั้งสติพิจารณาเห็นธรรมในธรรม (ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน) ได้แก่
- นิวรณ์ 5 (กิเลส 5 ตัวที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุธรรม)
- อุปทานขันธ์ 5(การยึดมั่นในขันธ์ทั้ง 5)
- อายตนะ 12 (ตัวรู้ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับตัวถูกรู้ 6 คือ รู้เสียง กลิ่นรส สัมผัส)
- โพชฌงค์ 7 (องค์แห่งการตรัสรู้ 7อย่าง)
- อาริยสัจ 4 (ความจริง อันประเสริฐสุดของชีวิต 4 อย่าง)
ที่มา ที่ไป
พระไตรปิฎก “มหาสติปัฏฐานสูตร” เล่ม 10 ข้อ 273-299
หนังสืออ้างอิง
ธรรมพุทธสุดลึก หน้า53 และ หนังสือ “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 62
ไฟล์แนบ : ขยายสภาวธรรม สติปัฏฐาน ๔ โดย สู่แดนธรรม นาวาบุญนิยม .docx
ไฟล์แนบ : ขยายสภาวธรรม สติปัฏฐาน ๔ โดย หินแสง ชาวหินฟ้า .docx
เวลาบันทึก 25 ตุลาคม 2562 ( 12:33:40 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 15:18:17 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 13:54:12 )
รายละเอียด
สติปัฏฐาน 4 คือ เรียงลำดับ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 69 วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562
เวลาบันทึก 21 ตุลาคม 2562 ( 08:52:35 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:27:19 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 13:54:41 )
รายละเอียด
คือการตั้งสติพิจารณาสิ่งทั้งหลายเป็นทางเอกเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง
1. ตั้งสติพิจารณาเห็นกายในกาย (การกำหนดสติพิจารณากาย คือ การรวมประชุมกัน ทั้งกายนอก-ใน ให้รู้เห็นความจริง) กายนอกได้แก่.. (กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน) ได้แก่
2. ตั้งสติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา (เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน) การตั้งสติกำหนดพิจารณา “เวทนาในเวทนา” (ทั้ง 108 เวทนา) ให้รู้เห็นทุกข์(ที่เป็นทุกขอริยสัจ) ตามความเป็นจริง
3. ตั้งสติพิจารณาเห็นจิตในจิต (จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน) การตั้งสติพิจารณาเห็น “จิตในจิต” ให้รู้จิตที่เจริญขึ้นหรือยังข้องตามสัจจะจริง
4. ตั้งสติพิจารณาเห็นธรรมในธรรม (ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน) ให้รู้เห็นจริงตามความจริง ได้แก่
คำอธิบาย
พิจารณาเห็นจิตในจิต ⇒ เจโตปริยญาณ 16
ที่มา ที่ไป
พระไตรปิฎกเล่ม 10 "มหาสติปัฏฐานสูตร" ข้อ 273-299, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
หนังสืออ้างอิง
หนังสือธรรมพุทธสุดลึก
ไฟล์แนบ : ขยายสภาวธรรม สติปัฏฐาน ๔ โดย สู่แดนธรรม นาวาบุญนิยม .docx
ไฟล์แนบ : ขยายสภาวธรรม สติปัฏฐาน ๔ โดย หินแสง ชาวหินฟ้า .docx
เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2562 ( 12:06:39 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 15:26:02 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 13:56:09 )
รายละเอียด
คือเป็นพฤติการณ์ หรือการปฏิบัติของทฤษฏีพระพุทธเจ้า สติปัฏฐาน4 เป็น ภาคปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 มี กาย เวทนา จิต ธรรม ก็ต้องดูว่า กายคือ อะไร เวทนาคืออะไร จิตคืออะไร ธรรม คืออะไร ก็ปฏิบัติทั้ง 4 อย่างไม่ได้แยกกัน
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 81 วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 14:03:45 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:28:31 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 13:56:52 )
รายละเอียด
คือการตั้งสติพิจารณาสิ่งทั้งหลาย เป็นทางเอกเพื่อทําพระนิพพานให้แจ้ง
1. ตั้งสติพิจารณาเห็นกายในกาย (กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน) ได้แก่
- อานาปานสติ (พิจารณาลมหายใจ)
- อิริยาบถ (พิจารณารู้เท่าทันอิริยาบถ)
- สัมปชัญญะ (พิจารณารู้ตัวในทุกการกระทํา)
- ปฏิกูลมนสิการ (พิจารณากายเป็นของสกปรก)
- ธาตุมนสิการ (พิจารณากายเป็นเพียงธาตุ)
- นวสีวิกา (พิจารณากายเป็นซากศพในที่สุด)
2. ตั้งสติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา(เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน)
3. ตั้งสติพิจารณาเห็นจิตในจิต(จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน)
4. ตั้งสติพิจารณาเห็นธรรมในธรรม (ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน) ได้แก่
- นิวรณ์ 5 (กิเลส 5 ตัวที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุธรรม)
- อุปาทานขันธ์ 5 (การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5)
- อายตนะ 12 (สิ่งที่ทําการติดต่อ 6 กับสิ่งที่ถูกติดต่อ 6)
- โพชฌงค์ 7 (องค์แห่งการตรัสรู้ 7 อย่าง)
- อาริยสัจ 4 (ความจริงอันประเสริฐสุดของชีวิต 4 อย่าง)
หนังสืออ้างอิง
ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 10 “มหาสติปัฏฐานสูตร” ข้อ 273-299
เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2565 ( 11:47:29 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563
เวลาบันทึก 22 เมษายน 2563 ( 14:32:51 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:10:44 )
รายละเอียด
ทีนี้สติปัฏฐาน 4 เมื่อกี้ก็พูดผ่านไปแล้ว กาย เวทนา จิต ธรรม เมื่อกำหนดกายผิด สติปัฏฐาน 4 ที่เป็นหลักปฏิบัติเพื่อไปสู่โลกุตระเป็นข้อแรกของโพธิปักขิยธรรม ในโพธิปักขิยธรรม 37 นี้ มาจาก จรณะ 15 ต้องมีศีลเป็นตัวหลักก่อนแล้วก็ อปัณณกปฏิปทา 3 ต้องปฏิบัติที่ไม่ผิด คือต้องสำรวมอินทรีย์ 6 ต้องตื่น ต้องรู้จักการสัมผัสสิ่งที่อาศัยตั้งแต่ กวฬิงการาหาร ที่คุณอาศัย แล้วมันจะมีกิเลสอยู่ในเครื่องอาศัยเหล่านั้น ซึ่งอาหารที่มันอาศัยทั้งหมดนี้ก็จะต้องเรียนรู้ในอวิชชาสูตร ไล่มาตั้งแต่ วิชชาและวิมุติ
อวิชชา มีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร คุณอวิชชาแล้วก็ไม่รู้หรอกว่ามีนิวรณ์ 5 แล้วนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร คือมีโลภโกรธหลง หรือแยกเป็น 5 อย่างเป็น กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา อวิชชา ก็ตาม คุณไม่ได้ปฏิบัติหรอก ไปหลับตาแล้วไม่ได้ปฏิบัติ กามที่จะต้องมีทวารนอกกาย มีกามคุณ 5 คุณก็ไม่ได้เรียนรู้ พูดไปแล้วยิ่งชัดว่าพวกหลับตานี้ มันควรฟังรู้เรื่อง ควรเลิกหลับตาปฏิบัติได้แล้ว มันพิกลพิการ มันไม่เต็มเต็ง มันเป็นเดียรถีย์ที่หลงทางไปไกล แล้วก็ไปยึดไอ้หลงทางไปไกลนี้มาเป็นทางปฏิบัติ อาตมาสงสารก็เลยต้องพูดช่วยเหลือ
ทีนี้ถามอีกคำหนึ่ง จินตามยปัญญา ใช้อย่างไรที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรมในตอนไหน อย่างไรครับ คือคุณโชคชัยต้องมาเรียนรู้ใหม่ ค่อยๆรู้ ที่ถามมาคือไม่รู้เรื่องอะไรทั้งหมด ไม่ประสีประสาเลย อาตมาคงอธิบายไม่หวาดไม่ไหว คุณก็ต้องมาค่อยๆ เริ่มต้น ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ไปตามลำดับ จะมาเรียนรู้พยัญชนะเฉยๆ ก็ไปท่องตามแบบ ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ ตามที่เปรียญ 9 เขาเรียนกัน คุณก็ได้พยัญชนะไปนั่นแหละ แต่ถ้าเรียนทางนี้ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา แล้วปฏิบัติไปตามขั้น แล้วคุณก็จะเข้าใจสภาวะพวกนี้
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 29 พ่อครูฝืนสังขารเพื่อต้องการลูกๆได้ PI(โพธิรักษ์ Intelligence)วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2566 แรม 8 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2566 ( 16:32:19 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2561
เวลาบันทึก 11 มกราคม 2564 ( 11:00:36 )
รายละเอียด
สติปัฏฐาน 4 เป็นต้นรากแห่งโลกุตระ โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นโลกุตระ 37 รวมกับ โลกุตระอีก 9 ก็เป็นโลกุตระ 46 โลกุตระ 9 คือ อาริยมรรค 4 สามัญผล 4 แล้วก็นิพพาน 1 ในคำสอนของพระพุทธเจ้าเน้นสติปัฏฐาน 4 แล้วคุณปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไม่เป็นกันเลย พิจารณากายในกาย ตัวที่ 1 คำว่า กาย คุณก็โมฆะแล้ว มิจฉาทิฏฐิคำว่ากาย ถ้ามีกายในกายมันมีกายนอกไหม มี
ฉะนั้นกายมันต้องมี 2 มีกายนอก-กายใน ถ้าคุณเข้าใจกายนอกอย่างเดียวคือ กาย ในไม่มีกาย ใน ไม่เกี่ยวกับจิต มโน วิญญาณ คุณก็มิจฉาทิฏฐิถาวรแล้ว มิจฉาทิฏฐินิรันดรแล้ว ก็จบเห่เลยกระดุมเม็ดแรกผิด เพราะฉะนั้นกายจะต้องมีสอง แล้วก็พิจารณากายในกาย การพิจารณากายในกายนั้น ในเข้าไปมันจะไปถึงเวทนา กายในกาย คือตัวกลางของกายนอก-กายใน คือตัวต้นของเวทนา
เวทนาในเวทนาก็คือตัวกายในกาย กายนอก กายใน เวทนาใน เวทนานอก แต่เขาไม่ได้พูดเวทนานอก เหมือนกับกายนอกเขาไม่ได้พูด มันก็มีเวทนานอก?คือกายใน มันก็เป็นอิทัปปัจจยตาเชื่อมต่อกันไป แล้วก็ไปหาจิต เป็นจิตในจิต กายก็จิต เวทนาก็จิต แล้วจิตต่างๆก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ ก็เรียนรู้ภาวะ 2 ของเจโตปริยญาณ 16 ราคะก็มี วีตราคะ โทสะก็มีวีตโทสะ ก็มี 2 ทั้งนั้น 8 คู่ เจโตปริยญาณ 16
คุณก็เรียนตั้งแต่หัวมันก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ 3 คู่นี้ก็เป็น 6 แล้วทำได้บ้างก็เป็น สังขิตฺตํจิตตํ - วิกขิตฺตํจิตตํ ตามตระกูลของตน..สายศรัทธาหรือปัญญา สังขิตฺตํจิตตํ ก็เป็นก้อน วิกขิตฺตํจิตตํ ก็เป็นกระจาย ก็ทำ เก็บรายละเอียดของกิเลสให้ได้ ให้มันดีขึ้นเจริญขึ้น อัคตะ เป็น มหัคคตะ หรือเป็น อมหัคคตะ ไม่เจริญ ไม่ดี ไม่เป็นมหา ไม่เป็นอัคคะ ไม่ได้ผล ไม่ได้มาก ไม่ได้ชัดเจน ความเจริญไม่ได้ ก็ต้องทำให้มันเป็น มหัคคตะให้ได้ ทำได้ก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าเป็น สอุตตระ อาตมาไม่ต้องจำพยัญชนะพวกนี้หรอก จำได้เองเพราะมีสภาวะ ไล่ไม่ผิดด้วย ไม่สลับสับสนด้วย มันเป็น สอุตตระ คือเจริญ จิตเจริญแล้ว แต่เจริญกว่านี้ยังมีอีก ยังไม่จบ ต้องเป็น อนุตตรจิต ถึงจะสูงสุด
สรุป อตุตรจิต สูงสุดจบด้วย สมาหิตัง หรือ อสมาหิตัง มันเป็นจิตที่ตั้งมั่นเที่ยงแท้ได้หรือยัง มันหลุดพ้นจากกิเลสหรือยัง อวิมุติ หรือวิมุติ ตรวจสอบอีก 2 คู่ก็คือ วิมุติ อวิมุติ นี่คือ เจโตปริยญาณ 16 อาตมาพูดไปนี้เป็นสภาวะธรรมทั้งนั้นพยัญชนะก็พูดไป มันจำได้เพราะเข้าใจแล้วก็ท่องง่าย จะเป็นบาลีก็ยังจำได้ เพราะฉะนั้น 16 อย่างนี้ อาตมาไม่ต้องท่องหรอก บาลีตัวนี้ตัวนี้ทั้งๆที่มันจำยาก พูดซ้ำๆ เดี๋ยวก็จำได้หมด ตั้ง 16 ตัวนะบาลีนั้น ใครจำได้บ้าง เจโตปริยญาณ 16 ยกมือ .. พูดซ้ำพูดซากก็น่าจะฟังจำได้ เหมือนท่องสูตรคูณก็อย่างหนึ่ง ถ้ายิ่งมีสภาวะ คุณก็จำได้อย่างอาตมา หรือจะรอให้ได้อย่างอาตมา ถึงจะจำพยัญชนะนี้ได้ง่ายเหมือนอย่างอาตมา จะเอาขนาดนั้นเหรอ ใช้อาศัยพยัญชนะมันบ้าง
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 38 เจาะลึกเทวทัตยุคดิจิตอลที่หาความเลวเพิ่มไม่ได้อีก วันนี้วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2566 ( 15:24:34 )
รายละเอียด
สติปัฏฐาน 4 แบบสรุปย่อ เวทนาเป็นฐานปฏิบัติ พระพุทธเจ้าแจกแจงไปถึงเวทนา 108
_(แบ่งเป็น 2 เวทนา ได้แก่..)
-เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม)
-เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป).
_แยกเป็น 3 เวทนา ได้แก่..
สุขเวทนา
ทุกขเวทนา . .
อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขา).
_(รู้กำลังของเวทนาทั้ง 5 ได้แก่)
สุขินทรีย์
ทุกขินทรีย์
โสมนัสสินทรีย์
โทมนัสสินทรีย์
อุเบกขินทรีย์
_(แยกเป็น 6 เวทนา ได้แก่)
จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา
โสตสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทหู
ฆานสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทจมูก
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทลิ้น
กายสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทกาย
มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจปรุงแต่งเอง
_ได้แก่ มโนปวิจาร 18 (คือ เวทนา 3 ร่วมกับอายตนะ 6)
สุขเวทนาแบบโสมนัสสูปวิจาร (6 ทวาร+โสมนัส)
ทุกขเวทนาแบบโทมนัสสูปวิจาร (6 ทวาร+โทมนัส)
เฉยๆ ที่เป็นอุเบกขูปวิจาร (6 ทวาร+อุเบกขา)
เคหสิตโสมนัส 6 เคหสิตโทมนัส 6
เคหสิตอุเบกขา 6
เนกขัมมสิตโสมนัส 6
เนกขัมมสิตโทมนัส 6. .
เนกขัมมสิตอุเบกขา 6 . . .
_ครบ 108 เวทนา โดยกาละทั้งสาม ได้แก่ . . .
เวทนามโนปวิจาร ที่เป็นอดีตทั้ง 36 ก็สูญแล้ว
เวทนามโนปวิจาร ที่เป็นปัจจุบัน 36 ก็สูญอยู่
เวทนามโนปวิจาร ที่เป็นอนาคต 36 ก็สูญอีก .
(ปัญจกังคสูตร พตปฎ. เล่ม 18 ข้อ 412-424)
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาไม่ดับสัญญาแต่ดับกิเลส วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 16 ตุลาคม 2565 ( 18:42:41 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2563 ( 15:18:18 )
รายละเอียด
1. สติปกติธรรมดาของคนทั่วไปที่มีคุณลักษณะสามัญปุถุชน
2. สติที่ระลึกรู้อยู่พร้อมกับสามัญกิเลสมันบงการไป แล้วก็เป็นทาสของกิเลสพาทำชั่วบ้าง ทำดีบ้างไปตามยถากรรม ไม่มีจิตใจที่จะทำดีอย่างมุ่งมั่น สติแบบนี้ทางปฏิบัติจะได้บุญไม่มีเลย นอกจากได้แค่กุศล
หนังสืออ้างอิง
เปิดโลกเทวดา หน้า 79,ค้าบุญคือบาป หน้า 263
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 09:15:32 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:39:49 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 13:59:43 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
เทศน์ทำวัตรเช้า วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2563 ( 17:26:14 )
รายละเอียด
เป็นผู้มีสติ เป็นผู้มีกำลังแห่งสติดี เก่ง สามารถแยกจิตออกจากอารมณ์เสพ อารมณ์เพลิน ยึดติด เอามาระลึกรู้สภาพธรรมอื่นได้
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 101
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 09:16:10 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:41:52 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:00:21 )
รายละเอียด
คือองค์ประกอบตัวตนของคน ในปัจจุบันนั้น รู้จักสติที่เป็นโพชฌงค์ เป็นสติที่มีความเต็มทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม รับรู้องค์ประกอบทั้งภายนอก ภายใน ประมวลแล้วเป็นสังขาร รู้ในองค์ประชุมที่เป็นสังขารวิเคราะห์วิจัยว่า สังขารนั้นมีเศษธุลี แม้แต่มีขี้ไคลของความคิดนิดๆหน่อยๆคุณก็รู้ไปตามลำดับ อะไรควรเห็นก่อนก็ล้างกำจัดก่อน นี่เป็นภาคปฏิบัติของแต่ละคนที่จะติดตามไปเรียนรู้
ที่มา ที่ไป
(630424)
เวลาบันทึก 28 เมษายน 2563 ( 14:05:49 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:11:16 )
เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 15:16:51 )
รายละเอียด
ใช่ สติของพระอริยะก็ดีกว่าเป็นสติที่รู้จักกิเลสและลดกิเลสได้ ส่วนสติของปุถุชนเขาก็ตื่นเต็ม แต่เขามีกิเลสเป็นเจ้าเรือน กิเลสออกบทบาทของมันเต็มที่ เขาไม่ได้เรียนรู้กิเลส ไม่ได้เรียนรู้ในการลดกิเลส เขามีสติตื่นเต็ม แต่กิเลสก็ทำหน้าที่กับสตินั้น ธาตุรู้นั้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาสื่อสภาวธรรมโลกุตระ วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565 แรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2565 ( 11:38:43 )
รายละเอียด
การที่พระพุทธเจ้าไม่ให้ใครไปปรับอาบัติหรือไปปรับความผิดจากการกระทำของอรหันต์
หนังสืออ้างอิง
รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 219
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 09:17:02 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:44:47 )
เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 15:17:11 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563
เวลาบันทึก 09 เมษายน 2563 ( 11:40:36 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:09:08 )
รายละเอียด
คือ พระอรหันต์พระพุทธเจ้าจะให้เป็นอะไร ก็ไม่มีทางให้เป็นสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ชั่ว จะไม่มีตัวเจตนานี้เลย เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทุกองค์ มีความซื่อสัตย์ สุจริตในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าจึงให้ยกสติวินัยแก่พระอรหันต์ เพราะว่าท่านจะไม่มีเจตนาที่จะทำอะไรผิด อะไรเลวร้าย แต่ถ้าอรหันต์ผิดได้ ไม่ได้เจตนาให้ผิด แต่มีภูมิรู้เท่านั้น ก็อย่าไปเอาผิดท่าน อย่าไปถือโทษท่าน เพราะว่าท่านบริสุทธิ์ แต่มีวิบาก วิบากเป็นอันทำ เช่นเราเดินไปเหยียบมดตาย ไม่ได้เจตนาจะไปเหยียบมดตาย แต่มดมันตาย เหยียบมันแรง มันตายเลย เราไม่ได้มีเจตนา เราไม่ได้มีบาป ไม่ได้มีอกุศลจิตเลย ไม่มี แต่วิบากมี ตรงที่ว่า มดมันจะพยาบาทเราไหม ทำมันตาย มันโกรธไหม มันไม่ชอบ ก็ยึดถือ ว่าเองทำข้าตาย มันจะจองเวร จองกรรมถูกตัวหรือเปล่า ถ้ามันรู้ว่าคนนี้ มันก็จองเวรทันที ถ้ามันไม่รู้ว่าใครก็ตามไม่ได้ มันก็จองไม่ถูกตัว เรื่องพวกนี้เราเดาเอาไม่ได้ นัยละเอียด ของกรรมวิบากนั้นลึกซึ้งอจินไตย อย่าไปคิดเล่น พูดเล่น มันละเอียดมากมายเหลือเกิน
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 81 วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 13:30:43 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:32:36 )
เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 15:18:17 )
รายละเอียด
สติวินัยใช้กับพระอรหันต์หมายความว่า หมู่สงฆ์ ยกประกาศว่าท่านมีสติวินัยเพราะฉะนั้นท่านย่อมมีสติสมบูรณ์ คนมีสติสมบูรณ์จะเป็นอัลไซเมอร์ได้อย่างไร ถ้าเครื่องมือคือสมองมันไม่ดี สติ มันจะไปดีได้อย่างไร สมองมันพิการ เครื่องมือที่จะใช้มันบกพร่องมันก็จะใช้เต็มที่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น
1. พระอรหันต์ สมองก็จะต้องบริบูรณ์ โดยอจินไตย โดยกรรมวิบาก ผู้มีบารมีจะบรรลุอรหันต์ แน่นอน เครื่องมือจะใช้ก็ต้องสมบูรณ์ จิตวิญญาณที่ศึกษาฝึกฝนจึงจะสมบูรณ์ลงกันได้ เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว อรหันต์ไม่เป็นอัลไซเมอร์ เป็นอัลไซเมอร์อยู่ยังไม่เป็นอรหันต์ไม่ว่าจะหลังหรือก่อน ยิ่งก่อนจะเป็นอรหันต์ อัลไซเมอร์แล้วจะไปเป็นอรหันต์ได้อย่างไร แม้เป็นพระอรหันต์แล้วจะเป็นอัลไซเมอร์ ไม่ได้หรอก โดยอจินไตยโดยกรรมวิบากพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ วาสนาที่จะอยู่ จะต้องเป็นเครื่องมือสมบูรณ์ เครื่องมือไม่สมบูรณ์มันไม่ได้ มันไม่ลงตัวกัน มันจะต้องสมพร้อมกัน
แล้ว อมูฬหวินัย ใช้กับพระอรหันต์ได้อย่างไร พระอรหันต์จะไป อมูฬหวินัยได้อย่างไร อมูฬหวินัย ใช้กับผู้ที่ไม่เต็มเต็งจริงๆ คนสติไม่ดี คนฟั่นเฟือน คนเป็นบ้า เพราะฉะนั้นวินัยที่ใช้กับพวกเป็นบ้า อรหันต์กับคนบ้าจะเป็นคนเดียวกันได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ อรหันต์กับคนบ้าจะเป็นคนเดียวกันไม่ได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้สภาวะของรูป 28 สู่ความเป็นอรหันต์ วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 18:31:25 )
รายละเอียด
อาตมามีสภาวะทั้งหมดแล้วจึงเอามาพูดได้ เอาอุตริมนุสธรรมอวดไป แล้วเขาก็บอกว่าอาบัติ แต่เป็นอรหันต์แล้วไม่มีอาบัติหรอก แม้บอกกับอนุปสัมบันก็ไม่มีอาบัติ สงฆ์ประกาศยกสติวินัยให้อาตมาแล้วด้วย มาพูดนี้ไม่ได้ผิดวินัยอะไรสักอย่าง ยกไว้แล้ว อาตมาแม้พูดแรง ด่า แต่ไม่ได้ไปมีจิตไปเบียดเบียนใคร ไม่ได้รังแกใคร เช่นตำหนิมหาบัว ตำหนิธัมมชโยก็บอกด้วยความเมตตาด้วยความจริง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลไม่ได้ติเตียนผู้อื่นด้วยอธิศีล ที่พูดไปนี้เป็นอธิศีล จริงๆ ใครจะติเตียนเขาต้องมีความเหนือเขา แต่ถ้าตัวเองไม่เหนือเขาแล้วไปติเตียนเขาก็จะไปไม่รอด เตี้ยอุ้มค่อมคนที่ไปติเตียนเขาโดยที่ตัวเองไม่มีอธิศีลนั้นแล้ว ก็ไม่เป็นอยู่ผาสุก ตั้งตนในคุณอันสมควรก่อน พร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง การเพ่งดูตน ต้องรู้ตน อ่านตน ขจัดกิเลสในตนอย่าไปเพ่งผู้อื่น ผู้ไม่ไปเพ่งผู้อื่น คำว่าเพ่ง คือเพ่งโทษ เพ่งโทษกับเพ่งคุณต่างกันนะ อาตมามีแต่เพ่งคุณไม่เพ่งโทษ บอกโทษของเขา เพื่อให้เขาแก้ไขปรับปรุงจะได้เป็นคุณ บอกธัมมชโยหรือมหาบัวเป็นต้น เอามาเป็นตัวอย่าง อาตมาพูดเหมือนไม่เคารพ มหาบัว แต่อาตมาเคารพเพราะบวชก่อน แต่คุณธรรมเคารพไม่ได้ เพราะหลอกผู้อื่นทางธรรม หลอกอุตริมนุสสธรรม ตัวเองไม่ได้บรรลุพระอรหันต์แต่ก็ไปบอกว่าตัวเองบรรลุซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด แม้ไม่รู้ตัวก็เถอะ ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ อาตมาพูดเพื่อให้รู้ ไม่ใช่พูดเพื่อให้ได้ลาภยศสรรเสริญ ให้คนมายอมรับนับถือ อาตมาพูดแต่สัจธรรมอย่างเดียวไม่เกี่ยวกับ โลกียธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อาตมาพูดเป็นโลกุตระ พูดสัจธรรมอย่างเดียว อาตมาเองเมื่อหมดตัวตนก็จบ ไม่ต้องเพ่งดูตนก็ได้ แล้วจิตไม่เพ่งดูตนตัวเองไหม ก็ต้องรู้ตัวเองเพราะว่าจิตของผู้ที่หลุดพ้นแล้วมี มุทุภูตธาตุ พูดเลยแสดงอะไรออกไป ต้องมีสติรู้ว่าตัวเองแสดงอะไรออกไป สิ่งไม่ควรก็ไม่ทำ สิ่งที่ควรก็ทำ คุณต้องพยายามดูตัวเอง ตัวเองไม่พ้นแล้วไปติผู้อื่นก็ไม่สมควรแล้ว เตี้ยเท่านี้แล้วไปติผู้สูงไม่ควร ควรต้องดูที่ตนอย่าไปเที่ยวว่าคนนั้นคนนี้ ไม่มีสิทธิ์ ผู้เพ่งตน รู้โทษผู้อื่นแล้วบอกผู้อื่นให้รู้ตัวก็เป็นความเป็นอยู่ผาสุกข้อที่ 2
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 26 มกราคม 2563 ( 16:12:35 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:35:54 )
รายละเอียด
ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ
หนังสืออ้างอิง
เปิดโลกเทวดา หน้า 38
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 09:19:43 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:45:36 )
เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 15:18:45 )
รายละเอียด
คือตัวเชื่อมต่อ ธาตุรู้ที่ทำงานต่อติดไป กับสติปัญญา สติปัญญา คือ ความรู้นั้นสำเร็จผลที่จากเริ่มรู้ โลกุตระจุดแรก อัญญา มาเป็นปัญญา
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 81 วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 14:08:19 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:36:55 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:02:34 )
รายละเอียด
มีความตื่นรับรู้เต็ม สตินี่แหละ เรียกว่า สติสัมปชัญญะ
สัมปชัญญะก็เป็นอาการเจตสิกต่อเนื่องจากความรับรู้ แล้วก็มี สัมปชัญญะ
สัมปชัญญะ โดยพยัญชนะก็บอกอยู่ในตัวมันว่ามี อัญญะ มี ปะชะ อาตมา รู้จักพยัญชนะของบาลี ปะ ก็คือชนิดหนึ่ง ชะ ก็คือชนิดหนึ่ง
ช เป็นธาตุรู้แล้ว ชะ แล้วเป็น ชา ก็แปลว่าความรู้ และชา ชานะ ชาติ รู้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นก็จะมีความรู้ที่รู้อื่นๆขึ้นไปเรื่อยๆ สติสัมปชัญญะ ก็มีความรู้ ตื่นที่ตื่นรู้ เพราะฉะนั้นไปปฏิบัติหลับตาสัมปชัญญะจะมาตื่นรู้ ไม่มี สติจะตื่นเต็มก็ไม่มีอยู่แล้วสัมปชัญญะก็จะไม่มีหรอก
ปฏิกูลก็ดี อิริยาบถก็ดี อานาปานะก็ดี อันนี้หมายถึงเรื่องที่เราจะต้องเกี่ยวข้อง มีสติสัมผัสกับปฏิกูล จะต้องเรียนรู้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่น่ายึดถือ เป็นเรื่องปฏิกูล เป็นเรื่องที่ไม่น่ายึดไว้ หรือพิจารณาแม้แต่อยู่ในอิริยาบถต่างๆ อิริยาบถทางกาย วาจา ใจ ก็ต้องรู้อิริยาบถต่างๆ ว่าเราทำอิริยาบถเหล่านี้ ทำไปทำไม ทำเกี่ยวข้องกับอันโน้นอันนี้ อะไรคืออะไร
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 29 พ่อครูฝืนสังขารเพื่อต้องการลูกๆได้ PI(โพธิรักษ์ Intelligence)วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2566 แรม 8 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2566 ( 16:25:18 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2563 ( 11:35:46 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:11:47 )
เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 15:19:10 )
รายละเอียด
1. สติที่เข้าขั้นความเป็นอาริยะ
2. สติที่มีคุณภาพถึงขนาดเป็นตัวพาตรัสรู้มรรคผลได้
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 288 ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 91
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 09:20:44 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:47:02 )
เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 15:19:42 )
รายละเอียด
คือเป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทีนี้ตัวสำคัญก็คือ ต้องมีธัมมวิจัย คนที่นั่งหลับตาปฎิบัติ ไม่มีธัมมวิจัย ไม่มีการวิจัย วิจารอะไร หยุดวิจัยหยุดนึกคิดปรุงแต่ง หยุดนิ่ง แล้วไปอธิบายกันว่าจะเกิดปัญญาโผล่ขึ้นมาเอง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ มันจะต้องมี ธัมมวิจัยอย่างสัมมาทิฎฐิ ยังมีสัมมาปฏิบัติ มีการสัมผัส สัมพันธ์กันกับภายนอกได้ ผลวิจัยออกมา บวก ลบ คูณหาร Solutino ออกมา แล้วมันถึงจะมีผลลัพธ์ที่สุด ออกมาสำเร็จอย่างนั้น ถ้าไม่มีธัมมวิจัยก็ไม่มีการสังเคราะห์สังขาร บวก ลบ คูณ หาร เป็นผลสำเร็จออกมาไม่ได้
ที่มา ที่ไป
รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราชฯ วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 13:19:17 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:38:33 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:03:22 )
รายละเอียด
คือ หมายถึงสติที่เป็นโลกุตระ ปฏิบัติสตินี่คือ ความรู้รอบถ้วนทั้งนอกและใน เรียกว่า สติ บางที่เขาก็มีสติแต่เพียงภายในอันนั้น ถือว่าไม่ครบ สัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์จะต้องเป็นสติที่รู้ครบพร้อมทั้งนอกและใน ตื่น ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ตื่นทั้งใจ หากว่าตื่นแต่ใจ ตา หู จมูก ลิ้นกาย ปิด ไม่รับรู้มันก็ง่าย มันเพียงรูเดียว มิติเดียว แต่ถ้าเติมไป ก็มี 6 มิติมันก็ยากกว่าสติที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้สัมโพชฌงค์ จะต้องรู้รอบ ถ้วนหมด ทั้งนอก และใน มีทั้งรูปและนาม มีทั้งกายและเทวะ กายคือ รูปนอก ภายนอกภายใน เทวะคือสภาพสองอย่างรูปและนามก็ได้ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ภายนอก ต้องทำภายนอกเสร็จก่อน กามภพ ไปภายในต่อ รูปภพ อรูปภพ สติสัมโพชฌงค์ คือ สติที่ครบพร้อมตามทฤษฏีของพระพุทธเจ้า
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 81 วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 14:02:41 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:39:57 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:04:15 )
รายละเอียด
ในสติสัมโพชฌงค์ ก็มีความตื่นเต็มร้อย
สติสัมโพชฌงค์ก็ดี สัมมาสติก็ดี สติปัฏฐานก็ดีก็มีความตื่นเต็มร้อย
สัมมาทิฏฐิ เป็นความตื่นเต็มในความเห็นความรู้ เป็นการเริ่มต้นเป็นความเข้าใจเป็นความรู้ เริ่มรู้เริ่มเข้าใจ เริ่มศรัทธาแล้วศึกษาต่อ ศึกษาต่อก็ยังไม่เต็มร้อย สติปุถุชน สติกัลยาณชน ก็คือสร้างสตินั้นให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ สร้างจิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นสติโพชฌงค์หรือสติอาริยะ สติของพระอาริยะที่เต็ม
โพชฌงค์ แปลว่าองค์แห่งการตรัสรู้ หมายความว่า ความตรัสรู้ทั้งหมด ทุกองค์ทุกหน่วย ทุกสิ่ง เรียกว่าโพชฌงค์ คือโพชฌ หรือโพธิ
โพชฌ ที่อยู่ในพยัญชนะตัวที่ยังไม่เต็ม พอรวมตัวกันแล้วเป็นโพธิ หรือโพธะ รวมเป็นหนึ่ง แน่น
โพชฌ เป็นองค์แห่งการปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติจบลงก็เป็น โพธิ หรือโพธะ
เอาพยัญชนะมาขยายความสภาวะให้ละเอียดลงไปอีก
โพธิ ก็เต็มกว่า โพธะ
อะ อา อิ ไม่ต้องขยายเพิ่มถึง โพธุ เอาแค่โพธิ ก็พอแล้วประเดี๋ยวมันจะทะลุเกินไป ในบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติมันจะมากไป
ขอเริ่มต้นด้วยสติ ในโพชฌงค์ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ต่อมาก็มีวิริยะสัมโพชฌงค์ แล้วก็มีปีติสัมโพชฌงค์ แล้วก็เป็นปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ แล้วก็มีสมาธิสัมโพชฌงค์ แล้วถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เป็นโพชฌงค์ 7
นี่แหละเป็นอาหารที่ทำให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วก็เจริญบริบูรณ์
ที่มา ที่ไป
รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 02 มกราคม 2563 ( 15:12:15 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:42:03 )
เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 15:21:10 )
รายละเอียด
“รู้เท่า และรู้ทันกิเลสได้ด้วยสติ “ ส่วนมากกิเลสมันจะเร็วกว่านะ
_(เปรียบเป็นมวย Heavy weight ด้วยกัน) อาตมาว่ามวย Heavyweight ไม่เร็วหรอก ต้องมวย Bantamweight ถึงจะเร็ว มันตัวจิ๋วตัวเล็กโช๊คเร็ว ไอ้นั่นมันใหญ่มันหนักมันเทอะทะ Heavyweight ถ้าจะเปรียบมวย Bantamweight หรือ Lightweight ก็จะตรงกว่า
สติเป็นความตื่น เป็นความนำหน้า เป็นความเผชิญเป็นตัวหน้า เป็นตัวนำหน้าของสิ่งที่คุณจะตกหล่น ถ้าคุณไม่มีสติคุณจะตกหล่น แต่ถ้าคุณมีสติเต็ม มันจะรู้ทันเลย เพราะฉะนั้น สติจึงเป็นตัวแรกของสัมโพชฌงค์ เป็นตัวยิ่งใหญ่
ผู้ที่เห็นกิเลส รู้เท่าทันกิเลส ปั๊บ (ในทันทีนั้น) ก็สำรวมอินทรีย์ด้วยตบะ ตบะ-การกดข่ม อดทน ต่อสู้
เอาศีลมาเป็นตบะ ก็ดี ว่าเราถือศีลนะ ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์นะ สัมผัสกับสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์คนนี่แหละ ทำให้เราเกิดโลภ-โกรธ-หลง หรือเกิดรัก-เกิดชัง (ทำให้เกิด)ได้เก่ง ก็คนนี้แหละ เพราะฉะนั้นใช้สติเป็นตัวนำ แล้วก็พิจารณา (1) สติสัมโพชฌงค์ (2) ธัมมวิจัยโพชฌงค์ (3) วิริยะสัมโพชฌงค์ คือ (สัมโพชฌงค์ 3) 3 ข้อแรกใน”โพชฌงค์ 7” เป็นงานหลักในการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นงานหลักเลย แล้วก็..
ใช้ (สัมโพชฌงค์) 3 ข้อ 3 ตัวนี้ คือสติฯ ธัมมวิจัยฯ วิริยะฯ 3 สัมโพชฌงค์ ปฏิบัติ”สติปัฏฐาน 4” อ่านให้เข้าใจถึงสภาพตั้งแต่มีกาย-มีเวทนา-มีจิต-มีธรรมะ แล้วเข้าใจสภาวะของกายคืออะไรแค่ไหน เวทนาคืออะไรแค่ไหน จิตคืออะไรแค่ไหน แล้วจัดการลงไปถึงขั้นธรรมะได้แค่ไหน อย่างนี้เป็นต้น
ไอ้ที่พูดมาถึงตรงนี้แล้ว มันเป็นภาวะของการปฏิบัติที่ยิ่งใหญ่ มันจะรู้จะเห็น จะรู้จะเห็นความจริงตามความเป็นจริง ไปเลย
พลังงานฌานคือพลังงานที่จัดการกิเลส ด้วยพลังที่เราเรียกว่า มีพลังไฟ หรือพลังที่มันเผาได้ ผลาญได้ ทำให้สลายได้
ใน ฌาน 1, ฌาน 2, ฌาน 3, ฌาน 4 ก็มีพลังที่มีประสิทธิภาพ สูงขึ้นจนกระทั่งถึงสุดท้าย อย่างที่อาตมาได้อธิบายมาไม่รู้กี่ทีแล้วว่า ฆ่ากิเลสตายสนิท ฌานที่ 4 หรืออีกคำหนึ่งภาษาก็คือบุญ ก็คือในฌานนี่แหละ ฌานที่ 4 ถ้าลงถึงมือของบุญ มือประหารมือสุดท้ายนี้แล้วละก็ กิเลสตายสนิท
พลังงานฌานที่ 4 คือพลังงานบุญ เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ถ้าถึงมือบุญประหารมือสุดท้ายแล้วกิเลสตายสนิท
ฌานก็คือปัญญา เมื่อเข้าใจสภาวธรรมแล้ว ฌานก็คือปัญญา เพราะฉะนั้นอาวุธคืออะไร อาวุธก็คือปัญญา อาวุธฆ่าคืออะไร ฆ่ากิเลส ก็คือปัญญา เอาอื่นฆ่าไม่มี เอาอื่นฆ่าไม่ได้ กดข่มให้ตาย กดข่ม คุณจะใช้วิธีกดข่มก็ได้แค่ อาฬารดาบส อุทกดาบส กิเลสไม่ตาย ฟื้น อาจจะข่มได้นาน นานๆๆ เท่าที่คุณจำไม่ได้แล้ว จำไม่ได้ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นมันไม่สำเร็จ สรุปง่ายๆคือไม่สำเร็จ ต้องใช้ระบบของพระพุทธเจ้า ใช้คำภาษาต่างๆพวกนี้ ฌาน คือ พลังงานในการฆ่ากิเลส
เรื่องนั้นๆ เรื่องไหนก็แล้วแต่ ทำมาตามหลัก (ตามลำดับศีล) ศีลข้อ 1 เราทำได้ทีละเรื่องศีล เราก็จะเก่งขึ้น พัฒนาขึ้น ศีลจะยากขึ้นหรือจะละเอียดขึ้น ก็เป็นไปตามลำดับ จนสามารถ ลด ละ เลิก กิเลสเรื่องนั้นๆ เป็นที่สุด ขยายความไปตลอดแล้วก็คือสัมมาทิฏฐิที่ให้ไป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้จบกิจ 4 ประการเป็นผู้อยู่เหนือกาละได้ วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2566 วันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2567 ( 03:19:14 )
รายละเอียด
สติที่ระลึกอยู่พร้อมกับความเพียรให้เข้าถึงความรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “รูปกับนาม – กายกับจิต – กรรมกับสังขาร – บุญกับบาป” ให้ได้อยู่เสมอ และพยายามทำบุญให้ได้อยู่เสมอ
หนังสืออ้างอิง
ค้าบุญคือบาป หน้า 264 – 265
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 12:17:39 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:51:31 )
เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 15:21:36 )
รายละเอียด
คือเป็นสติของอาริยชน
ที่มา ที่ไป
รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราชฯ วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 13:17:38 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:42:33 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
เทศน์ทำวัตรเช้า วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2563 ( 17:29:55 )
รายละเอียด
สติเป็นพลังงาน สติปัญญาเป็นพลังงานไดนามิค (630605)
ที่มา ที่ไป
(630605)
เวลาบันทึก 05 มิถุนายน 2563 ( 15:38:54 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:12:00 )
รายละเอียด
หนึ่งไม่รู้ตั้งแต่มีสติ สตินี้เป็นตัวตั้ง สติมีธาตุรู้ที่รู้พร้อมตื่นเต็ม กายวาจาใจ สติเต็มทั้งกายกรรม สติเต็มทั้งวจีกรรม สติเต็มทั้งมโนกรรม พร้อม ตื่นเต็ม
กาย ซึ่งลึกซึ้ง กายไม่มีจิตร่วมด้วย มีแต่วัตถุ กายมีแต่ดินน้ำไฟลมไม่ได้ นั่นเป็นมิจฉาทิฏฐิเบื้องต้นเลย ซึ่งอาตมาก็อธิบายแล้วอธิบายอีก ยากจริงๆ เพราะมันเสื่อม มันเพี้ยนไปไกลมาก เพราะคำว่ากายในสังโยชน์ข้อที่ 1 จะหาสัมมาทิฏฐิเข้าใจคำว่ากาย นอกจากเข้าใจกายในสังโยชน์ข้อที่ 1 ถูกต้องแล้ว ก็จะต้องตรวจว่ามันอยู่กับตนนะ สักกะ มันเป็นตัวตนนะ เป็นของตนตัวตนนะ ทุกเวลา ทุกนาที ทุกอิริยาบถ กาย วาจา ใจ
กรรมกิริยาของกาย วาจา ใจ มันเป็นของตนทั้งนั้น กัมมสโกมหิ กัมมทายาโท กรรมโยนิ ตั้งแต่เริ่มกรรมในจิต ออกไปทางวาจา ออกไปทางกาย ร่วมด้วยทั้งนอกทั้งใน คุณจะเกิดบทบาทเต็มรูป ถ้าเรียกว่ากาย จะให้ครบก็มีทั้ง นัจจะ คีตะ วาทิตะ นัจจะคือท่าทาง คีตะคือเสียง วาทิตะคือคำพูด ต้องมีสติกำกับทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม สติเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็น อุตระ มีในมูลสูตร 10 เพราะฉะนั้นสติเป็นอำนาจคุมทุกอย่าง กาย วาจา ใจ อำนาจใหญ่สติเป็นอธิปไตย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 19:35:57 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2563 ( 11:37:54 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:12:27 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:06:46 )
รายละเอียด
การมีชีวิตอยู่กับของกินของใช้ ก็อย่าให้เกิดกิเลส ใช้คอมพิวเตอร์ ของใช้ก็อย่าให้เกิดกิเลส มันติดกิเลสเยอะเลยนะ ในคอมพิวเตอร์ ถ้าโง่กับมัน มันเอาไปกินหมด พวกใช้คอมพิวเตอร์เช่นพวกใช้ Facebook เอาไปกินรวยเละเลย นายมาร์ค หรืออะไรอีกหลายอย่างแย่งกันไปแบ่งกันไป แต่นายมาร์คมันคว้าได้ก่อนรวยเละเลย อายุ 30 กว่ายังไม่ 40 เลยรวยระดับท็อปเท็นของโลก
แม้คุณมาลืมตาทำงานอยู่ มันก็ไม่ได้มีสติแววไวรับรู้ เช่น อันนี้รับรู้หน่อยอันนี้รับรู้ต่างๆ มันไม่แข็งแรงเต็มที่ ถ้าสติเต็มร้อยของคนที่มีสติเต็มที่ท่านบอกว่า สติเป็นอธิปไตยแปลว่าพลัง หรือแรงอธิปไตย สตินี่ มันจะมีพลังอำนาจรู้ แววไว เท่าทัน ฉับพลัน รู้หมดทุกอย่างเลยสติเป็นเรื่องใหญ่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 ประการ 3 ข้อแรก โดยพิสดาร วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2565 ( 20:33:47 )
รายละเอียด
ส่วนพลังงานจะเป็นอย่างไรคุณรู้ของคุณได้เองเป็นพลังงานทางจิต คุณมี
1. คุณจะเผาพยาบาท หรือ คุณจะเผาความโกรธ คุณก็รู้อาการโกรธที่มีในจิต แล้วคุณต้องสร้างพลังงานที่จะเข้ามาทำลายอาการโกรธให้สลายไป คุณจะสร้างให้มันเหนือให้มันสลายได้ พระพุทธเจ้าท่านแยกเอาไว้ 2 สภาพใหญ่ๆ 1. สภาพสติ
2. สภาพปัญญา สติมันมีพลังงานจริงๆเลย เรียกว่า อธิปไตย แรง มีน้ำหนักแรง สตินี้แรง
สติมาจากศัพท์ว่า สตะ แปลว่าร้อย ร้อยเต็มๆทั้งกาย วาจาใจ แรงทั้ง สภาพองค์ประชุมภายนอกหมด แรงทั้งสภาพวาจา ทั้งจิต เรียกว่า สติเต็มแต่ถ้าทำแค่สติภายในจิต มันก็ไม่มีอีก 5 ทวาร มันก็ไม่มีแรง ไม่ได้ฝึกด้วย แล้วมันก็จะเจริญได้อย่างไร นอกจากสติจะได้ทั้ง 5 ทวาร แล้วยังสามารถเอามาใช้ทางวาจาได้อีก สติ
เพราะฉะนั้นมีพลังงานสติ เป็นอธิปไตย ในมูลสูตร 10 ท่านแปลไว้ชัด ท่านแปลว่า สติเป็นใหญ่ ปัญญาเป็นยิ่ง
ยิ่ง ก็คือแปลจากคำว่าอธิปไตย ใหญ่ แปลจากอุตระ คือความเหนือมีอิทธิพลเหนือกว่า ไฟที่เป็นฌาน หรือพลังงานอุณหธาตุมันเก่งกว่าไฟราคะ โทสะ โมหะ มันอยู่เหนือ มันต้องเป็นความจริงนะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 51เป็นผู้แพ้ผู้รับใช้ได้ไม่ยาก ด้วยฌานทั้ง 4 วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 กันยายน 2565 ( 14:08:36 )
รายละเอียด
ทั้ง 5 องค์ทำงาน มี วายามะ กับสติ เป็นคู่หูคอยช่วยเหลือ สติเหมือนลม วายามะเหมือนไฟ หรือจะกลับกันก็ได้ เอาสติเป็นไฟ เอาวายามะเป็นลม ก็ได้
สภาวะจริงของลม ของไฟ คือ ประสิทธิภาพของมันก็เอาสาระของมันมาพยัญชนะจะไปเรียกไฟอย่าไปติดใจเลย อย่างนี้เป็นต้น สุดยอดของพยัญชนะของมรรคมีองค์ 8 คือ วายามะกับสติ เป็นคู่เอกที่ยิ่งใหญ่จริงๆที่จะต้องมีอาการมันเป็นอย่างไร คุณต้องสร้างถ้าคุณไม่มีสติ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 19:12:21 )
รายละเอียด
ฉะนั้นต้องออกมาครบ มีสติเต็มร้อยทางกาย มีสติเต็มร้อยทางวาจา มีสติเต็มร้อยทางใจ นี่คือสติสัมโพชฌงค์ สติที่ครบองค์ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สติที่จะทำการรู้เต็มในโพชฌงค์ข้อที่ 1 สติสัมโพชฌงค์ แล้วก็มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์
ตรงนี้แหละนักวิจัยของโลกเขานึกว่าเป็นนักวิจัย ดีไม่ดีเขาก็มาวิจัย ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วยเขาเรียกว่า ธัมมวิจัย คุณไปวิจัยอะไรต่างๆ สารคดีต่างๆ ก็วิจัยไปเยอะแยะ นายแอ๊ดวิจัยเรื่องมัน ทำปริญญาเอกเรื่องมันต่อหรือเปล่านี่ แต่ไม่ใช่ธัมมวิจัยที่เป็นสัมโพชฌงค์
สรุปแล้วบริบูรณ์ได้จะเป็นคนที่ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีการวิจัยธรรม อย่างระบบของโลกุตระ พระพุทธเจ้า
คำว่า ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มันยิ่งใหญ่ ต้องมีสัมโพชฌงค์
สัมโพชฌงค์คือ องค์แห่งความตรัสรู้โพชฌังคะ องค์ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าต้องมีองค์นี้ประกอบ เพราะฉะนั้นทำวิจัยธรรมดาคุณวิจัยธรรมะ มันไม่มีสัมโพชฌงค์ มันไม่ประกอบด้วยสัมโพชฌงค์ คุณวิจัยได้ธรรมะ แต่มันไม่มีความรู้ระดับสัมโพชฌงค์ หรือความรู้ในระดับโลกุตระ ความรู้ในระดับปัญญา ของพระพุทธเจ้า มันเป็นความรู้ทั่วๆไปเป็นความรู้ เฉโก อาจจะอัจฉริยะในระดับละเอียดลึกซึ้งมากหลาย เป็นพหูสูตโลกๆโลกีย์ได้ ฉลาดสูงสุดได้เป็นพระศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของศาสนาใดศาสนาหนึ่งเชียวนะ แต่เป็นโลกีย์ ไม่ใช่โลกุตระ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 3 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 เมษายน 2564 ( 20:58:19 )
รายละเอียด
คือสติพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในกระบวนการของ จรณะ 15 สติเมื่อแยกย่อยไป มีคนถามว่า สติในมรรคมีองค์ 8 กับโพชฌงค์ 7 ต่างกันอย่างไร หากปฏิบัติเกิดเหตุแห่ง การตรัสรู้ ก็เป็นสติที่เป็น สัมโพชฌงค์ โพชะ หรือ โพธิ แปลว่า การตรัสรู้ คือ มีความรู้ ความเข้าใจ แล้วก็ได้ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติลงตัวได้มรรคได้ผลถึงเป็นโพชฌงค์ทั้งๆ สติสัมโพชฌงค์ก็เท่ากับคุณปฏิบัติสติ ในมรรคมีองค์ 8 ก็ดี หรือ สติในสติปัฏฐาน 4 ก็ดี พิจารณา กายในกายได้ผล พิจารณาเวทนาในเวทนาได้ผลตามที่พระพุทธเจ้า ตรัสสอน ตามองค์ธรรมต่างๆ ก็เรียกว่า สตินั้นเป็นสติสัมโพชฌงค์
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 82 วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 14:33:22 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:45:25 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:07:38 )
รายละเอียด
การเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิของสัตว์จริง
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 277
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 12:18:55 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:50:03 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:08:12 )
รายละเอียด
ที่นี่(ราชธานีอโศก) 1.ไม่ฆ่าสัตว์
2. ไม่ลักขโมย
3.เรื่องของกามคุณต้องสำรวม ต้องระมัดระวังอย่าไปจัดจ้านเกินมากจนกระทั่งรุ่มร่าม เราก็จะเห็นจะรู้มีเท่านี้สัมผัสรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มีให้กินเท่านี้ จะสวยงามก็ประมาณนี้ เราก็มีเท่านี้ เสียงจะไพเราะเท่านั้นเท่านี้แหละไม่มากกว่านี้ ไม่ปรุงแต่งมากกว่านี้ มีรส มีเสียง มีกลิ่น มีรูป มีสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ประมาณนี้ มารวมที่นี่ก็จะได้รับฝึกฝนไป ต้องคนเข้าใจทิศทางที่ไปนิพพาน หากไม่มีจริต ไม่มีความเห็นจะไปนิพพานไม่มาหรอกที่นี่ มาก็จะลำบากใจ ทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะเป็นสถานที่คัดเลือกมนุษย์จริงๆ
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:42:45 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:49:10 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:09:11 )
รายละเอียด
คือเป็นสถานที่มีน้ำไหลลงมาเรียก น้ำม่าน มีน้ำโตน น้ำไหล น้ำม่าน น้ำตก ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยสมบูรณ์ ซ่อมไป ซ่อมมา มีสไลเดอร์ด้วย ทำขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่อาศัยเป็นแดนเพลินเชิญพัก ของผู้คนทั้งหลาย Pleasant Land Please Rest แปลเป็นไทยว่า แดนเพลิน เชิญพัก มาใช้บริการพักผ่อนได้ด้วย เป็นสังคมสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเราก็ พยายามสร้างความสัมพันธ์กับสังคมมนุษยชาติ ด้วยธรรมชาติ เปิดสิ่งที่เป็นเครื่องเชื่อม เป็นเครื่องที่จะมา relax มาพักผ่อน ทำเป็นสถานที่แดนเพลินเชิญพัก Pleasant Land Please Rest ก็พยายาม ใช้อุปกรณ์เท่าที่เป็นไปได้ที่จะเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปิ๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 13:08:52 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:52:01 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:20:37 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้น ธรรมะที่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติ โดยเฉพาะธรรมะ ขั้นโลกุตระที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ จึงเป็นสุดยอดในการเกิดมาเป็นคน แล้วก็มาได้ปัญญา นอกจากได้ปัญญาแล้ว ปัญญานั้นเอามาปฏิบัติที่ตนเอง จนกระทั่งผู้มีปัญญาก็จัดการกับตัวเอง ให้ตัวเองอยู่ในสถานะที่ดีที่สุด
เช่น เจ้าชายสิทธัตถะ มีปัญญา เกิดปัญญาแล้วจัดการตัวเองให้อยู่ในสถานะที่ดีที่สุดคือเป็นคนอย่างไร เป็นคนไม่มีอะไรเลย ทั้งๆที่ท่านเป็นเจ้าของแผ่นดินในแคว้นของท่าน เป็นเจ้าของทรัพย์สิน เป็นเจ้าของอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นเจ้าของอำนาจในหมู่ชนคนทั้งหลาย ท่านก็ไม่เอาสักอย่าง โยนทิ้งหมดเลย มาเดินพระบาทเปล่า ไม่เอาทรัพย์ศฤงคารอะไรเลย แล้วก็มาให้ปัญญาหรือมาให้ความรู้สถาปนาปัญญาลงไปในมนุษยชาติ จนมนุษยชาติรับได้ อจินไตยก็คือ ยุคพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ต้องมีคนที่มีภูมิธรรมมารองรับ ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นศาสนาไม่ได้ มันต้องมีความจริงอันนั้นพร้อมด้วย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2564 ( 11:08:44 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2563 ( 15:00:19 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:10:08 )
รายละเอียด
ดีมากเลย ชื่อเรื่องก็ดี๊ดี ไม่ใช่อย่างหนึ่ง เป็นอย่างหลักเลย ไปสู่อะไรอย่างอื่นหมดเลย บาป ไปสู่อะไรอย่างอื่นหมดเลย พระพุทธเจ้าตรัสถึงขนาดว่า ผู้ที่โกหกทั้งๆโดยที่รู้ว่าตัวเองโกหก คนคนนี้ไม่มีบาปอะไรที่เขาจะทำไม่ได้ เขาทำได้หมดเลย พระพุทธเจ้าตรัสถึงขนาดนี้ พวก Fake News หาเรื่องออกมาในติ๊กต๊อกนี้ มหาศาลเลย
ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ว่า... ก็เลยคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะไปเถียง แต่น่าจะต้องเสนอความเป็นจริง ความจริงที่เป็นสัจจะ โดยเอาสัจจะมาสู้ ศัพท์ผมใช้ก็คือพวกที่ชอบฟังเรื่องโกหกก็เหมือนกับการขังตัวเองไว้ในกะลา แล้วเรื่องโกหกบิดเบือนเพ้อเจ้อส่อเสียดหยาบคาย มันจะก้องวนเวียนอยู่ในกะลา กล่อมจนเขา มีความเชื่อว่าสิ่งที่โกหก เพ้อเจ้อ บิดเบือน ส่อเสียด เป็นเรื่องจริงทั้งหมด เพราะว่ามันก้องในหมู่ของพวกเขากันเอง วนไปก็วนมาก้องอยู่ในกะลานั้น
เพราะฉะนั้น สัจจะเป็นเครื่องมือเดียวที่จะทุบกะลาให้แตกได้ แล้วทำให้คนตื่นจากภวังค์ของการโกหก ส่อเสียด หยาบคาย เพ้อเจ้อ ออกมาได้ นั่นก็คือเจตนาที่เขียนหนังสือเรื่องนี้ ไม่อาจจะพูดได้ว่าสำแดงธรรม แต่ต้องการให้โลกได้รับรู้ว่าสัจจะความจริงคืออะไร แล้วก็คิดว่า ถ้าสัจจะได้สำแดงออกมา ข้อเท็จจริงนั้นจะทำให้ทุกสิ่งจบได้ นี่ก็เลยเป็นที่มาให้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา
หนังสือเล่มนี้ใช้เวลาเขียน 2 ปีกว่า โดยเริ่มจากเขียนหนังสือเป็นบทความลงในหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็เขียนชี้แจง มีตั้งแต่เรื่องที่บิดเบือน เรื่องที่หยาบคาย เรื่องที่โกหกอย่างมากเลยก็มีด้วย แต่ว่าก็ไม่ได้ไปตอบโต้ไปด่าทออะไรเขา แต่นำเสนอว่าความจริงคืออะไร
ตอนที่ บรรณาธิการชื่อคุณนิรันดร์ เยาวภา เป็น บก.หนังสือเล่มนี้ ตอนที่เขียนผมก็เอาข้อความที่โกหก บิดเบือน หยาบคาย ส่อเสียด เพ้อเจ้อ ขึ้นมาเขียนด้วย แล้วก็บอกว่าความจริงหรือสัจจะคืออะไร แต่คุณนิรันดร์ เยาวภา เห็นว่า ถ้าเป็นหนังสือแล้วเนี่ย ให้บอกเล่าความจริงอย่างเดียว แล้วตัดข้อความที่โกหก ส่อเสียด บิดเบือน เพ้อเจ้อ ออกไปให้หมด
บก.หนังสือเล่มนี้บอกว่า ข้อความเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ที่จะให้คนได้เห็นซ้ำอีก ผมก็ตกใจอยู่นิดนึงว่า แล้วคนอ่านจะอ่านรู้เรื่องหรือ ถ้าไม่รู้ว่าเขาโกหกหรือบิดเบือนอย่างไร แล้วหนังสือไม่ได้บันทึกสิ่งที่โกหกหรือบิดเบือนเอาไว้
คุณนิรันดร์ เยาวภา บก.เล่มนี้ ก็ใช้วิธีทำเป็นหมายเหตุเล็กๆว่า เกิดเหตุอะไรขึ้น เช่น มีคนใส่ร้ายพระเจ้าอยู่หัวเรื่องราชทัณฑ์ปันสุข สั้นๆประมาณ 1 บรรทัด ให้มีข้อความอธิบายต้นเหตุของการเขียนบทความ เป็นเรื่องสั้นๆ แล้วก็ให้คนได้อ่านแต่สิ่งที่เป็นความจริงกับสัจจะ ไม่ต้องไปอ่านสิ่งที่มันเป็นสิ่งที่โกหกบิดเบือน
ตอนแรกๆ ผมตกใจนิดนึง กลัวคนจะอ่านไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อพอหนังสือออกมาแล้วได้ลองอ่านแล้วมีความรู้สึกว่า หลังจากที่บรรณาธิการเขาได้ edit ให้ไม่มีข้อความโกหกบิดเบือน เพ้อเจ้อ หยาบคาย ส่อเสียดเนี่ย มันทำให้คุณภาพหนังสือดีขึ้น แล้วก็อ่านด้วยความรู้สึกเบิกบานมากขึ้น
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 6 พ่อครูพบ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2565 ( 11:42:44 )
รายละเอียด
เรื่องนี้เป็นคุณต่อประเทศไทย เป็นคุณอย่างยิ่งก็ตรงที่ว่า จริงๆแล้วพระเจ้าแผ่นดินไทย โดยเฉพาะ ที่มีพฤติการณ์ในปัจจุบัน อยู่เป็น status quo คือในหลวง ร. 9 ที่เพิ่งจะสวรรคตไป ทรงงานมา 70 ปี มีพฤติการณ์ต่างๆที่เขาหยิบขึ้นมาจะดิสเครดิต จะมาทำลายมาบิดเบือนก็แล้วแต่ เขาก็หยิบมาผิดๆอย่างที่คุณว่านี่แหละ มันก็เกิดเรื่องที่ไม่ดี
มันเป็นการจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม เขาทำในสิ่งที่ไม่ดี มันเป็นการทำลายที่บาป แต่เขาไม่รู้ จะว่าจริงๆ ซับซ้อน ก็น่าสงสารคนเขาโง่เขาไม่รู้ เป็นกรรม ตามประสาที่อาตมาเป็นนักธรรมะนี่นะ ก็เห็นเป็นกรรมเป็นวิบากของเขา มันน่าสงสาร แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าถ้าไม่ให้เขารู้ตัว ไม่ติ ไม่กำราบ มันก็ไม่ได้ มันต้องตำหนิ ต้องนิคคัณเห ต้องพยายามตำหนิเขา ข่มเขาให้รู้ตัวว่าเขานั้นผิด อาตมาก็แสดงอยู่ทำอยู่เท่าที่อาตมาเห็นควรที่จะทำต่อไป คุณคนหนึ่งที่เอาเรื่องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์มาแสดงความจริง อาตมาขอสนับสนุนเต็มที่ว่า สถาบันกษัตริย์ต้องมีในสังคมมนุษยชาติ ไม่มีไม่ได้ มันจะกลายเป็นประชาธิปไตยขาเดียว เป็นสังคมมนุษย์พิการ สังคมพิการ ดำเนินไป
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 6 พ่อครูพบ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2565 ( 12:05:12 )
รายละเอียด
อาตมาเห็นดีเห็นงามมากเลย เพราะอาตมานี้ศรัทธา เคารพ ยกย่อง เชิดชูสถาบันกษัตริย์ เพราะมันเป็นสถาบันของมนุษยชาติ ที่จะต้องมีอยู่ในสังคมมนุษยชาติ ถ้าประเทศใดสังคมใดก็ตาม ไม่มีสถาบันกษัตริย์ ไม่มีกษัตริย์ ซึ่งมันไม่ได้ สถาบันกษัตริย์เกิดมาเป็นอย่างธรรมชาติตั้งแต่แรกเริ่ม เมื่อมนุษย์มีสังคมกลุ่มขึ้นมา ก็มีหัวหน้า
ขออภัยนะอาตมาขอพูดนำไปก่อน เกิดมาเป็นสังคมก็เริ่มมีหัวหน้า ตั้งแต่ครอบครัวเลยก็มีหัวหน้า ถ้าครอบครัวใดไม่มีหัวหน้าเป็นหลัก ครอบครัวนั้นก็ไม่ขยาย ไม่เจริญ ไม่พัฒนา ครอบครัวใดที่มีหัวหน้า เจริญแข็งแรง เป็นหลักได้ดี ครอบครัวนั้น ตระกูลนั้นก็จะเจริญเพิ่มขึ้น จนกระทั่งเป็นสังคมกลุ่ม มีสังคมกลุ่ม ก็มีหัวหน้า
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 6 พ่อครูพบ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2565 ( 10:59:20 )
รายละเอียด
ในเรื่องของสถาบัน ก็ขอแวะเรื่องนี้ แวะเรื่องสถาบันหรือเรื่องพระเจ้าแผ่นดินหรือกษัตริย์ ภาษาอังกฤษเขาเรียก King สถาบันนี้ มันต้องมีในมนุษย์ สังคมใดไม่มี King ไม่มีกษัตริย์ อวดดีไปมีแต่ประชาชน ด้วยความหลงว่าประชาชนเป็นใหญ่ ไปหลงว่าประชาชนเป็นใหญ่ แล้วก็ซ้อนนะ อย่างอเมริกา ซ้อนมาเป็นใหญ่ เสร็จแล้วก็กลายเป็นใหญ่แบบที่ไม่มีโลกุตรธรรม
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศนากัณฑ์พิเศษ เริ่ม 53 ปี โพธิกิจ ยังเป็นรองต้องอุตสาหะ
วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 19:33:44 )
รายละเอียด
คนเข้าใจเราก็ทำได้ยาก ก็ค่อยๆกระเตื้องทั้งโลก เมืองไทยก็ตามก็ค่อยๆรู้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทุกวันนี้สามารถจะฟังพอรู้เรื่องแล้ว ไม่กล้าต้านอาตมา แม้แต่จะเป็นกระแสหลัก ที่ยังไม่ยอมยกอาตมาอย่างสมบูรณ์ กระแสหลักหมู่ใหญ่ที่เขายังยึดถือว่า ฉันยังเป็นหนึ่งๆ เป็นผู้ที่มีโลกุตรธรรมแท้ๆ เขายังไม่กล้ายืนยันเหมือนกับที่อาตมาพาทำ และโดยเฉพาะตัวอาตมายืนหยัดยืนยัน เขาก็ไม่กล้าที่จะมาแย้ง แต่จำนนว่า เอ๊! แย้งก็ไม่รู้จะแย้งอย่างไร เราก็ยังเป็นโลกุตรธรรมไม่ได้เหมือนอย่างนี้ มันมีหลักฐาน มีหลักการ วิชาการ พระไตรปิฎก ไปหมดแล้ว เพราะว่าเถรสมาคมไม่ใช่คนโง่ เป็นคนฉลาดพอที่จะรู้ เป็นแต่เพียงมีอัตตามานะอยู่เท่านั้น ถ้าอัตตามานะลดลงเท่านั้นแหละ ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง
อาตมาทำก็ยังไม่เพียงพอ ทำมาได้ขนาดนี้ยังไม่พอ เขายังไม่จำนนแท้ จนกระทั่งยอมยก อาตมาก็ยังนึกอยู่เลยว่า อาตมาทำมาขนาดนี้ คนไทยแท้ๆยังไม่ยอมยก จะให้คนต่างชาติคนทางเทวนิยมเห็นก่อน แล้วมายอมรับรองยอมยก ไทยจะขายขี้หน้าขนาดไหน ขออภัยที่พูดไม่ได้หลงตัวเองแต่เป็นเรื่องจริงว่ายอมยก อาตมา ปล่อยให้ชาวต่างชาติเทวนิยมเข้าใจได้ก่อนไทย
อาตมาเป็นคนไทย เอาสิ่งที่เป็นสัจธรรมโลกุตระมาเปิดเผย แล้วในหลวงก็พาทำจนกระทั่งสำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง จนกระทั่งคนทางเทวนิยมก็พยายามแสวงหาสิ่งที่เป็นยอดสิ่งที่ประเสริฐสุดก็คือโลกุตระนี่แหละ จนเขาเห็นได้เขามายอมรับก่อน โอ้โห.. สถาบันหลักของประเทศไทยจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ก็พูดความจริงอย่างเดียว อาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น ถ้าคนเข้าใจความจริงแล้วตรงตามที่อาตมาพูดก็มีอย่างเดียว ความจริง สัจจะมีหนึ่งเดียว แต่เขายังตีความไปอย่างอื่นก็มันไม่ใช่สัจจะ จะไปบังคับเขาได้อย่างไร เขาก็ยังตีความไปอย่างนั้น ซึ่งถ้าคนที่รู้สัจจะเป็นหนึ่งเดียวแล้วไม่แย้งอาตมา เขายังแย้งอยู่ก็คือเขายังเป็น 2 ยังเป็น ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 สรุปรวมเป็นหนึ่งไม่ได้ไปบังคับเขาได้อย่างไร
ไม่มี ที่อยากให้คนยอมรับ อยากให้คนมายกย่อง อยากให้คนมานับถือ ไม่มี ก็ทำไปตามจริงเท่านั้น ใครมานับถือก็เป็นอิสรเสรีภาพของคนนับถือ พวกคุณมาที่นี่อาตมาล่อลวงบังคับมาหรือหว่านล้อมมาหรืออย่างไร ก็ไม่ คุณมาของคุณเองนะ
แต่ละคนมีอิสรภาพของตัวเอง จะมาเอาก็มาเอาเองมันก็ชัดเจน มันก็ชัดเจนต้องมาสิอย่างนี้ต้องมาเอา ไม่เอาก็โง่ตาย จริงๆนะ พูดไว้เมื่อไหร่ก็ยิ่งชัดเจนไม่มาเอาก็โง่ตาย
รู้แล้วเห็นแล้ว ดีไม่ดีก็เห็นว่า ดีนี่หว่า แต่ไม่มาเอาแล้วมันโง่มั้ย รู้ว่าดีแล้วไม่มาเอา ยังไปงมอยู่กับชั่ว รู้ว่าประเสริฐ ไม่ได้ปิดทางไม่ได้กั้น แต่มาตามหลักเกณฑ์
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏืหาริย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 46 จรณะและวิชชาคือพุทธคุณภาคปฏิบัติ วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2565 ( 19:32:00 )
รายละเอียด
ได้ แปลว่าอย่างอื่น ขยายความให้แตกต่างมุมเหลี่ยม ต่างประเด็นต่างๆต่างมิติไปอีกได้ สถาปนาก็ตาม สถาปนา ซึ่งเป็นภาษาบาลีนี่ แปลได้ เป็นต้นว่า ในกูเกิ้ลเขาแปลว่า "ยกย่องโดยแต่งตั้งให้สูงขึ้น" สถาปนา จะแปลให้ง่ายๆ แปลว่า นำมาตั้งสถิตลงไป หยั่งลงไปในแดนนั้น ในหมู่คนนั้น ให้แน่นเข้า ก็ได้
สรุปแล้ว ภาษาง่ายๆ สถาปนา แปลว่า สิ่งนี้จะบริบูรณ์ ทั้ง Dynamic และ Static มันหยั่งลงไป หรือว่าเป็นตัวรวมตัวที่สมบูรณ์ขึ้น ทั้งตัวตั้งและตัวเคลื่อน ทั้งตัวบวกและตัวลบ เจริญขึ้น เต็มขึ้น เป็น มุทุภูตธาตุ สถาปนา ถ้าสรุปเป็นโลกุตรธรรมสูงสุด เป็น มุทุภูตธาตุ ซึ่งต้องมีมูล ต้องมีที่หยั่งลงในตัวเอง คือ หทยรูป
หทยรูป หาที่อยู่หาที่ตั้งไม่ได้ ของใครก็ของใคร ที่จะจับตัวนี้ได้เอง ตามรู้สภาวะอันนี้ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีตัวตน ไม่มีสถานที่ มีกาละคือ ในขณะที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แม้คุณตายไปแล้ว มันก็ไปสถิตอยู่กับคุณ ของคุณ จนกว่าคุณจะตายแยกธาตุนี้ออกเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย มันจึงจะหายไป คุณทำได้ เป็นพระอรหันต์ขึ้นไป เป็นต้น เป็นอรหันต์โพธิสัตว์ที่รู้แล้ว ทำให้ธาตุจิตนิยามของคุณหรืออัตตาของคุณสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ คุณทำได้จริงๆ มันจึงจะเป็นจริง มันจึงจะสูญไปเลิกไป จิตนิยามคุณก็หายไปเลย นี่เป็นสุดยอดแห่งความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลก 10 แบบ ที่ไม่ใช่แค่ Imagine ตอนที่ 1 วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 พฤษภาคม 2565 ( 09:19:44 )
รายละเอียด
ตอนนี้เรากำลังพยายามสถาปนาถนนส้มตำ ใครเดินถนนนี้เข้ามา อุปกรณ์การทำส้มตำยกครกเอาปลาแดกเข้ามาเท่านั้น เรียบร้อยเลย มะละกอก็มี พริกก็มี มะเขือเทศก็มี เอามีดมาด้วย เออ ไม่ได้ต้นต้นมีดเนาะ นอกจากครกกับสากแล้ว เอามีดมาด้วย ปลาแดกด้วย ต้นปลาแดกก็ยังปลูกไม่ได้ ที่จริงมันน่าจะมีต้นที่รสเค็มนะ ต้นที่แทนปลาแดก แทนเกลือ แทนน้ำปลา เป็นรสเค็ม แม้มันจะเหมือนกับปลาแดก ก็ใช้ได้ ต้นเกลือ เออ มันเค็มๆ น่าจะปลูกได้ ถ้าปลูกได้ละโอ้โห.. มันจะเป็นถนนส้มตำที่แท้จริงเลย นี่กำลังทำอยู่ ไม่ได้พูดเล่น ถ้าเกิดขึ้นมาจริงๆ จะสนุกมากเลยทีเดียว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลก 10 แบบ ที่ไม่ใช่แค่ Imagine ตอนที่ 1 วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 พฤษภาคม 2565 ( 12:04:25 )
รายละเอียด
มีความรู้จักพอเท่าที่ตนมีอยู่พอตามสิทธิ์ในของ ๆ ตน
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 124
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 12:21:09 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:49:37 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 08 เมษายน 2563 ( 10:44:58 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:10:52 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:23:46 )
รายละเอียด
เป็นผู้สันโดษ
หนังสืออ้างอิง
เปิดโลกเทวดา หน้า 38
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 12:37:03 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:50:40 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:24:19 )
รายละเอียด
สบาย สบายดีภาษาบาลีภาษาพระพุทธเจ้าคือ สัปปายะ สัปปายะก็ตรงกันข้ามกับคำว่า อปายะ แปลว่านรก อบาย คือ ความเสื่อม สัปปายะคือความไม่เสื่อมความเจริญความสบายจะเรียกว่าสวรรค์ก็สวรรค์ ถ้าผู้ที่ยังติดยึดภพชาติอยู่ก็เป็นสวรรค์คือมันเจริญขึ้นมันพัฒนาการขึ้นไป จากโลกียะไปเป็นโลกุตระ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ในยุคนี้ต้องมาเรียนกับพ่อครูจึงจะบรรลุอรหันต์ได้ วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:17:18 )
รายละเอียด
เมื่อเราอยู่ตามสบาย อกุศลธรรมเจริญยิ่ง เมื่อเราตั้งตนไว้ในความลําบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง
(ยถาสุขัง โข เม วิหรโต อกุสลา ธัมมา อภิวัฑฒนติ ทุกขายะ ปนะ เม อัตตา
นัง ปทหโต กุสลา ธัมมา อภิวัฑฒันติ.)
หนังสืออ้างอิง
ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 14 “เทวทหสูตร” ข้อ 15
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2565 ( 17:39:06 )
รายละเอียด
1. มีความเจริญ
2. ประกอบด้วยความเจริญ มีแต่ดี ฉลาด
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า 157ทางเอก ภาค 2 หน้า 539, คนคืออะไร? หน้า 321,417
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 12:48:16 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:52:39 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:25:06 )
รายละเอียด
แต่ที่จริงความเป็นสบายนี้ ถ้าละเอียดเป็นโลกุตระแล้วมันลึกกว่าคำว่าสุข หรือ จะให้สุขอธิบายละเอียดเป็นตัวเลือกซึ่งเป็นโลกุตระไปอีกก็ยิ่งแปลว่า ว่าง
สุ คือดี ข คือว่าง ว่างนั่นแหละดี เกินกว่าโลกียะ แต่จับคู่กับคำว่าทุกข์ก็เป็นโลกียะ แต่คำว่านิพพานนั้นยิ่งกว่าสุข ไม่ใช่แค่สุข ปรมังสุขัง เขาแปลว่าสุขอย่างยิ่ง แต่ที่จริงแล้วควรจะแปลว่า ยิ่งกว่าสุข
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 21 วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:32:07 )
รายละเอียด
ทีนี้ อาตมาว่าจะไขความ คำตรัสของในหลวง ร. 9 สั้นๆ เคยได้ยินมาก็หลายทีแล้ว แต่เอามาขยายความเป็นธรรมะลึกซึ้งให้ฟัง คำตรัสของในหลวงก็คือ ที่ท่านตรัสไว้ว่า เราจะเป็นที่หนึ่งในโลก
“…ประเทศไทยเราอาจไม่เป็นประเทศที่รุ่งเรืองที่สุดในโลก หรือรวยที่สุดในโลก หรือฟู่ฟ่าที่สุดในโลก แต่ก็ขอให้เมืองไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มีความสงบได้ เพราะว่าในโลกนี้หายากแล้ว เราทำเป็นประเทศที่สงบ ประเทศที่มีคนที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจริงๆ เราจะเป็นที่หนึ่งในโลกในข้อนี้ แล้วรู้สึกว่าที่หนึ่งในโลกในข้อนี้จะดีกว่าผู้อื่น จะดีกว่าคนที่รวยที่สุดในโลก จะดีกว่าคนที่เก่งในทางอะไรก็ตามที่สุดในโลก ถ้าเรามีความสงบ แล้วมีความสบาย ความมั่นคงที่สุดในโลกนั้น รู้สึกจะไม่มีใครสู้เราได้…”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในโอกาสที่ประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำคณะกรรมการบริหารมูลนิธิฯ และนักเรียนทุนพระราชทาน เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ณ ศาลาดุสิดาลัย
วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พุทธศักราช 2539 จริงที่สุด และประเทศในยุคนี้ทำได้ด้วย อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะ แต่คนไม่เข้าใจคำตรัสของในหลวงที่ว่า เราเป็นประเทศที่มีความสงบมีความสบาย หรือสัปปายะ ความมั่นคงที่สุดในโลก ซึ่งความมั่นคงของแต่ละประเทศในยุคนี้ มันมีระยะความยาวของความมั่นคงสั้น ๆๆ แข่งกัน ทุกวันนี้นี่ความสงบของแต่ละประเทศ หรือความสบายของแต่ละประเทศในโลก ระยะความสงบ ระยะความสบายของแต่ละประเทศในโลกขณะนี้ มันมีความมั่นคงสถิตเสถียรยาวนานน้อย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สบายสงบและมั่นคงที่ 1 ในโลกคือประเทศไทย วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 7 ค่ำเดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 01 ธันวาคม 2565 ( 19:55:12 )
รายละเอียด
มนุษย์ชาติโลกียะก็มีแต่แค่สบาย จริงๆภาษาสบายเป็นภาษาโลกุตระ คือ สัปปายะ แปลว่า ที่ที่ประกอบ ส คือประกอบ ปายะคือ เป็นประโยชน์คุณค่าหรือเป็นกำไรเป็นสิ่งที่ควรได้รับ หรืออายะ คือประโยชน์ เช่น พหุชนสุขายะ คืออายะ 3 พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นภาษาที่ละเอียดลึกซึ้งเหมือนกับความสุขแล้ว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 21 วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:30:40 )
รายละเอียด
ครบถ้วนบริบูรณ์ทั้งสบายและอบาย เถรสมาคมมีแต่อบาย ตราบใดที่ยังเต็มไปด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่ มีสมเด็จมีเจ้าคุณ ระดับอะไรต่างๆนานา แล้วก็มีนิตยภัต มันเป็นเรื่องนอกศาสนาพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย พูดไปแล้วเถียงอาตมาไม่ออกหรอก อ่านพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน นอกจากจะตะแบงเท่านั้นเอง เบี้ยวบาลีอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเอากันตรงๆแล้ว อาตมาพูดตรงทั้งนั้น ถูกต้องตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทศพิธราษฎรธรรมมีจริงในชาวอโศก วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 แรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2565 ( 19:27:08 )
รายละเอียด
เคยพูดไปหลายทีแล้วว่า อาตมาสบายใจแล้วว่า มันได้มาขนาดนี้ คนแค่อาตมาดึงเอาโลกุตรธรรมมาได้ขนาดนี้ ซึ่งมันจมลงในมหาสมุทรเกือบไปอยู่กับพญานาคใต้ก้นบาดาล ดีมันไม่ไปเข้าไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ถ้าเข้าไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั่นมืดหมดเลย อาตมาจมไปด้วย มันมีแรงดูดด้วยนะสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า นี่ดีว่ายังเป็นแค่ไปหลงอยู่กับพญานาค
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 13:58:59 )
รายละเอียด
อันนี้นี่นะ ผู้มีปัญญาถึงปัญญาข้อที่ 7 ในปัญญา 8 จึงจะเป็นผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความจริงขั้น ความสงบของคนสงบชนิดนี้ได้ อาตมาก็เลยอยากจะเอาหลักฐานของพระพุทธเจ้ายืนยันอธิบายที่เป็นสาระสำหรับอันนี้ว่า ความสงบของคนสงบ มีฐานะของแต่ละคน ฐานะของคนที่มีความสงบ เป็นคนสงบที่มีความสงบ แข็งแรง มีจิตตั้งมั่น ก็จะทนต่อแรงกระทบภายนอก จะทำงานกับสังคมที่จัดจ้าน จัดจ้านไปด้วยความเข้าใจผิด ด้วยมิจฉาทิฏฐิ ด้วยอวิชชาได้สูงขึ้น มากขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆอย่างแท้จริง
ส่วนคนที่ไม่มีความสงบในจิต ราคะ โทสะ โมหะอย่างมาก มาทำอะไรกับสังคมที่เขายังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่นั้นจะรบกัน ทะเลาะกัน ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะเป็นโทษเป็นภัยต่อสังคม เพราะฉะนั้นสังคมที่มันจะไม่มีความสงบอยู่จริง เพราะราคะ โทสะ โมหะ นี่แหละ จึงต้องอาศัยคนที่สงบและมีคุณธรรม สงบจากราคะ โทสะ โมหะ จริง จะมาช่วยได้ อย่างที่เห็นที่เป็นจะช่วยได้
เป็นสัจจะ คนที่ไม่รู้มองไม่ออก ก็ไม่มีปัญหาอะไร คนที่รู้และมองออกอย่างอาตมาไม่มีปัญหาหรอก เรื่องนี้ อาตมาทำเท่าที่ควร อาตมาไม่ได้ไปอ้าขาผวาปีกที่จะไปทำอะไรกว้างไกล จนอวดดิบอวดดีไปตอแยกับพวกที่ไม่ควรตอแย อาตมาไม่หาเรื่อง อาตมาเป็นคนหัวไม่มีเหา และไม่เคยไปหาเหามาใส่หัว อาตมาเข้าใจและฉลาดพอที่จะเป็นคนไม่มีเหา ไม่ไปหาเหามาใส่หัวตัวเอง อาตมาอยู่อย่างสะอาดได้เสมอ
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 21ตอบปัญหาใครคือเผด็จการใครคือประชาธิปไตย วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2566 ( 13:41:59 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 05 เมษายน 2563 ( 11:32:24 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:11:50 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:25:59 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 05 เมษายน 2563 ( 12:09:32 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:12:17 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:26:42 )
รายละเอียด
ข้อนี้เป็นเรื่องของสภาที่มีบัณฑิต
สภาที่อยู่ในสภาอันทรงเกียรติของนักการเมืองนั้น มีความอวดดีพูดกันจนคอจะแตก แสดงภูมิอะไร ไม่บันยะบันยัง ดีไม่ดีก่อเรื่องวิวาทหาเรื่องหาราว ซึ่งมันไม่ใช่สภาอันทรงเกียรติเลย มันเป็นสถานที่วิวาทะเสียมากกว่า หาเรื่องหาราวกัน พูดไปแล้วไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะว่าคนมันได้แค่นั้นเป็นอย่างนั้น
แต่พวกเราไม่นะ สงฆ์ของพวกเราเวลาประชุมไม่ได้แย่งกันพูด ควรแสดงก็ควรแสดงควรสงบก็ควรสงบ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นคุณสมบัติที่ดี
ที่พูดนี้เจตนาวิจารณ์ สภาของไทยซึ่งมันน่าจะนำประเทศอื่นเขา เพราะว่าเราเป็นประเทศเมืองพุทธ ที่มีคุณธรรมตามพุทธศาสนา แต่พูดไปก็ไลฟ์บอย เขาไม่นำพาเรื่องศาสนาเรื่องธรรมะกันเลย เขาก็เป็นไปตามประสาเขาแล้วเขาอวดดีด้วยนะ ว่าตัวเองมีปัญญา บอกว่าโพธิรักษ์นั้นเขาไม่รู้จัก หรือว่ารู้จักเหมือนกันแบบไม่ได้เรื่องอะไร เขาดูดีกว่าโพธิรักษ์ เป็นอย่างนั้นด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็จะมาศึกษาใช่ไหมแต่นี้ไม่มี เขาก็รู้ของเขาเก่งของเขา มีอาจารย์ของเขาด้วย เขาก็ไปที่ชอบๆของเขา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1 วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 20:15:07 )
รายละเอียด
สภาที่สมบูรณ์แบบต้องมีแต่บัณฑิต ขนาดบัณฑิตนี้ก็ต้องระมัดระวังตัวเองเลย เพราะบัณฑิตอยู่ด้วยกัน ต้องระวังตัวเอง อย่าไปทำเป็นแหลม แม้จะรู้ดีกว่าเขาก็ควรให้เขายก เพราะฉะนั้นอยู่ในสภารู้ดีกันแล้วจึงคัดเลือกหัวหน้าสภา เพราะทุกคนจริงใจและทุกคนก็รู้ว่าใครเป็นใคร คนนี้จะเป็นประธานก็เป็นความจริง แต่พยายามจะเอาพวกกูมาเป็นประธานเอาพวกกูมาเป็นใหญ่ มันก็โกงสภาอยู่นั่นแหละ สภาก็ไม่ใช่สภาที่สมบูรณ์แบบ นี่มันก็บกพร่องกันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา
แต่เมืองไทยนี่นะ ก็ขอชมเมืองไทย เมืองไทยได้ประธานสภา 2 สมัยแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นประธานสภาอยู่ อายุก็ 83 , 84 แล้ว คือคุณชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาที่ดี จึงทำให้สภาของไทยอยู่ดีมาก แม้จะมีคนเลวอยู่ในสภาเยอะ ขออภัยพูดความจริง แต่เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาเลว เขาไม่ยอมรับหรอกว่าเขาเลว แต่ประธานสามารถที่จะคุมเกมสภาได้ดี เมืองไทยเป็นเมืองที่ดีอย่างนี้ จะพอเป็นไป แล้วมีประธานสภาและมีนายกที่ใช้ได้ ดีอีก อย่างคุณชวน หลีกภัย เขาก็เป็นโพธิสัตว์แต่อาตมายังไม่อยากขยายความ เพราะคุณชวนเป็นโพธิสัตว์ระดับสายศรัทธา นิ่งแต่คม ไม่มาก ไม่พูดมาก แต่ใช้ได้ ออกมาแต่ละหมัดนี่ น็อคๆๆ แล้วมันมีสภาวะย้อนแย้ง หมัดนี้เบานะแต่แรงมาก dialactic อยู่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 51เป็นผู้แพ้ผู้รับใช้ได้ไม่ยาก ด้วยฌานทั้ง 4 วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 19 กันยายน 2565 ( 15:02:06 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
เวลาบันทึก 29 กันยายน 2565 ( 14:29:30 )
รายละเอียด
สภาพ 2 ของ กฎหลักเกณฑ์กับพฤติกรรมจริง (ท่อน2)
เข้ามาสู่หลักเกณฑ์ กฎหลักเกณฑ์กับพฤติกรรมจริง เพราะฉะนั้นจะสับสนวนเวียนวุ่นวายอยู่กับกฎหลักเกณฑ์กับสภาวะพฤติกรรมจริง เจาะลงไปที่ตัวจริง ผู้ที่มีพฤติกรรมจริงๆผิด ผิดหลักเกณฑ์ คนที่พฤติกรรมจริงผิดหลักเกณฑ์ แล้วก็บิดเบี้ยวหลักเกณฑ์ก็คือผิดอีกนั่นแหละ แล้วก็พยายามบิดเบี้ยวหลักเกณฑ์ว่า ฉันไม่ผิด
อย่างทักษิณกับพลเอกประยุทธ์ อันนี้เรียกถูกนะ เพราะว่าทักษิณเขาถูกริบยศหมดแล้ว แม้แต่พันโทเขาก็ถูกริบ แต่พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ถูกริบอะไร นายทักษิณกับพลเอกประยุทธ์ คนหนึ่งไม่ได้ผิดหลักเกณฑ์เลยแล้วก็เป็นพฤติกรรมจริง พฤติกรรมจริงกับหลักเกณฑ์อันเดียวกัน ไม่ผิด แต่ทักษิณนี้พฤติกรรมจริงผิดหลักเกณฑ์ แล้วพยายามจะเบี้ยวหลักเกณฑ์ เป็นสิ่งที่ผิดกับความจริงที่ตนเองเป็น เถียงอยู่ทุกวันนี้นั่นแหละ ดิ้นอยู่พราดๆ คนหนึ่งนั้นสงบแล้ว นิ่งอยู่กับความจริงจึงหยุด แต่นี่ดิ้นจนไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบสำหรับทักษิณ
ซึ่งตรงกับคำตรัสพระพุทธเจ้าที่บอกว่า เราหยุดแล้ว แต่เธอสิยังไม่หยุด ทักษิณเอ๋ย โกงไปชาตินี้ มีบาปจะกินหัวต้องเกิดมาใช้หนี้อีกไม่รู้กี่กัปป์กี่กัลป์ เสวยเถอะ เสวยเงินกองนั้นไม่ต้องมาตอแยไม่ต้องสร้างวิบากบาปมาบิดเบี้ยวกฎหลักเกณฑ์กับพฤติกรรม ยัดเยียดพฤติกรรมจริงของตนมาใช้หลักเกณฑ์ที่ผิด แล้วก็พยายามจะตั้งหลักเกณฑ์ ที่ผิดให้เป็นหลักเกณฑ์ที่ถูกให้แก่ตนเอง
พยายามทำอยู่ตลอดเวลาเลย เช่น ให้ สส. ให้คณะลิ่วล้อทั้งหลายแหล่ พยายามที่จะปรับกฎหมายให้เขายอมรับเอาทักษิณเข้ามา พยายามจะแก้กฎหมายที่จะยอมรับเพื่อที่จะให้ทักษิณเข้ามาได้ หรือสร้างอำนาจให้ยิ่งใหญ่ คณะเพื่อไทยนี่แหละ ที่อุ๋งอิ๋งกำลังไปเสริมทัพ เพื่อจะให้ตนเองมีอำนาจ เอาทักษิณเข้ามา แล้วจะมาแก้กฎหมายให้ทักษิณหลุดพ้นหมด โดยอ้างอิงว่าจะเข้ามายกเลิกกฎหมาย ทั้งหมดเลย ล้มล้างหมดเลยไม่มีใครผิด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาพ 2 ของกฎหลักเกณฑ์กับพฤติกรรมจริง วันพุธที่ 31 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 กันยายน 2565 ( 11:16:06 )
รายละเอียด
โลกุตรธรรมมีจริง คนที่บรรลุโลกุตรธรรมทำให้กิเลสดับเป็นนิพพานได้จริง มันจึงเกิดกลุ่มมนุษยชาติจริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่อธิบายไว้ยืนยันไว้มีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 มีเศรษฐกิจระดับสาธารณโภคีซึ่งสุดยอดเลย แม้แต่การเมืองก็เป็นการเมืองบุญนิยม
การเมืองที่เป็นสาธารณอาศัย ไม่ต้องบริโภคหรอก เป็นการบริหารดูแลปกครองกันอย่างอาศัย เป็นสาธารณอาศัย ไม่ใช่สาธารณบริโภค อย่างนี้เป็นต้น จะเรียกโภคีก็ได้ มันมีทั้งการกินการใช้ การเมืองเป็นอุปโภค ทำกันคนละการงานคนละกิจ ก็เป็นการอยู่ร่วมด้วยสภาพ 2 ทั้งนั้น เช่น อุปโภคบริโภค ก็เป็นสภาพ 2 การเมืองกับเศรษฐกิจก็เป็นสภาพ 2 อย่างนี้เป็นต้น รัฐศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น รวมแล้วเป็นเรื่องของสังคม
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก และบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปี 2564 วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2564 ( 21:03:29 )
รายละเอียด
ถูกต้อง ค่อยๆ ศึกษาไปอย่างนี้เราจะค่อยๆเข้าใจในสภาพ เข้ามาสู่การเป็นสภาพ 2
สภาพ 2 ของอุตุ คือ บวกกับลบ เป็นอุตุ พอเริ่มเป็นชีวะ เริ่มต้นชีวะตั้งแต่ระดับพืชก็มีเกิดมีตาย ยังไม่เป็นนามธรรม เป็นชีวะ เป็นแค่รูป และแค่สัญญากับสังขาร เป็นสภาพที่มีตัวสัญญากับสังขาร เป็นตัวที่ทำงาน เริ่มกำหนดรู้ กับเริ่มปรุงแต่งเป็นตัวตน เรียกว่าสัญญากับสังขาร
เพราะงั้น เจ้าตัวนี้มันจะอยู่กับตัวตนไม่ไปเที่ยวระรานใคร มันไม่มีวิบากสืบต่อ มันมีเชื้อชีวิตอยู่ของมันเท่านั้น ถ้าเชื้อชีวิตของมันมันเป็นสปอร์ ตัวเชื้อของมัน มันยังไม่หมดฤทธิ์ของความเป็นเชื้อของมันมันก็จะงอกต่อ มันได้เหตุปัจจัยงอกต่อ ถ้าไม่ได้เหตุปัจจัยมันก็จะฝ่อและสูญสลายไป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2565 ( 12:57:22 )
รายละเอียด
ต้องการที่จะสุข ก็เป็นเรื่องวิปลาส ต้องการที่จะเที่ยง ก็เป็นเรื่องวิปลาส
ที่จริงมันไม่มีตัวตน ก็หลงว่ามันมี
อ๋อ.. เท่านี้เอง
1.ถือว่ามันเที่ยง
2. ถือว่ามันเป็นสุข
3. ถือว่ามันมีตัวตน
ถ้าเรายังมีสภาพ 3 นี้อยู่ โง่ อยู่ตลอดกาล ไม่น่ามี ไม่น่าได้ ไม่น่าเป็น เลย
มันก็จะรู้ว่าไม่น่ามีไม่น่าได้ไม่น่าเป็นนะ มันอยากได้ความเที่ยงความสุขความเป็นตัวตน ชะนีโง่ กระเทยเขาเรียกกัน ไม่เรียกผู้หญิงไม่เรียกผู้ชายเรียกว่าชะนีโง่ ไอ้โง่ อีโง่ มันโง่จริงๆหนอเรา มันน่าได้น่ามีน่าเป็น สิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุข โง่ มันไม่น่าได้ทั้งนั้น มันจะถือเอาไม่ได้ด้วย ยึดว่าเที่ยงก็ไม่ได้ ยึดความเป็นตัวตนก็ไม่ได้ ยึดความเป็นสุขก็ไม่ได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
นิพพานเป็นอย่างไร
เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 15:43:47 )
รายละเอียด
มันก็เป็นความทุกข์โดยสภาพ ทุกข์โดยสภาวะที่เป็นสิ่งไม่เที่ยง แล้วมันก็เป็นอนัตตา เดี๋ยวมันก็พรากจากไป แต่ผู้ที่ดับทุกข์แล้วดับกิเลสแล้ว ใช้สัญญาอันนี้อยู่มันก็ลำบาก ไม่ใช่ว่าเราไม่ปรุงแต่ง เราปรุงแต่ง แต่ทุกข์อย่างนี้ท่านไม่ได้ยึด มันเป็นทุกข์ที่ไม่ใช่เกิดจากกิเลสครอบงำ แต่มันเป็นทุกข์ที่ใช้ศัพท์คำว่า ทรถ มันยังมีความยากอยู่ในจิตใจอยู่บ้าง ซึ่งก็เสียสละทำเพื่อผู้อื่น
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 66 วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562
เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 18:56:43 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:12 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:27:31 )
รายละเอียด
แค่ 3 ความหมาย
1. ไม่มีตัวตน
2. รับใช้เสียสละ
3. มีความรู้ความสามารถ ใช้ความรู้ความสามารถทำเพื่อสละให้แก่ผู้อื่น อย่างไม่ถือตัวถือตน อย่างไม่มีตัวตน นี่คือสภาพของประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบที่สุด นี่คือคุณสมบัติอันวิเศษ เป็นคุณวิเศษของประชาธิปไตย ผู้ที่มีจริงเป็นจริงได้นี่คือ หัวใจของประชาธิปไตย
ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะได้รับวัฒนธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆ มารู้ว่าตัวตนคืออะไร ไม่มีตัวตนคืออะไร ทำได้จริงไหม เสียสละคืออย่างไร พูดก็พอเข้าใจว่าเสียสละคืออะไร ความรู้ความสามารถคืออะไร ก็พอรู้
ถ้าเข้าใจประชาธิปไตยแล้วว่า ยอดประชาธิปไตยคือ 3 ประเด็นใหญ่ สามเส้าใหญ่ อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่คน คนในสังคมไหน มีคุณลักษณะ 3 อันนี้จริงๆ ตรงนั้นแหละคือประชาธิปไตย ชาวอโศกเป็นประชาธิปไตยไหม ...เป็น
พูดออกมานี้พวกคุณเข้าใจ อย่างน้อยเราก็มีลักษณะจริงตามนั้นได้ ควรจะเชื่อได้ 2 อย่างคือ 1. บัญญัติ 2. สภาวะจริง เมื่อเชื่อแล้วเป็นไปได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม คนจนโลกุตระมีประชาธิปไตยที่ดีสุดในโลก วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 19:36:49 )
รายละเอียด
ต่อจากผัสสะแล้วจะมีเวทนา ไม่มีเวทนาก็ไม่มีตัณหา คือเจตนาตัณหามีกาม มีภพคือ มีกิเลส ส่วนตัณหาวิภวตัณหาคือ หมดกิเลส หากทำกามภพหมดก็มีแต่เจตนาแต่ไม่อยากเลิกอยากได้แล้ว ไม่อยากมาบำเรอตนเอง ชัดเจนจะทำงานก็ตามเจตนา ไม่มีเราของเราอีก นั่นคือสภาพของเจตนา
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:34:57 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:54:16 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:28:10 )
รายละเอียด
ประเด็นของเศรษฐกิจนี้ ที่เข้าใจกันยากมากก็คือ
เศรษฐกิจที่เจริญสูงสุดมีคุณภาพสูงสุดทั้งในตัวบุคคลทั้งในตัวสังคมเอง สภาพความเจริญสูงสุดของเศรษฐกิจก็คือ คนจะต้องไม่มีเงินมาก แต่ละบุคคลจะต้องไม่มีเงินมากแต่ให้ส่วนกลางเป็นส่วนที่มีอุดมสมบูรณ์มาก แต่กระนั้นก็ตาม กองกลางมีมากอุดมสมบูรณ์เพื่อสะพัดไปสู่ผู้อื่น ส่วนประชากรหรือมวลประชาชนแต่ละบุคคล ไม่ต้องมีมาก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี สัปปายะ 4 ที่มีสัมประสิทธิ์ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561
เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:29:37 )
รายละเอียด
แต่ทุกสรรพสิ่งมันมีอยู่ มีนิรันดรด้วย ซึ่งความเป็นนิรันดรของเอกภพนี้ มันรวมตัวกันอยู่โดยสภาพที่อาตมารู้ก็คือ มันจะอยู่กันอย่างยืดและก็อย่างหด 2 อย่างนี้เดี๋ยวก็หดลงมา เดี๋ยวก็น้อยลงมา เดี๋ยวก็โตขึ้นใหญ่ขึ้น แต่คำว่าน้อยของเอกภพคืออย่าไปประมาณเลย ทุกสิ่งอยู่ในนี้เข้มข้นอยู่ในนี้ ยืดแล้วหด เป็นสภาวะอยู่อย่างนี้ แต่มันอยู่อย่างนี้ทำให้ดูได้แค่มิติที่ 2 มิติ แต่ที่จริงมันมีหลายมิติ หมุนซ้อนด้วย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 17:28:13 )
รายละเอียด
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้จักกาย รู้จักจิต แยกกาย แยกจิตให้ได้สำหรับนักบวช ถ้าหากมาบวชแล้วแยกไม่ได้ก็เป็นโมฆะ แยกอุตุนิยาม แยกพีชะ อาการอย่างไรเป็นอุตุ อาการอย่างไรเป็นพีชะ อาการอย่างไรเป็นจิต แล้วก็ไปสร้างกรรมให้มันทรงไว้ซึ่งสภาพที่เป็นอุตุ เป็นพีชะ ทรงไว้ซึ่งสภาพเป็นจิตให้ได้ คุณเข้าใจอย่างนี้แล้วทำได้อย่างนี้จริงๆ คุณก็เป็นพระอรหันต์
แต่ถ้าคุณเข้าใจไม่ได้ปฏิบัติบรรลุไม่ได้คุณก็ไม่ได้เป็นอรหันต์ ที่เรียกพระอรหันต์ต่างๆนั้นเขาเรียกกันไปหมดในยุคนี้ ที่ไปไล่เรียงกันมามีทั้ง 40-50 องค์ที่เป็นอรหันต์ เป็นอรหันต์เก๊ทั้งนั้น ขออภัยที่พูดความจริงไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนใส่ความ แต่ต้องการพูดความจริงให้ฟัง ไม่เช่นนั้นจะไปหลงงมงายกันไปใหญ่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 20:26:34 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
เวลาบันทึก 25 กันยายน 2563 ( 19:09:54 )
รายละเอียด
ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีโพชฌงค์ 7 ไม่มีสัมโพชฌงค์ ไม่มีสติที่จะจัดการกับสติ ให้เป็นสติปัฏฐาน พิจารณาคู่กายที่เรียกว่าภายนอกภายใน เป็นสภาวะ 2 ต่างๆเสมอ แล้วมันก็จะมีสภาวะ 2 เปรียบเทียบให้รู้ๆ ก็วิจัยธรรมวิจัย ทุกปัจจุบัน ทุกวินาที ทุกเศษเสี้ยวของวินาที เราก็จะสามารถเก่ง ธรรมวิจัยได้เก่ง และวิจัยได้ออกว่า สภาพ 2 ทุกอย่างจะเกิดสภาพ 2 ให้เราตัดสิน วิจัย ตัดสิน เอา 1 ที่ดี เสมอ มันจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ไม่เที่ยง 2 สภาวะเมื่อกี้นี้เมื่อมาถึงปัจจุบัน เมื่อกี้นี้ดีกว่ามันก็เป็นไปก็เป็นได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 18 วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 11:50:49 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ทีี่ 30 เมษายน 2561
เวลาบันทึก 23 มกราคม 2564 ( 12:24:34 )
รายละเอียด
พลังงานที่ 1 ก็คือ สภาพปรุงแต่งของ 2 สภาพคือ วิตกกับวิจาร ทำงานสังขารปรุงแต่งกัน ให้เป็นอภิสังขารยิ่งขึ้นๆ จนมี สำเร็จเป็น ฌาน 2 สำเร็จได้ขั้นหนึ่งก็ดีใจ มีปีติ สำเร็จก็อย่าไปยึดติด ให้เป็นอุปกิเลสที่ วางปีติได้ เบาลงก็เป็นสุขสงบเป็น วูปสโมสุขหรืออุปสโมสุข แม้แต่สุข ไปยึดสุขเป็นตัวตนของเรา ก็ไม่ได้ ต้องวางจากความสะอาดบริสุทธิ์ อุเบกขาจึงมีภาวะที่ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ความรู้ต่างๆเหล่านี้ อาตมาไม่ได้พูดแต่พยัญชนะ อาตมาพูดถึงสภาวะเป็นหลัก พยัญชนะนี้เป็นรอง บัญญัติเป็นรอง รูปธรรมเป็นรอง สมมุตินี้เป็นรอง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศนากัณฑ์พิเศษ เริ่ม 53 ปี โพธิกิจ ยังเป็นรองต้องอุตสาหะ วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 18:44:26 )
รายละเอียด
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ นี่แหละคือปลาย เรื่องการเสียสละ สุดท้ายก็เพิ่มพูนความเสียสละ ชีวิตมนุษย์สูงสุดก็มีแต่เสียสละและก็พยายามเสียสละให้ได้มากขึ้น เรียกว่า เพิ่มพูน ให้ได้มากขึ้นมากขึ้นไป มันก็เป็นคำจบของความสมบูรณ์ของคุณธรรมมนุษย์แล้ว คุณธรรมของเราก็มีจิตวิญญาณอันนี้กันก็ทำ สังคมของเราทำอันนี้อยู่ มีแต่วันๆหนึ่งก็พากันไปเสียสละ แจกจ่าย เจือจาน เกื้อกูลคนอื่นได้มากเท่าไหร่ มันก็สุขสำราญเบิกบานใจ นั่นแหละ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เขาคนที่ได้รับมีปฏิคาหก เราเป็นทายกได้ให้ก็สุขสำราญเบิกบานใจ มีผู้รับผู้ให้ เพราะสิ่งที่ให้นี้เขาก็ยินดีไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นพิษภัยเลวร้าย แต่เป็นสิ่งดีสิ่งวิเศษเอาไปใช้กินอยู่ได้เลี้ยงชีพได้ยังชีพได้ เป็นสิ่งที่มีค่าเป็นปัจจัยของชีวิต อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ
อาตมาว่าอาตมาเรียบเรียงคำทั้ง 8 คำนี้ มันสมบูรณ์แบบแล้วในการที่จะทำให้มนุษยชาติมีคุณธรรมอันนี้ได้ ในพวกเราชาวอโศกที่อยู่นี้ เราจะมีความรู้สึก 8 อย่างนี้ไหม แต่ละวัน แต่ละวัน ถ้ารู้สึกว่ามีอันนี้จริงๆก็แสดงว่าอาตมาไม่ได้โมเม ไม่ได้กล่าวตู่ ไม่ได้มาขี้ตู่กลางนาขี้ตาตุ๊กแกอะไร มันเป็นสัจจะจริงๆ มันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วอาตมาก็พอใจในสิ่งที่ทำงานได้เข้าเป้าของเจตนารมณ์ของธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้า คนโลกุตระจะจบด้วย 8 ข้อ จะจบด้วยจิตที่มีอิสระ มันบอกยาก อธิบายไม่หมด คนทั้งโลกต้องการอิสระ แต่เทวนิยมเขาไม่เป็นอิสระ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นทาสของพระเจ้า เทวนิยมที่มีพระเจ้าเป็นนายเขา ไม่อิสระตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ของพระพุทธเจ้าอิสระสมบูรณ์เลยเป็นอนัตตาของตัวเอง หมดกิเลสแล้วไม่มีตัวตน ก็ไม่มีใครเป็นเจ้า หมด ถ้าไม่หมดกิเลส คุณก็มีกิเลสเป็นเจ้า กิเลสนี่แหละพระเจ้า พระเจ้านี่แหละคือ กิเลส
ถ้าให้ชัดลงไปคือ กิเลสก็คือพระเจ้า กิเลสก็คือซาตาน ซาตานก็คือพระเจ้า พระเจ้าก็คือซาตาน แต่เขาอวิชชา เขาไม่รู้ 2 ใน 1 ไม่รู้ 1 ใน 2 ถ้ารู้ 2 ใน 1และ 1 ใน 2 อันนี้ แล้วก็อยู่เหนือความเป็น 1 เป็น 2 ชีวิตเมื่อมีชีวิตก็อยู่กับความมีและไม่มีเป็น 2 และก็รู้ว่าไม่มีอย่างไร มีอย่างไรอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเรายังมีชีวิตก็มีไป มีเหตุปัจจัยของชีวิต มีกายกระทบสัมผัสอย่างนั้นอย่างนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เรากระทบ เราก็อยู่กับสภาพที่มีเป็นของจริง ที่มีภาวะสัมผัสแล้วก็เกิดเวทนา เราก็กำหนดรู้เราจะปรุงแต่งอย่างไร เราก็ปรุงแต่งกันไปตามควร สังขาร วิญญาณ เราก็ว่างๆสบายๆ ไม่สุขไม่ทุกข์สูงสุด ก็จริงของคุณนะ มันยอดเยี่ยมในโลกนี้จริงๆ เพราะฉะนั้นสังคมใดในโลกทำได้อย่างนี้ แล้วก็มีสภาพเป็นอยู่ได้ด้วยคุณภาพ 8 ชนิดนี้ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ ได้อย่างนี้แล้วก็เป็นการจบพฤติกรรม พฤตินัย ใครยังเหลือ ไม่จบ มากน้อยเท่าไร ก็ทำให้จบ
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 32 จรณะ 15 คือการยืนยันหลักปฏิบัติไม่ผิดของพุทธ วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 8(8) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2566 ( 10:49:06 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 31 มีนาคม 2563 ( 09:23:57 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:12:59 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:37:37 )
รายละเอียด
ที่จริงแล้ว สุภกิณหา เป็นสัตตาวาสข้อ 4 ผู้ที่รู้จัก สุภกิณหา คุณหลับตานี้จะเห็นความมืดดำอย่างเดียว ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาสัมมาทิฏฐิจะรู้ว่าหลับตาก็รู้ว่าหลับตา ทีนี้ ความดำความมืดมันเป็นความอวิชชา ผู้ที่สัมมาทิฏฐิก็ต้องการที่จะเป็นคนไม่มืดไม่ดำ ต้องการเป็นคนมีแสงสว่าง เป็นคนสว่าง เป็นคนมีปัญญาเต็ม คุณก็จะรู้จัก พวกคุณได้ความดำความมืดเป็น สุภะ เป็นความน่าได้น่ามีอย่างสัมมาทิฏฐิ ความดำความมืดนี้เป็นสมาธิชัดเจนหลับตาก็คือหลับตา เป็นการพักผ่อนก็เข้าใจสัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าเราไม่จำเป็นำจะต้องหลับตาเราก็ต้องทำความสว่าง อย่าไปทำความมืดให้แก่ตัวเอง ถ้าหากจะอธิบายความมืดความดำเป็นกิเลส คุณต้องเอากิเลสออก เมื่อกิเลสออกหมด คุณต้องการจะได้เวลามืดเวลาพักเวลาดำ คุณก็พักก็มืดก็ดำสบาย ไม่ต้องมีแสงเสียงอะไรเงียบหมด นี่คือสภาพของรายละเอียดของ สุภกิณหา วันนี้อธิบายได้คลี่คลายมากขึ้นเยอะ
ที่มา ที่ไป
เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันที่ 2 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 มกราคม 2564 ( 13:58:55 )
รายละเอียด
อรหันต์ขั้นพื้นฐาน เริ่มนับเป็นพระอรหันต์ ท่านนับที่ปัญญาวิมุติ มีกายสักขีแล้ว มีสภาพรูปและนามเป็นกายสักขีคือเป็นพยานหลักฐาน อย่างพวกคุณมีพยานยืนยัน เป็นกายสักขี ถ้าตัดเขตได้ก็เป็นปัญญาวิมุติแล้ว
สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี ปัญญาวิมุติ อุภโตภาควิมุติ
ถ้าเข้าใจโลกุตรธรรมแล้วเราปฏิบัติได้ถึงขีดถึงเขตที่ชัดเจนแล้ว คุณก็ นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) คุณก็อยู่อย่างนี้เที่ยงแท้แน่นอนไม่ไปหรอกยืนอยู่อย่างนี้แหละตลอดกาล ไม่มีแปรเปลี่ยน ไม่มีอะไรมาหักล้าง ความยึด ไม่ใช่ยึดหรอก ถ้ามันรู้ว่าต้องอยู่อย่างนี้แหละไม่มีกลับกำเริบ ไม่มีหมุนเวียนไปเป็นอื่นอีกเลย นี่เป็น ความหมายภาษาที่บอกสภาวะจริงที่แต่ละคนมี แต่ละคนได้ เราก็มาอยู่อย่างนี้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติผู้กอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 06:39:34 )
รายละเอียด
ถามคำถามนี้ เป็นคำถามที่พยายามจะล้วงความรู้ในกรรมวิบาก ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตย พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่าเป็นอจินไตย มันก็ไม่ง่ายที่จะเข้าใจ ก็ขออธิบายบ้าง ที่จริงอาตมาเข้าใจดีและจะพยายามอธิบายให้ฟัง
ประเด็นที่ถามนี่ก็คือ กรรมวิบากในชาติของผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้วในชาติก่อน มาเกิดชาติใหม่ พอมาชาตินี้เหมือนยังไม่มีความบรรลุอรหันต์ ยังเป็น “ลิงลมอมข้าวพอง” อยู่นี่ ยังไม่รู้ว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ จะต้องมาเป็นอันนี้จะต้องมาเป็นลิงลมอมข้าวพอง ก่อน ในชาติต่อมาๆ หมด
แม้แต่พระพุทธเจ้า ในชาติที่เป็นสิทธัตถะนั่นแหละ ท่านก็มี ลิงลมอมข้าวพองของท่าน เช่น ก็ยังไปอยู่ทางโลก ยังไปแต่งงานมีลูก หรือแม้แต่ไปทางธรรมะก็ยังไปออกป่าอีก 6 ปี อย่างนี้เป็นต้น ก็คือสภาพที่มันยังไม่ใช่ภาวะที่บรรลุธรรม ไม่ใช่ภาวะที่สมบูรณ์แบบของชีวิตจริง ที่ท่านได้มาแล้วแต่ชาติปางก่อน
เขาถามประเด็นว่า คนที่เป็นโพธิสัตว์ ตอนที่เป็นลิงลมอมข้าวพอง จะมีผลวิบากต่อการดำเนินชีวิตตัวเองไหม
เป็นสิ เป็นทั้งตนเองต้องรับวิบาก แล้วก็จะต้องทำให้ดีๆกับวิบากที่ตนทำ รับมือดีๆ มันมีมาคุณก็ต้องประพฤติให้ดีๆ อย่าให้มันเป็นอกุศล อย่าให้เป็นวิบากที่มันซับซ้อนที่เราจะต้องเป็นวิบากไม่ดีเป็นอกุศลไปอีก มันก็ให้ผลแก่เรา ใช่ไหม ถ้ามันเป็นกุศลก็ให้ผลแก่เรา แต่ไม่ใช่ว่าเราติดกุศล แต่ควรทำให้เป็นกุศล ไม่ควรทำให้เป็นอกุศล..ใช่ไหม มันเป็นสัจจะ
อาตมามาชาตินี้มาประกาศโพธิสัตว์ 9 ระดับ ประกาศอรหันต์อีก 6 ระดับ ไม่มีใครพูดหรอก ไม่มีใครมาแยกแยะ ไม่มีใครมาอธิบายพวกนี้ แล้วเรื่องเหล่านี้อาตมาขอยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องพูดพล่อย พูดเล่น พูดผิดความจริง ขอยืนยันว่าไม่ผิดความจริง แต่ความรู้เหล่านี้เป็นความรู้ของอาตมาที่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ที่สามารถรู้ในความเป็นระดับ ความเป็นระดับ ลำดับ อย่างน่าอัศจรรย์
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้เรื่องก็จะบอกว่าไม่รู้เรื่องมาพูดอะไร แต่คนที่พอรับได้ก็จะเห็นว่า รู้ได้ขนาดนี้เชียวหรือ น่าอัศจรรย์นะ..ใช่ไหม เป็นเรื่อง..โอ้โห! มีนัยยะละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนขนาดนี้เชียวหรือ ใช่ไหม จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ คนเรา ฉะนั้นคนที่เขาไม่เข้าใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ยอมรับเขาก็ไม่พิจารณาอะไร ส่วนพวกที่เข้าใจ มีปฏิภาณปัญญาพอฟังแล้ว โอ้โห! แล้วเขาฟังแล้วจริงๆ พอรู้ไหม พวกคุณพอรู้ไหม อาตมาไม่ได้ดูถูกพวกคุณนะ พวกคุณไม่ใช่เป็นโพธิสัตว์ ที่เป็นระดับอย่างที่อาตมาว่า ใช่ไหม แต่พอรู้พอเข้าใจได้ ใช่มั้ย ไม่ใช่เรื่องพูดสับสนไปมา ที่จริงรู้ละเอียดลออขึ้นดีด้วย ไม่ใช่สับสน นะก็ศึกษาไปแล้วก็จะรู้
จากคำถาม “ลิงลมอมข้าวพอง” ต้องมี เป็นพลังฤทธิ์ของโลกีย์ หนึ่งประการ เป็นวิบากของแต่ละคนอีกประการหนึ่ง พลังฤทธิ์ของโลกีย์ เกิดมายังไงคุณยังไม่เดียงสาก็ต้องถูกพลังงานอำนาจของโลกีย์ครอบงำ พาไป จะเก่งขนาดไหน อย่างพระพุทธเจ้าก็ยังไม่พ้น อาตมาก็ยังอยู่ในสงสารอยู่ทางโลกตั้ง 36 ปี ออกป่าไปอีกเหมือนกัน แต่ไม่นาน ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมีวิบากของท่านก็ว่ากันไป ก็ท่านอยากไปว่าพระพุทธเจ้ากัสสปะทำไม ท่านก็วิบากของท่านไป
ถามประเด็นว่า คนที่เป็นโพธิสัตว์ ตอนที่เป็นลิงลมอมข้าวพอง จะมีผลวิบากต่อการดำเนินชีวิตตัวเองไหม เป็นสิ เป็นทั้งตนเองต้องรับวิบาก แล้วก็จะต้องทำให้ดีๆกับวิบากที่ตนทำ รับมือดีๆ มันมีมาคุณก็ต้องประพฤติให้ดีๆ อย่าให้มันเป็นอกุศล อย่าให้เป็นวิบากที่มันซับซ้อนที่เราจะต้องเป็นวิบากไม่ดีเป็นอกุศลไปอีก มันก็ให้ผลแก่เราใช่ไหม ถ้ามันเป็นกุศลก็ให้ผลแก่เรา แต่ไม่ใช่ว่าเราติดกุศล แต่ควรทำให้เป็นกุศล ไม่ควรทำให้เป็นอกุศล..ใช่ไหม มันเป็นสัจจะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สำนึกรู้เพื่อเข้าสู่โลกที่ดีที่สุด คือโลกโลกุตระ วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2566 แรม 14 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2567 ( 15:24:57 )
รายละเอียด
ใช้ภาษาสื่อสภาวะที่ชาวอโศกเรียนรู้ที่จบแห่งความจบ อย่างจบสิ้นสนิทเลย ก็ใช้ได้ถูก แต่ต้องรู้สำคัญที่สุดว่า ที่เราศึกษานี้ ที่ว่าวนนี้มันไม่มีแล้วคืออะไร คือกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด หมด มันไม่มีแล้วก็ไปจบที่ความไม่มีกับความมี วนกับไม่วน
วนกับไม่วนเป็น dynamic ส่วนมีกับไม่มีเป็น static
Static จะสั้นกว่า Dynamic
คุยกับเทวดาเมื่อคืนนี้ static กับ dynamic สุดจบก็มีอยู่เท่านี้ ไอน์สไตน์เขาอยู่ที่จินตนาการ อยู่ใต้หมวก แต่ที่จริงเป็นสัญญาเดิมของเขา แต่ไอสไตน์เขาไม่รู้ โพธิสัตว์ไอสไตน์มีสภาพมีความรู้ แต่ไม่รู้รายละเอียดในความมีที่เป็นนามธรรม ที่เป็นวัฏจักร ที่เป็นกรรมวิบาก ไอสไตน์ยังไม่แจ้งยังไม่ทะลุตรงนี้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 3
วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 07:37:03 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2563
เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 10:33:57 )
รายละเอียด
เอกีภาวะ กับวิมุติ เรามาปฏิบัติและพิสูจน์ได้ถึงสภาพสังคมมนุษยชาติ อาตมาทำงานสำเร็จ สร้างสังคมของมนุษยชาติที่มีวัฒนธรรม มีระเบียบวินัยมีทฤษฎี มีศีลสมาธิปัญญา อาศัย จนเป็นสังคมกลุ่มหมู่ที่มีธรรมะ มีพุทธธรรม ถึงขั้นสาธารณโภคี จึงเป็นอยู่กันอย่างมีสาราณียธรรม 6 เกิดจริงเป็นจริง อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วก็เป็นสังคมสาธารณโภคี เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์สาธารณะ แต่ละคนมีศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา มีความเสมอสมานกันอนุโลมปฏิโลมร่วมกันได้ตามฐานะ เกื้อกูลกันช่วยเหลือกัน ไม่ข่มกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป เคารพกันตามฐานะตามวุฒิ ตามคุณธรรม หรือแม้แต่ตามสมมติก็รู้จักการเคารพ มีคุรุกรณะกัน
เพราะมี “พุทธพจน์ 7” คือ
1. สาราณียะ (มีความระลึกถึงกัน)
2. ปิยกรณะ (มีความรักกัน )
3. ครุกรณะ (มีความเคารพกัน)
4. สังคหะ (มีการเกื้อกูลช่วยเหลือกัน)
5. อวิวาทะ (มีการไม่วิวาทกัน)
6. สามัคคียะ (มีความพร้อมเพรียงกัน)
7. เอกีภาวะ (มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)
ที่มา ที่ไป
เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 18:32:33 )
รายละเอียด
ก็ถูกต้อง นายกฯ ก็พิสูจน์ตัวเองมาพอสมควรแล้วแต่มันห้ามไม่ได้หรอก คนไม่ชอบกันนั่นก็หนึ่ง สองแย่งชิงอำนาจบาตรใหญ่นั่นก็อีกหนึ่ง สองตัวสำคัญนี้ก็เหลือแหล่แล้วในการเกิดสงครามสังคม เราเห็นอย่างนี้ชอบอย่างนี้เราก็เชียร์ มันก็ต้องการให้คนมาชอบตามก็เป็นแรง เพราะฉะนั้นในโลกที่จะมีคนผู้เข้าใจถูกต้อง แล้วก็มาช่วยคนให้เข้าใจถูกต้องตาม มันก็ต้องมีความจริงอยู่ในยุคกาลที่ต้องมี
ในยุคที่ไม่มีคนถูกต้องเลย กลียุค มีแต่ฆ่าแกงกัน ถือตัวกิเลสหนา คนจะมาสอนสัจธรรมอย่างไรมันก็ไม่เอา เสียเวลาเปล่า แม้แต่สัตบุรุษเกิดในยุคนั้น เป็นยุคที่สอนกันไม่ได้พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็มีแต่ศึกษาตามสังคมที่มันเป็น สอนไม่ได้หรอก ไม่ต้องสอน สัตบุรุษก็ไม่สอนแล้ว ไม่อวดรู้แล้ว เพราะอวดรู้ มันก็ไม่ฟัง มันมีแต่ความบ้าของมันไป ห้ามมันก็ไม่ได้ สอนมันก็ไม่ฟัง ก็เลยต้อง เป็นไปตามยถากรรม มันก็เป็นยุคที่ โอ้โห..อาตมาก็ว่า เคยผ่านในยุคเหล่านี้มา เอามาพูดนี่ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่เคยผ่านมา ซึ่งในตำรามีอธิบายหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาตมาพูดนี้ไม่ได้อ่านเอาจากในตำรา พูดโดยที่เป็นความเห็น ความรู้ ความเข้าใจ ความจริงที่อาตมาผ่านมาเข้าใจได้ ระลึกชาติได้ก็เอามาใช้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 50 ตอบปัญหาผ่าปฏิจจสมุปบาท วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 12 กันยายน 2565 ( 14:32:47 )
รายละเอียด
ผู้ศึกษาแยกอุตุ ดินน้ำไฟลม สิ่งไม่มีชีวะ ชีวิต แต่เป็นพลังงาน ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า จนเป็นพลังงานที่มีชีวะ เรียกว่าพืชหรือพีชะ ก็จะมีประธานเข้ามายึดความเป็นวังวน ยึดความเป็นตัวตน เป็นสภาพสามเส้าเป็นตัวเองขึ้นมาเป็น ISH แบบพีชะ พีชะไม่เป็นจิตนิยาม ยังไม่สามารถมีความรู้สึกของตนเอง ชอบ ชัง สุข ทุกข์ พีชะ ยังไม่มีคุณสมบัติเจริญขนาดนั้น จนเจริญมาเป็นจิตนิยาม เป็นสัตว์เดรัจฉาน จนมาเป็นมนุษย์ ที่จะรู้เท่าทันพลังงาน แล้วทำพลังงานนี้ให้เป็นอุตุได้ พีชะก็ได้ กรรมก็ได้ ทำได้ก็ทรงไว้เป็น ธรรมะ static ส่วนกรรมเป็น dynamic เป็นฐานวิ่งรอง เป็นพลังงานสองหน่วยบวกลบ สามารถควบคุมดูแลจัดการได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา บ้านราช เนื้อแท้ประชาธิปไตยพุทธ 5 ประการ วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 29 กุมภาพันธ์ 2563 ( 11:02:29 )
เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:39:49 )
Facebook : test
Youtube : Name
Twitter : Name
Line : Name
Telegram : Name
Wechat : Name
Skype : Name