คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี
เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit
วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5
วีดีโอ Loom 1 : https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044
วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk
รายละเอียด
600423_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ โยนิโสมนสิการคือการทำใจอย่างไร
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2560 ที่บ้านราชฯ เราก็ได้ผ่านเหตุการณ์มามากมาย ตั้งแต่ งานปลุกเสกงานสงกรานต์ตลาดอาริยะ งานเผาศพหลวงพ่อดินดี เราก็ย้ำที่กรรมที่เราทำ ก็ขอบอกกล่าวใครที่จะมาทำการค้าขาย ที่เฮือนสวน.ที่ราชธานีอโศกก็นัดประชุมกันที่เฮือนโสเหล่ 13.30 น.
ที่ผ่านมากพ่อครูเอามหาจัตตารีสกสูตร เอาสุริยเปยยาลสูตรและมูลสูตรมาสัมพันธ์กัน การนั่งหลับตาทำสมาธิไม่ใช่วิธีปฏิบัติของพุทธ เป็นแต่เพียงได้ประโยชน์ในการทำ เตวิชโช
บุญคือการชำระกิเลสในจิตสันดานให้หมดจด การได้ส่วนแห่งบุญก็คือการได้เสียกิเลสไป เราก็ทำส่วนแห่งบุญให้หมดไป คือกิเลสหมดกิเลส0 จิตสันดานเราปราศจากกิเลส บุญก็หมดหน้าที่ เราก็ทำแต่กุศลอย่างเดียว ทำอย่างมีฉันทะ ศึกษาการทำมนสิการ มีเวทนาเป็นกสิณ
พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็โอภาปราศรัยกับผู้ที่ส่ง sms มา
SMS วันที่ 21 เมษายน 2560
เศรษฐศาสตร์บุญนิยมคือลดกิเลสได้จริง
3867ใครสงสัยศาลาใหญ่ตลาดอาริยะใช้พลังอะไรแรงกายแรงใจแรงปัจจัยที่ใด? ให้มองย้อนไปที่พลังชาวมังสะวิรัติเอาปัจจัยที่ไหนสร้างโรงบุญ5ธค.ได้99โรง
ฤาหลายร้อยโรงบุญทั่วปท.ในเวลาไม่ถึงเดือน!พลังรักแรงศรัทธาจากความเสียสละในการให้ทานโดยไม่หวังผลฯเพื่อพ่อฯ(9)เป็นคำตอบชัดเจน!
พ่อครูว่า...มันมีทั้งที่สมทบทั้งส่วนตัว และผู้ที่จะมาบริจาคให้ชาวอโศก ต้องมีกติกา คบคุ้นกับชาวอโศกไม่ต่ำกว่า 7 ครั้งเป็นต้นไป อ่านหนังสือชาวอโศกไม่ต่ำกว่า 7 เล่ม เราถึงจะรับ อยู่ในเงื่อนไขนี้ถึงจะมาบริจาคได้ เราก็ได้จากนั้นแหละมาสร้าง แม้เล็กๆน้อยๆ ก็ตาม เพราะพวกเราไม่มีการคอรัปชั่น ใครบริจาคมามันก็ใช้เต็มไม่มีใครมาหักเอาส่วนแบ่ง เงินปากถุง หรืออื่นๆ คอมมิชชั่นก็ไม่มี แต่พวกเราก็ไปได้ แม้ช้าก็ตาม เราทำเองไม่ไหวก็จ้าง เราทำเองได้ก็ทำ ไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา อันนี้เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์บุญนิยม
เศรษฐศาสตร์เชิงซ้อน คือ ความสูญเสียความรั่วซึมมันน้อยหรือไม่มี มีแต่เอามาทำงานได้เต็มๆ ไม่ปลุกเร้าเร่งเร้าให้มาทำทาน สิ่งนี้อาตมาภาคภูมิใจตัวเอง ตั้งแต่ทำงานศาสนามาไม่มีการประกาศเรี่ยไร ถ้าไม่ถึงเวลาจะบอกบุญ อันนี้บอกบุญเราก็ประกาศรับบริจาค ถึงเวลาที่จำเป็นเราก็บอกเป็นครั้งคราวนี้เรียกว่าบอกบุญ แต่ถ้าเรี่ยไร คือใครเอามาให้ก็รับหมด เหมือนอย่างที่ทำกันทั่วไป อโศกไม่ทำเด็ดขาด ตั้งแต่บวชมาจนถึงบัดนี้ อาตมาพาพวกเราทำได้ น่าภาคภูมิใจ
ลักษณะของเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ที่ถึงขั้นสาธารณโภคี หรือบุญนิยม คือ มีส่วนหมุนเวียนรายได้มาให้ด้วยศรัทธา เรารับของที่เขาให้เขาศรัทธา ของที่เขาไม่ให้เราไม่เอา เราไม่อยากได้ ไม่พูดและเล็มหว่านล้อมเลียบเคียง ว่าจะได้สวรรค์วิมานอะไร คนพูดไม่รู้หรอกว่ามีจริงไหม รับรองไม่ได้ มีแต่ในภพ สร้างภพภาพเอา และเข้าไม่เข้าใจว่า ภพภาพคืออุปาทาน คนยึดติดภาพภพนี้มี เรียกว่ามโนมยอัตตา เขาจะไม่ศึกษา จะผ่านหูผ่านตามาบ้างหรือเปล่าไม่รู้
อัตตา3 มีในพระไตรฯ ล.9 ข้อ302โปฏฐปาทสูตรที่บอกว่า การได้อัตตา 3 คือ
1. การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ) คือตัวตนวัตถุภายนอกหยาบๆ
2. การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ ปั้นรูปสัญญา แม้อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตา ฯ) แต่กิเลสระดับหยาบหมดไปแล้วก็เลยเหลือมโนมยอัตตา ก็มีรูปภายนอกสัมผัสอยู่ เป็นของละเอียดลงมาแล้ว เรียกว่ามโนมยอัตตา
3. การยึดครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้ หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา ปฏิลาโภ) แม้เป็นภพภายในก็อาศัยภายนอกเหมือนกัน แต่กิเลสหยาบเป็นภายนอกและรูปภายในหมด เหลือเล็กน้อยมากภายใน แม้กระทบตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เกิดน้อยมาก
(โปฏฐปาทสูตร พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 302)
ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ดับกิเลสขณะหลับตา แต่ดับกิเลสขณะลืมตามีสัมผัสภายนอก ดับไปเป็นลำดับตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตาและอรูปอัตตา
บางคนบอกว่า มาจัดตลาดอาริยะหลายครั้งจนสร้างอาคารใหญ่เบ้อเร่อได้ คนก็หาเรื่องหาราวไปเอง
เขาเข้าใจว่าเรารวยมีภาวะ ซ้อนเหมือนทุนนิยม(พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...กว่าจะได้อาคารขนาดนี้ต้องรีดเลือดจากปูเลยทีเดียว
พ่อครูว่า..เขาไม่เชื่อหรอกว่าใครจะมานั่งเสียสละมานั่งให้อย่างนี้ เขาไม่เข้าใจว่าคนมีจิตใจเสียสละด้วยบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มานั่งเอาเปรียบ มาขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มาให้จริงๆเขาไม่เชื่อ คนทุกวันนี้เขาไม่เชื่อน้ำมนต์ บอกว่าคนให้โดยบริสุทธิ์ใจไม่มีหรอก เพราะเขาไม่เคยเสียสละอย่างนั้นได้ เขาเอาตัวเขาเป็นตัววัดหรือตัดสินคนอื่น ซึ่งคนจะโง่ คนจะมีความชั่วมีอัตตาเต็มตัว คุณอย่าเอาตัวคุณมาตัดสิน ตัวคุณเป็นไม่ได้ก็ไม่เชื่อคนอื่น ของคุณก็ใช่สิ แบบนั้น หยาบต่ำเราก็เข้าใจ แต่ความละเอียดลึกซึ้งที่เขาลดกิเลสได้ คุณเองไม่เชื่อ เพราะคุณลดไม่ได้ ก็ไม่เชื่อว่าใครจะลดได้ ก็เป็นเรื่องของคุณ แต่คุณอย่าดูถูกธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่ทำให้คนลดกิเลสได้อย่างเที่ยงแท้ถาวรด้วย นี่คือความหยาบ ความไม่เชื่อสัจธรรมไม่เชื่อธรรมะอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าแล้ว ว่าเมื่อมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วกลับนั้นโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์
3867พลังศรัทธาจากอาริยะชนที่รักพ่อหลวงด้วยใจภักดิ์อย่างบริสุทธิ์ใจคือพลังโลกุตระสร้างโลกสุขเพียงพอด้วยปรัชญาพอเพียงโดยไม่ต้องยิ่งใหญ่เกินสมดุลโลกแต่ใหญ่ยิ่งด้วยปย.สุขพอดีโลกสมดุล!
พ่อครูว่า...คุณคนนี้ศรัทธาอโศกจึงพูดเช่นนี้แต่คนทั่วไปเขาไม่เข้าใจหรอก ว่าจะมีคนมาเสียสละอย่างบริสุทธิ์จริง ซึ่งบางครั้งเราก็ขายแบบบุญนิยมที่มีหลายระดับ คือต่ำกว่าราคาตลาด เท่าทุน ขาดทุน ซึ่งการขายขาดทุนเป็นการขายด้วยเลือดเนื้อของชาวอโศก คือเขาไม่คิดค่าแรงงานในการผลิตสินค้าออกมาผลผลิตออกมา เวลาคิดต้นทุน เราก็ขาดทุนตรงค่าแรงงานนี่แหละให้คนอื่น นี่คือการขาดทุนของเราคือกำไรของเราอย่างหลวมๆ เราไม่เอาค่าแรงงานเราจริงๆ เราลดได้มากจนกระทั่งข่าวอโศกทำงานฟรี ไม่เอาค่าตัวเลย แล้วมีอยู่จำนวนรวมกันมาก
ผลผลิตที่สร้างขึ้นมา ขายไปเมื่อไหร่ก็ขาดทุนเท่านั้น เพราะมีคนทำงานฟรีไม่เอาค่าแรงงานอยู่เต็ม ไปคิดต้นทุนอย่างไรมันก็ต่ำกว่าทุนอยู่ตลอด คนที่ทำงานฟรีไม่เอาค่าแรงเลยในของเรา มีเยอะแยะเลย กินใช้ส่วนตัวก็ไม่ตะกละ ไม่โลภ ไม่ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย
3867โลกที่ๆมีการปกครองแบบคนจนตามพระดำรัส our loss is our gian ขาดทุน ของเราคือกำไรด้วยศก.พอเพียง!คือโลกของคนยากจนใจพอที่เดียวในโลกที่ไร้ทุจริตชนปลอดหนี้อบายคอรัปชั่น!
คนเขาหมั่นไส้ก็มี ยิ่งดูทางโทรทัศน์ก็ยิ่งหมั่นไส้ เขาเลยไม่แยแส เหมือนกับพวกเราไม่มีอยู่ในสังคม ไม่มีตัวตนในโลก เอ็งจะเป็นอย่างไรก็ช่าง สืบสานข่าวโลกเขาไม่ค่อยสนใจอันนี้ เกิดจาก โรคกิเลสอันนี้
ถามลึกๆชาวอโศกมาเสียสละแก่โลกนี้ดีไหม ดี แต่ทำไมไม่ส่งเสริม เขาก็เลยประพฤติอย่างหมั่นไส้ เพราะมันจะกลายเป็นส่ิงเปรียบเทียบเขา เขาเลยไม่เอา อาตมารู้เข้าใจดีก็ทำสิ่งดีสิ่งจริงไป เขาก็รู้โดยปฏิภาณสามัญ เขาก็ว่าปิดบังไม่ได้หรอกเขาก็ไม่ติ แต่ไม่แยแส ไม่ส่งเสริมเลย ดีไม่ดี พูดขึ้นมาแล้วก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จะบอกว่าไม่ได้เรื่องก็ไม่ได้เพราะมันได้เรื่อง
0015ขอสัก 1 วันให้พ่อท่านเทศน๋เป็นภาษาอีสานจะได้ไหมครับ
พ่อครูว่า...ไม่ได้หรอก มีคนขอมานานแล้วเคยคิดจะทำ แต่คนฟังภาษาอีสานไม่เป็นมันก็เสียประโยชน์ แม้ว่าคุณจะได้ประโยชน์ สักคนเสียประโยชน์ก็มี แต่ถ้าพูดภาษาภาคกลาง คุณก็ฟังได้คนอื่นก็ฟังได้ ถ้าจะพูดอีสานก็เป็นอีสานแบบโบราณด้วยฟังยากด้วย ถ้าจะพูดก็ได้เอาใจคนเลือดอีสานเท่านั้นเอง แต่ถ้าเทศน์ภาษาภาคกลางก็ฟังกันได้ทุกภาค ขอมาก็ให้ไม่ได้
2978กราบนมัสการพ่อครูฯ และส.ฟ้าไท ที่เคารพ ผมอยากบรรลุธรรมครับ
พ่อครูว่า...คนนี้ทำไมคิดดีจังเลย แต่คิดง่ายไปนะ อยากบรรลุธรรมก็ตั้งใจฟังธรรมแล้วพากเพียรปฏิบัติให้เหมาะสมกับตัวเองแล้วก็จะได้ เพราะอาตมามั่นใจว่าได้ขยายเทศนานี้ไปอย่างสัมมาทิฏฐิ พูดให้ฟังได้สัมมาทิฏฐิก็ไปทำสัมมาปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมได้แน่แท้ ตราบใดมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์
8824อยากให้การจัดการทรัพย์สินวัดธรรมกายเสร็จสิ้นโดยไร้ข้อค้างใจใดๆโดยเร็วประชาชนกำลังรอความโปร่งใสอยู่
พ่อครูว่า...มาบอกอะไรอาตมา บอกผิดที่แล้ว เชิญไปบอกอย่างน้อยก็ dsi หรือรัฐบาลโดยตรง บอกผ่านอาตมาก็ส่งเสียงผ่านไปให้อย่างนี้แหละเป็นเสียงนกเสียงกาจะได้ผลหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่อาตมาเห็นผลของมะระอยู่ข้างหน้านี้ นี่ลูกมะระนะ มันยับเลย พ่อครูเล่าถึงสมัยตอนเป็นฆราวาส เสร็จจากส่งหนังสือพิมพ์ก็ไปแวะร้าน ข้าวต้มกุ๊ย พอเข้าไปก็ไม่ต้องสั่ง เขาเห็นหน้าอาตมาก็รู้เลยว่าแกงจืดมะระสด กับเครื่องในไก่
โยนิโสมนสิการคือการทำใจอย่างไร
วันนี้ตั้งใจจะรวบรวมคำว่าโยนิโสมนสิการมาพูด
สำคัญอย่างไรกับการปฏิบัติธรรม
อาตมาขอแปล โยนิโสมนสิการ ต้นๆ คือการปฏิบัติธรรมที่มีผลถึงใจ มีผลเป็นปรมัตธรรม มีผลเปลี่ยนแปลงจิตใจได้ หรือเข้าขั้นอภิสังขาร
อภิสังขารมี 3 อย่าง ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร ขอขยายความอภิสังขาร 3 นี้ก่อน เพราะว่าแม้แต่ผู้รู้ทุกวันนี้ก็เข้าใจผิด
ปุญญาภิสังขารคือการทำใจในใจ มนสิการ คือทำใจในใจให้ ชำระกิเลส กิเลสละหน่ายคลาย อภิสังขารคือสังขารโดยมีความรู้ความสามารถ เกิดบุญทำให้กิเลสลดได้
อปุญญาภิสังขาร คือจัดการทำใจในใจ สังขารถึงขั้นไม่ต้องชำระกิเลสแล้ว คืออปุญญะไม่ต้องมีบุญหมดบุญ ไม่เป็นบุญก็เป็นกุศล ไม่ใช่เป็นบาป เพราะได้ชำระบาปหรืออกุศลหมดไปแล้ว ปุญญะก็ไม่ต้องทำแล้ว สังขารเมื่อใดก็เป็นกุสลสูปสัมปทา เพราะได้ชำระกิเลสหมดจดแล้ว สจิตตปริโยทปนัง
อเนญชาภิสังขารคือสั่งสมคุณสมบัติของจิตเป็นอุเบกขา5 เป็นจิตที่สั่งสมความตกผลึกตั้งมั่นแข็งแรง เก่งในการทำงานสัมผัสกับเหตุปัจจัยของโลกเป็นมุทุภูตธาตุรู้เร็วไว ปรับได้ไว กัมมัญญา เป็นจิตที่สามารถทำกรรมการงานได้ดีขึ้น เจริญด้วยกรรม จิตยิ่งปภัสสรา ไปเรื่อยๆ คือมี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ยิ่งขึ้น คือ ปภัสสรา
วิธีทำใจที่มิจฉาทิฎฐิคือการนั่งหลับตาทำสมาธิ คือวิธีการทำแบบสะกดจิตภายในใจ ไม่มีการวิจัยธรรมไม่รู้โลกวิทู ไม่รู้กระทบสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ให้มีการพิจารณากายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรม อาจแปลตามพยัญชนะได้ แต่ไม่รู้ลักษณะแท้ว่า อาการกายคืออย่างไร
กายคืออาการของรูปกับนาม เรียกว่าอาการ กาย
ธรรมะสองอย่างต้องมีภายนอกกับภายใน
กายกับจิตก็สองอย่าง
กายที่หมายถึงภายนอก กับกายที่หมายถึงภายใน
หรือจิต หรือเวทนาเป็นอาการของจิตเจตสิก เวทนาก็ต้องมีเวทนานอก(หยาบ)กับเวทนาใน (ละเอียด)
แม้ที่สุดศึกษาเวนาจริงกับเวทนาเก๊
เวทนาจริงคือทุกคนที่ตาหูจมูกลิ้นกายเมื่อประสาทสัมผัสไม่บกพร่องก็จะรับรู้สึกเหมือนกันหมด เห็นกระทบรูปมะระลูกนี้ ลายๆ ทุกคนมีประสาทตากระทบรูปก็เห็นเหมือนกันหมด
แต่ความรู้สึกซ้อนจากการเห็นมะระลูกนี้ คนหนึ่งบอกว่าสวยน่ากิน อีกคนหนึ่งบอกว่า น่าเกลียด ต่างกันไปได้นานาสารพัด สิ่งที่เห็นต่างกัน สิ่งนั้นแหละคืออุปาทานของแต่ละคน เป็นความเห็นของแต่ละคน ชอบหรือชัง พระพุทธเจ้าให้เรียนเวทนาเก๊ แล้วจัดการ ให้เหลือเวทนาจริง สัจจะมีหนึ่งเดียว สองไม่มี สองที่มีคือเก๊ ใครไม่รู้จักอาการของเวทนา แล้วทำเวทนา 2 ให้เป็น 1 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 ถ้าทำไม่ได้คนนั้นไม่มีทางปฏิบัติธรรมได้ประสบผลสำเร็จ
นี่คือโยนิโสมนสิการ แต่ทุกวันนี้ผู้รู้แปลว่าการพิจารณาในใจอย่างแยบคายซึ่งไม่พอ ต้องแปลถึงการทำใจหยั่งลงถึงที่เกิดกิเลส แล้วทำกิเลสให้ดับลงไปได้ นี่คือโยนิโสมนสิการ
ทุกวันนี้มาแปลภาษาไม่ถูกไม่ครบถ้วนจึงไม่ปฏิบัติให้ได้ผล
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิได้มี 2 คือ 1 ปรโตโฆษะ 2 โยนิโสมนสิการ (พตฎ.เล่ม 12 ข้อ 497)
ผู้ที่จะมีสัมมาทิฏฐิได้ จะต้องฟังคนอื่น ทำความเข้าใจตามคนอื่นได้ ถ้าคุณไม่ฟังคนอื่นเลย เอาแต่ความรู้ความเห็นของตนเอง อย่างไร แล้วคุณก็เห็นของคุณอย่างนั้น ไม่ฟังคนอื่น คุณจะไม่มีโอกาสทำใจในใจได้อย่างถูกแท้ เพราะอะไร
เพราะว่า ถ้าคุณมีความรู้จริง รู้แจ้ง ปฏิบัติได้ถูกแล้ว คุณไม่ต้องฟังคนอื่น ไม่ต้องมีปรโตโฆษะแล้ว คุณโยนิโสมนสิการ ทำใจถึงที่เกิด ปฏิบัติได้อยู่แล้วนั้นคุณมีสัมมาทิฏฐิแล้ว ก็ไม่ต้องฟังคนอื่น
แต่ถ้าคุณเอง คุณยังไม่รู้เลยว่า สัมมาทิฏฐิหรือไม่ คุณก็ต้องฟังคนอื่นบ้าง เพื่อเปรียบเทียบ ถ้าคุณสัมมาทิฏฐิ เปรียบเทียบกับคนอื่นที่ไม่เหมือนคุณก็จะได้ชัดเจนขึ้น... สรุปก็คือคุณต้องฟัง
แต่ถ้าคุณมิจฉาทิฏฐิ แล้วไม่ฟังคนอื่นเลยจะเป็นอย่างไร ก็ซวยไปตลอดกาล ไม่มีวันจะได้ สัมมาทิฏฐิ แต่ถ้ามีสัมมาทิฏฐิอยู่แล้วก็จะมีตัวเปรียบเทียบเพิ่มขึ้น จะได้ยืนยันความเป็นสัมมาทิฏฐิ การไม่เอาของคนอื่นมาเปรียบ แล้วปักมั่นว่าของตนถูกๆๆ ไม่ศึกษาของคนอื่นเลย คนนี้ยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของตน แม้จะฟังคนอื่นก็เหมือนอาบน้ำกลัวเปียก แล้วจะได้อาบน้ำไหม ก็ไม่ได้อาบเพราะกลัวเปียก
ถ้าฟังคนอื่นอย่างอาบน้ำกลัวเปียก ฟังอย่างเสียไม่ได้ ก็ไม่มีวันได้เพิ่มเติม ต้องฟังอย่างไม่กลัวเปียกน้ำคือฟังให้เข้าใจ
อาตมาฟังคนอื่นอย่างพิจารณาแต่คนอื่นฟังอาตมาอย่างอาบน้ำกลัวเปียก ยิ่งผู้รู้คนที่เขาเชื่อถือมีหลักฐานอ้างอิงอย่างนั้นอย่างนี้ เขายิ่งฟังอาตมาอย่างอาบน้ำกลัวเปียก แล้วถามว่าไหนมีใบรับรองหรือไม่? พวกคุณก็ต้องไปเอาใบรับรองมา แล้วเขาจะคิดว่า ลูกศิษย์ถูกอาจารย์หลอกอีก
ทิฏฐิ 2 ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิคือ
ผู้ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 จะต้องถึงพร้อมด้วย แสงอรุณ 7 ตัวที่ 7 คือโยนิโสมนสิการ มันจะต้องสัมพันธ์กันหมดทั้ง 7 ถึงโยนิโสได้ ไม่อย่างนั้นไม่ลงถึงที่เกิด
1.มิตรดี มิตรดีคือสัตบุรุษ พระพุทธเจ้า หรือผู้มี dna ของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เป็นผู้ที่มีความรู้สึกต้องของพระพุทธเจ้า ไม่เป็นมิตรดี มิตรดีคือผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้มาก่อน ศาสนาพุทธจะต้อง สาวกภูมิ ต้องมีผู้รู้มาก่อน รู้เองไม่ได้ ต้องฟังจากคนอื่น ถ้ารู้เองตรัสรู้เองโดยชอบคือพระพุทธเจ้า แม้อาตมารู้เองไม่ได้ ก็ได้นิดหน่อยคือสยังอภิญญาไม่ใช่สยัมภู
2. เข้าถึงศีลสัมปทา เช่นถือศีล 5 คือบรรลุ เช่นคุณถือศีลข้อ1 กาย วาจา ไม่ฆ่า แต่ใจคิดอยากทำร้าย อยากเอาสัตว์มาเป็นอาหารก็ยังไม่ถึงศีล คุณมีแต่กายกรรม วจีกรรม แต่ใจคุณยังอยากทำร้ายคนอื่นไม่หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย ถ้าคุณเอามากินก็เพื่อประโยชน์ตนเอง คนอื่นเขาไม่ได้ประโยขน์นะ
3. ฉันทะ คือความยินดี ถ้ายังเบื่อหน่ายอยู่ก็คือไม่ยินดี ต้องไม่มีเบื่อเลยก็จะยินดี ฉันทะสัมปทา อย่างพวกคุณมานั่งฟังอยู่ได้ นั่นคือคุณยินดี หากคุณไม่ยินดีก็ไม่เอาแล้ว ไปทำอย่างอื่นดีกว่า อันนี้นานๆฟังที
4. อัตตสัมปทา คือเข้าถึงความเป็นอัตตา หากคุณไม่เข้าถึงความเข้าใจอัตตา ในแสงอรุณที่ต้องเรียนรู้ว่าอัตตาเป็นเช่นนี้
ถ้าบอกว่า พระพุทธเจ้าบอกอัตตาไม่มี สัพเพธัมมาอนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตนแล้วเอาอะไรมาศึกษา อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร อันนี้หมายถึงคุณต้องเข้าใจอัตตา (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย
สมณะฟ้าไทว่า...ชาตินี้พ่อครูก็เป็นสัตบุรุษสอนเรา ไม่รู้ว่าท่านจะอยู่กับเราไปนานแค่ไหน แต่เราก็ยินดีฟังธรรมจากท่าน ท่านยินดีสอนเรากับเรายินดีฟังท่าน อันไหนมากกว่ากัน พ่อครูยินดีมากกว่า
พ่อครูว่า...บางคนยินดีหน่อยเดียวหรือครึ่งหนึ่ง หรือเต็มร้อย ถ้าไม่ขยันผมตายไปนานแล้ว แม้ไม่ค่อยก้าวหน้ามีมวลคนฟังเพิ่มขึ้น ระดมคน จัดงานเข้าค่ายก็มี 20-30 คน ครั้งที่เท่าไหร่แล้วนี่...18 แล้ว จัดไปถึง 180 ดูสิจะมากถึง 20-30 ไหม
อัตตา นี้คือข้อ4ในสุริยเปยยาลสูตร
5. ทิฏฐิ ต้องทำความเข้าใจโดยปริยายว่า อย่างนี้ๆ มิตรดี ศีล ฉันทะเป็นอย่างนี้ อัตตาเป็นอย่างนี้ทิฏฐิต้องมา เมื่อเข้าใจแล้วก็อย่าประมาท เห็นแล้วอย่างนี้ก็อย่าประมาท
6. คือความไม่ประมาทอันนี้รวมกัน ทั้ง 6 อันรวมกัน จึงเป็นอันที่ 7 โยนิโสมนสิการ
มรรคมีองค์8 เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ ผู้จะเห็นพระอาทิตย์ได้ก็ต้องเห็นแสงอรุณก่อน
ต้องมีมิตรดีมาบอกว่าต้องทำใจในใจ เป็นอย่างไร แล้วทำใจในใจตามศีลที่เป็นลำดับ ไม่ใช่เอาศีล 10 เลย ก็ไม่ได้ ต้องทำเป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายจนเกิดผล แล้วจะเห็นดี ยินดี
จะเห็นผลเพราะเข้าถึงอัตตาในตัวเรา รู้โอฬาริกอัตตา ต้องละให้ได้ก่อน แล้วค่อยๆลดมา จากโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ไปตามลำดับ
แล้วเกิด ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ จากปฏิบัติ ธัมมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มรรคมีองค์ 8 เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 จะเกิดสัมมาทิฏฐิหมุนเวียนเป็น ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ชัดเจนมาก เป็นความรู้ความเห็นความเข้าใจที่สูงขึ้น มีพลัง จนถึงผล เต็มกำลังคือปัญญาพละ
องค์ธรรมของการเกิดปัญญาไม่ใช่เฉกะหรือตักกะ แต่ปัญญาจะเกิดต้องอาศัยองค์ธรรม 6 จึงเรียกว่าปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นเองโดยไม่มีเหตุปัจจัยนั้นเรียกว่าสัญญา พวกขบคิดนึกเอาไม่ใช่ปัญญา เป็นการทำงานอย่างปฏิสัมพัทธ์กันขององค์ทั้ง 6
จากคำว่าโยนิโมนสิการแล้ว ก็มีในปัญญาวุฑฒิ4
1. สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ) .
2. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)
3. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) . .
4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 248)
มีการคบสัตบุรุษ ซึ่งในอวิชชาสูตร ก็มี
1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .
2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์
8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
กลับไปที่ ปัญญาวุฑฒิ4
1. สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ) .
2. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)
3. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) . .
4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 248)
ถ้าไม่ได้พบกับสัตบุรุษไม่ได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษ ก็ไม่รู้จัก สัทธรรม จะรู้จักแต่อสัทธรรม คือผู้รู้ธรรมะอย่างไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิไม่เป็น โยนิโสมนสิการไม่ถูก ก็มีแต่ อธัมมานุธัมมปฏิปัตติ
สัตบุรุษจึงสำคัญมาก ใครจะรู้ว่าคนนี้เป็นสัตบุรุษ มันยากนะ ในศาสนาพุทธซวยจริงในเมืองไทยที่ ใครอย่าบอกนะว่า ใครบรรลุธรรมเป็นสัตบุรุษ ถ้าใครบอกว่าตนเองบรรลุธรรมเป็นสัตบุรุษ ผู้รู้ท่านว่าคือไม่เป็นสัตบุรุษ ก็เลยต้องเดาเอา ก็เลยไปได้แต่สัตบุรุษเดาๆเอา
มันต้องเป็นคนฉลาดจริง มีภูมิปัญญาสัมมาทิฏฐิจริงๆ ถึงจะเดาได้ ทีนี้สรุป อาตมาประกาศว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษ แล้วคนก็ไปเชื่อคนที่เขาบอกว่าเป็นสัตบุรุษมาเก่า ที่ไม่ใช่สัตบุรุษ หลงเชื่อว่าคนไม่ใช่สัตบุรุษผู้นี้เป็นสัตบุรุษ อธิบายมาก่อน
เมื่อสัตบุรุษตัวจริงมาอธิบายก็ย่อมไม่ตรงกับที่เขาอธิบายมาก่อน คนก็ได้เชื่ออสัตบุรุษนั้นไปแล้ว เมืองไทยเลยซวย อสัตบุรุษประกาศอย่างไรเขาก็เชื่ออสัตบุรุษไปแล้ว ซึ่งได้ขึ้นทำเนียบไปแล้ว ก็เป็นความซวยของประเทศไทย
อยากทำความดีแต่รู้สึกอายจะทำอย่างไร
_คำถามจากเด็กชาย เชิญชัย สุขสวัสดิ์ อยากทำความดีแต่รู้สึกอาย ทำอย่างไรดี
พ่อครูว่า...คนเราถ้าทำความไม่ดีหรือทำความชั่ว คนอื่นเห็นเข้าก็จะว่าเอาได้ แล้วเราทำความดี คนอื่นเมื่อเห็นเข้า คนอื่นก็จะชมเชย ถ้าชมเชยแล้วทำไมต้องอาย ถ้าเขาว่าหรือด่าเอาสิ มันน่าอาย ว่าทำชั่วทำไม่ดีก็ถูกว่าถูกด่า นั้นน่าอาย แต่เราทำดีแล้วคนชมก็น่าอาย ถ้าไปเข้าใจอย่างนั้นเรียกว่าเข้าใจผิด
ถ้าทำดีแล้วคนชมไม่ต้องอายหรอก แม้ทำดีแล้วคนไม่ชม เราก็ต้องรับไปพิจารณา ตรวจสอบแล้ว ไปสอบทานผู้ใหญ่ผู้รู้ว่า หนูทำอย่างนี้ผิดหรือ ถ้าเราไม่ผิด คนอื่นเข้าใจไม่ได้ก็เป็นความไม่รู้ของเขา
อย่างหลวงปู่ มั่นใจในความถูกต้อง คนอื่นไม่เชื่อ หลวงปู่ก็ไปตรวจสอบในพระไตรปิฎก ก็ตรงกัน โดยใช้พระไตรปิฎกเช่นเดียวกันด้วย ก็สบายว่าตรงกัน
อาหารของวิชชา(ตัณหาสูตร)
ตามอวิชชาสูตร น่าจะได้พูดกันยาวพอสมควร
แต่ขอขยายที่มูลสูตร 10ก่อน
ข้อ 1 ว่ามีฉันทะเป็นมูลกา มีความยินดีเป็นรากเค้า
2 มีมนสิการเป็นแดนเกิด สัมภวะ มนสิการคือทำใจในใจ หรือต้องทำ มนสิการอย่างโยนิโส คือการทำใจในใจให้ถ่องแท้ แยบคาย ให้ถูกต้องให้ลงไปถึงที่เกิดเลย โดยการปฏิบัติต้องมี ผัสสะเป็นเหตุเกิด (เหตุเกิดในการปฏิบัติไม่ใช่เหตุคือตัณหาในอาริยสัจ4)
เมื่อไม่มีผัสสะ ก็ไม่มีเวทนา ไม่มีเวทนาก็ไม่มีฐานในการปฏิบัติ เรียกว่ากรรมฐาน ศาสนาพุทธมีเวทนาเป็นกรรมฐานอย่างเดียว ไม่ใช่เอาดินน้ำไฟลมเป็นกรรมฐาน กรรมฐาน 40 เป็นเรื่องนอกรีตของศาสนาพุทธ แต่เวทนา 108 ที่เป็นกรรมฐานแท้เขาไม่เรียนกันแล้ว นี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธ ไม่พูดเนื้อสาระแท้ แต่พูดนอกที่อาจารย์อื่นบัญญัติไม่ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ
ไปเอากรรมฐาน 40 ที่มีดินน้ำไฟลม อะไรนั่นที่เป็นของพระพุทธโฆษาจารย์รวบรวมมา
ในตัณหาสูตร
1. การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง
2. การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)
3. ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)
4. การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ .
5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น)..เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์
6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ.. ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)
7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5
8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา
9. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 62)
ถ้าโลกไหนไม่มีสัตบุรุษ หรือแม้มี ท่านก็บอกไม่ได้ ที่บอกไม่ได้นี่โบราณาจารย์ถึงได้รวบรวมไว้ ในโลหิจสูตร
โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ” .
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
พระพุทธเจ้า บอกให้ผู้ที่จะบอกได้ต้องเป็นผู้ที่บรรลุธรรม ถ้าไม่บรรลุธรรมแล้วก็จะบอกไม่ได้ เพราะถ้าขืนบอกแล้วในสิ่งที่ไม่มีจริงในตนก็ปาราชิก แต่แม้คุณจะมีจริง คุณได้บรรลุธรรมนั้นจริง คุณบอก..ท่านก็ให้ระมัดระวังอย่าไปบอกกับ พาลชน หรือคนไม่รู้เรื่อง อนุปสัมบัน บอกคนไม่เดียงสา หลอกเด็กมันก็หลอกได้ ต้องบอกกับคนที่พอรู้เรื่อง รับได้ ไม่ใช่บอกกับคนที่จะหลอกเขาได้
คนนี้บอกเขาแล้ว เขาก็จะตัดสินเองว่าถูกหรือไม่ อันนี้เป็นอุปสัมบัน แต่เขาไปแปลอุปสัมบันว่าผู้ที่บวชแล้ว อาตมาขอยืนยันว่า ผู้ที่ผ่านพิธีบวชแล้วไม่รู้เรื่องมีอีกเยอะ แต่ฆราวาสที่ไม่ได้ผ่านการบวชแต่รู้ธรรมะที่อาตมาพูดนี้เยอะ
แม้จะเป็นนักบวชที่ผ่านพิธีกรรมหรือไม่ผ่านก็ตาม แต่มีภูมิธรรมที่พอฟังธรรมได้เข้าใจ เราก็ต้องอธิบายให้ฟัง
...ก็ระมัดระวังตรงนี้เอง
อาตมาไปในหมู่ชนไหนที่เขาฟังธรรมไม่รู้เรื่องอาตมาก็ไม่พูด อาตมาพูดไปแล้วมันเป็นอาบัติปาจิตตีย์ พูดแล้วเขาไม่รู้เรื่องก็อย่าพูดดีกว่า
แต่ถ้าพูดแล้วคนฟังรู้เรื่องอย่างพวกคุณ ถ้าทุกวันนี้ มีคนฟังเกิน 5 คน 10 คน อาตมาก็พูด พูดอย่างเต็มใจพอใจยินดีจะพูด เหนื่อยก็ยังพูดได้ แม้เหนื่อยมากก็พัก ไอบ้างก็ต้องพูด ก็เป็นเรื่องดี อาตมาไม่มีงานอื่นที่สำคัญเท่างานนี้ งานนี้นี่สุดยอด อาตมาได้เลือกแล้ว
ในมูลสูตรของพระพุทธเจ้าท่านสรุปไว้เลยว่า ถ้าคุณไม่ยินดีก็ยาก สองคุณยินดีแล้วก็ต้องทำใจในใจ มนสิการ แล้วรู้ว่ามนสิการทำตรงไหน ก็ตรงนั้นคือแดนเกิดแดนตาย กิเลสเกิดตรงไหนต้องทำให้กิเกลสตายตรงนั้นตรงหทยรูป
ต้องรู้อาการ 32 มันจะมีองค์ประชุมตรงไหน มันไม่มีที่อยู่หรอก คุณสามารถสัมผัสได้รู้ได้ ตากระทบรูป เป็นภาวะ ตรงภาวรูป นี่แหละคือหทยรูป
จะปรากฏ หทยรูป ภาวรูป ต้องมีปสาทรูปกับโคจรรูป
ปสาทรูปคือ ต้องมีประสาทตาหูจมูกลิ้นกายใจ ดำเนินการทำงานเรียกว่าโคจระ ถ้ามันไม่ดำเนินการทำงาน มันอยู่เฉย ตาเฉยๆตาลอย หูไม่รับเสียง จมูกไม่รับกลิ่น ดีไม่ดี อุตริไปปิด ตาหูจมูกลิ้นกาย ปิดให้อยู่แต่ในใจคือมิจฉาทิฏฐิ 100% ของการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า
รู้ภาวรูป หทยรูป ก็ต้องรู้ชีวิตของกิเลส ชีวิตรูป อาการมันมีน้อยมากมีอินทรีย์พละอย่างไร เราจนมันไม่มีชีวิต ดับได้ แล้วก็จะได้รู้ที่มาที่อาศัยของอาหารรูป มีตั้งแต่ กวิฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
กวิฬิงการาหารก็มี ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร ซ้อนในนั้น ในนั้นก็มี เจตนา หรือตัณหาเป็น มโนสัญเจตนาหารที่ต้องจัดการ
แล้วทำอย่างมีปริเฉทรูป ตัดรอบไปตามลำดับ ไม่ใช่ไปทำทีเดียวทั้งหมด แล้วทำให้ว่างไปตามลำดับ หมดชีวิตของกิเลสหมดเครื่องอาศัยของกิเลส จนสำเร็จ ปริเฉทรูป ก็จะสำเร็จ วิญญัติ ซึ่งมีวิญญัติรูปของกายวิญญัติ เป็นวิญญัติของจิต เรียกว่า วจีสังขาร ออกมาข้างนอกเป็นกายวิญญัติวจีวิญญัติ
วิการรูป มีลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา และมีกายวิญญัติ วจีวิญญัติ รวมเป็นวิการรูป 5
สุดท้าย ลักขณรูป 4 รูปทั้งหมดจบด้วย อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า..พ่อครูอธิบายรูป 28 ที่เกิดตรงแดนเกิด หทยรูป รู้ภาวรูป 2 ทำอิตถีภาวะออกไปตามลำดับให้อินทรีย์มันอ่อนลงๆ กำจัดอาหารของมันแล้วแบ่งทำไปตามลำดับ ดูในวิการรูปและลักขณรูป
พ่อครูว่า...รูป 28 มีมหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูปอีก 24 ถ้าสัมผัสอะไรแล้วรู้จักภาวะพวกนี้ ทำให้จิตของคุณจัดการได้ จัดการสำเร็จถึงขั้นที่ 9 อุปาทายรูป ขั้นที่ 10 วิการรูป5 และลักขณรูป 4 คุณรู้สัจจะพวกนี้แล้วทำได้ คนบรรลุอรหันต์แล้วจะรู้จักสภาวะลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา จนที่สุดควบคุม ลักขณรูป 4
มันจะเร่ิมเกิดอุปจยะจะให้เกิดหรือไม่ ถ้าไม่ให้มันเกิดก็ไม่มีอะไรต่อ ก็จบ การจบ ของผู้สูงสุดอยู่ที่ลักขณะรูป 2 คืออุปจยะหรือสันตติ
สันตติคืออมตบุคคลสามารถควบคุมให้ลักษณะจิตนี้เกิดหรือไม่เกิด ถ้าให้มันเกิดแล้วให้มันเจริญก็ได้ อนิจจา คือไม่เที่ยงแบบเสื่อมหรือเจริญก็ได้ คนที่ไม่ให้มันเสื่อมให้เจริญได้ในขณะคุณเป็นๆ ถ้าให้มันเกิดก็ให้มันเจริญไม่ให้มันเสื่อม ก็ต้อง เพิ่มทศนิยมของความเจริญ พระอรหันต์ เป็นคนไม่มีบาปไม่มีอกุศล บุญก็ไม่มีแล้วมีแต่กุศล ตัวนี้เที่ยงในการทำให้เจริญถ่ายเดียว กุสลสูปสัมปทา เพราะว่าได้ทำสจิตตปริโยทปนัง
ถ้าไม่เพิ่มทศนิยมมันก็เสื่อมจนสูญ ผู้บรรลุอรหันต์แล้วหากไม่ต่อสันตติก็จะชรตาไปตามธรรมชาติ
การลดทอนวิบากกรรมทำได้ไหม
ต่อมาตอบคำถาม
_หากเรามีวิบากกรรมแล้ว ถ้าเรายังผลแห่งความไม่ประมาท จะช่วยลดทอนวิบากกรรมได้ไหม
ตอบ..กรรมวิบากทำแล้วไม่มีการลบ ทำแล้วทำเลย ทำชั่ว 100 หน่วย ก็จดไว้ทันทีในกรรม ถ้าทำ 99 หน่วยก็ได้ 99 หน่วย เป็นวิบากตามนั้น วิบาก ชั่ว ดี ไม่ชั่วไม่ดี ทำแล้วเป็นอันทำ สั่งสมเป็นสัญญา อยู่ในวิบากกรรมทั้งสิ้นไม่สูญหาย แล้วมันจะออกฤทธิ์กับคุณ ชั่วหรือดีก็ออกฤทธิ์กับคุณ เท่าที่มันมี ศาสนาพุทธจึงไม่มีการล้างบาป ล้างกรรม มีแต่บุญที่จะล้างบาป อกุศล ล้างจนจิตคุณไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่กุศล จิตของคุณเด็ดขาด คุณรู้กรรมทุกกรรมปัจจุบัน อดีตแล้วไปอนาคตเราก็ไม่ทำอีกชั่ว เราทำทุกปัจจุบันในกรรมดี กรรมชั่วไม่ทำเลย อรหันต์คือแบบนั้น ถ้าอรหันต์ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็จะทำแต่กุศล อรหันต์จึงไม่มีวันที่อกุศลจะวิ่งไล่ตามกุศลทัน เพราะไม่ทำบาปอกุศลแล้วทำแต่กุศลถ่ายเดียว กำแพงหรือสิ่งสะสมคลังสมบัติก็มีแต่กุศล อกุศลวิ่งตามไม่ทันเรา อรหันต์คือผู้ที่อกุศลวิ่งตามยากแต่ไม่ใช่ไม่ทันนะ แม้แต่พระพุทธเจ้า เช่นอกุศลที่ท่านต้องรับวิบากต่างๆ ก็มี แม้ที่สุด ถูกพระเทวทัตกลิ้งหินทับพระบาท เป็นต้น ขนาดพระพุทธเจ้าวิบากยังตามทัน
ขีดสำคัญคือ เป็นอรหันต์แล้วไม่ทำอกุศลแล้วมีแต่กุศลๆๆ ทำให้อกุศลวิ่งตามได้น้อยลงช้าลง และเบาลงๆ
_อยากให้พ่อครูประชาสัมพันธ์ ลดการใช้รถยนต์มอเตอร์ไซค์ในบ้านราชฯให้ลดลง เพื่อให้มลภาวะน้อยลง
พ่อครูว่า...เราก็ต้องใช้ เลี่ยงไม่ได้ เราก็ระวังจมูกของตนก็แล้วกัน เหมือนคนบอกว่าอย่าไปใช้พลาสติกเลยต่อไป มันเป็นไปไม่ได้หรอก
_ลูกได้อานิสงส์จากการที่ลูกได้ฟังธรรม ที่ละเอียดของพ่อครูมากถ้าไม่อยู่ในแสงอรุณ นี้ก็คงไม่ได้อย่างนี้ ลูกขอปฏิบัติธรรมไปให้เกิดไฟฌาน ต่อไป….
ตัดรอบต่างจากการไม่เอาภาระ
_ตัดรอบ กับการไม่เอาภาระ จะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสิน เพราะในบางโอกาสก็ไม่อยากให้ใครผิดหวัง
ตอบ...มันตอบยากเหมือนกัน จริงๆก็ชัดเจน ไม่เอาภาระ คือไม่ช่วยอะไรเลย เป็นคนดูดาย ไม่เห็นแก่งานการหมู่เลย... แต่ตัดรอบเพราะว่างานมันเยอะ มากกว่านี้มันไม่ไหวแล้วก็เลยต่างกันนะ ไม่ยากหรอก ไม่เอาภาระกับไม่ตัดรอบ
คนจะมาเพ่งโทษว่าไม่เอาภาระ ก็ช่างเขา ต้องดูที่ตัวเราเองว่าเอาภาระหรือไม่ มันมากจนต้องตัดรอบต่างๆที่ต้องตรวจสอบ
ยอมอย่างนานาสังวาส
_ที่ผ่านมา พ่อครู เทศน์เรื่องการยอม ว่าต้องยอม เถรสมาคม ยอมกลุ่มใหญ่ แต่ก็ยังยืนหยัดยืนยันทำตามแนวทางอโศกต่อไป ไม่นานมานี้ เห็นพ่อครูว่า ยอมแม้ในหมู่อโศกเอง เช่นในงานวันรับกลดหรือพูดตอนรายการพุทธศาสนาตามภูมิเป็นต้น พ่อครูกำลังสื่อถึงสภาวการณ์สังคมอย่างไร คะ
ตอบ...เท่าที่ความรู้สึกของอาตมานี่ คนเราจะยอม มันก็มีอัตตาในตัวเองทุกคน จะยอม อัตตามันก็เป็นตัวหลัก ถ้าเรามีอัตตามากๆเราไม่ยอมอะไรง่ายๆ แต่ถ้าเรามีอัตตาน้อยเราก็จะยอมคนได้บ้าง เมื่อคนไม่มีอัตตาเลยก็ต้องเลือกยอม อย่างที่คุณยกตัวอย่างว่าอาตมายอมหมู่ใหญ่ มหาเถรสมาคม หากอาตมาไม่ยอม ก็ต้องรบกัน ให้เอาไม้จิ้มฟันไปรบไปงัดกับภูเขาได้อย่างไร เอาไม้จิ้มฟันไปจิ้มเรือรบก็อาจขยับ แต่เอาไม้จิ้มฟันไปงัดภูเขามันก็ไม่ขยับหรอก ก็ต้องรู้ความจริงองค์ประกอบและตัวเรา ถ้าอาตมาไม่รู้ว่าตัวเราก็เท่านี้ สังคมเป็นขนาดนี้อย่างนี้ เราก็ต้องรู้ และก็ต้องรู้จักอะไรที่เราจะทำได้แค่ไหน เราจึงจะทำได้ ถ้าเราไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้แค่ไหนแล้วเราไปทำเกินขอบเขต เกินตัวก็เจอ.. เจอ.. ถ้าเรารู้จักว่าทำได้แค่นี้ก็ไม่มีปัญหา มีแต่ปัญญา มันเป็นเช่นนั้น
ถามมาบอกว่า สื่อสภาวะสังคมอย่างไร ก็เท่าที่สื่อไปทั้งหยาบ กลาง ละเอียด สรุปอีกทีว่า การยอม นี้เป็นที่สุดของคนแล้ว เช่น พระพุทธเจ้า ตรัสถึงคนยึดมั่นถือมั่น ท่านไม่รู้จักสภาวะสูงสุด สุดท้ายท่านก็ต้องยอม ด้วยภาษาว่า ตกลงความเห็นของเธอก็อย่างหนึ่ง ความเห็นของเราก็อย่างหนึ่ง ก็จบ พระพุทธเจ้าก็ต้องยอม จะไปบังคับให้เขายึดถือตามเราก็ไม่ได้
การยอม วิธีการยอมของพระพุทธเจ้าท่านก็มีธรรมวินัย นานาสังวาส เป็นวิธีการยอมสูงสุดแล้ว การยอมนั้นคืออย่างไร ก็คือขอเอาอย่างนี้เถอะ เราเข้าใจอย่างนี้
1. กรรมต่างกัน 2.ศีลไม่เสมอสมานกัน 3.คำอธิบายหลักธรรมหัวข้อธรรมต่างกัน ก็ตกลงกันอย่างเราเป็นหมู่น้อย รวมกันไปประกาศกับสงฆ์หมู่ใหญ่ เรามี22 รูป ไปประกาศกับสงฆ์ 180 รูป คือหมู่น้อยขอแยกกับหมู่ใหญ่ได้ หรือหมู่ใหญ่ขอแยกจากหมู่น้อย อย่างพระพุทธเจ้าได้ทำกับพระเทวทัต
แต่อาตมาก็ทำอย่างพระธรรมวินัย แต่มหาเถรสมาคม ไม่ยอม ตอนแรกท่านก็ยอมรับดี ในปี 2522
ประกาศตอนแรกทางเถรสมาคมก็ยอมรับ แม้ทางเจ้าคณะจังหวัดทางราชการก็ยอมรับมีเอกสารราชการยอมรับว่าเราไม่ได้เป็นพระที่อยู่ในการปกครองของมหาเถรสมาคม คือมีผอ.การรถไฟ เขียนจดหมายไปถึงมหาเถรสมาคมว่า ไม่ควรให้พวกเราได้ลดราคาค่ารถไฟ เพราะไม่ได้สังกัดมหาเถรสมาคม แล้วอธิบดีกรมการศาสนา นายธนู แสวงศักดิ์ เป็นผู้ลงนามในหนังสือมหาเถรสมาคม เพราะองค์การศาสนานี้เป็นเลขาของมหาเถรสมาคม ก็ให้อธิบดีกรมการศาสนาลงนามตอบรับการรถไฟ บอกไปว่า พวกพระชาวอโศกไม่ได้อยู่ในการปกครองของมหาเถรสมาคมเพราะว่าได้ลาออกไปแล้ว
ซึ่งต่อมาก็เอาต่างนิกายคือธรรมยุตนิกาย กับมหานิกาย มาร่วมกันทำสังฆกรรมอีกก็ผิดพระวินัยสังฆกรรมเป็นโมฆะ
_ทุกวันนี้คนฟังธรรม พ่อครูมากขึ้น แต่ว่า คนมาช่วยงานไม่เพิ่ม ถ้าจะเปลี่ยนคณะทำงานก็คงจะดีไหม
ตอบ...ผู้ที่จะมาช่วยทำงานก็ล้วนแล้วแต่ไม่ได้จ้างมาสักบาท สมัครใจมาทำ
_งานศพที่บ้านราชฯ ถ้าจะไม่เปิดเพลงธรณีกรรแสงจะได้ไหม เปิดเพลงทำนองอื่นที่ไม่เศร้า
ตอบ...จะเอาเพลงร็อคเพลงสนุกสนานมาเปิดในงานศพ เขาก็จะหาว่าบ้าได้ ต้องไปอ่านในเพลงอาริยะ มันจะบ้าหรือ ถ้าจะไปหัวเราะในหมู่คนเศร้า ก็ถูกเตะออกไปเท่านั้นเอง ให้รู้จัก Harmony เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม อย่ามาทำแอ๊ค ไอ้เข้ขวางคลองก็ไปไม่รอด
เวทนาในเวทนา คืออะไร
_เวทนาในเวทนา คืออะไร?
พ่อครูว่า...เวทนาในเวทนา คุณต้องรู้จักอาการที่เป็นพลังงานจิต มันเป็นพลังงาน เวทนาคือความรู้สึก หรืออารมณ์ชอบไม่ชอบ ทุกข์ สุข หรือไม่ทุกข์ไม่สุข ต้องรู้จักอารมณ์นั้น นั่นแหละคือเวทนา แต่ถ้าคุณตอนนี้กำลังเศร้าแต่อ่านเวทนาไม่ออก ก็คืออ่านเวทนาไม่ออก หรือกำลังโกรธ อาการโกรธก็เป็นเวทนา มีโทสมูลเป็นเจ้าเรือน หรืออาการโลภ อยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา ก็ต้องอ่านอาการ ที่ไม่มีตัวตนรูปร่างสีสัน แต่มีอาการ ลิงค นิมิตได้ โดยที่ผู้รู้อย่างเช่นอาตมาเอามาพูดให้ฟัง ว่าอาการ สุขทุกข์ โกรธ โลภ เป็นอย่างไร
_มโนปวิจาร 18 เป็นอย่างไร
ตอบ..หากอ่านเวทนาไม่ออกก็จะอ่าน มโนปวิจาร 18 คือต้องรู้จักความต่างของ โลกียะกับโลกุตระหรือว่า เนกขัมสิตะ กับ เคหสิตะ
สมณะฟ้าไทว่า…..เราได้ฟังพ่อครู อธิบายเรื่องของโยนิโสมนสิการ คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองให้ได้ วิธีการคือแยกเวทนาเก๊กับเวทนาแท้ออก ต้องมีปรโตโฆษะ คือฟังอย่างไม่อาบน้ำกลัวเปียก ...จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:25:26 )
รายละเอียด
600424_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ มีสุริยเปยยาลให้เข้าถึงรูปนาม
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560 ที่บ้านราชฯ เรามีพระโพธิสัตว์ระดับ 7 มาแสดงธรรม ให้นักเรียนโลกุตรธรรม ท่านมีความตั้งใจจะมาพัฒนาโลกุตรธรรมให้พวกเรา
ราชธานีอโศก จะมีกิจกรรมตลาดนัดบุญนิยมที่เฮือนสวน.จะเปิดตลาดนัดวันที่ 5 พฤษภาคม 2560 เปิดศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ สินค้าที่ขาย ไม่เป็นสินค้ามอมเมา จะมาขายในราคาบุญนิยม ทั้ง ราคาต่ำกว่าราคาตลาด เท่าทุนหรือ ต่ำกว่าราคาทุน จะมีแพทย์แผนไทยมาจัดกระดูก จับเส้นเอ็นให้ด้วย จะจัดทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ใครอยากจะขายก็ไปติดต่อกรรมการ มีคุณดาวพร เพชร(ลูกพูนไท) จุ๋ม(แพรน้ำค้าง) คุณอ้อย(ศีรษอโศก) และคนอื่นๆ เปิดตลาดตั้งแต่เช้า-เย็น
จะเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นที่ชุมชนราชธานีอโศก ได้ใช้อาคาร สวน. ให้เป็นตลาด และทำการศึกษา ในที่เดียวกัน ที่นี่เป็นเมืองหลวงของชาวอโศก
พ่อครูได้เทศน์เมื่อวานเรื่องโยนิโสมนสิการ ถ้าเราทำสิ่งนี้ไม่ได้ก็จะปฏิบัติธรรมลดละกิเลสไม่ได้ เป็นจุดที่เราต้องอ่านอารมณ์ให้ชัดเจน ให้จิตใจเราเปลี่ยนแปลงให้ได้ พ่อครูอธิบายถึง อภิสังขาร ปุญญาภิสังขาร ลดกิเลสได้เป็นอปุญญาภิสังขาร แล้วก็ทำอุเบกขา 5 ของเราให้แข็งแรง เป็นอเนญชาภิสังขาร
วิธีการปฏิบัติ ต้องทำกรรมฐานชาวพุทธคือ เวทนา 2 ทำเวทนาเก๊ให้หมดไปเหลือแต่เวทนาแท้ เราต้องมีปรโตโฆษะ คือฟัง
พ่อครูว่า...ต้องพยายามฟังอันอื่นที่ไม่เหมือนกับเรา ฟังเสียงที่เขาบรรยายหรือพูดไม่เหมือนกับเรา ถ้าไปฟังคนที่บรรยายเหมือนก็ย้ำยืนยันความถูกต้อง แต่ฟังคนที่ไม่เหมือนก็จะได้เพิ่มเติมสิ่งที่แตกต่าง
สมณะฟ้าไทว่า...สิ่งเหล่านี้เราต้องทำใจในใจ โยนิโสมนสิการ จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้จะต้องรู้จัก สุริยเปยยาล 7 พ่อครูเน้นว่า คบเพื่อนดี มิตรดี คือสัตบุรุษ เราไม่มีพระพุทธเจ้า แต่เราก็มีพ่อครู เป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 จะบริบูรณ์ได้หรือไม่ ถ้าบริบูรณ์ก็มาก่อนพ่อครู เป็นต้น ถ้าคบอย่างเฉื่อยๆก็มาบ้างไม่มาบ้าง ก็บอกยี่ห้อว่าตนบริบูรณ์หรือไม่
คบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ เราก็จะมีศรัทธาบริบูรณ์ มีโยนิโนมนสิการบริบูรณ์ มีสติดีก็หมดสตังค์ลงไปเรื่อยๆเพราะได้เสียสละ จะมีการสำรวมอินทรีย์ มีสุจริต 3 ปฏิบัติสติปัฏฐานได้
พ่อครูว่า...เราก็มาทบทวนและขยายความ คนที่ตื้นๆฟัง จะรู้สึกว่าอาตมาวนเวียนซ้ำซาก ก็จริง อาตมาจะวนเวียนในปรมัตถธรรม ถ้าเขาจะฟังเรื่องใหม่ก็ต้องแบบมีคนครีเอทมาหลอกคนโลกๆ แต่ถ้าธรรมะจะเข้าไปหาหนึ่ง เข้าหาแก่น แก่นคือเนื้อเดียวจุดสำคัญที่ลึกซึ้ง
เรามาอ่าน sms
SMS 23 เม.ย. 60
0824933xxx ตราบใดที่หัวใจยังเต้น เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
พ่อครูว่า...ตราบใดหัวใจยังเต้นก็เริ่มต้นใหม่ได้ เป็นคำที่ประมาทนะ เราต้องพากเพียรอยู่เสมอ อย่าให้ต้องรอหัวใจไม่เต้น อย่างไรก็ต้องเริ่มต้นได้เสมอ ยังประมาท ขออภัยที่ติงๆไป แต่ถ้ามองในแง่เตือนใจว่าเราเองไม่ได้เริ่มต้นสักที ควรเตือนว่า ตราบใดหัวใจยังเต้นก็ต้องเริ่มต้นเสียที ก็เข้าใจยาก แต่ถ้ามองง่ายๆคือจะรอหัวใจไม่เต้นหรือ?
0893867xxx ธ.สุริยเปยยาลอันพ่อครูสอน มีสัจธ.ของจริงคุ้มครองสังคมพอเพียงก่อเกิดสันติภาพโอบอุ้มโลกได้!
0893867xxx สัจธ.ของจริงในสุริยเปยยาลฯมิตรดี,ศีล,ฉันทะ,อัตตา,ทิฎฐิ,ความไม่ประมาท,โยนิโสมนสิการเปรียบดังสัตตบุรุษของสังคมพอเพียง!
สุริยเปยยาล 7
พ่อครูว่า...จริง ธรรมะที่เป็น สุริยเปยยาล 7 ที่อาตมาได้หยิบมาอธิบาย ก็ไม่เห็นรูปไหนนำมาอธิบายอย่างละเอียด เพราะว่าสุริยเปยยาล 7 ต้องเป็นสิ่งที่รู้ก่อนมีพร้อมก่อน คุณจึงจะเริ่มต้นปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้ เหมือนการจะได้เห็นพระอาทิตย์ จะเห็นพระอาทิตย์ได้จะต้องเห็นแสงเงินแสงทอง
แสงเงินแสงทองก็คือ 7 ประการนี้ จะต้องเห็นหรือเข้าใจ หรือรู้นำ เป็นสิ่งที่นำก่อนที่คุณจะปฏิบัติมรรค 8 ได้ ประการนี้จึงมีความสำคัญมาก ถ้าคุณยังไม่พร้อมสมบูรณ์ด้วย 7 ข้อนี้ คุณก็ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไม่มีผลสำเร็จ
ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 อย่าง งมๆคลำๆ
ยกตัวอย่างสุริยเปยยาล ข้อที่ 5 จะต้องถึงพร้อมด้วยทิฏฐิสัมปทาหมายความว่า..คุณจะต้องบรรลุ อย่างน้อยต้องมีทิฏฐิ คือ ความเข้าใจความรู้เบื้องต้น จะต้องรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ คุณจึงจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้สอดคล้อง กับมหาจัตตารีสกสูตร
ผู้ที่จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 จะต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน แล้ว สัมมาทิฏฐิ มีอยู่ถึง 10 ข้อ
ทิฏฐิสัมปทาในข้อ 5 นี้ สุริยเปยยาลต้องพร้อมด้วย สัมมาทิฏฐิ 10
ต้องเข้าใจว่า
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
พ่อครูว่า ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ก็จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีมรรคผล ก็เข้าใจไม่ถูก ก็จะไปทำใจในใจได้อย่างไร เพราะเป็นการทำให้ใจเปลี่ยนแปลง จัดการใจ อภิสังขาร จัดการองค์ประชุมรูปนามให้เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าไม่ชัดเจน รู้กิเลส สามารถมีวิธีการทำให้ลดละ จางคลายได้
จึงมีความสำคัญมาก ถ้าเข้าใจไม่ได้ข้อเบื้องต้น สุริยเปยยาล 7 ก็ไม่สามารถปฏิบัติหัวใจของศาสนาพุทธ คือมรรคมีองค์ 8 ได้
ตัวสำคัญคือ สุริยเปยยาล 7 ที่จะต้องรู้นำ ก่อน มรรคมีองค์ 8 นั้น ไม่ค่อยมีคนพูดถึง ปฏิบัติออกนอกทางเป็นมิจฉาทิฐิไป
พ่อครูคือผู้มีสยังอภิญญา
อาตมาทำมา 47 ปีนี้ไม่น้อยนะ คนอายุ 47 ปีนี้ มีหลานได้แล้วบางคน เป็นตา เป็นยาย ได้แล้ว ไม่ใช่น้อยๆ แต่อาตมาบรรยายไปแล้ว รู้สึกว่า วงการศาสนาไม่ค่อยกระเตื้อง โดยเฉพาะศาสนาพุทธกระแสหลัก
อาตมาพูดมา 47 ปี พยายามเข็นครกขึ้นเขา แต่ครกไม่กระดิกสักนิด เขาก็จะอยู่อย่างนั้นไม่ให้ใครมาขยับได้หรอก จะยึดมั่นถือมั่น เหมือนเสาพะเนียด เพราะคนไทยเมืองไทยกว่า 95% ของเมืองไทยนับถือศาสนาพุทธ แล้วจะมาเอาใจใส่ฟังธรรม เท่าไหร่ ต้องขอขอบคุณพวกเรา ถ้าไม่มีพวกเราอาตมาก็เด๋อมากเลยนะ พวกคุณรักษาหน้าอาตมาไว้มากเลย
ผู้ที่รู้จักว่าอะไรเป็นสาระผู้นั้นเป็นผู้มีสาระ ผู้ใดรู้จักอะไรเป็นแก่นสารผู้นั้นเป็นคนมีแก่นสาร
ยืนยันได้ ถ้าอาตมาเป็นคนนำธรรมะผิดมาพูด ไม่มีใครรับฟัง หรือมาแค่นี้ ถ้าอาตมามีธรรมะผิด เท่ากับอาตมาพิสูจน์ความเป็นประเทศไทย ว่าเข้าใจธรรมะถูกในเปอร์เซนต์ที่สูง ประเทศไทยถ้าเข้าใจธรรมะถูกมาตลอด ประเทศไทยก็น่าจะเจริญทางธรรมะ เพราะมีคนนับถือถึง 95 เปอร์เซ็นต์ของประชากร
แต่ทุกวันนี้ไม่ได้กล่าวตำหนิโดยไม่มีความผิด เพราะศาสนาพุทธทุกวันนี้โดยกระแสหลักส่วนใหญ่ไม่มีศีล ไปถือแต่วินัย 227 ส่วนฆราวาส ถือศีลก็ยังพูดถึง ศีล 5 ศีล 8 กัน แต่มหาศีลนี้เขาไม่มี
ถ้ามหาศีลนั้นเขามีการละเมิดมากเท่าใด นั่นคือความเป็นศาสนาพุทธก็มีน้อยเท่านั้น ถ้าอาตมาไม่มาเกิด จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลก็คงไม่ฟื้น
ศีลผิดเพี้ยนไปแล้ว สมาธิก็เป็นแต่การสะกดจิตหลับตาไม่เป็นสัมมาสมาธิ
ปัญญาก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ อาตมาขยายปัญญาว่า จิตต้องเกิดความเฉลียวฉลาด ชนิด อัญญะ หรืออัญญา แล้วขยายเป็นปัญญา
ปัญญาต้องเกิดจากองค์ 6 ไม่ใช่ไปนั่งสมาธิแล้วปัญญาจะโผล่เอง ไม่ใช่ แบบนั้นคือเจโตสมาธิ
ต้องรู้สักกายะ อ่านจิตได้ ว่าอันไหนคือกิเลส ตัณหา อุปาทาน พ้นวิจิกิจฉา แล้วมีหลักเกณฑ์คือศีลพรต ที่ทำให้กิเลสหมดได้ลดได้ ไม่ใช่เอาแค่รู้ แต่ปรามาส ไม่ปฏิบัติให้เกิดผลจริง
พ้นสังโยชน์ 3 นี่คือปัญญาจะเกิดจากการปฏิบัติลดกิเลสได้ ไม่ใช่ไปเกิดสัญญา ตอนนั่งสมาธิแล้วรู้ในภพ อันนั้นเป็นสัญญาไม่ใช่ปัญญา แต่เขาเข้าใจสัญญาว่าคือปัญญา
อาตมามากอบกู้สิ่งที่ผิดเพี้ยนไปจากศาสนาพุทธไปมากแล้ว ใครจะว่าอวดตัวอวดดีก็ไม่มีปัญหา เพราะอาตมาไม่มีสาเฐยจิตพวกนี้ คืออวดดี หรืออยากว่าคนอื่น อาตมาอ่าน อาการ ลิงค นิมิต ในจิตตนได้ อาตมาอ่านแล้วว่าอาการพวกนี้ไม่มีในจิตอาตมา มีแต่มโนสัญเจตนาที่เป็นวิภวตัณหา ไม่มีจิตลบหลู่ดูแคลน หรือเบ่งข่มหลงตนแต่อย่างใด อาตมาไม่มีกิเลสพวกนี้
ที่อาตมาพูดนี้เป็นการอวดอุตริมนุสธรรม บอกด้วยความจริงของตน แล้วที่ฟังนี่ก็เป็นอุปสัมบัน อาตมาไม่ได้ทำผิดอะไรในพระวินัยเลย
ก็ขอท้าวความถึงสุริยเปยยาลสูตรทั้ง 7
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
พ่อครูว่า ต้องพบสัตบุรุษที่แท้จริงให้ได้ ดีไม่ดี ก็ไม่รู้ว่าเราเจอพระพุทธเจ้าแล้วเหมือนกามนิตหนุ่ม ต้องพบมิตรดีก่อน
ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
คำว่า สยังอภิญญาต่างกับปัจเจก ...ตรงที่ว่าเมื่อคุณเอง ปฏิบัติธรรมเกิดผล รู้ผลได้ด้วยตนเอง ท่านบอกว่าปัจจัตตัง เป็นเบื้องต้นของมรรคผล คุณเกิด ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ เมื่อได้ปัจจัตตังแล้ว จากการคบสัตบุรุษ ฟังสัทธรรม
ผู้มีปัจเจกติดตัวมาข้ามชาติเรียก สยังอภิญญา
แต่ผู้ที่มีภูมิเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เรียกว่า สยัมภู
ผู้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน ข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐินี้ อาตมาก็ว่า ครึ่งหนึ่งของสมณะโคดมแล้ว ศาสนาพุทธจะเสื่อม เพราะว่าบุรุษทั้งหลายมิจฉาทิฏฐิ ก็จะมี สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา ขึ้นมาประกาศอธิบายโลกนี้โลกหน้า อยังโลโก ปโรโลโก หรือโลกที่มีอัญญธาตุ
คนนี้ต้องเป็นผู้สยังอภิญญา จะมาปรากฏแล้วจะขยายความโลกนี้โลกหน้า ได้เกิดการรู้ยิ่งได้แจ่มแจ้ง ให้ชาวโลกได้รับทราบ
คนๆนี้อาตมาก็มารู้ทีหลังว่า คืออาตมาเอง พูดโดยไม่มีสาเฐยจิต แต่พูดอย่างวิชาการ
ถ้าอาตมามาอธิบาย ธรรมะตามความเห็นอาตมา แต่ปรากฏว่ามีคนฟังที่เข้าใจได้ แล้วเอาไปปฏิบัติมีมรรคผลได้ เกิดพฤติกรรมสังคมชุมชนที่มีสาธารณโภคี มีชีวิตอยู่ด้วย
1. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .
2. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
3. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
4. แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .
5. มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
(สีลสามัญญตา)
6. มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย . (ทิฏฐิสามัญญตา) . . (ล.22 ข. 282-283)
แม้แต่ผู้รู้คณะใหญ่ ที่ท่านเห็นแย้งก็ยังมาเห็นว่าที่อาตมาอธิบายนี้ถูก พูดอย่างไม่อาย ประกาศตนว่าสนใจธรรมะแบบนี้ไม่อาย อย่างโน้นก็เข้าใจ แต่อันนี้มีมรรคผล แสดงว่าอาตมาไม่ได้ล้มเหลวเลย แต่แน่นอน มันมีคนจำนวนน้อยที่รับรู้ได้ แล้วเอาไปปฏิบัติ เพราะสังคมกว่าครึ่งพุทธกัปป์ของศาสนาพุทธของพระสมณโคดม
อาตมาก็ถึงอุ่นใจว่า อาตมาทำงานไม่เป็นหมันไม่สูญเปล่า มีผู้รับได้มีมรรคมีผล แล้วมันก็มีประโยชน์ต่อสังคม โดยเฉพาะสังคมไทย ที่มีผู้นับถือศาสนาพุทธกว่า เปอร์เซ็นต์
เพราะคนที่ศึกษาแสวงหาจุดสำคัญที่มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ จริงมีอยู่
แม้คนฟังธรรมะอาตมาเข้าใจได้ เห็นดีว่าถูก แต่ประกาศตัวไม่ได้ เพราะอัตตาตัวเองปิดกั้นไว้ไม่ให้เผยตัว ก็เลยไม่กล้าเปิดเผยอันนี้
อาตมาเคยได้ยินมาตามสายลมว่า เป็นผู้มีทุนทางสังคมทางศาสนาด้วย เขาบอกว่า ธรรมะทุกวันนี้ พุทธศาสนาทุกวันนี้มีแต่ชาวอโศกเท่านั้นแหละที่ทำได้อย่างมีมรรคผล นอกนั้นไม่เหลือหรอก
แสงอรุณก่อนมรรคมีองค์ 8
เมื่อมีมิตรดีแล้ว จะมีศีล มีศีลคือคนรู้จักปฏิบัติศีลอย่างสัมมาทิฏฐิ ศีล สามารถขจัดขัดเกลากิเลสเป็นอธิจิต ไม่ใช่ว่าศีลปฏิบัติแค่กายกับวาจา แต่ศีลจะขัดเกลาใจให้มีมรรคผลตามลำดับ แล้วมีอธิจิตคือมีปัญญา มีความเฉลียวฉลาด อัญญาที่เป็นโลกุตระ ตามการศึกษาสามของพระพุทธเจ้า แล้วมีวิมุติเป็นผล
ศีล แล้วก็ต้องยินดีในการปฏิบัติว่ามันได้ผลอย่างไร ที่จะเป็นผลเพราะรู้จักอัตตา สงสารคนไม่เรียนอัตตา ไปเข้าใจแต่ปัญญา เขาว่า สัพเพธัมมาอนัตตา คือทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตน เขาเอาปรัชญานี้ ไปทำบอกว่าทุกอย่างไม่มีอัตตา แล้วจะไปเรียนทำไมอัตตา
ที่จริงแล้วมันมีอัตตา ที่คุณจะต้องขจัดไปตามลำดับให้หมดไป จนไม่มีต่างหาก คืออนัตตา ก็ต้องอย่าเข้าใจผิด ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวตนก็ไม่ต้องศึกษาอัตตาตัวตนหรอก คุณต้องรู้จักอัตตา คุณมีอัตตามาเก่า ต้องมาล้างอัตตาจึงจะหมดอัตตา เป็นอนัตตา
อย่างที่เคยยกตัวอย่าง คนสูบบุหรี่กินเหล้ามาพบอาตมา มาคุยเรื่องอนัตตา เขาว่าสัพเพธัมมาอนัตตา คือทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตน แล้วจะเอาตัวตนที่ไหนมาปฏิบัติ อาตมาก็บอกว่า คุณกับอาตมาคนละความเห็น อย่างนี้พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก ก็เลยไม่ต่อความยาว สาวความยืด และเขาก็เป็นฝรั่ง พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เลยต้องต้องให้รีบไป
ทิฏฐิ เราต้องเข้าใจทิฏฐิ 10 อย่างไม่ประมาท แล้วต้องเข้าใจโยนิโสมนสิการ
ถ้าคุณไม่มีโยนิโสมนสิการก่อน ถ้าคุณไม่ทำความเข้าใจโยนิโสมนสิการให้ได้ก่อน ว่าคืออะไร เช่นการปฏิบัติธรรมจะต้องการนั่งสมาธิ โยนิโสมนสิการก็คือทำนั่งสมาธิ ทำฌานทำสมาธิ ถ้าเข้าใจไม่สัมมาทิฏฐิ ก็คือ ไม่มีปรโตโฆษะกับโยนิโสมนสิการ
คุณก็เคยได้เรียนรู้มาอีกอย่าง ต่างกับที่อาตมาพูด คุณได้เรียนกับด็อกเตอร์ เปรียญธรรมทางศาสนามา แต่อาตมามาพูดมุมต่างไป คุณก็ตัดสินว่าไม่ใช่ ก็จะไม่ได้เรียนรู้ว่าโยนิโสมนสิการคืออะไร
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอวิชชาสูตร หรือสัมมาทิฏฐิ ข้อ 10 ไม่ได้พบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ไม่ใช่คบเล่นๆหัวๆ แต่ต้องคบให้จริง เข้าใกล้ เงี่ยโสตสดับ เมื่อได้ฟังแล้ว จะเกิดความเชื่อถือศรัทธา ว่าไม่เหมือนกับคนอื่นๆพูด ก็ได้ศรัทธาใหม่ที่บริบูรณ์ ก็คือรู้จักการทำโยนิโสมนสิการให้บริบูรณ์ การทำใจในใจให้ถ่องแท้แยบคายคืออันนี้เหรอ
ต้องมีผัสสะเป็นเหตุ ให้เกิดเวทนา อ่าน กายในกาย เวทนาในเวทนา แล้วรู้เวทนา 2 มีเวทนาเก๊ ที่ไม่ใช่เวทนาแท้ เราก็รู้ว่าเวทนาแท้คืออย่างไร แล้วปฏิบัติล้างเวทนาเก๊ให้หมดไปได้ ทำเวทนาสองให้เป็นหนึ่งได้
อ่านเวทนา108 อ่านเคหสิตเวทนา 18 ออกได้ ลดละให้เป็นเนกขัมมสิตเวทนา 18 ได้ จนทำอุเบกขาเนกขัมสิตะได้ อย่างนี้ คุณ เข้าใจการทำใจในใจอย่างชัดเจนมีความแตกต่าง ลิงค ว่าอาการอย่างนี้เป็นโลกียะ อาการ กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างนี้เป็นโลกุตระ อย่างนี้โลกียะ แล้วทำเนกขัมสิตอุเบกขาบริบูรณ์ได้ จนจบ ส่วนอดีต อนาคต ทำกิเลส 0 ได้บริบูรณ์ ในอวิชชา 8
(พตปฎ. ล.34 ข.691 ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)
พ่อครูว่า...คนไม่เข้าใจก็จะงงตรงข้อที่ 7
คือส่วนอดีตกับอนาคตนี้เที่ยงแล้วคือ อดีตเที่ยง อนาคตเที่ยง ปัจจุบันเที่ยง คือกิเลส 0 ทำทุกปัจจุบันกิเลส 0 จนอดีตเที่ยงแท้ ชี้ได้เลยว่า อนาคตก็ต้องกิเลส 0 นี่คือสัจจะที่ลึกซึ้ง ถ้าอาตมาไม่มาย้ำยืนยันไม่มีใครมาพูดหรอก แล้วว่าทำไมมันถึงได้ต่างกัน
ต่างกันตรงความเที่ยง แล้วเที่ยงอย่างไรก็คือผลของศาสนาเที่ยงอย่างไม่เป็นอื่น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
เป็นจุดสมบูรณ์ที่เอาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้ นัตถิอุปมา จะว่าใช่ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่
การปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ต้องมีสุริยเปยยาล 7 ก่อน
หรือในปัญญาวุฑฒิ 4
1. สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ)
2. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)
3. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย)
4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 248)
ต้องมีโยนิโสมนสิการ และเงื่อนไขหลักต้องพบสัตบุรุษ หากไม่พบก็ได้ฟังแต่อสัทธรรม คือธรรมะที่ไม่ถูกตรง
ในอวิชชาสูตร คุณจะต้อง พบมิตรดี สหายดี สัตบุรุษก่อน จึงได้ฟังสัทธรรมบริบูรณ์ถึงได้ศรัทธาบริบูรณ์
1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .
2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์
8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
เป็นอิทัปปจยตา ร้อยเรียงกันไป ท่านถึงสรุปที่ มูลสูตร 10
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) จะต้องยินดี เป็นมูลกา จึงปฏิบัติมนสิการได้อย่างถูกต้อง ถูกที่
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) ตั้งแต่สามารถรู้มหาภูตรูป 4 มีโคจรรูป 5 ทำงานร่วมกัน กับตัวที่ 6 คือ จิต ปัญญา ญาณ ก็เกิดรู้ ภาวรูป 2 ที่หทยรูป แล้วก็เรียนต่อ ดูที่เป็นชีวิตรูป การมีชีวิตรูปของอะไรก็ของตัวกิเลส กิเลสพวกนี้มีอาหารอะไร ใน กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณหาร ก็ต้องเรียนรู้โดยมีปริเฉทรูป ตัดขอบเขต ตามศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ถ้าละเมิดมหาศีลก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เอาง่ายๆว่า วัดไหนจุดธูปเทียนก็ไม่ใช่วัดของพุทธแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอัมพัฏฐสูตร ว่าต่อไปศาสนาพุทธจะเสื่อมไปบูชาไฟ จนเกือบจะไม่เหลือแล้ว ก็จะมีเหลือบางท่านที่พอเข้าใจ แต่ท่านก็ยังไม่แกล้วกล้าอาจหาญยืนยันว่า
ที่กระแสหลักทำกันเรียนกันเป็นเรื่องหลักอย่างสำคัญ ส่วนใหญ่ เกือบหมดมันผิดท่านไม่กล้าหรอก มีอาตมามาพูดนี่ เขาถึงบอกว่าจะบ้าหรือเปล่า โพธิรักษ์มันเก่งมาจากไหน ถูกคนเดียว
ก็อาจารย์อื่นๆ สืบทอดมาเป็นหลายร้อยปี ก็ไม่รู้ว่าผิดเพี้ยนไปตอนไหน มาถึงตอนนี้มันเป็นมาก ก็ขอพูดตรงๆ
แม้ในมูลสูตร ทั้ง 10 นี้เป็นต้นเค้าหมดเลย
3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) ปฏิบัติธรรมต้องมีผัสสะเป็นเหตุในการปฏิบัติ ไม่ใช่สมุทัยของอาริยสัจ 4 นะ
4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)
5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) เป็นปากทางโดยมีสติเป็นอธิปไตย
6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)
7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันรู้ยิ่งยอด
8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
ผู้มีความเป็นอมตะ ทำความตายความเกิดได้สำเร็จ จะเกิดหรือจะตายท่านก็ทำได้ ท่านจะตาย มีปรินิพพานเป็นปริโยสาน ท่านสิ้นลมหายใจไปเมื่อใดก็สุญญตนิพพาน อปณิหิตตนิพพาน อนิมิตตนิพพาน ตัดสันตติ จบ เลิกแยกทาง ไม่เหลืออัตภาพของท่านในมหาจักรวาลนี้อีกเลย
มูลสูตรทั้ง 10 ข้อเป็นตัวหลักเลย ทุกวันนี้ประชากรคนไทยมี 95% เป็นพุทธ เขามีฉันทะเป็นมูลไหม? โดยเฉพาะศาสนาพุทธที่เป็นมิตรแท้เป็นอาริยะ เขาสนใจกันกี่เปอร์เซนต์กัน ก็ไม่มีฉันทะ เพราะฉะนั้นเขาจะไม่รู้มนสิการเป็นแดนเกิดอย่างไร หทยรูปเป็นอย่างไร เขาจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แม้แต่รูป 28 อุปาทยรูป 24 เขาจะไม่รู้หรือไม่เน้น เขาเน้นแต่จิตเจตสิก ส่วนรูปเขาไม่เข้าใจ แต่รูปเป็นของหยาบ ไม่รู้ก่อน แต่จะไปเรียนรู้เจตสิกเลย มันไม่เป็นลำดับ ล้มเหลวในความเป็นอัศจรรย์ของธรรมะพระพุทธเจ้า
สมาธิที่จะเป็นตัวปากทาง เป็นประมุข ที่จะทำให้เกิดสัมมาสมาธิได้ สมาธิคือทำให้จิตมีกิเลสลด เรียกว่ามีฌาน เป็นไฟเผาราคะ โทสะ โมหะได้ แล้วสั่งสมตกผลึกตั้งมั่นเป็นสมาธิ แต่เขาก็ว่าให้ไปนั่งสมาธิจึงจะเกิด ฌาน ทั้งที่ฌานคือไฟเผากิเลส แต่มันสับสนไปหมด
ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิเป็นเปลือก ปัญญาเป็นกระพี้ วิมุติเป็นแก่น ส่วนใบดอกผลคือโลกธรรม 8
ศีลที่เป็นสะเก็ดเขาก็ไม่ได้แล้ว สมาธิก็หนีเข้าป่าไปนั่งสมาธิ ปัญญาก็ได้แต่ตรรกะ วิมุติที่เป็นแก่นยิ่งไม่มี ก็ได้แต่วิมุติหยวกกล้วย
_0893867xxx สังคมพอเพียงโดดเดี่ยวท่ามกลางสากลโลกธ.อันฟุ้งเฟ้อด้วยวิกฤตศก.โลกคงมีแต่ธ.สุริยเปยยาลเป็นภูมิคุ้มกันสังคมได้กระมัง?
0893867xxx ถึงโลกธ.จะล้อมปท.!โลกฟุ้งเฟ้อจะล้อมสังคมพอเพียงยังไงก็ไม่มีวันสลายความเป็นช.ที่มีพสกนิกรผู้จงรักภักดี!ศ.ที่มีสมเด็จพระสังฆราชฯ!กษ.อันมีพระเจ้าอยู่หัวฯจักไม่ให้ใครแยกศูนย์รวมดวงใจพุทธศาสนิกชนไทยไปได้เลย!
พ่อครูว่า… โยนิโสมนสิการ ผู้รู้แปลกันทั่วไปว่าทำใจในใจให้แยบคาย แต่อาตมาแปลว่าทำใจในใจให้ถึงที่เกิด
สมณะฟ้าไทว่า...เขาแปลแค่รู้ แต่พ่อครูแปลถึงตัวเป็น
_0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมะทุกประเด็นธ.กับรูปธ.มหาภูติรูป4 อุปาทายรูป24ฤารูป28มีกายฯจิตฯวจีสังขารและอภิสังขาร3ปุญญาภิฯอปุญญาภิฯอาเนญชาภิสังขารสาธุ!มนุษย์หูเทียมผู้เรียนรู้ผัสสะของจริงตามธ.อโศก
พ่อครูว่า… _ข่าวดีท่านสมณะแด่ธรรมอาการปลอดภัยแล้ว ย้ายออกจากห้อง ไอซียู มาอยู่ห้องพิเศษ ตึกอาพาธสงฆ์ เวลา 13.00 น.
พ่อครูว่า...ที่จริงท่านสมณะนาไทไลน์มา เมื่อ 21 เม.ย.60
กราบพ่อครูได้โปรดพิจารณากลอนของท่านสมณะแด่ธรรมซึ่งเขียนบนเตียงในห้องไอ.ซี.ยูโรงพยาบาลชุมพร
เพื่อออกรายการวิถีอาริยธรรมในวันพรุ่งนี
“คิดถึงพ่อครูผู้ล้ำเลิศ และหมู่กลุ่มผู้ประเสริฐทุกสถาน
ญาติพี่น้องบุญนิยมอุดมการณ์ จะก้าวผ่านอุปสรรคสู่หลักชัย”
พ่อครูว่า...แสดงถึงสติสัมปชัญญะปัญญา แต่งกลอน 8 มาดีก็ใช้ได้
การรู้นามรูป
มาก้าวสู่เนื้อหาสาระ วันนี้จะพูดถึงพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60
[60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสองด้วยประการดังนี้แล ฯ
ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหา สัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง เพราะดับผัสสะเสียได้เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
พ่อครูว่า…การศึกษาของพระพุทธเจ้าขาดนามธรรม ตัวที่จะไปรู้ไม่ได้ ตั้งแต่ปสาทรูปโคจรรูป เป็นส่วนองค์ประกอบของนามธรรม อยู่ด้วยประสาท โคจระ เมื่อสัมผัสเกิดก็มีภาวรูป ผู้ศึกษาจะต้องกำหนด หทยรูปให้ได้ มันไม่มีที่อยู่ไม่มีตัวตน ไม่มีสถานที่ทั้งนั้น หทยรูป
อาตมาเคยได้เห็นการเรียนพระอภิธรรมบอกว่า หทยรูปอยู่ที่หัวใจห้องที่ 4 มีน้ำสีน้ำเงินด้วย ผิดถูกอย่างไรก็ขออภัยด้วย
ชีวิตรูปมันจะมีกำลังของความเป็นชีวิต กิเลส ดิ้นด๊อกแด๊กอยู่ มันยังไม่ตาย ก็ต้องเรียนรู้อินทรีย์ของชีวะ แล้วมันมีชีวะ เพราะได้อาหารอะไร กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
ก็ต้องเป็นไปตาม ปริเฉท ทีละกรอบ เช่นเอาแค่ศีล5 ได้แล้วค่อยขยับเป็นศีล 8 ศีล 10 ไปตามลำดับ
เสร็จแล้วก็จะต้องทำให้เกิดผลเป็นวิการรูป จนจิตคุณสามารถทำให้เบาได้ที่สุด เป็นคนที่ไม่มีความรุนแรง ลหุตา จนจิตมุทุตา แคล่วคล่องว่องไว ไม่ใช่ยิ่งแข็งทื่อ แต่จิตยิ่งมุทุตา เป็นกายปาคุญญตา เวทนาแคล่วคล่อง สัญญาสังขารปราดเปรียว ไม่ใช่ยิ่งปฏิบัติธรรมจิตใจจะยิ่งเฉื่อย แข็งทื่อ
เนกขัมสิตอุเบกขา เป็นภาวะเฉยต่อการสัมผัส โลกียะ คือโลกีย์ กระทบกระแทกกระทุ้งก็ ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ จิตใจไม่หวั่นไหววูบวาบไปตามโลกธรรมเลย อันนี้คือจิตที่สงบ จิตที่เป็นหนึ่ง จิตที่เป็นสมาธิ จิตที่คล่องแคล่วรู้ทำรู้เร็ว แล้วเหมือนกับไม่ทำอะไร แต่จิตเป็นเช่นนั้นเอง ลหุตา
เป็นจิตที่สัมผัสกับโลกธรรมแล้วก็อุเบกขา นึกถึง ตอนเดินแถววัดมหาธาตุ ตักศิลา เขาบอกว่า สัมผัสแล้วรู้นิ่งเฉย วาง คือจิตมันอยู่กับโลกธรรม แล้วก็รู้โลกธรรม แต่ไม่รักไม่ชัง ไม่มีอยากได้ไม่อยากได้ รู้นิ่งเฉย เขาขยายความอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอก
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนา ก็คือผัสสะนั่นเอง ฯ
พ่อครูว่า…system analysis เหตุ (input) นิทาน (process) สมุทัย (output) ปัจจัย (outcome)
ที่เขาเรียนกัน อาตมาเห็นแล้วก็เห็นว่าตรงกับของพระพุทธเจ้า
ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิตอุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการเพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ(ปฏิฆสัมผัสโส) จะพึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามก็ดี(ในบาลีเป็นคำว่า นามกาย) รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ
เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อ(อธิวจนสัมผัสโส) ก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการเพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งผัสสะ ก็คือนามรูปนั่นเอง ฯ
ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องแห่งมารดา นามรูปจักขาดในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไป นามรูปจักบังเกิดเพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
พ่อครูว่า..มานึกถึงระดูของผู้หญิง เมื่อไข่ไม่ได้รับการผสม ก็จะเป็นระดู เลือดระดูนี่เป็นอุตุ แปลว่าระดูเลย หมายถึงน้ำเลือด เป็นธาตุน้ำ ที่ไม่มีชีวะแล้ว
เป็นอุตุนิยามท่านจึงเรียกว่า ระดู หมายถึงอุตุ
อาตมาตอนแรกที่อ่านพบเลยว่า ระดู อาตมาตอนแรกสัมผัสก็นึกอยู่ แต่พอมาเข้าใจอุตุ พีชนิยามแล้ว เพราะว่าระดูนี่แม้แต่พีชนิยามก็ไม่ใช่ หมดโอกาสได้เป็นชีวะ แม้พีชะก็ไม่ได้เป็น ท่านถึงแปลอุตุ ว่าเป็นระดูด้วย นอกจากจะแปลว่าดินน้ำไฟลมด้วย
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:26:41 )
รายละเอียด
600427_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สังคมชาวอโศก ชาวบุญนิยมคืออะไร
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560 พ่อครูก็ไม่ได้เทศน์ 2 วัน เพราะที่บ้านราชมีกิจกรรมช่วยกันผลิตปุ๋ยงอกงาม คึกคัก ไม่มีวันหยุด ตอนนี้ฝนตกเขาก็อยากจะเอาปุ๋ยไปใช้ประโยชน์
ส่วนที่เฮือนสวน.ก็จะเปิดตลาดนัดบุญนิยม ในวันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2560 เป็นวันแรก ในที่ประชุมมีผู้แจ้งว่าจะมาค้า 36 คน และสมัครเพิ่ม 20 กว่าคน อย่างน้อยคนขายก็ซื้อกันเอง จะมีพืชผักผลไม้ไร้สารพิษมาขาย เช่นทุเรียนไร้สารพิษก็มี เปิดตลาดตั้งแต่เช้า ปิดตอนเย็น
ช่วงนี้ พ่อครูเทศน์เน้น โยนิโสมนสิการ และมีในสุริยเปยยาลสูตร ที่ต้องคบมิตรดีก่อน ถึงมีหวังไปนิพพาน
ทำไมต้องสนใจธรรมะ
พ่อครูว่า...อ่าน sms กันก่อน พรุ่งนี้ อาตมาจะได้เดินทางไปกรุงเทพฯ ไปปฐมอโศกบ้าง ชีวิตก็วนเวียนอย่างนี้มีอะไรก็บอกซ้ำไปซ้ำมา มีอะไรละเอียดลึกซึ้งที่เห็นดีก็เติมไปๆๆ อาตมาก็ว่ามันก็ดีอยู่นะ แล้วพวกเราหลายคนก็รู้สึกว่าชีวิตนี้มันก็ยังมีค่า ซึ่งอาตมาก็พูดตรงๆหลายครั้งแล้วว่า
คนพุทธที่เกิดมาชีวิตนี้ไม่ได้ใส่ใจธรรมะเลย เห็นแล้วน่าสังเวชใจ เราพูดกันให้ชัด คือธรรมะเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต เกิดมา ถ้าไม่สนใจธรรมะ โดยเฉพาะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นอาริยธรรม ถ้าไม่ใส่ใจในธรรมะเลยในชาติใดที่เกิดมาพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นโมฆบุรุษ อาตมาฟังแล้วจุก
โมฆบุรุษ อาตมาเคยแปลไว้ว่า คนๆหนึ่งเกิดมา ให้หมามันมาเกิดแทนเราดีกว่า ชิงหมาเกิดเปล่าๆ ให้หมามาแทน ก็ควรจะได้รู้ว่าชีวิตควรได้ธรรมะบ้าง แต่มาเกิดได้ร่างเป็นคนชัดๆทั้งชาติ กลับไม่สนใจธรรมะเลย มีแต่แสวงหา อธรรม คือไปเพิ่มโลภ โกรธ หลง ไปโลภมากขึ้น ไปมีโกรธมากขึ้น หลงโลกียะมากขึ้น ทั้งชาติ ไม่ได้ปรับปรุงตัวเองไม่ได้รู้ตัวเองว่านี่คือกิเลสโลภโกรธหลง ที่ควรละ แล้วก็ละได้ไหม
ละได้ก็รู้ว่าโชคดีที่ได้ลดละกิเลสบ้าง อาตมาว่า ชาวพุทธ 95% จะสำนึก สำเหนียกอย่างที่อาตมาว่า กี่% …
การสนใจศาสนาอาตมาว่ามีสองนัยยะใหญ่ๆ
1 คือไม่ได้ใส่ใจว่าจะปฏิบัติเลย แต่ศึกษาศาสนาเพื่อให้ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข จะเป็นอวิชชาเดรัจฉานวิชา ไสยศาสตร์ ฉันจะทำให้เขาได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เขาก็ถือว่าเป็นศาสนาทั้งนั้น
2 ศาสนาคือสิ่งที่เขาเข้ามาศึกษาเพื่อจะมุ่งหวังนิพพาน มุ่งหวังเอาเนื้อหาสาระแท้ๆของศาสนา จะมีอยู่สัก 10 เปอร์เซ็นต์ไหม
สมณะฟ้าไทว่า...มาทางที่ถูกจะมีไหมสัก 10%
พ่อครูว่า...เอาแค่มาใส่ใจก็ว่า10% ไหม แต่ถ้ามาทางถูกจะเหลือทศนิยมหรือเปล่า?
ที่มันรู้สึกเช่นนั้นเพราะว่าเอาใจตนเองไปวัด ขออภัย พูดตรงๆ อาตมามั่นใจว่าตนเองสัมมาทิฏฐิ แล้วก็เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิ มาประกาศเกือบจะ 50 ปีแล้ว มันกระเตื้องสักเท่าไหร่
พระพุทธเจ้าทำศาสนา 45 ปีแล้วก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน นี่โพธิรักษ์ 47 ปีแล้ว
สมณะฟ้าไทว่า...ในยุคนี้คนมันโง่ก็อย่างนี้แหละครับ
พ่อครูว่า...คนโง่หรือเราไม่มีสมรรถนะ ไม่รู้จะโทษใครดี ก็ไปโทษควายดีกว่ามันโง่
สมณะฟ้าไทว่า..มันก็น่าเห็นใจคนในยุคนี้ เพราะคนหลงโลกีย์หัวปักหัวปำ
พ่อครูว่า...มันใกล้กลียุล ปลายภัทรกัปป์ อยากที่คนจะมาสนใจ แม้คนจะมาสนใจแล้วจะปฏิบัติได้ก็ยังยากมาก
SMS วันที่ 24 เมษายน 2560
_7256ชอบฟังพ่อครูเทศทางช่องบุญนิยมทุกวันเนื้อหาธรรมแต่ละวันล้วนแต่มีสาระ ประโยชน์ทั้งนั้น นอกจากนี้บรรยากาศการเทศแต่ละสถานที่ทำให้เห็นพลังของผู้เจริญในธรรม ก็ยิ่งเพลิดเพลินในการฟังธรรม โดยเฉพาะวันที่ท่านฟ้าไทดำเนินรายการคู่เทศกับพ่อครูจะชอบมาก เห็นความสนิทสนมเป็นกันเองเหมือนพ่อกับลูกมีลูกเล่นย้อนกันสนุกสนานแต่มากด้วยสาระ
อวิชชาสูตร(อาหารของวิชชา)
_3867นมก.พ่อครูฯผู้น้อยน้อมรับคำติติงเตือนจากพ่อครู ดังธ. บัณฑิตผู้มีปัญญาที่คอยชี้โทษคือผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้ ตามพุทธพจน์พระตปฎ.25/16
พ่อครูว่า...อาตมาประกาศผลเองว่าเป็นสัตบุรุษ ก็เลยเป็นอาหารของคน สัตบุรุษ เป็นอาหารของการฟังธรรมโดยบริบูรณ์ ในอวิชชาสูตร
1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .
2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์
8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
คนที่ศึกษามาก็อาจจะบอกว่าได้แต่ท่องจำ ซึ่งก็มีจริงในคนที่เอาไปทำมาหากิน ส่วนผู้ศึกษาได้ แต่ไม่ได้เอาความรู้เหล่านี้ไปเอาใบรับรองหรือทำมาหากิน แต่ศึกษาเพื่อออกไปประพฤติปฏิบัติจริง ก็มี ถ้าสัมมาทิฏฐิ ศึกษาตามบัญญัติภาษาคำสอนเหล่านี้จะเข้าใจสัมมาทิฏฐิ จริง แล้วใส่ใจปฏิบัติ ที่ปฏิบัติแล้วจะได้มากกว่า เป็นธัมมานุธัมมปฏิปัฏฏิ ได้ธรรมะสมควรกระทำตามที่จะอุตสาหะพากเพียร ตามที่จะมีบารมี ตามที่มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะบริบูรณ์ เช่นชาวอโศกเป็นต้น เช่น ในยุคนี้ อันอื่นอาตมารับรองพูดถึงไม่ได้ แต่อันนี้อาตมามีส่วนร่วม
ในขณะอาตมามีส่วนร่วมกับชาวอโศก อาตมาก็มีปฏิภาณรู้จักศาสนาพุทธ ขององค์กรสำนักต่างๆที่อยู่ในร่วมสมัยกันด้วย ก็ศึกษากับเขาเหมือนกัน พยายามเข้าใจเขา แล้วก็เอามาเปรียบเทียบยืนยันตรวจสอบกับพระไตรปิฎก อย่างพยายามไม่ให้มีอคติ แม้อาตมาจะไม่เก่งภาษาบาลีแต่เขาก็แปลเป็นภาษาไทยให้แล้ว
_3867ฟังไปฟังมาสังเกตุได้ว่าธ.ปัญญาวุฑฒิ4อันพ่อครูสอนตามอาปัตติภยวรรค ตรงกับอาหารสู่วิชชาวิมุติในอวิชชาสูตรเป๊ะ!
สัปปุริสสังเสวะตรงกับคบหาสัตตบุรุษบริบรูณ์เป๊ะ!สัทธัมมัสสวนะตรงกับฟังธ.บริบรูณ์เป๊ะ!..โยนิโสมนสิการตรงกับทำมนสิการโดยแยบคายบริบรูณ์!ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ตรงกับปฏิบัติธ.ให้สติสัมปชัญญะบริบรูณ์เป๊ะ
สยังอภิญญาคือความรู้ของโพธิสัตว์ระดับใด
_7630โพธิสัตว์ต่ำกว่าระดับ 7 ถือว่าเป็นสยังอภิญญาได้หรือเปล่าครับ?สองเมืองอุบล
พ่อครูว่า…ก็พอตอบได้ อาตมาประกาศตนว่าเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาว่า ไม่เคยได้ยิน ใครพูดว่า โพธิสัตว์มี 9 ระดับ
ก็ไม่เคยเจอในตำราไหนนะ อาตมาก็ว่า ไม่ได้เอามาจากตำราไหน แต่เอามาจากสยังอภิญญาของอาตมา คือความรู้ที่รู้ด้วยตนเองของอาตมา
ผู้ถามมาถามว่า โพธิสัตว์ต่ำกว่าระดับ 7 ถือว่าสยังอภิญญาได้ไหม?..แสดงว่าผู้ที่ถามมายอมรับว่า โพธิสัตว์ระดับ 7 คือสยังอภิญญา อาตมาก็ไม่ได้อำพรางหลบเลี่ยงว่า ต้องเป็นผู้ที่มี dna ตกทอดจากพระพุทธเจ้า อาตมาก็บอกว่า ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องเลย คือไม่ได้เป็นลูกศิษย์จากสำนักไหนเลย
อาตมาชาตินี้ไม่มีอาจารย์
และอาตมาก็แสดงตัวจริง ในชีวิตว่าอาตมาไม่มีอาจารย์ไหนและก็มีความรู้ทางศาสนาพุทธ พามาปฏิบัติศาสนาพุทธ จนอาตมามีสำนักเอง ก็สำนักเองโดยไม่ได้เป็นลูกศิษย์สำนัก สร้างสำนักเอง จนมาบัดนี้เวลายาวนานกว่าที่พระพุทธเจ้าทรงงาน 45 ปีแล้วปรินิพพาน อาตมาเลย 45 ปีแล้วยังไม่ยอมตาย ยังมา 46-47 ปีก็ยังพยายามลากสังขารไปอีก ฝืนไปอีก กระเสือกกระสน (ภาษาอีสาน ว่าบืน) ตะเกียกตะกายไปอีก ยังไม่ยอมตาย
พระพุทธเจ้าก็มีมารมาอาราธนา ให้ตายได้แล้ว เมื่อบรรลุพระสัมมาสัมพุทธะแล้ว ก็ตายสิ ใครจำได้ไหมในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าก็บอกว่ายังไม่ตายหรอกเจ้ามาร ตราบใดที่เรายังทำให้ อุบาสกอุบาสิกา ภิกษุภิกษุณี ยังไม่รู้แจ้งในธรรม สามารถจำได้บัญญัติได้จำแนกได้ ปรับปวาทะได้ ขยายความบรรยายสืบสานศาสนาต่อไป เราจะยังไม่ยอมตายหรอก มาร
ซึ่งอาตมาเข้าใจจิตวิญญาณอันนี้ แต่อาตมาไม่ได้เป็นผู้สร้างศาสนาเอง เพราะว่าก็สำนึก สำเหนียกเหมือนกันว่า อาตมาควรต้องสืบสานศาสนา ปลูกฝัง ประกาศ ปรับปวาทะ
คำว่าปรับปวาทะ นี่เป็นภาษาไทย ว่า ปรับ วาทะ
วาทะ แปลว่า ลัทธิ ความรู้ ศาสนา ภาษาที่เลือกมาพูด วาทะ วาที เอามาขานมาเรียก ก็หมายความว่า ปรับ
ที่ต้องปรับเพราะอะไร? เพราะมันเพี้ยน มันผิดไม่ค่อยตรง ก็ปรับมาให้ตรง จะปรับอะไร ก็ต้องปรับให้เข้าร่องเข้ารอย Adjust หรือ Tune ให้มันเข้าที่ให้ตรง คม ลงตัวหมด
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่ตรง ก็ต้องไปแย้งกับคนอื่น เราเห็นว่าอย่างนี้ตรงก็ปรับให้ตรง คนอื่นเขาพูดไว้อย่างนี้ เป็นวาทะเราก็มา ปรับปวาทะ คือมาปรับวาทะ อย่างนี้ไม่ตรงก็บอกว่าไม่ตรง อย่างนี้ตรงนะ
แปล ปรับปวาทะ ตรงๆ ก็หมายถึงถกเถียงขัดแย้งกับคนอื่น ถ้ามันตรงอยู่แล้ว จะต้องปรับปวาทะทำไม? ฉันเดียวกันกับ ความไม่ลงกัน ในหมู่ชนในสังคม ขัดแย้งกัน จึงต้องปรับสังคมให้อยู่กันอย่างเรียบร้อยราบรื่น เขาก็เรียกว่าปรองดอง
ถ้าเผื่อว่ามันไม่มีอะไรขัดแย้ง มันไม่มีอะไรไม่ตรงกัน ไม่มีอะไรที่ต้องไปปรับหรือจัดการ ให้มันอยู่กันได้ เราก็ไม่เรียกว่าปรองดอง เพราะไม่ต้องปรับอะไร
อาตมาถึงได้เขียนบทกวี ที่บอกไว้ตั้งแต่บทต้นเลยว่า ปรองดอง เป็นเรื่องของความขัดแย้งเป็นธรรมดา
เพราะว่าสังคมไหนไม่มีหรอกที่จะไม่มีความขัดแย้ง ในสังคมของประชาธิปไตย ต้องมีฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล มันต้องมีความขัดแย้ง อย่างที่ กวีว่าไว้
“ปรองดอง”ขั้นยอดของพุทธ
(1) “ปรองดอง”ต้องขัดแย้ง ธรรมดา
จิตปุถุชนย่อมสา- มิสแท้
ต่างเห็นต่างค้านหา ต่างเหตุ ผลเฮย
รัฐประชาธิปัตย์แล้ ถกแก้ช่วยกัน
(2) “ปรองดอง”นั้นขัดแย้ง พอเหมาะ
ซึ่งต่างจากทะเลาะ อย่าตื้น
ประชาธิปไตยเสาะ หาเหตุ ตนนา
ต้องขัดขาวสาวฟื้น ฟอกให้โปร่งใส
ขณะนี้อาตมาว่าในประเทศไทยเป็นระบอบประชาธิปไตย คือ มีพฤติกรรมของความเป็นประชาธิปไตยดีที่สุดแล้วในขณะนี้ เป็นแต่เพียงว่า ผู้ที่ไม่รู้ว่านี่คือกมแล้วก็จะมี over แม้แต่สื่อสารต่างๆ คนที่ไม่มีความรู้เรื่องความพอดีพอเหมาะ
เช่น เข้าใจว่า เป็นสังคมบริหารปกครองที่มีน้ำหนักของเผด็จการ ตามรูปแบบ ตามตรรกะ เช่นที่เกิดแล้วเป็นแล้ว ประชาธิปไตยขณะนี้ ทหาร ปัจจุบันมาเลย เขาก็ถือว่าทหารประกาศยึดอำนาจปกครอง แบบนี้มันต้องเป็นเผด็จการ ไม่ได้เกิดจากประชาชนเลือกมา นักวิชาการก็บอกว่านี่ไม่เป็นประชาธิปไตย อาตมาก็ว่า อาตมาเข้าใจ ว่า การเลือกตั้งเป็นวิธีการหนึ่งของประชาธิปไตย คิดว่า ไม่โง่ที่จะไม่รู้นะว่า ประชาธิปไตยต้องให้ประชาชนมาเลือกตั้ง ใช่ แต่อันนี้เลือกตั้งมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วบริหารไปก็ยิ่งเละ จนกระทั่งรู้กันแล้ว ถ้าปล่อยให้นักการเมืองสร้างค่ายกลสร้างระบบเป็นประชาธิปไตยแบบบริษัทจำกัด มีนายทุนใหญ่เป็นเจ้าของบริษัท เสมอ มีการซื้อพรรคการเมือง เทคโอเวอร์พรรคการเมือง ซื้อกันสดๆเลย คนขายพรรคการเมือง ก็ขายได้ขายเอา คนชื้อพรรคการเมืองก็ซื้อได้ซื้อเอา นี่หรือประชาธิปไตย
แล้วต่ำกว่า โพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นสยังอภิญญาได้ไหม
1 เรียกว่าเกิด พอมี 2 ก็จะมีปฏิกิริยา Action Reaction แต่กระทบเป็นแนวระนาบ พอมีอันที่3 กระทบกันแล้วไม่เป็นระนาบอย่างเดียว แต่เกิดเป็นองศาขึ้นมา เป็นcyclic ในจิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
กรรมนิยามคือ dynamic ส่วนธรรมนิยามคือ Static ตัวหนึ่งตัววิ่ง ตัวหนึ่งตัววิ่ง อีกตัวหนึ่งเป็นประธาน เป็น ISH เป็นสามเส้า เป็นภาวะสองขึ้นมา แต่เมื่อเป็นนามธรรมเป็นชีวะ ก็ต้องมีสาม มี I มีตัวเรา มีอัตโนมัติ จะเรียกว่าอัตตาก็ได้ ที่จะต้องดำเนินไป มีอัตโนมัติเกิดชีวะ
สองเส้า นั้นกระทบเป็น Action Reaction แต่ไม่มีประธาน สิ่งแวดล้อมทำให้มันกระทบกัน ฟังงาน ฟิสิกส์แสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า มันไม่ได้เกิดจากตัวมันเองจัดการ แต่เกิดจากสิ่งแวดล้อม จัดการมัน
เกิด 1 2 3 เป็นวงวน อันนี้ จะถือว่า สยังอภิญญา สยัง แปลว่าตัวเอง
สามเส้าถือว่าเป็นตัวเองแล้ว เป็นพีชนิยาม
ถ้าขยายจากสามเส้า แตกตัว มีพลังงานเป็นปฏิภาคทวี ก็ยิ่งมีตัวของตัวเอง เป็นพลังขยายเพิ่ม ยิ่งเป็น 5 เป็น 6 เป็นสามเส้าสองหลัก ก็จะมีความใหญ่ขึ้นมาอีก เป็นตัวของตัวเอง ในศัพท์ของพระบาลี
1 เป็นปัจจัตตัง รู้ได้ด้วยตัวเอง ต่อมาก็เป็นปัจเจก
ปัจเจกภูมิชั้นต้น เป็นตัวเองขั้นแรก ต่อจากปัจเจกก็จะขยายเส้นสยังอภิญญา
ปัจเจกก็เส้าหนึ่งสองเส้าของปัจเจก จึงเป็นสยังอภิญญาแน่ๆ
ที่ถามมาว่า ต่ำกว่านี้ จะเป็นสยังอภิญญาไหม ก็มีศัพท์ที่เรียกต่ำลงมาว่า ปัจเจก
ที่ถามกันมานี่ หลายคนฟังแล้วก็คงยากที่จะตอบได้ แต่อาตมาก็ตอบโดยไม่ได้ดัดจริต อันไหนไม่รู้ก็ตอบไม่รู้ไป
_1294เพิ่งถึงบ้านดีใจที่รายการยังไม่จบ ชมสดอยู่3อาทิตย์ วันนี้ฟังสดผ่านแอ๊ปทูนอิน ต่อด้วยชมสดทางทีวี
สำหรับผู้ชมทางอินเตอร์เนต แจ้งมาไม่น้อย (ก็คัดมาบางส่วน)ดังนี้
ยุพาสิณี พรพิทักษ์ธรรม ลูกฟังพ่อครูเทศน์ทุกครั้งค่ะ_ดีมากๆ
Kanlayarat Thanman น้อมนมัสการค่ะที่สวีเดนจัดเจนมากๆ
ครูภรณ์ บ้านสะบายดี สาธุค่ะ ภาพชัด เสียงชัดค่ะ เขาใหญ่
จอมมณี แก้วชนะ ที่พระราม4มหาลัยกรุงเทพฯชัดเจนค่ะ
Jaja Daoprakai อุบลชัดเจนดีค่ะ
อพิรยา กล่าวรัมย์ บุรีรัมย์ชัดเจนค่ะ สาธุ
_
อุตุนิยามและกรรมฐาน 5 คืออะไร
_จอมมณี แก้วชนะ ยอดวิวที่ไร้สาระเมียฝรั่ง มีคนเข้ามาเม้นเต็มไปหมด แต่ทีธรรมะแท้แท้ที่ดีดีก็ไม่มีคนเข้ามาชม
พ่อครูว่า…. เมนส์ คือเลือดระดูของผู้หญิง อาตมาเคยอธิบาย แต่ขอเก็บตกเพิ่ม
เลือดระดูของผู้หญิงคืออุตุนิยาม คำว่าอุตุ ภาษาบาลีว่า เลือดระดู คำว่าอุตุคือไม่มีชีวะแล้ว เลือดที่เป็นระดู มันคือ ธาตุที่เป็นเชื้อไข่ เชื้อที่จะเกิดเป็นชีวะ แต่เมื่อมันไม่ได้รับการผสม ถึงเวลาเชื้อหรือไข่นั้นก็เสีย ก็ไหลออกมา มันเล็กละเอียดเป็นธาตุน้ำ ไหลออกมาเป็นระดู จากที่เป็นเชื้อไข่เป็นชีวะที่เล็กกว่าจิตนิยามด้วยซ้ำ
อาตมาสะดุด ตอนนั้นยังไม่รู้ธรรมะอะไรมาก แต่เห็นพยัญชนะในพจนานุกรมไทยบาลี ท่านบอกว่า อุตุ แปลว่าอะไร ตอนนั้นอาตมาก็รู้ว่า อุตุนิยมคือเขาวัดดินน้ำไฟลม อากาศ เท่านั้น แต่ ทำไมอุตุ เขาแปลว่า เลือดระดู ซึ่งมันเป็นเชื้อชีวะ อาตมาสะดุดตั้งแต่แรกๆเลย ตอนนั้นยังเข้าใจธรรมะไม่ทะลุ ยังแค่ฟื้นความรู้ขึ้นมาแต่สัมผัสภาษาคำแปลก็สะดุด
แต่ทุกวันนี้พวกเราจะเข้าใจดี ว่าอันนี้มันหมดหน้าที่จะเป็นชีวะแล้วแต่เลือดระดู คือธาตุน้ำที่จะก่อชีวะแท้ๆเลย มันเป็นเซลล์แล้ว แต่เมื่อไม่ได้รับการผสมให้สมบูรณ์ มันก็ตกมา หมดความเป็นชีวะ
มูลกรรมฐาน 5 ผมขนเล็บฟันหนัง เมื่อไหร่เป็นชีวะ เมื่อไหร่ไม่เป็นชีวะ เมื่อไหร่เป็นกาย เมื่อไหร่ไม่เป็นกาย ซึ่งไม่ง่าย เช่นเล็บที่ไม่รับความรู้สึก มันไม่มีเวทนาแล้ว แต่เป็นชีวะ ไม่ได้ถูกตัดขาดจากร่างกาย ผมขนเล็บฟันหนัง ที่ไม่ได้ตัดขาดจากร่างกายมันก็เป็นชีวะ มันไม่มีเวทนารับรู้สึก เพราะฉะนั้นมันไม่เป็นกาย แม้เป็นชีวะที่ติดเนื่องจากเรา เราจะไปยึดถืออะไรเป็นของเรา ถ้าตัดทิ้งมันก็ไม่เป็นไร ไม่ทุกข์
เมื่อไม่ทุกข์ ก็ไม่น่าจะเป็นเราเป็นของเรา เราก็ไม่น่าหวงแหน จะเห็นเลยว่าคนเรา ขนาด ตัดออกไปแล้วยังคงเห็นว่าเป็นของเรา เอาไปเก็บรักษา ตัดออกไปแล้วนะ ไม่เจ็บไม่ปวดแล้วก็ยังยึดถือ
ถ้ายังอยู่ในเรา มันก็ไม่น่าจะยึดถือเป็นเราเป็นของเรา
ทีนี้ ถ้าเป็นจิตนิยาม เป็นเวทนา ขนาด เวทนา เป็นความรู้สึกแล้วก็ยังไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
รอบศึกษาให้ดีจะรู้ว่าเมื่อไหร่ จะเลิกยึดถือเป็นเราเป็นของเรา แม้เป็นชีวะของเราต้องอาศัยมันแท้ๆ ถ้าเผื่อว่า เล็บก็ดี ผมก็ดี ฟัน หนังก็ดี ถ้ามันไม่มีเวทนา แต่เรายึดเป็นเราเป็นของเรา คนนี้โง่หนักขึ้นไหม
เพราะฉะนั้น ใครเคยหวงแหนเล็บบ้าง คือโง่หนักมาแล้ว หวงแหนผม หวงแหนขน เล็บ ฟันหนัง หวงแหน เป็นเราเป็นของเรา เป็นสิ่งที่เรายึดถืออาศัย บางที เราก็ไม่จำเป็นต้องอาศัย ก็ไม่น่ายึดถือเป็นเราเป็นของเรา
บางส่ิงเรารู้สึกว่ามันเจ็บ มีเวทนาก็ยิ่งต้องอาศัยมัน
แต่ในเวทนา มันมีซ้อน ที่ไม่น่าเจ็บน่าปวด แต่เราเหมาว่า มันน่าเจ็บปวดน่าได้น่ามีน่าเป็น แต่ไปเรียกว่าน่าเจ็บปวด คุณไม่อยากได้หรอกความเจ็บ แต่ความรักความเอร็ดอร่อยความสุขมันเป็นมุมกลับ ของความเจ็บปวด
ที่จริงแล้ว มันไม่มีจริงเลยความน่าใคร่ความรักความอร่อยความสุข มันเป็นเวทนาเก๊ อารมณ์ลมๆแล้งๆ เวทนาเก๊
ถ้าเป็นจิตนิยามรู้สึกเจ็บ รู้สึกเจ็บเป็นเวทนาแท้ แต่คนที่โอ๋ตัวเองมากไป เจ็บนิดเดียว ก็รู้สึกเจ็บมากอันนั้นโง่ พุทธเจ้าบอกว่าเป็นการเอาทุกข์ทับถมตนเอง
มันเจ็บก็ทุกข์แล้ว แต่ไปทุกข์ซ้ำ สำออย ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่าเป็นโรคจิต Psychosis เป็นโรคสร้างเอา แล้วตนเองก็เจ็บจริงๆด้วยนะ เรียกว่าเป็นโรค โง่ซับซ้อนเลย
การจะละความยึดถือเป็นเราเป็นของเรามันไม่ง่ายจะเข้าใจนะ
พวกเราเอาชีวิตมามีชีวิตกับธรรมะกับสาระกันทั้งวัน แต่คนที่เขาไม่ได้มาทางธรรม ก็มีชีวิตที่ มากกว่ามีสาระ เขาอาจแก้ตัวว่า ทำมาหากิน แล้วพวกเราทำมาหากินไหม...ก็ทำ และทำเหลือกินเหลือใช้ด้วย แต่ก็มีเวลามากับเรื่องธรรมะมากกว่า ทั้งที่เกิดมาในยุคเดียวกัน
คนที่มีปัญญามีความฉลาดรอบรู้ว่า วันเวลาผ่านไปชีวิตผ่านไป อะไรที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก ที่ควรทำ คนที่มีปัญญาก็จะรู้จักการทำสาระ ไม่ไปแย่งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส โลกธรรม ดีไม่ดีปั้นวิมานให้คนมาแย่ง ทำไมโง่ ไปเอาเวลาแรงงานไปสร้างสิ่งเพ้อเจ้อ เอร็ดอร่อยเป็นความเพ้อเจ้อสวยงาม เต็มไปหมด
สมณะฟ้าไทว่า...ฉลาดมากที่สร้างในสิ่งที่คนจับไม่ได้
พ่อครูว่า..เขาก็ว่าเขาได้ความสุขนะ
_พระพุทธธมฺโม พุทธธรรมมะ ฝนตกฟ้าร้องแรงมากที่วัดป่าสวนธรรมร่วมใจ อ.ป่าติ๊วจ.ยโสธร...สถานีวิทยุปิดออกอากาศ จึงไม่ได้เชื่อมสัญญาณบุญนิยมทีวีออกอากาศวิทยุที่วัด...กราบคารวะด้วยความเคารพยิ่งครับ
บูรพาพากเพียร เพื่อหลุดพ้น ภาพเสียงชัดเจนดีที่โคราช
จากไลน์แอ็ส นมก.ครับ เขาสนใจแต่พัดยศมากกว่าครับ
ปะปึ้งคือปลาเทโพ ปลาเข๋งคือปลาหมอ จาก...คุณเชวง กิจจะบรรณ์
สมาธิกับฌานสัมพันธ์กันอย่างไร
พ่อครูว่า...อาตมาพูดธรรมะที่ละเอียดมาก จนตนเองรู้สึกว่า จะมีใครมาอธิบายธรรมะ เจาะรายละเอียดลึกซึ้งอย่างที่อาตมาพูดนี้
สมณะฟ้าไทว่า...ก็ไม่เห็นมี เพราะของพ่อครูซ้ำแต่ขยายไปอีก
พ่อครูว่า ทั้งลึกทั้งกว้าง เช่น อธิบายความต่างระหว่างอาสวะกับอนุสัย ที่จริงไม่ถึงขั้นต้องอธิบายก็ได้ แต่อธิบายเอาไว้
ที่อธิบายไว้ทุกวันนี้ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เช่นอธิบายเรื่องสมาธิ เพราะว่าทุกวันนี้คนเข้าใจสมาธิไม่ได้ เช่นเข้าใจคำว่าสมาธิกับฌาน เขาไม่เข้าใจคำว่าสมาธิกับฌาน
ธาตุ คือมันตกผลึกเป็นสิ่งหนึ่งแล้ว ที่มันรวมตัวลงตัวของมันแล้ว
ระดับฌานก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง
สมาธิก็เป็นธาตุชนิดหนึ่งพลังงานชนิดหนึ่ง
ฌานคือระดับของสิ่งที่เป็น dynamic ส่วน สมาธิเป็นระดับของสิ่งที่เป็น static คือสิ่งที่จับตัวรวมตัวกันแล้วตกผลึกเรียกว่าสมาธิ แข็งแรงตั้งมั่น เรียกว่าสมาธิ
เขาไม่เข้าใจก็ไปบอกว่าไปทำสมาธิแล้วจึงจะเกิด ฌาน ที่จริงแล้วต้องทำฌานก่อน สั่งสมผลที่จิตล้างกิเลสได้ จิตใจที่สะอาดจากกิเลสก็สั่งสมตกผลึกลงไป ควบแน่น แข็งแรงเรียกว่าเป็นสมาธิ อย่างนี้เป็นต้น
เขาก็ไปบอกว่านั่งสมาธิแล้วจะได้เป็นฌาน เคยได้ยินไหม
สมณะฟ้าไทว่า...คือสมาธิก่อนฌาน
พ่อครูว่า ที่จริงจะต้องทำฌานก่อนสมาธิ
อาตมาเอาสภาวะมาเป็นหลักในการขยายความ ก็รู้ว่า เขาอธิบายอย่างนี้ ว่า สมาธิก่อนฌาน ก็รู้แล้วว่าไม่ใช่แนวของศาสนาพุทธเจ้า ก็ไม่รู้ฝาไม่รู้ตัว เอาตัวมาเป็นฝา เอาฝามาเป็นตัว สลับกันไปหมด
มาขยายความ...อาตมาอยากขยายความถึงสภาวะของสังคม ขณะนี้อาตมาก็เป็นคน เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่งในประเทศ แล้วก็ตั้งใจที่จะช่วยสังคม ตั้งใจสร้างความเป็นสังคม สังคมจะเกิดขึ้นมาเพราะคนเป็นตัวหลัก ก็เท่ากับสร้างสังคมต้องสร้างคน สร้างคนได้อย่างไรคนจะมารวมกัน มีพฤติกรรมสังคม เกิดความเป็นกลุ่ม มีการดำเนินชีวิตร่วมกัน สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน
อาตมาเกิดมาชาตินี้ไม่เคยเป็นข้าราชการ แม้จะทำงานการศึกษาเป็นครู ก็ไม่เคยเป็นครูในระบบ เป็นครูสอนพิเศษ สอนจนต้องวิ่งไปสอน อาตมาสอนชั่วโมงละ 30 ในขณะที่ครูในระดับปริญญาตรี สอนกันได้ชั่วโมงละ 15 บาท แต่อาตมาได้ชั่วโมงละ 30 บาท บางวันวิ่งสอนจนไม่มีเวลากินข้าว
ตอนที่ไม่มีรถยนต์ ก็ขี่จยย.ไปสอน ต้องทำงานเลี้ยงน้องถึง 6 คน ซึ่งเลี้ยงยากกว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกนะ ไม่มีเวลาตั้งตัวเลย รู้ว่าเป็นหน้าที่และตั้งใจทำเต็มที่ถือว่าทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ เลี้ยงน้องเหมือนเลี้ยงลูก ให้เรียนหนังสือหนังหา อยู่กินกันไปเหมือนลูก แม้ที่สุดอยากจะไปเรียนเมืองนอก มีโอกาสก็ส่งไปเรียนด้วยทุนส่วนตัวก็ทำ ไม่ได้อิดออดอะไร
ชีวิตแม้อยู่กับครอบครัว ไปเสียเวลาอยู่กับสังคม 12 ปี อาตมาเรียนจบอายุ 24 จนกว่าจะอายุ 36 ก็เลิกงานทางโลก
12 ปีก็ใช้เวลาตั้งหน้าตั้งตา ล่า ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ตามลิงลมอมข้าวพอง ตามโลกียะเขาหลอก แต่เมื่อรู้ตัวแล้วก็ตัดสินอย่างเด็ดขาดแบ่งทรัพย์สมบัติให้น้องๆไปเกือบหมด แต่ก็เหลือส่วนหนึ่งไว้กินใช้บ้าง มีแม่บ้านมาดูแลให้ เอาเงินใส่บัญชีเขานั่นแหละ จนกระทั่งสุดท้าย อาตมาก็ไม่ต้องใช้ เขาก็ไปของเขาตามเรื่องตามราว เป็นประวัติ เล็กน้อยที่เล่าให้ฟัง
อาตมาก็เห็นว่า คนเราทำวิบากไว้ แล้วก็ต้องมาใช้วิบาก อธิบายไม่ไหวเรื่องวิบากเป็นอจินไตย ถึงไม่ประหลาดใจว่าต้องถูกมหาเถรสมาคม เล่นงานเอาเข้าคุก ก็ไม่ได้ตกใจ มันต้องเป็นอย่างนี้ถึงจะใช่ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ มันชัดจริงๆเลย ไม่ได้ทุกข์ร้อนหมองหม่น ถูกจับก็ไม่เคยตกอกตกใจ ต้องมานั่งบ่น มีแต่พาไปขึ้นศาล จังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ก็ไม่เคยได้บ่น ก็รู้แล้วมันต้องเป็นอย่างนี้ ดีไม่ดีออกจะฉวยเวลาทำประโยชน์ ทุกอย่างมันเป็นประโยชน์ได้ทั้งนั้น
สมณะฟ้าไทว่า...เมื่อพวกผมถูกจับประกันตัวออกมาพ่อครูก็เทศน์ให้ฟัง
พ่อครูว่า...ชีวิตเรามันมีสิ่งที่ผ่านมาเยอะ มีกุศลวิบากไว้ ยกตัวอย่างที่ยกหลายทีแล้ว อาตมาชาตินี้ อาตมาไม่เรี่ยไร มาบวชไม่เคยเรี่ยไร ตั้งหลักเกณฑ์ไว้เลยจะไม่มีการเรี่ยไรจะเป็นจะตายอย่างไร แล้วได้พาพวกเราทำจนถึงทุกวันนี้ พวกเราก็ไม่มีเรื่องเรี่ยไร ถือว่าได้ทำจนเป็นผลสำเร็จ
สร้างโทรทัศน์ขึ้นมา ไม่ได้เรี่ยไรเลย เอามาให้ยังจะต้องทำตามกติกา มาถึงวันนี้ก็สำเร็จ ไม่ได้เรี่ยไรเลยอยู่รอด ทำงานทำการ จนกระทั่งเขาว่า ทำไมมีอะไรใหญ่โต ไม่ได้เรี่ยไร หาเงินทอง มีวิธีการจัดงานวัด แต่พอจัดงานวัดทีไรก็มีแต่จ่ายออกไป ขาดทุนให้สังคม ทั้งที่วัดวาต่างๆ เขาทำงานแล้วได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ของเรา เสียเป็นกอบเป็นกำ
สังคมชาวอโศก ชาวบุญนิยมคืออะไร
ทีนี้มาพูดถึง สังคมที่อาตมาพาทำจนเกิดสังคมหมู่กลุ่ม ชื่อสังคมเราคือชาวอโศก หรือชาวบุญนิยม เป็นชื่อฉายา เขาเรียกชาวสันติอโศก ก็ไม่ว่ากัน เพราะ สันติอโศกเป็นชื่อพุทธสถานส่วนกลาง อยู่กรุงเทพฯ
แล้วคนกลุ่มนี้เป็นคนอย่างไร ประชาชนทั่วไป เขาก็จะมีความเข้าใจรวมๆว่า อโศก มันเป็นอย่างนี้ มี concept อย่างนี้ ก็เหมือนกันบ้าง คล้ายกัน แตกต่างกันไป
มีคนเข้าใจถูกบ้าง ถูกดี ถูกในระดับไม่ดีนัก ถูกดีนิดหน่อย ผิดเสียมากก็มีไปต่างๆนานา เราก็อยู่ของเรามาได้
จะเข้าใจว่าเราผิด อาตมาก็ว่า จริงๆแล้ว รัฐบาลก็ผ่านมาไม่รู้กี่รัฐบาล ก็ไม่เห็นว่ารัฐบาลไหนเลย ที่จะมาเอาเรื่องกับอโศก ไม่มีนะ อโศกก็เผยแพร่ พูดไปเขาก็รู้ว่าเป็นอย่างไร ปากจัดอย่างไรเขาก็รู้ ไปไล่รัฐบาลด้วย เขาก็รู้ทั้งนั้น
แต่ แม้ไปไล่เขา เขาก็ไม่ว่าอะไรนะ หลังประท้วงเขาก็ไม่ตามเอาเรื่องกับชาวอโศก เราก็ว่าของเราไป เขาก็ไม่ถือสา นั่นอย่างหนึ่ง
อีกอย่างหนึ่ง ก็ไม่ใช่น้อยครั้ง อยู่แนวหน้าด้วย ลูกปืนตก แต่ไม่มีชาวอโศกที่ไปตายเลยสักคน บาดเจ็บก็ดูเหมือนไม่มี ที่เล็กน้อยก็มี ไม่มีขาขาดแขนขาด พิการ ที่โดนหนักตอนแก๊สน้ำตา
สิ่งเหล่านี้เป็นกุศลวิบาก เรียกว่าบารมี สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่อาตมาเก็บ ข้อมูลเพื่อศึกษา กรรมวิบากต่างๆ ซึ่งทำงานมา 45-46 ปี มีข้อมูลกรรมวิบากอีกเยอะ ที่อาตมาเอามารวมกัน
อาตมาไม่ใช่นักวิชาการ อธิบายไม่ได้แต่รู้ของตัวเอง มันเป็นเรื่องที่ สรุปนะ อย่าหาว่าอวดตัวอวดตน แต่เป็นเรื่องที่เราได้ทำกับสังคมมนุษยชาติ เป็นเรื่องที่เราได้ช่วยมนุษยชาติ
เพราะเรื่องที่พาไปทำ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไป ล่า โลกธรรม ไม่เข้าท่า แต่เป็นเรื่องที่ช่วยสังคม เอาง่ายๆ อาตมาจะต้องมาตั้งโรงเรียนสอนเด็กช่วยรัฐบาล ให้เด็ก เมื่อรับการศึกษาพื้นฐาน มัธยมทำไม?
มันไม่ได้ง่ายด้วย ต้องพยายามต้องมีบุคคลมาช่วยกัน มีวัสดุต่างๆนานา
ตลาดอาริยะและบุญนิยม 4 ระดับ
ยกตัวอย่างอีกอัน ที่คนไม่เข้าใจเรา จัดตลาดอาริยะทำไมโก้นักหรือ อาตมาว่าไม่ได้ทำเพื่อหาชื่อเสียง สื่อสารมวลชนไม่เคยมาทำข่าวตลาดอาริยะจัดมา 38 ครั้งแล้วที่จริงมากกว่า 38 ครั้ง เพราะแต่ก่อนบางปีทำมากว่าสองครั้ง
สื่อสารก็ไม่มาทำข่าวให้ เขาอาจหาว่า แม้เสียสละก็โฆษณาตัวเอง จะมาทำข่าวให้ทำไม 2.มันไม่เชิญ เราไม่เคยออกหนังสือเชิญสื่อเลย อย่างนี้มันน่าน้อยเมื่อไหร่ แต่ทำมาตั้ง 38 ครั้ง สื่อสารมวลชนมีทั้งประเทศ ไม่มีหน้าไหนกล้ามาทำข่าวตลาดอาริยะ นอกนั้นตลาดเละเทะ เขาประจบกันให้ซองขาว ก็ไปทำข่าวกัน ขออภัยผู้ที่ไม่มีเรื่องแปดเปื้อนเท่านี้
เราจัดทำไม เราทำในแต่ละปีเพื่อช่วยเหลือประชาชน ในประเทศไทยคนจนคนที่ขาดแคลนมันมีมาก มัน ถึงได้เห็นอย่างนี้ หลายคนบอกว่า จัดแล้วจะขาดทุนได้เท่าไหร่ แต่จะเท่าไหร่ก็แล้วแต่ มากหรือน้อยคนก็มากันเท่านี้ สื่อสารมวลชนก็ไม่ได้โฆษณาให้สักเจ้า
เราจัดมาก่อนที่เราจะมีโทรทัศน์อีก แต่ก่อนไม่มีโทรทัศน์คนก็ยังมาไม่น้อย เดี๋ยวนี้มีโทรทัศน์คนเข้ามากันเพิ่ม จนต้องสร้างโรงเรือน เพราะว่าเห็นใจ ยืนตากแดดเข้าคิว กำธนบัตร เปียกๆชุ่มอ่อนหมดเลย เป็นลมไปหลายคน มันร้อนตากแดดกัน เพื่อซื้อของที่ไม่ได้ใหญ่โตเลยไม่ได้มากมาย แต่เขาอยากได้ ทนได้ ของใช้ประจำปี ของใช้ที่จำเป็นไม่เป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย ถ้ารัฐบาลทำอย่างนี้ได้จะได้แต้มมากกว่าไปทำประชานิยมขี้หมา
เราทำอาคารใหญ่นี้ชั้นบนก็ทำการศึกษา และทำตลาดชั้นล่าง พูดไปก็เผื่อว่าทางราชการหรือหน่วยงานอยากจะใช้งานทำประโยชน์ก็ได้ ตอนนี้จะมีตลาดนัด อาทิตย์ละสามวัน ศุกร์เสาร์อาทิตย์ มันก็ไม่ได้อยู่ในเมืองห่างจากเมืองมา 6กม.ก็ไม่ได้ไกล เข้ามาหน่อย เราก็จัดตลาดนัด ที่ขายของในเชิงบุญนิยม ก็ขายถูก ไม่ได้จัดแบบทุนนิยมที่จะขูดรีดค้ากำไร เอาเปรียบเอารัด แต่จะสะพัด ของกินของใช้ไปสู่ผู้บริโภค เอาสถานที่ใช้ให้เป็นประโยชน์แก่สังคมประเทศชาติ
มีความบริสุทธิ์ใจที่ว่าเราไม่ได้สร้างสถานที่เพื่อเป็นธุรกิจการค้า เพื่อจะไปเอาเปรียบอย่างที่ทุนนิยมทำร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นลักษณะบุญนิยมจริงๆ
บุญนิยมมี 4 ระดับ
ตลาดอาริยะจะมีขายต่ำกว่าทุน เช่นอาหารจานละบาท ทำมาตั้งแต่เร่ิมต้นจัด ตอนนั้นราคาข้าวแกงจานละ 5 บาท เราก็ขายจานละ 1 บาท แต่เดี๋ยวนี้ข้าวแกงจานละ 35 บาท เราก็ยังขายอาหารจานละ 1 บาท เดี๋ยวนี้ ก๋วยเตี๋ยวชามละ 30 40 บาท ก๋วยเตี๋ยวชามละ 400 ก็มี เราทำไปทำไม ทำเอาเด่นเอาดังหรือ ก็เห็นใจชาวสื่อสารมวลชนที่เข้าใจเราไม่ได้ ว่าเราทำอย่างจริงใจเพื่อประชาชน ทำอย่างถ่วงดุลสังคม พวกเขาไม่อยากทำข่าวจะทำให้เหมือนกับส่งเสริม
อาตมาไม่ได้โกรธหรือไม่ชอบใจพวกสื่อสาร แต่พูดด้วยจิตวิทยาสังคม เป็น ไซโคโลจี้ psychology ของมนุษยชาติ มันดีเกินไป หมั่นไส้ ไม่เชื่อว่าเอ็งจะดีได้ ก็ไม่ส่งเสริม
ถ้าส่งเสริมสิ่งที่ดีให้แก่สังคม สังคมจะได้หรือเสีย ก็ได้ สื่อสารมวลชน น่าจะเข้าใจ พูดไปแล้วเหมือนอ้อนวอนร้องขอ หรือไปว่าเขาด้วย เหมือนไปลบหลู่ความเข้าใจของเขา แต่อาตมาอธิบายวิชาการสื่อสารสนเทศ คือนิเทศศาสตร์ เป็นความลึกซึ้งในจิตใจวิทยา เราทำแล้วเขาไม่แยแส บอกว่าไม่ใช่เรื่องของสังคม ที่จริง เป็นเรื่องของสังคมที่ควรจะส่งเสริมเผยแพร่อย่างยิ่ง
อย่างเรามีบุญนิยมทีวี เขาก็ถือว่าไม่ใช่สื่อสารมวลชน แต่เราไปขอจดทะเบียนกับทางการ ทุกวันนี้เขาก็ว่า เราทำไมไม่ไปทำข่าวแบบเขา เราก็ว่าจะไปทำแบบเขาทำไม อาตมาก็ว่าตอนนี้เป็นข่าวธรรมะ มีไหม แต่เดี๋ยวก็ข่าวกีฬา เดี๋ยวก็ข่าวบันเทิง มอมเมาโฆษณาให้หลงใหล ระเริงเป็นขิฑฑาปโทสิกะ หลงในความรื่นเริงซึ่งเป็นโทษ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีคนโง่สองแบบใหญ่คือ ขิฑฑาปโทสิกะ คือกาม กับ มโนปโทสิกะคืออัตตา ก็หลงสองชนิดนี้เป็นโทษภัยแก่สังคม
ขิฑฑาปโทสิกะก็หลงบันเทิงเริงรมย์สนุกสนาน คือกามสุขขัลลิกะ
มโนปโทสิกะคือหลงจิตนิยามไปจนเป็นโทษ คืออัตตกิลมถะ
วันนี้ได้เก็บเอาเรื่องมาวิเคราะห์วิจัย ผู้ที่ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้พ่อครูพูดเรื่องสังคมที่เป็นอยู่ ใครมาเป็นชาวอโศกมักถูกหาว่าบ้า แต่เราเป็นอยู่อย่างผาสุก เรารอดพ้นโลกีย์มาเป็นลำดับ ปลอดภัย
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:29:12 )
รายละเอียด
600428_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ให้หมดตัวคือกำไรหมดตัว
พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 6 ปีระกา วันนี้ก็มาอยู่ที่สันติอโศก อาตมาก็เหาะไปเหาะมา ปางนี้ก็แสดงฤทธิ์ได้สบาย บางครั้งก็ใจมากหน่อย บางครั้งมีโปรโมชั่นก็ถูกกว่าราคารถยนต์รถไฟอีก แบบนี้สนามบินแน่น อีกหน่อยต่อไปคงจะมีอะไรมากขึ้น เหมือนเครื่องบินและถูกกว่านั้นอีกจนเครื่องบินตกกระป๋อง ก็พูดถึงเรื่องทางเทคโนโลยีความรู้ทางวัตถุก็จะก้าวหน้าไปเรื่อย
ทีนี้ทางนามธรรม ของเราก็ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาตมาว่าพวกเราก้าวหน้านะ คือมันรู้ยาก ไม่เห็นเป็นรูปธรรมทั้งก้อน แต่มันมีก้าวหน้า จะบอกว่า เป็นภาษาซับซ้อนลึกซึ้ง อาตมาว่าภาษาบาลีเป็นภาษาสูงสุดแล้ว
คือใช้คำว่า เอกังสะ มันจบแล้ว ถ้าจะใช้อีกคำหนึ่งก็ นัตถิอุปมา เอกังสะ สูญก็สูญ สร้างแล้วก็จบ ไม่มีอะไรต่อ มันมีหน้าที่เดียว เรียกว่า เอกังสะ
เอกังสะมีหนึ่งแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นจึงยากมากที่คนโลกียะจะรู้ตามได้ เพราะใช้บัญญัติโลกียะไม่ได้ นัตถิอุปมา จะใช้ภาษาโลกก็ไม่ได้ จะใช้ภาษาธรรมก็ไม่ได้ ก็ต้องใช้ทั้งสองคำ มีทั้งลบมีทั้งบวก ไม่ลบไม่บวก ไม่ใช่ทั้งลบและบวก มันใช้ภาษาโลกไม่ได้เลย แต่เรารู้ว่ามีอันนั้น
เช่น นิพพานังปรมังสุขัง นิพพานนี่ยิ่งกว่าสุข แล้วมันก็ไม่ใช่สุข แต่มันคืออันนั้นแหละ มันยิ่งกว่าสุข แต่มันสุขหรือไม่ ก็ไม่สุข สุขก็ใช่ไม่สุขก็ใช่ ไม่สุขก็ไม่ใช่
แต่เราจะรู้โดยสภาวะ ใครมีสภาวะจบ เป็นปัจจัตตังที่ตัวเองได้ก็จบ
ภาวะของนิพพาน คือนัตถิอุปมา ภาวะสูงสุด นี่คือสัจจะที่เราได้พิสูจน์ยืนยันกัน เป็นความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
อาตมาสืบทอดมาจากพระพุทธเจ้า ตรงกันยืนยันได้ตรงกันอยู่
SMS วันที่ 27 เมษายน 2560
สัญญาสังขารต่างกันไฉน
4809กราบนมัสการพ่อครู เจ้าค่ะ ขอกราบเรียนถามว่า สังขารทุกชนิด ทุกประเภท เมึ่อผุดเกิดขึ้นในจิต ก็คึอชาติหรือความเกิด ที่มีการสืบต่อเป็นภพชาติ เป็นวัฏะ ใช่หรือไม่เจ้าคะ แล้วสัญญาหรือความจำ จะนับว่าเป็นเช่นเดียวกับสังขาร ความเกิดหรือไม่อย่างไร เจ้าคะ กราบนมัสการขอบพระคุณอย่างสูง เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า...สังขารที่ถามมานี้ยังไม่แยกโลกียะโลกุตระ ที่มีสืบต่อเป็นภพ ภพคือสิ่งนี้ที่หยั่งลง ชาติคือการเกิด ภพเป็นรูป static ชาติเป็นนาม เป็น dynamic
ถ้าเป็นโลกียะอยู่ก็เป็นวัฏฏะ คือยังจะวนเวียนไปไม่จบ
แต่ถ้าเป็นโลกุตระ ก็ถือว่าเป็นสิ่งนั้นเกิดมาอยู่ ตอบยังไม่ได้ทีเดียวว่าจะวนเวียนหรือไม่ เพราะในระดับอรหันต์ เกิดได้ มีสิ่งนั้นได้เป็นอภิสงขาร ขั้นอเนญชาภิสังขารก็ได้ จะตอบว่ายังวนเวียนหรือไม่ก็ไม่ได้ ถ้าผู้นี้จะตายลงวาระสุดท้าย เรียกว่าปรินิพพานเป็นปริโยสาน ถ้าท่านไม่ต่อ ท่านตัดสันตติ ไม่มีอุปจยะ ก็ได้ แต่ถ้าท่านต่อก็มีวัฏฏะ แต่เป็นวัฏฏะที่ท่านคุมได้ ดูแลได้เป็นวิภวภพ ท่านก็ใช้ภพนี้โดยไม่ได้เกิดทุกข์สุขโทษภัย
แล้วสัญญาหรือความจำ มีความหมายสองอย่าง ใหญ่ๆ
1. ความจำ 2. ภาวะที่กำหนดรู้
กำหนดเพื่อจะเป็นตัวเรียนรู้ ตัวทำงานหนักมาก สัญญา หากสัญญาไม่มีเลย คุณจะไม่สามารถรู้อะไรได้เลย
สัญญา ที่เขาเรียกว่านิโรธ แล้วดับสัญญา ไปแปลความหมายของสัญญาเวทยิตนิโรธ ว่าไปดับทั้งสัญญา เวทนา แทนที่จะแปลว่า นิโรธคือดับอย่างใช้สัญญาเคล้าเคลียอารมณ์ สัญญาตรวจสอบกำหนดหมายรู้ทั้งหมดเลยในเวทนา 108 จนครบ 108 ยืนหยัดยืนยันทั้งอดีต อนาคต ก็ 0000 อย่างมั่นใจที่สุดว่าจบ
สัญญานั้นแหละเป็นสัญญาตัวสุดท้ายที่กำหนดรู้สุดท้าย สิ่งที่ต้องการจะให้ดับก็ดับไปหมด แต่สิ่งที่จะให้เกิดเป็นความบริสุทธิ์สุดยอด ประเสริฐสุดยอดที่อาศัยได้ ไม่มีโทษไม่มีทุกข์
ถามว่า สัญญา จะนับว่าเป็นเหมือนสังขาร ความเกิดหรือไม่อย่างไร ผู้ที่ถามมายังแยกสังขาร กับความเกิดไม่ได้ก็สับสนอยู่ ก็ค่อยศึกษาไป
สัญญา กับสังขารไม่ใช่ความเกิด คนละหน้าที่ มันไม่ง่าย
ให้หมดตัวคือกำไรหมดตัว กำไรเต็มๆ
0750ตลาดนัดที่บ้านราชน่าจะขาย.อาทิตย์ละ 1วันเพราะคนเข้าไปชื้อยาก เดียวขายไม่ได้แม่ค้าจะเข็ดไม่อยากมา
พ่อครูว่า...ตลาดที่ว่านี่คือ เฮือนสวน. ย่อมาจาก สัมมาสิกขาวิชชารามนาวาบุญนิยม เราพยายามทำให้เกิดประโยชน์มากขึ้น อาคารพื้นที่ 11 ไร่ เราสร้างด้วยเงินเราสดๆ ไม่ได้กู้ใครมาทำ สร้างทิ้งไว้ก็ไม่เดือดร้อนอะไร เราทำมาหากิน มีกินมีใช้ แต่เมื่อสร้างมาแล้วก็ใช้ประโยชน์ เจตนาให้เป็น 1.อาคารการศึกษา และ2.เป็นเรื่องตลาดการสะพัดวัสดุแก่กันและกันในโลก
ยุคนี้รู้ดีเรื่องนี้มาก และเกิดโกง หลอกลวงกัน อำมหิตโหดร้ายที่จะทำกันทั่วไป จะเรียกว่าธุรกิจ เศรษฐกิจ พาณิชย์ก็ดี มันก็ล้วนแล้วแต่เรื่องของจิตบริสุทธิ์มีตัวตนหรือไม่ มีกิเลสหรือไม่ ตั้งใจสะพัดหรือเพื่อตัวเอง
อาตมามั่นใจในสัจธรรมของพระพุทธเจ้า มั่นใจในจิตวิญญาณมนุษย์ที่มีบริษัท บริสุทธิ์ สะอาด ทำเพื่อผู้อื่นจริงๆ อาตมาว่าถ้าทำสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ ผลจะเกิดจริงๆ
เริ่มได้แล้ว พระจริยวัตรของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระจริยวัตรมา 70 พรรษา ทรงงานเพื่อมวลประชาชนอย่างบริสุทธิ์สะอาดไม่ต้องการอะไรกลับคืน ท่านเป็นผู้ที่มี DNA ของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง แล้วท่านทรงงานมาคนก็รับได้ คนยุคนี้ผู้ที่รับได้มีแล้ว ในจำนวน 7 พันกว่าล้านคน โดยเฉพาะเมืองไทยรู้ได้ดี จนทุกวันนี้ก็ยังแสดงออกถึงความรู้ ในความบริสุทธิ์พระทัยของพระองค์
คนต่างประเทศมีโอกาสก็ยังมาแสดงออก เป็นสัจจะความจริงที่ประกาศความจริงนี้ อาตมาก็จะพากันศึกษาธรรมะ DNA เดียวกับของพระพุทธเจ้าเลย พวกเราก็ทำยืนยันต่อไปๆ สืบทอด คนรู้กันแล้วจะได้ศึกษาพิสูจน์ยืนยันว่า สัจจะนี้มีจริง
คนมีภูมิปัญญาจะรู้และไม่ปฏิเสธว่าดีจริงๆ ดีถึงขนาดไม่มีอะไรเทียบ
จะเกิดตลาดเราเรียกว่าตลาดนัด จะเปิด อาทิตย์ละ 1 หรือ 3 4 5 วันก็ได้ ไม่ล่มจมไม่ขาดทุน มีแต่ได้กำไรลูกเดียว ลงทุนไปแล้วก็คือสิ่งที่เรามีเพียงพอ เราไม่กู้หนี้ยืมสินอย่างทุนนิยม เพราะเราไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราก็จะใช้ให้เกิดประโยชน์
คนๆนี้ ให้ความเห็นว่า บ้านราชฯน่าจะขายอาทิตย์ละ 1 วัน เดี๋ยวขายไม่ได้ แม่ค้าจะเข็ด ซึ่งแม่ค้าของเราก็จะมีภูมิปัญญาเดียวกัน ถ้ามีเชื้อของทุนนิยมมากเราก็ไม่ให้ร่วม แต่ถ้าจิตวิญญาณมีเกณฑ์ได้ ก็มาฝึกฝนเสียสละขัดเกลา เราส่งเสริม จะเป็นสมาชิกมาก่อน หรือไม่เป็น แต่เราตรวจสอบแล้วว่าพอเป็นไปได้ก็ให้ทำ ถ้าทำแล้ว ประพฤติอยู่เห็นว่าใช้ได้ก็ทำต่อไป แต่ถ้าคดในข้องอในกระดูกก็ไม่ให้ทำ
เพราะมาขายที่นี่ไม่ได้เก็บค่าเช่า ทั้งที่เรามีสิทธิ์ วันหนึ่งเก็บห้าบาทก็ได้ ใครจะมาว่า เราเก็บเป็นธรรมเนียมก็ได้ ไม่เก็บก็ได้ ไม่มีปัญหา
เรื่องบุญนิยม เป็นเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอดลึกซึ้ง เอานักเศรษฐศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมขนาดไหนเข้ามาศึกษาจับผิด อะไรผิดก็บอกด้วย อะไรไม่ผิดก็บอกเราบอกชาวบ้านด้วยว่าดีอย่างนี้ๆนะ
แต่ถ้าเผื่อว่าบอกไปแล้ว ประชาชนรู้ ผลได้ก็อยู่กับประชาชน ส่วนพวกเรา ได้พอแล้ว เราได้อีกก็มาก็สะพัดอีก ไม่ได้ เราก็พึ่งตนเองรอด พอกินพอใช้แล้ว เป็นต้น
ไม่มีอะไรสุดยอดเท่านี้แล้วในระบบของเผด็จกการ คอมมิวนิสต์ก็ตาม จุดสำคัญต้องการอันนี้เหมือนกัน เขาก็นึกว่าระบบของเขาใช้ได้ อาตมาว่า ระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบคอมมิวนิสต์ หรือเผด็จการที่เขาทำ แต่ระบบของพระพุทธเจ้านี้ยิ่งใหญ่กว่าทั้งหมด คือไม่มีตัวตนที่จะเอา มีแต่ให้หมดตัวเลย แต่กำไรหมดตัว ให้หมดตัวคือกำไรหมดตัว กำไรเต็มๆ...พ่อครู 28 เม.ย.2560 ไม่ใช่เล่นลิ้น ไม่ใช่ตลกนะ แต่เป็นเรื่องจริง
นึ่งวัน ถ้าไม่ได้ก็ทำแค่ตลาดอาริยะปีละครั้งก็ได้ เราสร้างจบแล้ว จ่ายเงินไปเสร็จก็จบ ไม่ได้เป็นหนี้ไม่เดือดร้อน ก็ทำงานไป ไม่ทำงานก็เสื่อมไปตามเวลา หรือเราตายจากไป ก็แค่นี้
เราก็มีแม่น้ำมูน คิดว่าน่าจะเป็นแม่น้ำสายหลักที่ใช้คมนาคม ตอนนี้เขาทำถนนเลียบแม่มูน เกือบจะถึงบ้านราชฯแล้ว เขาทำเขื่อนด้วย ถ้าทำเลยบ้านราชฯมาก็ดีเลย และที่ดินสาธารณโภคีของเรา มีฝั่งโน้นเยื้องบ้านราชฯ มี 51 ไร่ หากมาถึงเราก็จะทำท่าน้ำรับกับถนนนี้ เราจะไปอุบลฯก็ข้ามเรือหรือว่ายน้ำไป ขึ้นฝั่งเราก็ไปต่อ
สิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้ประชาชน ไม่ได้ทำเพื่อทุนนิยม หรือรีดนาทาเร้นเอาเปรียบแต่ทำเพื่อเสียเปรียบ เป็นการเสียสละให้ เราไม่ต้องมีมาเพิ่ม ที่มีอยู่นี้พอกินพอใช้ไปจนตาย พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ เป็นวิธีการสังคมที่ยอดเยี่ยม อยู่กันด้วย เมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เมตตาทางกายวาจาใจ อยู่กันอย่างเมตตา เอื้อเฟื้อกันจริงๆ ปรารถนาดีจริงใจ และมีลาภธัมมิกา ได้ลาภโดยธรรม แล้วเอามากินใช้ร่วมกันเป็นสาธารณโภคี แล้วมีหลักเกณฑ์อยู่ร่วมกัน ศีลสามัญตา มีจุดมุ่งหมาย interest point ตรงกัน สุดยอดเลย เพราะมีจิตที่ได้ขัดเกลาหล่อหลอมสร้างให้มีคุณสมบัติ 7 อย่าง ระลึกถึงกันอย่างปรารถนาดี จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นสาราณียะ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ นอนหลับเสร็จรุ่งเช้าก่อนตื่นท่านก็ระลึกแล้วว่าเราจะไปช่วยใคร ไปโปรดใคร คือระลึกถึงเพื่อไปช่วยเขา ไม่ใช่ไปเอาประโยชน์อะไรจากเขาหรือไปรีดนาทาเร้นไม่มี มีแต่ไปช่วยเขา
พูดแล้วเหมือนโก้ แล้วทำได้ไหม ก็ทำได้ มากน้อยตามแต่ละคน สร้างสัจธรรมนี้แก่ตนได้ ใช้ได้ พวกเราทำได้แม้จะมีด่างพร้อยไม่ครบร้อยได้ 80 70 70 ก็เอา ไม่ใช่พูดเล่น
เราทำได้ อาตมามั่นใจว่าทำได้ มันเสียอะไร ก็มาพากันทำ ให้เกิดขึ้นแก่โลก มนุษย์ต่างๆสัตว์อื่นทำไม่ได้
นอกนั้นก็มีสาราณียะ ปิยกรณะ ครุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
อวิวาทะ คือไม่มีการทะเลาะวิวาทให้เกิดเรื่องราว
สามัคคียะ พร้อมเพรียงกันอยู่อย่างดี
เอกีภาวะ คือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเลย เป็นปึกแผ่น เป็นหนึ่งไม่มีระแหง ไม่มีแยกไม่มี crack ไม่มีระแหง ไม่มีกระดุกกระดิก เนียน
สามัคคียะ คือมีความแตกต่างกันพอเหมาะ ขัดแย้งอันพอเหมาะ
ปรองดองก็ไม่ใช่เอกีภาวะ ถ้าเอกีภาวะแล้วก็ไม่ต้องปรองดอง เพราะเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีระแหงไม่มี crack เลย มันเกินกว่าความปรองดองแล้ว
สามัคคียะ คือความเป็นอยู่อย่างพอเป็นพอไป อาตมาแปล สันติหรือสามัคคียะ ว่า เรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม คือปรองดอง ก็คือ ช่วยให้เกิดเรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม
ซึ่งแน่นอนว่ามันยังไม่เป็นเอกีภาวะ ไม่สูญเหมือนกันหมดมีอะไรนิดหน่อย แต่เราต้องอยู่กันอย่างให้เรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม อาตมาว่า ชาวอโศกทำได้
งาม ไม่ใช่งดงามอย่างโลกีย์ที่เขาประดิดประดอยตกแต่ง แต่เป็นความงดงามที่ไม่รู้จักใช้ภาษาอย่างไร คือมันน่าดีแล้ว
ขยายความสิ่งนี้ เพื่อให้เห็นรายละเอียดของสภาวะธรรม ปรองดองที่พูดกันนี้ แม้แต่ที่สุดของความหมายคืออะไร 1.คุณก็ไม่ชัด 2.คุณก็ไม่รู้วิธีทำ
วิธีทำคือทำจิตใจให้ไม่มีตัวตน ก็ทำอย่างไร ก็เอาตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า ซึ่งก็มีอยู่ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ 95% เป็นพุทธศาสนิกชน แล้วผู้บริหาร พยายามบอก เตือน แม้จะเป็นศาสนาอื่นก็ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ว่า เป็นศาสนาอื่นแล้วจะมาประพฤติไม่ได้ ก็ไม่ใช่ แต่เพียงว่าคุณเห็นดีเห็นงามไหม ถ้ามนุษยชาติจะเป็นอย่างนี้ได้จะดีไหม ถ้าไม่ใช่คนศาสนาพุทธแต่ทำเหตุนี้ได้ผลนี้ ก็จะได้เช่นกัน
คุณว่าผลอย่างนี้ดีไหม...เราไม่ได้ติดยึดบัญญัติภาษา
นี่คือสิ่งที่มันดี เกิดแล้วเป็นแล้ว จะดี ้มีอีก ยังไม่ดีที่สุด ไปสู่ที่สูงสุดดีสุดให้ได้ จนกว่า ชีวิตเราจะหาไม่ แล้วคนอื่นก็มาทำต่อ เหมือนวิ่งผลัด หมดหน้าที่เราตายไปแล้วคนอื่นก็รับหน้าที่ต่อ
เฮือนสวน.หากทำเต็มรูปแล้วก็จะอธิบายได้โดยไม่ต้องอธิบาย คนที่มาสัมผัสจะได้ความรู้ตามปฏิภาณของแต่ละคน ผู้รู้มีปัญญาจะเข้าใจได้ดี อาตมามั่นใจว่าพวกเรามีความจริงใจ แม้อธิบายไม่ได้ แต่มีความจริงใจทำเพื่อมวลมนุษยชาติจริงๆ จะเป็นไปได้ มันไม่มีสูงกว่านี้อีก สุดยอดที่สุดของพพจ.ที่ค้นพบแล้วเอามาให้มนุษย์สร้างสรร
ยุคนี้จะชัดเจน เพราะว่ามวลที่จะทำอันนี้ได้ไม่เยอะหรอก จนกว่าจะหมดศาสนาพุทธไปอีกสองพันกว่าปี มวลที่จะเป็นจริงมีไม่มาก แต่ประชากรของโลกจะเพิ่มขึ้น แต่มวลเป็นเนื้อพุทธจะทวีขึ้น แต่ไม่ทันกับมวลโลกียะหรอก แต่มันก็มีประสิทธิภาพ มีผลที่จะช่วยมนุษยชาติ ให้ผู้ที่ไม่ได้มาได้เพิ่มก็ต่อเชื้อ DNA บ่มเพาะไปอีกไม่รู้กี่สังสารวัฏ คนที่ยังไม่ปรินิพพานก็จะได้รับประโยชน์ในสิ่งประเสริฐนี้ต่อไป ก็ทดลองกันไปช่วยกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เฮละโล โฮละเลไปอยู่บ้านราชฯหมด แต่จะพูดอย่างไรก็ไปไม่หมดหรอก มันจะมีตามสัจจะ แต่พูดเผื่อไว้
เลือดระดูกับนิยามชีวิต 5
7630พ่อท่านกับคนที่นั่งในห้องส่งคงไม่รู้เรื่อง เมื่อเวลา 19.28 พ่อท่านกำลังอธิบายเรื่อง เมน(ผู้หญิง) พ่อท่านพูดว่า"อาตมาสะดุด" ภาพก็สะดุดนิ่งเลย จนถึงเวลา 19.33 น. จึงขยับได้ ผมไม่อยากคิดว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ แต่ทำไมมันพอดีอย่างนั้นได้ พ่อท่านช่วยไขความด้วยครับ. /สอง เมืองอุบล.
พ่อครูว่า...พีชะมีน้ำแต่ไปเรียกว่าเลือด แต่สัตว์มีน้ำที่เรียกว่าเลือด มนุษย์เลยก็มีเมนส์ของมนุษย์คือเลือด แต่อาตมาว่าเลือดเป็นชีวะก็มาสะดุด พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าอุตุ แต่อุตุไม่มีชีวะนะ อาตมาไม่ได้ยินมาจากอาจารย์ไหนหรอก แต่เป็นภูมิรู้เก่าของอาตมา
เมนส์คือเลือดเสียแล้ว พ้นจากความที่จะให้เกิดเป็นชีวะได้อีกแล้ว หมดหน้าที่ที่จะเป็นชีวะ จะเอาเชื้อไปผสมกับมันอีกก็ไม่เกิดชีวะ 100 %
เลือด ไข่ ละเอียดเป็นกลละ เล็กละเอียด คือเป็นธาตุน้ำจับตัวไป "รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะจากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา) เล่ม 25 ข้อ 30
และเครื่องคุณดับหรือของคนอื่นดับด้วยไหม?...คนอื่นก็ว่าดับไปห้านาทีอย่างที่ว่านี้เหมือนกัน
เลือดเป็นดินน้ำไฟลม แต่เลือดที่ในร่างกาย ไม่ใช่เลือดเสีย มันเป็นอาการ 32 เป็นชีวะ เป็นแต่เพียงถ้าเสื่อมก็ไปฟอกเลือด มันทำงานอยู่ไม่หมดอายุของมัน ไม่ได้เป็นเลือดระดูนะ แม้เลือดดำหรือแดงหมุนเวียนผ่านหัวใจ ไม่ใช่เลือดตาย แต่ระดูคือเลือดตายต้องไหลทิ้งไป ไม่มีทางเอามาเป็นชีวะ เป็นอาการ 32 ได้ ถ้ามันไม่ออกมาผู้หญิงคนนั้นลำบากแล้ว จะป่วยจะยุ่งแล้ว
แต่เมนส์หรือระดูเป็นน้ำเสียแล้วต้องทิ้งไป ถ้าจะอามากลั่นใช้อีกก็แล้วแต่ แต่ที่เป็นระดูคือเลือดเสียแล้ว ต้องทิ้งไป
แจกละเอียดเพื่อให้รู้ว่า นิยาม 5 ของพระพุทธเจ้านี้ ไม่ใช่เรื่องที่วิทยาศาสตร์จะรู้ได้ง่ายๆ แต่อาตมาได้ความรู้นี้จากพระพุทธเจ้าโดยตรง ไม่ใช่ความรู้ของอาตมาเอง แต่ศึกษาเรียนรู้จากพระพุทธเจ้าที่ท่านค้นพบมาก่อน ท่านเป็นธรรมสามี แล้วก็เอามาแจกแจง
ชีวิตเราประกอบด้วยอุตุ พีชะ จิต แล้วทำให้มันเกิดกรรมที่จะทรงไว้ ทำรูปคือความนิ่งและทำนามคือความเคลื่อนไหว ให้ตกผลึกสั่งสมเป็นตัวฐานกำลัง static เสร็จแล้วจะช่วยพลังงานเคลื่อน บวกเป็นฐาน ลบเป็นตัวทำงานสนับสนุนช่วยเหลือ
คุณก็จัดการกรรม จัดการปรุงแต่ง บวกลบคูณหาร สังเคราะห์สังขาร ได้ผล สั่งสมตกผลึกเป็นต้นทุน ควบแน่น ตั้งมั่นเป็น static
ผู้ที่เจริญเป็นอาริยบุคคลจะมี ธาตุทั้งสอง static กับ dynamic คือ เจโต กับปัญญา หรือศรัทธากับปัญญา ทำงานร่วมกันเจริญขึ้นจนกว่าจะสูงสุดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดครั้งหนึ่ง ใครอยากได้บ้าง
ต้องปฏิบัติเอาด้วยกรรม จะมีธรรมะตกผลึกก็ด้วยกรรม กรรมกับธรรมะจึงเป็นสองอันสุดท้าย ต้องรู้จักอุตุ พีชะ จิต
ในจิตวิญญาณ ของคุณสามารถเอาธาตุอุตุ มาเป็นองค์ประกอบ เพื่อที่จะให้คุณเกิดเป็นชีวะ
ชีวะก็มีสองคือ พีชะ กับจิต ถ้าทำให้มีคุณลักษณะสมบูรณ์แบบ คือให้เกิดเป็นพีชธาตุ คือธาตุเจริญ ไม่เป็นพิษภัยกับใคร แล้วมีส่วนเกินคือจิต เป็นประโยชน์คุณค่าต่อคนอื่น อันนี้เป็นตัวปัญญาซื่อสัตย์ที่สุด มีแต่ประโยชน์ อะไรเป็นโทษ เป็นความไม่ดีงาม รู้ให้ชัดแล้วไม่ทำมันอีก เส้นทางอันประเสริฐสุดที่ทำงานกับฐานเจโต ปัญญาทำงานส่งเสริมกันตลอดเวลา
เป็นบทสรุปของการสร้างพลังงานทั้งหลายแหล่ แล้วจะเป็นพลังงานที่ได้ประโยชน์สูงสุด ในสัตว์โลกที่เราเป็นเจ้าของ สามารถทำพลังงานให้เป็นประโยชน์สูงสุด อย่างซื่อตรงที่สุดประเสริฐที่สุด
เพราะว่าแต่ละคนที่เป็นคนประเสริฐอย่างนี้ได้ เป็นคนมักน้อยสันโดษ ไม่เอาอะไรอีกแล้ว พลังงานนี้มีจริง เป็นศรัทธาที่เป็นปัญญาเป็นความประเสริฐ แล้วทำงานให้แก่โลก
จิตวิญญาณนิโรธไม่ได้นิ่งแข็งไม่ทำอะไร แต่เป็นประโยชน์คุณค่าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดแคล้วคล่องว่องไว แล้วไม่เบียดเบียนใครเลย เป็นคุณสมบัติพิเศษของศาสนาพุทธ แต่เขาไปหลงผิดว่าไปทำให้จิตให้หยุดนิ่ง เป็นนิพพานเป็นนิโรธแปลว่าดับ ดับอย่างนิ่งเฉยหยุดนิ่ง
พยัญชนะ ปาคุญญตา เป็นความคล่องแคล่วว่องไวของเวทนาสัญญาสังขาร ของกลุ่มหมู่ของเวทนาสัญญาสังขาร ที่เป็นเจตสิก คือวิญญาณ ทำงานอยู่ทั้งกำหนดรู้ และความรู้สึกคือเวทนา และปรุงแต่งอยู่ เรียกว่า solution เป็น solvent ทำการ solve เป็น solvent แล้วสูงสุดเป็น solution
solve คือปรุงแต่งอยู่ แล้วได้ผลเป็น solvent ทำได้ผลๆ อันนี้เป็นลักษณะที่เรียกว่า Integretion หรือ Integrity หรือที่เราแปลเป็นไทยว่าบูรณาการ เป็นคุณสมบัติของพลังงานสุดวิเศษ
แล้วถามว่าทำไมต้องสะดุดตรงนั้นเวลานั้น… ถ้าจะให้ขยายความ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นภูมิรู้อย่างแท้จริงของอาตมานะ แต่คาดคะเนได้ แต่บางอย่างเป็นเรื่องลงตัว บางที่อาตมาเจตนาจะเทศน์เรื่องนี้ให้คนนี้ฟัง ทุกวันเขามา แต่วันนี้เขาไม่ได้มาพอดี เราจะให้แต่คุณไม่มาเอาก็แล้วไป ธรรมดาเขาจะต้องมาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันไม่ถึงเวลาของเขานะ แล้วเป็นเรื่องดี ถ้าเขามาแล้วอาจเกินพอดี เป็นอจินไตยที่อาตมาพยายามพูดเท่านั้น อย่าไปคิดมาก ไม่ต้องไปทำเพิ่ม ให้เป็นอย่างนี้ ให้เป็นตามสัจธรรม หากไปเพิ่มให้ก็ไม่ใช่อีก
3867บางสื่อต้องถ่ายตลาดตามใจสปอนเซ่อร์บ.!บางสื่อยังชีพด้วยผู้อุปถัมภ์หลังสื่อ!
3867สื่อที่ถ่ายตลาดอารยะได้คือสื่อที่พึ่งตัวเองได้!จึงมีแต่บุญนิยมสื่อไร้โฆษณา!ถ่ายตลาดอาริยะได้สื่อเดียว!
พ่อครูว่า...สื่อที่จะมาถ่ายทำตลาดอาริยะได้ก็ต้องพึ่งตนเองได้ และ 2.เขาต้องมีภูมิปัญญารู้ว่าเป็นสิ่งดี ที่ควรเผยแพร่ให้คนอื่นได้รู้ นี่คือจรรยาบรรณของสื่อ ถ้าได้มาก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้จ้าง จะมาช่วยเราก็ไม่เก็บตังค์
สามัคคียะกับเอกีภาวะต่างกันไฉน
คำถามจากชุมชน
พวกเรามีปัญหาการทำงานร่วมกัน กราบนิมนต์พ่อครูช่วยเทศน์
(1) การทำงานร่วมกันเป็นทีม
(2) การใช้มติที่ประชุม
(3) การประมาณบรรยากาศในที่ประชุม ไม่เมาเพราะอำนาจ ไม่เมาเพราะจะเอาตามใจตนเอง จนลืมนึกถึงใจคนอื่น ให้คนอื่นๆต้องยอมทำตามเสมอๆ...ในไม่ช้าก็จะเกิดบรรยากาศระหองระแหง..
(4) การปรองดอง การเสียสละ เก็บทิฐิของตน เห็นใจคนส่วนใหญ่
(5) อื่นๆ
กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า...การทำงานคนเดียวก็พัฒนาได้ แต่ไม่ได้ผลมากเท่าการทำงานเป็นทีมหลายคน ยิ่งหลายคนมากยิ่งเจริญได้มาก อย่างพวกเราทำงานร่วมกัน
เราทำตลาดอาริยะ เราเป็นผู้ให้ประชาชนเป็นผู้รับ เราพยายาม “ให้”ให้มาก ผู้รับก็มามาก เราถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่เกิดเรื่องมาก แม้แต่อาชญากรก็ไม่ค่อยมี ไม่ถึง 5% แน่นอน จัดตลาดอาริยะก็ไม่ค่อยได้ขอแรงตำรวจ แต่ก็มีมาบ้างก็ให้ตำรวจมาคอยช่วยได้ทัน ไม่เสียหาย
คนที่มาซื้อยังมีความขี้โลภไม่ใช่น้อย แต่มาในวงพวกเรา ความขี้โลภเขาจะลด ไม่เห็นแก่ตัวจัดจ้าน จะได้ฝึกและก็จะรู้ ผู้มีภูมิปัญญาจะสังวรระวัง รวมกันเลยไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอะไร จัดมา 38 ปีแล้ว ยกตัวอย่างงานเดียว คือตลาดอาริยะ มีงานรวมคนอื่นๆอีก
เป็นเรื่องของสังคมมนุษยชาติ ผู้ที่เป็นสื่อทำงานสื่อสาร อาตมาก็ว่าค่อยๆรู้ ค่อยๆเข้าใจดีขึ้น สังคมไม่ได้มีเฉพาะประเทศไทย ยังมีต่างประเทศที่มีการยืนยันพฤติกรรม เมื่อเรามีทฤษฎี ที่เราจะเอาไปศึกษา ทฤษฎีหรือทิฏฐิ เป็นความรู้ความเห็นองค์รวม จะได้ใช้ศึกษา ผู้ที่มีความรู้แคบก็ใช้ได้ ผู้ที่จะรู้กว้างขึ้นก็จะมีอีก และจะเกิดผลประโยชน์ให้ได้ศึกษาไปได้เรื่อยๆ
อาตมาว่าอัตราก้าวหน้า ความรู้ในเชิงเศรษฐศาสตร์ การเมือง เจริญขึ้น สรุปว่า เศรษฐศาสตร์ การเมือง สังคมศาสตร์ จุดรวมก็เพื่อประชาชน เศรษฐกิจก็เพื่อมวลประชาชน การเมืองและสังคมกับเพื่อมวลมนุษยชาติ
พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
เป็นพยัญชนะของพระพุทธเจ้ารวมไว้ตรงนี้หมด ถ้าสามารถสร้างจิตให้เป็น 7 ลักษณะนี้ได้
1. สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)
2. ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .
3. ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
4. สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .
5. อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .
6. สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .
7. เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22 ข.282-283)
ถ้าสร้างจิตเจ็ดดวง 7 เจตสิกนี้ได้ จะมีฤทธิ์มาก แม้แต่กลุ่มน้อยก็มีฤทธิ์มาก
หนึ่งระลึกถึงผู้อื่น สาราณียะ ไม่ใช่ระลึกถึงแต่ตนเองแต่ระลึกถึงผู้อื่น แต่ไม่ใช่แล้วทุกอย่างกว้างไกลจนช่วยอะไรไม่ได้ ระลึกถึงไม่ได้เพื่อจะเอาอะไรจากเขา แต่ไปช่วยเขา เราช่วยเขา เขาจะเลี้ยงไว้ ไม่ใช่ว่าเราจะไปกินจากเขา แต่เราทำให้เขามากกว่าที่เรากินเราใช้อีก ไปไหนที่ไหนก็เป็นผู้ขาดทุน เป็นผู้ที่ให้คนอื่นได้ตลอด เรามีปัญญาว่าเราไปให้คนอื่นได้คือเราได้กำไร แต่เราไปเอาจากเขาเราจะขาดทุน ใช้ภาษาไม่งงเลย
ผู้ที่ระลึกถึงคนอื่นอย่างนี้และมีความรักอันบริสุทธิ์ มีมิติที่สูง เพื่อมวลมนุษยชาติ เกินมิติ 7 8 9 ตามหลักพุทธ ยิ่งมิติที่ 9 คือพุทธะเต็มสมบูรณ์แล้ว เป็นผู้เห็นแก่ผู้อื่นไม่มีตัวตน สูญ เพื่อผู้อื่นจริงๆ เป็นสัจจะ แล้วเราจะเป็นผู้ให้ ไม่จำเป็นผู้รับที่จะเป็นผู้ให้ อย่างน้อย ผู้ที่มาให้เรานี่แหละ เราจะต้องให้เขาได้รับความสะดวกได้รับความเกื้อกูล เพราะเขามาช่วยเราให้เราพ้นทุกข์ พ้นจากความไม่เจริญ จึงเป็นเรื่องที่สมบูรณ์แบบ
ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ผู้ที่ไม่มีตัวตนแล้ว ปล่อยตัวตนให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้ เหมือนมีเครื่องมือเครื่องใช้ คุณจะต้องดูแลเครื่องมือเครื่องใช้ หากทำปู้ยี่ปู้ยำ ก็จะไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้ ต้องปรับปรุงแก้ไขดูแลให้คงทนอยู่นานที่สุด ฉันใดก็ฉันนั้น ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา
คือให้เขาเลี้ยงไว้ เป็นภาวะกลับไปกลับมาตอบไปตอบมา เราให้เขา เขาก็ให้เรา เป็นสุดยอดความปรารถนาดีต่อกัน นี่คือความรักสูงสุดของครุกรณะ
ครุกรณะคือเรารู้จักการเคารพ คารวะ แม้ไม่ด้วยอะไรก็ด้วยสมมุติ คนนี้ต้องเคารพ ทั้งที่ไม่น่าเคารพ ไม่น่าจำเป็นในสังคมแต่โดยความสมมุติจะต้องเคารพเขา จะแสดงออกทางกายวาจา อย่างไร
หรือ2. ที่ความเป็นจริง เขามีสิ่งที่น่าเคารพจริงๆ เขามีความซื่อสัตย์ น่าเคารพ เขามีความขยันหมั่นเพียรน่าเคารพ เขาช่วยเหลือผู้อื่น เสียสละเพื่อผู้อื่น ก็น่าเคารพ เขามีความรู้ความสามารถทั้งเพื่อผู้อื่น ก็น่าเคารพ เขาช่วยผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจได้อย่างมาก โอ้โห ไม่มีใครเทียบได้ง่ายๆ อย่างในหลวงร.9 เราที่ทำไปแล้ว ต้องเคารพ เพราะน่าเคารพ ประเสริฐแล้ว
เราจะต้องเคารพคนที่ รพ แม้แต่วัยวุฒิ สมมุติ เป็นต้น ยิ่งคุณค่าคุณงามความดีประเสริฐก็น่าเคารพ จึงรู้จักการคารวะ ครุกรณะ
สังคมที่ควรเคารพ แม้แต่คนมีกุศลต่อเราเล็กน้อยแม้เขาจะเลว เราก็ต้องตอบแทน ควรเคารพท่าน สิ่งไม่ดีก็เป็นของเขา คนที่เข้าใจกันแล้วไม่มีปัญหาจะต้องช่วยคนเลว คนรู้จักกรรมดี จะไม่มีปัญหาในการช่วยคนเลว ช่วยให้เขาดีขึ้น ไม่ใช่ไปช่วยให้เขาเลวลง ต้องมีความฉลาดจะช่วยเขา ส่วนที่เขาเป็นคนดีแล้วไม่ต้องช่วยเขาก็ดีอยู่แล้ว ส่วนคนเลวนั้นน่าช่วย ช่วยให้เขาดีขึ้นไม่ใช่ช่วยให้เขาเลวลง ถ้าช่วยไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นวิบากของเขา มันเป็นเรื่องสุดวิสัย ก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม
สรุปรวม ความรู้ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ อาตมาก็ฝึกฝนตาม เอามาบอกคุณ ถ้าเห็นว่าไม่ดีก็ไม่ต้องเอา แต่ถ้ามันดีคุณก็เอา ไปปฏิบัติ ไปทำไม่ได้ อาตมาก็มีหน้าที่ส่งเสริมสิ่งที่ดี มีเจตนารมณ์ รับงานนี้มาทำ เพราะเห็นว่าเป็นงานที่ดีไม่ควรสูญหายไป ควรให้มนุษยชาติได้จึงต้องพยายามทำ จึงเกิดความเจริญให้เห็น พัฒนาไปได้เรื่อยๆ เมื่อเราสามารถ รู้จัก เคารพ คุรุกรณะ แล้วก็สังคหะ
สังคหะ เป็นตัวที่ 4 อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะเป็นอีกสามอย่าง
สังคหะ แปลให้ถนัดว่า รับใช้ มวลมนุษยชาติ เมื่อตราบใดยังเห็นแก่ผู้อื่น สามัคคียะก็จะดีขึ้น แต่ถ้าไม่เห็นแก่ผู้อื่น สามัคคียะจะเลวลงๆ
สามัคคียะ จะเกิดขึ้นเพราะว่ามีผู้มีปัญญาที่มีแต่ให้ ถ้าในสังคมมีผู้มีเจตนาเอามาก สามัคคียะจะเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือสัจจะ
เมื่อทำสอดคล้อง 6 อัน มาอันที่ 7 คือเอกีภาวะจะเกิดขึ้นได้ สมมติว่าที่นี่เป็นอรหันต์ทั้งหมดก็จะมีเอกีภาวะอย่างแน่นอน
แต่พวกเรายังไม่ใช่ก็คือมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ คือสามัคคียะ แต่แน่นอนว่าอยากได้เอกีภาวะ
นี่คือ พุทธพจน์ 7 จิตเจตสิก 7 ประการ มีในสังคมได้มากขึ้น เท่าใดๆ สังคมนั้นจะเป็นตัวอย่าง เป็นสังคมที่ประเสริฐ เป็นสังคมที่มีความสุขสงบอบอุ่นน่าอยู่ ถ้าสังคมเป็นอย่างนี้ ให้คุณอยู่ไปอีก 300 ปี จะเอาไหม
พ่อครูพูดถึงนิทาน มีฝรั่งไปกินเหล้าแล้วได้ผู้หญิงไปนอนด้วย ผู้หญิงหากิน นึกว่าเป็นนางฟ้า พอตื่นมาพบว่าเป็นหนังเหี่ยวไปหมด …
หลักการประชุมให้ได้ประโยชน์
(1) การทำงานร่วมกันเป็นทีม
(2) การใช้มติที่ประชุม
(3) การประมาณบรรยากาศในที่ประชุม ไม่เมาเพราะอำนาจ ไม่เมาเพราะจะเอาตามใจตนเอง จนลืมนึกถึงใจคนอื่น ให้คนอื่นๆต้องยอมทำตามเสมอๆ...ในไม่ช้าก็จะเกิดบรรยากาศระหองระแหง..
(4) การปรองดอง การเสียสละ เก็บทิฐิของตน เห็นใจคนส่วนใหญ่
(5) อื่นๆ
พ่อครูว่า...ที่คุณพูดมา 4 ประเด็น คุณก็เห็น คนอื่นก็มีปฏิภาณรู้เช่นกัน
หนึ่ง การทำงานร่วมกันเป็นทีม เขาบอกว่าคนไทยทำงานเดี่ยวเก่ง แต่ทำเป็นทีมไม่ได้เรือ่ง เช่นชกมวยได้เรื่องแต่เล่นฟุตบอลไม่ค่อยได้เรื่อง แต่เดี๋ยวนี้ค่อยดีขึ้น การทำงานเป็นทีม ต้องไม่เอาแต่ตนเองเป็นใหญ่
ในที่ประชุมมีหลักการคือ
1.มีอะไรพูดกันให้หมด ในที่ประชุมมีกรรมการห้ามมวย
2. จงทำตามมติที่ประชุม ออกไปจากที่ประชุมพยายามทำตามมติที่ประชุม อย่าไปทำนอกมติ
การใช้ที่ประชุมแบบนี้จะทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้า แต่ถ้าเข้ามาในที่ประชุมก็ไม่พูด บางทีพูดไม่หมด แล้วเมื่อไหร่จะเกิดการสังเคราะห์ บางที่สำคัญๆ ก็ไม่พูด ก็จะไม่ได้พัฒนาแก้ไข
1 พูดให้หมดให้ครบ 2 มีมติอะไรก็ให้ทำตามมติอย่าเบี้ยว ไม่ใช่ อยู่ในที่ประชุมก็ตกลง แต่ออกไปจากที่ประชุมเป็นอีกอย่าง อย่างนั้นแล้วจะประชุมไปทำไม
ในที่ประชุมก็ไม่เมาอำนาจ ออกจากที่ประชุมก็ไม่เมาอำนาจ ถ้าต้องการให้คนอื่นทำตามตัวเองเป็นเผด็จการ ก็ไม่เกิดความเจริญ
การปรองดอง เห็นใจผู้อื่น เอาทิฏฐิส่วนใหญ่ ถ้าทุกคนเอาอย่างนั้นก็จะเกิดส่วนใหญ่ ทำให้เกิดค่าเฉลี่ย เก็บทิฏฐิตนเอง ถ้าคุณสามารถเก็บทิฏฐิตนเองได้หมดก็เป็นอรหันต์ แต่ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ก็จะออกมาตามแต่ที่มี ส่วนที่ออกมาเป็นค่าเฉลี่ย ทิฏฐิคือมติที่ประชุม คนเก็บทิฏฐิตนได้หมดคืออรหันต์ แต่คนไม่สังวรก็ออกมา ออกมารวมเป็นค่าเฉลี่ย ต้องพยายามทำไปจะเป็นไปตามธรรม
ที่ถามนี้ดีมีปัญญานำหน้า แต่คนที่ถามมาก็ใจร้อนอยากให้เป็นเร็ว ก็ขอตอบว่า try and try
1. คุณใช้ปัญญาตนเองเป็นหลัก ทุกคน
2.คุณเลือกสังคมเองใช่ไหม?
เมื่อคุณเลือกสังคมนี้เอง แล้วคุณก็มาอยู่แล้ว แล้วคุณจะไปไหน (วะ)
ถ้าคุณเลือกผิดแน่นอนว่าคุณจะต้องไป
แต่ถ้าคุณเลือกถูก เพราะสังคมนี้ดีจริงๆ คุณเลือกถูกแล้ว แล้วคุณจะไปไหน นอกจากว่าคุณเลือกผิด แน่นอนก็ต้องไปหาสังคมที่ถูก เพราะคุณโง่มา ส่วนใหญ่แล้วคุณไม่ได้โง่มาหรอก แต่คุณมักจะโง่ไป ไปไหนก็ไป ที่ชอบที่ชอบ
ใครคือกัลยาณมิตร
อาตมาไม่ได้มาเข้าข้างตัวเอง หรือเห็นแก่ใครแก่ใคร อาตมาก็สงสารเถรสมาคม หรือผู้ที่ยังมีมานะอัตตา ถ้าข่มมานะอัตตาตนเองได้ ก็โดยปฏิภาณก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี ถ้าดีก็พยายามส่งเสริม ดีก็ควรจะให้น้ำหนักมันจะได้พัฒนา
คนที่มีภูมิปัญญาและเป็นที่ยอมรับ ในสังคมแล้ว ถ้าคนๆนี้ให้น้ำหนักไปที่ไหน ให้น้ำหนักไปที่ใคร คนก็จะยอมรับเห็นด้วย การเจริญและความร่วมมือก็จะเกิดขึ้นทันที ก็จะไปด้วยดี นี่คือสัจจะ ไม่ใช่พูดเอาดีใส่ตัว หรือหว่านล้อมให้คนมาช่วยเราก็ไม่ใช่ มันเป็นสัจจะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จงอยู่กับหมู่มิตรดีสหายดีหรือหมู่บัณฑิต อย่าไปอยู่กับหมู่ที่ชั่ว หมู่มิตรดีสหายดีท่านขยายความ กัลยาณมิตรคือ
ผู้ที่พาให้เกิดศรัทธา
ผู้ที่พาให้เกิดศีล
ผู้ที่พาให้เกิดจาคะ
ผู้ที่พาให้เกิดปัญญา
นี่คือกัลยาณมิตโต 4 ประการ
มิตรดี คือบัณฑิตที่ทำให้เกิดศรัทธาต่อสิ่งดีงาม
2.ทำให้เกิดศีล ศีลคุณจะต้องมี คือ เริ่มตามของพระพุทธเจ้า
ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ แม้จะเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยอย่าไปเกินเลย แม้แต่เชื้อโรคก็ไม่ฆ่า คุณก็ตายไปกับเชื้อโรคเลย ผู้ที่สามารถที่จะทำให้คนอื่นเกิดศรัทธาในสิ่งที่ควรศรัทธา เขาสรุปว่า ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งมันหยาบๆ
พระพุทธ คือคุณสมบัติที่เป็นพุทธคุณ เช่นพุทธคุณ 9 เป็นต้น
ศรัทธาในสิ่งควรศรัทธา เช่นศรัทธาในโลกุตรธรรม อาริยบุคคล อย่างเมืองไทยเรามีอาริยบุคคลโลกุตรธรรม
2.เป็นผู้มีศีล เช่นศีลข้อ 1 รู้จักจิตนิยาม ผู้ที่รู้จักจิตนิยาม กว่าพีชะจะเกิดเป็นจิตนิยามเซลล์ที่ 1 primary cell มาเป็นธาตุอื่น DNA ใหม่ ออกจากกรอบของพีชะ มันไม่ง่ายเลย เพราะฉะนั้น จะไปทำร้ายของเขา สมมุติว่า คุณเป็นจิตนิยามเซลล์ที่หนึ่ง กว่าเขาจะออกมาได้เซลล์ที่1 ของจิตนิยาม ก็นานมาก หากจิตนิยามเจริญแล้วจะไปช่วยโลก
ในโลกทั้งใบ สัตว์โลก จิตนิยามยิ่งใหญ่ที่สุด เจริญได้สูงสุดหรือเลวได้สุดเช่นกัน
เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีศีลข้อที่ 1 เปิดตำราพูดเลย เดี๋ยวจะหาว่าอาตมาพูดเอง
เอาคำแปลของท่านก็ได้
จุลศีล
1. พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรามีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.
พ่อครูว่า...ละอายนี่เขาก็สัตว์เราก็สัตว์ เป็นเพื่อนทุกข์ มีความเอ็นดู คุณไม่กล้าทำลาย ไม่อยากทำลายหรอก มันน่าเอ็นดู เหมือนหมาน้อย มีความกรุณา ไม่ใช่เมตตา เมตตาคือจิตปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์หรือมีสุข กรุณาคือลงมือช่วยให้เขาพ้นทุกข์ให้เขามีสุข เป็นความสุขอย่างประเสริฐ ไม่ใช่ความสุขโลกีย์
เมื่อช่วยสำเร็จก็มุทิตา เขาดีแล้ว พ้นทุกข์แล้ว เป็นสุขแล้ว ก็อนุโมทนา
4. อุเบกขา จบ อย่าไปจำคุณความดีว่าฉันทำดีกับคุณ คุณจะต้องตอบแทนบุญคุณ อย่าไปจำ แต่คนอื่นเขาทำดีต่อเราต้องจำไว้แล้วตอบแทนบุญคุณ กรุณานั้นเหนือกว่าเมตตาตรงที่ลงมือทำ กรณะ คือลงมือทำ
ความเป็นโทษในโลกนี้มีสองอย่าง คือ
ขิฑฑาปโทสิกะ คือ กามสุขขัลลิกะ กับ มโนปโทสิกะคือ อัตตกิลมถานุโยค
ขิฑฑาปโทสิกะ คือ กามสุขขัลลิกะ คือสุขเพราะได้บันเทิงรื่นเริงตามใจ สนุกสนานเพลิดเพลิน
มโนปโทสิกะคือ อัตตกิลมถานุโยค คือสุขเพราะได้บำเรอใจที่จะเอาชนะ
จิตตัวนี้คื ออัตตา มันมีความดูดกับผลัก ถ้าดูดได้มาสมใจเรียกว่ากาม ถ้าผลักคือต้องการให้เสียหายทำลายสูญหายไปเลย คือมโนปโทสิกะ คืออัตตกิลมถานุโยค จิตร้ายเลวเป็นโทษ เช่นสัตว์เซลล์เดียวก็จะให้สูญหายไป กว่าจะได้มาเป็น primary cellก็ทำลายเขาเสียแล้ว กว่าจะได้พลังงานที่แยกตัวจากวงวัฏฏะของตน จากพีชนิยามมาเป็นจิตนิยาม 1 เซลล์แรกไม่ง่ายนะ นอกจากเขาจะชำนาญได้เป็น 2 3 4 5 เหมือนคนจะออกจากแรงดึงดูด แรงแรกที่คุณจะค้นพบ เป็นแรงที่จะออกนอกแรงดึงดูดของโลกได้ไม่ง่าย กว่าจะได้มุมองศา แรงชัดเจน จนกว่าจะออกไปได้อย่างอิสระ กว่าจะไปสู่โลกอื่นได้ ไม่ง่ายเลย
เพราะฉะนั้นความหมายที่บอกว่า หวังประโยชน์กับสัตว์ทั้งปวง จึงเป็นตัวละเอียด นี่คือศีลข้อ 1
สัตว์ทั้งปวงเกิดแก่เจ็บตายเป็นเพื่อนทุกข์ จิตนิยามเซลล์แรก อย่าไปทำลายเขากว่าเขาจะได้มา นี่คือความละเอียดของจิตหรือเซลล์ ที่ไม่เป็นโทษไม่มี มโนปโทสิกะคือ อัตตกิลมถานุโยค จิตคุณแค่นี้ยังไม่มีน้ำใจเลย
พูดไปแล้ว เดี๋ยวคุณก็ไม่ต้องฆ่าแบคทีเรียเชื้อโรค อันนั้นก็ยกเว้น มันมากินร่างกายเรา แต่ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ก็แล้วแต่ แต่ถ้าคุณบอกว่าอยู่ไปไม่คุ้มก็ให้แบคทีเรียกินไปเสีย นี่ก็พูดไปจนนัตถิอุปมาแล้ว...จบ
https://www.youtube.com/watch?v=cTFkGN3z5mA&t=557s
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:30:29 )
รายละเอียด
600430_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก สังคมบวร บ้าน-วัด-โรงเรียน
สมณะเดินดินว่า…วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2560 ที่สันติอโศก...สังคมทุกวันนี้เราไม่แน่ใจว่าเดินไปแล้วจะถูกใครหลอกหรือเปล่า มีคนระดับหมอระดับด็อกเตอร์ศาสตราจารย์หลอกคน แม้แต่ช็อกโกแลตก็ยังเอามาหลอกกันได้ ตอนเด็กมีข่าวตกทอง ดูข่าวนี้ตั้งแต่เด็กจนโต อายุถึงวันนี้ก็ยังมีข่าวตกทองนี้อีก หรือสารพัดแชร์ที่มีข่าวอยู่ แชร์แม่ค้าถูกหลอกก็ยังพอมี แต่แชร์หมอตุ๋นหมอ หรือศจ. ดร. ก็ยังตุ๋นกันได้ เขาบอกว่ามันเป็นปัญหาเรื่องการศึกษาหรือเปล่า เรียนสูงมากขนาดนี้ก็ยังถูกหลอกได้ การตั้งโรงแชร์มาก็ดูไม่ค่อยมีเหตุผล แต่ก็ยังยอมให้ถูกหลอกได้ มันเป็นปัญหาในระดับการศึกษาหรือเปล่า
พ่อครูว่า....พวกนี้ชอบกินตุ๋นหมาดำ
สมณะเดินดินว่า...ก็เลยไม่รู้ว่ากินหมาดำหรือหมาดำมันกิน มีดร.หลอกเด็กสาวหรือเด็กสาวหลอกดร. จะเห็นได้ว่า เพิ่มความรู้แม้จะรู้มากขนาดไหน แต่ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ อ่านคอลัมนิสต์ เขาบอกว่าไม่รู้จะเขียนอะไร มีแต่ข่าวหลอกกันไปหลอกกันมา แต่อาตมาดูว่า สังคม ที่พ่อครูพาพวกเราพัฒนาตลอดเวลา ก็ไม่เห็นรู้สึกว่า เหมือนกับคอลัมนิสต์ใหญ่ๆ ที่บอกว่าไม่มีมุมอะไรจะให้เขียนที่เป็นเรื่องหน้าชื่นอกชื่นใจอะไรเลย
พ่อครูว่า...ยังนึกไม่ออกเลยว่า อีกกี่ชาติจะเขียนจะบอกหมด
สมณะเดินดินว่า...ชาวอโศกไม่กี่วันผ่านมาก็มีเรื่องราวที่ต้องติดตามแทบไม่ทันอยู่แล้ว เรื่องทัวร์ถูกหลอกนี้เห็นคนไปกันมืดฟ้ามัวดิน แต่เรื่องราวที่จะประกาศสัจธรรม กลับว่างเปล่าฟ้าดิน ตรงกันข้ามกันเลย แต่พ่อครูคงเดินหน้าต่อ ในการให้ความจริง
องค์ประกอบของความจริงที่จะสมบูรณ์จะต้องมีครบบ้านวัดโรงเรียน บวร ที่บ้านราชฯก็มีว.นบ.ที่อยู่กับชุมชน ทุกวันนี้ทางบ้านราชฯ ได้คำตอบว่า ทางว.นบ.หรือการศึกษามัธยม เป็นทางแก้ปัญหาชุมชน การศึกษาเป็นการแก้ปัญหาชุมชน ไม่ต้องเรียนทำงานในห้อง แต่มีนาจริงๆให้ทำ พวกเราทำการค้าก็มารายงานว่า จะมีการพัฒนาจิตวิญญาณกันได้อย่างไร เป็นองค์ประกอบที่พ่อครูพยายามสร้างให้มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างไร
แม้แต่การสร้างอาคาร สวน. อาคารใหญ่ พ่อครูให้นโยบายว่าข้างบนเป็นการศึกษา ข้างล่างเป็นตลาดร้านค้า ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ใช่ว่าให้ไปเรียนอยู่บนท้องฟ้า แต่ไม่ได้มาอยู่ปัญหาของพื้นดินเลย มันแยกส่วน แต่นี่เป็นสิ่งที่พ่อครูตั้งธงให้ว่า การศึกษาของชาวอโศกจะเป็นอย่างนี้ แม้แต่ไตรสิกขาของพวกเราก็มีทิศทางบ้าน วัด โรงเรียนเช่นนี้
พ่อครูว่า...ก่อนจะได้ลงรายละเอียดของบวรหรือบ้านวัดโรงเรียน อาตมาก็ว่าตัวเองก็ยังไม่เก่ง จะพูดอธิบายอย่างไรให้เข้าใจถึงความเนียน ความอยู่กันอย่างสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง และมันก็จะ ...อาตมาก็ไม่มีภาษาคำอื่น ใช้ภาษาฝรั่งเขาว่า มีลักษณะออสโมซิส ของความเป็นบ้านวัดโรงเรียน มันมีความ osmosis กันอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัวว่าไปมาหากันอย่างไร ซึมซับเข้าหากันอย่างไร อย่างสมบูรณ์แบบละเอียดลึกซึ้งจริงๆ ขอให้อยู่ในสภาพที่ว่าอย่าแยกกัน บ้านวัดโรงเรียนอยู่กันให้ได้ รวมการทำงานร่วมกันไป ให้สัมผัสสัมพันธ์กันไป เกี่ยวกันไปเรื่อยๆ แล้วจะเกิดซึมซับหากัน ออสโมซิส แต่ละคนไม่รู้ตัวแต่มันซึมจริงๆ
สมณะเดินดินว่า...เขามีหลานสองคน หลานผู้ชายเรียนจบนิเทศศาสตร์ จบไปแล้วไปขายข้าวแกงที่อเมริกา หลานสาวอีกคนเรียนจบนาฏศิลป์ก็ออกมาขายอาหารเหมือนกัน เรียนไปไม่ได้คิดว่าจะมาขาย แต่สิ่งที่เขาซึมซับในชีวิตประจำวันทำให้เขาออกมาขายอาหารอย่างที่พ่อแม่พาทำ
พ่อครูว่า...เดี๋ยวค่อยลงลึกในเรื่อง บ้าน วัด โรงเรียน สามเส้านี้
ก็ขอโอภาปราศรัยกับ sms ก่อน
SMS วันที่ 28 เมษายน 2560
2297 ที่เชียงใหม่ก็สะดุดเจ้าค่ะ
3867พ่อค้าแม่ขายใจดีขายของถูกก็มีทั่วไทย!แต่พ่อค้าแม่ขายขาดทุนตัวสละกำไรตนมีที่ตลาดอาริยะต่ำกว่าทุนตลาดเดียวในโลก
พ่อครูว่า...ก็เป็นเรื่องอจินไตยที่ให้สังเกตไว้ว่ามันลงตัวเป็นรูปนาม สภาพสองอย่างลงตัวกัน ถ้าไม่ใช่อันเดียวกันซ้อนกันมันก็ไม่ใช่ สองอย่างมันจะต้องลงกัน รูปกับนาม หรือสามอย่าง ลงกันเป๊ะๆ เช่นพระพุทธเจ้าจะประสูติตรัสรู้ปรินิพพาน ก็วันเพ็ญเดือน 6 ตรงกันแต่คนละวันกันนะ คนนี้มาแล้วจะต้องเป็นอัครสาวกชื่อนั้นชื่อนี้ ไม่ใช่ไม่ใช่ ต้องอย่างนี้ถึงจะใช่ ลงกันเป๊ะๆ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะไม่มีเหลื่อม เพี้ยน แต่ของอาตมามีเหลื่อม แต่ก็มีลงตัวบ้าง แต่ไม่ครบ แต่ของพระพุทธเจ้าจะครบอย่างน่าอัศจรรย์ ของอาตมาก็อัศจรรย์แต่ไม่อยากให้ใครเอาตาม ถึงเวลาคุณจะได้ใช้เอง ไม่อย่างนั้นไปใช้เสียหายได้
3867พ่อค้าแม่ขายใจสูงมีโอกาสได้ทำทานสั่งสมบุญกุศลด้วยขัดเกลาจิตสละใจตนได้มากที่สุดที่ตลาดอาริยะที่1ในสยาม!ควันหลงกบกระโดดว่ายน้ำมูน!
3867คนดูบุญนิยมหน้าใหม่คงนึกว่าพ่อครูเป็นเทพเจ้าโลกุตระ!กราบขออภัย!วันวานสอนบ้านราชวันนี้เทศน์สันติฯ!คนดูบุญนิยมหน้าเก่ารู้กันว่าท่านบินเร็วเหาะไวตามคมนาคมล้ำยุคไวดังแสงด้วยจิตวิริยะโปรดเวไนยโลก
3867กราบขอบคุณพ่อครูกับการทำงานด้วยสาราณียธ.ทำให้รู้ว่าทำงานด้วยจิตหวังปย.ส่วนตนก็ได้ปย.สุขเฉพาะพวกพ้องตน!ทำงานด้วยใจให้ปย.ส่วนรวมก็ได้ปย.สุขทั่วถึงผู้อื่นถ้วนหน้ากันสาธุ
3867พ่อครูคงได้รับยาอมสมุนไพรลดไอพร้อมจม.ตัวจริงของสื่อฟ้าศิลป์แล้ว!กราบขอบคุณศีลสนิท ญตธ.สันติอโศกทุกท่านอนุโมทนาสาธุ!จรธ.
บวร บ้านวัดโรงเรียนคืออะไร
พ่อครูว่า...คำว่า บวร บ้านวัดโรงเรียนคืออะไร
บ้านคือสังคม วัดคือธรรมะ โรงเรียนคือการศึกษา คือสังคมธรรมะกับการศึกษา
สังคมไทยปัจจุบันนี้ ทิ้งธรรมะ ธรรมะได้ผิดเพี้ยนไปไกล จนกระทั่ง ธรรมะคือที่ไหนสามารถบันดาลลาภยศสรรเสริญโลกียสุขให้ได้ ที่นั่นคือธรรมะ จะบันดาลด้วยไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชา เล่ห์เหลี่ยมขี้โกง ทำให้ได้รับยศสรรเสริญโลกียสุขมามากๆนั่นแหละคือธรรมะ อย่างที่ธรรมกายเขาทำสำเร็จ เลอะเทอะไปหมด
โลกทั้งวันนี้ ทิ้งธรรมะ โดยเฉพาะโลกุตรธรรม ธรรมะนั้นมีทั้ง โลกียธรรม โลกุตรธรรม กุศลธรรม อกุศลธรรม
โลกียธรรมคือ ภาวะของคนที่ต้องบำเรอเสพรสกาม โลก มีกาม ลาภยศสรรเสริญ และบำเรอใจดังใจเราต้องการคืออัตตา ต้องการอย่างนี้อย่างนี้ ถ้าได้มาสมใจ สมอุปาทาน คือบำบัดบำเรอสิ่งที่ต้องการ เรียกว่าโลก
ส่วนกามคุณต้องการในลักษณะย่อยที่เรียกว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็ง เรียกว่ากามคุณ 5 ที่เราไปสมมุติว่าจะต้องได้รูปรสกลิ่นเสียงอย่างงั้นอย่างนี้ ต้องสเปคอย่างนี้เลย ไคลแม็กซ์จะต้องอย่างนี้ พอได้สมใจแล้วก็หยุดพักไป เดี๋ยวก็เอาใหม่ บางคนก็นานบางคนก็เรียกว่าแล้วแต่ หมุนเวียนอยู่อย่างนั้น แล้วบำบัดจุดที่เรากำหนดไว้ยึดถือไว้ ไม่มีวันจบ คนไม่จบก็คือไม่จบ
ถ้าไม่ได้ตามต้องการที่ว่าสุข ก็ต้องดิ้นรนแสวงหาไปเอาให้ได้ไม่มีวันจบ ถ้าดิ้นแรงก็ทุกข์แรง ดิ้นเบาก็ทุกข์เบา ดิ้นน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่ดิ้นเลยไม่ทุกข์เลยจบ
ทีนี้ คนไทยทิ้งธรรมะ แล้วไปหลงโลกธรรม กามคุณ 5 แล้วไปหลงใหลคลั่งไคล้ การศึกษา ไม่เอาธรรมะแล้วไปหลงการศึกษา ที่เป็นโลกียธรรมจัดจ้านรุนแรง ว่านี่คือความรู้การศึกษาที่ต้องรู้ได้มาก บรรยายได้เป็นคุ้งเป็นแคว เขาก็ว่าการศึกษาสามารถสร้างได้สารพัด เอาขี้หมาทาสีมาหลอกคนให้ซื้อได้อีก
มันก็ยิ่งจัดจ้านรุนแรง เร้าอารมณ์ มันอื้อหือ สะใจ จุใจ อะไรก็แล้วแต่ ปรุงกันไป พวกเรามาเบาบาง มาหยุด วางปล่อย เห็นคนที่เขามีอาการเร้าอารมณ์ เราก็บอกว่ามันไม่รู้จักเมื่อยหรืออย่างไร เราหยุดแล้วพอแล้ว จะเห็นชัดเจนว่าเขาเป็นกันอยู่ ขนาดเราที่เหลือเศษก็ยังเมื่อยเลย ใครที่เห็นได้ว่าหมดเศษได้เลย มันก็เบาว่างโล่งโปร่งขาดหมดไม่มีสบายจริงๆ สบายยิ่งกว่าเลย ไม่ต้องเสียเวลาเสียแรงงานไม่ต้องเสีย ทุนรอน ไม่ต้องเสียอะไรเลยก็จบ
คนก็สร้างไม่หยุด เร้าอารมณ์ไป ไม่มีสุดไม่มีพอ คนก็ไปไม่มีวันจบ
ทุกวันนี้การเรียน และเป็นโรงเรียน สร้างที่เลย การเรียนคือพฤติกรรมคน โรงเรียนคือสถานที่
ทุกวันนี้ทั้งการเรียนและโรงเรียน ถูกแยกของไปจากบ้าน แยกออกไปจากวัด การเรียนในโรงเรียนแยกออกไปจากสังคม แยกออกไปจากธรรมะ ที่เรียกว่า วัด
ไปเรียนต่างหากเลย อยู่ในกล่องในมหาวิทยาลัย สังคมจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เช้าก็ไปเข้ากรอบ เย็นกลับบ้านก็เข้านอน ตื่นเช้าไปเข้ากล่อง เย็นกลับบ้านก็นอนทำการบ้านแล้วก็นอน เช้าก็ไปอีกแล้ว ไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าวก็ไปกินในรถ หรือที่เรียน ตอนเย็นก็กลับบ้าน อาบน้ำทำการบ้านกินข้าวแล้วนอน เช้าก็ไปอีก ไม่มีเวลาก็ต้องแข่งขันกัน ต้องทำงานต่างๆที่ครูอาจารย์ใส่มา มันไม่ทัน เพราะเยอะเหลือเกิน เขาก็ได้ก้าวหน้าที่ได้รู้มากได้คะแนนมาก เอาไปทายโทรทัศน์ก็ได้เงินอีก คนรู้มากก็ไปทายปัญหาทางโทรทัศน์ มันมีทางต่อไปเรื่อยๆ
เราก็เห็นว่าไม่เหน็ดไม่เหนื่อยกันจริงๆเลย
จริงๆแล้ว สังคมบ้านวัดโรงเรียนมันแยกกันไม่ได้เลย อาตมาพยายามจับให้มารวมกันแล้วจะเกิด osmosis ทางนามธรรม ซึมซับเข้าหากัน ไม่รู้จะอธิบายด้วยภาษาอะไรอีก ภาษาไทยจะใช้คำว่า ไหลซึมเข้าหาตัวเองโดยไม่รู้ตัวหรอก ออสโมซิส ถ้าใช้คำว่า absorb ก็ซึมซับ ก็ไม่ถึงสภาวะ osmosis
การจะรวมบ้านวัดโรงเรียน การสังคมธรรมะการศึกษาผสมกันอยู่และจะมีสิ่งที่ ซึมซับ ออสโมซิส ไหลลึกละเอียดหากัน มันเป็นทั้งความรู้ความจริงอยู่ในนั้น ที่ละเอียดลึกซึ้งมาก เกิดได้
ที่อาตมาจะพูดจะเน้นก็ตรงนี้
เมื่อเขาได้แยกบ้านวัดโรงเรียนนอกจากกันมันก็จะไม่ซึมซับ แต่ถ้าจะเอามารวมกันก็จะมีการซึมซับ Osmosis ในความเป็นคนการศึกษาในสังคม มันสำคัญที่ธรรมะ
การศึกษาก็สำคัญที่ธรรมะ การศึกษาไม่มีธรรมะก็จะ ซวยทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นธรรมะของศาสนาใด มันมีลักษณะไปในทางที่สูง แต่ของพุทธ สูง จนตีกลับ เหมือนต่ำ แต่สูงกว่ากรอบเดิม แล้วมีกรอบใหม่เป็นขั้นๆ
กรอบหนึ่งก็จะรู้แล้วว่า ออกจากกรอบเดิมแล้วไปอยู่อีกกรอบ จะไปได้เรื่อยเรื่อยๆ จนกระทั่งหาที่เก่าไม่เจอ แต่คนไม่รู้ก็จะบอกว่าวนมาที่เก่า แต่ที่จริงมันสูงขึ้นกว่าเดิมแล้วในชั้นใหม่ เขาพูดถึงเลข 0 แต่ที่จริงแล้วมันเป็น 11 แล้ว เขาพูดถึง 0 ใหม่ก็เป็น 11 เป็น 21 31 41 ไปเรื่อยๆ ซ้อนไปเรื่อยๆ คุณรู้แต่วงวนอันหนึ่ง ไปถึงพันรอบแล้วคุณไม่รู้ชั้นของพันรอบแล้ว วนเป็นก้นหอย สูงขึ้นๆ แล้วก็ซ้ายขวาๆ สูงขึ้นๆ สูงสุดมันเกือบจะสูญจนไม่มีซ้ายขวา แต่ก็มีซ้ายขวา แต่มันต่างกับขั้นต้นๆเยอะเลย เป็นล้านๆชั้น นี่คือสิ่งละเอียดทุกสิ่ง ที่เราจะต้องศึกษาและมีความจริงไปเรื่อยๆ
ในความเป็นธรรมะ ก็ไม่ต้องอาศัยสถานที่ก็ได้ แต่ต้องมีสักคน ธรรมะไม่มีสังคมไม่เกี่ยวกับคน ไปอยู่กับกล้วยกับอ้อย ไปอยู่กับดินกับหิน มันก็ไม่มีคุณค่าประโยชน์เท่ากับการอยู่กับคน ธรรมะจะต้องอยู่กับคน
คนก็อยู่สถานที่ คุณก็ต้องอยู่สถานที่นั้น ไปอยู่สถานที่อื่นก็ต่างกันไป คน กับธรรมะ กับสถานที่ แล้วยังมีเวลาอีก คนละเวลาอีก สิ่งเหล่านี้มันมีของจริงปรากฏการณ์จริง เราจบแล้วก็มีสิ่งที่จบตรงกับคนอื่นด้วย ไม่ใช่จบของเราเองและคนอื่นไม่รู้เรื่องด้วย
สรุปแล้วธรรมะหรือวัดอยู่กับคน สถานที่หรือการศึกษาก็อยู่กับคนทั้งนั้น สถานที่ไม่มีคน ก็เป็นเรื่องของสถานที่ก็อยู่ของมันไป การศึกษาที่ไม่มีธรรมะก็มีเต็มไปหมด ธรรมะคืออะไร ธรรมะมีทั้งโลกียธรรมและโลกุตรธรรม
โลกุตรธรรมแตกต่างจากโลกียธรรมอย่างไรอันนี้สำคัญมาก
โลกียะมันอยู่ในกรอบออกจากกรอบไม่ได้ แต่โลกุตระนี้ออกจากกรอบเก่าไปหากรอบใหม่ ใหม่นี้ซ้ายขวาอย่างนี้แต่อันใหม่ ซ้ายเป็นขวา ขวาเป็นซ้าย ทวนกระแสปฏิโสตัง แล้วมันดีอย่างไร กลับกันแล้วดีอย่างไร? แต่โลกียะเข้าเข้าใจอย่างนั้นเหมือนกันหมด เช่นรวยอย่างไรไม่มีขีดขั้น หาที่สุดไม่ได้ แต่ถ้าโลกุตระไม่ต้องมีเลยแต่ไม่ขาดแคลน พิสูจน์ได้คนไม่ต้องมีไม่ต้องเอาเลยไม่ขาดแคลนตลอดกาล
ฤาษีขาดไฟ คือฤาษีสามารถเสกอะไรได้หมดเลย แต่เสกไฟให้ตนเองไม่ได้ ฤาษีเก่งนะ เสกได้หมด แต่เสกไฟให้ตนเองไม่ได้ ก็เหมือนกับเศรษฐีขาดเงิน เศรษฐีต้องการสตางค์เดียว มันไม่มี อย่างนี้ คนฟังแล้วก็บอกว่า เศรษฐีขาดเงินสตางค์เดียวเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นได้ ถ้าคุณยังติดสตังค์อยู่ แต่คนไม่ติดสตังค์แล้ว มีก็ได้ไม่มีก็ได้ คนก็เอามาให้ด้วย ยิ่งคืนไปอย่างบริสุทธิ์ใจเท่าไหร่ คนก็ยิ่งจะเอามาให้
ยิ่งทำให้เขาไปด้วยบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการอะไรตอบแทน เขาก็จะยิ่งอยากจะช่วยเหลือ ว่าขาดแคลนอะไร บางทียัดเยียดให้ก็จำนนต้องรับไปแปรรูปให้คนอื่นต่อ มันก็ยิ่งสมบูรณ์ ยิ่งให้ยิ่งได้มา ยิ่งให้ยิ่งได้มาก ไม่มีภาษาจะพูดแล้วเป็นคุณธรรม ที่สุดยอดของมนุษยชาติ ความเห็นแก่ตัวมาความอยากได้เป็นของตัวเอง แต่มีกำลังวังชามีสมรรถภาพ มีพลังงานที่จะทำได้โดยไม่ต้องติดหวังอะไร จะมีปัญญาว่าควรจะให้ใครที่จะเป็นประโยชน์ ก็ให้ให้ถูกต้องตามควร ก็จบก็เลิก
โลกนี้จะมีความรู้ มีกตัญญูกตเวที มีความเฉลียวฉลาด ก็รู้ว่าควรไม่ควร จะอยู่กันเป็นสังคมที่บริบูรณ์ เป็นบ้านเป็นสังคม
ซึ่งสังคมบ้าน จะมีหลักแหล่ง ทุกวันนี้ไปยึดถือสถานที่ของคนนั้นคนนี้ ตกลงของเราไม่ยึดเป็นของเรา เราเอารวมไว้เป็นส่วนรวม เราอาศัยที่จนตายคนอื่นก็มาใช้อาศัยต่อ
ก็มีสถานที่มาก แต่ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา คนก็ต่างมารวมกัน จนกระทั่งสถานที่มีเหลือเฟือ บางอย่างบางแห่งก็ออกไปทำไม่ได้
บ้าน ทุกวันนี้ไม่มีธรรมะ มีแต่ความหลงใหลคลั่งไคล้ โรงเรียน บ้านนี่ไม่มีธรรมะ ไม่มีวัด หลงใหลคลั่งไคล้ความรู้ที่รู้มาก ก็เลยแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ได้เรียนโลกุตรธรรม แต่เรียนรู้เพื่อแข่งขันกัน ข้าจะต้องดีเด่นกว่าคนนิยมกว่า แข่งกันอย่างไม่หยุดไม่พอ ไม่มีที่สิ้นสุด ไปเป็นปากกรวยไป ออกนอกโลกออกนอกจักรวาฬ นอกกาแลกซี่ ไม่รู้ที่จบ บานไปเรื่อยๆ เขาก็หลงใหลว่าที่เขามีกันนี้เป็นอิสระเสรีภาพที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ ตัวกู ๆๆ นี่คือจุดมุ่งหมาย
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง เหมือนอุกกาบาตไม่มีตัวไม่มีตัวตน ใครจะไปไหนก็เตะไป กระทบกับอันนี้อันนี้กระแทกไป กระทบอันนี้ก็ดูดจมไป มันเบื่อแล้วก็ดีดทิ้งไป แล้วแต่แรงดึงดูดกับแรงถีบ มีสองอันผลักกับดูด
คุณเป็นอุกกาบาต ของแรงดึงดูดกับแรงถีบ อันหนึ่งไม่มีกรอบบานทะโร่ แต่อีกอันเป็นอุกกาบาตไม่รู้เรื่อง แล้วแต่แรงดึงดูดกับแรงถีบของใคร ไม่เป็นตัวเอง แล้วบอกว่า นี่แหละ คืออิสระ ซึ่งเขาไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นเหยื่อของแรงดึงดูดกับแรงถีบ
เน้นที่ความเป็นวัด
เดี๋ยวนี้เป็นวัดขี้โกง วัดมีตัวตนแต่ไม่รู้ คือ เรียกร้องความเห็นใจให้คนมาเข้าวัด หาทางเรียกร้องความสนใจให้คนมาเข้าวัด เมื่อคนเข้าวัดแล้วก็ใช้ให้คนเข้าวัดทำอะไรตามคนที่ทำอย่างฉลาดแกมโกง มอมเมาด้วยสิ่งเสพติด แล้วใช้เขาทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นควรจะเข้าวัดก็เพราะว่าถูกสิ่งเสพติดงอมเอา ตีเข้ามา แล้วอีกอย่างหนึ่งไม่เข้าวัดแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องหามเป็นศพเข้าวัด
วัดจึงกลายเป็นแหล่งที่
1.มอมเมาให้คนเข้ามา
2.คุณต้องเข้ามาอาศัยวัด เผาให้ ไม่มีที่อื่นจะปลอดจากกฏหมาย หรือปลอดจากเรื่อง เอามาวัดนี้สบายสุด แต่ถ้าเอาคนมีความผิดมาให้เผา วัดก็เจอเรื่องเหมือนกัน
สรุปวัดก็คือที่ๆมอมเมาคน และที่ๆสุดท้ายคนมาเผา คนก็เลยบอกว่า ไหนๆก็มาให้เผา ก็เลยหาทางรวยเละจากวัดเลย คนก็จำนวนว่าจะต้องมาเผาที่วัด ไม่มีทางเลือกมาก
บ้านวัดโรงเรียนจะมีสิ่งซึมลึก ออสโมซิส เป็นพลังงานที่ลึกมาก ทางจิตวิญญาณ หรือธาตุรู้ คนที่แสวงหาดีทันก็จะรู้ แสวงหา คัดเลือก
สถานที่และองค์ประกอบใดที่มีมนุษย์เป็นตัวหลัก เป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์สะอาด ปรารถนาดีสร้างแต่สิ่งที่ดีไว้ ใครจะมาเอาหรือไม่เอาก็แล้วแต่ ไม่คิดค่าราคาอะไรเลย
แม้แต่ปัจจัยที่โลกต้องการก็มีให้ ถ้าเฟ้อมากก็พอ มีความหยุดพอได้ พวกเรามีสิ่งเฟื้อได้แต่มีขีด ตัดลงอีกก็ได้ โลกมันเฟ้อกว่าเรามาก ที่เฟ้อคือเราไม่จำเป็น เราเองไม่เอาแต่เราต้องทำไว้ ทำไว้เพื่อคุณที่จะมา ถ้าจะให้ประหยัดกว่าอีกก็ต้องไปแล้ว ที่นี่เฟ้อเต็มที่แล้ว
เฟ้อนี้คือสิ่งเกินที่เราไม่เอาแล้ว เรากันให้คุณไว้แล้ว แต่คุณจะเอายิ่งกว่านี้อีกเราก็ทำให้ได้แค่นี้ ถ้าจะเอายิ่งกว่านี้ก็ไปหาที่อื่น เราไม่เก่ง เราทำจนเมื่อย มันเฟ้อแล้ว
สังคมชาวเรา จึงมีสิ่งที่บอกว่าข้างนอกเขาเฟ้อ เราก็บอกว่ามันเกินกว่าความจำเป็นแล้ว อาตมาจำกัดความ นิยามกิเลสคืออะไร...ความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นของชีวิต ถ้าเกินกว่าจำเป็นของชีวิตเราก็พอ แต่มีสมรรถนะแรงงานทำเพื่อคนอื่นได้พอประมาณ เราเมื่อยแล้วก็พอแล้ว ช่วยไม่น้อยไปแล้ว
ยืนยันได้คนในชาวอโศก มวลชาวโศกมีอยู่จำนวนแค่นี้ แต่มวลที่จะมาให้ช่วยทำงานก็มีอีกมาก แต่มวลแท้มีแค่นี้
ถ้าจะมากเกินกว่ามวลเราไม่ได้ ก็ได้แค่นี้ แต่ถ้าเรามีจำนวนมากขึ้น เราก็ช่วยได้เพิ่มขึ้นอีก ถ้าไม่ได้ก็สุดแรงสุดวิสัย แต่มากกว่าที่เราได้ช่วยตัวเองพวกเราเอง ถ้าอย่างนี้ไม่มีความจบก็ไม่มีทางจะอธิบายอีกแล้ว แต่ละหมู่กลุ่มถ้าสามารถทำได้อย่างนี้จะไม่มีการแย่งชิง ตีกัน จะมีแต่การช่วยเหลือกัน เราเองมีชีวิตช่วยเขาได้มากกว่าช่วยหมู่เราตัวเรา หมู่เราแค่นี้ก็พอมีเหลือช่วยคนอื่น
การช่วยคนอื่น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)เราไม่ได้กำหนดว่า ถ้าจะทำให้มากกว่านี้จะได้ไหมก็ได้ แล้วไม่ต้องการอะไรได้รับการแลกเปลี่ยนมา
เป็นความจริงใจความมุ่งหมายของอาตมา ตรงกับพวกคุณไหม มันจะเป็นอย่างอื่นได้ไหม แล้วก็จะทำไหม ...มาช่วยกันทำให้ได้ นี่คือเจตนา แต่ไม่ได้ใช้พลังอยากได้ตามนี้ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ตามเจตนาแต่ไม่ได้อยาก ตามเจตนา หรือเกินเจตนาโดยไม่ได้อยาก
สมณะเดินดินว่า...งานประจำปีที่เราจัดกัน ไม่ได้มีงานที่จะทำเพื่อตัวเองเลย ปกติการจัดงานประจำปีวัดก็ต้องคิดแล้วว่าจะได้เท่าไหร่ แต่พวกเราจัดงานประจำปีก็มีแต่จะขาดทุนกันเท่าไหร่
พ่อครูว่า...การจัดงานเราไม่ได้กู้หนี้ยืมสิน เรามาเสียสละ เราทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ทำได้มากก็ดี ทำได้เท่านี้ก็เท่านี้ ที่ไม่ได้มากเพราะปีนี้...มันผอมลงเยอะ และตายก็เยอะ เลยได้น้อยหน่อย
แต่ถ้าไม่ตายไม่เจ็บไม่ผอมก็จะได้เยอะเอง เราไม่แกล้ง แต่ป่วยจริง ถ้าไม่จริงก็โกหก เป็นบาปอกุศล คนแกล้งตัดขาตัวเองแล้วบอกว่าป่วยก็ต้องยอมล่ะ
อาตมาตั้งใจ สังคมของเราจะขึ้นป้ายว่าสังคม บ้าน วัด โรงเรียน
จะให้สลักชื่อ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก สังคมบวร
เจตนาใช้คำว่าบวรนี้ อธิบายต่อไป ที่อธิบายไปไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่อยากจะอธิบาย ก็ต้องพากเพียรไป
บ้านคือสังคมมนุษยชาติที่มีผู้คนมาอยู่กันอย่างสงบราบรื่น เรียบร้อย กับธรรมะที่เป็นโลกุตระ ที่เป็นคุณค่าของมนุษย์ เป็นความไม่มีตัวตนไม่เหลือตัวตนมีแต่การสร้างสรรเสียสละ มีแต่การช่วยคนอื่นเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นจริง นั่นแหละคือธรรมะ
แล้วก็การศึกษา จะศึกษาเรื่องสังคมหรือธรรมะ ก็จบวนตรงนี้ แต่ถ้าไม่ศึกษา บ้าน หรือธรรมะ แต่ไปศึกษาปรุงแต่งโง่ๆเยอะ เอาขี้หมาทาสีมาหลอกคน หลอกว่าอย่างนี้ สวยดี หรือเหาะได้จริงๆแล้วคนต้องเหาะไหม?..ก็ไม่ต้อง แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องเหาะ ถ้าไม่จำเป็นจะต้องช่วยใครเลย ก็ไม่ต้องเหาะไม่ต้องเดิน ดีไม่ดีก็ไม่ต้องอยู่ หากอยู่แล้วก็ต้องช่วยคนอื่น เพราะว่าถ้าอยู่แล้วต้องกิน ต้องเปลืองเนื้อที่ เปลืองอาหารอีก ดีไม่ดีเปลืองกว่าสัตว์อีก
ช้างกินอาหารวันละกี่กิโลกรัม อาหาร เป็นพืชผัก รวมแล้วราคาไม่เท่าไหร่ แต่คนกินบ้าบอ บางทีไม่หยาบเหมือนหญ้า แต่นิดเดียวแพงฉิบหายเลย มันซ้อนถูกหลอกว่า คนชั้นหนึ่งต้องกินแพงๆ ของดีนะ กินแล้วเหาะได้ไหม
คำถาม
1.ขออธิบายความหมายของคำว่าโศลกธรรม คติธรรม สุภาษิตธรรมะ
2. ไม่น่าจะใช้คำว่าไปทำบุญที่วัดต่อไปอีก ในกรณีมาถวายอาหารพระฟังเทศน์
ตอบ..คำว่าทำบุญ ของคุณ คือการเอาอาหารมาถวายพระ การเอาอาหารมาถวายพระ คือการทำทาน การทำบุญคือการทำใจ ไม่ใช่ทำวัตถุ ทำบุญคือทำพลังงานให้ใจ ให้ใจมันล้าง ชำระ กำจัด เผาไหม้กิเลส คือบุญ
บุญ คือให้ทำพลังงานในร่างกายเรา มันไม่มีตัวตนแต่เป็นพลังงาน ทำงานแล้วก็จบหมด ให้เกิดพลังงานอันนั้นที่เรียกว่าบุญ แล้วก็ เฉพาะกิเลส บุญไม่มีหน้าที่อื่นเลย ทำอะไรก็ไม่ได้
จะไปทำลายสิ่งที่ไม่ใช่ ราคะโทสะโมหะ บุญทำไม่ได้ บุญเผาหญ้าไม่ได้ เผาสำลี เผานุ่นไม่ได้ เผาได้แต่กิเลส
บุญมีหน้าที่จำเพาะอย่างนั้น คนไหนที่บุญทำหน้าที่เผากิเลสจนหมดกิเลสไม่มีจะให้เผาอีกแล้ว บุญก็ไม่อยู่ อยู่ไปก็ไม่มีอะไรจะทำให้ เพราะไม่มีกิเลสให้เผาอีกแล้ว อยู่ก็ไม่มีพลังงานปรากฏ บุญนั้น มันมีกิเลสมาถึงจะทำงาน เมื่อหมดกิเลสก็เหมือนกับมันไม่มี มันเป็นอัตโนมัติของมัน ถ้ามีกิเลสมันก็มีบุญในตัว แต่ถ้าหมดกิเลสบุญก็หมดไปเช่นกัน
ทุกวันนี้เข้าใจคำว่าบุญผิดเพี้ยนไป ไม่ตรงสภาพของบุญอย่างแท้จริง ดีไม่ดี กลายเป็นเรื่องได้อะไรมา ทั้งที่มันไม่ได้อะไรมาเลย มีแต่ความวินาศสันตะโร มีแต่ความวิบัติ ...จะดีไหม ดีสิ เพราะทำวิบัติแก่กิเลส ทำอย่างอื่นไม่ได้ บุญเป็นไฟกองใหญ่ ทำลายราคะโทสะโมหะ อันอื่นทำลายไม่ได้ ทำลาย ดินน้ำลมไฟไม่ได้ ทำลายแต่ราคะโทสะโมหะ ที่มันมีเหลือแม้ธุลีละออง (น้อยๆ) แต่คือกิเลส ไม่ได้หมายถึงธุลีละออง แต่คือกิเลสที่เท่าธุลีละออง
วัดไหนพาทำบุญไม่เป็นไม่ถูกต้องก็ไม่ต้องไป ต้องไปวัดที่พาทำบุญเป็น สลายกิเลสได้ ก็ไปวัดนั้น
_คำถามต่อ...พอหลังๆ พ่อท่านนิยามคำว่าบุญชัดเจนขึ้น ว่าคือการชำระ ไม่ได้สะสม(ใดๆ)และควรใช้คำอื่นแทน
พ่อครูว่า บุญ คำเดียว พอแล้ว
สมณะเดินดินว่า...ถ้าญาติธรรม เอาอาหารมาถวายพระเพื่อลดละความโลภความตระหนี่ อย่างนี้ถือว่าเป็นบุญ ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า...ใช่ เอาอาหารมาถวายพระ แต่ใจต้องทำบุญเป็น กิเลสลดลงๆก็คือการทำบุญ
สมณะเดินดินว่า...แต่นี่กำหนดว่าการเอาอาหารมาถวายพระจะเป็นการสะสมบุญใหม.. ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ว่าเราคิดจะสะสมหรือลดละความโลภของเรา ก็เป็นบุญของเรา ก็อยู่ที่ใจของแต่ละคน ไม่ต้องเปลี่ยนภาษาไปมา
โศลกธรรม คือพยัญชนะ
คติธรรม คือพฤติกรรมอันนั้นดำเนินไป คติแปลว่าดำเนินไป อาการนั้นก็ไปคือคติ โศลกเป็นบัญญัติภาษาโวหาร สุภาษิตก็คือโศลก ภาษิตคือภาษา สุ แปลว่าดี สุภาษิตคือภาษาที่กำหนดขึ้นดี เอาไปทำงานเป็นภาษานั้นก็จะเกิดผลที่ดี
ดีที่ว่านี้ ภาษาที่ทำให้รู้ว่าการลดของกิเลส แล้ว สามารถทำให้เราประพฤติปฏิบัติให้เกิดพลังงาน สลายกิเลสได้ นั่นแหละคือดีที่สุดของศาสนาพุทธ เป้าหมายของศาสนา สาระแก่นสารศาสนาพุทธ จะใช้คำว่าโศลกหรือสุภาษิต หรือวาทะก็ตามแต่ วาทิตะ คำพูดที่สรรหามาให้ตรงกับสภาวะ เรียกว่า วาทิต
สังคมชาวอโศก เป็น บ้าน วัด โรงเรียน
บ้านวัดโรงเรียน จะทำให้เกิดสิ่งที่ซึมลึก อะไรเข้าไปโดยไม่รู้ตัวอัตโนมัติ อาตมารู้แต่คำว่าออสโมซิส ใครใช้ภาษาได้เก่งกว่านี้ ก็ช่วยบอกมา
ถ้ามีองค์ประกอบสังคมคือบ้านแล้วรู้ธรรมะ ร่วมกันศึกษา
ศึกษาทางไกล ศึกษาทางวจีกรรม บอกสอนกันให้ไปคิด ขบคิด วิจัยวิจาร เอา เรียกว่า คิด ทั้งทำทั้งพูดทั้งคิด ก็ศึกษาทั้งสามอย่าง เรียกว่าโรงเรียนหรือการศึกษา มีสามเส้านี้เนียนตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกัน
อาตมาว่า สังคมชาวอโศกได้ทำมาตั้งแต่ อุแว๊ แบเบาะ จนกระทั่งเผาทิ้งไป มีอยู่แล้วเป็นสังคมบวรที่เนียนลึกละเอียด ทุกวันนี้เขาแบ่งแยก วัดก็ไปอยู่ที่หนึ่ง โรงเรียนอยู่ที่หนึ่ง บ้านอยู่ที่หนึ่ง แยกกันไปหมด จนกระทั่งมันไม่รู้จักกันแล้ว บ้านไม่มีธรรมะไม่มีการศึกษา ก็อยู่อย่างบ้านๆ ศึกษาโลกียะบ้าบอไปใหญ่
โรงเรียน หนักเข้าเขาก็มีการศึกษาอะไร ไม่ได้ศึกษาเรื่องสังคมเรื่องบ้าน จะไปศึกษาอะไรไม่รู้ ดีไม่ดีไปศึกษาเรื่องอวกาศ จะไปสร้างสถานีอวกาศ อวกาศไม่ต้องมีสัมปทานที่ ถ้าคิดจะสร้างกันให้ได้ใครจะไปจอง แพงนะ(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...สมัยก่อนพ่อครูบอกว่า ถ้าเป็นญาติธรรมมาวัดอาทิตย์ละ 1 ครั้งก็เสื่อมแล้ว หลายคนมีบารมี แต่ไม่ค่อยได้เข้าวัดฟังธรรม ก็เหมือนกับใช้บารมีเก่า ไม่ได้เพิ่มไตรสิกขา ขาดองค์ประกอบของบ้านวัดโรงเรียน ไม่เกิดการออสโมซิส ที่จะพัฒนาตลอดเวลา
พ่อครูว่า...เอาโมเดลที่ชาวอโศกได้ทำมา ไม่ว่าจะสันติอโศก มีสถานที่องค์ประกอบมีมวลมนุษย์เป็นอยู่ ข้างใน ข้างๆ อยู่ห่างไปก็มี ก็มาช่วยกันทำ เช่นเรากำลังทำประโยชน์ทำพาณิชย์ มันเป็นประโยชน์แท้จริง เราก็หามาสร้างมาแล้วเอามาใส่ ร้านสถานที่ เรามีที่ไม่มาก ตอนนี้ได้แค่คิด มีแต่นายฟุ้งนายฝัน ไปถกกันที่ห้องถกเถียง มีแต่นายฟุ้งนายฝัน ยังไม่มีนายทำ ก็ลองทำกันดูให้เป็นรูปเป็นร่าง
ตอนนี้ก็ได้แต่ขายของเก่า เขาคัดมาให้ขาย คนขายก็นางสาวหมี(ใจฝน) ขายได้อยู่บ้าง มันก็น่าจะมีอะไรใหม่ๆมาใส่ตลาด อะไรควรสร้างให้แก่สังคมก็มาทำ มันมีสถานที่ทำนี้แหละในสันติอโศก ปฐมอโศกมีตลาดไม่มาก แต่ที่ผลิตเยอะ ที่ราชธานีอโศก ผลิตกสิกรรมได้เยอะ ทางอุตสาหกรรมยังไม่ได้มาก ตลาดก็ทำตลาด
ซึ่ง ชื่อว่าจะให้เป็นการตลาดและสถานที่ศึกษารวม โรงหนึ่งเป็นเฮือนตลาด ตอนนี้ก็จะกลายเป็นสถานที่ผลิต เป็นสถานที่แปรรูป อาตมาก็ว่า มันควรเป็นโรงแปรรูป ได้สิ่งที่แปรรูปก็เอามาขาย
ส่วนที่ขายเป็นเฮือน สวน. ไม่ได้กั้นห้องเท่าไหร่ตอนนี้ แต่เรือเราก็มีให้เป็นสถานที่ขาย เราก็มีให้พักได้ด้วย ก็มีเรือพวกนี้ เป็นร้านขายก็ทำไว้ มันก็ยังมีอยู่ ในบ้านราชฯจะมีสถานที่ ทั้งผลิต การค้าขาย โรงเรือน โรงเรียนศึกษา
ตอนนี้ให้เปิดสร้างบ้านได้หลายเฟส แต่ไม่ค่อยไปอยู่กัน แต่ใจคนก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดี เราก็มีทุนร้อนจะไปสร้าง แต่ก็ตะลอนไปเที่ยวกันหมด ก็เลยไม่ได้ศึกษา แต่ถ้ามารวมกันมันจะเกิดการซึมลึกเข้าหากัน
ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง ...พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา
ที่ริมฝั่งน้ำมูลมีสถานที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกเรียบร้อย ดูฟรี เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใคร ที่นี่มีอากาศหวานกว่าสวิตเซอร์แลนด์
พี่น้อง fraternity เราใช้คำว่า ญาติธรรมหรือมีภราดรภาพ อาตมานิยาม เป็นพี่เป็นน้องคือ คนที่พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ นั่นคือพี่น้อง ญาติธรรม
คนที่คลอดตามกันมาเป็นพี่น้องทางสายเลือด แต่พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันไม่ได้ก็ไม่ใช่พี่น้อง จะเป็นคนเชื้อชาติไหนก็ตามที่ไหนก็ตามมารวมกัน แต่พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้อย่างนี้ คือนิยามของความเป็นพี่น้องที่แท้จริง อโศกเราได้ทำมาจริงๆ ทำด้วยความเต็มใจคนละไม้คนละมือ แล้วตายเผาเสร็จก็จบ แก่ ก็ช่วยกันดูแลไป เราไม่ได้เป็นคนแก่ ออเซาะ พึ่งพาตนเองได้ จนต้องห้ามไม่ให้ช่วยทำงาน คนแก่เราใจถึงจริงๆ พวกเราไม่อยากเบียดเบียนใครด้วยใจจริง เป็นสัจจะที่ไม่ได้แกล้ง..ทำด้วยความจริงใจ แต่ระวัง over ต้องทำอย่างสมเหมาะสมควร
เรามีลักษณะมีพฤติกรรมที่เป็นจริง เป็นความจริงที่น่าพอใจที่สุดแล้ว จริงใจ บางคนอาจจะฝืนใจตามกิเลสที่มีบ้าง แต่เขาก็รู้ว่ากำลังฝืนกิเลส แต่ทำไมฝืนกิเลสแล้วมันก็จะรู้ ทำอย่างเต็มใจพอใจอย่างดี มันก็จบ ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน ไม่ได้มาเอาดีเอาเด่น ทำอย่างจริงใจ แล้วจะเอาอะไร พูดหมดแล้ว
ของเราเป็นอย่างนี้จริง ทุกวันนี้ก็ดูดีขึ้น น้ำใสสะอาด อากาศหวาน อาหารก็ไร้สารพิษ จะกินจะอยู่ก็พยายามดูแลช่วยกันรักษาไม่ให้เน่าเหม็นไม่ให้สกปรก
มีมากขึ้นก็แจกจ่ายเจือจาน ขายบ้าง ถ้าเราได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สังคหะ มันดีที่สุดเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรแค่นี้ก็พอ
จริงๆ คนที่เดือดร้อนไม่มีอะไรมาที่เรา เราก็ให้เขาจริงๆไม่ได้เอาอะไรจากเขา ถ้าคุณพอมีพอเหลือก็อย่าขี้เหนียวนัก เรารับเพื่อให้คุณหัดให้เสียบ้าง อะไรวะ เอาแต่หวงแหน เท่านั้นเอง ใจเราพอ เราก็เอามาแจกจ่ายต่อ สัจจะมันก็วนอยู่ตรงนี้
ที่อาตมาพาทำ ที่เมืองหลวงก็เป็นสันติอโศก หรือที่ปฐมอโศก หรือไกลไปทางอีสานมีหลายแหล่ง ราชธานีอโศก ศีรษะอโศก ศรีโคตรบูรณ์อโศก หินผา ฟ้าน้ำ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมสังคมมนุษย์
อาตมาเข้าใจและฉลาดตามภูมิปัญญาก็พามาช่วยกันทำ ทำเสร็จแล้วจะเป็นรูปสังคม ที่มีพุทธพจน์ 7 มีจิตและมีวัตถุสูงสุด เป็นรูปวัตถุสูงสุดคือเอกีภาวะ
1. สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)
2. ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .
3. ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
4. สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .
5. อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .
6. สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .
7. เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22 ข.282-283)
เอกีภาวะ เป็นทั้ง ความสงบเรียบร้อยและมีพลังสร้างสรรค์ได้มาก สองนัยยะ อยู่ในคำว่า เอกีภาวะ เป็นสุดยอดแล้ว ในพุทธพจน์ 7 ที่จะรู้ความหมายของ 7 คำนี้เป็นสังคมที่ มีจิตใจเป็นประธานของอาการทั้ง 7 อย่างนี้ เป็นอาการของพลังงานจิตทั้งนั้นที่สุดยอดแล้ว
อาตมาว่า เป็นการศึกษาที่เป็นทฤษฎีเป็นหลักวิชาที่ใหญ่ที่สุด ทำให้ได้ดียิ่งยิ่งเท่าไหร่ นั่นแหละคือสังคมตัวอย่างของโลก
อาตมามั่นใจว่าชาวอโศกทำอยู่ ดีกว่านี้ยังได้อีกไหม ก็ได้ เป็นคำตอบที่ถูกต้องได้แน่นอน ถ้าอันอื่นดีเท่ากัน อันอื่นดีกว่าเราด้วย เราก็ไม่ต้องดีกว่าอีก ตอนนั้นจะเป็นขีดความพอ ตอนนี้ยังไม่ทัน ยังไม่พอ ยังต้องทำอีก ทำเข้าไปเถิด จำหน่ายได้เพราะของเราของดี ของฟรี ให้สดๆเลยไม่มีเงินเชื่อ สบายจะตายไป
ตอนนี้เรามีโรงเรือน เรามีความรู้ เรามีโครงการ รอแต่บุคคลจะมาช่วยกัน มาเถิดมาอย่าช้าอยู่ไหนรีบมา …
ทำไมให้ไปคว้ามีดพร้าจอบเสียม ถ้าคุณไปกลางดงไม้ ถ้ามีมีดพร้ากับคอมพิวเตอร์ จะเอาอันไหน ต้องเอามีดพร้าสิ
สังคมที่พวกเราพากันทำเป็นสังคมที่น่าทำและเป็นตัวอย่างอย่างยิ่ง ใครจะมาช่วยกันทำก็จะได้ถือว่าเป็นรุ่น 1 ตอนนี้ยังไม่มีรุ่น 2 เพราะว่าหลายเฟสยังไม่เต็มนะ ยังต้องการคนมาช่วยกัน
ที่อาตมาพูด เหมือนพูดเล่น เพ้อเจ้อ แต่เป็นเรื่องจริง คนที่ไม่เอาสมบัติส่วนตัวแล้ว แต่ไม่ใช่เป็นคนจนที่ไม่ทำอะไร คนไม่มีสมบัติส่วนตัวได้มีสมบัติเหลือกินเหลือใช้ พอกินพอใช้จนกระทั่งสะพัดให้แก่คนอื่นที่ไม่ใช่พวกเราได้จริงๆด้วย ไม่ใช่เป็นการเพ้อเจ้อ แม้จะขายก็ขายให้ขาดทุน จะได้ช่วยคนอื่น ไม่ว่าจะขายขาดทุนเราก็ไม่เดือดร้อนไม่ได้เป็นหนี้ใคร ไม่ได้ไปเอาของใครมาเป็นของพวกเราเองทั้งนั้น ใครมีแรงกินก็กินไป
ตั้งแต่ในหลวงท่านตรัสว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” อาตมาฟังแล้วก็ซาบซึ้ง “มาอยู่อย่างคนจน” ก็ซาบซึ้งอีก เราชัดเจนว่าเรามาจนจริงๆ จนคือไม่ต้องสะสมเป็นของเรา นี้เป็นของเราเลย แต่เรามีความขยันและสมรรถนะก็ทำไปอย่างจริงใจ ทำไม่ไหวเราก็พัก ถ้าทำไหวเราก็ทำ ถึงเวลาควรจะพักก็พัก ถึงเวลาตายแล้วก็ตาย
เป็นสังคมที่อาตมาว่า ไม่มีอะไรจะมาอธิบายสังคมที่เหนือชั้นกว่านี้แล้ว เอาหลักพระพุทธเจ้าเป็นตัวยืนยัน ถ้าคนมีพุทธพจน์ 7 คนจะอยู่รวมกันมีพฤติกรรม
1. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .
2. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
3. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
4. แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .
5. มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
(สีลสามัญญตา)
6. มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย . (ทิฏฐิสามัญญตา) . . (ล.22 ข. 282-283)
ไม่ต้องสุขต้องทุกข์อะไรไปกว่านี้แล้ว นอกนั้นก็ช่วยคนอื่น ชีวิตก็มีแต่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่ใช่แค่คนเดียว ไม่ใช่ 10 หรือ 20 แต่เราก็เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ไม่ใช่แค่ภาษา แต่ได้เท่าที่เรามีแรง ความรู้ความสามารถจะได้กระทำ เกิดแรงงานเกิดผลผลิตสะพัดช่วยกันไป เราก็ไม่หมด
อาตมาถึงสรุปว่า ทรัพย์สมบัติคืออะไร...คือสมรรถนะ กับความขยัน
ทรัพย์สมบัติของคน คือความรู้ ความสามารถ และความขยัน นี่คือทรัพย์สมบัติ ที่ไม่มีวันหมด ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ใครแย่งเอาไปก็ไม่ได้ ความรู้มันเป็นของเรา ความขยันมันเป็นของเรา สมรรถนะความสามารถมันเป็นของเรา เราลงแรงลงมือทำเมื่อไหร่ มันก็เกิดผลตามมา มันไม่จบ นอกจากเราจะหมดแรง คิดอะไรไม่ออกแล้ว ประสาทเราเสีย ความรู้ ก็ใช้ไม่ได้ ก็แล้วแต่ว่าเมื่อไหร่จะเอาไปเผา ตอนตาย หากไม่ตายก็เผาไม่ได้ ใช้อะไรไม่ได้ก็เลี้ยงดูกันไป
แม้แต่สัตว์ที่ไม่มีประโยชน์อะไรต่อเรา เราก็ยังช่วย แต่คนที่เคยมีประโยชน์ต่อกันและกันและสังคม เคยช่วยเหลือเรา ถ้าไม่เลี้ยงดูได้ยังไง พระสารีบุตรบอกว่า ราทะพราหมณ์เคยใส่บาตรเราทัพพีหนึ่ง ท่านไม่มีอุปกรณ์บวช พระสารีบุตรก็หาให้ แม้แต่ของที่หาให้จะแพงกว่าข้าว 1 ทัพพี
คนที่มีจิตไม่ได้คิดว่าเราขาดทุนหรือกำไร เราเสียเปรียบหรือเราได้เปรียบ ถ้าเรามีประโยชน์แก่ใครได้มากเท่าที่จะทำได้ตามวิสัยที่ควรทำ เราก็ทำ มันจะเสียหายอะไร เราก็ไม่เดือดร้อน เขาก็ไม่เดือดร้อน ควรจะได้ในสิ่งที่ควรทำช่วยกันไป นี่คือแนวคิด ความรู้คือสิ่งที่มนุษย์ทำได้จริง มันก็เป็นสังคมที่สุดยอด
อาตมารู้เช่นนี้ แล้วจะบอกว่ายกย่องคุยตัวเอง แล้วมันดีไหมล่ะ ถ้ามันดีก็จบ ถ้าไม่ดีคุณก็ไม่ต้องทำตาม คนที่เห็นดีด้วยก็มา มาช่วยกันทำ
คนที่ทั้งรู้แล้วฝึกฝนทำได้ ทำจริง ทำอยู่ บอกคนอื่นต่อ อธิบายต่อไป ก็จบแล้ว
ทำเป็น รู้ แล้วทำจริง แล้วบอกต่อ ก็จบแล้วนี่
เสร็จแล้วก็ขยายผลไป 1.รู้ 2.ทำ 3.รู้กับทำให้จริง 4. ก็ให้คนอื่นรู้ตามแล้วทำตาม ต่อจากนั้นก็เป็น 5 6 7 สองเส้าก็เกิด 8 9 คือ 6 ไปร่วมกับ 1 ก็เกิดสามเส้าเป็น 9 เป็น 10 เป็น 11 ไปอีก
คือสัจจะที่ใช้ภาษาอธิบายความ มนุษยชาติจะมีพฤติกรรมมีความรู้ทำได้อย่างนี้ อาตมาก็ว่าเก่งเท่านี้ทำได้เท่านี้
สมณะเดินดินว่า...วันนี้พ่อครูพูดถึงเรื่อง สังคมมนุษยชาติที่สุดยอด อาตมาก็ว่า น่าจะสอดคล้องกับรัฐบาลยุคปัจจุบัน ที่ขึ้นประโยคทองไว้ว่า มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นแต่เพียงว่า สามอันนี้อันไหนจะสำคัญกว่ากัน
นายกฯก็เน้นศาสตร์พระราชา แต่คนก็ท้วงว่าไม่ค่อยพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียงเลย ถ้ามาเน้น แบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
สังคมเราใช้การบริหาร แบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นับวัน จะมีครามมั่นคง มั่งคั่ง แต่ไม่ได้เป็นของเรา แต่เป็นของสังคม แล้วเราก็ช่วยคนรอบข้างด้วย ก็เป็นความมั่นคง
ประเทศไทยเราก็พัฒนาดีขึ้น เขาจัดอันดับประเทศไทยว่ามีความทุกข์น้อยที่สุดในโลก ประเทศไทยมีความสุขเป็นลำดับที่ 32 ของโลก ปีที่แล้วลำดับที่ 33 เป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ประเทศเดียว เป็นอันดับที่ 4 ของเอเชียแปซิฟิก ก็มีความเหนือกว่าเกาหลีและญี่ปุ่น แต่ก่อนนี้เราอยู่เหนือกว่า สอดคล้องกับในหลวงที่บอกว่า เราไม่ได้เป็นประเทศที่ก้าวหน้า เพราะอย่างนั้นจะเป็นความถอยหลังอย่างน่ากลัว
แต่ก่อนไต้หวันเวียดนามแย่กว่าเรา แต่ต่อมาเขาไปไกลกว่าเรา แต่ตอนนี้ ความสุขของประเทศไทยกับเพิ่มมากขึ้นกว่า
พ่อครูว่า...ความสุขมากกว่าเขา เป็นความรู้ของมนุษยชาติที่เพิ่มขึ้น เขารู้ว่าสุขจริงๆคือไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์ หมดสุขหมดทุกข์ อุเบกขา ยิ่งกว่าสุข ปรมังสุขัง ความรู้เช่นนี้เป็นความรู้มนุษยชาติที่แม้จะไม่ใช่ชาวพุทธแต่เขาก็รู้
เมืองไทยไม่ได้มีความสุขอย่างที่จะไปเทียบกับสิงคโปร์
สมณะเดินดินว่า..ของ UN เป็นความสุขเรื่องคุณภาพชีวิตการศึกษา
พ่อครูว่า...เอาความพรั่งพร้อมทางลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมาเป็นเครื่องวินิจฉัย แต่ของพุทธเราไม่ต้องไปพึ่งพาแบบโลกมาเป็นเครื่องวินิจฉัยหลัก แต่มีความสมดุลมีความพอในพลังงาน ไม่ต้องใช้มาก ไม่เปลืองผลาญแคลลอรี่มากเลย อันนี้รู้ยาก
ผลิตเท่านี้ๆพอแล้ว แต่เขาไปคิดทางโลก ถ้าผลิตเท่านี้เกินแล้ว การสะพัดไม่ค่อยมี ถ้าไปคิด GDP เมืองไทยก็จะไม่ได้มาก แต่ประเทศอื่นเอาทุนนิยมเป็นหลักก็ได้ตัวเลขสูง มันควรเอาตัวเลขต่ำ ว่า GDP คือการได้ คือได้มาแก่เรา แต่ GNH เป็นความสุขมวลรวม Gross National Happiness คือความสุขที่เกิดจากการได้ให้ผู้อื่น เขาเองก็เหลือน้อยลงน้อยลง การวัดค่านี้ของเศรษฐศาสตร์ทางโลก ยังไม่ชัดเจน เขายังเข้าใจไม่มีเป้าหมายสุดยอด เขาจึงวัดค่าของประเทศไทยไม่ได้ เพราะว่าประเทศไทยมีคนชนิดที่เป็นโลกุตระอยู่ อย่างน้อยก็ชาวอโศก
อย่างเขาบอกว่า หมู่บ้านราชธานีอโศกเป็นหมู่บ้านที่มีความจนระดับที่ 5 ของจังหวัด อันที่จริงควรจะเป็นความจนระดับที่ 1 เลย
สมณะเดินดินว่า...อย่างน้อยเขาก็บอกว่าประเทศไทยมีความทุกข์น้อยที่สุดในโลก เนื้อหาของพ่อครู มาเน้นเนื้อหาองค์ประกอบของสังคมธรรมะและการศึกษา ส่วนบ้านวัดโรงเรียนเป็นองค์ประกอบสมบูรณ์
ตอนที่โยมแม่ป่วย คนที่ไปเยี่ยมก็จะบอกว่า ถูกคนยืมเงินเป็นหนี้เป็นสิน ก็จะพูดแต่เรื่องหนี้สิน ให้เงินไปยืมแต่ไม่ได้คืนมา แต่พอพามาอยู่บ้านราชฯ ก็จะพูดคนละเรื่องเลย เป็นเรื่องของความเบิกบาน มีความเป็นอยู่ผาสุก มีความเป็นพี่เป็นน้อง แต่ก็น่าเสียดายที่มีโอกาสอยู่ที่ราชธานีอโศกเพียง 15 วัน แต่วาระสุดท้ายที่ได้ดึงมาอยู่ ตอนอยู่ที่บ้าน อะไรๆก็เป็นของเรา แต่ตอนมาบ้านราชฯ ก็มีเพียงเสื้อผ้าและตระกร้า แต่มีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ ถ้าอยู่ที่บ้านอย่างไรก็ไม่สามารถดึงจากนรกได้ แต่ถ้ามาอยู่ที่บ้านราชฯจิตวิญญาณก็พัฒนาขึ้นเจริญขึ้น เป็นองค์ประกอบของบ้าน วัด โรงเรียน ที่ทำให้เป็นไปได้ ..จบ
https://www.youtube.com/watch?v=KHD8LmEuYws
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:36:46 )
รายละเอียด
600501_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก พ่อครูผู้เป็นสยังอภิญญา
สมณะเดินดินว่า… วันนี้วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2560 เราอยู่ที่ปฐมอโศก เมื่อวานพ่อครูได้แสดงธรรมถึงลักษณะของสังคมสุดยอด พวกเราชาวปฐมอโศกลองนึกดูว่า ที่ปฐมอโศกเป็นลักษณะสังคมสุดยอดหรือไม่
ลักษณะสังคมสุดยอดคือ สังคมที่ช่วยเขามากกว่าช่วยเรา กิจกรรมต่างๆเป็นกิจกรรมที่ช่วยคนอื่น เรื่องที่จะช่วยตนเองช่วยเราเองไม่มากเท่าไหร่ วันนี้เท่าที่ประชุมกันก็เป็นเรื่องช่วยผู้อื่น มีคนมาขอสถานที่เราเคยจัดงาน การจะเปิดกว้างก็ต้องคัดกรองให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมของเรา
พูดถึงเรื่องการไปช่วยทำโรงบุญที่สนามหลวง ปรากฏว่าคนมากันเนืองแน่น เป็นโชคของปฐมอโศก แล้วจะมีการจัดตลาดอาริยะที่เนินพอกิน หรือการรับนักเรียนมาเข้าเรียน ก็ต้องคำนึงถึงความสมดุล การงานของเรากับการดูแลเด็ก
พ่อครูบอกว่า ชุมชนที่มีความลงตัวของการศึกษา ท่านจะให้สลักป้าย หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก สังคมบวร หรือ ชุมชนปฐมอโศก สังคมบวร หมายความว่าชุมชนนั้นมีองค์ประกอบของบ้าน วัด โรงเรียน ที่มีความลงตัว เป็นสถานที่พัฒนาจิตวิญญาณ เด็กมาอยู่กับเราก็มีการพัฒนาจิตวิญญาณขึ้น ลักษณะเหล่านี้เป็นความสมบูรณ์ของชุมชนบุญนิยม ที่พ่อครูมุ่งหมายว่า สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างไร ในองค์ประกอบสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7
ซึ่ง เมื่อเร็วๆนี้ อาตมาได้ดูเขาเขียนจดหมายมา ลายมือเรียบร้อยมาก แต่ภาษาไม่รู้ว่าเอาคำหยาบคายที่ไหนมา มีเนื้อหาว่า เราไปว่าธรรมกายทำไมเขาไม่เห็นจะตอบโต้อะไร
บอกว่าเป็นอรหันต์จริง คนภูฏานมาทำไมต้องให้คนแปลให้อีก เป็นอรหันต์ต้องรู้ภาษาทั้งหมด แค่นี้ต้องใช้คนแปลด้วย ทำให้เห็นได้ว่าการจะเห็นว่าใครเป็นอรหันต์ ไม่เป็นพระอรหันต์นั้นมีสเปคต่างกันมากมาย ซึ่งของพวกเราคงไม่ได้หมายความอย่างนั้น
พ่อครูอธิบายว่า ถ้าเรามีเงิน 1 ล้าน มีคนบอกว่าเรามีเงินไม่ถึง 1 ล้าน เราก็ไม่ตกใจไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะเรามีเงิน 1 ล้านอยู่ในกระเป๋าเรา ตรงนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องที่เราต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจ
แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คนจะเชื่อว่าพ่อครูเป็นอะไรหรือไม่คงไม่ใช่สาระ แต่ความรู้ที่พ่อครูนำมาให้พวกเราปฏิบัติ ตรงตามพระไตรปิฎกหรือไม่ มีศีล สมาธิปัญญา ที่ตรงตามพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หรือไม่ และเกิดผลเป็นชุมชนที่เกิดเป็นสาราณียธรรม ตามพุทธพจน์ได้อย่างไร?
ความเข้าใจของเขาที่บอกว่าอรหันต์จะต้องฟังได้ทุกภาษารู้เรื่องหมด แต่อรหันต์ในสิ่งที่พวกเราเข้าใจก็ต่างกัน พ่อครูให้พวกเราเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ เกิดผลเป็นสังคมอันอุดม เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ อันนี้ดูเหมือนว่าวันเวลาก็ไม่พอ กับพ่อครูในการมาย้ำให้พวกเราได้ชัดเจน วันนี้พ่อครูคงมีอะไรมาตอกย้ำกันต่อ ขอกราบอาราธนาพ่อครู
พค.ว่า...SMS 30 เมษายน 2560
5641 กราบมนัสการพ่อครูที่เคารพมีความสุขจากการชมบุญนิยมเหลือแต่คอยเป็นพระอย่างเดียว
พ่อครูว่า..คอยไม่ได้เป็นหรอก ถ้าเรารื่นเริงในธรรม แล้วเราก็ปฏิบัติไปตามที่เรารู้และเข้าใจ ก็จะได้ความเป็นพระ
ความเป็นพระไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องมาเข้าพิธีบวช มีอุปัชฌาย์ แล้วหาเครื่องอัฐบริขารมาขอบวช ก็เลยได้เป็นพระ ความเป็นพระไม่ได้เป็นอย่างนั้น ความเป็นพระจริงๆนั้น คือการปฏิบัติตัวเองให้เกิดความเป็นพระ ถ้ามาจากคำ วร แปลว่าความประเสริฐ
ความประเสริฐคือชีวิตของมนุษย์ มันเจริญขึ้น เรียกว่าอาริยะ หรือเรียกอารยะ หรืออริยะ
ซึ่งที่เขาใช้กันคำว่าอารยะหรืออริยะนั้นเป็นความหมายที่ผิดเพี้ยนไปแล้ว อาตมาโดยใช้คำว่า อาริยะ แปลว่าผู้ที่ประเสริฐ หรือผู้รู้จักกิเลสในจิตตัวเอง แล้วทำให้กิเลสในจิตตัวเอง ลดลงได้ เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปตามลำดับ นั่นคือความเป็นพระในศาสนาพุทธ อย่างถูกต้องอย่างแท้จริง
เราก็ปฏิบัติไปให้เกิดผล
3867 วันที่พระโพธิสัตว์มุ่งมั่นตามจิตปณิธานวันที่โลกุตระเจริญเต็มวัด!ศีลเต็มบ้าน!ธ.เต็มเมือง!อภิญญาบริสุทธิ์เต็มศาสนามีจริงหลังยุคศิวิไรซ์!คือผู้รอดพิบัติภัยโลก!
3867กุศลคุ้มครองผู้ประพฤติดี!ศีลคุ้มครองผู้ปฏิบัติชอบ!ธรรมคุ้มครองผู้ไม่ประมาทในกรรม
3867พ่อครูตั้งชื่อพุทธสถ.ใหม่ยืดยาวด้วยบวรฯรถกทธ.เสื้อกทธ.เครื่องมือสื่อสารกทธ.ฯลฯต้องต่อท้ายว่ากองทัพธรรมสังคมบวรฯด้วยไหม?ไปไหนมาไหนสังคมจะได้รู้ว่ากองทัพสุขสงบสันติอหิงสา!ดังนามบวรฯ
พ่อครูว่า..อาตมาเจตนาย้ำให้เห็นถึงสังคมบวร มี บ้านวัดโรงเรียนที่เป็นสังคม สามเส้า มีความสมบูรณ์มีความพร้อมมีความเจริญ แต่มีเงื่อนไขด้วยว่า
บ้านก็ต้องเป็นบ้านจริงๆ ที่ตั้งใจให้เป็นสังคมเจริญ พัฒนา การจะพัฒนาได้ต้องมีการเรียน มีวัด มีการปฏิบัติธรรมะ มีการศึกษา ทั้งทางโลกทางธรรม เจริญไปพร้อมกัน สังคมก็เป็นสังคมเจริญอย่างแท้จริง
เปรียบเทียบกับสังคมชาวอโศก เราก็สอนก็ฝึกอย่างนี้ เปรียบเทียบกับสังคมอื่น อาตมาว่าเจริญพัฒนากว่า จนถึงวันนี้ เนียนลึกซึ้ง จนพวกเรารู้สึกว่า บ้านเราก็อยู่ไม่ได้ไปไหน วัด ปฏิบัติธรรมก็เหมือนเป็นปกติ การเรียนเราจบมัธยม หรือประถม ในชุมชนของเราก็มี มีการศึกษาศีล สมาธิ ปัญญา เราได้ปฏิบัติกันหรือเปล่า ก็จะเข้าใจชีวิตพวกเรา มีอธิศีล แล้วมีอธิจิตไหม ถ้าเราได้คุณธรรมพอสมควรแล้วก็สบาย ติดแป้น ไม่ตั้งใจพัฒนาฝึกฝนเพิ่มเติมอีกก็จะไม่เจริญ
3867หลวงปู่รูป1เคยบอก10ปีก่อนๆเกิดสงครามโลกที่3 คนจะไปสร้างบ้านเรือนอยู่บนอวกาศ!สามารถทำกลางคืนเป็นกลางวันได้!ด้วยอาวุธแสงที่ร้ายแรงกว่านิวเคลียร์!
3867อนุภาคที่เป็นต้นกำเนิดอาวุธแสงคือแรงชนิดที่6 พระพุทธเจ้าเคยตรัสแรงมี7ชนิด!แต่อานุภาคแรงที่6ทะลุทะลวงทุกสิ่งในโลกได้!พ่อครูคงรู้จักแรงฤาเส้นแสงนี้ที่นักวิทย์โนเบลมะกันค้นพบ?
พ่อครูว่า..คุณคนนี้พูดมาทำให้อาตมานึกถึงสภาวะ อนุภาคที่เป็นต้นกำเนิดอาวุธแสงคืออะไรชนิดที่ 6 ซึ่งก็ต้องมีแรงชนิดที่ 1 2 3 และ 4 5 6 เป็นสองเส้า แล้วก็จะมีอีกแรงหนึ่ง จะเกิดอนุภาค แรงที่ 6 ทะลุทะลวงทุกสิ่งในโลกได้ ทำให้อาตมานึกถึงสภาวะจริงที่อาตมามีภูมิรู้
ในโลกหนึ่งที่หมุนก็มีแรง โลกที่สองก็มีแรงแห่งแสงที่ต้องพัฒนาขึ้น โลกที่สามก็ต้องพัฒนาขึ้นกว่า สามเส้านี้ ถ้าจะออกจากสามอันนี้ได้ก็ต้องมีแรงมากกว่าอีก เป็นแรงที่ 4 เป็นแรงที่มีอนุภาค ดิ้นรนทะลุทะลวง เกินกว่าอยู่ในกรอบ
ฉันเดียวกันตัว 6 ก็สังเคราะห์เป็น 6 อนุภาค แล้วจะมีอีกอันเป็น 7 ออกไปอีก
แสงที่เป็นรูปธรรมทางฟิสิกส์แล้วจะมาเข้าใจได้
3867ข้างล่างโลกจ่อสงครามนิวเคลียร์ใกล้คอหอย!ข้างบนโลกเล็งอาวุธแสงไม่ไกลหัว!แต่ตรงกลางโลก(ชมพูทวีป)ตั้งจิตวิชชามั่นใจบริสุทธิ์คงในศีลทุกขณะ!
SMS จากเฟซบุ๊ค
ธิตินันท์ แจ่มศรี · สาธุค่ะ เสียงชัดเจนมากคะ
Mawin Camil · ขอให้หลวงปู่มีสุขภาพที่ดีครับ ขอให้หลวงปู่เผยแพร่ธรรมะต่อไปครับ
สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ : สาธุ สาธุ สาธุ ขอบคุณน้องแหม่มสวิส เป็นผู้กระตุ้น ให้ได้มา ชมบ้านเฮือนสวน ที่เปิดเป็นครั้งแรก ที่บ้านราชเมืองเรือ จ.อุบล
สุกิจ พิมน้ำเย็น · ขอบคุณครับ ทุกครั้งที่เข้ามาในเฟสฯเมื่อได้รับการแจ้งเตือน ก็ จะเข้าไปดู ช่องบุญนิยมทีวี แล้วปิดเฟสฯ เพื่อไม่ต้องการติดต่อจากเพื่อนๆในเฟสฯ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ
Jira Lagsanasomboon (จิระ ลักษณะสมบูรณ์) สัมผัสได้ซึ่ง ความสงบ ร่มรื่น ของอารยธรรมที่งดงาม ซึ้งถึงความกรุณาของเหล่าพระอริยะทั้งหลาย ขอบารมีท่านทั้งหลายที่ได้รู้ถึงธรรมอันใด ขอข้าพเจ้าได้รู้ตามนั้นด้วย สาธุ
พ่อครูผู้เป็นสยังอภิญญา
พ่อครูว่า..อาตมาก็ขอย้อนย้ำ พูดถึงชีวิตตัวเองเกิดมาอายุ 83 กำลังจะเต็ม ในวันที่ 5 มิ.ย. ก็เต็ม 83 ขึ้น 84 ปี อาตมาอยู่ทางโลก 36 ปีทำมาหากินแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข กับทางโลก แล้วก็ออกมาทางธรรม
อาตมาออกจากทางโลกตอนอายุ 36 ปี อาตมาเป็นพี่คนโต พ่อแม่เสียแล้ว ก็บอกกับน้องๆทุกคน และไม่บอกธรรมดา ก็แบ่งสมบัติที่มีทั้งหมด แบ่งเสร็จก็เลิก แล้วอาตมาก็เดินหน้าเข้าวัด โดยไปปลูกกุฏิไว้ก่อนแล้ว น้องก็ร้องห่มร้องไห้ตามประสาเขา
ที่อาตมาปฏิบัติประพฤติอย่างนั้น มันไม่ได้เป็นความลังเลสงสัย ไม่ได้ทำเล่น ทำจริงจังทุกอย่าง ไม่ได้เบลอไม่ชัด แต่ชัดเจนทุกอย่าง ก่อนจะออกไป ยังไม่ได้บวชนะ เป็นฆราวาส แต่โกนหัวแล้ว นุ่งกางเกงขาสั้นไม่ใส่รองเท้า ใส่เสื้อยืดคอกลม แขนสั้น ตอนนั้นก็ทำงานโทรทัศน์ เป็นดาราเป็นพิธีกรที่ออกโทรทัศน์มากที่สุด เพราะทำรายการเกี่ยวข้องกับสารคดี วิชาการ เกี่ยวข้องกับเด็กๆ ซึ่งเป็นรายการที่หาสปอนเซอร์ไม่ได้ มันเป็นรายการของสถานีที่ต้องรับผิดชอบ คนไม่ชอบทำเพราะไม่ได้เงิน ได้แต่ค่าเบี้ยเลี้ยงเท่านั้น เงินไม่มากเขาก็ไม่ทำกัน เหมามาให้อาตมาทำ
โทรทัศน์ตอนนั้นมีอยู่ 2 ที่อาตมาทำเป็นโทรทัศน์ช่อง 4 เป็นโทรทัศน์ช่องแรกของประเทศไทย โทรทัศน์ขาวดำ ตอนมาบวชก็เลิกทางนั้นเรียบร้อย ก่อนจะออกมา ไม่ทำงานทางโลก อาตมาก็ชัดเจนจริงๆว่า ไม่เอาเรื่องโลกีย์ หาเงินหาทอง ชัดเจนในสัจธรรม ออกมาแล้ว แม้ไม่ได้บวช ก็ไปบรรยายธรรมะ
โดยเฉพาะตอนนั้นที่วัดมหาธาตุ เขาเรียกว่ามีสำนักตักศิลา มีตลาดขายของเต็ม สนุก คนไปกันเต็มทุกวัน ยิ่งวันเสาร์วันอาทิตย์นี้คนแน่น ถกกันพูดกันแต่เรื่องธรรมะ อาตมาว่า บรรยากาศเช่นนั้นน่าจะกลับคืนมาในประเทศไทย มันหายไปหมดตอนนี้ ถกกันแต่เรื่องธรรมะ พูดกันเป็นกลุ่มเป็นคณะ อาตมาก็พลอยเป็นหัวโจกกับเขา
เสร็จแล้วไม่นานนัก อาตมาก็เลยต้องบวช ที่ต้องบวชมีเหตุปัจจัย อาตมาตอนนั้นเรื่องกางเกงขาสั้นไม่ใส่รองเท้า โกนหัว อาตมาก็ขึ้นไปบรรยายกับคนอื่น ที่เขาใส่เสื้อสูทไปบรรยาย คนไม่ค่อยจะพบเห็นเช่นนี้ นอกจากเขาจะพอรู้จักหน้าตาอาตมา เพราะอาตมาเป็นดาราออกโทรทัศน์ แล้วก็ยังพิลึก ไม่แต่งตัว ตอนออกโทรทัศน์ก็ผูกเนคไทใส่เสื้อนอก แล้วแถมไปพูดภาษาที่ไม่เหมือนกับเขาพูดกัน ก็เป็นภาษาแบบอาตมา เขาก็บอกว่าคงบ้าจริงๆ แต่งตัวเหมือนบ้า พูดไปเขาไม่รู้เรื่องก็เหมือนบ้า อาตมาก็คิดว่าไม่ค่อยดี คนเราไปยึดถือที่รูปภายนอก
ถ้าเราจะขืนทำอย่างนี้ก็ช้า เขายึดถือและไม่ยอมรับ ก็คิดว่า จะกลับไปแต่งเสื้อนอกก็ไม่ดี เราเลิกมาแล้วก็คิดว่าบวชดีกว่า
อาตมาจะบวชนี้ อาตมาเคยบอกเจ้าอาวาสที่วัดอโศการามไว้ว่าจะไม่บวช ตอนจะไปอยู่ จะอยู่ไปไม่นานก็ขอบวช ก็เลยบอกว่าอธิบายธรรมะแล้วคนไม่ค่อยเข้าใจ เขามองเปลือกนอกก็ไม่นับถือแล้ว ถ้ามีรูปนอกคนก็คงจะนับถือ ท่านก็บวชให้
อาตมาตอนเป็นพระก็เดินสงบนิ่ง มือกุม มองชั่วแอก คนต้องหันหน้ามองตามเป็นทิว แล้วเดินช้าด้วยนะ คนก็ต้องแปลกตา แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหลือซากเดินเหมือนลิงแล้ว อาตมาก็คิดว่า บวชแล้วเพื่อได้ คนก็จับประเด็นว่า บวชเพื่อเอาเครื่องแบบไม่ได้บวชเอาจริงหรอก เขาตีความเป็นเรื่องเสีย เขาก็ว่าบวชเมื่อได้รูปแบบแล้วไปปฏิบัติผิดเพี้ยน เพื่อทำลายศาสนา เขาตีความเสียๆ ก็ไม่ได้ติดใจอะไร ก็รู้ว่าเขาเข้าใจไม่ได้
จนกระทั่งอาตมาทำงานมา ในทางธรรมะถึงวันนี้ ตั้งแต่บวชมา ไม่มีจิตใจสักแวบเดียว ที่คิดว่าอาตมาตัดสินใจผิด มีแต่ชัดเจนมั่นใจว่า เรานี่มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรา
หลายอย่างที่อาตมาพูดออกไปกับโลก มันก็ต้องพูดเพื่อเป็นการศึกษา เช่น อาตมามาทำงานสืบทอดศาสนา อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ มารื้อขนสัตว์ บอกไปจนกระทั่งว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เอาอะไรมาพูด พูดไปทำไม คนก็ไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย ก็คงงงงง โดยเฉพาะศาสนาพุทธเถรวาทในเมืองไทย มาพูดซะ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้วไล่เรียงให้ฟังแต่ละระดับเสียด้วย ว่าอย่างไร อธิบายว่าเป็นอย่างไรต่างๆนานา
อาตมาก็ว่า ถ้าคนที่ไม่มีอคติ ก็น่าจะฟังอาตมาแล้วก็รู้สึกทึ่ง จะเอาความรู้อย่างนี้จากไหนมาพูด ซึ่งมันไม่มี แล้วอาตมาก็บรรยายมามากมายต่างๆนานา ไม่เหมือนบรรดา ผู้รู้อาจารย์ในศาสนาไม่ได้พูด เขาก็น่าจะทึ่ง ว่า คนนี้เอาอะไรพูดแล้วมันเข้าเรื่องไหม
ยกตัวอย่าง บรรยายคำว่า กายมีเนื้อแท้อย่างไร พยายามอธิบายโดยยืนยันบัญญัติคำสอน พระอนุศาสนี พระวจนะของพระพุทธเจ้า
บุญคืออะไร ปัญญาคืออะไร
เช่น บรรยาย ปัญญาว่า คือความรู้ที่เฉลียวฉลาด แต่ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดอย่างโลกียะ อย่างคนโลกๆ
ถ้าคนโลกๆโลกีย์ ฉลาดเป็นอัจฉริยะสุดยอดอย่างไรก็อยู่ในกรอบโลกีย์
โลกีย์คืออะไร คือความเฉลียวฉลาดนั้น ไม่พ้นความเป็นอัตตา เป็นความเฉลียวฉลาดที่ต้องบำรุงอัตตาของตัวเอง บำเรอ ด้วยสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น ได้โลกธรรม โลกียธรรม ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สุขที่ได้ กามคุณ 5 มาบำเรอสมใจ นี่คือสุภะของเขาคือโลกีย์
คนที่ฉลาดอยู่ในกรอบความรู้โลกีย์ ถ้าอยู่ในวัฏฏะ 1 2 3 จะไม่ออกจากกระแสนี้เลย ไม่เกิดกระแสที่ 4 หรือกระแสที่ 7
ถ้าเผื่อว่าอาตมาไม่มีความรู้จะอธิบาย ซึ่งเป็นความรู้ที่ออกนอก โลกีย์ เป็นความรู้ชนิดอื่น ที่เรียกโดยบัญญัติว่า อัญญะ
อัญญะ อ.อ่าง ญ.หญิงสองตัวนี้ ซึ่ง ด้วยความหมายคำแปลของอัญญะ แปลว่า อื่น อันอื่นที่ไม่ใช่อันเดิม
ก็เป็นความรู้ขั้น อัญญะ (พหูพจน์คืออัญญา) มันมีความรู้ชนิดใหม่ที่ไม่ใช่ความรู้โลกียะ อัญญา เป็นความเฉลียวฉลาดที่ไม่ใช่แบบโลกเก่า ที่ไม่ใช่วนในโลกเก่า ที่เขาเห็นเป็นสิ่งน่าได้ น่ามี น่าเป็น สุภะ
อย่างโกณฑัญญะ พอฟังธรรมะพระพุทธเจ้า 2 กัณฑ์จบ โกณฑัญญะเกิดธาตุรู้ อัญญธาตุตัวนี้ พระพุทธเจ้าท่านหยั่งรู้จิตวิญญาณได้ชัดเจนก็กล่าวว่า อัญญาสิ วะตะโภ โกณฑัญโญ คือ โกณฑัญญะเกิดความรู้ใหม่แล้วที่ไม่อยู่ในกรอบโลกีย์ เป็นความรู้ใหม่ที่ทวนกระแส ปฏิโสตัง กับโลกียะ
เรามาหลงในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันเป็นอันเดิม แต่เรามาเกิดจิตที่ทวนกระแสสิ่งเหล่านี้ได้
คนเราจะเกิดอย่างนั้นได้ ถ้าจิตมันเกิดอย่างไม่ใช่ตักกะ จิตนั้นเกิดอัญญธาตุจริงๆ ไม่ใช่แค่รู้พิจารณาตามเหตุผล แต่จิตตัวนี้คืออัญญธาตุ
ผู้จะเกิดจิตเข้ากระแส โสตาปันนะ ออกจากโลกียะ เข้าสู่กระแสโลกุตระ จิตตัวแรกที่เกิดนี่แหละคืออัญญธาตุ
อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
อาตมาได้ประกาศตนว่าเป็นผู้นั้นอย่างไม่ได้มีเจตนาอยากอวดเป็นสาเฐยจิต
แต่ที่อาตมาประกาศมีเจตนาอย่างไร แต่ได้ย้ำยืนยันไม่เข้าใจให้รู้ให้คิด ว่า อาตมาเป็นของจริงของ อัตถิ โลเก โลกนี้มี ถ้า นัตถิโลเก คือไม่มี ไม่มีสมณะพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ท่านรู้โลกนี้โลกหน้า เป็นความรู้สยังอภิญญาของท่าน แล้วเอามาประกาศให้คนอื่นรู้ตามได้
ถ้าใครก็ตามอยู่ในยุคนี้โลกนี้ ไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่
อาตมาจึงต้องย้ำว่ามี ก็อาตมานี่แหละสยังอภิญญา แต่คุณฟังแล้วไม่ get เขาก็ว่าเป็นพระนอกรีต คุณก็นัตถิโลเก คือไม่รู้หรอก
ถ้ามีสมณะพราหมณ์ที่บรรยายโลกนี้อย่างอาตมาอธิบาย ท่านก็เป็น อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา ที่อธิบายโลกนี้โลกหน้าด้วยสยังอภิญญาของท่านเอง ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ องค์นี้แหละ คุณก็จะเคารพนับถือ
แต่ถ้าคุณฟังแล้วก็บอกว่าไม่ใช่ คุณก็เข้าใจสมณะอื่นที่อธิบายไม่ตรงกับที่อาตมาพูด แต่ถ้ามันต่างกัน มันก็ถึงต้องไปว่า
ความจริง คนผู้ถูกเรียก อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา ถ้ามันมีความต่างกัน มันจะต้องเป็นคนใดคนหนึ่งที่ถูกต้อง
อาตมารู้ เข้าใจภูมิธรรมของตัวเอง อาตมาถึงไม่สงสัยว่า (พูดโดยวิชาการ) ที่ต้องยืนยันต้องพูดอย่างนั้น ผู้ที่ฟัง อาตมาส่วนใหญ่ ก็จะเห็นว่าพูดแล้วไม่ตรงกับ ผู้ปฏิบัติตามที่เขานับถือ อาตมาก็ชัดเจนว่าเราเป็นสยังอภิญญาชัดเจน เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องพูดความจริง ซึ่ง คนอื่นที่เขาไปดูก็ไม่ตรงกับอาตมา มันต่างกัน
ถ้าอาตมาผิด อีกคนที่ต่างกับอาตมาก็ต้องถูก
ถ้าอาตมาถูก อีกคนที่ต่างกับอาตมาก็ผิด
ท่านบรรยายไปด้วยกัน เป็นคณะใหญ่ มวลใหญ่ ทั้งคณะกระแสหลักทั้งคณะมหาเถรสมาคม ก็ถืออย่างนั้น ที่พูดนี้ไม่ได้ก่อความแตกแยกนะ แต่กำลังอธิบายสัจธรรมว่า ที่ควรเป็นคืออย่างไรไม่ได้ตั้งใจมาทำความแตกแยก
อาตมาก็ทำมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่เคยท้อไม่เคยสงสัย ว่าตนพูดผิด มั่นใจ ว่าตนเองพูดความจริงที่ถูกต้องออกไป
และก็มั่นใจยืนยันว่า อายุขนาดนี้แล้วเราก็ยังไม่ควรตาย อธิบายไปก็น่าจะเกิดผลมากกว่านี้ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
ม้าวิ่งทน แต่อาตมาไม่ต้องทน เขาเล่นงานจะให้ติดคุกเลย อาตมาก็ไม่ได้หนีอย่างคนชื่อบอสที่เป็นข่าวหรืออย่างธัมมชโย อาตมาสู้ด้วยความจริงไม่ได้หนี
จนกระทั่งทุกวันนี้ท่านปล่อยแล้ว เรียกโดยภาษาว่าหลุดพ้น ข้ามพ้นสิ่งที่เป็นปัญหา เป็นประเด็นที่เขาจะจับหรือจับไม่ได้ก็แล้วแต่ มันพ้นจุดนั้นไปแล้วอาตมาก็เลยอธิบายเต็มที่
เอาพระไตรปิฎกมายืนยันอธิบายขยายความ ลึกซึ้ง พิเศษ ยิ่งดี
อาตมาบรรยายไปก็มี Guru sudandham เขียนมา
กราบพ่อครูด้วยความเคารพครับ
วันนี้ผมกะว่าจะขอเขียนอธิบายแบบบ้านๆ ให้นักธรรมะระดับบ้านๆ ได้เข้าใจง่ายๆ โดยผมขอใช้วิธีแกะรอย หรือถอดองค์ประกอบศิลป์จากเรื่อง "ธรรมะสองเหล่านี้ รวมเป็นหนึ่งกับเวทนา โดยส่วนสอง" ว่า พระพุทธเจ้าทรงจัดวาง compositions "ธรรมะสองเหล่า" เอาไว้อย่างไร แล้วคำว่า "โดยส่วนสอง" นั้น จะมีอะไรเป็นส่วนที่1 และส่วนที่ 2 ดังนี้ครับ
ความต้องการทราบให้กระจ่างชัดของผมเองในเรื่องนี้ ผมเพียรใช้ธัมมวิจัยกับเหตุการณ์ต่างๆ หลายครั้งคราว จนมาถึงปีนี้ก็พอจับหลักได้แล้วครับ ว่า นัยยะอันพิสดารในข้อ 60 นี้ ล้วนเป็นแสงเงินแสงทองแห่ง การเตรียมพร้อมที่จะรู้จักว่า "การบัญญัติอัตตาต่างๆ นั้น อาศัยอะไรมาบัญญัติขึ้น"
(ซึ่งแสงเงินแสงทองจากข้อ 60 นี้ จะไปเจิดจ้าชัดขึ้นในข้อ 61 ที่พระองค์ทรงบอกต่อไปอีกว่า บรรดาเจ้าลัทธิสุดยอดๆ ในยุคนั้น เขาไม่รู้รายละเอียดในตัวเองหรอกที่จะเอาอะไรบัญญัติขึ้น แต่เขาก็บัญญัติเอาจากสิ่งที่ตัวเองเป็น ตัวเองมีนั่นแหละบัญญัติ แต่ พระพุทธเจ้าทรงรู้จักพวกเขาทั้งหมด) แต่ผมจะไม่ขอพูดถึงข้อ 61 นะครับ จะขอนำกลับไปสู่ข้อ 60 ว่า มีใจความหลักๆ สรุปชัดๆ ว่าอย่างไร
ผมขอสรุปหัวข้อก่อนนะครับว่า การจะบัญญัติอะไรๆ ขึ้นมา ก็จะต้องอาศัยความจริงสองอย่าง เช่น มีรูปกับมีนาม แล้วนามกับรูปจะต้องทำการสังขารกัน (ผ่านผัสสะ) ทำให้เกิดเวทนา (ถ้าต่างคนต่างอยู่ก็คนละเรื่อง ไม่มีเวทนาให้ศึกษา) คราวนี้เมื่อผัสสะแล้วรวมลงเป็นเวทนา มาเจอคำว่า โดยส่วนสอง จะยังไง ?
ผมขอแสดงความเห็นส่วนตัวนะครับว่า โดยส่วนสอง จะเป็นดังนี้คือ
1 ผัสสะแล้ว รู้อาการ รู้ลิงคะ รู้นิมิต และรู้สอดคล้องตรงกันกับอุทเทส ของผู้รู้เก่าก่อน จึงสามารถสัมผัสรู้ไปถึงชื่อ (อธิวัจนสัมผัสโส) แห่งรูปกายได้ จนสามารถบัญญัตินามกายได้เพราะไม่ขาดซึ่งผัสสะ ไม่ขาดซึ่งการรู้อาการ รู้ความต่างของเพศ รู้เครื่องหมายนิมิตที่ผัสสะเห็นๆ / ถ้าอาการ ลิงคะ นิมิต อุทเทสไม่มี (เพราะไม่ผัสสะเลย) จะไปหาชื่อเรียกแม้แค่รูปกายก็ไม่ได้ ส่วนจะไปรู้นามกายนั้นอย่าไปหวัง
2 ผัสสะแล้ว (ปฏิฆสัมผัสโส) ได้รู้อาการแล้ว ได้รู้นิมิตที่ถูกกระทบขึ้นแล้ว แต่ก็มีความสามารถที่จะรู้ได้แค่การกระทบ (ปฏิฆสัมผัสโส) เท่านั้น ไม่อาจที่จะเรียกชื่อได้ ไม่รู้จะตั้งชื่อสภาวะนั้นให้เป็นรูปได้ยังไงดี ก็เลยเป็นแค่ ปฏิฆสัมผัสโส กระทบรู้อยู่แต่ภายใน.
จนกว่าจะพยายามคิดหาชื่อ กำหนดรูปให้คนอื่นรู้ตาม คล้ายดั่งน้องหลาสมัยเด็กกำลังหัดพูด ไม่เคยรู้จักคำว่า แกล้งกิน พ่อถามว่ากินทำไม มันกินไม่ได้ น้องหลาคิดคำอยู่พักหนึ่งก็ตอบว่า "หนูกินปลอมๆ"
ขอความกรุณาพ่อท่านช่วยพิจารณาด้วยครับ ว่าความเข้าใจมาดังนี้ถูกต้องไหมครับ ?
ถ้าความเห็นผมมีส่วนถูกต้องเกิน 70% ผมขอให้พ่อท่านตอบคำถามผมอีก 1 ข้อ ดังนี้ครับว่า
โพธิสัตว์ระดับใดจึงรู้ภูมิของตนเอง
_พระโพธิสัตว์ระดับ4 ที่รู้แจ้งจบกิจในตนในชาตินี้ จึงจะรู้ตัวเองได้ว่า ตนเองจบ"อรหัตตผล" แต่ยังไม่มีภูมิรู้จักความเป็นโพธิสัตว์ได้อย่างแจ้งชัด พระโพธิสัตว์ระดับ5 ระดับ6 ก็เช่นกัน ท่านก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ตัวเองได้หรอกว่า จะต้องมีความรู้ในการตัดรอบแค่ไหนจึงจะถือว่า สิ้นรอบ ครบถ้วน ได้ความแจ่มแจ้งในการเกิด จนเกิดอย่างนี้อย่างเที่ยงแท้ไปเป็นพระโพธิสัตว์ระดับที่ 5 หรือที่6 ดังนั้น พระโพธิสัตว์ระดับ5 หรือ6 จะไม่สามารถกล่าวปฏิญาณตนเองได้เลยว่าตนเองเป็นระดับ5 ระดับ6 ใช่ไหมครับ ?
พ่อครูว่า...ถ้า 1 คุณยังไม่ครบ ก็จะรู้ต่อไปได้อย่างไร เรายังไม่มีครบก็บอกว่าเราคืออะไรไม่ได้
คนที่จะบอกได้ต้องเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นต้นไป ถึงจะบอกระดับต่ำลงมาได้ แม้แต่เป็นระดับ 6 ก็ไปบอกว่าระดับ 7 คืออะไรไม่ได้ครบ
มีคนบอกว่าผมคงเป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 แล้ว ก็จะกำหนดระดับ 1 2 3 ได้
คนจะรู้ว่า โพธิสัตว์ระดับ 1 คือพระโสดาบัน คนมีเนื้อหาของพระโสดาบันอย่างไร แม้จะไม่ใช่ภาษาของพระพุทธเจ้า อธิบายภาษาคนได้ ถ้ามีบัญญัติภาษาของพระพุทธเจ้าก็อธิบายยิ่งจะตรงกัน
สมณะเดินดินว่า...แม้จะเป็นโพธิสัตว์ระดับ 2 หรือ 3 ก็บำเพ็ญโพธิสัตว์ได้
พ่อครูว่า...ก็ยังไม่เก่ง ต้องเลยระดับ 7 ก็พอรู้ได้
สมณะเดินดินว่า...อย่างญาติธรรมเราบอกว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 2 ก็จะไปช่วยคนได้ไหม
พ่อครูว่า..ผู้ที่มีอรหัตตผล เป็นความจริงสภาวะตัวเอง ก็มีโพธิ ต้องมีทั้งเจโตและปัญญา ถ้ามันไม่ครบรอบของอย่างน้อย 3 จะไม่รู้หรอก การรู้ที่ 3 คือรู้รูป รู้นาม และผู้รู้คือประธาน ตัวเราเองรู้ เป็น ISH เป็นภาวะรู้รูปนาม สองอย่างนี้
เมื่อร่วมรวมกันเกิดภาวะชีวิตินทรีย์ เป็นการเคลื่อน โดยเฉพาะระดับจิตนิยาม ไม่ใช่ระดับพีชะที่ไม่รู้ตัว และที่จะมาพูดได้ก็ไม่ใช่ธรรมดา แล้วที่ถามว่า โพธิสัตว์ระดับที่ 1 2 3 จะรู้ตัวก็ไม่ง่าย ถ้า 4 5 6 ก็ไม่ใช่รู้ได้ง่าย ต้องเกินระดับ 7 8 9 ถึงจะพูดได้ชัดเจน ต้องมีความรู้นำหน้า อย่างผมบอกว่า ผมระดับ 7 ผมก็น่าจะมีความรู้ในระดับ 8 และ โอเวอร์แลป ไปถึงระดับ 9 บ้างแล้ว ผมไม่คิดมาอวดตัวตน
มีคนว่า พ่อท่านระดับ 8 แล้ว แต่ผมไม่ได้หลงตัวอะไร ให้เข้าใจให้ได้ว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 อธิบายคำว่าอย่างนี้ก็เป็นกุศลมากแล้ว
ที่เอาของสู่แดนธรรมมาอ่าน ถ้าคนสามัญปกติ คงเข้าใจตามยาก ที่พูดนี้เขาก็เป็นคณะแม้จะไม่ใช่นักบวช ก็เป็นองค์รวมที่จะมาช่วยกันสืบสานธรรมะ ต้องมีทั้งท่านเดินดิน หรือคนอื่นๆ เป็นองค์ประกอบไปด้วยกัน ร่วมกันเป็นสัจจะ ยากจะเอาหลักฐานมายืนยัน แต่เป็นอจินไตยที่ต้องพาดพิงอ้างอิงยืนยันเท่านั้นเอง
ความรู้ในตนจะปรากฏในลักษณะใด
_ถามแทรกว่า ความรู้ที่ว่า ปรากฏขึ้นคืออย่างไร เป็นภาพเสียงเหมือนเราได้ยินหรืออย่างไรครับ
พ่อครูว่า...ความรู้จะเรียกว่าเป็นภาพเสียงด้วยไหม ถ้าว่าแล้ว ถ้ารู้พร้อมเป็นภาพ เสียงด้วย ถ้ารู้ไม่พร้อมก็มีองค์รวมรู้ได้ ว่าอันนี้เป็นภาพ เสียง กลิ่น รส ได้ มันจะครบในทุกทวาร
มนุษย์มี 6 ทวาร มีจะมีมุมเหลี่ยมของธาตุรู้ครบ ก็เป็นธรรมดา เวลาเรียน เวลาศึกษา พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัย ถึงจะครบองค์ความรู้ ตาต้องเห็นรูป หูต้องได้ยินเสียง...ทำงานร่วมกันครบทุกทวาร ถึงจะเรียกว่ารู้ครบ หากไปหลับตา หูไม่ได้ยินเสียง กายไม่ได้สัมผัส ลิ้นไม่กระทบรส มันเป็นความเข้าใจผิดเป็นคนละพวกกับความรู้ของพระพุทธเจ้า ที่จะเรียนรู้ความเป็นจิตเจตสิก รูปนิพพาน เป็นนามธรรมที่สมบูรณ์แบบ มันผิดหมดเลย
การนั่งหลับตาสมาธิไม่ใช่ทางของศาสนาพุทธ มันเป็นเรื่องนอกรีต เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าชี้ให้เห็นตั้งแต่ พรหมชาลสูตรท่านก็ชี้แล้วว่านั้นคือเจโตสมาธิ ทำแล้วจะได้ผลทิฏฐิ 62
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะรู้ ปัญญาความฉลาด หากไปนั่งหลับตาทำสมาธิ จะได้มิจฉาทิฏฐิ ทั้ง 62 อย่างนี้
ถ้าอ่าน พรหมชาลสูตรแตก ก็จะรู้ว่าคำสอนในนั้น คือการนั่งสมาธิหลับตา เป็นคำสอนที่เขาสอนกันก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติ เป็นสิ่งผิด การนั่งหลับตาจะมีแต่อดีตกับอนาคต อดีต 18 กับอนาคต 44 ใน 44 นี้รวม ปัจจุบัน 5 อย่างในนั้น ไม่มีความรู้ความเห็นความเข้าใจอย่างอื่น นอกจากอดีตกับอนาคต อยู่ในภพคุณคนเดียว จะมายืนยันกับผู้อื่นไม่ได้
ความจริงนั้นจะต้องมีทั้งองค์ประกอบนอกและในยืนยันกับผู้อื่นด้วย ตั้งแต่ 1 คนเป็นต้นไปจนถึงล้านคน คนนี้มีตาสัมผัสอันนี้ๆ ก็ยืนยันกันได้กี่คนกี่คน จึงจะเรียกว่าเป็นความจริง
ความจริงถ้าจะบอกว่าไปนั่งหลับตาอยู่ในภพของตัวเอง มันยืนยันเป็นความจริงไม่ได้ ความเห็นที่เป็นนั่งหลับตาทำสมาธิจึงเป็นความเห็นที่ มันไม่ใช่พุทธเลย นอกพุทธจริงๆ
แต่นั่งหลับตาทำสมาธิมีประโยชน์กับการปฏิบัติธรรม ก็มีตรงที่ทำเตวิชโช ตรวจสอบสิ่งที่ผ่านมา ก็เป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วเกิดพลังงาน ทำฤทธิ์เดช ถ้านั่งหลับตาทำเตวิชโช หากไม่นั่งหลับตา การลืมตาปฏิบัติก็เตวิชโช อาตมาพูดไปนี้ก็ตรวจสอบตัวคุณเองได้ ว่าอันนี้มีความรู้เดิมหรือใหม่ที่เกิดนะ ก็เป็นการเกิดดับของความรู้
ศาสนาพุทธลืมไปเลยว่า ไม่ไปเชื่อว่า ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ เป็นทางปฏิบัติ ให้เกิดฌาน แท้จริง ฌานคือการปฏิบัติจิต เพื่อให้สลายไฟราคะ โทสะ โมหะ เป็นพลังงานพิเศษ เมื่อสลายได้เกิดสภาวะธรรมของจิตล้างกิเลสได้ สั่งสมตกผลึกในจิตเรียกว่าสมาธิ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า จะมีสมาธิได้ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตให้เกิดสมาธิ
ตั้งแต่พรหมชาลสูตรมา แล้วจะปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าได้จะต้องปฏิบัติตามสามัญญผลสูตร ผลการปฏิบัติสมาธิของพระพุทธเจ้าจะต้องมีศีล และสำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ ขัดเกลากิเลส จนจิตของคุณ สันตุฏฐีธรรมเป็นสันโดษ
ศีลเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ สันโดษอันเป็นอาริยะ จะเกิดผล
คือจรณะ 15 ทำอปัณกธรรม 3 แล้วมีสัทธรรม 7 จนเกิดฌาน 1 2 3 4 แล้วเกิดวิชชา 8 เป็นวิชชาจรณสัมปัณโณ ของศาสนาพุทธ
สูตรที่ 1 ท่านตีทิ้งนั่งหลับตา เป็นโมฆะตามทิฏฐิ 62 ต้อง ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาไปตามลำดับจรณะ 15 วิชชา 8
อัมพัฏฐสูตร ท่านก็บอกว่า ศาสนาพุทธจะเสื่อม 4 ประการ
คำว่า ไม่ได้แปลว่าออกป่า แต่แปลว่า องค์แห่งศีลเคร่งขึ้น เข้าใจเพี้ยนไปไกล เข้าใจสิ่งที่ไม่เป็นพูดว่าเป็นพุทธ เป็นสิ่งที่น่าสงสาร อาตมาพูดไปนี่แทงครูบาอาจารย์ ที่บอกว่าเข้าป่าเป็นพระอริยะนั้นเป็นพระอริยะปลอม เป็นอรหันต์เก๊ทั้งนั้น น่าสงสาร
พูดไปแล้วก็ยากมาก ยากตรงที่ว่า คนทั้งหมดแม้แต่ในระดับสถาบันสูงก็ยังไปเคารพพระที่ไม่ใช่ของจริง อาตมาก็เลยยากมากที่จะบรรยาย
อาตมาชาตินี้เกิดมาเป็นหมากลางตลาด ต้องหลบน้ำร้อนปังตอ ชาตินี้เกิดมาเป็นมาก่อนตลาดลำบากมาก ไม่ได้พูดเพราะว่าน้อยใจแต่พูดแต่ความจริง
อาตมาพูดด้วยความจริงใจว่าอธิบายธรรมะพูดด้วยวิชาการ ไม่ใช่พูดด้วยเอาดีเอาเด่นอวดโอ่ หรือหาลาภยศสรรเสริญ แต่ขยายด้วยความจริงใจ สิ่งที่ควรข่มก็ข่ม สิ่งควรยกก็ยก
ในอัมพัฏฐสูตรก็เห็นเลยว่าตอนนี้ความเสื่อมทั้ง 4 ประการก็ครบแล้วในศาสนาจนเต็มรูป
ใน 2 ข้อแรกอธิบายว่า ไปเข้าใจผิดว่าพระในศาสนาพุทธต้องออกไปปฏิบัติ
คู่ที่สองก็ไปมี ซึ่งท่านเข้าใจกันไม่ได้หรอก เรือนไฟคือสถานที่สำหรับประกอบกิจทางศาสนาโดยใช้ธูปเทียน โดยใช้อัคคียัญ หรือใช้น้ำ สิญจนยัญ พวกนี้ เป็นศาสนานอกรีตไม่ใช่ศาสนาพุทธ
หรือสร้างเป็นลูกโลก ดาวเทียม ยิ่งกว่าเรือนไฟธรรมดาอีก เป็นความเสื่อม 4 ประการ
แล้วโสณทัณฑสูตรก็เน้นว่า ศีลอยู่ที่ใด ปัญญาอยู่ที่นั่น ศีลกับปัญญาจะ กันเหมือนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า
ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ จะเกิดอธิจิตเป็นลูก คือสมาธิ
สมาธิต้องเกิดด้วยศีลกับปัญญา ไม่ใช่สมาธิเกิดจากการสะกดจิต เขาเรียกว่านั่งสมาธิ ก็บอกว่าศีลบริสุทธิ์แล้ว ตีกินเลย ศีลต้องมีสำรวมอินทรีย์ ต้องมีสัมผัสก็ไม่ได้เรียนรู้ตามนั้นแล้ว
ศีลคือนั่งหลับตาทำสมาธิก็บริสุทธิ์แล้ว ก็นั่งอยู่ตรงนี้ ก็โมเมว่าบริสุทธิ์ในศีล 5 แล้ว พูดแล้วเห็นว่าเขาออกนอกเรื่องสัจธรรม
กูฏทันตสูตรก็บอกว่า ยัญพิธีที่ดีที่สุดคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ต่อมา มหาลิสูตร จุดสำคัญคือ การเจริญสมาธิเพื่อจะได้นิพพาน ท่านยืนยันว่า โลกียะสมาธิ นั้นเพิ่มอาริยบุคคลไม่ได้ ปฏิบัตินั่งหลับตาทำสมาธิไม่เกิดอาริยบุคคล สู้เจริญสมาธิที่เป็นอาริยบุคคลไม่ได้
สมณะเดินดินว่า...สมัยก่อนเขากำหนดการนั่งสมาธิมีศีล สมาธิ ปัญญาครบ แต่ในสูตรนี้บอกว่า การนั่งหลับตาทำสมาธิไม่มีทางสร้างอาริยบุคคลได้ อาตมาได้ฟังข่าวก่อนหน้าที่ มีผู้ว่าราชการ ถูกกล่าวหาว่าไปซื้อกามกับเด็กสาว ก็บอกว่าตนเองนั่งสมาธิเป็นประจำ
พ่อครูว่า...ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 แต่ละพระสูตรนั้นร้อยเรียงกันทั้ง 13 สูตรเป็นการชี้บ่ง ถึงความเป็นศาสนาพุทธไว้ชัดเจน
ถ้าไปเจริญเจโตสมาธิ ก็ได้แต่ทิฏฐิ 62 เป็นอริยบุคคลไม่ได้ ต้องมาทำศีลเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ สันโดษอันเป็นอาริยะ ก็จะเป็นพระอริยบุคคลได้ตามลำดับ
สูตรที่ 7ต่อไป ชาลิยสูตร ก็ยืนยันศีล สมาธิ ปัญญานั่นแหละจึง จะบรรลุอาสวักขยญาณ ผู้บรรลุได้จะรู้ด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตังคนอื่นรู้แทนไม่ได้
โบราณาจารย์ท่าน เรียบเรียงพระสูตรในพระไตรปิฎก ท่านเป็นพระอรหันต์พระอาริยะตั้ง 500 รูป มาเรียบเรียงพระไตรปิฎก เกินกว่าคนๆเดียวจะเรียบเรียงได้
สูตรที่ 8 ท่านบอกว่าตบะ ในนั้นมีตบะ กรรมฐาน พระพุทธเจ้าก็บอกว่าตบะ ที่ดีที่สุดคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
คำว่าศีล สมาธิ ปัญญา คือไตรสิกขาของศาสนาพุทธ ถ้าผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องศีลอย่างผม อธิบายศีลให้เป็นสมาธิไม่ได้ อธิบายสมาธิให้เป็นสัมมาทิฐิไม่ได้ ปัญญา ไม่มีสัมมาปัญญาของพระพุทธเจ้า เป็นความรู้ออก เป็นเดียรถีย์ไปหมด
ส่วนสูตร โปฎฐปาทสูตร ท่านก็ว่า สัญญาอย่างหนึ่งเกิดสัญญาอย่างหนึ่งดับ ไม่ใช่ไปดับสัญญาหมดสิ้น อย่างที่เขาเข้าใจว่านิโรธคือดับสัญญาให้หมด
อาตมาอ่านคำแปลของผู้รู้ในศาสนาพุทธ แปล สัญญาเวทยิตนิโรธ มาเป็นการดับสัญญาดับเวทนา จริงๆมันก็ไม่ผิด เพราะว่าต้องดับสัญญา เวทนาที่ผิดที่เป็นอกุศล แต่ไม่ได้ดับเวทนาตัวรู้ที่บริบูรณ์ แต่ดับตัวอกุศล แล้วจิตยิ่งสว่างสัญญายิ่งสะอาด เวทนายิ่งสว่าง
อาตมาเคยถูกมหาระแบบว่า โพธิรักษ์เป็นใคร มาพูดอธิบายธรรมะ ท่านก็บอกว่า ท่านเองเป็นเจ้าคุณนะ เปรียญ 6 ปริญญาโทนะ แล้วโพธิรักษ์เป็นใคร ศึกษามาจากไหน มหาระแบบคือพี่ชายของจตุพร พรหมพันธุ์
สมณะพราหมณ์ผู้ประกาศโลกนี้โลกหน้า
สมณะเดินดินว่า...พวกเราอยู่ร่วมกันก็ไม่ค่อยเห็นข้อดีของกันและกัน อย่างสู่แดนธรรมก็มักจะสนใจโหราศาสตร์ ก็เลยนึกถึงอรหันต์บางรูปก็พูดคำว่าคนถ่อยอยู่บ่อยๆ ทำอย่างไร เราจะคลายจากความยึดถือว่าเขามีสิ่งบกพร่องพวกนี้
พ่อครูว่า...คนเรามักจะยึดมั่นถือมั่น พระพุทธเจ้าตำหนิ แม้แต่คนที่ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าตำหนิ ก็มักจะตีทิ้งว่าเขาไม่ใช่ ล้มล้างไป อาตมาเคยใช้คำว่า เอาขี้หมาไปแลกทองคำ ไม่ถูก อันนั้นมันเศษนิดเดียว แต่ไปตีทองคำทิ้งทั้งแท่ง เหมือนกับพระธาตุ ของชาวอโศกเป็นทองคำแท้ แต่ดำเมี่ยม(มันมีเหตุ)
อาตมาบรรยายไปละเอียดลึกซึ้ง คิดว่าไม่มีใครมาอธิบายอย่างนี้
ศีล สมาธิ ปัญญา
แม้ปัญญา อาตมาอธิบายถึงอัญญา มีตำนานเป็นมาอย่างไร ใครที่ฟังแล้วก็น่าจะรู้ว่าที่พูดนี้ไม่ใช่ความรู้ธรรมดานะ ความรู้อัญญธาตุที่ อัญญาโกณฑัญญะได้รู้ขึ้นมา พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า อัญญาสิ วะตะโภ โกณทัญโญ เป็นความรู้ที่ไม่ใช่รู้ได้อย่างง่ายๆ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสธัมมจักกัปปวัตนสูตร ก็เกิดความรู้นี้อย่างอัญญาโกณฑัญญะ อาตมาว่าไม่มีใครมาอธิบายอย่างก็ต้องมาหรอก แม้แต่ผู้รู้หรือปราชญ์ทั้งหลาย พูดไปแล้วเหมือนข่มท่านทั้งหลาย แต่อธิบายเป็นวิชาการ ให้ได้รู้ได้ฟัง แล้วมันพอเข้าใจเพิ่มขึ้นได้ไหม
สรุปไว้ว่า อาตมาคือสมณะพราหมณ์ที่มาอธิบายโลกนี้ โลกหน้า
โลกนี้คือโลกโลกียะ โลกหน้าคือโลกก้าวหน้าคือโลกเจริญอีกแบบหนึ่งคือโลกโลกุตระ อาตมาก็ได้ชี้แจง จนบอกว่า คุณจะเป็นคนโลกหน้า จิตเข้ากระแส ต้องอ่านอาการจิตออก อ่านมโนปวิจาร 18 อ่านเวทนาที่เป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ กรรมฐานของศาสนาพุทธไม่ใช่กสิณ 40 แต่มีเวทนาเป็นกรรมฐาน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พรหมชลสูตร ท่านว่า เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ นอกนั้นมีแต่ความแส่หาของตัณหาเท่านั้น
อาตมาเอามาอธิบายจนชัดเจนว่า สยังอภิญญาในยุคนี้คือใคร ก็คืออาตมา อาตมายืนยันสัจธรรมออกไปก็สงสารคนเพ่งโทษ อาตมาก็ต้องยืนยัน มาป่านนี้แล้ว จะมาเหนียมไม่ได้
สมณะเดินดินว่า...พวกเราคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า พ่อครูว่า...อยู่กับอาตมาไปแล้วจะรู้ว่าอาตมาเป็นใคร พวกเราก็มีคนบอกว่า อยู่ไปแล้วจะรู้ว่าผมเป็นใคร ก็เป็นการอวดตัว อุจจาระตามช้าง แต่พ่อครูมีลักษณะถ่อมตัวอย่างมาก แม้จะเคยบอกว่า ถ้าโสดา สกิทาฯผมก็ผ่านแล้ว คือท่านถ่อมตัวอย่างมาก แท้จริงแล้วท่านยังมีอะไรอีกมากมายที่เหนือกว่านั้น
ใครจะบอกว่าตนเองเป็นสยังอภิญญา ก็ต้องมีสิ่งจริงนั้น ซึ่งต้องอธิบายโลกนี้โลกหน้าอย่างไร พิสูจน์ได้ไหมในชาตินี้ ต้องมีองค์ประกอบในสิ่งที่พูดและอธิบายออกมา ว่าฟังขึ้นไหม และสิ่งที่เราทำได้จะเป็นเครื่องยืนยัน
https://www.youtube.com/watch?v=CGqbwutNf5E
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:38:04 )
รายละเอียด
600510_พ่อครูแสดงธรรม วันวิสาขบูชา ที่ภูผาฟ้าน้ำ
พ่อครูว่า...ตอนนี้เป็นวาระแรกที่เรามีกิจการกิจกรรม ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ไม่มีใครร่างสเก็ตไว้ก่อนเลยนะ ไม่มีใครทำอะไรกันไปก่อนเลย
อาตมามาที่นี่ก็ได้ทำหนังสืออักขรานุกรม เพราะความรู้ในอดีต อตีตังสญาณขึ้นมา ก็คิดว่าสำคัญมากที่จะได้บันทึกเอาไว้ ถ้าไม่บันทึกไว้ก่อน ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครทำขึ้นมา
อักขรานุกรมนี้เป็น การที่จะอธิบายอักษร อักษรที่อาตมารู้จากอตีตังสญาณคืออักษรบาลีที่มาเป็นความหมายทางไทย สัมพันธ์กันสนิทมาก เดาไม่ได้ มีเหตุปัจจัยยืนยันว่าเป็นเช่นนี้ ผู้ที่มีปฏิภาณจะรู้ได้ เถียงไม่ได้ นอกจากพวกตะแบงก็เถียงได้ แต่ผู้มีปฏิภาณปัญญาพอก็จะรู้ว่าเถียงไม่ได้
ก็ไปรู้สึกที่ภูฟ้าผาธรรมนี่แหละว่าสองที่จะเป็นที่เกิดหรือที่ตายกันแน่ ก็พูดไว้เท่านี้ละกัน อักขรานุกรมก็พูดไว้เท่านี้ เอาไว้ค่อยออกมาให้อ่านกัน
สามเส้า บ้าน วัด โรงเรียน
พูดถึงปัจจุบันนี้ อาตมากำลังทำงานสามเส้า บ้าน วัด โรงเรียน ซึ่งอาตมาเกิดความเข้าใจ อาตมาเห็ฯถึงสภาพ บ้าน วัด โรงเรียน
บ้านคือสังคมที่รวมกันเป็นหมู่กลุ่ม แล้เวกิดพฤติกรรม การเรียนรู้ประพฤติ สิ่งที่เจริอญสิ่งที่ดี จากมนุษย์ทั้งหลาย แล้วอยู่รวมกันสามเส้า มีมนุษย์การประพฤติและการเรียนรู้เป็นสามเส้า ซ้อนๆๆกัน
มนุษย์การประพฤติและเรียนรู้สามเส้า รวมเป็นบวรเหมือนกันแล้วมีจิตวิญญาณไหลซึมลึกเหมือนกัน อาตมาใช้ภาษาได้เท่านี้ มันลึกซ้งละเอียดเนียน เป็นสภาพละเอียดยิ่งกว่า absorb เป็น osmosis ในสิ่งที่เป็น โดยเฉพาะเป็นธรรมที่ไม่มีอะไรต้าน พลังธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้งเนียนหากันไม่มีอะไรต้านได้ ซึมโดยไม่รู้ตัวใครก็รู้ไม่ได้ เป็นสภาพลึกซึ้งเกินใครไปจัดการได้ มัเนป็นของมันเอง ถ้าเป็นคุณลกษณะที่ดีก็ซึมลึกหากันในสิ่งดี อาตมามั่นใจว่าพวกเราใฝ่ดี เศษส่วนไม่ดีจะมีน้อย เนื้อส่วนที่ดีจะมากกว่า
และที่ดีจะ osmosis เป็นสภาพลึกละเอียด สภาพสุดท้ายของบ้าน วัด โรงเรียน
เน้นสังคมที่ควรไปรวมกันให้มีตัวมนุษย์ และต้องเรียน มนุษย์ เรียน และต้องมีประพฤติของตัวจริง จะอยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องทำ
มนุษย์ เรียน และพฤติ เป็นสามเส้า สุด ท้ายที่จะเกิดซ้อนๆๆ ละเอียดลึกที่พูดด้วยภาษาไม่ได้
ที่บ้านราชฯเป็นแหล่ง ไม่อยากพูดต่อ เดี๋ยวหนีไปบ้านราชหมด ที่นี่ก็ต้องอยู่ ที่บ้านราชฯก็ไปได้ ที่นี่ก็มีส่ิงที่อาตมาคงต้องมาอาศํยเป็นครั้งคราว ที่นั่นก็ต้องไปเพราะมีเรื่องราวเยอะ
ตอนนี้ไม่แน่จะกลับไปบ้านราชฯวันไหน ทางโน้นก็ทำงานไป
วันนี้เป็นวันวิสาขบูชาที่อาตมาพูดได้ไม่มาก ในเวลาเพียงเท่านี้
เมืองไทยเป็นชมพูทวีป
จะพูดถึงตัวเอง ตัวเองมาทำงานเรื่องนี้เป็นหลัก พูดไปเหมือนอวดตัว มันก็ไม่อยากพูดเท่าไหร่ แต่ก็ต้องย้ำยืนยัน มาถึงวันนี้แล้วชัดขึ้น ในทุกส่ิงส่วนปรากฏขึ้นตลอดมา มันก็ไม่ได้ลำเอียง เข้าข้างตัวเอง บวกลบคูณหารแล้วเห็นผลเจริญขึ้นตลอดเวลา เป็นตัวชี้บ่งว่าอันนี้มาถูกแล้วล่ะ
มาถูกแล้วล่ะ ก็เป็นคำตอบที่อาตมาจะต้องยิงยาวไป เพราะมันยังไม่บริบูรณ์ โดยเท่าที่อาตมาฉลาด ตรวจสอบก็ว่า มันพอจะวางมือได้หรือยัง ผู้ไม่อยากให้ไปก็อาราธนาแล้วอาราธนาอีก นี่ก็เพิ่งจบ คุณไพศาลกับคุณชัยวัฒน์ก็อาราธนามาอีก เขาไม่อยากให้อาตมาตายไป ก็เป็นความจริงใจของคุณไพศาล เป็นสัจจะสื่อสัจจะยืนยันกันไปมา อาตมาก็ได้อาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นคำตอบในการทำงานมา
สิ่งเหล่านี้ ที่เกิดในเมืองไทย ประเทศไทยกำลังเกิดชมพูทวีป อาตมาพูดอย่างมั่นใจมาตลอดว่าอายุขันธ์อาตมาแค่ 72 ปี ตอนนี้เลยมา 1 รอบนักษัตรแล้ว ก็ขั้นรอบใหม่ก็ต้องหนัก เวลาจะเปลี่ยนรอบ นักษัตรที่ 3 นี่ จาก 72 มา 96 ก็จะน่าดู ถ้าเลย 96 นี่ก็ไปอีกรอบเป็น 108 เป็นจังหวะ จะมีพลังงานทด ซับซ้อน ถ้าไม่ทดก็จบไปต่อไม่ได้ อธิบายไม่ไหวแล้ว
ก็ตั้งใจพากเพียรอยู่ ก็ยังไม่ได้คิดแต่จะว่า แต่มันหนัก ก็บ่นไป เขาก็กลัวก็รีบอาราธนาว่าอย่ารีบตายๆ อาตมาบ่นไป ฟังๆแล้ว เหมือนปลงอายุขันธ์ก็ตกใจก็ว่าไป แต่ยังไม่ได้ตั้งใจปลงอายุสังขารหรอก แต่บางทีมันก็ไม่แน่นะ ไม่ได้ปลงอายุสังขาร แต่มันหมดแรงลงไปก็ได้นะ แต่ไม่ต้องพูดต่อ
ในลักษณะสามเส้าๆๆ ที่ซ้อนๆๆกันอยู่นี่เยอะมาก 123 456 789 เป็นสามๆๆ ซ้อนไปอีกเรื่อยๆ เป็นวงกลมสามเส้า ถ้าสองพลังงานจะเป็นระนาบไม่เกิดวงวน (ไมค์พ่อครูดับไป)
อาตมาอยู่ในระดับ 7 ถ้าไป 8 ก็จะดีขึ้น ตอนนี้ก็เหลื่อมไปหา 8 บ้าง สรุปแล้วในเมืองไทยต้องเกิดส่ิงนี้ ในโลกลูกนี้ก็มีกี่ประเทศ สื่อสารรู้กันหมดแล้ว แต่ละประเทศมีลักษณะธรรมะโลกุตระ อเทวนิยมอย่างนี้ มันไม่มีหรอก มีแต่ที่นี่แหละ แม้แต่หลักเดิมที่อินเดียก็หมดแล้วมาอยู่ที่นี่แล้ว เป็น phenomenol ที่มีแล้ว เราก็เอาความจริงปรากฏจริง ยืนยันกับทุกคนได้กับโลกได้ ผู้มีปัญญาจะรู้ เรามีหน้าที่เดียวที่จะดำเนินต่อ
บรมภาวะสุดประเสริฐ 5 ประการ
อาตมาก็พยายามทำให้เกิด บวร บ้าน วัด โรงเรียน เป็นภาษารูป ส่วนนามธรรมคือ osmosis จะซึมลึกเข้าหากัน เจริญโดยอัตโนมัติของมันจริงๆ
ก็ช่วยกันทำ เราจะมีองค์ประกอบแต่ละที่ต่างกัน ภูฟ้าผาธรรม ภูผาฟ้าน้ำ บ้านาชฯ มีนัยยะหลากหลายที่เป็นมวลเดียว unity of diversity ตอนนี้ใครเห็นเหมาะควรก็เคลื่อนย้ายไปทำ ใครเห็นว่าดีที่ไหนก็อยู่ที่ความจริงใจของแต่ละคนก็จะเคลื่อนตัวไปสร้างสรรร่วมกัน เป็นความเจริญไม่มีใครบังคับ เป็นอิสรเสรีภาพ
5 คำนี้ อิสเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ อาตมาพยายามขยายความแต่ยังไม่เก่ง
ภราดรภาพคือญาติพี่น้อง ยิ่งกว่า ญาติทางสายเลือด เป็นพี่น้องทางธรรมเป็นธรรมะโลกุตระอาริยะที่แท้จริง ในลักษณะสามเส้าของอิสรเสรีภาพ เป็นพี่น้อง ภราดรภาพ สันติภาพ แล้วต้องเติม สมรรถภาพและบูรณภาพอีก
สามเส้า อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สามเส้าเจริญแล้วก็เป็น สมรรถภาพ และบูรณภาพ มีทั้งการทำและตัวจบในตัว
ทำงานแบบเผื่อพอ
ในโลกนี้ที่เป็นอาริยธรรม ที่เป็นคำที่อาตมาขยายจาก อริยะและอารยะ civilization ภาษาอังกฤษไม่มีอาริยะ อาตมากำลังทำอักขรานุกรม ไทยกับบาลีนี้อักษรเคียงข้างกันมาลอกเลียนกันมา ภาษาไทย 44 ตัว จากบาลี 33 ตัวก็ขยายไป มีหลักฐานอธิบาย ก ข ค ฆ ง หรือ จ ฉ ช ฌ ญ คืออะไรก็ค่อยติดตามศึกษา
ผู้ตั้งใจศึกษษให้จบเป็นอรหันต์ ศึกษาเพื่อเป็นโพธิสัตว์ทำงานแก่โลกไปก็ต้องใช้ภาษา ไม่อย่างนั้นไปไม่รอด จะเป็นอรหันต์แม้ระดับต้นต้องใช้ภาษาา ผู้ใดไม่เอาภาษาเลย ก็ไม่รอด ต้องใช้ภาษาเป็นรูป สภาวะเป็นนาม
สังคมโลกมีเหตุปัจจัยให้เราศึกษา แต่ละจริต แต่ละวิบากของแต่ละประเทศเราก็ใช้เป็นเหตุปัจจัยเรียนรู้ ดูถูกไม่ได้ ไปตัดสินว่าอันไหนเจริญกว่ากันทันทีไม่ได้ ก็พยายามเรียนรู้ไป
ลึกๆของอัตตาจะนึกว่าตัวเองสูงกว่าเขาเสมอ เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดอย่างนั้น ขณะนี้พูดเหมือนยกประเทศไทยสูงกว่าใคร ก็อย่าไปคิดเช่นนั้นทีเดียว เผื่อพอไว้ อย่าไปคิดว่าเราสูงกว่าใครทั้งหมดเราทำสิ่งที่เป็นเหตุให้สมบูรณ์แล้วผลเป็นจริง ถ้าไปคำนึงผล คาดว่าจะได้อย่างนี้จะทำให้เหตุบกพร่อง เพราะจะเอาสรุปผล total ตัวนี้ก็เพี้ยน ได้ผลแต่เพี้ยน เพราะฉะนั้นทำเหตุให้เต็ม
แม้เหตุเต็มจนล้น ผลก็ล้นตาม แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าเต็มผลแล้วก็ทำเหตุอีก เราก็รู้ว่าล้นแล้วไม่เสียหาย แต่เสียเวลาช้าไปหน่อย ดีกว่าที่เราไปเสียหาย แล้วมาแก้มาเสริมเติมก็เสียเวลาซ้อนซ้ำ เสียเวลา เหตุปัจจัยเสีย แรงงานเสีย เพราะฉะนั้นทำเหตุให้ครบดีกว่า จะไม่เป็นภพชาติด้วย เจตนาแต่อย่าอยาก ถ้าอยากแล้วตัวอยากคือตัวผล เจตนาคือตัวเหตุ พอรู้ว่าผลเป็นอย่างไรแล้วก็พออย่ามุ่งอนาคตเกิน
ขณะนี้ โลกทั้งโลก อาตมากล้าพูดและมั่นใจว่าพูดถูกต้องคือ โลกทั้งโลกต้องการโลกุตระ จะรู้ตัวหรือไม่ก็แล้วแต่ และคนที่รู้ลักษณะโลกุตระคืออะไร ในหลวงร.9 ท่านได้สร้างส่ิงนี้ไว้แล้ว จนยุคนี้ 200 กว่าประเทศรับรู้แล้ว แม้แต่ต่างศาสนาก็รับรู้ได้ สิ่งเป็นจริงจะดำเนินไปตามสัจธรรม พวกเราพยายามใช้วินิจฉัยเผื่อพอไว้ อย่าไปนึกว่าเราสูง ถ้าเรารู้ว่าตัวเอง 100 ก็นึกว่าตัวเอง 80 ไว้เสมอ ถ้าตัวเอง 80 ก็มักจะนึกว่า 100 มันจะเป็นอย่างนี้ ถ้าเรา 100 ก็ทำเต็มที่ไว้ 80 ทำเผื่อพอไว้ ของในหลวงร.9 ทำแบบพอเพียง ของอาตมานี้ขอใช้เผื่อพอ เราจะทำงานได้ไม่พลาด ต้องระมัดระวังอันนั้น
เป็นสัจธรรมในโลกที่มี นิยาม อุตุ พีชะ จิต นิยามสามเส้าเป็นตัวประธานที่รวมกันเป็นหนึ่ง เป็นประธานของกรรมนิยามกับธรรมนิยาม
บทบาทของ 1 2 3 เป็นสามเส้าตัวนี้สำคัญมาก สามเส้าของพีชะ เป็นชีวะ ถ้าสองเส้า บวกลบ ฟิสิกส์ทั้งหลายไม่เกิดชีวะ ไม่เป็น cyclic order ต้องสามถึงเป็น cyclic order อันแรกก็เป็นพีชะ แล้วจะซ้อนออกไปอีกมากมาย ไม่ขอพูดต่อแล้ว
สามเส้าของสัจธรรม
ตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในวาระจะมีโลกุตรธรรมอาริยธรรมไปอีกสองพันกว่าปีก็จะจบ สำหรับโลกลูกนี้ ต่อจากนั้นไม่พูดต่อ เรารับผิดชอบแค่นี้ เราทำอันนี้ให้จบ นอกนั้นจะเป็นไปตามเหตุปัจจัย ถ้าใครจบอรหันต์แล้วจะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ หรือจะต่อก็ได้ หรือจะจบ อนิมิตนิพพาน อรหันต์รู้แล้วสามารถตายด้วยสามเส้านี้ สุญญตนิพพาน อนิมิตตนิพพาน อัปปณิหิตตัง ไม่ตั้งลง ถอดถอนไม่สร้างนิมิตต่ออีก ไม่ตั้งสูญ ไม่สร้างไม่ตั้ง สูญ ไม่ทำนิมิต ก็คือจบ สามเส้าสุดท้าย
คนที่ปรินิพพานด้วยสามเส้านี้ ผู้มีสภาวะจริงทำได้จริง คืออรหันต์ที่ตายปรินิพพานเป็นปริโยสาน แล้วทำของตนเองได้ รู้พยัญชนะสามตัวนี้และสภาวะถูกตรงก็จบ นี่คือสิ่งที่อาตมาว่า ยืนยัน จากสัจจะของตนเองไม่ได้ลอกตำราไหน ใช้พยัญชนะสื่อให้ฟัง บาลีปนไทย อย่างสูญญะมาจากบาลีแล้วเลี่ยงไม่ออก แม้แต่อนิมิตไม่สร้าง อนิมิตตะ ก็ตั้ง คือสัจจะลึกซึ้งซับซ้อนเสาเส้าๆ
ที่อาตมาใช้พยัญชนะเรื่องราว พฤติกรรมที่พวกเรามีอะไรดีๆมีชาวอโศก สมณะ เพื่อนฝูงพฤติกรรม ในประเทศในโลกก็เป็นส่ิงยืนยัน เพื่อให้คุณใช้ปัญญาวินิจฉัยตัดสิน จะมีความรู้พอจะตัดสินได้หรือไม่ก็ตัวใครตัวมัน ถ้าปัญญาไม่พอก็ตัดสินไม่ได้ก็คาๆไม่ต้องตกใจ ถ้ารู้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร หากเราแน่ชัดว่าอันนี้ใช่ก็ทำต่อไป
ที่คุณไพศาลกับชัยวัฒน์ว่าพพจ.ให้ไปฟังธรรมสองข้าง ข้างไหนผิดข้างไหนถูก ก็ใช้ตัวเองตัดสินวินิจฉัยว่า อันไหนถูกเป็นธรรมวาที อันไหนอธรรมวาที ก็คุณตัดสินเองเลือกเอง นี่เป็นสุดท้ายแล้ว ใครที่สามารถใช้อย่างนี้เป็นการนำการปฏิบัติประพฤติตลอดเวลาโดยไม่ประมาทเราก็จะผิดพลาดน้อย
สัจจะที่อาตมาพยายามขยายแล้วมี phenomenal ตั้งแต่นามธรรม จนมาหยาบถึงตัวตนบุคคลเราเขา จนถึงดินน้ำไฟลมที่มารวมกันเราก็อาศัยสิ่งเหล่านี้ดำเนินไป คต หรือคติ หากเราไม่จบก็ดำเนินไป
เป็นการศึกษาอาริยสัจจะ เป็นความเจริญที่จริงอย่างนี้แหละ คนที่ไม่ได้มาเป็นอาริยะก็วนลงต่ำเป็นโลกีย์ อาตมาก็ใช้ภาษาบาลี ถ้าไม่เป็น cyclic ตั้งแต่เป็นชีวะ คือพืช ก็จะมีพลังงานประธานแล้วมีอีกสองคือบวกกับลบ ตัวประธานเป็นตัวควบคุม บวกกับลบมันไม่เป็นตัวมันเอง ทำตัวเองไม่ได้ มีแต่เหตุปัจจัยภายนอกทำให้มันเป็นไปได้
ทางฟิสิกส์ ชีววิทยา ศึกษาได้ถึงแค่พีชนิยาม แต่จิตนิยามเขาศึกษาไม่ได้มาก จะออกจากกรอบของพีชะมาหาจิต จะออกจากจิตได้ต้องมีอัญญะ
ญ คือธาตุรู้ที่รวม อยู่ในวรรค์ จ ฉ ช ฌ ญ ที่จะซ้อนสามเส้า
จ ฉ ช แล้วถึงเป็น ช ฌ ญ เป็นรายละเอียดที่ค้างไว้แค่นี้ก่อนนะ อธิบายยากขนาดไหน คุณเห็นใจอาตมาไหม ที่จะต้องมาเขียนให้พวกคุณเข้าใจ
ท่านสมณะโคดมท่านทำเสร็จแล้วก็ไป แต่อาตมาทำแล้วไม่จบก็ต้องทำต่อไปจนกว่าจะจบ อาตมาเหนื่อยกว่ามากเลย
ตอนนี้พวกเราชาวอโศกกำลังทำสังคมบวร อาตมาก็เอาราชธานีอโศก มีอยู่แค่นี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรอก อาตมาก็ตั้งชื่อเลียนแบบ เกาะรัตนราชธานี เกาะน้อยๆ แผ่นดินแค่ ประมาณพันไร่แค่นั้น แล้วต้องสร้างภูเขาแม่น้ำลำธาร ป่า ทั้งพันไร่ ขนาดนั้นยังมีคนหาเรื่องว่าเราบุกรุกที่สาธารณะ ทั้งๆที่ ที่สาธารณะอยู่ใจกลางของเรา ก็ที่สาธารณะใครเป็นคนใช้แล้วอยู่ตามหลักกฏหมาย ก็ควรให้คนนั้นทำ ก็มีคนมากวน เราก็ไม่ว่า ให้มาอยู่สิ แต่เขาก็อยู่ไม่ได้ แล้วเอ็งมีสิทธิ์อะไร ปล่อยให้เสียพื้นที่ทำไม สำเนียงเหมือนอาตมาจะขึ้น เขายั่วยวนว่านี่ที่สาธารณะนะ เราทำถนน ถ้าเกินไปที่สาธารณะที่เราทำให้สาธารณะ ให้คนอื่นใช้ได้ เขาก็ว่าเรากินที่อีก แล้วที่ข้างนี้เขาก็มาอยู่นะ แต่ก็ไปๆมาๆ ขวางคลองไว้อีก ก็แทนที่รถจะได้ว่ิงเต็มถนนก็เอาหลักมาปักไว้กลางถนน เราก็ไม่ได้ถอนเดี๋ยวหาเรื่องเราอีก คนหาเรื่องก็หาไป จนเจ้าหน้าที่บอกว่ามาอีกแล้วคนนี้ ก็ถือว่าเป็นวิบากของตนเอง
ตอนนี้เรามีหน้าที่ทำ องค์รวมบุญนิยม กระจายทั่วไปและความรู้นี้เป็นอาริยะที่ต่างชาติก็รับรู้ไป เหมือนอย่างของในหลวงร.9 ทำไว้คนอื่นก็มาสืบทอดไป ก็ค่อยพัฒนาไปตามลำดับ
สรุปอีกที ตรงนี้ว่า บ้าน วัด โรงเรียน ที่อาตมาพยายามทำให้เกิดสามเส้าแล้วจะเกิดพลังงาน สามเส้าแล้วมี osmosis เป็นอันที่ 4 แล้วจะเป็น 5 6 7 เจริญไป
เราทำสามเส้า บ้าน วัด โรงเรียน ในเกาะรัตนราชธานีอโศก ก็จะใช้คำว่า บวรราชธานีอโศก บวรภูผาฟ้าน้ำ บวรปฐมอโศก
เพื่อขยายสามเส้า บวร ของมนุษยชาติ มันจะเกิดลึกซึ้งซับซ้อนอย่างนี้ ใช้ภาษาไทย กับบาลี ไปด้วยกันมาด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น
ก ข ค ฆ ง มันก็ยังไม่จบ ง คือ งั่ง งก โง่ แล้วต้องมีงานอีกนะ ต้องงก โง่ งอ อะไรอีกมากนะ คำว่า ง ตัวเดียวนี่มันงกเท่าไหร่ โง่ก็ยังอยู่ งาม เงินก็จะเอา งมงายก็จะเอา งุ่มงามก็จะเอา นี่ภาษาไทยทั้งนั้นมาจาก ง ของบาลี มาเป็นภาษาไทยอีกเท่าไหร่ คือส่ิงเหล่านี้พูดแล้วพวกเราเข้าใจใช่ไหม ไม่ได้โมเมนะ มันใช้งานได้ไหม ตัว ง ตัวเดียวที่อาตมาสื่อนี้ แล้วจะให้อาตมาทำอย่างไร เราต้องใช้พยัญชนะกับสภาวะ เป็นการเรียนรู้เป็นพฤติกรรม เป็นการศึกษา มีหมู่มวลทำไปเรื่อยๆ โกง ก็ต้องมี ง งูอีก
ตรงก็มี ต คือตั้ง ร คือรวม ง คืองง ไว คือยังไม่จบ ถ้าตรงไปไม่มี ง เลยก็จบ ในตรงนี้มี ง. ก็ต้องจบ ถ้าตรงมี ง จะต่อก็จะเป็นรัก หรือ รวม เป็นสามเส้า
หรือจะใช้ ร. จะกลายเป็น รวน รน ระริก ได้ทั้งนั้น
รักเป็นคำดีนะ ไม่ต้องขยายความ
ในโลกต้องใช้พยัญชนะ เพราะเป็นคน สัตว์ใช้เสียงสื่อกัน สูงต่ำสั้นยาวของแต่ละสัตว์ก็สมมุติของเขา แต่ก็สู้คนไม่ได้ คนนี่เก่งชะมัด แต่ละชาติๆก็มากแล้ว หลายชาติก็ยิ่งมากมายก่ายกอง
สรุปแล้วใช้สื่อเป็นพยัญชนะอักษร กับสภาวะจริง แล้วมีผู้ใช้สื่อเป็นตัวประธาน
บทบาทสามเส้านี้ยิ่งใหญ่ไม่รู้จบ ถ้าจะจบต้องแยกเป็นสอง สองยังมีปฏิกิริยา ต้องหยุด ต่างคนต่างไปต่างคนต่างจบ ถ้านิ่ง สองอันก็จบ ถ้ากระทบกันเมื่อไหร่ ถ้าสองนี้แตะกัน ใกล้ชิดกันสุดก็อย่าสปาร์คกัน สปาร์คกันเมื่อไหร่เป็นเรื่องนะ
ขณะนี้สองทุ่ม นาฬิกานี้บอก
ก็มาถึงที่นี่ ขณะนี้บอกได้ว่าอยู่ที่นี่อยู่ แต่อาตมาใช้ภาษาว่า อภิมหาบรมไม่เที่ยง ไม่เที่ยงทั้งอภิ มหา ทั้งบรม ก็ว่ากันไป
คิดว่าวันนี้เป็นวันพิเศษไม่ได้นัดหมายบอกกล่าวกันเท่าไหร่ ก็ขออภัยคนที่อยู่ข้างนอกไม่ได้ให้สัญญาณ อย่าเสียน้ำใจนะ เป็นอันว่าก็ขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ เจริญธรรมทุกคน
ดาวโหลดเอกสารที่ https://drive.google.com/open?id=1QRIfqsfEvphYDvRXRlf8cNpa6G_Z4_GBiWU8u4hRV78
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=0B1SIObdHg192bDNGWE5ZRVpaSHc
https://www.youtube.com/watch?v=F1djJaIG5OI
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:41:59 )
รายละเอียด
600512 พ่อครู ไล่เรียงความหมายอักขระบาลี
ขณะเดินออกกำลังกายที่ภูผาฟ้าน้ำ วันที่ 12 พ.ค. 2560
ธรรมชาติแท้ เป็นเรื่อง อุตุนิยาม หรือ ฟิสิกส์ก็ชัดเจน มันเป็นเรื่องของพลังงานตั้งแต่ 2 หน่วย เกิดบวกลบคูณหารกันขึ้นไป พยายามพัฒนาเกิดขึ้นมา มันก็ก่อ ก ข ค ฆ ง
ก ก็คือเร่ิมเกิด เกิดคือ ก่อน หรือ กก กก คือต้น กก แปลว่า ต้น ภาษาอีสาน กก แปลว่าต้น กก คือเร่ิมต้น เช่น ลูกกก คือลูกหัวปี
ก คือ เร่ิมขึ้น ข คือหมดลง ค คือไม่หยุด ดึงไปอีก ค คือพลังงานที่ไม่สิ้นสุด พอ ฆ ก็ลงไปจับตัว มันจะมีอยู่ได้สองอย่าง
ง หนึ่งไม่หยุดคือโง่ ง อีกอันหนึ่งก็คือ งก งุบ งิบ แล้วก็ งับ แล้วก็ สุดท้ายหนักเข้าก็เลย งงงวย งมงาย งัวเงีย เงิบงาบ งุ่มง่าม ง่วงงุน จมอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนเลย นั่นคือตัว ง คนมาอยู่ตรง ง นี้ มาถึงวันนี้ ง ก็คือ เงิน ซึ่งเกิดมาเป็นตัวร้ายในสังคม ตราบที่ยัง ง โง่ กันอยู่
เพราะฉะนั้นต้องมีผู้รู้มาทำให้เข้าใจ จ ฉ ช ฌ ญ
จ คือ แจ้ง แล้วจาง มาจุดความรู้ ให้หาย งงงวย งุบงิบ ให้หาย งับ งาบ อยู่อย่างนั้นไม่ไปไหนแล้ว
ภาษาไทยกับภาษาบาลีมันชัดเจนมากเลย ภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทยนี่ชัดเจนที่สุด เช่น จาก ง มาเป็น งงงวย งมงาย งัวเงีย เงิบงาบ งุ่มง่าม ง่วงงุน อย่างนั้น ไม่ไปไหนหรอก จมอยู่ตรงนี้ จบ จมอยู่กับความโง่ โง่ก็จมอยู่กับเงินทอง กับเงิน กับงาม เงิน กับ งาม สองตัวนี้ อยู่ตรงนี้ เงินก็อัตตา งาม ก็กาม
เสร็จแล้วเราต้องมาชัดเจนมาแจ้ง จ ฉ ช ฌ ญ
เปิดหูเปิดตาเปิดทวารทั้ง 6 ฉ แปลว่า 6
ช แปลว่ารู้ ช ปรีชา ชาญฉลาด
ฌ ก็ทำให้สะอาดไปเลย ฌ คือต้องสลายเผา โง่ งมงาย งงงวย งก เงิน ออกให้หมด ฌ ฌา แปลว่า เผา สลายที่มันมาพอกมาเพิ่มเติม ทำให้มันไม่รู้เรื่อง บังมาปิดมาปิด
ญ คือ ยอดรู้เลย คือปัญญา สัญญา อัญญา ญ หญิงคือยอดรู้
สอง วรรคนี้แล้ว ถ้ารู้ยอดรู้ก็จบก็มีญาณทัสนวิเศษ ก็ สูญ จะจบก็ได้หรือไม่จบก็ได้ แต่ถ้าไม่รู้ไม่หยุด ไปอีกมันก็เจริญ
ฏ ฐ ฑ ฒ ณ เร่ิมต้นตัว หัว ตัวต้นมันเหมือน ภ ตัว ภ คือหมายถึง ความเจริญก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ โตขึ้นไปเรื่อยๆเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ เร่ิมรู้เร่ิมเจริญเริ่มไม่หยุด เร่ิมก้าวหน้าไปเรื่อยๆนี่เรียกว่า ภ
แต่ ภ ที่ยังไม่โต เป็น ฏ มีหาง คือยังยุ่มๆย่ามๆอยู่เลย ยังมีหางคือ ฏ
เสร็จแล้วก็ค่อยๆปรับตัว ฐ ฑ ฒ
ฒ ผู้เฒ่า คือตัวเจริญวุฒิ
ฑ คือ ท ทหารหัวแตก ยังไม่เต็ม
ณ
แล้วมาถึง ต ถ ท ธ น
ต คือการหยั่งลง แล้วสุดท้ายคือ น คือไม่มี น คือไม่มี ภาคปฏิเสธหมดสูญไม่เอาแต่เสร็จแล้วมันก็ไม่หยุด
ป ผ พ ภ ม
อันที่ห้า ก็เลยเป็นการเกิดต่อ จากสภาพตั้งแต่พีชนิยาม ป คือตัวตั้งลงไปเลย เป็นถิ่นเป็นแดนเป็นที่ ปพวก คือแดนเกิด ปักหลัก
ผ คือ เกิดต่อ มีผัสสะ มีผุดผ่อง แผ้ว ไปเรื่อยๆ
พ คือเต็ม พฤติกรรมไปเรื่อยๆไม่มีหยุด
ภ นี่ยิ่งเจริญ พวกโต
ม คือจิตนิยามเต็มรูป
นอกนั้นเหลืออีกเป็นเศษ อุกาบาต กระแส ฟรุ้งฟริ่้ง กระจายฟุ้งซ่าน เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ฬ เป็นตัวหมดแล้ว ฬ คือโอฬาร คือ ยิ่งใหญ่ที่สุด มารวบรวมไว้เป็นจักรวาล
ห เป็นตัวจริง ถือกันว่าจริงในโลก สัจธรรม หรือแท้
ฮ นกฮูก คือไทยดัดจริตเติมไปอีก จาก บาลี
อํ คือ โง่ตีกลับไม่ยอมจบ ความหมายคือ ง คือไม่จบ มันโง่
อาศัยพยัญชนะไทย บรรยายความหมายของพยัญชนะบาลีได้หมด
Download เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1InPAm-vcWM9D70ug2ecLjEkCN0o-RaVVsVh3Gqj03jI/edit
ดูยูทูปที่ https://www.youtube.com/watch?v=Xe0XLlR6xPo
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:43:25 )
รายละเอียด
600520_พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ชมร. เชียงใหม่ เรื่อง ความจริงและบวร
วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม 2550 วันนี้เป็นวันกำหนดกลับจากการพักฟื้นฟูสุขภาพที่จังหวัดเชียงใหม่ พ่อครูได้มาบิณฑบาตพร้อมกับสมณะและสิกขมาตุ ที่ ชมร.เชียงใหม่ ในเวลา 08.00 น. และเมื่อถึงเวลา 08.40 น.พ่อครู จึงได้มาเทศนาก่อนฉันที่ ชมร.เชียงใหม่
พ่อครูว่า…วันนี้ก็ฤกษ์งามยามดีอาตมาก็ได้มาพบปะกัน ถึงเหนือสุดเหนือเข้าไป เชียงใหม่เมืองใหญ่ นั่งรถนั่งเรือไปโน้นมานี่ เชียงใหม่นี่ตรงไหนตรงไหนก็ดูเหมือนไกลมันกว้างเหลือเกิน กว่าจะไปตรงนั้นถึงตรงนี้ นั่งรถจนเมื่อย กว่าจะถึงแต่ละแห่ง ดีไม่ดียิ่งขึ้นไปบนภูเขา ภูฟ้าผาธรรม ภูผาฟ้าน้ำ เหนื่อย ก็ขึ้นเขาไป
วันนี้ก็จะลงห้วย แล้วก็เดินทางไปลงแม่น้ำมูน นี่ก็ขึ้นเขาอยู่เขาหลายวัน เกือบเดือน อยู่ 18 วัน วันนี้ก็จะต้องล่องกลับไปลงห้วย ทางโน้นที่จริงที่เราก็ติดแม่น้ำมูน ราชธานีอโศก แม่น้ำมูนเราก็เอามาใช้เป็นแม่น้ำน้อย น้ำบุ่งใช้ไปก็ไหลรินอะไรไปตามประสา
ไม่เป็นโทษภัยกับใครคืออย่างใด
อาตมาเกิดมาอายุปูนนี้ ได้ออกมาทำงาน ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านทรงงาน คือเป็นงานที่มาบอกผู้คน ให้เข้าใจให้มารู้ว่าแก่นสารสาระชีวิตที่มีคุณค่าสูงสุดนั้น มันคืออย่างไร แก่นสารสาระชีวิตของมนุษย์ที่มีคุณค่าสูงสุดก็คือ ไม่ได้ไปเบียดเบียน ไม่ได้ไปเป็นโทษภัยกับใครเลย
ไม่ได้เป็นโทษเป็นภัยกับใครเลย มีความหมายกว้างเยอะมาก เราไม่ฆ่าแกงไปทำร้ายทำลายนี่ก็ชัดอยู่แล้ว เสร็จแล้วเราไปแย่งเอาสมบัติพัสถานมากอบโกยไว้มากๆ ร่ำรวยเยอะแยะ เราก็คือตัวภัย ตัวงาบ กักตุนกอบโกยเอาไว้ คนอื่นเขาก็ไม่มี
ไปกอบโกยธนบัตรไว้ ธนบัตรในแต่ละชาติๆก็มีจำนวนหนึ่ง แต่เรามาหอบไปหมดมันก็ทำให้คนอื่นขาดแคลน จับจ่ายใช้สอยน้อยลง เราก็มากอบกองเอาไว้ แบงค์เป็นตัวแทนราคา อย่างอื่นก็มีทองคำที่เขาใช้เป็นตัวแทนราคา อยู่ในธรรมชาติไม่มากเขาก็ตั้งราคา แพงแพง เกินเหตุด้วย เอาไปใช้อะไรไม่ได้แต่มันมีน้อย ใครถือว่ามีไว้ได้ก็เท่ โก้ วิเสษ เอามากักตุนไว้ รักษาเอาไว้ทำอะไรก็ไม่ได้ เอาไปใส่แกงให้เค็มก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือเพชร มันทำให้เกิดรสเค็มก็ไม่ได้ไม่ได้เรื่องอะไร แต่ก็ถือว่ามันหายาก เป็นวัสดุที่สังเคราะห์ตัวมาได้ยาก ก็เท่านั้นเอง เอามาอวดโชว์ก็รู้ยิ่งใหญ่เป็นของราคาแพงอะไร ผู้ที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะเข้าใจ
อบายมุข หรืออบายภูมิ ภูมิต่ำ นรก ชั่ว คนที่หลงใหลกอบโกย สะสมเงินทองมามากไว้เกินกว่าเหตุ นี่คือพวกตกนรกจกเปรต สะสมเงินทองไว้เกินกว่าเหตุ สะสมสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นค่า อย่าว่าแต่ทองคำหรือเพชรพลอยเลย แม้แต่อะไรก็ตามที่สมมุติกันว่ามีราคาแพง แล้วก็หลงมายึดถือไว้ เช่น พระเครื่อง จริงเท็จ มันไม่มีใครพิสูจน์ยืนยันได้หรอก ที่ว่าดีนักหนา ราคาเป็นร้อยล้านพันล้าน เอามาหวงแหนยึดไว้ราคาแพง ก็ถือว่าโง่ซ้อนโง่ ธนบัตรก็ยังเห็นกันได้ แต่นี่เป็นพระเครื่อง แล้วก็มาตีราคากันไปโรงสมมุติว่าเป็นราคาแพงเช่นรูปเขียน ไม่มีอะไรเลยก็เพียงแค่สีธรรมดา บอกว่าราคาแพง เอาไปใส่น้ำแกงให้เค็มไม่ได้ กินข้าวไปก็เป็นพิษภัยอีก มันโง่ซ้อนโง่ อาตมาเรียนศิลปะมาโดยตรง นี่เป็นการว่าพวกศิลปะโดยตรง
หลอกที่หนักหน้าสาหัสตอนนี้คือ หลอกซับซ้อนสลับไปมา จนงง ยิ่งกว่าเขาวงกต ไม่รู้ว่าจะออกอย่างไร ที่กำลังเป็นคดีหนักคือ ฟอกเงิน คือเอาเงินมาถ่ายเทไปตรงนั้นตรงนี้ จนตามไม่ได้ว่าใครเป็นคนต้นเรื่องต้นได้ คนต้นเรื่องคือคนต้นได้ ไม่รู้ว่าไปตรงไหนยิ่งกว่าเขาวงกต สุดท้ายคนที่ได้ ก็ตามไม่รู้ กลางทางยังไม่รู้เลย คือโกงกันดื้อๆ ฟอกกันไปเลี้ยวลดกันไป นี่คือความคิดที่สลับซับซ้อน ของมนุษยชาติที่เลวที่สุด เอาความรู้ไม่ทันของคนมาหากิน เป็นความสลับซับซ้อนที่รู้ได้ยาก
รากพยัญชนะบาลี สองวรรคแรก มีกับไม่มี
อาตมาก็พยายามอธิบาย ความมี กับความไม่มี
ความมีกับความไม่มีต่างกันไหม ต่างกันนะ
ที่นี้ สิ่งที่เขาจะใช้กันในโลก หนึ่ง เขาเรียกกันว่า หนึ่งสภาวะจริง สองบัญญัติคือสิ่งที่แทน
สิ่งที่จริงแท้กว่า สภาวะ สิ่งที่แทนเรียกว่า บัญญัติ
ตอนนี้อาตมากำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับ ก ข ค ฆ ง ที่เป็นตัวอักษรแทนสภาวะธรรม กำลังเขียนว่า ก แทนสภาวะอะไร ข แทนสภาวะอะไร ค แทนสภาวะอะไร ง แทนสภาวะอะไร
เอาแค่ ก ข ค นี้ ก็ต้องอธิบายกันหลายปี หมายความว่าคนรู้ก็รู้จบไปแล้วคนไม่รู้ก็ต้องอธิบายกันไป
ก ข ค เรียกว่า สามเส้า
ก ไก่คือสิ่งที่มี เกิดขึ้น
ข คือสิ่งที่ไม่มี แต่แท้จริงยังไม่จบมีอีกเยอะ แต่ถ้ามีแค่ ก กับ ข คือมีกับไม่มี ถ้าไม่มีอะไร จาก ข คือจบ ก็มีธรรมะสอง ไม่มีอื่นอีกเลย ในโลกก็มีแต่เกิดกับดับมีกับไม่มี
แต่ที่นี่คนยังไม่ยอมตายมันก็ยังมี จะมีธุลีลอองเศษเหลืออีกเท่าไหร่ เศษเหลือที่ไม่จบคือ ค ควาย ก็ต้องเกิดต่อไปเป็นอีกตัวหนึ่งเป็นสามเส้า ก ข ค จะเกิดหมุนเวียนซับซ้อนอย่างนี้ไปตลอดกาลนาน
รวมตัวกัน สามตัวนี้ ก็เป็นมวลก้อนหนึ่ง มวลก้อนนี้ก็คือ ฆ ระฆัง เรียกว่า ก้อน แท่ง มวล กลุ่ม ถ้ามันอยู่กันอย่างเหนียวแน่นเท่าไหร่ก็เป็น ฆ ระฆังที่เหนียวแน่นเท่านั้น ถ้าไม่แข็งแรงก็สลาย แต่ในอวิชชานี้ อะไรยึดติด เป็นจิตนิยาม ถ้ายึดเป็นตัวตนแล้ว ไม่มีทางที่จะล้างได้ ถ้าไม่ได้เรียนรู้ ธรรมะพระพุทธเจ้า ล้างไม่ได้ก็จะวนอยู่ตรงนั้น วันหยุดตรงนี้เรียกว่าโลกียะ
แล้วในโลกียะก็มีดี ซึ่งไม่เที่ยง ไปตามสมมติโลก ไม่แน่นอนอนิจจังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ที่นี่สมมุติต้องสีดำดี ที่นี่สมมุติสีขาวดี สีขาวนี่เลิศราคาแพง สีดำราคาต่ำ อีกที่หนึ่งบอกสีดำราคาสูง สีขาวราคาต่ำ สีขาวเลอะง่าย สีดำไม่เลอะเลย เอาอะไรใส่กับดำมันก็กินหมด มันก็ยกตัวอย่างกันไป ก็ยึดถือกันไป
ในพยัญชนะ ก ข ค ฆ ง
ง คือตัวเงอะงะ งงงง งก แล้วหลงว่า งาม แล้วหลง ว่าเป็น เงินทอง แท้จริงคือ โง่ แล้วก็ง่าว ง่าวจั๊ดนักเลย ก็อยู่แถวนี้ไม่มีทางรู้เลย
แถวที่สอง จ ฉ ช ฌ ย
ตัวแรกคือธาตุรู้เลย ตัว ง มีโง โง้ง งก เงิน งกเงิน งงงวย ไม่ไปไหนวันอยู่ตรงนี้จึงเรียกว่าอวิชชา คือ ก ข ค ฆ ง
แต่ตัวแรกที่รู้เรียกว่า จ คือรู้อย่าง จาง จ่าง แจ้ง จริงจังขึ้นมา
จ ฉ
ฉ คือ หก ฉ ฉิ่งคือหก คือตาหูจมูกลิ้นกายใจ ในสัตว์โลกมนุษย์สูงสุดมี ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ฉ
จะรู้ประกอบด้วยทุกทวาร ดูอะไรก็แล้วแต่ไม่มีลูกเกิน 6 นี้ จะสามารถดูได้ครบถ้วนในมหาจักรวาล หก นี้ เมื่อผู้ที่มีความรู้มากขึ้น จ ฉ 6
ช คือรวมตัวรู้ ฉลาด เกิดจาก ฉ ฉิ่ง ถ้าอธิบาย ฉฬายตนะ จะเอาเศษวรรคมาอธิบายก็เอาไว้ก่อน เอาแค่ วรรค แรก วรรค สอง กันก่อน
ความซ้อน ซับซ้อน ระหว่าง ก ข ค ฆ
ข กับ ค สองตัวนี้เคลื่อนไปเคลื่อนมาสลับไปสลับมา ฟังให้ดี
หนึ่ง เป็นสิ่งแทนเรียกว่าสมมุติ สองเป็นภาคความจริง
ข. ไข่ หรือ ค.ควาย คือสิ่งแทน ไม่ใช่ธาตุความจริง เรียกว่า บัญญัติ ภาษา พยัญชนะ
ข.หากไม่ยอมจบไม่ยอมหมด ตกลง ข กับ ค นี่นะ ค มันต้องมีให้ได้ถ้ามีมากก็สะสมเป็น ฆ เป็นก้อนแท่ง มวลหมู่ขึ้นมา ส
ไป ง คือคนโง่จะไม่รู้ ก ข ค ฆ ตัว ง คือไม่รู้ฐานรากสี่อย่างนี้ โง่ไปอีกนานเลย จะพอรู้ว่า เป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่ารู้มาบ้าง
ส่ิงที่งามท่านเรียกว่า สุภะ เป็นสิ่งที่งาม น่าได้น่ามีน่าเป็น
ภ สำเภา คือตัวเจริญเต็มที่ สุ คือหมายถึง ดี ส สิ สุ เป็นสามเส้า อ อิ อุ ตัว อุถือว่าเต็ม มี อา อี อู ก็เป็นตัวเสริม จะมีความหมายอีกมากเยอะเลย อธิบายไปแล้วมีอะไรแทรกอีกเยอะ
สรุปแล้วรายละเอียดพยัญชนะ จะสลับกันไปสลับกันมาทำให้งง สภาวะ นี่อาตมาก็ตั้งหลัก ตอนนี้ตัวเองก็กำลังไม่ชัดเจน อธิบายกันไปอีก สมณะเราหลายท่านก็มึนเมา กลับมาพูดอีกที จะว่ารู้ก็ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ มันก็รู้แต่บอกว่ารู้หรือยังก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่ารู้หรือไม่รู้ คือมันยากมากเลย
ความจริงอยู่ที่ใดในธรรมะสอง
ตอนนี้อาตมาพยายามตั้งหลักให้อธิบายให้พวกคุณฟังได้ง่ายๆแต่ก็ยังวนเวียนอยู่ ในความมีกับความไม่มีจะสลับ ระหว่าง ความจริงกับพยัญชนะ อักษรคือสิ่งที่คนคิดมาแทนสภาวะ
สิ่งแทน มันไม่ใช่ของจริง ของจริงมันไม่ใช่สิ่งแทน สลับกันไปมา ใช้ในโลก พอเวลาเราพูด เราพูดไม่เป็นความจริงไหม พูดนี่เป็นสิ่งแทนนะ ไม่ใช่ความมีนะ ความมีไม่ใช่คำพูด พอพูดออกมามันเป็นส่ิงแทนแล้ว มันไม่ใช่ความจริงไม่ใช่ของจริง ของจริง ไม่ใช่คำพูด แต่มันต้องใช้คำพูดสื่อให้โลกของจริง
เมื่อใดคุณพูดสื่อความจริง คนที่รับความจริงได้ความจริง คนที่พูดนี้คือคนไม่จริง คนที่มีความจริงเอาความจริงมาพูด พอเอาความจริงมาพูด มาพูดออกไปนี้คือความไม่จริง ความจริงมันก็อยู่กับเรานี่แหละ แต่ที่พูดออกไปนี้บอกให้คุณ แล้วคุณมีความจริงอันนี้ ถ้าคุณมีความจริงอันนี้พอเราพูดออกไปคุณก็ รู้ อ๋อ
ถ้าคุณมีความจริง คุณพูดไม่เป็น ฟังแล้วก็จะรู้ เช่น เมื่อกี้นี้พูดกับคนต่างชาติ คนต่างชาติพยายามพูดภาษาไทย อาตมาก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เขาก็เลยพยายามใช้ภาษาเพื่อจะบอกความจริงที่เขามี เสร็จแล้วภาษาที่เขาพูด อาตมาก็ไม่รู้ก็เลยได้แต่ความไม่จริง
ทีนี้อาตมาพูดความจริง คุณฟังความจริงออกก็ได้ความจริงไป ภาษาคุณไม่ต้องพูดก็ได้ของจริงไปแล้ว ทีนี้ คุณจะเอาของจริงไปให้ใคร เป็นคนนี่มันมีภาษาให้สื่อได้ ก็บอกให้ไปทำเอง ถ้าเขามีอยู่แล้ว บอกว่าเคยมีแต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว
เอาโกรธไป อ๋อ เคยมี บางคนบอกว่าอย่าว่าแต่เคยเลยเดี๋ยวนี้ก็มีอยู่ แต่รู้ได้ เอา หรือจะไม่เอา แต่มันยังมีอยู่เอาออกไม่ได้หมด ไม่อยากมีหรอก
ความจริงกับภาษาพูดนี้จะสลับไปมา อาตมาพูด ก็ไม่จริง จริงไปอยู่ที่คนอื่นพอจะรับได้ ถ้าคุณมีจริงแล้ว บอกมา ก็เอาของไม่จริงยื่นมาให้ แต่อาตมามีของจริงก็จบ แต่ถ้าคุณพูดออกมา อาตมารับปั๊บ อาตมาไม่มีก็ยังไม่ตรงก็ไม่มี
ที่พูดวนนี้คือธรรมะ 2 ถ้าอะไรเกิด 2 แล้วมันจะสลับไปมา ถ้ายิ่งเป็นสองคนสองสิ่ง มันจะสลับไปมา สองคนนี้จะพูดคุยสื่อสิ่งหนึ่ง ต่างคนจะสลับกันทันที่เลยตลอดมา คนหนึ่งพูด คนหนึ่งรับไป ความจริงก็ไม่อยู่ที่คนพูด พูดนี้ไม่จริง ที่จริง ถ้าคนนี้รับได้ไม่ต้องพูดเขาก็จริง แต่ถ้าเขาไม่มี เขาพูดออกมา ถ้ามันตรงกับความจริงเท่าไหร่ มันก็ยังไม่จริง เพราะเขาแค่พูด แค่บัญญัติสื่อส่ิงแทน
นี่แหละคือความเมา ความสลับไปสลับมาที่ทำให้ จะอธิบายสัจจะสูงสุด รู้ประเด็นนี้แล้วจะพยายามสื่อ ถ้ามันหยาบ ไม่ใช่นามธรรมที่เดียวมันก็สื่อสารกันง่าย เข้าใจได้ ถ้าไม่ใช่สิ่งหยาบ เป็นสิ่งที่ละเอียดก็ยากขึ้นยากขึ้นจนกระทั่งยากมาก
การศึกษาความจริงกับสิ่งแทน กับคนที่เกิด คนที่ไม่พากเพียรคือกูไม่ยุ่งกับใครไม่สื่อกับใคร สื่อสารไปคนก็ไม่เข้าใจ อันนี้เป็นลัทธิอยู่คนเดียว จะต้องอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เขาต้องอาศัยกินใช้ ก็เหมือนสัตว์เดรัจฉานบางตัว ปลูกกินทำกินไปแต่ไปอยู่อย่างไร ก็ต้องหมดอายุ ก็ต้องตาย คนคนนั้นก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเฉยๆไม่มีความเจริญอะไร มีแต่ถ้าเผื่อว่าคิดอย่างนี้ถือว่าอย่างนี้เป็นสิ่งดี แม้เขาจะมีวิบากต้องเกิดมา ก็ติดยึดต้องเป็นคนอย่างนี้ อยู่คนเดียวกินคนเดียวตายคนเดียว ต่อให้ไม่ไปทำลายสัตว์อื่นให้เป็นวิบากเลย ยุ่งแต่อุตุนิยาม พีชนิยาม สองอันนี้ไม่มีการจองเวรไม่มีวิบาก พวกธาตุดินน้ำลมไฟ มหาภูตรูป กับชีวะแค่พีชะ ไม่มีการจองเวรจองกรรมไม่มีรักไม่มีชัง ไม่มีวิบากอะไรกับใคร
คนยังสงสัยไม่รู้รอบถ้วนก็งง บอกว่ากินพืช พืชมันก็มีชีวิตก็จะเป็นบาปเขาไม่รู้ก็เถียงไป เขาไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ เป็นจิตนิยามเป็นต้นไปถึงมีวิบาก ถ้าไม่รู้ละเอียดอย่างนี้ก็จะไม่จบ ถ้ารู้ละเอียดลอออย่างนี้ก็จะไปกินทำไมกับเนื้อสัตว์ เพราะกินแล้วมันจองเวรจองกรรม เปิดที่มันไม่ได้คิดว่ามันจะจองเวรจองกรรม แต่มันมีธาตุอัตตาตัวตน
พืชเป็นตัวตนแล้วแต่เป็นตัวตนที่ไม่สร้างวิบากแต่ถ้าเริ่มเป็นสัตว์ มันเป็นพลังงานตัวใหม่ที่มี วิบาก เร่ิมตั้งแต่เซลล์สามเซลล์ ครบพีชะก็ตัวตนสาม จิตนิยามก็ตัวตนสาม จากสามเส้า 3 6 9 แล้วเป็น 10
อธิบายเป็นเรื่องของปรมัตถ์เป็นเรื่องของนามธรรม อรูปละเอียดมาก แต่ก็มีพลังงานลักษณะอย่างทางฟิสิกส์ เกิดการดูดการผลัก สลายทำลายไป เกิดก็ได้ จนมาเป็นชีวะก็มีตัวเจ้าของเป็นประธานมี 2 ธาตุ ธาตุบวก ลบ อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ
ตัวประธานคือ i มี she กับ he หญิง ชาย กับตัวประธานสังเคราะห์กัน จะล้างกันสังเคราะห์กันไปอีกนานเท่านาน
สามเส้าของ บวร บ้าน วัด โรงเรียน
มาพูดถึงสิ่งที่หยาบกว่านั้น อธิบายสามเส้าของตัวหยาบคือ บ้านวัดโรงเรียน
ตอนนี้อาตมาพยายามบูรณาการวิวัฒนาการความเป็นบ้านวัดโรงเรียน ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ให้เป็นความสำเร็จ บ้านหมู่บ้านสังคม จนกระทั่งถึงหมู่บ้านใหญ่ขึ้น เป็นตำบลเป็นอำเภอเป็นจังหวัดก็ตาม อาตมาไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูงจะให้เป็นสาธารณโภคี ทั้งจังหวัด อาตมาไม่หวังหรอกในชาตินี้
อย่างที่ราชธานีอโศก มีอยู่ 11-12 หมู่บ้าน อาตมาก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ทั้ง 12 หมู่บ้านหรอก ถ้ามันได้สัก 8 หมู่บ้านก็ไชโยแล้ว นี่หมู่บ้านที่ 2 ก็ไม่ได้แล้ว แต่ไม่แน่ อัตราก้าวหน้าอาจเป็นไปได้
บ้านวัดโรงเรียน เป็นเสาเส้า อยู่กันอย่างมีคุณภาพระดับสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 ระดับสาธารณโภคี
อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรมเมตตาวจีกรรมเมตตามโนกรรม มีเกื้อกูลช่วยเหลือ แบ่งกันแจกกัน ไม่วิวาท เป็นเอกีภาวะ อยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่นอย่างที่เราเป็นไปได้ เสร็จแล้ว เราก็จะเชื่อมโยงให้อันอื่นมาเป็นเช่นเราเป็น
ให้การศึกษา เกื้อกูลช่วยเหลือ ผูกสัมพันธ์เชื่อมต่อให้ความรู้ ให้ความจริง เช่น เราทำอยู่ทุกวันนี้ เอาความจริงมาอธิบาย เช่นที่อาตมาตั้งหลักที่ราชธานี เป็นตัวต้น ตัวหัวหน้า เราจะมีการเชื่อมโยงกับสังคมด้วย สังคมก็มีการค้าขายเราก็มี
สังคมมีเผื่อแผ่แจกจ่ายกันเราก็มี สังคมมีการสัมพันธ์ติดต่อกันไปมาเราก็มี สังคมเขามีการจ้างกันมีวานกัน เราก็มี มีการค้าการขายเราก็มี สรุปคือเรื่องแจกของกันไปมา แลกกันไปมา เผื่อกันไปมา
หลักเกณฑ์ของเราก็คือ จะแจกให้จะต้องต่ำกว่าราคาตลาด นี่ถือว่าเป็นคนแย่สุดแล้ว ของที่เรามีจากให้คนอื่นแล้วและกลับมาในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ในกลุ่มชาวอโศกทำแบบนี้ถือว่าชั่วที่สุด
ดีที่สุดคือแจกฟรี แต่เอากลับคืนมาแม้ไม่เกินราคาตลาด ต่ำกว่าราคาตลาดก็ถือว่าชั่วที่สุดแล้วในสี่ขั้นนี้ หนึ่ง ต่ำกว่าราคาตลาด สองเท่าทุน สามต่ำกว่าทุน สี่ แจกฟรี ถ้าใครเกินกว่าราคาตลาดนี้ ไม่ต้องพูด
แค่ตำ่กว่าราคาตลาดก็ยังชั่วที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องต่ำกว่าทุน ไม่ใช่แค่ต่ำกว่าราคาตลาด ราคาตลาดมันขึ้นอยู่กับอะไรต่างๆ แบบทุนนิยม มันเอาตัวมากสุดไปตั้ง คนอย่างเราไม่ยุ่งกับเขาหรอก
สรุปแล้ว การแลกเปลี่ยนของเรากับสังคมมนุษยชาติก็มี แต่นโยบายของเรา เป็นการแลกเปลี่ยนโดยการไม่เอาเปรียบ แลกเปลี่ยนด้วยการเสียเปรียบ หรือสละเสีย เราเสียให้เขานี่แหละคือเราได้ จบพระราชดำรัสของในหลวง ตรัสไว้ท่านก็จบเท่านี้
สอง การศึกษาเล่าเรียน ที่จะใช้ความรู้สามัญในโลก เป็นพื้นฐานเราก็มีไม่ได้ต่ำกว่ามาตรฐานของแต่ละสังคมประเทศ การศึกษาตามกระทรวงเขากำหนดเราก็มี โรงเรียนสอนตามนิตินัยเราก็มี เป็นความรู้สามัญโลกีย์ในโลก ส่วนความรู้อาริยธรรม ไม่ถือตัวตน ลดตัวตน เห็นแก่ตัวตนให้น้อยที่สุดจนไม่มีตัวตนไม่เห็นแก่ตัวได้เลยก็จบ
ความรู้อันนี้เราก็ต้องเป็นหลัก โรงเรียนของเราจึงเป็นโรงเรียนศึกษาโลกุตระ ไม่ใช่โรงเรียนแบบโลกียะ ซึ่งก็เข้าใจกันได้ยาก แต่มันก็เป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ไม่มีทางเลือก เป็นเรื่องที่จะต้องทำถ้าไม่ทำก็ไม่มีใครทำ มันต้องเป็นเรา
การศึกษาที่เป็นการศึกษาลึกซึ้งสูงสุดคือการศึกษาที่ไม่แยกจากความเป็นคน ไม่แยกจากสังคมกลุ่มหมู่ ไม่แยกจากทั้งตัวตนบุคคล กรรมกิริยา กาย วาจา ใจ ทั้งสิ่งหมุนเวียนวัตถุแรงงานความคิดก็ไม่ได้แยก เรียนรู้กันหมด
การศึกษาที่เรียนรู้อย่างไม่แบ่งแยก ก็ต้องทำร่วมกันตั้งแต่ตัวบุคคล ลึกที่สุด วิญญาณจะไม่แยกกัน อาตมาระลึกได้ แล้วก็กำลังจะเอามาย้ำยืนยันให้พวกเราเข้าใจ
คือวิญญาณลึกละเอียดเนียนแบบไม่ต้องรู้ตัวไม่ต้องเจตนาไม่ต้องยัดเยียด แต่เป็นพลังงานละเอียดที่ซึมเข้าหากัน อาตมาใช้ภาษาว่า osmosis คนจะมีเจตนาหรือไม่ก็ตาม จะอยากให้ซึมเขาหาหรือไม่แต่น้ำก็ไหลเข้าหาน้ำ น้ำมันไหลเข้าหน้าน้ำมันธาตุที่ดูดกันก็จะรวมกัน ธาตุที่ผลักกันก็จะทำลายกัน
osmosi มันดูดกันเอง จะมีธาตุรู้หรือไม่ก็เป็นของมันเอง มันไหลเข้าหากันเอง คุณไปห้ามมันก็ไม่อยู่ ไม่มีสิทธิ์จะไปหามันเลย เอามือเท้า ไปห้ามของละเอียดได้หรือ มันยิ่งกว่าหายตัวเลย ทะลุทะลวงกำแพงได้หมด กั้นมันไม่อยู่หรอก
ในลักษณะ osmosis อาตมาถึงว่าจะทำการศึกษาที่ไม่แยกอะไรเลย ตลาดจะอยู่ที่เดียวกันกับมหาวิทยาลัย อาตมาสร้างเฮือนสวน โรงเรือนพื้นที่ 11 ไร่ ชั้นบนเป็นการศึกษา ชั้นล่างเป็นตลาด รับรองว่ากระทรวงการศึกษาไม่อนุญาตหรอก แต่ปัญหาก็จะทำ อย่างไรก็สอนฟรีไม่เก็บเงิน ใครจะมาเรียนเข้าเรียนฟรี ต้องการให้เป็นที่สอนสัจจะ ไปขนาดนั้นยังไม่ค่อยมีคนมาเรียนเลย เรามีคนหนึ่งครึ่งคนเราก็ทำ ครึ่งคนคือมันไม่เรียนเต็มใจมาแค่ครึ่งใจ แค่คนแสวงหามี อาตมาไม่ได้ขาดลูกค้าหรอก นร.ก็จะมี ครูก็จะมี อย่างน้อยอาตมาไม่ตายก็เป็นครู
แต่คนที่ชัดเจนจะมาช่วย ก็จะตั้งหน้าตั้งตาสืบสานความรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธศาสตร์ เรามั่นใจว่าไม่ใช่ของปลอมของเก๊แต่เป็นของจริงนี่คือศาสตร์ของพระพุทธเจ้า ที่จะต้องสืบสานต่อไป
ตั้งแต่หยาบถึงละเอียด ละเอียดถึงหยาบ คนที่มีปัญญาจะรู้ว่ามันอยู่กันอย่างไม่มีตัวตนไม่ขี้เหนียว แจกจ่ายช่วยเหลือ อยู่กันอย่างอิสระช่วยเหลือกันไม่ไปทำร้ายใคร ก็เห็นว่าดีก็มาช่วยกัน
อาตมาว่า นี่เป็นสภาวะจริงที่คนมีปัญญามีความรู้ที่รู้ได้ชัดอันนี้ คนไหนๆแสวงหาเขาต้องมาเอา แม้มันจะมีมากหรือมีน้อยแค่ไหน ถ้ามันมี
แต่อาตมาว่ามันไม่หมดไม่อยู่ในฐานะไม่มี เพราะอย่างน้อยนักบวชก็ต้องอยู่แล้วอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 คน พระพุทธเจ้าเริ่มจาก 5 คน ทำไปจนกว่าจะตาย ความจริงนั้นมีสิ่งเดียวไม่มีสอง สัจจะไม่มี 2 มีสิ่งเดียว สิ่งที่เกิดเป็น2 ก็รู้ว่าสองคือความต่าง แต่อันหนึ่งต้องเป็นรองอันหนึ่งต้องเป็นหลัก
อาตมามุ่งมั่น ที่ยังไม่ตายง่ายๆ จักรยานสร้างสิ่งนี้ให้สำเร็จเป็นวงจร ให้สำเร็จอย่างดีก่อน ถ้าแม้ว่าอาตมาทำไม่สำเร็จจริงๆอาตมาเชื่อว่า ผู้ที่ยังอยู่จะสืบสานต่อไปให้ดี แต่ไม่อยากให้ตกหนักที่ท่านเท่านั้นจะอย่างไรก็พยายามพากเพียร ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากขึ้น
เพราะฉะนั้นหมู่บ้านก็ดี ธรรมะ หรือ วัด ก็ดี จะต้อง ให้เกิดอยู่ตลอดเวลา โดยการสื่อสารให้รู้ให้เกิด คน เป็นหมู่คน แล้วก็คือธรรม เป็นโลกุรธรรม ไม่มีตัวตน แต่มีคุณภาพ พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ ครุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
อาตมาว่า 7 คำนี้สมบูรณ์แบบนี้ ถ้ามีจิตเจ็ดตัวนี้สมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ อัตภาพของใครมีคุณลักษณะ 7 นี้
สังคหะช่วยเหลือกัน อวิวาทะ จะเห็นได้ว่าชาวอโศกไม่มีการทะเลาะกันอย่างมากมายเลย มีปากหอกเท่านั้น แล้วก็เลือดไม่ออกหรอก มีแต่เจ็บใจ แล้วอยู่ไหนเอามาให้ดูสิว่าเจ็บใจอยู่ตรงไหน
สามัคคียะ เรียบร้อยเป็นปึกแผ่นเป็นเอกีภาวะ
ภาษาทั้ง 7 นี้ชาวอโศกมีได้แล้ว เราจะทำให้ดียิ่งขึ้น ให้เป็นรูปธรรมที่คนตาบอดเห็นได้ เหมือนอย่างหนูคนตาบอก ร้องเพลงบอกว่า มองเห็นพระเจ้าอยู่หัว แต่เขาเป็นคนตาบอด ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่คนตาบอดแต่มองเห็นหมด
เป็นการมองเห็นทางจิตวิญญาณเป็นความลึกซึ้ง ซาบซึ้งประทับใจจริงๆ ไม่มีอะไรหลอกมันจริงสุดยอด เป็นความประทับใจยืนหยัดยืนยันสุดยอดยึดถือ เป็นสิ่งที่ซับซ้อนเป็นการศึกษา ที่สื่อให้ฟังว่า อาตมาพูดออกไปนี่ความจริงหรือไม่...มีสองเสียง จริง และไม่จริง
อาตมาพูดไม่จริง แต่ความจริงจะอยู่ที่ใครก็คนนั้น ต้องแยกให้ชัดๆอย่างนี้
สองคำนี้จะสลับไปมา ที่อาตมาต้องอธิบาย ชาติแล้วชาติเล่า เขียนพยัญชนะ แก้ไปแก้มา
ขอสรุปจบว่า เราจะทำสิ่งๆนี้ให้เป็นรูปธรรมที่ให้คนเห็นได้มากเท่าที่จะมาก
ทุกคนระวังว่า รู้ตัวก็สายเสียแล้ว ต้องให้ รู้ตัวก็สูงเสียแล้ว
อย่าให้รู้ตัวก็สายเสียแล้วต้องให้รู้ตัวก็สูงเสียแล้ว...เอวัง
https://youtu.be/EFRVXnuKaSs
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:44:43 )
รายละเอียด
600521_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สังคมประเสริฐสุดต้อง บวร
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2560 รายการนี้ว่างเว้นไป 2-3 สัปดาห์ เนื่องจากพ่อครูได้ไปฟักฟื้นสรีระให้แข็งแรง จะได้อายุยืนยาวต่อไปอีก ทำงานเพื่อพระศาสนาต่อไป เราก็ต้องพยายามอยู่เรียนรู้ ไปกับพ่อครูต่อไป ให้พ่อครูได้เปิดเผยสัจธรรมให้แจ่มแจ้งต่อไป
ตอนนี้ที่ราชธานีอโศกใกล้เปิดตลาดนัดบุญนิยมมาเป็นสัปดาห์ที่ 3 ที่นี่เป็นบวร มี บ้าน วัด โรงเรียน มีร้านหนึ่งเป็นร้านขายผ้า หนีเงินหมื่น มาเอาเงินพัน เจ้าของร้านบอกว่าไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มาก่อน เขาได้เงินหมื่นเขาว่าเขาทุกข์ แต่มาได้เงินพันนี้ มีความสุขกว่า เขาอยากมาอยู่ที่นี่ อยากเอาลูกมาเรียนที่นี่ เขาไม่ได้มาฟังเทศนา แต่เขาได้ซึมซับสิ่งอันนี้จากพวกเรา
พ่อครูว่า...อันนั้นแหละคืออัญญธาตุเกิดขึ้นที่จิตเขา อัญญาสิ วัตโพ
สมณะฟ้าไทว่า..เขามีลูกอยู่คนหนึ่ง จะทำอย่างไรจะมาอยู่นะ แค่นี้ก็คุ้มค่าแล้ว คนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
พ่อครูเทศน์ไป ตอนนี้เกิดเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เขาได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขาเอง ตลาดของเราเปิดวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ ตอนนี้เราเห็นว่าน่าจะเลื่อนมาเปิดวันพฤหัสศุกร์เสาร์ เขาจะได้ซึมซับพฤติกรรมของชาวอโศก
อีกที่หนึ่งที่พ่อครูได้พาทำ บวร ราชธานีอโศก คือที่โรงปุ๋ย มีบ้านวัดโรงเรียนทำงานไปด้วยกัน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ นักบวช เด็กก็ทำงานเต็มที่ เห็นผู้ใหญ่เสียสละเด็กก็ขอทำงานต่อบอกให้เลิกก็ไม่เลิก
พ่อครูว่า...อาตมาหายไปหลายวันไปอยู่บนภูเขา หลายคนก็บอกว่าอาตมาไปพักฟื้นสุขภาพ แต่อาตมาว่าพลังงานอาตมาก็มีอยู่ ใช้ไปก็ยังมีเหลือเฟือ
สังคมประเสริฐสุดต้อง“บวร”
(1) “บวร”อักษรย่อนี้ สร้างคน
มากประโยชน์หลากผล ยิ่งแท้
หากชัดค่าคุณจน แจ้งแจ่ม จริงเฮย
“บ้าน,วัด,โรงเรียน”แล้ สุดซึ้งสมประสงค์
(2) พุทธองค์ทรงรู้จบ ถ้วนรอบ
ถ้ามนุษย์จักประกอบ “หมู่”ไซร้(หมู่=สังคม)
“สัปปุริสธรรม”ชอบ ด้วย“เหตุ”
“สัมผัส”สัมพันธ์ใกล้ ชิดให้เสมอสมาน
(3) ต่างสานสลับตอบโต้ ไปมา
ซึมซับเซาะเพาะพา หลุดพ้น
“ออสโมซีส”นี้หา ใดเปรียบ ได้แล
ยิ่งกว่ารู้จักต้น จากตื้นกลางปลาย
(4) สหายสาม“บวร”นี่นี้ สำคัญ
มันเก่งเกินสามัญ โลกรู้
มีปฏิกิริยากัน ซึมลึก ยิ่งรา
บ้าน,วัด,โรงเรียน ผู้ ผลิตได้เข้าถึง
(5) ซึ่ง“ออสโมซีส”นั้น ซ้อนซับ
ทั้งนอกในทุกระดับ ละเอียดล้ำ
มันสัมผัสตอบรับ กันตลอด
ทั้งใหม่ทั้งเก่าย้ำ ตอกซ้ำสัญญา
(6) คลังมหานิธินี้ ในคน
กอปรเก็บอย่างแยบยล ครบถ้วน
“บ้าน”มีประโยชน์โพดผล ผนึกหมด
“วัด”คัดแต่ธรรมล้วน เลิศด้วย“อนุตระ”
(7) ชนะ“โรงเรียน”ทุกพื้น ภูมิเพ็ญ
พุทธจิต“อิสระ”เป็น หนึ่งฟ้า
“เมตตา”ยอดประเด็น พุทธยก เยี่ยมเลย
ยิ่ง“เพื่อประชา”ท้า ทั่วหล้า“อธิปไตย”
“สไมย์ จำปาแพง” 6 พ.ค. 2560
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 323 ประจำเดือนมิถุนายน 2560]
สังคมประเสริฐสุดต้อง บวร
สังคมทุกวันนี้มีโรงเรียนแต่ไม่มีวัด หรือมีวัดแต่ก็เผยแพร่แต่วิชชาเดรัจฉาน เขาก็เลยบอกว่าไม่มีวัดเสียเลยดีกว่า เพราะว่ามีแต่บ้านกับวัดก็พอเป็นไป
บ้านวัดโรงเรียนจะเป็นสัจจะที่ทำให้คนพัฒนาการ เจริญขึ้น แต่ถ้าวัดเป็นเดรัจฉานวิชชาก็จะเสื่อม
จะทำอย่างไรให้เกิดสามเส้านี้ ให้เกิดมีบ้านมีสังคม มีโรงเรียนมีแหล่งการศึกษาเผยแพร่แก่กันและกัน สื่อสารต่างๆก็เป็นการศึกษา เป็นการศึกษาโดยสภาวะธรรมสามัญปกติสามัญด้วย ยิ่งมีเจตนาปัญญา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้มีศิลปวิทยา ให้คนเกิดปฏิภาณรับรู้ ก็ยิ่งดี
ผู้ใดเข้าใจบ้านวัดโรงเรียน 3 อย่างนี้ สุดซึ้งสมประสงค์ รับรองว่าการบริหารบ้านเมืองอะไรต่างๆจะสมบูรณ์
เขาจัดการศึกษา โดยไม่เข้าใจว่ามีธรรมะในนั้นไหม ในบ้านมีธรรมะไหม ขาดตัวธรรมะ โดยปริยาย เขาก็บอกว่าก็ต้องมี พระเมืองไทยนับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำ มีวัดมากมาย มีพระหลายแสนรูป ก็ต้องไปจ่ออะไรละเอียดว่าเรานั้นได้ให้การศึกษาศาสนาอย่างไรแก่ประชาชน ถ้าเจาะเข้าไปลึกแล้วจะเป็นโลกิยธรรม แถมเป็นอบายมุขอีกด้วย ที่เป็นวัดวาให้การศึกษาทางธรรม และโรงเรียน งบประมาณกระทรวงศึกษาธิการมากกว่ากระทรวงกลาโหม แต่ที่ให้แก่ประชาชนเป็นเดรัจฉานวิชชา
ในหลวงท่านว่าให้ปิดตำราเสีย แต่ท่านจะพูดว่าให้มาดูตำราศาสนาพุทธไม่ได้ ประวัติท่านดูแลหลายศาสนา มันก็บอกว่าให้ใช้แบบอลุ่มอล่วย ก็ชี้ตามจริงใจตามภูมิว่า คุณต้องมาเหลือบดูตัวกลางคือศาสนา บ้านก็คือสังคมมีการปกครองให้เจริญไป แต่ต้องให้ธรรมะด้วย โรงเรียนถ้ามีธรรมะก็ยิ่งดีใหญ่ คำว่าธรรมะจึงเป็นคำกลางที่จะต้องเน้นนัยยะสำคัญของตัวกลาง จะอยู่ที่บ้าน อยู่ที่วัดหรือโรงเรียน คำว่าธรรมะจึงเป็นยาดำที่เป็นธรรมฤทธิ์ ให้เกิดผล
โทษสองอย่างคือ มโนปโทสิกะ กับขิฑฑาปโทสิกะ พวกหลงใหลไปกับโลกรื่นเริง เป็นกามสุข คือขิฑฑาปโทสิกะ อีกพวกหนึ่งไปวุ่นที่จิตแล้วไม่เรียนรู้จิตให้ครบ คืออะไร คือไม่เรียนรู้ให้มีธรรมะสอง คำว่าธรรมะสองคือสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุด
ภาษาฟิสิกส์ ธรรมะสองคือ นิวเคลียร์ฟิวชั่นกับนิวเคลียร์ฟิชชั่น พพจ.ก็ว่า สิ่งที่กระจายทิ้งจับไม่ติดเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นก็ไม่เป็นไร เราก็เรียนรู้นิวเคลียร์ฟิวชั่น
ในปฏิจจสมุปบาท มีรูปนาม นามเข้าไปรู้รูป ในเจโตปริยญาณ 16 มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ไปรู้ว่า อาการ สราคะ สโทสะ สโมหะ ให้ลดลง เป็นวีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ปฏิบัติได้ผลจะแยกออกเป็น 2 สกุล คือตระกูล Fission กับตระกูลfusion
เรียกว่า สังขิตตังจิตตังคือ นิวเคลียร์ฟิวชัน วิกขิตตังจิตตังคือ นิวเคลียร์ฟิชชั่น
การศึกษาต้องมีสิ่งเปรียบเทียบและจะเข้าใจได้ดี ถ้าละเอียดๆ ตัวเปรียบเทียบจะน้อยลงไปจนกระทั่งไม่มีอะไรเปรียบเทียบ อย่างอาการนิพพาน ที่เป็นนัตถิอุปมา
อาตมาสอนมาย่าง 47 ปีเต็มแล้ว หลายอย่างที่อาตมายังดึงเอามาให้พวกเรารู้ไม่ได้ มันยังไม่ถึงกาละเวลา หรือสองดึงยังไม่ขึ้น ก็ยังไม่หมด ควรจะออกมาให้อีก เลยไม่กล้าตาย ยังตายไม่ลง
มาเข้าสู่ที่อาตมาตั้งหลักว่า สามเส้า
ธรรมะของพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ธรรมะ 2 ต้องมีผู้เรียนคือประธาน ช่วยตัวเองเป็นตัวการ แล้วไปรู้ธรรมะ 2 เสมอ เช่นเดียวกันกับฟิสิกส์ที่จะต้องเรียนรู้นิวเคลียร์ฟิวชั่นกับนิวเคลียร์ฟิชชั่น ถ้ารู้สองอย่างนี้แล้วทำให้พลังงาน หลักที่เป็น static เป็นพลังงานหลักแล้วมีพลังงานแรงเคลื่อน ที่เป็นตัวประกอบอยู่
แรงเคลื่อนสามารถทำให้เกิดตัวแปรเป็นคูณ คือ co efficiency คือสัมประสิทธิ์ ที่จะทำให้ตัว dynamic และ static แล้วมี co efficiency เป็นตัวที่ 3 เป็นอัตราการก้าวหน้าระดับคูณไปได้เรื่อยๆเจริญ ไม่จบ เป็นสามเส้าระหว่าง dynamic และ static แล้วมี co efficiency
หลักการของพระพุทธเจ้าไม่ให้อยู่นิ่งแบบไม่รู้อะไรแบบ นั่งสมาธิดับจิตไปไม่รับรู้อะไร แต่ ต้องมีจิตที่เป็น กายปาคุญญตา แปลว่า จิตเจตสิก องค์รวมธรรมะสองรูปกับนามที่ทำงานแล้วเกิดผลเป็นนามธรรมที่ เวทนา สัญญา สังขารแคล่วคล่อง รวมแล้วคือวิญญาณ แคล่วคล่อง
1.การนั่งหลับตาสะกดจิตเป็นมิจฉาทิฐิที่ทวนกระแสศาสนาพระพุทธเจ้า
2.คุณดันทุรังทำไปให้ตายอย่างไรก็ไม่เกิดการเจริญมีแต่เสื่อมกับเสื่อม
ขออภัยพูดหนัก เพราะได้พูดมาตั้ง 46-47 ปีแล้ว ยังไม่กระเตื้องเลย
ศาสนาพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติสัมมาสมาธิด้วยปฏิบัติสัมมาอาชีพ แล้วล้างมิจฉาอาชีพให้หมด ตั้งแต่ กุหนา ลปนา ทำได้แล้วก็ตั้งตนอย่างพ้นมิจฉาชีพ เนมิตกตา ลปนา จนเป็นลาเภ น ลาภัง นิชิคิงสนา
ให้พ้นมิจฉากัมมันตะ สาม คือละเว้นการเบียดเบียน ชีวิตสัตว์
ไม่ไปละเมิดเอาของที่ไม่ใช่ของตน
ไม่ไปละเมิดในกาม
ปฏิบัติพ้นมิจฉากัมมันตะ 3 ทุกเวลาต้องคิดสังเคราะห์ สังขาร ให้พ้นจากมิจฉาวาจา มิจฉาสังกัปปะ ต้องทำสัมมาสังกัปปะ 7 ให้รู้เข้าไปถึงเจตสิกต่างๆ เกิด อัปปนาเจตสิก พยัปปนาเจตสิก เจตโสอภินิโรปนาเจตสิก ให้เกิด วจีสังขาร โดยมีตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ
ท่านไม่ได้ให้ไปนั่งหลับตาตรงไหนเลย มีแต่ทำสัมมาในมรรคองค์ 8
(2) พุทธองค์ทรงรู้จบ ถ้วนรอบ
ถ้ามนุษย์จักประกอบ “หมู่”ไซร้(หมู่=สังคม)
“สัปปุริสธรรม”ชอบ ด้วย“เหตุ”
“สัมผัส”สัมพันธ์ใกล้ ชิดให้เสมอสมาน
โสดา เสมอ โสดา สกิทาเสมอสกิทา อนาคาเสมออนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ คือผู้ที่เสมอสมานกันก็จะรู้กัน ผู้สูงไม่ได้ข่มผู้ด้อย ผู้ด้อยก็ไม่ได้ทำเป็นรุกรานผู้สูง ไม่เคารพนับถือผู้สูง มันไม่ถูก
(3) ต่างสานสลับตอบโต้ ไปมา
ซึมซับเซาะเพาะพา หลุดพ้น
“ออสโมซีส”นี้หา ใดเปรียบ ได้แล
ยิ่งกว่ารู้จักต้น จากตื้นกลางปลาย
จะซึมซับหากันอย่างไม่รู้ตัวได้ มีพลังงานที่เป็น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอย่างลึกซึ้ง จะเกิด osmosis ของบวร อย่างรู้ต้น กลาง ปลายได้
ต้องใช้สัญญากำหนดหมาย สัญญาเป็นตัวทำงานแรกเลย คนที่ใช้สัญญาเป็นจะเลือกได้ จะเอาสิ่งที่เป็นกุศล ไม่เอาสิ่งที่เป็นอกุศล มีอำนาจมีความรู้พอ ที่จะเลือกเก็บเป็นสัญญา ใช้สัญญาได้ ถ้าปฏิบัติธรรมได้แข็งแรงจะทำให้จิตมีอำนาจ ไม่เอาอกุศลได้ สติเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตระ(เหนือ) ทำให้เกิดจิตที่เป็นอมตะ (โอคทา) ทำได้แล้วจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเมื่อไหร่ก็ได้
คลังมหานิธินี้ ในคน
กอปรเก็บอย่างแยบยล ครบถ้วน
“บ้าน”มีประโยชน์โพดผล ผนึกหมด
“วัด”คัดแต่ธรรมล้วน เลิศด้วย“อนุตระ”
อาตมาเองไม่ได้คุยตัวนะ ที่จะพูดต่อไปนี้ อาตมาทำงานศาสนาพุทธมาตั้งแต่เริ่มถึงทุกวันนี้ มันเกิดสภาพจริงขึ้น คือเกิดหมู่บ้าน ชุมชน หมู่กลุ่มสังคมที่อยู่รวมกัน เป็นชุมชนชาวอโศก ถ้าอาตมาทำให้เกิดกว้างขึ้น จากหมู่บ้านเป็นตำบล หมู่บ้านแบบชาวอโศก ในตำบลหนึ่ง เช่นตำบลนี้มี 10 หมู่บ้าน ถ้าเป็นหมู่บ้านบุญนิยม 5 หมู่บ้าน อาตมาก็ตายได้เลย มันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่นี่ตำบลบุ่งไหม มี 12 หมู่บ้าน จะมีหมู่บ้านบุญนิยม 2 หรือ 3 หมู่บ้านยังไม่ได้เลย ดีไม่ดี มีหมู่บ้านคู่ปรปักษ์อีก หนักหนาสาหัสจริงๆ แต่อยู่ได้โดยไม่แบนเพราะเขาบีบมาก็ดีแล้ว
ชนะ“โรงเรียน”ทุกพื้น ภูมิเพ็ญ
พุทธจิต“อิสระ”เป็น หนึ่งฟ้า
“เมตตา”ยอดประเด็น พุทธยก เยี่ยมเลย
ยิ่ง“เพื่อประชา”ท้า ทั่วหล้า“อธิปไตย”
ตอนนี้เราพยายามทำมาตั้งแต่ต้น จนถึง ณ ลมหายใจเฮือกนี้ พ่อครูพยายามรวมให้เกิดสังคมบ้านวัดโรงเรียน สามเส้าแล้ว โรงเรียนก็เป็นโรงเรียนสัมมาสิกขา เป็นการศึกษาที่เป็น สัมมา ตามพระพุทธเจ้า สัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธสัมมาวิมุติ
สัมมา แปลว่าถูกต้อง
มิจฉา แปลว่าผิด
ให้มาศึกษากันให้จริงให้ชัด สังคมไทยทุกวันนี้ดีขึ้น มาถึงขั้นปรองดอง
ปรองดองนี้ ต่างจากปูดอง
ถ้าปูดองนี้ดองไม่ดีก็เน่า ถึงจะดองให้ดีอย่างไรก็มีกลิ่น แบคทีเรียทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าไปทำปูดอง ให้มาทำปรองดอง
การที่จะสร้างความปรองดอง ไม่ได้สั่งด้วยวิธีการบังคับ จับไก่มาขังอยู่เข่งเดียวกัน รับรองว่า เลือดตกทั้งเข่ง มันจิกกันตายแน่นอน ต้องให้ไก่แต่ละตัว มันเกิดจิตวิญญาณ อยากอยู่รวมกันเป็นฝูง เกิดประโยชน์ร่วมกัน เห็นดีเห็นงามกับการอยู่ร่วมกัน เป็นเรื่องยาก แต่ไม่พ้นฝีมือมนุษย์
ตั้งแต่ทำงานศาสนาพุทธมา ชุมชนชาวอโศกคือชุมชนที่ปรองดอง จะขาดหกตกหล่น error บ้างนิดหน่อย การอยู่ร่วมกันแล้วไม่เกิดความขัดแย้ง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลก ต้องมีการขัดแย้งแต่เป็นการขัดแย้งอันพอเหมาะ ไม่ใช่เรื่องการทะเลาะวิวาท ชาวอโศกก็ขัดแย้งกันพอเหมาะ
ชุมชนชาวอโศก เกิดมาได้ 30-40 ปีแล้ว ก็ไม่ได้เกิดการขึ้นโรงขึ้นศาลที่เกิดจากทะเลาะกันขนาดนั้น ยังไม่มีแม้แต่คู่เดียว นี่คือผลสำเร็จ แล้วไม่ได้อยู่อย่างเอาของมาแจกเอาใจกันแต่อยู่อย่างขัดเกลากัน แล้วก็ยังไม่ทะเลาะกันอีกด้วย
ที่พูดไปนี้เข้าหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้า ตามหลักพุทธพจน์ 7
1. สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)
2. ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .
3. ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
4. สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .
5. อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .
6. สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .
7. เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22 ข.282-283)
คนข้างนอกเขาบอกว่าพวกมันเอาแต่พวกเดียวกัน แต่ที่จริงแล้ว คนข้างนอกมองที่ความเป็นปึกแผ่น พวกนี้เห็นดีด้วยกัน น้ำรวมกับน้ำมัน เพราะมีสามัคคียะ ความพร้อมเพรียงมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ เพราะอยู่อย่างสังคหะ แจกจ่ายเกื้อกูลอย่างสาธารณโภคี
มีวัฒนธรรมการเคารพกัน มีปิยกรณะ มีสารณียะ อยู่กันอย่างมี
1. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .
2. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
3. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
4. แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .
5. มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (สีลสามัญญตา)
6. มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย . (ทิฏฐิสามัญญตา) . . (ล.22 ข. 282-283)
มีความเห็นมีจุดหมายสำคัญ Interest Point ตรงกันเลย มีทิฏฐิสามัญญตา
พูดไปแล้วก็สบายใจ เกิดมาชาตินี้ได้ทํางานสุดยอดประเสริฐ น่าจะมีคนริษยาอาตมามากๆ คนอะไรเกิดมาได้ทำสิ่งที่ดีๆ (สมณะฟ้าไทว่า...น่าเอาอย่างมากกว่า)
คนฉลาดก็น่าเอาอย่าง แต่คนโง่ก็จะบอกว่าน่าริษยา ที่จริงควรพูดว่าน่าเอาอย่าง
ปัญญา ปุญญะ กายะ สิ่งเหล่านี้เป็นความสำคัญมาก กลายมาเป็นภาษาไทย กาย เป็นภาษาไทย ปุญญะ มาเป็นบุญ
แม้แต่ปัญญาก็มาเป็นภาษาไทยแล้ว
ปัญญา เป็นความเฉลียวฉลาดขั้นโลกุตรธรรม ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดของปุถุชน ไทยเราเอาคำว่าปัญญามาใช้ผิดนานมาก นานจนทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมไปหมดแล้ว ปัญญาคือโลกุตรธรรม แต่ถ้าเป็นโลกียะคือเฉกา แต่คนเรามันมีปฏิภาณลึกว่าไม่เอาอย่างเฉกา เขารู้ว่าฉลาดแบบปัญญา ลึกซึ้งแต่เฉกา จึงเอาคำว่าปัญญาไปใช้กันเยอะแยะ ในความหมายของโลกียะต่างๆ ที่ยังไม่เกิดอัญญธาตุ
ผู้ใดเริ่มมีตัวรู้ อัญญะ
ในวรรคแรก ก ข ค ฆ ง
ก คือตัวเต็ม ข นี่เริ่มไม่มี ค นี่มันมีต่อไปจนเป็น ฆ จะจับตัวเป็น fusion
ง คือยังโง่ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดคืออะไร ก็จะเริ่มรู้จัก
จ ฉ ช ฌ ญ
คือเป็นวรรคที่ 2 เกิดวิชชา มีธาตุที่ 6
จ ฉ ส่วน ช คือปรีชาคือรู้รอบ
ฌ คือมีตัวที่ทำลายความไม่รู้ ช่วยให้รู้ได้รอบถ้วนขึ้น ฌ เป็นการเผาด้วยความรู้ จะมีสิ่งที่ทำให้ไม่รู้ก็ชำระมันออก จึงจะเป็น ญ เป็นความรู้ยอด
อัญญะ มี ญ หญิงสองตัว คือ เป็นตัว หรร
อาตมาตอนนี้กำลังพยายามเขียน อักขระนิทัสน์ คำไทยเราเอาบาลีมาเป็นภาษาไทย เอาสันสกฤตมาด้วย พัฒนาเป็นภาษาไทย
ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ยังไม่เต็ม ส่วน ต ถ ท ธ น เป็นตัวเต็มแล้ว
ป ผ พ ภ ม เป็นตัวเต็ม
ส่วนเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ย ร ล คือกิริยา ว ส ห คือตัวนาม
ที่อาตมาสื่อนี้ มาจากความจำ สัญญาเก่าทั้งนั้น ไม่มีอาจารย์ไหนสามารถแจกแจงเช่นนี้ แต่ผู้รู้เก่าเขายึดถือความรู้เก่า ซึ่งน่าสงสารที่เป็นความรู้ที่ผิด แต่ก็ใช้กันมา มันดีกว่าไม่มี แต่พอเรามาพูดสิ่งที่ไม่เหมือนกับที่เขายึดถือ เขาก็ตีทิ้ง ไม่มีปรโตโฆษะเลย อาตมาเข้าใจ ไม่มีปัญหา
เขาน่าจะคิดเช่นนี้ อาตมาเองไม่จำเป็นต้องเอาอย่างเขา แต่อาตมาพาทำอย่างอาตมาคิด แล้วจนมีคนกลุ่มหนึ่งมาเป็นอย่างนี้ได้ อาตมาเปิดพระไตรปิฎกยืนยันตั้งแต่ พรหมชาลสูตร ให้รู้ มิฉาทิฏฐิ 62 อย่างให้รู้แล้วไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิ 62 นี้ อดีต อนาคต มีทิฏฐิเท่านี้ เราจะอาศัยอะไร
พระพุทธเจ้าสรุปว่าให้อาศัยทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 อย่าไปหลงกับ อดีต อนาคต ให้มาอยู่กับทิฏฐิ 5
กามคุณ 5 ฌาน อีก 1 2 3 4
ถ้าเป็นมิจฉาฌานก็หลับตารู้ แต่สัมมาฌานคือ ลืมตารู้
ลืมตารู้ แต่เหนือกามคุณ 5 หลับตารู้จะจมไปกับจิตมืดไปกับจิต แต่ลืมตารู้จะมีฌาน 1 2 3 4 แล้วได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4
ในทิฏฐิ 62 มีกามคุณ 5 กับฌาน1 2 3 4 ที่รวมไปในอนาคต 44
ทิฏฐิ 62
- สัสสตทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกสัญญีวาท (16 ลัทธิ)
- เอกัจจสัสสตทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกอสัญญีวาท (8 ลัทธิ)
- อันตานันติกทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกเนวสัญญีนาสัญญีวาท (8 ลัทธิ)
- อมราวิกเขปิกทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกอุจเฉทวาท (7 ลัทธิ)
- อธิจจสมุปปันนิกะ มี 2 ลัทธิ - พวกทิฏฐธรรมนิพานวาท (5 ลัทธิ)
ต้องมาอยู่กับปัจจุบันที่ลืมตาจะรู้กามคุณ 5 กับฌานอีก 4 ทำฌานลืมตา นี่คือพรหมชาลสูตรสอนไว้ แต่เขาเข้าใจกันไม่ได้ ท่านสรุปด้วยซ้ำว่า ผู้ไม่รู้ไม่เห็น อฌานโต อปัสสโต เป็นความดิ้นรนของผู้มีตัณหาทั้งนั้น ไม่ว่าจะ สัสสตทิฏฐิ มี 4 เอกัจจสัสสตทิฏฐิ มี 4 ก็เป็นความดิ้นรนแส่หาของผู้มีตัณหาทั้งสิ้น
เพราะว่าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ไปหลับตาปฏิบัติ เมื่อไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ก็ไปนั่ง หงิก ดับ กาย วาจา ใจ ไม่มีอะไรให้เรียนรู้
ปฏิบัติอย่างลืมตาแล้วจะบรรลุธรรมไปตามลำดับ
ผู้ไม่ชัดเจนไม่ทำตามลำดับ จึงเป็นผู้ตกอยู่ใน ชาละ คือแห เหมือนลิงแก้แห พันตัวเป็นไหมยุ่งอย่างนั้นดิ้นไม่ออก ในชาละ
ชี้ทางให้บอกให้พาออกมาจากด้ายที่พันตัวยิ่งกว่าดักแด้ ที่คุณทำเองทั้งนั้น คุณหลุดพ้นออกมาไม่ได้ ไม่เรียนรู้ที่ติดตั้งแต่ อบายมุข หยาบๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อัตตาหยาบๆยังไม่รู้เลย
พวกด็อกเตอร์พุทธศาสตร์ทั้งหลาย ไปงมงายกับการนั่งหลับตาทำสมาธิว่าเป็นของพระพุทธเจ้า แล้วเรียน มหาจัตตารีสกสูตรอย่างไร แล้วเรียน ตรี โท เอก สายธรรมะอะไร ทำไมไม่มีความรู้ในมหาจัตตารีสกสูตร ต้องให้โพธิรักษ์มาชี้บอก
ถ้าตั้งใจศึกษามหาจัตตารีสกสูตร ให้ดีๆ รับรองเปลี่ยนศาสนาพุทธในเมืองไทยได้ทันที ท่านตรัสขึ้นต้นเลยว่า สัมมาสมาธิ ไม่ได้หมายถึงเจโตสมาธิ ที่ในพรหมชาลสูตรท่านบอกว่า การปฏิบัติแบบเจโตสมาธินั้น ได้ทิฏฐิ 62 ได้ความรู้ไม่เป็นปัจจุบัน แม้ปัจจุบัน 5 ก็ไม่จริง เป็นการสร้าง ปัจจุบันในภพ ไม่ได้มีการกระทบสัมผัสทางทวาร 6 ครบ
ต้องปฏิบัติตาม สามัญผลสูตร จะเกิด ผลไปตามลำดับ ถ้าได้ปฏิบัติไตรสิกขาได้ถูกต้อง จะตรวจสอบศาสนาพุทธต้องใช้มหาศีลไปจับ ถ้าไม่มีที่พระพุทธเจ้าห้ามไว้ในมหาศีล อันนั้นแหละคือพุทธ แต่ถ้าละเมิดก็คือไม่ใช่พุทธ แต่เดี๋ยวนี้มหาศีล เขาละเมิดกันเต็มวัดเต็มวา
ในพระไตรฯ ล. 9 ทั้ง 13 สูตร อ่านให้แตก จะปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ แค่เล่มเดียวนี้แหละ รวมศีล สมาธิ ปัญญา หรือวิชชาจรณสัมปัณโณ
จรณะ 15 วิชชา 8 อยู่ในนี้ได้ครบ เรียนรู้ให้ดี และปฏิบัติให้ครบแล้วจบ แล้วมาบอกสอนกันต่อ อย่าไปคิดว่าบรรลุแล้วอย่าบอกใคร ถ้าไม่บอกแล้วจะรู้ได้ไงว่าใครบรรลุ ก็เลยมีแต่อรหันต์เดา กันเต็มบ้านเต็มเมือง คนเดาก็ไม่ใช่อรหันต์ด้วย ตกลงมีแต่ศาสนาเดา
คนพูดจริงไม่ฟัง อาตมานี้คือ อาสภเถระ แปลว่า เถระผู้ปากกล้า
อาตมาบวชมา 47 พรรษาแล้วไม่ใช่ไม่แก่วัดนะ เป็นเถระแน่นอนเกิน 10 พรรษาไปแล้วแต่ไหนๆ พูดด้วยจริงใจกล้าหาญ ไม่มังกุไม่เก้อเขิน ไม่ได้มีสาเฐยจิต ไม่มีอกุศลจิตแม้เล็กน้อยแฝงเลย พูดอย่างไม่มีตัวตน ทำอย่างไรจะเอาโอสถทิพย์มาแจกจ่ายได้ ทำไปจนกว่าจะตาย ศาลตัดสินจะให้เข้าคุกก็จะไปสอนในคุกต่อได้ ขนาดคนผิดเขายังสอนได้เลย แล้วอาตมาคิดว่าตนไม่ผิด ทำไมจะไม่สอนได้ล่ะ
บวร เป็น สามเส้า
อาตมาขยายความธรรมะ และบอกสิ่งที่ผิดที่จะทำลายศาสนา เช่นคำว่า สมาธิ ศีล ก็ผิด ในวงการศาสนาพุทธ ไม่ถือศีลกันแล้ว เหลือแต่วินัย 227 ไปถามว่าพระถือศีลเท่าไหร่ ก็จะบอกว่า 227 แต่ไม่ได้ถือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
อาตมาพูดไปแล้วมีหลักฐานอ้างอิง แม้แต่ตอนนี้ดึงบัญญัติ พยัญชนะ ก ข ค ฆ ง จนเป็น จ ฉ ช ฌ ญ
อาตมาเขียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก นิยาย การประพันธ์ หนังสือเล่มแรกของชีวิตเป็นหนังสือธรรมะ แต่เขียนอย่างอื่น นวนิยาย สารคดี ไม่ได้เป็นหนังสือเล่มเลย คนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก เป็นหนังสือเล่มแรก และก็ได้ลงในหนังสือนิตยสาร สตรีสาร ตั้งแต่บทต้น จนบทสุดท้ายก็มีเล่มเดียว
ท่านพุทธทาส เป็นคนแรกที่นำเอาภาษาโลกุตระมาพูด แล้วไม่ได้ตีแผ่เนื้อหาและไม่ได้พาทำ แต่อาตมาเอาโลกุตระมาตีแผ่และพาทำจนเกิดสังคมสาธารณโภคี
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:46:09 )
รายละเอียด
600522_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ห้องเรียนอภิธรรม เจโตปริยญาณ
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2560 รายการนี้รีรันสองอาทิตย์กว่าๆ ในช่วงที่พ่อครูไปพักเครื่อง อยู่กับพ่อครูคำว่าพักผ่อนท่านไม่ยอมใช้ อย่างมากก็ผ่อนเครื่อง ให้เครื่องทำงานเบาลง ตอนผ่อนเครื่อง พวกเราจะได้ยินเสียงไอน้อยลง แต่เมื่อติดเครื่องเสียงไอก็จะมากขึ้น เป็นสิ่งที่ควบคู่กันไป ก็คงจะยากเหมือนกัน พวกเราไปที่ภูผาฯ พยายามต่อรองว่า พ่อครูจะพักบ้างได้ไหม พักแบบหยุดเลย ท่านว่าไม่ใช่วิสัยของท่าน ท่านบอกว่าท่านเกิดมาเป็นปางกอบกู้ เหมือนกับเจอเรือที่กำลังจะล่มจะให้พักเลยไม่ได้ เป็นวิสัยของพระโพธิสัตว์ ท่านมีพลังงานอยู่อย่างไรเท่าไร ก็จะใช้เพื่อกอบกู้มวลมนุษยชาติ ให้เกิดการพัฒนาขึ้น
สิ่งที่พ่อครูเน้นย้ำในช่วงนี้มากคือ สังคมบวร ท่านอยากให้ทุกชุมชนอโศกหรือหมู่บ้านอื่น เกิดความเป็นบวร ท่านใช้คำว่า บวร นำหน้าชุมชนของเราเลยนะ บวรราชธานีอโศก บวรภูผาฟ้าน้ำ ล่าสุดจะเกิดบวรภูฟ้าผาธรรม
ท่านอยากให้ลักษณะชุมชนที่อยู่กันอย่างมี
บ้าน คือมนุษย์สังคม
วัด คือการศาสนา และการศึกษาคือโรงเรียนอยู่ด้วยกัน
ท่านอยากให้มีการศึกษาศาสนาที่ถูกต้อง แต่ทุกวันนี้ คนเข้าใจไปว่า ธรรมะคือสิ่งที่ทำให้เกิดลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ก็เลยเอาธรรมะมาเป็นเครื่องหลอกล่อ ให้คนอยากได้สวรรค์อยากได้ความร่ำรวยเกิดความยุ่งยากวุ่นวายในบ้านเมือง
สิ่งหนึ่งที่พ่อครูพยายามทุ่มเทจะให้กลับมาอย่างไร เมื่อมันไปสุดลิ่มทิ่มประตูแล้ว ก็จะให้ธรรมะกลับมาอย่างไร จึงเป็นเรื่องยากแสนยากในยุคนี้ พ่อครูในวัย 84 ปีจะผ่อนแรงอย่างไร อาตมาอยู่ใกล้รู้สึกว่าพ่อครูเหยียบคันเร่งตลอดเวลา ก็เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเรา อุบาสก อุบาสิกา สมณะ สิกขมาตุ ขวนขวายช่วยกัน
วันนี้ห้องเรียนนี้อาตมาพยายามต่อรอง ในเดือนมิถุนายนจะมีกิจกรรมทั้งเดือน ก็คิดว่า สองชั่งโมงนี้มีนักจัดรายการเพลงบอกว่า เขาจัดรายการ 1 ชั่วโมงทุกวันนี่ขนาดเปิดเพลงไป สลับกับพูดยังเหนื่อยเลย ก็เลยต่อรองกับพ่อครูว่าให้พ่อครูเทศน์ลดลง คือ 4 วันต่อสัปดาห์สลับกับสมณะ สิกขมาตุมาช่วยกันย่อยธรรมะ สลับกับพ่อครู
ส่วนรายการสองชั่วโมงวันนี้จะเป็นรูปแบบ นิมนต์พ่อครูเทศนา 1 ชั่วโมงครึ่ง แล้วอีกครึ่งชั่วโมงให้พวกเราทบทวนว่า ได้อะไรบ้าง ไม่ใช่รู้แต่ว่าดี แต่ต้องรู้ว่าดีอย่างไร อีกครึ่งชั่วโมงสุดท้าย อาจเป็นรูปแบบการตั้งคำถาม ท้ายชั่วโมงหรือถามสดๆ หรืออยากทำให้เกิดความกระจ่างอย่างไร ก็จะมีไมค์ให้ถามได้
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ ที่ 22 พฤษภาคม 2560 แรม 12 ค่ำเดือน 6 ปีระกา ก็มาพบกันอีกตามเคย อาตมาก็ก่อนจะได้บรรยายไป ก็ขออ่าน sms
SMS 600521
_3867xxx นมก.พ่อครูฯดีใจได้กลับมา ฟังท่านเทศน์สดหลังจาก ฟื้นฟูกายโพธิฟูมฟักจิตโลกุตระ ฟันฝ่าโลกียะเพื่อมวลอาริยะชน บรรลุอาริยะมรรค สัมฤทธิ์นิพพานะ
_3867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธ.มังสะวิรัติชมร.ชม.!ที่มิใช่แต่งดเนื้อสัตว์แล้วกายใจจะสิ้นโลภโกรธหลงได้หมด!แต่เป็นจิตที่รู้จักตนเอง รู้ทันตัวตน รู้ถึงโลุตระจนบริสุทธิ์หมดอกุศลจิตสิ้นกิเลสาสวะทั้งปวง
ขอบคุณบุญนิยมกับธ.จอสดุดเสียงชงักภาพแปรปรวนตามสภาวะฝนฟ้าปรวนแปร
_0880750xxx ถ้าไม่พร้อมไม่น่าถ่ายทอดสด(ที่ชมร.ชม)เสียงแย่มาก
พ่อครูน่าจะเทศชั่วโมงครึ่งก็น่าพอนะครับ ฟังนานเหนื่อย
อานาปานสติสูตร กายคตาสติสูตร และสติปัฏฐานสูตร _21 พ.ค. 60 เวลา 16.04 น. อาจารย์ไพศาล พืชมงคล ฝากอาราธนา...พ่อท่าน...
กราบพระคุณ
อีกไม่กี่วัน ก็จะเป็นวันอาสาฬหบูชาแล้ว ในช่วงนี้อยากจะกราบอาราธนาพ่อท่าน แสดงธรรมเรื่องสัมมาสติ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์แห่งอริยมรรค
โดยนัยยะแห่งพระสูตร 3 พระสูตร คือ อานาปานสติสูตร กายคตาสติสูตร และสติปัฏฐานสูตร เพราะทั้ง 3 พระสูตรนี้ว่าด้วยเรื่องสติในทางปฏิบัติอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ผมเองได้พบว่า การเทศนาของพระพุทธเจ้านั้น มีปรกติ สอนในทันทีที่พบเรื่องที่จะสอน ยกเว้นเรื่องเดียวที่ทรงใช้เวลาไตร่ตรองถึง 4 เดือน คืออานาปานสติสูตร
เพราะปรากฏในพระสูตรนั้นว่าทรงดำริ ที่จะแสดงธรรมเรื่องนี้ ตั้งแต่ช่วงวันเข้าพรรษา และทรงเตรียมการ กระทั่งถึงวันออกพรรษาเป็นเวลา 4 เดือน จึงทรงแสดงธรรมเรื่องนี้
ดังนั้นอานาปานสติสูตร จึงทรงแสดงอย่างเป็นระบบอย่างยิ่งทั้งส่วนเหตุส่วนผล ส่วนมรรคส่วนผล ส่วนวิธีการและที่เกี่ยวข้องทั้งปวง
จึงอยากกราบอาราธนาพ่อท่านแสดงธรรมเรื่อง สัมมาสติโดยนัยยะพระสูตรทั้งสามนี้เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มากสักครั้งหนึ่ง
เพราะเรื่องนี้ไม่มีใครสอนกันแล้ว
พ่อครูว่า...อาตมาพบว่าอาตมามาทำงานศาสนาพุทธมาแสดงธรรมะ ตั้งแต่ตัดสินใจเลิกทางโลก เมื่อ 46 ปีก่อนที่แล้วผ่านมา นี่ก็ยังไม่ถึงเต็ม 46 ปี น่าจะเต็มวันที่ 7 พ.ย. เพราะอาตมาบวช 7 พ.ย. 2513
อาตมาก็แสดงธรรม ตั้งใจทำ ไม่ได้ไปทำอย่างอื่น ไม่ได้หาเงินหาทอง ไม่ได้นึกถึงว่าชีวิตจะอยู่อย่างไร ปล่อยชีวิตไว้ให้คนอื่นเลี้ยงไว้จริงๆ ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ตลอดมาจนถึงวันนี้
อาตมาก็เชื่อว่า พระสูตรสามสูตรนี้ อานาปานสติสูตร กายคตาสติสูตร และสติปัฏฐานสูตร เขาสอนกันอยู่ แต่เขาสอนแล้วเป็นแค่สมถวิธีทั้งหมด สอนทั่วๆไปเลย มันไม่เป็นวิปัสสนาวิธี ไม่เป็น โพธิปักขิยธรรม 37
อานาปานสติก็ตาม ก็ต้องเป็นโพธิปักขิยธรรม 37
กายคตาสติก็ตาม ก็ต้องเป็นโพธิปักขิยธรรม 37
สติปัฏฐานสูตรก็ยิ่งเป็นตัวจริงที่เป็นโพธิปักขิยธรรม 37
เพราะสติปัฏฐานสูตรก็มีการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม
แม้การดำเนินไปของกาย กายมีทั้งภายนอกและภายในดำเนินไปอย่างไร สัมพันธ์กันอย่างไรก็ต้องอ่านธรรมะ 2 ให้ได้ แม้อานาปานสติ สูตร ท่านก็ตรัสย้ำหัวตะปูมิดเลยว่า ไปนั่งปฏิบัติกันทั่วไป อานาปานสติ เป็นของฤาษี สอนนั่งหลับตาอยู่กับที่ แล้วเอาความรู้สึกกับความรับรู้ ไปรู้สึกแต่อยู่กับลมหายใจ ไม่ได้รู้สึกทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไปเอาความรู้สึกลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นกสิณ เป็นที่เกาะของจิต แล้วก็ศึกษาเรียนรู้
พระพุทธเจ้าก็บอกว่าปฏิบัติอย่างนั้น มันดีอยู่อย่างหนึ่ง เหลือจุดสุดท้ายของความเป็นกาย อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ถ้าคุณไม่มีความรู้สึก ลมหายใจเข้าออกที่เป็นภายนอก
หายใจเข้าออกก็ต้องรู้สึกลมหายใจเข้าออก แต่ถ้าเข้าไปสู่ภพภายใน แต่ไม่รู้สึกถึงภายนอกเลย รู้สึกแต่ลมหายใจเข้าออก แต่รับรู้แต่ภายใน โดยเฉพาะคนที่สอนให้รับรู้แต่ภายในไม่รู้จักภายนอก อย่าให้จิตออกไปรับรู้อะไรภายนอก
มีอาจารย์กำชับเลยว่า อย่าเอาจิตออกนอก อย่าส่งจิตออกนอก หลงผิดหมดเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าต้องอย่าทิ้งลมหายใจ แม้กาย
ส่วนกายคตาสติ มีความเป็นกาย อานาปานสติ ต้องมีสติรู้ลมหายใจต้องอย่าให้ความรู้สึกขาดจากภายนอก แต่พวกที่ไปนั่งหลับตารับรู้แต่ภายในไม่รับรู้ภายนอก พวกนี้ เป็นกาย มีแต่ภายในไม่มีภายนอก
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า กาย คือร่างภายนอกทั้งนั้น ไม่ได้หมายถึงจิตใจเลย ก็เลยปฏิบัติธรรมอย่างไม่มีกาย ผิดเลย เลยปฏิบัติธรรมอย่างไม่มีสติปัฏฐาน 4
ที่ขึ้นต้นด้วยกายในกายเป็นอันแรก ผู้ที่รู้จักรูปธรรมนามธรรมรู้จักธรรมะ 2 ก็รู้จักกาย ถ้าหนึ่งไม่เป็นกาย ไม่มีกาย
ธรรมะสองมีรูปมีนาม มีสิ่งที่ถูกรู้กับตัวประธานที่เป็นธาตุรู้ของเรากำหนดรู้สินะ เรียกว่า นาม เป็นธรรมะสอง ต้องไม่ขาดจากกันจึงจะเป็นกาย
การปฏิบัติไม่มีธรรมะ 2 ไม่มีกาย คุณก็เป็นคน ปฏิบัติธรรมไม่ได้ แม้ผู้ปฏิบัติธรรมที่บรรลุสูงสุดแล้ว มีธรรมะหนึ่ง เป็นเอกธรรมหรือเอกจิต เอกัคคตาจิต จิตเป็นหนึ่งก็ยังมีภายนอก ยังมีธรรมะสองอยู่ทั้งนั้น แม้จะกลายเป็นว่า คนไปอยู่ในภวังค์ไม่มีภายนอกเลยก็ไม่มีกาย มีแต่รูปจิต อรูปจิต ก็อ่านอาการรูปจิต อรูปจิต ซึ่งไม่ใช่เป็นการพิจารณาอย่างการศึกษา เป็นผู้ที่รู้จริงแล้ว
ผู้ที่รู้จริงอยู่ในภวังค์ มันไม่ใช่สามัญที่จะเข้าไปอยู่ มันไม่ใช่ปกติที่จะเข้าไปอยู่หรอกสำหรับคน ถ้าผู้ที่บรรลุแล้ว ถ้าไปอยู่แต่ภายในภวังค์ก็จะพิจารณาธรรม พิจารณาว่ามีรูปราคะ อรูปราคะในจิต มีรูป อรูปเหลือในจิตในภวภพ หรือภวังค์ แล้วล้างกิเลสให้หมด
เช่นเราหลับ ตัดความรู้สึกภายนอก พระอรหันต์หรือคนทั่วไปตัดความรู้สึกภายนอกแต่ในภายในก็ยังมีสภาพ ผู้มีสภาพตรงนั้นแหละจะมีสติ
สติที่อ่านรู้ว่า จิตของเราอยู่ฟุ้งซ่านไปกับเรื่องปรุงแต่งกิเลส เลอะเทอะไปกับอารมณ์ อรหันต์ไม่ได้ปรุงแต่งอยู่ในการนอนหลับ ในภวังค์ ก็จะมีรูปรสกลิ่นเสียงอย่างเป็นนิมิตความจำ ปรุงแต่งกันอยู่ ผู้ที่ไม่ใช่อรหันต์จะมีอารมณ์ สุข ทุกข์ ชอบ ไม่ชอบ ถือว่าเป็นการฝันร้าย
คำว่าฝันร้าย ถ้าฝันร้ายเป็นเรื่องน่ากลัวเป็นเรื่องทุกข์เป็นเรื่องลำบาก คุณก็จะไม่ยึดไว้นาน ถ้ายิ่งเป็นเรื่องแรงก็จะอยากออก ดิ้นไม่อยากให้เกิดอาการนี้ในฝัน
แต่ถ้าฝันเป็นความชอบความยินดีเป็นสวรรค์ก็ไปกันใหญ่ ยิ่งเป็นอารมณ์ที่เอร็ดอร่อย มันก็ไม่อยากให้หายไปเลย นั่นก็เป็นสภาพธรรมดาของคนโลกีย์
แต่ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้ว ถ้าอารมณ์ฝัน หรืออารมณ์นิมิต ของผู้ยังไม่ใช่อรหันต์ เป็นเสขบุคคล ก็จะมีกิเลสผสมผสาน เป็นเรื่องราวรูปร่างที่ชอบกับไม่ชอบอยู่ เป็นปกติ
คุณก็ต้องอ่านอารมณ์ ฝึกแม้แต่ในนอนหลับว่าเป็นอารมณ์อย่างนั้นๆ เราจะต้องมีปัญญามีความรู้ว่า ถ้าเราจะหลงยินดีในสิ่งที่เป็นอารมณ์ชอบหรือไม่ชอบ มันคือสภาพที่คุณยังไม่สงบ
ผู้ที่เป็นอรหันต์ขึ้นไปแล้ว มีสัญญามีฝันเกิดเป็นเรื่องราว สัญญามันขึ้นมา เป็นเรื่องที่เคยทุกข์ เคยเกิดอาการจิตไม่ชอบ เคยปรุงแต่งเต็มเรื่องสุข หรือทุกข์ มันก็จะมีสัญญาเกิดการปรุงแต่งเรียกว่าฝัน เป็นเรื่องราวขึ้นมาเหมือนกัน
แต่อารมณ์สุขทุกข์ ชอบหรือไม่ชอบของพระอรหันต์ไม่มี เป็นความจำที่เกิดมา ยิ่งเป็นผู้ที่ นอน มันก็จะต้อง ถ้าไม่ฝึกดับ อรหันต์ที่ไม่ฝึกจิตให้ดับสนิท เวลาเข้าไปอยู่ในภวังค์แล้ว อย่างพวกสายเจโตที่เรียนรู้อย่างสุดโต่งไปทางฝึกการดับ เขาก็จะดับได้เก่ง
พอดับแล้ว จิต ก็จะสงบ หยุด ไม่มีฝันไม่มีนิมิตไม่คิดอะไรเลย เขาฝึกจนไม่ต้องนอนหลับ นั่งสมาธิเขาก็ดับได้เลย เวลานอนแล้วมันมีความชำนาญ มีวสี มีความกล้าแกร่งที่จะนอนหลับดับสนิทได้เลย ดีไม่ดี ดับตั้งแต่เริ่มหลับ จนกระทั่งตื่นมารวดเดียวล่ะ นอนกี่ชั่วโมงก็แล้วแต่ ดับสนิทเลย นับถือ ว่าทำได้เก่ง มี ซึ่งยากมาก ส่วนมากมันจะมีความรู้สึกเรื่องราวแทรกแซงปรุงแต่งเป็นนิมิตเป็นฝัน
มาเข้าเรื่องคุณไพศาล อยากให้อธิบาย อานาปานสติสูตร กายคตาสติสูตร และสติปัฏฐานสูตร
เป้าหมายสำคัญคือให้พิจารณากายเวทนาจิตธรรม อานาปานสติ ก็ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม
แต่กายหมายถึง สภาพที่มีทั้งภายนอกและภายใน ตามวิโมกข์ 8 ผู้ปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ต้องมีกายสักขี ถ้าไม่มีการสักขี จะไม่ถือว่าเป็นผู้ที่มีอุภโตภาควิมุติ แม้แต่ปัญญาวิมุติก็ไม่ถือว่าจะมีได้
ต้องมีกายสักขี จึงจะมีอาสวะดับ ดับได้บางอย่าง ถ้าถึงปัญญาวิมุติก็ถึงขั้นปัญญาวิมุติที่เริ่มเป็นอรหันต์ได้
ผู้มีกายสักขี ก็จะรู้ว่ามีอาสวะบางอย่างเกิดขึ้น ก็มีกาย ในกายสักขีบุคคล ต้องปฏิบัติธรรมให้มี สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ท่านระบุไว้ชัดเลย ในพตปฎ. ล.36 ข้อ 41
ในอานาปานสติ บอกว่าต้องมีความรู้สึกทั้งภายนอกและภายในอย่าให้ขาดจากกัน ถ้าขาดจากกันก็สุญโญ แต่ที่จริงแล้วก่อนเน้นอานาปานสติ ก็จะอธิบายสติปัฏฐาน 4 ก่อนแล้วถึงอธิบายอานาปานสติ
สติปัฏฐานสูตรก็อธิบายเข้าไปถึงอานาปานสติ สำคัญกันอย่างขาดกันไม่ได้เลย
วิโมกข์ 8 วิโมกข์ แปลว่าความหลุดพ้น จะหลุดพ้นด้วยการปฏิบัติที่ต้องมีลักษณะทั้งหมด ให้คุณได้ศึกษา จะศึกษาวิโมกข์ 8 หมดจบด้วย สัญญาเวทยิตนิโรธ
วิโมกข์ 3 ข้อแรก ยืนยันว่า การปฏิบัติจะขาดสิ่งนี้ไม่ได้
1. ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ)
รูปี ก็คือ ผู้มีรูป คือคน คนใด คนหนึ่ง มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย จะต้องมีปัสสติ ต้องเห็นรูป ด้วยการปฏิบัติ ถ้าคุณไม่มีรูปก็แล้วไป เช่นคนตาบอด หูหนวก ลิ้นไม่มีประสาท กายไม่มีประสาทสัมผัสรับรู้ เหมือนคนอัมพาต คุณก็ไม่มีรูป สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายไม่มี
รูปคือสิ่งที่สัมผัสทางภายนอกก่อน ข้างในก็มีรูปจิต อรูปจิต
วิโมกข์ 1 ผู้มีรูปต้องเห็นรูป ต้องรับรู้รูป
การปฏิบัตินี้คุณจะทิ้งรูปหรือทิ้งภายนอกไม่ได้ เพราะรูปก็คือ ทวาร 5 ภายนอก ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกาย กามคุณ 5 ต้องมีรูปและต้องเห็น ปัสสติ ต้องแปลว่าต้องเลย ไม่ใช้คำว่าย่อม เป็นเชิงบังคับเลย
2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
อัชฌัตตังคือภายใน อรูปสัญญี ในพระไตรปิฎกท่านแปลว่า ผู้ไม่มีสัญญา ในอรูปทั้งหลาย ซึ่งแปลไม่ถูก อาตมาก็ชัดเจนว่า สัญญีคือผู้มีธาตุกำหนดรู้ ต้องกำหนดรู้ทั้งพหิทารูปานิ ปัสสติ ทั้งรูปภายนอก และทั้งอรูปภายใน คุณจะต้องกำหนดรู้ทั่วหมดต้องเห็นต้องกำหนดรู้ ต้องเห็น ปัสสติ ผู้มีรูปต้องให้มีปัสสติกับรูป ไม่ว่าจะรูปภายนอกหรือรูปภายใน จนถึงอรูปสัญญี อย่างนี้เป็นต้น
นี่คือความรู้ของอาตมาที่ต่างกับผู้รู้ทั้งหลาย อาตมาว่า อัชฌัตตัง อรูปสัญญี มันควรแยกกันชัด
อัชฌัตต อรูป สัญญี และพหิทา รูปานิ และปัสสติ
สรุปแล้วต้องเห็นทั้งหมด ต้องรู้ต้องเห็นทั้งภายนอกและภายในจนถึงอรูป
วิโมกข์ข้อ 1- 2 สรุปให้เห็นรูป อรูป ที่ต้องสัมผัส และต้องมีนามไปศึกษาไปรู้ กายในกาย คือคุณต้องพิจารณากายนอก
คำว่า กายคตาสติ พระพุทธเจ้าอธิบายตั้งแต่ภายนอกเดินก้าวย่างสัมผัสต่างๆ แล้วองค์ประชุมต่อเนื่องเข้าสู่ภายใน
ส่วนอานาปาสติ ก็ไม่ยาก ไปกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก สิ่งเหล่านี้เป็นของลัทธิเก่าก่อนพระพุทธเจ้าสืบทอดกันมา พูดก็พูดเถอะ ตั้งแต่ศาสนาพุทธก่อนหน้านี้อีก แต่ด้านมิจฉาทิฏฐิ 10 เพี้ยนไปหมด เมื่อมาถึงพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมก็เก็บมาฟื้นล้างให้กลับคืนมาใหม่ จริงๆแล้วก็ของพระพุทธเจ้าทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น กายคตาสติ หรืออานาปานสติก็ต้องศึกษาอย่าง สติปัฏฐาน 4 ทั้งนั้น
คำว่า กาย ในภาษาไทยหมายถึง ร่างนอกไปแล้ว
เช่นเดียวกับศาสนาพุทธ ในยุคของพระพุทธเจ้า พุทธก็คือพราหมณ์ที่เคร่ง พราหมณ์ที่เคร่งเขาไม่กินเนื้อสัตว์กันก่อน ฐานะพราหมณ์ชั้นดีไม่มีใครกินเนื้อสัตว์ให้รู้กันทั่วไป พุทธถือว่าเป็นพราหมณ์ชั้นดี พราหมณ์กับพุทธเป็นภาษาที่กลับไปกลับมา
สมัยโน้น นักบวชผู้ศึกษาธรรมะเรียกว่าพราหมณ์ เมื่อมาสมัยนี้ไม่เรียกว่าพราหมณ์ ก็เรียกว่าพุทธ สมัยโน้นไม่เรียกพุทธแต่เรียกพราหมณ์แต่มีหลักฐานร่องรอยในพระสูตรเรียกว่าพราหมณ์มหาศาล มีลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เต็มคราบ ในยุคโน้นถือว่าเป็นเจ้าของสำนักต่างๆ
ยุคนี้พุทธศาสนาเกิดมาได้ 2,600 ปี ศาสนาพุทธก็กลับไปเหมือนอย่างเดิมก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติ นักบวชของศาสนา กลายเป็นพราหมณ์มหาศาลไปหมด มีบัลลังก์ ลาภยศสรรเสิญโลกียสุข รู้ภาษาธรรมะ อย่างในอัมพัฏฐสูตรนี้ชัด
คืออัมพัฏฐอวดตัวว่า ตัวเองเป็นผู้ได้เรียนรู้มันตราต่างๆ มีคนนับถือเป็นลูกเจ้าสำนักพราหมณ์ เหมือนกับพระที่ญี่ปุ่น เป็นเจ้าของวัดเจ้าของสำนัก เจ้าของทรัพย์สินมีลูกหลานสืบทอดต่อไป เช่นเดียวกับ ธัมมชโย ยิ่งใหญ่มีสมบัติพัสถานมาก แต่เขาไม่ถือทางศาสนา แต่ทางเมืองไทยไม่ได้ อันนั้น ศาสนาพุทธในญี่ปุ่นเป็นเรื่องนอกรีตไปแล้วเป็นมหายานโตงเตง แต่เถรวาทยังไม่ยอม
แต่พระที่ญี่ปุ่น เป็นพระเจ้าสำนัก เป็นเจ้าของยิ่งกว่าธัมมชโย เพราะทางโน้นเขาไม่ถือสา แต่อัมพัฏฐะนี้คุยตัวเลยว่า เป็นผู้ต้องมนตรา เป็นผู้สืบทอดมาทั้งทางเชื้อสายต้นตระกูล ว่ามาจากพราหมณ์ ทั้งเป็นผู้รู้ธรรมะ บทมนต์ คัมภีร์ต่างๆเก่งรู้หมด ต้องไปอ่านให้ดีๆ พระพุทธเจ้าก็ถามว่าได้บรรลุบ้างหรือเปล่า สุดท้ายเขาก็บอกว่าไม่รู้เรื่องเลย พระพุทธเจ้ายกมาตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา อัมพัฏฐะก็ไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะศีลไม่รู้เรื่องเลย สมาธิแบบพระพุทธเจ้าไม่รู้เลย ปัญญาแบบพระพุทธเจ้าก็ไม่รู้เลย
จึงมาสู่สูตรที่ 4 โสณทัณฑสูตร ศีลอยู่ที่ใดปัญญาอยู่ที่นั่น คำว่า ศีลคำเดียว แนวปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา อย่างสัมมาทิฏฐิ ในลมหายใจ นี้ ศาสนาพุทธในเมืองไทยไม่ได้ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญา วิมุติเลย
ไม่ได้เอาศีลเป็นเบื้องต้น เช่น ปฏิบัติตั้งแต่ศีล 5 เรียนรู้ กาย เวทนา จิตธรรม
อานาปานสติ อาตมาแปลว่า ทุกลมหายใจเข้าออกคุณต้องมีสติ
ในสามสูตร นี้ คุณไพศาลว่า อานาปานสติสูตร กายคตาสติสูตร และสติปัฏฐานสูตร เพราะทั้ง 3 พระสูตรนี้ว่าด้วยเรื่องสติในทางปฏิบัติอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ฟังเลย
คุณต้องมีสติลืมตา แม้อานาปานสติ ไปนั่งหลับตาเพ่งก็ผิดแล้ว ต้องมีองค์ประชุมรูปนามทั้งภายนอกและภายใน ต้องรับรู้ผัสสะ ทั้งภายนอกภายใน จะเดิน เอี้ยวแขน ไกวขา จะสัมผัสกับวัตถุสมบัติภายนอกก็ต้องมีสติรับรู้ มีสติรับรู้ห้องประชุมภายนอกเข้าไปถึงภายในที่จะเป็นเวทนา ต้องรับรู้เวทนา จนจับอกุศลจิตที่เป็นเหตุของเวทนาที่เป็นเคหสิตเวทนา
อกุศลจิตที่เป็นเหตุให้ทุกข์ให้สุข ก็จับพิจารณา เวทนาในเวทนา จับอกุศลจิตให้ได้ เป็นสราคะ สโทสะ สโมหะ แล้วกำจัดตัวนี้ ให้มันจางคลายหายไปจึงเรียกว่าพิจารณาสติปัฏฐาน 4
ในขณะนั่งหลับตา มีแต่ลมหายใจออกก็ตาม มีอิริยาบถกับภายนอกสามัญไม่ใช่อยู่แค่ ก้าวหนอ เดินหนอ ไม่ใช่แต่อยู่กับองค์ประชุมภายนอกทั้งหมด แล้วรู้ตัวทั่วพร้อมอ่านถึงเวทนาที่เกิด เวทนาใดที่มีกิเลสเป็นตัวนำ สสังขาริกัง ให้คุณตกต่ำนั่นคือตัวการ จนกว่าคุณจะอสังขาริกัง ไม่มีจิตที่นำไปสู่ความพินาศ
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...วันนี้พ่อครูเปิดเผยถึงอานาปานสติ แต่ไม่รู้ว่าอาจารย์ไพศาลจะเก็บได้หรือเปล่า เพราะว่ารูปแบบการศึกษาของทั้งโลก เขาศึกษา กายคตาสติ อานาปานสติ สติปัฏฐาน ไปจับเอาชีวิตอยู่กับความนิ่ง หรือมีให้น้อย แต่พ่อครูว่าให้เรียนรู้ปกติสามัญทั้งภายนอกภายใน แต่ของเขาให้รู้แต่ภายในอย่างเดียว
เป็นบทที่พ่อครูเปิดออกมา ทำให้เห็นใจตัวเองด้วย อาตมาก็เป็นเช่นนั้นมาก่อน เพราะความรู้ที่สะสมมาอาจารย์เจ้าสำนักทั้งหลาย ก็จะบอกว่าอย่าไปยุ่งภายนอก จะบรรลุก็อยู่ที่จิตอย่าไปรู้สิ่งอื่นเลย มันคนละอย่างกับพ่อครูอ้างอิงในพระสูตรต่างๆว่าสติต้องรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวอิริยาบถรับรู้สิ่งภายนอกด้วย
พวกเราคงส่งให้อ.ไพศาลได้รับรู้ด้วย
เจโตปริยญาณ 16 กับ สัมมาสติ
ครูว่า...สัมมาสติ ก็คือความระลึกรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งภายนอกและภายใน
จะต้องเป็นผู้ที่รู้ทุกอย่างครบครัน อย่าให้รู้ลำๆเลืองๆแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ต้องรู้ครบ เป็นกายคตาสติ กายนี้มีทั้งภายนอกและภายใน
วิโมกข์ 8 นี้ ต้องมีสภาพกำหนดรู้ทั้ง นอกและใน กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ปฏิบัติให้เป็นโลกุตรธรรม ให้จิตในจิต เจโตปริยญาณ 16 ให้รู้ว่ามีจิตอกุศล สราคะ สโทสะ สโมหะแล้วทำให้เป็น วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ
ปฏิบัติเจโตปริยญาณ 16 สามตัวแรกคือ สราคะ สโทสะ สโมหะ เมื่อรู้ว่าอาการจิตอย่างนี้คือจิตที่มีกิเลส เราก็อ่านจิตนั้นรู้ว่า มันเป็นกิเลส แบบราคะ เราก็ต้องทำให้ไม่มี คือจิตมี สราคะ สโทสะ สโมหะ แล้วทำให้ไม่มีเรียกว่า วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ
ทำให้ไม่มีอาการอย่างพ่อสมถะสะกดจิตก็ได้ แต่ของพระพุทธเจ้านี้ จะต้องเป็นวิปัสสนา
หนึ่งสราคะ สโทสะ สโมหะ ทำให้เป็น วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ให้ได้ คือสามคู่แรกของ เจโตปริยญาณ 16 ตามที่จะทำให้จางคลายลงได้ มันมีองค์ประชุมเป็นเคหสิตเวทนาก็ทำออกเป็นเนกขัมสิตเวทนา เป็นมโนปวิจาร 18 ทำสำเร็จ เมื่อเริ่มทำคุณจะเริ่มทำจิตจางคลายได้แต่อยู่ในระดับของ
สังขิตตังจิตตัง วิกขิตตังจิตตัง
สังขิตตังจิตตัง คือ นิวเคลียร์ วชัน พวกจับตัวเป็นก้อน คือเจโต พวกจม
วิกขิตตังจิตตัง คือนิวเคลียร์ฟิชชัน พวกฟุ้งกระจายหายไปเลย พวกปัญญา พวกลอย
_มีคำถามว่าธรรมะสองกับธรรมะหมวดสองต่างกันอย่างไร
ตอบ..ธรรมสองคืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ คือเวทนาสอง หรือ แต่ว่า ธรรมะหมวดสองคือเป็นข้อธรรมะที่มีสองข้อ
มาต่อ เจโตปริยญาณ 16
คู่ต่อไปคือ 9.มหัคคตังจิตตัง กับ 10.อมหัคคตังจิตตัง
มหัคคตังจิตตัง คือทำให้เจริญก้าวหน้าขึ้นไป ยิ่งใหญ่ขึ้น
อมหัคคตังจิตตัง คือยังไม่สามารถทำให้เจริญก้าวหน้าขึ้นไป ไม่เจริญไม่ยิ่งใหญ่ขึ้นไม่พัฒนา ต้องตรวจจิตเรา เราทำได้ขั้นหนึ่งก็แล้ว ได้เป็นก้อนแท่งแค่นี้ หรือทำได้แค่นี้แต่ก็ฟุ้งซ่าน ทำได้สองตระกูล สายฟุ้งซ่าน กับสายกดหลับตาสะกดจิต
11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .
16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)
วิมุติแล้ววิมุติถาวรหรือไม่ ถาวรคือสมาหิตัง
ส่วนอวิมุติคือ พวกอวิมุติจร ที่เหลือ
แล้วตรวจสอบว่ามันมีวิมุติตั้งมั่นอย่างสมาหิตังอย่าง “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”หรือไม่ ส่วน นัติถิอุปมานั้น ก็ผู้เข้าถึงรู้จริงจะรู้ได้
วิโมกข์ข้อที่ 3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
พตปฎ. ล.10 ข.66 / ล.23 ข.163
อธิมุตโตคือมันเจริญขึ้น เขาไปแปล อธิมุตหรืออธิโมกข์ว่า ผู้ที่น้อมใจไปเห็นว่าเป็นของงาม จิตอธิโมกข์ อธิมุติ คือจิตมีทิศทาง ไปสู่ความเจริญ เรียกว่าสุภะ เจริญไปสู่ความควรได้ควรมีควรเป็น สุภันเตวะ เกิดในที่สุด โหติ มีสภาพเจริญอันนี้ นี่คือข้อที่ 3
พยัญชนะที่ว่าน้อมไปให้เห็นว่าเป็นของงาม ฟังแล้วเป็นภาษาแบบโลก เช่น เห็นดอกไม้นี้จิตใจก็น้อม น้อมว่าอยากได้ หรือจิตใจ เป็นของที่ไม่น่าได้ ไม่น่ามีไม่น่าเป็น แต่กลับไปเห็นว่าเป็นของงาม น่าได้น่ามีน่าเป็น (วิปลาส) เช่น
ไปเห็นว่า สุภกิณหา ของที่น่าได้ น่าใคร่น่ามีน่าเป็น แต่ไม่ใช้คำว่ากามใคร่อยาก แต่อันนี้เป็นของน่าได้ เมื่อไปเข้าใจพยัญชนะอันนั้นก็เลย แปลไปแล้วมันยังไง ถ้าจะแปลว่าจิตที่โน้มไป สู่สิ่งที่เป็นสุภะ สู่สิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น คือจิตของคุณถูกต้องแล้ว มีทิศทางสู่วิมุติหรืออธิโมกข์ เดินทางไปสู่ทิศทางหลุดพ้น ผู้ปฏิบัติจะมีญาณปัญญารู้จิตของเราว่ามันเดินทางถูกแล้ว เรียกว่า จิตที่น้อมไป ตีเส้นทางเดินสู่สิ่งที่ควรจะได้ สุภะ สิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น
แต่เมื่อปฏิบัติผิดจะได้เกิดภาวะของเทวนิยม ไปได้อาภัสรา สุภกิณหา
สายสว่าง สายในจะเป็นอาภัสรา อย่างสายธัมมชโย ได้ความใส ความใสเป็นมโนมยอัตตา
ส่วนสายอาจารย์มั่น อาจารย์มหาบัว ไปนั่งหลับตาจะได้ความดับ ต่างจากพวกใส ที่จะใสตลอดกาล พวกใสหัวไป ส่วนพวกสายดับจะดับ กิณหะแปลว่าดำ เขาว่า ความดับความดำนี้เป็นสิ่งที่น่าได้
นาม 5 ขันธ์ 5
ในยุคนี้ เป็นทิฐิที่ผิดอย่างนี้แก้ไขได้ยากมาก ต้องมาปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ต้องมาปฏิบัติให้เป็นมรรคมีองค์ 8 ให้มีสัมมาสติรู้ว่าในขณะนี้การทำงานอาชีพเลี้ยงตน มีการเกี่ยวข้องกับกายนอกกายใน มีเวทนา มีจิตมีธรรมะ พิจารณาให้ออกโดยเฉพาะมีเวทนา เวทนาเป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ ไม่ใช่ไปเพ่งกสิณให้มีสมถะ อย่างกสิณ 40 เป็นการฝึกสมถะ ไม่ใช่ทางปฏิบัติของพระพุทธเจ้า เป็นทางที่ผิด แล้วพวกเกจิอาจารย์อรรถกถาจารย์ก็มารวมไว้ ทำให้คนหลงทาง ที่ถูกแล้วไม่ต้องไปปฏิบัติอย่างนั้น
ต้องรู้สิ่งที่สัมผัสแล้วมันมีการปรุงแต่ง อวิชชามันไม่รู้สังขาร
สังขาร 3 ที่ต้องเรียนรู้ แล้วในสังขาร 3 ต้องรู้ นามรูป เมื่อมีผัสสะ จะมีอายตนะ
ในปฏิจจสมุปบาท อวิชชาไม่รู้สังขารไม่รู้นามรูป อายตนะ ผัสสะ
พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้นามรูป ซึ่งจะเกิดต่อเมื่อมีผัสสะมีอายตนะ วิญญาณเป็นธาตุรู้องค์รวม ต้องมาเรียนรู้เวทนา สัญญา เรียนรู้เพื่อปฏิบัติ โดยใช้นามเรียนรู้
นามนี้มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
นาม 5
มีคนใจดี ท้วงอาตมามาเขียนเลอะในคนคืออะไร แถมมีข้อเขียนว่า อาตมาผิดพลาด ก็ดี เป็นการตรวจสอบ
สรุปแล้วเขาว่าอาตมาไปเข้าใจผิดในขันธ์ 5
ไปเข้าใจว่าขันธ์ 5 คือคนๆหนึ่ง ว่านี่คือความเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างมาก
อาตมาก็ยังไม่รู้ว่า มันไม่เป็นรูปนามขันธ์5 ไม่ใช่คนๆหนึ่ง แล้วเป็นใคร ท่านก็ไม่ไขอาตมา ท่านก็ว่าท่านประยุทธ์ ปยุตโตด้วย ไปอธิบาย ในหนังสือพุทธธรรมว่า ท่านอธิบาย รูปนามขันธ์5 ว่าเป็น คนๆหนึ่งก็ไม่ถูกเหมือนกัน
คือ ไม่เข้าใจว่า มันจะต้องมีที่ๆศึกษา จนสุดท้ายมัน ได้ รูปเวทนาสังขารวิญญาณ ไม่ใช่ตัวตนคนใดทั้งนั้น อย่างนั้นอาตมารู้ แต่ต้องอธิบายเป็นขั้นตอน แต่ท่านก็ว่า เข้าใจผิดคลาดเคลื่อนแล้ว ซึ่งท่านจะเข้าใจผิดว่าผิดพลาดก็ไม่เป็นไร เรารู้ว่าเรากำลังขึ้นบันไดขั้นไหน แต่ท่านว่าหมายถึงบันไดขั้นที่ 10 เลยไม่มีองค์ประกอบเลย เราก็เข้าใจท่าน ท่านทักมาก็ถูก แต่ของเราเราก็ถูกของเรา
เขาไม่รู้ว่า อาตมาเขียนหนังสือชื่อ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก ท่านก็ว่า รูปนามขันธ์ 5 ไม่ใช่คน ท่านเอาตัวจบมาตีทิ้งเลย แต่ก็ไม่ถูกอาตมาหรอก
คือเป็นคนสำคัญผิดยึดถืออันนั้นอันนี้ เอาอภิธรรมสุดยอดว่าเราว่า พระพุทธเจ้า บอกว่าทุกอย่างก็ไม่มีตัวตนหรอก
คนที่ขึ้นบันได ทีละขั้นตอน 1-10 ก็จะรู้ว่าเป็นขั้นไหน แต่คุณเข้าใจว่าคุณอยู่ขั้นที่10 แล้ว แต่ไม่รู้ขั้นที่ 1 ถึง 10 เลย คุณมาว่าอาตมาก็ไม่ถูกหรอก ท้วงมาก็ขอบคุณ ท่านใจกว้างนะว่า ท้วงกลับมาได้ทุกหน้าเลยไม่จำกัด
ขอสรุปรวม อาตมาทำงานมา 47 ปีแล้ว โดยทางโลกเลิกเลย เธอไม่คิดจะหันกลับไปทางโลกแน่นอนตายอยู่ทางนี้ อาตมาก็พยายามพูดอธิบาย พยายามเอาหลักฐานของจริงที่เขารับรู้จากพระไตรปิฎก แต่ก่อนเขาก็ท้วงว่าเป็นภาษาของอาตมาเอง ก็ใช่ ตอนหลัง อาตมาก็อ้างอิงพระไตรปิฎกมากมาย จนเขาว่าอวดรู้ อาตมาก็ว่าเขาท้วงมาก็ต้องอ้างอิง
อาตมาทำงานมาเกือบห้าสิบปีแล้วยิ่งเห็นว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ลึกซึ้งยากมาก ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ข้อ 34 บอกว่า
คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)
อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
พ่อครูอธิบายอักขระบาลีโดยย่อ จนครบทุกวรรค
มาถึงวันนี้แล้วเหมือนแต่ว่าคนอื่นเขาเหมือนว่าตนเองรู้คนเดียว ถูกคนเดียว ซึ่งจริงที่ศาสนาพุทธทุกวันนี้เกือบไม่เหลือสัจจะที่เป็นโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า
ต่อไปเป็นการถามคำถามหรือสรุปกัน…
สังขิตตังจิตตัง กับ วิกขิตตังจิตตัง
_สังขิตตังจิตตัง กับ วิกขิตตังจิตตัง อันไหนเจริญกว่า
เราควรทำจิตให้ออกจากสองอย่างนี้อย่างไร
พ่อครูว่า...มันไม่ใช่อย่างงั้นทีเดียว ใน เจโตปริยญาณ 16
สราคะ สโทสะ สโมหะ คือผู้มีญาณที่จะรู้ได้ คือรู้ว่าอันนี้อาการจิตราคะ โทสะ โมหะ แล้วรู้ว่าทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างสัมมาได้แล้วก็ปฏิบัติ แนวปฏิบัติเป็น วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ หกตัวแรก จั่วหัวว่ากิเลสเป็นอย่างนี้ ลดละได้จนถึงไม่มีได้ คืออย่างนี้
ต่อมาอีกคู่ที่ 4 คือสังขิตตัง คือคนปฏิบัติธรรมะแล้ว ถ้ามันผิด มันก็กลายเป็นสังขิตตังจิตตัง คือจิตเป็นก้อน ถ้าคุณสายทำจิตเป็นก้อนก็ผิด ถ้ามันกระจายเป็นวิกขิตตังจิตตัง มันก็ผิดอีกทั้งคู่ แต่ถ้าทำถูก สายเจโตก็ทำได้ระดับหนึ่ง แต่คลี่ไม่ออก มันเกาะกันแน่น เป็นก้อน
ส่วน วิกขิตตังเหมือนจะรู้แต่กระจายจับไม่ติด มันทำได้ส่วนหนึ่งถ้าผู้ที่ทำได้
สายเจโตจะได้สังขิตตังจิตตัง สายปัญญา ธัมมานุสารีจะได้วิกขิตตังจิตตัง
แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิ มันก็จะได้รู้ไปว่าลดได้จำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังหนาแน่น สังขิตตังจิตตัง ถ้าวิกขิตตังจิตตังได้มาแล้ว แต่ก็ยังอีกเยอะ นี่เป็นขั้นตอน 1 เป็นผู้ปฏิบัติธรรมตามลำดับ แต่ต่อมาคุณต้องทำให้เจริญขึ้น
เรียกว่า มหัคคตา อัคคะคือใหญ่ ให้สูงขึ้นคือ คตะคือเจริญไป ให้ได้สัจจะที่ดีขึ้นมากขึ้น ยิ่งขึ้น ให้มากขึ้นมา แต่ดูจิตเราแล้วไม่เจริญ ก็เป็นอมหัคคตะ สอบปฏิบัติแล้วไม่เจริญก้าวหน้าเลย ก็ต้องทำให้เจริญให้เป็น มหัคคตะ
ได้แล้วจะเจริญไปสู่อนุตรจิต คือจิตที่ลอยเหลือแล้ว แต่ยังทำไม่ถึง คือ สอุตตรังจิตตัง คือจิตมีดีแล้วแต่มีดียิ่งกว่านี้
อนุตตรังจิตตังคือจิตที่ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ที่ดีไม่ถึงที่สุดอย่างไรก็ต้องรู้ว่าคือกิเลสนั่นแหละ
กิเลสมันจะต้องหมด จนกระทั่งจิตใจตั้งมั่นแข็งแรง ตกผลึก มาถึงตรงนี้อยากแวะว่า สมาหิตะ คือจิตตั้งมั่น
สมาธิคือจิตตั้งมั่น แต่เขาไปแปล สมาธิคือการปฏิบัติให้จิตใจเพ่ง เรียนรู้เพ่งจิต ไปเอาความรู้ผิดที่ว่า ศาสนาที่ต้องทำจิต เพ่ง มันผิดแล้ว ถ้าทำจิตเพ่งเป็น hypnotize แต่ถ้าวิจัยเป็น Analyse คือจิตของพุทธ เป็นการปฏิบัติแยกแยะกิเลสออกให้ได้เป็นการปฏิบัติสมาธิแบบศาสนาพุทธ แต่ถ้าสมาธิแบบฤาษีจะเป็นการเพ่งจิตให้สงบ นี่แปลผิดเลย เพ่งคือจิตจดจ่อ แต่จะบอกว่า อ่าน analyse จะไม่เพ่งพิจารณาก็ไม่ได้ แต่จิตเป็นหนึ่งคือต้องรู้จิตสองเทวธัมมา แล้วทำจิตให้เป็นหนึ่ง ทำเวทนาสองให้เป็นเวทนาหนึ่ง โดยส่วนสอง
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
นี่เป็นตัวไขความธรรมะการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหมด
ท่านไขถึง ปฏิฆสัมผัสโส อธิวจนสัมผัสโส เราจะไปต่อมีการบรรลุหรือไม่ ก็อยู่ในพระสูตรนี้ เป็นเรื่องเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยทั้งหมด การรู้รูปนามก็อยู่ตรงนี้
จิตที่ยังไม่ดีคือ เรียนรู้กิเลสไม่ชัดเจน ทำกิเลสให้หมดเกลี้ยงไม่ได้ เรียกว่ายังไม่วิมุติ มันยังอวิมุติ คือไม่ถึงอนุตตรังจิตตัง คุณทำสอุตตรังจิตตังได้ แต่ยังไม่ถึงวิมุติจิต ไม่สมบูรณ์ คือ วัด เจโตปริยญาณ 16 คือมาตรวัดการปฏิบัติธรรม เป็นเครื่องชี้บ่งว่าคุณทำถูกต้องตามหลัก 16 อย่างนี้หรือยัง
ทำให้จิต สราคะ สโทสะ สโมหะ ทำให้ วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ทำกิเลสให้หมดไปเป็นวิมุติและมีความตั้งมั่นหรือไม่ ถ้าทำได้ถูกต้องหมดก็จบเลย
สมณะเดินดินว่า...เราฟังชินหู ปัญหาคือเราจะเอาลงสู่การปฏิบัติตัวอย่างไร สำหรับคนภายนอก ทำอะไรศึกษา อย่างที่พ่อครูอธิบาย เขาจะเข้าใจไปเป็นการรู้จิตคนอื่นอย่างสำนักธรรมกายที่บอกธัมมชโยรู้จิตใจลูกศิษย์ ได้
พ่อครูว่า... ปรปุคคลานัง ท่านแปลไปว่า ไปรู้จิตคนอื่นได้ คือแปลอย่างมีตัวตนบุคคลเราเขา
แต่ที่จริงจิตอื่นคือจิตที่มีกิเลส เป็นตัวปลอม เป็นอาคันตุกะ คือจิตมีราคะโทสะโมหะ คือจิตอื่น เป็นสัตว์อื่นบุคคลอื่น
คำว่า อื่น คือปร คือก็มีปัญญารู้ว่าไม่ใช่ของจริง มันเป็นอื่น ไม่ใช่ของจริงที่ควรจะเป็น อื่นมันแปลว่าอย่างนี้ แต่ท่านไม่เข้าใจสภาวะธรรม ท่านก็แปลไปเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ไปกำหนดว่ารู้ใจสัตว์อื่น แต่สัตว์อื่น บุคคลอื่นก็คือตัวเรา ที่มันไม่ใช่ของแท้เป็นกิเลส เป็นอาคันตุกะ เป็นกิเลสเข้ามายึดอาศัยจิตเรา ไม่ใช่จิตเดิมแท้ของเรา
สมณะเดินดินว่า..ตอนนี้เขาใช้เครื่องมือจับการเต้นของหัวใจ การไปการมาของพ่อครูการนอนของพ่อครู (พ่อครูว่าไม่มีเครื่องจับกิเลสได้)
เมื่อคืนดูได้ว่าพ่อครูไม่ได้หลับลึกเลย ตอนนี้เขารู้ได้ว่า พ่อครูไม่ได้พักเลย
สัมมาสติคืออะไร
พ่อครูว่า อยากสรุปให้คุณไพศาลว่า...
คำว่าสัมมาสติมีอยู่ในมรรคมีองค์ 8 เป็นข้อที่ 7
สัมมาสติหมายความว่าเราจะต้องมีสติ เสมอ สติ นี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตรว่า สัมมาทิฏฐิเป็นประธาน แล้วมีสัมมาวายามะ กับสัมมาสติ เป็นเครื่องห้อมล้อม อาตมาก็พยายามขยายความตามสภาวะว่า สัมมาทิฏฐิเป็นท่านเปา สัมมาวายามะ กับสัมมาสติ คือหวังเฉากับหม่าฮั่น
ใน สุริยเปยยาล 7 ต้องได้ก่อนถึงมีมรรคมีองค์ 8
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . . ดูรายละเอียดมิตรดี -> .
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
สัมมาทิฏฐิเป็นเหมือนท่านเปา สัมมาวายามะ กับสัมมาสติ คือหวังเฉากับหม่าฮั่น
ทำอะไรก็ทำในขณะ มีอาชีพ คิด พูด ทำ ไม่ได้ไปนั่งหลับตาที่ไหน มันจะเกิดสัมมาสมาธิ ไขหูฟังบ้างสำหรับพวกนั่งหลับตาสมาธิ แบบนั้น เป็นมิจฉาสมาธินะ พูดมาเกือบ 50 ปีแล้วไม่เข้าหูเลย อย่าว่าจะเข้าใจหรือเข้าถึงเลย ไม่ได้หรอก
จิตที่เป็นพีชะมีสภาวะดูดอย่างไร
มีผู้สรุปมาว่า...คุณหนึ่งดาว สรุปว่า...กราบนมัสการค่ะฉันขอสรุปความเข้าใจคำว่า"จิตที่เป็นพีชะ"ว่ามีสภาวะอย่างนี้ไหมคะ คือจิตที่จะดูดซับเอาแต่สิ่งที่เป็นกุศลเท่านั้น เมื่อมีกระกระทบทางทวารทั้ง 6 และอะไรไม่เกี่ยวกับเราก็ไม่เปลืองพลังงานไปดูดซับมาใส่ตน คือวันนี่ตอนเช้าจู่ๆสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นมาในหัวดิฉันค่ะ ขอความกรุณาพ่อครูเติมความกระจ่างแก่ลูกด้วยค่ะ
พ่อครูว่ามีส่วนถูก พีชนิยาม จะมีตัวรู้ว่า อะไรเป็นธาตุที่จำเป็นต้องใช้ เขาไม่ไปทำอะไรอื่นไม่ศึกษาอื่นเลย เป็นธาตุของพีชะ ไม่ต้องศึกษา ตัวมันเองมีสัญญาตัวรู้ของมัน มีรูป สัญญา สังขาร ไม่มีเวทนากับวิญญาณ
มันกำหนดรู้ว่า เป็นธาตุที่มันต้องการ แล้วออกมาสังขารปรุงแต่ง มันไม่มีวิญญาณครอง เป็นอนุปาทินกสังขาร เป็นสังขารที่ยังไม่มีวิญญาณ
ทีนี้ เมื่อถามว่าคน นี้เป็นจิต ก็ทำจิตให้เป็นเหมือนที่พีชะมี คือรับแต่สิ่งที่มีประโยชน์ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ก็ต้องรู้ให้ชัด คืออกุศลจิต คือกิเลส สิ่งที่ไม่จำเป็น จะไม่รับ แต่กุศลจะบอกว่าไม่เอาเลยก็ไม่ได้ คุณอธิบายกว้างๆว่าเอาแต่กุศลไม่เอาอกุศล แต่ของพระพุทธเจ้าสรุปเลยพีชนิยาม จนจิตเป็นอุตุนิยาม เป็นสังขาร แต่ไม่มีตัวเราเป็นข้าวของ มันถูกสิ่งอื่นทำให้มันเป็น ไม่เหมือนพีชนะที่ต้องมีสัญญารู้ว่าจะเอาอะไร แต่อุตุนิยามมีดูดมีผลัก เป็นลมเป็นไฟ ดินน้ำ เป็นมหาภูตรูป มีพลังงานในตัวมัน มีพลังงานดูด ผลักเรียกว่าไฟ แล้วเคลื่อนไปเป็นลม รวมตัวกันประมาณหนึ่งคือน้ำ รวมกันประมาณหนึ่งคือดิน อยู่กับโลกไป มีพลังงานถูกผลัก ดูด สลายหรือรวมตัวไป…
สมณะเดินดินว่า...ทั้งหมดที่พ่อครูพูดมา ต้องเริ่มต้นอยู่ที่ว่าเราจะต้องเข้ามาเรียนรู้ ดู จิตของเรา สัมพันธ์กับภายนอก รู้ทั้งภายนอกและภายใน ต้องเรียนรู้รูป อรูป สัมพันธ์กับผัสสะที่เกิด เป็นเนื้อหาของวิโมกข์ที่พ่อครูสรุปให้เรา ถ้าเรารู้อย่างฟุ้งกระจายก็ไม่ประสพผลสำเร็จ หรือเข้ามาหัวเป็นก้อนสังขตังก็ไม่สำเร็จต้องรู้ให้ผ่าน ทั้งรูป อรูป ...จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:48:08 )
รายละเอียด
600524_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ มรรคผลของพุทธพิสูจน์ด้วย บวร
สมณะเดินดินว่า…วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2560 ที่บ้านราชฯ อากาศค่อนข้างจะร้อนสำหรับที่บ้านราช อากาศจะร้อนอย่างไร พ่อครูก็ทั้งเขียนหนังสือตลอดบ่าย และได้มาเทศนาให้พวกเราอีกตอนนี้ เพราะมีสิ่งที่จะต้องเปิดเผยความจริงอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของประชาธิปไตย ประเทศไทยเราตอนนี้มีดัชนีความทุกข์น้อยกว่าอีกหลายประเทศ แต่ก็มีคนมองอยู่ว่า ประชาธิปไตยยังใช้ไม่ได้ เศรษฐกิจยังไม่ดียังไม่มีการเลือกตั้ง
คนก็ฟังแล้วก็เชื่อตามแรงของการโฆษณา เรื่องนี้ประชาชนคนไทยน่าจะรู้ได้ แต่เขาก็สามารถครอบงำประชาชนได้ ดูพวกนักข่าวที่ถล่มรัฐบาลหรือพวกนักการเมืองที่กำลังอดอยากปากแห้ง
ธรรมะของศาสนาพุทธเป็นเรื่องเข้าใจได้ยาก รู้ตามได้ยาก ธรรมะที่สอนศาสนาทั่วไป ได้แต่เพียงกดข่มไว้ แต่เป้าหมายของศาสนาพุทธไม่ได้มีแค่นั้น จึงเป็นเรื่องที่ยาก พวกเราก็พยายามติดตามฟังพ่อครูมาตลอด แต่ทำไมติดตามฟังต่อไปอีกก็ยิ่งยาก มีโศลกพ่อครูที่ว่า แม้ศรัทธาจะมากจะแรงขนาดไหน วิริยะจะมากขนาดไหน แต่ถ้าขาดสัมมาทิฏฐิก็ไม่สามารถพ้นทุกข์ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน มรรคผลของพุทธพิสูจน์ด้วย บวร
พ่อครูว่า...ท่านเดินดินขี้ตู่ว่าอาตมาเอาแต่พูดกับเขียนเท่านั้น พูดกับเขียนก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่จริงๆ อาตมาไม่ได้แค่พูดกับเขียน ที่สำคัญคืออาตมาพาทำ ที่เน้นหนัก แล้วก็สามารถ คิดว่าประสบความสำเร็จ ทำงานศาสนามาตั้งแต่ต้นจนจบ ประสบความสำเร็จสามารถพาคนมาทำได้ ทำธรรมะ หรือปฏิบัติธรรมได้
จนเกิดเป็นมรรคเป็นผล จนมารวมตัวกันเป็นสังคมชุมชนหมู่บ้าน เกิดความเป็นบวรจนถึงทุกวันนี้ นี่คือผลสำเร็จที่อาตมาพาทำ
คนอื่นใครๆเขาก็พูดก็เขียนกันทั้งนั้น แต่อาตมาเห็นว่า(ขออภัยไม่ได้พูดข่ม) แต่พูดตามสภาวะปรากฏการณ์จริง คนอื่นๆไม่ว่าสำนักไหนก็ตาม ไม่เคยเห็นว่าสำนักไหนทำจนกระทั่งเกิดเป็นชุมชนหมู่บ้าน เท่าที่ดูแล้วมีบ้าง แต่ในประเทศไทยนี้ ยังไม่ปรากฏเป็นเช่นนั้น ที่เป็นชุมชนหมู่บ้าน
ก็ไม่รู้นะว่าเขาจะเป็นหมู่บ้านขนาดไหน นึกถึงหมู่บ้านพลัม ของอาจารย์คนหนึ่ง อาจารย์ทางพุทธศาสนา หมู่บ้านของท่านติชนัทฮันห์ พระชาวเวียดนาม และใช้คำพูดว่า หมู่บ้านพลัม และคำว่าหมู่บ้านนี้จะเหมือนกับหมู่บ้านชาวอโศกไหม
(ญาติธรรมบอกว่า ไม่เหมือน) พ่อครูไอ ตัดออกด้วย
สมณะเดินดินว่า...ฟังว่าก็ไม่เหมือนชุมชนแบบพวกเรา
พ่อครูว่า...ยิ่งอาตมาใช้ชุมชนหมู่บ้าน เขาก็เรียกหมู่บ้านพลัม แต่หมู่บ้านอื่นๆไม่เห็นมี หมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านของศาสนาพุทธ หมู่บ้านอื่นชุมชนอื่นก็ไม่ทราบ แต่ความหมายของอาตมาคือ
มีบุคคลจริงๆ รวมกันอยู่เป็นหมู่บ้านจริงๆเลย มีบ้านของแต่ละคนๆ เป็นบ้านของเขา เขาเอาชีวิตของเขาเข้ามา แล้วก็มีบ้านอยู่ เหมือนบ้านข้างนอกที่คนทั้งหลายก็มีอยู่ เป็นบ้านของตนเอง แล้วก็อยู่บ้านนี้ มีอาชีพ มีการกระทำ มีการพูด มีการคิด ตามมรรคมีองค์ 8 แล้วก็นำพาให้เกิดสัมมา สัมมาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจาสัมมาสังกัปปะ
เป็นหมู่บ้านที่อาตมาได้นำพาให้เกิด 4 อย่างนี้จริง เป็นหมู่บ้าน เจตนานำพาให้เป็นสัมมา ทั้งสอนพาทำ บรรยาย เขียน มีชีวิตไปทั้งชีวิต หลายคนเอาชีวิตมาตายในหมู่บ้านชาวอโศกมีมากแล้ว ตายก็มีเผาให้เสร็จเรียบร้อยมา มีการพาทำ ทำงานทำการให้เป็นสัมมา
สัมมากัมมันตะ ข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ หมู่บ้านชาวอโศกไม่ฆ่าสัตว์กันทั้งหมู่บ้านสำเร็จ
ข้อที่ 2 ไม่เอาเงินของใคร พยายามที่สุดไม่เอาเงินของใครในฐานะเป็นการขโมยทั้งหมู่บ้าน ทำกันทั้งหมู่บ้านไม่ใช่เป็นของแต่ละบ้าน ที่อื่นเขาก็ทำเป็นบ้าน ของเราพากันทำเป็นหมู่บ้านรวมเลย พ้นมิจฉากัมมันตะ 3 ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร
สัมมาวาจา ไม่ให้ผิดมิจฉา 4
สัมมาสังกัปปะ ให้ลดกาม พยาบาท รู้จักสังกัปปะ 7 รู้จักตักกะ วิตักกะสังกัปปะ จิตมีอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ไม่มีวจีสังขารที่เป็นอาริยะ มีกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ที่เป็นอาริยะ เป็นฌานเป็นสมาธิ ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า ซึ่งก็ไปติงไปติ ผู้ปฏิบัติผิด
อาตมาไปติ วงการศาสนาพุทธที่เป็นที่รู้กันว่า การปฏิบัติฌานสมาธิต้องไปนั่งหลับตาสะกดจิตทั้งนั้น เชื่อกันอย่างนี้และทำกันอย่างนี้ ไม่ได้พาทำการปฏิบัติฌาน ด้วยการมีศีล สมาธิ และเกิดปัญญาตามบารมีแต่ละคน
เริ่มตั้งแต่มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 อยู่ในชุมชนชาวอโศกทุกคน ปฏิบัติศีล 5 ทุกคนเป็นอย่างน้อย แล้วก็เน้นว่า ถ้าจะมาอยู่ในอารามต้องถือศีล 8
ตอนนี้หมู่บ้านเราลงตัวแล้วมีคนศีล 5 ศีล 8 รวมตัวกัน มีศีล 10 จนมากกว่าศีล 10 เป็นจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ส่วนภิกษุก็ถือวินัยด้วย มีจารีตประเพณีการทบทวนโอวาทปาฏิโมกข์ คำสอนพระพุทธเจ้า ไม่ได้มีแค่วินัย แต่คำสอนพระพุทธเจ้า มีทั้งธรรมะและวินัย คือปาติโมกข์ คือเพื่อให้เกิดการขัดเกลาเป็น Action reaction คือการกระทบสัมผัสแล้วขัดเกลาสู่วิโมกข์ สู่การหลุดพ้น
นั่นคือโอวาทปาติโมกข์ อาตมาพาพวกเราทำจนเกิดเป็นหมู่บ้านทำกันทั้งหมู่บ้าน ปฏิบัติศีลสมาธิทั้งหมู่บ้าน แต่ไม่ใช่นั่งหลับตาสมาธิสะกด
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน การหลับตาสมาธิไม่รู้โลกกับอัตตา
ขอพูดย้ำยืนยันว่า การนั่งหลับตาสะกดจิตตาม ทิฏฐิ ความเห็นที่พากันทำในสังคมส่วนใหญ่ พุทธศาสนา ที่ทั่วโลกทำ เข้าใจว่า สมาธิคือการนั่งหลับตานั้นผิดหมด มิจฉาทิฏฐิหมด
เพราะ ความจริงนั้น การปฏิบัติสมาธิของพระพุทธเจ้า คือสัมมาสมาธิต้องปฏิบัติ มรรค 7 องค์ ไม่ได้จะไปนั่งหลับตา แต่ลืมตามีการทำงานอาชีพมีการกระทำกายวาจาใจที่เป็นสัมมา พูดสัมมา คิดนึกสัมมา ทางมโนกรรมให้เป็นสัมมา แล้ว ล้างกิเลสออกจากจิต สั่งสม ลงเป็นฌานเป็นสมาธิ ในขณะลืมตามีชีวิตอยู่ปัจจุบันไม่ใช่นั่งหลับตา
ขออธิบายสำหรับคนนั่งหลับตาปฏิบัติ ที่ได้ฌานสมาธิ เขาก็จะได้ฌานสมาธิของจิตสังขาร เขาไม่ได้วจีสังขาร หรือกายสังขาร ก็ไปนั่งหลับตาทำฌานสมาธิ ก็ได้แต่จิตสังขาร แต่ไม่ได้กายสังขาร วจีสังขาร
ภพมีสามภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ แต่เขาไม่มีภายนอก ที่สำคัญคือไม่มีความจริงอันครบ มันเป็นแต่เพียงในภวังค์ในความคิดในภพ เท่านั้น จึงไม่ใช่กามจริง ไม่ใช่อัตตาสมบูรณ์
เพราะอัตตาต้องประกอบด้วยการรู้ภายนอกและภายใน จึงเข้าใจ อัตตา โลก
ความเป็นโลกหมายถึงองค์รวมภายนอกรวมกัน เกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กัน อยู่ร่วมกับโลกเขาโดยรู้ว่าอย่างนี้เป็นโลก เช่นโลกธรรม อย่างนี้เรียกว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข และรู้จักอัตตา รู้จักภายในจิตของตน
โลกภายนอกที่หยาบเรียกโอฬาริกอัตตา มันปรุงแต่งเป็นมโนมยอัตตา
มโนมยอัตตาที่สำเร็จด้วยจิตเป็นอบาย เป็นกาม สำเร็จเป็นกามภพ รู้ว่าจิตเราไปหลงกิเลส ได้อัตตาที่สำเร็จด้วยจิตภายนอก และรู้มโนมยอัตตาภายใน เป็นรูป อรูปภายใน
ถ้าปฏิบัติภายนอก เกี่ยวข้องกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เราเกิดกิเลสจริง เราก็เรียนรู้กิเลสในปัจจุบันนั้นเรียกว่า ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ คือ
นิพพานที่เกิดในธรรมะอันเป็นปัจจุบัน ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ แปลว่าความรู้ความเห็นที่มีปัจจุบันธรรม ชัดๆ ไม่ใช่อดีตและอนาคต
นี่คือความยากที่คนเข้าใจไม่ได้ ผู้ที่ปฏิบัติโดยไม่มีปัจจุบันไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย และใจรับรู้ทวารนอกทั้ง 5 ครบ และเรียนรู้กิเลสที่เกิดจากการสัมผัส ทางทวารเปิด แล้วล้างกิเลสในกามภพ
กามภพหมดเป็นอนาคามี กิเลสต่อไปก็ไม่ได้หลับตาปฏิบัติ กิเลสอนาคามีไม่มีในกามภพ เกี่ยวข้องกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส โลกธรรม ท่านล้างกิเลสได้หมด คืออนาคามี ไม่ติดยึดไม่ได้อยากได้ อยากมี อยากเป็น
ถ้าอนาคามี ไปทำงานราชการ ทำงานบริหารบ้านเมืองให้แก่รัฐ รัฐจะเจริญมาก เพราะว่าจะไม่มีคอรัปชั่น ไม่มีโลภในลาภยศ อนาคามีมีภูมิธรรมอย่างแท้จริง ในโลกธรรมและลดได้จริงๆ
ลาภ ยศ หยาบ สรรเสริญมีลึกบ้าง สุข ก็จะมีในอนาคามีบ้าง แต่ไม่หยาบ คนรู้สรรเสริญคือสรรเสริญเยินยอโด่งเด่นดังแบบโลกๆไม่มี แต่จะถือเป็นมานะ มีอุทธัจจะ เหลือเศษที่จะต้องทำต่อไปให้เป็นอรหันต์
ผู้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าจะรู้จักขั้นตอน ฌานกับสมาธิ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิจะต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัย แล้วต้องเป็นปัจจุบันที่ตากระทบรูป หูกระทบเสียงลิ้น กายใจ กระทบสัมผัสแล้วเกิดกิเลส ล้างกิเลสได้ จนกระทั่งสัมผัสแล้วกิเลสไม่เกิดเลย อย่างนั้นคือสัจจะ วิธีปฏิบัติและเกิดมรรคผลแบบที่พระพุทธเจ้าสอน
การนั่งหลับตาสมาธิได้รูปฌานและอรูปฌาน คือสมาธิโลกีย์แบบโลกๆ ไม่ใช่สมาธิของศาสนาพุทธเลย แต่ไม่เข้าใจไปหลงสมาธิแบบนั้น
ในยุคของพระพุทธเจ้าเริ่มศึกษาออกบวช ก็ไปศึกษาอาจารย์ ไปเจออาจารย์ใหญ่ๆที่เขาปฏิบัติสมาธิ ก็พานั่งหลับตา เป็นฌาน 7 8 ไป แต่ท่านก็ทราบว่าไม่ใช่ทางถูก ที่อาฬารดาบส อุทกดาบส ปฏิบัติคือการนั่ งหลับตา เป็น Meditation ทั้งสิ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน พลังจิตสงบของพุทธแท้จริงคืออะไร
หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ในมหาจัตตารีสกสูตร สามัญผลสูตร ให้ปฏิบัติศีลเป็นลำดับ แล้วสำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ ปฏิบัติให้กิเลสลดลงจนจิตมันพอเพียง ตามในหลวงตรัส มันสันโดษ
อสังสัคคะ คือไม่ไปหลงสวรรค์ แต่เขาแปลเป็นไม่คลุกคลีกับหมู่ เพี้ยนไปเลย
ปวิเวกะคือสงบระงับ เป็นกถาวัตถุข้อ 3ในกถาวัตถุ 10
1. เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา)
2. เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา)
3. เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา)
4. เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา)
5. เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา)
6. เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)
7. เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ (สมาธิกถา) .
8. เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)
9. เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส (วิมุติกถา)
10. เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 69)
เขาปฏิบัติยึดถือกันอย่าง(ผิด)นี้เป็นร้อยปีแล้ว โพธิรักษ์เป็นมาอย่างไร ทำไมจะมาลบล้าง อาตมาก็ว่าไม่ได้ล้มล้างแต่ว่า ไปช่วยแก้ไขที่เขายึดถือยึดติดกัน อาตมาล้มล้างไม่ได้หรอก อาตมาจะทำงานไปจนอายุ 151 ปี คณะใหญ่ก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ แต่จะมีผู้ปฏิบัติตามแนวที่อาตมาได้พาทำเพิ่มขึ้นเท่านั้น และเป็นหมู่บ้านที่มี สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ
พาปฏิบัติกันไปจนกว่าจะตาย ไม่เลิกทำ ส่วนตัวที่ใครจะเผลอสติไม่ทำบ้างก็แน่นอน แต่ถ้าอยู่ในหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้าน บวร ที่ทั้งสังคมหมู่บ้าน วัด ปฏิบัติธรรมกันทั้งหมู่บ้าน พาทำแบบไม่ได้แบ่งแยก บ้าน วัด โรงเรียนเลย
โรงเรียนอยู่ตรงไหนก็คือการศึกษา ศึกษาอยู่ทั้งความรู้ทางโลก สัมมาอาชีพสัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ เป็นการศึกษาให้รู้ แม้จะบอกว่า ตั้งโรงเรียพูด หยุดคิด บอกว่าหยุดคิด ให้จิตว่างเปล่า โดยสะกดเข้าไป ไม่มีการวิจัย ธัมมวิจันสัมมาสิกขา ก็พามาเรียนให้มีศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา
ไม่ได้ออกนอกแนวของพระพุทธเจ้าเลย สัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ
แต่จะบอกว่าการนั่งหลับตาทำได้ไหม ก็ได้ ถ้าสัมมาทิฏฐิ การนั่งหลับตาสมาธิมีประโยชน์คือ
1. ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
2. ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
3. เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
4. สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
แต่อย่าทำแบบตีขลุมว่าไม่ทำอะไรเลย ไม่ทำอาชีพ ไม่ทำการพูดการคิดเลย อย่างนั้นไม่ลึกซึ้งอะไร แค่ให้หยุด พัก ทำสมาธิคือสงบ อาชีพไม่ทำ กรรมกิริยาไม่ทำ ไม่ยสัมโพชฌงค์ไม่ได้เกิดเลย มันเพี้ยนไปไกลมากเลยศาสนาพุทธ
อาตมาเน้นทั้งท่าทีลีลา น้ำเสียง ลีลา มือไม้ แสดงนัจจะคีตะวาทิตะเน้นให้มีรูปธรรมประกอบด้วยแล้วเขาหาว่าอาตมาไม่สุภาพ เขาเข้าใจสุดโต่งว่าความสงบคือไม่กระดุกกระดิก ไม่ทำอาชีพ ไม่มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม คือสงบ แต่ผิดหมดเลย
ความสงบนั้นคือ กิเลสมันลดลง กิเลสมันดับไป ส่วนกายกรรมก็ยิ่งแคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียวทำงานได้ดี พูดมีเหตุมีผล มีคุณธรรม มีสิ่งที่ดีงาม คิดก็แคล่วคล่อง เป็นกัมมัญญตา เป็นกายกัมมัญญตา เป็นองค์รวมรูปนามที่มีจิต มุทุภูตธาตุ คิดได้แคล่วคล่อง ทำกรรมกิริยาเป็นสัมมา ทำงานอาชีพเป็นสัมมาอาชีพ อย่างนี้คือความสงบ
ไม่ใช่ว่าความสงบคือจะหยุดคิด หยุดพูด หยุดทำ เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอกองคุลิมาล ว่า ยังมีกายกรรม วจีกรรม ไม่สงบ มโนกรรมไม่สงบ เพราะต้องการฆ่า คนสุดท้ายที่ต้องฆ่าแล้วจะได้ไปรับวิชาจากอาจารย์ ตอนแรกจะไปฆ่าแม่เป็นคนสุดท้าย พระพุทธเจ้าก็เลยไปเป็นตัวล่อ ให้มาฆ่าพระพุทธเจ้า แล้วองคุลีมาลรอดตามมาฆ่า แต่พระพุทธเจ้ามีกำลังภายใน เดินไปเร็ว องคุลีมาลก็ตามไม่ทัน เพราะท่านมีกำลังภายในตัวเบา องคุลีมาล ตามไม่ทัน พระพุทธเจ้ามีตัวเบาอย่างหนังจีนเลย องคุลีมาลก็เลยบอกว่าหยุด ถ้าพระพุทธเจ้าไม่มีบารมี องคุลิมาลก็จะฆ่าได้สำเร็จ
เมื่อองคุลีมาลบอกว่าหยุด สมณะหยุด พระพุทธเจ้าบอกว่าเราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด นั่นต่างหากคือความสงบ ระงับ องคุลีมาลยังมีจิตที่จะฆ่า ยังไม่หยุด แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าเราหยุดฆ่าแล้ว
แต่พวกนักปฏิบัติธรรมก็เลยเข้าใจผิดว่าหยุดเดิน ไม่กระดุกกระดิก เข้าใจแค่รูปธรรม ไม่ได้มีปัญญารู้ว่าหยุดคืออะไรเลย นั่นคือ ผู้ปฏิบัติธรรมสมัยนี้เข้าใจคำว่าสงบได้ หยุดคือกายกรรมวจีกรรม หรือมโนหยุดไม่คิด
พลังของพระพุทธเจ้านั้น มโนจะยิ่งคล่องแคล่ว เป็นมุทุภูตธาตุ แคล่วคล่องเป็นกายกัมมัญญตา มีสังขารได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะไม่มีพลังงานกิเลสมาทำให้จิตติดข้อง นั่นคือความสงบ เป็นกายปาคุญญตา เป็นความคล่องแคล่วของเวทนาสัญญาสังขาร ที่เป็นเจตสิกของวิญญาณ
เวทนาสัญญาสังขาร มีความคล่องแคล่ว วิญญาณก็จะมีความคล่องแคล่ว เพราะว่า เวทนาสัญญาสังขาร รวมกันก็คือวิญญาณ
ทำให้จิตสงบได้ แต่จิตยิ่งแคล่วคล่องว่องไว ทั้งเจโตทั้งปัญญา
จิตเจโตสามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้เร็วได้คล่อง ทั้งปัญญาที่มีความรอบรู้ ก็มีความแคล่วคล่องเร็วไว คือความสงบสูงสุด เพราะจิตกิเลส อกุศลมันหมดมันดับ สงบ หาย ตายจากชีวิต นี่คือสุดยอดสงบ
การไปพาซื่อว่า ความสงบคือไม่กระดุกกระดิก อย่างนั้นมันผิด อาตมาถึงไม่แคร์ว่าใครจะบอกว่าอาตมาไม่นิ่ง กระดุกกระดิก พูดจาไม่สงบ กระแทกกระทั้น...พ่อครูลองพูดเสียงเนิบๆสงบๆ ...นักเรียนก็จะสงบ มันไม่ใช่เลย ซึ่งอาตมาแสดงธรรมอย่างไม่มีสาเฐยจิต จิตไม่มีกิเลสเลย นั่นคือแสดงธรรมอย่างสงบ
อาตมาเปิดเผยอย่างไม่มังกุเลย เพราะได้เปิดเผยไปหมดแล้วว่าเป็นใครบรรลุอย่างไร แต่คนไม่เข้าใจเลยยากจริงๆ เพราะว่าไปหลงคำว่าสงบ
บอกว่าโพธิรักษ์แสดงธรรมไม่สงบเลย แล้วจะเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ได้อย่างไร จริงๆเลย เพราะเขาถูกครอบงำทางจิต ทางความฉลาดความรู้ไปหมดว่าจิตสงบคือจะต้องนิ่งๆ ต้องสำรวมในกายกรรม การสำรวมคืออะไร
คือต้องอ่านกายกรรมว่ามีกิเลสเข้าไปปรุงไหม มีสสังขาริกังให้เกิดออกกายกรรม มีกิเลสร่วมพาทำไหม ถ้ามีกิเลสอยู่คือกายกรรมไม่สงบ วจีกรรมมีกิเลสร่วมไหม มีสสังขาริกัง ปรุงแต่งในวจีสังขาร ไม่มีก็คือจิตสงบ
มโน นี่ ที่แสดงความเห็น แสดงความรู้ แสดงธรรมะออกมา มีกิเลสร่วมอยู่ในมโนไหม อาตมาก็ขอยืนยันว่าไม่มี ราคะ โทสะ โดยเฉพาะโมหะไม่ได้หลงเลอะเทอะไปด้วย นี่คืออวดอุตริมนุสธรรมอยู่นะ มั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากสัจธรรม
อาจจะมีสัญญาวิปลาสบ้าง พยัญชนะอาจจะสลับกับสภาวะธรรมบ้าง อาจจะเป็นได้ ซึ่งอันนี้อาตมายังไม่สมบูรณ์ เป็นความไม่ลงตัวบัญญัติกับสภาวะไม่สมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง มันยังไม่เก่ง แต่ก็พยายามที่จะไม่ให้มันสลับซับซ้อน ดีไม่ดีเผลอๆก็บัญญัติวิปลาส พวกคุณก็จับได้ ก็ท้วงมาหลายที อย่างหยาบๆ แต่ละเอียดๆไม่ค่อยมี
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ 10) ตอน ความสำเร็จในการทำงานศาสนาของพ่อครู
อาตมาพูดจนหมดเนื้อหมดตัว ไม่รู้จะทำอย่างไร ขนาดนั้นคนเขาก็ยืนยันว่า ผู้บรรลุธรรมจะอวดไม่ได้ อวดตัวว่าบรรลุธรรมไม่ได้ อาบัติเลย ดีไม่ดีปาราชิก นอกนั้นก็อาบัติปาจิตตีย์ตลอดเวลา อาตมาก็ขอยืนยันว่า ไม่ได้อาบัติปาจิตตีย์ และปาราชิก
อาบัติปาจิตตีย์คือ ตนเองมีคุณธรรมในตัวเอง แล้วแสดงว่าตนเองมีคุณธรรมนั้น กับอนุปสัมบัน เอาอุตริมนุสธรรมที่มีในตนนั้นก็ปาจิตตีย์ อนุปสัมบันนั้นเขาแปลว่าฆราวาส แต่ที่จริงอาตมาว่าคือผู้มีภูมิไม่ถึงจะรับได้ แต่อาตมาแสดงออกทางโทรทัศน์ มีอนุปสัมบัน เขาภูมิไม่ถึง เปิดฟังก็จะรับไม่ได้ก็ไม่ฟังหรอก แต่ถ้าคนมีภูมิ ฟังได้เขาก็จะฟังอย่างตั้งใจ แต่คนฟังอย่างเพ่งโทษ จับผิด ก็ไม่ได้ประโยชน์หรอก
อาตมาแสดงธรรม เรื่องที่ต่างจากโลกเขาแสดง เขาจะแสดงทาน ส่วน ศีล เขาไม่ค่อยแสดงบรรยายเท่าไหร่ มีแต่รับศีลที่วัดแล้วเท่านั้น นอกนั้นเขาไปเรื่องสมาธิ ปัญญา กันไปโน่น ไม่ค่อยบรรยายศีลกัน
นอกนั้นมิจฉาอาชีวะ 5 เขาไม่ค่อยบรรยายกัน กุหนา ลปนาคืออบายมุขที่ต้องหยุด ศีลข้อ 5 คือยอดอบายมุข กุหนา ลปนา คือยอดอบายมุข ต้องเลิกก่อนเลย
คนฟังอาตมาอยู่ทุกวันจะรู้เลยว่า อาตมาบรรยายธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนใครที่เขาบรรยายกัน แม้แต่ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ที่เป็นยอดในทางธรรมะพระพุทธเจ้า มีธรรมะเก่ง เป็นพระไตรปิฎกเคลื่อนที่ หรือผู้รู้ยอดธรรมเป็น Knowledgeman อาตมาก็ถือว่าท่านเก่ง แต่ไม่ได้ปฏิบัติได้จนเป็นอาริยบุคคล
ผู้ที่จะเป็นอริยบุคคลจะต้องรู้จักเวทนา 108 และเอาเวทนา 108 มาเน้น เพราะว่ากรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่กรรมฐาน 40 ที่อรรถกถาจารย์รวบรวมไว้ อันนั้นเป็นสมถะไม่ใช่วิปัสสนา ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นวิปัสสนาไม่ใช่การสะกดจิต ไม่ใช่มีวัตถุให้จิตไปจดจ่อ เป็นกสิณ แต่ให้มีสติมีธัมมวิจัย พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรมเป็นสติปัฏฐาน 4 ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตอย่างนั้น
ที่อาตมาพูดนี้มันแรงนะ เพราะว่าเขาทำผิดกันทั้งบ้านทั้งเมือง ทั้งกระบวน ในเรื่องของศาสนาพุทธ อาตมาพูดเหมือนยกตัวว่า เป็นผู้ที่ถูกต้อง ก็ต้องเห็นใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร แล้วกระแสหลักเขาก็ ยิ่ง ไม่มีดวงตา ไม่รู้ว่าโพธิรักษ์คือผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นผู้มาพูดสัมมาวาจา มาพาทำสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เขาไม่เชื่อ ทั้งที่อาตมาพาทำแล้วมีมรรคผล ให้พวกเรามาทำสัมมาอาชีพ เลี้ยงชีพทุกวันนี้อย่างพ้น กุหนา ลปนา ไม่โกงไม่เอาเปรียบ มีแต่เสียสละๆ สร้างสรร ค้าขาย ปฏิบัติธรรมอยู่ในชีวิต นอกจากส่วนตัวไปละเมิด โลภอยู่ข้างนอก ก็เป็นตัวใครตัวมัน
แต่ที่ทำกันในหมู่บ้านชาวอโศกก็สังวรกันตลอด พาทำกันตลอด อาตมาว่าอาตมามาชาตินี้พาทำงาน อาตมาประสบผลสำเร็จอย่างชัดเจน แต่คนก็มองไม่ออก แล้วพวกคุณก็มีสมาธิ มีความแข็งแรง สร้างฌานของจิต มีอัปปนา พยัปปนา เจตโนอภินิโรปนา มีฌาน 1 2 3 4 ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌาน 4 เช่น
คุณไม่ฆ่าสัตว์ สัมผัสสัตว์ ไม่มีจิตอยากจะฆ่าอยากเอามากิน จิตมันบรรเทา สัมผัสกับสัตว์ใดๆ ก็ไม่อยากจะฆ่าเลย แม้มันจะกลับมาทำร้ายเรา เราก็ไม่คิดจะฆ่า แม้จะเจ็บก็ตาม
ถามนิดหนึ่ง ถ้าคุณเจอสัตว์ ตัวใดตัวหนึ่งมันกัดหนักๆ คุณจะฆ่ามันไหม หรือจะไล่มันไป….คนตอบว่าไล่ นี่คือการบรรลุธรรม มีมรรคผล คุณจะไม่ฆ่าสัตว์ คุณจะไล่มันไป นี่คือ สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์จริงในชาวอโศก มีสติ มีปัญญา รู้ว่า พฤติกรรมอย่างนี้ ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์
สองคุณไม่เอาของคนอื่น คุณสังวรระวังจริงไหม ของคนอื่น ถ้าผู้ใดไม่ขโมยก็จริง แต่เจอของที่ไม่ใช่ของๆเราก็หาทางเอาเปรียบ นี่คือการละเมิดศีล
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศีลข้อ 2 พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นคนสะอาดอยู่
ก็หมายความว่า จิตคุณจะรู้ว่าของนี้ไม่ใช่ของคุณ เขาไม่ได้ให้ คุณจะละเมิดอยากได้ จะมีมากน้อยขนาดไหน มันลดไหมจิตคุณ แต่ก่อน อยากได้อย่างแรงถึงขโมย แต่ต่อมาลด ไม่ขโมย แต่หาเจ้าของ ถ้าเขาให้ก็เอาเลย ไม่ให้ก็ไม่เอา ไม่ให้ก็ซื้อหาได้ สุจริตแล้ว
สมณะเดินดินว่า...ถ้าไม่ถึงขโมย แต่ว่าอยากได้เปรียบ เช่น พวกขายตรงผิดไหมครับ
พ่อครูว่า...ผิดสิ จิตคิดเอาเปรียบ พูดหลายทีแล้วว่าพวกคนที่ขายตรงนั้นออกไปจากชาวอโศกเลย คือขี้โลภจัด เห็นแก่ได้จัด ตกเป็นทาสของนายทุน ให้นายทุนไสหัวใช้
สมณะเดินดินว่า...พวกญาติธรรมมักมองว่า เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
พ่อครูว่า...ให้เลิกเลยการขายตรงนี้ ให้มันตายไปเลยดีกว่า จริงมันต้องพยายามทำของให้ดี มีประสิทธิภาพสูง จะได้ขายแพงเกินกว่าเหตุ แล้วเขาก็มีคณะมีทีมวิจัย ทำสิ่งแปลกใหม่ แต่มันเวอร์ไม่พอดีหรอก ของพวกนี้ มันมากไป ถ้ายิ่งสิ่งเป็นสุขภาพ ยิ่งเวอร์ทั้งนั้น เราไม่รู้รายละเอียดหรอก
อาตมาพยายามพาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้เกิดประโยชน์เกิดผล พาทำมาจนทุกวันนี้ ประสบผลสำเร็จแล้ว โดยดูจากสิ่งที่ปรากฏเกิดผลจริงมีจริง เป็นเอกีภาวะ เป็นปึกแผ่น เกิดมวลหมู่ชาวอโศก และเป็นสิ่งยั่งยืนถาวร
หลายคนอสังกุปปัง ไม่มีกิเลสนั้นเกิดอีกแล้ว ไม่มีอะไรมาทำลายคุณธรรมคุณวิเศษของเราแล้ว ยกตัวอย่าง คนมาปฏิบัติไม่ฆ่าสัตว์จนกระทั่งไม่กินเนื้อสัตว์ ใครจะมาล้มล้าง มาให้เราเปลี่ยนไปกินเนื้อสัตว์อีก ไม่มีทาง ไม่แปรเป็นอื่น อวินิปาตธรรม เป็นอย่างนี้ไปได้จริงๆ
นิจจัง ธุวัง สัสสตัง ไปได้ตลอด หลายคนยกตัวอย่างเรื่องเนื้อสัตว์ตั้งแต่เข้าใจในวันนั้นจนมาถึงวันนี้ไม่มีล้ม เรียกว่า สัสสตัง ตลอดกาล จิตใจไม่มีอยากไปกินเนื้อสัตว์เลย จึงเรียกว่าเที่ยงแท้ นิจจัง คือมรรคผลจริง
ศีลข้อที่ 2 ของที่ไม่ใช่ของเราไม่ได้อยากเอาเลย จะให้ไปลักขโมยก็เลิกขาด แต่ยังอยากได้เปรียบบ้าง ก็ต้องศึกษาว่าตนเองไม่แข็งแรง จนกระทั่งเราไม่เอาของเขาแต่เราสร้างขึ้นมา แล้วยังให้คนอื่นอีก อย่างนี้ต่างหากชาวอโศกทำได้ ไม่ได้หวงแหนเลย ไล่แจกอีกต่างหาก กินใช้ไม่ทัน ขายราคาถูกๆอีก
สังคมเราแก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมประเทศได้อย่างตรงเป้า และทำได้สำเร็จตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าด้วย
เป็นคนไม่ได้ตกอยู่ในกระแสของทุนนิยมเขา พวกตกในกระแสทุนนิยมไม่งอกเงย คือผู้ที่เศรษฐกิจ เป็นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเศรษฐกิจอย่างที่ผู้บริหารประเทศต้องการ พวกเราคือผู้ที่อยู่ในการปฏิบัติประเภทเศรษฐกิจตามเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า ที่ตรงตามผู้บริหารต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสังคมหรือชาติไหน เราไม่ได้ขัดแย้ง ทำให้เสียเศรษฐกิจของสังคมประเทศ ไม่ว่าจะในลัทธิไหน เป็นเผด็จการ เป็นสังคมนิยม รู้จักเป็นประชาธิปไตยก็ไม่ขัดแย้งเลย พวกเราเป็นนักเศรษฐกิจที่เยี่ยมยอด
เศรษฐกิจของสังคมคอมมิวนิสต์ ต้องการของส่วนกลางมาก ทุกคนต้องพยายามเอามาให้แก่ส่วนกลางมากด้วยการบังคับ กดขี่ภาษี ประชาธิปไตยไม่กดขี่ภาษี แต่คอมมิวนิสต์ทำ ยิ่งเผด็จการ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็บังคับเอาเลย ดีไม่ดีสั่งล้มละลายได้เลย
แม้แต่ประชาธิปไตยเขาต้องการทำเศรษฐกิจ ให้คนทำงานแล้วเอามาเข้าส่วนกลางคือของรัฐให้ได้มากคือภาษี ภาษีของรัฐมีมากมาย คือเอาจากประชาชนเข้าสู่ส่วนกลาง
อาตมาพาพวกเราปฏิบัติเสียภาษี 100% ให้ส่วนกลาง ที่อาตมาพูดแล้วพูดเล่า พวกนักเศรษฐศาสตร์ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจและไม่เชื่อ ว่าอาตมาให้พวกเราทำงานฟรีได้ ไม่ต้องเอารายได้เป็นของตัวเองเลย เท่ากับเสียภาษี 100% จะมีคณะบริหารเงินทองนั้น ยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์ แล้วกินอยู่อย่างนี้
เป็นสังคมยอดของคอมมิวนิสต์ ยอดของประชาธิปไตยเพราะเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่ามีส่วนกลาง ต้องการให้ส่วนกลางมีมากพอ ยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์ ดูที่จิตใจไม่ได้ถูกบังคับ คุณมาอยู่กับสังคมอโศก ยิ่งกว่าสังคมคิปบุช ยิ่งกว่าสังคมคอมมิวนิสต์ ให้ได้100% เลย ส่วนตัวนั้นมีน้อย บางคนบอกว่า มาอยู่ที่นี่ไม่มีส่วนตัวหรอก แต่บางคนก็มีของใครของมันส่วนตัวก็แล้วแต่ ไม่ได้ไปตรวจสอบหรอก อิสระ แต่ก็ส่วนใหญ่ชาวอโศกทำงานให้ส่วนกลาง ไม่ได้มาทำส่วนตัว เข้าใจแล้ว หมู่บ้านนี้อยู่สบาย นั่นแหละคือการบรรลุมรรคผล
ผู้ที่อยู่ในชุมชนชาวอโศกไม่ได้มีอาชีพส่วนตัวข้างนอกเลย มีอาชีพในนี้ แล้วแบ่งกินใช้กันในนี้ นั่นคือผู้บรรลุมรรคผล ยืนยันได้พิสูจน์ได้ ไม่ใช่ขั้นต่ำ แต่เป็นธรรมะพระพุทธเจ้าขั้นสูงเลย อาตมาประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่มาก แต่พูดไปแล้วคนไม่ค่อยเข้าใจ
ศีลข้อ 1 ไม่ทำร้ายสัตว์เข้าใจความเป็นชีวะ อาตมาพาทำให้ชาวอโศกบรรลุมรรคผลมีจิตใจไม่โหดร้ายทำลายสัตว์ นอกจากเผลอสติ ถ้าไม่เผลอสติ ก็สังวรสำรวม ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของๆตน มีใจเสียสละอีก มีหลักเกณฑ์ให้ปฏิบัติประพฤติ มีปัญญารู้ว่าทำไปเพื่ออะไร ให้ ตัวหมดตน ลดละกิเลสก็เข้าใจกัน
ราคะ กามก็ลดกัน มาอยู่ในหมู่หากผิดพลาดก็ชำระกัน ชุมชนชาวอโศกไม่มีอบายมุขเลยตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ นี่คือมรรคผล คือความสำเร็จของศาสนาที่อาตมาภาคภูมิใจ ว่า เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาสอนให้พวกเราสุขสงบด้วยดี ไม่ได้ดิ้นรนทำอย่างฝืน
ศีลแม้แต่ข้อ 6 เรื่องกินเรื่องอยู่อาหารการกิน กินเป็นมื้อเป็นคราว ตามที่เรากำหนด ยกตัวอย่างที่นี่ไม่มีอาหารเนื้อสัตว์ ปรุงแต่งอย่างเต็มที่ไม่มีนะ หรือแม้แต่กินหนึ่งมื้อสองมื้อบ้างแต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเคร่งกันเท่าไหร่ มีส่วนกลางตักกินกันเละเทะเลย ต้องสังวรระวังในศีลข้อที่ 6
หรือโภชเนมัตตัญญุตาในจรณะ 15 ต้องสังวรระวังให้ชัดเจน เป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิดของศาสนาพุทธในเรื่องการกินการอยู่ หากกินจุบจิบ ไม่มีมื้อไม่มีคราวเพราะเขาทำไว้ให้กินแล้ว มันก็จะหลวมไปเยอะ วันนี้ขอติงเตือน พวกเราอยู่นานเข้าก็แก่วัด ระวังจะเสื่อม
ศีลข้อ 7 นัจจะคีตะวาทิตะ แต่ก่อนพวกเราสำรวมกันมาก จนเวอร์ เดินสำรวม ไม่เชิดหน้าไม่กระดี๊กระด๊า นั่นคือสำรวมกาย แต่ที่จริงคือให้กิเลสไม่ไปร่วมในการแสดงนัจจะคีตะวาทิตะ ไม่ให้ออกไป
มาลาคันธวิเลปนะ พวกเราไม่วุ่นวายเลย ดอกไม้ของหอม
ธารณะ สิ่งที่มันมากมายที่โลกเขา สรรเสริญเยินยอยกย่อง ประเทืองกัน
มัณฑนะ คือการตกแต่งอย่างเรามีการประดับฉาก ไม่มีโทรทัศน์ช่องไหน ประดับฉากอย่างนี้ อะไรมันเอาบักอึ๊ น้ำเต้า กล้วย มังคุด เอามาประดับฉาก ดีไม่เอากระเพราแมงลักหอมเป มาประดับฉากบ้าง มีอะไรที่เป็นจุดแปลกแสดงให้เห็นว่าพวกเราไม่ได้เหมือนทางโลกเขา มาลาคันธวิเลปนธาณมัณฑน เราไม่มี
แม้แต่ศีลข้อที่ 8 อุจจาสยนมหาสยนา มีคนท้วงติงว่าจะมาสร้างสิ่งที่ใหญ่ทั้งพระใหญ่ ทั้งศาลาหลังใหญ่ อาตมานั้นทำมีสิ่งที่ต่างจาก สำนักธรรมกายสร้าง
สำนักธรรมกายสร้างแบบออกนอกโลกเป็นสตาร์วอร์
แต่อโศกเราสร้างดินน้ำไฟลม สร้างธรรมชาติ สร้างสิ่งที่ติดดิน แต่ทางธรรมกายหรือธัมมชโยสร้างสิ่งที่ล่องลอยฟ่องฟุ้งฟ้า มันไม่ได้ติดดิน ไม่ได้รู้จักว่าศาสนาพุทธพาไปทางไหนเลย ไม่มีภูมิปัญญา มีแต่ตกแต่งวิภูสนัฏฐานา แล้วออกแบบเขียนภาพหรือสร้างปรุงแต่ง เช่น ฆ้อน ให้คนซื้อไปบูชาไป แล้วเถรสมาคม ไม่รู้ว่านี่คือตัวยอดความงมงายของศาสนา บ้าๆบอๆบวมๆ สร้างดาวเทียมลูกโลก ดวงดาวเป็นวิมานฟ่องฟ้าฟรุ้งฟริ้ง
ขออภัยที่แสดงท่าทางสีหน้าเพื่อให้รู้ว่าเขาทำอย่างนั้นจริงๆ แต่จิตใจอาตมาไม่ได้ชิงชังรังเกียจ แต่สังเวช สงสารเขา ให้เขาได้หยุด แล้วศึกษาให้ดีว่าศาสนาไม่ได้สอนให้ไปทำบ้าเพราะอย่างนั้นเลย ธัมมชโยเป็นตัวอย่างที่บ้าดีเดือดในการทำลายศาสนาพุทธ แล้วศาสนาตรงอื่นก็ทำตามอีก เป็นการทำเป็นรูปคางคกใหญ่ เป็นต้น(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...ทุกวันนี้มีการสร้างอนุสาวรีย์ชูชก
พ่อครูว่า...ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่รู้จักบุญเลย รู้จักแต่ทาน แล้วเป็นการทานที่เป็นบาป ทานแล้วไม่รู้ว่า สัมมาทิฏฐิหรือไม่ อัตถิทินนังคืออย่างไรไม่เข้าใจ มีแต่นัตถิทินนังคือทำกันอย่างกว้างขวาง เช่นการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตาย เป็นปัจจัยให้ได้สวรรค์วิมาน แล้วให้ได้นิพพานด้วย แต่เขาไม่รู้ว่านิพพานคืออย่างไร สวรรค์อยู่ก็ไม่ได้นิพพานหรอก
ในทานสูตรบอกว่าทานแล้วอย่าสาเปกโข มีจิตหวังต่อ ไม่ถูก ยิ่งมีจิตผูกพันให้รวยเพิ่ม ยิ่งเป็นจิตที่สั่งสมสันนิธิเปกโข ยิ่งแย่ แล้วก็เอาต่อในชาติหน้าอีก
แล้วเขาก็ปลื้มใจในความมิจฉาทิฏฐิของตัวเอง ตกซ้ำนรกอเวจีของตนเองที่ได้อย่างเต็มๆแล้วก็ปลื้มใจอีก ปลื้มเป็นตัวที่ 6 ของทานในทานสูตร คือปรนิมมิตวสวัตดี
เขาทำมากจนรัฐบาลก็เกรงใจ เพราะเขามีมวลมาก มหาเถรสมาคมก็เกรงใจ ผู้ที่จะขึ้นเป็นสังฆราชก็เกรงใจ นี่คือภูมิปัญญาของศาสนาพุทธที่ตกต่ำ นึกว่าเปรตนรกอเวจีเป็นผู้ที่จะนำพาศาสนาให้เจริญไปทั่วโลก มีสาขามากมายกว่าสำนักใดเลย ไปภูมิใจในการสร้างนรกอเวจีไว้ทั่วโลก เป็นการทำลายศาสนาอย่างมหาศาล เป็นการกลับตาลปัตเลย เอ็งเก่งเพราะว่าสร้างนรกอเวจีแก่คนทั่วโลก คนโง่ไม่รู้ก็นึกว่าเป็นการไปแพร่ศาสนา เอามิจฉาทิฏฐิ มิจฉาปฏิบัติมาเผยแพร่กระจายให้คนเคารพนับถือ หลงผิดยินดี มันยิ่งซ้ำซ้อนไปทำลายศาสนาอย่างจมปฐพี จะไปดีใจอีกว่ามีศาสนานี้มีสาขาทั่วโลก ทั้งที่เป็นอวิชชามิจฉาทิฏฐิทั้งนั้นเลย
แล้วไม่รู้ทั้งในสำนักใหญ่ในส่วนกลางว่านี้คือมิจฉา ส่งเสริมยกย่องเชิดชูบูชา แล้วมีต่างประเทศมาให้รางวัลอีก เป็นความรู้ที่ตื้นเขินไม่ได้เป็นปรมัตถ์ ไม่เป็นสมาธิที่ของศาสนาพุทธ มันเป็นโลกีย์ สร้างรูปแบบมาหลอกชาวโลก เหมือนเป็นผู้ที่มีความรู้ศาสนามาก แต่มันออกนอกรีตศาสนาพระพุทธเจ้าไปไกลลิบ
ถึงวินาทีนี้ อาตมาทำงานศาสนามา สรุปว่า อาตมาทำงานประสบผลสำเร็จ ตั้งแต่เกิดสภาพเป็น บวร เกิดสภาพชุมชน ที่มีบ้านวัดโรงเรียนพร้อมพรั่ง ยืนยันมรรคผล อ้างอิงไปแล้ว เป็นความภาคภูมิใจของอาตมา ที่ได้รู้ตัวว่าอาตมามาทำงานศาสนา ก็ทิ้งทางโลกมาอย่างเด็ดขาด ออกบวชตั้งแต่ 7 พฤศจิกายน 2513 จนถึงทุกวันนี้ ยังยืนยันมั่นคงแข็งแรง ภาคภูมิใจที่ได้ทำงานศาสนามา อายุปูนนี้เหนื่อยไหมเหนื่อย เหนื่อยก็พัก ไม่เหนื่อยก็เพียร เห็นผลไม่สูญเปล่า
คนที่ตาไม่ดีก็ไม่รู้ว่าอาตมาพาทำนั้นมีภูมิปัญญา มีมรรคผลบรรลุธรรมอย่างแท้จริง ไม่ได้อวดดี แต่พูดสัจจะจริงๆ ใครกล้าพูดอย่างอาสภิวาจา อย่างอาตมานี้ได้บ้างสำนักไหนกล้าพูดอย่างนี้ ไม่ได้พาทำอย่างสำนักอื่นบวชกันมากมาย แต่ที่นี่บวชยากด้วย แต่ไม่ต้องบวชแม้จะเป็นฆราวาสก็มีภูมิธรรมเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ได้
สมณะเดินดินว่า...พ่อครูว่ามีสำนักไหนกล้าพูดอย่างนี้ เป็นอาสภิวาจาอย่างนี้ก็คงหาได้ยาก คนจะบอกว่ามีคุณวิเศษอย่างไร อย่างนี้ยังเคยได้ยินพวกสายเจโตบอกว่าบรรลุอรหันต์ ในเมืองไทยมีการจัดลำดับอรหันต์กันเยอะแยะ แต่ไม่มีใครกล้ายืนยันอย่างพ่อครูว่า สามารถพานำ พาทำ พาปฏิบัติ จนมีคนถือศีลปฏิบัติธรรมลดละกิเลส มีมรรคผลได้จริง เป็นพุทธบริษัท(พ่อครูว่า มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติจริง) จนมารวมเป็นชุมชน หาคนพูดและทำอย่างนี้ได้ยาก กว่าจะได้อย่างนี้ใช้เวลามากกว่า 40 ปี จนได้เป็นองค์ประกอบอย่างนี้ คงไม่มีใครประกาศได้ในยุคนี้
พอเราดูประวัติ แม้แต่เจ้าสำนัก เกจิดังๆที่ท่านฉันมังสวิรัติ ส่วนใหญ่จะได้เฉพาะผู้นำหรือเจ้าสำนัก ส่วนลูกศิษย์คนละเรื่องกับเจ้าสำนัก
(พ่อครูว่า เกิดปัญญากับวิมุติได้เอาแค่ประเด็นเรื่องมังสวิรัติ )
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน สำรวมอินทรีย์ทำทีละกี่ทวาร
สมณะเดินดินว่า...มาถึงคำถามที่ค้างจากคราวที่แล้ว…
_สัมมาสติ ก็คือความระลึกรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งภายนอกและภายใน
จะต้องเป็นผู้ที่รู้ทุกอย่างครบครัน อย่าให้รู้ลำๆเลืองๆแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ต้องรู้ครบ เป็นกายคตาสติ กายนี้มีทั้งภายนอกและภายใน
คำถามคือเรามี 6 ทวาร แต่ถ้าเรา ทำจิตให้รับรู้แค่ ตาก่อน อย่างอื่นไม่รับรู้เพราะว่าหลายอย่างเราจับไม่ทัน ปิดทวารอื่นก่อน ทำแต่ตาก่อนหรือทำแค่ที่หูก่อนจะได้ไหม จะถูกทางไหม หรือต้องรับรู้ทีละหลายอย่างเลย ทันที
ตอบ...ไม่ถูก เรารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ทำที่ทวาร แต่ทำที่จิต ได้ยินเสียงสัตว์ จะอกุศลไหม ได้กลิ่นสัตว์ หรือแม้แต่ไปกินไปเลียเนื้อสัตว์อะไร อาตมาก็พาลดละแล้ว คุณรู้สึกไหมว่าจิตคุณไม่ได้ไปอยากได้อัสสาทะจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอย่างนั้น นั่นต่างหากที่ควรสังวรจริง
ต้องเปิดทุกทวาร แต่อันไหนสัมผัสก็เอาอันนั้น ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันผิดศีลไหม และมันสำคัญคือ เมื่อกระทบแล้วสัมผัสแล้วเกิดกิเลสหรือไม่ เป็นราคะ โทสะไหม อ่านอาการกิเลสออกได้และลดกิเลสในขณะนั้นคือ ปฏิบัติธรรมศีลสมาธิ การมีตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เป็นองค์ประกอบทั้งหมด แต่ไม่ใช่ไปหยุดจิต
ตามันเห็นรูป ขณะเห็นรูปก็ไม่ได้ยินเสียง คุณจะเอาทีละหลายอย่างได้อย่างไร ต้องเอาทีละอย่าง
สมณะเดินดินว่า...เคยถามญาติธรรมว่า ทำไมวันวันหนึ่งไม่พูดเลย เขาก็บอกว่าเพราะว่าสำรวมวาจา กลัวผิดศีลข้อที่ 4 เลยไม่พูด
พ่อครูว่า...การสำรวมให้สงบไม่ใช่อย่างนั้น ต้องอ่านตัวที่จะให้ไม่สงบคือกิเลสและกำจัดกิเลสออกไป
สมณะเดินดินว่า..ต้องจับประเด็นให้ได้ว่าอย่าให้ผิดศีล แล้วอย่าให้ใจยินดีพอใจเมื่อกระทบผัสสะ แต่ไม่ใช่กระทบทีละหลายอย่าง แต่มันกระทบทีละอย่าง อันไหนกระทบก็เอาอันนั้น
พ่อครูว่า..ต้องรู้ว่าอันนี้เรื่องทางตา หู จมูก ลิ้นก็สังวรให้กิเลสลดไปแต่ละแห่งๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน มองตนคือมองอย่างไร
_มีคำถาม ประโยคว่า...ประโยคที่ว่า อย่าเอาจิตออกนอก อย่าส่งจิตออกนอก ต่างกับการมองตน ในชาวอโศกที่มักจะพูดกัน ว่ามองตน อย่าไปมองผู้อื่น อย่างไร ?
พ่อครูว่า...มองตนคืออย่าไปเพ่งโทษผู้อื่น เขาเป็นอย่างนั้นก็เป็นของเขา ถ้าเราเองจะช่วยเขาบ้างก็ให้สติให้ความรู้ ส่วนมากเราก็ไม่ได้ไปว่ามากมายอะไร เราพยายามรู้ของเราเอง มองตน
มองได้มองคนอื่นได้แต่ไม่ได้เพ่งโทษ นอกจากจะเกินไป ก็จะรู้โดยปริยายว่ามองอะไรกันนักกันหนา มองแล้วแสดงออกอารมณ์ในการมอง
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน อ่านเวทนา2 อย่างไรให้บรรลุ
_ฟังพ่อครูอธิบายสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เราปฏิบัติแบบนี้ถูกต้องไหมคะ "ในขณะที่เราปฏิบัติลืมตา ตาไปกระทบรูป เห็นกล้วยหักมุกสีเหลืองน่ากิน อยากกิน เห็นอาการอยากที่เกิดในจิต ก็ตามรู้อารมณ์ไปเรื่อยๆ เห็นชัดเจนว่าตัณหามันเป็นอย่างนี้เองหนอ พอเรารู้ทันเท่านั้น อาการอยากก็ค่อยๆเบาบางลงเรื่อยๆจนเราสามารถไม่กินมันได้ ใจไม่ทุกข์ ปฏิบัติแบบนี้ทุกกรณีที่เป็นสักกายะของเราใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...ถูกต้องๆ นั่นแหละประกอบไปด้วย กาย สักกายะของเรา คำว่าสักกายะนี่แหละคือตัวกิเลส เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ต้องเห็น แล้วปฏิบัติ ลดละตัวตนคือสักกายะของตน สัมผัสแล้วอ่าน กาย เวทนา จิต ธรรม อ่านตัวกิเลสได้ สราคะ สโทสะ ในเจโตปริยญาณ อ่านว่าราคะผสมก็จัดการราคะ นั่นแหละๆ
เขาบอกว่า มีทฤษฎีว่า ให้กินแล้วไม่มีอารมณ์อยาก อย่างนั้นเร็วกว่าไหม?
พ่อครูว่า..ไม่ได้ห้ามกิน แต่ให้อ่านกิเลส แม้จะกินหรือไม่กิน กิเลสมันไม่เที่ยงทุกข์กับสุขมันตัวเดียวกัน คุณกินแล้วจะชอบหรือชังมันไม่ดีทั้งนั้น ต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริง ว่ากินแล้ว มันมีรูปรสกลิ่นเสียงอย่างนี้อย่างนั้น อารมณ์ชอบชัง ดูดผลัก คุณต้องรู้ว่าเป็นอารมณ์เก๊มันไม่เที่ยง ถ้าคุณมีบวกลบ ก็มีสวรรค์อยู่ตลอดกาล ตราบใดที่ยังมีสวรรค์นรกก็ทุกข์ตลอดกาลนาน สวรรค์กับนรกนั้นแยกกันไม่ออก ไม่มีใครต้องการนรก แต่คุณเองอยากได้ต้องการอย่างนี้ ถ้าได้อย่างนี้ก็คือสวรรค์ นั่นแหละคือนรกมาก่อน
คุณก็มีในใจว่าอย่างนี้ใช่อย่างนี้ชอบ อุปาทานนี้ ตรงอุปาทาน อย่างนี้ไม่ตรงอุปาทานก็ไม่ชอบ มันมีอย่างนั้นตลอด หรืออยากก็คือนรกแล้วมาก่อน พอได้สมความอยากก็ได้สวรรค์เก๊
ต้องสังวรระวังว่า มันไม่เที่ยง มันอร่อยจริง ทีหลังเราต้องไปหากินที่คนนี้ คุณชะลอหรือเปล่า? ปรุงอร่อยจริง ต้องทำความเข้าใจว่ากิเลสเราขึ้น เขาจะปรุงได้อร่อยรสชาติดีมันก็เรื่องของเขา ให้ดูที่จิตใจเราว่ามันชอบ กิเลสเรา จ รูป รส มันต้องอุปาทานเรา รูปอย่างนี้สวย แล้วเราไปติดใจยินดี เราต้องรู้ว่ามันไม่เที่ยง พอได้ก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์ คุณไม่เคยฝึกไม่ทุกข์ไม่สุขกับมัน จิตเรากระทบอะไรแล้วมีเวทนาเดียว
รูปอย่างนี้จะสวยหรือไม่ก็เป็นของมันอย่างนั้น ถ้าเราได้สมใจในรูปที่ต้องการ ได้เสียงตามต้องการก็สุข แต่ไม่ได้ก็ทุกข์ ก็มีผลักกับดูดเท่านั้น แต่เราไม่ต้องผลักไม่ต้องดูดเลย อรหันต์มีเวทนาเดียว เพราะได้ฝึกให้ทำเวทนาเป็นหนึ่งเดียวถาวรมั่นคงแล้ว สัมผัสอะไรก็เป็นเวทนาเดียวไม่มีเวทนา 2
สมณะฟ้าไท สมณะดินไท ว่า...ในเบื้องต้นต้องเลิกก่อน จะได้เห็นมันดิ้น
พ่อครูว่า..ไม่ใช่ว่าไม่สัมผัสเลยต้องมีการสัมผัส หนึ่งคุณสัมผัสแล้วแพ้ทุกที ก็ต้องตั้งศีล ว่าไม่ให้ละเว้น จะได้เห็นอาการดิ้นเป็นตัวผี มันหลอกเรา
ส.ฟ้าไทว่าเราอยากกิน แต่ตาเห็นอยู่เราก็ไม่กิน ก็พิจารณาตรงนั้น
พ่อครูว่า...เมื่อเราเห็นว่าเราชอบหรือไม่ชอบ ยินดีหรือไม่ยินดี แล้วก็แก้ตรงนั้นให้เป็นเวทนาเดียว เห็นความจริงตามความเป็นจริง รูปอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น อย่าให้มีอารมณ์ชอบไม่ชอบมาปน เสียงหรือสัมผัสมันเป็นอย่างนี้ เช่นเสียงด่าเขาด่าเรา เราก็รู้ว่าคนนี้ด่าเพราะดี คนนี้ด่าหยาบจัง แต่ใจเราเฉยได้ ถ้าคนนี้ด่าหยาบ ด่าไม่ถูก แต่เราโกรธ เราไม่เป็นเราจะไปโกรธทำไม แต่ถ้าคนด่าถูก เราก็โกรธอีก ด่าถูกก็โกรธ ด่าไม่ถูกก็โกรธ คนนี้ยึดตัวกูของกูมาก เขาจะด่าก็ด่าของเขา เราก็ทำใจเฉยๆ รู้ว่าคนนี้ด่า ด่าด้วยสำนวนแปลกๆ ด่าด้วยสำนวนผู้ดีๆ แต่ถ้าจริงๆแล้วมันเสียบลึกหนักนะ แต่ละสำนวนสรรหามาเยี่ยมยอดเลย เราก็จะรู้ความจริงนั้น แต่จิตใจเราไม่ขึ้นไม่ลง รู้ความจริงตามความเป็นจริง เขาจะด่าอย่างวิจิตรพิสดาร ด่าหยาบคาย ด่าถูกหรือไม่ถูก จิตใจเราก็เฉยกลางกลางไม่ขึ้นไม่ลง
สมณะเดินดินว่า...เราต้องขยันอ่านอาการ
พ่อครูว่า...อ่านให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง เขาจะเอารูปรสกลิ่นเสียงมาอย่างไรมันก็ตามนั้น ไม่มีอารมณ์ที่ 2 ที่เป็นเวทนาสอง มันเป็นอารมณ์เดียว จึงต้องพิจารณาเวทนา ทำให้เวทนาเป็นอารมณ์เดียว ไม่มีอารมณ์ที่ 2 คนนั้นก็เป็นอรหันต์ อรหันต์คือมีเวทนาเดียว ไม่มีเวทนา 2 ตลอดกาล เกิด ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ทำการปฏิบัติด้วยประหาน 5 มันไม่เที่ยง มันไม่มีความจริงในอารมณ์ที่ชอบหรือไม่ชอบนั้น
สมณะเดินดินว่า...เรามีผัสสะแล้วอ่านเวทนาในจิตให้ออก พ่อครูให้เราอ่านอาการ ในผัสสะที่มีตามธรรมชาติ
สื่อธรระพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ทำอย่างไรหากปฏิบัติธรรมติดแป้น
_คำถามต่อมาว่า...จะว่าภูมิใจก็ภูมิใจที่ได้มาอยู่ในชุมชนบวรแห่งนี้ แต่เห็นอยู่อย่างว่า เมื่อพวกเรามาอยู่แล้วก็ติดสบายติดแป้นไม่ยอมเลื่อนฐาน จะทำอย่างไรพวกเราจึงจะมีพลังในการเลื่อนฐาน
พ่อครูว่า...คนที่ปฏิบัติธรรมแล้วเมื่อเข้าใจว่า ธรรมะเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เราปฏิบัติธรรมแล้วเราได้มรรคผล เข้าใจอย่างมีปัญญารู้จริง คุณได้เป็นพระโสดาบันแล้ว คุณจะอยากเป็นพระสกิทาคามีต่อไหม ถ้ามันได้จริงๆรู้จริงๆ ว่าถ้าได้เป็นพระสกิทาคามีก็จะเพิ่มอธิศีล ทำอธิจิต อธิปัญญาต่อไป แต่ถ้าคุณทำไปอย่างไม่รู้เรื่องว่าได้หรือไม่ได้อะไรเลย เป็นอย่างรูปธรรมเฉยๆไม่ได้เจริญอะไร
สรุปแล้วว่าเราต้องรู้ว่าเราเจริญหรือไม่ ว่าเราได้สิ่งที่ประเสริฐที่ควรได้ยิ่งๆขึ้นไหม ผู้มีปัญญาจะรู้อย่างนี้ ผู้ไม่มีปัญญา ได้หรือไม่ได้ ได้จริงหรือไม่จริง คนที่ปฏิบัติแล้วมีมรรคผล ศีล จะเป็นอธิศีลไปตามลำดับ จิตจะอธิจิตไปตามลำดับ ปัญญาจะอธิปัญญาจริงๆ เพราะมีวิมุติอธิวิมุติไปตามลำดับ แต่คนปฏิบัติแล้วไม่ชัดเจนอย่างนี้ก็จะอยู่ไปเฉยๆ
พวกเราปฏิบัติธรรมมีมรรคผล อุตส่าห์พูดไปจริงๆ เราจะต้องเรียนรู้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เราไม่สรรเสริญแม้ซึ่งความตั้งอยู่ (ฐิติ) ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไฉนจะสรรเสริญความเสื่อมรอบ (ปาริหานิ) ในกุศลธรรมทั้งหลายเล่า
แต่เราสรรเสริญความเจริญ (วุฒฺฑิ) ในกุศลธรรมทั้งหลาย มิใช่ความตั้งอยู่ มิใช่ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลาย (พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 53)
ผู้ปฏิบัติธรรมที่มีกุศล ที่ถึงขั้นเป็นบุญ ที่สามารถลดกิเลสได้ด้วย ผู้ปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นมีบุญ คือลดละกิเลสไปได้เรื่อยๆ นั่นแหละคือการปฏิบัติที่เจริญในธรรม
ใครไม่รู้ว่าเราปฏิบัติธรรมได้มรรคได้ผล มันชัดเจน ได้มรรคได้ผลนี่ยิ่งกว่าคุณได้ หนึ่งเงินทองลาภยศสรรเสริญโลกียสุข สอง ยิ่งกว่าได้อุปาทานได้สวรรค์วิมาน เราได้คุณธรรม โดยที่เราไม่ได้เข้าใจจริงว่าคุณธรรมคืออะไร
คุณธรรมคือเรารู้จักจิตใจของเรา แล้วเราลดละกิเลสได้ ถามจริง พวกเราไม่รู้ตัวหรือว่าลดกิเลสอะไรได้ มีบ้างไหม ต้องทบทวน
คนที่เจริญคือต้องรู้ว่าตัวเอง ได้มรรคผลหรือไม่ ถ้าได้มรรคผลแค่ใดแล้วแช่อยู่ ไม่เจริญอธิศีล เป็นผู้ตกอยู่ในสีลลัพพตปรามาส ในสามเส้าของ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลลัพพตปรามาส คือคุณได้มรรคผล ถ้ารู้แล้วจับกิเลสได้แล้วก็ลดกิเลสให้ได้ ได้แล้วก็ทำให้ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เจริญขึ้นเรื่อยๆก็ไม่แช่
แต่ถ้าได้อันหนึ่งแล้วหยุดก็แค่ สีลลัพพตปรามาส ได้แค่เล่นหัวลูบคลำติดแป้นก็ไม่เจริญ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติเท่านั้นเอง
สมณะเดินดินว่า...การจะรู้ว่าติดแป้นหรือไม่ ก็คือพวกเราขวนขวายศึกษาธรรมะหรือไม่ เราชุมชนใหญ่แต่มาฟังธรรมแค่นี้ คิดว่าหายไปในมุมมืดกันมากพอสมควร
พ่อครูมีวิสัยโพธิสัตว์ จะให้ธรรมะแก่ลูกๆ พ่อครูไปภูผาฟ้าน้ำ มีคนอยู่ไม่มากเรียกมาก็ได้แค่ไม่มาก
พ่อครูเป็นหัวรถจักรพิเศษที่ให้พวกเราเจริญในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา พวกเราเป็นตู้โบกี้ที่ต้องให้หัวรถจักรลากไป หากเราไม่มีหัวรถจักรนี้แล้วเราจะไปเจริญได้อย่างไร
พ่อครูว่า...วัฏฏภิรตโสดาบัน ผู้ยังติดแป้นในฐานแห่งสุขอยู่ โดยไม่ยอมเลื่อนฐานให้เกิด “อภิชาตจิต” จนมี วุฒิภาวะ ที่สูงขึ้น จึงจัดอยู่ใน ฐีติบุคคล ที่แม้จะรู้ทางไปสู่ที่สูง ก็ไม่ยอมลำบากที่จะละทิ้ง “วัฏฏะอันน่าภิรมย์” นี้ (ภิรตา)
พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญความหยุดอยู่ แต่สรรเสริญผู้ที่ ตั้งตนอยู่บนความลำบาก กุศลธรรมจึงจะเจริญยิ่ง .
นางวิสาขาเป็นผู้ วัฏฏภิรตโสดาบัน ติดแป้นอยู่อย่างนั้น เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ
สมณะเดินดินว่า..วันนี้จะเน้น ความสงบของพุทธ พ่อครูแสดงให้ดูว่า แม้จะเน้นลีลาท่าที น้ำเสียง แต่ว่า พ่อครูว่านี่คือความสงบ(สงบจากกิเลส) มีกิริยาท่าทางออกไปก็เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น คือความสงบของพุทธ จะมีเรื่องราวอะไรมากมายแต่จิตใจเราก็ไม่มีกิเลส ไม่ใช่สงบอย่างหลับตาดับหูไม่รับรู้เรื่องราว แบบตอไม้ แต่สงบของพุทธ คล่องแคล่ว ทั้ง กาย วาจา ใจ แต่กิเลสตายไม่ก่อความไม่สงบ หมดคือความสงบ คือความวิเศษของศาสนาพุทธ ...จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:49:20 )
รายละเอียด
600526_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ หมู่บ้านมรรคมีองค์ 8
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 ที่บ้านราชฯ ตอนนี้ที่ราชธานีอโศกก็ไม่พ้นถูกฝน เป็นฤดูฝน ที่เฮือนสวน.ฝนก็ตก มีปลาดุกด้วย ว่ายไปว่ายมา ดีนะพวกเรากินมังสวิรัติ มันก็เลยปลอดภัย ตอนนี้มีผลไม้จากวังจันทน์พฤกษามาขายด้วย ขายดีด้วย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว เปิดวันพฤหัสบดีเพิ่มอีกวันหนึ่ง มีคนมาดูงานด้วย
หมู่บ้านมรรคมีองค์ 8
พ่อครูว่า...ขอพูดถึงตลาดที่เฮือนสวน. เป็นโรงเรือนที่ใหญ่ ก็อยากจะพูดให้ชัดเจน บอกเจตนา ที่อาตมาทำขึ้นมานี่ อาตมาตั้งรกรากที่ราชธานีอโศก ตำบลบุ่งไหม หลายสิบปีแล้ว คิดว่าเราจะต้องพยายามขยาย พัฒนาการกับสังคมไปเพิ่มขึ้น เพราะอาตมาเป็นนักปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ปฏิบัติแต่เพียงนั่งสมาธิ ต้องจมอยู่กับวัด อาตมาทำงานกับชาวพุทธ กับประชาชน ทำร่วมกันหมด แล้วก็ให้เกิดครบ สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ ตามทฤษฎีเอกของพระพุทธเจ้าคือมรรคมีองค์ 8 อาตมาไม่สุดโต่งไป ปฏิบัติธรรมก็เอาแต่นั่งสมาธิเดินจงกรม แล้วไม่รู้จัก สัมมาอาชีพ กุหนา ลปนาเป็นอย่างไร
ที่จริง สัมมาชีพเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราจะต้องสังวรระวัง เพราะว่าเป็นงานอาชีพที่ต้องทำทั้งหมด กุหนา มิจฉาชีพขั้นที่ 1 เลย
กุหนา แปลว่า อาชีพทุจริต การทุจริตทั้งมวล เราต้องบอกเตือนกัน โดยเฉพาะศาสนาพุทธ ถ้าจะว่าเป็นบทแรกเลย มิจฉาอาชีวะต้องเลิกก่อนเลย การจะมาศึกษาธรรมะ
กุหนา ลปนา เป็นอาชีพที่ชั่ว กุหนาชั่วสุด ลปนารองลงมา ชั่วทั้งคู่ ก็ต้องเลิกมาเป็นเนมิตกตา
อาชีพฆ่าสัตว์เป็นอาชีพที่ชั่ว ขออภัยเขาฆ่าสัตว์กันเยอะ ชาวพุทธมีการเลี้ยงสัตว์ฆ่าสัตว์กันอีกเยอะ บางศาสนาบอกว่าเลี้ยงได้ ฆ่าสัตว์ได้ แต่การฆ่าสัตว์เป็นบาปทั้งสิ้น ได้อกุศลกรรมทั้งสิ้น
ศีลข้อ 2 ไปเอาของๆคนอื่นในฐานะแห่งการขโมยเป็นบาปทั้งสิ้น ที่จริงพรหมจรรย์นั้น ศีลข้อที่ 3 มีสู่แดนธรรมหมายเหตุเอาไว้ว่า
ปฏิบัติพรหมจรรย์ ปฏิบัติศีลข้อ 3 อธิบายแค่ผิดผัวเขาเมียใคร แต่พรหมจรรย์นั้นละเอียดกว่านั้นในโลกุตระ ไม่ใช่หมายแค่ผิดผัวเขาเมียใคร แต่อพรหมจริยะ คือต้องประพฤติปฏิบัติเป็นพรหม อย่างสู่แดนธรรมหมายเหตุมาว่า คนไม่ใช่แค่ปฏิบัติเป็นเทวดา แต่ต้องปฏิบัติเป็นพรหม
การทำทานต้องไม่ตั้งจิตเป็นเทวดาสักชั้นเลย ไม่ต้องปฏิบัติให้จิตใจเป็นพรหม คือพรหมจรรย์ จิตไม่มีเทวดา ศาสนาพุทธ เรียกอเทวนิยม คือศาสนาที่ไม่มีเทวดา เพราะปราบเทวดาหมดแต่บรรลุเป็นพรหม พรหมคือผู้มีจิตบริสุทธิ์สะอาด แต่ทุกวันนี้ไปนั่งหลับตาเอาเป็นเทวดาเป็นภพชาติไปหมด คือการปฏิบัติที่ไม่สัมมาทิฏฐิ
การปฏิบัติสมาธิของศาสนาพุทธไม่ใช่แค่นั่งหลับตา นั่งหลับตาไม่ใช่การทำสมาธิของพระพุทธเจ้า แต่เป็นของศาสนาทั่วไปสากล พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเขาก็มีกันเต็มป่าเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นการออกนอกรีดหมด ของพระพุทธเจ้านั้นให้ลืมตามีทักษะเป็นปัจจัย มีเวทนาเป็นกรรมฐาน ถ้าไม่มีการเดินตามมีทักษะเป็นปัจจัยแล้วไม่มีกรรมฐาน ไม่มีทางปฏิบัติได้
เรามีเฮือนตลาด เขาก็ทำการค้าขาย เป็นอาชีพ เราก็สอนให้ปฏิบัติเผยแพร่ธรรมะที่ตรงจุด ที่พวกเราพาทำนี้ครบครันของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เข้าใจสุดโต่ง
สมณะฟ้าไทว่า..พ่อครูมาพูดในสิ่งที่คนทำได้จริงมีผลจริง คนเปลี่ยนแปลงชีวิตได้จริง คนที่หลับตาเขาไม่ได้อ่านพระไตรปิฎก เขาทำตามตำราของเขา
พ่อครูว่า...พระไตรปิฎกชุดนี้เกิดจากพระมหากัสสปะเป็นประธาน ซึ่งพระมหากัสสปะเป็นพระที่หลงป่าติดตามมานานมาก จึงเอียงน้ำหนักไปทางป่ามีจริตชอบอันนี้จึงเอียงไปทางป่ามาก
สมณะฟ้าไทว่า...เป็นวาสนาบารมีทำให้เอียงได้มาก
พ่อครูว่า...ต้องเป็นกลางให้มาก ก็ขอว่าพระมหากัสสปะหน่อย ในฐานะที่ท่านเอียงไปทางป่ามาก
ที่นี่ บ้านราชฯ คนก็ไม่ค่อยมากันเลย ไม่เหมือนวัดอื่นๆ ที่ประกาศมีงานอบรมอะไรๆ เข้าคอร์สศีล 5 ศีล 8 เข้าคอร์ส บวชชีพราหมณ์ อะไรนี่ คนเราปฏิบัติจารีตประเพณีจนกลบเกลื่อนในส่วนเนื้อหาไม่ค่อยรู้เรื่อง
ก็ขอประชาสัมพันธ์ เชิญร่วมกิจกรรมค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
ค่าย ลดอัตตาบูชาบรมครู
ครั้งที่ 19 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 26 - อาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม 2560
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่ายโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ (จะมาเต็มค่ายหรือไม่ก็ได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
ดาวโหลดใบสมัครส่งใบสมัคร onlineได้ที่เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP
สมณะฟ้าไทว่า...ที่อื่นพอบอกว่าจะจัดค่ายบอกว่าจะได้บุญแต่ที่นี่ได้อะไร?
บุญที่ถูกต้องคือการลดกิเลส
พ่อครูว่า...ก็ได้บุญที่ถูกต้องคือการลดกิเลส เป็นอาการของเครื่องตัดกิเลส เหมือนกิโยติน ความรู้ว่าบุญเป็นอย่างนี้ เป็นเอกังสะ เป็นโลกุตระ ความรู้ที่พูดนี้มันได้เลือนหายไปนานแล้วอาตมากล้ายืนยันว่า คนเกือบทั้งโลก ในพุทธศาสนาไม่เชื่อว่าบุญมีความหมายอย่างนี้จริง คนที่ตั้งใจศึกษาฝึกฝนก็พอจะเข้าใจ
อาตมายังดีที่มีหลักฐานพยัญชนะ เช่น คำว่า ปุญญะ คือ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คำนี้เกือบหายไปหมดแล้ว มีแต่ในพจนานุกรม ไทย บาลี อังกฤษ ฉบับ ภูมิพโลภิกขุ
ท่านธัมมปาละ บันทึกเอาไว้ ความหมายของบุญคือ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คือการชำระจิตสันดานให้หมดจด
และ คำว่า ปุญญภาค คือ เขาเข้าใจผิดว่า ปฏิบัติธรรมแล้วจะได้ส่วนแห่งบุญ เขาเข้าใจว่า ได้สิ่งเป็นสมบัติ หรือเป็นนามธรรม เป็นสวรรค์ภพชาติ แต่ที่จริง ส่วนแห่งบุญคือการชำระกิเลสได้เป็นส่วนๆ คือของเสขบุคคล แต่เข้าใจกันไม่ได้
และ สาม ในโอวาทปาติโมกข์ ท่านตรัสว่า สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง)คนนี้มีกรรมกิริยาอยู่ก็มีแต่กุศล กรรมกิริยาของอรหันต์เป็นต้น มีแต่ กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) ท่านไม่ใช้คำว่า บุญ สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
และมีอีกคำคือ ปุญญปาปปริกขีโน คือผู้สิ้นบุญสิ้นบาป บุญมีหน้าที่เดียว ทำแล้วจบ ยิ่งทำกิเลสหมดได้คือหมดบุญ สัพพปาปัสสอกรณัง
คนเข้าใจไม่ได้ก็แปล อภิสังขารผิด แปล ปุญญาภิสังขารแปลว่า คือสังขารที่เป็นบุญ คือเหมือนกับได้บุญ ส่วนอปุญญาภิสังขารเขาแปลว่า สังขารแบบไม่ใช่บุญ ไม่เป็นบุญ ก็ไปแปลว่า ไม่มีบุญ ไปแปลว่า ไม่ใช่บุญก็ขยายความเพื่อให้คนเข้าใจว่า ปรุงเป็นบาป ก็คือวนอีกแล้ว ศาสนาพุทธไม่วน ตัดกิเลสเสร็จก็เป็นผลแล้ว อปุญญาภิสังขาร ก็ไปแปลว่าปรุงเป็นบาป ก็เลยไม่รู้จัก อภิสังขารที่เป็นการปรุงแต่งของอาริยะ
พระอรหันต์บางองค์ พระโมฆราช เป็นต้น และพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ ว่าท่านเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป เป็นต้น
ความรู้ ในศาสนาพุทธมันเพี้ยนไปอย่างนี้ คำว่าบุญจึงทำลายศาสนาได้อย่างแหลกเหลวที่สุด พระที่ทำให้ศาสนาเละที่สุดคือ ธัมมชโย ที่หลอกคนให้ติดยึดในบุญ เป็นสวรรค์วิมานที่น่าได้อย่างมาก ย้อนกลับคำสอนพระพุทธเจ้าหมดเลย ตอนนี้เป็นสมีไปแล้ว
และมีสำนักอื่นๆที่เอาบุญไปค้าขาย เป็นสินค้าทำลายศาสนาพุทธ แหลกเหลวไม่เหลือซาก เพราะคำว่าบุญนี้ นี่คือความละเอียดละออ ของศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นเรื่องที่คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา จริงๆ
อาตมาเอาบุญมาแจกแจงอย่างไร ก็ไม่เหมือนกับชาวบ้านชาวเมือง อาจารย์ในระดับปราชญ์ของศาสนา ก็ไม่เหมือน เขาจึงหมายหัวอาตมาเลยว่า มาทำลายศาสนาพุทธ มันไม่เหมือนทิฏฐิปัญญาที่เขารู้ ที่จริง ไม่ใช่ปัญญา
ปัญญาเป็นภาษาของศาสนาพุทธ หมายถึงโลกุตรธรรม เป็นธาตุที่เกิดจากอัญญธาตุ เป็นต้นเค้า ที่พูดนี้พาดพิงตำนานว่า พระพุทธเจ้าเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร สองสูตรนี้ เทศน์แล้ว โกณฑัญญะ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์เกิดอัญญธาตุในจิต พระพุทธเจ้าท่านหยั่งรู้จิตก็ อุทานว่า อัญญา สิ วตโพ โกณฑัญโญ
อัญญะแปลว่าอื่นจากโลกียะ ศาสนาพุทธเท่านั้นมีอัญญธาตุ ศาสนาอื่นไม่มีธาตุรู้ตัวนี้ในจิต ธาตุรู้ตัวนี้เกิดได้ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ต้องมีบารมีเป็นโลกุตระ อัญญธาตุเป็นตัวแรก ของธาตุ เป็น primary cell เป็น DNA ตระกูลพุทธ DNA โลกุตระ อัญญธาตุนี้เป็นตัวแรกของตระกูลพุทธ
รายละเอียดเหล่านี้ต่างจากอาจารย์ทั้งหลายในยุคนี้ ที่มันเลือนไปแล้วไม่รู้เรื่องแล้ว แม้แต่มูลกรรมฐาน 5 ที่อาตมาหยิบมาขยายความตั้งแต่ กาย หรือให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้รู้ว่าผม นี่ ขณะใดมันไม่เป็นกาย ในผมของเรา หรือมันยังเป็นกายอยู่ นี่คือกรรมฐานที่ต้องพิจารณา กรรมฐานของพระพุทธเจ้าให้พิจารณากายจิต แล้วต้องอ่านโดยการสัมผัส แล้วจะต้องรู้ อุตุนิยาม พีชนิยาม ในความเป็นกายเป็นจิต แต่ความรู้เรื่องนิยามเหล่านี้นี้ผิดเพี้ยนไปแล้ว
ทุกวันนี้เขาไม่รู้สภาวะของอุตุนิยาม พีชนิยาม กันแล้ว
ก่อนอื่นขออ่าน คอลัมน์ สมาธิชาวบ้าน ของอ.บูรพา ผดุงไทย..การสะสมอวิชชาความหลง …
จิตที่สะสมอวิชชาจะผ่านพ้นได้ต้องได้รับการอบรมจิต จึงจะถอดอวิชชาที่ห่อหุ้มอยู่ให้หลุดไป และได้พบกับความรู้แจ้ง จนสามารถค้นพบสัจธรรมความจริงอันนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ เพื่อไม่ให้กลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
การปฏิบัติเบื้องต้นนี้ไม่ยาก เมื่อพบความจริงแล้ว จิตก็จะเดินไปในทิศทางนี้ ความรู้แจ้งก็จะเกิดขึ้น
(พ่อครูว่า จะเกิดปัญญาต้องรู้มโนปวิจาร 18 เกิดการกระทบสัมผัสแล้วเกิดเวทนา อ่านเวทนาออก ว่าจิตจะเดินทางไปทางนี้ นาลมริยาคือทางเดินไปโลกียะคืออวิชชา ส่วนทางอรมริยาคือทางเดินสู่ความเป็นอาริยะ ผู้รู้พฤติกรรมจิตตน มโนปวิจาร ว่าอาการอย่างนี้คือโลกุตระ คนนี้จะเดินทางสู่โลกุตระ คือคนนี้มีเวทนาเป็นกรรมฐาน อ่านเวทนาออก รู้อาการ ถ้าทำอย่างนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ สัมผัสแล้วเกิดอิตถีภาวะ แล้วทำเวทนาสองให้เป็นหนึ่ง ลดกิเลสให้จางคลายลงได้ก็เข้าทาง จะรู้จิตเคหสิตเวทนาเป็นอย่างไร อาการของเนกขัมสิตเวทนาคืออาการอย่างไร มันมีลิงค ต่างกัน ผู้รู้กำหนดหมายอาการจิตออก นี่คือสัจจะที่ต้องอ่านเห็นเวทนาเกิดหลัดๆ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ไม่รู้จักเวทนาสะกดจิตไม่ให้คิด คือความล้มเหลวของการปฏิบัติธรรม ไปเอาของฤาษีแบบเดิมๆ มาใช้ ผิดๆ อาตมาก็เห็นใจ ผู้บรรยายมิจฉาทิฏฐิ ลูกศิษย์ก็ปล่อยเข้าใจตามนั้น อาตมาว่า ท่านฟังอยู่ อาจารย์บูรพาจะพูดเรื่องโพธิสัตว์ด้วย แสดงว่าท่านฟังอาตมาอยู่ ท่านพาดผ่านมาถึงอาตมาอยู่มั๊ง )
จิตมันทรงอารมณ์ได้นิ่งก็เกิดความรู้แจ้งขึ้นมาเอง บางครั้งเรามีสมาธิติดต่อกันนานๆ ปรากฏการณ์นี้มันก็เกิดขึ้นได้ แต่บางครั้งเราปฏิบัติสมาธิไปนานนาน ในชีวิตประจำวัน จิตมันสงบนิ่งไปได้ระดับหนึ่ง ก็เกิดความรู้แจ้งในเรื่องต่างๆกลายเป็นปัญญาขึ้นมา ทำให้เกิดการรู้ธรรมเห็นธรรม เกิดความรู้ เมื่อรู้แล้วก็พ้นทุกข์
(พ่อครูว่า ที่อาจารย์บูรพาอธิบายเป็นสมถะหมด เพราะจิตที่รู้แจ้งได้ต้องทำถูกทางสัมมาทิฏฐิ ทำจิตสงบจากกิเลสแล้วจิตจะคล่องแคล่วว่องไวปฏิภาณรู้เร็ว มุทุภูตธาตุ มีความรู้เร็วไว มีการเปลี่ยนแปลงจิตที่ทำได้เร็วได้ง่ายด้วย เปลี่ยนจากจิตมีกิเลสทำให้เป็นจิตไม่มีกิเลสได้ง่ายด้วย จิตจะรู้ได้มีปัญญาได้ต้องมีเหตุปัจจัย ที่อาจารย์บูรพาอธิบายนี้ ไม่ได้อธิบายอย่างมีเหตุปัจจัยต่อเนื่องกันเลย ปัญญาต้องเกิดจากองค์ 6 ต้องมีมรรคองค์ 8 มีธัมมวิจัยไม่ใช่นิ่งๆ แต่เกิดการรู้กิเลสลดกิเลสได้ จะเกิดปัญญา ปัญญาเกิดจากมรรคองค์ 8 ไม่ใช่นิ่งๆแล้วจะเกิดปัญญา ไม่ใช่ อย่างนั้นคือสัญญา เป็นเจโตสมาธิ ไม่เป็นสัมมาสมาธิ
เขาโมเมเลยว่า จะพ้นทุกข์ มันแบบนิ่งสมถะ ถึงเคหสิตอุเบกขา นั่งนิ่งเฉยไม่สุขทุกข์ไม่บวกไม่ลบ ได้ แต่ไม่เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเลย ที่พ้น เพราะจิตมันไปรู้แจ้งในความจริง แต่ถ้าสิ่งที่เกิดจากการนั่งหลับตานิ่งๆ คือเกิดจากสัญญา ไม่ใช่ปัญญา ปัญญาต้องเกิดจากภายนอกภายใน ปัญญาเกิดจากองค์ 6 ถ้าไม่ใช่จากองค์ 6 ก็เป็นเฉกา ทั้งนั้น ปัญญาไม่เกิดในปุถุชน ปุถุชนทำให้ปัญญาเกิดไม่ได้เลย ปัญญาเป็นของศาสนาพุทธเท่านั้นต้องมีอัญญธาตุต้องรู้ วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะเกิดปัญญา)
ที่พ้นเพราะจิตมันไปรู้แจ้งในความจริงที่เป็นสัจธรรมแล้ว อะไรที่เคยมีอวิชชา ลากใจดวงนี้ไป ทุกมันก็หมดสิ้นลง การปฏิบัตินั้นไม่ใช่ต้องการปฏิบัติแล้วทำให้เป็นผู้วิเศษ แต่ให้รู้ทันสิ่งที่สนองกิเลสโลก และการปฏิบัตินั้นไม่ได้วัดผลกันที่ว่า ใครจะไปเห็นนรกสวรรค์ หรือ เห็นเลขหวยอะไร การเห็นเทพเห็นผี มันไม่ได้รับประกันว่าปฏิบัติแล้วถูกทาง ถึงแม้มันจะช่วยให้เกิด สนองกิเลสบนโลกได้ แต่มันไม่ได้รับประกันการรู้ธรรมเห็นธรรมอะไร ไม่ใช่ว่าการเห็นมันไม่ดี แต่ความเห็นนั้นมันไม่ได้รับการประกันความรู้ทางธรรม คนที่รู้ธรรมไม่ได้มีมาตรฐานว่าจะต้องเห็น ทิพย์จักษุญาณ บางคนมันมีบุญมีวาสนามามันก็สามารถเห็นได้ บางคนไม่มีบุญวาสนามาทางโชคทางอะไร แบบนี้ก็สามารถรู้ธรรมเห็นธรรมและสำเร็จพระนิพพานได้ การไปรู้เห็นมากๆเป็นเครื่องไปสกัดพระนิพพานด้วยซ้ำ เพราะว่าพอรู้เห็นมากๆแล้วมันก็จะใช้ฤทธิ์ของทิพย์จักษุญาณไปมัวแต่แสวงหาประโยชน์โลกจนลืมทำลายกิเลส ยิ่งมีก็ผูกพันธ์จิตดวงนี้ไว้กับโลกมากขึ้นแน่นขึ้นแน่นขึ้นจนในที่สุดมันก็คลายปมของโลกไม่ได้
ญาณทิพย์ ต่างๆ จากที่มีประโยชน์ก็กลายมาเป็นโทษ เพราะผูกไว้กับโลกมาก พอผูกไว้มันก็ผูกไปถึงความฝันเรื่องใหม่ ที่มันผูกล้ำหน้าไปแล้ว พอตายไปก็ไว้มาเกิดใหม่ มันจองภพชาติไว้แล้ว จากการกระทำของเราเอง เราเห็นแล้ว รู้แล้วก็ต้องปฏิบัติให้รู้แจ้งไปเรื่อยๆ ให้เห็นแก่นของใจ ให้เห็นว่า พลังดวงนี้ มันเป็นพลังธาตุรู้ มันก็อยู่ในใจเรา นี่แหละ มันรอเราเพียงแต่ค้นพบมัน มันก็จะเห็นความจริง ที่ไม่มีอะไรไปย้อนแย้งมันได้ มันแจ้งในทุกแง่ทุกมุม
พอเห็นมันแล้ว เราถึงได้รู้ว่านี่แหละคือพลังของจิตวิญญาณ มันมีกลุ่มก้อนของพลัง มีอะไรอยู่แบบนี้ มันมีอวิชชาที่ปั้นมันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ให้มันยินดียินร้ายไปตามสิ่งที่มันใส่เข้ามา เมื่อเห็นจริงดังนี้แล้วก็นั่งพิจารณาดูกายตัวเองให้มันเกิดปัญญายังไงก็ได้ให้มันเกิด เห็นกายเป็นธาตุ 4 ดินน้ำลมไฟประชุมรวมกัน ตามบุญกรรมต่างๆที่จิตมันสั่งสมมา ทั้งกรรมดีกรรมชั่วเกิดประกอบเป็นกายหยาบกายละเอียดมีความประณีตแตกต่างกันตามแต่กรรมที่ทำไว้และสะสมไว้ในจิตวิญญาณ
บางคนทำไว้ก็เห็นแจ้งหมด ถึงจะเกิดใหม่ก็รู้แจ้ง ถ้าเดินตามทางพระนิพพานจนถึงได้ก็ไม่เกิดเพราะเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วก็ไม่เกิดอีก แปลว่าโลกของความฝันก็ยังเป็นไป แต่มันไม่มีเราไปอยู่แล้ว ธาตุรู้ที่เคยเป็นเรา ไม่เคยมีเราเป็นเจ้าของธาตุรู้ ที่เรียนว่ายตายเกิดมาหลายภพหลายชาติก็จบสิ้นลง โลกมิติแห่งความฝันมันก็ยังคงหมุนไป จิตวิญญาณทั้งหลายก็ต่างไม่มาปรากฏอีก
ความฝันเรื่องเดียวแป๊บเดียวก็หมดแล้ว ฉะนั้นเวลาเหลือน้อยจงตั้งใจไว้ว่ากิเลสอย่างนี้พอแล้ว บางคนตั้งใจจะรอให้สะสางสมบัติให้เสร็จก่อนถึงจะเริ่มปฏิบัติ ขอมาเกิดอีกสักชาติ ตายไปก็มาเกิดใหม่ จะมีโอกาสได้รู้ธรรม เห็นธรรมอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ อวิชชาตัวใดตัวหนึ่งยังเหลืออยู่ก็ต้องกลับมาเกิดแน่นอน จิตดวงนี้ไปหลงยึดมั่นถือมั่นคิดเป็นจริงเป็นจัง ยึดที่ไหนปรุงที่ไหนก็มาเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้น
ตามความเชื่อความคิดความฝันนั้น จะเป็นอยู่แบบนี้จนกว่าจะปฏิบัติตนจิตมั่นคงดีแล้วสั่งทำอะไรก็รู้เรื่อง ปฏิบัติเองก็รู้แบบนี้ แต่ว่าบางครั้งมันจะค่อยๆรู้ไป จากหยาบไปสู่ละเอียด ลึกซึ้งไม่เหมือนเดิมมันก็รู้แบบนี้ไม่มีทางรู้อย่างอื่น ยกเว้นส่งมันเริ่มผิดทางแล้วมันจะเป็นรู้อย่างอื่น จูงมันให้หลงทางไป เรื่องผิดนั้นคงไม่ผิด แต่มันไม่ใช่ตรงทางไปถึงพระนิพพาน มันอ้อมไกลอย่างสายโพธิสัตว์
อยากจะเป็นนักก็กลับมาเกิดอยู่นั่นแหละ มันก็อ้อมไกลไปเรื่อย พอเกิดมีปัญญาแล้วก็ไม่ต้องไปรอขนคนช่วยใครทั้งสิ้น ไม่ต้องไปรออะไรทั้งสิ้นจะมีจริงไม่มีจริงไม่รู้ถึงพระนิพพานได้แล้วต้องเอาไว้ก่อน คือความจริงของการปฏิบัติยิ่ง ปฏิบัติไปยิ่งเห็นใจตัวเองชัดขึ้นโลกนี้อาศัยโลกอยู่ อธิษฐานจิตให้โลกสนองเราได้บ้างตามสมควรไปอย่าไปเป็นทาสโลก
อยู่บนโลกก็อยู่ได้ไม่เดือดร้อนไม่นานเพราะจากโลกนี้ไปแล้วแต่ถ้าหลงโลกเมื่อไหร่ก็ไปยึดโลกไว้ เหมือนฝังรากลึกลงไปในโลกถอดถอนไม่ออก อย่าปฏิบัติไปก็เพื่อยึดมั่นถือมั่น อยากกลับมาเกิดอีกเลยต้องสะสมบุญไว้จะได้กลับมาใช้งั้นมันก็จะสะสมภพชาติไปเรื่อย เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ เพราะเสบียงบุญบาปที่สะสมไว้นั่นแหละ เพราะดวงจิตวิญญาณที่ยังคงหลงสะสมเสบียงอยู่ มันจึงต้องกลับมาเกิดใหม่เรื่อยไป ต้องปัญญาที่เป็นปัญญาธรรมะจริงๆ จึงจะปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นนั้นลงได้ ปล่อยได้มันก็พ้นได้
สมณะฟ้าไทว่า... พ่อครูติดไว้ เรื่องอธิบายกรรมฐาน 5 กับนิยาม 5 ตรงไหนเป็นกายไม่เป็นกาย
พ่อครูว่า...กายนี้ยังมีเวทนา รับสัมผัสรู้สึก เล็บส่วนใด รับสัมผัสไม่รู้สึกก็ไม่ใช่กาย ส่วนที่มีประสาทรับรู้สึกได้อันนั้นเป็นกาย เล็บที่กระทบแล้วเจ็บก็คือกาย อันไหนไม่รู้สึกก็ไม่ใช่กาย อันไหนไม่ใช่กาย แต่เป็นชีวะ
กายต้องมีเวทนา หากไม่มีเวทนา แต่มีชีวิตินทรีย์เป็นพีชะ เราเรียน อุตุ พีชะ จิต มาแล้ว ผมพยายามอธิบายให้ทำจิตเป็นพีชะ พีชะ เป็นชีวะ แต่ไม่มีเวทนา แต่จริงๆแล้วจิตคนเป็นเวทนาเราต้องละเอียดกลับไปมาว่า อันไหนไม่มีเวทนาไม่ใช่กายเรา แต่คนก็ไปยึดเอาเป็นกาย อย่างผู้หญิง รัก เล็บ เล็บยาวๆมา ใครมาแตะต้องไม่ได้เลย ทั้งที่มันไม่รู้สึก ผมที่ยาว ไม่ใช่กาย แต่ตัดไม่ได้ จะเป็นจะตาย มีตัวกูของกู คนๆนี้ไม่รู้จักกาย
กาย ไม่ใช่ พิจารณาดินน้ำไฟลม แต่ให้แยก กาย เวทนา จิต ธรรม
_จาก สู่แดนธรรม (26 พ.ค. 60)
อพรหฺมจริยา ที่เกี่ยวกับการพิจารณา "กายในกาย"
อพรหมจริยาจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะตรงต่อหัวใจของศีลข้อนี้
หัวใจของศีลอันหมายถึง ใจ ที่ควรเป็นประธานหลัก
ไม่ใช่แค่กายภายนอก ที่คนทั่วไปมักจะบอกว่า อหรหมจริยาคือเว้นการเสพเมถุน
ผมเห็นว่า สิ่งใด(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...เวลาตัดผม เห็นเด็กผู้หญิงร้องไห้ด้วย ทั้งที่ไม่ใช่กาย
ที่ใจประพฤติแล้วไม่ใช่จรรยาของพรหม ไม่ใช่จริยาความประพฤติของพรหม สิ่งนั้นเราจะสังวรไม่ประพฤติออกมาทางนามกาย (นามกายได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร อันเป็นการประชุมกันเป็นกายเล็ก ที่อาศัยอยู่ในกายใหญ่)
ก็อะไรเล่าที่ไม่ใช่จรรยา หรือไม่ใช่อากัปกิริยาของพรหม ก็ได้แก่ ความประพฤติที่ต่ำกว่าพรหมไงครับ เช่น ความประพฤติของเทวดา หรือเทพ (เทว ที่หมายถึงยังมีความเป็นสองอยู่ คือ มีกามตัณหา และภวตัณหาเป็นเพื่อนสอง) เทวดาจึงมีจริยาที่ไม่ใช่พรหม (อพรหมจรรย์)
ดังนั้น ศีลข้อ อพรหมจริยานี้ ถ้าพิจารณาให้ถึง กายในกายแล้ว ควรให้คำนิยามง่ายๆ ว่า เราจะละเว้น หรือเว้นออกจากกิริยาอาการของเทวดา เราจะไม่เป็นเทวดา เราจะเป็นพรหมจรรย์ ย่อมหมายถึงว่า จรรยาหรือจริยาความประพฤติของพรหม ที่ข้ามพ้นไปจากอารมณ์เสพความเป็นสอง พ้นเสพอารมณ์ที่สอง (เทวะ หรือ เทฺว) ไม่เสพสวรรค์ ไม่หมกมุ่นอยู่ในสวรรค์อันเกิดแต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
การประพฤติที่สำรวมตา ไม่เกิดเป็นเทวดาหลงสุขจากทางตา ทางหู ลิ้น จมูก กาย ใจ นี่แหละจึงเป็น พรหมจริยา หรือเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ซึ่งไม่ใช่ไปหมายเอาแค่การเสพคู่ร่วมเพศเท่านั้น เพราะถ้าหมายเอาแค่นี้ คนที่ไม่มีผัวไม่มีเมีย ก็คงได้ศีลอพรหมจริยามาฟรีๆ อย่างง่ายดาย ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ และไม่ใช่แค่นั้นแน่นอนครับ
พ่อครูว่า...แย้งมาถูกต้องดี มาดู sms
SMS วันที่ 25พฤษภาคม 2560 (โดยสมณะและสิกขมาตุ)
_3867กราบขอบคุณสณ.สม.กับ ข่าวดีกับตลาดอาริยะครั้งใหม่จากแรงกายเด็กสัมมาแรงใจเยาวชนอาริยะแรงปรารถนาดีเพื่อมนุษยชาติจากญตธ.อโศก!
_3867ขอบคุณบุญนิยมกับตลาดอาริยะตลาดแห่งสุขสงบสันติภาพจากพลังโลกุตระขอจงเข้มแข็งท่ามกลางอุทกวาตพิบัติภัย ภัยรุนแรงจากพลังโลกียะลามทั่วโลก! สู้ด้วยบุญญาวุธโดยสงบสันติอหิงสธรรมต่อไปจรธ.
_3867วันนี้ฟังธ.บ่ต่อเนื่องฝนตกฟ้าร้องต้องปิดTVพักฯ!ปีนี้คนโดนฟ้าผ่าหลายคน!ต้องระวังวิบากภัยที่มามิทันตั้งตัว!ด้วยความห่วงใยทุกท่าน!
_จากคุณเอื้อมพร (อยู่ที่เดนมาร์ก)
กราบเรียนพ่อท่านด้วยว่า ลูกคนนี้ก็พยายามพัฒนาตนเอง แต่ช่วยผู้อื่นนั้นไม่ทราบว่าทำได้แค่ไหน เอาแค่พัฒนาตนให้พ้นกิเลส ก็ยังตกตกหล่นๆอยู่เลยค่ะ
ตอนนี้วันอาทิตย์ก็ไปเป็นจิตอาสาช่วยสอนภาษาไทยให้กับเด็กไทยลูกครึ่งที่นี่ รวมทั้งผู้ใหญ่ที่อยากเรียนภาษาไทยค่ะ
_คำถามจาก ว.นบ. ดิฉันฟังธรรม ในอดีตฟังแล้ว ทำตามกิเลส ต่อมาทุกวันนี้ ฟังธรรมเข้าหูเข้าพ่อท่านสอน ไม่ต้องอยาก เจตนาตั้งจิตวิญญาณ เบิกบานแจ่มใส พอได้ พอเพียง คำถาม...ตาเห็นรูป นาม เห็นสมณะ 4 ปัจจุบัน ตาเห็นสมณะ สิกขมาตุแสดงธรรม รูปเห็นนามเห็น สมณะ 4 ค่ะ
พระโสดาบัน_สกิทาคามี_อนาคามี_อรหันต์ จิตเข้าสมาธิใช่ไหมคะ พากเพียร ขยันต่อไป
พ่อครูว่า รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ตั้งแต่ภายนอก พหิทารูปานิปัสสติ เห็นรูป จนตามรู้รูปภายใน อัชฌัตตัง อรูปสัญญี แล้วก็พหิทารูปานิปัสสติ ผู้มีรูป จึงเห็นรูป คนตาบอดรูปทางตาเขาไม่เห็นไม่รู้ คนตาบอด รูปีของคนตาบอดไม่มี
หนึ่ง มีรูปี มีรูป สอง รูปานิ (รูปทั้งหลาย)
ผู้ตาบอดเห็นรูปที่เป็น เสียง รส กลิ่น สัมผัส ปัสสติคือเห็น
_การทำงานใดๆโดยไม่มีเจโตปริยญาณ16
คุณก็เป็นแค่กรรมกรศาสนา และจะไม่ได้รับค่าแรงจากพระพุทธองค์เลย
ขอ เมตตาอธิบายในคำว่ากรรมกรศาสนา ด้วย....
จากบุญกรุ่นเกล้า
พ่อครูว่า...ดีถูกต้อง...เจโตปริยญาณ 16 มี
คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .
รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.
1.สราคจิต (จิตมีราคะ)
2.วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
3.สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .
8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .
16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
พ่อครูว่า...คุณสัมผัสเมื่อใดก็อ่าน จิตเรามีราคะโทสะโมหะในจิต แล้วคุณก็ทำกิเลสออก ไม่ให้มี (วีตะ) ตอนแรกคุณเริ่มทำ ถ้าสัมมาทิฏฐิ ทำได้จิตคุณจะมีผลสองชนิดของคนสองจริต จริตถีนมิทธะกับอุทธัจจะ เกิดเป็นสังขิตตังจิตตัง(นิวเคลียร์ฟิวชั่น) จิตวิกขิตตังจิตตัง(นิวเคลียร์ฟิชชั่น)
จับจิตได้คือหทยรูปแล้วอ่านธรรมะสองเวทนาสอง แล้วทำให้เป็นเอกัคคตาจิต ตอนแรกที่ทำ ดีขึ้นได้พอสมควร ตอนแรกมันอมหัคคตจิต จับเป็นก้อน ไม่เจริญต้องทำให้ถึงอกัคคตาจิต ทำด้วยปัญญาความรู้ วิธีปฏิบัติทำได้ก็เป็น สอุตตรังจิตตัง จิตเกิดผลดีขึ้นเรื่อยๆ ก็มีอุตตรังจิตตัง ทำให้จิตสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่จบ เป็นอนุตตรังจิตตัง ถ้าทำได้เป็นสอุตตรจิต สุดท้ายพร้อมด้วยสมาธิและปัญญา เป็นวิมุติ คือเจโตปริยญาณ 16
กรรมกรศาสนาคืออย่างไร
กรรมกรศาสนา คือคนทำงานให้ศาสนา แต่ไม่ได้บรรลุธรรม แต่จะกลายปทปรมะ เป็นบัวใต้น้ำ เป็นกรรมกรศาสนา ปทปรมบุคคลคือผู้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นผู้ฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวก็มากทรงจำไว้ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินี้เลย คนไหนก็ตามเป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธ แต่เป็นปทปรมะคือรู้มากแต่ไม่บรรลุธรรม ผู้ที่ไม่มีเจโตปริยญาณ 16 ก็ไม่ผ่านขั้นตอนการบรรลุ จนเป็นเสขบุคคลบ้างหรือไม่ก็ไม่รู้ เมื่อคุณไม่เป็นอุคติตัญญู บัวพ้นน้ำเหมือนพระพาหิยทารุจริยะหรือพระยสะ
บุคคล 4
1. อุคฆติตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้เพียงท่านยกหัวข้อขึ้นแสดงเท่านั้น)
2. วิปัญจิตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้โดยการจำแนกเนื้อความให้พิสดาร)
3. เนยยะ (ผู้บรรลุมรรคผลเป็นชั้นๆ ไป โดยอุทเทส (หัวข้อ) โดยไต่ถาม โดยทำไว้ในใจโดยแยบคาย โดยการสมาคม โดยคบหา โดยสนิมสนมกับกัลยาณมิตร)
4. ปทปรมะ (ผู้ฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวก็มาก จำทรงไว้ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินี้เลย) พอเข้าใจโลกียธรรม แต่เป็น อเวไนยที่ไม่เข้าใจโลกุตระ หรือเข้าถึงธรรมระดับโลกุตระได้ยาก (พตปฎ. ล.36/108)
คนที่รู้มากแต่ไม่บรรลุเปรียบเหมือนจับกังแบกลังทอง
มีลูกไม่ดีทำใจอย่างไร
_อยาก ถาม พ่อครู ว่า ใจไม่สงบ รู้สึก หวาดกลัว
ลูก เพิ่ง กลับมาบ้าน มืดค่ำ พูดจา เสียดสี
ตะคอก ตะคั้น ไม่อยาก มีชีวิต อยู่ เลยคะ
คนเรา ไม่ รู้จัก เคารพ กัน ใส่ใจกัน
ไม่ มี การกำกับ ตนเอง กาย วาจา ใจ
แล้ว จะ อยู่ กันอย่างไร อยู่ ไป ก้อ มี แต่ ความทุกข์
พ่อครูว่า...คนเราเกิดมามีวิบาก มีลูกมาทวงหนี้ มาทำให้ทุกข์ตลอด มันก็เป็นวิบาก เป็นสัจจะ คุณไม่อยากได้หรอก แต่มันเอาไม่ออก มันก็อยู่กับคุณนี่แหละ มันเป็นลูก แล้วมีนิสัยใจคออย่างนี้ อาตมาก็บอกได้ว่า ปลงเสียเถิดว่าชาตินี้เป็นอย่างนี้ ก็ให้ศึกษา อย่าโกรธเคือง หากโกรธเคืองจะมีแต่แย่ลง ไปไม่ออก ทุกข์ อย่างน้อยยอมรับ เขามาเกิดเป็นลูกแล้ว ก็ต้องค่อยๆพูดกันไป แต่ถ้าพูดไม่ได้ คุณก็จะได้วางใจ จะได้โจทย์ที่ทำให้คุณเองรู้จักวางใจ เพราะ คุณเขวี้ยงขว้างไปไม่ออก มันมาเกิดเป็นลูกแล้วคุณสอนไม่ได้ คุณจะฉลาดพอจะส่งไปให้คนที่สอนเขาได้ไหม เพราะคุณสอนไม่ได้แล้ว ก็ต้องทำตัวให้ดีจนกระทั่งโลกยอมรับฟังเชื่อถือ แต่ที่คุณพูดมานี่เขาไม่เคารพเลย ถ้าสอนไม่ได้คุณก็ต้องใช้ศิลปะส่งไปให้คนที่สอนเขาได้ นี่คือทางออก
สมณะฟ้าไทว่า...อนุโมทนา….
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:51:20 )
รายละเอียด
600528_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ หากไม่มีศีลเขาก็ไม่ใช่คน
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม 2560 ที่บ้านราชฯ ตอนนี้ฝนตก มีต้นไม้เขียวขึ้นเต็มไปหมด มีการปลูกกล้วย ที่คันนา ทำให้ดูเขียว กล้วยหวีละ 50 บาทเลย ที่กทม. กล้วยที่เห็นพร้อมให้เรากินเสมอ มันแตกหน่อมาก ทำความสดชื่น มองไปมีสีเขียวในสายตา พืชผักพวกเราเป็นของไร้สารพิษ
วันนี้พ่อครูจะเทศนาเกี่ยวกับเรื่องของศีล และพรหมชาลสูตร มีมหาระแบบเคยเทศน์เรื่องพรหมชาลสูตรไว้ด้วย ยังฟังไม่หมดเลย
พรหมชาลสูตรว่าด้วย การติชมพระพุทธเจ้า การชมก็ต้องชมว่าท่านมีศีล พพจ.จำแนก ทิฏฐิ 62 ไว้ในสูตรนี้
หากไม่มีศีลเขาก็ไม่ใช่คน
พ่อครูว่า..อาตมาทำงานศาสนานี้มาตั้งแต่ตัดสินใจชีวิตชัดเจนว่า ชีวิตมีอะไร มันต้องรู้ธรรมะ เกิดเป็นคนมันต้องรู้ธรรมะ แล้วธรรมะที่จะรู้นี้มีอะไร เริ่มต้นพื้นฐานควรจะต้องรู้ศีล พระพุทธเจ้าตรัสว่าศีลเป็นเรื่องต้น เป็นเรื่องที่ต่ำที่สุดของคน ถ้าเป็นคนแล้วไม่มีศีลที่เป็นของต่ำที่สุดแล้ว คนนั้นต่ำกว่าคน (ฟังดีๆอาตมาไม่ได้ด่าว่าแต่วิจัยสัจธรรมให้ฟัง)
คนทุกวันนี้เมินศีล พระพุทธเจ้าตรัสว่า [2] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด นั่นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้น เป็นไฉน?
พ่อครูว่า...คนทุกวันนี้ได้ร่างกายเป็นคน แต่ภูมิธรรม ความรู้ภูมิปัญญาไม่ใช่คน (สมณะฟ้าไทว่า...ร่างเป็นคนแต่จิตไม่ใช่คน)
เพราะว่าถ้าคนนั้นไม่มีศีลสักข้อ คนๆนั้นไม่ได้ชื่อว่าคน ฟังแล้วมันแรงหรือไม่?
สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าฟังแล้วคนไม่มีศีลจะรู้สึกแรง คนมีศีลก็จะบอกว่าตรง
พ่อครูว่า...คนไม่มีศีลฟังแล้วเหมือนถูกด่า อย่างนั้นเชียวหรือ มันใช่แล้ว คนไม่มีศีลสักข้อยังไม่ได้ชื่อว่าคน
ศีลข้อ1 ไม่ฆ่าสัตว์ เป็นเรื่องที่สุดยอดของคน คนที่ยังฆ่าสัตว์อยู่นี่ ยังไม่ได้เริ่มเป็นคน ตราบใดที่คุณยังฆ่าสัตว์อยู่ จัดเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่สัตว์อะไรก็แล้วแต่ไม่มีข้อยกเว้น ว่าฆ่าสัตว์เล็กเป็นคนได้ ไม่ฆ่าสัตว์ใหญ่เป็นคนได้ ไม่ใช่ ไม่มีข้อยกเว้น คนที่ยังฆ่าสัตว์อยู่นั้นไม่รู้ว่าสัตว์ก็คือชีวิต เราเองที่เป็นคน ที่โตมาเป็นคนก็มีชีวิตเท่ากัน
สัตว์ตั้งแต่สัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ก็คือชีวิต ถ้ายิ่งเข้าใจในเรื่องอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม สูงขึ้นไปอีก ยิ่งจะรู้สึกเข้าใจลึกชัดเข้าไปว่า พลังงานในระดับที่พัฒนาการขึ้นมาถึงขั้น จิตนิยามหรือว่าสัตว์
พีชนิยามหรือพืช อุตุนิยามก็คือวัตถุธาตุต่างๆทั่วไป ดินน้ำไฟลม นั่นคืออุตุนิยาม ไม่มีชีวะ เป็นพลังงาน สังเคราะห์สังขารกัน เป็นแท่งก้อนเป็นน้ำเป็นลม เป็นไฟต่างๆ ก็ตาม นั่นคืออุตุนิยามไม่ใช่ชีวะ
ค่าเริ่มต้นเป็นชีวะ เป็นพีชะ แล้วก็เป็นธาตุที่มันพัฒนากันขึ้นมาไม่ใช่ธรรมดา กว่าจะพัฒนาจากอุตุนิยามมาเป็นพีชนิยามได้ กว่าจะพัฒนาขึ้นมาได้
ชีวะนี้มีตัว i ตัวประธาน เริ่มจะมีตัวกูของกู มีอัตโนมัติมีธาตุรู้ ที่ควบคุม สัญญา สังขาร พีชะมีรูป สัญญา สังขาร ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ
มีธาตุของมันเองเรียกว่า I แล้วมันจะเลือกธาตุย่อยที่เหมาะสมกับตัวเอง ทางเคมีทางอื่นๆ เอามารวมตัวมันเป็นตัวตน ตามที่ I จะรู้ว่านี่คือสิ่งที่ต้องการ มีสัญญากำหนดรู้ เอาธาตุมาสังเคราะห์เป็นกล้วยน้ำว้า เป็นสละ เป็นฟักทอง ทุเรียน
มี ISH ตัวพลังงานสามเส้า ตัวทุเรียนก็เป็นมันเอง มะระ กล้วยหอมก็เป็นตัวของมันเอง เท่าที่มันกำหนดรู้ ก่อนจะพัฒนามาเป็นพีชะมาเป็นตัวเองได้ไม่ใช่ธรรมดา ต้องพัฒนาพลังงานข้ามกรอบของอุตุนิยามมาเป็นพีชนิยาม
จากพีชนิยามจะพัฒนาไปเป็นจิตนิยามเป็นสัตว์ เป็นพลังงานที่มีพลังงานครอง เป็นเวทนาเป็นวิญญาณครอง พีชะไม่มีกรรมครองไม่มีพยาบาทจองเวรใคร ไม่มีแก้แค้น ไม่มีดูดดึงอะไร มีแต่สร้างตัวเอง แล้วก็สลายไปเป็นดินน้ำไฟลม แต่ถ้ายังจับตัวเป็น protoplasm เป็น cytoplasm เป็นเหตุปัจจัยงอกต่อไปอีก
กว่าจากพีชะมาเป็นจิตนิยามได้ก็ต้องอีกรอบหนึ่ง กว่ามันจะพัฒนาการขึ้นมามีตัวตน ก็ยาก เราอย่าไปทำลายเขา
จิตนิยามสูงสุดคืออย่างใด
ในโลกลูกหนึ่งๆ พัฒนาการของสสาร พลังงานที่ได้สังเคราะห์ตัวเองจนมาเป็นจิตนิยามได้ก็จะเป็นธาตุที่เจริญที่สุด เป็นสัตว์ที่เจริญที่สุดในโลกแต่ละลูก
พัฒนาการของสัตว์ตั้งแต่เซลล์เดียว จนมาเป็นหลายเซลล์ ส่วนพัฒนามาเป็นสัตว์มนุษย์หรือสัตว์โลก บาลีใช้คำว่า มนุสโส เป็นจิตนิยามที่สูง สุดประเสริฐแล้ว ในสัตว์โลก
สูงสุดแล้วในความเป็นจิตนิยามของสัตว์โลก เป็นมนุษย์แล้วจะมีภูมิธรรมที่สูงขึ้นเจริญขึ้น หรือจะเสื่อมทรามลงก็อีก เพราะฉะนั้นความเจริญหรือพัฒนาการของพลังงานพวกนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งเหล่านี้เสร็จแล้วมาเป็นจิตนิยามแล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงได้ไหม เปลี่ยนแปลงได้ด้วย กรรมนิยามกับธรรมนิยาม
มาเป็นจิตนิยามมนุสโสได้แล้ว มีพัฒนาการมามาก พอเป็นมนุษย์แล้วก็มีระดับภูมิธรรมสูงหรือไม่สูง
ปราชญ์หลายๆ คนก็ศึกษาจนได้เป็นศาสดา แล้วก็สอนมนุษย์ว่าจิตวิญญาณสูงเป็นคนดีอย่างนี้ มีศาสดาเกิดหลายคน สอนมนุษย์ว่าดีอย่างนี้ ก็ทำให้มนุษย์เจริญขึ้น
มีศาสดาเอกพระองค์หนึ่งคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็มีความรู้ต่างจากศาสดาทั้งหลาย มีความรู้ที่ต่างจากอันอื่น คืออัญญธาตุ เป็นพลังงานที่ต่างจากจิตนิยามเท่าที่ศาสดาแต่ละองค์พาทำ แต่ของพระพุทธเจ้าจิตวิญญาณที่อยู่ในโลกียหรือเทวนิยม ศาสนาเทวนิยม มีพลังงานสูงสุดที่ไม่รู้จัก เป็นเทวนิยม สูงสุดเขาก็เรียกว่าพลังงานพระเจ้า เป็นเทวะ แต่ไม่เข้าใจต่อ ไม่เข้าใจพระเจ้าจริง ก็เข้าใจไม่ได้ว่าสูงสุดนี่ก็คงเป็นพลังงาน บันดาลสิ่งต่างๆทั่วโลก
พระพุทธเจ้ารู้จักนิยามชีวิต 5 ก็จึงรู้ว่าสิ่งต่างๆพัฒนาการมาอย่างนี้ กรรมนิยามกับธรรมนิยามต้องเป็นมนุษย์ระดับ เวไนยสัตว์เท่านั้นถึงรู้ได้ ส่วนอเวไนยสัตว์จะเรียนรู้ไม่มีภูมิธรรมรู้ในโลกุตรธรรมได้
ผู้จะรู้โลกุตรธรรมจะต้องได้จากการฟังการได้ยิน เชื้อของโลกุตระมาก่อน ยิ่งได้ฟังจากพระพุทธเจ้าผู้ที่เป็นเจ้าของโลกุตรธรรมก็ยิ่งยอดเยี่ยม ส่วนผู้ที่เป็นโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษที่มีโลกุตรธาตุเอามาขยายได้ก็มีของจริงตามนั้น
ผู้ใดที่ยังไม่มีเชื้อเป็นของจริง คือธาตุพลังงานจิตนิยามของคน ยังไม่ได้เกิด ยังไม่มีความรู้มีคุณธรรมในระดับอัญญธาตุ
คือ ความรู้ทั้งหลายของผู้ที่ยังไม่มีรสพระธรรมก็มีแต่โลกียธรรม ศาสนาเทวนิยมทั้งหมดจึงเป็นโลกียธรรม ไม่มีปัญญาออกจากโลกียธรรม
โลกียธรรมมีแต่ความดีความชั่ว สอนให้คนดีเจริญสูงสุดได้ แต่ไม่เป็นคนเลิกเกิดเลิกวนเวียน เลิกมีจิตนิยามเกิดในมหาจักรวาลนี้อีก ตายจากชาตินั้นธาตุจิตสลาย หมดอัตภาพ ศาสนาเทวนิยามศาสนาโลกียธรรมไม่ได้ ทำได้แต่ศาสนาพุทธเท่านั้น
คนที่มีธาตุปรินิพพานแล้วมีสิทธิ์ไม่เกิดอีกได้ พากเพียรไปแล้วตายแล้วไม่เกิดอีก ก็ต้องสูญ เมื่อตายแล้ว เพราะงั้นผู้บรรลุอรหัตตผล ตายแล้วก็ต้องสูญ
อรหันต์มีสิ่งที่ตายแล้วก็จะสูญได้
คนที่ไม่เข้าใจรูปนามขั้น 5 กับสิ่งที่ตายแล้ว เขาเข้าใจหยาบว่าร่างกายตาย แล้ว หลังจากนั้นไม่มีอะไรเกิดอีก ไปตีความกายคือดินน้ำไฟลม แตกสลาย หลังตายแล้วไม่มีอะไรเกิดอีก ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ก็ใช้สำหรับอรหันต์ที่ตายแล้วตั้งจิตไม่เกิดอีกต่อ
อรหันต์ทุกองค์ในจิตวิญญาณท่านมีตัวตายสนิทแล้วไม่เกิด อรหันต์ตายแล้วไม่เกิด ไม่ได้หมายถึงร่างหรือวิญญาณ วิญญาณท่านสะอาดหมดอุปาทานตัณหาแล้ว วิญญาณนั้นเกิดได้อีก เกิดอย่างไม่มีกิเลสด้วย อย่าง “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” เป็นอรหันต์ที่กิเลสตายสนิทไม่เกิดอีก แต่ทุกวันนี้บอกว่าอรหันต์ตายแล้วจบไม่ต่อได้อีก เพราะเถรวาทไม่เรียนรู้โพธิสัตว์ แต่ประเด็นรู้เฉพาะอรหันต์บอกว่าตายแล้วจบ ก็ใช่ไม่เกิดอีก แต่อาสวะอนุสัย กิเลสนั้นไม่เกิดอีก แต่จิตสะอาดเกิดได้ หากท่านมีนิมิต ไม่ตายอย่าง
1. สุญญตนิพพาน 2. อนิมิตตนิพพาน 3. อัปปณิหิตนิพพาน
ถ้าท่านมีภาระที่จะสืบสานศาสนาต่อไป ถ้าเราบำเพ็ญกิเลสเราจบหมดไม่เหลือ แต่กิเลสคนอื่นก็มีอีกสารพัด พระอรหันต์ที่ศึกษาของตัวเองจบแล้ว ก็ได้ศึกษาต่อไปว่า คนอื่นมีกิเลสแบบไหน บางกิเลส เราไม่เคยเป็นเลย เราไม่เคยนึกว่าเขาเป็นได้อย่างนี้ กิเลสอย่างธัมมชโยนี่มันหนาแน่นพิลึกพิสดาร ช่างคิดช่างสร้างสรรค์ช่างหาเรื่อง ให้ทุกข์ใส่ตัว เดือดร้อนตัวเองและผู้อื่นได้ขนาดนี้ มนุษย์สามารถเลวได้ขนาดนี้เชียวหรือ งงเลย ไม่ได้แกล้งด่าหรือประชด พูดด้วยใจจริงว่าอาตมาไม่เคยเป็นอย่างนั้นจริงๆ นอกจากไม่เคยเป็นแล้วอาตมาก็ยังนึกไม่ออกว่าทำไมเขาทนได้อย่างนี้
นึกไม่ออกว่า มีคนที่มีคนพูดไม่ถูกหูก็เตะเขาเลย อาตมาไม่เคยทำนึกไม่ออกเลย ความคิดอย่างนี้ไม่เคยมีในจิตอาตมาและก็ไม่เคยไปเตะเลย คนพูดไม่ถูกหูใส่อาตมามากมาย ถ้าเป็นคนอื่นก็เตะแล้ว แต่อาตมาไม่เคย
นี่ชั่วขนาดฆ่าคนได้ วางระเบิดที่ผ่านมา ทำไมจิตใจคนถึงได้อำมหิตโหดร้ายขนาดนั้น อย่างนายโกตี๋นี่ ตอนนี้ยังจับตัวไม่ได้ก็มีข้อหา พูดไปตามข้อหา
ทักษิณนี้เป็นผู้สร้างความเป็นนรกหลอกมนุษย์ มอมเมามนุษย์ให้มนุษย์ทำเลวทำร้ายทำแรง
ส่วนธัมมชโยหลอกคนให้มาเป็นเทวดา เลิศเลอหรูหรามากมายสวยงาม มันคนละทิศกัน แต่ชั่วหยาบเท่ากัน หยาบสวรรค์กับหยาบนรกเท่ากันสองด้าน ปรุงแต่งหาเรื่องหลอกคนให้หลงสวรรค์ อีกข้างทำให้คนเป็นสัตว์นรก
เป็นคู่บารมีที่เกิดมาในยุคนี้เป็นสัตว์นรกกับสัตว์สวรรค์ 2 ตัว หน้าสัตว์นรกจะเป็นเหลี่ยมๆ แต่หน้าสัตว์สวรรค์จะดูงาม เขียนชาร์มใส่หน้าไว้ด้วย ที่จริงน่าจะเขียนกาละมังใส่หน้า
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ให้คนมาเป็น ตั้งแต่ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม แล้วเป็นผู้ไม่มีกับผู้มีภูมิรู้ จนมาเป็นคนที่สามารถสลายนิยามชีวิตได้หมด
มันปรุงแต่งกันเป็นโลกกับปรุงแต่งของตนเป็นอัตตา มีสองทิศทาง โลกกับอัตตา จึงเรียกโลกาธิปไตยกับอัตตาธิปไตย ผู้รู้คือมีธรรมาธิปไตย คือรู้จักโลกกับอัตตา มีอธิปไตย พลังงานโลกพลังงานอัตตา แล้วทำความหมดโลกหมดอัตตาคือธรรมาธิปไตย
สมณะฟ้าไทว่า...คนเป็นอรหันต์แล้วจะมาสืบต่อศาสนาอย่างพ่อครูนี้ ใครกำหนด มันเป็นวิบากหรือเพราะอะไร? การกำหนดการเกิดนี้ กำหนดโดยกรรมของเราหรืออะไร?
พ่อครูว่า...ก็คือกรรม ผู้มีกรรมนิยาม จัดการโดยกรรม สุกตทุกฏานังกัมมานังผลังวิปาโก กว่าจะเป็นอรหันต์ ทำมนสิกโรติ ทำใจในใจตัวเองเป็น ศาสนาพุทธคือศาสนาทำใจ ทำใจตนเองเป็น จัดการใจตนเองเป็น รู้จักใจที่เป็นอาการของกิเลส จัดการมันให้ตายไม่เกิดอีกเลย สูญไปเรื่อยๆจนหมด นี่คือหน้าที่ของศาสนาพุทธ ต้องทำใจในใจเป็น
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูเคยเกิดเป็นพระโพธิสัตว์หลายชาติ แล้วต้องมาสืบต่อศาสนาของพระสมณโคดมใครกำหนด
พ่อครูว่า...ผมตั้งจิตจะมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดม บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณให้ได้
สมณะฟ้าไทว่า...ก็มาเชื่อมจากพระสมณโคดม
พ่อครูว่า...ความรู้พระโพธิสัตว์เมื่อรู้แล้วจะไม่งง เป็นผู้เรียนรู้อารยธรรมและวัฒนธรรมของพระพุทธเจ้า จนเป็นโสดาบันโพธิสัตว์ สกิทาคามีโพธิสัตว์ อนาคามีโพธิสัตว์ อรหันต์โพธิสัตว์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ ผมก็รู้ว่าตนเป็นนิยตโพธิสัตว์
ที่พูดนี้ตามที่เคยเป็นมา คนไม่มีความรู้และไม่เชื่อถือ ผมอธิบายว่าก่อนที่จะมาเป็นโพธิสัตว์ต้องบรรลุอรหันต์ แล้วไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แล้วบำเพ็ญต่อ จนกว่าจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ผมเอาความจริงมาพูด ไม่ได้อวดตัวตน แต่พูดธรรมะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่เป็นพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ คนไม่เชื่อก็เป็นธรรมดา
องค์ไหน บำเพ็ญมาจนเป็นมหาโพธิสัตว์ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ยิ่งได้รับการพยากรณ์ มีชื่อนี้ อัครสาวกชื่อนี้ จะมีบารมีครบพร้อมหมดเลย
ถ้าคุณเชื่อตามที่โบราณาจารย์พยากรณ์ไว้ว่า จะมีโพธิสัตว์มีเจ้าธรรมิกราช 2 องค์มาเกิด ถ้าคำทำนายเป็นจริงๆ ก็จะจริง ดูว่า มีใครบ้าง มี อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
คุณเห็นไหม
สมณะฟ้าไทว่า...เห็น อยู่ใกล้ๆนี้
พ่อครูว่า...แล้วเจ้าธรรมิกราชอีกองค์คือใครรู้ไหม
สมณะฟ้าไทว่า..ก็เห็นก็รู้ตามที่พ่อครูบอก
พ่อครูว่า...ผมบอกว่าท่านเป็นโพธิสัตว์ผมไม่ได้ทำอย่างไม่มีหลักฐานอ้างอิง ทุกวันนี้คนระลึกถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ผมว่า เป็นพระโพธิสัตว์นี้ คนนับถือคุณธรรมของท่านที่เป็นโพธิสัตวภูมิ ที่มาช่วยรื้อขนสัตว์ ท่านทำเด่นเพราะท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วทรงงานช่วยมนุษยชาติอย่างเห็นเลย มีพฤติกรรมจริง
ซึ่งต่างจากผม ที่ผมพูดเป็นนามธรรม ไม่มีสมมุติ ไม่มีตำแหน่งอะไรเลย เป็นมนุษย์ติดดินธรรมดา พูดแต่ธรรมะอย่างเดียว คนถึงไม่ค่อยรู้ แล้วดันพูดโลกุตรธรรมอีก คนถึงไม่ค่อยเข้าใจไม่ค่อยรู้เรื่อง ที่พูดนี้ไม่ได้ริษยา แต่ทำคนละหน้าที่ ไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้หลงตัวเพ้อเจ้อ อธิบายความจริง
มาเข้าสู่พรหมชาลสูตร
1. พรหมชาลสูตร
เรื่องสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตตมานพ
[1] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัย(ถ้าเป็นรูปวัตถุคือระยะทาง ถ้าสมยะนามธรรมคือเวลา สมย ก็พูดเป็นอักขระอีกได้ แต่ตอนนี้อาตมาเลิกคิดเรื่องอัขรนิทัสสน์แล้ว มันยากไป) หนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จดำเนินทางไกลระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาฬันทาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป(คำว่า 500 รูป คือแสดงว่าเป็นหมู่ใหญ่ 500 เป็นศัพท์กลางๆของภาษาบาลี เป็นIdiomอย่างหนึ่ง หรือไม่ห้าร้อยก็บอกว่าแปดหมื่นสี่พัน เป็นต้น แสดงว่ามากประมาณหนึ่ง ไม่ใช่ตัวเลขเป๊ะๆแต่ประมาณหนึ่ง) แม้สุปปิยปริพาชกก็ได้เดินทางไกลระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาฬันทา พร้อมด้วยพรหมทัตตมาณพผู้อันเตวาสิก. ได้ยินว่าในระหว่างทางนั้น.
สุปปิยปริพาชก กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตมาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนั้น มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรง
ฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปประทับแรมราตรีหนึ่ง ณ พระตำหนักหลวง ในพระราชอุทยาน อัมพลัฏฐิกาพร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ แม้สุปปิยปริพาชก ก็ได้เข้าพักแรมราตรีหนึ่ง ใกล้พระตำหนักหลวงในพระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกา กับพรหมทัตตมาณพผู้อันเตวาสิก ได้ยินว่าแม้ ณ ที่นั้น สุปปิยปริพาชก ก็กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตมาณพ อันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยายอาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองคนนั้น มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรงฉะนี้ (เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ) ผู้แปลตามพยัญชนะ ที่จริงไปถึงที่พักแล้ว
ครั้งนั้น ภิกษุหลายรูปลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่ง นั่งประชุมกันอยู่ ณ ศาลานั่งเล่น เกิดสนทนากันว่า ท่านทั้งหลาย เท่าที่พระผู้มีพระภาคผู้รู้เห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงทราบความที่หมู่สัตว์มีอัธยาศัยต่างๆ กันได้เป็นอย่างดีนี้ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริงสุปปิยปริพาชกผู้นี้ กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตมาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชกกล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนี้ มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรงฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ
(พ่อครูว่า...อย่างผมเอาอดีตมาอธิบาย เช่น ตำนานที่เขาพูดกันถึงพระอัญญาโกณฑัญญะที่ผมอธิบายว่าเกิดอัญญธาตุพระพุทธเจ้าทรงพระอุทานว่า อัญญาสิวตโพโกณฑัญโญ อัญญะนี้แปลว่าอื่น อื่นคือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเรียกว่าธาตุ ธาตุใหม่ที่คนธรรมดาไม่มี ในโลกนี้คนไม่มีแล้วนิยามว่าเป็นโลกุตธรรม เป็นความฉลาดที่ต่างจากภูมิรู้ปุถุชน ปุถุชนจะไม่สามารถมีความรู้อย่างนี้ได้ แต่อัญญธาตุสามารถออกได้ถ้าพัฒนาอัญญธาตุมาเป็นปัญญธาตุได้ ก็ไปสู่การบรรลุแน่นอน)
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ออกจากโลกียะสู่โลกุตระ
โลกุตระกับโลกียะนั้นทวนกระแสกัน เมื่อผู้มีความรู้ในโลกใหม่ ถ้าเราจะทำแบบเดิมก็วนในโลกเก่า ความสุขในโลกีย์หลงงมงายแย่งชิงอยู่ไม่รู้กี่ชาติๆ จิตตัวนี้ ถ้าไม่เข้าถึงขั้นจิตเปลี่ยนทิศทาง มันใช่แล้วเอาแน่เอาอันนี้ หันหลังให้โลกียะ นี่คือจิตมันเปลี่ยนทิศไปทางโลกุตระแล้ว เป็นอลมริยา เป็นทางเดินสู่อาริยธรรม แต่ก่อนไปทางนาลมริยาทางที่ไม่เป็นอาริยะ แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้วทางนี้ออกแล้ว จิตไม่เอาโลกียะแล้ว
เหมือนพวกเราชาวอโศก แต่ก่อนไปแย่งลาภยศสรรเสริญในโลกไป แต่เดี๋ยวนี้ไม่เอาแล้ว ดีไม่ดีเลิกงานแย่งลาภยศสรรเสริญมาอยู่ทางนี้ แล้วชาวอโศกนี่ให้มาทำงานฟรีอีก ได้เท่าไหร่เอาเข้าส่วนกลางหมด แต่ก็มีคนมาเอาด้วย
แล้วเอาอย่างหลายคน ตัดสินใจว่ามันอยู่ทางนี้ แล้วไม่ไปอยู่ทางโน้น อยู่จนตายไปแล้วหลายคน ใครจะอยู่จนตายให้เผานี่มีกี่คน ยกมือซิ แล้วหลอกอาตมาไหม …
สมณะฟ้าไทว่า...เขาจะหลอกมาทำไม มาทำงานกับพ่อครูไม่ได้อะไร
พ่อครูว่า...เขาถึงบอกว่าโพธิรักษ์เก่งชิบหาย ที่หลอกคนมาทำงานฟรีได้ ที่อื่นไปทำงานให้แล้วอย่างน้อยเขาว่าได้บุญ ที่จริงเขาเข้าใจผิดที่จริงเขาบอกผิด ที่จะได้ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมีสวรรค์วิมานอะไรในอนาคต แต่นี่ไม่มีให้
คนก็ยังอุตส่าห์มาเอา ทำไมหนอ หลอกอย่างอาตมานี่คนจะมาเอาด้วยยากนะ แต่หลอกคนอย่างธัมมชโยนั้นไม่ได้ยากเลย
อาตมาก็จะพามาแบบนี้ ซึ่งอาตมาพาทำนี้ ไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนนี้ เราอยู่ได้ เพราะเราสร้างสรรค์ขยันหมั่นเพียรทำงาน เราเลือกงานด้วย งานอกุศลทุจริต อบาย เราไม่ทำ เราก็ทำแต่งานสำคัญ งานปัจจัย 4 ทำอาหาร ทำยา ทำที่อยู่ ก็ไม่ได้หรูหรายิ่งใหญ่มากมายเป็นจานบินเป็นลูกโลก วิมานต่างๆอย่างเขาประดิดประดอย ไม่ต้อง ที่นี่อยู่เล็กๆง่ายๆ
อาหารเราก็มาสร้าง เราต้องกินต้องอยู่ ที่อยู่ก็ไม่ยาก เครื่องนุ่งห่ม นุ่งม่อฮ่อมมอซอ อยู่อย่างนี้ก็อยู่ได้ ทำไมไม่เปลี่ยนแปลงแบบเขาที่มีหลากหลายมากมาย ที่นี่ไม่เห็นว่าแฟชั่นอย่างเขา เราก็อยู่ของเราไป ยารักษาโรค เราก็ทำไปตามประสา เดี๋ยวนี้พัฒนาถึงขนาดรักษาสุขภาพแบบแผนไทยทางเลือก
องค์ประกอบที่เป็นบริขารต่างๆ มันก็ไปตามสมัย เดี๋ยวนี้พวกนี้ มอซอ แต่มีสถานีโทรทัศน์ด้วย ทันสมัย ไม่ได้ตกยุค
เรามีการศึกษาด้วย ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งมหาวิทยาลัย เรายังไม่ได้ยื่นขอเขา ก็จะมีที่ให้การศึกษาเหมือนกับโลกเขา
เดี๋ยวนี้เขาไปหลงสิ่งเสพติด แม้ในอโศกก็มีหลง คือหลงสิ่งเสพติดในมือถือ นี่คือมหายอดสุราเลยไม่เป็นอันกินอันนอน มันสร้างสิ่งมอมเมาคนได้เก่งมากเลย รถจะชนตายก็กดอยู่นั่นแหละ
สู่แดนธรรม บอกว่า...เอาภาพเปรียบเทียบ แต่ก่อนคนนอนดูดฝิ่นแต่สมัยนี้คนนอนเล่นมือถือท่าเดียวกันเลย
พ่อครูว่า...แล้วไม่ผิดกฎหมายด้วยแต่เมาหนักจริงๆ เป็นสิ่งเสพติดอยู่ในโลกแล้วรอดพ้นจากกฎหมาย รถชนตายไปบ้างแล้วบางคน เสพติดกันหนักมากรู้ตัวกันไหมว่าพวกคุณติดสิ่งเสพติด สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา คือยอดสุราเลย
มนุษย์สร้างสิ่งเสพติด เสื้อผ้าหน้าแพรหรืออื่นๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่ง ไม่ทั่วไปแฟชั่นต่างๆแต่ไม่แพร่หลายเท่าอันนี้ อันนี้ไม่จำกัด target เลย ไม่จำกัดเป้าหมาย แต่ทั่วไปเลย สาธารณะ มันติดกันทั่วโลก มีคนที่ไม่ติดนั้นน้อยมาก ยกตัวอย่างโพธิรักษ์ไม่ติดไม่เป็นไม่แยแสด้วย ใครจะติดก็ติดไป ใช้ไหม อะไรเป็นประโยชน์ต่อการใช้ อะไรไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่เอามาครอบงำความคิด ไม่เสียเวลา คุณคิดมาให้เราใช้ก็ใช้ แต่อาตมาใช้ไม่มาก จำเป็นก็ใช้ ไม่จำเป็นก็ไม่ใช่ แต่คนก็กดอยู่นั่นแหละ ให้คนมาดูสิ่งน่ามีน่าเป็นน่าได้ แล้วจิ้มไปเมื่อไหร่ก็จ่ายเงินทั้งนั้น ได้แต่พูดแต่บ่น คนที่เห็นว่าน่าเลิกน่าละหน่ายคลายบ้างก็ดีนะ ใครไม่เห็นว่าน่าเลิกจะติดมันหนักก็ตัวใครตัวมันนะ ใช้แล้วเสียเวลา แรงงานทุนรอนก็เชิญ
ทำอย่างไรไม่เป็นคนขี้รำคาญ
มีคำถามว่า…
_เป็นคนขี้รำคาญ คนป่วยฝากถาม ขอแนะนำให้ความกระจ่างด้วย
พ่อครูว่า..คำตอบคำแรก คนขี้รำคาญคือคนที่มีอัตตาสูง ขี้รำคาญคืออะไรสัมผัส นิดหน่อยก็รู้สึกรำคาญไปหมด ทนไม่ได้ สัมผัสอะไรก็รำคาญ อาตมาว่าจะตายง่ายๆนะ ยึดมั่นถือมั่นอันนั้นอันนี้ แล้วกำหนดหมายว่าจะต้องเป็นอย่างที่กูชอบอย่างที่กูจะให้เป็น ถ้าไม่เป็นอย่างที่ว่า นี้ก็ไม่ได้ แล้วพวกนี้สเป๊คเขามีเยอะ กำหนดไว้เยอะ ก็เลยไม่มีอะไรถูกสเป๊ค ก็เลยกลายเป็นคนขี้รำคาญ
อาตมาว่าอาการหนักมาก เพราะอัตตา การยึดติดถือตัว กำหนดหมาย ยึดอัตตาตัวตนสูง แล้วเป้าหมายที่ต้องการ สิ่งที่ตนต้องการจะต้องได้อย่างนี้ๆๆๆ ตายแน่ๆ ไม่รอดๆๆ อาการน่าเป็นห่วง มันไม่มีอื่นหรอก
ต้องคิดอย่างนี้ สิ่งต่างๆที่เราต้องสัมผัสสัมพันธ์ กระทบเราอยู่มันก็เป็นของมัน แม้จะเป็นกิริยาของคน แล้วบอกว่าจะต้องเป็นอย่างที่เราคิด มันก็ไม่ได้ คุณต้องลดของคุณเอง ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องรำคาญกิริยาของคน หรืออย่างอื่น เช่น ทำไมต้องลูกเขียวๆเล็กๆอะไรอย่างนี้ ทำไมทุเรียนต้องมีหนามด้วย อย่างนี้รำคาญหมด
เป็นคนที่ยึดถือมาก แล้วก็ยังแถมมี มาตรฐานที่ตัวเองต้องการจะต้องมากเรื่องเสียด้วย คนนี้ไม่ไหว แย่เลย
แนะนำก็คือจงเห็นทุกอย่างเป็นสัจธรรม ตั้งแต่ดินก็เป็นดินอย่างนั้นแหละ บางทีดินเละๆเน่าๆ ก็มีเหตุปัจจัย น้ำมันก็เป็นของมัน ไฟ ลม ก็เช่นกัน แม้แต่วัตถุ เป็นพีชะ เป็นสัตว์มันก็เป็นของมัน คนก็เป็นอย่างนี้แหละต่างจริตต่างกิริยาความคิด เขาคือเขา เราคือเรา เราจะไปกำหนดอะไรตามใจเราให้เป็นอย่างที่ตนต้องการมาก คุณต้องขี้รำคาญมาก หากไม่กำหนดแล้วเข้าใจว่าทุกอย่างก็เป็นของมัน ตั้งแต่คนจนถึงกิริยาของคน สัตว์ พืช คน ดินน้ำไฟลม มันก็เป็นไปตามกิริยาของมัน เหตุปัจจัยของมันที่จะให้มันไป คุณจะไปรำคาญไม่ได้ ต้องรู้ว่ามันก็เป็นของเรา มันก็เป็นตามที่มันจะต้องเป็น
เราจะไปคิดว่าจะต้องคิดว่าเป็นไปตามที่เราจัดให้เป็น
1.อย่าไปติดอัตตามาก
2.อย่าให้มีตามมาตรฐานที่ตนต้องการ อย่ามีสเปคมาก อย่าติดสเปคมาก ต้องได้ตามมาตรฐานตนเอง
คุณใหญ่มาจากไหนคนนี้ จะต้องให้เป็นไปดังใจตนเองทุกอย่าง ก็ต้องทุกข์ เพราะสร้างสเปคใส่ตนไว้อย่างนี้ หาความสุขไม่ได้หรอก ต้องลดลง สรุปแล้ว มันมากเหลือเกิน ตอบได้แค่นี้ ต้องลดความยึดมั่นกำหนดหมายของตนเองเป็นมาตรฐานตนเอง กำหนดว่าจะต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ ไปกำหนดเอาเอง เมื่อไม่ได้สมใจก็รำคาญ แล้วมันมีมากด้วยที่ไม่สมใจ
สมณะฟ้าไทว่า..เหมือนยักษ์หรือเปรตจัดที่นอน จัดทางเท้าคนให้เท่ากันแต่หัวก็ไม่เท่ากัน แล้วก็มาจัดเท้าอีก
พ่อครูว่า...ธรรมชาติจะต้องมีความหลากหลายไม่เท่ากัน แต่จะต้องมีสเปคว่าต้องเท่ากันหมดอีกในโลก หรือเท่าที่คุณต้องการเท่านั้น คนนี้ตายแน่ๆ ไม่รอดอาการน่าเป็นห่วง ไปไม่รอดแน่
อโศกไม่หลงสวรรค์
มาเข้าเรื่องต่อ …
พรหมชาลสูตรเริ่มต้นว่าโลกนี้ต้องมีการชมและการติ ในโลกถ้าคนใดเข้าใจ โลกต้องมีการชม มีการติ แล้ววางใจได้ไม่ต้องยึดติดสเปค ใครวางใจได้อย่างอาตมาวางใจได้ คนติอาตมาก็ติไป อาตมาก็ฟัง ว่าเขาติถูกไหม แต่ส่วนมากเขาติผิด อาตมาว่าอาตมามีสิ่งที่จะให้ติอยู่บ้างแต่มีน้อย น้อยจนคนจะหาที่ติได้ยาก แต่ถ้าคนหาที่ติอาตมาได้มากคือคนไม่รู้สัจธรรม
เช่นว่า อาตมาเอาแต่ตำหนิ ซึ่งอาตมาบวชมา 47 ปีนี้ติเสียมาก ชมบ้างแต่น้อย ทำไมชมน้อย
เพราะ
1 ไม่ค่อยมีคนให้ชม
2 ชมทีไรมันโดนพวกตัวเอง เพราะสิ่งที่ถูกต้องมันดันเป็นอโศก ชมทีไรก็ถูกแต่พวกตน ติทีไรก็โดนแต่พวกเขา
ทำไมต้องติ ก็เพราะว่ามันมีความผิดมีความไม่ดีมีความชั่ว แล้วชั่วหนักหยาบด้วย พูดไปแล้วก็ยังไม่แก้ไข ก็เลยกลายเป็น ลูกสอนยาก พ่อแม่ปากเปียกงานการเวียก ไม่เอาไหนเลย
มันก็เลยจำเป็นเพราะว่า สอนยากพูดยากบรรยายยาก ก็เลยต้องพูดปากเปียกปากแฉะ
ถ้าจะชมว่าพวกนี้มีศีล ไม่เอาอบายมุข ไม่ติดโลกธรรม กามคุณ แล้วพวกเราเป็นได้จริงตามพพจ.สอน ไม่วุ่นวายแย่งชิง โลกธรรม ไม่เป็นตัวทำให้สังคมเดือดร้อนที่เขาแย่งชิงกัน เราช่วยสังคมเศรษฐกิจประเทศชาติ เราช่วยความสงบแห่งประเทศชาติ
1 เราช่วยเศรษฐกิจ เราไม่ได้แย่งจากเขามา แล้วยังเป็นผู้สร้างแล้วเผื่อแผ่แจกจ่ายคนอื่น ขายถูกหรือให้ฟรีเลย ตั้งใจไว้อย่างนี้ถึงไม่เป็นตัวแย่งสังคม
2 เป็นพวกมีศีลธรรมเป็นพวกไม่รุนแรงไม่แย่งตำแหน่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข จึงเป็นผู้สงบไม่ก่อความวุ่นวายให้บ้านเมือง เป็นคนดี เป็นคนไม่ก่อเรื่องแต่บ้านเมืองก็มาสตริคกับเรา เราผิดท่านก็จัดการไม่ละเว้น ก็ดีจะได้ไม่สองมาตรฐาน
ชาวอโศก นี่ อาตมามาพาให้ประชาชนคนไทยเป็นคนไม่ทำลายเศรษฐกิจ ให้แก่สังคม แต่เป็นคนสร้างเศรษฐกิจให้แก่สังคม จนกระทั่งมีเศรษฐกิจระบบสาธารณโภคี
เศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี คือเป็นคนสร้างสรรค์ แรงงานผลผลิต ทั้งแรงงานผลผลิตไม่คิดราคา สร้างขึ้นมาก็ให้แก่ส่วนกลาง ส่วนกลางเอาไปบริหาร ให้แก่ส่วนกลาง 100% ทั้งแรงงานและผลผลิต เท่ากับเป็นคนทำงานในส่วนกลาง เสียภาษี 100%ให้หมด
สังคมคอมมิวนิสต์ก็ต้องการให้เสียภาษีมากที่สุด แต่ทำไม่ถึงอย่างพระพุทธเจ้า แม้แต่คอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยก็ทำให้เสียภาษี100%ไม่ได้ แต่ของเราทำได้
การบริหารกองกลางนี้ทำอย่างไร
ให้ส่วนกลางเอาไปสะพัดแจกจ่ายกับสังคม เราอาศัยกินใช้ในส่วนกลางอยู่ แล้ว พวกเรามาเป็นคนไม่กินมากใช้มาก อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวก อสังสัคคะ กินน้อยใช้น้อย เท่านี้พอ อย่างเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง
เพราะมีปัญญาไม่หลงสวรรค์ อสังสัคคะ ไม่ไปหลงความบำเรอจิตเป็นสวรรค์ อสังสัคคะแปลว่าไม่ปรุงสร้างสวรรค์ใส่จิต แต่เขาแปลว่าไม่คลุกคลีในหมู่คณะ ก็ คณะ คืออะไร คณะก็คือสวรรค์ รู้จักว่าสวรรค์คือภพชาติคือนรก คนคิดสร้างสวรรค์ก็คิดนรก คนคิดสร้างสวรรค์สำเร็จก็สร้างนรกสำเร็จ แต่แน่นอนไม่มีใครคิดจะสร้างนรก แต่ถ้าคุณคิดจะสร้างสวรรค์ก็คือสร้างนรก สวรรค์นรกก็คืออันเดียวกัน
นรกคือภพ แล้วสวรรค์ก็คือภพ
สวรรค์ = ภพ ,นรก = ภพ ,ดังนั้น สวรรค์ = นรก
ผู้ที่ในจิตใจไม่คิดจะสร้างภพชาติ ผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วต่อภพภูมิ ภพภูมิที่ต่อไม่ใช่ภพชาติ เพราะเป็นอรหันต์แล้ว โพธิสัตว์เป็นผู้ที่ต่อภพภูมิเป็นพระพุทธเจ้า
ผู้ดับอบายได้ก็เป็นโพธิสัตว์โสดาบัน ไม่มีภพอบาย แล้วอยู่กับภพต่อไป กับกามภพก็ดับกามภพ จนหมดเป็นอนาคามี ไม่มีกามภพ เป็นสกิทาไปเรื่อยๆจนหมดภพกามก็คืออนาคามี แล้วดับรูปภพ อรูปภพต่อ ดับสังโยชน์เบื้องสูงต่ออีก ดับไปหมดก็หมดภพชาติ เป็นอรหันต์ หมดภพแล้วก็อยู่อย่างคนไม่มีภพ
พระโพธิสัตว์ที่เป็นอรหันต์ ก็เป็นอนุโพธิสัตว์ต่อไป จึงเป็นภพอุดมคติ เป็นวิภวภพ ไม่มีกิเลสตัณหาในโลกโลกียะแล้ว อยู่เหนือโลก เพื่อศึกษารายละเอียดภพของตน เอากิเลสในตนหมดแล้ว ก็เรียนรู้กิเลสคนอื่นแล้วช่วยเขา ก็จะได้ความรู้ว่าคนอื่นเขาติดอย่างไร คนนี้ติดเหมือนเราเมื่อก่อน แต่เราละได้แล้ว คนอื่นติดอะไรเหมือนเรา เราละได้หมด แต่คนอื่นก็ติดสิ่งที่เราไม่เคยติด เราก็เรียนรู้ต่อ
อรหันต์นี่ โลกีย์ของตนที่เคยติด ล้างหมดแล้วก็ไม่ติดของตนเอง ก็จะรู้แต่ของคนอื่น ของคนอื่นเราไม่เคยติด แล้วจะไปติดทำไม โง่ทำไม แต่ก่อนเราโง่ไปติดของตนมา เราเลิกได้ แล้วจะไปติดอันอื่นอีกทำไม ที่จริงมันก็ติดเหมือนกัน
คุณติดสวรรค์คุณก็ติดนรก ยกตัวอย่าง สิ่งน่าเกลียดน่ากลัวคือนรก เช่น ความรุนแรง ไม่น่าเกิดไม่น่ามี คนที่ชอบความรุนแรง พวกนี้เป็นพวกนรก เรียกว่าซาดิสม์ ซาดิสม์ยังไม่พิสดารเท่ามาโซคิส ความรุนแรงที่เกิดกับคนอื่น ก็ชอบมาก แต่คนนี้รุนแรงที่คนอื่น แต่หนักเข้า มารุนแรงที่ตนเองก็อร่อยคือมาโซคิส
สองอย่าก่อความรุนแรง ต้องพยายามสร้างความสงบ อโศกก็ทำ ไม่ก่อความรุนแรง พยายามสร้างความสงบอบอุ่นช่วยเหลือกัน สร้างน้ำตกลำธารต้นหมากรากไม้ สร้างธรรมชาติให้มาเดินมาเที่ยว ไม่เก็บตังค์ ไม่หาทางหลอกล่อด้วย เช่นสร้างมาแล้วก็เพื่อขายของเอาเงินคน ไม่ทำ แม้สร้างตลาดเฮือนสวน. ก็พยายามไม่ข้องแวะกับพวกนี้ สร้างมาเพื่อให้คนมาพักผ่อน อาตมาไม่เคยไปบุกรุกธรรมชาติ ในชีวิตนี้
คนไม่เข้าใจจะมองในแง่ที่ผิด เช่นเรียกร้องให้คนมา แล้วให้คนมานี้ เราก็ไม่ได้ล้วงตับกินไส้ หาเงินจากพวกเขา
สมณะฟ้าว่า...วันนี้ มีความหลากหลายทางธรรมชาติตั้งแต่พรหมชาลสูตร
คนไม่มีศีลไม่ใช่คน … คนมีศีลถือว่าต่ำสุดสำหรับคน คนไม่มีศีลก็ต่ำกว่าคน
https://www.youtube.com/watch?v=AItS9fuI9gY
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:52:31 )
รายละเอียด
600529_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญญาพาพ้นภัย 5
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560 ที่บ้านราชฯ ขึ้น 4 ค่ำเดือน 7 ปีระกา เมื่อวานนี้พ่อครูได้พูดถึง พรหมชาลสูตรส่วนหนึ่งเอาไว้ ซึ่งมีผู้แสดงธรรมไว้หลายท่าน คือท่านกิตติวุโฒ และท่านมหาระแบบ เขาพูดถึงเรื่อง บางสำนักปฏิบัติศีล แต่บอกว่าสำนักอื่นปฏิบัติพระวินัย อีกหน่อยก็จะมีสามแบบ คือมีของพ่อครูอีกอันขึ้นยูทูป คนก็จะเลือกเอาว่าแบบไหนพาลดละกิเลสได้มากกว่า
คนเราหากไม่เลิกฆ่าสัตว์ก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นคน เริ่มต้นแน่นอน สัตว์กว่าจะพัฒนาจากอุตุ พีชะ กว่าจะมาเป็นจิตนิยามได้ต้องอาศัยเวลามาก กว่าจะพัฒนาตนเป็นลำดับไป จนเป็นพระพุทธเจ้าได้ เป็นผู้สูงสุดในโลกนี้ หนึ่งเดียวในกาละหนึ่ง คนหนึ่งเป็นได้เพียงครั้งเดียว เป็นสิ่งยากสุด ได้สูงสุด แต่ก่อนอาตมาสงสัยว่า เป็นพระพุทธเจ้าแล้วน่าจะอยู่นานๆช่วยคน ซึ่งก็เป็นความเห็นที่ยังเห็นแก่ตัว ซึ่งก็มีผู้รอจะมาเป็นพระพุทธเจ้าคิวต่อไปอีกก็มี
กว่าจะพัฒนาถึงจุดที่เป็นมนุษย์perfectที่สุดในโลก คนจะถึงจุดนั้นได้ก็ยากสสสสส์ ไกลมากอีกยาวนาน คนทำได้ก็ต้องกราบยกย่องสรรเสริญ พระพุทธเจ้าจะไหว้ใครไม่ได้เลย บารมีมากเกินใครจะรับไหว้ได้ พ่อครูเองบารมีก็มาก ท่านก็ต้องทำสมมุติให้สอดคล้องกับคนสมัยนี้ อาตมารู้สึกว่า ท่านไม่ต้องยกมือไหว้ใครเลยก็ได้ แต่ท่านต้องทำสมมุติให้เข้ากับยุคสมัย
พ่อครูว่า...ยินดีต้อนรับนักศึกษาที่เข้ามาศึกษา มาจากมหาวิทยาลัยเกษตร ก็ยินดีจริงๆสำหรับคนที่ใส่ใจในธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะโลกุตระ ขออ่าน sms และไลน์ต่างๆ
ทำใจอย่างไรให้อยู่วัดได้แม้ไม่มีเพื่อนที่เราติด
_The sun ถาม พ่อท่านว่า
เรามาวัดเพราะมิตรดีสหายดีมีเพื่อนเราเลยชอบมาวัด แล้วเรามีอาการติดเพื่อน เมื่อเพื่อนสนิทกลับบ้านหมดทำให้เรา ไม่อยากอยู่วัดต่อ เพราะคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนเราจริตก็ต่างกัน คำถามคือมีวิธีปฏิบัติอย่างไรเราถึงจะปฏิบัติธรรมได้ด้วยตัวเราเองไม่ต้องพึ่งเพื่อน สามารถอยู่วัดปฏิบัติธรรมด้วยขาเราเอง
พ่อครูว่า...ดีนะที่อ่านตัวเองออก ว่ามันเพี้ยนไปตรงไหน
จิตของแต่ละคน พระพุทธเจ้าอธิบายไว้อาตมาหยิบมาอธิบายก็ยังไม่ง่าย แต่ถ้าทำความเข้าใจจริงๆจะรู้ว่ามันเป็นเช่นนี้หนอ จิตใจคนเราปกติวนเวียนอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข วนเวียนอยู่อย่างนั้น แล้วทฤษฎีที่จะออกจากโลกหรือความวนได้ เหมือนดาวเทียม จะออกจากแรงดึงดูดของโลกก็ต้องมีพลังพิเศษ แม้ในทางฟิสิกส์หรือสสาร ก็ต้องมีพลังงานจะออกจากโลกได้ อย่างเพียงพอ ไม่เช่นนั้นออกไม่ได้ ฉันเดียวกับนามธรรม จะต้องมีความพิเศษของตัวเองที่จะหลุดออกมาจากสิ่งที่เราหลง จม สุขเพราะ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสพอัตตา เสพกามคุณ 5 เราจะหลุดออกมาได้
เริ่มหลุดออกมาได้ มาตรวัดก็คือมีศีล 5 แล้วมีศีล 5 อย่างพอใจที่จะมี ไม่ใช่ฝืนเท่านั้น ผู้ที่ปฏิบัติศีลจนบรรลุ กิเลสมันหลุด ไม่ฆ่าสัตว์ จิตไม่อยากฆ่าสัตว์จริงๆ เรื่องสัตว์นี้เราไม่ฆ่า เอาแค่ไม่ฆ่าก่อน
สูงกว่านั้นไม่กินเนื้อสัตว์ หรือคนอื่นฆ่ามาแล้วเราไม่กิน จะมีหลักเกณฑ์ที่มีรายละเอียดสูงขึ้น สรุปแล้วจิตของเรารู้จักชีวิต
การมีศีลเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ยืนยันว่า กว่าจะพัฒนามาเป็นอุตุนิยามเป็นสสารพลังงานทางวัตถุ จนกว่าจะมาเป็นชีวะเป็นพืช เป็นพีชนิยาม ต้องมีเหตุปัจจัยของมันจนครบ แล้วพัฒนามาเป็นชีวะได้ ยังไม่มีอารมณ์เวทนา เป็นพลังงานพืช แต่มันก็มีตัวของมันเองมี ISH สามเส้าของพลังงาน ประธาน I แล้วมีขั้วบวก ลบ มีสัญญารับรู้ว่าธาตุไหนจะเอามาปรุงแต่ง มันก็จะมี I รับผิดชอบชีวิตตน เป็น ISH คือ ประธาน อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ
เป็นพืชแล้ว กว่าพืชจะพัฒนาตัวเองเปลี่ยนพลังงานมามีจิตนิยาม มีเวทนา พืชมีแต่สัญญา สังขาร อันนี้เอา อันนี้ไม่เอา ไม่เบียดเบียนใคร เป็นพลังงานชีวะ แต่สงบไม่ทำร้ายไม่ก่อทุกข์กับใคร มีแต่ตัวเองอาจถูกทำลายจนสูญพันธุ์
พอมาเป็นจิตนิยามจะต้องมีอัญญธาตุ อาตมาเน้น อาตมาโชคดีมีหลักฐานในพระไตรปิฎกในตำนานของพระพุทธเจ้ายังมีอยู่ ก็เลยหยิบมาอ้างอิงได้ ไม่เช่นนั้นยากที่จะเชื่อถือกัน ที่เชื่อถือได้เพราะเป็นไปได้ มีเหตุผลปัจจัยร้อยเรียงและหลักฐานพระพุทธเจ้า คนจึงรับได้
อัญญธาตุนี้เป็นธาตุใหม่ อัญญะแปลว่าอื่น ซึ่งต่างจากธาตุจิตแบบโลกีย์ มันเปลี่ยนไปเลย มาเป็นโลกุตรจิต อัญญานี้เริ่มตัวแรก แล้วจะมาครบสามเส้า เป็นอัญญา ปัญญา สัญญา สัญญาจะต้องประพฤติด้วยองค์ 6 ปัญญา ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ สัมมาทิฏฐิ
มีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติตามกระบวนการ 6 ที่สังเคราะห์สังขารจนเกิดผล มีอัญญธาตุแล้ว จนเจริญมาเป็น ปัญญา สัญญา
เจริญเป็นปัญญา จะพัฒนาเป็นอาริยบุคคล เป็นโลกุตระ เจริญขึ้นๆเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ทุกอย่างมาแต่เหตุ ไม่ใช่อยู่ดีๆเกิดโดยไม่มีเหตุหรืออธิบายไม่ได้ เอาบัญญัติของพระพุทธเจ้ามาใช้นี่แหละ ไม่ต้องบัญญัติใหม่
อาตมาบรรยาย ซึ่งก็ได้บัญญัติใหม่แค่สองคำ นอกนั้นเอาจากบาลีในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าอธิบายไว้มาอธิบาย แต่สองคำนี้อาตมาบัญญัติเอง
คือ ชีวานุปาทิ กับ ชีรานุปาทิ
อีกอันหนึ่งเป็นการเกิด อีกอันหนึ่งเป็นเชื้อการเสื่อมการดับ
ชีวานุปาทิคือความเจริญของชีวะ ส่วนชีรานุปาทิคือความเสื่อม
มีสองคำนี้ที่อาตมาบัญญัติ นอกนั้นเป็นของพระพุทธเจ้า โชคยังดีที่มีของพระพุทธเจ้าเหลือไว้ แล้วพวกเราเอาไปปฏิบัติจนเกิดอรหันต์ได้ อาตมายืนยันว่า พวกเราเป็นอาริยบุคคล เป็นโลกพระศรีอาริย์ เป็นชุมชนที่อยู่ตามหลักพระพุทธ เป็นประชาธิปไตยสูงสุดเสียภาษี 100% มีจิตไม่มีอัตตา มีชีวิตอยู่ เพื่อช่วยเหลือคนอื่น เป็นประโยชน์ตนไปตามลำดับ แม้จะเหลือกิเลส ก็ทำไปตามลำดับ แต่ทิศทางเป็นเช่นนี้ เป็นโลกุตรบุคคล เป็นคนโลกใหม่ สูงสุดจนเป็นอรหันต์ แล้วก็ต่อเป็นพุทธภูมิ
ที่คุณthesun ถามว่า ต้องทำจิตอย่างไร ...คนต้องปฏิบัติจนเกิดจิตเข้ากระแส อยู่วัดได้จริงๆ เกิดอัญญธาตุ สัจธรรมต้องพากเพียร มีหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเหมือนสนามแม่เหล็ก คุณเหมือนโมเลกุลหน่วยหนึ่งตกมาในสนามแม่เหล็ก มีพลังเหนี่ยวนำ ให้คนไปตามทิศทางสนามแม่เหล็ก คุณฝืนไม่ได้ เป็นพลังควบแน่น มากพอ จะเหนี่ยวนำพลังโมเลกุลใดที่ตกในสนามแม่เหล็กนี้ ไปอื่นไม่ได้
พลังเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กนี้จะทำให้คุณถูกทิศทางได้ คุณจะมาทำไม่ถูกทางไม่ได้หรอก ในสนามแม่เหล็กที่มีแกนเหนี่ยวนำแรงเพียงพอ
ถ้าตอนแรกที่คุณไม่สามารถอยู่ได้ก็ฝืนมาหน่อย แล้วจนกว่าจะเกิดอัญญธาตุก็จะเป็นไปได้
แต่ขนาดไม่เกิดอัญญธาตุก็จะฝืนน้อยลง ก็จะอยู่ได้
พระพุทธเจ้ามีหลักให้ปฏิบัติศีล 5 อยู่กับหมู่ จนหน้านองน้ำตาอยู่ ท่านก็สรรเสริญ ไม่รู้จะทำอย่างไร ท่านสรรเสริญว่าเอาเลย ตายลงเลย
สรุปแล้วว่าต้องอดทนและพากเพียร สนามแม่เหล็กจะช่วยคุณได้ หากคุณออกนอกสนามแม่เหล็กนี้ สนามแม่เหล็กของโลกีย์จะดึงดูดคุณไป คุณจะตั้งมั่นได้ต้องเป็นตัวของตัวเองอย่างสูงจึงจะทนได้ แต่ทนได้ยาก
คุณมี มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี สามคำนี้ จึงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก
1. มีมิตรผู้มี“ทิฏฐิ”ตรงกัน ปรารถนาดีต่อกัน (กัลยาณมิตโต)
2. มีมิตรดี ผู้มีความร่วมมือ ร่วมประโยชน์ดี (กัลยาณสหาโย)
3. มีสังคมสิ่งแวดล้อมดี (กัลยาณสัมปวังโก)
นี้เป็นทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ (คือ ทั้งสิ้นของศาสนา)
(พตปฎ. เล่ม 19 ข้อ 5)
มิตรดีคือจิต สหายคือผู้ร่วมประโยชน์ สัมปวังโก คือในวงล้อมวัฏฏะอันนี้
แรกๆต้องฝืนและอดทนและพยายามศึกษาให้ดี ตั้งใจ พระพุทธเจ้ายืนยันว่า ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตราบนั้นโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์
การอวดตัวตนนั้น เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อประชาชน
_คุณTorm......คำถามสำหรับพ่อท่านเย็นวันนี้ค่ะ
พ่อท่านย้ำเน้นว่าการนั่งสมาธิหลับตา มีประโยชน์แค่การทบทวนอดีต แต่ไม่มีปัจจุบันและอนาคต และพ่อท่านเคยพูดถึงจิตคนเราเมื่อไม่มีร่างกายกำกับ คือเมื่อตายไปแล้ว จิตจะไหลฟุ้งเหมือนคนที่ฝันแต่ไม่มีทางตื่น เมื่อตอนต้นรายการพ่อท่านได้พูดถึงว่า แม้พระอรหันต์ก็อาจมีความฝัน แต่เป็นสัญญาเก่า ไม่ได้มีเวทนาอารมณ์ปรุงแต่ง เว้นพระอรหันต์ที่ฝึกเจโตมาและดับเก่งจึงไม่ฝัน ดังนั้น หากเราปฏิบัติธรรมแบบสัมมาสมาธิ พิจารณาสติปัฏฐานด้วยกายคตา ครบพร้อมด้วยองค์ประชุมทั้งภายนอกภายใน แต่สุดท้ายก็ยังห่างไกลอรหันต์ เวลาฝัน ก็ยังคงมีเวทนาและกิเลส หากตายลง จิตที่ไร้ร่างกายควบคุมก็จะล่องลอยฟุ้งซ่านไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งเป็นสภาวะที่คิดแล้วน่ากลัว จึงขอเรียนถามพ่อท่านว่า มีวิธีปฏิบัติจิตทางอื่นที่จะช่วยควบคุมจิตฟุ้ง ควบคู่ไปกับศีลและสัมมาสมาธิ วิปัสสนาแบบลืมตาอีกหรือไม่คะ เพื่อความไม่ประมาท เผื่อตายก่อนที่จะเจริญในธรรมค่ะ
พ่อครูว่า...เข้ามาอยู่ในวัด ขอตอบประเด็นที่ยื้ออันนี้ก่อน ฐานะก็ไม่ต้องลำบากลำบน เกิดมามีบารมีพอสมควร เป็นลูกญาติธรรม จบด็อกเตอร์มาทำงานก็เบื่อคนทำงานรับไม่ได้ สุดท้ายไม่ทำงานก็กินใช้อาศัยสามีอยู่ ก็เป็นบารมีของเขา แต่ก็ควรจะรู้ว่าเรามีบารมีก็ช่วยเราเยอะแล้ว ก็อดทนอันนี้หน่อยสิ มาอยู่กับหมู่มิตรดี มาอยู่กับวงแวดล้อมสนามแม่เหล็ก อะไรก็ไม่อะไรจะได้ช่วยสามีและแม่ด้วย
ปุญญสูตร
ส่งคำถามนะคะ
1. เคยมีคนนำปุญญสูตรขึ้นถามพ่อท่าน แต่ยังไม่ได้รับคำตอบชัดเจนค่ะ ถ้าวันไหนมีเวลา ลองเอาขึ้นจอวิเคราะห์ลึกอีกรอบได้หรือไม่คะ
พ่อครูว่า ปุญญสูตรนี้จะขยายความ...ถ้าอาตมาไม่นำคำว่าบุญที่เป็นโลกุตระนี้มาเปิดเผย บุญมีหน้าที่เดียวคือประหารกิเลส เป็นเอกังสะหน้าที่เดียวไม่มีสองเลย บุญมีกิจเดียว เกิดมามีหน้าที่นี้ จบแล้วสูญเลย ทำอย่างเดียวคือฆ่ากิเลส บุญมีฤทธิ์เป็นวิบัติ ทำลายกิเลสอย่างเดียว ทำร้ายเสร็จแล้วบุญก็หายไป ไม่มีหน้าที่อีกสะสมไม่ได้ แต่คนไปสะสมบุญกัน เอาบุญไปแบ่งกันอีก ไม่ได้ บุญเป็นของใครของมัน ของใครก็ตามสามารถรวมพลังงานเป็นพลังงานบุญได้ ก็เป็นพลังงานเป็นเครื่องมือกำจัดกิเลส กำจัดพลังราคะโทสะโมหะได้ ถ้าอาตมาไม่มายืนยันอธิบาย คำว่าบุญของพระพุทธเจ้าสูญพันธุ์ ศาสนาพุทธก็จบไป
มันเป็นหน้าที่ของอาตมา สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
และอีกองค์อาตมายืนยัน ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์ก็ยืนยัน จนบัดนี้ก็ค่อยๆเชื่อมาแล้ว
2. ปุญญสูตร
[200] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าได้กลัวต่อบุญเลย คำว่าบุญนี้เป็นชื่อแห่งความสุข (พ่อครูว่า คำว่าสุขนี้มาจากความว่าง เป็นสุขอันพิเศษ ปรมังสุขัง) อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารักน่าพอใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เรารู้ด้วยญาณอันวิเศษยิ่ง ซึ่งวิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารักน่าพอใจ ที่ตนเสวยแล้วสิ้นกาลนาน แห่งบุญทั้งหลายที่ตนได้ทำไว้สิ้นกาลนาน เราเจริญเมตตาจิตตลอด 7 ปีแล้ว ไม่กลับมาสู่โลกนี้ตลอด 7 สังวัฏฏวิวัฏฏกัป
ดูกรภิกษุทั้งหลายได้ยินว่า เมื่อกัปฉิบหายอยู่ เราเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลกชั้นอาภัสสระ เมื่อกัปเจริญอยู่ เราย่อมเข้าถึงวิมานแห่งพรหมที่ว่าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่าเราเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ใครครอบงำไม่ได้ เป็นผู้สามารถเห็นอดีต อนาคตและปัจจุบันโดยแท้ เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ อยู่ในวิมานพรหมนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เราได้เป็นท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ 36 ครั้ง
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นพระธรรมราชามีสมุทรสาครสี่เป็นขอบเขต เป็นผู้ชนะวิเศษแล้ว ถึงความเป็นผู้มั่นคงในชนบท ประกอบด้วยรัตนะ 7 ประการหลายร้อยครั้ง จะกล่าวใยถึงความเป็นพระเจ้าประเทศราชเล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นดำริว่า บัดนี้ เราเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะผลวิบากแห่งกรรมอะไรของเราหนอแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นดำริว่า บัดนี้ เราเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะผลวิบากแห่งกรรม 3 ประการของเรา คือ ทาน 1 ทมะ 1 สัญญมะ 1 ฯ
พ่อครูว่า... ทาน ก็ต้องเป็นโลกุตระ ทมะ(ข่มฝืน)ก็ต้องเป็นโลกุตระ สัญญมะคือจิตกำหนดหมาย อย่างเช่นพืช มีสัญญาซื่อสัตย์ อันไหนไม่ใช่ของมัน มันไม่เอา แต่สัตว์นี้แย่งเขาเอามาได้ ฆ่ากันได้ เป็นพืชนี้เป็นธาตุพลังงานพีชนิยามเป็นพลังงานที่ปราศจากภัย
เรานี่เป็นจิตนิยาม ต้องทำให้จิตนิยามเป็นพืช แล้วมีพลังงานที่เหลือเกินใช้สำหรับตนก็ไปใช้เพื่อผู้อื่น ความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นวิธีที่สุดยอดในเรื่องของเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์
ทำได้สร้างคนให้มีคุณสมบัติเช่นนี้ เป็นคนที่มีประโยชน์แก่มวลมหาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ภาษารับใช้เหมือนต่ำ แต่ท่านสูง มีประโยชน์มาก สามอย่างนี้เป็นคุณสมบัติของประชาธิปไตยสูงสุด
อาตมายืนยันว่า ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก แต่ดีกว่านี้ยังมีได้ เป็นประชาธิปไตย 2 ขา มีคุณสมบัติ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
ทานต้องไม่สร้างภพชาติ ทมะต้องมีความเอาจริง ถ้าคุณตายในการปฏิบัติธรรมในวงของเพื่อนมิตรดีสหายดี (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พระพุทธเจ้ายืนยันว่าผู้ใดมีมรรคผลย่อมทนอยู่ได้ ผู้ปรารถนามรรคผล จนเป็นคนที่ยอมตายในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมมีมรรคผลไม่มากก็น้อย
พ่อครูว่า...พูดถึงปรารถนา ชื่อของต้อมนี่ก็ “ปรารถนา” อยากได้ก็ต้องมาเอา
ถ้ามีการพากเพียรถูกทางแล้ว ก็จะเจริญได้ตั้งแต่ ก็มาเป็นสัตว์โลก ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิก็ไปไม่ออก
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ พึงศึกษาบุญนั่นแล อันสูงสุดต่อไป ซึ่งมีสุขเป็นกำไร คือ พึงเจริญทาน 1 ความประพฤติสงบ 1 เมตตาจิต 1
บัณฑิตครั้นเจริญธรรม 3 ประการ อันเป็นเหตุเกิดแห่งความสุข(สุขคือว่าง)เหล่านี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกอันไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุข ฯ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ
จบสูตรที่ 2
พ่อครูว่า...เกิดมาเป็นคนอย่างอื่นไม่มีประโยชน์เท่ากับบุญ บุญคืออาวุธ ฆ่า แล้วฆ่าอย่างประเสริฐด้วย
สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าคนไม่มีภูมิจะอธิบายสูตรนี้ผิดเพี้ยนไปมาก
พ่อครูว่า...เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ปุญญสูตร ขอผ่านเรื่องบุญไปก่อน
ตอบปัญหาต่อ
ทำไมไม่เป็นพระพุทธเจ้าสองสมัย
2. เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทำไมต้องปรินิพพานทั้งที่สู้บำเพ็ญมาช้านาน อยู่สองสมัยเพื่อเพิ่มอรหันต์ให้มากๆ ได้หรือไม่คะ ถ้าต่อสมัยที่สองได้สามารถต่อเลยหรือต้องรอกัปต่อไปคะ
พ่อครูว่า...คุณพูดเหมือนอย่างกับเป็นโอบามา มีคนอื่นที่จะเอา 2 สมัย เป็นประธานาธิบดี... แล้วอ้างเหตุผลอีกจะได้เพิ่มอรหันต์ให้มากๆ ถ้าต่อเป็นสมัยที่ 2 ได้ สามารถต่อเลยได้หรือไม่
สรุปว่าไม่มีสมัยสอง คุณเดาไม่ออกหรอก อจินไตย คนได้กอบกู้คนพ้นทุกข์ได้ คนที่ปรินิพพานได้ กว่าตนเองจะบรรลุได้ เป็นอรหันต์ ก็ยากมากแล้ว ก็เลยอยากปรินิพพานไปเลย แต่เป็นโพธิสัตว์นั้น เกิดมาไม่รู้กี่ล้านชาติ ยากแสนยาก ยังจะให้เป็นพระพุทธเจ้าอีกสมัยหนึ่งเพราะฉะนั้นเดาเอาได้ เอาเหตุผลอ้างอิงได้ แต่ความเป็นจริงแล้วพอแล้ว ถ้าจะอยู่เป็นพระพุทธเจ้าอีกรอบ จะไปกันท่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น จะเบียดเบียนพระพุทธเจ้าองค์อื่น พระพุทธเจ้าเหมือนกันทุกองค์ท่านรู้แล้วครบพร้อม เอาความคิดของเราไปอธิบายไม่ได้ ให้ท่านพักเสียทีเถิดต้อมเอ๊ย อย่าไปเข็นท่านเลย อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ยังจะขอเป็นพระพุทธเจ้าสมัยเดียว จะถึงหรือไม่ก็ไม่รู้ จะรีไทร์ได้ด้วยเหตุปัจจัยต้องระดับ 8 ที่จะไม่รีไทร์ 7 นี่นิยตะแล้ว แต่อยู่ในสามเส้า ถ้าเป็น 8 ก็ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว มันเข้าไปในวงของอันที่สาม แต่มันก็หนักแน่ อาตมาคงไม่รีไทร์ง่ายๆป่านนี้ ตายเป็นตาย จะตายกี่ชาติก็แล้วแต่ แน่นอนอาตมาเอาจนสุดแน่
3. พ่อท่านเคยบอกว่า อรหันต์และโพธิสัตว์บางรูป หากมีวิบาก อาจไม่รู้ตัวว่าเป็นอรหันต์ หมายความว่า ต้องเริ่มปฏิบัติใหม่แต่ต้นเลย หรือหมายถึง เกิดมาก็ไม่สุขไม่ทุกข์ แค่ไม่รู้ว่าเป็นสภาวะพิเศษคะ
พ่อครูว่า...โลกมีอำนาจครอบงำได้ เป็นอรหันต์แล้วแม้ถูกลิงลมอมข้าวพองแล้ว แต่ถ้าฟื้นได้ก็จะมีภูมิอรหันต์คืนมา แม้เป็นพระพุทธเจ้ายังต้องเสียเวลาอีก 6 ปี ในการปฏิบัติผิด อยู่โลกีย์มา 29 ปี
พระพุทธเจ้าบางองค์ เกิดมาบำเพ็ญในสวนก็บรรลุแล้วใน 7 วัน แต่อายุศาสนาของท่านเป็นแสนเป็นล้านปี ท่านบรรลุเร็วแต่อายุศาสนาท่านยาวนาน(พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...ตอนที่พระพุทธเจ้าให้สัญญาณกับพระอานนท์ก่อนปลงอายุสังขาร 16 ครั้งแต่ก็ไม่ได้อาราธนา ท่านก็ยังมีวิบาก ผมว่าใจลึกๆท่านปรารถนาอยู่ต่อช่วยคน แต่มีวิบาก ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีวิบากเลย
พ่อครูว่า… เป็นภาวะต้องถูกลิงลมอมข้าวพองทุกองค์ จะเร็วจะช้าก็แล้วแต่ จะต้องได้รับวิบาก จะไม่สุขไม่ทุกข์แต่เกิดเลยไม่ได้
อาตมาถ้าไม่มีบารมีก็เสร็จ อาตมานี่ เสียความบริสุทธิ์ก็ถูกผู้หญิงปล้ำ เสร็จแล้วอาตมาก็จริงใจ คนที่ปล้ำ เขาจะเอาอาตมาเป็นสามีอาตมาก็จะยอมนะ เขาอายุมากกว่าอาตมาด้วยซ้ำ อาตมาไม่ได้รักด้วย สุดท้ายเขาก็ปล่อย ยังจำได้ เดินไปสนามหลวงด้วยกัน จะยอมเป็นสามี พูดกับเขาตอนนั้น มีใจจะรับผิดชอบ ทั้งๆที่เราถูกปล้ำด้วยซ้ำ แต่วิบากไม่ให้ไป นี่เห็นจริงเลยว่า คนเรานี่ อาตมาถึงว่าเป็นวิบากจริงๆแล้วก็หลุดรอดด้วยวิบาก
แม้ชาตินี้ไม่เคยถูกใครถีบหรือเตะ อาตมานี่ยียวนนะ แต่เป็นวิบากกุศล
4. อรหันต์ที่จะสะสมบารมีเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์และพระพุทธเจ้าต่อไป ต้องสะสมหรือศึกษาอะไรต่อคะ ในเมื่อไม่มีกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิงแล้ว
พ่อครูว่า...เอาอรหันต์ให้ได้ก่อน อย่าเพิ่งถามถึงโพธิสัตว์ มัน advance มากไป ก็เคยอธิบาย แต่ให้ติดตามต่อไป ต้อมมีปฏิภาณเพียงพอจะรู้เรื่องนี้
5. พ่อท่านเคยบอกอีกว่า ผู้บรรลุอรหันต์ สามารถตั้งจิตให้ดับหรือเกิดอีกก็ได้ได้ ผู้บรรลุ ต้องตัดสินใจตอนไหนคะ ถ้าตายก่อนตัดสินใจ จะต้องมาเกิดอีกหรือไม่ (นึกถึงท่านดินดีค่ะ)
พ่อครูว่า...ตอนนั้นแหละ ใครจะไปตอบได้ของใครของมัน ท่านจะตั้งจิตดับหรือเกิดอีกของท่านก็เมื่อใดก็แล้วแต่ท่าน ไปบอกเป๊ะๆไม่ได้หรอก ของใครก็ของใคร คือท่านดินดีคงไม่ตั้งใจจะตาย ตอบตรงนี้ให้ว่า ถ้าตายก่อนตัดสินใจ แม้เป็นอรหันต์แล้ว จะดับไปก็เกิดอีก เพราะโพธิสัตว์จะต่อๆๆ จนจะตัดสินใจว่าไม่ต่อ
6. คนที่ไม่ลดละกิเลส ยังบำเรอตน เกียจคร้าน บุญเก่า แต่ก็ไม่ทำเลวสร้างวิบากใหม่ตามศีล 5 ขั้นต้น ผลจะเป็นอย่างไรคะ
พ่อครูว่า... แค่สี่กองนี้ ลดละกิเลส ยังบำเรอตน เกียจคร้าน กินบุญเก่า จะไปเหลือหรือ ไม่มีอาการก้าวหน้าเลย ต้องเข้าใจแง่เชิงภาษาของสภาวะ ก็ดีพากเพียรไป อุตสาหะหน่อย ย้ำอีก ให้มันตายไปในขณะพากเพียรในหมู่มิตรดีสหายดี รับรองว่าชาติหน้าเจริญแน่ ถ้าไม่ยอมตายนี้จะหนักกว่าเก่า ยอมตายนี้ไม่ตายง่ายหรอก หมู่ไม่ให้ตายง่ายๆหรอก
ทำอย่างไรอยู่วัดได้โดยไม่เวียนกลับ
_ถึงทิพย์....ถามว่า คำถามจากสุโขทัย(มางานศพพี่ชาย) ถามพ่อครูว่า เรามาปฏิบัติธรรมที่วัดแล้วประมาณ 7 ปี ตั้งแต่ยุคชุมนุมนีโอโพรเทสถึงบัดนี้ ยังต้องมาแวะเวียน เยี่ยมญาติของตนด้วยเหตุการณ์ต่างๆหลายครั้ง ทั้งที่ฝืนใจทุกๆครั้งเนื่องด้วยเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาอื่นๆพอใกล้วันกลับมีเหตุให้จำต้องไปติดต่อธุระหาหมอหายาให้ญาติอยู่บ่อยครั้ง เหมือนเห็นเราเป็นของหายากต้องรีบๆใช้หน่อย อะไรแบบนั้น ซึ่งก็ปรับใจทำให้เกิดความยินดีให้ได้เช่นกันคือถามว่าทำอย่างไรเราจะอยู่วัดได้โดยไม่ต้องแวะเวียนมาบ้านอีกเลยคะ ขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า...ต้องให้ชัดว่าแกล้งเราหรือไม่ ถ้าแกล้งเราเราก็ไม่ตามใจ แต่ถ้าจำเป็นก็หาหยูกยาให้ได้ ...คำถามที่ถามมาก็คงเป็นคุณเองลึกๆดูใจตัวเองว่ายังห่วงบ้าน ยังอาลัยอาวรณ์บ้านหรือเปล่า ถ้าตรวจสอบจริงแล้วว่า คุณเองไม่มีทางบ้านดึงเลย แต่คุณเองเป็นตัวการหาเหตุจะไปบ้าน แต่ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยทางบ้านจริงแล้ว ตัวคุณเอง แต่ถ้ามีเหตุปัจจัยทางบ้านจริงก็จำนน ตรวจจริงๆ
กำลัง 4 พ้น ภัย 5
_นพ.ประธาน วาธีสาทกกิจ ถามว่า....กราบนมัสการครับ ขอความกรุณาให้พ่อท่านขยายความเรื่อง พลัง 4 โดยเฉพาะข้อ 1เเละ 2 ครับ ถ้าเห็นสมควร กราบขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า...หมอประธานที่ช่วยดูแลอาตมานี่แหละ
1. ปัญญาพลัง (กำลังคือ ปัญญา)
2. วิริยพลัง (กำลังคือ ความเพียร ขยัน)
3. อนวัชชพลัง (กำลังคือ การงานที่ปราชญ์ไม่ติ)
4. สังคหพลัง (กำลังคือ การสงเคราะห์ช่วยผู้อื่น)
ผู้พ้นพลัง 4 จะพ้นภัย 5
พลัง 4 นี้คือพลังปัญญา ปัญญาต้องเข้าใจว่าคืออะไร ปัญญาเป็นโลกุตระ ไม่ใช่เฉกาหรือเฉโก โลกีย์ แต่ปัญญาคือความฉลาดโลกุตระ ถ้าเรามีปัญญาจนเป็นพละ พละคือผลของอินทรีย์ ผลของการสั่งสมพลังปัญญามากถึงขีด แต่ละรอบ จนถึงผล ผู้มีพละหรือผลของปัญญา ผู้นั้นจะมีวิริยะ
ยืนยันได้ ถ้าผู้ใดมีพลังปัญญา วิริยะของคุณจะมี ความขี้เกียจจะหายไป มันขี้เกียจไม่เป็น ลืมไปเลย อาตมานึกเกือบไม่ออกว่าไอ้ขี้เกียจมันเป็นอย่างไร ทุกวันนี้ นึกไม่ออกว่าอร่อยกับการกินพริกเป็นอย่างไร เป็นความรู้สึกพิเศษ แล้วมันก็เป็นพลังพิเศษ ไม่ได้แกล้ง ไม่ได้ดัดจริตทำเก๋ ขี้เกียจคืออย่างไร ถ้าเรารู้ว่าขี้เกียจเราก็ไม่เอา แต่เขาบอกว่าทำมากเกินขยันเกินต้องพัก เราก็ว่าเราก็พักแล้วนะ
ผู้มีปัญญาถึงรอบจะเพียรจริงๆ ยิ่งความเพียรถึงรอบได้ มีปัญญาถึงรอบได้ ความขี้เกียจไม่มีหรอก มันมีงานนั้นงานนี้ งานของหมู่แล้วไม่มีขี้เกียจมันต้องไป จะต้องไปช่วยกันทำ ไม่มีขี้เกียจ
แล้ว 3. อนวัชชพละ เป็นการงานอันไม่มีโทษ อน แปลว่าไม่ วัชชะ แปลว่าคำติเตียน ผู้มีปัญญาพละพอ จะไม่มีใครติเตียน โดยเฉพาะเป็นผู้มีปัญญาจะไม่ติเตียน แต่คนโง่จะติเตียนได้ คนที่ติเตียนพระพุทธเจ้าก็คือคนโง่ ผมก็เหมือนกัน คนติเตียนผมก็คือคนโง่ พระพุทธเจ้าบอกว่า ติเตียนพระอาริยะ มีนรก 11 ประการ
การงานที่ไม่มีโทษคืองานของอาริยชน โลกุตรชน ซึ่งจะย้อนแย้งกับคนโง่ที่จะติเตียน ผู้รู้จริงจะไม่ติเตียน ถ้าติเตียนไปเราจะยิ่งมีวิบากจะยิ่งเสีย
ในพรหมชาลสูตร คนที่ตำหนิเรา เราก็ต้องไขความจริงให้เข้าใจ โดยมีการประมาณ โดยสัจจะ ถ้าเขาเข้าใจผิดเขาเสียไหม เขาเสีย เราไม่สงสารเขาหรือ เหมือนธัมมชโย เขาน่าสงสารนะ
สมณะฟ้าไทว่า...อย่างพ่อครูมีใครที่ไม่บอกไหม บอกแล้วเขาจะเพ่งโทษ
พ่อครูว่า..มีที่ไม่บอกเลยก็มี คนที่ย้อนแย้งมากก็บอกนิดหน่อย คนย้อนแย้งมากก็ต้องบอกเยอะ
ประมาณนี่แหละต้องประมาณ อย่างธัมมชโยนี้บอกเยอะ ก็เพราะต้องการตีงูให้กากิน ให้คนอื่นได้รู้ คนอื่นจะได้ศึกษาความเป็นจริงๆตามหลักฐานที่ประจักษ์ชัด คนอื่นได้ประโยชน์ คนที่ฟังก็ได้ประโยชน์ เขาไม่ฟังก็ได้แต่เอาเขามาเป็นประโยชน์ ตีงูจะให้อินทรีย์กินแต่อินทรีย์ไม่กินก็ให้กากิน หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่
สมณะฟ้าไทว่า...อย่างผมจะไปบอกใคร ผมพูดแรงก็กลัวเขาจะรับไม่ได้ก็ไม่พูด
พ่อครูว่า...ก็ประมาณอย่าให้เกิดวิบากซ้ำ
ทำการงานอันไม่มีโทษหรือการงานนั้น ผู้เป็นปราชญ์จะไม่ตำหนิ ผู้ไม่มีปัญญาเท่านั้นจะตำหนิ ดีไม่ดีด่าสาดเสียเทเสียเพราะเขาโง่
อันที่ 4 สังคหพละ จบด้วยการให้ ชีวิตของคนทุกคนที่ปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมสูงสุดแล้วก็ต้องเป็นผู้ให้ ผู้ทาน ในบารมี 10 ทัศ
1. ทานบารมี . . . > 2. ศีลบารมี
3. เนกขัมมบารมี > 4. ปัญญาบารมี
5.วิริยะบารมี > 6. ขันติบารมี
7. สัจจะบารมี > 8. อธิษฐานบารมี
9. เมตตาบารมี > 10. อุเบกขาบารมี . .
(พตปฎ. เล่ม 33 ข้อ 1)
เมตตากับอุเบกขาเป็นบารมีสุดท้ายของผู้บรรลุ ผู้ที่บำเพ็ญบารมี 10 ทัศก็เพื่อเป็นผู้ให้ทาน สุดท้ายจบ แม้แต่ศีลก็เพื่อทาน เนกขัมมะ ฝึกการลดละเอาออกให้หมดตัวตนเพื่อเป็นผู้ให้ ปัญญาก็แน่นอน ต้องมีความให้แก่โลก
อันต่อมา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน
วิริยะ ทำได้แค่นี้แล้วก็ต้องพากเพียรต่อ ต้องอดทน ทมะ แปลว่าฝึกฝนอดทนอย่างยิ่ง ต้องเพียร
สาม สัจจะ ให้มันได้ ให้มันสำเร็จทั้งปรมัตถสัจจะ และย้อนกลับเป็นสมมุติสัจจะได้ ผู้บรรลุ ปรมัตถสัจจะกลับมาอนุโลมช่วยผู้อื่นก็เป็นสมมุติสัจจะ แม้คนเขาจะเข้าใจไม่ได้ เหมือนเรากลับไปเป็นอีก แต่แท้จริงไม่ได้เป็น และไม่แอบเสพด้วย ต้องรู้ตัวให้ชัด
เหมือนกับแม่ เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก แม่ครัวปรุงอาหารให้คนอื่นกินแต่เราไม่ได้ชอบเลย ก็รู้ว่าเราอนุโลมช่วยเหลือ ของเราไม่ได้แอบเสพอะไร เป็นภาวะย้อนแย้ง กลับไปกลับมาหลายรอบ
วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานต้องลงตัวโดย ปรมัตถสัจจะ สมมุติสัจจะ
บรรลุธรรมแล้วเป็นพระอรหันต์จะตั้งใจต่อพุทธภูมิ หรือจะสูญก็ได้ คุณต้องตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจ มันก็เป็นคนไม่ชัดเจน ไม่แม่น ไปตามยถากรรม ก็ไม่ใช่ มันต้องตั้งใจ ต้องมีใจที่ทำ จะตายหรือเกิดอีกก็คุณตั้งใจเอง ถ้าคุณไม่ตั้ง จบแล้วเลิก
อธิษฐาน เป็นการตั้งใจ แล้วยังมีตั้งใจอีก คือปณิหิตตัง
คนสูงสุดจบอยู่ที่ให้รับใช้สังคหะรับใช้ก็ควรช่วยเหลือเป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น สังคหะ คนที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจึงเป็นคนที่สุดยอดแล้ว กลั่นมาเป็นสุดยอดคนจริงๆ
แล้วจะได้เป็นคุณสมบัติสุดยอด ก็ตรงที่อาตมาสรุปลงไปตรงที่ 5 สภาพ
พ่อครูว่า...บูรณภาพนี้จะเต็มจะต่อก็ได้ จะตัดหรือจะเต็มของตัวเองก็ได้
ห้าภาพนี้อาตมาเรียกว่า บรมภาวะที่สุดประเสริฐอันควรได้ ต้องเป็นสังคมด้วย อาตมาขยายสันติภาพว่า เรียบร้อย ราบรื่น ง่าย งาม
เรียบร้อยไม่ใช่เรียบแค่ 80 90 แต่เรียบ 100 เลย ไม่เรียบ 99 แต่เรียบ 100 ราบรื่นไม่ขรุขระ ง่าย ไม่ยากไม่เย็นอะไร งาม อย่างนี้คือสันติภาพ
สมรรถภาพ(Efficiency) คือมีความรู้ ความสามารถสร้างหรือทำผลิตอะไร ทำงานอะไรเป็นความรู้ความสามารถจริงๆ ไม่ใช่คนที่ไร้ความรู้ความสามารถ เอาแต่เฉื่อยเนือย ทำอะไรไม่เป็นไม่ทำอะไร อาจมีถนัดหลายอย่างทำได้หลายอย่างก็ตามแต่สามารถทำได้
สุดท้ายจบด้วย บูรณภาพ(Integrity) คือเป็นตัวเต็ม และตัวเพิ่ม อยู่ในตัวจนกว่าคุณจะเป็นพระพุทธเจ้า ถ้ามันยังไม่เต็มก็ต้องพากเพียรทำให้เต็ม เต็มแล้วมีขีดตรงไหนก็ต้องบูรณะต่อไป เพราะว่าการเติมในสิ่งที่เต็มแล้ว มันเป็นการให้คนอื่นทั้งนั้น การเติมสิ่งที่เต็มแล้วมันเป็นการให้ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นทั้งนั้น พระโพธิสัตว์ที่มาศึกษาต่อ คนเขาก็บอกว่าได้ความรู้ มีบารมีเพิ่ม ก็จริง แต่มีบารมีความรู้ความสามารถเพิ่มก็เพื่อไปรับใช้คนอื่น เพื่อคนอื่นไม่ใช่เพื่อตัวตน เก่งมากขึ้น สร้างและทำให้มากขึ้นก็เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น ตนเองก็สูญเท่าเดิม
บูรณภาพจึงหมายความถึงสุดยอดเลยใน 5 ภาพนี้ จะไม่เหมือนกับฝรั่งเศสที่มี 3 ภาพ เขามี อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ แต่คนไม่เจริญก็จะมีพังพาบ
บูรณภาพจึงคือสุดยอดเป็นอมตะที่สุด บูรณะแปลว่าเต็ม คนก็พูดว่าบูรณะคือซ่อมแซม ก็คือเป็นความหมาย 2 อย่าง
วันนี้ได้อธิบายหมอโตฟังถึงพลัง 4 และขยายบรมภาวะสุดประเสริฐ 5
พลัง 4 ปัญญา วิริยะ อนวัชชะ สังคหะ
พลังปัญญาต้องรู้ว่าไม่ใช่ เฉโก วิริยะ นี้คือเพียร แล้วทำการงานอันไม่มีโทษ ผู้รู้นี้จะไม่ตำหนิการงานอันประเสริฐนี้ คนติคือคนโง่
สังคหะ คือสุดท้ายก็ให้ ไม่มี อย่างอื่นเลย
ผู้มีพลัง 4 แล้วจะพ้นภัย 5
1. อาชีวิตภัย (ภัยจากการดำรงชีวิต หาอาหารเลี้ยงกาย)
2. อสิโลกภัย (ภัย คือ การติเตียนจากคนโลกๆ)
3. ปริสสารัชภัย (ภัยคือ การสะทกสะท้านต่อสังคม)
4. มรณภัย (ภัยคือ ความตาย)
5. ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ เช่น อบายภูมิ นรก เดรัจฉาน ฯ)
(พลสูตร พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 209)
อาตมายังได้รับการติเตียน จากผู้ไม่รู้ อย่างในหลวงกับอาตมา ในหลวงไม่ได้รับการติเตียนเลย คนติเตียนมีน้อยอย่างคนหัวแดง พวกบ้าๆบอๆ แต่แปลกพวกหัวแดงไม่ติเตียนอาตมา บอกว่าบ้าๆบอๆ ไม่รู้เรื่อง
เข้าสู่บริษัท ไม่สะทกสะท้าน แม้กับหมู่ศัตรูก็ไม่กลัว อาตมาก็ไม่เคยกลัว เคยอธิบาย เพื่อนที่ทะเลาะกัน เดินไปหาเขาก็ไม่กลัว เราไปถามเท่านั้นว่าเป็นอย่างไร อย่างเขายิงแก๊สน้ำตาหรือวันที่เขายิงกัน แล้วอาตมาอยู่บนเวที ไม่ได้คิดอะไร ก็ให้แต่ละคนช่วยกันไม่ได้กลัว
ไม่กลัวความตาย มรณภัย ตายทางร่างไม่เป็นไร ต้องให้กิเลสตายสิ ร่างกายตาย ถ้าเรามั่นใจว่าเราทำดีก็ไม่กลัวตาย แต่คนกลัวตายคือคนทำชั่ว คนดีถ้าตายก็เปลี่ยนร่างวิบากดีก็ดีขึ้นๆ คนมั่นใจในความดีของตนไม่มีกลัวตาย อยู่กับหมู่มิตรดีมีโลกุตรธรรม ยิ่งมีแต่พัฒนาขึ้น ตอนนี้แก่แล้วพิการแล้วก็ตายได้ ไม่ต้องฆ่าตัวตายเลย
ทุคติภัย หมดทางไปสู่ที่เสื่อมไม่มีตกต่ำ ให้ถึงขีดเถอะ ไม่มีทางเสื่อม ถ้าอยู่กันอย่างมีเหตุปัจจัยอย่างนี้ไม่มีทางเสื่อม สุดยอด
สรุปเข้าเป้าว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ครบถ้วนบริบูรณ์หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือกระยาสารท
ของเรา มีเศรษฐศาสตร์ที่เสียภาษี 100% แล้วช่วยเขา อย่างสบายใจไม่ได้ฝืนใจไม่ลำบาก เรามีความอุดมสมบูรณ์ไม่ขาดเหลืออะไร เป็นเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอดจริงๆสำหรับระบบสาธารณโภคี ที่เราทำ
ในธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์รัฐศาสตร์
รัฐศาสตร์ก็เป็นการเมืองที่ สุดระบอบประชาธิปไตยเลย การเมืองของพระพุทธเจ้า ประชาธิปไตยเขาสรุปว่า มีคุณสมบัติอะไร ก็คือ บวร สุดยอด บวร อันประเสริฐแล้ว บรมภาวะอันประเสริฐ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
นี่คือประชาธิปไตยสุดยอด ไปทำความเข้าใจห้าภาพนี้ให้ดี
อิสรเสรีภาพจริงๆสูงสุดในอิสรเสรีภาพคือนานาสังวาส เป็นอิสระเสรีภาพที่สุดยอดจริงๆ
ภราดรภาพ เป็นพี่เป็นน้องยิ่งกว่าพี่น้อง พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้จริง ดีขนาดนี้ก็ดี แต่ดีกว่านี้ได้อีก
สันติภาพ ของเราขนาดนี้ก็สงบขนาดนี้ สงบจริงๆ สงบจนกระทั่ง พวกเด็กแว้นเข้ามา ยังไม่กล้าดื้อด้านเท่าไหร่
สมณะพ่อครูว่า...อาตมาก็ขอสรุปอีกที พลัง 4 สุดท้ายก็พ้นภัย 5 สุดท้ายไม่มีเสื่อมไม่มีนรกไม่ตกต่ำ พ้นภัย 5 ปฏิบัติไปจะมีคุณสมบัติอันนี้จริงๆ ฟ้าไทว่า..มีแทกซี่บอกว่า ที่นี่เงียบจังทำไมน่ากลัว พวกผู้หญิงพวกเราบอกว่าก็กลัวคุณเหมือนกัน แทกซี่บอกว่าอย่าเรียกผมมากลางคืนนะ เรียกผมมาตอนกลางวัน
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้เรียนปุญญสูตร พลัง 4 พ้นภัย 5
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:53:42 )
รายละเอียด
600531_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ศีลข้อ 1 โดยละเอียด
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2560 ที่สันติอโศก วันนี้ ก็ได้ไปศาลเจอพันธมิตรที่ไม่เคยได้เจอพร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างนี้ ก็มีผู้ที่ถูกฟ้อง 10 ท่าน(พ่อท่านว่าพ่อท่านเป็นแกนตาม) มีคนบอกว่าทำไมแซมดินไม่ถูกฟ้อง ก็มีคำเฉลยว่า ก็เพราะว่าถูกเขมรควบคุมตัวไว้ที่คุกเปรซอว์นั่นเอง
ศาลยกฟ้อง เพราะ เราชุมนุมก่อนมี พรบ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ชุมนุม กุมภาพันธ์ แต่ พรบ.ความมั่นคงฯ ออก มีนาคม
อัยการก็คงไม่ฟ้องต่อ เพราะว่าเป็นคดีเล็กๆ ก็เป็นที่รู้กันว่า พวกที่มาเป็นจำเลยก็ไม่น่าจะเป็นตัวร้ายในสังคม
มีคนทักทายคุณสนธิว่า อยู่ในคุกดีนะ หน้าตาก็ดีขึ้น...
คุณสนธิตอบว่า ผมอยู่ใคุกโน้นสบายกว่า จิตใจสงบดีกว่าพวกพี่ติดคุกบนถนน ต้องถูกขังอยู่ในรถเพราะน้ำท่วม รถติด..คุณสนธิก็คงจะทำใจได้
เรื่องคุกนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่าคุกอย่างนั้นไม่ใช่เป็นคุกที่น่ากลัว มีสมัยหนึ่ง พระด้วยกันออกบิณฑบาตไปเจอนักโทษที่เขาถูกแห่ประจาน ถูกขื่อคาเครื่องจองจำทุกข์ทรมาน บิณฑบาตกลับมาก็มาพูดกันว่าน่ากลัวน่าสยดสยอง แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า ขื่อคาเครื่องจองจำอย่างนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่การจองจำที่น่ากลัวคือ บุตร ภรรยา ทรัพย์สมบัติเพชรนิลจินดา ขื่อคาแบบนั้นไม่อยากจะออกเลย แต่ขื่อคานั้นคนก็อยากจะออก
คนมาอยู่ในสาธารณโภคีพ่อครูก็ได้ปลดปล่อยขื่อคาเครื่องจองจำออกไปพอสมควรแล้ว วันนี้
พ่อครูว่า...อาตมาก็คงไปถอดขื่อคาของใครไม่ได้หรอก นี่ก็ต้องถอดของตัวเอง อาตมาทำงานด้านนี้ ปางนี้ทำด้านนามธรรมเป็นหลัก มองยากมองไม่เข้าแต่ก็ต้องทำ เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะมันยากเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องชำนาญต้องขยัน อุตสาหะพากเพียรอย่างแท้จริง เพราะเป็นนามธรรม เป็นอรูป
อรูป กับนามธรรมต่างกันอย่างไร
อรูปคือรูป รูปคือสภาวะที่ไม่มีความรู้สึกไม่มีความรู้ ไม่ใช่นาม มันเป็นอุตุ
อุตุเลย แม้พีชะ มันก็ยังไม่เป็นรูป เป็นดินน้ำไฟลม อย่างเก่งก็แค่อากาศเท่านั้น มันยังไม่เป็นชีวะขึ้นมา ถ้าเป็นชีวะมีธาตุรู้มีสัญญา ที่เป็นตัวเอง ที่ตัวเองรู้ ความเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็มีการรู้ มีสัญญากำหนดหมายเลยว่า จะเป็นตนเองนั้นต้องมีอะไรบ้างประกอบเป็นตนเอง พืชพันธุ์ธัญญาหาร มันดูแล้วมันก็ไปเอา
แต่ที่มันไม่รู้คือ ไม่รู้อย่างเฉลียวฉลาด มันรู้อย่างซื่อบื้อ จะเอาอย่างนี้ Java ก็เป็นสัญชาตญาณของพืช จะเป็นญาณปัญญามันก็ไม่ถึงหรอกขอยืมคำมาใช้ กำหนดเกิด สัญชาติ ไม่ถึงขั้นญาณ แล้วมันประกอบไปด้วยธาตุอะไร ของที่มันไม่ใช่จะเอามาประกอบเป็นตัวมัน มันไม่เอา ไม่รุกรานแย่งชิงกับใคร ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ทำไม่ได้ก็เสื่อมลงจนสูญพันธุ์ ไม่มีการไปทำลายทำร้ายใคร มันมี แต่ตัวของมันเอง
แต่เมื่อมาเป็นจิตนิยามเป็นเดรัจฉานก็จะมีการรุกรานคนอื่น พีชะมีพลังงานเฉพาะตัวของมันเอง เจริญหรือเสื่อม แต่จิตนิยามนี้เจริญก็ไปทางร้ายก่อน ไปรุกรานอันอื่น สัตว์จะรุกราน โดยเฉพาะพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันต้องเอาไปใช้ได้ แม้จะเป็นสัตว์ด้วยกัน ทะเลาะกันขัดแย้งมีตัวตนต้องเป็นใหญ่ต้องเอาชนะ ที่ต้องเบียดเบียนรุกรานกัน
สัตว์มันก็เริ่มรุกรานมาเรื่อยๆ ตั้งแต่สัตว์เล็กเช่นแบคทีเรีย มันก็รุกรานกินสัตว์อื่น เข้าไปทำลาย มันไม่รู้หรอกแต่มันก็ต้องทำ มันเป็นตัวมันเองแล้ว อย่างเห็นแก่ตัว สูงขึ้นมาจนกระทั่งมีภูมิปัญญาไม่รุกรานไม่ไปเบียดเบียนใคร
นอกจากไม่รุกรานเบียดเบียนใครก็ยังทำประโยชน์แก่ผู้อื่น เสียสละแก่ผู้อื่น ที่พูดนี้ยังเป็นโลกียะอยู่ อยู่ในวังวนของโลกีย์ ผู้มีภูมิธรรมสูงขึ้น ก็พยายามสร้างจิตนิยามของตัวเองต้องพยายามบังคับ ใช้คำว่าบังคับ ก็ต้องเปลี่ยนสกุลของจิตวิญญาณให้เป็นโลกุตระให้ได้ เป็นพลังงานที่ละเอียดละออจนถึงขั้น
เป็นอัญญธาตุ เป็นโลกใหม่เลย ได้จิตนิยามอันนี้แล้วไม่รุกรานใครจริงๆ ช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป มีจุดสำคัญที่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้ โลกียะ นั้นปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่ได้
แม้จะเป็นศาสดาที่สอนให้มาเป็นคนดี ไม่รุกรานใครเสียสละตนเอง ตายเพื่อคนอื่นได้เลย ยอดเยี่ยม แต่ทำลายตระกูลตัวเอง ทำลายเชื้อตัวเอง ให้สูญไปจากโลกนี้ไม่ได้ อันนี้คือปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้
และยังสำคัญกว่านั้นอีก จะอยู่ต่อไปก็รู้จักวิบาก เพราะรู้จักจิต เจตสิกต่างๆ ถึงขั้นระดับ อุตุนิยาม จิตนิยาม และรู้กรรมนิยาม สามารถทำธรรมนิยามให้ทรงอยู่ตั้งมั่น“นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” ยังยืนถาวรไปได้อย่างจริงจัง แต่ก็สลายที่คงทนยั่งยืนแน่นอนนี้สลายไปได้อีก
ในระดับความรู้ที่เรียกว่าปัญญา เป็นความรู้ของโลกุตรธรรมอารยธรรม อเทวนิยมเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่มีความรู้เช่นนี้มีแต่ความรู้ทางเฉกา โลกียะ ดีสุดสูงสุด ถ้าจะนับแล้ว จะเป็นประโยชน์มีความสูงมีประโยชน์คุณค่าต่อมนุษยชาติ สูงกว่าพุทธก็ได้
พุทธจะไม่เป็นประโยชน์ต่อโลกสูงสุด แต่จะมามองว่า ได้ประโยชน์ต่อคนตามสัปปุริสธรรม ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด มีครน. หรม. ที่จะได้ประโยชน์สูงประหยัดสุด เท่าที่ควร เกี่ยวกับกาละ และ สัปปุริสธรรม 7 อัตถัญญุตาคือเป้าหมายจุดสำคัญ อัตตัญญุตาคือตัวเรา ตัวเราก็เท่านี้จะทำเกินตัวไม่ได้ ทำได้ประโยชน์สูงประหยัดสุด ในกาละหนึ่ง ต้องประมาณตน ตัวเราก็เท่านี้
มัตตัญญุตาต้องประมาณให้ได้สัดส่วนให้ดี แล้วตัวเราประมาณแก่ตัวเองได้แล้ว แล้วก็เกี่ยวกับคนอื่น เกี่ยวกับกาละเวลา เกี่ยวกับหมู่กลุ่ม หมู่เล็กหมู่ใหญ่ ปริสัญญุตา หมู่นี้จะช่วยแค่นี้นะ มันต่างกับหมู่ใหญ่ต้องอนุโลมปฏิโลม ตัวเราทำได้แค่หมู่นี้ หมู่อื่นทำไม่ได้ เป็นต้น
เฉพาะบุคคลอีก ปุคคลปโรปรัญญุตา จะช่วยเฉพาะคนนี้ก็ต่างกับหมู่ในรายละเอียดอีก ช่วยเฉพาะคนนี้ เพราะช่วยคนนี้มีประโยชน์มากกว่าไปช่วยคนทั้งหลาย ไม่ได้ประโยชน์เท่าช่วยคนคนนี้ คนๆนี้จะไปช่วยคนอื่นต่อไปได้อีก
ในสัปปุริสธรรม 7 ประการ ประมวลความจริงที่ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างสูงสุดที่ปราชญ์ของพระพุทธเจ้า อาริยะของพระพุทธเจ้าต้องรู้ อรหันต์ต้องรู้หลัก 7 อย่างนี้อย่างสำคัญ ยังแถม มหาปเทส 4 อีก อยู่กับปัจจุบันไม่เที่ยง แล้วเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ที่พระพุทธเจ้าห้าม หรืออนุญาต แต่ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าห้ามหรืออนุญาตไว้ ก็ต้องประมาณเองอีก
สรุปแล้ว โลกุตรบุคคล อาริยะ ผู้ฉลาดของแบบพระพุทธเจ้าจึงเป็นความฉลาดที่สูงสุดไม่ใช่เอาเฉพาะตัวเอง ฉันโก้ ช่วยเหลือคนอื่นจนตัวเองตายแต่ประโยชน์ไม่มาก ตัวเองเป็นพระเอกแต่ประโยชน์ไม่มาก อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าไม่เอา ท่านให้คำนึงสิ่งแวดล้อม ทั้งเรา ทั้งเขา หมู่น้อย กลาง ใหญ่อีก จึงคำนวณทุกอย่างเลย แม้ ครน. หรม.
ครน.คือทำให้ก้าวหน้าสูงระดับคูณเลย ก้าวหน้าให้มากที่สุดแต่ให้เสียผลน้อยที่สุด คนที่จะพาให้ไปทำให้สูญเสีย มันต้องมีส่วนเสียส่วนดี แต่ให้ส่วนเสียน้อยที่สุดให้ก้าวหน้าสูงสุด
หรม. หารร่วมมาก ทำสิ่งที่เสียออกให้มากที่สุด ทำสิ่งที่เป็นพิษภัยให้ตายให้หายออกไปได้มากที่สุด แต่มากที่สุดนั้นก็คือ หรม. ซ้อนไปหาน้อย ที่เอาออกให้ได้มากที่สุด แต่ให้ได้ประโยชน์มาก อย่าให้ประโยชน์น้อยนะ หารร่วมมาก
เอาออกคือเอาสิ่งเสียหายสิ่งทำลายเป็นพิษภัยออกให้ได้มากที่สุด แต่ก็ต้องให้ได้มากที่สุด ซ้อนเลย หารร่วมมาก เอาออกให้ได้มากที่สุดทำลายให้ได้มากที่สุด แต่ก็ต้องมีผลเหลือที่ได้มากที่สุด สิ่งที่เหลือต้องให้ดีที่สุดมากที่สุดด้วย
หลับตาปฏิบัติเป็นทางเอกไม่มีทางบรรลุธรรม
เข้าสู่ประเด็นที่อาตมาอยากจะช่วย ผู้ที่มีภูมิธรรมบ้างแล้ว แล้วท่านก็เป็นครูบาอาจารย์ และมีลูกศิษย์ลูกหามากกว่าอาตมาก็เยอะแยะ ไม่ต้องเอาเาใคร ธัมมชโยก็มีลูกศิษย์ลูกหามากกว่าเยอะ เถรสมาคม มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะกว่าอาตมา อาตมามีลูกศิษย์แค่นี้ แข่งไม่ได้ อาตมาเอาเนื้อๆแก่นๆได้เท่านี้ ไม่ตะกละตะกราม
ขอย้ำอีก คือ
1.ศาสนาพุทธที่นั่งหลับตาสะกดจิตไม่มีทาง บรรลุธรรม ไม่ใช่ของพุทธ นั่งหลับตา เป็นแค่อุปการะ มาก ไม่ใช่เรื่องก่อเกิดผล ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องเอกแต่เป็นเรื่องรอง เป็นผู้ช่วยไม่ใช่ตัวจริง ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นอย่าเอาเรื่องนั้นเป็นเรื่องเอก เอาเป็นเรื่องรอง นั่งหลับตาให้ตายก็ไม่มีทาง บรรลุธรรม
อ่านพระไตรปิฎก พรหมชาลสูตรให้แตก ทำความเข้าใจให้ดีๆให้ละเอียด ท่านว่าไว้ชัดแล้ว ทวนย้ำอีก พระพุทธเจ้าท่านตรัส ในนี้ว่า เป็นทิฏฐิ ความรู้ความเห็นท่านรวมไว้แล้วว่ามี 62 ความรู้ความเห็นที่แตกต่างกัน แล้วที่ใกล้เคียงกันคือ ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 จาก 62 (62-5=57) 57 ทิฏฐินั้นไม่คล้ายกันเลย
มีกามคุณ 5 ฌาน 1 2 3 4 เรียกฌาน เรียกกามเหมือนกัน
กามคุณ 5 เอาวรรคไว้ทีหลัง ตอนนี้พูดถึงอาจารย์ทั้งหลาย เราพูดเรื่องฌานกัน ตอนนี้เผื่ออาจารย์
ฌานนั้นมีฌานที่เกิดในขณะหลับตา กับฌานที่เกิดในขณะลืมตา ของพระพุทธเจ้านั้นลืมตานะจ๊ะ ของพระพุทธเจ้าเป็นฌานที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ห้าทวาร ทวารที่ 6 ใจ
หลับตานั้นมีแต่ทวารใจทวารเดียว ปิด ตาหูจมูกลิ้นกาย จึงเป็นนิพพาน แหว่งๆ ต่อให้ดับอาสวะสิ้นได้ก็บางๆอย่างไม่หนาอย่าง เอกัจจะเท่านั้น ที่ถอนอาสวะได้นั้นไม่แน่จะสมบูรณ์แบบไหม จะมี นิจจัง ทุวัง หรือไม่ ไม่มีเหตุปัจจัยภายนอกประกอบ แต่ถ้านั่งหลับตาตลอดไป เอาแต่สะกดจิตก็ได้ แต่ไม่เป็นอุภโตภาควิมุติ ทั้งปัญญาและเจโต คุณได้แต่เจโตอย่างเดียว
พระพุทธเจ้าถึงต้องกำกับว่าแม้จะมีกายสักขี คนอื่นเห็นเป็นสักขีพยาน เพราะว่าคุณไม่ละเมิดเลย คนอื่นเป็นสักขีพยาน แต่ก็ได้ถาวรบางอย่าง ถ้าเอาเหตุปัจจัยภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจกระแทกแล้ว ไม่เที่ยงแท้ไม่นิรันดร์ ไม่ “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” อย่างนี้เป็นต้น
สรุป อีกทีหนึ่ง หลับตาไม่มีทางบรรลุธรรม สมาธิหลับตาเป็นสมาธิสากลสาธารณะมีอยู่ตลอดกาล เป็นสมาธิที่ทุกศาสนา แม้ไม่ใช่ศาสนาเขาก็ใช้ สะกดจิตเอาไว้ สามัญปุถุชนก็ สะกดไว้ เขาก็ทำ ถ้าสะกดได้เก่งก็ได้นานพลอยชาติพันชาติเหมือนชาติแสนชาติก็ได้ ก็คุณสะกดมาไม่รู้กี่แสนชาติก็ได้ผลแน่นอน เป็นพลังงานที่คุณสร้างแบบนั้นก็ต้องได้ แต่มันไม่จบ มันวนเวียน สังกุปปัง กลับกำเริบได้
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าแท้ ข้อสำคัญก็คือ มันไม่สามารถจะเกิดอุภโตภาควิมุติ วิมุติทั้งเจโตและปัญญา วิมุติรู้รอบเลยว่า เราจะอยู่ต่อไปอีกนานเท่านาน เท่ากับนิรันดร์ แต่ศาสนาพุทธมันไม่นิรันดร์ อย่างพระอวโลกิเตศวร ก็แข่งกับพวกนิรันดร์ จะรื้อขนสัตว์ให้นิพพานหมด จะได้อย่างไร สัตว์เดรัจฉาน สัตว์เซลล์เดียวก็เกิดตลอดเวลา จะช่วยสัตว์ทุกตัวให้นิพพานหมด ก็เป็นเพียงอุดมการณ์ท่านทำไว้เท่านั้น
ที่จริง อวโลกิเตศวร คือยิ่งใหญ่ในโลก อว คือไม่มีพฤติกรรมจริง อ คือไม่ ว คือพฤติกรรมจริง อวโลกิเตศวรคือยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในสภาพ สาม ในโลกที่มีองค์ 3 พีชนิยามก็มีองค์ 3 เป็นสภาพชีวะอยู่ อว คำนี้แปลว่าไม่มีพฤติกรรมนี้ อย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็น ปณิธาน อุดมคติ ซึ่งจะต้องใช้ในมนุษย์
หากมนุษย์ไม่มีอุดมคติ ปณิธานสูงสุดก็จะวนเวียน แต่ถ้าอุดมคติสูงก็เป็นถึงศาสดาแต่ละองค์ๆ จะบอกว่าพระศาสดาแต่ละองค์ใครสูงกว่ากันก็ไม่มีหลักการเทียบ แต่ของพุทธนี้มีหลักการ สูงสุดจนเทวนิยมไม่สามารถไล่ทัน
กลับมาสู่เป้าประเด็นหลัก คือ ขอให้พิจารณาดีๆ ว่า นั่งหลับตานั้นมันอยู่เพียงทวารเดียว และสิ่งที่รู้นั้นมันไม่มี อัญญะ มันมีแต่ สัญญะ
แม้คุณจะรู้ธรรมะ ชือว่าโลกุตรธรรมรู้แล้วแต่ดันทุรังหลับตาปฏิบัติ ก็ได้แต่ ญะๆๆๆ คือ ภาษาเหนือแปลว่าทำ ญะ แปลว่าการกระทำ คุณกดทำของคุณอยู่อย่างนั้นตลอดกาลนาน มีแต่สัญญะ ข้ามเขตมาเป็นอัญญะ ปัญญะไม่ได้ ต่อให้มีภูมิรู้ อัญญะ แต่ดันทำ หลับตาก็ไม่มีปรโตโฆษะ
ไม่ได้เปิดทวารทั้ง 5 ไปรับรู้โลกของกามคุณ 5 ที่เป็นกิเลสหยาบใหญ่ ถ้ามีแต่จิตกิเลสพวกนี้คุณไม่รู้ เกิดมาเอาแต่หลับตาอย่างนั้นหรือ ไม่มีการเปิดตา หูจมูก ลิ้น กายเลยหรือ เป็นคนตาบอดก็ไม่มีทวารตา แต่ดับประสาท กลิ่น ลิ้น หู สัมผัสนอกไม่มี มีแต่สัมผัสภายใน ก็ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์เลยนะ
ที่หลับตาปฏิบัติจะได้แต่อดีตกับอนาคต อดีต 18 อนาคต 44 และใน 44 นี้มีปัจจุบันอีก 5 อนาคตจริงๆ มี 39+5 ปัจจุบันเป็น 44 เท่านั้นเอง คุณจะไปยึดแต่หลับตาๆ ก็จมกับอดีตกับอนาคตเท่านี้ ก็ได้แต่เจโตสมาธิ
ที่ทำเจโตสมาธิ ปัจจุบันก็เป็นปัจจุบันภายใน ไม่ออกมาสู่ ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอก มีแต่ฌานภายใน
ฌานของพระพุทธเจ้านี้ ฌานอยู่ที่ใดปัญญาอยู่ที่นั้น
ปัญญานี้คือการเกิดของ พลังงานที่ต้องปฏิบัติด้วยองค์ 6 องค์ 6 นี้ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ที่เจริญต้น กลาง ปลาย แต่จะเกิดได้ต้องมี ธรรมะวิจัย มัคคังคะ ต้องวิจัยทั้งนอกและใน โลกและอัตตา ถ้านั่งหลับตาก็หลับหูหลับตาไม่รู้โลก แค่ตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ไม่เปิดรับ แล้วมันก็จะครบกระบวนการเมื่อไหร่
กระบวนการของปัญญา จะบอกว่า พระพุทธเจ้าบอกว่ามันเกิดจากการทำอาชีพ ทำกาย วจี มโน กัมมันตะ และก็พูดได้อยู่ ไม่ใช่นั่งหลับตาไม่ได้ทำ พูดหรือทำ ถ้าเอาแต่คิดไม่พูดหรือทำอะไร ขออภัย อาตมาพูดรุนแรง น้ำหนักแรง เหมือนพูดกับลูก แต่อาตมาก็ยึดเป็นลูกก็เข่นเอาๆ คนข้างนอกก็เลยได้รับประโยชน์น้อย เขาจะถือสา เพราะยึดติดว่าต้องสุภาพ นิ่มๆ แต่ยุคนี้หากนุ่มนิ่ม ตัวคุณเองไม่ได้รับประโยชน์หรอก
สุภาพคือภาวะที่ดี ภาวะที่จะได้ประโยชน์ได้ผลที่ดี ไม่ขึ้นอยู่กับความนุ่มนิ่มหรือความเบา หรือความแรง ขึ้นอยู่กับหลักฐานความเหมาะควรตามมหาประเทศ และสัปปุริสธรรม 7 คุณไปกำหนดเอาว่าอย่างนี้แรงอย่างนี้เบา ก็สมมุติตามสเปคของคุณเอง ไม่ทั่วไปไม่เป็นสาธารณะไม่สมบูรณ์
นั่งหลับตาไม่ใช่ของพุทธในทิฏฐิ 62 เพราะการนั่งหลับตาไม่มีกายสังขาร ที่ต้องลดกิเลส กายสังขารก็ไม่ได้เรียน วจีสังขารก็ไม่มีการออกมาพูด มโนสังขารก็จะได้อย่างเก่งก็ได้สังกัปปะ 7 ในวจีสังขาร แต่คุณจะอ่านสภาวะวจีสังขารได้ไหม ถ้านึกไม่ออกก็ทำสังกัปปะ 7 ไม่ได้
กระบวนการ สังกัปปะ 7 จะต้องสร้างวจีสังขารที่ยังไม่ออกเป็นวจีกรรม ดีไม่ดียังไม่มีอธิวจนะ ยังไม่ตั้งชื่อเป็นแค่ปฏิฆสัมผัสโส เกิดจากการกระทบกัน แม้จิตว่าง นิ่งเฉยได้ แต่ไม่ได้ตั้งชื่อ ก็ไม่สามารถพูดออกมาให้คนภายนอกรู้ แสดงออกกายกรรม นัจจะ คีตะ วาทิตะไม่ได้ เพราะแค่ตั้งชื่อก็ไม่มี
แม้อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา นั้น คุณเอาแต่นั่งหลับตาทำ มีแต่ static แต่ไม่มี dynamic คือ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ไม่มี ก็เพราะเรียนแต่อัตตาสะกดจิต จะไปคิดอย่างอื่น มีแต่หนึ่งไม่มีสภาวะสอง มีแต่สภาวะนิ่ง ไหวแวบมานิดหน่อยคุณไม่เอาเลย ปฏิบัติให้ตายก็ได้อุเบกขา ที่ static สถานเดียว
อุเบกขาที่จะมี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ไม่มีเพราะมุทุธาตุคุณ static อย่างเดียว แต่มุทุนี้จิตต้องไว เป็นตัวอ่อนไม่ใช่ตัวแข็ง ไวได้มีวิญญัติได้ ตัวมุทุภูตธาตุจิตต้องไวได้ แต่คุณไปเล่นกดข่มสะกดจิตให้นิ่งแข็งท่าเดียวจะไม่เกิดมุทุภูตธาตุเลย
ที่อธิบายอยู่คือโยนิโสมนสิการ เพื่อให้ทำใจในใจให้เป็น ไม่เช่นนั้นคุณก็ทำใจในใจอย่างไม่เป็นพุทธ เป็นมิจฉาทิฐิใน 62 อย่างนี้
ย้ำหัวตะปูว่า สะกดจิตนั่งหลับตาถ่ายเดียวไม่ใช่ทางเอก แต่หลับตาเจโตสมาธิก็เป็นอุปการะมาก อาตมาก็ใช้ ถ้ามีแต่สมถะอย่างเดียวโดยปฏิบัติมรรคมีองค์ 8เลยไม่เรียน supraconcentration เลย มีแต่ meditationก็เลิกคุยกัน แต่อาตมาเรียนทั้งสองอย่าง แล้วก็เรียน concentration เป็นหลักด้วย meditation เป็นรอง
อาตมาไม่ได้ตีทิ้งนั่งหลับตานะ เป็นอุปการะ เป็นประโยชน์มาก
1. ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
2. ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
3. เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
4. สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
อาตมาทุกวันนี้ใช้การระลึกสัญญาเก่า จิตที่สงบ เช่นอาตมานอนหลับไปพอสมควร ตีสามตีสี่ เทวดามาคุยธรรมะแล้ว นอกจากเพลียมาก ก็แล้วแต่วาระเวลา ตามธรรมชาติ แต่ก่อนตีสองก็ลุกมาทำงาน แต่เดี๋ยวนี้เขาหาว่าอาตมาอายุยาว ถ้า 100 ปีก็ต้องยอมรับแล้วว่าอายุยาว
ศีลข้อ 1 โดยละเอียด
พรหมชาลสูตรมีรายละเอียดที่ชัดมาก ท่านเริ่มด้วย การตำหนิและการชม และท่านก็บอกว่าถ้าจะชมแล้ว แม้เราตถาคตนี้ แม้เราสูงสุดแล้ว จะชมเราก็ชมที่เรามีศีล ซึ่งยังต่ำนัก
มนุษย์ ในความเป็นมนุษย์ จะต้องมีศีล จึงจะได้เป็นมนุษย์ ถ้าไม่มีศีลแม้แต่หนึ่งข้อก็ยังไม่เป็นมนุษย์ จะเรียกว่าคนตามภาษาไทยก็ได้ ถ้าเป็นสัตว์เป็นสัตวโลกที่จิตยังไม่สูง ไม่เจริญแท้ไม่เป็นมนุสโส
มีศีลคืออย่างไร เช่นศีลข้อ 1 ข้อต้นเลย
มีศีลคือ ท่านแปลศีลว่าปกติ แปลศีลว่ามีกรรมกิริยาพฤติกรรมปกติ กิริยาคุณ ในชีวิตประจำวัน การเคลื่อนไหว พลังงาน ไม่ฆ่าสัตว์ และวางทัณฑะ วางศาสตรา มีใจเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง ] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า
1. พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรามีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.
แม้ความรู้ก็เป็นอาวุธ ความรู้แกมโกงคืออาวุธร้าย ฆ่าคนโดยเขาไม่ต้องฆ่า แต่เขาคือตัวการฆ่า การฆ่าคนด้วยความรู้นี้อำมหิตมาก ใช้แต่นามธรรมความรู้ในการฆ่า โดยให้คนอื่นฆ่า เช่นหลอกให้ไปตายเอง ตกเหวเอง หรือหลอกให้ไปถูกฆ่า อย่างอาจารย์องคุลีมาล หลอกองคุลีมาล แต่เนื่องจากมีบารมีเลยรอด ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าก็ไม่รอดหรอก ไม่เช่นนั้นทำอนันตริยกรรมก็ต้องวนเวียนไปอีกนานเลย แต่นี่ดีที่มีพระพุทธเจ้าในยุคนั้น และท่านก็มีบารมีร่วมกันจะมีตำนานอีกมาก ที่ได้ร่วมกัน พระพุทธเจ้าจึงได้มาช่วย
วางทัณฑะ วางศาสตรา ทัณฑะคืออาวุธหยาบ เป็นรูป แต่ศาสตาคือความรู้
นอกจากนั้นยังมีความเอ็นดู มีเมตตา มีความรัก สงสาร มีความกรุณา ลงมือทำ กรุณาลงมือช่วย หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง สัตว์เล็กสัตว์น้อย แม้จะเป็นสัตว์เซลล์เดียว
ตีกรอบของพีชนิยามออก ออกมาเป็นจิตนิยามได้ มันเป็นพลังงานที่ หลุดออกมาสู่จิตนิยาม พ้นตระกูลเดิมออกมาได้ ที่เป็นตระกูลทางนามธรรมอันลึกซึ้ง แล้วไปทำลายเขาทำไม กว่าเขาจะเสริมพลังงาน มีความรู้และความจริงให้ตัวเองหลุดออกมาจากตระกูลพีชะมาเป็นจิตนิยามได้ อย่าไปทำลายเขา
แล้ว จิตนิยามแม้แต่เซลล์เดียว ต่อไปก็อาจจะพัฒนาตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าได้ในอนาคต แม้ไม่รู้กี่ล้านชาติ จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็อาจจะเป็นได้ในอนาคต
สัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว ขอบคุณผู้ที่แปลเป็นภาษาไทย ชีวะ ปราณะ ภูตะ ความเป็นชีวิตในระดับละเอียด
ชีวะ คือชีวิต ปราณะ คือชีวิตระดับละเอียด แต่ภูตะนี่ละเอียดกว่า ปราณะ อีก
ผู้ไม่มีศีลข้อเดียวข้อแรกที่ไปทำลายสัตว์ ไม่ได้ชื่อว่าคน แม้ได้ร่างคนนี้ มีคอหยักๆสักแต่ว่าคน ไม่พิการก็ตาม ร่างคุณเป็นคน แต่จิตวิญญาณ ความฉลาดเฉโกของคุณ อยู่กับภาพที่เขาเขียนศิลปะ ตัวเป็นคนแต่หัวเป็น สัตว์ต่างๆ อย่างไรอย่างนั้น เป็นงานศิลปะที่ส่อแสดงรูปและนามได้ชัดเจน คืองานศิลปะขั้นโลกุตระ ใส่สูตรอย่างดี ใหญ่โต แต่หัวเป็นสัตว์ เสือสิงห์ ไอ้เข้ ลิง ควาย หมด แม้แต่เหี้ย ก็มี นั่นคือศิลปะโลกุตระที่สื่อสัจจะได้ชัด เด็กสัมผัสยังรู้เลย
ย้ำอีก คนยังฆ่าสัตว์อยู่นั้นไม่ใช่คน ของพุทธไม่ฆ่าสัตว์ แม้อ้างว่าเพื่อกินเพราะว่า คนเป็นสัตว์กินพืช ไม่ใช่กินทั้งพืชและเนื้อ แต่กินพืชอย่างเดียว พิสูจน์ได้เลยกินพืชอย่างเดียวนี้อายุยืนกว่ากินเนื้อ
คนที่ไปอยู่บนภูเขามีพันธุ์ธัญญาหาร ได้กินสัตว์น้อยมาก อายุถึงเป็น 100 200 300 ฤาษีชีไพรมีเป็น 400 ปี พูดในยุคกาลนี้นะ ไม่ต้องพูดถึงแต่ก่อนมีอายุถึงหมื่นปีแสนปี
คนมีฟันกรามที่ใช้เป็นหลัก วันช้างม้าวัวควาย เล็บก็ไม่ใช่เล็บแบบ claw แต่เป็นเล็บแบบ nail น้ำย่อยก็พิสูจน์มาหมดแล้ว นักวิทยาศาสตร์นักโภชนาการที่พิสูจน์ชัดเจน เขาจึงรู้ว่ามนุษย์ หรือคน เป็นสัตว์กินพืช ไม่ใช่อยู่ในตระกูลกินทั้งพืชและสัตว์ คุณจะเชื่อว่ามนุษย์กินสัตว์อย่างเดียวคงจะไม่ใช่แม้จะหลงว่ากินทั้งพืชและสัตว์ก็ไม่ใช่ กินพืชอย่างเดียวนี่แหละรับรองว่าชีวิตจะดีงามสดชื่น
ผู้ที่ทำเจโตสมถะตามคำสอน ในพรหมชาลสูตร คุณจะรู้แต่อดีตกับอนาคต แม้ปัจจุบัน 5 กามคุณ 5 กับฌานทั้ง 4 ก็อยู่ในภพ ภวังค์ไม่ได้ออกมาสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกเป็นปัจจุบัน
ของพระพุทธเจ้านิพพานต้องเป็นปัจจุบันลืมตาออกมากับ 5 ทวารกับใจเป็นทวารที่ 6 ทำงานร่วมกัน อย่างครบพร้อม แล้วรู้ว่าอะไรเป็นกิเลสอะไรไม่เป็นกิเลส กิเลสตั้งแต่หยาบจนถึงภายใน
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมหลับตาจึงไม่รู้แม้แต่สิ่ง ที่หยาบ อย่างธัมมชโย เสพติดหยาบมหาหยาบ เขาหลงตนว่าฉลาด แต่ฉลาดชั่วมากจนคนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็นึกว่าตัวเองเก่ง คนอื่นหลงลมเก่ง คนในสังคมก็หลงนับถือ หลงตนว่าเก่งเลยทำบาปซับซ้อน ซวยไหม เขาทำเองนะ ไม่ได้ลงโทษ ความโง่ของเขา แล้วกรรมเป็นอันทำ เอาความรู้ที่สร้างหรูหราใหญ่โต สุดยอดอย่างนี้ เขียนเป็นภาพได้ก็เขียน ที่เขียนไม่ได้ก็พูดเอา วิมานนี้ทิ้งฤาษีลิงดำไปหลายช่วงเลย ชั่วกว่าฤาษีลิงดำไปหลายชั้นที่แค่หลอกสวรรค์วิมาน 7 ชั้นแค่นั้น
ต้องขอบคุณที่ให้เป็นสื่อการสอน ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ชัดเจน
คำว่าหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงจึงตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว อย่าไปทำร้ายเขา ปรารถนาดีต่อเขา แต่บางที สัตว์เซลล์เดียว เป็นแบคทีเรียจะไม่กินเรา คุณก็ตายก่อนเถอะ เราก็กินยาฆ่าไปบ้างก็จำนน ก็ต้องรักษา ให้เสียสละส่วนน้อยเพื่อส่วนมาก แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ไม่มีวิบากนะ เพราะฉะนั้นบางท่านไม่ยอมกินยา ไม่ยอมทำลายสัตว์ใด ปล่อยให้ตายไปเอง ไม่ใช่ไปชี้โพรงให้กระรอกจะไม่ต้องกินยาเลย ก็เอากันเท่าที่ควร ไม่ใช่พูดกลับกลอก เป็นเรื่องสลับไปสลับมา นี่แค่ศีลข้อ 1
คำตรัสของพระพุทธเจ้าแค่นี้ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดูมีความกรุณา ขยายความให้ชัดเจน สุดท้ายหวังประโยชน์แก่สัตว์ แม้แต่สัตว์เซลล์เดียวก็หวังประโยชน์ให้เขา แต่เขาจะมาฆ่าเรา ถ้าจำเป็นเราก็ต้องฆ่าหรือจะให้แบคทีเรียกินเราไปจนตายก็ได้ ถ้ามันควรตายแล้ว ต้องมีเหตุ จะบอกว่ากลั้นใจตายไม่ได้หรอกมันต้องมีเหตุ
ที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมจะปรินิพพาน เป็นปริโยสาน คือขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เหลืออีกสามเดือนก็บอกพระอานนท์ ก็ถ้าท่านจะตายก็ตายได้ ท่านเป็นอมตบุคคลก็ตายได้ ไม่ต้องมีเหตุอะไร แต่ท่านก็ต้องแสดงเหตุ เห็ดพิษของจุนทะ ท่านก็ไม่ฉันก็ได้ จะตายเองก็ได้ แต่ต้องมีเหตุ เพราะจะไม่ค้านแย้งกับคำสอน ท่านก็จึงบอกว่าอย่าลงโทษจุนทะว่าเอาเห็ดพิษมาให้พระพุทธเจ้าฉันจนตายนะ อย่าไปเอาโทษ ท่านก็ไม่ให้คนอื่นฉันด้วย เอาไปฝังเสียไปทิ้งเสีย ท่านละเอียดละออ
อย่าไปลงโทษจุนทะ จะบอกว่าไม่ใช่เหตุ ก็ไม่ได้ มันต้องเป็นเช่นนี้
คนธรรมดาก็บอกว่า ไม่ขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า ท่านต้องตายเพราะกินเห็ดพิษ สุกรมัทธวะ ก็เลยไปพูดว่า สุกร เป็นสัตว์มี 4 ขา ไม่เอามัทธวะ ก็แปลว่าเนื้อหมูอ่อน มัทธวะแปลว่าอ่อน
คนที่มีปฏิภาณ ไม่สงสัย ไม่งงว่าสลับไปสลับมาได้ จะเรียกว่าปฏินิสสัคโค ไม่มีสวรรค์ แต่ก็สลัดสวรรค์ไป แต่ก็ไหนว่ามีอีก จะมีหรือไม่มีกันแน่
เฉกะคือ ความฉลาดความรู้โลกียะทั้งปวง
สัญญะคือความรู้กึ่งหนึ่ง กลาง ถ้าเริ่มมีอัญญะ คุณก็มาใช้ ส เป็นเศษวรรค์ ใน ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ย ร ล ว คือสามเส้า ว คือพฤติกรรม ส คือการทำ สำเร็จก็คือ ห เป็นตัวแท้ตัวจริงตัวมี สมบูรณ์ของกระบวนการ สามนี้
ว คือการเคลื่อนไหว แต่ต่างจาก ภ ที่คือการเจริญ เจริญจาก พ
ป ผ พ ภ ม ตัว ม คือจิต องค์ประชุมจิตนิยาม
พฤติของเศษวรรค มันก่อสามเส้าของมัน ว ส ทำสำเร็จเป็น ห
เป็นรายละเอียดของพยัญชนะบาลีที่อาตมายังไม่รู้หมดนะ
ฬ คือรวมไว้หมด ทั้งหลายทั้งปวง ก็คือ พ ที่มีหาง ต่อตัวไป
ขออภัยที่พูดเรื่องลึกเกิน เอาความหมายบาลีที่เป็นรากภาษามาสื่อกับโลกมนุษย์ ภาษาบาลีเป็นอักษรที่ตายแล้ว มี 33 ตัวกับเศษวรรค 8 ตัว
คุณจะมีปัญญานั้นไม่ใช่สัญญา ยิ่งไม่ใช่กัญญา
กัญญ คือ ก.ไก่ พยัญชนะตัวแรกที่จะเป็นอะไรต่อไปได้ ตัวต้นรากเลย
กก คือต้น เริ่มต้นมีสิ่งนี้แล้วจะมีสิ่งนี้อีก เป็นสองตัว จะมาเป็นอะไรต่ออะไรเข้าไปอีก
ก เริ่มขึ้นมีสิ่งกำกับคือ ม ตัว ม.คือจิต ก คือเริ่ม จะเป็นนามหรือรูปก็ตาม ม คือมโน ก็มากำกับ กม ยังไม่ครบสามเส้า ต้องมี กมม คือสามเส้า โดยมีหนึ่งคือภาวะวัตถุธาตุมหาภูตรูปกับจิตวิญญาณสองหน่วย มม คือสองต่อหนึ่ง ทำงานเป็นสามเส้า กมม อะไรเกิดขึ้นในโลก กมม คือกิริยาของสัตว์โลก เป็นกรรม
สรุปเข้าไปหาปัญญา
กัญญา สัญญา ปัญญา
กัญญา ยังไม่ได้เรื่องอะไร เป็นธาตุรู้ของอิตถีภาวะ เป็นธาตุรู้ของคน ยังไม่เรียกมนุสโส ยังเป็นพิษภัย มีอะไรอีกเยอะ แล้วมีเสน่ห์ เป็นพลังงานแม่เหล็ก พลังงานลบ ดูดไปหาตัวเขา พลังงานโง่จึงติด พลังงานตัวผู้จึงติด
กัญญะ แล้วก็ สัญญะ แล้วก็ปัญญะ
สัญญะคือธาตุรู้ ญญ คือ เริ่มจะรู้แล้วไปสนธิกับพยัญชนะอื่นอีกมากมาย
จ ฉ ช ฌ ญ ตัว ญ นี้รู้ แล้วตัว ช คือรู้ แต่รู้อย่างวิชชา ฉ คือธาตุรู้ทางทวาร 6 คือสัตว์นะมีทวาร 6 แล้วเจริญมาเป็น ความรู้ ช คือ ชานติ ปรีชา(รู้รอบ) ชยติ คือเริ่มชนะในการรู้
ฌ ก็คือ ช.ช้างเจริญ ฌ คือชา คือไฟโหมแรง พลังฉลาด พลังโลกุตระก็จะเกิดอีกอย่าง
ฌ มาหาโลกุตระ เป็นพลังงานความร้อนที่เผากิเลส ฌาปนะ ฌายะ ฌานะ คือเผาทั้งนั้น ฌานะ นี้เผาสำเร็จ จ ฉ ช ฌ ก็มาเป็น ญ
ญ คือความรู้องค์รวม อัญญะคือความรู้อื่น เป็นธาตุอื่นที่แปลกไปจากความรู้โลกียะไปทั้งหมด พอธาตุรู้อัญญะมากก็เป็นพหูพจน์คืออัญญา
ในอัญญธาตุคือธาตุรู้ที่ต่างจากเฉกะแล้ว พอเป็นอัญญาคือความรู้ตระกูลอื่นจากโลกียะ คำว่า อัญญา ญญ จึงหมายถึงความรู้โลกุตระ ก็ไปผันกับ ป
ป คือตัวรวมปลายของรูปและนาม (ม ก็ด้วย) คำว่า ปรม คือปม
คนเอาภาษามาใช้สื่อแทนสภาวะจึงเป็นคนสุดยอดเลย
ย้ำอีกทีว่า จะเอาการนั่งหลับตาเป็นเอกไม่ได้ แต่ไม่ได้ตีทิ้งการนั่งหลับตานะ ใช้ในการเรียนรู้พลังงานภายในด้วย และต้องใช้เตวิชโช ส่วนการเอาไปใช้เป็นปาฏิหาริย์อื่นที่ก่อกิเลส พระพุทธเจ้าไม่สนับสนุนให้ใช้ อาตมาก็ไม่เน้น อาตมาเล่นไสยศาสตร์มา 8 ปี แล้วก็เลิก
สมณะเดินดินว่า...มีหลายเสียงอยากให้พ่อครูพักบ้าง เทศน์สักชั่วโมงก็จิบน้ำบ้าง เพราะต้องช่วยกันถนอมให้อยู่ได้นาน ในช่วงท้ายก็อยากให้ช่วยกันสรุปหรือถามคำถาม
อัญญธาตุจะเพี้ยนไปได้ไหม
ส.เดินดินว่า_อัญญธาตุคือธาตุรู้ตั้งแต่โสดาบันไหมครับ
พ่อครูว่า..คือตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไป
สมณะเดินดินว่า...อัญญธาตุเพี้ยนไปได้ไหมครับ
พ่อครูว่า...ไม่เพี้ยนแต่จะติดในหน่วยความจำไปตลอด แม้อุตุนิยามก็มีหน่วยความจำ รวบรวมพลังงาน นิวเคลียร์ Fusion มันจะมีตั้งแต่อุตุนิยาม เพราะฉะนั้น พีชะหรือจิตนิยามก็จะมี อัญญะคือพลังงานจิตนิยามที่เริ่มเข้าสู่ระบบโลกุตระมีแล้วไม่สูญหาย แต่ถ้าไม่พัฒนามัน ก็ได้อยู่แค่นั้น ได้หนึ่งก็ได้หนึ่งไปตลอด ก็ต้องพัฒนาไปให้ได้เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน ได้รอบตามความเป็นจริง มีร้อยหรือพันหน่วยจะไปใช้อันไหนได้
สมณะเดินดินว่า...มีอรรถกถาบอกไว้ว่าพระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่า ผัวเมียคู่หนึ่ง ที่มีทรัพย์สมบัติมาก แต่งงานกันสองตระกูลใหญ่ แต่ต่อมาใช้สมบัติเก่าจนหมด จนมาขออาหารที่วัด พระพุทธเจ้าเห็นก็ยิ้ม พระอานนท์ก็ถาม...พระพุทธเจ้าก็บอกว่า สามีภรรยานี้ถ้ามาบวชตั้งแต่หนุ่มก็จะบรรลุอรหันต์ แต่ตอนนี้เหมือนนกกะเรียนแก่ ที่ซบเซา เลยสงสัยว่า คนจะมีอัญญธาตุถึงอรหันต์แล้วไปหลงอย่างนี้ได้หรือ
พ่อครูว่า...ก็คือหยุดตรงไหนก็ไม่เจริญตรงนั้น ถ้าไม่ถึงรอบก็จะไม่ข้าม
สมณะเดินดินว่า...แสดงว่าเมื่อหยุดก็จะคงที่
พ่อครูว่า...คงที่ถ้าโลกียะก็เสื่อม แต่โลกุตระคงที่ก็จะไม่เสื่อม แต่ไม่ก้าวไปไหนเลย ติดแป้นอยู่ตรงนั้น
สมณะเดินดินว่า...มีคนบอกว่าให้สู่แดนธรรมรีบเป็นอรหันต์ แต่สู่แดนธรรมบอกว่า ไม่งั้นจะไม่มีคนมาร้องเพลงให้วงฆราวาส
พ่อครูว่า ฌานอยู่ที่ใดปัญญาอยู่ที่นั่น
สมณะเดินดินว่า...ศีลอยู่ที่ใดปัญญาอยู่ที่นั่น
พ่อครูว่า...ศีลเป็นตัวหลักเลย ถ้าคุณไม่มีศีลสักข้อก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนเลย ไม่ชื่อว่าเป็นมนุษย์เลย มีแต่ร่างกายรูปร่างคน แต่จิตวิญญาณเป็นสัตว์เดรัจฉาน
สมณะเดินดินว่า...ศีลข้อ 1 ก็มีการเผากิเลสในตัวที่เราจะไปเบียดเบียนผู้อื่น
พ่อครูว่า...ถ้าสูงถึงจิตนิยาม แม้ต่ำกว่าจิตนิยาม จะเอามากินก็ได้แต่เริ่มมาเป็นจิตนิยามแล้วอย่าไปกินเขา
คนมีศีลเอาไปปฏิบัติจนรู้ว่าสัตว์คืออะไรแม้สัตว์เซลล์เดียว คุณมีปกติไม่ทำร้ายสัตว์ แม้เขาจะมาฆ่าเราเราก็ไม่กินยาหรือไปฆ่าเขา เป็นปกติ จึงเรียกว่าศีล
กรรมกรศาสนาคือใคร
_อยากให้พ่อครูย้ำเรื่องกรรมกรศาสนา
พ่อครูว่า...กรรมกรศาสนาคือจับกังที่แบกลังทองคำ ได้ค่าจ้างจะกี่สตางค์ที่เดียว ดีไม่ดีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในลังเป็นทองคำ แบกหนักได้ค่าจ้าง แต่ไม่รู้จักทองคำ อาจจะคิดค่าตัวแพงไป แต่ไม่เอาทองคำเลย ทองคำก็คือโลกุตระ เงินที่เป็นค่าแบกคือโลกียะ ไม่ได้ลิ้มเลียผงธุลีทองคำเลย ไม่รู้จักว่าทองคำมีค่าหรือไม่ ก็นึกว่า ตัวเองเป็นคนชั้นสูง แบกโลงทองนะ แบกศาสนานี้มา แต่ไม่ได้ลิ้มเนื้อทองคำเลย ได้แต่ค่าจ้าง เป็นกรรมกรศาสนา
มันต้องอ่านใจตัวเองว่าได้ลดกิเลสหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ลดกิเลสก็เป็นกรรมกรศาสนา แม้จะทำงานหนัก ไม่รู้จักกิเลสคือโจร ก็เลยเล่นหัวกับโจร ลูบๆคลำๆเล่นหัวกับโจรไปตลอดกาล ก็นึกว่าไม่ใช่โจร
สมณะเดินดินว่า...งานหนักไม่เคยฆ่าคน แต่พองานหนักก็อยากจะฆ่าคน
พ่อครูว่า...ก็ใจเป็นสัตว์แล้ว
สมณะเดินดินว่า...เขาไม่ฆ่าความเป็นสัตว์ในใจเขา เขาก็จะเป็นสัตว์ไปเรื่อยๆ
พ่อครูว่า...มีแง่ที่ว่า คุณเองขี้เกียจก็เลยอ้างว่า งานนี้เราเอาแค่นี้พอแล้ว ก็เลยอ้างหรือแม้คุณมีกำลังสามารถงานก็ยังมีให้ทำมากอยู่ แล้วก็ยังดูดาย ก็จะบอกว่าพอแล้ว ตัดสินลำเอียงเข้าข้างตนเอง ด้วยความขี้เกียจ งานมี ความสามารถความรู้ก็มีเวลาก็มี มีความแข็งแรงที่จะทำได้ แต่คุณไม่ทำ ก็เข้าข่ายความขี้เกียจ ความขี้เกียจเป็นบาปเป็นอกุศล
คนที่ไม่ขี้เกียจแล้วไม่หนักเขาก็เบา คล่อง เวทนาคล่อง สัญญาคล่อง สังขารคล่อง คนขี้เกียจนี้ หนักไปหมด เวทนาสัญญาสังขาร ไม่มีกายปาคุญญตา
สมณะเดินดินว่า...ชุมชนต่างๆของเรา ตอนนี้มีอุโบสถศีล บ้านราชฯมีค่ายสัมมาอาริยมรรค แล้วก็มีฟังพ่อครู มีการย่อยธรรมะ แล้วทำไมต้องมาเข้าค่ายฟังธรรมอีกหรือ งานที่บ้านราชก็มีมากอยู่แล้ว
พ่อครูว่า...ถ้าผู้อธิบายธรรมวนอยู่กับที่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่ารู้แล้ว แต่ถ้าท่านอธิบายเกินกว่านี้ คุณไม่อยากได้เพิ่มหรือ ไม่ควรเพิ่มหรือ ผู้อธิบายเป็นสัตบุรุษหรือไม่ อธิบายเสริมเติมนะ
สมณะเดินดินว่า...เมื่อก่อนคนก็จะมาอยู่วัดฟังธรรม วันหยุดก็จะมา แต่ทุกวันนี้ดูจะหายไป
พ่อครูว่า...งานก็มากด้วย คนก็น้อยด้วย เวลาก็มีเท่านี้ ก่อร่างสร้างตัวตอนนี้เป็นภาวะขยาย ก้าวหน้า ต้องดึงเอาเวลาแรงงาน ความรู้ความสามารถ บุคคลก็มีจำกัด คนห่างวัดไปก็ตกต่ำ ถ้าไม่พิจารณาประโยชน์ที่จะเข้ามาให้ได้จริงๆ ก็ยิ่งจะออกไป
คำอธิบายของพระพุทธเจ้าชัดเจนว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนา แค่นี้ก็ควรจะเข้าใจ จะโง่อย่างไรก็มารวมกันแต่หมู่ก็จะมีสัตบุรุษที่มากพอ เพราะเราไม่ได้เอาขยะเข้ามา เราคัดคนเข้ามา เป็นอาริยะอยู่แล้ว คนของพวกเราเป็นอาริยะเป็นส่วนใหญ่ ที่ไม่ใช่อาริยะเป็นส่วนน้อย จะไม่ให้เกียรติคนหมู่ใหญ่นี้เหรอ
แม้คุณเข้ามาหน้านองน้ำตาก็อย่าต่อรองนัก หน้านองน้ำตา ไม่ไหวก็กลับไปก่อน ให้มันรู้ว่าสัก 7 ครั้งไม่ติดหมู่ ก็อยู่ข้างนอกเถอะ ถ้า 7 รอบนี้ไม่เข้ามาได้ ก็ควรอยู่ข้างนอกเถอะคนนี้ อยู่ทีละ 7 ปี อยู่ไม่ได้ก็ออกไป ถ้า 7 ปี 7 รอบไม่ได้ก็อยู่ข้างนอกเถอะ 7 เดือน 7 เที่ยวก็น่าจะเช็คได้นะ
คำถามสุดท้าย วันนี้พ่อครูฟังคำพิพากษา มีข้อคิดอะไรบ้างครับ
พ่อครูว่า...ก็รู้ว่าเขาปลดให้ก็ดีแล้ว ปลดวิบากอันนี้ไปก็เท่านั้น แล้วไม่ถามต่อว่าดีใจเสียใจไหม ไม่มีหรอก ไม่ดีใจไม่เสียใจ ปลดวิบากไป ถ้าจะมีวิบากใหม่ก็ว่ากันใหม่อีก
สมณะเดินดินว่า...ปางนี้พ่อครูมาทำงานเป็นเรื่องยาก เป็นนามธรรมล้วนๆ ที่คนจะเข้าใจได้ยาก วันพุธที่มานี้มีอปริหานิยธรรมสันติอโศกมีการพูดถึงอาจารย์ ส.ศิวรักษ์ มีสไตล์ดุดัน แต่ท่านจันทร์เหมือนเป็นคนสนิทของอาจารย์ส. คือ อาจารย์ ส.ทำหนังสือมาแล้วให้ท่านจันทร์แก้ไขได้ ท่านจันทร์ก็บอกว่า บุคลิกอาจารย์ ส.นี้ดูแข็งกร้าว แต่เมื่อคบไปแล้วดูนุ่มนวลอ่อนโยนมาก เหมือนบุคลิกพ่อครูที่ดูเหมือนว่าแข็งกร้าว มีฉายาขวานจักตอก มีสายฟ้าในวาทะ ก็เป็นเรื่องรู้ได้ยาก ของภาวะภายนอกกับภายใน
พ่อครูว่าแม้สิ่งที่ยากอย่างนี้ ก็ยังดีที่มีพวกเรารับได้ เข้าใจได้ จนยืนยันมา 40 กว่าปีแล้ว ในงานอโศกรำลึกปีนี้ จะเอาคนที่อยู่กับหมู่มาอย่างน้อย 40 ปีมาดูสิว่าเป็นอย่างไร
สมณะเดินดินว่า...เป็นเรื่องยาก แต่พ่อครูก็ยังได้พวกเรารู้และยอมรับได้ หากได้พวกเราแล้วแต่พวกเราก็หายไปอีก ศาสนาจะไปได้มากหรือน้อย ความสำเร็จการสืบสานศาสนานี้คงไม่ได้อยู่ที่พ่อครูอย่างเดียว แต่อยู่ที่พวกเราด้วยที่เกิดเป็นบวร เป็นชุมชนคนมีศีลขึ้นมาได้….จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:54:49 )
รายละเอียด
600602_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ปฏิบัติธรรมจุดไหนมีสิทธิ์ได้อรหันต์
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560 ที่สันติอโศก เดือนนี้เป็นเดือนสำคัญของชาวอโศก และเป็นเดือนสำคัญของชาติด้วย เราจะมีงานระดับชาติขึ้นมา ของเราเป็นงานระดับเล็ก ที่เราจะมีกิจกรรมกัน ระหว่างชาวสันติอโศก ทุกพื้นที่ของสันติอโศก กำลังปรับโฉมทำความสะอาด ตามจุดต่างๆให้ดูน่าอยู่ การมีงานประจำปี ทำให้เรามีแรงจัดการทำความสะอาด
พ่อท่านเคยวิเคราะห์ว่า ความฉลาดของบุคคลที่เป็นโลกุตระ จะใช้สัปปุริสธรรม ไม่ใช่เอาอีโก้ของตัวเองเป็นใหญ่ จะนึกถึง ปริสัญญุตา ชุมชน ปุคคลปโรปรัญญุตา นึกถึงคนอื่น ไม่ใช่ว่าจะเอาว่า เราได้เปรียบอย่างไร ทำอย่างไรจะให้คนที่มางาน ได้ประโยชน์จากการมางานของเรา
สื่อธรรมะพ่อครู(อบายมุข กามคุณ 5) ตอน โทรศัพท์มือถือคือสิ่งมอมเมา
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของคนฉลาด ที่จะทำให้ตนเอง เป็นผู้มีประโยชน์สูงสุด บนหลักการ สัปปุริสธรรม และมหาปเทส สิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามว่าไม่ควร อย่างโทรศัพท์นี่ สมัยพระพุทธเจ้าก็ไม่มี แต่สมัยนี้ พ่อครูว่า โทรศัพท์มือถือ คือสิ่งเสพติดที่รวมเอาไว้มากมาย
พ่อครูว่า...คนคิดเก่งเอามาใช้ คนทุกวันนี้ทั้งโลก ติดไอ้จะเรียกว่าโทรศัพท์เท่านั้นไม่ใช่แล้ว แต่มีสิ่งเสพติดที่เขาใส่ไว้ในนั้น โทรศัพท์ไม่เท่าไหร่ แต่อันอื่นๆ มีอยู่ในนั้นมหาศาล เป็นสิ่งเสพติดอย่างไรไปคิดดีๆ ว่าคนติดมันมหาศาล
สมณะเดินดินว่า...การจะนำพาไปผิดศีลข้อ 2 ข้อ 3 ก็อยู่ในนี้ สุราอาจจะไม่ได้แปลว่า เมาอย่างเดียว
พ่อครูว่า...สุราไม่ได้แปลว่าเมา แต่แปลว่าความเมา แต่เขาแปลเป็นรูปธรรม ว่าสุราแปลว่าน้ำเหล้า ก็ถูกต้อง น้ำเหล้าก็ใช่ แต่สิ่งอื่นก็เป็นที่ทำให้เกิด สติฟั่นเฟือนเสียหาย
สมณะเดินดินว่า...เราลองดูว่า ถ้าในที่สาธารณะ เราไม่เอาโทรศัพท์มาเขี่ยดูกันได้ไหม ทุกวันนี้พอกริ๊งมาทีหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใคร แต่ละคนก็ควักกันออกมาดูกันทั้งนั้น
ปัญญาของพุทธ เกิดจากการมีธัมมวิจัย สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ ให้เพิ่มปัญญา เป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจ รู้ทิศทางของศาสนาพุทธ ให้ลดตัวตนเราลงไปๆ
พ่อครูว่า...ก่อนจะได้ต่อเนื่อง เรื่องราวต่างๆ ก็ขอตอบรับ sms
SMS วันที่ 31 พฤษภาคม 2560
_1614สมณะเพาะพุทธ โพสแนะนำหนังสือ นักบวช นักรบ นักฆ่า สารัตถวิทยาที่น่าอ่าน
_3867เปาปุ้นจิ้นสยามยกฟ้องคดี พธม.ชุมนุมปกป้องดินแดน เขาพวห.ฤา?มวลเสริมการป้องกันราชอาณาจักรไทย จากเกียรติบัตรโดย4เหล่าทัพน้อย 25มค.54 ดีใจที่พี่ น้องกทธ. ทำหน้าที่ ใช้หนี้แผ่นดิน และมาทำบุญ ไม่สูญเปล่า!
_2166อักขรที่พ่อท่านกำลังอธิบายอยู่ทุกวันนี้ เริ่มเกิดในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ใช่หรือเปล่าครับ? / ป้อม ปาเกียว
พ่อครูว่า...อาตมามีจิตที่จะนำอักขระพวกนี้ มาให้ความหมาย แต่มาถึงวันนี้แล้ว รู้สึกว่าเฟ้อไป ไม่ก่อประโยชน์ นอกจากพวกเรียนโบราณคดี
ประเด็นที่ถามมาคือ เกิดสมัยพ่อขุนรามฯหรือไม่….พยัญชนะบาลีไม่ได้เกิดยุคพ่อขุนรามฯ ในยุคไหนไม่มีใครทราบได้เลย พ่อขุนรามฯ เป็นคนทำรากฐานภาษาไทยอักษรไทย โดยเอามาจากภาษาบาลี แล้วเติมเข้าไปอีก 11 ตัวเป็น 44 ตัว
3867กราบขอบคุณพ่อครูกับธ.ปาณาติปาตาฯให้ชาวกายมังสะวิรัติเข้าสู่จิตอารยะเข้าถึงวิญญาณโลกุตระสาธุ
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ฌานหลับตากับฌานลืมตาต่างกัน
3867ขอบคุณบุญนิยมกับธ.พ่อครูฯ ฌานหลับตาแตกต่างจากฌานลืมตารู้ทุกอิริยาบถ แบบฌานพุทธ ตรงที่จิตน้อมไปสู่องค์ธ.ของฌาน คือจิตที่ปฏิบัติครบมรรคองค์8
พ่อครูว่า…ถูกต้อง การนั่งหลับตาสะกดจิต เป็นฌานนอกรีต ไม่ได้อยู่ในพระวจนะของพระพุทธเจ้า เพราะท่านตีทิ้งตั้งแต่ พรหมชาลสูตร ว่าทิฏฐิ 62 การนั่งหลับตาปฏิบัติ จะมีทิฏฐิผิด 62 อย่างนี้คือพวกทำเจโตสมาธิ ต้องมาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8
ไปสูตรที่สองที่สาม อัมพัฏฐสูตร การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่แค่การนั่งหลับตาหรือออกป่า ไปหาอาจารย์ในป่า หรือทำเดรัจฉานวิชาไปสร้างเรือนไฟ ใช้ไฟบูชา จะเป็นโบสถ์วิหาร อะไรก็แล้วแต่ เป็นการออกนอกพระพุทธศาสนา สูตรต่อไปขยายศีล สมาธิ ปัญญา ในพระไตรปิฎกเล่ม 9
แต่เขาอ่านศึกษาเป็นด็อกเตอร์ เปรียญ 9 แต่ทำไมถึงไม่ได้กระเตื้องไม่ได้แก้ไข ไม่ได้ปรับปรุงสิ่งที่ผิดพลาดเลย ปล่อยให้ผิดพลาดตลอดเลย แล้วถือเอาความผิดพลาดเป็นสิ่งถูกอีก เหนื่อยไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่ท้อแต่เมื่อย อาตมาพูดด้วยจิตสงสาร ไม่ได้เกลียดชังอะไร แต่คนที่ถูกว่า เขาจะเกลียดชังอาตมาได้
อาการเกลียดชังกับอาการสงสาร มันตรงกันข้ามเลย แต่คนเกลียดชังนี้ จะเข้าใจว่า จะมาสงสารเขาได้อย่างไร เขาชังอยู่นะ แต่มันเป็นเรื่องจริงใจ
ขอยืนยันว่า อาตมาแสดงธรรม ไม่ได้ต้องการบริวาร ไม่ได้ต้องการให้ใครมาเชื่อ อาตมาแสดงสัจจะธรรม อาตมามีจิตที่เข้าใจที่พระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าทำนี้ มิใช่เพื่อล่อลวงหลอกประชาชน ให้มาเคารพนับถือนิยมชมชอบ มิใช่ประพฤติเพื่อเรียกคนมาเป็นบริวารเข้าพวก มิใช่เพื่ออานิสงส์ เป็นลาภสักการะ และเพื่อเสียงสรรเสริญ มิใช่เพื่ออานิสงส์ จะได้คนนิยม หรือเพื่อค้านลัทธิอื่นใด ให้ล้มไป ..และ มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น ก็หามิได้
ที่แท้งานของเรานี้ ประพฤติเพื่อเสียสละ เพื่อละ เพื่อหน่ายความฉ้อโกง, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯลฯ
แสดงเพื่อให้คนเข้าใจ แล้วไปลดละกิเลสแสดงเพื่ออย่างนี้ ฟังให้ดี
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สมาธิไม่ใช่นั่งหลับตาอย่างเดียว
_ธีรเดช นัด · ปฏิบัติธรรมเราแค่นั่งสมาธิอย่างเดียว มันจะโอมั้ยครับ
พ่อครูว่า…จิตลดกิเลส ที่ตกผลึกตั้งมั่นแข็งแรง เรียกว่าสมาธิ ไม่ใช่ไปทำจิตจดจ่อเป็นสมาธิ มันไม่ใช่เลย นิยามไปคนละเรื่อง สมาธิของพระพุทธเจ้าชื่อว่าสัมมาสมาธิ ถ้าจะอธิบายว่า สมาธิคือการจดจ่อ มั่นกับอันใดอันหนึ่ง เป็นหนึ่งไม่วอกแวก จิตอย่างนั้นเขาก็เรียกว่าสมาธิเหมือนกัน มีมาก่อนศาสนาพุทธเกิดอีก อาฬารดาบส อุทกดาบสได้ฌาน 7 8 แต่ไม่ใช่ของพุทธ ต้องไปอ่านมหาจัตตารีสกสูตร อธิบายสมาธิของพระพุทธเจ้า ด้วยการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ไม่ใช่ไปนั่งดูลมหายใจเข้าออก เขามีมาเก่าแล้วอย่างนั้น แล้วเรียกว่าอานาปานสติ หายใจเข้ายาวหายใจออกยาว แต่ถ้าไม่รู้ลมหายใจเข้าออกเลย ก็ออกนอกศาสนาพุทธ100% ปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า ทำสมาธิต้องรู้ตัวทั่วพร้อม ทั้งนอกและในครบทุกทวาร ลมหายใจเข้าออกเป็นการสัมผัสทางทวารผิวหนัง ถ้าอันนี้ไม่เหลือ ก็ออกนอกศาสนาพุทธไป หมดเลย
ถ้าไม่มีกายเลยก็ไม่ใช่พุทธ บอกว่าสะกดจิต อย่าออกนอกตัว อย่าออกนอกจิต อย่างนี้ไม่ใช่เลย กายต้องมีภายนอกเสมอ กายคือจิตมโนวิญญาณ ตถาคตเรียกกาย ว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
_รักธรรม สรหงษ์ · พ่อท่านใส่อะไรที่ข้อมือคะ เห็นมาหลายวันแล้ว??
พ่อครูว่า...ใส่อุปกรณ์สมัยใหม่ ที่เป็นเครื่องวัดสุขภาพ เดินกี่ก้าว หัวใจเต้นกี่ที นอนหลับกี่ชม.อย่างไรเป็นต้น เวลานอนก็ใส่ เพราะว่า วัดว่านอนหลับ deep sleep เท่าไหร่
_สายัณห์ สมสวัสดิ์ · ภาพและเสียงเป็นปกติดีครับ.อ.กุสุมาลย์จ.สกลนคร
_ศิลพัทธกุล สุขใจ· พ่อครูลดอายุมาแล้ว กราบนมัสการค่ะ
_เดิมแท้ ชาวหินฟ้า · ฌาน(แปลว่า การเผากิเลส..) มีทั้ง ฌานลืมตา กับฌานหลับตา ชาวอโศกพาทำ...สอนการลดกิเลส ตั้งแต่การลดกินเนื้อสัตว์ เป็นต้นแบบ ทำให้ผู้ฝึก...ได้เห็น กระบวนการลดกิเลส ตั้งแต่ แรก จน สุดท้าย กิเลสในรสเนื้อสัตว์ หายวับไปจากใจ ..อย่างลืมตา โดยไม่ต้องหลับตา แล้วก็สามารถ..เลือกกิเลสตัวอื่นๆมาลดต่อไป เช่นเดียวกับ เรื่อง การลดเนื้อสัตว์ โดยไม่ต้องหลับตา อีกเช่นกัน ไปตลอดสาย พ่อท่านจึงเป็น ผู้พาชาวพุทธปฏิบัติธรรมสมาธิ ด้วยการลืมตา..อย่างกระจ่าง ตรวจจิต ตรวจกายได้อย่างชัดเจน ว่า กิเลสตัวนั้นๆ ว่า หมดสังโยชน์ทั้ง 10 ได้ โดยไม่ต้องนั่งหลับตา (กราบนมัสการครับ )
พ่อครูว่า...เดิมแท้พูดถูกต้อง อาตมาเอาเรื่องกินเนื้อสัตว์ มาเป็นกิเลสตัวอย่างตัวหลัก ให้ลดละ แล้วจะรู้ process ของสังกัปปะ 7 ได้ เรียนรู้เวทนาในเวทนา 108 ได้ มีอายตนะ นามรูป อ่านตัณหา อุปาทานได้ รู้ว่าตัณหาอุปาทานลดได้ จะหมดภพชาติได้ รู้ของจริงอ่านสัมผัส อาการ ลิงค นิมิต อุเทส พระพุทธเจ้าตรัส พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 บอกว่า รู้รูป รู้นามด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส
รูปคือรูป 28 นามคือ นาม 5 ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 7
รู้เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
นาม 5 เป็นตัวปฏิบัติ หากไม่มี ก็ไม่สามารถรู้ว่า กำลังปฏิบัติอะไร ไม่รู้เวทนา ไม่รู้เจตนา แยกมโนสัญเจตนาที่เป็นกามตัณหา ที่เป็นรูปภพ อรูปภพต่อไป ปฏิบัติอยู่กับภายนอกใน และสัมผัสภายนอก แล้วจะรู้ภายใน เมื่อหมด ตัณหาหมดภพก็จะรู้
มาสู่เรื่องราวที่จะได้พูดกัน เป็นวันที่เตรียมงานอโศกรำลึก ปีนี้รู้สึกว่า ชาวอโศก จะตื่นตัวเรื่องอโศกรำลึก งานอโศกรำลึกเป็นงานที่คือ วันที่ 9 -10 เป็นวันอโศกรำลึก แล้วอาตมาเกิดวันที่ 5 มิ.ย. วันที่ 9 เป็นอโศกรำลึก วันที่ 10 เป็นวันสมณะ คือเราได้อิสระ
อาตมาเกิด 5 มิ.ย. ใกล้วันที่ 9 ก็เลยปนกันมา ที่จริงเตรียมงานอโศกรำลึก แต่ปีนี้อาตมาจะอายุเต็ม 83 ขึ้นปีที่ 84 เป็นปีเข้าสู่นักษัตรที่ 7 เต็ม ถ้าอายุอาตมาเต็ม 84 คือ 5 มิ.ย. 2560 ถึง 4 มิ.ย. 2561 จะเต็ม 84
คนเราอายุยาวจนถึง 84 ปี มันก็ไม่น้อยนะ ยิ่งยุคนี้ ไม่ใช่ง่ายนัก ที่จะอายุตั้ง 84 ส่วนมากเค้าจะตายก่อนเสียเยอะ ส่วนมากจะตายก่อน แต่ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เก่งขึ้น ช่วยรักษาชีวิตให้ยืนยาว
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ปฏิบัติธรรมอย่างมีลำดับอันน่าอัศจรรย์
คนเรา
สัมผัสทางตาก็เกิด climax ทางตานี้และได้ชื่นชอบใจสบาย ได้สัมผัสเสียง กลิ่น ได้สัมผัสก็เป็นรสชอบใจ ชื่นใจ สัมผัสทางรส เสียดสี เย็นร้อนอ่อนแข็ง ตามอุปาทาน แล้วแต่ใครจะมี อุปาทาน ว่าเบานี่ดี แรงนี่ดี แล้วแต่ใครติดยึด ชอบในสัมผัสเสียดสี
ชอบในสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสเสียดสี เป็นการกระทบสัมผัสทั้งนั้น แล้วก็เกิดพลังงาน ที่เกิดการเสียดสีนั้น อุปาทานตั้งไว้มากหรือน้อย แต่ละคนตั้งไว้ต่างกัน การเกิดรสชาติต่างๆเรานั้นคือ กิเลสกาม
พระอนาคามี จะหมดกิเลสกาม ในการสัมผัสเสียดสีอย่างหยาบ คือภายนอก ที่จริงหมดอย่างหยาบแล้ว กิเลสกามในระดับโอฬาริกอัตตา กิเลสกามในระดับอัตตาหยาบ ดับไปแล้ว ตาก็ยังสัมผัส หูจมูกลิ้นกายก็ยังสัมผัส แต่กิเลสกาม โอฬาริกอัตตา อย่างหยาบมันดับไปแล้ว ก็เหลือมโนมยอัตตา กับอรูปอัตตา เป็นกิเลสในภพ ไม่ได้หลับตาสัมผัสจึงจะเห็น แต่ลืมตาสัมผัสกับ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส นี่แหละ มันอยู่เหลือ เรียกว่า รูปราคะ หมดชั้นนี้ อย่างรูปราคะก็อัตตา ก็กระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายนี่แหละ นี่คือพุทธ ไม่ใช่เพี้ยนที่ไปนั่งหลับตา ไม่ใช่ไปหลับตาเห็นรูปราคะ อรูปราคะ อันนั้นไม่ใช่ แต่จะบอกว่าใช่ก็เป็นกิเลสกามในภพ ราคะในภพ เป็นในภพ หรือภวังค์ องค์ของภพพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ศึกษาอย่างนั้น คุณไปแก้ในภพมันไม่จบ เพราะไม่ได้สัมผัสจริง ไม่ใช่ภพจริง ไม่ได้แก้จริง
คนที่นั่งหลับตา ไปดับกิเลสพวกนั้น ไม่ได้สัมผัสภายนอก จึงมีอวิชชาโง่ให้สัมผัสภายนอก เช่นพวกยังเสพติดภายนอกอยู่ เช่นติดหมากพลู อย่างที่ไปหลงว่าเป็นอริยะหรืออรหันต์ แต่ยังติดสิ่งเสพติดที่หยาบ บุหรี่ หมากพลู แต่อย่างหยาบนี้ยังไม่รู้ว่าเสพภพ เสพกาม กิเลสกามต้นๆยังไม่รู้เลย
จะมีลำดับ โอฬาริกอัตรา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ลัดไม่ได้ ธรรมะของพุทธเจ้า ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่อย่างงั้นจะสับสนไม่รู้ต้นกลางปลาย วนไปวนมา เป็นเรื่องที่น่าสงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไร
อาตมาทำอย่างเมตตา
เมตตา คือเห็นผู้ตกทุกข์หรือสุข ยังวนเวียนในสังสารวัฏ ทุกข์ สุข ก็มีจิตอยากช่วย
กรุณา คือลงมือช่วย
มุทิตา ช่วยสำเร็จ ก็ยินดีด้วย อนุโมทนา จิตว่าง
อุเบกขา ไม่ต้องจำบุญคุณอะไรอีก ว่าง ทำงานเท่านั้น จบแล้ว เป็นฐานนิพพาน อย่างนี้เป็นต้น นี่คืออัปปมัญญา 4 หรือ พรหมวิหาร 4
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่เขาแปลเมตตาว่า เห็นเขาทุกข์ กรุณาคืออยากเห็นเขาพ้นทุกข์เป็นสุข แต่ไม่ได้ลงมือทำเลย มุทิตาก็ยินดีด้วยกับเขา เมื่อเขาพ้นทุกข์ แต่ไม่ได้เข้าใจว่า พุทธไม่ให้หลงสุขหรือทุกข์ แต่ทุกวันนี้คนหลงแต่สุข
สื่อธรรมะพ่อครู(อุตริมนุสธรรม) ตอน อวดตัวตนได้แต่ต้องมีจริงและประมาณถูก
อาตมาก็มาแก้ไข มาปรับเปลี่ยนธรรมะต่างๆ มายืนยันว่า อย่างนั้นผิด อย่างนี้ถูก มายืนยันด้วยความมั่นใจ ด้วยความระมัดระวังว่า ถ้าไปพูดผิดยืนยันผิด ทำให้ศาสนาเสื่อม เราทำบาปเวรภัยอีกเยอะ ก็เลยระมัดระวัง มั่นใจว่าไม่ได้พาออกนอกลู่นอกทาง เพราะผิดแล้วเสียใหญ่ เสียทั้งเราและศาสนาด้วย
อันใดที่ไม่มั่นใจ จะยังไม่แสดงออก จะแสดงออกก็ต้องมั่นใจเต็มร้อยเกินร้อย จึงมาพูดว่าผิดหรือถูก ไม่เช่นนั้นถ้าคนหลงเชื่อตาม ก็บาปซวยทั้งคู่
อาตมามาพูดนี้ เหมือนอวดตัวตน เขาก็เชื่อว่าอวดตัวตน เป็นคนไม่ดี ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
อาตมาไม่มีเครดิตทางสังคม ไม่ได้เป็นศิษย์สำนักไหนเลย แล้วมาพูดจาขัดแย้งกับสำนักเขาไปหมด ค้านแย้งเขา เขาก็ต้องนับถือของครูบาอาจารย์เขา แล้วเอ็งเป็นใคร มาพูดเหมือนล้มล้างคำสอนครูอาจารย์เขา อาตมาถึงต้องบอกว่าอาตมาเป็นใคร พูดด้วยซื่อจริงใจ ก็หาว่าอวดตัวอวดตน จะเอาอย่างไร
การไม่บอก ก็บอกว่ามาจากไหน ? พอบอก ก็หาว่าอวดทำไม?
ถ้าอวดตัวตน แต่ว่าไม่มีจริงในตน ก็ปาราชิกนะ ทุกวันนี้บอกของจริง วิบากมีจริง กรรมเป็นอันทำ ทำแล้วเป็นของตน ทำในที่ลับที่แจ้ง ก็ของตนหมด แล้วเก็บในคลังอัตตาคุณ จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ต่อให้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว มันก็อยู่ แต่จะออกฤทธิ์ได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับกุศล ที่ถ้ามากจนกั้นวิบากไว้ได้ แม้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องรับวิบากได้ พระเทวทัตกลิ้งหินทับพระบาท แม้ไม่หมด แต่วิบากไล่ไม่ค่อยทัน
ผู้จะเลิกวิบากได้ ก็เมื่อปรินิพพานเป็นปริโยสาน
พระพุทธเจ้าไปไหน?
พรหมชาลสูตร ว่า กายของตถาคต กายคำนี้ทั้งรูปและนาม ทั้งสองส่วน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจัก เห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคต ยังดำรงอยู่
เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จักเห็นตถาคตได้ ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคต ยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จักไม่เห็นตถาคต (เหมือนแยกธาตุน้ำ H2O ออกจากกัน ไม่จับตัวเป็นธาตุน้ำ กลายเป็นแก๊ส ออกซิเจน ไฮโดรเจน ธาตุน้ำหายไป)
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน มนสิการที่ธรรมะสองให้เป็นหนึ่ง
ที่อาตมาได้ย้ำแล้วย้ำอีก ประกาศแล้วประกาศอีกนี้ ไม่ได้มีจิตอยากอวด อยากโชว์นะ ถ้าอาตมามีจิตเช่นนี้ แต่บอกว่าไม่มี ก็ปาราชิก อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน กรรมเป็นอันทำ แม้ว่าไม่มีใครมาปรับปาราชิกอาตมา แต่กรรมเป็นอันทำ อนันตริยกรรมของอาตมาก็ต้องรับเอง เป็นเรื่องของกรรม
ในอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม มาถึงกรรมนิยาม
ผู้จะรู้จักกรรมนิยามไม่ใช่ธรรมดา ต้องรู้ อุตุนิยาม พีชนิยาม จึงสามารถจัดระเบียบจิตนิยาม โดยมนสิการได้ หรือกโรติ เป็นการกระทำ สรุปคือทำจิตให้ได้
มนสิการคือการทำใจในใจ เรื่องของนักปฏิบัติธรรม อาตมาถึงว่า ผู้ที่โยนิโสมนสิการไม่เป็น ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ปฏิบัติธรรมไม่มีมรรคผล ทำใจในใจของคุณเองไม่เป็น
แต่ทุกวันนี้ ผู้รู้ไปแปลโยนิโสมนสิการ ว่าเป็นการพิจารณา แปลแค่ว่าพิจารณาอย่างแยบคายถ่องแท้ ไม่ได้แปลว่าการกระทำใจ ทำอกุศลจิตให้ตายไป คุณไม่ทำ เพราะคนแปลเขาไม่ได้แปลให้ทำ แปลให้พิจารณา แต่ไม่ได้บอกให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณารูปนาม มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัยธรรม
ธรรม แปลว่า การทรงไว้ ทรงไว้ทุกอย่าง ส่วนการปฏิบัติธรรมนี้ พระพุทธเจ้าให้เอามาแค่ ธรรมะสอง รูป กับนาม
ให้ปฏิบัติไปเป็นคู่ๆ ทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่ง
ธรรมะสอง คือ ตัวหนึ่งตัวจริง อีกตัวหนึ่งตัวเก๊ ให้เหลือแต่ตัวจริง ปฏิบัติธรรมให้เป็นลำดับ ไม่ใช่ทำไปหมด จับไปหมดไม่ได้ ต้องจับทีละตัว ผัสสะปัจจุบันเกิดกิเลสนี้ เรื่องนี้
มะละกอ สัปปะรด เหตุเกิดกับมะละกอ ก็จัดการกิเลส ที่เกิดกับมะละกอก่อน สับปะรดอย่าเพิ่งเอา แต่ถ้าเอาทั้งสับปะรดและมะละกอ 2 อัน มันก็จะรวมหัวกันฆ่าเราได้ ยิ่งมี 3 อัน 4 อันก็เลยมั่ว
สู่แดนธรรมว่า สำนักอื่นสอนว่า ถอนอวิชชาหมด กิเลสก็หมดไปด้วย
พ่อครูว่าอย่างนั้นตักกะ สอนให้นั่งหลับตา แล้วจะบรรลุทุกอย่าง เช่นผู้ที่เขียนลงในหนังสือพิมพ์ อ.บูรพา หรือวิเวกานาคร ขออภัยที่พูดถึงท่าน แต่เพื่อให้เป็นตัวอย่าง ให้เห็นความต่าง อาตมายืนยันว่าท่านสอนผิด ว่าไปนั่งหลับตาแล้วจิตนิ่งอย่านึกคิด ไม่นึกคิด ถ้าคิดนึกผิดเลย วิจัยวิจารไม่ได้ นิ่งสนิท แล้วปัญญาจะเกิด ถ้าไปนึกคิดไม่ใช่ปัญญา เป็นเรื่องปรุงแต่ง ต้องนั่งให้สนิท แล้วปัญญาจะเกิด แต่นั่นคุณแยก ปัญญากับสัญญาไม่ออก
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ปฏิบัติธรรมจุดไหนมีสิทธิ์ได้อรหันต์
ให้เทน้ำออกจากถ้วยชาก่อนนะ
สัญญากับปัญญาก็ไม่เข้าใจ นั่งหลับตาสะกดจิต เป็นเจโตสมาธิ จะรู้แต่อดีตกับอนาคต ตามพรหมชาลสูตร จะไม่รู้ปัจจุบันเลย การนั่งหลับตา มีแต่อดีตและอนาคต แม้จะเป็นอนาคตที่เป็น กามคุณ 5 ฌาน 1 2 3 4 ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 ที่ ท่านได้บอกไว้ในอนาคต 44 มันก็เป็น กามในภพ เป็นฌาน ในภพ ไม่ใช่ฌานของพุทธ
คุณไปเข้าใจว่า สัญญาเป็นปัญญา แล้วบอกว่า จะเกิดขึ้นเอง ปัญญาจะเกิดขึ้นเอง แท้จริงแล้วมันคือสัญญา ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญา ทั้ง 62 ทิฏฐิความเห็นทฤษฎี เป็นความแส่หาของตัณหาทั้งสิ้น
ปัญญาเกิดได้อย่างไร
ปัญญาเกิดได้ด้วยการลืมตา ไม่ลืมตาปัญญาไม่มี ปัญญาเป็นภาษาของศาสนาพุทธ มาจากอัญญะ มาเป็นปัญญา ต้องท้าวความไปถึงพยัญชนะ
ปัญญาเกิดได้ด้วยองค์ 6 ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 258
ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล จากการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ด้วยการมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัยในการกระทบสัมผัส เพราะปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ทำมรรคทั้ง 7 ลืมตาปฏิบัติ ในการทำอาชีพอยู่ก็ตาม ทำกรรม ทุกอย่าง กัมมันตะ พูดอยู่ คิดอยู่ ก็มี สติ ธัมมวิจัย วิริยสัมโพชฌงค์ วิจัยตัวกิเลสอกุศลจิตออกให้หมด
ผู้ที่จะอ่านจิต เจตสิกของตัวเองออก ต้องฝึกอ่าน เห็นอาการจิต อาการ ลิงค นิมิต เห็นอาการจิตอย่างนี้เรียกว่า โลกียจิต อย่างนี้เคหสิตะ อย่างนี้ เนกขัมมะ
สัมผัสตัวตนของมัน ด้วยญาณของคุณ จะเห็นจริงด้วยคุณเอง เป็นนามธรรม ต้องกำหนดอาการนี่เอง อาการนี้กำหนดเป็นราคะ อาการนี้โทสะ อาการนี้ทุกข์ อาการนี้สุข เป็นต้น ต้องอ่านสิ่งนั้นด้วยตนเอง ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิ
อ่านเมื่อสัมผัสอยู่หลัดๆ มีผัสสะ เกิดกิเลสชอบใจหรือไม่ชอบใจ อยากได้หรือไม่อยากได้ หรือเฉยๆ มันมีเวทนาอยู่ 3 อาการ ก็ต้องอ่าน
ที่ไม่อยากได้และอยากได้ด้วยไม่มี
มะละกอนี้ สัมผัสเมื่อไหร่ เมื่อก่อนก็อยากกิน แต่ตอนนี้สัมผัสแล้วเฉยๆ หรือบางทีเซ็งๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นครั้งคราวเป็นธรรมชาติ อย่างนั้นคือ เคหสิตอุเบกขาเวทนาเป็นได้ ต่างกับ เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา แล้วแยกมโนปวิจาร 18 ตากระทบรูป หูกระทบเสียง เกิดความสุขความทุกข์หรือเฉยๆ ในหกทวารนี้ รวมแล้ว เป็น 18 มโนปวิจาร 18 เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจกระทบสัมผัสแล้ว เกิดความสุข ความทุกข์และ อุเบกขา แต่แยกออกว่า นี่คือเคหสิตเวทนา
ผู้อ่านจิตออก แยกได้ว่านี่เนกขัมสิต อย่างนี้เคหสิต ผู้นี้มีหวังนิพพาน ได้มรรคผล เพราะรู้จักเวทนาที่เป็นกรรมฐานของศาสนา ถ้าเอาอย่างอื่นเป็นกรรมฐานนี้ผิดหมด ถ้าปราศจากเวทนาแล้วไม่มีฐานในการปฏิบัติ แต่คุณอ่านและแปล พระไตรปิฎกผิดเอง หรือไปเข้าใจว่า กสิณคือกรรมฐาน มันไม่ใช่ เวทนาคือกสิณ ใช้จดจ่ออ่าน ถ้าแยกเคหสิตอุเบกขาเวทนา ต่างกับ เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา เป็นสองทาง ทางอลมริยา คือทางที่ประเสริฐ ส่วน นาลมริยา คือทางสู่นรก
ต้องแยกแยะอาการจิต สองอย่างนี้เป็น คนนั้นเป็นอาริยะ เริ่มต้นปฏิบัติถูก รู้ทิศทางที่จะเป็นโลกุตระ ทิศทางไหนเป็นโลกียะ
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมเวทนา 108 โดยเฉพาะ มโนปวิจาร 18 ทำได้ ผู้นี้มีหวังได้บรรลุพระอรหันต์ สัมโพธิปรายนะได้แน่นอน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน กินของอร่อยทีหลังเป็นสมถะหรือวิปัสสนา
_มีพวกเราบอกว่าของอร่อยๆ เอาไว้กินตอนจะอิ่มละกัน พออิ่มแล้วมันเป็นอุเบกขา จะเป็น เคหสิตอุเบกขาเวทนา หรือ เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา
พ่อครูว่า อาตมาเคยปฏิบัติเช่นนี้จริง อันไหนอร่อยๆ เอาไว้ทีหลัง กินสิ่งที่สำคัญก่อน ถ้ามันเต็มท้องแล้ว ดีไม่ดีไม่ได้กินสิ่งอร่อย อันนี้เป็นสมถะเท่านั้น แต่จะให้จริง จะต้องพิจารณา แต่ทำแล้วจะช่วย มันอยากตัวนั้นจะอ่านได้ อย่านะ อ่านใจตัวเอง มันจะสำคัญอย่างไหนเชียว เอ็งไม่เที่ยงหรอก ถ้าให้ เอ็งก็จะโตหนาอ้วนใหญ่
เอาของสาระสำคัญใส่ท้องก่อน ของอร่อยไว้ตอนท้ายๆ
_เมื่อกี้นี้พ่อครูค้างเรื่องอายุ 83 ปี ค้างไว้ไหมครับ
พ่อครูว่า ก็ไม่ได้จริงจัง มีเวลาค่อยแวะ ไม่มีเวลาไม่แวะ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน พรรคเพื่อฟ้าดินจะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่
_ตอนนี้พวกพรรคการเมืองกำลังกระตือรือร้น ภาวะใกล้เวลาเลือกตั้ง แล้วพรรคเพื่อฟ้าดิน จะทำอย่างไร
พ่อครูว่า เราตั้ง พรรคเพื่อฟ้าดิน ไม่ได้ตั้งมาเพื่อจะลงสนาม แย่งอำนาจแข่งขันกับพรรคการเมืองใดใดเลย ไม่ได้มีสักเศษเสี้ยวธุลีละอองความคิดอย่างนี้เลย พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมานี้ เป็นเรื่องตกกระไดพลอยโจน
มีนิทานมายาวตั้งแต่ ดร.นิติภูมิ แกไปขอจดทะเบียน ตั้งพรรคสหกรณ์ขึ้นมา แต่มันจะหมดเวลา ตั้งไม่ทัน ก็เลยมาขอให้หมู่กลุ่มชาวอโศก มาทำพรรค บอกว่าเอาหน่อยๆ มีโลโก้แล้วด้วย ไปจดทะเบียนก็ได้เป็นพรรคสหกรณ์ แต่พวกสหกรณ์ก็ประท้วงว่า อย่าเอาชื่อนี้เลย ต่อมาเราก็เลยเอาพรรคเพื่อฟ้าดิน
เราจะปฏิบัติให้เห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องของธรรมะ การเมืองไม่ใช่เรื่องของการแย่งชิงอำนาจ จะเห็นได้ว่า พฤติกรรมของพรรคเพื่อฟ้าดิน ไม่เคยไปแย่งอำนาจใคร ไม่เคยไปเสนอหน้าหาเสียง การหาเสียงให้แก่ตัวเองอยู่ ยังไม่ถือว่าเป็นพฤติกรรมของประชาธิปไตย ยังเป็นคนมีกิเลส ผู้ที่เป็นประชาธิปไตยแท้ ไม่มีกิเลส พระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดนักประชาธิปไตยสูงสุด รับใช้ปวงชน พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ ล้วนเป็นผู้รับใช้ประชาชน ในหลวงของเราเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้รับใช้ประชาชน ท่านทรงรับใช้ประชาชนมาตลอด 70 ปี เป็นเรื่องจริงเลย อาตมารับใช้ประชาชนทางนามธรรม จึงมองได้ยาก
คนจะมารับของอาตมาได้นั้น เป็นกุศลของเขา
พรรคเพื่อฟ้าดินเกิดขึ้น อาตมาก็ให้มาประพฤติปฏิบัติกัน กกต.นี้รู้จักพรรคนี้ดี เพราะว่ามีการรายงานกิจกรรมของพรรคไปให้ อย่างละเอียดลออกว่าพรรคใดๆ ส่งให้ทุกเดือน จน กกต.นี้ เขาเชื่อพรรคนี้แล้วว่าขยันจริงๆ
เราก็ทำงาน เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า ประชาธิปไตยคืออะไร ไม่หาเสียง ไม่แย่งอำนาจ รับใช้กลุ่มชนออกไปชุมนุมประท้วง ไปทำหน้าที่ต่างๆนานา ที่จะรับใช้ประชาชน อโศกออกไปทำงาน แต่ไม่ได้ติดตั้งป้ายพรรคเพื่อฟ้าดิน ทั้งหัวหน้าพรรค ก็ไปแต่ไม่ได้บอกชื่อ คนไม่รู้จักแต่ทำจริงๆ แม้จะกล่าวถึงการไปประท้วง คือการเมืองแท้ๆ ก็ไม่ได้ติดป้ายว่า พรรคเพื่อฟ้าดิน เราประท้วงอย่างเรา แล้วถือว่าประสบความสำเร็จด้วย ก็ไล่ออกไปได้หลายรัฐบาล แต่เราไม่เคยแสดงว่าเป็นผลงานของเรา ก็เราทำด้วยใจจริง หาผู้รู้มาอภิปราย แสดงความคิดเห็น เพื่อยืนยันว่า ประชาธิปไตยต้องทำกันอย่างนี้ อันไหนผิด ถูก อันไหนควรค้านหรือสนับสนุน เราทำตามครรลองประชาธิปไตย
แต่เขาหาว่า เราออกไปละเมิด พระราชบัญญัติความมั่นคง จนบางคน ได้ข้อหาก่อการร้าย เวรๆ เวรจริงๆ ก็ไม่มีปัญหา เพราะว่ารัฐบาลที่ตรงกันข้าม เขาก็ต้องตั้งข้อหาอย่างนี้ เป็นหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย ก็ว่ากันไป
แต่เราทำงานเพื่อสังคมประเทศ ไม่ได้ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เราเป็นประชาชนคนไทย ในระบอบประชาธิปไตย ก็ทำงานหน้าที่ของประชาชนคนไทย นักปฏิบัติธรรม เป็นพระเป็นเจ้า มีหน้าที่ช่วยประเทศชาติ ช่วยพลเมือง
ใครที่ไปแยกธรรมะออกจากการเมือง คนนั้นบ้าและโง่ แต่ก็น่าเห็นใจว่า พระไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีภูมิปัญญา จะไปทำงานช่วยประชาชนจริง แอบไปหาลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไปเรี่ยไร มหาเถรสมาคมออกกฎว่า พระห้ามยุ่งกับการเมือง ซึ่งก็ดีมาก แต่ในพระไตรปิฎก ไม่มีการห้ามพระมาให้ยุ่งกับการเมือง เพราะธรรมะกับการเมือง คืออย่างเดียวกัน การเมืองคือการงาน ที่ทำกับพลเมือง ธรรมะคืองาน ที่ทำเพื่อพลเมือง ทำให้ดี สิ่งไม่ดีอย่าทำ
คนไม่เข้าใจก็มาว่า แต่เราก็ทำสิ่งที่ควรทำ และสิ่งที่ดี ก็ได้ประโยชน์ต่อประชาชน ต่อมวลมนุษยชาติ
มีกฎหมายว่า พรรคการเมือง จะต้องส่งสมาชิกพรรคการเมือง ลงเลือกตั้ง ถ้าไม่ส่งสองปีไม่ได้ เราเลยส่งปีเว้นปี ลงเลือกตั้งครั้งละ 1 คน เลือกตั้งเมื่อไหร่ เราก็ส่งครั้งละ 1คน เพื่อไม่ให้ผิดกฎหมาย ไม่ได้ส่งเพื่อไปแย่งชิงกับเขา
การจะส่งคนไปรับสมัคร ต้องหยั่งเสียงประชาชนว่า ต้องการให้เราไปสมัคร เหมาะสม ให้เขาเลือกเข้าสภา เมื่อนั้นเราก็จะสมัคร เพราะไม่ได้กระสันอยากสมัคร เพราะว่าประชาชนนี้ เราไม่ต้องไปหลอกลวง หรือซื้อเสียงหาเสียง แต่ประชาชนเรียกร้อง หรือมีปัญญาเองว่า ต้องให้คนอย่างนี้พรรคอย่างนี้ เข้าไปในสภา เมื่อนั้นเราก็จัดไป แม้เข้าไปได้ไม่มาก เราก็ไม่รู้เข้าไปทำไม ไม่มีน้ำยาอะไร เราก็เลยไม่เสียเวลาแรงงาน ไปทำอย่างนั้นหรอก เราทำอย่างอื่น ที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยในสังคม เป็นความประพฤติ ของสมาชิกพรรค กรรมการพรรค หัวหน้าพรรค ให้เป็นพฤติกรรมประชาธิปไตยชัดเจน
_นายกฯตั้งคำถามให้ประชาชนตอบ 4 ข้อ
สรุปคือ นายกฯถามประชาชนว่า การเลือกตั้งช่วยแก้ปัญหาไหม จะได้คนเก่าๆมาไม่ได้คิดถึงยุทธศาสตร์ชาติ แล้วจะเลือกมาทำไม
พ่อครูว่า พลเอกประยุทธ์เป็นคนฉลาด ตั้งประเด็น 4 ข้อนี้ขึ้นมา ให้คนได้ฉุกคิด คนมีปัญญาจะรับทราบว่าจริง จะรีบร้อนเลือกตั้งไปทำไม ไม่อย่างนั้นก็จะโวยว่าทำไมไม่เลือกตั้ง ก็มันยังไม่ถึงเวลาจะมาเร่งรัดทำไม เป็นกิเลสของพวกนักการเมือง ใช้โวหารวาทกรรม เพื่อดิสเครดิตคสช. และพลเอกประยุทธ์ เขาต้องทำ ไม่เช่นนั้นเขาก็หาเสียงไม่ได้
สมณะเดินดินว่า...ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์มีผลงานด้านปรองดอง ทำให้พรรคการเมือง ที่เป็นคู่แข่งกันมา กอดคอกันถล่มรัฐบาลได้ ประชาชนควรออกไปแสดงความคิดเห็น ให้เขารู้ว่า ประชาชนคิดอย่างไร
พ่อครูว่า...แสดงออกนี้ไม่เสียหาย เขาเคยทำประชามติ
สมณะเดินดินว่า...พ่อครูลำดับ เหตุการณ์พรรคเพื่อฟ้าดินว่าเป็นมาอย่างไร และมีกรณีบุญนิยมทีวี ว่าเป็นมาอย่างไรด้วย
วันนี้สิ่งหนึ่ง ชีวิตพ่อครูเห็นทุกอย่าง มันเพี้ยนผิด เขามักว่าถูกคนเดียว คนอื่นผิดหมด แล้วรู้ได้อย่างไรว่าตนเองถูก ก็ไม่มีทางเลือก ที่ต้องบอกสิ่งที่ตนเองทำได้แล้ว แล้วมาบอกให้คนอื่นทำตาม แต่ในเถรวาทถือว่า อวดตนว่าเป็นอาริยะคนนี้ไม่ได้เป็นอาริยะ คือประโยคทองที่ยืนยันไว้
พ่อครูว่า เอาหลักเกณฑ์ กถาวัตถุ 10 มาวัดได้
อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
หรือหลักตัดสินธรรมวินัย 8 มาตัดสินได้
สมณะเดินดินว่า..โสดาบัน สกิทาคามี ยังวัดได้ง่ายกว่า อรหันต์ พระโพธิสัตว์วัดได้ยากกว่า ก็ต้องมีหลักฐานรองรับพ่อครู พ่อครูเหมือนผู้กอบกู้ศาสนา แต่ศาสนาจะยืนยาวได้ อยู่ที่พวกเราจะช่วยพ่อครูกอบกู้ศาสนา สืบสานศาสนาต่อไป...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:06:48 )
รายละเอียด
600604_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ
สมณะเพาะพุทธว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน 2560 อาตมานึกถึงวันเกิดองค์ทะไลลามะเกิดวันที่ 4 มิถุนายน 2478 พล.ตรีจำลอง เกิด 5 ก.ค. 2478 เท่ากันกับองค์ทะไลลามะ ท่านดำรงตำแหน่ง ได้รับการสถาปนาเป็นทะไลลามะ ปี 2493 ตราบจนถึงปัจจุบัน เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2532 (1989) เป็นผู้นำจิตวิญญาณและเป็นผู้นำสูงสุดของทิเบต
เคยมีคนถามว่า เนื่องจากชาติใหญ่เข้าไปกระทำย่ำยีทิเบต ท่านรู้สึกโกรธเขาไหม ท่านตอบว่าโกรธ แต่ไม่เกลียด
วันพรุ่งนี้เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ยังเป็นวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ
ก่อนมาได้หยิบหนังสือที่พ่อครูได้เทศนาไว้ พ่อท่านพูดถึงเรื่อง อดีต ปัจจุบัน อนาคต โดยบอกว่า อดีตไม่มีความจริงมีแต่ความจำและความรู้ อดีตจบสิ้นไปแล้ว ไม่มีความจริง ส่วนความจริงนั้น จะอยู่กับปัจจุบันและอนาคตเพียงเท่านั้น
พ่อท่านเทศน์ถึงศรัทธา 3 คือ เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น โดยยกพระบาลีคือ ศรัทธา ศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ ผมก็ปรารภกับพ่อท่านด้วย ขณะอ่านหนังสือฝนตกหนักที่ BTS เอกมัย ผมก็ปรารภในใจว่า เชื่อถือคือศรัทธาระดับปุถุชน เชื่อฟังคือแบบกัลยาณชน และเชื่อมั่นคือระดับอาริยะชน (พ่อครูตอบว่าใช่)
เวลาฟังพ่อท่าน ไม่ได้จบแค่ฟัง แต่ฟังแต่คิดต่อว่า น่าจะเป็นเช่นนี้เช่นนั้นแล้วจดไว้ อันไหนของพ่อท่านใส่ไว้ว่า PR ส่วนของท่านจันทร์ใส่ว่า PJ
การฟังโดยตรงมีข้อจำกัดเรื่องเวลา ส่วนจะพกหนังสือที่พ่อท่านเทศน์ไว้ติดตัวเสมอ และเวลาอ่านไตร่ตรองก็คิดต่อจากพ่อท่าน
มีพุทธสามระดับ พุทธระดับแรกคือ พุทธศาสนิกชน คือปุถุชน ส่วนพุทธมามกะน่าจะคือ กัลยาณชน และพุทธบริษัทน่าจะเป็นระดับ อาริยชน
ระดับศรัทธาน่าจะปริยัติ ส่วนศรัทธินทรีย์น่าจะเป็นปฏิบัติ ส่วนศรัทธาพละน่าจะเป็นปฏิเวธ วันนี้พ่อท่านนำบทกวี นัยปกเราคิดอะไร 324 มาอ่าน
ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ
(1) ดีสุดของระบอบแท้ คือใด
เป็น“ประชาธิปไตย” เลิศหล้า
ซึ่งประกอบเงื่อนไข หลายหลัก
ต้องไม่ต่ำกว่า“ห้า” นั่นแล้จึงจริง
(2) สำคัญยิ่งหนึ่งนั้น มีกษัตริย์
เป็นประมุขคู่รัฐ ชาติเชื้อ
ฝึกพระจริยวัตร สืบสันต-ติวงค์แฮ
ทศพิธราชธรรมเกื้อ ราษฎร์พ้นภัยผอง
(3) “สองขา”รัฐศาสตร์พร้อม อธิปไตย
หากขาด“ขา”หนึ่งใด วิ่นแท้
ประชาราชสมาศัย ทั้งรูป นามเฮย
ครบเลือด,วิญญาณแล้ จึ่งถ้วนการเมือง
(4) เฟื่องประชาธิปัตย์ขั้น “หนึ่งขา”
แค่“เลือกตั้ง”กษัตรา ก็ได้
เป็นใหญ่แค่ครั้งครา คัดสุ่ม เอาเลย
แล้วใหญ่ในรัฐไซร้ ยิ่งผู้ใดเทียม
(5) ไม่เจียมเลยนั้นแค่ “วิธีการ”
ใช่“กฎมณเฑียรบาล” สืบสร้าง
“ทศพิธราชธรรม”ขาน ก็บ่ ได้ฮา
ปกปักรักราษฎร์อ้าง เอ่ยบ้างมีฤา
(6) “สองขา”คือทั้งเลือด, วิญญาณ
ก่อกษัตริย์ขึ้นบริหาร ทวิไท้
ต่างจากท่านประธาน อธิปติ มากแล
ใหญ่ปุ๊บแต่ล้วนไร้ ชาติเชื้อกรรมพันธุ์
(7) รัฐศาสตร์ขั้นเทพนี้ “โลกุตระ”
ใหญ่“กฎมณเฑียร”ประ- สิทธิ์สร้าง
กับใหญ่ปุ๊บก้าวกระ- โดดปั๊บ ลัดเลย
จะ“เพื่อประชา”อ้าง หลอกแท้ธรรมเทียม
“สไมย์ จำปาแพง” 2 มิ.ย. 2560
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 324 ประจำเดือนกรกฎาคม 2560]
พ่อครูว่า...(1) ดีสุดของระบอบแท้ คือใด
เป็น“ประชาธิปไตย” เลิศหล้า
ซึ่งประกอบเงื่อนไข หลายหลัก
ต้องไม่ต่ำกว่า“ห้า” นั่นแล้จึงจริง
ระบอบคือระบบการปกครอง ระบอบไหนดีสุด มีประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ เผด็จการ สังคมนิยม
(2) สำคัญยิ่งหนึ่งนั้น มีกษัตริย์
เป็นประมุขคู่รัฐ ชาติเชื้อ
ฝึกพระจริยวัตร สืบสันต-ติวงค์แฮ
ทศพิธราชธรรมเกื้อ ราษฎร์พ้นภัยผอง
เป็นผู้มี พระจริยวัตร ต้องมีการดูแลควบคุมพฤติกรรมโดยหลักเลย อยู่ในกรอบกฎมณเฑียรบาล
ถ้าเป็นระบอบประชาธิปไตยขาเดียว ประชาชนก็คือประธานาธิบดี ประธานาธิบดีก็คือประชาชน เลือกมาปุ๊บปั๊บเลย
(3) “สองขา”รัฐศาสตร์พร้อม อธิปไตย
หากขาด“ขา”หนึ่งใด วิ่นแท้
ประชาราชสมาศัย ทั้งรูป นามเฮย
ครบเลือด,วิญญาณแล้ จึ่งถ้วนการเมือง
ถ้าไม่มีประชาชนเลยไม่เป็นประชาธิปไตย
(4) เฟื่องประชาธิปัตย์ขั้น “หนึ่งขา”
แค่“เลือกตั้ง”กษัตรา ก็ได้
เป็นใหญ่แค่ครั้งครา คัดสุ่ม เอาเลย
แล้วใหญ่ในรัฐไซร้ ยิ่งผู้ใดเทียม
ประชาธิปไตยหนึ่งขาก็เท่ากับเลือกกษัตริย์มาใหญ่สุดในประเทศ ก็เลือกตั้งเอาก็ได้ แต่กษัติริย์นี้ต้องสืบสันตติวงค์ มาจากเลือกตั้งไม่ได้ ต้องมีมาตรฐาน เช่นทศพิธราชธรรมเป็นต้น
(5) ไม่เจียมเลยนั้นแค่ “วิธีการ”
ใช่“กฎมณเฑียรบาล” สืบสร้าง
“ทศพิธราชธรรม”ขาน ก็บ่ ได้ฮา
ปกปักรักราษฎร์อ้าง เอ่ยบ้างมีฤา
(6) “สองขา”คือทั้งเลือด, วิญญาณ
ก่อกษัตริย์ขึ้นบริหาร ทวิไท้
ต่างจากท่านประธาน อธิปติ มากแล
ใหญ่ปุ๊บแต่ล้วนไร้ ชาติเชื้อกรรมพันธุ์
(7) รัฐศาสตร์ขั้นเทพนี้ “โลกุตระ”
ใหญ่“กฎมณเฑียร”ประ- สิทธิ์สร้าง
กับใหญ่ปุ๊บก้าวกระ- โดดปั๊บ ลัดเลย
จะ“เพื่อประชา”อ้าง หลอกแท้ธรรมเทียม
ลองมาอ่านบทความของเปลวสีเงินเมื่อวาน เมื่อสหรัฐ '360 องศา' กับไทย
"ไข้หวัด+ภูมิแพ้" มันเล่นไม่เลิก ตั้งแต่ที่เวียดนามโน่นแล้ว กลับมานึกว่าจะหาย กลับหนัก
ฉะนั้น ช่วงนี้........
ผมคุยเลอะเลือน ก็อย่าว่ากันนะ
เพราะมันซึมเซาเมายา หมดเรี่ยวแรง หูอื้อ กระดูกเหมือนจะล่อน อยากนอนแผ่สองสลึงท่าเดียว
หายใจไม่ออกอีกตะหาก.......
อาการแบบนี้ ตามสิทธิการิยะท่านว่า ถ้าไม่หาย ก็ตายแล!
แต่ถ้าถึงตาย "นายกฯ ประยุทธ์" น่าจะตายก่อนผม
เพราะหลังทิ้ง "ปริศนาการเมือง" 4 ข้อ ให้ทุกคนไปขบคิด
(พ่อครูว่า สี่ข้อนี้กระตุกสำนึกปชต.ของประชาชน ถามว่า ใครเป็นปชต. แล้วพร้อมกับการเลือกตั้งแล้วหรือไม่?
นายก ฯ ลั่นประชาธิปไตยไทยต้องไม่ล้มเหลวตั้งประเด็นคำถาม 4 ข้อถึงประชาชนก่อนพาประเทศไปสู่การเลือกตั้ง....
(1) ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่
(2) หากไม่ได้ จะทำอย่างไร
(3) การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง
(4) ท่านคิดว่า กลุ่มนักการเมือง ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร
พ่อครูว่า โลกาธิปไตยคือเรียนรู้องค์ประกอบของประเทศ แล้วเรียนรู้อัตตาธิปไตยคือ ตัวเราเองให้บริสุทธิ์ แล้วบริหารจัดการโลก คือประเทศให้เป็นธรรมาธิปไตย ในศาสนาพุทธสอนประชาธิปไตยและทำได้เรียบร้อยแล้ว เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว และก็รับใช้โลก พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสอนประชาธิปไตยสุดยอด
ประชาธิปไตยนั้นจะมีคุณลักษณะคือ
อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
นี่คือหลักใหญ่ คือว่าลักษณะใหญ่ของสังคมที่ดี ปชช.มีอิสระ อยู่อย่างพี่น้อง ภราดรภาพ อยู่อย่างสงบเรียบร้อย อยู่อย่างมีสมรรถภาพ อยู่อย่างทำให้เจริญเต็ม ทำอย่างซื่อสัตย์ดีตั้งใจจริง บูรณภาพ นี่คือลักษณะยืนยันความเป็นปชต. )
เท่าที่ดูตามโซเชียลมีเดีย ออกมาวิพากษ์-วิจารณ์ ทั้งกะซวก, ลากไส้, ชื่นชม เป็นปฏิกิริยาสนองตอบปริศนา 4 ข้อ นั้น ครึกครื้น
เป็นความครึกครื้น ในขณะที่ตัวเจ้าของปริศนา เล่นบทเตมีย์ใบ้ ปิดปากไม่พูด-ไม่ให้สื่อสัมภาษณ์มาเป็นเวลา 4-5 วันแล้ว
ปริศนาการเมืองนั้น นายกฯ เจตนาสื่อสารอะไร ผมไม่รู้ แต่ที่เห็น ทุกฝ่ายตีปริศนาในภาพรวมออกมาว่า
นี่คือการส่งสัญญาณ..............
การเลือกตั้งจะยาวออกไปจากกำหนดเดิม
หรือ (ยัง) ไม่มีเลย!?
ก็เลยพล่านกันยกใหญ่ โดยเฉพาะนักเลือกตั้งอาชีพ ดูจะเดือดเนื้อร้อนใจเป็นพิเศษ
แต่ที่พิเศษมากกว่าเพื่อน เห็นจะเป็นพวก นปช.เสื้อแดง
ตั้งแต่ไปป์บอมบ์ลง 3-4 ลูก และคนที่ยืดอก "ผมรับผิดชอบเอง" ก็มีแต่ที ยังไม่เห็นว่ามีท่า ไหนล่ะ...จับใครได้มั่ง?
ตอนนี้ จึงดูเคลื่อนไหวคึกคัก มีน้ำ-มีนวล อยู่ในขวดโหล
โทรทัศน์ช่องแดงทั้ง 3 ช่อง เรียงหน้าออกมาถองรัฐบาลและนายกฯ กันชนิดไม่กลัวจอดำ
คงเห็นนายกฯ "คะแนนตก" จึงขย่มกันยกใหญ่?
ถ้าไม่งั้น ......
ก็คงไปได้ข้อมูลอะไรมาซักอย่าง ลีลาตอนนี้ จึงออกมาเหมือน "อ่านไพ่ขาด"?
ใครจะขาด.........
"มิถุนา-กรกฎา"นี้ เดี๋ยวก็รู้!
แต่ดูเหมือนเดือนกรกฎา นายกฯ ประยุทธ์ อาจไปเยือนสหรัฐฯ ตามคำเชิญประธานาธิบดีทรัมป์
จากที่โทรศัพท์พูดคุยกันเมื่อเดือนก่อน และทรัมป์ออกปากเชิญไว้ ก็รอแค่ตารางเวลาเป็นทางการเท่านั้น
การที่นายกฯ ไปเยือนสหรัฐฯ บ่งบอก "ด้านบวก" หลายอย่างกับไทย
และใครก็อย่านำไปโยงด้านว่า ไปซบอเมริกาแบบนี้ ไม่เกรงจีนจะมองเป็นวันทองสองใจหรือ?
มันคนละเรื่อง...........
ถ้าใครพูดแบบนี้ นอกจากบ่งบอกถึง "ไม่ประสา" อะไรแล้ว ยังบ่งถึงเจตนา "คิดร้าย" ต่อประเทศชาติตัวเองทุกลมหายใจ
ประธานาธิบดีจีน เพิ่งไปเยือนสหรัฐฯ พบปะกับทรัมป์มาหมาดๆ และวัน-สองวันนี้ "นายเหงียนซวนฟุก" นายกฯ เวียดนาม เป็นชาติแรกในอาเซียน ที่ไปเยือนสหรัฐฯ พบปะตกลงทางการค้ากับประธานาธิบดีทรัมป์
เวียดนามกับไทย เป็นประเทศ "ได้ดุลการค้า" สหรัฐฯ การได้ไปพบปะพูดคุยกันที่ทำเนียบขาว
ขี้หมู-ขี้หมา ก็เสมอตัว
ดีหน่อย ที่สหรัฐฯ จ้องเล่นงาน ได้คุยกันก็จะมีความเข้าใจและผ่อนคลาย
มองไม่เห็นทางเสียหายตรงไหน กับที่นายกฯ จะไปพบปะทรัมป์
ที่เสียหาย แนวโน้มน่าจะเป็นพวก "เห็บ" อินทรี.........
ที่หนีคดีไปซุกแผ่นดินเขาอยู่ และใช้แผ่นดินสหรัฐฯ นั้น เป็นฐานซ่องสุม บัญชาการ ป่วนทำลายสถาบันและประเทศไทยอยู่เวลานี้
ชั่ว-ดี-ถี่-ห่าง เรื่องภายในสหรัฐฯ เป็นเรื่องของเขา
เอาแต่ที่เป็นเรื่องของเรา อันเป็นผลสืบเนื่องจากสหรัฐฯ ในบทบาทผู้มีอำนาจคุมโลกนั่นเถอะ
อำนาจเปลี่ยน นโยบายก็เปลี่ยนจริงๆ...........
ดูสิ นโยบายสหรัฐฯ ต่อไทย ในยุคโอบามา เป็นนโยบาย "หมาป่ากับลูกแกะ"
สหรัฐฯ ยุคนั้น ประกาศชัด ไม่คบรัฐบาลเผด็จการ ถึงขั้น "ไม่ต้อนรับ" ครม.คสช.
บีบ...ให้รีบเลือกตั้ง เป็นอันดับแรก
ก้าวก่าย-แทรกแซง กิจการภายใน ปลุกปั่น ยุยง-ส่งเสริม ขบวนการต่อต้าน คสช.และสถาบัน
แล้วมาดูนโยบายสหรัฐฯ ต่อไทย ยุคประธานาธิบดีทรัมป์บ้าง
"นายกลิน เดวีส์" ทูตสหรัฐฯ ประจำไทย ให้สัมภาษณ์ VOA ภาคภาษาไทย ที่สหรัฐฯ สัปดาห์ก่อน ในงานเลี้ยงสมาคม US-ASEAN Business Council
"สหรัฐฯ ต้องการเห็นความสมานฉันท์ในประเทศไทย และคิดว่าช่วงเวลาการเลือกตั้งของไทย เป็นเรื่องสำคัญอันดับรองลงมา
ที่สำคัญกว่าเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้ง คือการที่ประเทศไทยสามารถทำให้ประชาชนทุกส่วน มีส่วนร่วมกำหนดอนาคตของประเทศ และเกิดความปรองดองทางการเมืองในประเทศ"
เป็นไงครับ....
นโยบายสหรัฐฯ ต่อไทยยุคทรัมป์ "หนังคนละม้วน" กับยุคโอบามาเลยมั้ยล่ะ!
จากที่ "บีบ" ทุกครั้ง "ต้องรีบให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว" ยุคโอบามา
เปลี่ยนเป็น "การเลือกตั้งของไทย เป็นเรื่องสำคัญรองลงมา" ยุคทรัมป์
แปลความชัดๆ คือ...........
รัฐบาลเลือกตั้งหรือรัฐบาลเผด็จการ สหรัฐฯ ยุคทรัมป์ ไม่ให้น้ำหนักประเด็นนี้
จะเลือกตั้ง-ไม่เลือกตั้ง, จะช้า-จะเร็ว "เรื่องของคุณ"
ขอเพียงว่า ในสิ่งที่ประเทศคุณเป็น คืออนาคตนั้น ให้เป็นอนาคตที่เกิดความปรองดองทางการเมือง
โดยประชาชน "มีส่วนร่วม" ในการกำหนดด้วยก็แล้วกัน!
สหรัฐฯ กลับลำ 360 องศาแบบนี้ นักเลือกตั้ง โดยเฉพาะ "ระบอบทักษิณ"
ชักตาตั้ง!?
"เลือกตั้งเป็นเรื่องรอง สมานฉันท์คนในชาติเป็นเรื่องหลัก" นี่คือคำตอบสหรัฐฯ ใน 4 คำถาม "ปริศนาการเมือง" ของนายกฯ ประยุทธ์
ได้ยินกันทั่วแล้วใช่มั้ย?
ท่านทูตเดวีส์ บินจากไทยไปรับนโยบายใหม่จากทำเนียบขาวมาแล้ว และส่งสัญญาณให้ไทยทราบ
ก่อนนายกฯ จะเดินทางไปเยือนสหรัฐฯ เดือนกรกฎา!
จะตีความว่า การที่ทรัมป์ส่งสัญญาณ "เลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ได้ สหรัฐฯ ไม่เน้น" นั้น
คือสัญญาณ "สลัดทิ้ง" ระบอบทักษิณ?
ผมว่า ไม่น่าใช่
ทรัมป์น่าจะหมายถึง การสลายเงื่อนไขประเทศที่รัฐบาลไม่ได้มาจากระบบเลือกตั้ง เพื่อความเสมอภาคทางการคบหามากกว่า
เวียดนาม ก็เป็นรัฐบาลเผด็จการคอมมูนิสต์ นายกฯ มาจากแต่งตั้ง ยังคบหากับสหรัฐฯ ได้
แล้วต่างกันตรงไหน กับนายกฯ ประยุทธ์ของไทย อันมาจากเผด็จการทหารแต่งตั้ง ที่สหรัฐฯ จะคบหาบ้างไม่ได้?
ไทยซะอีก พูดกันแบบทวงบุญ-ทวงคุณ คือมหามิตรที่สหรัฐฯ เมื่อสมประโยชน์แล้ว ก็ถีบหัวทิ้งครั้งแล้ว-ครั้งเล่า
ดังนั้น ประเด็นที่ท่านทูตยกเป็นเงื่อนไขขึ้นมาพูดครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อนายกฯ ประยุทธ์โดยตรง
แต่เป็นการรองรับเหตุผลฝ่ายเขา ที่เชิญนายกฯ ประยุทธ์ไปเป็นแขกทางการมากกว่า
แต่ก็นั่นแหละ นับเป็น "ท่าทีใหม่" ของสหรัฐฯ มาถูกที่-ถูกเวลา กับบรรยากาศการเมือง
ว่าด้วยเรื่องปริศนา ใน 4 คำถาม นายกฯ ประยุทธ์โยนหินถามทาง ประเด็น "เลื่อนเลือกตั้ง"!
ฟังดูเหมือน สหรัฐฯ สนับสนุนให้รัฐบาล คสช.อยู่ต่อ
ฟังแล้วคิดอีกที........
เอ๊ะ เหมือน "ยุให้รำ-ตำให้รั่ว" ถ้าเลือกตั้งสำคัญอันดับรอง เลื่อนออกไปเท่ากับสร้างเงื่อนไข ให้ฝ่ายนิยมเลือกตั้งลุกฮือ เป็น "ประชาธิปไตยสปริง" มั้ยเนี่ย?
คนที่พูดหน้ามือ-เป็นหลังมือแบบหน้าตาย ยังไงๆ ก็ต้องระวัง การเมืองไม่ว่าระหว่างประเทศหรือภายใน
ประโยชน์ใคร-ประโยชน์มัน เป็นตัวตั้งทั้งนั้น ความหวังดีต่อหน้าใดๆ ท่านว่า เป็นความปรารถนาดีของจิ้งจอกโดยแท้!
เรื่อง "เวียดนามแซงไทย" เห็นจะต้องยกยอดทบไปก่อน วันนี้ ให้เรื่องท่านทูตเดวีส์แซงซักวัน
ความจริง ไม่มีใครล้ำ-ใครแซงใคร ไทยก็โตในฐานหนึ่ง เวียดนามก็โตในอีกฐานหนึ่ง
เวียดนามวันนี้ เหมือนไทยยุคเฟื่องจาก ฝรั่ง-ญี่ปุ่น ก่อนปี 2540 ที่โละเครื่องจักรเก่ามาตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเบาในบ้านเรา
อาศัยแรงงานถูกๆ สิทธิประโยชน์เพื่อส่งออก และกฎหมายยกเว้นเป็นการเอาใจมากมายจากรัฐ
ไทยเราผ่านจุดนั้นไปแล้ว คือจาก 2.0 มาเป็นอุตสาหกรรมหนัก 3.0 ปัจจุบัน และกำลังจะไปสู่ 4.0
ไทย เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง ผ่านยุคสินค้าก๊อบปี้เกลื่อนเมืองไปแล้ว โดยเฉพาะสินค้าพวกการ์เมนต์ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ต่างๆ นานา
เวียดนามวันนี้ อยู่ในยุคสินค้าก๊อป
ถ้าจะแซงไทยได้ มีทางเดียว คืออีก 15-20 ปีข้างหน้า ไทยเข้าสู่ประเทศ "คนชราเต็มเมือง"
ในขณะที่เวียดนามวันนี้ คนเกิดใหม่ วัยรุ่นมีมากกว่า และนั่น จะเติบโตเป็นแรงงานเพื่อประเทศได้เข้มแข็งกว่าและมีมากกว่า นี่คือจุดได้เปรียบ
จุดแข็งเวียดนามคือ ค่าแรงถูก การเมืองนิ่ง ทรัพยากรมีเยอะ
จุดเด่น คือ ส้วมสะอาด-ต้นไม้ใหญ่-วินัยเคร่งครัด-ประชาชนรักชาติ
จุดด้อย พัฒนาคนรองรับการเติบโตสังคมชาติไม่ทัน โดยเฉพาะธุรกิจการบริการ
ถือว่า "ยังอีกนาน" และไม่ใช่พื้นฐานนิสัยที่จะฝึกให้คนเวียดนามเข้าถึง "จิตบริการ" ได้ง่ายๆ ในฐานะคนเกิดมากับสงคราม
นั่นคือ ถึงอย่างไรก็สู้ไทยในด้านบริการ-การท่องเที่ยวไม่ได้ แค่จะแก้ปัญหา คนเวียดนาม "หน้ามึน" อย่างเดียว
ก็ "มึน" แล้ว!
พ่อครูว่า...คนหน้ามึนคือประมาณ ธัมมชโย คือหน้าด้านยกกำลังสามกำลังห้า คือไม่รู้สีรู้สาอะไรใครจะว่าอะไร วันนี้มีเด็กๆมาร่วมฟังด้วย ก็ดี เขามีคำถาม จะได้ตอบคำถามเขาด้วย ก่อนจะตอบคำถามนักเรียน ที่ได้มาช่วยจัดงาน แม้ที่สุดช่วยขนแตงโมลงจากรถ 6.5 ตัน มีทั้งแตงไทย แตงโม
SMS วันที่ 2 มิถุนายน 2560
3752กราบเคารพอย่างสูงที่หลวงพ่อให้ความสว่าง อำนาจ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน นั่งดูลมหายใจมิใช่มรรคมีองค์ 8
1614การยึด"อานาปานสติ"มาสอนคน(พุทธวจนะ)***แต่ปฏิบัติไปสู่การนั่งหลับตาเข้าสู่ภวังค์เช่นเดียวกับกสิณอื่นๆแต่บอกว่านี้คือมรรคองค์แปดทางสู่ความหลุดพ้น!**ขอให้พ่อครูช่วยวิเคราะห์ประเด็นนี้ครับผม!/เย็นยิ่ง
พ่อครูว่า...การเอาลมหายใจเป็นกสิณ อานาปานสติคือให้จิตนิ่งจดจ่อกับลมหายใจ ก็เหมือนกสิณอื่นๆ ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่บอกว่านี่คือมรรคมีองค์ 8 มันจะมีมรรคมีองค์ 8 ที่ไหน อาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะไม่ได้ทำเลย เขาไม่ได้เข้าใจพยัญชนะว่าเป็นสภาวะอย่างไร อาตมาวิเคราะห์เรื่องนี้ตลอดเวลา
ตอนพระพุทธเจ้าออกบวช เขาปฏิบัติอานาปานสติคือนั่งสะกดจิตกับลมหายใจเข้าออก เต็มป่า เหมือนยุคนี้เลย ไปเจออาฬารดาบส อุทกดาบส พระพุทธเจ้าก็บอกว่าไม่ใช่
พระพุทธเจ้าตีทิ้ง แต่เขาหาเรื่องใส่ความ แปลงสาร ศาสนาพุทธในเมืองไทยนี้ยึดถือนั่งหลับตาเป็นภาคปฏิบัติสมาธินั้นมาหลายร้อยปีแล้ว มันเสื่อมมากแล้ว
การปฏิบัติธรรม ขออธิบายวิชาการศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธปฏิบัติลืมตามีสัมผัสเป็นปัจจัย เป็น concentration อย่างหนึ่ง ส่วนของพระพุทธเจ้านั้น เป็น supraconcentration ในการคิดพูดทำ มีโพชฌงค์ 7 ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์เป็นตัวหลัก การปฏิบัติจะต้องมีปัญญาเป็นตัวหลัก เกิดจากองค์ 6 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ สัมมาทิฏฐิ
แต่เขาตีไม่แตกคำสอนของพระพุทธเจ้า เลยบื้อทื่อไปหมดเลย แต่ดันยึดสิ่งไม่ถูกมาเป็นสิ่งถูกอีก อาตมาพูดนี้เหมือนอวดตัวตน พูดมา 46-47 ปีแล้ว เหมือนผู้ใหญ่ว่าเด็กๆ ทำไมไม่รู้จักแก้ไขปรับปรุง ไม่มีปรโตโฆษะ โยนิโสมนสิการ
ไม่รับฟังคนอื่นเอาไปแก้ไขตัวเอง จะทำโยนิโสมนสิการไม่เป็น หมายความว่าคุณจะทำใจในใจไม่ถูก ไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่สามารถปฏิบัติ ไม่สามารถปฏิเวธ แต่คุณทำใจในใจอโยสิโสฯ คือพวกนั่งหลับตาสมาธิ แล้วก็ไม่มีปรโตโฆษะ
คุณจะโยสิโสมนสิการต้องมี คบสัตบุรุษ ฟังสัทธรรม
ถ้าไม่ได้คบสัตบุรุษ ก็ต้องรู้ว่าใครคือสัตบุรุษ อาตมาประกาศตนเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์นะ เมื่อคุณคบสัตบุรุษบริบูรณ์
1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .
2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์
8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
ถ้าไม่ได้คบสัตบุรุษบริบูรณ์ก็จะไม่สามารถโยนิโสมนสิการบริบูรณ์
คนที่ได้ฟังธรรมะจากสำนักงานอื่นๆมา แล้วเคยฟังสำนักไหนที่อธิบายอย่างที่อาตมาอธิบายไหม สำนักอื่นทำใจอย่างไร ให้นั่งหลับตา เดินหนอ ย่างหนอ แต่ทั้งที่ธรรมะพระพุทธเจ้ามีมากมาย อาตมาสาธยายก็หาว่าพูดมาก แต่ให้นั่งหลับตาสะกดจิต ทั้งที่ ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา ทุททสา แต่ให้นั่งหลับตาอีก เมื่อไหร่จะเข้าใจกัน
อย่างเขาเรารู้ และเป็นได้ด้วย อย่างนั่งหลับตาของคุณอาตมานั่งมามาก
อาตมาเคยนั่งที่วัดอโศการาม นั่งเจโตสมาธิ ยุงทะเลมากัดมาก นั่งสะกดจิตให้มันกัด พอเสร็จแล้วมันเป็นรอยกัดของยุงเต็มเลย ยุงรุมกันเต็มเนื้อเต็มตัวก็ทนได้ เป็นต้น ที่พูดนี้เป็นประสบการณ์อาตมาผ่านมา อาตมารู้ทั้งสองอย่าง แบบโลกียะ กับแบบโลกุตระที่ ปฏิบัติตามแบบสัมมาสมาธิ ให้มาลองแบบนี้บ้าง ปรโตโฆษะบ้างจะได้โยนิโสมนสิการ แต่แบบนั้นมันอโยนิโสมนสิการ ของพระพุทธเจ้านั้นมีปัญญา รู้โลกกว้าง โลกวิทู อาตมาว่าหนักนะ แต่ไม่สะดุ้งสะเทือนเลย เปิดโทรทัศน์ช่องไหนก็พานั่ง
ไม่ได้เกิดกายปาคุญญตา ไม่ได้เกิดกายกัมมัญญตา ที่แปลว่า ความคล่องแคล่วแววไวของเจตสิกคือ เวทนา สัญญา สังขาร ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องไม่รับรู้ไม่แววไว แต่นี่ สัญญา เวทนา สังขารก็ว่องไว
ศึกษาให้ตรงคำสอนของพระพุทธเจ้าบ้าง แต่นี่สอนกันทำกันตรงข้ามกับคำสอนพระพุทธเจ้า 360 องศา
มาตอบปัญหาเด็กก่อน
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ว่าด้วยการเลือกตั้งกับพรรคเพื่อฟ้าดิน
_ว่าด้วยการเลือกตั้ง หลวงปู่คิดว่าเด็กสัมมาสิกขาในวันนี้สามารถเป็นนายกในอนาคตได้หรือเปล่า
ตอบ...ทำไมคิดไกลนัก มีผู้บอกว่าอยู่ให้จบม.6 ให้ได้ก่อน แล้วก็จะได้เป็นนายกหรือเปล่าก็ค่อยทีหลัง
_แล้วพรรคการเมืองของเรา มีโอกาสไปสู่สายตามวลชนจนได้รับเลือกไปรับใช้ประเทศชาติได้ไหมกี่เปอร์เซ็น
ตอบ...พรรคการเมืองของชาวอโศก เราตั้งพรรคมาไม่ได้ตั้งมาอย่างที่พรรคการเมืองทั้งหลายตั้ง เขาตั้งนั้นมีความมุ่งหมาย เจตนารมณ์ ความคิดความเข้าใจ ว่า พรรคการเมือง ตั้งมาเพื่อเข้าสู่สภาเพื่อเข้าสู่การได้อำนาจ แต่ว่าพรรคเพื่อฟ้าดินนี้ไม่ได้คิดเลย ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อจะเข้าสู่สภา ตั้งขึ้นมาเป็นพรรคการเมืองเพื่อจะทำงานกับประชาชน เปิด 2 หูฟัง กรุณาเปิด พรรคการเมืองของชาวอโศก ชื่อพรรคเพื่อฟ้าดิน ตั้งขึ้นมาไม่ได้มีเจตนารมย์เพื่อจะเข้าสู่สภา หรือการไปแย่งอำนาจพรรคอื่นๆ
ตั้งขึ้นมาเพื่อรับใช้ประชาชน เป็นประเด็นหลัก ขึ้นมาทำงานกับประชาชน ทำงานกับประชาชนก็ไม่เคยติดป้ายหาเสียง หลายพรรคไปทำงานกับประชาชน ก็ติดป้ายไว้หาเสียง แต่เราทำนี่ช่วยประชาชน แล้วรายงานกกต.ไปเท่านั้น แต่ไม่ได้โฆษณา เป็นพรรคการเมืองที่ต่างจากแบบโลกเขาจริงๆ
เขาถามว่า ควรจะเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตไหม.. ก็ควรจะเป็นอย่างยิ่ง จะได้หรือเปล่า
โอกาสนั้นมีแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่ถ้าคนไทยมีภูมิปัญญารู้ว่า พรรคการเมืองนั้นเขารวมตัวกันขึ้นมาเพื่อจะเข้าไปทำงานรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อไปสร้างอำนาจ หาเงินหาทอง อย่างที่เขาเป็นกัน แต่ไปรับใช้ประชาชนจริง ถ้าประชาชนรู้ว่าพรรคนี้เป็นอย่างนี้จริงๆ เมื่อนั้นแหละจะได้ไปสู่สายตาประชาชนเพราะประชาชนมีปัญญารู้ของจริง เราทำจริงอยู่ไหม..ก็ทำ
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเพาะพุทธว่า...พรรคเราตั้งมาเพื่อรับใช้ประชาชน ไม่ติดป้ายหาเสียง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ 10) ตอน พ่อผู้ให้กำเนิดทางจิตวิญญาณ
_ดิฉันขอเรียกพ่อท่านว่า พ่อท่าน เหมือนพ่อท่านเป็นพ่อผู้ประเสริฐ ขอกราบขอบพระคุณจะพยายามเป็นลูกที่ดี
พ่อครูว่า... จริงๆแล้วคำว่า พ่อผู้ให้กำเนิดเชื้อสรีระ ก็สำคัญ ถ้าอย่างคนทั่วไป ตีตัวเอง เป็นเจ้าของจิตวิญญาณ ธาตุรู้ ความรู้หรือความไม่รู้ แล้วก็มีคนหนึ่งมาเป็นผู้ที่ร่วมทำให้จิตวิญญาณ ธาตุรู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดใหม่ เกิดมีความรู้ที่ดี โดยเฉพาะเป็นโลกุตระ ก็นั่นแหละ คือการร่วม ทำให้เกิด โอปปาติกโยนิ เกิดขึ้น นี่คือการเกิดโอปปาติกโยนิ เป็นพ่อที่แท้จริง
ผู้ใดสามารถทำจิตใจตัวเองให้มาศึกษา พยายาม ตัวเองเป็นเจ้าของจิตวิญญาณ ศึกษาเพื่อให้เกิดการร่วมรู้ร่วมสร้าง ทำให้จิตวิญญาณเปลี่ยนแปลง จิตวิญญาณตัวเองเกิดใหม่ เป็นอีกอันหนึ่ง วิญญาณแตกตัวใหม่ โดยเฉพาะเป็นโลกุตระชน เป็นโลกุตระบุคคล เป็นจิตชนิดใหม่ อันนี้เป็นการกอบกู้ เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โอปปาติกโยนิ สามารถทำให้จิตใจเป็นตระกูลจากปุถุชน ตระกูลโลกีย์ เปลี่ยน DNA ของจิต มาเป็น DNA ตระกูลใหม่ เป็นตระกูลโลกุตระ กลับกันกับตระกูลเก่า
ไม่มีใครอยากได้นรก อยากได้สวรรค์ทั้งนั้นแต่นั่นแหละคือนรก ศาสนาพุทธนั้นคือหมดนรกหมดสวรรค์ ทางที่จะไปสู่ความหมดนรกและสวรรค์คือไปสู่ก้นกรวย แต่ทางไปสู่สวรรค์อย่างเช่นธรรมกาย บานทะโร่ ก็มีแต่นรกเต็มเบ้า แต่ถ้าไปอีกทางหนึ่งหมดนรกและสวรรค์ก็ไปสูญ หมดนรกสวรรค์นี่คือศาสนาพุทธ
ศาสนาธรรมกาย จึงเป็นศาสนาที่กบฏต่อศาสนาพระพุทธเจ้าอย่าง 180 องศา ตรงกันข้ามอย่างยิ่ง
สื่อธรรมะพ่อครู(ไอน์สไตน์) ตอน E=mc2 เปรียบกับ bomb of love
_กราบนิมนต์พ่อครูอธิบาย E=mc2 เปรียบกับ bomb of love. แล้วทำให้เป็นรูปธรรมและนำสู่การปฏิบัติอย่างไร
พ่อครูว่า ของอาตมา E=mc2+A เป็นนามธรรม
E=mc2 เป็นพลังงานนิวเคลียร์สูงสุดเป็นแยกนิวเคลียสออกเป็น 2 ลักษณะเป็นธรรมะ 2 นิวเคลียร์ฟิวชันกับนิวเคลียร์ฟิชชัน แล้วมันก็ทำงานสังเคราะห์สังขารกันเป็นพลังงาน E ในมวลของ หน่วยในนิวเคลียสมี นิวเคลียร์ฟิวชันกับนิวเคลียร์ฟิชชันคือบวกกับลบ หากมันเคลื่อน C ด้วยความเร็วมาก กำลังสองคือมากปฏิภาคทวี ที่เพิ่มเป็นอัตราก้าวหน้าทวีคูณ
สบายใจลึกไปชั้นคุณสามารถรู้ความสมบูรณ์ของสัมประสิทธิ์ co efficience ซึ่งนับเป็นสามหน่วย คือ บวก ลบ แล้วมีตัวแปร อีกอัน
บวกคือ static ลบคือ dynamic ตัวที่สามคือตัวแปรทำให้สองสิ่งนี้ มีอัตราก้าวหน้าเป็นแบบคูณ Geometric จะคูณขนาดไหน แต่ถ้ายกกำลังสองเป็นสูตรของไอน์สไตน์ คือก้าวหน้าไปให้ได้มากสุดเท่าที่จะก้าวหน้าได้
ผู้ใดสามารถทำเองมีพลังงานก้าวหน้าได้มากเท่าไหร่ ก็สูงเท่านั้น ในโลกนี้ แสงความเร็วสูงสุด c คือความเร็ว จะเกิดตัวแปรเท่าที่ทำความเร็วได้
bomb of love เป็นนามธรรมของ E=mc2 ทางวิญญาณที่มีสองนัย นัยหนึ่งเป็นโลกีย์ ระเบิดออกมาเป็นความชั่ว อย่างธัมมชโย ระเบิดได้ผลเสียหายไม่น่าชื่นชม
ส่วนของในหลวงเราเห็นชัดเจน นี่ดีนะมีปรากฏการณ์จริงยืนยันได้ ของในหลวงเราจึงได้เห็น ท่านทรงทำงานด้วยจิตวิญญาณเพื่อมนุษยชาติ ทำเพื่อประชาชน ส่วนพวกนั้นเอาจากประชาชน
ประชาชนคนไทยมีภูมิปัญญา มองออกว่า การกระทำของทักษิณและธัมมชโยนั้น ไม่น่าเคารพไม่น่าชื่นชม แต่ของในหลวงนั้นน่าชื่นชมบูชา จึงเกิด bomb of love เป็นเรื่องของประชาธิปไตยแบบพุทธ
ต้องกล้าทำแบบคนจน มาทำความจน ไม่ใช่ทำแบบคนรวย คืออัปปิจฉะคือมักน้อย อย่าเอามากๆ แบบธัมมชโย ที่ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์จึงได้ตรัสที่ถูกต้องของศาสนาพุทธ 100% แม้แต่พระก็ไม่สามารถมีความรู้และตรัสได้แบบในหลวง ในหลวงมีพระปรีชาญาณของศาสนาพุทธ แล้วท่านก็ทรงตรัสอีกว่า ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา
จนตอนนี้เกิดปรากฏการณ์ใหญ่ พฤติกรรมใหญ่ในสังคมมนุษย์ เมื่อพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตก็เกิดความเสียดาย เกิดการแสดงออกความระลึกถึง เสียดาย ไม่อยากให้พลังงานอันประเสริฐนี้สูญไป แต่มันห้ามไม่ได้หรอก เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป แต่แสดงถึงภูมิปัญญาว่าคนไทยรู้จักสิ่งประเสริฐ อย่างที่ในหลวงทรงนี้คือความประเสริฐ แล้วก็มาตะโกนมาพูด จะทำอย่างศาสตร์พระราชา จะเดินตามคำสอนพ่อ ดีมากๆๆ ให้ทำจริงอย่าเอาแต่พูด ต้องศึกษาและทำจริงๆแล้วประเทศไทยจะได้เจริญ
_The sun ฝากคำถามๆพ่อครูทาง lineครับ
ถามว่า
คนที่นอนกรน จนทำให้นักปฏิบัติธรรมนอนข้างๆหลายคนต้องต่อสู้ เอาเสียงกรนของท่านเป็นกรรมฐาน บางคนนอนไม่หลับเพราะเสียงกรน แต่ก็เข้าใจว่าเจ้าของเสียงกรนไม่มีเจตนารบกวนเพื่อน
กรณีนี้อยากทรายว่าคนนอนกรนมีส่วนแห่งบาปมากน้อยอย่างไร?
และควรมีวิธีแก้ไขอย่างไรสำหรับผู้นอนกรนที่ไปรบกวนเพื่อนให้นอนไม่หลับครับ
พ่อครูว่า...คุณอย่าเอาเรื่องสุดวิสัยมาถามอาตมา เป็นเรื่องสรีระ แล้วก็ไปปรึกษาหมอ ทำอย่างไรจะไม่นอนกรน
_ไฟบิน....วันนี้ผมถามไว้ล่วงหน้าขอรับ นิยตะโพธิสัตว์ผู้น้องของพ่อครู
ในยุคนี้ มีมาทำงานช่วยพ่อครู แบบไม่เปิดเผยหรือไม่ ถ้ามี เราจะพิจารณาดูได้
อย่างไร จึงจะไม่หลงทาง เสียเวลาไปกับ การนั้น
_บุญเรือน....จะทำอย่างไรให้อกุศที่เกิดแล้วให้เป็นอโหสิกรรมได้คะนมัสการค่ะ
ตอบ...คุณก็อโหสิกรรมด้วยคุณเอง แต่จะไปแก้กรรมที่ทำแล้วไม่ให้เกิดไม่ได้ สั่งสมไปแล้ว ลบล้างไม่ได้กรรมเป็นอันทำ แต่ปัจจุบันนี้ต่อไปเราจะไม่ทำอีก แต่พลังงานที่เกิด โกรธ แล้วก็ต่อไปเรื่อย พลังงานเหมือน generator เป็นพลังงานจองเวรจองกรรมต่อไป มันก็ทำงานของมันต่อไป จะแรงมากหรือน้อยก็เป็นวิบาก
สมณะเพาะพุทธว่า..อโหสิกรรมอยู่ที่เรา กรรมที่ทำไปแล้วเลิกไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันให้ไม่โกรธ แม้มีคนมาว่าเราคือเราอโหสิกรรม เราไม่ทำกรรมไม่ดีของเราต่อ ถ้าใครถามอโหสิกรรมคือจบที่เรา แต่ไม่ใช่จบกรรมที่ทำไปแล้ว แต่เราไม่ทำกรรมอกุศลใหม่
_พระอรหันต์ต้องเกิดเป็นคนอย่างเดียวหรือไม่ในชาติต่อไป
ตอบ...คุณเป็นเองให้ได้เป็นพระอรหันต์ให้ได้แล้วจะรู้คำตอบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:08:27 )
รายละเอียด
600605_พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก ครั้งที่ 36 สันติอโศก พ่อครูเหนื่อย
เริ่มเทศน์ 09.00 น. พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันที่อาตมาเริ่มอายุ 84 ได้ 1 วัน ยังไม่ถึงวัน เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมง เพราะอาตมาตกฟากตอนพระกำลังบิณฑบาตกลับเข้าวัด โบราณไม่มีนาฬิกา ก็เลยบอกว่าพระกำลังกลับจากบิณฑบาต เวลาเกิดคร่าวๆของอาตมา ตอนนี้เก้าโมงกว่าก็ราวๆชั่วโมงสองชั่วโมงผ่านมาเท่านั้น
อายุยืนยาวมาจนบัดนี้อาตมาก็ยังภาคภูมิใจ ที่ยังคิดได้ทัน ตอนออกมาอายุ 36 ปี เสียเวลาอยู่กับโลกโลกีย์ ยังรับยศสรรเสริญโลกียสุข โง่เงา ดักดานอยู่อย่างนั้น ได้คิดแล้วก็หันหลังกลับ ไม่เอาแล้ว มันเป็นความจริง มันเป็นความรู้ที่ชัดเจนที่อาตมาออกมา ไม่ได้หมายความว่าออกมาอย่างโลกส่วนรวมพาเป็นเลยทำตามเขาไม่ใช่
จริงๆจะออกมาจากโลกนั้น ยังหาที่พักหาที่อยู่ หาที่ทำงานจะทำที่ไหนดี จะเข้าไปอยู่วัด ไปทำร่วมกับวัดนั้นไม่ได้คิด ชัดเจนเลยว่ามันไม่ใช่ ไม่ใช่ที่ของศาสนาพุทธ มันออกนอกรีต ถ้าขืนเข้าไปจะถูกพลังสนามแม่เหล็กของวัด ของความเห็นที่มิจฉาทิฏฐิออกนอกรีตศาสนาพุทธแล้ว อาตมาต้องต่อสู้ตายเลย ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่มีพลังงานเหลือจะมาทำอะไรได้ คือมันชัดเจน ที่พูดนี้ขออภัยต้องพูดสัจจะความจริง ไม่ได้กดขี่ข่มเหงอะไร แต่เป็นความรู้จริงเป็นวิชาการ ที่พูดนี้ไม่ได้มีจิตรังเกียจรังงอน ตอนนี้พูดความจริงว่าอันนี้ดำ ดำมากดำน้อย ดำปี๋เลยอันนี้ พูดความจริง แต่พูดไปแล้วคนก็ไม่ค่อยเข้าใจ คือเขาไม่ได้เป็นอย่างอาตมาเป็น อาตมาเป็นคนที่มีจิตใจแบบไหนเขาเดาไม่ได้ มีความคิดนึกมีมโนสัญเจตนาอย่างไร เส้นสายของ projection จะฉายออกไปกี่องศา เขาคิดไม่ออกหรอก เดาเอา
อาตมาเองอาตมาจึง ชัดเจน และทำอย่างอาตมาเข้าใจว่าอาตมาต้องทำอย่างนี้ ซึ่งมันก็นึกหนัก ตรงที่ว่า โอ้โห เราจะแบกโลกทั้งโลกนี้ไหวไหม มันเป็นอย่างนั้นเลย เพราะโลกมันกำลังจะคว่ำ เราจะแบกไหวหรือ พูดแล้วดูยิ่งใหญ่ไม่รู้จะทำยังไง
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน ชีวิตคือการศึกษา บวร
มาถึงวันนี้ อาตมามาทำงานศาสนา สามารถเริ่มต้น พอเริ่มทำงานก็มีประชาชน มีพหุชน น้อยๆ พหุแปลว่ามาก แต่พหุของเรานี้ พหุชนน้อยๆ เข้ามารวมกันเป็น บ้านวัด และเกิดโรงเรียนขึ้น
จริงๆแล้วโรงเรียนมันเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง ถ้าคนเข้าใจแล้วว่าชีวิตคือการศึกษา โรงเรียนก็จะเกิดขึ้นทันที ชีวิตคือการศึกษา ชีวิตไม่ศึกษานั้นไม่ใช่ชีวิต มนุษย์ต้องมีการศึกษา มนุษย์ไม่มีการศึกษาไม่รู้ว่าการศึกษาคืออะไร แล้วก็ไม่ศึกษา การศึกษาก็ต้อง Aim มีทิศทางมีเป้าหมาย มี Goal มี interested ว่าต้องไปจุดนี้ทิศทางนี้ แล้วจะรู้ว่าไปทิศทางนี้ไม่ใช่ง่ายๆ จะไปอย่างไรก็ต้องตะล่อม เหนี่ยวนำไป ดึงไปให้สู่จุดเป้าหมาย Goal ที่เราต้องการให้ได้
ต้องรู้องค์ประกอบต่างๆ ต้องคอมโพส จัดการให้มันมี ภาวะที่นำทางไปสู่จุดนั้นให้ได้ อาตมาพาทำนั้นเกิดหมู่บ้าน เกิดชุมชน อย่างเช่นที่นี่สันติอโศก
ตั้งแต่เริ่มแรก เกิดกลุ่มศาลีอโศก ศีรษะอโศก สันติอโศก สีมาอโศก ปฐมอโศก เกิดหมู่บ้านขึ้นมาเรียกว่าเกิดบ้าน แล้วแน่นอนก็มีวัด มีธรรมะ และมีการศึกษาธรรม จึงเกิด บ้าน วัด โรงเรียน
โรงเรียนนี้คือ การศึกษาเพื่อที่จะให้เกิดความรู้ตาม Goal ตามเป้าหมาย ตามจุดหมายที่เราต้องไปให้ถึง ได้ทำอย่างนั้นเกิดอย่างนั้น เกิดสภาพของบ้านวัดโรงเรียนขึ้นจริงๆ ศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธต้องมี สามเส้านี้ บ้านวัดโรงเรียน
แต่ทุกคนนี้ศาสนาพุทธไม่เป็นเช่นนี้ วัดก็อยู่เฉพาะพระ อย่าข้ามเขตไปเลยนะ คือเข้าไม่ได้ สปาร์ค ทนไม่ได้ เพราะมันอ่อนแอ แต่ศาสนาพุทธนั้นไม่อ่อนแออย่างนั้นหรอก สัมผัสสัมพันธ์อยู่ร่วมกันแล้วจะ ออสโมซิส มีจิตวิญญาณ ออสโมซิส ซึมซับไหลเข้าหากันโดยไม่ต้องรู้ตัว มันเป็นคุณภาพมีประโยชน์
แต่สำคัญคือ ตรวจพลังงานที่จะออสโมซิส ซึมซับนั้น หนึ่ง ต้องมีตัวตั้ง ผู้ที่นำพาจะต้องเป็นสภาวะ ความ ควบแน่น คงที่ เป็นหน่วยธรรมะ มีภาวะควบแน่น คงที่ เพื่อที่จะกระจายพลังงานนั้น แล้วก็มีพลังงานนั้นเกิดจริงๆ จึงเรียกว่ามีทั้ง Static Dynamic
Static คือตัวตั้งคงที่ Dynamic คือพลังงานจะสะพัดรอบ ทำงานจากต้นทาง เป็นนิวเคลียส เป็นทั้งนิวเคลียร์ 2 สภาพ บวกกับลบ แล้วถ้าเผื่อว่า พลังงานบวกลบ 2 อันนี้ ทำปฏิกิริยา มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ สูงถึงขั้น อัตราคูณ การก้าวหน้าสูง ถึงระดับขั้นคูณ
มีตัวคงที่เป็นแกนหลัก แล้วพร้อมที่จะทำงานเต็มที่ สอง พลังงานนั้นต้องมีพลังงานสูงถึงขั้น คูณ สามอันนี้เรียกว่า Coefficient สัมประสิทธิ์ ถ้ามี Coefficient นี้ได้ คือเกิดการก้าวหน้าเกิดการพัฒนาการได้ ถ้าไม่ถึงขั้นนี้จะมีแต่เสื่อมไม่มีพัฒนาการ ไม่ก้าวหน้ามีแต่ถอยหลังและลงเหวไป แต่ถ้ามีพลังงานดังกล่าว พลังงานของธรรมะพลังงานของพุทธธรรม นี่คือสภาพธรรมที่อาตมาอาศัยภาษาทางวิทยาศาสตร์มาประกอบขยายความให้ฟัง ก็ไม่รู้จะเอาภาษาอะไรเป็นตัวสื่อ มันก็ไม่ได้ตั้งภาษามา ก็ต้องอธิบายกันยืดยาว ถ้าใช้ภาษาก็จะสั้น
นั่นคือสภาพสามเส้า ทุกอย่างถ้าเกิดองค์รวม สามเส้า จะเกิดปฏิกิริยาอย่างดี เส้าที่สาม เป็นตัวแปร หากไม่มีพลังงานก้าวหน้า มีแต่การเสื่อมถอยสุดท้ายก็สูญหายหมดเกลี้ยงไป แต่ถ้าเผื่อว่า ให้พลังงานที่ก้าวหน้าก็จะเจริญไปถึงที่สุด
ทีนี้ ภาวะซับซ้อน คือ ศาสนาพุทธให้เรียนรู้ในจิตของเรา จะต้องรู้ปฏิกิริยา สามเส้านี้ ที่มันจับตัวเป็นกิเลส ซับซ้อนนะ กิเลสเป็นพลังงาน อกุศลจิต หรืออกุศลเจตสิก
พลังงานนี้มันก็ สามเส้าของมัน กิเลสก็มี Static และ Dynamic มี Coefficient ของมันเหมือนกัน แล้วเราต้องจับตัว Coefficient ของมัน แล้วทำให้มันถอยหลังลงไป ให้มันเสื่อมลงไป จนหมด
ลักษณะ สามเส้าของอะไรต่ออะไรทุกอย่าง ในการเกิดพลังงานร่วมกันขึ้นมา ทำงาน จะเกิดพลังงานสามลักษณะใหญ่ๆนี้ทั้งนั้น พลังงานหนึ่งคงที่ 2 ตัวเคลื่อนไหวทำงานร่วมกันอย่างสำคัญ 3 มีพลังงานพิเศษเป็นตัวแปร จะก้าวหน้าหรือถอยหลัง
ผู้ใดสามารถอ่านพลังงานดังกล่าวนี้ได้ คนนั้นคืออาริยะ ปฏิบัติธรรมพัฒนาการไปได้ บรรลุธรรม ถึงขั้นอรหันต์แน่ ยิ่งรู้ชัดและทำได้ด้วย จัดการกับพลังงานกิเลสของเรา แม้กิเลสจะมากก็ต้องชนะ ได้พากเพียรแล้วต้องชนะทุกคน
มาพูดให้ตื้นขึ้น
สามเส้า ขยายความเป็นบ้าน วัด โรงเรียน ปีนี้เขาทำหนังสือ ต้อนรับเจ็ดรอบ นักษัตรพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
ข้างหลักปกว่า ...บ้านคือสังคมทั้งหมด ที่เราอยู่ร่วมกัน วัดคือคุณธรรม คือธรรมะ โรงเรียนคือการศึกษา สามเส้า บ้าน วัด โรงเรียน จะซึมซับหากัน อย่างละเอียดมีสภาวะจริง ความจริง ความรู้ ที่เป็น โลกุตรธรรม ก็จะแทรกซึมเข้าไป ให้กับทุกคน นี้คือสัจจะของ บวร บวรคือบ้านวัดโรงเรียน
รายการซึมซับมันมีพลังงานในตัวของมันเอง ถ้าแกนหรือกลุ่มคน เป็นแกนหรือกลุ่มคนที่มีคุณธรรม อาริยธรรม โลกุตรธรรมในคนจริงๆ อย่างในชุมชนสันติอโศก มีทั้งสมณะ สิกขมาตุ คนวัดต่างๆ หรือผู้ที่มาร่วมงานทุกวัน มาร่วมกันจิตใจของแต่ละคน มีจิตโลกุตรจิตจริงๆ
โลกุตรจิตนั้นก็จะมีพลังไหลเวียนซึมซับ กระจายเป็นรังสีราศีเป็นพลังงานออกไปสู่ภายนอก มันไม่มีคำพูดไม่มีรูปร่างตัวตน แต่เป็นพลังงานที่แพร่กระจายโดยไม่ต้องคิดไม่ต้องนึก เป็นโดยธรรมชาติ นั่นที่หนึ่ง
สองมีเจตนารมย์ ตัวบุคคลมีเจตนารมณ์มีความตั้งใจ พยายามที่จะให้ พยายามจะกระจายออก พยายามสื่อสารออกให้ เผื่อแผ่ออกให้จริงๆด้วย มันก็ยิ่งจริง พลังงานนั้นจะปลูกฝังเผื่อแผ่ต่อคนอื่นได้จริง ยิ่งมีวิธีการถูกต้องผู้รับก็มีความตั้งใจรับผู้ให้ก็มีความฉลาดให้ ก็ยิ่งได้ผล ไม่ฉลาดเลยไม่ตั้งใจเลยก็ไม่ได้ ถ้าตั้งใจบ้างแม้ไม่ฉลาดก็จะได้
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน พ่อครูบอกว่าเหนื่อย...เปิดงานอโศกรำลึก ปี 2560
อาตมาก็เกิดมาทำงานนี้ ตั้งแต่รู้ตัวอายุ 36 ทำมาจนถึงวันนี้ อาตมาเลิกที่จะไปหาลาภยศ หาสรรเสริญ หาความสุขโลกีย์ แม้หาอัตตามาบำเรอ สร้างอัตตาตัวเองอีก อาตมาชัดเจนว่าไม่มีแล้วทำได้แล้ว อาตมาอวดหรือบอกไปจนหมดแล้ว ไม่ได้มาอวดอีก ที่พูดนี้พูดรายละเอียดของสัจธรรม
มาถึงวันนี้ได้ผลพอสมควร ได้รู้ความจริงว่าสังคมพุทธศาสนาในเมืองไทย มีคนสนใจมีคนที่จะรับได้เท่านี้ เท่านี้ เท่านั้น! นอกนั้น ก็
หนึ่ง ไม่แยแสเลย สอง แยแสเหมือนกัน แล้วก็ตัดสินว่า เฮ้อ ! ไม่ใช่ อย่างนี้ไม่ใช่พุทธ
สาม รู้ว่าพุทธเหมือนกัน แต่คงเป็นพุทธที่แปลกๆ
สี่ มีอะไรดีเหมือนกันเข้าท่า มีการสนใจเพิ่มขึ้นพอสมควร
ห้า ก็คือพวกคุณ เข้ามาเอา ก็มีคนอยู่ในประเทศได้เท่านี้
ซึ่งอาตมาเอง ขอบอกอีกครั้ง ซึ่งบอกไปแล้วไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง ศาสนาพุทธยืนยาวมาถึง 2600 ปีนี้ ณ ปัจจุบันนี้ มันได้เสื่อมสูญไปหมดแล้ว นอกจากเสื่อมสูญแล้วเพี้ยนผิดไป พากันออกนอกลู่นอกทาง ปรุงแต่งคำสอนวิธีการลงไปทับถมศาสนาพุทธอีกเยอะ จนยากมากเลย ที่จะชะล้างทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่มาห่อหุ้มศาสนาพุทธนี้ ลำบากลำบนจริงๆ แต่ไม่มีทางเลือกที่จะต้องทำ
พูดจริงๆ มาถึงปีนี้วันนี้อาตมารู้สึกเหนื่อย ธรรมดาก็ไม่เคยเกิดอาการอย่างนี้ อาการเหนื่อยนี้ เห็นว่าไม่ดีแน่ๆ นี่เป็นความรู้สึกนะ ไม่ใช่เรื่องของร่างกายเหนื่อยนะ พลังงานทางจิต มันสุดเหนื่อย ถ้าเหนื่อยที่หนักหนาสาหัสกว่านี้มันจะเหนื่อยหน่าย ถ้าอาการถึงหน่ายแล้ว อาตมาว่าไม่รอดๆๆ อาการน่าเป็นห่วงตายแน่ๆไม่ดี
เพราะฉะนั้นก็เลยต้องบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกเรา ให้พวกเรารับทราบว่าอาการของอาตมามันชักอาการน่าเป็นห่วง บอกให้พวกเรารู้ ทีนี้บอกไปแล้วจะเกิดผลดีได้อย่างไร
พวกคุณก็จะต้อง ขมีขมัน กระตือรือร้น ช่วยอาตมา คนละไม้คนละมือขึ้นมาอย่างแท้จริง ที่พูดนี่ก็พูดความจริง พูดสัจธรรมออกไป ก็ไม่ใช่เชิงขอร้อง แต่จะบอกว่าให้อาตมาใช้คำพูดนี้ไปแล้ว หมายถึงว่าอาตมาขอร้องก็ได้ อาตมาก็ไม่มีปัญหา
ขอร้องว่า น่าจะช่วยอาตมาบ้าง เพราะอาตมาก็อายุยาววันยาวคืน อายุก็ยืนยาวไปตามการหมุนของโลก
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน สืบทอดDNAพุทธ
อาตมาบอกแต่ต้นว่า อาตมาเข้าใจแล้วว่าชีวิตควรจะมาทำงานอะไร ก็มาทำงานที่ตั้งแต่ รู้อายุ 36 จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่ได้ถอยไปไหน แล้วก็ชัดเจนว่า เราคืออาตมานี้ มันได้ทำงานนี้มาไม่รู้กี่ชาติแล้ว อันนี้ก็พูดไป เป็นอจินไตย คนจะรู้ตามอาตมาไม่ได้หรอก แต่ไม่ได้พูดเพื่อหาเสียงหลอกให้พวกเราเชื่อ เป็นเรื่องจริงที่เป็นจริงอย่างนั้น ถ้าใครเชื่อว่าศาสนาพุทธมีความสืบต่อ มีความต่อเนื่องด้วยจิตวิญญาณ พลังงานจิตวิญญาณนี้มันสืบเนื่องเป็นกรรมวิบาก เรียกตรวจภาษาชัดชัดๆว่ากรรมพันธุ์ แต่ไม่ใช่สรีระ สืบเนื่องทางจิตวิญญาณจึงเรียกว่า กรรมพันธ์ุ
คนไทยเอาคำว่ากรรมพันธ์ุ ไปเรียกการสืบต่อทาง DNA หรือยีน ซึ่งผิด เพราะว่า DNA หรือยีนส์ เป็นการเชื่อมต่อสืบทอดทางพีชนิยามเท่านั้น สืบต่อ speciesแล้ว Breed ทางวัตถุธาตุ ไม่ใช่ทางจิต
ลูกไม่ได้เอาวิญญาณพ่อแม่มาสืบทอด ไม่ได้สืบทอดกรรม มีแต่สรีระที่ได้สืบทอดมา สืบตระกูล สืบชาติทางดินน้ำไฟลม กับการสังเคราะห์สังขารแบบ พีชนิยาม พีชธาตุ เหมือนพืช มันไม่มีวิญญาณ มันมีธาตุดินน้ำไฟลมส่วนไหนอย่างไรมันก็มา มันมีต้นทุนอะไรของพ่อแม่เท่าไหร่มันก็ถ่ายเทมาให้ลูกหลาน หรือตามกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด แต่ไม่ใช่ทางจิตวิญญาณ ทางกรรมที่ของใครของมัน พ่อของพ่อของลูกพ่อของลูก
การเคลื่อนไหวสืบทอด ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ใช่กรรม แต่การเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณคือกรรม การเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณขั้นจิตนิยาม จึงเกิดกรรมวิบาก เกิดเวทนา เกิดวิญญาณ ขั้นพีชธาตุ เป็นชีวะ ยังไม่มีเวทนาไม่มีกรรมวิบากอะไร นี่เป็นสัจจะของศาสนาพุทธ อุตุนิยาม พีชนิยาม กรรมนิยาม แล้วทรงไว้เรียกว่า ธรรมนิยาม รวบรวมไว้
เมื่อเกิดสภาพที่อธิบายไว้ คร่าวๆนี้ ก็จะเกิดการขยายตัว อย่างไงๆก็พยายามขยายตัว ทั้งเจตนาหรือผลักดัน ทำงานสร้างสรรค์ประกอบการ มันก็เกิด พวกเราไม่หยุดหย่อน แม้จะได้อาศัยงานทางโลกเช่น งานกสิกรรม งานพาณิชย์ สื่อสาร ทางเทคนิคของมนุษย์ เราก็เอาธรรมะเอาการเผยแพร่ธรรมะใส่เข้าไปร่วมเข้าไป รวมเข้าไปอยู่ในงานการศึกษา งานการเกษตร ร่วมอยู่ในงานวิศวกรรม งานพาณิชย์ ร่วมในงานต่างๆทางโลก เราก็เอาธรรมะร่วมไปทั้งหมด ร่วมไปทุกอย่าง จึงเรียกว่า บุญนิยมทุกแขนง สิบกว่าแขนง งานบางอย่างเราไม่ไปทำเช่นงานอบายมุข สนุกบันเทิง งานกีฬา หรืองานการเมือง
เราก็ทำงานการเมือง แต่ไม่ได้ทำแบบเขาแบบโลกๆ ที่ไปสร้างอำนาจให้เป็นที่ยอมรับของสังคม หรือ ได้อำนาจมาจากสังคม แต่ของเรานี่ จะเรียกว่าการเมืองก็ยิ่งใช่ เป็นงานการเมืองที่อิสระเป็นประชาธิปไตย เป็นเรื่องที่ไม่ได้บังคับใคร แล้วเราก็สร้างพลังงานที่เป็นธรรมาธิปไตย แล้วเขาจะยอมรับเอง เป็นอำนาจอธิปไตยที่เกิดจริง มันมีจริงเกิดจริง ใครจะรับหรือไม่รับมันเป็นอำนาจด้วยตัวมันเอง
อาตมามั่นใจว่าอโศกเราอยู่ได้เพราะว่าธรรมาธิปไตย อยู่ได้เพราะว่าอำนาจของธรรม แล้วก็เป็นธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมะหล่อเลี้ยงรักษาเราไว้ ไม่มีอำนาจทรัพย์สินเงินทอง อำนาจบาตรใหญ่อะไรอื่น ไม่มีอำนาจเครื่องยศศักดิ์ (พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
ไม่มีอำนาจทางทรัพย์สินเงินทอง เป็นอำนาจ ไม่มีอำนาจทาง ยศศักดิ์ อำนาจทางตำแหน่งหน้าที่ ยิ่งอำนาจทางสรรเสริญไม่มีเลย อโศกมีแต่อำนาจทางถูกนินทา ว่าร้าย อำนาจที่จะมายกย่องสรรเสริญนั้นไม่มีใครช่วย ไม่มี มีแต่คนรู้ว่าก็ดี แต่เขาเฉยๆ ไม่ช่วย
อาตมาดูแล้วไม่มีใครช่วยอโศก ไม่มีใครโปรโมทอโศก ไม่มีใครส่งเสริมอโศก ให้อโศกทำเองอาตมาว่า นั่นเป็นสิ่งยอดเยี่ยมเขาทำอย่างนั้นก็ดี มันยอดเยี่ยม
ถ้ามีคนช่วยอโศกเยอะอโศกจะเจริญ แต่ฟ่าม เจริญเร็วแต่ฟ่าม ระดับความนิยมแต่เนื้อไม่เจริญแต่นี่ เขาไม่ส่งเสริม ไม่โปรโมตอโศกเลย อโศกต้องพากเพียรต้องแน่นแข็งวิเศษ คนอื่นจะเจริญหรือไม่ก็ตามอโศกเองเจริญด้วยตัวเองก่อนเขา นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด ก็พากเพียร
โดยเฉพาะอาตมาเองรู้ดีว่าตนเองได้อันนั้น เขายิ่งไม่ช่วย เหมือนเราเลี้ยงเด็กโดยให้เด็กช่วยเหลือตัวเอง เด็กจะแข็งแรง ถ้าช่วยเด็กมาก เด็กจะอ่อนแอ
ต้องขอบคุณเขาที่ไม่โปรโมทเรา ดีไม่ดี ถีบเราอีกต่างหาก ไม่เป็นไร เราจะพยายามพากเพียรอุตสาหะ เอาความจริงนี้ ออกเปิดเผย ออกแจกจ่าย แต่ผู้ที่ควรจะได้มันก็เป็นไป
สรุปแล้ว มนุษย์นี้ถ้าไม่มีธรรมะ เสียชาติเกิดมา ในร่างกายเป็นมนุษย์เกิดมาแล้วซวย คนที่ไม่ใส่ใจธรรมะโดยเฉพาะธรรมะอันประเสริฐธรรมะอาริยะของพระพุทธเจ้า เกิดมาแล้วไม่ใส่ใจเลย ซวยจริงๆ เกิดมาแล้วเสียชาติเกิด
ถ้าไม่มีใครหยิบยื่น ไม่มีใครมีเชื้ออริยธรรมนั้นก็แล้วไปเถอะ แต่นี่มีแท้ๆ บอกด้วยว่านี่เป็นอาริยธรรม เขาก็ไม่เชื่อ บอกว่าไม่ใช่ โง่ต่อเลย แทนที่จะเฉลียวฉลาดเห็นจริงว่าใช่ ก็บอกไม่ใช่ ตัดสินเองอีก
อย่างเขามีอาจารย์แม้ผิดๆ เขาก็ยังเอาได้ไม่เท่าไหร่หรือไม่ได้เลย ถึงน่าสงสารและน่าเวทนามาก
คำว่าน่าเวทนาเป็นภาษาไทย ของศาสนาพุทธเกิดมาต้องพัฒนาเวทนา ถ้าเกิดมาแล้วไม่พัฒนาเวทนา คนนั้นก็สูญเปล่า โมฆบุรุษ ถ้าคนไหนเกิดมาแล้วรู้อาการเวทนา แล้วพัฒนาเวทนาให้เป็นเนกขัมสิตเวทนา จนถึงที่สุด ฐานสูงของการพัฒนาที่เรียกว่า เนกขัมสิตอุเบกขาที่เป็นฐานนิพพาน ฐานนิพพานอรหัตตผลคือเนกขัมสิตอุเบกขา
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_อุเบกขา) ตอน อุเบกขาเจริญด้วยองค์คุณ 5
อุเบกขาจะเจริญด้วยองค์ 5 เจริญด้วย ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธาคือ ทำให้กิเลสไม่มีในจิตได้แล้ว คือความสะอาดของจิต แม้จะทำได้ชั่วคราวก็ตาม แต่ถ้าทำได้และมีน้ำหนัก มีความควบแน่น ตามจริงที่ใครสามารถทำได้ เป็นปริสุทธา จิตนี้จะเป็นฐาน เป็นหน่วยคงที่
ปริสุทธาสะอาด ทำให้จิตนี้ไม่มีกิเลสเข้าไปทำงาน หยุดได้ เสร็จแล้ว คุณก็ต้องมีชีวิตอยู่ ศาสนาพุทธไม่ได้ไปนั่งหลับตานี้อยู่ที่ไหน เนกขัมสิตอุเบกขา ไม่ใช่เคหสิตอุเบกขา นักปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแยกอาการ เนกขัมสิตะกับ เคหสิตะ ไม่ได้ คนนั้นเดาเอาไม่ชัดเจน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาชัดเจนแจ่มแจ้ง มีผัสสะเป็นปัจจัยแยกเวทนาได้ มี สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์
แยกแยะได้ ว่าตอนนี้ปริสุทธา เป็นหน่วยคงที่ static แล้วมี dynamic มีตัวแปรทำให้ก้าวหน้า ขั้นคูณ ถ้าบวกนี้จะเดินหน้าไม่ค่อยดี คนถึงได้ให้พยายามอ่านกิเลสตนเองให้ลดลงอย่างก้าวหน้าระดับคูณเลย ถ้าแค่บวกไม่ค่อยเจริญ
ต้องให้คูณให้ได้จึงพัฒนาขึ้นได้ ถ้ายิ่งยกกำลังเลยก็ยิ่งสมบูรณ์แบบ อย่างที่ไอน์สไตน์ตั้งสูตรว่า E=mc2 ถ้าสามารถยกกำลังได้สูงสุดแล้ว ถ้าแค่บวกออกไม่ได้ สั่งงานที่ดึงดูดมันเยอะ
แล้วมีปริโยทาตา คือต้องก้าวหน้าขึ้นมีพัฒนาการ แล้วต้องปรับที่มุทุภูตธาตุ คือตัวจิตที่มีอาการ แววไว แววไวทั้งเชิงปัญญาคือรู้ แววไวทั้งเชิงเจโตคือจิตปรับเปลี่ยนได้ง่าย ไม่ใช่จิตใจแบบตอแหล แต่ปรับเปลี่ยนตามปัญญาที่แววไว
คนที่เข้าใจธาตุมุทุได้ จะรู้จักความเจริญของการปฏิบัติธรรม เรียกเต็มว่ามุทุภูตธาตุ เป็นธาตุที่มีพลังงานประจำของตัวมันเอง จะมีพลังงานบวกและเป็นนิวเคลียสของจิต ผู้ที่รู้พลังงานนี้หลายแยกพลังงานบวกลบได้ พร้อมทั้งทำให้เกิดพลังงานตัวแปรบวกหรือคูณให้ก้าวหน้า
ปริโยทาตา คือมีพลังงานก้าวหน้าอยู่ ตัวตั้งปริสุทธา ตัวก้าวหน้า เป็นสัมประสิทธิ์
ตัวมุทุ คือตัวเคลื่อนแล้ว ถ้ามุทุมีพลังงานเคลื่อนได้อีกเท่าไหร่ ก็เป็น กัมมัญญตา
เป็นความเจริญของกรรม การกระทำกรรม ผู้นี้ต้องมีพัฒนาการกรรม กายกรรม วจีกรรม โดยเฉพาะมโนกรรม มีการพัฒนากรรมที่ควบคุมด้วยอัญญา
อัญญาคือความรู้โลกุตระ เป็นความรู้ของศาสนาพุทธผู้รู้คนแรกคืออัญญาโกณฑัญญะ เกิดความรู้ใหม่ ในจิตคน ธรรมดามันเกิดไม่ได้ ความรู้ของคนมันมีแต่โลกียธรรมแต่พอพระพุทธเจ้านำเอาโลกุตรธรรมของท่านมาเปิดเผย
อัญญาโกณฑัญญะเป็นบุคคลคนแรกในยุคพระสมณโคดม 2600กว่าปีผ่านมา พระพุทธเจ้าถึงอุทานว่าอัญญา สิ วัตโพ โกณทัญโญ โกณฑัญญะได้เกิดธาตุรู้นี้แล้วหนอ คือตื่นจากความรู้ของปุถุชน เป็นธาตุรู้ตัวใหม่ที่อุบัติขึ้นได้
อัญญะคืออื่น แต่ธาตุรู้อันนี้แหละที่เป็นโลกุตระเจริญขึ้นเป็นอัญญา อัญญา แปลว่า ความรู้ของโลกุตระของอาริยธรรม แล้วพัฒนาเป็นปัญญา
อาตมาอาศัยพยัญชนะ อาศัยอักษร คำพวกนี้ด้วย มาขยายสภาวธรรม ตามที่อาตมามีสภาวะ ไม่ใช่อธิบายตามตำรามา
ประเด็นอัญญะ อัญญานี้ น่าจะไม่มีนักรู้ของศาสนาพุทธคนไหนพูดกัน ต่อให้จบด็อกเตอร์ห้าใบก็ไม่ได้ เพราะเป็นความรู้เฉพาะตน ซึ่งไม่ใช่รู้กันได้ง่ายๆ ที่อธิบายนี้ไม่ใช่รู้ได้ง่าย ถ้าตนของตนใดรู้และเข้าใจได้ก็เป็นกุศลอย่างยิ่ง
ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงลึกซึ้งมาก ถ้าเกิดอัญญะคือธาตุรู้ใหม่ อื่นที่ต่างจากโลกียะ จะมีคุณสมบัติที่ต่างกัน แต่ก่อนตั้งหน้าตั้งตาชอบที่จะล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุข พอมีจิตตัวใหม่นี้ก็จะค่อยๆลด ไม่ใช่ไม่ทำเลย ถ้าได้ก็ดี แต่ไม่ใช่ว่าหยุดทำงาน หลงผิดไปนั่งหลับตาไม่ทำงานการ อย่างนั้นลงทะเลยะเยือกเย็นเลย
ศาสนาพุทธต้องทำสัมมาอาชีพ ทำงานเลี้ยงตน เป็นคนไม่ทำงานเลี้ยงตนอย่างนั้นไม่ใช่คน สัตว์เดรัจฉานยังสามารถเลี้ยงตนเองได้ แล้วได้ผลผลิตก็แจกจ่าย ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เอาผลผลิตไปเอาเปรียบผู้อื่นอีก อย่างนั้นทุนนิยม เลวสุด สัตว์เดรัจฉานยังไม่สามารถทำระบบทุนนิยมได้เลย
ระบบทุนนิยมจึงเป็นระบบที่เกิดขึ้นเพราะคน อดัม สมิธ เกิดก่อนอาตมาเกิด 211 ปี เขาถือว่าเป็นบิดาแห่งทุนนิยม ต้นหลักสูตรทุนนิยมสามานย์ตัวหลัก คือ มีม็อตโต้ว่า Maximize Profit คือ เอาเปรียบให้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โอ้โห หน้าเลือดขนาดหนัก ซึ่ง ตรงกันข้ามกันกับศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธนั้นเสียเปรียบไม่ได้ ให้เป็นที่สุดเลย "เสียเปรียบ" มีที่สิ้นสุด แต่ "เอาเปรียบ" ไม่มีที่สิ้นสุด ...พ่อครู 5 มิ.ย. 2560 อโศกรำลึก เพราะมัน เป็นปากกรวย โลภไม่สิ้นสุด แต่เสียเปรียบ เสียสละไปทางก้นกรวย มีที่สุดคือสูญ แต่ไปเอาเปรียบบานเป็นปากกรวยมีแต่บานทะโร่ไม่สิ้นสุด
ผู้ที่มาศึกษาศาสนาพุทธจะเป็นคุณแก่โลก เป็นประโยชน์แก่ตนและเป็นคุณแก่โลก จะไม่เป็นตัวเบียดเบียนทำร้ายทำลาย สัตว์หรือมนุษย์หรือโลก จะกลายเป็นตัวที่มีประโยชน์ต่อโลกเขาด้วยซ้ำ นี่คือศาสนาพุทธ
มุทุ คือตัวจิตที่ยิ่งใหญ่ แล้วจะทำงานอย่างมีอัญญา เป็นกัมมัญญตา จะทำงานอย่างไร จะสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งที่ เปื้อนโลกีย์หยาบอย่างไร แต่จิตนี้ เป็นจิตไม่ดูดซึมซับโลกีย์ ยังผ่องใสผ่องแผ้วสะอาดอย่างเดิม ปภัสสรา
จะถูกโลกียะย่ำยีอย่างไรก็อสังหิรัง ไม่เปลี่ยนแปลง อวิปริณามธัมมัง ไม่แปรเปลี่ยน ไม่มีการเป็นอื่น อสังหิรัง ไม่มีอะไรล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงไปจากอันนี้ได้ อสังกุปปังไม่กลับกำเริบ เป็นพลังงานจิตที่มั่นคงถาวร
จะสมบุกสมบันกับโลกหยาบคาย อย่างไร จะเอาให้ตายอย่างไรก็ไม่ตาย จะบริสุทธิ์สะอาดอยู่อย่างเดิม ทำให้จิตเป็นอย่างนี้ได้
คนมีจิตมีคุณสมบัติอย่างนี้ได้ อยู่กับโลกจึงมีจิตปภัสสรตลอด แล้วมีประโยชน์ต่อโลกช่วยเหลือโลกอุ้มชูโลก ไม่ต้องห่วงตัวเองเลย
อย่างอาตมาเป็นคนไม่ห่วงตัวเองมากไป จนคนข้างเคียงต้องให้สัญญาณว่า กิน ขี้ เยี่ยว นอน ไป มา แต่ทำงานไม่บอก ห้าม พักบ้าง เอาแต่ทำ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ออกจากทุนนิยมสามานย์
อดัม สมิธ เกิด 5 มิ.ย. 2266 เอา 2477 ไปลบ ได้ 211 ปี ก็น่าสงสาร เอาโลกีย์มาเป็นวิชาการมาใช้ ให้คนเอามาใช้ จนคนก็เอาทุนนิยมมาใช้เลยได้ฉายาว่าทุนนิยมสามานย์ ก็รู้กันอยู่ แต่คนที่อยู่ในระบบทุนนิยม ไม่ยักจะออกจากระบบทุนนิยม จมอยู่ในระบบนั้น พูดกันก็พอรู้แต่ไม่ศึกษาไม่ออกจากระบบ พวกเราเป็นพวกที่ออกจากระบบทุนนิยม
ชาวอโศกเราได้มาพัฒนาการตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า มารื้อฟื้นเอาความรู้ความจริง หลักวิชาการของพระพุทธเจ้า ฟื้นคืนมา จนเราสามารถพิสูจน์ได้ ถึงขั้นจุดสำคัญของศาสนาพุทธก็คือ เกิดชุมชนสาราณียธรรม 6 ชาวอโศกเราทำสำเร็จ
อยู่ด้วย เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีลาภก็รวมกันเป็นลาภธัมมิกา(สาธารณโภคี) แล้วมีศีลสามัญตากันทั้งชุมชน อย่างต่ำศีล5 ใครจะศีล 8 10 ก็เชิญ เป็นได้ทั้งชุมชน และมีทิฏฐิสามัญตา มีเป้าหมายเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าใครจะเดินไปได้เท่าไหร่เท่านั้นเอง
เมื่อองค์ประกอบองค์รวมมี สาราณียธรรม 6 อยู่แบบองค์รวมมีบ้าน วัด โรงเรียน จึงเกิดพุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ เอกีภาวะ
ถึงวันนี้แล้วศาสนาพุทธเป็นมาสองพันเจ็ดร้อยปี ก็ยังทำได้อยู่พระพุทธเจ้าข้า แม้จะไม่สวยงามเต็มรูปร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ได้ไม่น้อย เช่นคนอยู่ในชุมชนชาวอโศก ไม่ต่ำกว่า 60 ถึง 70 % ไม่ต่ำอะไร
จิตที่ระลึกถึงกันก็ไม่ต่ำกว่า 80% ความรักก็เป็นมิติที่สูงส่งขึ้น สังวรระวัง เคารพกัน ด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ แม้แต่สมมุติ มีการสังคหะ มีการเกื้อกูลกัน แจกจ่าย นี่แตงโมจะมาอีกกี่ตัน ขนมา มาแจก ทำอยู่ตลอดเวลา สังหคะ เอาไปแจกที่อื่นได้ด้วย สนามหลวงบ้าง ช่วยกันอย่างนี้เป็นต้น
ไม่วิวาทกัน ชาวอโศกไม่มีคดีความ ชกต่อยกัน อย่างเก่งก็ปากหอก ข้างนอกนั้นจัดจ้านมากกว่าเยอะ พวกเราไม่
อวิวาทะ สามัคคียะ สามัคคีกันจนเกิดเป็น เอกีภาวะ จนคนข้างนอกเขาบอกว่าพวกนี้มันเป็นปึกแผ่นเหนียวแน่นจริงๆ เราสนิทกันด้วยสัจธรรม ของจิตวิญญาณ น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน
เพราะทุกอย่างมีธรรมชาติของการควบแน่น static ลักษณะพลังงานบวก รวมตัวกันเป็นธรรมชาติ ของนิวเคลียร์ Fusion มันจะหลอมละลายอันอื่น แล้วจะรวมตัวกันเป็น Fusion หลักวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ ก็ตรงกัน
วันนี้เป็นวันข้าว และวันชาวนาแห่งชาติ ก็ต้องตระหนักคุณค่าของข้าว และเชิดชูชาวนาไทยที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ แล้ววันนี้ก็เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลกอีกด้วย และเป็นวันเกิดของสมณะโพธิรักษ์ด้วย
เราปฏิบัติมีจารีตประเพณีวิธีการ ในการรวมตัวกันเผยแพร่ให้ความรู้ ประพฤติปฏิบัติร่วมกัน เรามีพร้อมทุกอย่าง ไม่ใช่มานั่งฟังทำเฉยๆ แล้วก็ปัดตูด ให้คนข้างหลังได้เก็บหางหนัก ก็ร่วมกันทำทุกอย่าง เมื่อคืนเด็กๆก็ทำกันถึงดึกดื่นๆ พวกนี้ชอบเล่น พอเวลาใกล้มาก็เร่ง พวกนี้นิสัยเสีย ชอบให้จุดตูด
ก็ดีนะมีมวลชน ประชาชนสนใจในเรื่องที่มีความสำคัญในความสำคัญ ถึงสาระที่มนุษย์ควรจะใส่ใจ เอาเวลาทุนรอนมาให้ คนที่รู้จักสาระเป็นสาระ รู้จักสิ่งที่ควรทำดีก็เป็นประโยชน์มากแล้ว โลกไม่ขาดจากสิ่งเหล่านี้ก็ดีมากแล้ว คนเขาไม่แยแสเป็นธรรมชาติก็แล้วแต่เขา คนไม่รู้คนโง่ก็ธรรมดา คนฉลาด คนที่มีปัญญารู้ก็มารับเอา สำหรับวันนี้เวลาที่เขาให้อาตมาเทศนาก็หมดลงแล้ว ก็ขอจบลงเท่านี้ขอขอบคุณทุกคนที่มาฟัง เจริญธรรม...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:09:25 )
รายละเอียด
600605_พิธีตั้งสัจจาธิษฐานบูชาพ่อครู งานอโศกรำลึกครั้งที่ 36 ปี 2560
พิธีตั้งสัจจาธิษฐานบูชาพ่อครู งานอโศกรำลึกครั้งที่ 36 ปี 2560
ณ บวรสันติอโศก
17.30 น.( 5 มิ.ย.) สมณะเดินดิน ติกขวีโร จึงนำหมู่นักบวชและฆราวาส กราบพ่อครู 3 ครั้ง แล้วพากล่าวคำบูชาครู
ตั้งนะโม (3 จบ)...ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ซึ่งเป็นแสงสว่างของโลก ผู้ทรงประทานเส้นทางแห่งความพ้นทุกข์ ให้แก่มวลมนุษยชาติ ด้วยการประกาศอาริยสัจ4 และสัมมาอาริยะมรรคมีองค์ 8 ซึ่งมีสัมมาทิฎฐิ 10 เป็นเส้นทางสำคัญ ที่จะไขนำไปสู่การตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้ก้าวพ้นความสงสัย และมีความเชื่อมั่นกันว่า
อัตถิ ทินนัง ทานมีผลจริง
อัตถิ ยิตถัง ยัญพิธีมีผลจริง
อัตถิ หุตัง พิธีปฏิบัติ จนเกิดผลที่จิตมีจริง
อัตถิ สุกฏทุกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก การทำดีทำชั่ว มีผลดลบันดาลได้จริง
อัตถิ อยังโลโก โลกโลกีย์อันเป็นสังสารวัฏฏ์นี้มีจริง
อัตถิ ปโรโลโก โลกหน้ามีจริง
อัตถิ มาตา อัตถิปิตา แม่และพ่อผู้ให้กำเนิด ทางจิตวิญญาณ ของข้าพเจ้าทั้งหลายมีจริง
อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
สมณพราหมณ์ผู้รู้แจ้งโลกนี้ โลกหน้า ด้วยตัวเอง แล้วประกาศ ให้ผู้อื่นได้รู้ตามมีจริง
และบัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ก็ได้พึ่งพาอาศัย สมณพราหมณ์ผู้นั้น ที่เป็นผู้รู้แจ้งโลกนี้ โลกหน้า ด้วยตัวเอง แล้วประกาศ ให้ผู้อื่นได้รู้ตาม คือพ่อครู สมณะโพธิรักษ์ ผู้นำสัมมาปฏิบัติ จนส่งผลให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เกิดแสงสว่างในชีวิต มีสัมมาทิฏฐิ 10 และเกิดสัมมามรรค สัมมาผล ตามธรรม สมควรแก่ธรรม
กว่า 6 นักษัตร ของชีวิต ในการกอบกู้ศาสนาที่ผ่านมา พ่อครูได้ทุ่มเท ทั้งแรงกายแรงใจ
ด้วยเหงื่อทุกหยาด และเลือดทุกหยด เพื่อประโยชน์ และความสุข ของมวลมนุษยชาติ มาตลอด
จวบจนวาระสำคัญในโอกาสนี้ ที่พ่อครูจะมีอายุเต็ม 83 ปี กำลังจะขึ้นสู่วาระครบรอบนักษัตร ที่ 7
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกๆที่ได้ชีวิตใหม่ ได้กำเนิดใหม่ ทางจิตวิญญาณ ขอปฏิญาณตนร่วมกันว่า...
ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขยันหมั่นเพียร ตั้งใจศึกษา ฝึกฝนอบรมตน ให้เกิดมรรคเกิดผล ยิ่งๆขึ้นไป ด้วยความไม่ประมาท ในโทษภัย อันมีประมาณน้อย พวกข้าพเจ้าทั้งหลาย จักยังการศึกษาให้ถึงพร้อมในไตรสิกขา อันได้แก่อธิศีล-อธิจิต และในอธิปัญญาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
เพื่อที่จะได้ช่วยกันสืบสาน บวรพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปจนถึง 5,000 ปี และร่วมกันทุ่มเทแรงกายแรงใจ สร้างชุมชนบวรสาธารณโภคี ให้เป็นองค์ประกอบของมิตรดี สหายดี และสังคมสิ่งแวดล้อมดี ซึ่งเป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของการทำพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์
(กล่าวบรรยายนำ) ต่อไปนี้พวกเราก็จะได้มาตั้งสัจจาธิษฐานภายในใจของแต่ละคนร่วมกันว่า ทำอย่างไรพวกเราจะช่วยกันแบ่งเบาภาระพ่อครูได้ เพื่อไม่ให้พ่อครูต้องโหมงานหนักเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา มีผู้เปรียบพ่อครูว่าเป็นเสมือนดั่ง “รถด่วนขบวนสุดท้าย” ซึ่งหัวรถของจักรของรถด่วนขบวนนี้ถูกสร้างมา 83 ปี และถูกใช้งานอย่างหนักแบบไม่มีวันหยุดมาถึง 47 ปี...หัวรถจักรทั้งหนักและเหนื่อยสุดๆที่ต้อง...ฉุด..ดึง...ตู้รถเป็น พันๆตู้ และตู้เหล่านี้ยังล๊อกเบรคล้อตนเองเอาไว้อีก บางตู้..นี้เป็นสภาพความยึดกิเลส หรือยึดอัตตามาะของตนไว้...ถ้าตู้รถไฟสามารถปลดล๊อกเบรค ที่เป็นกิเลส หรืออัตตามาะออกไปได้ และสามารถพัฒนาตนเองเป็นหัวรถจักรเล็กๆ เป็น อรหันต์ในโสดาฯ .... อรหันต์ในสกิทาฯ...อรหันต์ในอนาคาฯ และอรหันต์ในอรหันต์ ก็จะเป็นสภาพความกตัญญูอย่างสูงสุด ที่ช่วยแบ่งเบาภาระของหัวรถจักรใหญ่...แล้วยังส่งผลช่วยดันส่งให้หัวรถจักรใหญ่ให้ไปถึงที่หมายปลายทางได้เร็วยิ่งๆขึ้นด้วย........
นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้เราตั้งสัจจาธิษฐานโดนส่วนตัว เงียบ ๆ พ้อมกัน ได้แล้ว ..........................................................เงียบสักครู่
แล้วเปล่งสาธุพร้อมกัน 3 ครั้ง
จากนั้นพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้เทศนาต่อจากที่ลูกๆได้ตั้งสัจจาธิษฐานแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน สัมประสิทธิ์(Coefficient) ของการปฏิบัติธรรม
พ่อครูว่า เจริญธรรม...ขอให้ทุกคนเจริญในธรรมกันจริงๆ การขอเป็นเพียงโวหาร การขออย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ที่ขอ ไม่ทำการพัฒนา ตามที่ควรพัฒนาให้เจริญ ขอให้ตายก็สูญเปล่า
ผู้ที่มีปัญญา ปฏิภาณความรู้ เมื่อผู้ที่ควรเคารพ น่าเคารพ ผู้ที่เราเคารพจริงๆ ได้ขออะไรขึ้นมาแล้ว ท่านมีความปราถนาดี ท่านต้องการให้เราเจริญไม่ใช่ท่านต้องการอะไรจากเรา ให้เราพัฒนาให้เราดีขึ้น เป็นสิ่งลึกซึ้งซับซ้อนอยู่
การศึกษาที่ตามที่อาตมาพาทำ ตอนนี้กำลังทำความเข้าใจกับพวกเราอยู่ 2 คำ คำว่าบวร กับคำว่า ออสโมซิส
บวร คือ ความเป็นสามเส้า ตั้งแต่หยาบถึงละเอียด ละเอียดถึง Coefficient ละเอียดถึงพลังงานขั้น Coefficient แปลเป็นไทยว่าสัมประสิทธิ์ ซึ่งเป็นพลังงานที่ก้าวหน้า เป็นพลังงานเจริญ พัฒนาไปเรื่อย บูรณะ บูรณาการตลอดเวลา เป็น progration เป็นความก้าวหน้าตลอดไป
ในนิยามของ Coefficient คนก็เข้าใจยาก เพราะว่ามีตัวซับซ้อน มีตัว Dynamic มี Static และตัวแปรที่ Dynamic ด้วย ทีนี้ ตัว Static ตัวค่าคงที่ มันเป็นค่าบวก Dynamic ที่เป็นตัวเคลื่อนรอบ เป็นตัวจักรพลังงานสำคัญ มันก็มีค่าที่สมดุลกับ Static ที่ทำงานอยู่ในนิวเคลียส
ส่วนพลังงานตัวแปรใหม่ก็ต้องเคลื่อนที่แรงและเร็ว จึงมีความเข้าใจได้ยาก
หนึ่ง ต้องเป็นพลังงานก้าวหน้า ถ้าจะก้าวหน้าจริง ต้องอยู่ในระดับพลังงานสูง สูงขึ้นไปอย่างต่ำต้องระดับคูณ คือพลังงานระดับ บวก คูณ ยกกำลัง ถ้าแค่บวกไม่แน่ เสื่อมได้ ไม่เจริญ แต่ถ้าคูณแล้วเจริญ ได้สองในสามแล้ว ก็จะไปสู่อนาคต สู่การเจริญพัฒนาได้แน่
นี่คือ รรมดา ธรรมชาติ ไอน์สไตน์ตั้งสูตร E=mc2 แต่อาตมาต้องมาเติม E=mc2+A ตัว A คือ Abstract เป็นตัวทั้งมีการก้าวหน้า อย่างแท้จริง ซึ่งอธิบายไม่ง่าย อธิบายต่อยอดจากสูตรของไอน์สไตน์ไม่ใช่เล่นๆ เป็นสูตรยอดของไอน์สไตน์ทุกคนยอมรับ ฟังดูแล้ว โพธิรักษ์อวดเบ่ง ก็ไม่มีปัญหา ใครจะตั้งข้อสังเกต มองว่า อาตมาแอคอาร์ทก็แล้วแต่ อาตมาจริงใจ มั่นใจว่าที่พูดนี้เป็นความจริงความถูกต้อง อาตมาก็จะต้องมาถ่ายทอดให้ผู้ที่สนใจศึกษา เพื่อที่จะได้เข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ แล้วก็จะรู้เองว่าจริง จะได้สืบสานต่อไปอีก ไม่เช่นนั้นมันก็จบ ไม่มีอะไรที่จะรู้ตัว เราต้องเสริมสานความรู้มีให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป
ที่จะสรุปคือ ยืนยัน ฟีโนมีน่า คือ ปรากฏการณ์ที่มันเกิดจริงมาแล้ว ในมนุษยชาติคือพวกเรา พวกเราเป็นมนุษยชาติที่ได้เกิด ใหม่ ที่เป็นความเจริญในระดับโลกุตระ ที่มันสูญหายไปนานแล้ว อาตมาก็ไม่มีปัญญารู้ว่ามันเร่ิมเสื่อมอย่างไม่เหลือเชื้อ พลังงาน Coefficient พลังงานที่จะก้าวหน้านี้เมื่อไหร่ พลังงานนี้มัน Drop ไม่มีการก้าวหน้า แล้วแถมน้อยลงๆๆ ก็เลยเกิดชรตา เป็นความเสื่อม แล้วก็จะสูญไปในที่สุด แต่อาตมามาคว้าเอาไว้ทัน และพยายามสืบทอดสืบต่อ ซึ่งพวกเราก็พยายามใส่ใจ พากเพียรเอาจริงจนเห็นเป็นรูปธรรม จนเป็นสังคม
ที่อาตมาอ้างอิงว่า เป็นสังคม สาราณียธรรม 6 โดยมีรากฐานของ พุทธพจน์ 7 คือ สาราณียะ เจตสิก คุรุกรณะ เจตสิก ปิยกรณะ สังคหะเจตสิก อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ เป็นจริงมากเลยน้อยก็อยู่ที่บุคคลจะปฏิบัติได้จริง
สิ่งที่ จะพัฒนาไปได้จริงมันต้องเกิดจากการ ออสโมซิส จากสิ่งที่จะซึมซับประสานสัมพันธ์กันอยู่ สิ่งที่ไม่ประสานสัมพันธ์กันอยู่ไกลกันก็ซึมไม่ถึง เดินทางไปก็หมดพลังก่อน แต่นี่มันต้องสัมผัส(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
มันต้องสัมผัสและกระทบกันอยู่ แตะต้องรวมกันอยู่ จึงจะต้องมีตัวจริงของตัวบุคคล รวมทั้งการกระทบสัมผัส (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย เหมือนเป็นหวัด)
มันจะต้องมีตัวจริงของคนและมีการสัมผัสกระทบกัน สัมพันธ์กัน ทำให้เกิดปฏิกิริยามีสัมผัสแล้วมีเวทนา แล้วจึงจะเกิดพัฒนาการของเวทนา เพราะพวกเราได้เรียนรู้เวทนา 108 ทำให้เวทนา 108 เป็น geometric progression ได้ไม่ใช่แต่ Arithmetic เท่านั้น ถ้าทำได้อย่างนี้จะไม่มีการลดลงมีแต่การก้าวหน้า เช่นเดียวกับไอน์สไตน์ที่มีสูตรว่า E=mc2 คือมียกกำลังสอง
ของอาตมานี้เติมเป็นยกกำลัง สามหรือสี่หรือห้าได้ ไม่ได้ตายตัวแค่ ยกกำลังสอง แต่ไอน์สไต์ศึกษาแล้วได้แค่นี้ก็เอามาใช้ เป็นระเบิดนิวเคลียร์ ทุกวันนี้เอามาใช้ทางนิวเคลียร์ทางสันติภาพและทางฉิบหายภาพหายภาพ
แต่ของพุทธนี้มีพลังงานนามธรรมกำกับว่าไม่ทำชั่ว เราควบคุมถึงกำลังของอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม เพราะฉะนั้นไม่มีพลาด ครบบริบูรณ์ แล้วเราควบคุมพลังงานหมุนรอบได้ มีตัวที่ดี ไว้คงที่ static แล้ว เราก็ควบคุมได้ ตัวแปรหรือ dynamic ผสมมาทำงานร่วมเราก็ทำได้ ยังมีพลังงาน dynamic ที่จะเติมเข้าไปให้พัฒนา ทั้ง static และ dynamic ให้เกิดพลังงานใหม่ที่ก้าวหน้าขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นจึงครบ ตัวจะเสื่อมชรตาจึงไม่มี มีแต่ตัวก้าวหน้าพัฒนา progression หรือ integrity นี่คือความรู้แล้วเราต้องเข้าใจภาษาที่พูดนี้ ว่าอาการตัวจริงเป็นอย่างไร แล้วเราทำได้จริง
เมื่อทำได้จริงก็เกิดจริงเป็นจริง ไม่ใช่ง่าย ขนาดทุกวันนี้สมัยนี้ ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ทางฟิสิกส์ ก็รู้กันมา แม้แต่ทางชีววิทยา biology แต่ไม่ใช่ง่ายที่เขาจะเข้าใจ จึงมีรากฐานทาง Phenomenology เป็นสูตรใหม่วิชาใหม่ เป็นความรู้ในระดับเอาปรากฏการณ์ status quo มีปรากฏการณ์จริงในปัจจุบันมายืนยัน เช่น
ก็มีกลุ่มชนที่มีพฤติกรรมมีสาราณียธรรม 6 เพราะว่ามีพัฒนาการ พุทธพจน์ 7 สาราณียะ เจตสิก คุรุกรณะ เจตสิก ปิยกรณะ สังคหะเจตสิก อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ทุกคนที่มาที่นี้ไม่ได้แกล้งดี แต่พยายามทำให้ดีอย่างถาวรยั่งยืนมั่นคง ใครจะมาแกล้วดีก็ไม่เป็นไร ได้นะ คุณมาแกล้งทำดีนี่ไปเลย แกล้งดี ปีแล้วปีเล่า แล้วคุณก็ทำได้อย่างนี้จะมีผลไหม แม้แต่ในด้านเจโต ตกผลึกสั่งสม แต่มันมีปฏิภาณปัญญาความรู้ควบคู่ไปด้วย เป็น 2 สภาพ ที่ส่งเสริมกัน เหมือนกับคำพังเพยของไทยที่ว่า ลมกับไฟ ถ้าไฟบอกว่าลุกโพลง แล้วลมต้องวิ่งนะ ถ้าไฟยิ่งแรง ลมก็ยิ่งแรงยิ่งจัด ถ้าลมยิ่งแรง ไฟก็ยิ่งจัด
ถ้าความร้อนกลุ่มนี้ยิ่งแรง จะเกิดการเคลื่อนที่ของลมที่มากขึ้น เป็นสัจจะที่จะต้องเป็นอย่างนั้น อุตุนิยาม เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทางฟิสิกส์ บิดพริ้วไม่ได้
ศึกษาให้ดี อัตราการก้าวหน้าของผู้ที่ ติดแป้น หยุดอยู่
คิดว่าอันนี้แหละ บวร ออสโมซิส จะไขความ จะเข้าใจ Coefficient ได้ดีขึ้น พลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient จึงเป็นกุญแจของความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่มาก ทั้งของไอน์สไตน์และของโพธิรักษ์
แต่Coefficient ของไอน์สไตน์จบที่ c2 แต่ของโพธิรักษ์ นั้นพัฒนาขึ้น พูดแล้วเหมือนใหญ่ ฟังแล้วฟังไหวไหม
ก็ขอสรุปว่า อาตมาอายุปีนี้ครบ ขึ้นมาก็จะเป็นนักษัตรที่ 7 จากนักษัตรที่ 7 ขึ้นไปตอนนี้ก็ช่วงต่อ ตัวแปรคือการเคลื่อน ปีนี้ปีที่ 84 มันยังไม่จับตัวแข็งแรงลงตัว มันมีวิบากเข้ามาวุ่นอยู่ ถ้าเผื่อว่าสามารถผ่าน 84 นี้ไปจะเจริญคงที่ ผนึกลงไปเลย 85 86 87 ก็จะดีขึ้น ช่วยกันหน่อยในปีนี้ ถ้าพวกเราช่วยกันก็จะมีพัฒนาการขึ้นมา จะเจริญได้จริงๆ
สิ่งที่เราช่วยกันทำมันเจริญขึ้นจริงๆ แต่มันซ้อนที่ว่า เราเจริญแล้วไม่ได้เอามาเป็นตัวเราของเรา เจริญมาเพื่อได้รับใช้ผู้อื่นมากขึ้นจริงๆ ไม่ใช่มากอบโกยเอามาเป็นของตนไม่ใช่เลย เป็นสัจจะที่ทำความเข้าใจให้ดี เมื่อจริงแล้วจะไม่มีอะไรห้ามกั้น ความเคารพนับถือสุดยอด ซึ่งเป็น ความบริสุทธิ์ที่สุด ความถูกต้อง ความบริสุทธิ์ที่สุดจะชนะทุกสิ่งทุกอย่างทั้งโลก
พวกเรารวมตัวก็จะเกิดชุมชน ตอนนี้ เป็นชุมชนที่ตั้งใจจะให้ครบวงจร สมบูรณ์ด้วยองค์ประกอบทุกอย่างที่ควรจะเป็น ที่จะเป็นโมเดลตัวอย่าง ซึ่งเป็นโมเดลที่ประกอบด้วยชีวิตมนุษย์พฤติกรรมมนุษย์ และสิ่งที่ประเสริฐสุดของมนุษย์ อยู่ในนั้น
เพื่อที่จะพิสูจน์สัจธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทำเพื่อเด่นดีอวดอ้าง จะใช้คำว่า ของพระพุทธเจ้าหรือของสัจธรรมของมันเอง มันเป็นความรู้สัจธรรม แต่พูดที่ยังรู้ได้คือพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ก็รู้ตามมาจริงใจตามภูมิอย่างแท้จริง จึงได้พยายามนำพาและถ่ายทอดเท่าที่สามารถ มีผู้รู้ซ้อนขึ้นมา ทุกวันนี้มีภาวะซับซ้อนสร้างสรรเพิ่มขึ้น อย่างมีของจริง มีสิ่งที่สัมผัสได้ ยืนยันได้ ไม่ใช่มีแต่ตรรกะ มีแต่เพ้อเจ้อ มีแต่ความรู้ลอยลม ไม่มีสภาพจริงให้สัมผัสรูปนาม
เราจะทำดีต่อไปคนจะรู้หรือไม่รู้ไม่ต้องกังวล คนที่จิตบริสุทธิ์ คนที่แสวงหา คนที่ปรารถนาความจริงจริงๆแล้วเขาเอาแน่ เขาต้องการเพราะมีสิ่งที่ดีจริงๆตามสัจจะ ไม่ใช่ว่าเราชมว่าดี เพราะฉะนั้นคนที่เขาแสวงหาอย่างไม่มีอคติ 4 แต่ถ้าเขามีอคติ ชังไม่ชอบใจ แต่คนที่รักนี่ เอา แต่คนโมหาคติ หรือภยาคติไม่เอา สามคตินี้ไม่เอา เป็นธรรมชาติเป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้ ของเราเป็นสิ่งที่อิสระที่สุด
อาตมาก็มาต่อยอดตรงนี้อาตมาบัญญัติ
อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
เจตนาไม่ได้บัญญัติไว้ในคำสอนธรรมะ แต่บัญญัติไว้นอกคำสอนพระพุทธเจ้ามาอยู่ที่สังคมมนุษยชาติ ถ้ามี อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพเป็นพี่เป็นน้องกันจริงอย่างที่เราเป็นมันจะเป็น สันติภาพ สามเส้า แล้ว สันติภาพจะเจริญ เป็น สมรรถภาพ บูรณภาพ ในที่สุด
อย่างไอน์สไตน์ใช้คำล็อคไว้ว่า C2 แต่ของอาตมาไม่ล็อค แต่ต้องเป็น Geometric คือระดับคูณ
พลังงานความเร็ว จิตนี้ มีความเร็วยิ่งกว่าแสง แสงมีความเร็วเท่าไหร่เขาก็บอกไม่หมด E=mc2 ล็อคไว้แต่ของอาตมาไม่มีล็อค คือ A จะปลดล็อค E=mc2 ไม่ใช่แค่ E=mc2
c เป็นตัวคงที่ ที่ทำการทำงานอยู่ส่วนพลังงานตัวแปรที่สำคัญ Coefficient จะเป็นตัวก้าวหน้าที่ไม่มีถอย เป็นตัวระบุเป็นปากเปิดว่า มีแต่ความก้าวหน้า ไม่ลงต่ำหรือล็อคคงที่ เท่าที่จะมีความจริงของพลังงานนั้นๆที่ใครสามารถทำขึ้นมาได้ เท่าที่เป็นจริง
นี่คือสัจจะที่เราจะได้ศึกษาพิสูจน์ ทุกคนฟังอาตมาอย่าเพิ่งปักใจเชื่อ แต่ทดลองดูแล้วจะพบผล เมื่อพบผลแล้วจะตอบตัวเองว่าดีจริงใช่ ไม่ใช่อาตมาบังคับว่าจะต้องเชื่อต้องใช่ คุณพิสูจน์เองเอาเอง เป็นการพิสูจน์คำว่า ไม่จําเป็นต้องเชื่อใครแม้แต่เป็นครูของเรา แม้แต่ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สุดยอดเลย
อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้ารู้สิ่งนี้เอามาเปิดเผยให้พวกเราฟัง พวกเราฟังแล้วมีอะไรลึกซึ้งขึ้นไหม
...จากนั้น ได้ร่วมกันดูคลิปข่าวเด่นของชาวอโศกในรอบปี 2559-2560 โดยประกอบด้วยข่าว 5 ข่าวคือ
มาถึงวันนี้แล้วอาตมายิ่งมั่นใจว่า อาตมาต้องมาทำงานสืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นตัวจริง อาตมาไม่เคยคิดว่าต้องเป็นเรา ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดหรือรู้ แต่ทุกอย่างมันค่อยๆพัฒนาการมาตามลำดับ จนมีสภาพที่เกิดโดยตน จำนนว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ๆ ตถตา ต้องเป็นอย่างที่เป็น
แล้วสิ่งที่เป็นอตีตังสญาณ ซึ่งเป็นสัจจะของผู้ใดที่ได้สะสมอดีตที่เป็นธรรมะอันถาวรยั่งยืนแล้ว นิจัง…
มันเป็นจริงมันก็มีมา แล้วอาตมาก็เอามาใช้ พวกเราก็รับได้ มันเป็นโลกุตรธรรมรับได้มีผล จนเกิดชุมชนสาธารณโภคี คอมมิวนิสต์ก็อยากได้ ปชต.ก็อยากได้ แต่สู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ของพระพุทธเจ้าพ่อของคอมฯ ของปชต. เลย ของพระพุทธเจ้าสาธารณโภคี เสียภาษี ร้อยเปอร์เซ็น พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้
30-40 ปีผ่านมาไม่ใช่สิ่งฝืนหรือมุขเอา แต่เป็นสิ่งที่อยู่กันได้อย่างสบายตายก็ช่วยกันเผา ไม่เอาไว้ดมหรอก เท่าเทียมกัน เป็นเรื่องพิสูจน์ยืนยันสัจธรรมพระพุทธเจ้า อาตมาเอาหลักฐานพระไตรฯมายืนยันอ้างอิง
ขณะนี้ พรหมชาลสูตร สูตรแรกในพระสูตร จะเห็นว่าเขาทำอย่างมิจฉาทิฏฐิจริงๆ นั่งหลับตาปฏิบัติมันผิดทาง ตำนานก็มีเตือน อย่างพระพุทธเจ้าบอกว่าอาฬารดาบส อุทกดาบสไม่ถูกต้อง ต้องมาทำแบบมรรคมีองค์ 8 อย่างนี้ นั่งหลับตาก็มีแค่มิจฉาทิฏฐิ 62 อยู่แค่นี้ ฟังไปก็ไขหู แต่ก็มีคนฟังเข้าใจมาพิสูจน์ ไม่ง่าย แต่ก็ได้มาเรื่อยๆ ผู้พิสูจน์แล้วอย่างเสถียร นิจจัง…
เป็นสิ่งเสถียรแน่นอน ทุกคนจะรู้ด้วยตนไม่ไปตายที่ไหน มาตายที่นี่แหละ ไม่ต้องห่วงหรอกว่าตายแล้วจะไม่มีใครช่วยทำศพ ซึ่งตอนนี้ทำศพกันแพงมาก จนคนไม่กล้าตาย เพราะตายแล้วลำบากลูกหลาน แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ต้องตาย ไปวัดใดก็เสียค่าต่างๆ ค่าดอกไม้ ค่าเมรุค่าอื่นๆ ไม่มีการต่อรองด้วย เรียกร้องเท่าไหร่ก็ต้องตาย มีเพลงสุดเจ็บปวด ใครขโมยกางเกง
พวกเราได้พิสูจน์ความจริงนี้ด้วยตน ปัจจัตตัง และก็เป็นโชคดี มีหลักฐานในพระไตรปิฎกให้อาตมายืนยันก็เลยไปรอด ไปได้ ก็จะยืนยันต่อไปอีก ใครจะช่วยยืนยันต่อไปอีก จนกว่าจะตายกันไป….ยกมือ
มันเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่านไปในตัว 2 in 1 ไม่แยกกัน เพราะประโยชน์ตนคือการละความเห็นแก่ตัวไม่ใช่ว่าไปนั่งคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร แล้วก็มาทำประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นสิ่งหมุนรอบเชิงซ้อน ปฏิภาคทวีที่หาเปรียบไม่ได้
ก็ค่อยๆศึกษาไป ตอนนี้อาตมากำลังเร่งขยายความบวร มีสิ่งลึกซึ้งที่สุดคือ osmosis ขอให้เกิดสามเส้าคือ บ้าน วัด โรงเรียน วิญญาณจะไหลซึมหากันโดยไม่ต้องกังวลเลย ความเจริญจะเกิดไม่มีการเสื่อม มีแต่ถึงโอกาสสุดท้ายก็ตายเท่านั้นเอง ….จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:10:20 )
รายละเอียด
600606_เทศน์ก่อนฉันอโศกรำลึก โดยพ่อครู องค์ 6 ของปัญญากับการปหาน 5
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ) ตอน ทิศทางของศาสนาพุทธ
พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 6 แล้ว เมื่อวานวันที่ 5 วันนี้วันที่ 6 มิถุนายน 2560 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีระกา วันที่ 5 วันที่ 6 เดือน 7 อาตมาเกิดจริงๆก็วันที่ 5 เดือน 7 แต่แรม 8 ค่ำ คือมันสับสน เลข 18 นี้มาจากไหน คือในใบสุทธิ บอกว่าอาตมาเกิดวันที่ 18 ในสำมะโนครัวเกิด 8 มิ.ย. ส่วนวันเกิดจริงนั้น 5 มิ.ย. คือยากที่จะรู้ความจริง
ก็เป็นวันที่เราจัดงาน คือสังคมมนุษยชาติที่มีปัญญาจัดงานรวมพล ขึ้นมาเพื่อให้เป็นองค์ประกอบชี้นำ จูงนำน้อมนำไปสู่จิตวิญญาณ ให้จิตวิญญาณได้รับค่ารวมผลรวมจากกรรมกิริยาองค์ประกอบต่างๆ นี่เป็นความฉลาดในความเป็นมนุษย์ ต่างคนต่างคิดวิธีการ หารูปแบบสีสันรูปร่างวัตถุ ลีลาต่างๆสารพัด รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แล้วเอามาให้มันมีอำนาจ มีฤทธิ์เดช ที่จะรวมพลังเข้ามาสู่ผลที่เขาต้องการ ผลที่เขาต้องการนี่แหละคือ ภูมิปัญญาขององค์กรนั้นๆ หรือคนนั้นๆ ที่สร้างรูปแบบขึ้นมา
รูปแบบของศาสนาพุทธ ก็ตามแต่ทิฏฐิ ความรู้องค์รวมของใครคิดสร้างขึ้นมา สำหรับอาตมาก็มีความรู้ความเห็น แล้วบอกให้คนช่วยกันจัดองค์ประกอบวิธีการ เพื่อโน้มนำเหนี่ยวนำไปสู่ผลที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด มันเป็นความจริงใจ ของแต่ละองค์กร แต่ละวิธีการรูปแบบ ที่เขาทำกัน มันก็เป็นความจริงใจ ของแต่ละคน แต่ภูมิธรรมไม่เท่ากัน ผลเลยออกมาไม่เท่ากันผล ก็นำไปสู่จุดที่ต้องการ
อาตมาเองอาตมาก็มั่นใจ
1 ตั้งใจจะนำพาสู่ความรู้ของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่รู้ว่าเราจะมาทำหน้าที่นี้ทั้งชีวิต ออกมาตั้งแต่อายุ 36 ปีพ. ศ. 2513 ก็ออกมาทำงานนี้ ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ตามภูมิตนเองที่มั่นใจ ของเขาก็มั่นใจของเขาทั้งนั้น ส่วนมันจะจริงจะถูกต้องกว่ากันนะ เขาก็เชื่อมั่นของตัวเองทั้งนั้น
ก็ต้องใช้ภูมิปัญญาของตัวเอง เลือกเอาเอง โดยท่านแนะนำว่าให้ฟังความทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่อย่างธัมมชโยบอกว่า ช่องนี้ช่องเดียว อย่างนั้นเป็นลัทธินอกศาสนาพุทธ เป็นการบังคับ หรือ monopoly อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมันไม่ถูกต้องไม่แฟร์ ของพุทธเจ้าเป็นเรื่องแฟร์ ให้ตัดสินเอง ตัดสินถูกก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ถูกก็เรื่องของเขา ไปโทษใครไม่ได้ อาตมาแสดงความจริง โดยการเอาความจริงออกไป ไม่สามารถบังคับภูมิปัญญาของคนได้ และอาตมาก็รู้ทำงานมาถึง 47 ปี เห็นชัดว่า คนรู้และเชื่อถือที่อาตมาพาทำนี้ส่วนน้อย 47 ปีนี้มีส่วนน้อย ที่รู้ได้ตามได้ และได้มรรคผล ได้ผลสำเร็จตามคำสอนนี้ไป โดยเป็นคนวรรณะ 9
เป็นคนทวนกระแสโลกีย์สามัญที่เอาแต่จะรวยไม่รู้จบ แต่คนที่จะมี จิตจริง เห็นดีแบบนี้ แล้วมาจน แต่มันติดกับกิเลสไม่ยอมจน ถ้าจนได้จะดี เข้าใจแล้ว แต่ยังจนไม่สำเร็จก็กิเลสตัวเอง แหม ดูสิ ทั้งที่เห็นดีเห็นงามว่ามาจนนี้ดี แต่ก็จนไม่สำเร็จ จนไม่ลง จนไม่ได้ จะต้องรวยอย่างนั้นแหละ
น่าภาคภูมิใจที่ประเทศไทยมีในหลวงหรือพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นพระโพธิสัตว์ จึงได้ตรัสออกมาชัดเจน ประกาศไปทั่วสากลว่าพระองค์มีภูมิธรรม เชื่อมั่นเข้าใจอย่างนี้ มาเป็นคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ขาดทุนนี่แหละเจริญ มันทวนกระแสคนทั้งโลก
คนมีปฏิภาณลึกๆเข้าใจว่าดี ขานรับแต่ไม่ค่อยทำตาม ไม่ต้องเอาคนศาสนาอื่น เอาคนไทยนี่แหละ ในหลวงมีพระปัญญาธิคุณเห็นว่า จนดีกว่ารวย แต่ความประพฤติของคนไทยยังไปสะสมกอบโกย แย่งชิง โง่ที่ไหน รู้ว่าดี ไม่ใช่คนโง่ ต้องตอบให้ถูก ไม่กลัวไม่โกง แต่ตอแหล
รู้ว่าดี ขานรับ แต่ตัวเองกลับทำตรงกันข้ามกับที่ตนเองยอมรับ
พูดถึงตรงนี้ นี่คือเนื้อหาแท้สัจจะของคน สอนว่าทรัพย์สมบัติในโลกนี้ไม่ต้องไปแย่งชิงทุจริตมา แต่ขยันหมั่นเพียรเรียนรู้ความพอดีพอเพียง ตื่นรู้ว่าชีวิตร่างกายกินเท่าไหร่อยู่เท่าไหร่ ไม่ต้องเฟ้อเกิน ไม่ต้องมากมีอะไร
ถ้าเกินมาอยู่ที่คุณ คนอื่นก็ขาดแคลนก็ต้องแย่งชิงกัน เป็นภัยต่อโลก เกิดความวุ่นวายเดือดร้อนเลวร้าย
มาเป็นคนไม่ต้องสะสม ไม่ต้องเอาเปรียบเอารัด มันเป็นคุณค่าความดีงามทั้งนั้น ไม่สะสมแล้วดี ไม่เอาเปรียบเอารัดยิ่งดี ไม่โกงทุจริตยิ่งดีมหาดีเลย เอาเปรียบเอารัดก็ชั่วรองลงมา หรือฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา
ไม่สามารถห้ามตัวเองได้ เพราะไม่ได้ล้างต้นตออยู่ที่จิต พระพุทธเจ้าเรียกว่าอนุสัยอาสวะ เกาะติดก้นบึ้งของจิต อันนี้ต้องเรียน พระพุทธเจ้าสอนให้มีปัญญาหยั่งรู้ เข้าไปถึงอาการจิต อาการหยั่งรู้ รู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อุเทสคือฟังที่อาตมาอธิบายนี้ แล้วเอาไปทำ ทำจิตในจิตคือมนสิกโรติ หรือมนสิการ
ทำให้ถูกแท้ ถูกต้อง มีธาตุรู้ไปหยั่งรู้ แยกแยะรู้อาการจิต ว่าอย่างนี้คือโลภมาให้แก่ตัว โลภจนเอาเปรียบ โกง ทุจริต ทำร้ายฆ่าแกงผู้อื่น มันก็จะรู้ความจริงว่าเราเลวร้ายอำมหิตขนาดนี้หรือ แล้วก็พยายามอย่าให้พลังงานที่เลวร้าย ไปทำงานต้องพยายามแม้จะกดข่มบังคับก็ตาม แต่จะให้ดีต้องใช้ปัญญา
ถ้าเราเอาแต่คิดพิจารณารู้ แล้วแยกแยะด้วยเหตุด้วยผลเฉยๆ เขาเรียกตักกะ แต่ไม่เป็นสัจจะ ปัญญาของพระพุทธเจ้าต้องประกอบไปด้วยองค์ 6
อันนี้ยังยาก ทุกวันนี้อธิบายยังไม่เก่ง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_ปัญญา) ตอน ปัญญา สำคัญต้องมีมรรคองค์ 8
ปัญญาจะไม่เกิดจากการนั่งหลับตาเด็ดขาด ต้องเกิดจาก การสัมผัสรู้ธรรมะ 2 จาก ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส เป็นต้นแล้วมาวิจัย แล้วจับตัวเห็นแก่ตัวเลวร้าย อาการเหล่านั้นมันเกิดขึ้นในจิตไหม อาการเห็นแก่ตัวมันจะแสดงออก 2 แบบคือ คือดูดกับผลัก ผลักจนถึงทำร้ายเป็นพยาบาท ดูดก็ดูดมาเป็นตัวเป็นตนของตนเอง ก็มีอาการอย่างที่ว่านี้ ที่พยายามอธิบายเป็นภาษาให้ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติเรียนรู้
องค์ 6 ของความเป็นปัญญา ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วจิตเป็นสมาธิ หยุดนิ่ง ไม่คิด เขาว่าจิตสงบนิ่ง แล้ว ความรู้จะโผล่พลั้วมา อันนี้ไม่ใช่ปัญญา โผล่ขึ้นมาให้รู้ในขณะนั่งหลับตาไม่มีทวาร 5 สัมผัสภายนอก ธาตุรู้ตัวนั้นเรียกว่าสัญญา มันไม่ใช่ปัญญาเลย อาตมาก็สงสารผู้รู้ที่ เขียนหรือสอนในสาธารณะ มีแต่สิ่งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีทั้งหมด 62 ประการ พระพุทธเจ้าตรัสในพรหมชาลสูตร ท่านก็บอกว่าจะคิดปรุงแต่งในอนาคต 44
สรุปว่า เข้าใจพยัญชนะ สัญญากับปัญญา ต่างกันไม่ได้ ปัญญาต้องเกิดจากมัคคังคะ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ให้ดูตัวผิดหรือถูก ตัวดำตัวขาว แล้วเอาตัวที่ขาว ตัวดี บริสุทธิ์ ทำลายตัวที่ไม่ดีให้ได้ จึงจะสำเร็จผล เมื่อสำเร็จผลแล้ว กิเลสออกจากจิต มันมีอาการอย่างนี้เอง กิเลสออกไปจากจิต จิตไม่มีตัวบงการแล้ว มีแต่ตัวสุจริตบงการ ตถตา มันเป็นเช่นนี้เอง ความจริงเป็นเช่นนี้เองหรือ
เป็นเช่นนี้เองหมายความว่า ธาตุรู้ สัมผัสกับสิ่งเกิดจริงเป็นจริง อ๋อ อย่างนี้หรือ เหมือนกับเราเห็น มะกรูดเป็นอย่างนี้หรือ มะนาวเป็นอย่างนี้แหละ นี่คือตถตา ไม่ใช่ตถตาตรรกะ ที่มะกรูดมันก็เป็นของมันอย่างนี้ ไม่คิดอะไร ไม่ใช่
หมายถึงว่าเราสัมผัสแล้ว เรารู้ตามความเป็นจริงว่ามันเป็นเช่นนี้ นั่นคือตถตา แต่ไปเข้าใจตถตาเป็นตรรกะ ไม่มีของจริงธาตุจริงสัมผัสแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริง
ปัญญา สำคัญต้องมีมรรคองค์ 8 สำคัญสุดคือ เกิดในขณะทำงานเลี้ยงชีพตนเอง เกิดในขณะนั้นแหละ มีพฤติกรรมสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม ไม่ใช่ไปเกิดขณะนั่งหลับตา แต่เกิดขณะมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทำคิดพูด สังกัปปะคิด จะเกิดความรู้แจ้งจากการมีกรรมกิริยามีการทำอาชีพ สี่หลักนี้ในมรรคองค์ 8 ต้องมีธัมมวิจัย
เริ่มต้นจาก สัมมาทิฏฐิเป็นประธาน จะมีความรู้ถูกต้องถึง 10 หลัก
สัมมาทิฏฐิ 10 หลัก หรือผู้ที่ไม่รู้ถูกต้องก็เป็นมิจฉาทิฐิ 10 ถ้าเข้าใจ 10 หลักนี้ไม่ได้ คุณไม่มีวันที่จะบรรลุธรรม ยิ่งไม่เข้าใจมรรคมีองค์ 8 ต้องมีการสัมผัสของจริงตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วมีธัมมวิจัย หลักตัดสินด้วยว่า
ข้อแรก ทินนัง ถ้าไม่รู้ก็นัตถิ ทินนัง จะทำทานมากทำเยอะแยะ ทำเสร็จแล้วมีผลชำระกิเลสไหม อัตถิทินนัง ถ้าไม่สำเร็จเป็น นัตถิทินนัง
ก็ต้องรู้ว่ากิเลสอยู่ที่ไหน อยู่ที่มะม่วง มะกรูดหรือเปล่า? หรืออยู่ที่ทองคำหรือเพชรพลอยหรือธนบัตร กิเลสอยู่ที่ผู้หญิงผู้ชาย ไม่ใช่ กิเลสอยู่ที่จิตเรา ก็อ่านเข้าไปในจิตเรา มีธัมมวิจัยแยกแยะว่า อาการอย่างนี้คือกิเลส ต่างกับอาการที่ไม่มีกิเลสอย่างไร ต้องอ่านอาการเป็น ของใครก็ต้องทำเอง จับนิมิต อ่านนิมิตของตนเอง เกิดสัมผัสแล้วอ่านอาการ แยกแยะได้ อ่านอาการออกว่า กิเลสโลภ โกรธ โมหะ
โมหะแปลว่าหลงผิด หลงเลอะปนๆกัน ไม่ถูกต้องทีเดียว เรียกว่าโมหะ ถ้าแยกแยะออกเป็นโทสะ หรือโลภะ ผลักหรือดูด อ่านอาการนี้ได้ เป็นอาการนามธรรม (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ผู้ที่จะเข้าใจได้จริงๆว่าปัญญาธาตุนี้ เป็นธาตุพลังงานที่รวมเรียกว่าปัญญา จึงไม่ใช่สัญญาหรือตรรกะ ปัญญาต้องประกอบด้วยองค์ 6
ในองค์ 6 นี้ต้องมีสัมมาทิฏฐิ เป็นประธาน ถ้าคุณทานแล้ว คุณทำใจคุณ แม้เริ่มต้นมีความหวัง ภพชาติ ทานแล้วก็คือให้ ให้ข้าวของสมบัติวัตถุ แรงงานความรู้ ให้อะไรก็แล้วแต่ ก็ไม่ต้องคิดเอาอะไรตอบแทน ต้องหวังแม้แต่คำขอบคุณ บุญคุณตอบแทน จนคิดเอาเองว่าเราจะได้วิมาน ได้ความเจริญ สิ่งที่ดี ต่อจากทานออกไปเรียกว่า สาเปกโข ทานก็คือให้ ให้แล้วก็คือให้ ให้แล้วคุณก็ไม่มีอะไร ให้แล้วก็หมด สุญญตา ศาสนาพุทธจบด้วยสูญญตา บุญคือตัดภพชาติ ไม่มีจิตต้องการอะไรมาให้แก่ตัวเองเลย นี่คือสมบูรณ์ แต่ถ้าอยากได้อะไรให้แก่ตัวเอง ก็คือกุศล
บุญไม่มีตัวตน บุญมีแต่วิบัติ เอกังสะ บุญมีหน้าที่ตัดกิเลสอย่างเดียว กิเลสหมดไปแล้ว บุญก็หาย บาปก็หาย ปุญญปาปปริกขีโณ ทั้งบุญและบาป หายไปในการสำเร็จผลนั้น
ทุกวันนี้คำว่าบุญ ที่ศึกษา การอยู่ในวงการศาสนาพุทธ คำเดียวนี้ ก็เพี้ยนไปหมดแล้ว ไม่ถูกต้องตามนิยามจริงของคำว่าบุญ จึงไม่มีมากกว่าของศาสนาพุทธเลย ปฏิบัติคำว่าบุญคำเดียวที่เข้าใจผิด บุญ สะสมไม่ได้ ไม่ใช่สมบัติ
บุญ ..ผลของมันคือ 0 ถ้าทำไม่ถึง 0 ก็ได้ส่วนบุญไปตามลำดับ เรียกว่าปุญญภาคิยา คือส่วนบุญ ส่วนบุญไม่ใช่สิ่งที่ได้ ส่วนบุญคือสิ่งที่เสียไป สละไปกำจัดออกไป นั่นคือส่วนบุญ
คนที่เข้าใจความจริงอย่างนี้ไม่ได้ เข้าใจว่า มีส่วนบุญ เลยเอาไปแบ่งกัน ส่วนบุญคือส่วนกิเลสที่ทำลายได้ นักปฏิบัติทุกวันนี้ เอาส่วนบุญไปแบ่งกัน ส่วนบุญคือกิเลสที่แบ่งออกไปได้ ถ้าเอาไปแจกกัน ก็เอากิเลสไปแจกกันสิ สมมุติว่าส่วนแห่งบุญคือล้างกิเลสออกได้ 10% ก็เลยเอา 10% นี้ไปแบ่งกัน งามหน้าไหม สมน้ำหน้าโง่ไหม ใครเคยโง่มาบ้าง ตอนนี้ฉลาดหรือยัง ไม่ไปทำโง่อย่างนี้อีกแล้วนะ แต่น่าสงสารคนทั้งโลกอีกเยอะที่ไม่เข้าใจสัจธรรมอันนี้
ถ้าเข้าใจผิดคำว่าบุญคำเดียวนี้ คำว่าบุญคือโลกุตระ ในศาสนาอื่นใดไม่มี ศาสนาอื่นเอาคำว่าบุญไปใช้นี้ผิดหมด เพราะว่ารับไปจากศาสนาพุทธที่ผิด ก็เลยเข้าใจผิดไปด้วย
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_ปัญญา) ตอน องค์ 6 ของปัญญากับการปหาน 5
ในหลัก องค์ 6 ของการเกิดปัญญา หรือธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์
มี ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เกิดจากการทำบุญสำเร็จ ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ในขณะประกอบอาชีพ กิริยา กายวาจาใจ ขณะพูด ขณะคิด และจับกิเลสได้ในขณะ ทำอาชีพ คิด พูด ทำ แล้วกำจัดกิเลสให้ลดหรือให้ตาย พอทำได้ ที่จะทำได้คือต้องมีธรรมวิจัย ต้องเป็นองค์ 3 สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ แล้วต้องพยายามให้มันลดได้
การลดลงของกิเลสมีถึง 5 ระดับ
กดข่ม หรือวิขัมภนปหาน ซึ่งทำเป็นกันทุกคน เป็นสามัญคนทั่วไปก็ทำได้
สอง พิจารณาให้ได้ว่ากิเลสมันเป็นของไม่จริงไม่เที่ยงแท้ เป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่มีตัวตนจริงๆเลย ปัญญาหรือ ความเฉลียวฉลาด ความเข้าใจ ธาตุรู้ของตนเอง รู้ว่า กิเลส มันมีคุณสมบัติไม่เที่ยงแท้ เดี๋ยวใหญ่เดี๋ยวเล็ก เดี๋ยวไปเดี๋ยวมา มันทำไมตลบแตลงกันนักกิเลส สอง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์จริงๆ เพราะมันพาเราไปหาแย่งสวรรค์ แต่สวรรค์ไม่มี สวรรค์มีแต่เท็จ มันพาเราไปอยากได้สวรรค์ มันคือเหตุแห่งทุกข์ จริงๆแล้วมันไม่มีตัวตน นี่คือกฎไตรลักษณ์ ผู้ที่เห็นปัญญานี่มันแจ้งจริงๆเลย พยายามทำให้ได้หรือ พิจารณาทีใดเห็นจริงว่ากิเลส พิจารณาแล้วมันลดเป็นครั้งๆ เรียกว่าตทังคปหาน ตทังคะแปลว่าแต่ละครั้งๆ
1. วิกขัมภนปหาน 2. ตทังคปหาน จริงๆแล้ว วิกขัมภนปหานคือทุกคนทำเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว มันอายก็กดข่มไว้ หรือสุดทนก็แสดงออก โทสะหรือกามก็ดี ถ้าไม่สุดทนก็ไม่แสดงออก ใครๆก็ต้องไม่ให้แสดงออก กามหรือโทสะก็ตาม มันมีการกดข่มเป็นธรรมชาติ แต่เราต้องเอาจริงกับมัน
สองต้องพิจารณาใช้เหตุผลอ่านลงไปถึงความจริงตามกฎไตรลักษณ์ คุณลดได้ เป็นครั้งคราว ร่วมกัน ระหว่างการ กดข่มกับใช้ปัญญา ตทังคะ ได้เรื่อยๆ พอทำเด็ดขาดสูญได้เรื่อยๆคือสมุจเฉทปหาน
สมะแปลว่าเสมอ ต่อเนื่อง ทำให้ขาดต่อเนื่องๆ ก็เด็ดขาด ขาดโดยเราเด็ด ทำได้สำเร็จผลนานก็ ปฏิปัสสัทธิปหาน ปฏิแปลว่าทวนไปทวนมา กิเลสก็สงบลงๆ ทำสำเร็จสมบูรณ์คือนิสรณปหาน ไม่ต้องทำอีกแล้ว
เมื่อเป็นสมุจเฉทะ นิสรณะคือไม่ต้องสู้รบกันอีกแล้ว รณะ แปลว่ารบ สรณะแปลว่าประกอบการรบ นิ เป็นอุปสรรค คือไม่ คือไม่ต้องรบแล้วจบแล้ว สบายแล้วหยุดแล้ว การตัดกิเลส ก็คือการรบ รบอย่างหนักเลย รบอย่างสำคัญมาก
ผู้ที่ปฏิบัติถูกต้องตามสภาวะ ที่อาตมาอาศัยพยัญชนะบาลีของพระพุทธเจ้าตามที่มีเดิม มาอธิบาย คนที่เข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติจนสำเร็จผลก็ตามที่แต่ละคนทำได้จริง ทำได้นิสรณะเสมอๆ กิเลสแต่ละตัวแต่ละตัวทำได้ เผลอๆเป็นอรหันต์โดยไม่รู้ตัว
แต่คนที่ปฏิบัติแล้ว จะต้องรู้ว่าเราปฏิบัติแล้วถูกต้องไหม ได้ผลหรือยัง มีส่วนที่เหลือ เรียกว่า กามภพ รูปภพ อรูปภพที่มันยังเหลืออยู่ในองค์รวม
กามภพหมดแล้วเหลือรูปภพ อรูปภพ ก็ล้างไปตามลำดับ ดับได้หมดสิ้นไม่มีกิเลสเราก็หมด ก็ต้องพยายามศึกษารู้ด้วยญาณปัญญา เข้าใจรู้ความจริงตามความเป็นจริงเหล่านี้ คำสอนพยัญชนะสื่อให้เห็นสภาวะเหล่านี้ เข้าใจแล้วก็เอาไปปฏิบัติ
หลักปฏิบัติมีศีล สมาธิ ปัญญา แล้วจะเกิดวิมุติ วิมุติญาณทัสสนะ หลุดพ้นจากโลกโลกีย์ เป็นนิโรธ แต่เรายังไม่ตาย เรายังมีชีวิตมีธาตุรู้ ส่วนที่ไม่มีคือส่วนกิเลส เหลือวิมุติ รู้ว่าเราไม่มีแล้ว วิ แปลว่าไม่ กับสุดประเสริฐ สิ่งที่ทำให้ไม่มีเราทำได้แล้ว ก็เป็นสิ่งประเสริฐ วิ เป็นสิ่งที่ใช้พยัญชนะมาสื่อกับสภาวะ ใครทำถูกต้องได้ประโยชน์ อาตมาเกิดมาชาตินี้มาทำเรื่องนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ชุมชนส่งเสริมความมั่นคงแห่งชาติ
ถ้าผู้ที่เรียนรู้ลดกิเลส เป็นมวลประชากรของสังคม ที่มีกิเลสลดได้จริง มวลของประชากรก็ไม่เป็นโทษต่อสังคม ในด้านการบริหารประเทศก็ไม่เกิดโทษภัย เกิดความสงบสุขต่อสังคม
อาตมาทำได้ไม่เป็นทางนิตินัย ทำเป็นเอกชน ทำให้ประชาชนลดเหตุปัจจัย จะไปสร้างโทษภัยก่อความไม่สงบแก่สังคม อาตมาทำมา 47 ปีแล้ว ตั้งแต่เลิกเลี้ยงชีวิต ให้คนเขาเลี้ยงไว้ ทำงานให้ประชาชน จึงเป็นการทำงานเหมือนผู้บริหารบ้านเมือง กับนักการเมืองทำงานเหมือนกันแต่ทำคนละแบบ
การเมืองทำแบบบังคับใช้กฎระเบียบใช้ข้อบังคับ หรือฆ่าแกงได้ เป็นอาณาหรืออาชญา แต่ของศาสนาพุทธเป็นแบบอิสระเสรีภาพ เป็นการให้เกียรติ ไม่บังคับ ให้ใช้ปัญญา ของศาสนาพุทธใช้ปัญญานำ จัดการกับตัวเหตุที่ทำชั่วแก่สังคม ดับกิเลส ปหานได้จริง เป็นคนไม่ก่อโทษภัย เป็นคนก่อความสงบสุข
โดยคนที่ทำงานให้คนลดกิเลส คือคนผู้รักษาความมั่นคงของชาติชั้นหนึ่ง เพราะว่ารักษาความมั่นคง โดยระงับต้นเหตุ
พวกคุณมารับการอบรมศึกษาเพื่อลดละกิเลส แล้วลดการก่อความไม่สงบให้แก่สังคมประเทศชาตินี้ดีมาก สอดคล้องทั้งการเมืองและสัจธรรม
ทางด้านการเมือง ยังไม่เข้าใจเหตุแท้ในจิตคือกิเลส ก็ใช้กฎหมาย เอามาลงโทษ ยุ่งยากหลายอย่าง แต่นี่ใครทำก็เป็นวิบากของเขา จะมาศึกษาก็มีฉันทะ
พูดถึงฉันทะแล้วก็นึกถึงหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า
หลักหนึ่งคือมูลสูตร อีกหลักคือสุริยเปยยาลสูตร
มูลสูตรคือมีฉันทะเป็นมูล เป็นรากเป็นต้นทาง หากไม่มีฉันทะ ไม่มีความยินดีในการปฏิบัติก็ยาก ต้องรู้ว่ามาเรียนรู้ทั้งนี้เป็นความประเสริฐ เรามาปรับที่เหตุตัวโทษภัยในตัวเอง เป็นคนช่วยประเทศชาติให้เกิดความมั่นคง สงบ เป็นผู้รักษาความมั่นคงของชาติ นี่คือ ชาติมั่นคงได้เพราะไม่มีตัวเหตุทำโทษภัยอยู่ในสังคม
ที่อาตมาพากันทำงาน และพยายามสั่งสอนให้พวกเราเลิกตัวโทษภัยในชีวิต พวกเราก็เป็นผู้ที่ไม่ก่อความไม่สงบ ก่อความไม่มั่นคง จึงเป็นผู้ที่ก่อความสงบความมั่นคง เราก็ช่วยรัฐบาล ช่วยในการบริหารประเทศอยู่ตลอดเวลา คนไม่รู้หนักก็คือ มหาเถรสมาคม ไม่รู้ว่าโพธิรักษ์พากันสร้างความไม่ก่อความสงบ ล้างเหตุที่ทำให้ประเทศไม่สงบไม่มั่นคง แต่มหาเถรสมาคมไม่ได้เข้าใจเลย กลับเห็นว่าทำความไม่สงบไม่มั่นคง
ถ้าเขารู้ว่าโพธิรักษ์มาช่วย ทำดับเหตุแห่งความไม่สงบ ไม่มั่นคง สอนเจาะเข้าเป้าด้วย ก็จะไม่ว่า เพราะฉะนั้นคนที่ว่า ก็คือคนตาถั่ว ตาบอด
หน้าที่การงานที่อาตมาทำ ถึงไม่ได้สนใจตัวเองเลย ว่าตัวเองเป็นพิษภัยกบฏหรือเลวร้ายแก่สังคม ไม่ใช่เลย แต่คนไม่รู้ว่าอาตมาได้ทำสิ่งที่เขาต้องการ กลับโมหะเลอะเทอะว่าใช่หรือไม่ใช่ เพราะความไม่มีปัญญาอันแม่นคม
อาตมาก็จำนน รู้ว่าเขาไม่รู้ ก็ไม่ได้โกรธเคืองเขา อาตมาเหมือนพ่อแม่ที่ไปห้ามไม่ให้ลูกทำสิ่งผิด แต่เด็กไม่รู้ว่าเราปรารถนาดี เขาไม่ได้ทำดังใจ เราไปห้ามทิฏฐิเขา เขาก็ต่อสู้ ตีหรือทำร้ายตอบโต้พ่อแม่ เป็นธรรมดาอาตมาเข้าใจ ไม่ได้ถือสา มีลูกโง่ เราจะให้ดี ล้างสมองขี้เท่อ เขาก็มาย้อนเอา ก็เข้าใจ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท_อุปาทาน) ตอน อุปาทาน 4
สรุปแล้วอาตมาทำงานมาถึงวันนี้ ก็ขอบอกความจริงอย่างหนึ่ง อาตมาไม่เคยเกิดความรู้สึกอย่างนี้เลย ทำงานมา 47 ปี ปีนี้ย่างอายุ 84 มันเป็นอาการที่เกิดเองคือเหนื่อย ถามต่อว่าถึงขั้นท้อไหมก็ไม่ท้อ ถอยก็ไม่มี ยังไม่ถึงกับท้อ แต่เมื่อย
มันเมื่อย เพราะอะไร เพราะตัวที่เมื่อยคือเมื่อยใจ คือมันทำไมยากฉิบหายเลย ตัวนี้แหละที่ทำให้อาตมารู้สึกเหนื่อย คือยากฉิบหาย
เหตุที่มันยากคือคนยึดตัวตน ยึดทิฏฐิ คนมีอุปาทาน 4 ครบ จึงยาก
1. ยึด กาม กามคืออะไร กามคือ ความใคร่อยาก เขาได้ตามความใคร่อยากเขาถึงได้ยึดบัลลังก์นั้น เขาได้บัลลังก์ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข กามุปาทาน
2. ทิฏฐุปาทานคือการยึดถือความรู้ ความเห็น ลัทธิ จารีต ประเพณีครูบาซ่า การสั่งสอน สืบทอดกันมาแต่เดิม ซึ่งมันผิด การยึดทิฏฐิเก่า ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ อาตมาพูดยังไม่เกรงใจ เขายึดผิดๆเป็นทิฏฐุปาทาน
3. สีลลัพพตุปาทาน ศีล ทุกวันนี้พระภิกษุไม่ได้ยึดถือในศีลแล้ว แต่ยึดในพระวินัย 227 ข้อ เขาถามพระว่า ถือศีลกี่ข้อ เขาก็บอกว่าถือศีล 227 ข้อ นั่นไม่ใช่ศีล ศีลมี จุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 มหาศีล 7
จุลศีลคือ ข้อปฏิบัติให้เจริญไปตามลำดับแต่ละคน มัชฌิมศีลคืออธิศีลสูงขึ้น ส่วนมหาศีล นั้นคือศีลของศาสนา ไม่ได้เป็นศีลของตัวบุคคล
คือข้อห้ามว่าอย่าไปมี ในข้อห้ามมหาศีล คือห้ามเดรัจฉานวิชา เดรัจฉานวิชานี้ศาสนาพุทธไม่เอานะ มันเป็นพวกเดรัจฉานประพฤติกัน แต่นี่ทำกันไปมากมาย จุดธูปเทียนบูชาไฟ รดน้ำมนต์ วัดไหนไม่มี เขาถือกันว่าวัดไหนไม่มีจุดธูปเทียน บูชาไฟ รดน้ำมนต์ ไม่ใช่วัด เห็นความผิดเพี้ยนวิปริตสมบูรณ์แบบใหม่
เพราะฉะนั้น มัชฌิมศีลไม่มีแน่
ในจุลศีล 26 มีศีล 5 8 10 ในนั้น แต่ไม่เรียกกันแล้ว ไปสำคัญเอาวินัยก็ดี ไม่ให้ผิดวินัย วินัย เป็นกฎหมายอาญา มีบทลงโทษ ส่วนศีลไม่มีบทลงโทษ แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่เจริญ ถ้าคุณทำผิดศีล แต่ถ้าทำถูกคุณก็เจริญ
ส่วนวินัย มีการควบคุมถ้าทำผิดก็ลงโทษ ผู้ใดเข้ารีตภิกษุก็ต้องทำตามนี้ ส่วนประชาชนไม่ได้มาบังคับ แต่ถ้าประชาชนจะยึดถือพระวินัยด้วยก็เจริญ น่าจะเป็นฆราวาสจะปฏิบัติไม่ให้ผิดพระวินัยก็เจริญ แต่ไม่มีคนมาลงโทษ แต่ก็ได้ผล ตามที่ทำตามวินัย เพราะสิ่งที่ห้ามในพระวินัยเป็นสิ่งไม่เจริญ
จึงกล่าวได้ว่าศาสนาพุทธนั้น ศีลได้หมดไปมีแต่วินัย สมาธิก็หมดไป มีแต่มิจฉาสมาธิการนั่งหลับตาทำสมาธิ ที่ไม่มีการศึกษา กายสังขาร วจีสังขาร เพราะสังขารที่มีการปรุงแต่ง รับรู้ทาง ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็สังขารไม่มี แต่คุณเรียนรู้แต่มโนสังขารอย่างเดียว ซึ่งมันน้อยไปและเบาบาง ไม่มีทางทำให้เกิดพลังงานที่มีน้ำหนัก มากพอ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:11:38 )
รายละเอียด
600607_พ่อครูเทศน์ก่อนฉันอโศกรำลึกครั้งที่ 36 แม่บทของสรรพศาสตร์คือพุทธศาสตร์
พ่อครูว่า… วันนี้วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 7 ปีระกา ผ่านไปผ่านไป แต่ละวันแต่ละวัน การเดินทางของวันไม่เคยพัก ไม่เคยผ่อน นาทีก็เท่านั้น เผลอนาทีก็เท่าวินาที ไม่เคยลดหย่อนไม่โกงไม่เคยหยุดไม่เคยบ่น ไม่เหมือนโพธิรักษ์ บ่นเก่ง
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท_รูปนาม) ตอน กายคือรูปและนาม
อาตมาเคยสะดุด ชีวิตคืออะไร ชีวิตคือ กรรมกับกาละ คือ กรรมกับกาละเวลา ชีวิตแต่ละชีวิตหายใจเข้าหายใจออก ก็คือกรรม คือกิริยาของชีวิต หายใจเข้าหายใจออกคือลักษณะของภายนอก ที่เรียกว่าส่วนหนึ่งคือกายภายนอก
กายมีส่วนหนึ่งเป็นภายนอก และอีกส่วนหนึ่งเป็นภายใน
คำว่า กาย สำคัญยิ่งที่ภายใน กายไม่สำคัญที่ภายนอก พระพุทธเจ้าไม่เคยกำกับมา สำคัญที่ภายนอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตเป็นประธาน จิตมโนวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง เพราะฉะนั้นเราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าโดยเป็นลูกพระพุทธเจ้า ก็ต้องรู้จักความสำคัญในความสำคัญ พระพุทธเจ้าให้ความสำคัญในภายในจิต โดยเฉพาะใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง
ศาสนาพุทธมาถึงทุกวันนี้ในเมืองไทยหรือเมืองนอกต่างๆ อาตมาเชื่อว่าเขาเข้าใจคำว่ากาย ผิดเพี้ยนไปแล้ว เข้าใจคำว่ากายว่าหมายถึงภายนอกเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับภายในเลย นั่นคือความเข้าใจที่ผิดพลาดสมบูรณ์แบบ ว่ากายคือภายนอกอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับภายในเลย ไม่มีธรรมะ 2
กายคือธรรมะ 2 ภายนอกและภายใน ทั้งรูปและนาม พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ผมขนเล็บฟันหนัง เป็นมูลกรรมฐาน 5 แรก ให้พิจารณา ผมขนเล็บฟันหนัง ผู้ที่ศึกษาธรรมะในยุคนี้ ขอพิจารณาไม่เป็นว่า พิจารณา ผมขนเล็บฟันหนังว่าพิจารณาอย่างไร
อย่างเก่งก็อธิบาย กายคือร่าง พิจารณาว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ก็ไม่รู้ว่ามันทุกข์อย่างไร ก็โมเมว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน เท่าที่เคยทราบที่เขาอธิบายกัน
แท้จริงแล้วกายนั้นท่านให้แยกธรรมะ 2 ธรรมะส่วนหนึ่งก็เรียกว่ารูป ธรรมะส่วนหนึ่งเรียกว่านาม
รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวธาตุรู้ ที่มันเป็นตัวรู้เลย ส่วนรูปคือธาตุที่ถูกรู้ ไม่ว่าจะเป็น มหาภูตธาตุ 4 ดินน้ำไฟลม แถมอากาศธาตุ
นามนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 7 นามคือ ต้องเรียนรู้ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ห้าชนิดนี้ นี่คือ นาม แต่เดี๋ยวนี้หลงเพี้ยนไปไกลว่า นามคือ จิต เจตสิกต่างๆ อภิธรรม จิต 89 จิต 121 แล้วเรียกเป็นดวงๆๆ เจตสิก 52 อะไรอย่างนี้ เลยเถิดไป
แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ รูป 28 นาม 5 ใช้ สองอย่างนี้เรียนรู้ ถ้าเข้าใจรูป 28 ตั้งแต่
ปสาทรูป โคจรรูป 5 สัมผัสกันเข้าเกิดภาวะรูป 2 แล้วตามรู้ที่มันเกิดในตนเรียกว่า หทยรูป แล้วก็เกิดความเป็นชีวิต แยกพลังงานที่เป็นชีวิต จิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยาม แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายแบบนี้ ซึ่งก็ต้องพิจารณาว่า พลังงานมันเกิดเป็นชีวะ มี อุตุ พีชะ จิต มีคุณสมบัติต่างกัน และสามารถทำให้ จิตนิยามมาเป็นพีชนิยามได้ไหม เป็นต้น
การพิจารณากรรมฐาน 5 ก็ให้พิจารณาธรรมะ 2 หรือรูปและนาม สิ่งที่ถูกรู้ กับธาตุรู้ แล้วก็วิจัย สิ่งที่ถูกรู้ ใส่ใจ จัดการใจคือมนสิการ ให้เรียนดูใจหรือจิตเป็นพลังงานนามธรรม มันเกิดจากผัสสะ แล้วเราก็เรียนรู้ เมื่อเกิดผัสสะ แล้วตามรู้ในเจตนา มโนสัญเจตนามี 3
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
เราก็จัดการกับเจตนา โดยเมื่อมีเวทนา มีสัมผัสแล้ว เวทนา สัญญา เจตนา มีสัมผัส เกิดเวทนา เมื่อเกิดเวทนาเราก็ใช้สัญญากำหนดรู้การวิเคราะห์วิจัย
กำหนดรู้เวทนาในเวทนา มีอะไรเป็นตัวเหตุปรุงแต่งเป็นเวทนาเป็นสังขาร ปรุงแต่งสุขทุกข์ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
เหตุให้เกิดความสุขและความทุกข์นั้นอันเดียวกัน เหตุคือ ตัณหา ถ้าได้สมกับตัณหาสมความต้องการ มันอยากได้อย่างนี้ ก็ได้มาสมใจเรียกว่าเป็นสุข
ถ้ามันไม่ได้ก็เรียกว่ามันเป็นทุกข์ สุขทุกข์อันเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าได้บำบัดบำเรอความต้องการหรือไม่ เท่านั้นเอง
ถ้าไม่ได้แล้ว พยาบาท ฝากไว้ก่อนเถิด ฝากไว้ก่อนโอฬาร เขาไม่วาง ปุถุชน ไม่มีปล่อยวาง มีแต่ สั่งสม ยิ่งไปสมมุติว่า สิ่งที่จะได้สวรรค์ เป็นสิ่งน่าได้
สวรรค์ก็คือนรก นรกสวรรค์ ทุกข์ก็คือสุข สุขก็คือทุกข์ คือภพคือชาติ ทั้งนั้น
เสร็จแล้วก็ไป สร้างภพ สร้างชาติ ก็คือสร้างสุขและทุกข์ พระอรหันต์ไม่มีภพชาติ จึงหมดสุขหมดทุกข์ นี่ภาษาก็ชัดๆง่ายๆ แต่ต้องเรียนรู้สภาวะ อ่านอาการ ว่าอาการสุข อาการทุกข์คืออย่างไร และเหตุของอาการคือตัณหา เป็นสมุทัย อาการเป็นอย่างไร ต้องอ่านให้ออก อ่านให้ออกแล้วกำจัดตัวนี้ กำจัดตัวนี้ได้ก็หมด เรียกว่าหมดตัวตนที่เป็นเหตุ
คำว่าอัตตาเป็นตัวตน กำจัดอัตตาแล้วก็จะไม่มีอัตตาเรียกว่าอนัตตา ไม่ใช่ไปฟังคำสอนที่บอกว่า สัพเพธัมมาอนัตตา ธรรมะทั้งปวงก็เป็นอนัตตาทั้งนั้น ใช่ สำหรับพระอรหันต์ แต่คุณยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็อย่าเพิ่งคิดว่าอนัตตาทั้งหมด ทั้งที่อัตตาตัวเบิ้มอยู่ แล้วบอกว่า เชื่อว่าทุกอย่างอนัตตาแล้วก็อนัตตาเลย มันไม่เป็นความเข้าใจที่รอบถ้วน
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท_อุปาทาน) ตอน ล้างอุปาทาน 4 จนหมดอัตตา
ทีนี้ อัตตา เมื่อวานได้อธิบายถึงอุปาทาน 4
กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน ยังไม่ได้อธิบาย
กามุปาทาน กามคือ ความใคร่อยากได้มาบำเรอตน โดยเฉพาะ กามนี้ถือว่าเป็นภายนอก คือห้าทวารภายนอก เรียกว่ากามคุณ 5 ไม่ได้เรียกว่ากามคุณ คือสิ่งที่กระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย
ส่วนอีกส่วนหนึ่งเรียกว่า อัตตา เป็นภายใน กามนี้คือภายนอก อัตตาเป็นภายใน พระพุทธเจ้าเทศนากัณฑ์แรก ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก็บอกว่า ชีวิตมีอัตตกิลมถะกับกามสุขขัลลิกะ คือ ลำบากแสวงกามมาบำเรอตน สมใจก็เป็นสุขเหมือนไม่มีความทุกข์ร้อน มันพรางกลบเกลื่อน ที่แท้เป็นความลำบาก เป็นอัตตาทั้งนั้น ต้องล้างอัตตาให้หมดความยึดติดในอัตตา
จนหมดไม่ยึดติดในความเป็นอัตตา!
อาตมาอธิบายอุปาทานไปถึงอัตตวาทุปาทาน
กามุปาทานคือยึดติดภายนอก ข้างในคือจิตวิญญาณตัวแท้ บำเรอแล้วเป็นสุขทุกข์ สั่งสมเป็นอนุสัยอาสวะในจิตทั้งนั้น
เมื่อสัมผัสภายนอก มีอวิชชาก็สั่งสมตกผลึกไว้ พุทธศาสนิกชนไม่รู้ก็เลยสั่งสม บำเรอแล้วก็นึกว่าน่ามีน่าได้น่าเป็นได้มาก็สุข แล้วไม่ได้ก็จองเวรจองกรรม ไม่ชอบ
จากกามก็มาที่ทิฏฐุปาทาน ความเห็น ความเข้าใจ ความรู้ ผู้ที่ยึดติดความรู้ความเห็นความเข้าใจต่างๆที่สอนกัน เขาแยกว่า ชาวอโศกเป็นลัทธิหนึ่งที่มิจฉาทิฏฐิ เราก็ว่าพวกคุณนั่นแหละที่เป็นพวกลัทธิเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ ต่างคนก็ต่างว่า ก็มีสิทธิ์ที่จะว่ากัน เราถูกเขาผิด ส่วนใหญ่เราถูกเขาผิดทั้งนั้น มันเป็นธรรมดาธรรมชาติก็ว่ากันไปก็ศึกษา ใครจะผิดจะถูกก็ต้องศึกษา จนกระทั่งเจริญด้วยปัญญาก็จะรู้ว่าอะไรคือจริง ต้องเกิดสภาวะความเป็นจริง
สีลัพพตุปาทาน มีศีล มีพรต มีกรรมวิธีที่เรียกว่ากรรมฐานหรือเรียกอื่นๆ เข้าไปแล้วก็ปฏิบัติอย่างนี้อย่างนี้ มียิฏฐัง เป็นพิธีกรรม วิธีปฏิบัติที่จะบรรลุสูงสุดเป็นนิพพาน
อัตตวาทุปาทานนี้ลึกซึ้งซับซ้อน มีคำว่า อัตตา วาทะ อุปาทาน สามคำนี้
อัตต คืออัตตา วาทะ คือภาษาคำพูด มีอัตตาแล้วมีคำพูด อุปาทานคือความยึดถือ
ก็ยึดถือ ได้แค่คำพูดว่าเป็นอัตตา ท่านประยุทธ์ ปยุตโต หรือท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ตอนนี้ ท่านก็แปล ตรง แปลตามพยัญชนะว่าผู้ที่ยึดถือได้แค่คำพูดเป็นอัตตา ยังไม่ได้ยึดตัวอัตตาจริง ยังไม่รู้จักตัวอัตตาจริง
คำว่าอัตตาได้แต่พยัญชนะภาษาคำพูด แต่ตัวจริงยังไกล ยังยึดไม่ถึงตัวอัตตา จึงหมดทางเลย คนที่มีอุปาทานยึดติดแค่อัตตวาทุปาทาน
เช่นชาวเทวนิยามเขายึดพระเจ้าเป็นอาตมัน ปรมาตมัน (บรม + อาตมัน) ยึดพระเจ้า แต่มีแค่คำพูด พูดว่าอัตตาๆๆ เรายึดถือพระเจ้าเราเข้าถึงพระเจ้าเรามีพระเจ้า มีแต่ภาษาคำพูด เขายังไม่เคยรู้จักเลยว่าพระเจ้ามีรูปร่างอย่างไร มีคุณสมบัติจริงแท้อย่างไรเขาไม่เคยสัมผัสได้ ตั้งแต่ต้น กลาง ปลาย มีแต่พูดกันมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา_เทวนิยม) ตอน ลดอัตตาเป็นอเทวนิยม
ทีนี้ มาถึงศาสนาพุทธ พุทธ เป็นอเทวนิยม พุทธสัมผัสพระเจ้าได้ ไม่เป็นอัตตา ทุกประการตามเห็น อัตตานุทิฏฐิ
ตามเห็นอัตตาได้มีญาณปัญญาตามเห็นอัตตาได้
อัตตาคืออะไร อัตตาคือจิตเจตสิก จิต มโน วิญญาณ
จิต มโน วิญญาณ นั่นแหละ คือความเป็นอัตตาที่อวิชชา
เมื่ออวิชชาก็เป็นตัวตนของเราเป็นตัวเรา
ตัวเราก็ดี อาตมันก็ดี หรืออัตตาที่เป็นบรมอัตตาก็ตัวตนตัวเรา ศาสนาเทวนิยมจึงต้องการจะมี อัตตาใหญ่ บรมคือใหญ่ ไม่ใช่หมดอัตตา จึงเรียกว่าเทวนิยม เป็นลัทธิที่มีเทวะ เทวะไม่หายไป แต่ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม สูงสุด เทวะหายไป ไม่มีเทวะ ก็จบ หมด ความยึดติดเทวะ เข้าใจเทวะ
ปฏิบัติเสร็จสมบูรณ์แบบไม่มีสัตว์นรกไม่มีสัตว์สวรรค์ ไม่มีเทวดาไม่มีนรก หมดสวรรค์หมดนรก สวรรค์คือสุข นรกคือทุกข์ หมดโศกหมดทุกข์เรียกว่า อทุกขมสุข เป็นอุเบกขา จิตวางหมด ไม่มีสุขทุกข์สวรรค์นรก ปราศจากสุขปราศจากทุกข์ คืออาริยสัจ 4 ปราศจากทุกข์
ไม่ใช่ว่าปราศจากทุกข์ แล้วได้สุข นั่นเป็นสมมติสัจจะ สัจจะเท็จ ที่สมมุติกันไมใช่ ปรมัตถสัจจะ
ถ้าสุข ของปรมัตถสัจจะเป็นสุขขัลลิกะ เป็นสุขเท็จ เมื่อล้างความยึดติดนี้ได้ความสุขก็หมดไปความทุกข์ก็หมดไป ศาสนาพุทธมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย
จึงเริ่มศึกษาโดยมีหลักเกณฑ์ตั้งตัดสิน มีหลักเกณฑ์ ปฏิบัติกาย วาจา ใจ
ไม่ฆ่าสัตว์ 2 อย่าเอาของใคร 3 อย่าไปละเมิดการสัมผัสเสียดสีในกามคุณ 5 ที่หยาบที่ไม่ควรทำ อย่างเช่น เราจะสัมผัสเสียดสีแค่ มีคู่เสียดสีแค่คนเดียวก็เรียกว่าผัวกับเมียก็แค่คนเดียว อย่าไปเลอะเทอะมากมายอยากได้หลายคน อย่างนี้เป็นมิจฉากัมมันตะ
แล้วก็วาจา ก็มีมิจฉา 4 ใจก็มีมิจฉา 3 ศึกษาให้ครบ
วาจาก็อย่าพูดปด หยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ
ใจก็อย่าไปยึดติดใน กาม พยาบาท ล้าง กาม พยาบาท เหลือในรูปภพก็ล้างต่อ เป็นกามตัณหา ล้างรูปภพเหลืออรูปภพ ล้างต่อก็หมด
ทางกายก็เอาแค่หยาบ ไม่ฆ่าสัตว์ ซึ่งอาตมาว่าศีลข้อที่ 1 นี้ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่มาก มันเป็นคุณสมบัติของมนุษยชาติ มนุษย์เป็นสัตว์ที่ในจิตวิญญาณ มีภูมิปัญญา มีธาตุรู้ มีความ หวังประโยชน์ในสัตว์ทั้งปวง
เป็นสัตว์ประเสริฐ หวังความเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
เมื่อมนุษย์ใดก็ตาม ที่ได้ชื่อว่าได้ร่างกายมาเป็นคนเป็นมนุษย์แล้ว ยังไม่มีความรู้สึก ที่จะหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ แล้วมีความกรุณา (พ่อครู ไอ ช่วยตัดออกด้วย) มีความเอ็นดู มีความละอาย ละอายที่จะไม่หวังความเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง
สัตว์ทั้งปวง แม้เริ่มเป็นสัตว์เซลล์เดียว เขาก็เริ่มเป็นสัตว์มีจิตนิยาม ก็ต้องพัฒนาต่อ อาตมาเคยอธิบาย ในพลังงานต่างๆ กว่าจะพัฒนาพลังงาน จากพีชนิยามจากพืชมาเป็นสัตว์ ต้องมีคุณสมบัติเจริญ เจริญมาเป็นสัตว์ได้ แม้จะเริ่มเป็นสัตว์เซลล์เดียว ก็เป็นชีวะ อย่าไปทำลาย
เห็นความเป็นสัตว์ เขาก็จะสร้างประโยชน์ พลังงานชีวะของเขา ตั้งแต่ชีวะระดับพีชะ ก็มีความรู้ในวงวนของความเป็นชีวะ ระดับพืช ซึ่งมีแค่ สัญญา สังขาร ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ มีธาตุรู้แค่สัญญา รู้ว่านี่คือธาตุที่จะเอามาปรุงแต่งเป็นทุเรียน หมากมี่(ขนุน) มันเลือกเอาของมันเองไม่ไปเบียดเบียนไม่ไปแย่งชิงกับใคร ถ้ามันเอาไปไม่ได้คนอื่นมาแย่งไป สัตว์หรือคนอื่นมาแย่งไป มันไม่มีพลังดูดมาได้ มันก็ไม่ไปทะเลาะกับใคร ถ้าสามารถดูดมาได้ก็เอามาใช้สังเคราะห์สังขารปรุงแต่งมาเป็นตัวของมันเอง ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ได้ก็เสื่อมสูญสลายสูญพันธุ์ไปมันก็ยอม มันไม่เบียดเบียนใคร มีคุณสมบัติอันประเสริฐที่ไม่เบียดเบียนใคร
ถ้าทำให้พลังงานใดก็แล้วแต่ พลังงานที่จะไปจัดสรร ของมันเอง พีชะ จะเป็นตัวประธาน เจ้าของความเป็นพีชะ แล้วก็จัดการพลังงาน เอามาสังเคราะห์ปรุงแต่งออกมาเป็นตัวมัน เช่นเป็นกล้วย ก็มีตัวตนแต่มันไม่ไปเบียดเบียนใคร มันก็ทำหน้าที่ของมัน
ส่วนมาเป็นจิตแล้ว เบียดเบียนคนอื่น มีเจตนามีจิตวิญญาณ ตอนนี้ ยิ่งเจริญมากเข้าก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยึดเอาโลกทั้งโลกเลย เหมือนคนทุกวันนี้ อยากจะเป็นเจ้าโลกให้ได้ แต่ละประเทศ ตัวใหญ่ๆของแต่ละประเทศอยากจะเป็นเจ้าโลก อย่างเช่นนายโดนัล ทรัมป์ หาเสียงด้วยคำว่า The Great American จะสร้างให้อเมริกานี้ยิ่งใหญ่ อย่างนี้เป็นต้น
เขาเองทำไปแล้วไม่มีใครว่าเขา ชาวอเมริกันก็เอาตามเขา นี่คือความเห็นของชาวอเมริกัน ว่าต้องเป็นใหญ่ เป็นตัวตนที่ใหญ่ เป็นคุณสมบัติของปุถุชน แต่เป็นโทษสมบัติของอาริยชน ปุถุชนจะคิดว่าเป็นคุณสมบัติ อาริยชนจะคิดว่าเป็น โทษสมบัติ อาตมาพูดด่าว่าตำหนิ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีทำอย่างนั้นมันไม่ถูก เขาไม่รู้หรอกว่าไม่ดีไม่ถูก
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาตร์บุญนิยม) ตอน พุทธศาสตร์คือแม่บทของทุกศาสตร์
อาตมาพูดไปด้วยความจริงใจตามสัจธรรม ที่จริงไม่ควรพูด หากเป็นท่านพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ควรพูด เพราะท่านยังไม่เห็นควรว่าควรพูด แต่อาตมามาเปิดเผยสัจธรรม กระบวนการของโลก เพราะโลกทุกวันนี้เป็นโลกของ globalization เป็นโลกที่ติดต่อถึงกันหมดเลย ประธานาธิบดี ตดที่ทำเนียบขาวก็รู้ถึงที่นี่ ไม่มีอะไรขีดคั่น จำเป็นต้องให้รู้ทั่วถึงกัน ถ้าพูดภาษาอื่นได้ก็จะพูด แต่อาตมาพูดภาษาอื่นไม่ได้ รู้อย่างไส้เดือนกิ้งกือ รู้บางคำ
ในความเป็นคนที่เกิดขึ้นมา อาตมาเจตนาดี อาตมาก็เป็นคน เหมือนกับคนทั้งหลายในโลก คนทุกคนเหมือนกันหมด เจตนาดีอยากให้รู้สิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้องที่สุด สิ่งที่ ถ้าคิด ถ้าเห็น ถ้ารู้ และปฏิบัติตามนี้คุณจะเป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้หมดทุกข์ หมดโทษ หมดภัย มีแต่คุณค่าประโยชน์ต่อโลกต่อมวลมนุษยชาติ นี่คือเป้าหมายของศาสนาพุทธ
ความหมายของศาสนาพุทธนั้นไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อมวลมนุษยชาติ ที่มีพยัญชนะ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
นี่คือเป้าหมายของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง คนที่ล้างตัวตนลดตัวเองได้ ก็จะเอาพลังงานที่ให้แก่ตัวเองเพื่อคนอื่น
เป็นพระโสดาบัน เมื่อลดความเห็นแก่ตัวเองได้มากขึ้นก็เป็นสกิทาคามี ทำเพื่อผู้อื่นได้มาก มาลดความเห็นแก่ตัวเองได้ในกามภพ ลดได้หมด เป็นพระอนาคามี พลังงานที่มีแต่ตัวเองเห็นแก่ตัวเองก็ออกไปเห็นแก่ผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่นเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น เป็นอนาคามี ก็ยิ่งทำเพื่อผู้อื่นมากขึ้น ทำเพื่อตัวเองน้อยลงมากขึ้นเหลือแค่ รูปภพ อรูปภพ ล้างอุทธัมพาคิยะสังโยชน์ได้ก็เป็นพระอรหันต์
เป็นพระอรหันต์ไม่ได้มีชีวิตเพื่อตนเองเลย มีแต่ชีวิตเพื่อผู้อื่น นี่คือรัฐศาสตร์อันยิ่งใหญ่ เศรษฐศาสตร์อันยิ่งใหญ่ สังคมศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ไม่ได้โมเมเป็นเรื่องจริง ศึกษาพุทธศาสตร์ รับรองปฏิบัติเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สูงสุด เกินกว่า ด็อกเตอร์เป็น post doctor เลย
ศาสนาพุทธศึกษาให้ดี ปฏิบัติบรรลุ จะได้ศาสตร์นั้นมา มหาวิทยาลัยไหนจะมาประสาทปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยนั้นก็มีดวงตาปัญญาเห็น มีคุณสมบัติตามที่ต้องการได้ครบเลย รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เรามีแต่พุทธศาสตร์เก่งเท่านั้นเอง ทางเทคนิคอื่นๆ เกษตรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรืออื่นๆ แต่นี่เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ ผู้ที่มีจิตวิญญาณเป็นเศรษฐะ เสฏโฐ อย่างท่านจันทร์ ฉายา จันทเสฏโฐ
เสฏฐะแปลว่าความเจริญความประเสริฐที่สูงขึ้น เป็นความเจริญจริงๆ ยิ่งในรัฐศาสตร์ก็สูง เพราะว่าเป็นผู้ที่เห็นแก่มนุษย์ไม่ได้เห็นแก่ตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
ในศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่ รวมเอาศาสตร์แห่งความรู้ หรือคุณสมบัติอันประเสริฐ มาไว้ที่ ศาสตร์นี้หมดแล้ว ถ้าศึกษาอันนี้ได้จบ รู้ทั้งปฏิบัติได้ผล ไม่ต้องไปเรียนศาสตร์อื่น เพราะศาสตร์นี้รวมความต้องการของทุกศาสตร์ไว้หมดแล้ว
และพูดตรงๆ ศาสตร์เหล่านั้น ไม่ได้เข้าถึงสภาวะ จบเศรษฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต ก็ไม่สามารถที่จะสร้างความเป็นเศรษฐกิจของตนเอง และของสังคมให้ได้ดีเท่าพุทธศาสตร์
ถ้าจบพุทธ มีคุณสมบัติของพุทธ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีเศรษฐศาสตร์ เป็นบริบทที่จะพูด มีเศรษฐศาสตร์ ก็คือมีความรู้ในเรื่องของ เขาแปลเศรษฐศาสตร์สั้นๆว่า วิชาที่ ต้องทำสมบัติที่มีทำอย่างไรจะแชร์ให้คนได้รับอย่างอยู่เย็นเป็นสุข นี่คือความหมายของเศรษฐศาสตร์
ศาสนาพุทธนั้น สมบัติในโลกนี้มี 100 หน่วย อรหันต์นั้น ถ้ามีคนร้อยคนอยู่ ท่านบายเลย ไม่เอาเลย ให้คนอื่นทั้ง 99 คนไป 99 ส่วนเลย อีกส่วนหนึ่ง ของท่าน หาร 99 เลย ให้คน 99 คนไปเลย
แล้วอรหันต์อยู่อย่างไร รับใช้ ประชาชนทั้ง 99 คน แล้วประชาชนจะเลี้ยงอรหันต์ได้ไหม ..ได้..เป็นคนกินน้อยใช้น้อย ไม่กินมากใช้มาก ช่วยคน 99คนได้เลย
สมมุติว่า คนในสังคมมี 100 คนรวมดาวด้วย 1 คน ถ้าคนในสังคมมีคุณสมบัติประเสริฐอย่างนี้ จึงไม่ได้ทำให้สังคมเดือดร้อน มีแต่ช่วยสังคม
ถ้าคนในสังคม 100 คนนั้นมาเป็นเช่นนี้ 20 คน มาเป็นพระอรหันต์ 20 คน สังคมก็เกิดการสัมผัสจากใจเกิดการไม่เห็นแก่ตัว สงบเรียบร้อย
ถ้าสังคมนี้ มีพระอรหันต์ 50 ในร้อยคน
สังคมนี้มีพระอรหันต์ 99 คนในร้อย แล้วเศษคนที่เหลือ 1 คนจะอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องถูกสนามแม่เหล็กแห่งพระอรหันต์ดึงดูดไปหมด คือคนๆนั้นจะได้ไปหมดในสังคมเลย เพราะว่าคนเดียวนั้นไม่เอา แต่พระอรหันต์อีก 99 คนเอา แล้วมันไม่ให้ใครเลย มันเอาไว้คนเดียวเลย แต่พระอรหันต์ของพุทธนั้นทำงาน ปัจจัย 4 ไม่ขาดเหลือบริบูรณ์ เหมือนชาวอโศกทุกวันนี้
ปัจจัย 4 สมบูรณ์กินอยู่สบาย ไม่หอบเพชรพลอย ธนบัติ อรหันต์ทั้ง 99 คนไม่เอาเลย มีเจ้านั้นคนเดียวหอบไปหมดเลย สมมุตินะ แล้วพระอรหันต์ 99 คน ก็บอกว่า คนนั้นมันจะกินเพชรกินทองคำกินธนบัตรไปเลย แล้วคนนั้นจะกินอยู่ได้ไหมนี่ นี่พูดให้เห็นชัดๆ เป็นธรรมดาธรรมชาติ
เหมือนที่อาตมาสอนให้พวกเราทำปัจจัย4 ทุกวันนี้ชาวอโศกไม่ลำบากลำบนในปัจจัย 4 ส่วนคนไหนอยากได้สิ่งอื่นบ้าบอ อยากได้เพชรพลอยเอามาทำไม ทองคำ เอามาทำไม ถ้าไม่มีความจำเป็นที่จะทำให้เหมาะสมควร ให้สมเกียรติว่าต้องใช้ทองคำ ตามสมมติโลก ไม่เช่นนั้นจะมาตกแต่งใส่ตัวเอง เดี๋ยวโจรก็ปล้นฆ่า ขอเป็นโทษภัยทั้งนั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน พลังปัญญาสู่สังคหะที่ท้องสนามหลวง
ในธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น อาตมาพูดมาสี่สิบกว่าปีเกือบ 50 ปีแล้ว ไขความสัจจะ ให้เห็นว่าชีวิตคนนั้นเกิดมา จะอยู่อย่างไร อยู่อย่างไม่สะสมสมบัติ แต่ไม่ได้อยู่อย่างขี้เกียจ ไม่ได้อยู่อย่างโง่เง่า อยู่อย่างรู้ว่าอะไรเป็นการงานที่ควรทำอนวัชชะ มีพลัง 4 แล้วจะไม่มีโทษภัย พ้นภัย 5
มีพลังปัญญา
ปัญญาคือธาตุรู้ ผู้ที่มีปัญญาครบก็มีภูมิที่มีวิชชาเป็น คือผู้ที่สิ้นอาสวะ เป็นอรหันต์ สิ้นอาสวะ หมดเกลี้ย้ง
ผู้ที่มีปัญญาก็จะรู้ว่าชีวิตจะอยู่อย่างไร ไม่ต้องสะสม แต่ขยันหมั่นเพียร สร้างสิ่งที่ควรสร้างมีพลัง วิริยพละ พากเพียร ตามแต่สมรรถนะ แล้วทำอะไรก็ทำงานที่ไม่มีโทษภัย งานที่ปราชญ์ไม่ตำหนิ เป็นงานที่สร้างสรรค์
มีปัญญารู้ความจริง ว่าคนเราต้องมีวิริยะ สร้างจิตใจตัวเองให้เป็นพลังงานมีวิริยะ ไม่ขี้เกียจ ขี้เกียจไม่เป็น นี่คือคุณสมบัติของมนุษย์เป็นได้จริงๆนะ ขี้เกียจไม่เป็น มีพลังวิริยะ แล้วก็ทำการงานที่ไม่มีโทษ
เสร็จแล้วก็แบ่งแจก เผื่อแผ่เจือจาน นี่คือพลังของอรหันต์ ไม่ต้องสะสมมาเป็นของเรา พวกเราอโศกมีคนทำงานฟรี กินใช้ร่วมกัน บริหารผลผลิตที่เราสร้างสรรค์ร่วมกัน บางคนบริหารจนเมื่อย เพราะว่าเช่น
อย่างสันติอโศกอยู่ในเมืองไม่มีที่ดินปลูกแตงโม แต่ที่อื่นปลูกแตงโม ดันขนมาเต็มเลย เขาจะจ่ายเองก็ไม่รู้จะแจกอย่างไร เพราะว่าที่นี่เป็นศูนย์กลางก็เลยเอามาแจกกันที่นี่ ไปแจกที่สนามหลวงอีก ตอนนี้สนามหลวงเป็นแหล่งแห่งการแจก
พูดถึงสนามหลวง
นี่คือสาธารณโภคีที่สนามหลวง เป็นธรรมะที่เป็นสาราณียธรรม 6 อันเกิดจากต้นเค้าของจิตทั้ง 7 พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
เมื่อเกิดเหตุการณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เกิดเหตุการณ์ที่คนไทยแสดงออกถึงจิตจริงที่
ระลึกถึงในหลวง รักในหลวงเคารพในหลวงแล้วก็เอามาแบ่งแจกกัน อย่างไม่วิวาทะ มีความสามัคคีกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ใครหลุดเข้าไปในสนามหลวงตอนนี้ จะเกิดทิศทางของ พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
เป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก ไอน์สไตน์พยากรณ์ไว้ว่าจะเป็นระเบิดแห่งความรักที่ยิ่ง เกิดจาก สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีสาธารณโภคี แจกจ่ายกันไป เกิดจากศีลสามัญตา และมีความรู้ความเห็นที่สมัครสมานกัน ทิฏฐิสามัญญตา ปฏิบัติร่วมกันมีพฤติกรรมเดียวกัน
เป็นปรากฏการณ์ยืนยันคุณสมบัติของมนุษย์ที่เป็นจริงเกิดจริง เพราะอะไร เพราะว่าในหลวงท่านได้ทรงพระจริยวัตรมาตลอด 70 พรรษา แสดงออกถึงความเป็นพุทธมามกะ พุทธบริษัท ที่มีคุณสมบัติคุณธรรม เป็นอาริยะ เป็นพระโพธิสัตว์ช่วยเหลือมนุษย์ เป็น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ไม่บกพร่อง มีคุณภาพปริมาณเต็มสมบูรณ์
แสดงว่าคนไทยมีภูมิธรรม มีปัญญารู้ว่านี่คือคุณธรรมอันประเสริฐ อริยทรัพย์เป็นสิ่งประเสริฐเป็นสาราณียธรรม อันบริบูรณ์ มีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เท่าที่อาตมาประมวล สิ่งที่จะนำมากล่าวยืนยันได้
คนๆใดก็ตาม ที่มีแต่ความเมตตาแสดงออกทางกาย เมตตาทางกายบริสุทธิ์ ทางวจีเมตตาคือความช่วยเหลือคนอื่น ทางมโนก็มีความบริสุทธิ์ แล้วมีผลได้คือลาภในสิทธิเป็นทรัพย์สมบัติของเรา ก็เอาออกมาเป็นของส่วนกลาง สาธารณะ แจกจ่ายกันไป อย่างนี้แหละ มันเป็นคุณสมบัติที่ประพฤติแล้วปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วมันจะเป็นเช่นนี้ มีคุณสมบัติอย่างนี้เป็นคุณวิเศษ หรือคุณธรรมอันประเสริฐอย่างนี้
เมื่อในหลวงสวรรคต คนไทยก็ประพฤติเลย ชาวอโศกเราประพฤติตัวแล้วก็เลยก็ร่วมกับเขาด้วย มันก็เลยเป็นพฤติกรรมที่วิเศษ ตอนนี้ก็ยังประพฤติกันอยู่ เพราะว่ายังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ แน่นอนถึงตุลาแน่ ตอนถวายพระเพลิงกันก็ตุลา ตุลาเสร็จแล้ว จะมีพิธีอะไรตามจารีตประเพณีก็แล้วแต่
แต่การแจกจ่ายเจือจาน ก็จะมีอยู่ ตราบใดที่พิธีกรรมยังไม่เลิก แต่แน่นอน ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา สุภาษิตจีนว่าไว้ชัดเจน แต่ทำได้นาน
เมื่อพูดถึงการแสดงออกของประชาชนคนไทยที่ไปแสดงน้ำใจ เพื่อมวลมนุษยชาติเพื่อประชาชนเพื่อเพื่อนร่วมชาติ ที่แสดงออก เอาในหลวง เป็นเหตุปัจจัยนำไปปฏิบัติประพฤติคุณธรรมแสดงออกถึงการ สังคหะ ที่ทำกันอยู่นี้
อาตมานึกถึงเหตุการณ์ เมื่อเกิดวิกฤตของประเทศชาติ พวกเราก็ออกไปชุมนุมประท้วง ผู้ที่จะทำให้บ้านเมืองเดือดร้อนไม่สงบสุข ไม่เป็นธรรม ไม่ดีงามเราก็ไปประท้วง เราทำได้เต็มที่ เป็นลักษณะของประชาธิปไตย อาตมาก็พาออกไปประท้วง ทำกันได้นาน ยาวนาน เป็นปี ก็ทำอาหารเลี้ยงกันแจกจ่ายกัน ก็แสดงสัจจะแสดงความถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้องก็ว่า ตำหนิ
อาตมาก็พาออกไปแสดงความเห็นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ผู้ที่ไม่รู้ก็บอกว่านี่ไม่ใช่ศาสนา มาทำอะไรอย่างนี้ ก็ว่าไปตามประสาเขา เขารู้อย่างนั้นก็ว่าอย่างนั้น พวกอยู่ในเรี้ยวในรู พวกปู ไม่เคยรู้อะไรหรอก แปลเป็นไทยว่า พวกโง่ ไม่เชื่อกดคำว่า โง่ ดูสิ จะเจอปูไหม สังคมเขาตั้งให้โดยองค์รวม ที่จะได้ฉายานี้
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:15:41 )
รายละเอียด
600608_พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน อโศกรำลึก ครั้งที่ 36 สัมประสิทธิ์การปฏิบัติธรรม
พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2560 ขึ้น 14 ค่ำ เดือนเจ็ดปีระกา พรุ่งนี้เป็นวันบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ตามจารีตประเพณีของชาวอโศกเรา คือวันที่ 9 มิถุนายน ทุกปีเราก็บูชามาได้ 36 37 ปี ก็ทั่วโลกจะมีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ตรงไหนเราก็บูชาทุกองค์ เราถือว่าเป็นส่วนสรีระเหลือขององค์พระสมณโคดมที่พอยืนยันได้ ส่วนจะอ้างว่าปลอมหรือจริงก็แล้วแต่ ก็อยู่ที่ตัวอันนั้นเอง อาตมาไม่ติดใจ
ไม่ติดใจเพราะเรามั่นใจว่า ปรมัตถสัจจะคือจิตใจเรา จะมีอะไรเป็นสิ่งแทนที่เป็นสิ่งลำลอง ดินน้ำไฟลม แต่ธาตุจิตวิญญาณ เรามุ่งตรงต่อจิตวิญญาณ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณสมบัติที่วิเศษสุด อย่างเช่น พุทธคุณ 9
ของอาตมาไม่ครบหรอก มีประจําส่วนตามสัจจะ เราตรวจสอบโลกความจริงตามความเป็นจริง อ่านตรงถูกต้องก็ถูก อ่านผิดเพี้ยนไปก็แล้วแต่ มีมากแต่เราอ่านได้ไม่ครบก็ได้ เรื่องเหล่านี้ เป็นเหตุปัจจัยที่มีจริงกับการหยั่งรู้
ที่หน้าโต๊ะข้างหน้านี้ ใครเห็นผลไม้สองชนิด ดูแต่ไกล ใครจะทายว่าคืออะไร? บางคนว่ามะละกอ บางคนว่าส้มโอ...พ่อครูว่า มะม่วงนะ ไม่ใช่มะละกอ ของน้าเสก เสก ศักดิ์สิทธิ์ แล้ววงเล็บมาเลยว่าใช้ปุ๋ยงอกงาม ไม่อยากโฆษณาให้คนลำบากใจ ถ้าเกิดนำไปใช้แล้วจะได้ผลไม้อย่างนี้ลำบากใจ นี่มะม่วง เกือบบังหน้าอาตมามิดเลย ลูกมันใหญ่โตอะไรกันนักหนา
เรามีทั้งปุ๋ยงอกงาม เจ้าเจ๋ง ปุ๋ยเติบโต ช่อง easy เขาโฆษณาให้ปุ๋ยงอกงามอยู่ตลอดเวลา อาตมาเคยตั้งชื่อปุ๋ยเจ๋งแจ๋ว
มาเข้าสู่ธรรมะ
สื่อธรรมะพ่อครู(อักขรนิทัสสน์) ตอน รากอักขระของอัญญะ
_ถามว่า...อัญญะ
ตอบ..อัญญะ มาจากรากศัพท์ ญญ ตัว ญ มันอยู่ในวรรค จ ฉ ช ฌ ญ เป็นตัวปลายของแถวเลย รวมพลเมืองแถวทั้งแถว
จ คือตัวแจ้งชัด ความรู้เต็มรูป แต่ทีนี้มันเริ่มเท่านั้น ตัว จ ถ้าไม่มีตัวอื่นก็แจ้ง แล้ว จบ เลย ทีนี้ถ้าเผื่อว่าต้องต่อไป เอามาอ้างอิงได้ต้องครบด้วยองค์ประกอบ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หกทำงานรับรู้ ปสาทรูป โคจรรูป เกิดนามธรรม มีตัวรู้ จึงเกิด 6 หรือ ฉ
ตัว ช คือรู้ ความรู้ เช่น ปรีชา ไล่เรียง จาก ฉ มาเป็นเฉ ก็มาจาก อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ก็ไล่ไปตามสละ (อึ ไม่ อือ ไม่มีในบาลี) เอ คือตัวเริ่ม พลังงานเอ คือกำลังเกิด เป็นอุปจยธาตุ เมื่อเกิดเป็นตัวตนก็เป็น อ อ่าง เศษวรรคต่อ ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
สิ่งเหล่านี้เอามาใช้แทนสภาวะทั้งสิ้น พยัญชนะเกิดมาทีหลังคน เพื่อให้สื่อสภาวะ แต่ละกัปป์ เปลี่ยนมาไม่รู้กี่กัปป์ พูดถึงไม่ไหว เราก็เอาปัจจุบัน แล้วอ้างอิงอดีตที่พออ้างอิงได้
ญญ ตัวนี้เป็นธาตุรู้จากฐาน จ ฉ ช ฌ ญ
ถ้ามาตัว ญ นี้มีเพื่อนสองแล้ว จะก่อเกิดเจริญจาก ญญ มาเป็น มาเป็น ญา คือธรรมชาติของความฉลาดตัวนี้
ญาณ ตัว ณ คือตัวไม่เต็มสมบูรณ์ น.หนู ในวรรคสุดท้าย วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น
ณ นี้ยังไม่เต็มรูป เทอะทะ ตุ้งติ้ง จนกว่าจะเป็น วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น ไม่มีอะไรรุ่มร่ามรุงรังอีก
ปัญญา นี้ลึกซึ้งสูงส่งละเอียดกว่า ญาณ ญาณ เป็นเรื่องภาคปฏิบัติ แต่ปัญญานี้ได้ผลจากปฏิบัติ จาก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ
สรุปแล้วอัญญะแปลว่าธาตุใหม่ ธาตุอื่นที่เราเคยมีอยู่แต่ก็ออกเป็นชนอื่นไปไม่ได้ จนกว่าจะมีพลังงานอื่นออกจากกรอบได้
ออกมาแล้วจึงเป็นตัวอื่น ตัวใหม่ ธาตุรู้ตัวใหม่ที่เกินกว่าปุถุชน ทวนกระแส ปฏิโสตัง ไม่ใช่การดัดจริต จะรู้กันด้วยเหตุผลตรรกะ แต่รู้กันว่ามันไม่เอา จิตมันไม่เอาจริงๆ
เริ่มต้นไม่เอาก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้หมด อันไหนชัดหรือไม่ชัด อันไหนไม่ชัดก็เอาอยู่ อันไหนที่ชัดเจนแล้วก็ไม่เอา เห็นจิตใจเราจริงๆว่าจิตใจมันไม่เอาจริง แต่ก่อนเป็นโลกีย์มันเอา รู้สึกอร่อยวิเศษไปอีก(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สรุปแล้วปัญญาสูงกว่าญาณ มีกระบวนการ 6 ปัญญาผลคือปัญญาพละ
อัญญะคือตัวญาณหรือปัญญาตัวแรกที่เกิดในชีวิตของคนที่สัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติอะไรมีแต่ อัญญะก็หดอยู่ตรงนั้น ถ้าเริ่มปฏิบัติ อัญญะก็เป็นสัญญา กำหนดรู้ธรรมตามทฤษฎี ตามศีลพรตก็จะได้ผลจากอัญญา เป็นสัญญาเป็นปัญญา ต้น กลาง ปลาย
สอง ตัวสัมประสิทธิ์ มาจาก สมะ กับประสิทธิ์
สิทธะคือความสำเร็จ ความเก่ง ความสามารถ ป คือผลสำเร็จเหมือนกัน
ประสิทธิ แล้วก็มี สม ตัวสมะนี้ มีความหมายในตัวเองว่า Continueing ทั้ง Perfect เป็นกาละสุดท้ายเป็นกาละจบ
ต่อมาพูดกันในไทยต่อเนื่องเสมอๆๆ คือ continueing
สมแปลว่า เสมอหรือสงบ
สมณะ คือผู้เป็นสมะ
ถ้าใช้พยัญชนะเป็น สมณะ แปลว่าผู้บวช ผู้ประสบผลสำเร็จ แต่ยัง ณ แต่ถ้าผู้ที่บรรลุธรรมเป็นอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว จะเป็น สมนะ แต่เขาไม่รู้และไม่เขียน อย่างโพธิสัตว์ต้องเป็น สมนะ แต่ถ้าอาริยะไม่เป็นอรหันต์ใช้ ณ สมณะ สลับกลับไปมาซับซ้อน
สภาวะกลับไปกลับมาเป็นก้นหอย วนไปซ้ายขวากลับไปกลับมาแต่ไม่ได้อยู่กับที่ มันสูงขึ้น สุดท้ายจบลงโดยไม่มีซ้ายขวา สูงสุดของจุดสุดท้ายคือ สูญ 0 ไม่มีซ้ายขวาแล้ว ไม่งง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_ปัญญา) ตอน ค่าสัมประสิทธิ์ของการปฏิบัติธรรม
ขยายความ Coefficient หรือสัมประสิทธิ์ คือตัวกิเลสที่เกิดขึ้น หรือ ถูกทำลาย อย่างถูกวิธี และของศาสนาพุทธ พุทธของพระสมณโคดม หรือของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่พ่อครูนำเผยแพร่ …
พ่อครูว่า ก็ยังไม่ถูก Coefficient ไม่ใช่การทำลายแต่เป็นการก้าวหน้า ถ้าจะเสื่อมก็ทำลายกิเลส แต่พฤติกรรมของผู้ปฏิบัติมีแต่เจริญก้าวหน้า Coefficient คือการเจริญก้าวหน้า
สอง อัตราการก้าวหน้าต้องสูงถึงขั้นคูณ ถ้าขั้นบวก ยังไม่น่าไว้ใจ ถ้ายิ่งขั้นยกกำลังยิ่งดี Ok
ตัวสัมประสิทธิ์หรือ coefficient มีคุณสมบัติ
Kinetic ต่างจาก Kinetic Dynamic เป็นอดีตมากกว่าของKinetic Kinetic เป็นตัวปัจจุบัน เป็นตัวเคลื่อนไหวทั้งคู่ แต่การเคลื่อนไหวของ Kinetic เป็นปัจจุบันกว่า Dynamic
ตัว Static ก็ต้องมีความคงที่มั่นคง มีสมรรถนะ นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง
Dynamic ต้องมีพลังงานก้าวหน้า ต้องมีพลังงานที่อยู่ในอัตราที่ มีองค์ประกอบของมันจะต้องพาก้าวหน้าได้ ถ้าไม่ถึงขีดขั้นพาก้าวหน้าได้ ยังไม่เป็น Coefficient
หนึ่งต้องมี static และมี dynamic และต้องมีตัวแปรคือ Kinetic คือเคลื่อนไหวเหมือน dynamic kineticจะเป็นปัจจุบันกว่า
แต่ย้ำว่าอัตราการก้าวหน้าต้องเป็นคูณ ต้องแรงเกิน 50 60 ถ้า 75 ขึ้นไปนี่ชั่วร์ ต้องสามต่อสี่ อธิบายภาษาและสังขยาเลข เอามาสื่อสภาวะธรรมให้ฟัง
คำว่าสัมประสิทธิ์ Coefficient จึงเป็นตัวที่สูงส่งมากที่จะเรียนรู้แล้ว ปฏิบัติเพื่อให้เจริญ ถ้าไม่กำหนดสัดส่วนให้ถูกต้อง มันก็จะพลาด มันไม่ชัด กำหนดไม่แม่น แต่ถ้ารู้ละเอียดจะแม่นคมชัด
มีคนบอกว่า ส.เสถบุตร บอกว่า
สัมประสิทธิ์ ในคณิตศาสตร์คือ จำนวนจริงที่มีค่าคงตัว ซึ่ง คูณอยู่กับตัวแปร
พ่อครูว่า ก็ไม่ผิด แต่เขาแปลได้แค่นี้
Coefficient as สัมประสิทธิ์แห่งการขยายตัว Coefficient of Expansion จากพจนานุกรมไทยอังกฤษของส.เสถบุตร
ตัวสัมประสิทธิ์ จะต้องมีอย่างน้อย 3 ค่า
1 ตัวคงที่ static
2 ตัว dynamic ทำงานสองตัว มีแรงบวก+ และแรงลบ -
ตัวลบนี้ตัวเดียว วิ่งเร็วแต่ไม่แน่นแน่ แต่ตัว + นี่นิ่งแน่ แต่ถ้า - นิ่งเร็ว
มีตัวคู่ทำงานร่วมกันลงตัวคือ บวก กับ ลบ แล้วมี
3 ตัวพาก้าวหน้าคือ kinetic เป็นตัววิ่ง แต่ถ้า kinetic เป็นแค่ระดับบวก ก็ไปไม่รอด ต้องมีคุณสมบัติถึงขั้นคูณ ยิ่งยกกำลังยิ่งไปได้ดี
นี่คือรายละเอียดของภาษาบัญญัติที่ใช้สื่อแทนสภาวธรรม อาตมาเป็นคนที่มีสภาวะธรรมมากกว่าภาษา มากจนสับสน สับสนอะไร สับสนเมื่อจะหยิบมาสื่อเป็นภาษา ก็เลยสับสนทางด้านภาษาที่จะสื่อสาร แปลว่าสภาวะมีเยอะ หยิบมาก็อาจไม่ถูกได้กับภาษา อาตมาเป็นเศรษฐีบ้านนอก แต่ไม่เคยรู้ว่าทั้งโลกเขาตีค่าทรัพย์สมบัติที่มีอย่างไร
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_ปัญญา) ตอน ปัญญาและบุญ
มาพูดตัวสำคัญ… คือปัญญา…แล้วค่อยขยับหา บุญ ที่มาจาก ปุญญา ที่ต่อมาเป็นไทยว่า บุญ มาบวชเป็นไทยว่า บุญ ภาษาบาลีไม่มีตัว บ.ใบไม้
ปัญญาคือ
หนึ่ง ปัญญาจะต้องเกิดในขณะลืมตา ตัวที่เกิดไม่ใช่ในขณะลืมตาไม่ใช่ปัญญา หลับตาปฏิบัติเป็นต้นไม่มีปัญญา นอกจากมีของเก่า
ตัวปัจจุบัน นั้น ปัญญาก็มี ป. คือปัจจุบันอยู่แล้ว ให้เป็นภาษาบาลีว่า ปัจจุปัน มีพยัญชนะยืนยัน เมื่อหลับตาไม่มี ปะ ไม่มีปัจจุบัน มีแต่อดีต (อตีตะ)
อตีตะ ตัว ตะ คือตัวตั้งขึ้น ตั้งอยู่ มีสภาวะจะอยู่นอกหรือในก็ตั้งอยู่ เอามาโชว์ภายนอกก็ได้ แสดงว่า ตัวตั้งแท้ๆ อตีตะ ตะ นี่คือมันมีอยู่ตั้งอยู่เป็นตัวตน มาเป็นภาษาไทยคือคำว่า ตน หรือคำว่า ตัว ก็ได้ (ตว) ต คือตัวตั้ง ว คือตัวเดิน ตัวไหว ก็ต่างกันเท่านั้นเอง อาตมาพูดนี้ไม่ได้โมเม ถึงจะโมเมแต่เข้าใจได้ก็ใช้ได้แล้ว คือตัวอักษรคำพูดที่จะเอามาสื่อสภาวะ อาการ สิ่งที่ไม่มีตัวตนรูปร่าง เอาสิ่งเหล่านี้มาสื่อสารกันแล้วใช้ได้ ก็เก่งกว่า ช้าง ม้า วัว ควายหรือปลาวาฬ คนบางคนก็สื่อไม่เก่งเท่าอาตมาหรอก อาตมาไม่ใช่อวดดี แต่พูดไปอย่างมีดีที่จะอวดเท่านั้นเอง
อ มาเสริมบทบาท คำว่า อ อา นี่แสดงถึง ignore คือมันจะมีหรือไม่มี มันปฏิเสธ กลางๆ อ บางทีก็มี บางทีก็ไม่มี อา นี่บางทีก็มี บางทีก็ไม่มี สูงสุดอยู่ที่มหาปเทส 4 ทุกอย่างไม่เที่ยงในโลกแห่งเหตุปัจจัย ในยุคไหน ถ้ามีอนุปรมาณูตั้งแต่สองตัวขึ้นไป สองตัวนี้ไม่มีอะไรเท่ากันเป๊ะ มีสิ่งต่างกัน ใครอ่านสิ่งต่างนี้ได้ก็เก่ง ใครอ่านความต่างไม่ได้ก็มั่วๆไป
พูดไปแบบลูกทุ่ง แต่ทุกอย่างเป็นสภาวะ เป็นปรากฏการณ์จริง มาเป็นบัญญัติและใช้งานเป็นภาษาพยัญชนะ สื่อสารให้เป็นประโยชน์แก่กันและกัน มาถึงวันนี้อาตมาใช้สิ่งเหล่านี้อธิบายขยายความยืนยันอ้างอิง ผู้ตั้งใจศึกษาก็ได้ประโยชน์จากที่อาตมาสื่อให้รู้ แล้วเอาไปปฏิบัติตนเอง จึงเกิดผลเป็นคนชนิดนี้
เป็นคนชนิดไหน? อาตมาตั้งชื่อคนชนิดนี้ว่าเป็นชาวอโศกหรือบุญนิยม ลัทธิบุญ คือลัทธิกำจัดกิเลส ปุญญะแปลว่าเครื่องมือ วัตถุปกรณ์ หรืออาวุธสำคัญ ทำหน้าที่ หั่นคอกิเลสอย่างเดียว ถ้าเปรียบกับอาวุธเปาบุ้นจิ้นคือ เครื่องประหารหัวสุนัข เครื่องประหารหัวหมา สุนัข แปลว่า พวกเล็บงาม
อาตมาเกิดชาตินี้จึงสรุปได้ว่า อาตมาประสบความสำเร็จที่ทำให้คนเข้าใจเรื่องบุญ และใช้บุญเป็น เป็นเครื่องกำจัดกิเลสได้ ก็เลยเป็นคนไม่มีกิเลส ชาวอโศกอยู่ที่ไหน ก็เลยไหลมาหากัน เพราะว่าคนพวกนี้มีผลของบุญ ทั้งนั้น มีผลของบุญจริงก็ไหลไปหาผลของบุญจริง น้ำมันก็ไหลไปหาน้ำมัน น้ำก็ไหลไปหาน้ำ
คนทั้งโลกมี 7 พันกว่าล้านคน มันมีน้ำเท่านี้ มีน้ำมันเท่านี้ ประกาศมาเกือบ 50 ปี ในโลกนี้มีน้ำเท่านี้จริงๆ นอกนั้นมีแต่น้ำโสโครก น้ำที่ไม่บริสุทธิ์ มีแต่น้ำมันที่ไม่เป็นน้ำมันแท้ เป็นน้ำมันปลอม ผสม น้ำมันหลอกน้ำมันล่อ มีน้ำมันจริงๆที่ไหลมารวมกันเท่านี้ใน 7 พันล้านคนในปัจจุบันนี้ ก็เอา ยามยากเด็ดดอกหญ้าแซมผม
แต่ยังไม่ท้อนะ แต่เหนื่อยว่ะ เหนื่อยจริงๆ มันยากเย็น
พูดแล้วก็นึกถึงในหลวง ท่านทำงานเหมือนพระมหาชนก ท่านไม่ได้พูดมาก ท่านได้ทำๆๆแล้วท่านก็ได้ แล้วท่านก็ทรงรำพึง อาตมาฟังแล้วน้ำตาไหล ท่านมองจากศิริราชมองจากแม่น้ำไปทางธรรมศาสตร์ ท่านตรัสว่า เราทำอะไรให้เขานะ เขาถึงทำกับเราเพียงนี้….
บุญคือ เครื่องมือตัดหัวกิเลสตัดขั้วกิเลสอย่างเดียว ตัดขั้วหัวใจกิเลสอย่างเดียว ตัดเสร็จแล้วก็หมดหน้าที่
ถ้าอาตมาไม่มาเปิดเผยเรื่องบุญก็จะหมดไป บุญตัดกิเลสเสร็จแล้ว ไม่มีความหวังตัวตนไม่มีอะไรต่อเลย โดยเฉพาะ อย่าให้มีพลังงานว่า เราเป็นคนบอกให้เขาตัดกิเลส เราก็มีตัวตน อย่าให้มีจิตนี้ มีแค่จิตมุทิตา
มุทิ มุก็คือ ม จิตวิญญาณที่ได้มีพลังงานสะสมมาตั้งแต่ อะ อา อิ อี อุ ตัวมุ คือ อุ ถ้าโอ ก็จบง่าย
อุ ขาเดียว อู สองขา โอ กลับหัวมาเป็นตัวหางยาวไปอีก นี่คือคนคิดขีดเขียนเส้นตรง โค้งมาสื่อสาร
พวกตะวันออกกลาง เส้นยึกยือ ยาวเป็นหางเยอะ เพราะเขาไม่ค่อยรวมกันเท่าไหร่ ส่วนจีนเป็นเส้นขีด รวมกันเป็นก้อน หลายอย่าง ตะวันออกกลางยาวไป ที่ของเขามันไม่มีต้นไม้บังก็เลยยาวไปต่อเลย จะแข่งรถพันกม.ก็ต้องใช้ทะเลทราย มันก็ตามจิตมนุษย์ เอาไปใช้ตามจิตตนเองเป็น ก็ต้องใช้ตามภาวะแวดล้อมสื่อกัน
ทางเอเชีย มองโกเลีย ใช้พยัญชนะจับตัวเป็นก้อน ส่วนทางตะวันออกยาวเป็นหาง ไทยก็เอามาปรับใช้ไป
ปุญญะคือ เครื่องมือตัดกิเลสแล้วอย่ามีอะไรต่อไปจากนั้น จิต มุทุ คือ ตัว ท มีพลังงาน ทหร แปลว่า อย่างแข็งแรง ทหาร แปลว่า เป็นกองแข็งแรง ทหัง
ห คือ ความมี โหติ คือมี
ท เป็นพลังงานเต็มรูปร่าง เต็มตัวที่จะใช้งาน
มุ หรือ ม เป็น อะ อิ อุ ตัวครบสามเส้า จะจบสามเส้าใช้ อุ
เอ โอ เป็นพลังงาน kinetic จะเกิด Coefficient ต่อไป แต่จะจบก็ต้องอุ
มุ คือจิตที่จบ มุทุ
คำว่า มุทุ เป็นจิตที่สะสม มีทั้ง มุ และ ทุ คือตัวท ทหารที่กล้าแข็ง
ท กับ ธ
ตัว ท คือพลังงานที่อยู่ในลักษณะของ Kinetic ส่วน ธ เป็นพลังงานในลักษณะของ dynamic
มุทุธาตุ มี อุ ที่จบทั้งคู่ ธาตุจิตวิญญาณ แข็งแรงที่สุดกล้าหาญที่สุด เป็นจิตที่มี มุทุธาตุ มุทุภูเต
เป็นธาตุตัวกลางของ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ธาตุอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน คุณสมบัติอุเบกขา 5 นี้ เจริญได้ต้องมี
มีหนังสือรายสัปดาห์ที่มีบรรณาธิการ สุธรรม นาวานุเคราะห์ เขาแปลชื่อเขาว่า นายทำดี มีเรือช่วย
สุธรรมเขาเคยวิจารณ์อาตมา อาตมาเคยเขียนเรื่องส่งมา เรื่องหัวใจเปลือย คือ ความบริสุทธิ์ของนักศิลปะ เขาวาดภาพผู้หญิงเปลือย เป็นภาพกระโดดลงน้ำ เขาก็ชื่นชมภาพของเขา เขียนบรรยายในนวนิยายนี้ มันเป็นศิลปะไม่ใช่มีการโป๊เปลือยยั่วยวน มันเป็นธรรมชาติของการอาบน้ำ เขาไม่ได้นุ่งผ้าก็เรื่องของเขา คนก็ไปแอบเห็นเขาเอง ก็เป็นรูปร่างของหญิงอาบน้ำ เขาถือว่าเป็นศิลปะอันบริสุทธิ์ใจ เสื้อแจ็คเก็ตผู้ชายก็เรื่องของคน แต่ความจริงคือศิลปะ อาตมาก็เน้นตรงนี้ไป
สุธรรมก็ด่ามา ว่า จะเขียนอะไรก็เขียนมาสิ แต่บางเรื่องเขาก็ชอบ อันไหนไม่ชอบก็ฉีกลงตะกร้าแล้วด่ามาเสริม คือมันสนิทกันมากก็ทักท้วงไปไม่ถือสากัน
จบ พ่อครูนั่งดู เด็กสัมมาสิกขาร้องเพลงให้พ่อครู
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:16:48 )
รายละเอียด
600609_พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน อโศกรำลึก #36 อย่าขุดหลุมฝังศาสนาพุทธเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ) ตอน แยก โลกียะกับโลกุตระ
พ่อครูว่า...วันนี้วันพระ ขึ้น 15 ค่ำ วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2560 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 7 ปีระกา เป็นวันที่เราจะบูชา วันนี้เราจะมีพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ บางทีเราได้ไปทำงานช่วยชาติไปอยู่ท่ามกลางถนนราชดำเนิน ไปชุมนุมประท้วง พอถึงวันที่ 9 มิถุนายน เราก็ยังอยู่กลางถนนราชดำเนิน ไปประท้วงอยู่ เราก็บูชาพระบรมสารีริกธาตุอยู่กลางถนนนั่นเลย ไม่มีปัญหาอะไร เราก็ทำ โดยจำลองเอาภาพพระบรมสารีริกธาตุไปทำที่นั่นเลย ถ้าเราทำในบรรยากาศวันที่ 9 มิถุนายน ก็บูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงพระพุทธเจ้าทุกลมหายใจเข้าออก และก็มีจารีตประเพณีเตือนสติ มนุษย์มนา เตือนให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้านะ พระธรรมคำสอนของท่าน พระสงฆ์ของท่าน อยู่เสมอ
ทำไมต้องระลึก คนเราจะระลึกถึงอะไร ก็หมายถึงจิตใจของผู้นั้น ส่อไปในทางความเจริญหรือความเสื่อม ถ้าคนระลึกถึงอะไรยัง เป็นไง? ก็คือความเสื่อม เป็นพวกตกนรก จิตใจก็ระลึกถึงอยู่แต่อบายมุขเลอะเทอะ
ระลึกถึงเรื่องอะไร ระลึกถึงเรื่องต้องสะสมเงินทองข้าวของ สั่งสมลาภยศสรรเสริญโลกียสุขให้ตัวเองเสพ ก็งมงายโง่เง่า กับโลกธรรม
เกิดเป็นคนเป็นสัตว์โลกตั้งแต่เป็นเดรัจฉานจนพัฒนามาเป็นคน ได้อัตตาตัวตน มีอาการ 32 อย่างที่เป็น ที่เราเรียกว่า คน ด้วยภาษาไทย ภาษาบาลีว่ามนุสโส เป็นจิตใจที่เจริญกว่าเดรัจฉาน
ถ้าเป็นปุถุชน ก็จะวนเวียนระลึกถึงแต่ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แม้จะบอกว่าเจริญในโลกียะ ได้มากขึ้นในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ได้สุขเสพกามเสพอัตตา (มีเสียงลูกไม้ตกใส่หลังคา พ่อครูอธิบาย)
ในโลกมนุษย์อาตมาขอแยก โลกียะกับโลกุตระ ให้ชัด
โลกุตระเป็นความตรัสรู้ของศาสนาพุทธศาสนาเดียวในโลก เป็นศาสนาเดียวที่มีโลกุตรธรรม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นผู้ค้นพบ แล้วออกมาประกาศต่อมนุษยชาติ นอกนั้นเป็นศาสนาวนในโลกียะทั้งนั้น วนเวียนไม่มาอยู่กับจิตเจตสิก ที่อยู่ในกายยาววาหนาคืบกว้างศอกของเรา จะออกจากโลกโลกียะ ไม่ได้วนอยู่อย่างนั้น
เจริญของเขาคืออะไร ได้ลาภ มาก ได้ยศมาก ได้สรรเสริญเยินยอ ยกย่องเชิดชู ได้เสพกามตามต้องการเต็มที่ หรือได้บำเรออัตตา บำเรอสิ่งที่ตนเองต้องการ ที่นอกเหนือการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย
สัมผัสทางภายนอกเรียกว่ากามคุณ 5 ก็สัมผัสตามอุปาทานตนยึดถือ แต่ละคนไม่เท่ากันไม่ตรงกัน ถ้าตรงกันก็ฆ่ากันแหละ ดีที่ไม่ตรงกัน แต่มันก็คล้ายกัน
ในโลกโลกียะ จึงไม่ออกไปจากวงวนของการเจริญ เจริญของเขาคือมีมาก ๆ แล้วก็เสื่อมจะครองสิ่งที่มีสมบัติที่มีคนเดียวไม่ได้หรอก ถึงเวลาก็ต้องเสื่อมสลายไปเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป โลกียนั้นสมบัติผลัดกันชม
ส่วนโลกุตระนั้นมีญาณปัญญา ตัวนี้อาตมาพยายามอธิบาย พระพุทธเจ้าตรัส ถึง ญาณปัญญา ที่เป็นธาตุตัวชนิดใหม่ ที่ไม่ใช่วนเวียนอยู่กับโลกียตลอดกาล ไม่ใช่ผ้าสีเดิม แตกต่างจากตัวใหม่ เป็นความคิดแนวใหม่ เป็นความเห็นแนวใหม่ เป็นอันอื่นจากความเห็นของโลกียะ หรือปุถุชน คนสามัญทั่วไปอยู่ในกรอบนี้ทั้งนั้น
มีแต่ศาสนาพุทธศาสนาเดียว จริงๆ ก็มีศาสนาอื่นที่เขาก็ว่าเขารู้ แต่ที่บอกคือ ศาสนาอื่นเขาก็พยายามออกจากลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เขาพยายามปฏิบัติเพื่อจะออกจากวงวนนี้ทั้งนั้นแต่ที่อาตมาบอกว่า มีแต่ศาสนาพุทธ เพราะว่าเขาต้องการจะออกแต่ไม่มีพฤติการณ์ไม่มีธาตุรู้ ไม่รู้จะแก้ตรงไหน เขารู้นะว่าออกจากโลกีย์นี้ดี ไม่เอาอะไรเลยในชีวิต อย่างพวกนิครนนาฏบุตร เสื้อผ้าหน้าแพรไม่เอาเลย ถือแต่ไม้ปัดไม่ให้สัตว์เชื้อโรคตาย มีกระป๋อง บาตร ใส่อาหารกิน นอกนั้นไม่มีอะไร เขาสละโลกได้ แต่เขาไม่มีจุดสำคัญที่จะมีระบบที่รู้ต้น กลาง ปลาย ล้างกิเลสแต่ละปริเฉท บริบท ไม่ใช่ว่าล้างกิเลสทีเดียวหมดก้อนเลย ไม่รู้ต้น กลาง ปลาย แบบนี้ไม่สำเร็จ แต่พระพุทธเจ้ามีหลักเกณฑ์ไปตามลำดับ
โดยตั้งหลักเกณฑ์คือศีล สมาธิ ปัญญา ทำตามกรอบแต่ละปริเฉท เป็นลำดับ พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่าความเป็นลำดับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล เป็นเงื่อนไขที่ทำได้ตามลำดับ คนนั้นเป็นคนที่เร็วที่ สุดสะอาดที่สุด แล้วจะเป็นคนที่บรรลุง่ายที่สุด แต่มันยากเพราะคนมันสะสม ไม่รู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายของแต่ละคนเอง
ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าจึงเป็นกลางๆ แม้จะระบุว่ามีศีล 5 กว้างๆ มีกาย วาจา ใจ
กาย สามข้อนี้ก็คือ 1. ชีวิต ชีวะ 2. สมบัติพัสถาน วัตถุสมบัติ 3. กิเลส กามเป็นต้น
คือคนมีชีวิตแล้วก็ถ้าไม่หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง ไม่รู้คุณค่าของชีวิต ก็จะไปทำลายชีวิต พลังงานต่างๆตั้งแต่อุตุนิยามพีชนิยาม จิตนิยาม ถ้าพีชะก็แค่พลังงานระดับพืช แต่พอเป็นจิตนิยามในระดับสัตว์ เริ่มมีเวทนามีตัวตน เป็นวิญญาณเป็นความรู้สึกองค์รวม เสร็จแล้วมีพยาบาทจองเวรจองกรรม ดูดเอาไว้หมายมั่นจะแก้แค้น ส่วนรักหรือโลภ ดูดเอาไว้เป็นของตัว มีสองทิศ ทิศหนึ่งดูดเอาไว้กับผลัก
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ 10) ตอน ศีลกับสัมมาทิฏฐิ
พระพุทธเจ้าให้เลิกสิ่งที่เป็นโทษภัยแก่ตัวเองและจิตวิญญาณ ให้ศึกษาและเอาทฤษฎีต่างๆไปทำตามลำดับ แต่ทีนี้ศาสนามันเสื่อม เช่น ในยุคปัจจุบันนี้เสื่อมเกือบหมดแล้ว อาตมาพูดว่าเกือบหมดนี่ จริงๆต้องบอกว่าหมดแล้ว มีแต่อยู่ในตำราแต่ในภูมิรู้ของคนไม่มีแล้วที่เป็นความรู้สัมมาทิฏฐิ
ถ้าไม่มีตำรา ใครก็ตามออกมาพูด เขาไม่มีทางจะเชื่อไม่มีทางรับได้ อาตมาเปิดเผยอันนี้ นำสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย มายืนยันว่าถูกเป็นอย่างนี้ เขาก็ไม่เชื่อ เพราะเขาได้เชื่อความผิดเพี้ยนไปแล้ว ตำรายังมีอยู่ แต่เข้าใจตำราแบบผิดๆ
ยกตัวอย่างเรื่องศีล ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่มีศีล ทุกวันนี้ถ้าถามว่าภิกษุถือศีลกี่ข้อ เขาก็จะบอกว่า 227 แต่นั้นเป็นวินัยไม่ใช่ศีล ศีลเป็นเรื่องความดีความชั่วที่ระบุไว้ ให้ทำตาม หรือไม่ทำตาม ใครทำได้ก็เป็นประโยชน์ต่อตนและต่อโลก ไม่มีการลงโทษ ส่วนวินัยมีบทลงโทษเหมือนกฎหมาย ส่วนศีลเหมือนธรรมนูญ
ศีลคือธรรมนูญของศาสนา แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ยังดีที่มีตำรา อาตมาเอาจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีลมาเปิดเผย ข้อห้ามนั้นทำไมมีอยู่ในศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้เต็มไปหมด
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่มีเดรัจฉานวิชา เป็นต้น พระพุทธเจ้าท่านรื้อเลย แต่ศาสนาอื่นมีเดรัจฉานวิชาเต็มไปหมด แต่ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธ วัดวาใดไม่มีเดรัจฉานวิชาไม่ใช่ศาสนา เช่น ยกตัวอย่าง อาตมาพูดไปนี่อย่างตื้นๆนะ
ถ้าวัดวาใดก็แล้วแต่มีการจุดธูปเทียน จุด ไฟ เรียกว่ามีการบูชาไฟ บูชาด้วยน้ำใช้น้ำเป็นสื่อ รดน้ำมนต์ ใช้น้ำใช้ไฟเป็นสื่อ อัคคียันต์ สิญจนยันต์ นั่นไม่ใช่ศาสนา ในเมืองไทยมีวัดไหนไม่จุดธูปจุดเทียนไม่มีรดน้ำมูกน้ำมนต์อยู่ที่ไหน
มีแต่วัดอโศกที่ไม่มี นอกนั้นเต็มไปหมดวัดวาต่างๆ นอกนั้นก็มีการทำนายทายทัก สารพัดสารเพ เอาไปอ่านตรงไหนก็มีเต็มไปหมด วงการศาสนาพุทธในเมืองไทยเดี๋ยวนี้ อาตมาขอยืนยันว่า มหาศีลเป็นเครื่องตรวจสอบเป็นเครื่องเช็คว่าเป็นศาสนาพุทธหรือไม่ ถ้าไปกระทำเดรัจฉานวิชาไม่ใช่ศาสนาพุทธ
เอามหาศีลไปจับ วงการศาสนาพุทธในเมืองไทยจะไม่เหลือวัดที่เป็นศาสนาพุทธเลยนอกจากอโศก
แต่ก่อนนี้ท่านพุทธทาสท่านก็ออกมาทำนำหน้าอาตมาไปแล้ว ท่านไม่มีเดรัจฉานวิชชา หมดรุ่นท่านพุทธทาส อาตมาก็มาต่อเสริมอีก ยังไขหูทวนลมเลย ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไข กูจะเป็นของกูอย่างนี้แหละ ทำไมดื้อด้านดึงดันเหลือขนาด ไม่รู้จะทำอย่างไร ในความยึดมั่นถือมั่น ลัทธิที่ตัวเองยึด ยึดมั่นถือมั่นในครูบาอาจารย์ ที่ถ่ายทอดกันมาผิดๆ ยึดมั่นถือมั่น ภูมิปัญญาที่ผิด แล้วจะสืบสานภูมิปัญญาที่ผิดนี้ต่อไป
ไม่มีปรโตโฆษะ ในหลักสมาธิที่มีสองหลักคือ 1 ปรโตโฆษะ และ 2 โยนิโสมนสิการ
เดี๋ยวนี้ไปแปลโยนิโสมนสิการว่าพิจารณาเท่านั้น ความจริงแล้วหลักการของโยนิโสมนสิการ ไม่สำคัญที่อยู่ที่โยนิโส แต่อยู่ที่มนสิการแต่ต้องมนสิการที่โยนิโสฯ
มนสิการที่การทำใจ แต่โยนิโสคือบอกว่า ต้องทำใจในใจให้ถูกต้องถ่องแท้ ให้สัมมาทิฏฐิ ให้ลงไปถึงที่เกิด อะไรคือที่เกิด ที่เกิดคือจิตเจตสิก
จิตเจตสิก ภาษาบาลีอีกคำคือ โอปปาติกะ
ลงไปถึง โอปปาติกโยนิ ทำให้ถึงตรงนี้ที่โอปปาติกะคือจิตวิญญาณ
เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาธรรมะ ไม่รู้ ไม่มีสัมมาทิฏฐิ 10
สัมมาทิฏฐิข้อที่ 9 คือไม่รู้จัก สัตตาโอปปาติกา เขาไม่รู้จริงๆ เขาจับตัวตนของโอปปาติกะไม่ได้ พอจับตัวตนไม่ได้
คือตำรวจจะไปจับโจร แต่จับตัวตนโจรไม่ได้ ดีไม่ดีไม่รู้จักหน้าตาโจรด้วย นั่งกินข้าวต้มกุ๊ยโต๊ะเดียวกับโจรด้วย ยังคุยสนิทสนมกับโจรด้วย หน้ามืดตาบอด สัตตาโอปปาติกาตัวที่ 9 ของสัมมาทิฏฐิก็ไม่รู้ ก็ทำใจในใจไม่เป็น
สัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 คือ อัตถิทินนัง คือการทำทานก็ต้องทำใจให้เป็น
ข้อ 2 คือ ยิฏฐัง ก็ทำใจในใจไม่ถูกต้อง เช่น ทำสมาธิ คือต้องทำจิตให้กิเลสลด แล้วตกผลึกตั้งมั่นคือสมาธิ ฌานคือเพ่งรู้เพ่งเผาสลายกิเลสได้ เมื่อกิเลสสลาย ก็เหลือจิตที่ตกผลึกสะอาดเป็นสมาธิ ก็ทำไม่เป็น
เขาก็ทำจิตเหมือนกัน มนสิการเหมือนกัน แต่ไปนั่งสะกดจิต คือไม่ให้จิตใจนึกคิดหรือรู้ นิ่งแข็ง
ศาสนาพุทธเป็นศาสนามีวิเคราะห์วิจัย มีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะ สัมโพชฌงค์ มีนามธรรมแยกแยะ เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ ต้องแยกให้ชัดรูป นาม
รูป 28 นาม 5
การจะรู้จักจิตเจตสิกต่างๆ ก็ต้องรู้จาก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ถ้าไม่มีใครแสดงอุเทสก็ไม่รู้ได้ อย่างอาตมาแสดงอุเทส พวกเราฟังแล้วเอาไปปฏิบัติอ่านรู้ อาการ อาการสุข ทุกข์ อาการโกรธ อย่างนี้ ที่อาตมาทำมือไม้นี้ จริงๆแล้วมันไม่มีรูปร่างอะไร มันเป็นอาการใจ มโนวิญญัติ คุณต้องจับ สำคัญมั่นหมายเอาเองว่า อาการอย่างนี้คืออาการโกรธ อาการอย่างนี้คืออาการของกิเลสโลภ คุณรู้อาการมันได้ คุณก็ทำให้อาการนี้มันเบาบางจางคลาย ละหน่ายลดดับให้ได้
คุณต้องรู้ด้วยตน ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ พระพุทธเจ้าให้รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพานอย่างนี้ จับอาการเจตสิกได้จริงๆ แล้วมีอุบายเครื่องออก เรียกว่าเนกขัมมะ
ทำให้ลดลงได้จริง จะรู้จักเนกขัมมะต้องรู้จัก มโนปวิจาร 18
18 ของเนกขัมมะคือโลกุตระ ทำให้อาการกิเลสลดลงได้อย่างรู้ๆเห็นๆ ไม่ใช่ไปดับจิตสะกดจิต
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_นั่งหลับตา) ตอน อย่าขุดหลุมฝังศาสนาพุทธเลย
อาตมาตะโกนบอกว่า นั่งหลับตาสะกดจิตเป็นทางผิด ตอนสมัยพระพุทธเจ้าท่านออกบวชก็ไปดูว่าเขาทำกันอย่างไร ก็ไปเจออาจารย์ใหญ่สำนักนั้นสำนักนี้ ไปเจออาฬารดาบส นั่งสะกดจิตได้ฌานที่ 7 ไปเจออุทกดาบส นั่งสะกดจิตได้ฌานที่ 8 ละเอียดที่สุดสูงที่สุดได้แค่นี้ พระพุทธเจ้าก็ทำได้ แต่บอกว่าไม่ใช่ทาง มีในตำนานในคำสอนในการเรียน แต่ทำไมไม่เข้าใจ ไปงมงายอย่างอาฬารดาบส อุทกดาบสอย่างเก่า แล้วไม่ได้ทำได้เก่งเท่าด้วย ขนาดมันผิด ก็ไปทำ แล้วก็ทำได้ไม่ดีเท่าเขา ขออภัย ชั่วไม่ได้ดีเท่าเขาด้วย ปฏิบัติเต็มที่ไม่ได้อย่างเขา อันนี้ก็ไม่ได้ อย่างชั่วก็ยังไม่ได้เลยก็เอาคำว่าดี คือดีชั่วๆ คือชั่วที่มันดี ก็ยังไม่ได้เลย เสร็จแล้วไปชั่วปรุงแต่งเพิ่มอีก อาตมาเห็นศาสนาทุกวันนี้ยากจริงๆ
การนั่งหลับตาสะกดจิต มีสองฐาน คือ 1 สะกดจิตไปมืด คือ สุภกิณหพรหมอีกพวกหนึ่งไปสว่าง คืออภัสสราพรหม
พวกมืดทำแล้วก็หยุดจบ ไม่กระทบกระเทือนใคร ดีไม่ดีมืดอยู่คนเดียวก็ไม่กระทบผลต่อใครหรือส่วนรวม
แต่ พวกสว่างหรือสว่างประยุกต์ อย่างเช่นพวกธรรมกาย สะกดจิตให้นิ่ง ประโยชน์แต่ ดันปรุงแต่ง สร้างสวรรค์วิมานปลอม create สวรรค์บ้าบอไปได้มากเท่าไหร่ก็ได้ ทั้งวาดภาพ ส่งโทรทัศน์ design ออกมาเป็น สวรรค์ เฟส 2 3 4 5 งมงายไปหม ใช้โวหาร สีสัน รูปร่าง เพลงการ มีวิมานปลอมๆ มันปลอมเก่งฉิบหาย
เลือกได้เลยร้านค้าสวรรค์วิมานสามารถเลือกได้เลย คนงมงายในสวรรค์
สวรรค์คือนรก
นรกนั้นไม่มีใครอยากได้ ใครอยากได้สวรรค์คือภพ ศาสนาพุทธไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ หมดภพหมดชาติ นั่นคือพุทธ
ใครไปอยากได้ภพสวรรค์นั้นคือเริ่มได้นรกแล้ว นรกคือสวรรค์ สวรรค์คือ
นรกไม่ต้องทำอะไรบ้างสวรรค์ได้หมดนรกก็หมด
สวรรค์ก็คือนรกตัวจริงตัวแท้ นี่พูดโดยโวหารของอาตมา
สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้ภพขาติไปตามลำดับ
ให้ล้างตั้งแต่โอฬาริกอัตตาตั้งแต่กาม
หมดกามแล้วจิตมันอยู่เหนือแล้วไม่ได้ดับจิต แต่จิต ดูชัดเจนในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เหมือนคนปกติ แต่กิเลสกามหมดไปจากจิต สัมผัสแล้วรู้ทัน แล้วหมดความต้องการหมดสวรรค์หมดนรก นั่นคือพระอนาคามี
เดี๋ยวนี้ไม่รู้เรื่อง ไปหลับตาเสียแล้ว เบื้องต้นโอฬาริกอัตตาไม่ศึกษา แต่ไปสะกดจิตหลับตาไม่รู้เรื่อง บอกว่ารูปภพอรูปภพ คือฌานสะกดจิต เหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส ว่ามันยังรู้ก็ดับไป ดับรูปภพ อรูปภพ อีก แล้วอาฬารดาบส หมดธาตุรู้หมดสามารถจะรู้ละเอียดได้ แต่อุทกดาบสนั้นตามรู้ที่แวบได้ แต่เขาก็ดับอีก พาซื่อ ดับไม่รู้ เขาว่าดับอวิชชาแต่เขาไปดับจิตให้ไม่รู้ พาซื่อ ก็บอกว่าอย่าให้รู้อะไรเลย ซื่อบื้อไป ไม่ใช่
ของพระพุทธเจ้านั้นความไม่รู้นั้นคือไม่รู้กิเลส ในโลกที่เรียกว่าโลกกาม แล้วก็มีกามเบื้องต้นคืออบาย ในการสัมผัส เช่น นักการเมืองที่จะต้อง ครองอำนาจตลอดกาล จะต้องมีอำนาจร่ำรวยที่สุด ยกตัวอย่างเลย คือทักษิณ จะต้องรวย มีอำนาจ ประเทศชาติต้องเป็นของข้าไปยาวนาน สืบทอดเป็นตระกูลเป็นสันตติวงศ์เลย ยังดีที่เมืองไทยมีพระสยามเทวาธิราชรู้ทัน ไล่ออกไปได้ ถ้าไม่อย่างนั้นเสร็จทักษิณ
เมื่อไม่ได้เรียนรู้ธรรมะ ไม่ได้เข้าใจสัจธรรมไปตามลำดับ ก็เลยเละเทะ ล้างกิเลสตั้งแต่สัมผัสให้รู้ ทางตาว่านี่โลภโมโทสัน เป็นนักการเมืองที่กระสันกระเหี้ยนกระหือรือจะได้อำนาจมาก จะได้อำนาจการปกครองบริหารบ้านเมืองเป็นของข้า จะได้ไปดูแลงบประมาณทรัพย์สินเงินทองจะต้องได้มา จากการคอรัปชั่นคอมมิชชั่น นี่คือความโง่งมงายนั่นคือโลกอบายมุข คนที่มีจิตใจอย่างนี้มีกิเลสอย่างนี้คือไม่รู้อะไร อบายมุขคือจิตใจที่หยาบต่ำ หัวหน้าแห่งนรก คือชั่วหยาบที่ชั่วที่สุด
นักการเมืองที่มีความคิดความต้องการ และประพฤติอย่างนี้คือสัตว์นรกคืออบายมุข แต่เขาไม่รู้กัน แล้วก็แย่งชิงเป็นหัวหน้านรก แล้วจะไปรอดได้อย่างไร แล้วไปสะสมพรรคพวก ว่านี่คือรัฐศาสตร์เขาบริหารแบบนี้
ไม่เข้าใจทฤษฎีบริหารที่เรียกว่าประชาธิปไตยเพื่อประชาชน ทำเพื่อประชาชน แต่เอาประชาชนมาเป็นฐาน มาเป็นลิ่วล้อ ขออภัย เอาประชาชนมาเป็นควาย มาเป็นบริวาร เพื่อเหยียบย่ำ แล้วเขาก็เก็บผลประโยชน์บนเลือดบนเนื้อ เป็นความคิดที่เลวร้ายมาก เป็นความโง่เง่า ไม่ใช่ความรู้หรอก อวิชชา นึกว่าเป็นความรู้แต่เป็นอวิชชาซับซ้อนหนัก
ถ้าเผื่อว่า ไม่มีคุณธรรม ไม่มีจิตบริสุทธิ์ ประเทศไทยไม่อยู่รอดมาได้ถึงป่านนี้ ประกาศเป็นประชาธิปไตยมา 81 ปี ยุคของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีพระจริยวัตร บอกว่านี่คือพฤติกรรมของนักบริหารนะ ไม่ได้หาเสียงแต่เพื่อบริการประชาชน ท่านทรงงานทั่วประเทศ นายพฤติกรรมการเมือง ไม่ต้องทำทั้งประเทศหรอกอย่างในหลวงทรงทำ เราก็ทำเป็นเขตๆไป แต่ในหลวงท่านทำทั่วประเทศ
แต่คุณน่ะ มาทำงานช่วยท่าน แบ่งช่วยท่านทำ เป็น ส.ส.เขตไหนก็ทำเขตนั้น ขยายเป็นหัวหน้ากองกรมกอง รัฐมนตรี แต่การเมืองไม่ใช่การหาเสียง
การเมืองทุกวันนี้ก็เพื่อจะได้เลือกตั้ง มีพรรคพวกแล้วเอามาบริหาร เพื่อได้คอรัปชั่นคอมมิชชั่น คนใดเป็นนักการเมืองที่คอรัปชั่นได้แนบเนียนและเก่งที่สุด นั่นแหละคืองานอาชีพของนักการเมือง เป็นเป้าหมายของนักการเมือง คอรัปชั่นให้ได้แนบเนียนที่สุดอย่างที่จับไม่ได้เลยจนตายเลย ทำแล้วหมดวาระแล้วก็จับไม่ได้
งาน DSI หากรื้อพวกนี้ขึ้นมานะ..รับรอง.. สรุปแล้วน่าสงสารประเทศไทย ประเทศไทยมีดี จริงๆแล้วรัชกาลที่ 9 ท่านทรงเป็นนักประชาธิปไตยที่ยอดเยี่ยมที่สุด ต่างประเทศทุกวันนี้ได้สรรเสริญ เมื่อในหลวงสวรรคต เขาได้แสดงความเสียใจกันทั่วโลก เพราะท่านคือนักประชาธิปไตย เขาไม่ได้มายอมรับนับถือเพราะว่าท่านหล่อหรือรวย หรือได้ไปแสดงอำนาจบาตรใหญ่กับประเทศอื่น แต่ท่านเป็นนักประชาธิปไตยที่ยอดเยี่ยม น่าเสียดายนักประชาธิปไตยเบอร์ 1 ของโลก ท่านรับใช้ประชาชน พูดชัดๆ ทรงงานมา 70 กว่าปี ชัดเจน ปฏิเสธไม่ได้สำหรับผู้ที่มีภูมิปัญญา
อาตมาไม่ได้มานั่งแกล้งยกยอท่าน แล้วประชาธิปไตยของศาสนาพุทธนั้นต้องพาคนจน ถ้าประชาธิปไตยของประเทศไหนพาคนไปรวย ผิดหมดต้องจนอย่างมีจิตวิญญาณยิ่งใหญ่
ชาวอโศกคือนักประชาธิปไตยเบอร์ 1 ของประเทศไทย ไม่มีใครมายอมรับหรอก ต้องพูดเอง ใครไม่เชื่อก็ช่างเขา เพราะว่าชาวอโศกมาจนและรับใช้ประชาชน สร้างสรรค์เผื่อแผ่ ไม่งอมืองอเท้า ทำให้มากให้เกิน แล้วสละสะพัดออกไป
ขณะนี้ก็ทำได้แค่นี้ แล้วจะทำไปจนกว่าอาตมาจะตาย แล้วพวกเราก็มาทำต่อสืบทอดต่อ คนไม่ต้องทำเพื่อตัวตนและไม่ต้องเห็นแก่ตัวเลย ไม่ต้องสะสมอะไรเป็นของตัวเองเลย จะอยู่ได้ไหม สังคมชาวอโศกพิสูจน์แล้วยืนยันได้ เป็นสังคมสาธารณโภคี อาศัยส่วนกลาง
ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้านี้เป็นพ่อของคอมมิวนิสต์ เป็นปู่ของเผด็จการ ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้านี้มี คอมมูนโดยไม่ต้องไปตั้งกฎเกณฑ์ให้เสียภาษีเท่านั้นเท่านี้เหมือนอย่างคอมมิวนิสต์ แล้วใครมีส่วนได้มากก็เสียภาษีมากที่สุด ทำอย่างนั้นคนจะไม่อยากให้ภาษี เขาก็บังคับเอา คนมันก็ไม่อยากให้เพราะว่าหาได้มากๆ ก็ต่อสู้ไม่อยากเป็นคอมมิวนิสต์ อยากเป็นอิสระเสรีภาพ ในประชาธิปไตยหาเงินได้มากก็เสียภาษีแบบซ่อนแฝงได้ ก็เท่านั้นมันเป็นสัจจะของมนุษย์ที่เห็นแก่ได้
ส่วน มาเป็นประชาธิปไตยแท้ๆของพระพุทธเจ้านั้น ไม่เห็นแก่ตัวเอง หมดตัวหมดตน แล้วกล้าจะมาเป็นคนจน กล้าจะมาให้แก่ส่วนกลาง
ถ้าส่วนกลางบริหารผิด ถ้าเราเอาให้ส่วนกลางแล้วเขาคอรัปชั่นคอมมิชชั่นแบบรัฐบาลบางรัฐบาลก็ไม่ให้ทำ เราจึงได้เอามาบริหารเอง ชาวอโศกคือชุมชนประชาธิปไตยที่บริหารซ้อนอยู่ในประเทศไทย จึงอยู่เป็นสุข ถึงขั้นตรงตามระบบของพระพุทธเจ้า มีลาภธัมมิกา เอามารวมกันแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ตามระบบสาธารณโภคี
อาตมาภาคภูมิใจที่ทำได้สำเร็จ ในยุคของพระพุทธเจ้าทำสำเร็จได้เฉพาะในวงของพระสงฆ์ แต่ไม่ได้ทำในวงฆราวาส เพราะเป็นยุคของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคทาส มีระบบทาส เป็นยุคที่ประชาชนยังไม่เข้าใจในสิทธิมนุษยชน ไม่เข้าใจสิทธิในวัตถุหรือการแสดงออก สิทธิความเป็นมนุษย์ ยังไม่รู้จัก จึงสร้างกับวงกว้างประชาชนไม่ได้ เพราะไปละลาบละล้วงในหลวงไม่ได้ ในหลวงเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ท่านจึงได้ตั้งรัฐอิสระ พระพุทธเจ้าได้ตั้งรัฐอิสระ
แล้วท่านก็มีธรรมนูญของท่าน ธรรมนูญของท่านก็คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทฤษฎีต่างๆในการปฏิบัติของท่าน มรรคมีองค์ 8 เป็นวิธีการปฏิบัติของคนประเทศนี้เป็นคนรัฐนี้สังคม ใครมาเข้ารีตของรัฐนี้ ใครจะมาเข้ารีตจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของรัฐนี้ ไปแคว้นไหน ท่านก็ประกาศลัทธิของท่าน พระเจ้าแผ่นดินในยุคนั้นยกให้พระพุทธเจ้าหมดเลย เอาเลย ประกาศลัทธิของท่าน แล้วประชากรในแคว้นนั้นจะมาเข้ารีตเขาก็ยอม ให้หมดเลยทุกประเทศ ท่านก็ไปอย่างอิสระเลย ไปรัฐน้อยใหญ่ ขนาดรัฐมคธ แคว้นโกศลเป็นรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตอนนั้น ของพระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านก็ไปในทวีปอินเดียได้หมด อิสระได้หมด เอาประชากรมาเข้าธรรมนูญของท่าน เพราะว่า ธรรมนูญนี้ไม่ได้เป็นโทษภัยต่อประเทศไหน ถ้ายิ่งคนเขาได้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเขายิ่งปกครองได้สบาย ประเทศเขาจะเป็นความสงบสุขสงบเย็น เพราะฉะนั้นพระเจ้าแผ่นดินของแต่ละแคว้นในยุคนั้น ก็ยกให้ ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ยอมรับกันหมดแหละ
แต่ทุกวันนี้แย่งทฤษฎี ประชาธิปไตยของใครก็บอกว่าดีที่สุด ใครก็เป็นประชาธิปไตยแท้ ใครที่มีอิทธิพลมากก็ถือว่าเป็นประชาธิปไตยแท้ เบ่งได้เก่ง สร้างอาวุธสร้างเขี้ยวเล็บไว้ ว่าอย่านะ เขาไม่ได้ยอมแพ้เพราะว่าสัจธรรม แต่ยอมแพ้เพราะว่าเขี้ยวเล็บสู้ไม่ได้ ประเทศต่างๆในโลก แก้ไขไม่ได้หรอก ต่างคนต่างหลง
เราก็เอาของพระพุทธเจ้ามาขยายความ มาให้ธรรมประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า ในหลวงได้ทรงความเป็นประชาธิปไตยสูงสุดได้ ทำเพื่อประชาชน รับใช้ประชาชน อย่างจริงใจให้เจริญ ด้านต่างๆ ให้มีกินมีอยู่มีสาธารณูปโภค น้ำไม่มีก็หาวิธีให้น้ำ ขนาดน้ำพื้นดินไม่พอ ก็หาวิธีทำแก้มลิง ทำฝาย น้ำในดินไม่ได้ก็เอาน้ำจากฟ้า ก็รู้วิธีสอยน้ำจากฟ้า มีพระเจ้าแผ่นดินประเทศไหนที่รู้จักการสอยน้ำจากฟ้ามาให้แก่ประชาชนได้ มีประเทศไทยนี่แหละ รู้วิธี ท่านทรงหมดโครงการต่างๆ ช่างกระไร ข้าราชการทั้งหลายแหล่ที่ช่วยพระองค์ ก็ไม่ทำตาม มีแต่มาเลี้ยงชีพหากิน เช้าชามเย็นชาม ไม่ได้เข้าใจสี่พันกว่าโครงการนี้เลย รับมือไม่เป็น ทำไม่ออก น่าสงสารประเทศ
ท่านนอกจากจะบอกโครงการขยายโครงการแล้ว ท่านยังได้ทำโมเดลในสวนจิตรฯอีก แต่ข้าราชการไม่ประสีประสารับช่วงไม่เป็น อาตมาก็พูดความจริงขออภัยนะไม่ได้ลงโทษหรือดูถูกดูแคลน แต่พูดสัจจะสู่ฟัง
นี่เป็นสัจจะที่เป็นอยู่ ในหลวงนี่ อาตมาเป็นคนระบุบอกด้วยว่า ไม่มีใครกล้าพูดแต่อาตมากล้าพูดว่าในหลวงคือพระโพธิสัตว์ อาตมาเป็นคนพูดเอง เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่มีภูมิธรรมจากพระพุทธเจ้า มีเชื้อมี DNA ของพระพุทธเจ้า จึงมาทำความเป็นประชาธิปไตยของศาสนาพุทธ แต่ข้าราชการผู้รับช่วงไม่ค่อยเก่งนักวิชาการก็ไม่ทัน ก็ไปเรียนประชาธิปไตยแบบที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า แล้วก็ยึดว่าเขาคือประชาธิปไตย
ในหลวงตรัสนี่ ถ้าฟังเป็นข้าราชการจะเจ็บปวด ท่านบอกว่าปิดตำราเสีย แล้วมาบริหารอย่างอะลุ่มอล่วย เมตตา สามัคคี ท่านไม่ตรัสว่า ให้ทำตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นในหลวงท่านตรัสว่าให้เอาแบบศาสนาพุทธอย่างเดียวไม่ได้ แต่โดยปฏิภาณปัญญา น่าจะเข้าใจ เพราะว่าท่านต้องดูแลศาสนาอื่นด้วย แต่เมืองไทยเป็นศาสนาพุทธ 95% ท่านเห็นแก่ศาสนาอื่นก็ไม่ตรัสตรงๆอย่างนี้
แล้วท่านก็บอกว่ามาเอาแบบคนจน ท่านก็พยายามตรัสบอก เขาก็ไม่เข้าใจ เอาให้ชัดอีก ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มันชัดยิ่งกว่าแบบคนจนนะ แต่บื้อเลย งงเลย แล้วขาดทุนจะอยู่อย่างไร
อโศกเราขาดทุนอยู่ได้ เพราะการขาดทุนนั้นไม่ใช่หมายความว่าเราจะหมดเนื้อหมดตัว การคิดทุนนี้จะคิดสำคัญที่ค่าแรงงาน ส่วนค่าโสหุ้ย ค่าอื่นๆที่ก็คิดไป แต่ค่าตัวค่าแรงงาน ค่าความรู้ เราก็มาลดค่าตัวค่าแรงงานของเรา ไม่เอาหรือเอาให้น้อยลง แต่นี่มีแต่จะขึ้นค่าตัว
การลดค่าตัวของเรา คือการมาขาดทุน คือการเจริญ คือกำไร สังคมบริหารด้วยการขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ก็จะไปได้ ในหลวงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ตรัสบอกให้ทราบว่าเอาแบบคนจน แบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา พวกข้าราชการนักการเมืองไม่รู้ รับลูกไม่เป็น เอามาปฏิบัติตามไม่ได้ มันเลยไม่ไป
อาตมาว่า อาตมาได้พามาทำตามที่ในหลวงตรัสทุกประการได้เท่านี้ ..แย้งด้วย ปิดด้วย ไม่เผยแพร่เลย อย่าให้เอาของอโศกไปเผยแพร่ สื่อสารมวลชนไม่มาทำข่าวของอโศกเลย ตั้งแต่เริ่มต้นจนบัดนี้ ไม่มีสื่อสารมวลชนมาทำข่าว นี่งานนี้ก็ไม่ทำข่าว เราทำอโศกรำลึกมา 36-37 ปี อโศกจะทำอะไรก็ทำของเอ็งไป ไม่ส่งเสริม ไม่โฆษณาไม่บอกกล่าว ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร นี่คือศาสนาพุทธอาภัพ ขนาดนี้
ศาสนาพุทธที่ถูกต้องอาภัพขนาดนี้ ศาสนาพุทธที่เลอะเทอะก็ส่งเสริมโฆษณาทางหน้าหนังสือพิมพ์ พระเครื่อง เครื่องรางของขลัง งานทอดกฐินผ้าป่าออกนอกศาสนาพุทธทั้งนั้น ก็ส่งเสริมโฆษณากัน ช่วยกัน แล้วก็ได้บอกว่าได้บุญ
ที่จริงได้บาป ไม่ได้กำจัดกิเลสอะไร มีแต่ส่งเสริมกิเลสเพิ่มขึ้น เขาไม่รู้ว่าเขาได้ทำบาปแต่ไม่รู้ตัวว่าได้บาป น่าสงสาร ทั้งสื่อสารด้วย ขออภัย อาตมาพูดเหมือนตัวเองถูกต้องอยู่คนเดียว คนอื่นในวงการศาสนาทำไมไม่ทำอย่างนี้บ้าง เขามีทั้งอำนาจอิทธิพล อาตมาไม่มีทั้งอำนาจและอิทธิพล เลยไม่มีใครฟังไม่มีใครทำตาม
ก็ยังดีที่มีพวกคุณมาเชื่อถือและทำตาม เขาก็หาว่าหน้าโง่ทั้งนั้นที่มาทำตามพระโพธิรักษ์ อาตมาเคยเจอคนเก่าที่เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่วงการโทรทัศน์เขาก็บอกว่าหนังสือที่อาตมาเขียนผิด บอกว่าให้อ่านหนังสือของท่านประยุทธ์ ปยุตโตสิ อาตมาเคารพท่านประยุทธ์ที่ท่านซื่อสัตย์ต่อความรู้ของท่าน ท่านเป็นคนเอาใจใส่การศึกษา เป็น learned man ท่านซื่อสัตย์ต่อความรู้ของท่านและเอามารวบรวมไว้ อาตมาก็ได้ประโยชน์จากหนังสือท่านมาก ถ้าไม่มีตำราเรานี้ก็จะยากมาก ของท่านเป็นระบบระเบียบ เอามาใช้งานได้ง่าย จึงเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ท่านก็ทำเต็มที่ของท่าน มันก็ยังมีขัดแย้งอยู่เยอะ แต่สิ่งที่ชัดแจ้งก็จะไม่พูดมาก
ยกตัวอย่างท่านเข้าใจอภิสังขารอย่างไร
อภิสังขารเป็นสังขารของอาริยะ ปุญญาภิสังขารคือการปรุงแต่งจัดการจิตวิญญาณอย่างอภิ อย่างยิ่งอย่างดีทำให้กิเลสลด
อปุญญาภิสังขารคือไม่ต้องทำบุญแล้ว จบ มีแต่สั่งสมอเนญชาภิสังขาร เป็นการปฏิบัติให้จิตแข็งแกร่งขึ้นด้วยองค์ 5 ของอุเบกขามี
ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
มีความบริสุทธิ์สะอาดจะสัมผัสสัมพันธ์กับสังคมอย่างไร โลกธรรมอย่างไรก็มีจิตใจที่สะอาด มีจิตมุทุ คือจิตแคล่วคล่องว่องไว ปาคุญญตาหรือกายปาคุญญตา คือองค์รวมรูปนามที่แคล่วคล่องว่องไว จิตใจยิ่งที่จะเป็นสมาธิยิ่งจะแคล่วคล่องว่องไว ไม่ใช่จิตที่ทื่อๆไม่แววไว แต่จิตยิ่งปราดเปรียว เพราะว่าไม่มีอะไรมาต้านไม่มีกิเลสมาต้าน แต่เดี๋ยวนี้กลับกลายว่า ถ้าจิตเป็นสมาธิจะหยุดคิดหยุดทำจะหยุดหมดไม่แคล่วคล่องพาซื่อ
ตราบในศาสนาพุทธโดยคนไทยเมืองไทยถ้าไม่ฉุกคิดเรื่องนี้ ไม่ตื่นได้ จากการงมงายแต่นั่งหลับตาสะกดจิตต่อไป คุณฝังศาสนาพุทธ ร่วมมือกันฝังศาสนาพุทธ หรือฆ่าหั่นศพศาสนาพุทธ อยู่แก๊งเดียวกับหญิงเปรี้ยว คุณเปรี้ยว ฆ่าหั่นศพศาสนาพุทธเลยจริงๆ ฟังสำนวนโวหารที่อาตมาพูดนี้ เป็นอย่างนั้นจริงๆ
อาตมาพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความจริงใจ ด้วยความความสงสาร ทำไมเขาจะมีปฏิภาณปัญญารู้ อาตมาแนะให้ไปอ่านพระไตรปิฎกเล่มแรก ที่ขยาย วิธีของศาสนาพระพุทธเจ้า เล่มแรกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร ท่านตีทิ้งการนั่งหลับตาทำเจโตสมาธิจะได้ความรู้ในอดีตกับอนาคต 62 ความรู้เท่านั้น มันไม่รู้ไปได้มากไปกว่านี้ เพราะว่ามันไม่มีปัจจุบัน ก็มันหลับตาจะไปมีปัจจุบันที่ไหน นิพพานของพระพุทธเจ้านั้นลืมตารู้กามแล้ว เหลืออัตตาที่เรียกว่าภวตัณหาก็ล้าง มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ก็เป็นอรหันต์ได้ แต่การไปนั่งหลับตาไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย แล้วก็ไปนึกว่ามีกิเลสอยู่ในภพ ในภพก็ไม่รู้ว่ามันสังเคราะห์สังขารสัมผัสอย่างไร เพราะว่าไม่รู้โครงสร้าง เช่น H กับ O มันได้จับตัวเป็นธาตุน้ำอย่างไร ขามันจับกันอย่างไรไม่รู้กลไก กระบวนการมันเลย ก็เลยทำอะไรไม่ถูก ไปนั่งสะกดจิต
ศาสนาพุทธต้องมีวิจัยวิจารณ์ Analyzes ไม่ใช้ hypnosis มันเป็นคนละเรื่องกับความถูกต้อง ที่จะไปรู้เหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งความเสื่อมเหตุ เหตุความไม่เจริญ เราจะรู้เหตุมัน แต่เขากลบเหตุทับไว้ ไม่เกิดปัญญา
เขาอธิบายว่านั่งหลับตาไปแล้วจะเกิดเป็นสมาธิเกิดปัญญา นิ่งสงบจิตแล้วปัญญาจะโผล่ขึ้นมาเอง เวรจริงๆไม่ใช่แบบพระพุทธเจ้าสอน ที่โผล่มาคือสัญญา สัญญาต่างจากปัญญาอย่างไรก็ไม่รู้ สัญญาคือความจำ ความจำมีเท่าไหร่ก็ขึ้นมารู้เท่านั้น แต่ปัญญานั้น มีองค์ประกอบภายนอกประกอบด้วยมรรคมีองค์ 8 มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทั้งอาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ
แล้วเรียนรู้องค์ประกอบที่ใช้วิจารณ์ว่ามันมีตัวร่วม (สสังขาริกัง) เจตสิกที่มันมีกิเลสเข้ามาร่วมปรุงแต่งอยู่ด้วย คือแยกรู้จักจิตที่เราจับได้ อ่านในสังกัปปะ 7 มีกาม พยาบาท ผสมมาไหม ว่านี่กามตักกะ พยาปาทตักกะ ต้องกำจัดมันตัวนี้ ในสังกัปปะ 7 แต่ไม่ได้เรียนรู้เลย มีแต่ กลบและฝัง กดๆแล้วก็ฝังแล้วกลบต่อ
ฆ่าหั่นศพยังพอว่า ได้เห็นชิ้นส่วน แต่นี่ฝังกลบ กลบแล้วฝัง ไม่ให้ใครเห็นเลยตัวเองก็ไม่เห็นมืด 11 ด้าน(หนักกว่า8ด้าน) ก็น่าสงสาร
อาตมาเกิดมาในชาตินี้ ไม่มีเครดิตที่ทำให้เขาเชื่อ ที่เขาไม่เชื่อคือ อาตมาดันพูดตรงกันข้ามกับที่เขาเชื่อถืออยู่แล้ว พูดต่างจากเขา 180 องศา เขาเชื่อถือตามครูบาอาจารย์มาตั้งนานแล้ว ช่วยอย่างนี้แล้ว โพธิรักษ์ มาพูดตรงกันข้ามกับเขา 180 องศา มาจากสำนักไหน แล้วบอกว่าไม่มีสำนักอีก อาตมาบอกว่า เป็นพระโพธิสัตว์มี ภูมิธรรมเก่า เขาก็จะจับเอาปาราชิกอาตมาอีก
อาตมาเป็นผู้รื้อผู้ปรับเปลี่ยนคืนมา จากสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม เขาก็หาว่าผิด เพราะเขานับถือแค่ว่า คนที่จะไม่มีครูบาอาจารย์นั้นคือพระพุทธเจ้าองค์เดียว
สยังอภิญญา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิเข้าที่ 10 ว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
สัมมาทิฏฐิข้อนี้ใครไม่เชื่อ ในโลกนี้ปัจจุบันนี้ขณะนี้ ใครไม่เชื่อว่าคนๆนี้มีนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ฝากฝังไว้ ในมหาจัตตารีสกสูตร สัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ผู้ใดไม่เห็นว่าคนนี้แหละคือสยังอภิญญา เป็นคนที่รู้เองแล้วเอามาเปิดเผย...มีนะ ไม่ใช่ไม่มี
เมื่อไปปิดประตูว่า ผู้รู้เองตรัสรู้ชอบเองมีแต่พระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา ไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ เป็นพระสาวกเป็นสมณะพราหมณ์ ในข้อ 10 ของสัมมาทิฏฐิไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้า แต่หมายถึงพระสาวกที่มีสยังอภิญญา มีความรู้เอง
อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ในชาตินี้ อาตมามีของเก่ามาแต่ชาติก่อน เท่ากับบอกว่า อาตมาเอาสยังอภิญญามาอธิบาย ผู้ใดไม่เห็น อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา ผู้นั้น ยังเป็นผู้ที่มิจฉาทิฐิทุกคน จะเป็นคนที่จบเปรียญไหนก็แล้วแต่ อาตมาบอกตนเองเป็นผู้นี้ อาตมาไม่ได้มีจิตสาเฐยจิต อาตมาอ่านจิตเป็นนะ ไม่ได้บอกเพื่อจะได้ ลาภยศสรรเสริญ คนมานับถือ ให้คนบอกว่าตนเองยิ่งใหญ่ อาตมาไม่มีสิ่งเหล่านี้ในจิตใจ บอกไปเขาก็ไม่เชื่อ ถึงน่าสงสารมาก เขาก็เลยเชื่ออย่างที่เขาใช่อยู่แล้ว ครูบาอาจารย์ที่เขาเชื่อถืออยู่แล้วก็เชื่อถือต่อไป
พออาตมาว่า ให้มีปรโตโฆษะ อาตมาประกาศว่า อาตมาเป็นผู้ที่รู้ถูกเข้าใจถูก เขาก็มองด้วยหางตาแล้วผ่าน ดีไม่ดีไขหูด้วย หรือบอกว่า หมาอะไรหมาเห่า
เข้าหูยังไม่เข้าหู จะไม่ต้องบอกเลยว่าเข้าใจหรือไม่ ยิ่งบอกว่า “เข้าถึง” ไม่มีทางเลย แล้วพวกคุณมารับได้อย่างไร ไม่เชื่อว่าจะมาหลอกหรือ มันไม่เหมือนกับที่สังคมส่วนใหญ่เขาเชื่อถือกันนะ
พูดถึงตรงนี้แล้วนึกถึงพระสารีบุตร ได้พบพระพุทธเจ้าแล้วก็ไปบอกพระอาจารย์เก่า อาจารย์เก่าก็บอกว่าไม่ไป สุดท้าย อาจารย์เองก็ถามย้อนพระสารีบุตรบอกว่า โลกนี้คนโง่หรือคนฉลาดมีเยอะกว่ากัน พระสารีบุตรก็ต้องตอบความจริง คนฉลาดมีน้อยกว่าคนโง่ คนโง่มีเยอะกว่า สญชัยเวลัธบุตรก็บอกว่า เธอไปอยู่กับคนฉลาดอย่างพระพุทธเจ้าเถอะ เราจะอยู่กับคนโง่
เท่านี้ก็ตัดสินได้ว่าสญชัยเวลัธบุตรเป็นคนโง่หรือฉลาด ตอบเองว่าคนโง่มากกว่าก็ไปอยู่กับคนโง่ ไม่ใช่อะไร สญชัยโง่ เพราะว่าได้เป็นใหญ่ในลูกศิษย์คนโง่ แต่ถ้าไปเป็นลูกศิษย์คนฉลาดไม่เอา ต้องเป็นใหญ่ในหมู่โง่ก็เอา เป็นครูของควายก็ยังดี จะไปเป็นลูกศิษย์สิงห์หรือเจ้าป่าไม่เอา ให้เป็นนายของหมู่ควายดีกว่า ตลกดี ก็เป็นไปตามธรรม
มีคนเขียนโคลงมาว่า
พระอรหันต์ ที่แท้ถ้วน แบ่งส่วนแบ่ง ไม่มีเหลือตน แม้ต่องแต่ง แห่งตัณหา เหลือแต่ให้ ให้และให้ ด้วยปัญญา แสวงหาพระอรหันต์จากฉันเอง
คือผู้ที่ให้ ให้และให้ ดับตัณหาหมดก็มีแต่ให้ จบที่..ให้.. สูงสุด ในบารมี10 ทัศคือทาน ปฏิบัติ 9 ข้อต้นเพื่อให้เกิดทานข้อเดียว จบแล้วมี ทานและอุเบกขา ทำให้เกิดจิตลดละ มีแต่ให้ ให้ผู้ที่ได้รับการรู้ต่อ ใครเป็นผู้ให้เป็นลูกโซ่ปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ไม่มีการสิ้นสุดเลย เป็น Isotope เลย เป็นปฏิกิริยาต่อเนื่องเป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างนั้น
ภาพถือว่าเราให้หมดเนื้อหมดตัวแล้วเราอยู่ได้ไหม อยู่ได้เพราะว่าสังคมที่จะเป็นผู้ให้ ทุกวันนี้ในชาวอโศกมีคนทำงานฟรี ตนเองไม่เอาอะไรขึ้นอยู่กับส่วนกลาง มีสาราณียธรรม 6 มีลาภธัมมิกา สาธารณโภคี คอมมิวนิสต์ก็ต้องการ ทุกระบอบต้องการ ทุกคนเป็นเจ้าของ ทุกคนเป็นเจ้าของเป็นส่วนรวมไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ในยุคนี้อาตมาสามารถทำให้เกิดสังคมสาธารณโภคีได้ ในยุคของพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในหมู่สงฆ์ เพราะว่ายังไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน แต่ยุคนี้ทำได้มีคนหาว่าอาตมาอวดดีกว่าพระพุทธเจ้า อาตมาก็นำเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาใช้ แต่ในยุคนี้มันเป็นยุคที่คนพ้นทาส รู้จักสิทธิมนุษยชนแล้ว
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:17:41 )
รายละเอียด
600609_พ่อครูให้โอวาทหลังพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ อโศกรำลึก 2560
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ) ตอน ทำงานแบบเผื่อพอ
พ่อครูว่า....ก็โอวาทก็คงไม่มีอะไรจะว่าแล้ว เพราะว่าตอนนี้เราได้ดูอดีตที่เราได้ต่อสู้พากเพียรมา มาจนถึงวินาทีนี้ ซึ่งมันก็ยังไม่จบ ยังจะต้องอุตสาหะวิริยะต่อไปอีก อาตมาจะไปกล่าวนำสิ่งที่ไม่เที่ยงอาตมาไม่ใช่นักพยากรณ์ อาตมาใช้อดีตเป็นคุณสมบัติ เป็นเครื่องมือ แต่ไม่พยายามใช้อนาคตมาชี้เส้นทางใช้อดีตมาประกอบกับปัจจุบันทุกปัจจุบัน ส่วนอนาคต ก็มีอนาคตังสญาณบ้างแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอนาคต
ถ้าเรามี 1 แล้วเราอยากได้สองก็หาหนึ่งมาใส่ให้ได้ ถ้าเราอยากได้ห้าก็พยายามสร้างสองมาบวกอีก ก็ทำตามภูมิปัญญาของตนเองอย่างที่โบราณว่าตำข้าวสารกรอกหม้อ มีข้าวสารเท่าไหร่ก็เอามาทำใช้ แต่ไม่ใช่ประมาทไม่เผื่อพอ เผื่อพอในเรื่องที่เราช่วยกันทำ ตนมีบารมีเท่าใดนั้นคือใช้วิบากไป ใช้วิบากในการประกอบการทำงานอย่างยิ่ง ซึ่งคนเลียนแบบไม่ได้ เพราะอาตมามีของจริง อาตมามีทุนจากอดีต แล้วเอาทุนจากอดีตมาทำงาน แล้วอาตมาจะไม่ใช้ทุนจากอดีตร้อย จะใช้อย่างมากก็ 85 ใช้ต่ำกว่าทุนเสมอ เผื่อขาดทุน หรือจริงๆแล้วคือ
ถ้าเรามีร้อยก็อวดว่ามีแค่ 80 85 มันไม่ได้อวดดี เราถ่อมตน ถ้าเรามี 50 ดันอวดว่ามี 60 เราไม่ทำ มีร้อยก็ทำแค่ 70 60
อาตมาได้อธิบายหลักเกณฑ์ หรม. ครน. หรือที่สำคัญที่สุดคือ กำลังให้ความรู้อยู่มากคือ เรื่องของสัมประสิทธิ์ coefficient คือพลังงานที่รวมไว้หมดทั้งรูปธรรม นามธรรม
เข้าหลักเกณฑ์ที่ยากมากเลย มันเลย เลยสูตร E=mc2 + A ของไอน์สไตน์แค่ E=mc2 ที่เป็นเรื่องวัตถุ คงที่ แต่ไม่ใช่เรื่องจิตวิญญาณที่ไม่เที่ยง วัตถุนี้คงที่กว่าจิตวิญญาณมาก E=mc2 อาตมาจึงบวก A คือ Abstract คือนามธรรม
อาตมาศึกษานามธรรม ตามพระพุทธเจ้า ขณะนี้ตั้งใจฟังให้ดีที่อาตมาจะได้ขยายความสัมประสิทธิ์ coefficient ซึ่งยังไม่เป็นเรื่องที่ใครจะเอามาสาธยายละเอียดโดยเฉพาะที่เป็นนามธรรม Coefficient
แม้ เรื่องรูปธรรมคนก็ยังเข้าใจยากเพราะว่ามีสามเส้า ส่ิงเหล่านี้อาตมาได้มาจากของเก่า หลายอย่าง อาตมาบอกไป ณ ขณะนี้ว่า ภูมิธรรมเดิมของอาตมายังขึ้นมาไม่หมด ก็จะได้ค่อยๆอธิบายขยายความไปว่า อาตมาคุยโม้ โอ่อวด เอาเรื่องแพะแกะมายำเส็งหรือเปล่าหรือว่าเป็นเหตุผล สัจจะความจริงที่เป็นจริงได้อย่างลึกซึ้งเกินที่จะเดาได้ โดยใช้ตรรกะ มันจะต้องมีเนื้อแท้ อาตมาบรรยายจะไม่เอาความรู้ที่ไม่ถ้วน ที่มีบ้างแล้วแต่ไม่ครบถ้วนจะไม่เอามาอธิบาย จะเอาความรู้ที่ได้แล้วเต็มแล้วมาบอก และพูดไปแล้วไม่บอกหมดด้วย ยั้งไว้ 10-20%
เพราะว่า จำนวนที่ยังไม่เต็มที่ไม่ดีพร้อมยังมี จะไม่ใช้หมด นี่คือหลักเกณฑ์ที่อาตมาใช้ทำงานมาถึงป่านนี้
อาตมาชาตินี้เกิดมาในเมืองไทยไม่มีพวกมีหมู่ คนทั่วโลกพี่น้องกันหมด เป็นชีวะที่เราต้องช่วยกันหมด แต่ปางนี้อาตมามีมวลผู้ที่ได้สร้างกุศลบารมีมาด้วยกัน ซึ่งก็จะเป็นเช่นนี้ ที่อยู่นอกไปประปรายยังมีบ้างแต่ยังไม่มา แต่ผู้ที่มารวมกันเป็นคนไทย ทำได้ขนาดนี้มีรูปร่างที่พอพูดได้ เป็นเรื่องเกินเชื่อลึกซึ้ง เป็นโลกุตระ ลอกเลียนปลอมแปลงไม่ได้ง่ายๆ
พูดไปแล้วเป็นการเอาดีเข้าตัวเองก็ไม่อยากพูดมาก ขณะนี้ก็พูดมากแล้ว เกรงใจผู้ไม่เชื่อถือ ก็พยายามระมัดระวัง ที่กล่าวนี้ อาตมาไม่ได้เป็นคนอวดดี ห่ามๆ พยายามระมัดระวังตลอดเวลา เพราะว่าผิดพลาดแล้วแก้ไขยาก จะเสียสัจธรรม ตัวเราเสื่อมความมเชื่อถือด้วยก็ซวย แล้วทำอะไรอีกจะไปยาก อย่างนี้อาตมาว่าอาตมารู้ เข้าใจ
นอกจากสุดวิสัย คิดว่าใช้ก็พาดพิงไปบ้างเกินภูมิ แสดงออกโดยเราไม่เจตนา ก็ต้องไม่รู้นะ อาตมาคิดว่ายังไม่ได้หลุดอะไรมากมาย แต่เป็นได้ พูดเผื่อไว้ ที่ทำมา ณ ลมหายใจเฮือกนี้ ไม่มีอะไรหลุดหรือเสีย นอกจากคนไม่มีภูมิ อ่านอาการตามภูมิตนเองก็เลยเห็นว่าพลาด
คนอ่านตามอาการนี่แหละ จะซวย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าอ่านตามอาการ อาตมาว่าอาการนี้อาการเมตตา ยุคนี้พูดไปเขาเข้าใจยาก ยุคนี้ยุคซาดิสม์ มาโซคิสม์ มันต้องแรง แม้แต่โลกีย์เบาไม่ได้มีแต่แรงไปเรื่อยๆห้ามไม่หยุด อาตมาก็ต้องใช้มหาปเทส
มหาปเทสคือเรื่องสุดวิสัย คือพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสอนว่าห้ามอะไร หรือไม่ห้ามอะไร แต่มายุคนี้เลยคำตรัสของพระพุทธเจ้า เพราะว่าท่านไม่ได้รู้ว่าอนาคตจะมีนาโนมีเทคโนโลยี มายุคนี้ต้องให้ผู้นั้นรับผิดชอบเอง แล้วตัดสินว่าควรหรือไม่ควร อะไรที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสห้ามหรืออนุญาตต้องตัดสินเอง เป็นเรื่องมหาปเทส 4 แม้แต่สัปปุริสธรรม 7 ก็ไม่ใช้กัน
โชคดีที่มีหลักฐานต่างๆให้อาตมาหยิบใช้ ขนาดมีหลักฐานพวกยึดมั่นถือมั่นก็ไม่เชื่อถือ ยิ่งไม่มีหลักฐานอะไร ก็พูดไปเสียเปล่า แต่มีหลักฐานนี้ไม่กล้าเถียง แต่ไม่เชื่อ มีอัตตา แต่นับว่าดีขึ้น มันต้องมีผล มีสิ่งจริงเป็นหลักฐานยืนยันได้ สิ่งนี้ ขอใช้ภาษาชัดๆว่า กูทำไม่ได้แหงๆ ต้องจำนนจริงๆ เขาก็เชื่อว่าทำได้ๆๆ แต่สุดท้ายเขาทำไม่ได้ ก็ค่อยยังชั่ว แต่ก็ชั่วอยู่ดี ค่อยยังชั่วคือไม่ถึงที่สุดชั่วเต็มๆ
เอาละ วันนี้ก็ 17.33 น. ก็คงจะได้มีอะไรต่อหรือไม่มี....
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:18:41 )
รายละเอียด
600611_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก เรื่อง เจาะลึกรากฐาน ศีลสมาธิปัญญา
สมณะเพาะพุทธว่า….วันนี้รายการวิถีอาริยธรรม งานอโศกรำลึกเพิ่งผ่านมา 5-10 มิถุนายน 2560 วันนี้วันอาทิตย์ที่ สิบหนึ่ง เราพยายามใช้คำว่า สิบหนึ่งแทนคำว่า สิบเอ็ด เพราะว่าตัดปัญหาว่าเสียงใกล้กับคำว่า สิบเจ็ด
มีประเด็นต่อเนื่องจากอโศกรำลึก มีคำถาม 15 นาที
ผมอ่านเป็นประเด็นนำ
1.อโศกรำลึก ปีนี้ พ่อท่าน ได้เล่าถึงว่าในวัยย่างเข้า 84 ปี พ่อท่านว่าเหนื่อยและขอร้องให้พวกเราช่วยงานศาสนาเพิ่มขึ้น มีคนบอกว่า มันเป็นวิบากกรรมของพ่อท่านที่ได้กล่าวโจมตีมหาเถรสมาคมอยู่บ่อยๆ
2.ในสมัยพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ประกาศปลงอายุสังขาร ก่อนปรินิพพานถึง 3 เดือน จะให้สาวกได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน กรณีของพ่อท่าน ก็เพื่อให้คนไม่เสียใจมากมาย เหมือนกรณี การสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 อันนี้เป็นอีก 1 ความเมตตาอย่างยิ่งของพ่อท่านที่ให้แก่ลูกๆใช่ไหม?
อาตมาได้มีโอกาส อ่านหนังสือเรื่องพระราชอารมณ์ขัน เขียนโดยคุณวิลาศมณีวัต เรื่องมีอยู่ว่ากษัตริย์โบดวงได้เสด็จฯ มาเยือนประเทศไทยเป็นทางการพร้อมด้วยพระบรมราชินี ระหว่างที่ประทับอยู่ในพระนครในฐานะเป็นราชอาคันตุกะนั้น ได้ทรงชักนำพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นหลายครั้งให้เปลี่ยนศาสนาไปนับถือศาสนาคริสต์อย่างพระองค์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตรัสถามถึงเหตุผลที่ทรงชักชวน กษัตริย์พระองค์นั้น กราบทูลว่า พระองค์ทรงมีความรักใคร่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรามาก ไม่อยากจะพลัดพรากเหินห่างจากกันเลย แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงนับถือศาสนาคริสต์ด้วยกันเท่านั้น เพราะศาสนาคริสต์สอนว่าคริสต์ศาสนิกชน เมื่อสิ้นชีพแล้วจะได้ไปอยู่ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าชั่วนิรันดร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ปฏิเสธคำทูลโดยตรง แต่ทรงมีพระราชดำรัสตอบว่า
พระพุทธศาสนาก็เชิดชูสัจจะ คือ ความจริง สอนให้ผู้นับถือเข้าถึงความจริง และสัจจะคือความจริงนั้น ย่อมมีสภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้ปฎิบัติถูกทางแล้วย่อมจะเข้าถึงได้ ดังนั้น ถ้าคำสอนแห่งศาสนาคริสต์เป็นสัจธรรม และพระผู้เป็นเจ้ามีจริง แม้พระองค์นับถือพระพุทธศาสนาก็คงจะเข้าถึงเป็นแน่ แม้ว่าจะมีผู้อื่นคั่นอยู่ระหว่างพระองค์กับพระผู้เป็นเจ้าก็คงจะมีคนเดียว คือองค์กษัตริย์ ผู้ทรงชักชวนพระองค์เท่านั้น
พระราชดำรัสนี้เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระราชอาคันตุกะมาก จนถึงสนพระราชหฤทัยที่จะทรงศึกษาคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดหนังสือพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษ ส่งไปถวายในโอกาสต่อมา
_มีอยู่คราวหนึ่งหลังจากได้ปีนเขาลูกใหญ่ มีคนถามในหลวงว่า เขาที่ปีนเมื่อวานซืนสูงใหญ่หรือไม่กับเขาวันนี้ ในหลวงตรัสว่า เขาเมื่อวานซืนสูงกว่าเพราะฉันเคี้ยวมะขามป้อมถึงห้าลูกจึงถึงยอด แต่ลูกปัจจุบันเคี้ยวมะขามป้อมแค่สามลูกก็ถึงยอดเขา
_ดูเหมือนมีคนบอกว่า พระพักตร์ของท่านไม่ได้ค่อยยิ้ม แต่ที่จริง พระองค์ทรงมีพระราชอารมณ์ขันอยู่ตลอดเวลา
เหมือนพ่อท่าน เมื่อวันก่อนพ่อท่านได้เดินชมตลาดบุญนิยม มีผู้หญิงหยิบกระดาษให้พ่อท่านดูว่ามีผลไม้หลายชนิด พ่อท่านก็บอกว่ามีผลไม้ที่ไหน นี่มันโบรชัวร์ต่างหาก ...ผู้หญิงคนนั้นก็ขำๆ
พ่อครูว่า...จะอ้างว่า เป็นสุขภาพของผมก็ได้ จะบอกว่าเป็นนิสัยของคุณก็ได้ …(สมณะเพาะพุทธหัวเราะ…)
เป็นสภาวะจริงอีกอย่างที่กล่าวไป อาตมาจะบ่นว่าเหนื่อยก็เหนื่อยจริงๆ ก็บอกแล้วนะว่าเป็นการเหนื่อยทั้งใจไม่ได้เหนื่อยทั้งกายอะไร กายเขาก็บำรุงอยู่อย่างกับอะไรดี กายอาตมานี้แข็งแกร่งนะ น้ำหนักไม่ขึ้น แต่เป็นลักษณะที่ อาตมากำลังอธิบาย ค่า Coefficient
ที่บ่นว่าเหนื่อยก็เป็นผลให้แต่ละคนรีบขวนขยาย เป็นผลดีต่อผู้ที่ได้สำนึก ว่าอย่าช้า อย่าเหลาะแหละนะ เวลาผ่านไป อาตมาก็ยัง ติดใจอยู่นิดๆในเรื่อง สถานีโทรทัศน์บุญนิยมนี่ ว่าทำไมติดใจกับเพลงก่อนสิ้นแสงตะวันจัง อะไรนิดก็เอาเพลงนี้ขึ้น บอกวาเอาเพลงอื่นอีกสิ มีนัยยะอื่นด้วย เพราะก็เพราะดีด้วย ก็ติดแค่เพลงก่อนสิ้นแสงตะวัน
ผู้ที่จะทำนี่อยู่ในฐานะต้องเลื่อนเสมอ สมณะลั่นผา ท่านก็ออกเสียงอยู่ตลอดเวลา ลั่นอยู่ตรงนี้ไม่เลื่อนเสียที บอกให้เลื่อนเสียบ้าง ลั่นอยู่อย่างเดียว มันลงตัวจริงๆ ก็คงเป็นไปตามธรรม
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน วิบากของผู้รื้อขนสัตว์
ประเด็นที่ว่าเป็นวิบากของอาตมาใช่ไหมที่ไปกล่าวโจมตีมหาเถรสมาคมบ่อยๆ ก็จริงเป็นจริง เป็นวิบากอาตมาที่ไปกล่าวโจมตีบ่อย การกล่าวโจมตีบ่อยไม่ได้เป็นความเกลียดชัง แต่เป็นความรักเป็นความเมตตา ที่ตีบ่อยๆ หากไม่ตี พรหมทัณฑ์ ก็ไม่มีน้ำใจเลย มันซ้อนอย่างนี้เสมอ สัจจะจะตีกลับซ้อนไปมา หากเราเข้าใจสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่จะลึกซึ้งยิ่ง คุณจะไม่มีปัญหา แล้วจะใช้เป็นประโยชน์ในการอ่านทิศทาง ว่าตอนนี้ทิศทางเป็นอย่างไรแล้ว สุดท้ายก็มีสองนัยยะสองทาง กลับไปกลับมา
ก็เป็นวิบากของอาตมา ว่าจริงแล้วอาตมายินดีรับวิบากเพื่อพวกคุณ เพื่อตัวเขาที่เขาดื้อด้านนั่นแหละ อาตมาเสียสละตัวเองมีวิบากเพื่อให้คุณเขยื้อนเสียที เรื่องของเรื่องมันลึกซึ้งอย่างนี้
อีกอันหนึ่งบอกว่าส่งสัญญาณให้ลูกๆหลายคนที่ชะล่าใจ จะได้ไม่เสียดายเสียใจเสียน้ำตาเหมือนกรณีที่เกิด กรณีชาวไทยได้สูญเสียในหลวงรัชกาลที่ 9 ไป
มันก็ซ้อนสิ่งที่จริง ให้เราศึกษาสำนึกอย่าประมาท ต้องเร่งรัดพัฒนา เป็นสิ่งจริง สรุปแล้วก็ต้องศึกษาแล้วก็ต้องปฏิบัติให้เกิดผล เมื่อศึกษาได้แล้วก็เอามาตั้งเกณฑ์ให้แก่ตนเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน พื้นฐานของคนคือศีล 5
เกณฑ์พื้นฐานที่สุดคือศีล 5 ขอเจาะรายละเอียด
ศีล5 นี้
ศีลข้อ1. เกี่ยวกับชีวะ 2. เกี่ยวกับสมบัติวัตถุข้าวของ 3. เกี่ยวกับสัมผัสแล้วมีจิตติดในกาม
สามเส้านี้ ชีวะมาอันแรก ของมาอันที่สอง กามมาอันที่สาม
ในศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับอย่าฆ่าสัตว์ ข้อ 2 อย่าไปเอาของใคร ข้อที่ 3 เกี่ยวกับกามคุณ ลึกเริ่มต้นคือ ชีวะ สัตว์ทั้งหลายที่ศีลข้อ 1 ลงท้ายเลยว่า ต้องหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
คำว่าสัตว์ ตั้งแต่เซลล์เดียว 2 เซลล์ขึ้นมา เริ่มต้น แหวกพีชนิยามออกมาเป็นสัตว์ เริ่มต้นเป็นเวทนามีวิญญาณ พีชะยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีวิญญาณ ไม่มีความสุขทุกข์ ไม่มีผูกพยาบาทได้ ไม่มีพลังงานจองเวรจองกรรมกับใคร
เริ่มต้นเป็นชีวะ สัตว์เซลล์เดียวก็แหวกวงพลังงานนั้นออกมาได้ ก็ให้หวังประโยชน์ต่อเขาเถอะ ผู้จะหวังประโยชน์ได้ก็ต้องเป็นผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่นี้มีพลังงานซ้อนในตัวเองแล้ว แข็งแรงกว่า สามารถต่อไปได้อีก แต่ผู้น้อยนี้ไม่ต่อนะ มีพลังงานจะต่อไปน้อยกว่าผู้ใหญ่ ต้องให้โอกาสผู้น้อยมีพลังงานเสริมไปต่อ มีพลังงานที่จะข้ามกรอบ อุตุ พีชะ มาถึงจิต ใช้เวลาเป็นล้านๆ ให้เห็นแก่ชีวะให้ได้
แล้วถ้าไปถึงชีวะจิตนิยามแล้ว จะไปตามวิบากกรรมของเขา วิบากของสัตว์เซลล์เดียวยังมีไม่มาก มันเพิ่งเกิดมา จะรักหรือพยาบาทก็เพิ่งเริ่มต้น ยังใสสะอาดมาก แล้วไปทำลายเขาทำไม ส่วนเขาจะเจริญหรือเสื่อมก็อยู่ที่เขาเอง แต่อย่าไปทำลายจุดเริ่มต้น หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เป็นคุณสมบัติของเมตตาที่หาประมาณไม่ได้
จิตนิยามใหม่ๆนี้เขาสะอาดที่สุดเลย ให้เขาดำเนินต่อไปอย่าไปทำร้ายเขา กว่าเขาจะแหวกจากพีชะมาเป็นจิตนี้ไม่ใช่ธรรมดา ต้องใช้ความอุตสาหะวิริยะอย่างสูง ไม่มีภาษาจะพูดแล้ว จิตนิยามนี้พูดได้กระดุกกระดิกได้แต่ละเอียดยิ่งกว่าอากาศ เป็นนามธรรมที่เร็วยิ่งกว่าแสง
ความเร็วของจิตนี้ ถ้าให้ นีล อาร์มสตรอง ที่เคยไปเหยียบโลกพระจันทร์แล้ว นึกถึงโลกพระจันทร์ก็ไปถึงทันทีเลย ความเร็วของจิตวิญญาณเร็วยิ่งกว่าแสง ไม่มีใครสามารถสร้างหลักเกณฑ์วัดความเร็วนี้ได้ แต่เราใช้ปฏิภาณก็รู้ว่ามันเร็วกว่าจริง ที่ผู้รู้พูดว่าจิตมันเร็วกว่าแสง คนที่ยังไม่ค่อยชัดเจน ก็ศึกษาไป เพราะผู้ที่ศึกษาอยู่คือผู้ไม่รู้ ผู้รู้พยายามบอก ก็เทียบเคียงไปก็ค่อยเข้าใจเพิ่มขึ้นได้
สรุปแล้ว ความเร็วของจิต เพิ่มคุณภาพและปริมาณได้ กลับมาหาหลักเดิม คือพลังงานบวกกับพลังงานลบ ก็ซ้อนๆๆ ไปตลอดเป็นธรรมะ 2 ที่ทำงานร่วมกัน ถ้า 1 มันหยุด ยิ่ง 0 แล้วก็หายไปเลย ต้องมีภาวะสอง อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ ถ้าเป็นปุงลิงค์นี้นิ่งไปเลย ถ้ามีปุงลิงค์กับอิตถีลิงค์ก็จะมีพลังงานเพิ่มได้ แต่ถ้าหนึ่งแล้วไม่ไปหาสองก็ไปหา 0 เลยไม่เหลืออะไร ไม่มีอะไรเหลืออีก เอาภาษาคำว่าไม่มีไปแทรกก็หมดจบ ไม่มีอะไรจะพูดต่ออีกเลยก็เท่านั้นเอง
อะไรที่มันยังพูดได้อยู่ อันนั้นสื่อให้รู้กันได้ เมื่อไปถึงอันที่พูดต่อไปกันไม่ได้แล้ว มันจบ ใครไม่จบก็ดิ้นไป ถ้าดิ้นมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหยุดจริงๆมันก็จะหยุด ก็เท่านั้นเอง
ศีล สมาธิ ปัญญา มาขยายให้ละเอียดลึกซึ้ง
ชีวะ คือสิ่งที่ มีบทบาทที่จะไปทำร้าย ทำลายอะไรได้ก็คือจิตนิยาม ชีวะ ที่ไม่ไปทำร้ายทำลายอะไรเลย ให้แต่ประโยชน์คือพืช ส่วนอุตุนั้น มันไม่รู้ว่ามันทำร้ายหรือทำประโยชน์ เพราะมันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสิ่งแวดล้อมที่จะจัดการให้มันเป็น มันไม่มีตัวมัน ไม่มีประธานของมันเอง มันไม่เริ่มต้นเป็น เป็นสามเส้า ISH
S คือลบ H คือบวก มันไม่มีสามเส้า แต่ถ้ามีสองเส้า กระแทกกันแล้วก็ 0 ในแนวระนาบ ไม่ก่อเกิดการผสมส่วนให้เป็นสามเส้าขึ้นได้ ไม่มีองศา กระแทกกันแล้วก็สลาย จะขยายก็ขยายระนาบ หากมีตัวอีกหนึ่งเกิดองศาใหม่ เกิดจุดใหม่เป็นจุดที่สาม ถ้าจุดที่ 3 มีพลังงานเพิ่มขึ้นก็จะเกิดฤทธิ์แรงเป็นวัฏฏะ ที่แรงที่สุดเร็วที่สุดก็คือกลมที่สุด มีจุดกลาง 90 มีวงวนอีก 180 แรงที่สุดเร็วที่สุด
สรุปตรงเป้าอีก ว่าเมื่อเขาเกิดมาเป็นชีวเป็นจิตนิยาม จงหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง อย่าไปทำลายเขา เขาจะมีวิบากบาปหรือกุศลก็เรื่องของเขา แต่เขาต้องพากเพียร ถึงอย่างไรก็ต้องต่อ เพราะว่าคนไม่รู้จะมีมากกว่าคนที่รู้
ความไม่รู้พาเกิด ผู้ที่รู้จบและจบเอง คือคนรู้ ผู้รู้จบเด็ดขาดแล้วตนก็จบ ไม่มีอื่นอีก ก็จะจบหรือไม่จบเท่านั้นเอง ผู็ไม่รู้อยากจบแล้วหลงว่าตนเองจบ อย่างพวกมิจฉาทิฏฐิบอกว่าชาตินี้ชาติสุดท้ายจะไม่เกิด แต่เขาไม่ได้รู้จริง เขาไม่รู้ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา
ผู้ที่มาพูดยืนยันว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ในยุคนี้ อาตมาก็ว่าอาตมารู้ชัดเจนยิ่ง คนอื่นว่าเขารู้ก็เอามายืนยันชัดเจน มีอะไรเป็นสิ่งปรากฏให้เราเห็น เอาภูมิปัญญาของเราตัดสินพิจารณาเอง สิ่งใดไม่มีไม่เป็นไม่เกิด จะเอามาพูดได้อย่างไร แม้จะมีจริงๆ พูดอะไรใครไม่ได้เลย ทำให้ใครคนใดรับรู้ต่อจากเราคนที่สองไม่ได้เลย พูดอย่างไรก็ทำให้คนอื่นรู้เป็นคนที่สองไม่ได้ แล้วมันจะเกิดต่อไหม มันก็ไม่เกิดต่อหรอก การเกิดต่อ ก็ต้องอาศัยการพูด
คำว่าพูดนี้ เป็นคำลึก อยู่ในพยัญชนะอีก 2 ตัว คือ อธิวจนสัมผัสโสกับ ปฏิฆสัมผัสโส ถ้าอยู่คนเดียว ก็รู้อยู่คนเดียว สูญไปคนเดียว หนึ่งนั้น มันจะมีต่อก็ต้องมีสองและกระทบสัมผัส เมื่อเริ่มกระทบก็เกิดพลังงาน คนที่มีธาตุหยั่งรู้ก็รู้พลังงานนั้น แต่ไม่ได้ตั้งชื่อ ไม่ได้สมมุติบัญญัติเรียกอธิวจนะ ก็ไม่มีใครมาต่อจากคนนี้ได้เพราะเขารู้อยู่คนเดียว
สมมุติว่าไอน์สไตน์รู้ E=mc2 แต่ไม่มีบัญญัติไว้เลย ไม่สื่อได้ สื่อไม่เป็น ก็จมหายไปกับแก ไม่มีใครรู้กับแกด้วย ก็ต้องหาบัญญัติมาสื่อ
ฉันเดียวกันกับอาตมาสื่อทางนามธรรม ก็หาพยัญชนะมาสื่อเท่าที่มี ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาลาว ภาษาอื่นอาตมาก็ไม่ไหว ภาษาคณิตศาสตร์ ภาษาบาลีบ้างนอกนั้นไม่เข้าท่าเลย แม้จะมีเชื้อจีนแต่ใช้ภาษาจีนไม่ได้เลย
ตกลงคนเราต้องอาศัยอธิวจนภาษาสื่อกับปฏิฆสัมผัสโส ปฏิคือต้องมี Action reaction ถ้าไม่มี Action เลย ไม่มีกระดุกกระดิกคนอื่นไม่รู้กับคุณ ก็มีแต่จมกับสูญหาย เพราะฉะนั้นจึงต้องเกิดการเคลื่อนไหว แล้วต้องมีสิ่งที่รับการเคลื่อนไหวเป็นการกระทบ ทุกอย่างจึงจะเกิดต่อต่อต่อ ไม่อย่างนั้นก็จะหายก็จะสูญ
ผู้ที่เข้าใจว่าถ้ากระทบแล้วจะต่อไปอีกจะไปกระทบทำไม คนที่พูดอย่างนี้พูดถูก แต่ว่ายังพูดไม่ครบ เพราะคุณยังไม่สูญ เพราะคุณยังมีเหลือสิ่งที่คุณมีอยู่ คุณก็ต้องตายอีก แต่ต้องเกิดมาแล้วก็ตายอีก เพราะคุณยังไม่ถึงสูญจริงๆ ยกตัวอย่างอาจารย์บูรพา หรืออาจารย์อื่นๆ ก็จะฟังอาตมาอยู่แล้ว ก็แย้งมาทางเจโต ไม่มีทางวิจัย ยกแต่ว่าหยุดจบ ๆๆ แต่ของพระพุทธเจ้านี้วิจัยจนไม่มีอะไรค้างเลยหมดความมืด หมดความสลัวพรางหม่นหมอง หมดจดสะอาดเลย รู้ตายอย่างลืมตา จักขุมาปรินิพพุโพติ ดับอย่างสว่างๆ สมบูรณ์แบบเลย ไม่ใช่ดับอย่างไม่รู้ แต่ดับอย่างรู้รอบ ไม่ใช่กดข่มให้ดับ แต่สว่างให้สลายไปเลย แยกไปอย่างรู้ๆ ไม่กลับมาอีกเลย เห็นสิ่งที่แยกไปอย่างดี บวกก็ไปบวก ลบก็ไปลบ จบอย่างที่ไม่มีอะไรโค้งมาเพื่อกระทบกันอีกเลย บวกก็ไปบวก ลบก็ไปลบเลย
จะขอคุยกับ เฟสบุคนิดหน่อย
จาก เฟสบุคกองทัพธรรมFP
_พิศมัย ชำนาญคิด ....ยังติดตามรับฟังธรรมจากพ่อครูอยู่เป็นประจำนะคะ พยายามเลื่อนฐานตนเองและไม่ติดแป้น เข้ามาอโศกนานแล้วแต่เป็นการไปๆมาๆหายบ้างมาบ้าง แต่หลักก็คือช่วง วบบบ และ อ่านตนเองก็พบว่ามีความก้าวหน้ามากขึ้น ตัดความฟุ้งเฟ้อและรกรุงรังได้เยอะมาก อาจจะยังไม่หมดแต่ตลอดเวลาของการเป็นนักศึกษา วบบบ ก็มาวัดเป็นประจำมาร่วมกิจกรรมส่วนกลางก็เยอะ คิดว่าอีกไม่นานคงได้มาอยู่ใกล้วัดได้มากกว่านี้ เพิ่งกลับจากงานอโศกรำลึก ต่อไปนี้เวลาพ่อมาเทศน์ที่สันติอโศกจะตามไปฟังสด อยากบอกพ่อครูว่า มีคนเป็นจำนวนมากที่ กำลังเลื่อนฐานตัวเอง และมั่นใจว่า จะต้องมีหมู่กลุ่มที่เข้ามาอยู่ในวัดมากขึ้นด้วย เชื่อว่าทุกคนอยากมาแต่อาจติดภาระกิจหรือเหตุปัจจัยไม่พร้อมทุกคนพยายามปลดแอกที่อยู่บนบ่า ปลดภาระทั้งปวงอยู่ เป็นอิสระเมื่อไหร่ก็คงได้มา กราบนมัสการค่ะ
_Kiddee Thamdee พ่อครู!ถ่อเรือมานานมากแล้ว!และเหนื่อยหนัก ผู้ที่จะช่วยพ่อครูต่อยอดศาสนา ต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแร็ง อยู่เสมอ จิตวิญญาณถึงจะมีพลังที่มีศักยภาพช่วยงานศาสนาที่พ่อครูแบกภาระมานานค่ะ!!ร่างกายที่แข็งแรง! คือต้นทุนแรกที่จะช่วยงานพ่อครูได้ดีค่ะ
_รักนะ เดอะโซปเมคเกอร์..... ทุกวันนี้ลูกมีกำลังใจอยู่ได้ ก็เพราะฟังธรรมะของพ่อครู และชีวิตนี้จะขาดซึ่งธรรมะอันสัมมาทิฐินี้ เสียมิได้ แม้ว่าลูกจะเป็นผู้มีปัญญาด้อย แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ก็จะต้องใส่ใจศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพ่อครูอย่างสำคัญ จนกว่าจะบรรลุธรรม มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร ลูกกราบขออภัยพ่อครู ถ้าลูกเป็นคนหนึ่งที่ทำให้พ่อครูต้องเปรยออกมาตามคลิปนี้ ที่ผ่านมาลูกยอมรับว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ มาถึงวันนี้ ถึงอย่างไรลูกก็ต้องพยายามตะเกียกตะกายขึ้นไปหาธรรมะให้มากที่สุดให้จงได้ ในระหว่างนี้ ลูกขอโอกาสพัฒนาตัวเอง ด้วยการทำตนเองให้มีความสามัคคีเป็นอย่างดี พร้อมกับเพิ่มสมรรถนะ และความขยันให้ถึงที่สุด ขอพ่อครูโปรดเมตตาให้โอกาสลูกด้วยค่ะ น้อมกราบนมัสการท่านด้วยความสำนึกในพระคุณอย่างสูงยิ่งค่ะ
_สุลิน สายพันธุ์ ....กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ถึงจะอยู่นอกวัด ก็ได้ฟังธรรมพ่อครูเป็นประจำเหมือนกับอีกหลายๆคน มาใช้กับชีวิตประจำวัน ทำให้รู้ว่าคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้เอง ทำให้คนพ้นทุกข์ ตัดกิเลสทุกอย่าง พ่อครูต้องอยู่ต่อนะคะ เพราะอีกมากมายที่ยังไม่ได้มีโอกาสที่ดี ที่เขาเพียรหาอยู่แต่ยังไม่เจอพ่อครูค่ะ ตามสัจจะวาจาพ่อครูต้องอยู่ถึง 151 ปีนะคะ พ่อครูจะได้ช่วยคนทุกข์ยากอีกมากมายบนโลกใบนี้ค่ะ
_Suwisan Tabsaeng กราบนมัสการพ่อครูครับ ถึงตอนนี้ยังไม่สามารถเข้าไปร่วมกับหมู่กลุ่มได้ แต่ทุกวันก็ยังติดตาม ฟังธรรมจากพ่อครูอยู่เสมอ ครับ และหลังจากฟังธรรมแล้วก็จะนำมาฝึกฝืน พัฒนาตัวเองอยู่ได้บ้างไม่ได้บ้างครับ แต่ก็พยายามทำเท่าที่ฐานตนเองมีครับ และจะขอตั้งจิตอธิษฐานและจะปฏิบัติบูชา ขออาราธนาให้พ่อครูอยู่ต่อให้ถึง 150 ปีตามที่ตั้งใจไว้ครับ ขอกราบนมัสการครับ
_หัทภร นิธินโรดม กราบนมัสการพ่อครูกราบขอให้พ่อครูอยู่ถึง150ปีเผื่อวาสนามีคงได้มีโอกาสไปกราบพ่อครูที่สันติอโศก สาธุค่ะ "เคยไปช่วงสงกรานต์เมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่มีใครอยู่ค่ะ"
_Phansawat Nitiya พ่อครูคะ ถ้าชาตินี้ไม่ได้เจอพ่อครู ลูกขอตั้งจิตอธิษฐานชาติหน้าขอให้ลูกเจอพ่อครูเจอธรรมมะจากพ่อครู ชาตินี้ลูกยังออกจากบ่วงกรรมที่ลูกเคยทำมาไม่ได้ ลูกพยายามแล้ว แต่ยังไม่ได้
พ่อครูว่า...อ่านให้ทะลุที่จริงติดที่เราเอง ต้องให้ชัด
_Supatsara Sukchareonchit กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ดิฉันไม่ได้มีโอกาสที่ดีเหมือนลูกศิษฐ์ของพ่อครู ไม่เคยเป็นนร.ของสัมมาสิกขา เป็นคนนอกแต่รู้สึกว่านักเรียนหรือลูกศิษฐ์ของพ่อครูเป็นคนดีมีศีลธรรมของสังคมของประเทศชาติ ..ครู ที่ให้ความรู้ อบรมจริยธรรมให้กับลูกศิษฐ์ทุกคน ความหวังของพ่อครูอาจจะ..ไม่ได้เป็นดั่งที่พ่อครูหวัง..แต่พวกเขาคือเมล็ดพันธุ์แห่งจริยธรรม ความดีงามที่ฝังรากลึกลงไปในสังคมไทยแล้ว พร้อมที่จะเติบโตและขยายพันธุ์อันงดงามของโลกเลยก็กล่าวได้ สาธุค่ะ ขอให้พ่อครูมีสุขภาพที่แข็งแรง และ..เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่ลูกศิษย์ทั้งหลายที่กำลังศึกษาและจบแล้ว ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม สำนึกดี ขอกราบนมัสการพ่อครู สาธุ สาธุค่ะ
_Nuttanun Decharat กราบนมัสการพ่อครู. คำพูดนี้. ใจหาย. เหตุที่. สุขใจเมื่อมีพ่อครูควรคงอยู่เป็นพลังต่อไปคะ
_ภสวรรณ. ศรีท่าซุง ด้วยว่าการพ่อครูต้องอยู่อีกต่อไปยาวนาน ถ้าไม่มีพ่อครูแล้วยุคนี้จะล่มสลายเร็วไว เพราะจิตใจคนเสื่อมลงหลงวัตถุมาก
_Yamawadee Hieronymus แม้อยู่นอกวัดก็ติดตามรับคำสอนท่านเสมอเจ้าค่ะ นมัสการด้วยความเคารพ
_Plernjai Nakkarat กราบนมัสการพ่อครู พ่อครูต้องอยู่นานๆนะคะ ดิฉันยังต้องเรียนรู้ธรรมะที่พ่อครูสอนยังไม่เข้่าใจอีกเยอะ
_ปางตะวัน น้ำค้าง คำภิเดช ใจแป้ว ทำไงดี จะรีบดีขึ้นในทุกวันค่ะ
_สุวิดา คำศรี ...หนูขอทำงานปลดหนี้ก่อนนะคะ จะแวะเวียนไปบ่อยๆค่ะ
พ่อครูว่า คำว่าหนี้นี้ ขอเสริมด้วยภาษา อาตมามีคำแทนคำว่าหนี้คือ คำว่าหนุน หนุนคือเงินที่ไม่หยาบคาย หนุนคือเงินที่ยืมกันแล้วไม่มีดอกเบี้ย มีเมื่อไหร่ก็คือ แม้ไม่คืนชักดาบไปก็ไม่ไปฟ้องร้อง อย่างหนี้นี้จะก่อพยาบาทต่อไปเรื่อยๆ แต่หนุนนี่ไม่ใช้ก็วิบากใครวิบากเขา ต่อให้แม้วิบากของคุณยืมไปแล้ว แล้วคุณไม่ใช้คืน คนที่เป็นเจ้าหนี้ต่อให้เป็นอรหันต์แล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อย่าคิดว่าเงินหนุนที่มีจะไม่ต่อ แต่มีลูกมีหลานต่อ เป็นวิบากของสภาวธรรมที่ทำงาน ซ้อนลึกๆ คุณเชื่อคำสอนเหล่านี้ของพระพุทธเจ้าทำให้จบตรงนี้ ถ้าไม่จบก็ต้องต่อ อย่าไปอวดดีเกินกว่าคำสอนพระพุทธเจ้าไม่ได้
_Tunyaporn Chom กราบนมัสการพ่อครูค่ะพ่อครูยังอยู่อีก150ปีเจ้าค่ะ
_จากคุณหนึ่งฟ้า ฝากคำถามเพิ่มเติม ความสัมพันธ์ของนามรูปกับขันธ์ 5 ในส่วนรูปขันธ์
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เจาะลึกรากฐาน ศีลสมาธิปัญญา
พ่อครูว่า อธิบายรูป 28 รูปขันธ์มีรูป 28 เท่านั้น
รูปขันธ์ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้ารูปขันธ์เหล่านี้มีนามธรรมขึ้นมา จึงเกิดภาวะ เป็นเรื่อง ถ้าไม่มีนามธรรม ดิน น้ำ ไฟ ลม มันไม่มีเรื่องหรอก ไปตามสภาวะแวดล้อม เหมือนอุกกาบาต จับวงวัฏฏะใดอันหนึ่งไม่ได้ก็ไปเป็นอุกกาบาต เหมือนอุตุนิยาม จนกว่าจะเข้าวงวัฏฏะ มีประธานเป็นจิตวิญญาณประธาน เหมือนพีชะรู้ว่าจะเอาธาตุใดมาเป็นตน ถ้าเอาไม่ได้ผสมส่วนไม่ได้ ก็สลายเสื่อมสูญหากพัฒนาได้ก็พัฒนาไป ในกรอบพีชะ จนกว่าจะออกมาเป็นจิตนิยามได้
เกณฑ์ของพระพุทธเจ้าให้มีกรอบของตน ครบเลยตั้งแต่ศีล 5
ศีล 5 ซ้อน เอาแค่สามก่อน เหลือ อุตุ พีชะ จิต
สมมุติว่า ดิน ข้าวของ เป็นอุตุ ชีวะที่เป็นสัตว์เซลล์เดียวเหมือนดินหรืออ่อนเหมือนน้ำที่จับตัวกัน เป็นเปสิ แบนรายอยู่ จนกว่าจะมีองศาเป็น ฆนะ
ล.15[803] "รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะจากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา)
กรอบของการปฏิบัติต้องตีกรอบของแต่ละคนเอง
กรอบที่เล็กละเอียดที่สุดคือ หนึ่งต้องรู้จักความเป็นชีวะ สองต้องรู้จักความเป็นของ ในศีลข้อ 2 ศีลช้อ 3 ทำปฏิกิริยากันคือ ของกับชีวะ เกิดปฏิกิริยากันเกิดกาม ซ้อนในศีลข้อ 3
ถ้าไม่เอาก็ไม่ถึงกับต้องไปทำร้ายเขา จะเป็นวัตถุเป็นสัตว์เป็นคน ก็เป็นวิบากของเขาเราไม่เอาก็ปล่อยเขาไปๆ มันก็ไปตามยถากรรมของเขาไม่ต้องไปหนุนไปเสริมก็เป็นวิบากของเขาเอาแต่ตัวเรา ในความเห็นแก่ตัวที่ไม่ทำร้ายใครก็เป็นคุณสมบัติ อย่างพืชก็เห็นแก่ตัวของมันเอง ไม่ไปทำโทษภัยกับใคร แต่มันเห็นแก่ตัวนะ พอเริ่มต้นเป็นชีวะมีประธาน เป็นตัวกูของกูถ้าไม่เห็นแก่ตัวก็สูญ จบ ถ้ามีตัวมัน มันต้องทำตัวมันให้เจริญถ้าไม่เห็นแก่ตัว ก็มีแต่ตายกับตาย มีแต่สลายมีแต่สูญ สภาวะที่ลึกละเอียดลึกซึ้ง
ความเห็นแก่ตัวของสัตว์ ก็อย่าเพิ่งไปทำร้ายเขา เขาพัฒนามาก็เป็นตัวเขา ถ้าเขาทำโทษภัยก็เป็นวิบากเขา ถ้าทำประโยชน์ก็เป็นกุศลของเขา มีสิ่งที่เป็นโทษเป็นคุณ
คำจบของพระพุทธเจ้าจะจบที่คำว่ารู้คุณ รู้โทษ และอุบายเครื่องออก
อะไรที่เป็นคุณประโยชน์ต่อ อะไรที่เป็นโทษก็ตัด เราเอาคุณอย่างเดียวกับอุบายเครื่องออก ปล่อย วาง ออกไม่เอาแล้ว อตัมยตาคือไม่เอาแล้วอันนี้ วางแล้ว
พีชะนี้มันวาง เอาเฉพาะที่เอาได้ไม่ตอ่วิบากกับใคร มันเอาตัวมันอย่างเดียวได้ก็ตัวมันไม่ได้ ก็สูญ เอาตัวมันให้รอด ไม่รอดก็สูญ จบแล้วนะ
นี่คือรายละเอียดแห่งความรู้ที่เราจะสั่งสม
กลับมาที่ศีล สมาธิ สมาธิคือจิต ศีลคือหลักเกณฑ์ คือวัตถุอะไรก็แล้วแต่ คุณมีจิตเป็นประธาน ก็จัดการให้เกิดพัฒนาการ มีเงื่อนไขว่าต้องพัฒนาการเป็นสิ่งที่ดี อย่าไปพัฒนาการเป็นสิ่งไม่ดี เท่านั้นเอง
ทีนี้ จะไปบังคับ หรือให้เกิดสัจจะ แต่เขาแยกไม่ออก ดันยึดหลงผิดเอาอันไม่ดีไปเป็นดี เอาอันดีเป็นไม่ดีก็จบ คนที่แยกผิดจะต่อหรือจะสูญ..ก็ต่อ ปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่ได้ เพราะว่าแยกผิด เขาไม่เจตนา เขาอยากถูกก็จบที่เจตนา เจตนาดีแต่รู้ผิดก็จบที่อวิชชา
อวิชชาต้องเกิด เห็นไหม สุดท้าย อวิชชาต้องเกิด อย่ามาพูดเสียให้ยาก ถ้าสัจจะเป็นอวิชชา จะบอกว่าวิชชา แต่ตัวจริงเป็นอวิชชาก็ยังเกิดอยู่
สรุปแล้ว เมื่อมามีจิต ขณะนี้คุณมีจิต ก็ต้องทำให้สูญไม่มีทางอื่นเลย จะทำให้สูญทำอย่างไร ก็ต้องสร้างปัญญา ศีล จิต และปัญญา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ถึงจะอธิโมกข์ อธิวิมุติ อธิไม่เหลือ
ปัญญาก็ขยายความซ้อนว่า ต่างไปจากอันเดิมที่มี ย้อยกลับสู่พยัญชนะเดิม ที่มีสิ่งที่เราไม่ยอมรับเสียทีคือปรโตโฆษะ หากไม่รับอันอื่นก็จมอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถสูญได้
เหมือนอาตมายืนยันว่า ผู้ไม่รู้แล้วตนเองก็มีรูปธรรมยืนยันได้ชัดๆ ขออภัยต้องยกตัวอย่าง อย่าง มหาบัว มีติดหมากอยู่ กินหมากอยู่ก็ไม่รู้ มันมีสาระอะไรกับการกินหมาก มันเป็นภาระอยู่นั่นแหละ ไม่มีว่างเลยที่ปาก ติดจริงๆมหาบัว ติดจนปากเลอะ เกือบจะไม่เหลือวินาทีว่าง แต่ก็ว่างบ้าง แค่นี้ยังไม่รู้ เป็นรูปธรรมที่ชัด
มาดูอรูป อาจารย์บูรพา อธิบายวนที่อรูปว่า ว่างๆๆ แล้วไม่มีเหตุปัจจัยของการว่าง ทุกอย่างมาแต่เหตุ การทำจิตให้เป็นสมาธิ เขาก็เป็นแค่บัญญัติ แล้วจะเกิดปัญญา แล้วปัญญาจะมาจากไหน ก็มาจากสมาธิไง ไม่มีสัมผัส ไม่คิดนึกไม่มีการกระทบและจะรู้ได้อย่างไร ก็รู้ได้ แต่เป็นของเก่าที่มี ของเก่าที่จะเป็นองศาก็ไม่เกิดขึ้น มีแต่ภายในของคุณ ดีไม่ดีปรุงแต่งเพ้อฝันเอง คนอื่นไม่รู้ด้วย ปั้นเองคิดเองสร้างเองอย่าง ธัมมชโย
ถ้าเผื่อว่าเราไม่ทำให้ผู้อื่นรู้เป็นหลักฐานยืนยันได้ มีเพื่อนหนึ่งคน สองคน ร้อยคน พันคน หมื่นคน แสนคน เป็นสมมุติสัจจะอ้างอิงยืนยันกันได้ หรือมีร้อยคนก็สู้แสนคนไม่ได้ วนกลับไปมา
ที่พูดถึงอาจารย์บูรพา แต่คนอื่นที่เหมือนอาจารย์บูรพามีอีกเยอะ อาจารย์บูรพาจะไม่เปลี่ยนก็แล้วแต่ แต่คนอื่นเขาได้ประโยชน์ เป็นการตีงูให้กากิน
สื่อธรรมะพ่อครู(อักขรทิสสน์) ตอน อักขระบาลีสื่อสภาวธรรม
กว่าจะมาเป็นตัว 1.ศีล 2.ธาตุจิต 3.ธาตุรู้ ธาตุของธาตุชีวะคือจิต ธาตุรู้ ชีวะนี้ระดับจิต แล้วจิตรู้อย่างปัญญา ซ้อนตั้งแต่อัญญะ อัญญา แล้วถึงมาเป็นปัญญา กว่าจะมาเป็นปัญญา ต้องมีอัญญะ อัญญะ กัญญะกัญญา ชัญญะ ชัญญา ฆัญญะ ฆัญญา ฆ คือก้อน คือการฆ่า
ถ้าเข้าใจพยัญชนะตั้งแต่ ก ข ค ฆ ง วนในระนาบก็จะมี งกเงิ่น งงงวย โง่งมงาย อยู่นั่นแหละ
ต้องมารู้ จ ฉ ช ฌ ญ แล้วมาเป็น ฏ ฐ ฑ ฒ ณ แล้วสมบูรณ์เป็น ต ถ ท ธ น แล้วถึงรวมเป็น ป ผ พ ภ ม
ป คือรวบรวมความจริงความรู้ สมบูรณ์
ผ คือผัสสะต้องมีผลิโผล่ ถ้า ป แล้วไม่โผล่ ผลิ ก็จมนิรันดร ต้องโผล่จากโลก ออกมาแล้วต้องมีผัสสะ
พ คือเกิดกิริยา พฤติ จึงเจริญเป็น ภ
สุดท้ายจบ ที่ ม แล้วเอาเศษวรรค เติมความบริสุทธิ์ของ ก มาเป็น กมมคือ กรรม ก็คือตัวจิตกับ ทำ ทำสำเร็จบริบูรณ์คือ ม
จะสมบูรณ์อย่างนี้เอามาจากไหน เอามาจากเศษวรรค ที่ค่อยๆเก็บมาตามลำดับ ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ฬ คือรวมหมดทั้งเอกภพ โอฬาร
ย คือ พลังงานที่จะเริ่ม
ร คือ รวม คือจับตัว ดูด
แล้วถึงมีเพิ่มอีก เป็น ล ลิง
เป็นพลังงาน พลังงานฟิวชั่นหลอมละลาย ให้แก่ตัวเอง
ว คือพฤติ คือการเคลื่อน
ส คือการกระทำ
ห คือความลงตัว ตัวมีตัวเป็นตัวแท้ตัวจริงตัวมีตัวเป็น
แล้วขยายไป เป็น สามเส้า ว ส ห แล้วถึง ฬ
อํ คือพลังงานแว้งกลับมาอย่างเก่า อํ คือองค์
คือพยัญชนะสื่อสภาวะที่ละเอียด เป็นเรื่องที่อาตมาเองบอกพวกคุณได้ว่า อาตมายังไม่รู้ว่าอาตมาเป็นคนเริ่มกำหนดพยัญชนะนี้มาตั้งแต่รุ่นแรกหรือเปล่า แต่รุ่นต่อมามาพัฒนาการนี้ อาตมาเป็นตัวการที่จะมาสืบต่อพยัญชนะนี้ต่อไป
นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดต้องมีต้องเป็น พูดด้วยความไม่ได้อยากอวดโอ่แต่เป็นการศึกษา ใครที่มีอคติก็จะไม่รับ ใครไม่มีอคติก็รับไปศึกษาได้ พูดไปไม่ได้อยากได้ลาภยศสรรเสริญโลกีย์ พูด Free
จากจิตธาตุรู้กว่าจากอุตุมาเป็นจิตก็ขยันมาก จากอัญญะ มาเป็น กัญญะ ฆัญญะ ชัญญะ ถ้าฆัญญะนี้ทำลาย แต่ถ้าชัญญะนี้เจริญขึ้น ทำให้เกิด ถ้าชัญญะเป็นอุปจยะ ถ้าฆัญญะเป็นชรตา ถ้าชัญญะจะเจริญขึ้น รู้เพิ่มขึ้น เป็นการเจริญรอบแล้วรอบเล่า เรียกว่า ปริชาหรือปรีชา
เจริญด้วยพยัญชนะกับสระ อะ อา อิ
อะ อิ อุ สามเส้า
อะ ก็รสสระ อิก็ รสสระ อุ ก็รสสระ
ฑีฆสระก็อาอีอู ถ้าจบรอบ รสสระก็จบ แต่ไม่จบก็ฑีฆสระ
ปริญญา ในปริ ปร ปรแปลว่าอื่น ปร +อัญญาก็เป็นปรัญญา ปรัญจโลกัง มาเป็นปริญ อะ อิ มาเป็นปริญญา รอบไปเรื่อยๆเสริมขึ้นๆ เอาพยัญชนะเหล่านี้มาขยายสภาวะ ถ้าผู้รู้สภาวะก็ตามได้ ถ้าฟังพยัญชนะแต่สภาวะไม่มีก็ไม่รู้ แต่ถ้าคนนี้มีสภาวะ แต่ได้ฟังแม้บาลีก็รู้ได้ ภาษาไทยกับบาลีมันไปด้วยกันได้
สื่อธรรมะพ่อครู(อักขรนิทัสสน์) ตอน ทิฏฐิ 62 ถึงรากอักขระบาลี
หนึ่งฟ้าอยากให้ขยาย นี่ก็ศึกษาจริงๆ พยายามทำตำรา
ให้ขยาย ทิฏฐิ 62 อวิชชา ซ้อนอาริยสัจ 4 ทิฏฐิ 62 แล้วยังแถมอีก อุปาทานอีก หมายถึงอัตตา 3 ซ้อนลงไปอีก ยึดตั้งแต่โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา วนซ้อนไปหาหยาบ วนมาหาละเอียด กลับไปกลับมา ถ้าไม่จบเวียนหัวไปตลอดกาลนาน
ขยายทิฏฐิ 62 พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด พระพุทธเจ้ายืนยันว่าทิฏฐิมีเพียงเท่านี้ นอกจากคนจะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์ ใครจะเก่งกว่ามีทิฏฐิ 63 64 ก็แล้วแต่
ทิฏฐิ 62 มีอดีต 18 อนาคต 44 อดีตกับอนาคต อันไหนจริงกว่ากัน?...อดีตจริงกว่า ถ้ามันเกิดแล้วไปแล้ว อนาคตยังไม่รู้จะเป็นหรือไม่ยังไม่รู้ สั่งสมแล้วเกิดแล้ว อดีตมี 18 เท่านั้น ส่วนความฟุ้งซ่านมีได้ถึง 44 แล้วใน 44 จะเป็น 18 ได้กี่รอบ 44/8 = สองรอบครึ่ง คนไม่จบคือฟุ้งอดีตหรือฟุ้งอนาคต? ก็=อนาคต แล้วอนาคตนี้ไม่ยอมหยุด คตคือคติคือต่อไป ไปคด แล้วอาคือจะมีหรือไม่มีก็ได้ แล้วไปไม่มีก็ได้ หรือไปออกต่อไปก็ได้ อา คต
ทีนี้ อนาคต คือ คนยังไม่รู้ที่จะไป อา คต ที่คุณไป ที่จริง อ นี่จะแปลว่าไม่หรือมีก็ได้ อะคือมีก็ได้ไม่มีก็ได้อย่างสั้น อาคือมีก็ได้ไม่มีก็ได้อย่างยาว
ถ้าไม่ ไปต่อกับ อา คือ อาน อานนี่ไม่รู้ไปถึงไหน
ถ้า อัน มาจาก อน ยังพอเป็นชิ้นเป็นอัน สี่คือภาษามาสื่อสภาวะ พอบอกสภาวะ อัน กับ อาน ภาษาไทยหรือบาลีก็รู้ว่าอันไหนยาวหรือสั้นกว่ากัน พยัญชนะนั้นสื่อสภาวะ
ภาษาไทยมันก็เอาความหมายจากบาลี จากบาลีเป็นไทย ก็เข้าหาสภาวะทั้งนั้น คนเอาบาลีมาเป็นไทยจะเบี้ยวแค่ไหนไม่รู้ หรือแปลบาลีเป็นไทยแบบเบี้ยวๆ คือเบี้ยวบาลี คนเบี้ยวบาลีนี้อาตมาก็มาแก้ไข เมื่อยมาก เมื่อไหร่คุณจะยอม
ยอม ตัว ย.ยักษ์ ตัวนี้คือเศษวรรคตัวแรก พลังงานตัวแรก
พลังงาน ก คือเต็มสภาพเกิดนี่เต็มสภาพ แต่ ย คือ ธุลีละอองตัวเกิดเป็นตัวแรก ถ้า ย ไม่เกิดก็จะไม่มีอะไรต่อ จะไม่มี ม เพราะฉะนั้นยอมเสียอย่าต่อเลย พลังงาน ย ไม่มีก็ยอมเสียก็ไม่เกิด จิตก็ไม่เกิด ยอมเสียก็จบ สามเส้า แต่ถ้าคุณยังไม่ยอมก็ไม่ลงตัวสามเส้า ยกๆยอๆอยู่อย่างนั้น
พูดถึง ยกยอก็นึกถึง ชินกร ไกรลาศ ยอยศพระลอ
ถ้าไม่ยอมก็จะ ขึ้นๆลงๆไปๆมาๆ ฐานสูงฐานต่ำ ยกๆยอๆ อยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบ ใช้พยัญชนะสื่อให้ถึงที่สุด รวมเป็นพุทธชีวศิลป์
ถ้าเริ่มต้นรู้ชีวะ ถ้าไม่มีชีวะไม่มีพลังงานจิต พีชะก็สลายเป็นอุตุ ดินน้ำไฟลม กว่าดินน้ำไฟลมจะรวมตัวเป็นพีชะ กว่าพีชะเจริญเป็นจิต จึงต้องเห็นใจ เขาว่าพลังงานของเขาที่พยายามจะเจริญมาเป็นจิตได้
ธาตุรู้ที่สุดคือดีที่สุด อย่าไปกั้นเลย ธาตุรู้ตัวใด ในมหายานจะบอกว่าอาจจะไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ อย่าไปทำลายเขา ถ้าธาตุรู้ตัวใดไม่พยายาม พระพุทธเจ้าก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นอย่าไปต้านความพยายามเขา คนเกิดมาก็ต้องพยายามดีทั้งนั้น ถ้าพยายามชั่วไม่เกิดได้มาเป็นคนหรอก มันต้องสอดคล้องกับความจริง ธาตุรู้พระพุทธเจ้าต้องพยายามจากความต้องการที่ทำให้เกิดความบริสุทธิ์ทั้งนั้น ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ทั้งเอกภพ
อาตมาพูดแต่ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่เคยบอกว่าระดับอื่น ระดับ 8 ไม่เคยพูด ทุกวันนี้อาตมาเจริญขึ้นกว่า 7 แล้ว แต่ไม่อยากจะพูด ถ้ามีพลังงานระดับ 8 9 เท่าไหร่ก็เป็นที่อาตมา คนอื่นจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ จะพูดหรือไม่พูด ของจริงมันก็เป็นจริง เราจะไปแคร์คำพูดไม่ได้ คำพูดกับความจริง ต้องเอาความจริง คําพูดนั้นเกิดจากบุคคล ผิดหรือถูกก็ได้ เราก็ต้องแน่ใจของเรา คุณรู้ผิดก็คือผิด รู้ถูกก็คือถูก ก็จบที่ตัวคุณ คนอื่นไม่เกี่ยว ถ้าคุณเป็นตัวหลักที่ถูกแท้จะไปเป็นพระพุทธเจ้าเองก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเสียเวลา ก็งง วนไปมา แต่ถ้าแน่วแน่ตรงไปเลย ไม่มีเสียเวลาคดงอโค้งเลย สั้นที่สุด เร็วที่สุด สูงที่สุด คือเส้นที่ตรงที่สุด ไม่มีเส้นไหนที่ตรงที่สุด สูงที่สุด เร็วที่สุด โค้งนิดโค้งหน่อยก็ไม่ดี ตรงให้ได้ ซื่อสัตย์ให้ได้อย่าเหลาะแหละ ใช้พยัญชนะสื่อภาษา
กลับไปที่ ทิฏฐิ 62
อดีต 18 แต่อนาคตมี 44 มีสองเท่ากว่าของอดีต เพราะว่า คิดฟุ้งซ่านบ้าบอไปได้อีกสองส่วน คนที่หลงในอนาคต เพ้อไปในอนาคตของตนจึงช้า ถ้าคนที่มั่นใจว่า ผู้นี้ผู้รู้แน่ สืบทอด DNA จากพระพุทธเจ้านั่นคือคนที่
แท้เพราะว่าเอาคำว่าโลกนี้โลกหน้ามาขยายความ โลกคือความวน ความวนที่จริงที่สุดคือปัจจุบัน ถ้าทำจริงที่ปัจจุบันให้จบได้ก็จบเป็นอดีต แต่ทำไม่ได้ก็ฟุ้งไปอนาคต สองเท่าสามเท่า ผู้ใดจบไม่ลง รู้ไม่ได้ว่าเขาพาจริงพาจบ ผู้นี้มีตัวกูของกู มีอาจารย์กู (อาจารย์ผิด) ถ้าอาจารย์พาถูกจะตรงกับของพระพุทธเจ้า
คนที่พาผิดก็มีมวล คนที่ ถ้าให้ทำผิดจะมีมวลมากกว่า คนที่หลงมวลมากอยู่จะซวย แต่ข้อสำคัญที่ว่าน้อยนี่น้อยถูกหรือเปล่า ใครก็อยากรู้ถูก อันนี้บังคับไม่ได้ จบแล้ว คุณต้องรู้ถูกเอง ปัจจัตตังเวทิตัพโพ
ความจบของพระพุทธเจ้า คุณต้องจบเอง คุณต้องรับผิดชอบเอง คุณจะต้องไปฟังจากสัตบุรุษ ถ้าตัดสินผิดก็ขยับเวลาไปอีก ตัดสินถูกก็จบลงได้ รับผิดชอบตนเอง
อาตมามีความจริงใจที่จะให้ถูกที่สุด ส่วนที่จะผิดบ้าง แน่นอนอาตมาเป็นขั้นที่ 7 ไม่ใช่ขั้นที่ 9 แต่ใครจะบอกว่าไม่เอา 7 จะไปเอา 9 ก็ไปหาเอาสิ ตอนนี้ไม่มี 9 มีแต่ 7 ถ้าไม่มักใหญ่มาก ก็จะเด็ดดอกหญ้าแซมผมได้ ถ้าคุณเป็น 8 เป็น 9 ก็ใหญ่กว่าอาตมา
อาตมาก็ต้องดูว่า ภูมิธรรมอาตมา คนนี้เป็นพี่ใหญ่กว่าอาตมาจริง หรือคนนี้มาแอ็คอาร์ทใหญ่ไม่จริงก็จะรู้ มันซ้อนที่ว่าคนที่ใหญ่ทางรูป กับใหญ่ทางนาม รูปเป็นสิ่งที่รู้ได้ง่ายกว่า อาตมายืนอยู่ข้างนามจึงรู้ได้ยากกว่า อาตมาไม่ริษยารูป คนที่ทำรูปมามาก นานกว่าอาตมา อาตมาก็ต้องดูว่ารูปที่แสดงออกมาแล้วนามธรรมถึงไหน เราก็ใช้ของเราเองเป็นตัวเรียนรู้ตัดสิน ในระดับสูงอย่างนี้พ้นริษยากัน มีแต่รู้ความจริงตามความเป็นจริง สุดท้ายจริง ๆ
ความรักสูงสุด ใครจะเทิดทูนใคร คนที่เทิดทูนคนนั่นแหละสูงกว่าคนที่ข่มคน ใครยังมีธาตุตัวข่มคนอยู่ก็ให้เลิก เรายกย่องแม้แต่ศัตรู เราอย่าข่มเขา ศัตรูจะทำวิบากเขาก็เป็นวิบากเขา ถ้าทำถูกก็ดี แต่ทำผิดเขาก็จะรับผิดชอบวิบากเขาเองปล่อยเขาไป
อวิชชา ไม่รู้นั้น ท่านแบ่งเป็น 8
(พตปฎ. ล.34 ข.691 ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)
ปัจจุบันเป็นตัวตัดสินยืนยัน จะเอาอดีตคืออนาคตเป็นตัวตัดสินไม่รู้ได้ง่าย ปัจจุบันเป็นตัวจบ ทุกอย่างต้องมีภายนอกและภายในเป็นปัจจุบัน สามเส้าสุดท้ายคือ ภายนอก ภายใน ปัจจุบัน
ใครงมงายอยู่กับภายนอก ก็เอาภายในมายืนยัน ใครอยู่กับภายใน เอาปัจจุบันยืนยันภายนอก อย่างทักษิณ มหาบัว ธัมมชโย ไม่รู้ภายนอก ภายนอกยืนยันได้แต่ภายในยืนยันไม่รู้ได้ ถ้ามีสัจจะตรงกัน ยืนยันภายในก็เอาภายนอกยืนยันได้ แต่ถ้ามีภายในผิดก็ยืนยันภายนอกผิด คนอื่นจะช่วยตัดสินว่าผิดได้ คนอื่นรับรู้ด้วย ไปไหนไม่รอดต้องออกมาข้างนอกและต้องเป็นปัจจุบัน
ข้างนอกและปัจจุบันนี้ ภาษาบาลีว่าทิฏฐะหรือทิฏฐิ
ฏ ฐ และ ท สามเส้าของพลังแรง (พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
สมณะเพาะพุทธว่า...พ่อท่านพยายามอธิบายภาวะภายในมาเป็นภาษา โดยอาศัย ภาษาบาลีมาอธิบาย อาตมาฟังตามก็บอกตรงๆว่าเข้าใจตามได้บ้าง ไม่ทั้งหมด แต่พยายามอยู่ เมื่อสักครู่พ่อครูอธิบายความจริงภายในต้องเอาออกมาข้างนอกและในปัจจุบัน
คนเทิดทูนคนย่อมดีกว่าคนที่กดข่มคน ที่สุดแล้วเรายกย่องแม้แต่ศัตรู หลวงปู่สวนโมกข์ ว่า อันศัตรูคือผู้จู่มาสอบไล่ พระพุทธเจ้าว่าสมณะทั้งหลาย ยอมไม่เป็นศัตรูกับใคร
สิ่งที่เราไม่ควรข้องแวะคือมิจฉา คนตาดีจะมองเห็นทั้งคนตาบอดและคนตาดี ส่วนคนตาบอดมองไม่เห็นทั้งคนตาดีและคนตาบอด พ่อครูอธิบายถึง ดับอย่างสว่าง สลายแยกไปอย่างรู้ๆ คำว่านิโรธ เป็นลักษณะดับ วิมุติเป็นลักษณะของปัญญา พ่อครูอธิบายถึงวิบาก ที่เป็นเรื่องอจินไตย
พ่อครูว่า... ทิฏฐธรรม นั้นมีสภาพ 1.เป็นปัจจุบัน 2.มีอยู่ 3.แข็งแรง
เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่ามีอยู่คือสภาวะ เอากาละเวลา นั้นๆ ปัจจุบัน แล้วก็มีความเร็วความแรง ถ้าไม่มีความเร็วความแรงก็จะดับไปเอง แต่ที่เป็นพิษภัยคือเกินกว่า 60 70 คือที่อาตมากำลังอธิบายอยู่ คือ Coefficient
เป็นตัวที่มีตัว constant คงที่ และมีตัว Dynamic เป็นตัวเคลื่อน เป็นปฏิกิริยารอบ เป็นตัวแปรที่ซ้อนรอบอยู่ มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นตัวแปรระดับคูณ จึงจะก้าวหน้า ถ้าเป็นระดับบวกจะไม่มีผล ถ้าเป็นระดับยกกำลังจะยิ่งเจริญก้าวหน้า
ถ้าดีก็จะก้าวหน้า แต่ไม่ดีต้องช่วยกันกำจัด โดยไม่ต้องไปฆ่าเขาหรอก แต่ของศาสนาพุทธปล่อยให้เขาตายเอง ไม่ต้องร่วมมือหรอก หรือคู่วิบากเขาจะไปจัดการเอง มันลงตัวของมันจะเป็นเช่นนั้น
สรุปแล้วอาตมายังมีเวลาอธิบาย ผู้ที่ต้องการศึกษาอยากจะได้ความจริง จนสรุปแล้วมีชีวิตอย่างไม่ทุกข์ ทุกข์จะแบ่งเป็น โทมนัส ละเอียดกว่าทุกข์ แล้วจะเป็น อุปายาสะ
โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส ทำให้ทุกข์เล็กลงละเอียดหรือภายใน ภายนอกหมด จนภายในก็เหลือแต่ อุปายาสะ
อุ คือสามเส้า อะ อิ อุ ส่วน ยา คือพลังงาน เกิดอยู่ ส คือตัวตน
ใครจำบัญญัติที่อาตมาพูดได้ เอาไปใช้งานได้ ก็เป็นผลสำเร็จต่อโลกต่อสังคม
สมณะเพาะพุทธว่า...สิ่งที่พ่อท่านได้อธิบายมีสภาวะเป็นตัวตั้ง มีพยัญชนะเป็นเครื่องรองรับ สภาวะเป็นนามธรรม เป็นเรื่องยาก สิ่งที่พ่อท่านได้เปิดเผยคือเอานามธรรมมาเปิดเผย วันนี้พ่อท่านว่านำความรู้หรือญาณมาเปิดเผย อาตมาก็บอกว่าดูเถอะ ความรู้ต้องพยายามบอก ดูเถอะ ความหลอกยังขยันโฆษณา หลอกทุกวัน
ในหลวง ร.9 ทรงประชวร ปรากฏว่า พระองค์ทรงมีอาการไข้สูง จังหวะหทัยเต้นไม่ปกติ พระองค์ตรัสว่า จังหวะหัวใจตอนนี้เป็น จังหวะ 5-4 ชื่อว่าเพลง High Fever (แปลว่า ไข้สูง) (พ่อครูว่าเป็นจังหวะที่ยากมาก) และหลังจากหายประชวรก็ทรงแต่งดนตรีในจังหวะ 5-4 ชื่อเพลง ในหลวงมีลักษณะแปรโศกเป็นสุข แปรทุกข์เป็นธรรม
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:19:50 )
รายละเอียด
600612_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติฯ มูลสูตรสู่ความเป็นอรหันต์
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2560 เป็นวันหลังจากงานอโศกรำลึก เฉพาะผู้ที่มาลงทะเบียนร่วมงาน ผู้สรุปงานบอกว่า ข้อบกพร่องของพวกเรามีมากมายเยอะแยะเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า แต่ถ้าจะเอาผลงานก็เหมือนกับดวงจันทร์วันเพ็ญ
คือจริงๆแล้ว ผู้ให้บริการเรามีไม่มากเท่าไหร่ มีผู้อายุยาวด้วย ผู้ที่ดูแลตึกขาวให้พวกเราพักอาศัยอายุ 86 ปีแล้ว แต่ให้บริการแก่ผู้ที่มาพักได้ วิเคราะห์ปกครองบ้าง แต่ก็ธรรมดา คนดูแลคืออุบาสิกากรุณา
แต่ปีนี้เท่าที่ฟังพวกเราสรุป เป็นปีแห่งความสำนึกที่พ่อครูให้สัญญาณเตือนพวกเราไม่ให้ประมาท ให้เพ่งเพียรกัน ขวนขวายกัน
ในพุทธกาล ขนาดที่พระพุทธเจ้า ให้สัญญาณแก่พุทธบริษัทไปถึง 3 เดือนยังตั้งหลักไม่ได้ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วก็ร้องห่มร้องไห้กัน แม้แต่พระอานนท์ยังต้องหลั่งน้ำตา ไม่ต้องพูดถึงฆราวาส แต่ของเรานี้ พ่อครูอาจจะบอกไว้แต่เนิ่นๆว่าไม่เที่ยง ให้เกิดความสำนึก
พวกเราจัดงานกันมีขาดตกบกพร่อง error กันตลอดเวลา ในสิ่งที่เราไม่ได้จัดอะไรเป๊ะทีเดียว แต่ว่าเราเกิดความสำนึก ก็มามุ่งดูจิตวิญญาณตัวเองเป็นหลักไม่ได้มุ่งจะไปว่ากัน เป็นนิมิตที่ดี ก็คงทำให้คนตั้งใจฟังธรรมะกันมากขึ้น
ในระบบสาธารณโภคี คือคนที่จะมีปัญหามาก คือคนที่ไม่ค่อยฟังธรรมะ พ่อครูบอกว่าจะอยู่ 151 ปีก็ไม่แน่กับสรีระ แต่การไปยึดถือไว้ในสิ่งไม่เที่ยงก็ไม่ได้ เราไปยึดก็เป็นสัญญาวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส การฟังธรรมะเป็นทางออก ก็จะค่อยๆปล่อยวางในทิฏฐิความยึดถือความเห็นได้ แต่ถ้าไม่ฟังธรรม จะไปหมกมุ่นกับความยึดถือความให้ได้ดังใจเรา
ปรากฏการณ์ครั้งนี้ เราต้องคิดเสมอว่า แม้พ่อครูตั้งใจไว้ อาจจะไม่ได้หรืออาจจะได้ก็ได้หากพวกเราช่วยกัน ให้เต็มที่ไป
พค.ว่า…มาอ่าน sms ก่อน
SMS วันที่ 11 มิถุนายน 2560
7459หนูต้องดูแลผู้ที่ป่วยซึ่งเป็นหน้าที่ อยากทิ้งไปก็เป็นความไม่รับผิดชอบในทางโลก จึงยังไปไม่ได้ค่ะ. เหมือนแก้ตัวแต่คงต้องดูแลกันไปจนหมดภาระได้แต่ฟังธรรมทางบุญนิยมทีวีค่ะ
พ่อครูว่า...ก็ดีแล้ว มนุษย์เรามีภาระของชีวิตตั้งแต่ขันธ์ 5 ภาราหเวปัญจขันธา ตั้งแต่ตัวเราเองและสิ่งเกี่ยวข้องเชื่อมโยงสัมพันธ์ ที่สำคัญก็คือต้องรับผิดชอบหรือเป็นหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ เราก็ต้องรับผิดชอบไป เป็นคนที่เกิดมาไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เอาตามกิเลส จะเป็นให้ได้อย่างใจต้องการแต่อย่างใด แต่ทำคุณค่าทำสิ่งประเสริฐ
5845ความอยากที่สละไม่ได้คืออยากเกิดเจอพระโพธิสัตว์ทุกชาติทุกภพ
พ่อครูว่า...เป็นความอยากที่ดี แล้วเจอพบแล้วหรือยัง แล้วพบแล้ว จะเหมือนพระวักกลิ เอาแต่นั่งจ้องรูปพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยว่าเอา ก็อย่าเอาแต่เจอพระโพธิสัตว์แล้วเอาแต่จ้องรูปทางโทรทัศน์เท่านั้น เอาสิ่งที่ควรจะได้เอาไปเป็นประโยชน์ให้ได้ อาตมาก็เจตนาทำสิ่งที่ควรให้เท่าที่ชาตินี้เกิดมาควรทำ ก็ถ่ายทอดธรรมะพระพุทธเจ้าตลอดเวลานี่แหละ
3174เข้าใจที่พ่อท่านอธิบายแทบทุกอย่าง แต่ยังปฏิบัติไม่ได้ในการลดละจากกิเลส เช่นยังชอบของสวยงาม คงต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยชาติ กว่าจะเริ่มทำให้เข้ามาสู่โลกุตระ ได้แต่ฟังสถานีนี้ทุกวันเปิดทิ้งไว้ทั้งคืนบ่อยๆด้วยค่ะ
3867นมก.พ่อครูฯ สณ.สม.จรธ.กับธ.พญาแร้งผู้นำธ.โลกุตระพาโลกียะชนพ้นทุกข์ หลุดบ่วงกรรมสู่แดนอาริยะมรรคฯ สาธุ!ลูกแร้งไกลโศก เพราะพญาแร้งพาสู่อโศก!
3867อ่านจิตอ่านใจก่อนใดอื่น!จิตตื้นจิตลึกควรศึกษา!อยากรู้เลิศล้ำอ่านตำรา!อยาก มีปัญญาให้อ่านใจ!ธ.ท่านจันทร์(กราบขออนุญาตสาธุ)
3867กราบขอบคุณพ่อครูกับธ.ปัจจุบันขณะกับความรู้จริงตามความเป็นจริง(อัญญา,ปัญญา)!เกิดยินดี(กัญญา)!ทำลายอวิชชา(ฆัญญา)!ควรกำหนดรู้(ชัญญา,สัญญา)เจริญกุศลจิตเลิศในศีลธ.(ธัญญา)
SMS จากเฟซบุ๊ค
สรายุทธ บุญญโก · แปลโศกเป็นสุข แปลทุกข์เป็นธรรม สาธุครับ
พีม ประพันธา · น้อมกราบนมัสการพ่อครูค่ะ ภาพเสียงชัดเจนค่ะ
ทวีศักดิ์ บุญรักษาศักดิ์ · กราบนมัสการพ่อครูครับ ภาพและเสียงที่ถ่ายทอดสดชัดมากครับ
บุญเลี่ยง พันธ์เจริญ · ท่านพ่อครูสอนอธิบายหลักสัจจะธรรมยากต่อคนที่กิเลสหนาจะเข้าใจ
แก้วลา ไชยวงศ์ · กราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ พ่อครูเจ้าค่ะลูกศิษย์นอกวัดขออาราธนาพ่อครูให้มีอายุยืนยาวถึง151ปีนะเจ้าคะ กราบสาธุเจ้าค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ 10 ตอน ธรรมะบรรยายที่ต่างจากสำนักอื่น
_ปรีชา ขำเพชร · กราบนมัสการพ่อครูครับ....นนทบุรี เสียงดัง ฟังชัดมากครับ....ธรรมะที่พ่อครูบรรยายเป็นหนึ่งเดียว ในโลกปัจจุบันของพุทธ ที่ต่างจากสำนักอื่นอย่างสิ้นเชิง....จึงทำให้พ่อครูต้องพากเพียรการบรรยายเป็นอย่างยิ่งครับ
พ่อครูว่า...อาตมาว่าจริง ถูกต้อง เพราะว่าที่พูดไปนั้น บอกว่าโลกปัจจุบันของพุทธนี้เขาก็เข้าใจไปต่างจากอาตมาบรรยายสิ้นเชิง และอาตมาบรรยายจึงต้องพากเพียรอย่างยิ่ง หมายความว่าการบรรยายธรรมะของทั่วไปที่เขาบรรยายกัน ที่เขาได้เชื่อถือนับถือกันแล้ว แต่อาตมามาบรรยายต่างจากเขา เลยต้องพากเพียรอธิบายว่า อย่างนั้นมันผิดนั้น
ยกตัวอย่างธรรมะของพพจ.มีสามขา
ศีล เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธไม่มีไม่เอาแล้วศีล ในวงการภิกษุมีแต่วินัย 227 เขาว่าถือศีล 227 แล้ว พพจ.สร้างศีลเพื่อสร้างศาสนา วินัยตั้งมาเพื่อลงโทษผู้ผิดวินัย ส่วนศีลไม่มีลงโทษ ตั้งเพื่อปฏิบัติเกิดสมาธิ ปัญญา ปฏิบัติศีลเพื่ออ่านใจ ให้มีธัมมวิจัย อ่าน กาย เวทนา จิต ธรรม แยกออกได้ว่า เวทนา 1 เป็นเวทนาตามธรรมชาติ อีกเวทนาหนึ่งเป็นเวทนาเก๊ ก็ทำเวทนาเก๊ให้หมดไปจากจิต เพราะมันเป็นเรื่องปลอมเรื่องเท็จไม่เป็นจริง เวทนาที่มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มีธาตุรู้ความจริงตามความเป็นจริง แต่นี่มีเวทนาปรุงแต่งไปเกินจริง ก็ต้องทำลายกำจัดกิเลสนี้ให้ได้
การปฏิบัติต้องมีสัมผัสตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรสเป็นต้น
สมาธิก็ไปนั่งหลับตาสะกดจิต ทั้งที่สมาธิต้องวิจัย analyse แต่เขาไปนั่งสะกดจิต hypnotize หมด ไม่ได้มาวิจัยวิจารณ์จิตเลย คือความล้มเหลว เป็นความผิดพลาดของศาสนาพุทธชัดเจน แต่เขาได้ยึดถือครูบาอาจารย์ของเขาแล้ว อาตมาก็เลยต้องเหนื่อยในการสอน แต่ไม่ท้อ อาตมาจะพากเพียร เอาไว้ให้อาจารย์ต่างๆตายไปก่อน อาตมาจะอยู่ต่อไปเพื่อสอนต่อ ถ้าอาตมาถึง151 อาจารย์อื่นๆคงตายไปหมดแล้ว ต้องเอาแบบนี้แล้วล่ะ ถึงอย่างไร ก็คงไม่มีอาจารย์คนอื่นสอนซ้ำซาก แต่อาตมานี่ซ้ำซากเข้าไป ก็คงพอมีผล
_กราบนมัสการพ่อครูแม้อยู่นอกชุมชนแต่ฟังธรรมต่อเนื่องได้พบความเจริญทางจิตวิญญาณจากการนำคำสอนพ่อครูมาปฏิบัติ และนำสิ่งที่พ่อครูสอนมาสู่สังคมการศึกษากระแสหลักตามเหตุปัจจัยภายใต้โครงการ"โรงเรียนคำพ่อสอน"(ซึ่งมีคำสอนของพ่อที่สอนคือในหลวงกับพ่อครูซึ่งมีทั้งรูปและนาม)ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและโครงการbbbไม่มีอบายมุข ขยายเรื่องอาหารมังสวิรัติ การฟังธรรมและใส่บาตรในวิถีของครูกระแสหลัก ผลพอเป็นไปตามเหตุปัจจัยค่ะ ที่ทำได้เพราะน้อมนำธรรมะที่พ่อครูสอนมาทำที่ตนก่อนค่ะ มีธรรมะเป็นกัลยาณมิตร ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ทำต่อเนื่อง
อันที่จริงไม่คิดจะบอกเล่า ตั้งใจทำเงียบๆ แต่เมื่อได้ยินพ่อครูบอกเหนื่อย และอีกหลายถ้อยคำที่ฟังแล้วรู้สึกกระทบใจ จึงขอกราบเรียนพ่อครูให้รับรู้อีก1ผลจากคำสอนของพ่อครูว่า ไม่สูญเปล่าค่ะ ซึ่งตนเองเป็นลูกผสมเปลี่ยนจากอิสลามมาเป็นพุทธ หลังจากฟังธรรมพ่อครูมาต่อเนื่อง ตนมั่นใจในเป้าหมายของชีวิตค่ะ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน. นมัสการด้วยความเคารพค่ะ
จาก...ครูซะ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37_สติปัฏฐาน 4) ตอน สวรรค์คือนรกแท้
_มีไลน์ที่ส่งว่าน่าสงสารคนพวกนี้จริงๆไช่เลยครับและคนพวกนี้แหละที่เหนื่อยจริงๆ และพวกที่ไม่มีจุลศีล มัชชิมศีล มหาศีลอันนี้แหละที่เหนื่อยอย่างยิ่ง นมัสการพ่อครูด้วยความนับถืออย่างยิ่ง
จาก...เชวง กิจจะบรรพ์
พ่อครูว่า...ก็น่าจะจริงเพราะว่าเขาเหนื่อยเหมือนหมาหอบแดด วิ่งไล่ล่าไปตลอด ไม่รู้เลยว่า ชีวิตควรได้อะไร เขาสอนกันแต่สวรรค์ สวรรค์ก็คือนรก อาตมาสรุปมาแล้ว แต่ว่ามันหลอกอยู่ในรูปสวรรค์ สุขขัลลิกะคือสุขเท็จคือนรก อยากได้ภพสวรรค์เท่าไหร่ก็คือสร้างภพนรกเท่านั้น ไปตั้งความหวัง อยากได้สวรรค์ชั้นไหนๆ เหมือนอย่างฤาษีลิงดำหรืออาจารย์ต่างๆ ยิ่งธัมมชโยสวรรค์บ้าบอคอแตก เฟส 2 3 4 5 ไม่รู้เลยว่า ของพุทธล้าง ภพ สวรรค์ นรก
นรกไม่มีใครอยากได้แต่ว่า คุณไปติดสวรรค์ เมื่อติดภพสวรรค์ก็นรกเกิดกับคุณแล้ว ชาตินรกแล้ว ที่จริงพยายามสร้างสวรรค์ใส่ใจแต่ได้นรก เพราะนรกกับสวรรค์อันเดียวกัน ไม่พยายามล้างสวรรค์ก็เลยได้นรก
ลูกก็พยายามเจ้าค่ะพ่อ ปีนี้ลูกทำความเข้มข้นให้ตัวเองขึ้น เมื่อ29เมย.วันเกิดปีนี้ลูกเลิกทำกับข้าวให้คนในบ้าน ทำมังสวิรัติอย่างเดียวไม่เอาเนื้อสัตว์มาทำแล้วแต่ใครจะยังทานก็แล้วแต่ จากช่วงเปลี่ยนผ่านก็เจอะเรื่องราวเยอะ เราก็น่าจะผ่านทุกอย่างไปเรื่อยๆสู้ค่ะพี่น้อง
..อ้อย_ศรัญพร โนทะ
พ่อครูว่า...การตอบรับนี้อาตมาอบอุ่น รู้สึกว่า มีผู้ฟังแล้วไม่เป็นหมัน ไม่ใช่ว่าทำไปแล้วหายไปกับสายลม ขอขอบคุณผู้ที่ตอบรับมา
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท_สังขาร) ตอน อภิสังขาร 3
เข้าสู่เรื่องที่จะเทศน์ การเทศน์ของอาตมานี้มีแต่ตำหนิ เทศน์ไปเดี๋ยวก็ตำหนิ จะชมก็ไม่ค่อยชมแล้วไม่ค่อยมีคำชม มันจริงๆ เพราะความจริงนั้น ผู้จะให้ได้รับคำชมนั้นมันไม่มี แต่จะให้ชมก็ต้องชมชาวอโศก เพราะว่าอาตมาพามาปฏิบัติแล้วเกิดความก้าวหน้า ส่วนท่านที่ปฏิบัติผิด จะให้ชมก็ไม่ได้ ชมได้เป็นบางอย่าง อย่างโวหาร เช่น ชมว่าท่านเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อธรรมะ แต่ก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิทั้งหมด พยายามรวบรวมธรรมะไว้ดี แต่ก็ ก็ต้องขออภัย คือท่านก็ยังไม่ความเข้าใจความเป็น อภิสังขาร 3
อภิสังขารคือ การปรุงแต่งจิต (มนสิกโรติ) การสังขารคือกรุงแต่งจิตด้วยอวิชชา แต่เมื่อเป็นอภิสังขาร ก็จะเป็นการปรุงแต่งด้วยวิชชา จับกิเลสได้ กำจัดกิเลสได้ ปฏิบัติธรรมมีแต่อันนี้ตัวเดียว คือปุญญาภิสังขาร
รู้จักสักกายะ รู้หลักศีลพรต เป็นอัตถิยิฏฐัง รู้จักอกุศลจิตหรือกิเลสทำให้กิเลสดับ นั่นคือเป้าหมายของศาสนาพุทธ เป็นปุญญาภิสังขาร แต่ท่านก็แปลเป็นสมบัติ
ท่านแปล ปุญญาภิสังขารว่า การปรุงแต่งที่เป็นบุญ
ส่วน อปุญญาภิสังขารท่านแปลว่า การปรุงแต่งที่เป็นบาป แสดงว่าท่านได้แต่พยัญชนะไม่ได้สภาวะเลย ท่านแปลสภาวะสู่พยัญชนะสะดุด ถ้าอาตมาแปลไม่แปลอย่างนี้หรอก
อาตมาแปล อปุญญาภิสังขารว่า ปรุงแต่งไม่มีบาปแล้ว มีแต่เสริมอเนญชาคือความไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ไม่หวั่นไหวต่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คือการรักษาผล
ใน สัมมัปปธาน 4 มี สังวรปธาน ปหานปธาน กำจัดกิเลสได้ ภาวนาปธาน ปฏิบัติแล้วเกิดผลในการปฏิบัติ ได้มรรคได้ผล อันที่สี่ก็อนุรักขณาปธาน คือการรักษาผลต่อไป การรักษาผล ก็จะเกิดอเนญชายิ่งขึ้นๆ คือผลของจิตที่ได้คือจิตอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน เป็น เนกขัมสิตอุเบกขา
ยิ่งปฏิบัติจะเกิด ปริสุทธา เพราะจะเป็นความตั้งมั่น อเนญชาหรือฐีติ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นความตั้งมั่นของจิตยิ่งขึ้น
ปริโยทาตาคือ ในจิตผู้นี้ มีความบริสุทธิ์ ปริสุทธาแล้ว ปริโยทาตาคือจิตที่บริสุทธิ์นั้น ปฏิบัติกรรมกิริยาต่างๆ มีสัมผัส ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขในโลกยิ่งขึ้น จิตก็ยิ่งแข็งแรงต่อโลกธรรมยิ่งขึ้น จะมาทีเผลอ ไม่เคยเจอแบบใหม่อย่างไร ยั่วเย้าอย่างไร จิตก็ยังบริสุทธิ์อยู่อย่างเก่า ผุดผ่อง บริสุทธิ์สะอาดอยู่อย่างเดิม แต่มันมีนัยยะว่า อยู่กับโลกธรรม ยิ่งๆขึ้น
สาม มุทุ คือจิต อาตมาแปลว่าจิตหัวอ่อน จิตจะมี ภูมิปัญญา เร็วไวยิ่งขึ้น เจโตก็ปรับได้ง่าย จะทำให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อนุโลมปฏิโลมก็ง่าย แข็งแรงยิ่งขึ้น เป็นความเจริญของจิต ธาตุจิตเจริญยิ่งขึ้นเป็นวิการรูปที่วิเศษ จึงเกิดกัมมัญญตา เกิดการทำกรรม การงาน ที่ดียิ่งขึ้น ท่านแปล กัมมัญญตาว่าการงานที่ดีที่เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงทำกรรม ยิ่งดีขึ้นเจริญขึ้นทุกขณะทุกวัน อย่างอาตมานี่กรรมการกระทำดีขึ้นเจริญขึ้นเรื่อยๆเพราะเราทำอันต้นๆได้ ถึงอย่างไรก็ปภัสสร นี่คือผลของจิตที่เจริญขึ้น
รักษาผล อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง จะเจริญขึ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37_สติปัฏฐาน 4) ตอน สุขแบบพุทธ
ท่านบอกว่า จิตที่อบรมดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ คำว่าความสุข
ความสุขคำนี้ โดยโลกุตระมันยากมากเลย แต่ถ้าพูดง่ายๆแบบโลกียะก็เป็นเบื้องต้นให้คนเห็นว่า แทนที่จะทุกข์ก็จะได้สิ่งที่ไม่ทุกข์ เรียกว่าสุข แต่สุขโลกุตระของพระพุทธเจ้าคือสุขอย่างจิตสงบจากกิเลส ไม่ลำบากในการตัดกิเลส กิเลสไม่รบกวนจิต
สุข เกิดจากความดับกิเลสไม่ใช่เกิดจากความไม่รู้เรื่องปิดหูปิดตา ไม่รับรู้อะไร แม้รับรู้ก็เฉยดื้อทื่อ ไม่ใช่ แต่เป็นจิตที่แววไว แคล่วคล่อง สุข เกิดจากความดับกิเลส ไม่ใช่เกิดจากความไม่รู้เรื่องปิดหูปิดตากับสังคม เวทนา สัญญา สังขารแคล่วคล่องในการ กับโลก อย่างดีอย่างเจริญ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_ปัญญา) ตอน ปัญญาแบบพุทธ
อาตมาก็ต้องยืนยัน เพราะว่า สังคมชาวพุทธทุกวันนี้ไม่มีใครกล้ายืนยันอย่างนี้แล้วเพราะว่าขี้ขลาด เพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีคุณธรรมนั้นจริง ก็จึงไม่มีใครกล้า รับหรือบอกยืนยัน นั่นเป็นจุดสำคัญ
คนที่บอกว่าต้องการพบพระอาริยะ ผู้มีคุณธรรมพระพุทธเจ้า อาตมาจึงต้องจำเป็นที่จะบอก ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีสาเฐยจิต ไม่มีจิตอยากอวดโอ่ มีความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอคติไม่เพ่งโทษ ใครที่รับฟังอาตมามานานแล้ว ก็จะเห็นว่าจริงแต่ถ้าคนไม่เชื่อหรือเพ่งตั้งแต่ต้นก็จะไม่เปลี่ยน เพราะเขาได้ยึดถือผิดแล้ว อย่างที่อาตมาประกาศแล้วว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ของที่เขาทำกันนั้นผิด
ปัญญา ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดรอบรู้อย่างธรรมดา ปัญญาเป็นภาษาของศาสนาพุทธเท่านั้น ต้องเกิดความรู้ชนิดใหม่ตั้งแต่อัญญะ อัญญา เป็นธาตุรู้ตัวอื่นจากโลกียจิต ไม่ใช่ความรู้ที่วนเวียนอย่างนั้น แต่เป็นความรู้ชนิดอื่น ชัดเจนแล้ว ว่าชีวิตไม่ต้องไปจมกับ ภพชาติ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เข้าใจภพ จะพยายามออกจากภพ
ตั้งแต่ อบายภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ จนเป็นอรหันต์ มีความชัดเจนในความเป็นภพชาติในจิตของตนเอง เป็นอัญญา แล้วเกิดปัญญา
ปัญญาจะเกิดต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์เป็นตัวหลัก ต้องมีวิจัยวิจารณ์ตลอด มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานที่เราได้รู้มาก่อน แล้วก็ละกิเลสได้ ถูกต้องตามสัมมาทิฏฐิ อัตถิยิฏฐัง รู้วิธีปฏิบัติจัดการกับกิเลสก็จะเกิดปัญญา ตามศีลพรต ปฏิบัติ พ้นสีลพตปรามาส เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ
ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติธรรมที่เป็นมรรคผล มีอินทรีย์พละแล้ว ผลก็คือจบกิจ เป็นผลโดยมีสัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ
ปัญญาที่เขาอธิบายกันทั่วไปให้ไปนั่งสมาธิหลับตาแล้วจะเกิดปัญญา โผล่พลั๊วเลย คือไม่รู้จักปัญญาของศาสนาพุทธเลย ปัญญาตัวนั้นเป็นแค่สัญญา การนั่งหลับตาสะกดจิต จะทำให้ตายอย่างไรที่โผล่ให้รู้คือสัญญา
นั่งสมาธิให้จิตนิ่งไม่คิดนึก คือสมาธิ แล้วเขาว่าปัญญาจะเกิดตาม คือใช้ความรู้ตามตรรกะ มิจฉาทิฏฐิ เดียรถีย์
อาตมาจะอ่านหนังสือพิมพ์ คอลัมน์ของ อาจารย์บูรพา ผดุงไทย ที่พูดถึงนี้คือ เรา คิดถึง ว่าให้เอาไปตรวจทานให้ดี ที่ท่านยึดถือมันผิดไปไกล เป็นตรรกะที่ออกไปไกล ทั้ง อดีตและอนาคต
การนั่งหลับตาจะมีแค่อดีตกับอนาคต 62 ทิฏฐิ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร ที่ได้บอกทิฏฐิ 62 ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ วนในชาละคือข่ายแห ออกไม่ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน วรรณะ 9 สามัญผลสูตร
ในสามัญผลสูตร ว่าด้วยมรรคผลของศาสนาพุทธ เป็นสามัญต้องมีศีลอันเป็นอาริยะ เมื่อศีลมีมรรคผล ต้องสำรวมอินทรีย์ ลดกิเลสทางทวารทั้ง 6 เป็นปัจจุบัน มีสติอันเป็นอาริยะ รู้ตัวทั่วพร้อม จิตใจแข็งแรง มีมุทุภูตธาตุ แล้วเกิด สันโดษอันเป็นอาริยะ ดูจาก วรรณะ 9 โคตมีสูตร ล้วนแล้วเป็นไป
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
สันโดษเขาแปลว่า ยินดีพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ไปถามบิลเกตต์ซิว่าเขาพอใจเขาก็พอใจสิ สันโดษแปลอย่างนี้ไม่ถูก ไม่มีสัลเลขธรรม ไม่มีการขัดเกลาเลย ไม่มีธูตะคือศีลเคร่ง คนนี้ปฏิบัติศีลเคร่ง เช่นไม่ใช้เงินใช้ทอง คนกินมื้อเดียวได้ก็สบายๆ ไม่ใช้เงินใช้ทองก็สบาย ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ ไม่อยากได้ของคนอื่นเขา เป็นโสดาบันก็ผัวเดียวเมียเดียว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสคนอื่นเขาจะมีไป เขาก็ไม่เอาด้วย เขาสบาย
ผู้ที่ธูตะคือ คนอื่นเห็นว่า เคร่ง แต่เขาสบาย ผู้หลุดพ้นมีธูตะในศีลนั้นสบาย มีอาการน่าเลื่อมใส อย่างโพธิรักษ์ ดูว่าไม่มีอาการหน้าเลื่อมใส พูดเสียงดัง ยกไม้ยกมือ ไม้มือ เขาบอกว่าไม่สงบ แต่ความสงบของเขาหมายถึงไม่กระดุกกระดิก เป็นรูปธรรมนิ่งๆพาซื่อ ซึ่งไม่ใช่เลย สงบของพระพุทธเจ้าคือ ไม่มีผีร้าย ไม่มีตัวกวน มันหยุดกิเลส ที่พาทำไม่ดี จิตกิเลสลดลงจิตยิ่งแววไว แคล่วคล่อง เวทนาปราดเปรียว เป็นกายปาคุญญตา เวทนาสัญญาสังขาร แคล่วคล่องว่องไว
แต่ทุกวันนี้ ศาสนามันเสื่อม ไม่เห็นมีใครอธิบาย เป็นบัณฑิตพุทธศาสนบัณฑิต มี Doctor อะไรมา สอบได้ก็มาเลี้ยงชีวิตได้ตำแหน่งหน้าที่ ได้เป็นเจ้าคุณได้เป็นสมเด็จอะไรไป ออกมาก็ได้ฐานะทำมาหากินเลี้ยงชีพ เป็น ปทปรมะ
ปทปรมะคือใคร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน ว่าคือ คนที่รู้ธรรมะอยู่ก็มาฟังธรรมะอยู่ก็มากสอนธรรมะอยู่ก็มาก คือรู้ธรรมะดี สอนด้วย ทรงจำไว้ก็มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย ชีวิตไม่บรรลุธรรม ชาติทั้งชาติเป็นจับกังแบกลังทองคำ ชีวิตมีแต่ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จับกังแบกลังทอง แต่ไม่ได้คุณค่าอะไรที่แท้จริง มีเยอะ อยู่ในสังคมศาสนาพุทธ เห็นแล้วน่าสงสาร
พูดอย่างไม่ได้ดูถูกดูแคลน แต่อธิบายสัจธรรม ควรฟังอย่างไม่มีอคติ อาตมากำลังเตือนสติให้รู้ตัว แล้วก็พัฒนาตัวเองเถิด ตั้งใจศึกษาให้ดี จะได้รู้ว่าปฏิบัติอย่างนี้หรือ จิตใจเราจะได้เข้าถึงหรือบรรลุสัมปันนะ หรือสัมปัตตะ จิตใจเราถึงจะเข้าถึงการปฏิบัติที่มีผล ทำให้กิเลสลดได้อย่างที่อาตมาอธิบาย
เหมือนอย่างเช่นชาวอโศกปฏิบัติมีมรรคผล จึงเกิดชาวอโศก สังคมชาวอโศกเป็นสังคมที่ปฏิบัติธรรมมีมรรคผล เป็นสังคมอาริยะ ทุกวันนี้พูดอย่างจริงใจ แต่ไม่ได้อยากอวดโอ่โชว์อ้าง แต่รายงานความจริง
ศาสนาพุทธทุกวันนี้เหมือนกลองอานกะที่ไม่เหลือเนื้อไม้เดิมแล้ว ไม่เหลือเนื้อหาแกนกระดูกสาระของศาสนาพุทธแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(มูลสูตร) ตอน มูลสูตร 10
เอามูลสูตรมาพูดดีกว่า
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .
4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
ถ้าทำจิตได้สมบูรณ์ตามมูลสูตรทั้ง 10 ข้อนี้ ถ้าเข้าใจ เป็นสภาวะและทำได้คืออรหันต์หรือยิ่งกว่าอรหันต์
คนที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าเริ่มต้นด้วยความยินดีพอใจ มีฉันทะ ต้องยินดีต้องต้องการ ฉันทะ มีความเทียบเท่ากับกาม ใคร่อยาก ยินดีพอใจ แต่ท่านไม่ใช้คำว่ากาม คนจะสับสน ไม่ใช่ต้องการ ลาภ ยศ สรรเสริญ กาม กิเลสหรืออัตตา แต่ต้องการมาเอาออก ต้องการล้างโลกธรรม จึงเรียกว่ามีความยินดีมีความต้องการ อย่างพวกคุณมีความยินดีตั้งใจมาศึกษา จนบรรลุแล้ว ก็รู้ว่า เราต้องการอยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมดี จึงเอาครอบครัวมาอยู่ด้วย ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นเหมือนสนามแม่เหล็ก ทำให้แต่ละคนที่เข้ามา เป็นแรงเหนี่ยวนำปรับตัวได้ง่าย
อยู่ในหมู่มิตรดีอาริยะ จะมีแรงเหนี่ยวนำทำให้เราเป็นอาริยะได้ง่าย บริสุทธิ์ดุจสังข์ขัดโดยส่วนเดียว ง่ายกว่าไปอยู่ข้างนอกเพียงคนเดียว แต่คนก็ยังไม่ค่อยจะมา แต่คนที่เข้าใจ มีจิตฉันทะก็จะมา
สองมนสิการเป็นแดนเกิด คือถิ่นที่จะเกิด โอปปาติกโยนิ เกิดตรงนี้ โอปปาติกะ คือธาตุจิต ไม่ได้หมายถึงการเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ มีศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ทำให้เกิดจิตอาริยะ ตรงนี้แหละทำอย่างไร คุณต้องทำใจในใจเป็น มนสิการเป็น มนสิการอย่างสัมมาทิฏฐิ อย่างถูกต้อง
เช่น ไปนั่งหลับตาสะกด ก็เป็นการทำใจในใจ มนสิการ แต่ไม่โยนิโสไม่ลงไปถึงที่เกิด ไม่เป็นสัมภวะ เพราะคุณไม่ได้วิจัยเลยว่า เกิดอย่างไร ที่เกิดที่ไหน เกิดอย่างไร ไม่มีโพชฌงค์ ไม่มีการพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม
กายจะขาดภายนอกไม่ได้ ต้องพิจารณาเข้าไป ให้ถึงเวทนา แล้วทำเวทนานี้ให้เป็นหนึ่งเดียว ไปจับในเจโตปริยญาณ 16 ทำให้กิเลสหมดไป ที่ทำให้ปรุงแต่งเป็นเวทนาเก๊ เวทนาไม่แท้ ทำให้เหลือเวทนาเดียว แล้วก็หยั่งลงเป็นธรรมะ
ถ้ามนสิการไม่เป็น ทุกวันนี้เป็นนั่งหลับตาสะกดจิต จะไม่มีธรรมวิจัย
ก็เห็นใจที่เขาไปยึดถืออย่างผิด ครูบาอาจารย์ครอบงำความคิดไว้อย่างสนิท ยิ่งนานวันยิ่งเห็นใจว่า ทำไมถึงโง่อย่างไม่มีปรโตโฆสะ
ถ้าทำอย่างนั้น ถ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตอนนี้มีอรหันต์เต็มไปหมดแล้วแม้แต่พระโสดาบันก็ปฏิญาณไม่ได้ ชี้ได้ว่าอบายมุขแต่ก่อนเราติด แต่ตอนนี้เราไม่ติดแล้ว กามกับภพ ก็จะบอกได้ว่า แต่ก่อนเราติด แต่ตอนนี้เราอุเบกขาแล้วเฉยๆแล้ว
ใครฟังวันนี้ ฟังโยมกิมตัง ที่อาจารย์หญิงซัก แกไม่ยี่หระโลกหรอก แกก็อยู่อย่างสบาย เราฟังแล้วก็รู้ว่าอรหันต์อย่างน้อยอรหัตตมรรค คือชัดเจน พูดอย่างซื่อๆชัดๆ คนไม่รู้ก็จะไม่รู้ว่ามีคุณธรรม คนที่บอกเสแสร้ง เรียนรู้มามาก ก็บอกว่าบรรลุได้ แต่คนๆนั้นระวังจะปาราชิกเอา
มีมนสิการเป็นแดนเกิด ต้องอ่านหทยรูปออก รู้ว่ามีชีวิตินทรีย์ มีอาการชีวิตของกิเลส พลังงานของมันเป็นอินทรีย์ ล้างกำลังอินทรีย์ของกิเลสหมด ก็จบ เราจะเข้าใจ หทยรูป เพราะมันมีอาหารรูป ที่เป็น มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร ผัสสาหาร ไม่รู้จัก กามตัณหา ภวตัณหา ไม่มีวิภวตัณหา เราก็รู้แล้วทำไปตามแต่ละขั้นตอน ท ท่านไม่ได้ให้ทำอย่างมั่วๆ ให้ทำทีละปริเฉท context หรือ content ต้องทำแต่ละบริบทคือ context ทำแล้วรวมเป็น content
ทำแล้วจะเกิด ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา เป็นคุณสมบัติอุเบกขาด้วย แล้วสุดท้ายจิตจะมีลักษณะ 4 อุปจยะ เกิด รู้จิตเกิด จิตที่เกิดนี้ผู้ที่บรรลุแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วจิตมันเกิดก็จะรู้ว่ามันเกิด แต่จิตใจที่เป็นกิเลสไม่เกิดแล้วพระอรหันต์ จิตที่เกิดจะให้มันเกิดหรือไม่ให้มันเกิดก็ได้ ไม่ให้เกิดต่อก็ตัดสันตติ แต่ถ้าเราให้เกิด ทุกอย่างเกิดมาจะเสื่อม ชรตา และจะอนิจจัง
ลักษณะ 4 นี้ ทุกอย่างจะเสื่อมแต่ผู้สมบูรณ์จะไม่ปล่อยให้อนิจตาไป แต่จะกำหนดได้
ในรูป 24 มี ปสาทรูป และโคจรรูป รวมเป็น 9
นาม มี 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
ปฏิบัติ นาม 5 กับรูป 28 แต่ทุกวันนี้อภิธรรมเขาเรียนกันได้แต่ภาษาแต่ไม่ได้เข้าใจ ในการปฏิบัติ น่าสงสาร รู้เก่งสอนเก่งบรรยายเก่งแต่ไม่บรรลุธรรมปทปรมะ
มีสัมผัสเป็นสมุทัย เป็นสมุทัยหรือเหตุในการปฏิบัติ คือผัสสะ ส่วนสมุทัยของผลคือตัณหา ต้องฆ่าตัณหาให้ได้ แต่ต้องมีสมุทัยในการปฏิบัติก่อน คือต้องมีผัสสะ
มีเวทนาเป็นสโมสรณา เป็นที่ปฏิบัติ จัดการกับผัสสะที่ประชุมกันนี้ ทำให้ตกตะกอนตกผลึกเป็นผลสำเร็จ เช่น ปฏิบัติธรรม รู้ ชาติ 5 คือ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ
การเกิด ชาติ คือเกิดโดยรวม สัญชาติคือเกิดมาโดยของเก่า
ถ้ารู้จิต แยกการเกิดของจิตได้ ว่านี่จิตเกิดเป็นอกุศลจิต ต้องรู้ความหยั่งลงของจิต จนมีสัมมาทิฏฐิ แยกจิตที่เป็นกิเลสออก ทำให้ลดลงได้ แต่ถ้าอวิชชาจิตก็มีแต่กิเลสหยั่งลงตลอดเวลาเช้ายันค่ำ การสั่งสมตกผลึกในจิตเรา ถ้าไม่ได้เรียนโอกกันติ คือชาติปัจจุบันนี้
คำว่า ชาติ คือพยัญชนะโดยรวม เมื่อเรียนรู้จับกิเลสได้ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ทำให้กิเลสหมดไป จิตสะอาดขึ้นคือกรรมกิริยาของนิพพัตติ คือการเกิดชาติที่ทำให้เกิดเสขปฏิบัติ เสขบุคคล เกิดการได้สิ่งที่เสียไป คือส่วนแห่งบุญ บุญคือได้เสียกิเลสไป กิเลสวิบัติไม่ใช่ได้สมบัติ ได้สมบูรณ์ก็เป็น อภินิพพัตติ
คือปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขารก็คืออภินิพพัตติ สั่งสมเป็นอเนญชาภิสังขารต่อไป
เมื่อปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ สติก็จะยิ่งเป็นอธิปไตย เป็นพลังอำนาจ รู้ตื่นไม่งัวเงีย ไม่มีอะไรมัวหมองหรือต้านกั้น เป็นสติที่แจ่มใส ที่มัวหมองเพราะว่ามีกิเลส กิเลสทำให้มัวหมองดำคล้ำ เมื่อกิเลสจางหายไปก็จะใสสะอาดขึ้นด้วย มีสติมีพลัง คือแจ่มใสสว่างขึ้นเรื่อยๆ
มีปัญญาเป็นอุตระคือเหนือ เหนือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ที่คนตกเป็นทาสโลกธรรม มีปัญญามีความรู้ความเข้าใจจริงๆ ว่าเราหลุดพ้น ไม่เป็นทาสแล้ว ก็มีปัญญา เป็นอุตระ เมื่อทำได้
ก็รวมเป็นวิมุติเป็นแก่นสาร แก่นสารของศาสนาคือวิมุติ
หลุดพ้นจากลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข การบรรลุไม่ใช่หนีเข้าป่าเขาถ้ำ หนีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์ ไม่ใช่
แต่ผู้บรรลุ จะอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่เราหมดกิเลสกับสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ทำกรรมการงานในสิ่งที่ควรทำ อย่างขยันหมั่นเพียร มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ที่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการของสังคม รู้ว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ
เช่น สังคมยุคนี้ไม่สมควรไปปรุงแต่ง สร้างเสริมอบายกัน เช่นไปส่งเสริมการเมืองการเลือกตั้งขี้โกง หยุดดีแล้ว เพราะการส่งเสริมพรรคการเมืองที่รวบอำนาจไว้หมด ส่งเสาไฟฟ้าลงสมัครรับเลือกตั้งก็ยังได้ นี่คือการขี้โกง แต่เขาบอกว่าการเป็นประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง มันเป็นความรู้ที่ตื้นเขินในประชาธิปไตย
ทุกวันนี้ประชาธิปไตยที่ทำกัน เป็นการสร้างเครือข่าย ค่ายกลการเมืองไว้อย่างแข็งแรง เหมือนหนังกำลังภายใน ใครติดเข้าค่ายกลนี้ก็เสร็จ พวกนี้สบายเลย ดักไว้หมดแล้ว นี่โล๊ะกกต.ออกหมดก็ดีแล้ว พวกนี้ถูกเขาร้อยไปหมดแล้ว ที่สืบทอดจากของเก่า ก็ต้องเอาออกหมด set zeroให้หมดเลย ยุคนี้เป็นยุคล้างอบายมุขทางการเมือง คือโลกนรกเลวร้ายเสื่อมต่ำ อบายมุขเป็นขิฑฑาปโทสิกะคือ บันเทิงเริงรมย์ สนุกสนาน ดารากีฬาอะไรมากมาย
มีอมตะเป็นที่หยั่งลง โอคธา คือ เส้นความบรรลุแก่นหยั่งลงในจิต เป็นอมตบุคคล เกิดก็ได้ ตายก็ได้ วิมุติก็บรรลุแล้ว คนนี้จะรู้จักรูปธรรมของอุปจยะของจิต เกิดต่อหรือไม่ต่อ ผู้เป็นอาริยะปรุงแต่งอย่างไม่มีกิเลส จะตัดสันตติก็ได้ เข้าใจจิตตนว่าจะเชื่อมต่อหรือจะหยุด ให้เกิดก็ได้ตายก็ได้ คืออมตบุคคล
สุดท้ายมีปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะเป็นพระโพธิสัตว์กลับมาเกิดต่อก็ได้ แต่เถรวาทเมืองไทยไม่ได้สอนอย่างนี้ แล้วหาว่าอาตมาสอนผิดอีก ในมูลสูตรก็บอกไว้ แต่เถรวาทมีอุจเฉททิฏฐิคือ อรหันต์ตายแล้วสูญ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ของเถรวาท
_มีคำถามมาว่า... พ่อครูเห็นลูกๆ เฉื่อยเนือยถึงทางตีบทางตันที่ยากแก่การพัฒนาในด้านใดบ้างคะ
พ่อครูว่า...ในด้านในก็ครบทุกอย่างในกัมมันตะ ในการงาน ในสิ่งที่ควรทำ ทั้งอาชีพ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะรู้สึกว่าเฉื่อยเนือย จิตใจไม่ยินดีแต่รู้ว่าสิ่งที่อยู่กันไปนานๆ ความกระปรี้กระเปร่ากระตือรือร้น มันน้อยลงลดลง
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ_สมาร์ทโฟน) ตอน สัตว์นรกมากับสมาร์ทโฟน
_นักบวช ฆราวาท และนักปฏิบัติธรรม รวมทั้งคนถามด้วย ที่อยู่แบบเหมาะควร(ตามภูมิปัญญาของตน)(และสุขสบาย) ไม่ตั้งตนบนความลำบากต่อ มีฐานะที่เหมาะสมให้อาศัย จะออกจากฐานนี้ได้อย่างไรคะ..ทุกข์ก็ไม่มาก ชวนให้ไม่อยากไปต่อ..
พ่อครูว่า มันเป็นสองแบบ คือ หนึ่ง ตัวผู้ที่มาแล้ว ก็อัตราความก้าวหน้า ความกระตือรือร้น ก็น้อย คือแก่วัดหรือไม่ สองคนใหม่ก็ไม่ค่อยเข้ามา คือติดแป้น เทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง เป็นเทพนิกายในนิกายหนึ่ง เมถุนสังโยค 7 ข้อที่ 7
เป็น ปปัญจรามตา คือยินดีในความเนิ่นช้า ถ้าคุณไม่ขมีขมัน ไม่กระตือรือร้น จะเนิ่นช้า
อารามตามี 4
กัมมารามตา ภัสสารามตา นิทรารามตา
กัมมารามตา การงานยินดีในการงาน
อารามคือยินดีไม่เสียนะ แต่ยินดีแล้วเสพติด เหมือนที่เขาเสพติด ที่จิ้มๆ วันๆไม่ทำอะไร มันเป็นเครื่องเสพติดที่ยิ่งใหญ่มาก ซื้อขายกันเต็มโลก คนคิดเช่นนี้ไม่รู้ว่าคือสิ่งเสพติดยิ่งใหญ่มหาวินาศที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นพิษภัย ทำให้คนเสียเวลา หมกมุ่น เสียพลังงานจากคนจากสังคม แล้วเป็นคนประมาท มักได้ มีโทษมากมาย ในที่จิ้มๆ
จริงที่เทคโนโลยีมันดีขึ้น แต่ไม่รู้จักการใช้งานให้เหมาะสม เรื่องเหลือเชื่ออะไรก็เอามาใส่ไว้หมด เป็นความเสื่อมของโลกอย่างร้ายกาจ มุมหนึ่งเป็นความเจริญของเทคโนโลยี แต่เป็นความเสื่อมทางพฤติกรรมของคนในโลก จากอันนี้ มักง่ายใจเร็วด่วนได้ อยู่ในอันนี้ทั้งนั้น
มีคนบอกว่า ไอน์สไตน์บอกไว้ว่า สภาพเช่นนี้จะเกิดในอนาคต
ก็ให้รู้ว่า จะใช้ก็ใช้ให้เหมาะควร อย่าไปจมกับมัน มันเอาใจเอาเวลาเราไปเสียแน่ เอาอะไรของเราไปจมกับมันอย่างน่าเสียดาย ตั้งแต่มันมีมา อาตมาไม่เคยไปเป็นเจ้าของไอ้สัตว์นรกนี้เลย เป็นภูมิธรรมของตนเอง ไม่สนใจ คนอื่นๆมีประโยชน์อาตมาก็อาศัย แต่ไม่เคยถือให้หนัก คนซื้อมาให้ก็มี แต่ไหนแต่ไรแล้วไม่เคยดูถูกว่าไม่มีประโยชน์ แต่ทุกวันนี้ อาศัยคนอื่นใช้ก็พอแล้ว ไม่เห็นว่าจะขาดแคลน ไม่ทันโลกก็ไม่จริง อาตมาว่าอาตมาทันโลกอยู่
_ผมเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติที่กาย เวทนา จิต ธรรม ใช่หรือไม่
พ่อครูว่า...ปฏิบัติธรรมมีโลกุตรธรรม 46 คือโพธิปักขิยธรรม 37 + มรรค 8 ผลสอง
ตั้งแต่ กายในกาย เป็นโลกุตรธรรมข้อที่ 1 เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ปฏิบัติด้วยสัมมัปปธาน 4 ต้องมีสํารวมอินทรีย์ 6 ปหานกิเลสให้ได้ให้เกิดผล ภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน สั่งสมเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 ตาม โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เกิดโพชฌงค์ 7 ก็ไม่เกิด
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ 10) ตอน สัมมาทิฏฐิ 10 เป็นโลกุตระ
_สัมมาทิฏฐิ ที่เป็นอนาสวะคือไม่เหลืออาสวะแล้วเป็นองค์มรรค ต่างกับสัมมาทิฏฐิ 10 อย่างไร ?
พ่อครูว่า..สัมมาทิฏฐิ ที่เป็นอนาสวะคือไม่เหลืออาสวะแล้วเป็นองค์มรรค ต่างกับสัมมาทิฏฐิ 10 อย่างไร
ที่เป็นสาสวะ อันนี้คือมรรคแท้ๆ ที่เป็นองค์แห่งมรรคที่บอกว่าเป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ คำว่าส่วนแห่งบุญนี้ ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นสาสวะ แล้วมีข้ออนาสวะอีก
ข้อสาสวะ ไม่ได้ใช้คำว่า เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ ก็หมายความว่า สิ่งที่เป็นแค่ส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ก็ยังไม่เป็นอนาสวะ แต่เป็นโลกุตระหรือเปล่า ก็เป็น แต่ท่านไม่ได้กล่าวไว้ ถ้าปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ แม้แต่อนาสวะก็เป็นโลกุตระ
เช่น รู้ว่าทำทานแล้วทำใจอย่างไร จึงจะเป็นส่วนแห่งบุญ เช่น ทำทานแล้วสร้างภพชาติไม่เป็นส่วนแห่งบุญ เพราะว่าบุญไม่ใช่สิ่งที่ได้มา ได้บุญคือทำให้กิเลสลดได้ เสียกิเลสไป เสียนั่นแหละคือได้มา ท่านตรัสภาษาโลกุตระ แต่คนเข้าใจไม่ถึง
ผู้ที่ได้ส่วนแห่งบุญคือผู้ที่เสียไป ถ้าส่วนแห่งบุญหมด สิ้นอาสวะ คือหมดบาปหมดกิเลส ส่วนแห่งบุญก็หมดไป เป็นปุญญปาปปริกขีโณ พระอรหันต์เป็นผู้สิ้นบุญแล้วทั้งนั้น บาปก็ไม่มี จึงเป็นคนที่ สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง พระอรหันต์ทุกองค์ไม่ทำบาปทั้งปวง จะทำกรรมอะไรอยู่ ก็มีแต่กุศลทั้งหมด กุสลสูปสัมปทา เพราะมี สจิตตปริโยทปนัง
ส่วนแห่งบุญมีผลแก่ขันธ์ ขันธ์เรามี 5 คือ ทำให้อุปาทาน คือ รูปูปาทานักขันโธ เวทนูปาทานักขันโธ สัญญูปาทานักขันโธ สังขารูปาทานักขันโธ วิญญูปาทานักขันโธ สะอาดขึ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_โยนิโสมนสิการ) ตอน โยนิโสมนสิการอย่างไรให้บริบูรณ์
_มีคนฟังที่พ่อครูว่า ที่พ่อครูบอกว่าคนทุกวันนี้ทำโยนิโสมนสิการไม่เป็น ถ้าทำเป็นบรรลุธรรมเป็นอรหันต์เยอะแล้ว อยากให้พ่อครูช่วยอธิบายขั้นตอนการปฏิบัติอย่างละเอียดด้วยค่ะว่าทำยังไง (ที่จริงที่ครูก็อธิบายมาแล้วหลายรอบแต่อยากให้พ่อครูย้ำอีกค่ะ)
พ่อครูว่า..ในอวิชชาสูตร คุณจะโยนิโสมนสิการ เป็นสุริยเปยยาลข้อ 7 ถ้าไม่โยนิโสฯได้ก็ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไม่ได้ เพราะว่าไม่เจอแสงอรุณ 7 คือต้องมีมิตรดี มีศีล ฉันทะ อัตตา ทิฏฐิ อัปปมาทะ โยนิโสมนสิการ
ต้องคบสัตบุรุษ จึงได้ฟังสัทธรรม จึงสามารถปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม จึงจะเกิดโยนิโสมนสิการ
เมื่อคบสัตบุรุษ จะเข้าใจสัทธรรมที่บริบูรณ์ อย่างอาตมาเป็นสัตบุรุษ ขออภัยที่พูดตรงๆ จริงใจ คุณฟังธรรมอาตมาให้ดี จะได้ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ จะได้มีศรัทธา ความรู้ความเชื่อถือความเข้าใจจะได้บริบูรณ์
เมื่อศรัทธาบริบูรณ์ จะมีมนสิการที่บริบูรณ์ จะได้รู้การทำใจในใจที่ถูกต้อง ทำอย่างลงไปถึงที่เกิด ให้เกิดผลอย่างนี้แล้ว ก็จะได้รู้ว่านั่งหลับตาสะกดจิตไม่ถูกต้อง ต้องเปิดตา มีการรับรู้ทวาร 6 จึงจะบริบูรณ์ มีโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์
จะมีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ สํารวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์
เกิดสติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 วิชชาและวิมุติก็บริบูรณ์ เป็นพระอรหันต์
นี่คือ เอาหลักธรรมพระพุทธเจ้ามาขยายความ อย่างไม่ได้ท่องเลย เป็นสภาวะที่ต่อเนื่องกัน พออ่านครั้งสองครั้งก็จำได้ เพราะว่ามีสภาวะรองรับ มีของจริงรองรับ
สมณะเดินดินว่า...วันนี้พ่อครู จำกัดความคำว่า สุขของพุทธ ปัญญาของพุทธ มีนัยยะที่ต้องทบทวน วันนี้พวกเราแม้อธิบายจิต ปริสุทธา ปริโยทาตาก็อยากได้นะ แต่ทำอย่างไรจึงจะได้ บางทีพวกเราถูกบ่นว่า ถูกด่า ถูกว่า แต่มูลสูตรบอกว่ามีสัมผัสเป็นสมุทัย เป็นที่เกิด ถ้าคิดว่าปฏิบัติธรรมแล้วไม่มีใครจะมาว่าเราเลย ไม่มีใครคิดถึงเราเลย ก็คงจะไม่ได้ ปริสุทธา ปริโยทาตา เพราะว่าจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อ ตูมเข้ามาแล้ว บริสุทธิ์ไหมหวั่นไหวไหม
เหมือนพ่อครูบอกว่าตอนเกิดเรื่อง เขาทำหนังสือเดรัจฉานโพธิรักษ์มา(พ่อครูว่า.. เดิมแท้ถือมา อาตมาก็บอกว่าเห็นแล้วก็เอา เขาก็ว่าเราก็วาง แล้วก็นอน)
สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องบอกเราได้ว่า เราจะรู้เจโตปริยญาณของเราไหม
การนั่งหลับตาสมาธิมีแต่สะกดจิต แต่ของพุทธ ต้องสงบจากกิเลสแม้กระทบสัมผัสกับโลกธรรม แต่ของเขาต้องไปนั่งหลับตาเอา มาสัมผัสโลกธรรม อาจภูเขาไฟระเบิด พ่อครูเหมือนคนบอกว่าโลกกลมคนเดียว แต่คนทั้งโลกเชื่อว่าโลกแบน…
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:21:04 )
รายละเอียด
600614_เอื้อไออุ่นแพทย์วิถีธรรม ส่วนป่านาบุญ 2 อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37_สัมมาทิฏฐิ 10) ตอน ออกจากแรงดึงดูดของโลกด้วยอัญญะ
พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560 เรามาถึงอำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช สวนป่านาบุญ 2 อยู่บนเรือบินเสียเวลา มากันก็จวนเจียนไม่ทันฉันข้าว ก็มาพอได้ทันพอดี ทุกอย่างก็เกิดอุปสรรคให้เราได้ฝึกฝน
อุปสรรคแปลว่าใกล้สวรรค์ อุปะ คือใกล้ หรือเริ่มเกิด เป็นสภาวะธรรมที่ทำให้เราได้ฝึกฝน ให้เราได้ใช้การปฏิบัติ การปฏิบัติของพระพุทธเจ้าต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัย เมื่อสัมผัสแล้วก็จะเกิดภาวะ Action reaction เกิดพลังงานขึ้นมาในจิตใจ แล้วเราต้องอ่านจิตใจ วิเคราะห์วิจัยจิตใจอย่างละเอียดลออ ตั้งแต่พื้นฐานเบื้องต้นไปถึงกลาง ถึงละเอียด
พวกเราก็ได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ได้ทำกันมา ช่วงนี้รู้สึกว่าทางด้านค่ายแพทย์วิถีธรรมจิตอาสา จะมีมวลที่เหนียวแน่นมากเลย มีกิจกรรมเป็นที่ต้องตาต้องใจ ชาวสังคมมาก จะได้รังสรรค์ช่วยเหลือศาสนาพระพุทธเจ้า ให้พัฒนาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็มีพวกเรา ที่ได้พยายามรังสรรค์สืบสานศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ได้ยืนยาวแก่โลก
ซึ่งตอนนี้กว้างขวางขึ้น เพราะว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระจริยวัตร ช่วยเหลือประชาชนมา เป็นพระมหากรุณาธิคุณมหาศาล ที่ได้ทรงเผยแพร่ พระจริยวัตรของพระองค์ ทำให้คนรับซับซาบได้ ในนัยยะโลกุตรธรรม
โลกุตรธรรมนั้น คนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ เป็นเรื่องที่ทวนกระแส โลกียธรรม มันมีจิตที่อาตมาได้แยกแยะวิเคราะห์วิจัยจิต เริ่มตั้งแต่ตัวญาณรู้โลกุตระตัวแรกที่เรียกว่า อัญญะ
อัญญะแปลว่าอื่น ออกจากจิตสามัญแบบโลกที่วนเวียนในโลกธรรม ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข อย่างดีก็ทำความดีพากเพียรไม่เบียดเบียนคนอื่น แล้วจะรุ่งเรืองด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขที่เป็นกามคุณ 5 หรือได้บำเรออัตตา แล้วเป็นสมบัติผลัดกันชม เป็นวิบาก เดี๋ยวเขาขึ้น เดี๋ยวเราลง แย่งกันไปกันมา ถ้าได้ทำสิ่งที่ดีที่ควรก็จะขึ้น ทำสิ่งไม่ดีไม่ควรก็จะตก วนไปวนมา จนมีจิตอัญญธาตุ ปลุกออกมาจากโลกเก่า
เป็นจิตที่มีตัวรู้ เห็นเลยว่า ต้องไปทำแบบโลกีย ฝึกฝนตนเองให้หลุดออกมา เหมือนคนค้นพบ พลังงานดึงดูดของโลก แล้วเราหลุดออกจากพลังงานดึงดูดของโลกได้ เมื่อมีทฤษฎีที่จะทำให้ออกจากแรงดึงดูดของโลกได้ คือทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ถ้าปฏิบัติมา จริงๆแล้วไม่ได้สัดส่วนสมควรถูกต้องก็ไม่หลุดจากโลกียะ
การปฏิบัติตามได้ฟังธรรมะของสัตบุรุษ ได้ปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสมาธิลืมตา ไม่ใช่สมาธิหลับตาแบบสากลทั่วโลก ไม่ว่าใคร ฤาษีชีไพร ...แต่สมาธิลืมตาเป็นของศาสนาพุทธเท่านั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(สังโยชน์ 10) ตอน คุมกิเลสนอกได้แล้วจะคุมจิตฟุ้งซ่านได้อย่างไร
ก่อนจะได้ลงรายละเอียด ก็จะอ่าน คำถาม
_ขันติคือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง ถ้าเป็นกิเลส กาย วาจา ข้าพเจ้าคิดว่าอดกลั้นได้ แต่ถ้าเป็นกิเลสทางใจ คือ จิตคิดฟุ้งซ่านไร้สาระ ตัวเราเองไม่ได้อยากจะไปคิด แต่มันคิดขึ้นมาเองควบคุมไม่ได้ จะมีวิธีปฏิบัติอย่างไรให้เลิกคิดฟุ้งซ่าน ต้องสร้างบารมีขนาดไหน จึงสามารถนำพาญาติพี่น้องมาสู่หมู่โลกุตระได้ ถ้าเราทำไม่ได้จะทำใจอย่างไร?
ตอบ...ประเด็นแรกที่ว่าจิตฟุ้งซ่าน อดไม่ได้ ถ้าควบคุมกายวาจาก็อดทนได้ แสดงว่ามีพลังงานทางธรรมขนาดหนึ่ง กดข่มด้วยเจตนาเลย ถ้าเป็นอนาคามี เป็นผู้ที่มีจิต ภายนอกทางกายวาจา จะเป็นกิเลสยั่วยวนมอมเมาจัดจ้านอย่างไรก็ไม่ตอบสนอง ทนได้ จะมีกิเลสที่เหลือก็ไม่ออกมาแสดงออกภายนอกแล้ว ถ้าเป็นอนาคามีที่สูงแล้วก็ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ถ้าอนาคามีต้นๆ ก็ต้องพยายามมากหน่อย พยายามสำรวม อดกลั้น อดใจไว้เยอะ ถ้าจริงๆข้างนอกเราก็ละอาย กลัว เรารู้วิบากบาปมีจริง เราก็ไม่สร้างอกุศลวิบากเพิ่ม จะเป็นคนเชื่อกรรมวิบาก เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ถ้าคนอดกลั้นได้จริงๆ เป็นการเข้าเขตอนาคามี ทางกาย วาจา ข้างในก็อดกลั้นได้ไม่ให้รุนแรง แต่ใจคิดฟุ้งซ่านไร้สาระอยู่ ก็เป็นธรรมดา เป็นรูปภพก็แรงหน่อย เบาลงก็อรูป แม้เบาลงก็มีซ้อนเป็นมานะ เป็นอาสวะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาก็ค่อยๆทำไป
ถามว่าจะทำอย่างไร ใจอยากได้เร็วนะที่ถามมา ไม่อยากฟุ้งซ่าน ก็เจอทุกคน อาตมาก็เจอ ก็ต้องค่อยๆปฏิบัติ ถามว่าทำอย่างไรก็ทำตามทฤษฎีที่เราทำ อย่าใจเร็ว พากเพียรให้เต็มที่ อย่าให้เกิดให้เสื่อม ชักฟุ้งซ่านอยากออกจากหมู่ก็จะเสีย พวกเราอย่าใจร้อน อันนี้ใจร้อนไป อาตมาว่าไม่ต้องใจร้อนมากไปหรอก พยายามปฏิบัติตามหมู่ตามอาจารย์พาทำตามศึกษาไป
แล้วประเด็น 2 ต้องสร้างบารมีขนาดไหน จึงสามารถนำพาญาติพี่น้องมาสู่หมู่โลกุตระได้ ถ้าเราทำไม่ได้จะทำใจอย่างไร?
พ่อครูว่า... อันนี้ตอบไม่ได้เลย ขึ้นอยู่กับบารมีของญาติพี่น้องด้วย ไม่สามารถตอบได้เลย ขนาดพระพุทธเจ้า ยังไม่สามารถเอาญาติพี่น้อง มาไม่ได้ง่ายๆเลย อย่าเพิ่งคำนึงถึงคนอื่นมาก แม้จะเป็นพี่น้องทางด้านสรีระ ตัวตนบุคคล บางที สายเลือดญาติพี่น้อง บางที ไม่ใช่พี่น้องที่จะพาไปโลกุตระ บางทีเป็นศัตรู มาเป็นผู้ทวงหนี้ก็ได้ ไม่ควรไปหลงพี่น้องมาก แต่ไม่ได้ว่าไม่เกื้อกูลพี่น้องเลย แต่ให้รู้ว่าเราจะเอาให้พี่น้องได้หมดก็ไม่ได้หมดหรอก ได้บางผู้คน ตามบารมี
อย่างอาตมา มีน้องชายสามคน เสียไปคนหนึ่ง น้องผู้หญิงสามคน น้องคนหนึ่ง แยกไปปฏิบัติธรรม บวชไปแต่ไม่มากับอาตมา มุ่งมั่นเชื่อตัวเองว่าสูงกว่าอาตมาด้วย ตัวเองถือว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าด้วย แต่ไม่ได้บ้า น้องชายคนรองไปอยู่อเมริกา น้องชายสุดท้องเสียไปแล้ว นอกนั้นน้องผู้หญิงก็มา อาตมาไม่พยายามบังคับ ให้สร้างบ้านไว้ก็ไปๆมาๆ ก็ยังไม่เข้ามา ทั้งที่น้องสาวคนโตก็ 80 แล้ว ไม่รู้เขาจะอยู่ไปนานเท่าไหร่ก็เป็นตามจริง สรุปว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเกินไป การรักน้องรักญาตินั้นดี แต่คนมีบารมีต่างกัน
ถ้าเราพาพ่อแม่ญาติพี่น้องมาไม่ได้ ก็ให้วางใจๆ ทุกคนมีกรรมวิบากเป็นของๆตน เราได้ช่วยเต็มที่แล้วด้วยเมตตาหวังดีจริงๆ รู้จักขีดเขตว่าพอดีแล้ว
_ดิฉันอายุ 56 ปีแล้ว ได้เรียนปริญญาตรีกับแพทย์วิถีธรรม จบปีนี้แล้ว เดิมตั้งใจว่าจะจบแค่ปริญญาตรี เมื่อเห็นอาจารย์หมอเขียวจะปฏิรูปการศึกษา จึงเกิดความคิดจะเรียนปริญญาโท พ่อท่านคิดว่าจะเหมาะกับอายุไหมคะ จะเป็นการทำให้เสียงบประมาณหรือไม่คะ ถ้าจะต่อสถาบันวิชชารามป.โท หรือว่าควรจะเสียสละกับคนรุ่นใหม่
ตอบ...ความเหมาะสมของแต่ละคนก็ต้องประมาณตนเองและคนแวดล้อม รู้กันดีว่าคนนี้ ถ้าจะไปเรียน อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว ที่จริง 56 ก็ไม่แก่เกินเรียน ก็ต้องพิจารณาสิ่งแวดล้อมกับใจตน พิจารณาหมู่กลุ่ม เราอาศัยหมู่กลุ่มเป็นหลักดีกว่าเอาตัวเองเป็นหลัก
_เรื่องพระธัมมชโยในธรรมกายเป็นพระในพุทธศาสนาหรือไม่
ตอบ...เป็นพวกกที่แอบแฝงพุทธศาสนาไม่เป็นพระเป็น สมี เป็นผู้ปาราชิกไปจากศาสนานานแล้วหลายคดีมากมาย โดยเฉพาะคดีอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน หลอกทั้งดุ้นเลย ส่วนคดี ลักทรัพย์ ฉ้อโกง มากมายหลายร้อยคดี คือยับเยินเป็นผู้มีบาปเวรภัยไม่มีทางเป็นพระของศาสนาพุทธ เป็นตัวหลอกให้คนหลงทิศทางของศาสนาพุทธ
หลอกคนให้ล่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขได้มาก เพราะเขาก็หลงเช่นกัน เขาได้บาปเวรภัยไปเยอะมาก จนเดี๋ยวนี้ก็ไม่มอบตัว หากมอบตัว แก้กลับก็จะได้ประโยชน์ในชีวิต แต่เขาหนีไปนี่ ก็ยิ่งไปใหญ่เลย เป็นการย้อนแย้ง เป็นตัวอย่างความเลลวหลายชั้น แล้วไม่รู้ตัวซับซ้อน
ธัมมชโยเลวร้ายกว่าเทวทัตหลายร้อยต่อ ดูได้ยาก ดูเหมือนสูง เป็นโลกียะซับซ้อนเหมือนพวกเล่นหุ้น ที่โกงกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ_ตาย) บริจาคร่างกายได้เป็นบุญไหม
_การบริจาคร่างกายให้เป็นอาจารย์ใหญ่จะได้บุญมากแค่ไหน
พ่อครูว่า...เขาก็บอกว่าได้บุญกุศล บุญคือเครื่องชำระกิเลส การบริจาคร่างกายคือทำทานก็ได้กุศล เราทำใจในใจเราเป็นไหม ให้อย่างไม่มีภพชาติก็เป็นบุญ แต่ให้แล้วมีเหลือเศษกิเลสก็ได้ส่วนแห่งบุญที่ได้ชำระกิเลส
คนเรามันรักร่างกาย แม้ตายแล้วก็ไม่อยากให้ใครมาแตะต้องทำอะไร มันหวงตัว ทั้งที่ตายแล้วก็คือธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าตายแล้วเอาไปใช้ประโยชน์โดยเฉพาะทางการแพทย์ ให้คนศึกษาสรีระร่างกาย
สรีระของคนเหมือนกันอาจมีความต่างไปเล็กน้อยตามวิบาก แต่โครงสร้างเหมือน ๆ กัน
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ทำใจกับลูกขี้เหล้าอย่างไร
_มีลูกชายชอบกินเหล้าตอนนี้เป็นเลือดในสมองตีบ บวชได้แปดเดือนสึกออกมาดื่มอีก อยากทราบวิธีแก้ไข
ตอบ..ก็ช่วยเขาเท่าที่ช่วยได้ คนๆหนึ่งจะไม่มีคนช่วยเหลือเพียงแต่เรา คนอื่นช่วยด้วย ดีไม่ดีมีวิบากร่วมกัน เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน สุดท้ายจะเป็นจะตาย ไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไขมาช่วย แต่เป็นคนอื่นที่ช่วยกันอย่างพี่น้องยิ่งกว่าญาติก็เป็นได้
แม้ที่สุด เราก็พยายามเต็มที่แล้ว มันยิ่งรู้สึกว่าร้ายจนทนไม่ไหว เขาก็ยิ่งเลวร้ายแรงขึ้น เราก็ยิ่งแย่ลง ถ้าถึงขั้นนี้แล้วปล่อยเขาไปตามยถากรรม ขออภัยที่ต้องตอบอย่างถึงๆ เขาจะตายอย่างน่าเกลียดทุเรศทุรังอย่างไร ก็ต้องวางใจ แต่ถ้าเราจะช่วยได้เท่าไหร่ก็ดี แต่สุดวิสัยก็ตอบได้เท่านั้น ทุกอย่างอาศัยกัน แต่กรรมของใครของมัน การรักพี่น้องนั้นดีแต่ต้องประมาณ
_ของที่ญาติโยมให้เป็นสังฆทาน แต่ไปให้ร้านค้า ทอน เพื่อเอาไปขายใหม่เป็นอาบัติหรือไม่
ตอบ..ไม่น่าถามเป็นอาบัติแน่ ทั้งพระและโยมที่ให้ทำ
_ถ้าบอกว่าไม่ต้องใส่อาหารลงในบาตร แต่ให้ใส่เงินลงในบาตรแทน พระจะนำไปใช้จ่ายไปหาหมอ เพื่อรักษาตอนเจ็บป่วย
พ่อครูว่า...คนนี้ไม่ใช่พระอย่าเอาไปใส่บาตรอีก
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_ทาน) ตอน เอาเงินใส่บาตรพระผิดไหม
_เวลาใส่บาตรของบางท่านจะใส่ธนบัตร เงิน ลงในบาตรผิดไหม
พ่อครูว่า...เวลาใส่บาตรยังไม่รู้ บางกาละก็ใส่ แต่ถ้ารู้แล้วอย่าเอาเงินไปใส่บาตร ไปถวายเวลาใดก็ได้ แต่อาจเจอกันชั่วแวบเวลาบิณฑบาต ถ้าเป็นผู้ชายก็ใส่มือได้ ใส่บาตรก็ไม่ผิด แต่ให้รู้ว่า บาตรกลายเป็นกะลาขอทาน
บิณฑบาตแปลว่าก้อนข้าว บาตรไม่ใช่เอาเงินที่เหมือนอสรพิษไปใส่ เอาเงินไปใส่เหมือนเอาหญิงสาวไปใส่ หรือเหล้าไปใส่ เงินนี่เป็นสิ่งเสพติด เท่าเหล้าไหม เงินกับสิ่งเสพติด เงินเสพติดหนักกว่าอีก
จำหน้าตาไว้ อย่าไปคบหาพระอย่างนี้อีก
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_ศีล) ตอน เร่ิมต้นเป็นคนได้ต้องมีศีล
_การตรวจศีลทุกคนควรตรวจศีลและน้อมนำเอาไปปฏิบัติให้สูงขึ้นจนที่สุดใช่ไหม จะทำให้ตัวเองและผู้อื่นเจริญก้าวหน้า ลูกๆจะทำอย่างไรดีเพื่อให้พ่อครูอายุยืนยาว
ตอบ...ศีล ต้องขอขยายความเรื่องศีลให้ดี คนที่ได้ร่างกายเป็นคนอาการครบ 32 ถ้าอาการไม่ครบ 32 ก็ยังไม่ครบ 32 ดีแล้ว ยังไม่มีศีลสักข้อ
ถ้าจะว่าไปแล้ว ศีล สามข้อ 1 2 3 ข้อใดข้อหนึ่ง ถ้ายังเลอะเทอะทั้งสามข้อ คนนี้ยังไม่ใช่คน เป็นเดรัจฉาน ได้ร่างคน แต่จิตวิญญาณไม่ใช่คน
คนจะเริ่มต้นเป็นคน เอาศีล สามข้อนี้ไปจับ คนที่ไม่ฆ่าสัตว์แล้วมีความเอ็นดูปรารถนาดีหวังความเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง ตามจุลศีลข้อ 1 ผู้นี้ไม่ฆ่าสัตว์ เริ่มเป็นคนแล้ว
หรือผู้นี้ ไม่เอาทรัพย์สินคนอื่นที่ไม่ใช่ของเราด้วยวิธีทุจริต จะเป็นโกง ทุจริต อทินนาทาน ก็ยังไม่ใช่คน ศีลข้อใดข้อหนึ่งในสามไม่มีเลยไม่ใช่คน
ศีลข้อที่ 3 ผู้ที่มี กามจัดเกินผัวเดียวเมียเดียวก็ไม่ใช่คน
ถ้ามีสักข้อหนึ่งก็เริ่มเป็นคน มีสองข้อก็เป็นคนมากขึ้น มีสามข้องเป็นคนมากขึ้น แล้วเสริมด้วยวาจา ส่วนจิตก็มีสามเป็นลำดับ กาม พยาบาท วิหิงสา วิหิงสานั้นละเอียด ก็เอากาม พยาบาทให้ลดก่อน ไม่เบียดเบียนทำร้ายใครจนเลือดตกยางออก ผู้นี้จิตวิญญาณเริ่มเป็นคน การมีเครื่องวัด มีเครื่องชี้บ่งให้เห็นว่า จะเป็นคนจริงๆ ต้องมีเครื่องวัดอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าถือศีลเป็นหลัก ท่านตรัสชัดในพรหมชาลสูตร ถ้าจะเริ่มต้นชมท่าน จะชมเราต้องชมว่าเรามีศีล แต่ยังต่ำนัก มันต่ำที่สุดแล้ว ศีลเป็นเครื่องวัดความเป็นคน
ถ้าเผื่อว่าเราไม่มีศีลแม้แต่ข้อเดียว ยังไม่ใช่คน ยังหัวหกก้นขวิดชีวิตเละเทะ ถ้าทางใต้ ยังมีอาชีพฆ่าปลาหาปลาอีกเยอะ ละเอียดที่ว่าฆ่าปลาก็ยังไม่ใช่สัตว์ 4 ขา ก็จะไม่ลงลึกละเอียดข้อนั้น
สรุปว่า ทางใต้ฆ่าสัตว์ แต่เขาก็มีศีลข้อใดข้อหนึ่งในสามข้อก็ยังเป็นคน แต่ถ้าไม่มีศีลสักข้อใดเลยก็ไม่ใช่คน
สรุปว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ใครจะชมเรา ต้องชมเราว่าเป็นผู้มีศีล แต่ยังต่ำนัก ถ้ามีศีลข้อหนึ่งก็เริ่มเป็นคนนิดหนึ่ง มีศีลสามข้อก็เป็นคนครบสามเส้า ถ้ามีวาจาใจก็ยิ่งครบ
_ถามเรื่องพลังงานทางวัตถุ แตกตัวปรมาณู เทียบกับพลังงานทางจิตวิญญาณคน
พ่อครูว่า...เรื่องนี้เป็นเรื่องยาก อธิบายพลังงานวัตถุเทียบกับพลังงานจิตวิญญาณได้แต่หลายชั้นซับซ้อน อาตมาพยายามอธิบาย เป็นความรู้ของศาสนาพุทธที่จะรู้ได้ ตั้งแต่อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ธรรมนิยาม ตกผลึกทรงไว้เป็นอัตตาอาศัย
นิยาม 5 นี้ ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี้ไม่ได้เขียนไว้ แต่เขียนไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคโดยพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งในนั้นจะมีสัมมาทิฏฐิอยู่แต่ก็มีมิจฉาทิฏฐิด้วย จะเป็นพระโพธิสัตว์ก็เป็นระดับต้น
ผู้ที่ไม่มีศีลเลยสักข้อนั้นยังไม่ใช่คน...พ่อครู 14 มิ.ย. 2560
ผู้ที่ไม่มีศีลเลยสักข้อนั้นยังไม่ใช่คน เป็นคำแรงนะ จะไปเป็นสัตว์เดรัจฉานไปอีก ไม่ใช่คน คำศัพท์ของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า ถ้าจะเริ่มต้นชมท่าน จะชมเราต้องชมว่าเรามีศีล แต่ยังต่ำนัก
ถ้าจะชมเรา ดีที่สุดมีเครื่องวัดคือศีล มีทั้งรูปธรรม นามธรรม แม้แค่รูปธรรมทำได้ไม่ฆ่า แต่ในจิตมันอดทนได้ แม้อยากฆ่าแต่อดทนได้ก็ยังดี แต่ถ้ารูปธรรมฆ่าแล้วใจอำมหิตอยากฆ่าด้วยก็ยิ่งมีวิบาก
สรุปว่า ในศีลสามข้อนี้ ได้ข้อใดข้อหนึ่งก็ยังเป็นคน หากไม่ได้สักข้อก็ซวย ถ้าได้ข้อหนึ่งข้อเดียวก็เป็นคนนิดหนึ่ง ถ้าได้สองในสามก็เริ่มเป็นคนแล้วล่ะ ยังไม่ใช่มนุสโส แค่รูปธรรมนะ ยังมีวาจา ในจิตอีก
ความละเอียดละออของธรรมะนั้น ไม่ต้องกังวล เมื่อปฏิบัติธรรมสูงขึ้นจะมีความละเอียดเอง และบางทีไม่เป็นภาษาด้วย เป็นสภาวธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสคือความเป็นคนจะต้องมีศีล
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สมาธิหลับตา) ตอน สมาธิหลับตาไม่ใช่หลักของศาสนาพุทธ
แล้วในพรหมชาลสูตรนี้ ศีลอย่างหนึ่ง สมาธิอีกอย่างหนึ่ง ปัญญาอีกอย่างหนึ่ง
ปัญญาในพรหมชาลสูตรยังไม่ถึงปัญญา แล้วเป็นทิฏฐิที่ผิดถึง 62 ยังไม่เข้าหาปัญญา แต่ธาตุรู้ที่ท่านตรัสนั้น ตรัสถึงมิจฉาทิฏฐิ ถ้าไม่เริ่มปฏิบัติให้ถูก ก็เริ่มสามัญผลสูตร
พิสูจน์อย่างจรณะ15 สังวรศีลสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วจะเกิดผล หิริ โอตัปปะ วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เกิดฌาน 1- 4 วิชชา 8 ไปตามลำดับ
หากไม่ปฏิบัติไปตามลำดับ อย่างสามัญที่สุด ก็ต้องปฏิบัติตามลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย สังวรศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ เป็นคนมักน้อยใจพอ คือมีสันโดษอันเป็นอาริยะ
สี่ข้อนี้เป็นเครื่องวัดว่า ถ้ามีสี่ข้อนี้พอดีมีคำถามว่า สมาธิหลับตาเป็นของพุทธไหม
สมาธิหลับตาไม่ใช่ของพุทธ เป็นของครองโลก เขาเข้าใจสมาธิว่าจิตใจต้องหยุดคิด หยุดทำงาน เมื่อจิตหยุดทำงานมันก็สงบ หยุดการใช้งานก็จะเบาสบายสงบนิ่ง
ก็ทำกันทั่วโลก มีประโยชน์ไหม นั่งหลับตาสมาธิมีประโยชน์ เพระว่าปิดทวารทั้ง 5 ไม่มีอะไรกวน ก็ทำให้จิตสงบ ประโยชน์มีสี่ประการ
ในการนั่งหลับตาทำสมาธิ เป็นอุปการะ ทำเตวิชโช นั่งพักก็ได้ อาตมาทุกวันนี้ งานหนักงานมาก ไม่ได้ฝึกก็เรื้อ มันไม่เที่ยงแท้หรอก ไม่มีอะไรเที่ยงแท้เท่านิพพาน ปัญญาก็ไม่เที่ยงแท้ ลืมได้หลงได้ แต่นิพพานเที่ยงแท้ถ้าได้นิพพานถึงรอบสุดท้ายแล้ว
อาตมาถึงตีนั่งสมาธิหลับแต่มันมีอุปการะบ้าง จะตีทิ้งไม่ได้ ใช้ประโยชน์ได้ คนมีจริตนั่งสมาธิเก่งก็ทำได้ อาตมาสายปัญญาก็เลยนั่งเอาเจโตสมาธิไม่เก่ง อาตมาสายปัญญา ยิ่งทุกวันนี้เรื้อ งานหนัก ทุกวันนี้จะนอนยังปิดสวิตซ์ไม่ดับ ทุกวันนี้เขารู้หมดว่าอาตมา deep sleep ไม่เท่าไหร่ นอน 8-9 ชม. มี deep sleep แค่ 20-30 นาที แต่ก็ต้องขอบคุณพวกเราได้ช่วยกัน ทำให้อาตมา deep sleep ได้มากขึ้น
การนั่งสมาธิหลับตานั้นไม่ต้องกังวลมากหรอก ไปเกิดชาติไหนก็ฝึกได้ ยิ่งมีจริตทางเจโตก็จะได้มาก แม้ปัญญาก็ตามจะเห็นคุณค่า ไม่ต้องกังวล มาเรียนรู้สมาธิของพระพุทธเจ้านี้ยาก คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) ถ้าปางไหนอยากทำสมาธิหลับตาให้มากก็ทำได้
ทุกวันนี้อาตมาหนักมาก กับการตีไม่ตื่นตีพวกหลับตา พวกที่เป็นครูบาอาจารย์ยืนยันในสังคม เขานับถือกันมากกว่าอาตมา ท่านจะช่วยศาสนาพุทธได้มาก ถ้าท่านเลิกจะได้เข้าสู่โลกุตรธรรม แต่ถ้ายึดสมาธิหลับตาเป็นหลักจะไม่เข้าโลกุตรธรรมและซวยต่อท่านและพุทธศาสนิกชนอย่างมาก
อาตมาก็ว่าหยุดเสียที หันมาสร้างสรรสิ่งที่ถูก เมืองไทยมีรากฐานของพุทธ แต่เสียดาย เอาพลังงานไปกับเรื่องนี้ ยึดสีลลัพพตุปาทาน ทิฏฐุปาทาน อัตตวาทุปาทาน
ไม่เข้าใจอัตตาสาม โอฬาริกอัตตา ไม่ได้ศึกษา เอาแต่นั่งสมาธิหลับตาในภพ ก็ไม่รู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ก็ขอทุบหัวพวกนั่งหลับตา เริ่มต้นทำอย่างโพธิรักษ์พูด ขอรับรองว่าดี วางอันนั้นไว้ก่อน นี่ก็หลงเสียเวลาแรงงาน อย่างไรก็เป็นพุทธศาสนิกชน มาเอาอันนี้เสียเวลาทำไม โมฆบุรุษนะ
_สุขภาพของพ่อในรอบนี้ เป็นที่น่าห่วงใยเป็นที่สุด ลูกๆ พวธ. ไม่ทราบว่าพ่อจะคงโปรแกรมเยี่ยมสวนป่า 2 พอ พวธ.ศูนย์ 1 กลับไปแล้วก็ตีรถกลับมา ทุกคนรู้ว่าพ่อท่านได้เอื้อมา แม้ว่าสุขภาพท่านจะไม่เต็มก็ตาม ทำให้ลูกๆมีพลังใจ เดินทางมาพบพ่อ จึงอยากถามความในใจว่า พ่อได้ใช้พลังใจอย่างไรในการเดินทางมาเยี่ยมลูกๆ พ่อมีความมุ่งหมายสิ่งใดสูงสุด
ตอบ...ปฏิบัติธรรมให้ได้บรรลุเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ ถึงจะเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ซ้อนในตัวเอง ไม่มีอะไรอื่นดีกว่านี้
_ปี้นี้พ่อท่านเข้าพรรษาที่ไหนมีญาติธรรมไปเข้าพรรษาได้ไหม
ตอบ..ทีบ้านราชฯ ยินดีต้อนรับ
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน จะแก้กรรมได้อย่างไร
_ทำไมคนเราเกิดมามีกรรมจะแก้กรรมอย่างไร
ตอบ...กรรมนี้พูดตั้งยาวกว่าจะเป็นกรรมนิยาม หนึ่งในห้านิยาม ชีวิตคนเรา กรรมตัวเดียวรวบไว้หมด จะสุขทุกข์เจริญหรือเสื่อมหรือนิพพานก็อยู่ที่กรรม จะพูดในเวลาสั้นๆไม่มีทางได้แล้ว
สรุปว่าในมหาเอกภพ มีแต่ กรรมกับกาละ คือปฏิกิริยาของกรรม กับ กาล เช่นเดียวกับไอน์สไตน์พิสูจน์ว่าในโลกนี้มีแต่สสารกับพลังงาน และพลังงานเป็นตัวบงการ พลังงานนั้นมี 2 อย่างทำปฏิกิริยากัน
ฉันเดียวกัน ของสัตว์โลกก็มีแต่กรรมกับกาละเริ่มมาเป็นจิตนิยามตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว ตั้งแต่ต้นจะไม่ทำบาปกรรมอะไรมาก แต่พอมีความเป็นเซลล์เพิ่มขึ้นก็หาวิบากใส่ตัวเพิ่มขึ้น ซับซ้อนหมุนวนไปมา
สรุปว่า กรรม กัมมัสโกมหิ กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ
กรรมเป็นของของตน จะทำนิดน้อยอย่างไรก็เป็นของตน จะรวมลงเป็นสัญญา เป็นอัตภาพ ไม่มีหายไปไหนเลย แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ปรินิพพาน กรรมดีหรือชั่วหรือกรรมบุญ คือสละกิเลส กรรมใดทำให้กิเลสลดหรือดับได้คือบุญ จะเกิดบุญคือประกอบกรรม ต้องทำพลังงานเป็นไฟฌานเผาไฟราคะ โทสะ โมหะได้ สำเร็จไปตามลำดับ เกิดจากกรรม กรรมกุศล กุศลเป็นสิ่งอาศัย บุญไม่ใช่สิ่งอาศัย บุญเป็นธรรมาวุธ ฆ่ากิเลสทำอื่นไม่เป็น ทำได้แต่ล้างกิเลส แล้วทำให้คนอื่นไม่ได้ ทำให้ได้แก่ตน เอาบุญไปใช้กับคนอื่นไม่ได้ บุญของใครของมัน
เอาบุญไปแจกกันคือคนบ้า ใครแจกบุญให้กันคือคนทั้งบ้าทั้งโง่
บุญคือพลังงานที่สามารถกำจัดกิเลสได้ พอกิเลสในตัวเราหมด บุญก็หายวับไปหมด หมดหน้าที่ในตัวเลยอัตโนมัติ ไม่ใช่เรื่องเข้าใจได้ง่าย
ถ้าโพธิรักษ์ไม่เกิดมาไม่มีทางฟื้นเรื่องบุญที่สัมมาทิฏฐิขึ้นมาได้ ถ้าอาตมาไม่เกิดมา บุญก็จะทำไม่ถูกแต่ประหารกิเลสไม่ได้ เหมือนเปาบุ้นจิ้นแต่ไม่มีเครื่องประหารหัวหมาก็ประหารไม่ได้ หรือฝรั่งเศสไม่มีกิโยตินก็ประหารไม่ได้
ถ้าไม่มีบุญ ก็ไม่สามารถประหารกิเลสได้อย่างสัมมาทิฏฐิ จนขนาดที่เป็น “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”ได้
หรือแม้แต่เรื่องปัญญา หรือสมาธิ หากอาตมาไม่มาฟื้น ศาสนาพุทธก็หมดไปกับความไม่ถูกต้องมิจฉาทิฏฐิ
แค่สามคำนี้ ปัญญา บุญ สมาธิ สามคำนี้ ถ้าอาตมาไม่ฟื้นคืนให้มา ก็หมดไปแล้วศาสนาพุทธ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน พระเจ้ากับนิพพาน
_พระเจ้าอยู่แต่ในนิพพาน จริงหรือไม่เจ้าคะ การทำจิตให้หลอมรวมกับดวงวิญญาณสูงสุด (พระเจ้า)ที่มีชื่อว่าชีวา Shiva ถือว่าเป็นสัมมาสมาธิได้ไหม จากแม่บาบู
ตอบ...พระเจ้าอยู่แต่ในนิพพาน จริงหรือไม่ พระเจ้าคือพลังงานนามธรรมชนิดหนึ่ง สายเทวนิยมเขาไม่เคยเจอหรือสัมผัสพระเจ้าเลย แต่ยกให้พระเจ้าเป็นสิ่งที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ คือพระเจ้า กรรมตนเองเป็นเจ้าของกรรม ตนเป็นทายาทของกรรม
พระเจ้าคือกรรม กรรมคือ God พลังงานพระเจ้าคือพลังงานจิตนิยามในคน ให้เรียนรู้ ทำพลังงานจิตวิญญาณให้เป็นพลังงานพระเจ้าได้แล้วจะสัมผัสกับพระเจ้าได้ ไม่ต้องไปสร้างดินหินน้ำอะไร แต่สร้างกรรมวิบาก จิตวิญญาณทำให้กรรมวิบากให้เราหลุดพ้นการติดยึดในวัฏสงสารได้ จะเข้าใจได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย
อาตมาหลุดพ้นได้จนเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็เลยมามากแล้ว ก็มาสร้าง ผืนดิน แม่น้ำ ภูเขา น้ำตก ทำไมต้องสร้าง ก็ต้องสร้างเพราะอาตมาเป็นพระเจ้า ชาตินี้จะได้เท่าไหร่เชียว อย่างเก่งสร้างลำธารได้ 1400 เมตร ตั้งแต่สร้างในบ้าน มาสร้างลำธารที่ปฐมอโศก สันติอโศก มาที่ราชธานีอโศก อาตมาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เราไม่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้เพื่อมาเอาประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ สร้างให้คนได้อาศัยเรียนรู้ เป็นการสอน ซ้อน เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ที่อาตมาสร้างลำธารภูเขาแม่น้ำเพื่อยืนยันว่าจะมาเป็นพระเจ้า แต่พระเจ้าปางนี้ได้แค่นี้ ไม่ได้คุยอวด แต่เป็นธรรมดาที่เป็น
พระเจ้าที่จริงก็คือจิตวิญญาณ พวกเทวนิยมยึดถือความเป็นพระเจ้า แต่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ได้รู้จักอัตตา ไม่ได้ล้างอัตตา แต่ของพุทธรู้จักอัตตา ล้างอัตตา เหลือแต่อัตตาที่เป็นพระเจ้าทำงานรับใช้มวลชน ทุกคนเข้าถึงได้ แต่ของเทวนิยม คุณเป็นพระเจ้าไม่ได้แม้องค์เล็กองค์น้อยก็ไม่ได้ ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ก็ได้แต่วนในโลกีย์ แต่มีความรู้วนหาโลกุตระบ้าง หากไม่มีสัมมาทิฏฐิไม่เกิดอัญญะได้ แท้แต่พวกเชน มักน้อยสันโดษที่สุด ไม่ใส่เสื้อผ้า มีไม้ปัดสัตว์เล็กสัตว์น้อย แต่เขาไม่เข้าใจอัตตา บอกว่าหากเอาอะไรอยู่ก็เป็นอัตตา น่าสงสาร
สรุปแล้วพระเจ้าอยู่แต่ในจิตวิญญาณเข้าถึงได้สำหรับศาสนาพุทธมีพระเจ้าจริงอยู่ในนิพพาน
การทำจิตให้หลอมรวมกับโลกวิญญาณสูงสุดคือพระเจ้าที่มีชื่อว่า shiva ถือว่าเป็นสัมมาสมาธิได้ไหม
การหลอมรวมนี้เหมือนนิวเคลียร์ฟิวชั่น ถ้าหลอมรวมกุศล แต่ละลายอกุศลออก คือนิวเคลียร์ฟิวชั่น ส่วนนิวเคลียร์ฟิชชัน เป็นส่วนที่จับไม่ได้ แต่ของพุทธสามารถจับเอาานิวเคลียร์ฟิชชั่นมารวมได้มากกว่า ถ้ามันเริ่มโค้งเป็น fusion แต่ถ้าตรงแหนว เป็น isotope เป็น fission ถ้าตรง 180 องศาไม่มีวันกลับเลบ
สรุปแล้วการหลอมรวมที่ว่า คำว่า shiva เขาเอามาจากไหน อาตมาสนใจคำว่า Shiva มี SHI สามเส้าคือ I คือตัวเรา แล้ว H คือปุริสภาวะ S คืออิตถีภาวะ
ตั้งแต่พีชะก็มีสามเส้า แต่ไม่รู้อะไร ปรุงแต่ตีวเองตามเหตุปัจจัย มี I เป็นตัวบงการ ตอนแรกก็รวม จนกว่าจะมาถึงโลกุตระถึงจะสลายได้
กุศล อกุศล ไม่มีทางสลายได้ถ้าไม่มีโลกุตรธรรม
ภาษาอังกฤษมีรูปร่างของอักษรมีเส้นสาย ที่ส่อเยอะ ภาษาจีนเส้นๆก็มีที่มา ภาษาตะวันออกกลางก็มีที่มาทั้งนั้น
อาตมาพอรู้เส้นสายของภาษาอังกฤษอยู่บ้าง แต่ไม่มาก
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ_บุญ) ตอน บุญกับกุศลต่างกันอย่างไร
_คำว่าบุญ กุศลต่างกันอย่างไรคนสมัยนี้เข้าใจว่าบุญคือการขอ?
พ่อครูว่า...คำว่าบุญเป็นวิบัติ คำว่า กุศลเป็นสมบัติ บุญมีหน้าที่ทำลาย บุญทำลายอื่นไม่เป็น ทำลายบาปอกุศลเท่านั้นเป็น กุศลเป็นสมบัติ แม้เป็นพระพุทธเจ้ากุศลก็ไม่หมด จนกว่าปรินิพพาน ไม่มีอัตภาพใดๆอีก พระพุทธเจ้าบอกว่าเหมือนพวงมะม่วงตกแตกกระจาย แต่ก็มีธาตุเหลือนะ แต่ไม่รวมเป็นขันธ์ 5 อีก พวงมะม่วงจะไม่มีอีก อัตภาพจะไม่หาย แต่จะหายเมื่อปรินิพพาน เหมือนพวงมะม่วงตกแตกกระจาย
กุศลเป็นสมบัติ บุญเป็นวิบัติที่จะทำลาย ไม่ทำลายอันอื่นนอกจากบาปหรืออกุศล หรือกิเลส
คนสมัยนี้เข้าใจว่าบุญคือการขอ แต่ที่จริง คำว่าภิกษุหรือภิกขุที่แปลว่า ขอ นี้ไม่ตรงกับคำว่าบุญเลย ผู้ขอหรือการขอไม่ใช่บุญเลย บุญมีแต่ทำลายอย่างเดียวไม่เอาอะไรจากใครไม่ง้องอนไม่อ้อนวอนใครเลย ความหมายคำว่าบุญจึงยากจะรู้อย่างครบถ้วน มันง่ายมากคือเครื่องมือกำจัดกิเลสอย่างเดียว และเข้าใจได้ยากมาก แต่คนถูกหลอกว่าบุญคืออะไรที่ติดหัวหาง มีอลังการใหญ่โต ที่จริงบุญคืออาวุธฆ่ากิเลสอย่างเดียวเลย บุญญาวุธหมายเลข 1 คือมังสวิรัติ
คือสัตว์คือศีลข้อที่ 1
สรุปแล้วว่าบุญไม่ใช่การขอ การขอส่วนบุญที่แท้จริงคืออะไร คือความหลงผิด ส่วนบุญคือกิเลสหายไป ถ้าจะบอกว่าได้บุญคือได้สิ่งที่ฉิบหายไป มันซับซ้อนทางภาษา เหมือนในหลวงบอกว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นักเศรษฐศาสตร์ฟังแล้วก็บอกว่าไม่ใช่ ก็ต้องอธิบายอีก เขาก็ถามอีก ก็น่าเห็นพระทัยพระองค์ท่าน
อาตมาก็พยายามทำความเข้าใจต่อจากในหลวงเข้าใจว่ามันจริง ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา พวกเราก็เข้าใจจึงได้มาขาดทุนกัน ถ้าทำการขาดทุนเป็น ข้าวก็จะท่วมโลก อาหารก็ท่วมโลก เพราะทุกคนต่างสร้างสรร
ส่วนบุญ คือส่วนที่ทำให้กิเลสลดได้ดับได้ เลิกละนิดหนึ่งก็เป็นส่วนบุญนิดนึง ถ้าบอกว่ามี100หน่วย สามารถทำให้กิเลสดับไป1หน่วยก็ได้ส่วนบุญ1 คือกิเลสมี100หน่วย มันหายไป 1 หน่วย ก็คือมีสิ่งที่ไม่มี ที่ไม่มีคือกิเลส ผู้ฉลาดสุดคือทำให้กิเลสออกไปหมดไปจากจิตใจเราได้ 1 หน่วยก็ประเสริฐแล้ว 1 หน่วย
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย_ปฐมปาราชิก) ตอน ปฐมปาราชิกจะบรรลุธรรมได้ไหม
_ผู้ที่บวชเป็นพระแล้วทำผิดวินัยเรื่องเสพเมถุน ปฏิบัติธรรมแล้วจะสามารถบรรลุธรรมถึงขั้นไหนได้
ตอบ...ปาราชิกเสพเมถุน หรือลักของเขาก็ตาม คือที่มีอนันตริยกรรม ก็ตอบยาก จะต้องปฏิบัติกรรมแต่ละชาติ แล้วได้ลดวิบากอีกเท่าไหร่อีก อธิบายได้ยากสรุปแล้วอย่าทำดีกว่า ถ้าได้ทำแล้วก็ต้องเป็นเวรเลยต้องเข้าเวร จนกว่าจะหมดเวรก็ไม่ต้องเข้าเวรแล้ว ก็อย่าไปทำเลย ถ้าพลาดแล้วก็เป็นอันทำ ต้องใช้หนี้เวรไปกว่าจะหมดว่า
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ยึดดีแต่ประมาณไม่ดีมีวิบากไหม
_ผู้ที่ยึดดีแล้วปรารถนาดีต่อคนอื่น แบบประมาณผิดพลาดจะมีการกระทำเบียดเบียนผู้อื่นทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ แม้จะอ่านอาการของจิตใจตนเองและว่าไม่มีความชอบหรือความชัง แต่เกิดจากการประมาณที่ผิดพลาด จะมีวิบากร้ายหรือไม่?
ตอบ...ตามโจทย์ที่ให้มานี้ไม่มีเจตนา มีแต่ประมาณที่ผิด ที่เป็นสมมุติสัจจะ เกิดผิดก็เป็นวิบาก หากไม่มีเจตนาจริงๆเลยไม่เบียดเบียนใคร แต่ประมาณผิดอย่างอาตมาประมาณไม่ดี ก็มีวิบาก อย่างอาตมามีใจเมตตาซ้อนอยากเคาะหัวมันแรงๆ รู้อยู่แต่ก็ต้องทำ อาตมาก็ต้องรับวิบาก อาตมาเสียสละนะ พูดให้สวย เสียสละว่าทำไมดื้อด้านดึงดัน ก็ทำแรง วิบากก็ซับซ้อน
ประมาณผิดพลาดก็เกิดกุศล อกุศลเป็นสมมุติสัจจะ ประมาณผิดพลาดก็ต้องใช้เวรกรรม แต่ไม่มีเจตนาจริงๆ เจตนาที่มีหรือไม่มีก็ต้องอ่านเจตนาได้อย่างละเอียดอีก นึกว่าไม่มีเธอตั้งนานแล้วแต่มีอาสวะอนุสัยที่หยั่งไม่ถึง วิบากก็ต้องมี
ผู้จะรู้จักเจตนาได้ดีที่สุดคือพระอรหันต์ คนเจตนาไม่ฆ่าสัตว์ ดูเจตนาเลยว่าจิตใจของคุณไม่มีเจตนาจะฆ่าจริงๆ เรื่องสัตว์
เรื่องการไม่เอาของคนอื่น จะไม่มีเจตนาเอาจริงๆ เรื่องกามก็ตามเรื่องโกหกก็ตาม
เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
มีเจตนาเป็นตัวกลาง ตัวเจตนาถึงอ่านเจตนาเป็นกรรม จะมีกรรมสั่งสมหรือไม่อยู่ที่เจตนาหรือกรรมเป็นโลกุตระ จะกำจัดกิเลสได้หรือไม่ก็อยู่ที่กรรม เจตนาจึงใหญ่ที่สุด
_ปีที่แล้ว พ่อครู ฝากให้กลุ่ม พวธ.ช่วยทำอรหันต์ 9 องค์ให้สำเร็จ พ่อครูยังคิดว่า พวกเราจะทำได้หรือไม่
พ่อครูว่า...ต้องได้สิ ช่วยกันได้ ไม่ต้องเกี่ยง อาตมาทำได้ 1องค์ 2องค์ พวกเราทำได้ 7 องค์ ก็จะได้ช่วยกัน
_อาหารพลังพุทธสูตรหนึ่งและน้องพุทธที่อ.หมอเขียวพากิน พ่อครูคิดว่าอย่างไร ญาติธรรมไม่เอาด้วยสูตร1 กินตามลำดับ
พ่อครูว่า...น้องพุทธนี้สูตรปรุงเล็กน้อย ถ้าไม่ปรุงเลยคือพลังพุทธ พ่อท่านว่าก็ดี ได้กินน้องพุทธได้ก็ดี ถ้ายิ่งเป็นพลังพุทธได้ก็ยิ่งดี ก็ใช้ได้เรียนตามหมอเขียวทำได้ อาตมาก็ทำแบบอาตมา มีสิ่งซ้อนกันบ้าง
_ฟังธรรมะไม่เข้าใจ ระหว่างใจกับจิตเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ..คำว่าใจกับจิต เหมือนกันทุกประการ ต่างกันที่ใจเป็นภาษาไทยจิตเป็นภาษาบาลีเท่านั้นเอง เป็นพยัญชนะที่สมมุติขึ้นมาเรียก ใจเป็นภาษาไทย ใจไปเรียกเป็นบาลีก็ไม่รู้เรื่อง ใจเป็นภาษาไทย ใช้ไม้ม้วนด้วย
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ_บุญกิริยาวัตถุ) ตอน ปฏิทานมัย
_บุญแบ่งกันไม่ได้แจกกันไม่ได้ แต่ในบุญกิริยาวัตถุ 10 มีปฏิทานมัย อนุโมทนามัยคืออะไร
ตอบ...คำว่าบุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อหลังเป็นของโบราณาจารย์รุ่นหลังเติมมาจากพระพุทธเจ้าที่มีบุญกิริยาวัตถุ 3 คือทาน ศีล ภาวนา
มัย แปลว่า สำเร็จ ปฏิทานมัยคือ บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญที่สำเร็จมาแล้ว ปฏิคือการเข้าถึง บรรลุ คนที่บรรลุการทาน คือทำใจในใจเป็น ใจไม่ต่อภพชาติเลย แม้แต่หวัง สาเปกโขก็ไม่มีต่อไป คือทานที่คุณเข้าถึงได้ ถ้าทานแล้วยังมีใจต้องการ เช่นทานไป 10 ยังต้องการคืนมา 9 ก็คือทานแค่ 1 แต่ยักไว้อีก 9 ก็ไม่ได้ทานอีก 9
แต่ถ้าทานไป 11 แล้วเอาคืนมา10 ก็ได้ทานไป 1
ใจคุณที่เอาอะไรคืนมา คือสร้างจิตเป็นภพชาติ ตั้งความหวังใส่จิต ถ้าจะให้ต้องไม่หวังอะไรอีก จะมีภพอะไรก็คือเหลือเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ก็ไม่ต้องหวังอะไรต่อ ส่วนคนจะเอาอะไรมาตอบแทนก็เป็นเรื่องของกุศลบารมี เป็นไปตามธรรม เป็นไปตามสัญญา คุณทำปรมัตถ์ให้จริง คุณยิ่งไม่เอาเท่าไหร่ เขายิ่งจะเอามาให้คุณเท่านั้น นี่เป็นสัจจะ ถ้าคุณยังไม่อยากได้ แต่เขาเอามาให้ คุณก็หลบ
ยิ่งเป็นสั่งสมชาติหน้าสิบชาติร้อยชาติ อย่างเช่นธัมมชโยสอนนี้ เป็นเวรจริงๆน่าสงสาร กรรมเป็นอันทำ ป่านนี้ยังประมวลไม่หมดว่าทำหนี้เท่าไหร่
สรุปแล้ว ปฏิทานมัย คือการเข้าถึงการทาน คือสัจจะ ทำทานโดยไม่เอาอะไรสำเร็จหรือมีเศษส่วนเท่าไหร่ก็เท่านั้น
ปัตตานุโมทนามัย คือยินดีที่การเข้าถึงผลในทาน ถ้ายินดีแค่กุศลก็แค่กุศลแต่ถ้ายินดีในโลกุตระ ยินดีในสิ่งที่คุณล้างกิเลสได้ เป็นโสมนัสก็ก่อตัวได้ก็ล้างโสมนัสอีก โทมนัสก็เป็นติ่งๆต้องล้างอาการใจอีก เข้าถึงความยินดีในการล้างกิเลส เป็นโลกุตระ ยินดีในการตัดกิเลสทำกิเลสออกได้ คือปัตตานุโมทนามัย
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_อเนญชาภิสังขาร) ตอน อุเบกขาแล้วจะทนต่อโลกอย่างไร
_พระพุทธเจ้า พระเจ้าไม่ฉัน เนื้อสัตว์ แล้วสาวกของพระพุทธเจ้าฉันหรือเปล่าครับ พระทั่วไปที่ฉันเนื้อสัตว์อยู่จะถือว่าเป็นสาวกที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าหรือไม่
ตอบ...พระทั่วไปสาวกก็มีฉันและไม่ฉันเนื้อสัตว์ การกินเนื้อสัตว์ก็มีบาปส่วนหนึ่งตามกรรมวิบาก ก็ค่อยๆศึกษาไป ถ้าเราสามารถทำได้ตามที่เราพากันทำ ไม่กินเนื้อสัตว์จนกระทั่งคุณหมดการยึดในสิ่งนั้นผม คุณยังติดรสสะตออยู่ก็หัดลดต่อไปเป็นรสทางลิ้น คุณไปเสพติด ก็ต้องล้าง เกิดความไม่รักไม่ชัง ไม่ผลักไม่ดูด เกิดจิตอุเบกขาเป็นกลางเลย ก็จะรู้ รสชาติ เย็นร้อนอ่อนแข็งก็รับได้ตามการฝึก
สรุปแล้วจิตเราทำกลางๆได้ ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก แต่ได้น้อยไว้ก่อน แต่ได้จัดมากขึ้นก็เป็นสมรรถนะเรามากขึ้น วางใจได้ก็ทนต่อแรงกระทบได้มากขึ้น ทนต่อแรงขมมากขึ้น เผ็ดมากขึ้น ก็เป็นประสิทธิขอเพิ่มประสิทธิภาพของคุณภาพ
ทนได้มากคือปรมัตถ์ แต่สมมุติสัจจะก็คือรับรู้ได้ตามโลก จิตเราเก่งสามารถทนต่อโลกียะ จะแรงจัดมากเท่าใดก็มีสมรรถนะความเก่ง แต่ความเก่งของโลกธรรมคือจิตใจคุณไม่กระเพื่อม ถ้ากระทบหน่อยก็วางไม่ได้ก็ไม่เก่งทางโลก แต่ถ้ากระทบแรงมากขึ้นก็วางได้คือเก่งทางโลก อันนี้ยากหน่อยนะ กระทบได้มากขึ้นก็ไม่เก่งทางโลก แต่คุณวางใจได้ ไม่เก่ง ทนไม่ได้ทางโลก แต่คุณไม่ได้ถือสาไม่ผูกพยาบาท วางได้ แต่มันทนไม่ค่อยได้ ดีไม่ดีทนไม่ได้จนคุณต้องตาย ร่างกายคุณต้องตาย แต่ใจไม่ชอบไม่ชังไม่ดูดหรือผลัก
คนทนพิษบาดแผลไม่ได้ก็ตาย แต่ใจไม่พยาบาท ไม่ดูดไม่ผลักคือโลกุตระ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:22:43 )
รายละเอียด
600615_เทศน์ก่อนฉัน สวนป่านาบุญ 2 อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน หยุดเอาเงินให้พระเสียที
หมอเขียวว่า…วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560 เป็นรายการพิเศษ วันนี้เราได้รับความเมตตาจาก พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้เมตตามาโปรดมาเยี่ยมมาแสดงธรรมกับพี่น้องจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม และพี่น้องมาเข้าค่ายสุขภาพและพระไตรปิฎก ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นครั้งแรก ที่พี่น้อง ชาวพวธ.และพี่น้องที่มาค่าย ได้รับเมตตาจากพ่อครูมาเยี่ยมที่สวนป่า 2 ของเรา รายการนี้เป็นรายการพูดคุยธรรมะ ผมดำเนินรายการ พ่อครูเป็นองค์ปาถก พี่น้องจะแลกเปลี่ยนก็เป็นไปตามธรรม
พ่อครู...ก็อย่างที่อาจารย์หมอเขียวว่า อาตมาเองอาตมาก็เดินทาง รับนิมนต์บ้างไปเองบ้าง ดำริเองบ้าง ทำงานตั้งแต่อายุ 36 จนตอนนี้ย่าง 84 ก็เดินทาง แล้วก็อยู่กับที่ ทำงาน ทำงานที่จะไปเปิดเผยสัจธรรมที่อาตมามั่นใจว่าเป็นสัจธรรมที่ถูกต้อง ต้องวงเล็บอย่างหนักอย่างสำคัญว่า พระพุทธศาสนาได้ผิดเพี้ยนจากขาวกลายเป็นดำปี๋ไปเลย คือที่เคยถูกมานั้นผิดไปหนัก ผิด 180 องศา ที่พูดไม่ได้แกล้งใส่ไคล้ตู่ว่า แต่กล่าวว่าอย่างจริงๆเลย
ยุคนี้อาตมาอบอุ่นใจขึ้นมากที่มีสมเด็จพระสังฆราชองค์แรก ...เมื่อ 26 กพ.2560 มีข้อความในสื่อสาร ซึ่งมีใจความว่า...สมเด็จพระสังฆราช รับสั่งกับประชาชนที่มาสักการะบูชาท่านว่า "อย่าเอาเงินมาถวาย" พระรับเงินรับทองเป็นอาบัติที่รุนแรงมาก พุทธศาสนาของเราเสื่อมลงถึงวันนี้ คิดให้ดี เป็นเพราะโยมไม่ศึกษาพระธรรมวินัย เอาเงินไปถวายพระ เมื่อไหร่พวกเราจะเลิกทำบาปกันเสียที หยุดเอาเงินให้พระ หยุดทำร้ายพระศาสนา หยุดสร้างกลุ่ม "เบ็ญจราคี" ที่โสโครกโสมมเพิ่มขึ้น
พ่อครูว่า... แล้วเบ็ญจราคี มีอะไร ก็นึกถึง วัตถุอนามาสว่ามี 6 อย่างคือ
สิ่งของที่ทรงห้ามมิให้พระภิกษุสงฆ์จับต้องเรียกว่า “วัตถุอนามาส” ได้แก่ วัตถุสิ่งของดังต่อไปนี้
1. ผู้หญิง รวมทั้งเครื่องแต่งกายหญิง รูปภาพหญิง หรือรูปปั้นของผู้หญิงทุกชนิด
2. รัตนะ 10 ประการ คือ ทอง เงิน แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วประพาฬ ทับทิม บุษราคัม สังข์(ที่เลี่ยมทอง) ศิลา เช่น หยก และโมรา เป็นต้น
3. เครื่องศาสตราวุธทุกชนิด อันเป็นเครื่องทำลายชีวิต
4. เครื่องดักสัตว์บกและสัตว์น้ำทุกชนิด
5. เครื่องประโคมดนตรีทุกอย่าง
6. ข้าวเปลือกและผลไม้อันเกิดอยู่กับที่
สิ่งของที่เป็นวัตถุอามาสเหล่านี้ทุกชนิด ไม่นิยมนำไปประเคนถวายพระภิกษุ เพราะผิดพระวินัยพุทธบัญญัติทำให้พระภิกษุต้องอาบัติโทษ
พ่อครูว่า...ก็ได้แต่แค่นี้ ส่วนเบญจราคี มีข้อมูลว่า…
ซึ่งเขามีเบญจภาคีในวงการพระเครื่องของเมืองไทยเขาจัดสุดยอดพระเครื่อง 5 องค์ที่เป็นที่ไฝ่ฝัน พระสมเด็จ(วัดระฆังหรือบางขุนพรหม),พระนางพญา,พระรอด,พระซุ้มกอ,พระผงสุพรรณ ทั้ง 5 องค์นี้เขาจะเรียกขานกันเป็นเบญภาคีพระเครื่อง
พ่อครูว่า เป็นเดรัจฉานวิชชาทั้งนั้น นี่คือความเสื่อมที่ทุกวันนี้รู้กันดีแต่ไม่แก้ไข แล้วเถรสมาคมที่เป็นองค์กรหลักดูแลศาสนาพุทธก็ปล่อยปละละเลย
อาตมาเองเกิดมาชาตินี้พอรู้ตัวว่าจะต้องมาทำงานกอบกู้ศาสนา พูดกันให้ชัด ตั้งแต่วินาทีนั้น ออกมาบอกกับน้องๆทุกคน ทรัพย์สินที่มีแบ่งแจกน้องๆทุกคน มาตั้งแต่บัดนั้นไม่เคยคิดกลับหลังแม้ครึ่งเมล็ดงา มั่นใจว่าจะมาเป็นผู้กอบกู้ศาสนาพุทธ อาตมาก็ได้ทำมาตลอด 47 ปีแล้วจนกว่าจะตาย
ศาสนาพุทธนี้พูดไปไม่กระเตื้องเลยก็ไม่ใช่ แต่ว่ากระแสหลักนี้งัดไม่ขึ้น เหมือนม้าตด (ภาคกลาง) แต่ภาษาอีสานว่า เฉยเหมือนหำปะหมา(หมาปะหำ) คือไม่นุ่งผ้าไม่อายใคร โทงๆไป คือพูดไปเฉยเหมือนม้าตด เราพูดไปเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยกระดิกเลย ไม่เปลี่ยนแปลง จมหนักกระเตื้องยาก แต่ไม่ใช่ไม่มีผล อาตมาทำงานมาทุกวันนี้มีผล แต่มันยากจึงต้องบ่น (มีนกร้องกางเขนร้อง)
มีคำถาม…
การทำงานถ้ามีผู้ฟังผู้รับ อยากรู้อะไร ข้องใจอะไร มันตรงประเด็น แต่เราเทศน์ไป ผู้ฟังเป็นอย่างไร ตรงกับสิ่งที่อยากรู้หรือไม่ ไม่รู้เลย เราก็เทศน์ไป แต่อย่างนั้นก็ต้องเทศน์คือคนคิดไม่ถึง ผู้รู้จึงต้องเอาสิ่งที่ควรรู้อยากรู้ แต่ควรเปิดเผยให้รู้ก็มี ความไม่อยากรู้แต่ต้องให้รู้มันสำคัญ เช่น สมาธิเป็นอย่างไรสิ่งที่ยึดถือกันผิดๆเป็นอย่างไรในสมาธิ เขาไม่อยากรู้ แต่อาตมาต้องยัดเยียด ต้องเทศน์ต้องย้ำ ว่าผิด แม้แต่ กายคืออะไร? มูลกรรมฐาน 5 เป็นกรรมฐานหลักที่ต้องแยกกายแยกจิตให้ชัดจากมูลกรรมฐาน
ถ้าเข้าใจมูลกรรมฐานได้อย่างดี ผมขนเล็บฟันหนัง ส่วนใดเป็นกายส่วนใดเป็นจิต ส่วนใดไม่เป็นกายแล้ว หรือยังเป็นกายอยู่ ที่ยังหลงยึดว่าเป็นเรา เป็นกายของเรา มันไม่ใช่กายแล้ว เราก็ยังยึดถือเป็นเรา
แม้สิ่งที่ไม่มีเวทนาแล้ว ก็อย่าไปยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา ลึกซึ้งไปจนถึงเป็นสิ่งที่ไม่ใช่กายของเราแล้ว เหลือแต่ใจ ไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเราอีก
คนไม่รู้ ไม่ใช่กายก็ไปยึดเป็นเราเป็นของเรา แต่คำสอนพระพุทธเจ้าแม้จะเป็นกายก็ไม่ให้ยึดเป็นเราเป็นของเรา
แต่เขาไปพิจารณาไม่เป็น เขาพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไปเอาตัวจบมาอีก แต่แท้จริงให้พิจารณาว่าอันไหนเป็นกาย หรือไม่ใช่กายตอนไหน แล้วจะไม่ยึดถือได้อย่างไร
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน พลังงานจิตอันสุดวิเศษ
_หลวงปู่คะ ทำไมดวงใจของเราถึงได้วิเศษจังเลยคะ เวลาเราทุกข์ใจ แค่นำธรรมะจากอาจารย์หมอเขียวมาพิจารณา ก็สามารถทำให้ทุกข์เราหายไปได้ทั้งที่มีความเป็นทุกข์ยาวนาน พอเปลี่ยนใจปุ๊บความทุกข์ก็หายไปเลยทันที แล้วเราควรทำอย่างไร ที่จะสามารถเปลี่ยนใจพลิกใจได้ไวๆ แบบไม่เปลืองพลังชีวิต เพื่อจะนำพลังงานใจจากความหลงผิดมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าที่เป็นอยู่
พ่อครูว่า...ดวงใจที่วิเศษจริงๆ คือดวงใจของพระอรหันต์ แต่ผู้ที่อุทานอย่างนี้คงได้คิดว่า ให้มาปฏิบัติที่หัวใจดวงใจนี้แหละ ละล้างกิเลสออกจากหัวใจดวงใจให้ออก คนที่เข้าใจจุดนี้ ทำถูกต้อง ที่ดวงใจของเรา
เท่าที่ถามมา ตอนท้ายว่า เพื่อจะได้นำพลังงานจากใจที่หลงผิด เอามาใช้ เกิดประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่ ถามว่าอันนี้แหละจะทำอย่างไร? มันถึงจะทำได้
ที่อาตมาเน้นบรรยาย เรียกพลังงานใจที่มีพฤติกรรมต่างๆ พฤติกรรมอาการเคลื่อนไหวของใจ มันคือพลังงาน อาตมาพูดลัดๆว่า จิตใจคือพลังงาน พวกอภิธรรมทั้งหลาย ถล่มอาตมาว่า พลังงานคือวัตถุ ฟิสิกส์ เอามาเรียกจิตใจได้อย่างไร มันไม่ใช่วัตถุ ซึ่งเข้าใจพลังงานในระดับจิตนิยามไม่ได้ ที่คุณพูดคือพลังงานในระดับอุตุนิยาม เป็นพลังงานที่สังขารสังเคราะห์ อุตุนิยามไม่ได้สังขารสังเคราะห์ด้วยตัวของมันเอง มันไม่มีประธานไม่มีตัวตน มันไม่ได้ยึดถือตัวมัน มันยึดอยู่เพราะเหตุปัจจัย ที่เกิดจากแสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้าทางฟิสิกส์ ทำให้มันรวมตัวด้วยเหตุแวดล้อม มันไม่มีการบ่งชี้ หรือว่ามีพลังดึงดูดเป็นตัวกลาง
เริ่มต้น พลังงานระดับพีชนิยามจะมีตัวกลางที่เป็นตัวมันเอง พืชนี้มันมีตัวมันเอง มะม่วงก็มีพลังงานตัวมันเอง คือ I แล้วสรรหาพลังงานมา มีบวก ลบ S H ใช้ดูดเอาสิ่งที่มันต้องการมาสร้างเป็นตัวมัน พีชนิยามมีสัญญากับสังขาร ใช้สัญญากำหนดหมายว่า อันนี้คือธาตุที่ต้องการ ในตระกูล DNA ของมัน มันแยแสแต่สิ่งที่มันต้องการ
สัปปะรดก็เอาแต่ธาตุที่ต้องการมาเป็นตัวมัน กล้วยก็เช่นกัน คือพีชนิยาม ศาสนาพุทธรู้ถึง อุตุนิยาม พีชะนิยาม โดยเฉพาะจิตนิยาม
จิตนิยามนั้นมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ครบเลย มีห้าหน่วยหลัก
แล้วก็จัดการกับพลังงานเหล่านั้นได้อย่างแท้จริง ผู้ที่ถามมาใช้ภาษาว่าพลังงานถูกต้อง ส่วนพวกอภิธรรมเข้าใจไม่ได้
เป็นชีวะในระดับพีชะจะไปทำร้ายทำลายใคร สังเคราะห์สังขารตัวมันเอง แต่จิตนิยาม มีความเก่งกว่า สามารถทำตัวเองให้เป็นพีชนิยาม แล้วมีพลังเหลือเอาไปช่วยเหลือเกื้อกูลเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้อีก ตัวตนของพระอรหันต์มีเพียงพลังงานระดับ พีชนิยาม เอาอาหารธาตุที่พอเพียงแก่ตัวเอง มีผัสสาหารรู้ความจริงตามความเป็นจริง มโนสัญเจตนาหารมีแต่วิภวตัณหา ไม่มีกามตัณหาภวตัณหา มีแต่วิภวตัณหา ตัณหาไม่มีกามหรือภพ มีแต่ทำประโยชน์ต่อผู้อื่น วิญญาณาหารคือความรู้ทั้งหมดตั้งแต่ กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร แล้วจัดสรร องค์ประกอบ จัดการทำออกไปให้เป็นวิญญาณที่ดีไม่มีอคติ เป็นวิญญาณขั้นโลกุตรจิต
อรหันต์รู้จักโลก รู้จักอัตตาครบ ที่พรหมชาลสูตร ให้ศึกษาโลกกับอัตตาคือโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย เมื่อเข้าใจแล้วก็จัดสรรให้ได้สัดส่วน เป็นธรรมาธิปไตย อยู่กับโลก อาศัยอัตตาทำงานเพื่อคนอื่น โลกานุกัมปา มีตรีลักษณ์ โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37_สติปัฏฐาน 4) ตอน มีสติอย่างไรพาไปนิพพาน
_การระลึกรู้มีสติอยู่ตลอดเวลา ใช่เป็นทางไปสู่นิพพานใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...ผู้ที่ไม่มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม คือผู้ที่ไม่รู้จักต้นทางของการปฏิบัติไปสู่นิพพานเลย สติเป็นตัวต้นเลยในการที่จะปฏิบัติเป็น สติคืออะไร คนมีสติมีความระลึกรู้รอบ รู้สึกตัวทั่วพร้อม แล้วระลึกรู้ ประกอบไปด้วยทางตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสกับภายนอก คุณก็รู้ ตากระทบรูปก็มีสติรู้ หูกระทบเสียงก็มีสติรู้ จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสก็มีสติระลึกรู้ทัน แล้วมีสติสัมโพชฌงค์ เรียกว่ามีองค์แห่งการตรัสรู้ มีสติเป็นองค์ที่ 1 เลยสติสัมโพชฌงค์
ก็สามารถที่จะทำงานก็เดินทางไปสู่นิพพาน ความเป็นสมาธิของพุทธ คือ ความมีโพชฌงค์ 7 ถ้าไม่มีโพชฌงค์ก็ไม่เกิดสมาธิของพุทธ
การปฏิบัติสมาธิของศาสนาพุทธทั่วไป เป็นการปฏิบัติที่ไม่มีสัมโพชฌงค์ร่วม ปฏิบัติหลงผิดเป็นมิจฉาสมาธิ คือ ไปนั่งหลับตาเลย
หนึ่งนั่งหลับตาไม่รับรู้ทวารภายนอก
สองแม้จิตก็ทำการสะกดจิตให้ดับลงไป คือ meditation ทั่วไปเช่นการนั่งหลับตาสะกดจิต หยุดให้จิตนึกคิด ถ้าถึงขั้นสุดเรียกว่าดับภาษาบาลีเรียกว่านิโรธ ดับให้จิตไม่รับรู้อะไรเลย ไม่มีความรู้สึกตัวเป็น อสัญญี เหมือนคนถูกวางยาสลบ กลายเป็นเหมือนท่อนไม้ ใครจะทำอะไรไม่รู้สึกตัว เป็นมนุษย์พืช อย่างนั้นเลย มันตรงกันข้ามกันกับศาสนาพุทธเลย ที่จะต้องตื่นรู้ แคล่วคล่อง ว่องไว หมดเลย
ความเป็นสมาธิของพุทธคือความมีโพชฌงค์ 7 สัมบูรณ์บริบูรณ์ นั่นคือต้องอยู่ในภาวะตื่นๆ ไม่ใช่หลับเลย ไม่หรี่เลย อย่าว่าแต่หลับตาเลย แม้แต่สติก็ต้องเต็มร้อย
สติ มาจาก คำว่า สต แปลว่า 100
สต ที่มี สระอิ เข้าไป ในสระ อะ อา อิ นี้ ตอนแรกอาตมาว่าจะเขียนอักขรทิทัสสน์ ให้รู้ความหมาย ก ข ค ฆ ง แต่เขียนไปได้หน่อยเดียวแต่มันต้องอธิบายกันอย่างมากมหาศาล อาตมาจะต้องไปเสียเวลาอย่างนั้น ให้คนอื่นรู้ มันจะเสียเวลา อาตมารู้คนเดียวดีกว่า เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าไปเรียนรู้ใบไม้ทั้งป่าเลยให้เรียนรู้ใบไม้กำมือเดียวก่อน
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 สั่งสมความรู้จากพระพุทธเจ้า เกินกว่าพระอรหันต์มาตั้งนานแล้ว ไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรมอะไรที่ไม่มีในตนนะ
การมีสติคือหลักใหญ่ที่ต้องมีให้ได้มาก ที่จริงทำให้ได้ตลอดเวลาไม่ได้หรอก ต้องทำเสมอๆ มีสติแล้วต้องมี ธัมมวิจัย ให้เป็นธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ วิจัยภายนอกวิจัยภายใน ทั้ง กายเวทนาจิตธรรม
กายเป็นรูปนาม แล้วเลื่อนเข้ามาเป็นเวทนา ต้องวิจัยเวทนา ทำให้สำเร็จถึง 108 ถ้าทำเวทนาในเวทนาบรรลุจนถึง 108
108 คือตัวสุดท้าย ของภาวะอดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคต 36 รวมกันแล้ว 108 ทำทุกอดีตให้กิเลส 0 ได้ set zero สั่งสมเป็นอดีต ทุกปัจจุบันที่กระทบสัมผัสเกี่ยวข้อง จิตของคนก็ทำให้กิเลส set zero อย่างเด็ดขาดเป็นนิสรณปหาน คุณทำได้สำเร็จ แข็งแรงด้วยการผ่านปัจจุบัน อดีตเป็น static มีปัจจุบันเป็น Dynamic
อนาคต เมื่อมี Static และ Dynamic เป็น 0 ทั้งคู่ อนาคตก็ต้องเป็นศูนย์
เวทนา 5 มี กายิกเวทนา สุข ทุกข์ เจตสิกเวทนา โทมนัส โสมนัส แล้วก็มีอุเบกขาเวทนาเป็น 5
เวทนา 6 เกิดจากการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
จากนั้น เวทนา 18 ก็กระทบดเวทนา 6 เป็นสุข ทุกข์ อุเบกขา
แล้วก็แยกแยะ เวทนา 36 คือ เนกขัมสิตเวทนา 18 กับ เคหสิตเวทนา 18
ตรงนี้ที่นักปฏิบัติธรรมจะต้องแยกแยะ เนกขัมสิตเวทนา 18 กับ เคหสิตเวทนา 18 ให้ได้ แล้วทำเคหสิตเวทนาให้ลดลง กลายเป็นเนกขัมสิตเวทนาให้ได้ คือ สุข ทุกข์ ลดลง จนเป็นฐานอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน ทำให้เกิดเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนาให้ได้ จนยั่งยืนเที่ยงแท้ อดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคตอีก 36 ก็เป็นพระอรหันต์สูงสุดในศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธนั้นมีกรรมฐานอยู่กรรมฐานเดียว คือเวทนา ในพรหมชาลสูตร ตรัสไว้ชัด ถ้าไม่มีเวทนาไม่มีฐานปฏิบัติ
แต่ไปหลงผิดทำกรรมฐาน 40 ที่เป็นของเกจิอาจารย์รุ่นหลัง กรรมฐานไปเป็นสิ่งที่ให้จิตใจไปเกาะยึดแบบสมถะ ซึ่งหลงทิศทางศาสนาพุทธไปเลย พุทธโฆษาจารย์ก็อธิบายไว้เป็นกสิณ 40
ที่อธิบายนี้ ไม่ได้พูดด้วยความโกรธหรือเกลียด แต่พูดด้วยความสงสาร อาตมาพูดอย่างการอ้างอิงหลักฐานในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ในยุคพระมหากัสสปะมารวบรวมเอาไว้ พระไตรปิฎกเล่ม 9 รวมเอาไว้ 13 พระสูตร ถ้าปฏิบัติได้ผลจนครบ เลยพระอรหันต์เลย ถ้าเข้าใจ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ปหาน 5
_หมอเขียวว่า...มีหลายคนฟังพ่อครูแล้วก็พอจับกิเลสได้ แต่ว่าทำให้เล็กลงทำอย่างไร
พ่อครูว่า..ทำโดยปหาน 5
1. วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) .
2. ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .
3. สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด สลัดออกได้เก่ง) .
4. ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ ทวนไปมา) .
5. นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที เก่งจนเป็นปกติ)
(พตปฎ. เล่ม 31 ข้อ 65)
คือทำให้กิเลสลดลงหรือหมดไป ปหานคือ ต้องอ่านจิตเจตสิก รู้ พอรู้ว่านี่เป็นเวทนา โดยพิจารณาสติปัฏฐาน 4 องค์รวมของรูปและนาม
รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ เป็น Object นาม คือตัวรู้เป็น Subject เป็นประธานตัวเรา แล้วมันสัมผัสรู้ กายคือ รู้การทำงานของรูปกับนาม สังขารกันอยู่เป็นธรรมะสอง จะปรุงแต่งเป็น กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร คุณต้องรู้การปรุงแต่งของสภาวะที่เรียกว่ากายคืออะไร
กายสังขารคือปรุงแต่งภายในกับภายนอก ปสาทรูปทำงานกับโคจรรูป ก็มาทำงานร่วมกันปรุงแต่งกันที่จิต พระไตรปิฎก ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230 พวกอภิธรรมฟังก็งงหัวตีดินคือว่า กายคือจิต มโนวิญญาณได้ไง เขารู้ว่ากายคือดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น
แท้จริงกายนี้แยกเป็นสองเสมอ มีหนึ่งไม่ได้ มีแต่รูปอย่างเดียวลงเหวไปเลย และจะเข้าใจว่ากายมีนามอย่างเดียวก็ไม่ถูกเหมือนกัน แต่ก็ยังดีมีฐานปฏิบัติได้
ศาสนาพุทธทุกวันนี้มีความเข้าใจใน Concept อย่างนี้ มีความเชื่อในองค์รวมว่ากายคือรูปวัตถุ ไม่มีนามเข้าไปเกี่ยวข้อง นี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธ ที่สำเร็จรูปแล้ว
ตัวจริงคือจิต มโน วิญญาณที่ต้องพิจารณาไม่ใช่ที่ร่างดิน น้ำ ไฟ ลม พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
การเข้าใจว่ากายคือภายนอกอย่างเดียวจึงซวย เมื่อพิจารณากายในกายก็เลยแยกไปพิจารณาแต่ภายนอกไม่เกี่ยวข้องกับภายใน
สติปัฏฐาน 4 คือโลกุตรธรรม 37 ข้อที่ 1 คือโพธิปักขิยธรรม 37 ล.31 ข.620
การศึกษาให้ศึกษาจิต มโน วิญญาณเป็นสำคัญ แต่ต้องศึกษารูปที่เป็นอุปาทายรูปด้วย ปสาทรูป โคจรรูป กระทบสัมผัสกับสิ่งใดๆภายนอก เกิดภาวรูป แล้วมีสองเสมอ คืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ แล้วทำอิตถีภาวะให้เป็นปุริสภาวะให้เป็นหนึ่งให้ได้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ทุกวันนี้ขอเขกกะบาลพวกมิจฉาทิฏฐิหน่อย ที่ไปหลงสะกดจิตนั่งหลับตา มันไม่ได้เข้าหาธรรมะพระพุทธเจ้าด้วย เพราะไม่มีรูปนาม ไม่มีการพิจารณา อุปาทยรูป 24
อุปาทายรูปนี้เป็นตัวปฏิบัติหลัก มหาภูตรูป 4 ไม่ใช่ตัวปฏิบัติธรรมหลัก ที่มันจะเสื่อมไปตามกาลเวลา ขนาดพระพุทธเจ้ายังคงไม่ให้เสื่อมไม่ได้เลย เสื่อมเป็นธรรมดา แต่จิตนี้ไม่ให้เสื่อมได้ เสื่อมคือมีแต่กิเลสรุมล้อม ชั่วทั้งนอกและใน วันนี้คือตัวที่ต้องปรับปรุงแก้ไขไม่ให้เสื่อมไม่เสื่อมคือ สร้างแต่กุศล ไม่ทำบาป
หมอเขียวว่า...เวลาพิจารณาก็ไปพิจารณาเปรี้ยวมันเกิดแล้วก็ดับ
พ่อครูว่า...มันเป็นเพียงสมถะเกิดดับแต่ธรรมชาติ แต่ไม่ได้พิจารณา เนกขัมสิตเวทนา เคหสิเตเวทนา 18 แล้วทำให้เคหสิตเวทนาดับไป มีแต่เนกขัมสิตเวทนา แล้วอาการจิตเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา ทำได้ไหม ถ้าทำได้มีหวังอรหันต์ แน่นอนถ้าไม่เข้าใจก็ปฏิบัติไม่ได้ แต่ถ้าเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ ทำอย่างปหาน 5
1. วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) เป็นสัญชาตญาณเป็นอัตโนมัติของคนอยู่แล้ว เช่น ทุกวันนี้คุณมีกิเลสกามไหม คนภายนอกก็มี แต่เขาสังวร กดข่มไว้กลั้นไว้ เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดา เมื่อรู้แล้วก็ช่วยมันทำ เราก็รู้ว่ากดไว้แค่นี้ ส่วนที่เราสัมผัสทางทวาร 5 แล้วก็ต้องพิจารณาเหตุ อะไรทำให้เกิดสุขทุกข์ให้รู้อาการเหตุว่า สราคะ สโทสะ สโมหะ มันเป็นกามหรือพยาบาท แล้วจัดการมันอย่างวิปัสสนา ทุกวันนี้เขาทำอย่างแค่สมถะ ไม่ได้ทำวิปัสสนา
2. ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) อย่างวิปัสสนาทำได้คราวใดก็สำเร็จผล ตทังคปหาน เมื่อคุณทำอย่างนี้สำเร็จ เก่งขึ้น เด็ดขาดขึ้นเรียกว่า สมุจเฉทปหาน คุณทำได้เก่งขึ้นชำนาญขึ้น อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำซ้ำให้เกิดผล พหุลีกัมมัง ทำได้ถูกแล้ว ดีแล้ว ก็ทําให้มากเข้าไป เมื่อทำได้เด็ดขาดความสงบเรียกว่า
3. สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด สลัดออกได้เก่ง) .
4. ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ ทวนไปมา) ทำได้เด็ดขาด ไม่ใช่ว่าจิตใจหยุดคิดหยุดทำงาน แต่จิตใจจะยิ่งคล่องแคล่ว กายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา จิตตัวมันมีปาคุญญตา เวทนา สัญญา สังขาร แคล่วคล่อง คือรวมแล้วเป็นวิญญาณแคล่วคล่อง
ไม่ใช่ว่าคิด จะหยุดคิดหยุดทำงานแล้วดับมืดไปเลย อย่างนั้นเป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับศาสนาพุทธ 180 องศา อย่างนั้นฤาษีชีฤาษีไพรลัทธิอื่นใดเขาทำกัน พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็เจอลัทธิพวกนี้ ไปเจอแบบนี้ ท่านก็บอกว่าไม่ใช่ จนท่านระลึกรู้ของท่านได้ ท่านก็ทำของท่าน สอนและประกาศของท่าน อย่างที่ตรงกันข้ามกับพวกฤาษีชีไพร 180 องศา เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเสื่อม กลับไปเป็นแบบฤาษีชีไพรแบบเก่า อาตมาจึงต้องมาเคาะกบาล เอามาเป็นแบบของพูดใหม่ ฟังให้ดี อย่าดื้อนัก
5. นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที เก่งจนเป็นปกติ) คือสลัดได้แคล่วคล่อง แตะปั๊บหลุดปุ๊บเลย เหมือนเอายาหม่องมาทาขา ปลิงมาเกาะไม่ติดเลย เหมือนจิตวิญญาณที่เก่ง
หมอเขียวว่า...คนส่วนใหญ่มักจะไม่เข้าใจประเด็นนี้ สรุปคือว่า ปฏิบัติธรรมเมื่อมีผัสสะ กระทบ เหตุการณ์กระทบต้องอ่าน ราคะโทสะโมหะให้ได้ จับโจรให้ได้ แล้วปหานโจร ถ้าแน่ใจว่าโจรก็ปหานเองไม่ต้องมีการขึ้นศาล ทำความรู้โทษของกิเลส รู้ประโยชน์ของการหมดกิเลส จนได้อย่างนิสรณปหาน อย่าง “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_มิจฉาอาชีวะ 5) ตอน มิจฉาอาชีวะ 5
_มิจฉาอาชีวะ 5 คือการเลี้ยงชีพที่ผิด แล้วฆาราวาสจะประกอบอาชีพใดที่ไม่ผิดศีล
พ่อครูว่า...อาชีพ 5 นี้นะ ไม่ค่อยพูดถึงกันเลยในวงการศาสนาพุทธ มิจฉาชีพ 5 นี้ยืนยัน คนที่พ้นมิจฉาชีพ
มิจฉาชีพแท้ๆ คือกุหนา ลปนา เป็นอาชีพทุจริต ท่านแปลกุหนาว่าทุจริต ขี้โกง คอรัปชั่น คืออาชีพเลวชั่ว หลอกลวง ลปนาคือหลอกลวง อาชีพสองอย่างนี้ทุจริตทั้งคู่ หยุด พอเริ่มต้นแล้วจะปฏิบัติอย่างไร
เริ่มต้น ใช้หลัก ศีล สมาธิปัญญา ต้องอยู่ในกรอบของศีล 5 เบื้องต้น ข้อ 1 อย่าไปฆ่าสัตว์ 2 อย่าไปลักของคนอื่น 3 กามจัดจ้านเอาแค่ครึ่งหนึ่งก็พอ มีผัวเดียวเมียเดียว ศีลข้อ 4 อย่าพูดปดส่วนการพูดหยาบส่อเสียดเพ้อเจ้อละเอียดก็เอาไว้ก่อน 5 อย่าเสพสิ่งเสพติดที่เป็นอบาย เช่น ลักษณะการโกง การหลอกลวงคืออบายมุข
อย่างธัมมชโยนี้เสพติดการหลอกลวงและโกงอย่างหนัก แล้วบอกว่าตัวเองไม่ได้โกงอีก เต็มรูป เป็นสัตว์อบายเต็มรูปเลย ขออภัย ขอยืมตัวตนให้เป็นตัวอย่าง ต้องขอบคุณธัมมชโย
พระพุทธเจ้าตรัสถึงมิจฉาอาชีวะ ให้เลิก กุหนา ลปนา มาทำเนมิตกตา คือทำสัมมาอาชีพ เช่นการฆ่าสัตว์ให้เลิกเสีย ถ้าหากว่าเมืองไทยไม่มีการฆ่าสัตว์จะวิเศษเลย ขนาดที่ว่าสัตว์เล็กน้อยยังไมฆ่า จะไปฆ่ามนุษย์ได้อย่างไร หรือคนมีอินทรีย์พละอ่อนก็จะมีบ้าง แต่ถ้าปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องตามพระพุทธเจ้า สังคมเมืองไทยจะไม่มีการฆ่าสัตว์เลย
อินเดีย มีพลเมืองเป็นพันล้าน คนเขามีธรรมะก็ไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์กันค่อนประเทศ ไม่บ้าบอเหมือนตะวันออกกลางหรือจีน หรืออเมริกา
เป็นสิ่งที่ยืนยันเป็นปรากฏการณ์ ปัจจุบัน Phenomenal ไม่ได้ลงโทษเขา
เนมิตกตา เริ่มตั้งแต่ศีล 5 กรอบนี้ ปฏิบัติให้กิเลสมันลดได้ก็เป็นศีล 8 10 26 ส่วนวินัย 227 ไม่ใช่ศีลเป็นวินัย แต่ศีล เมื่อปฏิบัติอย่างเป็นสัมมาทิฏฐิสำหรับปฏิบัติก็จะได้ผล ส่วนวินัยมีเจตนาลงโทษ เป็นเรื่องหยาบ แต่ศีลเป็นเรื่องละเอียด
ปฏิบัติเนมิตกตาได้สำเร็จ มีอธิศีลเพิ่มไปจากฐานต้น ปฏิบัติ มัชฌิมศีลได้ก็เป็นอรหันต์
ถ้าทำเนมิตกตาได้ก็อย่าไปมอบตนในทางผิด ไปรับใช้พวกมิจฉาชีพที่ซ่อนอยู่ในมิจฉาอาชีวะ 5 พวกโกง หลอกลวง กุหนา ลปนา พวกบรรลุเนมิตกตา อย่าไปรับใช้พวกขี้โกงหลอกลวง หรือถ้าคุณสูงแล้วก็อย่าไปรับใช้คนต่ำกว่า เช่น สกิทาคามีก็อย่ามารับใช้โสดาบัน แต่ไปช่วยเขา
จริงๆแล้วอรหันต์ใครคือผู้รับใช้สังคม รับใช้อย่างมีเกียรติอย่างผู้ที่ควรบูชาเคารพ รับใช้อย่างไม่มีเกียรติคือรับใช้แต่คนรับจ้าง แบบทาส แต่คนที่รับใช้อย่างไม่ออกค่าตอบแทน รับใช้อย่างไรช่วยให้เขาพ้นทุกข์ โดยที่ตนเองต้องช่วยตนเองให้รอดก่อนจึงจะไปช่วยคนอื่น ผู้ที่ช่วยตนเองไม่รอด แล้วไปช่วยคนอื่นคนนั้นเป็นคนอวดดี จะไปแจกเงินเขา แต่ไม่มีเงินจะไปแจก จะไปแจกข้าวคนอื่นแต่คุณไม่มีข้าวสักเม็ด จะเอาอะไรไปแจกเขา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตั้งตนอยู่บนคุณอันสมควรก่อนพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง
แต่ทุกวันนี้สอนกันโดยไม่มีคุณธรรม แล้วเอาทิฏฐิของตัวเองใส่เข้าไป ตนเองก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ ทั้งที่ไม่ได้บรรลุอะไร ศาสนาเสื่อมเพราะเหตุนี้
อันสูงสุดที่อาตมาว่าสุดยอดเลย พ้นมิจฉาอาชีพสูงสุดคือทำงานฟรี คือทำงานอย่างพ้นลาภแลกลาภ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา
แลกเปลี่ยนทางด้านวัตถุเป็นเรื่องหยาบ เป็นเรื่องนามธรรมก็มีหยาบได้ถ้าอยากได้กลับคืนมา แต่จิตที่ให้ไปแล้วไม่มีอะไรต้องการตอบแทนเลย จึงจะพ้นอาชีพที่เป็นมิจฉา อโศกทำได้สำเร็จ
ชุมชนชาวอโศกทำได้สำเร็จ สามารถพ้นมิจฉาชีพ 5 เหนือกว่าคอมมิวนิสต์ประชาธิปไตยทั่วโลก เพราะว่าคนในสังคมนี้ ถ้าประเทศไหนทำได้อย่างสาธารณโภคี คนในประเทศนี้ทำงานแล้วเสียภาษี 100% รายได้เข้ากองกลางหมดช่วยกันบริหาร เป็นอุดมคติที่ยิ่งใหญ่ เป็นการบริหารปกครองโลกนี้ คือของศาสนาพุทธ อโศกเราทำได้ซ้อนในนี้ นักการศาสนาพุทธก็ไม่เคยรู้ว่าอโศกสามารถปฏิบัติธรรมบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าได้สุดยอด มีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 ทำสาธารณโภคีได้ถึงวงฆราวาส ยืนยันได้ เอหิปัสสิโก เชิญมาตรวจสอบยืนยันจับผิดได้
เป็นผลสำเร็จของมนุษยชาติ อยู่อย่างวางใจ กินอยู่อาศัยกับส่วนกลาง พึ่งพากัน ในการเกิดแก่เจ็บตายกันได้ ถ้าปฏิบัติได้อย่างชาวอโศกในเมืองไทย ไม่ต้องถึง 50% เอาแค่ 25% รับรองว่าประเทศไทยจะดังไปทั่วโลก เอาสัก หนึ่งในสี่ของ 67 ล้านก็ได้ เอาแค่ สิบกว่าล้านรับรองว่าจะดังทั่วโลก ทั่วโลกจะมาดูมาศึกษาเลยว่า คนเหล่านี้อยู่กันอย่างดี มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา เพราะปฏิบัติแล้วคนเรามีจิตตาม พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ ครุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
วันๆหนึ่งก็ระลึกว่าใครควรช่วยเหลือ ไม่ใช่ตนเองพ้นทุกข์ ตนเองพ้นเดือดร้อน อย่างเดียว แต่ระลึกว่าจะไปช่วยคนอื่นด้วย ไปช่วยด้วยความรัก ไม่ใช่เกลียดชังหวังร้าย รู้จักการเคารพนับถือการคารวะ คารวะโดยวัย โดยธรรมะ รู้จักสมมุติ เขามีศักดิ์ศรีทางโลก ต้องรู้จักการเคารพโดยวัย เป็นคนอายุมากอายุยาวเกิดก่อนมีคุรุกรณะ
มีสังคหะ เป็นตัวกลางคือช่วยผู้อื่น อนุเคราะห์รับใช้ผู้อื่น จะช่วยผู้อื่นตนเองต้องมีความรู้พอมีทำแล้วเหลือพอจึงจะไปช่วยผู้อื่นได้สังคหะได้ จึงเป็นคนที่มีคุณภาพเป็นคนมีประโยชน์ ช่วยผู้อื่นยังไม่ก่อความวิวาท อวิวาทะ เหมือนอย่างที่ชาวอโศกอยู่กัน อยู่กันอย่างสงบอบอุ่นเป็นพี่เป็นน้องสามัคคียะ เอกีภาวะ
คนมาเห็นจึงบอกว่าพวกนี้มีแต่พวกมัน เพราะมันมีความควบแน่นของกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม มันมีเอกภาพ เอกีภาวะ สมบูรณ์สุดเลย
อาตมาพาทำนี้ไม่ได้ขี้ตู่ อาตมาว่าได้พาทำธรรมะพระพุทธเจ้าได้สำเร็จ
การเลี้ยงชีพด้วยอาชีวะ 5 ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธ แม้แต่กุหนา ลปนายังไม่พ้นเลย นอกนั้นมิจฉาชีพทั้งสามก็อย่าพูดเลย แค่อบายก็ไม่พ้นแล้วในวงการศาสนาที่เป็นตัวตั้งของคุณธรรมทั้งประเทศไม่ได้พาให้หลุดพ้นอะไร ตอนนี้ก็ทุกข์ชำระเงินทองกันในแต่ละวัด เพราะในวงการสงฆ์ล้มเหลวหมดเลย เป็นกุหนา ลปนาด้วยกันหมด ต้องให้รัฐบาล ประชากรที่เป็นฆราวาสมาจัดการ ขายขี้หน้าชะมัด ไม่มีขี้หน้าจะขาย เป็นความล้มเหลวที่วินาศสันตะโร
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล_โสดาบัน) ตอน ปฏิบัติอย่างไรได้โสดาบัน
_ตั้งจิตจะบรรลุพระโสดาบันจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะบรรลุผล
พ่อครูว่า ศีล 5 ข้อเป็นหลักแรก สามารถไม่ฆ่าสัตว์มีใจเมตตา ไม่เอาทรัพย์สินของใคร กามคุณจะมีประมาณหนึ่งแต่ก่อนมันมากกว่านี้ แต่ก่อนร้อยก็ลดเหลือ 50 คือผลสำเร็จ วจีไม่โกหก แล้วต้องเข้าใจสิ่งเสพติด โลภะจัดจ้านขี้โลภจัดจ้าน ราคะจัดจ้านพยาบาทจัดจ้านต้องลดลงมาครึ่งหนึ่งให้ได้ อย่าไปเสพติดราคะโทสะที่ตนมี ต้องรู้จักลักษณะอาการอกุศลจิตนี้ให้ได้ แล้วลดลงมา นี่คือสิ่งเสพติดที่เป็นสุรา
สุราไม่ใช่แค่น้ำเมาที่ดื่มแล้วไม่มีสติ แต่นั่นมันตื้นไป มาพูดให้เข้าเกณฑ์หลักที่จะบรรลุได้
ศีล 5 ข้อ เป็นเบื้องต้น คุณรู้และเริ่มทำได้ก็ได้เข้าโสดาปัตติมรรคแล้ว
เป็นผลมากขึ้นเรื่อยๆจนกรอบของศีล 5 ทำได้หมดก็เป็นโสดาบันเต็มรูป
แล้วก็โสดาบันก็จะรู้จักกิเลสที่เหลือ เป็นสกิทาคามีไปตามลำดับ กิเลสกามภพหมด อยู่ในโลกที่มีกามคุณ มีโลกธรรม เกี่ยวข้องแต่จิตใจคุณไม่มีผลักหรือดูด ต้องทำงานอยู่กับสิ่งเหล่านี้ที่เป็นองค์ประกอบของชีวิต ก็จะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อโลกไม่แย่งชิงไม่เป็นโทษภัยต่อสังคม ปฏิบัติได้ก็จะเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมอย่างไม่เป็นภัยเป็นโทษ เป็นพลเมืองที่ดีในสังคม
อาตมาออกมาทำงานด้านนี้ ได้ทำงานช่วยเหลือรัฐบาลทำให้คนไม่เป็นโทษภัยต่อสังคม ก็ได้มาเรื่อย อาตมาไม่ได้รับราชการ ไม่มีเงินเดือน ไม่กินเงินของรัฐ ทำในภาคของเอกชน ทำเหมือนอย่างรัฐบาลเขาทำ แต่ไม่ได้รับเงินเดือน ทำได้ผลจริงก็เพราะเอาหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปฏิบัติ รัฐบาลไม่แยแสธรรมะพระพุทธเจ้า รัฐบาลจึงไม่มีผลดีเท่าอาตมา
รัฐบาลเอากว้างเกินไป แล้วไปหลงนอกประเทศ ในประเทศนี้เอาหลักของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติเท่านั้นแหละ ประเทศอื่นจะปฏิบัติตาม ขอให้ปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วเกิดสัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ ถ้าสำเร็จผลประเทศไทยจะยิ่งกว่าสวิตเซอร์แลนด์ คนจะยกให้ยิ่งกว่าสวิตเซอร์แลนด์
สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่สงบอบอุ่น มีคุณธรรมสูง ความซื่อสัตย์ความสงบเรียบร้อยความอบอุ่น ทุกคนเกรงใจประเทศสวิตเซอร์แลนด์ยกไว้ แล้วมันไป อจินไตยด้วย ที่ ทำไมในหลวงเราไปทรงศึกษาที่สวิตเซอร์แลนด์ตั้งแต่สมเด็จพระราชบิดาไปอยู่ เพราะประเทศไทยต้องมีเหตุปัจจัยให้ประเทศเจริญ จนในหลวงร.9 ได้แสดงพระจริยวัตรให้ปรากฏ พอท่านสิ้น ทุกคนก็มีปัญญารู้ เกิด Bomb of love
อาตมาพูด Bomb of love คนก็ไม่ค่อยเอามาขยายผล เพราะอาตมาเป็นคนอาภัพ เขาบอยคอร์ตอโศก ให้อยู่ตามยถากรรม ดีที่เรามีธรรมะ ธรรมเลยรักษาเลี้ยงเราไว้ โดยเขาไม่กล้ามาย้ำยีดูถูก
คนไม่มีอคติจะฟังได้ คนมีอคติ ก็ไม่ได้เอง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ_ทาน) ตอน ใส่บาตรได้อานิสงส์อะไร
_การที่เราใส่บาตรให้สมณะจะได้อานิสงส์อะไร
ตอบ...คิดจะเอาอานิสงส์นั้นได้ป่าว ใส่บาตรก็เพื่อให้สมณะได้ฉัน พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำทานด้วยการมีความหวัง คนที่ถามนี้แสดงว่ายังชั้นต่ำอยู่มาก เราเป็นคนชั้นสูงแล้ว อานิสงส์คือต้องทำใจในใจ อย่าไปต้องการอะไรตอบแทน
ใส่บาตรแล้วคือให้พระได้อาหารไปฉัน จะได้สืบสานธรรมะต่อไป เราอย่าไปหวังอะไร อย่าไปมีสาเปกโข ใส่บาตรทำทาน อย่าหวังอะไร หวังอะไรไม่ควร
_มาครั้งนี้พ่อครูรู้สึกอย่างไร กับแพทย์วิถีธรรม ลูกรู้สึกว่าเป็นกันเองมากขึ้น ส่งคำถามให้รู้สึกว่าได้พัฒนาการมุมใหม่ๆ
พ่อครูว่า..ก็รู้สึกอย่างพ่อมาพบลูก ก็สนิทสนมกันขึ้น อาตมาก็เห็น แต่ละคนแสดงกันสนุก อาตมาก็ฟังสนุก
_ลูกรู้สึกว่า ยิ่งพ่อครูได้เทศน์ได้เยี่ยม พวธ.รู้สึกว่ายิ่งพ่อครูได้เทศน์ยิ่งมีพลังมากขึ้นและลูกๆก็ได้มีพลังมากขึ้น จึงขออาราธนาให้พ่อครูมาอีก
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา_อธิศีล) ตอน อธิศีลทำให้เกิดฌานอย่างไร
_ศีล และอธิศีลของลูกๆ หลานๆ เพิ่มพลังพ่อครูอย่างไร
ตอบ...อธิศีลแปลว่า ศีลให้เจริญขึ้น ปฏิบัติศีลให้มีความเจริญอย่างไร เช่นศีล 5 คุณปฏิบัติแล้ว จิตของคุณเจริญ เรียกว่า อธิจิต สั่งสมให้จิตใจกิเลสลดลงไป กิเลสลดลงจนตกผลึกตั้งมั่น เรียกว่าสมาธิ ขณะปฏิบัติฌาน คือไฟกองใหญ่ที่เผาไฟราคะ โทสะ โมหะ ขณะเราประกอบอุหณหธาตุ ให้มีฤทธิ์สลายไฟ ราคะ โทสะโมหะได้ คือทำฌานสำเร็จ
การสลายกิเลสได้เรื่อยๆ จิตใจก็จะตกผลึกลง เรียกว่าสมาธิ จะแข็งแรงตั้งมั่นเป็นฐานขึ้นเรื่อยๆ
มีนิโรธ มีวิมุติเจริญจากโลกียะสู่โลกุตระขึ้นเรื่อยๆ มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติวิมุตติญาณทัสสนะ
_ทำไมสมณะที่อโศกทำไมไม่โกนคิ้ว
พ่อครูว่า..เพราะว่าตามรอยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่สอนให้โกนคิ้ว จริงๆแล้ว พูดกันจริงๆ การโกนคิ้วเป็นการทำให้เกิดอาบัติด้วยซ้ำ พระพุทธเจ้าให้ โกนแค่เกษากับมัสสุ คือผมกับหนวดเท่านั้น ขนอื่นใดไม่ให้โกน เป็นอาบัติ
_สาเหตุของชื่อศาลาปลุกชีพใหม่
พ่อครูว่า..อยากได้ชื่อดีๆ ก็ตั้งชื่อดีๆให้
_แค่ดื่มน้ำมนต์เคาะด้วยไม้ เซ่นไหว้ครู หมอตั้งศาลพระภูมิ แล้วหายป่วยเป็นอย่างไร
ตอบ...อาตมาเล่นมาหมด ตั้งมาไม่รู้กี่ศาลแล้ว รื้อศาลพระภูมิไม่รู้เท่าไหร่ อาตมาเล่นไสยศาสตร์มา 8 ปีก่อนบวช สิ่งเหล่านี้คือเดรัจฉานวิชา คนที่ยังไม่มีความรู้ ไม่มีวิชาก็งมงายกับสิ่งเหล่านี้ ผู้ใดงมงายกับสิ่งเหล่านี้ วัดใดมีน้ำมนต์ วัดใดมีการเคาะหัว ให้ช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ พวกนี้ยังมีเดรัจฉานวิชาทั้งสิ้น จะเป็นพระภูมิอย่างไร ก็เป็นเดรัจฉานวิชา ไม่เป็นศาสนาพุทธเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37_อาริยสัจ 4) ตอน เจ็บป่วยคือทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้
_ให้หายโง่จากความทรมานในการเจ็บป่วย และพิการกายอย่างไร เพราะทุกข์มาก
ตอบ...คุณจะเลี่ยงการเจ็บป่วย พยาธิทุกข์ มันเป็นความทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่มีใครอยากเจ็บป่วย การป่วยมีสองอย่าง หนึ่งเป็นวิบากไม่ได้หามันแต่มันมาเอง แต่อีกอย่างคือ เราไปหามาเอง หากหามาเองก็สมน้ำหน้า เช่นกินเหล้าให้มันป่วย สูบบุหรี่ให้ถุงลมโป่งพองอย่างนี้สมน้ำหน้า ไปสำส่อนเป็นเอดส์มาก็สมน้ำหน้า
อีกอย่างไม่ได้หาเหตุแต่มีวิบากมาถึง
ถ้าไปหามาเองก็รับไป แต่ถ้ามาเองเป็นวิบากเราก็ต้องยอมรับอย่างแท้จริง ปลงว่าถึงวิบากเราก็สร้างวิบากมา คนเชื่อกรรมวิบากจะคลายใจยอมรับปล่อยวาง แม้มันเอาเราตาย ถึงวิบากก็จะยอมรับ เจ็บป่วยอย่างไรก็คลายใจแล้วรับวิบากเสียดีๆ แต่ถ้าไปหามาเองก็ต้องสมน้ำหน้า
_การจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ด้วยหัวใจศรัทธา แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่พุทธ
ตอบ...การจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ไม่มีผล ถ้าคุณทำการปฏิบัติบูชาจึงจะมีผล การจุดธูปเทียนบูชาเป็นการสร้างแบบเทวนิยม วัดที่มีจุดธูปเทียนบูชา มีการรดน้ำมนต์เป็นวัดนอกรีตพุทธหมด อยู่ในมหาศีลชัดเจน แต่เดี๋ยวนี้ มีแต่เดรัจฉานวิชาเต็มไปหมด
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ 10) ตอน ทำบุญกรวดน้ำให้จะไปถึงคนตายไหม
_การทำบุญอุทิศส่วนกุศลกรวดน้ำให้ผู้ตายจะไปถึงหรือไม่อย่างไร
ตอบ...ไม่ถึง เสียเวลา พวกเราอย่าไปทำ วัดไหนที่บอกว่ามาทำทานแล้วเรียกว่าบุญไม่ใช่ อย่างนั้นไม่ใช่มีการตัดกิเลสหรือ ทำใจในใจไม่เป็น แต่ทำทานแล้วสร้างภพชาติ มี1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทาน เทติ 3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทาน เทติ 4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทาน เทติ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อธิศีลของศีลข้อ 1
_การตั้งอธิศีลของศีล 5 มีหลักการปฏิบัติการตั้งอย่างไร
ตอบ...คุณไม่ต้องตั้งหรอก เริ่มต้นปฏิบัติศีล 5 ให้ได้ แล้วจะรู้ว่าวันนี้ดีขึ้นเป็นอย่างนี้ เช่นอาตมาพาปฏิบัติโดยการถือศีลข้อ 1 ให้เป็นอธิศีล คือ อย่ากินเนื้อสัตว์ก็มีผล แต่ก่อน สอนแค่ไม่ฆ่าสัตว์นั้นไม่มีผล คือมันชินชา ได้ยินมาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด แต่มันก็ฆ่าสัตว์กันมาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด ก็กินไปไม่รู้เรื่อง อาตมาพามาปฏิบัติไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นศีล Advance จึงได้ผล ไม่กินเนื้อสัตว์เกี่ยวเนื่องไปถึงการไม่ฆ่าสัตว์มากิน หรือไม่ต้องไปรับของเขาที่ขายมากิน
พระพุทธเจ้าห้าม สัตว์ใดที่ถูกเจาะจงฆ่าโดยคน แต่เขาเลี่ยงบาลีว่า ถ้าระบุชื่อบุคคลที่เจาะจงฆ่าสัตว์ให้กินจะกินไม่ได้ ยกตัวอย่าง วันนี้เพื่อนมาเจอกัน ไม่เจอกันนาน บอกให้ภรรยาคนฆ่าสัตว์ตัวนี้ให้เพื่อนชื่อนี้กิน เมื่อฆ่ามาทำอาหารเสร็จเพื่อนก็บอกว่ากินไม่ได้ เพราะเป็นการระบุเจาะจงให้เพื่อนคนนี้กิน
แต่เจาะจงอุทิศคือแปลว่า เจตนาเจาะจงโดยคนฆ่า ก็ไม่ให้กิน แต่เดนสัตว์กิน นั้นกินได้ คือ สัตว์มันฆ่ากันเอง หรือ สัตว์นั้นตายเองก็กินได้
ทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ (ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ)
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:23:56 )
รายละเอียด
600616_เทศน์ก่อนฉัน ที่ ทะเลธรรม ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ
พ่อครูว่า…ตอนนี้อาตมาเทศน์สดๆอยู่ที่ทะเลธรรมจังหวัดตรัง วันนี้วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน แรม 7 ค่ำเดือน 7 ปีระกา อาตมาตั้งใจเตรียมเนื้อหาเทศน์ของ ความเป็นประชาธิปไตยที่สุดต้องโลกุตระ อ่านกวีที่เขียนให้ฟังก่อน แล้วค่อยขยายความไปตามลำดับ
ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ
(1) ดีสุดของระบอบแท้ คือใด
เป็น“ประชาธิปไตย” เลิศหล้า
ซึ่งประกอบเงื่อนไข หลายหลัก
ต้องไม่ต่ำกว่า“ห้า” นั่นแล้จึงจริง
(2) สำคัญยิ่งหนึ่งนั้น มีกษัตริย์
เป็นประมุขคู่รัฐ ชาติเชื้อ
ฝึกพระจริยวัตร สืบสันต-ติวงค์แฮ
ทศพิธราชธรรมเกื้อ ราษฎร์พ้นภัยผอง
(3) “สองขา”รัฐศาสตร์พร้อม อธิปไตย
หากขาด“ขา”หนึ่งใด วิ่นแท้
ประชาราชสมาศัย ทั้งรูป นามเฮย
ครบเลือด,วิญญาณแล้ จึ่งถ้วนการเมือง
(4) เฟื่องประชาธิปัตย์ขั้น “หนึ่งขา”
แค่“เลือกตั้ง”กษัตรา ก็ได้
เป็นใหญ่แค่ครั้งครา คัดสุ่ม เอาเลย
แล้วใหญ่ในรัฐไซร้ ยิ่งผู้ใดเทียม
(5) ไม่เจียมเลยนั้นแค่ “วิธีการ”
ใช่“กฎมณเฑียรบาล” สืบสร้าง
“ทศพิธราชธรรม”ขาน ก็บ่ ได้ฮา
ปกปักรักราษฎร์อ้าง เอ่ยบ้างมีฤา
(6) “สองขา”คือทั้งเลือด, วิญญาณ
ก่อกษัตริย์ขึ้นบริหาร ทวิไท้
ต่างจากท่านประธาน อธิปติ มากแล
ใหญ่ปุ๊บแต่ล้วนไร้ ชาติเชื้อกรรมพันธุ์
(7) รัฐศาสตร์ขั้นเทพนี้ “โลกุตระ”
ใหญ่“กฎมณเฑียร”ประ- สิทธิ์สร้าง
กับใหญ่ปุ๊บก้าวกระ- โดดปั๊บ ลัดเลย
โม้“เพื่อประชา”อ้าง หลอกแท้ธรรมเทียม
“สไมย์ จำปาแพง” 2 มิ.ย. 2560
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 324 ประจำเดือนกรกฎาคม 2560]
พ่อครูว่า บทกวีเน้นว่าประชาธิปไตยต้องมีกษัตริย์ ถ้าเป็นประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดีแบบอเมริกา ไม่มีการสืบต่อสันตติวงค์
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน กรรมพันธ์ุกับสรีรพันธุ์
คนมีกรรมพันธุ์ มีธาตุวิญญาณสืบสานโดยกรรม เรียกว่ากรรมพันธุ์ เป็นธรรมะชั้นลึก ซึ่งต่างจากสรีรพันธุ์ที่สืบสานทางดินน้ำไฟลม ที่ไม่เกี่ยวกับกรรมพันธุ์ไม่ใช่ของจิตวิญญาณ จะบอกว่าลูกเกิดมาแล้วมีกรรมพันธ์ุมาจากพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดไม่ได้ ลูกจึงเป็นคนดีหรือคนชั่วต่างจากพ่อแม่ ก็เพราะกรรมของเขาเองที่สืบสาน
ถ้ากรรมพันธุ์สืบสานจากพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดต้นทางดี ลูกที่รับมาก็คงจะดี แต่นี่พ่อแม่ไม่ได้มีกรรมที่ดี มีแต่สรีระดี ถ้าพ่อแม่หล่อ ลูกก็หล่อ พ่อแม่ขี้เหร่ลูกก็ขี้เหร่มันเป็นเรื่องของสรีรพันธุ์ ไม่ใช่กรรมพันธุ์
แต่เขาเอาคำว่ากรรมพันธุ์แปลจาก Genetic นั้นผิด คำว่า Genetic มาจาก สรีรพันธุ์เท่านั้นไม่ถึงกรรมพันธุ์
กรรมนั้น เราเป็นทายาทของกรรม กัมมทายาโท เราเป็นคนรับมรดกกรรมของตนเอง กรรมวิบากแบ่งกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็เอากรรมของตนแบ่งให้คนอื่นไม่ได้ ท่านเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้นแล้วคนเอาไปปฏิบัติของคุณเอง เป็นสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติสัมมาปฏิเวธ ผลก็เกิดของคุณเอง มีแต่บอกทางที่ดีที่ถูกต้องและเอาไปปฏิบัติก็จะได้สิ่งนั้น ถ้าคุณไม่ทำเองไม่มีทางที่จะเกิดกับคุณ
อันนี้เป็นความผิดพลาดที่โบราณอาจารย์ท่านไหนที่แปลคำว่ากรรมพันธ์มาจากคำว่า Genetic เป็นภาษาไทยที่เอาไปใช้กันทั่วโลกเลย ที่แปลจาก Gene หรือ Genetic หรือ DNA
ผู้ที่ยังไม่ชัดเจนเรื่องนามธรรม จิตวิญญาณที่แท้จะเพี้ยนไป การเรียก DNA หรือ Genetic ว่า กรรมพันธุ์เป็นเครื่องยืนยันความเสื่อมไปของโลกุตรธรรม
เข้าใจ สรีระ หรือมหาภูตรูปคือจิตเจตสิก แยกกาย แยกจิตหรือแยกรูปแยกนาม แยกวัตถุ สสาร จากจิตเจตสิกออกจากกันสลับไปสลับมาไม่ตรงแล้ว นี่คือความเสื่อม ของพยัญชะที่ใช้กันทั่วในวงการศาสนาพุทธ ถ้ายืนยันว่า กรรมพันธุ์เป็นเรื่องสืบทอดกันทางสรีระนั้นผิด
กรรมนั้นเน้นไปทางจิตวิญญาณเป็นหลัก แม้กาย ที่เป็นดินน้ำไฟลม กายกรรม วจีกรรมก็อ่านด้วย แยกกันไม่ได้ คำว่า กาย จะแยกออกจากจิต วิญญาณไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า..ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230 ยืนยันไว้แล้ว แต่เป็นความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปจากสัมมาทิฏฐิ
ที่อาตมาย้ำยืนยันไม่ได้อวดเก่ง แต่กำลังพูดเนื้อแท้ของศาสนาที่ต่างกันมาก มันไม่เป็นเนื้อโลกุตรธรรม ประชาธิปไตยดีสุดต้องเป็นโลกุตระ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม_ประชาธิปไตย) ตอน ประชาธิปไตยดีสุดต้องเป็นโลกุตระ
เมืองไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นโลกุตรบุคคล ท่านทรงเป็นอาริยบุคคลทางพุทธ ที่พูดไม่ได้แกล้งยกยอ แต่พูดมานานแล้ว คนนับถืออาตมาก็ได้ศึกษา คนไม่นับถือก็ไม่ได้ศึกษา อาตมาพูดเพื่อให้คนได้ศึกษา ให้เกิดความรู้ทางภูมิปัญญา ถึงพระจริยวัตรของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงงงานมาตลอดจนสิ้นพระชนม์ลง คนก็เสียดาย เพราะเป็นสิ่งประเสริฐที่เป็นอาริยธรรม
อาริยธรรมนั้นคืออะไร คือผู้ทำงานรับใช้ปวงชน ทำงานรับใช้ประชาชน จริงๆ ถ้าจะเรียกโดยสัจจะ ท่านเป็นนักการเมืองคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะแสดงโลกุตรธรรม มีพระจริยวัตรเป็นโลกุตรธรรมตลอด 70 ปี
คนไทยก็ยังดี ยังพอมีพื้นฐานของโลกุตรธรรมอยู่ลึกๆ ก็เลยพอมองออก มีปฏิภาณ ว่าอย่างนี้เองคือธรรมะอันประเสริฐ ธรรมะอันวิเศษ ที่เมื่อประพฤติต่อมนุษย์จริงๆแล้ว
เมื่อท่านสิ้นพระชนม์ลงก็โหยหาเสียดาย คนเราเมื่อถึงเวลาตายแล้วก็ห้ามไม่ได้ เมื่อสิ้นพระชนม์ลงก็เลยตื่นตัว ธาตุรู้ที่อยู่ในก้นบึ้งของประชาชนคนไทยลึกๆสะดุ้งเลย ตายๆๆ หายไปแล้ว เรายังไม่ได้รับเท่าไหร่เลย ก็บอกว่าจะเอาตามพ่อ ก็ยังดี แทนที่จะไม่รู้จักค่า
พฤติกรรมของประชาชนไทยที่แสดงออกที่ความเสียดายจึงเกิดเป็นรูปธรรม อาตมาเรียกตามไอน์สไตน์ เขาเรียกว่า ระเบิดแห่งความรัก Bomb of love ไอน์สไตน์อาตมาก็เคยบอกไว้ ว่าไอน์สไตน์เป็นพระโพธิสัตว์รูปหนึ่งตามประวัติศาสตร์ความเป็นจริงของโลกที่ยืนยัน เป็นคนจริง ที่ได้เรียนรู้กันมาในระยะเวลาไม่นาน ได้สัมผัสความจริงผลงานความนึกคิดของไอน์สไตน์ แม้จะถอดมาจากจิตวิญญาณไอสไตน์ เมื่อในหลวงสิ้นชีพไป เป็นผู้ที่มีพฤติกรรมของโพธิสัตว์ จึงต้องศึกษา
โพธิสัตว์สรุปสั้นๆว่าเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว จะทำงาน มีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม จะเห็นว่าทำงานให้แก่ผู้อื่น เสียสละให้แก่ประชาชน มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลย มากกว่าหรือทั้งหมด ให้แก่ประชาชนทั้งหมด ไม่กังวลถึงตัวเอง
ในหลวงไม่ทรงกังวลถึงตัวเอง เพราะคนอื่นต้องดูแลไว้อยู่แล้ว เรื่องกินเรื่องอยู่เรื่องไปเรื่องมาต้องบริการทั้งหมด ท่านต้องได้รับการสนอง ชีวิตคือ ปรปฏิพัทธา เมชีวิกา มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) คนมีปัญญามีภูมิธรรมจะอ่านออก ในพระจริยวัตรของในหลวงรัชกาลที่ 9
เป็นนักประชาธิปไตยที่ปฏิบัติความเป็นประชาธิปไตยตลอดพระชนม์ชีพ ตั้งแต่เป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นพระราชามา 70 ปี ต่อเนื่องมาอย่างเห็นได้ชัด คนที่ศึกษาทางรัฐศาสตร์การเมือง การบริหาร ทั่วโลกเข้าใจ แสดงว่ามีปัญญารู้จักประชาธิปไตย ประชาธิปไตยของพระองค์นี้สุดยอด ให้อิสระเสรีภาพ เป็นภราดรภาพ และสันติภาพ โดยแสดงสมรรถภาพเต็มที่ จึงเกิดผลดีเป็นบูรณภาพ อยู่ตลอดเวลา เป็น Coefficient
Coefficient แปลง่ายๆกว่าคือพลังงาน จะเป็นวัตถุก็ตาม หรือเป็นพลังงานจิตวิญญาณที่เป็นองค์รวมพลังงานที่เรียกว่า Coefficient เป็นพลังงานที่เกี่ยวกับความก้าวหน้า ความเจริญ ไม่ใช่พลังงานเสื่อม แต่เป็นพลังงานมีคุณสมบัติก้าวหน้า และก้าวหน้าในระดับคูณ ไม่ใช่ก้าวหน้าในระดับบวก หรือจะถึงยกกำลังก็ได้ไม่ใช่ Geometric แต่เป็น Arrithmetic แต่ถ้าลดความก้าวหน้าไม่ใช่ Coefficient และต้องก้าวหน้าในระดับคูณหรือยกกำลัง ไม่ใช่แค่ระดับบวก
และภายในพลังงาน Coefficient แม้แต่วัตถุจะมีมวลและความเร็ว ตามที่ไอน์สไตน์ค้นพบ พลังงานที่ก้าวหน้าสูงก็คือการยกกำลัง เป็นการก้าวหน้าที่สูง บวก คูณยกกำลัง ยกกำลังสองหรือมากกว่าสองก็จะยิ่งก้าวหน้าดี มวลก้าวหน้าพอดี ความเร็วก็ยิ่งมาก
ถ้าความเร็วไม่มาก มวลก็จะหนัก มากไปไม่ได้ ในวัตถุสมบัติ สมการของไอสไตน์คนเข้าใจแล้วมาใช้จึงเกิดความก้าวหน้าอย่างมาก หลังไอน์สไตน์ค้นพบ จึงเกิดพลังงาน Digital nano ซับซ้อนเร็ว จะเกิด E=mc2 ไม่ใช่แค่ยกกำลังสองแต่จะเป็นยกกำลัง 3 ยกกำลัง 4 ไปเรื่อยๆ
พระพุทธเจ้ารู้จักพลังงานทั้งอุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ โดยสามารถจัดการกับกรรมของตน ไม่ให้เกิดอกุศลกรรมเลยในจิต คือความรู้ของพระพุทธเจ้า กำจัด อกุศลในจิตไม่ให้เกิดเลย มีแต่กรรมที่เป็นกุศล เพราะไม่มีเหตุปัจจัยที่จะมาทำให้พลังงานจิตนี้ เกิดอกุศลใดอีกแล้ว ถาวรยั่งยืนตลอดกาล อย่าง “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
นี่เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เยี่ยมยอดที่สุด ผู้ใดศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิจะเข้าใจพลังงานทางวัตถุได้ไปด้วย เพราะศาสนาพุทธนั้นมีทั้งรูปและนาม มีทั้งสสารและพลังงานจิตวิญญาณควบคู่กันไปตลอด
อาตมาพูดเรื่องฟิสิกส์ ทั้งที่สอบตกวิทยาศาสตร์อยู่สามปี ต่อม.8 ก็เลิก แล้วออกมาทางศิลปะ ไม่ไปเลยทางวิทยาศาสตร์ เคมีได้ 10 ส่วน 100 อาจารย์ที่สอนคือ ดร.สตางค์ มงคลสุข อาจารย์ทองสุข พงศทัศน์ เป็นด็อกเตอร์เป็นศาสตราจารย์ที่ยอดในยุคนั้น ตอนเรียน ม.7 ม. 8 พศ. 2493-94 ก็สอบตกอยู่นั้นแหละจนเลิก 2496 หนี ไปเรียนทางศิลปกรรม จบทางวาดเขียนทางปั้น เรียนวิจิตรศิลป์แต่ไม่ได้มีผลงานทางเขียนเลย มีเหลือซากอยู่ชิ้นเดียว คือภาพสีที่เขียนไว้
ศิลปะคือมงคลอันอุดม มงคลคือสิ่งที่พาไปเจริญ อุดมคืออุตมะคือโลกุตระ แปลว่าเหนือโลก เหนือโลกีย์ ศิลปะคืองานที่จะนำพาสู่โลกุตรธรรม ทุกวันนี้ศิลปะเละเทะ เป็นโลกียะที่หยำฉ่า กลายเป็นเครื่องหลอกคน เอาภาพอะไรขี้หมูขี้หมา ขายกันหลายล้าน พาให้ติดยึดในเส้นแสงสีเสียงรูปแบบเป็นโลกีย์ ไม่ได้เข้าโลกุตระ ไม่ได้ทำให้จิตวิญญาณลดกิเลส มีแต่ทำให้จิตวิญญาณติดในรูปแบบ Abstract ให้คนติด เหมือนธัมมชโย สวรรค์ของแก ก็เขียนเป็นภาพสื่อทาง DMC หลอกล่อคนโง่ทั้งหลายที่ติดยึด แสงสีเสียง รถก็ออกแบบเป็นหัวปลี มีแสงสีฟรุ้งฟริ้ง อาตมาเรียนศิลปะมาก็รู้ทันว่าหลอกคนโง่ได้มาก เก่งชิบหายเลยนะทางโลก นี่ชมนะว่าชั่วได้เยี่ยมยอดมาก ขออภัย ถ้ามีลูกศิษย์ธัมมชโยอยู่แถวนี้ อาตมาพูดด้วยความจริงใจ อย่าเพิ่งฆ่าอาตมาเลย
มาอ่านถึงบทความของท่านขุนน้อยในไทยโพสต์ 13 มิ.ย. 2560
ถ้าไม่อยากให้ต้องมึนซ์ซ์ซ์ๆ งงง์ง์ง์ๆ...เวลาติดตามข่าวคราวความเป็นไปของโลกในช่วงนี้ คงต้องลองหันไปเปิด หันไปพลิกพระคัมภีร์ พระไตรปิฏก ควบคู่ไปด้วยนั่นแหละทั่น ถึงจะพอมองภาพต่างๆ ออกมาได้ชัดเจน โดยเฉพาะคำตรัส คำอธิบาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงแสดง อาธิปไตย หรือ ความเป็นใหญ่ ในโลกนี้เอาไว้ 3 อย่าง 3 ประเภท...
------------------------------------------------------
ไล่มาตั้งแต่ อัตตาธิปไตย หรือการ ถือตนเป็นใหญ่ ไม่ว่า ตน หรือ อัตตา นั้นๆ จะถูกแสดงออกมาในรูปใด รูปของปัจเจกบุคคล สังคม รัฐ หรืออาณาจักร แต่ถ้าหากถือเอาบุคคลนั้นๆ สังคมนั้นๆ รัฐนั้นๆ อาณาจักรนั้นๆ เป็นหลักยึดแล้ว ย่อมถือเป็น อัตตาธิปไตย ไปด้วยกันทั้งสิ้น ต่อด้วย โลกาธิปไตย หรือ ถือโลกเป็นใหญ่ โดยไม่ว่าจะเป็นโลกทุนนิยม สังคมนิยม โลกประชาธิปไตย ก็ตามแต่ แต่ถ้าสามารถแผ่บทบาท อิทธิพล ให้รัฐ อาณาจักร หรือประเทศใดๆ ต้องไหลไปตามกระแสโลกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ย่อมถือเป็น โลกาธิปไตย หรือจะเรียกว่า โลกาภิวัตน์ ก็ไม่น่าจะผิด จนสุดท้าย...หนีไม่พ้นต้องตามมาด้วย ธรรมาธิปไตย หรือ ถือธรรมะเป็นใหญ่ เพราะถ้าหากโลกทั้งโลกปราศจากเสียซึ่งความถูกต้อง ชอบธรรม ไม่เป็นไปตามครรลองคลองธรรมซะอย่างแล้ว ย่อมมีแต่ฉิบหายกับฉิบหายลูกเดียวเท่านั้นเอง...
-----------------------------------------------------
ความปั่นป่วน วุ่นวาย ความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ ทั้งหลาย...ซึ่งกำลังปรากฏให้เห็นข่าวคราวในโลกทุกวันนี้ ว่าไปแล้ว มันจึงเป็นแค่ช่วงขั้นตอนของ การเปลี่ยนผ่าน จาก โลกาธิปไตย ไปสู่ ธรรมาธิปไตย นั่นแหละทั่น เพราะอะไรที่มันออกไปทางใกล้จะฉิบหาย หรือหวิดๆ จะฉิบหายเต็มที สุดท้ายแล้ว...ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องนำไปสู่การค้นหา การแสวงหา ความถูกต้อง ชอบธรรม ของบรรดานานาประเทศ นานาสังคม ซึ่งหนีไม่พ้นต้องอยู่ร่วมกันภายในโลกใบนี้ อย่างมิอาจย้ายประเทศไปตั้งอยู่บนอวกาศ หรือ ณ สุญญากาศใดๆ ได้เลย แม้ว่ามีบางประเทศ บางสังคม ที่คิดถอยหลังย้อนกลับไปสู่ความเป็น อัตตาธิปไตย ถือเอา ตัวกู-ของกู ถือเอา America First หรืออเมริกามาก่อนทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ภายใต้ความพยายามหาทางทำให้ America Great Again สุดท้าย...ย่อมต้องนำมาสู่ความฉิบหายของ Our Planet อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้…
(พ่อครูว่า ขณะนี้ อเมริกา อยู่ในสถานะอะไรแค่ไหน status quo อาตมาได้ยินว่าตอนนี้อเมริกา กลางกลวง ปั๊มดอลล่าร์ มานี่ ถ้าเขาเอาดอลล่าร์คืนไปนี่ จะเอาอะไรคืนให้เขา ทั้งที่ไม่มีแล้วแต่ก็ยังมีอิทธิพลคือมีอาวุธ ขายอาวุธ ถ้าไม่ซื้อเอ็งไม่มีอาวุธป้องกันตนนะ แล้วก็ต้องขายอาวุธ เพื่อเอาเงินเข้าประเทศ แล้วทำทีห้ามประเทศอื่นสร้างนิวเคลียร์ แต่อเมริกาจะสร้างนิวเคลียร์ได้เหนือว่าเกาหลีเหนือไหม? อเมริกาจะกลัวไหมว่าเกาหลีเหนือจะสร้างนิวเคลียร์ได้เหนือ ก็ไม่หรอก
ถามจริงลึกๆจิตใจพวกคุณใครคิดว่าอเมริกาซ่อนอาวุธนิวเคลียร์ไว้ไหม...ยกมือกันเกือบหมด แต่ก่อนอเมริกาไปบุกอิรักบอกว่ามีนิวเคลียร์ แต่บุกไปแล้วไม่เห็นมีที่ไหนเลย…)
---------------------------------------------------
โลกทั้งโลกเลยต้องหันมารุมด่า รุมประณาม ชนิดไม่ว่าตัวผู้นำอเมริกาจะหน้าด้าน หน้าหนา เพียงใดก็ตาม แต่ก็น่าจะยากซ์ซ์ซ์เอามากๆ ที่จะทำให้ 195 ประเทศในโลกนี้ หันไปเห็นดี-เห็นงาม กับ อัตตา ของอเมริกา ที่ถึงขั้นตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลงความร่วมมือปารีสเมื่อไม่กี่วันนี้ เช่นเดียวกับความพยายามควบคุม บังคับ โลกทั้งโลก การกดกันบรรดาประเทศต่างๆ ด้วย โลกาธิปไตย โดยอาศัยเครื่องมือ หรือกรรมวิธีใดๆ ก็แล้วแต่ แม้เครื่องมือที่ว่า จะถูกทำให้ดูดี ดูสูงส่ง เพียงใดก็เถอะ ไม่ว่าสิ่งที่เรียกขานกันในนามประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ เสรีนิยม ทุนนิยมเสรี ฯลฯ แต่ถ้าหากมันไม่ได้นำมาซึ่งความถูกต้อง ชอบธรรม เป็นไปตามครรลองคลองธรรมซะอย่างแล้ว ความฉิบหายและมีแต่จะยิ่งฉิบหายหนักขึ้นไปอีก จึงยังคงปรากฏให้เห็นเป็นกระแสหลักอยู่ในโลกทุกวันนี้...
-----------------------------------------------------
ความเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เป็นธรรม ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ถูกผูกติดเอาไว้กับอำนาจเศรษฐกิจแบบทุนนิยม หรือทุนสามานย์ มาโดยตลอด การเพรียกหาคุณธรรม ศีลธรรม ที่มีความหมายสูงส่งซะยิ่งกว่าคำว่าเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ที่หามาตรฐานที่แน่นอนแทบไม่ได้ หรือออกไปทางสองมาตรฐานด้วยกันทั้งสิ้น ไปจนการเรียกร้องต้องการที่จะ จัดระเบียบโลกใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกให้ผิดแผก แตกต่าง ไปจากเดิมๆ ระเบียบที่ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของ เผด็จการดอลลาร์ แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาค เท่าเทียม การแสดงออกถึงความเคารพต่ออธิปไตยของแต่ละประเทศ จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการเพรียกหา ธรรมาธิปไตย นั่นแล...
---------------------------------------------------------
ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าข่าวคราวสถานการณ์สงครามในซีเรีย เยเมน ลิเบีย ฯลฯ มันจะดุเดือด รุนแรง พลิกไป-พลิกมาขนาดไหนการเลือกข้าง เลือกฝ่าย คบหาสมาคมกันเป็นมิตร หรือต่อต้าน เป็นศัตรู แซงก์ชั่น บอยคอต ระหว่างอเมริกา ยุโรป จีน รัสเซีย หรือแม้ระหว่างกาตาร์ ซาอุฯ ที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ ยิ่งขึ้นทุกที สุดท้ายแล้ว...มันก็คือตัวสะท้อนให้เห็นว่า ธรรมาธิปไตย นั่นแหละ คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง และจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับโลกในช่วงนี้ เพราะถ้าหากขาดเสียซึ่งสิ่งที่ว่านี้แล้วไซร้ โอกาสที่โลกทั้งโลกจะฉิบหาย วายวอด ลงไปต่อหน้าต่อตา ยิ่งมีความเป็นได้สูงยิ่งขึ้นทุกที
----------------------------------------------------------
ดังนั้น...ถ้ามองโลกในแง่ดี หรือมองให้สวยๆ เข้าไว้ อาจต้องสรุปเอาไว้ประมาณว่า ความฉิบหาย หรือใกล้จะฉิบหายของโลกในช่วงนี้...จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจาก ความมืด ที่กำลังแสดงให้เห็นว่า ใกล้จะสว่าง เข้าไปทุกทีนั่นเอง หรือยิ่งมืดมิดเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าแสงสว่างยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ส่วนถ้าจะหยิบเอามาใช้เป็นอุทาหรณ์ สอนใจ เป็นเครื่องเตือนสติสำหรับบ้านเราได้บ้าง ก็อาจต้องสรุปว่า...สิ่งที่สังคมไทยพึงเรียกร้อง ต้องการ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...คงไม่ใช่แค่การหวนกลับไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยแบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว แต่น่าจะเป็นการเดินหน้าไปสู่ ธรรมาธิปไตย นั่นแล...
--------------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Children’s Moral Lessons (อีกครั้ง)... Look backward, how much has been won, Look round, how much is yet win, The watches of the night are done, The watches of the day begin.- จงเหลียวหลังดูว่าเราได้เอาชนะอะไรมาแล้วบ้าง จงเหลียวดูรอบๆ ว่ามีอะไรที่เราจะเอาชนะได้อีก การเฝ้าดูกลางคืนว่าจะสิ้นสุดลงไปเมื่อไหร่ การเฝ้าดูกลางวันก็จะเริ่มต้นเมื่อนั้น...”.
--------------------------------------------------------------
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม_ประชาธิปไตย) ตอน นิยามประชาธิปไตย 14 ข้อ
พ่อครูว่า...บทความอันนี้ ขึ้นชื่อว่าธรรมาธิปไตย อาตมาก็ขอขยายความจากบทความนี้เลยว่า จริงอย่างที่ท่านขุนน้อยว่า เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่ควรแสวงหา แต่คนจะได้ธรรมาธิปไตยต้องมีความรู้ จะได้อย่างไร
ธรรมะประกอบด้วยโลกกับอัตตา โลกคือสิ่งนอกตัวเรา ตัวเราคืออัตตา
เรา นับไปตั้งแต่ ครอบครัวหมู่ฝูง ประเทศแผ่นดินของเรา พยายามรวมตัวกันคืออัตตาที่ขยายตัว ก็คือไปเป็นโลก หากมันขยายตัวมาเป็นเราอย่างมีธรรมะก็จะเป็นโลกที่มีธรรมะ แต่ถ้าขยายตัวอย่างไม่มีธรรมะ ขยายจากตัวเรา ครอบครัวเรา สังคมเรา ประเทศเรา ถ้าเริ่มต้นด้วยอกุศลก็กลายเป็นโลกาธิปไตยเลวร้าย จากอัตตาที่เลวร้ายของเรา
ธรรมาธิปไตยคือเรื่องโลกและอัตตา และทำอัตตาเราให้เป็นธรรมาธิปไตย มีธรรมะที่เป็น Coefficient เป็นพลังงานองค์รวมที่เป็นธรรมะที่ก้าวหน้า
Coefficient คือพลังงานในรูปแบบในบริบทนั้น ว่า ทั้งหมดที่องค์รวม คือสิ่งที่ก้าวหน้าเจริญ และต้องเจริญขั้นคูณ ไม่งั้นจะสู้พลังงานที่เสื่อมไม่ได้ ไม่ขึ้น หนึ่งที่จะขึ้นเพราะมี status ของตัวเองเป็นสภาพคงที่ แข็งแกร่ง ไม่มีอะไรทำลายได้ อาจจะมีพลังงานบวกลบ มี E=mc2 และมีตัวแปรก้าวหน้าถึงขั้นคูณ คือ Coefficient
ศาสนาพุทธสร้าง Coefficient ให้แก่ตัวเองได้ อรหันต์สร้างได้ สามารถควบคุมที่จะออกไปเป็นตัวแปร ของตัวเองแข็งแรงแล้ว และพลังงานตัวแปรที่จะออกไปนี้ ถ้าตนเองไม่สามารถทำตัวแปรให้เป็นระดับคูณ ก็จะไม่มีฤทธิ์ เพราะออกไปภายนอกมีอำนาจแรงมากกว่า
ความหมายพลังงานทางฟิสิกส์คือจิตวิญญาณ ก็ตามต้องมากพอถึง Coefficient ต้องเป็นพลังงานสูงที่ไม่มีอะไรทำลายได้ อสังหิรัง แข็งแรงมาก เป็นป้อมปราการที่ไม่มีอะไรทำลายได้ ไดนามิคต้องแข็งแรง และมีไคเนติคส์ เป็นตัวแปร แม้เป็นพลังงานเคลื่อน ไม่ใช่พลังงานหลัก แต่ก็มีพลังสูง ทำให้อันอื่นเปลี่ยนแปลงได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีฤทธิ์แรงพอ
อาตมาเองไม่มีพลังงาน Coefficient สูงพอ จึงได้ช้าและน้อย เพราะองค์ประกอบพลังงานที่ตรงกันข้าม สัมมาทิฏฐิที่อาตมามีมันมาก
47 ปีที่อาตมาทำนี้ มหาเถรสมาคม ทั้งหนา ด้าน หนัก ไม่กระเตื้องเลย เห็นความเสื่อมของศาสนาพุทธไปไกลมากเลย
อาตมานิยาม นิยามของประชาธิปไตยถึง 14 ข้อ
ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ
พระจริยวัตรนั้นๆ แม้จะเป็นงานเพื่อประชาชนที่มีนามธรรมยืนยันอยู่ แต่มีคุณภาพของปรมัตถ์สัจจะ ที่เป็นโลกุตรธรรม ที่ลึกซึ้งมากมายให้รู้ได้จริงได้เท่าที่ทรงมีจริง นั้น มี รูปธรรม เห็นได้ อ่านออก ประชาชนก็จะเทิดทูนนับถือ จนถึงขั้น ขณะนี้ แสดงออกถึงขั้น ฮือฮา แสดงออกถึงความเคารพบูชาเทิดทูน ความเป็นประชาธิปไตย พระจริยวัตรที่ทรงงานรับใช้ประชาชนมา 70 ปี ประชาชนฮือฮา อย่างที่ประเทศไทยกำลังเป็นอยู่ ที่เป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมะเป็นโลกุตระ
ประชาชนที่ขานรับ ด้วยความตั้งใจจะทำตามพ่อสอน เพราะท่านทรงทั้งทำทั้งพูด ทรงมาหมดสอดคล้องเป็นโลกุตระ โลกุตระคือไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อส่วนรวมเพื่อมวลประชาชนอย่างแท้จริง
จะเป็นหมู่บ้าน ที่มีคนอยู่รวมกัน อยู่อย่างมีกิจกรรมทำงานร่วมกัน มีความเป็นอยู่ที่สัมผัสสัมพันธ์กันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ตลอด
สังคมหมู่ชนหรือหมู่บ้านเรียกว่า บ้าน และต้องมีธรรมะเป็นโลกุตรธรรม ถ้าเป็นโลกียธรรมจะสู่ความเสื่อมจัดจ้าน ประเทศไทยมีโลกุตรธรรมก็ดีวันดีคืน ยิ่งมีในหลวง ทรงมีพระจริยวัตร สร้างโลกุตรธรรม มาอย่างโดดเดี่ยว
แต่ราชบริพารก็รับเอาของท่านมาไม่ได้ เช่น ท่านบอกว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ผู้บริหารข้าราชบริพารทำเป็นที่ไหน ยังดีเมืองไทยมีเชื้อโลกุตระ ก็จึงมีชาวอโศกทำอยู่ ในหลวงมีพระราชดำรัสเราก็เลยมีสิ่งนี้ยืนยันไว้ ว่าสิ่งที่บริหารปกครองสังคมประชาธิปไตยแบบนี้ดีที่สุด
ประชาธิปไตยที่ดีที่สุด มีรูปร่างอย่างไร
หนึ่งมีสาราณียธรรม เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
มีเงื่อนไขลาภธัมมิกาคือลาภโดยธรรม ลาภที่สร้างอย่างสุจริต แล้วเรามีสิทธิ์เต็มที่ ด้วยแรงงานเรา เอามารวมเป็นส่วนกลางอย่างชนิดสูงสุด เสียภาษี 100% ทำแล้วเอาเข้าส่วนกลางทั้งหมด แล้วให้ส่วนกลางบริหารร่วมกัน นี่คือสังคมที่สุดยอด ทั้งคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตยก็ต้องการ เข้าส่วนกลางมาบริหารให้มากที่สุด แต่คนไม่มีปัญญาและไม่ยอมเพราะมีความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ มีตัวกูของกูมากก็ไม่ให้ จะออกกฎหมายมารีดภาษี หลายเหลี่ยมก็ตาม จนจำไม่ไหว และมีอีกหลายภาษี ภาษีสรรพสามิต ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ต้องบีบบังคับให้จ่าย สังคมที่เป็นประชาธิปไตยสูงสุด สังคมสาธารณโภคี อยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านชุมชน เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ เพื่อประชาธิปไตยสูงสุด แล้วอยู่อย่างเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา มีรายได้เข้ากองกลาง แบ่งกันกินกันใช้ ตามหลัก ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา นี่คือสาราณียธรรม 6 ที่เป็นประชาธิปไตยสูงสุดโดยไม่มีการบังคับ อยู่กันโดยอิสระเสรีภาพ แบ่งกินใช้เป็นญาติพี่น้องกัน จึงสงบ กินแล้วแบ่งแจกเกื้อกูลกัน สังคหะ ไม่วิวาท อยู่อย่างพร้อมเพรียง ขออภัยที่พูดชาวอโศกเพราะทำมา 47 ปีแล้ว เบิ่งตาดูบ้างอย่ามีอัตตามานะมาก ทำในประเทศไทยไม่ได้ทำในต่างประเทศ อยากให้ประเทศไทยทำก่อน ถ้าประเทศไทยมีสาธารณโภคีอย่างนี้ รับรองประเทศอื่นยกมือไหว้เลย
เพราะมีอะไร หนึ่งพึ่งตนเองได้ จะไม่แคร์เลย สินค้าขาเข้าจะมีแต่สินค้าขอออกที่สร้างโดยประเทศไทย จะได้เงินเข้าจากขาออก ไม่จำเป็นต้องบวกลบคูณหารหาคนละนิดเอาของเขามาแปรเปลี่ยนเพื่อจะได้รายได้ ทั้งที่ตัวเองผลิตไม่พอ แต่จะผลิตให้พอเลี้ยงโลก สร้างสิ่งที่เป็นสาระ เช่นเราเก่งกสิกรรม จะสร้างอาหารเลี้ยงโลกเลย ให้เป็นอาหารไร้สารพิษ คุณสมบัติพิเศษส่ง เลี้ยงโลกเลย
เราต้องรู้ว่าภูมิประเทศของเรา เป็นเมืองที่ต้องทำกสิกรรม ไม่ต้องไปแข่งอุตสาหกรรม สร้างสิ่งเด่นของเรา ให้ดี ชาวไร่ชาวนา ชาวสวนกสิกร จะอยู่เย็นเป็นสุขมีกินมีใช้ อย่าไปหลงเทคโนโลยีมาก ออกกฎหมายควบคุม ไอ้ที่กดๆๆๆ ออกกฎหมายให้คนออกไปทำกสิกรรมให้มาก ผลิตภัณฑ์มีมากขายให้ถูก ของดีราคาถูกซื่อสัตย์มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อ อย่าเล่นเงินเชื่อ เงินเชื่อ เป็นระบบที่เลวที่สุดในโลก ทำให้สังคมรู้ว่าจะกลุ่มเล็กใหญ่ ถ้ามีเงินเชื่อ คือ มีเงินที่ออกดอกเบี้ยทำให้เลวร้าย แต่ถ้าเงินไม่มีดอกเบี้ย เราไม่เรียกเงินกู้เราเรียกเงินเกื้อ เราไม่เรียกหนี้เราเรียกเงินหนุน
การที่มีระบบคิดดอกเบี้ยออกเงินปันผลช่วยระบบทุนนิยมสามานย์ เลวร้ายขึ้นทุกวัน ด้วยนายทุนที่นั่งคิดตัวเลข โยกเงินอย่างเดียวก็รวยเละ
ประเด็นสำคัญที่ในหลวงบอกว่าต้องเอาแบบคนจน มันตรงกับของพุทธเจ้า ให้ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ให้เป็นคนขาดทุนมั้ย แล้วอยู่ได้ เราสร้างสรรค์ให้มากมีผลผลิตทำให้เหลือ เอาส่วนเหลือไปช่วยคนอื่น เราพึ่งตนเองรอด แต่ทุนนิยมเอาส่วนเกินไปหาทางเอาเปรียบคนอื่นอีกมากๆๆ คือความอำมหิตโหด เหี้ยม
ถ้าเราเหลือกินเหลือใช้ มีส่วนเกิน ก็เอาส่วนเกินไปแจกหรือขายถูก จะได้เกิดการแบ่งแจก หลักสำคัญคือตนเองต้องกินน้อยใช้น้อยมีสมรรถนะ ทำให้เหลือให้มากให้เกิน แจกจ่ายคนอื่น คนแบบนี้จึงเป็นคนที่มีคุณค่าในโลก ช่วยเหลือโลก เกื้อกูลโลก อุ้มชูโลก แต่ทุกวันนี้มีแต่หาวิธีเอาเปรียบ ได้เปรียบให้มากแล้วตนเองก็เสวยสุขอยู่บนความทุกข์คนอื่น เขาไม่รู้ว่าผลาญพร่าไปเท่าไหร่ อย่างพวกมีโอกาสได้เปรียบ ไปซื้อบ้านพักซื้อที่อยู่ไว้แต่ไปอยู่ที่ไหน ชีวิตมีเวลาไม่พอหรอก เมืองไทยก็มีคนทำอย่างนี้ทั้งนั้น เมื่อมีอำนาจมีเงินก็ไปสร้างเวียงวังไปที่นั่นที่นี่ แล้วมันตะกละไม่มีพอ โลภหมดเอากันไม่หยุด กรรมที่ทำนี้บาปทั้งนั้น ไม่ศึกษาแล้วก็สร้างบาปกรรม
ผู้ที่สามารถทำให้ตัวเองไม่ต้องมีสมบัติ มีชีวิตอยู่ให้คนเลี้ยงไว้แล้วทำงานรับใช้ผู้อื่นให้คนอื่นเลี้ยงไว้ คือสุดยอดคน ไม่ต้องกลัวตายเลย ไม่ต้องกลัวว่า เราทำงานรับใช้ประชาชนแล้วจะไม่มีคนเลี้ยงไว้ ขอให้จริงเถอะ พิสูจน์เลย
ในกลุ่มที่คนอยู่ร่วมกันเอย่างเช่นในกลุ่มชาวอโศกเป็นคนมีปัญญา เขาไม่ปล่อยให้คนที่มีประโยชน์คุณค่าตายไปหรอก สังคมทุกวันนี้อาตมาอยู่อย่างมีสังคมร่วมด้วย อาตมาถือว่าอาตมาอายุมากพอสมควร น่าจะเป็นรุ่นพ่อได้ พ่อจะพูดอะไรในบ้านก็น่าจะมีสิทธิพอสมควรนะ อาตมาก็บอกว่าอาตมาปรารถนาดี ไม่มีจิตใจปรารถนาร้าย
จิตใจปรารถนาร้ายคือ โลภมาให้แก่ตน หรือคิดทำร้ายทำลายผู้อื่น อาตมาไม่มี ปรารถนาจะมีเล่ห์เหลี่ยม ซ่อนบังแฝง ไม่ให้เขารู้ว่าเรามีความโลภ อำมหิต ทำร้ายผู้อื่นอย่างใจเย็น เหมือนดูดี แต่ทำร้ายทำลายผู้อื่น อาตมาไม่มีความเลวร้ายเหล่านี้ บริสุทธิ์ใจ
อาตมาด่าว่าตำหนิ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมที่จะไปหมายร้าย มีแต่เมตตาเกื้อกูล อยากให้เขาเปลี่ยนแปลงชีวิตเปลี่ยนแปลงนิสัย อาตมารู้ว่าอาตมาเกิดมาชาตินี้คือใคร พวกคุณรู้ไหม? ไม่ต้องเอาตัวตนบุคคลเราเขา
อาตมาทำงานอะไรอยู่ก็คือความเป็นของอาตมา อาตมาขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ อาตมาทำงานอย่างในหลวง แต่ในหลวงท่านทรงฐานะมีหน้าที่ อาตมาไม่มีฐานะหน้าที่ ใครก็ไม่รู้ โพธิรักษ์มีหน้าที่อะไร ก็ไม่มีหน้าที่นักธุรกิจหรือทำอะไร มีหน้าที่พูด ฉอดๆๆ โดยที่คนอื่นไม่ค่อยอยากฟังเท่าไหร่ เพื่อให้พวกเรา ลดละ แต่เขาไม่ชอบ ก็ไปแตะต้องสิ่งที่เขาห่วงแหนมาก คนหวงแหนอะไร ก็หวงกิเลส ไม่มีอะไรสุดรักสุดใคร่เท่ากิเลสหรอก กิเลสของข้าใครอย่าแตะ อาตมาไปแตะเข้า เขาก็เลยไม่ชอบขี้หน้า เขารักกิเลส ไม่อยากให้มันลดน้อยลง จะไม่เรียกว่าคนโง่ เราจะเรียกว่าอะไร
1. ประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. กษัตริย์ที่เป็นประมุขต้องมี DNA สืบสันตติวงศ์
ต้นกำเนิดของประชาธิปไตย ก็ต้องมีกษัตริย์ ถ้าไม่มีกษัตริย์ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว กษัตริย์ที่เป็นประมุขต้องมี DNA สืนสัตติวงค์ โดยเลือดเนื้อ โดยพระประยูรวงศ์ ไม่ใช่ว่าเลือกตั้งคนมาเป็นใหญ่ในประเทศ กษัตริย์ต้องสืบต่อมาจากสายเลือด
3 ประชาธิปไตยต้องมี 2 ขา ถ้ามีขาเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย เต็มเต็งไปไม่รอด ประชาธิปไตยของอเมริกา เป็นต้นแบบประชาธิปไตยขาเดียว เติบโตมา แล้วบอกว่าเป็นประชาธิปไตยจริง โดยไปหลงตื้นๆว่า ประชาธิปไตยนั้นประชาชนมีสิทธิเต็มที่ เลือกกษัตริย์ได้ และสืบทอดทางกฎมณเฑียรบาลมา แต่คนที่เป็นกษัตริย์จะต้องสืบทอดสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาล เลือกคนที่ดีที่สุด เท่าที่จะมีได้ ส่วนคนอิสรเสรี ไม่ใช่สายกษัตริย์ ใครอยากจะเป็นก็เป็นได้ ถ้าถูกเลือกตั้งเข้ามา ไม่มีกฎมณเฑียรบาลรองรับ
กฎมณเฑียรบาลนั้น เป็นตัวบังคับว่าอย่าประพฤติปฏิบัติให้เสียวงศ์ของกษัตริย์ ทุกประเทศก็จะมีกรอบอย่างนี้ แล้วกฎมณเฑียรบาลนั้นทำให้คนเป็นคนดีได้จริง ทำให้คนเห็นแก่ประชาชน ประชาชนต้องเป็นลูกนะ เราเป็นพ่อเป็นแม่ของเขานะ กฎมณเฑียรบาลนั้นอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ กฎมณเฑียรบาลเป็นเฉพาะบุคคล สืบสายมาตั้งแต่ต้น ของราชวงค์มาแต่ละราชวงค์นั้นๆ ก็ต้องมีหลักเกณฑ์ ต้องเป็นกษัตริย์ที่ดีเป็นฮ่องเต้ที่ดี เป็นข้อบังคับที่ทำให้คนบริหารได้ดีที่สุด
ทุกวันนี้แปรไปเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการลดพระราชอำนาจ ก็ไม่มีปัญหาถ้าเป็นกษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม เพราะกษัตริย์ต้องมีสันตติวงศ์ที่สืบทอดด้วย “กฎมณเฑียรบาล” หล่อหลอมสร้างมาทุกชาติทุกชาติ
ข้อที่ 4 สำทับไว้ว่า ทรงมีทศพิธราชธรรมในพระจริยวัตรแท้
5. ขาดขา 1 ขาใดไม่ได้ เป็นประชาธิปไตยขาเดียวไม่ได้ มีกษัตริย์เป็นตัวตน เป็นอัตตาธิปไตยเต็มที่ เผด็จการเต็มที่ ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยกษัตริย์ต้องรับใช้ประชาชน ยิ่งไม่มีอัตตาเลย รับใช้ประชาชนเต็มที่อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ยิ่งดีเยี่ยม
6.มี “ประชาราชสมาศัย” เป็นนาม-รูป หมายความว่าประชาชนกับพระมหากษัตริย์ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกันและกัน อย่างจริงใจจริงพระทัย
7.ชื่อว่าธรรมะ 2 คือเลือด-วิญญาณ เลือดคือสภาวะรูป วิญญาณคือสภาวะนาม
8.ธรรมะต้องเป็นโลกุตระ คือล้างความเป็นตัวตน จนหมดตัวตน แล้วรับใช้ประชาชน ต้องมีธรรมะโลกุตระ ไม่อย่างนั้น
9.ถ้ากษัตริย์ไม่มีอาริยธรรม ไม่เป็นโลกุตรบุคคล ก็ไม่ได้ ในสังคมหากไม่มีบุคคลโลกุตระเป็นไอดอล ประชาชนก็ไม่มีสิ่งชัดเจนสูงสุดแท้ได้ เป็นคนทั่วไปก็ไม่ได้ ถ้าเป็นกษัตริย์แล้วมี โลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปา รับใช้ประชาชนเต็มที่ ก็เป็นไอดอลที่สุดยอด เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงสิ้นพระชนม์ ประชาชนก็รู้คุณค่าของในหลวง อาลัยอาวรณ์ เป็น Bomb of love เป็นระเบิดแห่งความรักความเกื้อกูล ดีแล้วล่ะทำให้เหมือนในหลวง ไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ประชาชน
10.เพราะกษัตริย์ต้องมีสันตติวงศ์ที่สืบทอดด้วย “กฎมณเฑียรบาล” หล่อหลอมสร้างมาทุกชาติทุกชาติ หล่อหลอมมาแล้วก็ค่อยๆนำเลือกให้ผู้ใดผู้หนึ่งมาเป็นกษัตริย์สืบสันตติวงศ์
11.อยู่ดีๆสัตว์โลกที่ไม่ได้สั่งสมวิบากที่เป็นกุศล มานานนับชาติมากเพียงพอจะเป็นกษัตริย์ไม่ได้
12”เป็นกษัตริย์ที่มีพระจริยวัตรอันประเสริฐอย่างเป็นจริงมีรูปธรรม เป็นสมมุติธรรมให้สัมผัสได้เป็นสากล
13.พระจริยวัตรนั้นทรงงานเพื่อประชาชนที่มีรูปธรรม ยืนยันจับต้องได้ อย่างมีปริมาณของสมมุติสัจจะ มากมายให้เห็นให้รู้ได้จริง
14.จริยวัตรนั้นนั้นแม้จะเป็นงานเพื่อประชาชนที่มีนามธรรมยืนยันอยู่ แต่มีคุณภาพของปรมัตถ์สัจจะ ที่เป็นโลกุตรธรรม ลึกซึ้งมากมายให้รู้ได้จริงได้เท่านั้น มี รูปธรรม ประชาชนรับได้ก็จะเกิดผลฮือฮา เกิดผลต่อโลกอย่างที่เห็นได้
เพราะว่าคุณภาพ คุณธรรม คุณสมบัติ ซึ่งยังมีอัตราการก้าวหน้าของ “สัมประสิทธิ์” ยืนยันได้จริง ที่ (Coefficient) ซึมลึกไหลถ่ายเทสืบทอดเป็น “ออสโมซิส” อยู่ (Osmosis)
ประชาชนเรารับได้จึงเคารพบูชาเทิดทูนในหลวง เพราะทรงความเป็นประชาธิปไตยรับใช้ปวงชนมาตลอด เมื่อทรงสิ้นพระชนม์ลงจึงเกิดปรากฏการณ์แสดงออกถึงความรักความเทิดทูนบูชาพระองค์อย่างยิ่งใหญ่
คนไทยเราถือว่า ฮือฮา อยู่ในวันนี้ เป็นการแสดงออกถึงความเคารพบูชาในหลวง โลกก็ยังเห็นด้วย และก็เห็นด้วยในสภาพการทรงอยู่ ยอมรับ กระแสความยอมรับนับถือบูชาเคารพ พระจริยวัตรที่ทรงอันประเสริฐของในหลวง เดี๋ยวนี้ก็ยังมีกระแสนี้อยู่ แล้วกระแสนี้ก็กระจายออกไปสู่ต่างประเทศ ในยุคของ globalization กระจายไปตามสื่อสารสนเทศ จึงเกิดอัตราการก้าวหน้า เป็นสัมประสิทธิ์ Coefficient มันก็ไหลซึมอยู่ตลอดเวลา Osmosis มีคุณค่ามาก
คุณค่าของ สัมประสิทธิ์ Coefficient จะซึมได้คือ คนมีพลังงานในตัวเอง ถ้าได้รับพลังงานสิ่งที่ดีที่ถูกต้องเข้าไป ถ้าคนนั้นเป็นคนชั่วไม่รับพลังงานที่ดี มีพลังงาน status ทุนคงที่ของตนมันแรงจนพลังงานดีไม่เข้า ซึมเข้าไปไม่ได้อันนั้นไม่ใช่ Coefficient
Coefficient ต้องมีพลังงานระดับคูณ ประชาธิปไตยแบบไทยที่ในหลวงทรงขึ้นมา ก็ยังเป็นกระแสที่มีอยู่ ไหลไปสู่ต่างประเทศในคนไทยก็ซึมลึก Osmosis ไปเรื่อยๆ เพราะคนไทยก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ลึกๆก็รักเชื้อชาติมีชาตินิยมไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้น ความเด่นของความประเสริฐ คุณค่าอันประเสริฐของในหลวง มันจึงยังทำหน้าที่ ยังเกิดประโยชน์ อยู่ในประเทศขณะนี้
อาตมาจึงอยากสำทับ ให้ประชาชนคนไทยหันมาศึกษาพระจริยวัตรของในหลวง แต่เขาก็พูดอยู่ บอกว่าทำตามพ่อสอน เดินตามรอยเท้าพ่อ มีความหมายจุดเดียวกัน ต้องทำตามพระจริยวัตรของพระองค์ ทั้งนั้นเลย
ในหลวง ร.10 จึงทรงพระสบาย ทำตามพระจริยวัตรของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหลวงท่านก็ต้องดำเนินรอยตาม พระองค์ก็ตรัสเช่นนั้น ไม่มีอะไรเยี่ยมยอดเท่านี้ เป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นในโลก อาตมาไม่ได้หลงใหลคลั่งใคล้ แต่อาตมาดูสาระสัจจะที่แท้จริง ว่าในโลกมีสิ่งยิ่งใหญ่นี้ ถ้าอาตมาไม่เป็นอาตมาจะริษยาในหลวง แต่อาตมาหมดริษยาแล้ว ไม่ได้ริษยาอะไรมีแต่..โอ้โห เทิดทูนปลาบปลื้มส่งเสริม
ทีนี้มาวนเข้าหา ความเป็นประชาธิปไตย ว่า ประชาธิปไตยที่แท้นั้น ต้องเป็นประชาธิปไตยที่เป็นธรรมาธิปไตย
ประชาธิปไตยที่เป็นธรรมาธิปไตยคืออะไร คือต้องมีพลัง มีแรงงาน อธิปไตยคือพลังที่แรง จนทำให้พลังงานอื่นสยบ เป็นโลกุตระ หรืออุตระ คำว่าเหนือ ไม่ใช่การข่ม แต่เป็นสัจจะว่าอันนี้ดีกว่า ผู้ที่ไม่มีตัวตนก็จะเอาสิ่งที่ดี ที่เขาเหนือเรานี้ยกให้ เราให้สิ่งดีมาเหนือเรา จะไม่ควรให้สิ่งชั่วมาเหนือเรา เพราะฉะนั้นสิ่งดีต้องมาอยู่เหนือ
จะบอกว่าแบ่งแยก ดีชั่ว มีเหนือใต้ เขาก็บอกว่าไม่เสมอภาคกัน อาตมาว่าคนพวกนี้พูดกันไม่รู้เรื่อง ธรรมาธิปไตยมีโลกกับอัตตา ผู้ใดทำให้โลกกับอัตตาได้ดีสมดุล ผู้นั้นก็มีธรรมะเป็นอธิปไตย แล้วก็เอาธรรมะมาใช้กับประชาชน
ผู้ที่มีธรรมาธิปไตย จะไม่ข่มไม่ดูถูก แต่จะทำงานช่วยเหลือประชาชน เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลเลย ผู้มีธรรมาธิปไตยจริง จึงจะเป็นตัวจริงของผู้ที่มีธรรมาภิบาล
หมายความว่ามีธรรมะช่วยเหลือ เกื้อกูล บริหารปกครองรับใช้ เป็นการทำให้คนอื่นได้รับประโยชน์ เป็นมวลประชาชน เป็นสุขอันไม่ใช่สุขโลกีย์ เป็นสุขประเสริฐ เป็นสุขที่ไม่มีอกุศล
ธรรมาภิบาลจะเกิดได้ คนจะทำธรรมาภิบาลได้ต้องเป็นคนมีธรรมาธิปไตย ไปช่วยคนอื่นไปรับใช้คนอื่นจะต้องมี ธรรมาธิปไตยได้ก่อน คือคนนั้นต้องไม่เป็นทาสของโลกและอัตตา
โลกคือสิ่งที่อยู่ภายนอก อัตตาคือคนที่เป็นตัวเรา คนที่เป็นอรหันต์ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอัตตา มีตัวเองมีอัตตาอาศัย แต่ตัวเองมีคุณธรรม เข้าใจโลก เข้าใจอัตตา มีอัตตัญญุตา เข้าใจว่า ตัวเราเองก็เท่านี้ เช่นอาตมาก็รู้ว่าอาตมาตัวเองก็เท่านี้ อาตมาจะทำงานกับสังคมได้เท่าไหร่ อาตมาไม่มีตำแหน่งยศศักดิ์ รูปไม่หล่อพ่อไม่รวย อาตมาชาตินี้มีแต่ตัวล่อนจ้อนกับธรรมะ ไม่มีสุขที่ตอแหล คนไม่มีสุขคือคนหมดสุขหมดทุกข์ คนอยากได้สุขคือคนที่ได้ทุกข์
สุขคือความว่าง ใครอยากได้อะไรขึ้นมาก็มีอันนั้น แล้วคนนั้นก็เป็นทุกข์เป็นภพชาติ อาตมาเกิดมาในชีวิตนี้ สุขนั้นไม่มีอยู่แล้ว มาทำงานนี้ไม่ได้ทำเพื่อความสุขเลยมีแต่ทุกข์ เพราะว่าอาตมาจะมีความทุกข์ ที่เป็นภาระ
เราต้องดูตัวเราเองว่าตัวเราก็เท่านี้ อัตตัญญุตา จะทำงานกับสังคมต้องมีปัญญา มีสัปปุริสธรรม 7 ปุคลปโรปรัญญุตา กับคนนี้ กับกลุ่มนี้ ปริสัญญุตา อาตมาได้ทำกับกลุ่มที่เล็กรู้ตัวดี ไม่บังอาจไปทำกับสังคมกลุ่มใหญ่ และการทำงานของอาตมาก็ไม่ไปหว่านล้อม ไม่หลอกลวง ไม่หาเสียงให้คนเข้ามามากๆ อาตมาจะเอาเนื้อๆนี้เผยแพร่ไป นอกจากเนื้อๆแล้วเคาะกบาลด้วย คนจะเข้ามาในที่นี้ต้องระมัดระวัง
ยุคนี้อาตมามาทำงาน ทำงานด้วยลักษณะเหมือนจริง ไม่และเล็มเลียบเคียงหว่านล้อม ไม่หลอกให้เข้ามาเพราะว่าที่นี่มีสมบัติโลกียะให้ แต่บอกว่ามาที่นี่ต้องมาลดละมาจน กินน้อยใช้น้อย แต่แข็งแรงอุดมสมบูรณ์ ทำงานรับใช้ประชาชน มีแต่พูดลักษณะนี้ไม่ประนีประนอม ไม่ไว้หน้าเท่าไหร่
อาตมาทำงานนี้สำเร็จ จึงเป็นเครื่องคัดกรองคนที่มีปัญญาพอ สิ่งที่อาตมาแสดงเป็นสิ่งที่น่ากลัวน่าเกลียด คนที่ข้ามผ่าน ที่ยึดถือว่า สิ่งที่อาตมาแสดงออกน่าเกลียดและน่ากลัว แต่เข้าใจได้ว่าไม่เป็นส่ิงเสียหาย มันเป็นเหมือนเครื่องทดสอบ เข้าใจว่าทำมาใช้เป็นเครื่องทดสอบ ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายจึงก้าวพ้นข้ามเข้ามาได้ คนที่ก้าวผ่านความกลัว เข้ามาในสังคมชาวอโศกได้ จึงเป็นคนที่กล้าในระดับหนึ่ง
แล้วเข้ามาก็ได้รับผล คนมีปัญญาจึงเข้ามาจึงได้รับผล จึงเกิดกลุ่มบุคคลชนิดนี้รวมตัวกันเป็นเอกภาพ เป็นสามัคคีธรรม ไม่มีวิวาทกัน อยู่อย่างช่วยเหลือเกื้อกูล มีอะไรแบ่งแจก เป็นสาธารณโภคี ระลึกถึงกัน
เป็นคนมีปัญญา เป็นคนมีวรรณะ วรรณะ 9 เป็นต้น เป็นความเจริญด้วยวรรณะ
ศาสนาพุทธไม่ได้สอนด้วย วรรณ 4 กดข่มกันด้วย มี พราหมณ์ กษัตริย์แพทย์ ศุทร
แต่วรรณะของพระพุทธเจ้าเรียกว่าวรรณะ 9 (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
คนเลี้ยงง่ายหมายความว่า มาอยู่ที่นี่ไม่เป็นคนเรื่องมาก พากิน พาอยู่ พาทำพาไป พาพัฒนาอย่างนี้ได้ ไม่ดึงดันดื้อด้าน ไม่วุ่นวาย ว่าง่ายไปง่าย ใครไม่ง่าย อยู่เดี๋ยวเดียวก็ถูกสนามแม่เหล็กดันออกไป ดีดออกไป เขาอยู่ไม่ได้ ถ้าเกินขีดเขตองค์รวมค่ารวมชาวอโศกอยู่ได้ไม่นาน ไม่ต้องไปด่าว่าเขาอะไรมากมายหรอก เพราะสนามแม่เหล็กมีความควบแน่น เพียงพอ
เป็นคนก้าวหน้าคือคนเลี้ยงง่าย กินอยู่อย่างกับหมู เลื่อนอาหารไป หรือตักกินเอง สามารถทำให้เจริญง่าย ว่านอนสอนง่าย พัฒนาคุณธรรมได้ง่าย เพราะมีมูลสูตร มีความยินดีที่จะเข้ามา ใครจะเข้ามาไม่ได้หลอกลวง มาเป็นภูมิปัญญา มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด อาตมาพาพวกคุณมนสิการ ทำใจในใจให้เป็น โดยมีผัสสะเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นกรรมฐาน ปฏิบัติจิตตัวเอง หยั่งลงเป็นสติ สมาธิ
สติคือ ความตื่นรู้เป็นพุทธะ เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ชาคริยา เป็นผู้ตื่นจากกิเลส แต่ก่อนหลับไหลไปกับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่ตอนนี้ตื่น ไม่เอาแล้ว จนเป็นโสดาบันสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
ชาวอโศกมีพระอรหันต์ ในโลกทุกวันนี้เข้าใจความเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ในชาวอโศกมีพระอรหันต์ อาตมาไม่ชี้บุคคล แต่พอบอกเปรยไปเป็นตัวอย่าง พอเอาไปพิสูจน์
อาตมาทำงานมา เกือบ 50 ปีแล้ว ไม่ล้มเหลว ถ้าล้มเหลวไม่ได้อย่างนี้หรอก แล้วทำคนให้มักน้อย อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ สันโดษคือใจพอ นอกนั้นสะพัดให้คนอื่น เป็นสุดยอดของเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ เรามีสิ่งเกินกินใช้ของเราแล้วก็เป็นสัจจะ
หนึ่งเราต้องเป็นคน วิริยารัมภะ ตัวที่ 9 คือขยันพากเพียรในวรรณะ 9 ไม่เป็นคนงอมืองอเท้า ขยันอยู่เสมอ
สองไม่สะสม อปจยะ ไม่สะสมวัตถุเงินทอง ความรู้ ไม่สะสมทั้งแรงงาน คือเรามีแรงงานเท่านี้ไม่ให้ใคร ไม่ใช่ แต่เราเสียสละแรงงานรับใช้คนอื่นได้ ไม่สะสม
จึงมีอาการ กาย วาจา ใจที่น่าเลื่อมใส่ ปาสาทิโก คนมีภูมิปัญญาจะเห็นว่าน่าเลื่อมใส แต่คนไม่มีภูมิปัญญาจะบอกว่าไม่น่าเลื่อมใส แต่ทุกวันนี้คนไม่กล้าแสดงออก แม้เขาเห็นว่าน่าเลื่อมใส แต่เขาแสดงออกไม่ได้ เพราะถูกมหาเถรสมาคมประทับตราไว้แล้วว่าไม่ใช่ศาสนาพุทธ ชาวอโศกไม่มีอภิสิทธิ์อะไร จึงต้องอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ อยู่ด้วยสัจจะแห่งธรรมะ
เป็นผู้ที่สันโดษใจพอ เป็นคนที่มีเศรษฐกิจสูง เรามีแค่นี้ก็พอ นอกนั้นก็เอาไปสะพัดแก่ผู้อื่น มีหลักเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ ทำได้ถึงขั้น สาธารณโภคี ไม่สะสม อปจยะ มีเท่านี้พอไม่กลัวตาย เพราะมีสมรรถนะ มีความรู้ ความสามารถ สร้างสรรค์ไม่ขี้เกียจ ถึงมีทรัพย์ ทรัพย์ของคนอยู่ที่สมรรถนะ ความรู้ ความสามารถกับความขยัน นี่คือทรัพย์ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ใครแย่งชิงไม่ได้ เป็นทรัพย์แท้
ชาวอโศกก็มีทรัพย์นี้ ไปที่ไหนขยันสร้างสรรค์ มีความรู้ความสามารถ ที่ๆแห้งแล้ง คนอื่นเขาทิ้งหมดแล้ว ชาวอโศกเราไปบูรณะได้ เป็นเรื่องจริง วันนี้คุยโม้ใหญ่ ไม่ใช่คุยโม้แต่เป็นเรื่องจริงมันดูใหญ่ เหมือนอวดตัวตนแต่ยืนยันความจริง
จบ
ดาวโหลดยูทูปได้ที่….https://youtu.be/18ZOQmQN3ag
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:24:49 )
รายละเอียด
600617_เทศน์ก่อนฉัน ที่ทะเลธรรม เรื่อง ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ 2
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ 2
พ่อครูว่า...วันนี้วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน 2560 แรม 8 ค่ำเดือน 7 ปีระกา เมื่อวานนี้ เราได้พูดถึงประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ กันมาบ้างแล้ว วันนี้ก็จะต่อ
ก็ได้อ่านบทความของท่านขุนน้อยไป แต่ก็มีคนทวง ทวงว่า ทำไมไม่ตอบคำถามของ นายกฯ บิ๊กตู่ ว่าน่าจะมีคำตอบที่น่าจะฟังกัน อาตมาก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่คนจะฟัง
อาตมาว่าเป็นคำถามที่วิเศษมาก เป็นคนที่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตย แล้วก็ดำเนินการอยู่ตามความเข้าใจตนเองว่า ประชาธิปไตยคืออะไร แล้วอาตมาก็ตอบไปนานแล้วว่า ขณะนี้เมืองไทยมีประชาธิปไตยที่เหมาะสมที่สุดตามสัปปุริสธรรม 7 ของพระพุทธเจ้า ขึ้นกับ ปริสัญญุตา ปุคลปโรปลัญญุตา อัตตัญญุตา อัตถัญญุตา มัตตัญญุตา กาลัญญุตา ธัมมัญญุตา
ประชาธิปไตย ณ ขณะนี้ในไทย status quoเป็นประชาธิปไตยที่ลงตัวมาก
นายก ฯ ลั่นประชาธิปไตยไทยต้องไม่ล้มเหลวตั้งประเด็นคำถาม 4 ข้อถึงประชาชนก่อนพาประเทศไปสู่การเลือกตั้ง....
(1) ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่
(2) หากไม่ได้ จะทำอย่างไร
(3) การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง
(4) ท่านคิดว่า กลุ่มนักการเมือง ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร
เป็นคำถามที่ถูกต้องตรงตามสถานการณ์มาก ตอนนี้แม้กระทั่งใช้มาตรา 44 หยุดยั้งพวกนักการเมือง ไม่ให้ออกมาวุ่นวาย แต่เขาก็ยังออกมาวุ่นวาย เป็นความลำเอียงเอาแต่ใจตัวว่าจะต้องเลือกตั้ง ๆๆๆ เพราะเชื่อมั่นในอำนาจการเลือกตั้งของตัวเองว่า มันเด็ดขาดแล้ว ถึงอย่างไรเลือกตั้ง กูก็ได้เข้ามามีอำนาจ แล้วก็จริงด้วย เพราะว่าเขาทำสำเร็จมาแล้ว เผด็จการสภาไปแล้ว เขาทำได้ด้วยอำนาจเงินทองและเครือข่ายค่ายกล เขาวางไว้เสร็จจบแล้ว ประเด็นหลักเป็นความเสียหายของประชาธิปไตยในประเทศไทย ที่เกิดในยุคนี้ status quo พลเอกประยุทธ์เลยจะต้องทำลายค่ายกล กั้นทางนักการเมืองชั่วด้วยหลักกฏหมายและวิธีการ
เพราะให้นักการเมืองชั่วๆที่รู้กันอยู่ เข้ามาแล้วมันจะทำอะไรต่อไปได้ ทำไม่ได้ ทำแล้วเสียเวลาจะทำไปทำไม พวกที่ไม่รู้ อีโหน่อีเหน่ก็ส่งเสริมกันเพื่อให้ได้ลาภยศกัน
(1) ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่
พ่อครูว่า...ไปสรุปผลว่า เลือกตั้งที่จะเกิดต่อไป จะได้รัฐบาลที่เป็นธรรมาภิบาลหรือไม่ ก็ต้องมีความรู้เรื่องธรรมาภิบาล
วันนี้ขออธิบายธรรมาภิบาล...หมายความว่า มีธรรมะ ผู้บริหารจัดการในเรื่องบ้านเมือง การทำงานตามหน้าที่ มันก็เป็นข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการการเมือง ข้าราชการมี 2 พวกใหญ่ๆ ข้าราชการการเมืองกับข้าราชการประจำ
การอภิบาลคือการดูแลรักษาผู้ที่มีธรรมะ ธรรมะคืออะไร ธรรมะที่มีพลังมีแรง มีอำนาจ ภาษาบาลีคืออธิปไตย แล้วมีธรรมะเป็นอธิปไตย เป็นอำนาจเป็นพลังเป็นแรง ที่จะแผ่แรง พลัง อำนาจ เข้ามาบริหาร อภิบาล ดูแลปกครองทำให้ประชาชน ได้รับอธิปไตยที่เป็นธรรมะ สามารถทำให้ประชาชนอภิบาลดูแลปกครองรักษา ให้ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างดี ธรรมะนี้หมายความว่าให้ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างดี
ก็มาให้คำจำกัดความว่า ความเป็นอยู่อย่างดีหมายความว่าอย่างไร ตรงนี้ต้องชัดเจนในนิยามคำว่าความเป็นอยู่อย่างดีนี้คืออะไร
ความเป็นอยู่อย่างดีนี้ อาตมานิยามไว้นานแสนนานมาแล้ว
อาตมาสรุปไว้แล้วว่า มี 5 ประการ ตามประสาความรู้ของอาตมา
พลังแรง ทางนามธรรม แล้วจะประกอบไปด้วยพลัง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นพฤติกรรมของมนุษยชาติร่วมออกมาเป็นธรรมะ เรียกว่าธรรมาธิปไตย
ธรรมะในโลกียะก็มีกุศล อกุศล ธรรมะที่เป็นกุศลแม้โลกีย์ ดี ดีก็คือสามารถทำให้ส่วนรวมใช้พลังอำนาจ กดขี่ ข่ม บังคับ จะด้วยหลักเกณฑ์เรี่ยวแรง อำนาจ ใช้อย่างนั้น ไม่เข้าถึงปัญญา
ขอแยกคำว่าโลกีย์ กับโลกุตระ
โลกียะใช้อำนาจบังคับใช้อาวุธยุทธภัณฑ์ ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ใช้เขี้ยวงาเรี่ยวแรง ใช้อำนาจบังคับ
ส่วนธรรมาธิปไตย ของโลกุตรธรรม คือทำให้คนมีปัญญาเกิดปัญญาความรู้ เกิดความเข้าใจ มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วสามารถใช้เมตตา ทั้งผู้บริหาร ทั้งผู้เป็นมวลประชาชน มีเมตตาเกื้อกูลกัน ถ้าเป็นประชาธิปไตยที่มีพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็เป็นราชประชาสมาสัย อาศัยซึ่งกันและกัน
เสร็จแล้ว ก็มีพฤติกรรม กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม เลี้ยงดูกัน เกื้อกูลกันเรียกว่า สังคหะ ในหลวงท่านตรัสว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เป็นตัวชี้บ่งชัดเจนว่า อยู่อย่างเสียสละ ใครที่เสียสละได้ นั่นแหละคือผู้เข้าถึงประชาธิปไตย ใครที่ยังเอาเปรียบ หรือยังอยากได้เปรียบอยู่ คนๆนั้นยังไม่ใช่นักประชาธิปไตย
นักประชาธิปไตยต้องเป็นผู้ที่เสียสละรับใช้ประชาชนที่จริงด้วย ไม่มีเล่เหลี่ยมหลอก
1. ไม่สะสม 2. ไม่เอาเปรียบ 3. ไม่กอบโกย 4. ไม่หลอกให้คนอื่นหลงคารมแล้วเอามาให้ เป็นผู้ที่ขาดทุนอยู่ตลอดเวลา นักประชาธิปไตยคือผู้ที่ขาดทุนเป็นจิตอาสา นักประชาธิปไตยที่ไปเป็นคนจะเอาเปรียบ โดยเฉพาะ จะเอาลาภ ยศสรรเสริญ แม้จะมีสุขเพราะว่าได้เปรียบ ก็ยิ่งเลว
คนที่มีสุขเพราะเสียเปรียบ เพราะได้เสียสละ ได้เสียสละแล้วมีสุขก็ยังไม่พ้นอัตตา ไม่พ้นภพชาติ เพราะยังมีอุปกิเลสมีสุข คุณได้เสียสละรับใช้ประชาชนก็เป็นสุข คนที่สูงสุดนั้นแม้จะเสียสละรับใช้ประชาชน จิตก็เฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เสียสละได้แต่จิตว่าง สบายๆ
ผู้ที่เสียสละอยู่ แต่คนก็ไม่รู้ว่าเขาเสียสละ ดีไม่ดีเขาหาว่ามาคุยโม้ ไม่เห็นไปทำอะไรเลย ยกตัวอย่างชาวอโศก เขามองว่าไม่ได้เสียสละรับใช้ประชาชน ไม่ได้ทำงานการเมือง อาตมาขอยืนยันว่า ชาวอโศกทำการเมืองมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทุกวันนี้
การเมืองคือการทำงานเพื่อพลเมือง หรือ การทำงานกับพลเมืองประชาชน คนในสังคมประเทศ เราก็ทำงานกับคนเหล่านี้ ทำงานอะไร?
ทำงานส่วนตัวก็คือผลิตสร้างสรร พวกเรามีกสิกรรม สื่อสาร การศึกษา แปรรูป ที่ชาวอโศกทำ ทำสิ่งไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดวัฒนธรรมเป็นสิ่งดี
ทำการพาณิชย์ บุญนิยม มีหลักคือ
นั่นคือหลักเกณฑ์ของบุญนิยมของเรา เราทำมาตั้งแต่ต้นแล้วมีผลสำเร็จ จนเกิดจิตบรรลุธรรม ชาวอโศกปฏิบัติธรรมบรรลุธรรม คือ มาทำงาน เป็นหมู่กลุ่ม อยู่ในสังคม เป็นชุมชนชาวอโศก มีการงาน ทุกคนทำงานแล้วเอาเข้ากองกลาง ผลผลิตรายได้ ไม่เอาเข้าส่วนตัว เอาเข้าส่วนกลาง มีคนบริหารส่วนกลางเอาไปแจกจ่ายแพร่สะพัด สู่ผู้อื่น โดยหลัก 4 อย่างนี้ ขายต่ำกว่าตลาด ขายเท่าทุน ขายต่ำกว่าทุนและแจกฟรี
เราทำแบบนี้ เป็นเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ที่สร้างสรรค์เสียสละแจกจ่ายต่อมวลชน อย่างมีอุดมการณ์อุดมคติ เศรษฐกิจอย่างที่ชาวอโศกทำอยู่ เอามาจากของพระพุทธเจ้า เป็นผู้รับใช้ประชาชน สร้างสรรเสียสละอย่างไม่เหลือตัวตนได้ เราก็จะเกิดกระบวนการ ทำงานสร้างสรรค์อยู่ตามระบบสาธารณโภคี เป็นรัฐศาสตร์ที่สำคัญ เป็นระบบการบริหารสังคม จะเรียกว่าการเมืองก็ได้ แต่นี่เป็นการสังคมกลุ่มหนึ่ง ไม่ถึงการเมืองการประเทศ
ทุกคนอยู่ในนี้กินใช้ร่วมกัน ได้อะไรก็เอามาแบ่งกันกิน บริหารสินทรัพย์ต่างๆ เราบริหารร่วมกัน ไม่ถือว่าใครเป็นเจ้าของ เป็นของส่วนกลางหมด
ผู้ใดพิสูจน์ตนเองว่า เรามาอยู่ในชุมชนชาวอโศก ที่มีหลักเกณฑ์สาธารณโภคี คนๆนั้นตลอดที่อยู่ในส่วนกลาง ไม่สะสมเงินส่วนตัว ไม่ถือเงินส่วนตัว ไม่เอาเงินมาใช้ส่วนตัว จะใช้เงินเมื่อไหร่ก็มาเบิกส่วนกลาง งานนี้เหมาะสมไหม เจ้าหน้าที่การเงินก็จะพิจารณา ที่ประชุมจะพิจารณาไม่ได้เอาไปซื้อขนมส่วนตัว ลิปสติกส่วนตัว ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อส่วนกลาง เรามีส่วนรวม กินใช้ร่วมกัน อุปโภคบริโภค แต่โดยส่วนตัวนั้นไม่ทำ สังคมนี่แหละคือสังคมของสาธารณโภคี ที่สมบูรณ์ เป็นประชาธิปไตยสุดยอดที่เหนือกว่าคอมมิวนิสต์ เหนือกว่าประชาธิปไตยที่เขาเป็นกันเถอะ เหนือกว่าเผด็จการนั่นแน่นอน ก็ไม่เอาตัวตนเป็นหลัก เอาหมู่กลุ่ม เอาส่วนกลางเป็นหลัก ไม่มีให้ใช้ก็ไม่ใช้ หมู่ให้กินให้ใช้เท่าไหร่ก็ได้ หมู่จะปล่อยให้เราตายอย่างทุเรศทุรังการก็แล้วไป แต่หมู่เห็นว่า น่าอนุเคราะห์ เป็นคนที่มีประโยชน์ต่อส่วนกลางมากก็เลี้ยงไว้ เอาธรรมะเอาสัจจะเป็นเครื่องยืนยัน ธัมโมหเว รักขติ ธรรมจารี ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมาภิบาลเป็นธรรมาธิปไตย
จะเกิดธรรมาภิบาล รักษาสังคมกลุ่มใหญ่ได้ ผู้ที่มีหน้าที่มีตำแหน่งตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ข้าราชการต่างๆ ผู้ที่ทำหน้าที่โดยกินเงินเดือนรัฐ
เป็นผู้รับใช้อย่างมีสมรรถนะมีความรู้ ก็ใช้ความสามารถความรู้ เรี่ยวแรงทำงานออกมาเป็นกรรมกิริยา จนกระทั่งถึงประกอบวัตถุ เป็นผลผลิตแล้วเกิดขึ้นในสังคม เราก็มีส่วนอุปโภค บริโภค กินใช้ในส่วนที่เราสร้าง เราไม่ได้เบียดเบียนใคร เรากินใช้ในสิ่งที่เราทำ แล้วเรามีเหลือ สิ่งที่เราผลิตมีส่วนเหลือ เอาไปแบ่งให้กับประชาชน
ถ้าจำเป็นต้องมีส่วนแลกเปลี่ยน หรือเงินทอน เงินทอน คือถ้าคิดค่าคิดราคาแล้ว ผลผลิตแรงงานที่เราทำมีส่วนเกิน ผู้แน่จริงไม่สะสมเป็นของตนเลย เราผลิตได้เกินกว่ากินใช้ก็สละออกหมด เรามีสมรรถนะทำงานทุกวัน ผลผลิตเราก็เกิดทุกวันเราก็อาศัยกินใช้ของเรา ผู้กล้าหาญที่สุดไม่สะสมเป็นของตนเลย อยู่กับหมู่ ถ้าเราทำงานไม่ได้ เราก็ไม่ต้องกินต้องใช้ก็ได้ถ้าใครไม่ให้ แต่อยู่กับหมู่กลุ่ม มนุษย์เป็นสัตว์โขลงอยู่ด้วยกัน คนจะรู้ว่าคนนี้ทำงานดีอยู่ในสังคม แม้เขาจะป่วย เขาก็จะแบ่งแจกให้กิน เพราะเขารู้ว่า คนนี้เป็นคนมีคุณค่าต่อสังคม ขนาดคนขี้เกียจ เราจำเป็นต้องให้เขากินอยู่เลย พยายามสอนให้ดีขึ้น สอนไม่ได้จริงๆก็ขับออกจากหมู่ สอนยาก บอกยาก ก็ไล่ออกได้ หนักเข้าต้องให้ตำรวจออกไป คนนี้ไม่ไหว อยู่ในหมู่นี้เกเร ทำความเดือดร้อนให้หมู่กลุ่ม
ในสังคมที่มีหลักเกณฑ์วิธีการ ดังกล่าวนี้ อาตมาพยายามจะขยายความคำว่า ธรรมาธิปไตยกับธรรมาภิบาล ถ้าคนไม่มีธรรมาธิปไตย จะไปทำ ธรรมาภิบาลไม่ได้ จะไปดูแลรักษาช่วยเหลือป้องกันประชาชน โดยที่ตนเองไม่มีธรรมาธิปไตย ตนเองไม่มีธรรมะเป็นพลัง มีแต่อธรรม แล้วจะเอาอะไรไปอภิบาลประชาชน ถามในหมู่นักอวดดีอยากไปอภิบาลประชาชน ถ้าเอ็งไม่มีธรรมะอันเป็นอธิปไตย ไม่มีสิ่งที่ดีเข้าไป มีแต่อธรรม แล้วจะเอาอธรรมนี้ไปอภิบาลเขา มันจะได้เรื่องอะไร เพราะฉะนั้นธรรมาภิบาลต้องขึ้นอยู่กับธรรมาธิปไตย
ธรรมาธิปไตย คำสอนของพระพุทธเจ้าจะเกิดได้อย่างไร
คนจะมีธรรมะเป็นอธิปไตยได้อย่างไร คนใดคนหนึ่ง มีจริงๆเลย มีพลังเป็นธรรมะ ความสามารถ แรง พฤติกรรมทางกายวาจาใจที่เป็นธรรมะออกไปอภิบาลประชาชน ขอยกตัวอย่าง ไอดอล ชั้นเลิศคือในหลวงร.9 ที่ทรงมีธรรมาธิปไตยอภิบาลประชาชนไทยอย่าง Smooth อย่างดี อย่างไม่มีความรุนแรงเลย ใครไม่ทำ พระองค์ทำ พระองค์ทรงเองทำเองเลย
ยกตัวอย่างชัดๆ ข้าหลวงไม่ลงพื้นที่ นายอำเภอไม่ลงพื้นที่ พระองค์ลง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านไม่ลงพื้นที่ ในหลวงลงพื้นที ขึ้นเขาลงห้วยป่าดอยพระองค์ไปหมด นี่คือ ไอดอล ตัวอย่างของผู้ที่มีธรรมาธิปไตย ไปบอกไปสอนว่าต้องเป็นอย่างนี้ อยู่อย่างนี้ ทำอย่างนี้นะ ที่ไม่มีน้ำ ก็ไปทำให้เกิดน้ำ
เมืองไทยเป็นเมืองกสิกรรม ท่านก็เน้น กสิกรรม แม้ทางวิศวกรรม อุตสาหกรรม ท่านกระทำอย่างสมส่วน แล้วท่านตรัสอีกว่า เมืองไทยนี้อย่าไปหลงอุตสาหกรรม ในคลิป ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แล้วท่านตรัสอีกว่า เราไม่เอาหรอก การก้าวหน้าอย่างอุตสาหกรรม ก้าวหน้าอย่างนั้นมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว ให้มาเอาแบบคนจน อย่าไปเอาแบบคนรวย เราก็รวยพอสมควร อุดมสมบูรณ์ พอสมควร ถ้าปฏิบัติแบบคนจน ยิ่งจะมีกินมีใช้สะพัดเฉลี่ยถึงกันได้มากอีก แต่นี่คนรวย เอาแบบทุนนิยมสามานย์ เอาไปออกดอกเบี้ย หาเงินให้มากอีก ไม่เคยหยุดไม่เคยพอ ไม่มีอัปปิจฉะ สันตุฏฐิ
ไม่มีวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) เป็นชาวพุทธแต่ไม่สอนการเจริญ 9 ขั้นนี้กัน
แล้วแปลคำว่าทานเป็นคำว่าบุญ ซึ่งไม่ใช่เลย ทานคือให้โดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน เข้าใจคำว่าทานผิด ทานไปแปลว่า ให้แล้วจะได้วิมาน อนาคต จะได้ลมๆแล้งๆ จะได้ความรวย ได้ลาภมหาศาล ได้ยศสูงๆ ได้สรรเสริญเยินยอ ได้สุข เป็นโลกธรรม ศาสนาพุทธสอนโลกุตรธรรม ทานแล้วจะได้สูญ จิตหยุด จิตไม่มีสาเปกโขไม่มีภพชาติ ทานคือให้จากบริสุทธิ์ใจแล้วจบ คือทานที่เป็นบุญสูงสุดคือทานแล้วไม่มีภพชาติ ไม่มีจิตอยากได้อยากเป็นต่อ
เพราะรู้ว่า ทานคือการให้ ที่ไม่มีแม้ธุลีละอองของความเอา... ให้ไม่ใช่เอา
อธิปไตย คือพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานจิต ถ้าจิตเป็นประธานแล้ว วจีกรรม กายกรรมจะเป็นไปตาม พลังงานจิตให้เกิดกำลัง ทาง วาจา กาย มีผลต่อสังคมมนุษยชาติ ต่อโลก ผู้จะมีพลังเป็นอธิปไตย เป็นธรรม เพราะเข้าใจคำว่าโลก เข้าใจคำว่าอัตตา
คำว่าโลกคืออะไร ในพรหมชาลสูตร มีคนถามพระพุทธเจ้าว่าโลกคืออะไร อัตตาคืออะไร พระพุทธเจ้าวรรคไว้ก่อนไม่ตอบ แต่ที่จริงพระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้โลกกับอัตตา
โลกคือองค์รวม อัตตาคือจุดรวม
องค์รวม คือปริเฉทรูป ต้องจำกัดก่อน หลักเกณฑ์คือศีล สมาธิ ปัญญา เริ่มต้นจะมาศึกษาตนเอง หนึ่ง ต้องอยู่ในกรอบของโลก ศีล 5 คือหลักเกณฑ์ 5 ข้อที่รวม กาย วาจา ใจไว้ครบ จงเรียนรู้ว่า จิตเรามีอัตตา
จิตเรายังฆ่าสัตว์อยู่ แต่จิตโลกุตรบุคคล จะรู้ว่าชีวิตสัตว์คือสิ่งสำคัญ พืชพันธุ์ธัญญาหารคือชีวิตแต่ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ พลังงาน อธิปไตยที่จะพัฒนาพลังงาน อธิปไตยหรือ แรงของจิต กว่าจะมาเป็นจิต พัฒนามาจาก อุตุ พีชะ มาเป็นพลังงานจิตได้ มันต้องพัฒนาสั่งสมมา กว่าจะมีพลังงานถึงจิต เป็นพลังงานที่มีความรู้สึก มีเวทนา
ถ้าเรียนรู้ได้จะรู้ว่าพลังงานตนกำหนดรู้ได้ สัตว์ที่กำหนดรู้ได้เอง กำหนดรู้ว่าอันนี้เอา อันนี้ไม่เอาก็ปล่อย พีชะ จะรู้ว่าอันนี้เอา อันนี้ปล่อย เอามาทำไม เอามาทำชีวิตหรือร่าง องค์รวมของตน นอกนั้นมันไม่เอาหรอก นี่คือพีชะ ตามแต่ละเผ่าพันธุ์ของมัน จะทรงสภาพรูปร่างเป็นพืชต่างๆ มะนาว ก็เป็นอย่างนี้ มะนาวนี้ เรียกชื่อว่ามะนาว คล้ายกัน แต่มีตัวแปรต่างไป มะนาว 2 อย่างนี้ก็ไม่เหมือนกัน มันก็เอาเฉพาะที่จะมาสังเคราะห์มันเอง อันอื่นมันไม่เกี่ยว มี ISH มีตัวมัน แล้วมีอีกสองอย่างทำงานร่วมกัน
จนมาเป็นจิตนิยาม ทีนี้ ก็คำนึงถึงตัวเอง และแย่งคนอื่น แย่งไม่พอแล้วก็โลภมาก ตะกละตะกราม ทำลายผู้อื่นเพื่อเอาด้วย ทำลายอย่างแค่เจ็บปวดก็ไม่พอ ยังฆ่าเลย เอามาเป็นของตัว แล้วตัวเองจะต้องยิ่งใหญ่ Great American รุนแรงเลวร้ายมาก กูจะต้องใหญ่ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับความเป็นจิตประชาธิปไตย
จิตประชาธิปไตยนั้นอุดมสมบูรณ์ ไม่เรียกว่าใหญ่ ตนเองมีพลังงานมีความรู้ความสามารถ แล้วแจกผลผลิต ความรู้ความสามารถเอาไป เผื่อแผ่แจกจ่ายคนอื่น นี้คือ A Great ผู้ใหญ่จริงๆ กูจะต้องรวย กูต้องใหญ่เป็นหนึ่งอย่าง concept ของโดนัลด์ทรัมป์ concept ที่ล้มล้างความเป็นประชาธิปไตย ไม่มีขอบเขต
ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ จะเป็นประเทศที่ไม่สร้างอาวุธฆ่าคน มีแต่ความเมตตา ไม่มีอาวุธ ไม่ไปทำร้ายทำลายใคร กระบอง ไม้ อาวุธอะไรก็ไม่มี ปชต.
ประเทศที่สร้างอาวุธร้ายแรงมาก สำหรับข่มขี่อำนาจ ให้คนกลัว ประเทศนั้นไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตย ไม่จริง ..ต้องใช้พระคุณ ประชาธิปไตยต้องใช้พระคุณไม่ใช้พระเดช คือเมตตา ถ้าใช้พระเดช อำนาจบาตรใหญ่ ทำร้ายคนอื่นเก่ง แล้วใช้อาวุธร้ายแรงด้วย อย่างนั้นไม่เรียกว่าเก่ง เก่งขี้หมาอะไร
ความเห็นที่อาตมาพูดนี้ ขอธิบาย ย้อนแย้ง กับประชาธิปไตย ที่เขายกย่องกันคือประชาธิปไตยของอเมริกา อาตมาไม่คิดรบเอาชนะใคร อาตมาแพ้มาตั้งแต่ต้น จะให้แพ้ก็แพ้ ใครจะได้เบอร์ 1 ของโลกก็แย่งกัน อาตมาเบอร์ศูนย์ตลอดกาล
ขอขยายความ บทกวี
ข้อที่ 15 ประชาธิปไตยดีที่สุดแท้ที่สุดดีที่สุดไม่มีเลือกตั้ง
ประชาธิปไตยที่ดีที่สุด แท้ที่สุดไม่มีเลือกตั้ง อย่างเก่งก็มีแค่ซาวเสียง แล้วจบ เช่นในหมู่บ้านนี้ใครจะทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านก็ซาวเสียงกัน ไม่แย่งกันหรอก คนในเขตนั้นหมู่บ้านนั้นจะรู้กันเลยว่า ใครควรเป็น ถ้าประเทศก็ใครควรเป็นรัฐมนตรีการศึกษา สาธารณสุข เขาจะรู้กันเลยว่าใครเหมาะสมในหมู่บ้านนั้น หรือในกาละนั้น ไม่ต้องเลือกตั้ง เลือกตั้งนั้นเป็นความจำนน ว่าเขาแย่งกัน แย่ง ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขกัน ถ้าคนในหมู่บ้านนั้นไม่แย่งโลกียะ เป็นโลกุตระ เขาจะไม่ต้องเลือกตั้ง เพราะเขาไม่แย่งกัน ถ้าอยากดูประชาธิปไตยที่แท้จิรง มาดูที่กลุ่มชุมชนชาวอโศก
เขามีซาวเสียง เขาไม่ต้องเลือกตั้งใครจะเป็นตำแหน่งอะไรก็ให้ทำ แล้วผลัดกันทำ ไม่แย่งชิง ช่วยกันบริหารแล้วเอาสิ่งที่ได้เข้าส่วนกลางคือเสียภาษี 100% ทำได้ยิ่งยอดกว่าคอมมิวนิสต์สังคมนิยม เป็นประเทศเล็กๆเป็นหมู่บ้าน แล้วมีพฤติกรรมจิต จิตใจเป็นพฤติกรรมจริง ชาวอโศก อยู่อย่างสาธารณโภคี ใครจะมีส่วนตัวก็ไปทำข้างนอก แต่มาอยู่ในนี้ก็ทำกันอย่างนี้ ร่วมกันกินร่วมกันใช้
มีตึกรามส่วนกลาง ที่ทำงานส่วนกลาง เกิดผลผลิตก็เอามากินใช้ตามเหมาะควร แล้วเจ้าหน้าที่ดูแล ก็อาจเหนื่อยหน่อย เอามาใส่จานให้กิน แล้วก็ต้องมาเก็บจานให้ แต่ก็มีคนล้างจานเองเป็นส่วนใหญ่ คนเลวบ้างที่ไม่ล้างจานเอง ก็มีพวกเด็กๆ ผู้ใหญ่ไม่มีแล้ว นี่คือสังคม
จุดสำคัญของสังคมต้องการ สังคมประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ ก็ต้องการสังคมที่เป็นอยู่อย่างชาวอโศก ที่ปฏิบัติสำเร็จความเป็นประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า เป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุด เพราะเป็นโลกุตระ ขออภัยที่พูดใหญ่โต จะพูดมานานแล้ว เกือบห้าสิบปีแล้วก็ขอพูดอย่างนี้แหละ
ไม่เชื่อก็มาตรวจสอบ มาดู ตรงตามที่อาตมาพูดไหม หรือพูดคุยโม้เฉยๆ แล้วอยู่อย่างไร ขอยืนยันว่า ชาวอโศก อยู่อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทุกประการ
อยู่อย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
ทุกชุมชนชาวอโศกมีคนมีศีล ไม่ใช่รับศีลแค่ในวัด ออกจากวัดแล้วไม่มีศีล หรือไปทำเลอะเทอะในวัดอีก โกงเงินในวัด มาผิดกามในวัด มาฆ่าสัตว์ในวัด หลอกลวงในวัด เอาอบายมุขมาในวัด เอาหุ้นก็ดี เอาการสะสมเงินทองระบบโลกียะ สหกรณ์อย่างธรรมกายทำ เอาอบายมุขเลวร้ายมาในวัดหมด เป็นกิจการใหญ่โต เขาไม่รู้ว่าอบายมุขคืออะไร การสร้างวิมาน สร้างภาพหลอกคนคืออบายมุข การหาเงินให้ตัวเองมากๆคืออบายมุข
ศาสนาพุทธ สอนให้ สะพัดออก ทำอย่างเสียสละ ขาดทุนคือกำไร กำไรแบบได้เปรียบเขาไม่เอา มาเป็นคนเสียเปรียบ มีชีวิตให้เขาได้ตลอดกาลจนตายอยู่ได้ไหม... อยู่ได้ เพราะเรามีสมรรถนะ มีความขยัน มีความสามารถ ก็เกิดผลผลิต เราก็กินใช้ ในสิ่งที่เราทำ เราไม่ใช่คนขี้เกียจ เพราะในตัวของคนมีสมรรถนะ มีความขยัน ไม่งอมืองอเท้าไม่ทำงาน แต่เป็นคนทำงานสร้างสรรค์เสียสละ เราทำสิ่งไม่เป็นพิษ สร้างสรร เป็นกัมมันตะ ก็เอาสิ่งที่ตนเองทำเกินกินใช้ไปเสียสละ
คนที่มีพลังงานสร้างสรรมีผลผลิตเกินกินใช้ของตน คือคนก้าวหน้าเป็นคนมี Coefficient มีพลังการก้าวหน้า มีความรู้เป็นต้นทุน เป็น static มีต้นทุน มีความรู้ สมรรถนะ คือความสามารถ แล้วเป็นคนมีกรรมกิริยา การงาน ตามสมรรถนะ ความรู้เรา ทำตลอด สมควรพักก็พัก พักพอแล้ว จะเพียรก็เพียร
ผู้ข้ามโอฆสงสารแล้ว จะมีคุณสมบัติ อย่างไร อย่างสั้นที่สุด เป็นอรหันต์แล้ว จะมีสิ่งยืนยันคือ เราไม่พักเราไม่เพียร เราข้ามโอฆสงสารได้ (พระไตรปิฎก เล่ม 15 ข้อ 2)
เราไม่พักอยู่ (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป
เราไม่เพียรอยู่ (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท
เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว (โอฆมตรินติ)
เมื่อใดเรายังพักอยู่ (สันติฏฺฐามิ) เมื่อนั้นเรายังจมอยู่โดยแท้
เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ (อายูหามิ) เมื่อนั้นเรายังลอยอยู่โดยแท้
เราไม่พัก เราไม่เพียร ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แล ฯ
(พตปฎ. เล่ม 15 ข้อ 2)
คนไม่ป่วย แล้วพักตลอดกาลคือคนตาย ยังไม่ตาย เจ็บป่วยก็ควรพัก นอกนั้นเพียร เพียรจึงมากกว่าพัก ผู้มีเพียรมากกว่าพัก เศรษฐกิจก็ดี ผู้พักมากกว่าเพียร พักเพราะขี้เกียจก็มีแต่ฉิบหาย เบียดเบียน
ทุกวันนี้อาตมาอยู่อย่างเพียรมากกว่าพัก เพราะสังคมมีความไม่ดี มีความเสื่อม มิจฉาทิฏฐิ ทำลายความเป็นอยู่สังคม ด้วยการประพฤติที่ไม่ดี ก็ต้องพูดต้องอธิบาย โขกสับ ด่า ต้องว่า สิ่งที่ไม่ดีมันมาก เลยพูดแต่สิ่งตำหนิมาก สิ่งที่ดีมันมีน้อย จนไม่มีจะยกจะชม ส่ิงที่ดีจริงๆคือโลกุตรธรรม
โลกุตรธรรม ตอนนี้เกือบจะไม่มีให้ยกเลย ถ้าอาตมาไม่มีในหลวงที่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงพระจริยวัตรมา 70 ปี เป็นโลกุตระ ก็ไม่มีจะให้ยก แม้แต่พระแต่เจ้า ผู้เป็นตัวแทนศาสนา ก็ยังทำงานเหยาะๆแหยะๆ โดยเฉพาะงานบรรยาย ไม่โดดเด่นชัดเจน ในหลวงไม่ได้ทรงบรรยายมาก ท่านตรัสน้อย พูดน้อย จนอาตมาเป็นคนพูดว่าในหลวงพระองค์นี้มาบำเพ็ญปางเตมีย์ใบ้ กับปางพระมหาชนก
ท่านทรงงานอย่างมั่นพระทัยว่าเป็นสิ่งดีงามก็ทรงงานไป ไม่รู้ว่าจะถึงฝั่งหรือไม่ก็ทรงไปจนสิ้นพระชนม์ ส่วนตรัสว่าคนอื่นหรือสอนก็น้อยมาก จนอาตมาว่าเป็นพระเตมีย์ใบ้ อาตมาว่าน่าจะเติมที่ท่านไม่มีเวลาขยายความ ให้ทำตามอย่างท่าน
อาตมาก็เลยต้องมาขยายความ อาตมาจำเป็นต้องทำหน้าที่นี้ อธิบายต่อ
จึงใช้เวลาบรรยาย ไม่ได้ลงพื้นที่อย่างในหลวง ในหลวงไปในทุกพื้นที่ ข้าราชบริพารก็ต้องรับสนอง เหมือนท่านไปปัดสวะในน้ำ ก็แหวกออก แต่พอไป สวะก็รวมตัวอย่างเก่า เห็นพระทัยพระองค์ท่านจริงๆ
ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ
ประชาธิปไตยต้องมีสองขาคือ กษัตริย์กับประชาชน ถ้าประชาธิปไตยที่ไม่มีกษัตริย์มีแต่ประธานาธิบดี โดยสุ่มเอาจากประชาชน ไม่ได้สืบสันตติวงค์ ไปสุ่มจากใครก็ได้ ไปหาเสียงด้วยกลเม็ดให้คนเลือกเรามาเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ เท่ากษัตริย์เลย เป็นใครไม่รู้ได้อบรมฝึกฝนมาอย่างไรไม่รู้ แล้วใครเป็นกษัตริย์เพียงชั่วคราว เป็นประธานาธิบดี 4 ปี แล้วก็หยุด 4 ปีสุ่มมาใหม่ สะเปะสะปะ ไม่มีสืบสันตติวงค์เลย อาตมาเลยนิยาม ประชาธิปไตยต้องมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีการสืบทอดมีกฎมณเฑียรบาล จะเป็นกษัตริย์ต้องมีคุณสมบัติคุณธรรมถึงขั้นทศพิธราชธรรม
กษัตริย์ที่เป็นประมุขต้องมี DNA สืบสันตติ ต้องมีกฎหลักเกณฑ์ มีกฎมณเฑียรบาล ทำให้คนเป็นคนดี รู้จักว่าประชาชนเป็นลูกของเรา คนชั่วหรือคนดีก็เป็นลูกของเรา ต้องอบรมคนชั่วทำให้คนชั่วเป็นคนดีให้ได้ มาเป็นลูกของเราทิ้งไม่ได้ ประชากรทุกคนเป็นลูกของพระองค์ ชั่วก็มีดีก็มี จึงมีหน้าที่ทำให้ลูกชั่วเป็นลูกดี เมื่อลูกดีแล้ว ก็มาช่วยกันบริหารประเทศ กษัตริย์ต้องมีหน้าที่อย่างนั้นเลย
4. ทรงมี “ทศพิธราชธรรม” ในพระจริยวัตรแท้
5. ขาดขา 1 ขาใดไม่ได้ ขาเดียวไม่ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย อาตมาให้ตามท้าพิสูจน์ประชาธิปไตยขาเดียวที่มีมาไม่ถึงสองร้อยปี คุณมีชีวิตอยู่ยาวไปสามร้อยปี แล้วดูว่า อเมริกาที่บริหารประชาธิปไตยขาเดียวจะเป็นอย่างไรรับรองว่าจะบ้าๆบอๆตอนนี้ก็มีรูปรอยแล้ว ประชาธิปไตยต้องมีประชาชนใหญ่ แต่ โดนัลด์ทรัมป์ มาบอกว่า กูเป็นใหญ่ ซึ่งไม่ใช่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยต้องรับใช้ประชาชน รับใช้ทุกประเทศ ถ้าประกาศว่า อเมริกาต้องเป็นประเทศยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อันนี้ไม่มีความรู้ประชาธิปไตยเลย แม้เท่าขี้เล็บ กูต้องใหญ่ต้องรวยก็ตรงกันข้ามกับพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 9 แล้วตรงกับธัมมชโยที่เขาให้คนไปรวย
6. มี “ประชาราชสมาศัย” เป็นนาม-รูป คือมีธาตุรู้กับสิ่งประกอบสองอย่างอาศัยกัน ร่วมกันทำให้ไม่เป็นภัยเป็นโทษมีแต่ดีกับดี
7. ชื่อว่าธรรมะ 2 คือรูปกับนามหรือเลือด-วิญญาณ รู้จักธรรมะสองว่าต้องทำให้เป็นธรรมะหนึ่ง คือจิตวิญญาณ ความรู้ความสามารถทำงานในสังคมโดยไม่เห็นแก่ตัว การทำงานเพื่อสังคมเพื่อผู้อื่น ทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งโดยเฉพาะ เวทนา หากทำให้สังคมมนุษยชาติเป็นสุข เป็นเวทนาสุข ก็ดี ไม่ต้องทำให้ทุกข์โดยสัจจะแท้จริงถ้าของปลอมก็หลอกเป็นสุข แต่ถ้าของจริงก็ทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์
8. ธรรมะต้องเป็นโลกุตระจริง คือล้างความเป็นตัวตน จนหมดตัวตน แล้วรับใช้ประชาชน ต้องมีธรรมะโลกุตระ ไม่อย่างนั้น เพราะเดี๋ยวนี้โลกุตระปลอมมีเยอะ โลกุตรจริงคือจิตคนไม่มีอัตตา หรือทำอัตตาให้น้อยลงๆจนจิตไม่มีอัตตา หมดอัตตา 3 ..อัตตาใหญ่เบ้งคือโอฬาริกอัตตา ส่วนอัตตาระดับกลางคือ มโนมยอัตตา เหลือขั้นน้อยสุดคืออรูปอัตตา เป็นนามธรรม แล้วรู้วิธัทำให้กิเลสลดน้อยลงได้ เป็นโลกุตระ เริ่มทำให้กิเลสลดน้อยได้เป็นโลกุตระ
9. ถ้ากษัตริย์ไม่มีโลกุตรธรรมเป็นโลกุตรบุคคลก็จะไม่มีเชื้อโลกุตรธรรมในสังคมนั้นก็เป็นประชาธิปไตยไม่แท้ เพราะมีกิเลสตั้งแต่ต้นทางเลย กษัตริย์คือผู้มีรัฐาธิปัตย์เพราะมีแต่กิเลสมีแต่ความเห็นแก่ตัว
10. เพราะกษัตริย์ต้องมีสันตติวงศ์ที่สืบทอดด้วย “กฎมณเฑียรบาล” หล่อหลอมสร้างมาทุกชาติทุกชาติ เขาไม่เอากษัตริย์ที่สุ่มเอาเหมือนประธานาธิบดี
ประธานาธิบดีคือลัทธิ สุ่ม กษัตริย์ขึ้นมาเป็น 4 ปี ไม่ได้ชื่อว่ากษัตริย์แต่เรียกชื่อว่าประธานาธิบดี เป็นเหมือนนิยายอาหรับราตรี กาหลิบ
กษัตริย์ต้องสืบสันตติวงค์ ข้ามชาติมาเลย อย่างราชวงศ์จักรีมีมากกว่า 200 ปี ประเทศอื่นก็มีราชวงศ์ของแต่ละประเทศ
11. อยู่ดีๆสัตว์โลกที่ไม่ได้สั่งสมวิบากที่เป็นกุศล มานานนับชาติมากเพียงพอจะเป็นกษัตริย์ไม่ได้ ถึงได้ก็เป็นกษัตริย์ที่ไม่มีทศพิธราชธรรม เป็นกษัตริย์ที่ไม่ดี เป็นเรื่องที่หล่อหลอมมนุษย์ถึงจิตวิญญาณ มีกฎมณเฑียรบาล ที่เป็นหลักเกณฑ์อยู่ในกรอบให้เป็นคนดี กษัตริย์ต้องถูกหล่อหลอมตามกฎมณเฑียรบาล เห็นประชาชนเป็นลูก บริบาลลูกให้อยู่ดีกิน แม้จะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ใช้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เฉลี่ยอย่างถูกต้อง ตามคำสอนพระพุทธเจ้า
ตอบคำถามนายกฯ ที่ท่านถามว่ามีเลือกตั้งหรือไม่หรือควรเลือกตั้งหรือไม่?
(1) ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่
(2) หากไม่ได้ จะทำอย่างไร
(3) การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง
(4) ท่านคิดว่า กลุ่มนักการเมือง ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร
คือใน 4 ข้อนี้ถามว่าจะมีเลือกตั้งดีหรือไม่ หรือได้ไม่ดีจะทำยังไง
ถ้าไม่ได้ ..ก็เลือกตั้งกันอีก แล้วก็ไปสร้างแทคติก จนกว่าจะได้รับเลือก จนเขาพูดกันว่า ส่งเสาไฟฟ้าไปก็ได้รับเลือกตั้ง นั่นไม่ใช่ความเห็นของประชาชน เป็นการถูกให้อำนาจ ประชาชนไปเลือกเสาไฟฟ้า เขาด่าประชาชนไปเลือกเสาไฟฟ้ามาเป็นตัวแทนประชาชน จะเลือกใครส่งคนเลวไปลงเลือกตั้งประชาชนก็เลือก
อยู่ดีๆ สัตว์โลกที่ไหนจะมาเป็นพระมหากษัตริย์ไม่ได้
12. เป็นกษัตริย์ที่มีพระจริยวัตรอันประเสริฐอย่างเป็นจริงมีรูปธรรม เป็นสมมุติธรรมให้สัมผัสได้เป็นสากลอย่างในหลวงร.9 ที่ทรงงานมาตลอด 70 พรรษา
13. พระจริยวัตรนั้นทรงงานเพื่อประชาชนที่มีรูปธรรม ยืนยันจับต้องได้ อย่างมีปริมาณของสมมุติสัจจะ มากมายให้เห็นให้รู้ได้จริง
พระจริยวัตรนั้นๆ แม้จะเป็นงานเพื่อประชาชนที่มีนามธรรมยืนยันอยู่ แต่มีคุณภาพของปรมัตถ์สัจจะ ที่เป็นโลกุตรธรรม ที่ลึกซึ้งมากมายให้รู้ได้จริงได้เท่าที่ทรงมีจริง นั้น มี รูปธรรม เห็นได้ อ่านออก ประชาชนก็จะเทิดทูนนับถือ จนถึงขั้น ขณะนี้ แสดงออกถึงขั้น ฮือฮา แสดงออกถึงความเคารพบูชาเทิดทูน ความเป็นประชาธิปไตย พระจริยวัตรที่ทรงงานรับใช้ประชาชนมา 70 ปี ประชาชนฮือฮา อย่างที่ประเทศไทยกำลังเป็นอยู่ ที่เป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมะเป็นโลกุตระ
ประชาชนที่ขานรับ ด้วยความตั้งใจจะทำตามพ่อสอน เพราะท่านทรงทั้งทำทั้งพูด ทรงมาหมดสอดคล้องเป็นโลกุตระ โลกุตระคือไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อส่วนรวมเพื่อมวลประชาชนอย่างแท้จริง
15. เกิดผลต่อโลกอย่างที่เห็นได้เพราะว่าคุณภาพ คุณธรรม คุณสมบัติ ซึ่งยังมีอัตราการก้าวหน้าของ “สัมประสิทธิ์” ยืนยันได้จริง ที่ (Coefficient) ซึมลึกไหลถ่ายเทสืบทอดเป็น “ออสโมซิส” อยู่ (Osmosis)
เงื่อนไขของ Coefficient คือต้องมีพลังงานสูง อย่างในหลวงนี้มีพลังงานสูงทำหน้าที่ osmosis ซึมลึกเลื่อนไหลให้แก่หมู่คน ยิ่งเกิดการทบทวน เอาคำสอน ภาคปฏิบัติ ที่ในหลวงเราได้ทรงงานมา 70 พรรษาแล้วพาประชาชน ผู้บริหาร ข้าราชการ ทำงานเป็นองค์รวม เรียกว่า Coefficient อย่างมีอัตราก้าวหน้า มีค่าคงที่ที่ตั้งมั่นไม่สลายสูญ และยังมีพลังานที่เหลืออยู่ที่เป็นประชาชน ดำเนินตามรอยพระยุคลบาท เป็น Dynamic ในหลวงสวรรคตก็จบพลังงานของท่าน ประชาชนก็มีการพัฒนาตาม อย่างมีอัตราก้าวหน้า เป็น progression ratio เป็น Geometric progression ในระดับคูณ ขึ้นไป
จึงขอย้ำว่าอย่าทิ้ง เอาให้จริง สืบสานไปเถิด ประเทศไทยจะอยู่รอด จะเจริญตามคำสอนพ่อ พ่อพาทำมาก่อน เมืองไทยโชคดีมากที่มีในหลวงพระองค์นี้ แล้วทรงพระจริยวัตรมาถึง 70 ปี ให้แก่ประชาชน แล้วพระองค์ก็หมดวาระ ลูกๆจงนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่อันนี้ให้ได้ และรับสืบทอดให้ดี จึงจะเกิด
แม้อาตมาใช้คำพูดว่า หากใครไม่สืบทอดก็ตาม ต้นทุนที่ในหลวงทำ มันก็จะซึมลึกเอง osmosis เองอยู่ แต่เราอย่าให้พลังงานต้นทุนนี้เสื่อมหรือคงที่ จงเติมๆๆ นี่คือเป็นความปรารถนา ต้องการให้พวกเราเป็น อาตมาหมายถึงอันนี้ ช่วยเสริมสาน
อาตมาพูดอยู่นี้ระดมอย่างน้อยชาวอโศกเชื่อที่อาตมาบอก ก็จะรับช่วง ตั้งแต่ในหลวงไม่สวรรคต ถึงในหลวงสวรรคต ก็ต้องทำเพิ่ม ใครจะมาช่วยทำอนุโมทนาสาธุ สหประชาชาติก็รับรอง ส่งเสริม รวบรวมเป็นทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง พามาจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเราเป็นสิ่งประเสริฐ
มาลงลึกคำว่า จน หรือคำว่า ขาดทุน เป็นเรื่องทวนกระแสใจอย่างมากในความเป็นโลกียบุคคลปุถุชนคนธรรมดาสามัญ
คนธรรมดาสามัญไม่มีใครอยากขาดทุน ไม่มีใครอยากจน มีแต่คนทวนกระแสโลกเท่านั้นที่จะตั้งใจมาจน มาเต็มใจจน มาทำตัวให้จน จน จนกระทั่งจนอีหลีอีหลอ
จนคืออะไร จนคือ ไม่มีสมบัติ ไม่มีอะไรที่สะสมเป็นของตน นั่นคือจน ผู่ใดจนจนหมดเนื้อหมดตัว อย่างภาคภูมิใจและเป็นสุขใจ อย่างมีสมรรถนะ คนจนที่มีสมรรถนะ มีแรงงาน ทำงานสร้างสรรค์ตลอดเวลา แล้วก็เกิดผลผลิต เกิดแรงงาน แล้วเอาผลผลิตก็ดี แรงงานก็ดี สะพัดแก่ประชาชน โดยที่ตนเองอาศัยกินอาศัยใช้กับหมู่กลุ่ม กับสังคมประเทศชาติ เท่าที่ตนเองจะบริโภคอุปโภคอย่างพอดี น้อย ไม่มาก คำตรัสของในหลวง เป็นอันเดียวกับคำตรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาเข้าใจ และพูดประกาศชักชวนกันให้ทำ ทำอย่างคนจน
ขอถามพวกเราหน่อย พวกเรามีจิต คิดว่าเรายังอยากจะมาจน แต่ก่อนนี้เราอยากจะไปรวย 100% มากกว่า 100 ก็จะเอา แต่เดี๋ยวนี้ไม่คิดจะรวย 100% โดยสํานึก อยากจนเป็น 0 แต่โดยความเป็นจริงกิเลสยังไม่ยอม ใช่มั้ย
แต่ได้ตั้งใจจะมาจนแล้ว นี่คือเขตตัดโลกุตระแล้ว เป็นอัญญธาตุ เป็นธาตุที่มีปฏิภาณความรู้ว่า คนเราเกิดมารวยนี้อยากจะรวยนี้เป็นสิ่งที่ผิด อยากจะมาจนนี้ถูกต้องกว่า ความเข้าใจความคิดอันนี้คือ อัญญธาตุ เป็นความรู้อื่นที่ต่างไปจากโลกียะ
เพราะคนในโลกๆทางโลกียะอยากจะรวยทั้งนั้นแหละ รวยเท่าไหร่ไม่เคยพอไม่เคยเสร็จสิ้น นั่นคือโลกีย์ แต่นี่พอแล้ว บางคนรู้ว่า ลดรวย แล้วลดได้แค่นี้พอ แล้วก็ลดอีก จนอยู่ได้ มีประโยชน์เกิดปัญญาความรู้ เราจน การมีความรู้มีสมรรถภาพ ทำงานเกิดผลเกิดแรงงาน ก็แจกจ่ายเจือจานไป โดยที่เราไม่ต้องสะสม อยู่ในหมู่มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อม ในระบบสาธารณโภคี อย่างชุมชนอโศก คือชุมชน ประชาธิปไตยที่สูงสุด เหนือกว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างเต็มใจ
แล้วมีชีวิตกินใช้อยู่ร่วมกัน เสียภาษีไปแล้วก็มีคณะบริหารมาร่วมกันดูแลแจกจ่าย พัฒนาสร้างสรรค์ มีระบบสาธารณูปโภค อยู่กันอย่างดี เป็นเครื่องอุปโภคบริโภค ดินน้ำไฟลม แสงสีเสียง องค์ประกอบในชีวิต เครื่องอุปโภคบริโภค อยู่กันอย่างสมดุลพอเพียง ไม่อดอยาก อุดมสมบูรณ์ แล้วสะพัดสิ่งที่อุดมสมบูรณ์ออกไป เผื่อแผ่ เกื้อกูลคนอื่น ชนิดที่แจกได้ ให้ไปอย่างต่ำกว่าทุน ให้ไปอย่างขาดทุน หรือจำยอมต้องเอาเกินทุนบ้าง ตามฐานะ ไม่ตั้งใจจะเอาให้มากกำไรให้มาก สูงกว่าราคาตลาด มีความคิดเฉลียวฉลาด ยิ่งกว่าพวกขายตรงอีก จะต้องทำราคาขายให้มาก หลอกลวง ครอบงำความคิดให้เขาจ่ายแพง มีกลเม็ดเด็ดพรายแบบ Direct Saleเพื่อให้สินค้าเราราคาสูงที่สุด บ้าจริงๆโหดเหี้ยมจริงๆ Direct Sale บาปมหาศาล
แต่เขาว่าเจริญ ถูกหลอกให้ไปอยู่ในระดับ เพชร ระดับ ทอง หลอกคนให้ไปขูดรีด มวลมนุษย์สังคม เป็นวิธีการที่เลวจริงๆเลย Direct Sale พูดไปแล้วจะหาว่าด่า แต่ที่จริงแล้วขยายความให้ฟัง ให้รู้ว่า วิธีคิดวิธีทำแบบนั้นเป็นสิ่งที่เลว
อาตมาเป็นคนตรง อะไรไม่ดีก็ด่าก็ว่า อะไรดีนั้นชม แต่ก็มีดีน้อยให้ชม หาตัวยาก และจริงอีก จะชมทีไรก็เข้าพวกอโศกอีก ก็เลยไม่ค่อยชม เมื่อพูดว่า ให้ทำตัวมักน้อยสันโดษแบบชาวอโศก ก็หาว่าชมพวกตัวเอง แล้วคนอื่นมีดีให้ชมไหม ก็ทำให้เข้าเกณฑ์สิ อยากจะให้ชม ก็ทำให้ดีอย่าง พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ เอกีภาวะ ทำได้ในประเทศนี้ รับรองว่าทุกประเทศยกให้เป็นประเทศที่เจริญสูงสุดเลย เป็นเบอร์ 1 ของโลก โดยไม่ต้องตีกอล์ฟเหมือนกับโปรเมย์ เป็นเบอร์ 1 ของโลกเลย อาตมาว่าจริง
อาตมาเข้าใจเช่นนี้ ชีวิตก็มาชักชวนให้ทำแบบนี้ คนที่เปิดหูรับฟังก็ดี คนไม่เปิดหูก็แล้วไป ดีไม่ดี ด่าว่าอีก ไปกวนกิเลสเขา เขาก็ไม่ชอบเป็นธรรมชาติ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) โพชฌงค์ 7 มรรค 8
ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้เป็นธรรมะที่ไม่มีตก เป็นธรรมะที่ยิ่งใหญ่ เป็นธรรมะที่ทันสมัย จริงแท้เป็นของดิ อันประเสริฐ ไม่มีเสื่อมไม่มีตก ไม่มีล้าสมัยเลย สักวินาทีเดียว เป็นธรรมะที่ทันสมัย ไม่มีตกไม่มีล้าสมัย
วิธีปฏิบัติโพชฌงค์ 7 กับมรรคมีองค์ 8 เป็นแกนหลักของศาสนาพุทธ
สรุปของมรรคมีองค์ 8 จะต้องปฏิบัติให้เกิดสัมมาสมาธิ จุดรวมอยู่ที่ สัมมาสมาธิ ปฏิบัติทุกกรรมการงาน อาชีพ ในขณะคิดพูดทำ แล้วจะเกิดผลเป็นสัมมาสมาธิ ได้อย่างไร
ก็ต้องปฏิบัติตามระบบโพชฌงค์ 7 เป็นหลักเกณฑ์ พยายาม โดยมีสติเป็นตัวตั้ง จึงเริ่มด้วยที่สติสัมโพชฌงค์ แล้วก็มีธัมมวิจัย ทำข้างนอกข้างใน มันมีกิเลสในสังขาร ล้างกิเลสออก มีทำวิจัยแล้วก็ประหารกิเลสด้วยวิริยสัมโพชฌงค์ ทำได้ก็จะมี ปิติสัมโพชฌงค์ ทำให้เกิด เนกขัมมะได้ มีวิธีการ ซึ่งอุบายเป็นเครื่องออก ทำให้กิเลสลดได้ เห็นกิเลสลด คนนั้นแหละ เป็นคนที่เดินทางไปมรรคผลนิพพาน ไปตามลำดับ
มรรคมีองค์ 8 และ โพชฌงค์ 7จึงเป็นคู่ที่เดินทางไปตามโพธิปักขิยธรรม 37
เริ่มตั้งแต่ ธรรมะสอง คือ กาย มีรูปกับนาม
รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวรู้ นามรู้จักรูป
เวทนาสอง สุข ทุกข์ ก็ทำให้หมดเป็นไม่สุขไม่ทุกข์ได้ ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ซึ่งมีแต่ความสุขความทุกข์ อยู่ตลอดกาลและนาน แต่ผู้ใด เอากิเลสออกได้ เป็นเนกขัมมะ มโนปวิจาร 18 เป็นอุเบกขา มันว่าง พักยกได้นะ ตามภาษาท่านพุทธทาส บอกว่าจิตว่างชั่วคราว แบบนี้ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า มันต้องเป็นของมันอย่างนั้น ท่านพุทธทาสไม่เอาอภิธรรม ยืนยันได้ว่าท่านไม่ถึงจิตเจตสิก ตรรกะท่านถูกต้องแต่สภาวะท่านไม่ถึง ท่านเลยตีทิ้งอภิธรรม ว่าเป็น อภิธรรมเม็ดมะขาม ท่านไม่ได้เข้าถึงในอภิธรรม แต่อาตมาซาบซึ้งในจิต-เจตสิกที่เป็นพระอภิธรรม
คุณทำจิตเบาว่างได้ แล้วทำการงานเลี้ยงชีวิตอยู่รอดทำใจวางเฉยๆ ก็อยู่รอดเฉยๆ แต่ไม่ได้ฆ่าสมุทัยไปตามลำดับ
ปฏิบัติ ตั้งแต่ ศีล 5 8 10 จุลศีล มัชฌิมศีล ไปตามลำดับ ดีที่ท่านพุทธทาสมาพูดโลกุตะคือทำจิตให้ว่างจากกิเลส แต่ทำตามลำดับอย่างที่ต้องพ้นจากอบาย และต่อมาโลกกาม โลกธรรม แล้วกระทบแล้วมีจิตเจตสิกอย่างไร มีเวทนาในเวทนาอย่างไร มีกิเลสในนั้นทำกิเลสหมดก็ไม่ทุกข์ไม่สุข ต้องรู้รูปนามด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส แต่เข้าไม่ถึงก็เลย ใช้ตรรกะทำจิตว่าง คือสร้าง มโนมยอัตตา สร้างอัตตาเป็นความว่าง ทำจิตกลางๆไม่นึกไม่คิด เป็นมโนมยอัตตา ทำภพชาติว่าง แต่ไม่ได้ทำเจตสิก เนื้อแท้ แล้วจับกิเลสเจตสิกตัวแท้ให้ดับไป อย่าไปดับจิตทั้งหมด ธาตุรู้มี 100 มีกิเลส100ก็เอากิเลสออกได้ 1 จิตว่างก็เป็น 99 แล้วจัดการกิเลสได้อีก 1 ก็มีจิตว่างอีก 98 แล้วทำกิเลสออกอีก 1 จิตก็ว่างอีก 97 จิตยิ่งว่างยิ่งมุทุ แคล่วคล่องว่องไว จิตยิ่งดี ยิ่งใสสะอาด ทำงานได้ดียิ่ง ทำกิเลสออกได้100 ก็เป็นจิตว่างสมบูรณ์แบบ เป็นจิตที่แคล่วคล่อง มีคุณสมบัติ โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)
อาตมายังมีพูดลึกลงไปอีกมาก จึงยังไม่ยอมตาย จะอยู่ต่อไปจนกว่าจะไม่ได้ ถ้าไม่ได้ 151 ได้ 150 ก็ได้ แต่จะอยู่ให้ได้ถึง 151 ...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:26:10 )
รายละเอียด
600618_พ่อครู เทศน์ก่อนฉัน พิธีไหว้ครู 25 ปี สัมมาสิกขาปฐมอโศก 2560
28 มิถุนายน 2560 วันนี้มีคณะครู 52 คน ศิษย์เก่า 194 คน นักเรียนปัจจุบัน 59 คน รวม 253 คน มารวมกัน ทำยัญพิธี ไหว้ครู 25 ปีปฐมโศก บรรยากาศอบอุ่นคุ้นเคย ศิษย์เก่าบางคนอุ้มลูกจูงหลานมาใส่บาตร มานนัมการสมณะสิกขมาตุ ที่เคยพร่ำสอนตนให้เป็นคนดีมา
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน อวตารทั้งสิบปาง
พ่อครูว่า...หลายคนพูดกันแล้วย้ำกันแล้วว่า อบอุ่นใจ จริงๆแล้วชาวอโศกได้ร่วมกันมาถึงทุกวันนี้แล้ว มันหนักหนาสาหัสกับสังคมที่เลวร้ายหนักมาก แล้วเราก็กอบกู้สังคมมาถึงทุกวันนี้ จนทุกวันนี้แล้วไม่ไว้หน้า พูดตรงเลย อาตมาพูดผ่าๆ จริงใจ ไม่มีลดเลี้ยวแล้ว พูดชัดๆเปรี้ยงๆ เพราะว่าไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว
พูดกันตรงๆมันก็ควรจะต้องง่าย ชัด ไม่มีอะไรพรางบัง ยังไม่รู้ไม่เข้าใจกันอีกก็หมดสิ้นก็เท่านี้ มนุษย์ที่จะใช้คำพูดสื่อสารกันแสดงกายกรรม วจีกรรม ทั้งมโนกรรมเพื่อให้รู้กันก็จบสิ้นแล้ว ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น
มีเวลาแต่เพียงว่าเราก็ยังชีวิตไป ใครจะตายก็ตายไป เอาไปเผากันให้ตามวัฒนธรรม
ถึงอย่างไร ขอพูดเป็นอจินไตยก่อนว่า ความรู้ของอาตมาที่มีมา เป็นสิ่งยืนยันพิสูจน์ว่า อาตมาพูดสิ่งที่ไม่มีใครพูดในโลกยุคนี้ แต่อาตมาก็หยิบมาพูดขยายความต่างๆนานา ตั้งแต่มันไม่มีหลักฐานอะไรจะค้นคว้าอ้างอิง เพราะประวัติศาสตร์มันนานมาก ไม่มีอะไรบันทึก เหลือเชื้อมาอ้างอิงบอกกล่าวได้ เชิงตำนานก็ไม่มีอ้างอิงเลยก็พูดกันไม่รู้เรื่อง
เช่นตำนานที่บันทึกกันมา ที่มีภาษาคำว่า อวตาร คือมันเปลี่ยนตัวมาๆ แต่ละชาติๆ แต่ละกัปป์ เป็นล้านๆปี สิ่งเหล่านี้มีเกิดจริงเป็นจริง ตั้งแต่เป็นจิตนิยามเป็นชีวะระดับสัตว์แล้วพัฒนามาเป็นมนุษย์ จากสัตว์เดรัจฉานมาเป็นมนุษย์ที่นับว่ามีจิตวิญญาณ พัฒนามาจนสามารถรับรู้ เจริญเฉลียวฉลาด
ฉลาดทางโลกีย์ แย่งกันเป็นใหญ่ทางโลกีย์ แล้วไม่พ้นกรรมวิบาก มันต้องใช้หนี้กรรมใช้วิบากกันจริงๆวนเวียนใช้หนี้กัน กรรมเป็นอันทำ ทำแล้วบันทึกไว้ วนเวียนเป็นสมบัติผลัดกันชม สุขๆทุกข์ๆ คนนี้แพ้คนนี้ชนะ คนนี้ชนะคนนี้แพ้ อยู่อย่างนั้น
ส่วนโลกุตระนั้นจบ ไม่มีแพ้ไม่มีชนะ แพ้อย่างเดียวได้ สำหรับโลกที่มันเลวโลกที่มันเป็นโลกียะที่เลว ผู้ที่เป็นโลกุตระ คือผู้แพ้ โลกียะนั้นเลว ผู้เป็นโลกุตรบุคคลจะต้องช่วยโลกอย่างเป็นผู้แพ้ ให้เขาแล้วเขาด่าด้วยนะ ดีไม่ดีฆ่าทิ้งเลย ถ้าเลวจัด ฆ่าก็เป็นอนันตริยกรรม เป็นวิบาก เป็นสัจจะของวิบาก แต่คนฆ่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เท่านั้นเอง
ในวันนี้จะเปิดเผยตำนาน อวตาร 10 ปาง ที่เขาบันทึกกันมา คนไม่เข้าใจจะตีทิ้งแม้จะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อก็เป็นเค้าให้ตรวจสอบได้สำหรับคนฉลาด
อวตารทั้งสิบปางของพระวิษณุประกอบด้วย
ชาวโลกียะนั้นช่วยคนอย่างหลอกทั้งนั้น ต้องเริ่มเป็นโสดาบันจะเริ่มต้นไม่หลอก แต่จะเหลือโลภ ตัวเองมีมิตรสหายหมู่กลุ่มที่ต้องทำเพื่อเขาอยู่ จนครบหมดตัวตนเป็นอรหันต์ อนุโพธิสัตว์เป็นต้นไปจะช่วยอย่างบริสุทธิ์ใจไม่มีตัวตนเลยเป็นโพธิสัตว์
ตำนานชุดนี้ชุดที่หนึ่งอ่านไปแล้ว ตำนานอีกชุดหนึ่งก็จะมี พระนารายณ์ 10 ปางสำคัญดังนี้
ปางที่ 1 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูเผือกมีเขี้ยวเพชร)
ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง)
ปางที่ 3 มัตสยาอวตาร (อวตารเป็นปลากรายทอง)
ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์)
ปางที่ 5 วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)
ปางที่ 6 มหิงสาวตาร (อวตารเป็นมหิงสา หรือควาย)
ปางที่ 7 อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางฟ้า)
ปางที่ 8 รามาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ชื่อพระราม)
ปางที่ 9 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ)
ปางที่ 10 กัลกยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์เรียกว่า วีรบุรุษขี่ม้าขาว
แต่ละตำนานไม่ต้องปฏิเสธหรือแย้งเถียงหรอก เราเข้าใจให้ได้ว่าเขาเอามุมไหน อันหนึ่งเอาหมูป่า อันหนึ่งเอาหมูเผือก หมูป่าก็ไม่เจริญเท่าไหร่เท่านั้นเอง ก็ไม่ต้องแย้งเถียง ทำความเข้าใจก็แล้วกัน
นรสิงหาวตาร เริ่มมาเป็นคนส่วนหนึ่งแล้ว ถ้าเป็นคนชั้นต่ำ จะแย่ง ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่เมื่อเป็นคนชั้นสูงก็จะลดละความโหดร้ายรุนแรงที่จะไปแย่งลาภยศสรรเสริญ ลดความอำมหิตโหดร้ายลงเรื่อยๆ
ต่อมาเป็น วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย) ยังไม่ค่อยแข็งแรง หรือเรียก ทวิชาวตารคือจะเกิดมาใหม่ พัฒนาจากโง่มาเป็นฉลาด จากโลกียะมาเป็นโลกุตระ
ปรศุรามาวตาร เป็นรามผู้ยังปราบ ผู้ที่เลว
อันสุดท้าย ถ้า 0 คือไม่มี ถ้า 10 คือเต็ม มีไม่พร่องเลย มีอยู่เต็ม ก็จบ พยัญชนะหรือภาษาตำนานเหล่านี้ จะบัญญัติอย่างไร ผู้เข้าใจมีสภาวะแล้วไม่ติดใจในสมมุติสัจจะ แม้จะเหลื่อมกันอธิบายสับสนอย่างไรก็ไม่สับสนไม่สงสัย
ในตำนานที่สองไม่มีพุทธาวตารเลย แต่เป็นกฤษณาวตาร สัจจะของปางที่ 9 คือ ผู้มีคุณธรรมทางโลกุตระอย่างสมบูรณ์แบบ ที่ช่วยเหลือมนุษยชาติ
ปางต่างๆในสมมุติ นี้จึงมี 9 ปาง หากใช้เลข 0 ก็เป็นปางสุดท้าย จบไม่มีเลย แต่ถ้ามีคือเต็มไม่มีอะไรพร่อง
รอบโสดาบัน มีสูญ คือกิเลสของโสดาบันเป็น 0 เช่นกิเลสอบาย ที่เป็นความต่ำ เช่น อบายที่ต่ำคือคนทำงานกับสังคมคือยังขี้โกงในสังคมถือว่าอบาย หรือเอาจริงๆ คนยังโกหกอยู่ก็คืออบาย คนยังฆ่าสัตว์อยู่คืออบาย ศีล 5 เป็นขีด ถ้าฆ่าสัตว์ เอาของคนอื่นอยู่คือไม่ใช่คน กามคุณที่ใช้อาศัย ถ้ามันมากจัด เช่นเพื่อเพศสมสู่ทางเพศ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ถือว่าครบทุกทวาร ในเรื่องผู้หญิงผู้ชาย เสียดสีสัมผัส จูบพื้นตีนก็ถือว่าสุขสุดหรือตรงไหนก็แล้วแต่ก็ถือว่าสุขสุด บ้าที่สุด คนจูบส้นตีนแล้วสุขก็ถือว่าไม่ใช่คนแล้ว อาตมาไม่พูดอย่างอื่นแล้วคือมันบ้า เกิดความสุขอย่างนั้นได้
คนติดสมมุติ ยึดต่ำๆ โกงเขาอยู่ ทุจริต ที่จริงคุณไม่คิดโกงก็สามารถทำมาได้ สุจริตก็ทำได้ คนยังโกหก ยังโกง ทุจริต อยู่ยังไม่ใช่คน ถ้าเข้าใจความหมายของธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว ภาวะสมมุติพยัญชนะเหล่านี้ในขั้นตอนไม่มีปัญหา
อาตมาเอาบัญญัติภาษานี้มา นั้น แม้จะเป็นอรหันต์ไม่ใช้ก็ได้ แต่ใช้ภาษาแทนกิเลส ไม่รู้จักภาษาแต่คุณทำกิเลสหมดได้ อ่านอาการของสภาวะได้ โดยภาษาจะเรียกเพี้ยนไป หรืออ่านตรงกันข้ามได้ แต่ดูสภาวะแท้ แล้วเราดูสภาวะว่าเราหมดก็จบ
นี่คืออธิบายที่เขาใช้กันทั้งจักรวาฬ กี่กัปป์กี่กัลป์ก็ใช้อย่างนี้
มาพูดถึงปัจจุบัน มีสภาวะมีภาษามีคนจริงๆ มีพฤติกรรมมีหลักฐานการกระทำจริง หลักฐานการกระทำต่างๆนั้น การกระทำก็ประกอบด้วย กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ออกมา ก็จะเป็นกรรมต่างๆยืนยัน
ในประเทศไทยมีสิ่งที่ยืนยันได้ ที่รู้กันแล้ว เป็นที่ยอมรับกัน อย่างในหลวงท่านทรงงาน อย่างไม่คิดว่าจะต้องมีตัวตน ทรงงานเป็นรูปธรรมต่างๆ ท่านต้องมีความรู้ ทางด้านวิทยาศาสตร์ทางด้านประดิษฐ์ต่างๆ แม้แต่เรื่องเขื่อนเอาน้ำจากฟ้ามาให้คนใช้ คนก็เข้าใจได้ แต่อาตมาไม่มีความรู้ทางวัตถุธรรม แต่อาตมามีความรู้ทางนามธรรม จึงพูดบรรยาย ซึ่งคนรู้ได้ยาก แต่ในหลวงรู้นามธรรมทางด้านโลกียะก็ทำให้สมบูรณ์แบบทางโลกียะ ท่านทำได้สมบูรณ์ ใครจะว่าท่านบ้างก็เป็นปลายสุดท้ายที่ต้องเป็นไป error เศษปลายเล็กๆน้อยๆ
ส่วนทางนามธรรม อาตมาขยายทางโลกียะไสยศาสตร์นามธรรม ต่างๆนานา แล้วบรรยายเรื่องเหล่านี้ตลอด ต่างจากในหลวงที่ท่านไม่ทรงบรรยายสิ่งเหล่านี้ บางคนว่าท่าน ว่าท่านยังไปหาพระที่ไสยศาสตร์เทวนิยมอยู่แล้ว ไปเคารพนับถือแล้วจะว่าเป็นผู้เจริญได้อย่างไร อันนั้นเป็นเรื่องความซับซ้อนของลิงลมอมข้าวพองหนึ่ง สองเรื่องสัจจะซับซ้อนที่แสดงออกอย่างสังคมศาสตร์แม้ต่างศาสนาท่านก็ต้องแสดงคารวะเคารพ
คนไม่รู้ก็พูดไป ตำหนิคนไม่ควรตำหนิก็บาป เป็นกรรม ยิ่งตำหนิคนบริสุทธิ์ใจ ผู้ที่ไม่มีตัวตนก็บาปมาก เป็นสัจจะ อาตมาก็ยังดีมีหลักฐานต่างๆเป็นคู่ ถ้ามาเดี่ยวๆอาตมาทำอะไรไม่ได้ ไม่มีประโยชน์หรอก ดีไม่ดีตายไปแล้ว
นี่ก็ฝืนสังขารเพื่อจะได้ทำงาน อย่างน้อยต้องทำงานไป 70 ปีตามในหลวงทรง ตอนนี้อาตมาทำมา 47 ปี เหลืออีก 23 ปี อาตมาทำถึง 70 ปีบ้าง ก็จะรู้ผลชัดขึ้น แล้วก็จะเข้าใจคำว่าโพธิสัตว์ ผู้ที่แสดงออกทางด้านรูปธรรม กับผู้ที่แสดงออกทางด้านนามธรรม ก็จะเข้าใจได้ นี่เป็นสัจธรรมที่อาตมาเปิดเผยกันอย่างหมดแล้ว ให้คนได้ศึกษา คนไม่ศึกษาเพ่งโทษก็เป็นบาปกรรมของเขา ผู้ที่ไม่ควรจะได้ก็ไม่ควรได้ มันเป็นไปไม่ได้ก็ต้องทำอย่างที่ทำได้มันจบไม่มีคำพูด มันจำเป็นต้องทำอย่างนี้
ในสิ่งที่อาตมาเห็น อาตมาเป็นคนเชื่อกรรมวิบาก สำคัญมาก เป็นของจริง ถ้าอาตมาทำผิด ก็เป็นวิบากอาตมา พวกคุณมาเจ็บปวดทุกข์ยากแทนอาตมาได้ที่ไหน แล้วอาตมาไม่เป็นมาโซคิสม์ที่จะนิยมเอาความเจ็บปวดทรมานมาให้แก่ตน อาตมารู้แล้วไม่ทำแล้ว จึงทำสิ่งที่ควรเท่านั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ตราบจนกว่าจะปรินิพพาน
ทำงานมาถึงวันนี้เราใช้คำว่า ฝังชิป พวกเราได้ไปก็เริ่มต้นจุดชนวนในคลังสัญญา ก็จะติดอยู่ในสัญญา ยิ่งกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ เคาะไว้ในฮาร์ดดิสก์ คุณจะค้นพบหรือไม่ก็ตาม แต่มันอยู่ในนั้นแล้วตลอดกาล ถ้าค้นพบก็รู้ อันไหนไร้ค่าจะลบทิ้งก็ได้ แต่ไม่รู้มันก็กินพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์คุณ กรรมเป็นสัจจะทำแล้วเป็นอันทำ เคาะไปแล้วบอกว่าไม่เอา แล้วคุณก็ค้นไม่เจอ เจอไม่เจอมันก็อยู่ คุณค้นไม่เจอเองแต่มันอยู่นะ นอกจากคุณจะเผาฮาร์ดดิสก์ คือสลายเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่คุณสลายไม่ได้มันก็อยู่ของมัน
สรุปแล้วคุณเกิดมาในยุคนี้ สิ่งที่เกิดมาในยุคนี้สัมพันธ์ถึงกัน จนกว่าคุณจะมีชีวิตอยู่ในช่วงของคุณ ที่พลังงานของกัปป์นี้ พลังงานสัจจะในกัปป์นี้จะวนไปมีผลต่อกัน จนคุณจะปรินิพพานเป็นปริโยสานแต่ละคนๆ
บางคนจะผ่านไปถึงพระพุทธเจ้าองค์ที่ล้าน ถึงล้านพระองค์ เวลานี่ คุณจะไปข้างนึงแล้ว ร้อยปีนี่ไม่ใช่แค่สั้น แต่น้อยมากลมหายใจเข้าออกเมื่อเทียบกับกัปป์แล้ว ลมหายใจเข้าออกไม่เทียบกัปป์เลย เขาเทียบกับ ภูเขาเวปุระบรรพต เอาผ้าใยบัวไปลาก ทุก 100 ปีที่ยอดภูเขา ภูเขาจะสึกลงไปนิดหนึ่ง ร้อยปีลาดไปทีหนึ่ง จนกว่าพวกเขาจะราบเรียบ นี่คือเวลาหนึ่งกัปป์
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน จิตวิญญาณเร็วกว่าแสง
พูดมาถึงตรงนี้อยากให้เทียบเคียง จิตวิญญาณมันเร็วยิ่งกว่าแสง คนเรานึกไม่ออกแล้วไม่เชื่อ อาตมาก็มีหลักฐานยืนยันก็เลยเทียบ เป็นวัตถุธรรม นีล อาร์มสตรอง เป็นมนุษย์ในยุคนี้ เดินทางไปยังดวงจันทร์จริง ระยะทางจากดวงจันทร์ถึงโลกยาวเท่าไหร่คนเราคำนวณได้ ทีนี้อาตมาก็เอาอันนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่า จิตวิญญาณวิ่งเร็วกว่าแสง แสงจากโลกเดินทางไปถึงดวงจันทร์กี่นาที (1.3 วินาที)
นีล อาร์มสตรอง มีใครไปถามแกว่า ดินที่แกเหยียบที่ดวงจันทร์เป็นอย่างไร แกก็นึกได้ทันทีเลย ก็บอกได้ ถามว่าแกใช้เวลาเร็วกว่า1.3 วินาที ไหม ก็เร็วกว่า ไม่ช้ากว่าแสงหรอก จิตมันเร็วกว่าแสง ในสูตรที่อาตมาเอามาอธิบาย
E=mc2+A ใครที่ฝึกจิตใจได้ จะเร็วกว่าแสง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ 10) ตอน ทางเดียวที่สูญได้
สรุปก็คือ ตำนานหลักฐานบัญญัติต่างๆที่มีมา ที่เป็นหลักฐานยืนยันของจริง คนฟังตำนานก็จะเข้าใจกันไม่ค่อยได้เป็นปลา เป็นเต่าเป็นสิงห์เป็นนางฟ้า เป็นอะไรต่างๆ แต่ผู้ที่เข้าใจมีภูมิธรรม จะไม่ปฏิเสธ คนที่บอกว่าพุทธถูก พราหมณ์ไม่ถูก ก็ดีไม่ดีมันตรงกันข้ามเลย ยุคนี้เหมือนในยุคที่พระพุทธเจ้าอุบัติมีพราหมณ์มหาศาลที่ยิ่งใหญ่ด้วยรับยศสรรเสริญโลกียสุข มาในยุคนี้มีพระมหาศาลก็เหมือนกัน ศึกษาให้ดีจะรู้ความวนเวียนไปมา ศึกษาให้เราสามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ศึกษาจนเป็นอรหันต์แล้วจะได้ช่วยโลก จะได้รู้อย่างลึกซึ้งซับซ้อนไป
ขอยืนยันว่าคุณเลี่ยงไม่ได้หรอก ต้องมาเอาความจริงนี้ เป็นความจริงเดียวที่มีในโลก ในทุกกัปป์ในเอกภพนี้ มีความจริงหนึ่งเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คุณหลีกหนีไม่ได้ เมื่อมีอัตภาพเป็นคนแล้ว คุณอาจเวียนลงต่ำกว่าคนก็ได้แต่จะสูงคุณต้องพากเพียรพัฒนาไป ถ้าคุณได้ถึงอรหันต์แล้ว ไม่ต้องอธิบายต่อไปคุณจะเป็นผู้ที่เก็บความรู้ให้สูงขึ้นไป ถ้าบรรลุเป็นอรหันต์แล้วก็ตายทันที่เป็นสมสีสีก็แล้วไป แต่ถ้าไม่เป็นสมสีสี จะรู้ต่อ ช่วยคนต่อไปอย่างอาตมาทำ อาตมาจะพากเพียรต่อไปจนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า สมัยเดียวพอ ไม่เอาสองสมัย สร้างศาสนาสมัยเดียวพอ แต่ถ้าจะต่อไปอีกก็ต้องมาปลดใหม่มาเริ่มต้น ปริญญาตรี โทเอกใหม่ จะบ้าหรือมันทรมานจะตาย ยากจะตาย รู้แล้วเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นอีกทำไม มันกิเลสแท้ๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ การเอาความคิดตนเองอ้างอิงว่า เป็นพระพุทธเจ้ามีประโยชน์ต่อโลกอย่างมาก แล้วจะปรินิพพานทำไม ไม่ได้ ….จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:27:23 )
รายละเอียด
600618_เอื้อไออุ่นประสาพ่อลูก กับศิษย์เก่า สส.ฐ.
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ_สมาร์ทโฟน) ตอน เทคโนโลยีทำให้คนเสื่อม
พ่อครูว่า...ใครมีอะไรอยากจะคุยก็ว่ามา อาตมาต้องพูดอยู่คนเดียวทุกวันทุกวัน พวกคุณพูดบ้างสิ
จอมฟ้าว่า...ศิษย์เก่าประชุมกันมีมติคุยกันว่า จะจัดพบกันใหญ่แบบนี้อีก 3 ปี/ครั้ง แต่พี่ๆจะมาเจอน้องๆทุกปี ทุกวันเด็ก มาให้ความสุขแก่น้องๆ ปีละครั้ง บางคนอาจมาทุกสัปดาห์หรือเดือนละครั้ง ใครมีความสามารถด้านไหน ประสานงานกับครูใหญ่ เป็นจิตอาสา มีการระดมทุนตั้งกองทุนช่วยเหลือชุมชนด้วย
พ่อครูว่า...เรื่องเงินทองก็สำคัญ แต่ไม่สำคัญเท่าไหร่ มันขาดคน เงินเงินทองทองไม่เท่าไหร่ คนสิ ..มา.. มาร่วมใจร่วมมือเห็นหน้ากัน อันนี้อาตมาว่าสำคัญ ตั้งกองทุนส่งมาแต่เงิน ไม่ได้อะไรมากมาย แต่คนทำงานเกิดการเชื่อมโยง มีความคิดอย่างสร้างการงานกิจกรรมกันจะเข้าท่า
จอมฟ้า... พ่อท่านว่าให้ร้านสำหรับศิษย์เก่าที่สันติฯ หนึ่งร้านด้วย ก็จะส่งผลผลิตไป
พ่อครูว่าเอาพฤติกรรมตัวบุคคลเป็นสำคัญ ค่อยๆทำไป จริงๆแล้วไม่มีอะไรชีวิตของคน ถ้าเราเข้าใจรู้จักว่าชีวิตมีคุณค่า คุณค่านั้นคืออะไร คนเรามีคุณค่าแต่ไม่ทำตนให้มีคุณค่า คุณค่านั้นคืออะไร ในบารมี 10 ทัศ
คนรู้แกวก็กดดูในจอ ซึ่งในจอเขาใส่พิษเข้าไป ไม่ให้คนรู้ตัว ซับซ้อน ใครมีรหัสสำคัญใช้อันนั้นเสพติดได้เลย มักง่าย เสพติดหนักหนาสาหัสใจเร็วด่วนได้ไม่จดไม่จำอะไรแล้ว ใช้พวกนี้ เทคโนโลยีทำให้คนเสื่อมลงเยอะมาก แต่เขาเผิน นึกว่าสังคมก้าวหน้า แต่จริงๆแล้วทำให้คนแย่ เสื่อม
แต่ก่อนนี้ทางคณิตศาสตร์คนเก่งนะ แต่เดี๋ยวนี้คิดไม่ออกแล้ว สมัยอาตมาเรียนหนังสือ เช้าพอเข้าห้องเรียนมา ก็คิดเลขในใจ ต้องทำโจทย์คิดเลขในใจอย่างน้อย 10 โจทย์ ถามคิดเลขในใจก่อน เดี๋ยวนี้กดตะพึด คิดในใจไม่เป็นแล้ว ...ก็บ่นไปเท่านั้น ห้ามเท่าไหร่ก็ห้ามไม่อยู่
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน พ่อครูเหนื่อยกับการกอบกู้ศาสนา
_อรรถชัยว่า...ที่ผ่านมาเห็นคลิปสั้นๆทางอินเทอร์เน็ต พูดถึงภาวะเหนื่อยของพ่อครู มีการเปรยว่า ถึงตาย พวกเราฟังแล้วรู้สึกหดหู่ อยากให้พ่อท่านขยายความ
พ่อครูว่า...มันเป็นความรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยต่อการทำงาน ที่อาตมาทำงานมาถึง 47 ปีแล้ว ทำงานศาสนาตั้งแต่ออกบวชมา ทำงานเพื่อที่จะให้คนได้รับความรู้ที่ถูกต้องของศาสนาพุทธ อาตมาจะเป็นคนหลงตัว มีคนเขาหาว่าหลงตัว ว่าตัวเองรู้ สัมมาทิฏฐิ คนอื่นมิจฉาทิฐิ อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็เที่ยวว่าเขาไปหมด อาตมามั่นใจว่าไม่ได้หลง อาตมาว่าอาตมาแม่น อาตมาสัมมาทิฏฐิ เขามิจฉาทิฏฐิกัน เพี้ยนไปไกลจนกระทั่ง ศาสนา วัดว่าต่างๆไม่มีศีล พูดได้เต็มปากว่าพระเดี๋ยวนี้ไม่มีศีลแล้ว ไปถามเขาก็ตอบว่าพระมีศีล227 ข้อ
ศีล ทั้งหมดของศาสนาพุทธ มีอยู่ 43 ข้อ จุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 มหาศีลอีก 7 นี่คือศีลของศาสนาพุทธ หากไม่รู้จักศีลเหล่านี้ศาสนาพุทธก็หมด โดยเฉพาะมหาศีล ทุกวันเขาละเมิดกันมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่มีศีลมานานแล้ว จึงบอกว่า ศีลมี 227 ไปเอาวินัยมาเป็นศีล วินัยเป็นเหมือนกฏหมายอาญา ละเมิดก็มีบทลงโทษ แต่ศีลไม่มีบทลงโทษ ใครไม่ทำก็ไม่เจริญ ใครทำได้เป็นอรหันต์ได้
มหาศีลเป็นตัวกำกับความเป็นศาสนาพุทธ เว้นขาดจากสิ่งเหล่านี้ที่เป็นเดรัจฉานวิชชา เมื่อพระพุทธเจ้าประกาศศาสนาก็ให้เว้นขาดจากสิ่งเหล่านี้
เช่นไม่มีบูชาด้วยไฟ บูชาด้วยน้ำ เขาจะไม่มีรดน้ำมนต์ จุดธูปเทียนบูชาไฟ อย่างนี้เป็นต้น จะมีทำนายทายทัก จะมีอะไรต่ออะไรรักษาไข้ใบ้หวย ปรุงยาที่ศาสนาเขามีกัน แต่ศาสนาพุทธไม่มี นี่คือเครื่องชี้วัดว่าเป็นศาสนาพุทธหรือไม่
ทุกวันนี้พออาตมาทำงานศาสนามาก็มีวัด มีพุทธสถานแล้วไม่มีเดรัจฉานวิชชา แล้วถือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เขาไม่รู้กัน แม้เปรียญ 9 ก็ไม่รู้ไม่ทำ
ในพระไตรฯล.9 ทุกสูตรมี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี่คือความเสื่อมที่เสื่อมอย่างสนิท อาตมาเกิดมาชาตินี้ มารื้อฟื้นศาสนา ทำมานาน 47 ปีมันเหนื่อยมาก พูดความรู้สึก แต่ยังไม่หน่าย ถ้าหน่ายคือไม่เอา แต่นี่มันยังเอาอยู่ เหนื่อยฉิบหายเลย พูดอย่างนั้นเลย มันเหนื่อยจริงๆ ดื้อด้านดึงดัน ยึดมั่นถือมั่น เอาพระไตรฯมาพูด เขาเถียงไม่ออก แต่กูไม่เปลี่ยน เพราะเขาได้บัลลังก์ ลาภ ยศ สรรเสริญ บัลลังก์ที่เขาบำเรอกิเลสเขาแล้ว กิเลสมันก็ดึงไว้ เหมือนกับ ภาษาไทยคำพังเพยว่า อ้อยเข้าปากช้างแล้ว ใครจะบังอาจดึงออกมา เนื้อเข้าปากเสือแล้วแย่งเข้าสิ อย่างนั้นเลย เขาดุกว่าเสือ กว่าช้างเลย พูดให้ตายก็ไม่ยอมคาย แต่ยากอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่อาตมาต้องทำ
ก็เลยบ่นไปบ้าง พูดไปก็คิดว่า คงกระทบความรู้สึกพวกเราให้รู้สึก กระเตื้องขึ้นบ้าง เข้ามาช่วยบ้างเป็นไม้เป็นมือเป็นกำลัง ถ้าชาวอโศกที่รู้แล้ว ว่าศาสนาพุทธเป็นอย่างนี้ต้องทำอย่างนี้ แล้วมารวมมวลกัน ไม่ว่าจะเป็นนร.ที่จบไปแล้ว มารวมหมู่ มีพฤติกรรมสังคมให้เป็นมวล มีตัวบุคคลเยอะ ต่างคนก็ต่างแสดงออก ตามหมู่มวลที่เห็นร่วมกัน มีแนวคิดทางปฏิบัติร่วมกัน มันหนาแน่นมีมวลมากขึ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน ร่วมผนึกกำลังสาธารณโภคี
ถ้าในชุมชนชาวอโศกแทนที่จะมีคนอยู่เท่านี้ แต่ปฐมอโศกมีคนหนึ่งพัน ราชธานีอโศกมีสองพัน ปฐมอโศกมี ร้อย สองร้อย ราชธานีมีสามร้อยสี่ร้อย คุณคิดดูว่ามันจะเกิดคลื่นของพฤติกรรมสังคมที่เกิดจากทิฏฐิ กรรมกิริยาต่างๆที่จะออกไปจากคนพวกเรา
ที่เราทำนี้ทำจากความคิดความเห็นความรู้แล้วประพฤติทางกายวาจาใจ เราได้รับใช้เสียสละ ในทางมักน้อยสันโดษ ไม่แย่งชิงสังคม แต่เกื้อกูลสังคม จะเป็นพฤติกรรมที่ชัดเจนขึ้นใช่ไหม แต่ถ้านักเรียนก็น้อยลง พลเมืองประชากรน้อย คำกริยาพฤติกรรมก็ เบาบาง น้อยลง สักวันหนึ่งก็สูญ แต่ถ้ามันเพิ่มขึ้นๆ มากขึ้น ยิ่งมีอัตราก้าวหน้าให้เห็นเด่นชัดขึ้น แน่นอนเจริญแน่
แต่ชาวอโศกเรา ที่เรียนออกไปแล้วไม่ได้กลับมาสร้างพฤติกรรมให้เห็น ประชากรที่มาร่วมก็ไม่มาก มีพฤติกรรม ประชากรแค่นี้ ทรงๆทรุดๆ นร.ไม่เพิ่ม ปฐมอโศกตั้งมา 26 รุ่นแล้ว นร.มากที่สุด ปฐมอโศกเคยมีนร. 178 คน ไม่ถึงสองร้อยคน รร.สามัญทั่วไปมีเป็นพันๆคน เสียเงินเรียนนะ จบออกไปม.6 เหมือนกัน ได้ฐานะรับรองเหมือนกัน ที่นี่เรียนฟรีด้วย แต่ที่นี่ไม่ถึงสองร้อย แต่เขาบางโรงเรียนสามพัน เราไม่เพิ่มเลย มันคืออะไร เรียนฟรี จบออกไปได้ประกาศนียบัตรเหมือนกัน ศักดิ์ฐานะเท่ากัน ไปสมัครอะไรก็ตีราคาเท่ากันหมด เป็นเครื่องชี้วัดอะไร ขนาดเรียนฟรียังไม่มาเลย รังเกียจอะไรกับธรรมะ
อาตมารู้เหตุว่าคือบาปที่ มหาเถรสมาคมประกาศไว้ ว่าอโศกคือสกังค์ของสังคม เป็นตัวไม่ดีในสังคม คนก็เลยไม่ร่วม โดยลึกๆว่า ที่นี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธไม่ใช่ที่ได้บุญอะไร หรือเขาคิดว่าเหมือนลัทธิศาสนาอื่นไม่ใช่ศาสนาพุทธ เขาไม่ว่าไม่ด่าถ้าสุภาพ แต่ไม่สุภาพก็ด่าว่าเลย เถรสมาคมเป็นคนทำคนประกาศ เขามีอำนาจชี้บอก ทั้งมหานิกายและธรรมยุติ ร่วมกันประกาศ เป็นตราบาปของเขา เป็นอนันตริยกรรม เป็นสัจจะ
ประเทศไทย สู้กันอยู่ขณะนี้ นี่คือนัยยะลึกซึ้ง มันสู้กันระหว่างธรรมะกับอธรรม อโศกเราเป็นธรรมะก็พยายามที่จะสร้างให้แก่มวลชน ทุกวันนี้เถรสมาคมทำอะไรเราไม่ได้ เราก็ประกาศธรรมะเต็มที่ เขาประกาศอธรรม ทีนี้ประชาชนจะเป็นคนได้รับ ประชาชนส่วนรวมจะได้รับ
ประชาชนส่วนรวมของชาวไทย คนไทย เขาก็ไปรับ ประเทศไทยเป็นปชต.อิสรเสรีภาพ มีสิทธิเลือกนับถือลัทธิศาสนาตามชอบ เขาก็ไปรับทางโน้น ทางเราประกาศเขาก็ไม่รับ แล้วเขาไปรับพุทธแบบเถรสมาคมเป็นมิจฉาทิฏฐิ ประชาชนก็ได้รับมิจฉาทิฏฐิ แล้วจะเสื่อมหรือไม่เสื่อม มันเป็นเวรภัยของประเทศไทยจริงๆ
พูดเหมือนไม่สำคัญ แต่มันเกิดจริงเป็นจริงอยู่ในสังคมตลอดเวลา ศาสนาพุทธนั้นเป็นโลกุตระธรรม ไม่ใช่มาสร้างสวรรค์ ส่งเสริมการโลภโมโทสันแย่งชิงลาภยศ สอนเดรัจฉานวิชชา สอนสร้างวิมานหลอกคน คนก็มาหลงเอาเงินทองมา เดี๋ยวนี้ก็เกิดเรื่องเขามีคดีตั้งมากมาย สองร้อยกว่าคดี
คดีอะไร อาตมาก็อ่านไม่ไหว แต่ผิดทั้งนั้น คดีเราทั้งที่เราถูกแต่ว่าความให้เราผิด ทั้งที่อาตมาอ้างอิงธรรม พระไตรปิฎก แต่เขาไม่เอาพระไตรปิฎกมาตัดสิน ศาลก็ไม่มีความรู้ธรรมะ พระเองก็เจตนาเอาคดีทางโลกมาตัดสิน ทางโลกนั้นก็เป็นแบบตามกระแสโลก ส่วนธรรมะนั้นทวนกระแสโลก ทางโลกเขาตัดิสินว่าอาตมาผิด คำตอบทวนกระแสคือ ถูก โดยสัจจะ แต่เราไม่มีปากไม่มีเสียง ทางโน้นชี้ว่าผิดก็ต้องผิดทางโน้นชี้ว่าถูกก็ต้องถูก ทุกวันนี้อาตมาอยู่รอดด้วย ธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม ทุกวันนี้อาตมาเอาพระไตรปิฎกมาอธิบาย คนรู้ก็รู้ แต่ผู้รู้จะไม่ตอบโต้ อาตมาจึงอยู่รอด ผู้ไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
นี่คือความล้มเหลวที่น่าสงสาร อาตมาก็เลยต้องเหน็ดเหนื่อย น่าสงสาร แล้วก็ไม่มีใครทำ ถ้าพวกเราไม่ช่วยกัน แล้วจะดูดาย ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ให้ล้มคาตา ให้ตายไปต่อหน้าต่อตา นอกจากอาตมาตายไปก็ไม่จบ มีพวกเราสืบสาน อย่างน้อยผู้บวชก็จะทำต่อไป มีคนคาดว่า ถ้าอาตมาตายไป เดี๋ยวศาสนาของชาวอโศกก็จะจบ เขาไม่รู้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีแกนของความเสถียร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
คนเราที่รู้ว่าส่ิงนี้ถูกต้องด้วยปัญญาอันลึกสุดของตนแล้ว จะเปลี่ยนไปทำไม มันไม่เปลี่ยนหรอกแม้ว่าจะพูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ให้คนอื่นทำตามไม่ได้เราก็ทำของเราต่อไป เราทำต่อสังคมภายนอกไม่ได้ เราก็ทำของเราลับหลัง เพราะเรามั่นใจว่านี่ถูก แต่ความซวยยังไม่ถึงขนาดนั้น ว่าต้องไปทำความดีลับหลับ แต่มาทำอย่างเปิดเผยได้ ต่อหน้าได้อันนี้แหละอาตมาถือว่าประสพความสำเร็จแล้ว
ทุกวันนี้อธิบายบรรยายได้อย่างเสรีอาตมายืนหยัดใช้พระไตรปิฎกอ้างอิง เขาก็ไม่กล้าโต้แย้ง ถ้าอาตมาทำพวกเราก็มาช่วยทำ สมณะสิกขมาตุ พวกเราช่วยกันทำ มี activity มากขึ้น อาตมาว่า ความเจริญตามทิฏฐิ concept ก็จะมีอัตราก้าวหน้าแน่นอน
แต่ทุกวันนี้พวกเราไม่ค่อยเข้าใจไม่มาช่วยพัฒนา มาผนึกกัน แม้ไม่ต้องทำอะไรมีมวลเยอะก็สำเร็จแล้ว แสดงออกเป็นพลังงานกายกรรมวจีกรรม มีบทบาทต่อสังคม ทำให้เกิดผลต่อสังคมไปเรื่อยๆ แบบมีมรรคผลจริงๆ หากพวกเราเอาใจใส่
ยกตัวอย่างชาวอโศกมีงานกับคนนอกคือตลาดอาริยะ หรือมีการชุมนุมประท้วง ร่วมกับงานการเมืองภายนอก หากพวกเราหมดนี้ไปรวมกันจะมีผลดีมาก แต่นี่พวกเราไปน้อย
ถ้านี่ปฐมอโศกแล้วแต่ละแห่งๆมีอีกก็เกิดผลไม่น้อย มีผู้รู้พูดมาว่า ถ้าไม่มีอโศก งานประท้วงนี้ไม่สำเร็จ อโศกเป็นหลักสำคัญมาก เพราะอโศกทำให้ยืดเยื้อ ทำให้ฝ่ายอธรรมอ่อนแรง จนสุดท้ายผลที่สวยที่สุด ประยุทธบอกว่า ถ้างั้นผมขอยึดอำนาจ ไม่เคยมีการปฏิวัติที่ไหนใช้ประโยคเดียวก็ได้อำนาจมาทันที เป็นการปฏิวัติโดยธรรม ไม่ได้ใช้กำลังรุนแรง เขาอาจเตรียมกำลังไว้ แต่ต้องใช้เลย
ผลทำอย่างนี้ได้เพราะธรรมะ ไม่ต้องใช้ความรุนแรง ใช้ธรรมะเป็นหลัก
อาตมาเคยอ้าง ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว ตอนประท้วงรบ.อภิสิทธิ์ผู้การแต้ม
เมืองไทยมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระโพธิสัตว์ บอกว่าให้มาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา พูดภาษาโลกุตรธรรม แล้วพุทธศาสนานิกชนไม่รู้ได้ ไม่มีผล ข้าราชบริพารนักบริหารนักเศรษฐศาสตร์ ไม่กระดิกหูเลย รับไม่ได้ยิ่งกว่าหมาอีก
อาตมาบ่นเหนื่อย ก็แกล้งพูดไปงั้นแหละว่าไม่แก่ คนอายุ 80 ไม่แก่ได้ไง ก็พูดไปเป็นจิตวิทยาสังคมกลายๆไป แต่จริงๆแล้วอาตมาก็แข็งแรงพอใช้ได้แล้ว พอไหว ถ้าพูดกันจริงๆแล้ว คนอายุ 80แล้วจะคล่องแคล่ว แอคทีฟทำอย่างอาตมานี้มีไม่ถึง 30% หรอก อายุ 80แล้วก็แก่ใครแก่มันแล้ว มีคนที่ไม่จำนนก็สู้ แต่อาตมาว่าน่าจะเลย100ได้นะ
ถ้าอาตมา 100 ปีพวกเราจะอายุเท่าไหร่ พวกเรายังไม่ตายนะ อีก 16 ปี คอยดู อาตมาอายุ 100 ว่าอาตมาจะแอคทีฟขนาดนี้ไหม อาตมาว่าคงไม่อ่อนแอ อย่างน้อยก็มีปรเมศนวดให้บ่อยๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา_มานะ) ตอน ทำไมสังคมไทยไม่นิยมส่งเสริมคนดี
อาตมามีประเด็นหนึ่งที่ รู้สึกว่าสังคมไทยนี่ ด้อย ประเด็นนั้นก็คือไม่ส่งเสริมคนดีไม่แสดงตัวเข้าข้างคนดี ความดีไม่มีน้ำหนัก ไม่มีพลัง การบริหารสังคมประเทศนั้นๆจึงไม่ก้าวหน้าไม่พัฒนา นี่คือประเด็นที่อาตมารู้สึกมากๆ ประเทศอื่นส่งเสริมความดีคนดี อาตมาพูดด้วยความรู้สึกจริงๆ ขณะนี้สังคมไทย รู้ว่าที่อาตมาพูดที่อาตมาบรรยายเผยแพร่นี้ดี ว่าไหม
อาตมาว่าสังคมปัจจุบันนี้ ฤทธิ์แรงของมหาเถรสมาคมที่พยายามต่อต้านอโศก บอกประชาชนว่าอย่ามาส่งเสริม นั้นเบาแล้ว อโศกประกาศเปิดเผยได้โดยเถรสมาคมไม่ต้าน ..หมดฤทธิ์แล้ว แต่สื่อสารมวลชนเขารู้ว่าดี ..แต่ดีช่างเอ็ง แล้วมันจะเจริญได้ไหม ? สังคมประเทศชาติไทยจะเจริญได้ไหม?
พวกส่วนนอกเขาก็ประพฤติ พวกเราก็ประพฤติแล้วพลังงานผลที่ประพฤติมันจะสู้กันได้ไหมมีต้นทุน กรรมทุกปัจจุบัน ทางเราต้นทุนน้อยอย่างนี้แล้วจะตามทันไหม E=mc2 แล้วจะไปทันอย่างไร เรามีมวลเท่านี้ ความเร่งเท่านี้ จะทันหรือ เขาน่าจะสำนึกสนับสนุน แต่เขาไม่กล้า เพราะอวิชชา เพราะเขาไม่รู้ว่าตกลงจะสนับสนุนได้หรือเปล่า
แล้วเถรสมาคมเป็นเจ้าลัทธิ กฎวินัยของศาสนาพุทธ เป็นเจ้าของศาสนาพุทธ ทางด้านฆราวาส รัฐบาลก็ต้องเชื่อก็เลยซวยๆๆ ถ้ามีผู้ใดได้เป็นนักบริหารที่กล้า แล้วก็มาสนับสนุนส่งเสริมอโศกอาตมาว่าระเบิดเถิดเทิง
ลองหลับตาสมมุติเป็นนิทานในหัวใจ คนที่มาส่งเสริมจะตายไหมจะโดนอัดไหม จะโดนเถรสมาคมอัดไหม อาตมาว่าไม่โดนหรอก ไม่มีใครกล้าท้วงหรอก แต่คนจะมาช่วยไม่กล้าเองเพราะไม่มั่นใจในความรู้ ..มีอวิชชา ถ้ามั่นใจในความรู้เหตุการณ์จะพลิกโลกมีคลื่นยิ่งกว่า โดนัล ทรัมป์เลย สังคมโลกมองว่าโดนัล ทรัมป์ จะอยู่ถึงสี่ปีไหม นี่มาได้หลายเดือนแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน หมู่บ้านศีล 5 พาชาติเจริญ
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาท่ามกลางสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมบูรณ์แบบ เป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ พระพุทธเจ้ามาประกาศประชาธิปไตย อันยิ่งใหญ่ เพราะศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งอิสระเสรีภาพ เป็นศาสนาที่มีภราดรภาพ เราเคารพธรรมวินัย เคารพรัฐธรรมนูญเป็นใหญ่ นี่คือปชต.ที่ยิ่งใหญ่
พระพุทธเจ้าเคารพธรรมะ ธรรมะที่ท่านตั้งขึ้นเองเป็นธรรมนูญ ที่จริงคือธรรมนูญของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ผิดจากกันแล้วท่านก็นำธรรมนูญของท่าน ก็คือกฎหลัก ธรรมเนียมพระพุทธหลักเกณฑ์การประพฤติเป็นของพุทธ แล้วท่านก็พากระบวนการของท่านไปในทุกแคว้น ยุคนั้น ยังออกจากทวีปอินเดียไม่ได้ ก็เคลื่อนย้ายไปแคว้นต่างๆ ไปถึงประเทศนี้ เจ้าของแคว้นนั้น แคว้นใหญ่ แคว้นมคธ แคว้นสาวัตถี แคว้นโกศล เป็นแคว้นใหญ่สุดในอินเดีย มคธใหญ่รองลงมาจากโกศล พระพุทธเจ้าไปทุกแคว้น แต่พระเข้าปเสนธิโกศลก็ยอมรับให้ประกาศลัทธิได้ แล้วคนจะมาเข้ารีตก็ยอมทุกรัฐ
พระพุทธเจ้าจึงมีรัฐอิสระไปได้ทุกแคว้น พระเจ้าแผ่นดินทุกแคว้นยอมให้หมดเลย จึงเป็นธรรมาธิปไตยที่มีอำนาจเหนือกว่าอำนาจอื่นหมดเลย ทำไมพระเจ้าแผ่นดินทุกแคว้นยอม เพราะธรรมวินัยของท่านไม่ได้พาคนไปเลวเลย เป็นคนดี ถ้าคนจะตามพระพุทธเจ้าไปก็ได้ แต่ถ้าไม่ตามก็อยู่กับแคว้นนั้น แต่จะเป็นคนดี คนในทวีปอินเดียเข้าใจ มีปัญญารู้ดีไม่ปฏิเสธยอมรับ นี่คือความยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ ยุคนั้นมันโง่ แต่ก็ไม่เชิง เพราะคำสอนไม่เด็ดขาดเหมือนของพระพุทธเจ้า ไม่จริง แม้เอาคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงมาพูดก็ไม่รู้ ก็มีคนมาเท่านี้ แต่ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างเต็มใจหรือไม่ หรือว่ามาเพียงรู้ๆแต่จริงๆแล้วทำตามโลกไม่เอาค่านิยมแบบอโศก จะมามักน้อยสันโดษ ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ไม่เอา มาเป็นคนจนไม่เอาตามหรอกอย่างพระเจ้าแผ่นดินว่าจะเอารวย
ศีลข้อ 3 ผัวเดียวเมียเดียวให้พอก็ไม่หยุดไม่เข้าใจกามคุณ 5 ว่าเราลดกามหรือเพิ่มกาม แม้เรียนจบจากสัมมาสิกขา ปฐมอโศก สันติอโศกก็ตาม แสดงว่าไม่ได้เนื้อแท้
ถ้าได้เนื้อแท้ ก็จะสังวรว่า ศีลข้อ1 มีความเอ็นดูต่อสัตว์เล็กสัตว์น้อยจะไม่กินเนื้อสัตว์
ศีลข้อ2 จะไม่มักมากไปเอาเปรียบคนอื่น ที่จะได้โดยไม่ซื่อสัตย์ จะได้ก็ด้วยน้ำพักน้ำแรง ดีไม่ดี เราสร้างเรามีมากก็จะเสียสละให้แก่คนอื่น อย่างนี้เป็นเรื่องโดยมรรคผลจากอโศก เรื่องกามก็น้อยลงงๆได้จริง
ไม่โกหก รู้เลยอบายมุขในโลกไม่เอาหรือโลกกามก็ไม่เอาด้วย นั่นคือผลของความรู้ทางพุทธศาสนาให้เป็นคนเช่นนั้น
แล้วประเทศชาติ จะสงบสุขสันติ
แต่ละชุมชนอโศก เป็นมวลพฤติกรรมสังคมอโศก เราทำมาหากิน ทำสัมมาอาชีพ เราทำกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีกัมมันตะ 3 อาชีพเราสัมมา
กุหนา ลปนา อาชีพโกง ทุจริตเราไม่มีเป็นอาชีพระบบศีล 5 ดีไม่ดีไม่มอบตนในทางผิดง่ายๆ ดีไม่ดีพ้นมิจฉาชีพข้อ 5 ทำงานฟรี ไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนหรือไม่เอาคืนจัดจ้านอย่างโลก เราทำได้ประสพผลสำเร็จ เป็นสาธารณโภคีมาหลายสิบปี อยู่ได้ พิสูจน์ได้ว่า ชุมชนชาวอโศกไม่เป็นหนี้เสียดอกเบี้ยแก่ภายนอก ส่วนชุมชน ส่วนตัวก็แล้วแต่ ซึ่งมีน้อย ไม่เป็นหนี้เสียดอกแค่ใคร ส่วนยืมกันเผื่อแผ่กันใช้ได้ แล้วคืนไปไม่ชักดาบ ไม่เอามาขูดรีดกัน ชาวอโศกทำสำเร็จ
แม้แต่โกหกเราไม่หยาบคายกัน ไม่เหมือนข้างนอกจัดจ้าน ด่าทอกัน หยาบคาย แต่ละชุมชนไม่มีอบายมุขอย่างโลกไม่มี มีเต้นกระด๊อกกระแด๊กไปพอกระสัย แต่ข้างนอกเป็นมากมาย นี่คือผลสำเร็จของชุมชนอโศกทุกชุมชนในไทย อยู่เมืองนอกก็มีแต่ไม่มาก
ถ้าหมู่บ้านของประเทศไทยเป็นสาธารณโภคีทั้งประเทศรับรองระเบิดเถิดเทิงทั้งประเทศเพราะเป็นหมู่บ้านเสียภาษี100% แก่รัฐ แต่เป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้ารัฐบาลรู้ว่าดี มาส่งเสริมให้มากขึ้นเป็นร้อยหมู่บ้าน จะดีไหม แต่เพราะรัฐบาลถูกอำนาจเถรสมาคมครอบงำ
มีว่าที่สังฆราชออกมาบอกว่าให้หมู่บ้านเป็นหมู่บ้านศีล 5 คนฟังดี แต่ทำได้ไหม แล้วชาวอโศกเป็นหมู่บ้านศีล 5 จริงไหม เราไม่ได้ทำเล่นเราทำจริง ผิดศีลเราก็ชำระกันจริง ถ้าหมู่บ้านแปดหมื่นหมู่บ้านถ้าผิดศีลก็ชำระกันจริง ไม่ต้องเขียนกฎหมายเลย เอาศีล 5 ไปใส่ในธรรมนูญรับรองเป็นประเทศประหลาดในโลกเลย
ถ้าเป็นรัฐธรรมนูญ มาขยายเป็นกฎหมายลูก มีบทลงโทษเลย เป็นกฎหมายอาญา เอาศีล 5 เป็นต้นแบบ แล้วปรับโทษ มีอัตราโทษ รับรองเจริญ เพราะศีล 5 ครบกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม รับรองพัฒนาสังคมไปลิ่ว
จำไว้เลยพวกเราหากได้บริหารประเทศเอาศีล 5 มาเป็นกฎหมายแล้วก็ออกกฎหมายลูกมา จากศีล5 เพราะกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ถูกควบคุมด้วยธรรมะเป็นธรรมาธิปไตย จะเจริญรับรองเจริญ แต่เสียดายเมืองไทยไม่มีความเข้าใจอย่างอาตมาพูด ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในใจ เอาไปใช้ไม่ได้ แล้วไม่รู้ว่าใครรู้ศาสนาจริง แล้วจะเอาศาสนาไปเป็นส่วน ในการจะใช้ เป็นหลักเกณฑ์ในการให้ประชาชนคนไทย ได้รับผลตามที่ศาสนาท่านมีความหมาย มีทิศทางที่จะให้ปฏิบัติประพฤติเลย น่าเสียดายประเทศ
แล้วไปเอาหลักเกณฑ์โลกๆมาใช้ บริหารประเทศ เรียกว่ารัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เอาแต่ตำราโลกๆ ชาวอโศกนี้ รัฐศาสตร์ เราจะเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านไม่มีปัญหาเลย แล้วชุมชนอื่นๆเขา เลือกผู้ใหญ่บ้านบางทีฆ่ากัน ซื้อขายตำแหน่งกัน แต่ชาวอโศกเราไม่มีปัญหา
เศรษฐศาตร์เรา แบ่งกินใช้เสียภาษี 100% สังคมศาสตร์ ตำรวจไม่เคยเข้ามาเลย เราไม่มีฆ่าแกงกันด้วย ผิดผัวเขาเมียใครหรือโกงกินกัน แล้วประเทศชาติหากมีหมู่บ้านแบบนี้ ผู้บริหารประเทศจะสบายใจไหม ล้มกรมตำรวจเลย ไม่ต้องปฏิวัติ ตำรวจไม่มีงานทำ แปดหมื่นกว่าหมู่บ้านเป็นแบบนี้ ยุงไม่มีให้ตบ เพราะมันสะอาดสะอ้าน
_มีคนเขียนบอกว่า รร.เราเสียค่าเรียนมีผลเป็นนามธรรม จึงยากที่คนอื่นจะเข้าใจ ต้องมาถือศีล ละอบายมุข มังสวิรัติด้วย
พ่อครูว่า...แล้วเสียค่าเล่าเรียนแบบนี้มันเลวไหม เงินก็ไม่ต้องจ่ายนิสัยก็ดีขึ้น บาปก็เว้นขาด พ่อครูว่าไม่ลดธงลงหรอก มีแต่ชักให้เลยเสาธงไปเลย
_มีคนถามว่า ช่วงหลังๆทำไมญาติธรรมพูดคำว่าพ่อครูแทนพ่อท่าน
พ่อครูว่า...อันนี้เป็นอจินไตย เราเรียกกันไม่นานมานี้ เรียกพ่อท่านมานานแล้ว มีคนบอกว่า เพราะว่ามีว.บบบ.ก็เลยเรียกพ่อครู แต่ก็ไม่น่าใช่ ก็เรียกตามๆกัน
อาตมาลึกๆว่า พ่อครูกับพ่อท่านคำไหนศักดินามากกว่ากัน คำว่าพ่อท่านศักดินามากกว่า ...ศักดินาคือยกย่องเชิดชูกว่า ถ้าหม่อมเจ้าขึ้นไปเขาเรียกพ่อท่าน ถ้าสูงกว่าหม่อมเจ้าจะเรียกสมเด็จพ่อ มันเป็นคำราชะ แต่เรียกพ่อครูมันเป็นคำประชาชนทั่วไป ยิ่งโบราณๆเรียกพ่อครูแม่ครู ทีนี้ชาวอโศกจะมีความรู้ลึกๆพอบอกพ่อครูแทนพ่อท่านก็รู้ว่าดี ก็เลยรับกันได้เร็วพ่อท่านก็เลยลดลง มาเรียกพ่อครูตามๆกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน เลือกตั้งยังไม่เป็นประชาธิปไตยแท้
_ฝรั่งเศสเรียกร้องปชต.ที่มีกษัตริย์
พ่อครูว่า...ถ้าเป็นปชต.ขาเดียว ไม่มีกษัตริย์ ไปไม่รอด ถ้าไม่มีกษัตริย์จะไม่มีผู้เป็นใหญ่ดูแลที่มีทศพิธราชธรรม อย่างน้อยทุกเรื่องจะต้องผ่านพระปรมาภิไธยของพระองค์เป็นอำนาจสูงสุด แสดงว่า อำนาจรัฏฐาธิปัตย์จะอยู่ที่กษัตริย์ครึ่งหนึ่ง ประชาชนครึ่งหนึ่ง ในหลวงร.9ทรงทศพิธราชธรรมจึงทำให้เกิดประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ เป็นประเทศสงบที่สุด แม้จะมีเหตุการณ์การเมืองประท้วงฆ่ากันบ้างแต่ไม่โหดร้ายเหมือนประเทศอื่น
ยิ่งกว่านั้น มีกษัตริย์ทรงงาน มีพระจริยวัตรรับใช้ประชาชน สำนักประชาธิปไตยที่เยี่ยมยอด เมื่อเวลาสิ้นพระชนม์สวรรคตลง คนไทยยังมีเลือดประชาธิปไตย รู้จักสิ่งประเสริฐเคารพเทิดทูน จึงได้เสียดายอย่างที่สุด กษัตริย์องค์นี้รับใช้ประชาชนไม่เหมือนนักการเมืองต่างๆ
อาตมาถึงขั้นประกาศว่า เมืองไทยมีปชต.ที่ดีที่สุดในโลก พวกนักการเมืองมีความรู้แต่ว่าต้องมีการเลือกตั้งจึงเป็นปชต. เป็นความรู้ที่ตื้นเขินมาก
อาตมาโน้ตไว้ว่าปชต.ต้องมีเงื่อนไขถึง 15 ประการ ข้อที่ 15 คือ ไม่ต้องมีการเลือกตั้งเลย
ปชต.ไม่ต้องเลือกตั้ง ประชาชนจะรู้จักคนที่ควรเป็นหัวหน้าหรือทำงานอย่างไร ไม่ต้องเลือกตั้งแต่ซาวเสียงกันแค่นั้น เขาจะเห็นดีสอดคล้องกัน ว่าคนนี้แหละ ในหมู่บ้าน ตำบลก็รู้จักกันดี ถ้าปชต.เจริญ ในอำเภอก็จะรู้จักกันดี คนไหนควรเป็นนายอำเภอ ซาวเสียงกันก็จะได้นายอำเภอมาง่ายๆ ไม่แย่งชิงฆ่าแกงกันเลย คนนี้ควรเป็นข้าหลวง ควรเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนี้ มันจะชัดเจนเลย แล้วต่อมาเอานายอำเภอ ข้าหลวงไปเลือกนายกฯก็จบ แต่ทุกวันนี้ไม่ชัดเจน มีแต่อัตตา
แต่ถ้าทำอย่างนี้ได้นี่คือปชต.ซาวเสียงนิดหน่อยก็ได้แล้ว เป็นความเห็นมวลรวมของประชาชน นี่คือสัจจะ ความจริง แต่ทุกวันนี้ข้าก็ใหญ่ข้าก็อยากเป็นมันกระสันอยากเป็นใหญ่ แต่ถ้าจริงผู้เป็นใหญ่ก็จะไปทำงานหนักงานมากรับใช้ประชาชน แต่ถ้าขี้เกียจเขาก็ไม่เอา แม้คุณจะเก่งจะดี แต่ขี้เกียจเขาไม่เอาไปทำงาน ขี้เกียจเป็นอบายมุขตัวเลวร้ายทำความเสื่อมของมนุษย์
ถ้าศาสนามีฤทธิ์ทำให้คนลดกิเลสไม่แย่งชิงกัน อย่างชาวอโศกก็สบาย ซาวเสียงกันใครดูแลส่วนไหนก็ทำได้สบาย พวกเราก็อยู่กันชัดเจนทำงานได้ไม่จำเป็นต้องแต่งตั้ง เอ้าท่อแตกมาช่วยกันก็ไม่ต้องไปจ้างใครทำก็ทำกันเอง
นี่พวกเราชาวอโศกทำประชาธิปไตยสำเร็จรู้ตัวหรือเปล่า นักประชาธิปไตยอยู่ที่ไหน...อาตมาแกล้งพูดหรือเปล่า เป็นจริงหรือเปล่า แล้วพวกคุณไม่อยากอยู่ประชาธิปไตยหรือ? อพยพกันเข้ามา ทำไมโง่จัง เห็นคนหน้าโง่ไหม ใครคือคนหน้าโง่ ถ้าไม่รู้ถ้าไม่มี แดนประชาธิปไตย แดนศิวิไลซ์อยู่ไหนถ้าไม่รู้ก็อีกเรื่อง แต่ถ้ารู้ว่านี่มีอยู่ แล้วไม่มาอยู่ หน้าโง่หรือหน้าฉลาด นี่พูดเล่นหรือพูดจริง สรุป
โง่จริงหรือโง่เล่นใครโดน?
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน วิธีชวนพ่อแม่เข้าวัด
_หลวงปู่คะ...ถ้าอยากจะชักชวนพ่อกับแม่มาฟังธรรมบ่อยๆจะทำอย่างไรคะ เพราะพ่อแม่หนูเอาแต่ทำงานไม่ค่อยฟังธรรมเลยค่ะและไม่ค่อยยอมหยุดทำงานด้วย แต่หนูอยากให้พ่อแม่มาสนใจศาสนาและยอมปล่อยวางข้างนอกบ้างค่ะ สส.ฐ.ม.1
พ่อครูว่า...ถามว่าทำอย่างไร? หนึ่งทำตัวเองให้เป็นนักธรรมะหรือนักปชต.หรือคนดีให้ได้ดีๆจนกระทั่งพ่อแม่จำนน ว่าลูกเราดี เพราะได้รับการอบรมฝึกฝนจากทฤษฎีอย่างนี้ มาจากชุมชนชาวอโศก พ่อแม่ก็จะตามหามา พ่อแม่ก็จะเข้ามาแล้ว
ทำตัวเราเองให้ดีจนพ่อแม่ฉุกคิดว่าไม่เสียหลายที่ส่งลูกมา ดีจนพ่อแม่มีปฏิภาณว่าอบรมกันอย่างไร ทำไมมีฤทธิ์อบรมลูกเราได้เราก็อบรมไม่ได้อย่างนี้ เขาก็จะเข้ามา นี่คือคำตอบที่จริงที่สุด อย่างอื่นไม่มี คุณจะไปสอนบอกพ่อแม่ก็ไม่ดีเท่าปฏิบัติจริง แต่ถ้าคุณปฏิบัติได้จริง จนกระทั่งพ่อแม่มีปฏิภาณรู้ว่าลูกเราได้รับการอบรมให้ดีอย่างนี้ก็จะมา
คุณอยากให้พ่อแม่หยุดทำงาน พ่อแม่ไม่คิดหรอกเพราะเขาไม่มีสันโดษ ไม่มีความพอแต่คุณมีจิตพอ กินใช้เท่านี้ก็พอ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย จิตคุณมีสันโดษความพอ แล้วอยากให้ฟังธรรมแล้วจิตเจริญกว่านี้เป็นสัมมาทิฏฐิของคุณ เป็นความคิดที่ดีมากสูงส่ง ก็ดีแล้วล่ะ ปฏิบัติตนให้ดีขึ้นๆ ม.2 จะดีขึ้นกว่านี้ พอม.3 ก็จะดีกว่านี้แล้วพ่อแม่จะตามมาหาต้นตออย่างที่หลวงปู่ว่านี้
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล_อรหันต์) ตอน อรหันต์คือเอาฝุ่นออกจนหมด
_การฉันหรือไม่ฉันเนื้อสัตว์บ่งชี้ความเป็นอาริยะหรือไม่?
พ่อครูว่า..มี ผู้ที่มีภูมิปัญญารู้ถึงความสำคัญของชีวิตว่า กว่าจะออกมาจากกรอบของ อุตุ มาเป็นพีชะจาก พีชะมาเป็นจิตนิยามนั้นยากแสนยาก เมื่อพัฒนามาเป็นจิตนิยาม เลวที่สุดได้แย่งชิงได้มากที่สุดคือสัตว์ จนกว่าจะมีผู้รู้ที่สามารถพัฒนาพลังงานจิตนิยามนี้ให้ไม่วนเวียนได้อีก คือพระพุทธเจ้า มาละตัวเหตุที่พาทำชั่ว แล้วจัดการเหตุแห่งชั่วได้ ดับอกุศลจิตออกไป เหมือนน้ำในแก้วมีฝุ่น ศาสนาโลกียะมีแต่สะกดให้ฝุ่นอยู่ใต้แก้ว กระเทือนฝุ่นก็ออกมาอีก แต่ศาสนาพุทธนี้ จับฝุ่นออกไป ได้จนหมด ทำให้เหตุแห่งความเสื่อมนี้หายไปตลอดกาล รู้จักกิเลส มีอุบายเครื่องออก กำจัดกิเลสด้วยปัญญา ศาสนาพุทธมี นี่คือศาสนาลัทธิที่จริงที่มีอยู่ในโลกนี้ เราเป็นพุทธ จงเอาอันนี้ให้ได้ พุทธสามารถเลิกชีวะที่เป็นอัตภาพของเราเองได้ตลอดกาล ไม่มีตัวตนเราอีกเลยในมหาจักรวาลนี้ได้ตลอดกาลเลย แต่ความรู้เหล่านี้หายไปแล้ว อาตมามารื้อฟื้นมา อรหันต์ในชุมชนชาวอโศกมีเยอะ แต่ไม่อยากระบุ เพราะระบุแล้วค้านแย้งความเข้าใจกับทั่วไป เพราะคนทั่วไปเข้าใจมหาบัวเป็นอรหันต์ เข้าใจหลวงพ่ออะไรๆเป็นอรหันต์ ไม่ใช่เลย อันนั้นอรหันต์เก๊
กระดูกเป็นพระธาตุนั้นเป็นสรีระ ฤาษีกระดูกเป็นพระธาตุเยอะแยะเลย กระดูกอรหันต์สายปัญญาไม่ค่อยเป็นพระธาตุ นั่นล่ะเป็นอรหันต์แท้ ส่วนที่เป็นพระธาตุก็อรหันต์เก๊เสียเยอะคือมิจฉาทิฏฐิบอกว่ากระดูกเป็นพระธาตุเป็นอรหันต์
จะไปหาอรหันต์ได้ต้องแยกแยะมโนปวิจาร18 แยกเนกขัมสิตะ กับเคหสิตะออกได้อ่านกิเลสในเวทนาที่เป็นสมุทัยออกได้ดับได้จริงจึงเป็นอรหันต์ แต่ในประเทศไทยไม่พูดถึงมโนปวิจาร 18 แล้วจะมีอรหันต์ได้อย่างไร คุณไปอ่าน พรหมชาลสูตร หากไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาไม่มีโอกาสเป็นโสดาบันสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ได้เลยเพราะดับ ทวาร 5 จนไม่มีความรู้สึก คนละทิศทางกับศาสนาพุทธเลย
อาตมาขอพูดต่อหน้าพวกคุณลูกๆว่าอาตมาเป็นอรหันต์ อาตมาประกาศต่อสาธารณะมาแล้ว ไม่ได้ประกาศอย่างอยากอวด แต่มาเปิดเผยกอบกู้ศาสนา ถ้าพระพุทธเข้าพูดไปแล้วไม่มีตัวตนรองรับ ท่านจะพูดไปทำไม แล้วมีใครประกาศไหมว่าคือตัวเขา ตำนานก็ว่ามีพระธรรมิกราชสององค์จะมากอบกู้ศาสนาแต่คนไม่เชื่อเพราะเขาฝังหัวแล้ว
คนมาทางนี้จึงเป็นคนมีปัญญาใจถึง คนโง่ไม่มาหรอก ถามตัวเองว่าจะมาไหม แล้วจะรู้ว่าใครโง่ใครฉลาด เท่านั้นแหละ คุณจะไปเรียนทางโลกอาตมาไม่ว่าเลย ถ้าคุณรู้จิตว่าเรียนเอาไปทำงานรับใช้โลก ลาภยศสรรเสริญเอาไว้ทำงาน ตำแหน่งมีก็ทำงานได้มาก อาตมาไม่ขัดแย้งสนับสนุน แต่อย่าเอาลาภยศสรรเสริญไปประมาณให้ตนได้มากขึ้น อย่าโง่อย่าบ้านอย่างนั้นเลย
_ทำไมคนเราต้องมีรักโลภโกรธหลง
พ่อครูว่า...เพราะโง่
_อาหารยิ่งกินปรุงแต่งมากยิ่งฟุ้งซ่านมากใช่ไหมครับ
พ่อครูว่าใช่ การปฏิบัติที่ไม่ผิดสามหลักของศาสนาพุทธคือสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ
_หนูอยากให้ตนเองเป็นคนใจเย็นทำอย่างไร
ตอบ..ให้ใส่ใจฟังธรรม ปรึกษาสมณะ สิกขมาตุ คุรุ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:28:59 )
รายละเอียด
600619_พุทธศาสนาตามภูมิ(หน้าศพพ่อคุณสาธิต) ปฐมอโศก ความจริงของชีวิตคืออะไร
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีระกา วันนี้พ่อครูก็ได้มาออกรายการ พุทธศาสนาตามภูมิที่ปฐมอโศก วันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษเพราะมีงานศพด้วย ศพเพิ่งมาตั้งเมื่อกี้นี้เอง เป็นศพของคนตระกูลใหญ่ เพราะพ่อมีลูกถึง 15 คน ทั้ง 15 คนมีความพร้อมเพียงกันมาเผาศพที่นี่ โดยเรียกว่า เสียวันนี้เผาพรุ่งนี้เลย ถ้าท่านจันทร์รู้ก็คงรีบมาเลย เพราะถือเป็นเรื่องที่ทำตามพระพุทธเจ้าประสงค์ อาตมาก็เห็นจริงว่า สิ่งใดก็ตามที่เราทำตามพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ จะทำให้พ้นทุกข์โศกทุกข์ยากต่างๆ อันเราจะเห็นได้เลย
อันนี้เนื่องจาก ศพของคุณแม่เคยมาเผาที่ปฐมอโศก ญาติพี่น้องก็เลยพอทำใจได้ พอมาศพคุณพ่อก็เลยทำความเข้าใจ ได้เข้าถึงความจริงได้ง่ายขึ้น
เราเพิ่งเสร็จจากงานศิษย์เก่าปฐมอโศกคืนสู่เหย้า พ่อครูได้ให้ข้อคิดไว้ว่าคนเราหนีไม่พ้นที่จะต้องมาศึกษาความจริง สัจจะให้ได้ ในสมัยพุทธกาลพระเจ้าสุทโธทนะ พยายามมอมเมา เจ้าชายสิทธัตถะ ให้เข้าใจว่า โลกนี้มีแต่ความสุขสนุกสนาน พยายามให้ติดในโลกียสุขให้ได้ แต่ด้วยสัพพัญญุตญาณ บารมีที่สั่งสมมามาก เจอคนแก่ คนเจ็บ คนตาย พระพุทธเจ้าตอนออกมาแสวงหาความจริง
แต่ทุกวันนี้ คนที่ใกล้จะตายก็ยังไม่รู้เลยว่าความจริงคืออะไร ยังอยากได้สมบัติ กระเสือกกระสนดิ้นรนไม่ยอมตายง่ายๆ เพราะไม่รู้ว่าความจริงของชีวิตคืออะไร ทั้งหมดนี้ก็เพราะว่าเขาไม่ได้ฟังคําสอนพระพุทธเจ้า คืองานหลักของพ่อครู ที่จะได้นำความจริงของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยให้พวกเรารับรู้
คนที่มีความสุขที่สุด คือผู้ที่อยู่กับความจริงเท่านั้น ถึงจะมีความสุขได้ ณ บัดนี้ เป็นโอกาสที่เราจะได้ฟังสัจจะความจริงจากพ่อครู
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ความจริงของชีวิตนั้นคืออะไร
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีระกา อาตมาจะพยายามบอกก่อนที่จะเทศน์บรรยายธรรมะ จะบอกวันที่เทศน์ แรมหรือขึ้นกี่ค่ำ เดือนอะไรปีอะไรบอกเอาไว้เป็นหลักฐาน เพราะว่าคนเรานี่ มันไม่เที่ยง เทศน์แต่ก่อนนี้อาตมาเทศน์ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว 20 ปีที่แล้ว กับเทศน์ตอนนี้ บางทีหัวข้อธรรมะเดียวกันก็เทศน์ไม่เหมือนกัน บางที ขยายความ มันเหมือนกับจะต่างกันกับที่เคยเทศน์ไว้ก่อน เกือบจะต่างกันคนละขั้วไปได้ แต่อาตมาก็ไม่เทศน์ถึงขนาดนั้นหรอก ไม่ได้มีความเห็นเปลี่ยนแปลงถึงขนาดนั้น แต่จริงๆแล้ว ถ้าจะให้อาตมาเทศน์ กลับข้างเลย จากดำเป็นขาวเลยก็ได้ โดยที่ค่อยๆทำให้คนเข้าใจ
เช่นว่า เทศน์ให้รู้ว่า คนนี่ คือคนที่เลวที่สุด แต่จริงๆแล้ว คนนี่เป็นคนดีที่สุด เทศน์ขึ้นต้นว่า คนคือสัตว์ที่เลวที่สุด แต่จริงๆแล้วคนคือสัตว์ที่ดีที่สุด ก็เทศน์ได้ ก็ขยายความตั้งแต่ชั่ว แล้วพัฒนาตนจนบรรลุสูงสุด ก็คนๆเดียวกันนี่แหละ เป็นต้น
ตกลงคนๆเดียวกันเลวที่สุดกับสูงที่สุดดีที่สุดก็ได้ ก็มีระยะทางการเปลี่ยนแปลงจากคนๆเดียวกัน คนๆเดียวกันดีที่สุด เลวที่สุด เมื่อไหร่ก็เมื่อได้ทำสัจจะทำความจริงของชีวิต ถึงความจริงของชีวิตสูงสุด
เมื่อท่านเดินดินเกริ่นมาแต่ต้น คล้ายๆจะให้อาตมาอธิบายความจริงของชีวิตคืออะไร ก็ตอบได้ว่า ความจริงของชีวิตนั้น คือชั่วที่สุด กับดีที่สุด
แม้ทุกวันนี้ ก็ยังมีชีวิตที่มีความจริงอันนี้อยู่ คือ ชั่วที่สุด กับดีที่สุด
คนที่เห็นว่า ชั่วที่สุดควรเป็น เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาจะเป็นคนชั่วอย่างไม่มีที่สิ้นสุดกว่ากัน ชั่วอย่างไม่มีขีดจำกัด
แต่ดีนี่ดีได้อย่างมีขีดจำกัด ชั่วไม่มีขีดจำกัด ดีมีขีดจำกัด
หนึ่ง คนทำดีไม่ได้มากกว่านี้หรอก พากเพียรอย่างไรก็ได้เท่านี้ เพราะดีนั้นทำได้ยาก
สอง คนที่จะทำความดีสูงสุด จบเรียกว่าอรหันต์ ก็จบได้อีกเหมือนกัน
สาม คนที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ความจริง คนที่ทำดีทำชั่วอยู่ในโลกียะ คนที่ทำชั่วพยายามทำดี ดีสูงสุดแล้วจะวนสู่ชั่วอีก เพราะโลกียะ คือความวนไม่มีที่จบ โลกุตระเท่านั้นถึงมีที่จบ มีที่สุด ส่วนโลกียะไม่มีที่สุด จะดีชั่ว ชั่วแล้วดี วนอยู่อย่างนั้น จะดีสุดของโลกียะ ประเดี๋ยวก็เลื่อนลงต่ำ ไม่เที่ยง ความดีของโลกียะไม่สามารถรักษาไว้ให้เที่ยงแท้ได้ ส่วนความดีของโลกุตระถอนเหตุ ดับเหตุแห่งชั่วสามารถทำให้เที่ยงแท้ถาวรได้ จึงดีได้ถาวร
วันนี้เป็นงานศพของคุณพ่อ ปรีดา ไทยทัตกุล ลูกหลานก็สะดวกชีวิตของพ่อมาให้สั้นๆ ก็ขออ่านสู่ฟังบ้าง
พ่อปรีดา ไทยทัตกุล
เป็นพ่อของคุณสาธิต ปู่ของหยก พุทธลักษณ์(ศิษย์เก่าปฐมอโศก)ตาของนะโมและอีกหลายๆคน เพราะเป็นปู่
อายุ 93 ปี เกิด ปี2468 มรณะวันนี้ จันทร์ 19 มิ.ย. 2560 เวลา 12:57น.
มีลูกชาย 10คน บุตรบุญธรรม 1คน ลูกสาว 4 คน
พ่อไม่ได้เรียนจบอะไรเลย เรียนจากประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่เล็กๆช่วยพ่อแม่ทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย ทำงานหลายอย่างมาก เช่น ขับแท็กซี่ เทขยะ เทข้าวหมู น้ำแข็งไส เปิดร้านโชว์ห่วย เป็นลูกจ้างที่ทำงานโดยพ่อกับแม่รับเงินเดือนแทน ตนเองไม่ได้เงิน
แต่ชอบฟังข่าวสารบ้านเมืองทางวิทยุเป็นปกตินิสัย
เคยไปร่วมชุมนุม. รุ่นมือตบ ปี 51 และปี 56-57 รุ่นลุงกำนัน
พ่อเป็นคนขยันอ่อนน้อมถ่อมตนและหนักแน่น ยอมทำงานทุกอย่างที่สุจริตเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ชอบปลูกต้นไม้และมีฝีมือปลูกกล้วยไม้ ต้นไม้เกือบทุกอย่างปลูกขึ้น และริเริ่มนำเศษก้อนขี้เลื่อยมาทำปุ๋ยเอง เป็นคนรักต้นไม้ไม่จำเป็นไม่ตัดต้นแค่เล็มออก มีความสร้างสรรเอาขยะมาประดิษฐ์ของเล่นให้ลูก
ประหยัดมัธยัสถ์ อดออม ขายน้ำแข็งไสและน้ำหวานเก็บเงินสดอดออม จนสามารถซื้อตึกสามชั้นได้ และซื้อรถแท็กซี่จากหนึ่งคันค่อยๆเพิ่มเป็น 10 คัน จนมากกว่า 16 คัน และสามารถซ่อมเครื่องยนต์ได้เองโดยไม่ได้เรียนช่างยนต์เลย
พ่อปรีดาเป็นคนใจดี บางคนขึ้นแท็กซี่ถึงปลายทางไม่มีเงินก็ไม่เก็บเงิน ถ้าแต่งชุดนักบวชก็ไม่เก็บเงินเมื่อขึ้นแท็กซี่เช่นกัน
ชอบช่วยงานคนข้างบ้าน และแล้วแต่คนข้างบ้านจะให้เงิน
ซึ่งคนข้างบ้านที่เป็นขุนหลวงก็จะคอยช่วยเวลาทำสัญญาหรือเอกสารไม่ให้ถูกโกง
พ่อกับแม่อยากให้ลูกๆมีอนาคตที่ดี แม้ว่าฐานะทางบ้านจะลำบากและพ่อกับแม่แต่งงานมาไม่มีสมบัติอะไรติดมา แต่ช่วยกันเลี้ยงครอบครัวทั้งสองฝ่าย
สำหรับพ่อแม้ขับรถอยู่สายตาจะดีมาก เห็นเต่าหรือสัตว์เลื้อยคลานพ่อก็จะไม่ทับ แต่จะลงไปช่วย แม้แต่หมาบาดเจ็บพ่อก็เอากลับบ้านมาดูแลรักษาที่บ้าน
(พ่อครูว่า นึกถึงตนเอง ในยุคที่เป็นฆราวาสอยู่ ความคิดของอาตมา มีความคิดหนึ่ง จนกระทั่งสร้าง plot นิยายขึ้น ก็คือ แข่งรถ มีการแข่งรถบด แข่งๆๆ แล้วก็คนขับรถบดเก่ง เสร็จแล้วแพ้ นี่คือ climax นำหน้าเขาลิ่วๆๆ แต่แพ้ เหตุเพราะเจอคางคกเดินข้าม ก่อนถึงเส้นชัยก็หยุดเบรกเก็บคางคกออก แล้วก็เลยแพ้ ตนเองนึกไม่ออกหรอกว่าจิตของตนคืออะไร อาตมาอ่านแล้วนี่ ชีวิตคนที่มีจิตอย่างนี้ จะมีคนกี่คนขับรถ เจอสัตว์ข้ามถนนแล้วจะลงไปช่วยเอาออก จะมีกี่คน ซึ่งเป็นเรื่องของจิต ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่จิตสามัญ)
พ่อชอบทำทาน กินเจตามเทศกาลกินเจ มากกว่า20ปี
ยอมเลิกปศุสัตว์เลี้ยงหมู เป็ด ไก่ หันมาทำกสิกรรมเพาะเห็ดตามที่ลูกชายขอร้อง
พ่อไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ไม่เที่ยวผู้หญิง ไม่เล่นหวย
พ่อครูว่าเป็นคนที่สะสมจิตวิญญาณมาดี ไม่มีอบายมุขมาตั้งแต่เกิด
พ่อสอนว่าถ้าเล่นหวยจะไม่มีกระบวยล้างหน้า ใช้เสื้อผ้าขาดปะเป็นปกติ
ปกติคนจีนจะฝังไม่ให้เผาแต่พ่อปรีดายอมให้เผาศพลูกชาย(พุทธพจน์)ที่ปฐมอโศกเมื่อปี 2537
วาระสุดท้าย พ่อปรีดาเสียชีวิตด้วยโรคชรา เป็นหวัดแล้วก็สิ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ความจริงของชีวิตคืออะไร
พ่อครูว่า...อ้าวทีนี้ก็เทศน์ ความจริงของชีวิตคืออะไร? ท่านองค์นี้ตั้งชื่อมาก็ดี
ความจริงของชีวิต ภาษาบาลี ความจริงก็คือคำว่าสัจจะ ความจริงของชีวิต สิ่งนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านศึกษา โดยเฉพาะคำว่าชีวิตนี้ไม่ได้หมายความถึงชีวิตพืช พระพุทธเจ้าไม่ได้เอาความจริงของชีวิตพืชมาศึกษาให้รู้ แม้แต่อาตมา เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็เอามาพูดให้รู้ มีบัญญัติคำสอนภาษาบาลี ของพระพุทธเจ้าคือ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
ชีวิต ความจริง ก็เอาความจริงของชีวิต ระดับจิตนิยาม ชีวิตระดับพีชนิยาม ก็มีความจริงของเขาไปเท่านั้นเอง ส่วนอุตุนิยามไม่ถือว่าเป็นชีวิต จะเรียกว่า ความจริง เขาก็ไม่รู้เรื่องด้วยแล้ว เพราะพลังงานอุตุ ดินน้ำไฟลม ไม่มีตัวประธานของตัวเอง หมายความว่า
พลังงานที่จะเป็นเจ้าของ อย่างพีชนิยามอย่างพืช มันมีพลังงานเป็นเจ้าของตัวเองเป็นอัตโนมัติ เช่นกล้วย ก็มีพลังงานของมันเป็นเจ้าของตัวเอง ก็จะรับเอาธาตุที่จะใช้ เอามาสังเคราะห์เป็นตัวกล้วย เนื้อกล้วย ถ้าไม่ใช่ธาตุที่มันต้องการใช้มันไม่เอา มันมีสัญญากับสังขาร มีการกำหนดรู้ มีอัตโนมัติของมัน เป็นพลังงานในตัวมันเอง
สับปะรด ก็เอาแต่ธาตุที่จะสังเคราะห์มาเป็นเนื้อมัน ใบมัน จะเอามาผสมเป็นตัวมัน พืชทุกอย่างก็ทั้งนั้น
แต่จิตนิยาม ตั้งแต่เป็นสัตว์เดรัจฉาน เซลล์เดียว จะมี เวทนา มีวิญญาณ นอกจากมีสัญญา สังขารแล้วก็มีเวทนา
เริ่มเป็นจิตนิยาม จะเกิดความทุกข์ความสุข มีรัก ชัง พยาบาท ยึดติด ผูกพัน จองเวร จองกรรม ผูกพัน ข้ามชาติ จองเวรจองกรรมกันข้ามชาติ อย่างนี้เป็นต้น นี่คือ พลังงานที่เป็นความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจริงที่ลึกซึ้ง เกินกว่า ทางฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์ทางโลก ที่เขาเรียนรู้ ชีวะของพืช สัตว์ มนุษย์เขาก็เรียน แต่ไม่ได้เรียนรู้อย่างละเอียด
จนกระทั่งแยกนามธรรม ออกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างที่พระพุทธเจ้าแยกแยะไว้ และมันละเอียดกว่านี้ และสามารถเรียนรู้ที่ตั้ง ที่เกิด และที่จบของความจริงสัจจะ จบจนกระทั่งสามารถแยกธาตุของสัจจะนี้สลายไปเลย เช่นอัตภาพของชีวะ ที่เป็นเดรัจฉาน จนกระทั่งมาเป็นคน เป็นความจริงที่สุดยอด จนสามารถจบแล้ว ผู้รู้จบจะแยกธาตุของอัตภาพตนเองได้
คนได้จิตนิยาม เป็นสัตว์แล้ว ถ้าไม่ได้เรียนรู้ความรู้ของพระพุทธเจ้า จะไม่สามารถสลาย พลังงานที่จับตัวเป็นอัตภาพ สลายตัวเองไม่ได้ จะสลายให้สูญไปเลยไม่เกิดเลยไม่ได้ แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลม แยกธาตุเป็นชีวะตนเองไม่ได้ พีชะตายแล้วก็แยกธาตุตัวเองจบหมด
แต่จิตนิยามเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีสิทธิ์สลายตัวเองได้เลย ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว จนเป็นเทวนิยม หรือแม้เป็นศาสดาของเทวนิยมก็ไม่สามารถสลายตัวเองได้ พระเจ้าเป็นจิตวิญญาณนิรันดร ไม่สูญ จิตวิญญาณสูงสุด ศาสนาเทวนิยม จะต้องปฏิบัติตัวเองให้จิตใจดีจนไปอยู่กับพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า ถ้าไม่เช่นนั้น พระเจ้าจะพิพากษาให้ลงนรกขุมนั้นขุมนี้ทั้งนั้น ต้องเป็นจิตหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เป็นพระเจ้า เหมือนกับเป็นพระเจ้า แต่ไม่มีสิทธิ์ไปแย่งความเป็นพระเจ้า พระเจ้าใหญ่ที่สุด ต้องทำตัวเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าไปอยู่ในสวรรค์สุดท้าย นอกนั้น ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็ต้องไปนรก พระเจ้าจะพิพากษาให้ได้รับนรก นอกจากผู้ที่ถึงพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า ก็จะเป็นอย่างนั้นไป นั่นคือศาสนาเทวนิยม ศาสนาของพระเจ้า
ส่วนศาสนาของพระพุทธเจ้ารู้จักจิตนิยามนี้อย่างดี เพราะสูงสุดเป็นจิตนิยามอย่างไร ยืนยันพิสูจน์ได้กับคนอื่นๆที่ศึกษาด้วยกัน แม้ที่สุด ตนเองจะศึกษาสูงสุดในความเป็นพระเจ้า จนเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพลังงานที่สูงสุด จะสามารถเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ปราบผู้ทำลายได้จริง แต่ศาสนาพุทธ ไม่ไปทำร้ายอะไร ทำลายแต่สิ่งเลวร้ายชั่วร้ายเท่านั้น จะไม่ไปทำลายสิ่งดีงามเลย
ถ้ามีอัตภาพแล้วเป็นจิตนิยามแล้ว มีเวทนา มีสุขทุกข์ มีรักมีชัง มีโลภโกรธ หลง มีความเห็นแก่ตัว ก็ต้องมาศึกษาความไม่เห็นแก่ตัว ศาสนาเทวนิยม ก็พยายามเข้าใจความไม่เห็นแก่ตัว ก็พยายามล้างความเห็นแก่ตัวออกไป เหมือนกัน แต่เขาทำได้ไม่ถาวร เขาทำได้ไม่สูงสุด ไม่ถาวรนิรันดร ไม่เป็น“นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
เพราะเขาไม่รู้จักเหตุ ตัวที่เป็นจิตนิยาม ไม่ได้เรียนรู้จิตเจตสิกต่างๆ วิเคราะห์วิจัยจิตเจตสิกไม่ได้ เหมือนกับศาสนาพุทธทุกวันนี้ อาตมาพูดว่าเหมือนศาสนาพุทธทุกวันนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าศาสนาพุทธวิเคราะห์วิจัยจิตเจตสิกไม่ได้นะ แต่ศาสนาพุทธนี่ยอดเยี่ยมที่จะแยกแยะจิตเจตสิกได้สูงสุด ตั้งแต่จิตที่เลวที่สุด จนถึงจิตที่ดีที่สุด จนถึงโลกุตรจิต แล้วทำให้จิตไม่มีเลยได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ธาตุจิตนั้นก็ไม่เหลือ
อย่างเช่นธาตุน้ำ H กับ O จับกันเป็น H2O แต่เมื่อแยก H กับ O ออกจากกัน ธาตุน้ำก็สลายหายไป คือผู้ปรินิพพานได้ สลายจิตนิยาม เหลือแต่ดินน้ำไฟลมที่สลายไปกลายเป็นอันใหม่แล้ว กรรมวิบากใดๆของผู้นี้ก็สูญไปเลย ถ้าแยกธาตุออกไม่ได้ กรรมวิบากก็จะไม่สลายหายไปจะมีอยู่ ศาสนาเทวนิยมจึงไม่หมดกรรมวิบาก จะวนเวียนเล่นงาน กุศลอกุศล ทุกข์สุข ขึ้นสูงตกต่ำ แม้เป็นศาสดาเทวนิยมก็วนเวียนตกต่ำอีกได้ อาจจะลงนรกในวาระใดก็ได้ ไม่เที่ยงเลย นั่นคือศาสนาเทวนิยม จะมีสวรรค์และนรกอยู่ตลอดกาล ไม่มีการปรินิพพานเป็นปริโยสาน เทวนิยมล้างไม่ได้ อย่างเก่งที่สุดก็ไปอยู่กับพระเจ้า อย่างเก่งก็จะเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยม
ไม่เป็นสัตว์โลกจะไปอยู่กับนามธรรมไหนๆ อย่างฮินดูนี้ละเอียดเหมือนกัน ฮินดูกับพุทธก็สลับกันไปมา คืออันเดียวกัน ศาสนาพุทธทุกวันนี้กลับไปเป็นเทวนิยมแล้ว อาตมากล้าพูดว่าเป็นเทวนิยมหมด เพราะไม่สามารถเรียนรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_บุญ) ตอน หน้าที่เดียวของบุญ
ผู้ที่มีความรู้สูงสุดของศาสนาพุทธ ยังแปลคำว่าอภิสังขาร ไม่ตรง
คำว่าปุญญาภิสังขาร จริงๆแล้ว ปุญญะ ไม่ใช่ความดี ไม่ใช่ความเลว ปุญญะเป็นโลกุตรธรรม ไม่มีความดีความเลว ปุญญะเป็นพลังงานทางจิต ปรุงแต่งให้จิตลดกิเลสได้ เรียกว่าปุญญะ แล้วก็สลายตัว
เหมือนการสร้างระเบิดปรมาณู มีหน้าที่ทำลาย เอาระเบิดไปทิ้ง มันก็ระเบิดเสร็จ ตัวระเบิดปรมาณูมันก็ไม่มีเหลือ เอาเก็บมาทำต่อไม่ได้ ฉันเดียวกับปุญญะที่ฆ่ากิเลสเสร็จก็หายไป เหมือนระเบิดเสร็จก็จบ ตัวระเบิดก็หายไป ปุญญะมีสภาพอย่างนั้น
แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่เข้าใจคำว่าบุญ บุญกลายเป็นสิ่งที่สะสมได้เป็นสมบัติ ไม่ใช่ ที่จริงบุญคือวิบัติ ทำลายสิ่งที่น่าเกลียดที่สุดคือกิเลส มีหน้าที่ทำลายกิเลสอย่างเดียวไม่ฆ่าอย่างอื่น มีหน้าที่เดียวฆ่าเสร็จแล้วจบ พระอรหันต์คือคนหมดบุญหมดบาป ปุญญปาปปริกขีโณ ความรู้ในศาสนาพุทธไม่มีแล้ว ผู้รู้สูงสุด ทั้งในและนอกประเทศไม่มีแล้ว เขาเข้าใจไม่ได้
เขาเข้าใจเครื่องมือทำลายกิเลสกลายเป็นสั่งสมกิเลส คุณสั่งสมสวรรค์ก็คือกิเลสทั้งนั้น คนหลงไม่มีทางปรินิพพาน กุศลไม่มีทางไปนิพพานเป็นสมบัติ นอกจากคนbกิเลสได้หมดแล้ว รู้กุศลอกุศล หมดบุญหมดบาปแล้ว อยู่กับโลกเป็นพระอรหันต์แล้ว รู้จักกุศลอกุศลของคน ของตน กุศลคือสมบัติ พระอรหันต์ก็มีกุศลตลอดไป ไม่มีบาปไม่มีอกุศลตลอดไป สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล_โสดาบัน) ตอน เป็นพระโสดาบันได้อย่างไร
พระโสดาบันคือต้องทำลายกิเลส ตัวหยาบที่ต่ำที่สุดเรียกว่าอบาย คุณจะทำให้กิเลสอบาย ที่เป็นตัวต่ำสุดหายไปได้ ต้องรู้หน้าตาของกิเลส เรียกว่าต้องมีปัญญา ปัญญาเป็นภาษาโลกุตระ เดี๋ยวนี้เข้าใจปัญญาเพี้ยนไป
ปัญญาเป็นโลกุตระ ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดแบบปุถุชน ที่มีแต่เฉกตา หรือเฉกา เป็นความเฉลียวฉลาดแบบโลกียะ เฉลียวฉลาดเอาเปรียบเอามาให้แก่ตน เฉลียวฉลาดในการสะสม แม้จะสะสมความดีความสุจริต ก็เป็นโลกียะ ไม่ได้ทำลายกิเลสเลย คนที่จะได้ฉลาดอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีความรู้อย่างโลกุตระคืออ่านอาการของจิตที่เป็นตัวกิเลส แยกแยะอาการกิเลส เป็นจิตเจตสิก อาการของจิตที่เป็นอาการกิเลสตัณหาเป็นสมุทัย อ่านไม่ถูกอ่านไม่รู้
เหมือนคุณเป็นตำรวจ แต่ไม่ได้รู้จักหน้าตาของโจรเลย แล้วจะไปจับโจรหรือผู้ต้องหานี้ได้อย่างไร คุณก็ทำงานไม่ได้
ไม่รู้ตั้งแต่คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นลำดับ ตั้งแต่สักกายทิฏฐิ เป็นตัวตนแรกตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1 เขาก็แปลว่า สักกายะคือตัวตน แล้วตัวตนคืออะไร ตัวตนของกิเลสที่จะต้องชำระ
อันที่สองต้องจับให้มั่น ไม่ใช่จับแพะจับแกะ ให้พ้นวิจิกิจฉา พ้นลังเลสงสัยว่านี่คือกิเลสนะ มันเป็นนามธรรม พระพุทธเจ้าถึงให้จับให้ดีมันเป็นนามธรรม จึงต้องมีวิธีปฏิบัติกำจัดกิเลสเรียกว่า
ศีลพรต คือต้องพ้น สีลพตปรามาส ต้องรู้จักทฤษฎีกำจัดกิเลสของพระพุทธเจ้า ก็คือทฤษฎีวิปัสสนาวิธี ไม่ใช่สมถวิธีที่เป็นอุปการะมาก แต่ไม่ใช่วิธีที่จะกำจัดกิเลสให้สูญสิ้นไปได้ อย่างไม่เกิดอีก อสังกุปปัง ไม่เกิดกิเลสอีก อย่างเที่ยงแท้ถาวรมั่นคงตลอดกาล
เพราะฉะนั้นจึงจะต้องรู้จักกิเลส และต้องรู้จักวิธีฆ่า จาก หยาบ กลาง
ละเอียด อย่างไม่เหลือหลอ แล้วฆ่าแล้วฆ่าอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้มันตายแน่ๆ อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ไม่มีอะไรจะกลับตัวขึ้นมาได้อีกเลย หลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าแน่ชัดที่สุดว่ามีวิธีการ มีตัวรู้ รู้ความจริงของความเป็นจริงของนามธรรมที่ละเอียดมาก ละเอียดกว่าวัตถุละเอียดกว่าทางฟิสิกส์
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ) ตอน โรงงานพระพุทธศาสนา
อาตมาบรรยายนี้ พวกอภิธรรมหาว่าอาตมาพูดเลอะเทอะ เอาพลังงานทางโลกมาเทียบกับนามธรรมไม่ได้ แต่อาตมาว่าเป็นโครงสร้างเดียวกัน นามธรรมเอาโครงสร้างของพลังงานวิทยาศาสตร์มาใช้ได้ เมื่อทำได้กิเลสภายนอกหมด เหลือแต่นามธรรม คือรูปภพอรูปภพก็ฆ่าได้ต่อไป
คนทุกวันนี้ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายจึง ทำลายกิเลสไม่ได้จึงไม่มีอรหันต์ อาตมาขอประกาศ อาตมาได้กลับฟื้นคืนศาสนาพุทธให้มีพระอรหันต์กลับคืนมาได้ แต่ความที่ผิดเพี้ยน เข้าใจอรหันต์เก๊ว่าเป็นอรหันต์ จนไม่รู้ว่าอรหันต์จริงคืออะไร เมื่อจะมาบอกว่าอรหันต์จริงคืออะไร ที่เขาว่ากันนั้น เป็นอรหันต์เก๊หมด ก็ตีลังกาเลย
เขาเชื่อมั่นว่าอย่างนั้นคืออะไร อย่างที่อาตมาพูดไม่ใช่อรหันต์ เป็นต้นว่าอรหันต์ของพระพุทธเจ้านั้น กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม แคล่วคล่องว่องไว อยู่กับสังคมช่วยเหลือสังคม ให้จัดการกิเลสต่อไป ไม่หยุดหย่อน แต่พระอรหันต์ของทางสายโน้น ไม่เกี่ยวกับใคร ยิ่งไปหลับตาไม่เกี่ยวกับใคร อย่างเช่นหลวงพ่อเกษม ใครไปหาท่านก็นั่งหลับตาเฉยเลย เขาบอกว่าอย่างนี้คืออะไร
แต่ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)คือยอดของผลของพุทธรรมทางศาสนา แต่ของเขาไม่มีผลต่อมวลมหาชน
อรหันต์ของศาสนาพุทธจิตแคล่วคล่องว่องไว ช่วยคนได้ เป็นคุณสมบัติอันสงบ สงบคือยิ่งคล่องแคล่ว แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้สงบก็คือ ช้าๆ เฉื่อยๆ ย่างหนอ ก้าวหนอ พูดเบาๆ พูดช้าๆ
ศาสนาพุทธสอนให้คนมีจิตแคล่วคล่องว่องไวเร็วทันกาล คนละเรื่องกันเลยกับความเข้าใจเขา อาตมาเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างที่อาตมาพูดและพาให้ทำกันเป็นเช่นนี้ ขณะที่อาตมาพาทำเป็นเช่นนี้ในชาวอโศก มีพระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน จะเร็วไวไม่เชื่องช้า กิเลสโลกทำให้ช้าไม่ได้ทำให้ถอยไม่ได้ มีแต่เร็วไว ขนาดนั้นยังไม่ทันกาลกับโลกที่เก่งในการปรุงแต่ง
อัตราก้าวหน้าอย่างอาตมาพาทำนั้นมีแล้วอาริยธรรมโลกุตรธรรมมีแล้ว คือชุมชนชาวอโศก เป็นชุมชนของพระอาริยะ พระศรีอาริยเมตไตรย พยายามสร้างพลังงานนี้รับใช้โลก พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
แต่เป็นวิบากอาภัพ ถูกศาสนาด้วยกันนี้เป็นกระแสหลักต้าน เดี๋ยวนี้ค่อยยังชั่วไม่ต้านไม่แย้ง เพราะอาตมาทำงานมาพอสมควร เอาพระไตรปิฎกมายันก็เลยไม่กล้าแย้ง
การปรุงแต่ง ปุญญาภิสังขารเขาแปลว่าปรุงแต่งเป็นบุญ หรือปรุงแต่งเป็นความดีงาม อาตมาว่าผิด บุญคือปรุงแต่งลดกิเลส ถ้ากิเลสหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือ แต่ผลของบุญคือโลกุตระ ได้ส่วนแห่งบุญคือทำลายกิเลสเป็นส่วนๆไป เช่น กิเลสก็นี้ของคุณมี 100 หน่วย คุณทำอะไรกิเลส จางคลายลงไป 30 หน่วยเรียกว่าส่วนบุญหายไป 30 หน่วย เหลือกิเลสอีก 70 ไม่ใช่คุณได้นะ เสียนั่นแหละคือเราได้ ซึ่งในหลวงของเราคืออาริยบุคคล เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านได้ตรัส ภาษาของโลกุตระ แต่ข้าราชบริพาร ข้าราชการรับลูกไม่เป็น เอามาทำต่อไม่ได้เพราะไม่มีความรู้โลกุตระ
ท่านตรัส บริหารแบบคนจน ประเทศชาติเราไม่ต้องรวย เราไม่รวย เราไม่อยากรวย เราก็รวยพอสมควรแต่เราไม่อยากรวย คำตรัสของท่าน เอามาเปิดนี่ ฟังกันบ้างไหม เราไม่เอาก้าวหน้าแบบนั้น เพราะ ก้าวหน้าแบบนั้น เป็นการถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว ภาษาอย่างนี้คือภาษาของโลกุตระ นี่คือพระเจ้าแผ่นดินเมืองไทย ที่มีเชื้อของโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า เอามาประกาศในโลก แต่คนในโลกสมัยนี้ รับไม่ได้
มีคนกลุ่มเดียวที่รับได้และดำเนินการอยู่คือชาวอโศก ทำอย่างโดดเดี่ยวในสังคม ที่พูดไม่ได้ท้อ แต่พูดความจริง เขาไม่เอาเรื่องเอาราว ไม่เห็นคุณค่า สื่อสารมวลชนใดๆไม่เคยแยแสชาวอโศก ยิ่งเถรสมาคมจะเอาตาย แต่เอาตายไม่ได้ ตอนนี้เขาหมดฤทธิ์จะทำให้อโศกหยุดยั้ง ตอนนี้ปลูกฝังมีผู้สืบทอดแล้ว ลงหลักปักแหล่งแล้ว โรงงานพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย
อาตมาจะตาย ท่านเดินดินจะตายก็มีคนต่อไป มีคนอื่นอีกเยอะแยะ ฆราวาส ก็จะต่อกันไปไม่หยุดหรอก เพราะมันได้หยั่งรากลง เหมือนปลูกต้นไม้ ต้นไม้มันช่วยตัวเองได้แล้ว ไม่มีทางตาย มันช่วยตัวเองแข็งแรงได้แล้ว ถือว่าแข็งแรงแล้ว แต่มันจะขยายสู้กับโลกีย์ ที่มีอัตราการก้าวหน้า Geometric Progression Ratio มันมีการยกกำลังระดับไหนนึกไม่ออก อย่างโลกีย์มีใครคิดว่าเขาจะต้องรวยแค่นั้นแล้วจะหยุดไหม แค่นี้ก็พอแล้วไม่มีหรอก ไม่มี มีแต่ปากกรวย บานไป ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ทางโลกุตระเป็นก้นกรวยที่มีที่สิ้นสุด
โลกียะจะบานออกไปไม่สิ้นสุดเป็นปากกรวย เขาจะสร้างอะไรในโลกนี้ยังไม่สิ้นสุด เขาจะไปข้างนอกโลกอีก ไปสร้างแผ่นดินในทะเล เรื่องเล็ก แต่จะไปสร้างแผ่นดินในนอกโลกลูกนี้ อย่างนั้นจริงๆ เขาจะไปสร้างสถานีอวกาศ จะเอาดินเอาหินและปลูกผักพืชในโน่น แผ่นดินโน้น แล้วมีการจองสถานที่ด้วยนะ เขามีความคิดก้าวหน้าขนาดนั้น
ล้างตัวตนได้แล้ว จะมีแต่หิตประโยชน์ ประโยชน์เพื่อมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ จะทำให้มวลชนสงบสุขร่มเย็น อนุเคราะห์โลก โลกานุกัมปายะ อาตมามาทำงานแค่ 40 กว่าปี ตั้งแต่ทำงานไม่ช้าไม่นาน ก็มีหมู่กลุ่มของพุทธศาสนิกชนรวมกลุ่มเป็นชาวอโศก มีคุณสมบัติไม่ยึดติดตัวตน ไม่ยึดติดโลกธรรม อยู่เป็นหมู่กลุ่ม ลาภที่ได้โดยธรรม ไม่พากันไปสร้างการงานที่เป็นพิษภัย แต่ทำอย่างสุจริต ได้ลาภโดยธรรม ลาภธัมมิกา เป็นสังคมที่ทำมาหาได้แล้วเอาเข้าส่วนกลางหมด เรียกว่าเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็น มีคณะกรรมการกลางจัดสรรผลผลิตผลได้ ของส่วนกลาง แจกจ่ายโดยไม่ยึดติดเป็นของเรา ที่เหมาะสมก็แจกจ่ายกันไป กินใช้ร่วมกัน
ชาวอโศกทำสำเร็จ เป็นชุมชนโลกุตระ หรือเป็นชุมชนที่มีคุณสมบัติ ตามที่สังคมโลกต้องการทั้งโลก ทำสำเร็จ สังคมมนุษย์ มวลนี้ มีชีวิตความเป็นอยู่ ทำสิ่งเป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษภัยต่อโลก ถือศีลกันอย่างนี้ ไม่ใช่ถือแล้วไม่มีผลอะไรเลยกับโลก
ชาวอโศกได้ทำสำเร็จแล้ว แต่เพราะว่าความอคติ เพราะอวิชชา คนที่มองไม่ออกว่าชาวอโศกคือพุทธะแท้ ผู้บรรลุธรรม อย่างสังคมชาวอโศก มีผู้ที่มีปัญญาเท่านั้นจะยอมรับ และอาตมาได้ยินว่า ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้รู้ของเถรสมาคม บอกว่าทุกวันนี้ศาสนาพุทธมีอยู่แต่ในสังคมชาวอโศกเท่านั้นแหละ เป็นผู้ที่มีมรรคผลตามศาสนาพุทธนั้นมีแต่ในชุมชนชาวอโศกเท่านั้น ผู้รู้ในเถรสมาคมพูด แต่ท่านแสดงตัวไม่ได้ บอกต่อสาธารณชนไม่ได้ เพราะท่านต้องอาศัยสถานะทางสังคม ที่พูดไม่ได้น้อยใจหรือท้อแท้ พูดเพื่อให้รู้สถานะทางสังคม
เพราะฉะนั้นต้องอาศัยเวลา ที่เราจะพากเพียร ทำให้สิ่งที่เป็นมรรคผลเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ออกมาเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ ทางกายวาจาใจ กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ให้เกิดแบบโลกุตระ ที่เป็นคุณลักษณะของสิ่งที่ยืนยัน เป็นมาตรวัดว่า พฤติกรรมของชาวพุทธจะมีลักษณะพฤติกรรมอย่างไร มีหลักเกณฑ์หลายข้อมาตรวจสอบ เช่น วรรณะ 9 เอามาตรวจสอบได้ว่าลักษณะเช่นนี้เป็นคุณสมบัติ คุณลักษณะของความเป็นพุทธ
ถ้าทุกคนมีความคิดมาจน แต่จนอย่างดีมีสมรรถภาพ เอาแต่น้อย มีใจพอ แค่นี้พอแล้ว มีเหลือก็สะพัด นี่คือนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 เหมือนชาวอโศกเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง แต่เขาดูไม่ออก เขาเอาความคิดแบบโลกีย์ ต้องตั้งหน้าตั้งตารวย พวกเราเข้าใจแล้วไม่ตั้งหน้าตั้งตาสะสม มีแต่สร้างสรรให้แก่องค์รวม รวมกันแล้วบริหารแจกจ่ายไป เราช่วยประเทศชาติเพราะไม่ได้กักตุน ไม่ได้หาทางเอาเปรียบ ได้มากๆแล้วกักตุนหรือเอาไปหาปันผลเอาเปรียบออกดอกออกผล บวกไปอีกทบต้น ตามวิธีคิดทุนนิยมสามานย์ สามานย์คือเลวชาติ ทุนนิยมเลวชาติ อาตมาปากชัด แต่เขาหาว่าปากจัด ก็แล้วแต่เขาไป คนไม่มีปัญญาก็หาว่าปากจัด แต่คนมีปัญญาจะบอกว่าปากชัด เขาหาว่าอาตมาไปว่าเขา เปล่า อาตมาตำหนิสิ่งผิด ยกย่องสิ่งถูก
นอกจากพามาจนแล้วรู้จักพอ น้อยก็พอ อย่างชาวอโศก สม อยู่ในข้อ 8 ของวรรณะ 9 รู้จักพอสันโดษ
สมณะเดินดินว่า...ข้อนี้สำคัญมาก เป็นพระอรหันต์เรื่องอื่นไม่ได้ ก็เป็นพระอรหันต์ได้เรื่องเงิน ไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์ ไม่ยินดียินร้าย กับการมีหรือไม่มีเงิน ถ้าจะมีให้ใช้ก็เอาไปใช้ได้ อาตมาว่าเงินเป็นตัวทำลายเยอะมากเลย ทำลายศาสนาด้วย ดูเหมือนว่า คนอ่อนแอชอบจะมีเงิน คนฐานอ่อนมักยุ่งเรื่องเงิน แต่คนศีลห้าอ่อนๆ หย่อนๆ ก็ควรห่างอสรพิษคือเงินไป ถ้าเราไม่สุขไม่ทุกข์จากเงินก็ค่อยไต่ไปจาก โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปได้
พ่อครูว่า คนที่สูงสุดแล้วไม่มีอะไรเท่ากับการพอ คนพอแล้วก็สบาย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ถือศีลอย่างไรได้เป็นพระอาริยะ
พ่อครูว่า...คำถามว่าแม้จะนับถือศาสนาอื่นๆ คริสต์ อิสลาม ฮินดู แต่ทำศีล 5 อย่างมั่นคง ผู้นั้นสามารถมีผลเข้าข่ายโสดาบันหรือไม่
ตอบ...จะเป็นใครก็ตาม จะนับถือศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ถ้าเอาหลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธไปจับ เช่นศีล 5 เขาประพฤติศีล 5 เช่น ข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ข้อ 2 ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเรา ข้อ 3 มีกามอยู่ในกรอบขอบเขตหนึ่งไม่จัดจ้าน ข้อ 4 ไม่พูดปด ข้อ 5 ไม่เสพสิ่งเสพติด คุณจะเป็นคนถือศาสนาไหนตามสำมะโนครัว แต่พฤติกรรมของคุณ ไม่ฆ่าสัตว์ เอาเบื้องต้น แค่กายกรรม สองวจีกรรม ไม่ละเมิดศีล 5 แล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ผัวเดียวเมียเดียว ไม่จัดจ้านในกามคุณ 5 จะเป็นศาสนาใด ถ้าตามหลักเกณฑ์ที่ตั้งไว้ กายกรรม วจีกรรมทำถูกแต่ขั้นมโนกรรม จะเป็นตัวตัดสินว่ามีศีล ต้องถึงจิตวิญญาณจะเป็นตัวตัดสินว่ามีศีล นอกนั้นถ้ากายกรรมวจีกรรมทำได้ไม่ถือว่ามีศีล มีได้ชั่วคราว เพราะจิตใจไม่ได้ล้างต้นเหตุ ที่ทำให้ผิดศีลเพราะความอยากที่จะฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ จะเสพกามคุณมากจัดจ้าน ถ้าข้างนอกทำได้ก็ได้ผลบ้างแต่ถ้าทำใจให้ลดละความอยาก ลดกิเลสได้คือได้จริง
อย่างนี้คือมรรคผลของพุทธ ถือศีลได้แต่กายกับวาจาสงบหยุด ส่วนจิตจะให้หยุดต้องไปนั่งสมาธิ จึงจะหยุดกิเลสในจิต นั่นคือความไม่เข้าใจศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธปฏิบัติกายวาจาใจต่อเนื่องกันหมด ไปหาใจ ศีลต้องทำให้ใจลดกิเลสจึงถึงศีล ในกิมัตถิยสูตร
การได้อานิสงส์ 10 ของศีล กุสลานิ สีลานิ อนุปุพเพนะ อรหัตตายะ ปูเรนตีติ ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ
1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)
2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)
3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)
4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
(กิมัตถิยสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 1, 208)
เขาไม่เข้าใจว่าทำสมาธิคือทำให้กิเลสลด ไม่ใช่ทำสมาธิ กายก็ละเมิด วาจาก็ละเมิด แต่กิเลสไม่ได้อยู่ที่กายวาจา กิเลสคืออกุศลจิตไม่ใช่อกุศลกาย กับ อกุศลวาจา
คำถามว่าแม้จะนับถือศาสนาอื่นๆ คริสต์ อิสลาม ฮินดู แต่ทำศีล 5 จะมีมรรคผลได้ ก็คือต้องทำถึงจิต
แต่ถ้าทำผิดศีล ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตามก็มีบาปโดยสัจจะ เป็นความชั่วความจำด้วยสัจจะไม่ได้แยกศาสนา แต่ถ้าทำถูกต้องตามสัจธรรมก็จะได้ผลเหมือนกัน
แต่ศาสนาแต่ละศาสนานั้นบางศาสนา ว่าจะต้องถือเอาตามศาสนาตนเองเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่เกี่ยวไม่ถูกต้องก็ว่ากันไป
สมณะเดินดินว่า...พ่อครูเป็นคนดัง ไปไหนมาไหนมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง เหมือนเป็นบุคคลสาธารณะ ต้องเสียความเป็นส่วนตัว พ่อครูเคยคิดรำคาญไหม
พ่อครูว่า อาตมาเป็นคนไม่มีตัวจะขาดที่ไหน อาตมาไม่มีตัวตนให้รำคาญที่ไหน ถามอย่างนี้ภาษาหยาบ แต่ลึกซึ้งถึงปรมัตถ์ได้ อาตมาไม่เคยรำคาญทุกวันนี้เป็นจริงอย่างที่คนถามมา อาตมาไม่เคยมีความเป็นส่วนตัว มีแต่ในส้วมเท่านั้นที่ไม่ได้ไปตาม บางทีก็มีเข้าไปด้วย แต่หลายคนก็เฝ้าหน้าห้อง ไม่ได้มีส่วนตัวเลย ไม่เคยคลาดสายตาใคร แม้จะพูดทุกเสียงทุกคำ นอกจากตอนนอนเขาก็อัดเสียงไว้หมด เสียงไอเสียงจามเก็บไว้หมด ไม่ได้มีส่วนตัวแล้วไม่ได้รู้สึกรำคาญเลย ไม่มีปัญหาเลย นี่พูดจากใจจริง ที่ถามมา ถามอย่างคนไม่เชื่อว่าอาตมาไม่มีตัวตน
สมณะเดินดินว่า..คงสอดคล้องกับที่พ่อครูว่าอรหัตต์คือผู้ไม่ลึกลับ
พ่อครูว่า...อรหันต์คือดาวโป๊ไม่ปิดบัง เปิดเผยล่อนจ้อน
สมณะเดินดินว่า...ถามต่อว่า ถ้าคนทำงานฐานสื่อได้ออกทีวีบ่อยๆ เรามีวิธีทำใจอย่างไรไม่ให้ทุกข์ว่าเราเป็นคนดัง?
พ่อครูว่า...ก็ทำตนให้เป็นอรหันต์ เราก็ทำงานตามสัปปุริสธรรม 7 ประการไป ได้สัดส่วน
สมณะเดินดินว่า...วันนี้พ่อครูเทศน์ ความจริงของชีวิต เนื้อหาทั้งหมดก็คือว่าจะต้องลดตัวตนอย่างไร ลดตั้งแต่อบายมุข สักกายะจนหมดตัวตน พ่อครูเลยหมดความเป็นส่วนตัว คนที่ถามมาก็บอกว่าถ้าตัวตนน้อยลงเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น
_นับถือศาสนาอื่นอยู่ แต่ติดตามฟังธรรมพ่อครู และเอาศีล 5 ไปปฏิบัติอย่างแท้จริงจะบรรลุธรรมได้หรือไม่
ตอบ..ได้แน่นอน ตามสภาวะสัจจะ หนึ่ง คุณไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ข้อสาม มีกิเลสของโลก 100 คุณมี สัก 50 คือไม่จัดจ้าน ไม่พูดปด สิ่งอบายในโลกเราไม่ทำแล้วคือคนมีศีล 5 จะเป็นคนศาสนาไหน จะถือหรือไม่ถือก็ตาม แต่ถ้าไม่ละเมิดศีล 5 นี้ จิตใจก็เป็นปกติสบาย คือคนที่มีศีล 5 อยู่ในตัวแล้ว
สมณะเดินดินว่า...มีคำถาม.. ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้จักกับอโศกมาก่อน
มารู้จักตอนที่ได้เข้ามาร่วมกับพันธมิตรที่ทำเนียบ
ตนเองจะเป็นคนอารมณ์ร้อน ปากไว ขอสงวนชื่อนะคะ
และด้วยอานิสงส์ จากการสังเกตตนเอง ก็ทุเลาบ้าง แต่เนื่องจากเป็นคนตรง
จึงยังทำให้เห็นอะไร ที่ไม่ถูกต้อง เหมาะควร ก็จะขัดตาขัดใจ ไปหมด
มักจะพบผัสสะ แบบเลี่ยงไม่ได้ทุกครั้ง
จากการที่เห็นชาวอโศก ปฏิบัติตนในที่ชุมนุม กับการที่ได้เข้ามาสัมผัส ต่างกัน ถึงไม่มากแต่ก็ไม่น้อย
จากการที่ได้เข้ามาช่วยงาน
บางท่านก็ยังยึดข้าวของ ยึดพื้นที่ ยึดความเป็นคนเก่า ยึดพวกพ้อง
ยึดอาหารการกิน ( ตักอาหารเข้าถ้วยแล้ว เมื่อมีอาหารใหม่มาก็เทกลับคืน แล้วตักของใหม่แทน)
แม้กระทั่งมารยาทในการตักอาหาร เห็นบางคนตักทุกอย่าง
ถึงเวลาทานไม่หมด ก็นำไปทิ้ง ไม่คิดถึงความลำบากของผู้ปลูก ผู้ปรุง
(เวลาไปงานของชาวอโศก มักจะเห็นเศษอาหารที่ทานเหลือ เททิ้งมากมาย
ความรู้สึกตนคิดว่า หรือเค้าคิดว่า เข้ามาช่วยแรงงานฟรีแล้ว จะกินจะอยู่เช่นไรก็ได้)
ตนเองยังคงเข้ามาเป็นจิตอาสา แต่ยังไม่พร้อมจะเข้ามาอยู่ร่วมชุมชน
เพราะยังรับไม่ได้
ที่กล่าวมานี้ มิได้จะให้ผู้อยู่เก่าเปลี่ยนแปลง เพราะเค้าอาจยังไม่สามารถ ลดละได้
คำถาม ทำเช่นไรดีค่ะ ถึงจะให้ตนเองยอมรับในสิ่งที่เห็นทุกครั้ง โดยไม่รู้สึกขัดใจ
กราบนมัสการพ่อครู เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า...ลดอัตตาตัวเอง คุณพูดนั่นก็ถูก ..แต่อย่าคิดว่าคนอื่นต้องเป็นอย่างใจคุณต้องการ คุณมาทำตัวคุณเถอะ ถ้าบอกว่าไม่อยากเข้า ต้องบอกว่าไม่มีสิ่งนี้จึงจะเข้า คุณต้องตายอีกร้อยชาติ ตัวคุณดีกว่าคนอื่นทั้งหมดแล้วหรือ คนอื่นจะชั่วจะผิดก็เรื่องของเขา คุณจะดีของคุณก็เข้ามาในหมู่นี้ ถ้ามั่นใจหมู่นี้ดี พาขัดเกลาได้ก็มา เปลี่ยนความคิดใหม่ มันเป็นอัตตาตัวตนคุณคนเดียว
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน อนันตริยกรรมมีในฆราวาสได้ไหม
_คำถามว่า...อนันตริยกรรม มี 5 ข้อ
1. มาตุฆาต
2. ปิตุฆาต
3. อรหันตฆาต
4.โลหิตุปบาท
5. สังฆเภท
ข้อสงสัยจะถามพ่อครูคือ ข้อสังฆเภท = ยังสงฆ์ให้แตกกันทำลายสงฆ์ นั้นหมายรวมถึงในสภาวะที่เป็นโยมไม่ใช่นักบวชด้วยใช่ไหมคะและ หมายรวมถึงพระสงฆ์ และโยม ที่ได้รู้จักศาสนาพุทธแท้ๆแล้ว
กลับไปนับถือ ศาสนาอื่นๆ จะเข้าค่ายสังฆเภท และส่งผลให้ เป็นอนันตริยกรรม ด้วยหรือไม่ อยากทำความเข้าใจให้ชัดเจนมากขึ้นๆ
พ่อครูว่า...อันแรกบอกว่าเฉพาะสงฆ์หรือ ฆราวาสก็ทำให้สงฆ์แตกกันได้สังฆเภทได้ อนันตริยกรรมได้เลวร้ายเหมือนกัน ดีไม่ดีน่าจะหนักกว่าด้วยซ้ำเพราะว่ามีเยอะ เขาก็ช่วยกันทำอยู่ อนันตริยกรรมทั้งนั้น
ประเด็นที่สอง กลับไปนับถือศาสนาอื่น คนที่นับถือศาสนาพุทธแล้ว แล้วแยกไม่เข้าไปอยู่ในศาสนาพุทธ แยกไปเข้าศาสนาอื่น นี้เรียกว่า แยกออกไปแน่ๆ จะเป็นอนันตริยกรรมหรือไม่ ไม่เป็นหรอก เพราะศาสนานี้ก็อยู่ของเขาไป คุณแยกตัวโดยไม่แตะต้องศาสนานี้ ไปนับถือศาสนาอื่น ไม่ได้เป็นอนันตริยกรรมอะไร แต่ถ้าคุณทำให้ศาสนาอื่นแตกก็สังฆเภท
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ตัวชี้วัดความติดแป้น
_อะไรเป็นตัวชี้ หรือเครื่องวัดบ่งบอกว่าเรากำลังติดแป้นคะ
ตอบ...คำถามของลูกของคุณสาธิตเอง อะไรเป็นตัวชี้วัดบ่งบอกว่าเรากำลังติดแป้น
ติดแป้นคือเราได้ดีระดับหนึ่ง แล้วเราก็จมกับดีไม่เจริญขึ้นอีก สำนวนของเมถุนสังโยคข้อที่ 7 คือเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ไม่เจริญขึ้นอีก
อะไรเป็นตัวชี้วัด เช่น ศีล 5 คุณก็ดูจริงๆว่า คุณมีผล ถึงขั้นบรรลุจริงไหมเช่นกายไม่ฆ่าสัตว์ วจีไม่พูดให้คนฆ่าสัตว์ แต่การบรรลุคือจิตไม่อยากฆ่า จิตเมตตาเอ็นดูต่อสัตว์ไหม
จิตไม่อยากฆ่าสัตว์ มีตัวหนังสือถามว่า จิตเกิดขึ้นอย่างไรครับ เริ่มจากอะไรครับ?
อาตมาจะอธิบายให้เห็นความต่อเนื่องกัน จิตเกิดอย่างไร และจิตนั้น อยากฆ่าสัตว์ หรือไม่อยากฆ่าสัตว์
จิตคือธาตุ พลังงาน ที่มันมีคุณภาพเป็นอัตตาตัวตน จนกระทั่งมีเวทนา มีวิญญาณ มีวิญญาณครองมีกรรมครอง เป็นวิญญาณ ที่จะเกิดกรรมวิบาก เกิดความรักความชัง เกิดความดูดความผลัก พลังงานอย่างนั้นมีตัวตนเป็นเจ้าของ นี่คือจิตเกิด
ถ้าคุณรู้ว่าจิตนี้เกิดยากมาก กว่าจะมาเป็นพลังงาน จิตนิยาม
กว่าพลังงานพืช จะพัฒนามาเป็นคุณสมบัติจิตนิยาม มันเป็นความเจริญไม่ใช่ความเสื่อมของพลังงาน เมื่อเกิดเป็นชีวะก็ต้องเจริญมาเป็นจิตนิยาม กว่าจะเจริญมาได้ก็ต้องสะสมพัฒนาการไม่รู้เวลาเท่าไหร่ นับไม่ได้เลย กว่าจะพัฒนามาได้ เหมือนพลังงานเดิมที่อยู่ในกรอบ อะไรที่เป็นพลังงานดึงดูดตัวเองจะมีจุดดึงดูด แล้วพลังงานอะไรจะแยกออกไป เหมือนจะต้องหลุดออกจากแรงดึงดูดของโลก เขาจะต้องคิด วิธีการเครื่องมือที่จะออกจากแรงดึงดูดโลก ไปสู่อวกาศ คนทุกคนนี้อยู่บนเปลือกโลก โลกดึงดูดคนไว้ แต่จรวดที่จะออกจากโลกก็ต้องออกจากผิวโลก ก็ต้องมีแรงดันมากพอที่จะออกจากแรงดึงดูด จิตที่จัดเป็นจิตนิยาม ต้องหลุดจากกรอบของแรงดึงดูดของพีชธาตุ มาเป็นจิตธาตุไม่ใช่ง่ายๆนะ
เพราะฉะนั้น ในคุณลักษณะ จิตจะเกิดจาก พีชนิยามมาเป็นจิตนิยามนี้ คือคำตอบ ฟังไหวไหมหนู
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) สัมประสิทธิ์ในการปฏิบัติธรรม
อาตมาอธิบายไกลถึง Coefficient ต้องใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์เขา
ขอขยายความ Coefficient
คุณจะต้องมีประสิทธิ ประสิทธิภาพ Coefficient คือพลังงานสัมประสิทธิ์
มันจะต้องขยายตั้งแต่นิวเคลียส บวกลบ แล้วก็มีพลังงานตัวแปร อีกพลังงานหนึ่ง ในพลังงานค่าคงที่ static เป็นตัวที่มีแรงมาก เป็นแกน แรงดึงดูด บวกก็มี พลังงานเคลื่อน ลบ ก็มี รวมแล้วสองพลังงานนี้เป็นพลังงานที่มีค่าคงที่ระดับหนึ่ง แต่สัมประสิทธิ์เป็นพลังงานที่ร่วมด้วยกับ 2 หน่วยนี้แล้วทำให้ สองหน่วยนี้มีค่าสูงขึ้น
ประเด็นที่จะพัฒนาได้ คำตอบก็คือค่าตัวแปรนี้ต้องมีค่าระดับ geometric ratio เป็นพลังงานในระดับคูณหรือยกกำลัง จะทำอย่างไรให้มันปฏิภาคทวีได้จนเกิดพลังงานนั้น
พลังงานนั้น ถ้าจะเจริญหลุดออกไปได้จะต้องเป็นระดับคูณหรือยกกำลังจะยิ่งมีพลังงานได้มาก
คุณต้องรู้จักพลังงาน พลังงานความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า เป็นพลังงานรากฐาน คุณต้องทำพลังงานให้เกิดความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า ตามที่มันควรจะเป็น อันนี้มันขาดพลังงานไหน ก็ต้องทำพลังงานนั้นให้เพิ่มขึ้น ตามเกณฑ์ที่มันจะต้องได้ครบถ้วน อันนั้น มันถึงจะเป็น มันเป็นนามธรรม แม้เป็นรูปธรรมก็คืออรูป ในระดับนิวเคลียร์ อรูป
แสง บางที ดูด้วยตาเปล่าไม่ออก เสียงหลายความถี่ก็รับไม่ได้ด้วยหู ความร้อนก็ตาม
สมณะเดินดินว่า...ผมนึกถึงเรื่องรูปธรรม ว่าจะเข้ากับสัมประสิทธิ์ไหม อย่าง องคุลีมาล จะฆ่าแม่ตัวเอง หรือฆ่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด ทำให้จิตที่จะทำอนันตริยกรรม ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้จนเป็นค่าอะไร
พ่อครูว่า เป็นเรื่องอจินไตย องคุลีมาลเป็นผู้ที่มีบารมีแล้ว แต่มีวิบากคั่น จะต้องใช้วิบาก เกือบจะทำแล้ว แต่มีบารมี ถ้าพระพุทธเจ้าไม่มาโปรด ก็เป็นอนันตริยกรรม บารมีขององคุลิมาล แค่ฟังคำพูดนิดเดียวก็มีปฏิภาณเข้าใจ ถ้าคนซื่อบื้อ ก็ไม่รู้หรอก
ถ้าคนสามัญก็บอกว่า สมณะโกหก แต่องคุลิมาล มีบารมีก็เลยเข้าใจ เราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด คือเราหยุดทำชั่วแล้วแต่เธอไม่หยุดทำชั่ว องคุลิมาลทิ้งดาบมาบวชเลย แล้วพวกคุณหยุดวางดาบแล้วหรือไม่?
สมณะเดินดินว่า...ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัมประสิทธิ์ของจิตวิญญาณนี้ได้หรือไม่
พ่อครูว่า ก็ได้ สัมประสิทธิ์คือพลังงานก้าวหน้าที่เป็นตัวแปร ทำให้ต้นทุนก้าวหน้าได้ ต้องมีหลักเกณฑ์คือบวก คูณ ยกกำลัง มันก็ต้องถึงขีดมันจนได้ในวันหนึ่ง
สมณะเดินดินว่า...บุญเป็นสัมประสิทธิ์ทางจิตวิญญาณที่จะทำการล้างกิเลสได้หรือไม่
พ่อครูว่า...ต้องมาหา Coefficient มีให้ได้ ถ้าไม่มีอัตราก้าวหน้าอย่าง สัมประสิทธิ์ ก็ไม่เป็นสัมโพธิปรายนะ ไม่เจริญถึงขั้นสูงสุด
สมณะเดินดินว่า...วันนี้เราได้ฟังพ่อครูตั้งใจเรียงลำดับ ตั้งหัวข้อว่าความจริงของชีวิตคืออะไร ก็คือ พลังงานที่อยู่ในตัวเราในระดับจิตนิยาม พลังงานตัวนี้เป็นพลังงานวิเศษมาก ทำให้คนเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ ทำให้เป็นคนดีที่สุดในโลกก็ได้ ทำให้เป็นคนเลวร้ายที่สุดในโลกก็ได้ ทำอย่างไรได้ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ให้หมดความยึดถือ เหมือนสลายธาตุน้ำ คลายความยึดถือจากอบายมุข อย่างคุณพ่อปรีดา ไม่ยึดถืออบายมุข อย่างเป็นบุญที่ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติแล้ว แต่ถ้าล้างกิเลสได้มากกว่านี้อีก ก็จะมีความเป็นอเทวนิยมที่สูงขึ้นได้กว่านั้น
สิ่งที่พ่อครูเน้นมากคือ เราถือศีล ถือแค่กายวาจาไม่พอ จะถือว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ ต้องมุ่งชำระจิตใจให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วย ไม่ใช่ถือแค่กาย วาจา ไม่ใช่ว่า ฉันไม่ฆ่า ยุงมากัดเราก็มีใจโมโหเพิ่มอีก ต้องถือศีลให้เข้าถึงจิต ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ด้วย...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:29:51 )
รายละเอียด
600620_พ่อครูเทศน์ก่อนเผาศพพ่อคุณสาธิต(พ่อปรีดา ไทยทัตกุล) ปฐมอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน พิธีจัดการศพของพุทธ
วันอังคารที่ 20 มิถุนายน 2560 เมรุเฮือนสุดชีวิต ปฐมอโศก พ่อครูว่า…ตอนนี้ก็ถึงวาระ ที่เราจะได้ประชุมเพลิง ทุกชีวิตที่มาถึงที่นี่ เรียกว่าเมรุ สุดท้ายของชีวิตคนแต่ละคน ถ้าศาสนาบางศาสนาก็ไปถึงหลุมฝังศพในที่ดิน บางศาสนาก็เอาไปลอยน้ำ บางศาสนาก็เผา สำหรับศาสนาพุทธเรานั้นพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสกับพระสารีบุตร พระสารีบุตรทูลถามว่า ศพของศาสนาพุทธหรือชาวพุทธจะให้จัดการอย่างไร วิธีการทำศพ
ท่านก็บอกว่าให้เผา เร็วที่สุด ไม่ต้องรอแม้แต่กระทั่งญาติที่เดินทางไกล ที่ยังมาไม่ถึง ท่านตรัสอย่างนั้นให้เผาให้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอแม้กระทั่งญาติที่เดินทางไกลยังมาไม่ถึง
เวลาคนเราตายแล้วก็มีแต่จะเน่าเปื่อย น่าเกลียดน่าชัง ยิ่งปล่อยไว้นานนานก็จะยิ่งไม่น่ารัก ไม่น่าชม มันก็ยิ่งจะทำให้ลดความศรัทธาเลื่อมใสบูชาเคารพไปได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงมุ่งหมายให้จัดการเสียให้เรียบร้อยเพราะไหนๆก็ตายแล้ว วิธีจัดการก็คือเผาให้เรียบร้อย สลายสภาพต่างๆให้เหลือเป็นขี้เถ้า เหลือแค่กระดูกเล็กๆน้อยๆก็เท่านั้นเอง อย่างนี้
คนเราชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ในขณะที่ยังไม่ตายเกิดมาจนกระทั่งสุดท้ายมีกรรมกิริยา สิ่งที่สั่งสมไว้คือกรรมกริยา ที่เราได้ประพฤติ กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม นั่นแหละเป็นของของตน กัมมัสกตา กรรมเป็นของๆตน กัมมทายาท เราต้องเป็นทายาทรับมรดกกรรมของเรา หมายถึงว่ากรรมใดที่เราได้ทำ เราได้ประพฤติไป ก็ต้องรับมรกดกรรมของเรา ถ้าเราได้ทำชั่วก็ต้องรับชั่วไปทั้งหมด เราทำดีก็รับดีของเราทั้งหมด เราแบ่งใครไม่ได้
กรรมกับบุญนี่มันสับสนมากทุกวันนี้ ความรู้ทางศาสนา บุญคำนี้หมายความว่าเป็นเครื่องประหารกิเลส ผู้ใดประพฤติตนเองสามารถที่จะประกอบ พลังงานให้เกิดบุญ พลังงานที่สามารถกำจัดกิเลส เป็นพลังงานไฟฌาน ฌานไม่ใช่ไปนั่งหลับตาดับจิต อันนั้นเป็นเรื่องนอกรีตศาสนาพุทธ ผิดไปหมดเลยทุกวันนี้ศาสนาพุทธ
ฌานคือการสร้างพลังงานในตัวเรา ให้มีประสิทธิภาพสูง เป็นไฟฌาน เป็นอุณหธาตุ สามารถสลายหรือฆ่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ จะประกอบไปด้วยพลังทั้งเจโตและพลังปัญญา มีพลังงานทั้งบวกทั้งลบ ที่จะมีอำนาจสลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะที่มันโง่มันไม่มีปัญญาหรอก สามารถสลายได้อันนี้เป็นสัจจะ ผู้ที่เข้าใจแล้วสามารถทำให้เกิดไฟฌาน ด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ทำให้เกิดปัญญา ที่ประกอบด้วยองค์ 6 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ เป็นต้น
ที่อาตมากล่าวมานี้มีหลักฐานยืนยันทั้งนั้น แต่เดี๋ยวนี้เพี้ยนกันแล้ว ปฏิบัติออกนอกรีตไป ปัญญาจะสร้างอย่างไรเป็นอย่างไม่รู้กันแล้ว ไปนั่งหลับตานิ่งๆแล้วปัญญจะเกิด นั้นมันไม่ใช่ปัญญา มีแต่สัญญาเกิด
สรุปแล้วผู้ที่ไม่สนใจในธรรมะ จะไม่รู้ความเป็นจริงรายละเอียดของสิ่งหนึ่งในชีวิตเราที่เป็นพลังงาน แล้วเราได้จัดการพลังงานชีวิตเรานี้จนเป็นปัญญาจัดสรร กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม จัดสรรชีวิตของเราให้กรรมของเรานี้ทำแต่สิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐ หรือ หรือยิ่งเป็นโลกุตรธรรม เป็นกรรมที่เกิดธรรมะขั้นโลกุตระล้างกิเลสไปได้ด้วย นั่นคือสิ่งที่ชาวพุทธควรจะได้ควรจะมีควรจะเป็น
เพราะฉะนั้น ความเสื่อมของศาสนาพุทธทุกวันนี้คือไม่ได้เป็นอย่างนี้แล้ว อาตมาได้พยายามนำพาให้ฟื้นคืน ให้ได้มรรคผลได้ประโยชน์ตามที่พระพุทธเจ้านำมาประกาศ แก่มนุษยชาติ แต่เขาไปยึดถือตามเถรสมาคม ที่ พาผิดเพี้ยนไปตามกระแสหลัก อาตมาไม่มีพลัง ไม่มียศไม่มีฐานะ ทำตามเอกเทศ ก็เลยคนมีปัญญาเท่านั้นที่รู้ ว่าอันนี้คือธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องเขาก็มาเป็นอิสระ คนที่ไม่มีปัญญาเขาไม่รู้หรอกเขาก็ไปตามเถรสมาคมพาไป
มาถึงขณะนี้พวกเรา อย่างคุณทั้งหลายแหล่ มีหลายผู้หลายคนที่เป็นลูกของโยมปรีดา ได้มาศึกษาก็เลยนำมาทางนี้ ก็ขอบคุณที่เห็นคุณค่าอันนี้ว่าเป็นทางที่ถูกต้อง อาจจะมีผู้ขัดข้องไม่เห็นด้วยไปยึดถือตามจารีตประเพณีอีกเยอะ
ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้มีปัญญาธิคุณสูงส่ง สิ่งที่เป็นเรื่องไร้สาระท่านก็ตัดออกไปเลือกแต่สิ่งที่เป็นสาระเอาไว้ ไม่เช่นนั้นเสียเงินทองเวลาแรงงาน ดีไม่ดี กลายเป็นเรื่องที่เอาไปประกอบเป็นการค้า ประกอบกิจการหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง คนตายคนหนึ่ง เข้าวัดไหนก็รับเงินเสียไม่มี ค่าโน่นค่านี่ ตายไม่ลง ตายแล้วลูกลูกลำบากลำบนมาก เป็นเรื่องทรมานกันมาก
อาตมาก็พยายามเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาทำให้ดี ซึ่งมันไม่เป็นภาระมันต้องช่วยกัน คนเราเกิดมาพึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ มาที่นี่ ก็ไม่ต้องจ่ายเงินไม่ต้องเสียเงินสักบาท ก็ต้องเสียสละช่วย มีอะไรช่วยกันได้ก็ช่วยกันให้เรียบร้อยอย่างนี้เป็นต้น
คนที่ยังอยู่ที่ยังไม่ตาย อย่าละทิ้งธรรมะ ต้องพยายามขวนขวายศึกษาให้เป็นสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้อง อยากถูกลากจูงไปสู่มิจฉาทิฏฐิ ไม่เกิดประโยชน์ ดีไม่ดีพาไปทางเสื่อมเสียหาย เสียทั้งเงินทองเวลาแรงงาน ไม่เข้าท่า
วาระนี้ก็จะได้ถึงเวลาประชุมเพลิง ให้สลายไปก็จบ จบแล้วตายแล้วต้องรู้ คนเราต้องรู้ว่า เลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย ตายแล้วตามจารีตประเพณี ทำเสร็จแล้วก็จบ จบแล้วเราก็ตั้งหน้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไป ไม่ต้องไปห่วงหาอาวรณ์ เพราะคนเรากรรมเป็นของของตน โยมปรีดา มีกรรมเป็นของของตน ท่านก็ไปตามกรรมของท่าน ไม่มีใครส่งบุญกุศลไปช่วยขึ้นสวรรค์ลงนรกไม่ได้ อันนั้นเป็นความเข้าใจ
ถ้าผู้ใดปฏิบัติตนสร้างวิบากเป็นสวรรค์ก็ของคนนั้น ช่างเป็นนรกของคนใดก็ของคนนั้น คนอื่นจะนำพากันไปชุด เอาต้นทุนของเราไปสนับสนุนให้ท่านคนนี้ ที่ทำตนเองตกนรก แต่เอาของเราไปอุดหนุนให้ท่านขึ้นสวรรค์เป็นไปไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดเลอะเทอะ เป็นเรื่องทำมาหากินของนักสร้างจารีตประเพณี ที่เขาทำมาหากิน เพื่อจะได้เงินทอง เอามาสิ จ่ายมากๆ จะได้เป็นพาหะนำทางไปสู่สวรรค์ ก็ถูกหลอกกันตะพึด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ศึกษาให้ดีแล้วเราจะเป็นคนไม่ถูกหลอก เป็นคนฉลาด ทุกอย่างทำแล้วจะดี ตายแล้วจบแล้วก็ไปตามกรรม เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ไม่ต้องห่วงหาอาวรณ์ จะมีจารีตอะไรให้นึกถึง ก็ระลึกถึงพระคุณ สิ่งดีงาม อันใดดีแล้วก็ทำต่อให้เจริญงอกงาม สืบสกุลที่ดีงาม อันนั้นก็เป็นไปอย่างนี้เป็นต้น เราต้องรู้ว่าปฏิบัติแบบใดที่ควร ให้ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม เวลาขณะนี้ เราก็จะได้ทำพิธีประชุมเพลิงโยมปรีดากัน ณ บัดนี้
ดาวโหลดเอกสารที่นี่ https://drive.google.com/open?id=18czsaxAkRul9CdCD78Thd1oblKFqGPUx3d7zeJ8RBtU
ดาวโหลดเสียงที่นี่ https://drive.google.com/open?id=0B1SIObdHg192ODk3OFBjSEJvcXc
ดาวโหลดยูทูปที่นี่ https://youtu.be/9OeM98fNxjg
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:31:41 )
รายละเอียด
600621_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ต้องทำสัมประสิทธิ์ให้มีฤทธิ์ถึงอรหันต์
สมณะเดินดินว่า…วันนี้พวกเราอยู่ทางบ้านจะได้ฟังเสียงฝน พ่อครูมาแสดงธรรมที่สันติอโศก เทวดาก็มา ฝนก็ตกพอดี พวกเราที่ศาลา คงต้องเงี่ยโสตสดับอย่างตั้งใจหน่อย พ่อครูคงต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้น
คราวที่แล้ว พ่อครูได้เทศน์ที่ปฐมอโศก เรื่องความจริงของชีวิต ที่จิตนิยามสามารถพัฒนาตนให้ดีที่สุดก็ได้ หรือเลวร้ายที่สุดก็ได้ พ่อครูชี้ให้เห็นว่า จิตนิยามของศาสนาพุทธมีความลึกซึ้ง และมีความแตกต่างจากศาสนาอื่นตรงที่เป็นอเทวนิยม สามารถสลายตัณหาอุปาทาน พ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้
ศาสนาเทวนิยม ดีอาจดีได้สูงสุด แล้วก็อาจลงไปต่ำสุดก็ได้ พระเตมีย์ใบ้ ระลึกชาติได้ว่า เคยเกิดเป็นกษัตริย์แล้วสั่งฆ่าคน ก็เลยต้องวนเวียนตกนรกอีกนาน มีแต่ของศาสนาพุทธที่สามารถพ้นจากเวียนว่ายตายเกิดได้
โลกียะจะเวียนว่ายตายเกิดจากนี้ ศาสนาพุทธนั้นสามารถทำลายต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ คุณสามารถพ้นจากวัฏสงสารได้
พ่อครูอธิบาย ถึงการถือศีลที่ทำให้ลดกิเลสได้ โดยที่ถือศีลแล้วจิตใจเราต้องลดละกิเลสด้วย เราไม่ฆ่าสัตว์แล้วแต่จิตใจเราต้องมีความละอายมีความเอ็นดูเกื้อกูลต่อสัตว์ทั้งหลายด้วย ไม่ใช่ว่าถือศีลแต่ร่างกายกับวาจา แต่ใจนั้นอยากจะฆ่าสัตว์
พ่อครูชาตินี้ได้มาสร้างโรงงานพระพุทธศาสนาขึ้น ยังไม่ถึงกับเป็นโรงงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นโรงงานทางเลือก ที่จะสร้างคนพัฒนาคนให้มีศีลขึ้นมา จนกระทั่งเกิดชุมชนคนมีศีล และมาอยู่รวมกันในระบบสาธารณโภคี จะมีการพัฒนากันไปเรื่อยๆ
พ่อครูอธิบายพัฒนาการ จากอุตุนิยามมาเป็นพีชนิยามแล้วกว่าจะมาเป็นจิตนิยามได้ มันมีความยากลำบากมาก
พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 แรม 12 ค่ำ เดือน 7 ปีระกา
ก่อนจะได้อธิบายอะไรต่างๆก็ขอพูดคุยกับผู้ที่เข้าใจ เป็นส่วนหนึ่ง ของข้อข้องใจ ของผู้ที่ติดตาม อาตมาเห็นใจในผู้ที่สนใจศึกษา ที่อยากให้อธิบายรายละเอียดขึ้นซึ่งดี
SMS วันที่ 19 มิถุนายน 2560
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ทางนี้ทางเดียว(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ)
3867พ่อครูเคยกล่าวศ.พุทธคล้ายดังกลองอานกะที่ถูกเปลี่ยนไป! ถ้าเปลี่ยนให้ถูกทาง เอเสวะมัคโคนัตถัญโญอันถูกตรงตามตามโพธิปักขิยธ.37ศ.พุทธยุคศิวิไลช์จะเจริญสู่อาริยะมรรคอรหัตผล
พ่อครูว่า…จริง ถ้าเป็น ”มรรค มีองค์ 8"นั้นคือ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) มีทางเดียว ถ้าใครบอกว่าจะไปทางไหนก็ได้ เดี๋ยวก็ไปถึงที่เดียวกัน อันนี้พูดไปกันเอง ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าทางนี้ทางเดียว ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าเข้าใจไม่ได้ก็ไปไม่ได้เลย โพธิปักขิยธรรม 37 มรรคมีองค์ 8 ต้องชัดเจน อย่าพูดเลอะเทอะไปให้เสียเวลา พยายามค้นหาทางที่ถูกต้องทางเดียวให้ได้ ผู้ใดย้ำยืนยัน มรรคมีองค์ 8 ทางนี้เป็นทางเดียว รู้จักขยายเป็น โพธิปักขิยธรรม 37 ซึ่งมรรคองค์ 8 ก็อยู่ในนั้น ถ้าอย่างนี้ก็ฟัง เป็นแต่เพียงว่า จะขยายมรรคมีองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม 37 ไปอย่างไร ถ้านอกจากนี้ ไม่เอามาเป็นหลัก ก็อย่าไปเสียเวลา เอาพยัญชนะอันนี้ มรรคมีองค์ 8 กับโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นโลกุตรธรรม หรือ ล.31 ข.620 โลกุตระ 46 โดยแยกเป็น มรรค 8 ผล 1 คือ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล...ไปถึงอรหัตตผล และนิพพานอีก 1 เป็น 9 กับ โพธิปักขิยธรรม 37 รวมเป็นโลกุตระ 46
sms วันที่ 19 มิถุนายน 2560
3867กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูสอนการเสียสละ!การลดตัวตน ฤาขาดทุนตามคำสอนพ่อหลวงฯ เป็นทรัพย์ที่ควรสะสมเป็นผลปย.ของคนที่ควรสะสมยิ่งกว่าสะสมลาภยศ สรรเสริญโลกียสุขใดๆสาธุ!ลูกไทย2แผ่นดิน
SMS จากเฟซบุ๊ค
_ปรีชา ขำเพชร · กราบนมัสการพ่อครูครับ...เป็นอีกวันหนึ่งที่พ่อครูบรรยายธรรมะท่ามกลางการถูกปิดล้อมทางสื่อสารมวลชนจาก...invisibe hands
เพราะถ้าให้การบรรยายธรรมะของพ่อครูได้เผยแพร่สู่ประชาชนได้ตามปกติ...การเปรียบเทียบก็จะเกิดขึ้น..ณ.จุดนั้นพวกเขาจะไม่มั่นใจในธรรมะของพวกเขาอีกต่อไป
วิธีที่ดีที่สุดก็คือปิดล้อมทางสื่อสารมวลชนไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ต่อ
ธรรมะที่พ่อครูบรรยายและพฤติกรรมต่างๆที่ชาวอโศกได้แสดงออกต่อสังคมทุกอย่างที่เป็นกุศลครับ..
พ่อครูว่า…เขามีอิทธิพลมีอำนาจก็ปิดได้ แต่จะปิดก็ปิดไป คิดว่าไม่น่าจะทำ
_แม่ริ้ว รวมผลไม้ · กราบมนัสการ.พ่อท่านค่ะ...ติดตามประจำ.ๆพ่อท่านกล่าวแต่ละคำได้ทะลุถึงจิตเลย.คนที่กิเลสหนาๆไม่กล้าฟังพ่อท่าน.เขากลัวกิเลสจะกระจุยๆ
_รุ่งโรจน์ อนันต์เจริญกิจ · คนมีภพสร้างไม่หยุด / ส่วนคนรู้จักธรรมเติม 0อยู่เรื่อยๆ 0.000000001-จนเหลือแค่จิตเดียว และลบจิตนั้นให้เสมอธรรม จิตไฟฟ้าที่ยืดธรรมชาติไว้ด้วยกัน
พ่อครูว่า…สองอันมีต้องยึดกันไว้ ยึดเป็น000 จะเติมให้แน่นก็เติม 000 ให้แน่น .00001 นั่นคือเติม ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ความบริสุทธิ์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นด้วย คนที่เข้าใจคมแม่นชัดแล้ว ไม่มีปัญหา มีแต่ปัญญา แม้ภาษาจะดิ้นอย่างไร แต่สภาวะนั้นมั่นคง ภาษาจะดิ้นอย่างไร ก็รู้แล้วว่าคุณพูดอะไร
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน แบ่งเอามาวิปัสสนาอย่างไร?
_1seree .... การปฏิบัติ. ยกตัวอย่างเริ่มที่ตาเห็น รูป เวทนา สัญญา. จบตรงสัญญา. จิตเราไม่สังขาร. ต่อ. คือไม่ปรุ่งแต่ง ว่าสุข ทุกข์. ปฏิบัติแบบนี้. ถูกต้องไหมครับ
ตอบ...ปฏิบัติแบบน้ีก็ถูกต้อง แต่ได้แค่สมถะ ก็ทำก่อน วิกขัมภนปหาน ทำให้ชำนาญ มันเป็นประสิทธิภาพ เพราะมีวิกขัมภนปหานเป็นเครื่องอาศัย ถ้ามันแรงมากก็ต้องกดข่มไว้ก่อน ทุกคนมี การกดข่มจึงชำนาญ มีทักษะสูงขึ้น มีสมรรถนะสูงขึ้นด้วย มันช่วย สมถะจึงเป็นอุปการะมาก แต่ไม่จบที่สมถะ ต้องเรียนรู้สิ่งที่ละเอียดเพิ่มขึ้น
คุณจะเรียนรู้กิเลสละเอียด อย่าไปสะกดจิตดับให้หมด ถ้าสะกดโดยธรรมชาติ ตามสัญชาติญาณ ถ้าคุณเก่งจะปล่อยให้ปรุงแรงขึ้นก็ลดได้ ถ้าไม่เก่งก็ดับบางส่วน การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจึงไม่ดับหมด จะสะกดประมาณหนึ่งโดยอัตโนมัติ แต่คุณเก่งขึ้นจะต่อสู้กับสิ่งที่แรงขึ้นได้ตามสัจจะ ไม่ต้องกังวลหรอก มันจะเป็นโดยอัตโนมัติ
คุณเองต้องใช้วิธีสะกดจิตหรือว่าสมถะสะกดมันไว้ โดยไม่ต้องหลับตา ไม่ต้องหนี อยู่กับภาวะปัจจุบัน การหลับตาสะกดจิตไว้ก็ดีที่เตวิชโช ส่วนจะหลับตาจะเป็นอัตโนมัติ ถ้าสัมมาทิฏฐิ ถ้าจบนึกว่าตนเป็นอรหันต์ก็ไม่ต่อสิ นึกว่าตนเองสงบแล้วจบแล้ว
อาตมาก็สงสาร อย่างท่านติชนัทฮันห์ มีสติแล้วก็ลืมตา สายลืมตานะ แม้แต่สายท่านพุทธทาส นึกว่าตนเป็นอรหันต์แล้ว ก็เสร็จสิ ไม่ต่อแล้วไม่ทำต่อ ก็เลิก กลายเป็นสบาย กลายเป็นติดแป้นตรงนั้นแหละ ได้แค่ไหน ไม่จบ
ผู้จะเรียนรู้ดับอาสวะ แล้วต้องเรียนรู้ดับอนุสัยอีก ต้องเรียนรู้ธรรมะ 2 ให้ลึกลงไปอีก ไม่ใช่ธรรมดา ยิ่งไปตีทิ้งอภิธรรมอย่างท่านพุทธทาสก็น่าสงสาร ได้ภูมิชั้นนั้นของท่านไม่หายไปหรอกก็ดีแล้ว แต่ท่านต้องมาเติมอีก เพราะว่ามันยังไม่จบ
ขออภัยจริงๆ อาตมาก็เคารพท่านพุทธทาส ท่านเกิดก่อนอาตมา อาตมายังเคยไปกราบท่านเลย อาตมาไม่ได้ติดใจอะไร สิ่งที่เป็นจริงก็พูดตามจริง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สังกัปปะ) ตอน สังกัปปะอย่างมีสัมประสิทธิ์
_Nuchi .... น้อมกราบนมัสการพ่อท่านค่ะ
เกี่ยวกับสังกัปปะ7 พ่อท่านเคยบอกไว้ว่า ขั้น1ตักกะ 2วิตักกะ ยังไม่เป็นกรรม แต่พอถึงขั้น3สังกัปปะ เริ่มเป็นกรรมเป็นวิบากแล้ว ลูกขอเรียนถามว่า แค่ไหนคะ ถึงจะเป็นขั้นสังกัปปะ?. ช่วงเกิดดำริขึ้นมาเป็นตักกะ เราก็จับได้ วิตักกะ ก็อ่านว่าเป็นกามเป็นพยาบาท แล้วเราทำการประหารมัน ช่วงนี้เป็นสังกัปปะรึยังคะ และถ้าเป็นสังกัปปะ มันก็เริ่มนับเป็นกรรมเป็นวิบากแล้วใช่ไหมคะ หรืออย่างไร พ่อท่านช่วยกรุณาอธิบายรายละเอียดของแต่ละขั้น ในช่วง3ขั้นตอนนี้ด้วยนะคะ
อีกข้อคือ วจีสังขารในขั้นที่7 ของสังกัปปะ7 กับตัวจิตสังขาร มันต่างกันอย่างไรคะ แค่ไหนจึงจะเป็นวจีสังขาร และแค่ไหนเป็นจิตสังขารคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า...มันเป็นกรรมทั้งนั้น กรรมเป็นคำกลางๆ กรรมเป็นผลเป็นวิบาก แม้แต่พระอรหันต์แล้ว ทำกรรมก็ยังมีวิบาก แต่เป็นกุศลวิบากเท่านั้น ไม่มีอกุศลวิบากอีกแล้ว กุสลัสสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) ตลอดแล้ว
ก็ขอให้ติดตามต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะค่อยค่อยเข้าใจไปตามลำดับ
สมณะเดินดินว่า...ตักกะ วิตักกะไม่เป็นวิบาก อันนี้ใช่ไหม
พ่อครูว่า อะไรที่ไม่มีสามเส้า ไม่เป็นกรรมวิบาก ถ้ามีสองเส้าก็ไม่เป็นวิบากมีแค่ตักกะ กับวิตักกะ ไม่มีอีกอันเป็นกรรมอะไรไม่ได้เลย อย่างน้อยต้องมีสามเส้า ถึงเป็นกรรม มีวิบากเกิดตาม
อรหันต์มีแต่กรรมกุศล ต้องเป็นสามด้วย ช่วงเกิดดำริเป็นตักกะ เราก็จับได้ วิตักกะ ก็อ่านว่าเป็นกาม เป็นพยาบาท ที่จริงตัวตักกะอ่านตัวเดียว แล้ววิจัย ไม่ใช่เป็นตัวที่สองเลย ตัวกิเลสตัวไหนเกิดมา ก็แยะแยะวิจัยตัวนั้น ถ้าวิจัยได้ก็จะวิจัยได้ว่าเป็นสังขาร เป็นตัวปรุงแต่ง เริ่มดำริคือการปรุงแต่งแล้ว อย่างน้อยก็มีตัวสัญญากำหนดรู้ตัวนี้มันปรุงแต่งมา หรือสองตัวปรุงแต่งกัน ตัวหนึ่งเป็นนาม เป็นตัวรู้ ตัวหนึ่งเป็นตัวถูกรู้ เป็นรูป ตัวรู้กับตัวถูกรู้มารวมกันก็เป็นตัวที่สามทันที เราก็พิจารณาตัวนั้น ตัวที่สามเป็นตัวสังขาร
เราก็วิจัยตัวนั้น ถ้าคุณยังมีกิเลสร่วมกับตัวนั้น ก็ต้องวิจัยจับกิเลสในนั้นให้ได้ แต่ถ้าพระอรหันต์หรือพระอาริยะที่ปฏิบัติแล้วจิตตนไม่มีกิเลสผสมมา วิเคราะห์อย่างไรก็ไม่เจอกิเลส ก็ไม่ต้องกำจัด
ส่วนคนไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ต้องมีกิเลสผสมมา มีสสังขาริกัง แต่ถ้าเป็นอสังขาริกัง ไม่มีกิเลสผสมอยู่แล้ว คุณก็จะรู้ว่าสะอาดแล้ว คือพระโยคาวจร แต่ถ้าไม่สะอาดก็เจอจนได้ แสดงว่าคุณยังไม่เก่งญาณปัญญา ไม่วิเคราะห์ได้ มีกิเลสก็อ่านไม่ออก เป็นธรรมดาที่คุณไม่สามารถแยกกิเลสในจิตได้ ก็ต้องจำนนเป็นสัจจะ ก็ต้องยอม จนกว่าคุณจะเจริญมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ จึงทำให้รู้ได้ ความเจริญของธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์อันนี้แหละ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Coefficiency หรือ ตัวสัมประสิทธิ์
ตัวนี้จึงเป็นตัวที่ดำเนินไปสู่ที่สูงให้ถึงที่สุด จึงหมดหน้าที่ของสัมประสิทธิ์ จบกิจ Coefficient ตัวสัมประสิทธิ์ เป็นตัวสำคัญมาก ถ้าไม่มีสัมประสิทธิ์ตัวไหน ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ถ้าคุณยังไม่จบ คุณจะจมอยู่อย่างนั้น ต้องมีตัวนี้เป็นตัวช่วยจนกว่าจะบรรลุจนจบ สูงสุด ถ้าคุณยังไม่มีตัวสัมประสิทธิ์ ตัวนี้ ก็ติดแป้น คือไม่เจริญต่อ
คำว่าสัมประสิทธิ์ Coefficient จึงยิ่งใหญ่มาก ยากมากเลย ขนาดนี้ ยังขยายความคุณลักษณะของสัมประสิทธิ์ได้เพิ่มเติมอีกนะ
อาตมาสงสารพจนานุกรมแต่ละฉบับ ทำให้คนเข้าใจคำว่าสัมประสิทธิ์ไม่ได้เลย ตามที่พจนานุกรมแปลเอาไว้
สมณะเดินดินว่า...เมื่อเช้าพ่อครูอธิบายให้ฟังรอบหนึ่งว่า สังกัปปะ เป็นตัวขับเคลื่อนมรรคมีองค์ 8 ที่สำคัญ ถ้าไม่มีสังกัปปะ กัมมันตะ อาชีวะ จะมีกุศล อกุศลมั่วไปหมด ตัวควบคุม สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวาจา บริบูรณ์ อยู่ที่สังกัปปะ เป็นตัวควบคุมอย่างสำคัญ
สิ่งแรก เราควรต้องมาตามรู้เท่าทันความคิดเราว่าเป็นอย่างไร ในเบื้องต้น เมื่อกี้นี้พ่อครูว่า พวกนั่งหลับตานั่งคิดไม่มีธัมมวิจัย เขาพยายามเจริญสติ ว่าอย่าให้มีตัวกูของกู ให้เข้าถึง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แต่ไม่ได้แยกแยะกิเลส กุศล อกุศล แต่ให้พิจารณาแค่ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ความโกรธ เดี๋ยวก็มี เดี๋ยวก็ไม่มี แต่พอเผลอ ราคะ กามก็มีมา
ในชีวิตคนเราก็จะใช้สมถะไม่ใช่น้อย ก็พยายามไม่สังขารไม่รับรู้มัน หรือที่เห็นพวกเราใช้กันคือว่า พอมันคิดมาแล้ว ก็พยายามปกป้องมันด้วยกับความคิดเรา
ของพวกเรา นักปฏิบัติธรรมต้องให้รู้เท่าทันความคิดนั้น แล้วพวกเราอยู่ในสนามแม่เหล็กที่มีตาสัปปะรด แม้เราไม่ทัน เพื่อนก็บอกเราว่าไม่ถูกแล้ว แต่เราก็พยายามบอกว่าไม่ใช่ๆ เราพยายามปกป้องกิเลส ความไม่ดีของเรา อาตมาคิดว่า คนที่ฉลาดจะไม่พยายามปกป้องข้อบกพร่อง ปกป้องกิเลส ปกป้องความเสื่อมของเราหรอก ถ้าคนสติดีจะไม่ว่านี่คือกิเลสของฉันนะ พยายามปกป้องกิเลส แต่อาตมาคิดว่า ไม่เป็นความฉลาดเลยที่จะพยายามปฏิเสธข้อติติง แนะนำ เพราะคิดว่าจะทำให้เราเสียหาย เราไม่ดี เราบกพร่อง เราคิดแบบนี้ไม่ฉลาด
เราอยู่ในสนามแม่เหล็กที่ทำให้เรารู้ว่า เราผิดแล้วนะ คนฉลาดจะเรียนรู้ความบกพร่องมากกว่าที่จะปกป้อง บางทีเรามองเห็นมุมดีมุมเดียว เหมือนคนทำความสะอาดห้องน้ำ แต่พอมีคนมาติ ว่าเป็นเจ้าแม่ห้องน้ำ เขาก็มองว่าที่ฉันดูแลห้องน้ำนี้ไม่ดีหรือ ก็ไม่ใช่ สิ่งที่ทำนี้ดีแล้ว แต่ว่า ความยึดที่เป็นเจ้าของเป็นเจ้าแม่นี้ไม่ดี
อาจารย์สมเกียรติมาร่วมประชุมคณะช่วยพ่อครู ที่ประชุมบอก เราน่าจะตั้งสมาคม โสดา สกิทา อนาคา อาจารย์บอก ถ้าพวกเราน่าจะตั้งสมาคมลดละอัตตา ดีกว่า.. อาตมาว่าอาจารย์สมเป็นแกนนำจริงๆ
สิ่งที่พ่อครูให้พวกเราเรียนรู้ คือเรียนรู้ความไม่ดี ดีกว่าเราเรียนรู้ว่าเราดีอย่างไร ความดีนั้นไม่รู้มันก็มีดีที่เรา แต่ความไม่ดีนั้นอยู่กับเราแม้วินาทีเดียวก็ไม่ดีแน่
สังกัปปะ 7 จะเรียนรู้ได้ต้องมีกำลังเพ่งมองตนเองอย่างมาก ปัญหาตอนนี้ที่แก้ยากคือ ชุมชนที่มีความขัดแย้งกันมากคือ สมณะไป เขาก็มองว่าสมณะมาจะเป็นฝ่ายไหน จะรับฟังคำตำหนิก็ไม่ได้แล้ว เพราะจิตมีนิวรณ์มีอคติ ก็จะไม่รับฟัง ไม่มีแรงอ่านสังกัปปะ7 มีแต่จะไปหาเรื่อง คิดว่าใครว่าเรา สมณะรูปไหนว่าเรา ยิ่งหนักกว่าเก่า อย่างนี้ต้องพยายามถอนตะปูตรึงใจ จึงจะมีพลังมาเพ่งมอง สังกัปปะ 7 ได้
ปฏิบัติธรรมไม่ได้ค่าจ้างหรือไม่ได้ปีติ ปราโมทย์แก่จิตวิญญาณเราก็หาไม่ได้
การเดินมรรคมีองค์ 8 ได้หัวใจที่กำกับ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะได้ คือสังกัปปะ 7
ทำอย่างไรที่สังกัปปะ 7 จะเข้าถึงจุดสูญ ก็คือต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เป็นตัวขับเคลื่อน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สังกัปปะ7จะเข้าถึงจุดสูญ ต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์
พ่อครูว่า...เรามาเริ่มต้น อธิบาย ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ กันให้ชัดอีกที
คำว่า ตักกะ คือจิตที่มันจะเกิดในจิต ตัวไหนก็แล้วแต่ นี่คือสังกัปปะทั้งนั้น คนจะเรียนรู้ถึงขั้นวิจัย จิตตักกะที่เริ่มดำรินึกคิด ต้องจับอาการจิตให้ได้ ตัวนี้เป็นตัว ตริ ตรึก นึกคิด ขึ้นมา
ในอวิชชา ในปุถุชน คนไม่หมดกิเลส แน่นอนมันจะมีกิเลสอยู่ในนั้นแน่นอน คนที่ไม่ได้เรียนรู้เลย แม้คนเรียนรู้แล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ยังต้องตรวจแล้วตรวจอีก อย่างน้อยก็อ่านให้ทัน อ่านทันแล้ว วิจัยเข้าไป
ต้องมีธัมมวิจัย ถึงขั้นสัมโพชฌงค์ เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ไม่ใช่ความรู้ธรรมดา ไม่ใช่ความรู้แค่โครงสร้างความขบคิด หรือความรู้ทางโลกีย์เท่าน้น
พ่อครูว่า...ต้องเป็นความรู้ที่จะพาไปสู่นิพพาน พาไปสู่การบรรลุธรรม เป็นกระบวนการ ไปสู่การบรรลุธรรม แต่ถ้าเผื่อว่า มันปรุงแต่งและแยกได้ แต่เป็นโลกียะ ไม่สามารถทำ เนกขัมมะ ไม่เป็นเลย ทำให้กิเลสลดไม่เป็นเลย จะแยกยาก จิตของคุณอย่างไร คนธรรมดา ปุถุชน พวกนักเล่นจิต เขาอ่านจิตเขาออกเหมือนกัน แต่เขาไม่รู้โลกุตระ ไม่รู้จักอุบายเครื่องออกของพระพุทธเจ้า
อุบายที่ทำให้กิเลสลดได้ เขายังไม่มีความเข้าใจว่าทำอย่างไร เพราะฉะนั้นไม่รู้หรอก ต่อให้เห็นจิต พิจารณาว่า มันไม่เที่ยง เป็นเหตุแห่งทุกข์ มันเป็นอัตตานะ
สอง มั่นใจว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์ ต้องกำจัดให้มันหมดไป เป็นอนัตตา เมื่อหมดไปไม่มีตัวตนของตัวนี้จึงจะหมด ในภาษาบาลีจะมีคำคู่อยู่สองคำคือ
วิตก กับ วิจาร เป็นวิธีการปฏิบัติธรรม ต้องรู้ทั้งสอง จึงปฏิบัติฌานได้ ไม่อย่างนั้นปฏิบัติฌานไม่ได้
ฌาน คือการเพ่งรู้แล้วก็ทำให้กิเลสลดได้ กิเลสถูกทำลายหรือถูกเผา มีพลังอุณหธาตุทำให้กิเลสลดได้ ถ้ามีวิจัยแยกแยะกิเลสได้แล้วต้องมีอุบายเครื่องออก คือปัญญา ว่า..
1. มันไม่เที่ยง
2.มันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
ถ้าทำลายมันไม่หมด มันก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ ถ้าทำลายมันได้ กิเลสก็ลดลง ทุกข์ก็ลดลง ยิ่งทำด้วยปัญญานะ ไม่ได้ทำด้วยกดข่มมัน คุณจะรู้ละเอีอดละออ ตามภูมิปัญญาของคุณ
เมื่อกิเลสลด คุณเห็นกิเลสลด เห็นทุกข์น้อยลง บางทีดับได้ ครั้งนี้ชั่วคราวก็ตาม มันไม่มีอาการทุกข์เลย อาการไม่สบายใจมันไม่มีเลย ก็จะเข้าใจว่า ความไม่มีเหตุแห่งทุกข์เป็นเช่นนี้เอง เป็นตถตา จะอ่านรู้ คุณว่าคุณเห็นรู้ทำได้อย่างนี้อย่างไม่ได้กดข่มวิขัมภนปหาน คุณได้ใช้ความรู้ปัญญาทำให้มันจางคลายหรือมันดับ ก็ไม่ได้กดข่ม จะรู้ว่ากิเลสไม่มีด้วยปัญญาด้วยธาตุรู้
กดข่มจะตื้อๆไม่ทุกข์เหมือนกัน แต่ตื้อๆไม่เหมือนปัญญา
ปัญญารู้จะมีปีติ ถ้ากดข่มไม่มากก็มีปีติ แต่ถ้ากดข่มจนดับหมดก็ไม่มีปีติ มันไม่เหลือปีติ แต่ของปัญญามันมีปีติ ปัญญามันได้ล้างกิเลสดับไป คุณจะดีใจ มันต่างกันนะ วิกขัมภนปหานกับใช้ปัญญามีนัยยะที่ละเอียดต่างกัน
อาตมาตั้งใจอธิบายสามเส้า
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน คำว่า ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ จะสลับไปมาสามคำ
ตักกะเป็นตัวแรก ที่เริ่มเป็นตัวตนในจิต ก็ต้องจัดการแยกแยะให้เห็นกิเลสให้ได้ เรียกว่าวิตกวิจาร สำนวนนะ แต่ถ้าพยัญชนะ วิตกแปลว่าตักกะอย่างยิ่ง คือการดำริ ตัวจิตตัวนี้ต้องเห็นอย่างยิ่ง วิจัยอย่างยิ่ง
วิตกคือวิจัย แยกแยะอย่างยิ่งให้เอากิเลสออกจากตัวนี้
วิจารคือพฤติ Kinetic หรือ dynamic แปลว่าอาการเคลื่อนไหวของมัน จาระ
อาการเคลื่อนไหวตัวนี้เป็นอาการเคลื่อนไหวของกิเลส แยกออกจากจิตเรา นี่จิตแท้ กับ อาการเคลื่อนไหวของกิเลสเป็นเวทนาเก๊ จิตเก๊ อกุศล ให้ชัดเจน พ้นวิจิกิจฉานะ อย่างชัด ทำให้ตัวนี้แหละลดลง ที่จริงไม่ต้องบอกว่าทำตัวนี้หรอก แต่ถ้าพิจารณาเห็นว่าเป็นตัวปลอม เอ็งอย่ามาเสนอหน้า ปัญญาจะชัดเจนมีพลัง มีอำนาจ พอคุณเองฝึกไปเรื่อยๆ ปัญญาจะมีอำนาจ ไม่อยากให้มีตัวปลอม ตัวปลอมก็จะค่อยลดไปหายไป เพราะมันเป็นตัวปลอม เรารู้ทัน ตัวปลอมจะลดลง
ตัวรู้ทันคือปัญญา ปฏิภาณปัญญาที่ฉลาดเฉลียวขึ้น รู้ทันว่าไอ้นี่มันคือกิเลส ไล่ไปเลย ยิ่งชัดเจน มันยิ่งหายไป ธาตุรู้ปัญญาญาณจะแหลมคม มีพลังไฟ พลังอุณหธาตุกำจัดกิเลสไปได้จริงๆ ปฏิบัติเองจะรู้เอง อาตมาขยายให้ละเอียดเป็นสภาวะ เหมือนฉายหนังช้า ธรรมดาหนังมี16 เฟรม แต่นี่อาตมาขยาย 1600 เฟรม
สรุปอีกที
ตักกะเป็นก้อนของจิต
วิตักกะ มาแยกแยะแล้วก็จัดการทำลาย
การจัดการทำลายนี้จะใช้คำว่าสังกัปปะก็ได้
สัง แปลว่าการกระทำ
กัปป๋า แปลว่าไอ้ตัวนั้น ถ้าเป็นกาละก็คือกาละ แต่ก็คือตัวนั้น ทำให้หมดกาละไม่มีตัวตนจะเกิดแล้ว ไม่มีกรรมกับกาละแล้ว
คุณทำงานกับสังกัปปะ คือการทำให้หมดกัปป์ คุณมีกัปป์ก็ต้องทำลายกัปป์ กัปปะอะไร กัปป์ของชีวิตกิเลส คุณจะทำให้กิเลสไม่อยู่ในกัปป์ไหนๆ ไม่เกิดในเวลาไหนอีก หายไปเลย สูญเลย นั่นคือสังกัปปะแท้
ถ้าทำได้ผลสำเร็จ วิ แปลว่าไม่ วิ แปลว่ายอด คุณทำให้กิเลสไม่มี เมื่อไม่มีเสร็จก็ยอด สังกัปปะเป็นตัวการงานทั้งหมด ทำเสร็จแล้วจบ กลับไปอยู่ที่วิตักกะที่เป็นตัวกลาง ถ้าคุณไม่มีสังกัปปะทำไม่เป็น ตักกะ วิตักกะก็คือตักกะตัวนั้นก็เป็นวิตักกะที่มีกิเลส กิเลส วิยิ่งขึ้น หรือไม่ คือไม่มีทางทำกิเลสนี้หายไป ก็มีตักกะตัวนี้ต่อไป ก็จะเป็นวิ เป็นวจีสังขาร เพราะคุณทำไม่ได้ ไม่มีอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา คือป้อมปราการจับโจรไม่ให้ออกไป แต่คุณไม่มี ไอ้นี้ก็ผ่านฉลุยไปวจีสังขารเลย เพราะไม่มีด่านจัดการ เพราะไม่เคยทำจิตให้สำเร็จเป็นอัปปนา ผล
อัปปนาคือ ความแน่วแน่ แนบแน่น เป็นความสำเร็จ
พยัปปนา ตัวกลาง เก่งขึ้น
เจตโสอภินิโรปนา ตัวปลาย
อัปปนา ไม่เหมือนเจโตสมถะ ที่ตัวตั้งมั่นแน่วแน่ตั้งมั่น อัปปนาแปลว่าตั้งมั่น ถ้าเป็นแบบสมถะก็กดข่ม แต่ตั้งมั่นอย่างวิปัสสนาทำลายกิเลสถาวร ถ้าไม่ถาวร เจตโสอภินิโรปนาก็ถาวร สูงขึ้นเป็นขั้นปลาย แน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่น ต้องเจริญขึ้นในตัว static ยิ่งมั่นคงเสถียรเรื่อยๆ
สรุปแล้วพยัญชนะจะสลับกันไปกันมา ตักกะ วิตักกะแล้ว สังกัปปะ ถ้าคนทำกิเลสออกไม่เป็น ตักกะ วิตักกะ มาเป็นวิตักกะคือมีกิเลสไม่ได้ลดกิเลสเป็น วจีสังขาร แต่ถ้าวิของคุณเป็นตัวทำให้ยิ่ง กิเลสคุณลดหรือดับไป แต่ถ้าคุณทำไม่เป็นวิก็เป็นยิ่ง แต่ยิ่งทางโลกีย์ไปอีก เห็นไหม
ยากมากที่วิ จะเป็นวิบัติหรือวิเศษ วินาศสันตโร ก็ได้ เป็นความดีวิเศษวิสิทธิ์ก็ได้
พยัญชนะที่เราสามารถสื่อสภาวะให้รู้ ที่มีก็เป็นความเลวต่ำหรือความเจริญก็ได้ บางทีพยัญชนะสลับไปมาก็ได้ พยัญชนะเป็นสมมุติ มันเป็นบัญญัติ ไม่ใช่ตัวแท้
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...ความสำคัญเบื้องต้น ทำอย่างไรเราจะมีปัญญาเฉลียวฉลาด ที่เป็นแบบที่พ่อครูสอน คือรู้เท่าทันว่าไอ้หน้ากิเลส ไล่ไปเลย พ่อครูให้รู้เท่าทันกิเลส ไล่มันจัดการมัน แต่ถ้าเราไม่เห็นหน้ากิเลส ไม่รู้ว่าเป็นกิเลสก็เป็นเฉกตา ไม่เป็นปัญญา แต่เป็นตัวขี้โกงเหตุผลเยอะแยะ เราสายปัญญาต้องรู้เท่าทันกิเลสตน แต่สายปัญหาคือเห็นแต่ปัญหาคนอื่นเยอะแยะเลย
พ่อครูขยายความต่อไปว่า เราจะรู้ว่าเรากดข่มหรือวิปัสสนาคือ พอมันเข้ามา ทำได้แล้ว เราตื้อๆหรือว่าเราปีติ ถ้ามันตื้อเราก็หาเหตุผลสู้อีกก็ช้ำใน แต่ถ้าไม่ได้กดข่ม ใช้ปัญญามันจะเบาลง แต่ก่อนมากกว่านี้ พอตอนนี้เบาลงก็จะมีปีติ แต่ถ้าตื้อไปไม่รู้เรื่องก็กดข่ม แต่ถ้าเห็นกิเลสเราเบาบางจางคลายลงก็มีปัญญา เราก็จะดีใจ เป็นความมีปัญญาของเรา
พ่อครูว่า..คุณว่ามันตื้อๆไป กับมันโปร่งๆใส คนที่ยอมรับคนที่เข้าใจจิตจะโปร่งใส คนไม่ยอมรับไม่เข้าใจหรือยังสู้อยู่จิตจะไม่โปร่ง คนจะมาถกกันเถียงกัน วิจัยกัน ก็แล้วแต่ คนที่ยอมรับแล้วใจเราจะโปร่ง นอกจากโปร่งเข้าใจแล้วยิ่งโล่งสบาย แต่ถ้าใจเราไม่โปร่งตื้อ ก็ชักไม่ดี นอกจากมันบอกว่า โปร่ง มันไม่มีปัญหาหรอกใส แต่ว่าคุณรีบตัดเขาทิ้ง คุณไม่รับ ข่มไว้เลย ไม่ฟังต่อ ฟังก็ฟังเสียไม่ได้อย่างนั้น ตัวเองถือว่าตัวเองชนะแล้ว มันละเอียดนะ เอ็งพูดไปเถอะเอ็งโง่ อย่างนี้ แต่ถ้ายิ่งฟังยิ่งไม่ตื้อ จิตโปร่งมีแต่สบายเบาโล่ง ชัดเจนใสขึ้น เป็นรายละเอียดที่คุณจะอ่านชัด
ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ถ้าคนไม่ได้ปฏิบัติธรรมจะมีแค่ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ นั้น จะเป็นอย่างสามัญสมมุติทั้งหมด ไม่มีวิจัยวิจาร ไม่รู้กิเลส ไม่ทำให้กิเลสลดจางคลาย มีแต่ตักกะ วิตักกะ ไม่มีสังกัปปะ ไม่เกิดสังกัปปะ 7 ใดๆเลย จะมีแต่ตักกะ วิตักกะ ...ตักกะอย่างไม่รู้ ไม่เกิดเจริญ จะมีแค่สองฐาน ไม่เกิดฐานที่สาม
ฐานที่สามคือสังกัปปะ จะทำหน้าที่ลดกัปป์เลิกกรรมไป สังกัปปะสำเร็จคือหมดกาละ ทำกาละให้หมดกาละ พอทำกาละหมดกาละ คำว่าทำกาละเป็นสำนวนหนึ่งของศาสนา คือทำกาละแปลว่าตาย
ตายในที่นี้คือกิเลสตาย ผู้ที่ทำกาละคือกิเลสตาย แต่คนที่เข้าใจไม่ได้ว่าผู้ทำกาละคือร่างกายตาย คือคุณไม่รู้ก็คิดว่าตาย ที่จริง แปลว่าทำกาละให้ดับไปหมดไป ไม่มีกัปป์ไหนๆก็ไม่มีอีก สิ้นกัปป์สิ้นกัลป์เลย จิตของเขาจะไม่เกิดอีกเลย จิตตัวที่เป็นสัตว์อบายไม่ผุดไม่เกิดอีก ไม่มีกรรมกาละอีกเลย คือสิ้นกัปป์สิ้นกัลป์ของคุณ สิ้นกัปป์ตัวนี้แล้ว หมดชีวิตินทรีย์ ไม่เหลือพลังแรงงาน ไม่มีตัวเคลื่อน สูญเลย
คนที่มีญาณปัญญาสามารถอ่าน ชีวิตินทรีย์ของสัตว์โอปปาติกะ ชีวิตินทรีย์อยู่ใน รูป 24 ภาวะรูป หทยรูป ชีวิตรูป อาหารรูป ต้องอ่านชีวิตกิเลสว่ามีอินทรีย์หรือไม่
ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ
ตักกะ วิจัยให้ออก วิตักกะ คือทำให้ไม่มีก็ได้ ทำสำเร็จก็ประเสริฐ ส่วนจาระคือการเคลื่อนไหวของมัน อาการวิญญัติ kinetic ที่ยังมีชีวิตินทรีย์ของมัน อ่านอาการมันให้ได้ ถ้าอาการละเอียด ให้ใช้ตาเบาบางต้องรู้ว่ามันยังมี ละเอียดเหลือเกิน ลหุ มันเป็นความเล็กความน้อย อนุ ลหุ ขนาดไหนก็ต้องรู้อาการให้ได้ ถ้ามีญาณ ปัญญา ตามฐานะของแต่ละคนก็จะอ่านได้รู้ได้
ส่วนคนไม่มีดวงตาไม่มีปัญญา ไม่มีกล้องจุลทรรศน์ ไม่มีแว่นขยาย คุณก็ดูได้เท่าที่คุณสามารถ เลนส์ของคุณ กล้องของคุณ ดวงตาของคุณอ่านได้เท่านี้ รู้ได้เท่านี้ ก็เป็นเรื่องที่สุดวิสัย มันก็อยากรู้ อยากตาดี อยากตาขยายได้ละเอียดยิ่งขึ้นอยู่นะคนเรา แต่มันเกินความจริงของเรา ไม่ต้องฮึดฮัดอึดอัด ให้เป็นความจริงไปตามลำดับ แล้วจะเจริญได้จริง เราก็จะรู้จักตัวที่เล็กละเอียดลงไปอีก ตามฐาน
การเจริญไปตามลำดับจึงยิ่งใหญ่มาก พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์จริงหนอ ลาดลุ่มไป ใครไปมั่วซั่ว หยาบปนละเอียดไม่ได้หรอก มันสับสนกันตายเลย
สังกัปปะ เขาแปลว่าความดำรินึกคิด ก็แปลกลางๆ ไม่ได้ทำสังกัปปะ7 ที่ทำให้กิเลสจบหมด เป็นวิตักกะตัววิเศษแล้ว วิเศษแปลว่าไม่มีเหลือ เศษ แปลว่าเหลือ แต่วิเศษ คือไม่เหลือเศษอีกเลย ไม่เหลืออะไร
จริงๆแล้ว คำว่าวิเศษ ถ้าจะแปลโดยสภาวะไม่เห็นมีความสำคัญ ก็แค่ไม่เหลือ แต่ถ้าวิเศษเขาไปแปลว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ สุดยอดเลย แต่แท้จริงวิเศษคือความไม่เหลือเท่านั้นเอง ไม่เห็นยิ่งใหญ่ อะไรไม่เหลือ อาสวะ อนุสัย ไม่เหลือ มันยิ่งใหญ่อย่างนี้ ธุลีละอองไม่เหลือ ไปแปลแบบโลกๆว่ากินข้าวไม่เหลือ ก็ไม่มีอะไร
แต่ถ้ากิเลสขั้นละเอียดอาสวะก็ไม่เหลือ อนุสัยก็ไม่เหลือ นี่แหละวิเศษจริงๆ เห็นไหม (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
แค่เข้าใจคำว่าวิเศษได้นี่ก็ยิ่งใหญ่แล้ว
สมณะเดินดินว่า...มีคำถามว่า ขอรบกวนเรียนสอบถามครับว่าถ้าบุคคลใดมีความเชื่อที่ว่า พระพุทธเจ้า ปรินิพพาน แล้ว แต่ยังมีดวงจิต อาศัยอยู่ที่ดินแดนนิพพาน กับมีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้า ปรินิพพาน โดยดับสูญไม่มีทั้งดวงจิตและกายหลงเหลืออยู่เลย ถ้าเชื่อคนละแบบนี้ จะสามารถปฏิบัติธรรมะจนนิพพาน ได้เหมือนกันไหมครับกราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า ได้ทั้งคู่ ขอให้รู้จักเป็นสัมมาทิฎฐิ ไล่ไปตามลำดับ จะเป็น โสดาบันสกทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปตามลำดับ เป็นโพธิสัตว์ไปตามลำดับ
คนที่ตายอย่างที่หมดสิ้นสูญไม่เหลือจะเข้าใจความเป็นอัตตา แต่ถ้าคนเข้าใจว่า ไม่หมดสูญเป็นนิรันดร เป็นพระเจ้า คนพวกนี้จะไม่เข้าใจอัตตา
พระโพธิสัตว์พระอรหันต์ทุกพระองค์ ถ้าจะมีตัวตนไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ แต่ถ้าพวกธรรมกายที่บอกว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่พุทธเกษตร จะไม่เข้าใจคำว่าปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่ได้ ไม่เข้าใจที่พระพุทธเจ้าว่า เหมือนพวงมะม่วงหล่นลงจากต้นแล้ว จะเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก เหมือนการแยกธาตุน้ำ สลายเป็น Hydrogen และ oxygen จะไม่เป็นธาตุน้ำตัวนี้ได้อีกเลย จะไปรวมกันอีก ก็ไม่เป็นธาตุน้ำตัวนี้อีกแล้ว
สมณะเดินดินว่า...คนที่เชื่อผิดๆ จะปฏิบัติให้สมบูรณ์ไม่ได้
คนเชื่อว่า”มี”เป็นที่สุด นี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เพราะของศาสนาพุทธ ไม่มีเป็นที่สุด แต่นัยยะที่มีคือพระโพธิสัตว์ ยังมีอยู่ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้า สร้างศาสนาใด ถึงบอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ไม่มีองค์ที่สอง
พวกที่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในพุทธเกษตร แล้วจะไปอยู่ทำไมที่นั่น น่าจะลงมาช่วยกันสอนมนุษย์ อยู่ทำไมเสียเวลา เชื่อผิดแล้วปฏิบัติถึงนิพพานไม่ได้ อาจจะได้นิดหน่อยเท่านั้น
สมณะเดินดินอ่านคำถามว่า…หากไม่มีอุปาทานในปัจจุบัน ก็เท่ากับว่ารู้เท่าทันอดีตอนาคตแล้ว ถูกต้อง หรือเปล่าคะ
พ่อครูว่า..คุณต้องเข้าใจคำว่า อุปาทาน คืออะไร
อุปาทานคือการยึด คุณไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว คนที่ยังไม่ปรินิพพาน แม้เป็นอรหันต์ก็ยึดไว้เพื่อทำงาน สุดท้ายเขาจะแย้งจะเถียงก็ให้เขาเอาชนะไป พระอรหันต์ทุกองค์ให้แพ้ก็ได้ ถ้าจะให้ชนะก็ได้ ท่านไม่มีตัวตน ถ้าชนะก็คือเขายกให้ ถ้าคนไหนไม่ยกให้ท่านก็แพ้ แพ้ก็แพ้ เพราะท่านไม่ได้ได้ ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้ว ไม่ได้ไม่เสียอยู่แล้ว
สมณะเดินดินว่า..พอจะสรุปได้ว่า เป็นผู้รู้เท่าทันอดีต อนาคตแล้ว
พ่อครูว่า...ใช่ ท่านชัดเจนว่าอดีต ปัจจุบัน เป็น 0 แล้ว จะมีวิบากก็คือไม่ 0 แต่ถ้า 0 ก็คือปรินิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าไม่กังวลหรอกว่าอดีตวิบากจะตามทวงหนี้ ท่านก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าท่านทำให้ทุกข์วิบากหนัก วิบากเลวร้ายจางคลายไปหมดแล้ว ที่จริงวิบากไม่มีดับ แต่มันตามมาไม่ทัน วิบากจะตามมาไม่ทัน เพราะพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ตามมาก็ไม่มีตัวตนให้ทวงหนี้แล้ว
สมณะเดินดินอ่านคำถามว่า…_บุคคลที่สามารถรู้อดีต (แบบคนระลึกชาติได้) กับ บุคคลที่เห็นอนาคต (แบบนอสตราดามุส) ทั้งสองลักษณะ หากเป็นความจริงตามที่ระลึก ตามที่เห็นนั้นจริง ใครจะทุกข์กว่ากันครับ...
ตอบ..นอสตราดามุสทุกข์กว่า จะมีคนกวนเยอะกว่า พวกนี้จะหนี เพราะคนอยากถาม ให้ช่วยตลอด ยาก แล้วคนพวกนี้ คนอยากรู้คนจะไปขอความรู้นี้นับไม่ถ้วน ถ้าอยากเป็นอรหันต์คนไม่อยากเป็นอรหันต์ไม่ค่อยมีหรอก คนอยากเป็นนอสตราดามุนมีเยอะ จะรวยไหม จะมีเมียเยอะไหมเป็นต้น อย่างตอนนี้ใครจะมาอโศก แม้เปิดเผย ทุกวันนี้ประกาศอรหันต์เหมือนเสียของ เขาไม่เชื่อ ไม่เอาหรอก ถ้าอรหันต์อย่างนี้ไม่เอา อรหันต์เขาต้องรวยต้องเท่ห์ มีอะไรสารพัด
_.ตัวสัมประสิทธิ์ (ความเจริญธัมวิจัยสัมโพชฌงค์) จะเกิดขึ้นได้อย่างไรคะ ดิฉันกำลังติดแป้นอยู่..ไม่รู้สึกทุกข์...จนต้องขวนขวายหาทางฝึกฝนตนเองเพิ่มเติมเพื่อความเจริญที่ยิ่งขึ้นค่ะ
ตอบ...เรื่องนี้ตอบยากเหมือนกัน สัมประสิทธิ์คือความเจริญ แม้แต่อุตุนิยามพีชนิยามก็มีสัมประสิทธิ์
สัมประสิทธิ์คือตัวพลังงาน ที่มีอัตราการก้าวหน้า อยู่ในประสิทธิภาพ ในขั้นที่จะเจริญ ทะลุ ทะลุรอบ คุณเป็นอุตุนิยามก็มีตัวเจริญ มีสิทธิ์ทะลุกรอบมาเป็นพีชะได้ เป็นพีชะก็ทะลุไปเป็นจิตนิยามได้ เป็นจิตนิยามโลกียะก็มีสิทธิ์ทะลุกรอบเป็นโลกุตระได้
เป็นโสดาบัน ก็มีสัมประสิทธิ์ ที่สามารถทะลุไปเป็น สกิทาคามี แต่ถ้าติดแป้นก็วนไม่เจริญ ถ้าไม่มีสัมประสิทธิ์ ก็จะวนอยู่ที่เดิม อย่างโสดาบัน นางวิสาขา ก็วนเวียนติดแป้น ต้องมีสัมประสิทธิ์ จึงจะทะลุรอบ กรอบ ที่สำคัญๆได้ เป็นขั้นที่ไม่ซ้ำ สัมประสิทธิ์ จะทะลุกรอบ ที่ไม่สามัญได้ เป็นการทะลุกรอบวิสามัญได้
สมณะเดินดินว่า..พ่อครูจะอธิบาย ปฏิกิริยาของในหลวงที่มีต่อคนไทย เป็นสัมประสิทธิ์
พ่อครูว่า สัมประสิทธิ์เป็นของตัวเอง ที่แหวกกรอบของความเจริญได้ ต้องฟังให้ดีนะ
สมณะเดินดินว่าผมเคยฟัง ปฏิกิริยาของ Bomb of love ที่สามารถทำปฏิกิริยาต่อเนื่องไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด
พ่อครูว่า...คนไทยเกิดความชื่นชมชื่นใจ ถ้าจะมีพลังสามารถสร้างตัวเองได้เท่าไหร่ ถ้าสร้างได้ เช่นในหลวงเป็นโลกุตระบุคคล ถ้าคุณอยากเป็นแบบในหลวง ก็ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จนเป็นพระโพธิสัตว์ อย่างในหลวงให้ได้
สัมประสิทธิ์เป็นของตัวเองไม่เกี่ยวกับคนอื่น คนที่บอกว่าอยากจะเป็นอย่างในหลวง ก็ต้องทำสัมประสิทธิ์ในตัวเอง ทำพลังงานในตัวคุณ ถ้าทำไม่ได้ก็เป็นอัตตะ ไม่สามารถเป็นอย่างในหลวง ก็ได้แค่ชื่นชมยินดี ถ้าสักวันคนไม่เอาก็จะเบื่อ วนไปสุขกับโลกียะอีก ถ้าไม่ข้ามขั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน โสดาบันมี4ระดับ
ถ้าไปถึง โสดาปัตติผล จะมีความเชื่อ นิยตะระดับหนึ่ง โสดาบันมีสี่ระดับ
-โสตาปันนะ เข้ากระแสโลกุตระ
-อวินิปาตธรรม ไม่แปรเปลี่ยน
-นิยตะ คือเที่ยงในระดับหนึ่ง ถ้าเลยเที่ยงก็ในระดับโสดาบัน ที่จะเจริญต่อไปอีกแน่ๆ
-สัมโพธิปรายนะ
แล้วในนัยยะโสดาบันที่ซ้อน สำหรับผู้ที่จะสำเร็จแบบเอกพีชะคืออีกหนึ่งเชื้อ ก็เป็นพระอรหันต์เลย สกิทาคามีก็แปลว่าอีกหนึ่งเชื้อหรืออีกหนึ่งชาติเหมือนกัน
แต่เอกพีชี เป็นการพาสชั้นไปเป็นพระอรหันต์เลย ส่วนสกิทาคามีคือต้องไปตามลำดับ คือเป็นอนาคามีแล้วเป็นอรหันต์ สกิทาคามี จะไม่ได้หมายถึงเป็นอรหันต์ได้ในทันที
นอกจากจะเป็น เอกพีชี จะเป็นโสดาบันหรือเป็นสกิทาคามี สามารถเร่งพลังงานของตนให้ข้ามขั้นได้ในชาตินั้น ก็สามารถเป็นพระอรหันต์ได้ ทั้ง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี
สร้างสัมประสิทธิ์ได้เป็นในระดับยกกำลัง สัมประสิทธิ์ เป็นธาตุปัจจุบัน สามารถสร้างสัมประสิทธิ์ให้อยู่ในระดับยกกำลัง ทะลุเป้าได้ ถ้าคุณสูงแล้วก็ไม่ต้องยกกำลังสูงก็ทะลุเป้า แน่นอนไม่ใช่แค่บวกหรือคูณ ถ้าโสดาบัน หรือสกิทาฯจะบรรลุอรหันต์ต้องยกกำลัง
สมณะเดินดินว่า..พ่อครูเคยบอกว่าสัมประสิทธิ์ มีคุณสมบัติ Infinity มีความก้าวหน้าในระดับคูณเป็นต้นไป แล้วต้องเป็นตัวแปร
พ่อครูว่า...ตัวแปรคือ สัมประสิทธิ์ ตัวยอดจะทำให้อัตราก้าวหน้าก็อยู่ที่ความเพียรให้สัมมา เกินกว่าขีดก็เสื่อม
สมณะเดินดินว่า...ตัวแปรคือ ความเพียรที่สัมมาทิฏฐิ
พ่อครูว่า...ใช่ แล้วเป็นอัตราการคูณเป็นต้นไป เป็นยกกำลังก็ได้
สมณะเดินดินว่า..อยู่ในสนามแม่เหล็ก ของมิตรดีสหายดี ทำอย่างไรจะเป็น สัมประสิทธิ์ได้
พ่อครูว่า อยู่ไหน มิตรดีสหายดีก็ทำได้ง่ายกว่าอยู่ข้างนอก คนฉลาดก็มาอยู่กับมิตรดี คนโง่ก็อยู่ข้างนอก ไม่มาก็ช่างศีรษะคุณ
สมณะเดินดินว่า...ยากที่สุดคือการกำจัดกิเลสนี่แหละ แม้พ่อครูจะสอนก็ไม่รู้กันได้ง่ายๆ แต่สิ่งที่จะทำให้เกิดสัมประสิทธิ์ ให้รู้ได้ง่ายในหมู่มิตรดี เมื่อเรามีกิเลสเราเองไม่รู้ได้ง่าย แต่เราจะเห็นกิเลสคนอื่นได้ง่ายเลย ทำอย่างไรจะเอากระจกเงาที่อยู่รอบๆ มาทำให้เกิดเป็นอัตราก้าวหน้า ในการลดกิเลสในระดับคูณ เรามีกิเลสน่าเกลียดกว่าเพื่อนอีกหลายเท่า ….จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:32:37 )
รายละเอียด
600622_พ่อครูให้โอวาท ในพิธีไหว้ครู สันติอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ครูคือใคร
พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคน ครูก็มาเป็นผู้ที่ให้นักเรียนไหว้วันนี้ ถ้าไม่มีครูนร.ก็ไม่รู้จะไหว้ใคร ก็ไหว้พ่อแม่ แต่นี่อยู่นร.ก็ไหว้ครู ทำไมต้องไหว้ เพราะครูคือผู้อบรมสั่งสอน ให้เด็กที่เกิดมารุ่นหลังให้รู้จักส่ิงถูกต้อง ส่ิงที่ควร อะไรไม่ถูกต้องไม่ควรก็ให้รู้จักหยุด สิ่งที่ไม่ควร เป็น
สรุปคือการช่วยกันให้เด็กได้เจริญขึ้นได้ เด็กก็จะเจริญได้ก็เจริญได้เท่าที่ครูสอนให้บอกให้ เด็กเจริญได้เท่าที่ครูสอนให้ถูกต้อง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ทำคุณอันสมควรก่อน พร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง หากครูไม่ดีพอ ก็สอนนักเรียนอย่าเกิดความมัวหมองด่างพร้อย แต่ถ้าครูดี ก็จะทำให้เกิดเจริญได้
ครูในที่อื่นๆ แต่ครูในสัมมาสิกขาเรา ได้ผ่านการอนุญาตให้มาเป็นครูได้ โดยผู้เป็นครูก็ไม่ได้รายได้ ไม่ได้ตำแหน่งยศศักดิ์ c3 c4 อะไร เงินเดือนไม่ได้สักบาท ดีไม่ดีต้องไปทำครัวให้เด็กกินด้วย มาเสียสละมารับใช้ด้วยซ้ำ ครูที่นี่จึงต่างจากครูข้างนอก แม้แค่ไม่เอาเงินก็ต่างกับครูภายนอก ที่นักเรียนต้องเคารพนับถือแล้ว ครูของสัมมาสิกขา
ถ้าครูที่มาสอนในสัมมาสิกขา เขาขี้โลภอยากได้เงินเขาก็ไม่มา ที่มาเป็นครูของสัมมาสิกขา แม้เก่งแต่ก็เป็นผู้รับใช้ เท่านี้ก็เป็นสิ่งประเสริฐของครูแล้ว
ครูที่มาสอนที่นี่จึงควรได้รับการนบไหว้ เพราะทำให้นักเรียนเจริญขึ้น เท่าที่จะมีสมรรถนะ ทำได้ วัฒนธรรมประเพณีการไหว้ครูคือถ่ายทอดสิ่งที่ตนมีให้แก่นักเรียน ครูด้านเทคนิค สีซอเก่งก็สอนนักเรียนสีซอ คนทำกับข้าวเก่งก็มาสอนโรงเรียนทำกับข้าว คนเก่งจักสานก็สอนจักสาน คือสอนสิ่งที่ตนเองทำได้ ส่วนครูที่สอนให้ทำได้ทั้งคุณธรรมศีลธรรม และสอนให้ได้รับความรู้ทางโลกวิชาการ อย่างครูสัมมาสิกขา สอนให้ได้รับการศึกษาให้ทำงานเป็นด้วยไม่ใช่งอมืองอเท้า ที่สำคัญคือ สมณะที่ร่วมกันในบวร มีหมู่บ้าน สังคม มนุษยชาติ อยู่ร่วมกับ นักเรียนสัมมาสิกขาให้มาอยู่ในชุมชนเพื่อให้เกิดการ osmosis ซึมซับหากัน มีอะไรไหลเวียนเข้าหากันและกัน สิ่งที่สูงก็จะไหลให้แก่สิ่งที่ต่ำ สิ่งที่ตำ่ไหลให้แก่สิ่งที่สูงไม่ได้ ครูที่มีคุณธรรม มีความสามารถสูง ไม่ทำอะไร ก็ไหลเวียนสู่นักเรียนได้ ตามธรรมชาติ สิ่งที่ใกล้เคียงกัน จะไหลเวียนเข้าหากันแต่ถ้าครูไม่มีสิ่งที่สูง นักเรียนก็จะไม่ได้อะไรจากครู
สื่อธรรมะพ่อครู(
อาตมาอธิบายธรรมะมาถึงทุกวันนี้ จนถึงคำว่า สัมประสิทธิ์ Coefficient คือพลังงานองค์รวมความสามารถ และทางธรรม จนเป็นพลังงานทางคุณธรรม เป็นพลังงานองค์รวม องค์รวมที่แต่ละคนมี Coefficient ถ้ามีน้อย ก็จะถ่ายเท แบ่งแจก ให้คนอื่นไม่ได้มาก จึงมีเงื่อนไขว่า Coefficient ต้องมีพลังงานในตัวเองนั้นสูง ถึงระดับคูณเป็นต้นไป ลักษณะของคณิตศาสตร์ บวก ลบ คูณ ยกกำลัง หรือหาร
กำลังที่มี จึงเป็นกำลัง คูณ เป็นเงื่อนไขหลักของ Coefficient การคูณต้องมีสองตัว ตัวหนึ่งเป็นตัวตั้ง อีกตัวหนึ่งเป็นตัวคูณ หรือ ตัวหนึ่งเป็นตัวคงที่ อีกตัวหนึ่งเป็นตัวแปร ให้เกิดพลังงานแบบคูณที่มีมาก มีแรง ก็ทำให้ผู้ที่ถูกคูณเจริญตามได้
ถ้าพลังงานไม่มากไม่แรงก็ไม่กระเทือน ตัวขี้เกียจ ตัวโง่เง่าดื้อด้านคูณเท่าไหร่ก็เหนื่อย ต้องร่วมกันระหว่างตัวตั้งหรือตัวคงที่กับตัวแปร อาตมาใช้ภาษาอธิบาย สิ่งที่ทำกันอยู่แล้ว ก็ตามหลักธรรมชาติ
สรุปโดยรวมกันจริงๆทั้งชาวอโศกตั้งโรงเรียน เพื่อช่วยประเทศชาติ สร้างเยาวชนให้เป็นคนดี และอาตมาก็รู้ว่า ที่เยาวชนไม่ดีขึ้นในการศึกษาของประเทศชาติก็ตาม ไม่ดีอะไร อาตมาเห็นว่า ทางการศึกษาไม่ได้สอนธรรมะเป็นหลัก ขาดการทำ ขาดการเป็นงาน สอนแต่ทฤษฎีความรู้เท่านั้นเอง เขาจะวิ่งไล่วิชาการที่มันไปไกลเท่าไหร่ เขาก็ไปคว้ามาให้เด็กรู้ แต่ไม่ได้ส่งเสริมศีลธรรมหรือการเป็นงาน
คำพังเพยโบราณเรียกว่า วัวลืมตีน เป็นวัวหากไม่มีขาไม่มีตีนก็หมดท่า ตายลูกเดียว การศึกษาของประเทศไทยนี่แหละ กลายเป็นการศึกษาแบบ วัวลืมตีน ลืมศีลธรรม ลืมการทำงาน จนกระทั่งต้องแยกออกไปตั้งเป็น โรงเรียนอาชีวะคือทำงานโดยเฉพาะ ขนาดนั้น ค่านิยมสังคมก็ให้ค่าโรงเรียนอาชีวะต่ำกว่าโรงเรียนสามัญนะ
แต่คนที่ทำงานเป็นต้องมีความรู้ คนทำงานโดยไม่รู้ก็ทำงานพังสิ แต่นี่เป็นสิ่งขาดสิ่งพร่องของสังคม อาตมาพูดไปเหมือนตัวเองอวดดีอวดรู้ คนทั้งประเทศโง่หมดหรืออย่างไร แล้วทำอยู่โดดเดี่ยว 40 กว่าปีแล้ว lonesome ว้าเหว่ ไม่ขานรับ ไม่รับลูก ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ต้านไม่ได้เขาต้านมาก่อนนี้หนัก จนบัดนี้ต้านไม่อยู่ โพธิรักษ์ก็ไม่ยอมหยุด แม้จับติดคุกก็จะไปเผยแพร่ในคุกอีก บอกไว้แล้ว ดีไม่ดีส่งให้แบบไม่รู้ตัวเลย ใช้เทคโนโลยีใหม่ทางโลกอีก จับไม่ติดเลย จะเป็นพลังงานคลื่นความละเอียดที่คุณจับไม่ได้
สรุปแล้วอาตมาเกิดมาชาตินี้ อาตมาทำงานรับใช้มวลชน แม้ถูกต่อต้าน อาตมาก็ยืนหยัด อาตมาว่า อาตมาปรารถนาดีต่อมนุษยชาติ แต่เขาเห็นว่าทำผิดไปอีก แต่ทุกวันนี้เริ่มเข้าใจแล้ว แต่ถูกมากๆจนรัฐบาลทำตามไม่ได้ มีอะไรเป็นหลักฐานยืนยัน
ก็มีในหลวง รัชกาลที่ 9 ตรัสว่า ทำแบบขาดทุนคือกำไร ทำแบบคนจน อาตมาก็พาชาวอโศกทำมา ตามที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ตรัส เขาจะเข้าใจจะรู้สึกว่าชาวอโศกทำถูกนะ ทำสนองพระราชดำรัสในหลวง รัชกาลที่ 9 เขาจะรู้สึกหรือไม่ไม่รู้ แต่รัฐบาลทักษิณยิ่งลักษณ์ไม่ถือว่าสนองหรอก จะมาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเราเขาไม่ฟังเสียงหรอก แต่รัฐบาลนี้น่าจะฟังเข้าใจ และอาตมาว่าลึกๆ รัฐบาลชุดปัจจุบันนี้น่าจะเข้าใจว่า อโศกเราทำอะไรให้แก่สังคมอยู่ น่าจะรู้
เด็กนักเรียนที่ได้มาเรียนมาศึกษา มาเอาความรู้ที่ทางอโศกเราจะให้ ทั้งศีล การงาน วิชาการ เป็นนักเรียนที่โชคดี เป็นความฉลาดของพ่อแม่ที่เอามาเรียน หรือเป็นความโชคดีของนักเรียนเอง บางทีพ่อแม่ไม่อยากจะส่งมา แต่มีอะไรไม่รู้ ก็เข้ามาได้เอง ก็ได้มาเป็นนักเรียนที่นี่ เป็นโชคดีของนักเรียน ในสังคมของชาวอโศก เป็นสังคมที่พัฒนา เป็นสังคมมนุษยชาติที่สูงสุดแล้วในสังคมมนุษย์โลกที่ควรจะเป็น พูดอย่างใหญ่ๆ
สูงสุดที่มีสังคมสาธารณโภคี มีแต่ช่วยเหลือกันและกัน ไม่มีใครรับรายได้ตอบแทน พ้นมิจฉาชีพ 5 อย่างสมบูรณ์แบบตามคำสอนพระพุทธเจ้า พึ่งแก่เจ็บตายกันได้ ชาวอโศกทำได้จึงถือว่าสูงสุด
สังคมใดก็ตามที่มีประชาชนมารวมกัน มีวัฒนธรรม สาธารณโภคี นั้น เป็นสังคมที่เจริญสูงสุดแล้ว เด็กนักเรียนคิดให้ได้ฟังให้ออก ถ้าใครฉลาดพอ คนโง่เท่านั้นจะไม่มาอยู่ร่วมในสังคมชาวอโศก พูดตะโกนใส่เครื่องขยายเสียงเท่าไหร่ให้รู้ ว่านี่คือความจริง
สังคมชาวอโศกเป็นสังคมที่เจริญอยู่ร่วมกันดีงามแล้ว เป็นสังคมไม่ยึดถือสมบัติเป็นของส่วนตัว สมบัติทุกอย่างเป็นของส่วนรวม เป็นของเราทั้งหมด อาตมาพูดว่า ทำไมโง่จังเลย เด็กเราบอกทุกรุ่นว่า นี่สมบัติของเธอนะ ให้ดูแลรักษากันต่อไป แต่จบแล้วไม่เห็นหัว ไม่เห็นจะมารักษาสืบทอดบูรณะต่อ ทำให้เจริญต่อ ไม่มาเลย ทำไมมันโง่ได้ที่จังเลย ประหลาด แล้วไปซอกๆหา ก็หาให้ไว้ตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่สืบสานเอา มรดก คนอื่นมาร่วมรักษาก็ไม่ดีหรือ ก็ต้องบอกดูแลกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครดูแล จะมีอัตตาอย่างไรก็ช่างหัว อย่างนั้นก็ไม่มีการถ่วงดุล ถ้าจะทำอย่างนั้นก็เป็นการทำแบบขาดสติ
เราทำสิ่งดีเขาก็ให้ทำ แต่เราทำสิ่งไม่ดีเขาก็ไม่ให้ทำ เราจะทำได้หรือไม่ ก็ไม่ได้อยู่ที่คนคนเดียวเป็นตัวตัดสิน มีคณะกรรมการช่วยกันตัดสิน ที่นี่มีวิธีการสากลที่เรียกว่าประชาธิปไตย ของพระพุทธเจ้าเป็นประชาธิปไตยสุดยอดถูกต้องด้วย
มาวันนี้อาตมาพูดไม่ไว้หน้าเลย ว่าอโศกทำดีและถูกต้องที่สุดแล้วของโลก ถ้ารัฐบาลอยากได้ช่วยเหลือและเข้าใจจะดีมาก จัดสรรว่าจะต้องทำเป็นหมู่กลุ่มสังคม หมู่บ้านในหมู่บ้านนี้ ทำทั้งจังหวัดไม่ได้เลยทันทีก็ไม่เป็นไร ถ้าทำได้จนถึงระดับจังหวัด ทุกจังหวัดในประเทศไทย เป็นระบบสาธารณโภคีหมด รับรองว่าประเทศไทยจะเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมเด่นมาก
พฤติกรรมนี้จะมีคุณสมบัติตามที่พระพุทธเจ้าไล่เรียงไว้หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นแบบวรรณะ 9 กถาวัตถุ 10 จะเอาอะไรหลักฐาน ตรวจสอบ สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 ทิศทาง แบบคนจน ตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้
จนคืออะไร จนคือ ไม่สะสมเงินทองไว้แก่ตัวเองมาก จนจนสูญได้ แล้วมั่นใจตัวเองอยู่กับสังคมนี้ เรามี 0 บาท จะอยู่กับสังคมนี้ พึ่งพาสังคมนี่แหละ กินใช้ร่วมกันอยู่ในนี้กับสังคมที่เป็นบ้าน
อาตมานำรัฐศาสตร์แบบที่พระพุทธจ้าพาทำมาทำ ซึ่งอาตมาเป็นนักรัฐศาสตร์ที่ไม่มีใครรู้จัก อาตมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ เป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวอโศก เขาก็ไม่เห็น บริหารมาทำงานมา จนเดี๋ยวนี้ไม่มีใครแย่งตำแหน่งนายกฯ ของอาตมาเลย อาตมาวางมือก็จะมีคนรับช่วง สักวันหนึ่งก็ต้องวางมือ รู้สึกตั้งแต่บ่นว่าเมื่อย พวกเราก็พยายามพัฒนารับมือต่อ มีเงา มีผู้รับช่วงทำงานต่อได้ คือผลสำเร็จที่ทำ
ทำงานมานี้ สรุปได้เลยว่าอาตมาเกิดมาเพื่อช่วยประชาชน ช่วยรัฐบาลบริหารคนให้แก่รัฐบาล ให้แก่สังคม โดยไม่มีค่าจ้างวาน ไม่มีใครอยากจะให้ทำแต่ผู้ที่มีปัญญาเข้าใจแต่อยากให้ทำ เพราะทำแล้วมีแต่ผลดีให้กับสังคม
นักเรียนที่มาเรียนที่นี่จะได้รับความรู้อันเป็นสัมมาทิฐิ เป็นทางที่ถูกต้องของชีวิต ได้รับมากหรือน้อยก็แล้วแต่ ก็เอาไปทำให้เสียชีวิต จบไปแล้ว จะอยู่ข้างในหรือข้างนอก ก็พยายามประสานกัน จะเกิดผลสูง แต่นักเรียนที่จบไปแล้ว ไม่ค่อยมีปฏิภาณระลึกถึงตรงนี้ ออกไปแล้วก็จะทำแต่ส่วนตัว ไม่ทำกับส่วนรวม มีงานอะไร ที่จะต่อไม้ต่อมือเชื่อมโยงกับสังคมได้ จะทำงานเลี้ยงอาชีพก็ทำไป แต่มาร่วมไม้ร่วมมือกับชาวอโศก ก็มาน้อย มีน้อยที่จบมาจะเชื่อมโยง ถ้านักเรียนของชาวอโศกจบแล้วมาร่วมมือกับชาวอโศก ให้มีอะไร เกิดประโยชน์คุณค่าต่อสังคมได้ เรามีนักเรียนจบไปหลายพันคนแล้ว ตั้งมา ยี่สิบกว่าปี จบไปทำงานหรือเรียนปริญญา ก็มีเยอะแล้ว ก็น่าจะเชื่อมโยงเอาแบบอโศก แบบคนจนไม่ขูดรีด เสียสละให้แก่ประชาชน ทำงานให้มีผลผลิตดีแก่สังคม แต่ไม่เอาไปขูดรีด เอาเปรียบ เอาไปเสียสละให้กับสังคม โลกทั้งโลกต้องการแต่เขาไม่รู้ว่าทำแบบไหน คนลดละกิเลสได้มากก็เสียสละแก่สังคมได้มาก
ค่าที่จะเป็นคุณค่าประโยชน์จากแรงงานของแต่ละคน เกิดจากผลของเจ้าของแรงงานทำขึ้นมา ถ้ายึดมั่นถือมั่นว่า เป็นของกูของตนเอง ใครจะมาเอาไปต้องแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรามา เป็นทุนนิยมสามานย์ก็ไม่ใช่ชาวอโศก
ชาวอโศกสร้างแรงงานผลผลิตมา ก็เอามาแจกจ่ายกับสังคมให้ฟรี หรือแลกเปลี่ยนมาพอเราอยู่ได้ เราทำได้แล้ว ทศวรรษรอบใหม่ชาวอโศกแล้ว ทศวรรษที่ สาม สี่ ห้า อาตมาเห็นจริงว่าก้าวหน้า ทำงานมาไม่สูญเปล่าไม่เป็นหมัน ได้มีผลต่อมนุษยชาติ เป็นคนลดตัวตน ลดความเห็นแก่ตัว มีพัฒนาการ
สังคมประเทศชาติ มนุษย์ในชาติ มีความรู้อย่างนี้และเปลี่ยนแปลงนิสัยพฤติกรรมตนเองมาเป็นแบบนี้ สังคมก็จะสงบ แต่ถ้าสังคมใดมีแต่ความเห็นแก่ตัวแย่งชิงเอาเปรียบ มันก็อยู่ยาก มีแต่การแย่งชิงมีความเดือดร้อน ผู้ใดมาลดความเห็นแก่ตัว ลดโลกียธรรม
แม้โลกียะเขาก็ไม่ชอบคนขี้เกียจ เขาก็ไม่เอา โลกุตรธรรมไม่มีขี้เกียจ มีแต่ขยันหมั่นเพียร โลกียะก็ขยัน แต่ขยันเอามาให้แก่ตัวเองและพรรคพวก โลกุตระขยันหมั่นเพียร แต่ไม่เห็นแก่ตัวเอามาเป็นของตัวเองและพรรคพวก สะพัดออกไปให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ และส่วนเหลือเราก็กินใช้ มีส่วนคงคลังที่จะทำงานอยู่กับสังคมได้อย่างไม่ขาดตอน ไม่ขัดเขิน อย่างนั้นเราก็ทำตลอดเวลา
มาถึงวันนี้ชาวอโศก ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ อาตมารู้สึกจริงๆ ว่า อาตมาตายในวินาทีนี้ได้แล้ว แต่คนนี้บอกว่าตายไม่ได้ จะใช้อาตมาไปถึงไหน ก็ถามเลย ยังเสียดายอาตมา เสียดายแล้วไม่เห็นใจบ้างหรือให้พักบ้างสิ
อาตมาก็ได้ของพระพุทธเจ้ามาแจกจ่าย อาตมาก็ปรารถนาให้ได้รับของพระพุทธเจ้าไปได้มากๆ ได้ก็ดีเอาไปใช้งานทำประโยชน์ อันนี้ดีสุดสูงสุด อาตมาเกิดมาชาตินี้ก็ได้สติ ตื่น ว่ามัวไปทำมาหากิน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แก่ตัวเองมา 36 ปี พอรู้ตัวก็หยุดทำงานเพื่อตัวตน มาทำงานให้แก่สังคม โดยเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาถ่ายทอดเผยแพร่ให้ได้รับไป มาถึงวันนี้ มิเตอร์กรุณาวัดแล้วว่าได้รับผลสำเร็จ เป็นที่น่าพอใจ จนกระทั่งอาตมาพูดแล้วว่า ตายตอนนี้ได้แล้ว แล้วบอกว่าไม่ให้ตายอีก เสียดาย
พูดถึงเนื้อหาสาระไป ก็ทบทวน อาตมาเห็นว่าชีวิตอาตมามีประโยชน์คุณค่าอย่างนั้น ถ้ายังขืนไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อาตมาก็ไร้คุณค่า แต่อาตมาไหวทัน ไม่เอาชีวิตแบบไร้ค่าแบบนั้น มามีชีวิตแบบมีคุณค่า มาทำงานแบบนี้ก็ดีแล้ว
ทีนี้ก็ขอย้ำกับนักเรียนให้รู้ความจริง ที่พูดแล้ว ว่านักเรียนกี่รุ่นก็บอกว่า พวกเรามาเรียนหนังสือที่นี่ มาเป็นลูกหลานของที่นี่ ก็ควรจะรับมรดกของที่นี่ เอาไป สืบสาน เอาไปบูรณะ ทำให้ดีขึ้น มรดกทางวัตถุสถานที่ ทุกอย่าง เป็นของเราทุกคน เป็นของคนทุกคน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ส่วนตัวคนเดียวหรือคณะเดียว มันเป็นของทุกคน โลกทุกวันนี้สังคมทุกวันนี้เขาเป็นการ ต้องการให้เป็นแบบนี้ ส่วนตัวคนอย่ามาประพฤติเพื่อตัวตน แต่เพื่อแบ่งแจกจ่ายกันให้ทั่วถึงทั่วประเทศ เขาเข้าใจอย่างนี้เช่นกัน แต่เขาทำไม่ได้ ชาวอโศกทำได้สำเร็จ รัฐบาลควรมีดวงตารู้ว่า มีชาวอโศก ทำสิ่งที่รัฐบาลต้องการสำเร็จแล้ว น่าจะมาเชื่อมโยงกับชาวอโศกให้มาร่วมทำ แต่มันเป็นความอาภัพของสังคม
ตรงที่เป็นความโง่ของเถรสมาคม ที่เถรสมาคมเหมือนกับปุโรหิต ของประเทศ เหมือนครูของประเทศด้านปัญญา รัฐบาลก็พลอยเชื่อความเฉลียวฉลาดของเถรสมาคม ซึ่งเป็นความเชื่อที่มิจฉาทิฏฐิ ก็เลยแย่ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักของประเทศ รัฐบาลก็เชื่อ ก็เลยประพฤติตามเถรสมาคม บัญชาสั่งการไว้ ประกาศไว้ คือความอาภัพ ความซวยของประเทศไทย ถ้าผู้บริหารประเทศที่ชัดเจน ว่าเถรสมาคมผิด อโศกถูกแล้ว พาให้ประชาชนเจริญตามหลักของในหลวงรัชกาลที่ 9 รัฐบาลอย่างถูกต้อง จะมาส่งเสริม
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ไหว้ครู
วันนี้วันไหว้ครูก็ดีแล้วที่มีจารีตประเพณีวัฒนธรรม ก็เข้าใจให้ดี นักเรียนทุกคน ว่าการรำลึกถึงครูผู้จะถ่ายทอดสิ่งประเสริฐให้ พวกเธอมาเรียนที่นี่ก็โชคดีแล้ว ตั้งอกตั้งใจให้ดี พากเพียรเรียนรู้ให้ได้ มีอัตราแค่ ม.6 ก็ให้ถึงม.6 ให้ได้ พากเพียรศึกษา ประพฤติ
ไม่มีครูของสัมมาสิกขาคนใดที่เจตนา อยากจะถ่ายทอดสิ่งที่ไม่ดีให้แก่พวกเรา มีแต่จะถ่ายทอดสิ่งที่ดีให้แก่พวกเรา เพราะมาเป็นครูที่นี่ไม่ได้มีค่าจ้าง แลกเปลี่ยนอะไร มาทำงานด้วยความจริงใจ ทางโรงเรียนต้องมีคณะกรรมการคัดเลือกว่าคนนี้เป็นครูได้ สมควรจะถ่ายทอดให้แก่นักเรียน หรือถ้าคนนี้ไม่ได้ อบายมุขมาก มิจฉาทิฏฐิเยอะให้มาเป็นครูไม่ได้ เราก็จะไม่ให้สอนที่นี่ แม้จะไม่จ้างสักบาท แต่ก็ต้องมีคุณสมบัติเพียงพอ ไม่จ้าง แต่ก็ต้องคัดเลือก ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าเอามา ไม่เอาเงิน แต่สอนเลอะเทอะก็ไม่เอา ให้ตั้งใจศึกษาให้ดี
การไหว้ครู คือการแสดงออกว่าเราจะยอมรับนับถือครูต่อไป เพื่อจะให้ครูสอนแนะนำถ่ายทอดสิ่งที่ครูมี ให้แก่เรา การไหว้ครูหมายถึงว่าวิธีการ ส่อแสดงลักษณะเช่นนี้ เพราะฉะนั้นต้องสำนึกให้จริงว่า เรามาไหว้ครู แสดงออกว่าเราจะยอมรับคำสอนของครู เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ วิชาการศีลธรรม อะไรก็แล้วแต่ทุกอย่าง ศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา ตั้งใจพากเพียรศึกษาเรียนรู้ให้ดีๆ
มาที่นี่แล้ว ครูถ่ายทอด ให้พวกเรา ถ้าครูไม่ดี คณะกรรมการก็จะพิจารณาให้ออก แต่ถ้าครูเขาสอนอยู่ นร.ไม่ต้องคิดเลย คณะกรรมการเขารับผิดชอบให้แล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนไป จริตนิสัยของครูแต่ละคนก็หลากหลาย อาจไม่สอดคล้องไม่ตรงกับเรา
เพราะฉะนั้นนักเรียนแต่ละคน ตัดความยึดถือของแต่ละคนทิ้งไปเลย ตั้งใจเรียนไป ทำตามครูที่สอนเรา ไม่ใช่เผด็จการไม่ใช่การบังคับ ถ้าใครทำอย่างที่หลวงปู่ว่าจะได้ประโยชน์ทันที ได้ประโยชน์มาก เพราะเขา รับผิดชอบกลั่นกรองกันมาแล้ว ครูที่จะมาถ่ายทอดต้องมีส่วนดีมากกว่าส่วนเสีย อาจจะมีข้อบกพร่องเสียบ้าง แต่ว่ามันก็ยังน้อยกว่าสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีต้องมากกว่า ตั้งหน้าตั้งตาเรียน จะเกิดความสงบเรียบร้อย ความรู้ความชำนาญต่างๆ ก็จะทำได้ดีได้แก่ เพราะไม่เสียเวลาขัดแย้ง ต้าน เอาหรือไม่เอา ก็เลยไม่มี ก็ไม่ขัดแย้ง
ที่พูดนี้ไม่ได้มาครอบงำความคิดให้เชื่อไปทั้งหมด แต่ควรทำอย่างนั้น เพราะโรงเรียนเราเป็นโรงเรียนที่คัดเลือก มันเป็นโรงเรียน Hiclass เป็นโรงเรียนชั้นสูงไม่ใช่โรงเรียนชั้นต่ำ ไม่ใช่ โรงเรียนไฮโซ แต่โรงเรียนเรา Hiclass ไม่ใช่แบบสังคมโลกไฮโซ แต่นี่มี Hiclass ตามสัจจะ
พูดเหมือนยกตัว แต่ไม่ใช่หรอก พูดตามสัจจะว่า Hiclass จริงๆ มาศึกษาได้ มันแปลกไหม โรงเรียนนี้ตั้งแต่เปิดมา เป็นโรงเรียนที่เรียนฟรี ทำไมคนไม่เข้ามาเยอะ ค่ากินค่าอยู่ฟรีหมดเลย เป็นนักเรียนประจำ มันไม่กรูเกรียวกันเข้ามา มันแปลกๆ พ่อแม่ที่พูดนี้ทำไมไม่ให้ลูกมา เรียนฟรีอย่างนี้ เอาไปเรียนข้างนอกแพงๆ ที่นี่ฟรีทำไมไม่เอาลูกเข้ามา แต่เขารู้ว่าโรงเรียนนี้ไม่พาแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่พาหลงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่พาใหญ่โต เขาไม่เอา ไม่เป็นโลกียะ เขาว่าลูกเขาจะเสียโลกีย์หมด
พ่อแม่ของลูกต่างๆที่เอาลูกมาเรียนที่นี่ จะต้องมีบารมีทุนเดิมของภูมิธรรมบ้าง แต่ถ้าไม่มีก็ไม่มาหรอก เขาไม่ยอมให้ลูกเขามาหรอก เขาต้องการให้ลูกได้เครื่องมือไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข
เด็กที่มาอยู่ที่นี่ ถ้าใครไม่ต่อต้าน ชอบด้วย คนนั้นมีทุนเดิม แต่ถ้าเด็กต้านก็ไม่ค่อยมีทุนเดิม แต่ถูกพ่อแม่ให้มา แต่ถ้าลูกเต็มใจ พ่อแม่ก็เต็มใจ อย่างนี้ทั้งลูกและพ่อแม่มีทุนเดิม
บางทีอยู่สองสามปีก็ออกไปคือหมดทุนก็เป็นได้ พูดไปพูดมาก็คือเนื้อบารมีแต่ละคนทั้งพ่อแม่ และลูกที่มาเรียน
สรุปอีกที เราเป็นมนุษย์เกิดมาในสังคมโลก เรามีประโยชน์ที่ได้ช่วยมนุษย์โลก หนึ่งเราทำตัวเองให้ไม่เป็นภาระโลก สังคม คนที่ทำตัวเองให้ไม่เป็นภาระโลกและสังคม คือคนอย่างไร คือคนที่ไม่ไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ของสังคม เขาจะได้ความสุขในการมีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรืออัตตา เขาก็มีไปแต่เราไม่ไปแย่งเขา คนนี้ไม่เป็นภาระแก่โลกและสังคม นี่คือจุดหมายสำคัญของศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า ถ้าคนไหนเกิดมาแล้ว ไม่ไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขกับใคร นอกจากไม่แย่งแล้ว ยังสร้างสรรค์สิ่งที่ควรสร้าง สิ่งที่ไม่ควรสร้างก็ไม่ไปเสียกำลังงานไม่เสียเวลา เช่น ไม่สร้างอาวุธ
พระพุทธเจ้าไม่ให้สร้างแล้วเอาไปแลกเปลี่ยนมายังชีพ เรียกว่ามิจฉาชีพขั้นสำคัญ
มิจฉาชีพ 5
ศีล ก็สอนไม่ฆ่าสัตว์และสอนไม่ให้ค้าเนื้อสัตว์ แล้วจะหาเนื้อที่ไหนมากินได้ เมืองไทยเป็นชาวพุทธ 95% ถ้าปฏิบัติตามนี้ได้ ก็ไม่มีการกินเนื้อสัตว์ จะค้าได้ต้องเป็นปวัตมังสะ คือเนื้อสัตว์ที่ตายเอง ซึ่งคนก็ไม่ซื้ออีก หรือสองเดนสัตว์กิน ไม่ใช่ไปแย่งเขานะ แล้วจะหาเดนสัตว์กินที่พอขายได้ เพราะฉะนั้นปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้าแค่นี้ก็จะไม่มีการกินเนื้อสัตว์ มีปัญญาจะรู้ว่าไปกินทำไม เนื้อสัตว์ กินพืชนี้ดีกว่า อายุยืน กินแต่เนื้อสัตว์นี้อายุสั้น พิสูจน์มาแล้ว พวกเอสกิโมที่ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้หาพืชกินไม่ได้ กินแต่สัตว์ อายุสั้น เป็นสิ่งที่ชี้บ่งชัด (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
เป็นเครื่องยืนยัน ว่าคนเป็นสัตว์กินพืช ไม่ใช่สัตว์ที่กินเนื้อสัตว์ มีปฏิภาณแค่นี้ก็ชัดเจนว่าไปกินทำไมเนื้อสัตว์ คนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์มากิน แน่นอน ฆ่าสัตว์เล่นๆก็ยิ่งเลว ฆ่ากินก็ไม่ฆ่า การฆ่าเล่นเขาก็ไม่ฆ่า จิตวิญญาณจะสูงขึ้น สัตว์ในโลกก็ไม่ถูกฆ่า จิตใจคนก็ไม่สะสมความอำมหิต รู้ชีวิตเขาชีวิตเรา ชีวิตสัตว์เซลล์เดียว หรือมากเซลล์แบบคนก็เป็นจิตนิยาม
กว่าเขาจะสร้างพลังงาน Coefficient ดีดออกจากกรอบของพีชนิยามไปสู่จิตนิยามได้ต้องมีอัตราเร่งคูณ อัตราก้าวหน้าสูงจนดีดออกจากวงจรพีชนิยามไปเป็นจิตนิยามได้ ต้องสร้างพลังงานนั้นได้ เป็นอาริยชนถึงออกได้
อาริยชนที่จะมีปัญญาทำอย่างถูกต้อง ต้องมีพลังงานระดับ Coefficient สัมประสิทธิ์ อาตมามีความรู้เรื่องพวกนี้ก็เอามาอธิบายได้ โดยใช้ภาษาร่วมสมัยทางวิทยาศาสตร์
จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:33:52 )
รายละเอียด
600624_พ่อครูเอื้อไออุ่น งานคืนสู่เหย้า นศ.ปธ.สวนบุญผักพืช
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สูงสุดของการเป็นมนุษย์
พ่อครูว่า...มาถึงวันนี้ก็เป็นวันที่เราได้กำหนดหมายบอกกล่าวกันว่า เราจะได้มาพบปะกันนะ วันนัดพบ เป็นความรู้ของมนุษยชาติที่จะพยายามช่วยกัน ร่วมกัน นำพาสิ่งที่ดีๆ พากันสู่ความเจริญไป เป็นความรู้ความฉลาดของคน
คนที่เห็นค่าก็พยายามดำเนินตาม เห็นความสำคัญก็มา อันอื่นๆก็ตัดออกไป โดยความฉลาดของใครของมัน ในการรู้ข้อมูลสิ่งแวดล้อม เห็นว่าอะไรเป็นสิ่งควรก็ทำตามที่เห็นว่าควรในปัจจุบัน
มนุษย์เรายกย่องว่าสูงสุด สำหรับพวกเราชาวพุทธเราก็ยกให้พระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ที่รู้ความเป็นมนุษยชาติกับความเป็นสังคมที่ดีที่สุดคืออะไร อาตมาย้ำไม่รู้กี่ที พระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไรหรอก แต่ที่ท่านศึกษายิ่งใหญ่ที่สุดคือความเป็นมนุษย์กับสังคม
มนุษย์มีจิตวิญญาณเป็นประธาน สามารถเจริญสู่โลกุตระไปที่สูงๆๆไป ก็กว่าจะได้ความรู้โลกุตระก็ต้องมีพลังงาน ตั้งแต่พลังงานวัตถุ ดินน้ำไฟลม อุตุนิยาม ซึ่งไม่มีตัวของตัวเอง จับตัวไปเพราะตัวเองมีแรง พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าบ้าง แต่มันก็ไม่แข็งแรง ก็อาศัยสิ่งแวดล้อมเป็นตัวผลักดันให้เป็นตัวตน ถ้าอันอื่นไม่ผลักดันตัวเองก็ไม่ถาวรยืนนาน จนกว่าจะมีตัวเองมาเป็นพีชะ ก็ยึดตัวเองได้มาก ก็อยู่ได้นานขึ้น จนกระทั่งเป็นจิตนิยามสัตว์โลก ก็รู้ว่าตัวเองยึดมาให้แก่ตัวเองมาก แล้วไปทำลายผู้อื่น เห็นแก่ตัวจัดมากก็เสียหายทำลายไม่ดี พอรู้ได้มีญาณปัญญา มีอัญญธาตุที่ชัดเจน เป็นโลกุตระจึงเปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นสัตว์โลกที่ดีขึ้นมา ก็มีขั้นตอนเจริญของสัตว์โลกจนสูงสุดถึงพระพุทธเจ้า
มีเหตุปัจจัยที่อาตมาอธิบายเพิ่มอีก แม้เป็นคนสมัยใหม่ แต่ก่อนคนไม่บ้าบอเลวร้ายขนาดนี้ ทุกวันนี้เลวร้ายซับซ้อน เมื่อสามารถมีญาณปัญญารู้ได้ ก็เกิดจริงสำหรับอัตภาพของตน จนรู้วิธีสลายอัตภาพ จนสิ้นสนิท ถึงขีดขั้นนั้นเรียกว่าอรหันต์ แล้วสูงเป็นโพธิส้ตว์ก็ยิ่งชัดเจนอีก จึงเป็นคนมีคุณค่าประโยชน์สูงขึ้นต่อสิ่งอื่น หมดตัวตน ตัวตนเกลี้ยงๆๆ ความหมดตัวตนของศาสนาพุทธ คือไม่เอาอันอื่นๆมาให้แก่ตน แต่ตนมีสมรรถนะ มีจิตใจให้แก่ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น สร้างสรรได้ดีได้มาก ได้ยิ่งใหญ่ให้แก่ผู้อื่นมากขั้นไปอีก เป็นปฏิภาคทวีของศาสนาพุทธ
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร_สัมประสิทธิ์) ตอน บ้าน วัด โรงเรียน กับ สัมประสิทธิ์
อาตมาตอนนี้มาเน้นเรื่อง บวร บ้าน วัด โรงเรียน กับ สัมประสิทธิ์
และในสัมประสิทธิ์มันเป็นค่าสูงที่มีตัวแปรยกกำลัง และที่ไม่แปรเต็มที่แต่เป็นตัวเติม osmosis ตัวซึมลึกไม่รู้ตัว แต่ตัวแปรหรือสัมประสิทธิ์ต้องมีเจตนามีความตั้งใจทำ เพื่อเพิ่มทศนิยมความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น ต้องมีพลังงานเพิ่มระดับคูณเป็นต้นไป การก้าวหน้ามีระดับ บวก คูณ ยกกำลัง แต่สัมประสิทธิ์ต้องมีอัตราก้าวหน้าถึงขั้นคูณเป็นต้นไป ถ้าบวกก็ยังไม่ถือว่าเป็นสัมประสิทธิ์
อาตมาเรียนรู้ประกาศตนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็บอกด้วยความจริงใจ และเชื่อมั่นว่าไม่ได้หลอกลวงโกหกหรือเดา เป็นเรื่องจริง ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ไม่ได้มีกิเลสอยากให้คนมานับถือ ตนเพียงมีเจตนาดีอยากให้ผู้อื่นได้
มาถึงปางนี้ ยุคนี้อาตมาประกาศว่ารู้ดีในคำสอนพระพุทธเจ้า ก็เลยเหมือนโอ้อวด คนที่รู้สึกว่าไม่ชอบใจไม่อยากให้อวดก็ค้านมาก็ดี อาตมาก็ฟัง แต่อาตมาว่าตนยืนหยัดยืนยันไม่ได้ดื้อดึงดันทุรัง
ดื้อดึงดันทุรังนี้มีตัวตนมากจะเอาชนะคะคาน แต่ยืนหยัดยืนยันนี้ไม่มีตัวตนไม่ได้ต้องการเอาชนะ แต่ยืนหยัดทำเพื่อผู้อื่น ตนเองดีไม่ดีเสีย ที่คนอื่นเข้าใจไม่ได้ แล้วตำหนิด่าทอด้วย ยิ่งหาพวกมากมาสู้ด้วยซ้ำ
อาตมาเน้นบวร มีสามเส้าของสังคม
บ้านคือสังคมที่รวมกันอยู่ หมู่บ้านคือบ้านหลายหลังมารวมกัน มีสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงใกล้ชิด อุปโภคบริโภค กินใช้ร่วมกันเป็นสังคมเป็นชุมชน ถ้ามากขึ้นเป็นอำเภอ จังหวัดก็ห่างไกลไปเรื่อยๆ
อันนี้จะเป็นอันเล็กๆ หมู่บ้านควบแน่นกันมากๆ osmosis การไหลซึมก็ยิ่งดี ถ้ายิ่งแปะชิดกันเลย เราเคยได้ยินผู้รู้ว่า เราเอาตำรามาหนุนหัว แม้ไม่ได้อ่านจะมีพลังซึมซับ osmosis จะเป็นไปได้หรือไม่ก็เป็นการเปรียบเทียบว่ามีการชิดใกล้อย่างไรก็ซึมซับไปหากัน
โดยเฉพาะเป็นคนที่มีวิญญาณ แต่หนังสือไม่มีวิญญาณถ้าคุณไม่อ่านก็ไหลเข้าหาไม่ได้ แต่อ่านแล้วจะรู้จะเข้าใจหรือไม่ก็มีการซึมซับ เข้าไปในฮาร์ดดิสก์ ในอนาคตก็อาจเอาไปใช้ได้
สัมประสิทธิ์ต้องมีต้นทุน เป็นพลังงานคงที่ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นของคนใดๆ แม้เป็นของอุตุ พีชะก็มีสิ่งนั้น มีพลังงานเคลื่อนที่ หรือพลังงานลบ เป็น dynamic หรือ kinetic ทำงานร่วมกันกับพลังงานบวกหรือคงที่ รวมกันเป็นพลังงานที่สาม
ถ้าใกล้ชิดมากก็จะมีการเกิดปฏิกิริยาสูง พระพุทธเจ้าตรัสว่ามิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์
พวกเราอย่าประมาท คำว่าประมาทนี้เลวร้ายมาก ประมาทรื่นเริงกับโลกเขาอยู่... ให้มารวมกันกับแกนแก่น ที่รวมกันแล้วเป็นชุมชนสาธารณโภคี ที่สูงสุดแล้ว อยู่อย่างสงบ อุดมสมบูรณ์ อยู่อย่างเป็นหลักแกนให้สังคมโลกเลย สังคมอโศกเรามีแล้ว แล้วก็มาอยู่อย่างถ้าเข้าใจแล้ว ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีสอง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างศึกษาให้เข้าใจและทำ
บุญคือการเอาออกสละออก แต่ว่าเขาเข้าใจผิดว่าเป็นการเอาเข้าหรือได้มา ไม่มีใครเข้าใจคำนี้แล้วยุคนี้ มีอาตมารู้คนเดียว ก็เลยโดนท้วงว่าเก่งคนเดียวรู้คนเดียว อาตมาพูดความจริง
สังคมเกื้อกูลกันเอื้อเฟื้อกัน ช่วยเหลือกัน เราให้ท่าน ท่านให้เรา ถ้าใครเอามาให้เราแต่เรามีแล้วก็ขอบคุณ ถ้าเราไม่มีก็แจ๋วเลย เราไม่มี เรานึกไม่ถึง ถ้าสิ่งดีเราต้องการก็ยิ่งประเสริฐเลย
ถ้าผู้มีเจตนาความรู้ อันประเสริฐในสังคมโลก อาตมาก็อยากเร่งพวกเราว่าตอนนี้ น่าจะฉวยโอกาส คือโลกกำลังเริ่มรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้เราก็ควรจะต้องรีบมาช่วยกันทำสิ่งนี้ให้เจริญเร็วๆ หมู่เราเกิดแล้วเป็นแล้วก็รีบรวมตัวเพื่อให้เกิดพลังงานดี รูปธรรมที่ดีตัวอย่าง idol ที่ดี ทุกวันนี้ตื่นตัวกันทั่วโลกแล้ว Globolization รู้กันทั่ว ก็ช่วยกันได้เร็ว
เรามาสร้างร่วมกัน ตัวเราเองก็เจริญด้วยคุณเป็นโมเลกุลหนึ่ง จะอ่อนแอหรือแข็งแรง ตกมาในสนามแม่เหล็กที่ถูกต้อง ก็จะปรับโมเลกุลใดก็แล้ว แต่โยนเข้ามาก็จะมาถูกพลังแม่เหล็กช่วยปรับตัวเราให้เข้าทิศทาง เป็นความถูกต้องแม้แต่อธิบายเชิงฟิสิกส์ก็ตรงกัน
คำตรัสของพระพุทธเจ้าไขความทั้งฟิสิกส์และนามธรรม ตรงกัน ก็เลยอยากจะเร่ง ให้สบายเบา ประชากรโลกเพิ่มปฏิภาคทวี คนที่มาเกิดเพิ่มขึ้น ก็มาจากอวิชชามากกว่าวิชชา ถ้าเราเพิ่มคนมีวิชชาก็จะช่วยโลกได้ ต้านสิ่งเดือดร้อนวุ่นวาย ถ้ามันไม่ทันโลก(มีอัตราก้าวหน้าของอวิชชา) เราก็จะได้รับผลนั้นมาถึงเราด้วย จะบอกว่าเราเห็นแก่ตัว ช่วยตัวเองรอดก่อนก็ถูก แต่เพื่อผู้อื่นด้วย อย่าประมาท เราเจริญขึ้นไม่ได้เสียอะไร
เพราะฉะนั้นอย่าประมาท คนเราบางคนเข้ามาได้แล้ว รู้ดีด้วย ส่วนคนไม่รู้ก็มาได้ยาก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ายิ่งเป็นโลกุตระหากไม่มียินดีฉันทะอะไรก็ไม่ก้าวหน้าไม่เริ่มต้น จิตวิญญาณมนุษย์หากไม่ยินดี ยัดเข้ามาก็ไม่เอา ถ้าเรายินดีแม้ไม่มีภูมิปัญญาก็เข้าได้ ยิ่งมีภูมิปัญญาก็ยิ่งเข้าได้ดี
พวกเรานี้อย่าช้าเลย ความต้องการของโลกของสังคมก็ต้องการ เราเองก็น่าจะเจริญอย่าช้า
คนที่สูงแล้วลดตัวลงมาต่ำได้แล้วไม่เสีย แต่คนที่ยัังไม่สูงลดลงมาต่ำนี้เสียเลย นรกดึงไปไม่ขึ้นได้ง่าย แต่คนมีพลังของตนแล้ว โลกเอาไปไม่ได้ ลดตัวเองมาได้ประมาณหนึ่ง ทำเหมือนอย่างกับคนต่ำ เพื่อช่วยเขา ตนเองก็จะได้ทดสอบตนเองต้องแข็งแรงเพิ้มเติม เกื้อกูลคนอื่นด้วย แต่ถ้าลดไปมากๆจะเสียเวลา สิ่งเสถียรแล้วถ้าลดต่ำลงไปก็ไม่พอดี ต้องไปใช้วิบากอีกนานกว่าจะมาได้อีก วิบากมาเหมือนหมาไล่เนื้อลากเราไปก็เสียเวลา เราต้องประมาณในการช่วยคนอื่นให้พอดี ถ้าผู้สูงลดมาช่วยคนต่ำ ก็จะไปได้ แต่ถ้าเจริญแล้วไม่มาช่วยเจริญแล้วหายไป ตัดไปเลย อุจเฉทิฏฐิ อย่างเถรวาท อรหันต์ตายแล้วสูญไม่ต่อได้ อรหันต์ก็สั้นลง จนหมดไป ไม่มีการต่อเชื้อเลย ความเข้าใจผิดอุจเฉทิฏฐิชนิดนี้ทำให้บรรลัยจักรเลยทำให้สูญ คนไม่มีภูมิปัญญาก็ทำ แต่ดีมีคนรู้แล้วทำคืนอธิบายให้คนรู้ว่าอย่าไปหลงตามอุจเฉทิฏฐิพวกนี้ ตนเองบรรลัยไม่พอดึงคนอื่นไปด้วย ยุคใดกัปป์ใดมีคนเลวพวกนี้มาก ก็จบเลย อรหันต์ก็ไม่เหลือ จนกว่าจะต้องมีกัปป์ใหม่ พัฒนากันใหม่ใช้เวลานานอีกเท่านานเลย
สรุปแล้วจุดเน้นคือพวกเราชุมนุมกันแล้ว อาตมามั่นใจว่าได้ติดชิปให้พวกเราไปแล้ว อย่าไปเสียเวลาประมาทกับสิ่งล่อภายนอกมาก ลาภ ยศ สรรเสริญ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อัตตามันก็ล่อไปเสียเวลา คุณมาเจริญแล้วสูงสุดอยากจะเป็นโพธิสัตว์อีกนานเท่าไหร่ก็ได้ อย่างพระอวโลกิเตศวรก็จะช่วยให้คนบรรลุอรหันต์หมดโลกก่อน ตนเองถึงปรินิพพาน อาตมาเห็นว่าเป็นปณิธานที่สุดยอด แต่อาตมาไม่ขอทำแบบนั้นด้วยหรอก
บ้าน ในหลังปกอันนี้ต้อนรับอาตมาขึ้น 7 รอบนักษัตร บ้าน วัด โรงเรียน
บ้าน คือสังคมทั้งหมดที่เราอยู่ร่วมกัน
วัดคือ ธรรมะ
โรงเรียนคือการศึกษา
สามเส้านี้ บ้าน วัด โรงเรียนจะซึมซับหากัน มาอยู่ในหมู่บ้านนี้ก็จะซึมซับกันไปได้ เพราะหมู่บ้านนี้มีสัมประสิทธิ์แล้ว จะซึมซับละเอียดมีสภาวะจริง
ความจริง ความรู้ สองอย่างที่เป็นโลกุตรธรรม จะมีความจริงกับความรู้สองอันหลักๆ จะแทรกซึมเข้าไปให้กับทุกคนที่คือสัจจะของบวร บ้าน วัด โรงเรียน คุณจะไม่ประสีประสาก็จะซึมซับได้ เพราะต้นทุนของหมู่ตัวแกน constant ตัวคุณธรรมคุณวิเศษที่คงที่มีอยู่แล้ว มีพลังงาน kinetic หรือ dynamic อยู่แล้ว พลังงานทั้งแกนและเคลื่อนไม่เสื่อม ตัวแปรเป็นพลังงานเคลื่อน เคลื่อนนี้จะมีคุณภาพก้าวหน้า แต่ก่อน kinetic หรือ dynamic ก็มีในนิวเคลียสบวกลบอยู่แล้ว แล้ว dynamic ที่จะก้าวหน้าก็จะช้าได้ เพราะกำลังมีแค่บวกอันอื่นทำอะไรมันได้ จนเป็นพลังงานระดับคูณ คูณคือเกินกำลังของสิ่งอื่นจะมาลดลงได้ มันจึงจะพาก้าวหน้าได้ ยิ่งยกกำลังแล้วยิ่งเจริญไปใหญ่เลย คือเงื่อนไขของสัมประสิทธิ์
ในสังคมมีสัมประสิทธิ์สมบูรณ์แล้วคุณจะอ่อนแอหน้านองน้ำตามาก็เจริญได้ ให้มันตายลงเลย เอาเลย ตายแล้วรับรองมีเชื้อเจริญต่อข้ามชาติได้ คุณสมบัติอย่างนี้เป็นคุณสมบัติที่แม้เราต้องน้ำตานองหน้าลำบากก็ยิ่งต้องพากเพียร ถ้ายิ่งได้โดยไม่ยากไม่ลำบากก็ สบม.ทมด.ปกต.หห
สังคมโลกทุกวันนี้ต้องการ เขารู้แล้วในหลวง ร.9 เป็น idol แล้ว เราเป็นตระกูลเดียวกับท่านโดยธรรม เราก็ต้องพยายามเสริมหนุนคุณสมบัติวิเศษนี้ให้แก่โลกที่ท่านก็พยายมทำ เราก็ช่วยต่อให้เจริญ
กาละนี้มันต้องเร่งรัด คล้ายๆกับว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก เหล็กกำลังร้อนๆต้องรีบตี จะว่าฉวยโอกาสก็เป็นกาละอันควร ไม่ได้เร่งรัดเพื่อให้เกิดการได้เปรียบหรือไปทางเลว มีแต่เป็นไปในทางดี อนุโลมในกัปป์นี้
กัปป์นี้จึงหมดอายุศาสนาพุทธอีกสองพันกว่าปี เมื่อหมดกัปป์นี้ของพระสมณโคดมแล้ว กัปป์ต่อไปจะเป็นอย่างไรไม่ขออธิบายวันนี้
ในขณะนี้ยุคกัปป์นี้ที่ยังไม่หมดกัปป์นี้ของพระสมณโคดม เราก็ทำไปจนสิ้นกัปป์ ต่อไปก็ไม่ใช่หน้าที่เราแล้ว ผู้ที่จะเข้าไปสู่การเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องมาเกิดในปลายกัปป์เพื่อให้มีเหตุปัจจัยให้ไปสู่การเป็นพระพุทธเจ้าได้ ต้องไปเรียนรู้ให้ครบ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ) ตอน ความช้าสามอย่าง
มาในยุคพวกเรา อย่าช้าเลย ที่ช้าเพราะอะไร ความช้าของคนมีสามอย่าง
1.ช้าเพราะไม่มีปัญญารู้ว่าอันนี้ดี แล้วจะมาเอาทำไม ดีไม่ดีว่าชั่วด้วย ไปหลงโลกีย์ดีกว่า อันนี้เขาว่าไม่ได้เรื่องก็ไปวนเวียนนรกสวรค์อีกไม่รู้กี่ชาติ
2. คนรู้ว่าดี แต่มีกิเลส กลัวเสียลาภ ยศ สรรเสริญ สุขโลกีย์ แม้มีปัญญารู้แต่ไม่มาเอา มันก็ไม่ได้ ยังเสียดายโลกอยู่ โลกจึงดึงคุณไปอีกนานไกล เพราะไปเพิ่มจำนวนความหนาโลกีย์
3 มิจฉาทิฏฐิ เข้าใจว่าความเป็นกลางนี้ก็ไม่ต้องไปหาใคร แล้วก็คือบำเรอตัวเอง แล้วไปเข้าใจผิดอีกว่าคนเป็นกลางนี้เป็นคนสูงส่งไม่ต้องไปเข้ากับหมู่ดีหรือชั่วอะไร ทั้งที่คนดีควรไปอยู่กับหมู่ดีเพื่อให้มีกำลังเพิ่มขึ้น ถ้าคนดีไม่ส่งเสริมคนดี พลังดีก็ไม่วิ่ง พลังดีก็ช้า พลังดีจะเร็วต้องเสริมกันไม่งั้นช่วยไม่ได้
ยกตัวอย่างทุกวันนี้ ถ้าทางสังคมประเทศชาติช่วยส่งเสริมอโศก ถ้าเห็นว่าดี ช่วยให้ชาวอโศกได้เข้าไปร่วมทำงาน ให้รับพลังงานเสริมนี้ไป แต่ถ้าเข้าใจว่าไม่ดีท่านก็ไม่เอาอยู่แล้ว แต่ถ้าเห็นว่าดี ก็เสริมกัน เราพูดไม่ได้เอาดีเข้าตัว แต่บางอย่างเราเห็นว่าถ้าเราทำแล้วไปไม่รอดเราก็ไม่ทำ เช่น เราไปแล้วหมู่ใหญ่ไม่ศรัทธาก็ซ้อน ถ้าทางผู้ที่สูงไม่เอาอโศกไปออกหน้านี้ดีแล้ว แต่ถ้าไม่เอาอโศกก็ไม่ได้แน่ คือต้องเอาบ้างส่งเสริมบ้างแต่ไม่ต้องถึงกับรับให้ตำแหน่ง เอาชัดๆ ให้พรรคเพื่อฟ้าดินเป็นหนึ่งในการบริหารในสภา เราก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่ทางกกต.นี้รู้ว่าพรรคเพื่อฟ้าดินนั้นดี หลายคนอยากให้เข้าไปในสภา แต่เราไม่พร้อมทั้งคุณภาพและปริมาณ ทั้งสมมุติและปรมัตถ์ เรามีด็อกเตอร์หลายคนแล้ว แต่เราไม่มีตัวตนได้เพิ่มขึ้นทางสมมุตินี้ทำให้เสื่อม แต่ต้องมีเนื้อปรมัตถ์เข้าไป แต่ปรมัตถ์ของเราก็เล่นตัว หากเราไปแล้วไม่เจริญ เราก็ไม่เข้าไป มหาปเทสกับสัปปุริสธรรม 7 ก็สำคัญมาก
อาตมาไม่ผู้ทำงานตำแหน่งหรอก ก็เห็นใจ สนับสนุนได้เท่าที่ทำได้ ไปแล้วเสียทั้งสองฝ่าย ส่วนรวมได้เราก็ได้ ก็ทำ
พวกเราอย่าช้า ขนาดนี้หลายคนอย่านึกว่า หัวเรายังดำ หนังเรายังไม่หย่อน อย่านึกว่าเราไม่แก่ไม่เสื่อม อย่าประมาท ตายวันตายพรุ่ง ตายวินาทีก็ได้ ไม่ต้องข้ามวินาทีก็ตายได้ มันตายเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วคนตายทีหนึ่ง พูดอจินไตยให้ฟัง ถ้าคุณมีวิบากเยอะก็วิบากบาปวิ่งเร็วกว่ากุศลวิบากบาปเหมือนหมาไล่เนื้อ ถ้าเสียเวลาวิบากบาปไล่ทันได้ อย่าประมาท ตายเมื่อไหร่ไม่รู้
การตายนั้น ทั้งที่เป็นวิบากเรา แต่เหตุปัจจัยโน้น คนอื่น วิบากอื่นมาทำเราตายได้ เป็นความไม่เที่ยงหมอดูดูไม่ถูก ทุกอย่างไม่เที่ยงไม่แท้ คือยิ่งใหญ่มาก ขึ้นต้นเลย และมันเป็นทุกข์ ทำให้หมดตัวตนได้ จะทำให้เที่ยงได้ต้องทำความไม่มีตัวตนให้ไม่มีถาวรเลย แล้วเราจะไม่ทุกข์อีกเลยได้
ตีเปราะย้ำว่าอย่าช้า ไม่ต้องเอามีดพร้ามาก็ได้ตามเพลง...เดี๋ยวนี้เสียมพร้ามีเยอะ เอาตัวกับหัวใจมา เร่งรัดพัฒนา อย่าประมาท โลกต้องการ เราก็ต้องการเจริญ ไม่มีใครโง่ไม่อยากเจริญ ก็สอดคล้องสัจจะ โลกต้องการเราก็ต้องการ
ถ้าเรามาทำอันนี้ส่งเสริมได้โลกจะดี เกาหลีเหนือก็ไม่ต้องทิ้งระเบิดใคร อเมริกาก็ไม่ไปทิ้งระเบิดเกาหลีเหนือ เราก็ช่วยเขาไป แต่ถ้าอยากเป็นเจ้าโลกอย่างอเมริกา เกาหลีเหนือก็ไม่หยุด แต่ เราหยุดแล้ว ระเบิดไฮโดรเจนไม่มาหรอก ไม่ต้องใช้ชีหางนกยูงปัดระเบิดหรอก เราไม่เป็นเหตุให้เขาโกรธเกลียด เราไม่ไปแย่งชิงกับใคร เกาหลีเหนือไม่รู้หรอกว่าไทยเราเจริญ แม้อเมริกาก็ตาม
ในโลกสมมุติทุกวันนี้เหมือนเกาหลีเหนือตัวน้อยพวกน้อย แต่อเมริกาพวกใหญ่ตัวใหญ่ (มีพวกเราบอก)เกาหลีเหนือมีจีนกับรัสเซียเป็นพวก
เป็นสงครามสัตว์โลก กัปป์ไหนกัลป์ไหนเหมือนกันหมด อาตมาก็เกิดมาทำกับหมู่นี้เป็นคนไทยจนกว่าจะหมดกัปป์นี้ แล้วก็ต้องไปเกิดกับชาติอื่นๆไปอีก
ตอนนี้งานที่เราจัดกันพวกนี้ คนกลุ่มน้อยไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่ แต่มีสื่อสารที่กระจายไป จะมีคนใหม่ รู้ว่าน่าจะมาพัฒนาตนเอง ยิ่งคนเข้าใจมีความรู้ว่าอโศกไม่ใช่ต่อกัปป์เดียว แต่กัปป์ต่อกัปป์ไปอีก คนมีปฏิภาณรู้ก็จะยิ่งเข้ามา
ก็ขอสรุปลงไปเลย จบคือว่า เมื่อมารวมกันก็ดี พวกคุณมาฟังใกล้ๆตัดสินใจได้นะอย่าช้า พวกคุณที่อยู่ข้างนอกได้รับการสื่อสารก็รีบมารวมกัน สถานที่มีพอ จะไปเกี่ยงว่าไม่มีเงินนั้นไม่เป็นไร มาแต่ตัวกับหัวใจ บ้านมีพอให้อยู่ ข้าวก็มาช่วยกันปลูก ยังไม่เก่งก็มาฝึก พวกเราพาฝึกแล้ว ชอบใจตรงไหนไปเลย ที่เล็กหรือที่กว้างก็ได้ มีที่ๆยังไม่ค่อยมีใครไปพัฒนาก็มี ดินหนองแดนเหนือต้นไม้เยอะเลย ที่ดอยรายปลายฟ้าก็มี
ตอบคำถาม
_ฟ้าแผ้ว หมอชีวกได้ทำยาถวายพระพุทธเจ้า ได้สูดดมยาครั้งเดียว ถ่ายถึง 31 ครั้ง ถามว่ายานั้นมีส่วนประกอบอะไรบ้าง
ตอบ...อาตมาไม่รู้อาตมาไม่เก่งเรื่องยาเท่าหมอเขียวหรือหมออื่นหรอก ก็ค่อยศึกษาไป
_ถ้าคนเรามีวิบาก ก็ต้องใช้วิบากไปไม่มีหมด วิบากรอแซงคิวอีก ตราบในไม่ปรินิพพาน แต่ถ้าปรินิพพานแล้ว วิบากตามไปได้อีกไหมจะมาสู่การเกิดได้อีกไหม วิบากกรรมเก่านี้จะยังอยู่ไหม
ตอบ...มันไม่ได้เพราะว่าทำลายอัตภาพแล้ว เช่นอัตตาของ H2O เป็นอัตตาของอุตุ คือน้ำ ที่เป็นต้นกำเนิดของพีชะ เมื่อแยก H กับ O แล้วก็ไม่มีน้ำนี้อีก
อย่างระเบิดไฮโดรเจน เมื่อระเบิดแตกกระจายแล้ว เศษชิ้นส่วนระเบิดก็ไม่เหลือซากเดิมอีก ไม่รวมกับพลังงานระเบิดนั้นอีกแล้ว รวมกันอีกไม่ได้หรอก สสารวัตถุก็หมดไป พลังงานก็หมดไป พลังงานระเบิดไฮโดรเจน หรือระเบิดนิวเคลียร์อันนี้ก็หมดไป
พระพุทธเจ้ายกตัวอย่าง เป็นิิbbbม่วงตัดขั้วแล้วแตกกระจายไป ไม่รวมเป็นพวงมะม่วงอันเก่าแล้วไม่มีแล้ว สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีระเบิดนิวเคลียร์ให้ยกตัวอย่าง
ไม่ใช่ว่าต้องไล่ล้างวิบากเก่าให้หมดก่อน
_หลวงปู่คะเวลาหลวงปู่ทำงานแล้ว ท่านเหนื่อยท้อแท้กับงานที่ท่านทำจะทำอย่างไรคะ ไม่อยากทำงานแบบนี้มีไหม?
ตอบ...หลวงปู่ไม่ได้ท้อแท้ ถามว่าถ้าท้อแท้แล้วทำอย่างไร หลวงปู่ไม่ท้อแท้ ก็เลยสบายๆไม่ต้องทำอะไร หลวงปู่ไม่มีไม่อยากทำงาน
_ขวัญชนกบอกว่า เราจัดบอร์ด พ่อครูทำงานหนัก มีเจตนาว่าพวกเราที่อยู่ข้างนอกจะมาช่วยกันอย่างไร
พ่อครูว่า...ไม่ได้ท้อแต่เหนื่อยมีแน่ ก็ต้องพยายามให้ฟื้นคืนกำลังมา
_ขวัญชนกว่า ถ้าทำงานเหนื่อยหนักแต่มีเป้าหมายก็ไม่ท้ออย่างนี้ได้ไหม
พ่อครูว่า... เรามีเป้าหมายและทำตามที่พี่ป้าน้าอาพาทำ ถึงอย่างไรไม่มีใครบีบให้ทำจนตาย หรือแม้เราถูกให้ทำจนตายเลยก็มีแต่กุศล ไม่ต้องกลัวเลย ชาติหน้าเราก็ดีกว่าเดิม อย่างน้อยเราได้ความอดทนสุดทนจนตาย
_ถ้าคนๆหนึ่งคนเจอผี ทำไมถึงเจอ เจอเพราะมาขอส่วนบุญหรือเปล่าคะ
ตอบ...ผีคือจิตวิญญาณ ของใครก็อยู่ที่ของตน ไม่มีใครจะไปเห็นของใครได้ จะบอกว่าใครเห็นผีเป็นรูปร่างเสียงแสงนั้นไม่มีหรอก ของปลอม หูเราแว่ว ตาเราหลอน กลิ่นจมูกเราหลอก ตัวตนรูปร่างกับรสนี้เกิดได้ยากกว่า แต่แท้จริงคืออุปาทานของเราเอง ของหลอก ทาง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทั้งนั้น
_อยากจะถามสด … ท่านหนักแน่นอยากถาม…
_วันนี้พ่อครูเทศน์ให้ใครฟัง...ขวัญชนกตอบว่า เทศน์ให้ทุกคนฟัง...ส.หนักแน่นว่าไม่ใช่ ...พ่อครูเทศน์ให้รังนกฟัง….ขวัญชนกตอบว่า คือบวร ถูกต้อง
แล้วเทศน์ให้พระพุทธรูปฟัง ...หมายถึง ...คนตอบไม่ถูก
เทศน์ให้นาฬิกาฟัง...หมายถึง ความไม่เที่ยง
พระพุทธรูป หมายถึงพระพุทธเจ้า
ล้อเกวียนหมายถึงพระธรรมจักร
_ทำอย่างไรเราจะหลุดพ้นจากโลกียะ
ตอบ...มาอยู่กับชาวอโศก
_ทำอย่างไรจะรู้ตัวตนแจ่มแจ้ง
ตอบ...มาอยู่กับชาวอโศก
_ทำอย่างไรให้เรามีความสุขตลอดเวลา
ตอบ..ต้องทำให้หมดทุกข์ ต้องดับเหตุแห่งทุกข์แห่งสุขให้หมด ต้องหมดทุกข์มันก็คือหมดสุข ในขณะที่สุขอยู่ก็ทุกข์ไม่ได้ ในขณะมีทุกข์อยู่ก็สุขไม่ได้ ต้องหมดสุขหมดทุกข์
_ทำอย่างไรให้ใจสงบเมื่อเจอคนไม่ชอบหน้า
ตอบ..ก็มองคนเป็นความว่าง คือค้นหาความไม่ดีของเขาให้ออก คือเราเองก็ยังมีความไม่ดีนั้นไหม เราเคยมี เราทำออกได้แล้ว แต่เขาทำไม่ออก ก็เลยเห็นว่าเขาน่าสงสาร เรารู้แล้วแต่เราทำไม่ออกก็เลยเห็นใจเขา
_ทำไมคนที่มีความทุกข์ต้องทำร้ายตัวเอง
ตอบ..หลงผิด โง่
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ทำดีแล้วไม่มีคนเห็นเพราะอะไร
_ทำไมเวลาเราทำดีแล้วคนไม่เห็น
ตอบ...เขาตาบอด เราทำดีแล้ว อย่าไปหัวซา 1.เขาตาบอด เขาไม่รู้ 2. เราทำดียังไม่มากพอ ทำต่อไปแล้วเขาไม่เห็นก็คือเขาตาไม่ดี เขาโง่ ทำต่อจนคนตาบอดเห็นได้
_ความหมายของคำว่าตายทั้งเป็นคืออะไร
ตอบ...คือทุกข์ คนที่รู้ว่าตายนั้นน่ากลัว แต่เขาไม่อยากตายก็เลยเกิดการดิ้นตายทั้งเป็น จริงๆแล้วไม่ได้ตาย เป็นอยู่แต่บอกว่าตนเองตาย ก็เลยตายทั้งเป็น คือความโง่ซับซ้อน
_ทำอย่างไรให้คนอื่นรู้ว่าคนนี้คนนั้นทำดีเอาหน้า
ตอบ...รู้ก็รู้ไม่รู้ก็ไม่รู้ เราก็ไม่ต้องไปทำตามหรอก เราไม่รู้ก็ดีแล้ว
_ทำอย่างไรจะได้ดีอย่างที่เราคิด
ตอบ...เรียนรู้ พยายาม
_ทำไมคนที่มีเลว ทำไมถึงเขาไม่ทำดี
ตอบ...ก็เพราะว่าเขาไม่เข้าใจว่าเลวคืออย่างไรก็เลยทำ บางทีนึกว่าทำดีด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างคนที่ไปแย่งชิงมาให้ตัวเองรวย มันคือความเลว เขานึกว่าดีนะที่ไปสะสมความรวย
_ถ้าได้มาแล้วเอาไปทำบุญได้ไหม
ตอบ...อย่าซับซ้อนสร้างภพ เสียเวลา
_หลวงปู่เคยคิดว่าไม่อยากจะทำงานไหม
ตอบ...ก็อยากก็ไม่อยากไม่อยากก็ไม่อยาก ไม่ควรทำงานก็พัก ทำแล้วไม่คุ้มไม่ดีก็ไม่ทำ เอาตามเหตุตามผล ไม่ทำตามอยากหรือไม่อยาก
_หลวงปู่คิดว่างานเป็นสิ่งที่เราทำได้ไหมคะ
ตอบ...งานเราต้องทำ ต้องพิจารณาว่างานดีงานควรไหม งานดีแล้วควรทำก็พยายามทำ
_ทำอย่างไรถึงทำให้ทุกคนมีความสุข
ตอบ...ทำของเราก่อน ให้เรารู้ว่าสุขคืออะไร และสุขที่ดีที่สุดคือไม่สุขไม่ทุกข์นั้นดีกว่า ทำคุณอันสมควรก่อนไปสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง
_สัตว์เดรัจฉานไม่รู้ว่าตนสะสมวิบากบาป แต่มาเป็นคนแล้วก็สะสมวิบากบาปเพราะไม่รู้แต่สามารถรู้ได้แล้วเลิกทำบาป ทำดีจนวิบากบาปไล่ไม่ทันได้อีก ขนาดนั้นผู้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังมีวิบากบาปตามทันได้ ก่อนปรินิพพาน พระอรหันต์ทุกองค์จะมีวิบากบาปไล่ทันก่อนจะสลายอัตภาพ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เห็นว่าอย่าทำบาปแม้น้อย ทำแล้วสะสมในคลังสมบัติอัตภาพเรา ไม่มีหายไป
_ทำไมบางคนคิดว่าคนๆนั้นโง่
ตอบ...ก็ตรวจสอบให้ดี รู้ให้จริงว่าเขาโง่จริงไหม ถ้าเอาแต่คิด ก็ผิดได้นะ ต้องรู้ ว่าคนโง่ ความโง่คืออะไร ความโง่คือสิ่งที่น่าสงสารของเขา หรือจริงๆคือสงสารของเขา คนโง่จะตกอยู่ในสงสารของเขา สงสารคือความวน สัตว์หรือคนกตาม คนนั้นจึงมีสงสาร คนมีดวงตาปัญญารู้ว่าเขาไม่พ้นสงสารยังวน ก็น่าช่วยให้เขาพ้นสงสาร คือคำว่าน่าสงสาร ที่จริงเราพ้นสงสารแล้ว เราถึงจะไปช่วยเขาที่ตกในสงสารได้
_พ่อครูเคยบอกว่าโปรดเอื้อมเอื้อ กล้าเชือดเนื้อเพื่อผู้อื่น
ตอบ..ก็หมายความว่าเราเอื้อเอื้อ ยื่นออกไป กล้าเชือดเนื้อตัวเราเอง เราจะเสียบ้างเพื่อช่วยคนอื่นได้ ผู้ที่สามารถช่วยคนอื่นได้ตัวเองต้องมีก่อน เราจะให้เงินคนอื่นเราต้องมีเงินก่อน กล้าเชือดเนื้อตัวคือเราสามารถควักเนื้อตัวเองให้ได้ แม้ต้องตายเพื่อช่วยคนอื่นก็ทำได้
_ท่านทำไมถึงเป็นห่วงทุกคนคะ ท่านทำเพื่ออะไรคะ
ตอบ...เพราะเห็นใจ เห็นเขาทุกข์ก็เป็นห่วง ทำเพื่อให้เขาพ้นทุกข์เหมือนอย่างที่หลวงปู่พ้นทุกข์บ้าง
_พลังมวลรวมของชุมชนบวรอโศกมีความหนาแน่นและเข้มแข็งดี เป็นเพราะความพยายามของพ่อครูและสมณะสิกขมาตุ และอาจมีพลังงานที่ไม่ดีที่ทำให้ลดความเจริญหรือถ่วงไม่ให้เจริญคืออะไรคะ
ตอบ...ยังหรอก ไม่เข้มแข็งมากหรอก สังคมยังไม่ยอมรับมากหรอก ส่วนพลังงานที่ไม่ดีนั้นเราต้องรู้ก่อนว่าหมู่ตกลงเอาอย่างไร ก็ทำตามหมู่ไปก่อน แล้วก็อาจมีผู้รู้กว่าหมู่ แต่ท่านก็จะเอาตามหมู่ได้ เพราะท่านไม่มีอัตตา ผู้รู้สูงกว่าหมู่จะรู้จักยอมกับหมู่ยอมลดอัตตาลง จะไม่ถือดีเอาอย่างฉันไม่ดันทุกรังเอาอย่างฉัน
_การไถ่ชีวิตสัตว์การปล่อยปลา มีกุศลหรืออกุศล
ตอบ..ถ้าสัตว์นั้นอยู่ตามธรรมชาติ แล้วเราไปเจอมันลำบาก เราก็ช่วยมันเอาไปปล่อยก็ไม่ซับซ้อน เป็นกุศล แต่ถ้าเราไปซื้อมาปล่อย มันก็มีกลเม็ดเอาสัตว์มาขายแล้วสัตว์มันก็กลับไปหาเขาที่ผูกมัดสัตว์ไว้ด้วยสิ่งเสพติดแล้ว เราก็กลายเป็นเหยื่อเขา อย่างนี้ไม่ควรสนับสนุน
ต่อไปเป็นการจับสลากรับรูปภาพพ่อครู…..
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 17:47:40 )
รายละเอียด
600625_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ประชาธิปไตยโลกุตระ 28 ข้อ
สมณะเพาะพุทธว่า…รายการวิถีอาริยธรรม ประจำวันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2560 ในหนังสืออาศิรพจน์มีข้อความกล่าวสดุดี เฉลิมพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหนังสืออาศิรพจน์ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า
ยิ่งใดจะใดกล่าว ยิ่งเทิดท้าวไผทไทย
ยิ่งตื้นยิ่งตันใจ ยิ่งมิมีวจีพอ
0 ยิ่งตรึกยิ่งลึกล้น ยิ่งท่วมท้นพ้นขานขอ
ยิ่งเขินจะเยินยอ ยิ่งไหนหนอจะเทียมทัน
0 ยิ่งฟ้ามหาสมุทร ยิ่งพิสุทธิ์มไหศวรรย์
ยิ่งพระมหิศร์จรรย์ ยิ่งมหันต์อนันตคุณ
0 ยิ่งฝ่าพระปาทปก ยิ่งเกล้าพสกยิ่งอบอุ่น
ยิ่งนานยิ่งผ่านบุญ ยิ่งบารมียิ่งบารนี
บารนี กับบารมี มีความหมายต่างกันอย่างไรครับ
พ่อครูว่า...บารนีแปลว่า อย่างนี้แหละ เป็นการย้ำคำว่าบารมี คือยิ่งเลิศ เป็นศัพท์โบราณ สมัยใหม่คือ Coefficient สัมประสิทธิ์
สมณะเพาะพุทธว่า...กำลังจะบอกแต่ผู้ฟังว่า หนังสือมีอานุภาพเป็นไอ้ใบ้เสียงดัง ปัจจุบันพาหนังสือพ่อครูไปไหนต่อไหนเพื่ออ่านตลอด และมีการปฏิบัติทบทวนและเท่าทัน และที่ได้ใส่ใจอ่านหนังสือพ่อครู เพราะว่าพ่อครูใช้ความเพียรในการเขียนหนังสือ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กำจัดรสของความง่วง
พ่อครูว่า พูดถึงเรื่องง่วงนี้ อาตมาได้ฝึกการตื่น ฝึกการรู้เท่าทันอารมณ์ง่วง จนกระทั่งแก้ไขอาการง่วงของตนเองได้สำเร็จ จนจับได้ว่าอาการอารมณ์ของความง่วงที่มันยียวนชวนใจเป็นอย่างไรแล้วก็รู้ว่า มันอย่ามาเสนอหน้านะ ปัญญาเราจะรู้ทัน มันสู้ปัญญาเราไม่ได้ ใครฝึกให้รู้เท่าทันว่าอาการง่วงมันเข้ามาแล้วนะ เรารู้ตัวแล้วจับได้เลย มีปัญญารู้ว่าอันนี้คือตัวผีร้าย อย่ามาทำเก่งในตัวเรา มันจะพ่ายแพ้ หายไปเลย ละลายไปเลย ไฟความรู้ไฟฌานจะชนะ เป็นไฟปัญญาจริงๆจะชนะสิ่งที่ไม่ดี ทำฝึกแล้วเราจะได้ตัวอย่างของปัญญา การสร้างสติและรู้เท่าทัน ฝึกจับอารมณ์ไม่ว่าจะความง่วงหรือกามหรืออื่นๆก็ตาม ก็เป็นกิเลส
สมณะเพาะพุทธว่า...วันนี้ขอนิมนต์ พ่อครูอธิบายประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ
พ่อครูว่า...มีใบแทรกมาว่า จะเชิญชวนชาวชุมชนสันติอโศกไปตอบคำถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้ ที่สำนักงานเขตบึงกุ่ม ใครจะไปก็ให้มาลงชื่อที่ประชาสัมพันธ์ ท่านชนะผีจะจัดรถไปส่ง
วันนี้ตั้งใจบรรยายประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ 28 ข้อ ซึ่งเป็นประชาธิปไตยแบบฉบับโพธิรักษ์ อาตมาเป็นนักรัฐศาสตร์ นอกกฎเกณฑ์ วิชาการของเขาหมด
_sms มีหลายอันก็จะอ่านเร็วๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน การสวดมนต์มีกี่แบบ
_0015พระเอาแต่สวดท่องบ่น ไม่สอนธรรมะเลย ญาติโยมจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร
_4602ไม่เกี่ยวหลอกมันอยู่ทีคนจะหาทางพ้นทุกอย่างไงอย่าใปว่าสวดใมสอนสอนไปมีใครรุ้ใหม
พ่อครูว่า...การเอาคำสอนพระพุทธเจ้าคือบทมนต์มาสวดพร้อมกันสองรูปต่อหน้าสาธารณชนเป็นอาบัติ ปาจิตตีย์ แต่ถ้าเอาไปสวดคนเดียวก็ไม่อาบัติ แต่สวดกันตั้งแต่สองคนเป็นต้นไป สวดกันเป็นร้อยคนพันคน เต็มสนามหลวงนี่ อาบัติ
การสวดมนต์มีสองแบบคือ สังคีติ กับสังคายนา
สังคีติคือการสวดให้จำไว้ได้ เพื่อสืบทอดกันต่อๆมา ส่วนสังคายนาคือการสวดเพื่อชำระว่าถูกหรือผิด แล้วจะได้บันทึกอันที่ถูกไว้สืบต่อมา
แต่ทุกวันนี้สวดเพื่อต้องการให้หายป่วยต้องการให้บันดาลอะไรได้ อย่างนี้เป็นการเข้าใจออกนอกลู่นอกทาง เป็นเรื่องไสยศาสตร์ Magic เป็นพลังบ้าบอวิเศษ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่เลย บทมนต์คำสอนพระพุทธเจ้าให้ท่องไว้สองแบบนี้เท่านั้น
_2166คุณแป้งครับ ! โกนหนวดหน่อยครับ.
พ่อครูว่า...พูดถึงโกนหนวดเครา คุณไม้ร่ม ไม่โกนหนวด แล้วคุณจำลองนั้นไม่นิยมแบบไว้หนวด ก็เลยเป็นปฏิปักษ์ คุณจำลองบอกว่าถ้าคุณอยู่ที่ไหน ผมจะไม่อยู่ที่นั่น
สมณะเพาะพุทธว่า...อันนี้เป็นการนำเสนอแนวทางพุทธแบบอโศก คือแม้ว่าจริตต่างกันมาก แต่สามารถอยู่ใต้สายธารแห่งธรรมเดียวกันได้ เป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง
พ่อครูว่า..เป็น Unity of Diversity เป็นเอกภาพแห่งความแตกต่าง นี่คือประชาธิปไตย
สมณะเพาะพุทธว่า...ป่าคือความหลากหลายแห่งพรรณไม้ แต่สวนนี่ไม่มีความหลากหลาย
_867นมก.พ่อครูฯเทศน์โปรดถนอมน้ำเสียงเพื่อรักษาหลอดเสียงให้เทศนาธ.ได้หลายสิบๆปี(ปรับระดับเสียงที่ไมค์ดีกว่า)เพราะพระธ.คำสอนอมตะเที่ยงแท้ไม่มีวันสูญ หายอยู่แล้วสาธุseufaasin
_7630พ่อท่านว่า ท่านติช ดัช ฮันห์ เป็นพระโพธิสัตว์หรือเปล่าครับ?
พ่อครูว่า..ตามความรู้ของอาตมา เขาถือว่าสายมหายาน เป็นพระโพธิสัตว์ สายจีน ญวณ เป็นมหายาน ส่วนพม่า ไทย เป็นเถรวาท จะบอกว่าเป็นโพธิสัตว์หรือไม่ต้องอยู่ที่ความจริงของตัวเอง
_1614ท่านติกขะ ที่ช่วยพูดแข่งกับเสียงฝนตกแทนพ่อครู กราบขอบพระคุณค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญ ฌาน นิโรธ ต่างกันอย่างไร
_2166สามคำนี้ใช้แทนกันได้หรือเปล่าครับ บุญ-ฌาน-นิโรธ ?
พ่อครูว่า...บุญคือเครื่องชำระกิเลส ต้องทำไฟฌานไปทำลายไฟราคะโทสะโมหะ
ฌาน หมายถึงไฟ คือการสร้างให้เกิดไฟบุญ เกิดไฟไปชำระกิเลส ฌานจึงคือสิ่งที่คนต้องประกอบฌานขึ้น ฌานเป็นไฟกองใหญ่ ฌาปนกิจคือการใช้ไฟเผาศพคน ไฟนี้ก็จะเผาราคะ โทสะ โมหะ การสร้างฌานคือการสร้างไฟ เกิดไฟไปชำระกิเลสคือบุญ การชำระกิเลสได้หมดคือนิโรธ
บุญ ฌาน นิโรธคือคนละสถานะ ใช้แทนกันไม่ได้
สมณะเพาะพุทธว่า...ฌานเป็นการสร้างไฟเพื่อนำไปสู่การเผาชำระกิเลสคือบุญ หากบุญไม่สำเร็จก็ไม่เป็นนิโรธ หากทำสำเร็จก็เป็นนิโรธ ฌานนำไปสู่บุญและนิโรธ
_6703วิเศษ เท่ากับ ไม่มีเหลือ ซึ่งในทางธรรม คือ ที่สุด หรือสุดยอด ทางโลก คงจะรวมความเป็น วิเศษ เท่ากับ สุดยอด นะคะ
พ่อครูว่า..ทางโลกก็เอาไปใช้ แต่สุดยอดของทางโลกตรงกันข้ามกับทางธรรม ทางโลกกิเลสได้สมใจสุดยอด แต่ทางธรรมกิเลสหมดได้สุดยอด
_3867บทสวดโพชฌังคปริตรจากโพชฌงค์7ที่ญาติโยมนิยม สวดปลอบใจผู้ป่วยเขาก็ใช้ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์โดยวิเคราะห์พิจารณาแยกแยะอาการป่วย!อาหารที่เหมาะสม!อิริยาบถฤากายภาพที่ สนับสนุนให้หายป่วยดีขึ้นด้วยสติวิริยะฯตรงพ่อครูสอนฯskk
_3867สงสัยคงแต่มีธ.เริ่มคิดใคร่ครวญปรุงแต่งจนสิ้นกิเลส ตั้งสติถูกตรงแน่วแน่อันพ่อ สอนพารู้เท่าทันโลกธ.ที่คอยฉุดจิตเวไนยฯหมุนเวียน อยู่ในสภาวะอิฏฐารมณ์อนิฏฐารมณ์ฯผันแปรเรื่อยไป!skk
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สังกัปปะ 7) ตอน ความสำคัญของสังกัปปะ 7
_3867กราบอนุโมทนาธ.ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะฯโดยพ่อครู นำพาความคิดให้ถูกตรงสู่การคิดพูดทำโดยสิ้นกิเลสแล้วตามธ.สัมมาสังกัปปะ สาธุ!skk
_3867ขอบคุณกับบุญนิยมกับธ.อันวิเศษที่ทำให้รู้จักกิเลสจึงรู้ถึงธ.โลกุตระจากพ่อครู และสณ.สม.ที่เคยเทศน์ด้วยธัมมเทสนามัยทุกรูปสาธุ! skk
พ่อครูว่า... ความเรียงที่ส่งมาแสดงถึงความเข้าใจ ว่าได้รู้จักสังกัปปะ 7 ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นกระบวนการสังกัปปะ 7 ที่ทำงานสังเคราะห์สังขารกัน
ถ้าผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่เข้าใจในเรื่อง ที่สุดแล้วจิตวิญญาณหรือปัญญาไม่ หยั่งถึงสังกัปปะ 7 แล้วไม่ทำสังกัปปะ 7 เป็นแล้ว การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่เกิด เกิดแปลว่า
หนึ่ง การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ให้เลิกมิจฉาอาชีวะ มิจฉากัมมันตะ มิจฉาวาจา มิจฉาสังกัปปะ ต้องกำจัดกิเลสที่เกิดในมิจฉาสังกัปปะ เป็นต้นทางเป็นสมุทัยให้เกิดกายกรรมมิจฉา วาจามิจฉา
เพราะฉะนั้นสัมมาสังกัปปะหรือสังกัปปะ 7 จึงเป็นตัวสำคัญที่ปฏิบัติธรรมแล้ว ต้องเกิดความรู้ รู้กระบวนการนี้ แล้วปฏิบัติกระบวนการนี้ได้ สัมมาสมาธิจึงจะเกิด ถ้าไม่เช่นนั้น สัมมาสมาธิเกิดไม่ได้เลย การสอนการเรียนกับสำนักต่างๆ มิจฉาชีพ พอรู้แต่ไม่ได้เรียน พอรู้ว่าอาชีพไม่ดีมีอะไรบ้าง ปฏิบัติให้พ้นมิจฉาชีพ 5 ไม่รู้กันแล้ว แต่อาตมาภาคภูมิใจที่ได้ทำให้สังคมชาวอโศกมีคนที่ทำได้ถึงขั้นพ้น ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตาได้ แน่นอนว่า กุหนา ลปนา เราไม่มีแน่
เราไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ลักขโมยของใคร ไม่มีคดีทุจริต แล้วเรื่องละเมิดผัวเขาเมียใครก็ไม่ละเมิด ในมิจฉากัมมันตะ 3 พ้นมิจฉาวาจา 4 จนพ้นมิจฉาสังกัปปะ 7 เราก็ทำให้เป็นอภิสังขาร เป็นการปรุงแต่งละกิเลสได้ เป็นกุศลได้อย่างแท้จริง นี่คือการเรียนรู้ปฏิบัติมรรคมีองค์แปดของพระพุทธเจ้าที่ได้มรรคผล ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตแล้วไม่รู้อะไรเลย พระพุทธเจ้าสอนไว้เยอะแยะ
เขาบอกว่าไม่ต้องไปเปิดพระไตรปิฎก ไปนั่งหลับตาสะกดจิตแล้วทุกอย่างจะเกิดหมดเลยปัญญาจะเกิด ไม่ใช่เลย ปัญญาต้องเกิดจากองค์ 6 มรรค 8 เกิดจาก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ
อาตมาเชื่อว่าอาจารย์ผู้รู้ต่างๆก็ฟังอาตมา ดูจากข้อเขียนที่ออกมาพาดพิงแล้ว แต่เขาไม่เชื่อหรอก เขาเชื่ออาจารย์เก่าๆเขา อาตมาไม่มีอะไรเป็นสิ่งน่าเชื่อถือเลยทางโลก
เรื่องการสวดนี้สวดกันเป็นล้านจบอย่างธรรมกาย นั้นสวดให้อาจารย์เราปลอดภัย ถ้าสวดได้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องสอนอะไร สอนให้สวดมนต์อย่างเดียว ให้มันเกิดฤทธิ์เดช จะไปทำอย่างอื่นให้เหนื่อยทำไม บทมนต์ไหนขลังๆก็สวดเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน ความสำคัญของสัมประสิทธิ์
_5481ลูกอยากมีสัมประสิทธิ์
พ่อครูว่า...แสดงว่าฟังแล้วนึกชอบใจคำว่าสัมประสิทธิ์ Coefficient ดี สัมประสิทธิ์เป็นพลังงานองค์รวมที่สูงส่ง แม้ทางฟิสิกส์หรือจิต เป็นพลังงานที่ตั้งอยู่บนฐานของความก้าวหน้า ในระดับคูณ มีทั้งตัวตั้งตัวประกอบ พลังงานบวกพลังงานลบ มีพลังงานตัวแปรที่สูงมีประสิทธิภาพถึงขั้นคูณ และทำงานเสมอไม่มีตกต่ำ คุณอยากได้สัมประสิทธิ์ ถูกแล้ว เพราะเป็นการนำไปสู่ความบรรลุผล
SMS จากเฟซบุ๊ค
_Din Jaa · ได้ฟังธรรมมะพ่อท่านรู้สึกมีความสุขใบหน้ายิ้มแย้มสดใสร่าเริงทันที พูดจริง จริงเจ้าค่ะ
_หินชนวน อโศกตระกูล · ชมทางยูทูปครับ เร็วกว่าเฟซ
_Kamonpan Hoffman · ฟังชัดเจนเจ้าค่ะแม้มีเสียงฝนแต่พ่อครูจะเปล่งเสียงมากขึ้นเจ้าค่ะ
_จตุพล จรรยา · เสียงท่านเดินดิน แหบแห้งแล้วครับ....ท่านสุดยอดครับ
_จตุพล จรรยา · ซาบซึ้ง พ่อท่าน ตะเบ็งเสียงแข่งกับสายฝน ...กราบนมัสการ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สังกัปปะ 7) ตอน วิตกกับวิจาร
_พุทธพิมพ์ไพร ชวนนทกิจ กราบเรียนถามพ่อครูค่ะว่า ตัววิตก วิจารณ์ ที่พ่อครูบอกว่าต้องมีเพื่อที่จะเดินฌานให้ได้ นี้ต่างหรือเหมือนกับตัวโยนิโสมนัสิการอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...ถามว่า วิตก วิจาร คนที่ปฏิบัติธรรม ก็คงจะได้ฟังคำสองคำนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมจิตเป็นฌาน
ฌาน 1 ต้องมีวิตกวิจารเป็นตัวแรกเลย มีปีติ สุข ยังไม่ถึงอุเบกขา แต่องค์รวมต้องไปสู่อุเบกขา อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน
วิตก อธิบายเป็นภาษาง่ายๆคือจิตที่เริ่มเกิดมา ถ้าเริ่มโผล่มานี่ จิตเริ่มดำริ เริ่มมีจิตริเริ่มที่จิต เรียกว่า วิตก พอเริ่มมาจิตจะมีอาการ มีพฤติ มีความประพฤติของจิต เรียกว่า จาระ
วิจาระ แปลว่า ต้องรู้อย่างยิ่ง ว่า จาร คืออะไร เวลาปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า ต้องรู้จัก ตักกะ กับ จาระ ต้องรู้อย่างยิ่ง อ่านอาการตักกะอย่างไร จาระอย่างไร
คือการจิตตั้งแต่เริ่มจนมีพฤติ มีการเริ่ม1 พอปรุงแต่ง มีลวดลายลีลา คุณต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ อ่านวิเคราะห์ว่ามันมีตัวอกุศลเหตุ ปรุงแต่งร่วมอยู่ด้วยไหม การปฏิบัติธรรมต้องมีพิจารณา ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์เป็นตัวหลัก อ่านอาการ ไม่ใช่นั่งหลับตา ไม่กระดุกกระดิก
แต่พระพุทธเจ้าให้อ่านอาการกระดุกกระดิกของจิตที่มีกิเลสปนมา แล้วจัดการกิเลสให้เบาหรือดับลงได้ นี่คือการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า
แต่ทุกวันนี้ให้ไปนั่งสะกดจิตไม่คิดไม่นึกอะไรเลย เขาลัดเลยว่าให้จิตอุเบกขา คือจิตหยุดว่างเฉย เข้าใจผิด พาซื่อเป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนาไม่ใช่เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา ใช้กดข่มกดหัวมันเลย เป็นคนละวิธีการของพระพุทธเจ้าเลย เขาให้จิตจดจ้องให้จิตหยุดกับอันนั้น เป็นสะกดจิตแท้ ไม่มีอะไรก็ให้เพ่งนิ้วมือตนหรือเพ่งที่หน้าผากตนเอง หรือเพ่งลมหายใจเข้าออก ดินน้ำไฟลม เป็นกสิณของโบราณอาจารย์ อรรถกถาจารย์ อื่นๆเอามา ซึ่งมันเพี้ยนไปแล้ว เขานึกว่าถูกต้องอีก
การจะรู้จักวิตกวิจารณ์ จึงเป็นทางพิสูจน์ได้ คนปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะรู้จัก จิตตักกะ วิตักกะ คือวิตกนี่แหละ ในวิตกมีวิจัยวิจารณ์
วิจัย จิตที่เราดำริ มีพฤติกรรม เป็นจาระ คุณต้องวิจัยมัน มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะว่ามีกิเลสอยู่ไหน แล้วฆ่ากิเลสอย่าไปดับจิตหมด มันก็เสียสภาพจิตไปเฉยๆ ไม่ได้ดับสิ่งควรดับ คือกิเลส
SMS วันที่ 22 มิถุนายน 2560
_7459ครูสมัย50ปีก่อนก็เคยเป็นมดน้อย แต่เมื่อเริ่มปฏิรูปหลักสูตร แผนการสอน กิจกรรม การประเมินผล ครูทำผลงานทางวิชาการ เด็กก็เลยรับเคราะห์ ผลผลิตเด็กก็เลยแย่ลง พ่อแม่ก็ผิดหวัง ประเทศชาติก็ตัองรับภาระต่อไป
_3867ท.จันทร์พูดตรงคล้ายกับชีวิตผู้น้อย!ผู้ไม่หวังไม่อยาก ไม่ยึดติดลาภยศสรรเสริญโลกียสุขใดๆ!มนุษย์หูเทียมที่ทุกคำพูดทุกเสียงถูกปรับจูนด้วยคอมฯโลกธ.
_3867กราบอนุโมทนาธ.สณ.ด้วย การอนุเคราะห์ต่อกันและกันในหมู่กลุ่มผู้ให้ปย.สุขสังคมทั่วถึงกัน!โดยเผื่อแผ่แบ่งปัน!พูดจามีน้ำใจ!ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน!มีตนเสมอ ร่วมทุกข์สุขกัน!ซื่อสัตย์จริงใจ ทั้งต่อหน้าลับหลัง
SMS จากเฟซบุ๊ค
_สปอร์ตซ่าส์ ซิ่งซ่าส์ · ผมขอตำหนิท่านนะเรื่องบินฑบาต .ความเลี้ยงชีวิตของเราเนื่องด้วยคนอื่น. ควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย.ท่านสอนตามใจแบบแบกกิเลสนะ.ควรศึกษาดูดีๆนะ
สมณะเพาะพุทธว่า...มีการวิเคราะห์เรื่องทำอย่างไรจะไม่ให้พ่อท่านต้องหนักในการบิณฑบาต ปรารภเพื่อทำอย่างไรไม่ให้สังขารพ่อท่านหนักเกินไป แต่ปรับวิธีการบิณฑบาตให้เหมาะกับสังขารพ่อท่าน
พ่อท่านว่า...ทุกวันนี้ก็อย่างนั้น ไม่ได้บิณฑบาตพร่ำเพรื่ออะไร ก็มีชีวิตให้คนอื่นเลี้ยงไว้
ไลน์ 23 มิ.ย. 60
_AMA keang.....กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงดิฉันไม่ได้ไปอยู่แต่เคยไปสันติอโศกและเปิดบุญนิยมทีวีดูประจำค่ะบางครั้งตั้งแต่ตี3ทั้งวันบ้างดิฉันเลื่อมใสในการเทศของพ่อท่านทำให้จิตใจจากเมื่อก่อนใจร้อนเดี๋ยวนี้เย็นขึ้นเปิดดูตั้งแต่ชุมนุมตอนนี้71ปีเต็มเดือนนี้ค่ะขอให้พ่อท่านพรรษายืน150พรรษาค่ะเมื่อไหร่รัฐบาลตาสว่างสักทีให้ไปศึกษาวิถีชีวิตชาวอโศกสักที
พ่อครูว่า...อาตมาทึ่งพวกแอร์พวกอ่านชื่อในสนามบิน เขาก็อ่านภาษาอังกฤษแต่อ่านมาเป็นภาษาไทยได้ถูกต้อง อาตมาว่าน่าจะถูกต้องมากกว่าผิดนะ
เขาจะอ่านชื่ออาตมาถูกไหมนะ สะกดว่า Bodhirak เป็นการสะกดอย่างวิชาการบาลี แต่ถ้าสะกดทั่วไปเป็น Potirak แต่อันนี้สะกดแบบบาลี
อาตมาว่ารัฐบาลจะรู้ไหมหนอว่ามีกลุ่มชุมชนหนึ่งที่มีวิถีชีวิตแบบนี้ สาธารณโภคี อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง มีกินมีใช้ร่วมกันแบ่งกินใช้ร่วมกัน ถ้ามีเกินจากหมู่เราก็เอาไปแบ่งแจก ขาย ขายอย่างมีอุดมคติ อุดมการณ์แบบบุญนิยม ไม่ขายอย่างทุนนิยมสามานย์
แต่ขายแบบบุญนิยม มีขั้นที่1 ขายต่ำกว่าราคาตลาด ขั้น 2.ขายเท่าทุน
ขั้น 3.ขายขาดทุน ขั้น 4. แจกฟรี
เราทำมาได้อยู่อย่างนี้มาสามสิบกว่าปีแล้ว คุณว่าชุมชนชาวอโศกอยู่ดีไหม ไม่ต้องให้ตำรวจมาตรวจด้วย เราก็พึ่งตำรวจบ้าง เวลาเราจัดงานก็ขอให้มาช่วยก็ไม่ค่อยมา
วิถีของชาวอโศกได้ศึกษาบ้างไหมรัฐบาล ได้สะดุดได้สังเกตบ้างไหม เขาอยู่ได้ด้วยทฤษฎีอย่างไร มาเป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรมอย่างนี้
อาตมาเคยนึก กลุ่มน้อย แต่มันมีประสิทธิภาพ ทำให้คนเป็นอย่างนี้ ก็ถ้าเกิดว่า ถ้าท่านบริหารสังคมประเทศไทย ได้เหมือนสังคมชาวอโศก ทุกหมู่บ้านเลยจะเป็นอย่างไร มันก็ประเสริฐ สุขสบายเลยประเทศ
เขาคงจะบอกว่าไม่เอา อย่างเอ็งหรอก พากันมาจน เมื่อจนแล้ว จะช่วยสังคมประเทศชาติได้อย่างไร มันลึกซึ้งตีกลับ ปฏิบัติแบบในหลวง เอาแบบคนจนขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ในหลวงเป็นพุทธมามกะ เป็นชาวพุทธที่มีภูมิธรรมระดับ โลกุตรบุคคล จึงได้พูดอย่างนั้น
คนธรรมดาจะมาพูด มาเอาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เขาจะไม่สามารถพูดแบบนี้ได้ คนพูดแบบนี้ได้ต้องมีปัญญา มีความระลึกรู้ว่ามันดี เป็นความเป็นไปได้ แล้วคุณว่าเป็นไปได้ไหม มาอยู่แบบคนจนเป็นความสุขดีไหม ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา น่าภาคภูมิหรือน่าเสียดาย ...ก็น่าภาคภูมิใจ ไม่ใช่เราได้กำไร เอาเปรียบเอารัดได้ก็น่าภาคภูมิใจ อย่างนี้ไม่ได้เรื่อง สังคมเศรษฐกิจแบบนั้นจะแย่ ถ้าต่างคนต่างคิดว่า เราอย่าไปเอามาก เอาให้น้อย ตรงกับ กถาวัตถุ 10 แต่เป็นชาวพุทธก็ไม่เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติก็เลยยาก
ศาสนาพุทธมันเสื่อม เป็นเพราะว่ากระแสหลักของพุทธศาสนา ไม่สอนให้คนส่วนใหญ่ ผู้บริหารปกครอง ได้รับความรู้ที่ถูกต้องของศาสนาพุทธ แล้วไปสนับสนุนให้คนมักใหญ่มากๆ หลงนับถือกัน เป็นเรื่องน่าสงสาร
สมณะเพาะพุทธว่า...ขอคั่นด้วย อาศิรพจน์
พระปรมาภิวาทะ
(1) วันพิเศษพสกทั้ง ไผทไทย
รำลึกน้อมภูวไนย ผ่านเผ้า
เทิดทิตอิศเรศไอ- ศุริยะ ยิ่งเทอญ
คุณค่าฟ้าปกเกล้า เลิศล้นบารนี
(2) ไทยมีกีรติก้อง ด้วยพระ
วิริยะกรุณมหะ กว่าพร้อง
ปรมาภิวาทะ ยิ่งวิเศษ สุดเลย
คือ "แบบคนจน" ต้อง ทึ่งอึ้งคำสวรรค์
(3) ทรงสรรคำอีกย้ำ ชัดเจน
"อาว์ล็อสอิสอาว์เกน" ยิ่งซ้อง
เสริมพระอริเยนทร์ เปรื่องปราชญ์
ปรีชญาณพฤทธิ์พ้อง พุทธแท้เธียรธรรม
(4) พระคำวิเศษนี้ อาริยะ
ใช่ตรัสแต่วาทะ แค่ถ้อย
ราชจริยวัตระ ประจักษ์สิทธิ์ พิสูจน์เทอญ
ทรงกิจไว้ไม่น้อย กว่าร้อยเกินพัน
(5) พระสรรพระสฤษฎ์ให้ โลกระบือ
คำใหญ่ยิ่งนั้นคือ ทิฏฐิฟ้า
เคยมีฉะนี้หรือ ในโลก
ที่ตรัสให้คนกล้า มักน้อยมาจน
(6) ปกครองคนด้วยแบบ ขาดทุน
ปรมัตถ์นี้คือบุญ แน่แท้
ชำระกิเลสคุณ ใหญ่ยิ่ง
โลกวัดมิได้แม้ ฉลาดด้วยปริญญา
(7) วาทะนี้กว่าพื้น ปุถุชน
ทั้งขาดทุนทั้งจน สุขได้
สละชี้อัศจรรย์คน อาริยะ
ประหลาดแน่แต่จริงไซร้ เพราะแท้พุทธธรรม.
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า น.ส.พ.เราคิดอะไร (สไมย์ จำปาแพง ประพันธ์) 28 ตุลาคม 2558
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน แบบคนจนคืออย่างไร
พ่อครูว่า ก็อยากจะขยายความต่อเรื่องแบบคนจน คนมีกิเลสนั้นไม่อยากจนหรอกอยากจะรวยทั้งนั้น อยากมีมากไม่อยากมีน้อย อยากได้น้อยมีน้อยนี่ภาษาบาลีคืออัปปิจฉะ เป็นหลักธรรมที่สำคัญยิ่งของศาสนาพุทธ คนใดที่เอาไว้น้อยสร้างเองไว้กินใช้แต่น้อยมีเหลือก็สะพัดออก หากมีความรู้สึกเป็นคนแบบนี้ โลกจะไม่แย่งชิงฆ่าแกงไม่เดือดร้อน เป็นตัวจบ เป็นคุณสมบัติเป็นคุณธรรมอันวิเศษ
กถาวัตถุ 10 อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ
คำพูดที่ทำให้เกิดความมักน้อย มายินดีกับความจน
คำว่า จน คืออะไร จนคือคนมีไว้น้อยๆไม่ต้องไปมีมาก แต่ไม่ได้หมายความว่า คนจนคือคนขี้เกียจ คือคนทำงานแค่นี้ กินสองก็ทำแค่สองก็พอ กินสามก็ทำแค่สามก็พอ ไม่ใช่ คนเอาไว้น้อยคือคนขยันทำงานเต็มที่ วิริยารัมภะ ทำได้มาก แต่เอาไว้กินใช้แต่น้อย นอกนั้นเอาไว้เกื้อกูลสะพัดกัน เผื่อแผ่คนพิการ เด็ก คนแก่ คนป่วย คนไร้สมรรถนะ พวกนี้ควรช่วยทั้งนั้น แต่มีอีก 2 ประเภทที่ ไม่ควรช่วยคือ คนขี้เกียจ กับคนขี้โกงขี้โลภ
สังคมเราเผื่อพอคน ไร้สมรรถนะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่นี่ มันขี้โลภ โลภโมโทสันมาก ต้องขึ้นเบอร์หนึ่ง เป็นเศรษฐีระดับนั้นระดับนี้ ไม่รู้จักพอ คนพวกนี้เขานับถือศาสนาพุทธหรือเปล่า ไม่เข้าเรื่อง ทำให้เศรษฐกิจติดขัด หอบเอาเป็นของตนอย่างเดียว
ถ้าสมมุติว่าประเทศไทยมีเงินอยู่ 10,000 ล้าน แต่เอาไปหอบไว้กับตัว 9,000 ล้าน ก็จะเหลือให้คนอื่นน้อย เป็นความเดือดร้อนเลวร้าย มีเงินมากก็เป็นพิษภัย เอาไปข่มเบ่ง
ในหลวงมีพระคุณอันประเสริฐสุดยอด แต่คนบอกว่า จะทำตามพ่อสอน มีแต่พูดแต่ไม่ได้ทำ ไม่มีการประพฤติ แบบนี้เรียกว่าคนตอแหล
เมื่อในหลวงตรัสว่ามาเอาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไร ผู้บริหาร และประชาชนก็ไม่ได้ทำตาม แต่ไปทำขัดแย้งกับของในหลวง น่าสงสารประเทศ ทั้งที่มีในหลวง พระเจ้าแผ่นดินที่แสนประเสริฐ มีพระปรีชาญาณ มีความรู้โลกุตระ น่าสงสารประเทศไทย
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตย 28 ข้อ
อาตมาได้นิยามคำว่าประชาธิปไตยไว้ 28 ข้อ
ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ
พ่อครูว่า...ไม่ต้องไปคำนึงถึงปีไหนหรอกที่ว่าจะให้มีการเลือกตั้ง ถ้ายังไม่ดี อย่าไปแคร์ปากหอยปากปู
สมณะเพาะพุทธว่า...มีคนถามว่าให้พ่อครูตอบปัญหานายกฯ 4 ข้อ
พ่อครูว่า...ก็ให้เอาอันนี้ไปตอบเลย 28 ข้อนี้
สมณะเพาะพุทธว่า...ถ้าคำตอบของพ่อครู ตรงใจ ก็ตอบตามนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน สัมประสิทธิ์คือสัมโพธิปรายนะ
พ่อครูว่า...osmosis จะมีตัวคงที่ เป็น ตัว constant ตัว static เป็นตัวบวก และมีตัววิ่งเป็นตัวกระแส หรือตัวลบ และตัวตั้งกับตัววิ่งจะทำงานอย่างได้สัดส่วนที่สมควรทำงานอยู่เป็นคู่ของนิวเคลียส จะมีตัวแปรมาผสม ตัวนี้เป็นตัวแปรที่คนแต่ละคนจะสร้างมา ตัวตั้งกับตัววิ่งจะเป็นต้นทุน ส่วนตัวแปรเพิ่มเติมอันนี้ซึ่งถ้ามันน้อยแค่พลังบวกมีกำลังแค่บวกก็ไม่น่าไว้ใจ เพราะระดับการก้าวหน้ามีบวก คูณ ยกกำลัง ต้องทำให้ได้ระดับคูณจึงจะทำให้เกิด Coefficient เป็นสมรรถนะ เจริญก้าวหน้าไปได้ อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าคนเข้าใจอย่างนี้แล้วสามารถจะทำให้พลังงานของตัวเรา ในกายกรรมก็มาจากจิต จะสร้างพลังงานทางพูด ก็มาจากพลังงานทางจิตสร้างมา ให้มีพลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient จะมีประสิทธิภาพทำความก้าวหน้าได้เต็มที่
ไม่ว่าจะเป็นพลังงานทั้งวัตถุ ก็ต้องการพลังงานสูง แม้แต่ทางจิตวิญญาณก็เช่นกัน ก็ต้องพลังงานก้าวหน้าอย่างนี้เหมือนกัน นี่คือ ความสำคัญของอันนี้
คำว่า Coefficient ในวิชาการศาสนา คือคำว่า สัมโพธิปรายนะ หมายความว่า เป็นสู่ที่สูงถึงที่สุด แปลว่า ความเจริญของความรู้ ขั้นโพธิขั้นตรัสรู้ขั้นสูง อันจะนำไปถึงที่สุด ก้าวหน้า สัมปรายนะ สู่ความเจริญถึงที่สุด
อาตมาอธิบายธรรมะ มาถึงขั้น สัมโพธิปรายนะ
ของคุณสมบัติพระโสดาบัน
โสดาบันมี
1.โสตาปันนะ
2. อวินิปาตธรรม มีธรรมะที่ไม่ตกต่ำแล้ว มีจิตเข้ากระแสโลกุตระ (โลกุตระคือคนที่ทวนกระแสโลกียะ หากอยากรวยก็มีความคิดจะมาจนดีกว่า แต่ก่อนไม่เคยหยุดรวย คนนี้ไม่มีทางเป็นโสดาบัน ถ้าคนนี้รู้จักพอ มาจนดีกว่าอันนี้เริ่มเป็นอาริยะแล้ว)
3. นิยตะ มีความเที่ยงแท้แน่นอน ไม่เสื่อมถอย
4. สัมโพธิปรายนะ นอกจากไม่ถอยแล้ว มีแต่จะเดินหน้าไปสู่ที่สูงที่สุด นี่คือคุณสมบัติ สภาวะ4ขั้นนี้ ถ้าใครเข้าใจสภาวะจะไม่ต้องท่องเรียงลำดับไม่สับสนเลย ไม่ใช่พูดไปพูดมาโสดาบันมี4 ก็พูดสับสน เพราะคนรู้สภาวะจะไล่ลำดับไปไม่สับสน ถ้าใครที่เป็นอาริยบุคคล มีคุณสมบัติแห่งความจริงที่จะเป็นโลกุตระ เข้าขีด4นี้ ผู้นี้จะได้รับการเดินทางไปสู่โลกใหม่
ในศาสนาพุทธนั้นสอนให้คนมา (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
สอนให้คนอยู่ง่ายกินง่าย ไม่ใช่พวกเลี้ยงยาก จะเอานั่นเอานี่ แค่มีกินมีใช้สอยแค่นี้ก็ดีแล้ว
สุโปสะ พาให้เจริญง่ายสอนง่าย ปรับให้เจริญได้ง่าย
อัปปิจฉะ คือมักน้อย ไม่ใช่เอาอย่างธัมมชโยหรือธรรมกายที่มักมาก ต้องมามักน้อยสันโดษ ใจพอ สูงสุดสูญก็พอ เยี่ยมเลย 0 ก็พอ อย่างชาวอโศกอยู่ในชุมชนทำงานสร้างสรร วิริยารัมภะ เมื่อยก็พักไม่เมื่อยก็เพียร ได้เงินเข้ากองกลางเอาไปบริหารจัดการ ตามหน้าที่ เป็นสังคมที่รู้หน้าที่ ไม่มีตัวตน ไม่มักมาก มักน้อยสันโดษ
มีการขัดเกลา ตั้งแต่หยาบ พฤติกรรมกายกรรมวจีกรรมหยาบก็เลิก จิตวิญญาณอกุศลหยาบลดลงเรื่อยๆตามลำดับ ผู้ที่มีการขัดเกลาตนเองด้วยศีล ธูตะ
ธูตะแปลว่าศีลที่เคร่งแล้ว ปฏิบัติได้ปกติแล้วก็เลยอยู่ในศีลนี้ ผู้ได้แล้วเคร่งแต่ผู้ไม่ได้จะบอกว่ายาก พวกอโศกนี้กินมื้อเดียวไม่แต่งตัวไม่ใส่รองเท้า เคร่งไป แต่ถามชาวอโศกทั้งหลาย เคร่งนักหรือสูงสุดแล้วหรือ...ก็ไม่ เราทำได้เท่านี้เอง แต่พวกนั้นร้องโวยวายแล้ว หาว่าชาวอโศกสุดโต่งเขาตีทิ้งเลย ว่าสุดโต่งแต่ที่จริงสุดโต่งคือพวกคุณโต่งไปหานรกลึกเท่าไหร่แล้ว
พอเขาก้าวไปโลกุตระก้าวหนึ่ง ก็ไกลจากเขามาก เพราะเขาอยู่ติดไปทางโลกียะ นรกไกลมากเลย ก็เลยหาว่าพวกนี้สุดโต่ง อาตมาก็ถามพวกเราว่า อรหันต์แล้วหรือ อนาคามีแล้วหรือ สกิทาคามีแล้วหรือ ก็ยังโสดาบันโสดาบ๊วยอยู่นี่ อาตมาก็พยายามให้ซึมซับให้สูงขึ้นอีก ไปได้ไม่เท่าไหร่ แล้วล้อว่าเราสุดโต่ง
การไม่ศึกษา ตั้งแต่สร้างประเทศไทย มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ จนทุกวันนี้หนักกว่าเก่า เสื่อมกว่าเก่า แต่ก่อนเอาใจใส่ศึกษาธรรมะ อยู่ในจารีตประเพณีธรรมะ แต่ทุกวันนี้ไม่เอาแล้ว ที่จริงก็น่าไม่เอา พระวัดวาเดี๋ยวนี้ไม่เข้าเสียดีกว่า พาลงเหว อบายมุขนอกรีตไปใหญ่
อาตมาเปิดพระไตรปิฎก พระสูตร ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มีแม้แต่ศีล ซึ่งในพระสูตรเล่ม 9 ทุกพระสูตรจะบอกว่านี่เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง ทั้ง 43 ข้อ ที่เป็นวินัยมี 227 ข้อ แต่เขาเอาวินัยมาเป็นศีล อาตมาพูดไปเขาไม่สนใจ
จุลศีล เป็นศีลพาปฏิบัติตามแต่ละข้อ ปฏิบัติให้เกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ ศีลให้สำรวมสังวร กายวาจาใจ หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลาย
สัตว์คือจิตนิยาม ถ้าจะหลุดจากกรอบพีชะเป็นจิตนิยามได้ มันเหมือนอยู่ในโลก ต้องให้หลุดออกจากโลก พีชะก็มีการดูดไม่ให้จิตออกจากโลก แต่คุณต้องมีพลังงานออกจากพีชนิยามนี้ได้
ถ้าทำให้จิตนิยามนี้เจริญได้ จะกลับมาช่วยอุตุพีชะ แต่นี่ชั่วไปอีก กลับมาทำลายอุตุ พีชะอีก
ตั้งแต่สูตรแรกเลย พระพุทธเจ้าให้รู้จักชีวะ มีความรู้จักชีวิต ชีวิตเขาอย่าไปละลาบละล้วงเขา ของๆเขาอย่าไปละลาบละล้วงของเขา ท่านสอนไว้
จุลศีลคือเลิก อย่าไปทำให้เกิดโทษภัยต่อสังคม ปฏิบัติแล้วจะทำให้หลุดพ้นจากความชั่ว มัชฌิมศีลคือทำให้หลุดพ้นบริบูรณ์ได้ เป็นอรหันตฺ์เลย ส่วนมหาศีลคือศีลของศาสนา คือข้อห้าม โดยเฉพาะภิกษุไม่ทำ ประชาชนก็ไม่ทำ แต่ถ้าภิกษุสร้างขึ้นเป็นเดรัจฉานวิชชา ที่ห้ามไว้ในมหาศีล
เช่นอย่าไปจุดธูปเทียนบูชาไฟ รดน้ำมนต์ อย่าไปทำนายทายทัก ภิกษุอย่าทำ แต่ทุกวัดเดี๋ยวนี้มีมหาศีลหมดเลย เรียกว่าไม่มีศีล วัดไหนวาไหนไม่มีจุดธูปเทียนบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นเทวนิยมที่พระพุทธเจ้าห้ามไว้ตั้งแต่สร้างศาสนาแล้ว สารพัดที่ท่านห้าม
เมื่อมหาศีลไม่มี ศาสนาพุทธถึงชื่อว่าไม่มีแล้ว เพราะในศาสนาพุทธให้เว้นขาดจากสิ่งเหล่านี้ แต่ทุกวันนี้มีมันหมด ก็ไม่เป็นศาสนาพุทธแล้ว อาตมาไม่ได้ใส่ความ แต่เอาความเป็นจริงมาพูด
ก็เตือนสติท่านผู้ดูแลศาสนา อาตมาถือว่าอาตมามีหน้าที่ขยายความศาสนา เอาสิ่งที่ถูกมาพูด เขาก็ว่ามาจากไหน มีครูบาอาจารย์จากไหน อาตมาก็ว่าอาตมามีความรู้นี้มาจากแต่ก่อนเก่า เขาก็ไม่เชื่อมีหลักฐานมายืนยันไหม
ถามพวกคุณว่า มาถึงวันนี้แล้วคุณเชื่อว่าอาตมามีของเก่าหรือ? เชื่อเพราะอะไร ศีล สมาธิ ปัญญา
อย่างน้อยอาตมาก็ยืนยัน ศีล อธิศีล สมาธิอาตมาก็ยืนยัน สมาธิลืมตาไม่นั่งหลับตา พวกเราปฏิบัติได้ผลก็จะรู้ว่าโพธิรักษ์ถูก แต่อาตมาพูดไปเขาไม่ฉุกคิดเลย น่าสังเวชใจ
ขอสรุป อาตมาพูดถึงการเมืองแท้ๆ
การเมืองประชาธิปไตยมันเป็นของศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธมีธรรมะสอง มีเลือดและวิญญาณ มีรูปและนาม มีนามเป็นอธิปไตย มีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมูลสูตร 10
1. มีฉันทะเป็นมูล คนที่เป็นชาวพุทธเดี๋ยวนี้ไม่ยินดีในศาสนาเลย คนนี้ปล่อยทิ้งไป ตัดหางปล่อยนรกไปได้
2. มีมนสิการเป็นแดนเกิด แปลว่า มีการทำใจในใจ อย่างถูกต้องทำใจเป็น ทำให้กิเลสหรืออกุศลจิตมันดับหรือหายไปได้
3.มีผัสสะเป็นสมุทัย ถ้าไม่มีเหตุในการปฏิบัติไม่มีต้นเค้าในการปฏิบัติ ต้นทางการปฏิบัติของศาสนาพุทธ ต้องมีสัมผัสเป็นเหตุให้การปฏิบัติธรรม
4.มีเวทนาจะเป็นที่ประชุมลง เวทนาเป็นตัวจัดการให้กิเลสหมด พระพุทธเจ้า แจกเวทนา 108 เวทนาสำคัญสุดคือ มโนปวิจาร 18
รู้จักเคหสิตเวทนา 18 ทำให้ออกหมดไปเป็นเนกขัมสิตเวทนา 18 ต้องทำตรงนี้ให้ได้ถึงบรรลุธรรม
5.มีสมาธิเป็นประมุข
6.มีสติ เป็นอธิปไตย
7.มีปัญญาอยู่ในเนื้ออุตระ
8.มีวิมุตติเป็นแก่น
9.มีอมตะเป็นที่หยั่งลง
10.มีนิพพานเป็นที่สุด
สมณะเพาะพุทธว่า...วันนี้พ่อครูแปล สัมโพธิปรายนะ คือ สู่ที่สูงถึงที่สุด
จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 17:48:45 )
รายละเอียด
600626_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ 29 ข้อ
สมณะเดินดินว่า…วันนี้พ่อครูพร้อมปัจฉาฯก็ได้กลับคืนมาสู่รัตนราชธานีอีกครั้ง บรรยากาศดูคึกคักเพราะใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว ทุกเข้าพรรษาจะเป็นเหมือนเทศกาล ที่พุทธสถานแต่ละแห่งจะได้มาศึกษา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ให้แก่ตัวเอง
ส่วนพ่อครูก็ยังเดินเครื่องอยู่ แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้าง ก็คือการไอ แต่ก็รู้สึกดีว่าไม่ไอตอนเทศน์มาก แต่ไปไอหลังเทศน์ ก็มีความสัมพันธ์กับการใช้เสียง ถ้าใช้เสียงมากก็จะทำให้สายเสียงใช้งานมาก
ต้องขอบคุณเสียงจากผู้ชมผู้ฟังสะท้อนกลับมา ทำให้ช่วยแบ่งเบา ทำให้พ่อครูไม่ต้องเร่งเครื่องมาก ถ้าพ่อครูเดินเครื่องไปอย่างเดียว โดยไม่รู้ว่าผู้ฟังเข้าใจอย่างไร สนใจอย่างไร ก็เหมือนกับต้องพยายามหักโหมใช้กำลังมาก โดยไม่มีทิศทาง แต่เสียงสะท้อนกลับมาก็เป็นสิ่งช่วยทุ่นแรง มีเป้าหมาย ยิงเข้าเป้าได้เลย ต้องขอบคุณผู้ชมที่ติดตามและมีเสียงสะท้อนกลับมา
สิ่งหนึ่งในสังคมไทย ถ้าก็เป็นชาวอโศกคงจะสบายใจว่าที่เราทำมาเป็นไปอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่รู้ตามได้ยาก เข้าใจได้ยาก ถ้าเราตามข่าวบ้านเมือง จะเห็นว่าแกนนำพันธมิตร กำลังจะได้รับการพิพากษาคดี บุกยึดทำเนียบ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ติดคุก ศาลอุทธรณ์กำลังจะพิจารณา แต่อาจารย์สมเกียรติก็ไม่สบายก็เลยยังไม่ได้ตัดสิน ในยุคนั้นประชาชนออกมาหลายล้านคน คนออกมาช่วยทหารช่วยตำรวจ ประชาชนไม่มีใครออกมาเป็นหลัก แกนนำก็ออกมาเสียสละ พอมาถึงจุดจบก็กลายเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง
แต่ของพ่อครูยากยิ่งกว่านั้นอีกที่คนจะเข้าใจ คนมีปัญญาพอถึงจะเข้าใจ แต่คนในสังคมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ พ่อครูอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่ส่งเสริมคนดี ให้ค่าคนชั่วคนดีเท่ากันหมด นี่ก็เป็นเรื่องที่ยากที่จะแก้ไข
อีกเรื่องหนึ่งที่พ่อครูพยายามอธิบาย เหมือนเข้าใจได้ง่าย แต่ก็ไม่เข้าใจได้ง่าย เรื่องประชาธิปไตย ยังไม่ต้องพูดถึงด้วยปฏิโสตัง ธรรมะทวนกระแสของพระพุทธเจ้า แต่ประชาธิปไตยเป็นเรื่องทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข แต่ทุกวันนี้ องค์กรสหประชาชาติ สำรวจพบว่า ความสุขของคนไทยมากกว่าหลายประเทศ เขาจัดอันดับประเทศไทยว่าทุกข์น้อยที่สุดในโลก องค์กรต่างประเทศให้การรับรอง แต่ถ้าไปดูนักวิชาการ คอลัมนิสต์บอกว่า ประเทศไทยแย่ที่สุด ทำไมไม่คืนอำนาจให้ประชาชน นักวิชาการแม้ได้ร่วมต่อสู้กัน ก็จะตีความว่ารัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย แต่ในผู้รู้กลับไม่ค่อยเข้าใจ เรื่องนี้พ่อครูก็พยายามทำให้สังคมเข้าใจ วันนี้พ่อครูเตรียมมาตั้งแต่อยู่ที่สนามบินเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยที่เจริญสุดยอด
พ่อครูว่า...ก็ขอต่อไปเลยว่า การเมืองประชาธิปไตย เป็นการเมืองที่พัฒนา มาไปไกลมาก เป็นการเมืองที่เจริญสุดยอดจริงๆ ประเด็นที่การเมืองเป็นเครื่องชี้บ่ง ของประเด็นของการเมืองที่ถือว่าสุดยอดก็คือ
เป็นรูปธรรมชัดๆ เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่า งั้นผมก็ขอยึดอำนาจ คำนี้แหละคือคำปฏิวัติ ถ้างั้นผมก็ขอยึดอำนาจ พูดต่อหน้าผู้ที่รักษาการนายกรัฐมนตรีเลย ตอนนั้น เพราะว่านายกรัฐมนตรีถูกปลดไปแล้ว ถูกขับออกไปจากตำแหน่งแล้ว ล้มเหลวแล้ว เหลือผู้มารักษาการแทน ก็ต่อรองกัน เมื่อไม่ตกลง ท่านพลเอกประยุทธ์ก็เลยบอกว่าผมขอยึดอำนาจ จบ ทุกอย่างไม่มีกระดิกกระเดี้ยเลย เสร็จ เป็นรัฐประหารที่เบาที่สุดสงบที่สุด
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวแทนประชาชน ไปบอกว่าขอยึดอำนาจจากผู้ถืออำนาจตอนนั้นคือ รักษาการนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์เป็นตัวแทนประชาชน แล้วก็บอกว่าขอยึดอำนาจ ไม่ใช่ตัวเองนะ แต่เป็นตัวแทนประชาชน ก็ทำได้ แล้วทำหน้าที่บริหาร เป็นนายกรัฐมนตรีเลย ประชาชนก็ไม่มีใครกระด้างกระเดื่อง นอกจากพวกอวิชชา ร้องออกมานิดๆหน่อยๆ error นอกนั้นสงบ ตั้งแต่วันนั้นมาถึงวันนี้ มาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงเลย
เริ่มต้น เสียงสะท้อนจากต่างประเทศบอกว่าเป็นนายกฯจากรัฐประหาร ไม่เอา แต่บัดนี้ยอมรับกันแล้ว แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มันเป็นพฤติกรรมความจริง ที่นายกฯประพฤติกระทำกับสังคมประเทศ บอกสัจจะว่าทำงานเพื่อประชาชน ไม่ได้มาข่มเบ่งอำนาจอะไร คนเขาก็มีปัญญา มนุษย์ชาติต่างประเทศก็มีปัญญารู้ เป็นการชี้บอกความจริงว่าเป็นความเจริญ ของประชาธิปไตย มันไม่ใช่เรื่องขัดแย้งร้ายแรงแย่งอำนาจอย่างหน้ามืดตาบอด ไม่ใช่ มีคนหน้ามืดตาบอดไม่กี่คนที่เห่า แย่งอำนาจเท่านั้น ประชาชนเขาเอาอันนี้ เอ็งนะเศษสวะเท่านั้น
ก่อนพลเอกประยุทธ์จะยึดอำนาจ ประชาชนได้ทำงานประท้วง รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนตกกระป๋องไปแล้ว ถือว่าอำนาจเป็นของประชาชนแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจึงได้เข้าใจ นายกฯ มาต่อจิ๊กซอ ยึดอำนาจ ก็เลยเป็นรูปของประชาธิปไตยเต็มที่ สำเร็จด้วยดี เรียบร้อย ไม่มีที่ไหนที่จะปฏิวัติอย่างสุภาพเรียบร้อยงดงาม ไม่ได้เป็นได้ง่ายๆ
เป็นเรื่องชี้บ่ง ยืนยัน ชัดเจนว่าประชาธิปไตยของไทยเจริญงอกงามมาก และที่เกิดอย่างนี้เพราะว่า เมืองไทย มีแกนวิญญาณที่เป็นประชาธิปไตย ก็คือ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงงานมา 70 ปี เป็นนักประชาธิปไตยชั้นเลิศ ท่านเป็นพุทธมามกะ เป็นอาริยบุคคล มีจิตวิญญาณที่เป็นอาริยบุคคลจริงๆ จึงเป็นผู้ที่ มีทศพิธราชธรรม ที่วิเศษประเสริฐ เป็นเลือดเนื้อวิญญาณของพระองค์
เมืองไทยจึงมีประชาธิปไตยทั้งเลือดและวิญญาณ ทั้ง 2 ขา ประชาชนก็มีเลือดของประชาธิปไตยเพียงพอส่วนใหญ่ ส่วนประชาชนโง่เง่าก็หาเหตุย้อนแย้งตีรวน ตามประสา อวิชชาทำไปยังไม่รู้เรื่องรู้ราว
เมืองไทยขณะนี้จึงเป็นประเทศไม่ต้องเลือกตั้ง แต่เป็นประชาธิปไตยชั้นดีด้วย จุดสำคัญของประชาธิปไตยคืออะไร คือพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
ผู้ที่เห็นแก่ประชาชน ทำประโยชน์แก่ประชาชน รับใช้มวลประชาชนอยู่ นี่คือความเป็นพฤติกรรมของประชาธิปไตย ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ที่ต้องมีการเลือกตั้งเพราะมันไม่มีประชาธิปไตย ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย จึงต้องใช้อำนาจรูปแบบว่าที่ประชาชนเลือก กูนะโว้ย เอามายืนยันอ้างอิงเท่านั้น การเลือกตั้งจึงเป็นกลเม็ด ยืนยันว่าประชาชนเลือกมา แต่ก่อนจะเลือกตั้งคุณเองก็ เลี้ยงต้อย ติดสินบนไว้ก่อนแล้ว ซื้อเสียงไว้แล้ว เป็นค่ายกลหาเสียง มันไม่ใช่ประชาธิปไตยเป็นความลับของสังคมประชาธิปไตยทั่วโลก แล้วเขาก็เลือกตั้งได้
อาตมาพยายามนิยามตามภูมิของอาตมาว่า ประชาธิปไตยมีเหตุปัจจัยอะไรบ้าง ยืนยันได้มากถึง 29 ข้อ
ขอยืนยันว่าศาสนาพุทธเป็นยอดของประชาธิปไตย พระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตย ท่ามกลางสังคมยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่พระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยแล้ว ท่านมีรัฐอิสระ มีธรรมนูญของท่าน คือศีล วินัย ไปประกาศ ทุกแคว้นประเทศในทวีปอินเดีย พอไปถึงประเทศไหน พระเจ้าแผ่นดินของแต่ละแคว้นแต่ละประเทศก็ยอมให้ท่าน ประกาศลัทธิ ประกาศแล้วประชากรของประเทศจะมาเข้ารีต นับถือลัทธินี้ ก็ให้หมดเลย ทุกแคว้นประเทศ นี่คือ ความยิ่งใหญ่ของประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า แม้แต่ละยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระเจ้าแผ่นดินก็ยอมให้พระพุทธเจ้า ที่เอาลัทธิ ประชาธิปไตย อิสรเสรีภาพ อยู่ตามคุณธรรม ปฏิบัติตนให้มีคุณธรรมได้ทุกอย่างดี เป็นสุดยอดของหลักฐาน สุดยอดของตำนาน ประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ ศึกษาให้ดีแล้วจะรู้ความจริงอันนี้
อาตมาให้ข้อตั้งเงื่อนไขไว้ 29 ข้อ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ 29 ข้อ
ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ
1. ประชาธิปไตยที่ไม่มีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็จะต้องมี“การเลือกตั้ง”จากประชาชนเป็นธรรมดา ซึ่งเป็นประชาธิปไตยขาเดียว
2. “ประชาธิปไตยขาเดียว”หมายความว่า ประชาธิปไตยที่มีแต่“ระบบประชาชน”เท่านั้น ไม่มี“ระบบกษัตริย์”ในประเทศนั้นๆ
3. ส่วนประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะมีความเป็นจริงของภาวะจริงแห่ง“กษัตริย์”ที่ทรงมีทั้ง“เลือดแห่งกษัตริย์” และทรงมีทั้ง“วิญญาณแห่งกษัตริย์” ซึ่งครบสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์ คือ ในความเป็น“มนุษย์”นั้นต้องสัมบูรณ์ด้วย“เลือด” โดยเฉพาะสำคัญยิ่งต้องสัมบูรณ์ด้วย“วิญญาณ” เลือดคือ DNA สรีรพันธุ์(genetic) สืบทอดทางดินน้ำไฟลม ส่วนวิญญาณคือกรรมพันธ์ุสืบทอดทางกรรมวิบาก ของใครของมันตนเองทำกรรมก็รับมรดกกรรมตนเอง แบ่งใครไม่ได้
4. หากสังคมประเทศที่มีกษัตริย์ก็ชื่อว่าเป็น“ประเทศที่มี“วิญญาณ”
5. หากกษัตริย์ในประเทศนั้นทรงมี“วิญญาณ”ที่เป็นประชาธิปไตย ก็จะไม่ต้องมี“การเลือกตั้ง”โดยประชาชน อธิบายต่อ เขาอาจเห็นว่า เมืองไทยมีในหลวงก็ทำไมต้องมีเลือกตั้ง เพราะว่านักวิชาการนักเลือกตั้งครอบงำความคิดประชาชนไว้นั่นเอง ในหลวงท่านดำเนินโครงการพระราชดำริสี่พันกว่าโครงการ แต่ข้าราชการ นักบริหารไม่ทันพระองค์ ทั้งปัญญาไม่ทันและขี้เกียจด้วย ท่านออกไปทุกถิ่นที่ ทรงพระดำเนินในถิ่นธุรกันดาร มีไหมที่รัฐมนตรีจะทำกัน
6. มีแค่“การซาวเสียงกัน”ในหมู่ชนนั้นๆ เลือกผู้เหมาะสมขึ้นมาทำหน้าที่ในแต่ละเขตชุมชน แต่ละตำแหน่งหน้าที่ ก็เป็นไปได้แล้ว
7. ส่วนตำแหน่งหน้าที่สำคัญๆสูงในขีดขั้นต้องบริหารประเทศนั้น กษัตริย์ทรง“แต่งตั้ง”ก็เพียงพอแล้ว
8. เพราะกษัตริย์นั้นจะมี DNA สืบสันตติวงศ์
9. เมื่อทรงเป็นประมุขคู่รัฐ ชื่อว่าประชาธิปไตย 2 ขา
10. และกษัตริย์จะทรงมี “ทศพิธราชธรรม” ในพระจริยวัตรแท้
11. เมื่อสัมบูรณ์ด้วย“เลือด” โดยเฉพาะสำคัญยิ่งสัมบูรณ์ด้วย“วิญญาณ”ก็สัมบูรณ์ความเป็นประชาธิปไตย 2 ขา
12. ก็จะมี “ประชาราชสมาศัย” เป็นนาม-รูป ต่างอาศัยซึ่งกันและกัน ครบครันเต็มความเป็น“สัตว์โขลง” และเป็น“สัตว์สังคมมนุษย์” ไม่เอียงโต่งอยู่แค่ เป็น“มนุษย์ที่มีแต่เลือดแต่ไม่มีวิญญาณ”
13. ซึ่งสำคัญมากเพราะเป็นธรรมะ 2 คือ เลือดกับวิญญาณ แล้วจะสามารถมีคุณธรรมขั้นโลกุตระได้ จึงชื่อว่า ประชาธิปไตย 2 ขา
14. ธรรมะต้องเป็นโลกุตระจริง คือล้างความเป็นตัวตน จนหมดตัวตน แล้วรับใช้ประชาชน ด้วยธรรมะที่เป็นโลกุตระนั้นๆ ไม่อย่างนั้นจะต้องใช้วิธี“เลือกตั้ง”กัน และจะมีการโกงกันหรือใช้กลเม็ดในการจะได้รับเลือกตั้งกันไปตลอดกาลนาน ดังที่เป็นกันอยู่ในโลก
15. ถ้ากษัตริย์ไม่มีโลกุตรธรรม เป็นโลกุตรบุคคล ก็จะไม่มีเชื้อโลกุตรธรรมในสังคมนั้น
16. เพราะกษัตริย์ต้องมีสันตติวงศ์ที่สืบทอดด้วย “กฎมณเฑียรบาล” หล่อหลอมสร้างมาทุกชาติทุกชาติ(กฎมณเฑียรบาลคือหลักเกณฑ์ที่ให้กษัตริย์เป็นพ่อดูแลประชาชน ดูแลรักษาให้อยู่กันดีเป็นครอบครัวใหญ่ เป็นพ่อของประเทศ)
17. อยู่ดีๆสัตว์โลกที่ไม่ได้สั่งสมวิบากที่เป็นกุศล มานานนับชาติมากเพียงพอจะเป็นกษัตริย์ไม่ได้ แม้เป็นได้ก็ไม่มีทศพิธราชธรรมเพียงพอ ก็ยังไม่ดี ใช่มั้ย (ตามประวัติศาสตร์จะมีการแย่งชิงอำนาจ ในราชวงศ์ต่างๆ แต่ผู้ที่มีบารมีพอ ไม่มีวิบากก็จะไม่ต้องแย่งชิง อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ผ่านสิ่งเหล่านี้มาทั้งสิ้น เข้าใจดี ทั้งหลักเกณฑ์ของพุทธศาสนาด้วยก็ยิ่งชัดเจนมาก)
18. เป็นกษัตริย์ที่มีพระจริยวัตรอันประเสริฐอย่างเป็นจริงมีรูปธรรม เป็นสมมุติธรรมให้สัมผัสได้เป็นสากล ยิ่งเป็นโลกุตระ ก็ดีทั้งสมมุติที่เป็นสากล และดีทั้งปรมัตถ์คือคุณธรรม
19. พระจริยวัตรนั้นทรงงานเพื่อประชาชนที่มีรูปธรรม ยืนยันจับต้องได้ ยังมีปริมาณของสมมุติมากมายให้เห็นให้รู้ได้จริง ส่วนปรมัตถ์ก็อยู่ในพระองค์
20. ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระจริยวัตรอันประเสริฐอย่างเป็นจริง มีรูปธรรม เป็นสมมุติธรรมให้สัมผัสได้เป็นสากลอย่างในหลวงร.9 ที่ทรงงานมาตลอด 70 พรรษา ก็สัมผัสผลงานจริงได้แท้ ค้านแย้งไม่ได้
21. พระจริยวัตรนั้นๆแม้จะเป็นงานเพื่อประชาชนที่มีนามธรรมยืนยันอยู่ แต่มีคุณภาพของปรมัตถสัจจะ
22. ที่เป็นโลกุตรธรรม ที่ลึกซึ้งมากมายให้รู้ได้จริง ได้เท่าที่ทรงมีจริง นั้น มีรูปธรรมเห็นได้ อ่านออก ประชาชนก็จะเทิดทูนนับถือ จนถึงขั้น ขณะนี้ แสดงออกถึงขั้น ฮือฮา แสดงออกถึงความเคารพบูชาเทิดทูนความเป็นประชาธิปไตย พระจริยวัตรที่ทรงงานรับใช้ประชาชนมา 70 ปี ประชาชนฮือฮา อย่างที่ประเทศไทยกำลังเป็นอยู่ ที่เป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมะเป็นโลกุตระ ประชาชนที่ขานรับ ด้วยความตั้งใจที่จะทำตามพ่อสอน เพราะท่านทรงทั้งทำทั้งพูด ทรงมาหมด แม้จะทรงพูดน้อย แต่ก็สอดคล้องเป็นโลกุตระ โลกุตระคือไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อส่วนรวม เพื่อมวลประชาชนอย่างแท้จริง ฉะนี้แลประชาธิปไตย คือประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้ได้ประโยชน์(หิตายะ)ได้รับความสุข(สุขายะ)
23. ความเป็นประชาธิปไตยตามข้อต้นๆมานั้น แม้จะมีคุณภาพพอประมาณยังไม่มากนัก ทว่าก็มีพอยืนยันยอมรับได้ เพียงแต่ยังไม่ใช่กาละอันถ้วนถึงเท่านั้น ซึ่งยังมีอัตราการก้าวหน้าของ“สัมประสิทธิ์”(coefficient) ยืนยันได้จริง ที่ ซึมลึกไหลถ่ายเทสืบทอดเป็น“ออสโมซิส”(osmosis)อยู่ ก็พอจะชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยที่มีแต่เจริญก้าวหน้าไม่หยุดอยู่กับที่(coefficient)
24. ถ้าแม้นความเป็นประชาธิปไตยในสังคมประเทศนั้นมีไม่พอถึงขั้นข้อ 17 จึงจำเป็นต้องมีวิธีการ“เลือกตั้ง” โดยให้ประชาชนลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
25. แต่ถ้าคุณภาพของความเป็นประชาธิปไตยตาม 17 ข้อนั้น ยังไม่มี“สัมประสิทธิ์”(coefficient) ยืนยันได้จริง ที่ ซึมลึกไหลถ่ายเทสืบทอดเป็น“ออสโมซิส”(osmosis)อยู่จริง ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยที่แข็งแรง
26. เมื่อยังไม่ใช่ประชาธิปไตยที่จริง จึงต้องใช้วิธี“เลือกตั้งโดยประชาชน”
27. หากเป็นประชาธิปไตยที่จริงแล้ว ไม่ต้องมีวิธี“เลือกตั้งโดยประชาชน” แค่… “ซาวเสียงกัน”ในหมู่ชน ตามข้อ 6 และกษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามข้อ 7 สังคมก็สงบเรียบร้อยอบอุ่นสัมบูรณ์แล้ว
28. เพราะประชาชนและสังคมจะมี“อิสระเสรีภาพ-ภราดรภาพ-สันติภาพ-สมรรถภาพ-บูรณภาพ”ที่ทรงสภาพมี“สัมประสิทธิ์”(coefficient)ที่ซึมลึกไหลถ่ายเทสืบทอดเป็น“ออสโมซิส”(osmosis)อยู่จริง อยู่ตลอดไป
29. Osmosis ที่มี coefficient คือ
ใน Coefficient จะมี
1.ต้นทุนค่าคงที่ พลังงานบวก ที่มีคุณสมบัติ คุณธรรม คุณภาพมากเพียงพอ
2. มีตัว dynamic ตัวพลังงานลบ ตัวที่ทำงานเคลื่อนที่ เป็นdynamic(สภาพผ่านไปแล้ว) และ kinetic(สภาพปัจจุบัน) และคุณธรรมตัวตั้ง ตัวคงที่บวกและลบต้องมีความแข็งแรงเพียงพอ
3.ต้องมีตัวแปรที่ทำให้เกิดการก้าวหน้าระดับคูณเป็นต้นไปอีก ทำงานเสริมช่วยอีก จึงเป็นค่าที่สูงมากในการเจริญก้าวหน้า จึงไหลซึมไป แม้แต่คนไม่รู้ตัวก็ทำให้เกิดการ osmosis ได้อย่างดี เพราะไหลซึมจากสูงไปต่ำอย่างแรง
ใครสามารถสร้าง Coefficient ได้ คำว่า Coefficient อาตมาแปลได้ว่า สัมโพธิปรายนะ จะไปสู่ที่สูงที่สุดถ่ายเดียว มีสภาพและคุณสมบัติเท่ากับ สัมโพธิปรายนะ แต่คนทำสภาพ Coefficient ให้เต็มสภาพไม่ค่อยได้ ทำได้ยาก แต่ถ้าทำได้แล้ว จะมีอัตราการก้าวหน้าไม่ถอยเลย
แม้แค่โสดาบัน เริ่มต้น มีสัมโพธิปรายนะได้แล้ว ผู้ที่ยิ่งมีภูมิธรรมความรู้ทางธรรมพระพุทธเจ้า สามารถสร้างพลังงานนั้นให้แก่ตัวเองจริงๆ พลังงานนั้นเป็นพลังงานทางจิต มีคุณสมบัติ
โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ ยิ่งสูงเป็นสกิทาคามีก็ยกการก้าวหน้าจาก สัมโพธิปรายนะ หมวดต่อมาสูงขึ้น จนถึงอนาคามีก็ยิ่งสูงขึ้นๆ เจริญขึ้นแข็งแรงขึ้น ยั่งยืนขึ้น
เพราะฉะนั้นประเทศที่มีกษัตริย์ ที่นับถือศาสนาพุทธก็จะมีคุณธรรมที่ว่านี้ เป็นทศพิธราชธรรม เมื่อทศพิธราชธรรมของกษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ถึงขั้นที่จะมี Coefficient ก็จะมีแต่การก้าวหน้าขึ้นตลอดเวลา
มีตัวกำกับพลังงานเป็นเจ้าของพลังงานจิต จิตของตนเอง เป็นพลังงานของอัตภาพตนเอง มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้ ก็มีบทบาทจริง เพราะจิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ก็ออกมาประพฤติ มีพระจริยวัตร ดังที่ในหลวงทรง อาตมาไม่ได้โมเมว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์ โดยไม่มีหลักเกณฑ์หลักฐานความรู้ ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องจริงที่มีครบเลย อาตมายืนยันได้ ไม่ใช่โมเมเดาสุ่มไม่ใช่
อาตมาไม่รู้ ท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์อยู่แล้ว ท่านทรงงานมา 70 กว่าปีแล้ว ใครจะอ่านออก อาตมาที่พูดนี้ไม่ได้มานั่งแกล้งพูด แต่เป็นโชคดีของคนไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงงานเป็นไอดอล เป็นตัวอย่าง ให้มนุษย์ในยุคนี้ได้สัมผัสพบเห็นความจริงนี้ เป็นโชคดีเท่าไหร่
สิ่งที่อาตมาพูดเหล่านี้ไม่ได้นอกเหนือกว่า ความรู้ทางศาสนาพุทธ แต่คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องศาสนาพุทธ เข้าใจธรรมะออกนอกรีตเป็นเดียรถีย์ หลับหูหลับตาเข้าป่าไม่รู้โลกวิทู หลับตา อัตตาก็ไม่รู้ โลกก็ไม่รู้ แล้วพวกไปทางอัตตาก็ไปยึดอัตตาเป็นอธิปไตย ยึดตัวกูของกูเป็นอธิปไตย กูรู้ รู้อะไรก็หลับตารู้ ท่านมีฤทธิ์เดช หลับตารู้หมดทุกอย่าง เขาถือกันอย่างนั้นจริงๆ แล้วเอามาทำอะไรได้บ้าง พวกหลับตารู้ที่ยกย่องกันว่าเป็นอาจารย์ใหญ่ทางวิปัสสนากรรมฐานใหญ่ มีอัตตาธิปไตย มีพลังงานความเก่งความสามารถ ของความเป็นอัตตา รู้สภาพอัตภาพอัตตา คืออัตตาหมายความว่า พลังงานของสัตว์โลก เริ่มต้นเป็นจิตนิยาม ถือว่าเป็นอัตตาแล้วเป็นสัตว์เซลล์เดียว สะสมตัวกูของกู หนักเข้าแย่งมาเป็นของกู เอามาเป็นอัตตา
คนที่ไม่ได้รู้จักความเป็นจริงอย่างที่ว่าคร่าวๆนี้ คนๆนี้จะเป็นตามที่เขาเป็นเขามี เพราะเขามีพลังงานแบบนั้นในตัวเอง มันก็เป็นอยู่จริง ดีไม่ดีทำออกมาอย่างน่าเกลียดก็ไม่รู้ตัวเอง นอกจากไม่รู้ แล้วนึกว่าตัวเองทำเท่ห์ทำเก่ง กูวิเศษอีก อย่างนั้น ความโง่ของคนมีซับซ้อนมาก สรุปแล้ว พลังงานความรู้ พลังงานแห่งธาตุเฉลียวฉลาด
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ปัญญาของศีลข้อ 1
พลังงานขั้นปัญญา อาตมาแยกไว้สูงกว่าสัญญา สัญญาจะก่อเกิดจากอัญญา ถ้าเป็นเชิงบวก เป็นอัญญาโลกุตระก็เจริญเป็นปัญญา แต่ถ้าสัญญา จะเจริญไปทางลบ ทางเห็นแก่ตัว เบ่งอำนาจ กูจะเป็นเจ้าโลก ทั้งโลก อัตตา กูจะเป็นเจ้าอธิปไตย เป็นเจ้าโลก ก็จะมีสัญญากำหนดหมาย เบ่งขี้แตก เหมือนอย่างทุกวันนี้
สมัยโบราณ อย่างจอมจักรพรรดิ์ เจงกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช ฆ่าเขาแหลก แต่ยุคนี้บอกว่าฆ่าน่าเกลียด แต่ก็ทำอาวุธขายกัน ไม่เอามีดดาบฆ่ากันอย่างโบราณ แต่ว่าทำอาวุธร้าย ดีไม่ดีใช้โดรน ซับซ้อนเลี่ยงดีไม่ดีว่า ฉันไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงนะ แต่แท้จริง เขาเป็นตัวการใหญ่
เชิงหนึ่งเขารู้เหมือนกันว่าอำมหิต พยายามเลิก แต่อีกเชิงพยายามพรางลวงไม่ให้ใครรู้
เมื่อเซลล์ที่เกิดชีวะระดับพีชนิยาม มาเป็นจิตนิยามแม้เซลล์แรก เขาก็พ้นออกจากกรอบของพีชนิยาม เป็นความเจริญของสัตว์โลก อย่าไปทำร้ายเขา แม้สัตว์เซลล์เดียว เขาอาจจะไปเป็นพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของโลกก็ได้ เป็นคุณค่าประโยชน์ให้แก่โลกก็ได้ คุณจะไปฆ่าเขาได้อย่างไร เขาพัฒนามา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จง โยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง ในศีลข้อที่ 1 เลย วลีสุดท้าย หวังประโยชน์ให้แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ สัตว์นี้หมายเอาตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวเลย แต่คนไม่รู้ค่าของจิตนิยาม
ถ้าเซลล์นี้อัตภาพนี้จะชั่วก็เป็นวิบากเขา เขาก็รับวิบากไปสิ ก็ปล่อยเขาไป เราก็ได้แต่สอนบอกเตือน ไม่ต้องไปทำร้ายเขาหรอก คนทำชั่ว อย่างเก่งก็ปากหอกทิ่มแทง อาตมาใช้เยอะ มุขสตี (ปากหอก) เท่านี้แหละพอแล้ว ไม่ต้องเอาเข็มไปทิ่ม เอาไม้ไปตี ใช้ปากหอกก็แรงสุดแล้ว ที่จริงไม่เรียกว่าชั่วเพราะจิตผู้จะทำปากหอก เอาภาษาไปทิ่มแทงเขา ด้วยปรารถนาดี กับคนที่เอาภาษาคำพูดไปทิ่มแทงเขาด้วยปรารถนาร้ายก็คนละอย่าง
คนที่เอาไปทิ่มแทงด้วย ปรารถนาดี อย่างอาตมาพูดว่าธัมมชโย ปรารถนาดีต่อเขาอยากให้เขาหยุดทำชั่ว เขาทำก็ได้กรรมของตน ให้เขาหยุดทำ ว่าแรงว่าหนัก ดื้อด้านจริงๆ ดื้อจนคนในประเทศยอมรับ ตอนนี้ยังหาไม่เจอ ต้องชมว่าเก่งฉิบหาย
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน นักปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
อาตมาเกิดมาในชาตินี้ มีหน้าที่ลดอวิชชาให้แก่คน รู้ตัวตั้งแต่ 47 ปีที่แล้ว จนบัดนี้ ทำงานหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อย ตั้งอกตั้งใจพากเพียร อยากตั้งใจจะอยู่ทำต่อไป คิดว่าสังขารนี้จะลากต่อไปได้ เพราะว่าดูแล้วมันไม่กระเตื้องเท่าไหร่ แต่ก็มีอัตราก้าวหน้าอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ชักจะช้าลงหรือเพิ่มขึ้นนะ อาตมาวัดไกลๆห่างๆ และเขาไม่ค่อยจะมาแสดงตัวว่าเป็นพวกมาช่วย อาตมาอาภัพมาก ที่จะมีคนมาแสดงออกช่วยเหลือส่งเสริม
อาตมาทำงานอื่นก็ไม่สำคัญเท่างานนี้ คืองานทำให้คนเป็นอาริยะ ทำงานมาอย่างตั้งอกตั้งใจทำจริง เป็นงานสร้างคน ให้คนมีภูมิปัญญาลดตัวตนไม่เห็นแก่ตัว ส่วนตนจะมีสมรรถนะ สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็มีของแต่ละคน ถ้าคนไม่เห็นแก่ตัวแล้ว จะมีภูมิธรรมรู้อะไรดีชั่วของตนไปตามธรรม
เมื่อเขาสามารถบรรลุธรรม เขาก็จะไม่ทำชั่ว เขาก็จะทำแต่ดี ยิ่งไม่มีตัวตน เขาก็จะทำเพื่อผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัวเอง และจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าคนเรา รับใช้ผู้อื่น ไม่สะสม ไม่เอาอะไรมาให้แก่ตัวแล้วอยู่ได้ ไม่ตาย คนจะเลี้ยงดูส่งเสริม ไม่อยากให้ตาย เขาจะช่วยรักษาไว้ ธัมโมหเวรักขติ ธรรมจารี ขอให้สุดยอดมีธรรมะที่รับใช้ผู้อื่น เสียสละรับใช้ทำเพื่อผู้อื่น คุณไม่ตายง่ายๆหรอก คนดีอย่างนี้ไม่อยากให้ตาย หรือมองแง่ร้ายว่า คนนี้รับใช้ได้เก่งมากไม่อยากให้ตาย เป็นผู้เสียสละเป็นประโยชน์คุณค่าอยู่ในโลก ถ้าเข้าใจสัจจะ จะไม่สับสนในพยัญชนะ สภาวะอันเดียวกัน
พูดไปในเชิงเห็นว่าร้ายก็ได้ พูดไปให้เห็นว่าดีก็ได้ จิตที่บริสุทธิ์ ทำงานให้แก่ผู้อื่น โดยไม่มีอัตตา คือผู้ที่มีประโยชน์ แต่ผู้พูดว่าทำงานเพื่อให้แก่ผู้อื่น แต่ว่าตนเองล้วงตับกินไส้คนอื่นอยู่ บอกว่าตนเองทำเพื่อผู้อื่น แต่มีกลเม็ดเอากลับมามากกว่าที่เสีย แต่คนที่ทำเพื่อผู้อื่นจริงๆก็จะจบ ไม่เอากลับคืน
ต้องทำให้จริง ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทนจะอยู่ได้จริงๆ รับรองว่าอยู่ได้ จริงๆ ขอให้ทำจริง แม้ไม่เก่ง แม้จะไม่สามารถ ทำงานไม่ต้องลึกซึ้งสูงส่งอะไร รับใช้หยาบๆ เขาก็จะเลี้ยงไว้แล้ว ยิ่งทำงานที่สูงส่งละเอียดละออ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ เช่น ทำงานสอนโลกุตระ คุณว่าเป็นงานสูงหรือต่ำ แล้วคนรู้ได้ง่ายหรือยาก ก็ยาก เห็นไหม ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร คนไม่รู้หรอก ดีไม่ดีด่าซ้ำอีก ว่าไม่รู้เรื่อง ก็จะไปรู้เรื่องได้อย่างไรเพราะมันเป็นโลกุตระ
นอกจากไม่รู้เรื่องแล้ว บางทีบางอย่างทวนกระแส เขาจะสนุกเพลิดเพลิน จะแย่งชิงกัน แย่งชิงความสุขกัน ก็จะว่าเราเสือก ไม่เข้าเรื่อง เอ็งจะดีก็ดีของเอ็งไปสิ พวกเพื่อนโลกียมีเยอะ แต่อาตมาจริงใจ อาตมาเป็นเพื่อนของคุณ
อาตมาซาบซึ้งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเป็นมิตรดีสหายดีของเธอ ท่านถ่อมตน ลดตัวตน เราเป็นมิตรดีสหายดีของเธอ แต่คนซื่อบื้อฟังแล้ว ก็เฉยไม่ซาบซึ้งอะไร แต่อาตมาโอ้โห.. พระพุทธเจ้าถ่อมตนลดตัวตน ท่านสูงแค่ไหนก็ยังบอกว่า เราเป็นมิตรดีสหายดีของเธอ
งานการเมืองก็คืองานที่ทำให้คนเจริญ งานธรรมะก็เป็นงานที่ทำให้คนเจริญ ก็ต้องทำให้เจริญไปทั้งหมด ไม่ได้คัดส่วนใดส่วนหนึ่ง
คนเจริญคือคนไม่เห็นแก่ตัว เสียสละรับใช้ประชาชน นี่คือคนเจริญ ภาษาเหมือนไม่สูงส่งยิ่งใหญ่ แต่คนที่เป็นจริงได้.. มันสุดยอด
คนที่ไม่เห็นแก่ตัว เสียสละรับใช้ประชาชน ยังเป็นคนกินน้อยใช้น้อยไม่สะสม แม้ตัวเองผลิต สร้างสิ่งที่เป็นสิทธิของตัวเองแท้ๆ ยังให้คนอื่นต่อไปอีก แล้วตนเองก็เอาไว้น้อย หรือไม่เอาไว้เลย อย่างอาตมาไม่เอาไว้เลย อยู่กับส่วนกลาง พวกเราหลายคนก็ทำอย่างนี้ อยู่กับส่วนกลาง ทำงานได้เท่าไหร่ก็เอาเข้าส่วนกลาง ใครจะเปลืองผลาญก็เป็นกรรมของเขา ส่วนคนไม่เปลือง ทำกุศล สร้างกุศลไป ไม่เห็นจะมีทางขาดทุนอะไร ชัดเจนในสัจจะจะไม่สงสัยเลย
พฤติกรรมชาวอโศกพูดไปแล้วคนจะหมั่นไส้ อาตมายกตัวอย่างอโศกเจริญก็ไม่ได้ยกตัว ไม่ได้อยากใหญ่โต ไม่มีจิตเช่นนั้น แต่เป็นการยืนยัน ชี้บอกว่านี่คืออันนี้ นี่คือความยิ่งใหญ่คือความเจริญ
คนจนเป็นคนเจริญ คนรวยเป็นคนเสื่อม
จะให้พูดอีกกี่ที คนจนที่ไม่ได้อดอยาก อุดมสมบูรณ์ เพราะไม่ได้สะสมกอบโกยใส่ตน ได้มาก็สะพัดเลยมีน้อยก็คือคนจน ส่วนคนรวยคือคนที่กอบโกยเอาไว้แก่ตนมาก และเอาไปออกดอกผลดูดเข้ามาอีก ตามระบบทุนนิยมสามานย์
คนเราหากเข้าใจจริง แบบคนจน ไม่สะสม ตนเองก็ยังชีวิตไว้อย่างประโยชน์สูงประหยัดสุด ไม่เปลืองผลาญ แต่ชีวิตความเป็นอยู่ไม่เสียสุขภาพ แล้วได้ผลผลิตมารวมกันก็เอาไปแบ่งแจกแก่คนที่ควรได้ และเหลือก็แบ่งขยายต่อไป อย่างนั้นต่างหากคือความเจริญ ไม่ใช่ว่า บ้านเมืองเราจะต้องผลิตได้มากๆแล้วเอาไปขาย Export ให้ได้เงินเข้าประเทศเยอะ แล้วเขาก็เรียกว่าความเจริญเพราะ gdp มันสูง แต่อย่างนั้นคือประเทศกระจอกประเทศหน้าเลือด ประเทศต่ำ
ประเทศที่สูงส่งคือพวกเราไม่ต้องมีมาก แต่มีกินใช้อุดมสมบูรณ์ พอ ประโยชน์สูงประหยัดสุด คนก็แข็งแรงขยันหมั่นเพียรสร้างผลผลิตได้มาก และเอาออกแจก ขายในราคาต่ำ ต้องการให้คนอื่นเขาได้ไป และไม่ต้องไปเอาส่วนเกินGdp แต่ให้มันลดหายลงไปด้วย บวกลบคูณหารมีแต่จะหายไป ไม่ใช่ว่าเพิ่มเป็นเปอร์เซ็นต์ไหน อย่างนี้คือสังคมเจริญ ประเทศเจริญ
นักเศรษฐศาสตร์ฟังอาตมาบ้างไหม ในหลวงท่านตรัสว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ท่านไม่ตรัสมาก แต่นักเศรษฐศาสตร์เขาก็บอกว่าฟังแล้วไม่รู้เรื่องอะไร
คนที่หาทางเอาเปรียบคนอื่นๆมากๆไม่ใช่คนเจริญ คนเจริญคือคนที่ช่วยเหลือเสียสละเพื่อคนอื่นมากๆ
พวกเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตนอย่างไม่ทรมานตน ไม่ใช่มักน้อยจนสุขภาพเสีย งานการขัดเคืองเสียหายก็ไม่ถึงขนาดนั้น มีอัตราก้าวหน้าอยู่ หมู่บ้านคนจน แต่มีการก่อสร้างบ้านเมืองกันขนาดนี้ ในหมู่บ้านตำบลบุ่งไหม 12 หมู่บ้าน แต่มีโรงงานมีการสร้างบ้านแปลงเมืองขนาดนี้ หมู่บ้านอื่นไม่มี
เขามาสำรวจว่า หมู่บ้านราชธานีอโศกเป็นหมู่บ้านคนจนอันดับที่ 5 แต่เขาสำรวจอย่างไร น่าจะเป็นคนจนระดับ -5 เพราะว่าจนกว่าหมู่บ้านไหนๆหมด ถ้าแต่ละบุคคลองค์รวมนะ
แต่ละคน ส่วนใหญ่เป็นคนจน บางคนเท่านั้นที่กระมิดกระเมี้ยนไว้มากเท่านั้น โดนใครก็ไม่รู้ล่ะ ส่วนใหญ่ก็มาจน มาไม่มี
คนที่มาอยู่ในชุมชนชาวอโศก ตั้งแต่ต้น ไม่สะสมแล้ว จนเดี๋ยวนี้ ไม่มีเงินเลยก็อยู่ได้สบาย เดี๋ยวก็มีเงินผ่านมือมาให้ใช้ จริงๆแล้วไม่ต้องสะสมไว้เลย พอจำเป็นจะต้องใช้ก็ไม่ได้ขี้เหนียวกัน เราก็ไม่ได้ใช้ก้อนใหญ่โตอะไร อยู่กันสบายจะตาย นอกนั้นก็ใช้ในส่วนกลางเผื่อแผ่กัน เหมือนพี่น้องกันหมด ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร อาตมาว่า สังคมที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ มีจิตวิญญาณเช่นนี้ ถ้าทำได้
สมมุติว่า12 หมู่บ้าน ในตำบลบุ่งไหม เป็นอย่างนี้ได้สัก 6 หมู่บ้าน จะเป็นตัวอย่างของ นักรัฐศาสตร์
ในระบบของธรรมะพระพุทธเจ้า เศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี มันยิ่งใหญ่กว่าคอมมิวนิสต์ ยิ่งใหญ่กว่าอะไรหมด คิปบุช อิโตเอ็น มันยิ่งใหญ่กว่าอันอื่นหมด หมู่บ้านชาวอโศกสาธารณโภคี
ขอสรุป อาตมาเกิดมาเป็นคนชาตินี้ก็ระลึกได้ และออกมาทำงานนี้คือ ชีวิตคนไม่มีอะไรดีเท่ากับทำให้คนมาเป็นคนเจริญ คนเจริญคือคนอย่างไร คือคนมาจน มาเสียสละ มีประโยชน์ต่อโลก ตนเองไม่ต้องไปเบียดเบียนใคร มีแต่ช่วยเหลือเป็นประโยชน์ต่อเขา มาเป็นคนอย่างนี้ แล้วก็มาชวนกัน มาให้ความรู้ มาทำให้เขาเปลี่ยนแปลงชีวิตจิตใจ มาเป็นคนอย่างนี้ในสังคม อาตมาว่า งานนี้เป็นงานที่ดีที่สุด เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ควรทำ อาตมาเห็นอย่างนั้นจริงๆ และก็จะทำไปจนตาย ใครจะเห็นด้วยก็ช่วยกันทำ ใครจะเห็นว่าแย่งลาภ ยศ สรรเสริญกันอยู่ก็แล้วแต่
อาตมาว่าเกิดมาเป็นคนกว่าจะมาเข้าใจอย่างนี้ล่ะ ทำอย่างนี้อย่างจริงใจ อาตมาไม่ได้ทำอย่างสร้างภาพ แต่เป็นความเห็นจริงว่าสุดยอด
สรุปแล้ว ในชีวิตของคน อาตมาทำงานปางนี้ก็มีคนเห็นด้วย ทยอยกันเอาชีวิตมาเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพฆราวาส หลายคนแม้จะไม่อยู่ในสภาพนักบวชก็เสียสละเอาชีวิตมาทิ้งให้กับหมู่กลุ่ม ไม่ต้องบอกเลยว่าตายแล้วช่วยเผา เขาก็จะช่วยกัน ไม่ปล่อยให้เน่าหรอก ที่เผาก็มีแล้ว สบายมาก พูดแล้วเหมือนพูดเล่น แต่เป็นเรื่องจริง พวกเราจึงเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 ของโลก มีที่ไหนสาธารณโภคีที่ทำได้ในโลก ไม่มี มีที่นี่ ที่ชาวอโศก ในประเทศไทย ที่อื่นไม่มีหรอก
อย่าว่าแต่เศรษฐศาสตร์ เป็นที่หนึ่ง รัฐศาสตร์ก็เป็นที่หนึ่ง บริหารโดยไม่ต้องบริหาร พวกเรานี่ หลายคนทำหน้าที่ ไม่ต้องได้รับการแต่งตั้งอะไร ก็รับผิดชอบทำงาน ไม่ได้เงินเดือนเงินดาวน์ ดีไม่ดีถูกด่าด้วย รับผิดชอบกันทำไปได้ นี่คือรัฐศาสตร์ ปกครองโดยไม่ต้องปกครอง ใครจะไปจะมาก็อิสระ มาอยู่ในวัฒนธรรมนี้ ถ้าทำไม่ดีก็ถูกเหล่ ก็อยู่ไม่ได้แล้ว ไม่ได้ทำรุนแรงอะไร เหล่แค่นั้นก็อยู่ไม่ได้ เป็นสัจจะของธรรมะพระพุทธเจ้า เราประสบความสำเร็จทางรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์ ขออภัยที่พูดความจริง อย่าหาว่าคุยตัวเลย ยังคุยน้อยไป
สมณะเดินดินว่า..ก่อนไปคำถาม อยากขมวดที่พ่อครูเทศน์มา ที่มานี้ เมื่อเช้านี้ พ่อครูได้อ่านหนังสือพิมพ์ คอลัมนิสต์ เขามองว่าประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง จะมีพรรคใหญ่ 2 พรรคเข้ามาเป็นตัวเต็ง ก็ดูว่า ทิศทางของบ้านเมือง คนที่เขาเขียน วิจารณ์ว่าเหมือนบัวแล้งน้ำ ไม่ได้ประโยชน์อะไร
พ่อครูเลยมองว่าประชาธิปไตยคิดได้เท่านี้ คือเอามวล เอาพรรคไหน คนนิยมมาก แล้วเอาคนมากรวมกัน ทิศทางของประชาธิปไตยการเลือกตั้งจบอย่างนี้ แล้วไม่มีทางออก เขาวางค่ายกลเอาไว้แล้ว พรรคใหญ่มีเสียงมากคนมาก ก็เอาคนมายึดอำนาจ พรรคเทพพรรคมารต่างๆ แต่พ่อครูว่าเน้นปริมาณไม่เน้นคุณภาพ
ที่พ่อครูพูดมาคือ ประชาธิปไตยที่เป็นโลกุตระ คนมีคุณธรรมขึ้นมา เราก็คัดคนที่มีคุณธรรมมาทำการเมือง ยกตัวอย่าง การตั้งสมเด็จพระสังฆราช ถ้าสมเด็จรถเบนซ์รถหรู มีพระส่วนใหญ่สนับสนุน ถ้าใช้เลือกตั้งก็ไม่ดีแน่ แต่ถ้าแต่งตั้งก็ได้แบบที่ดีนี้มาได้
พ่อครูว่า เขาประพฤติกันอยู่ไม่รู้ความเป็นโลกและความเป็นอัตตา พระพุทธเจ้าตรัสมาแต่ไหนแต่ไรแล้วในพรหมชาลสูตร ท่านกล่าวว่า คนไม่รู้เรื่องโลกและอัตตาต่างก็อวดดีกัน ทั้งเริ่มต้นและที่สุดคือโลกและอัตตา คนไม่รู้ก็จะสร้างอธิปไตยอำนาจจากจะใหญ่ที่สุดในโลก ก็สร้างอัตตาธิปไตย สองอย่างเท่านั้นคือโลกและอัตตา เมื่อไม่รู้โลกและอัตตา จะมาบอกว่า จะมีธรรมาธิปไตยหรือธรรมาภิบาลไม่ได้
ธรรมาภิบาลจะเกิดได้คนนั้นต้องมีอธิปไตยแห่งธรรมะก่อน ต้องมีอำนาจพลังงานที่เป็นธรรม แล้วคนนี้จึงจะเอาธรรมะไปอภิบาลคนอื่นได้ อย่ามาพูดเลย อธิปไตยที่เป็นธรรมาธิปไตยคุณยังทำไม่ได้ จะก้าวข้ามไปธรรมาภิบาล นั้นขี้โม้
นิติรัฐ นิติธรรม
นิติรัฐคือออกแบบตั้งกฎเกณฑ์อะไรเป็นของรัฐบาล แต่จะเกิด นิติธรรม ต้องทำหน้าที่เป็นอธิปไตย จะมีธรรมะที่เป็นอธิปไตยต้องรู้โลกและอัตตา จนทำให้หมดความเป็นโลกและอัตตา แต่มีโลกวิทู ช่วยโลกได้ รู้ดีว่าโลกคืออะไร อัตตาคืออะไร แต่ไม่มีโลกและอัตตา คือผู้ที่มีธรรมาธิปไตย
สมณะเดินดินว่า..ถ้าอัตตามาก ประชาธิปไตยก็น้อย
สมณะเดินดินว่า... กราบมนัสการพ่อท่าน.และท่านจันทร์.ค่ะ.ก่อนอื่นขอ.อภัยพ่อท่านด้วยถ้า.พูดอะไรไปไม่เหมาะไม่ควร.คือว่า.เรียกร้องให้.เถรสมาคมทั้งหลายที่เคยกล่าวหาว่า.พ่อท่าน...เสียๆหายๆมากมาย.ทั้งที่ไม่เป็นความจริง...เถรสมาคม.ต้องออกมารับผิดชอบเรื่องนี้...พ่อท่านทำดี.เพื่อบ้านเมืองและผู้คนมากมาย...ไม่เห็นมีใครเรียกร้องสิ่งที่ถูกต้องชื่อเสียง.คืนมาให้พ่อท่านเลย.คนใหญ่ๆๆโตๆในบ้านเมืองก็รู้จัก.อโศก.ก็มากๆไม่คิดที่จะช่วย.พ่อท่านเลยหรือ..อยากให้.ความถูกต้องกลับๆ.มาตอนที่.พ่อท่านรับรู้ได้.ไม่ใช่พอพ่อท่าน.กลับนิพพานไปแล้ว.ค่อยมากล่าวขานความดี.เซ็งๆๆ..ขอให้ช่วยเรื่องนี้ด้วยเถิด.ผู้มีปัญญาทั้งหลายๆ..ขออภัยพ่อท่านด้วยถ้าไม่ควร
พ่อครูว่า ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไรหรอก ให้มันเป็นไปตามกรรม เกิดเองจากคนที่มีสำนึกและกล้าพอ คนที่ไม่ให้เกียรติไม่เข้าใจ เขาไม่กล้าพอหรอก อำนาจของสังคมส่วนรวม มันคลุมเขาไว้อยู่ หากคนไม่กลัวอำนาจสังคมก็กล้าเข้าข้างคนถูกและคนดี หากคนที่ไม่กล้าเข้าข้างคนดีและคนถูกก็เป็นมิจฉาทิฐิ ทั้งที่รู้ดี แต่สัมมาทิฏฐิจะต้องเข้าข้างคนดีและคนถูก ให้มีน้ำหนัก
วรรณภา · เสียงภาพชัดเจนค่ะรับฟังประเทศเนเธอร์แลนด์ค่ะสาธุค่ะ
เอื้อมพร · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ตื่นเช้ามาที่เดนมารค์ก็ได้ฟังทันที ขอบคุณบุญนิยมทีวีที่ช่วยดำเนินการค่ะ
สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · กราบนมัสการ พ่อครูเคารพยิ่ง กราบนมัสการท่านจันทร์ รับชมอยู่ที่กระบี่
เพิ่งจะมาเป็นผู้ติดตาม รับชมตลอด จากตัดสินใจมาศึกษาจริงๆจังๆ หลังจากเห็นพ่อบ้านเปิดชมอยู่คนเดียวมาก่อนและมีหมู่ดี ชวนไปเยี่ยมชมบ้านราชเมื่อว้นที่ 11. เมย.60.
_ขวัญ ....ถามว่า ก่อนที่เราจะปฏินิสสัคคะ เราต้องทำซ้ำๆจึงจะรู้ว่ากิเลสตัวนั้นตายแล้ว จึงลงไปคลุกกับมันได้ ตอนที่เราไปสัมผัสกับมันเพื่อล้างนั้นเคยอ่านพ่อครูบอกว่าไม่ได้เป็นการตกต่ำแต่เป็นการเจริญขึ้นเพราะเราจะได้รู้กำลังของมันจนสัมผัสได้ว่ามันค่อยๆตายไป จากนั้นเราก็สลัดคืนได้โดยไม่สุขไม่ทุกข์เพราะพลังกิเลสมันตายแล้ว เช่นนี้ลูกเข้าใจถูกหรือไม่ค่ะ แต่ในบางครั้งเราคิดว่ามันหมด พอไปคลุกเรายังพบว่ามันเหลืออยู่ก็ล้างมันต่อ เช่นนี้เรียกว่าปฏินิสสัคคะด้วยไหมคะ
พ่อครูว่า ปฏินิสสัคคะ แปลว่า ไม่หลงสวรรค์ ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นศาสนาปลีกเดี่ยวอยู่คนเดียวไม่มีผัสสะ ไปนั่งหลับตาสะกดจิต เป็นมิจฉาทิฏฐิ คนเข้าใจได้ยาก แต่ก็ยังมีคนเข้าใจ มาได้แม้นิดหน่อย ไม่มาก แต่เป็นหมู่กลุ่มที่มีพฤติกรรมสาธารณโภคี พึ่งแก่เจ็บตายกันได้ อยู่กันมา 30-40 ปี อยู่อย่างไม่เสแสร้ง อยู่ด้วยความบริสุทธิ์ เป็นสิ่งยืนยันมรรคผลพระพุทธเจ้า เอาหลักเกณฑ์วรรณะ 9 กถาวัตถุ 10 โคตมีสูตร มาวัด มาจับ ว่า ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า ก็ตรงใช้ได้ ยืนยันได้เลย เพราะฉะนั้นพวกเราจึงเป็นคนอวด เอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มายืนยันเปรียบเทียบ อวด ก็เลยไปหวดเขา ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาหาว่าเราไม่อยู่กับร่องกับรอย เดี๋ยวนี้ชักจะไม่กล้าแย้ง เพราะเดี๋ยวโดนหวดก็เลยเงียบไป ไม่รู้จะทำอย่างไร
_จากไลน์ The sun. คำถามๆพ่อครู ...ผมไม่เชื่อพระไตรปิฎกตรงส่วนที่พระโมคคัลลา เหาะไปเอาบาตรและเนรมิตกายเมื่อโจรมาทุบตี เพราะมันผิดหลักวิทยาศาสตร์ และหลักฟิสิกส์ ผมไม่เชื่อตรงนี้ รู้สึกเหมือนไม่เชื่อคำสอนพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกตรงส่วนนี้ ไม่รู้ว่าผมจะมีความเป็นมิจฉาทิฎฐิหรือเปล่าและจะบาปไหมครับที่ไม่เชื่อพระไตรปิฎกตรงจุดนี้?
ตอบ...ก็จะบอกว่าไม่บาปไหมไม่ได้ บาปส่วนที่คุณไม่เชื่อ ส่วนที่คุณเชื่อก็ไม่บาป แต่ไม่เชื่อตรงไหนก็บาปตรงนั้น เขาก็ต้องเชื่อตามกาลามสูตร แต่อันนี้เขาฟังแล้วไม่เชื่อ มีอย่างที่ไหนคนจะเหาะได้ มีอย่างที่ไหน ถูกทุบตีแล้วจะฟื้นคืนได้ ถ้าเขาเองไปถึงจุดนี้ได้ คนเรานี่นะ จะไม่เชื่อว่าพลังงานของคน มันเก่งกว่าพลังงานทางวัตถุหลายเท่า เพราะฉะนั้น คนทุกวันนี้ พลังงานจิตวิญญาณอ่อน ต่ำมาก ไม่มีประสิทธิภาพจะทำให้เกิดอะไรได้เลย เพราะฉะนั้นคนจึงไม่เชื่อ เพราะมันแย่ ยุคนี้เป็นยุคของวัตถุแสดงอิทธิฤทธิ์ ล่องหนหายตัว เหินเดินอากาศ เดินน้ำดำดิน เป็นยุคของวัตถุ สัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์ทำไม่ได้ เขาจึงไม่เชื่อ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ยังไม่จำเป็นต้องเชื่อ พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อในอิทธิปาฏิหาริย์ ไม่เป็นไร พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ทุกข์ เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์แล้วทำให้พ้นทุกข์ได้ การเหาะได้ดำดินได้ เป็นเรื่องข้างเคียง พระโมคคัลลาจะทำได้ก็เป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่หลักของศาสนา ศาสนาให้รู้เหตุแห่งทุกข์ก็ดับทุกข์ให้ได้ นี่คือโกลของศาสนาพุทธ อย่าไปเตะเข้าโกลอื่น
_ขออนุญาต เกริ่นเรื่องและถามเลยนะคะ
วันนี้ทางบวรสันติ ได้เดินทางไปตอบคำถามท่านนายกที่เขตบึงกุ่ม ราวๆ 30 คน โดยประมาณ
คำถามท่านนายกมีทั้งประโยคปลายเปิดและประโยคปลายปิด ดักหน้าดักหลังทำให้ผู้ตอบได้ฉุกคิด
ตนเองตอบเสร็จภายใน 8 นาที แต่รู้สึกประทับใจคุณแม่ๆ อาๆ อย่างมาก ( ยังสาวสำหรับหนู ) กลั่นกรองเขียนยาวมาก เกือบ 1 ชั่วโมง รู้สึกบรรยากาศ คล้ายการสอบ ว บบบ. สีหน้าครุ่นคิด มีลอกกันด้วย ^__^ น่าประทับใจ ( ตัวเองเดิน ไปหลายรอบ มาก สาวๆ ยังตอบไม่เสร็จ ตั้งอกตั้งใจ น่าเอ็นดู )
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 17:50:21 )
รายละเอียด
600628_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญญาพาพ้นวิตักกะ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 18 มิถุนายน 2560 ที่ราชธานีอโศก ที่ผ่านมาพ่อครูได้อธิบายถึงประชาธิปไตยโลกุตระ ถึง 29 ข้อ
พ่อครูว่า...ต่อมาวันนี้เพิ่มเป็น 41 ข้อแล้ว
สมณะฟ้าไทว่า…ตอนนี้เราโชคดีที่สุดที่ได้อยู่กับผู้ที่ดีที่สุดในปัจจุบันนี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะมาสอนเราให้พ้นทุกข์ได้ เป็นสิ่งที่หาได้ยาก ทำได้ยาก ในความรู้สึกของอาตมา เราได้นั่งใกล้ เงี่ยโสตสดับ ก็เป็นเรื่องที่คุ้มแสนคุ้มแล้ว
พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็เล่านิทานหน่อย ได้นิทานมาจากสู่แดนธรรม นิทานนี้เขาก็ได้มาจากที่อื่นเหมือนกัน เขาบอกว่า นิทานนี้ได้มาจากไลน์ครับ
...วันหนึ่ง แม่ทัพออกรบ ผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เห็นบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีป้ายติดว่า “หมากล้อม อันดับ 1 ของประเทศ”
แม่ทัพเห็นแล้วรู้สึกไม่ยอมรับในใจ จึงพักทัพ แวะเข้าไปหาเจ้าของบ้าน ขอประลองหมากล้อมด้วย
ปรากฎว่า เจ้าของบ้านแพ้ทั้ง 3 กระดาน
แม่ทัพยิ้ม เอามือลูบเครา พลางหัวเราะใส่เจ้าของบ้าน “เหอะๆ..แกเอาป้ายลงได้แล้ว”
แล้วแม่ทัพก็ไปออกรบด้วยความกระหยิ่มในฝีมือการวาง หมากล้อม และวิสัยทัศน์ในกลยุทธของตน
หลังจากนั้นไม่นาน แม่ทัพรบชนะกลับมา ผ่านมาที่เดิม
ก็ยังเห็นป้าย อันดับ 1 แขวนอยู่ที่บ้านหลังเดิม ก็อดไม่ได้ แม่ทัพจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้าน และท้าดวลอีก
คราวนี้แม่ทัพบอกสำทับเจ้าของบ้านว่า เล่นให้ดี ถ้าชนะจะให้รางวัล แต่ถ้าแพ้ จะปลดป้ายอวดดีที่ติดไว้หน้าบ้านทิ้ง
แต่ปรากฎว่าครั้งนี้ แม่ทัพกลับพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงทั้ง 3 กระดาน ไม่เหลือเค้าลางความเก่งเดิมที่เคยทะนงในฝีมือ
แม่ทัพประหลาดใจมาก ถามเจ้าของบ้านว่าเพราะอะไร ? ไปฝึกที่ไหนเพื่อมาแก้มือหรือเปล่า ? รู้สึกไม่อาจยอมรับได้ว่าเจ้าของบ้านเก่งกว่า เลยอ้างว่าเพิ่งเดินทัพกลับมายังเหนื่อยล้า พรุ่งนี้จะมาเล่นด้วยใหม่
เป็นอย่างนี้ สามวัน ทุกวันแม่ทัพแพ้หมากล้อมอย่างหมดรูป 3 กระดาน ทั้งสามวัน จนไม่อาจไม่ยอมรับว่าฝีมือตนด้อยกว่า และไม่มีเหตุผลใดกล่าวอ้างอีก จึงยอมรับนับถือฝีมือเจ้าบ้านอย่างจริงใจ ยอมตบรางวัลให้ตามสัญญา แต่ก็ยังอดถามไม่ได้ว่า แล้วทำไม
เจ้าบ้านขอร้องให้แม่ทัพรับปากว่าถ้าตอบตามจริงแล้วจะไม่มีโทษ แม่ทัพให้สัตย์
เจ้าของบ้านจึงตอบตามตรงว่า
เพราะท่านเป็นแม่ทัพ และข้าเป็นผู้น้อย วันแรกที่เจอกัน ท่านเดินทัพไปรบแต่กลับอดไม่ได้ต้องแวะมาลองฝีมือกับข้าพเจ้า ย่อมแสดงว่าท่านรู้สึกไม่ยอมรับนับถือผู้ใดในสิ่งที่ท่านคิดว่าท่านเก่งกว่า อีกทั้งเมื่อเดินหมากท่วงทีกลยุทธเดินหมากท่านดุดันวางรุกรุนแรงหมายกินพื้นที่ไม่เหลือ มุ่งหมายชนะถ่ายเดียว ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าแพ้ชนะมีผลต่อความมั่นใจของท่านในการออกรบ ครั้งก่อนนั้น ท่านกำลังมีภารกิจต้องไปออกรบ ข้าน้อยจะไปลบเหลี่ยม ทำให้ท่านหมดขวัญกำลังใจไม่ได้
แต่ครั้งนี้ ท่านชนะกลับมา และบังคับให้ข้าน้อยเล่นอีก ถ้าแพ้จะปลดป้ายของข้าน้อยออก จึงมิอาจออมมือให้แล้วขอรับ”
แม่ทัพพยักหน้ายอมรับในเหตุผล ที่เจ้าของบ้านอ่านได้กระจ่าง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าไม่พึงใจออกมา แต่ก็ไม่ว่ากระไร มอบรางวัลแล้วกลับไปยังทัพของตน พอถึงที่พักก็คิดว่า คนที่อ่านกลหมากได้จนรู้ความคิดอ่านของตนย่อมจะเป็นภัย ใครรู้ว่าแม่ทัพแพ้หมดรูปขนาดนั้นถึงไหนอายถึงนั่น จึงสั่งลูกน้องคนสนิทให้ไปฆ่าเจ้าของบ้านเสีย โดยให้เหตุผลว่าถ้าข้าศึกรู้ว่ามีคนนี้อยู่อาจเอาไปใช้เป็นประโยชน์ในการศึกคราวต่อไป แต่เมื่อไปถึง เจ้าของบ้านก็เก็บของและป้ายนั้นพร้อมออกเดินทางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
คนที่เก่งจริงในโลกนี้ คือคนชนะได้ แต่ไม่จำเป็นต้องชนะ
มีใจกว้างขวางพอที่จะให้คนอื่นได้ชนะ ได้ภูมิใจในฝีมือของตน ได้ไปรบในสนามรบของตนอย่างมั่นใจ
การใช้ชีวิต ก็เหมือนกัน
มาดู sms ไลน์
_0015พระเอาแต่สวดท่องบ่น ไม่สอนธรรมะเลย ญาติโยมจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร
ตอบ...เอาแต่ท่องบ่นไม่สามารถเกิดพลังงานวิเศษไปใส่ให้ใครได้หรอก ต้องพูดให้เขาเข้าใจและปฏิบัติด้วยกรรมตนเอง เพราะกรรมของใครต่อใครเท่านั้นจึงจะสร้างสิ่งที่ประเสริฐได้
_4602ไม่เกี่ยวหลอกมันอยู่ที่คนจะหาทางพ้นทุกอย่างไงอย่าไปว่าสวดไม่สอนสอนไปมีใครรุ้ใหม
พ่อครูว่า รออ่านหนังสือ รวมเล่ม คนจะมีธรรมะได้อย่างไร ที่จะออกเดือนตุลาคมนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน บุญ-ฌาน-นิโรธ ต่างกันไหม
_2166สามคำนี้ใช้แทนกันได้หรือเปล่าครับ บุญ-ฌาน-นิโรธ ?
ตอบ...แทนกันไม่ได้เพราะอยู่คนละสถานะ
บุญคือผลสำเร็จของพลังงาน บุญคือพลังงานที่ผู้ใดสร้างพลังงานนั้นขึ้นมา ในขณะที่ทำพลังงานนั้นขึ้นมาเรียกว่าทำฌาน เป็นอุณหธาตุ ไฟกองใหญ่ ไฟพิเศษ สร้างได้สัดส่วน เป็นบุญ เป็นเครื่องมือประหาร ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ได้ สามารถมีผลทำลาย ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ สถานะของฌาน =มรรค นิโรธ= ผลที่ได้ กิเลสตายเกลี้ยงแล้ว … (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ฌาน 1 2 3 4 เกิดจากการปฏิบัติของพุทธ การทำด้วย
1. ศีล
2. สํารวมอินทรีย์
3. โภชเนมัตตัญญุตา
4. ชาคริยานุโยคคะ
ทำสำเร็จจะเกิดผลเป็น ศรัทธา หิริโอตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา
จะมีความเชื่อมั่น มีความละอาย(หิริ) อาย แต่ในที่ลับอาจทำบ้าง ไม่แข็งแรง แต่ถ้า โอตตัปปะ นี้กลัวต่อบาปเลย ไม่ทำต่อหน้าลับหลัง สั่งสมเป็นพหูสูต(พหุสัจจะ) แล้วเติมด้วย วิริยะ สติ ปัญญา เพียรเพิ่มอีก มี สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ เกิดผลเป็น ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา มีวิริยะ สติ ปัญญา ครบองค์ 7 สั่งสมเป็น ฌาน 1 2 3 4 เป็นปฏิภาคทวี
ส่วนวิชชา 8 จะเจริญไปตามลำดับ สิ่งที่รู้ยิ่งเห็นจริง ในสิ่งที่ปฏิบัติ รู้ว่าอะไรเกิดอะไรดับ อะไรจางคลาย อะไรดับสนิท อะไรผิดพลาด บกพร่อง อะไรดีแล้วสภาพดีแล้วก็ทำให้แข็งแรงตั้งมั่น มีปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มีอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมังอีก อยู่ในพระสูตรที่มี จรณะ 15 นี้
ฌาน เป็นสี่ข้อสุดท้ายของจรณะ 15 แล้วมี วิชชา 8
_6703วิเศษ เท่ากับ ไม่มีเหลือ ซึ่งในทางธรรม คือ ที่สุด หรือสุดยอด ทางโลก คงจะรวมความเป็น วิเศษ เท่ากับ สุดยอด นะคะ
ตอบ...นี่แหละธรรมะ พยัญชนะ พอกลับเป็นสภาวะลึกซึ้งซับซ้อน หากไม่มีสภาวะจริงจะสับสนหัวหมุน คนนี้เล่นพูดหลายตลบ คนที่ยังไม่ไปถึงไหนนี่ อยู่ตรงไหนตรงหนึ่งก็เสร็จเลย อะไรวะ กลับไปกลับมา แล้วเขาไม่ได้เดา มีของจริง แต่ผู้ไม่รู้ไม่มีสภาวะก็ตามไม่ถึง
มีเหลือ ไม่มีเศษ ก็เท่ากับสุดยอดยิ่งเลย เลยเศษ ไม่มีเศษเลย สมบูรณ์แบบเลย ความหมายของสภาวะจึงไม่ได้อยู่แค่พยัญชนะ มันยิ่งกว่าเหลือ เกินไปอีก พ้นความเหลืออะไรเท่าไหร่แล้ว หลุดพ้นไปไกลเลย สุดยอดเลย ผู้มีสภาวะก็เอาสิ่งเกิน เหนือ อุทธัง หรืออุตระเอามายืนยันให้ คนที่ยังไม่มีปฏิภาณพอก็จะนึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร แต่คนมีปฏิภาณจะพอมีอนาคตังสญาณ ว่ามีอะไรรอยไรๆ มีรับรู้ได้ เมื่อปฏิบัติได้จริงก็ค่อยได้ไปตามลำดับ เพราะผู้ที่รู้จริงจะไม่เอาสิ่งที่ไม่จริงมาบอก
_5481ลูกอยากมีสัมประสิทธิ์
ตอบ...ไปหาซื้อตามห้างได้ไหม? ตอนนี้เรากำลังทำตลาดบุญนิยม ให้คนจนมาขายของได้ฝึกฝนตนเองฝึกฝนจิตใจ ให้เสียสละ ลดละ ความเห็นแก่ตัว ต่อไป
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน วิตกวิจารต่างกับโยนิโสมนสิการไหม
จาก ไลน์
_19:27 พุทธพิมพ์ไพร กราบเรียนถามพ่อครูค่ะว่า ตัววิตก วิจาร ที่พ่อครูบอกว่าต้องมีเพื่อที่จะเดินฌานให้ได้ นี้ต่างหรือเหมือนกับตัวโยนิโสมนัสิการอย่างไรคะ
ตอบ...ถ้าเอาหลวมๆไม่ต่างกันหรอก วิจาร คือพร้อมทั้งจาระ แต่วิตกคือต้องอ่านอาการนี้ ตักกะ ต้องคิดนึก วิจัย ในวิตกมีวิจัย ต้องแยกแยะพฤติ เช่นมีพฤติเริ่มดำริมา เป็นวิจาร พฤติกรรม
วิตก กับวิจาร พอมันเริ่มดำริเรียกวิตก พอเต็มรูปก็วิจาร พอจะวิจัยก็วิจัยในจาร มีอะไรเป็นตัวการที่เป็นตัวปลอม ตัวเหตุ ตัวผี กามหรือพยาบาทเป็นต้น วิเคราะห์วิจัยวิจาร แยกแยะและปหาน
การทำวิตก วิจาร แยกแยะวิจัย พร้อมปหานคือ โยนิโสมนสิการ คือทำใจในใจของเราอย่างถ่องแท้ แยบคาย ละเอียดถูกต้องลงไปถึงเหตุเกิด ดับเหตุเกิดให้ตาย
คำ โยนิโสมนสิการคือทำใจในใจ ก็ทำแยกแยะ ถึง สมุทัยอริยสัจ แล้วทำด้วยปหาน 5 จนดับสนิทหมด ไม่เกิดอีกอย่าง “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน อย่าดูหรือฟังไปเสียทุกอย่างคืออย่างไร
_คำสอนท่านพุทธทาส ว่า ดูหรือฟังได้ทุกอย่างไม่ห้าม แต่อย่าไปเห็นหรือได้ยินไปเสียทุกอย่าง เป็นอย่างไร?
พ่อครูว่า...ก็เลือกเห็นหรือเลือกฟัง ก็เป็นเชิงสมถะ หลบเลี่ยงไม่เอา ไม่สู้ต่างกับวิปัสสนา ต่างกับของพระพุทธเจ้าโดยตรง สมถะของฤาษีใครก็ทำ แต่ของพระพุทธเจ้า ไม่หรอก จับมาทั้งหมดเลย วิตก วิจาร แล้วแยกแยะ จับตัวการไม่ให้ตกหล่นด้วย ไม่ใช่b ให้เหลือไว้อีก ให้รู้หัวใจกิเลส แล้วตัดขั้วหัวใจกิเลสให้แม่น ให้ถูกต้อง อาตมาอธิบายก็ขอยกมือไหว้ท่านพุทธทาส ต้องขอขมา พูดด้วยวิชาการ ถ้าผู้รู้เห็นว่าผิดก็ไม่ต้องเอา และก็แย้งมาได้ แต่ถ้าเห็นว่าถูกก็เอา เห็นว่าดีก็เอา แต่ถ้าแย้งมาก็ดี อาตมาว่าจะแย้งอย่างไร
ก็เท่ากับหลบ เอาแต่ที่ควรดูควรเห็น แต่ก็เป็นสมถะ แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ นอกจากว่าเรายังสู้ไม่ได้ ก็แบ่งเอาส่วนหนึ่ง ไม่หลบ แต่แบ่งทำ ตามอัตตัญญุตา ตัวเราก็เท่านี้ เราจะทำทีหลัง ฝากไว้ก่อน โอฬาร เราเอาส่วนเล็กน้อยก่อน อย่าตะกละ เอาโอฬารมาทำเลยก็ตายทันที แต่อีกแหละ เดี๋ยวก็จะว่า ต้องทำโอฬาริกอัตตาก่อน พยัญชนะสลับไปมาได้ เดี๋ยวเป็นตัวก่อน เดี๋ยวเป็นตัวหลัง ถ้าเข้าใจสภาวะแล้วไม่งง ไม่สับสน
_3867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บวรสันติฯทุกอโศกกับธ.โลกุตระนำพาปชธต.ใบประชาธรรมนำอธิปไตยปวงชนผาสุกด้วยอาริยะพุทธอธิศีล
ปชธต.ใบมหัปปิฉะมลายลาล้างล้วงทุกสิ่งที่โลกมากมีไม่รู้พอ!ปชธต.ใบอัปปิจฉะสร้างสานเสริมทุกสรรพสิ่งให้โลกมีมากรู้พอดี! ปชธต.ใบธรรมาภิบาลเกิดได้ด้วยเสียงเป็นไททั้งตัวและหัวใจ!การม.น้ำดีเกิดสภาสัตตบุรุษได้ด้วยองค์กรอิสระทั้งตัวและหัวใจ!กบสีไตรรงค์!
พ่อครูว่า...ก็ถูกต้องเข้าใจได้ดี
_พ่อครูกล่าวปลงอาบัติที่เคยชม คุณทักษิณ ชินวัตรไป และชมพระยันตระไปโดยไม่นึกว่าเขาจะชั่วในภายหลัง พ่อครูจึงเตือนว่า จะชมใครก็ต้องระมัดระวังด้วย
_มีผู้บอกว่าวันเกิด ของอดัม สมิท เกิด 5 มิ.ย. คศ.1723 ก่อนอาตมา 211 ปี วันที่ 5 มิ.ย. เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก วันเกิดบวรราชธานีอโศก ฯ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ปรินิพพานเปรียบกับการระเบิด
_0529xxx ธรรมะเมื่ออยู่กับคนนั่นคือคุณสมบัติสูงส่งดีงาม คนจึงมีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี ธรรมะอันเป็นจิตญาณ แม้พรากจากกาย จิตญาณไม่อยู่ควบคุมบงการสังขาร สังขารนั้นแม้จะมีลมหายใจก็เท่ากับตาย ผู้น้อยกราบเรียนพ่อครูด้วยความเคารพ ...โปรดชี้แนะขยายความเพื่อศึกษาให้เข้าใจยิ่งขึ้น
พ่อครูว่า...ที่จริงจิตชนิดไหนก็ติดไปกับอัตภาพทั้งนั้น จิตญาณเป็นจิตโลกุตระ
ถ้าสังขารร่างกาย แตกตายแล้ว สังขารก็จะแตกสลายไปเน่าเปื่อย ออกไปสู่ความเป็นดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป จิตญาณก็แยกไป แม้จิตสามัญก็แยกเหมือนกัน ไม่ไปเอาเป็นตัวตนของมันหรอก ที่เน่าแล้วมันไม่เอาหรอก มันไปหาเอาใหม่ หรือจิตญาณที่ไม่ปรินิพพานก็ไปหาเอาใหม่ พวงมะม่วงตกแตกกระจาย บางลูกหลุดจากพวง บางลูกติดพวงอยู่ แล้วจะเอาเก็บมารวมเป็นพวงมะม่วงเก่า ไม่ได้
การอธิบายแบบพวงมะม่วงนี้ยาก อาตมาจึงได้อธิบายโดยระเบิดปรมาณู นิวเคลียร์ พลังงานที่เอาไปทำระเบิดก็แตกกระจาย ชิ้นส่วน ดิน น้ำ ไฟ ลมก็แตกกระจาย ไม่รวมเป็นระเบิดลูกเดิมได้อีกแล้ว ไปเก็บเศษระเบิดและพลังงานเอามาใส่อย่างเก่า ไม่สามารถทำได้ จะทำให้รูปนามกลับมารวมกันอีกให้เหมือนเดิมไม่ได้ คือการปรินิพพานเป็นปริโยสาน
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ตัดสังขารเป็นการทำสมถะ
_หนึ่งเสรี .... การปฏิบัติ. ยกตัวอย่างเริ่มที่ตาเห็น รูป เวทนา สัญญา. จบตรงสัญญา. จิตเราไม่สังขาร. ต่อ. คือไม่ปรุ่งแต่ง ว่าสุข ทุกข์. ปฏิบัติแบบนี้. ถูกต้องไหมครับ
ตอบ...ปฏิบัติแบบสมถะ แต่ถ้าวิปัสสนาไม่ถูก วิปัสสนาไม่ใช่แค่ตัดสังขารแล้วไม่ต่อ แต่เรียนรู้เหตุปัจจัยทั้งหมด เวทนา สัญญา สังขาร แล้ว สัญญาทำงานแยกสังขาร แยกเวทนา ในสังขารคือการปรุงแต่งทั้งหมด มาเป็นรส คือเวทนา 2 ถ้ายังมีเหตุ เวทนาคือกรรมฐาน ต้องเรียนรู้แล้วทำให้สมบูรณ์ทั้ง เวทนา 108 ทำได้สมบูรณ์ก็จะบรรลุ เวทนาเทียมดับหมด เหลือเวทนาแท้ จนยังยืนถาวรไม่เปลี่ยนแปลง อดีต ปัจจุบัน อนาคต “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”หรือ อวิชชาตัวที่ 7 ทำให้เกิดนิโรธได้ และทำทุกข์ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็น 0 จนกระทั่งอดีตกับปัจจุบัน แข็งแรงมั่นใจ จนมันจะมีอีกกี่ปัจจุบัน อดีตก็เป็นตัว constant ปัจจุบันเป็น kinetic มี Coefficient ทำให้0 ได้ตลอดกาลนาน อย่างมั่นใจอย่างรู้ของจริง ผู้นั้นก็สมบูรณ์ถือว่าสูงสุด
พวกเราที่มีสภาพจริง เช่นกิเลสอบายของแต่ละคน จนเดี๋ยวนี้อยู่กับมันได้สบาย เท่ากับพระพุทธเจ้าว่า มีความสามารถมาก สามารถยื่นมือ ไปลูบพระอาทิตย์พระจันทร์ด้วยฝ่ามือ อาตมาแปลว่า ลูบหัวล้านยักษ์มารได้สบาย ท่านบอกว่าเหมือนมือไปลูบคลำ พระอาทิตย์พระจันทร์ ซึ่งมันร้อนแรงมาก นี่คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า พูดเป็นภาษาธรรมไม่ใช่ภาษาคน
เรียนรู้วิญญาณที่แจกเป็นเจตสิกทำให้สมบูรณ์ได้ วิญญาณเป็นสภาพองค์รวมของเจตสิกต่างๆ เวทนา สัญญา สังขาร เหมือนกระทรวง ส่งไปที่อธิบดีคือวิญญาณ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สังกัปปะ 7) ตอน ตักกะ วิตักกะ ก็เป็นกรรมแล้ว
_เกี่ยวกับสังกัปปะ7 พ่อท่านเคยบอกไว้ว่า ขั้น1ตักกะ 2วิตักกะ ยังไม่เป็นกรรม แต่พอถึงขั้น3สังกัปปะ เริ่มเป็นกรรมเป็นวิบากแล้ว ลูกขอเรียนถามว่า แค่ไหนคะ ถึงจะเป็นขั้นสังกัปปะ?. ช่วงเกิดดำริขึ้นมาเป็นตักกะ เราก็จับได้ วิตักกะ ก็อ่านว่าเป็นกามเป็นพยาบาท แล้วเราทำการประหารมัน ช่วงนี้เป็นสังกัปปะรึยังคะ และถ้าเป็นสังกัปปะ มันก็เริ่มนับเป็นกรรมเป็นวิบากแล้วใช่ไหมคะ หรืออย่างไร พ่อท่านช่วยกรุณาอธิบายรายละเอียดของแต่ละขั้น ในช่วง3ขั้นตอนนี้ด้วยนะคะ
อีกข้อคือ วจีสังขารในขั้นที่7 ของสังกัปปะ7 กับตัวจิตสังขาร มันต่างกันอย่างไรคะ แค่ไหนจึงจะเป็นวจีสังขาร และแค่ไหนเป็นจิตสังขารคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า ก็ขั้นธรรมะสองคือตักกะ วิตักกะ เริ่มดำริ เป็นตักกะ หากเป็นวิจารคือพฤติกรรมของจิต หากคุณไม่วิตักกะ ไม่สามารถนึกคิดค้นคว้าวิจัยในจาระ จนแยกแยะกิเลสออกได้
ตักกะ วิตักกะ สองตัวแล้วก็เป็นกรรม แล้วปล่อยให้สองตัวนี้ทำงานมีกิเลสมาปรุงอีก จึงต้องรีบ วิเคราะห์วิจัยแยกจากกิเลสออกมาจากตักกะให้ได้ ถ้าครบจึงเป็นสังกัปปะ เป็นผลงานเป็นการนึกคิดของโลกุตระ อาริยบุคคล จัดการอภิสังขาร หากมันไม่มีความรู้ก็สังขารเป็นโลกียะ หากมีความรู้อภิธรรม ก็จับกิเลสกำจัดกิเลสได้ จนดับสนิท ดับได้เท่าไหร่ก็ตาม ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ คุณยังไม่เก่งถึงอรหัตตผล ก็ผ่าน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นตัว คอนสแตนท์ หรือหน้าด่าน
พวกหน้าด่านนี้เหมือนตำรวจคุมป้อม ไม่ฉลาดเท่ากับตำรวจคณะใหญ่ที่มีกระบวนการกลั่นกรอง แต่พวก อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา กรองไม่ได้ละเอียดเท่า ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะหรอก เป็นวจีสังขาร เป็นมโนวิญญัติ ยังไม่ใช่วจีกรรม
เป็นแค่ปฏิฆสัมผัสโส ถ้าปรุงมาเป็นวจีสังขารแล้ว ยังไม่มีคำพูดเรียก ไม่มีอธิวจนะเลย พูดออกมาไม่มีบัญญัติเฉพาะตัวก็พูดอ้อม เอาอันอื่นไปแทนกว่าจะประกอบเป็นรูปร่างได้ ต้องตั้งชื่อเฉพาะคืออธิวจนะ คืออธิวจนสัมผัสโสก็กล่าวอยู่ในวจีได้ ใช้วจนนี้ออกเป็นวจีกรรมได้เลยทันที ปฏิฆสัมผัสโสนี้ก็จะมีอธิวจนสัมผัสโสก็จะเอามาใช้เป็นวจีกรรมได้
นี่คือกระบวนการของสังกัปปะ 7
อันนี้อาตมาอาจบกพร่องเป็นสัญญาวิปลาสได้ อาตมาอาจเคยสอนบกพร่องว่า ตักกะ วิตักกะ ไม่เป็นกรรม แต่ที่จริงเป็นกรรมแล้ว
ถ้ายังไม่ถึงสังกัปปะ นี่บอกว่า อาตมาเคยบอกว่า ตักกะ วิตักกะ ยังไม่เป็นกรรม แต่ถ้าสังกัปปะก็เป็นกรรม ก็จริง ถ้าจะพูดเช่นนั้น ถ้าเป็นตักกะ วิตักกไม่มีสังกัปปะ แต่ออกไปเลยก็ไม่เป็นกรรม
แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ติดบัญญัติภาษาก็ไม่ผิดทั้งคู่ หากเข้าใจสภาวะ แต่ถ้าติดพยัญชนะ บอกว่า ตักกะ วิตักกะไม่เป็นกรรม พูดไว้นะ แต่พอสังกัปปะ ซึ่ง ตักกะ สังกัปปะ มันไม่ได้อยู่แค่สอง แต่ทำกระบวนการจนกิเลสหมดได้แล้วออกเป็นวจีกรรม
ถ้าไม่ผ่านถึงสังกัปปะอย่างสมบูรณ์ ก็ออกไปเป็นวจีสังขารที่ไม่มีกรรม แต่ถ้าผ่านครบกระบวนการก็เป็นกรรมสมบูรณ์ แต่ถ้าตักกะ วิตักกะ ไม่มีอภิสังขารก็ออกไปเป็นกรรมที่เลวเลย
ตักกะเริ่มดำริมาก็แยกแยะกิเลส แล้วกำจัดกิเลสให้ได้ กำจัดได้เป็นวิจาร จาระนี้ก็สะอาดจากกิเลสไม่เหลือเป็นวิเศษ จบการกระทำการจัดการ มนสิการ จิตเป็นสังกัปปะ ผ่านเพื่อความเผื่อพอ ผ่านด่าน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ตรวจให้ละเอียด ถ้ามีเหลืออีกจริงๆ มันจะไปเหลือซากหรือ กลไกของพระพุทธเจ้านี่รอบรัดมากไม่ให้เล็ดลอดเลย เป็นวจีสังขารที่สะอาดที่สุด ตัวที่ 7
เป็นหลักการที่คิดเองไม่ได้ สูตรแบบนี้เก่งกว่า E=mc2 เป็น E=mc2+A ตัว A คือตัวที่จะทำเพิ่มยกกำลังได้เลย
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน สัมประสิทธิ์จากหมู่มิตรดี
_มณฑา แพงคูณ ผิวดำ....เราจะก้าวหน้า เราต้องทำค่า coefficiency ของเราให้เป็นคูณหรือยกกำลัง เหมือนที่พระพุทธเจ้าช่วยทำให้ค่า สปส. ขององคุลีมาล ยกกำลัง บรรลุทันที ด้วยคำพูด เราหยุด(กิเลส)แล้ว แต่ ท่านสิยังไม่หยุด ....... เราควรอยู่ในหมู่มิตรดี สหายดี เพื่อที่จะได้มีผู้ช่วยขัดเกลากิเลส หรือเป็นพลัง coefficiency แบบคูณหรือยกกำลังให้กับเราบ่อยๆ โดยการเข้าร่วมทำงานกับหมู่กลุ่มให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ สาธุ
อดีตเวทนามันเป็น static คงที่ไปแล้ว ก็เป็นบทเรียนไป อนาคตเวทนามันเป็น dynamic ก็ยังเคลื่อนไหวยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร ที่ใกล้ตัวใกล้ใจเราที่สุดก็คือ ปัจจุบันเวทนามันเป็น kinetic ก็กำลังเคลื่อนไหวอยู่ เราต้องใส่ใจตัวนี้ โดยใช้ลิงคนิมิตรอุเทศอ่านอาการให้ทันความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทำให้เป็นศูนย์ (ธรรมสอง ทำให้เป็นหนึ่ง แล้วเป็นศูนย์ ทำอิตถีภาวะให้หายไป เหลือเพียงปุริสะ ) เมื่อเวลาผ่านไปปัจจุบันก็กลายเป็นอดีต (static เป็นศูนย์แล้ว kinetic ก็เป็นศูนย์แล้ว) อนาคตที่เป็น dynamic ก็ต้องเป็นศูนย์แน่นอน ....... จังหวะนี้แหละที่ต้องเพิ่มพลังตัวเร่ง coefficiency ให้เป็นคูณหรือยกกำลังให้ได้ วิธีก็คือติดตามฟังธรรมประจำ แล้วปฏิบัติตามสม่ำเสมอ ตั้งใจมั่นค่ะ แล้วจะรู้วิธีทำได้ด้วยตัวเองค่ะ สาธุ
พ่อครูว่า...การอยู่กับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ มี osmosis เป็นแกน อย่าง ผมเป็นแท่งก้อนอยู่มันก็ไหลซึมไปหาได้
สมณะฟ้าไทว่า...การนั่งฟังโทรทัศน์คนเดียวกับมาฟังพ่อครูที่นี่ก็ต่างกัน
พ่อครูว่า..องค์ประกอบทำให้เกิดพลังงานซึมซับได้สูง
มีพลังงาน บวก คือ static , ลบคือ dynamic(อดีตกับอนาคต) กับ kinetic(ปัจจุบัน)
coefficient เป็นพลังงานเคลื่อนไหวเพิ่มเติมจาก static และ dynamic ที่เพิ่มมานี้เป็นพลังงานระดับคูณหรือยกกำลัง เรียกว่า Kinetic
แสดงว่าคุณคนนี้ฟังธรรมเข้าใจ อันนี้รายงานมานี้ทำให้ครูมีกำลังใจสอน อาตมาอายุยืนต่อแน่ มีคนฟังแล้วเกิดผลงานอย่างนี้ มี endorphins เป็นพลังงานสดนะ เป็นพลังงานตามเรื่องเคมีเกิดขึ้นมา
อาตมาไม่เอาแบบลีชุงยุน แกมีเมียถึง 26 คน มันเพิ่มฮอร์โมนอีก ลีชิงยุน แกอาศัยฮอร์โมน ทำให้แกอายุยืน ซึ่งอาตมาไม่เอา เป็นภาระ เราก็เอาแค่นี้ก็พอ ไม่ต้องเอาอย่างลีชุงยุน
1614"นกสองหัว ยากที่จะเลือกเอาสักหัว เลยไม่คบทั้งสองหัวนั้นเป็นการถูกต้องแล้ว" – พุทธทาสภิกขุ การแยกธาตุ ก่อนตายควรทำไหมคะ
สิ่งที่ทุนนิยมกลัวที่สุดคือ กลัวคนจะพึ่งตัวเองได้ "ชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ ชาวอโศกเพื่อชาวอโศก"
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน แยกธาตุก่อนตายทำได้ไหม
_1614"นกสองหัว ยากที่จะเลือกเอาสักหัว เลยไม่คบทั้งสองหัวนั้นเป็นการถูกต้องแล้ว" – พุทธทาสภิกขุ การแยกธาตุ ก่อนตายควรทำไหมคะ
พ่อครูว่า...ถ้าคุณจะทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งก็ต้องเลือกหัวใดหัวหนึ่ง สองธาตุต้องมีต่างกัน ต้องเลือกที่ควรที่ดีที่สุด อันใดอันหนึ่ง ถ้าจะอธิบายค้านก็ได้ อธิบายตามก็ได้
การแยกธาตุก่อนตายควรทำไหมคะ.. ก่อนที่คุณจะตายก็แยกเท่าที่คุณมีสมรรถภาพมาแล้ว วินาทีสุดท้ายที่จะตายจะทำอะไรไม่ได้มากหรอก ต้องมีความสามารถที่สั่งสมมาใช้ตอนก่อนตาย ถามว่าแยกธาตุ หากแยกได้สำเร็จไม่เกิดกิเลสอีกก็ได้แล้ว อรหันต์ท่านหมดแล้ว ดับกิเลสไม่เกิดอีก แต่ถ้าท่านจะตั้งจิตเกิดต่อก็ได้ จิตท่านก็ไปเกิดตามที่ท่านจิตสะอาดแล้ว ก็ได้เท่าที่คุณทำ ธุ์ต่อเชื่อมไปถึงชาติหน้า เพราะคุณยังไม่แยกสลาย แต่ถ้าเป็นอรหันต์ แยกสลายได้หมดแล้วไม่ตั้งภพภูมิอีกเลยก็จบ
การแยกธาตุก่อนตาย ก็อยู่ที่แยกได้หรือยัง ถ้าอรหันต์ก็ทำได้ แต่ถ้าไม่ใช่อรหันต์ อยากแยกอย่างไรก็ทำไม่ได้ อยากตายสูญก็ไม่ได้หรอก จิตคุณก็ต้องต่ออยู่ดี มีกิเลสนั้นอยู่ดี จนสามารถทำให้กิเลสไม่เกิดอีกเลยจริง มีสุญญตานิพพาน อัปปณิหิตนิพพาน อนิมิตนิพพาน ไม่เกิดเครื่องหมายใดๆอีกเลย นิพพานอย่างเป็น o ไม่มีนิมิต ไม่มีตั้งจิตอีกเลย คือตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่ถ้ามีปณิหิตตังจิตตัง ก็มีต่อได้ อยู่ที่จิตเราทำได้จริงหรือไม่ ถ้าทำไม่ได้แล้วอยากจะทำ สุญญตานิพพาน อัปปณิหิตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อยากให้ตายก็ทำไม่ได้หรอก ถ้าคุณยังทำไม่ได้จริง หากทำได้จริงก็จะได้ แล้วอยากได้กันไหม?
_สิ่งที่ทุนนิยมกลัวที่สุดคือ กลัวคนจะพึ่งตัวเองได้ "ชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ ชาวอโศกเพื่อชาวอโศก
พ่อครูว่า...จริง มิน่าเราถึงถูกต่อต้าน เราจะให้คนพึ่งตนเองได้ เขาถึงต่อต้าน
_3867ที่พ่อครูอ่านฯบุญนิยมนำขึ้นจอทีละข้อบ่ได้ฤา?หนก่อนจดบ่ทัน!
นก2หัว,ไส้ศึก,เกลือเป็นหนอน,ข้า2จ้าวบ่าว2นาย มีในโลกทุกที่!หมู่งานใดมีคน2จิต2ใจ!หมู่งานที่นั่นก็ยากไปสู่เป้าหมายด้วยทิศทางเดียวกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ใส่บาตรเป็นสาธารณโภคีที่ลึกซึ้ง
_พอ ตระกูลอโศก : สำหรับตัวดิฉันรู้สึกว่าการใส่บาตร เหมือนการแสดงลิเก เพราะใส่เสร็จแล้วก็นำข้าวไปใส่หม้อเหมือนเดิม และอาหารส่วนใหญ่ก็ไม่เหมาะกับสมณะ เด็กยังไม่กิน
พ่อครูว่า...คนนี้มองไปแง่นั้นก็เป็นได้ เหมือนเล่นลิเก พวกเราสาธารณโภคี ใส่บาตรแล้วเอามารวมกัน แต่ระวังนะ ไปว่าพระพุทธเจ้าเล่นลิเก ภิกษุสมัยก่อนก็นำมารวมกันแบ่งกัน
ถ้ามองรูปธรรมตื้นๆก็อย่างนั้น แต่การรวมกัน เป็นสาธารณโภคี มันตื้นหรือ? ถ้าผู้ได้รับนับถือ กว่าจะได้รับการใส่บาตรด้วยของคุณภาพดี แต่ท่านก็เอามารวมกันเฉลี่ยกัน คนไหนอ่อนแอก็ให้วิตามินไป คนแข็งแรงก็สละให้ แต่ไปมองตื้นแค่รูปธรรมนี้ตื้นไป
อาหารใส่บาตร เดี๋ยวนี้เยอะ ของคนนอกมีเยอะ แต่คนในเรานี่ไม่ค่อยมีหรอก บิณฑบาตข้างนอกมาสารพัดเละเลย ก็จริง แต่เราก็ต้องไปโปรดเขา ทั้งประโยชน์เรา ว่าเราไปหลงข้างนอกหรือเปล่า และเราก็แนะให้เขาได้ทำทาน เชื่อมโยงรูปนาม
คนที่ได้ทำทาน กับพระพุทธเจ้า 1 ครั้ง กุศลที่จะเชื่อมโยงก็เยอะ อจินไตยอธิบายได้ยาก
ยกตัวอย่าง ราธะพราหมณ์ใส่บาตร พระสารีบุตร 1 ทัพพี พอถึงคราวจะบวชก็ไม่มีอุปัฏฐาก แต่เจอพระสารีบุตรจำได้ว่าเคยรับบาตร 1 ครั้งก็เลยหาเครื่องอัฐบริขารที่จะบวชให้ มันก็เกื้อกัน ช่วยเหลือกันเป็นเหตุปัจจัยกันและกัน ยิ่งทำกับคนมีคุณธรรมสูง สิ่งที่เราจะได้ ประโยชน์จากท่านก็จะสูง คุณไม่เอาหรือ
ได้ใส่บาตร กับพระพุทธเจ้า 1 ครั้ง ท่านก็มีแต่สิ่งประเสริฐ ให้เรา ของมีค่าที่ท่านให้เรา ธุลีละอองนิดนึงก็ประเสริฐมากแล้ว
สรุปแล้วทุกอย่างมันต้องสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน ช่วยกันและกัน อาศัยกันและกัน เรียกว่าสมาสัย ก็อาศัยกันและกัน
สมณะฟ้าไทว่า...เหมือนเราใส่บาตรพ่อครูแต่พ่อครูสอนเราลดกิเลส พ่อครูให้สิ่งมีค่าแก่เรามากมายกว่ามาก
พ่อครูว่า...ค่ากุศลโลกียะก็ค่าระดับหนึ่งแต่ค่ากุศลโลกุตระนี้ค่าก็มากกว่า ลดกิเลสได้นี้เที่ยงแท้ถาวรได้ทุกชาติ แต่โลกียะนี้ได้แล้วไม่เที่ยงไม่คงที่ ได้แล้วได้เลย เป็นสิ่งประเสริฐโลกุตรธรรมอันนี้เป็นเรื่องเกินคิด คิดไม่ออกง่ายๆ อจินไตยลึกซึ้ง
_ถุงเงิน ปิ่นแก้ว : ชีวิตหนูเหมือนมดน้อย วิ่งสู้ฟัด กัดฟัน
_รุ่งโรจน์ อนันต์เจริญกิจ : พระไทยบูชาครูปางที่9ของฮินดู ขิขิ พระไทยอยู่ไหน เห็นแต่สมานของพุทธองค์ แต่มองไม่เห็นพระของพุทธองค์/พ่อแม่เช่นไรก็พาลูกทำเช่นนั้น/เมื่อยังถูต้นไม้ก็มองไม่เห้นการทำความสะอาดตน /*/ทุกสิ่งมี+- ได้อย่างก็เสียอย่างแต่เป็นสมดุลของธรรมชาติ เช่นเพิ่มความดีเราก็จะเสียความชั่วทุกอย่างมันสมดุลในตัวเอง เราเสียอายุของชีวิตเราก็มาคิดซิว่าเราสามารถเติมอะไรให้ชีวิตได้ ถ้าจะตายก็ความเติมสุขให้จิตวิญญาณ ทุกสิ่งมีความสมดุลเสมอ //พวกมีความหนักก็อยู่ในโคลน คนเบาก็เย็นเป็นน้ำบนใบบัว /ตายรู้จิต และรู้ว่าอนิสงจะพาไป กับตายจิตจม ติดกับภพที่ตนเองสร้าง(ฝันไม่ตื่น) ประโยชน์เป็นอนิสงนำพา/ขอบเขตสูงสุดคือเสมอ ประโยชน์สารคือธรรมชาติ ธรรมเสมอธรรม/สิ่งที่ใหญ่ที่สุด คือสิ่งที่เล็กที่สุด ธรรมชาติและทุกสิ่งคือการทำซ้ำ //ยากสักสิท ก็ไปศักคำว่าสักสิท จะได้สักสิทของจริง ///พระเก่งๆอยากรู้ความจริงจะต้องไปกระโดนเขา จะรู้ความจริงในเสี้ยววินาที//ตายและรีบเผา ก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าทิ้งเวลามากๆมันจะก่อโรค
พ่อครูว่า...คนนี้ใช้ปรัชญาตรรกะทั้งนั้นเลย อย่ามัวแต่เล่นพยัญชนะภาษา ขอแว้งถึงท่านเพาะพุทธ ว่าอย่าเมาแต่ภาษา อร่อยในรสภาษามากเกินไป ขอให้ตามสภาวะ มันช้า พยายามหาสภาวะให้ชัด มากกว่าอร่อยแต่ภาษา รสของภาษาที่นำสู่สภาวะดี แต่อย่าเพลินขยายความต่อไปมันเสียเวลา
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ธรรมาธิปไตยต้องทำอย่างไร
_พอดี พอดี : เสียงแทรกมาก บางช่วงฟังไม่ชัดเลย
เอกภพ : 85ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ อำนาจก็ยังคงผลัดกันอยู่แต่เผด็จการทหาร กับ นักการเมืองขี้ฉ้อเท่านั้น โดยมีข้าราชการโกงกินทำงานสกปรกให้ และถูกชักใยจากทุนสามานย์ ไม่เคยเปลี่ยน อำนาจยังไม่เคยเป็นของประชาชนเลย มันควรจะถึงเวลาเปลี่ยนแปลง คิดและปฏิบัติกันใหม่ได้หรือยัง..?
อำนาจควรจะมาพร้อมความรับผิดชอบ และควรจะมีบทบาทของประชาชนเจ้าของประเทศเสียที
บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ มันควรจะเพิ่มตรวจสอบพร้อมเอาผิดได้ มาให้ภาคพลเมือง เป็นฐานอำนาจที่4 จึงจะสมบูรณ์ขึ้น เพื่อตอบโจทย์ว่าประชาธิปไตยมิได้มีแค่4 วินาทีเท่านั้น และสามารถพูดได้เต็มปากว่าอำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง แล้วต่อไปใครจะขึ้นสู่อำนาจเราก้อไม่สน เราขอตรวจสอบเอาผิดกับใครก็ตามที่ทำทุจริตได้ตลอดเวลา
พ่อครูว่า...มันง่ายในการคิด แต่ยากในการปฏิบัติให้คนมีอำนาจที่เป็นธรรมาธิปไตยในตัว เป็นคนที่ประชาชนเขายกอำนาจให้ คนที่มี ธรรมาธิปไตย ไม่ได้ไปแย่งอำนาจจากประชาชน ไม่หลอกหาทางบังคับให้ประชาชนเอาอำนาจมาให้ฉัน มีแต่ประชาชนเขาเทิดทูนบูชา เอาอำนาจไป พูดสั่งมาเขาจะทำตาม เพราะเขาบูชาความจริงใจ เขาให้ นั่นคือธรรมาธิปไตย
ผู้ที่มีธรรมาธิปไตย
1.จะต้องเรียนรู้อัตตาตัวเรา อย่าให้มีตัวเองไปต้องการอะไรมาให้แก่ตน ล้างอัตตาให้หมด
2.รู้จักโลก โลกคือสิ่งที่สัมผัสกับเรา ตั้งแต่ 1 2 3 4 หรือมากกว่านั้น แล้วเราก็จะรู้ความสัมพันธ์กับโลก ให้รู้ว่าเราไม่แย่งกับใคร ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แม้อำนาจเราก็ไม่แย่ง เรารับใช้ ยอมแพ้คุณด้วย คนนี้จะได้อำนาจเป็นธรรมาธิปไตย ฟังความนี้ให้ชัดๆ เราไม่เอานั่นแหละเราได้ เราขาดทุนนั่นแหละคือเรากำไร
สัจจะความจริงนี้ ผู้ที่ได้แล้วจะชัดเจน ผู้ที่ไม่รู้ฟังแล้วก็จะไม่เข้าใจ ให้เรียนรู้ไปแล้วจะเข้าใจ เข้าใจอำนาจที่ว่านี้ ประชาชน เราไม่ต้องไปหาอำนาจจากประชาชน แต่เราจงให้ประชาชนเอาอำนาจไป ยิ่งคุณไม่เอาอำนาจบาตรใหญ่อะไรเลย ให้ไปหมดมีแต่ผู้รับใช้ผู้น้อย ประชาชนจะเห็นเองว่าคนนี้รับใช้เราเป็นคนมีประโยชน์แก่เรา ผู้ที่มีปัญญาจะให้กลับ คนมีปัญญานี้แหละพอ ขอให้คนมีปัญญารู้เรา เราก็รอดแล้ว อาตมาอยู่ในสังคม ถ้าไม่มีคนมีปัญญารู้ อาตมาตายนานแล้ว
สมณะฟ้าไทว่า...จะรู้ว่าเราปฏิบัติได้ผลหรือไม่ ก็ดูที่เราลดตัวตนได้ไหม ยอมกับหมู่ได้ไหม ไปกับกระบวนการหมู่ได้ไหม แสดงออกในการกระตือรือร้น ที่จะทำงานกับหมู่ ฟังธรรม ช่วยเหลือคนอื่น ไม่อืดอาด รู้ตื่นเบิกบาน เป็นผลจากที่พ่อครูแสดงธรรม ก็ไปฟังทวนแล้ว ปฏิบัติให้ได้ตามฐานะ ...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 17:52:24 )
รายละเอียด
600629_เทศน์ก่อนฉันวันไหว้ครู ศีรษะอโศก อวตาร 10 ปาง แบบพุทธ
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน อวตาร 10 ปาง แบบพุทธ
พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2510 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 8 ปีระกา ที่นี่เราก็ได้มีการทำพิธีไหว้ครูถือกันว่าวันพฤหัสบดีเป็นวันไหว้ครู ก็เลือกวันพฤหัสใดพฤหัสหนึ่งประมาณนี้แหละไหว้ครูกัน ทำไมต้องไหว้ครู ครูมีความสําคัญอย่างไรถึงต้องไหว้ ในความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์โลกขึ้นมา เมื่อจะสืบทอด ความเป็นอยู่ของชีวิต สืบทอดกรรมกิริยาอะไรต่างๆ แม้แต่สืบทอดความเฉลียวฉลาดการนึกคิด ความสำนึกในการรู้ธรรมะ ซึ่งเป็นคุณธรรมถึงขั้นโลกียะ ถึงขั้นโลกุตระ เป็นหน้าที่สำคัญซึ่งละเอียด ก็ต้องอาศัยการบอกการสืบทอดจากผู้รู้ก่อน
พวกเราเป็นชาวพุทธ ถือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีความรู้ความเจริญสูงสุด ในความเป็นคนหรือความเป็นสัตว์โลก ที่ได้เกิดมาเป็น ชีวะ ระดับจิตนิยาม ผู้ที่เกิดก่อนและสามารถรอบรู้ และทำตนให้มีกรรมกิริยาต่างๆ ทั้ง กายวาจาใจ เป็นกรรมกิริยาที่ดีที่สุด เจริญที่ที่สุด เท่าที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ ถึงขั้นโลกุตรธรรมสูงสุด เรียกว่า มนุษย์ทุกคนควรทำให้ได้คือพระอรหันต์ สูงกว่าพระอรหันต์เป็นเรื่องพิเศษ สำหรับการที่จะรู้จัก เกี่ยวกับกาละและกรรม ที่จะมีมากมาย ในกัปป์ต่างๆ ทั้งในกาละ วนเวียนเป็นวัฏจักร ในแต่ละเวลา เคลื่อนและหมุนวน ในมหาเอกภพมีความวน เล็กกว่านั้นก็เป็นจักรวาลและมหาจักรวาล กาแลกซี่ วงวนของการโคจร จนถือว่าระดับโลกลูกหนึ่ง มาถึงสัตว์ตัวหนึ่งมนุษย์คนหนึ่ง จะมีกระแสเส้นทาง ของการเดินทางของชีวิต แล้วจะประสบกับเหตุปัจจัยต่างๆ ที่เราเอง ทั้งที่เราได้เคยประสบพบพาน สัมพันธ์ผูกพันเป็นมา หรือสิ่งที่กำลังประสบมาใหม่ก็ตาม
ถ้าเราไม่ได้เรียนรู้วิธีที่จะสัมพันธ์ ทำอย่างไร ที่จะประสาน หรือจะร่วมกัน ทำอะไรให้เกิดประโยชน์คุณค่าที่ดีขึ้นมา ผู้ที่สามารถรู้ได้สูงสุดในความเป็นคนสังคมเกี่ยวข้องกับมนุษยชาติ ศาสนาพุทธถือว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รู้ได้สูงสุด น่าจะต้องเรียนรู้ถึงความไม่เห็นแก่ตัวสูงสุด คือพระอรหันต์ พระอรหันต์คือหมดความเห็นแก่ตัวได้สูงสุดของแต่ละคน ศาสนาพุทธเราจะต้องมาเรียนรู้
เพราะว่า ความชั่วที่สุดในสัตว์โลกคือความเห็นแก่ตัว แล้วเห็นแก่ได้ แล้วก็มีความรุนแรงจัด โลภจัด เมื่อรุนแรงในความโลภจัด อยากได้ ต้องได้มาให้แก่ตน ไม่ได้ก็จะทำร้าย ทำร้ายผู้ที่หวง ทำร้ายผู้ที่ยึดถือ ไม่ให้สิ่งที่เราต้องการ ฆ่ามันแย่งมันทำร้ายมัน ให้มันปล่อยแล้วเราก็จะได้ เป็นพลังงานของจิตที่เราเรียกว่าความเห็นแก่ตัวหรือกิเลส ผู้รู้ก็จะรู้ว่ามันคือความเลงพลังงานนี้คือความเลวในจิตตน ก็มาเรียนรู้ ตั้งแต่ หยาบเลวร้ายต่ำๆ จนกระทั่งปล่อยวางความยึดถือ เลิกจากการปฏิบัติประพฤติที่แย่เหล่านั้น จนไม่เห็นแก่ตัวเลย
ศาสนาพุทธขณะที่สอนไม่เห็นแก่ตัว ก็สอนให้เห็นแก่ผู้อื่น รับใช้ผู้อื่นพร้อมกันไปเลย ผู้ที่หมดความเห็นแก่ตัว ก็จะเหลือแต่ความเห็นแก่ผู้อื่นทำงานช่วยเหลือผู้อื่น ต่างจากลัทธิที่ไม่เห็นแก่ผู้อื่น ไม่รู้จักการงานรับใช้เป็นประโยชน์คุณค่าแก่ผู้อื่น เป็นลัทธิไม่เกี่ยวกับใคร เอาตัวให้หลุดพ้นจากโลก หนีห่างไปจากสังคม ปิดประตูตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่เกี่ยวกับใคร จนกระทั่งไม่สนใจคนอื่น สัตว์อื่นอะไรภายนอก ไม่รับรู้ทั้งนั้น ถือว่าหลุดพ้น ลัทธิอย่างนั้น เป็นลัทธิเห็นแก่ตัว
ซึ่งเดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธ ก็ไปเชื่อว่า ลัทธิแบบนั้น ที่หนีไปจากโลกจากสังคมไม่เห็นแก่ใคร เป็นศาสนาพุทธ เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเป็นแบบนั้น ไปอยู่ป่าเขาถ้ำ ไกลลิบ ไปอยู่กับป่าเขาต้นไม้สิงสาราสัตว์ ถ้าไม่ให้สิงสาราสัตว์ทำร้ายได้ก็ถือว่ายอดเยี่ยม เป็นคนมีพลังจิตสูง ดีไม่ดีเป็นมิตรสหายกับสัตว์ร้ายต่างๆได้ด้วยถือว่าเก่งถือว่ายอดเยี่ยม นั่นเป็นลัทธิที่ อีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่ใช่ของพุทธ
ศาสนาพุทธเข้าใจความเป็นสัตว์สังคม อยู่กับกลุ่มสังคม เข้าใจความเลวร้าย เข้าใจความดีงาม แม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็เรียนรู้ สัตว์ชนิดใดไม่ต้องสัมพันธ์กัน หลายชนิดอยู่ใต้น้ำหรือสัตว์มีพิษ เราไม่ต้องเกี่ยวข้องเลยทั้งชีวิตก็ได้ ไม่ต้องระมัดระวังอะไร หรือสัตว์ในป่า ที่ไม่ออกมาวุ่นวายกับภายนอก อยู่ตามวิสัยของมัน หากินอยู่ไป ไม่เกี่ยวข้องกับเรา เราก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับมัน
แต่คนที่อยู่ร่วมกันก็ต้องสัมพันธ์กัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสงบ มีความเป็นประโยชน์ เกื้อกูลช่วยเหลือเฝือฝายไม่ทำร้ายกัน มีประโยชน์ต่อกัน พระพุทธเจ้าถึงได้พาฝึกฝนเรื่องนี้ เป็นศีล เป็นเครื่องปฏิบัติข้อที่ 1 ตั้งแต่พยายามที่จะรู้ ที่จะไม่ทำลายไม่ฆ่าสัตว์ จะต้องมีจิตใจเอ็นดู หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เป็นคำตอบที่ละเอียดชัดเจน ให้รู้ชีวะ ชีวิตของสัตว์ทั้งปวง อย่าไปทำร้ายกัน
เรียนรู้ความเป็นสัตว์เป็นพืช ธาตุอุตุ ดินน้ำไฟลม ในเชิง biology ชีววิทยา พระพุทธเจ้าตอนเรียนรู้ มีนิยามชีวิต 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม อาตมาสัมผัส นิยาม 5 นี้ก็เข้าใจเลยว่า เป็นหัวใจเลย ทุกอย่างอยู่ในนี้ครบ ซึ่งความรู้ทางโลกเรียนรู้ได้แค่ อุตุ พีชะ
จิตนิยามเขาเรียนรู้ได้ไม่ลึกซึ้ง ส่วนกรรมนิยาม ที่สามารถแยกแยะ โลกียธรรม โลกุตรธรรมนั้น มีแต่ศาสนาพุทธที่เรียนรู้ได้ รู้จักกรรมนิยามดี เห็นความสำคัญของความเป็นกรรม เป็นพฤติกรรมที่สั่งสมพลังงาน กรรมเป็นอันทำ กรรมเป็นพลังงานที่เป็นอันทำ ถ้ามันเกิดพลังงานความเคลื่อนไหวขึ้นมาในจิต นึกอย่างนี้ มีความรู้อย่างนี้ เปลี่ยนไปอย่างนี้เป็นอย่างนี้ เป็นอาการของจิต เกิดมาเมื่อใด สั่งสมเป็นคลังของพลังงาน เรียกว่าเป็นสัญญา
สั่งสมไปหมด เหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ มันเก็บเข้าไปในฮาร์ดดิสหมด จิตวิญญาณเก็บได้เก่งกว่านั้นอีก เก็บได้ละเอียดเบาบางเล็กน้อยกว่านั้นอีก ยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์ แล้วไม่หายไปไหนตลอดจนกว่าจะปรินิพพาน ต่อให้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วมันก็ยังอยู่ในสัญญา แต่มันจะออกฤทธิ์ได้หรือไม่ ความรู้ของศาสนาพุทธ สามารถทำให้ ฤทธิ์อกุศล ไม่ออกมาทำงานในปัจจุบันได้ ก็เป็นความสบาย ความไม่ทุกข์ เพราะว่าพลังงานชั่วนั้น ขึ้นมาเล่นงานเราให้ทุกข์ไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันหมดไป เพราะว่าปัจจุบันนี้ทุกข์เก่าไล่ไม่ทัน และทุกข์ใหม่เราไม่ทำ อรหันต์มีกุศลกั้นไว้
ในสามกาละ พุทธจึงพ้นทั้งอดีต ปัจจุบัน ดังนั้นอนาคตก็แน่นอน เมื่อทำอดีตกับปัจจุบันได้แข็งแรงมั่นคงแน่นอน
ศาสนาพุทธ เรียนรู้เรื่องกรรม ปฏิบัติกรรม จบที่กรรมปัจจุบัน ไม่ทำกรรมปัจจุบันที่จะทุกข์กันอีก เราสามารถรู้ว่าทำอย่างนี้ไม่เกิด ในอดีตวิ่งไล่มาไม่ทัน เราทำในทุกปัจจุบันให้ไม่ทุกข์ ทำทุกกรรมกิริยาเป็นกุศล กุศลก็จะยันให้กรรมที่เป็นอกุศลเป็นบาป วิ่งไล่หาปัจจุบันไม่ทัน ความรู้อย่างนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก อรรถกถาก็ไม่ได้บรรยายไว้ ไม่เคยได้ยิน
เคยได้ยินเหมือนกันว่าบาปเหมือนหมาไล่เนื้อวิ่งไล่ แต่ความรู้ที่บอกว่ากุศลเป็นเครื่องกั้นนี้ไม่มีใครพูดมา ศาสนาพุทธทำให้คนมีความไหวรู้ ว่าคนเราต้องมีความเจริญ และความเจริญนี้สั่งสมต่อไป จนผู้รู้ตัดรอบประเมินผล เป็นรอบๆนี้ ชื่อว่าอย่างนี้ รอบนี้ชื่อว่าอย่างนี้ รอบนี้เจริญขั้นนี้ชื่อว่าอย่างนี้ การพัฒนาการ จากความเจริญของจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง การพัฒนาจิตวิญญาณให้เกิดพลังงานที่ดีขึ้นมา เป็นรอบๆๆ ท่านเรียกว่า อวตาร มีอาจารย์ผู้รู้เรียบเรียงไว้เยอะ หลายแบบ เท่าที่อาตมา ได้มาจากที่บันทึกไว้ ตามความรู้ในโลก
มีสามแบบ
แบบที่ 1 มีพุทธาวตาร . อวตารทั้งสิบปางของพระวิษณุประกอบด้วย
แบบที่ 2 ไม่มีพุทธาวตาร พระนารายณ์ 10 ปางสำคัญดังนี้
ปางที่ 1 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูเผือกมีเขี้ยวเพชร)
ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง)
ปางที่ 3 มัตสยาอวตาร (อวตารเป็นปลากรายทอง)
ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์)
ปางที่ 5 วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)
ปางที่ 6 มหิงสาวตาร (อวตารเป็นมหิงสา หรือควาย)
ปางที่ 7 อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางฟ้า)
ปางที่ 8 รามาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ชื่อพระราม)
ปางที่ 9 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ)
ปางที่ 10 กัลกยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์เรียกว่า วีรบุรุษขี่ม้าขาว
แบบที่ 3 อวตารทั้งสิบปางตามฉบับโรงพิมพ์หลวงได้แก่
ปางที่ 1 วราหาวตาร อวตารเป็นหมูป่าเพื่อปราบหิรันตยักษ์
ปางที่ 2 กัจฉปาวตาร อวตารเป็นเต่าเพื่อปราบอสูรปลา
ปางที่ 3 มัจฉาวตาร อวตารเป็นปลาเพื่อปราบอสูรหอยสังข์
ปางที่ 4 มหิงสาวตาร อวตารเป็นกระบือเผือกเพื่อสังหารอสูรควาย
ปางที่ 5 สมณาวตาร อวตารเป็นสมณะเพื่อขอศิวลึงค์จากอสูรตริบุรัม
ปางที่ 6 สิงหาวตาร อวตารเป็นนรสิงห์ เพื่อปราบหิรันตปกาสูร
ปางที่ 7 ขุชชาวตาร อวตารเป็นพราหมณ์เพื่อลวงขอที่ดินจากอสูรตาวัน
ปางที่ 8 กฤษณาวตาร อวตารเป็นพระกฤษณะ
ปางที่ 9 อัปสราวตาร อวตารเป็นนางอัปสรเพื่อลวงนนทุก
ปางที่ 10 รามาวตาร อวตารเป็นพระรามเพื่อปราบทศกัณฐ์
ก็แล้วแต่ความรู้ที่ใครจะยึดถือ แต่ละศาสดาแต่ละศาสนาจึงมีสิ่งที่เหมือนกันบ้างไม่เหมือนกันบ้างต่างกันไป แต่เมื่อเกิดในศาสนาพุทธ เราก็ถืออย่างพุทธ ในพุทธ จะมีความรู้เรื่องอวตารต่างๆไหม ก็มี เป็นความเจริญพัฒนาของพลังงาน ตั้งแต่ อุตุ แล้วมาเป็นพืช จึงมาเป็นสัตว์
อวตารต่างๆ มาจากความเป็นสัตว์ทั้งนั้น ไม่ได้เอาตั้งแต่พืช แต่พุทธนั้นรู้ตั้งแต่ดินน้ำไฟลม พัฒนามาเป็นพืช มีชีวะ แล้วมีสัญญา เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ เป็นประธาน ที่ต้องเก็บเอาดินน้ำไฟลมมาสังเคราะห์สังขาร แล้วเกิดเป็นตัวเขาพืชชนิดนี้ๆก็ต่างกัน แยกตระกูล ตระกูลมะละกอ ตระกูลถั่ว กล้วย ก็ว่ากันไป ก็ยังมีรอบใหญ่ที่จะมีพลังงานข้ามเขตไปเป็นจิตนิยาม ที่จัดจ้านกว่าพืช และจิตนิยามพัฒนามาเป็นมนุษย์จะไปรู้ไปศึกษาส่ิงเหล่านี้ มนุษย์สามารถรู้ถึงขั้นพัฒนาพลังงานของอุตุ มาเป็นพีชะ มาเป็นจิต มีกรรมสั่งสมเป็นสองธาตุ ตัวหนึ่งคงที่ static อีกธาตุหนึ่งเป็นตัววิ่ง เป็นบวก เป็นลบ ตามหลักวิทยาศาสตร์ตรงกัน ศาสนาพุทธรู้พลังงานเหล่านี้ได้เหมือนนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์รู้ได้
ศาสนาพุทธรู้ด้วย จนถึงจิตนิยาม ซึ่งรู้ได้มากกว่าจิตวิทยาทางโลก รู้ถึงขั้นอาการของจิตต่างๆ แยกอาการจิต ละเอียดยิบ และสามารถจัดการ เรียกว่าอภิสังขาร จัดการเอาสิ่งที่ดีที่ต้องการเอามาใช้งาน จิตที่ไม่ดีก็เข้าใจ อย่างมีพลังงานเด็ดขาด มีพลังงานธาตุรู้ พลังานกั้นสิ่งเลวได้อย่างแข็งแรง พลังงานชั่วเลวเข้ามาไม่ได้เลย นี่คือความรู้ของศาสนาพทธ
แน่นอน ชาวพุทธเราถือว่าเป็นความรู้ที่เยี่ยมยอดสูงสุด ศาสนาอื่นก็ไม่รู้อย่างนี้ เขาไม่ได้มานับถือไม่ได้มาศึกษา เขาก็ไม่รู้ หรือถ้าจะรู้ก็ไม่ศรัทธาไม่เห็นความสำคัญ เพราะทิศทางของศาสนาพุทธ กับทิศทางของศาสนาเทวนิยมนั้นต่างกัน
ประเด็นหลักที่ต่างกันมากที่สุดก็คือ ศาสนาพุทธสามารถทำให้พลังงานที่เป็นพลังงานไม่ดีออกจากตัวเอง ดับหรือทำลายกำจัดหมดไปได้ จนเหลือแต่พลังงานที่ดีที่สุด และสูงที่สุด สามารถรู้เรื่องพลังงาน สลายพลังงานนี้ออกไปได้ เหมือนสลายพลังงาน ไฮโดรเจน ออกซิเจน แยกแยะ H และ O จากธาตุน้ำ H2O กลายเป็นอุตุหมดเลย หากมันจับตัวกันใหม่ก็ไม่ใช่ตัวเก่าแล้ว ทำได้สำเร็จ นี่เป็นความรู้สูงสุดของศาสนาพุทธ
แต่ละอัตภาพ สามารถทำให้จิตวิญญาณเลวอกุศลดับหมดเลยไม่เกิดอีกเลย ไม่เป็นพิษภัยอะไรอีกเลยต่อโลก ทำแต่ดี
ประเด็นที่ 2 สามารถแยกแยะอัตภาพตัวเอง เลิกเลย ไม่มาเกิดอีกเลยในเอกภพนี้ได้ ศาสนาเทวนิยมไม่สามารถรู้ได้สูงสุดอย่างนี้ สูงสุดของเทวนิยม สามารถทำให้พฤติกรรมตัวเองดีที่สุดตามแต่ที่กำหนด แล้วแต่ศาสดาแต่ละองค์กำหนดไว้ ดีอย่างนี้ อย่าทำชั่ว จะตกนรก และทำดีได้ไปสวรรค์ สวรรค์คือ อยู่กับพระเจ้าอยู่กับพลังงานนิรันดร ไม่สูญ อยู่กับอาตมัน ปรมาตมัน ศาสนาเทวนิยมซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนิรันดร
สัตว์โลกโดยเฉพาะเกิดมาเป็นคน จึงมากับความนิรันดร เพราะฉะนั้น สัตว์โลกที่จะมามีความรู้แบบนี้จึงมีจำนวนน้อย จากจำนวนมากของสัตว์โลกที่เป็นมนุษย์ในโลก หรือที่เขาถือลัทธิเทวนิยม มีพลังงานนิรันดรที่ดีที่สุดเป็นโลกิยะ มีดีมีชั่ว ศาสนาพุทธดีชั่วเป็นสมมุติสัจจะ รู้ดีชั่ว เลิกชั่วได้ตลอด สามารถรู้พลังงานที่ทำให้เกิดความชั่ว มีพลังโลกุตระ ควบคุมจัดการ ไม่ให้จิตนิยามเราไปทำอาการกายวาจาไม่ดี โดยควบคุมที่จิตที่จะเป็นตัวต้นทางทำกายวาจาไม่ดี ได้สูงสุด เป็นพระอรหันต์สามารถเลิกอัตภาพไปได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เลิกอัตภาพ ทำได้สูงสุด
ในอวตารปางที่10 ที่ลงท้ายด้วยกัลกยาวตาร มีบางหมวดไปสูงสุดที่รามาวตาร
คำว่า กัลกยาวตาร หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าสูงสุด มันไม่มีแล้ว ถ้าเป็นพุทธนี้ ในฮินดูปาง9 เป็นผู้ที่ถึงขั้นนี้ เป็นพุทธ สามารถจัดสรร พลังงานตัวเอง ให้มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ อยู่ที่ กัลกยาวตาร สูงกว่า 9 จึงปรินิพพานเป็นปริโยสานหรือไม่ก็ได้ แต่ศาสนาเทวนิยมไม่รู้ พระพุทธเจ้าไม่ให้มาวุ่นวายกับสิ่งเหล่านี้หรอก แต่มันเป็นการพัฒนาการความเจริญ เช่น เอาอวตารแบบฮินดู ซึ่งพุทธกับพราหมณ์เป็นอันเดียวกัน สลับไปสลับมา รู้ตัวก็เป็นพุทธ อเทวนิยมพอนานก็กลายเป็นเทวนิยม
พลังงานเริ่มต้นจิตนิยามคือ ปลา เป็นอวตารระดับหนึ่ง ก็จะวนเวียนเป็นปลานานนับชาติ พวกเราก็เกิดมาเป็นปลาไม่รู้กี่ชาติ กว่าจะพัฒนามาเป็นเต่า กูรมาวตาร เต่าอยู่ได้ทั้งน้ำและบก ปลาอยู่ได้แต่ในน้ำ
วราหาวตาร ตอนนี้เป็นหมูป่าขึ้นบกได้จริง มีเขี้ยว เต่ายังไม่มีเขี้ยวมีฟันไปทำร้ายทำลายอื่นนะ
ปางที่4 นรสิงหาวตาร เป็นครึ่งคนครึ่งสิงห์ เจ้าแห่งสัตว์ป่า ก็เจริญจากสัตว์ จากหมูป่า มาเป็นสิงห์ แล้วพัฒนาเพิ่มเป็นคน
นรสิงหาวตาร เป็นคนครึ่งสิงห์ แล้วมาเป็น
วามนาวตาร เป็นพราหมณ์หลังค่อม เป็นผู้ที่มีความรู้แต่ยังไม่เจริญ
ปรศุรามาวตาร เป็นผู้รวบรวมคนได้ เป็นพราหมณ์ที่รวบรวมคนได้
รามาวตาร เป็นผู้คุ้มครองปกครองคนให้ปลอดภัย
กฤษณาวตาร เป็นเจ้าของความรู้ความสามารถ ในการที่จะทำความเป็นสังคมมนุษย์ เป็นเจ้าแห่งกษัตริย์ เป็นเจ้าแห่งผู้รู้ เป็นเจ้าแห่งผู้ที่มีเมตตา
ปางที่ 9 เป็นพุทธาวตาร เป็นอวตารในระดับสูงสุดแล้วในความมี มาเป็นสัตว์โลกขั้นพุทธาวตาร รู้จัก อุตุ พีชะ จิต แล้วก็กรรม และการทรงไว้หรือไม่ทรงไว้เป็นธรรมะ จะไม่ทรงไว้ให้หายสูญเลยก็ได้ จะไม่ให้ทรงไว้ก็ได้ มีความรู้ระดับอุตุ พีช จิต
ปางที่ 10 กัลกยาวตาร สูงกว่าพุทธ คือถ้าสูงกว่าอรหันต์แล้วก็ไม่ต่อ ไม่มีโพธิสัตว์อย่างในเถรวาทก็ตัดทางเป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสนาห้วน อุจเฉทิฏฐิ คือเป็นพระอรหันต์แล้วต้องตาย ต้องสูญ เถรวาทถืออย่างนั้น ใครเป็นพระอรหันต์แล้วตายลงไปในชาตินั้นก็ต้องปรินิพพาน จึงตัดทางเป็นพระพุทธเจ้า
ศาสนาทางเถรวาทเป็นศาสนาที่มีวิบาก อุจเฉทิฏฐิ ตัดความเป็นพระพุทธเจ้าให้แก่ตัวเอง เถรวาทจึงไม่มีพระพุทธเจ้า เพราะมิจฉาทิฏฐิ ตัดทางบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้า โดยเข้าใจผิดว่า เมื่อบรรลุพระอรหันต์แล้วหากตายในชาตินั้นจะต่ออะไรอีกไม่ได้เลย ถึงไม่มีคนเป็นบริษัทจะสืบทอดเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย นี่คือ มิจฉาทิฏฐิของเถรวาท ที่เป็นอนันตริยกรรมอย่างหนึ่งเพราะตัดทางเดินสู่ความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วร้ายแรงนะ
แล้วไปเข้าใจว่า ผู้ที่ตั้งจิตปรารถนาเป็นโพธิสัตว์นั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าเป็นได้ แต่บรรลุอาริยะไม่ได้ บรรลุเป็นพระโสดาบันไม่ได้ อย่าว่าแต่เป็นสกิทาคามี อานาคามีเลย อรหันต์เป็นไม่ได้ ต้องเป็นโพธิสัตว์ที่เป็นปุถุชน ถ้าขืนเป็นโสดาบัน อย่างต่ำเป็นสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ก็ต้องเกิดอีก 7 ชาติก็ต้องเป็นพระอรหันต์ แล้วปรินิพพาน แล้ว 7 ชาตินี้จะเป็นพระพุทธเจ้าไม่น่าจะได้ เพราะว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญนานนับชาติล้านๆชาติ เพราะฉะนั้นจะเป็นพระพุทธเจ้านั้นจะเป็นไม่ได้ แม้แต่พระโสดาบัน เถรวาทก็ยิ่งเข้าใจผิดเข้าป่าลึกเลย โพธิสัตว์จะบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้านั้นจะเป็นไม่ได้แม้แต่พระโสดาบัน เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ วันคืนบำเพ็ญไป ไม่รู้แม้แต่พระโสดาบัน แต่วันดีคืนดีก็เป็นพระพุทธเจ้าเลย ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย นี่คือความโง่เง่าของเถรวาท ต้นตอความเข้าใจผิดนี้ไม่รู้ใครเป็นคนเริ่มต้น ตามหาคนที่พาเข้าใจผิดไม่ได้แล้ว เดี๋ยวนี้ก็เลยเข้าใจผิดตามตามกันไป
ศาสนาพุทธในเถรวาทจึงเป็นศาสนาพุทธที่เสื่อมมากเลย เข้าใจอรหันต์ไม่ได้ เข้าใจโพธิสัตว์ไม่ได้ ไม่รู้ภูมิ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ไม่ได้ โดยปฏิบัติ ศีลสมาธิปัญญา จะมีอัญญา ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะไปตามลำดับ
โดยไปเข้าใจผิดไปนั่งสมาธิหลับตา หยุดรับรู้สึกนึกคิดอะไรหมดเลยแล้วจะรู้ขึ้นมาเอง เลยไม่เข้าใจว่าสภาพที่ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว มีแต่ใจ สภาพที่มีแต่ใจคือไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้อะไรที่เป็นปัญญาเลย จะมีสิทธิ์รู้ได้แต่แค่สัญญา
เข้าใจแยกแยะสัญญากับปัญญาไม่ออก ศาสนาพุทธที่เป็นเถรวาททุกวันนี้ อยากแยกปัญญากับสัญญาไม่ออก
ปัญญานั้นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่าจะเกิดได้ ต้องมีองค์กระบวนการ process ของมัน 6 อย่าง จะเกิด ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิ
ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีผัสสะ อยู่ในกรรมการงานอาชีพ มรรคมีองค์ 8 ก็อ่านจิตปัจจุบัน ว่ามีกิเลสไหม เป็นของจริง ของจริงต้องเกิดในปัจจุบันและลืมตาสัมผัสครบทุกทวารทั้ง 6 จึงจะเป็นของจริง ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเพียงสัญญา มีแต่ความจำไม่มีความจริง
เถรวาท ไปนั่งศึกษาไปหลับตา ปิดตาหูจมูกลิ้นกายแล้วบอกว่า จิตสงบ แล้วปัญญาจะเกิดเอง นี่ก็ผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้า ในคำสอนของพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 258 ท่านตรัสไว้ชัดว่า ปัญญาขึ้นได้ต้องมี ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ เป็นข้อกำหนดไว้ว่าปัญญาจะเกิดได้ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายรับรู้ แล้วจะสังเคราะห์ให้เกิดความรู้เกิด ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ
ผู้อ่าน พระไตรปิฎกไม่เข้าใจชัดเจน ไม่มีปฏิภาณรู้ได้ ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 258 ท่านเรียกว่าปัญญา แต่เขาหลงทางไปไกล ไปหลับตาปฏิบัติ เข้าใจว่าการนั่งสะกดจิตหลับตาให้จิตนิ่งจะเป็นสมาธิ เข้าใจว่าศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อทำสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดหลังจากจิตเป็นสมาธิคือ สงบแบบไม่ได้คิดอะไรเลย สงบคือสะเงียบ สงัด ไม่กระดุกกระดิกไม่รู้อะไรเลย พาซื่อเป็นรูปธรรมตื้นๆ ว่านี่คือสงบ
ความจริงของพระพุทธเจ้านั้น สงบของพระพุทธเจ้าคือนามธรรมเป็นสำคัญ ให้เรียนรู้องค์ประกอบ ข้างนอกข้างในสัมผัสกันแล้วเกิดองค์ประชุม แล้วให้เรียนรู้จิตมโนวิญญาณ ทำให้ตัวกวน ตัวที่ทำให้ไม่สงบ วุ่นวาย ทำให้เกิดอกุศลมันตาย ตัวที่ทำให้ไม่สงบมันตาย ก็ไม่มีพลังงานที่จะทำให้เกิดความไม่สงบ ความสงบนั้นจะเป็นญานจะยิ่งเก่งต้องยิ่งจะใสสะอาด ยิ่งรู้ยิ่งคล่องแคล่ว เป็นปาคุญญตา หรือเป็นกัมมัญญตา ยิ่งเวทนาคล่องแคล่ว สัญญา สังขารคล่องแคล่ว ไม่ใช่ เวทนาสัญญาสังขารหยุดนิ่ง
ซ้อนกัน ความสงบของศาสนาพุทธนั้นจิตวิญญาณยิ่งสงบ จะยิ่งคล่องแคล่ว ยิ่งแววไวเป็นมุทุภูตธาตุทั้งเชิงปัญญาและเจโต เป็นความลึกซึ้งไม่ใช่ระดับหยาบตื้น แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจความรู้อย่างนี้ไม่ได้แล้ว มันหายไปจากความรู้แล้ว คิดไม่ได้หรอก
ถ้าไม่รู้ก็ต้องได้ยินได้ฟังจากผู้รู้ แล้วฝังมาในจิตเป็นแกน อย่างอาตมา ได้ฟังจากผู้รู้ในชาติก่อนมา ก็ในชาตินี้ก็เอามาพูดได้ อาตมาก็เลยพูดขัดแย้งจากเขา อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีหลักฐานว่าจบจากที่ไหน แต่อาตมายืนยันว่ามีความเก่าเป็นพระโพธิสัตว์ มากอบกู้ความถูกต้อง ที่มันผิด จะมาแก้กลับ เขาก็ไม่เชื่อว่าจะเป็น สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีสยังอภิญญา เขาก็ว่าไม่มีแล้ว
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) เขาไม่เชื่อแล้วว่ามี
อาตมาพูดเขาก็ไม่เชื่อ แล้วก็ดันไปเชื่อผู้ที่ไม่เป็นอรหันต์ว่าเป็นพระอรหันต์อีก ก็เลยซวย ไม่เชื่อว่ามีอรหันต์ก็กว้างๆ แสวงหาไป แต่ว่าไปเชื่อพระอรหันต์เก๊อีกไปยึดว่าเป็นพระอรหันต์อีก จึงอาการหนัก ศาสนาพุทธเป็นโรคนี้ อาตมาก็ต้องหายามาแก้ พวกคุณช่วยกันปรุงยาขนานไหนให้เขาหาย เหนื่อยจริงๆ
อาตมาพยายามแก้ไขให้เขาหายจากโรคความโง่ความไม่เข้าใจ ก็ยากมาก แต่ยากอย่างไร อาตมามีหน้าที่นี้ อาตมาเลิกทางโลกมาแล้ว จากเคยทำงานแย่งชิงลาภ ยศ สรรเสริญ สุขกับโลกๆ เสียเวลาไป 36 ปี มารู้ตัวว่าบ้าไป ก็เลยเลิกมาจนบัดนี้ จนอายุ ย่าง 84 แล้ว ไม่เอาแล้วทางโลก มาทำงานทางนี้ป่านนี้ ก็ยิ่งมั่นใจว่าต้องช่วยกอบกู้ศาสนาพุทธ
อาตมาพูดและขยายความไปเรื่อยๆ ยังไม่ตายก็ทำไปเรื่อยๆ ด้วยความจริงใจเมตตาสงสาร มันห้ามไม่อยู่หรอก อาตมายังไม่ตายก็ต้องทำต่อ สิ่งนี้ควรทำอย่างยิ่ง เพราะเขาน่าสงสาร อาตมาพูดสาธยายไป ว่าน่าศึกษาน่าเอาตาม ผู้ใดมาเอาตามปฏิบัติตามก็จบ ผู้ใดปฏิบัติตามแล้วก็จะได้ธรรมะ ได้ตามธรรมสมควรแก่ธรรมไปตามลำดับ
จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 17:53:02 )
รายละเอียด
600701_เทศน์ครบรอบทำบุญวันตาย 100 วัน แม่เพ็ญศรี หลักเขตต์ บ้านราชฯ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน มีศีลแล้วจะพ้นภัย 5
พ่อครูว่า...อาตมาพูดมากแล้วว่าศาสนามันเสื่อม จริงๆคำว่าศาสนา โดยตัวมันเองไม่ได้เสื่อมหรอก แต่คนนับถือศาสนานั้น ศาสนาพุทธทุกวันนี้ก็ยังเป็นศาสนาพุทธ ตามที่พระพุทธเจ้าสร้างมา ทุกวันนี้ศาสนาพุทธก็เป็นอย่างนี้ด้วยตัวศาสนาเอง แต่คนมันเสื่อม คนมันเข้าใจผิด คนมันไม่ทำตามไม่ทำตรง คำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ไปไกล จนกระทั่ง 180 องศา ไปไกลตรงกันข้ามกับที่พระพุทธเจ้าสอน
อาตมาก็เอาพระไตรปิฎกมาเป็นหลักฐานยืนยัน ว่าทุกวันนี้ศาสนาพุทธในวงการวัดวา ในพิธีกรรมของภิกษุผู้สืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้านี่แหละ เดี๋ยวนี้ในวัดวา ทุกวัดวา ไม่ได้มีอะไรปฏิบัติก็เพื่อนตาม ศีล สมาธิ ปัญญา ของพระพุทธเจ้า ที่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าไม่มีแล้ว ขอย้ำยืนยัน อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ใส่ความ หาเรื่อง ไม่ได้แปลว่าเขา ทั้งๆที่เขาปฏิบัติถูกแต่อาตมาไปว่าผิดไม่ใช่ แต่อาตมาพูดตรงตามความเป็นจริง
เช่น ศีล ทุกวันนี้ พระก็ไม่รู้จักศีลแล้ว ตั้งแต่มหาศีล ศีลของพระพุทธเจ้า มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ตั้งแต่พระสูตรเล่ม 9 เล่มแรกของพระสูตร พรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะชมท่านก็ชมว่าท่านเป็นคนมีศีล จะชมใครว่าเป็นคนเจริญก็ต้องชมว่ามีศีล คนไม่มีศีลก็อย่าไปชม ของพุทธจะชมก็ต้องชมว่ามีศีล
จะชมใครว่าเป็นคนดี การชมก็คือการต้องยกว่าเป็นคนดี ก็คือคำชม จะชมใครจะยกใคร ก็ต้องเพราะคนนั้นเป็นคนมีศีล แล้วศีล ยังเป็นขั้นต้น ยังมีขั้นสมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะอีก
เริ่มต้นมีศีลคือสมาทานศีล
ศีลข้อ1 คือมีความเมตตา เอ็นดู วางอาวุธ ไม่ทำร้าย หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ คำสุดท้ายที่บอกว่าหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง คือสัตว์ทั้งปวงในโลก ควรได้ประโยชน์จากการเกิดมาเป็นสัตว์ ไม่ใช่ไปฆ่ามันเสีย มันก็ได้รับประโยชน์อะไรเลย ส่วนมันจะไปทำสิ่งชั่วก็เป็นวิบากมันเอง
จะช่วยสัตว์ทั้งหลายหากทำได้ ถ้าสอนสัตว์ให้ทำดีมันยาก ก็สอนคนก่อนสอนให้คนมีศีล
ศีลข้อแรกไม่ฆ่าสัตว์ ศีลข้อ 2 ไม่เอาของใครในฐานะขโมย ศีลข้อ 3 เป็นการเสพรส เรื่องสัตว์ก็เป็นคนละตัวตน แต่เรื่องของก็เป็นเรื่องของสิ่งนอกตัว แต่เรื่องข้อสามเป็นเรื่องสัมผัสเสียดสี ติดยึดในอารมณ์ ชอบอารมณ์นั้นอารมณ์นี้
ธรรมะพระพุทธเจ้าสอนให้คนเรียนรู้ ตั้งแต่คน สัตว์ สิ่งของ และสาม สิ่งที่เราต้องสัมผัสทุกอย่างในโลก แล้วเราก็หลงผิดว่าเป็นสุข เรียกว่าเวทนา
ถ้าเรารู้สามข้อนี้ แล้วเรียนรู้ตั้งแต่ของนอกตัว สัตว์นอกตัว ตั้งแต่สัตว์บุคคล พืช วัตถุ ดินน้ำไฟลม แท่งก้อน ที่เราจะต้องปฏิบัติอย่างไรกับสิ่งเหล่านี้ อยู่ในสังคมที่เรียกว่าสุจริต ยังไม่มีโทษภัย
ผู้ที่เรียนรู้จริง ปฏิบัติได้สำเร็จผลไม่ละเมิดศีล ไม่ผิดวินัย ไม่เป็นอกุศล คนนั้นก็จะเป็นคนปลอดภัย เป็นคนมีแต่ประโยชน์ในโลก ไม่มีโทษในโลก นี่เป็นเป้าหมายของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเพื่อจะสอนให้คนมาประพฤติตนให้เป็นคนไม่มีโทษมีภัยแก่สัตว์ใดในโลก แก่วัตถุใดในโลก มีแต่เป็นผู้ที่มีประโยชน์คุณค่าต่อสัตว์ต่างๆในโลก ตั้งแต่มนุษย์จนถึงสัตว์เดรัจฉานสัตว์เล็กสัตว์น้อย จนถึงวัตถุดินน้ำไฟลม พืช
ท่านว่าจะเป็นผู้ที่พ้นภัย 5 มี
1.อาชีวิตภัย คือ เป็นผู้สามารถจะดำรงชีวิตได้อย่างสบาย แล้ววันต่อวันสบาย 24 ชม.ต่อวัน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) คนใดก็แล้วแต่มีชีวิตอยู่วันหนึ่งวันหนึ่ง 24 ชั่วโมง ไม่มีกาม (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ตัวอย่างแม่เพ็ญศรี สามารถกินเจได้จนวาระสุดท้ายของชีวิตเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก
เกิดเป็นคน พระพุทธเจ้าชัดเจนในชีวิต ท่านเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดกว่าสัตว์ใดๆ ว่าจะต้องเป็นสัตว์ที่มีแต่ประโยชน์ไม่เป็นโทษใครกับใคร
พ้นอาชีวภัย ดำเนินชีวิตสบายๆ ไม่เป็นคนมีกาม ไม่เป็นคนมีอัตตา คนที่มีชีวิตดีที่สุดคือในแต่ละวันไม่มีอารมณ์กาม ไม่มีความคิดเรื่องกาม คือคนที่ประเสริฐคนที่สูงสุดเป็นคนเจริญ สองไม่มีความลำบากในอัตตา
กามคือข้างนอก กามมี 5 ตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัส ทางทวาร 5 แม้จะสัมผัสแต่ไม่มีอารมณ์กาม ไม่มีอาการกามเกิดในจิต และจิตในจิตเองเรียกว่าอัตตา
มีอัตตาที่เราอาศัย คนไม่ตายก็มีอัตภาพ แต่ไม่ลำบาก ในความมีตัวตน เพราะศึกษาตามธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วเลิกยึดมั่นถือมั่นในอัตตาแล้ว ชัดเจนว่ามีอะไรสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเรา เขาก็อยู่กับสิ่งนั้น อย่างเท่าที่จะเป็นไปได้ สบายมากเลย วันๆ ตลอดวัน ห้าวันร้อยวัน จนกว่าร่างกายจะตายก็สบาย
พระพุทธเจ้าสอนผู้ใดที่ไม่มีทั้งการและอัตตา
กามคือ การสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมันก็มี แต่จิตท่านไม่มีอาการกาม รูปมันจะอย่างนั้น เสียงจะเป็นอย่างนี้ ลิ้นรับรสจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ กลิ่นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็สัมผัสแต่ไม่มีอาการชอบชื่นใจหรือไม่ชอบใจ รู้ความจริงตามความเป็นจริง
แม้ที่สุด ที่จะต้องอาศัย อัตตา ก็รู้ว่าจะต้องอาศัยจนกว่าจะปรินิพพาน คุณเป็นพระอรหันต์แล้ว จะเลิกดับอัตภาพแยกธาตุเลย ไม่ต่อเลย ศาสนาพุทธก็ทำได้ แล้วถ้าร่างกายจะตายก็ยังไม่สลายอัตภาพตัวเอง จะเกิดเวียนวนในโลกเพื่อทำงานต่อ เพื่อช่วยผู้ยังไม่รู้ (รื้นขนสัตว์) ท่านก็จะมีความชำนาญ โลกวิทู เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น ส่ิงที่ไม่รู้ก็รู้เพิ่มขึ้นเพื่อได้ช่วยเหลือมนุษยชาติ
ผู้ที่บรรลุธรรมตามที่อาตมากล่าวก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาตมาพูดตามที่อาตมาเป็นจริงตามนี้
ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่พ้นภัย 5 มีชีวิตไม่ได้สบาย อยู่กับลาภยศสรรเสริญสบาย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สบาย เหลืออัตตาเราก็สบาย ก็ไม่ได้ ไม่มีปัญญารู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วเราก็รับช่วยเขาทำงานไปอย่างมีประโยชน์ไม่เป็นโทษ
พ้นอาสิโลกภัย … พ้นจากภัยจากการตำหนิ จะไม่เกรงใครจะตำหนิติเตียน ไม่เกรงใครจะว่า ยกตัวอย่างอาตมา ไม่เกรงใครจะว่าหรอก อาตมาเจตนาดี อยู่ในสังคม ทำงานศาสนามาถึงวันนี้ อาตมาไม่มีอาสิโลกภัย ไม่กลัวใครจะมาว่า แต่คนไม่รู้เขาจะว่า อาตมาก็ไม่ได้กลัวไม่เกรง เพราะเขาต้องว่า เมื่อเขาไม่รู้ แต่คนรู้เขาจะเข้าใจ เขาจะยกย่องขอบคุณด้วย คนว่ามาอาตมาไม่มีปัญหา เพราะคือคนไม่รู้ไม่เข้าใจอาตมาว่า อาตมาปรารถนาดีในทุกพฤติของอาตมา แต่คนตำหนิมีเยอะ เพราะคนไม่รู้สัมมา นึกว่าอาตมาผิดก็เลยว่าตามมิจฉาทิฏฐิเขา จับอาตมาเข้าคุกเลยก็มี ก็ต้องยอมจนกว่าเสร็จเรื่องที่เขาหาเรื่อง
อาตมาอยู่กับโลกนี้ อาตมาสบาย เขาจะมีอะไรมาอาตมาก็ไม่มีปัญหา อาตมามีแต่ปัญญา ไม่มีปัญหา เราก็แก้ไขปรับไป ยอมเสียเกือบทั้งนั้น ไม่ได้ไปเอาชนะคะคาน จึงอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ อาตมาเห็นคุณค่าของความเป็นผู้แพ้ จะเป็นผู้ที่ปลอดภัยไม่ทุกข์ ไม่ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายให้กับใคร
พ้นปาริสสารัชภัย คือภัยจากการสะทกสะท้านในบริษัท จะเป็นหมู่กลุ่มทางโลก เล็ก กลาง ใหญ่ เราจะไปพูดจาสังสรรค์ จะไปทำเรื่องราวการงานร่วมด้วยก็ไม่สะทกสะท้าน เราไม่ได้มีความผิดไม่ได้มีความชั่ว ไม่ได้มีความไม่ดีไม่งาม จะไปที่ไหนก็มีแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงามสิ่งที่ประเสริฐ ก็จะไม่สะทกสะท้าน
แม้เขาจะหาทางถล่มเรา เราไปที่ไหนก็เป็นผู้รับใช้เป็นผู้ที่เป็นคนจน ไปที่ไหนก็เป็นอย่างนี้ เขาก็จะว่าจะต้าน เราก็รู้ว่าเขาต้องต้าน เขาจะมุ่งไปรวย แต่เรามุ่งมาจน ไม่ได้แย่งโลกีย์กับเขา ก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องทวนกระแส เห็นคนละอย่างโลกียะกับโลกุตระ เป็นธรรมชาติที่จะต้องทวนกระแส
แม้แต่มรณภัย ทุคติภัย ไม่ได้กลัวความตาย ไม่ได้กลัวความตกต่ำ เพราะมีปัญญาสื่อความรู้ความเข้าใจของฉัน
ปัญญาแปลว่าความเฉลียวฉลาดแบบโลกุตระ ส่วน ความเฉลียวฉลาดแบบโลกียปุถุชน ฉลาดขนาดไหนก็แล้วแต่มีกิเลสทั้งนั้น เรียกว่าฉลาดแกมโกง ภาษาบาลีเรียกเฉโก คนไม่ค่อยใช้คำนี้ คนนึกว่า ตนเองมีความฉลาดแบบปัญญา แต่ปุถุชน มีแต่ความฉลาดแบบนี้ เฉโก มีความฉลาดที่ประกอบด้วยกิเลสทั้งนั้นในปุถุชน เขารังเกียจคำว่าเฉโก ก็เลยไม่ยอมใช้เฉโก แต่เอาปัญญามาเรียกฉลาดแบบมีกิเลสไปด้วย อีก
ยิ่งคนขี้โกงจนมีอำนาจบาตรใหญ่ร่ำรวยฉลาด ในโลก สังคมทุกวันนี้ฉลาดแบบโลกีย์แต่ก็ยังเรียกว่าปัญญา ซึ่งมันไม่ใช่เลย มันคือเฉโก เป็นการเข้าใจผิดคำสอนภาษาของพระพุทธเจ้าไปแล้ว
หลายคนที่ฟังนี้อายุเกิน 50 แล้วก็อาจไม่เคยได้ยินที่อาตมาพูด
การพูดแสดงออกอาจมีปัญญากำกับความคิดคำพูดการกระทำ ของตัวเองทั้งหมด ถ้ามีปัญญากำกับ กว่าจะเป็นกายวาจาใจ ที่เป็นการกระทำที่ไม่มีกิเลสเข้าไปร่วม เป็นความฉลาดที่มีแต่ ลดกิเลส ของตน เป็นภาคปฏิบัติ ตนลดกิเลสได้แล้ว ปฏิบัติกับสังคมก็มีแต่ความไม่มีกิเลส นั่นคือคนมีปัญญา แต่จริงๆแล้วปุถุชนมีแต่เฉโก เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ อย่างฉลาดซับซ้อน ไม่ให้คนรู้ทัน ฉลาดที่ตนเองจะได้เปรียบ บำเรอความโลภ หรือฉลาดสมกับความโกรธของตัวเอง เป็นความฉลาดที่โง่ เป็นความฉลาดเสริมกิเลส โลภ ฉลาดทำลงไปแล้วตนเองก็มีความโลภความโกรธเพิ่มขึ้น พยาบาท เพิ่มขึ้น เป็นความฉลาดที่โง่ คือมันไม่ใช่ฉลาด มันคือความโง่ แต่นึกว่าตัวเองฉลาด ตนเองทำไปแล้วโลภแรงขี้น โกรธ โทสะ พยาบาทสูงขึ้น หรือความไม่รู้ปนเปเลอะเทอะ โมหะก็สั่งสมมากขึ้น
นี่คือความจริงของปุถุชน ทุกวินาที ทุกกรรมกิริยาที่ไม่มีความฉลาดที่เป็นปัญญาตัวจริง ไม่มีสติปัญญาควบคุมพฤติกรรมตัวเอง ก็เพิ่มกิเลส อย่างชัดเจน เป็นสัมมาทิฏฐิ รับรองว่าคนคนนั้นเพิ่มกิเลสให้แก่ตัวเองทุกวินาที ทุกเวลา จึงเรียกคนผู้นั้นว่าผู้ถูกชน ปุถุแปลว่าหนาใหญ่อ้วนโตขึ้น ปุถุชนจึงแปลว่าคนที่มีกิเลสหนาขึ้นอ้วนขึ้นใหญ่ขึ้นโตขึ้นทุกเวลา น่าสงสาร
อาตมาเห็นแล้วสงสาร เป็นความรู้สึกจริงๆว่าเขาไม่รู้ หลายคนแสนรู้ จบด็อกเตอร์จบเปรียญธรรมทางศาสนามา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ
เร่ิมตั้งแต่ทาน ทานแล้วคิดว่าคนเองจะได้สวรรค์หรือสิ่งอะไรตอบแทนมา อย่างนั้นไม่ใช่ ใจมันเอามันแย้งกับทานคือการให้ ใครที่ไปทำใจจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ หรือแม้แต่ยังหวังว่าจะได้ (สาเปกโข) ใครจะทานเงินทองทรัพย์สินวัตถุ แม้แต่ให้ทานคือความรู้ เช่นบรรยายไป ยังหวังว่า เราจะได้อะไรตอบแทนมา ผู้นั้นคือนรก สวรรค์ที่ตั้งจิตอยากได้อะไรมาให้แก่ตน คือได้นรกทั้งนั้น แล้วนึกว่าตนได้สวรรค์ สวรรค์ไม่มี สุขไม่มี มีแต่สวรรค์เท็จ สุขเท็จ
คุณอยากได้ความสุข คุณเริ่มมีนรกแล้ว
อยากได้สวรรค์ อยากได้สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ยามา ดุสิต ยิ่งเป็นนรกซับซ้อนยิ่งขึ้น ความอยากได้อะไรมาให้กับตนคือนรกทุกตัว
ถ้าใครทำใจตัวเองให้เป็นคนที่มีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ทำแล้วก็ให้ไป ทำเกิดผลอะไรก็เพื่อผู้อื่น ตนก็อาศัยทำการงานทำผลผลิต หรือผลของแรงงานเกิดขึ้น เราก็อาศัยกินใช้กับสิ่งที่เราทำ ถ้าเราไม่ได้ทำเราก็ไม่ครกินใช้เพราะเราจะเป็นหนี้ ยิ่งทำอย่างทุจริตก็ย่ิงบาปซ้ำซ้อน แม้ทำแล้วคุณไม่ทุจริต แต่คุณทำแล้วคุ้มกินใช้ คุณกิน 10 ก็ต้องทำผลงานคุณอย่างน้อย 10 หน่วย คุณกินสิบใช้สิบก็ต้องทำแรงงานผลผลิตอย่างน้อย 10 หรือยิ่งทำเกินกินใช้ ก็มีส่วนเหลือไปช่วยเหลือผู้อื่น ก็มีแต่กุศลไม่เบียดเบียนใคร
แต่ถ้าคุณกิน 10 คุณทำ 50 เหลือ 40 ก็เอาไปขาย ขายให้ได้กำไรได้มา 80 ได้มาร้อย เขาถือว่าเป็นความเจริญ ตามความคิดที่โลกทุนนิยมทำ คือขี้โลภ คือคนอวิชชา
อาตมาพาพวกเรามาขาดทุน ขาดทุนนี่คือเราได้ ถ้าเรากำไรนี่คือเราเสีย ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ จึงได้มีพระราชดำรัสเช่นนี้ ให้มามีชีวิตแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คนเขาฟังแล้วไม่สนใจ ไม่เห็นว่าเป็นสิ่งประเสริฐที่ควรศึกษาและทำให้ได้ มาเป็นคนจน เป็นคนขาดทุนให้แก่สังคม อย่าเป็นคนเอาเปรียบหรือได้กำไรจากสังคม เราขาดทุนแก่สังคม ไม่กอบโกยสะสม สร้างได้ร้อยเรากินใช้แค่ 20 เก็บไว้อีก 20 เผื่อทำงานต่อ เหลืออีก 60เผื่อแผ่สังคม ชีวิตก็มีประโยชน์มีความปลอดภัย
อาตมาว่าอธิบายแบบนี้เข้าใจกันนะ แต่ทำไมไม่ทำอย่างที่ดีทีว่านี้ เมื่อเราสร้างไว้มาก แต่เราไม่เอาไว้มาก แต่สะพัดแก่คนอื่น ก็เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ประเสริฐ เราก็กินใช้กับสังคม เราไม่เอาไว้มาก ไม่สะสมก็เป็นคนจน อย่างชาวอโศก ไม่เห็นจะมีมากอะไร แต่คนสงสัยว่าที่นี่ทำไมมีอะไรมาก อันนั้นเป็นผลงานของส่วนรวม ถ้าประเทศไทยทำตามแบบที่พระพุทธเจ้าทำ จากที่ชาวอโศกทำยิ่งทำแบบสาธารณโภคี แบบนี้ ไม่ต้องใช้ GDP คือต้องได้กำไรจากต่างชาติมามาก คือโลภจากต่างประเทศมาให้แก่ประเทศตน อย่างนี้คือเศรษฐกิจแบบชั้นต่ำ เป็นคนตะกละขี้โลภ เป็นคนชั้นต่ำไม่ประเสริฐ
ถ้าเป็นคนประเสริฐคือประเทศเราจะต้องเสียสละให้แก่ประเทศอื่น ต้องให้แก่ผู้อื่น คนไทยมีส่วนมากส่วนเกิน แล้วไปให้แก่คนอื่นได้ หรือขายให้ราคาต่ำ เช่น ข้าวเรามีเหลือก็เอาไปให้ฟรีบ้าง เอาไปขายต่ำกว่าราคาตลาดโลก อย่างนี้คือประเทศเจริญ ที่รู้จักเผื่อแผ่ มีเศรษฐกิจที่สูงส่ง แต่ถ้ามีแต่ความเห็นแก่ตัวอยากจะได้รายได้เข้าประเทศให้ได้มากมาก จะเอาเปรียบขนาดไหนกูไม่คิด กูคิดแต่ว่าจะมีรายได้เข้าประเทศไทยได้มากๆเพื่อประเทศเจริญ แบบนี้แนวคิดทุนนิยมสามานย์ เป็นแนวคิดไม่ก่อความสงบสามัคคี ไม่ก่อความเจริญ ภราดรภาพ แก่มนุษยชาติเลย เป็นความคิดเอาเปรียบห้ำหั่นกัน
ในสังคมส่วนใหญ่เป็นแนวคิดเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เป็นความคิดฉลาดแบบ เฉโก ทั้งนั้นเลย ไม่ได้มีความคิดแบบมีปัญญา แล้วไปเรียกเป็นบัณฑิต เป็นผู้จบจากมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่มีแนวคิดเอาเปรียบจากคนอื่นให้ได้มากๆ เอาเปรียบมาให้แก่ประเทศตัวเอง แทนที่จะเป็นความรู้ที่ พาหมู่ตัวเอง พาตัวเอง ลดความเห็นแก่ตัวเสียสละให้แก่ผู้อื่นมากๆ ตัวเองก็เสียสละให้แก่ผู้อื่นมากๆ พาให้หมู่กลุ่มประเทศเสียสละให้แก่ประเทศอื่นมากๆ
เขาบอกว่าเอาเปรียบมาให้เยอะๆเป็นเศรษฐกิจดี อย่างนี้ไม่ถูก พูดแล้วมันน่าเห็นใจสงสารทำไมเขาคิดไม่ออก เขาคิดไม่ถูกต้องตามสัจธรรม เอาเปรียบคนมาแล้วบอกว่าได้ดี มันมีที่ไหน คำว่าเอาเปรียบ หรือได้เปรียบคนมามันเป็นความดีหรืออย่างไร การเสียสละต่างหากมันเป็นความดี
สรุปง่ายๆคือ
1 ต้องช่วยตัวเองให้รอดขยันหมั่นเพียรมีสมรรถนะ ทำมาหากินไม่มีผลผลิตมีแรงงานให้มีความรู้ เสร็จแล้ว ค่าของผลผลิตแรงงาน ความรู้ของเรามันมีมาก เกินกว่าเรากินใช้แต่ละคน เสร็จแล้วเอาส่วนเหลือส่วนเกินมารวมกัน บริหารร่วมกัน แล้วแจกจ่าย เผื่อแผ่แก่ ประเทศอื่นที่เดือดร้อน แต่นี่ไม่ทำ แต่สอนกันว่าเราจะต้องมีมากมากไว้ แต่ละคน กอบโกยไว้ มีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี กลัวจะน้อยกลัวจะพร่อง กิเลสความโลภความเห็นแก่ได้มันไม่เคยจาง มีแต่เอาเข้าไม่ออก แล้วก็จะต้องขึ้นทะเบียนขึ้นทำเนียบว่า เป็นเศรษฐีของโลกลำดับต่างๆ ใครได้ขึ้นแป้น เป็นเศรษฐีเบอร์ 1 เบอร์ 2 เบอร์ 3 ยิ่งชอบ โอ้โห คนนี้ นายเสื่อม ตอนนี้ปีนี้ จัดอันดับ 150 กว่า ได้หน้าได้ตาใหญ่โตมาก พวกนี้สะสมบาปโดยไม่รู้ความจริง
น่าสงสาร เมื่อไหร่จะรู้จักความเฉลียวฉลาดรู้จักสัตว์จากความจริง อย่าไปทำเช่นนั้นเลย ชีวิตมีพอกินพอใช้ก็ดีแล้ว ถ้าเรามีสมรรถนะสร้างสรรค์เกินกินเกินใช้ก็เอาไปแบ่งแจกคนอื่น แล้วจะเป็นความประเสริฐความเจริญ เป็นกุศลวิบากของเรา มันก็ไม่ได้ยากอะไรที่พูดนี้
พูดไปนี้ไม่มีความหวานอะไร เวลาพูดชมก็เหมือนชมแต่พวกเราเองเพราะว่า ไม่มีตัวอย่างให้ชม นอกนั้นจะถูกด่าหมด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่ได้พูดหาเรื่องอะไร พูดเพื่อให้รู้ตัว จะได้สำนึก แก้ไขปรับปรุง แต่ก็ไม่ทำ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
วันนี้เป็นวันที่ ตามจารีตประเพณี ครบ100 วัน ของวันตาย โยมเพ็ญศรี หลักเขตต์ ลูกเต้าเหล่าหลาน มาประพฤติปฏิบัติอยู่ในนี้ไม่น้อย ที่ไม่ได้มาก็พอสมควร ที่มาแล้วออกไปก็มี ได้ไปเต็มแล้วหรือไม่ก็ไม่รู้ ก็หาเหตุปัจจัยให้อาตมาเทศน์ ครบ 100 วันก็ช่วยเน้นย้ำหน่อย ถ้าเป็นข้างนอก มาทำบุญครบร้อยวัน เขาก็ให้ทำทาน แล้วก็ต้องมาติดสินบน มาให้ ข้างนอกเขาอย่างนั้น แต่ที่นี่ไม่มีทำเนียมแบบนั้น เราก็ทำ อย่างน้อยญาติๆมาเพื่อนๆมา มาฟังเทศน์ฟังธรรมบ้าง ไม่เช่นนั้นไม่มีเหตุจูงใจ ก็ได้กุศลเพิ่ม เป็นความดี เป็นวิธีการเป็นความฉลาดของคน ให้ควรได้รับสิ่งที่ควรได้รับ จะได้เอาไปพัฒนาปฏิบัติตนเองให้เจริญเจริญ
สมณะเดินดินว่า...ถ้าวัดไหนสอนให้คนมารวย มาแล้วจะรวย อย่างธรรมกายสอน คนก็จะมาเต็มไปหมดเลย ถ้าวัดนี้สอนให้คนมาจนมาให้มาเสียสละ จะมีคนสนับสนุนน้อย
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 17:53:37 )
รายละเอียด
600702_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตอน สัมประสิทธิ์และพหุชนาญาสิทธิราชย์
ส.ฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม 2560 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 8 ปีระกา ที่ราชธานีอโศก ใกล้จะถึงวันเข้าพรรษาเข้าไปทุกที อาทิตย์หน้าก็เป็นวันเข้าพรรษาตรงกับวันที่ 9 กรกฎาคม ในช่วงวันเข้าพรรษา ที่ชุมชนราชธานีอโศก หรือ บวรราชธานีอโศกจะมีกิจกรรม การค้าปุ๋ยราคาถูก 25 กิโลกรัมราคา 80 บาท และมีอีกช่วงในวันแม่
ช่วงเข้าพรรษา จะมีผู้คนมาเข้าพรรษา ถ้าเป็นโลกีย์ จะมีการแห่เทียนเข้าพรรษา ของเราไม่แห่ เรามาแห่ธรรมะ แห่มาฟังธรรม แห่มาปฏิบัติธรรมให้มากมายมหาศาล พรรษานี้มาให้เต็มเฮือนศูนย์สูญ นั่งเต็มศาลาจะดีไหม แต่วันนี้ยังไม่ได้ครึ่งศาลาเลย จะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ไม่น้อย
พ่อครูว่า...ที่จริงเต็มศาลาได้ประมาณ 2000 คน
ส.ฟ้าไทว่า...ถ้าเข้าพรรษามาได้ขนาดนี้ สังคมจะเปลี่ยนไปอีกเยอะ พ่อครู จะอยู่ได้ไปอีก 150 ปีแน่นอน
พ่อครูว่า...เห็นตาดำๆมาแล้วตายไม่ลง
ส.ฟ้าไทว่า...ถ้าพวกเรามีโลกุตระ เสียสละได้มากขึ้น งานที่ พ่อครู ดำริไว้ก็จะสำเร็จ พวกเราก็ได้ประโยชน์ตนเองด้วย ตอนหนุ่มๆเหมือนรถกำลังดี เหยียบเท่าไหร่ก็ไม่รวน แต่รถคันนี้ใช้มา 84 ปีแล้ว ตอนนี้ แม้คนขับจะดี แต่รถเก่าแล้วเสื่อมแล้ว ถ้าเราไม่เร่งมาฟังเทศน์ฟังธรรม ขณะรถยังดีอยู่นะ รอรถเสียแล้วก็หมดโอกาส เราต้องสร้างโอกาสหาโอกาสมาให้ได้
ชีวิตหนึ่งจะได้มาเจอ พุทธศาสนาที่แท้จริงก็หาได้ยาก ยิ่งกว่าเกิดมาเป็นคน เจอแล้ว จะฟังธรรมให้เข้าใจก็ยังยากขึ้นมาอีก แล้วจะประพฤติพรหมจรรย์ได้อีกก็ยากกว่าอีก จะให้บรรลุธรรมก็ยิ่งยากไปอีก สิ่งที่หาได้ยาก ...เวลาเราหาเพชรก็ยังอยากหา แต่นี่ค่ายิ่งกว่าเพชรพลอยโลกีย์ทำให้เราลดกิเลส หากเราปฏิบัติได้ก็จะมีคุณค่ามหาศาล ถ้าเราได้แล้วบรรลุธรรมได้แล้ว ได้สิ่งประเสริฐจะไปทำอะไรก็ไม่มีใครว่า เพราะเขามั่นใจเราแล้ว คนหมดกิเลสก็ทำแต่กุศลแน่นอน สังคมดีแน่นอน สิ่งนี้เราควรจะได้ให้แก่ตัวเรา เมื่อได้เกิดมีชีวิตเป็นคน มาเจอพระโพธิสัตว์ที่สามารถแจกแจงขยายความรายละเอียดธรรมะได้พิสดารมากมาย บอกแล้วบอกอีก ให้เราเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน เอาไปปฏิบัติได้
พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็โอภาปราศรัย กับ sms ก่อน
SMS วันที่ 28 มิถุนายน 2560 (บ้านราช)
_6031 ถ้ารัฐบาลให้พ่อครูแสดงธรรมออกทีวีช่องเสรีในช่วงนี้ พ่อครูจะยอมออกมั๊ยครับ?
_3209 นางบี้หลวนภูเก็ตกราบนมัสการพ่อท่านและสมณะฟ้าไทยค่ะ
_3867 นมก.พ่อครูฯกับธ.ธาตุรับ(กายนอก)เกิดดับทั้งดินน้ำลมไฟสูญสลายและธาตุรู้(กายใน)เกิดดับเฉพาะอัตตา ตัวตนสิ้นบ่สิ้นกิเลส แล้วแต่บุญบาปนำกรรมชั่วดี?
พ่อครูสอนธ.ตักกะวิตักกะสังกัปปะฯลฯนำพาความคิดสู่การคิดพูดทำ สิ้นกิเลสถูกตรงสัมมาสังกัปปะเข้าถึงจิตวิญญาณใด จิตวิญญาณนั้นคงบรรลุสัมมัตตะ ครบถ้วนสัมมาอาริยะมรรคกระมัง?
กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูนำวิถีธ.ที่วิเศษที่สุดสู่วิถีชีวิต ที่ดีที่สุดด้วยการไม่เหลือโลกียะในจิตสู่โลกุตระในใจ ณ.บวรบ้านราชฯ
พ่อครูว่า...ตอนนี้เราก็มีคำใหม่ว่าบวร ชุมชนชาวอโศกเรียกว่าบวรทั้งนั้น
_6703 สำหรับผู้ติดตามพุทธศาสนาตามภูมิ สามารถติดตามได้3 ช่วงดังนี้ 1.ชมสดเริ่ม ประมาณ 18.00~18.15 น. 2.รีรัน เริ่มประมาณ 21.30~22.00น. 3.รีรัน เริ่มประมาณ 9.00น.ของวันรุ่งขึ้นค่ะ
_4283 ติดตามรายการพุทธศาสนาตามภูมิเพิ่มเติม3ช่องทางจากคุณ 6703 คือยูทูปค่ะ
_0015 กรณีเงินทอนของวัด เงินกลายเป็นอสรพิษจริงๆครับ
พ่อครูว่า...มันเป็นตัวอักษรอาทิตย์ตั้งแต่ต้นแล้ว เงินเป็นอสรพิษตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสแล้ว
SMS วันที่ 29 มิถุนายน 2560 (ศีรษะอโศก)
_3867 กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูกับธ.ทศชาติอวตาร สู่การเสวยพระชาติเป็นพระปางฯ ต่างฯ ตามทศบารมีอันสั่งสมมาทุกภพชาติ จนจบสิ้นภพชาติณ.บวรศรีษะอโศก สาธุ
_ไลน์
_ฝากฟ้า.. วันนี้พ่อเทศน์ที่ศีรษะอโศก คำถาม ถาม เถรวาท เป็นอรหันต์ ได้ไหม? แล้วทำไมอรหันตในเถรวาท จึงมีทิฏฐิ " เป็นอรหันต์แล้วสูญ ไม่ต่อโพธิสัตว์" พ่อครูบอกว่าทิฏฐิแบบนี้เป็นอนันตริยกรรม แสดงว่า ในฝ่ายเถรวาท มีพระอรหันต์ ซิคะ และมีพระอรหันต์ที่มีทิฏฐิเป็นอนันตริยกรรม ใช่หรือไม?
พ่อครูว่า...อนันตริยกรรมคือกรรมที่ต้องใช้หนี้กันอีกนานแสนนาน แล้วเถรวาทยังมีอุจเฉทิฏฐิ คนอุจเฉทิฏฐิ เป็นอรหันต์ไม่ได้เพราะคุณขาด เชื่อว่าตายแล้วสูญ มันขาดตอนแทนที่จะได้บำเพ็ญธรรมต่อไป ก็ตัดตอน เป็นนรก
เถรวาทต้องปลดตัวตนเสียที เพราะมิจฉาทิฏฐิหลายอย่าง
_SMS วันที่ 29 มิถุนายน 2560 (สมณะ สิกขมาตุ ทบทวนธรรม-บ้านราช)
_3867นมก.พ่อครูฯณ.บวรศรีษะฯ สณ.สม.ณ.บวรบ้านราชฯ กับธ.พระอาทิตย์ทรงกลด ส่องศิริมงคลสว่างทั่วกรุงสยาม
SMS จากเฟซบุ๊ค
_ฮันนี่ · โชคดีจังเลย เกลียดทุเรียนเข้าไส้
_ดาวแดนบุญ · กราบนมัสการค่ะ รับชมอยู่ที่จ.นครราชสีมา ชัดเจนดีค่ะ สาธุ
_จารุวรรณ · กราบ..ขอบคุณสมณะ สิขมาตุ..ธรรมะขัดเกลากิเลส
_อำภา · ท่านสมณะและสิกขมาตุแสดงธรรมให้ปัญญามากค่ะ อุเบกขาได้แต่ต้องมีจิตสำนึกที่ดีอย่างถูกต้องด้วย โยมจะจำไว้ สาธุค่ะ
_สุนงค์ · ข้าพเจ้าก็กำลัง ตัดสินใจอย่างแรง นับ 1 นับ 2.มาแล้วค่ะ กำลังจะได้นับ 3. หรือเปล่า กำลังอึดอัดกับมานะอัตตาของเพื่อน โดนใจตรงๆ มากๆกับคำเทศน์วันนี้ ทำให้ใจเย็นลงมาก ปกติใจเย็นมากกับหมู่เพื่อน ยอมตลอด คิดตลอด ชั่งมัน ชั่งมัน
_แพรวพรรณ · รื่นเริง บรรเทิงธรรม เจ้าค่ะ สัญญาณขาดเป็นช่วงๆค่ะ
ปรีชา ขำเพชร : การบรรยายธรรมะของพ่อครูหรือสิ่งที่พ่อครูได้สร้างสรรค์ขึ้น เช่นตลาดอาริยะ โรงเรียนสัมมาสิกขา บวร...การกสิกรรมไร้สารพิษ โรงงานปุ๋ยอินทรีย์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อสังคมและมวลมนุษย์ แต่รัฐและสื่อมวลชนทั่วไปไม่เคยนำเสนอเลย มันเป็นการปิดล้อมทางสื่อสารมวลชนอย่างแน่นอนจากมือที่มองไม่เห็น(invisible hand)
จึงเป็นภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งของชนชาวอโศกที่จะต้องช่วยกันนำธรรมะที่พ่อครูบรรยายและผลงานที่ชาวอโศกสร้างสรรค์ขึ้น นำเสนอต่อมวลชนอื่นอีกในทุกๆสถานการณ์ที่มีโอกาส....โดยมีความสำนึกว่า ตนเอง คือตัวแทนของพ่อครู ณ ขณะนั้น เพื่อลดบทบาทการปิดล้อมทางสื่อสารมวลชนของInvisible hand ครับ
พ่อครูว่า...ถูกต้อง เราใช้ทั้งบัญญัติและสภาวะ ผู้ติดตามศึกษาและปฏิบัติก็รายงานมา
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน E= C(mc2 +A) คือ พหุชนาญาสิทธิราชย์
_Gusara Tamma สัมประสิทธิ์= สัมโพธิปรายนะ(สู่ที่สูงถึงที่สุด)ถูกต้องไหมคะ
พ่อครูว่า ใช่
_หนึ่งพุทธ . สปส.น่าจะเป็นผลพร้อมกับเป็นฐานให้ต่อยอดเจริญมรรคให้เกิดผลสูงขึ้น ทำนองนี้รึอย่างไร...
พ่อครูว่า...ไอน์สไตน์ค้นพบ E=mc2 แสงเดินทางเร็วที่สุดเท่าที่เขาค้นพบแล้ว แต่อาตมาเติมเป็น E=mc2 +A ตัว A คือนามธรรม abstract ของแต่ละคน ถ้าได้ mc2 ก็ + mc2 อีก ก็เป็นอัตราการบวก แต่ถ้าเป็น mc2 สี่อัน ก็ ระดับคูณ ได้แล้ว ถ้าเป็น 9 ก็คือเลขยก 32
เมื่อ mc2 ที่ได้เพิ่มขึ้นอัตราคูณ จะเป็น E = C(mc2 +A) ตัว C ที่เพิ่มมาคือ Coefficient
เป็นสัจธรรมที่ต้องศึกษาไปแล้วจะได้ไปเรื่อยๆ วันนี้ก็เลยได้ ถึงขั้น... E = C(mc2 +A) เรียกเป็นภาษาว่า “ พหุชนาญาสิทธิราชย์”
พหุชนาญาสิทธิราชย์ แปลว่า มวลชนส่วนใหญ่ส่วนมาก +อาญา หรืออาญาสิทธิ์ ของพระราชา กับประชาชนร่วมกัน คือมวลประชาชนกับพระมหากษัตริย์มีอำนาจ
นี่คือพลังงานดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้ หรือคือ E = C(mc2 +A)
ส.ฟ้าไทว่า..ผมเข้าใจว่า กษัตริย์ต้องเป็นผู้นำ บวกกับประชาชน ถึงจะยิ่งใหญ่
พ่อครูว่า...คูณกันเลย
_Master Taizen เกิดมาชาตินี้มาเพื่อแก้อวิชชาให้แก่มวลมนุษยชาติ..ด้วยวิธีใช้ปากทิ่มแทงด้วยความปรารถนาดี..ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายากของพ่อครูมหาโพธิสัตว์..ที่เลือกใช้วิธีสวนทางกับทฤษฎีกระจายนวัตกรรม..ที่เขาจะมุ่งเป้าสู่ชนชั้นนำซึ่งแต่ละสังคมจะมีไม่เกิน3%..ได้หัว มวลหางก็ย่อมได้..เหมือนพระพุทธองค์ได้ยสกุลบุตร..ก็ได้สหายมาแถมอีกหลายสิบ..หรือพวกชฏิล3พี่น้อง..ได้3หัว..หางก็แห่มาเป็นร้อย.. เป็นต้น.
ไม่ได้เป็นคำถาม..แต่น้อมกราบจิ้มแป้นมาด้วยความอัศจรรย์ในแรงใจที่พ่อครูมหาโพธิสัตว์มาเสวยปางแก้อวิชชาอันหนาเตอะยิ่งกว่าไฟเบอร์เคลือบคอนกรีตเสริมเหล็กจริงๆในยุคดิจิตอลนี้
น้อมนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูงครับผม..
พ่อครูว่า...อาจใช้ภาษาว่า ผ่าตัด จะดีกว่าใช้ภาษาว่าทิ่มแทงนะ ก็แสดงความเห็นใจมาก็ขอบคุณ อาตมาเห็นอย่างนี้ก็ใช้อย่างนี้ใครจะเห็นวิธีไหนก็ใช้
_คุณหินแสง กระผมก็เป็นส่วนหนึ่งของค่า"สัมประสิทธิ์"ของพ่อครูที่ไหลมาสู่กระผมและจนกระผมมีประสิทธิภาพสามารถพัฒนาค่า"สัมประสิทธิ์"นี้แตกตัวยกกำลังไหลออกไปสู่มวลชน-สังคม-โลกโดยมีแก่นหลักค่า"สัมประสิทธิ์"นี้จากพ่อครูซึ่งเป็น"สัมมาสัมพุทธสาวก"ผู้เป็น"สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง "สยัง อภิญญา" สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ"ครับ
พ่อครูว่า...ใช้ได้ ไม่ผิดอะไรไม่ขยายความต่อ
พ่อครูว่า...ที่เรียกว่ามาอยู่วัดกับชาวอโศก นั้น ชาวอโศกไม่ได้มีแค่วัด แต่ชาวอโศกมี บ้านวัดโรงเรียนอยู่ร่วมกัน อันนี้เรากำลังเผยแพร่ความจริงสัจธรรม และกำลังประพฤติอยู่ เราไม่แยกอยู่ เรารวมอยู่กันอย่างประสาน เพราะแกนจิต จะอยู่รว่มกันอย่าง สห ประสาน ไม่สปาร์ค แต่ถ้าอยู่ร่วมอย่างไม่มีแกนจิตแข็งแรงพอ อยู่อย่างสหศึกษา ถ้าแกนจิตไม่แข็งแรงรับรองคนมาอยู่เละ
บ้านวัดโรงเรียนนั้น ถ้าสังคมบ้าน วัด มีสัจธรรมไม่เป็นตัวตั้งแข็งแรงพอ ก็เละ จะดำเนินการศึกษาต่อไปได้ยากมาก
(พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
ส.ฟ้าไทว่า...แม้พวกเราไม่ได้มาอยู่วัดแต่ก็หมั่นมา ตอนอาตมาเป็นครูอยู่อยุธยาก็ไปบ่อยๆไปถี่มากขึ้น แล้วก็มาอยู่เลย
ฉันจะเทียบกับโขนรามเกียรติ์นะคะ
พระรามคือประจุบวก พระลักษมณ์คือนิวตรอน หนุมานคือประจุลบ
หนุมานจะทำงานเป็นตัว วิ่งให้พระรามซึ่งจะ สมดุลย์กับพระรามซึ่ง เป็นแกนในจะสมดุ
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน coefficient เปรียบเทียบกับรามเกียรติ์
_สุดชดา ....เนื่องจากว่าหลายคนยังไม่กระจ่างเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างosmosis และco- efficient
ดิลย์ กับพระราม
พระลักษมณ์คือตัว เสถียรให้พระราม ส่วนฝูงลิงคือสัมประสิทธิ์หรือ co- efficienct
ถ้าคุณนึกถึงบทบาท ของตัวละครได้น่าจะทำ ให้เข้าใจมากขึ้นค่ะ
สุดชดา ขอกราบเรียนว่าเทียบ
อย่างนี้ใช้ได้ไหม?คะ
พ่อครูว่า...ทศนิยมถ้าไม่มีตัวเพิ่มจาก0 เลย ก็จะเสื่อม ถ้าไม่เคลื่อนเลย ก็จะเสื่อมลง ถ้ามีเพิ่มแม้จะเป็น .0000001 ก็เพิ่มได้เคลื่อนได้
พระรามพระลักษณ์เป็น บวกกับลบ ในนิวเคลียส เป็นค่าคงที่อยู่แล้ว มีตัวแปรเป็น หนุมานกับฝูงลิง ที่เป็นค่าสัมประสิทธิ์ที่เพิ่ม ถ้าเพิ่มระดับคูณหรือยกกำลังได้จะสูงสุด สรุปแล้ว ความสำคัญจึงอยู่ที่พวกตัวเล็ก ถ้าตัวเล็กมันหยุดเลย ตัว constant จะเสื่อม เพราะมันคงที่อยู่แล้ว
ส.ฟ้าไท ว่า...พ่อครูเป็น constant แต่พ่อครูเป็นตัววิ่ง ถ้าตัววิ่งคือพวกผมหยุด พ่อครูก็จะตายได้
_ฝนเอื้อฟ้า....
ขออนุญาต พ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ และญาติธรรมผู้อ่อนโยนทุกท่านค่ะ
ได้โปรดอย่าพึ่งรำคาญกันนะคะ หนูก็รู้สึกป้อดอยู่เหมือนกัน (คือ รู้สึกปอดแหกนิดๆ แต่ต้องใช้ความกล้าหาญเป็นหน่วยเสริมกำลังใจ ส่วนตัวแล้วไม่มีเจตนาอยากนำเสนอตัวเองมากเกินไปจากใจจริงๆ ( อาจฟังดูขัดแย้งอยู่ในที แต่ความตั้งใจและอยากส่งกำลังใจให้พ่อครู และคณะทีมงานตามภูมิของหนู ดังนี้
1 . เพื่อเป็นการแจ้งสภาวะธรรมในภาวะที่อยู่ห่างไกลพ่อครู ทำให้การ Osmosis. ยากกว่าภาวะปกติที่ได้อยู่ใกล้ท่าน
พ่อครูว่า ประเด็นนี้สำคัญที่อาตมาเรียกร้องเสมอคือให้มาอยู่ใกล้ชิด จะมีพลังไหลเวียนไหลซึมเสมอ ถ้ายิ่งห่างก็ไม่มีผล
การส่งข้อความทำให้รู้สึกว่าไม่ห่างไกล ( เพราะความคิดถึงไวกว่าแสงเสมอค่ะ)
2.คณะปัจฉา แจ้งมาอย่างกับคณะปฎิวัติ ช่วยกระตุ้นต่อมความตื่นตัว ความตือรือร้น ในถ้อยคำดังนี้ เย็นนี้พ่อครู และปัจฉาตกลงกับพ่อครูว่า ทุกครั้งที่พ่อครูเทศน์ 2 ชั่วโมง.ในครึ่งชั่วโมงหลังจะช่วยแบ่งเบาพ่อครู จึงได้เชิญชวนลูกๆทุกท่านช่วยกันตั้งคำถามพร้อมคำตอบหรือ ไม่ก็สรุปความเข้าใจของแต่ละท่าน เป็นการแบ่งเบาภาระการเทศนากันด้วย
( ท่านพูดขนาดนี้ ไม่ตั้งคำถามไม่ได้แล้วค่ะ ต้องรีบตั้งใจตั้งทีเดียว ^__^ คณะปฎิวัติมาเอง ขออภัยพูดเล่นค่ะ) คณะปัจฉามิได้บังคับแต่อย่างใด แล้วแต่สมัครใจค่ะ
เพราะใจก็รู้สึกว่าตนเองควรเหมือนส่งการบ้านในคาบที่มีบทเรียน เป็นการเรียนแบบ two way communication มีการตอบรับเหมือนพ่อครูส่งกำลังภายในมาเป็นบทเรียน หนูก็ควรส่งกำลังภายในกลับไปด้วยความรักและความเคารพอย่างยิ่ง
ถ้าพ่อครูไม่เหน็ดเหนื่อยหนูก็ไม่ยอมเหนื่อยส่งเช่นกันค่ะ เอาไงเอากันค่ะ
แม้ว่าการอยู่ไกลพ่อครูจะทำให้พลังงาน Coefficient ภายในตัวหนูรวนไปบ้าง เพราะความคิดถึง หนูก็จะพยายามกัดฟันbbb สร้างพลังงานนี้ไม่ให้ชรตา ( ทั้งทางจิตใจและทางร่างกาย ) เพราะจะส่งผลให้เสียหายและต้องเริ่มต้นใหม่อีก ทุกคำที่ส่งไป เกิดจากสภาวะภายในใจไม่ได้เลียนแบบใครเป็นสไตล์คันทรีในแบบของหนูเองคือ ใช้ หัวใจสื่อหัวใจพูด มันคือพลังงานจิตวิญญานเหนือ จินตนาการหรือเพียงแค่ตัวอักษรและที่ลืมไม่ได้คือ ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาอย่างสุดซึ้งที่พ่อครูตอบคำถามกลับมาและส่งกำลังใจในสิ่งที่แสดงออก จึงยิ่งทำให้ไม่กล้าทำไม่ดีเหมือนที่ผ่านมาอีก ส่วนกระเปิ๊บกระป๊าบจะพยายามลดความกระเปิ๊บกระป๊าบลง ค่ะ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 17:54:27 )
รายละเอียด
600703_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาอวตารเป็นลำดับ
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันที่ 3 กรกฎาคม 2560 เหลืออีกไม่ถึง 1 สัปดาห์ จะเป็นเทศกาลสำคัญของชาวพุทธคือเทศกาลเข้าพรรษา วันนี้พวกเรามาฟังธรรมกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ถือว่าวันนี้เป็นวันบวรของบ้านราชฯ เป็นวันที่ นักเรียนผู้ใหญ่และชาวชุมชน ว.นบ. ไปทำงานร่วมกัน และมาฟังธรรมร่วมกัน จะทำให้ชุมชนเราอบอุ่นตั้งแต่ก่อนเข้าพรรษา เข้าพรรษาก็จะอบอุ่นมากขึ้น ช่วงนี้ ได้เห็นญาติธรรมจากต่างจังหวัดมามากขึ้น ผู้ที่มีศีล ถ้ายังไม่มาก็จงมา ถ้ามาแล้วก็จงอยู่เป็นสุข
เหตุการณ์บ้านเมืองก็มีการวิเคราะห์วิจัย เพื่อให้บ้านเมืองเราเจริญก้าวหน้ามากขึ้น เมื่อสองสามวันก่อน เป็นวันสุนทรภู่ ท่านนายกฯก็เขียนกลอนเรื่อง ประเทศไทย 4.0 จนเขาตั้งฉายาว่า สุนทรตู่
มีคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ ก็ได้มาเขียนเพิ่มเติมให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ท่านนายกฯก็ขอบคุณมา สิ่งที่คุณเนาวรัตน์เพิ่มเติมคือ
หนึ่ง. จะต้องพัฒนา ศึกษาชาติ
สอง. โครงสร้างอำนาจ ไม่บาตรใหญ่
สาม. ศิลปวัฒนธรรม ความเป็นไทย
สี่. ธรรมาธิปไตย ให้เป็นจริงฯ
ทั้งนี้จากนั้น นายสุชาติ สวัสดิ์ศรี ซึ่งเป็นเจ้าของนามปากกา สิงห์สนามหลวง อีกทั้งยังเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์เมื่อปี2554 ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าวด้วย ซึ่งมีเนื้อหาทั้งหมดว่า
“ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็นไม่เคยรู้ก็จะได้รู้
ลูกชายขอไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
บอกว่า ปล่อยเขาไปเถอะพ่อ
ปล่อยแล้วครับ ทางใครทางมัน โลกใครโลกมัน
อย่าพบกันเป็นดีที่สุด
แต่จำพวก เงาของเขา ที่วางตัวเหยียบเรือสองแคมนี่สิ ทำใจลำบาก
นี่กระมังครับ 1 ใน 250 ของ สว.ลากตั้ง ทางวัฒนธรรม
จำพวก เงาของเขาในกระทรวงวัฒนธรรม และพวกพ้องที่เลือกแล้วเตรียมตัว "เลีย" ล่วงหน้าได้ ขณะนี้ก็เป็น 1 ใน 15 ของคณะกรรมการกลาง วัฒนธรรมแห่งชาติ อยู่แล้ว ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ เอาตามที่เลือก ที่สบายใจกันต่อไปตามที่นิยมยินดี
เขาคือใคร ไม่ สำนึกพลาด อย่างไร
เขา เลือก ของเขา เรา ก็เลือกของเรา
และอย่าพบกันได้เป็นดี --
บางทีจำพวก คณะเงา ของเขา อาจจะรู้สึกสมเพชผมก็เป็นได้
ลาก่อน - บทกวีที่แสนไพเราะ
เวลา 3 ปีกว่าที่ผ่านมานี้ ผมโง่ไปเองที่ไม่เชื่อฟังลูกชาย”
อย่างไรก็ตามหลังจากมีข้อความจากนายสุชาติ ออกมาแล้วปรากฏว่า นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ประจำปี2536 ฉายากวีรัตนโกสินทร์ ก็ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กในทำนองตอบโต้ด้วย
“อยู่เป็นต้องดูเป็น
เห็นด้านร้ายให้เป็นครู
ด้านดีมีให้ดู
เป็นไม้วัดบรรทัดฐาน
หมาเห่าอย่าเห่าตอบ
มันทดสอบสัญชาตญาณ
รู้ได้ในสันดาน
ว่าใครพาลและใครพระ
เด็กดื้อต้องมีดี
มีความคิดเป็นอิสระ
รู้แพ้และรู้ชนะ
ได้รู้ล้มแล้วรู้ลุก
เด็กอ่อนก็ติดเอว
กระเตงอุ้มอยู่จุมปุก
ชีวิตคือติดคุก
ไม่รู้ตัวไม่รู้โต
ดูเด่นให้เห็นด้อย
และเห็นสร้อยให้เห็นโซ่
เห็นพาลอย่าพาโล
ให้รู้เพ่งพินิจพลัน
ทุกสิ่งมาเป็นครู
ให้ได้ดูได้รู้ทัน
กราบไหว้ได้ทั้งนั้น
ถ้าอยู่เป็นและดูเป็นฯ ”
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เหตุผลที่คนกินเนื้ออ้างว่าถูกต้อง
พ่อครูว่า...ก่อนจะได้พูดเรื่องประชาธิปไตย ก็พูดเรื่องที่ค้างมาคือเรื่อง การกินเนื้อสัตว์ แม้แต่ในเข้าพรรษานี้ คนตั้งใจจะไม่กินเนื้อสัตว์ก็อนุโมทนา เราก็ต้องมาพูดกันอีกเพื่อชัดเจนยิ่งขึ้น
การกินมังสวิรัติเป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 อาตมาทำงานมา 47 ปี แล้วก็ยังต่องแต่งกันอยู่ ก็ขออ่านของคุณหนุ่มบ้านไกล
จาก...หนุ่มบ้านไกล
การกินเนื้อชนิดใด จะบาปหรือไม่บาป ประการใด ขึ้นอยู่กับที่มาของเนื้อสัตว์นั้นๆ
(ในที่นี้จะพูดถึงสำหรับฆราวาสเท่านั้น เพราะพระสงฆ์มีกฏข้อห้ามของตัวเองอยู่แล้ว)
พ่อครูว่า...ศีลข้อ 1 อาตมาพูดไปถึงสัตว์เซลล์เดียว ก็ต้องมีความปรารถนาดี เอื้อเอ็นดู หวังประโยชน์ต่อเขา เขาอาจเจริญไปเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ ไปตัดทางเขาทำไม แม้แต่เหตุผลว่า คุณเองไม่กินเลย ไม่มีเอี่ยวเลย รอดปลอดภัย และรับรองว่าไม่ตาย ไม่กินเนื้อสัตว์นี้ไม่ตาย กินแต่พืชนี่อายุยืนยาวกว่ากินเนื้อสัตว์ด้วย คนที่พยายามหาแง่เชิงเหลี่ยมมุมในการกิน ก็เพื่อรักษาหน้าของตน เป็นอัตตามานะเสริมในตัวด้วย
ขอเพียงที่มาของเนื้อสัตว์นั้นถูกต้อง เช่น.... ไม่ได้ลงมือฆ่าเอง,ไม่ได้จ้างวานให้ผู้อื่นฆ่าเพื่อเรา,ไม่ได้ยินดีหรือรู้เห็นให้คนอื่นฆ่าเพื่อเรา เนื้อนั้นสามารถกินได้โดยที่ไม่ผิดบาปแต่ประการใด
และแม้ว่าการกินเนื้อ จะทำให้มีคนหันไปฆ่าสัตว์ชนิดนั้นๆเพิ่มขึ้นเพราะต้องตอบสนองต่อ อุปสงค์&อุปทาน กรรมอันนั้นจะเป็นของผู้ลงมือฆ่า,และผู้ร่วมรู้เห็นและยินดีในการฆ่านั้นเท่านั้น
พ่อครูว่า...ประเด็นคำว่าอุทิศ นี้ ความหมายเขาว่า คือเจาะจงเพื่อผู้นี้ๆ แต่พ่อครูแปลว่า มนุษย์คนใดก็ตามเป็นคนเจาะจงที่จะฆ่าสัตว์ใดๆ
คือเขาถือกันว่าถ้าเจาะจงฆ่าเพื่อคนชื่อนี้ๆ คนที่ถูกเจาะจงชื่อนี้ ก็จะกินไม่ได้มันก็เลยเป็นเรื่องตลก
ประเด็นที่จะครบองค์แห่งการผิดศีลปานาติบาตคือ
นี่คือการฆ่าของมนุษย์ที่มีจิตโหดร้าย คุณหยุดได้ทุกระดับ อันดับแรก คุณรู้ว่าสัตว์มีชีวิต ก็ปล่อยมันไปสิ สองรู้ว่าสัตว์มีชีวิต ถ้าไม่รู้ก็แล้วไป แต่ข้อสามนี้จิตคิดจะฆ่า และสี่ พยายามฆ่า ห้ามันก็ตายลง
และอีกสูตรหนึ่ง
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
ไม่ใช่ผู้บริโภคที่ไม่รู้เห็น เพราะเนื้อที่ไม่ได้ลงมือฆ่าเอง,ไม่ได้จ้างวานให้ผู้ อื่นฆ่าเพื่อเรา,ไม่ได้ยินดีหรือรู้เห็นให้คนอื่นฆ่าเพื่อเรา
ย่อมสามารถกินได้โดยที่ไม่ผิดบาปแต่ประการใด (เสมือนกินซากสัตว์ที่ตายแล้ว)
พ่อครูว่า... ซากสัตว์ที่ตายนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้สองนัย ในปวัตตมังสะ
1.สัตว์นั้นตายลงเอง
2.เดนสัตว์กิน คือสัตว์นี้ฆ่าสัตว์อื่นกิน แล้วกินเหลือมันไม่กินอีก
การเจริญสมณธรรมเพื่อยกระดับจิตของ ผู้ที่ไม่กินเนื้อ กับ ผู้ที่กินเนื้อ(ที่ได้มาอย่างถูกต้อง) จึงไม่ต่างกัน เหตุเพราะการละเว้นศีลปาณาติบาต บริสุทธิ์เสมอกัน
การเอาเหตุที่ว่าคนไหนกินหรือไม่กินเนื้อ มาแบ่งแยกว่าใครเข้าถึงธรรมมากกว่ากัน จึงไม่ถูกต้อง
เพราะว่าศีลข้อแรก(ในศีล5)หมายถึงการละเว้นการฆ่าสัตว์ และการทรมานสัตว์ เท่านั้น พ่อครูว่า... ในศีลข้อที่ 1 ในจุลศีลว่า ให้มีใจเอื้อเอ็นดูปรารถนาดี หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง...คุณเอาไปไว้ที่ไหน?
ไม่ได้ห้ามการกินเนื้อสัตว์ เพราะฉนั้นผู้ที่กินเนื้อสัตว์(ที่ได้มาอย่างถูกต้อง) จึงมีศีลบริสุทธิ์ได้
(พระพุทธเจ้า ก็ฉันเนื้อสัตว์เหมือนกัน)
พ่อครูว่า... อันนี้คุณสรุปเอง มีหลักฐานว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์ในสีหสูตรหลังจากที่สีหเสนาบดี ประกาศตนเป็นพุทธสาวกแล้ว ...พวกนิครนถ์เป็นอันมาก พากันประคองแขน คร่ำครวญไปตามถนนหนทางสี่แยก สามแยกทั่วทุกสายในพระนครเวสาลีว่า วันนี้ สีหะเสนาบดีล้มสัตว์ของเลี้ยงตัวอ้วนๆ ทำอาหารถวายพระสมณะโคดม พระสมณะโคดมทรงทราบอยู่ยังเสวยเนื้อนั้นซึ่งเขาทำเฉพาะเจาะจงตน
ก็ถ้าท่านฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ แล้วอเจลกะ จะไปแหกปากว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ทำไม? แค่ประเด็นนี้ คุณก็ควรพิจารณาได้แล้วว่า พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์
(จบตอนนี้ตรงนี้)
SMS วันที่ 30 มิถุนายน 2560
_3867หลงเหล้าลืมตับ!รักเหล้าเป็นเพื่อนเท่ากับเกลียดตับเป็นศัตรู!หลงรักอบายคือหลงติดบ่วงกรรม!
คนหลงอบายบ่เชื่อเวร!คนติดเหล้าบ่เชื่อกรรม!คนเสพ มึนเมาบ่เชื่อวิบาก!คนเชื่อบ่ เชื่อก็ล้วนหนีไม่พ้นวิบากกรรม!
_0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บวรบ้านราชฯกับการมีศีล5คือมหาทานที่ยิ่งใหญ่ต่อทุกชีวิตทุกสรรพสัตว์พ่อครูเคยกล่าวผู้มีมหาทานในการทำทานในการปฏิบัติศีลเป็นผู้มีศีล5อย่างเป็นไตรสิกขาให้เกิดมรรคเกิดผลได้จริง กราบอนุโมทนาธ.สณ.สม.ปุญญปาปปริกขีโณประกอบศีลบ่ฆ่าสัตว์บ่กินเนื้อฯดังคำตรัสผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตฤาสาวกให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก
1657ชอบอโศกมากค่ะ มิตรแท้คือธรรมะ
3752รักเคารพนับถือหลวงพ่ออย่างสูง อำนาจ
3867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.ญตธ.บวรบ้านกับประเด็นธ.จาก สาระธ.โลกียะในชาติเก่าสู่ ธ.โลกุตระชาติใหม่ เห็นอาเปลี่ยนฤาเปี่ยม?แม่ครัวกทธ.แล้วคิดถึงน้ำใจ ญตธ.บ้านราชช่วยสอนทำอาหารมังสะวิรัตตอนชุมนุมทุกสนามรบข้างถนน!มวลครกสากเสริมกทธ.ขอบคุณพี่น้อง!เปลี่ยนจากพุทธกินเนื้อมาเป็นพุทธกินผักเพราะกทธ.!ทำมังสะวิรัติเป็นเพราะครัวกทธ.ขอบคุณหลายๆเด๊อ!
พลังรักในพ่อหลวงฯจากทศพิธราชธ.!พลังรักในพ่อครูจากโลกุตระธ.!พลังรักในพสกนิกรจากสามัคคีธ.!คือพลังรักแผ่นดินจากหัวใจรักษ์พอเพียง!
SMS จากเฟซบุ๊ค
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจสมุปบาท) ตอน สวรรค์นิดก็นรกนิด
_รุ่งโรจน์ อนันต์เจริญกิจ · เป็นอรหันต์ และไปรอดึงดาว ไงไงพระทั่วไปก็ไม่เข้าใจ สรุปไงไงก็ติดอยู่ในภพตัวเองอยู่ดี
พ่อครูว่า... อย่าไปดูถูกพระไปทั้งหมด พระบางรูปอาจเข้าใจ
ภพที่อาตมาว่าคือ เกินกว่าอาการ 32 คืออาการ 33 ที่เกินธรรมชาติที่มี เป็นการสร้างภพที่เกินกว่าของจริง มันเลยเป็นของปลอม เป็นดาวดึงส์คนยังหวังสุข ก็สุขที่ต้องรับรสสุข ดาวดึงส์เป็นแดนสุข
ราชิกา เป็นสวรรค์ชั้นที่ 1 หนักหนาสาหัสเพราะต้องไปแย่งชิง ใช้อาวุธทำร้ายเขา มันไม่สุขทีเดียวหรอก มันได้มาแล้วเป็นกาละเสพสุข
ดาวดึงส์คือกาละเสพสุข แล้วอาการสุขมันไม่มี ยิ่งไปนึกว่ามันมีก็เป็นภพชาติและยืนยาวเป็น ยามา แต่ถึงจะยาวเท่าไหร่ก็ต้องพักต้องหยุด ที่จะไม่เคยพักไม่เคยหยุดไม่มี มันต้องหยุดต้องพัก คือดุสิต แต่คนอวิชชาก็ไม่รู้ไม่ยอมหยุดพัก
ก็หลงจมต่อเป็น นิมมานรดี เป็นปรนิมมิตวสวัตตี
ดาวดึงส์เป็นตัวเสพรสสวรรค์ สุขนั้นยังสงบ ไม่มีสวรรค์นิ่งเฉยก็ยังลึกซึ้งกว่ารสดาวดึงส์ หรือพักยกเป็นโลกียะคุณก็ไม่รู้ หรือมาพักได้หยุดได้คุณก็ไม่จบ แล้ววนเวียนมาเสพใหม่ ก็ต้องรู้ว่าทำให้มันจบ อย่าไปวนเวียนอีก
สรุปแล้วสวรรค์ทุกชั้นคือนรกทุกชั้น ตั้งแต่ จตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี
ถ้าคุณลดสวรรค์ได้ชั้นใดก็ลดนรกได้เท่านั้น ไม่เสพดาวดึงส์แล้วก็ลดนรกไปลดภพไปหนึ่งชั้น มีภพอยู่ก็คือเป็นนรก สวรรค์ก็คือภพ ก็คือนรก สวรรค์มีเหลือกี่ชั้นก็คือนรกเหลือกี่ชั้นแล้วนะ
ไม่มีใครอยากได้นรกหรอก แต่เพราะคนหลงสวรรค์จึงได้นรก แม้นิดน้อยก็คือนรกนิดน้อยแค่นั้น
ส.เดินดินว่า..ไม่มีใครอยากได้นรก แต่ก็ได้นรกทุกคน ถ้าคุณอยากได้สวรรค์นิดนึง นรกก็มีนิดนึงตามไป เหมือนกันถ้าให้หยาบคือเกิดมาไม่มีใครอยากจะจน แต่ยิ่งอยากรวยเท่าไหร่ก็ยิ่งจนเท่านั้น
ลูกหนอนฯ ..วันนี้ระลึกถึงท่านฟ้าไทเทศน์กับพ่อครูเรื่องสัมประสิทธิ์ของพ่อครูมาวนเวียนทั้งวันเลยค่ะ มาตรวจสอบตัวเองจากการได้มีโอกาสทำงานใกล้ชิดosmosisในพฤติภาคปฏิบัติของหมู่ ที่มีผลกับตัวเองมากที่สุดคือเรื่อง ความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์ที่ขยายอายุขัยเพื่อมนุษยชาติ ทำให้ตัวเองสังวรณ์ระวังในกรรมทั้ง 3 อย่าให้เป็นอกุศล มีวจีสังขารแข็งแรงขึ้น ทำให้ลดความถือสา มองกิเลสตัวเองมากขึ้น พ่อครูเป็น สัมประสิทธิ์ที่ต้องมีลูกๆเป็นตัววิ่งเก็บแต้มขยายอายุขัยให้พ่อครูด้วยการศึกษาทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จนถึงวิมุติ ยิ่งลูกๆเพิ่มอธิศีล อธิจิต อธิปัญญามีผลกับตนเองในการลดความเห็นแก่ตัว พลังงานที่ไม่เห็นแก่ตัวจะทำเพื่อคนอื่นได้มากอนุเคราะห์คนอื่นได้มาก ซึ่งจะเสริมความแข็งแรงให้ constant (พ่อครู)มีพลังมากขึ้น
พ่อครูว่า...ดีจังเลยพวกเรานี่ละเอียดลึกซึ้งกัน
_ขออนุญาติส่ง สภาวะและคำถามค่ะ
นิยามความเข้าใจของ คำว่า อวตาร ในแบบ ฝนเอื้อฟ้า นามสกุล ตามรอยพระโพธิสัตว์
พ่อครูช่วยเสริมในส่วนที่ขาดหายไปด้วยนะคะเพราะหนูไม่ค่อยเก่ง ในโลกนี้มีเพียงพ่อครูที่จะเข้าใจคำนี้ได้ดีที่สุด ค่ะ คำว่า อวตาร ( Avatar) = incarnate อ่านว่า ( อิน ~ เคอ ~ เนท) อวตารมักใช้กันมากหลายในศาสนาฮินดูหรือ คือศาสนาพราหมณ์ แต่ทว่าศาสนาพุทธ ก็คือ เนื้อเดียวกัน ใกล้เคียงกัน กับศาสนาพราหมณ์ ~ ฮินดู เพียงแต่ศาสนาพุทธคือ ( ศาสนาอเทวนิยม มีเทวะ แต่ไม่ยึดเทวะ เน้นภาวะการสร้างเทวะภายในตน)
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน อวตารอย่างเป็นลำดับ
อวตารจึงเป็นคำสูง ไม่เน้นหมายถึงการเกิดหรือการจุติของ มนุษย์ธรรมดาๆ เป็นสำคัญแต่เป็นลักษณะการแบ่งภาคมาเกิดของบุคคลที่สำคัญต่อโลก รวมถึงการอวตารของพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงมี ทศพิธราชธรรมอย่างสูง การเกิดในร่างใหม่ที่มีจิตวิญญานอันทรงอานุภาพซึ่งเป็นจิตวิญญานที่มีประสิทธิสูงสุด เพื่อมาช่วยโลกด้วยจิตเมตตาและด้วยความรักตามพลังงานของการ อวตารในกัปป์ นั้นๆ
พ่อครูว่า...การเปลี่ยนภพชาติ บางคราวอาจเปลี่ยนแล้วสูงขึ้น บางคราวอาจเปลี่ยนแล้วต่ำลงได้ เพื่อมาช่วยมนุษย์โลก การอวตารมาเกิดเป็นชั้นๆจึงเป็นได้ ผู้จะอวตารได้จึงต้องเป็นผู้เหลือเฟือในธรรมะ ฐานะดีพอควรในธรรมะจึงมาช่วยได้ ไม่อย่างนั้นถูกดึงลง
การอวตารในแต่ละลัทธิไม่เหมือนกัน มีหลายแบบ อย่างนั้นแปลว่าไม่เป็นลำดับ ไม่ลาดลุ่มอย่างน่าอัศจรรย์ มีของฮินดูพราหมณ์นั้นใกล้เคียงที่สุด แต่ก็วนเวียน ผู้ที่ไม่จริงและชัดเจนสัมมาตั้งแต่ต้น ก็จะทำแล้วสลับไปมา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ มีความราบเรียบ ไม่สะดุดเลย ไม่เสียเวลา ผู้ที่ทำได้ไม่สะดุด จึงถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ข้อหนึ่งเลยนะ ในเรื่องที่น่าอัศจรรย์ 8 ข้อนี้ พระพุทธเจ้าถือว่า อันนี้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์สำหรับที่ 1 ในปหาราทสูตร
พ. ดูกรปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่พวกอสูรเห็นแล้วย่อมอภิรมย์ ฯ
ป. มี 8 ประการ พระเจ้าข้า 8 ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 1 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน รัฐศาสตร์โลกุตระ
กระบวนการอวตารจะมีประสิทธิผลสูงสุดจนช่วยเหลือโลกได้ดีนั้นก็คือ การอวตารในร่างของมนุษย์ เท่านั้นเพราะมนุษย์ มีทั้งกายทั้งจิตวิญญาน และมีปัญญาเหนือสัตว์อื่นๆ
อาตมารู้ดีจริงๆว่าเกิดมาในยุคนี้ นั้นคนมีมิจฉาทิฏฐิเยอะมากจริงๆ ตั้งแต่พศ.2515 อาตมาพูดความจริง 100% ว่าจะมาทำงานศาสนา ออกไป โดยเจตนาจะต้องตายภายใน 5 ได้ อาตมาก็เลยต้องค่อยๆทำ อาตมาก็เลยมีโศลก ต้องแรงให้เขาเข็ดชั่ว อาตมาต้องรักษาส่วนใหญ่ให้เขาได้ประโยชน์ ก็เลยเหมือนต้องเสียสละก็ต้องทำ เพราะอาตมารู้จริงๆว่ายุคนี้มันหนัก ได้ผลขนาดนี้ก็ดีแล้ว มีหลักฐานของจริงอ้างอิงยืนยันได้ หากไม่มีเขาเอาตายเลย เพราะมันละเอียดลึกซึ้ง ด้าน รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์โลกุตระ สังคมศาสตร์โลกุตระ รัฐศาสตร์โลกุตระ ก็ตาม
ขณะนี้ รัฐศาสตร์โลกุตระ เรื่องของการเมือง เรื่องของการเลือกตั้ง เรื่องของการเป็นใหญ่ แต่เราไม่ได้แย่งชิงกันเป็นใหญ่ ถึงให้เราก็ไม่เอา เพราะเรารู้ตัวเองดี มีอัตตัญญุตา เราก็จะช่วยผู้ที่เหมาะควรเต็มที่ พูดแล้วก็จะหาว่าเชลียร์อีก แต่ก็ขอให้ผู้ทำหน้าที่ทำอย่างมั่นคง ตอนนี้อาตมาขยายความประชาธิปไตยโลกุตระถึง 77 ข้อ แล้ว ยังไม่มั่นใจว่าจะจบแล้วหรือยัง
ข้อ 77 ประชาธิปไตยที่ดีแท้สัมบูรณ์จริงนั้น เป็นเรื่องของ“พหุชนาญาสิทธิราช” หมายความว่า เป็น“อำนาจของพระราชากับอำนาจของปวงประชาชนทั้งหลาย” ซึ่งต่างก็ใช้“ธรรม”เป็นอำนาจ” นั่นคือ กษัตริย์ก็ทรงมี“ธรรมาธิปไตย” และปวงประชาชนทั้งหลายก็ต่างมี“ธรรมาธิปไตย” สังคมประเทศจึงเกิดความเป็นอยู่กันอย่างสงบสุขกันทั้งชาติเพราะต่างก็มี“อำนาจ”คือพลังทั้งเบื้องบนทั้งเบื้องล่างสมานกันอยู่ด้วย“ธรรม” ผู้สนใจก็โปรดติดตาม เรายังจะได้สาธยายเรื่องประชาธิปไตยกันอยู่อีกนานเท่านาน.
พระพุทธเจ้าได้ทำประชาธิปไตยที่สุดยอด ท่านประกาศลัทธิของท่าน มีธรรมนูญของท่าน ท่ามกลาง แคว้นใหญ่น้อยต่างๆที่พระเจ้าแผ่นดินก็ยอมให้หมด เป็นหลักฐานตำนานประวัติศาสตร์ ที่ยืนยันชัดเจนว่า ลักษณะพระพุทธเจ้าเป็นประชาธิปไตย ที่ท่านว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
อาตมาก็มาขยายความเป็นคำความที่ตรงกับยุคสมัยคือ
อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ แต่ของฝรั่งเศสมีสามข้อ คือ ภราดรภาพ สันติภาพ และเสมอภาค อาตมาก็ยืนยันว่า เสมอภาคไม่มีจริงในโลกหรอก
สมรรถภาพคือความรู้ความสามารถของมนุษย์ บูรณภาพ คือทำให้เต็มอยู่เสมอ อย่างซื่อสัตย์บริสุทธิ์ถูกต้อง integrity
เป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ ในยุคพระพุทธเจ้าได้ทำมา อาตมาเองพูดอวดตัวตนมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว
กระบวนการอวตารจะมีประสิทธิผลสูงสุดจนช่วยเหลือโลกได้ดีนั้นก็คือ การอวตารในร่างของมนุษย์ เท่านั้นเพราะมนุษย์ มีทั้งกายทั้งจิตวิญญาน และมีปัญญาเหนือสัตว์อื่นๆ
พ่อครูว่า เป็นสัจจะความจริงดีที่สุด หากไปอยู่ในภพอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์นั้นไม่ได้ผลสูงสุด พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ประกาศศาสนาขณะเป็นมนุษย์ก็เลยไม่มีผลสูงสุด ต้องประกาศเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ปรากฏขึ้นในโลก ถ้าปัจเจกพระพุทธเจ้า คือ ท่านมีภูมิเท่ากับพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ประกาศตนก็รู้แต่ของท่านแล้วจบ
ขอยกตัวอย่างบุคลาธิษฐานทางวัตถุจำลองการอวตาร ที่จะเห็นได้เป็นรูปธรรม คือพระพุทธรูป ปางวิชิตอวิชชา แสดงนัยยะสื่อทางนามธรรม ของการอวตารเพื่อมาปราบมาร ลักษณะภายนอกของพระพุทธรูปปางนี้ คือ ลักษณะของความพริ้วไหวด้วยท่วงท่าลีลาที่จีวรสบัดไปมา บ่งบอกว่าปางนี้ต้องมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว เป็นนัยยะลักษณะ ของการต่อสู้ของผู้มีจิตสูง สุภาพ แต่ต่อสู้ ปกป้อง คุ้มภัยโลก พระพุทธรูปปางนี้จึงมีจุดเด่น ที่ต้องบอบบางและเบาเพราะเมื่อศัตรู คือ อวิชชาทั้งปวงมาในรูปแบบไหนๆ ก็สามารถหลบหลีกได้ ตั้งรับได้ทันที จึงเป็นสภาวะธรรม ที่เหมาะสมกับปาง วิชิตอวิชชา
ส่วน ปางสมานัตตา ปางนี้มีลักษณะเด่นที่ สัณฐานน้ำหนักมากกว่า ปางวิชิตอวิชชา ทั้งพระเศียร ต้นคอ ลำแขน ที่ใหญ่กว่ามากนัก มีลักษณะอมยิ้มน้อยๆ มือประสานคว่ำลง ใช้เป็น บุคลาธิษฐานสื่อถึงการให้อภัย ลักษณะอ่อนโยนอยู่ในรอยยิ้ม สื่อทางนามธรรม คือ ภาคของการอวตาร การสร้างความปรองดองความรัก ความสามัคคีให้เป็น เอกีภาวะ ทั่วทุกทิศ ทุกดินแดนในโลก
อย่างที่พ่อครูเคยกล่าวไว้นะคะ เราเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมาเอาความจริง เพราะโลกคือการ หมุนวนตามรอบมาเพื่อให้เราศึกษาจนสามารถปรินิพพานเป็นปริโยสาน ศึกษาจนเป็นพระอรหันต์ แล้วจะได้มาช่วยโลก เพราะเราจะรู้อย่างลึกซึ้งว่าโลกทุกวันนี้สัมพันธ์ถึงกัน
สรุปสุดท้ายนี้การที่เราจะเกิดมาร่วมกันในช่วงการแบ่งภาค อวตารของพระโพธิสัตว์ได้นั้น ต้องลดกิเลส ต้องลดอัตตา ตัองมีจิตสำนึกผิด ต้องมีความรักต่อโลก ต้องสร้างมหากุศลอย่างมหาศาล เพื่อจะได้มาพบพานร่วมทำงานรับใช้โลกกับพวกท่าน ทั้งในกาลนี้และกาลต่อไป
อวตารแห่งรักแท้
ฝนเอื้อฟ้า ตามรอยพระโพธิสัตว์
กราบนมัสการพ่อครูอย่างสูงด้วยหัวใจค่ะ
และขอกราบขอบพระคุณ ที่ท่านปัจฉา ส่งสภาวะธรรมและคำถามให้ค่ะ
_จากพันธุ์ พอเพียง
สมมุติว่าให้สัมมาทิฏฐิเป็นเหมือนกระปุกออมสินที่มีขนาดบรรจุเหรียญบาทได้ร้อยเหรียญถ้าบรรจุได้เต็มจึงจะเรียกคนนั้นว่าเศรษฐี การหยอดเหรียญเหรียญแรก ยังไม่ได้เป็นเศรษฐีนั้นก็ถูกต้องแล้ว แต่มันก็คือการสะสม( เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธุ์) กระปุกที่ใช้เก็บเหรียญก็ยังชื่อสัมมาทิฏฐิอยู่ แม้จะเป็นเหรียญที่หนึ่งถึงเหรียญที่ร้อยก็หนุนกันให้เป็นเศรษฐีวางทับซับซ้อนลาดลุ่มกันอยู่ ถ้าบุคคลใดทำเครื่องหมายไว้เฉพาะเหรียญที่ร้อย แล้วยึดเอาว่าเหรียญที่ร้อยนี่แหละคือโลกุตระคือการเป็นเศรษฐี เชื่อว่าบุคคลนั้นคงสำคัญผิดแน่ เพราะในชีวิตเขาจะมีตังค์แค่บาทเดียว ทำเนียบโลกุตระนั้นนับเอาเหรียญทั้งร้อยเหรียญเป็นโลกุตระเป็นอรหันต์จึงจะนับว่าเป็นผู้พ้นภัย แต่ก็ให้เกียรติผู้มียี่สิบห้าเหรียญเป็นพระโสดาบันเป็นต้น ซ้ำยังเรียกว่าเศรษฐีในระดับต้นบ้าง อรหันต์ในโสดาบ้าง ผู้มีสัมโพธิปรายนะบ้าง แต่ที่ปลอดภัยแล้วคือสภาพอรหัตตผล
ด้วยมีแนวคิดแบบนี้ผมจึงเข้าใจสาสวะ และอนาสวะแบบนี้แหละครับ ผิดถูกขอพ่อครูแก้ได้น๊ะครับ กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า...ถูกแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน อานิสงส์การสวดมนต์
_กุศลา ธรรมา สวดมนต์ในใจ กับ สวดมนต์แบบออกเสียงดัง อานิสงส์เท่ากันไหมคะ.?"
พ่อครูว่า...ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าก่อนนะ จะไปโดนใครก็ขออภัย การสวดมนต์ คืออะไร สวดมนต์หมายความว่าท่องหรืออ่าน ให้จำไว้และให้เข้าใจ สังคีติคือให้จำไว้ และสังคายนาคือทำให้เกิดความหลากหลายครบครันทั้งเหตุผล เป็นไปได้ เป็นไปไม่ได้
สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีเครื่องบันทึก จึงใช้ความทรงจำอย่างเดียว การสวดมนต์จึงมีเยอะ ถือว่าได้ช่วยศาสนา และยุคนั้นต้องจำได้ พลังงานไม่ฟุ้งซ่านเหมือนยุคนี้ก็เลยทำได้ เป็นการรักษาคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นกุศลบารมีของผู้จำได้ ถ้าเราจำได้ก็เป็นของเก่าสืบต่อกันมา อย่างอาตมาก็มีของเก่า สืบสานกันมา
การจำด้วยการสวดจึงมีอานิสงส์สูง แต่ถ้าเอามาสวดหากิน สวดเพื่อให้ได้ ลาภยศสรรเสริญ หรือแม้แต่สวดเพื่อต้องการความสุข ก็ผิดทั้งนั้น
การสวดเพื่อจำได้หรือใช้งาน เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่ได้เอาไปแลกลาภยศสรรเสริญสุข ยิ่งสวดเพื่อให้เกิดปาฏิหาริย์ ให้อายุยืนหรือได้อะไรต่างๆ เป็นความฟุ้งซ่าน ถ้าสวดมนต์นี้บันดาลอะไรได้ทุกอย่าง คนสวดมนต์ทุกวันนี้มีเยอะไหม ก็เสร็จสำเร็จ ตามที่เขาสวดแล้ว นี่สวดกันล้านเที่ยวแล้ว ธัมมชโยก็มาเสนอหน้าได้แล้วเพราะมีฤทธิ์เดชจากสวดมนต์ แต่นี่หายหัวไปไหน เกิดมาชาตินี้ก็เพิ่งเคยได้ยินได้ฟัง เขาสวดมนต์กันล้านเที่ยว แล้วมันมีผลสำเร็จไหม? ถ้าสำเร็จป่านนี้ออกมาเดินปร๋อแล้ว
หากสวดมนต์เสียงดังก็จ่ายพลังงานมากกว่าสวดมนต์เสียงค่อย
ประโยชน์คือหากสวดเบาก็เสียพลังงานน้อยกว่า แต่ถ้าต้องการให้คนได้ยินได้ฟังก็ได้ แต่ถ้ามองว่าเขารำคาญก็ได้อีก เหตุผลในคนนี้สารพัดจะหาเรื่องก็เอาแต่พอเหมาะ
_ผาหิน ..ขออภัยเพื่อนๆ..หลังจากวันที่6ก.ค.เน็ตผมจะหมดและผมจะไม่ต่อค่าเน็ต3เดือนในช่วงเข้าพรรษา..ถ้าต้องการติดต่อกรุณาใช้ข้อความหรือโทรศัพท์..ผมขอตั้งตบะธรรม
1.กินอาหารมื้อเดียว..(เพื่อจะได้อานิสงส์ 5 ประการ ตามพระพุทธเจ้าตรัส)
2.ไม่เล่นไลน์,ไม่เล่นเฟส..(เพราะทุกวันนี้สิ่งนี้กลายเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เสียเวลาเสียทุนรอนเสียสุขภาพและกลายเป็นอบายมุขที่คนมองเห็นและเข้าใจได้ยาก...ลองพรากจากมันสัก 3 เดือนดูมันจะลงแดงไหม?)...ขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า...กินมื้อเดียวมีอานิสงส์ถึงห้าประการ
1. ร่างกายไม่เจ็บป่วย อาพาธน้อย (อัปปาพาธัง)
2. ไม่มีอะไรบกพร่อง (อัปปาตังกัง)
3. กระปรี้กระเปร่า เบากาย เบาใจ (ลหุฏฐานัง)
4. มีพละกำลังเหลือใช้ (พลัง)
5. เป็นอยู่สบาย จิตใจผาสุก (ผาสุวิหารัง)
(พตปฎ. ล.12/265 ล.13/160)
พ่อครูว่า… อาตมาขอย้ำหัวตะปู ไอ้นี้คืออบายมุขที่คนติดงอมแงมทั่วโลก ไม่ถูกจัดว่าเป็นสิ่งเสพติดเลย แต่มันเป็นสิ่งเสพติดอย่างยิ่ง
ส.เดินดินว่า...พ่อครูเคยบอกตัวนี้มันเป็นสัตว์นรก มันเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า...ลองดูสิว่ามันจะลงแดงไหม มันเป็นสิ่งเสพติดที่คนไม่รู้ทัน เป็นเครื่องมือของนายทุนที่คนไม่รู้เท่าทัน ค้ายาเสพติดอันนี้ก็รวยเละเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน วิปัสสนาจิตอิสสาคนได้ทุเรียน
_คำถามจาก คุณพิมพ์เพชรรุ้ง
วันที่ 2 กรกฎาคม 2560
กราบนมัสการ พ่อท่านฯ สมณะโพธิรักษ์ ที่เคารพอย่างสูง
ลูกขอกราบเรียนผลการปฏิบัติธรรมของลูกในช่วงที่ผ่านมา เกี่ยวกับการจัดการกิเลสของตัวเอง และจะขอคำชี้แนะจากพ่อท่านฯ ดังนี้ค่ะ
เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ลูกได้พบว่าตัวเองมีกิเลสชอบกินทุเรียน ถึงขั้นที่อยากกินทุเรียนทุกวัน จนเช้าวันหนึ่งขณะที่กำลังช่วยงานพี่เข่ง (ใจแก้ว) มีสิกขมาตุนำเอาทุเรียนในถุงที่ได้จากการบิณฑบาตรมาฝากไว้ให้พี่ปราณี (น้องสาวพี่เข่ง) ลูกเห็นแล้วเกิดจิตตัวอิจฉาขึ้นมา และจับตัวมันได้ก่อนที่จะแสดงอาการทางกายหรือวาจา ใดๆออกไป ต่อมา(พ่อครูว่า ควรใช้คำว่า อิสสา แทนอิจฉา)
ลูกได้สารภาพกับพี่เข่งว่า ตัวเองเกิดจิตโลภอยากกินทุเรียนและยังเกิดจิตอิจฉาขึ้นมาอีกด้วย
ลูกจึงตัดสินใจว่า จะต้องจัดการกับจิตตัวร้ายนี้ ด้วยการลงโทษไม่ให้กินทุเรียนเลยจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ลูกได้ดูอาการของจิตในช่วงแรกๆ เห็นว่ามันดิ้นพอสมควร
เวลาที่เห็นทุเรียนเหลืองอร่าม พร้อมกับกลิ่นหอมน่ากิน แต่ไม่ให้มันกิน และพอนานเข้า จิตมันก็หายดิ้น จนถึงวันนี้ จิตที่อยากกินทุเรียนมันหายไป ลูกได้เห็นความไม่เที่ยงของจิตที่อยากกินทุเรียนค่ะ แต่ก็อบรมตนเองว่า ถ้าจิตไม่มีดูดก็ต้องไม่มีผลักด้วย จึงต้องคอยเฝ้าระวังจิตในเรื่องนี้อยู่
(พ่อครูว่าต้องพยายามให้เกิดปัญญา การกดข่มเราก็มีได้ตามสัญชาตญาณ แต่ต้องให้เกิดปัญญา ว่ากิเลสมันไม่เที่ยง มันยากๆ เป็นเหตุแห่งทุกข์ และมันไม่ใช่ตัวตน ใครก็เข้าใจคำสอนพระพุทธเจ้าอันนี้ แต่คุณจะเกิดสภาวะ เกิดความเฉลียวฉลาดจริงๆว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันยังอยู่เมื่อไหร่ก็เป็นตัวที่ทำให้แย่ จะต้องชัดเจนว่า มันไม่มีตัวตน มันไม่ใช่ของจริง มันไม่มีหรอก มันเกิดมาหลอกเรา แล้วมันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ เราต้องเป็นทาส บำเรอมัน
ต้องเห็นความเฉลียวฉลาดเกิดปัญญา ในการพิจารณาทุกครั้งจนปัญญาเกิด พลังงาน Coefficient ทับทวีคูณ ยกกำลัง จนมีจริงพลังจริง อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมังต้องทำให้มากทำให้บ่อย ทำอย่างนั้นมันถูกแล้ว ทำให้เกิดผลอย่างไร ภาวนา ทำให้มากพหุลีกัมมัง แล้วปัญญาจะเกิดทับทวีได้)
ส่วนจิตตัวร้ายอีกตัวหนึ่ง คือ “ตัวอิจฉา” ทั้งที่ลูกเคยฝึกอบรมจิตมาแล้ว และ
หลงคิดว่า ตัวเองคงไม่อิจฉาใครแล้ว แต่มันก็โผล่มาอิจฉา ที่เห็นคนอื่นได้ลาภทุเรียน จนได้
ลูกจึงอยากขอคำแนะนำจากพ่อท่านฯ ว่า การจัดการจิต “ตัวอิจฉา” ที่แสนน่าเกลียดนี้ ลูกควรจะต้องทำตามลำดับขั้นอย่างไรบ้าง
ลูกจะตั้งใจฝึกฝนขัดเกลาตัวเองให้เป็นคนดีขึ้นเรื่อยๆ และกราบอาราธนา ขอให้พ่อท่านฯ รักษาสุขภาพเพื่ออยู่สอนลูกๆ ต่อไปอีกนานๆ นะคะ
กราบขอบพระคุณค่ะ
พิมพ์เพชรรุ้ง
พ่อครูว่า...เราต้องเทียบกับตัวที่เราทำได้ จนแข็งแรงเฉยไม่มีอารมณ์หวั่นไหว วางสนิท ไม่มีทางอื่น ต้องเผชิญหน้าไม่หนี และคิดว่าตอนนี้คุณคงสู้มันได้ แต่อาจต้องสู้ ยังไม่วางเฉย ก็ต้องทำอย่างนี้แหละ
ถ้ามีผู้เอาใจใส่ศึกษาฝึกฝนอย่างนี้อาตมาก็คงจะอยู่ไปอีกนาน แต่ก็อย่าตั้งความหวังไว้
_คำถามค่ะ
ในปัจจุบันนี้ ค่าสัมประสิทธิ์ของชาวอโศกโดยรวมมีค่าประมาณเท่าไหร่คะ? มีน้อยใช่ไหมคะพ่อครูถึงเอ่ยปากว่าเหนื่อยใจ
กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า...ก็อาจพูดตอนภาวะนั้น ตอนนี้จะไม่พูดบ่อย
_อีกคำถามนึงค่ะ
ค่าสัมประสิทธิ์ระดับ บวก-คูณ-ยกกำลัง ขอความกรุณาพ่อครูยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อนำมาเทียบกับสภาวะที่มีว่าอยู่ระดับไหนเมื่อเจอผัสสะค่ะ
กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า...คำว่า บวกก็หมายความว่า มันเพิ่มในลักษณะของการค่อยๆเติมไป มันไม่สูงในระดับทางคณิตศาสตร์ระดับคูณ หากคูณนี้มีอัตราก้าวหน้าข้ามขั้น
2+2=4 และ 2x2=4 ได้ แต่ 2+3 ไม่เท่ากับ 6 แต่ 2x3=6ได้
แต่ถ้ายกกำลังนี้มันยิ่งจะมีค่าทับทวีมากกว่าอีก อัตราก้าวหน้าระหว่างบวก คูณ ยกกำลัง ก็ต้องหยิบสิ่งที่ตนเองมาทำดู ทำดูจะเห็นอัตราก้าวหน้าที่ต่างกัน ระหว่าง บวก คูณ ยกกำลัง
ส.เดินดินว่า...วันนี้ต้องขอบคุณพวกเราที่ตั้งใจฟังธรรมและช่วยย่อยช่วยถามให้พ่อครูเบาแรง และเนื้อหาที่พวกเราช่วยย่อยก็ลึกซึ้ง แม้แต่เนื้อหาอวตารที่เขียนมาก็เน้นเรื่องความรัก แม้อวตารของผู้มีภูมิสูงก็อาจเกิดมาเป็นคนหรือสัตว์ระดับต่ำก็ได้ เรามาเน้นเนื้อหาความจริงก็อย่าด่วนสรุปคน ไม่แน่อาจเจออวตารก็ได้
อีกท่านหนึ่งที่ทำให้เห็นความสำคัญของเหรียญสัมมาทิฏฐิ ที่จะให้ความสำคัญที่จะเติมเหรียญไปเรื่อย โดยไม่เพ่งว่าจะเต็มเมื่อไหร่แต่คอยเติมไป จนกว่าจะรู้ตัวก็สูงเสียแล้ว จะเป็น สัมมาทิฏฐิที่ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 17:55:37 )
รายละเอียด
600705_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปาฏิหาริย์แห่งกายสัมประสิทธิ์
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560 เป็นวันคล้ายวันเกิดของลุงจำลอง ศรีเมือง เกิดหลังพ่อครู 1 ปี 1 เดือน ลุงจำลองเป็นบุคคลที่มีศีลมั่นคง และทำคุณประโยชน์กับมวลมนุษยชาติ ให้พ้นภัย ในหลายๆเรื่อง เป็นตัวอย่างของผู้เป็นผู้นำที่ดี เป็นบรรพชนที่ควรยกย่อง ทำงานเพื่อสังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ แม้แต่บ้านตัวเองก็ยังไม่มี อาศัยส่วนกลางที่อยู่ คนอย่างนี้เป็นคนที่หาได้ยากในสังคม ได้เสียสละเพื่อประชาชน โดยไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่เอาตำแหน่งลาภยศสรรเสริญอะไรทั้งสิ้น
สำหรับ พ่อครู ก็ได้แสดงธรรมให้แก่พวกเราอย่างสม่ำเสมอ มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย พ่อครูบอกว่า ใครที่หลงสวรรค์แม้แต่นิดหนึ่งก็มีนรกนิดนึง สวรรค์ คือ สว + รร + ค์ ก็เป็นของที่ไม่น่าไปยินดี นรก เป็นความเร่าร้อน แต่คนมักหลงสวรรค์ลวงอยู่เสมอ สวรรค์โลกีย์เสพกามก็เห็นทุกข์ได้ง่าย แต่สวรรค์เห็นภพในตัวก็ไม่ง่าย เพราะอร่อยคนเดียว ปั้นคนเดียว ไม่มีใครรู้เรื่องด้วย มันเป็นอัตโนมัติ ตามที่แต่ละคนจะกำหนดหมาย เราก็อร่อยไปกับมัน ก็เกิดความทุกข์ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย และไม่เป็นเรื่องจริงอีกต่างหาก บ้าบอคอแตก ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ สู้ตัดสวรรค์แบบนั้น แล้วอยู่กับความเป็นจริง ทำงานกับมนุษยชาติดีกว่า
พ่อครูอยู่กับปัจจุบันเป็นหลัก มีความเบิกบานแจ่มใสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าท่าน นี่ผลไม้ลูกโต
พ่อครูว่า...นี่มะนาว จากที่ไหน? กระท้อน ลูกใหญ่ๆ บอกแล้วว่าอย่าใช้ปุ๋ยงอกงาม..นี่ขนาดเราไม่โฆษณานะ
SMS วันที่ 3 กรกฎาคม 2560
_3867 นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บวรบ้านราชฯนร.สสข.กับธรรมาธิปไตยตามแบบฉบับโลกุตระธ.เพื่อปย.สุขปวงชน สร้างระบอบการบ้านการเมืองที่มีประสิทธิภาพวิเศษในสังคมโลกต้องสร้างด้วยความไม่มีอัตตา!จึงจะได้ธรรมาธิปไตยอย่างแท้จริง! ธรรมาธิปไตยแบบโลกุตระธ.เป็นพหุชนหิตายะ,โลกานุกัมปายะอันพร้อมคุณวิเศษของๆปริสุทธา,ปริโยทาตา,มุทุ,กัมมัญญา,ปภัสรา!ทำได้ด้วยคนสิ้นอัตตา!พ่อครูเคยสอนฯ กราบขอบคุณพ่อครูกับธ.หลวงปู่วิชิตอวิชชา!ผู้พิชิตกามาสวะภวาสวะอวิชชาสวะด้วยโลกุตระธ.46 ขอบคุณบุญนิยมทำให้จิตน้อมรำลึกระบอบบูรณาญาสิทธิราชจากราชาธิปไตยจากบุรพกษัตริยาธิราชเจ้าเป็นระบอบที่รักษาอธิปไตยช.ศ.กษ.ปชช.คงราชอาณาจักรไทยดียิ่งกว่าระบอบการเมืองใดในโลก!ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในทุกรัชสมัยฯจรธ.
พ่อครูว่า...ประเทศอังกฤษเป็นต้นตำรับของประชาธิปไตย 2 ขา จนกระทั่ง แยกไปเป็นอเมริกามีประชาธิปไตยขาเดียว ที่ไม่มีกษัตริย์ อาตมากำลังสาธยาย ประชาธิปไตย 2 ขา มีทั้งหมด 77 ข้อแล้ว ดีที่สุดในโลก วันนี้จะได้กล่าวถึงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ก็ค่อยๆศึกษาไป อาตมายังไม่จบง่ายๆ ยังรู้สึก fresh และ active พอได้ ถ้าไม่มีกรรมตัดรอนก็คงไปได้เรื่อยๆ
SMS จากเฟซบุ๊ค
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน สวดมนต์เป็นหมู่อย่างไรไม่ต้องอาบัติ
_เอกีภาวะ วิชชาราม · พ่อครูเจ้าขา สู้ สู้ (ดีใจจังที่ชาตินี้ได้เจอพ่อครู) น้อมกราบนมัสการ เจ้าคะ
อยากเรียนถามท่านพ่อครูที่ท่านว่าการสวดมนต์นั้นจะสวดเป็นกลุ่มมากๆๆนั้นไม่ได้อย่างเช่นสวดมนต์ข้ามปีที่มาสวดกันเป็นร้อยๆๆคนนั้นนั่นไม่ใช่ที่พระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวในพระไตรปิฎกนั้นแต่การที่เรามาสวดมนต์ในโบถส์หรือในศาลานั้นก็มีคนตั้งแต่50-60ขึ้นไปก็เหมือนกันกับที่คนเป็นร้อยไม่ใช่หรือค่ะเพียงแต่จำนวนน้อยกว่าครึ่งเท่านั้นเองคือข้าพเจ้าฟังและติดตามรายการท่านพ่อครูมาตลอดก่อนที่ท่านพ่อครูจะเริ่มเทศน์นั้นท่านพ่อครูก็มีการสวดเพื่อเคารพและอัญเชิญพระพุทธเจ้าก่อนที่ท่านพ่อครูจะเริ่มเทศน์ข้าพเจ้าก็สงสัยอยากให้ท่านพ่อครูอธิบายให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจได้ไหมค่ะ
พ่อครูว่า...การสวดมนต์เป็นหมู่ มีในพระวินัย ว่าห้ามทำต่อหน้าสาธารณะต่อหน้าฆราวาส โดยเฉพาะเอาธรรมบทมาสวด
ธรรมบท ต่างกับประณามคาถาที่แปลว่า บทสวดยกย่องเชิดชู อย่างที่เราสวดกัน พุทธัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ พาหุง 8 ก็ตาม เป็นคำแต่งขึ้นเพื่อเชิดชูบูชา อันนี้ไม่มีข้อห้าม จะสวดร้อยคนล้านคนพร้อมกันก็ได้ เป็นการแสดงออก สังคมศาสตร์และจิตศาสตร์ ว่าเราเคารพผู้ที่ควรเคารพยกย่อง เป็นสังคมศาสตร์ที่ดี ยิ่งเกิดจากจิตศาสตร์ที่แท้ของเราก็ยิ่งดี ก็ต้องทำ แต่ถ้าไม่ใช่ประณามคาถา แต่เอาคำสอนของท่านไปสวด เป็นหมู่แล้วได้ค่าจ้าง เป็นการสวดหากิน เอาคำสอนไปเป็นสินค้า ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งสุดยอด แต่กลับเอาไปค้าขายหากินก็อกตัญญู แย่ ไม่ดี เลวไม่เข้าท่า เพราะฉะนั้นไม่ควรทำ ฟังให้ชัด
สมณะฟ้าไทว่า...ในศีลของพระภิกษุห้ามรับเงินรับทองอยู่แล้ว
พ่อครูว่า...ให้ชัดๆแยกให้ออก ว่า ถ้าไม่ใช่บทมนต์คำสอนพระพุทธวจนะ ที่ตรัสไว้ในสูตรไหนๆ อันนั้นเป็นประณามคาถา คนไทยเข้าใจผิดคำว่าประณาม เป็นว่าดูถูกดูแคลน แต่แท้จริงประณามแปลว่ายกย่องเชิดชู ก็แล้วแต่ยึดถือกัน
ประเด็นที่หนึ่ง ประณามคาถา สวดพร้อมกันกี่คนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ แต่พระพุทธเจ้ากันไว้ว่าอย่าเอาพระธรรมคำสอนไปสวด เพื่อหากิน ไปสวดรับนิมนต์แล้วตั้งราคาไว้ด้วย อย่างนี้ไม่ควรน่าเกลียด(พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
อีกอันที่เอาคำสอนพระพุทธเจ้าไปสวดเป็นหมู่ต่อหน้าฆราวาส แต่ถ้าเอาไปบรรยายคนเดียว ขยายความไปอย่างนั้นได้ แต่ถ้าสวดพร้อมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปไม่ได้
ทีนี้ คำสอนพระพุทธเจ้ากับประณามคาถา ต้องชัดเจนว่าคนละอย่างกัน ไม่ใช่อันเดียวกัน คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเพื่อละหน่ายคลาย ลดกิเลส เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์จริงๆ เป็นโลกุตรธรรม มันจึงไม่ใช่บทมนต์คาถาคำความที่หมายแค่ยกย่องเชิดชู
ที่บอกว่าอาตมาพาสวดคือพาสวดประณามคาถาเท่านั้น สวดพร้อมกันร้อยคนพันคนก็เคยทำ แต่ไม่ได้ผิดพระวินัย
ถ้าจะสวดแม้จะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า สวดแบบสังคีติหรือสังคายนา คือสวดในหมู่ภิกษุ เพื่อท่องจำไว้(สังคีติ) สืบทอดไว้ เพราะในยุคพระพุทธเจ้าไม่มีตัวหนังสือบันทึกไว้ ก็เลยบันทึกใส่ความทรงจำ
สังคายนาคือสวดเพื่อตรวจสอบ ใครจะสวดก็สวดไป คนอื่นก็นั่งฟัง หากอันไหนไม่ตรงกับคนที่ฟังก็ตรวจสอบกันให้ลงตัวว่าเอาอันไหนกันแน่ที่ถูก
ทุกวันนี้สวดกันไปเป็นเรื่องลึกลับ ไสยศาสตร์ เพื่อแคล้วคลาดจากอันตราย สวดเพื่อหายจากเจ็บป่วย สวดเพื่อจะบันดาลอะไรก็ได้ อย่างเช่นธรรมกายพากันสวดเป็นล้านเที่ยว แล้วเป็นอย่างไรอาจารย์หายหรือยัง อาจารย์โผล่มาได้หรือยัง ถ้าสวดแล้วพ้นพิษภัยได้ ก็ไม่ต้องซื้ออาวุธเลย
อาตมาเคยเล่นไสยศาสตร์มา ทำให้หนังเหนียวก็ได้แต่ไม่เที่ยง ได้ชั่วคราว บางทีพลาดกันก็มีดบาดเลย ทุกวันนี้อาตมาไม่ได้ทำ ไม่หนังเหนียวแล้ว เหยียบหนามเข้าไปก็เข้า
ไสยศาสตร์เป็นสิ่งมีได้ชั่วคราว สมบัติผลัดกันชม แม้แต่ในโลกก็มีลาภยศสรรเสริญ เสพรสสุข ก็ได้ชั่วคราว จะรักษาไว้ให้นานเท่าไหร่ ก็ได้ไม่นาน ไม่ใช่สัจจะที่คุณจะไปพึ่งพาได้ ไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม พิสูจน์ให้ดี นัยยะละเอียดลึกซึ้งๆพวกนี้อย่าไปหลง เราอย่าไปเสียพลังงาน เสียเวลา แคลอรี่กับเรื่องพวกนี้เลย เอามาทำการงานที่ดีๆดีกว่า ทำให้ผลไม้นี่ลูกโตใหญ่ดีกว่า
พวกเรามีใจให้เผื่อแผ่เกื้อกูลกัน อย่างคนที่มาที่นี่ แต่พวกเราไม่เก่งในการปฏิสันถาร ไม่เมคเฟรนด์เลย ก็ต้องฝึกกันไป คนมาเที่ยว มาพักผ่อน มีแก่งหินน้ำไหล สะโพ ให้เล่น มีแก่งที่จะทำอีกหลายแก่ง แก่งตำอิด ติดราม สามใส ไผใหญ่ ไทบ้าน มีชื่อไว้แล้วแต่ยังไม่ได้สร้างอีกหลายแก่งbb
แก่งสะโพนี้อาตมาตั้งชื่อล้อแก่งสะพือ ก็เป็นน้ำไหลผ่านกรวดทราย แล้วไหลไปที่แก่งตำอิด (แปลว่าแก่งที่หนึ่ง แก่งแรก) ก็ยังไม่เกิด ทำท่อให้ไหลอยู่ใต้ถนน เขายังไม่ยอมให้เป็นแก่ง แต่ถึงเวลาก็น่าจะเป็น
แก่งติดรามคือใกล้เรือรามรักษ์ อยู่ข้างเรือรามรักษ์ตรงสะพานเชื่อมรัตน์
เราจะอยู่อย่างสาธารณโภคี มีการosmosis แม้เขาไม่เอาเราก็จะให้ ซึมซับไปเราจะสร้างสังคมมนุษยชาติที่ดี เรามีถิ่นฐานอย่างนี้แหละ
หมู่บ้านราชธานีอโศก เป็นหมู่บ้านที่น่าสงสาร เป็นหมู่บ้านที่ต้องซื้อด้วยเงิน สาธารณะเขาก็มาฟ้องอยู่เรื่อยเลย เราก็ว่าเราเอาแค่ที่มีเอกสารสิทธิ เราก็เสียสละไป ที่ได้ก็เก็บเล็กผสมน้อยซื้อไป ทั้งหมู่บ้านนี้ แผ่นดินต้องซื้อเอา ไปหมู่บ้านอื่น แผ่นดินเขาเป็นธรรมชาติของเขาไม่ต้องซื้อหา แต่เราต้องซื้อเอา เราไม่อยากเป็นตัวเป็นตน แต่มันจำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น
มีเรือไฟฌานที่เป็นอนุสรณ์แห่งความประมาท เกิดจากเม็ดสะเก็ดไฟที่ เชื่อมเหล็กแล้วไปตกที่ซอกไม้ แล้วมันไหม้ไม่รู้ตัว ก็กินไปทั้งหมดหัว ค่าซ่อมเรือลำละเป็นล้านบาทเลย พูดไปก็เหมือนคุยตัว อวดร่ำรวย เราไม่รวยแต่ทำไมเราต้องมาดูแลเรือ และเรือนี้กินลึกถึง นาวาบุญนิยมสอดคล้องเป็นเรือโนอาห์อีก เป็นเรื่องสัจจะของมหาจักรวาล เอกภพ เราก็มีตระกูลนาวาบุญนิยม เป็นไปตามธรรม
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร_สัมประสิทธิ์) ตอน Karma and time of Continuum.
_ที่นี้มาถึง ตุ๊ก.อัศวิน....(กราบ)นมัสการพ่อครู
ขอกราบเรียนถาม..Technology know how..เพื่อให้เกิด..Coefficient..เจ้าค่ะ
จักได้มุ่งมั่น..น้อมนำไปเป็นแนวทางการปฎิบัติ..เจ้าค่ะ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
พ่อครูว่า...เทคโนโลยีเป็นหลักการความรู้ที่เอามาใช้ได้ ส่วน know how ต้องมารู้ว่ามันจะทำอย่างไร ขอรู้อันนี้ เพื่อให้เกิด Coefficient (n) หากเป็น Coefficiency (adj)
Coefficient หมายความว่า E=C(mc2+A) แต่ก่อนมีแค่สูตร E=mc2+A ไปเทศน์ที่วิทยาลัยแพทย์ อาตมาตั้งชื่อว่า วิชาแพทย์เป็นเดรัจฉานวิชา ทีนี้คนมาฟังเต็มห้องเลย
ก็เทศน์ E=mc2+A ก็เทศน์ว่า คือวิชาที่เป็นเพียงหาเลี้ยงชีพเท่านั้น เหมือนสัตว์ทั่วไป ไม่ใช่ ความรู้ที่พาหลุดพ้นทุกข์
Co คือร่วมกัน efficient คือสมรรถนะ
มีพลังงานหลัก เป็นตัวตั้ง บวกกับลบ
และมีพลังงานอีกอันที่เป็นตัวแปร Coefficient เป็นตัวแปรที่ทำให้พลังงานเพิ่มเติมแข็งแรงก้าวหน้าอีก จึงต้องมีพลังงานในระดับ มีเงื่อนไขว่าระดับคูณ เป็นต้นไป
อัตราก้าวหน้าของพลังงานมี บวก คูณ ยกกำลัง แต่ Coefficient จะต้องเป็นพลังงานระดับคูณเป็นต้นไป คุณต้องสร้างให้ได้ ถ้าสร้างไม่ได้ก็ไม่เกิด สร้างไม่เป็นก็ไม่ได้ ต้องสร้างให้ถึงขีด คูณ หากไปถึงยกกำลังก็ยิ่งจะชัดเจน
เป็นพลังงานที่จะทำให้เกิดการก้าวหน้า เป็นอัตราก้าวหน้า ไปเรื่อยๆ ก็ด้วยอันนี้
อันนี้เป็นพลังงานทางจิต ไม่ใช่พลังงานทางกาย จิตต้องรู้ว่าจะใช้พลังงานอย่างนี้ เป็นนิวเคลียส มีบวก ลบ แล้ว ต้องมี Coefficient เติมเข้าไป แล้วทำให้ตัว constant เติมเข้าไปอีก
ตัว status ไม่เที่ยง ต้องมีปัจจุบัน status quo
status quo ตัวสะสมเป็นพลังงานคงที่ constant ในปัจจุบันนั้น เมื่อได้ก็สั่งสมเป็นตัว static แล้วก็ kinetic มีพลังเคลื่อนที่ใหม่ เป็น coefficient แล้วตกผลึกมา แล้วมาผนึกเป็น static เป็น constant เสริมเจริญขึ้นไม่หยุดไม่จบ ถ้าคุณไม่หยุด Coefficient
ผู้ที่จะพอไม่ต่อแล้ว ก็คือตัดสันตติตัวนี้เรียกว่าตัดความสืบต่อ ไม่connect ต่อไม่เอาแล้ว จะตัด
สิ่งที่ทำปัจจุบันต่อไปเรียกว่า Continuing ส่วนทำแล้วเกิด Coefficient ต่อไปเรียกว่า continuum ซึ่งของไอน์สไตน์เขาได้สูตร Relative นี้ว่า Space and time of Continuum.
จะมีตัวนี้เป็นตัวแปร คุณจะต้องทำ continuum ให้เป็น Coefficient เป็นพลังงานทางจิตวิญญาณก็เป็นกรรมและกาละ คือ Karma and time of Continuum.
คนเราอยู่ที่ กรรมกับกาละ และคุณต้องพัฒนาอันนี้ ถ้าจะไปต่อต้องทำ Continuingให้เป็น Continuum. ถ้าไม่ต่อก็ตัด ไม่มีทศนิยมแม้ .00001 ก็เป็น 0 ทุกอย่างก็จะเสื่อม คือ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่มีอุปจยะอีก
อุปจยะในลักขณรูปนี้ ที่มี อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา แต่ถ้าคุณไปถึงชรตา แต่ถ้าฮึดอีกก็ไม่ อนิจจตา จะต่อไปอีกได้
ลักษณะ 4 อย่างนี้ถ้าทำไม่ถูกก็จะไม่ได้ ในอุปาทายรูป 24 ต้องทำให้ได้อย่างนั้นแล้วจะไปรอด
พูดไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร_สัมประสิทธิ์) ตอน พลังงานโสตาปันนะไปถึงระเบิด
_ดวงศีล…(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) เมื่อกระทบผัสสะจึงเกิดกาย.กายคือธรรมะ2 มีรูป(อิตถีภาวะ,เคหสิตเวทนา)กับนาม(ปุริสภาวะ,เนกขัมมสิตเวทนา)ทำธรรมะ2 ให้เป็น1(ปุริสภาวะ)ทำธรรม1ให้เป็น 0 (ส่วนแห่งบุญระดับโสดาบันสกิทาอนาคา,ระดับอรหันต์ก็หมดบุญสิ้นบุญสิ้นบาป)ซึ่งส่วนแห่งบุญและหมดบุญคือ coefficient จะเป็นฐานเป็นพลังเสริมเร่งให้เราบำเพ็ญเจริญสูงขึ้นต่อไปอีกถูกต้องใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...นปุงสกลิงค์ไม่มีเพศแล้วคือ 0 แต่ปุงลิงค์คือเพศชายคือ 1 ถ้าจะแพร่เชื้อ มีแค่ 1 ไม่ได้
ทำตั้งแต่ โสตาปันนะ ให้ก้าวหน้าเป็นอวินิปาตธรรม อย่าให้ตกต่ำ สูงเจริญเป็นนิยตะเที่ยงแล้ว และก็เป็นสัมโพธิปรายนะคือความหมายของ Coefficient ขั้นต้น เป็นพลังงานที่ไปสู่ที่สูงที่สุด ถ่ายเดียว =อัญญะ แล้วคุณก็ก่อให้ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เป็นที่หวังได้จะตรัสรู้ สัมโพธิปรายนะ
แล้วเป็นสกิทาคามี มีสกิทาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ ไปหา อนาคามี ของอนาคามี มี อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะของอนาคามี ไปหาอรหันต์ได้
ศาสนาพุทธยุคนี้เสื่อมแล้ว ไม่สามารถทำไฟฌานที่มีพลังงาน สลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะให้สลายไปได้ อย่างที่อาตมาเทียบกับระเบิดปรมาณู ระเบิดไฮโดรเจน เท่ากับเครื่องมือประหาร เท่ากับบุญ มีหน้าที่สลายพลังงานกิเลส เป็นไฟฌาน ทำลายกิเลสได้ ทำได้เสร็จก็หมดหน้าที่บุญ ทำหน้าที่เหมือนระเบิดปรมาณู ระเบิดแล้วก็จะเก็บเศษระเบิดหรือพลังงานระเบิดมาประกอบเป็นระเบิดใหม่ไม่ได้ พลังงานนี้มีฤทธิ์เดชสามารถสลายอาสวะอนุสัยได้ แต่จะไปเก็บเศษระเบิด เก็บกัมมันตรังสี มาใช้ไม่ได้แล้ว เก็บพลังงานนี้มาก็ไม่ได้
อันนี้อาตมาว่าชัดเจน เปรียบกับระเบิดปรมาณู ในยุคพระพุทธเจ้าเทียบกับพวงมะม่วง ที่หล่นมาแล้วแตกกระจาย เอามารวมติดเป็นพวงอีกไม่ได้ เอามาต่อกันไม่ติดอีกแล้วของพระพุทธเจ้าเทียบกับพวงมะม่วง ต่อมาอาตมาเทียบกับธาตุน้ำ H2Oก็ยังไม่ชัด เท่ากับเทียบระเบิดปรมาณู
ก็นึกถึงคุณ คิมจองอึน อาตมาก็ยังไม่เชื่อว่าเขาทำระเบิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ คุณทำได้แค่ลำลอง ทำจริงไม่ได้ ก็ทำแค่ขู่ไป
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กาย และ มูลกรรมฐานห้า
เข้าสู่คำว่า กาย กายคือองค์รวมของสองธรรมะหรือสองธาตุ ธาตุ ปุริสภาวะและอิตถีภาวะ ทำงานแล้วปุริสภาวะต้องเหนือกว่าอิตถีภาวะถึงก้าวหน้า
เป็นนปุงสกลิงค์ได้ก็ก้าวหน้า แต่มันห้ามไม่ได้ไม่ให้มีอิตถีภาวะ มันเป็นตัวต้าน แต่ทางวิศวกรรมมันทำให้เกิดพลังงานทดได้อีก วิศวกรจะชัดเจน ไม่เกี่ยงพลังงานต้านจะทำให้เกิดพลังงานทดก้าวหน้าได้มาก เป็นเรื่องที่ผู้รู้ทำได้
พลังงานทางวัตถุก็ว่าไป แต่พลังงานทางจิตก็นัยยะคล้ายกัน
กายต้องมีองค์รวม นามกับรูปเสมอ รูปอย่างเดียวเป็นกายไม่ได้ นามอย่างเดียวเป็นกายไม่ได้ เขาต้องหมาย กายว่าเอานามเป็นหลัก ไม่เอารูปเป็นหลัก
แต่ทุกวันนี้สากลเข้าใจว่ากายคือรูปเป็นหลัก ไม่มีนามธรรมเป็นประธานที่จะไปจัดการธรรมะสองหรือสามสี่ห้าหก...ถ้าไม่มีนามก็ไม่มีความเป็นกาย
ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
มันทำงานร่วมกันเรียกว่าพลังงานจิต เป็นพลังงานจิตนิยาม เป็นมโนบ้างวิญญาณบ้าง กายมีนามธรรมเป็นหลักในการเรียนรู้ เช่นมูลกรรมฐาน 5
อาตมาแยก กรรมฐานขั้นต้นที่อุปัชฌาย์ต้องให้แก่ลูกศิษย์ตอนบวช อุปัชฌาย์เหมือนพ่อดูแลลูกจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง
มูลกรรมฐาน 5 เหมือนภายนอก ผมขนเล็บฟันหนัง เป็นภายนอกทั้งนั้น ถ้าผมขนเล็บฟันหนัง ขาดจิตวิญญาณ ไม่มีเส้นประสาทไปร่วมก็ไม่ใช่กาย
ผมจะยาวเท่าไหร่ แต่จุดที่ไม่มีเส้นประสาทแต่รับรู้ จิตวิญญาณรับรู้ไม่ได้ ตัดก็ไม่รู้สึก พลังงานที่จะเป็นเวทนาไม่มี มีแค่สัญญากับสังขาร มันยาวขึ้นได้เป็นชีวะแค่พีชะ เหมือนมนุษย์พืชที่จิตไม่มีแล้ว มีแต่พลังงานพีชะทำงาน มนุษย์พืช ไม่มีบาปเวรภัยอะไรกับใครได้เลย มนุษย์พืชก็ฉันเดียวกัน
ถ้ากายเป็นจิตมโนวิญญาณมันเป็นเราเป็นของเราเป็นนามธรรม ก็ยังพิจารณาว่าไม่ใช่เราอีก ดังนั้นแค่รูป ก็ไม่ไปยึดเป็นเราเป็นของเราอยู่แล้ว
แต่ทุกวันนี้ ได้แค่กายว่าคือรูปวัตถุ กายจึงได้เสื่อมไปจากศาสนาพุทธ
สรุปแล้วมูลกรรมฐาน5 นี้คืออุปัชฌาย์จะได้นำไปสอนศิษย์ว่า อะไรคือกาย ในผมขนเล็บฟันหนัง กายนี้หยาบกว่าไปยึดเป็นเราอีก แม้จิตมโนวิญญาณไม่ใช่เราคุณค่อยทำอันนี้ต่ออีก เป็นลำดับต่อไป
ถ้าไม่รู้จักกายก็อย่าหวังว่าจะปฏิบัติได้ ไม่รู้หยาบ กลาง ละเอียด ปฏิบัติธรรมอย่างเป็นลำดับไม่ได้
ข้างนอกตั้งแต่โอฬาริกอัตตา ก็จัดการไม่ให้ยึดถือ เห็นเป็นธรรมชาติธรรมดาไม่เป็นเราเป็นของเราได้ ล้างได้แล้วก็ไม่ยึดติด แต่ก็อยู่กับกามกับอัตตา แต่คุณมีวสวัตตี มีพลังเหนือ อุตรจิต เหนือมันได้ มันทำอะไรจิตเราไม่ได้ เป็นคุณธรรมอันวิเศษที่ผู้ทำได้จะเข้าใจเป็นปัจจัตตัง ทำได้อย่างมั่นใจชัดเจน เราจะต้องแยกเมื่อใดเป็นกาย เมื่อใดไม่ใช่กาย แม้เป็นจิตก็อย่าไปยึด ยึดเป็นเราเป็นของเราไม่ ก็ค่อยลดละปล่อยวางสิ่งเหล่านี้อีก
ทุกวันนี้วงการศาสนา ความรู้อันนี้ไม่เหลือแล้ว เป็นมิจฉาทิฏฐิ ว่ากายคือธาตุสี่ ภายนอก ดินน้ำไฟลมอากาศ แค่ธาตุ5นี้ ไม่เกี่ยวกับจิต มโน วิญญาณเลย
สมณะฟ้าไทว่า...กายพ่อครูธิบายว่าคือธรรมสอง ไม่ใช่แค่ดินน้ำไฟลม อากาศ เคยถูกครอบงำมาตั้งแต่เด็ก
พ่อครูว่า..มาจากชาติก่อน คนเราก็โง่มาก่อน
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน สัมประสิทธิ์ปาฏิหาริย์ให้ขยายอายุขัย
ผู้ใดเข้าใจอย่างนี้ จะสามารถทำ Coefficient คืออัตราการก้าวหน้าอันแสนเก่ง เมื่อทำได้ก็สามารถสร้างปาฏิหาริย์ ให้เกิด แล้วมันก็มี เงื่อนไขสำคัญว่า คนที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอย่างจริง จะซื่อสัตย์สุจริตไม่ทำชั่ว ไม่ทำความไม่ดีอีกเลย ทำแต่ดีๆๆ ไม่ทำเพื่อตัวตนด้วย ทำเพื่อผู้อื่นๆ ทำแต่ดีๆ นี่คือยอดคน สุดยอดคน จะเกิดอีกกี่ชาติ จะอยู่ในโลกไหน คนๆนี้ไปเลย อนุโมทนา คิดเพื่อผู้อื่น ถ้าไม่คิดก็สบายไม่เสียพลังงาน
อาตมาก็จะสร้างปาฏิหาริย์อันนี้อยู่ ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเก่งเท่าไหร่ จะพิสูจน์ความจริง ว่าเราจะอยู่ให้เกินร้อย ร้อยห้าสิบเอ็ด ตัวเลขนี้ไม่ได้ตั้งเอง ผู้อยากรู้ก็ติดตามกันเอง ว่าตัวเลขนี้มาจากไหน
จะมาพูดด้วยความมั่นใจ อายุขัยอาตมาแค่72 แต่นี่เลยอีกนักษัตรแล้วคือ 84 อายุรอบนี้ จะต้องสร้าง Coefficient ให้ออกจากนักษัตรนี้ ถ้าพ้นแล้วจะเกิดพลังงานทด จะมีรอบใหม่เกิด พลังงานนี้ทางวิศวกรรมก็รู้ มันจะเกิดอย่างนั้นจริง
ถ้าอาตมาไปถึง85 ด้วยดี แล้วสร้างพลังงานอย่างที่อาตมาเข้าใจ มี static dynamic มีตัว เสริม kinetic ที่เสริม จะให้เกิดอัตราการก้าวหน้า ระดับคูณ ถึงยกกำลัง ถ้าทำได้ อาตมาเกินมา 1 นักษัตร หากได้อีก 2นักษัตรก็เป็น 96 ปี
96นี้คงได้ฉลองกันน่าดู คงหนักกว่า ปี 84
สมณะฟ้าไทว่า..พ่อครูเอาอะไรเป็นเกณฑ์ว่ารอบนี้ยาก
พ่อครูว่า...เหมือนคุณจะออกจากแรงดึงดูดของโลก ก็ต้องใช้พลังงานนั้น ถ้าออกได้แล้วรอบโลกนั้นเบากว่า เหมือนกันตอน 84 นี้น่าดูเลย นี่เพิ่งรอบนักษัตรที่1 ถ้ารอบนี้ไปได้ก็จะไปได้พอสมควร จะพยายามถึง 96 เมื่อหลุด 96ได้ก็ไปเกิน100แหงๆ ไปอีกรอบเป็น 108 ปี นักษัตรที่3 เป็นสามเส้า ทีนี้จะหนักอีกมากถ้า หลุดจาก 108 คิดดูว่า statusของผมจะเท่าไหร่ มันจะ150เป็นอันหวังได้ ถ้าเลย 108 ไป จะเป็น 120 จะฉลุยมากกว่านั้น จะมี status มี constant
นี่คือ การพิสูจน์ความจริง ไม่ได้พูดด้วยระเริง เล่นลิ้นหรือนิทานตลก ใครฟังอย่างเพ้อฝันก็ว่าไป แต่พวกเราไม่ใช่
เป็นการศึกษาจริงๆ เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ด้วยเรา เป็นปัจจัตตัง มันน่าพิสูจน์ไหม?
สมณะฟ้าไทว่า...พวกผม ถ้าเป็นโสดาบันก็ต้องพัฒนาให้แรงพอ
พ่อครูว่า..จะไปแต่ละรอบพ้นจากรอบต้องใช้พลังงาน Coefficient ตัวต้นคืออัญญา แล้วเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละไป ดับ
_จากหินไท ให้ข้อมูล ..อุบลคนอายุยืน
3. นายลด มะหัน 110 ปี 39 หมุ่8 ต.ห้วยข่า อ.บุณฑริก
4. นายวันดี ปัสสาสิงห์ 111ปี 74หมู่5 ต.สระสมิง อ.วาริน
5. นายมา ทีอุทิศ 114ปี 47หมู่11ต.หัวนา อ.เขมราฐ
พ่อครูว่า...อยู่ในจังหวัดอุบลราชธานีทั้งนั้น มีผู้หญิงคนเดียวผู้ชาย 4 คน อาตมาก็จะลองพากเพียรดู ถ้าอายุยืนยาวแต่สุขภาพร่างกายไม่ไหวมันก็ไม่น่าอยู่ คงทำประโยชน์อะไรไม่ได้ เป็นภาระผู้อื่น กระดิกก็ปวด
สมณะฟ้าไทว่า..ถามนายสิบตั๊บโต เขาว่าคนอายุมาก จะเป็นเส้นเลือดในสมอง ตีบแตกมาก เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตมาก
พ่อครูว่า..เราก็พูดถึงวิชาการ ไม่ใช่ว่าจะหลงระเริงแต่เราค่อยๆทำไป
_amnuay ......ทุกวันนี้คนใส่บาตรไม่ถอดรองเท้า พระเองก็ไม่สนใจที่จะบอกควรไม่ควรเพราะหวังในลาภสักการะ อีกหน่อยคงเป็นเช่นนี้หมด จะปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้หรือควรทำอย่างไรครับ
พ่อครูว่า...อาตมาก็ว่าในยุคนี้ คนนี้เขาก็ถือกันว่าไม่ใส่รองเท้าจะดี แต่ทุกวันนี้อาตมาก็ใส่รองเท้ามากขึ้นแต่อาตมาใส่รองเท้าแล้วไม่ค่อยติดเท้าเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กายต้องหมายถึงธรรมะสอง
มาทวนคำว่ากาย กายไม่ใช่ ดินน้ำไฟลมอย่างเดียว
ในพจนานุกรม คำว่า กาย แปลว่าหมู่ ฝูงหรือองค์ประชุม กายไม่ใช่แค่1 แต่เป็นองค์รวม หรือถ้านามธรรมก็คือหมวดแห่งเจตสิกธรรม คือหมวดของอาการจิต เช่น เวทนาเรียกว่ากาย สัญญาเรียกว่ากาย สังขารเรียกว่ากาย หรือทั้งสามก็เรียกว่ากาย
ในท่านเจ้าคุณประยุทธ์ปยุตโต ท่านแปลว่า กอง หมวดหมู่ ที่รวม ชุมนุม เช่นสัตวกายก็คือรวมมวลสัตว์ทั้งหลาย พลกายคือรวมพลทหาร รถกายคือกองทหารรถ ธรรมกาย คือที่รวมหรือชุมนุมแห่งธรรม แล้วท่านแยกกายอีกว่า
1 ที่รวมแห่งอวัยวะทั้งหลายหรือชุมนุมแห่งรูปธรรมคือร่างกายหรือรวมเป็นรูปกาย
พ่อครูว่า รูปกายคือกายที่ถูกรู้ แปลว่ามันต้องมีตัวรู้หรือนามธรรมไปรู้ เพราะแค่พีชะ อุตุ รู้ตัวเองไม่ได้ จะเป็นรูปกายโดยไม่มีนามไม่ได้ ร่างกายนี้ มีรูปกาย ต้องมีนามไปรู้ด้วย กายขาดนามไม่ได้ มีแต่รูปไม่เป็นกาย
สิ่งที่ถูกรู้ คนละชิ้นเลย ก็อยู่คนละส่วน แม้ส่วนเดียวกันต้องมีนามเข้าไปรู้
2 ท่านแปลว่าที่ประชุมของนามธรรม เพราะนามถูกรู้และเป็นตัวรู้ได้ รูปจิตอรูปจิตเป็นรูป ส่วนญาณปัญญาเราก็คือนามเข้าไปรู้
3 กายปัสสัทธิ ท่านแปลว่า ความสงบเย็นแห่งกองเจตสิก
พ่อครูว่าอันนี้ท่านแปลถูก เจตสิกคือนาม กายปัสสัทธิไม่ได้หมายถึงวัตถุดินน้ำไฟลมสงบ ความเคลื่อนไหวร่างกายสงบ ไม่หายใจคือกายปัสสัทธิ ไม่ใช่ แต่กายปัสสัทธิคือความสงบของเจตสิก ท่านแปลอีกว่าบางทีเรียกว่านามกาย แต่บางที นามกายหมายถึงนามขันธ์ทั้ง 4 คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
นอกจากความหมายพื้นฐานสองอย่างนี้ ยังมีความหมายตามสภาพแวดล้อมอีก เช่น กายสัมผัส หมายถึงกายินทรีย์ที่รับรู้โผฏฐัพพะ เป็นการสัมผัส
กายทุจริต ตัวทุจริตนี้ ถ้าหมายเอาแค่กายคือร่าง ร่างเองนี้ทุจริตไม่ได้ ทุกข์สุขไม่ได้ ร่างก็คือวัตถุ ดินน้ำไฟลม แต่ถ้ามีตัวประธานมีจิตเจตสิก เข้าไปนั่นแหละถึงจะรู้สึกสุขทุกข์ได้
กายทุจริต ท่านหมายถึงกายทวารที่ใช้ทำกรรม ทำการต่างๆ
พ่อครูว่าใช่ กายกรรม วจีกรรมก็ต้องมีจิตเป็นประธาน หากพลังงานจิตคุณตก drop ไปแล้วไม่มีเวทนา เหลือแต่สัญญาสังขารก็ทำอะไรไม่ได้ สัญญากับสังขารอยู่ในร่างคนก็ยังยึดเป็นเราเป็นของเรา คนที่เล่นสมถะมาก จะยึด
พวกฤาษีตายอย่างสมถะแค่จิตติดยึด พลังงานจิตมันหมดไปแล้วเหลือแต่พลังงานพืช ไม่สามารถทำให้เป็นสัตว์ได้อีก แต่ยังมีพลังงานเหลือ เล็บก็ยาวได้ผมก็ยาวได้ เขาก็เลยหลงว่าเป็นยอดอาจารย์หลงกราบเคารพอีก เพราะว่าไม่ชัดเจน นิยาม 5 นี้
ตัวเองทำสมถะ ยึดเองเป็นเหตุ แล้วเหลือพลังงานเป็นพืช ร่างมนุษย์แต่พลังงานเป็นพืช ไม่มีเวรภัยไม่มีพยาบาท เวทนาแล้ว
สมณะฟ้าไทว่า...ผมเห็นเขาเอาคลิปปลาที่ถูกแล่เนื้อแล้วมันยังดิ้นได้
พ่อครูว่า...เป็นพลังงานที่เป็นโมเมนตัม ไม่เป็นกายแล้ว ก็ตัดออกไปแล้ว ตัดเล็บออกไปแล้วก็ไม่เป็นกาย พวกนี้ไม่มี Coefficient ก็มีแต่จะชรตา
ถ้าเข้าใจกายจะสร้างกายปาคุญญตา กายปัสสัทธิ คือจิตคุณไม่มีกิเลส แต่จิตคุณแคล่วคล่องว่องไว ไม่ใช่จิตแข็งทื่อ ร่างก็คล่องแคล่วได้มือไม้ออกท่าทางอย่างแคล่วคล่อง ทั้งเวทนา สัญญาสังขาร แคล่วคล่อง คือกายปาคุญตา
ท่านเจ้าคุณประยุทธ์ แปลว่าทำธรรมชาติ คือสัญญา สังขาร วิญญาณให้แคล่วคล่องอย่าง โสภณจิตได้
อาตมายังไม่เอาเจตสิกต่างๆมาสอน คุณรู้อุปาทายรูป 24 ให้ดีเถอะ คุณรู้ดีแล้วไปอ่านจิตคุณ ท่องชื่อเจตสิก 52 89 121 ก็จะได้ อาตมาไม่คิดจำ เพราะพลังงานทางการจำนี้เสื่อมแล้ว อาตมาต้องเขียนติดหน้าแป้นว่า วันนี้เทศน์นะ ไม่ได้แกล้งนะ ไม่ไหว อาตมาว่าคงต้องค่อยๆเพลาใช้พลังงานบ้าง จะได้เหลือไปจำบ้าง แค่ไปขี้มา เขาถามว่าขี้เหลวหรือแข็งก็จำไม่ได้ คือหมอหรือพยาบาลอยู่ใกล้ก็ถาม ก็ช่วยดูแล
คำว่ากายทั้งหมด เช่นคำว่า กายกัมมัญญตา ท่านแปลว่าความคล่องของกาย ความคล่องของกองแห่งเวทนาสัญญาสังขาร แล้วมีตัวประมาณรู้ สัปปุริสธรรม 7 มีมัตตัญญุตาได้ว่า ควรใช้องค์ประกอบอย่างไรที่เหมาะควร รู้จักเป้าหมายองค์รวมทั้งหมด ธัมมัญญุตา รู้จักตัวเราอัตตัญญุตา อย่างอาตมาต้องรู้ว่าตัวเราก็เท่านี้ทำได้เท่านี้
รู้กาลัญญุตา ถึงเวลาที่จะทำได้หรือไม่ เวลานี้ต้องทำ...ไม่ทำแล้วเลยไปก็ใช้ไม่ได้ จะชัดเจน ตีเหล็กต้องตีขณะร้อนๆ
หรือว่าหมู่กลุ่มนี้ปริสัญญุตา หมู่กลุ่มนี้หรือกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ เผื่อพอไว้ ได้ผลหรือเสียผลก็ต้องประมาณ
หรือเฉพาะคน ปุคคลปโรปรัญญุตา ก็ได้ว่าคนนี้ใช้แบบนี้ได้หรือไม่
สัปปุริสธรรม 7 นี้ครบหมดแล้วพระพุทธเจ้าตรัสไว้
สมณะฟ้าไทว่า...แสดงว่าคนที่เป็นพระโพธิสัตว์ต้องรู้ทั้งหมด
พ่อครูว่า...ยังรู้ไม่หมดนะ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องรู้ว่าเราทำได้เท่าไหร่แล้วด้วย ไม่อย่างนั้นที่ควรจะก้าวหน้าก็ไม่ก้าวหน้า
ในคำว่า กัมมัญญตา คำเดียวนี้ เหมาะควรแก่การงาน เขาแปลโดยพยัญชนะ คือ การงานที่พอเหมาะพอควรพอดี ผู้ที่ประมาณ มัตตัญญุตา ก็ต้องประมาณ อย่างมีภูมิรู้ ถึงพอเหมาะพอดี
ในหลวงถึงได้ตรัสคำว่าพอเพียง พอเพียงคือหมายถึง Coefficient
เพียงไหน ขนาดไหนที่จะดีที่สุด ก้าวหน้าที่สุด อยู่ในขีด Coefficient ที่สุด ในหลวงร. 9 ตรัสไว้ คำว่าพอเพียง เป็นความหมายของ Coefficient ขนาดนี้กำลังดีกำลังพอเหมาะ ได้ค่าสูงสุดระดับนิพพานเจริญถึงเต็มที่ ประโยชน์สูงประหยัดสุด อย่างนี้เป็นต้น
ในพจนานุกรมเจ้าคุณอุดร คำว่า กายกลิ ท่านแปลทับศัพท์ว่ากายโทษ คือความไม่ดีไม่งาม สิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย
พ่อครูว่า สิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในกาย มันไม่มีอะไรหรอกนอกจากกิเลส กิเลสเป็นตัวยิ่งใหญ่อยู่ในกายคุณ เป็นตัวร้ายที่สุด กายกลิ หากเราไม่รู้กายคืออะไร ก็ไปเข้าใจว่า คือร่างกาย จะไปแก้อย่างไร กายคือดินน้ำไฟลม ก็ไปหาหมอรักษา ผ่าตัดให้ยา แต่อันนี้มันไม่ใช่ กายกลิคือที่จิตวิญญาณ
ถ้าเข้าใจผิดเพี้ยน แทนที่จะไปหาหมอรักษาทางจิตวิญญาณ ก็ไปหาหมอรักษาทางร่างกาย มันก็ไม่เข้าท่า ดีไม่ดีไปตัดอันที่ไม่ควรตัด เดี๋ยวนี้หมอถนัดที่จะผ่าจะตัด เห็นเป็นของเล่นไปหมดเลย
กายกสาวะ คือ ความหมักหมมแห่งร่างกาย ความสะสมความสกปรกของร่างกาย นี่แสดงว่า เข้าใจกายไม่ได้
คำว่า กายไม่ใช่เรื่องตื้นเขินล้อเล่น ในพระไตรปิฎกมีหลักฐานยืนยัน ถ้าฟังอาตมาแล้วไม่เชื่อ ก็ไม่มีสิทธิ์จะไปทำอะไร แต่ให้พยายามลองศึกษาฝึกฝน ก็เป็นคำสำคัญที่ควรศึกษา คือคำว่า กาย คำว่าสมาธิ คำว่าทาน จะทำใจในใจอย่างไรถึงทานแล้วมีผล อัตถิทินนัง หรือแม้แต่คำว่าบุญ คำว่าปัญญา
จุดที่ควรเข้าใจ หากเข้าใจไม่ได้ก็ไม่ก้าวหน้าไม่พัฒนาสักที อาตมาก็ต้องพูดแล้วพูดอีก ไม่ได้อวดดี อวดเก่งอะไร มีความจริงใจที่อยากให้รู้เข้าใจ แล้วเอาไปทำจึงจะได้ประโยชน์ เหมือนอย่างพวกเราที่เข้าใจดีแล้วไปทำได้เกิดผล
อาตมากล้าจะพูดว่าพวกเรามีอาริยบุคคล หมู่กลุ่มพวกเรา เป็นหมู่บ้านอาริยะอยู่ที่นี่ เขาที่มีเพลง แดนศิวิไลซ์ ของนายธเนศ วรากุลนุเคราะห์ร้องว่า แดนศิวิไลซ์อยู่ไหน...ก็อยู่ที่นี่ล่ะ
เราสร้างสังคมที่พึ่งตนเองรอด เป็นหมู่กลุ่มที่ไม่เป็นหนี้ จะยืมกันก็ไม่มีดอกเบี้ย แต่ไม่ชักดาบกัน มันเป็นสัจจะ ที่ต้องเป็นหนี้กัน
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูมีหน้าที่แก้ไขให้เข้าใจในสิ่งที่เขาทำไว้ผิดให้เป็นถูกต้อง ถูกแท้ ถูกถ้วนให้ครบบริบูรณ์
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 17:56:29 )
รายละเอียด
600707_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชีวิตคนเกิดมามีค่าเพราะอะไร
สมณะเดินดินว่า…พรุ่งนี้ก็ถึงวันเข้าพรรษาแล้วจะเข้าหรือออก พ่อครูก็พยายามสร้างสัมประสิทธิ์ตลอด เมื่อวานนี้พ่อครูว่า สัมโพธิปรายนะคือสัมประสิทธิ์ นึกถึงสมัยพุทธกาลมีภิกษุชื่อว่าพระสัปปทาสเถระแปลว่า มีงูเป็นทาส ท่านคิดฆ่าตัวตาย เอามือให้งูกัดงูก็ไม่กัด ที่คิดจะฆ่าตัวตายเพราะว่าตลอดเวลา ท่านมีจิตในกาม พยาบาทตลอด ไม่มีความผาสุก แต่ท่านก็ไม่ยอมสึก จะตายภายใต้ร่มกาสาวพัตร ท่านเอามือให้งูกัดงูก็ไม่กัด แต่เอามีดโกนจะเชือดคอ พอขณะจะฆ่าตัวตาย ใจก็ปล่อยวางความยึดถือ ก็เลยได้บรรลุธรรมก่อน
จิตที่ต้องการเดินหน้าไปไม่ยอมสึก สู่หีนเพศ มีจิตมุ่งมั่นในพรหมจรรย์ สุดท้ายก็ได้บรรลุ วิบากกรรมเก่าท่านเคยได้ยุให้ภิกษุสึก เพราะว่า ต้องการบริขารเขา แต่พระที่ถูกยุ ก็จับทางได้ว่าจะยุให้สึกเพราะต้องการบริขาร เพียงแค่คิดและทำแค่นี้ ก็ทำให้เกิดมีวิบากกรรม แต่พ่อครูเพียรพยายามให้เราได้เกิดสัมประสิทธิ์
พ่อครูว่า...ก่อนจะได้ฟังอะไรต่างๆ ก็ได้พูดคุยกับsms ไลน์ เป็นเรื่องที่ดี เพราะเราได้ลงทุนถ่ายทอดเพื่อเผยแพร่คำสกอนของจากพระพุทธเจ้าไป ไม่ได้ต้องการหารายได้จากโทรทัศน์ เราปิดรับบริจาค ไม่ได้โฆษณาสินค้าเลย เราทำเพื่อเผยแพร่คำสอน ธรรมะ บางทีก็เป็นสาระสัจจะที่ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เดียว แต่เป็นพฤติกรรมของพวกเราที่ควรเสนอแก่สังคม เป็นเจตนาที่ต้องการทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ
อาตมาก็ทำงานมา ตั้งแต่มั่นใจว่าชีวิตนี้ ต้องมาทำงานอันนี้ เลิกจะไปหาเงินหาทอง แย่งลาภยศสรรเสริญ หรือไปไล่เสพสุขทางกาม เสพสุขทางอัตตา ตามที่ปุถุชนเป็นกันอยู่ อาตมาไม่เอา ไม่ได้มีความยินดี จึงได้มาบวช ไม่ได้บวชอย่างที่ว่า มาอาศัยการบวช เป็นการปฏิบัติธรรม สำหรับอาตมา
อาตมาตั้งแต่เป็นฆราวาส อาตมาไม่มีปัญหาเรื่องธรรมะ อาตมาก็พูดตรงๆว่าได้บรรลุธรรมตั้งแต่เป็นฆราวาส มีหลักฐานเขียนไว้ในหนังสือ ตั้งแต่พ. ศ. 2512 ก็ได้มาทำงานทางด้านศาสนา มาบวช จึงเป็นการมาบวช เพื่อทำงานรับใช้เผยแพร่ศาสนาพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิตจิตวิญญาณทั้งหมดเลย ตรงๆ บวชมาก็ 47 พรรษาย่าง ทำงานมาด้วยความตั้งอกตั้งใจ เสียเวลาอยู่กับโลกเขาตั้ง 36 ปี แย่งลาภยศสรรเสริญความสุขกับเขาอยู่ ไม่ใช่น้อย อาตมาก็เสียเวลาไป
เห็นข่าวเพื่อนฝูง พี่อี๊ด สินีนาฏ โพธิเวส เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา อายุ 89 ปี อาตมาเรียกพี่อี๊ดๆ อยู่วงารบันเทิง อาตมาเคยขอพี่อี๊ดจดทะเบียนสมรส เหตุมีเพราะว่าอาตมาจะไปขอซื้อบ้านของการเคหะ เขาก็ว่า มันจะต้องเป็นครอบครัว จึงจะไปมีสิทธิ์ จะไปซื้อบ้านได้ เป็นโสดซื้อไม่ได้ อาตมาก็เลยบอกว่าพี่อี๊ดจดทะเบียนกับผมเถอะ ตอนนั้นแกเป็นหม้ายแล้ว อาตมาก็อายุ 32 เขาก็ 38 ปี ตอนนั้น ที่จะซื้อบ้านการเคหะ ที่เขาจัดสร้างที่ทุ่งมหาเมฆ
ก็นี่พูดถึงเรื่องประวัติตัวเองผ่านมา สนิทสนมกัน กับพี่อี๊ด เป็นคนสู้โลกมาจนอายุ 89 ปี ก็เสียชีวิตไป เป็นที่เคารพนับถือกันในหมู่เพื่อนฝูง เป็นคนอาตมาว่าเป็นคนดีใช้ได้ทีเดียว
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ชีวิตคนมีค่าเพราะอะไร
อาตมาไปเจอข่าวหญิงจีนอายุ 131 ปี ตรวจสอบเมื่อ 25 มิ.ย. เกิด คศ.1886 ก็เกิด พ.ศ. 2429 หรือปีที่สองในราชวงค์ชิง
อาตมาจะโยงไปว่า คนเราที่ยังไม่ตาย ยังมีชีวิตยืนยาวในโลก จะมีอายุยืนยาวไปเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่ละเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ เรามีคุณค่าประโยชน์ ของชีวิตคน คุณค่าประโยชน์ของชีวิตคนคืออะไร เกิดมาเป็นคนแล้ว อาตมาว่า ถ้าจะนับว่าชีวิตมีคุณค่าประโยชน์ก็คือ
เราเป็นชีวิตที่ ได้รับใช้ผู้อื่น ได้ให้แก่ผู้อื่น ได้เสียสละแก่ผู้อื่น นั่นคือชีวิตที่มีคุณค่าประโยชน์ ถ้าชีวิตของใคร มีชีวิตอยู่ 1 วินาที 1 นาที 1 ชั่วโมง 1 วัน 1 ปี มีแต่เอา มีแต่ได้ๆๆ คิดงบแล้ว ชีวิตมีแต่ได้ให้กับตัวเอง คนนั้นไร้คุณค่าสิ้นดี ไม่มีประโยชน์ในการเกิดมามีชีวิต เกิดมาหนักแผ่นดิน
สรุปได้ว่า คนที่ตั้งหน้าตั้งตาสะสมความรวยให้แก่ตัวเอง คือคนหนักแผ่นดิน อาตมาจำเป็นต้องพูดแรง เพราะคนมันหนักหนาสาหัส เขาไม่สำนึก เขาไม่นึกว่า ชีวิตแต่ละคน อัตภาพแต่ละคน มันสั่งสมกรรม สั่งสมวิบาก กรรมวิบากเป็นตัวสำคัญของชีวิตคนแต่ละคน กัมมัสโกมหิ กัมทายาโท กัมมพันธุ กัมมโยนิ กัมปฏิสรโณ
คนจะเกิดมามีอย่างนั้นอย่างนี้ รูปหล่อพ่อรวย ขาหักขาเป๋ รูปดีชั่ว จะมีความฉลาดความโง่ จะมีคุณค่าความดีงาม ที่คุณประพฤติทั้งหมด มันมีพลังงานในตัวเองเป็นต้นทุน ให้คุณทำอย่างนั้น จะบอกว่าสูงต่ำดี มีคุณค่าหรือทำลายเลวทรามก็แล้วแต่ก็จากกรรมทั้งนั้น กัมมโยนิ แล้วสะสมเป็นพ่อพันธ์ุตระกูล กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ คุณมีกรรมเท่านั้นเป็นที่อาศัยไปตลอดจนกว่าจะปรินิพพาน
แม้คุณจะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็อาศัยกรรม แต่กรรมของพระอรหันต์ เป็นกรรมไม่มีบาปไม่มีบุญแล้ว บรรลุอรหันต์ เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ กรรมที่เหลืออยู่ ที่จะได้พึ่ง จึงเป็นกรรมที่มีแต่กุศล กุสลัสสูปสัมปทา
เพราะได้ทำจิตผ่องแผ้วได้สำเร็จ บาปทั้งปวงไม่ทำแล้ว พระอรหันต์ จึงเป็นอยู่ด้วยกรรมที่เป็นกุศล ถ่ายเดียวไม่มีบุญแล้ว เป็นอรหันต์แล้วทำกรรมใดก็ไม่เกิดบุญ บาปไม่มีแน่ นี่เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งที่ชาวพุทธทุกวันนี้ไม่เข้าใจสำคัญชัดเจนแล้ว หรือเข้าใจผิดว่า
1. ที่พูดกันทั่วไปง่ายๆตื้นๆคือพระอรหันต์คือผู้ที่หมดกรรม ซึ่งไม่ถูก กรรมคือการกระทำ หายใจออกหายใจเข้าก็คือกรรม กระพริบตาก็คือกรรม ยกมือยกไม้ก็คือกรรม กายกรรม วจีกรรม แม้มโนคิดก็เป็นกรรม เป็นพระพุทธเจ้าก็ยังมีกรรม นี่คือความเข้าใจของศาสนาพุทธ เดี๋ยวนี้ได้ผิดเพี้ยนไป
ไม่เข้าใจกันแล้วว่า พระอรหันต์เป็นผู้ที่ไม่ทำกรรมชั่ว บาป อกุศลทุจริต ยังไม่เปลี่ยนแปลงเที่ยงแท้แน่นอน ไม่อย่างนั้นไม่ใช่พระอรหันต์จริง พระอรหันต์ ไม่มีแวบไหนจะไปทำบาปเลย นี่คือคุณลักษณะเต็มๆของพระอรหันต์
จิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง ถ้าจิตวิญญาณบรรลุอรหัตผล ก็เป็นหลักประกันชีวิตคนๆหนึ่ง อยู่ในโลกจะไม่ทำบาปทั้งปวงไม่ทำทุจริต เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากในสังคมมนุษย์ แม้แต่ตัวมนุษย์ผู้นั้นเอง คนผู้นั้นก็สบายดีมาก ชีวิตจะยืนยาวไปอีกเท่าไหร่ ก็ไม่มีวิบากชั่ว ให้กังวลอีก แม้ไม่ถึงพระอรหันต์ เป็นพระอนาคามี ก็ไม่ทำบาป หยาบภายนอกแล้ว เหลือแต่ของตัวเองที่ยังล้างไม่เสร็จ เป็นอุทธัมภาคิยสังโยชน์ อยู่ในจิต ภวตัณหาเหลือรูป อรูป
ก็เป็นคนที่ภายนอก ไม่มีพิษภัยกับใคร คือคนที่เป็นตั้งแต่เป็นอนาคามีขึ้นไป พระพุทธเจ้ามีทฤษฎีที่ทำให้มนุษย์ได้ปฏิบัติประพฤติ เป็นหลักประกัน ทำให้มนุษย์ไม่มีโทษภายในสังคม มหาวิทยาลัยในโลกนี้ สอนคนจบปริญญาเอกจบด็อกเตอร์ แต่ไม่มีหลักประกันอย่างของพระพุทธเจ้า และมันยิ่งเก่งเป็นความรู้ทางบัณฑิต เป็นปริญญายิ่งใหญ่ เอาใบปริญญาไปขี้โกงสารพัด เท่าที่มีโอกาส ไม่ได้เป็นหลักประกันเลยว่า ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้จะลดลง แล้วก็ดูเหมือนไม่มีวิชชาที่สอนให้ลดกิเลสพวกนี้ด้วย ที่เรียน ปริญญาตรีโทเอก พวกนี้ ถือว่าซวย แม้จะได้จบปริญญาทางโลก 10 ใบ พระพุทธเจ้าเรียกว่าโมฆบุรุษ เกิดมาสูญเปล่า แถมได้รับอกุศลพอกกิเลสโลภโกรธหลง หนาไปอีกกว่าจะตาย โมฆะคือไม่ได้ความรู้ของพระพุทธเจ้าไปก็ยังขนาดหนึ่ง นี่แถม ไปทำกิเลสให้แก่ตัวเองหนาขึ้น ทำทุจริตบาปใส่ตัวเองเข้าไปอีก
อาตมาพูดขนาดนี้ใครที่มีปัญญาฟัง พวกคุณมีโชคมากๆ ที่เอาชีวิตมาใส่ใจ เวลาวันหนึ่ง 24 ชั่วโมง ก็เอาเวลาใส่ใจ คลุกคลีกับมิตรดี อาตมาภาคภูมิใจตัวเองที่ได้สร้างสังคมมนุษย์ ที่ได้มารวมกัน สังวรระวัง มีการสำรวมอินทรีย์
สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธาน มีการพิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เป็นสติปัฏฐาน 4
พยายามพากเพียรปหานกิเลส พยายามทำให้เกิดผล ภาวนาปธานแล้วรักษาผล ด้วยอนุรักขณาปธาน ด้วยอิทธิบาท 4 จะมีมากน้อยก็แล้วแต่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
ในชุมชนชาวอโศกทุกคน มีวัฒนธรรมพฤติกรรมอย่างนี้ เป็นสังคมกลุ่มชน เป็นชุมชนไม่นิตินัยก็ตาม ชุมชนชาวอโศก มีนิตินัยสองแห่งคือ ราชธานีอโศก ศีรษะอโศก นอกนั้นก็เป็นชุมชน เอกชน ไม่ได้ขึ้นกับทางการเป็นนิตินัย แต่เป็นทุกชุมชนคือถือศีลกันทุกชุมชน กวดขันกัน ใครที่ทำผิดศีล ก็ชำระกัน ถ้าไม่เหมาะควรก็เชิญออก ลงทัณฑ์กันจริงๆ นี่เป็นเรื่องที่อาตมาว่าภาคภูมิใจที่ชีวิตนี้เราได้ทำกับสังคมมนุษยชาติ
อาตมาก็ยังนึกไปถึงประเทศ ผู้บริหารประเทศ นึกไปถึงเถรสมาคม ทำไมเขาเกิดก่อนอาตมา ทำไมเขาไม่ทำให้เกิดชุมชนอย่างนี้ เขามาพูดว่า ให้หมู่บ้านมีศีล 5 มาพูดโก้ๆ แต่ทำได้ไหม แต่พวกเราทำได้จริง อาจบกพร่องผิดพลาดผิดศีลกันได้แน่นอน แต่มาอยู่ที่นี่ต้องถือศีล จะมาฆ่าสัตว์ จะมากินเนื้อสัตว์ในนี้ไม่ได้ อย่ามาอ้างว่า ต้องฆ่าสัตว์เพื่อกิน ต้องเอาแมงกุดจี่มากิน ไม่เอาแล้ว ไม่มีเงื่อนไขที่จะฆ่าสัตว์มากิน เพราะฉะนั้นจึงบริสุทธิ์ได้จริงๆ ว่า พวกเราไม่ฆ่าสัตว์ แม้แต่อ้างเพื่อกิน เป็นความบริบูรณ์ของศีลที่ทำได้มาก แต่เขาหาว่าสุดโต่ง ถ้าอาตมาทำสุดโต่ง พวกเราเข้าโรงพยาบาลประสาทเป็นแถวๆแล้ว แต่นี่ไม่ได้สุดโต่งอะไร ไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่โต่งอะไร
ศีล 5 นี่คุณไม่ได้สุดโต่งอะไร เป็นพื้นฐาน ปฏิบัติแล้วได้ดี แม้จะปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิ กดข่มไว้ ก็ตาม แต่ปฏิบัติศีล ต้องให้ถึงใจ แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ เข้าใจว่าปฏิบัติศีลแค่กายวาจา ส่วนจิตต้องไปนั่งสมาธิเอา สมาธิจะเกิดเพราะนั่งสมาธิเอา ไม่ใช่ สมาธิของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติศีลข้อ 1 ก็เกิดสมาธิ ปฏิบัติศีลแต่ละข้อก็เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เกิดวิมุติ ในกิมัตถิยสูตร
การได้อานิสงส์ 10 ของศีล . กุสลานิ สีลานิ อนุปุพเพนะ อรหัตตายะ ปูเรนตีติ ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ
แต่เพราะคณะใหญ่เสื่อมสอนไม่ตรง อรหัตตผลไม่เกิดแค่กายวาจา กายกับวาจาจะบริสุทธิ์เท่าไหร่ก็ไม่ใช่เครื่องชี้บ่งอรหัตตผล ต้องมีที่จิต ปฏิบัติศีลจิตจะเกิด
1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .
2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)
3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .
4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
6. สมาธิ (จิตมั่นคง)
7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .
8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .
9. วิราคะ (คลายกิเลส)
10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 , 208)
กายปัสสัทธิคือไม่ใช่แค่ร่างกายสงบ แต่จิตสงบจากกิเลสไม่มีอกุศลจิตร่วมแสดงคือความสงบ ความสงบไม่ได้หมายความตื้นหยาบเผินๆ แม้แต่คำว่าสงบคำเดียว เขาเข้าใจแค่พื้นๆ
SMS 600705
_7630 วันนี้ 5 กค 2560 ขอให้คุณลุงจำลอง มีสุขภาพแข็งแรงดีครับ /สายชล.
พ่อครูว่า…คุณจำลอง เกิด 5 กค. 2478
_2166 วันนี้ ขออวยพรให้คุณลุงจำลอง จงมีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์-แข็งแรงดีครับ.
_3867 นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บวรบ้านราชมนุษย์น้ำมูน ผู้อยู่กับน้องน้ำได้ทุกสถานการณ์!ควันหลงอดีตคนอยู่แพทานตะวันพืชผักผล! ดูราวกับว่าพ่อครูจะเนรมิตบ้านราชเมืองเรือเป็นแดนชมพูทวีปอาริยะชนรับผู้ลี้ภัยน้ำท่วมโลกซะยังงั้นใช่ฤาเปล่าหนอ? บ้านราชติดแม่มูน!แม่มูนใต้แม่โขง!แม่โขงไหลจากแม่จีน!ตอนนี้น้ำท่วม11มณฑลจีน!น้ำล้นเขื่อนจีนจะปล่อยลงเขื่อนไทยนองสยามไหม?คนกลางน้ำเฝ้าต้นน้ำจืดเหนือปลายน้ำเค็มใต้ไว้รับมือตั้งตัวได้ทันคงจะดี!
เคยเห็นพระเจแปนใส่เกือกไม้!พระเส้าหลินใส่รองเท้าผ้ามีสายรัดขา!พระฝรั่งใส่บู้ต!พ่อครูใส่รองเท้ายางล้อรถรัดส้นแปรรูปบ่ได้ฤา?
กราบขอบคุณพ่อครูกับธ.กายคือจิตมโนวิญญาณถูกตรงจะเข้าถึงกายคตาสติ กายคุตติ กายสังขาร กายปัสสัทธิ กายกัมมัญญตา กายปจรก กายผันทิตะ กายปริยันติกะ กายวิญญาณถูกทางตามท่านสอน
พ่อครูว่า... เรือโนอาห์กับที่นี่นัยเดียวกันคือเป็นที่หลบภัยจากภัยโลกียะ คุณจะมาจัดจ้านจี๋จ่าที่นี่ อยู่ไม่ได้หรอก ตำรวจที่นี่ไม่ถือปืน แต่หอกปากร้ายกาจมาก ถ้ามาทำเป็นโลกๆ เลอะเทอะจุ้นจ้านจัดจ้านที่นี่ยาก ชาวอโศกนี่โลกียะเข้ามาไม่ได้ง่ายๆ
จากไลน์
_The sun.... พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้ความรักเทวทัตกับรักราหุลเท่าๆกัน
พระไตรปิฎกสอนว่าทำทานให้แก่พระโสดาบันมีผลมากกว่าการทำทานต่อปุถุชนหลายเท่า จากตัวอย่างตรงนี้ เราควรจะรักใครมากกว่ากันระหว่างคนดีกับคนไม่ดี?
พ่อครูว่า...เป็นโวหาร ซึ่งมันลึกซึ้งว่ารักเท่ากัน อย่างอาตมาพูดตำหนิ ธัมมชโยมาก แล้วอาตมาก็ว่า ว่าด้วยเมตตา มันเป็นความจริงใจ เป็นโวหารที่ชัดเจน อาตมาไม่ได้ว่าธัมมชโย ด้วยความเกลียดชังหมายร้าย มีแต่ความหมายดีในใจ อาตมาอ่านใจเป็น ฝึกเรียนธรรมะมาต้องรู้อาการของใจ ใจเรามีอาการลิงคนิมิต แล้วเราต้องศึกษาจากอุเทสคำสอนพระพุทธเจ้า ศึกษาเข้าใจแล้วเรียนรู้ อ่านอาการ ว่าอย่างนี้กุศล อกุศล รายละเอียดว่าอกุศลแบบไหน ราคะโทสะ โมหะ อ่านแล้วอ่านอาการเหล่านั้นออก แล้วก็เข้าใจของตน เป็นความรู้ สามารถวิเคราะห์วิจัยได้ ตระกูลใหญ่ๆ ราคะโทสะโมหะ มีความละเอียดซับซ้อนไปมาอีกเยอะ ก็สามารถอ่านออก นั่นคือ การศึกษาของพระพุทธเจ้า ที่สอนคนให้เรียนรู้ แล้วจัดการกุศลทั้งหมด อยากให้เกิดในใจตน นั่นคือผลสำเร็จของมนุษยชาติ ที่เรียกว่าพุทธศาสตร์
_จาก Master Taizen....อัธยาศัยในความกรุณาของพระโพธิสัตว์..ภาษาโลกคงหมายถึง ฟิล..ภาษาศิลปินคืออินดี้..เช่นถวัลย์ ดัชนี ที่เวลาวาดรูปเหงื่อเข้าตาตนเองก็เช็ดออกเองไม่ได้..ฉะนั้นการที่พ่อครูว่า..จำไม่ได้ว่าขี้เหลวขี้แข็ง..ก็คงเป็นกลไกปกปกติในการประหยัดข้อมูลของพระโพธิสัตว์ที่ต้องทุ่มใช้พลังงานมาปรุงคำ..เพื่อเอาสภาวะธรรมมาอธิบายพยัญชนะ..เพื่อให้ลูกๆเข้าใจอรรถะ..แล้วนำไปสู่การปฏิบัติจนเกิดสภาวะ..เหมือนหรือใกล้เคียงกับที่พ่อครูมีและเป็นอยู่.. ซึ่งสัจธรรมเช่นนี้ชาวอโศกพันธุ์แท้ คงพอจะฟังไหว..แต่คนข้างนอกนี่ฟังหูหักธรรมะทะลักหล่นหูแน่ๆครับ..
พุทธทุกกระแสในโลก..ล้วนเป็นพุทธที่ชนชั้นนำปรับใช้เป็นเครื่องมือในการปกครอง..พระในทุกประเทศจึงเป็นได้สูงสุดแค่พนักงานประกอบรัฐพิธีเท่านั้น..ไม่มีหมู่สงฆ์ประเทศใดที่มีเป้าหมายหลักในการนำพานักบวช..มุ่งไปสู่การลดกิเลสในตน..กลายเป็นพวกอยากเห็นสังคมดี..แต่ความอัปรีย์ในตนไม่ลด..
ผมเชื่อสนิทใจว่า..วิถีธรรมที่พ่อครูโพธิสัตว์ชี้สอนและนำพาทำเป็นพุทธตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของพระพุทธเจ้าจริงๆ..จึงใคร่อยากได้ยินเป้าหมายแท้ๆของพ่อครูว่า..จะสร้างสังคมพุทธตัวอย่างในนาม บวร...หรือจะเปลี่ยนแปลงสังคมพุทธเทียมๆของประเทศไทย
น้อมจิ้มแป้นมา..ด้วยความเคารพอย่างสูงครับผม..
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน วัดที่แสวงบุญนอกเขตพุทธ
พ่อครูว่า..ขอตอบอันหลัง ที่บอกว่า จะเปลี่ยนแปลงสังคมพุทธเทียมๆนั้น ไม่บังอาจ แต่จะสร้างสังคมพุทธตัวอย่างบวร อันนี้ตั้งใจ มาเน้น”บวร”บ้าน วัด โรงเรียน เป็นองค์รวมของสังคมสามเส้า
ถ้ามีสังคมที่เกิด บ้านคือความเป็นสังคมมนุษย์ มันมี ทีนี้แต่ละหมู่บ้าน มีสภาพของวัดไหม วัดหมายถึง “ธรรมะ” สังคมใดที่คำนึงถึงธรรมะมาก ไม่น้อยกว่าการสำเหนียกสำนึกตลอดเกินกว่า50% เป็นต้นไป ถือว่าหมู่บ้านนั้นมี วัด แต่หมู่บ้านใดไม่คำนึงถึงธรรมะ หรือคำนึงต่ำกว่า50% หมู่บ้านนั้นไม่มีวัด ต่อให้มีวัด เป็นวัดหลวง วัดราช ก็ถ้าเผื่อว่าทั้งหมู่บ้านไม่ได้คำนึงหรือคำนึง แต่พากันทำออกนอกรีตนอกขอบเขตพุทธ แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ มันไม่ได้เป็นบุญเลย อาตมาว่าดูเหมือนจะเกิดทั่วประเทศไทย วัดวาต่างๆแสวงบุญนอกเขตพุทธ เพราะไม่ได้พาทำลดกิเลส แต่แม้จะบอกว่าตัวเองเป็นวัตรปฏิบัติ เป็นพระป่า แต่ปฏิบัติแบบมิจฉาทิฐิ ก็นอกขอบเขตพุทธ ไม่เป็นบุญ แสวงแล้วได้อัตตายึดมั่นถือมั่น
อย่างพระนั่งหลับตาปฏิบัติ ไม่เข้าใจ กาม อัตตา ต้องเรียนรู้ กามก่อนอัตตา ตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา เกี่ยวกับของหยาบ ไม่ได้ทำ เบื้องต้น ท่ามกลางบั้นปลาย แล้วเรียนรู้กิเลสหยาบ กาม จนกิเลสเข้าไม่ได้ แล้วจึงจะปฏิบัติ กับภพภายในต่อไป ในมโนมยอัตตา อรูปอัตตาต่อไป ไม่ศึกษาอบายภพ กามภพ แต่ไปนั่งสะกดจิตหลับตาให้เป็นกิลมถะ ให้ลำบากตน เป็นกิลมถะ หากไม่สะกดไว้ก็จะแสดงออก จึงต้องลำบากที่จะต้องนั่ง นั่งจนก้นเน่า นั่งจนตาย จนถือว่าพระรูปไหนนั่งสมาธิตายก็ถือว่ายอดเยี่ยม เห็นไหมว่า มิจฉาทิฏฐิ พระออกนอกลู่นอกทางไปไกล ไม่ได้พิเศษอะไรเลยกับการนั่งสมาธิตาย แล้วยกกันว่าเป็นยอดสมาธิเลย เป็นการสะกดจิต ได้นิโรธดับ ไม่ให้จิตทำงานอย่างยิ่งมันไม่ใช่ทำให้กิเลสลดละจางคลายที่ไหน ไม่เกิดปัญญา
ปัญญาต้องเกิดจากตาหูจมูกลิ้นกาย ภายนอกให้เรียนรู้เกิดกิเลสแล้วล้างกิเลสภายนอกได้แล้ว เหลือกิเลสภายในที่ต้องล้างต่อ แต่ไม่ได้ว่าฆ่ากิเลสภายนอกแล้วก็ไปปฏิบัติแบบหลับตาภายใน ไม่ใช่ ก็ลืมตาปฏิบัติ แล้วไม่เกิดกิเลสภายนอก แต่เหลือกิเลสภายใน เป็นรูปราคะ อรูปราคะ มานะอุทธัจจะ อวิชชา ก็ปฏิบัติในขณะลืมตา ไม่ได้ปฏิบัติขณะหลับตา กิเลสดับในขณะลืมตา เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนา จักขุมาปรินิพพุโพติ ปฏิบัติ บรรลุธรรม นิพพานในขณะลืมตา
SMS วันที่ 6 กรกฎาคม 2560 (สมณะสิกขมาตุ-บ้านราช)
_1614จะมีสติสัมปชัญญะสมบรูณ์ที่สุดนั้น จะต้องมีวิธีฝึกไปในทางที่จะคอยเฝ้ากำหนดการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของเวทนา สัญญาและวิตก -พุทธทาสภิกขุ-
พ่อครูว่า…อาตมาก็ไม่รู้พลความว่าท่านจะหมายว่าอย่างไร ที่จริงก็พอเข้าใจตามท่านได้ว่าท่านก็ให้อ่านไตรลักษณ์ของเวทนาโดยมีสัญญาและวิตก
เวทนา จริง ตรงนี้ ถ้าอ่านการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของเวทนา ถูกต้องแล้ว เพราะกรรมฐานของศาสนาพุทธคือ เวทนา โดยใช้สัญญากำหนดหมาย กำหนดอ่าน แล้วกำหนดด้วยสัญญา ต้องอ่านจิต ให้ได้ ท่านพุทธทาส เอาแต่คำว่าวิตกมาก็ใช้ได้ พูดในฐานที่ละไว้ให้เข้าใจได้
_3867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บวรบ้านราชกับธ.การเกิดกิเลสจากอุปทานใน ขันธ์ทั้งรูปเวทนาสัญญาสังขารในผู้อวิชชา
พ่อครูเคยสอนวิญญาณบ่ใช่ผี!วิญญาณังอนิทิสสนัง!แต่จิตผุดเกิดโอปปาติกะสัตว์ที่ยังบ่พ้นสังโยชน์10จากสัมผัส6ตกคะเมนต่างหากที่น่ากลัวกว่าผี..บรื๊อๆๆ
กราบอนุโมทนาธ.ท.ฟ้าไท ท.ถักบุญท.กล้าข้ามฝันกับ ธ.พ่อครูวรรณคดีรามเกียรติ3พลังคุณธ.เข้มแข็งด้วยพลังหมู่วานรสามัคคีธ.
พ่อครูว่า…วิญญาณนั้น มีคุณลักษณะ
คุณอ่านอาการพลังงานวิญญาณ อย่าไปเข้าใจว่าวิญญาณนั้นจะสามารถให้คนอื่นเห็นได้ด้วยตาเป็นรูปร่างอะไรเพราะว่า ลักษณะวิญญาณที่เป็นสัตว์ พรหม มนุษย์ สัตว์นรก ก็ได้ แต่เป็นลักษณะไม่ใช่รูปร่าง
พ่อครูว่า...จากไลน์ ฝนเอื้อฟ้า ก็ทำงานที่สันติอโศก อายุ 40 ปี เป็นนางสาว มีคนว่าเป็นคนกระเปิ๊บกระป๊าบ เป็นคนกระตือรือร้น จะว่า Hyper ก็ไม่ใช่ เขาก็รู้ตัว มีคนว่าเขา เขาก็แสดงออกมา แต่ก่อนไม่แสดง ไม่ถึงภูมิ แต่ตอนนี้เขาแสดงมา…
_ฝนเอื้อฟ้า ขอแก้ไขอีกที...
ข้อความแก้ไขล่าสุด การบ้าน สภาวะธรรม บวกคำถามค่ะ
หัวข้อ พลังงานต้านมีผลได้พลังงานทดมาแทนตามที่ตนเองพอเข้าใจค่ะ
พ่อครูได้เคยอธิบายว่า การเป็น ( นปุงสกลิงค์ ที่ก้าวหน้านั้น ห้ามไม่ได้ไม่ให้มีพลังงาน ( อิตถีภาวะ) = มันเป็นพลังงานต้านแต่ทว่าศาสตร์ทางวิศวกรรมนั้นมองเห็นว่าทำให้เกิดพลังงานทดทางวัตถุและแล้วเราจะดึงพลังงานทดมาใช้ เพื่อเทียบเคียงกับพลังงานของจิตดังนี้
พลังงานต้านจะช่วยต่อ
ยอดให้เกิดความก้าวหน้า
*** พ่อครูช่วยเสริมในส่วนที่ขาดหายไปด้วยนะคะ
ข้อดีของพลังงานต้านนั้น เทียบศัพท์เทคนิคทางวิศวกรรมศาสตร์ ตามภูมิ ของ หนู
1. พลังงานต้านจะช่วยเสริมให้พลังงานจิตของเราไม่อ่อนแอเกินไป เพราะเราจะมีความสามารถรับมือกับสถานะการณ์ต่างๆได้ดีขึ้น เราจะฝึกการค้นหากลยุทธิ์ การหาทางออกจากทุกข์ที่มากระทบจิตใจได้อย่างพอเหมาะพอสมกำลังดี เท่าที่ตนเองจะมีความสามารถในการลดความทุกข์ จากกิเลสของเราเอง
2. พลังงานต้านทำให้จิตเกิดแรงบีบเค้น ช่วยเค้นหาความบกพร่องของจิตตนเอง เมื่อเราได้รับแรงต้านจากภายนอก จนทำให้จิตเรารู้สึกอึดอัดไม่ปลอดโปร่ง เราก็จะรับมือ พลังงานต้าน = กิเลสได้ตรงเป้าหมายวัตถุประสงค์ เพราะคราวนี้เราทำการตามจิตที่ถูกกระทบ จากผัสสะ ( พลังงานต้าน) ว่าเรารู้สึกเช่นไรเป็นกุศลหรือ อกุศลจิต = มีการทำใจในใจวิเคราะห์ ข้อดีข้อเสียของสิ่งที่ติดยึดตามภูมิปัญญาของเรา พยายามเรียนรู้สภาพของจิตให้ความรู้สึกนั้นเป็น แบบกลางๆ นั่นคือ เป้าหมายสำคัญ ที่จิตจะไม่ดูดหรือผลักดันออกไป ยากมากแต่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ทุกข์น้อยลงจนถึงการพ้นทุกข์
3. พลังงานต้านทำให้จิตเกิด พลังงานเครียดแบบเครียดชั่วคราวแต่จะยาวนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับการรับมือต่อผัสสะ พลังงานเครียดคือ จิตเครียดต่อวัตถุและบุคคล ภายในจิตของเราเอง ซึ่งเป็นกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด
ขยายความ ความเครียดความกดดัน เทียบก็คือ กิเลสนั้นมีได้ 2 แบบ
3.1 ความเครียดจากแรงต้านภายนอกทั้งต่อวัตถุและบุคคลที่เรายึด
3.2 ความเครียดจากแรงต้านภายในทั้งต่อวัตถุและบุคคลที่เรายึด นอนนิ่งภายในจิต สำคัญที่หัวข้อนี้นะคะ ความยึดภายในจิตเรา พลังงานต้านผัสสะ จะช่วยกระทุ้งจิตเราจนเราเห็นกิเลส และจับกิเลสมาล้างให้มากเท่าที่เราจะสามารถทำได้
ข้อดีของแรงต้าน
ทำให้เราเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัว ยืดหยุ่น จากพลังงานแรงต้าน มีการตามกิเลสรู้เท่าทันกิเลส จึงช่วยลดการกระทบจากสิ่งที่เราแสดงออกมาทาง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ลดการเบียดเบียนสิ่งรอบๆตัวเรา จนถึงขั้นไม่ทำสิ่ง อกุศลใดๆ
และหากเรายังไม่เก่งมากก็ต้องใช้วิธีการ สมถะอดทนข่มไปก่อน จนถึงขั้นล้างด้วยวิธี วิปัสสนาญาน รู้เหตุของทุกข์อย่างมีระบบเช่นที่พ่อครูสอนให้ทำอย่าง เลียบลุ่มดุจฝั่งทะเล ขั้นตอนนี้ก็ต้องพยายามมากอีกเช่นกันค่ะ
ข้อคิดดีๆ แรงต้านจะมีมากน้อยเช่นไร หากจิตที่ถูกกระทบ เหนี่ยวยึดธรรมะเอาไว้ก็จะช่วยลดทอนความทุกข์ลงได้อย่างมาก จะช่วยแก้ไขปัญหาสภาพจิตที่ไม่เป็นปกติ แม้เพียงธรรมะบทใดบทหนึ่งที่สะเทือนถึงจิตใจของเรา อบรบจิตใจของเราให้อ่อนกำลังลงได้ จาก อกุศล= จะช่วยลดแรงดูดซับพลังงานที่เป็นอกุศลจากโลกีย์ จนมี Coefficient ที่สูงขึ้น มีแต่การ Osmosis ซึมซับพลังงานความดีงามของพ่อครูและหมู่กลุ่ม
ทวนความเข้าใจของหนูอีกรอบ แรงต้านต่างๆนั่นคือ ผัสสะ ที่จะช่วยให้เรามองตามเวทนาของจิตตนเอง และรับมือกับปัญหาต่างๆที่มากระทบจิตเราได้ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เพราะจิตเริ่มมีความสามารถในการยอมรับความเปลี่ยนแปลงความไม่เที่ยง คือทำใจได้เร็วขึ้น โดยใช้ ธรรมะช่วย ไม่ทำให้จิตวิญญานเราเสียหายมากเกินไป ด้วยการดึงหัวข้อธรรมะของพ่อครูมาใช้ให้เหมาะกับกาละนั้นๆ น่าทึ่งใช่ไหมคะ
การฟังธรรมจึงเป็นหัวใจสำคัญอย่างมากยิ่ง แม้ว่าเราจะใช้อาวุธ = ฆ่ากิเลสยังไม่เก่งนักแต่เราก็จะพอรู้วิธีการ คือ มีตัววิชชาว่าเราควรดึงอาวุธแบบใดมาใช้ระงับกิเลส ดังเช่น ใช้ในระยะประชิดตัว กระบองใช้ในระยะผู้ต่อสู้สูงกว่าตัวเรามาก ธนูใช้ยิงในระยะทางไกลแบบเน้นเจาะจง ก็ต้องทดลองใช้ เราจะได้เก่งขึ้นค่ะ
ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่จะพอสรุปถึงช่วงนี้ เน้นว่ายังไม่เก่งมากเท่าที่ควรค่ะ แต่เมื่อเราผ่านพลังแรงต้านอันยากยิ่งเราจะได้มีพลังงานทดมาเป็นแรงเสริมความต้านทานทางจิต เพราะเป็นสิ่งที่เรายังขาด = ไม่บริบูรณ์ จนกว่าเราจะบริบูรณ์ได้ในซักวันนึง และเป็นทศนิยมที่ไม่รู้จบ เป็นพลังงาน Coefficient ที่สูงขึ้นโดยมีแรงต้านเป็นปัจจัยเป็นตัวแปรในการเร่งทำปฎิกิริยา ยกเว้นเสียแต่ เราสูงจนสามารถเลือกเองได้ว่า จะขอหยุด = สูญจริงๆ เราจึงต้องขอบคุณแรงต้าน เพราะถ้าจิตเราไม่หลุดออกจากกรอบของโลกุตระจนไกลเกินไป เมื่อนั้นเราก็จะได้พัฒนาต่อด้วยแรงต้าน จนมีพลังงานทดแทนที่สัมประสิทธิ์ สู้กับแรงต้านทานจากโลกีย์ได้ดีขึ้นไปตามลำดับความเป็นจริงของสัจจะในตัวเรา ดังโศลกธรรมของพ่อครูที่ว่า ความทุกข์ที่เกินทนช่วยหลอมคนให้ทนทาน
หนูขอทดลองแทงสมการ E = (C) mc2 + A ตามความเข้าใจดังนี้นะคะ
ก่อนอื่นต้องแจงความหมายของสมการก่อนค่ะ
E = ความสมบูรณ์ ของความเป็นมนุษย์สูงสุด นั่นคือการเป็นพระพุทธเจ้า
(C) = ความเจริญข้ามขั้นระดับคูณจนถึงระดับยกกำลัง ด้วยการปฎิบัติให้ถึงจิตวิญญาน
mc2 ( m = มวลของผัสสะที่กระทบทุกรูปแบบ × c เล็ก คือ พลังงานแห่งศรัทธา ความกล้าหาญความเสียสละแบบยกกำลัง 2 ต้องเป็น ณ ปัจจุบันเสมอ จนถึงยกกำลังแบบไม่มีประมาณ
A = นามธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่พ่อครูนำความรู้ทางโลกุตระมาเผยแผ่ อ้นมีค่ามหาศาลแบบประมาณค่าไม่ได้ บางหัวข้อไม่มีในตำรา จึงเป็น Abstract นามธรรมทางจิตวิญญาน
แทงสมการตามค่า ที่หนูกำหนดดังนี้นะคะ
สุดยอดความดีสูงสุดองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า E = ( การพัฒนาก้าวหน้าแบบข้ามกระโดด การลดกิเลส coefficient ) × ผัสสะทุกรูปแบบมวลแห่ง m เล็ก × การรับมือกับผัสสะด้วยความกล้าหาญและพลังงานศรัทธา คือ c เล็ก ตัวแปรปัจจุบันเสมอ + ธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าคือ A Abstract นามธรรมแห่งจิต
หนูคิดได้แค่นี้ค่ะ หากยังไม่ถูกในจุดไหนพ่อครูช่วยหนูด้วยค่ะ
ขออภัยอย่างสูงยาวอีกแล้วค่ะ ^___^
กราบนมัสการพ่อครู ด้วยหัวใจค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน โลกุตรธรรมต้องฟังจากธรรมสามี
สมณะดาวดิน ...พ่อครูความเห็นอย่างไรกับบทความเกี่ยวกับการเข้ามาของพระโสณะ อุตตระ (วิชาพระพุทธศาสนา นร.ม2เขากำลังเรียนเกี่ยวกับเรื่องการเผยแพร่พุทธศาสนาสู่สุวรรณภูมินี้อยู่ครับ)
จาก เว็บไซท์ มติชน ...สรุปว่า พระเจ้าอโศก ไม่เคยส่งพระสงฆ์ไปสุวรรณภูมิ
ที่มา คอลัมน์ สุวรรณภูมิในอาเซียน หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียน ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ อดีตอาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
เผยแพร่ วันที่ 6 กรกฎาคม 2560
....โดยเนื้อหา(สรุปโดยส.ดินไท)ว่า ผู้เขียนอ้างอิงหลักฐานทางโบราณคดี ซึ่งไม่ตรงกับตำราปัจจุบันที่ศึกษากันมาว่า เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนประเทศไทย เมื่อประมาณ พ.ศ. 236 นำโดยพระโสณะและพระอุตตระ พระเถระชาวอินเดีย โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช(ล้วนมีหลักฐานต่างๆ ทั้งโบราณวัตถุ และจดหมายเหตุต่างๆ)ครับ
พ่อครูว่า...ขอบอกว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีคนนำมาประกาศ ไม่มีสัตบุรุษนำมาเปิดเผย ไม่มีทางเกิดเอง จากคนไหนก็แล้วแต่ ไม่มีทางเกิดเอง ต้องมีคนที่รู้และเข้าใจธรรม ที่เป็นโลกุตระ ถ้าไม่เข้าใจโลกุตระก็บอกได้แต่โลกียะ แต่ถ้ามีโลกุตระก็นำโลกุตระมาเปิดเผย คนอื่นใดที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังโลกุตระ จากคนอื่นแล้วจะคิดเองได้ไม่มีทาง เพราะโลกุตระมีพระพุทธเจ้า เป็นธรรมสามี แล้วเอาไปสอนคนให้ได้ มีในตนเป็นปัจเจก แล้วก็นำไปเผยแพร่ต่อ
ถ้าไม่ได้ถึงปัจเจก แล้วเอาไปเผยแพร่ก็ผิดเพี้ยนไปได้ คนเราแม้ไม่อยากอธิบายผิดแต่อัตตามานะของตนมันมีก็เอาความเห็นของตนใส่ข้อความ ความเสื่อมของธรรมะพระพุทธเจ้าเกิดจากอัตตามานะของคน ทำให้ธรรมะพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยน
สรุปคือ ต้องมีคนนำเอาโลกุตรธรรมเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย เดี๋ยวนี้อาตมาก็พูดโลกุตรธรรม คือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เริ่มตั้งแต่ พิจารณา กายในกาย เป็นสัมมาทิฏฐิ ทำเวทนาสองให้เป็นหนึ่ง เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่
ผู้ที่เข้าใจชัดเจนสภาวะจะตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้าหมด แล้วถ้าไม่มีคนนำมา มันมากับ ลมฟ้าไม่ได้ แค่นี้ก็เหตุผลพอแล้ว
_พิมพ์เพชรบุญ ... คำเสแสร้งแกล้งทำคำนี้ไม่รู้การแสแสร้งคือการผูกมิตรไมตรีให้กันและกันคนที่เขาฉลาดมีความคิดเขาจะไม่ทำอะไรออกนอกหน้าให้เห็นเขาจะเก็บความรู้สึกไว้ แต่คนตรงจะมีอะไรพูดตรงๆการพูดตรงๆก็ให้เกิดศตรู
แต่การพูดแบบเสแสร้งแกล้งทำเหมือนตอแหลแต่ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าคำพูดโดนตรงๆที่ไม่มีอะไรดีเลยมีแต่ความคิดลบต่อกัน
ความเป็นมิตรไมตรีจิตหายไปไหน?
นี้คือความมคิดคำพูดที่ละเอียดค้นมาอีกได้เรียนรู้ความคิดจะเป็นมิตรหรือศัตรู
คือมีคำถามที่จะถามท่านว่าหากมีคนที่เขาทำผิดอะไรสักอย่าง?
เราควรแสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้
หรือว่าฝ่าไปตรงๆ
ไม่สนใจว่าเขาจะเป็นอย่างไร?
(ความรู้สึกเขา)
ความคิดแบบนี้
ควรแก้อย่างไร?
ควรจะมีศิลปะอย่างไร?
ที่จะพูดให้ไม่ให้บาดหมางใจกัน?
พ่อครูว่า...มันต้องมีศิลปะ และเท่าที่อ่านนี้เอาแต่พอควรไม่ควรละเลียดมากนัก
สื่อธรรมะพ่อครู(มูลสูตร) ตอน อ่านเวทนาในมูลสูตร
สมณะเดินดินว่า...ประเด็นเมื่อกี้นี้ เหมือนเข้าใจว่าควรพูดกันตรงๆ แต่ว่าอ่านแล้วบอกว่าเหมือนมิตรไมตรีหายไปไหน ...ที่พ่อครูพูดมาก็คงเป็นแต่ละคน จะใช้สัปปุริสธรรม ของตนแค่ไหน ไม่มีสูตรตายตัว
พ่อครูพูดถึงว่า เราอยู่ไปแล้วจะเกิดสะสมอัญญธาตุ ขึ้นมา คือเราไม่เอากับทางโลกมาเอาทางธรรมแล้ว อย่างคนก็อยากมาอยู่กับพวกเราอยากได้ osmosis แต่เขาก็ต้องการหาเงินด้วย อย่างนี้ได้ไหม
พ่อครูว่า...ก็มีระดับ จริง คุณเพิ่งมาปฏิบัติก็ได้เงินเท่านี้ๆ แต่พอปฏิบัติไป แน่นอนถ้าคนเรามีฉันทะมา แม้ถูกต้านมาก่อน เข้ามาในหมู่ที่เขามีโลกุตรธรรม คุณเอง อยู่ไปเถอะ แม้จะเป็นคนแข็งด้านก็จะได้รับเข้าไปเรื่อยๆ ที่นี่ขยันอัดให้ด้วย ไม่ใช่แค่ osmosis มันต้องได้
แล้วมันจะเกิดพลังงานธาตุรู้ถึงขั้น อัญญะ หมายความว่าเป็นพลังงานที่ ปีนกรอบของโลกียะออกมาได้แล้ว อัญญะแปลว่าอื่น เป็นพลังงานอื่นจากสามัญปุถุชน อันนี้เป็นพลังงานใหม่ถึงแม้ว่าคุณไม่เก่ง ไม่ฉลาด รับไม่ค่อยได้ แต่อัดเข้าไปมันก็จะได้เต็มถึงล้นได้ แม้ว่า คุณจะเข้ายากอัดเข้ายากจัง จนกว่าจะได้อัญญะก็ยาก แต่มันต้องมีขีดเขต สักวันก็จะได้ แต่ถ้าเราตั้งใจศึกษาก็น่าจะได้
เท่าที่อาตมาได้พยายามทำงานมา จึงเห็นความจริงว่าพวกเราได้ นี่ไม่ใช่หลงเพ้อเจ้อ ไม่ใช่ตีความเอาเอง ผิดๆพลาดๆ ไม่ใช่ สังคมชุมชนชาวอโศก อยู่ด้วยกันมา จับกลุ่มเป็นชาวอโศกมา 40 กว่าปี มันมีคดีทางโลกเขา ซึ่งเป็นคดี ก่อกันเองที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ในชุมชนเราไม่มี ไม่เคยก่อกัน เป็นเครื่องยืนยันพิสูจน์ได้ ไม่มี ของเรานี่มันมีความรู้ รู้โลกียะเป็นอย่างนี้ ไม่ได้หยาบคายอะไร เห็นผลยืนยันชัดเจน เป็นสามัญผล ตามที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ ตอนพระเจ้าอชาตศัตรู ไปถามว่า ธรรมะนี้ปฏิบัติแล้วจะได้เป็นผลสามัญอย่างไร มีไหม?
พระพุทธเจ้าก็ยกตัวอย่าง คนของท่านก็อยู่กับท่าน มีจารีต ประเพณีตามแบบท่าน แต่พอเขามาปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า มีศีล สังวรอินทรีย์ สติสัมปชัญญะ ตามแบบนี้ ท่านจะเอาคนของท่านคืนไปไหม?...ก็ไม่เอาคืนหรอก มีแต่จะสนับสนุนให้เขาทำต่อ ขนาดนั้น พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นคนอนันตริยกรรมแล้ว เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรู กลับไปแล้ว พระพุทธเจ้า ก็ตรัสว่า หากไม่มีอนันตริยกรรมแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรู ก็จะบรรลุธรรมในที่นั่งแห่งนี้เลย
ในมูลสูตร 10
ถ้าไม่มีความยินดีตั้งใจ มาเอาโลกุตระก็อย่าเลย เสียเวลา ไม่ได้หรอก ขนาดมีฉันทะแล้ว อยากได้อรหันต์อยากได้ธรรมะโลกุตรธรรมก็ต้องมาเรียนรู้ ทำใจเป็น อาตมาบอกว่ามนสิการ การทำใจในใจเป็น เรียกว่าโยนิโสมนสิการ ไม่ใช่หมายความว่าพิจารณาถ่องแท้
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .
4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
ต้องมีเวทนาเป็นที่ประชุมลงเป็นกรรมฐาน หากแยกแยะวิจัย เวทนาที่เป็นเคหสิตเวทนา แล้วมีวิธีทำออกจากเวทนาเคหสิตะมาเป็นเนกขัมมะ อ่านอาการออก ว่า ลดละจากอาการราคะโทสะ ก็เป็นเนกขัมมะ เกิดที่จิตเราก็อ่านในปัจจุบัน มีการลดละ อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี เห็นเลยว่ามันไม่เที่ยง กิเลสไม่ใช่ตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง มันเกิดเดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนแปลง ยิ่งเราทำด้วยสามารถ ให้มันลดละจางคลาย ทำให้มันดับได้ คาตาเลย คุณก็มั่นใจ
สมณะเดินดินว่า...ถ้าชีวิตผู้ใดมีชีวิตอยู่วินาที 1 นาที 1 ชั่วโมง 1 วัน 1 ปี มีแต่เอาชีวิตนี้ไร้ค่า...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 17:57:28 )
รายละเอียด
600708_เวียนธรรมอาสาฬหบูชา บวร ราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน การติดทำงานติดพูดจา
พ่อครูว่า...อาตมาก็ ต่อเลย จากที่จะเกิดการปฏิสันถาร มันเป็นความสามารถ อีกอันหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่ยิ่งใหญ่ก็คือ คนเราจะคุยกับใคร มันจะคุยกันด้วย ท่านเรียกว่า ภัสสารามตา
ภัสสารามตา ภัสสะ แปลว่า การพูดการคุย และผู้ที่หลงยินดีในการพูดการคุยเป็นความเสื่อม 1 ใน 4 ประการ มันมีความเสื่อม 4 ประการคือ
1.หลงยินดีในการงาน กัมมารามตา ภัสสารามตา นิทรารามตา ปปัญจรามตา
หลงยินดีในการงาน ถ้าตื้นๆ แล้ว ถ้าไปทำงานไม่ยินดีมันก็ฝืนตายเลย มันต้องยินดี มีฉันทะในการงาน แต่คำว่า รามตานี่แปลเป็นภาษาไทยว่ายินดี ในบทเรียนของทางศาสนาเปรียญเก้าแปลเช่นนี้ ไปหลงยินดีในการงานเป็นความเสื่อมข้อที่หนึ่ง ก็อย่าไปทำงาน คนสายเถรวาทก็เลยไม่ทำงานเลย
2. ภัสสารามตา ไปหลงยินดีในการพูดการคุยโอภาปราศรัย แค่ไปติดการคุย เอาแต่คุยไม่ทำงานเลยมันต้องเสื่อมแน่นอน แต่ยินดีในการพูดเกินไปมันเสื่อมแน่นอน แต่ถ้าคนยินดีในการทำงาน อันนี้ย้อนแย้งแน่
การยินดีในการทำงานไม่ใช่ความเสื่อม แต่การหลงยินดีในการงาน หลงติดการงานจนเกินเหตุ ไม่รู้พักไม่รู้เพียร อปัตติฏฏัง อนายูหัง ไม่รู้พักรู้เพียร ธรรมะพระพุทธเจ้ามีความลึกซึ้งซับซ้อน ถ้าเราเฉโก ฉลาดแกมโกง จะโกงเลย มันซับซ้อนลึกซึ้งที่สุด จึงจะต้องซื่อสัตย์สุจริตจริงใจ บริสุทธิ์ใจ เพราะรู้ความหลงความหลอกตัวเอง หลอกตัวเองนี่แหละร้ายมาก มันแฝงมากเลย ต้องศึกษาให้ดีแล้วจะเข้าใจ รายละเอียดต่างๆ อาตมาพยายามสอนให้เป็นลำดับ มาถึงวันนี้ได้สูงและละเอียดยิ่งขึ้น มันจำเป็น ผู้สูงก็ต้องต่อยอดให้สูงต่อไป
ส่วนผู้ที่ยังไม่สูงก็ไม่ต้องห่วง ขอสำทับว่า พวกเรานี่แหละ ผู้ใดก็ดี เรามีภูมิธรรมเท่าไหร่ อัตตัญญุตา มีธรรมะเท่าไหร่เจียมตน อย่าอวดดีแสดงภูมิเกินตัว หรือมี100 อาตมาพูดไม่รู้กี่ที อย่าไปแสดงบท100 ถ่อมตนไว้ อย่างน้อย 20 แสดง 80 นี่เหลือแล้ว คนไม่เก่งจริงเก่งยอดเป็น100อย่างแสดง 80ถ้าไม่เก่งเต็ม100พยายามแสดง 60-70 ก็พอ ถ้าไม่เก่งแสดงแค่ 50- 60 ก็พอ ไม่ได้เด่นเด่ มีจริงใหญ่จริงไม่ต้องอยากใหญ่อวดตัว อันนี้แหละระมัดระวังไว้ เวลาจะคุย ปฏิสันถาร ระวังๆๆๆ มันจะเพลินเป็นภัสสารามตา ยินดีในการพูดจนเกินไป แล้วจะทำให้เราหลง เรื่อยเจื้อย ระวังเถอะ ต้องระมัดระวังจริงๆ
พวกเราหลายคน พอพูดไปยาว มันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เดี๋ยวเถอะ ตัวหลอกตัวปลอมมันก็จะออกมา ต้องพูดให้พอเหมาะพอดีพอสมควร เป็นการประมาณที่ยากมากเลย มัตตัญญุตา
ตอนนี้เรากำลังจะเน้นเรื่องปฏิสันถารโอภาปราศรัย หรือการพูดการคุย กับแขกเหรื่อ ในมิตรสหาย ธรรมะนี้จะกลับไปกลับมา แต่ก่อนเห็นพิษภัยของการพูดคุย พูดแล้วเสี่ยงไม่ได้เรื่อง แต่ก่อนนี่เราพูดแล้วได้ลาภยศสรรเสริญสุข แต่ต่อมาเลิกการพูดเพื่อให้ได้ลาภยศสรรเสริญ สุข จนพูดแล้วไม่ได้สุขอะไร ไม่ได้หลงกับการพูด ไม่ได้สุขกับการพูดอะไร ก็ไม่อยากพูด มันจึงได้กลับไปกลับมา ฝึกฝนสลับไปสลับมา
เราต้องนึกเสมอ ที่เราพูดนี่ สิ่งนี้เป็นคุณงามความดี จริงไหม โดยเฉพาะคุณค่าที่เป็นโลกุตรธรรม 1.ดีขั้นโลกุตรธรรม 2.ควรหรือไม่ควรที่จะพูด กับคนนั้นบริษัทนั้น กลุ่มนั้น ปริสัญญุตา ปุคคลปโรปรัญญุตา ควรประมาณว่าควรพูดเท่า น้อยหรือมากเท่าไหร่ อาตมาก็พูดเท่านี้บางคนก็อยากให้พูดมาก บางคนอยากพูดให้น้อย ก็มีคนอยากฟังก็มีจริง เราต้องเห็นใจคน เขามีกิเลสจริง อย่าทำเป็นใหญ่หลงตนใหญ่ ต้องฟังคนหมู่ใหญ่ ทั้งที่ตนเองฟังแค่ขั้นนี้ๆก็พอแล้ว แต่คนเรากิเลสมานะอัตตาก็มี ต้องไม่ตัดรอนทีเดียว เห็นใจเขาบ้าง
ก็มาที่การพูดโอภาปราศรัยปฏิสันถาร ในขณะนี้พวกเรามีการพูดรู้สึกจะมากๆ แต่ก็มีเนื้อหาสาระมากดี ขยันพากเพียร ยินดีปรีดามากขึ้น รู้สึกมีรส หรือว่ามัน Appreciate มันสบายใจพอใจชื่นใจที่ได้โอภาปราศรัย เอาตัวอย่างท่านเพาะพุทธ ขวนขวาย อาตมาไม่รู้ว่าท่านจะฝืนเท่าไหร่ แต่พฤติกรรมที่ท่านแสดงออก ทางวจีกรรม ไปโน่นมานี่ เชื่อมโยง ท่านไปต่างประเทศด้วย อาตมาไม่ได้ไปมาก ที่เคยไปเหยียบแผ่นดินที่ไม่ใช่ประเทศไทยก็คือประเทศลาว ไม่มีพาสปอร์ตด้วย และไม่คิดจะทำพาสปอร์ต อยู่ในประเทศไทย ชาตินี้ตายในประเทศไทย เมื่อย ไม่อยากไป จะบอกว่าไม่อยากจะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ก็ไม่ยินดีปรีดาที่ได้ไป ต่างประเทศ ไม่ยินดีเลย ก็ไม่ต้องไปกังวลนัก ขวนขวายหน่อย
สื่อธรรมะพ่อครู(
มาเรื่องการศึกษา เราเข้าใจเรื่อง Coefficient เราเรียก Coefficiency เป็นคำคุณศัพท์ เกี่ยวกับพลังงาน ที่เป็นตัวเร่งชนิดหนึ่งที่เราศึกษา มันมีตัวนี้อยู่ เรากำลังเกิดได้ก็ไม่ต้องพูดมาก เดี๋ยวจะแรงเกินไปจนเลยเถิด แค่นี้ก็พอ รู้ว่าเราควรจะฝึกฝนเช่นนี้บ้าง ที่เราควรได้ประโยชน์ ในการสัมพันธ์เชื่อมโยง ไม่อย่างนั้นมันจะ เจิ่น เด๋อไป คนจะมาละลาบละล้วงก็ไม่ค่อยมีหรอก บางคนมากินข้าวด้วย เราก็ไม่ได้ติดใจ เป็นเรื่องที่น่าเอ็นดูด้วยซ้ำไป มีบางคนมานอนเอกเขนก แต่ก็น้อยมีไม่กี่ราย กินแล้วนอนตีพุงเสร็จ แล้วตื่นมาโอภาปราศรัย
เรื่องนี้ เราก็ค่อยเป็นไป เรากำลังสร้างทั้งตลาด สถานที่การศึกษา ที่กำลังเชื่อมโยงเป็นไป เท่าที่มันได้ ก็เป็นไปตามประสา อาตมาว่ามันท้าทาย เพราะที่นี่ไม่ได้อยู่ในเมือง จะมาที่นี่ต้องขวนขวาย จะมาซื้อของที่นี่ ถ้าจะว่าไปซื้อที่อุทยานก็ได้มาถึงที่นี่ทำไม คนเรา แต่คนเราจะมีกระใจ ก็มา
เรื่องปฏิสันถาร ก็พักไว้ วันนี้เป็นเป็นวันของการเกิดพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ตอนนี้อาตมากำลังอธิบายถึงการเกิด กำลังเขียนเราคิดอะไรเล่มหน้า พูดถึงการเกิด ไขความเป็นอจินไตยชนิดหนึ่ง คือการเกิด ผู้ที่ให้การเกิด พระพุทธเจ้า เราเรียกว่า เป็นจอมมายา รู้ไหม? ผู้ให้กำเนิดพระพุทธเจ้า ได้ชื่อว่าจอมมายานะ รู้เปล่า? ท่านชื่อว่าสิริมหามายา เป็นมายาผู้ยิ่งใหญ่ เป็นมายาทางดีงามความประเสริฐ เป็นอจินไตยที่ยิ่งใหญ่ ทำไม เป็นแม่พระพุทธเจ้าทำไมต้องมีมายา
มายาคือจอมเล่นกล คำว่าจอมเล่นกลหมายถึงอะไร อย่างนี้เป็นต้น อาตมานี่เหมือนนักเล่นกล คนตลบแตลง คนโกหกหลอกลวง บอกว่าตัวเองมีจิตเมตตา แต่ฟันเขาฉับๆๆ หัวโนตาโปนกันไม่รู้กี่คน ถูกอาตมาโขกเอา แล้วบอกว่าตนเองมีเมตตา อาตมาก็เข้าใจว่าทำไมต้องทำอยู่ อาตมาก็ว่าอาตมาประมาณดีแล้ว ยุคนี้มันแรง พวกคุณจัดจ้านกว่าอาตมาอีก จะเอารูปจัด เต้นจัด สีจัด อะไรจัดทั้งนั้นกว่าอาตมาไม่รู้กี่ต่อ ยุคนี้ยิ่งกว่าฮาร์ดร็อค หนักหนาสาหัสมาก ไม่ได้เล่นลิ้นแต่เป็นจริง อาตมาจะทำสุภาพสงบเท่าไหร่ก็ได้ ทำมาแล้ว แล้วคนชอบด้วย แต่อย่างนี้คนไม่ชอบ แต่อาตมาเป็นคนพังกรอบอันนี้ ตนเองไม่ใช่มาโซคิส ถูกว่าแล้วชอบไหม?ก็ไม่ใช่ อาตมารู้ดี แต่ทำให้เหมาะสมตามกาละยุคสมัยองค์ประกอบ สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 อาตมาไม่ได้พูดเล่นว่าได้ใช้และทำจริง คำนวณจัดสัดส่วนจริง แม้มหาปเทส นี้ใช้ไม่ได้สำหรับคนภูมิไม่ถึง
เรื่องความเป็นการเกิด ที่ผู้ให้การเกิดขั้นสิริมหามายา เป็นมายาชนิดหนึ่ง ผู้ให้การเกิด คือผู้ที่มี มีภูมิธรรมถึง จะให้เกิดก็ได้ไม่เกิดก็ได้ จะให้มีก็ได้ไม่มีก็ได้ ตายก็ได้ไม่ตายก็ได้ สูญก็ได้ไม่สูญก็ได้ จะอยู่ไปอีกนานเท่านาน แข่งกับ พระอวโลกิเตศวรก็ได้ มีสิทธิ์แล้ว ผู้มีสิทธิ์แล้ว จะรู้ว่าควรทำไหม เป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือการเกิดการตาย เป็นอมตบุคคล
เริ่มเป็นพระอรหันต์ก็คืออมตะบุคคล อยู่เหนือการเกิดการตายของตัวเอง เป็นการเกิดการตาย ขั้นปรมัตถธรรม ขั้นจิตเจตสิก ซึ่งลึกซึ้งยิ่งใหญ่มาก แล้วเป็นจริง ผู้ที่สามารถควบคุมการเกิดการตาย ขั้นไขความว่า ทำไมถึงเรียกว่า สิริมหามายา เพราะท่านเป็นผู้ที่ให้การเกิดการตาย ขั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือไม่ก็เป็นยอดของสยัมภู สยัมภูนี้คือปางที่9 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ โพธิสัตวภูมิปาง9
เมื่อจบสยัมภู เป็นผู้ที่มีภูมิยิ่งใหญ่ในตนเอง พระปัจเจกพระพุทธเจ้า เป็นสยัมภู
ปัจเจกพระพุทธเจ้า กับ สัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างกันอย่างไร?
สองพระพุทธเจ้านี้มี สัมมาสัมพุทโธ สัมมาสัมโพธิญาณเท่ากัน
แต่ผู้ใด ประกาศศาสนา ในโลก ก็ปรากฏเป็น พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลก แต่ถ้าพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งท่านก็มีความเป็นสัมมาสัมพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ หรือเป็นสัมมาสัมโพธิญาณ เท่ากัน มีญาณที่เป็นสัมมาสัมพุทธะ เท่ากัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้มี สัมมาสัมโพธิญาณ เท่ากัน แต่เมื่อองค์ใดประกาศศาสนาให้กับโลกได้รู้ ว่าท่านคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าองค์ใด ที่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ แต่ไม่ได้ประกาศศาสนา แล้วปรินิพพานไป เลิกจบไป รีไทร์ตัวเองไม่ได้ถูกไล่ออกนะ ท่านเลิกเองจบเอง ไม่ได้ประกาศศาสนา ท่านก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลก แต่ท่านเป็นพระพุทธเจ้า เฉพาะตน มีสัมมาสัมโพธิญาณเฉพาะตน แล้วท่านก็ปรินิพพาน เป็นปริโยสานไป ซึ่งเป็นสิทธิของท่าน มั่นใจว่าอาตมาไม่ได้พูดผิด
ผู้นี้จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่เกิดเป็นพระพุทธเจ้า ท่านมีจริง เหมือนเล่นกลโกหก ท่านเป็นพระพุทธเจ้านะ แต่ถ้าไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ แต่ท่านบอกว่าเป็น ถ้าคนไม่เชื่อถือศรัทธา เหมือนกับที่ อาตมาบอกว่าตนเองเป็นพระโพธิสัตว์ เขาก็ไม่เชื่อถือศรัทธา อาตมาก็เหมือนนักเล่นกลคนหนึ่ง มายา เหมือนปลอม หลอกอยู่ได้ว่าเป็นอย่างนี้ๆ อาตมาขอยืนยันว่า ไม่ทำบาปทำชั่วอย่างนั้นแล้วที่จะมาหลอก ก็เป็นโอกาสที่อาตมาอธิบายสัจจะ แล้วจะทำให้ตนเองรอดพ้นไปจากความเข้าใจผิด ไปตามลำดับ เหมือนการแก้ตัว แต่อธิบายสัจธรรมไปตามขั้นตอน
วันนี้เป็นวันสำคัญก็อธิบายขั้นตอนของการเกิดพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ อาตมาก็เลยแถมการเกิดของพระพุทธเจ้า ที่ผู้ให้กำเนิดเป็นนักมายากล ไม่มีตัวตน แต่เป็นปรมัตถธรรม อจินไตย แต่มาอยู่กับตัวตน อยู่กับคนๆหนึ่งแน่นอน เป็นผู้หญิง แล้วให้กำเนิดพระพุทธเจ้า
ผู้หญิงให้กำเนิดพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องของศาสนาพุทธ โดยไม่ต้องเคอะเขิน และมีผู้ชายที่ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าเป็นฐานะผู้เป็นราชบิดา กับฐานะผู้เป็นพระราชมารดา ที่เป็นตัวตน ต่างกับศาสนาเทวนิยม บอกไม่ได้ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ ปิดบังกันรู้ไม่ชัด เห็นไหม ศาสนาเทวนิยม แล้วใครเป็นพ่อ เขาอธิบายกันไม่ได้ ยังเป็นตัวตน บุคคลเราเขา ก็เลยอธิบายไม่ได้ เขาว่า ถ้าเป็นพระเจ้ามาเกิดได้อย่างไร เพราะพระเจ้าเป็นใหญ่กว่าผู้หญิง จะคลอดจากผู้หญิงได้อย่างไร เขาไม่กล้ารับ ไม่รู้จักสมมุติสัจจะ ไม่รู้จักปรมัตถสัจจะ อันนี้เป็นปรมัตถสัจจะ เป็นเรื่องจริงที่ลึกซึ้ง ก็รู้ว่าสมมุติก็สมมุติ คุณจะไปสงสัยว่า รูปกับนามจะลงตัวกัน พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมา ปัง ต้องมีแผ่นดินไหว อะไรอย่างนี้เป็นต้น
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องอุบัติในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตรัสรู้ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ปรินิพพาน ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ท่านนี้ต้องชื่อนี้ชื่อนี้ อาตมาอธิบายมาเยอะแล้ว แม้แต่ตัวเอง ก็ยกตัวอย่างมา
จึงเป็นเรื่องที่ มันชัดเจน แล้วมันต้องเป็นเช่นนี้ แม่ของพระพุทธเจ้าชื่อว่านางมายา แต่ใช้ยศหน่อย สิริมหามายา อภิมหามายา อะไรก็แล้วแต่ คือ เป็นผู้เล่นกลที่เก่งมาก ใช่ไหม พยัญชนะภาษามันเป็นเช่นนั้น แล้วก็ชื่ออย่างนั้นจริงๆ
สิริมหามายา เป็นผู้ให้ความเกิดอันยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้านี้ ให้การเกิด แต่ไม่ได้ให้การเกิดเหมือนอิตถีภาวะ นี่ซับซ้อนอีก
เปรียบเทียบได้ว่า แม่ ชื่อมายา ลูกชื่อราหุล เป็นพระราชวงศ์ กษัตริย์แท้ๆ เอาภาษาดีๆ ไม่ต้องเอาภาษามายา มาตั้งชื่อเรียกก็ได้ ไม่ต้องใช้ราหุล ห่วง แล้วไม่มีคำว่า สิริมหาราหุลนะ ก็ราหุล แปลว่าห่วง ไม่ต้องขยายความมาก
แต่การเป็นแม่ นี่สิ ซับซ็อน เป็นแม่เป็นอิตถีภาวะ ทำไมต้องให้อิตถีภาวะมาเป็นการเกิดของพระพุทธเจ้า ทำไมต้องให้สิ่งไม่ยิ่งใหญ่ มาให้กำเนิดสิ่งที่ใหญ่ที่สุด แต่ศาสนาพุทธไม่มีปัญหา ไม่พราง ไม่เลี่ยง ต้องลงตัวทั้งรูปและนาม สมมุติและปรมัตถ์
ยืนยันทำไมอาตมาต้องชื่อ รัก ชื่อมงคล เป็นชื่อที่ได้รับจากทางสายพระ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) เป็นอาจารย์ของลุงหมอของอาตมา ก็ลุงหมอเป็นคนขอชื่อ จากพระมหาวีรวงศ์ ได้ชื่อมงคล นอกจากใบเกิดชื่อ สไมย์ ถ้าอาตมาไม่ได้เจอใบเกิดก็ไม่รู้ว่า ชื่อแรกของอาตมาชื่อ สไมย์
ที่จริง สไมย์นี้อาตมาแกล้งอ่าน มันต้องอ่านว่าสมัย แต่ท่านไปสะกดประหลาด สไมย์ คนสมัยโน้นไม่เก่งเขียนหนังสือ ก็เลยไปบอกให้ผู้ใหญ่บ้านเขียน
สไมย์ก็คือสมัย คำว่าสมัยแปลว่ากาละนั้น อาตมาคือตัวแทนสมัย ยุคนี้มีอาตมา สมัยนี่แหละ สมัยมีกรอบขีดจำกัดของกาละ เหมือนคำว่ากัปป์ คำว่ายุค คำว่าสมัย มันมีกรอบของมัน เหมือน Context Content Paragraph Chapter ภาษาเหล่านี้อาตมารู้ว่าหมายถึงสภาวะอะไร
ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาก็จะรู้เองว่าทำไมอาตมาทำไมต้องชื่อว่าสมัย ไม่มีใครหรอกเป็นตัวสมัยนี้ อาตมาคือตัวสมัยนี้ พูดไว้แค่นี้ก็แล้วกัน อาตมาคือตัวสมัยนี้ไม่มีใครหรอก อาตมาจึงได้ชื่อสมัย เป็นตัวแรกชื่อแรกในใบเกิด แต่อาตมาไม่อยากเรียกสมัย ก็เลยเรียกสไมย์
อาตมาชื่อ สไมย์แล้วมาชื่อมงคล แล้วมาชื่อรัก แล้วมาเขียนความรัก 10 มิติ ยืนยันความรักมีความจริง ต่ำ กลาง สูง ไปตามลำดับ
ความรัก 10 มิติ พวกคุณได้ปฏิบัติ เลิกจากความรักมิติต่ำมาสู่สูงได้ไหม เป็นความจริงดีไหม เป็นพยัญชนะที่สื่อแทนสภาวะ เราปฏิบัติได้ตามสภาวะ ก็ได้จริง โดยอาศัยพยัญชนะ บัญญัติภาษา เราก็รู้ภาษา แต่มันมีของจริงสภาวะ คุณก็ได้ประโยชน์ จะมาฟังทำไมภาษา แต่มันเข้าถึงสภาวะ อันนี้เรื่องของ อจินไตยหลายๆอย่าง
ทีนี้มาพูดถึงเรื่องของบวร
บวร นี่เป็น สิ่งที่อาตมานำมาเน้นในขณะนี้จริงๆ เพราะยุคนี้มันจะต้องให้รู้กัน ถ้าเผื่อว่า ทางด้านรัฐบาล ทางด้านบริหารเข้าใจกันอย่างนี้แล้วเร่ิมต้น เพราะทางโน้นมีสิทธิ์เร่ิมต้นได้ดีมาก อาตมาพยายามทำตามประสา การรวมหมู่บ้านวัดโรงเรียน ให้อยู่รวมกลุ่ม ไม่ใช่แยก บ้าน วัด โรงเรียน หรือแยก สังคมมนุษย์ แยกธรรมะ แยกการศึกษา หั่นมาเป็นชิ้นๆอย่างที่เป็นทุกวัน สังคมก็เป็นของสังคม ผู้คนก็เป็นของผู้คน ธรรมะก็เป็นธรรมสิ
สังคมนั้นคือการเมือง การเมืองคือการทำให้พลเมืองของสังคมอยู่ร่วมกันอย่างดี อย่างที่อาตมาพยายามสรุป มีอิสระเสรี
อยากมาคุณมีสิทธิ์ คุณไม่อยากมาก็มีสิทธิ์ คุณอยากมา เรื่องของคุณ แต่คุณมาแล้ว จะมาอยู่ที่นี่ เขามีกรอบของธรรมะอย่างนี้แล้วพากันศึกษา โรงเรียน คือการเล่าเรียนศึกษา เขาจะศึกษาอย่างนี้ คุณจะศึกษาตามไหม แล้วคุณจะพัฒนาคุณธรรมโลกุตรธรรมตาม ทำตามนี้ไหม
ถ้าคุณทำตามกรอบประเพณี ทิฏฐิ ทฤษฎี อย่างนี้คุณก็อยู่กับหมู่กลุ่มนี้ได้ พัฒนาได้เจริญได้ อย่างมีอิสระ ถ้าคุณไม่พอใจก็ออกไปได้เลย ไม่ได้เก็บค่าธรรมเนียมอะไร ไปก็ไม่เอา มาก็ไม่เอา คุณจะมาจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้ามาในที่นี้ก็ต้องมีวัฒนธรรมประเพณีกฎเกณฑ์ ไม่ถึงขั้นกฎหมาย หรือมีศีลอย่างนี้ ถ้าผิดศีล เราก็ชำระกัน ก็จัดการ จึงเรียกว่าอิสระเสรีภาพ
แล้วอยู่กันอย่างภราดร อยู่กันอย่างพี่น้องลูกหลาน อาตมาเห็นแล้วก็สบายใจดีจัง อยู่กันเลี้ยงดูแลกัน ไม่เป็นไปในทางรักแบบต่ำๆ แต่รักให้เจริญขึ้น เป็นความรัก 10 มิติ รักกัน เคารพกัน ตามพระพุทธเจ้าสอน สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ เอกีภาวะ
หรือจะใช้ วรรณะ 9 กถาวัตถุ 10 หรือแม้แต่ โพธิปักขิยธรรม 37 เรายืนยันได้ว่าเป็นการศึกษาแบบ บวร ไม่ได้แยกกัน แล้วจะเกิดการ Osmosis เกิดการ Coefficient เป็นสัมประสิทธิ์ ใช้ภาษาที่คนฟังเข้าใจได้กว้างขวาง อาตมาไม่ได้เก่งทางภาษา
สรุปแล้ว บวร นี้ บ้านวัดโรงเรียน หรือสังคม ธรรมะ กับการศึกษา
บ้านคือสังคม วัดก็คือธรรมะ โรงเรียนก็คือการศึกษา
แล้วการศึกษาอย่างที่เราพากันทำ เป็นการศึกษาที่ไม่ใช่อยู่ในกรอบ แต่เป็นการศึกษาอยู่ในธรรมชาติ เป็นการศึกษาของความเป็นชีวิตจริง เป็นการศึกษาที่รู้จักความสำคัญ เบื้องต้นท่ามกลางบ้ั้นปลาย รู้จักปัจจัยของชีวิต แล้วรู้จักกรรมต่างๆ ที่เราจะเลี้ยงชีวิต เป็นผู้ที่มีความรู้ ทั้งเลี้ยงชีวิตและเป็นผู้ที่มีความรู้ว่า เห็นแก่ตัวเป็นอย่างนี้ ไม่เห็นแก่ตัวเป็นอย่างนี้ จนสุดท้าย ไม่เห็นแก่ตัวแล้ว ก็ต้องรู้ว่าอะไรจะเหมาะควรกับการอยู่กับผู้อื่น แค่ไหนอย่างไร
ความรู้ที่พูดออกมานี้ พูดออกมาจากความรู้ของตนเอง ได้เรียนมาจากธรรมะ เรียนมาจากสายพระพุทธเจ้า มีหลักฐานอ้างอิง ชาตินี้ อาตมาไม่ได้เรียนมาจากสำนักไหน ไม่มีปริญญาไหน แม้มีอนุปริญญา ก็ไม่ได้รู้อะไรมากเด่นดังอะไรเขา แม้แต่จบมา เทียบปริญญาก็เท่านั้น จริงๆ จบแค่โรงเรียนไม่ได้จบวิทยาลัย อาตมาจบแค่ที่โรงเรียนเขามีสูงสุด เดี๋ยวนี้ไปเติมกันเป็นปริญญาตรีโท ก็ไม่มีปัญหาอะไร เราก็เป็นไปตามโลกเขาบ้าง
ตอนนี้อาตมาอยากให้พวกเราพยายามศึกษาไปเรื่อยๆ อย่าทิ้งการฟังธรรม ไม่ว่าจะเป็นอาตมาหรือท่านใดๆ การจัดค่าย จัดคอร์สอะไรต่างๆนานา รวมคนภายนอกมาบ้าง แต่คนภายนอกไม่ค่อยจะเข้ามา เราก็ต้องขมีขมันต้อนรับ ตอนนี้ยังไม่ค่อยจะมีอะไรเลย อย่าไปกลัว เราต้องขยันกันบ้าง เห็นพวกเราหลายคน พยายามทำในกรอบทฤษฎี กรอบที่ตนถนัด ถนัดวิ่งเต้นสร้างสถาบัน คนไม่ถนัดเรื่องนั้นก็ไปทำเรื่องอื่น เราถนัดเรื่องทำลุยโคลนดินเลย ก็ไม่ประหลาดอะไร ช่วยกันคนละไม้คนละมือ จะครบกระบวนการ
เรากำลังสร้างดินน้ำไฟลม ไฟก็ยังค้างอยู่ ดิน หิน ก็ยังค้างอยู่ แต่ไฟนี่ยังไม่เป็นรูปร่างเท่าไหร่ ดินหินน้ำยังพอเป็นรูปร่าง แต่ไฟนี่ จะเป็นพลังงานที่หนัก เราจะใช้เยอะ ถ้าเราไม่ได้จากพระอาทิตย์ เราหนักแย่เลย แต่ตอนนี้ อย่านึกว่าไฟฟ้าในอนาคต ถ้าเรายังต้องพึ่งพาจากโรงไฟฟ้า ต่อไป จะแพง คนจะมาเอาไปจากพระอาทิตย์มากขึ้น ทางโน้นยิ่งเสียผลเขาก็จะคิดราคาแพงขึ้น จะเป็นอย่างนี้ในอนาคตจริงๆ เป็นสัจจะธรรมชาติต้องเป็นอย่างนั้น
ถ้าเราไม่ เตรียมตัวให้มีเสียก่อน เราก็จะหนักในอนาคต เราใช้ธรรมชาติเอามาประยุกต์ตามสมัย เราไม่เอาธรรมชาติมาทำระเบิดไฮโดรเจน ไปทำเครื่องบินทิ้งระเบิด ไปทำปืนยิงหัวคน เราไม่เอาพลังงานเหล่านั้นมาใช้แบบนั้น มันบาปกินหัว เราเอาพลังงานมาทำให้คนได้อาศัย เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่มวลชน เป็นปัจจัยแก่ชีวิตได้อาศัย ไม่ได้ไปหลงระเริงไปในอบายมุข เราไม่ทำถึงขนาดนั้น
ในเฮือนสวน จะมีเวที จะมีการบันเทิง ที่มีการใช้เวที ทางด้านปลายโน่นจะมีเวที จะมีแบบโลกเขาทำอาศัยใช้ จะจัดสังสรร ชุมนุม แม้แต่คอนเสิร์ต ดนตรีกาลเต้นรำ อภิปรายทางการเมือง ก็จะมีต่อไปแน่นอน กี่ปีถึงจะเป็นไป ตอนนี้เราก็ทำได้ในฐานะแบบเรา ตามสมควร อันไหนไม่สมควรเราก็อย่าไปแตะ
สิ่งเหล่านี้จะเกิด ค่อยๆเป็นไป เอาล่ะ อาตมาขืนต่อไปเลยสามสิบนาทีแน่
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 17:58:05 )
รายละเอียด
600709_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ 77 ข้อ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันที่ 9 กรกฎาคม 2560 ที่ราชธานีอโศก แรม 1 ค่ำเดือน 8 ปีระกา โดยสมมติก็คือวันนี้ ทางพุทธศาสนากำหนดให้เป็นวันเข้าพรรษา เป็นเรื่องของภิกษุที่จะต้องอยู่กับที่ ไม่ไปไหน เพราะว่าไปแล้วชาวบ้านจะเดือดร้อน ข้าวกล้าจะเสียหาย แต่ทุกวันนี้ไม่เสียหายแล้วเพราะว่ามีถนน ไปเดินรถหรือไปเครื่องบินก็ได้ไม่มีการเสียหาย แต่ว่าเป็นพุทธประเพณีก็ปฏิบัติตามนั้น เป็นเวลาที่เราจะมาบำเพ็ญบารมีร่วมกัน ญาติโยมก็ถือโอกาสมาเข้าวัดฟังธรรมกับภิกษุสมณะ อย่างที่ราชธานีอโศก ก็ได้เห็นญาติโยมหน้าใหม่ๆ หรือหน้าเก่าก็มา ถ้ามานั่งเต็มศาลากันตลอด 3 เดือนก็น่าจะดี
ตอนอาตมาจัดรายการย่อยธรรมะวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ แต่วันเข้าพรรษามาเต็มเลย พวกเราถึง กาละเวลาที่จะมา แต่ถ้ามาได้ต่อเนื่องก็จะดี ผลก็จะได้ตามที่เราทำได้ยาวนาน เวลาเงินนี่อยากได้มาก แล้วลดกิเลสอยากได้มากหรือน้อย
ถ้าพูดถึงความสำคัญ พ่อครูนี่เป็นคนสำคัญนะ แล้วที่จะมาอยู่มาแล้วกับอยู่ต่อไปอันไหนเหลือน้อยกว่า ก็อยู่ต่อไปเหลือน้อยกว่า ก็จะมากันตอนตายแล้วหรือ ถ้าอยู่ใกล้ได้ฟังตอนนี้ท่านก็พูดกระแทกกิเลสออกจากจิตเราได้ แต่ถ้ามาตอนหมดแรงแล้วคงไม่ได้ผล
พ่อครูได้เขียน ประชาธิปไตยดีที่สุด ต้องโลกุตระ
พ่อครูว่า...ถ้าผมพูดอธิบายแล้วไม่มีใครรู้เรื่อง ก็บ้าคนเดียว แต่ถ้ามีคนรู้เรื่อง 2 คน ก็บ้าอยู่สองคนก็ได้ นอกนั้นไม่รู้เรื่องเลย แต่นี่มีคนรู้เรื่องมาก มันซ้อน...คนไม่รู้มีมากจริง แต่คนไม่รู้ระดับกลาง คนไม่รู้นี้มีมากเยอะ คนไม่มีปัญญาโลกุตระ แต่อีกหมู่หนึ่งรู้กลางๆ รู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่ยุคนี้ไม่รู้มีเยอะกว่า
สมณะฟ้าไทว่า...น่าเห็นใจเขาเพราะเป็นเรื่องยาก คนลดละกิเลสได้ในยุคนี้มหัศจรรย์มากกว่าสมัยโบราณ ใครหลุดพ้นได้นี้ถือว่ามหัศจรรย์มาก ในขณะที่โลกมอมเมามาก
สรุปว่าเราได้มาพบสิ่งที่ดีที่สุดในกาละนี้แล้ว เราไม่ควรให้หลุดมือเราไป คว้าให้อยู่กับเราให้ได้ เอาสาระเท่าที่จะเอาได้ ไม่อย่างนั้นเราจะเสียใจ คนอย่างนี้จะเกิดมาในกาละใดก็ยากแสนยาก ตอนนี้พยายามเอาให้ได้ เอาประโยชน์สาระจากท่านให้ได้ ก่อนที่ท่านจะตายจากไปหรือเราจะตายจากท่านไปก่อนก็ได้
พ่อครูว่า...ในคน จะใช้ภาษา หรือเราเรียกว่า บัญญัติ การกำหนดหมาย เป็นลักษณะชี้ สมมุติกัน เป็นเครื่องหมายสื่อให้รู้กัน ด้วยให้สื่อภาษา รูปร่างอะไรก็แล้วแต่ ก็ใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องหมาย เช่นภาษาในศาสนาที่อาตมาได้เอามาใช้
เช่นคำว่ามโนมยอัตตา ก็ยังไม่ได้ตอบคนที่เขาถามมา
ส่วนคำถามอื่นก็ตอบไปแล้ว
เช่น …ที่เขียนมาว่า
สัมประสิทธิ์คือ วจีสังขาร+กรรม
กรรมคือ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ เมื่อประกอบกันแล้วก็เป็นอธิ ก็มีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ซึ่งบัญญัติภาษาต่างๆ สื่อสภาวะที่ละเอียด ซับซ้อนเข้าไป ผู้ที่มีสภาวะรับรู้ด้วยกัน ตรงกันด้วยความเป็นจริง ก็พูดกันรู้เรื่อง ส่วนคนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจภาษานี้ว่าหมายถึงอะไร ก็พูดกันไม่รู้เรื่องแน่นอน
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน มโยมยอัตตาคืออะไร
_อีกคำถามหนึ่ง มโนมยอัตตา วิตก วิจาร อุทธัจจะ กุกกุจจะ รูปราคะ อรูปราคะ รูปภพ อรูปภพ ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร?
พ่อครูว่าก็ขอตอบคร่าวๆ
มโนมยอัตตา หมายถึงพลังงานที่เป็นตัวเรา ที่ไปยึดถืออาศัยใช้ ในผู้รู้ แต่ผู้ไม่รู้ก็ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ผู้รู้จะยึดแค่อาศัยและสลาย วางได้ปล่อยได้จากกันไปตลอดได้
มโนมยะ แปลว่าสำเร็จด้วยจิต เป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิตใจ กำหนดเป็นรูป หรืออรูป ก็กำหนดมันขึ้นมา แล้วคุณก็ไปติดยึด กำหนดเป็นอัตตาแล้วยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา นี่คือมโนมยอัตตา จิตคุณบ้าเอง ยึดเอง ปั้นเอง สมมุติเอง หลงเองเป็นเองอร่อยเอง สุขเองทุกข์เอง โง่เอง อวิชชา นั่นคือมโนมยอัตตา
มันเป็นอัตตาได้ ถ้าสมควรอาศัยก็ทำให้เกิดอาศัย แต่ถ้าอันไหนไม่สมควรอาศัย รู้ก็ไม่ต้องไปสร้าง คนอื่นสร้างโครมๆในโลกถมถืด คนเขาติดยึด เขาไม่มีจะตาย ลงแดงตาย เคยได้ยินบ้างไหม? มันถึงขนาดนั้น อาการหนัก
ผู้ที่วางได้ปล่อยได้ว่าให้มันเกิดมาเพื่ออาศัย ทำไมสมควร จะสร้างให้หนักทำไม มโนมยาอัตตาคือสิ่งที่มียอมให้มีแล้วอาศัย แต่ถ้าเราไม่ควรจะมี เราก็ไม่ให้มันมี ไม่ให้มันเกิดอีกเลย ไม่ต้องอาศัยมัน ไม่มีเลยหรือมีบางครั้งบางคราว ทั้งนี้ให้มีก็ได้ เป็นประโยชน์เฉพาะครั้งคราว ก็ว่าไป อย่างนี้เป็นต้น
พอเป็นผู้ที่สามารถควบคุม จัดการกับพลังงานที่เราจะรู้จะรับว่ามีหรือไม่มี
วิตกวิจาร ที่จริงแยกเป็นสองคำความหมายก็ได้หรือแปลรวมกันได้ วิตกคือเริ่มบทบาท วิจารคือมีพฤติเคลื่อนไหวขึ้นมา พฤติที่ตักกะขึ้นมา มันเป็นกุศล หรืออกุศลก็ได้ ดีก็ได้ไม่ดีก็ได้ ถ้าดีเอาไว้อาศัยก็ได้ แต่ถ้าไม่ดีจะต้องรู้จักเหตุ แล้วกำจัดเหตุให้ได้ ก็เรียนรู้แล้วทำ ให้ไม่มีในสิ่งที่ไม่ควรมี ในอกุศล แต่สิ่งที่ดีก็ให้มันมี เราก็ได้อาศัยแล้วมันก็จะสูญไป
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน อุทธัจจะต่างจากกุกกุจจะอย่างไร
อุทธัจจะ คือสิ่งที่เกินกว่าเราจะกำหนดไว้ มันฟุ้งเกินกระจายเกิน เกินกว่าเราจะห้าม ทีนี้ต่างกับอุทธัจจะกุกกุจจะ ถ้ามันฟุ้งเราก็รู้แล้วก็เฉยๆ แต่ถ้าฟุ้งแล้วเรารำคาญยึดมันถือมั่นก็คือกุกกุจจะ
มันจะฟุ้งก็ฟุ้งนิวเคลียร์ฟิชชัน ก็ปล่อยไปก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้ายึดเป็นกุกกุจจะก็ไม่สบายใจ ไม่สบายใจมากหรือไม่สบายใจน้อย ต่างจากเฉยๆที่เป็นแค่อุทธัจจะ ที่เป็นพลังงานนิวเคลียร์ฟิชชัน ไม่ได้ยึดติดอะไร ก็เห็นว่ามันมี อันนี้กระทบกับเรา
เกิดความร้อน ความเย็น มันก็เป็นไปของมัน เย็นก็เย็นร้อนก็ร้อน แต่เราไม่ไปรำคาญหรือต้องการ แต่ถ้าเราเห็นว่าความร้อนที่ต้องการใช้ เราก็เอามาใช้อย่างสุจริตไม่เบียดเบียนเป็นหนี้ใคร
สื่อธรรมะพ่อครู(สังโยชน์ 10) ตอน รูปราคะ อรูปราคะ และความว่างคืออะไร
รูปราคะ อรูปราคะ
ราคะคืออาการอย่างหนึ่ง ที่ขยายความว่า ราคะคือการอยากได้มาเสพรส มาสัมผัสเสียดสี ทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วมันก็เกิดรส เกิดอารมณ์ เวทนา เราเรียกว่าราคะ ถ้าหยาบเราเรียกว่ารูป เห็นได้ขัดเจน จับต้องได้ดีไม่ดีมีเส้น สี แสง รูปร่าง จับต้องได้ คือรูป
ถ้ามันไม่มีรูป แต่มันมีรส ดีไม่ดีรสดีกว่าเป็นรูปด้วย มันเกิดรสสมมุติ แต่ถ้าว่าบางทีมีรูปก็ดีกว่ามันครบกว่า ก็แล้วแต่อุปาทานเป็นไปเองหมด บางคนก็ว่า อย่างไม่มีรูปนี้ดีไม่ต้องกังวลอะไรใคร ถ้ามีรูปก็หยาบ มันก็อยู่ที่ความต้องการของตัวเองสมมุติเอาเองคิดเอาเอง บ้าไม่ดี
คำว่ารูปกับอรูป ก็ต่างกันที่ดูได้ง่ายกับดูได้ยาก ละเอียด หรือหยาบกว่ากัน
รูปภพ อรูปภพก็นัยเดียวกัน ต่างกันแค่คำว่าภพ คำว่าภพ ต้องอ่านหนังสือเราคิดอะไรที่อาตมาเอามาขยายความอธิบาย มันไม่ง่ายจะรู้ภพนะ เราหลงสร้างภพกันจริงๆ ถ้าคุณหมดภพชาติก็คืออรหันต์แต่ไม่รู้ก็นึกว่าเราไม่มีภพ แต่เราก็สร้างภพ
เช่นคนสร้างภพแห่งความว่าง เขาไม่เรียกภพ แต่เขาเรียกจิตว่างๆ ความว่าง คืออะไร คือทำอาการว่างให้ตนอาศัย มันก็ติดตรงนั้นเรียกว่าภพ
ที่จริงว่าง พระพุทธเจ้าบอกว่า จิตคุณ ว่างจากสิ่งที่คุณไปยึดเป็นตัวตน ยึดรูป อรูป ก็คือคุณไปยึดอันนั้นมาเป็นตน ไม่ว่าง จิตคุณคือธาตุรู้จะว่างจากสิ่งที่คุณยึดหรือไม่ยึด อันนี่คือสิ่งที่คุณต้องเรียนรู้
“จิตว่าง” คือ จิต“ว่าง”จากสิ่งที่คุณยึด ไม่ใช่จิตคุณไปยึด“ความว่าง” ...พ่อครู 9 ก.ค. 2560
เขาไปสมมุติอารมณ์ว่างแล้วไปชอบอารมณ์ว่าง อร่อยดี มันดี ไปต่างๆนานา เขาก็ไม่รู้ตัว เขาคิดว่าเขาว่างแต่ไม่ว่าง เขาไปเสพรส
เหมือนคุณไสว แก้วสม ดื่มเบียร์แล้วบอกว่าดื่มเบียร์ด้วยจิตว่าง แล้วมันเป็นภาระ เสียเงินทอง ไปดื่มทำไม เสียสุขภาพด้วย
SMS วันที่ 7 กรกฎาคม 2560 (พ่อครู-บ้านราช)
_7680กราบนมัสการพ่อครู โอชะบาลยุคนี้มันช่างซับซ้อนเหลือเกิน ถ้าไม่ได้ฟังธรรมที่ถูกตรง คงไม่มีทางรู้ว่าเราถูกหลอกให้หลงเสพอะไรกันอยู่บ้าง
พ่อครูว่า..น้ำโอชะบาน อาตมาแผลงมาจาก น้ำปานะ(น้ำอัฏฐบาน ) ที่อาตมาเคยรู้มาตั้งแต่ตอนเป็นเณร มีหน้าที่ชงน้ำอัฏฐบาน
_3867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บวรบ้านราชฯกับบ้านสันโดษ,วัดอัปปิจฉะ, โรงเรียนอาริยะในบวรโลกุตระทุกชุมชนพอเพียง
ภาษาธ.ใหม่ๆของญตธ.ที่ พ่อครูอ่านน่านำขึ้นจอให้ดูบ้างบางเรื่องแสดงทฤษฏีซับซ้อนเพิ่มขึ้นฟังไม่ถนัดยากเข้าใจ
ฟังคร่าวๆบ่เข้าใจหมดธ.ญตธ.คล้ายกับเพลงอาริยะ หมายเลข9ฤาเปล่าหนอ?
เมื่อใดพุทธแท้กระทบจิตแล้วผ่าแตกแบ่งขาวกับดำออกจากกันได้ไปจนกระทั่งแม้แต่แยกสะอาดกับธุลีด่างที่ซ่อนแฝงออกจากกันได้!ย่อมเกิดสุขสันติขึ้นในผู้นั้นๆและในโลกแล้ว!สัมมาสัมพุทธสาวก
SMS จากเฟซบุ๊ค 7 กรกฎาคม 2560
สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · คำพูดของคุณเอื้อฯ ฟังเข้าใจง่ายค่ะ ขอบคุณค่ะ
สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · คำพูดของพ่อครู ขอสารภาพ ยัง ฟังไม่เข้าใจมากอยู่ ด้วยหลายๆคำพูด หนัก และสูง เพิ่งได้ผ่านหู เพราะเพิ่ง จะมาสนใจ ฟังธรรมะของพ่อครู ก็ให้สงสัย และชื่นชม ชาวอโศกเก่งมาก ฟังรู้เรื่อง ใจ สาธุ ค่ะ
พ่อครูว่า ในเมื่อคนฟังรู้เรื่องได้ก็เพราะฉันก็เคยมีมาอย่างนี้ อย่างที่เราเคยติดก็มีมา เราเลิกได้ก็มีอีก มีทั้งโลกียะ และโลกุตระ คือมีทั้งเคหสิตะและเนกขัมสิตะที่หลุดออกมาได้ คนนั้นก็ไม่เพ้อเจ้อ ก็ฉันเคยผ่านมามีจริงรับรองได้ว่าไม่ได้บ้าไม่ได้โง่คนเดียว ไม่ได้อุปาทานคนเดียว อันนี้เรานึกว่าจริงตั้งนานมาแล้วกี่ชาติ พึ่งมาเข้าใจชาตินี้ ก็ล้างออกให้หมด
_ใจกลั่น · ศิลปะสำคัญมากค่ะ เห็นด้วยกับท่านติกขวีโร ที่ว่าไม่มีอะไรตายตัว ควรไม่ควรอย่างไรถ้าไม่มั่นใจให้ปรึกษาผู้รู้ได้ค่ะ แต่ข้อสำคัญอยู่ที่ใจที่เมตตา เห็นใจ และเข้าใจ พร้อมทั้งให้อภัยหากชาวอโศกมีอะไรไม่เหมาะสม พูดตรงๆไม่มีศิลปะ ก็กราบขออภัยด้วยนะคะ
_3867กราบอนุโมทนาเวียนธ.อาสาฬหจากทุกบวรอโศกโดย พ่อครูผู้ประสิทธิ์ธ.โลกุตระ ประสาทวิชชาพาอาริยะชนสัมฤทธิสัมมาอาริยะมรรค
ขอบคุณบุญนิยมกับธ.พุทธเทวะนิยมพึ่งพระคาถาธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตังดับทุกข์ได้ชั่วคราว!พุทธอเทวะนิยมพึ่งธัมมจักกัปปวัตนสูตรดับทุกข์ได้ทุกขณะจากเรียนรู้ทุกข์ด้วยอริยะสัจ4สาธุ!
_ลูกแร้งตามธ.พญาแร้ง
พ่อครูระวังพลังงานที่คิดค้นโดยภูมิปัญญาพื้นบ้านจะถูกปลาใหญ่ผูกขาด!ตอนนี้เขาจะออกพรบ.ผูกขาดพลังแสงอาทิตย์โดยแผงโซร์ล่าเซลล์ต้องจ่ายภาษีแพง?
ปราชญ์ชาวบ้านสร้างภูมิปัญญาชาวบ้านคิดค้นผลงานใดรีบจดทะเบียน ก่อนโดนผูกขาดผลปย.โดยชอบหายไปจากมือชาวบ้านฯ
พ่อครูว่า...ที่เราต้องจด เพราะว่าบางทีคนอื่นตีกินเอาของเราไปจดลิขสิทธิ์ แล้วเราก็เลยใช้ไม่ได้ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ทั้งที่เราคิดได้ก่อน แต่ถ้าเราจดแล้ว เราก็ไม่ได้ไปคิดค่าลิขสิทธิ์กับใคร ใครก็เอาไปใช้ได้ฟรี เราทำเพื่อป้องกันคนเลวทำเลว
มีเรื่องประกาศ มีระเบียบวิธีที่จะค้นหาความเป็นพระโสดาบันจากคนจริงๆ แล้วยืนยันสื่อกันให้รู้เรื่อง ก็เริ่มต้นทำไป ช่วงระหว่างวันที่ 9 กรกฎาคม - 9 ตุลาคม 2560 อาตมาจะเป็นที่ปรึกษาให้
ทีมงานวิจัยและพัฒนา จะขอจัดกิจกรรม ค้นหาพระโสดาบัน เอาให้จริง มันเป็นอย่างไรพระโสดาบัน เอาให้ชัด ยืนยันกัน เอาหลักฐานภายในเป็นตัวยืนยันว่าอย่างนี้คือ พระโสดาบัน อาตมาเทศน์มามากแล้ว ก็พยายามที่จะมากำชับสำทับตีกรอบให้เข้าใจให้ได้ สื่ออ่านเป็นสภาวะให้ได้อย่างนี้ๆ
มี context อย่างนี้มีกรอบของมันแค่นี้ context มันแคบกว่า content ต้นกลางปลาย อย่างนี้ให้ชัดเจน สมมุติเช่น
พ้นสักกายทิฏฐิ พ้นวิจิกิจฉา พ้นสีลพตปรามาส
มี โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ เป็นอย่างไร
ใครมีสภาวะอย่างนี้ก็มายืนยันกันให้มาก ร้อยคนพันคน ก็เป็นความรู้หลัก รับรองกันได้ ถ้าใครสามารถมี สื่อภาษาให้รู้กันได้ ว่าคนนี้พูดถูกหรือแม้แต่พูดถูกแต่คนนี้ไม่มี พูดแต่ปาก หรือคุณมี แต่พูดไม่ถูก แต่คนสังเกตได้ว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล หรือมันมีแต่สื่อไม่เป็น คนนี้ซื่อเซ่อ มีสภาวะโสดาบันแต่สื่อไม่รู้ภาษา เราก็จะเข้าใจกันได้ค้นเอาความจริงกันได้
1.จะจัดกิจกรรมกัน สังคมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน สัปดาห์ละหนึ่งครั้งตลอดพรรษา ตามหลักเสขปฏิปทาสูตรหรือหลักจรณะ 15 วิชชา 8 เอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาจับที่ท้าทายให้พิสูจน์ได้ทุกยุคสมัย
พระสมณโคดมสร้างศาสนามา 2600 ปีแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ก่อนก็บอกว่าความรู้นี้เหมือนกันหมดกับของพระสมณโคดม เดี๋ยวนี้ก็ยืนยันได้ สัจจะมีหนึ่งเดียวก็มายืนยันกัน มา ใครจะไปศึกษาวิชาการอะไรที่ไหนในโลก เช่นทางเกาหลีเหนือ จะศึกษาอาวุธร้ายกาจ เสียเวลาทุนรอน เราไม่เอาแบบนั้น คุณอยากพัฒนาแบบนั้นก็ทำไป เราเลิก เราพัฒนาแบบนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า แต่ทางโน้นมองว่าแบบที่เขาทำเป็นประโยชน์ต่อสังคม ก็เป็นความเห็นที่ต่างกัน ก็ว่ากันไป อย่างนั้นเราไม่ชอบ ดีไม่ดีเรามองว่าเลวร้ายด้วยก็เป็นสิทธิ์ที่เราจะมอง เราก็ห่างไกลจากวิธีนั้น (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
2.ร่วมกิจกรรม กำหนดมาตรฐานคุณธรรมของพระโสดาบัน ในระดับปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องคมชัดกว่า ปริยัติคืออย่างนี้ ลงมือปฏิบัติจนเกิดปฏิเวธ แทงตลอดครบครัน ภาษาสื่อสภาวะได้ อาตมาร่วมเป็นที่ปรึกษาได้ สงสัยอะไรก็อธิบายกัน อะไรรู้ตรงกันก็ใช้ได้
3.ร่วมกิจกรรมสรรหา กลั่นกรอง พระโสดาบันตามข้อที่ 2
มีการสัมภาษณ์ตอบแบบสอบถาม ตั้งตบะ เพื่อลดละเลิกสักกายะ หนึ่งพฤติกรรม
เอาสักหนึ่งพฤติกรรมมาเป็นตัวอย่าง Speciment ตัวอย่าง อย่างใหญ่ กลางใกล้ ไกล ละเอียด หยาบก็ว่ากันไป ตลอดพรรษาตามแบบฟอร์มที่แนบมานี้ ที่ได้ออกแบบมา ให้คะแนน เป็นระดับๆไป
มันก็มีวิธีการที่จะให้เกิดความรู้ และหยั่งถึงความจริงกันได้แบบนี้
4.ตรวจสอบและพัฒนา (ด้วยตัวเอง และ มิตรดีสหายดี) ให้ตรงตามฐานะ
นี่คือความตั้งใจของพวกเราทุกช่วยกันทำ ไม่ได้เพ้อเจ้อ ก็อยากให้ผู้มีหลักการวิธีการที่ใช้หลักการตามโลก เพื่อให้เกิดเสียงอ้างอิงยืนยันรับรอง เราก็ใช้ความรู้ต่างๆของโลกที่คิดขึ้นมา เราก็เอามาใช้ เท่าที่ เราจะเห็นควร ใครจะมาสังเกตการณ์ก็ได้ เราต้องการพัฒนาการความเป็นมนุษย์ ให้เจริญงอกงามขึ้นไป
การเป็นพระอาริยะหรือบรรลุธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เป็นโทษภัย ของตัวเองและสังคม แต่เป็นคุณค่าประโยชน์ ของตัวเองและสังคมตลอดกาลนาน
ถ้าจะแยกเป็นภาษาธรรมะก็พักตรงนี้
แต่ที่ว่าอีกอันเป็นการเมือง ใครจะแยกธรรมะกับการเมืองก็แล้วแต่ แต่อาตมาว่าแยกไม่ได้เหมือนเหรียญมีสองด้าน กระดาษสองหน้าก็เช่นกัน แยกกันไม่ได้
นี่คือความหมายของคำว่าธรรมะ 2 ของพระพุทธเจ้า คนเราแยกรูปนามจากกันไปไม่ร่วมกันไม่ได้ สัตว์เดรัจฉาน มีนามแต่โง่ ต้องมีนามที่เป็นวิชชา จะรู้ความเป็น อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ 77 ข้อ ตอน 1
อาตมาได้นิยามลงไปว่า ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ แต่ฉบับใหม่ก็เน้นไปอีกว่า ประชาธิปไตยดีสุด ต้องมีศีล เพิ่มจากคำว่าโลกุตระ แล้วเล่มนี้ก็จะพิมพ์ 77 ข้อนี้ลงไป เดือนสิงหาคมนี้
ประชาธิปไตยที่แท้คือหมดตัวตน เมื่อไม่มีตัวตน หมดตัวตนแล้ว ยังมีสมรรถนะสามารถ มีเมตตาเกื้อกูลคนอื่น อุตสาหะวิริยะทำเพื่อผู้อื่นด้วย คือเนื้อแท้ปชต. พวกเราชาวอโศกทำอยู่ จนเป็นสังคมประชาธิปไตยที่มีสาธารณโภคี
แล้วอาตมากำลังใช้บัญญัติอีกคำว่า บวร
สาธารณโภคีคือ สมบัติสาธารณะ คนที่อยู่ในนี้กินใช้ร่วมกันกับส่วนกลาง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ จะบอกว่าอันเดียวกับประชาธิปไตยก็ได้ จะบอกว่าของเผด็จการ แต่ถ้าผู้เผด็จการโลกุตระก็เนื้อแท้เดียวกัน อยู่ที่เนื้อแท้โลกุตระ ไม่เพื่อตัวเองเลย มีแต่ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
เรามั่นใจว่าถูกต้องก็ทำ แล้วเราก็ทำสำเร็จแล้ว แม้แต่เป็นกลุ่มน้อย ถ้าไทยเราจะเป็นประชาธิปไตย คนเข้าใจว่าประชาธิปไตยเป็นแบบไหน ทำให้เกิดความเดือดร้อนเบียดเบียนสังคมตรงไหน มีแต่ช่วยเหลือสังคมอย่างไม่เห็นแก่ตัว ก็ตรงไหม ถ้าใครเห็นด้วยก็มาช่วยกันปฏิสังขร สร้างทำให้ดี ให้ประชาธิปไตยแบบนี้ ขยายผลสู่มวลมนุษยชาติเท่าที่คนเห็นดีด้วย
ประชาธิปไตยในชาวอโศกอาตมานิยามว่า อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
ต่างจากของฝรั่งเศสที่มี อิสรเสรีภาพ เสมอภาพ ภราดรภาพ เขามีสามอย่าง แต่ของเรามีห้าอย่าง อย่างที่ฝรั่งเศสมีเราก็มี เราไม่มีเสมอภาพ แต่เรามีบูรณภาพ
ในห้าสภาพนี้อาตมาบัญญัติไว้นานแล้วอาตมาเรียกว่า บรมภาวะที่สุดประเสริฐของมนุษย์และสังคมอันควรได้
บูรณภาพ เท่ากับ Coefficient ขณะนี้เรากำลังบรรยาย ผู้สามารถมีคุณสมบัติ มีธรรมะ เกิดจากจิตวิญญาณเป็นตัวรู้ตัวเป็นทำได้ ประพฤติอย่างนั้นได้ แล้วก็เป็นตัวหลัก เป็นตัวจริงทั้งรู้และทำได้ เป็นจริงในแต่ละคน สัจจะมีหนึ่งเดียว
แต่ละคนมารวมกัน เป็นสนามแม่เหล็กแห่งโลกุตรธรรม คนไหนมีเต็มหรือไม่เต็มก็พอรู้กันได้ มีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา มีหลักเกณฑ์ประพฤติให้สู่ที่สูงสุด มีความเห็นสอดคล้องมี เป้าหมายเดียวกัน
ประชาธิปไตยดีสุดต้อง“โลกุตระ” 77 ข้อ
พ่อครูจบแค่ข้อ 22 ในวันนี้ ก็จบก่อน
สฟ.ว่า…กายต้องมีรูปและนาม ธรรมะสอง ระบบสาธารณโภคี อยู่ได้เพราะ จิตใจลดกิเลสอย่างเที่ยงแท้ ไม่กลับกำเริบ ไม่เปลี่ยนแปลง ...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 17:59:11 )
รายละเอียด
600710_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ 77 ข้อ(ตอน2)
สมณะเดินดินว่า…วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2560 ที่บ้านราชฯ วันนี้อบอุ่นมีคนมาเข้าพรรษากันเยอะ และวันนี้เป็นวันบวร ผู้ใหญ่ชาวชุมชนและนักเรียน มีว.นบ.มาพร้อมหน้าพร้อมตากัน
ช่วงนี้พ่อครูก็มีเรื่องจะขยายความ ประชาธิปไตยกันต่อ หลายคนอาจติดสนใจเรื่องละกิเลส ถ้าพูดเรื่องละกิเลสก็สนใจ แต่พอพูดเรื่องการเมืองก็ไม่สนใจ ขนาดคุณมาร์ติน วิลเลอร์มาจากอังกฤษก็ไม่สนใจ
แล้วเราจะเชื่อมโยงกับการลดกิเลสได้อย่างไร อาตมาได้คุยกับทนายรินไท ไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ แต่เอาหลักความยุติธรรมเป็นหลัก เพราะศาลเป็นเรื่องของความยุติธรรม
ประชาธิปไตยมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอัตตา ถ้าประเทศไหนประชาชนมีความเป็นอัตตามาก ประชาธิปไตยก็จะมีน้อย ถ้าประชาชนในประเทศไทย มีความยึดถืออัตตาน้อย ความเป็นประชาธิปไตยก็จะมีมากขึ้น มีความยุติธรรม ความเป็นธรรม สมดุล มัชฌิมา อรหันต์ก็มาทิศทางเดียวกัน
ในสังคมของเรา ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ต้องเลือก เพียงซาวเสียง เพราะไม่มีใครอยากจะแข่งเป็นกัน เป็นเรื่องที่พ่อครูสรุปว่า ประชาธิปไตยไม่ต้องมีเลือกตั้งก็ได้ เอาคนที่เป็นที่รับรู้กันในสังคม มาเป็นผู้นำ
แม้แต่ในสังคมเราหากมีการลดอัตตาจริงก็จะเป็นประชาธิปไตย แต่สังคมไหนไม่ได้ลดอัตตากันก็จะไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างที่เป็นกันทั่วโลก
พ่อครูว่า ประชาธิปไตยของไทย น่าจะเป็นต้นแบบของโลก เป็นมุมมองที่ทวนกระแสกับนักรัฐศาสตร์ทั่วโลก ซึ่งแม้แต่นายกฯก็ยังไม่กล้าพูดว่า บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย พ่อครูคงจะมาให้คำตอบว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร
พ่อครูว่า...ก็ขอตอบรับ เด็กๆ ได้ทำ ดอกกุหลาบ เอาใบเตยมาพับเป็นดอกกุหลาบ เขาเอามาเพื่อเป็นผลงานและก็เป็นเรื่องของความอุตสาหะฝึกฝน พยายามทำงานศิลปะ ขึ้นมา
_วันนี้เป็นวันกิจกรรม บวร 10 กค….งานที่รับผิดชอบวันนี้ ปลูกเตยหอมที่ข้างเฮือน สวน ตอนแรกการจัดงานยังไม่ลงตัว(เพราะเรายังไม่ชัดเจนว่าจะปลูกแบบไหน)แต่พออาๆ ที่เข้าใจบอกวิธีเตรียมกล้า บอกวิธีปลูก งานก็ลื่นไหล ใช้เวลาร่วมชั่วโมงงานก็หมด สิกขมาตุผู้ใหญ่ก็ไปนำกล้ามาเพิ่มระหว่างรอ ผู้ใหญ่ก็เลย พาเด็กพับดอกกุหลาบกันจากใบเตย แม้จะเป็นครั้งแรก ดอกไม้อาจจะไม่สวยนัก แต่ก็ตั้งใจนำมาถวายหลวงปู่ค่ะ(กลุ่มไรอะ) จึงกลั่นกรองบทกลอนมาถวายหลวงปู่จากใจค่ะ
กุหลาบนี้น้อมส่งมาถวาย จากหัวใจงานของกลุ่มชื่อไรอะ
เช้าปลูกเตยปลุกวิญญาณโลกุตระ ร่วมสารณียะตามพ่อครู
กุหลาบนี้น้อมส่งมาบูชาพ่อ มุ่งสืบต่อสืบสานเป็นงานศิลป์
จากใจลูก ถึงพ่อกอบก่อวิญญ์ บวรศิลป์ โลกุตระธรรมาธิปไตย
กลุ่มไรอะ+ว.นบ.ขยะวิทยา
พ่อครูว่า ยังไม่ถูกแบบแผนของกวีเขาบ้าง ก่อนจะได้ต่อเรื่องของประชาธิปไตยที่อาตมาก็ว่าเป็นความถูก ที่ได้ขยายกำหนดนิยาม 77 ข้อ เราอธิบายไป 22 ข้อยังเหลืออีก 55 ข้อ ก็ขอตอบรับ sms ก่อน
SMS วันที่ 9 กรกฎาคม 2560 (พ่อครู-วิถีอาริยธรรม)
3867 นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บวรบ้านราชฯทุกอโศกกับธ.จำศีลธ.โลกุตระลด ละเลิกอบายโลกียะด้วยธ.เทศนาอนุปุพพิกถาในเข้าพรรษาตลอดฤดูกาล
ทุกเข้าพรรษาพ่อครูเคยเทศนาธ.ทานกถา,สีลกถาสัคคกถากา,มาทีนวกถา,เนกขัมมานิสังสกถา!สงสัยธ.อนุปุพพพิกถา5ชำระผีปชธต.น้ำเน่าล้างให้เป็นเทพปชธต.น้ำดีได้ไหมหนอ?
ปชธต.ขาเดียวไม่มีศูนย์รวม3เส้าในดวงใจไทยอย่างปชธต.2ขาคือปชช.ในช.!พุทธบริษัท4ในศ.!พระบารมีปกเกล้าในกษฯ!ปชธตขาเดียวจึงขาดสุขสงบสันติภาพจากสามัคคีปชช.ในช.!จากศีลธ.พุทธชนในศ.
พ่อครูว่า ในนิวเคลียสมีพลังงานบวก ลบ อยู่แต่ถ้าไม่เคลื่อนกระทบกันก็ไม่เกิดอะไร แต่ถ้ามีอะไรมาทำให้มันเคลื่อนกระทบกันก็เกิดพลังงานรุนแรง เป็นปรมาณู แต่ก่อนแค่อณูก็เล็กแล้วแต่นี่ปรมาณู
ใช้ภาษาร่วมสมัยอธิบาย ก็จะมีสิ่งก้าวหน้ากว่านี้ไปเรื่อยๆ เปรยมาว่า ทำไมไม่พูดอนุปุพพิกถา ก็ขอพูดคร่าวๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(อนุปุพพกิกถา) ตอน อนุปุพพิกถา5
อนุปุพพิกถา5 มันครบทุกอย่างของนามธรรมสัจจะ ห้ามีอะไรบ้าง
ทาน ศีล สัคคะ กามาทีนวะ เนกขัมมะ
ทาน ศีล แล้วเกิดจิตเป็นสวรรค์ เทวดา คือโลกีย์ มีภพชาติ ศาสนาโลกีย์ เทวนิยม สวรรค์ใหญ่สุดสูงสุดคือพระเจ้า ซึ่งมีแต่เมตตา ไม่ทำร้ายใคร ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างที่สุด มีน้ำพระทัยยิ่งใหญ่มาก เหนื่อยช่วยโลก ดีที่สุด ช่วยอย่างไรๆก็ไม่หมดเพราะมวลมนุษยชาติมีเยอะมาก เป็นความรู้โลกียะทำได้ขนาดนั้น
โลกุตระจะต่างจากโลกียะคือจะไม่ทำอย่างไม่รู้กรอบขอบเขต เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย แต่จะมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 มีรายละเอียดกว่าเทวนิยมโลกียธรรมมาก แต่จะเป็นไปได้อย่างเต็มเป็นลำดับ ไม่ลอยลมเพ้อพก
ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงรู้จักสวรรค์ ที่ต้องใช้พลังงาน calory เมื่อสถานะพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปติดสวรรค์เสพรสสุข ชอบใจ เป็นเวทนาในเวทนา ไม่ต้องเสพ เราติดใจก็เสียเวลา แรงงาน เสียพลังงานไป ซับซ้อนหลายชั้น ก็พระพุทธเจ้าเห็นว่า ตัดรอบเลย ไม่มีก็ไม่เสียหาย มีแต่ประหยัดมาเป็นประโยชน์
เอาพลังงาน แคลอรี่มาสร้างสิ่งที่จำเป็นดีกว่า ถึงไม่มีสวรรค์ อสังสัคคะ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาไม่มีสวรรค์ ในอนุปุพพิกถา ท่านก็สอนให้เห็นโทษของสวรรค์ สวรรค์นี้ผลาญเปลือง เป็นรสเก๊ อุปาทาน มันไม่ต้องเสพก็ได้ไม่ต้องเสียเวลาแรงงานทุนรอน แล้วได้ แคลอรี่ คืนมา ทุนรอนแรงงานมาได้เอามาใช้ประโยชน์ได้อีกเยอะ
มันเป็นสัจจะที่คนมีปัญญาจะเข้าใจ ไม่จำเป็นจะต้องไปเสพ เสพแล้วก็ไม่เที่่ยง เสพแล้วก็เลิก แล้วก็มาเสพใหม่ แล้วก็เลิก หายไปๆ แล้วก็ติดใจ ไม่หมด ติดใจก็เสพ เสพแล้วก็หายๆ ก็เลือกมาหลุดพ้นไม่ต้องเสพ ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ไม่มี เราไม่เสพก็ไม่มีทั้งสวรรค์และนรก ไม่มีใครต้องการนรก แต่คุณไปอยากเสพสวรรค์ก็ได้นรก ได้เสพก็ได้นรก
หากหมดสวรรค์ก็หมดนรก ดับสวรรค์ดับเหตุที่ไปหลงสวรรค์คือตัณหา ดับได้อย่างสนิทจริง นรกก็หมด เพราะนรกกับสวรรค์เป็นธรรมะสอง เป็นเมถุน
พระพุทธเจ้าสอนต่อ ทาน ศีล สัคคะ
แล้วก็ต้องมีตัวที่รู้ชัดเจนว่า ความอยากเสพบำเรอความอยากกาม เป็นโทษ กามาทีนวะ สัมผัสแล้วได้สวรรค์มันเป็นโทษ ไม่เป็นคุณอะไรเลย เราเรียกแต่ว่ากามคุณ คำว่ากามคุณคือภาษาเรียกของปุถุชน แต่จริงมันคือ กามโทษ คือกาม + อาทีนวะ(โทษ) ศาสนาพุทธถึงได้ให้พยายามพูดและเรียนรู้กัน ถึงกามาทีนวะ มีกถา พูดและอธิบายกล่าวให้รู้ถึงโทษภัยของกามไม่ใช่เรียนรู้คุณของกาม คือกามคุณ ต้องพูดถึงกามาทีนวะไม่ใช่กามคุณ ให้พูดไปถึงการเห็นโทษของกามนี่คือหลักที่สามของอนุปุพพิกกถา
ใครไม่มาเรียนรู้ อนุปุพพิกกถาจึงไม่ได้มาเรียนรู้โทษของกาม ใครสามารถชัดเจนมาพูดถึงโทษของกาม กามาทีนวะ อย่าไปหลงปิดบังโทษของกาม อย่าไปอำพรางอย่าโง่ไม่รู้จัก ต้องรู้จัก อย่าโง่ ต้องรู้จักว่าโทษของกามไม่ใช่คุณ ถ้าอย่างนั้นไม่มีทางหลุดพ้น
จึงต้องออกจากกาม เนกขัมมะ คืออานิสงส์ของการพูดให้ออกจากกาม เนกขัมมานิสังสคาถา พูดให้ออกจากกามกันให้ได้ ออกจากกามให้ได้ เห็นโทษของกามให้ได้
สองทิศทาง คำว่า ศีล คำว่าทาน เป็นสองการประพฤติ ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติให้ ขัดเกลากิเลสตนเอง เรียกว่าศีล ไปตามลำดับ มีการทำเพื่อขัดเกลากิเลส ทาน ก็เพื่อขัดเกลากิเลส ศีลก็เพื่อขัดเกลากิเลสเพื่อเอาออก ไม่ใช่เพื่อเอามาให้แก่ตัวเองเลย พูดถึงบุญคือการชำระกิเลสออก ไม่มีอะไรเอาคืนมา
ผู้ใดไม่เข้าใจคมชัดแม่นละเอียดอย่างที่ว่าก็ไม่จบ ปฏิบัติธรรมมะก็ไม่ได้
_(ต่อ) กราบอนุโมทนาธรรมาธิปไตยในเข้าพรรษาโดยพ่อครูกับปชธต.2ขาตามรธน.จากผู้ทรงอำนาจอธิปไตยกับอำนาจอธิปไตยปวงชน ร่วมกันกับสถาบันสูงสุดกับปชช.ได้รับปย.สุขจากการบริหารโดยชอบการปกครองโดยธรรม
จากไลน์...
_วันทิพย์ ขอตั้งตบะเพิ่มจะไม่พูดเพ้อเจ้อ ไร้สาระอีกต่อไป
_อัมพร ผมมีข้อสงสัยอย่างยิ่งครับ คือ ตามตรรกะทำให้เข้าใจว่าพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธะเป็นผู้หญิงก็ได้ เพราะคนที่มีความจริงขั้นสูงสุด(ปรมัตถ์)สื่อความจริงออกมากลายเป็นสมมุติ(มายา) ก็เลยเป็นมายาขั้นสูงสุดเหมือนกัน เพื่อที่จะให้เกิดสิ่งสูงสุด แม้เกิดแล้วก็มาอนุโลมทำตามสมมุติก็เลยเป็นเสมือนมายาอยู่ดี เพราะเป็นลูกของมายา เข้าใจอย่างนี้พอได้มั้ยครับ ถ้าไม่สมควรก็กราบขออภัยอย่างสูงนะครับ...
พ่อครูว่า...ได้พอเป็นสมมุติก็เป็นมายาทันที แต่มายานี้คือยิ่งใหญ่ สิริมหามายา เป็นนามธรรม อจินไตย ทำไมแม่ของพระพุทธเจ้าจึงใช้คำว่ามายา อย่าคิดเลยจะหัวแตกเพราะเป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องจะต้องเป็นสิ่งที่เกิดอย่างนี้เป็นอย่างนี้ เพื่อเอามาใช้อธิบายยืนยันได้ ทุกวันนี้อาตมาจึงได้หยิบมาอธิบายให้ฟัง ทำไมอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรยืนยันเป็น รูปนาม เป็นสมมุติปรมัตถ์ ก็เป็นหนึ่งศึกษาให้ดีแล้วเราจะเข้าใจอย่างซาบซึ้งว่า สมมุติ-ปรมัตถ์ ต้องลงตัวจริงๆ บางอย่างอย่าถามเลย พระพุทธเจ้า ประสูติจะต้องเดิน 7 ก้าว อย่างนี้เป็นต้นหรือว่า ประสูติตรัสรู้ปรินิพพาน ต้องวันเพ็ญเดือนหก มันตรงกันลงตัวกันทั้งกรรมและกาละ หากไม่เช่นนั้นไม่สุดยอด
อาตมาก็เคยคิดว่าทำไมเราไม่เกิดลงตัวแบบพระพุทธเจ้า ทำไมเราต้องแปดค่ำเดือน7 แม้พ.ศ.ก็ 77 อาตมาเกิดแรม 8 ค่ำ ที่จริงน่าจะขึ้น 7 ค่ำเดือน7 พ.ศ.77 แต่ก่อนไม่เข้าใจก็ไปนึกว่าทำไม แต่ความจริงแล้วมันต้องลงไปตามสัจจะ
_ไม่เข้าใจอีกประเด็น แม่ที่ให้กำเนิด กับแม่เลี้ยงครับ?
อายุ7วัน มองแบบเลขอาขยาน เป็นเลขที่เติบโตเองได้แล้ว เพราะเลยเส้าที่สอง(123,456)ตั้งต้นใหม่ได้แล้วเลยครึ่งมาแล้วและเคยฟังพ่อครูมาว่า"หมดหน้าที่ของกลีบเลี้ยง ต้องปล่อยให้เติบโตเอง"(เทียบกับการของถั่ว) กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า…มันต้องมีความเป็นแม่ที่บอกว่านัตถิมาตา อัตถิมาตา เราต้องเข้าใจความเป็นแม่ที่เป็นผลประโยชน์ เป็นแม่ทางนามธรรม โลกุตรธรรม แม่ที่ช่วยสร้างโลกุตรธรรม แม่ที่ช่วยให้กำเนิด ตั้งแต่มี DNA คลอดออกไปเลย ครบทาง DNA ครบทางกรรม วิญญาณ ครบทั้งสายเลือด สรีระ ครบทางจิตวิญญาณด้วย คือเรียกว่าแม่ ถ้าเอา DNA เป็นหลักคือแม่ผู้ให้กำเนิน แต่แม่ที่ให้กำเนิดจิตวิญญาณมันเจริญทางจิตวิญญาณ แต่แม่ที่ให้กำเนิดอาจให้แค่ DNA สรีระ
ผู้ให้กำเนิด เป็นแม่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญจะได้เป็น จะต้องมีบารมี เอาเถอะ มีบารมีสูงสุดอย่างสมณโคดม แม้เป็นองค์เล็กที่สุด กัปป์สุดท้ายในยุคนี้แล้ว ตามโวหารเหมือนต่ำต้อยกว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น แต่องค์ประกอบสมมุติวัตถุดูเหมือนด้อย
อาตมาเคยอธิบายว่าสอนคนโง่มากๆเราก็ได้ผลน้อยสอนยากมากด้วย ถ้าสอนคนฉลาดๆเลยสอนง่าย ได้ผลมากด้วย คิดค่าทางเศรษฐศาสตร์แล้วได้ผลเท่ากันหมดเลย
สรุปแล้ว แม่เลี้ยงคือผู้ที่ให้กำเนิดทาง โลกุตรธรรม ส่วนแม่ผู้ให้กำเนิดสรีระ เพียงเจ็ดวันก็สิ้นชีวิตแล้ว อย่างไรก็ตามต้องมีบารมีมาก อยู่ดีๆจะมาเป็นแม่พระพุทธเจ้าไม่ได้ ที่จะเป็นแม่พระพุทธเจ้านี้ ได้ทั้งกุศลโลกียะ และกุศลโลกุตระด้วยนะ
_สุนันท์...อยากฝากอาถามพ่อครู ให้หน่อย. เวลาเรา หลับ หรือ ยังไม่หลับ. เกิดมโนมยอัตตา พอเราจับมันได้ จะดับมันยังไง แล้วทำจิตยังไงให้ทันมัน
พ่อครูว่า…ก็คุณต้องรู้ด้วยปัญญา จะดับต้องรู้ด้วยปัญญา ว่าอะไรเกิดขึ้นมา
มโนมยอัตตาคือสำเร็จด้วยจิตที่เราปรุงขึ้นมา ก็ตามหาเหตุที่เราปรุง มโนมยอัตตามีทั้งภายนอกและภายใน
ภายนอกปรุงจนเห็นรูป เช่นเห็นนางตานี เห็นผี นางตานีนี่เขาสัมผัสกันจนสมสู่กันเลย เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ อาตมาก็เคยอธิบาย พลังงานมโนมยอัตตา ถึงขนาดแม้ไม่เป็นรูปร่างแต่เป็นพลังงาน ทำให้หนังเหนียว เหยียบไฟไม่ร้อนเลย มีฤทธิ์เดช เหาะเหินเดินน้ำดำดินได้ ทำได้แต่ไม่ถาวร ต้องใช้พลังงานในการทำ ได้เป็นชั่วครั้งคราว และจะเก่งไปได้ไกล นาน เป็นไปได้ยาก ดูอย่างดาบส เหาะไปเห็นสนมอาบน้ำก็ตกลงมาเลย รวมพลังจะเหาะอีกไม่ได้เลยต้องเดินไป อับอาย กิเลสเข้า อับอาย อย่างนี้เป็นต้น
ก็ค่อยๆเรียนรู้ไป ตั้งแต่ความเกิด ที่มี ล.15[803] "รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะจากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา) มาจากนามธรรมเป็นประธานให้เกิด
_สมณะบินก้าวแจ้งมาว่า มีโยม มาชวนสนทนา เรื่องพระอานนท์ แล้วเกิดสงสัย ตั้งข้อสังเกต ถามผม ผมตอบไม่ได้ จึงฝากกราบถามมายังพ่อท่านว่า...
1. พ่อท่าน พอจะทราบเหตุผลหรือไม่ครับ... ทำไม พระอานนท์ บวชมานานถึง 19 พรรษา พอถึงพรรษาที่ 20 จึงเพิ่งมารับหน้าที่เป็นผู้ติดตามปรนนิบัติรับใช้พระพุทธเจ้าทั้งที่ตนบำเพ็ญบารมีมาเพื่องานนี้ โดยตรง ?!! ทำไม จึงไม่รับหน้าที่... ตั้งแต่มาบวช...มีเหตปัจจัยใด ที่เป็นเช่นนี้ ครับผม ? และ
พ่อครูว่า…ก็ 19 ปียังไม่บรรลุนิติภาวะ ก็ไม่เอามาเป็นผู้รับใช้ไม่สมสัดส่วนก็ไม่ดูดี จะเอามาเป็นต้องเหมาะสมตามหน้าที่
2. หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระอานนท์ ก็เป็นพระอรหันต์มีความพิเศษด้วย โดย มีชีวิตต่อมาอีกถึง 40 ปี คือ มีอายุ 120 ปี หากกลับไม่มีเรื่องราว ประวัติให้ศึกษาติดตามเลย เพิ่งมามีกล่าวถึงท่านอีกครั้ง ก็ตอนดับขันธ์ และ ตามประวัติเป็นการดับขันธ์ที่ต่างไปจากสาวกท่านอื่นอย่างมาก คือ ลอยกลางอากาศเข้าเตโชฯ เหนือแม่น้ำ ฯ เผาร่างตนกลางอากาศแล้วกระดูกที่เผาแล้วแยกเป็นสองส่วน เพื่อให้ไปตกในสองเมืองที่เป็นญาติ...เพื่อจะได้ไม่เกิดแก่งกระดูกแย่งกันภายหลัง...
พ่อครูว่า...พระอานนท์ติดตามพระพุทธเจ้าตลอด ถ้าอยากจะรู้ว่าเกิดตามพระอานนท์ก็แล้วกัน พระอานนท์เป็นพระโพธิสัตว์ จะได้รู้ว่าท่านเป็นอย่างไร ท่านเก็บของพระพุทธเจ้าไว้หมด แม้แต่สิ่งใดที่ท่านไม่ได้ตรัสแล้วพระอานนท์รู้ท่านก็มาบอก พระอานนท์เป็นผู้ที่รู้ทุกอย่างของพระพุทธเจ้า และประพฤติกับพระพุทธเจ้ามาตลอดกาล จึงเก็บเอารายละเอียดมาบรรยายได้อีก เป็นอีกงานหนึ่ง งานนี้ยังจะมีต่อไปอีก งานที่จะต้องเก็บประวัติของพระอานนท์ก็จะมีอีก ถามว่าทำไมยังไม่มี ก็ยังไม่ใช่ยุคของพระอานนท์ ไม่งั้นมันจะเยอะเกินไป
_ฝนเอื้อฟ้า ขอส่งการบ้านในสิ่งที่พ่อครูสอน และสิ่งที่ตนรู้สึกประทับใจนะคะ เมื่อถัดจากหัวข้อของในวันนี้จะเป็นหัวข้อสุดท้ายที่จะขออนุญาต พ่อครูมิต้องเอยชื่อ : ฝนเอื้อฟ้าอีก เพราะหนูไม่ได้สำคัญหรือดีมากอะไรแค่กำลังจะ....เท่านั้นค่ะพ่อครู
หมายเหตุ ขออนุญาติแจ้งพ่อครูอีกเรื่องค่ะ อย่าพึ่งให้หนูใช้บริการเลข 4 เร็วเกินไปเลยนะคะ แม้มันจะต้องมาถึงในซักวันนึง หนูเกิด วันที่ 20 พฤษภาคม 2522 ผ่านวันเกิดมา 1 เดือนกว่าๆ อายุ 38 จึงขอเรียนมาให้พ่อครูทราบค่ะ
มาเข้าสู่บทเรียนข้อความของหนูอาจมีส่วนเกี่ยวโยงบ้างกับหัวข้อประชาธิปไตยดีสุดต้อง โลกุตระ 77ของพ่อครูแต่บางเบาไม่ลึกซึ้งเท่า หนูได้อ่านครบหมดแล้วเพียงแต่ตัองทำความเข้าใจอีกหลายๆรอบ แต่วันนี้หนูจะขอเสริมในบางจุดที่สะดุดใจค่ะ ตามความรู้สึกของตนเอง
ตั้งชื่อ หัวข้อเรี่องว่า
มณเฑียรบาลนี้เพื่อเธอ ( คำว่าเพื่อเธอ คือ ในหลวง ร.9 ทรงทำเพื่อประชาชน รักประชาชนทุกคนบทแผ่นดินไทย อย่างที่พ่อครูเคยสอนพวกเราให้รับทราบเรื่องราวของพระองค์ และใช้คำว่า พหุชนาญาสิทธิราชย์ (
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:01:57 )
รายละเอียด
600712_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ญาณ 3 สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ
สมณะฟ้าไทว่า…วันพุธที่ 12 กรกฎาคม 2560 แรม 4 ค่ำเดือน 8 ปีระกา ที่ราชธานีอโศก พ่อครูแสดงธรรมทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ในรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอนนี้เน้นเรื่องประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ ฟังมา 40 กว่าข้อก็มีธรรมะเต็มไปหมด มาแจกแจงเรื่องกาย
คำว่าประชาธิปไตย ยังเป็นธรรมะ คำว่าผู้นำเป็นประชาธิปไตย กษัตริย์เป็นประชาธิปไตย ผู้นำและประชาชน ต้องมี โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) ถ้าพ่อครูอายุยืนยาวไปถึง 151 ปี สังคมคงดีกว่านี้มาก
พ่อครูว่า...ถ้าอยู่ถึง 151 ปีและมีเงื่อนไขว่า ต้องทำงานได้อยู่นะ ผมมั่นใจว่าสัมมาทิฏฐิ ตามที่ผมพาทำ จะเฟื่องไปถึงต่างประเทศ แต่เขาอาจเข้าถึงยังไม่ได้เพราะแม้แต่ชาวพุทธในไทยเอง แม้มีหลักฐานก็ต่างฟังกันอย่างเผินๆ ถ้าผมอยู่ 151 ปี เมืองนอกจะมาได้โลกุตระก่อนนะเพราะเมืองไทยมีอคติ
และผมไม่ไปต่างประเทศ หนึ่งภาษาผมไม่ได้และสองผมเจตนาให้คนในเมืองไทยได้ก่อน
ความหมายของผม คือ จะต้องสร้างแก่นแกนให้มี status มี static เป็นตัวตั้งต้นที่มีคุณภาพเต็มที่ก่อน แล้วจะมีรังสีออกไปให้ง่ายขึ้น ไม่อย่างนั้นจะช้า ต้องสะสม ต้องมีก้อนแท้ที่มีคุณภาพ ที่แข็งแรงเพียงพอ
สมณะฟ้าไทว่า...เราจะให้พ่อครูอยู่ 151 ปีแข็งแรง พวกเราก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนพ่อครูไปด้วย ถึงตอนนั้นเราจะดูสังคมที่มีผู้นำเป็นโลกุตระ มีนักการเมืองเป็นพระอาริยะพระอรหันต์ พูดแล้วก็น่าอยู่นะ แต่อย่างไรก็ให้พ่อครูอยู่ถึงก็แล้วกัน เรา ไปก่อนไม่เป็นไร
พ่อครูว่า...ก่อนจะได้พูดกันก็มี ฝากประชาสัมพันธ์
อาตมาก็บกพร่องไม่ได้ย้ำ สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ พวกเราเลยวนไม่รู้แล้ว ได้หรือไม่ได้
กิจกรรมค้นหาพระโสดาบัน
เนื่องด้วย ช่วงเข้าพรรษานี้ ระหว่าง วันที่ 9 กรกฎาคม ถึง 9 ตุลาคม 2560 ทีมงานวิจัยและพัฒนา จะขอจัดกิจกรรม ค้นหาพระโสดาบัน มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.จัดกิจกรรม สังคมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สัปดาห์ละ 1 ครั้งตลอดพรรษา ตามหลักเสขปฏิปทาสูตร หรือ จรณะ 15 วิชา 8 เป็นทฤษฏีที่สมบูรณ์แบบ ที่พระพุทธองค์ ท้าทายให้มาพิสูจน์ ในทุกยุค ทุกสมัย
2.ร่วมกิจกรรม กำหนดมาตรฐานคุณธรรมของพระโสดาบัน ในระดับ ปริยัติ, ปฏิบัติ, และปฏิเวธ
3.ร่วมกิจกรรม สรรหา และกลั่นกรองพระโสดาบัน ตาม เกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ในข้อ 2 สัมภาษณ์, ตอบแบบสอบถาม แบบฝึกหัดการ ตั้งตบะ เพื่อ ลด-ละ-เลิก สักกายะ 1 พฤติกรรม ตลอดพรรษา ตามแบบฟอร์มที่แนบมานี้
4.ตรวจสอบและพัฒนา (ด้วยตนเอง และมิตรดี – สหายดี ให้ตรงตามฐานะ)
5.จัดตั้งคณะกรรมการกลุ่มเพื่อพิจารณากระบวนการข้างต้น
จึงกราบเรียนมา เพื่อให้ท่านรับทราบ และพิจารณา (วันเวลา ในการจัดกิจกรรม ขอให้ทาง บวร ราชธานีอโศก เป็นผู้กำหนด)
ทีมวิจัยและพัฒนา
9 กรกฎาคม 2560
กิจกรรมที่เราทำแม้ลากไป ฝืนทำ เราตั้งใจทำ คนอื่นอาจมองอย่างดูแคลน ถูลู่ถูกังไปทำไม ใครจะลบอยู่อย่างไร เราก็จะทำ เพราะเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ใครจะว่าไม่ได้เรื่องอะไร แต่เราว่าเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งใหญ่ ใครจะว่าไปแสวงหาทำอย่างไรจะรวย จะโด่งดัง ทำอย่างไรจะเป็นลําไย ไหทองคํา ปุ๊บมาดังเลย ทั้งโลกจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ แต่เราก็ทำสิ่งดีของเราใครจะว่าไม่ได้ผล แต่เราได้ผลมาถึงทุกวันนี้ ก็จะขอขยายความ สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ
ใครว่าไม่ได้ผล อาตมาว่า ชาวอโศกพัฒนามาได้ผล แม้แต่พวกเราเองบางทียังเบลอ ไม่รู้ว่าเราได้ผล ได้แล้วก็วนมาทำอีกซ้ำซากเพราะไม่ชัดเจนใน สามญาณนี้ สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ
_เชิญร่วมกิจกรรมค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
ค่าย “เข้าพรรษาร่วมอาสา มุ่งมาเกิดโลกุตระ”
ครั้งที่ 20 ณ บวร ราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 14 - อาทิตย์ที่ 16 กรกฏาคม 2560
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่ายโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ (จะมาเต็มค่ายหรือไม่ก็ได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
ดาวโหลดใบสมัครส่งใบสมัคร onlineได้ที่เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP
_มีกวีที่เขียนมาว่า…
ปฏิสันถาน งานหนึ่งพึงตระหนัก อโศกมักหนักใจใคร่หลีกหนี
ควรเผื่อแผ่ เอื้อเฟื้อเกื้ออารีย์ สังคมดีมีผล คนเป็นแปลง
ทำยังไง ได้เห็นเป็นเช่น รู้จักกันฉันมิตร คิดแถลง
อัชฌาสัยไมตรีมีมาแสดง คุณค่าแรงยิ่งนักรักพอเพียง
ในสำนึกฝึกไว้ให้ความรัก ได้รู้จักซักถาม ยามส่งเสียง
สังคมดี อยู่ไปไม่สำเนียง ควงคู่เคียงหมู่เราเฝ้าเจรจา
มวลมิตรใหม่สดใสให้ได้คิด เป็นนิมิตฟ้าเปิดเกิดศึกษา
เผยภพภูมิชั่วดีมีปัญญา อย่างสัมมาอาริยะมโนธรรม
นักกลอนใหม่
พ่อครูว่า...นักกลอนใหม่ ไปติดใจภาษาสัมผัสก่อนเนื้อหา เนื้อหาเลยไม่ดี ต้องเอาเนื้อหาก่อน แล้วถึงเอาสัมผัส อาตมาเล่นกลอนมาก่อน
_ช่วยกรุณาแจกแจงโครงการ อินทราโศก …พ่อครูว่าที่จริงต้องเป็น อินทผาลัมอโศก จะปลูกอินทผลัมล้านต้นเพื่อช่วยชาวโลก
พ่อครูว่า...ทำไมใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ คือมันมีใจอย่างนี้อาตมาว่า คือจะเพาะแล้วปลูกมันไม่ง่ายนัก แล้วจะปลูกไปทั่ว แล้วจะออกลูก ใครจะมาเก็บผลกินก็ได้เลย ไม่ต้องมีเจ้าของ ปลูกทั่วไปให้ได้มากๆ นี่ก็ไปเกิดฟิตอะไรขึ้นมา จะเอาอินทผาลัมล้านต้น
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน สิ่งเสพติดทั่วโลกคือสมาร์ทโฟน
การทำพืชพันธุ์ธัญญาหารนี้อาตมาส่งเสริมจะเก่งอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์อย่างไร คุณต้องกินอาหาร เพราะฉะนั้นการปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารนี้ทำไปเถอะ ให้มันล้นโลก ให้เน่าทิ้งก็ยังดี ดีกว่าไปสร้างสิ่งเป็นโทษ อาตมากำลังกล่าวโทษก็คือที่จิ้มๆนี้ เป็นสิ่งเสพติดทั่วโลก เป็นสิ่งเสพติดร้ายแรงที่สุดในยุคนี้ สิ่งเสพติด เสียเวลาแรงงาน มักง่าย ใจเร็วด่วนได้ สารพัด อยู่ในนี้หมด
เพื่อให้คนบริโภคของเขา เสร็จแล้วกลายเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดเลย มันมีประโยชน์ อาตมาไม่ได้โง่ไม่รู้ว่า มันมีประโยชน์ไม่ใช่น้อย แต่มันซ้อน กลายเป็นสิ่งเสพติด ที่ทำให้นิสัยเสีย เลวร้ายซ้อนในนี้เยอะ
ถ้าไม่มีซะ อาตมาว่าโลกจะดีกว่านี้เยอะ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร อาจมองว่ามันมีประโยชน์ แต่อาตมามองออกว่ามันเสีย ตัวเองก็ไม่ได้ปฏิเสธประโยชน์ แต่มองไปในมุมเสีย อยากให้ชาวอโศกสังวร หากติดหนักหนาก็เพลาบ้าง ก็แทนที่จะเสียเวลาจมไปกับอันนี้ เงินก็จ่าย งานก็เสีย
ถ้าอะไรไม่จำเป็น พยายามรู้เอง อย่าไปกดมันเลย จะเสียเวลาจะใช้เวลาต้องทำ ลงทุนลงแรงจะทำก็ต้องทำอย่าให้ไอ้นั่นเอาไปกินหมด อีกหน่อยก็กดอย่างเดียว มาเป็นจานให้กินเลย
SMS วันที่ 10 กรกฎาคม 2560 (พ่อครู-บ้านราช)
_3867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บวรบ้านราชฯนร.สส ข.เยาวอาริยะชนฯทุกๆบวรโลกุตระอโศก
_3867พ่อครูกล่าวถึงพระนางสิริมหามายาพระมารดาในพระสมณโคดมฯทำให้นึกถึงสมเด็จพระศรีนครินทราพระมารดาในร.9พระโพธิสัตว์ผู้ทรงทศพิธราชธรรมฯคงทรงมีบุญญาธิการบารมีสั่งสมมาดุจเดียวกัน
มารดาบิดาท่านว่าเป็นบุรพาจารย์(อาจารย์คนแรก)ของบุตร(พุทธภาษิต)
มารดาบิดาท่านว่าเป็นพรหมของบุตร(พุทธภาษิต)
ลูกไทยภูมิใจมีพ่อหลวงฯดุจพระบุรพาจารย์องค์แรกแห่งแผ่นดินฯมีสมเด็จแม่ฯในร.10ดุจพระพรหมของลูกไทยทั้งแผ่นดิน
_0015ช่วงเข้าพรรษารัฐบาลน่าจะรณรงค์ให้ ปชช.ลด ละ เลิกอบายมุข และรัฐฯงดการออกหวย งดขายสุรา บุหรี่ จะเป็นการคืนความสุขให้ปชช. ทันทีอย่างแท้จริงครับ
พลังงาน"สัมประสิทธิ์" สามารถเทียบเคียงกับพลังขับในระบบ"เทอร์โบ"ของรถยนต์ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า...พลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient
1 มันมีตัวตั้ง ตัวคงที่ constant พลังงานบวก
2 มีตัว dynamic พลังงานลบ
มีพลังงานบวกและลบ รวมกันทั้งคู่ รวมกันเป็น static ตัวตั้ง แล้วก็มีพลังงานที่เพิ่ม มากกว่าพลังงานที่เกิดอยู่แล้วมากระดับ คูณ หรือยกกำลัง
จะเป็นพลังงานก้าวหน้า เกินกว่าบวกขึ้นไป จึงจะถือว่า เป็นพลังงานระดับสัมประสิทธิ์ Coefficient ถ้าเป็นยกกำลังยิ่งเป็น Coefficient
ตัวนี้เรียกว่าพลังงานตัวแปร เป็นพลังงานระดับคูณทำงานเสริม ส่งเสริมทดเข้ามาหาตัวตั้งที่มี static กับ dynamic อยู่แล้ว ก็จะส่งเสริมตกผลึกให้แก่ตัวตั้งทับทวีไปเรื่อยๆ
มีแต่ความก้าวหน้า เป็นพลังงานก้าวหน้า ไม่มีพลังงานถอยหลังลดลงเลย
ไม่มีที่จบด้วย
แต่ที่พูดเมื่อกี้นี้เป็นพลังงานทางฟิสิกส์ต้องมีตัวควบคุม ไม่อย่างนั้นเครื่องพัง
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ
มาอธิบาย สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ
สัจญาณ คือ สิ่งที่เราจะต้องทำเรียกว่าสัจจะความจริง ถ้าสิ่งไม่เป็นสาระสัจจะ เป็นความไม่เข้าท่าเป็นความหลอกก็ปล่อยไปไม่ต้องทำ ต้องมีญาณรู้ว่า เป็นสิ่งที่ควรทำ จะทำให้เจริญพัฒนา
สัจจะ มีสองอย่างคือ สมมุติสัจจะ และปรมัตถสัจจะ
บางคน เข้าใจการปฏิบัติธรรมมีแต่ปรมัตถสัจจะในจิตก็เลยเอาแต่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่มีข้างนอกเลย ข้างนอกมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่จะทำงานแล้วเกิดทุกข์
เกิดทุกข์อาริยสัจ จะเกิดทุกข์ถึง 5 ตัว แต่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต เกิดสัมผัสแค่ทวารเดียว พวกนั่งหลับตาสะกดจิตนั้นน่าสงสาร เขายึดมั่นถือมั่นว่าการปฏิบัติธรรม ต้องนั่งหลับตาสะกดจิตเป็นสมาธิ
อาตมาก็ตีเลยว่า นั่นเป็นเรื่องผิด เลิกเลยได้ ไม่ต้องนั่งหลับตาสะกดจิตเลยก็บรรลุได้ แต่จริงมันเป็นอุปการะได้ แต่ถ้าทำถูกต้องตามสัจจะ ไม่ต้องนั่งไม่ต้องใช้เลยก็ได้ ลืมตา ปฏิบัติธรรมแบบมรรคมีองค์ 8 ในขณะ มีอาชีพ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ เลิกเลย การนั่งหลับตาสะกด Meditation อย่างนั้นไม่ใช่ของศาสนาพุทธ อาตมาพูดอย่างไม่ไว้หน้าเลย
เขาจึงไม่มีสัจญาณ ไม่รู้ความจริง มีแต่ปรมัตสัจจะ ไม่มีสมมุติที่มีทั้ง 5 ทวาร แล้วก็ทุกข์เพราะ 5 ทวาร นี้ แต่กลับไม่เรียนรู้ ไปเรียนรู้การนั่งหลับตา แทนที่จะเรียนรู้วิจัย เวทนาในเวทนา
เวทนา 108 เป็นกรรมฐานจึงไม่รู้ และแยกเวทนา 108 ไม่เป็น โดยเฉพาะมโนปวิจาร 18 คือเคหสิตเวทนา(โลกียะ) กับ เนกขัมสิตเวทนา (โลกุตระ)
คุณต้องรู้เวทนา และรู้เหตุ สราคะ สโทสะ สโมหะ แล้วทำให้มันลดลง คุณก็ไม่รู้เลย คุณต้องรู้อาการและทำขณะปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ทำให้เกิดนิพพานเดี๋ยวนี้ ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ คุณก็ไม่ทำ แต่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต ก็จมกับตรงนั้น ไม่ไปถึงไหน
นั่งสะกดจิตไม่เกิดโพชฌงค์ 7 ไม่เกิด สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ก็ไม่เกิด ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์
เริ่มต้น สัจญาณ คุณก็ไม่รู้ เข้าใจผิด นึกว่าปรมัตถสัจจะ แต่ที่จริง สมมุติสัจจะ เปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่โลกุตระจะทำจิตให้เหนือโลก แต่ถ้าคุณไม่รับรู้เลย ดับไม่เห็นก็ไม่ได้เรียนรู้โลก คุณก็อยู่ในโลกรูๆ โลกกระบอก โลกในกระป๋อง โลกในกะลา
พูดเพื่อให้เกิดความสะดุดใจ ไม่งั้นก็หลงงมงาย ไปกันใหญ่เลย ยิ่งคนเป็นครูบาอาจารย์ที่เขาเคารพนับถือ ฟังบ้างเปลี่ยนแปลงบ้าง มาเอาตามโพธิรักษ์ก็คือของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของโพธิรักษ์หรอก อย่าเข้าใจผิด ก็ไม่ต้องเสียเหลี่ยมหรอก
เมื่อไม่รู้สัจญาณก็ไม่รู้กิจญาณว่าคุณทำหรือไม่ หรือไม่ก็แค่รู้แต่ไม่ได้ปฏิบัติ พวกด็อกเตอร์ เปรียญ 9 เรียนเต็มหูเต็มหัวไปหมด แต่ไม่ได้ปฏิบัติ เรียนเพื่อสร้างลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุขให้แก่ตัวเอง เรียนรู้ไม่เกิดมรรคผล ไม่เป็นกิจญาณไม่ได้ปฏิบัติ
คนไม่รู้ แน่นอนปฏิบัติไม่ได้ แม้รู้แล้ว คุณก็ไม่ปฏิบัติ คุณก็ปฏิบัติเริ่มต้นตั้งแต่ศีล 5
เกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับของ
สัตว์จะไปฆ่ามัน อ่านใจตนตั้งแต่สัมผัสกับสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ จงเมตตาเอ็นดู หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะคน คนนี่แหละจงมีเมตตาเอ็นดู หวังประโยชน์ให้เกิดกับเขาทั้งหลาย แม้แต่สัตว์เซลล์เดียว ต่อไปอาจจะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ พัฒนาได้ คุณจะไปตัดประโยชน์เขาทำไม สัตว์ที่เกิดมาทั้งปวง เริ่มเป็นจิตนิยามก็อย่าไปทำลายเขา ถ้าทำไปก็เป็นกรรมตัดรอน และเป็นวิบากคุณอีก บ
ถ้าไม่รู้ก็ทำไม่ถูก หรือเมื่อรู้แล้วก็ไม่ทำ อันนี้ไม่มีกิจญาณ
ทำอย่างไรก็ทำศีลสมาธิปัญญา
เริ่มต้นที่ศีล 5 เริ่มที่สัตว์ คุณสัมผัสกับสัตว์ทุกชนิด อย่าไปทำร้ายมัน อย่าฆ่ามัน หวังประโยชน์แก่เขา พอเข้าใจไหมว่าสัตว์เซลล์เดียวอันนี้ อาจจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตก็ได้ คุณต้องหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย คุณไม่ฆ่ามันก็ไม่เป็นไร หรือแม้แต่เชื้อโรค พยาธิ พิษร้ายแรงทำร้ายคุณได้ก็แล้วไป ก็ฆ่ามันก็แล้วแต่อีกที เพื่อให้คุณมีชีวิตต่อ
ของที่ไม่ใช่ของของเรา คุณไปเอามาทำไม ไม่ต้องถึงขโมยหรอก ถือวิสาสะนี่ก็ไม่ดีแล้ว คุณจะบอกเจ้าของเขาหน่อย ถ้าเอาไปวิสาสะไม่ได้บอก เจ้าของเขาก็จะตามหา หรือถ้าจะขอ เราอยากได้ จำเป็น สำคัญ ก็บอกได้ หรือไม่ก็ซื้อเอา
ศีลข้อ 3 คือการสัมผัสรส อย่าไปละเมิด
มันเป็นวิบากมาก ศีล 3 ข้อนี้ถ้าละเมิด ถ้าคุณไม่ละเมิดคุณจะเจริญขนาดไหน มีแต่กุศล แต่เมื่อไม่จริงจังไม่รู้จักสัจจะในการปฏิบัติ
ศีลข้อ 4 เรื่องวาจา ข้อ 5 เรื่องมโน ก็ยังไม่ขยายความ
ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ยืนยันได้ว่า ทุกวัดทั่วไปขณะนี้ไม่มี มหาศีลแล้ว พระไม่รู้จักศีลแล้ว ฆราวาส จะไปรู้จักได้อย่างไร
ศีล 5 8 10 ก็อยู่ในจุลศีล 26 ข้อ แต่เขาไม่รู้ว่าคือจุลศีล เพราะเขาทิ้งไปหมดแล้ว จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
จุลศีล มัชฌิมศีลคือศีลที่ให้คนเอาไปปฏิบัติเพื่อลดกิเลส จนหมดได้ มัชฌิมศีลก็ขยายละเอียดขึ้นจากจุลศีล
ส่วนมหาศีล นั้นคือศีลของศาสนา หมายความว่าที่ประกาศไว้ในมหาศีล 7 ข้อนี้ ที่จริงมีละเอียดกว่านั้น แต่ท่านก็ตรัสไว้ละเอียดมาก ท่านห้ามเดรัจฉานวิชชาเหล่านี้เพราะไม่ใช่ของพุทธ ท่านประกาศศาสนาว่า ศาสนาของท่านไม่มีเดรัจฉานวิชชาเหล่านี้
อาตมาพูด ที่ว่ามันง่ายแต่มันร้ายกินลึก คือ จุดธูปเทียนบูชาไฟ และใช้น้ำเป็นสื่อ สิญจนยัญ เป็นการรดน้ำมนต์ก็คืออันนี้ ในศาสนาพุทธไม่มีไม่ใช้ ถ้ายังใช้อยู่ก็ไม่ใช่พุทธ พูดไปเหมือนไอ้เข้ขวางคลอง แต่เป็นเรื่องที่อาตมาพูดมาเกือบห้าสิบปีแล้ว ต้องศึกษาให้ดีไม่อย่างนั้นจะงมงาย
เขาใช้น้ำและไฟเป็นสื่อให้ถึงวิญญาณ มันเป็นแบบเทวนิยม พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้มาก แต่อาตมาฉีกหน้าเขาเลย ในยุคสมัยพระพุทธเจ้าท่านต้องประนีประนอมเพราะมีแต่พวกเทวนิยมเต็มไปหมด ท่านต้องไว้หน้า แต่ยุคนี้อาตมาไม่ไว้หน้าได้เลย
พูดถึงการอวดอุตริมนุสธรรมอาตมาจำเป็นต้อง อวด เพราะยุคนี้คนนึกว่าไม่มีแล้ว โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่ใช่แค่ภาษาคำพูด แต่อาตมาอธิบายแจกแจงสภาวะ อาตมาเกิดมายุคนี้ต้องมาอวดดี ไม่ได้อวดผิด อวดชั่ว มาอวดถูกอวดดี
สมณะฟ้าไทว่า...มาแสดงให้คนเห็นสิ่งดีได้ไหมครับ
พ่อครูว่า แสดงคือ show เช่นกันอาตมาต้องทำ เป็นไฟต์บังคับ ถ้าไม่ทำเขาก็ไม่เชื่อว่ามี ไม่มีหรอกในยุคนี้ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่มีหรอกไม่เชื่อ แต่เราบอกว่ามีแล้วเราก็เป็น และเราก็พากันเป็น ตอนนี้มีคนมาตรวจค้นหาโสดาบันกัน
กตญาณคือญาณที่รู้แล้ว แต่ทีนี้มันแล้วไม่รู้แล้ว ทำซ้ำไปซ้ำมา วนไปวนมาก็มันจบแล้ว แต่วนมาใหม่อีกก็ดีเหมือนกันนะ แต่ทำแล้วได้แล้วก็เอากลับมาอีก วนมาอีกก็ดีเหมือนกันนะก็ไปใหม่ เพราะไม่มีกตญาณ
แล้วก็วนไปอีกทั้งที่คุณก็ไม่ต้องเสพอีก เฉยได้วางได้แล้ว แต่ก็เอามาทำอีก เราไม่มีกตญาณ ไม่มีปัญญารู้ ว่าเราหมดแล้ว ไปขยำขี้ ขี้คือสิ่งที่ออกจากตัวเราแล้วกลับเอามาขยำ
ถ้าเราตัดได้เด็ดขาดแล้ว เราอยู่กับหมู่ เขายังมี ก็คือเขา แต่เราไม่มีแล้ว แต่เราไม่มีกตญาณก็คือไม่รู้ กลับไปเผลอเสพอีกก็เลยวนไม่รู้แล้ว จบไม่รู้จักจบ
ญาณ 3 นี้ สำคัญมาก โดยเฉพาะญาณ จบนี่แหละ
ท่านใช้คำว่า
1. สัจจญาณ (หยั่งรู้สัจจะ กำหนดรู้ให้ครบ ปริญเญยยันติ)
2. กิจจญาณ (หยั่งรู้กิจที่กำลังละล้างกิเลส ปหาตัพพันติ)
3. กตญาณ . (รู้การจบกิจแจ่มแจ้งแล้ว สัจฉิกาตัพพันติ) .
(พตปฎ. เล่ม 4 ข้อ 15 ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร)
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน บันเทิงและกีฬาคืออภิมหาอบายมุข
_0015ช่วงเข้าพรรษารัฐบาลน่าจะรณรงค์ให้ ปชช.ลด ละ เลิกอบายมุข และรัฐฯงดการออกหวย งดขายสุรา บุหรี่ จะเป็นการคืนความสุขให้ปชช. ทันทีอย่างแท้จริงครับ
พลังงาน"สัมประสิทธิ์" สามารถเทียบเคียงกับพลังขับในระบบ"เทอร์โบ"ของรถยนต์ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…อาตมาเห็นด้วยอย่างมากเลย คำว่าอบายมุข การออกหวย สุรา บุหรี่ เป็นอบายมุขพอเข้าใจ แต่บันเทิงเริงรมย์กีฬา โกงกัน มีวิธีซับซ้อน เขาไม่รู้ว่า นี่คือมหาอบายมุข รุนแรงจัดจ้านยิ่งกว่าอบายมุข
อาตมาเคยพูดมานานแล้วว่า ถ้าสังคมใด คนในสังคมนั้น ราคาค่าตัวทางการบันเทิงกับนักกีฬาสูงขึ้น นั่นคือสังคมเสื่อมสังคมเลว
สังคมใดที่ราคาค่าตัวของนักบันเทิงเริงรมย์ กับนักกีฬาสูงขึ้นแพงขึ้น ยิ่งแพงขึ้นสูงขึ้น นั่นคือยิ่งเสื่อมเท่านั้น สังคมนั้น แย่ลงเท่านั้น
ประเทศใด ที่ค่าตัวดารา นักกีฬาแพง ประเทศนั้นเสื่อมด้วยอวิชชา โดยไม่รู้เพราะว่าโง่ อวิชชา
โอลิมปิก จะพาให้โลกชิบหายแล้วแข่งกันฉิบหาย ประเทศที่จะจัด จนมาก แต่ก็ไปกู้เงินเขามาสร้างเพื่อจะรองรับโอลิมปิก อวดโหญ่โต มโหฬารพันลึก บ้าบอ มาจัดใหญ่โต กู้เงินมาทำ หลงแข่งดีอวดโอ่ ไม่เข้าใจว่านี่คือ อภิมหาอบายมุข
อินเดียไม่เคยจัดโอลิมปิกเลย ทั้งที่ประเทศเขาใหญ่มาก เขาไม่โง่เหมือนประเทศอื่น ประเทศกระจอกๆ กลับกู้เงินมาจากโอลิมปิก สาธุ…..!เมืองไทยมีพระสยามเทวาธิราช อย่าให้คนไทยโง่เง่าเอา olympic มาจัดในไทยเลย
พระพุทธเจ้า สอนไว้ ถ้าไปโง่เสียแล้วน่าเสียดาย ถ้าไม่ใช่ชาวพุทธ ก็น่าสงสารแม้แต่พุทธเองก็ไม่รู้ อะไรไม่รู้เอาลำไยไหทองคำ ประเดี๋ยวเดียวก็รวย แสดงถึงความเสื่อมต่ำของสังคมประเทศ
อาตมาอยู่ในสายบันเทิงมาก่อนบวช มาบวชแล้วน่าจะมีดารามา แต่กลับชังน้ำหน้าเราหมดเลย เพราะว่าไปว่าเขา แต่ก่อนเราไม่รู้ตัวก็ลิงลมอมข้าวพองไปกับเขา แต่พอรู้ตัวก็มาทางนี้แล้วให้สติเขาแต่ก็คงยาก
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน ต้องมีตัวตั้งที่มากพอจะก่อ osmosis ได้
SMS เฟซบุ๊ค
_ปรีชา ขำเพชร : การบรรยายธรรมะของพ่อครูหรือสิ่งที่พ่อครูได้
สร้างสรรค์ขึ้น เช่นตลาดอาริยะ โรงเรียนสัมมาสิกขา บวร...การกสิกรรมไร้สารพิษ โรงงานปุ๋ยอินทรีย์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อสังคมและมวลมนุษย์ แต่รัฐและสื่อมวลชนทั่วไปไม่เคยนำเสนอเลย มันเป็นการปิดล้อมทางสื่อสารมวลชนอย่างแน่นอนจากมือที่มองไม่เห็น(invisible hand) จึงเป็นภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งของชนชาวอโศกที่จะต้องช่วยกันนำธรรมะที่พ่อครูบรรยายและผลงานที่ชาวอโศกสร้างสรรค์ขึ้นนำเสนอต่อมวลชนอื่นอีกในทุกๆสถานการณ์ที่มีโอกาส....โดยมีความสำนึกว่า ตนเอง คือตัวแทนของพ่อครู ณ ขณะนั้น เพื่อลดบทบาทการปิดล้อมทางสื่อสารมวลชนของInvisible hand ครับ
พ่อครูว่า…ก็จริงเราจัดตลาดอาริยะมา 38 ปี แต่ก่อนเราเคยส่งหนังสือเชิญสื่อมวลชนมาทำข่าว เขาไม่สนใจเลย เดี๋ยวนี้เราก็เลยไม่ส่งไป เขาอาจไม่เชื่อว่าทำจริง อาจทำเล่น แต่นี่เราทำมาสามสิบกว่าปีแล้วนะ
อาตมาภูมิใจที่ทำแล้วสอดคล้องกับในหลวงตรัส ไม่ได้เสแสร้ง ในหลวงท่านจริงพระทัย คำตรัสท่านซื่อๆตรงๆ บอกว่า เราเสียนี่แหละคือเราได้ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
เราจัดตลาดอาริยะ เป็นการค้าขายแบบขาดทุน ต่างจากตลาดบุญนิยมที่มีการค้าขายแบบบุญนิยมทั้ง 4 ระดับ คือ ขายต่ำกว่าราคาตลาด ขายเท่าทุน ขายขาดทุน แจกฟรี
ถ้ารัฐบาล จัดขึ้นมา จากตลาดอาริยะ จะได้ประโยชน์แก่ประชาชนมากเลย
โรงเรียนสัมมาสิกขา เราสร้างโรงเรียนเพื่อสอนเด็กสร้างเยาวชนให้แก่สังคม ช่วยรัฐบาล ที่มีหน้าที่ให้การศึกษากับเยาวชน เราเปิดโรงเรียนสอน ไม่ได้เอาเงินทองเหมือนกับรัฐบาล สอนกินอยู่หลับนอนด้วย ไม่ใช่โรงเรียนไปกลับ
เรามีหลักศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา มาตั้งแต่ต้น เป็นปรัชญาของโรงเรียน ไม่เอาศีลธรรม และทำการงานให้เป็น เป็นบวร เด็กเรียนอย่างพวกเราไม่ใช่เรียนแบบในกล่อง ตัดขาดจากสังคม อาตมาว่าอย่างนั้นไม่ได้ มันผิดหมดเลย
การศึกษาของเราจึงอยู่กับสังคม ทำงานร่วมกัน กินใช้ร่วมกัน มีศึกษาวิชาการให้ด้วย ตามหลักสูตรที่เขามีกัน
บ้านคือสังคม วัดคือธรรมะ โรงเรียนคือการศึกษา เราก็มีและไม่ได้แยกออกจากกันและกัน จากสังคม เรียนธรรมะ การงาน สังคม พวกเราเรียนกัน เป็น บวร
เรื่องของบวร นี่ อยากจะบอกชี้อีกอันว่า บวรนี้ลึกซึ้งที่สุดคือ osmosis ต้องมีต้นทุนคือ status เป็นต้นทุนของค่าคงที่ต้องมีมากพอ เมื่อมากพอจึงจะไหลลงมาหาน้อยได้ ถ้าไม่มีความเข้มข้นมาก จะไม่ไหลซึมสู่คนอื่นได้ เพราะว่า osmosis ไม่มีใครทำให้ได้ ต้องไหลไปเอง น้อยไหลไปหามากไม่ได้ ต่ำไหลไปหาสูงไม่ได้
เพราะฉะนั้น Osmosis จึงต้องมีตัวตั้งต้นที่สูงพอ จึงจะเกิดการไหลซึมไปสู่ผู้อื่นได้ เพราะฉะนั้นชาวอโศก มีแก่น status มากพอ คนเข้ามาในนี้ แม้ไม่มีปัญญาที่จะรับ แต่เพราะมีแกนตั้งแกนรับหลักมากพอจะซึมไหลเข้าหาคนอื่นที่ตั้งใจจะมาเอา
แต่ถ้าคนปิดประตูรับเลยก็ไม่ได้ แต่ถ้าคุณเปิดประตูก็จะ ออสโมซิส ให้
สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าสมณะสิกขมาตุ ผู้ใหญ่ในชุมชนมีศีล มาก เด็กจะปัญหาลดลงเลย
การกสิกรรมไร้สารพิษเราก็ทำ ปุ๋ยอินทรีย์เราก็ทำ
อาตมาเข้าใจลึก แต่ถ้าพูดไปจะไปว่าสื่อมวลชนเขา พูดไปก็จะมีจิตในจิตของตัวเอง เป็นจิตไม่ค่อยดี ถ้าจิตดีจะไม่เป็นอย่างนี้หรอก อีกอันหนึ่งคือ คนที่รู้ว่าสิ่งไหนดีก็แล้วแต่ อันนี้ดีอยู่ในสังคมและกล้าส่งเสริม กล้าเปิดเผย ยืนยันกับสังคมว่าอันนี้ดี นี่เป็นความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน แบบคนจนที่ไม่ติดตำรา
_กฤตพล นพเก้าแสงนิมิต : ส่วนใหญ่จะรูดบัตรเครดิตเพื่อสินค้าฟุ่มเพือย มากกว่า บางคนใช้เงินเหมือนดินพอกหางหมู วินัย คนไทยขาดวินัย ไม่มองอนาคต บัตรเครดิตแต่ละใบ เหมือนใบมีดที่คอยกีดเนื้อตัวเราเอง ผมก็เคยมีบัตรเครดิต แต่พ่อแม่ผมสอนว่าให้ไปปิดมัน แล้วใช้ชีวิตแบบปกติ ผมว่าดีนะ
พ่อครูว่า เงินเชื่อต้องมีดอกเบี้ย แต่ชาวอโศกยืนเงินกันก็มี แต่เราเรียกเงินเกื้อไม่ใช่เงินกู้ ไม่มีดอกเบี้ย เราไม่เรียกเงินที่เกื้อไปว่าหนี้ แต่เรียกเงินหนุน ยืมกันไปมาเผื่อแผ่กันไปมา ไม่พยายามสร้างให้เกิดทุกข์เดือดร้อน แบบดอกทบต้น เราไม่ทำกลโกงแบบนี้ ต้องมีน้ำใจ
อย่างในหลวงตรัส อาตมาซาบซึ้งว่า ...เราต้องเอาแบบคนจน สามัคคี อลุ่มอล่วย
แบบคนจน...ไม่ติดตำรา
“แบบที่เรียกว่าทำแบบคนจน คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขา เราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำก็ทำ แนะนำได้ ทำแบบคนจน เพราะเรา เราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก แล้วไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมากมีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขาเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมสูง มีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว
...แต่ถ้าเรามีการปกครอง แบบ...เรียกว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือเมตตากันก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามบัญชี ตามวิชาการแล้วก็วันหนึ่งก็วิชาการนั้นเราดูตำราแล้วพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย ในหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอก อนาคตยังมีแต่ไม่บอกว่าต้องอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้ว มันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอะล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : 4 ธันวาคม 2534
อาตมาภูมิใจที่แม้ยุคนี้ยุคเสื่อม แต่ก็อยากมีคนพากเพียรมาปฏิบัติได้ จะได้จำนวนเท่านี้ก็พอเพียง ได้เท่านี้อาตมาก็ภาคภูมิใจ คนที่แสวงหามีทางออก แล้วเขาก็มาประพฤติปฏิบัติ พวกเราก็อยู่ตามประสาพวกเรา ผู้ใดเห็นรู้ว่าควรก็เข้ามาศึกษาฝึกฝนปฏิบัติ สร้างตนเองสร้างนิสัยใจคอ อาตมามั่นใจว่าได้พาทำอย่างสัมมาทิฏฐิ ยืนนานมา 40 กว่าปีแล้ว
แม้แต่เถรสมาคมจะหาว่าทำผิด หาวิธีกั้น เขาไม่ได้ทางธรรมก็เอาทางโลก ฟ้องร้องอาตมาก็แพ้ เขาก็ลงโทษ สุดท้ายจำคุกหกเดือน ก็รอลงอาญา 2 ปี ข้างนอกคุก เจ้าหน้าที่คุมประพฤติก็มา 2 ครั้งแล้วก็หายไปเลย พอเขามาก็มากินมังสวิรัติ มาไหว้ มาฟัง ก็มารู้มาเห็น ไม่รู้จะคุมประพฤติอย่างไร
อาตมาก็ไม่อยากพาดพิงถึงสื่อว่าทำตัวเป็น Invisible hand อย่างไร ทำไมไม่นำเสนอสิ่งที่ควรนำเสนอ อาตมารู้อยู่แต่ไม่อยากพูดไป คุณปรีชา เขียนมาก็ดีแล้ว ก็อาศัยอันนี้พูดไปบ้าง แต่ก็นึกตัดพ้อในใจสื่อสารมวลชน จะบอกว่าอยากให้โปรโมทก็ไม่มีหรอก แต่ว่ามันควรทำเป็นมหาปเทส ควรอย่างยิ่งด้วยเพราะเป็นสิ่งหายาก
_ไม่มีตัวตน คนไม่สำคัญ : อยากให้มีตลาดแบบนี้ที่เชียงใหม่ค่ะ ทุกสัปดาห์ค่ะ
_ไพศาล จำเนียรดำรงค์การ : เวลาคนเขาเอาเนื้อสัตว์มาขายเขาก็เจาะจงเราเพราะเราคือลูกค้าครับ นั้นคือชื่อของเราคือลูกค้า สรุปถ้าไม่มีลูกค้าซื้อเขาก็ไม่ฆ่าสัตว์มาขายลูกค้าครับ
_SMS วันที่ 11 กรกฎาคม 2560 (สมณะและสิกขมาตุ-สันติอโศก)
_4536กราบนสกพ่อครูค่ะหนูอ่านหนังสือค้าบุญคือบาปฯ ประมาณข้อ154เรื่องกาย หนูรู้สึกว่าคนไทย(หนูด้วย)ติดกับคำว่ากายคือร่างกาย หนูจึงลองแทนคำว่า กาย ทุกตัวในข้อความด้วยคำอื่นว่า องค์ประกอบ นี้เลยทำให้หนูอ่านเข้าใจมากขึ้นค่ะ เข้าใจโดยไม่ติดกับบัญญัติภาษา แบบนี้ได้ไหมคะ ก่อนถึงช่วงนี้ เป็นการอ่านเรื่องเห็นเกิดดับ อย่างปัตจัตลักษณ์ แล้วลองดูจิตตัวเองมันวิ่งคิดนู่นนี่หลายอย่างมากใน1นาที อย่างนี้ก็เกิดดับ เกิดดับนับไม่ถ้วนใช่ไหมคะ หนูทำไม่ทันเลยที่จะจับเวทนาทุกครั้งที่มีผัสสะแยกเวทนา2แล้วทำให้เหลือ1ปหานกิเลส มาทันตอนโกรธไปแล้วหรือเป็นอกุศลจิตต่างๆไปแล้วเกือบจะทุกทีเลยค่ะ วันนี้หนูลองเขียนหนังสือมือซ้าย(ถนัดขวา) เขียนได้นะคะ แต่ช้าและไม่สวยมากๆ หนูได้ข้อคิดจากสิ่งนี้ค่ะ ว่าถ้าเราเอาแต่รู้แต่ไม่เคยฝึกหรือลงมือทำเลยเราจะทำไม่ได้หรือทำได้ไม่ดี เลยนึกเทียบกับธรรมะที่ได้ฟังและคิดว่าเข้าใจแต่ไม่พากเพียรฝึกหรือปฏิบัติจิตเราก็ไม่เจริญเสียทีค่ะ ฟังพ่อครูตลอดแต่ไม่ได้ไปกราบ ขอเป็นอีกหนึ่งจิตขออาราธณาให้พ่อครูมีสังขารที่แข็งแรงและยาวออกไปตราบที่พ่อครูตั้งปณิธานนะคะ
_1614แอมานุแอล มาครง อาจฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ฝรั่งเศส
_3867นมก.พ่อครูณ.บวรบ้านราช ฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บวรสันติอโศกกับธ.พรรณนาถึงทานถูกตรง,ศีลดีงาม,สวรรค์ลวง,กามโลกีย์,ละกามสิ้น ด้วยอนุปุพพิกถา5
กราบอนุโมทนาธ.ท.จันทร์ ท.ซึ้งท.ฉิกตาฯกับศีลประพฤติดีละชั่ว!สมาธิลืมตารับ รู้ทันทุกผัสสะ!ปัญญาจาก สุตะรู้ถึงความจริงตามความเป็นจริงจากการเกิดดับธรรมชาติทั้งปวงด้วยธ.โลกุตระ
_3867ขอบคุณบุญนิยมกับธ.รูปรส กลิ่นเสียงสัมผัสจากสณ.สม.ด้วมการลดรสอร่อยให้สิ้นอัสสาทะ!อุบัติจิตวิสุทธิเทพผู้สิ้นรสอร่อยในกิเลสตามพ่อครูสอนสาธุ!จรธ.
สื่อธรรมะพ่อครู(โอวาทปาติโมกข์) ตอน สัพพปาปสอกรณัง
พ่อครูว่า...คำว่า สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
เขาแปลว่า ละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์
คำว่า สัพพปาปสอกรณัง คือการกำจัดบาปไม่ให้เกิดอีกเลย บาปคือกิเลส จะบอกหยาบๆว่าชั่วก็ได้ แต่บาปต้องกำจัดด้วยบุญ กุศลกำจัดกิเลสหรือบาปไม่ได้ แต่บุญกำจัดกิเลสได้หมด สัพพปาปสอกรณัง ไม่มีกรรมกิริยาเป็นบาปเกิดในจิตคนผู้นั้นอีก บุญก็สูญบาปก็สูญหมดไปด้วย คือ สัพพปาปสอกรณัง ไม่ได้หมายถึงแค่ละชั่ว
ชั่วเป็นสมมุติสัจจะ ของโลก แต่บาปคือปรมัตถสัจจะ เป็นของธรรมะศาสนาพุทธเป็นกิเลสโดยตรง ผู้ทำให้กิเลสดับได้แล้ว กิเลสหมดแล้ว ยังมีการกระทำ จึงมีการกระทำที่เป็นแต่กุศลอย่างเดียว ไม่มีอกุศลอีกเลย และไม่มีทั้งบาปและบุญ มีแต่กุศล เป็นสมมุติสัจจะ พระอรหันต์คือผู้ที่หมดบาปหมด ปุญปาปปริกขีโณ เหลือแต่การกระทำที่เป็นกุศลทุกการกระทำ
จากนิพพานมีอุเบกขาแล้ว อุเบกขาจะเจริญอย่างมี องค์ 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
1. ปริสุทธา (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .
2. ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)
3. มุทุ (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) .
4. กัมมัญญา (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ) .
5. ปภัสสรา (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ)
(ธาตุวิภังคสูตร พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 690)
จิตบริสุทธิ์ไม่ใช่จิตหยุด เฉื่อยเนือย ไม่ใช่ แต่จิตบริสุทธิ์จะยิ่งคล่องแคล่วว่องไว เป็นปาคุญญตา สัญญาเวทนาสังขารแคล่วคล่อง คือกายปาคุญญตา
มุทุ ยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ทั้งเชิงปัญญาและเจโต เจโตจะปรับให้เป็นอย่างดีได้ง่าย จิตหัวอ่อนอย่างมีปัญญารู้เร็วไว (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สฟ.ว่า...ยิ่งเป็นพระโพธิสัตว์ อย่างพ่อครูก็มี จิตที่แคล่วคล่องว่องไวมาก
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:04:13 )
รายละเอียด
600714_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ 77 ข้อ(ตอน3)
สมณะเดินดินว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560 ที่ราชธานีอโศก ตอนนี้ข่าวดังดูช่องไหนก็มีแต่ข่าวฆ่าล้างครัว 8 ศพ ตอนนี้ตำรวจยกกำลังไปจับผู้ร้าย นักข่าวก็ตามจับข่าวจากตำรวจอีกที แต่อีกข่าวหนึ่ง ก็เป็นข่าวนักธุรกิจระดับหลายพันล้าน สร้างสนามแข่งรถ ราคาหลายพันล้าน แล้วสุดท้ายก็มีความเครียดจนต้องเอาปืนมายิงตัวตาย ชีวิตมันมีกันเท่านี้หรือ เรื่องลาภยศสรรเสริญสุข แย่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายก็เป็นเช่นนี้
สิ่งเหล่านี้คืออันตรายอันแสบเผ็ด ลาภยศสรรเสริญ ...พระเทวทัต คิดสู้กับพระพุทธเจ้า ตอนที่พระเจ้าอชาตศัตรูมาสนับสนุน มาถวายอาหารวันละห้าร้อยสำรับ ก็เลยคิดว่าบารมีตัวเองไม่ธรรมดา เลยคิดจะสู้กับพระพุทธเจ้า คนเราหากได้ลาภสมลาภ ได้ยศสมยศ บางทีต้องโกงมา สิ่งที่ได้ไป ไม่ใช่เงินทอง แต่เป็นกรรมโกงทุจริต สิ่งเหล่านั้น เป็นสัจจะของชีวิตที่จะได้ไป
แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่พ่อครูสะท้อนออกไปจากช่องบุญนิยมทีวีมันน้อยมาก เทียบกับ ช่องใหญ่ๆที่ออกไป แต่ก็ยังดีมีพวกเรา ได้พยายามทำให้เสียงของพ่อครูดังขึ้นมา
วันนี้ปัจฉาฯ ก็อาราธนาพ่อครูให้พัก แต่พ่อครูก็สู้ ลงสนามได้แค่ไหนแค่นั้น พวกเราก็ตั้งใจฟังกันหน่อย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อาการ 33 เป็นอาการของคนบ้า
พ่อครูว่า…จะหาว่าอาตมาดันทุรัง หรือเกินไปเวอร์เกินไป ไม่รู้จักเจียมตัว อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว ไม่ใช่แก่นะ แล้วก็ไม่ใช่อายุมากด้วย แต่อายุไม่ใช่น้อยแล้ว ก็ไม่เจียมตัว สังขารร่างกาย วันนี้เสลดก็เยอะ เสลดก็เหนียวด้วย และมาหาว่าเราไม่สบายได้อย่างไร อาตมาก็กำลังเขียนหนังสือลงเราคิดอะไรอยู่ อาการ 32 ของชีวิตมนุษย์ มันไม่ง่ายจะขยายอาการ
ไม่ง่ายที่อาตมาแม้เข้าใจ แล้วจะสื่อสารอย่างไรให้คนเข้าใจอย่างที่อาตมาเข้าใจ ทำอย่างไรจะให้คนอื่นรู้อย่างที่อาตมารู้อยู่ ว่า อาการ 32 เป็นอย่างไร และมีความสำคัญอย่างไร โดยเฉพาะคนจะศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ต้องรู้อันนี้ ความเป็นอาการ
ถ้าคนไหนไม่รู้ความเป็นอาการ มันเป็นนามธรรมมากๆ ทีนี้อาการ 32 เป็นอาการของ องคาพยพของชีวิต
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ม้าม ตับ ลำไส้ กระดูก น้ำเลือด น้ำหนอง 32 ชนิด ความรู้ของท่านว่าในคนมีอาการ 32 คือลักษณะของสังขาร ของนามรูป ของธรรมะสองที่ทำงานปรุงแต่งกันอยู่เรียกว่าสังขาร แล้วก็มีอาการ
ทีนี้ อาการที่ว่านี้ อาการ 32 ภาษาบาลีเรียกว่าทวัตติงสาการ ซึ่งอาการ 32 ควรต้องเข้าใจ รู้สึก คนซึ่งรู้สึกว่าอาการ 32 ของเราไม่ปกติ มันขัดข้อง มันถูกโรคเบียดเบียน เสื่อมไป พิการ ไม่ปกติ มันไม่ธรรมดาไม่สมดุล ก็จะเกิด เจ็บ ปวด ไม่สบาย มันจะรู้สึกเลย ที่เราพูด หยาบๆว่า ท้องไม่ดี มันก็เจ็บก็ปวด ปวดหัว ปวดเจ็บตรงนั้นตรงนี้ ก็คืออาการที่เราต้องหาเหตุ อย่างหมอปัจจุบันที่จะใช้ตรวจให้รู้ว่าตรงไหน สเต็ทโตสโคป ฟัง คล้ายกับหมอแมะ ก็ต้องรู้เหตุของอาการและแก้เหตุ เช่น ตับไม่ปกติ ปอดไม่ปกติ ลมไม่ปกติ เลือดไม่ปกติ อาการ 32 ไม่ปกติ จะเกิดความรู้สึกหรือเวทนา
เวทนาที่เป็นเวทนาจากอาการ 32 ถ้าใครรู้อาการ 32 นี้ได้ ก็จะเก่งเป็นหมอชั้นหนึ่งที่จะบำบัดร่างกายได้
ทีนี้อาการบ้า อีกอย่างหนึ่งเรียกว่าอาการ 33 ปกติแล้วคนเรามีแค่อาการ 32 แต่คนนี้อวิชชามีอาการที่ 33 แล้วก็บ้ากับอาการ 33 ภาษาบาลีเรียกว่า ทวัชติงสาการ
อาการ 33 นี้มันไม่มี โดยสัจจะ แต่คนนี่แหละทุกข์สุขกับมันว่ามี ทุกข์จริงคืออาการ 32 ไม่ปกติ ไม่สามัญมันก็ต้องเจ็บเสื่อมป่วย อันนี้เป็นเรื่องจริงของจริงมีจริง แต่อาการ 33 นี้ไม่มีเลย แต่คนเราติดรสอาการที่ 33 นี่คือเรื่องใหญ่ที่พระพุทธเจ้าให้คนมาศึกษา ล้างอาการ 33 นี้ ให้สวรรค์ดาวดึงส์ นี้หมดไป ไม่ต้องไปแย่งเป็นจตุมหาราช ถ้าจบได้ไม่ต้องไปแย่งแสวงหา ยื้อแย่ง ดีไม่ดีฆ่าแกงกัน ถ้าคุณไม่มีอาการเหล่านี้ก็จบเลย เป็นอรหันต์
ที่เรียนกันว่าข้ามชาติไม่รู้กี่ชาติให้รู้อวิชชาก็ให้รู้อันนี้ อันนี้คือเวทนา เวทนาแท้กับเวทนาเทียม เวทนาปลอม แล้วต้องแยกให้ได้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ทุกวันนี้ไม่ได้เรียนรู้ เวทนาเป็นกรรมฐาน แต่ไปสะกดจิตกับกสิณให้จิตนิ่งสงบ ไม่ได้มี สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ไม่ได้ทำให้เกิดอุเบกขาที่เกิดจากการกำจัดเหตุให้หมดไปได้
ทุกวันนี้ศาสนาพุทธก็ไปอย่างเป็นสมาธิหลับตา มีคนเขียนเรื่องนี้อาตมาตั้งใจว่า เป็น sms นี่อาตมาจะอธิบาย ที่ปฏิบัติผิดกันอยู่ ผิดหลักการศึกษาของพุทธ เรียกว่าไตรสิกขา
อาตมาพูดมานานแล้ว แต่เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงความเห็นให้มาถูกต้องเลย จมไปกับความผิดมิจฉาทิฐิ แล้วหลงผิด กับมิจฉาทิฏฐิ ที่ตนเองได้จมหลงไปแล้ว โดยปิดประตูล็อคไว้เลย ที่จะไม่รับสิ่งเห็นต่างเห็นแย้ง ก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร
SMS วันที่ 12 กรกฎาคม 2560 (พ่อครู-บ้านราช)
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลสมาธิปัญญาให้ถึงวิมุติญาณทัสนะ
_4155 อุบาสิกาต้องปฏิบัติจุลศีลด้วยรึคะ ศีลแปดค้าขายเพื่อครอบครัวได้มั้ย
พ่อครูว่า...ทุกคน ฆราวาสทุกคน ชาวพุทธทุกคน สมณะทุกรูป สมณะต้องปฏิบัติ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
และเป็นสมณะภิกษุนี่มีวินัยแถมด้วย วินัยเป็นกฎหมายอาญา ถ้าทำผิดต้องมีโทษ แต่ศีลเป็นหลักปฏิบัติให้ตนเองเจริญ แล้วจะปฏิบัติอย่างไร อย่างต่ำก็ต้องปฏิบัติศีล 5 แม้จะเป็นพระภิกษุเริ่มต้นก็ต้องปฏิบัติศีล 5 แล้วศีล 8 10 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
พูดไปก็เหมือนกับสายลมพัด แก้ไขไม่ได้แล้ว
จุลศีลมี 26 ข้อ
มัชฌิมศีลมี 10 ข้อ ขยายจากจุลศีลมาอีก
จุลศีล มัชฌิมศีล ถ้าใครปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธก็จะเกิดผล มีปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ
ศาสนาพุทธหากไม่รู้จักศีล ศีลคำเดียวนี่แหละคือศาสนาพุทธ คำเดียวยิ่งใหญ่ หากปฏิบัติให้บริบูรณ์ก็จะถึง วิมุติญาณทัสนะ ในกถาวัตถุ 10
อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
ใครที่พูดออกนอกเรื่อง 10 ข้อนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธ หากไม่มีศีลก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ทุกวันนี้พุทธกระแสหลักไม่เอาแล้วศีล ที่เขาบอกว่า ศาสนาพุทธต่อไปก็จะเหลือแต่ ผ้าเหลืองห้อยหู ศีลไม่เหลือแล้วมีแต่วินัย ต่อไปวินัยก็ไม่เหลือ เหลือแต่เศษผ้าเหลืองห้อยหู คือเหลือแต่เศษ เนื้อแท้ไม่เหลือแล้ว เหลือแต่ลัทธินอกพุทธ คือเดียรถีย์
ศีล 8 นี้ไม่ได้มีข้อไหนบอกว่า ไม่ให้ค้าขาย แต่ภิกษุนี้มีข้อห้ามไม่ให้ค้าขายด้วยในวินัย
ศาสนาพุทธ ปฏิบัติศีลเพื่อให้เกิดสมาธิ เกิดปัญญา แต่ทุกวันนี้เข้าใจผิด ว่า ปฏิบัติศีลได้แค่กายกับวาจา ส่วนสมาธินั้นก็ให้ไปนั่งหลับตา เขาก็เลยแยกสมาธิ กับแยกศีล ออกจากกัน เมื่อศีลกับสมาธิ ถูกแยกออกจากกันแล้ว ปัญญาก็ถูกแยกด้วย ศาสนาพุทธมีการศึกษาสาม ศีลสมาธิปัญญา ก็เลยถูกหั่นไปเลย เหมือนถูกฆาตกรหั่นศพ ผู้ที่หั่น ศีล สมาธิปัญญา ออกจากกัน เท่ากับฆาตกรหั่นศพ ศาสนาพุทธก็เลยตาย เพราะถูกฆาตกรหั่นศพ ศีลก็ถูกหั่น สมาธิก็ถูกหั่น เอาไปซ่อนในป่า สมาธิก็ถูกเผาสลายไป
ใน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล พระพุทธเจ้าตรัสว่า นี่คือ ศีลของเธอประการหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ไม่เหลือแล้ว
ความหมายของศีล หมายถึงปกติ ปกติ คือธรรมดา คุณฆ่าสัตว์เป็นปกติ ดื่มสุราวันละ 1 ขวดเป็นปกติ ก็ถูกแล้วนี่ อย่างนั้นก็อย่ามาศึกษาเลย ตีความเข้าหาตัวเองหมด
ธรรมดาคนเรา ไม่เคยสำรวมสังวรตนเลย แต่สติแข็งแรง ปัญญาสมบูรณ์ สมาธิบริบูรณ์ จึงมีพฤติกรรมเป็นปกติ ที่ไม่ฆ่าสัตว์ สติบริบูรณ์ ปัญญาเต็มรูป ไม่ฆ่าสัตว์ สัตว์เซลล์เดียวไปถึงสัตว์ใหญ่ขนาดไหนก็แล้วแต่ ไม่ควรไปฆ่าไปทำร้าย มีสติ ปัญญา สมาธิ จิตแข็งแรงตั้งมั่น ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นปกติ เป็นตถตา เป็นเองโดยอัตโนมัติ นี่คือศีลเป็นปกติ ตถตา
แต่ถ้าคุณพอรู้ว่าการฆ่าสัตว์ไม่ดี จากนั้นไม่ใช่ ปัญญา ปัญญานี้เลยหิริโอตตัปปะ มันเลยเกรงกลัวแล้ว ไม่ทำหรอก ไม่เอาไม่ทำ นั่นคือปัญญา มันอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น
เรียกว่า ปัญญาเป็นอุตระ สติ เป็นอธิปไตย
สัมผัสเมื่อไหร่ ศาสนาพุทธต้องมีผัสสะ ก็ไม่ฆ่าสัตว์แต่ถ้าเผินๆไปฆ่าแล้ว สติไม่มี ปัญญาไม่มีหรอก สมาธิไม่มี คำว่าสมาธิก็ดี ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ เกิดจากศีลทั้งนั้นแหละ เป็นลำดับ
ถ้าคนเรียนศีล 5 ไปตามลำดับ จะมีพื้นฐานของไตรสิกขา และมีพื้นฐานของปัญญาและวิมุติ หากปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ
จะรู้ชีวิตตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว จนถึงสัตว์มนุษย์มีมากเซลล์พิสดารที่สุด นี่คือความมีชีวิต อย่าไปทำร้ายเขา มีความหวังมีความคิดให้ประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
จะแน่ใจได้อย่างไร แม้แต่ได้อัตภาพมาเป็นสัตว์เซลล์เดียวนี้อาจจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตก็ได้ คุณไปตัดรอนมันทำไม มันจะไม่เจริญหรืออย่างไร มันมีแต่เจริญทั้งนั้นแหละ ถ้างดเว้น ด้วยประการทั้งปวงได้ดีที่สุด
1.สัตว์
2.ข้าวของ ของที่ไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีส่วนละเมิดอะไรได้หรอก อย่าไปละเมิดของเขา
3.สัมผัส ศีลข้อ 3 หลงบ้าบอ เป็นทุกข์เป็นสุข
อันที่3คือตัวเราเองบ้าๆบอๆ สุขทุกข์อยู่ที่ข้อที่ 3 คือทุกข์อาริยสัจ อยู่ที่ข้อนี้ ก็มีอัตตากับโลก ต้องมีปัญญารู้ว่าจะอยู่กันอย่างสุจริตอย่างไร โดยเฉพาะข้อที่ 3 ดับได้สนิท ดับอัตตาได้สนิท อยู่กับโลก แต่เป็นผู้สร้างโลกช่วยโลก เป็นจิตใจของพระเจ้า รู้จักโลกและเป็นผู้ดูแลโลกทั้งหมด ไม่มีอัตตา อาตมัน ไม่ใช่ปรมาตมัน แต่จิตใจมีอำนาจอย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่ได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่ทำร้ายใคร
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน หมู่บ้านที่พ้นลาภแลกลาภ
_3867นมก.พ่อครูฯวันนี้จะได้ฟังธ.จบไหมบ่ฮู้ก่า?ฝนตกน้ำท่วมท้ายไร่!เขื่อนร่มเกล้าฯเจ้าพระยาเปิดระบายสะแกกรังเอ่อ!ลุ้นอุทกจะระทึกเท่า54ไหมหนอ?
ขอส่งกำลังใจถึงผู้ประสบวาตะภัยอุทกภัยธรณีภัย(โคลนถล่มดินยุบตลิ่งทรุด)รับมือทุกขภัยด้วยสติกายใจเข้มแข็งปัจจัยยังชีพพร้อมสมบรูณ์!ปลอดภัยทุกคนเทอญ!
ที่อื่นนอกอโศกคงสร้างตลาดอาริยะไม่ได้อย่างในอโศก!เพราะพ่อค้าแม่ค้าตลาดทั่วไปไม่มีแรงงานพึ่งตนฟรีๆอย่างอโศก!เขาต้องพึ่งกำไรจากลูกค้ามาจ่ายให้แรงงานรับจ้าง!ตลาดอาริยะ คงมีแต่ชาวอโศกทำได้แต่ ในบวรพอเพียงที่เดียว!
คนจนคนมีหนี้คนรายได้น้อยนอกอโศกยังมีตลาดนัดให้เลือกหลากหลายร้านที่วิปัสสนาข่าวเคยเสนอข้าวแกง10฿ก๋วยเตี๋ยว5฿ฤาซื้อข้าวแกงถุง1แถม1!ตลาดนี้มี แต่พ่อค้าแม้ค้าพื้นบ้านช่วยปลาเล็กพ้นปากปลาใหญ่ได้!
พ่อครูว่า...เราจัดตลาดอาริยะไม่มีเจตนาแอบแฝง มีแต่จัดเพื่อให้เกิดการเอาสินค้ามาเพื่อให้คนซื้อไป มีทุนรอนเสียสละขาดทุนแก่เขา เขาจะได้มีของใช้สอยที่จำเป็น เป็นการสงเคราะห์ประชาชน แล้วถามว่าที่อื่นสร้างได้ไหม?
ที่เราทำก็เพื่อคนส่วนใหญ่แก่สังคม เราทำอันนี้อย่างตามความเหมาะสมของสังคมเป็นจริงเราก็มีทั้งของ บริโภค
เราได้ขายอาหารจานละ 1 บาทตั้งแต่เปิดตลาดอาริยะมาได้เกือบ 40 ปีแล้ว ที่จริงเราอยากแจกฟรี แต่เมื่อเป็นตลาดจึงต้องมีการค้าขายทำมาเกือบ40 ปีแล้ว เราก็ยังขาย 1 บาทต่อจาน ส่วนอื่นๆเราก็ไปตามควร เราทำอันนี้ ก็ขออภัย หากพูดพาดพิงไปถึงรัฐบาลว่า รัฐบาลไม่เคยคิดเอาไอเดียนี้ไปประยุกต์ทำ เพื่อประชาชน เพราะว่าเรามีเงินทุนเงินทองของรัฐ ก็คืนให้เขา โดยรัฐมีหน้าที่ทำให้เขาได้ไง เราทำนี่นะมันมีนัยยะสำคัญ ตรงที่ว่าพวกไฮโซไม่มาซื้อหรอก
ตลาดอาริยะนี้มีจิตวิทยา คือเราทำอย่างคนชั้นฐานะไม่ดี เพราะฉะนั้นคนฐานะดีจะไม่มารับบริการเท่าไหร่ เขาจะรู้สึก เพราะเราปฏิบัติอย่างมีจิตวิทยาเพื่อป้องกันคนเหล่านี้แล้ว
แม้แต่พวกขี้โลภ เขาอยากมาซื้อเวียนเทียน เพื่อเอาสินค้าไปขายที่ร้านของเขา เราก็หาวิธีป้องกันจนทุกวันนี้ ไม่มีอันนี้เท่าไหร่แต่ทุกวันนี้ คนชั้นสูงไม่ค่อยมาเลย เขารอนะปีหนึ่งครั้งหนึ่ง แต่เราก็จัดปีละครั้ง เรามีทุนแค่นั้น จัดแต่ละครั้งใช้เงินเป็นล้าน เราก็ทำอาคารใหญ่ ให้เกิดตลาดอาริยะได้อย่างสบาย เราไม่ได้ขายของแบรนด์เนมแพงๆ
เราเต็มใจทำเพื่อเผื่อแผ่แจกจ่าย เป็นงานสงเคราะห์ เป็นงานเทศกาล ตลาดอาริยะเขาก็รอกัน เป็นที่รู้และเข้าใจกัน สำหรับคนในฐานะนี้นะ ฐานะคนไฮโซไม่รู้เรื่องหรอก เพราะไม่ใช่สินค้าที่เขาต้องการ เราก็ช่วยคนจน
พวกเราชาวอโศกมีแรงงานฟรี และพวกเราไม่ใช่แค่แรงงานฟรีเท่านั้น คนที่อื่นเขามีรายได้ของเขา แต่เข้าใจ ต้องการมาเสียสละ ลดละพอสมควรแล้ว ไม่ใช่คนกระเหี้ยนกระหือรือ แบบทุนนิยมสามานย์ ก็ไม่ใช่ พวกเรามีความสังวรระวัง ไม่เอารัดเอาเปรียบเพิ่มขึ้น มีการแก่งแย่งกันลดลง
ที่บอกว่าชาวอโศกมีคนทำงานฟรีก็ถูก ที่อื่นไม่มีเหมือน ยกตัวอย่าง งานเทศกาลกินเจที่จังหวัดอุบลฯ อุทยานบุญนิยม เป็นโรงเจใหญ่มาก จนเดี๋ยวนี้พอถึงงานเทศกาลกินเจ แม้แต่คนไปช่วยงานรวมกัน 400-500 คนบริการกันเต็มที่ เป็นต้น ก็มีคนสมัครใจกันไปทำฟรีทั้งนั้น
เรื่องของชุมชนคนทำงานฟรี อาตมาว่าอาตมาได้ประสบความสำเร็จในการทำงานศาสนาอย่างยิ่ง เพราะทำงานฟรี เป็นการบรรลุอาชีพสูงสุด ในมิจฉาอาชีวะ 5
คือ กุหนา ลปนา เนมิตกตา นิปเปสิกตา ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา
1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง
2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง
3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
4. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา) คือตนบรรลุแล้ว ช่วยตนเองพ้นบาปได้แล้วแต่ยังต้องทำงานกับนายทุนที่เอาเปรียบคนอื่นอยู่
5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา) แปลว่าทำงานอย่างไม่คิดค่าแรง ไม่เอาอะไรแลกเปลี่ยนกลับมา ไม่ว่าจะเอาแรงงานแลกเงิน เอาความรู้แลกเงินก็ไม่เอา ทำงานฟรี บริสุทธิ์ ซึ่งชาวอโศกทำได้สำเร็จ ไม่ใช่สำเร็จคนเดียว แต่สำเร็จทั้งชุมชน
อาตมาเองก็ยังรู้สึก ว่าประสบความสำเร็จในการทำงานศาสนาพุทธ ทำให้คนมารวมตัวกันเป็นสังคม เป็นหมู่บ้าน อย่างราชธานีอโศกเป็นหมู่บ้านนิตินัยเลย แม้จะไม่ใหญ่โต แต่ถ้าหลายหมู่บ้านก็เป็นตำบล
และในหมู่บ้านชาวอโศก ทุกคนทำงานฟรี ไม่ว่าจะเป็นชุมชนไหน อย่างราชธานีอโศกเป็นนิตินัย ศีรษะอโศกเป็นนิตินัย ที่อื่นแม้ไม่เป็นนิตินัย ก็ทำงานฟรีทุกแห่ง เมื่อเข้ามาเป็นสมาชิกในหมู่บ้านนี้ กินใช้มีชีวิตอยู่ร่วมกัน มีลาภที่ได้โดยธรรมก็เอามารวมกันแบ่งกันกินกันใช้ เป็นระบบสาธารณโภคี
ในยุคนี้ เป็นยุคของทุนนิยมสามานย์ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...เป็นเรื่องมหัศจรรย์จริง ที่งานเจจะมีคนมาช่วยกัน 400-500 คน ทำงานโดยไม่ได้เอาอะไรตอบแทน ไม่ต้องมีค่าจ้าง เป็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นได้ในยุคนี้ หรือในงานตลาดอาริยะหรืองานอื่น
อาตมาเคยไปฉือจี้ ที่ไต้หวัน ก็จะมีไม่กี่คน ที่ทำงานฟรี ไม่ต้องมีค่าตัว แต่เขาก็ภาคภูมิใจมากแล้ว แต่ว่าสิ่งที่พ่อครูพาทำ ปลูกฝังให้พวกเรา ไม่ว่าจะงานไหน พ่อครูว่า คือสิ่งที่พ่อครูทำได้สำเร็จ
ในงานที่อาตมาตั้งแต่มาบวชทำงานศาสนาเต็มตัว พ.ศ. 2513 มาจนถึงปี 2560 มาถึงวันนี้ อะไรต่างๆที่อาตมาพาทำ เมื่อวันก่อนมีคุณอะไรที่บอกว่า ทำไมไม่ดูว่าอโศกพาทำอะไรบ้าง
เราทำโรงเรียนแบบของเรา ซึ่งแม้แต่เป็นการศึกษาทุกวันนี้เขาเน้นเอาแต่ความรู้วิชาการ อันนี้เป็นความลึกซึ้งมาก การศึกษาที่ไม่bbb ถึงศีลธรรมเป็นหลัก สองให้เป็นงาน เป็นงานที่ควรจะเป็นไปตามลำดับ เป็นงานพื้นฐานของชีวิต ที่ควรต้องมีต้องเป็น เป็นสิ่งที่ถ้ามีแล้วจะไม่อดตาย เอาแต่วิชาการเป็นหลักทั่วโลกเลย เด่นในทางวิชาการ เรียกว่าการศึกษา วัวลืมตีน จบแล้วไม่มีตีนให้เดินเลย มีแต่ลอยฟ่อง
ตั้งแต่อาตมาได้ทำการศึกษากับชาวอโศกก็ได้นึกถึงข้อนี้ เป็นการสร้างให้แก่เยาวชน เด็กที่มาเรียนกับเราก็ได้ความรู้ตามหลักสูตรมาตรฐานสากล มีความรู้อันนี้แล้วไปต่อสู้กับโลกข้างนอก จบม.6 ม.3 ก็ไม่ต่างกับภายนอก ไปกับเขาได้ เรียนจบด็อกเตอร์ได้ แต่เขาจะได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ คือเราพากเพียรให้เขาได้ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา นี่คือหลักปรัชญาการศึกษาของเรา
ถ้าการศึกษาเน้นคุณธรรมเป็นหลัก ให้มีคุณธรรมไปด้วย แทนที่จะมีแต่วิชาการ อาตมาพูดอันนี้แล้ว อาตมาก็ระลึกถึงคำตรัสของในหลวง อาตมาว่า ในพระทัยลึกๆของท่านรู้ดี แต่ท่านจะไม่ได้ตรัสออกมาได้ชัดหรอก แต่อาตมาเข้าใจดีว่าท่านตรัสว่า
ปิดตำรา อย่าไปหลงตำรานักหนา คำว่าตำราคำเดียวคือการศึกษาทั้งปวง อย่าไปตามตำราเลย เป็นความหมายลึกซึ้ง จากพระปัญญาธิคุณของท่าน เท่าที่อาตมามีภูมิรู้เข้าใจ แต่ท่านเป็นในหลวงก็เลยตรัสแบบนั้น
อาตมาเคยเขียนไว้ว่า
สิ่งที่เราต้องการนั้น
มันไม่ใหญ่โต
อัครฐาน อะไรดอก !
ชีวิตง่ายๆ ถูกๆ ขยันๆ
รู้จักพอดี
มีความซื่อสัตย์ มีเมตตา
เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเสมอๆ
ชีวิตเหมือนดอกหญ้า
แต่มันใหญ่ยิ่ง
เป็นมหาพลังเย็นโอบอุ้มโลก
และคือการเข้าถึง
โลกใหม่ (ปรโลก) ได้แล้ว
อย่างที่บ้านราชฯหรือที่อื่น โดยเฉพาะที่บ้านราชฯ มีคนงานจากภายนอกมาทำงานอยู่ที่นี่ทุกวัน เป็นร้อยคน ต้องมารับเงินจากชุมชนนี้ เขาก็เลี้ยงชีวิตด้วยเงินของชุมชนอโศก เขาก็มารับจ้าง แต่คนในนี้ทำงานฟรี แล้วเราก็มีการตลาดทำขาย แต่ก็มีส่วนเกินอยู่บ้าง แต่เราเสียสละ เราเสียสละแต่เรายิ่งมีคือเราเสียสละค่าแรงของเราไง แล้วเอามาจ้างคนงานเหล่านี้ เดือนละไม่น้อย เป็นมาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว คนงานก็มารับจ้างทุกวัน จะบอกว่าคนทำงานฟรีแล้วจะไม่มีเงินไปจ้าง แต่ก็มี คือเงินที่เราไม่เอานี่แหละเอาไปให้เขาได้ เท่ากับเราเป็นคนมีประโยชน์ เราไม่เอา ก็เลยเหลือไปช่วยเหลือคนอื่น ช่วยเหลือเศรษฐกิจประเทศชาติ ให้คนมาทำงานในนี้ ไม่ต้องไปทำงานที่ซาอุดิอาระเบีย แต่มาทำงานที่ ซาอโศก
สมณะเดินดินว่า...คนงานก็มั่นใจว่าไม่ถูกเบี้ยวค่าแรงด้วย
พ่อครูว่า...เขาบอกว่าทำงานที่นี่มั่นคงแม้ที่อื่นจะจ้างแพงกว่า แต่ที่นี่ถึงเวลาจ่ายก็จ่าย รัฐบาลมีเงินจะไปจ่ายไหม ก็มี แต่รัฐบาลไม่เคยคิดจะทำ หากรัฐบาลทำจะดีกว่าแบบประชานิยม จัดขึ้นเลย เป็นคณะหนึ่งกองหนึ่งเลย กองพาณิชย์เศรษฐกิจ เพื่อเป็นการช่วยสงเคราะห์ประชาชน
สินค้าไม่ใช่สินค้าแบบไฮโซ คนไฮโซก็ไม่มาซื้อหรอก ข่าวสินค้าไฮโซแล้วมาขายถูกคนไฮโซก็มาซื้อ แต่ถ้าเราขายของแบบพื้นๆ คนทั่วไปก็มาซื้อได้
คนจน คนมีหนี้คนรายได้น้อย
_9856กราบนมัสการครับพ่อครู ผมขอสมัครเข้าค้ายปฏิบัติธรรม และขออยู่จำพรรษาที่บ้านราชด้วยครับ ผมจะไปวันที่13พรุ่งนี้ครับไม่ทราบว่าไปที่บ้านราชที่บ้านราชด้วยครับ ผมจะไปวันที่13พรุ่งนี้ครับไม่ทราบว่าไปแล้วจะสมัครได้ที่ไหนกับไครครับ
พ่อครูว่า... อาตมาว่า แม้จะเดินมาที่นี่ถ้าเป็นคนตาบอด ก็จะเจอคนมารับสมัครค่ายได้ ไม่ต้องห่วงหรอก ต่อให้คนตาบอดเข้ามาก็จะมีคนรับสมัครได้
_SMS เฟซบุ๊ค
_ลุง เก๋ · คนเราแตกต่างกัน การปกครองจึงต้องมีการเลือกตั้ง เพียงแต่ฝ่ายชนะก็ต้องฟังเสียงส่วนน้อย เสียงส่วนน้อยต้องไม่ใช้อำนาจพิเศษ ถ้าไม่มีเลือกตั้งก็เผด็จการสิครับ
พ่อครูว่า...ต้องอ่านพฤติกรรม ไม่ใช่อ่านที่เปลือก ไปเอาหลักเกณฑ์ย่อยมาใช้ โดยเฉพาะคนที่บอกว่าประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง อาตมาว่าคนนี้ดื้อที่สุดเลย
_เทียนยอดธรรม อิทธิกูลวัฒนะ · กราบนมัสการครับ สังคมอโศก คือสังคมในอุดมคติครับ ดีที่สุดในโลก...สาธุครับ... .
_เจิน วดี · ยิ่งฟังพ่อท่านพุดถึงปัญหาบ้านเมืองยิ่งเข้าใจว่าจริงเท็จเป็นอย่างไร เพราะผลสะท้อนของการปกครองมันมีผลกับวิถีชีวิตที่ดำเนินจริง ขอให้พ่อครูอายุมั่นขัวญยืนสุขภาพแข็งแรงอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรไปนานๆๆๆ
_ฟ้างาย คำอโศก · ดาวเทียมที่บ้านล่มมาเป็นเดือน เฉพาะช่อง240 เพราะฝนตกตอนเย็นๆ ต้องดูย้อนหลังจากYOUTUBEเพิ่งเปิดเป็นมาเจอได้ดูสดจากfbวันนี้เอง ดีใจมากค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างยิ่ง
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อานิงส์ของศีล
_พิมพ์เพชรบุญ...กราบคาระวะพ่อครูเจ้าค่ะมนัสการท่านสมณะสิกขมาตุเจ้าค่ะ
ลูกขอกราบขอโทษอย่างสูงเจ้าค่ะที่เมื่อครั้งก่อนถามคำถามที่ไม่ชวนตอบ
มาครั้งนี้มาแก้ตัวเจ้าค่ะ
ขอถามว่า เรื่องของศีลนี้ศีล5 นี้ความทุกข์หรือกิเลสจะลดได้แต่เพียง 50%เท่านั้นเหรอค่ะคือลดได้จะยังละไม่ได้ใช่ไหมค่ะ?
แค่เบื้องต้นเท่านั้น
ถ้าจะลดละจนถึงเลิกอะไรก็ตามที่ติดได้ต้องมีศีลอันเป็นเบื้องต้นคือศีล5 ลดได้จะละได้ต้องมีศีล ที่สูงอีกเป็นศีล 8 อันเป็นกลาง
จะเลิกได้เด็ดขาดสิ่งที่ติดกิเลสหยาบได้ก็ต้องมาถือศีล 10 ไม่รับเงินรับทองทำงานฟรีอยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี
พร้อมด้วยใจที่เต็มใจจริงใจ จะเบิกบาน
ใครจะบังคับจิตใจเราไม่ได้ต้องทำด้วยตัวเราเอง หากรู้ว่าหนทางที่ใช่จากสัตบุรุษ(ผู้รู้จริง)เราก็จะเข้าถึงได้ง่ายได้โดยไม่ลำบาก
ใครที่ว่าทำยากก็เท่ากับปิดกั้นตัวเองแล้วที่จะเข้าสู่ความเจริญ เพราะมีผัสสะ
พออยู่ข้างนอกเจอผัสสะคนที่เขายังไม่ล้างหนักกว่าข้างในเลยรู้สึกทุกข์หนักมากกว่าเลยต้องพรากเพียรลดละจนถึงจะเกือบเลิกได้หรือเลิกได้เลยบางอย่างหมด
เรื่องของศีลอันที่จริงแล้ว มีศีลทั้งหมดกี่ข้อคะ
พ่อครูว่า... คุณเข้าใจผิดแล้ว ศีล 5 นี้ ปฏิบัติจริงแล้ว อรหันต์อยู่ในศีล 5 สามข้อแรกคือกาย ข้อสี่คือวจี ข้อห้าคือมโน
อานิสงส์ของศีลการได้อานิสงส์ 10 ของศีล กุสลานิ สีลานิ อนุปุพเพนะ อรหัตตายะ ปูเรนตีติ ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ
ศีลทุกวันนี้สอนกันว่าปฏิบัติได้แค่กายกับวาจา ส่วนใจต้องไปนั่งสมาธิ บอกแล้วคุณหั่นศีล สมาธิ ปัญญา ออกจากกัน คือทำแบบฆาตกรฆ่าหั่นศพ แล้วเอาศีลไปไว้ภูเขาไหน สมาธิไปทิ้งแม่น้ำไหน ปัญญาเอาไปลงเหวไหน เป็นฆาตกรฆ่าหั่นศพศีลสมาธิปัญญา มันผิดไปหมด
ศีลสมาธิปัญญา ศีลต้องให้จิตใจได้รับประโยชน์ เรียกว่าอวิปฏิสาร
1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)
2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)
3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)
4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
6. สมาธิ (จิตมั่นคง)
7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)
8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)
9. วิราคะ (คลายกิเลส)
10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 , 208)
ศีลปฏิบัติแล้วจิตสงบ แต่จิตสงบของพุทธไม่ใช่นิ่งอย่างไม่ทำอะไร แต่จิตยิ่งคล่องแคล่ว สงบนี่สงบจากความชั่วอกุศล ไม่ใช่นิ่งอย่างรูปธรรม แต่อยู่ที่นามธรรมทำให้กิเลสสงบ หยุด ตายอย่างไม่ฟื้นคืนเลย เป็นความเข้าใจผิด ศีลสมาธิปัญญา แยกกัน แบบฆาตกรฆ่าหั่นศพ ปฏิบัติศีลก็ทำไป ปฏิบัติสมาธิเข้าไปนั่งหลับตา แล้วปัญญาจะโผล่มาเอง
ปัญญานั้น จะเกิดได้ต้องมีกระบวนการของ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ซึ่งกระบวนการเกิดปัญญาจะมี 6 ข้อ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ สัมมาทิฏฐิ
ปัญญานั้นไม่ใช่ความฉลาดแบบ เฉกา แต่ปัญญามาจากอัญญะ เป็นความฉลาดอย่างอื่นที่ออกจากกรอบโลกีย์ปุถุชน ที่มีแต่เอาเปรียบเพื่อให้ได้โลกธรรม แต่ความฉลาดแบบ โลกุตระคือปัญญาไม่ติดในโลกธรรม แต่ความฉลาดแบบโลกียคือความฉลาดแบบ เฉโก แม้จะเก่งกาจขนาดไหนก็ตาม เฉลียวฉลาดมากมาย มีความรู้รอบโลก แต่ไม่ได้ให้พาลดกิเลส ก็ไม่ใช่ปัญญา
ปัญญาต้องมีปุญญะ ถ้าปัญญาไม่ทำให้เกิดปุญญะ ก็ไม่ใช่ปัญญา
ปุญญะ คือเครื่องมือตัดกิเลส ไม่ใช่กุศลอีก
_ฝนเอื้อฟ้า....สืบเนื่องจาก หัวข้อที่พ่อครูสอน ประชาธิปไตยดีที่สุดตัองโลกุตระ 77 ข้อ
มูลเหตุหัวข้อที่ 70
คนจึงหลงใหลความเป็น "โลก" ภายนอกกันหนักกว่าพลังงานภายในยุคนี้เชื่อถือ " พลังงานโลก มากกว่าพลังงานอัตตา เพราะพลังงาน อัตตา นำมาใช้ไม่เด่น ไม่ยั่งยืน"
แต่พลังงานโลกนำมาใช้ได้เด่นและยั่งยืนกว่า
คนยุคนี้จึงให้ความสำคัญ พลังงานโลก ~พลังภายนอกกันมาก ไม่เชื่อถือพลังงานอัตตา ~พลังงานภายในกันแล้วเพราะมันคนละยุคคนละสมัย = มันไม่ใช่กาละของมัน
คำถาม หัวข้อนี้ ต้องสืบเนื่องให้พ่อครู อธิบายเจาะลึกไปอีกค่ะ ลึกซึ้งมากหัวข้อนี้
เพราะ หนูเข้าใจว่า คนยุคนี้หลงใหลพลังงานโลก มากกว่าพลังงานอัตตา เพราะพลังงานโลก = วัตถุ คือความเสถียรกว่า เหมาะสมกับยุคแห่งกาละนี้ข้อนี้ก็พอเข้าใจได้ค่ะ แต่ก็หมายการตีความสื่อสภาวะของคนยุคนี้มองคนที่ภายนอกไม่สามารถมองข้ามช้อท เจตนาของจิต
วิญญานแท้ เพราะพลังงานจิตเขาไปไม่ถึง
วัตถุและรูปภายนอก จึงครองโลก
เขาจึงกำหนดค่าตามความพึงพอใจจากสิ่งที่เห็น ความงามจากภายนอก อาจดีจริงหรือ อาจไม่ดีก็ได้ // แม้แต่ความอัปลักษณ์ภายนอกก็อาจดีจริงหรือไม่ดีก็ได้
เขาไม่สามารถมองเนื้อแท้ ตามความเป็นจริงของกาละในปัจจุบัน เพราะได้ฝังในหัวเขาเช่นนี้แล้ว
ฉะนั้นคนที่สามารถควบคุมพลังงานทั้ง 2 แบบทั้งพลังงานโลก และพลังงานอัตตา ได้พอเหมาะพอดีและนำมาใช้ได้อย่างเกิดประสิทธิผล ภายใต้เงื่อนไขแห่งยุคสมัย จึงเป็นคนเหนือคนน่ามหัศจรรย์ มากค่ะพ่อครู
กราบนิมนต์พ่อครูขยายเพิ่มให้ด้วยนะคะ
กราบนมัสการอย่างสูงด้วยหัวใจค่ะ
พ่อครูว่า...พระอรหันต์คือคนที่มี อรหัตตา เป็นคนที่มีอัตตาอันไม่ลึกลับแล้ว รหะ แปลว่าลึกลับ อรหะ คือไม่ลึกลับ อรหัตตาคือ ผู้ที่มีผลในการ ความเป็นอัตตา ท่านแจ้งในอัตตาและทำตนไม่ให้เป็นทาสอัตตา อยู่เหนืออัตตา ไม่ใช้อัตตาตัวเองไปเบ่งข่มใคร
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตย 77 ข้อ ข้อ 41-54
มาต่อที่อาตมาได้บรรยาย ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ 77 ข้อ
41. ธรรมะต้องเป็นโลกุตระจริง คือล้างความเป็นตัวตน(อัตตา)ออกจากจิตให้มากเท่าที่จะมากให้ได้ ที่สุดจนหมดตัวตน จึงจะรับใช้ประชาชน ด้วยธรรมะที่เป็นโลกุตระนั้นๆ ไม่อย่างนั้นจะต้องใช้วิธี“เลือกตั้ง”ในสังคมนั้นอยู่ร่ำไป
อย่างชุมชนชาวอโศกมีหมู่บ้านของอโศกมีวัฒนธรรมมีศีล มีสาธารณโภคี พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 หมู่บ้านนี้จึงไม่มีการเลือกตั้ง มีแค่ซาวเสียง หรือแนะนำนิดหน่อย ไม่ถึงแต่งตั้ง แนะนิดหน่อยพวกเราก็เอาตามแล้ว สะดวกมาก ไม่ต้องมีการเลือกตั้ง ที่ต้องมีการป้องกันการทุจริตการโกง ไม่ต้องเลย เสียเวลาทุนรอน รัฐศาสตร์ที่ลึกซึ้ง
สมณะเดินดิน ว่า….วันนี้พ่อครูเป็นกัปตันเรือฝ่ามรสุมจนลมพายุสงบเรียบร้อย...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:04:59 )
รายละเอียด
600716_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตอบปัญหาผรณาปีติ
สมณะฟ้าไทว่า…วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม 2560 แรม 8 เดือน 8 ที่ราชธานีอโศก พูดถึงตัวเลขที่ลงตัวกัน
พ่อครูว่า...ที่ว่าใช้เลขเป็น อย่าไปสุ่มสี่สุ่มห้า อย่างที่ท่านใช้ ท่านใช้เลขลงตัวกัน เราก็คงเป็นบ้าง อย่าใช้ ถ้าเราไม่มีบารมี มันมีผลวิบาก โดยเฉพาะวิบากกุศลที่จะสนิทเนียนลงตัว ที่ซ้ำกัน อย่างแปดๆ คู่กัน พระพุทธเจ้าประสูติตรัสรู้ปรินิพพานวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 มันลอกเลียนไม่ได้ เป็นพลังงาน อจินไตย ทั้งพลังงานและสสารจะเนียนลงตัวเหมือนอันเดียวกัน ในรูปกับนาม เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ใครอยากได้ แกล้งเอาไม่ได้ เสแสร้งเอาไม่ได้ พยายามหลอกลวงตามไม่ได้ หลอกได้ชั่วคราว แล้วคนอื่นจะจับได้ว่าไม่จริง แต่ถ้าจริงแล้วไม่มีเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เกิดกี่ชาติก็เป็นอย่างนี้
สมณะฟ้าไทว่า...เหมือนที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์สาวกว่าจะต้องต่อไปจะเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า...จะต้องเกิดมาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาเป็นลูกคนนั้นคนนี้ ก็ลงตัวหมด
สมณะฟ้าไทว่า...พระพุทธเจ้ารู้อนาคต รู้ว่าสาวกของท่านในอนาคตจะเป็นมาอย่างไร เป็นกรรมที่ท่านสร้างมา แม้แต่มหาปุริสลักษณะ 32 ประการ ต้องทำกรรมต่างๆสะสมมาถึงได้ กาละปัจจุบันที่เราได้มาเข้าพรรษาก็ทำกรรมปัจจุบันให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงให้ลดละกิเลสได้เป็นสำคัญ เพราะคนปุถุชนก็เพิ่มกิเลสให้แก่ตนทุกเมื่อเชื่อวัน แบบอัตราทวีคูณ พ่อครูจึงต้องพามาลดกิเลสแบบทวีคูณ ไม่อย่างนั้นไม่ทันโลก โลกเอาไปกินหมด เราปฏิบัติธรรมต้องกระตือรือร้นขมีขมันให้เกิดการลดกิเลสอย่างทวีคูณ พ่อครูสอนมา 40 กว่าปี มีอัตรากำลังสะสมอยู่แล้ว หากเราไม่เร่งก็จะพัฒนาช้า
พ่อครูว่า...ก่อนจะได้ต่อเรื่องราวของธรรมะก็ขอโอภาปราศรัยกับ sms
ก็ขอโฆษณาหนังสือ ที่ชาวอโศกทำ ตอนนี้มีสารอโศก เราคิดอะไร ดอกบัวน้อย ดอกหญ้า แต่ก่อนมีแสงสูญ น้ำใจ เราก็พักไปแล้ว เหลือแต่ สารอโศก เราคิดอะไร ดอกบัวน้อย ดอกหญ้า ดอกบัวน้อย ข่าวอโศก แต่แค่นี้ก็ทำแม้ที่สุดจะมี IT ก้าวหน้าจนใช้ Social network เราก็มี มีหลายผู้หลายคนช่วยกันทำ โดยเฉพาะ ท่านสมณะพิสุทธิ์ ท่านชื่อว่า สมณะพิสุทธิ์ ถ้าจะเรียกให้เต็มก็เป็น สมณะสมณะพิสุทธิ์ ฉายา พิสุทโธ คือ สมณะสมณะพิสุทธิ์ พิสุทโธ
แสดงว่า สมณะแน่ๆ พิสุทธิ์แน่ๆ คือบริสุทธิ์จริงๆ ย้ำยืนยัน confirm คนก็งงๆ ถ้าตั้งหลักก็ไม่งง ท่านเป็นคน เอาแต่งานไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร วันๆหนึ่งดูเหมือนจะไม่ได้พูดสักคำก็คงมี เป็นคนเอาแต่ทำ เป็นคนมีน้ำใจ ขยัน อุตสาหะ ที่ขึ้นไปใน IT ทั้งหลายท่านเป็นคนคีย์มาส่วนใหญ่ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เดี๋ยวนี้ก็มีคนช่วยกันเพิ่มเติมขึ้น ก็มีฝากโฆษณาว่า ใครจะช่วย เราไม่ได้รับเงินง่ายๆ เรามีเงื่อนไขในการรับบริจาค รับจากผู้เห็นว่าเหมาะสมแล้ว อย่างจะมาลงโฆษณาเพื่อลงพิมพ์ ของเราทุกเดือนตุลาคม เราจะมีหนังสือเล่มพิมพ์แจก 1 เล่ม คู่กับเราคิดอะไร ฉบับตุลาคม ปีนี้เราก็จะพิมพ์รวมเล่ม คอลัมน์ คนจะมีธรรมะได้อย่างไร จะรวมเป็นเล่มที่ 1 ที่จะแจกตุลาคมปีนี้ ใครจะลงโฆษณา หรือใครจะมีกิจกรรมกิจการตนเองก็ลงไว้ได้ ก็ติดต่อที่คุณศีลสนิท น้อยอินต๊ะ ถ้าเต็มหน้าแปดพัน ถ้าครึ่งหน้าห้าพัน ถ้าเศษหนึ่งส่วนสี่ สามพัน แบบขาวดำ
ถ้าเป็นสีข้างนอกหมื่นห้า ถ้าในเล่มเป็นสี หมื่นเดียว ปกหลังใน แปดพัน ถ้าปกหลังหน้าก็อีกราคา มีหน้าสามของหนังสือเล่ม ราคาพันสอง ก็ติดต่อไปที่ผู้ช่วย ก็ช่วยเงินเราก็ไม่รับทั่วไป ติดต่อที่คุณศีลสนิท 08 1253 7677
เป็นศิลปะที่มีสารศิลป์คือเนื้อหาสัจจะสาระ ส่วนสุนทรียศิลป์คือเป็นองค์ประกอบให้ชวนให้ชม เหมือนน้ำตาลเคลือบยา สุนทรีย์จะมากกว่าเนื้อหาไม่ได้ ใช้ล่อคนมาให้ชมแต่ว่าคนมีสาระก็ไม่ต้องอาศัยอะไรล่อ ก็มาเอาเนื้อหาได้ อย่างไม้ร่มต้องอยู่กับคนโง่ หลอกไปในทางงามหรือวิตถาร งานก็ล่อได้แปลกๆวิตถารๆ ต้องหาสิ่งแปลกใหม่วิตถาร จนเลยเถิดต่อไม่ติด ไกลห่างไม่เข้าหากันเลยก็ไปเรื่อย ก็เป็นความพอเหมาะพอดีลงตัวหรือไม่ลงตัวก็ได้ เราต้องรู้ว่าจุดแท้ที่ต้องการคืออะไร แก่นสารสาระ เอาไม้ร่มมาเป็นตัวอย่างอธิบาย
ถ้ามองในสมัยนี้ก็เป็นได้แต่ว่าน้อย ถ้าส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นไปในทางดูดีเรียบร้อยงดงามสดใส แต่นี่ไปในทางซ้กม้กสกปรก เน่าเหม็นก็เลยดูไม่ค่อยรื่นรมย์คนก็เลยยากจะมาอาศัยอันนี้ แม้จะมีเนื้อแท้ แต่สุนทรีย์ที่ใช้เป็นไปในทางซ้กม้กซำเหมา แต่คนเข้าใจแก่นแล้วก็ไม่เป็นปัญหา
SMS วันที่ 14 กรกฎาคม 2560 (พ่อครู-บ้านราช)
สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน เพลง 5 ระดับ
_3867รก.ขวางโลกไขโลกุตระ ทุกศุกร์ก่อนรก.พ่อครูฯน่าจะมีสัก2ชม.แถมเพลงสัจจะชีวิตสัก10เพลง!แฟนเพลงพ่อท่านฯฟังแล้วผ่อนคลายสบายใจที่สุด!
ร้านมังสะวิรัติทุกบวรอโศกถ้ามีเพลง โอเกะพ่อท่านเปิดให้ลูกค้าฟังไปทานไปกล่อมเกลาใจไปคงสบายอกสบายพุงอิ่มใจกลับบ้านHAPPYทุกคน!
กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูแสงปชธต.ใบอิสระชนจากเสียงโลกุตระด้วยศีลจากจิตกุศลกรรมยังปย.สุขตามรอยพระอาริยะกษ.ร.9ประจักษ์บวรพอเพียงสืบสานพระปณิธานชัดแจ้งภักดิ์ทศพิธราชธ.สถิตสยามยืนนานสาธุ!
พ่อครูว่า...เพลงของอาตมา ขออภัยที่ต้องพาดพิงศิลปินแห่งชาติเนาวรัตน์พงษ์ไพบูลย์ เขาไปเจอภาพจิตรกรรมที่แสดงที่สันติอโศก แสงศิลป์เขียนมา ประจำหน้าปกเราคิดอะไรมาหลายปี อาตมาพาเดินชม เขาก็อุทานว่าศิลปะมีโลกุตระด้วยหรือ ก็คงต้องศึกษากันต่อ
ศิลปะคือมงคลอันอุดมอันสูงสุด เอตัมมังคลมุตตมัง สิปปัญจเอตัมมังคลมุตตมัง ศิลปะไม่ได้หมายความถึงโลกียะ ถ้าโลกียะดีก็เรียกกัลยาณธรรม ถ้าเป็นโลกุตรธรรม เรียกว่าอาริยธรรม คือเหนือโลก คำว่าเหนือโลกคือความเข้าใจโลก แต่เราไม่แย่งชิงกับเขา เขามักมากเรามักน้อย เขาอวดสวยเราธรรมดาสามัญก็พอ แต่ไม่ต้องไปถึงกับสกปรกซกมก เขาแข่งหรูหราก็ปล่อยเขา เราไม่จำเป็นต้องซกมกสกปรกเละเทะถ่วงหนัก มันก็ถ่วง แต่มันเลยเถิดไป เอาแค่พอดี พอสมควร ส่วนใครจะมี จิตอยากถ่วงก็ลงทุนหน่อยก็หนักก็ต้องถ่วงบ้าง ในสังคมต้องมีสิ่งที่ถ่วง อาตมาต้องทำบ้าง ต้องแรง ถ้าจะทำเบากว่านี้งามกว่านี้ก็ได้ แต่รู้ว่าต้องทำแรงขนาดนี้ ต้องใช้ สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4
ต้องรู้เนื้อแท้ทั้งหมดคือธรรมะ ร้อยหนึ่งมีเท่าไหร่ แล้วอะไรที่คุณต้องการจำนวนหนึ่งไม่ต้องถึงร้อยเป็นจุดที่ต้องการเป้าหมายสำคัญเป็นจุดศูนย์กลาง อัตถัญญุตา Interest point มีทิศทางไปสู่จุดสำคัญ มี convergent มีเส้นทาง projection ไปสู่จุดสำคัญ นำทางไปสู่จุดสูงสุด เป็นนัยยะทางนามธรรมอันละเอียด
ผู้ใดมีภูมิธรรมปัญญารู้สิ่งที่อาตมาขยายความก็เอาไปปฏิบัติประพฤติ
เพลงที่อาตมาแต่งนี้ เป็นศิลปะ เป็นโลกุตรธรรม
อาตมาแบ่งเพลงที่เป็นศิลปะกับไม่ศิลปะ 5 เกณฑ์
ตัวเองกินใช้เท่าเดิมสูญๆๆ นอกนั้นเป็นจักรผัน แรงกลปราณีช่วยคนอื่นเรื่อยๆไป เป็นพัฒนาการพลังงานโลกุตระ
เพลงที่อาตมาแต่งเป็นโลกุตระ
เพลงลามกรู้ง่าย เพลงราคะนี้ก็มีหยาบกลางละเอียดมีเยอะมาก คนร่ำรวยจากเพลงราคะนี้เยอะมาก นี่ก็กำลังดังคือหลุยวิตตอง เนื้อแท้ก็แค่กระเป๋าใส่ของ มันหลอกอุปาทานให้คนติดยึด คนก็โง่เง่ามาซื้อ คนรวยก็มาซื้อก็หมุนเอาเงินไปสะพัดสู่คนต้องการใช้ก็ดี แต่นี่จนด้วยนะไม่ได้รวย แต่อยากเป็นไฮโซ กินข้าวในบ้านกินกับปลาทู แต่ออกนอกบ้านนั่งรถราคาแพง แต่แต่งตัวหรูหรา ไม่รู้จักสาระแก่นสารไม่รู้ตัวรู้ตน คนพวกนี้ก็ต้องถูกหลอกไป
สาระเนื้อแท้เข้าแก่นให้มันถูกตรง เป็นขั้นที่สาม
ธรรมะ แม้ว่าเข้าใจเป็นโลกียก็ยังดี ยิ่งเป็นโลกุตระเลยก็ยิ่งลึกซึ้ง อาตมาแยกความหมายศิลปะแค่ 5 อย่างนี้ ถ้าจะเข้าข่ายเป็นมงคลอันอุดม ลามก ราคะก็ไม่ใช่แน่ สาระก็ยังกึ่งหนึ่ง ต้องอธิบายว่าเป็นสาระที่เป็นจริง หรือเสพติด แล้วไปถึงธรรมะ ถ้าธรรมะโลกีย์ก็เกื้อกูล จะวนระหว่างสาระกับธรรมะ แต่โลกุตระนั้นมีน้อย แต่ดันไปช่วยคนมีมาก
คนมี 0 ไปช่วยคนรวยมหาศาล ช่วยได้ เรื่องนามธรรม ให้เขาเลิกสร้างวิบากได้
โลกุตระอยู่ในงาน อาชีพ กรรมกิริยา วัตถุ สีสัน ถ้าเข้าใจมีหมด ต้องสร้างให้เป็นตัวอย่าง อย่างมีสัดส่วน ให้ถูกกับบุคคล หมู่กลุ่ม องค์รวม เป้าหมาย อัตถัญญุตา ผู้ใดที่มีการประมาณไม่อยากได้สัดส่วน ผู้นั้นก็ทำได้อย่างมีประโยชน์สูงประหยัดสุด ประโยชน์มาก
เราทำได้จนมีผู้ที่ปฏิบัติได้ มารวมกันเป็นหมู่กลุ่ม มีพฤติกรรมสังคมที่เห็นได้ พลเมืองโลกไปในทางโลกียะ ก็จะหลงโลกียะเป็นธรรมชาติ เราก็จะต้องช่วยเขาเพิ่มขึ้นเพราะ อัตราการก้าวหน้า โลกียะสูงกว่าโลกุตระมาก ผ่านจากยุคพระพุทธเจ้าสมณโคดมมาถึงตอนนี้ เราเป็นผู้ที่จะช่วยให้ศาสนาของพระสมณโคดมไปถึง 5,000
งานศิลปะด้านการเขียนภาพจิตรกรรม ที่อาตมาเรียนทางโลกมานี้ อาตมาเขียนภาพเหลือไว้เพียงรูปเดียว ชื่อ จะสิ้นโลกแล้วฤา นอกนั้นก็เป็นลายเส้น อันที่สำคัญสุดคือวงกลมสุญญตา
อาตมาใช้หนักทางภาษา กวีการ ที่จะสื่อเนื้อหาโลกุตระ อาตมาแก้แล้วแก้อีก สารณียกรที่ทำงานร่วมกับอาตมาหากไม่ใจเย็นก็เลิกไปแล้ว จนจะขึ้นแท่นพิมพ์แล้วก็แก้อีก
ยุคนี้โลกุตระหาได้ยาก มีน้อยมาก การจะชม ก็ไม่มีคนอื่นให้ชมก็เลยต้องชมตัวเอง แต่ว่าชมน้อยแล้วนะ ที่จะติมันมีอยู่มากมายที่ต้องตำหนิ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ปีติ 5 ประการ
_จากผู้ร่วมค่ายสัมมาอาริยมรรค....หนูรู้สึกชอบกิจกรรมกลุ่มมาก ชอบที่เรามีการสรุปความรู้สึกและฟังท่านสมณะท่านสิกขมาตุสรุปสำทับ แม้จะตื่นเต้นอยู่บ้าง
คำถามค่ะ เราจะทำเช่นไรให้จิตเรามีอาการปิติ ในแบบ ผรณาปิติ หล่อเลี้ยงแผ่ซ่านทั่วกาย =ใจของเรา หนูว่าผรณาเป็นปิติหล่อเลี้ยงใจที่กำลังดีค่ะ และต้องมีภูมิในขั้นไหนคะ เราถึงจะรู้สึกบางเบาและแผ่ซ่านเช่นนี้
สุดท้ายหนูว่า อาจารย์ ที่ท่านติกขะเรียนเชิญมาแนะนำทางด้านเกษตรแบบใช้นวัตกรรมในวันเสาร์ ที่ 15 ที่ผ่าน นอกจากมีความรู้ทางเทคนิคมากแล้ว ยังมีความรู้ทางด้านโลกุตระอีกด้วยค่ะ รู้สึกเช่นนั้น
กราบนมัสการพ่อครูอย่างสูงด้วยหัวใจค่ะ
พ่อครูว่า...ปีติ เหมือนคนลงสรงสนานแช่น้ำที่มีจุนสี ละลายในน้ำ แล้วให้จุนสีซึมซับทั่วร่างไม่มีเอกเทศไหนๆที่ไม่ทั่วถึง กระจายไป บางเบาแต่ทั่วถึง นี่คือลักษณะของผรณาปีติ คือบางเบา รู้สึกๆ ปีติมี 5 อย่าง ขุททกาปีติ ขณิกาปีติ โอกกันติกาปีติ อุพเพงคาปีติ ผรณาปีติ
1. ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย) ปริมาณ
2. ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ) ช่วงเวลา
3. โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)
4. อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)
5. ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)
(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)
ทั้งเวลาและปริมาณ หากไม่รู้จักขอบเขตตื่นเต้นดีใจก็เส้นประสาทแตกตายได้ จ่ายพลังงานมาก ความรู้สึกว่ามีความมันอร่อยเสพติด พวกแข่งชนะกับรื่นเริงบันเทิง รสกาม กับรสชนะ กูชนะๆ ในทางโลกขนาดนี้ ราคาของกีฬาชนะนี่เส้นประสาทจะแตก กับพวกเสพรสตายคาอก ราคะ สองทิศทางไม่รู้จักการดีใจที่จะประมาณอารมณ์พวกนี้ ยิ่งแพง เป็นโทษในทางบันเทิงรื่นเริงใจ ขิฑฑาปโทสิกะ
ไม่รู้จักอาการรุนแรงจัดจ้านก็เอาแต่แข่งเก่งกล้า พวกที่เป็นเหยื่อก็เอาเงินไปให้ พวกแข่งขันทางราคะ ก็ทำไป นั่นก็ราคาหนึ่ง ทั้งเอาชนะกีฬา กับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สองทิศทางนี้คืออบายมุขที่เลวร้ายมาก อย่างหลุยวิตตองค์ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กับทางกีฬา
ยิ่งดาราของสองอย่างนี้ ได้รับราคาค่าตัวสูงเท่าไหร่ ส่อถึงความโง่ของสังคมนั้น สังคมเสื่อม สังคมคนที่หลงของหลอก อารมณ์เวทนาปลอมอารมณ์เก๊ เวทนาไม่แท้ ทั้งที่มันผ่านไปแล้วไม่มีแล้ว นอกจากคุณก็จำเอาไปขยำขี้ อร่อยไม่หายนึกเอา ก็ย้ำที่สัญญา อย่างเพลงที่บอกว่า อย่ากลับคืนคำเมื่อเธอย้ำสัญญา จะไปย้ำทำไม ให้จำสาระที่เป็นสูญอย่าไปจำสาระฟุ้งเฟ้อ ไม่รู้จักทิศทางของความเจริญและความเสื่อมให้ชัด
อุพเพงคาปีติ ไม่รู้จักยับยั้ง ในการรุนแรงจัดจ้านไม่ว่าจะทางเอาชนะคะคาน หรือสายราคะ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ได้สมใจ หรือเอาชนะกูเลิศยอด มีกามกับอัตตาสองทิศเท่านี้
อุพเพงคาปีติ ยินดีดีใจรุนแรงหยาบหนาจัดทางราคะหรือเอาชนะคะคาน ด้วยความไม่รู้อวิชชา แล้วไม่รู้เวทนาตนว่าติดยึด เราพูดไปแล้วเขาไม่รู้เรื่องหาว่าเราด่าเขา เราจะให้เขาสำนึกบ้าง เมตตาสงสารเขา ไม่อย่างนั้นจะติดยึดเป็นภพชาติไปอีกนาน แย่งไม่ได้ก็ทุกข์ ไม่ชนะเขาก็ทุกข์ ไม่สวยเท่าเขาก็จะตาย
พลาดรักหรือไม่สมใจแห่งตน ก็เศร้าทุกข์ทน แล้วเก็บไปให้ทรมาน…
ตอนนี้พาดพิงไปเพลงโลกุตระบ้าง ตอนนี้มีผู้ช่วยทำ mv บ้าง ตอนนี้มีภาพเยอะ เอามาประกอบ ช่วยกันทำขึ้นมาเถอะ แล้วเอามาใช้ มีหลายแง่มุม คนไม่ค่อยรู้ค่า แต่เอามาใช้ตอนนี้ เข้ากับยุคสมัยน่าจะรับได้
ที่ถามว่าจะให้เป็นผรณาปีติ ได้อย่างไร?
อาการที่ดีเยี่ยมที่สุดเรียกว่า วิการ ไม่ให้มันแรงกว่านี้ เรียกว่า ลหุตา
วิการรูปมี ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ให้มันมีอาการเบา(ลหุตา) อ่อนเร็ว(มุทุ) เร็วแต่ไม่ร้อน เย็น นุ่ม สงบ เหมือนลูกข่างกินน้ำจั้น
กัมมัญญตา เอาไปร่วมกับการงาน กับกรรมทุกกรรม มันมีอัญญะ ปัญญะ ธาตุรู้ฉลาดแบบโลกุตระ เอามาใช้กับการกระทำ ได้ดีที่สุด เพราะเป็นการกระทำที่กรรมด้วยปัญญา โลกุตระอันวิเศษ
วิการรูป3นี้ก็ชัดเจน จัดสรรได้สัดส่วน ออกไปเป็นการเคลื่อนไหว กายวิญญัติ วจีวิญญัติ
คุณต้องรู้และสัมผัสอาการนี้ อาการนี้ถูกรู้ด้วยเราเราเป็นประธาน มีอัญญาปัญญารู้ จัดสัดส่วนมัตตัญญุตาให้ได้สัดส่วนดีสุด
ลักขณรูปสุดท้ายมี อุปจยะ สันตติ อนิจจตา ชรตา อนิจจตา
ถ้าคุณไม่ต่อก็ตัดสันตติ ที่เหลือเป็นโมเมนตัม จะค่อยๆหมดแรงของมันเอง จึงเรียกว่า ชรตา อนิจจตา ไปจบที่อนิจจตา แต่ถ้าใครไป เพิ่มสัมประสิทธิ์ ให้เกิดการก้าวหน้าพัฒนาเป็นแรงคูณก็ไม่เที่ยงต่อไปได้อีกนะ
สมณะฟ้าไทว่า...มันกับศาสนาพุทธทุกวันนี้จะเสื่อมลงไป พ่อครูก็ต้องมาทำให้ต่อไป จึงต้องมีอัตราเร่งที่สูงมาก มันไม่ทัน
พ่อครูว่า...ไม่ทันมวลที่ฉุดลงเราก็ต้องเร่งขึ้น สวนกระแสกัน แต่หนักก็ต้องสู้ สู้จนกว่าจะขาดใจ
จะตัดหรือจะต่อก็ได้ คุณกำหนดได้หมดเป็นพระเจ้า เป็นอมตะบุคคล จะตัดหรือจะต่อ ถ้าต่อก็ต้องต่อให้แรง ท้ายๆแล้ว ต้องมีสัมประสิทธิ์ Coefficient แรงพอจึงจะข้ามขีด ไม่อย่างนั้นก็ชรตา อนิจจตา อย่างนิจตาแน่นอนว่าต้องชรตาและสูญ แต่ถ้าเฮือกสุดท้าย คุณเร่งพลังงานให้เกิดสัมประสิทธิ์ได้ก็จะฟื้นคืน
ค่าสัมประสิทธิ์ จึงเป็นค่าที่ยิ่งใหญ่มาก เปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ คุณจะออกจากโลกียะ มาสู่โลกุตระได้ก็ต้องใช้ค่าสัมประสิทธิ์ ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้จะตายแล้วก็ต้องใช้พลังงานสูง ถ้าไม่เร่งขนาดนั้นไม่ขึ้นหรอก
ทุกกรอบของ 12 นักษัตรนี้ สาม สาม สาม เป็นเก้าก็วงวนในวัฏฏะ พอจะออกไปอีกวัฏฏะอีกเป็นสามที่สี่ จะต่อไปได้ เป็น 12 เป็น 15 เป็น 18 ได้
เราอาศัยผรณาปีติ คนที่ยังไม่ตั้งใจจะสูญ จะเลิกไม่ต้องยินดีเลยหมดผรณาปีติก็ง่ายแล้ว แผ่ซ่านไป คุณมี 100 รู ก็รูละ1 ก็จะเลิกก็เลิกได้ แต่ถ้าเอาแต่เพิ่มมันก็ไม่หมดง่าย
อ.แสวง ในทางกสิกรรมพวกเราก็จะได้เพิ่มขึ้น
_รุจิรา ....กราบพ่อครู ฟังรอบ ที่สอง พอเข้าใจแล้วค่ะ เรื่องอาการ 32/33 คือเป็นเวทนา แท้ กับ เทียม ถ้าสามารถแยกออกได้ว่าของแท้กับ ของปลอมก็ละกิเลสได้จริง พระอรหันต์ก็มีเพียงแค่อาการ 32 หรือเวทนา 32 เท่านั้น กราบเท้าพ่อครู
พ่อครูว่า...อาการแท้มีแค่อาการ 32 แต่แค่เพิ่มมาเป็นอาการ 33 นี้ก็ศึกษากันทั้งชาติ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนมีวรรณะของศาสนาพุทธ
_ต้นกล้า....มีผู้พิพากษาท่านหนึ่ง ดูรายการตลาดอาริยะ จาก ยูทูป แล้วถามว่าใครคิด คิดได้อย่างไร??ผมว่าสุดยอดเลยนะ ทำไมกลุ่มอื่นๆไม่ทำตามนะ (หลังจากเขาซักรายละเอียดของแนวคิด วิธีการ การจัดการ จากดิฉัน)เขาก็ฝากชื่นชมและอนุโมทนาค่ะ
พ่อครูว่า...เราก็อนุโมทนายินดีด้วยที่เห็นความจริงตามความเป็นจริง มันเป็นความบริสุทธิ์ใจ อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า มีความบริสุทธิ์ใจในเรื่องที่จะมาทำให้แก่สังคมมนุษยชาติ อย่างทำตลาดอาริยะ เราไม่ได้เอาการค้ามาเป็นการเอากำไรเกินจากที่ตัวเองขาดทุน ไม่ใช่ เราไม่เอาเกินจากที่ตัวเองขาดทุน เกินจากตัวเองเท่าทุนก็ไม่เอา ถ้าเอาเกินจากที่เราเท่าทุนก็คือกำไร เท่าทุนก็ไม่เอาเราเอาขาดทุน แล้วขาดทุนได้อย่างไร?
คนเรามีแรงงานมีความรู้ความสามารถ แล้วมาเรียนรู้ว่าคนเรากินใช้ไม่มาก ที่ไปกินใช้มากนั้นถูกหลอกไปกับโลกเขา ถูกเขาหลอกให้เราควักกระเป๋าไป รู้ตัวเมื่อไหร่ว่าถูกหลอกก็คือคนฉลาด เอาหลัดๆอย่างไปเอากระเป๋า louis vuitton อะไรนี่ นี่คุณสิริมานี่ตั้งชื่อว่า หายโง่ เขาก็ชอบชื่อนี้มาก
ความจริงหรือความรู้ที่พระพุทธเจ้านำมาสอนให้คนเข้าใจแล้วทำตามได้ คนนั้นก็ช่วยโลก บรรเทาความทุกข์ร้อนของโลก ไม่ได้เป็นคนซ้ำเติมโลกให้หนักหนายากลำบากทรมาน แต่ทำให้โลกสบายบางเบา อบอุ่น หลักการทั้งหมด วรรณะ 9 เป็นต้น
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) นี่คือ the classes เป็นคนมีวรรณะของศาสนาพุทธ
วรรณะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร หรือจะแบบตะวันตก พวกสีผิว ความจนความรวย ความหล่อความงาม ความมีอำนาจไม่มีอำนาจ เหมือนกัน เป็นแต่เพียงใช้พยัญชนะต่างกัน เนื้อแท้ก็คือโลกธรรมอันเดียวกัน ศาสนาพุทธสอนให้รู้ความจริง เมื่อรู้ความจริง ทุกอย่างจะคลี่คลายความทุกข์ร้อนของสังคมมนุษยชาติ จะเกิดเป็นคน ตราบใดๆ หากไม่รู้สิ่งนี้ และไม่เลิกจากสิ่งที่โลกพาไป จะเป็นวิบากหมุนเวียนไม่รู้จบ ใครทำได้ หลุดพ้นมาได้ วิมุติมาได้ แล้วมาช่วยกัน ถ้าจะมีชีวิตต่อ หรือคุณจบเป็นพระอรหันต์แล้ว จะเลิก ปรินิพพาน เป็นปริโยสานไปเลยก็ได้ สลายเป็นดินน้ำไฟลม ก็ได้ นี่คือความรู้สุดยอดของพระพุทธเจ้า ที่รู้ทั้งฟิสิกส์เคมีชีวะ จิตนิยามสุดยอดครบจริงๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จริต 3 กับเวลาในการบรรลุ
อาตมาเองนี่ยังไม่ได้ถึงยอด อาตมาระดับเจ็ด กำลังเลื่อนไปสู่ระดับ 8 ก็จะมีความเจริญ เหลื่อมกันไปหา 9 ไปเรื่อยๆ สุดยอด เป็นระดับ 9 อวตารปาง 9 ก็จะต้องเสริมกันไปเรื่อยๆ อาตมาไม่คิดกังวลว่าเราจะต้องเจริญเท่าไหร่ ไปตรวจสอบในอนาคต ว่าระดับไหนก็จะ overlap ไปเรื่อยๆ เป็นความลำดับที่น่าอัศจรรย์ อย่าไปเสียเวลาโดยไม่รู้ แล้วทำซ้ำซากวนไปวนมา เพราะญาณไม่ชัด
พระพุทธเจ้าอธิบายถึงความช้า ระดับ วิตักกจริต คือจริตที่ไม่ค่อยจะแน่นอน วิตกไปวิตกมา วนไปวนมา จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย ก็วน 80 อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัป
พวกที่ศรัทธาจริต ไม่วนไปวนมา เดินทางเดียว แต่ว่าถ้าเดินทางผิดก็ผิด แต่วิตักกจริตเดินไปแล้วก็ถามอีกว่าใช่ไหมๆ ดีไม่ดีอยู่ที่เดิม สู้ศรัทธาจริตไม่ได้ ถ้าเป็นปัญญาก็ไปทางนี้เลยถูก แต่ศรัทธานี้ไปทางเดียว แต่นานหน่อย แต่ถ้าวิตักกจริตนี้ 80 อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัป แต่ถ้าปัญญานี้ 20 อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัป แต่ถ้าศรัทธาจริต 40 อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัป
คุณมาอยู่กับหมู่นี้แหละ เอาตามหมู่นี้เลย เพราะอาตมามั่นใจว่าอาตมาพุทธิจริต ปัญญาจริต เป็นทางตรง ไม่รักกันจริงไม่บอกนะ มานี่แล้วเอาให้ดี
มาตรวจสอบพิสูจน์ไป คุณเทียบให้ดี พวกศรัทธาธิกะกับแบบที่อาตมาพาเป็น เทียบกันได้
สมณะฟ้าไทว่า...ก็เราอยู่กับพ่อครู อยู่มานานแล้วก็มั่นใจได้แล้ว
พ่อครูว่า...ชาติเดียวนี้หรือจะมั่นใจ
สมณะฟ้าไทว่า...ประมาณเอาว่าไม่ใช่ชาติเดียวหรอก มีคนเคยมาหา เขาไปนั่งหลับตาแล้วบรรลุธรรม จะไปไหม ผมก็ว่ามาศึกษากับอาจารย์นี้ ยังไม่สำเร็จเลย ถ้าสำเร็จแล้วจะไปด้วย
พ่อครูว่า...สายศรัทธา ก็มีจุดที่สำเร็จผล แต่เป็นแบบของเขา อาตมาไม่อยากอธิบายจนไปข่มคนอื่นเขามาก
มีคนตั้งข้อสังเกตตื้นๆ เช่น สอนมามักน้อยแล้วมาสร้างใหญ่ๆทำไม นี่ดูสิ สร้างราชธานีอโศกใหญ่ สร้างอาคาร สวน ใหญ่ คนก็ไม่เห็นจะมาเต็มมาแน่นอะไร อาตมาก็ว่า อาตมาพอมีอนาคตังสญาณว่า คนในขณะนี้แสวงหา ไม่ว่าจะในประเทศ ไม่ต้องเอาความหมายอะไรใหญ่โต เอาความหมายนิดเดียว
ทุกวันนี้งานทัวร์ริสต์เจริญไหม? ..เจริญ... ระวังว่าคนไทยจะช้ากว่าข้างนอกเขา ระวังคนข้างนอกจะมาเอาอโศกมากกว่าคนในประเทศ ระวังใกล้เกลือกินขี้
อยู่ตรงนี้ อย่านึกว่าไกล อยู่ที่เชียงใหม่ กับราชธานีอโศก ทุกวันนี้ เดินทางชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้ว อีกหน่อยคงไม่ถึง 1 ชั่วโมง หรือใช้จิ้มๆแต่สิ่งเสพติดก็เยอะ มีมากมาย ปัญญาใครก็ปัญญามัน
สรุปแล้ว เรื่องธรรมะ ก็มาเรื่องประชาธิปไตย 77 ข้อต่อ
พ่อครูจบที่ข้อนี้
สมณะฟ้าไทว่า...สิ่งที่จะมาเน้นย้ำตอนท้ายคือ อาการที่ 33 ที่เราต้องศึกษาให้ชัดเจน เพราะว่าอาการนี่คืออาการหลอกลวง ...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:05:51 )
รายละเอียด
600717_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาบรรลุโสดาบัน
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม 2560 ที่ราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันบวรของชาวราชธานีอโศก เป็นวันที่ ชาวชุมชน ว.นบ.และเด็กนร. ได้ร่วมกันทำงาน และร่วมกันฟังธรรม
ตอนนี้ข่าวในสังคมที่น่าประทับใจอันหนึ่งคือ ข่าว มีลุงคนหนึ่งลงจากรถเบนซ์ไปตบหัวเด็กนักเรียนที่ขี่จักรยานยนต์ชนท้ายของเขา ซึ่งต่อมาเขาก็ออกมาขอโทษ ว่าการกระทำของเขาเป็นการกระทำที่ไม่สมควร ขอรับผิดทุกอย่าง แบบไม่ขอแก้ตัวใดๆ สังคมก็ให้การยอมรับเขา ต่อมามีคนไปสืบประวัติพบว่าที่เขาโมโหเพราะว่าลูกสาวกำลังนอนป่วยอยู่ที่ไอซียู เมื่อมีอุบัติเหตุทำให้ช้าไปอีก ก็เลยโมโห
พ่อครูเคยให้ข้อคิดว่า สังคมใดประชาชนมีตัวตนมาก ความเป็นประชาธิปไตยก็จะน้อยลง สังคมใดประชาชนมีตัวตนน้อย ความเป็นประชาธิปไตยก็จะมาก พอจะมีความเสียสละทำงานเพื่อประชาชนมากขึ้น
ชีวิตของคนคือการเรียนรู้ โลกกับอัตตา วันๆหนึ่งหากไม่มีโลกไม่มีอัตตามารบกวนเรา ชีวิตก็สบาย โลกและอัตตา เป็นความลึกซึ้งที่เราจะต้องมาศึกษากัน ตามที่พ่อครูได้มาให้สัมมาทิฏฐิ เพื่อทำประชาธิปไตยในประเทศไทยให้สมบูรณ์ขึ้นด้วย
พ่อครูว่า...ก่อนจะได้เริ่มอธิบายอะไรๆต่อ อาตมาก็ชีวิตนี้ ก็รู้สึกว่า เรานี่ก็ดีน้อ เกิดมาชีวิตนี้ เกิดมาเพื่ออธิบาย น่าจะชื่อว่าคุณอธิบาย อธิบายจัง แจกแจงอธิบาย และที่สำคัญที่อธิบายนี้ เหมือนอวดว่าตนรู้ และบอกว่าคนอื่นผิด พูดที่ถูกไปก็เป็นที่ตัวเองทำเสียทั้งนั้นเลย อาตมาเองก็จำนน จำนนอย่างไร
จำนนที่ความจริง พอพูดความผิดก็ต้องโดนความผิด คนที่ผิดจริงๆ จะมาบอกว่าอันนี้ผิด มันโดนคนที่ผิด ก็แสดงว่ามันผิดจริง แต่พออาตมาบอกว่าอันนี้ถูกอันนี้ดี ก็มาโดนคนถูกคนดี อันนี้ก็จริงสิ
อาตมาปฏิบัติตนเองให้ดี ดีก็อยู่ที่เรา แล้วเราก็มาอธิบายมาพูดบอกสอน ตามที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า ทำคุณอันสมควรก่อน พร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง
เราก็ทำตัวเองให้ดีแล้วไปสอน สอนเรื่องไม่ดีก็ว่าคนอื่น เมื่อจะพูดเรื่องดีก็มาโดนตัวเอง ก็เพาะเราทำตัวเองให้ดีแล้ว จะให้พูดตลบแตลงว่าตัวเองไม่ดีคนอื่นดีอย่างนั้นอย่างไร
บางคนอาจจะบอกว่าคนอื่นหรือไม่มีดีเลยหรือยังไงที่จะยก ก็คำว่าดีของอาตมานี้ ที่ติดอาตมาไม่ได้ติความดีแบบโลกียะ ความดีที่เป็นโลกียะไม่ค่อยชมด้วย แต่ที่อาตมาตินี้ ติโลกุตระ ติดความไม่ถูกต้องของโลกุตระเป็นส่วนใหญ่ ติเรื่องโลกียะนี้น้อย อาตมาบรรยายธรรมะมีแต่โลกุตระส่วนใหญ่
ส่วนคนที่ได้โลกุตระนั้น มันไม่มีให้ชม อาตมาขอถามตรงนี้ ใครที่ประกาศตนเองได้ว่าเป็นอาริยะ ตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี หลายคนที่บวชมานี่ ประกาศตนเองได้ไหม ในสังคมที่ว่าอาตมา ยืนยันตนเองได้ไหมว่าเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อาตมาพูดให้ชัดลึก เอาความจริงมาพูด
เพราะฉะนั้น ตัวเองก็ไม่สามารถรู้ ปฏิบัติประพฤติไป ชีวิตไปกับธรรมะ งมๆคลำๆ ที่จริงก็งมๆงายๆ ทำไปอย่างนั้นโมเมมั่วๆไม่ชัด บอกตัวเองก็ไม่ได้ แล้วก็ไปอ้างว่า พระพุทธเจ้าไม่ให้บอกด้วยตัวเองมีที่ไหน พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าไม่ให้บอกด้วยตัวเอง อาตมายกคำตรัสของพระพุทธเจ้าอันเดียว
ปัจจเวกขณ์ ข้อที่ 10 คุณวิเศษยิ่งกว่ามนุษย์สามัญ(อุตตริมนุสสธรรม)ที่เราบรรลุแล้ว มีอยู่หรือไม่ ที่จะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขิน(มังกุ) เมื่อถูกเพื่อนบรรพชิตถาม ในกาลภายหลังมีอยู่ไหม?
ก็อาจมีคนถามซอกแซกว่า ไม่มีใครถามสักหน่อย ก็ตนเองบอกเอง ถ้าจะพูดอย่างนั้นก็ว่าจริง แต่ว่า ถ้าเกิดว่าไม่ติดยึด ถึงขนาดว่าเล่นแง่ขนาดนั้น อาตมาก็ขอถามหน่อยเถิด จริงๆแล้วอาตมาอธิบายธรรมะเป็นโลกุตระ ที่จะต้องยืนยันว่า เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์นะ โลกุตระมี 46 แล้วก็มีคนบอกว่า โลกุตระมีแต่ในพระอรหันต์ ไม่ใช่ มีโลกุตระ 37 และ 46
ตั้งแต่มีญาณรู้ เข้าใจสภาวะกายในกาย เป็นโลกุตระข้อที่ 1
ใน 37 ข้อคือ โพธิปักขิยธรรม 37 ข้อ นอกนั้นอีก 9 เป็นข้อสรุป โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล….และนิพพาน(มรรคและผล 8 นิพพาน 1)
มีญาณปัญญารู้กายในกาย แยกรูปนามได้รู้จักธรรมะสอง แล้วก็รู้จักว่า ทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 นี่คือความรู้ปัญญาที่เป็นโลกุตรธรรม ของศาสนาพุทธ เป็นความฉลาดปัญญาของอาริยชน และขอยืนยันว่าเป็นความฉลาดของศาสนาพุทธโดยตรง อันอื่นมาเอาคำว่าปัญญาจากศาสนาพุทธไปใช้เรียก ความฉลาดทั่วไป ที่ผิดจากความเป็นจริง
ความเป็นปัญญานั้นมาจากรากฐาน อัญญา อัญญะ เป็นความรู้ของโลกุตตระ ไม่ใช่โลกียะ อัญญะคือแยกจากโลกียะ
เป็นความลึกซึ้งของจิตวิญญาณที่มี อัญญธาตุ จิตมันจะเกิดความมั่นใจชัดเจนเลยว่า มันต้องอย่างนี้ จิตที่มีโคตรภูจิต จิตตัวนี้คือโคตรภูจิต มีโคตรภูญาณ คือญาณข้ามโคตร ข้ามโคตร คือข้ามจากโลกียะมาเป็นโลกุตระ มีความรู้ยิ่งเห็นจริงว่าอย่างเก่านั้นไม่เอาแล้ว เป็นโลกธรรม แย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ พยายามพากเพียร มีชีวิตเป็นแบบนี้ ไม่เอาแบบโน้นแล้วไม่เสียเวลา
จิตมีโคตรภูญาณแบบนี้ ชาวอโศกมีจิตข้ามโคตร มีจิตเอาชีวิตมาแบบนี้เลย มีเงื่อนไขอยู่เพียงว่า จะต้องมาเอานิพพาน จะปฏิบัติธรรมเพื่อได้นิพพาน นี้แหละ มันมีความลึกซึ้งที่เป็นประเด็นที่จะบอกว่าเป็นโลกุตระได้หรือไม่ก็คือ คุณมีความเป็นสัมมาทิฏฐิหรือไม่ ลักษณะ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นอย่างนี้ อธิบายเป็นอย่างนี้ มีสัมมาทิฏฐิ อาจารย์ผู้นี้ คนกลุ่มนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ อันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วคนนี้ ก็เอาชีวิตมาทุ่มเทกับกลุ่มนี้ กลุ่มอื่นของพุทธ เขาก็เอาชีวิตไปให้ไปทิ้งได้ แต่เขาเป็นมิจฉาทิฐิ เขาก็บอกว่าเขาเป็นสัมมาทิฏฐิ แต่คุณอธิบายได้ ว่า ทำใจในใจเป็นไหม ก็บอกว่าได้ แต่ว่า ได้ผลเป็นโลกุตระไหม หรือเป็นอัตถิหรือนัตถิ
เช่น คุณทำทาน ทำใจในใจอย่างไร ? จึงทำทานแล้วมีผลเป็นโลกุตระ อัตถิทินนัง ปฏิบัติอย่างไรจึงได้ทำใจในใจของเราให้ลดกิเลส อัตถิยิฏฐัง ข้อนี้ดูง่ายกว่าข้อ 1 ด้วย ทานนี่แหละดูเหมือนไม่ได้ปฏิบัติ การเป็นตัวแท้เลย
คำว่าทำใจในใจคือมนสิการ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า หากไม่รู้จักการทำใจในใจ อาตมา เรียกว่าทำใจในใจไม่เป็น ถ้าหากทำใจในใจเป็น ภาษาบาลีวิชาการเรียกว่า โยนิโสมนสิการ แปลเป็นไทยว่าการทำในใจเป็น
แต่เขาแปลกันว่า ทำใจในใจอย่างถ่องแท้ แต่ไม่ได้เข้าไปทำการจัดการใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คนที่อธิบายโยนิโสมนสิการไม่ถูกต้อง ก็เท่ากับคนๆนั้น ไม่ได้พบสัตบุรุษ ในจักร 4 ปัญญาวุฒิ 4 ก็คือไม่ได้ฟังสัทธรรมก็จะไม่ได้
1. สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ) .
2. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)
3. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) . .
4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 248)
หากบอกว่าเรียนรู้มรรคมีองค์ 8 แต่ไม่ได้ทำใจในใจอย่างถูกต้อง ปฏิบัติก็ไม่ได้ผล เพราะไม่ได้เข้าถึงแสงอรุณ 7 คือ สุริยเปยยาลสูตร
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . . ดูรายละเอียดมิตรดี -> .
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
ชาวอโศกเราแต่ก่อนเอาชีวิตไปกับทางโลก วิ่งไปกับโลก แต่ตอนนี้ ไม่แล้ว จะเห็นความสำคัญในความสำคัญ มาเอาโลกุตระนี้สำคัญกว่า ผู้ที่รู้จริงอย่างนี้จะไม่ประมาท จะมีทิฏฐิที่ชัดเจนและไม่ประมาท ข้อสำคัญข้อที่ 7 คือต้องเข้าถึงความเป็นโยนิโสมนสิการ สัมปทาแปลว่าเข้าถึง
เรียกว่าพบแสงอรุณ ต้องมีความรู้เบื้องต้นอย่างถูกแท้ โยนิโส ถ่องแท้ชัดเจน ในการทำใจในใจ ต้องชัดเจนว่าอย่างนี้สัมมาทิฏฐิถูกต้องแล้ว จะให้ชัดคือ ต้องรู้เรื่องการทำใจในใจ แล้วรู้รูป อ่านรูปได้ รูป 28 อ่านอาการรูปได้ แยกรูปจิต แยกได้ว่า เวทนา โดยเฉพาะ มโนปวิจาร 18 แยกได้ นี่เป็นเคหสิตเวทนานี่เป็นเนกขัมสิตเวทนา มีความรู้ความเข้าใจเข้าถึง สัมปทา ต้องเข้าใจไปถึงกายเวทนาจิตธรรม รู้กายแยะกายแยกเวทนาแยกจิตออก รู้เวทนา 2 แล้วทำให้เป็นเวทนา 1 ได้ ที่พูดนี้ อาตมายืนยันอวดตัวตน แต่ก็ไม่ได้อวดอย่างมีสาเฐยจิตอยากอวดแต่อย่างใด
พูดไปนี้ไม่มีสะดุดใจว่าตนเองไม่ได้เป็น พูดไปก็ชัดเจนว่าตัวเองเป็นอย่างนี้มีอย่างนี้ อย่างที่บริสุทธิ์ใจจริงใจ และเห็นใจตัวเองรู้ใจตัวเองอ่านใจตัวเอง ในปัจจุบันนี้ด้วย ที่พูดไปนี้ ไม่ได้พูดโดยไม่รู้ ที่ได้มานี้ก็บอกว่าได้ข้ามชาติด้วย
ที่อาตมาพูดย้ำ อวดตัวตน เพื่ออ้างอิงหลักฐานความจริงว่าของจริงเป็นจริง ยุคนี้มีผู้ปฏิบัติธรรมได้ เป็นเอหิปัสสิโก ยืนยันให้มาพิสูจน์มาตรวจสอบได้ พูดไปแล้วเหมือนท้าทาย แต่ท้าทายให้มาพิสูจน์
อาตมาก็ขอย้ำซ้ำ ขอยืนยันว่า ชาตินี้อาตมาเกิดมาเพื่อกอบกู้ศาสนาพุทธ เพื่อที่จะให้ศาสนาพุทธกลับมาสู่เนื้อแท้ แล้วก็จะเกิดจริงเป็นจริงในมนุษย์ จึงจะมีมนุษย์ผู้สืบสานสืบทอดสืบต่อ นำไปเป็นเนื้อของพุทธธรรม จนกว่ามันจะหมดยุคของศาสนาพระสมณโคดม 5000 ปี คือ เหลืออีก 2000 กว่าปี มาทำเช่นนี้จริงๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ศิลปะคือมงคลอันอุดม
SMS 600716 วิถีอาริยธรรม
_3867 กราบขออภัยพ่อครูฯผู้น้อยยอมรับผิดพลาดในการพิมพ์ชื่อรก.ไม่ถูกต้อง!แฟนเพลง ฯขวางโลกไขโลกุตระ
นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บวรบ้านราชฯทุกอโศกกับธ.ลามก,ราคะ,สาระ,ธรรมะ,โลกุตระหลุดพ้นจากโลกธ.ฯรู้ถึงปรมัตถสู่นิพพานคือศิลปอันอุดมมงคลสาธุ
พ่อครูเคยสอนจุดแบ่งโลกียะกับโลกุตระคือจิต!ถ้าเป็นอกุศลจิตฤาใจเพิ่มกิเลสใหญ่โตคือโลกียะ!ถ้าเป็นกุศลจิตฤาใจลดกิเลสละจางลงคือโลกุตระ
ที่ๆใดอากาศผันผวนฟ้าดินปรวนแปรภัยพิบัติโลกถาโถม!สะท้อนอกุศลกรรมอกุศลจิตโลกียะทลายโลกที่นั่น!ที่ๆใดอากาศคงที่ฟ้าดินคงสมบรูณ์โลกคงปกติสุข!ประจักษ์กุศลกรรมกุศลจิตโลกุตระรักษ์โลกที่นั่น!
กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูฯกับราษฎรในห้าพันโครงการพระราชดำริฯ กับชาวอาริยะชุมชนพอเพียงประจักษ์กุศลกรรมกุศลจิตโลกุตระ รักษ์โลกจากใจภักดิ์ทศพิธราชธ. นำปย.สุขดียิ่งกว่าคก.ใดในโลก!
พ่อครูว่า...งานหรือผลงานใดที่เป็นบอกว่าศิลปะ
1.ถ้าคนที่สัมผัสงานแล้วเกิดกิเลสเพิ่มขึ้น อย่างนั้นไม่ใช่ศิลปะ
2.ถ้าสัมผัสแล้วเกิดราคะเพิ่ม ก็ไม่ใช่มงคลอันอุดม
3.อย่างที่มีสาระ จะเรียกว่าธรรมะแบบโลกียะ เป็นสาระแทนที่จะเป็นศิลปะประโลมโลก ให้เกิดความชื่นใจดีใจอะไรอร่อยใจ ซึ่ง ก็จะกลายเป็นกามเป็นความชื่นใจ ก็ดูสุจริต ถ้าแค่นั้น เป็นสาระก็เป็นสุจริต
ขั้นที่ 4 เป็นธรรมะ อันนี้เป็นการสื่อสารธรรมะ คนที่เขียนภาพแล้วมีแต่รูปของวัด ของพระ มีแต่เรื่องราวของศาสนา แล้วก็นึกว่าตนเองทำงานธรรมะ จริงๆบางทีนั้นไม่ใช่เลย มอมเมาด้วยก็ได้ แต่คนมีปัญญารู้ว่านี่ธรรมะ ไม่ได้มอมเมา อย่างน้อยเป็นโลกียกุศล
ข้อที่ 5 เป็นศิลปะโลกุตระ หรือ ศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดม อาตมาก็พูดพาดพิงศิลปินแห่งชาติ คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ก็อุทานว่า ศิลปะมีโลกุตระด้วยหรือ... อาตมาก็ยืนยันว่า ศิลปะเป็นโลกุตระ พระพุทธเจ้ายืนยันมงคล 38
สิปปัญญจ เอตัมมังคะละมุตตะมัง
เพราะฉะนั้นคนที่เรียนศิลปะ อาตมาวันนี้ขอพูดเต็มๆ ในโลกทุกวันนี้ ไม่ใช่แต่ในประเทศไทย ถ้าจะเอา หลักของพระพุทธเจ้าในการตัดสิน ก็จะพบว่าไม่มีศิลปะเลยในโลก มีแต่ฟุ้งซ่าน บ้าๆบอๆ มอมเมา หลอกขายกันทั่วโลก ไม่ได้เป็นสาระไม่ได้เป็นการลดกิเลส แล้วไปค้าขายราคาแพงกัน ไม่ได้ชื่อว่าโลกุตระ เลย
แล้วหลอกกันต่อไป ว่า ศิลปะแบบนั้นแบบนี้ เลอะเทอะไปหมดเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วว่าศิลปะคือมงคลอันอุดม ท่านสรุปแล้ว
แต่เอาไปแปลกันไป เช่น คนชงเหล้า punch ผสมเป็นศิลปะ ไปเรียนรู้ว่ามีส่วนผสมแบบไหน แท้จริงเป็นการมอมเมาเละเทะ เลอะเทอะ ไปหมด
อาตมายืนยันว่าได้มาทำงานศิลปะ ตั้งแต่บวชมา ก็มาทำงานศิลปะ ก่อนบวชก็เขียนหนังสือบรรยายอยู่แล้ว
เมื่อไม่ใช่แบบโลกุตระศาสนาพุทธจึงได้เสื่อมลงไป พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่าต่อไปในอนาคต ในอานีสูตร
ทรงบอกเหตุแห่งความอันตรธานของคำสอนเปรียบด้วยกลองศึก
[672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ
[673] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ
อาตมาหอบเนื้อแท้ของพุทธมาใส่ให้กลับคืน แต่คนไม่เชื่อ เลยใส่ยากมาก ไม่ค่อยเข้า แต่ยังมีผู้มีดวงตา รู้ว่านี่คือโลกุตระ เอาชีวิตมาทุ่มเทปฏิบัติจนได้สิ่งนี้ให้แก่ตัวเอง แล้วเห็นว่าตัวเองไม่เสียชาติเกิดแล้ว อาตมาก็อนุโมทนาสาธุด้วย ความเป็นจริงมีที่เราได้ไป
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน อย่าเอาบุญไปปนกับกุศล
พ่อครูเคยสอนจุดแบ่งโลกียะกับโลกุตระคือจิต!ถ้าเป็นอกุศลจิตฤาใจเพิ่มกิเลสใหญ่โตคือโลกียะ!ถ้าเป็นกุศลจิตฤาใจลดกิเลสละจางลงคือโลกุตระ
ที่ๆใดอากาศผันผวนฟ้าดินปรวนแปรภัยพิบัติโลกถาโถม!สะท้อนอกุศลกรรมอกุศลจิตโลกียะทลายโลกที่นั่น!ที่ๆใดอากาศคงที่ฟ้าดินคงสมบรูณ์โลกคงปกติสุข!ประจักษ์กุศลกรรมกุศลจิตโลกุตระรักษ์โลกที่นั่น!
คำว่ากุศลกับบุญ อาตมาพยายามอธิบายให้ชัดเจนว่าอย่าเอาบุญไปปนกับกุศล
เส้นตัดระหว่างบุญกับกุศลคือ บุญคือวิบัติ กุศลเป็นสมบัติ
ผู้ใดประพฤติปฏิบัติ เป็นบุญผู้นั้นไม่มี ถ้าเกิดความมีขึ้นมาผู้นั้นไม่เป็นบุญ เป็นแต่เพียงกุศล กุศลมีหน้าที่สร้างสมบัติสั่งสม บุญมีหน้าที่ทำลายถ่ายเดียวเป็นเอกังสะ ส่วนกุศลเป็นวิภัชติ
บุญมีหน้าที่เดียวเรื่องเดียวทำงานเดียวคือลดกิเลส มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้นที่ให้ความหมายเรื่องนี้แบบนี้ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระ จึงสามารถทำให้บุญสูญ ไม่เกิดอีกอย่าง “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” มีแต่ศาสนาพุทธศาสนาเดียวที่ทำได้ ศาสนาอื่นทำไม่ได้
ทุกวันนี้เข้าใจผิดไปจน ฟั่นเฝือไปหมด แล้วเอาบุญไปค้าไปขายเอาไปหลอกกัน สารพัดเละเทะ อย่างนี้เป็นต้น มันก็เลยผิดเพี้ยนไปหมด
ยังดีอาตมายังมีพยัญชนะบาลีอ้างอิงยืนยันได้อยู่ ยืนยันได้ว่าบุญนี่ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติเสร็จแล้วหายไป สิ้นบุญหมด เพราะพลังงานจิตของเราสามารถกำจัดบาปได้สูญหมด คือ ปุญปาปปริกขีโณ พระอรหันต์ทุกองค์หมดบุญหมดบาป พระอรหันต์จึงเป็นผู้ที่หมดบุญไม่มีบุญ
คำเหล่านี้อาตมาไม่ได้บัญญัติเอง อาตมาทำขึ้นมาเองไม่ได้
เมื่อเข้าใจบุญไม่ได้จึงปฏิบัติบุญไม่เป็น พอบอกว่าได้ส่วนแห่งบุญ ปุญญภาค ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ รู้จักวิธีปฏิบัติจะปฏิบัติธรรมได้ผล ลดละจางคลายได้เรียกว่าได้ส่วนบุญ
บุญคือการทำลาย การชำระความฉิบหาย เป็นความสูญสิ้นหมดไป นั่นคือหน้าที่ของบุญ ประสิทธิผลของบุญ บุญจะต้องทำการชำระกิเลส แล้วให้สำเร็จ สำเร็จแล้วก็จบ ประสิทธิผลของบุญก็คือสูญ หาย ไม่มี จบกิจ จบเรื่องมีแต่ในศาสนาพุทธเป็นโลกุตระ ศาสนาอื่นไม่หรอก
ส่วนบุญที่ทำได้ ชำระกิเลสฉิบหายไป 25 ก็ได้ส่วนแห่งบุญ 25%
ชำระกิเลสฉิบหายไป 50 ก็ได้ส่วนแห่งบุญ 50% ชำระกิเลสเรื่องหมดก็จบเรื่อง หมดบุญหมดบาป
ความรู้ในญาณ 3 สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ญาณคือความรู้ รู้ว่านี่คือสัจจะ นี่คือกิจ นี่คือกต ไม่มีแล้ว ไม่มี เพราะสัจจะก็ไม่รู้ความจริงของสัจจะว่าคืออะไร ความจริงของโลกุตรธรรม
เอาง่ายๆ ถ้าผู้ใดสามารถอ่านเวทนาในเวทนา เป็นมโนปวิจาร 18 เคหสิตะเป็นโลกียะ ทำให้กิเลสลดได้ เรียกว่าเนกขัมสิตะ เป็น 18 มโนปวิจาร ถ้าใครสามารถเห็น อ่านจิตในจิต แยกจิตในจิต แยกกาย เวทนา จิตออก แล้วก็เห็นอาการนี้ นั่นคือผู้มีญาณเห็นสัจจะ ผู้มีญาณเห็นสัจจะ เห็นจิต เจตสิก รูป แล้วก็กำลังลดละได้ ถ้าลดละเป็นเนกขัมมะได้ ก็คือทำกิจ กิจญาณ ญาณที่ทำกิจได้ ลดไปตามลำดับ ทำกิจดับกิเลสได้หมดเกลี้ยงเลย จึงเกิดญาณที่เรียกว่ากต จึงเกิดปัญญาญาณ ญาณธาตุรู้ ความรู้ เห็นความจบ มีญาณเห็นกต เห็นกิเลสมันดับ เป็นสัจจะเพราะได้ทำมาจริง ถูกต้องจริง เป็นกิจ แล้วมันก็หมดจริง เห็นอาการดับอาการหมด อาการจบหน้าที่แล้ว บุญไม่มีแล้ว ทำอย่างนี้เองบุญหายไป กตญาณ ญาณที่จบกิจ เสร็จแล้ว บาปก็หายไป บุญก็หายไป ไม่มีอะไร
ทุกวันนี้อาตมาเห็นเรียนกันศึกษากัน แล้วก็พูดกัน อธิบายกัน อธิบายสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ อย่างโก้เลยนะ อธิบายกันในระดับเรียนชั้นสูงกันด้วย เสร็จแล้วมันก็เวิ้งว้าง อาตมาฟังแล้วก็เออ..พูดแล้วมัน คือคนที่พูดโดยไม่มีเนื้อ พูดไม่มีเนื้อเราก็จะรู้เวิ้งๆว้างๆ พูดฟ่ามๆ พูดไม่มีของจริง ขออภัยนะที่พูดอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่ไปดูถูกดูแคลนใคร ที่พูดนี้พูดความจริงสู่ฟัง มันจึงน่าสงสาร พูดอย่างโก้เลยนะ เขาบอกมีญาณ 3 มีอาการ 12 เพราะว่าไปผนวกกับอาริยสัจ 4 แล้วมันก็เป็นอาการ 12 ก็เอาพยัญชนะมาร้อยเรียงกัน เราจะรู้สัจจะของทุกข์ รู้สัจจะของสมุทัย รู้สัจจะของนิโรธ รู้สัจจะของทางปฏิบัติ เพื่อที่จะให้เกิดนิโรธ 4 อย่างนี้แหละ เรารู้ ว่างั้นเลยนะ
เกิดปัญญารู้ ก็เป็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วคุณรู้เรียกว่าปริญญา ปริญญา 3 มีญาตปริญญา เป็นความรู้ รู้จักจับตัวสภาวะ เรียกว่าสักกายะได้ เสร็จแล้วตีรณปริญญา สภาวะนั้นก็แยกได้ ตีรณะก็แยกว่าเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เช่นรู้เวทนาในเวทนา แยกเวทนาแท้เวทนาเทียม แยกจิต จิตตัวนี้เป็นตัวจิตจริง จิตตัวนี้มันเป็นจิตที่สังขารปรุงแต่ง เหตุตัวนี้เป็นตัวเหตุแท้ๆ เป็นสราคะ สโทสะ สโมหะ ตีรณปริญญาก็สามารถแยกต่างๆ พวกนี้ออก แล้วก็ทำลายปหานปริญญา มีญาตปริญญา มีตีรณปริญญา มีปหานปริญญาแท้จริงเลย จึงกำจัดกิเลส ถูกตัวตนของกิเลส ไม่มั่ว
นั่งหลับตาสมาธิไม่เคยมีธัมมวิจัยอย่างที่ว่านี้เลย ปริญญา 3 นี้ไม่ต้องไปพูดเลย เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่ปริญญา 3 เลย แม้แต่สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ เอาแต่พยัญชนะมาพูดกัน ไม่ได้มีสัจจะความจริงเลย เพราะไปปฏิบัตินั่งหลับตาแล้วก็สะกดจิต สะกดเข้าไปๆ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเลยว่าศาสนาพุทธนั้นให้ไปหลับตา ในพระไตรปิฎก 45 เล่ม ที่พระพุทธเจ้าสอนว่าให้หลับตา เอาคำว่าหลับตาปฏิบัติมาสักคำหนึ่งสิ ตรงไหน ในสูตรไหน ในบรรทัดไหน ที่คำว่าหลับตาพระพุทธเจ้าแนะนำให้ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ มีที่ไหน มีแต่ให้เกิดพยัญชนะว่าวิปัสสนาญาณ ญาณวิปัสสนา รู้ในขณะมีผัสสะทวาร 6 มีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วก็เกิดสังขาร แยกต่างๆ นานาให้ออก มีแต่แบบนั้น ยืนยันตั้งแต่พระไตรปิฎกที่เป็นพระสูตร พระวินัยแล้วไปเถอะ พระวินัยเป็นเรื่องของหลักเกณฑ์ของภิกษุ 8 เล่ม เริ่มต้นเล่มที่ 9 คือเรื่องของศาสนาเรื่องของธรรมะ อันนั้นวินัย 8 เรื่องของธรรมะเริ่มต้นสูตร 1 เลยคือ พรหมชาลสูตร
ถ้าอ่านแค่พรหมชาลสูตรแตก แล้ว ให้ปฏิบัติตามสามัญญผลสูตร ให้ปฏิบัติสังวรศีลสำรวมอินทรีย์ มีสันโดษอันเป็นอาริยะ มีสติอันเป็นอาริยะ คือปฏิบัติแล้วจะเป็นสมณะ 4 เหล่าได้ เป็นสามัญ
ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแบบเจโตสมาธิ ตามสูตรที่ 2 บอกไว้ และปฏิบัติตามสูตรที่ 2 ส่วนพระสูตรที่ 3 คือ อัมพัฏฐสูตร บอกว่าต่อไปศาสนาพุทธจะมีความเสื่อม 4 4 ประการ
อันที่ 4 นี้ก็คือธัมมชโย ธรรมกาย สร้างจานบิน สร้างลูกโลก อาคารดาวดึงส์ สร้างขึ้นทั้งหมดนั่นแหละ ออกแบบสารพัด ยิ่งกว่า star wars นี่คือความเสื่อม 4 ประการที่พระพุทธเจ้าตรัส ตั้งแต่ท่านได้สร้างศาสนาพุทธขึ้นมา ตอนนั้นศาสนายังไม่เสื่อมด้วยซ้ำไป แต่ท่านพยากรณ์ไว้เลย
แล้วคนมิจฉาทิฏฐิ ยังบอกอีกว่า ผู้บรรลุธรรมแล้ว ไม่ควรบอกคนอื่น หากใครบอกว่าตนบรรลุธรรมผู้นั้นไม่บรรลุธรรม เข้าใจผิดอย่างนั้นเลย
โลหิจจสูตร (ผู้บรรลุธรรมแล้วควรบอกผู้อื่นหรือไม่)
โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
นี่เป็นสิ่งที่อาตมาเพียรทำ แต่เขาบอกว่าอาตมามาทำลายศาสนาพุทธ แต่ในเมื่อศาสนาพุทธเป็นb จของอาตมา อาตมาจะทำลายศาสนาพุทธได้อย่างไร แต่พวกคนได้ทำลายศาสนาพุทธไปแล้ว อาตมาจึงได้มาท้วง มาว่า มาด่า
ซึ่งมีศาสดา 3 จำพวกที่ควรทักท้วง
1. ไม่บรรลุธรรม บอกสอนสาวกเขาก็ไม่ฟัง และสาวกก็ไม่ได้บรรลุธรรมตาม
2. ไม่บรรลุธรรม สอนสาวกก็เคารพเชื่อฟังดี แต่สาวกก็ไม่ได้บรรลุธรรมตาม
3. บรรลุธรรมแล้ว บอกสอนสาวกแต่ไม่เชื่อฟัง และสาวกเองก็ไม่ได้บรรลุธรรมตาม
4. ศาสดาที่ไม่ควรท้วงคือ เป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว ย่อมบอกสอนให้สาวกบรรลุธรรมตามได้ .
พตปฎ. เล่ม 9 (โลหิจจสูตร)
ไม่ใช่ว่าไม่ควรบอกใคร แต่ควรบอก ผู้จะอวดดีมี 4 อย่างนี้ อวดดีแบบไม่มีดีจะอวด 3 ข้อ แต่ผู้ที่มีดีจะอวดคือข้อที่ 4 อย่างอาตมานี้ ทำตามพระพุทธเจ้าตรัสเลย แล้วมาว่าอาตมา คุณเป็นแบบศาสดา 3 อย่างนี้
เป็นบุคคลปทปรมะ
1.อุคฆติตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้เพียงท่านยกหัวข้อขึ้นแสดงเท่านั้น)
2.วิปัญจิตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้โดยการจำแนกเนื้อความให้พิสดาร)
3.เนยยะ (ผู้บรรลุมรรคผลเป็นชั้นๆ ไป โดยอุทเทส (หัวข้อ) โดยไต่ถาม โดยทำไว้ในใจโดยแยบคาย โดยการสมาคม โดยคบหา โดยสนิมสนมกับกัลยาณมิตร)
4.ปทปรมะ (ผู้ฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวก็มาก จำทรงไว้ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินี้เลย) พอเข้าใจโลกียธรรม แต่เป็น อเวไนยที่ไม่เข้าใจโลกุตระ หรือเข้าถึงธรรมระดับโลกุตระได้ยาก (พตปฎ. ล.36/108)
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ภูมิโสดาบัน
อาตมานี้คนไม่มาเคารพบูชามาก มีแต่คนที่ชัดเจนเข้าใจแล้วมาเอาตาม ไม่ใช่ว่าอาตมาบอกสอนไปไม่มีใครบรรลุธรรม แต่ประมาณนี้บอกสอนไปแล้วมีคนบรรลุธรรม แล้วอาตมาก็บรรลุธรรม และพวกเราก็ได้ แต่พวกเราไม่ช่างอวด ก็ไม่ได้อวด แล้วเราก็เช็คกันอยู่ ตอนนี้ก็มีไล่เรียงโครงการตามหาพระโสดาบัน ข้างนอกเขาไม่กล้าพูดอย่างนี้หรอก แล้วจะเข้าใจไหมว่า ภูมิโสดาบันมีแค่ไหน?
ภูมิโสดาบันนี้
โสดาบันคือผู้ที่ สามารถที่จะอ่านสักกายะ ในสังโยชน์ 3
1. สามารถจับตัวกิเลสได้เรียกว่า อ่านสักกายทิฏฐิออก
2. มีอุบายเครื่องออก มีวิธีลดกิเลสได้ แล้วก็ทำได้ ไม่ใช่รู้แต่ปฏิบัติไม่ได้ อย่างชัดเจน พ้นวิจิกิจฉาฯ ที่บอกว่าไม่สงสัยในการเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ คืออ่านออกว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ลดกิเลสอย่างไร มีธรรมะอย่างไรตนเองเป็นพระสงฆ์ที่จะมีดวงตา รู้จัก สักกายทิฏฐิ ถ้าคุณมีดวงตาทำให้พ้นสักกายทิฏฐิได้
3. สีลพตปรามาส ให้อ่าน มโนปวิจาร 18 แล้วทำให้ลดละจางคลายได้ แต่ถ้าคุณผัสสะแล้วกิเลสขึ้น คุณก็รู้กิเลสขึ้น แล้วทำวิกขัมภนปหานได้ กดข่มไว้ก็ได้หรือรู้ว่ากิเลสไม่เที่ยง มันพาทุกข์แล้วมีพลังทำให้กิเลสลดได้ อย่างต่อหน้าต่อตาเลย แต่ถ้าคุณรู้แต่ไม่ได้ทำให้กิเลสลด เหมือนกับนั่งกินข้าวกับโจร ลูบคลำเล่นหัวกับโจรอยู่ อย่างนี้ไม่บรรลุได้หรอก
แค่นี้ที่นี้เคยทำให้กิเลสลดได้บ้าง ...ยกมือกันสลอน
ให้เป็นการศึกษา เป็นการถามแล้วตอบ เป็นการบอกผลของการสอนของครู
_16/ 7/60 03.06น. วันอาทิตย์
เป็นนิสิตว.นบ.. แต่ขอไม่ออกนามเพื่อเป็นประโยชน์ตน ที่ จะได้รับและได้ให้
สิ่งที่ดร.แสวงพูดเมื่อคืนนี้เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มีทั้งพืชและสัตว์อาศัยอยู่ในดินน้ำอากาศอาหารในธรรมชาติ(สิ่งที่ยิ่งใหญ่)และในร่างกายเราๆจะ แยกอย่างไรว่า อะไรเป็นพืชอะไรเป็นสัตว์
มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่แต่คือสิ่งที่มีชีวิต ที่ยิ่งเล็กทั้งเป็นเชื้อโรค(โลก)และเชื้อรา เป็นทั้งพืชและสัตว์ที่มีวิญญาณคือ แบคทีเรียและเชื้อราซึ่งเป็นพืช ไฉนจึงแยกออก และรู้ได้ว่าเป็นพืชหรือเป็นสัตว์
ทึ่งและอัศจรรย์จริงหนอ
พ่อครูช่วยตอบหน่อย อุกอัง ทำนาดำนาหว่านแต่ละปี ได้ก็ยังเปลี่ยนทิฎฐิชาวนาไม่ให้ไถไม่ให้พรวนดินไม่ได้
พ่อครูว่า...ดร.แสวงนี้ อาตมาฟังแล้วก็อ่านว่ามีภูมิธรรมไม่ใช่ธรรมดา การทำนาแบบ ดร.แสวง เส้นทางออกของชาวพุทธ แต่อาตมาก็บอกว่าอย่าไปปักมั่นอย่างเดียว เพราะว่า เดี๋ยวไม่มีอะไรกินพอดี จะออกหรือไม่ออกก็ได้
สมณะเดินดินว่า..ดร.แสวงว่า ให้มีสองระบบคือ ทำแบบวิจัยแบบนี้แล้วก็ทำแบบเดิมได้
พ่อครูว่าก็ทำตามควร พวกเราหากปรุงดินดีๆในอนาคตก็ทำแบบด๊อกเตอร์แสวงว่า จะสบาย เบา
_น้อมกราบนมัสการหลวงพ่อท่าน พ่อครูของลูกๆ
ดิฉันเคยฟังสมณะลูกพ่อท่าน เทศน์ว่าตากเสื้อตากผ้าให้แผ่กว้าง แต่ถ้าทุกข์ใจ ห้ามแผ่ตากให้ใครฟัง
กราบนมัสการพ่อท่านพ่อครูช่วยวิเคราะห์วิจัยให้ลูกๆมั่นใจหน่อยค่ะ
พ่อครูว่า...คือกิเลสของเราคือเรา ไม่ใช่ไปเที่ยวประจานใครว่อนไปหมด ก็บอกผู้ที่ควรบอกเพื่อให้ท่านกำหนด สอน แนะนำให้ สิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยอะไรแต่ไม่เปิดเผย เหมือนเป็นคนจริงใจไม่ปิดบัง พาซื่อเกินเหตุไม่เข้าเรื่อง ก็บอกผู้ที่ควรบอก
_จากสัมมาสิกขา…
1 ถ้าเรื่องไสยศาสตร์มีจริง แล้ววิญญาณสัมภเวสีมีจริงหรือเปล่าคะ แล้วถ้าไม่มีจริง สิ่งเหล่านี้จัดอยู่ในประเภทไหนคะ
2 ถ้าพญานาคไม่มีจริง เขาเอาความเชื่อสิ่งเหล่านี้มาจากไหน ทำไมเขาถึงบอกว่าแม่น้ำโขงเป็นทางสัญจรของพญานาค
3 หลักการดูดวง เป็นหลักการเดียวกันกับ การระลึกอดีตชาติหรือเปล่าคะ แล้วสิ่งเหล่านี้ต้องใช้ ภูมิธรรมสูงหรือไม่คะ
สุดท้ายนี้ขอถามว่า เมื่อเสียชีวิตแล้วจะได้ไปที่ไหนหรือคะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สัมภเวสีมีจริงไหม
พ่อครูว่า...ตอบรวมๆ
เรื่องจิตวิญญาณที่บอกว่า เป็นสัมภเวสี พระพุทธเจ้าได้บริภาษภิกษุ สาติ ว่า คิดแบบนี้ไม่ถูกต้อง มิจฉาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าบอกว่าวิญญาณเกิดจากตากระทบรูป หูกระทบเสียง ฯ จึงจะเกิดสิ่งนี้ยืนยัน เมื่อมีการกระทบกับสิ่งภายนอก แล้วมีจิตรับรู้ จึงจะยืนยันได้ ยืนยันกันได้หลายคน การที่นั่งหลับตาสมาธิแล้วรู้คนเดียวอย่างนั้นไม่ใช่ความจริง มีข้างนอกอย่างเดียวก็ไม่ใช่ความจริง มีแต่ข้างในอย่างเดียวก็ไม่เรียกความจริง ความจริงต้องมีธรรมะ 2 เสมอ ถึงจะเป็นแบบพุทธศาสตร์ ไม่ใช่แบบไสยศาสตร์ ไสยะแปลว่านอน ของพุทธเป็นศาสตร์ของคนตื่นไม่ใช่คนนอนหลับ จะบอกว่ามีจริงหรือไม่จริงพระพุทธเจ้าไม่สอน
จัดอยู่ในประเภทอจินไตย อย่าไปเดานึกคิด จะมีหรือไม่มีก็อย่าไปคิดนึก มาเรียนสิ่งที่ควรเรียน หากเรียนสิ่งที่ควรเรียนชัดเจนว่าวิญญาณคืออะไร รู้เหตุ รู้จบอรหันต์จะรู้ชัดว่าวิญญาณคืออะไร แต่ถ้าไปเรียนรู้ไม่ใช่จุดสำคัญ มันก็ผิดเพี้ยนไม่ได้เรื่องที่จะให้เป็นการรู้ที่สมบูรณ์ได้
หลับตามีแต่สัญญาไม่มีปัญญา
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน พญานาคมีจริงไหม
2 ถ้าพญานาคไม่มีจริง เขาเอาความเชื่อสิ่งเหล่านี้มาจากไหน
พ่อครูว่า...เอามาจากกันเล่าต่อต่อกันมานานแสนนานเป็นแสนปี ทำไมเขาถึงบอกว่า แม่น้ำโขงเป็นทางสัญจรของพญานาค ก็โมเมไป อย่าไปวุ่นวายเลย ไม่มีพญานาคอะไรหรอก เป็นเรื่องของการสมมติ
ในนิทาน ว่า นาค คือนาคะ มาปลอมตัวบวชเป็นพระในศาสนาพุทธ จึงมีพิธีการบวชนาค นาคนั้น เขาบอกว่าเป็นงูใหญ่ มีหงอนใส่ลีลาไปตาม Idealistic มีหงอน หาง ยาวๆ เสร็จแล้วมันปลอมตัวมาขอบวช มาเป็นคนขอบวช อยู่มาวันหนึ่ง คนที่มาขอบวช นอนหลับในห้อง ตอนนอน กลับคืนเป็นนาค หางโผล่ ก็เลยจับได้ว่ามีนาคมาขอบวช ในคำขอบวช จะมีบอกว่า เป็นนาคมาไหม แม้แต่ตัวมาเป็นนาคเลย ก่อนบวช นาคะ แปลว่าผู้ประเสริฐเป็นงูใหญ่ หรือแปลว่าช้าง เป็นเรื่องที่เล่ากันมา ความจริงแล้ว นาคคือผู้ประเสริฐ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน การดูดวงนี้มีจริงไหม
3 หลักการ ดูดวง เป็นหลักการเดียวกันกับการระลึกชาติไหม ต้องใช่ภูมิธรรมสูงใช่ไหม
ตอบ..การดูดวงก็เป็นโบราณเรียนต่อกันมา เป็นเรื่องอจินไตย ที่มีความสัมพันธ์กัน เหตุจะเกิด ทางวัตถุ กับจิตวิญญาณมนุษย์ หลายอย่างสัมพันธ์กันมาก ถ้าจะเอาความจริงแล้วมันก็เกี่ยวโยงกันอยู่ แต่มันเกี่ยวโยงซับซ้อนมาก เป็นเรื่องอจินไตย วิชาดูโหราศาสตร์ ถือว่าเป็นวิชาสถิติ เก็บหลักฐานความรู้ ต่อกันมายาวนาน แล้วเอามาใช้สืบทอดไป บวกลบคูณหารมา เทียบเคียง เพราะว่าในวัฏสงสารจะมีความวนซ้อนกลับมา ก็เอามาเปรียบเทียบจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน เอาสถิติมาเป็นการทำนาย เพราะว่าทุกอย่างจะวนซ้ำ เช่น กลางคืนกับกลางวัน พระอาทิตย์ขึ้นลง ตะวันออกตะวันตกที่จริง มันไม่ได้อยู่ที่เก่าเคลื่อนที่ไปหมด ไม่มีอะไรอยู่กับที่หรอก โลกลูกนี้ก็เคลื่อนที่ ร่วมไปกับพระอาทิตย์ อยู่ในจักรวาลน้อยใหญ่ สรุปว่า ดวงกับอดีตชาติ จะว่าไปแล้ว มันเป็นอจินไตย ที่จะตอบตรงๆก็ไม่อยากตอบว่าไม่เกี่ยวกัน แต่ตอบไปแล้วก็ไม่อยากให้ไปวุ่นวาย ขอตอบอย่างนี้ว่า อย่าไปยุ่งเกี่ยวมันเลย มาศึกษาศาสนาพุทธแล้ว ให้พ้นทุกข์ได้ เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วก็เชิญไปศึกษาได้ แล้วจะรู้ได้ง่ายด้วย แต่ไปเรียนตอนนี้รู้ได้ยาก
คุณมาเรียนรู้ให้ได้พระอรหันต์ก่อนแล้วค่อยมีสิ่งเหล่านี้ จะรู้ง่ายและดี ถูกต้องกว่าเยอะเลย จะไปเรียนรู้ สิ่งที่ยากก่อนเลย เรียนเป็นพระอรหันต์ง่ายกว่าเรียนพวกนี้ พระอรหันต์เป็นสัจจะ ไอ้พวกนี้มันมีเยอะไม่ง่ายหรอก เรียนรู้เป็นพระอรหันต์นั้นมีสูตรชัดเจน เพราะว่ารักกันจริงจึงบอก โดยเฉพาะคนชื่อสู่แดนธรรม
3. เมื่อเสียชีวิตแล้วจะไปไหน ก็ไปตามวิบากกรรม วิบากกรรมนี้ไม่มีจบ ถ้าไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุเลิกอัตภาพ วิบากกรรม ก็ไม่มีเจ้าของ หากยังไม่ปรินิพพาน แม้จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว กรรมวิบากก็ยังมีอยู่ ไม่หายไปไหน เพราะฉะนั้นตายแล้วไปไหนก็ไปกับกรรมวิบาก
_พ่อท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับเหตุการณ์ต่อไปนี้
1. ญาติธรรมนัดเจอกันที่โฮ่งปัว แต่คนที่ถูกนัดกลับไปที่โรงครัว
ตอบ...หูเฝื่อน โฮ่งปัว คือสถานที่รักษาพยาบาล
2. เกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้งกับญาติธรรม ผู้เจริญธรรมตอบ ในขณะที่ตนขับขี่พาหนะถือของเป็นต้น
ตอบ...เราก็พอรู้ความเข้าใจกัน ผงกหัวรับก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดยกมือไหว้จนปล่อยพาหนะ
3. ญาติธรรม ไม่ยอมขี่จักรยานหักหลบกิ้งกือ เพราะกลัวจักรยานจะตกข้างทาง
ตอบ...ไม่ตอบหรอกข้อนี้ เหยียบหรือไม่เหยียบก็มีวิบากไป
ต่อเรื่อง ประชาธิปไตย 77 ประการ
อาตมาได้พูดถึงเรื่องประชาธิปไตย ดีสุดต้องโลกุตระ คิดว่าจะหยุดแค่ 77 ข้อนี้ ขยายอีกก็ได้แต่เอาแค่นี้ เลขสวยแล้ว
ทวนนิดหนึ่งก่อนว่า ประชาธิปไตยเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าเป็นยอดนักประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คนไม่เข้าใจจะหาว่าโมเม ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง
ประเด็นที่ 1 ประชาธิปไตยจะต้องเป็นโลกุตระ หากไม่เป็นโลกุตระ ไม่ใช่ประชาธิปไตยจริง
ประเด็นที่ 2 ประชาธิปไตยต้องมี 2 ขา คือมีกษัตริย์กับประชาชน
ประเด็นที่ 3 ประชาธิปไตยต้องมี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
ประเทศไทยตอนนี้มีประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก เพราะมีในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงดำเนินมาก่อนแล้ว เราก็ทำตามรอยพระยุคลบาท
โลกได้ผิดเพี้ยนไปว่าประชาธิปไตยต้องมี 1 ขา
ประชาธิปไตยดีสุดต้อง“โลกุตระ” 77 ข้อ
หากกษัตริย์ในประเทศนั้นทรงมี“จิตวิญญาณ”ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและประชาชนก็มีความเป็นประชาธิปไตยดีแข็งแรงยิ่ง ประเทศนั้นจะไม่ต้องมี“การเลือกตั้ง”โดยประชาชนหรอก
แค่ใช้วิธี“การซาวเสียงกัน”ในหมู่ชนนั้นๆที่รู้จักกันทั่วถึงอย่างสนิทชิดเชื้อก็ได้ผู้รับผิดชอบแล้ว และส่วนผู้ทำงานกว้างขวางขึ้นขั้นบริหารประเทศ ก็มีวิธี “กษัตริย์ทรงแต่งตั้ง”ผู้รับผิดชอบขึ้นมารับหน้าที่ ก็ใช้ได้แล้ว
ทั้ง 2 “วิธี”ในข้อ 29. นี้ไม่ใช่“การเลือกตั้ง”ทั้ง 2 ประการ เพราะแตกต่างจากการใช้“วิธี”ให้ประชาชนทั้งหมดทั่วประเทศออกเสียง“เลือกตั้ง”อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง
มีแค่“การซาวเสียงกัน”ในหมู่ชนนั้นๆ เลือกผู้เหมาะสมขึ้นมาทำหน้าที่ในแต่ละเขตชุมชน แต่ละตำแหน่งหน้าที่ ก็เป็นไปได้แล้ว
ส่วนตำแหน่งหน้าที่สำคัญๆสูงในขีดขั้นต้องบริหารประเทศนั้น กษัตริย์ทรง“แต่งตั้ง”ก็เพียงพอแล้ว
อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าจึงมีเลือดประชาธิปไตย ในหลวงร.9 ก็มีเลือดประชาธิปไตย ไม่ติดตำรา จึงได้ตรัสว่า ให้เอาแบบคนจน ไม่เอาตามตำรา ทำอย่างสามัคคีนี่แหละ
ไม่มีผู้บริหารประเทศไหนหรอก ที่จะบอกให้บริหารประเทศแบบคนจน จะมีผู้บริหารประเทศไหนกล้าพูดเช่นนี้ มีแต่ประเทศไทยประเทศเดียว บริหารแบบคนจน และกล่าวถึงขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ไปถามโดนัลทรัมป์ ว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเราไหม อย่าไปถามเลย เดี๋ยวจะหัวร่อ จนฟันร่วง
สมณะเดินดินว่า...จบแค่ โดนัลด์ทรัมป์ หัวร่อก็พอแล้วครับ...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:07:45 )
รายละเอียด
600721_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โยนิโสมนสิการให้ลึกถึงสังกัปปะ7
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560 วันแรม 13 ค่ำเดือน 8 ปีระกา ยังอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ถ้าเรายังอยู่ในประเทศไทย ตอนนี้ก็ยังมีข่าวคราว ที่ต้องลุ้นกันเกือบทุกวัน มีเรื่องต้องชำระสะสาง เราอยู่กันมายังไม่เคยเห็นว่ามีการจับข้าราชการผู้ใหญ่ พระผู้ใหญ่ นักการเมืองผู้ใหญ่ ในเดือนสิงหาคม ยังมีคดีที่รอการพิพากษา จะมีอดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะติดคุกหรือไม่ถึง 3 คน ในประเทศไทยยังไม่เคยมีมาเลย แต่ตอนนี้มี
แต่ก่อนเขาว่ากฎหมายใช้ไม่ได้สำหรับคนรวย แต่ตอนนี้เราจะได้เห็นคนรวยคนมีเงิน คนเป็นนักธุรกิจใหญ่ เป็นอดีตรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี จะถูกตัดสินคดีเรื่องการค้าข้าวจำนำข้าว เป็นการแยกให้ประชาชนรู้ว่าอะไรขาวหรือดำ ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
เมื่อวานนี้ ก็มีหลายคดี ที่ทั้งเข้าคุก อย่างประธาน นปช.ก็เข้าแดนแรกรับ ของพันธมิตรฯก็มีการลุ้นเหมือนกัน ตอนนี้มีคำพิพากษากรณีพันธมิตรฯไปดาวกระจาย ศาลยกฟ้องแกนนำทั้งห้าคน ยกฟ้องเพราะว่าเป็นการฟ้องซ้ำซ้อน กรณีบุกทำเนียบกับการเคลื่อนที่
ศาลมีคำตัดสินบางส่วนว่า... เนื่องจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ บรรยากาศโดยรวมต้องถือว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 63 ส่วนความไม่สงบที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมเกิดจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชุมนุม นอกจากนี้ การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ยังทำให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนทราบว่ารับรัฐของนายสมัคร สุนทรเวช อยู่ภายใต้การครอบงำและสั่งการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และทราบถึงการกระทำของกลุ่มบุคคลในเครือข่ายระบอบทักษิณ รวมทั้งทราบถึงการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่ไม่มีคุณธรรมและธรรมาภิบาลในการบริหารราชการบ้านเมือง มีวาระซ่อนเร้นและเป็นการกระทำที่ขัดผลประโยชน์หลายเรื่อง การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และการกระทำของจำเลยที่ 7-9 จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
อนึ่ง ข้อมูลที่กลุ่มพันธมิตรฯ ปราศรัยระหว่างการชุมนุมปัจจุบันพบว่ามีมูลความจริงในหลายเรื่อง บางเรื่องมีการดำเนินคดีอาญาต่อกลุ่มบุคคลที่กระทำทำผิด และศาลได้พิพากษาลงโทษแล้ว ข้อมูลบางเรื่องต้องถือว่าเป็นประโยชน์และให้ความรู้แก่ประชาชน ทำให้ประชาชนตื่นรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเองมากขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือทำให้ประชาชนมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เพิ่มมากขึ้น และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า เครือข่ายระบอบทักษิณมีกลุ่มที่ล่วงละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่จริง การกระทำของพวกจำเลยถือว่าเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมและประโยชน์ชาติในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี กรณีไม่อาจยกเว้นการกระทำซึ่งมีบทบัญญัติของกฎหมายระบุว่าเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องได้
จึงพิพากษาว่า จำเลยที่ 7-9 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี เจตนาและเหตุผลในการกระทำประกอบอายุ ประวัติ อาชีพ ความประพฤติ การศึกษา และสุขภาพของจำเลยที่ 7-9 โดยรวมแล้วกรณีเห็นควรให้รอการกำหนดโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1-6 ด้วย
ภายหลัง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ให้สัมภาษณ์ว่า ศาลยกฟ้องจำเลยที่ 1-6 เพราะคดีที่แล้วศาลได้ตัดสินจำเลยไปแล้วในคดีบุกรุกทำเนียบรัฐบาล จำคุกคนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา จึงไม่สามารถฟ้องในคดีเดียวกันได้อีก ส่วนจำเลยที่ 7-9 ยังไม่ถูกตัดสิน ซึ่งศาลให้รอการกำหนดโทษไว้มีกำหนด 2 ปี
ส่วนนายสมศักดิ์ โกศัยสุข อดีตแกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า ศาลให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 6 คน ส่วนจำเลยที่ 7-9 ศาลให้รอการกำหนดโทษไว้ก่อน
พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็ต้องอ่าน sms ก่อน
วันที่ 17 กรกฎาคม 2560 (พ่อครู-บ้านราช)
_3553เคยอบรมดูงานหลายหลักสูตรสมัยรับราชการ แต่ที่ใช้ได้จริงเมื่องานและชีวิตเจอปัญหา คือธรรมะที่ได้จากพ่อครู
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ธรรมกาย,ความว่าง สุญญตา ตถาตา ต่างกันไหม
_5818จิต,พุทธะ,ธรรมกาย,ความว่าง สุญญตา ตถาตา มีความหมายมาทางเดียวกันหรือไม่ ? ผู้น้อย กราบนมัสการพ่อครู ขยายความเพื่อศึกษาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
พ่อครูว่า...สุญญตา ตถตา ความว่าง มีความหมายไปในทางเดียวกัน ส่วนคำว่า พุทธะ ธรรมกาย มีความหมายเดียวกัน ณ ลมหายใจเฮือกนี้ ความเป็นจริงของมนุษยชาติในปัจจุบันนี้ จะบอกว่า พุทธะกับธรรมกาย จะบอกว่า มีความหมายเดียวกันกับพระพุทธเจ้าได้ไหม ...ก็ไม่ได้ คำว่าพุทธะเดี๋ยวนี้
คำว่า สุญญตา ตถตา ความว่าง มีแบบนัยยะมิจฉาก็มี แต่ส่วนตัวมันมีความน้อมเน้นไปทางนี้ เช่น ความว่าง ก็ไม่ใช่เป็นได้ง่ายๆ ตถตา ความจริง ก็ต้องไปหาสิ่งที่ถูกต้องแน่นอน เป็นความจริง แม้แต่คนทั่วไป มวลประชาชนในโลก ส่วนใหญ่จะเข้าใจผิด มันก็เป็นธรรมดาช่วยไม่ได้ เพราะคนในยุคนี้ เป็นช่วงใกล้กลียุค ส่วนใหญ่ เป็นคนโง่เป็นคนไม่รู้มากกว่าคนรู้
คำว่าธรรมกาย ต้องเข้าใจชัดเจน ว่า มันเป็นยุคที่ คนจะเข้าใจธรรมกายในยุคนี้ โดยเฉพาะคนไทย คนไทยที่ไปเอาคำว่า ธรรมกาย มาปู้ยี่ปู้ยำอย่างมีวัตถุธรรมรูปธรรมใหญ่ เกิดเป็นปรากฏการณ์ชัดแจ้ง ว่าเป็นความเลวร้ายมาก ความหมายอันลึกซึ้งของคำว่าธรรมกายจึงได้ตกต่ำ ไม่เหมือนคำว่า พุทธ ความว่าง สุญญตา ตถตา
คำว่าธรรมกาย เสื่อมเพราะธัมมชโย แท้ๆ จริงๆแล้ว ธรรมกายมีสองคณะ อีกคณะคือคณะดำเนินสะดวก มุ่งมั่นเอาเป็นเอาตาย มีศรัทธาเลื่อมใส แน่น แต่ก็ยังไม่เป็นโลกุตระ ก็ขอวิจัยวิจารให้ฟัง ให้ความรู้จะได้ไม่เสียเวลา ว่า ธรรมกายดำเนินสะดวกก็ยังเป็น ม Magical ลึกลับ อยู่ในภพ อีกเยอะ แต่ก็ต้องการความยิ่งใหญ่มโหฬารเหมือนกันพอได้ แต่ยังใหญ่ไม่ได้เหมือนกับธัมมชโย แยกกันไปแตกคอกันไป เพราะว่าไปมี Magical ที่ลึกลับเห็นพระพุทธรูป หัวปุ้มหัวแหลม ในมโนมยอัตตา ที่ยึดถือว่าเป็นตัวตนแล้วก็เห็นต่างกัน เป็นธรรมดาธรรมชาติที่ไม่ใช่ของจริง ของจริงลงตัวแล้วจะมีอันเดียวไม่แตกคอกัน
_5637กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง ผมฟังพ่อคูรเทศนาเกี่ยวกับวงการพุทธ ผมก็เห็นตามครับว่า ศาสนาพุทธที่เราเห็นกันในประเทศนี้เป็นเช่นกลองอานกะอย่างที่พ่อครูว่าจริงครับ
พ่อครูว่า...ไม่ใช่อาตมาพูด แต่ว่า เป็นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่า กลองอานกะแม้ว่าชื่อยังเป็นกลองอานกะ แต่ว่าเนื้อแท้ได้เปลี่ยนแปรไปเป็นอื่นหมดแล้ว เช่นเดียวกับพุทธ ก็แม้ชื่อว่าพุทธแต่เนื้อแท้นั้นได้เปลี่ยนแปรไปหมดแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยไทยพัฒนามา 70 ปีแล้ว
_0015ระบบบุญนิยมมีความสอดคล้องกับไทยแลนด์ 4.0 บ้างหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า..ถ้าระบบของ ไทยแลนด์ 4.0 ที่สมมุติกัน พูดจริงๆเลย อาตมาขอรับสารภาพว่าไม่เข้าใจ ไทยแลนด์ 4.0 ไปเอาความหมาย 4.0 จากอะไรมาอธิบาย หรือมาบัญญัติ ยืนยัน
แต่เท่าที่ดู การบริหารของยุคปัจจุบันนี้ สรุปแล้วว่ามีการเจริญ ประชาธิปไตย ระบอบการบริหาร จากอดีตถึงปัจจุบันมีความเจริญ เจริญในความหมายของอาตมา หมายถึงว่าจะเดินไปสู่ระดับ ที่น่าพอใจ ก้าวเข้าขั้นโลกุตระอยู่ในเนื้อหา
ก็ขอสำทับตรงนี้ว่าโลกุตระคืออะไร โลกุตระคือเนื้อกิเลสมันไม่เก่งเท่ามวลชน มวลชนเก่งกว่ากิเลสในการบริหาร แต่มวลชนส่วนใหญ่ ก็ถูกกำราบไว้ในการบริหาร คำว่า กำราบ เป็นภาษาโลกีย์คือข่มไว้บ้าง แต่ก็มีโลกุตระเป็นอิสระเสรีภาพ โลกุตระนี้ไม่ได้ข่มเบ่ง แต่มีพลังปัญญา พลังความเข้าใจของประชาชนเองเป็นอิสระเสรีภาพ ยอมรับนับถือเอง ยอมยกให้เอง
ผู้นำที่เป็นหลักมาตลอดในระบอบประชาธิปไตย 85 ปีของเมืองไทย ผู้นำที่นำมาตลอด 70 ปีนี้คือในหลวง รัชกาลที่ 9 ท่านทรงงานประชาธิปไตยที่เป็นโลกุตระ ต้องพูดชัดๆเลย ที่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นโลกุตระ เป็นประชาธิปไตยที่อาตมาก็เข้าใจอันเดียวกันว่า เป็นไปตามระบอบของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาก็ไม่ได้พูดเล่น พูดจริงว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 คือพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง แนะนำธรรมะพระพุทธเจ้ามาบริหารปกครอง หลักใหญ่ตรงๆเลย บอกว่าเอาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ท่านก็ตรัสว่า นักเศรษฐศาสตร์ฟังแล้วเรื่องขาดทุนคือการได้ขาดทุนคือกำไรมันจะเป็นอย่างไร ท่านก็บอกว่ามันเป็นเช่นนั้น ท่านก็ตรัสตามที่ท่านมีพระปรีชาญาณ ท่านไม่ค่อยยืดยาดเหมือนอาตมา ท่านก็ตรัสตรง และท่านก็ทรงมั่นพระทัยของท่าน ซึ่งมันมีความจริงที่สุดยอด ที่ประชาชนต้องศึกษา
ยิ่งยุคนี้ขอบอกว่า เป็นยุคพุ่งเข้าหาปัญญา ปัญญาของพุทธนะ ไม่ใช่เฉกา เฉโก
สมณะเดินดินว่า...พระปฐมบรมราชโองการที่บอกว่าเราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
พ่อครูว่า…ในหลวงทรงพิสูจน์มา 70 กว่าปีแล้ว ท่านตรัสตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมา 70 กว่าปี
สมณะเดินดินว่า...เหมือนพ่อครูเน้นว่า พระพุทธเจ้ามีประชาธิปไตยคือ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
พ่อครูว่า เรื่องนี้ มีองค์ประกอบหลายนัยยะ มีอจินไตยหลายอย่างที่พูดเป็นภาษาออกมาให้ฟังกันไม่ได้ ทั้งที่รู้ แต่ไม่ควรจะพูด ก็ต้องขอไว้ ไม่รู้จะทำอย่างไร มันไม่เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าไม่ควรพูดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เป็นโทษ
ก็ขออธิบายแต่เฉพาะระบบบุญนิยม
บุญหรือปุญญะ มาจากรากศัพท์ของพระพุทธเจ้า คำว่าบุญเป็นคำของโลกุตระโดยตรง เป็นการกำจัดกิเลส ถ้าเผื่อว่าผู้ใดสร้างพลังงานในตัวเอง ให้มีฤทธิ์มีอำนาจ เป็นพลังงานที่ไปฆ่าพลังงาน ราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งก็เป็นพลังงานเช่นกัน ที่เรียกด้วยภาษาว่า ไฟ เป็นอุณหธาตุ เป็นพลังงานความร้อน แล้วอันนี้คือบุญ สามารถจัดการพลังงานไฟ ราคะ โทสะ โมหะ ได้ ผู้ที่ได้สร้างพลังงานนี้จึงทำได้ผลจริงอย่างที่พวกเราทำได้
ในหลวงทรงงานมา 70 พรรษามีคนได้มาไม่น้อย จนเป็นประชาธิปไตยในประเทศไทย อาตมาขอรับรองว่า ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย นักรัฐศาสตร์ทางตะวันตก เทวนิยมที่สอนๆกันมาเป็นของเทวนิยม ไม่ได้เอาของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาของพระพุทธเจ้าไปประกอบนิดหน่อย ตามประสาที่เขารู้ว่าทิ้งไม่ได้ ก็เลยเอาไปประสมบ้าง แต่ไม่ชัดเจน
อาตมาไม่มีความรู้ในตำราเมืองนอก แต่ก็มั่นใจ อาตมาก็ขอพูด อย่าหาว่าอวดตัว แต่อาตมามั่นใจในทฤษฎีความรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งอาตมาว่าอาตมามีพอสมควรที่จะยืนยันพิสูจน์ได้ เอามาปฏิบัติที่เป็นประโยชน์จริงได้ในยุคนี้
_จีวรของเณรคำ ธัมมชโย มีส่วนทำให้เหล็กปากเหวนรกโก่งมากเพียงใดครับ
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าเปรียบรูปธรรม ว่า ขุมนรก มีเหล็กเส้นเท่าลำตาล พาดปากบ่อนรก มีจีวรพระไปพาดที่เหล็กนี้ จนเหล็กแอ่นเลย
ถามว่ามีส่วนไหมก็มีส่วนแน่นอน
_คำว่า"บวร" ของชาวอโศก ความหมายเดียวกันหรือใกล้เคียงกับ"บวรรัตนโกสินทร์"หรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…รัตนโกสินทร์เรารู้แล้วว่าหมายถึงยุคของราชวงค์จักรี บวรแปลว่าความสูงส่งความประเสริฐความเลิศเอามาประกอบเป็นอุปสรรคนำหน้ารัตนโกสินทร์ ความหมายอันนี้ เมื่อใช้ผสมกับสถาบันพระมหากษัตริย์ มีคนแย้งว่า อมรรัตนโกสินทร์ไม่ใช่ บวร รัตนโกสินทร์ คำว่า อมร แปลว่าไม่ตาย
บวรนี้ใช้คำว่า บวร พุทธศาสนาแต่ อมร ศาสนาไม่เห็นมีคำนี้ ก็ใช้คำว่าอมรรัตนโกสินทร์
ทีนี้ บวรของอโศกนี้ หมายถึงตัวย่อ บ-ว-ร รวมกันอ่านว่า บวร แล้วในคำว่า บวร หมายถึงความสูงส่งประเสริฐเลิศดีจริงๆ ซึ่งเป็นความดีเป็นความเลอเลิศของนามธรรม เป็นความเจริญประเสริฐของจิตวิญญาณ ซึ่ง หมายถึงความสามัญนะ บวรที่อาตมาว่า คือความเจริญประเสริฐของน้ำงคนทั่วๆไป อาตมาว่า ไม่ใช่สภาพองค์ประกอบบัญญัติรูปธรรมสมมุติสัจจะ สมมุติไว้แล้วว่าสูง ก็ไม่ใช่ แต่บวรที่อาตมาหมาย หมายถึงสามัญทั่วไป เป็นเรื่องสังคมศาสตร์ มนุษยวิทยา จิตวิทยาที่ดีของคนทุกคน ที่พึงศึกษาฝึกฝนอบรมให้จิตเกิดเป็นจริง บวร
ตอนนี้อาตมาก็กำลังใช้ความพยายามอธิบายขยายความให้ฟังและนำพาปฏิบัติด้วย โดยมี บ้าน มีมนุษย์ หมายถึงสังคมเข้ามารวมตัวเป็นสังคม ชุมชนหมู่บ้านอำเภอจังหวัด รวมตัวกันอยู่ มีพฤติกรรมวัฒนธรรมสังคม แล้วก็มี นามธรรมของสัจจะคือธรรมะที่เราใช้คำว่า วัด
วัด หมายถึงธรรมะ เป็นพฤติกรรมของคนปฏิบัติเสียสละไม่เห็นแก่ตัวมักน้อยสันโดษตามวรรณะ 9
ในสังคมที่เรียกว่าบ้าน และคุณธรรมที่ประกอบในคนประกอบเป็นสังคมคุณธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมะโลกุตระ เป็นธรรมะที่ถึงขั้นรู้จักกำจัดกิเลสได้จริงตามทฤษฎีกำจัดได้อย่างถาวรยั่งยืนตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า ถ้าทฤษฎีของโลกียะกำจัดกิเลสได้ชั่วคราวแล้ววนเวียนกลับ ไม่ยาวนานยั่งยืน นี่เป็นความหมายนัยสำคัญเป็นประเด็นหลักนิยามหลักแท้
เราศึกษาธรรมะให้สัมมาทิฏฐิ แล้วมาปฏิบัติอย่างสัมมาก็จะเกิดผลเป็นสัมมาปฏิเวธจะได้ผลเป็นลำดับไป เบื้องต้น หยาบ กลางละเอียดไปเรื่อยๆ จะเห็นผลเจริญไปตามลำดับ
สรุปแล้ว บวรที่อโศกพาทำนี้ มันมีสิ่งยืนยันปรากฏทั้งบ้าน ธรรมะ การศึกษาหรือโรงเรียน
เป็นการศึกษาที่ไม่ได้แยกการศึกษาทางโลกและการศึกษาทางธรรม การศึกษาทางโลกและการศึกษาทางธรรมไปด้วยกันมาด้วยกัน เลือดราชธานีอโศก
การศึกษาบ้านวัดโรงเรียนสามเส้า จะรวมตัวกันไม่แยกกันให้มีทั้งสามอย่างนี้จริง ไม่ใช่แต่พูด หรือเกิดจากการบังคับ แต่มีการพาทำปฏิบัติจนเกิดเห็นจริงเป็นจริงในนี้ อธิบายได้และทำให้เกิดผลอ้างอิงได้ เป็นปรากฏการณ์จริงได้
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน โยนิโสมนสิการให้ลึกถึงสังกัปปะ7
บวรของชาวอโศก อาตมาจึงมั่นใจว่ามันเป็นของจริงในยุคนี้ที่กำลังก้าวหน้า มันยากมากเลย จนอาตมาเอง ขออ่านตรงนี้หน่อยก็แล้วกัน บันทึกไว้เอง
...อาตมาทำงานมา รู้สึกสะดุดใจลึกลึกว่า ที่อาตมาเทศน์ธรรมะมานี่ หรือว่าบรรยายธรรมะของพระพุทธเจ้ามานานหลายสิบปีเกือบห้าสิบปีแล้ว ว่ากันจริงๆ ถึงห้าสิบปีแล้ว ตั้งแต่เป็นฆราวาสแต่มาบวชตอน ปี 2513 ทำงานเต็มสภาพเลยเมื่อมาบวช
อาตมาบรรยายมานานขนาดนั้น คนฟังก็ไม่ค่อยกระเตื้อง คงจะเพราะไม่ค่อยรู้เรื่อง อาตมาก็พยายามไม่ได้หลงตัวเองนะ อาตมาก็ว่าอาตมาพยายามให้มันง่ายมันชัด มันดีที่สุด อย่างมั่นใจว่าไม่ผิดเลย ถูกต้อง แต่เขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง
หรือแม้รู้เรื่อง ไม่ซาบซึ้งเข้าไปถึงจิตใจจนสามารถแก้ไขพฤติกรรมที่ผิดพลาดของตนได้ ไม่ถึงขนาดนั้น อาตมาก็ว่าเพราะอะไร
มันคงเพราะเหตุว่า ชาวพุทธหรือประชาชนคนไทย เชื่อถือความเป็นคณะสงฆ์ใหญ่ หรือว่าคณะเถรสมาคม มากกว่าเชื่อหลักฐานที่เป็นพระวจนะ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีในพระไตรปิฎก แล้วอาตมาก็นำเอาคำสอนในพระไตรปิฎกมายืนยันอ้างอิงอธิบายให้ฟัง ท้าทายให้เอาไปยืนยันได้ พระไตรปิฎกฉบับเดียวกันนี้ เขาก็ฟังที่อาตมายืนยันนี้ยังไม่ได้เข้าใจจริงตามที่ว่านี้ ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัส เขาก็ไม่สะดุ้งจนเอาไปแก้ไขตัวเองได้มันก็ไม่เกิด มันเกิดได้ แต่มีน้อย
โดยเฉพาะคณะใหญ่คือเถรสมาคม ยังงุ่มงาม มะงุมมะงาหราอยู่ อาตมาก็เห็นผลอยู่ว่า ไม่กล้าเถียงอาตมาออกมาดังๆ จะไปพูดในหมู่กลุ่มตนเองก็ไม่รู้ล่ะ แต่ไม่กล้าออกมาทาง สื่อสาร แต่อย่างใด ไม่เห็นมีเลย ลับหลังอาจจะมีก็ไม่รู้
ยกตัวอย่างเช่นอาตมายืนยันหลักฐานในพระไตรปิฎกว่า สมาธิของพุทธศาสนาที่เรียกว่าสัมมาสมาธิไม่ได้เป็นผลมาจากการนั่งหลับตาสะกดจิต อาตมาก็ย้ำตอกหัวตะปู พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องมาเกือบห้าสิบปีแล้วว่า อย่างนั้นไม่ใช่สมาธิอย่างนั้นไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า เป็นสมาธิที่เรียกตามภาษากลางๆทั่วไป ยุคพระพุทธเจ้าตอนออกบวช ท่านก็ไปหาวิธีการหาอาจารย์ ไปพบ อาฬารดาบส อุทกดาบส ฤาษีชีไพรก็นั่งหลับตาสะกดจิตทั้งนั้น ท่านก็พบว่าไม่ใช่ทาง แต่ว่า ท่านเองก็ต้องใช้วิธีนั่งหลับตาสะกดจิตเช่นกัน มันยากที่จะแย้งเขา ท่านก็ใช้ตามที่เขานำพา แม้แต่อาตมายุคนี้ก็ทำเช่นกัน อาตมาทำไม่น้อย ใช้ประโยชน์ได้แต่ได้นี้ มันเป็นของแท้ของอาตมา
สมาธินี้ เป็นภาษากลางๆใช้กันมานาน สมาธิเป็นภาษาบาลี ก็ใช้กันมาแล้วเพี้ยนไปมา กลับไปกลับมา พระพุทธเจ้าถึงใช้คำว่าสัมมาต่อหัวไว้ เป็นสัมมาสมาธิ ท่านก็ไม่กระเตื้องอะไรอยู่อย่างนั้น
อาตมาก็ว่า สมาธิที่อาตมาพยายามอธิบายตามตำราพระพุทธเจ้าตลอดมาเลยยืนยันให้เห็นว่า ที่พระพุทธเจ้าตีทิ้งสมาธิหลับตาเจโตสมาธิ เอาพลความมาอธิบายก็พอเข้าใจกัน แต่มันไม่ถึงขั้น ไปทำให้จิตเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะไม่มีพลังงานพอ
ยังไม่เชื่อ ยังไม่เห็นจริงว่า สมาธิที่ได้จากการปฏิบัติลืมตา มีสติปฏิบัติในขณะที่ทำงานอาชีพ ก็สร้างสมาธิ ในขณะทำการงานทุกอย่าง กัมมันตะ ก็สร้างพลังสมาธิใส่จิตใจ ในขณะที่พูด โดยเฉพาะการสังกัปปะก็แน่ๆเลย คือการทำใจในใจ มนสิการ หรือมนสิกโรติ
ก็สามารถเข้าใจกระบวนการของสังกัปปะ 7 ที่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกชัดเจน กระบวนการ process ของ สังกัปปะ 7 ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา สามารถปฏิบัติสังกัปปะ 7 เป็นผลได้สำเร็จเป็นสัมมาสมาธิ โดยทำ
กายในกาย ทำเวทนาในเวทนา ทำจิตในจิต ทำธรรมในธรรมนี่ ให้เกิดผลมีส่วนบุญ ต้องคมชัดแม่นว่าบุญไม่ได้เป็นกุศลนะ แต่ถ้าทำกุศลสูงสุด ก็คือข้ามขีดเป็นปุญญะคือตัดกิเลสได้ ก็คือบุญ กุศลต้องเป็นบุญแต่ถ้ากุศลในกุศลเองไม่ได้ตัดกิเลสเลย กุศลคือความฉลาดแบบโลกียะ
เราต้องสร้าง มนสิการในใจ สร้างอย่างไรก็พยายามทำให้เกิดพลังงานทางกายวาจา ทางจิต จนกระทั่งเกิดขึ้นมา เป็นผลของบุญไปตามลำดับ คือชำระกิเลสได้เป็นส่วนๆ จนชำระกิเลสได้ครบ จนดับสิ้นอาสวะ หมดครบ
อาตมาได้อธิบายอาสวะจนถึงอนุสัย
แต่เอาแค่ถึงดับอาสวะก็จบแล้ว สำหรับคนทั่วไป
ต่อจากการดำเนินการดับอนุสัยก็คือเรื่องของพระโพธิสัตว์ คนทั่วไป สิ้นอาสวะ ปัญญาวิมุติคืออรหันต์แล้ว ส่วนจะได้อุภโตภาควิมุติก็ได้เป็นพระโพธิสัตว์ ส่วนดับอาสวะเป็นพระอรหันต์ คือได้ใบไม้กำมือเดียว แต่พระโพธิสัตว์เป็นการศึกษาใบไม้ทั้งป่า
กิเลสตนทำให้หมดได้เป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนกิเลสคนอื่นๆ มีมากมาย แตกต่างกันไปจนนับไม่ได้ จะเอาหนึ่งของเราไปเทียบกับกิเลสทั้งหมดของคนอื่นด้วยได้อย่างไร เป็นปุคลาธิษฐานที่ชัดเจน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทำบุญให้เด็ดขาดถึงเวทนาแท้
คำว่ามีส่วนบุญ ถ้าเข้าใจคำว่า ปุญญะไม่ถูกต้องตามนิยามแท้ๆ แน่นอน คุณจะแกว่งโดยเฉพาะ ถ้าเข้าใจคำว่าปุญญะนี้ไม่ได้ คุณเข้าใจโดยความรู้คือ ปัญญะ หรือปัญญา
จะไปทำปุญญะต้องมีปัญญาก่อน ถ้าปัญญายังไม่มีไปทำปุญญะไม่ได้หรอก ปัญญาคือความรู้ที่ต้องข้ามเขตโลกียะปุถุชนก่อน ต้องตัดโคตร ข้ามโคตร ปุถุชนมาเป็นโลกุตระ ถ้าไม่เด็ดขาดก็ยัง เหลื่อมกันอยู่ ปนกันอยู่ จนกว่าจะขาดออกมาเลย ถึงเรียกว่าหลุดพ้น ท่านเรียกว่าหลุดขาด
สิ่งเหล่านี้ เป็นนัยยะของนามธรรมที่เราต้องอ่านว่าหลุดพ้นไหมหรือยังคร่อมกันอยู่ หรือโอเวอร์แลป ยังไม่ขาด
แม้ขาดจริงก็ต้องพยายามทำซ้ำให้รักษาผล ซ้ำจนกระทั่ง อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ที่อาตมานำพยัญชนะของพระพุทธเจ้าให้รู้ถึงการรักษาผล อนุรักขณาปธาน 36 36 36 ในเวทนา 108 สภาวะเรานั้นต้องสั่งสมจริงทำจริงจึงจะเกิดผลเหล่านั้น พูดเอาแต่ปากได้เล่นไม่ได้
จนสำเร็จ เสร็จบุญ เป็นอเสขบุคคล หมดบุญหมดบาป เป็นปุญญปาปริกขีโณ เป็นภาษาบาลี ก็ย้อนแย้งไม่ได้ เถียงไม่ออกหรอก ไปลบทิ้งไม่ได้ กดดูก็ยืนยันได้ ปุญญปาปปริกขีโณ
ถ้าเข้าใจไม่ตรงก็ปฏิบัติไม่ได้
ช่วงแสวงหา 6 ปี ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม. เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ(ปุญญปาปปริกขีโณ) เป็นผู้ไม่มีอาสวะ...ฯลฯ (ล.32 ข.392)
อาตมาเกิดมาในชาตินี้มากอบกู้ศาสนาพุทธจริงๆ คุณไปเสียเวลามากแล้วชาติก่อนๆคุณก็เสียเวลามาแล้ว แต่ชาตินี้เมื่อได้พบแล้ว เหลือเวลาชีวิตอีกเท่าไหร่ มันคงจะเหลือ 40 50 70 ปี ก็ขอเวลาที่เหลือนี้ได้ไหม มันไม่มากนะ ไม่กี่สิบปี ขอมาเสี่ยงกับอาตมาหน่อยน่ะ ขอสักชาติได้ไหม มันไม่ถึงชาติหรอกขอที่เหลือได้ไหม ..พวกคุณมาแล้วก็ได้นะ แต่อาตมาพูดกับคนที่ยังไม่มาน่ะ
ขอกับคนที่ยังไม่มา เสี่ยงกับอะไรมา ร้อยชาติพันชาติแสนชาติ เพราะการเกิดมันไม่รู้กี่ชาติ ขอสักเศษเสี้ยวของชาติ อย่างไรก็มาพบกันแล้วตัวเป็นๆ มาเจอกันหน่อย มาลองทำตามอาตมา อาตมาก็ยืนยันตำราพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ก็พอเข้าใจได้
ถ้าเผื่อว่า ผู้ที่มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว ยังวิจัย พิจารณาวิเคราะห์วิจัย อ่านธรรมะจนถึงสภาวะทางจิต ในความเป็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตธรรมในธรรม เป็นภาษาแต่เป็นสภาวะทั้งนั้น กายในกายก็จิต เวทนาในเวทนาก็จิต ธรรมในธรรมก็จิต ไม่ใช่วัตถุธรรม
ถ้าเข้าใจจิตเป็นตัวประธานทั้งหมดทั้งมวล แล้วพยายามอ่านวิเคราะห์ทำใจในใจให้เป็น โดยเฉพาะ อาตมาอ้างอิงยืนยัน ในพระไตรปิฎก ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
เป็นประโยคทองที่ยิ่งใหญ่ ก็ให้อ่านเวทนา เอามาทำทีละสอง แล้วก็ทำให้เป็นหนึ่ง ให้ตกตะกอนลงเป็นหนึ่ง ให้ได้ หยั่งลงเป็นหนึ่งให้ได้ ทำให้เกิดผลสำเร็จ ภวันติ ทำสิ
เราจะต้องอ่านเวทนา 2 ให้ออก หากอ่านเวทนาจิตของตนไม่ได้แยกเวทนาในเวทนาไม่เป็น คือความรู้สึกอารมณ์ คือความรู้ก็ได้ ที่ต้องมี ผัสสะ เป็นปัจจัยจากภายนอก ตามปัจจยาการ
ต้องมีตากระทบรูป หูกระทบเสียง ...ทั้งห้าทวาร มีห้าคู่ แล้วมีคู่ในคือมนายตนะ กับธัมมายตนะ (คุณอู๊ดว่า จาก 2 มาเป็น 1 แล้วจาก 1มาเป็น 0 ได้มั้นครับ?)
ผู้ที่เข้าใจแล้วอาศัยศูนย์เหมือน 1 เหมือน 0 ได้จริงๆ ต้องเข้าใจเป็นสภาวะธรรมเป็นสภาวะ ไม่ใช่ว่าพูดแต่เพียงภาษา )
ทำได้แล้วจะไม่ถามเลยว่า 0 เป็น 1, 1 เป็น 0 ได้ คุณจะไปพักเป็น 0 ได้เป็นความสามารถพิเศษของคุณ ธรรมดาก็เป็น1แล้ว ไม่ก่อเกิดแล้วไม่เป็นเมถุน ไม่เป็นคนคู่แล้ว จะมีอีกเท่าไหร่ก็ 1 ใช้เลข 1 ทำงานให้เต็มที่ ทำงานกับโลกไม่พักเลย ก็จะอายุสั้น
แต่ถ้ารู้จักพักรู้จักเพียร ใช้ 1 บ้าง 0 บ้าง ไม่งั้นจะหนักไปทาง เพียรมากกว่าพัก จะไปไม่รอด
ผู้ที่สามารถอ่านเวทนา อาการความรู้สึกหรืออารมณ์ อ่านได้จริงๆเลย แล้วก็ทำให้เหลืออารมณ์หนึ่ง เห็นอาการอารมณ์ว่า นี่คือเคหสิตเวทนา เป็นอารมณ์เก๊ โลกีย์อารมณ์โลกๆไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน สามารถทำให้มันดับ มันพัก
แต่อารมณ์โลกีย์คุณก็ยังพักได้ คราวนี้เราไม่ต้องมีอารมณ์นี้ เต็มอิ่มแล้วก็พัก หรือมันเซ็งๆ ก็พัก หรือมีวิธีสะกดจิตให้มันพัก แล้วแต่ หรือเหนือธรรมชาติมันก็พักของมันเอง มันมีพัก
แวะไปหาท่านพุทธทาส ท่านอธิบายว่าการพักจากนี้คือนิพพาน อาตมาก็ว่าเอาภาษาของพระพุทธเจ้ามาทำให้เสียหาย นั่นไม่ใช่การนิพพาน มันเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ทำให้พักได้ นั่งหลับตาสะกดจิตก็พักได้ ท่านพุทธทาสบอกว่าเป็นนิพพาน นิพพานเล่นของสูง เอามาใช้ได้อย่างไร
ท่านก็บอกว่า นิพพาน เหมือนเอาหม้อข้าวที่ยังร้อนลงมาจากเตาทำให้เย็นมันก็คือนิพพาน อย่างนั้น มันเป็นโลกีย์ เป็นความสบายใจความเย็น เป็นซินโนนิม เอามาใช้แทนพอได้ แต่อย่ามาโมเม เอาคำว่าเย็นโลกีย์มาเรียกนิพพานของพระพุทธเจ้าลำลอง มันทำให้คนอื่นสับสน เอาของโลกียะมาเป็นโลกุตระไม่ได้ มันผิด อย่าบังอาจเอาของโลกุตระของพระพุทธเจ้า มาเรียกด้วยโลกียะ ละเว้นหน่อย ไม่อย่างนั้นปนเปกันไปหมด ขออภัยท่านพุทธทาสที่พาดพิงถึงท่าน ท่านก็สิ้นไปแล้ว อาตมาก็เคารพท่าน อาตมาก็รู้ว่า ท่านเป็นผู้มีคุณธรรมอันควรเคารพได้ท่านหนึ่ง อาตมาไม่ได้หลงเลยเถิดไม่เคารพหรือลบหลู่
อาตมายืนยันจากตำราเลยว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตรว่า กรรมฐานของผู้อื่นไม่มีนอกจากเวทนา ที่เขาไปรวบรวมเป็น กรรมฐาน 40 เอาวัตถุมาปนใส่ ก็จะให้เป็นพันกรรมฐานก็ได้เอาขี้หมูขี้หมาแห้งมาเป็นกรรมฐานก็ได้ เป็นการสะกดจิตจดจ่อนิ่งอยู่กับกสิณมันไม่ใช่ของพุทธ ใช้ต่างกันมากเลย
กรรมฐานของพระพุทธเจ้าต้องอ่านรู้ถึงนามธรรมแล้ววิจัย ไม่ใช่สะกดจิตแน่จิตนิ่ง มันคนละทิศทางเลย เข้าใจไม่ถูกต้องไม่ถูกตรงก็ไม่ได้ผล
แม้แต่คำว่า กาย กายในกาย เป็นคำแรกที่จะต้องแยกธรรมสอง แยกรูปแยกนาม แยกจริงกับเท็จ ของจริงกับของเก๊ สองให้ออกเรียกว่ากาย
ถ้าคุณแยกอันนี้ไม่ออกหรือสับสนอยู่ คุณก็ดับผิดดับถูก จะดับของเก๊ ดันไปดับของจริง แล้วเหลือของเก๊ไว้ด้วยนะ จะดับของเก๊ ดันดับของจริง เพราะหลงสลับกัน เอาหัวเป็นหางก็ยิ่งน่าสงสารสังเวชใจ
อาตมาก็บอกว่า เหนื่อยอย่างไรก็ยอมเหนื่อย เขาให้พักก็ไม่ค่อยพัก สมัครใจมาเป็นโพธิสัตว์แล้ว
เอาอย่างนี้ดีกว่า อ่านเบาๆ บทความของคุณเปลวสีเงิน
เครื่องมือส่องพระ 'เบญจราคี'
ตำรวจรบชาวบ้าน ทหารรบโจร หัวโล้นรบสำนักพุทธ
ดูแล้วขำ..........!
โดยเฉพาะเรื่องโล้นแก๊งหนึ่ง "ต่อมศีลอักเสบ" หลังถูก ผอ.สำนักพุทธ "พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์" ตรวจสอบเรื่อง "เงินทอน"(พ่อครูว่า อาตมาลุ้นจนตัวโก่ง เอาใจช่วย อยากให้หยาดน้ำใจทองคำ อยากจะให้สองคนคือ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่รู้จะเอาไปให้อย่างไรดี อาตมาคนจน แต่ถอดใจทำให้ อุตส่าห์เอาทองคำทำให้เป็นหยาดน้ำใจทองคำ
ชาตินี้ก็ให้แก่ผู้ควรให้จริงๆ ให้มาแล้ว อาตมาเคยให้ไปแล้ว คนที่ให้เป็นคนแรกคือป้าอาตมา คือภรรยาลุงหมอสุรินทร์ และคนที่สองที่ให้คือ คุณจำลอง ศรีเมือง ส่วนคนที่ 3 และ 4 ขออุบไว้ยังไม่บอก
เรื่องสมมุติสัจจะนี้อาตมาเข้าใจ เป็นเรื่องสังคมศาสนาต้องใช้ตามภูมิของอาตมา)
กับวัดอื่นที่ "ไกลตัว" ทำวางเฉย "อาตมาไม่เกี่ยว"
แต่พอมาถึงวัด "พันตัวเอง" แถมเป็นวัดใหญ่ ถือพัดยศยอดแหลม บางโล้นอยู่ในแถวมหาเถรฯ
หัวร้อน ...........
ออกลายสายจานบินทักษิณระบบทันที!
ประกาศคว่ำบาตรสำนักพุทธบ้างละ ไม่รับนิมนต์ ไม่ประกอบศาสนกิจสัมพันธ์กับสำนักพุทธบ้างละ
ขู่ ผอ.สำนักพุทธให้ระวังตัว จะหลุดตำแหน่งบ้างละ!
ทำให้ต้องนึกทบทวน อะไรเป็นเหตุให้บางโล้นสำคัญผิดในภาวะแห่งตนได้ถึงเพียงนี้?
มีแต่ชาวบ้านจะคว่ำบาตรพระที่ประพฤตินอกรีต-นอกพระธรรมวินัย เพื่อดัดกิเลสที่อ้วนจากอาหารบิณฑบาตขุน ให้ "คืนสำนึก"
แต่นี่กลับหลงตัว ลืม "ภิกขุภาวะ" คือความเป็น "ผู้ขอ" ขู่ฟ่อๆ จะคว่ำบาตรชาวบ้านในฐานะ "ผู้ให้"?
มันกลับตาลปัตรกันไปหมด!?
ผมว่าคลุมเหลืองให้ชาวบ้านทึกทัก "เป็นพระ" ก็พออาศัยอยู่-อาศัยกินได้ดีอยู่แล้ว
อย่าทำเป็น "กระเบื้องเฟื่องฟูลอย" ให้สมตามเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาแต่โน้นเลย
เหลืองที่คลุมจะลอก โล้นที่ลวงจะถลอก...........
เพราะทุกวันนี้ พุทธศาสนิกด้วยปัญญากรอง หน่ายกระพี้ จี้เข้าแก่นพุทธศาสน์ มีมากขึ้น
จึง "รู้เช่น-เห็นลาย" ไหนเป็นโล้นพุทธบุตร ด้วยศีลาจารวัตรครัดเคร่ง และไหนเป็นโล้นแฝง ฝักใฝ่แดงจานบิน?
จะโลภกันไปถึงไหน...........
บ้านไม่ต้องเช่า-ข้าวไม่ต้องซื้อ แค่กิจนิมนต์ สวดผี ปีนึงๆ ก็เป็นแสน-เป็นล้าน?
เงินทองน่ะ เป็นวัตถุอนามาส พระบรมศาสดาเจ้าทรงห้ามพระภิกษุจับต้อง ถ้าจับต้อง ถือเป็นอาบัติ
แต่ที่เห็น-ที่เป็นทุกวันนี้............
พระตั้งแต่สมณศักดิ์พัดยอดแหลม "บางรูป" ลงไปถึงพระพัดใบตาลยอดด้วน
ยิ่งกว่าดาราออกงานอีเวนต์ มีราคาค่าตัวลดหลั่นตามชั้นยศ เป็นที่รู้กันว่าแต่ละชั้น ควรใส่ซองเท่าไหร่ จึงจะรับไปในกิจนิมนต์นั้น
ยิ่งยศใหญ่ กิเลสยิ่งอ้วน ...........
สำนักพุทธ กับบางพระยุคระบอบทักษิณครองเมือง ใช้งบสมเกื้อกันเหมือนหนอนเกลือกถังอาจม
ระบบ "เงินทอน" ว่อนทั้งวัดหลวง-วัดราษฎร์ มานานช้า
ถ้าไล่เลียงดูจะเห็น วัดสายจานบินทักษิณระบบ จะมีเงินอุปถัมภ์บำรุงจากสำนักพุทธลงไปเป็นพิเศษ
แล้วแก๊งโล้นกับแก๊งสำนักพุทธแย่งกันมุดนรก ด้วยระบบ "ได้แล้วแบ่งปัน" ในรูปเงินทอน!
เคยมี ส.ส.นำไปพูดในสภายุคนั้นด้วยซ้ำ ก็อย่างว่า คนวงจรเดียวกัน ก็พูดพอให้รู้กันในเชิง ทำนอง "ทีมึง-ทีกู"!
ทุกวันนี้ พุทธบริษัทพวกหนึ่ง "แยกพระ-แยกผี" เพื่อเคารพ กราบไหว้ได้อยู่
แต่ยังมีหลายส่วน "เชื่อด้วยศรัทธา"........
พลันเห็นผ้าเหลือง ก็เหมาเป็นพระ บูชากราบไหว้ ถวายไทยทานหวังจะได้บุญ-สวรรค์ จากพวกสักแต่ว่าผ้าเหลืองพันกาย ก็มีอยู่เยอะ
แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าไหนพระแท้ เป็นเนื้อนาบุญประเสริฐ ไหนด้วงแมลงแฝงคราบพระอาศัยผ้าเหลืองคลุม?
ความจริงก็ไม่ยาก พวกเราสับสนกันไปเอง
พระน่ะ....ไม่มีหรอก!?
คำว่า "พระ" เป็นเพียงสภาวะ เกิดขึ้นภายหลังกับคนที่เข้ามาบวชครองศีล 227 ข้อ เท่านั้น
ถ้าบวชแล้ว ไม่ครองศีล 227 ข้อ ให้สะอาดบริสุทธิ์
ก็เป็นแค่ "โล้นห่มเหลือง" ลวงโลกไปวันๆ
..........ไม่ใช่พระ!
นอกจากศีล 227 ข้อ ยังมีข้อห้าม-ข้อปฏิบัติ ว่าด้วย "สมบัติผู้ดีพระ" อะไรควรทำ-อะไรไม่ควรทำ ทำแล้วโลกติเตียนอีก
เช่น ปาฏิเทสนียะ 4 ข้อ เสขิยะ 26 ข้อ โภชนปฏิสังยุตต์ "หลักในการฉันอาหาร" อีก 30 ข้อ
ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ ว่าด้วยการแสดงธรรมอีก 16 ข้อ และเบ็ดเตล็ดอีก 3 ข้อ เกี่ยวกับการขับถ่าย
นี่คืออาภรณ์ ทำให้ผู้ปฏิบัติครัดเคร่ง "เป็นพระ"!
พระจะมีรถยนต์ ห่มจีวรแพร สั่งอาหารฉันตามอยาก สมุดเงินฝาก-เงินเต็มย่าม เล่นหุ้น-แทงหวย ออกเงินกู้ มีสีกาจ๊ะจ๋าคากุฏิ ได้หรือไม่?
ตามพระวินัยบอกว่า เครื่องอาศัยของพระ มี 4 อย่างเท่านั้น คือ
-อาหารบิณฑบาต
-นุ่งห่มผ้าบังสุกุลจีวร
-อาศัยตามโคนไม้
-ฉันยาดองน้ำมูตรเน่า
ดูตามนี้ แล้วดูพระบ้านทุกวันนี้ ก็ตอบตัวเองได้ว่า ไหนพระ-ไหนแพะ?
"แพะ" เต็มเมืองไปหมด
ส่วน "พระ" ต้องไปหาจากที่สงบสงัด ปฏิบัติสู่ความเป็นผู้สลัดออกจากตัณหา-อุปาทาน สู่ความเป็นผู้เหนือโลกในเส้นทาง มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1
(พ่อครูว่า...คำว่าสงบของพระพุทธเจ้าคือสงบจากกิเลส อยู่ในการคิดการพูดการกระทำการทำอาชีพ ขณะที่พูดขณะนี้ก็ทำอยู่
คำว่าสงบสงัดไม่ได้เกี่ยวกับสถานที่ ไม่ได้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวต่างๆ กายวิญญัติวจีวิญญัติ แต่ว่าคือกิเลสที่เคลื่อนไหวในจิตใจเรา ถ้าจิตใจเราไม่มีกิเลสเคลื่อนไหวอยู่ นั่นแหละสงบ ไม่เกี่ยวกับวัตถุ สถานที่หรือกายวาจา จะนิ่งหรือไม่นิ่ง แต่เกี่ยวกับกิเลสมันดับมันหยุด ไม่ทำให้เกิดการเคลื่อน นี่คือการสงบ
คุณเปลวสีเงินเขียนคำว่าไปหาที่สงบสงัดยังผิดอยู่ แต่คำตามหลังมาดีแล้ว)
ตอนต้นปี............
มีคนนำรับสั่ง "สมเด็จพระสังฆราช" วัดราชบพิธฯ ที่ประทานแก่ประชาชนผู้มาถวายสักการะ เผยแผ่ ว่า
"อย่าเอาเงินมาถวาย ..........
พระรับเงินรับทองเป็นอาบัติที่รุนแรงมาก พุทธศาสนาของเราเสื่อมลงถึงวันนี้ คิดให้ดี เป็นเพราะโยมไม่ศึกษาพระธรรมวินัย เอาเงินไปถวายพระ
เมื่อไหร่พวกเราจะเลิกทำบาปกันเสียที.......
หยุดเอาเงินให้พระ หยุดทำร้ายพระศาสนา หยุดสร้างกลุ่ม 'เบญจราคี' ที่โสโครกโสมมเพิ่มขึ้น"
(พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าจะสร้างศาสนาก็ต้องมีตัณหา แต่เป็นวิภวตัณหา ที่ว่าไม่ให้เอาเงินมาถวายพระ ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า ที่ว่า ไม่ให้พระรับเงิน ไม่ใช่ว่าเอาตะเกียบคีบหรือเอาผ้ารองก่อน ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าใช้มือรับได้ ให้อ่านใจตัวเองว่ายังมีแวบไปยึดไปชอบไหม
ที่สมเด็จพระสังฆราชตรัสเช่นนี้ก็อนุโมทนาสาธุ เพราะว่าไว้ใจไม่ได้ พระสมัยนี้)
บุญของประเทศ...........(พ่อครูว่า...อาตมาว่าองค์รวมของศาสนาพุทธในเมืองไทยกำลังดีขึ้น)
ที่มี "พระสังฆราชา" พระองค์นี้ เป็นเนื้อนาบุญประเสริฐ
เป็นแกนธรรมจักรคณะสงฆ์ไทย
หมุนกงล้อธรรมวินัย ให้เดินไปตามรอยบาทพระพุทธองค์ ทรงกลดธรรมรัศมีเจิดจ้า
นี่คือ "ตำราดูพระ"
ถ้าอยากรู้ว่า ที่เห็นโล้นๆ ไหนพระ-ไหนแพะ?
ก็พิจารณาจากปฏิปทาของพระรูปนั้นๆ เชิงอนุโลมตามกาลสมัยเอาเถิด แต่ไม่ต้องขึงตึงเป๊ะตามพุทธกาล
อย่างอาพาธ ก็รักษาพยาบาลด้วยยาปัจจุบันได้ ไม่จำเป็นต้องยาดองด้วยน้ำปัสสาวะ
อย่างอยู่โคนไม้ ก็อนุโลมอยู่ในที่มุง-ที่บัง จะติดแอร์บ้าง ก็อนุวัตรตามสัยน์ โลกก็ไม่ติฉิน
เงินทอง ก็เป็นหน้าที่ไวยาวัจกรจัดการ
และพระน่ะ ...........
ไม่ได้มีเพื่อให้สร้างวัด การสร้างวัด เป็นหน้าที่ฆราวาสญาติโยม
พระมีหน้าที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอันเป็นคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาเจ้า เป็นการสืบต่อพระพุทธศาสนา
เมื่อปฏิบัติดี-ปฏิบัติชอบ ดำรงธรรมเป็นเนื้อนาประเสริฐของชาวบ้านแล้ว
ศรัทธาชาวบ้าน จะมาสร้าง "วัตถุธรรม" ให้วัดเอง!
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พระสร้างธรรม ไม่เคยตรัสบอกให้พระสร้างวัด
มีแต่พุทธบริษัทเห็นธรรม มีศรัทธาแล้วสร้างวัด นิมนต์พระไปจำพรรษา ปฏิบัติภาวนาให้รู้จักทุกข์ และทางที่จะไม่ทุกข์
วัดวาอาราม ไม่ใช่ของพระรูปใด-รูปหนึ่ง ........
(พ่อครูว่า...สมณะชาวอโศกมีไม่มาก แต่ก็ได้จริง ส่วนโพธิสัตว์ที่จะเป็นฆราวาสมาทำงานนั้นจะหนักมาก บำเพ็ญโพธิสัตว์ในร่างของนักบวชจะทำงานได้ดีกว่า)
เป็นศาสนสถาน เป็นหน้าที่ชาวบ้าน รัฐบาล ต้องทำนุบำรุงดูแลโดยตรงอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องให้พระใช้โมหะท่วมหัวทึกทัก "วัดของฉัน...ของข้า" แล้วคว่ำบาตร ห้ามสำนักพุทธเข้ามาแตะ
กิเลสของท่าน มันสร้างทุเรศให้ชาวบ้าน รู้มั้ย?
ความจริง โทษพระฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษชาวบ้านด้วย
เอาแต่ "หาพระ" เลยไม่เจอพระ
เพราะพระไม่มี พระไม่ได้อยู่ที่คนหัวโล้น-ห่มเหลือง
แต่ถ้า "หาธรรม" จะเจอพระ
พระนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนหัวโล้น-ห่มเหลืองอยู่ตามวัด พระมีอยู่ในใจของคนทุกคน
ในทันทีที่มีสติรู้ว่า นะ คือแม่, โม คือพ่อ
และ นโม "พ่อ-แม่" นั้น คือ มโน หมายถึง "ใจ" ตามพุทธวจนะที่ว่า
"มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ
พระบรมศาสดา จะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจาก ใจ คือมหาฐาน นี้ทั้งสิ้น
เหตุนี้ ..........
เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก มโน แจ่มแจ้งแล้ว
มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น
สมมติทั้งหลายในโลกนี้ ต้องออกไปจากมโนทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร
ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมมติบัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะจนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลง หลงถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราไปหมด"
นี้จาก "มุตโตทัย" ของ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" พระอรหันต์แห่งยุครัตนโกสินทร์ กลั่นแก่นเป็นเทศนาธรรมไว้
ถ้าเข้าใจตามนี้ ใครจะไปทำบุญตามวัด.........
เช่น วัดสามพระยา วัดปากน้ำ วัดพิชัยญาติ วัดเทพศิรินทร์ วัดชนะสงคราม วัดสุทัศน์ หรือวัดไหนๆ ก็ไปเถิด
มีเนื้อนาบุญ "แปลงเล็ก-แปลงใหญ่" ให้เลือกศรัทธาด้วย "ปัญญาพุทธ" เยอะแยะ.
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ตอบปัญหาการเลือกตั้ง 4 ข้อของท่านนายกฯประยุทธ์
อาตมาก็ได้ตอบคำถามสี่ข้อของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไปแล้วนะ สมณะโพธิรักษ์ ตอบไปแล้ว ว่า
1. ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ ตอบว่า..ไม่ได้
2. หากไม่ได้จะทำอย่างไร …
ตอบว่า...ก็ต้องยังไม่ให้มี “การเลือกตั้ง” จนกว่าจะมีการปฏิรูปให้สังคมประชาชนมีความรู้ในความเป็น “อธิปไตย” ที่มี “ธรรม” เพียงพอ
โดยเฉพาะผู้จะเป็นนักการเมือง_นักบริหาร_ข้าราชการต้องมี “อธิปไตย”ที่มี “ธรรม”เพียงพอก่อนประชาชนทั่วไป
ไม่เช่นนั้นมันก็ตลกหรือเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะ “แม่แบบ”ที่จะมาหล่อหลอม ยังเป็น “แม่แบบ”ที่ยังไม่มี “ธรรมาธิปไตย”จริง แล้วจะเกิด “อธิปไตย”ที่เป็น “ธรรม”ในสังคมประชาชนได้อย่างไร
อธิปไตยที่เป็นธรรม หรือธรรมาธิปไตย คือผู้ที่ไม่เป็น “ทาส”อำนาจโลก (โลกาธิปไตย ) และไม่เป็น “ทาส”อำนาจอัตตา(อัตตาธิปไตย) ได้แล้วจริงๆ
สรุป คนหรือประชาชนจึงต้องมาศึกษาความเป็น “โลก” และ “อัตตา” แล้วอย่าให้อำนาจ (อธิปไตย) ของโลกของอัตตามันอยู่ “เหนือ”เรา เราต้องมี “ธรรม”เป็นอำนาจจึงจะกอบกู้โลกหรือสังคมได้สำเร็จจริง เรียกว่าผู้มี “โลกุตระ”
เป็นผู้มีคุณค่าประโยชน์ต่อมวลชน (พหุชนหิตายะ) เป็นผู้ทำความสุขให้แก่มวลชน (พหุชนสุขายะ) เป็นผู้ช่วยโลกอนุเคราะห์โลกอยู่(โลกานุกัมปายะ)
3.1 การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย
ตอบว่า...ไม่ใช่
3.2 แต่ การเลือกตั้งอย่างเดียวไม่คำนึงถึงเรื่องอนาคตของประเทศและเรื่องเงินอื่นยกตัวอย่างเช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่ ท่านคิดว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
ตอบว่า...ไม่ถูกต้อง
4.1 ท่านคิดว่ากลุ่มนักการเมือง ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่
ตอบว่า...ไม่ควร
4.2 หากเข้ามาได้อีกแล้วจะให้ใครแก้ไข
ตอบ...ประชาธิปไตยเป็นของประชาชน ก็ต้องประชาชนนั้นเองจะต้องเป็นผู้แก้ ผู้บริหารจึงจะต้องทำให้ประชาชนมี “ธรรม”เป็น “อธิปไตย”
4.3 แล้วควรแก้ไขด้วยวิธีอะไร
ตอบ...โดยวิธีเล่าเรียนศึกษาให้การปฏิบัติที่เน้นธรรมะกับประชาชน เมื่อ “ธรรมะ”มีจริงในประชาชน “อธิปไตย”ก็จะเป็น “ธรรมาธิปไตย”
เมื่อคนหรือประชาชนมี “ธรรมาธิปไตย”จึงจะสามารถ “อภิบาล”กันได้อย่างเป็น “ธรรม” สังคมก็จะมี “ธรรมาภิบาล”
โดยเฉพาะผู้มีตำแหน่งหน้าที่ จะเป็นผู้ “อภิบาล”ผู้อื่นหรือประชาชน ก็จำต้องเป็นผู้มี “ธรรมะ”ให้ได้ก่อน จนเป็น “ธรรมาธิปไตย”ในตนเพียงพอจึงจะเป็น “ธรรมาภิบาล” หากผู้อภิบาลผู้อื่นมีแต่ “อธรรม”หรือ “ธรรมะ”ไม่ “สัมมาทิฏฐิ” แท้ ก็ “อภิบาล”ผู้อื่นได้แค่ “อธรรม”
“ประชาธิปไตย”ก็เหลวเละอย่างเดิมแก้ไขไม่ได้
ขอยืนยันว่าจะแก้ไขความเป็น “ประชาธิปไตย”ได้สำเร็จดีจริงและยั่งยืนถาวรนั้น ต้องแก้กันที่ให้ “ประชาชนมีธรรมะเป็นอธิปไตย” เฉพาะอย่างยิ่งผู้นำหรือนักการเมืองและข้าราชการต้องมี “ธรรมะ”เป็น “อธิปไตย”เพียงพอก่อน
ไม่เช่นนั้นก็ล้มลุกคลุกคลานกันไปอยู่เช่นนี้ต่อไป
ลงชื่อ สมณะโพธิรักษ์ ผู้ตอบแบบสอบถาม
จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:09:11 )
รายละเอียด
600723_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ หลักประกันไม่ให้ลงนรกคือบุญ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันที่ 23 กรกฎาคม 2560 แรม 15 ค่ำเดือน 8 ปีระกา ที่บ้านราชฯ เวลารวดเร็วมาก พระโพธิสัตว์จึงต้องเร่งเวลาในการทำความดีอย่างมาก เพื่อให้ทันกับวันเวลาที่เดินไป ที่ราชธานีอโศกเราก็พยายามที่จะพัฒนาตามที่พ่อครูบอก ให้มีสัมประสิทธิ์ Coefficient ในหนังสือ เราคิดอะไรก็จะบอกเกี่ยวกับเรื่องสัมประสิทธิ์ไว้
พ่อครูเขียนหนังสือนี้มีนัยยะแฝงไว้มากมาย และคงอยู่ยาวนานกว่าการพูดการเทศน์ ยิ่งอ่านจะได้ประโยชน์มากขึ้นๆ มีเวลาก็จะอ่าน
พ่อครูว่า...วันนี้ตอนบ่ายจะมีการสวดปาติโมกข์
SMS วันที่ 21 กรกฎาคม 2560 (พ่อครู-บ้านราช)
_7680ผมเพิ่งอ่านพระไตรปิฎกฉบับประชาชน เขาแปลว่าจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นศีลของพระพุทธเจ้า ราวกับว่าสาวกไม่ต้องปฏิบัติศีลเหล่านี้ เป็นการเลี่ยงหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า...พระไตรปิฎกฉบับประชาชน คุณสุชีพ ปุญญานุภาพเป็นผู้แปล ถ้าไปอ่านพรหมชาลสูตรท่านก็ว่า ถ้าจะชมเราก็ชมว่าเรามีศีล แต่ศีลนั้นยังต่ำนัก ไม่ได้หมายถึงว่าศีลนี้ทำแต่ของพระพุทธเจ้า คนทั่วไปก็เช่นกัน ถ้าจะชมก็ชมว่ามีศีล
ในสามัญผลสูตร สูตรที่ 2 ในศีลแต่ละข้อมีลงท้ายไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง พออ่านข้อ 2 ก็ลงท้ายว่า แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง
...มีคนไปค้นว่า คุณสุชีพว่า จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นศีลของภิกษุ ท่านไม่ได้บอกว่าเป็นของพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด
_3867คงมีแต่ผู้อยู่กับพุทธเทวนิยมที่ปฏิบัติจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีลไม่ได้เพราะล้วนต้องหากินกับพิธีกรรมต้องห้ามทางพระวินัยบำรุงวัดที่ใหญ่เกินกำลังไม่พอค่าใช้จ่ายที่แบกรับภาระ!มีแต่ผู้อยู่ในพุทธอเทวนิยมปฏิบัติพร้อมไตรสิกขาเข้าถึงวิชชาจรณะในพุทธอัปปิจฉะแท้ได้
ไทยอาจไม่ผจญน้ำท่วมโลกขั้นรุนแรง!แต่แผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกที่แตกใหญ่กว่าลอนดอน3-4เท่าละลายลงทะเลอาจสูงขึ้น10กว่าม.อยากรู้ทุกปท.เอเซียแปซิฟิคมีวิธีรักษาน้ำจืดอย่างไรไม่ให้หายไปกับน้ำเค็มที่ล้นโลก?
พ่อครูว่า…มหาสมุทรมีพื้นที่ปริมาตรมากกว่าแผ่นดิน ถ้าทะลักมาก็ไม่เหลือ เป็นการพยากรณ์ของนักพยากรณ์ ธรรมชาติก็ถึงเวลาเป็นไปของมัน มันมีวาระเวลาของมันน้ำจะท่วมตรงไหนก่อนหรือมาก ไม่ท่วมตรงไหนก็เอาไว้ดูกัน เราไม่พยากรณ์ เราไม่ได้สั่งการ เขาว่าพระเจ้ากำหนด แต่เราเป็นศาสนาที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าบันดาล สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่จะเป็นไป เราก็เตรียมตัวไว้ไม่ประมาท
_7636ชอบใจพ่อท่านมาก/คนปิดทองหลังพระ
พ่อครูว่า...ชอบใจก็ดีแล้ว เอาไปปฏิบัติ
_5637กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่ง ได้ยินท่านอยากจะให้หยาดนํ้าใจผอ.พุทธ กระผมเห็นด้วยครับ แต่สำหรับท่านประยุทธ ผมว่ายังไม่ถึงเวลาครับ เพราะยังไม่ชัดเจน เอาใว้ให้หนังไกล้จบก่อนจะได้ไหนครับ เพราะเดี๋ยวนี้ชาวบ้านเขานินทาว่าท่านประยุทธชอบทำโปรเจ็กระดับยักษ์ๆทั้งนั้นเลยครับ
พ่อครูว่า...อาตมาว่า คนจะตั้งโปรเจคใหญ่ได้ ต้องรู้ความควร คือสัปปุริสธรรม 7 คือ
1.ธัมมัญญุตา เป็นผู้รู้จักเหตุ
2.อัตถัญญุตา เป็นผู้รู้จักเป้าหมายจุดประสงค์
3.อัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักตน ตัวเราแค่ไหนแล้ว
4.มัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักประมาณ
5.กาลัญญุตา เป็นผู้รู้จักกาล
6.ปริสัญญุตา เป็นผู้รู้จักชุมชน
7.ปุคคลปโรปรัญญุตา เป็นผู้รู้จักบุคคล
ของไอน์สไตน์ ทุกอย่างคือ Space and time of continuum แต่ของพุทธ ทุกอย่างอยู่ที่กรรมกับกาละ
ที่จริงแล้วอาตมาก็เปรยไปตามความจริง อาตมาเป็นคนไม่ค่อยเก็บความลับ มีอะไรในใจก็เปิดเผยหมด อยากจะให้หยาดน้ำใจแก่นายกฯ พลเอกประยุทธ์ ก็พูดไป อยากให้แก่ ผอ. สำนักพุทธศาสนาก็พูดไป เป็นคนปากโป้ง จริงใจ
แต่อาตมาทั้งพูดทั้งบอกทุกทีว่า อาตมาไม่ได้เป็นคนที่ปรารถนาร้ายเลยในชีวิต แม้แต่กับคนเป็นผู้ร้ายอย่างธัมมชโย ทักษิณ เป็นผู้ร้ายต่อมวลชน ก็ไม่ได้คิดร้ายปรารถนาร้ายเลย มีแต่บอกเพื่อให้เกิดความกลัวต่อบาปแก่เขา
ในชีวิตนี้อาตมาเคยถีบน้องชายคนโตครั้งเดียว เขาทำไม่ดีอะไรสักอย่าง และเคยตีน้องชายคนเล็กครั้งเดียว เอาไม้บรรทัดตี ครั้งเดียว
น้องชายอีกคนไปอยู่ป่าเมืองกาญฯ ตั้งตนเป็นพระพุทธเจ้า แต่ก็นุ่งห่มจีวร ตำรวจจับไปเหมือนแต่งกายเลียนแบบพระพุทธเจ้า พอขึ้นศาล เขาบอกว่าต้องการทนายไหม ก็บอกว่าไม่ต้อง เป็นทนายเอง ว่าความเอง พูดจนศาลปล่อยตัว เพราะบอกว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า ศาลก็จนแต้ม ก็ต้องปล่อยตัว ท่านไม่ได้เป็นพิษภัยแก่ใครเลย ทำประโยชน์ต่อชาวบ้าน ไม่ได้รบกวนใคร มีมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน พังก็ซ่อม ขับออกไปบิณฑบาต ก็กลับมาฉันไม่ยุ่งเกี่ยวเงินทองข้าวของ ไม่ได้ผิดวินัยร้ายแรงอะไร มีปาจิตตีย์บ้าง ไม่ได้อยู่กับหมู่ เป็นอจินไตยสัจจะอย่างหนึ่ง แต่จะให้มาอยู่ที่นี่ไม่มา ท่านบอกว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราเป็นแค่พระโพธิสัตว์
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน หลักประกันไม่ให้ลงนรกคือบุญ
อาตมาว่า อย่างเรื่อง รถไฟความเร็วสูงมันก็น่าจะเกิดได้แล้ว ข้อสำคัญคุณประยุทธ์ทำโปรเจคใหญ่รถไฟความเร็วสูง ถ้าไม่โกงไม่กินให้ทำได้เลย ประโยชน์เป็นของประชาชนทั้งนั้นแหละ คนที่ทำโปรเจคใหญ่ ถ้ามีคอมมิชชั่นคอร์รัปชั่นอยู่ในนี้เท่านั้นแหละ ที่เขารังเกียจกัน
แต่ถ้าเป็นผลประโยชน์เพื่อประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ สามารถควบคุมได้ ไม่ให้รั่วซึมไม่มีการแอบแฝง (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
จะดูว่า รัฐบาลนี้จะกล้าจับอดีตนายกรัฐมนตรีเข้าคุกไหม ถ้าทำผิดจริง หากไม่ผิดจริงก็ไม่กล้า แต่ถ้าผิดจริงๆจะกล้าไหม wait and see
ประเทศไทยตอนนี้เจริญขึ้น จนอาตมากล้าพูดว่า เนื้อเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมประเทศไทยเจริญที่สุดในโลก อาตมารู้ในสาระสัจจะแต่ไม่เก่งที่จะบรรยายเอาสาระสัจจะและหลักฐานหลักวิชาการ มายืนยันได้ พวกเราเป็นชาวดูไป ไม่ใช่ชาวดูไบ
ก็ดูไปก็แล้วกัน เป็นเรื่องอจินไตย ถ้าพลเอกประยุทธ์ใช้วิจารณญาณให้ดีไม่ประมาท มั่นใจแล้วลุย แล้วยุคนี้ต้องการมาก ต้องการคนมีใจแกล้วกล้าเด็ดขาด ความฉลาดเพียงพอ สิ่งที่ต้องการเต็มที่คนต้องการมาก แล้วโลกสังคมจะมีประเทศไทยนำสังคมโลก อย่างดี อย่างสง่าผ่าเผย ให้เจริญ ปรากฏเข้าไปในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ และยุค ราชวงค์จักรี
พูดถึงราชวงค์จักรี ก็มีคนทำทำเนียบมาให้ดู
รัชกาลที่ 1 เป็นพ่อของรัชกาลที่ 2
รัชกาลที่ 2 เป็นพ่อของรัชกาลที่ 3 และที่ 4
รัชกาลที่ 3 เป็นพี่ของรัชกาลที่ 4
รัชกาลที่ 4 เป็นพ่อของรัชกาลที่ 5
รัชกาลที่ 5 เป็นพ่อของรัชกาลที่ 6 และที่ 7
รัชกาลที่ 5 เป็นปู่ของรัชกาลที่ 8 และที่ 9
รัชกาลที่ 6 เป็นพี่ของรัชกาลที่ 7
รัชกาลที่ 6 เป็นลุงของรัชกาลที่ 8 และที่ 9
รัชกาลที่ 7 เป็นลุงของรัชกาลที่ 8 ที่ 9
แต่พ่อของรัชกาลที่ 8 9 ได้แต่งงานกับสามัญชน
รัชกาลที่ 8 ได้ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เพราะพ่อของรัชกาลที่ 8 และ 9 ไม่ได้ขึ้นครองราชย์ และก็สิ้นพระชนม์ไปก่อน รัชกาลที่ 8 ก็เลยขึ้นเถลิงถวัลย์
รัชกาลที่ 8 เป็นพี่ของรัชกาลที่ 9 รัชกาลที่ 9 ก็ได้ครองราชย์ตลอด 70 ปี นานที่สุดเท่าที่มีมาในโลก
ยังดูว่า อังกฤษ ถ้าท่านไม่สิ้นพระชนม์จะครองราชย์ยาวนานกว่าในหลวงของเรา
ระยะเวลาในการครองราชย์
รัชกาลที่ 1 - 27 ปี
รัชกาลที่ 2 - 15 ปี
รัชกาลที่ 3 - 27 ปี
รัชกาลที่ 4 - 17 ปี
รัชกาลที่ 5 - 42 ปี 22 วัน
รัชกาลที่ 6 - 15 ปี
รัชกาลที่ 7 - 9 ปี
รัชกาลที่ 8 - 12 ปี 99 วัน
รัชกาลที่ 9 - 70 ปีกับ 121 วัน ตอนนี้ทำลายสถิติโลกอยู่
ทุกอย่างต้องมีกรรมพาเป็นไป ไม่มีใครมาเเย่งหรือโกงได้ ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจะต้องมีกุศลมาก กุศลมาก แต่บุญไม่มาก เป็นกษัตริย์ไม่ดี กุศลมากแต่บุญไม่มาก บุญไม่มากก็คือบาปก็มาก กิเลสก็มากแต่มีกุศลมากมากจนถึงได้เป็นกษัตริย์ พวกคนกุศลมากๆ แต่บุญไม่มาก บางคน ใครเป็นศาสดาของโลก สร้างศาสนาได้ใหญ่กว่าของศาสนาพุทธด้วย กุศลมากแต่บุญไม่มาก
คำว่าบุญกับคำว่ากุศล หากไม่เข้าใจก็ยาก จะฟังอาตมาไม่รู้เรื่อง ก็จะบำเพ็ญบุญไม่ได้ ต้องเข้าใจให้ชัด เมื่อทำบุญเป็นจะได้กุศลไปพร้อมกัน ทำหนึ่งได้สอง Two in one แต่ทำกุศลนั้นไม่มีบุญ
คุณต้องแม่นในพลังงานแห่งบุญจริงๆ จึงเป็นสัจจะ จะมีจริงทั้งความจริงความรู้เป็นปัญญา และชัดเจนในอธิปไตย มีพลังงานเจโต พลังงานแรงที่ทำให้กิเลสสู้ไม่ได้ กิเลสก็เป็นพลังงาน เรียกว่า ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะมันสู้ไม่ได้ สู้พลังงานไฟฌาน เป็นพลังงานบุญนี้ไม่ได้ ที่จะไปสลายไฟราคะโทสะโมหะ
แต่ถ้าเป็นกษัตริย์ที่มีแต่กุศลไม่มีบุญก็จะเป็นกษัตริย์ที่ไม่ดี มากมายที่มากด้วยกามารมณ์ อำนาจบาตรใหญ่อำมหิตโหดร้ายก็มีกุศล แต่พอเสร็จจากการเป็นกษัตริย์แล้วตกนรกศึกหนักหนามหาศาล สิ้นยศสิ้นอำนาจแล้ว ก็วนเวียน ได้อัตภาพช้ำชอกน่าสงสารเวทนาที่ไม่น่าเป็น
อย่านึกว่าผมไม่เคยเป็นมานะ
การลดกิเลสจะเป็นตัวค้ำประกันไม่ให้ลงนรก กุศลนี้ค้ำตัวเองไม่ได้ ถ้าได้กุศลมากก็ได้เสวยบัลลังก์ แต่สุดท้ายก็ต้องลงนรก วันหนึ่ง หากไม่เอาบุญมาค้ำประกัน สร้างบุญได้จึงค้ำประกันไม่ให้ลงนรก
ใบปลิวผีกับเปรตอมเงินทอนวัด
ขณะนี้ กลุ่มผู้มีอิทธิพลและผลประโยชน์ร่วมกันในวงการปกครองสงฆ์ กำลังก่อหวอด ต่อต้าน
พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) คนปัจจุบัน
หลังจากที่ ผอ.คนปัจจุบัน เดินหน้าสะสางขบวนการเปรตทุจริตเงินทอนงบอุดหนุนวัดอย่างจริงจัง
จากเดิม ยุคก่อนๆ การจัดการงบส่วนนี้ของ พศ. เหมือนแดนสนธยา
ดังปรากฏความเลวร้ายสุดๆ 12 กรณี ที่เกิดเป็นคดีความ
พัวพันเจ้าหน้าที่ พศ.ระดับสูง วัดชื่อดัง
อ้างจัดสรรงบประมาณแผ่นดินไปให้วัด แต่มีเงื่อนไขว่าให้ทอนเงินกลับมาเข้ากระเป๋าพวกตน กว่า 80%
1.ใบปลิวผี
มีการใช้วิธีออกแถลงการณ์ในนามองค์กรพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทย แต่ไม่มีการระบุตัวตน ประกอบได้ด้วยพระสงฆ์รูปใดบ้าง?
เนื้อหาโจมตีการทำงานของ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ.
อ้างว่าทำงานบกพร่องอย่างรุนแรง ขาดวุฒิภาวะ
“..องค์กรพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทย จึงแถลงการณ์มาเพื่อให้ทุกวัด และโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาทุกแห่ง ภายในประเทศและต่างประเทศ ขึ้นป้ายไม่ขอรับเงินอุดหนุน
ใดๆ จากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำ พศ. หรือผู้นำ พศ. แสดงความรับผิดชอบในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นใน พศ. เชิงประจักษ์เสียก่อน”
2.พุทธะอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ค ระบุถึง “ใบปลิวองค์กรเถื่อน”
เนื้อหาแสบลึกถึงทรวง ความว่า
“...ที่พุทธะอิสระว่าใบปลิวองค์กรเถื่อน ก็เพราะไม่ลงชื่อผู้แถลงการณ์หรือตัวแทนของผู้แถลงการณ์
ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีรายนามขอสมาชิกผู้ร่วมจัดตั้ง ไม่มีการจดทะเบียนจัดตั้ง ไม่มีนามผู้จดทะเบียน
จัดตั้ง ไม่มีผู้รับผิดชอบโดยตรง ตามระเบียบการขออนุญาตจดทะเบียนแจ้งจดองค์กร
เมื่อไม่มีที่มาที่ไป ถือว่าเป็นใบปลิวเถื่อน
คุณพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ก็อย่าไปให้ราคา เดินหน้าทำหน้าที่เก็บกวาดล้างสิ่งชั่วร้ายที่เกิดขึ้นกับสำนักพุทธฯและสังฆมณฑลให้สิ้นซาก หากท่าน ผอ.สำนักพุทธฯ สามารถกำจัดเรื่องทุจริตนี้ได้ ถือว่าเป็นดัชนีชี้วัดว่ารัฐบาล คสช. เอาจริงกับการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นในทุกวงการได้จริงอย่างที่พูด
(พ่อครูว่า ...เรื่องของศาสนานี้ถ้าทำอย่างบริสุทธิ์ใจไม่เป็นบาป เป็นกุศลอย่างยิ่ง)
พุทธบริษัทจะสาธุอนุโมทนา ในความกล้าหาญของท่าน ผอ.สำนักพุทธฯ และรัฐบาล คสช.อย่างยิ่ง
ถือว่านี่คือการทำบุญให้แก่พระพุทธศาสนาและแผ่นดินไทย
พวกเราพร้อมเป็นกำลังเสริมให้กำลังใจท่าน ผอ.สำนักพุทธฯ
แม้จะมีนักบวชบางรูปที่พัวพันการทุจริต แสดงความไม่พอใจในการทำหน้าที่ของท่าน แต่ยังมีพระเณรและพุทธบริษัทอีกจำนวนมากที่เห็นด้วยกับการเข้ามากวาดล้างความโสโครกในดงขมิ้นและสำนักพุทธฯ
พวกเราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างท่านเพื่อให้ได้ทำหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเต็มที่
หากรัฐบาล คสช.ยังไม่สามารถกำจัดเห็บพระพุทธศาสนาพวกนี้ออกไปได้ ต่อไปคงจะหวังพึ่งรัฐบาลประชาธิปไตยคงจะยาก เพราะพวกเขาจะอ้างสิทธิ์เข้ามาโกงกินได้โดยไม่มีใครว่า
ส่วนองค์กรพระสังฆาธิการเถื่อนที่ออกแถลงการณ์คว่ำบาตร ผอ.สำนักพุทธฯนั้น เขาช่างไม่รู้สึกอะไรเลยหรือที่เงินงบประมาณของแผ่นดินที่รัฐจัดจ่ายให้สำนักพุทธฯเพื่อไปอุดหนุนวัดยากจน
แต่กลับไปกองอยู่กับวัดใหญ่ๆ ที่มีกรรมการมหาเถรสมาคมและพระราชาคณะเป็นเจ้าอาวาส ดันกลายเป็นวัดยากจนขึ้นมา
ถึงขนาดวัดที่มีผู้จองกฐินล่วงหน้าเป็นร้อยปีอย่างวัดปากน้ำ ยังได้เงินอุดหนุนจาก
สำนักพุทธฯถึง 79,348,560 บาท ตั้งแต่ปี 2556-58
วัดสระเกศที่มีรายได้จากนักท่องเที่ยวทุกวัน เดือนหนึ่งได้ไม่ต่ำกว่าล้าน ยังได้เงินอุดหนุนถึง 132,269,000 บาท ตั้งแต่ปี 2556-58 นี่ก็ผลงานของรัฐบาลประชาธิปไตย
วัดพิชยญาติที่เป็นวัดเจ้าคณะหนกลาง ร่ำรวยหรูหราอยู่ห้องแอร์ พื้นปูพรม ภายใน 3 ปี ยังได้เงินอุดหนุนถึง 68,320,200 บาท
ที่เหลือวัดที่ได้รับงบอุดหนุนตั้งแต่ปี’56 จนถึง’59 ส่วนใหญ่ก็เป็นเครือข่ายของพวกลัทธิธรรมกายทั้งนั้น
นี่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่าแต่ละวัดได้จ่ายเงินทอนไปเท่าไหร่นะ
อยากถามพวกองค์กรพระสังฆาธิการว่า วัดในประเทศนี้ ไม่มีเส้น ที่ยากจน เขามีสิทธิที่จะได้รับเงินอุดหนุนจากสำนักพุทธฯบ้างไหม?
หรือเงินอุดหนุนของสำนักพุทธฯต้องถูกผูกขาดเฉพาะวัดที่มีเส้นและพวกวัดเครือข่ายธรรมกายเท่านั้น
ความเที่ยงธรรมมันอยู่ที่ไหน การจัดสรรงบอุดหนุนที่เหมาะสมเป็นธรรม ตามความจำเป็นมันอยู่ไหน
เมื่อผู้ปกครองมีความละโมบ ไม่รู้จักเผื่อแผ่ให้กับผู้ใต้ปกครอง แล้ววัดต่างๆ เขาจะมีผู้ปกครองไปทำไม
ส่วนพวกที่ใช้นามว่าองค์กรพระสังฆาธิการนั้น อยากถามว่ามีพระสังฆาธิการกี่รูปที่เป็นสมาชิก
พระสังฆาธิการเหล่านั้นเป็นพวกเดียวกับที่รับเงินอุดหนุนวัดหรือเปล่า
แน่จริงก็ลองเปิดเผยรายชื่อวัดที่เป็นสมาชิกมาดูหน่อย
อย่าทำเป็นอีแอบ อ้างมั่วไปเรื่อย
ประชาชนเขาจะได้จัดได้ถูกคน ถูกฝา ถูกตัว ถูกวัด
จะได้รู้กันไปเลยว่าเจ้าอาวาสวัดไหนลงชื่อคว่ำบาตรต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่เขาทำตามกฎหมาย
โดยเฉพาะพวกนักบวชระดับเจ้าคุณที่ออกมาเป็นตัวตั้งตัวตี ปลุกระดมภิกษุสงฆ์ให้คว่ำบาตร ผอ.สำนักพุทธฯนั้น แน่จริงก็ขึ้นป้ายประท้วงไม่รับเงินอุดหนุนจากรัฐไปเลย อย่าทำเป็นหลบๆ แอบๆ ขู่เป็นงูเห่าไปได้
ชาวบ้านเขารอที่จะจัดหนักให้”
3.พระเทพปฏิภาณวาที หรือ เจ้าคุณพิพิธ แห่งวัดสุทัศนเทพวราราม ออกหน้าเอง
ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า กรณีที่มีข่าวคราวความสัมพันธ์ระหว่างพระสังฆาธิการและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขาดสะบั้นนั้น อาตมาเป็นคนให้สัมภาษณ์เรื่องดังกล่าวจริง
เพราะเห็นว่าผู้อำนวยการ พศ. คนปัจจุบัน ไม่เข้าใจวิธีการทำงานของคณะสงฆ์ และมหาเถรสมาคม (มส.) เพราะเป็นผู้ที่รัฐบาลและดีเอสไอส่งมา เพื่อแก้ปัญหากรณีวัดพระธรรมกาย
พอเรื่องของวัดพระธรรมกายเบาลง ก็เข้ามาตรวจสอบการบริหารของวัดต่างๆ ทั้งที่ไม่มีความเข้าใจ
(พ่อครูว่า อาตมาขอให้กำลังใจพ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์อย่างเต็มที่ )
“ผอ.พศ. คนนี้ ใช้วิธีการตรวจสอบแบบตำรวจมาใช้กับคณะสงฆ์ มีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวรายวันว่าข้าราชการใน พศ. บางราย ร่วมทำการทุจริต และกล่าวหาว่ามีพระสงฆ์ร่วมทุจริตด้วย โดยเปิดชื่ออักษรย่อวัดต่างๆ ทำให้คณะสงฆ์ได้รับความเสียหาย ถูกกล่าวหาว่าโกงเงินทอนวัด”
พระเทพปฏิภาณวาที อ้างว่า ตรงนี้เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้คณะสงฆ์ไม่พอใจจนถึงขั้นออกแถลงการณ์ว่าจะไม่รับเงินสนับสนุนจาก พศ. และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) ทุกรูปแบบ ทั้งนี้ ทางคณะสงฆ์ไม่หยุดแค่นั้น มีการรวมตัวและเห็นว่า ต่อไปกิจกรรมใดก็ตามที่ทางคณะสงฆ์จัดขึ้น จะไม่เชิญ ผอ.พศ. และ ผอ.พศจ. เข้าร่วมอย่างเด็ดขาด เพราะทางวัดไม่ได้พึ่งงบประมาณจาก พศ.
4.อันที่จริง หากเจ้าคุณพิพิธจะเซ็นชื่อท้ายแถลงการณ์ใบปลิวข้างต้นด้วยตนเอง แล้วก็ขึ้นป้ายที่วัดด้วยตนเอง น่าจะทำให้แถลงการณ์มีที่มาที่ไป และชัดเจนยิ่งขึ้น
น่าแปลกใจว่า การเปิดเผยข้อมูลการสืบสวนสอบสวนคดีทุจริตเงินทอนวัด มันเลวร้ายกว่าพวกที่กินเงินทอนวัดอย่างนั้นหรือ? จึงไม่เห็นเจ้าคุณ
ออกมาสาปแช่ง ประณาม ไอ้พวกที่มันร่วมอมเงินอุดหนุนวัดบ้าง?
แต่กลับหันมาด่า ข้าราชการที่ทำงานตรวจสอบเปิดโปง
ผอ.พศ.ที่ดีเลิศในสายตาเจ้าคุณ จะต้องงาบเงินทอน ร่วมกินเงินหลวง
แบบที่เคยทำกันมาในยุคก่อนๆ ไม่ออกมาแฉ ไม่ลุยสอบสวน กระทั่งกลายเป็นปัญหาหมักหมมร้ายแรง เน่าเฟะ อย่างนั้นหรือ?
คุ้นๆ คล้ายๆ กับพฤติกรรมนักการเมืองบางพรรค ที่แสดงอาการจะเป็นจะตายกับกฎหมายดัดหลังนักการเมืองโกงหนีคดี ออกมาอ้างละเมิดสิทธิมนุษยชน ขัดหลักเสมอภาค แต่ไม่เคยประณามนักการเมืองที่หนีคดีไปเสวยสุขอยู่ต่างประเทศเลย ว่าทำให้สังคมส่วนรวมเสียหายจากการที่คดีทุจริตไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้!
5.ข้อที่ท่านเจ้าคุณอ้างว่า ไม่ต้องพึ่งพาเงินงบประมาณจาก พศ.นั้น ช่างดูหยิ่งยโสนัก
ผิดวิสัยสมณะสงฆ์
ทำให้รู้สึกราวกับว่าทรัพย์สินของวัดสุทัศน์ เป็นอาณาจักรเฉพาะ เมื่อเกิดดอกออกผล กระทั่งไม่ต้องพึ่งพางบอุดหนุน จึงไม่ต้องง้อภาครัฐ ไม่ต้องสนใจการเข้าไปจัดระเบียบ หรือการตรวจสอบจากภาครัฐเลย กระนั้นหรือ?
เพื่อมิให้สังคมเข้าใจเช่นว่านี้ ท่านเจ้าคุณควรเร่งทำรายการรายรับ-รายจ่ายของวัด และของพระสงฆ์
แจกแจงให้ชัดว่า วัดได้รับงบอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดินเท่าใด?
วัดมีรายได้จากการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดเองเท่าใด?
รายจ่ายของวัด แต่ละเดือนเท่าใด?
และในฐานะพระสงฆ์ระดับผู้บริหาร ตัวท่านมีรายได้ มีทรัพย์สิน เท่าใด?
อยู่ในชื่อตนเอง หรืออยู่ในผู้อื่นเท่าใด?
บทความจากแนวหน้า เพื่อแม้วไร้อายเผยธาตุแท้ตัวตน ตะแบงต้านกม.ดัดหลังพวกโกงแล้วหนี ?
ช่วงนี้อุณหภูมิการเมืองร้อนแรงผิดปกติโดยเฉพาะเมื่อยิ่งใกล้วันที่ศาลจะชี้ชะตากรรมของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญในคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมทั้งกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยสาระสำคัญของร่างพ.ร.ป.ฉบับนี้เป็นการดัดหลังเหล่านักโกงเมืองที่ใช้เล่ห์หนีคดีไปเสพสุขอยู่ในต่างแดน
โดยเฉพาะที่กำลังเป็นปมร้อนจากการดาหน้าออกมาเคลื่อนไหวอย่างดุเดือด ก็คือ กรณีร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีการอ้างว่าเป็นการออกกฎหมายเพื่อมุ่งเล่นงานสองบุคคลสำคัญของตระกูลชินคือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ผู้พี่ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ผู้เป็นน้องสาว
ทั้งนี้พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีสำระสำคัญโดยสรุปก็คือ ให้อายุความสะดุดลงในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีไประหว่างการถูกดำเนินคดีหรือระหว่างการพิจารณาคดีของศาล มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ ในกรณีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลย ถ้าจำเลยหลบหนีไปในระหว่างต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ มิให้นำบทบัญญัติมาตรา 98 แห่งประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยอายุความมาใช้บังคับ
หากผู้ถูกกล่าวหาไม่มาศาลโดยเกิดจากการประวิงคดีหรือไม่ มาศาลตามนัดโดยไม่มีเหตุแก้ตัวอันควร ให้ศาลประทับรับฟ้องไว้พิจารณาได้ แม้จะไม่ปรากฏผู้ถูกกล่าวหาต่อหน้าศาล
ในกรณีที่ออกหมายจับจำเลย แต่ไม่สามารถจับจำเลยได้ภายใน 3 เดือน นับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีโดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะตั้งทนายความดำเนินการแทนตนได้
ก่อนหน้านี้ นายสมชาย แสวงการ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนช. พยายามชี้แจงว่าร่างกฎหมายปราบโกงฉบับนี้ไม่ได้มีเจตนาเพื่อบังคับใช้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
โดยเฉพาะ แต่บังคับใช้เป็นการทั่วไปกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกคนทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต เพราะที่ผ่านมา การเอาผิดกับนักการเมืองที่ทุจริตมีอุปสรรคต้องสะดุดลงเนื่องจากจำเลยหลบหนีคดีไปเสพสุขอยู่ในต่างแดน รอจนคดีหมดอายุความจึงเดินทางกลับประเทศพ้นผิดอย่างลอยนวล
สำหรับ นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นเพียงคนที่มีคดีติดตัวส่วนหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบจากกฎหมายดัดหลังนักการเมืองที่หนีคดี โดยกฎหมายจะเป็นการปฏิวัติสร้างบรรทัดฐานในการเอาผิดนักโกงเมืองครั้งสำคัญไม่ว่านักการเมืองผู้นั้นจะเป็นใครก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้
แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค อดีตนายกฯ ก็สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ โดยชี้ว่าหลายประเทศในยุโรปก็ใช้กฎหมายในลักษณะนี้ อีกทั้งกฎหมายยังเปิดโอกาสให้นักการเมืองที่ถูกกล่าวหาตั้งทนายต่อสู้คดีได้หากมั่นใจว่าในความบริสุทธิ์ของตัวเอง ดังนั้นสำหรับนักการเมืองที่สุจริตจึงไม่เดือดร้อนและไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้านกฎหมายฉบับนี้
แต่ล่าสุดคณะผู้บริหารและทีมกฎหมายพรรคเพื่อแม้วชุดใหญ่นำโดย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ (ตัวการใหญ่ที่จับชาวอโศกกรณีคดีสันติอโศก) รักษาการหัวหน้าพรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค และทีมกฎหมายอาทิ นายโภคิน พลกุล นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายนพดล ปัทมะ ถึงกับปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนใหญ่โตคัดค้าน พ.ร.ป.วิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยพยายามตะแบงอ้างว่า ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ระบุว่าบุคคลย่อมเสมอภาคกันโดยกฎหมายและได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกัน รวมทั้งขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษชนแห่งชาติ ตลอดจนกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งประเทศไทยได้ให้การรับรองไว้ รวมทั้งเป็นการเลือกปฏิบัติไม่ครอบคลุมข้าราชการด้วย
พรรคเพื่อแม้วถึงกับขู่จะนำเรื่องร้องเรียนไปยังองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ขณะเดียวกันจะทำหนังสือถึงนายกฯเพื่อให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ากฎหมายขัดต่อรัฐธรรมูญหรือไม่
ความจริงคนทั่วบ้านทั่วเมืองมีแต่สนับสนุนร่างกฎหมายดัดหลังนักโกงเมืองที่หนีคดี อันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปประเทศ แต่พรรคเพื่อแม้วกลับเผยธาตุแท้ตัวตนส่อพฤติการณ์ตะแบงค้านกฎหมายสุดตัวเพื่อนายใหญ่ตระกูลชินที่หนีคดี ทั้งๆที่คน
หากไม่โกงและไม่หนีโทษความผิดไม่เห็นต้องเดือดร้อนอะไรกับกฎหมายดัดหลังพวกทำผิดแล้วหนี
ทีมข่าวการเมือง
พ่อครูว่า...ยังมีบทความน่าอ่านอีกหลายบท แต่อาตมาก็ขอแสดงภูมิตัวเองบ้างเถอะอย่าเอาแต่อ่านของคนอื่น
อาตมาก็ขอสรุปก่อนว่า ด้วยสัจธรรมของความหมายกับความจริง มาใช้กันในกาละแต่ละยุค มันมีน้ำหนักสิ่งต่างๆจะต้องมาประมวล กาละไหนถึงควร คำว่าควรเป็นคำสุดท้ายแล้ว ในมหาปเทส 4 ก็ใช้คำว่าควร
มันควรไหมกาละนี้ คือไม่ใช้ว่าถูกหรือผิด แต่ใช้ว่าควรหรือไม่ควร เพราะคำว่าผิดหรือถูกมันกลับไปกลับมาได้ แต่ควรหรือไม่ควร ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทั้งหมด ไม่เป็นอัตตาตัวตน เป็นโลกุตระไม่มีตัวตน หากบอกว่าถูกหรือผิดมันเป็นตัวตน
หลักการตัดสินสูงสุด มหาปเทส 4 จึงเป็นสิ่งที่ถ้าคุณยังเข้าใจไม่ถึงสูงสุดอย่าไปตัดสินอะไรง่ายๆ
มหาปเทส 4
1. สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร
หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร
สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
2. สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร
หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร
สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย
3. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร
หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร
สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
4. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร
หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร
สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย. (พระไตรฯ ล.5 ข.92)
เป็นเรื่องที่ทำด้วยความบริสุทธิ์จริง จึงใช้มหาปเทสได้ ความบริสุทธิ์สะอาดจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนพยายามศึกษา พยายามเป็นให้ได้ ไม่อย่างนั้นสังคมประเทศชาติไปไม่รอด
SMS จากเฟซบุ๊ค
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน เรือนว่างคืออย่างไร
_แพรวฝัน : เพิ่งเข้าใจคำว่า "เรือนว่าง" อย่างถูกต้องวันนี้เอง กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า...ว่างนี้หมายถึงเรือนใจว่าง แต่ไม่ใช่ว่างอย่างเวิ้งว้างโบ๋เบ๋ไม่มีอะไร แต่ว่า ว่างจากกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ไม่มีกิเลสแม้ธุลีละออง เรือนใจทั้งเรือน ไม่มีธุลีละอองผงคลีของกิเลสเลย นี่คือเรือนว่าง เรือนใจนะไม่ใช่เรือนแหวนหรือเรือนบ้าน แต่เรือนใจใสสะอาด ไม่มีแม้ธุลีละออง อย่าว่าแต่กิเลสสุดท้าย แต่ว่าธุลีละอองกิเลสก็ไม่มี
สู่แดนธรรมว่าแต่เรือนใจก็ทำหน้าที่สังขารปรุงแต่ง ทำงาน คลุกคลีกับความยากลำบากความเป็นวัตถุอะไรอยู่
อาตมาบอกว่าอาตมามีจิตว่างสูญ แต่วาจาของอาตมาดัง แรง ดุ แต่จิตว่างนะ จิตไม่ได้มีอาการไม่ได้มีอารมณ์ความร้อนอะไรเลย จิตมีแต่เมตตา ปรารถนาดีด้วยซ้ำ ที่แรงๆก็เพื่อพวกคุณ ดีไม่ดีภาษาดูเหมือนหยาบ จิ้มๆแทงๆ เพื่อผู้อื่น มีเจตนาต้องการให้คุณได้ประโยชน์ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่แท้จริง ไม่ใช่คำแก้ตัว เป็นความจริงจากใจของอาตมา คนไม่เข้าใจคำว่าจิตว่าง แล้วหาว่า อาตมาพูดเสียงดังเสียงดุเหมือนหน้าตามีอารมณ์ แต่อย่างนั้นมันแค่ symptom คุณอย่าอ่านตามอาการ อย่าอ่านแค่อาการ แล้วตีความใจคนไม่ได้ จะเอาคำพังเพยของไทยว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะสิ่งนี้มันเกินที่จะอธิบายตามคำพังเพยภาษิตโลก นี่ไม่ใช่คำแก้ตัวจริงๆ
สมมุติว่าที่อาตมาพูดตอนนี้ กลายเป็นอาตมาแก้ตัว จริงๆแล้ว หากอาตมายังมีกิเลส แต่อาตมาย้ำว่าอาตมาไม่มีกิเลสอยู่ อาตมาก็โกหก อาตมาก็ซวย อาตมาจะชั่วหรือโง่ขนาดนั้นหรือ ไปรับวิบากเอง สมน้ำหน้า อาตมาไม่โง่ขนาดนั้นหรอก ฟังทันกันไหม
เรื่องพวกนี้ต้องมีความจริงใจ มีความจริง มีปฏิภาณปัญญาเพียงพอ ไม่เช่นนั้นกรรมเป็นอันทำ จะไปเบี้ยวบิดกรรมไม่ได้ ถ้าผิดก็ของคุณจริง ถ้ามันถูกก็ของคุณจริง กรรมไม่สามารถบิดเบือนได้
สรุปอีกที เรือนว่าง คือว่างจาก กิเลสหยาบ กลาง ละเอียด ไม่มีแม้ธุลีละอองของกิเลส อาการจะแรง วาจาจะเสียงดัง มือไม้จะอย่างไรเป็นเรื่อง symptom เป็นเรื่องอาการข้างนอก ไม่ใช่สิ่งจริงในจิต
มหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ คือ
บุคคลในโลกนี้เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก ยังประชุมชนมากให้ตั้งอยู่ในธรรมที่ควรรู้ เป็นอริยะ ได้แก่ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม ความเป็นผู้มีกุศลธรรม
บุคคลนั้นเมื่อจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมตรึกวิตกนั้น เมื่อไม่จำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมไม่ตรึกวิตกนั้น เมื่อจำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมดำริเหตุที่พึงดำรินั้นได้ เมื่อไม่จำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมไม่ดำริเหตุที่พึงดำรินั้น เป็นผู้ถึงความชำนาญแห่งใจในคลองแห่งวิตกทั้งหลาย (เจโตวสิปัตตะ) ด้วยประการดังนี้ . (ล.21 ข.35)
พ่อครูว่า..ต้องขอบคุณผู้ที่แปลบัญญัติภาษาจากบาลีมาเป็นไทยไม่ให้ผิดเพี้ยน ต้องเคารพนับถือบูชายกย่อง ใช้ได้มากเลย ไม่เช่นนั้นจะยากมาก แต่ยังมีบางท่าน ถ้าท่านเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ ต่อภาษา กับคณะจะช่วยได้เยอะ แต่ถ้าผู้เดียวนี้จะเอาแต่ใจตัว รับรองได้ยาก แต่ผู้รู้เป็นคณะจะคัดเฟ้นเอาสิ่งที่ถูกต้องขึ้นมาไว้ได้
จากฝนเอื้อฟ้า...เข้าสู่บทเรียนนะคะ ก็ยังอยู่ที่การเชื่อมต่อ : ประชาธิปไตยดีสุดต้อง โลกุตรธรรม 77
วันนี้หนู สนใจข้อที่ 43 ค่ะ
ถ้ากษัตริย์และประชาชนที่เป็น อาริยบุคคลในสังคมนั้นๆ ไม่มี โลกุตรธรรมไม่เป็น โลกุตระบุคคลเลย ก็ไม่มีเชื้อโลกุตระธรรมในสังคมนั้นเลย โดยเฉพาะประชาชนที่เป็นนักบวชของพุทธคือ ผู้สืบทอด โลกุตรธรรมที่จะสืบศาสนาพุทธไปจนสิ้น พุทธกัปป์นั้น ก็ไม่มีโลกุตระธรรมก็จะต้องอาศัยการเลือกตั้งเป็นสำคัญ
การเชื่อมต่อ ตามปรากฎการณ์จริง นักบวชที่เป็นพุทธแท้จริงก็มีแต่ที่อโศก เมืองไทยมีประชาธิปไตย 2 ขาที่จะสัมบูรณ์ แต่ที่สัมบูรณ์ขึ้นไปอีก คือ มีขาที่ 3 คือ ธรรมะโลกุตรธรรมที่พ่อครูนำของพระพุทธเจ้ามาขยายความเป็นขั้นตอน ซ้อนไปด้วยความสัมบูรณ์ที่ประเทศอื่นๆในโลกทำไม
เมืองไทยจึงเป็นยอดนักประชาธิปไตย แต่ยังมีดีที่สุดไปอีก ถ้าพวกเราช่วยกันทำ (()ภาวะที่ผ่านมา ชาติไทยเรามีพ่อครู (+) ในหลวง = สององค์พลังงานจึงทบทวี พวกท่าน สององค์ ช่วยกันแบ่งรับแบ่งสู้ ขวานทองชมพูนี้ ( ชมพูทวีปนี้จึงไม่สั่นไหวมาก) ตั้งแต่ในหลวงจากไป พระโพธิสัตว์ที่อวตารเป็นพ่อครู มาช่วยเผยแผ่ศาสนาก็ต้องรับภาระหนักหน่วงเพียงลำพัง ภาระที่ถูกถาโถมจากโลกีย์ทั่วทุกทิศ ภาระได้ไว้บนบ่าทั้งสองข้างของพ่อครูแล้ว ส่งผลให้พลังงานของท่านอ่อนแรงหลายจังหวะในปี 60นี้ ทางแก้ไขมีทางเดียวคือ แบ่งเบาภาระของพระโพธิสัตว์องค์ที่เหลืออยู่คือ สร้างโพธิสัตว์ในตัวเราเองตามบารมี และต้องสร้างด้วยความเต็มใจสูงสุดจึงกระโดดได้ไว ถ้าใครเคยเล่นเกม มาริโอ้ ต้องกด Power
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:10:37 )
รายละเอียด
600728_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สังคมประเสริฐสุดที่มักถูกมองข้าม
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2560 ที่ราชธานีอโศก ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราจะได้ชมน้ำกันถ้วนหน้า เพราะว่าที่จังหวัดสกลนครตอนนี้น้ำท่วม เขื่อนแตก น้ำทะลักเข้าไปในเมือง สนามบินก็ท่วม ที่ราชธานีอโศก เป็นแหล่งรับน้ำ อย่างน้อยก็น้ำจะขึ้นอีกประมาณ 1 เมตรครึ่ง ใครมีของอยู่ใต้ถุนบ้านก็เก็บได้เลย
พ่อครูว่า...เราจะได้ฉลองน้ำกันไหมนี่ เอาเรือใหญ่เข้ามาในนี้
สมณะฟ้าไทว่า…เรือใหญ่ที่จะย้ายก็เอาพลาสติกหุ้ม แล้วลอยเรือย้ายไปได้เลย ประหยัดเงินได้เป็นแสนบาท ชาวบ้านทั้งหลายก็เก็บของกันได้เลย
พ่อครูได้อธิบายโลกและอัตตา คนที่เหนือโลกและอัตตาคือคนมีธรรมาธิปไตย
พ่อครูอธิบายอรูปอัตตาว่า เมื่อเราล้างโอฬาริกอัตตา และมโนมยอัตตาก็จะสามารถล้างอรูปอัตตาคืออัตตาที่เหลือได้นั่นเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ไตรสิกขาที่ผิดเพี้ยนไปของชาวพุทธ
พ่อครูว่า...เรื่องธรรมะนี้อาตมานี่ยังมีเรื่องที่ต้องอธิบายอีกเยอะ อธิบายไปก็รู้สึกไม่ถึงใจตัวเอง บอกไปแนะนำไป ยืนยันกับสังคมไป ทำงานมาเกือบห้าสิบปีแล้ว พูดไป ยกตัวอย่างยืนยัน อ้างอิงปรากฏการณ์จริง เช่น ขณะนี้ ยกหัวเผือกที่เคยกินมา เขาต้มมาหัวเท่านี้ อย่างเก่งก็เท่าหัวแม่โป้งเท้า หรือเท่ากำปั้น แต่นี่หัวใหญ่มาก เทียบกับหน้าอาตมาได้ ความกว้างเกือบหกนิ้ว ที่อาตมาเอามายืนยันพูดถึงประกอบ เพื่อจะให้เห็นว่าคนเรา กิเลสตัณหามันล้ำหน้าเกินไป มันอยากได้ลาภ อยากได้เงิน อยากได้ยศ สรรเสริญเยินยอเป็นโลกธรรม อย่างสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัย อาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า ยารักษาโรค คือปัจจัยให้ชีวิตอาศัย หากเรามีแล้วก็จะเบา นอกนั้นก็หาเสริม นอกนั้น ถ้ามีจิตกระสันอยากได้เงินมาก ได้ยศมาก ได้สรรเสริญมาก อย่างที่คนบอกว่าสุข ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่คนหลอกเรา ต้มเรา มันเป็นของเก๊ แล้วทำให้คนอยากได้อยากมีอยากเป็นอยู่
ศาสนาพระพุทธเจ้าให้ละเลิกสิ่งเหล่านี้ อาตมาเกิดมาในชาตินี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เสพสัมผัสเสียดสี เกิดมาเป็นลิงลมอมข้าวพอง
ผู้มีจิตที่บรรลุมาแต่ปางบรรพ์ก็เมื่อตื่นจากอาการลิงลมอมข้าวพอง(คือการละเล่นอย่างหนึ่งของไทย โดยผูกตาผู้เล่น แล้วก็เขย่าตัวให้เมาเวียนหัว แล้วก็ปล่อยให้วิ่งไล่คน คนไหนถูกจับได้ก็เป็นลิงลมอมข้าวพองต่อ) ตอนนี้ไม่มีการเล่นแบบนี้แล้ว มันถูกโลกครอบงำ พอรู้ตัวหายเมาแล้วก็กลับมาเป็นตัวเอง แต่ถ้ามันเมาโลกีย์จริง ไม่ใช่ลิงลมอมข้าวพอง มันจะหลงไปตลอดไม่เลิก ดีไม่ดีจัดหนักเข้าไปอีก หากไม่ศึกษาไม่ลดละ ไม่ปฏิบัติก็หนักหน้าเรื่อยไป
ทุกวันนี้มันน่าเวทนาสงสาร ทั้งที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ นับถือศาสนากัน แต่ไม่รู้จักแก่นสาร อาตมาไม่โทษคน แต่โทษวงการศาสนากระแสหลัก ที่พาผิดเพี้ยนกันไปได้อย่างไม่เหลือเชื้อ กลายเป็นเดรัจฉานวิชชาไป ไม่ใช่อาตมาใส่ความ จะมีผู้ที่ชัดเจนไม่ไปกับโลกน้อยคน ในวงการศาสนา อย่างพวกเรานี่ต้านไว้ดึงไว้ก็ยาก แต่ต้องทำ เพราะไม่มีอะไรดีกว่านี้ เสร็จแล้วเขามีพวกมาก ผู้ที่ไม่ต้าน ไม่เห็นแย้งอย่างที่เราพาทำ เราว่าเขาเอา ว่าไปหลงทำไม พวกที่เข้าพวกก็อยู่ด้วยกันส่งเสริมกัน จับมือกัน กอดคอกัน ก็เลยกลายเป็นต้านกับพวกเราที่พูดถึงสัจธรรม เขาก็เลยยิ่งพยายามรวมหัวกัน เป็นโดยอัตโนมัติ ต้านอโศก ยิ่งเถรสมาคมมาประกาศให้เลิกนับถืออโศก เขาก็ยิ่งจะเชื่อตามเพราะว่าทางในประเทศไทยเชื่อถือเถรสมาคมเป็นส่วนใหญ่ มันได้เสื่อมไปแล้ว ไม่ว่าเดรัจฉานวิชชา โลกธรรม ลาภยศ พิธีการพิธีกรรมต่างๆ เต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชากันทั้งนั้น ไม่เหลือเลย
อาตมาต้องพูดความจริงยืนยันจากพระไตรปิฎก เขาแย้งไม่ได้ เพราะหลักฐานชัดจริง เป็นต้นว่า ทุกวันนี้ศาสนาพุทธในเมืองไทย พระไม่เอาศีลแล้ว จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลไม่มีแล้ว แล้วบอกว่า ศีลมี 227 เราบอกว่าศีลมี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เขาก็งงว่า โพธิรักษ์เอามาจากไหน ดีที่มีในพระไตรปิฎก
ศีลเขาไม่มีแล้ว
สมาธิก็ไม่มี สมาธิแบบที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติอีก เป็นสมาธิทั่วไป เป็น general สมาธิ แต่สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาสมาธิ ในศาสนาพุทธทุกวันนี้ พูดตรงๆว่า ไม่มีแล้ว ทั้งที่ในพระไตรปิฎก มหาจัตตารีสกสูตรชัดเจน ว่าปฏิบัติสัมมาสมาธิต้องปฏิบัติจากมรรคทั้ง 7 องค์ แล้วจะรวมเป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ แต่ให้ คิด พูด ทำ ทำอาชีพการงาน เป็นสัมมา ให้ทำที่แดนที่จิตเกิด แล้วมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ จับตัวอกุศลจิต ตัณหาได้ มีวิธีฝึกให้เกิดมุทุภูตธาตุ จิตแววไวมีอำนาจ ทำให้กิเลสจางคลายได้ นี่คือ การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าเกิดสมาธิเพราะลืมตาปฏิบัติ ไม่ต้องไปหนีไปหาที่พัก ไม่ต้องไปนั่งหลับตา ไม่ต้องไปเสียเวลา ไม่ต้องเลย ปฏิบัติอยู่พร้อมไป โดยเอาศีลเป็นกรอบ
เบื้องต้นศีล 5 ข้อปฏิบัติให้เกิดสมาธิของศีลห้า มี 1. เกี่ยวกับสัตว์ 2. เกี่ยวกับของ 3. เกี่ยวกับราคะ 4. เกี่ยวกับคำพูด 5.เกี่ยวกับสิ่งเสพติด เอากรอบแค่นี้ก่อน อย่างอื่นอย่าเพิ่งทำ เราก็สู้กับกิเลสในกรอบนี้ เราลดกิเลสได้จนดับกิเลสได้ค่อยขยับเพิ่มเป็นศีล 8 10 26 ศีลมัชฌิมศีล ส่วนมหาศีลเป็นศีลของศาสนาพุทธ
แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่เข้าใจแล้ว เพราะที่ห้ามคือสิ่งที่จะไม่มีในศาสนาพุทธ แต่ทุกวันนี้เขามีกันเต็มไปหมด วัดไหนก็มี แต่ถ้าวัดไหนไม่มีการรดน้ำมนต์จุดธูปเทียนบูชา ขอพร ทำนายทายทัก วัดไหนไม่มีเขาหาว่าไม่ใช่วัด อย่างวัดของเรานี่ไม่มี เขาก็หาว่าไม่ใช่วัด มันจะทำอย่างไร?
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ทำไมต้องอวดอุตริมนุสธรรม
อาตมาพูดไม่ได้ท้อแท้ แต่เป็นการเห็นบทบาทที่เกิดในชีวิต อาตมาเปิดเผยระดับของตัวเองมาก เป็นการอวดอุตริมนุสธรรมก็เยอะ อาตมาเกิดมาชาตินี้เพื่อกอบกู้ศาสนา ได้ก็ได้เท่าที่มันได้ อาตมารู้อยู่ว่า คนที่ฟังทางบ้านที่ไม่ยอมเอาตัวเองมาทางนี้ ไม่ใช่เขาไม่รู้ มีที่รู้อยู่ไม่น้อย แต่ใจมันไม่มีฉันทะ ไม่มีอิทธิบาท พอจะมีปฏิภาณรู้ว่าโพธิรักษ์สอนถูก สอนจริง สอนศาสนาพุทธจริง แต่จิตของเขาก็แค่มีปฏิภาณ ความเฉลียวฉลาดเพราะรู้ว่ามันดี แต่ไม่มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
ความฉลาดทางนั้นยังไม่มีพลังพอที่จะดึงให้ตัวเขาเอง เอาเวลาแรงงานทุนรอนเอามาทุ่มเทให้กับอันนี้ เขายังเอาเวลาทุนรอนแรงงานไปโถมให้กับ ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข 99% จะมาเอาอันนี้สัก 5% ก็ยาก
สมณะฟ้าไทว่า...ของพ่อครูเพียวๆรับยาก
พ่อครูว่า... เพียวๆนี้ไม่ดีหรือ ขนาดเอาคนมีปัญญามาเอาแบบเพียวๆ นี่ได้เร็วไหม ก็ไม่ได้เร็ว แล้วให้เอาพวกขี้โคลนเขลอะ เลยมา ให้ปฏิบัติจะได้หรือ อีกอย่างไม่มีอลังการทางโลก ไม่มีครูอาจารย์ที่ไหนในชาตินี้ แถมอธิบายค้านแย้งกับเถรสมาคมอีก ก็เลย
สมณะฟ้าไทว่า...เมื่อไม่มีใครเหมือนเขาก็จะสงสัยว่าใช่หรือเปล่า ทำไมพูดอยู่คนเดียว
พ่อครูว่า.. พูดนี้อาตมาเปิดตำราเอาตามพระไตรปิฎก แล้วมันตรงไหม? วันนี้หอบมาสามเล่มเอง
ยกตัวอย่าง เล่ม 10
ตั้งแต่มหานิทานสูตร ข้อ 60 ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง ด้วยประการดังนี้แล ฯ อาตมาอ่านปั๊บ ก็เข้าใจเลยว่านี่คือหัวใจศาสนาพุทธ คนเข้าใจแล้วปฏิบัติได้จะเป็นอรหันต์ได้เพียงแค่เหตุปัจจัยเช่นนี้
สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าผมอ่านนี้ไปไม่เป็นเลย
พ่อครูว่า...เข้าใจว่าเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าคุณได้กุญแจอันนี้จบเลย ปฏิบัติธรรมหากเข้าใจธรรมะ 2 ซึ่งอาตมาแตกคำว่า กาย คำว่าภายนอกกับภายใน ไปแตกคำว่าโลกียะกับโลกุตระ เป็นธรรมะ 2
เจาะเข้าหากรรมฐานในเล่ม 9 พระพุทธเจ้าตรัสว่ากรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา หากไม่มีเวทนาไม่มีฐานให้ปฏิบัติ ท่านก็แปลพยัญชนะไม่ได้ ยากเกินกว่าจะเข้าใจ แต่คนไม่เข้าใจเอง
9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
แต่เขาอ่านไม่เข้าใจกัน ฐานะก็คือฐาน คือที่ตั้งในการปฏิบัติเป็นกรรมฐาน จะทำอะไรก็ถ้าไม่มีเวทนาเสียแล้ว ไม่มีที่จะให้ปฏิบัติหรอก แต่มันเพี้ยนไปแม้แต่คำว่ากรรมฐานก็เป็นสมถะ เอาดินน้ำไฟลม เอากรรมฐาน 40 ให้จิตจดจ่อกับดิน น้ำไฟ ลม หรือเอาอะไรก็แล้วแต่เป็นกรรมฐาน ให้จิตใจหยุดนิ่งอยู่กับสิ่งนั้น เป็นสมถวิธีทั้งนั้น
หากเข้าใจ เอาเวทนาเป็นกรรมฐาน แล้วรู้จักเวทนาในเวทนา ตั้งแต่เวทนา 2 3 5 6 8 36 108 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก แต่เขาฟังแล้วไปไม่เป็น
บอกเวทนา 108 ก็ไปไม่เป็น จะพูดอธิบายอย่างไร ทำกันไม่เป็นแล้ว ก็น่าสงสาร ถ้าเผื่อว่า จัดการกับเวทนา ให้มันครบ 108 ให้เป็นผล จนบรรลุอุเบกขาเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน เพชรแท้หรือเพชรเทียมของชาวพุทธ
คนที่มีภูมิปัญญาอย่างพวกคุณ ถือว่ามีบารมี ฟังแล้วเห็นจริงชัดเจนว่า อันนี้ยิ่งกว่าโลกธรรม ที่อาตมาพูดนี้เป็นเรื่องโลกุตรธรรม มันยิ่งกว่าโลกียธรรม ก็ต้องมาเอาอันนี้มาใส่ใจอันนี้ มันจะเป็นจริงกับคนใดก็แล้วแต่ เมื่อเห็นว่าอันนี้มันดีกว่า
เช่น สมมุติว่าคุณไปเจออะไรเข้า 2 ชิ้น ไปเจอเพชรเข้าสองก้อน ก้อนหนึ่งเป็นเพชร ดีไม่ดีอีกก้อนหนึ่งไม่ใช่เพชรจริง ไม่ถามหรอกว่าจะเอาก้อนไหน อาตมาว่าอาตมาเอาเพชรจริงมาพูด แล้วคนมาเอาไหม เขาก็ไปเอาเพชรเก๊ ดีไม่ดีรวมหัวกันตีว่าที่อาตมาพูดนี้เพชรเก๊ นั่นพวกเขาเพชรจริง หรือเขาไปเอาเพชรเก๊ก่อน ไปเอาทำไมเพชรเก๊ เขาบอกว่า คนมีปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ว่าของอาตมาเป็นเพชรแท้หรือเพชรเทียม พูดไปแล้วเหมือนเราหลงตัวเอง ยกย่องตัวเอง แต่พูดให้เอาความจริงให้ชัด ไม่ได้หลงตัวเลอะเทอะ
อาตมาพูดไปเหมือนว่าดูถูกไปในตัว ก็จริง ดูถูกเพื่อให้ฉุกใจสะดุดคิด เกิดมาทำไมเราฉลาดหรือโง่ ไม่รู้ว่าเพชรแท้หรือเพชรเทียม บางคนสัมผัสแล้วรู้ว่าเพชรจริง แต่ทำไมไม่มาเอา ช้าอยู่ไปทำไม คุณจะอยู่ไปอีกกี่ปีถึงตาย จะมีเวลาเหลืออีกกี่ปี แล้วชีวิตนี้ เพชรแท้หรือเพชรเทียมที่ว่าก็ควรจะเข้าใจว่า ชีวิตคนเกิดมาอีกกี่ชาติก็ควรจะได้เพชรแท้ อย่าไปเสียเวลาเอาเพชรเทียม เพชรเก๊
เกิดมาอีกกี่ชาติก็ตาม รู้ว่าเป็นสิ่งไม่แท้ ก็ไปเอา เราก็บอกว่าเราไม่มีบารมี ผู้มีบารมีก็ไปเอาเพชรจริง ก็แสดงว่าโง่
ก้อนเพชรจริงๆเป็นวัตถุนี้ไม่พูดอย่างนี้หรอก กลับจะวิ่งเข้าใส่ ฆ่ากันเลย แย่งกันหัวแตกหัวแตน สรุปแล้ว ว่าเขาเป็นคนไม่มีภูมิปัญญาพอ ถ้ามีภูมิพอเฉลียวฉลาดพอ เกิดมามีชีวิตแล้วจะเห็นว่าสิ่งที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น คืออันนี้ เป็นสุภะ น่าได้น่ามีน่าเป็นนะ ชีวิตคนควรได้โลกุตรธรรม อันนี้มันน่าได้ น่ามี น่าเป็น แล้วเราจะไปเสียเวลาอะไรกันนักหนา มาจมวนเวียน ชาติหน้าจะมีวิบาก ให้มาพบพระโพธิสัตว์ มาเจอหมู่กลุ่มอีกหรือเปล่า ?
มันไม่ง่ายนะ ในยุคใดจะมีพระโพธิสัตว์มาเกิด แน่นอนว่าพระพุทธเจ้าจะมาเกิดนั้นยากแน่นอน แม้แต่พระโพธิสัตว์ อย่างพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านทรงไม่เหมือนโพธิรักษ์ ท่านทรงงานมีหน้าที่แสดงภูมิโลกุตรธรรมให้เป็นปรากฏการณ์รูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม จึงได้เห็นวัตถุธรรมที่ท่านทรงเพื่อประชาชน เพื่อความเป็นอยู่สุขเพื่อความสงบ อย่างเป็นรูปธรรม จนชาวไทย มวลชนคนไทย เป็นพุทธศาสนิกชน 95% เห็น ท่านทรงมา 70 ปี พอทรงสิ้นพระชนม์ ก็พูดกันว่าจะทำตามพระองค์ ทำอย่างพ่อ เดินตามพ่อ จะทำตามพ่อสอน แล้วพูดจริงหรือเปล่า?
จำนน เห็นจริง ยังดี ยังมีปฏิภาณรู้ว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐดีงาม ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ หน้าที่ของพระองค์แบบนั้น แต่อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ ไม่ได้มีหน้าที่อย่างในหลวง เป็นหน้าที่เจาะหาปรมัตถธรรม สัจธรรม ก็เลยเข้าใจยาก อย่างไรรูปธรรมก็ยังเห็นได้ง่ายกว่านามธรรม อาตมาไม่ได้ริษยาหรอก แต่อนุโมทนาสาธุ
มาถึงวันนี้แล้วเมืองไทยเรามีธรรมะพระพุทธเจ้าครบรูปครบนาม พอจะเข้าใจชัดเจนกันบ้างไหม
รูปธรรม คุณจะทำอย่างที่ท่านทรงก็ทำสิ แต่รายละเอียดอย่างที่อาตมาพาทำนี้ไม่เป็นสอง เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างที่พระองค์ทำ เป็นไปเพื่อ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ไม่ได้เป็นไปเพื่อบำเรออัตตา
รูปธรรมที่ในหลวงทรงงาน 70 ปี คนก็เข้าใจแล้ว แต่อาตมาทำงานไม่มีรูปธรรม อย่างในหลวง แต่อาตมาทำเรื่องนามธรรม ก็ยังพูดไม่หมดเลย
เอาตัวอย่างแค่ เล่ม 16 วิภังคสูตร ...เรื่องปฏิจจสมุปบาท เป็นอวิชชาข้อที่ 8
ไม่รู้..ทุกข์ (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
ไม่รู้..ทุกขสมุทัย (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
ไม่รู้..ทุกขนิโรธ (ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ)
ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)
ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง) ปุพพันเต อัญญาณัง
ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง) อปรันเต อัญญาณัง
ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง) .
ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท
(พตปฎ. ล.34 ข.691 ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)
เอาปฏิจจสมุปบาทมาพูด...[5] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว ภิกษุก็อุทานว่าไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อนพระเจ้าข้า แต่ยุคนี้พระพุทธเจ้าพูดมานานแล้ว ก็เคยได้ยินกันหมด แต่ไม่ซาบซึ้งกันเลย
ท่านขยายความต่อว่า ชรา มรณะ เป็นอย่างไร ความแก่ ความตาย...[5] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน สมบัติที่ควรได้ในพุทธศาสนา
[7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด(ชาติ) ความบังเกิด(สัญชาติ) ความหยั่งลง(โอกกันติ) เกิด(นิพพัตติ) เกิดจำเพาะ(อภินิพพัตติ) ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ
พ่อครูว่า...ก็ต้องไปเปิดบาลีดูอีกที เพราะที่เขาแปลมาก็งงๆ แต่พออ่านบาลีมันเป็นลำดับ(ชาติ)(สัญชาติ)(โอกกันติ)(นิพพัตติ)(อภินิพพัตติ)
ชาติ สัญชาติ ก็คือการเกิดอย่างโลกีย์ พอมาเป็นโอกกันติ ก็มีการเกิดสองแบบคือสั่งสมอวิชชากับอีกแบบสั่งสมวิชชา เริ่มจากมีอัญญา ที่ออกจากโลกีย์ อย่างมากก็วนเวียน สุข ทุกข์ สวย ขี้เหร่ ฯ ไม่มีทางลงมาหาหนึ่งได้ จะวนเวียนเป็นภาวะสองไปตลอด ต้องทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่ง แค่นี้อ่านสองข้อนี้ก็จะรู้ว่าเราได้เพชรขนาดไหน
ทำธรรมะหนึ่งให้เป็นสองได้กับการเกิดสองอย่างนี้แหละ มันสว่างวาบ ชัดเจนเลย
ภพ มีกามภพ รูปภพ อรูปภพ เป็นลำดับ ให้หลุดจากภพกามก่อน เหลือรูปภพ อรูปภพก็ล้างอีก ก็เป็นอรหันต์ ง่ายๆ
ท่านก็ตรัสต่อ
[8] ก็ภพเป็นไฉน ภพ 3 เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี้เรียกว่าภพ ฯ [9] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน 4 เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ
คนมันต้องรู้อันนี้แหละ นอกนั้นจะรู้ไปอะไรนักหนา นอกนั้นเป็นสมบัติผลัดกันชม หากชาตินี้คุณได้ ชาติหน้าก็มาแย่งอีก หมุนเวียนไป ชาตินี้ข้าได้เอ็งก็ไม่ได้ ชาติหน้าก็แย่งอีก ได้มากได้น้อย ไม่รู้จบ หากเราจะวนเวียนอยู่อย่างนี้ซวยมาก แล้วเมื่อไหร่มันจะจบ ไม่ใช่ว่าคุณจะรู้ว่าชาตินี้เรารวยแล้ว ชาติหน้าจะจนนั้นไม่จนหรอก เพราะว่าชาตินี้เพราะเอาเงินไปทำบุญเรารวย ทำบุญบ่อยมากเยอะ ทำบุญแล้วเป็นไง ก็สร้างกิเลสเพิ่มขึ้นอีก คุณไม่รู้หรอก สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมันไม่เหมือนกับที่คุณเรียนรู้มา
ไปทำทานก็เรียกว่าไปทำบุญ แทนที่จิตใจจะเป็นบุญ กับจิตเป็นอกุศล แทนที่จะทำทานเพื่อลดความโลภ จะไปสร้างความโลภใส่จิตหนักมากกว่าเก่า ไม่พอ ถูกอาจารย์หลอกอาจารย์ส่งเสริมให้รวย โป้งรวยๆ มหารวย ไม่มีอะไรยับยั้งในความรวย ภาษาของเขา รวยไม่มีที่สิ้นสุด เลยโง่ดึกดําบรรพ์ โง่นักหนา โง่ไม่มีที่สิ้นสุดเลย สอนให้โง่อย่างไม่มีที่ สิ้นสุด อัปมาณา แล้วเขาไม่รู้ว่าเขาโง่อีกต่างหาก ก็เลยโง่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วยังหลงตัวเองว่าฉลาดอีก เราจะไปช่วยกันได้อย่างไร แล้วบอกว่าต้องดูช่องโง่โง่ในช่องเดียวด้วย ปิดประตูด้วย หมายความว่าพวกฉลาดแกมโกง หลอกทุกอย่างให้โง่ดักดานอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จริงๆให้ดูช่องเดียวเปิดทั้งวันทั้งคืน คือ หลงงมงายกันหนักหนาสาหัสจริงๆ คือคนที่ถูกครอบงำทางจิต อย่างโงหัวไม่ขึ้น นี่เป็นตัวอย่างที่เกิดในยุคนี้
มีอาจารย์ที่โง่สุดโง่ แล้วมาหลอกให้คนโง่ได้ตามมากที่สุด ประจานสังคมไทยคนไทยว่า มีอาจารย์โง่ขนาดนี้ แล้วมีคนไทยไปโง่ตามขนาดนี้ ขายหน้าจนไม่เหลือขี้ ขี้ก็ไม่มีให้หายแล้ว ขี้หน้าก็ไม่มีให้ขายแล้ว
มันเป็นปรากฏการณ์แห่งกึ่งยุคศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดม เป็นตัวอย่างโลกยุคนี้ให้ธัมมชโยมาเกิดก็ต้องให้โพธิรักษ์มาเกิด ไม่เช่นนั้น ไม่มีใครจะมาประจานหนักหนาสาหัสได้เท่ากับโพธิรักษ์ ด่าอย่างมีหลักฐานอ้างอิง เปิดตำราอ่านนะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สมาธิพุทธต้องมีวิจัยรูป 24
ก็ขอเข้าไปลึกๆเรื่องของธรรมะ คำว่าสมาธิ
คำว่าสมาธิ มันแปลว่าจิตตั้งมั่น จิตอะไรตั้งมั่น จิตที่ทำให้กิเลสมันหาย ลดละจางคลาย สั่งสมตั้งมั่น จนกิเลสตัวที่เรารู้แล้วเราทำให้มันหายไปได้ไม่ทำให้กิเลสเกิดในจิต สั่งสมความมั่นคงตั้งมั่นเคลื่อนได้เรื่อยๆ เรียกว่าจิตสมาธิ
วิธีทำให้เกิดความตั้งมั่นเช่นนี้มีสองนัยใหญ่ๆ
นัยยะหนึ่ง คุณก็หลงว่าจิตคุณสงบ แล้วก็มีวิธีทำให้สงบแบบสะกดจิต ไม่ให้จิตใจนึกคิดหรือทำงาน ให้จิตนิ่งๆๆ คุณสั่งสมเช่นนั้นก็ได้ เป็นสมาธิตั้งมั่นเรียกว่าสมถะ จิตสงบ สมถะนี่คือจิตสมถะทั่วไป ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เอา แต่มันใช้เป็นอุปการะธรรมดาธรรมชาติสะกดไว้ข่มไว้ ทำอยู่แล้วด้วยสัญชาตญาณ เช่นคุณมีราคะก็ไม่ปล่อยเรี่ยราด โทสะก็ข่มไว้ไม่ให้เรี่ยราด หรือถ้าใครแสดงออกราคะโทสะเต็มที่อาตมาว่าสังคมนั้นจะมั่วกันขนาดไหน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ก็เป็นสัญชาตญาณคนทำได้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ต้องไปฝึกหรอก แต่เมื่อฝึกก็ทำได้ ทำเก่ง
สมณะฟ้าไทว่า...พอสะกดจิตมากๆแล้วบอกให้อ่านจิตก็ยากมากเลย
พ่อครูว่า...การสะกดจิตจึงไม่ใช่ของศาสนาพุทธ เขารู้กันทั่วไปเป็นเรื่องง่ายๆพื้นๆตื้นๆ ทำกันอยู่ทั่วไป ไม่ใช่เรื่องพิเศษ แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องวิปัสสนา วิจัยวิจารณ์ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์
การสะกดจิตนั้นทำได้ทั้งแบบลืมตาและหลับตา พยายามสัมผัสแล้วหยุดคิดอย่านึกนะ แทนที่จะสัมผัสแล้วเกิดอะไรขึ้น เกิดขึ้นแล้วสังขารขึ้นมา แล้วสังขารมันมีอะไรบงการอยู่เรียกว่าวิญญาณ ในวิญญาณแยกเป็น 2 เรียกว่านามรูป แล้วนามรูปตัวนี้วิจัยรูปออกไปเป็นอุปาทายรูป 24 ก็ไม่เรียนกัน แยกไม่เป็น
โดยเฉพาะเมื่อ ผัสสะ ปั๊บจะเกิดภาวะ 2 คืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ
อิตถีภาวะคือจิตปรุงแต่งกับกิเลสเป็นสอง ก็ทำให้กิเลสอิตถีภาวะนี้ลดลง เป็นอินทรีย์แรงพลังของกิเลส มันมีชีวิตของกิเลสเรียกว่า ชีวิตินทรีย์ทำให้มันลดลงๆๆ มันมีอะไรเป็นอาหาร ตั้งแต่กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร วิญญาณาหาร มโนสัญเจตนาหาร
รู้แยกแยะกิเลสเป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วฆ่ามันลงไปเป็นธรรมะ 1 จนมันไม่มีตัวตนเหลือเพียงปุริสภาวะ เป็นธรรมะ 1 เป็นยอดวิธีการ
ทำธรรมะ 2 ให้เป็น 1 โดยมีองค์ประกอบรู้เหตุปัจจัยรู้ที่เกิดหทยรูป รู้อาหารที่ทำให้เกิด ทุกองคาพยพ สัมผัสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จนแม้อาหารที่สัมผัสลิ้น สัมผัสแล้วเกิดเจตนาเป็นกาม เป็นภวตัณหา วิภวตัณหา
ก็ล้างกิเลสกาม ตั้งแต่มีปสาทรูปโคจรรูป สัมผัสแล้วก็เกิดภาวรูป ก็ต้องมีปัญญารู้รูปนามจนอ่านตัวกิเลสได้ 1 เป็นสิ่งที่ถูกรู้ คือรูป อันที่รู้คือนาม เป็นsubject รู้ว่านี่คือสักกายะที่เราต้องลดอาการมันไม่ให้มันเกิดมาในจิตเราให้ได้ ทำไปตามปริเฉท เป็นปริเฉทรูป จนทำสำเร็จ เกิดอาการของฐานลหุตา มุทุตา กัมมัญตา
อาการเคลื่อนไหวขณะนี้ เป็นพลังงานที่ควบคุมได้ เบาลหุตา
มุทุตา เป็นสภาพสอง คือจิต หนึ่งปัญญา สองเจโต อยู่ในมุทุ ในเชิงปัญญาก็รู้ได้ไว ในเจโตก็ดัดได้เร็วไว ง่าย คุณสามารถทำจิตมุทุภูตธาตุให้แววไว ท่านแปลเป็นไทยว่า อ่อน แต่ที่จริงมันไหวไวมาก ทั้งลักษณะเจโต ไหวไว ทั้งปฏิภาณปัญญา ก็ไหวไว คือลักษณะของ มุทุ แต่ภาษาไทยไม่รู้จะไปอย่างไรก็แปลว่าอ่อน อาตมาก็เลยว่ามันอ่อนใจไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็เห็นใจว่าท่านไม่รู้จะแปลว่าอย่างไร
คือวิการรูป มี ลหุ มุทุ กัมมัญญา สี่ก็เอาไปผสมกับกายกรรมวจีกรรมก็เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ รวมเป็นวิการรูป 5 อาตมาเห็นพยัญชนะก็เข้าใจสภาวะธรรมว่าเป็นอย่างไร เอามาอธิบายเป็นภาษาไทยให้ฟัง อาตมาว่าอาตมามีสภาวะนี้ชัดเจนก็เอามาขยายความให้ฟัง ไม่ได้แปลแค่ตามพยัญชนะ เท่านั้น ด้วยความจริงใจไม่ต้องการไปดูแคลน แต่เห็นใจท่านที่แปลกันจริงๆ ที่พยายามรักษาพยัญชนะไม่ให้เสื่อมสูญ ก็ต้องขอบคุณท่านจริงๆ
ตรงไหนที่คุณอ่านจิตออกได้ก็คือหทยรูป ไม่ได้อยู่ที่ไหนที่เป็นที่อยู่อย่างที่เขาแปลว่าอยู่ที่ห้องหัวใจห้องสี่ แบบนั้นไม่ใช่
แล้วมันมีชีวิต มีอินทรีย์ แล้วอินทรีย์ชีวะที่เราต้องรู้คือ ชีวิตของกิเลสที่ไม่ตาย เราต้องทำให้มันตาย มันเกิดจากอาหารคือมโนสัญเจตนาหาร กำจัดกิเลสกาม ภว ตัณหา เอากามตัณหาก่อนเป็นอาหารหนักของมันก่อน เมื่ออาหารคุณทำให้ว่างได้ก็จะสำเร็จไปตามลำดับ สำเร็จได้ ก็จะมีวิการรูป 5 แล้วมีลักขณรูป 4 คือ อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา
คนที่จบจริงๆจะอยู่กับ ลักขณรูป 4 คือ อุปจยะ สันตติ สองอันนี้ อุปจยะคือเกิด สันตติ คือจะต่อหรือไม่ต่อ ไม่ต่อก็ตาย ถ้าต่อยังมีชรตา และอนิจจตา แต่ถ้าคุณสามารถทำให้เกิดและประคองอยู่ได้ ให้มันเกิดอย่างดีและเป็นกุศล ให้มันเกิดอย่างมีประสิทธิภาพ เป็น Coefficient เป็นสัมประสิทธิ์เลย คุณก็ทำไปสิ มันก็ไม่ชรตา
คนมีลักขณรูป 4 จะให้เกิดหรือไม่เกิดก็ได้ คืออมตบุคคล ในฐานะที่ยังไม่ตาย ยังไม่ไปนิพพาน เป็นปริโยสานก็ควบคุมที่สันตติ จะให้ต่อก็ได้ คุณคบกับคนนี้ทำงานกับคนนี้ พอเราจบแล้วไม่ทำงานกับคนนี้ต่อก็ตัดสิ ไม่สันตติ ก็ไม่คิดไม่พูดไม่ทำงานต่อ
ที่อธิบายนี้เป็นสภาวะที่อาตมาเป็นอาตมามี จะพูดว่าอวดอุตริมนุสธรรมก็ใช่ มันเป็นอย่างนี้ ทำไมอาตมาต้องอวดอุตริมนุสธรรม เพราะว่า โลกยุคนี้ไม่มีคนเชื่อแล้วว่ามีคนบรรลุธรรม อาตมาก็ต้องอวด พูดอย่างสุภาพว่า อาตมานี่คือผู้บรรลุธรรม เพราะเขาไม่เชื่อเขาว่าไม่มีหรอกมันยากจะตายชัก ก็ยากแล้วพระพุทธเจ้าเอามาประกาศทำไม
แถมปิดปากอีกว่า คนที่บอกว่าบรรลุคือคนไม่บรรลุ ผู้ที่ท่านพูดเช่นนี้ ก็เป็นนักศึกษาอย่างเยี่ยม อาตมาเคารพท่านว่าเป็น learned man เป็นคนที่เคารพการศึกษา ใส่ใจค้นคว้าเก็บมามากมาย เก็บรวบรวมเยอะ แทนที่จะพยายามเข้าใจเนื้อแก่นสาร แต่เอามามากก็เลยยาก ที่จะประมวลลงมาหาแก่น มันมากเกินไป ไม่รู้กรอบที่ควรทำให้เสร็จ
พระพุทธเจ้าถึงกำหนดศีล 5 8 10 เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย กำหนดที่ธรรมสองแล้วทำให้เหลือหนึ่งให้ได้
อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บอกแล้วบอกอีก พูดแล้วพูดอีกว่าทำไมต้องบอกว่าตนเองบรรลุ มันน่าหมั่นไส้ คนเขาถือสานะ ว่าบรรลุแล้วไม่ให้บอก ที่จริงพระพุทธเจ้าท่านให้บอกได้ ให้ชัดเจนว่า 1 ต้องมีจริง 2 ไม่มีจิตสาเฐยะคือจิตอยากอวด 3 ต้องมีเมตตา 4 ต้องมีความปรารถนาดีให้คนอื่นได้รับประโยชน์ตรงนี้ อาตมาผิดตรงไหน
ถ้าอาตมาไม่ทำก็ทำผิดนะ แล้วนานมากถึงจะบอก อาตมาพูดตั้งแต่เท้าความได้ ตั้งแต่บรรลุธรรมแล้วก็ออกมา แล้วบอกที่วัดมหาธาตุว่าจะพูดธรรมะโดยให้ตนเองตายภายใน 5 วัน 7 วันก็ได้ เขาหมั่นไส้อาตมาทำได้ แต่ว่าอาตมาไม่ได้โง่ขนาดจะไปทำอย่างนั้น กว่าจะมาประกาศว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ต่อหน้าสาธารณะ อาตมาประกาศตนตอนปี 2558 ที่ศาลีอโศก
อาตมาเคยบอกไปกับบุคคลสองคนก่อน คือ อาจารย์ขวัญดี กับ อาจารย์แสง จันทร์งาม แต่มีคนไปถามท่าน ท่านก็ว่าจำไม่ได้ อาตมาก็กึ่งเชื่อว่า เรื่องสำคัญเช่นนี้ท่านไม่น่าจะลืม กับอีกอย่างคือ ท่านก็อายุมากแล้ว 90กว่าปี ก็ความจำเสื่อมได้ ที่จริงไม่น่าลืม คืออาจารย์แสงมาถามอาตมาที่สันติอโศก ตอนกำลังฉัน อ.แสงก็มาถามว่า ท่านได้บรรลุอรหันต์หรือไม่...อาตมาก็บอกว่าบรรลุอรหันต์
ถ้าคนใด จะไปถามใครว่าเป็นพระอรหันต์ ไปถามตรงๆนี้เป็นเรื่องสำคัญไหม? จะถามใครก็แล้วแต่อยากรู้จริง ก็ต้องสำคัญไม่น้อยนะ แล้วท่านจะลืมง่ายๆหรือ แต่ท่านตอบอย่างนั้น อาตมาว่าท่านเลี่ยงๆไปไม่อยากพูดต่อ หรือท่านอาจลืมจริงๆก็ได้ เอาเถอะก็พูดด้วยจริงใจ ไม่ได้พูดเพื่อฟื้นฝอยหาตะเข็บ อวดโอ่ แต่มันเป็นความจริงก็ยืนยันกันไป
SMS วันที่ 26 กรกฎาคม 2560
_0015สังคมของชาวอโศกจะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุเหมือนระดับประเทศไหมครับ
พ่อครูว่า...เหมือนแต่ไม่เหมือน อาตมาเคยพูดว่า สังคมอโศก จะเป็นสังคมมีคนอายุยืน คำว่าสมาชิกชาวอโศก อาตมาทำงานศาสนามาแล้วเกิดชุมชน กลุ่มหมู่ชาวอโศกมาอยู่รวมกัน สร้างบ้านสถานที่มีอาณาเขตชุมชน ตั้งแต่เป็นอาณาเขตไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว มีใจกลางนอกนั้นคนก็พยายามหาซื้อที่รอบๆสันติอโศก ราคาค่าที่ซอยติดกับอโศกแพงชะมัดเลย ทั้งที่กลุ่มอโศกคือกลุ่มคนจน แต่ไปอยู่ที่ไหน ที่ดินจะแพง
แล้วสังคมประเทศที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น หมายถึงว่าประเทศนั้นเจริญ อยู่ดีกินดีประเทศเป็นสุข ไม่เจ็บป่วยมีโรคไม่มาก ก็มีคนอายุยืนเพิ่มขึ้น ไม่ได้เป็นเรื่องประหลาดอะไร ถามว่าจะเหมือนไหม ก็เหมือนแต่ไม่เหมือน คือคนอายุยาวชาวอโศก ตั้งแต่รูปธรรมถึงนามธรรม
คนอายุยาวชาวอโศก จะไม่ขี้งอแง ขี้อ้อน กระจุกกระจิก เลี้ยงยากบำรุงยากไม่ทำ เพราะว่าได้เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า และได้สังวรตน สองถ้าเป็นสมาชิกในชุมชนชาวอโศก ก็จะมีพี่มีน้อง เป็นภราดร เป็น fraternity ที่เยอะ เป็นพี่น้องดูแลกัน แม้ไม่ได้เป็นญาติทางสายเลือด มีคนเดียวโด่เด่ มาในชุมชนชาวอโศกจะไม่ว้าเหว่โดดเดี่ยว พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ แต่ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมเหมือนกัน บางคนวิบากมาอยู่ในหมู่นี้ไม่ได้รับการสงเคราะห์ แต่คนไหนวิบากดีมีคนชอบหน้า คนแก่มาอยู่นี่ลูกหลานเยอะ ในประเทศไทยพยายามจะหาทางสงเคราะห์คนแก่ แต่อโศกเราทำแล้ว
_0015สังคมไทยเป็นสังคมกระแส แต่ชาวอโศกนั้นทวนกระแสคนส่วนใหญ่จึงรับได้ช้าแต่ก็ทยอยเดินเข้ามาได้เรื่อยๆ จริงไหมครับ
พ่อครูว่า...ใช่ทวนกระแสโลกีย์ ก็เข้ามาแต่มีน้อยและช้า
_3867 สงสัยถ้าไม่มีปัญญาแล้วจะหลุดกิเลสทั้งหลายพ้นทุกข์ทั้งปวงได้อย่างไร?
_3867พ่อครูเคยกล่าวหากมีเจโตวิมุติเมื่อใด?ต้องมีปัญญารู้ แจ้งในวิมุตินั้น!จึงมีวิมุติครบถ้วนในเจโตวิมุติกับปัญญาวิมุติจึงรวมเป็นอุภโตภาควิมุติแท้!ผู้น้อยเข้าใจถูกไหม?
พ่อครูว่า…เข้าใจถูกต้อง
_3867ขอบบุญนิยมกับสาระธ.พ่อครูฯโอฬาริกฯมโนมยฯเก่งเหนือโลกธ.แต่พ่ายโรคภัย แพ้วิบากกรรม!อรูปอัตตา เก่งใต้สัจธรรมชนะด้วยรู้ทันทุกขเวทนา
SMS จากเฟซบุ๊ค
_บุญยิ่งแก้ว นาวาบุญนิยม · ต้องมีธรรมะเป็นอธิปไตยจึงจะอภิบาลคนอื่นได้
_ปิ่น คำเพียงเพชร · รับชมผ่านเฟสบุ๊ค จาก กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย สัญญาณชัดเจนดีทั้งภาพและเสียงค่ะ
SMS วันที่ 27 กรกฎาคม 2560 (สมณะสิกขมาตุ-บ้านราช)
_3867สณ.คงบอก ญตธ.เตรียมขุดพืชผักผลมาปลูกบนแพสวนลอยน้ำแล้ว?มวลลูกไทยเข้มแข็งผ่านทุกข์อุทกแปรเป็นสุขกินอยู่กับน้ำขึ้นลงได้ทุกทศวรรษ!สู้ไปด้วยกัน!ฮ้าไฮ้ย๊า!
_3867กราบอนุโมทนาท.เดินดินท.แสนดินท.ข้ามฝันกับธ.สาระพันข้าวกู้ชีวิต!ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือข้าวที่พ่อฯทรงโปรดเสวยเป็นหลัก!ทรงเพาะพันธุ์ข้าวทรงปลูกฯเพื่อปย.สุขชาวนา!เพื่อสุขภาพชีวิตชาวไทย
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน สังคมที่ประเสริฐสุดที่มักถูกมองข้าม
_กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพบูชายิ่งค่ะ ที่พ่อท่านเทศน์ ขอเวลาที่เหลือสักชาตินี้ได้ไหม? บัวกรุ่นบุญ ผรช.กลุ่มอุโบสถศีล สันติอโศก
ขอตอบพ่อท่าน ว่า...ได้ค่ะ หนูกำลังพากเพียรพยายามปลดหนี้สัมภาระวิบาก และลดกิเลสให้มากที่สุดอยู่ค่ะ อีกไม่นาน หนูจะต้องไปอยู่กับพ่อให้ได้ค่ะ
พ่อครูว่า…ขอพูดเติมว่า ชาวอโศก อาตมาตั้งแต่ทำงานมาเกิดสังคมชุมชนชาวอโศก แล้วก็มาหาพื้นที่ รวมกันอยู่จนเป็นหมู่ หมู่บ้านราชธานีอโศก ซื้อมาด้วยเงินนะ หมู่บ้านอื่นไม่ได้ไปซื้อไปหา ของใครของมัน แต่นี่ไม่มีใครมีโฉนดของตัวเองเลย ต้องซื้อมา แล้วหมู่บ้านราชธานีอโศก ที่ดินผืนนี้เป็นของหมู่บ้าน ไม่ใช่ของนายก. นายข. เป็นสุดยอดคอมมูน เป็นปู่ของคอมมิวนิสต์ เป็นสมเด็จทวดของคอมมิวนิสต์
เพราะงั้น ชุมชนชาวอโศก เป็นชุมชนที่ไม่รู้จะทำอย่างไรเขาถึงจะมีปฏิภาณรู้กันบ้างว่า ชุมชนของมนุษย์นี้ ชุมชนขั้นสาธารณโภคี ขั้นครบไปด้วย อิสรเสรีภาพ Independent ภราดรภาพ Fraternity สันติภาพ Peaceful สมรรถภาพ Efficiency บูรณภาพ Integrity
เราอยู่กันอย่างสันติภาพ ตำรวจเราก็ขอให้มาแต่ก็ไม่ค่อยมา อาจเพราะว่าเราไม่มีเบี้ยเลี้ยงให้ก็ได้ แต่หมู่บ้านชาวอโศกไม่ค่อยจะมีเหตุให้ตำรวจได้ต้องมาทำงาน แม้มีตำรวจบ้านมีไว้ไล่ควายมันมากินผักพืช ตำรวจหมู่บ้านของเราก็ต้องไปอบรม แต่ไม่มีคดีอะไรให้ทำ ก็ไปไล่ควาย
สรุป หมู่บ้านชาวอโศก อาตมาพูดตรงๆจากหัวใจว่าเป็นหมู่บ้านที่ดีที่สุด เป็นหมู่บ้านที่สุขที่สุด เป็นหมู่บ้านที่เกิด อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
บูรณภาพคือพัฒนาการอยู่เสมอ มี Coefficient พัฒนาการก้าวหน้าเสมอ อย่างจริงใจซื่อสัตย์
แต่ไม่เหมือนโลกเขา หมู่บ้านชุมชนของโลกเขา ในจังหวัด อำเภอ หมู่บ้าน เขาแข่งกันเก่งสมรรถนะ แล้วกอบโกยหาตัวเอง แต่ที่นี่มีสมรรถนะขยันหมั่นเพียรเพิ่มเติม แต่ยิ่งสร้างยิ่งไม่เอา ยิ่งให้กองกลาง มันกลับกันกับโลก ซึ่ง โลกทั้งโลกไม่ว่าประเทศไหนต้องการคุณสมบัติคุณธรรมอันนี้ของมนุษย์ ขออภัยที่พูดใหญ่มากมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วพวกเราทำได้สำเร็จ อาตมาภาคภูมิใจ นี่ไม่ใช่ธรรมะของอาตมา แต่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า พวกคุณเห็นและเข้าใจก็มาร่วมกันทำ เกิดพฤติกรรมสังคมเป็นวัฒนธรรม แต่คนเขาทำไมไม่ชื่นชม เขาน่าจะชื่นชมแต่แปลกที่สุด แม้แต่สื่อสารมวลชนก็ไม่มาเอา จะมาเอาต้องทำบ้าบ้าบอๆเหมือนไม้ร่ม ทำอย่างเรียบร้อยธรรมดาสามัญอย่างพวกเราไม่มาทำข่าวหรอก ต้องทำอย่างโน้น ตลกจริงๆ อาตมาไม่แปลกใจหรอก
_ปรัชญา ปารมี ....ผ่าน facebook 27 กค. 60
ความคิดของเรานะ เราเห็นว่ามนุษย์เกิดมาด้วยเหตุผล5อย่างคือ1.ติดในการกิน(รสชาติอาหาร,สนุกในการเคี้ยว,อบอุ่นในความอิ่มท้อง) 2.ติดในเรื่องเมถุนคนคู่(มีความซับซ้อนที่ทำให้คนอยากมีคู่ที่อธิบายยาก) 3.ติดในการอยากมีเกียรติ(ได้รับเสียงสรรเสริญที่มนุษย์ติดเอามากๆ) 4.ติดในการอยากเป็นคนเก่ง(ที่เหนือกว่าคนอื่น) 5.ติดในการชอบแสวงหาสิ่งแปลกๆ(ที่ไม่เหมือนกับคนธรรมดาหรือเรื่องธรรมดาทั่วๆไป) นี่เป็นเหตุที่ทำให้คนจึงดิ้นรนกลับมาเกิดอยู่ไม่รู้จักจบสิ้น
วันหนึ่ง.. คนเราก็บ้าไปในเรื่อง"เทคโนโลยี่สารพัด"ซึ่งอาศัยเพื่อ"เสพสุข,สนุก,สะดวกสบาย".. แต่วันหนึ่งก็มาเห็นว่า"ความแปลกของชีวิตบางบุคคล" เช่น พระพุฒาจารย์โต(พรหมรังสี) เจ้าคุณนรฯ หลวงพ่อสด(ธรรมกาย) ท่านพุทธทาส หลวงพ่อคูณ มหา5ขัน ประมวล(เพ็งจันทร์) หมอเขียว โจน(จันได)(รายการ"3อาชีพฯ,27-7-60) รวมกระทั่ง"ส.โพธิรักษ์"ด้วย กลายเป็น"วิถีชีวิตที่แปลกและน่าสนใจศึกษา" ซึ่งนี่ทำให้"มนุษย์หลงในการศึกษาความแปลก?"วนกลับไปกลับมาไม่สิ้นสุด(ตาม"ความติดของมนุษย์"ใน"ข้อที่5"ดังกล่าว) ซึ่งการ"ติดยึดในความแปลกแตกต่างจากอะไรทั่วๆไป"และเห็นว่า"ควรแสวงเพื่อจะทำตามเป็นตาม" จะทำให้มนุษย์ต้อง"เวียนกลับมาเกิดอีกนานับชาติ?"อย่างไม่รู้จุดจบ
พ่อครูว่า…คุณคนนี้ก็เอาปรัชญามาสรุปอย่างนี้ก็ใช้ได้ตามประมาณของคุณ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นแปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่สุด ถ้าค้นหาความแปลกประหลาดของพุทธเจ้าและคุณจะจบทุกอย่าง จะไม่ต้องอยากได้อยากมาแสวงหาอย่างไม่รู้จักจบ
มนุษยบอก"เป้าหมายชีวิต"ของฉันคือ"ความหลุดพ้น" และพยายามดิ้นรนแสวงหา แต่ที่สุดมนุษย์กลับมาหลงใหลอะไรที่เป็น"ชีวิตแปลกๆ"ที่เป้าหมายสุดท้ายก็คือการ"อยู่ดีมีสุข,กินดีอยู่ดีทางกายภาพ"ซึ่งมีผลถึง"จิตใจที่สุขสบายทางโลกียธรรม"นั่นเอง.. แล้วเมื่อคุณพยายามทำให้"ชีวิตทางกายภาพมีความสุข"ทั้งๆที่การสอนธรรมบางครั้ง คุณบอกว่า"เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม" แล้วเมื่อชีวิตคุณอยู่"สุขสบาย-มีอาหารกินกันอย่างอุดมสมบูรณ์" คุณก็จึงเริ่ม"ติดแป้น-ไม่(อยาก)ก้าวหน้าทางธรรม"เพื่อ"แสวงหาความหลุดพ้น"(เพื่อจะได้"ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก")อีกต่อไป(เพราะอาจคิดว่าอยู่ในโลกแบบนี้มันก็มีความสุขดีนี่นา - -"ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่องฯ...").. ดูไปแล้วคุณก็ทำสิ่งที่"สวนทาง"กับ"อุดมการณ์โฆษณาชวนเชื่อตั้งแต่ต้น"ของ"ผู้นำ"ของคุณเอง แล้วเช่นนี้คุณจะไปสู่"ความหลุดพ้นอย่างแท้จริง"ได้ที่ไหน?.. มีแต่คุณจะอยาก"มีชีวิตเป็นมนุษย์"เพื่อได้"อยู่ร่วมในกลุ่มที่คุณรู้สึกสุขสบายทางกายภาพ"ต่อไปเรื่อยๆ เพราะ"คุณไม่เห็นทุกข์ในการเกิด-ในการดำรงชีวิต" และก็ทำให้คุณก็ย่อม"อยากกลับมาเกิดอยู่เรื่อยๆอีก" ใช่หรือไม่?
พ่อครูว่า…ใช่ตามประสาคุณ แต่ไม่ใช่ตามอาตมาว่า หากคุณไม่จบไม่หาที่จอดจะวนอย่างนี้ ลืมอันเก่าแล้วเอาเก่ามาเป็นใหม่ ใหม่เป็นเก่าวนอย่างนี้ไปไม่จบ
เรามีความคิดเห็นว่า ถ้า"อโศก"พอมีเงินอยู่บ้าง ทำไมไม่ลองหาอาหารแบบ"แคปซูล"ที่"นักวิทยาศาสตร์ใช้กินในอวกาศ"มาใช้"ทานแทนอาหาร"เพื่อทดลองบำเพ็ญว่า ถ้าไม่มีการ"เสพรสและไม่ขาดอาหารใดๆ"(เป็นระยะเวลานานพอควร)แล้วจะมี"อารมณ์จิต"เป็นเช่นไร?.. ซึ่งน่าจะเป็น"เทคนิคที่ช่วยในการบำเพ็ญ"เพื่อ"ลดละในเรื่องรสอาหาร"ได้ง่ายขึ้น(นี่เป็นการ"เรียนธรรมะหรือฝึกบำเพ็ญ"ที่ใช้"เทคโนโลยีอาหารอวกาศ"แบบใช้"แนวทางในทางวิทยาศาสตร์"ในการ"เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ทางจิต"ในการ"บำเพ็ญธรรมะ"ที่ถูกกับ"ยุคสมัย"ดีกว่าหรือไม่?) โดยไม่ต้องมี"ข้ออ้าง"ว่า"อาหารยังไงก็ต้องกิน" ซึ่งจึงอาจมี"การกิน"แบบที่แล้วแอบแฝง"เสพรสอาหาร"ไปด้วย โดยแสดงออกเนียนๆโดยอ้างว่า"กินด้วยจิตว่าง-ไม่ได้เสพรสอะไร?"ก็เป็นได้ อย่างนี้ดีหรือไม่?(ถ้าไม่"พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำเสียก่อน"ให้เหมือนเรื่อง"ละเมถุน" แต่แล้วก็ยังต้องมีการ"เกลือกกลั้วคลุกคลีกับการกินอาหารอยู่ทุกวัน" แล้วจะรู้ว่าตนเอง"ละเมถุนหรือละรสอาหารได้หรือยัง?"แล้วได้อย่างไร? ใช่หรือไม่?)
พ่อครูว่า…ใช่ตามประสาคุณ ไม่ใช่ตามประสาอาตมา
ความจริงเราเห็นว่า การ"บำเพ็ญธรรม"(อย่างในสมัยพุทธกาลซึ่ง"อาหารและความเป็นอยู่"ค่อนข้าง"แร้นแค้น-ไม่สะดวก-ลำบาก" จึงทำให้มี"ผู้บรรลุธรรมกันเยอะ"เพราะ"เห็นทุกข์มากๆ"ทำให้รู้สึก"เบื่อหน่ายในการมีชีวิตและต้องกลับมาเกิดอีก"จึงทำให้"มีดวงตาเห็นธรรม")ควรจะต้องให้มีการเป็นอยู่ที่มีการ"บำเพ็ญตบะ"แบบ"การกิน-อยู่ไม่สะดวก"หรือ"ไม่อุดมสมบูรณ์"และไม่ควร"มีธรรมชาติ"(แม้จะสร้างขึ้นเองก็ตาม)แบบ"เสพสุขเชิงคล้ายรีสอร์ต"เกินไป
พ่อครูว่า…ก็มองไปในแง่คุณก็ได้ มองไปในแง่เราก็มองอีกอย่างหนึ่งต่างคนต่างมอง สองคนยลตามช่องคนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนหนึ่งเห็นดาวอยู่พราวพราย
ฟัง"สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน"('พุทธศาสนาตามภูมิ'27กค.2560)แล้ว"เข้าเนื้อหา"ขำฮาตลอดรายการ
เมื่อจะ"ดิ้นรนสู้กับการแข่งขันกันในวิถีชีวิตโลกๆ"เราก็อาจจะอ้างได้ว่า จะต้องกินอะไรที่มี"ธาตุอาหารหลากหลายสารพัด"เพื่อจะมี"ร่างกายและสมอง"ชนิด"ที่ดี-ที่ไว-ที่คล่องแคล่ว"เพื่อหวังว่าจะต้องไป"แข่งขัน-ต่อสู้-แย่งชิงกับชาวโลกๆ" แต่เมื่อเรามา"ปฏิบัติธรรม"เพื่อหวังจะ"หลุดพ้นจากกิเลสจริงๆแล้ว"('พุทธศาสนาตามภูมิ'27กค.2560) เราไม่จำเป็นต้องอ้างว่า"ต้องมีความหลากหลายสารพัด"(เหมือน"รายการ8อ."ตอนเช้าๆที่ชอบนำเสนอ).. เพราะแค่"นักบวชจีนพุทธในวัดเส้าหลินสมัยก่อน"ก็แค่กิน"ข้าวต้มใส่ผักหรือข้าวกับไช้โป๊ว-เกี่ยมฉ่าย"แทบทุกวัน เขาก็สามารถ"มีชีวิตอยู่ได้ตลอดชีวิต"แล้วก็อายุยืนด้วย ไม่เห็นจำเป็นจะต้องให้"ครบธาตุอาหาร"เลย ก็เพราะ"นักบวชเหล่านั้น"เขาไม่ได้ใช้"พลังงานและสารอาหารทางสมองมากมาย"เพื่อจะไป"แข่งขันต่อสู้กับทางโลกแบบโลกๆ"แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้"สารอาหารให้ครบ"ดังกล่าว
ฝากบอก"สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน".. ที่เห็นพากันเน้นแต่เรื่อง"ละอัตตาตัวตน,มานะทิฐิ"ซึ่งเป็น"ฐานสุดท้าย" แต่จริงๆเท่าทีสังเกตดู "สักกายะของชาวอโศก"ไม่ใช่อะไรอื่น แต่คือเรื่องการต้อง"ตัดลดละเรื่องติดรสอาหารให้ได้อย่างเด็ดขาด"นั่นต่างหาก ที่ต้องเน้น"ปฏิบัติให้ได้ก่อนเรื่องอื่นใด?"
พ่อครูว่า…ถ้าคุณมัวแต่เพ่งอะไรคนอื่นอย่างนี้คุณจะได้เพ่งไปอีกนานยิ่งกว่านางวิสาขา
_Chaiklang …..
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:26:42 )
รายละเอียด
600730_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ปริวิตกของพระโพธิสัตว์
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม 2560 ที่ราชธานีอโศก ตอนนี้มีข่าวประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย มีคนจะถามว่าต้องการอะไร เขาบอกว่าต้องการเงิน คนนี้ไม่สามารถ แสวงหาความรู้สึกพ้นจากทุกข์ทางใจได้ คนน่าจะแสวงหา พุทธแบบไหนที่ทำให้พ้นจากความเดือดร้อนทางใจ น้ำท่วมก็ยังฉลองน้ำได้
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สิ่งที่คนเกิดมาควรได้เป็นสมบัติแท้
พ่อครูว่า...เราก็มาโอภาปราศรัยกับ sms ยุคนี้วันนี้จะหาคนมาใส่ใจในโลกุตรธรรมนั้นยาก คนไม่เข้าใจว่าเป็นของที่มีคุณค่าแล้ว ไม่รู้สึกว่ามันจะมีอยู่แล้วหรือ มันเป็นอะไร ไปเสียเวลาสนใจมันทำไม ไปบ้าอย่างนั้น น่าสงสาร คนไปห้อมล้อมกรี๊ดกร๊าดกับโลกียธรรม เถิดเทิง ไปชอบอะไรอย่างนั้น
อาตมาให้เขาคิดว่า ถ้าสังคมใดหมู่ชนใด ให้ราคากับการละเล่นดารา ความฟุ้งเฟ้อ การประกอบ ปลอมแปลงมอมเมาสร้างวิมานให้เกิดการชื่นชม ระริกระรี้มากมาย สังคมนั้นกำลังเสื่อมต่ำ เช่นทุกวันนี้คนในโลกกำลังหลงใหลโอลิมปิกหลงใหลฟุตบอลโลก หลงใหลเกมกีฬา ชกกันฆ่ากัน แล้วราคาค่าตัว คนแสดง คนที่หลงใหลเจ็บเนื้อเจ็บตัว มุ่งมั่นกับสิ่งนั้น ก็โด่งดัง ได้ค่าตัวเพิ่มขึ้นราคาแพงขึ้น ส่อให้เห็นว่า โลกกำลังเสื่อมหนัก ตรงกันข้ามกับสัจจะเลย
อาตมาให้ข้อคิดนี้คนจะสะดุดฉุกคิดหรือไม่แค่ไหน ยุคนี้เป็นยุคพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างศาสนามาแล้ว ผ่านไปถึง 2600 ปี รวมทั้งที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานก็นับหนึ่ง เอาอีก 45 ปีที่ท่านตรัสรู้มาบวกเข้ากับ 2560 ก็เป็น 2605 เลยครึ่งที่เขาทำนายไว้ อาตมาก็รับด้วยว่า ศาสนาพุทธพระสมณโคดมมีอายุถึง 5,000ปี เลยจากนั้นไม่มีเชื้อของศาสนาพุทธแล้ว มันเสื่อมจนเกือบไม่เหลือเชื้อแล้ว เราก็ต้องมาเติมเชื้อ มาพยายามทำความถูกต้อง เอาสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปมาแก้ไขปรับปรุง เตือนกันให้รู้จัก คนที่มีภูมิปัญญา เห็นจริงเห็นแจ้ง รีบแก้ไขปรับปรุง ส่วนคนไม่รู้สึกรู้สาก็ฟังผ่านหูไป คนจำนวนนี้มีเยอะ คนที่เห็นว่าเป็นสิ่งบ้าบอเลย บ้าอะไร คนก็เป็นอย่างที่เขาเป็นกัน หลงใหลได้ปลื้มกับโลกียะ ราคานักกีฬาค่าตัวแพงเท่าไหร่ หรือนักธุรกิจที่มีกำไรมากเท่าไหร่ นั่นคือความไม่เจริญ
ประเทศไทยมีพระโพธิสัตว์เจ้า พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ของเรา ตรัสว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เขาฟังแล้วก็คงฟังแล้ว นักเศรษฐศาสตร์ฟังแล้วก็ว่าอะไร พูดอะไร พูดอย่างนั้นได้ยังไง ในหลวงท่านก็ตรัสเรียบๆซื่อๆ ตามพระทัยของพระองค์จริงๆ ท่านก็ตรัสไป ท่านตรัสว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นักเศรษฐศาสตร์ ฟังแล้วก็ยิ้ม อาจนึกว่าในหลวงเพี้ยนไปแล้วแต่ไม่กล้าว่าในหลวงหรอก
แต่ที่จริงแล้วคนที่ผิดเพี้ยนไปจากสัจจะนั่นแหละน่าสงสาร นักเศรษฐศาสตร์ที่เข้าใจไม่ได้ว่าขาดทุนจริงๆนี้คือกำไร นั่นน่าสงสาร ในมนุษย์มีความคิดกลับกันกับโลกปฏิโสตังทวนกระแสโลก นั่นคืออาริยะ ความเจริญกลับกันกับโลกีย์ แต่ผู้ที่มีความรู้สึกทวนกระแส อย่าไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ต้องแย่ง มาล้างกิเลสตัวเองดีกว่า(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) เรามาปฏิบัติล้างกิเลสตัวจริงในตน ก็ล้างออกๆ คนนั้นก็เจริญกลายเป็นอาริยบุคคล เป็นพระอรหันต์ได้ ก็จะอยู่ในโลกอย่างไม่มีโทษภัย เป็นคนที่โลกานุกัมปา เป็นคนช่วยโลกอนุเคราะห์โลก ส่งเสริมสนับสนุนรับใช้โลกตามบารมีแค่ละองค์ พาประชาชนเป็นสุขสงบเจริญพัฒนา สัจจะเหล่านี้เมื่อไหร่ก็จริง ผู้ที่ได้รับฟังเห็นจริงชัดเจนไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่ผิดเพี้ยนไป ไม่เสื่อม อยู่อย่างนั้นนิรันดร เป็นอมตะ ผู้ที่มีได้แล้วจะชัดเจนในตัวเอง แล้วสามารถเอามาถ่ายทอดประกาศ มาช่วยกันสร้างให้เกิดในคนเป็นจริงตามกันมาได้เรื่อยๆ ไม่มีอะไรดีเท่านี้หรอก เกิดมาเป็นคนแล้วถ้าไม่ได้สัจจะที่เป็นโลกุตรธรรมที่เป็นอาริยธรรม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็จะวนเวียนสูงๆต่ำๆ ไม่เที่ยงแท้
จนกว่าจะได้เป็นพระโสดาบัน ก็เที่ยงแท้พอสมควร คือได้ 25% เป็นสกิทาคามีก็ได้ 50% เป็นอนาคามีก็ได้ 75% เป็นพระอรหันต์ก็ได้เต็มร้อย สัจจะนี้เป็นจริงทุกกาละ ได้อันนี้แล้วจะไม่หลงเลอะเทอะเสียเวลาทุนรอนแรงงานกับอันอื่น มาอยู่กับอันนี้ มีคนสนใจเท่าไหร่ก็เอา สองคน ร้อยคน พันคน หมื่นคนก็เอา ไม่เป็นล้านคนก็เอา เอาสัจจะ น้อยไม่ว่า ขอให้เป็นของจริง อาตมาเกิดมาในยุคไหน ก็คงเป็นความคิดเดิม ความเห็นเดิม ความเชื่อมั่นเดิม
600730 SMS วันที่ 28 กรกฎาคม 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
_3867นมก.พ่อครูฯถึงท่านบ่ได้อำนาจบ่มีลาภยศ แต่ท่านได้ใจหมู่มักน้อยชนสันโดษคนพอเพียง
_3867ขอส่งกำลังใจแด่ผู้ประสบอุทกฯวาตะฯธรณีภัยรอดพ้นทุกพิบัติภัยทั้งปชช.จนท.อ สม.กู้ชีพกู้ภัยพบสวัสดิภาพ ปลอดภัยทุกคน
_3867เราจะอดทนทุกวิกฤติเราจะฝ่าฟันทุกขภัยไปด้วยกันเพื่อวันนั้นวันที่"ฟ้าสีทอง "ส่องแสงทองเหลืองอร่ามกระจ่างกรุงสยามแจ้งเจิดจรัสทั่วราชอาณาจักรไทย
_3752ขอให้อโศกอยู่คู่โลกตลอดกาล อำนาจ
_0015การเชื่อถือและศรัทธาในอาจารย์ขององคุลีมาลกับศิษย์ธรรมกายมีนัยะที่เหมือนและต่างกันอย่างไรครับ
พ่อครูว่า...แต่เดิมนั้นองคุลิมาลชื่อว่า อหิงสกะ เป็นบุตรของปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เมืองสาวัตถี มารดาชื่อ นางมันตานี อหิงสกะได้ไปเรียนวิชาที่เมืองตักกสิลา และสามารถเรียนได้รวดเร็ว อีกทั้งยังปรนนิบัติอาจารย์อย่างดี จนเป็นที่รักใคร่ของอาจารย์อย่างมาก เป็นเหตุให้ศิษย์อื่นริษยา จึงยุยงอาจารย์ว่าองคุลิมาลคิดจะทำร้าย อาจารย์จึงคิดจะกำจัดองคุลิมาลเสีย โดยบอกกองคุลิมาลว่า ถ้าจะสำเร็จวิชาต้องฆ่าคนให้ได้หนึ่งพันคนเสียก่อน องคุลิมาลจึงออกเดินทางฆ่าคน แล้วตัดนิ้วหัวแม่มือมาคล้องที่คอเพื่อให้จำได้ว่าฆ่าไปกี่คนแล้ว เหตุนี้เอง อหิงสกะจึงได้รับสมญานามว่า องคุลิมาล จนครบ 999 คน ก็มาพบพระพุทธเจ้า และได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ออกบวชเป็นพุทธสาวก
โจรองคุลิมาลได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล ก็วิ่งไล่จะฆ่าพระพุทธองค์ แม้องคุลิมาลจะวิ่งจนสุดกำลัง ก็ไม่อาจทันพระผู้มีพระภาค ผู้เสด็จไปตามปกติได้
เมื่อเป็นดังนั้น องคุลิมาลโจรก็ได้มีความคิดว่า น่าอัศจรรย์จริง เมื่อก่อนนี้ แม้ช้างกำลังวิ่ง ม้ากำลังวิ่ง รถกำลังแล่น เนื้อกำลังวิ่ง เราก็ยังวิ่งตามจับได้ แต่ว่านี่เราวิ่งจนสุดกำลัง ยังไม่อาจทันสมณะนี้ซึ่งเดินไปตามปกติได้ คิดดังนี้แล้ว จึงหยุดยืนกล่าวกะพระผู้มีพระภาคว่า จงหยุดก่อนสมณะ จงหยุดก่อนสมณะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาล ท่านเล่าจงหยุดเถิด
ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรคิดอยู่ว่า สมณศากยบุตรเหล่านั้น ปกติมักเป็นคนพูดจริงมีปฏิญญาจริง แต่สมณะรูปนี้ กำลังเดินไปอยู่แท้ ๆ กลับพูดว่า เราหยุดแล้ว คงจะต้องมีนัยอะไรสักอย่าง เราน่าจะถามสมณะรูปนี้ดูจะดีกว่า
ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค สมณะ ท่านกำลังเดินไป ยังกล่าวว่า เราหยุดแล้ว และยังกล่าวกะข้าพเจ้าผู้หยุดแล้ว ว่าไม่หยุด สมณะ ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า ท่านหยุดแล้วเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่หยุด เป็นอย่างไร?
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราหยุดแล้วในอกุศลกรรมทั้งหมด แต่เธอสิยังไม่หยุด เท่านี้ องคุลิมาลเหมือนถูกดาบเสียบหัวใจ สมัยโบราณเขาซื่อแต่สมัยนี้รับรองดิ้นยิ่งกว่ายิ่งลักษณ์ อาตมาว่าถ้าเขาหยุดจะได้รับการอภัย แต่ถ้าเขายิ่งดิ้นต่อไปยิ่งได้รับการลงโทษ คนมีปฏิภาณฉลาดรู้ว่าตนผิดพลาด ก็ยอมรับ ประเด็นสำคัญ ที่เขาผิดคือ เขาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เขาไม่ทำหน้าที่ ละเลยหน้าที่ ภาษาเหมือนเล็กน้อย คนโง่ๆ จะดูว่าดิฉันไม่ได้ผิดอะไร เขาพูดซื่อๆ เขาละเลยหน้าที่ที่ไม่ควรละเลย คนเตือนก็แล้ว ห้ามก็แล้ว ต้านก็แล้ว กูจะทำ แล้วเขาก็ทำจริงๆ ฉิบหายไปเป็นแสนล้าน เรื่องจำนำข้าว คนก็ผูกคอตายเป็น 10 คน แกก็ว่า ข่าวผูกคอตาย ไม่ได้ไปทำให้ คนที่ไม่เคยยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำผิด จะมีแต่ Coefficient ประสบความเสื่อมต่ำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ได้เรียน ปรมัตถ์ สัจธรรม หลงอยู่กับโลกีย หลงสวรรค์เก๊ ลงนรกจริง นรกเป็นอาริยสัจ สวรรค์เป็นสุขขัลลิกะ เป็นความเท็จ นรกเป็นอริยสัจเป็นความจริงแท้ของผู้ที่เป็นอาริยะเท่านั้นจะรู้ได้ ผู้ที่ไม่เป็นอาริยะจะไม่รู้จักว่า ทุกข์คืออาริยสัจ ส่วน สวรรค์ เป็นสุขเก๊ ของเก๊ แล้วนึกว่าตนเองมีตนเองได้ หลอกซ้อน
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ปริวิตกของพระโพธิสัตว์
ตั้งแต่อาตมาทำงานศาสนามาเกือบ 50 ปีแล้ว อาตมาได้สาธยายภาษาสัจจะมามาก ผู้ที่รู้สาระในสัจจะก็มาเอา อย่างพวกคุณ ผู้ที่ไม่เห็นจริงฟังแล้วก็คิดว่าจะจริงหรือ งงๆ สงสัย ถ้าน้ำหนักที่พอฟังขึ้นไม่มีเขาก็ผ่าน สะดุด แล้วก็ผ่านไม่เอาใจใส่ ส่วนคนฟังแล้วก็ว่าน่าจะดี แต่ไม่ใส่ใจ เพราะว่า แรงของลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข ดึงเขาไว้ โดยเฉพาะบุคลากรทางด้านศาสนา ถูกลาภ ยศสรรเสริญดึงไปหมด มาฟังโพธิรักษ์ก็ว่าดี แต่ทางโน้นดึงไปหมด
แบบพูดที่ฟังไม่เข้าใจก็จะบอกว่าพูดอยู่ได้อายุ 80 กว่าแล้ว ทำไมยังไม่ตาย คนอย่างนั้นก็มี ก็น่าสงสารเขา ต้องด่าต้องติเขา จะได้รู้ตัว ขืนไปชมเขาก็หลงผิดชื่นใจจมหนัก หรือปล่อยไปตามเวรตามกรรมก็ไม่ได้ อาตมาไม่ใช่คนใจจืดใจดำ เห็นคนจะตกน้ำตกนรกอยู่กับตา ก็ปล่อยไปทำมาทำไม่ได้
อาตมาทำงานมา ย่างเข้า 48 ปีมีผลอย่างที่เห็น และเท่าที่ภูมิธรรมอาตมาเป็นมิเตอร์วัดกระแสสังคม รู้สึกว่ากระแสสังคมดีขึ้นเข้าใจขึ้น ไม่มืดมัว โมหัน เหมือนในยุคต้นๆ จะเอาอาตมาตาย ต้องจัดการอาตมาให้ดับสูญให้ได้ เพราะไปขัดความรู้สึก ความรู้ย้อนแย้งอัตภาพเขา แต่เสร็จแล้วเขาทำไปสุดฤทธิ์แล้ว ได้ตัดสินว่าอาตมาดำเนินไปได้ มาถึงวันนี้ ก็ได้ผู้ที่มีดวงตามีปัญญาเข้ามา และขยายผลขึ้น ที่เพราะว่า เห็นผลว่ามีการขยายผล อาตมาจึงได้ปรารถนาอยู่ต่อไป แต่หลายปริวิตก ของอาตมาก็มีแวบๆว่า เอ้อ เราพอสักทีดีไหม เลิก หยุด สรุปคือ ตายจากโลกนี้เสียทีเถอะ หลายปริวิตกของอาตมามี รู้สึกเมื่อยจริงๆแล้วมันคงสุดที่แล้ว คงจะได้เท่านี้แหละ มันคงไม่ได้มากกว่านี้อีกแล้ว
แต่เมื่อพยายามเพ่งมอง เพ่งมองผ่านเมฆเฉกใจให้ช้ำ คล้ำดำซ้ำเป็นเห็นปานขวานผ่า
อาตมาแต่งกวี ไปสรรหาคำมาร้อยเรียงได้อย่างไร เขาอ่านกันก็ว่าอย่างนั้น อาตมาเคยแต่งกลอนกลบท ให้นสพ.ไทยโพสต์ คุณเปลวสีเงินก็ให้คุณชัชรินทร์ ชัยวัฒน์(ท่านขุนน้อย) ไปจัดการ ก็เขียนมาว่า ไปหาคำมาร้อยเรียงได้อย่างไรนี่ กลบทนั้นก็พอจำได้ เพราะว่าไม่ได้เขียนมากมาย อันนี้เป็นกลบท นาคบริพันธุ์
ศรีสวัสดิดาษด้าว แดนสาร
เด่นส่งดั่งปาฏิหาริย์ เห็จฟ้า
เหินเฟื่องเผ่นผยองยาน ยาวชีพ
ภาษากวีอาตมาเป็นภาษาโบราณ อาตมามีนามปากกา โบราณ สนิมรัก ต่อมาเป็น โบราณ นวทัศน์ ต่อมาเปลี่ยนเป็น โบราณ ใหม่เสมอ อาตมาใช้คำว่าโบราณในสามนามปากกา อาตมาเป็นคนโบราณจริงๆ แต่อาตมานี้ทันสมัยนำหน้าเขาไปหลายช่วงตัว เช่น อาตมาเข้าใจคำว่าประชาธิปไตย นำหน้ากับทั่วโลก อาตมาพิพากษาเลยว่าขณะนี้ในโลกสองร้อยกว่าประเทศนี้ ประชาธิปไตยของไทยดีที่สุดเจริญที่สุด ถูกต้อง ความเป็นประชาธิปไตยดีที่สุด แล้วอาตมาก็จะเรียกว่าดัดจริต เรียบเรียบความเป็นประชาธิปไตยถึง 77 ประเด็น
อาตมาก็ทำงานมาก็ไม่ใช่ไร้ผล ไม่เป็นหมันอะไร ได้ แต่ได้แล้วก็รู้สึกว่า ที่ปริวิตก ก็รู้ว่ามันแค่นี้จริงๆ จะไม่ได้อีกแล้วหรือ มันน่าจะจบจะหยุดได้แล้ว ก็เลยมาระลึกถึงว่า มันจะมีพลังงานเหลืออยู่ อาตมามองทุกอย่าง ทั้งสสารและพลังงานตั้งแต่อุตุนิยาม อาตมาอ่านพลังงานของจริง ที่เป็น ฟีโนมีนอน เป็นของจริงที่มีอยู่เป็นปรากฏการณ์จริงมี พลังงาน Coefficient มีอยู่จริงไหม
พลังงาน Coefficient ต้องเป็นจำนวนที่มีอัตราการก้าวหน้า progression ratio สภาพของพลังงานอันนี้ มันเป็นอัตราการก้าวหน้า มันยังก้าวหน้าอยู่ แล้ว Coefficient จะต้องมีอัตราการก้าวหน้า ที่มีพลังงานในระดับคูณ ไม่ใช่แค่บวก แต่ต้องมีคูณ ตอนนี้ไม่ถึงยกกำลัง มันเป็นระดับคูณอยู่ตอนนี้
แต่ถ้าอัตราการก้าวหน้าเป็นระดับต่ำกว่าคูณ เป็นระดับบวก อาตมาอาจจะถอย แต่นี่ก็ยังมีระดับคูณ Coefficient อาตมาจึงได้เอาคำว่า Coefficient มาอธิบาย ก็มีแต่อาตมานี่แหละเอาสิ่งเหล่านี้ที่เป็น อุตริมนุสธรรม มาอธิบาย
ตอนนี้มี ปรากฏการณ์ จริง status quo มันมีอยู่จริงไหม อาตมาก็ตรวจอ่านจริง ไม่ได้พูดโดยโวหาร อาตมาอ่านพลังงานนี้จริง เป็นพลังงานอรูป หรือพลังงานนามธรรม ที่เกิดจริงเป็นจริงในเอกภพ อาตมาว่าอาตมามีญาณอ่านออก ที่พูดนี้อาตมาอวดอุตริมนุสธรรม แล้วอาตมาท้าด้วยว่า ใครอวดอุตริมนุสธรรมเท่าอาตมาได้ อาตมาว่าสู้อาตมาไม่ได้หรอก
ที่อาตมาทำนี้อ่านปรากฏการณ์จริง status quo ที่มีอยู่จริงจึงได้จำนนว่า เราจะใจดำปล่อยปละละเลยทิ้ง มันไม่ถึงกับไม่ก้าวหน้าแล้ว แต่มีอัตราก้าวหน้าอยู่ สังขารร่างกายจะแย่อยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับทรมานทรกรรมเกินไป
สมณะฟ้าไทว่า...การพอของพระโพธิสัตว์คือ 1.คนไม่ก้าวหน้าและกับ 2.มันไปไม่ได้แล้ว สรีระไม่ได้แล้ว
พ่อครูว่า...ใช่ก็หนึ่งทำแล้วไม่เกิดความก้าวหน้า หรืออีกอย่างก้าวหน้าแล้วปล่อยได้แล้ว เลี้ยงลูกให้รู้จักโต คืออาตมา เป็นผู้ที่เลี้ยงลูกให้รู้จักโตเลี้ยงความแม่ให้รู้จักตาย คนไม่ได้รู้และทำอย่างนี้ก็โง่
เมื่อประเมินประมาณดูเหตุปัจจัยจริงแล้วก็ยังไม่สมควรตาย แต่อาจจะมีคนบอกว่า คนนี้สมควรตาย แต่เขายังฆ่าอาตมาไม่ได้ หนึ่งผิดกฏหมาย สองระวังบาปไม่ใช่เบา ทำร้ายฆ่าอาตมานี่บาปไม่เบา
ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ หนึ่งไม่สิ้นไร้ไม้ตอกยังดำเนินไปได้ดี สองสังขารร่างกายอาตมายังพอถูไถไม่เสื่อมโทรม เอ้า หามกูไปตีกับมันหน่อย ก็ไม่ถึงกับอย่างนั้น ยังมีเรี่ยวแรงกำลังวังชาของตัวเอง พอออกเรี่ยวแรงได้อยู่ ก็เลยต้องทำ สาม ทำไปเถอะ ที่อาตมาทำนี้เพิ่มพลังงานต่อแรงของล้อธรรมจักร ทำงานต่อแรงของล้อพระธรรมจักรให้หมุนไปถึง 5,000 ปีในอนาคต ก็เติมแรงนี้ได้อยู่ๆ แม้คนจะต้านไม่ให้อาตมาเติมไม่ให้ทำ อาตมาก็ยังสามารถเติมแรงของวงล้อพระธรรมจักรได้อยู่ ไม่ช้าหรือหมดแรง อาตมามองอย่างนั้น คนอื่นจะไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่ อาตมาเห็นว่าก้าวหน้าได้อยู่ก็ควรจะต่อ เพื่อความมั่นใจไม่ประมาท เผื่อพอ ถึงแม้จะเกินห้าพันปีก็ไม่เป็นไร ดีกว่าไม่ถึงห้าพันปี ก็ไปใหญ่โลกพังทลาย
หรือถ้าอาตมามาช่วยไม่ถึงห้าพันปี อาตมาเป็นผลเสีย มาแล้วทำไมไม่ต่ออายุศาสนาถึงห้าพันปี รีบตายไปทำไม? สหัมบดีพรหมมาอาราธนาด้วย
สหัมบดี คือ สห กับ บดี คือผู้เป็นใหญ่ทั้งหมดรวมกันมา
_0015การเชื่อถือและศรัทธาในอาจารย์ขององคุลีมาลกับศิษย์ธรรมกายมีนัยะที่เหมือนและต่างกันอย่างไรครับ
พ่อครูว่า...ธัมมชโยนี้หลอกลวงเลวร้ายได้มากกว่าอาจารย์ขององคุลีมาล เขาทำสำเร็จด้วย ธัมมชโยนี้มีนัยเลวร้ายกว่า อ.ขององคุลิมาลอีกหลายต่อหลายเท่านัก
_0015การที่พ่อท่านฯพาลูกๆมาอยู่ที่บ้านราชฯเป็นบุญญาวุธหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า...ทุกอย่างไม่เที่ยง แต่เราพยายามทำให้เที่ยง ตอนนี้พยายามขยายคำว่าบุญ คำว่าบุญไม่ใช่เรื่องสามัญที่คนจะเข้าใจได้ง่ายๆ
บุญคือการกระทำที่ลดกิเลสชำระกิเลสจากจิตสันดานให้หมดจดได้จริง แต่ถ้าได้ลดเป็นส่วนๆ คือได้ส่วนแห่งบุญ เป็นเสขบุคคล หากกำจัดกิเลสได้หมดสิ้นอาสวะ ก็เรียกว่า อเสขบุคคลเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ
SMS จากเฟซบุ๊ค
_อำภา รื่นใจดี : พระพุทธองค์ตรัสไว้แล้วว่าผู้ที่ตายแล้วจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกมีจำนวนเท่าดินที่ติดเล็บของพระองค์ท่าน ในเมื่อกลุ่มกระแสหลักเขาอยากเป็นดินก้อนใหญ่กอดคอกันไปนรกก็ปล่อยเขาไป ท่านพ่อครูเอาเสียงเอาเวลามาสอนดินที่ติดเล็บของพระองค์ท่านเถอะเจ้าค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน หลับตาปฏิบัติได้แต่เจโตสมาธิ
_รายงานสภาวะธรรม เมื่อชีวิตU-turn(ยูเทิร์น)ตึกขาว
ชีวิตที่ดิฉันU-turn(ยูเทิร์น)กลับตัวเอง จากอยู่สงบสบายอยู่ในบ้านที่ดิฉันคิดว่า ก็เจริญในธรรมดี สมดุลดีแล้ว ไปช่วยงานศูนย์อาหารหน้าวัด ชีวิตใหม่ของดิฉันต้องเหนื่อยกว่าเดิม ดิ้นรนกว่าเดิม แต่ก็พยายามที่จะจัดสมดุลใหม่ให้ลงตัว หลายวันนี้ดิฉันไม่ได้ใช้เงินเลย รู้สึกมีความสุขดีที่ไม่ต้องใช้เงิน อาหารเป็นหนึ่งในโลกจริงๆ ดิฉันรู้สึกว่า ตั้งแต่ไปช่วยงานวัด ได้พบปะผู้คน มีผัสสะมาทุกวัน ได้ทดสอบตนเองว่า จิตกระเพื่อมไหม? เวลามีคนแสดงอย่างนั้นอย่างนี้ พูดอย่างนั้นอย่างนี้
ดิฉันรู้สึกขอบคุณพ่อครูที่ช่วยกระทุ้ง(ด้วยบรรยากาศของบวร)ให้ดิฉันได้ออกมามีผัสสะมากขึ้น จากพลอยแผ้ว ชาวหินฟ้า(จอย) สุดชดา ทรรศนะวิเทศ
พ่อครูว่า... ก็ดีแล้วที่ได้ประโยชน์จากการกลับมา มาอยู่นี่มีผัสสะกระทุ้งกระแทกให้กระเพื่อม เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าต้องมี ผัสสะ มีเวทนา ถ้าไม่มีเวทนาไม่มีฐานให้ปฏิบัติ พวกนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีเวทนาให้เรียนรู้ พวกนี้เป็นโมฆะบุรุษ ไม่รู้จะศึกษาอย่างไร อ่านพระไตรปิฎกไม่แตก อ่านคำสอนพระพุทธเจ้าไม่แตก ไปหลงกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าให้ทิ้งแล้ว ให้มาคิดเสียใหม่ ไตร่ตรองตรวจตราใหม่ อ่านพระไตรปิฎกใน 45 เล่มให้ดี ถ้าอ่านแตกแล้ว เล่ม 9 พระสูตรแรกก็ชัดแล้ว
พรหมชาลสูตรท่านบอกไว้ว่า ทั้งหมดที่ไปปฏิบัติแบบนั่งหลับตา เป็นเพียงการทำเจโตสมาธิ ไม่ทำให้บรรลุได้ จะไปนั่งหลับตาตามเขาให้ปฏิบัติทั่วไป จะได้แค่อดีต 18 และอนาคต อีก 44 เป็นมิจฉาทิฏฐิ 62 อย่าง ซึ่งมีแค่นี้แหละในโลก
สูตรที่สองสามัญผลสูตร ปฏิบัติอย่างนี้จะได้ผลเป็น สมณะที่ 1 2 3 4 คือ สังวรศีล สํารวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ มีสันโดษ อันเป็นอาริยะ ปฏิบัติการลืมตา
คนสันโดษไม่ใช่คนโดดเดี่ยว แต่เป็นคนที่มีจิตใจเพียงพอ ไม่มักมาก พอแล้วก็น้อยลง นั่นคือจิตใจเจริญก้าวหน้า ปฏิบัติอย่างนี้
พระสูตรที่ 3 อัมพัฏสูตร ยืนยันว่าไปปฏิบัติแล้วจะมีความเสื่อมนั่นมี 4 หลัก ใหญ่ ขนาดนั้นศาสนาพุทธก็ยังไม่เสื่อม แต่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้แล้ว ว่าความเสื่อมของผู้แสวงหาอันผิดๆมีสี่ประการคือ
มีคนมองว่าโพธิรักษ์ก็สร้างใหญ่ แต่ที่จริงมันคนละทาง เขาสร้างไปทางนอกโลกดาวเทียม แต่นี่เราสร้างแต่ธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติมันฉิบหายหมดแล้ว เราไม่เคยไปบุกรุกป่าเขา แต่เราไปที่ไหนก็พาสร้างธรรมชาติจนเป็นป่า เราไม่ได้สร้างแบบดาวเทียม ออกนอกโลกบ้าบออย่างธัมมชโย ต้องมองให้ออก สร้างเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน
คนที่สร้างสิ่งที่ขาดแคลนสิ่งที่จำเป็นเป็นปัจจัยสำคัญของมนุษย์ของโลก สร้างคนดีให้แก่โลก คนที่ไปสร้างคนหลอกลวงโง่งมงายให้แก่โลก กับคนที่สร้างให้รู้ทันโลก และเป็นคนที่จะต้องช่วยโลก เกื้อกูลโลก มักน้อยสันโดษ กันคนสร้างให้คนมักมากใหญ่โต มันเป็นคนละทิศทาง ดูว่าเหมือนกันแต่มีนัยยะที่ไม่เหมือนกัน ต้องศึกษาเรียนรู้ให้ดีๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8
_กราบนมัสการพ่อครู อย่างสุดเศียรค่ะ จากหนังสือพิมพ์เราคิดอะไร ขอกรา
บเรียนขอพ่อครูช่วยขยายความตามพระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ "ปฏิบัติมรรค7 องค์" ปฏิสัมพัทธไปพร้อมกับ " โพชฌงค์" ทั้ง 7 จาก ชาวบ้าน[ที่เจตนาจะเป็นชาว(ข้าง)วัด]
พ่อครูว่า... มรรค 7 องค์เป็นตัวปฏิบัติ ส่วนมรรคที่ 8 คือสมาธิ เรียกโดยศัพท์ว่า เป็นสัมมาสมาธิ
สัมมาสมาธินั้นจะทำให้เกิดได้ เรียกว่าจิตตั้งมั่น สมาธิแปลว่าความตั้งมั่นของจิต แต่เขากลับแปลกันว่าเพ่งจิต แต่ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นวิจัย การวิจัยนี้เป็นของพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติมรรค 7องค์ แล้วจะสั่งสมผลเป็นสมาธิ เอกัคตาจิต ในพระไตรปิฎก มหาจัตตารีสกสูตร ล.14 ข.252-281
มีสติ ธัมมวิจัย วิริยะ พากเพียรวิจัย มีสตินำ เสมอๆๆ แล้วก็พยายาม พยายามให้เกิดสัมมาๆๆ ทำให้สัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปัญญา สัมมาวิมุติ หลุดพ้นจากกิเลส ทำให้กิเลสตายลงได้ก็คือบุญ เกิดความชำระกิเลสลงได้ ถ้าทำไม่หมดอาสวะอนุสัย เรียกว่าส่วนแห่งบุญ เป็นเสขบุคคล จนกิเลสหมด
ขณะที่ทำให้ลดลงได้เห็นความจางคลายวิราคานุปัสสี อ่านอาการจิตออก จับตัวกิเลสได้ ทำให้กิเลสจางคลายได้ ลดละจางคลายได้ ปีติก็เกิด เกิดโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ กิเลสลดได้เป็นปีติสัมโพชฌงค์ กิเลสหมด สงบลงเป็นปัสสัทธิ ตัวป.ปลา เป็นตัวดำเนินการงานให้สำเร็จ ในพยัญชนะ วรรคนี้ ในห้าวรรค ป เป็นวรรคสมบูรณ์แบบ เป็นวรรคของตัวทำงานให้เจริญบริบูรณ์ทุกอย่าง แล้วก็มีปฏิกิริยา ป ผ ภ ภ คือพัฒนาเจริญขึ้น ม คือจิต หากไม่เจริญก็เป็น มม คือมมังการ ตัวเริ่มคือ ก ตัวจบคือ ม ในโลกนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็คือเกิดจาก ก กับ ม นี่แหละ รวมกันเข้า เกิดโลกทั้งโลก คือ ก กับ ม
เมื่อสามารถทำปัญญาให้สมบูรณ์ลงตัว โพชฌงค์กับมรรค ทำงานร่วมกัน ในคำสอนพระพุทธเจ้ามีโพชฌงค์กับมรรค เป็นคำสอนหลักใหญ่ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เกิด โพชฌงค์ไม่เกิด การก้าวเดินคือโพชฌงค์ ทางเดินคือมรรค เขาก็เอาไปเป็นบุคลาธิษฐาน ว่า พระพุทธเจ้าเดิน 7 ก้าว ตอนเกิด อาตมาก็ถามต่อว่า แล้ว ก้าวที่ 7 เสร็จแล้ว ท่านนั่งหรือท่านนอนหรือท่านเดินต่อ บางคนก็แปลเป็นว่าพระพุทธเจ้าไปประกาศศาสนาใน 7 แคว้น
หลักใหญ่ของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้า อุบัติ โพชฌงค์ 7 จึงอุบัติ พระพุทธเจ้าเกิดมรรคมีองค์ 8 จึงเกิด ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ไม่เกิดมีได้ พระพุทธเจ้าก็มาปฏิรูปปฏิสังขรณ์ ให้ถูกต้อง
อาตมาที่ตั้งอกตั้งใจที่มาอธิบาย โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 รวมแล้ว ต้องเป็น โพธิปักขิยธรรม 37 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนคือ โลกุตรธรรม 37 ปฏิบัติไปแล้วจะเกิดผลเป็น บุคคล 8 และนิพพาน 1 เป็นโลกุตรธรรม 9 รวมแล้วเป็น โลกุตระ 46 พระไตรปิฎก ล.31 ข.620
ไม่รู้รูปนาม รูปมี 28 รูปคือตัวที่ถูกรู้ เราต้องฝึกฝนให้เกิดญาณปัญญาที่เป็นตัวรู้เข้าไปรู้ รูป 28 หากรู้อย่างมีสติปัญญา ก็มีวิชชา แต่ถ้าสัมผัสแล้วไม่รู้ ไม่มีตัวรู้เข้าไปวิจัยวิจารได้ก็วนกลับความไม่รู้อย่างเดิม ในโลกียภูมิแล้วหลงในกุศล
ฟังให้ดี
[911] โลกิยธรรม เป็นไฉน? กุศลในภูมิ 3 อกุศล วิบากในภูมิ 3 กิริยาอัพยากฤตในภูมิ 3 และรูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า โลกิยธรรม.
ถ้าคุณอยากได้วิมานอยากได้สวรรค์อยากได้อัตตา ก็ตั้งจิตจริงก็เป็นวิบากจริงเป็นอกุศลวิบาก แต่ถ้าทำอาการที่ไม่ดีออกไป ก็ได้เป็นกุศล จริงๆแล้วไม่มีกุศลแต่ไม่มีวิบาก มันหายไปเลยเพราะได้ฆ่าหรือชำระอกุศล วิบากก็ไม่มี ไม่มีผลเหลือก็ 0000 ไปเรื่อยๆ
และรูป 28 คุณก็ไม่รู้ ตั้งแต่ภายนอก แล้วมีปสาทรูป 5 ดำเนินบทบาทคือโคจรรูป ไปดำเนินบทบาทสัมผัสกับภายนอก ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ฯ เกิดภาวะสอง คืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ คุณไม่ได้เรียนเลย มีแต่ไปนั่งหลับตา มันเป็นพิษภัยมาก อาตมาก็นั่งหลับตาสะกดจิตมานักหนา อาตมาไม่ได้ทำได้ด้อยกว่าใคร เรียนรู้ให้สัมมา แต่ที่ต้องถล่มเพราะว่าทำด้วยอวิชชา ก็พาลงนรกหมด ไม่เกิดประโยชน์ไม่เกิดบรรลุธรรม ในความหมายของโลกียธรรม
เมื่อคุณไม่สามารถเรียนรู้รูป 28 ได้ จนกว่าจะมีญาณรู้ ถ้าไม่รู้รูปนาม ต้องมีญาณรู้ สัมผัส ตา หู จมูก ก็มีรูปเกิดขึ้นที่คุณจะไปรู้ได้(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) คุณถ้าไม่ได้เรียนรู้รูป 28 หรืออุปาทยรูป 24 เพราะฉะนั้นรูปทั้งหมดคุณอวิชชาเป็นโลกียะ ถ้าคุณรู้ก็เอามาอธิบายให้ผู้คนเข้าใจ แล้วจะได้ปฏิบัติ จะได้มีญาณหยั่งรู้สัมผัสรู้รูปต่างๆ แม้เป็นนามธรรม เป็นรูปที่เป็นนามธรรม
ดิน น้ำ ลม ไฟนั้น เป็นรูปก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่ปสาทรูปทำงานกับโคจรรูปเป็นรูป ที่เป็นภาวรูปสอง ก็ต้องรู้แล้วทำให้เป็นหนึ่งเดียวได้ จะทำได้ต้องรู้ ชีวิตรูปอาหารรูป ในทหยรูป ทำให้เป็นทีละ ปริเฉทรูป
_ยุคนี้เป็นภัทรกัปป์ แล้วในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระภัทรมหาราช เกี่ยวข้องกันไหม
พ่อครูว่า...ก็แค่เขียนอักษรก็เกี่ยวกันแล้ว
จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:28:21 )
รายละเอียด
600731_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำไมคนเราต้องมีโลภโกรธหลง
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560 ที่ บวร ราชธานีอโศก ตอนนี้สิ่งที่เป็นความสนใจของชาวราชธานีอโศกก็คือน้ำท่วม ค่อยๆขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่อื่น ท่วมเร็ว จะเป็นอย่างไรพ่อครูก็ยังคงต้องสอนธรรมะที่เป็นโลกุตระให้พวกเรา จนพ่อครูปริวิตกเมื่อวานก็พูดเรื่องนี้ วันนี้มีข่าวจะอ่านให้ฟัง
มหาเศรษฐีไทยใจบุญ บริจาคที่ดินมูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท เพื่อเปิดรพ.รักษาผู้ป่วยฟรี !!
ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ประธานกรรมการบริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด ผู้เดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(ร.9) ด้วยการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง
สุดยอดคนดี!! มหาเศรษฐีไทยใจบุญ บริจาคที่ดินมูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท เพื่อเปิดรพ.รักษาผู้ป่วยฟรี !!!!
ในปัจจุบัน อายุเริ่มมากแล้ว เลิกทำทุกอย่าง รับค่าเช่าจากธุรกิจเพียงเท่านั้น หันหน้ามาทำบุญอย่างจริงจัง ตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้บริจาคที่ดิน ซอยสุขุมวิท 24 จำนวน 3 ไร่ 130 ตรว. มีคนมาขอซื้อ700,000 บาท ต่อ ตรว. หรือ 6,000 ล้านบาท เพื่อก่อตั้งบริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด เพื่อดำเนินการโรงพยาบาล เพื่อคนจน มารักษาผ่าตัดตา และฟอกไตฟรี ใครขอซื้อก็ไม่ขาย จะให้เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน
เปิดใจครั้งแรก กับธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ผู้ถวายท่อนไม้จันทน์หอม สร้างพระโกศสมเด็จย่า และสมเด็จพระพี่นางฯ พร้อมเจริญรอยตามในหลวง ด้วยการเปิดบริษัท ทาสของแผ่นดิน รักษาต้อกระจกฟรีให้กับคนจน ความจงรักภักดี แปลว่า “ความยอมสละตนเพื่อประโยชน์แห่งท่าน” ยอมได้ทั้งนั้น เพื่อมุ่งประโยชน์อันแท้จริงให้มีแก่ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ความจงรักภักดีแท้จริงนี้เอง คือความรักชาติซึ่งคนไทยสมัยใหม่พอใจพูดอยู่จนติดปาก แต่จะมีสักกี่คนที่จะทำได้อย่างแท้จริง
ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ประธานกรรมการบริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด ผู้เดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง
จะมีคนธรรมดาสามัญสักกี่คน ที่จะมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด ความประทับใจ แต่พระราชดำรัส ” ขอบใจ ” ยิ่งทำให้เขามีความสุขจนไม่อาจลืม ชายวัย 51 ปี ชี้ไปยังจดหมายที่ใส่กรอบอย่างดีซึ่งติดบนผนังห้องทำงานอันมีใจความว่า ” ตามหมายแจ้ง ความประสงค์ถวายท่อนไม้จันทน์หอม เพื่อใช้ในงานพระราชพิธี ถวายพระเพลิงสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สำนักพระราชวังได้นำถวาย ความกราบบังคมทูล พระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงขอบใจ หจก.เอ็ม.เอ.ที. อิมปอร์ต-เอ็กซปอร์ต …”
ศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อ เกิดจากลมหายใจสุดท้ายครั้งหนึ่งเคยถูกลอบยิงเกือบเอาชีวิตไม่รอดต้องรักษาตัวอยู่ที่ร.พ.กรุงเทพคริสเตียน ในห้องไอซียู นานถึง 45 วัน และต้องทำการผ่าตัดถึง 6 ครั้ง “ เป็นช่วงเวลาที่ได้เห็นคนเสียชีวิตมากมายมหาศาล สัจธรรมเกิดขึ้นมาทันทีว่า ภาพที่เห็นคนตาย คิดในทางบวกถือเป็นความสุข เพราะไม่ได้นอนกับคนที่รักเราอย่างเดียว แต่ได้นอนกับคนที่ต้องตายทุกวัน คิดว่าน้อยคนนักที่จะได้มานอนกับคนตายแบบนี้ ระหว่างที่อยู่ไอซียูยังได้ยินเสียงทุกคนพูดตรงกัน คงอยู่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ครึ่งชั่วโมงนั้นทำให้รอดตายมาได้ นับว่าโชคดีและเป็นบุญอย่างหนึ่ง ถามว่าสะทกสะท้าน กับความตายไหม บอกได้เลยว่าไม่มี เลยได้คารมเด็ดๆในชีวิตว่า ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา ไม่เสียดายเวลาถ้าสิ้นไป เพราะว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เหตุนี้ ชีวิตที่เหลืออยู่ เขาจึงขอแทนคุณแผ่นดินด้วยการตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจกขึ้น เพื่อรักษาผู้ยากไร้ วันนั้นคิดว่า ถ้าผมกลับมาได้จะตอบแทนบุญคุณให้กับ แผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ได้ยังไง ถ้าไปกิน-นอนอยู่กับใครสักคนโดยไม่ทำอะไรให้ แต่อยู่อย่างสุขสบายไม่ช่วยเหลือและเกื้อกูล ไม่ทำอะไรให้เลย เขาจะเรียกว่าเนรคุณไหม และถ้าผมอยู่ในแผ่นดินนี้ ไม่ช่วยเหลือแล้ว ยังกอบโกยโกงกินผืนแผ่นดิน เขาจะเรียกผมว่าทรราชของแผ่นดินหรือเปล่า ”
เหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้เข้าใจในความเป็นมนุษย์และบุญคุณที่ต้องทดแทนแผ่นดิน” เมื่อปรึกษาหารือกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงสั่งซื้ออุปกรณ์การผ่าตัดดวงตา จากต่างประเทศ และสั่งซื้อรถห้องผ่าตัดเคลื่อนที่หลายสิบล้านบาท โดยเงินทั้งหมดในการซื้อ อุปกรณ์เป็นเงินส่วนตัวของผมที่ได้เก็บสะสมตลอดทั้งชีวิต ผมต้องการช่วยเหลือชาวบ้านผู้ยากไร้คนไทยในแผ่นดินด้วยกัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โดยมีผู้ป่วยถึง 200 ราย ได้รับการผ่าตัดต้อกระจก และสามารถมองเห็นอีกครั้ง 3 ปีที่ผ่านมาช่วยเหลือผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นได้ประมาณ 600,000 ราย
ทุกวันนี้ถามว่าคุณธานินทร์เหนื่อยไหมตอบทันทีว่า “ไม่เหนื่อยเลย ผมมาช่วยเหลือชาวบ้าน เพราะผมแบกความจนเอาไว้ การแบกความจนจะทำให้รู้ว่า เกิดเป็นคนอย่าลืมตัว เกิดเป็นวัวอย่าลืมตีน ดังนั้น ถ้าเราแบกความจนเอาไว้จะไม่ลืมความจนเลย วันนี้เราแบกความจนเอาไว้ก็จะพาประชาชนพ้นทุกข์ได้ และหากเราแบกความรวยเอาไว้เมื่อไร เราจะกลายเป็นคนลืมตัว ถ้าตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันก็ยังมีคนยากจนอยู่ในแผ่นนี้ ขอกลับลงมาเกิดในแผ่นดินนี้ดีกว่า ผมไม่ได้คิดที่จะเปิดศูนย์นี้เท่านั้น แต่มีความตั้งใจจะสร้าง ร.ร.อนุบาลเรารักในหลวง เพื่อต้องการปลูกรากแก้วให้กับเด็กๆ ”
ในทุกวันนี้เขาขอเดินรอยตามพระยุคลบาทองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ผู้ป่วยโรคต้อกระจกต้องการรักษาฟรี ให้ติดต่อที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว และนายชูศักดิ์ แก้วสุริยอร่าม บริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด อาคารพระมหากรุณาธิคุณ เลขที่ 98 ซอยสุขุมวิท 24 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขต คลองเตย กทม. 10110
สอบถามรายระเอียดได้ที่ 02-2629454-5,02-2618213-7 เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ 08.00-17.00 น.
รักษาตาฟรี !! ผ่าตัดต้อกระจก , ต้อเนื้อ ถวายในหลวง โครงการคืนแสงสว่างให้ผู้ป่วยต้อกระจกและต้อเนื้อทุกท่านมารับบริการผ่าตัดต้อกระจกและต้อเนื้อ ฟรี โดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ 08.00-17.00 น. เลขที่ 99/359-360 ซอยสุขุมวิท 24 ( เกษม) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 โทร 02 262 9454-5 แฟ็กซ์ 02 262 9454
เอกสารที่ต้องนำมา ให้ถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรทอง อย่างละ 2 ใบ แพทย์จะทำการตรวจคนไข้ใหม่เฉพาะวันพุธและวันศุกร์ กรุณาโทรแจ้งล่วงหน้า
SMS วันที่ 30 กรกฎาคม 2560 (วิถีอาริยธรรม)
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน อบายมุขที่ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน
_3867โลกกีฬาถ้าเป็นกีฬาเพื่อสุขภาพชีวิตภูมิคุ้มกันสังคมแข็งแรง!โลกกีฬาถ้าเป็นกีฬาเพื่ออบายมอมเมาเบี่ยงเบนสังคมเผลอเรอโลกทุจริตชน!
พ่อครูว่า...กีฬาโอลิมปิก ในโลกเขาถือว่าประเทศใดได้รับเกียรติจัดกีฬาโอลิมปิก ถือว่ายิ่งใหญ่ แม้จะกู้หนี้ยืมสินเขามาจัด ก่อสร้างอะไรเป็นเงินเท่าไหร่ไม่สน อาตมาเคยบอกว่ากีฬาโอลิมปิกจะเป็นกีฬาที่ทำลายโลกให้ฉิบหาย และเป็นต้นแบบให้เกิดกีฬา เซี๊ยบเกมส์ เอเชียนเกมส์ seagame กีฬาซี้เกมส์ จะเกิดอะไรอีกหลายอย่าง เห่อกัน โฆษณาทางการสื่อสาร ประเดี๋ยวก็เว้นวรรคให้ข่าวทางกีฬา
ถ้าเผื่อว่าธรรมะที่มีความจำเป็นแก่มนุษย์ในสังคมทุกสังคม สื่อสารมวลชน ทำรายการ จะสนใจ ออกข่าวคราว นำเสนอที่จะให้เป็นประโยชน์แก่สังคมก็ทำได้ แต่ทำไมคนไม่ทำ กลับไปทำอบายมุข ข่าวกีฬา บันเทิงเริงรมย์ออกมามาก เพื่อหารายได้จากบันเทิงกับกีฬา โลกก็ยิ่งถูกมอมเมาถูกทำร้าย โดยไม่เข้าใจว่า อบายมุขคืออะไร?
การละเล่น อบายมุข 6 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ตั้งแต่ 2600 กว่าปีแล้ว อบายมุข 6
1. เสพของมึนเมาให้โทษ
2. เที่ยวกลางคืน
3. ดูการละเล่นมหรสพ
4. เล่นพนัน
5. คบคนชั่วเป็นมิตร
6. เกียจคร้านการงาน
นี่คืออบายมุข 6 อบายมุขในข้อ 3 มหรสพการละเล่น มหรสพคือการบันเทิงเริงรมย์ การละเล่นก็คือกีฬา
อบายมุข แปลว่าหัวหน้าหรือปากทางนรกใหญ่ มุข แปลว่าใหญ่ คือปากทางนรกใหญ่ ก็ไม่เข้าใจกัน อาตมาเคยพูดถึงขั้นว่า ถ้าสังคมใดประเทศใด ยุคใด ราคาค่าตัวของดารา ราคาค่าตัวของนักกีฬาราคาแพง ประเทศนั้นเสื่อมต่ำ ถ้าราคาค่าตัวดารานักแสดง กีฬา ราคาสูงมาก นักมวยเกมใหญ่ๆที่เขาพยายามโปรโมทปลุกเร้าให้คนหลงใหล ชกกันว่าชั้นหนึ่ง ชกทีหนึ่ง เงินนักมวยเองได้กันเกือบพันล้าน
สอง อบายมุขยิ่งใหญ่ที่คนไม่ค่อยรู้กัน คือการทุจริตการโกง กุหนา ลปนา เป็นการทุจริตและโกงกินที่เกิดในสังคมใดประเทศใดยุคใด ที่มีการโกงกันหนัก ....เสื่อม ที่นั่นเสื่อม อันนี้ก็พอเข้าใจกัน แต่ไม่เข้าใจว่านี่คืออบายมุข ขณะนี้คนรู้สึกรู้สาไหมว่า คดีที่ดังอยู่นี่ คือคดีที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยกำลังดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากคดีนี้ คือคดีที่นายกฯทำอบายมุข นี่คือยอดมหาอบายมุข ทำให้ฉิบหายโกงหรือไม่ซื่อสัตย์สุจริตเสียหายฉิบหายไปเป็นแสนๆล้าน คนไม่รู้ก็งมงายถือหาง ที่พูดนี้ พวกฝ่ายแดงที่เขาว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ส่วนพวกผู้บริหารตอนนี้เป็นเผด็จการ เขาว่าตัวเขาเป็นประชาธิปไตย ซึ่งความเป็นประชาธิปไตยนี้ลึกซึ้งซับซ้อนมาก ทั้งในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือระบอบเผด็จการ อยู่ในทั้งระบอบคอมมิวนิสต์ อยู่ในระบอบประชาธิปไตย ความเป็นประชาธิปไตยมีอยู่ในนั้น โดยมีคนที่มีความรู้และประพฤติ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยแท้ไม่ต้องมีเลือกตั้ง
อย่างในยุคพระพุทธเจ้าเป็นยุคทาส เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เผด็จการ เต็มรูป เพราะว่า พระเจ้าแผ่นดินมีอำนาจสูงสุดในประเทศ อำนาจเด็ดขาดเลย
พระพุทธเจ้าเกิดในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทุกแคว้นในโลกยังไม่มีระบอบประชาธิปไตย แต่พระพุทธเจ้าก็เป็นนักประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่นำลัทธิของท่าน นำธรรมนูญของท่าน ประกาศไปทั่วแคว้น ทวีปอินเดีย มีธรรมนูญของท่านคือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล และมีพระวินัย เป็นกฎหมายอาญา ท่านก็ประกาศไปทั่ว พระเจ้าแผ่นดินในแคว้นในรัฐของทวีปอินเดีย แคว้นโกศล แคว้นมคธ เป็นต้น
พระเจ้าแผ่นดินในแต่ละแคว้นก็ยอมยกให้พระพุทธเจ้าหมด ยิ่งใหญ่ที่สุด อาตมาพูดนี้ไม่ทราบว่านักรัฐศาสตร์ฟังแล้วพอจะซาบซึ้งเห็นจริงสักแค่ไหน
เพราะประชาธิปไตยไม่ได้ตื้นๆว่า ต้องมีเลือกตั้งจึงเป็นประชาธิปไตย หากไม่มีการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ได้ตื้นเขินอย่างนั้นเลย
ประชาธิปไตยที่ต้องมีเลือกตั้งนั้น เป็นประชาธิปไตยที่ตกต่ำ
ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแท้จริงนั้นไม่ต้องมีเลือกตั้ง เพราะผู้ปกครองบริหารทำงานเพื่อประชาชน อย่างมีความรู้ความจริงใจให้มวลชนได้พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
จึงเป็นลักษณะประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างไม่ต้องเลือกตั้ง ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันนี้ พวกที่ก่อกวนวุ่นวาย หลงตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตยอยู่โวยวายว่า ระบอบเผด็จการๆ ความหมายของเผด็จการคือใช้อำนาจบังคับ เช่นใช้มาตรา 44 เขาก็บอกว่านี้คือเผด็จการ เขาจะใช้อำนาจนั้นกับสังคมเหตุการณ์เรื่องราวที่สมควรจะต้องใช้อำนาจนี้ อาตมาว่า พลเอกประยุทธ์นี้ ไม่ใช้มาตรา 44 กับพวกเอ็ง พวกก่อกวนวุ่นวายนี้ อย่างนายวัฒนาที่ออกมาโวยวายตอนนี้ก็น่าจะถูกใช้มาตรา 44 แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณพวกนี้บ้าง ในหนังแต่ละเรื่องต้องมีตัวโกง ผู้ร้าย ไม่อย่างนั้นหนังไม่สนุก ต้องขอบคุณพวกเขาอย่างหนึ่ง
มีคนถามมาว่า ทุกยุคของพระพุทธเจ้านี้ จะมีเหมือนอย่างพระเทวทัต ในยุคพระพุทธเจ้าทุกพระองค์หรือไม่ หรือมีเฉพาะบางพระองค์
พ่อครูตอบว่า มีทุกพระองค์ แล้วคนจะมีบทบาทที่จะเป็นตัวโกงให้พระพุทธเจ้า ไม่ได้สั่งสมวิบากไว้น้อยๆนะ สั่งสมวิบากเลวขนาดหนักนะ ถึงจะได้เป็นตัวโกงในยุคพระพุทธเจ้า ถ้าอยากจะเป็นบ้าง
ในยุคนี้ ประเทศไทยเราต้องมองในมุมกลับ อย่าไปเสียใจหรือนึกน่าเสียดาย ที่มีคนชั่วแสดงบทบาทอยู่
สมณะฟ้าไทว่า...ผมสงสัยว่า คนดีมาเกิดด้วยคนชั่วมาเกิดก่อน
พ่อครูว่า... มันแยกไม่ออกหรอก ถ้าในโลกจะแยกกุศลแล้วไม่ให้มีอกุศลเลยก็ไม่ได้ จะให้มีแต่ดีในโลกนี้ก็ไม่ได้ หรือจะชั่วจนไม่มีดีเลยก็ไม่ได้ จะเกิดก่อนหรือหลังก็เป็นอจินไตยตัดกรอบตรงไหนไม่ได้ มีเหตุปัจจัยเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน กีฬาและบันเทิงคืออบายมุข
ก็ขอปรามพวกเรา … ว่ามีคนถามว่าทำไมที่นี่ไม่สอนให้เด็กออกกำลังกาย อาตมาก็ขอตอบไปอย่างนี้ก็แล้วกัน กีฬานี่เพื่อสุขภาพหรือเพื่อมอมเมาอบายมุข
ถ้ากีฬาเพื่อสุขภาพนี้ไม่มีอะไรมากหรอก คนที่ทำงานออกกำลังอยู่แล้วเช่นชาวไร่ชาวนา เหงื่อไหลไคลย้อยก็ได้ออกกำลังกายของเขา นั่นก็ดีแข็งแรง ผู้ที่ใช้แต่สมองไม่ได้ออกกำลังร่างกาย หรือนั่งอยู่ในที่ที่ไม่ได้ออกกำลัง องค์ประกอบชีวิต พวกนั้นจะเป็นคนอ่อนแอไม่เกิดความสมดุลในพลังงาน ในโลกจะต้องมีการเคลื่อนไหวและความนิ่ง Static And dynamic อย่างสมดุล
คนเราไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายให้มากเกิน อย่างที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้มันเกินไป บอกว่าเล่นกีฬาจะได้แข็งแรง แต่พวกนักกีฬามีชีวิตที่เสื่อมในบั้นปลายทั้งนั้น มันเวอร์ อาตมาเคยเป็นนักกีฬา เวลาอยู่ในสนามแข่ง คุณใช้พลังงาน over มีพลังงานเท่าไหร่ก็ต้องใช้ออกมาเพื่อให้เกิดการชนะ การแข่งบอล หากไม่จบเกมส์ ตอนไหนที่เราต้องการให้ชนะ จะหมดเวลาแล้ว ตายเป็นตาย ก็ควักพลังงานพิเศษออกมาหมด แม้แต่ซ้อม โอเวอร์โหลด มันเกินไป คนส่วนใหญ่ไม่ใช่นักกีฬา อายุยืนยาวกว่านี้ ได้สัดส่วนเหมาะสมกว่านี้ ตัวของนักกีฬาเองอายุไม่ยืนยาวหรอก ที่เล่นจัดๆ เป็นสัจจะ ดีไม่ดีเป็นโรคภัยมีความพิการอีก ส่วนใหญ่จะเป็น เพราะมันไม่ใช่ นักกีฬาจะเป็นอาชีพ
หากเอากีฬามาเป็นอาชีพมีความเสื่อม เอาเต้นรำร้องเพลง บันเทิงเริงรมย์มาเป็นอาชีพก็เป็นความเสื่อมแล้ว มันเป็นอเมเจอร์ทั้งนั้น เป็นเรื่องสมัครเล่น ชั่วครั้งชั่วคราว อยู่ในวงวรชีวิต บางทีก็พักผ่อน Relax ไม่ใช่อาชีพ ไม่ใช่ Occupation
ยิ่ง Professional ยิ่งต้องชำนาญ จะมีกีฬาได้อย่างไร คืออาชีพประจำที่เก่งสามารถ เพราะฉะนั้นสังคมใดคนใดก็แล้วแต่เอาอบายมุขมาเป็นอาชีพ หากิน แล้วมันจะเจริญตรงไหน เอานรกมาเป็นอาชีพ
พวกนักธุรกิจที่โกงได้โกงดีหาเล่ห์เหลี่ยมเอาเปรียบคนอื่นได้ เช่น พวกขายตรง หาวิธีจิตวิทยาเอาเปรียบเขาได้มากๆ คืออบายมุขทั้งสิ้น นักการเมืองที่ทำงานการเมืองก็เป็นช่องทางได้โลกธรรมโลกียธรรม ได้ลัดๆเร็วๆ แล้วติดยึด นั่นคืออาชีพอบายมุข ในทิฏฐิของเขา ถ้าเป็นนักการเมืองโดยไม่ได้เอาเป็นอาชีพ ซื่อสัตย์สุจริตทำงานเสียสละแก่ประชาชนมวลมนุษยชาติจริงๆ คือนักการเมืองแท้ ก็เป็นเถอะ
แต่พวกนักการเมืองที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ทำให้คำว่าการเมืองเป็นคำที่น่าเกลียด ...อย่าไปเล่นนะการเมือง ...ฉันไม่ได้เล่นการเมือง...ฉันจะทำการงานอาชีพทำมาหากิน... ฉันไม่เอาหรอกการเมือง แสดงว่า นักการเมืองอาชีพถูกเหยียดหยามถูกลบหลู่ การเมืองทุกวันนี้จึงเป็นอบายมุขไปแล้ว ได้เป็นนักการเมืองสมัยเดียวก็รวยเลอะเลย เขาทำสิ่งเหล่านั้น เป็นเรื่องชั่วบาปทั้งสิ้น คือความไม่เข้าใจในพฤติกรรมสังคมมนุษย์ แล้วตัวเองก็ไปมีการกระทำแบบนั้น ในสังคม
พูดถึงมุมนี้แล้ว กลับมาพูดถึงอีกมุม ว่า ชาวอโศกคือคนกลุ่มหนึ่งของคนไทย ที่อาตมาได้พาทำ ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าและเข้าใจ ว่า ถ้ามีธรรมะของพระพุทธเจ้าจะต้องมีสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ อย่างนี้
มีสัมมาอาชีพถึงขั้นทำงานฟรี ทำงานไม่ต้องสะสมเอาอะไรเป็นของตน เป็นคอมมิวนิสต์ชนิดปู่ทวดของคอมมิวนิสต์ เพราะทำงานแล้วให้ ทำงานแล้วให้ส่วนกลางหมด ไม่มีการบังคับด้วย เป็นชาวอโศกนี้จะว่าเป็นลัทธิ ทฤษฎี ก็คือมีทิฏฐิแบบนี้ คนมานี่อิสรเสรีภาพ เพราะทุกคนมาอย่างสมัครใจเองที่จะมาที่นี่
เป็นการสมัครใจโดยที่ว่า แม้แต่อย่าว่าแต่ทำโฆษณาหาเสียง หรืออย่าว่าแต่ไปและเล็มเลียบเคียง พูดประเล้าประโลม หลอกล่อก็ไม่ทำ มีแต่พูดตรงๆว่ามาที่นี่ให้มาจน มาให้มักน้อยสันโดษ มาให้ขยันหมั่นเพียร มาที่นี่มาเสียสละนะ มาเหนื่อย มาที่นี่มาไม่สวยไม่งามนะ ไม่เคยล่อลวงประเล้าประโลมหลอกอะไร พูดตรงๆเลย มาที่นี่บางทีเขาหาว่าเป็นบ้าด้วยซ้ำไป
เป็นการยืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้ตรัสไว้ว่า มาขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มาทำแบบคนจน เราก็ทำมาสอดคล้องกับในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นทิฏฐิที่สอดคล้องกัน ตรงกับของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก
เสร็จแล้ว ชาวอโศกก็เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย จนกระทั่งมาเป็นหมู่บ้าน ได้รับการรับรองทางนิตินัย ราชธานีอโศก ชุมชนศีรษะอโศก ที่อื่นๆแม้จะไม่เป็นนิตินัยแต่ก็มีการบริหารปกครอง มีวัฒนธรรมประเพณีอย่างนั้นจริงๆ เกือบจะ 40 ปีแล้ว อาตมาตายไปแล้วก็ไม่เลิกทำ
อาตมาไม่คิดว่าแบบอย่างพฤติกรรมเช่นนี้วัฒนธรรมเช่นนี้ การประพฤติในสังคมตามทฤษฎีแบบนี้ แม้แต่ว่า อาตมาจะตายไปแล้ว หรือผู้นำที่ทำอยู่ตอนนี้จะตายไป รุ่นแก่รุ่นโตตายไปแล้ว รุ่นหลังๆมา ก็จะไม่เอาแล้ว เลิกทำแล้ว อาตมาไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น อาตมาว่า ความเห็นเช่นนี้อย่างชาวอโศก ความเข้าใจเช่นนี้ลัทธินี้เกิดแล้วฝังรากแล้ว แต่มันจะไปได้กว้างไกล คนจะมานิยมมาก จะได้เป็นมวลส่วนมากไหม ตอบได้ว่า ไม่ เพราะอะไร?
ตอบให้ตรงกับพระพุทธเจ้าว่าเป็นการทวนกระแสสังคม ตรงกันข้ามกับโลกียะ มันเป็นโลกุตระ มันคนละเรื่องกัน
เพราะฉะนั้นคนในโลกนี้หลงโลกียะมหาศาล กระแสมันไปอย่างนั้น ส่วนเรื่องโลกุตระเป็นเรื่องทวนกระแส มาได้ขนาดนี้แค่นี้ ไม่มีใครชมก็ช่างเถอะ มันได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(หลักตรวจสอบธรรมวินัย) ตอน สำนักไหนทำตามพระธรรมวินัย
พูดก็พูดเถอะสำนักต่างๆเกี่ยวกับศาสนาพุทธ มีครูบาอาจารย์หลายรุ่นแล้ว แต่ละสำนักแต่ละสำนัก อยู่ในเมืองอุบลก็มีหลายสำนักที่เป็นอาจารย์ใหญ่ๆดังๆ ที่สิ้นชีพไปก็มียังไม่สิ้นชีพก็มี ถามสิว่า แต่ละสำนักๆ ได้พาปฏิบัติกันแล้ว เอาหลักฐานธรรมะพระพุทธเจ้ามาตรวจสอบ ตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้า พาเป็นไหม เช่น
หลักตรวจธรรมวินัย 8 โคตมีสูตรหรือกถาวัตถุ 10 หรือวรรณะ 9 แม้ที่สุด สาราณียธรร 6 พุทธพจน์ 7 สำนักไหน กลุ่มไหน แต่ละอาจารย์จะได้พากันปฏิบัติ เกิดมวลรูปธรรมที่เป็นพฤติกรรมสังคม เอาหลักฐานพวกนี้มาตรวจสอบเทียบวัด สำนักไหนจะใกล้เคียงกว่ากัน ตามหลักการพระพุทธเจ้า
ได้ตรวจสอบไปตั้งแต่ธรรมกาย แล้วไปที่สำนักที่รุ่งเรืองอื่นๆ ในประเทศไทย(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...ทดสอบแล้วก็ไม่เห็นจะมี มีแต่คนไปฟังธรรม อยากจะมาเป็นคนจนมักน้อยสันโดษกินน้อยใช้น้อยทำงานเพื่อสังคมอย่างจริงจังและเหนียวแน่นขนาดนี้ไม่มี เขามีก็ยังไปแจกอาหารมังสวิรัติที่สนามหลวงเขามีกันแค่สองสามคน แต่ของเราไปเป็นมวล เป็นชุดๆ เปลี่ยนกันไป
พ่อครูว่า...พูดไปแล้วเหมือนร่ำร้องให้คนมาเห็นมายกย่อง ก็เลยไม่ค่อยอยากจะพูด แต่ชาวอโศกได้เกิดมา 30 ถึง 40 ปีแล้ว เกิดเป็นวัฒนธรรมสังคมมีมนุษย์คือคนจริงๆ เข้ามาเป็นจริง เข้ามาเรียนรู้ประพฤติปฏิบัติ เอาชีวิตมาทิ้งจริงๆ คนละ 10 ปี 20 ปี 30 ปี 40 ปี กว่า 40 ปี ต่างคนก็อยู่เนิ่นนานมา อาตมาทำงานมา 47 ปีแล้ว มั่นใจว่าไม่เปลี่ยนแปลงไปทิศทางอื่นแล้ว มีความมั่นคงเด็ดเดี่ยว แล้วก็มีความสุข
ข้อสำคัญคือมีความสุข ขออภัยไม่อยากใช้ภาษาคำว่าความสุข เพราะว่าความสุขเป็นคำที่ พูดอย่างโลกุตระ ศาสนาพุทธนั้นไม่มีความสุขหรือทุกข์แต่จำเป็นต้องขอใช้คำว่าสุขมาเรียกขานสภาวะเช่นนี้ แบบนี้ เป็นขั้นตอน คือ
ที่จริง สุข ในพยัญชนะที่ลึกสุดมันแปลว่าความว่าง
ผู้ที่มาเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นธรรมะที่มีสภาวะพยัญชนะภาษาสื่อให้รู้ให้ไปถึงสภาวะที่จริงครบพร้อมลึกซึ้งสมบูรณ์ บริบูรณ์ สัมบูรณ์ที่สุด ที่จะเป็นมนุษย์เป็นสังคมมนุษย์ แล้วมีพฤติกรรมของแต่ละคนจนเกิดเป็นพฤติกรรมสังคม อย่างชาวอโศก มีพฤติกรรมสังคมแบบชาวอโศก ทำกันอย่างเปิดเผย ไปไหนๆก็รู้แล้วว่าพวกนี้ชาวอโศก จะปลอมตัวอย่างไรก็รู้ อย่ามาปลอมตัวเสียให้ยากเลย เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้แล้ว มีพฤติกรรมที่กินลึกถึงจิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง อาตมาทำงานปลูกฝังมา 40 กว่าปี เกิดหมู่กลุ่มแข็งแรงมาอย่างนี้
_5845กราบนมัสการพ่อครูเป็นหนึ่งเดี่ยวในโลกในยุคนี้ที่สอนโลกุตระ+นิพพานนอกนั้นสอนวิธีเวียนว่ายตายเกิดทั้งนั้นความเห็นของข้าน้อย?ฟ้าห่วน
พ่อครูว่า... ตอบตรงๆว่าจริง ที่เขาสอนกันไม่ได้สอนเพื่อนิพพาน แต่สอนแล้วมีภพชาติสร้างภพชาติ ก็คือการเวียนว่ายตายเกิด ยกตัวอย่างธัมมชโย พระไตรปิฎกมาเปิดทานสูตรว่า อย่าหวังอะไรแม้แต่นิด ไอ้หวังต้องตายแน่นะ ทานแล้วต้องทำใจในใจ มนสิกโรติ ต้องทำใจในใจของเรา การทำใจในใจก็คือปฏิบัติธรรม หรือมนสิกโรติ ผู้ใดทำทาน อัตถิทินนังทำแล้วมีผลมีอานิสงส์ เพราะทำทานแล้วจิตไม่ได้สร้างภพชาติ ทำทานแล้วจิตเราไม่ได้อยากได้อย่างนั้นอย่างนี้ อยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรืออยากจะได้อะไรตอบแทนไม่มี
จิตเราทานคือให้ ถ้าต้องการอะไรตอบแทนคือการแลกเปลี่ยน คือการซื้อขาย หรือการเช่ายืม ต้องใช้หนี้ ชาตินี้ไม่ใช้ก็ชาติหน้าใช้
อาตมาพาทำนี้ทำแบบมาจน ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์ มีพระจริยวัตรเป็นพระโพธิสัตว์มาตลอด ท่านสอน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา พวกนักเศรษฐศาสตร์ฟังแล้วก็จะไม่เข้าใจ ท่านก็ตรัสอย่างจริงพระทัยของท่าน ตามสบาย ไม่มีอะไรซับซ้อน แม้ไม่ทรงอธิบายก็มีพระจริยวัตรจริง
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูชาตินี้มาแสดงเนื้อแท้อย่างไม่มีอลังการพวกผมจึงไม่ได้มาเพราะอลังการ
พ่อครูว่า...แสดงแบบไม่ปกปิด ขนาดนั้นก็ยังไม่เห็นชัดเลย อาตมาว่าอาตมาเปลือยธรรมะอย่างเกลี้ยงหมดเนื้อหมดตัว ไม่มีอะไรปิดบังอำพราง ตรงเต็มที่เลย อย่างขนาดนั้นยังไม่เห็นกัน
_3867 กราบอนุโมทนาบุญพ่อครูฯกับธ.อันพาทุกชีวิตหลุดพ้นโลกียะด้วยโลกุตระธ.46จากพระตปฏ.ยุคนัทธวรรค โลกุตรคถา31/620
SMS จากเฟซบุ๊ค
_เอกีภาวะ วิชชาราม : น้อมกราบขอบพระคุณ ท่านสมณะใต้ดาว ที่ให้โอกาสและเมตตา แนะนำทิศทางบำเพ็ญบุญเจ้าคะ กราบพระคุณอย่างสูงเจ้าคะ
_ณัฐไทย : กราบนมัสการค่ะ ฟังธรรมะเพื่อเตือนสติแม้จะยังเข้าไม่ถึงเท่าที่ควรแต่ก็รู้สึกดีมีข้อคิดที่ดีมากๆ ช่วยในด้านจิตใจได้ดีมากๆ เจ้าค่ะ
_เอกีภาวะ วิชชาราม : ดีใจจังวันนี้พ่อครูดูแข็งแรงแล้ว โอมเพี๊ยง จงแข็งแรงมากๆ สาธุเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า...มีของคุณอโศกสัมปวังโก
_1 ในปัจจุบันได้มีทฤษฎีแพทย์ทางเลือกเกิดขึ้นหลายกลุ่มในสังคมชาวอโศก สิ่งที่แต่ละคนยึดตรงกันคือมังสวิรัติ แต่หลักการและรายละเอียดต่างๆที่ไม่ตรงกันนั้นก็มีไม่น้อย หลักการบางหลักการถึงกับขัดกันอย่างตรงกันข้าม มีความบาดหมางใจกันเกิดขึ้นหลายครั้ง จากการถกเถียงกันในเรื่องเหล่านี้ บางกลุ่มพยายามจะให้คนเข้าใจว่า อาจารย์ของตนคือชีวกโกมารภัตกลับชาติมาเกิด การที่พ่อท่านไม่ยอมหาข้อยุติและให้ความกระจ่างชัดในเรื่องนี้ เป็นเพราะว่ายังไม่ถึงกาลเวลาอันสมควรใช่หรือไม่ครับ หรือว่าพ่อท่านยังมีหลักฐานอ้างอิงไม่เพียงพอ
พ่อครูว่า...จะให้อาตมาไปยุติอะไรล่ะ เรื่องแพทย์ทางเลือก เป็นธรรมดา ความสามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ โลกใดไม่มีความขัดแย้งสังคมใดไม่มีความขัดแย้งสังคมนั้นเป็นสังคม เสื่อมเน่า สังคมใดโลกใด ไม่มีความขัดแย้งอันพอเหมาะ ก็เสื่อม อาตมาว่าอโศกมีความขัดแย้งอันพอเหมาะอยู่ตลอดเวลา
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ญาณ 7 พระโสดาบันข้อ 1
มีอยู่ประเด็นหนึ่ง ถ้าใครจับประเด็นได้ คนเจริญคือคนเป็นอาริยะ เริ่มเป็นอาริยะ เป็นพระโสดาบัน ปัญญาของพระโสดาบัน ข้อที่1 คือคนเต็มไปด้วยปากหอก
ญาณ 7 พระโสดาบัน
1.รู้จักปริยุฏฐาน(คือกิเลสขั้นต่อไป)กิเลสกลุ้มรุม คือกิเลสนิวรณ์5. (ยังวิวาทกันด้วยหอกคือปากเพราะคิดเรื่องโลกนี้/โลกหน้า) แม้ยังละปริยุฏฐานกิเลสไม่ได้ ก็รู้ ไม่มีที่จะไม่รู้จักปริยุฏฐานนั้น และย่อมมีทิฐิตั้งปณิธานจิตไว้เพื่อไปสู่การตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย
พระโสดาบันจะรู้จักกิเลสขั้นต้น วีติกมกิเลส จะผ่านได้แล้วไปยืนในฐานปริยุฏฐานกิเลส
บางทีละกิเลสปริยุฏฐานยังไม่ได้ แม้ได้ผ่านวีติกมกิเลส แต่รู้ว่าตนไม่ผ่านปริยุฏฐานกิเลส แต่ตั้งใจไปให้สุดถึงหมดอนุสัยกิเลส แต่สำคัญคือยังมีการวิวาทกัน เป็นปากหอก คือมุขสตี คือข้อที่1 เลย
แวะมาแค่นี้ก่อนไม่ลงถึงหมดญาณ 7
คนที่มองไม่เข้าใจชัดเจน จะมองว่าต้องไม่ขัดแย้งแต่ว่า ผู้รู้จะรู้ว่าขัดแย้งมาก แต่ถกกันอย่างเก่ง แล้วเรียบร้อยดีคือเจริญ อย่างชาวอินเดียแม้จะเถียงกันมากมายแต่ไม่ลงมือลงไม้ตบตีกันเลย เพราะเขามีรากฐานพุทธศาสนา หรืออย่างพระทิเบตเวลาถกธรรมะกันหน้าดำหน้าแดง เอาจริงเอาจังเพื่อให้ชัดเจน แต่ของไทยก็ถกกันอย่างนั้นแหละ
_2 พระวินัย เภสัชขันธวรรค และอีกหลายๆวรรค ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพ(ตามความเข้าใจของผม) ซึ่งอาจารย์แพทย์ทางเลือกกลุ่มต่างๆได้นำมาตีความเข้าข้างทิฏฐิและความเข้าใจของตัวเอง กระผมได้ติดตามฟังเทศน์พ่อท่านมาประมาณ 10 ปี ยังไม่เคยได้รับการฟังขยายความในเรื่องเหล่านี้จากพ่อท่านเลยครับ อยากจะให้พ่อท่านนำเอาพุทธพจน์ดังกล่าวมาขยายความก็เพื่อที่จะยุติความขัดแย้งข้อโต้เถียงต่างๆที่เกิดกับกลุ่มสุขภาพบุญนิยมเพื่อให้พ่อท่านได้โปรดพิจารณาครับ
พ่อครูว่า...ก็บอกไปว่า ความขัดแย้งที่พอเหมาะคือความเจริญ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน หายป่วยด้วยโพชฌงค์ 7
_3 ที่ผ่านมาได้มีญาติธรรมหลายคนเมื่อตนเองป่วยได้วานให้คนอื่นสวดโพชฌังคปริตรให้คนฟัง หวังจะให้ตัวเองหายจากโรคภัยที่เป็นอยู่เพราะเคยได้ยินได้ฟังมาว่าในครั้งพุทธกาล มีผัวหายป่วยจากการนอนฟังสวดโพชฌังคปริตร
พ่อครูว่า...โพชฌังคปริตร ก็คือ โพชฌงค์ 7 คือสูตร อธิบายถึงนัยยะของความหมายโพชฌงค์ 7 ให้กัน คำว่าโพชฌงค์ 7 คู่กับมรรคองค์ 8 พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นโลกจะมีโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ ก็จะไม่มี
การเจ็บป่วยทุกวันนี้มีทั้งการเจ็บป่วยร่างกายและทางจิตใจคือนามธรรม แม้ทางแพทย์ปัจจุบันก็ยอมรับแล้วว่า ถ้ารักษาจิตใจ โรคภัยก็จะหายไปกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ โรคทางร่างกายมีเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ โพชฌงค์ 7 ก็คือทางด้านจิตวิญญาณ เมื่อผู้ใดได้ทำใจในใจ ได้ผล ก็จะหายเจ็บป่วยได้มาก ชาวอโศกไปรักษาที่โรงพยาบาลไหนเขาจะชมว่า รักษาไม่ยาก ง่าย
การรักษาอย่างพวกเราเป็นความถูกทางโพชฌงค์ แน่นอนว่าจะหายจากโรค เพราะตั้ง 60 เปอร์เซ็นต์แล้ว
สมณะฟ้าไทว่า...คนที่มีอาริยะคุณมากจะป่วยน้อย
พ่อครูว่า... ปฏิบัติธรรมอย่างมีหลักโพชฌงค์ 7
1. สติ (ความระลึกได้) เปรียบเหมือนจักรแก้ว
2. ธัมมวิจัยะ (ความเฟ้นธรรม) เปรียบเหมือนช้างแก้ว
3. วิริยะ (ความเพียร) เปรียบเหมือนม้าแก้ว
4. ปีติ (ความอิ่มใจ) เปรียบเหมือนมณีแก้ว
5. ปัสสัทธิ (สงบจากกิเลส) เปรียบเหมือนนางแก้ว
6. สมาธิ (ความมีใจตั้งมั่น) เปรียบเหมือนคหบดีแก้ว
7. อุเบกขา (ความมีใจเป็นกลาง) เปรียบด้วยปรินายกแก้ว
(พตปฎ. เล่ม 11 ข้อ 81)
ผู้ใดป่วยแล้วทำใจได้เก่ง อุเบกขาได้ว่าง ก็ง่ายสบาย หากไปครึ่งต่อครึ่งไหม แล้วปฏิบัติจริง ถ้าเอาแต่ท่องสวดแต่ไม่ได้ปฏิบัติจริงก็ไม่หายหรอก ผู้ที่เอาไปให้ฟังไม่รู้จักหลักการนี้ ป่วยเจ็บแล้ว ทำเหตุปัจจัยให้หาย ต้องรู้จักแก้เหตุ หมอจะรักษาก็แก้เหตุ ถ้าแก้เหตุไม่ตรงไม่หายหรอก ถ้ามีสติ มีการรู้จักเหตุ ธัมม มีความพากเพียรทำใจให้ดี อย่าห่อเหี่ยวมีปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา เป็นฐานนิพพาน
_4 ผมเข้าใจว่าในความหมายของคำว่า คิลานเภสัช ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า คิลานเภสัชคือยาแผนปัจจุบันที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาโดยเภสัชกรปริญญา เพราะมีองค์ความรู้ว่าการผลิตยาเม็ดนั้นมีมา 3000 ปีแล้วในวงการแพทย์แผนไทยเข้าใจว่า คิลานเภสัช เป็นยาสมุนไพรเพราะมีองค์ความรู้ว่าหมอชีวกโกมารภัจเป็นหมอที่รักษาคนป่วยไข้ด้วยพืชสมุนไพร ส่วนการแพทย์ ของทิเบตเข้าใจว่าหมอชีวกโกมารภัจเป็นหมอที่รักษาคนไข้ด้วยองค์รวม เช่นการใช้ชีวิตที่จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยน้อยที่สุด หรือเมื่อเจ็บป่วยแล้วก็จะทำให้เกิดความทุกข์น้อยที่สุดและหายได้เร็วที่สุดมีความคล้ายกันกับทฤษฎี 8 อ ของพ่อท่าน ผมคิดว่าความเข้าใจโดยส่วนใหญ่นั้นไม่สัมพันธ์กับข้อสรุปของวงการแพทย์ ที่ว่าการกินยามากๆทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อตับไตเป็นต้น ส่วนความเข้าใจการแพทย์แผนไทยนั้นก็ไม่สอดคล้องกับคำว่าปัจจัย เพราะคำว่าปัจจัยข้อหนึ่ง คืออาหาร เครื่องนุ่งห่มที่อยู่ ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องใช้อยู่ประจำ ในวงการแพทย์สรุปไว้ว่า แม้แต่สมุนไพรถ้าใช้เป็นประจำหรือมากเกินไปก็ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน ดังนั้นคำว่า คิลานเภสัช ตามทฤษฎีของการแพทย์ทิเบตจึงเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องที่สุด พ่อท่านมีความคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไรครับ
พ่อครูว่า... อาตมาขออ่านทวนทำความเข้าใจคำถามก่อน นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ ไม่ได้ถ่อมตัว ที่อาตมาทำอะไรบางอย่างได้มากเพราะสั่งสมมาก่อนเป็นของเก่าที่มันมีมากๆอยู่บ้างเพราะมีของเก่า
_5 ผมมีความสงสัยว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีความเหมือนกันทุกประการหรือไม่ เช่น โพชฌงค์7 มรรค 8 ในสมัยของพระพุทธเจ้าบางพระองค์โพชฌงค์อาจจะมีแค่ 6 หรือมากกว่า 7 จะมีแค่ 7 หรือมากกว่า 8
พ่อครูว่า...อาตมาไม่บังอาจไปวิจารณ์พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ อาตมาว่าไม่จำเป็นต้องไปสงสัยสิ่งเหล่านี้ ในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่าอย่างนี้ๆ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะตรงกันอย่างนี้หรือเปล่า สำหรับอาตมานั้นบอกเลยว่าตรงกันหมด ธรรมะจะมีสอง สาม สี่ ห้า แปด ข้อ อย่างไร ไม่ใช่พูดชุ่ยๆ แต่มันมีสภาวะของมัน ขอเตือนคุณว่า อย่าจุกจิกละเลียดไป จะเป็นวิตักกจริต เนิ่นช้าได้ มันจะมีแง่เชิงคิดได้ อย่างที่คุณคิด มันอะไรกันนักหนา มันเสียเวลาคิด ตัวเองจะเป็น วิตักกจริต ไม่ลงตัวเสียที พระพุทธเจ้าให้เชื่อกรรมวิบากเชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จริง พระพุทธเจ้าสอนในกาลามสูตรว่าอย่าเชื่อแม้เป็นครูของเราหรือเป็นพระพุทธเจ้าก็จริง แต่ว่า อาตมาไม่บังอาจคิดว่า จะไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แม้ในพระไตรปิฎกบางอัน บางอย่างอาจจะเห็นแย้ง แต่ก็คิดว่าเราทำความเข้าใจยังไม่ตลอดก็ได้ ไม่งั้นมันจะจุกจิกละเลียดไป
_ผมอยากทราบว่า อยากทราบว่าในยุคของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นั้นมีผู้รับบทเป็นพระเทวทัตให้ทุกพระองค์หรือ หรือว่าในสมัยพระพุทธเจ้าบางพระองค์ก็ไม่มีผู้รับบทเป็นพระเทวทัต
พ่อครูว่า...ตอบไปแล้ว มีทุกพระองค์ ผู้ที่จะสั่งสมวิบากที่จะได้เป็นพระเทวทัตนั้นต้องเลวร้ายไม่น้อย
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8)) ตอน วิธีแก้ความติดหลับ(ถีนมิทธัง)
_ญาติธรรมที่รู้ตัวเองว่ากำลังมี ถีนมิทธังนิวรณ์แต่ก็ไม่ยอมดับมันด้วยไฟฌาน แต่กลับดับมันด้วยการชงกาแฟดื่ม พ่อท่านจะแนะนำอะไรครับ
พ่อครูว่า..คุณพูดมาแล้วก็อาตมาก็ไม่ต้องพูด ดื่มกาแฟ ก็ไปติดกาแฟอีก..
ถีนมิทธะนี้ พระพุทธเจ้าตรัสสอน พระโมคคัลลานะว่า...
1.โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่งสัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
2.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
3.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มากจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
4.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ามือจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
5.ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้ำเหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
6.ถ้า ยังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ กำหนดความสว่างไว้ในใจเหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
7.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
8.ถ้า ยังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจะไม่ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วง ได้ พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ
พ่อครูว่า...อาตมาว่า อาตมาถีนมิทธะไม่มี มีแต่เพลีย อาตมาไม่มีแล้ว ถีนมิทธะ ชาตินี้แก้สำเร็จ อาตมาแก้ด้วยวิปัสสนาญาณ การฝึกฝืนก็ใช้ แม้ลุกมาตีระฆังทุกชม. เนสัชชิก็ทำ อาตมาจับเคล็ดลับวิปัสสนาได้
คือ คนที่ติดการนอน ไอ้ก้อนกิเลสการนอนมันเป็นอย่างไรรู้ไหม มันเป็นอารมณ์ มันติดคือ อร่อยในความงัวเงียซึมๆ มันนอนสนิทๆแล้วปวดเยี่ยวไม่อยากตื่นเลย กำลังอร่อย ต้องรักษาอารมณ์นี้ไว้อย่าให้หายไป นึกออกไหม? นึกออก ไอ้นี่อาตมาได้จากเพื่อนคนหนึ่งชื่อปรีชา ทำงานโทรทัศน์
เขาบอกว่า เขาเสียดายความอร่อยจากการนอน อธิบายได้ดีมาก อาตมาจำได้ถึงทุกวันนี้ เขาบอกว่ากำลังนอน แต่ปวดเยี่ยว แต่เขาพยายามลุกขึ้นมาโดยไม่ให้อารมณ์งัวเงียหายไป พยายามเดินคลำไปให้ถึงห้องน้ำ อย่าให้อารมณ์นั้นหายไป ประเดี๋ยวไปนอนหลับแล้วมันจะไม่ต่อ อาตมาว่าจริงนะ ถ้าใครจับอารมณ์นี้ได้ แล้วคุณอย่าให้เป็นอย่างนั้น คุณตื่นเลย
ใครก็ตามอยากจะฝึก ไม่มีนิวรณ์ ถ้าอารมณ์อาการงัวเงียอยากต่อ ก็ให้ตื่นโพลงทุกครั้ง แล้วคุณจะหาย อย่าปล่อยให้งัวเงียกินตัวไปเรื่อยๆ ให้ฝึกตื่นทันทีทุกที คือกรรมฐานแก้ถีนมิทธัง ถ้ารู้สึกตัวก็ตื่นโพลงเลย หากจะนอนก็นอนใหม่
ตื่นเลย ยิ่งรู้แล้วก็ตื่น อย่ามานะถีนมิทธะ เท่ากับขับมันไปไกล kick it out.
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ทำใจอย่างไรกับคนทำร้าย
_พ่อท่านสอนไม่ให้เข้าร่วมวิบาก ระหว่างสัตว์ด้วยกัน เช่น งูกินกบ อย่างนี้ผมเข้าใจได้ เพราะเป็นการสร้างความสมดุลของโลก แต่ระหว่างคนด้วยกันจิตรู้สึกเศร้าหดหู่ บางครั้งถึงขั้นโกรธฝ่ายที่ทำร้ายอีกฝ่าย พ่อท่านเข้าใจจิตอย่างนี้แล้วทำจิตอย่างไรกับคนอย่างพระเทวทัต
พ่อครูว่า..ประเด็นงูกินกบ เคยตอบว่ามันเป็นเรื่องของวัฏสงสาร เป็นธรรมชาติของโลก มันเป็นวิบากของมัน งูมันก็ต้องกินสัตว์อื่น ดีไม่ดีกินงูด้วยกัน กินสัตว์เท่าที่มันกินได้ จะไปจับงูให้กินมังสวิรัติไม่ได้หรอก แล้วเป็นวิบากต้องเป็นเช่นนั้น คนไม่ใช่สัตว์กินเนื้อเหมือนงูหรือเสือหรือสัตว์กินสัตว์ทั้งหลาย
คนนี้เป็นสัตว์กินพืช แต่คนนี้ฝึกเป็นสัตว์กินพืช หรือเป็นสัตว์กินสัตว์ มาตลอดสลับไปมา จึงได้มีสิ่งตกค้างในตัว ยกตัวอย่างรูปธรรม อย่างสัตว์กินเนื้อมันจะมีเขี้ยว แต่คนก็มีเขี้ยวเหลือ แต่ฟันคนนั้นโดยมากเป็นฟันกราม molar ไม่ใช่ canine ฟันเขี้ยว
สัตว์กินพืชมันมีเล็บ เป็นกีบ ส่วน สัตว์กินเนื้อสัตว์มีเล็บเป็น claw เล็บเกี่ยวแต่สัตว์กินพืชมีเล็บเป็น nail หรือเป็นกีบ เป็นรูปธรรมที่ยกตัวอย่างง่ายๆชัดๆ เพราะคนจะกลับไปกลับมาเกิดเป็นสัตว์กินพืชและสัตว์กินเนื้อ จนกระทั่งวิบากลงตัวมาเป็นคน ก็จะได้รูปร่างเป็นแบบนี้ เหลือเศษของสัตว์บ้างนิดหน่อย แต่จะมีลักษณะของสัตว์กินพืชชัดเจนกว่า อย่างนี้เป็นต้น นี่คือแวะอธิบายให้ฟังง่ายๆ
คุณคนนี้ว่า เห็นสัตว์กินสัตว์ก็วางใจได้ แต่ระหว่างคนด้วยกันก็รู้สึกหดหู่ หรือโกรธฝ่ายทำร้ายอีกฝ่าย คือคนมาทำร้ายกัน
มันสุดโต่งไป จะไปปิดกั้นไม่ให้เขาทำร้ายกันเลยไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติที่ต้องมีการฆ่ากันกินกัน อีกประเด็นว่า พระพุทธเจ้าทำจิตอย่างไรกับพระเทวทัต อาตมาขอตอบอย่างนี้ อาตมาเข้าใจเรื่องเถรสมาคม อาตมาเกิดมาในชาตินี้ปางนี้เถรสมาคมต้องเล่นงานอาตมาอย่างนี้ เหมือนพระพุทธเจ้าถูกพระเทวทัตซัดเอา ขออภัยไม่ได้เปรียบเทียบนะ แต่ยิ่งกว่าอีก คือเล่นเป็นหมู่ซัดเดี่ยว หรืออาตมาหมู่น้อย ทางนั้นหมู่ใหญ่ อาตมาเข้าใจ ถ้าไม่ใช่เช่นนี้โพธิรักษ์ก็ไม่ได้เกิดมายุคนี้
พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ พระเทวทัตไม่ได้เป็นอย่างนี้ในชาตินี้ เท่านั้น แต่เป็นมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว
อาตมาก็ยิ้มให้เขาเวลาไปเจอไปขึ้นศาล แต่เขาไม่ยิ้มให้อาตมา อาตมาเคยเจอมหาระแบบในห้องน้ำ เขาไม่ยิ้มให้อาตมาเลย อาตมายิ้มให้เขานะ ทั้งที่เรื่องมันจบไปนานแล้ว เหมือนกับ พระ 2 รูปไปด้วยกัน เจอผู้หญิงตกน้ำ พระรูปหนึ่งไปอุ้มผู้หญิงขึ้นมาให้พ้นน้ำ แต่ต่อมาเดินไป พระอีกรูปหนึ่งบอกว่าไปทำอย่างนั้นได้อย่างไรมันเป็นการผิดศีล พระรูปนั้นก็เลยบอกว่า ผมวางสีกาไปตั้งนานแล้วแต่ท่านทำไมยังอุ้มมาอยู่! ไปอุ้มสีกา ถ้ามีจิตมีราคะก็สังฆาทิเสส แต่ถ้าไม่มีจิตราคะก็ไม่มีอาบัติสังฆาทิเสส ไม่มีจิตลามกอะไร
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน ทำไมนักบวชอโศกไม่โกนคิ้ว
_พวกลูกสงสัยว่า ทำไมสมณะสิกขมาตุที่นี่ไม่โกนคิ้ว แต่พระข้างนอกเขาโกนคิ้วกัน
พ่อครูว่า...ที่นี่สมณะสิกขมาตุไม่โกนคิ้วเพราะว่า 1 เราทำให้ตรงกับกฎหมาย เขามีกฎหมายว่าอย่าไปแต่งกายลอกเลียนพระ ที่ไม่ใช่พระของเถระสมาคม ท่านโกนคิ้วหรือนุ่งห่ม เราก็ไม่ทำให้เหมือนท่าน ท่านโกนคิ้วเราก็ไม่โกน ท่านนุ่งห่มสีเหลืองเราก็ห่มสีกรักเสีย ท่านนุ่งห่มแบบพระทั้งหลายห่มลูกบวบ ห่มแหวก ห่มครองก็ได้ แต่ว่าเราก็มาห่มอย่างของเรา ดีไม่ดี มี สองผืนแต่ว่าเหมือนสังฆาติผืนที่สามได้ เรียกว่า two in three สองเป็นสามได้
ทีนี้เราไม่โกนคิ้วก็ไม่โกนมาตลอด จนเลิกเรื่องแล้วเราจะกลับไปโกนคิ้วอีกทำไม
2 พระพุทธเจ้าไม่ได้พาให้โกนคิ้ว ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้โกนคิ้ว ให้โกนแต่หนวดกับผม เกสา กับ มัสสุ พระในสมัยพระพุทธเจ้าก็ไม่โกนคิ้ว พระในอีกหลายประเทศก็ไม่ได้โกนคิ้ว แต่การโกนคิ้วออกไปจากพุทธของไทย ไทยเป็นต้นตำรับ ตั้งแต่สมัยมีศึกสงคราม มีข้าศึกเป็นพม่าปลอมตัวเป็นพระเข้ามา ก็เลยมีการจับพระพม่าด้วยการไม่โกนคิ้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ทำไมคนเราต้องมีโลภโกรธหลง
_รักโลภโกรธหลง เกิดจากอะไร ทำไมคนเราเกิดมาต้องมีความรู้สึกเช่นนี้
พ่อครูว่า...ที่มีรักโลภโกรธหลงก็เพราะว่า มันมีความโง่ ภาษาบาลีว่าอวิชชา เป็นมาแต่ดั้งเดิม อวิชชาคือความโง่ความไม่รู้ว่า ทำไมเราต้องมีอาการ รักโลภโกรธหลง ในจิต ก็เพราะว่าเราไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำไมเราต้องทำอย่างนั้น ก็ต้องมาเรียนมาศึกษา ทฤษฎีพระพุทธเจ้านี่แหละ เป็นทฤษฎีที่สอนเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ศาสนาอื่นก็พยายามสอนแต่เขากดข่ม พยายามฝืนอย่าให้เกิดอาการอารมณ์โลภโกรธหลง แต่ของพุทธนี้อ่านอาการจิต มีอาการ ลิงค นิมิต อุเทส อาการคือความเคลื่อนไหว วิญญัติ ของจิต มันมีกิริยาของจิต อาการอย่างนี้คือโลภ อย่างนี้คือรักหรือโกรธ อ่านให้ออก แล้วก็เรียนรู้ว่าอาการเหล่านี้ไม่เที่ยง คุณรักตลอดกาลที่ไหน คุณโกรธตลอดกาลที่ไหน ไม่เที่ยง ไม่มีตลอดกาล ที่สำคัญคือมีแล้วเกิดเป็นเหตุให้มีความชั่วเป็นทุกข์โทษภัย อันนี้สำคัญ มันเป็นตัวเหตุแห่งสิ่งไม่ดีไม่งามด้วย ความจริงสูงสุดมันไม่มีได้ในตัวจิตเรา สูญได้ ไม่มีตัวตนสภาพอาการ รักโลภโกรธหลงในจิต เรียนรู้แล้วเลิก เข้าใจด้วยปัญญาจริงๆ ถ้าฟังอาตมาตอนนี้ เข้าใจเป็นปัญญาที่แท้จริงสูงสุดว่า รักโลภโกรธหลงเป็นตัวปลอมไม่มีจริง จิตเชื่ออาตมา มีปัญญาจริง คุณหายจริง เป็นอรหัตตผลได้เลย
ไม่ต้องมีอาการ รักโลภโกรธหลง ฟังเดี๋ยวนี้ก็ทำได้เดี๋ยวนี้ แล้วก็ทำให้ตลอด เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ง่ายไหม?
เราพิสูจน์ได้ว่า มันไม่เที่ยงหรอก เดี๋ยวมันก็มาเดี๋ยวมันก็ไป แล้วมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ภัย ตัวตนรักโลภโกรธหลงไม่มีหรอก มันเป็น โอฬาริกอัตตา มโนมยาอัตตา อรูปอัตตา ทำให้หมดไปได้ตลอด
ทำไมคนเราต้องมีความรู้สึกอย่างนี้ ก็เพราะว่าไม่เรียนรู้ แล้วต้องมาฝึกฝน ล้างกิเลสจนหมดอนุสัยอาสวะ เป็นความรู้พระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่มาก
จะเรียนรู้ความรู้ในโลกนี้เท่าไหร่ไม่เยี่ยมยอดเท่ากับความรู้นี้หรอก นี่คือความรู้ที่เยี่ยมยอดที่สุด ถ้าคุณสามารถเรียนรู้ปฏิบัติตนให้บรรลุประสบผลสำเร็จ จบปริญญา จบปัญญา จบบัณฑิต ไม่มีรักโลภโกรธหลงนี้ได้ รับรองประเทศไทยเจริญได้ถูกต้องตามแบบพระพุทธเจ้า เพราะศาสนาพระพุทธเจ้า หมดโลภโกรธหลงได้แล้ว ไม่ใช่ทำอะไรไม่เป็น ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ ใครจะเป็นอย่างไรไม่รู้เรื่องไม่ใช่ ไม่ได้โง่เง่าเต่าตุ่น เซ่อซ่าอย่างนั้นหรอก ศาสนาพุทธ แต่มีสัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ มีโลกวิทู เข้าใจโลกช่วยโลกรับใช้โลก ดีไม่ดีเป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ บริหารโดยเป็นผู้รับใช้ เมืองไทยจะมี อย่ารีบตาย ดูไป
_ผู้บรรลุธรรมจะต้องมีวิชชา 8 แต่เขาหลงวิชชา 8 เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ แต่เขาไม่มีใครทำได้ จึงไม่มีผู้บรรลุธรรม (เขายึดวิชชา 8 ตามบัญญัติภาษา)
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน เทวทหสูตร ในวิชชา8 ของพุทธกับของฤาษีนั้น ภาษาเหมือนกันเลย
ดูกร เกวัฏฏะ เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว จึงได้ประกาศให้รู้ ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง เป็นไฉน ? คือ
1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี)
2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา)
3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา8 เป็นปัญญาสัมปทา)
พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ) ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ .
(เกวัฏฏสูตร พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 339-341)
การปฏิบัติจิต จะเอาพลังงานจิต จะไปฝึกให้เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ก็ได้ อาเทสนาปาฏิหาริย์ก็ได้ พวกฤาษี คันธารี มณิกา
ในภาษาของวิชชา8 มีภาษาที่ถ้าตีความไม่ถูกจะเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ไปหมด
อิทธิวิธญาณ (อันเป็นไปในฝ่ายปัญญาวิมุติ)
เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ... คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ (เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ) ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้
สฟ.ว่า… จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:29:45 )
รายละเอียด
600802_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศิลปะในการประกอบบุญ
สมณะฟ้าไทว่า…วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 9 ปีระกา ที่ราชธานีอโศก วันนี้ก็มีบางคนอาจจะดีใจ บางคนอาจจะเสียใจ เมื่อได้ฟังคำตัดสินคดี 7 ตุลาคม 51 ของพันธมิตร ศาลยกฟ้อง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินก็จะเสียใจ แต่ในโลกนี้ก็มีทั้ง 2 ด้าน ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่เที่ยง ฝ่ายพันธมิตร ถ้าเรามั่นใจว่าเราได้ทำเพื่อมนุษยชาติได้ทำกุศลอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนคนที่ทำกุศลก็ได้รับวิบากของเขาเอง เราก็ทำใจให้อภัยเขา เห็นใจเข้าใจเขา ทุกอย่างมีเหตุปัจจัย บางอย่างเราไปทำอะไรไม่ได้ แม้แต่ทางคดีของชาวอโศกก็ต้องแพ้ ไปตามเหตุปัจจัยที่ควรจะแพ้ แต่พ่อครูได้พาทำ ก็พาลดละกิเลส ตั้งหน้าตั้งตาทำดีต่อไป ก็ไม่เห็นจะเสียอะไร เราก็ทำดีต่อไปทุกวัน หรือเราสามารถลดละกิเลสให้เป็นอาริยบุคคลได้ทุกๆวัน เป็นเหตุปัจจัยที่เรากำหนดได้ เราก็ทำการเปลี่ยนแปลงตัวเราเองให้ได้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พ่อครูพาทำมา 47 ปี ก็พัฒนาแต่ละคนไปเรื่อยๆ พวกเราก็ดีขึ้นๆ แต่ว่า บารมีอาจมีน้อย ความพากเพียรไม่มากพอก็เลยช้า เหตุปัจจัยทางสังคมก็รุนแรง พระโพธิสัตว์ก็ตั้งใจทำเต็มที่ อาตมาเกิดปีหมา เป็นหมาตัวน้อยๆ ก็พากเพียรทำให้ได้ แล้วแต่วิบากตัวเองที่ขวางกั้นอีก ต้องมีเหตุปัจจัยที่ครบจึงจะได้
เหมือนอาตมาตั้งไว้ว่า ปฏิบัติธรรมสัก 5 ปีจึงจะมาบวช แต่ว่า เมื่อปฏิบัติไป 3 ปี เหตุปัจจัยถึงก็เข้ามาบวชได้ ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย
พ่อครูว่าการทำงานของท่านนั้นเผื่อพอไว้ เหมือนเราทำอาหารเลี้ยงคน 100 คนก็ต้องทำเผื่อไว้ เหลือไว้ส่วนหนึ่ง พ่อครูก็ทำงานเช่นนี้ไม่ให้ขาด แต่ให้เกินไปส่วนหนึ่ง ไม่บกพร่อง เราก็ทำตามครูบาอาจารย์ ทำเผื่อไว้ ในกุศล แม้การลดละกิเลสก็ทำให้มาก ทำให้เป็นของจริงในตัวเรา แม้ใครจะบอกว่าเราไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เราก็มีของเราแล้ว วันนี้พ่อครูก็จะมาแจกแจงไขธรรมะให้พวกเราเป็นอาริยบุคคล เป็นอมตบุคคลได้
สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน มงคลอันอุดมคืออย่างไร
พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกคน ชีวิตก็ยังมีอยู่ ยังไม่ตาย พูดก็ยังได้อยู่ กำลังวังชาก็ยังนำมาใช้ ใช้กำลังมาปรุงแต่ง คิดอ่าน สาธยาย สิ่งที่ควรสาธยาย ก็ยังทำได้อยู่
อาตมานึกเมื่อกี้นี้แวบหนึ่ง เกิดมาอายุ 80 กว่าแล้ว ก่อนจะถึงอายุ 80 อยู่ทางโลกมา 36 ปี เราก็มีชีวิตทำมาหากิน แบบมนุษย์โลกเขาไป แต่เราก็เลิกมาทำงานทางนี้ตั้ง 47 ปีแล้ว ยาวนานกว่ามีชีวิตทางโลก อยู่ทางโลกมา 36 ปีก็เบื่อ เลิก ไม่ทำงานแบบนั้นแล้ว ไปแข่งขันแย่งลาภยศ ขอส่วนแบ่ง ลาภยศสรรเสริญ แม้แต่ไม่เรียกว่าแบ่งก็ตามในโลกียสุข มาบำเรอตนก็ต้องไปเอามาจากโลกเขา มาสัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกาย มาเสพ ก็หลงตามโลกเขาไป 36 ปี ที่จริงก็รู้ตัวก่อน 36 ปี เพราะปฏิบัติธรรมก่อนอายุ 36 ปี ตั้งแต่อายุ 30 กว่าๆ ปฏิบัติและเห็นจริงเห็นจัง ว่า เรามาเสียเวลาอยู่ทางโลก หลงโลกตั้ง 36 ปี ไปเป็นตัวแย่งเขาให้เขาเดือดร้อน แต่ถ้าเราไม่ไปแย่ง ก็ปล่อยไป มาทางนี้มาบอก บอกอะไร
บอกทุกคนว่า ชีวิตนี้ ชีวิตก็มา แย่งชิงลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข ได้มาก็ผ่านไป ยึดมั่นถือมั่น สารพัด ยิ่งมามองเห็นว่า ถ้าเรายังจะไปทำอย่างที่เขาทำอยู่ สมมุติว่า อาตมาอยู่ก็ทำงานทำการ ล่าลาภยศ สร้างความร่ำรวยมั่งมี อาตมาก็คิดว่า คงจะร่ำรวยมั่งมีพอได้ เพราะอยู่ในระยะแรกเริ่ม บุกเบิกเรื่องธุรกิจบันเทิง อาตมาชอบทุกอย่างในธุรกิจบันเทิง จะเปิดเป็นบริษัทใหญ่เลย เหมือนกับสำนัก แกรมมี่ RS อะไรของเขา อาตมาก็ทำหนังสือพิมพ์ด้วย สารพัดหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นเชิงข่าว เชิงขายนวนิยายก็ชอบ ก็คงทำสำนักงานใหญ่ ตั้งชื่อ สำนักงานหัวใจสีชมพู ออกแบบโลโก้ไว้ ทุกวันนี้ ใช้มาเป็นโลโก้ของบุญนิยมทีวี เป็นรูปหัวใจอยู่ตรงกลาง แต่ชมพูจัดจังเลย ชมพูแดง แล้วมีความเป็นไทยมีลายไทย มีความหมายของสุญญตาอยู่ตรงกลาง เป็นรังสีสุญญตา ออกจากหัวใจให้แก่โลก จากหัวใจเราไปสู่โลก ก็ออกแบบไว้อย่างนี้ ตั้งแต่ตอนโน้น
ในโลกก็ต้องมีศิลปะ ศิลปะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นมงคลอันอุดม เอตัมมังคะละมุตตะมัง อาตมามีลุงหมอสุรินทร์ พรหมพิทักษ์ เอาอาตมาไปให้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ตั้งชื่อให้ ท่านก็ตั้งให้ว่าชื่อมงคล คือสิ่งนำพาไปสู่ความเจริญสูงสุด
อาตมาก็มั่นใจว่าอาตมาเข้าใจ รู้ โลกุตระคืออะไร ยังนึกอยู่เลยว่า ทำไมชีวิตนี้เราต้องไปเรียนศิลปะ น่าจะไปเรียนอะไรเยอะแยะ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าทำไม แล้วก็นำความหมาย หรือสภาพที่ประกอบความเป็นศิลปะมาใช้ นำพาไปสู่อุตมะหรือโลกุตระ อุดร คือสิ่งสูงสุด จนอาตมาใช้คำว่า ศิลปะโลกุตระ
เป็นศิลปะที่มีความหมาย ในโลกนี้ไม่มีคนรู้จัก ว่าศิลปะเป็นโลกุตระอย่างไร มีด้วยหรือ ศิลปะที่เป็นโลกุตระมีด้วยหรือ อาตมาเคยพูดหลายทีแล้ว ศิลปินแห่งชาติ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เราแสดงนิทรรศการศิลปะที่ชั้นสองพระวิหารพันปี เราก็เชิญเขามาดู อาตมาก็ได้ยินกับหู เขาก็พูดเปรยออกมาว่า ศิลปะมีโลกุตระด้วยหรือ? อาตมาก็ว่า ศิลปิน ที่ได้รับการยกย่อง เป็นศิลปินแห่งชาติ คนอื่นๆก็ดี ก็คงคิดเช่นกันว่า ศิลปะมีโลกุตระด้วยหรือ?
อาตมาแบ่งชั้น คนที่เขาคิดว่าเป็นงานศิลปะ เขาคิดว่านะ แบ่งไว้ 5 ชั้น
ความจริงมันไม่ใช่ศิลปะมาตั้งแต่ชั้นที่ 1 คือ
1. ลามก งานที่ทำเป็นงานลามก มอมเมาเลอะเทอะ จิตผู้รับสัมผัสแล้ว นำไปสู่อบายหลงใหลโลกียะ ทั้งลาภ โลกธรรม ด้วยกาม ด้วยอัตตา เช่น
อัตตา แปลว่าตัวตน เสร็จแล้ว คนที่เป็นศิลปินเป็นคนที่มีอัตตาสูงมาก นึกว่าตนเองอยู่ในภพชาติตนเอง กำหนดหมาย ว่าต้องได้อย่างที่ตนคิดอย่างนั้นอย่างนี้ แสดงจิตเจตนารมย์ จินตนารมย์ก็ได้ ของผู้ที่เขานึกว่าเป็นศิลปิน แสดงออกด้วยองค์ประกอบเส้นแสงสีเสียง ที่เอามาใช้ เดี๋ยวนี้ มีองค์ประกอบมากมายมีวัตถุด้วย แต่ก่อนแค่จิตรกรรม เส้นแสงสี แต่ถ้าปฏิมากรรมก็เป็นวัตถุขั้นมา ถ้าสถาปัตยกรรมก็เป็นอาคารสถานที่ใหญ่โต ถ้าเป็นวรรณกรรมก็สื่อสารทางภาษา ร้อยเรียงเพื่อจะนำพา ไปให้เกิดจิต ผู้ทำ ผู้ที่เป็นศิลปิน ถือว่าเป็นผู้สร้างงานจะมีเจตนารมย์ จินตนารมย์ สื่อออกไปด้วยฝีมือ การเขียน ปั้น สร้าง แล้วแต่เขาจะประกอบงานของเขา ให้คนสัมผัส แล้วแต่คนจะนึกคิดไปอย่างไรก็ได้ ที่หมายของเขานี่แหละ บางคนที่นึกว่า ตนเองเป็นศิลปินเป็นผู้สร้างงาน แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า งานที่ตนเองทำมานี้ เป็นงานศิลปกรรม วรรณกรรม สถาปัตยกรรม คีตกรรม นาฏกรรม Music and drama ก็ตาม เขาก็สื่อออกมาเพื่อให้คนบริโภคสัมผัสแล้วเกิดชอบใจ ถ้าเกิดพอใจชอบใจ ได้คิดค้นวิธีการต่างๆประกอบออกมา เพื่อให้คนสัมผัสแล้วก็เกิดความรู้สึกประทับใจ
จริงๆแล้ว ศิลปะที่เป็นมงคลอันอุดมนั้น ทำออกมาให้เกิดความรู้ ศิลปะนั้นต้องต่อมาจากความรู้ ถ้าไม่มีความรู้ งานนั้นไม่ใช่ศิลปะเลย ศิลปะต้องมีความรู้เป็นรากฐาน เป็นแกน เสร็จแล้ว แกนรากฐานของงานเราเรียกว่าสารศิลป์ แล้วให้คนมาสัมผัสชม บริโภค แล้ว ในตัวศิลปินจะต้องให้มีสุนทรียศิลป์ประกอบกัน เพื่อที่จะชี้ชวนนำพา เหมือนดอกไม้จะต้องมีสี มีกลิ่น ชี้ชวนให้แมลง ลงมาตอม เพื่อให้เกิดสัมผัสเอาเกสร ไปแพร่พันธุ์
สุนทรียศิลป์คือสิ่งชี้ชวน เหมือนกับคนต้องรู้ว่าเราจะทำอะไรออกมา จะทำยาเพื่อรักษาโรคนี้ จะสร้างยาออกมาแล้วเป็นสารศิลป์ไม่มีองค์ประกอบของสุนทรียศิลป์ มีแต่สาระ ก็เลยกินยาก คนไม่สนใจไม่อยากได้ เขาจะต้องมีสีมีกลิ่นมีน้ำตาลอะไรพวกนี้ อาศัยสิ่งประกอบ ปรุงแต่ง เพิ่มเติมเพื่อให้คนรับสาระนี้ได้ คือศิลปินจริงๆ มีความรู้ที่เราจะต้องการสื่อสาร ทำยานี้เพื่อรักษาโรคอะไร ของพระพุทธเจ้านี้รักษาโรค ทุกข์อริยสัจ คือให้ธรรมะ รักษาทุกขอาริยสัจ คือศิลปะ
ทุกวันนี้ ศิลปินหรือศิลปะที่พูดกันทั่วโลก มันไม่ได้อยู่ในแนวของศาสนาพุทธเลย มันแตกแขนงทางเทคนิคทางความคิด เป็นเทคนิคทางความคิด แตกออกไปเพื่อจะสร้างอะไรก็แล้วแต่ ตามเจตนารมย์ จินตนารมย์ของตัวเองเท่านั้นเอง แล้วเรียกชื่อ ศิลปะเชิงต่างๆเละเทะเยอะแยะไปหมด เป็นสิ่งที่มอมเมามนุษย์ในโลก ไม่ใช่ศิลปะ แต่เป็นศิลเปรอะ
คนก็ถูกครอบงำความคิดว่าเป็นศิลปะ ก็เกิดความชอบใจ จะต้องซื้อและเอามาเป็นของฉัน ใช้จิตวิทยาซื้อมาราคาแพง ได้ราคาแพงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เอาไปประมูลกัน การประมูลคือการสร้างจิตวิทยา ศิลปะราคาแพงคือการสร้างราคาขึ้นมา เสร็จแล้วกลายเป็นอันนั้นเป็นตัววัดค่าว่าเป็นศิลปะสูงค่า มันออกนอกสัจจะสาระ อะไรออกไป มันผิดไปจากเจตนารมย์มงคล
อาตมาเอง เรียนศิลปะมา แล้วก็ทำงานทุกวันนี้คือทำงานศิลปะ 100% ทำงานศิลปะที่เป็นมงคลอันอุดม
ศิลปินจริงๆต้องรู้สารศิลป์ของตนเองว่า เราจะเอาอะไรออกมาให้คนสัมผัส แล้วเขาจะได้บรรลุสาระอันนั้น นอกนั้นเป็นส่วนประกอบสุนทรียศิลป์ ให้คนรู้สึกชวนดู วิธีชวนดูก็ใช้สีสันเส้นแสง โดยเฉพาะเรียกว่าความแปลก ที่คนสนใจว่าแปลกดี สนใจอะไร? ก็คือสุนทรียศิลป์ คือสิ่งที่ชี้ชวนให้คนมาชม ชมแล้วได้สาระไหม ถ้าได้สารศิลป์เพลงเพียงพอ ได้ประโยชน์เพียงพอ สาระนั้น ถ้านำไปสู่การบรรลุธรรมสูงสุดนั่นแหละ คือนิยาม ศิลปะคือมงคลอันอุดม สิ่งที่นำพาไปจูงนำไปสู่จุดสูงสุด
สิ่งที่นำพาไปนี้ ภาษาอังกฤษคือ คอนเวอร์เจนซ์ Convergent ให้ไปสู่จุดสำคัญสูงสุด Interest point
อาตมาใช้ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรม คีตกรรม นาฏกรรม ทั้งหมด มารวมการใช้พร้อมทั้งเอาคน มาเป็นวัตถุดิบ ในการทำงานศิลปะ รวบรวมทั้งแผ่นดินอาณาเขต ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้นหมากรากไม้ ภูเขาลำธาร เอาทั้งหมดมาสร้างองค์ประกอบศิลป์ เพื่อให้เกิดการบรรลุทางจิตของแต่ละคนให้ได้ นี่คือศิลปะที่อาตมาทำ งานที่อาตมาทำ
เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่ต้องเขียนเอง ไม่ต้องปั้นเอง ไม่ต้องสร้างพวกนี้ออกแบบสถาปัตย์เองวรรณศิลป์เอง ก็ไม่ต้องเขียนเอง พวกเราช่วยกันเยอะแยะทั้งพูดทั้งเขียน แล้วก็มีทั้งดนตรีการ มีทั้งท่าทีลีลา ดรามาติค ต่างๆ แสดงออกไป แล้วได้ผลไหม? ก็ได้ผล
ได้ผล ผลคืออะไร ลดกิเลส จะมีมหาวิทยาลัยไหนในโลกที่เขาสอนกัน มหาวิทยาลัยทางศิลปะและเขาสอนกันว่า ทำงานออกไปแล้วให้คนมาลดกิเลสได้ นี่นะ จะมีมหาวิทยาลัยไหนในอเมริกาที่สอน จบดร.อเมริกามา มีไหม
เรากำลังขอเขาตั้งมหาวิทยาลัย เรากำลังให้การศึกษาเพื่อให้เกิดผลต่อชีวิตจริงๆ นำไปสู่จุดสูงสุด ซึ่งวิชาการเหล่านี้คือวิชาการของพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ท่านมีทฤษฎีความรู้วิชาการทั้งหมด เดี๋ยวนี้ได้บันทึกไว้เรียกว่าพระไตรปิฎก มี 45 เล่ม ยังเอามาใช้ไม่หมด อาตมาจะตายอีก 8 รอบ ก็ยังใช้ไม่หมด แต่ไม่รู้ว่าจะตายตอนแรกเมื่อไหร่ ยังใช้ไม่หมด ร่ายไปบรรยายไป ยาวมาก แต่ที่จริงไม่มีอะไรเลย บรรยายอะไรมากมายคือเพื่อให้ผู้คนสูญ สูญคือไม่มีอะไร
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ศิลปะในการประกอบบุญ
เหมือนพูดเล่นๆ แต่เป็นเรื่องที่อาตมาอยู่กับทางโลก พอมีความรู้ความสามารถ ทำมาหากินแลกลาภยศ ก็พอได้ แต่ออกมาทำให้ทางศูนย์ 40 กว่าปีก็ยังมีอะไรทำต่อไป ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่หมดเลย ที่ของพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ที่จะเอามาธิบายให้ฟัง สิ่งที่จะอธิบายให้ฟังนี้ ที่พยายามขยายความ แต่ละความหมายๆ อาตมาว่าสำคัญ แล้วต้องพยายามเข้าใจนัยสำคัญให้ได้ แล้วเอามาปฏิบัติให้เกิดผลตามนัยสำคัญนั้น เช่น คำว่าบุญ หรือปุญญะ ซึ่งอาตมาเห็นความหมายของคำว่า บุญหรือปุญญะนี้ สุดยอด มีศาสนาเดียวในโลกที่มีสภาวะที่ชื่อว่าบุญ
บุญคืออะไร บุญคือพลังงานชนิดหนึ่ง ที่คุณจะต้องสร้างจัดการ ปรุงแต่ง สังขาร เรียกเต็มๆว่าอภิสังขาร เรียกเต็มอีกทีว่า ปุญญาภิสังขาร สร้างพลังงานนี้ให้ได้แล้วมีฤทธิ์ เป็นธรรมฤทธิ์ เป็นฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ของพลังงานนี้ เอาไปทำลายฤทธิ์พลังงานราคะ พลังงานโทสะ พลังงานโมหะ สลายได้นั่นคือบุญ
ผู้ใดสามารถสร้างพลังงานบุญนี้ได้ และมีประสิทธิภาพจัดการกับพลังงานในตนเองคือ ราคะ โทสะ โมหะที่มีในคนที่อวิชชาทุกคน แล้วใช้สร้างอภิสังขาร สร้างพลังงานนี้ขึ้นมา ปราบ ทำลาย กำจัด ชำระ พลังงาน ราคะ โทสะ โมหะของตนให้ได้ นี่คือความรู้ ยอดรู้ของพระพุทธเจ้าที่สรุปให้
ทุกวันนี้คำว่าบุญได้เพี้ยนไปไกล บุญไม่ใช่กุศล ถ้าว่าจริงๆแล้ว พูดโดยภาษาคนโลกๆว่า บุญนี้คืออาวุธร้าย เพราะเป็นตัวเครื่องทำลาย ทำลายหน้าที่เดียวทำลายอย่างเดียว ทำลายเสร็จแล้วหมดไปเลย หายไปเลย หมดหน้าที่ เหมือนพลังงาน คนเอาพลังงานความร้อนไปใช้งาน พลังงานความร้อนก็หายไป เอาพลังงานความเย็นมาใช้ก็หายไป เอาพลังงานไฟฟ้ามาใช้มันก็หายไปเมื่อใช้เสร็จเ หมือนกัน บุญเมื่อใช้เสร็จ เกิดประสิทธิผลเสร็จ ก็หายไป
บุญคือพลังงาน หน้าที่ของพลังงานนั้นทำเสร็จแล้วก็หมดหน้าที่ แล้วเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ เพราะต้องใช้ชำระพลังงานราคะ โทสะ โมหะ ของตน
ไอน์สไตน์ ค้นพบพลังงานนิวเคลียร์ ทางวัตถุ แล้วใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มีทั้งประโยชน์และเป็นโทษ แต่พลังงานหรือสูตรสำเร็จทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ไม่มีโทษภัยเลย แต่เป็นพลังงาน เหมือนกับพลังงานอะไรก็แล้วแต่ พลังงานนิวเคลียร์เป็นระเบิดนิวเคลียร์ เมื่อเอาระเบิดนิวเคลียร์ไปทิ้ง มันก็ทำงานระเบิดเถิดเทิง ที่ฮิโรชิม่า นางาซากิ 2 ลูก พังสลายไป แล้วระเบิด 2 ลูกนี้ก็หายไป เหมือนกับบุญ ทำงานสำเร็จผลแล้วก็หายไป จบเลย
ในคนใดๆ ถ้าไปสะสมบุญ คนนั้นโง่ตายชักเลย เพราะว่าคนเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าจะต้องจัดการใช้ระเบิดนิวเคลียร์นี้ ระเบิดไฟราคะ โทสะ โมหะให้ได้หมด ระเบิดเสร็จ ระเบิดนี้ก็หายไป หมดอาสวะอนุสัยก็หมดระเบิดนิวเคลียร์อีกเลย สูญเลย จบ อาตมาว่าคงไม่มีใครคิดพูดเหมือนกับอาตมา ครูบาอาจารย์สอนก็คงไม่มีใครมาสอนอย่างนี้ คนที่สอนธรรมะมาก็คงว่าธรรมะอยู่ตรงไหน?
สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าพูดเอาแค่ภาษา ไม่มีสภาวะก็คงพูดอย่างนี้ไม่ได้
พ่อครูว่า….ก็จริง ระเบิดหรือว่าพลังงานพิเศษอันนี้ ทุกคนต้องมาสร้างขึ้นให้ได้ ถ้าสร้างขึ้นแล้วก็ใช้เป็น มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่นะ ผู้ที่สร้างพลังบุญได้ ทำให้พลังงานบุญแล้วทำหน้าที่ชำระถูกราคะ โทสะ โมหะ ในจิตใจตน คุณทำได้จริงเลยนะ สุดยอด
ทีนี้ทุกวันนี้เข้าใจคำว่าบุญเป็นกุศล คือไม่ใช่พลังงานที่ทำลายกิเลสให้สูญหายไปแล้ว แต่ไปสะสม แปลว่าความดี บุญไม่ใช่ความดี บุญเป็นอาวุธร้าย คนฟังแล้วก็จะบอกว่า อาตมามองในแง่ร้าย เพ่งโทษ
คนที่จะมีบุญไว้ในตัวเองเป็นคน ซวย คนจะต้องสร้างขึ้นมา บุญจะเกิดขึ้นได้คนจะต้องสร้างทันที พลังงานที่ไม่มีอยู่ไหน อยู่ที่คนทุกคน จะต้องมีอาการ 32 นี้ ขององคาพยพของชีวิตคนนี้ แล้วก็มาพยายามรวมกันสร้างพลังงานนี้ขึ้น สร้างเพื่อกำจัด พลังงาน ราคะ โทสะ โมหะ ที่มันมีอยู่ในตัวเรา อยู่ในอนุสัยอาสวะนี้
ดูให้ได้ว่าพลังงานที่เป็นราคะ โทสะ โมหะ โดยมีเหตุปัจจัยมากระทบสัมผัสให้มันเกิดอาการพลังงานอันนี้ ให้เกิด ราคะ โทสะ โมหะ มีสัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสแล้วเกิด อาการในจิต แล้วต้องใช้พลังงานคุณต้องประกอบปุญญภิสังขาร ประกอบพลังงานบุญเพื่อเอามากำจัด ในปัจจุบันนั้น มันมีในปัจจุบันนั้นเท่านั้น บุญมีในปัจจุบันนั้น เหตุปัจจัยครบก็เกิดบุญ และมีหน้าที่ทำลายกิเลส ชำระ ราคะ โทสะ โมหะ
พระอรหันต์ไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ ท่านก็จะสร้างบุญขึ้นมาอีกไม่ได้ มีแต่บอกว่าท่านได้สร้างของตัวเองอย่างนี้ แล้วบอกให้คนอื่นทำอย่างนี้ๆทำใจในใจ อย่างนี้ให้เป็นบุญ อภิสังขารเพื่อทำลายราคะ โทสะ โมหะ ต้องทำลายอย่างเป็นลำดับ เอาอย่างหยาบตั้งแต่อบายก่อน ต่อมาเป็นกาม แล้วเหลือภายในเป็นรูป อรูป ก็ไล่กำจัดให้หมด
สรุปความรู้ของพระพุทธเจ้า คือให้คนมาเรียนรู้ สร้างพลังงานบุญปุญญาภิสังขาร สร้างหมดแล้วจบ ปุญญาภิสังขาร
อภิสังขาร 3 ผู้ที่จะเข้าใจ อภิสังขาร 3 อย่างชัด แล้วก็พูดถูกโดยเฉพาะต้องทำถูกได้จริงๆ จึงจะชัดจริงๆ
อภิสังขาร 3 คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร
ของท่านเจ้าคุณประยุทธ์ คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ บอกว่า ปุญญาภิสังขารคือ การปรุงแต่งฝ่ายดี ได้แก่กุศลเจตนาคือ กามาวจรและรูปาวจร
ถ้าพยัญชนะสังขารแปลว่าปรุงแต่ง อภิสังขารแปลว่าปรุงแต่งอย่างเก่งอย่างยิ่ง แล้วปรุงแต่งสร้างพลังงานนี้ขึ้นมา ให้เป็นปุญญาภิสังขาร แล้วบอกว่าสภาพปรุงแต่งเป็นฝ่ายดี อาตมาว่าไม่ตรงกับของอาตมา อาตมาว่า ปรุงแต่ง สังขารสร้างพลังงานมาเพื่อทำลายฝ่ายเลว ฝ่าย ราคะ โทสะ โมหะ ปุญญะไม่ได้ทำให้คนเป็นคนดี แต่ทำให้คนพ้นทุกข์
ปุญญะนี้เป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมะเครื่องทำลายโลกียะ ดีชั่วคือโลกียะ
เพราะฉะนั้นไม่ไปทำลายแค่ดีแค่ชั่ว แต่ทำลายให้หมดโลกียะไปเลยคือปุญญะ
ท่านว่า สภาพที่ปรุงแต่งฝ่ายดี ได้แก่กุศลเจตนาคือกามาวจร รูปาวจร ก็คือพฤติกรรมภายนอกคือกาม และรูปาวจร อรูปาวจรคือภายใน ทีนี้ท่านแปล อปุญญาภิสังขารว่า อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญ คือ บาป เลยแปล อปุญญาว่าบาป สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่อกุศลเจตนา
นี่คือการแปลหรือการอธิบายไม่ใช่สภาวะ ส่วนอาตมานั้นมองเป็นสภาวะหมด พยัญชนะก็มาเป็นสภาวะ อาตมามองอภิสังขารคือโลกุตรธรรม ไม่มีโลกียธรรม
ปุญญาภิสังขารคือสร้างบุญมากำจัด ราคะ โทสะ โมหะ ให้ได้ เมื่อกำจัดได้แล้ว พลังงานใช้ไปแล้ว เหมือนระเบิดนิวเคลียร์ทิ้งไปแล้ว อปุญญาก็แปลว่าไม่มีบุญแล้ว ถ้าจะเอาไปเทียบ อปุญญาภิสังขารก็ไม่ใช่บุญมีแต่กุศล ถ้าจะมีกรรมกิริยาปรุงแต่งอะไร ก็เป็นตามโอวาทปาติโมกข์ คือสัพพะปาปัสสะอะกะระณัง เรียกว่าไม่ทำแล้วในสิ่งที่เป็นบาปทั้งปวง กรรมกริยาของใครก็แล้วแต่ที่ไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว อันที่สองกุสลสูปสัมปทา คือทำแต่ดี อันนั้นเป็นการอธิบายกรรม ว่าไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่ดี เพราะได้ทำจิตผ่องใสเรียบร้อยแล้ว สจิตตปริโยทปนัง
ทำจิตให้สะอาดจากบาปเรียบร้อยแล้ว สามข้อนี้ เป็นโลกุตรธรรมที่เรียกว่า กตญาณ เป็นญาณแห่งความสำเร็จทั้ง 3 อย่าง ผู้บรรลุแล้วไม่ทำบาปทั้งปวง
ผู้บรรลุแล้วยังมีกรรมยังไม่ตาย ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ยังมีกรรม เพราะฉะนั้นทุกกรรมจึงเป็นกุศลทั้งสิ้น จึงเรียกว่า กุสลสูปสัมปทา เพราะชำระบาปในจิตไม่เหลือแล้วหมดสิ้นไปจากจิต
สามข้อนี้ จึงเป็นสามข้อของพระอรหันต์ เป็นโอวาทปาติโมกข์ เป็นการสรุปคำตรัสของพระพุทธเจ้าเป็นหลักเกณฑ์ใหญ่
สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
จะมีคนรู้ในอนาคตก็เอาความเข้าใจตนเองมาเรียบเรียงความหมาย เรียกว่าอรรถกถาจารย์ ถ้าเอาคำแปลของพระพุทธเจ้ามามันก็จะดี
อาตมามีความรู้มีสภาวะ และมีความเข้าใจ อย่างท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ก็ยังมีส่วนไม่ตรงกับของอาตมา อย่างปุญญาภิสังขาร อาตมาก็เห็นว่า ใครก็ตามที่สามารถปรุงแต่งจิต ทำจิต สร้างพลังงานในจิต ด้วยวิชชา เมื่อมีวิชชาก็มีสังขารเป็นปัจจัย ก็เอาวิชชามาสร้างสังขารเป็นอภิสังขาร เมื่อสร้างขึ้นมาเป็นบุญก็กำจัด ราคะ โทสะ โมหะ กำจัดไป จนหมด ก็หมดหน้าที่ของบุญ บุญก็ไม่ต้องทำงาน ก็ทำหน้าที่จบแล้ว เหมือนระเบิดนิวเคลียร์ทิ้งไปแล้วทำลาย มีผลงานของระเบิดจบ ระเบิดมันก็สูญไป ก็หายไป จะไปเก็บเศษของนิวเคลียร์มาทิ้งใหม่ก็ไม่ได้แล้ว หรือจะเก็บเอาพลังงานกัมมันตภาพรังสีของมันมาทำใหม่ก็ไม่ได้แล้ว
อันที่สอง อปุญญาภิสังขารคือไม่เหลือแล้วบุญ ปุญญะไม่มีแล้ว ผู้นี้มีอภิสังขาร 3 เป็นสังขารของเสขบุคคล หากทำจบอภิสังขาร 3 ก็จะเป็นอเสขบุคคล ก็ไม่ต้องสังขารอีก เพราะสังขารตอนต้นคำเดียว ปุญญาภิสังขาร กำจัด ราคะโทสะโมหะให้หมด
ถ้าเริ่มต้นกำจัดได้ แต่ยังไม่หมด ก็เป็นเสขบุคคล ทำสำเร็จแล้ว สร้างพลังงานบุญมากำจัด ราคะ โทสะ โมหะของตน กำจัดส่วนใดก็ตามกิเลสราคะหนึ่งก้อน ถ้าเรียกว่ามีร้อยหน่วยก็กำจัดมันได้หมดไปสัก20% ก็มีส่วนบุญ 20 พลังงานราคะฉิบหายไป ไม่ใช่ของได้ บุญไม่ได้สิ่งที่จะได้อะไรจากใคร แต่จะเป็นส่วนทำลายแล้วก็หมดหน้าที่ ส่วนบุญที่เรียกว่า ปุญญภาคิยา หรือปุญญภาค
ผู้ไม่เข้าใจก็นึกว่า ตนเองได้ส่วนบุญแล้วเอาไปแบ่งไปแจกกัน เวรจริงๆเลย ผู้ที่จะมาสร้างพลังงานให้เกิดบุญนั้น ต้องเข้าใจให้ดีเสียก่อนว่า บุญคืออะไร บุญคือพลังงานที่จะมากำจัด ราคะ โทสะ โมหะ กำจัดเสร็จแล้วบุญก็สำเร็จประสิทธิผลแล้วก็จะหายไป ถ้าไม่สำเร็จ ก่อสร้างให้มารมาทำงาน ในปัจจุบันที่เกิดกิเลส สะสมไว้ไม่ได้ ต้องสร้างในทุกปัจจุบัน ปุถุชนไม่มีใครมีบุญเลย มีแต่บาปเต็มกระบะอนุสัยเลย ไม่มีบุญ ต้องมาศึกษาสร้างพลังงานบุญให้เกิด สร้างขึ้นเมื่อใดก็กำจัดกิเลสเมื่อนั้น กำจัดได้เมื่อนั้น อันไหนสร้างพลังงานมากำจัดกิเลสได้ก็เป็นการเสร็จผล กตญาณ ทำกิจญาณสำเร็จผล กำจัดกิเลสได้ก็ไม่มีบุญ อปุญญะ
อาตมาอธิบายไม่ใช่สิ่งล้อเล่นเรื่อยเปื่อย หรือเพื่อแปลก เพื่อจะได้เป็นศิลปินมีอะไรแปลกๆสร้างให้คนสนใจ ไม่ใช่ ไม่ใช่ศิลเปรอะแบบนั้น อาตมาไม่ได้สร้างอะไรที่แปลกเพื่อให้คนมาสนใจ อาตมาไม่ใช่แบบนั้น ก็เลยไม่ค่อยมีคนมาสนใจ แต่อาตมาเป็นยอดศิลปิน
อธิบายของเก่าแต่ขยายมุมเหลี่ยมให้เพิ่มขึ้น มันเป็นเครื่องมือที่คนเข้าใจผิดว่าเป็นความดี สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี มันไม่ใช่ บุญไม่ใช่สภาพปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี บุญนี้เป็นสภาพปรุงแต่งกรรมชั่ว กรรมฝ่ายชั่วของเราให้หมด อภิสังขารคือ สร้างให้เกิดพลังงานไปจัดการทำลายบาปอกุศล คือสภาพกรรมฝ่ายชั่วอกุศลเจตนา สร้างขึ้นมาเพื่อให้มันกำจัด ราคะ โทสะ โมหะของเรา
อันที่สองท่านปยุตโตท่านก็ว่า อปุญญาภิสังขารคือ สังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือบาป อาตมาก็ชัดเจนว่า ท่านเข้าใจคำว่าบุญแตกต่างจากอาตมา ถ้าจะบอกว่าของอาตมาถูก ของท่านก็ผิด ถ้าบอกว่าของท่านถูก ของอาตมาก็ผิด
อปุญญา นี้ มันคือไม่ใช่บุญไม่มีบุญ อปุญญะ ตรงๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไร บุญหมด ผู้ที่อภิสังขาร กำจัด ราคะ โทสะ โมหะ หมดราคะก็อปุญญะ หมดโทสะก็อปุญญะ หมดโมหะก็อปุญญะ ก็ไม่ต้องใช้งานบุญอีกแล้ว ไม่ต้องใช้พลังงานนี้ไม่ต้องสร้างพลังอันนี้ จบเลิก
จากนั้น อาเนญชา มีแต่สั่งสม ฐานของจิต ผู้ที่ ทำลายกิเลส ทำลายราคะ พลังงานราคะ โทสะ โมหะ ทำลายได้ก็ไปสู่ฐานอุเบกขา ฐานเฉยๆกลางๆ ไม่มีพลังงานชั่วพลังงานดี ไม่มีพลังงานดูดหรือผลัก ไม่มีพลังงานลบหรือบวก ก็จะเกิดอันนี้คืออาเนญชา ก็สั่งสมพลังงานนี้เรียกว่าสมาธิ ให้เกิดจิตอุเบกขา เป็นฐาน คือตั้งมั่นแข็งแรง
อุเบกขา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ธาตุวิภังคสูตร มีคุณสมบัติ5
ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ที่เอาบาลีมาก็เพราะแปลต่างกัน
1. ปริสุทธา (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5)
2. ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)
3. มุทุ (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ)
4. กัมมัญญา (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ)
5. ปภัสสรา (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ)
(ธาตุวิภังคสูตร พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 690)
ขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก คือหมดกิเลสแล้วแต่ยังทำงานอยู่ มีตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นคนยังไม่ตาย ก็มีสัมผัส รูปรสกลิ่นเสียง แม้สัมผัสเหตุปัจจัยที่เคยก่อเกิดกิเลส มันก็ไม่เกิดอีกแล้ว ปริโยทาตาคือ บริสุทธิ์อยู่เรื่อยๆ สั่งสมให้เป็นอเนญชา ให้เป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ที่เอาบาลีมาก็เพราะแปลต่างกัน
โดยมีสัมผัสอยู่เรื่อยๆ ก็ปริโยทาตาอยู่ ไม่ใช่ว่าอยู่นิ่งเฉย นั่งหลับตาสะกดจิต มีแต่หนีลูกเดียว ไม่มีการพัฒนาปริโยทาตา จึงเป็นคนอ่อนแอ สมกับที่แปลว่ามุทุว่า อ่อน สำหรับพวกไปนั่งหลับตาปฏิบัติ
แต่อาตมาแปลมุทุว่า จิตหัวอ่อน คือจิตว่านอนสอนง่าย จิตที่อยู่ในภาวะตัวเราเองเป็นประธานควบคุมจิตเราได้ ควบคุมสายปัญญาให้แววไวที่จะรับรู้ เป็นโลกวิทู เป็นปฏิภาณไหวพริบที่เร็ว มุทุ หรือเจโต จิตของมันเองปรับให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ง่าย ที่จะทำงานอยู่กับโลกเขา มีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 จึงทำงานอยู่กับโลกเขาอย่างเหมาะควรแก่การงาน
เป็นประโยชน์อะไรที่ดี ไม่เป็นโทษเป็นภัย สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 จะมีการทำงาน กระทบกระแทกก็ยังคง ผุดผ่อง ปริโยทาตาเช่นเดิม จะมีความเลวร้ายอย่างไรในโลกมากระทบกระแทก ก็ยังปภัสสรา เป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดกาล เป็นคุณสมบัติของจิตที่เรียกว่าฐานอุเบกขา เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนาที่บริบูรณ์ ที่ได้ปฏิบัติ จากเวทนา2 เวทนา3 เวทนา5 เวทนา6 เวทนา18 เวทนา36 เวทนา108
เวทนา 36 ในปัจจุบัน 36 อดีต 36 อนาคต รวมเป็น 108
อนาคตสร้างไม่ได้ ต้องสร้างปัจจุบันและอดีตให้เป็น 2 แกนฐาน แข็งแรง สัญญาวิปลาส
อวิชชา 8 มี
1. ความไม่รู้ในทุกข์ (ทุกเข อัญญาณัง)
2. ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย (ทุกขสมุทเย อัญญาณัง)
3. ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ (ทุกขนิโรเธ อัญญาณัง)
4. ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
5. ความไม่รู้ในส่วนอดีต (ปุพพันเต อัญญาณัง)
6. ความไม่รู้ในส่วนอนาคต (อปรันเต อัญญาณัง)
7. ความไม่รู้ทั้งในส่วนอดีตและส่วนอนาคต (ปุพพันตาปรันเต)
8. ความไม่รู้ในปฏิจจสมุปปาทธรรม ว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัย ธรรมนี้จึงเกิดขึ้น
ก็ยิ่งชัดเจนว่า ส่วนอดีต ข้อ 5 คือไม่เที่ยง ข้อที่ 6 อนาคตก็ไม่เที่ยง ส่วนข้อที่ 7 คือส่วนอนาคตและอดีต จบ เป็นการปฏิบัติแล้วจบ คนที่ยังไม่รู้ตัวจบของตัวเองคือตัวที่ 7 เพราะทำตัว 6 5 ยังไม่สมบูรณ์ แล้วทำอะไร ทำทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคให้สมบูรณ์ ให้เกิดนิโรธโดยสมบูรณ์ แล้วจะทำตรงไหน ก็ทำตรงที่ปฏิจจสมุปบาท ทำตั้งแต่เรียนรู้ สังขารต่างๆ
สังขารต่างๆนั้นมีวิญญาณเป็นปัจจัย คนจะเรียนรู้วิชชา ต้องเรียนรู้สังขารเป็นการปรุงแต่งของพลังงาน เมื่อเรียนรู้ได้ก็จะมีอภิสังขาร คือเจริญขึ้นได้เรื่อยๆ สามารถสร้างพลังงานบุญได้ ก็ไปทำสังขารได้ คือไปจัดการพลังงาน ราคะ โทสะ โมหะได้
แล้วพลังงานที่ว่านี้ต่างๆคือวิญญาณ คือพลังงานธาตุรู้ ทำให้เป็นวิญญาณจริงๆ ญาณ แปลว่ารู้ ถ้าอัญญาณ แปลว่าไม่รู้ ถ้าวิญาณ ก็สะกดเป็น วิญญาณ ตัวนี้คือธาตุรู้ อัญญาณคือไม่รู้ แต่วิญญาณคือรู้ วิ คือวิเศษยิ่งรู้ยิ่ง
ผู้ใดสามารถรู้หนึ่ง จากอวิชชาเป็นวิชชา จากสังขารมาเป็นอภิสังขาร วิญญาณก็เป็นวิญญาณแท้ ถ้าทำให้พลังงานบริสุทธิ์สะอาด ไม่มีสังขารที่เป็นบาปปรุงแต่ง ก็ต้องมาเรียนรู้แยกวิญญาณ เพราะปุถุชนเป็นวิญญาณเก๊ ก็ต้องมาเรียนรู้อาการของวิญญาณ
จะรู้วิญญาณได้ จะต้องใช้ การฝึกฝน อ่านจิต อ่านใจ จิตใจนี้เป็นธาตุรู้ ก็เรียกว่า ธรรมธาตุ ทรงในจิตเรา แยกเป็นธาตุ 1.เป็นนามธาตุ 2.เป็นรูปธาตุ
แยกวิญญาณเป็นนามธาตุคือตัวรู้ธาตุรู้ จับตัวธาตุรู้มาฝึกฝน ให้รู้ตัวถูกรู้คือ Object ตัวเราเองเป็นตัวรู้เรียกว่า Subject แยกสองอย่างนี้ออกได้เรียกว่า แยกรูปแยกนาม ธรรมะที่ถูกแยกนี้ท่านเรียกว่ากายเป็นธรรมะ 2
จากอวิชชาเริ่มจะเป็นวิชชาก็มารู้สังขาร รู้สังขารก็รู้วิญญาณ รู้วิญญาณก็รู้รูปนาม แยกเป็นธรรมะสอง เมื่อเกิดธรรมะ 2 เรียนรู้กาย
กายนี้มีทั้ง ภายนอกและภายในเป็นธรรมะ 2 คำว่า ธรรมะ 2 นี้สำคัญมาก ในพระไตรปิฎก ล.10 ข.60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ธรรมะ 2 นี้ท่านให้เรียนรู้ที่เวทนา เพราะเวลามันเป็นการสัมผัสก็จะเกิดเวทนา คนปฏิบัติธรรมต้องมีสัมผัส แล้วเกิดเวทนา ศาสนาพุทธนั้นผิดเพี้ยนไปไกล จนกระทั่ง ศาสนาพุทธมีเวทนาเป็นกรรมฐาน เป็นฐานะแห่งการปฏิบัติธรรม ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร ท่านว่า ...9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ถ้าไม่มีผัสสะแล้วจะไม่มีฐานให้ปฏิบัติธรรม มีผัสสะแล้วเกิดเวทนา เวทนาจึงเป็นกรรมฐานเดียวของศาสนาพุทธ ปฏิบัติเวทนาให้บรรลุ 108 บรรลุ จนกระทั่งเวทนา 36 เป็น 0 ในปัจจุบัน สัมผัสปั๊บก็จัดการอภิสังขารให้ 0
เป็นอุเบกขา กลางๆ ทุกปัจจุบันคุณทำได้เที่ยงแท้ จะมาเหลี่ยมไหนมุมไหนที่เคยเกิดกิเลส เคยเว้าแหว่ง เผลอไผล พลาดท่าเสียทีก็ไม่เหลือ ไม่พลาดท่าเสียที ไม่เกิดกิเลสวูบวาบเลย ทำทุกตัว อนาคตจะวิ่งมากี่ตัว พอถึงปัจจุบันก็จัดการให้ 0 ได้สำเร็จหมด พลังงานปัจจุบันนั้นศูนย์ได้เก่ง จนกระทั่งส่วนอดีตก็ 0 อนาคตมาอีกเมื่อไหร่ก็ 0 มาถึงปัจจุบันเมื่อไหร่ก็ 0 นั่นคืออวิชชาตัวที่ 7 คือส่วนอดีตและอนาคตเป็นศูนย์ อย่างเที่ยงแท้ คุณก็จบ แต่ถ้าคุณรู้แล้วว่าจะทำส่วนอดีตอย่างไรได้ส่วนบุญแต่ไม่เที่ยง บางทียังตกหล่นไม่แข็งแรงพอ ยังไม่แข็งแรงตราบใดก็ยังมีส่วนอดีตไม่สมบูรณ์ อนาคตก็ยังไม่สมบูรณ์ ข้อที่ 5 และ 6 คือส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ไม่เที่ยง ส่วนที่ข้อ 7 คือเที่ยง ทำให้กิเลสเป็นศูนย์ได้เที่ยงแท้
นึกถึงตัวเอง ชาตินี้มาอธิบายสัจธรรมที่ถูกต้องในยุคนี้ ที่ท่านได้ผิดเพี้ยนไปไกลมาก จนกระทั่งมาทำตำราการสอน ขออภัยท่านประยุทธ์ ที่ท่านเป็นภันเต เป็นสมเด็จ อาตมาเป็นพระกระจอก ก็ต้องขออภัย ขออนุญาต ที่จะกล่าวที่จะพูด
บุญคือสภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี อันนี้แปลผิด ถ้าเป็นอาตมาแปลจะไม่แปลอย่างนี้ บุญคือสภาพปรุงแต่งกรรมฝ่ายชั่ว ที่จะกำจัดราคะโทสะโมหะ คือสันดานที่ต้องถูกชำระ สันตานังปุนาติวิโสเทติ มีหน้าที่ชำระราคะ โทสะ โมหะในสันดานให้หมดจด วิโสเทติ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ปุนาติ แปลว่าการชำระ
สันตานังปุนาติวิโสเทติ บุญคือการชำระกิเลสในสันดานให้สะอาดบริสุทธิ์
อภิสังขารคือสังขารปรุงแต่งกำจัดกรรมฝ่ายชั่ว จะเรียกว่า ความมุ่งหมายฝ่ายดีก็ถูกเพื่อกำจัดธรรมะฝ่ายชั่ว
อปุญญาภิสังขาร ท่านแปลว่า สังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่ายดี คือฝ่ายชั่ว อันนี้แปลไม่เหมือนอาตมาเลย อาตมาแปลว่าเป็นการอภิสังขารที่ไม่เป็นบุญแล้ว เพราะถ้าจะทำกรรมใดก็เป็นกุศลกรรม เพราะได้กำจัดบาปไปตั้งแต่ ปุญญาภิสังขารไปแล้ว แต่มากหรือน้อยก็แล้วแต่จนกระทั่งหมดบาป หน้าที่ของบุญก็หมด จนหมดบาปอกุศลก็หมดบุญเลย ท่านซื่อสัตย์ตามภูมิของท่าน ที่ท่านแปลมา
คนจะเข้าใจคำว่าบุญจึงได้ยาก เมื่อเข้าใจคำว่าบุญไม่ได้ ไม่เข้าใจชัดเจนในความเป็นอยู่ จึงเอาบุญไปใช้เป็นประโยชน์ไม่ได้ เมื่อเอาบุญไปใช้เป็นประโยชน์ไม่ได้ ศาสนาจึงได้ล้มเหลว ศาสนาไม่มีแล้วคำว่าบุญ สร้างพลังงานให้เป็นบุญไม่ได้ สร้างได้แต่กุศล เป็นพลังงานที่ไปสร้างกรรมฝ่ายดี ทั้งที่บุญคือพลังงานที่จะไปกำจัด พลังงานชั่วให้หมดไป
โชคดีที่มีพยัญชนะยืนยันว่า เมื่อหมดบาปก็หมดบุญ คือปุญญปาปปริกขีโณ จึงหมดสิ้นบุญและบาป ผู้หมดบุญหมดบาปก็คือพระอรหันต์ แล้วมีหลักฐานยืนยันพระอรหันต์ที่ท่านได้ตรัส พระโมฆราช พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้เช่นกัน
เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ(ปุญญปาปปริกขีโณ) เป็นผู้ไม่มีอาสวะ...ฯลฯ (ล.32 ข.392)
ผู้ใดมีสัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติกำจัดกิเลส คือบุญ กำจัดกิเลสได้บางส่วน กิเลสนั้นยังไม่หมดส่วน เรียกว่ายังไม่หมดอาสวะ เป็นสาสวะ กำจัดได้เป็นส่วนๆ บุญทำหน้าที่กำจัดไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ กำจัดได้ทีละส่วนยังไม่สิ้นอาสวะ ก็เรียกว่าปุญญภาค หรือปุญญภาคิยา ยังกำจัดส่วนกิเลสไปได้เรื่อยๆ ไม่หมดสิ้นอาสวะ อนุสัย ได้ส่วนแห่งบุญ
ภาษาไทยก็เรียกว่าได้ส่วนแห่งบุญ ภาษาที่เป็นโลกุตระบอกว่า ส่วนได้นี่แหละคือส่วนที่เราเสีย ส่วนที่เราเสียนี่แหละคือส่วนที่เราได้ ในหลวงได้ตรัสไว้นี่แหละคือภาษาโลกุตรธรรม อาตมาถึงบอกว่า ประเทศไทยมีพระโพธิสัตว์ ในหลวงตรัส คนจะไปว่าอะไรท่านไม่ได้หรอก ท่านตรัสเช่นนี้ จนตรัส ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แล้วท่านก็แหย่นักเศรษฐศาสตร์ เขาก็คงบอกว่าพูดอย่างนั้นได้อย่างไร ก็ต้องพูดอย่างนั้นเพราะมันเป็นอย่างนั้น อาตมาก็เห็นใจคนที่เข้าใจไม่ได้
เมืองไทยยังมีเชื้อโลกุตรธรรม ที่ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงงานมีพระจริยวัตรมีการกระทำ บริหารปกครองประเทศมา 70 พรรษา ก็ทรงงานเพื่อที่จะ ช่วยมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)เป็นนักประชาธิปไตยที่ทรงงานเพื่อประชาชน ถ้าใครศึกษาพฤติกรรมของในหลวงทุกพฤติกรรม แล้วทำตามพระองค์จริงๆ เมืองไทยเจริญแน่นอน ผู้บริหารข้าราชบริพารต่างๆ ก็พูด แต่ไม่เข้าใจลึกซึ้ง ไม่มีความอุตสาหะวิริยะไม่มีใจจริง ไม่เหมือนน้ำพระทัยของในหลวง ในหลวงท่านทรงงานเพื่อประชาชนจริงๆ
ไม่ได้พูดเพื่อเอาดีเด่นดังโก้แต่อย่างใด แต่เป็นสัจจะที่สุดยอด อย่างเช่นในหลวงรัชกาลที่ 9 สุดยอดในเมืองไทย ที่อาตมาหยิบมายืนยันในส่วนที่เป็นความชัดเจน หักมุม ของโลกียะ เอามาใช้เพื่อให้คน ฉุกใจสะดุดใจ แล้วเอาไปศึกษาติดตามว่าทำไมในหลวงเราต้องตรัสเช่นนั้น ที่เอามาออกอากาศในสถานีบุญนิยมของเราเป็นประจำทุกวัน วันหนึ่งหลายเที่ยว เพราะว่าเป็นจุดหักมุมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในความเป็นมนุษย์โลก
มนุษย์โลกต้องมีความเข้าใจเช่นนี้ เช่น มีรัฐมนตรีของเกาหลีมาทูลถามว่าจะบริหารประเทศอย่างไรแบบไหน ท่านก็อธิบาย ว่า ประเทศเราเป็นประเทศเล็กๆ
ท่านก็เลยบอกว่า ขอคำแนะนำว่าจะให้บริหารอย่างไร ท่านก็บอกว่า ถ้าจะแนะนำก็ได้ ว่าต้องทำแบบคนจน อาตมาว่า ถ้าอาตมาเป็นรัฐมนตรีเกาหลีคนนั้นเมื่อฟังแล้ว หูคงหักเลย ว่าท่านตรัสอะไร แบบคนจน แล้วท่านก็ขยายความว่า เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควรพออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะมีแต่ถอยหลัง
แปลความนี่ว่า ในหลวงทรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ว่า ถ้าไปก้าวหน้าอย่างโลกเขาก็จะมีแต่ถอยหลัง อาตมาขออธิบายความด้วยตัวเอง มั่นใจว่าไม่ผิดที่ในหลวงทรงหมาย
คือหมายความว่า ไปแย่งชิงความร่ำรวย ก้าวหน้าร่ำรวย ที่เป็นอุตสาหกรรมก้าวหน้า ท่านบอกว่าจะมีแต่ถอยหลัง แล้วถอยหลังอย่างน่ากลัว เพราะอุตสาหกรรมนั้นทำลายประเทศได้มาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมทำอาวุธ
อาวุธคือเครื่องประหารคน ประเทศไหนสร้างอาวุธคือประเทศที่บาป สร้างอาวุธได้เก่งเท่าไหร่คือบาปเท่านั้น สั่งได้เก่งไม่พอก็เอาไปขายราคาแพง ยิ่งจะบาปซ้ำซ้อน คนซื้อไปเอาไปประหัตประหารก็จะยิ่งบาปต่อไปสารพัดบาป
ตอนนี้ประเทศที่กำลังตั้งอกตั้งใจสร้างแต่อาวุธพัฒนาอาวุธมากคือประเทศเกาหลีเหนือ ตอนนี้คือประเทศบาป ก็คอยดูว่าประเทศนี้จะลงเอยอย่างไร พูดตามประสาความรู้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจ
ความรวยนี้มันจูงดึงคน เมื่อสร้างอาวุธได้มีประสิทธิภาพก็ขายได้แพงขึ้นราคาได้แพง คนก็อยากได้เพราะเขาสร้างไม่ได้เอง สร้างไม่ได้เก่งเท่า ก็ต้องเอาไปเป็นเครื่องไม้เครื่องมือเขี้ยวเล็บของประเทศ ก็ต้องจำนนไปซื้อ ก็เลยรวยรวยรวย นี่คือความหมายที่ลึกซึ้ง เราไม่เอาอุตสาหกรรมก้าวหน้าแบบนั้น มันบาปกินหัว มีแต่บาปกับบาป เป็นความเลวร้ายของสังคม อาตมาไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายนะ อาตมามองโลกในแง่ดี ไม่อยากจะให้ไปเป็นคนชนิดอย่างที่พูดนั้น
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงได้ทรงตรัสทุกอย่างจากพระทัยของพระองค์ด้วยความบริสุทธิ์สะอาด แล้วตรัสอย่างสบายๆ ถ้าว่าจริงแล้ว เหมือนไม่ไว้หน้าคน จะไปสร้างอุตสาหกรรมอย่างนั้นมันเสื่อม ก้าวหน้าอย่างนั้น มีแต่ถอยหลังอย่างน่ากลัว ไม่เอา อย่าไปคิดอ่านไปรวยแบบนั้น ผู้ใด คิดอ่านรวยด้วยการค้าอาวุธ มันเป็นมิจฉาวณิชชาข้อที่1 เป็นการค้าขายที่เป็นบาป สัตถวณิชชา
1. การค้าขายอาวุธ (สัตถวณิชชา)
2. การค้าขายสัตว์มีชีวิต (สัตตวณิชชา)
3. การค้าขายเนื้อสัตว์ (มังสวณิชชา)
4. การค้าขายสิ่งมอมเมา (มัชชวณิชชา)
5. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ (วีสวณิชชา)
(พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 177)
ในนวโกวาทมีการแปลแบบเลี่ยงบาลี ว่ามีแค่การค้า ซึ่งก็คือการค้าการขาย แต่เขาเลี่ยงภาษาไป ท่านสอนเพื่อให้รู้จักสภาวะสัจจะความจริง แต่ไปเลี่ยงบาลีไปจะไปรู้ความจริงได้ยังไง ก็ไปไม่ถึงไหน อภัยจริงๆเถอะนะ
เขาว่าเราแปลว่า ขาย นี้ผิด ก็จะเป็นอย่างไรไม่มีการขาย มีแต่การค้า แล้วค้าอย่างไร มีแต่พ่อค้าแม่ค้าไม่มีลูกค้ามาซื้อ ได้อย่างไร ก็เป็นการเลี่ยงบาลี ดำน้ำไป เลี่ยงไปทำไม ไม่เข้าหาความจริง อย่าเลี่ยงความจริงเลย จะยังโง่อยู่ ใครเลี่ยงความจริงก็คือคนโง่ พยายามอย่าเลี่ยง
เดี๋ยวนี้เขาไม่พูดกันแล้วมิจฉาวณิชชา 5 การค้าขายอาวุธมันเป็นการค้าขายเครื่องมือฆ่าคนนะ มันเป็นอกุศลเจตนา เป็นเจตนาบาปแท้ๆ เริ่มต้นเจตนาบาป แล้วทำให้เกิดผลสำเร็จ ก็บาปๆๆๆๆๆๆๆๆ ทำไมต้องเกิดมาทำแต่บาป เขาก็พูดถึงว่า พูดอย่างไร ประเทศไหนก็ต้องมีอาวุธป้องกันประเทศ เท่าที่อาตมามีความรู้ว่า มีประเทศที่ไม่มีอาวุธมีไหม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ประเทศไทยทำไมไม่กล้าเหมือนสวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่น่าอยู่ ไม่มีการต้องสร้างอาวุธ ไม่เอาพลังงานมาสร้างอาวุธ ประเทศไหนยังคิดสร้างอาวุธเป็นประเทศบาป แม้แต่เมืองไทย
อยากจะขอสรุปลงไปที่ว่า ที่อาตมาเอาชีวิตมาอยู่ตรงนี้ 40 ปีแล้ว ก็พยายามจะมีชีวิตอยู่ต่อไป หยุดทางโลก 36 ปี อาตมาเสียดายเวลานะ ไปเที่ยว ยังรับยศสรรเสริญ มีลิงลมอมข้าวพอง กระแสโลกครอบงำให้เป็นอย่างโลก เหมือนพระพุทธเจ้าที่ถูกราชบิดาครอบงำ แม้ที่สุดไปออกมหาอภิเนศกรมก็แสวงหาความบรรลุธรรม ก็ไม่มีความรู้ก็เลยไปหลงทางผิด ทั้งที่มีภูมิตรัสรู้แล้ว
ในชีวิตที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านไม่ได้แสวงหาธรรมะของพุทธศาสนาเลย เพราะว่าท่านมีภูมิเป็นสัมมาสัมโพธิญาณพร้อมหมดแล้ว พร้อมที่จะมาเกิดเพื่อประกาศศาสนา ท่านมีเต็มมาแล้ว ในปางที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธเลย ท่านมีพร้อมหมดแล้ว
เสร็จแล้วท่านก็ประกาศศาสนา แม้อย่างนั้นก็ยังถูก ลิงลมอมข้าวพอง แสวงหาด้วยการออกป่า จนกระทั่งระลึกรู้ความจริงของตัวเองได้ คนก็เลยเข้าใจไปว่า จะบรรลุจะต้องไปนั่งสมาธิแล้วความรู้มันจะเกิด อาตมาสงสาร พวกที่นั่งหลับตาทำสมาธิแล้วบอกว่าจะเกิดปัญญา ปัญญาจะได้ด้วยวิธีนี้ ด้วยการทำจิตให้เป็นสมาธิให้นิ่ง แล้วจะเกิดความบรรลุ ของพระพุทธเจ้าเป็นสมบัติเก่าของท่าน ใครที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมจะไปนั่งหลับตาเพื่อสะกดจิตจะได้บรรลุ กว่าจะได้แต่สัญญาที่มีอวิชชา คนยังไม่ได้บรรลุเลย จะไปนั่งเอาอะไร น่าสงสารไม่ได้ปัญญาหรอก
ปัญญาจะต้องลืมตาปฏิบัติอย่างมีเหตุปัจจัยที่พระพุทธเจ้าสอน พวกที่เป็นอาจารย์เขียนคอลัมนิสต์ อาตมาอ่านแล้วก็น่าสงสาร จะให้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิแล้วจะเกิดปัญญา ปัญญาเกิดไม่ได้ในการนั่งหลับตา ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีมัคคังคะ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ ปัญญา จะเกิด ปัญญาจะเกิดไม่ได้จากการไปนั่งหลับตา จะสร้างปัญญาต้องปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 มีองค์แห่งมรรค โดยมีโพชฌงค์ 7 ประการ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ อันนี้คือกระบวนการแห่งการเกิดปัญญา เป็นกระบวนการทั้ง 6
ในกระบวนการของ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ องค์แห่งมรรค นี้ประกอบกับโพชฌงค์7มรรคมีองค์ 8 จึงจะเกิดสัมมาทิฏฐิ เจริญขึ้นเจริญขึ้น ไปตามลำดับ จะมีปฏิสังเคราะห์ปะฏิสังขาร อยู่ในนั้นอีกตั้งเยอะ อาตมาก็คงขยายความไม่ได้
สมณะฟ้าไทว่า...ถามว่า พระพุทธเจ้าสำเร็จแล้วก็ระลึกสัญญา พ่อครู เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ระยะเริ่มต้นก็มีการปฏิบัติธรรม
พ่อครูว่า... ก็เหมือนพระพุทธเจ้าที่ไปปฏิบัติทรมานตัวเอง ท่านทำได้ยิ่งกว่าคนอื่นใดเลย
สมณะฟ้าไทว่า...คนที่เคยเป็นโพธิสัตว์แล้วเมื่อมาเกิดใหม่ก็ต้องปฏิบัติโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อีกหรือไม่
พ่อครูว่า... หากไม่ได้สั่งสมมาก็ต้องทำการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ผู้ที่ไม่เคยฟังโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 จากผู้ที่รู้มาก่อน ก็จะไปฟังจากที่ไหนไม่ได้ ยิ่งนั่งหลับตามงมงาย ได้เป็นทิฏฐิ 62 ตามที่ท่านตรัสไว้
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:30:29 )
รายละเอียด
600804_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ จิปาถะอาริยะโพธิ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 ที่ราชธานีอโศก พ่อครูได้พูดถึงพลังงานบุญที่จะทำร้ายทำลายกิเลส ของเราให้หมดไปได้ ก็จะเหลือแต่พลังงานสร้างสรรต่อมวลมนุษยชาติ ที่กำลังมีภัย โดยเฉพาะอุทกภัย พวกเราชาวบ้านราชฯ ก็ประสบอุทกภัยเช่นกัน แต่แม่น้ำมูลขึ้นทีละน้อย แต่ พ่อครูให้เราใช้วิกฤตเป็นโอกาส ตอนนี้ที่สวนอุทยาน เราก็ขาดคนดูแล ก็เลยใช้วิกฤตเป็นโอกาสไปดูแลสวนอุทยานดีกว่า ที่ญี่ปุ่น เกิดภัยพิบัติบ่อย ก็เลยทำให้คนในชาติเข้มแข็ง ชาวอโศกเราก็น่าจะเข้มแข็งได้จากภัยพิบัติ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ปัญญาในเวทนากับสงสาร
พ่อครูว่า...เจริญธรรม อย่างที่ท่านฟ้าไทว่า เราทำกันจริงๆสิ ที่ไม่น่าจะได้มันจะได้ มันเป็นจริงสำหรับคนที่ภูมิและบารมีไม่ถึง ยังสั่งสมบารมี มีความซับซ้อนมากในเรื่องบุญบารมี คนที่มีบารมีเชิงฉลาดเฉลียวฉลาดปฏิภาณดี แต่เจโตไม่ค่อยไหว ทำจิตของตนเองไม่ค่อยได้ ได้แต่เฉลียวฉลาดเก่ง ฟังได้ แต่ตัวเองรู้สึกว่าน่าได้ รู้สึกว่าจะเข้าใจ แต่มันไม่ได้ มันเป็นสัจจะที่ชัดเจน ศรัทธากับปัญญานี่แหละ สองหลักใหญ่ สัทธานุสารี ธรรมานุสารี ปฏิบัติตามโดยมีธรรมะ และมีปัญญา ท่านไม่ใช้คำว่าปัญญานุสารี เพราะว่า ต้องใช้ปัญญาทั้งคู่
อาตมาอธิบายปัญญาแล้วว่าคืออะไร ปัญญาคือความฉลาดใหม่ เป็นความฉลาดที่ โลกโลกุตระเท่านั้นที่จะมีปัญญา ถ้าไม่อยู่ในโลกโลกุตระ สร้างพลังงานปัญญานี้ขึ้นไม่ได้ ต้องมีกระบวนการ องค์ประกอบของเหตุปัจจัยครบ ทั้งธรรมะ 2 แล้วพิจารณา ธรรมะ 2 กายนอกกาย กายในกาย และคำว่ากาย ก็ไม่ใช่ว่ามีแต่ภายนอกโดยไม่มีจิตวิญญาณร่วม นี่แหละ คือเรื่องใหญ่สำหรับคนไทย เพราะคนไทย คำว่ากาย หมายถึงดินน้ำไฟลมไม่มีจิตวิญญาณประกอบ กายนี้ เข้าใจกันส่วนใหญ่แทบทั้งหมด มันเป็นภาษาไทยที่สนิทแล้ว แล้วมันก็เพี้ยนผิดไปสนิทเหมือนกัน ดังนั้นจึงนำกลับคืนมายากมาก คำว่า กาย นี่
ซึ่งสรุปแล้วสรุปอีก ว่า กาย จะขาดความรู้สึกไม่ได้ ถ้าหมายถึง ดินน้ำไฟลมวัตถุ ธาตุ 4 โดยตรงแถม อากาศอีกธาตุ มันเป็นช่องว่าง แต่มันมีพลังงานในอากาศ ก็จะไม่จับตัวเป็นอะไร แต่ที่จับตัวเป็นอะไร คือดินน้ำไฟลม ถ้าไฟกับลมนี้ก็ยากจะรู้แล้วนะ มันไม่ได้จับยังเป็นตัวเป็นตน มีน้ำกับดินนี้ จะเป็นตัวเป็นตน ไฟกับลม นี้มันเป็น พลังงาน ถ้าละเอียดมา จับตัวมาได้ เป็นบทบาทเรียกว่าอากาศ แล้วพลังงานจะอยู่กับอากาศ
พลังงานเป็นธรรมะ 2 กับอากาศ ทำเสร็จก็ว่าง ก็อากาศ พลังงานนั้นก็หายไป เป็นเรื่องที่ละเอียดลออมาก อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ได้รู้ถึงระดับ 9 ก็พอพูดให้เข้าใจได้ น่าจะไม่สงสัยอะไรต่อได้ แต่ถ้าคนที่ฉลาดกว่าอาตมา ภูมิธรรมขั้นสูงกว่าอาตมา ก็จะมีมุมเหลี่ยมละเอียดให้อาตมาสงสัยได้ อาตมาก็จะตามศึกษาให้สูงขึ้นได้ อันไหนที่อาตมาไม่ถึงก็รู้ไม่ได้ คิดไม่ได้ มีหรือไม่มีก็ไม่รู้เลย เดาไม่ได้ อย่าไปคิดว่า ตัวเองต้องเก่งต้องรู้หมด ถ้าอย่างนั้น จะอึดอัดมาก ว่าทำไมเราก็คนเหมือนเขา ข้าก็ต้องรู้ได้เหมือนกัน ใครไปทำอย่างนั้นจะเกิดภาวะหรือจะเกิดความร้อนไม่แจ่มใส ถ้าพลังงานอย่างนั้นจะหม่นมัว อาตมาว่ามันละเอียดลออสนุก ผู้ใดมีภาวะศึกษาธรรมชาติ ศึกษาถึงแล้วบรรลุได้ เมื่อพูดกับผู้ที่รู้กันก็จะชัดเจน ผู้ที่ยังไม่รู้ก็ต้องเข้าใจเขา ถ้ายังต่ำเตี้ย ก็จะพูดแล้วเชิงข่มเขา ดูถูกเขา ไม่เมตตา ไม่มีความเห็นใจ ยังไม่ชัดในเวทนา ในสงสาร ถ้าชัดเจนในเวทนา สงสาร จะเข้าใจเมตตาคนอื่น ผู้นั้นจะรู้ลึกซึ้งเรื่องเวทนากับสงสาร
สงสารคือเรื่องโลก เวทนาคือเรื่องอัตตา สงสารคือ องค์ประกอบปรุงแต่งใน space and time เราก็รวมกับโลก เป็นธรรมะสอง มีรูปกับนาม ส่วนอัตตา ตัวเราเองยิ่งเล็กน้อยๆ จนเป็นหนึ่ง แล้วก็ยังยึดหนึ่งเป็นเรา จนทำให้เป็น 0 เห็นว่าจิตที่ไปยึดเป็นเรานี้
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สักกายทิฏฐิ 20 วัตถุ
เอาภาษานี้อ่านให้ฟังนิดหน่อย มันสุดยอด คือ อัตตานุทิฏฐิ คือ ความตามเห็นอัตตา ตามเห็นตัวอัตตาเราในขันธ์5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ผู้ที่สามารถตามเห็น มันจะมีตามเห็นได้ เรียกว่า เป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้เลย มันจะเป็นนาม แต่ถูกรู้ได้ หรือรูปเป็นวัตถุ เพราะขั้นธ์5 นี้จะมีสภาวะของ 4 วัตถุ 4 รูป
4 รูป ในขันธ์5 รูปก็ต้องเห็นทั้ง 4
รวมแล้วจะครบ สักกายทิฏฐิ 20 วัตถุ
ล. 31 ข้อ 671 บรรดาสัญโญชน์ 3 นั้น สักกายทิฏฐิ เป็นไฉน?
ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไร้การศึกษา ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้าไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้เห็นสัตบุรุษไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมเห็นรูปเป็นตน หรือเห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน เห็นตนในรูป ย่อมเห็นเวทนาเป็นตน หรือเห็นตนมีเวทนา เห็นเวทนาในตน เห็นตนในเวทนา ย่อมเห็น สัญญาเป็นตน หรือเห็นตนมีสัญญา เห็นสัญญาในตน เห็นตนในสัญญา ย่อมเห็นสังขารเป็น ตน หรือเห็นตนมีสังขาร เห็นสังขารในตน เห็นตนในสังขาร ย่อมเห็นวิญญาณเป็นตน หรือเห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตน เห็นตนในวิญญาณ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏ คือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปรแห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า สักกายทิฏฐิ.
[671] ตตฺถ กตมา สกฺกายทิฏฺิ อิธ อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน
อริยาน อทสฺสาวี อริยธมฺมสฺส อโกวิโท อริยธมฺเม อวินีโต
สปฺปุริสาน อทสฺสาวี สปฺปุริสธมฺมสฺส อโกวิโท สปฺปุริสธมฺเม อวินีโต
รูป อตฺตโต สมนุปสฺสติ รูปวนฺต วา อตฺตาน อตฺตนิ วา
รูป รูปสฺมึ วา อตฺตาน เวทน อตฺตโต สมนุปสฺสติ เวทนาวนฺต
วา อตฺตาน อตฺตนิ วา เวทน เวทนาย วา อตฺตาน สฺ
อตฺตโต สมนุปสฺสติ สฺาวนฺต วา อตฺตาน อตฺตนิ วา สฺ
สฺาย วา อตฺตาน สงฺขาเร อตฺตโต สมนุปสฺสติ สงฺขารวนฺต
วา อตฺตาน อตฺตนิ วา สงฺขาเร สงฺขาเรสุ วา อตฺตาน วิฺาณ
อตฺตโต สมนุปสฺสติ วิฺาณวนฺต วา อตฺตาน อตฺตนิ วา วิฺาณ
วิฺาณสฺมึ วา อตฺตาน ยา เอวรูปา ทิฏฺิ ทิฏฺิคต ทิฏฺิคหน
ทิฏฺิกนฺตาโร ทิฏฺิวิสูกายิก ทิฏฺิวิปฺผนฺทิต ทิฏฺิสฺโชน คาโห
ปฏิคฺคาโห อภินิเวโส ปรามาโส กุมฺมคฺโค มิจฺฉาปโถ มิจฺฉตฺต
ติตฺถายตน วิปริเยสคฺคาโห อย วุจฺจติ สกฺกายทิฏฺิ ฯ
คุณต้องเป็นผู้มีรูป และคุณต้องเห็นรูปนั้น รูปีรูปานิปัสสติ คนมีปัญญาตัวปัญญานี้ทำให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา ผู้นี้มีญาณเห็น มันเหมือนกันสิ่งนี้ไม่มีประสาทจะรับรู้ได้ แต่มันมีอยู่ เรียกว่า ตั้งแต่อุปาทาน ยึดไว้เลยว่ามี ต่อมา สมาทาน คือ ปฏิบัติลดอุปาทาน จนศึกษาได้หมดอุปาทาน แต่ก็ยังมีอยู่ แต่ยึดถือไว้แต่อาศัยเท่านั้น
ย่อมเห็นรูปเป็นตน หรือเห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน เห็นตนในรูป
SMS วันที่ 31 กรกฎาคม 2560
_3867พ่อครูไปพังงาฤาเปล่า?ช่วงนี้พายุฝนเข้าใต้คลื่นลมแรงระมัดระวังทุกเส้นทางด้วยเถิด!ห่วงใยทุกท่านฯ(พ่อครูว่า ไม่ได้ไปด้วยเหตุปัจจัยไม่เหมาะสม)
_3867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บวรบ้านราชฯนร.สสข.ทุกบวรอโศกอีสานขอให้ปลอดภัยจากอุทกภัยทุกคนทุกถิ่นที่รอดพ้นทุกขภัยฯ
_3867รักษากายเจ็บด้วยธ.โพชฌงค์7!รักษาใจป่วยด้วยโพชฌังคปริต!มีสติรักษาโรค!มีวิจัยสังเกตุอาการ!เพียรรักษาต่อเนื่อง!ยินดีเต็มใจรักษา!ระงับกังวลอดทน!ตั้งใจ รักษาให้หายดี!ยอมรับเจ็บป่วยเรื่องธรรมดา!ยาขนานเดียวรักษาตัวพึ่งตนได้ทุกที่ประสบภัยแม้ไกลหมอ!
พ่อครูว่า...ลางเนื้อชอบลางยา องค์ประกอบของเหตุปัจจัยแต่ละคนไม่เหมือนกัน อันไหนเห็นว่าดีก็เอาไปทำกัน
3867สังคมเจ็บแผ่นดินป่วยจากคอรัปชั่นรักษาด้วยการบังคับใช้กฎหมายปราบปรามอธรรมด้วยสุจริตธ.!สังคมเจ็บแผ่นดินป่วยจากภัยพิบัติรักษาด้วยการใช้กฎหมายปกป้องธรรมชาติด้วยสุจริตใจ!กราบขอบคุณพ่อครูฯ
SMS จากเฟซบุ๊ค
_เล็ก มณีรัตน์ · ถ้าเปิดแบบหมอเขียว น่าจะยั่งยืนกว่านะเจ้าคะ ฝึกให้ประชาชนได้พึ่งตนและประหยัด ยุบการใช้ยาจากต่างประเทศเกินความจำเป็น
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน นักการเมืองเบอร์ 1 ของโลก
_หินไท ชาวหินฟ้า · ศาสนากับการเมือง งานการเมืองคืองานที่ทำเพื่อบ้านเมืองไม่ใช่ทำเพื่อกลุ่มพวกตัวเองและบริวารนี่คือหัวใจสำคัญของงานการเมือง จะเป็นระบอบคอมมิวนิต. สมบูรณา. เผด็จการทหารหรือระบอบประชาธิปไตยก็ตามทีล้วนต้องทำเพื่อประชาชน(เขาว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็น.ของประชาชน โดย.ประชาชน เพื่อ.ประชาชน) ที่ผ่านมาขอถามว่า .โดย.?ประชาชนจริงหรือ ได้ข่าวว่าผู้สมัครสส.ตัวนี้เกรดเอได้แน่นนอนเอาไปหาเสียง50ล้าน. เกรดบี30ล้านอะไรประมาณนี้. ของ.?ประชาชนจริงหรือหรือเป็นกลุ่มก้อนของนายทุนส่งมาสมัครแล้วมันจะเป็น เพื่อ.ประชาชนได้ไงเพราะ โดย.ก็ใช่ ของ.ก็ไม่ใช่เพราะฉะนั้น เพื่อ.ประชาชนเลยไม่ใช่????? เพราะฉะนั้นการเมืองสูงที่สุดอยู่ที่เพื่อประชาชนจะเป็นระบอบระบบอะไรไม่ใช่สาระสำคัญ.ขอให้ทำเพื่อบ้านเมือง ส่วนผู้ทำงานศาสนานั้นหากท่านบรรลุธรรมสูงสุดท่านก็ทำเพื่อผู้อื่นเพราะท่านหมดความเห็นแก่ตัวหมดตัวตนแล้วท่านจึงเห็นแก่ผู้อื่น. เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงเป็นนักการเมื่องเบอร์หนึ่งของโลกเพราะท่านทำงาน เพื่อ.ประชาชนตลอดพระชนชีพ ผู้ทำงานการเมืองกับงานศาสนาจึงคืออันหนึ่งอันเดียวกันฉะนี้แล....
พ่อครูว่า...ผู้ที่เป็นจริง มีคนยอมรับนับถือยกให้ แต่เขาไม่ได้ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา จะไม่ใส่ใจเลยว่า ใครจะมาเลือกเราหรือไม่เลือกเรา ในหัวใจจะไม่คิดเลยว่าเขาจะเลือกเราหรือไม่ ยกให้เราหรือไม่ เขาตั้งใจเสียสละอย่างเดียว
หากคนจะยอมรับนับถือ ยกตัวอย่างอาตมา ให้อาตมาไปลงสมัครส.ส.อาตมาไม่เอา จะไม่ได้รับเลือกแน่นอน คนอื่นๆไม่จริงเท่าอาตมา แต่อาตมาจะไม่ได้รับเลือก เพราะว่าชาตินี้ อาตมาไม่ได้สร้างสิ่งที่ให้เขายอมรับ มีแต่ปัญญาและทำงานเท่าที่มีจริง คนก็จะยอมรับนับถือน้อย เอาแต่คนมีปัญญา
ผู้ที่จริงแล้ว ไม่คิดหรอกว่าของประชาชนหรือโดยประชาชนหรือไม่ แต่มีเท่าไหร่ก็ให้ด้วยใจจริง ไม่คิดหรอก เราเพื่อประชาชนตัวเดียว เต็มที่ โดยประชาชน ของประชาชน ยังไม่สูงเท่า เพื่อประชาชน
ผู้จะทำงานการเมืองให้จริงต้องยิ่งหมดตัวตน ไม่มีตัวตน ได้จริง และจะทำงานเพื่อประชาชนได้อย่างจริง ไม่ใช่พวกอยู่ว่างๆไม่ทำอะไร อย่างนั้นมันก็เป็นอัตตาอย่างหนึ่ง
การเมืองสูงสุดอยู่ที่เพื่อประชาชน จะเป็นระบอบใดก็ตาม สำคัญที่ทำเพื่อประชาชน คนไหนก็แล้วแต่จริงใจทำเพื่อประชาชนเต็มที่เท่าที่ตัวเองมีความรู้ความสามารถ แล้วมีความเสียสละให้เต็มที่เท่านั้นแหละ เป็นความจริง คนไหนมีได้มากก็มาก คนไหนมีน้อยก็มีน้อยตามความจริงเท่าที่เขามี มีความรู้ความสามารถมีแรงงานเท่านี้ก็ทำได้เท่านี้เต็มที่แล้ว คนไหนมีมากก็ทำเต็มที่มากของตัวเอง
ระบอบอะไรก็ไม่ใช่สาระสำคัญ ขอให้ทำเพื่อคนอื่นเพื่อประชาชน ส่วนทางศาสนานั้น ท่านบรรลุธรรมสูงสุดก็ทำเพื่อผู้อื่น เพราะหมดตัวตนแล้วก็ทำเพื่อผู้อื่น เป็นศาสนาที่รู้ธรรมะสองด้าน 0 นี่คือเต็ม เต็มที่คือ 0 นะ
พระพุทธเจ้าจึงเป็นนักการเมืองเบอร์ 1 ของโลก ของมหาจักรวาลเลย เพราะว่าท่านทำงานเพื่อประชาชนตลอดพระชนม์ชีพ เราดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าได้ยากเพราะว่าท่านปรินิพพานไป 2500 กว่าปีแล้ว เราดูที่พระเจ้าแผ่นดินในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไปหยกๆ มีชีวิตให้คนได้สัมผัสเห็นก็นี่แหละคือความจริง
_ป้าจงใจ. ….ถึงตอนนี้เข้าใจสภาวะธรรมของการละกิเลสความอยากได้อยากมีว่าทำไมพ่อครูจึงห้ามมีการทำประกันชีวิตประกันรถ มองเห็นความโลภของคนที่ทำประกัน เห็นความเห็นแก่ได้ของบริษัทประกัน ความโลภของโรงพยาบาลที่ตั้งราคาโดยไม่คิดคำนึงถึงผู้เสียหายว่าจะต้องจ่ายเงินแบบเลือดตากระเด็นคนทุกข์อยู่แล้วยิ่งเพิ่มทุกข์เท่าทวี ฆ่ากันให้ตายซ้ำสอง
_ต่อมา...มีคนบอกว่า ขออนุญาต ส่งการบ้านพ่อครูค่ะ
ย้อนความเดิม วันที่ 31 กรกฏาคม 2560
พ่อครูกล่าวว่าเช่นนี้ : อาตมาอาภัพ ปางนี้อาภัพ ถ้าเทียบกับในหลวง อาตมาต่างกันฟ้ากับเหว อาตมารู้สึกเช่นนั้น !!?
พ่อครูว่า ต่างกันฟ้ากับเหว เหวที่ลึกสุด คือพิกัดใจที่ บุคคลบนนภาอากาศ ตามมาสักการะตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการทำงานเพื่อประชาชน แม้ว่าชีวิตของคนเราอุปมาเปรียบเทียบกับตัวพระและตัวนางที่ต้องเดินสวนทางกันในทิวาและราตรียากที่จะเจอกันในตอนต้น แต่เช่นนั้นพลังงานของจิตที่สื่อถึงกันด้วยความหวังดีไม่ใช่น้อยๆก็จะปรากฎ
ก็ขอย้อนทวนกลับเข้าสู่ประวัติศาสตร์ อันสำคัญของชาติไทย ฉะนี้หลายท่านได้พอเรียนรู้เรื่องราวของประวัติศาสตร์นี้มาแล้ว แต่เผื่อเยาวชนคนรุ่นหลังที่อาจไม่ค่อยให้ความสำคัญใดๆมากนักได้ลองกลับมาฟังอีกครั้งก็จะเข้าใจในมุมมองใหม่ๆ หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นค่ะ ซึ่งครั้งนี้โปรดใช้จินตนาการตามสู่ห้วงแห่งความเป็นจริงอันน่าอัศจรรย์นับจากนี้ เพราะความลงตัวของ กาละและเวลา space & time คือ สถานที่และเวลาแท้ๆนั้นหวนกลับมาอีกไม่ได้จริงๆ
หนูตั้งชื่อหัวข้อนี้ว่า รัชสมัย ร. 9 ผู้เล็งเห็นความก้าวหน้าของมหาราชองค์แรก ของอาณาจักรไทย
พ่อขุนรามคำแหง แห่งอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งแปลตามความรู้สึกว่า เมืองแห่งความสุข สุขะด้วยจิตที่ว่างและสงบเช่นนั้น คือ ณ เวลานั้นจริงๆ
พระราชประวัติ ของมหาราชพระองค์นี้ จารึกไว้ทรงเป็นพระโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และ พระนางเสือง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่ง ราชวงศ์พระร่วง ราชอาณาจักรสุโขทัย
พระองค์ทรงเสวยราชสมบัติโดยประมาณ พุทธศักราช 1820 และ สวรรคตประมาณ พุทธศักราช 1860
พ่อขุนรามคำแหงทรงเป็นนักรบที่เก่งกล้าไม่ต่างจากพระเจ้าอโศกมหาราชแต่ปางนี้ทรงเน้นความประนีประนอมไม่เน้นการเข่นฆ่า ใช้การเจรจาเป็นหลักสำคัญ พ่อขุนรามคำแหงทรงเป็นนักการปกครองที่ดี เป็นนักปราชญ์ทรงคิดค้นประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้นเมื่อราวๆปี พุทธศักราช 1826 ทรงรับเอาพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ ( ข้อสันนิษฐานนี้ หนูว่าคงมาจากทางศรีลังกาที่รับการเผื่อแผ่ศาสนาพุทธจากประเทศอินเดียในสมัยพุทธกาลก่อน จึงกลายเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาจนถึงปัจจุบัน )
พ่อขุนรามคำแหงมีจุดเด่นที่คล้ายกันกับพ่อครูไม่ต่างกันเพราะคือ สิ่งเดียวกัน
พ่อขุนรามคำแหง ทรงเปิดการค้าเสรี = พ่อครูส่งเสริมการค้าเเบบตลาดอาริยะ
พ่อขุนรามคำแหงทรงปกครองบ้านเมืองอย่างยุติธรรม เหมือนพ่อปกครองลูก = พ่อครูเน้นสอนการปกครองแบบ ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ 77
และตรงจุดเชื่อมต่อ ระหว่างในหลวงรัชกาลที่9 แห่งราชวงศ์จักรี กับพ่อขุนรามคำแหง ทรงเล็งเห็นพระมหากรุณาธิคุณสุดล้ำค่าของ พ่อขุนรามคำแหงพระองค์นี้เสมอมา
ในช่วงต้นของการเสด็จประพาสทรงงานภายในประเทศไทย รัชกาลที่ 9 ทรงน้อมถวายสักการะ พ่อขุนรามคำแหง ณ เมืองศรีสัชนาลัย อาณาจักรสุโขทัย ในวันที่ 1 มีนาคม พุทธศักราช 2501 วัดวิหารใหญ่สุดในราชอาณาจักรนี้คือ วัดมหาธาตุ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงบรวงสรวงสังเวยมหาราช พระเจ้ารามคำแหงที่ทรงผนวชที่วัดแห่งนี้ และในพุทธศักราชเดียวกันในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเดินทางต่อไปยังศาลแม่ย่า จังหวัดสุโขทัย ( อันเป็นศาลของพระเจ้ารามคำแหงมหาราช เสด็จลงถวายสักการะแด่พระเจ้ารามคำแหงอีกสำทับหนึ่ง
ในช่วง รัชสมัยรัชกาลที่ 9 ทรงระลึกและให้ความสำคัญต่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงก่อตั้งมหาวิทยาลัยที่ไม่แบ่งชนชั้น ในพุทธศักราช 2514 ตั้งชื่อตาม
พระนามพ่อขุน มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทรงประดิษฐานพระบรมรูปพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งได้อันเชิญมาเป็นเครื่องหมายของมหาวิทยาลัย ( พระแท่นมนังศิลาบาตร ) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีเปิด พระบรมรูปพ่อขุนรามคำแหงและตราประทับมหาวิทยาลัยและ ศิลาจารึกหลักที่ 1
คำขวัญของมหาวิทยาลัยรามคำแหงมีดังนี้ ( รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ )
จารึกหลักที่ 1 ค้นพบเมื่อปี พุทธศักราช 2376 ณ เมืองสุโขทัย โดยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชประวัติที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงหลักฐานสำคัญเพียงส่วนหนึ่งตั้งแต่ สมัยราชอาณาจักรสุโขทัยเรื่อยมาจนถึง กรุงรัตนโกสินทร์ มีเพียงบางพระองค์เท่านั้นที่ใช้พระนามลงท้ายด้วยคำว่า ( มหาราช) และหนึ่งในนั้นคือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช อันเป็นกษัตริย์มหาราชพระองค์แรกของพระมหากษัตริย์ไทย
ฉะนั้นเหวที่พ่อครูกล่าว คือ นิยามเชื่อมต่อความสัมพันธ์ของจิตวิญญานโพธิสัตว์ 2 องค์ โลกใบนี้จึงเป็นห้องทดลองจิตใจผู้คนมากมายที่มองผ่านเพียงแค่อลังการภายนอก แต่ในหลวงไม่มองผ่านเลยไปซักขณะเดียว
ประวัติศาสตร์ค้นหานี้ควรค่าแก่การศึกษาเท่าที่ผู้คนนั้นอยากจะจดจำ ประวัติศาสตร์ใดในโลกไม่สำคัญเท่ากับคำตอบของพ่อครู จากนี้สืบไป
กราบนมัสการพ่อครูด้วยหัวใจค่ะ
ภาษาไทยคือภาษาที่ดีที่สุดในตอนนี้เพราะเป็น ภาษาที่ทำให้ฟังพ่อครูรู้เรื่อง ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพ่อขุนรามคำแหง ผู้สร้างรหัสตัวอักษรไทยสืบมา
_SMS วันที่ 2 สิงหาคม 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
_3867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.กทธ.กับการเคยร่วมทำหน้าที่ฯใช้หนี้แผ่นดินฯ ฯและมาทำบุญสละกายใจออกไปเพื่อคงอธิปไตยให้ช.ศ.กษ.ดำรงอยู่คู่ไทย!
_3867หลังฟังผลเปาฯนึกถึงเพลงผู้แพ้ของพ่อครูฯแพ้ก็แพ้ชะตาทรามดวงใจยังทรงความมั่นคงฯมวลชนกู้ช.ทำคุณคนไม่ขึ้นแต่ทำคุณแผ่นดินให้สูงขึ้นได้เท่านี้ก็ดีแล้ว!
พ่อครูว่า...อาตมาว่า น่าเห็นใจผู้ตัดสิน ท่านก็ตัดสินตามข้อมูล หลักฐานพร้อมกันนั้นก็มีจิตวิญญาณ และรายละเอียดองค์ประกอบสัมพันธ์กัน ก็เป็นไป สำหรับผู้ที่มั่นคงแข็งแรงแล้วก็ไม่มีปัญหา อะไรจะเกิดมันก็เป็นไปเท่าที่มันจะเป็น
_3867ขอส่งกำลังใจให้ทุกจิตบริสุทธิ์!ทุกใจสัตย์ซื่อ!ในทุกๆความดี!ยังชีวิตอยู่อย่างเงยหน้าไม่อายฟ้า!ก้มหน้าไม่อายดิน!ยืนหยัดคุณค่าคน รู้คุณแผ่นดิน!
_0015พลังงานพิเศษที่สร้างขึ้นมาเพื่อกำจัดกิเลส(บุญ)นั้นเกิดจากการสร้างเหตุปัจจัยในวิปัสสนาและกัมมัฏฐาน ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า...ใช่แล้ว
_0015การจัดกิจกรรมที่เป็นบุญหรืองานบุญนั้น ผมเข้าใจว่าน่าจะหมายถึงการใช้กิจกรรมหรืองานนั้นๆเป็นสื่อในการลดกิเลส(บุญ) มีส่วนถูกบ้างไหมครับ
พ่อครูว่า.. ใช่
สื่อธรรมะพ่อครู(อาสวะ อนุสัย) ตอน อนุโลมปฏิโลมไม่ใช่อาสวะอนุสัย
จาก เฟสบุ๊ค...
ปรัชญา ปารมี "ท่านโพธิรักษ์"มักพูดถึงว่าตนเองรู้สึก"อบอุ่นใจ"บ้าง หรือพูดถึงว่า"อาตมารู้สึกภาคภูมิใจ"(ใน"ผลงานต่างๆ")บ้างหลายครั้งหลายหนเท่าที่ได้ติดตามฟังมาโดยตลอด ขออนุญาตถามว่า อาการดังกล่าวข้างต้นนั้นจะถือว่ายังเป็น"สภาวะที่ยังมีกิเลส"ในระดับ"อุปกิเลสหรืออาสวะ-อนุสัย"ได้หรือไม่
พ่อครูว่า.. ผู้ยังไม่ถึงอรหัตผลถือว่ายังเป็นกิเลส อาสวะ อนุสัยอยู่ แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว เป็นผู้พูดโดยโวหาร ให้ผู้อื่นได้รับรู้ถึงภาวะในองค์ประกอบของสังขารโลก การปรุงแต่งเหตุปัจจัยต่างๆที่มันมีอยู่ ที่ยังมีกันก็ต้องรู้ของตนและกำจัดให้ได้ ของใครก็ของใคร ที่อาตมาพูด เพื่อให้คนฟังได้รู้ตัวและตรวจสอบของตัวเอง แล้วกำจัดให้หมด ส่วนผู้ที่หมดสิ้นแล้ว ยิ่งจะอนุโลม ปฏิโลม ตามสังขารโลก จะทำได้ตามสัญญาเก่าที่เราเคยมีได้ เราจะร่วมรู้ร่วมทำเราต้องมีของเดิมของเราด้วย และมีผลของเราที่เป็นปัจจุบันที่ยิ่งใหญ่ด้วย แล้วก็จะทำกับผู้อื่น ด้วยการอนุโลม ปฏิโลม เรียกว่า สัจจานุโลมิกญาณ ยืดหยุ่น ตามเขาบ้าง ทวนเขาบ้าง ขัดแย้งเขาบ้าง มันเป็นศิลปะวิธีการที่จะต้องทำ โดยอนุโลมปฏิโลมกับคนอื่นเขา ผู้ที่เป็นพระอรหันต์พระโพธิสัตว์ที่เริ่มสั่งสม อเนญชาภิสังขารหรือสั่งสมความเจริญของอุเบกขา 5 ผู้ที่บรรลุนิพพานได้ ฐานอุเบกขาได้คุณสมบัติ ก็จะยิ่งอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ทำอเนญชาภิสังขาร เป็นวสีที่แข็งแรงของอเนญชา พอนานเข้าจะปฏิบัติประพฤติไป ผ่านปัจจุบันนั้นไป ก็จะเกิด มีเจโตวสิปัตโต ความแววไวของมุทุก็ยิ่งเกิด ก็ยิ่งทำการงานด้วยอัญญา เป็น กัมมัญญา เป็นความรู้อื่นที่เป็นปัญญา จากการสั่งสมอัญญา แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งจะเกิดการกระทำ กรรมการงานดีขึ้นเหมาะสมขึ้น สมควรยิ่งขึ้น เก่งยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพประสิทธิผลเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น ลงท้ายแล้ว ยิ่งทำก็ยิ่งผ่องใส ประภัสรา ความผุดผ่อง ผ่องแผ้ว ใสสะอาดหมดจดมากยิ่งขึ้น ยิ่งเป็นเพชรน้ำใสมากยิ่งขึ้น แล้วเพชรยิ่งสูงยิ่งสะอาดใส ยิ่งมีเหลี่ยมมุมมาก มีหลากลีลา ยิ่งสุดยอด นี่คือ ความละเอียดลึกซึ้ง ที่ขยายความเพิ่มเติม เท่าที่มีเหตุปัจจัยให้อธิบาย ก็พยายามอธิบายให้ได้ความเข้าใจความรู้เท่าที่อาตมามีภูมิ
_ต่อมา ผมเข้าใจว่าสมาธิคือตัวประสานงานระหว่างศีลกับปัญญา เพื่อให้ศีลและปัญญาทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และสู่เป้าหมายเดียวกันคือ วิมุติ และวิมุติญาณทัสสนะ
พ่อครูว่า...เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง คำว่าศีลและคำว่าปัญญา เป็นรูปกับนามทั้งคู่ ศีลกำหนดเป็นรูป แล้วทำให้เกิดนามคือปัญญา เป็นไปตามลำดับ
สื่อธรรมะพ่อครู(ญาณ 16) ตอน ญาณ 3 กับการตัดกิเลส
_ทุกครั้งที่ทำลายกิเลสได้นั้น นับตั้งแต่ครั้งแรกเป็นต้นไป จะมีโสฬสญาณข้อที่ 7 8 9 เกิดร่วมด้วยเสมอ ใช่หรือไม่?
พ่อครูว่า...โสฬสญาณ คือ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มุญจิตตุกัมญตาญาณ
อาทีนวญาณคือญาณเห็นโทษเห็นภัย จึงจะหน่ายคลาย พระพุทธเจ้าตรัส รู้คุณรู้โทษ เราไม่ยึดมั่นเป็นเราเป็นของเรา เหมือนเราไปติดความอร่อยที่เป็นโทษ คนที่มีญาณปัญญาจะรู้ ความอร่อยนี้เป็นโทษ เราจะติดไปอีกนานเท่าไหร่ กี่กัปป์กี่กัลป์ แล้วทำให้ความอร่อยนี่หมดไปจากจิตได้ไหม ก็ได้ด้วย มีพระพุทธเจ้ายืนยัน ผู้ทำตามยืนยันทำได้ ยิ่งเราเคยพอใจเคยสุขในสิ่งหลายสิ่ง เราก็ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ทำตั้งแต่อันแรก ก็ยิ่งมั่นใจ อาการอร่อยมันไม่มี มันเฉยจริงๆ มาปรุงแต่งใหม่ยั่วยวนใหม่ก็รู้เท่าทัน เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสว่า เรารู้ทันแล้ว เราตัดเรือนยอดเสียแล้ว เธออย่ามาหลอกเราเลย
(คุณอู๊ดถามว่า แม้เวลาเราหลับก็รู้ว่าอยู่ในท่าไหนได้ไหม)
พ่อครูว่า...ถ้าคนที่ฝึกอยู่ในท่าที่กำหนดก็จะทำได้ อย่างอาตมาเคยฝึกมานาน แต่ก็ไม่ได้ทำแล้ว
เมื่อมีญาณ 3 นี้เกิดร่วมกันเสมอ คือเห็นโทษ เราเบื่อแล้วก็ปล่อย มุญจิตตุ จิตมันปล่อย มันมีความฉลาดรู้มันเป็นโทษ รสอร่อยนี้มันเป็นโทษ คุณมีความเฉลียวฉลาดรู้จริงๆก็ปล่อย ตัวนี้ถ้าคุณไปสมมุติความหวานว่าอร่อย คุณสัมผัสหวาน ใครก็สัมผัสแล้วรู้สึกเหมือนกัน แต่ความอร่อยนี้เป็นตัวเก๊ เมื่อเห็นชัดเจนแล้ว คุณจะเอาตัวเก๊นี้ไว้ทำไม ปัญญามันจะทำให้ปล่อยได้เลย กระทบสัมผัสก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง หวานก็หวาน เปรี้ยวกับเปรี้ยว แรงคือแรง ร้อนคือร้อน เย็นคือเย็น ไม่มีปัญหาแต่เราไม่มีชอบไม่มีชัง รู้แต่ว่ามันร้อนมากมันไม่ไหวมันจะละลายไม่สมดุล ก็เอาตามจริงที่พอเหมาะ
สรุปแล้วถามข้อ1 ว่า ญาณ 7 นี้จะเกิดร่วมด้วยเสมอ ในการทำลายกิเลส
1.เห็นโทษ 2.เบื่อหน่าย 3.วางปล่อย
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน อัญญา สัญญา ปัญญา
ข้อ2 อัญญากับปัญญา ต่างกันไหม
ข้อ 3 อัญญา สัญญา ปัญญา มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
พ่อครูว่า...อัญญานี้มาจากรากศัพท์เดิมคืออัญญะ แปลว่าอื่นที่ต่างไป เป็นภาษาใหม่ของศาสนาพระพุทธเจ้า คำว่าอื่นนี้มีหลายคำ เช่นคำว่า ปร แปลว่าอื่น อัญญะก็อื่น แต่อื่นที่ต่างจากเก่า เป็นความเฉลียวฉลาดชนิดโลกุตระอันแรก เสร็จแล้วเราก็มีอันนี้แล้วเอาไปทำงาน กำหนดรู้อย่างอื่นอีก ได้ตัวนี้แล้ว ก็ไปทำเพิ่มขึ้นๆ ตั้งแต่ ก ข ฆ ค ง ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ไปใช้กับกัญญาก็หมายถึงผู้หญิง เด็กๆน่าเอ็นดูวัยรุ่น แล้วคนก็จะเอ็นดู คนจะชอบ ผู้ที่ศึกษามีความรู้ อัญญา ถ้าไม่มีอัญญาก็จะชอบ ผู้ชายก็ชอบกัญญา วัยรุ่น แต่ผู้ชัดเจนก็มีอัญญา ไม่ชอบไม่ชัง คนมีปัญญาจะรู้ คนไม่มีปัญญาก็ชอบชัง ขั้วบวกลบกันไป
ถ้า ฆัญญาก็คือการฆ่า เราจะใช้การฆ่าในการฆ่ากิเลสอย่างเดียว โดยเฉพาะเรื่องสัตว์ตั้งแต่เซลล์เดียวเราไม่ฆ่า หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง เพราะสัตว์เซลล์เดียวนี้ อาจจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต เราไปตัดประโยชน์เขาไม่ได้ เขาอุตส่าห์ได้มาเป็นเซลล์ของจิตนิยามแล้ว
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...เราได้ฟังสิ่งลึกซึ้ง อัญญา ปัญญา สัญญา แล้วเราได้อัญญาเกิดในตัวเราหรือไม่อย่างไร
พ่อครูว่า...สัญญาเป็นตัวพลังงานกำหนด สัญญานี่ที่จริงมาจาก พยัญชนะ ส กับ อัญญา
ส ตัวนี้เป็นเศษวรรค ย ร ล ว ส ตัว ส คือการประกอบอะไรขึ้นมา ผู้มีอัญญามาประกอบ ปฏิบัติสั่งสม เพราะมีอัญญาธาตุรู้กำหนดแล้ว กำหนดตั้งแต่ กัญญา ฆัญญา ชัญญา (ควรรู้พึงรู้) ก็ทำไปเรื่อยๆ ธัญญา แปลว่าเจริญมั่งมีรุ่งเรือง หรือภัญญา แปลว่า ความเจริญเลยนะ เจริญพัฒนาเรื่อยๆเลย
เราสามารถใช้ความรู้หลายแง่เชิง เป็นอธิวจนะสำหรับสภาวะไปเรื่อยๆ รากฐานของอัญญาคือความรู้ไปสนธิกับคำอื่น เป็นความหมายที่เราจะเข้าใจสภาวะทำงานไปเรื่อยๆ
สรุปว่า อัญญา สัญญา ปัญญา สามคำนี้สืบเนื่องไป อัญญาเป็นตัวแรก สัญญาทำงานเพิ่มเรื่อยๆ เจริญเป็นปัญญา
_สัมประสิทธิ์คือพลังงานที่เกิดจากการทำลายกิเลสได้ และพลังงานนี้ต้องมีประสิทธิภาพ ก้าวหน้าเจริญขึ้นไปตั้งแต่ระดับคูณถึงขั้นยกกำลัง ยกตัวอย่างเช่นปฏิบัติศีล 5 ตัวสัมประสิทธิ์ในระดับคูณก็คือ ผลของการปฏิบัติ ฐาน อนาคาฯในโสดาฯ ถ้าทำตั้งแต่นิยตะคือเที่ยงแท้ แต่ถ้าเลยนิยตะคือสู่ที่สูงที่สุดถ่ายเดียวคือ สัมโพธิปรายนะ ไม่มีถอยหลังเด็ดขาด
พลังงานที่เกิดจากการทำลายกิเลส พลังงานนี้จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นพลังงานระดับสัมประสิทธิ์ เป็นพลังงานระดับ Continuing ทำให้กิเลสลดได้เรื่อยๆ Coefficient ที่พลังงานที่แต่ละคนสร้างให้ตัวเองได้
ถ้าเราเข้าใจพลังงานระดับสัมประสิทธิ์คืออย่างไร เราต้องสร้าง มันเป็นนามธรรม อรูปเลย เราก็ต้องใช้ต่อสู้มีทั้งตัวกดข่ม สะกดไว้สมถะแล้วมีทั้งตัว dynamic ถ้าพลังงานเรามีฤทธิ์เดชถึงขนาดนี้ ตัวสัมประสิทธิ์ Coefficient เทียบเท่า สัมโพธิปรายนะของโสดาบัน คุณคนนี้ถามว่าจะเทียบเท่า อนาคามีในโสดาบันหรือไม่
ส่วนตัวสัมประสิทธิ์ที่มีค่ายกกำลังนั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องเริ่มทำลายกิเลสได้ ทุกลมหายใจเข้าออก จนกระทั่งสุดท้ายกิเลสหมดสิ้นเกลี้ยงสำหรับสัทธานุสารี หรือได้อรหัตตผลในโสดาฯใช่หรือไม่
พ่อครูว่า...ใช่ ยิ่งมีค่ายกกำลัง ก็มีประสิทธิภาพมีฤทธิ์ มีอำนาจกำจัดกิเลสได้แน่นอน เราปฏิบัติธรรมเราสะสมพลังงานที่เป็นนามธรรมอรูป ไม่มีสีสันเส้นแสงให้จับได้ เอาวัตถุไปวัดไม่ได้อย่างทางพลังงานฟิสิกส์ แต่พลังงานนามธรรม เอาจิตไปจับอย่างไร มีอินทรีย์พละอย่างไร?
พ่อครูว่า...วนไปสรุปอีกทีว่า ศาสนาพุทธนี้ ตัวเริ่มต้นของโลกุตระตัวที่ 1 คือกาย คุณจะต้องรู้คำว่า กาย อย่างแท้จริงเลย แล้วกายนี้แหละตัวเริ่มต้น และก็กายนี่แหละคือตัวสุดท้าย เรียกว่า กายปริยังติกะ หมายถึง เวทนา กายนี้หมายถึงเวทนาซึ่งมีกายเป็นที่สุด
เมื่อกี้นี้เราอธิบายถึง สักกายทิฏฐิ 20 ก็ขอไว้ก่อนไว้อธิบายทีหลัง
พยัญชนะเหล่านี้ใครรู้แต่พยัญชนะก็รู้ก่อนได้ เป็นปริญัติ สายเจโต ไม่รู้พยัญชนะมากก็ปฏิบัติก่อน ก็ได้สภาวะแล้วก็เอาพยัญชนะที่เหมือนยี่ห้อยามาติดทีหลัง ผู้ที่สามารถเข้าใจคำว่ากายได้ จะไม่งง สักกายทิฏฐิ 20 หรือที่ว่าเริ่มต้นที่กาย จบที่กาย ก็คือจบมีกายเป็นที่สุด เรียกโดยศัพท์ว่า กายปริยังติกะ
กายปัสสัทธิ น่าสงสาร ศาสนาพุทธในเมืองไทย พอบอกว่า กายปัสสัทธิ ส่วนใหญ่เขาก็แปลว่า ร่างภายนอก นิ่ง ไม่กระดุกกระดิกเลย แข็งทื่อเป็นพรหมลูกฟัก ที่จริงแล้วพจนานุกรมบาลีแปลไว้ถูก แต่เพราะความเข้าใจคำว่ากาย ทำให้แปลผิด ทำให้ปฏิบัติผิด กลายเป็นนิ่งแข็งทื่อ เขาตักอาหารเข้าปากก็ตักหนอ เข้าปากหนอ แต่ไม่รู้อร่อยหนอ เขารู้แต่อันนี้เป็นอันนี้แล้วจบรู้นิ่งเฉยๆ ไม่มีธัมมวิจัย ไม่มีอิทัปปัจจยตา ไม่มีสภาพวิจัย มีแต่สมถะหยุดสงบ
ในความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัส ว่าคือ โพธิ หรือ ความรู้หรือ ญาณ ที่รู้จักรู้แจ้ง ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือโพชฌงค์ องค์แห่งธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ทั้งหลายจะมีองค์ประกอบ มีสติ เป็นต้น มีอุเบกขาเป็นองค์ที่ 7 ในโพชฌงค์ 7 1. สติสัมโพชฌงค์2. ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ 3.วิริยสัมโพชฌงค์ 4.ปีติสัมโพชฌงค์ 5. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ 6. สมาธิสัมโพชฌงค์ 7. อุเบกขาสัมโพชฌงค์
จะมีสติทำงาน จนไปถึงเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา จึงเป็นความรู้จริง เป็นโพธิ หรือความตรัสรู้ จึงทำหน้าที่ โพธกร ช่วย ผู้ที่มี โพธนียะหรือโพธเนยยะ ผู้ที่กำลังจะมาหาความตรัสรู้ ผู้จะทำหน้าที่ได้ต้องมีความรู้ เป็นโพชฌังคโกสล คือผู้ฉลาดในโพชฌงค์
โพชฌังค คือการดำเนินไปสู่ความรู้หรือปัญญาคือธรรมะอันเป็นเครื่องตรัสรู้
โพธคือธรรมเครื่องตื่น หรือโพธนะ
โพธกรหรือโพธิกร คือคนผู้ที่ปลุกให้ตื่น โดยตนเองเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานก่อนแล้ว ก็ไปปลุกให้ผู้อื่นตื่น เลยกลายเป็น รปภ. ที่จะไปปลุกผู้ที่จะตื่นได้ เป็นโพธนียะ หรือโพธเนยยะ ผู้โพธกร ต้องมีความรู้ว่าคนไหนที่จะปลุกตื่นได้ด้วย ทฤษฎีความรู้ที่เรียกว่า โพธิปัก
เส้นทางที่จะทำให้เกิดการปฏิบัติเพื่อไปสู่ความเป็น โพธิปรายกะ หรือโพธิปรายนะ เป็นความแก่รอบแห่งปัญญา
แต่ถ้าเอาโพธิที่ไปใช้กับ โพธิปาทปะ เขาก็แปลว่าต้นโพธิ์ ส่วนการบูชาต้นโพธิ์คือ โพธิปูชา
เราบูชาต้นโพธิ์เพราะอะไร เราต้องรู้ ต้นไม้ชนิดไหนก็ตาม ที่ถ้าพระพุทธเจ้าไปใช้ต้นไม้ต้นนั้นเป็นที่ตรัสรู้ ต้นนั้นจะเรียกว่าต้นโพธิ์ อย่างพระพุทธเจ้าสมณโคดมไปนั่งตรัสรู้ใต้ต้นอัสสัตถะพฤกษ์ ต้นนี้ก็ชื่อว่าต้นโพธิ์
อีกคำคือโพธิสมภาร คำว่าสัมภาระ หมายความว่า บารมีธรรม อันเป็นต้นเหตุให้ได้ถึงโพธิญาณ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:33:11 )
รายละเอียด
600806_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สันติฯ สัมประสิทธิ์ของกรรมสองยิ่งลักษณะ
ท่านจันทร์ว่า…ได้ทำการ Video conference จากสันติอโศก วันนี้พ่อท่านจะอรรถาธิบายเรื่องใดก็สุดแท้แต่ แต่หนังสือเราคิดอะไรเล่มล่าสุด ได้เขียนถึงระบอบการปกครองของมนุษย์ วันนี้พ่อท่านส่งภาพและเสียงจากบ้านราชฯมาสันติอโศก เนื่องด้วย ที่บ้านราชฯเกิดปรากฏการณ์ บางคนบอกว่าน้ำท่วม แต่อาตมาว่าเป็นน้ำเที่ยว น้ำมาเยี่ยมชมบ้านเรา จะได้มีการฉลองน้ำ ส่วนที่ทางเชียงใหม่ หากหนาวมาก เราก็ฉลองหนาว ตอนนี้ที่บ้านราชฯ ประชาชนกำลังขนย้ายสิ่งของ ก็เปิดทางให้น้ำเที่ยว ไม่ก่อทุกข์ แต่ก่อความยินดีได้ เราไม่ปฏิเสธความเป็นทุกข์ ก็มองทุกด้วยความรู้สึกบวก ตั้งตนบนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง บ้านราชฯของเราขณะนี้ ก็กำลังขวนขวายเอาภาระ เก็บงำของ
พ่อครูว่า...ตอนนี้ทั่วประเทศ ไทยตื่นตัวกับน้องน้ำกันทั้งนั้น เพราะน้องน้ำไปเยี่ยมทั่วไปอบอุ่น จนเกินอุ่น จนกระทั่งจะหนาวกันแล้ว เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเหตุปัจจัยของ ธรรมชาติ น้ำท่วมฝนมาเราพอคลำได้แต่แผ่นดินไหวเราไม่รู้ด้วยได้เลย คนเราก็พยายาม ในคนมีความรู้เรียนรู้ ความเป็นคน พยายามที่จะรู้
เมื่อพูดถึงความเป็นคนที่มีธาตุรู้ คนเป็นจิตนิยาม เป็นพลังงานระดับจิตนิยาม คนเป็นวัตถุชิ้นอันหนึ่งเกิดในจักรวาล โดยมีจิตเป็นประธานตัวเอง แล้วสั่งการควบคุมไปสารพัด จิตเป็นตัวสำคัญ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ความเป็นคน และตรัสรู้ความเป็นมนุษย์ ที่อยู่ในสังคม มารวมตัวกันเข้าเป็นสังคม เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่มีความทุกข์ร้อน เป็นคนมีความทุกข์ร้อน อันนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ความสุขก็ช่างมันเถอะ ไม่ทำให้เกิดความลำบากเดือดร้อนเท่าไหร่ นักหนา แต่เมื่อเป็นความทุกข์แล้วมันบ้าระห่ำกันจนกระทั่งมันทุกข์หนักหนา ร้ายแรง จนกระทั่งอาละวาด ทำสารพัด ที่เป็นเรื่องทำลายสารพัดสารเพเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านมีชีวิต ไม่รู้กี่กับป์กี่กัลป์ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก
SMS วันที่ 4 สิงหาคม 2560
_ 867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชเมืองเรือลอยน้ำมูนอันน้องน้ำเหนืออีสานมาเยี่ยมเยือน สอนจิตฝึกใจบ่มวิญญาณเข้าถึงทุกข์อาริยสัจธรรม
_3867ปชธต.ใบสรรค์สันติสุขสังคมสร้างสันติภาพโลกคงมีเกิดขึ้นได้เมื่อคอรัปชั่นกลับใจจริง!มิฉะนั้นภัยธรรมชาติคงสงบลง!โลกร่มเย็นมากขึ้น!ปากท้องปชช.สิ้นหนี้อิ่มท้องทั่วถึงไปนานแล้ว!กบเจียมตัวผู้หลุดจากโลกอึ่งอ่างพองลมยุคก่อนปฎิรูปปท.!
_3867กราบอนุโมทนาพ่อครูกับธ.อันรู้แจ้งนามรูปอันเป็นไปตามไตรลักษณ์!รู้แจ้งเกิดดับ !รู้แจ้งโทษภัยกิเลสอันควรทบทวนปลดเปลื้องออก!โดยอนุโลมปฏิโลมระหว่างปถุชนกับอาริยะชนสู่อาริยะอรหัตผลครบวิปัสสนาญาณ16
SMS จากเฟซบุ๊ค
_เอกีภาวะ วิชชาราม · วันนี้หนูคิดถึงพ่อครู ไม่มีพ่อครูคอยปกป้อง หนูต้องสู้ไม่ได้แน่ พ่อครูอยู่กับหนูไปนาน ๆ ให้หนูตายก่อน ห้ามตายก่อนหนู น้อมกราบนมัสการ
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน กรรมนี้จริงยิ่งกว่าGod
_ปรีชา ขำเพชร · กราบนมัสสการพ่อครูครับ..ขอเรียนถามว่า
....กัมมทายาโท หมายความว่า..กรรมถ่ายทอดไปยังลูกหลานของเราได้ใช่ไหมครับ? หรืออย่างไรครับ?
พ่อครูว่า...คุณจะหายใจออกหายใจเข้าก็เป็นกรรม จะเป็นการกระดุกกระดิกก็คือกรรม จะออกมารุนแรงเลวร้ายหยาบคายเลวทรามอย่างไรก็เป็นกรรมทั้งนั้น เป็นของของตน หรือจะทำกรรมที่ดีเป็นคุณค่าเป็นประโยชน์เป็นการเสียสละ เป็นความเมตตาเกื้อกูล กันต่างๆนานา ก็เป็นกรรม กรรมนี้ผู้ใดออกอาการ ตั้งแต่น้อยนิดจนถึงมากก็เป็นอันทำ กรรมเป็นอันทำ หมายความว่าใครมีอาการกริยากรรมใด จะเล็กน้อยจนกระทั่งเป็น อรูป จนเราเองแทบไม่รู้ทันหรือรู้ไม่ทัน คนอื่นไม่สามารถรู้ทัน อยู่ภายในก็เป็นของเรา ก็เป็นกัมมัสสกตา ทำปุ๊บก็เป็นของเรา อยู่ในอัตภาพ
พลังงานที่เป็นพลังงานข้ามเขต ครอบโคตร จากพีชนิยาม มาเป็นพลังงานจิตนิยาม เป็นความตรัสรู้ที่ยิ่งใหญ่มากในเรื่องของ นิยามชีวิต 5 ประการ เป็นเรื่องลึกซึ้งมากเลย อาตมาพบ 5 คำนี้ของพระพุทธเจ้าแล้วความรู้เก่าเติมขึ้นมาชัดเจนละเอียดลออลึกซึ้ง สูงสุด อาตมาก็เข้าใจ อาตมาเปิดเผยไปหมดว่าเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นภูมิเก่า
คำว่ากรรมเป็นการกระทำ ศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องกรรม พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้เรื่อง GOD แต่ท่านรู้จัก God ดี ซึ่ง God นี้ ยังไม่ยืนยันและจริงเท่ากับกรรม ขออภัยพูดไปแล้วเหมือนข่มคนอื่นเขา แต่นี่กำลังพูดสัจธรรม
กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมพันธุ กัมปฏิสรโณ
กัมมัสโกมหิ กรรมเป็นของของตน ทำปุ๊ปตนก็ได้เลย จะบอกว่าไม่ได้ทำไม่ได้ ไม่หกตกหล่นไม่มีขาดวิ่นไม่มีระหกระเหย ไม่ระเหิด ไม่มีหายไปไหน จะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ตาม มันจะสั่งสมลงในอัตภาพ จะรวมอยู่ในสัญญาเป็นสิ่งที่เก็บอยู่ในอัตภาพ ภาษาไทยเรียกว่าความจำ จะฝังอยู่ในอันนั้นของเรา
อัตภาพจะมีสัญญาทุกอัตภาพมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัญญาเป็นคลังเก็บข้อมูล แม้รู้แจ้งตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วสัญญาก็ยังอยู่ ยังจำได้หมด แต่พระพุทธเจ้าไม่ทำบาปแล้ว เริ่มตั้งแต่เป็นพระอรหันต์ เป็นเขตเกณฑ์สำหรับคนที่บรรลุอรหันต์แล้ว จากนั้นคนนี้จะไม่ทำชั่วอะไรอีกเลย สัพพปาปัสสอกรณัง ทุกกรรมจะเป็นแต่กุสลัสสูปสัมปทา เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่ชัดเจน สามารถเป็นทุกคนได้
ผู้ใดต้องระลึกถึงกรรม แม้แต่นิดน้อยเท่าไหร่ก็แล้วแต่ จะแสดงออกเป็น รูป อรูป จนแสดงออกเป็นกามภาวะ กามภาพ ปรากฏขึ้นต่อในโลก ในโลกภายนอกรับรู้ได้ทางตาหูจมูกลิ้นกายทางทวาร 5 เรียกว่า กามภาพกามภาวะ หรือกามภพ
วันนี้ก็มีกวีบทหนึ่ง
“ยิ่งลักษณ์”คือยิ่งทำยิ่งเป็นลักษณะแท้
(1) “อาริยสัจ”นามเรียกนี้ “อริยสัจ”
ความประเสริฐยิ่งชัด “ยิ่ง”แท้
ความชั่วก็ตระบัด- สัตย์มิ ได้เลย
เป็นมนุษย์ไม่คิดแก้ ยิ่งซ้ำ“กรรมตน”
(2) “ลักษณะ”คนย่อมแท้ ใน“กรรม”
“ยิ่ง”ดัดจริตเป็นทำ ดีดดิ้น
“ยิ่ง”ผิดยิ่งย้ำยำ “ลักษณ์”ผิด เพิ่มแล
“ยิ่งลักษณ์”ล้างสัตย์สิ้น ยิ่งล้วนตนทำ
(3) “กรรม”ใดทำย่อมแท้ เป็นผล
“วิบาก”เป็นของตน ครบสิ้น
ทั้งกุศลอกุศล ถ้วน“สัจ”
ทุกมนุษย์ใครหลีกดิ้น ไป่ได้“เวรกรรม”
(4) “ยิ่ง”ทำกรรมชั่วไซร้ “ยิ่ง”จริง
“ลักษณะ”ใดควรประวิง บ่รู้
“ยิ่ง”ผิด“ยิ่ง”ดิ้นชิง เพื่อชนะ “ยิ่ง”ฤา
“ลักษณ์”อย่างนั้น“ยิ่ง”ผู้ โง่แท้อวิชชา
(5) ศึกษาพุทธรอดได้ ด้วยกรรม
กรรมผิดแล้วอย่าทำ อย่าย้ำ
“ยิ่ง”ผิด“ยิ่ง”โง่สัม- ประสิทธิ์ส่ง
หลงผิดว่าจักค้ำ ยิ่งซ้ำเลวเสริม
(6) หยุดเหิมเกริมได้จัก ลด“ลักษณ์”
หากบ่หยุด“ยิ่ง”หนัก “ยิ่ง”ช้ำ
“ยิ่งลักษณ์”รักพี่ทัก- ษิณ“ยิ่ง” ถลำรา
พี่“ยิ่ง”หลอกลึกล้ำ โง่ซ้ำระเริงหลง
(7) ลงนรกตกกระทะต้ม จนสุก
ชีพหกล้มหกลุก โหดร้าย
ยิ่ง“หนูไม่รู้”ทุก ใดถูก ผิดเลย
“ยิ่งลักษณ์”จึงเป็นป้าย ตลกให้คนเห็น.
“สไมย์ จำปาแพง” 4 ส.ค. 2560
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 326 ประจำเดือนกันยายน 2560]
อาตมาถือว่าเป็นผู้มีวัยวุฒิในสังคม ได้ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์จริงใจ เปิดเผยธรรมะพระพุทธเจ้า ชีวิตอาตมาไม่มีอะไรเลยจะพยายามสรรหาธรรมะพระพุทธเจ้าที่เชื่อว่าถูกต้อง จะพยายามไม่ให้ผิดอาตมาไม่มีแม้เสี้ยววินาทีใดจะทำงานอื่นเลย นอกจากงานนี้
ให้ศึกษาพุทธนี่แหละจะรอดได้ด้วยกรรม กรรมผิดนี้เป็นมิจฉา อย่าทำ
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน สัมประสิทธิ์สองนัยยะ
ขอแวะตัวสัมประสิทธิ์ว่า มันมีพลังงานที่คงที่อยู่แล้วเป็นคอนสแตนท์ และ 2 มันมีตัวไดนามิกที่ทำแล้ว จับตัวเป็นนิวเคลียส เป็นพลังงานบวกและลบ จับตัวกัน และมันยังมีพลังงานเคลื่อนไหวอีกอันที่เคลื่อนไหวอีก ตัวนี้เป็นตัวแปร ตัวแปรตัวนี้มีนิยามกำหนดเลยว่า เป็นพลังงานระดับคูณด้วย พลังงานร้ายกาจ ที่มีอัตราการเพิ่มระดับคูณขึ้นไป ถ้ายกกำลังก็ยิ่งใช่
ถ้ามีพลังงานตัวนี้เพิ่มมาก็ยิ่งหนัก ถ้าเป็นพลังงานชั่ว Coefficient ที่ชั่วมันยิ่งทำให้เราได้รับความซวยหนักๆๆ เลย อาตมาธิบายสัจธรรม โดยเอาความหมายทางวิทยาศาสตร์มาขยายความ ยิ่งโง่ยิ่งมีพลังงานสัมประสิทธิ์นี้ถีบส่งไปหนักเลย ฟังแล้วต้องหยุดเหิมเกริมได้ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ หยุดเหิมเกริมได้จะลดลักษณะเช่นนี้ ถ้าหยุดจะหยุดช้ำ อย่างลักษณะที่คุณทำนี้ ยิ่งบอกว่าหนูไม่รู้ๆคน อตายไปกี่คนก็ทำซื่อเซ่อไม่รู้ๆ
อาตมาขอยืนยันว่าคุณยิ่งลักษณ์จะต้องได้ชื่อยิ่งลักษณ์ เหมือนกับพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะจะต้องได้ชื่อเช่นนั้น คนที่ชั่วหลงตัวดีลงตัว สูงลงตัวต่ำลงตัว เทวทัตจะต้องได้ชื่อว่า เทวทัต
เทว+ทัตตะ คำว่าเทวะ คือเทพ คำว่าทัตตะคือ ฉลาดหรือโง่ ถ้าฉลาดก็ฉลาดอย่างยิ่ง โง่ก็โง่อย่างยิ่ง จึงปลอมตัวมาหลอกคนว่าเป็นเทพ คนไม่รู้ก็นึกว่าเป็นเทพอย่างยิ่ง เหมือนธัมมชโย มาหลอกโลกว่าชื่อธัมมชโย แปลว่าผู้ชนะด้วยธรรม ที่จริงแล้วเป็นผู้ที่ทำลายธรรมะอย่างยิ่ง เน่าเละเลย เป็นอจินไตย
คนที่ลงตัวแล้วว่ากรรมของตัวเองจะต้องชื่อนี้ กรรมตนเองทำชั่วขนาดนี้ลงตัว ต้องชื่อนี้ คนนี้ดีลงตัวแล้วมีพลังงานกรรมของตน ต้องชื่อนี้ อย่างนี้เป็นต้น
คนที่ได้ชื่อจากพลังงานกรรมของตัวเองอย่างไร พระพุทธเจ้าจึงได้ทำนายไม่ผิด เห็นว่าคนนั้นชื่อนี้ชื่อนี้ไม่ผิด อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 พอจะรู้ หลายคนที่เกี่ยวข้องกับอาตมา
คำว่ายิ่ง เมื่อประกอบกับคำว่า ลักษณะ คือมีสองนัย นัยยะที่ดีก็ดียิ่งๆ ถ้านัยยะที่ไม่ดีก็ไม่ดียิ่ง ยิ่ง ไม่อยู่กลาง โต่งไปได้สองด้าน
ลักษณะที่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันออกไปในทาง ยิ่งไม่ดี ไม่ใช่ในทาง ยิ่งดี อาตมาขอเตือน ขอให้สติ เตือนใจ คุณหยุดได้แล้ว คุณอย่าไปดีดดิ้น ออกลีลาอะไรมากเกินไป ให้สงบ
คุณลองจินตนาการตาม ถ้าคุณยิ่งลักษณ์หยุดดีดดิ้นทำเป็นผู้สงบ ทำเป็นผู้น่าเศร้า กับการทำหน้าแป้นแล้นอย่างนี้ อันใดจะได้รับการสงสารมากกว่ากัน เขาก็ไม่รู้ว่าอาการที่ทำนี้ทำให้อาการตนเองหนักขึ้น ตัวเองทำตัวเองทั้งนั้น ยิ่งดีดดิ้นระริกระรี้ ที่พูดนี้พูดด้วยเมตตา ให้ความรู้วิชาการธรรมะ ที่พูดนี้พูดอย่างอวดดี อย่างผู้รู้ก็ขอยืนยันว่า ที่พูดนี้พูดจริง เป็นเรื่องของกรรมกิริยาอาการ สอนและบอกเรื่องของกรรมกิริยาอาการที่คุณไม่ควรจะทำ ถ้าคุณได้รับฟังแล้วเชื่อถือทำตามบ้างก็จะเป็นกุศลต่อตนเอง คุณทำกุศลต่อตนเอง สมมุติว่าคุณหยุด และสงบ ไม่ทำท่าทีที่ไม่ควรแสดงออก เช่นหยุดบอกว่าหนูไม่รู้ไม่ออกไปทำหน้าแป้นแล้นเหมือนไม่ทุกข์ แต่ถ้าแสดงออกเป็นผู้ทุกข์จะได้แต้ม แต่ถ้าแสดงออกอย่างนี้ก็จะได้แต่เสียงของคนโง่
ตอนนี้ไม่ว่าฝ่ายขวาหรือซ้าย ถ้าสงบแล้วได้คะแนนทั้งนั้น นอกจากสงบแล้วศึกษา อ่านพฤติกรรมสังคม
สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน อุปาทายรูป 24 โดยย่อ
รูป 28 มี มหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24 มีปสาทรูปกับโคจรรูปทำงานร่วมกันเกิดปฏิกิริยา interaction ผู้อวิชชาจะมีการปรุงแต่งเป็นภาวะอิตถีภาวะเสมอ ถ้าอ่านลักษณะอิตถีภาวะและปุริสภาวะ สามารถแยกวิจัย ลิงค แยกความต่างของอาการสองอย่างนี้ออกว่าอาการนี้เป็นอิตถีเพศหรือปุริสเพศออก สองอย่างนี้
ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจนมีลักษณะสี่นี้ได้อยู่ในอำนาจ สามารถทำให้อยู่ในอำนาจของตน ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดได้แล้ว เมื่อมันมีอาการของอิตถีภาวะ ก็หยุดสันตติไม่ต่อ ถ้าเกิดต้องให้เกิดปุริสภาวะเสมอ ไม่ให้มีอิตถีภาวะซ้อน
ลักษณะอุปจยะ จะเคลื่อนเกิดขึ้นมาอย่าให้เกิดสันตติ อย่าให้ต่อ ทำไว้แต่อาการที่ควรให้เกิด (อุปจยะ) ผู้ที่สามารถปรุงแต่งพลังงานนี้ให้เกิดด้วยภูมิปัญญา
คนตำหนิอาตมาว่าแสดงธรรมไม่สุภาพ แสดงธรรมแรงไป นัจจะ คีตะ วาทิตะ สุ้มเสียงสำเนียงเรียกว่าคีตะ ภาษาร้อยกรองคือวาทิตะ คีตะที่ทำเสียงเน้นหนักหรือบางทีเบา บางทีร้องเพลง เช่น เพ่งมองผ่านเมฆ ทำสุ้มเสียงสำเนียงลีลา ก็ทำออกไปมีคีตะ วาทิตะ ออกมาเป็นอภิสังขาร ปรุงแต่งเป็นกระบวนการมีลักษณะแสดงออกไป เป็นองค์รวม คนก็ว่ารุนแรง อาตมาทำด้วยอุปจยะ สันตติ มีมุทุตา ลหุตา กัมมัญญตา เป็นวิการรูป 5 ไม่ได้ทำด้วยกิเลส ทำด้วยความรู้ตัว
ปรุงแต่งอภิสังขารอย่างผู้รู้ ขณะนี้ใช้ทั้งลักษณะ 5 ออกมาเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ออกมาเป็นทั้งท่าทางและสุ้มเสียงสำเนียง เป็นวิการรูป ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา อาตมาสามารถรู้ว่าที่อาตมาพูดนี้ อาตมาประมาณแล้วปรุงแต่งแล้ว คำนวณแล้วทำอย่างลหุที่สุดแล้ว นี่ลหุที่สุดแล้วสำหรับยุคนี้ สำหรับยุคฮาร์ดร็อคหูแตก ถ้าจะมาร้องเพลงอมตะนิ่มๆ ก็ได้แต่คนแก่ คนวัยรุ่นไม่ฟังหรอก อาตมารู้จักกาลัญญุตา ถึงได้ปรุงแต่งออกมาอย่างนี้ ขนาดนี้ (พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
ท่านจันทร์ว่า...พ่อครูได้กล่าวถึงคำว่ายิ่ง ว่ามีสองนัยยะได้ทั้งดีและเลว แต่ทำให้เพิ่มได้มากทั้งสองนัย และพ่อครูได้พูดถึง สัมประสิทธิ์ได้สองนัยเช่นเดียวกัน
พ่อครูว่า...อาตมากำลังขยายความรูป 24 เอาโครงสร้างธรรมะพระพุทธเจ้าที่ได้ร้อยเรียงไว้มาขยายความเชื่อมความสำคัญให้เข้าใจ
คำว่าลักษณะ หรือ ลักขณะ สำหรับผู้รู้ อาการแสดงออกและทำได้ด้วย ทางภายนอกคือ กายวิญญัติ ก็มีแค่ นัจจะ คีตะ วาทิตะ องคาพยพร่างกายเนื้อตัวเราที่เคลื่อนไหวกระดุกกระดิกเป็นกายวิญญัติ แต่ถ้าไม่กระดุกกระดิกเลยมีแต่เสียงออกไป ก็เป็นวจีวิญญัติ โดยเฉพาะทางเทคนิค ก็มีแค่ได้ยินเสียงก็มีวจีวิญญัติ อย่างเดียว แต่ถ้าดูภาพก็มีปากที่เคลื่อนนิดหน่อย
ในวิการรูป 5 ก็มี กายวิญญัติ วจีวิญญัติ และมี ลหุตา คือเบา มุทุตา กัมมัญญตา
มุทุคือ จิตวิญญาณจะมีธาตุที่แววไว เอาภาษาบาลีมาเรียก เป็นสภาวะของจิต มุทุภูตธาตุ เป็นธาตุจิตที่มีสภาพ มุทุ เร็วไว คล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นเชิงปัญญาหรือเจโต
แม้static มันนิ่งแต่มันเคลื่อนได้เร็วนะ ทั้งคู่ทั้งเจโตและปัญญาเปลี่ยนได้ทั้งคู่ได้เร็วไวด้วย เจโตมันเคลื่อนได้เร็ว หยุดก็เร็ว ตัวมันเคลื่อนได้เร็ว นอกจากเร็วแล้วก็แรงด้วย เจโต คุณสมบัติสูงมาก มุทุภูตธาตุ
ผู้ที่มีปัญญารู้จัก อาการพลังงาน จะกำหนดได้ทัน ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ เป็นพระโพธิสัตว์ จะรู้ว่าอาการ ลหุอย่างไร อาตมาประมาณแล้วว่าควรพูดเสียงดังขนาดนี้ออกอาการ หน้าตาเนื้อตัว การเคลื่อนไหว ใช้สุ้มเสียง คีตะ วาทิตะ หาคำมาปรุงแต่งขนาดนี้ออกมาให้พอเหมาะ เป็นสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4
อาตมาว่าได้ประมาณแล้วนะ ในสังคมคนตาบอดหูหนวกหนังหนาด้วย ก็ต้องปรุงแต่งอย่างนี้ จะมาทำแสงให้คนตาบอดรู้สึกได้ต้องยิ่งกว่าแสงเลเซอร์ เสียงที่จะให้คนหูหนวกได้ยินก็ต้องขยายเสียงมากหน่อย ถึงพอได้ยิน หนังหนานี่ หนายิ่งกว่าคอ_นก_รีต หรือเปล่า?
เป็นภาษาไทยนะ คอ_นก_รีต ส่วน คอนกรีต มาจากภาษาอังกฤษนะ บางกอกนี่ภาษาไทย แต่อังกฤษ แบงค์คอค
จะเข้าใจคำว่ารูปธรรม รูป 28 เขาไม่เรียนกันเลยในนักปฏิบัติธรรม ถ้าไม่เรียนรู้รูป 28 จะปฏิบัติอะไรไม่ออก เพราะไม่รู้อุปจยะ ว่าเริ่มเกิด รู้ทันไหม มีอะไรแตกต่าง จะรู้ละเอียดเลยต้งแต่เริ่ม 2.วิการ จะรู้ว่าเบาบางละเอียดแม้ละเอียดสองละเอียด อันหนึ่งบางสองบาง อันหนึ่งบางกอก อันหนึ่งบางมด สรุปความแตกต่างของสถานที่ จะรู้ลักษณะพวกนี้ชัดเจน จะเริ่มเกิดอุปจยะ มีบางเบาขนาดไหน ลหุตาก็รู้ จิตคุณมุทุตา แววไว ปรับรู้ปรับเห็นปรับเป็นปรับตามได้ เก่ง
ลักษณะของคนที่มีประสิทธิภาพ รู้แล้วว่ามันเกิดจะให้ต่อหรือไม่ต่อ ถ้าเกิดสิ่งที่เป็นกุศลจะให้ต่อ สันตติก็ต่อไป ถ้าขนาดนี้พอเหมาะไม่ให้เกิดอีกก็ตัด สันตติ ควบคุม สันตติได้ อุปจยะได้ อันไหนเป็นอกุศลไม่ให้เกิด บาปไม่เกิดแล้ว มีแต่กุศล ในปรมัตถสัจจะ พระอรหันต์ขึ้นไปไม่ทำบาปแล้ว ทำแต่กุศล จะกุศลอย่างไรก็มีแต่จะชรตา อนิจจตา ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับมันอีกจะเสื่อม แต่คนอวิชชาไม่หยุดหรอก ทำอนิจจตาไม่เที่ยง จะอยากให้มีอยากให้เป็นอยากให้ได้ตลอดเวลา
ลักษณะ 4 อย่างนี้ ชรตา อนิจจตา พระอรหันต์จะรู้ว่า อะไรจะให้ อนิจจตา ถ้าเป็นความชั่วอกุศลก็ให้มันเสื่อมปล่อยมันไปเลย หรือสัมประสิทธิ์ Coefficientเสริมแรงส่ง มันให้ตายไปเลย Kick it out ส่งไปเลย ส่วนกุศลจะให้เที่ยงให้นานที่สุดเท่าที่จะทำให้นานได้ ถ้าไม่ทำก็จะดูของตัวเอง อุปจยะไม่สันตติก็ไม่ต่อ แต่ถ้าจะต่อ ไปสัมพันธ์กับผู้อื่นไป มีประโยชน์หรือโทษต่อผู้อื่น แต่ผู้บรรลุธรรมสูงสุดแล้วย่อมรู้คุณและโทษ ย่อมจะไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษแน่ มีแต่คุณทั้งนั้น ไม่ทำในสิ่งที่เป็นโทษเด็ดขาด เพราะรู้จักลักษณะต่างๆของกรรม ของพลังงาน เมื่อกระทำแล้วต้องรู้จักประมาณให้เบาที่สุด ลหุตาของกรรมที่เราสังขาร ปรุงแต่ จัดทำขึ้นมา สังขารอย่างอภิสังขาร
อาตมาสังขารอย่างอภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร คือสังขารอย่างไม่เป็นบาป อปุญญาไม่ได้แปลว่าบาปนะ คือไม่มีบาป แต่ไม่มีบุญด้วย เพราะถ้ามีบาปอยู่ต้องมีบุญ ใครที่มีบาปอยู่ต้องใช้บุญล้างมันให้มด ถ้าใช้บุญตัวสุดท้ายล้างบาปตัวสุดท้ายได้ ก็ไม่ต้องใช้บุญอีก สิ้นบุญสิ้นบาป
ผู้จะทำจะรู้ วิการรูป 5 กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ทำโดยมหาปเทส 4 สัปปุริสธรรม 7 ทำด้วย มุทุภูตธาตุ ลหุตา กัมมัญญตา
อาตมาเรียกมุทุภูตธาตุว่าจิตหัวอ่อน แต่เขาแปลกันว่าจิตอ่อน คือจิตว่านอนสอนง่าย จะให้เป็นอะไรก็ง่ายไม่ให้เป็นอะไรก็ง่าย เป็นอมตบุคคล จะให้เป็นบัญญัติอะไรก็ได้ จะให้เกิดก็ได้จะให้ตายก็ได้ จะให้ไม่เกิดก็ได้ จะให้เกิดก็ได้ ผู้นี้จึงทำด้วยตัวเอง ผู้มีมุทุภูตธาตุ ทำตัวเองตั้งแต่อรหันต์จนถึงพระโพธิสัตว์ จะทำให้เกิดหรือตายอย่างเหมาะสมเป็นการกระทำที่เหมาะควร ผ่านสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ถือว่า ลหุทั้งสิ้น
อาตมาออกเสียงดังขนาดนี้ แรงขนาดนี้ ท่าทีแข็งกร้าวขนาดนี้ลหุ เหมาะสมกับกาลัญญุตายุคตาบอดหูหนวกหนังหนา แล้วรู้สึกกันบ้างไหม หูได้ยินไหม ตาได้เห็นแสงไหม หนังหนานี้รู้สึกไหมยิ่งกว่าคอนกรีต แบริเออร์
อาตมาเอาภาษาบัญญัติพระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธ เอามาสาธยายให้รู้สภาวะความจริงต่างๆ เป็นหน้าที่ของอาตมา ไม่ใช่อาตมาอวดตัวอวดตน เป็นหน้าที่ๆอาตมาต้องทำ
ขออภัยต่อท่านผู้รู้บวชก่อนเป็นภันเต อาตมาต้องมาสอนท่าน บอกท่านเตือนท่านให้ท่านสะดุดฉุกคิดว่าอาตมาพูดนี้ผิดหรือถูก ใช้ได้ใช้ดีไหม
อาตมามาทำหน้าที่ของอาตมา แม้ที่สุด อาตมาหมายถึงใครบ้าง คนเก่าแก่ บุพกาล พูดไปจนน่าหมั่นไส้แต่ มันก็ต้องพูด
เพราะอะไรอาตมาพูดนี้ รู้ว่าที่พูดไปมีคนยอมรับได้ประโยชน์ส่วนใด คนส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับ ไม่ได้รู้สึกประหลาดอะไร เหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดมอุบัติขึ้นมา เมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจะสอนแล้ว ก็ตรวจโลก ว่าโลกนี้มันจะสอนไหวไหมนี่ จะสอนได้ไหมนี่ ปริวิตกแรก พอตรวจแล้วก็พบว่าไม่ไหว จะคุ้มไหม เสร็จแล้วสหัมบดีพรหมคือจิตเมตตารวมกันหมด พูดเป็นปุคคลาธิษฐาน พูดเป็นธรรมาธิษฐานคือธรรมคุณเมตตาทั้งหลายรวมตัวกันเร็วเท่าเหยียดแขนออกคู้แขนเข้า เร็วเท่าไก่ปรบปีก ช้างกระดิกหู ก็พบว่าคนพอสอนได้ คนมีดวงตาเห็นธรรมได้อยู่ ก็ไม่แปลกที่วันมาฆบูชาจะมีพระอรหันต์รวมกันได้ทัน 1250 รูป องค์อื่นก็จะได้มากกว่านี้ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าพระพุทธเจ้าองค์นี้มีความสามารถต่ำกว่าองค์อื่น แต่เพราะว่าคนมีคุณภาพเท่านี้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวปั๊ม แต่อยู่ที่ตัววัตถุ มาให้ปั๊มได้ เท่านี้ นอกนั้นมันกระจายไป กระเด็นไปหมด วัตถุที่มาให้ปั๊มนี้ไม่ได้ หรือได้แค่นี้
ยิ่งเข้าใจตัวเองเลยว่าในยุคนี้พระพุทธเจ้ายังไม่ยอมเกิดเลย เพราะว่าเกิดมาแล้วเสียของ เหมือนปั๊มคุณภาพขนาดพระพุทธเจ้ามานี้เสียของ ไม่คุ้ม ของราคาสูงมาก แต่มาทำแล้วคิดทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ขาดทุนยิ่งกว่าพระได้หวี ขาดทุนยิ่งกว่านิ้วด้วนได้แหวน ขาดทุนยิ่งกว่าตาบอดได้แว่น ในยุคนี้พระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้หรอกมีแต่พระโพธิสัตว์ แล้วต้องทนอย่างอาตมา ถ้าไม่ทนทานนี้ไม่อยู่แล้ว เพราะว่าเห็นแก่ศาสนาพุทธ เพราะว่ากตัญญูกตเวทีต่อศาสนาพุทธ
อาตมาได้ดิบได้ดีมาขนาดนี้เพราะได้จากธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรที่จะต้องระลึกถึงบุญคุณเท่าอันนี้เลย อาตมาอาจจะได้ความรู้ทางโลก จะมีความเก่งทางอักษรศาสตร์ รู้จักเองทั้งอย่างอื่น แต่ไม่ค่อยมีอะไรให้อวดเท่าไหร่ แต่เท่าที่มี
มีแต่เจตนาจริงใจ อาตมามีแต่ธรรมะ แล้วเป็นธรรมะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า อาตมากล้าพูดว่า ในสัมมาทิฏฐิ 10 ยุคนี้คุณไปหาเลย ไม่มีใครเอามาใช่ไหม ถ้าไม่มีโพธิรักษ์เกิดมาในยุคนี้ สัมมาทิฏฐิจะหายไปเลย จะไม่มีใครได้ฟังว่า นัตถิทินนัง คืออะไร นัตถิยิฏฐังคืออะไร... สมณพราหมณา สัมมัคตา เยอิมัญจโลกัง ปรัญจโลฯ อันนี้มีเปรียญ9 ให้อาตมานะไม่ให้ใช้คำว่า พระ แต่ให้ใช้คำว่า สมณพราหมณ์ ไม่ได้ขอนะท่านให้มาเอง คุณจรวย หนูคง จากกรมการศาสนาเป็นเปรียญ 9 นิติศาสตร์ พอให้มาแล้ว มหาระแบบท้วงว่า สมณพราหมณ์ คือพระอรหันต์นะ ไปให้ได้อย่างไร ก็ตกลงกันแล้วนะ คือไปใช้คำอื่นไม่ได้เลย ในกฏหมายห้ามไว้เกือบหมด แต่ไม่มีคำว่า สมณพราหมณ์นี้ไม่ได้ห้ามไว้ คำว่าสมณะก็ไม่มี อาตมาก็เป็นตามที่ท่านตกลงอนุมัติ ตั้งแต่บัดนั้นมาเราก็เป็นสมณะ ก็ยิ่งลงตัวทุกอย่าง คุณเอาพระ ภิกษุไป
พ่อครูว่า...ที่ผมแสดงท่าทีลีลาออกไปแล้วมีคนว่า ไม่ใช่ผมไม่รู้แต่พูดให้ชัดว่าผมไม่ได้เกรงกลัวหวั่นไหวในคำติของคน แต่ไม่ใช่ว่าหน้าด้านหรือดื้อด้านแต่ผมเอาตามมหาปเทส4 สัปปุริสธรรม 7
ท่านจันทร์ว่าว่า...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:35:09 )
รายละเอียด
600807_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนปกติคือคนมีศีลมั่นคงยั่งยืน
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 ที่ราชธานีอโศก เข้าพรรษามาได้แล้ว 1 เดือน น้ำก็มาท่วม ตอนนี้คนพักได้ที่ เฮือนศูนย์สูญ เฮือนสวน. สวนอุทยาน และอุทยานบุญนิยม แล้วแต่ว่าจะไปพักที่ไหนก็ได้ เด็กนักเรียนฝ่ายชายไปพักเฮือนสวน. ตอนนี้ชาวบ้านราชฯทำหน้าที่ขนของหนีน้ำ
พ่อครูให้ความหมายของสัมประสิทธิ์มี 2 ทิศทาง เป็นจอมมารหรือเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เราก็อย่าไปเกิดเป็นจอมมาร ก็แล้วกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน พุทธศาสน์ต้องแยกรูปแยกนามได้
พ่อครูว่า...วันนี้ก็อยากจะ พาดพิงไปถึงสังคมปัจจุบันที่มันเป็นอยู่ อาตมาได้เทศน์ผ่านมา เมื่อวานก็ได้ย้ำให้เห็นว่า ความยิ่ง ภาษาไทยคำว่ายิ่ง มันยิ่งได้ในมุมที่ยิ่งแย่กับยิ่งยอดเยี่ยม หรือยิ่งดีกับยิ่งเลวก็ได้ มีสองทิศทาง ถ้าเราไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ละเอียดอย่างดี ก็หลงความสามารถ ความเก่ง ยิ่งคนที่หลงโลกียะ มันมีจิตที่ยินดีในเรื่องได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ได้ศักดิ์ศรี ได้อัตภาพต่างๆ ที่มันละเอียดลึกซึ้งไปถึงขั้นอรูป ถ้าไม่ได้ศึกษาสัมมาทิฏฐิจริงๆมันแยกยาก แยกไม่ออก ไม่สามารถที่จะรู้ แยกละเอียดลออมารู้ได้จริง
ทีนี้ของพระพุทธเจ้านี้แยกแยะได้เพราะว่ามี การแยกที่เรียกว่า วิจัย ธัมมวิจัยมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่เริ่มต้นให้หัดที่จะมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สติสัมโพชฌงค์ ตั้งแต่สอง จนถึง ล้านๆๆๆ แล้ววิจัยก็ค่อยวิจัยรวบรวมมาเป็นคู่ เป็นธรรมะ 2 เสมอ ค่อยๆรู้แล้วค่อยเค้นมาถึงสอง จึงรู้จักความต่างที่เรียกว่าลิงคะ นามธรรม โดยเฉพาะ เป็นโลกียะกับโลกุตระ ในธรรมะของพระพุทธเจ้าถ้าเข้าใจสภาวะธรรมแค่ เวทนา 18 กับ เวทนา 18 ท่านเรียกว่ามโนปวิจาร 18 เป็นเคสิตกับเนกขัมมะอย่างละ 18 อ่านออกเลยนะ อาการความเคลื่อนไหวทางใจ จะเรียกว่ามโนวิญญัติก็ได้ แต่มันไหวน้อย จนกระทั่งเราจะเรียกวิญญัติก็ยาก มันจะมี
เพราะว่ามีอาการ วิการ คือ ยิ่ง มีการงานมีความเคลื่อนไหวอย่างเบา เรารู้จักสิ่งที่ถูกรู้ โดยญาณของเรา วิปัสสนาญาณเรา รู้ความเป็นลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา หรือ ความเป็น กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เป็นต้น ท่านไม่มีคำว่า มโนวิญญัติ เพราะว่ามันเป็นรูป คำว่ามโนก็รวมไว้ใน ลหุ มุทุ แม้จะออกมาเป็นความเคลื่อนไหวเรียกว่า วิญญัติรูป
กัมมัญญตา กับลหุตานี้ ลหุตา ถ้าว่าจริงๆแล้วจะเป็นลักษณะของ ปุริสภาวะ กัมมัญญตา จะเป็นลักษณะอิตถีภาวะ เป็นลบ
ส่วน ลหุตา เป็นบวก เป็นสิ่งที่นิ่ง แก่น เบา มีตัวกรรมกิริยาเป็นกัมมัญญตา เป็นตัวบทบาท แอ๊คอาร์ท แอ๊คชั่น
พวกเรานี่อาตมาสบายใจตรงที่ว่า ได้ปลูกฝังมาตั้งแต่ต้น ทั้งรูปและนาม ทั้งบัญญัติและสภาวะ ไม่ใช่ว่ารู้แต่บัญญัติ ก็ร้อยเรียงกันไป อย่างที่เขาเรียนกันส่วนใหญ่ ไม่พยายามทำสภาวะก็เลยได้แต่ตรรกะ ได้แต่ความรู้ทางด้านปรัชญา เป็นตรรกะ เหตุผล บัญญัติ ไม่มีสภาวะ
ยิ่งถ้าเข้าไปถึงสภาวะนามธรรม จริงๆแล้วในรูป 24 อุปาทายรูปนี้เป็นรูปที่เป็นอรูป ผสมกับนาม อาจจะมีรูปที่หยาบใหญ่ก็ได้ โอฬาริกอัตตาก็ได้ แต่ต้องไล่เรียงไปจนละเอียดถึงอรูปนั่นแหละ
ซึ่งผู้ศึกษาไป โดยใช้ปฏิภาณปัญญาไหวพริบ ก็จะรู้ว่าหยาบ กลาง ละเอียด มีขั้นตอนสภาวะทำอย่างไรอยู่ เราศึกษามาตามลำดับถูกต้องตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาเองมั่นใจว่าสอนมาแนะนำมา เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาไล่เรียงเป็นลำดับ พยายามไม่ให้ผิดเพี้ยนสับสน ไม่ให้ออกนอกกรอบลำดับของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าสรรเสริญความเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ไม่ขรุขระไม่เป็นปุ่มปม เรียบเหมือนกระจก หาดทรายน้ำทะเลซัดไปให้ราบเรียบ เป็นสิ่งสุดยอดที่ระเบียบอยู่ตลอดเวลา น้ำทะเลจะซัดอยู่ตลอดเวลา ใครจะทำให้เกิดความขรุขระ ประเดี๋ยวน้ำทะเลก็จะซัดทำให้ราบเรียบตลอดเวลา ผู้ที่เข้าใจซาบซึ้งก็จะเข้าใจปหาราทสูตร
1.มหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชันดิ่งไปทันที
คือพระธรรมวินัยมีการศึกษาไปตามลำดับ มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ ไม่ใช่มีการบรรลุอรหัตผลโดยทันที
2.น้ำในมหาสมุทรมีปกติคงที่ไม่ล้นฝั่ง
คือสาวกทั้งหลายของเรา ย่อมไม่ละเมิด สิกขาบทที่บัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต
3.มหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพ ย่อมซัดซากศพขึ้นจนถึงบนบกทันที
คือสงฆ์ (ในพระธรรมวินัยนี้)ไม่ร่วมกับผู้ทุศีลและจะขับไล่ให้ไกลจากสงฆ์
4.มหานทีทุกสาย ไหลลงสู่มหาสมุทร แล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิม รวมเรียกว่ามหาสมุทรทั้งสิ้น
คือคนในวรรณะ 4 เหล่า คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร เมื่อออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิม รวมเรียกว่าสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ทั้งสิ้น
5.แม่น้ำสายใดสายหนึ่งในโลกที่ไหลไปรวมลงสู่มหาสมุทร และสายฝนตกลงจากฟากฟ้า ก็ไม่ทำให้มหา สมุทรพร่องหรือเต็มได้
คือในพระธรรมวินัยนี้ แม้มีภิกษุจำนวนมากปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส-นิพพาน ก็ไม่ทำให้นิพพานพร่องหรือเต็มได้
6.มหาสมุทรมีรสเดียวคือรสเค็ม
คือพระธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติ-รส (ความหลุดพ้น)
7.มหาสมุทรมีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ แก้วมุกดา ฯลฯ
คือพระธรรมวินัยนี้มีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 อิทธิบาท 4 ฯลฯ
8.มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ขนาดใหญ่ คือ ปลาติมิ ฯลฯ มีตัวขนาดใหญ่ 100 - 500 โยชน์
คือพระธรรมวินัยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ใหญ่ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ และผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุอริยผล 4
คนที่มีอัตตาจะไม่เข้าใจ แม้ว่ามาบวชเป็นภิกษุแล้ว ก็นึกว่าฉันบวชแล้ว ศีลฉันมี 227 ทั้งที่เข้าใจผิดด้วยซ้ำไป 227 คือพระวินัย สับสนอยู่ทุกวันนี้ก็น่าสงสาร อาตมามาพูดนี้ไม่ค่อยมีน้ำยา เท่าไหร่ คือ ก็ยังช่างเย็น เช่นยาค่าไร้
เพ่งมองผ่านเมฆ เฉกใจให้ช้ำ
คล้ำดำซ้ำเป็น เห็นปานขวานผ่า
ความคิดเคย เฉยเชือน ก็เตือนตามมา
แม้เพียร เพ่งแพงแรงพาผองธรรมก้าวมาหน้าแนว แล้วเล่า
ก็ยังช่างเย็น เช่นยาค่าไร้
หรือคนไซร้ซาน เขลาคลานคุกเข่า
ยอมซบจนซ้อน จมใต้ตมซมเซา
มิเงยหน้าเลยเคยเนา ฉันใดก็เยาว์เยี่ยงเดิม โธ่เอ๋ย
ฟ้าดินผินเพลิน เผินพลอย
เมินไม่คอยเอื้ออวยช่วยใด ไยเฉย
หรือธรรมต่ำศักดิ์นัก จึ่งปึ่งเลย
คนเอ๋ย ควรครวญใคร่ก่อน
ผิเป็นเช่นใด ไม่ควรด่วนท้อ
แข็งพอขอเพียง มิพาลเพี้ยนผ่อน
ยังยิ่งยงยั้งยืนหยัด ทนอาทร
แสงธรรมต้องทอบวร มิจางจิตถอน เทิดธรรม สู้ทน (เถิดเทอญ)
เพลงนี้เป็นการรำพึงรำพัน...ได้ระบายออกไปก็ค่อยยังชั่ว คล้ายๆอย่างนั้น
ลึกๆอาตมาจะว่าห่วงก็ใช่ จะให้คิดว่าไปรอดแล้วห้าพันปี อาตมาไม่ใช่ ต้องทำเผื่อพอไว้ ไม่ไว้ใจตนเอง และถ้าเผื่อว่ามันไม่พอไม่ได้ อาตมาถือว่า เป็นความผิดของอาตมานะ อย่างเทวนิยมเขาจะว่า จะไปตอบคำถามพ่อแม่ที่บนสวรรค์ได้อย่างไรนะ ก็ต้องพากเพียร คืออาตมายังรู้สึกว่ามีรายละเอียดที่จะต้องอธิบายอีก มันไม่ใช่น้อยเลย รู้สึกไหมว่าผมมีอะไรอธิบายให้ละเอียดต่อไปอีก
สมณะฟ้าไทว่า...ผมก็ต้องไปฟังซ้ำบ่อยๆครับ
พ่อครูว่า..ก็ต้องถามพวกเราว่า นี่บ้าวนซ้ำไปซ้ำมาหรือเปล่าก็ต้องถาม วนไปวนมาซ้ำเก่าอยู่นั้นแหละ จริง คนที่ไม่มีปฏิภาณปัญญา ฟังแล้วก็จะดูเหมือนว่าวนอยู่ที่เก่า ไม่เห็นมีรายละเอียดอะไรที่แปลก แต่อาตมาว่ามันวนแต่มันสูงขึ้นๆ เหมือนก้นหอยนะ วนไปวนมาซ้ายขวาๆ แต่ว่าวนแล้วมีนัยยะสำคัญสูงขึ้นนะ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน คนปกติคือคนมีศีลมั่นคงยั่งยืน
_สมณะพอจริง.....คน มี 2 ประเภท คือ
1.คนทั่วไป
อยู่ที่ โลกียะ(โลกอบายภูมิ6 โลกกามคุณ5 โลกธรรม8 โลกอัตตา3)
เดินทางสาย อปรโคยานทวีป(เคหสิตเวทนา) สะสมกรรม ไว้ที่ ปุพพวิเทหทวีป(อกุศลวิบาก)
จุดหมายปลายทางอยู่ที่ ดาวดึงส์(อมนุษย์ สมมุติเทพ 6 อบายภูมิ 4)
2.คนปกติ
อยู่ที่ โลกุตระ(เหนือโลกทั้ง4 ทั้งเสขะและอเสขะ) หรือ ชมพูทวีป(สุรภาโว คือสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ สติมันโต คือ รู้ตัวในขณะสัมผัสนอกที่เป็นสมมุติสัจจะ และ สัมผัสในที่เป็นปรมัตถสัจจะตั้งแต่วิญญาณ เป็นต้นไป อิธพรหมจริโยวาโส คือ สามารถพัฒนาตนเองให้อยู่ในพรหมระดับต่างๆได้)
เดินทาง อมรโคยานทวีป(เนกขัมมสิตเวทนา) สะสมกรรม ไว้ที่ ปุพพวิเทหทวีป(กุศลวิบาก)
จุดหมายปลายทางอยู่ที่ อุตรกุรุทวีป(มนุษย์ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ)
สะสมกรรมไว้ที่ ปุพพวิเทหทวีป ใช่ไหม เรียงลำดับอย่างนี้ถูกไหม
คนทั่วไป คือ คนไม่มีศีล ได้แก่ ปุถุชนและกัลยาณชน
คนปกติ คือ คนมีศีล ได้แก่ อาริยะชนนับจากเสขะไปจนถึงอเสขะ
พ่อครูว่า...ไม่ปกติคืออะไร บางทีก็มีศีล บางทีก็ไม่มีศีล แล้วเวลาที่ไม่มีศีลมากกว่านะ มีแต่ผีเข้าผีออก…. เข้าไปเป็นผี ออกไปเป็นเทวดาก็พอทำเนา แต่ถ้าเข้าเป็นเทวดา ออกมาเป็นผีก็ไม่ดีแน่ ยิ่งซวยหนักเข้าไป
ต้องเริ่มตั้งแต่มีมิตรดี พาให้มีศีล อาตมาภูมิใจที่ทำให้คนมีศีลมารวมกันเป็นหมู่บ้าน ต่อมามีหลายหมู่บ้านจะเป็นเครือแห ถ้าเครือแหนี้อยู่ในตำบลเดียวกัน จะมีความชัดเจนเป็นรูปธรรม ที่สวยงามมาก จะทำให้เกิด มีพลังฤทธิ์มีผลต่อระดับอำเภอ อาตมาถึงสาธุ อยู่ต่อไปอย่างแย่ 125 อย่างดีเอา 151 ปี อาตมาทุกวันนี้รู้สึกว่า ถ้ากระเสือกกระสนไปถึงอายุ 96 ต้องฉลองแน่เลย ตอนนี้กำลัง 83 84 ครบนักษัตร ถ้าไปอีก 12 ปี 96 ปี ก็ฉลองแน่ แม้แค่ 90 นี้ก็คงฉลองชัยกันแล้ว
ถ้ายิ่งไปถึง 108 ไปอีกนักษัตร ก็ต้องเข็นต้องฝืนกัน เพราะว่าอาตมาพากเพียรพิสูจน์ โพชฌงค์ของพระพุทธเจ้าต่ออายุ ด้วยความพากเพียรใช้ธรรมะพระพุทธเจ้า อธิบายได้ยากมากว่าเดินโพชฌงค์อย่างไรให้อายุยืนยาว ไม่ป่วยเจ็บหรือป่วยเจ็บก็รอด แต่จะมีอีกอย่างหนึ่งคืออุปัทวเหตุ อันนี้ยากกว่า พยายามพากเพียรที่จะแก้อายุขัย เสริมสร้างอายุขัย ถ้าเป็นอุบัติเหตุเขาเรียกว่ากรรมตัดรอน ภาษาบาลีว่าอุปฆาตกรรม
ถ้าคุณไม่มีญาณข้ามโคตร หรือญาณครอบโคตร ไม่มีอัญญา ไม่สามารถข้ามเขตโลกียะมาได้ ไม่ปกติของปุถุชนคือคนบ้าแต่ไม่ปกติของอาริยชน
คนปกติคือคนมีศีลมั่นคงยั่งยืน คนไม่ปกติ คือไม่มีศีลหรือมีบ้างไม่มีบ้างไม่แน่นอนยั่งยืน แต่ถ้ามีเที่ยงแท้ แล้วแวบวาบน้อยก็ยังดี แต่นี่แวบวาบมาก มีศีลน้อย คนที่จะอุตสาหะวิริยะ ทำให้ตนเจริญ ยิ่งรู้จักลำดับ
เอาตั้งแต่ศีลข้อ 1 ก่อนจะศีลข้อ 1 เอา สี่หน้านี้ก่อน…. ดีขึ้นนะ เดี๋ยวนี้มีคนฟัง มีหน้าเก่าบ้าง แต่ก็แน่นอนทุกวันนี้สอนกันยาก คนมาเข้าห้องเรียนนี้ได้ไม่ใช่คนธรรมดานะ พูดไปแล้วอย่าหลงตัวเองนะ
ท่านพอจริงนี้ก็เรียงลำดับไว้ถูกต้อง ท่านละเอียดลออดี
อมรโคยานคือเนกขัมสิตเวทนา ถ้าอปรโคยานคือเคหสิตเวทนา ทั้งสองสั่งสม ที่ปุพวิเทหทวีปเหมือนกัน แต่อันหนึ่งสั่งสมกุศล อีกอันสั่งสมอกุศล ซึ่งกุศล เป็นสมบัติผลัดกันชม แต่บุญเป็นโลกุตระไม่วนเวียน จบแล้วไม่วนเวียน โลกียะเท่านั้นที่วนเวียนเป็นโลก วนไปวนมาไม่จบ แต่โลกุตระไม่วน
สมมุติเทพจะวนไปวนมาระหว่างเทพกับนรก แต่อุปปัตติเทพนี้จะไม่วนเวียน ทำให้จิตวิญญาณเกิดได้ด้วยโลกุตรธรรมอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อรู้จักเส้นทางกระแสของโลกุตระ โสตาปันนะ
จะรู้จักเวทนาสอง ทำตั้งแต่พ้นสีลลัพพตปรามาส พ้นสังโยชน์3 ได้เป็นส่วนบุญ รู้สัจญาณ ทำกิจญาณ จนทำได้เป็นกตญาณ
วิเทหะคือเป็นแท่งทึบเพราะคนอวิชชา อยู่ในอวกาศมันมีสารพัด คนไม่มีปัญญารู้ในอวกาศก็ไม่รู้เรื่องว่ามีอะไร เพราะไม่มีแสงให้มองเห็น แม้มีแสงก็พร่ามัว ต้องหยิบมาแต่น้อย ตั้งแต่จักรวาลน้อย ต้องมีดาว 9 ดวงเป็นต้นไป ทุกวันนี้เขาว่าจักรวาลที่โลกเราอยู่นี้ มันหายไปดวงหนึ่งแล้ว เก้าดวงนี้คือสามเส้า จะเรียกว่า หมู่ของดาวเคราะห์ ต้อง 9 ดวง จึงเรียกว่าจักรวาล 1 ถ้าไม่สามเส้าจะไม่ครบ ถ้าเหลือ 8 จะเป๋ ยิ่งเหลือ 7 เหลือ 6 ก็แย่แล้ว เพราะฉะนั้น 9 ดวงเป็นสามสังขยาเลขนะ
เรานับ 3 ก็เป็นหนึ่งจักรวาล หนึ่งเอกภพ หนึ่งวงวน แม้แต่พีชธาตุก็มีสาม จะออกมาเป็นจิตนิยามก็มี 5 6 ก็ต้องพยายาม มีพลังงาน Coefficient ของตัวเองเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเป็น 7 ก็นิยตะ อย่างนี้เป็นต้น
แก้ของท่านพอจริง คนทั่วไปคือคนไม่มีศีล เรียกว่าปุถุชน และก็กัลยาณชน แต่กัลยาณชนมีรายละเอียดลงไปอีก แต่ปุถุชนนี้ไม่แน่นอนแน่ ไม่ได้มีศีลมั่นคงอะไร กัลยาณชนสามารถมีศีลได้บ้างแล้ว สามารถตั้งใจปฏิบัติ ให้ศีลสั่งสมลงไปแข็งแรงมั่นคงได้เหมือนกัน ได้ยาวนานเหมือนกัน แต่ไม่มีปัญญา อัญญา ไม่มีบุญ ไม่สามารถชำระกิเลส ไม่รู้จักกิเลสอย่างเป็นลำดับ เหมือนศาสนาพุทธ
ต่อให้กดข่มเก่ง สามารถ แต่ไม่เที่ยงแท้ ไม่สามารถทำเป็นเบื้องต้นท่ามกลาง บั้นปลาย เป็น สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ไม่สามารถจบได้เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์
คนทั่วไปคือคนไม่มีศีล หรือมีศีลบ้างเป็นกัลยาณชน แต่มีได้แค่กุศล ไม่ถึงบุญ กุศลที่สูงสุด ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังให้ถึงความเป็นอรหัตผลไปโดยลำดับ เพราะถ้าศีลที่ไม่เป็นกุศลเลยก็ยังไม่เป็นลำดับอะไรได้ แม้เป็นกุศลที่ค่อยๆเจริญไปจนสุด ปลายกุศลคือการรู้จบ รู้จักกิเลสตัดกิเลสได้
ถ้าเริ่มรู้จักกิเลส ก็ทำลายกิเลสได้ เป็นบุญไปตามลำดับ กุศลเจริญเริ่มต้นเป็นพระโสดาบัน เริ่มต้นมีส่วนบุญนิด เช่นพ้นสักกายทิฏฐิ พ้นวิจิกิจฉา พ้นสีลพตปรามาส ได้ พ้นจักรวาลน้อย 3 องค์ได้รอบหนึ่งแล้ว เป็น cyclic order เริ่มต้น โสตาปันนะ เข้ากระแส ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา อวินิปาตธรรม แต่ยึกยักแช่ ดีไม่ดีโสดาบัน ลงไปเละกับโลก ถึง 7 ชาติ 7 รอบ ไม่ใช่เกิดจากท้องแม่ 7 รอบนะ แต่เป็น 7 วัฏฏะ เพราะฉะนั้น เที่ยวไปเละเทะ โสดาบัน วัฏฏภิรตโสดาบัน อย่างเช่นนางวิสาขาไม่ลงไปหาอบายมุข มีโสดาบันบางอย่างไปเปื้อนกับโลกียะแล้วก็วนไปได้ แต่พวกนี้ถ้าไปวนสู่โลกียะ วนไปได้ 7 รอบเท่านั้นแหละ เรียก สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ถ้าเกิน 7 รอบนี้ ไม่ใช่โสดาบันแล้ว เป็นโซดาไปเติมอะไรแล้ว
ถ้าใครกิเลสตกเกิน 7 รอบไม่ใช่โสดาบันแล้ว ระวังคนมาอโศกเข้ามาเกิน 7 ครั้งก็ยังมาไม่ได้ มันไม่ใช่โสดาบันแล้ว ที่อาตมาว่ามาศึกษา 7 ครั้งถึงบริจาคได้ก็เอาหลักนี้มาใช้
คนทั่วไปไม่มีศีลหรือมีศีลไม่เที่ยงแท้เป็นกัลยาณชน เพราะไม่มีอำนาจพลังงานระดับบุญ ไม่มีญาณปัญญาที่เกิดอัญญธาตุ จิตยังไม่เข้ากระแส ดีได้ถึงเป็นศาสดาเทวนิยมได้ยิ่งใหญ่แต่วน ไม่รู้จัก จิตเจตสิกรูปนิพพาน ไม่รู้รายละเอียดของปรมัตถธรรม อาจรู้แต่สับสน เรียงลำดับไม่ได้ เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไม่ได้ อาจดีได้จนหลงเป็นนิรันดร หลงสูงสุดคือได้ถาวรนิรันดรแล้วเป็นศาสดานะ แต่ของพุทธไม่มีนิรันดร มีอนัตตา อัตตานิรันดรไม่มี เพราะศาสนาพุทธอนัตตาไม่นิรันดร์มีที่สุด
ของโลกียะเทวนิยมมีแต่ดีกับชั่วไม่รู้จักตัวตัดขาดหลุดพ้น ไม่รู้จักสุญญตา อนัตตา ศาสนาพุทธนี้ดีได้ด้วย อย่างเที่ยงแท้ ไม่วนเดี๋ยวต่ำเดี๋ยวสูง ดีๆชั่วๆ สมบัติผลัดกันชม แต่ของพุทธโลกุตระดีได้เที่ยง ไม่วนต่ำอีก เป็นขั้นๆไป เหมือนในจอกน้ำมีฝุ่น จับตัวฝุ่นได้ก็เอาออกทีละฝุ่น จนฝุ่นไม่เหลือเลย จะกวนน้ำอีกเท่าไหร่ก็ใสไม่ขุ่น แต่ของทางนั้นไม่ได้เรียนเม็ดของฝุ่นของกิเลส แต่กดข่มได้แน่นแข็ง สึนามิมาไม่เคลื่อนเลย แผ่นดินไหวก็ไม่แตกเลยนอนก้นแก้ว ต้องมหาสึนามิถึงแตกมีฝุ่นมาบ้าง เรื่องของเวลานี้ยาวนานอย่าไปพูดถึงเลย เทียบกัปป์แต่ละกัปป์ยาวนานมากเลย ช่องนี้ถึงได้เปิดเพลงก่อนสิ้นแสงตะวันบ่อย ระวังวัยและวันจะผ่าน
คนปกติเป็นกัลยาณชนได้ แต่ไม่เที่ยง ของพุทธโสดาบันนี้เที่ยงไประดับหนึ่งแล้ว สกิทาฯนี้ยาว กรอบยาว จนกว่าจะหมดกามภูมิ ก็เป็นรูปภูมิ อรูปภูมิ เป็นอนาคามี แต่เสร็จแล้วมีสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ของพุทธจึงมีที่จบ
คนปกติของพุทธคือคนมีศีลได้แต่กัลยาณชน แต่ท่านพอจริงว่านับคนปกติ นับตั้งแต่เสข ไปถึงอเสข ถ้านับอย่างนี้จะไปตัดของเขาไป
อาริยชนคือผู้มีกุศลระดับบุญไปจนหมดบุญ นับแต่เสขบุคคล โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ จนถึงอรหันต์เป็นอเสขบุคคล
ผู้ที่จบแต่ละบุญๆ จึงเป็นคนที่อยู่กับกุศลเป็นเครื่องอาศัย โสดาฯก็มีกุศล สกิทาฯก็มีกุศลแน่นอน อนาคาฯก็เช่นกัน ได้กตญาณตามแต่ละที่ได้ มีกุศลเป็นเครื่องอาศัย บุญไม่ใช่เครื่องอาศัย บุญเป็นอาวุธ เหมือนเขี้ยวเล็บ พิษ หรือระเบิดปรมาณู ใช้ปั๊บก็หมดไป แม้เล็บก็สึกไป
ต่อของคนอื่น
_อุ๋ม รอยใบไม้ ขอรายงานผลการปฏิบัติธรรมในช่วงเข้าพรรษานี้ค่ะ
ตั้งตบะหลายข้อ หนึ่งในนั้นตั้งใจว่าจะออกกำลังกายตามแบบพ่อครู ได้ลดกิเลสความขี้เกียจอย่างมากค่ะและได้เห็นกิเลสตัวเองคือ ตอนไปปั่นจักรยาน เห็นนักศึกษาคณะหนึ่งมาวิ่งหลายร้อยคนที่สวนสาธารณะ เขาทิ้งแก้วพลาสติกไว้เกลื่อนไปหมด ในใจคิดว่าถ่ายรูปไว้ดีมั้ย ถ้าเขาไม่เก็บเราจะโพสต์ ปั่นจักรยานไปก็คิดแต่ว่าจะเอาเรื่องเขายังไงดี คิดวนจนรู้สึกว่าออกกำลังไม่เป็นสุขเลยค่ะ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าท่านสอนให้ดูความคิดตัวเอง
ขณะนั้นก็เห็นขวดและถุงพลาสติกอยู่กลางถนน ก็ลังเลว่าจะเก็บดีมั้ย มีเหตุผลไม่เก็บขยะให้ตัวเองตั้งร้อยแปด สุดท้ายตัดสินใจว่าจะเก็บ พอดูใกล้ๆเห็นถุงสกปรกมากจึงไม่เก็บ และนึกถึงนักศึกษากลุ่มนั้นว่า ถ้าเขาไม่เก็บขยะก็คงมีเหตุผลร้อยแปดเหมือนเรานั่นแหละ
ตอนขากลับ ปรากฎว่าขยะของนักศึกษาที่ทิ้งเกลื่อนสวนสาธารณะก็ไม่มีสักชิ้น เขาคงช่วยกันเก็บจนหมดค่ะ ได้ข้อสรุปว่าคนที่ไม่ยอมเก็บขยะคือตัวเรานั่นเองค่ะ เราคิดที่จะให้คนอื่นทำมากกว่าคิดให้ตัวเองทำ คิดที่จะเอาเรื่องคนอื่นซะมากมายแต่ไม่กล้าคิดเอาเรื่องตัวเองสักข้อ ขอรายงานความจริงเปิดเผยกิเลสไว้เพียงเท่านี้ค่ะ
...ขอพ่อครูช่วยชี้แนะด้วยค่ะ กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ…
พ่อครูว่า...อาตมาเองก็มีคนคอยเตือนให้ออกกำลังกาย ท่านหนักแน่น ท่านดินไท หรือคุณเพ็ญเพียรธรรม แต่บางครั้งก็ทำงานจนไม่ได้ออกกำลังกาย แต่ก็ดูว่า อาการจิตเจตสิกตัวขี้เกียจมีไหม เราทำงานเราอ้างไหม เราขี้เกียจไหม จริงๆ มีเหตุปัจจัยเยอะ บางทีร่างกายไม่อยากจะออก ก็ไม่ได้อธิบาย แต่งานอีกเรื่องหนึ่ง งานที่อาตมาทำบางทีติดต่อ ถ้าไม่ทำต่อนี้มันลืมเลยนะ หายเข้ากลีบเมฆเลย ควักออกมาอีกไม่ได้ ท่านก็เกรงใจ คนที่ละเอียดจะรู้ อย่างอาตมานี้ เราบางทีก็หายไปเลยจะลืมทิ้ง บางทีก็มันก็แก้ตัวได้ แก้ตัวได้ว่าไม่ขี้เกียจมีอะไรทำ แต่อาตมาไม่ได้ขี้เกียจรู้คุณค่า มีเหตุปัจจัยให้ไม่ได้ทำ
การปฏิบัติธรรมเราก็จะได้รายละเอียด เห็นว่ามันมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อรหันต์กับวิปลาส 3
_กมล Rangpha Jumpee กราบนมัสการเรียนถามขอรับ กระผมเข้าใจอย่างนี้ว่า พ่อครูอธิบายธรรมะจากสภาวะ หมายถีงอธิบายบัญญัติจากเวทนาที่ปรากฏในปัจจุบัน อันตรงกันกับเวทนาในอดีต ดังนี้แม้จะมีอาการสัญญาวิปลาสแต่เวทนาก็จะยังเที่ยงแท้เป็นหนึ่งหรือเป็นสูญ(0)อยู่เสมอ เข้าใจอย่างนี้ถูกต้องเป็นประโยชน์หรือไม่ครับกระผม กรณีนี้ใช้อธิบายกับอาการผู้ป่วยที่เป็นพระอรหันต์ได้หรือไม่ครับว่าบางครั้งที่อรหันต์ป่วยหรืออวัยวะเสื่อมจนสัญญาวิปลาสไป แต่เวทนนาของอรหันต์เที่ยงเป็น1หรือ0เสมอ คือจิตอรหันต์ ไม่วิปลาส ทิฏฐิอรหันต์ก็ไม่วิปลาส กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
พ่อครูว่า…เขาพยายามเห็นใจอาตมาแก้ต่างให้บ้าง ถือว่าถูกก็แล้วกัน
มองอย่างนี้ก็เข้าใจได้ว่าสิ่งที่มั่นคงแน่นอนเที่ยงแท้แล้ว ไม่มีเปลี่ยน จะต้องสูญอย่างมั่นคงเที่ยงแท้ 000 มั่นคง เวทนาในอดีตที่จริงแท้มั่นคงเป็นหนึ่งหรือเป็น 0 แล้ว มันจะเป็น 2 หรือเป็นอะไรอื่นอีกไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ส่วนสัญญาวิปลาส นี้เป็นบัญญัติที่สับสน แต่เวทนาเที่ยงแท้ เวทนาของอรหันต์จะเป็น 1 หรือ 0 เสมอ เป็นปุงลิงค์หรือนปุงสกลิงค์ได้ ทำให้แข็งแรงเป็นเอกธรรม ถ้าไม่ทำให้เกิด 0 อรหันต์ใดก็ตามไม่ทำอุภโตภาควิมุติ ทำแต่ 1 1 1 1 แต่ไม่ทำ 0 ก็ปรินิพพานไม่ได้ เพราะทำ 0 ไม่เป็น ต้องทำ 0 ให้เป็นจน 0 นี้เที่ยง จะต้องทำเวทนา 36 36 36 ให้เที่ยงเป็น เวทนา 108 หรือทำอวิชชาข้อที่ 7 ให้เป็น 0 คือ ทำทุกปัจจุบันให้ อดีต 0 อนาคตมาอีกเท่าไหร่ก็ 0 อดีตกับ ปัจจุบันกอดคอกัน 0 อนาคตก็ต้อง 0 เป็นโมเลกุลตกมาปั๊บก็ต้องตามปัจจุบันและอดีตที่เป็น 0 สนามแม่เหล็กของปัจจุบันและอดีตมีความแข็งแรง
อรหันต์มีสัญญาวิปลาสได้ในปัจจุบัน อรหันต์มีอันตรายอันแสบเผ็ดได้คือ สัญญาวิปลาส คนจะนับถือหรือไม่ก็อยู่ที่วิปลาสมาก ก็ไม่นับถือ ก็เสียประโยชน์แต่จิตอรหันต์มี สัญญาวิปลาสได้ แสดงว่าอาตมาไม่บริบูรณ์ทำงานมากเป็นโทษได้แต่จิตกับทิฏฐินี้ไม่วิปลาสแล้วเที่ยงแท้มั่นคง อาตมาต้องทำงานมาก ต้องโทษพวกคุณนะ …
สมณะฟ้าไทว่า...ใช่แล้วครับ
พ่อครูว่า…แรงผาเข้าใจถูกต้องแล้ว
วิปลาส 3 มีสัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส
วิปลาส 4 มี
วิปลาสด้วยยึดเอาวัตถุเป็นที่ตั้ง 4 ประการ คือ
1. วิปลาสในของที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง
2. วิปลาสในของที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข
3. วิปลาสในของที่ไม่ใช่ตน ว่าเป็นตน
4. วิปลาสในของที่ไม่งาม ว่างาม (เขียนว่า พิปลาส ก็มี)
อรหันต์เก๊จะเข้าใจสิ่งไม่เที่ยงว่าเที่ยง เช่นเข้าใจนิโรธเก๊เป็นนิโรธมืดว่าเที่ยง ไม่เข้าใจนิโรธพุทธ
จริงๆแล้วรสอร่อยเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ไปถามใครเขาก็ว่าสุข คือวิปลาส คนปกติไม่วิปลาส คนไม่ปกติเท่านั้นที่วิปลาส ...นร.ตอบผิดกัน พ่อครูเลยท้วงว่าเข้าใจผิด
ตกลงคนน่าได้สวรรค์นี้คือคนไม่ปกติ คือคนทั่วไป...หากไม่ตั้งหลักดีๆจะเมาได้ คนปกติแล้ว เที่ยง ไม่เอาสวรรค์แต่ถ้ายังสวรรค์อยู่นี่ไม่ปกติแล้ว นี่ก็ศึกษาบัญญัติกับสภาวะจึงต้องชัด ไม่อย่างนั้น ภาษากลับไปกลับมาได้ สลับสองมุมได้ เที่ยงหรือไม่เที่ยง น่าได้หรือไม่น่าได้ ถ้าคนไม่ชัดสภาวะจะเมา
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน พระจักขุบาลตาบอดแต่ทำไมบรรลุได้
_อ.นริศร์ แสงปัญญา กระผมก็ขอเรียนถามด้วยครับ แต่เข้าใจไปคนละอย่าง คือธรรมะจากสภาวะ ผมเข้าใจว่า ท่านพ่อครูอธิบายธรรมะ ตามผลอันเกิดจากการปฏิบัติ(ปฏิเวธ) ของตัวท่านเอง ซึ่งได้บรรลุธรรม แบบสัมมาทิฏฐิแท้ อันเกิดจากการปฏิบัติแบบลืมตา จึงเกิดพลังงานจลน์(Dynamic) ที่มากเพียงพอที่จะทำลายกิเลส บักยึด ได้สำเร็จ แต่ก็ยังสงสัยอีกต่อไปอีกว่า ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 ในส่วนของธรรมบท พระพุทธองค์ตรัสที่ เชตวันมหาวิหาร เรื่องจักขุบาลภิกขุ ท่านได้บรรลุธรรม พร้อมกันกับตาทั้งสองข้าง บอดพอดี(ไม่ก่อนและไม่หลังจากตาบอด) ซึ่งคนตาบอดก็มองอะไรไม่เห็น (เหมือนคนหลับตา) ผัสสะไม่ครบ 6อย่าง แต่ทำไมท่านจักขุบาล จึงบรรลุธรรมได้ขอรับ และสงสัยต่อไปอีกว่าคนตาบอดแต่หูดี เมื่อฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว เข้าใจธรรมะเป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นก็ทำ โยนิโสมนัสสิการไปด้วยอย่างถูกต้อง ไม่มีสิทธ์บรรลุธรรมแบบฆราวาสอื่นๆ ได้เลยหรืออย่างไรขอรับ
และกระผมเข้าใจว่า การบรรลุธรรมนั้น เกิดจากการการเพาะบ่ม อินทรีย์5 พละ5 ให้แก่กล้าโดยกาล แล้วเกิดความสมดลย์กันอย่างถูกต้อง พร้อมกันทั้งหมด5อย่างคือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ในขณะนั้นจึงเกิดการบรรลุธรรมขี้น สงสัยว่าเป็นอย่างนี้หรือไม่ขอรับ
(พร้อมกันนั้น ก็โยนิโสมนัสสิการ อย่างถูกต้องด้วยครับ)
พ่อครูว่า..พระจักขุบาล เป็นคนตาดีมาก่อน บรรลุธรรมพร้อมกับตาบอด เหมือนอรหันต์สมสีสี แต่พระจักขุบาล บอดก็บรรลุธรรม บรรลุธรรมก็บอด เหมือนอรหันต์สมสีสี คือ บรรลุธรรมปุ๊บก็ตายทันที คือคนที่พิเศษมากในหลายๆล้านๆๆๆคน แต่ค้านไม่ได้หรอก จักขุบาลไม่ใช่คนตาบอดแต่เกิด แต่มีอาการ 32 ครบ ก็ปฏิบัติจนได้บรรลุ อันนี้สุดท้ายแล้วก็บรรลุ
คุณจะไปเผื่อเขาทำไม จะต้องไปเป็นอย่างจักขุบาล หรือเป็นคนตาไม่บอดแต่หูหนวก หรืออย่างไร? อย่ามาแย้งเลย ก็คุณไม่ตาบอดหูหนวกก็อย่าถามเผื่อเลย เอาอย่างนี้อาตมาเคยพูด พพจ.ท่านก็ตรัสเช่นนี้ คนที่มีวิบากตาบอดแต่กำเนิด หูหนวกแต่กำเนิดก็ดี ยากที่จะบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ บรรลุโสดาฯ สกิทาฯได้นะ แต่บรรลุอรหันต์ไม่ได้ เช่นเดียวกับกระเทย บรรลุอรหันต์ไม่ได้ ให้มาบวชไม่ได้เสียผลมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ตัด ว่ากระเทยจะปฏิบัติธรรมไม่ได้ ต้องมาสะสมบารมีต่อไป
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน สัมประสิทธิ์มีแต่เจริญไม่มีเสื่อม
_จากไลน์ สม.พุทธพอนวล
ท่านคะมีคนถามดิฉ้นว่าสัมประสิทธิ์ ใช้ได้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบหรือ เมื่อกี้ได้ยินท่านจันทร์บอกว่า ใช้ได้ทั้งเชิงลบและบวก ดิฉันคิดว่า ถ้าเชิงลบน่าจะเป็นอสัมประสิทธิ์ไหม แต่พวกบอกว่า คำว่าอสัมประสิทธิ์ไม่มี ให้เรียนถามพ่อครู
พ่อครูว่า...
สัมประสิทธิ์หมายถึงความเจริญก้าวหน้าแล้วมีเงื่อนไขเป็นความเจริญก้าวหน้าระดับคูณ เป็นความก้าวหน้าที่มีโพชฌงค์ 7 พลังสัมประสิทธิ์โดยเฉพาะของพุทธมีโพชฌงค์ 7 แต่อกุศลไม่มี เพราะฉะนั้นจะไปเป็นลบได้ไหม ไม่ได้ อกุศลไม่มี โพชฌงค์จะมี สติ ธัมมวิจัย วิริยะ ถามว่าคนมีความรู้ระดับสัมประสิทธิ์จะมีธรรมวิจัยไหม ก็มี วิริยะก็มี แน่นอนสติก็ต้องมี มีโพชฌงค์ 3 แต่ต้นแน่นอน
แต่ถ้าสัมประสิทธิ์ ของโลกียะก็ไม่มี อาจมีสติ ธัมมวิจัย วิริยะ แต่ไม่เกิดปัสสัทธิ ปีติ มันจึงไม่เป็นสัมมาสมาธิ ไง ไม่ได้เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งเป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนาเลยก็ไม่มีหวัง ไอ้หวังตายแน่ เพราะสายที่เขาไม่รู้พวกนี้แม้ปัสสัทธิเขาก็ระเริงใจกับสมถะสงบ จะผยองใจตื่นเต้นฟูใจกับปัสสัทธิ(โลกีย์) พวกสายหลับตาสมถะไม่สัมมาทิฏฐิ เขาจะไม่เกิดสัมมาสมาธิ
โพชฌงค์ 7 จะมี ปีติ ปัสสัทธิ เขาจะดีใจอย่างโลกียะที่ได้ ปัสสัทธิเป็นแบบโลกียะได้ แต่ปัสสัทธิโลกุตระก็แน่นอน เขาจะไม่มี เขาจะได้ความสงบสมถะแบบโลกีย ปัสสัทธิแบบนิโรธดับ เขาถึงไม่มีทางจะได้สัมมาสมาธิ
อุเบกขาเนกขัมสิตะนั้นเมินเสียเถิดอย่าคิดถึง
ที่อาตมาตอบได้นี่ก็ถ้าอาตมาไม่มีสภาวะ เป็นลำดับ ตามคำสอนพระพุทธเจ้า อธิบายไม่ได้หรอก แต่อาตมามีสภาวะ และมีคำสอนพระพุทธเจ้าด้วย จึงได้เอาคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นหลักและยืนยันด้วยสภาวะจึงตอบได้
เพราะอย่างนั้น สัมประสิทธิ์คือความคิด ก็เข้าใจว่าเป็นลบก็เก่ง แต่ความเสื่อมมันไม่ก้าวหน้า เพราะฉะนั้น สัมประสิทธิ์ ไม่ใช่ความถอยหลังไปทางเสื่อมไม่ใช้อย่างนั้น เขาจึงมีภาษาทางฟิสิกส์ใช้งานแต่มันก็ก้าวหน้าอย่างเดียว สัมประสิทธิ์ทางฟิสิกส์ แต่ถ้าพลังงานที่เกิดจากอกุศลเหตุ หรือเกิดจากมิจฉาทิฏฐิ ก็จะไม่มีระบบระเบียบ จะไม่เป็นลำดับ ราบเรียบดังฝั่งทะเล เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างของพระพุทธเจ้า พลังงานที่จะได้ถึง C(mc2 +A) ตัว C คือ Coefficient
คนที่จะรู้จักพลังงานถึงขั้นเป็น Coefficient จะมีครบพร้อมที่ได้สะสม พลังงานทางบวกทั้งลบ ทั้งตัวแปร อันเป็นสัมประสิทธิ์ ที่มีประสิทธิภาพ ก็ต้องมีทฤษฎีที่เป็นระบบ อย่างรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ไม่ใช่พลังงานที่เกิดจากลึกลับ ใช้ได้แต่ดึงมาจากไหนไม่รู้เป็นพวก magic เป็นนักมายากล พวกไสยศาสตร์หรือเกิดอย่างฟลุคๆ บังเอิญ มีอะไรมาเสริมให้ก็เลยได้มา หรือเป็นพลังงานของตน แต่แฝงเป็น potential ในตัวเองก็ไม่รู้ แต่ถ้ารู้ก็เอามาใช้ได้ เป็นพลังงานที่คุณเองมีแต่ยังไม่ได้เอามาใช้
คนที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงต่างๆนี้ จึงเป็นคนที่มีพลังงานระดับพิเศษ ทำปาฏิหาริย์ได้ ส่วนคนทำปาฏิหาริย์แบบไสยศาสตร์ เทศนาปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์ จึงไม่มีสัมประสิทธิ์
ความรู้ของศาสนาพุทธจึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้เหตุผลประกอบพร้อมครบ
สฟ.ว่า..ที่พ่อครูใช้ สัมประสิทธิ์ กับคุณยิ่งลักษณ์ นี้ใช้ได้ไหม คือยิ่งโง่…
พค.ว่า...ก็เลยว่า เอาสัมประสิทธิ์นี้ไปใช้กับคุณยิ่งลักษณ์ ถือว่าให้เกียรติ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:36:53 )
รายละเอียด
600811_เทศน์ก่อนฉัน งานวันแม่ ศีรษะอโศก ไตรสิกขาและสัตตาวาส 9
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นชุมชน
พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 ที่ศีรษะอโศก พรุ่งนี้ก็เป็นวันแม่ วันนี้วันที่ 11 พอเหมาะพอดีเราจัดงานลงตัว รวมกันประชุมกันเราก็เลยจัดงานวันแม่กันวันนี้ อาตมาก็ตั้งใจเตรียมเรื่องที่จะเทศนาธรรมะเอาไว้ เป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องหัวใจของศาสนา เป็นเรื่องของศีลสมาธิปัญญา จะได้อธิบาย สู่กันฟัง ระยะเวลาวันนี้ เหลือชั่วโมงเดียว ตัดเวลาเราไปครึ่งหนึ่ง
อาตมาทำงานมาตั้งแต่รู้ตัวว่าชีวิตเราจะเอาไปทำอะไร ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขก็เข้าใจชัดเจน ว่าเป็นสิ่งหลอกลวงในโลก หลอกคนที่ยังไม่เข้าใจชัดเจน ก็ติดยึด อาตมาออกมาก็ชัดเจน ทำงานมาตั้งแต่บัดนั้นมาถึงบัดนี้ ย่าง 47 ปี ก็ชัดเจน ในตนเอง
ตนเองรู้ของตนเอง และตรวจสอบเอาตามมิเตอร์วัด จนเห็นว่าเราทำงานมาสามารถทำให้คน ที่ได้ยินได้ฟัง ที่อาตมาบรรยายไป คนในยุคนี้ ได้ยินได้ฟัง โดยเฉพาะชาวอโศก มาเป็นสมาชิกชุมชนชาวอโศกทั่วประเทศขณะนี้ ก็ได้สามารถ รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ในศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ ซึ่งอาตมาเท่าที่มีภูมิมิเตอร์วัดก็เห็นว่าเกิดจริง
1 ถือศีล กำหนดเอาตามฐานะ เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ไปตามลำดับ จะเอาไปศีลเคร่งเกินฐานะตนเองไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าก็แบ่งไว้ชัดเจน ศีล 5 ,8, 10, จุลศีล ก็เห็นได้ว่า ถือศีลจนมีศีลได้จริง เอามาปฏิบัติจนเกิดได้ผลเกิดเป็นผล เกิดผลคืออะไร คือสิ่งที่เราตั้งไว้อย่างนี้ เสร็จแล้วเราก็สามารถทำให้เกิดเป็นจริง เช่น เราจะไม่ฆ่าสัตว์ เราจะไม่เอาของคนอื่นที่ไม่ใช่ของของเรา เราจะไม่ไปละเมิดในเรื่องของสิ่งที่รักที่หวงของคนอื่น สิ่งที่ไปเสพทางรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อัสสาทะ ซึ่งเราเองไม่มีสิทธิ์ มันไม่ใช่สิทธิ์ของเรา เราก็ระมัดระวัง สังวรระวัง อ่านอาการจิตเราได้ เมื่อเราสามารถควบคุมได้ไม่ละเมิดได้ตามหลักเกณฑ์ของศีล ข้อ 1 2 3 เป็นกายกรรม ศีล 4 วจีกรรม ศีลข้อ 5 มโน ตัวมโนก็รวมไปสังวรจิตจัดการกับจิตใจของเรา มนสิการ ทำใจในใจ มนสิกโรติ เราก็สามารถถือศีล และก็ลดกิเลส รู้จักตัวกิเลสชัดเจน มีญาณอ่านอาการกิเลส มันเป็นนามธรรมไม่ใช่รูป ก็อ่านได้ ทั้งๆที่ไม่ใช่สิทธิของเรา มันเป็นชีวิตของเขา แต่เราจะไม่ทำร้ายชีวิตของเขา ไปรุนแรงกับชีวิตของเขา
ธาตุรู้ปัญญาไม่ใช่เฉกา เป็นความรู้ที่ชัดเจน เป็นความรู้เรื่องของจิตเจตสิกรูปนิพพาน เป็นความรู้นามธรรม ปรมัตถธรรมยิ่งใหญ่ อ่านอาการนามธรรม จิตเจตสิกออก เห็นอาการว่ามันเป็นกิเลส เป็นอาการอย่างไร สามารถทำให้กิเลสลดได้ด้วยการข่มไว้ ก็ไม่ละเมิดได้ แต่ถ้าไม่ข่มหรอก แต่มีพลังของปัญญา ความรอบรู้เข้าใจฉลาดเฉลียว มีพลังจริง พอความฉลาดนี้ขึ้นมา กิเลสมันฝ่อ ลด จางคลาย ด้วยอำนาจพลังงานของปัญญา อย่างเห็นๆ มันเป็นพลังงานเป็นนามธรรมไม่มีเส้นแสงสีเสียงไม่มีตัวตน แต่เรารู้พลังงานเหล่านี้มันเป็นอย่างนี้ชัดเจนด้วยปัญญา อย่างนี้เป็นพลังงานของกิเลส พลังงานของปัญญาสามารถทำให้พลังงานกิเลสเปลี่ยนอาการ ลดละจางคลายได้ เราสามารถเห็นความจริงตามความเป็นจริง จนกระทั่งอาการของกิเลสหมด อาการ ดับ สิ้น จบไม่มีอาการเกิดขึ้นเลย เราทำได้ แล้วก็ทำอีกทำได้เก่งจนแข็งแรงตั้งมั่นไม่เกิดอีก กระทบกระแทกกับเหตุปัจจัยอย่างไรก็ไม่เกิดกิเลส เป็นความแข็งแรง อเนญชา อุเบกขา มีคุณสมบัติของ 5 ประการอุเบกขา เจริญขึ้นๆ
จนพาปฏิบัติในเรื่องไม่ฆ่าสัตว์ ไม่รุนแรงกับสัตว์ ของๆเขาที่ไม่ใช่ของๆเราก็ไม่ละเมิด ด้วยอำนาจข่มเบ่งฆ่าแกงเลยไม่ทำ อาตมาประสบความสำเร็จทำได้ ศีล 1, 2 หรือศีลข้อ 3 แย่งเสพรสกาม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่จะต้องไปแย่งชิงคนอื่นเขามา เห็นได้ชัดว่าพวกเราปฏิบัติได้ ไม่ละเมิดทำได้จริง เป็นหมู่มวลเป็นกลุ่มชุมชน มีมนุษย์เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นรวมเป็นสังคมกลุ่ม
และพฤติกรรมที่จะละเมิดศีลไม่มีเลยทั้งหมดเป็นรูปธรรม ยืนยันได้ เช็คผลได้ เอาผู้ตรวจสอบ นับคะแนนเลยว่าผู้ที่เป็นมวลสมาชิกชาวอโศกทำได้จริงแค่ไหน มีเปอร์เซ็นต์แค่ไหน อาตมาว่า ท้าทายให้มากที่สุดได้เลย
เป็นชุมชนคนมีศีล ทุกชุมชนชาวอโศก ไม่น้อยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป มีบกพร่องใน 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 5% มันละเมิดบกพร่องบ้างนิดๆหน่อยๆ ซึ่งยอมรับว่าไม่ถึง100% หรอก แต่สอบได้ระดับ 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เกียรตินิยมระดับ 1 ชั้นสูงนะ นี่เป็นเรื่องจริงที่ยืนยันให้มาพิสูจน์ได้ ไม่ได้พูดเล่นในยุคนี้ มีเหตุปัจจัยเหมือนกันทุกคนยั่วยวนมอมเมา กระทุ้งกระแทก หลอกล่อโฆษณาถาโถม เราก็ไม่ถึงขั้นต้องปิดโทรทัศน์ที่มีสื่อสารไม่ให้รับสัมผัสเลยไม่ใช่ แต่เราให้สัมผัสรับรู้ เขาโฆษณากันตูมตูม ดีไม่ดีขนเข้ามาในนี้เลย เอาไหมๆ โฆษณาในนี้เลย เราก็สามารถที่จะไม่เอาไม่ยินดีไม่ต้อนรับ จนพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของโลกๆมาที่นี่ก็เสียเที่ยว ไม่ไหว คนที่นี่เขาหาว่าโง่ ไม่รู้จักของดี เสียน้ำลายพูด พูดอย่างไรพวกนี้ก็ไม่เอา เป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันได้ เราไม่ได้บังคับ ไม่หวงห้าม แต่มีหลักว่าอย่าเข้ามาเลย แต่เข้ามาเราก็ไม่จับไม่ตีรันฟันแทง แต่ก็อย่าเสียเวลามาเลย มายั่วให้กิเลสกระเพื่อม
ศีลข้อ 1, 2, 3 เราก็เข้าใจทำได้สำเร็จในกายกรรมองค์รวม นอกในสำเร็จไม่ละเมิด วาจาก็ไม่พูดเชิงเสียดายอยากได้และเล็มเลียบเคียงไม่มี ใจของแต่ละคนอ่านเอาว่า มันกดข่มหรือมีพลังปัญญาชัดเจนว่าไม่เกิด ถ้าพลังงานทางใจจริงๆก็ตัวใครตัวมันต้องอ่านเอง ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ ต้องรู้ด้วยตัวเอง ก็ยืนยันได้ มีผลสำเร็จแม้ในยุคนี้ ซึ่งมีวัตถุอบาย วัตถุนรก ยั่วยวนให้ลงต่ำติดยึดมากมายรุนแรงมาก แต่เราก็ชนะได้ ชนะจนกระทั่ง
อธิบายต่อได้ว่าศีลตัวนี้ไม่ละเมิดเพราะใจเป็นประธานมีจิตใจที่ตั้งมั่นแข็งแรง จิตใจไม่หวั่นไหว กับสิ่งที่มาล่อ มากระทบสัมผัสยั่วยวน ตามหลักเกณฑ์ที่เราตั้งไว้ จิตมันเป็นตัวจริง ภาษาบาลีว่า สมาธิ จิตแข็งแรงตั้งมั่นเป็นประสิทธิภาพยืนยันสมรรถนะของจิต ว่า แข็งแรงไม่ละเมิด อย่างรู้ๆเห็นๆ เรียกว่า สัมมาสมาธิ
สมาธิแปลว่าตั้งมั่น มีสัมมากำกับ นำหน้าสมาธิ หมายถึงความตั้งมั่นแบบพุทธ แบบสัมมา เป็นพุทธนะ ไม่ใช่สมาธิแบบทั่วไป แบบทั่วไป วิธีปฏิบัติเป็นแบบหลับตา กดข่ม เป็นวิธีที่รู้กันทั่วโลก หลับตาสะกดจิตเข้าไป ไม่ได้เรียนรู้อย่างเปิดตาหูจมูกลิ้นกายแล้วรับรู้สัมผัส จิตก็มีสติสัมปชัญญะรู้ว่าอะไรคืออะไร วิจัยได้หมดเลย มีธรรมะวิจัย ว่ากิเลสเรามีหรือไม่ แล้วเรามีพลังงานปัญญาที่แข็งแรงสู้กับพลังงานกิเลสได้อย่างไรสบายเลย ไม่ต้องไปออกแรงอะไรกิเลสก็ยอมแพ้ไปเลย พลังปัญญาไม่ต้องออกแรงเลย พลังกิเลสมากระทบก็หลุดผล็อยหนีหายไป สัมผัสแล้วก็แพ้ ภาษาบาลีคือ ปฏินิสรณะ ปฏิคือมีการกระทบสัมผัส แล้วนิสรณะ คือไม่รับไม่เข้า กระทบแล้วผล็อยหลุดหนีวิ่งหนีไปเลย ไม่กล้าตอแย ไม่กล้ามาสัมผัสมาใกล้ด้วย บัญญัติคือนิสสัคคะ คือไม่มีสวรรค์ นิสรณะคือไม่ต้องพึ่งอาศัยอันนี้เลย เอ็งมากระทบก็ไม่ต้องการต้องพึ่งเอ็งเลยอย่ามาตอแย ไปหาลูกค้าที่อื่น ที่นี่ไม่เอา มันมีความจริงอย่างนั้นจึงจะถือว่าเป็นผู้ที่มีศีล และจิตใจแข็งแรงเป็นสมาธิ ไม่ใช่สมาธิหลับตาสะกดจิตไม่รู้เห็นว่าอะไรมากระทบ ทางตา มีรูป ทางหูมีเสียง ทางลิ้นมีรสมากระทบ ทางกายเย็นร้อนอ่อนแข่งสัมผัส ไม่รู้ไม่ใช่ แต่มีหมดตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกก็ได้กลิ่น ลิ้นก็มีรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง ตามปกติที่มนุษย์จะได้รับเท่าเทียมกัน แต่ใจเราแข็งแรงมั่นคงทั้งๆที่รู้ๆทุกอย่าง เป็นพลังงานแข็งแรงชนิดที่ว่า ไม่อ่อนไหวไม่แปรปรวนไม่กระดิกเฉย เหมือนกับผู้ที่มีลำแขนแข็งแรง จับหัวเด็กตัวน้อย ผู้ใหญ่จับหัวเด็กตัวน้อยที่จะเหวี่ยงแขนอย่างไรก็ไม่โดนผู้ใหญ่ แล้วเราก็ไม่ได้ใช้แรงอะไรมากมาย จับหัวไปนิดหน่อย เด็กจะออกแรงอย่างไรก็ไม่มีฤทธิ์ระคายผิวเราเลย
จึงเป็นความแข็งแรงที่ เป็นสภาพนามธรรมของจิตใจ จิตอย่างนั้น เรียกว่าเป็นสัมมาสมาธิที่เกิดในสภาวะลืมตาสามัญปกติ เป็นเอกัคตาจิต จิตเป็นหนึ่งอย่างเปิดภพ อบาย ภพนรก สวรรค์ เห็นหมด ไม่ใช่หลับตาไม่เห็นอะไรไม่ใช่ มันคนละเรื่องกันเลยชัดเจน นี่เรียกว่าอยู่เหนือ ไม่ใช่หนีไม่ใช่หลบ เป็นเอกัคตาจิตชนิด สัมมาสมาธิ เกิดจากจิตที่เราให้เกิดให้เป็นโอปปาติกะโยนิ ก่อสร้างให้เป็นสัตว์ที่มีจิตอย่างนี้ เป็นโอปปาติกะ เป็นธาตุรู้ที่มีจิตนิยาม ธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ ปฏิบัติจนได้ผล เอกัคตาจิตที่เป็นโอปปาติกะสัตว์
สื่อธรรมะพ่อครู(สัตตาวาส 9) ตอน สัตตาวาส 9 ข้อ 1 และ 2
ความรู้ที่ทำให้เป็นแง่เชิงต่างๆถึง 9 ชนิด ของสัตว์โอปปาติกะ เรียกว่า สัตตาวาส 9 คือที่อาศัยของสัตว์ 9 ประการ ได้แก่
1. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า
กายคือลักษณะธรรมะสอง คือมีสิ่งที่ถูกรู้คือรูป โดยธาตุรู้ของเราคือประธาน สัมผัสสิ่งที่ถูกรู้คือรูป object ส่วน ตัวรู้เของเราคือ Subject รวม 2 อันนี้เรียกว่ากาย ต้องพูดต้องเรียนรู้ธรรมะ 2 อย่างนี้ ถ้ามีอย่างเดียวไม่ใช่พุทธ ถ้ามีแค่รูปไม่มีตัวรู้ไม่ได้ แต่ถ้ามีแต่นามธรรม ก็ต้องรับรู้ภายนอกด้วย ไม่มีไม่ได้ต้องมีสองเสมอ โดยเฉพาะต้องมีนามธรรม ธาตุรู้ของเราเข้าไปรู้อีกอันหนึ่ง จะเป็นดินน้ำไฟลม คนสัตว์สิ่งของ จะเป็นอาการ ลาภยศสรรเสริญอาการสุขทุกข์ อันหนึ่งกับจิตเราเป็นนามธรรมเป็นประธานไปรู้ ต้องมี 2 อย่างนี้ มีอย่างเดียวไม่ได้ คือต้องมีกาย
ในข้อนี้กายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่นกายเทวดา สัตว์นรก มนุษย์
ถ้าคนไหนมีความเข้าใจว่า กายจะต้องมีรูปร่าง สีสันเส้นแสงตัวตน กายต้องมีอย่างนี้ คนนั้นก็ต้องเห็นกายอย่างหนึ่ง แต่อีกคนบอกว่า กายนามธรรม ไม่มีเส้นแสงสีแท่งก้อน แม้อาการนามธรรมอรูปไหวๆ ก็ยังหยาบอยู่แล้ว มีแต่อาการไหวของความรู้สึก เวทนา จิต เป็นอาการอันละเอียดลึกซึ้ง
ถ้าเราสัมผัสอาการนั้นรู้ได้ด้วยก็เรียกว่ากาย เป็น นามกาย
ที่เขาว่าถ้าเป็นเทวดาต้องมีรูปร่างสีสันอย่างนี้ ถ้าเป็นสัตว์นรกก็มีรูปร่างบิดเบี้ยวอย่างนี้ อันนั้นหยาบไป ใช่ สำหรับคนติดยึดว่าต้องมีก็เห็น เป็นจริงนะ คนพวกนี้มีจริง เป็นตัวเป็นตน ก็ยิ่งหยาบ เป็นตัวตนสัตว์นรกเทวดา คนที่เขามีจริงๆก็มี คนที่หลุดพ้นแล้วก็ไม่ คนที่เข้าใจแล้วจะเห็นทั้ง 2 อย่าง เห็นแล้วก็คนเขามีแต่เราไม่มี เขาก็มีเพราะยังมีสัตว์นรกมีเทวดามีผีสาง ก็ไม่ได้แปลกอะไร เขายึดติดก็มีสิ แต่เราน่ะเห็นว่าเขามีแต่เราไม่มี เราไม่เกิดในตัวเรา กระทบอย่างไรเราก็ไม่เกิด แต่คนอื่นเขาเกิด เกิดเทวดา เกิดอร่อย มีสวรรค์ เกิดเจ็บปวดไม่ชอบเขามีนรก แต่เราไม่มี กระทบเหมือนกันแต่เขามีเราไม่มีก็ไม่ต้องไปลบหลู่ แต่สงสารเขาว่าเขายังวนเวียน สงสาร เวทนาเขาว่า ยังจมกับเวทนาสงสารอยู่นะ เราหลุดพ้นแล้วก็สบายมาก ธรรมดาปกติหายห่วงจริงๆ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ จึงเป็นการเห็นรู้ สัตว์โลกที่มีอยู่เขาหลุดออกมาไม่ได้ เพราะเขาอยากจะไปติดอยู่ก็เรื่องของเขา หรือเขาทำออกไม่ได้ แม้เขาไม่อยากติด ก็ยิ่งน่าสงสารเราต้องช่วยเขาออกให้ได้อย่างมีเมตตาเกื้อกูล มีประโยชน์ที่เจริญและประเสริฐแก่กันและกัน
ผู้ที่มีกับไม่มี ผู้ที่ไม่มีจะรู้จักความมี ส่วนผู้ที่มีอยู่ ยังไม่ถึงซึ่งความไม่มี ของเขายังไม่หมด ยังไม่ถึงสภาวะความไม่มีจริงๆ เราก็เข้าใจเห็นใจ พยายามช่วยกัน เมตตาเกื้อกูล อย่างอาตมาเมตตาเกื้อกูล ท่านอาจารย์ต่างๆที่สอนผิดๆ อาตมาก็สงสาร คนสอนก็ต้องการให้คนอื่นหลุดพ้น แต่คนสอนเองก็ยังไม่หลุดพ้น ถ้าการสอนผิดให้จมลงไป แล้วยึดมั่นถือมั่น กอดคอกันลงนรก มันน่าสงสาร ก็บอกว่าอย่างที่สอนกันนั้นพาลงนรก อาจารย์ก็ดื้อ จะไปเกลียดชังตีทิ้งก็ไม่ยากหรอก ไม่ใช่สงสารแต่อาจารย์สงสารคนที่เป็นลูกศิษย์ถูกอาจารย์พาลงนรก บอกว่าอาจารย์อย่างนี้ถูกนะ อาจารย์ก็ดื้อ ก็สงสารลูกศิษย์ อาจารย์ไม่ยอมฟังแล้ว แต่ลูกศิษย์ก็ศรัทธาแต่อาจารย์ไม่มาศรัทธาเรา มันเป็นตัวอิทัปปัจจยตาต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ก็เลยยากจริงๆ ก็ต้องใจเย็น อุตสาหะพากเพียร เพื่อที่จะให้พ้น
สรุปคือองค์ประกอบธรรมะ 2 นั้นต่างกัน โดยมีการกำหนดหมายเรียกว่า สัญญา จิตเรากำหนดลงไปว่า ต้องเป็นอย่างนี้ สัตว์นรก เทวดา มนุษย์ ต้องเป็นรูปร่างตัวตนอย่างนี้ ต้องมีรูปร่างอย่างนี้ สัญญาของเขากำหนดไว้อย่างนี้ Specification อย่างนี้ แต่ของเรา กายไม่ใช่รูปร่างมีเส้นแสงสีเสียง แต่สัญญาความกำหนดหมายที่เรากำหนด Specเราก็ไม่เหมือนคุณ กำหนดไม่เหมือนกัน กายก็ต่างกันสัญญาก็ต่างกัน
ของเราเป็นนามธรรมเท่านั้น แต่ของคุณยังเป็นรูปธรรมอยู่ ก็ต้องได้ สัตว์นรก เทวดา มนุษย์แบบของคุณสิ เพราะคุณกำหนดของคุณอย่างนั้นมันต่างกันนะ ที่คุณสัมผัสเกิดมาเป็นตัวตนสำเร็จเป็นกาย มันก็ต้องเป็นอย่างของคุณ ของเราไม่ได้กำหนดแบบนั้น
เทวดา สัตว์นรก มนุษย์ มนุษย์คือผู้ที่มีจิตใจเป็นอย่างนี้ก็กำหนดกันคนละอย่าง
2.สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น
ปฐมฌานคือจิตนั้นว่างจากนิวรณ์ 5 จิตไม่มีอาการ นิวรณ์ กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ก็เป็นฌาน 1 กำหนดสัญญาอย่างเดียวกัน
สายเทวนิยม ทำฌานก็กำหนดกำหนดไม่ให้มีนิวรณ์ 5 เหมือนกันเขาก็ทำได้สำเร็จ แต่ของพุทธลืมตาทำ แต่ของเขาหลับตาทำฌาน แต่ไม่ให้มีนิวรณ์เหมือนกัน กายต่างกัน แต่สัญญาที่ไม่ให้มีนิวรณ์ 5 เหมือนกันอย่างเดียวกัน นั่งหลับตาหรือลืมตาทำก็ไม่มีนิวรณ์ 5 สำเร็จเหมือนกัน แต่กายภายนอกต่างกัน แต่สัญญาว่า ไม่ให้มีนิวรณ์ 5 เหมือนกัน
มีวิตก วิจาร ปีติ สุข จิตรวมเป็นหนึ่ง เอกัคคตา แต่ไม่มีอุเบกขา ไม่มีสุข ฌาน 2 มีสุข แต่ฌาน 3 ถือว่าสงบลง ฌาน 4 ถือว่าสงบสนิท
ในฌาน 1 ปฐมภูมินี้ เป็นฌานต้น ฌานแรก สัตตาวาสชนิดที่สอง
กายต่างกัน คนหนึ่งหลับตาอยู่ในภพ อีกคนหนึ่งลืมตาปฏิบัติ ได้กำหนดสัญญาที่ว่าไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน
คนที่ไม่ศึกษาอย่างแท้จริงและไม่พิสูจน์ปฏิบัติอย่างมีสภาวะจริงก็จะไม่ได้ นั่งหลับตาปฏิบัติเขาไม่ได้ศึกษาไม่ได้มาเรียนทฤษฎีอย่างนี้ แต่เขาไปเรียนนั่งหลับตาปิดตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วเมื่อไหร่คุณจะได้ สภาวะลืมตาเปิด ทวารทั้ง 5 แล้วไม่มีนิวรณ์ คุณไม่ได้ปฏิบัติแล้วจะรู้จริงเหรอ พวกที่ไปนั่งหลับตาเก่งให้ตายอย่างไร สะกดจิตให้เก่งอย่างไร อย่างลืมตาอย่ามาอวดเก่งเลย อาจจะทนได้ กระทบกระแทกทนได้แต่ไม่เที่ยง ก็ไม่ได้รู้ด้วยปัญญา ว่ามันเป็นอย่างนี้แหละที่เราได้พิสูจน์มาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนจิตใจแข็งแรงตั้งมั่น อย่างที่ทำนั้นไม่ได้พิสูจน์มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย จะเอาที่ไหนมาแข็งแรงตั้งมั่นในขณะลืมตา
3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน เช่นพวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง)
พวกนี้สายธัมมชโย ต่างกับสายอาจารย์มั่นที่หลับตาดำมืด แต่พวกนี้ลืมตาใสเขาเรียกว่าตาบอดตาใส ตาเขาลืมตาใส แต่บอดสนิทภายใน แค่ตาบอดแล้วเห็นว่าตาบอดภายนอก ข้างในก็บอด แต่นี่มาหลอกคนว่าข้างนอกตาใสแต่ข้างในมืดบอดสนิท อันนี้เป็นตาบอดตาใสน่ากลัวกว่าตาบอดตาบอด พอเราเจอ คนตาบอดๆ จะช่วยแค่เขาระมัดระวัง แต่คนตาใสตาบอด มันเริ่มหลอกกันตั้งแต่ต้นว่าตาบอดหรือตาใส นอกจากตัวเองตาใส แล้วตนเองตาบอด ยังหลอกซ้ำว่าตนเองตาใสอีกนะ มันมีแต่รูปตาใส แต่ความจริงแล้วตาบอด รู้ว่าตัวเองตาบอดด้วยแต่หลอกคนอื่นว่าตนเองตาใส ได้แก่สายธรรมกายธัมมชโยทั้งสิ้นเลย หนักหนาสาหัสกว่าสายอาจารย์มั่น ดับดำบอดไม่หลอกใคร แต่นี่บอดแล้วหลอกว่าตนเองใสหรือบอดๆใสๆ หนักหนาสาหัส ตกนรกหมกไหม้ยิ่งกว่าสายอาจารย์มั่นเยอะเลย
ไม่ได้พูดแบบดูถูกนะ แต่พูดอย่างวิชาการให้ฟัง
กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกันนั้นคือพวกเอาแต่ใส จึงเรียกว่าพวกอาภัสรา ตนเองมืดสุดจะมืด แต่ก็หลอกคนอื่นว่าตนเองใส ไม่ยอมรับว่าตนเองมืดบอดแต่ก็บอกว่าตัวเองใส โสดาบัน ใสเท่านี้ สกิทาฯใสกว่าอีก อนาคาใสมากๆอีก อรหันต์ใสยิ่งกว่าอีก ขอบคุณที่มาเป็นตัวอย่างอันเลวทรามให้ได้อธิบาย มันดูยิ่งใหญ่นะ คนมืดบอด แล้วรับว่าตนเองบอดก็ยังไม่ชื่นชม แต่ตนเองตาบอดก็บอกว่าตัวเองตาใส มันก็เลยยิ่งหนักใหญ่ เลวหนักใหญ่กว่าสายอาจารย์มั่นอีก
4. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)
พวกนี้เอาทั้งสองอย่างรวมกัน กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน เอาใสและมืดรวมกัน ลืมตาก็มืด หลับตาก็มืด แต่คนที่เอาแต่ใสก็หลอกคนตะพึดว่าใส อันนี้ยอมรับความจริงว่าใสก็ใส มืดก็มืด คนที่ยอมรับนี้ดีกว่าชั้นที่ไม่ยอมรับ คนที่ดันทุรังตกต่ำ ตนเองเป็นแต่ไม่รู้ว่าตนเป็น
5. สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์ เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)
พวกนี้ไม่มีการกำหนดรู้อะไร มืดหรือใสไม่รู้ อย่างพวกธรรมกายนี้เอาแต่ใสอย่างเดียวไม่รู้มืด จะเอาแต่ใสตลอดกาล พวกนี้ไม่รู้เรื่องโดยเฉพาะ อสัญญี แต่พวกกำหนดใสท่าเดียวนี้ ไม่รู้สิ่งอื่นก็อธิบายยาก พวกนี้หลงแต่รวยไม่มีจนหรอก เขาจะปิดประตูจนเลย จนไม่ใช่พวกเขาหรอก พวกคนจนเหม็นสาบเขาจะมีแต่พวกรวย ไม่ใช่สัจธรรมที่ต้องมีสอง มีจนและรวย เขาจะไม่สงสารคนจน เขาจะเอาแต่รวย เอาแต่สบาย
ยิ่งน่าเห็นใจธัมมชโย ว่าใจเขาจะต้องไม่ทุกข์และบกพร่องเลย แต่ทุกวันนี้เขาได้บกพร่องและเขาได้รับโทษเท่าไหร่ นึกออกไหม อ้าวนึกว่าโลกนี้ไม่มีโทษภัยไม่มีการต่อต้านความสบาย แต่ตอนนี้เขาหนักมากน่าสงสารไหม เขาไม่นึกว่าโลกจะมีแรงขนาดนี้ด้วยหรือวะ เขานึกไม่ออก เขามองไปแง่เดียวว่ามีแต่ใส มีแต่รวย จนไม่รู้จัก ตอนนี้ถูกริบไปหมด จะจนไหม เขาบอกว่า อย่างนี้มันมีด้วยหรือ โหดอย่างนี้มีด้วยหรือ เขาจะทุกข์ทรมานขนาดไหน
เมื่อไม่ตั้งใจกำหนดรู้ความเป็นจริงนี่เรียกว่า อาวาส ความเป็นอยู่ของมนุษย์ being มันมีอยู่ วิหารติ คุณหนีไม่ได้ สิ่งนี้มันอยู่ในคน เป็นอยู่ในคน มีอยู่ในคน being วิหารติ สิ่งที่คุณไม่รู้มันมีอยู่ แต่คุณปฏิเสธว่าคุณไม่มี ไม่เรียนรู้เพื่อเอามันออกให้หมด คุณก็จะมีมันอยู่ตลอดกาล เป็นคนที่ไม่รับรู้ไม่รับเรียนก็จมอยู่ตลอดกาล คนที่รู้ก็จะมาเรียนและเอาออก อยากเอาออกไหม อยากออกก็ต้องมาเรียน หากไม่มาเรียนก็ออกไม่เป็น คุณต้องเอาออกเอง สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ
จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:38:32 )
รายละเอียด
600811_เทศนางานฌาปนกิจศพแม่คำผ่อน พรหมโสภา
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 เป็นงานฌาปนกิจศพท่ามกลางน้ำท่วม เวลาประมาณ 14:43 น. พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้เดินนำหน้าศพจากบริเวณลานเบิ่งฟ้าก็มาถึงที่เฮือนสุดชีวิต จากนั้นพพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้แสดงธรรมก่อนเข้าสู่พิธีฌาปนกิจศพ
วาระนี้ก็เป็นวาระสำคัญของมนุษย์ทุกคนมนุษย์ทุกคนจะต้องมาถึงจุดนี้คือจุดสุดท้ายของชีวิต ชีวิตใดใช้อายุไปจนหมดอายุลงก็จะนำมาสู่จุดอย่างนี้ แต่ละประเพณีแต่ละศาสนาก็จะแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็คือจุดเดียวกัน คือจุดที่จะต้องทำการกับศพ วิธีใดก็แล้วแต่จารีตประเพณี
สำหรับของเราชาวพุทธ พระพุทธเจ้าสอนให้เราเผา ก่อนจะจากท่านตรัสสอนไว้พระสารีบุตรทูลถามว่า ศพของผู้ตายเมื่อตายลงแล้วจะจัดการอย่างไรทำอย่างไรดี ท่านก็บอกว่าให้เผาโดยเร็ว ไม่ต้องรอแม้แต่ญาติที่เดินทางไปที่ยังมาไม่ถึง แต่สมัยโน้นที่ท่านทำอย่างนี้เพราะว่ายาฉีดไม่ให้เน่าก็ไม่มี โลงเย็นก็ไม่มี
เพราะฉะนั้นทิ้งไว้ไม่กี่วันก็เน่าทำให้เกิดการน่าเกลียดน่าชังไม่ดีไม่งาม สมัยโน้นเป็นอย่างนั้น ไม่รอแม้แต่ญาติที่เดินทางไปไม่ถึงนะ ทุกวันนี้วาระต่างกันกับของพระพุทธเจ้า ฉีดยาไว้ไม่ให้เน่าใส่โลงเย็นไม่ให้เน่า ก็ไม่เน่ากันกี่วันกี่เดือนก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านให้เผาทันที แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่เป็นเช่นนั้นเป็นเรื่องเลวร้ายผู้ตายเมื่อตายลง ลูกหลานที่เป็นญาติโยมลำบากมาก บางทีต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาทำศพ.
มีค่าใช้จ่ายสารพัดเป็น 10,000 เป็น 100,000 เป็น 1,000,000 ในการทำศพ เป็นการสังคมที่เลวร้าย แต่แทนที่จะมีปัญญามีความฉลาดเรื่องงานศพ เมื่อตายแล้วก็ทำให้มันดีขึ้น เราขึ้นสะดวกขึ้นไม่ต้องเปลืองต้องแพง แต่กลับกลายเป็นเรื่องจริงเร็วร้าย ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องฉลาดเรื่องโง่โง่
ชาวอโศกเราจึงจัดพิธีศพให้รีบเผาเร็วที่สุดไม่เปลืองไม่แพงที่สุด งานศพแต่ละศพของชาวอโศกจึงไม่เปลืองไม่แพง เสียค่าใช้จ่ายเล็กๆในน้อยเท่าที่จำเป็นไม่ลำบากลำบน ดีไม่ดีก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพราะฉะนั้นบางคนพ่อแม่ตายไม่มีเงินซักบาทก็ไม่มีปัญหา ช่วยกันคนละไม้คนละมือประเดี๋ยวเดียวก็จัดการฌาปนกิจไปซะจบอยู่ ในครรลองของพระพุทธเจ้ามา
แต่ทุกวันนี้เขาไปปฏิบัติไม่ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ทำให้ลำบากทรมานทรกรรม พาดพิงไปถึงพระเจ้า สนับสนุนให้สวดหลายวันจะได้เงินมาก หรืออะไรต่างๆสารพัดไปกันใหญ่ แทนที่จะช่วยกันปรับปรุงจัดการได้ง่ายขึ้นให้มีความทุกข์ร้อนน้อยลง แต่กลับกลายเป็นยิ่งเสื่อม ก็ต้องติงเตือนกัน
พวกเราเป็นลูกพระพุทธเจ้าจะต้องพิจารณาให้ดีในสิ่งที่ควรและไม่ควรสิ่งไหนไม่ควร เราก็ไม่ต้องทำตามอนุโลมตามเข้าไปตามสมควร ทุกวันนี้ก็ทำได้ห่างไกลจากที่เค้าทำกัน ที่เค้าทำกันมันเป็นภาระเป็นเรื่องเดือดร้อนต้องลงทุนต้องแรงใช้จ่ายวุ่นวายเดือดร้อน ทำให้เดือดร้อนกันไปอีกเยอะ เราก็ทำกันได้ดีขึ้นมาหน่อยก็เป็นเรื่องของสังคม
ของส่วนบุคคลแต่ละคนจะต้องมาถึงจุดนี้ แล้วก็ต้องเปลี่ยนสถานะของอัตภาพ ผู้ที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน พระอรหันต์หากตายลงไปก็จะปล่อย จิตให้เป็นศูนย์ได้ไม่มีอัตภาพไม่มีเชื้อแห่งชีวะจิตนิยามอะไรแล้วได้ จะกลับมาลงสู่ครรภ์แล้วไปชีวิตอีก เป็นศูนย์ไปเลยได้ หรือใครจะกลับมาเกิดอีกก็ได้เป็นพระโพธิสัตว์ต่อไปมาบำเพ็ญศึกษาพากเพียร รู้แล้วก็ช่วยเหลือมนุษยชาติ สืบสานต่อธรรมะพระพุทธเจ้าต่อไป นี่เป็นความรู้ของศาสนาพุทธ
ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ถึงกับตายลงไปร่างกายตายแตกลงมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงก็อย่าประมาท ตายไปแล้วกรรมวิบากจะสังเคราะห์ให้เราไปตามกรรม ผู้ที่ยังไม่ตายทุกเวลากรรมเป็นของของเราจริง หายใจเข้าหายใจออกก็เป็นกรรม คิดพูดทำทุกอย่างเป็นกรรม ก็กิริยาทุกอย่างเป็นกรรม มีกรรมที่เป็นบาปและกรรมที่เป็นบุญ กรรมที่เป็นกุศลหรือถ้ากรรมที่เป็นอกุศลก็เป็นการกระทำที่ไม่ดี
ถ้าการกระทำเป็นบุญผู้ที่เรียนรู้ทำมาอย่างดีแล้วปฏิบัติจัดสรรพลังงานอภิสังขารให้เกิดบุญ ได้บุญ บุญแปลว่าการชำระกิเลส บุญก็จะกำจัดกิเลสไป กิเลสตัวใดที่ถูกบุญจัดการกับพลังงาน บุญได้จัดการกิเลสได้ กิเลสนั้นก็ดับ บุญก็ไม่มีบุญก็หายไปด้วยบุญสะสมไม่ได้ บุญไม่ใช่สมบัติ บุญเป็นเครื่องมือทำลายและเป็นวิบัติอย่างเดียว
แต่ทุกวันนี้ผิดเพี้ยนไปเอาบุญไปเป็นกุศล คือคนที่ไม่รู้จักศาสนาพุทธเลยคนที่เอาบุญมาขายมาล่อให้สะสมบุญ คือผู้ที่ไม่มีความรู้ในศาสนาพุทธจะเข้าใจบุญกับกุศลว่าต่างกันไม่ได้
บุญเป็นเอกังสวาที กุศลเป็นวิภัชวาที บุญทำเสร็จแล้วก็เหมือนกับทิ้งระเบิดปรมาณู หน้าที่ของระเบิดมันทำลายอะไรเสร็จเรียบร้อย ระเบิดปรมาณูก็หายไปพลังงานปรมาณูก็หายไปหมดหน้าที่ พลังงานที่จัดการทำลายก็ทำร้ายเสร็จ บุญถ้าเป็นผลสำเร็จก็จะทำลายกิเลส ทำลายเสร็จก็หายไป พระอรหันต์ทุกองค์ จึงเป็นคนที่ไม่มีบุญไม่มีบาป สิ้นบุญสิ้นบาป พระอรหันต์จึงเป็นคนที่ไม่มีบุญไม่มีบาปอย่างนี้เป็นต้นนี่ คือความรู้ศาสนาพุทธที่กร่อนไปแล้ว เอาบุญเป็นเครื่องหากินเละเทะหมด
ศาสนาพุทธนิยมคำว่าบุญยอมรับนับถือพระพุทธนี้ดีสุด แต่ไม่รู้ว่าบุญคืออะไรถึงใช้ไม่ถูกบุญ บุญมีแต่ในศาสนาพุทธศาสนาอื่นไม่มี ความรู้เรื่องบุญ เป็นบุญญาภิสังขารสร้างจัดการให้เกิดพลังงานขึ้นมา และเป็นพลังงานชนิดที่ทำลายราคาโทสะโมหะได้ นี่เป็นความรู้ความตรัสรู้ของศาสนาพุทธ เป็นอย่างนี้
มางานนี้อาตมา ก็ให้ความรู้ที่ถูกต้องของศาสนาพุทธไว้ นอกนั้นก็มาทำพิธีเผาช่วยกัน หมายถึงว่าถ้าสุดท้ายแล้วร่างกายนี้ก็มีแต่จะเปื่อยเน่าน่าเกลียดน่าชังก็เลยทำการเผาดีกว่า ฌาปนกิจเป็นพลังงานไฟเผาสลาย ที่ไม่ให้น่าเกลียดมันก็จะกลายเป็นดินน้ำลมไฟ สำหรับวาระนี้ก็จะเป็นวาระที่ทำการฌาปนกิจได้...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:39:55 )
รายละเอียด
600813_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ มาเป็นคนจนมหัศจรรย์ จนสำเร็จ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2560 ที่ราชธานีอโศกได้จัดงานวันแม่แห่งชาติ แม่ก็ต้องข้ามน้ำมา เพราะที่นี่น้ำท่วม พ่อครูก็พยายามสร้างคนให้เป็นอาริยะให้ได้ ตามปณิธานที่ได้ตั้งไว้ บุคคลที่จะมารับผิดชอบหน้าที่นี้ก็ไม่ได้เป็นกันได้ง่ายๆ ต้องมีความสามารถมีจิตใจที่มีความแข็งแรง มีความสามารถที่จะสืบทอดศาสนานี้ให้ได้ สร้างคนให้เป็นอาริยบุคคลให้ได้ ทั้งแสดงธรรม ทั้งเขียน ให้คนเสมอๆ ในหนังสือเราคิดอะไร พ่อครูก็จะมีคอลัมน์ 4 คอลัมน์ให้พวกเราอ่านเสมอๆ คอลัมน์เปิดยุคบุญนิยม เขียนโดยเก่าสมัย ใหม่เสมอ บุญมีหน้าที่กำจัดบาป
พ่อครูว่า...กำจัดบาปหายไปแล้วบุญก็หายไปด้วย ความเข้าใจของชาวพุทธสมัยนี้เป็นความเข้าใจที่มิจฉาทิฏฐิไปแล้วเพราะเข้าใจคำว่าบุญผิดไป เข้าใจว่าบุญเป็นกุศลเป็นสมบัติเป็นสิ่งที่ต้องได้ต้องมีต้องเป็น ซึ่งผิดถนัดเลย ยิ่งเอาบุญมาค้าขายสะสม แบ่งแจกเล่นลิเกไป
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูว่า บุญไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นตัวการทำให้หมดโศกหมดทุกข์อย่างสะอาดหมดจด บุญไม่ใช่เวทนา แต่เป็นมโนสัญเจตนาหาร แต่บุญต้องมีผัสสาหารจึงเกิดบุญ โลกของอรหันต์ไม่มีบุญไม่มีบาปสิ้นเกลี้ยง พ่อครูทั้งเขียนทั้งเทศน์ให้คนเข้าใจ เมื่อไหร่คนไทยเข้าใจเรื่องบุญได้ ศาสนาพุทธจะไปได้ไกล
คำหนึ่งที่อาตมาสะดุดในสังคมที่เขาเปลี่ยนแปลงกันคือ คำว่า เคราะห์ดี ตอนนี้นักข่าวก็ใช้คำว่าเคราะห์ดีได้
SMS วันที่ 9 สิงหาคม 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
3867รู้ดีว่าทุกบวรอโศกเคร่งศีลข้อปาณาฯบ่พิฆาตยุงด้วยมือแน่!แต่โบราณว่ายุงร้ายกว่าเสือ(4ขาบ่ใช่2ขา)กัดจิ๊ดเดียวเจอมหันตภัยโรคทลายภูมิคุ้มกันตกวู๊บเลย!ใช้กลิ่นป้องกันคงมิบาปกระมัง?
3867ตราบใดที่คนฉ้อฉลยังมิหยุดคอรัปชั่นเหตุมิเชื่อคำอมตะวาจาฯถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวขอให้มีอันเป็นไปฯ!ขอให้กำลังใจผู้ประสบภัยผู้ ผจญวิบากร่วมกันฝ่าวิกฤติด้วยศรัทธารักษาแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยใจบริสุทธิ์ต่อช.ศ.กษ.ปชช.จักพ้นภัยพาลทุจริตชนด้วยธ.กตัญญู คุ้มครองผู้ประพฤติธ.รักษาแผ่นดิน
SMS จากเฟซบุ๊ค
_เอกีภาวะ วิชชาราม · ตกลงน้ำท่วมมันดีใช่ใหมเจ้าคะ ที่สมุทรปราการรับบริจาคช่วยน้ำท่วม แต่ที่บ้านราชกลับฉลองน้ำ เท่ห์จัง เป็นห่วงทุกคน ปีนี้คงหนาวมากแน่ ๆ เตรียมเครื่องกันหนาวด้วยนะเจ้าคะ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ใช้สัตว์ทำงานผิดศีลไหม
_เล็ก ชัยวัฒน์ แล้วสมัยก่อนทำนาไม่มีรถไถจำเป็นต้องเลี้ยงวัวเลี้ยงควายไว้ใช้งาน ผิดศีลมั้ยครับ ?
พ่อครูว่า…ที่จริงแล้วประเด็นนี้ ถ้าจะตอบกันแล้ว ต้องสืบสาวราวเรื่องไปยาวนานมาก ก็ตอบสั้นๆ แต่ก่อนไม่มีรถไถก็ต้องหาแรงงานมาช่วย หาช้างม้าวัวควายพอมาช่วยได้ แม้แต่อยู่ขั้วโลกเหนือ ไม่มีแรงงาน จะลากรถ วัสดุก็ต้องเอาหมาตัวน้อยมารวมแรงกันช่วยลาก คนเรานี่ไม่ได้มีเรี่ยวแรงอะไรมากมาย ต้องพึ่งอาศัยสัตว์ ถามว่าผิดศีลไหม ก็ไม่ได้ฆ่ามัน ถ้าเลี้ยงมัน ต่างคนต่างอาศัยกัน เลี้ยงช้างก็ใช้ช้าง เลี้ยงดูมันอย่างดี เลี้ยงหมาก็ใช้หมา ใช้วัวใช้ควายก็เลี้ยงดูมันอย่างดี ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ต่างคนต่างช่วยกัน สัตว์ที่ได้รับสอนให้ทำงานมีคุณค่าประโยชน์สัตว์มันก็เจริญ ได้รับความรู้ชำนาญ เป็นวิบากในชีวิตของมันเหมือนกัน จะบอกว่าเอาสัตว์มาใช้งาน ถ้าเราไม่สอนไม่ฝึกสัตว์ให้มันทำงานเป็น แล้วสัตว์มันจะใช้งานอะไรได้ สัตว์มันก็จะเจริญด้วย มันได้พัฒนาตัวเองได้มีความเจริญอย่างนี้ขึ้นมา ไม่น่าจะเป็นเรื่องผิดศีล
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน อุเบกขาของอรหันต์กับปุถุชนต่างกัน
_ลอย แคนาดา ถามต่อจากวันก่อนเรียนถามพ่อท่านว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสเช่นนั้นหรือไม่ว่า
"ถ้าใครได้กุญแจไปสวรรค์ กุญแจดอกเดียวกันนั้น ก็เปิดประตูไปนรกด้วยเช่นกัน"
พ่อครูตอบว่า ...ใช่แล้ว เพราะว่า สวรรค์กับนรกคืออันเดียวกัน ถ้ามีภูมิปัญญาจะรู้ว่า อันเดียวกัน คุณจะเอาสวรรค์ก็คือเอานรกด้วย (อธิบายนรกสวรรค์มาเยอะแล้ว)นั้น
....ผมขอเรียนถามพ่อท่านต่อว่า ประโยคข้างต้น คือ อันเดียวกับปฏิจจสมุปบาท ที่ว่า สุขเวทนา เป็นเหตุให้เกิด ตัณหา ใช่หรือไม่ ครับ ?
พ่อครูว่า…ก็ถูกต้อง สุขเวทนาเป็นตัวล่อ คนใดไม่อยากได้แม้สุข ไม่ติดสุขไม่เสพสุข ไม่เกิดอารมณ์สุขเลยก็เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อุเบกขาเนกขัมสิตเวทนา เป็นพื้นฐานของความเป็นอรหันต์ อาการไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอุเบกขาถ้าความรู้สึกนี้เกิดในจิตใจของใครจริงๆ นั่นคืออาการของนิพพาน แต่สามัญปุถุชนเกิดอุเบกขาเหมือนกัน ไม่สุขไม่ทุกข์ เฉยๆ กระทบสัมผัสสิ่งใดไม่เกิดสุขและทุกข์ได้ ปุถุชนก็เกิด แต่การเกิดอุเบกขาของปุถุชนเป็นการเกิดอย่างไม่มีสติปัญญา ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่รู้ลึกซึ้งความจริง ก็เกิดเป็นธรรมดาเรียกว่า เคหสิตอุเบกขาเวทนา
_ผมสงสัยครับ..จากพระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ 27 เรื่อง พาโลวาทชาดก ว่าด้วยคนมีปัญญาบริโภค
[342] บุคคลผู้ไม่สำรวม ประหารสัตว์ เบียดเบียน และฆ่าสัตว์ ให้ทานแก่สมณะใด สมณะนั้น บริโภคภัตเช่นนี้ ย่อมเข้าไปติดบาปด้วย.
[343] ถ้าสมณะเป็นผู้มีปัญญา แม้จะบริโภคทานที่บุคคลผู้ไม่สำรวม ฆ่าบุตร และภรรยาถวาย ก็ไม่เข้าไปติดบาปเลย.
จากเรื่องนี้ จึงมีนักบวชนำไปกล่าวอ้างว่า การกินเนื้อสัตว์ไม่บาป.พ่อครูมีความเห็นอย่างไรครับ
6 พาโลวาทชาตก 1
[342] หนฺตฺวา ฆตฺวา 2 วธิตฺวา จ เทติ ทาน อสฺโต
อีทิส ภตฺต ภฺุชมาโน ส ปาปมุปลิมฺปติ 3 ฯ
[343] ปุตฺตทารมฺปิ เจ หนฺตฺวา เทติ ทาน อสฺโต
ภฺุชมาโนปิ สปฺปฺโน ปาปมุปลิมฺปตีติ 3 ฯ
พาโลวาทชาตก ฉฏฺ ฯ
“ความเที่ยงแท้” ของศาสนาพุทธคือ “ความไม่มี” ...พ่อครู 13 ส.ค. 60
“ความมี” นั้น “ไม่เที่ยง” “ความเที่ยง”อยู่ที่ “ไม่มี” ...พ่อครู 13 ส.ค. 60
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ความเที่ยงแท้ของศาสนาพุทธคือความไม่มี
Sms 10 ส.ค. 60
_3134 1ความเสื่อมแห่งทิฐิ2ความเสื่อมเพราะกิเลส3ความเสื่อมของสัตว์โลก4ความเสื่อมแห่งอายุ5ความเสื่อมแห่งกัลป์ กราบนมัสการพ่อครูขยายความสัจธรรมนี้
พ่อครูว่า...คำว่าไม่เที่ยงนี้บางอย่างมันอาจอยู่ยาวนานเลย คนไม่รู้ก็เลยนึกว่าเป็นสัจจะ เที่ยงแท้ก็เลยมีศาสนานิรันดร ยกให้พระเจ้านี้เที่ยงสามารถสั่งการให้เป็นได้ทุกอย่างโดยพระเจ้า นี่คือความจำนนของศาสนาไม่รู้จักความไม่เที่ยง ยกให้พระเจ้าสูงสุดว่าเที่ยง
ศาสนาพุทธนั้น มีเที่ยง แต่เที่ยงนั้นคือไม่มี ความมีนั้นไม่เที่ยง ความเที่ยงอยู่ที่ไม่มี ถ้าถึงความไม่มีเมื่อไหร่ ไม่มีนั้นแหละเที่ยง ต้องทำความไม่มีให้ได้ คือจิตคุณไม่มี เมื่อจิตคุณไม่มีแล้วก็ไม่มีทั้งความเที่ยงความไม่เที่ยง ต้องฝึกหัดตั้งแต่คุณไปมีความสุขความทุกข์ มีภาวะโลกีย์กับอะไร เริ่มต้นตั้งแต่สิ่งหยาบ ไปมีความสุขกับยาเสพติด ละเม็งละคร ลาภยศสรรเสริญ กาม โอฬาริกอัตตา ไปมีความสุขกับ มโนมยอัตตา ก็ทำต่อไม่ให้มีสุขทุกข์กับมโนมยอัตตา ก็ล้างอรูปอัตตาต่อ ก็ไม่มีสุข ทุกข์ ดับอรูปปลายสุดท้ายได้ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ศาสนาพุทธมีความเที่ยง เที่ยงก็คือความไม่มี ต้องเที่ยงจน จิตของเราไม่มีสุขไม่มีทุกข์ตลอดกาล นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) นี่คือการตรัสรู้ของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นพบ
_3867 คุณตะหานเขามารัฐประหารกิเลสบำเพ็ญตบะจำศีลพรรษากับพี่น้องบวรอโศกด้วยฤา?
พ่อครูว่า ทหารเป็นลูกของญาติธรรมที่ตาย แล้วเขามางานศพ
สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน รูป 24 กับผีมีจริงที่จิตและผีไม่มีจริง
_ผู้น้อยดูรก.สารพันผีลี้ลับเขาถ่ายคลิบติดวิญญาณคนตายมาให้เห็นก็บ่รู้ว่าจริงฤาปลอม?รู้แต่ว่าสัจธ.ของจริงที่สัมผัสได้จากบุญบาปที่กระทำกันคือกฏแห่งกรรมสะท้อนวิบากกรรมใครกรรมมันชัดเจนที่สุด!
พ่อครูว่า...เขาถ่ายภาพจริงๆ ต่อให้เขาถ่ายติดมาจริงๆ ก็คือของปลอมทั้งนั้น ถ่ายภาพได้ก็คือปลอมซ้ำปลอม เพราะวิญญาณหรือธาตุรู้เท่านั้นที่เป็นผี วัตถุดินน้ำไฟลม อากาศอะไรก็แล้วแต่ เป็นผีไม่ได้ ไม่ใช่นามธรรม ดินน้ำไฟลมไม่ใช่นามธรรม เป็นผีเป็นผีไม่ได้ ผีอยู่ที่นามธรรม อยู่ที่จิต มโน วิญญาณ ถ้าไม่มีจิตมโนวิญญาณแล้วไม่มีผี เอากล้องถ่ายรูปถ่ายผีแล้วมีผีที่รูปกล้อง แสดงว่าอันนั้นไม่ใช่นาม ก็เป็นของเก๊ ก็รูปที่ติดมามันนามหรือรูป ก็รูป แล้วผีอยู่ในจิตวิญญาณ หรือเทวดาอยู่ในนาม อยู่ในรูปไม่ได้
สงสารที่ถ้าคนไม่ได้เรียนรู้ไปถึงคำว่ากาย ไม่เข้าใจคำว่ากายให้ได้ตลอด ศึกษากายให้ครบรูป 28 มหาภูตรูป 4 อุปาทยรูป 24 รูปเหล่านี้ ยกเว้น มหาภูตรูป คือวัตถุธาตุ ส่วนรูป 24 คือจิต มโน วิญญาณ
แต่คนไทยเข้าใจว่ารูปคือสภาพไม่ใช่นาม รูปคือสิ่งที่ไม่มีความรู้สึก ก็เลยหมดทางปฏิบัติธรรม เพราะไปตัดประตูความจริง ว่าจะต้องไปศึกษารูป 24 เป็นสำคัญ เพราะความทุกข์ความสุขอยู่ในรูป 24 อาริยสัจ คือทุกข์อาริยสัจ จะสิ้นทุกข์ได้ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ต้องทำให้ดับให้ได้ นี่คือจุดหมายปลายทางของศาสนาพุทธ ก็เลยจบเห่เลย คนไหนที่เข้าใจว่า รูป 24 อุปาทยรูป 24 คือวัตถุ ไม่ศึกษารูป 24 นี้ก็สูญเลย
รูป 24 นี้คือนามธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะจิตเจตสิก เจตสิก 52 จิต 89 หรือ 121 ก็อยู่ในนี้หมด ทำเสร็จแล้วบรรลุธรรมเข้าใจสภาวะ อุปาทายรูป 24 ผู้สมบูรณ์สุดจะจบด้วย อากาศว่าง ในแต่ละปริเฉทรูป อยู่ในอาหารคือเครื่องอาศัย อาหารรูป ตาหูจมูกลิ้นกายเป็นเครื่องอาศัย ก็ทำให้ใจว่างได้ ตากระทบรูปก็ทำให้จิตว่างได้ หูกระทบเสียงก็ทำให้จิตว่าง จมูกกระทบกลิ่นจิตก็จิตว่าง ลิ้นกระทบรสก็จิตใจว่างได้ กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็จิตว่าง ก็เป็นอรหันต์ ทำจิตว่างได้ตั้งแต่ อาหารรูป
ต่อจากนั้นก็ศึกษา วิญญัติรูป 2 กายวิญญัติ วจีวิญญัติ แล้วมีวิการรูป 5 ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา กายวิญญัติ วจีวิญญัติ
ยกตัวอย่าง อาตมาแสดงท่าทีลหุ ใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เบาที่สุดเหมาะสมที่สุดในยุคการนี้แล้ว ปริสัญญุตา อย่างนี้ ดีไม่ดีบางคนแรงกว่านี้ ปุคลปโรปลัญญุตา อาตมาพูดแสดงท่าทีแรงกว่านี้ ถ้าคนนี้ต้องใช้อย่างแรง เรียกว่าลหุตา ถ้าเบาแล้วเขาไม่เข้าใจ ยุคนี้เป็นยุคดื้อ ยุคแข็ง มันด้านหนา กิเลสมันหนามันด้านมาก จึงต้องใช้แรงๆ ไม่ได้แก้ตัวนะ
ลหุแปลว่าเบา แต่ต้องสมกับสัปปุริสธรรม 7 ต้องมีอัตตัญญุตา รู้ตัวว่าอาตมาคือใคร ตัวเราก็เท่านี้ อาตมาจะต้องมาทำอะไรก็ต้องรู้ตัว ก็ต้องจัดสรร ธัมมัญญุตา ให้เหมาะสม อาตมาทำสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่คนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ จะเอาสำลีมาเช็ดทุเรียนให้ผิวเรียบไม่มีทางสำเร็จหรอก สมัยนี้ยุคนี้ จึงยากมากที่จะประมาณอย่างเหมาะควร
ส่วนลักษณะ 4 ของรูป เป็นตัวจบ ผู้ที่รู้จบจะเข้าใจว่าทุกอย่างอยู่ในลักษณะ 4 คือจะให้เกิด อุปจยะ สองจะให้ต่อก็สันตติ จะให้เกิดท่านก็ต่อ ถ้าไม่ให้เกิดท่านก็ตัด ไม่ต่อ แต่สิ่งที่เกิดแล้วต้องมีชรตา หรืออนิจจตา หากไม่ต้องการให้มันอนิจจตา ก็เสริมพลังงานให้สูงขึ้น ถึง Coefficient สัมประสิทธิ์ ก็จะมีความสูงไม่รู้จบง่ายๆได้ นี่คือธรรมะ อาตมาพูดด้วยความรู้ความเข้าใจขยายความจริง
สรุปคำว่าผี ลี้ลับ ผีจริงๆแล้วคือกิเลสคืออวิชชา คือความไม่รู้นั่นคือผี คือจิต ผี เทวดา อยู่ได้แต่ในจิต ที่อื่นไม่มี ผู้ใดที่อธิบายธรรมะว่ามีผีมีเทวดาอยู่ในจิต แล้วไม่พูดให้เข้าใจชัดเจนว่า คุณสามารถทำให้หมดความเป็นผีเทวดาในจิตได้ ไม่มีผี เทวดาหรอกในศาสนาพุทธ ผู้ที่พูดว่าไม่มีผีหรือเทวดาในศาสนาพุทธได้และทำอย่างนั้นได้คือพระอรหันต์ ถ้าไม่ใช่ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ก็เอาโวโวหารบัญญัติภาษามาพูดก็ได้ ก็บอกว่านี่เป็นคำพูดคำสอนพระพุทธเจ้าว่า ผีเทวดามันไม่มีหรอก ผู้ที่มียังอวิชชาอยู่ ผู้หมดอวิชชาแล้วผีและเทวดาไม่มีในจิต คนใดที่มีผี มีเทวดา คนนั้นก็ยังไม่หมดผี ยิ่งลี้ลับก็แสดงว่าคุณเองยิ่งไม่รู้เรื่อง แล้วมาสร้างเป็นหนังหลอกกัน
พวกที่สร้างหนังผีคือผู้ที่ก่อบาปให้กับตัวเองอย่างหนัก ได้บาปมาก คือ ไปเสริมความหลงให้แก่คน ยกเว้นคนสร้างหนังผีและมีเจตนาล้างกิเลส คนไปเข้าใจว่าผีนั้นมันมีอย่างนั้น จนหมดความยึดถือผี จนรู้แจ้งว่าผีไม่มีได้ คนนั้นทำหนังได้เป็นโลกุตระ แต่ถ้าทำหนังแล้วคนกลัวผีเพิ่ม ตื่นเต้นเรื่องผีอยากเสพรสความตื่นเต้น แล้วก็ไปดูหนังผีให้มันตื่นเต้นได้เงินได้ทองจากความตื่นเต้น คนนี้บาปกินหัวหนักมาก แล้วก็ยังเสริมความอวิชชาแก่มนุษย์อีกเยอะ แถมหาเงินจากคนโง่คุณก็โง่ ทำไมคนอื่นโง่หนักเข้าไปอีก ห้องดับเบิลโง่ ทริปเปิ้ลโง่
ศึกษาให้ดีมาล้างอุปาทานความยึดติดว่ามีผี เมืองนอกเขาก็ไม่ได้กลัวมากเท่าไหร่ แต่เมืองไทยทำไมถึงได้โง่เง่ากลัวผี มีผีคนตายมาหลอก อาตมาเคยยกตัวอย่างสึนามิ มีศพคนตายกองเป็นเบือ ไปตามหาพ่อแม่พี่น้องกันเยอะ ถ้าผีมันมีตัวตนมันตายโหงด้วยตอนมีสึนามิก็ต้องวิ่งไปหาพ่อแม่ลูกเต้าพี่น้อง ถ้ามีวิญญาณก็คงจะไปสะกิดให้มาหาศพได้
พวกเราก็ไม่กลัวผีกันได้ แม้แต่นอนกองฟอน นอนโลงศพก็ได้ เขาเอาแต่ศพข้างในไปเผา เหลือโลงไว้ก็ไม่เคยเห็นกลัวกัน
_ฟังท่านด่วนดีเทศน์กรรมทันตามักมาไวกับกรรมชั่วไวติดจรวด!กรรมทันใจมัก มาช้ากับกรรมดีดุจพร้าเล่มงามสาธุ!
_3867ฟังท่านด่วนดีเทศน์กรรมทันตามักมาไวกับกรรมชั่วไวติดจรวด!กรรมทันใจมักมาช้ากับกรรมดีดุจพร้าเล่มงามสาธุ! ..พ่อครูว่าอันนี้ไม่รู้เรื่องก็เลยผ่าน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน โอวาทปาติโมกข์ 3 กับบุญ
พ่อครูว่า...ศาสนาพุทธสอนเรื่องกรรม โอวาทปาติโมกข์ 3 สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
เท่ากับคนใดผู้ใดอ่านบาปในตนแล้วกำจัดบาปในตนให้หมด บาปก็สิ้นเกลี้ยงบุญก็หมดไปด้วย ปุญญปาปปริกขีโณ แต่กรรมยังมีอยู่ แต่ไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว สัพพปาปัสสอกรณัง บาปสิ้นไปบุญก็สิ้นไปด้วย มีแต่กรรมที่เป็นกุศล บาปกับบุญนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่ที่มีตัวตนอยู่เพราะคนมีอนุสัยอวิชชา พอล้างอนุสัยหมดอวิชชา บาปก็หมดบุญก็หมด มีแต่กุศล แต่กรรมอกุศลไม่มีแล้ว กรรมเป็นสมบัติ บาปบุญไม่เป็นสมบัติ
บุญฆ่าบาปเสร็จ บุญบาปก็หายไปวิบัติทั้งคู่ไม่เหลือเลย ส่วนกุศลเป็นสมบัติ อกุศลก็เป็นสมบัติ กุศลคือสิ่งที่ทำแล้วดี ส่วนอกุศลคือสิ่งที่ทำแล้วไม่ดีก็มีสมบัติที่ไม่ดี บุญกับบาปเป็นวิบัติทั้งคู่ ในตัวเราหากไม่สับสน บาปจริงๆแล้วไม่ได้สับสน บาปกับบุญเป็นปัจจุบันธรรม บาปที่เกิดต้องเกิดในปัจจุบัน การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจึงเอาการปฏิบัติในปัจจุบันเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่ไปตัดสินที่ตัวอดีตหรืออนาคต เวทนา 108 เมื่อทำปัจจุบัน เป็น 0 สั่งสมเป็นอดีตอย่าง นิจจังทุวังสัสสตัง แม้อนาคตจะไม่มา แต่ทุกปัจจุบันยืนยันว่า จะมาอีกอย่างไรก็ทำให้กิเลส 0 ได้ตลอดกาลนานคือตัวตัดสิน อวิชชาข้อที่ 7
คนสับสนในอวิชชา 8 คือ ไม่รู้ในทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค ห้าไม่รู้ส่วนอดีต หก ไม่รู้ส่วนอนาคต 7 ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต อนาคต ส่วน 8 ไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท
คนก็สับสนว่าทำไมข้อ 5 ไม่รู้อดีต ข้อ6 ก็ไม่รู้อนาคต แต่ข้อ 7 ทำไมต้องซ้ำอีกว่าไม่รู้อดีตและอนาคต หากไม่มีสภาวะก็ตอบยาก แต่อาตมารู้สภาวะก็ตอบได้…
ส่วนอดีต เป็นส่วนที่ยังไม่เป็นสูญสูญบริบูรณ์อย่างถาวร ส่วนอนาคตข้อ 6 ก็ยังไม่สูญบริบูรณ์อย่างถาวร แต่ถ้าข้อ 7 ทั้งอดีตและอนาคตมันเหมือนกันเป็น 0 เหมือนกัน
_8182หนูนั่งอยู่ตรงศาลพระภูมิพอดีแล้วมีคนร้องขอสิ่งต่างๆจากศาลพระภูมิ จะมีวิธีพูดกับเขาอย่างไรดีคะเพราะคนไทยร้องขอกับสิ่งต่างๆกับความเชื่อเหล่านี้มาก
พ่อครูว่า...คุณเป็นพระภูมิก็บอกว่า อย่ามาขอเลย คนเรามันอยู่ที่กรรม พระภูมิช่วยอะไรไม่ได้หรอก ขอไปก็เสียเวลาเสียแรงงานเสียทุนรอน พระภูมิ เป็นเรื่องทำให้เห็นว่าคนเข้าใจศาสนาพุทธผิดเป็นเทวนิยม ถ้าเข้าใจความเป็นศาสนาพุทธแล้วคนจะไม่ติดความเป็นพระพรหม ไปอ้อนวอนร้องขอ ขนาดศาสนาเทวนิยมยังไม่ติดยึดเลย อย่างศาสนาอิสลามห้ามมีรูปเคารพ ศาสนาคริสต์ก็ยังมีรูปเคารพมีเครื่องหมายบ้าง ส่วนศาสนาพุทธ มีรูปเคารพเยอะแยะและหวังพึ่งกันน่าสงสารน่าสมเพชเวทนา ทั้งที่เป็นศาสนาที่ประเสริฐแต่กลายเป็นอย่างนี้
SMS จากเฟซบุ๊ค
_Nathatai Morgen : กราบนมัสการค่ะ ฟังธรรมะเพื่อเตือนสติแม้จะยังเข้าไม่ถึงเท่าที่ควรแต่ก็รู้สึกดีมีข้อคิดที่ดีมากๆ ช่วยในด้านจิตใจได้ดีมากๆ เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า...อาตมารู้ว่าคนฟังอาตมามีจำนวนน้อยแม้แต่เด็กพูดฟังมากกว่าอาตมาเลย คนจะฟังอาตมาต้องเห็นค่า ยอมเสียเวลามาฟัง สนุกก็ไม่สนุก แล้วก็ยังด่าเราอีก คนอะไรปากจัดด่าเอาด่าเอา พูดทีไรก็ถูกทุกที ถูกกิเลส เปรี้ยงๆ แต่เขาไม่ยอมรับว่ามีกิเลส แต่เขารักกิเลส เป็นตัวตนเขามากกว่า
_เอกีภาวะ วิชชาราม : ดีใจจังวันนี้พ่อครูดูแข็งแรงแล้ว โอมเพี๊ยง จงแข็งแรงมาก มาก สาธุเจ้าค่ะ
_เอกีภาวะ วิชชาราม : น้อมกราบนมัสการ พ่อครูหนูเล่าเรื่องกินมื้อเดียวให้พี่สาวหนูฟัง นางสามารถกินได้ทันทีเลยเจ้าคะดีจัง นางมีบุญเนอะ กราบขอบพระคุณเจ้าคะพ่อครู ปองแสงพุทธ
_แก้วลา: ฟังธรรมะพ่อครูอยู่ที่จอมทองเชียงใหม่ทุกครั้งที่พ่อครูเทศไม่เคยเบื่อเลยเจ้าค่ะ
_เอกีภาวะ วิชชาราม : น้อมกราบนมัสการเจ้าคะ ปลื้มจัง พ่อครูเจ้าขา หนูเกิด 19 ส.ค.18 ชึ่งก็ใกล้จะถึงวันเกิดหนูแล้ว หนูอายุห่างจากพ่อครู 41 ปี ถ้าพ่อครูตาย 151 หนู ก็จะตายอายุ 110 ปี พอแล้วไม่อยากแก่นาน ให้หนูตายก่อนน่ะเจ้าคะ หนูสัญญาจะพยายาม ทำใจตัวเองให้หมดกิเลสให้ไวเจ้าคะ เป็นกำลังให้หนูน่ะเจ้าคะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน เปรตกับเทวดาหมายถึงอะไร
_Minty So : กราบนมัสการค่ะ มีคำถามสงสัย คือ
1. ในบทสวดมนต์ มีการกล่าวถึงเปรต กับเทวดา อยากถามว่า เปรตกับเทวดาหมายถึงอะไรคะ
ตอบ หมายถึงความโง่ จิตใจที่ยังมีความโง่และอวิชชาคนนั้นมีเปรตและเทวดาอยู่ในจิต ส่วน คนที่มีวิชชา หมดอวิชชาแล้ว คนนั้นไม่มีเปรตและเทวดาในจิต นี่ตอบสั้นๆชัดเจนแล้วนะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน คนระลึกชาติได้มีจริงไหม
2. คนที่นั่งสมาธิแล้วเห็นชาติก่อนๆของตนเองหรือคนอื่น สามารถเป็นไปได้มั้ยคะ ถ้าคนนั้นยังกินเนื้อสัตว์อยู่
พ่อครูว่า...คนที่นั่งหลับตาทำสมาธิ ในพรหมชาลสูตรว่า คือผู้ได้เจโตสมาธิ หลับตาปิดหูไม่รับรู้ภายนอกว่ามันเคลื่อนไปอย่างไรแล้ว ก็จะมีแต่ภพอดีตและอนาคต ซึ่งเป็น มิจฉาทิฏฐิ 62อย่าง อดีต 18 อนาคต 44 เป็นมิจฉาทิฐิเป็นความรู้ความเห็นที่ไม่มีความจริงเพราะคุณดับปัจจุบัน ผู้ใดไปนั่งหลับตาทำสมาธิเพื่อจะตรัสรู้เพื่อจะเกิดภูมิปัญญา คนนั้นเป็นโมฆะ จะไปทำเหมือนพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ อัันนั้นท่านมีของเก่าของท่านมาแล้ว ท่านมีภูมิตรัสรู้ มีสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้ว เมื่อไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ท่านก็ระลึกอดีตว่าท่านมีมาหมดแล้ว เกิดมาในชาตินี้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมของพุทธเลย ท่านก็ระลึกได้ว่า ท่านเกิดมาในชาตินี้จะมาประกาศตน เราเป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาประกาศศาสนาพุทธ คือสัมมาสัมโพธิญาณให้คนอื่นฟังต่อไป แสดงว่าท่านเองเห็นชาติก่อนๆ นั่งแล้วระลึกชาติก่อนได้แต่คนไม่ได้ปฏิบัติธรรมมีมรรคมีผลในจิต จะนั่งให้ก้นแตกให้ตาย ก็ไม่ได้ระลึกชาติได้ ไม่ได้เกิดปัญญาเลย ในมหาจัตตารีสกสูตร ข้อ 258 เปิดอ่านเลยว่า ปัญญาจะเกิดจากกระบวนการหกของ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ ต้องปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 จึงเกิดปัญญา ปัญญาจะไปหลับตาให้เกิดไม่มี ที่หลับตาเกิดรู้เห็นขึ้นมาก็มีแต่สัญญาไม่มีปัญญา มีแต่ความจำ มีแต่สิ่งที่ได้เคยรู้แล้วกำหนดขึ้นมา รู้ของเก่าเรียกว่าอดีต หรือดีไม่ดี ฟุ้งซ่านเป็นอนาคตนึกคิดเอง มันไม่มีความจริง ความจริงจะต้องประกอบด้วยปัจจุบันเป็นหลัก จำไว้นะจ๊ะ โป้งรวย
อย่างอาตมาระลึกอุตริมนุสธรรมของชาติก่อนได้ก็เอามาพูด เพราะอะไร เพราะอาตมามีของจริงแล้วมายืนยันประกาศว่า ที่เข้าใจกันนั้นมันผิด เช่นไปเข้าใจว่านั่งสมาธิหลับตาเป็นของพระพุทธเจ้านั้นมันผิด อาตมาก็มาบอกก็ไม่เหมือนกับอาจารย์คนอื่นเขาบอก อาตมาจำต้องบอกว่าของอาตมามันมีมาเก่า
คำว่าบุญ คุณก็เข้าใจผิด ไปเข้าใจว่าบุญคือกุศลเป็นสมบัติมันไม่ใช่ ไปเข้าใจว่าปัญญา เหมือนเฉโก เฉกะ มันผิด ไม่มีใครมาบอกคุณหรอกถ้าไม่มีอาตมามาเกิดในชาตินี้ รับรองไม่มีใครมา ไขความนี้ ยืนยัน ว่าไง เปรียญ มหา...เปรียญ 8 ประโยคก็ตอบว่าใช่ครับผม…
อาตมามีบารมี ไม่ได้เรียนอะไรมาเลย อยากเรียนนะ ไปเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ จุฬาก็ไปอาศัยที่เรียนหลายคณะ จะสมัคร เป็นนักศึกษาจุฬาก็ไม่ได้ ก็เลยไม่ได้เรียนเลย มันไม่มีบารมี เพราะฉะนั้น อย่างมหาบุญหนา ไม่มีบารมีจะเป็นเปรียญ 9 ไม่มีบารมีจะเป็นดอกเตอร์ ก็ช่างศีรษะมันเถอะ เรามีภูมิ เอาสัจจะได้จริง โดยไม่ต้องมีใบปริญญารองรับ เอาให้จริงเลย อาตมามีกำลังใจแสดงธรรม ที่ไม่มีเปรียญ ปริญญาอะไรรองรับเลย แม้จะเหน็ดเหนื่อยก็พยายามพากเพียรเอาสิ่งที่ดีที่สุดจริงที่สุดมาขยายความ ทำงานอยู่นี่ คนจะได้ประโยชน์ก็รับไป บางคนไม่ได้ประโยชน์ก็จะด่าก็ว่าไป แต่จะมาห้ามให้อาตมาไม่ให้แสดงธรรมไม่ได้ เพราะคนเข้าใจผิดมีเยอะ แล้วยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่ผิดว่าเป็นสิ่งที่ถูก อาตมาจึงมีความจำเป็นมากที่จะมาแก้ไขความเข้าใจผิดของเขาให้ได้ มันจําเป็นจริงๆ ปล่อยไปไม่ได้ จะเป็นเหมือนคนใจดำ เห็นคนตกนรกหมกไหม้ต่อหน้าต่อตา ก็บอกว่าตกไปสิ อาตมาทำไม่ลงหรอก ทำไม่ได้ต้องช่วย ไม่ให้ช่วยก็ต้องช่วย คนจะตกนรกบอกว่าไม่ให้ช่วย อะไรจะบ้าหรือ ก็ขอช่วยหน่อยเถอะ แล้วคนมาโซคิส ก็ชอบตกนรก แต่คนซาดิสม์ก็ชอบใจที่คนตกนรก
ตกลงแล้วเป็นไปได้แต่ต้องเป็นสัจจะ แม้ไม่นั่ง แต่จิตใจมีสมาธิและมีพลัง อาตมาไม่ต้องนั่งก็ระลึกได้ ยิ่งนั่งยิ่งระลึกได้ดี แต่ส่วนมากไปนั่งหลับตาแล้วบอกว่าระลึกชาติได้ของเก๊ นึกเองสร้างเองฝันเอง ดีไม่ดีนึกว่าตัวเองเป็นคนนั้นคนนี้เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ต่างๆนานา เยอะๆ แต่จะบอกว่าจริงไหมจริง แต่ที่ไม่จริงมีเยอะกว่า
_Kanc Tiarawat : ท่านจันทร์ชงเรื่องเก่ง ท่านซาบซึ้งท่านสิกขมาตสัจฉิกตา ก็อธิบายได้เข้าใจง่าย..รู้สึกประทับใจค่ะ
_ปรัชญา ปารมี : "ภาษิตจีน"กล่าวว่า "ช่วยชีวิตคนได้กุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์7ชั้น"
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน หัวใจศาสนาพุทธคือทำเวทนาสองให้เป็นหนึ่ง
_600811 ประเด็นถามพ่อครู
กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพค่ะ ดิฉันเข่ง ใจแก้ว อโศกตระกูล จะเล่าเรื่องตบะอีก 1ข้อ ตั้งไม่กินทุเรียนในพรรษานี้ต้นเหตุที่ดิฉันติดทุเรียนตอนเด็กๆเตี่ยขับรถจิ๊บไปซื้อทุเรียนเป็นคันรถเป็นประจำ ให้ลูกๆดิฉันคนหนึ่งที่ชอบทุเรียนมาก ตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่มีใครมาบอกว่าติดทุเรียนเป็นกิเลสเลย พอดิฉันได้มาปฏิบัติธรรมที่สันติอโศก ก็ได้เจอคุณจำลองพูดว่าจะไม่กินทุเรียนตลอดไป ดิฉันฟังแล้วก็ฝึกเหมือนกันแต่ไม่เด็ดขาดเหมือนคุณจำลองเลยค่ะ ดิฉันเห็นทุเรียนทีไรก็หยิบไม่ปล่อยให้ผ่านไป พอถึงปีนี้เข้าพรรษาก็ตรวจว่าจิตของเรายังติดอะไรบ้าง เสพอะไรบ้างก็พบว่าลึกๆ ยังติดทุเรียนอยู่เลยตั้งตบะเอาจริงจะไม่กินทุเรียนจะจัดการกับกิเลสตัวนี้ ตอนไม่ตั้งตบะไม่กินทุเรียนพอเห็นทุเรียนมาก็หยิบมาไม่เห็นมีอาการอะไรเกิดขึ้น พอตั้งตบะขึ้นมาในพรรษานี้มีอยู่วันหนึ่งมีคนเอาทุเรียนมา 1ตระกร้าใหญ่ มาถวายสมณะที่ศาลาท่านสมณะหัวแถวก็พูดออกไมค์ว่าใครตั้งตบะไม่กินทุเรียนวันนี้มีทุเรียนมาหนึ่งตระกร้าใหญ่ เสียงของท่านพูดถึงทุเรียนได้มากระทบหู จิตก็บอกว่า มาก็ไม่กิน ทุเรียนก็เลื่อนมาถึงข้างหน้าพอดี ตาได้กระทบผัสะกับตระกร้าทุเรียน มองเห็นรูปและกลิ่นเท่านั้นก็ถามตัวเองว่าจะกินทุเรียนหรือจะทำตบะ ที่จริงเคยกินมามากแล้ว กำลังวิตกวิจารณ์ถ้าไม่หยิบมากิน จะตายไหมพอคิดแล้วก็เลื่อนไป พอเลื่อนไปแล้วก็มีอาการจิตที่ยินดีเกิดขึ้นมา เราได้ชนะใจของเราและชนะกิเลส อาการจิตของเราก็เปลียนได้จริงๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนอาการจิตก็เป็นธรรมะสอง ขณะปัจจุบันนี้ผัสสะอยู่ปรับเปลี่ยนเป็นธรรมะหนึ่งได้ทันที เรียนถามพ่อท่านว่าถ้าหากเราปรับจิตขณะที่ผัสสะอยู่ปัจจุบันทันที ลดอาการจิตให้เป็นหนึ่งได้ไปเรื่อยๆทุกครั้ง จะมีหวังไหมคะ ที่จริงเรื่องของทุเรียนเหมือนเรื่องเล็กๆ แต่มันก็ทำให้เห็นกิเลสของเราเกิดขึ้นมาได้ แล้วเราก็ได้ลดกิเลสออกไปได้ นั้นมันเป็นเรื่องใหญ่กว่าใช่ไหมคะ สุดท้ายนี้จะถามพ่อท่านว่าเสพรสทุเรียนจะเหมือนเสพรสผู้หญิงผู้ชายไหมคะ กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพคะกินกัน พี่น้องเลยติดทุเรียนกันทุกคน
พ่อครูว่า ...กิเลสลดมีสองวิธี หนึ่งสมถะ สองวิปัสสนา ทำให้เกิดปัญญา มันเห็นว่า เป็นทุกข์เป็นเหตุแห่งทุกข์ ความอร่อยนั้นไม่มีได้ คุณพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ได้ กิเลสไม่เกิดอย่างนี้เป็นวิปัสสนาญาณ แต่ถ้าข่มไว้มันก็เฉยได้ เป็นเคหสิตอุเบกขา (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
นี่แหละคือวิธีทำที่เป็นหัวใจของศาสนาพุทธ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
เวทนาก็เกิดรู้ความจริงตามความเป็นจริง กระทบสีแดงก็แดง แต่ถ้าเกิดอารมณ์ว่า แดงสวย แดงชอบ แดงไม่ชอบ อย่างนั้นคือเวทนาสองเวทนาเก๊ ธรรมะของพระพุทธเจ้าให้จัดการตรงนี้ล้างตรงนี้
เสพรสทุเรียน กับเสพรสผู้หญิงผู้ชาย เหตุปัจจัยมันไม่เหมือนกันแต่มันโง่เหมือนกัน เหตุปัจจัยคนละอย่างแน่นอน สัมผัสเสียดสีคนละวัตถุ แต่มันโง่เหมือนกัน มันเป็นอีกสมมติว่ามันมีอาการเวทนาเก๊ทั้งคู่ มีเวทนาเทียม สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีอะไรหรอก
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) เขาจะรู้ไหมว่าอาตมาทำไมไอ ไอเพราะอะไร อาตมาบอกได้ว่า มันไอเพราะคันคอ ก็ต้องใช้ลม ผลักดัน เบาๆมันก็ไม่หาย เลยต้องขับดันแรงๆ ไอๆๆๆ พอขับแรงๆก็มีเสมหะ ออก มีรส บางทีรสเค็มๆ หมอฟังอาตมาพูดก็เรียนรู้ว่าเค็มคืออะไร มีรสต่างๆ ก็เป็นอย่างนั้นอาการคันคืออะไร มีตัวเชื้อ ก็ไม่สมดุลแบบไหนก็เล่าให้ฟัง อาจมีคนฟังรู้ว่าอาตมามีเหตุไหนจะช่วยให้หายได้
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จนมหัศจรรย์ จนสำเร็จ
_กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ดิฉัน พลังเพ็ญ คำด้วง อยู่ที่บวรสันติอโศกมีประเด็นที่อยากจะถามพ่อครูดังนี้ค่ะ ในโลกสื่อสารทุกวันนี้มีเครื่องมือสื่อสารต่างๆมากมาย (เขาเรียกกันว่าโลกโชเชี่ยลมีเดีย) ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสได้ใช้พอสมควร มันมีสิ่งที่เป็นอกุศลมากมายที่ล่อหลอกให้เราเข้าไปเสพ พอเสพแล้วก็อยากจะเสพเพิ่มมากขึ้น แม้รู้ว่ามันเป็นอกุศลก็ยังเสพ พอช่วงเข้าพรรษาดิฉันก็ตั้งใจถือศีลให้สูงขึ้น(ศีล8)แรกๆก็ยังเผลอกดดูในส่งที่ตัวเองชอบ(รู้ว่าเป็นอกุศลค่ะ) แต่พอมาตรวจศีลข้อที่7มันทำให้เรารู้ว่าศีลข้อนี้เรายังไม่บริสุทธ์ หลังจากนั้นดิฉันก็พยายามมีสติมากขึ้น พออยากดูในสิ่งที่ตัวเองชอบแต่เป็นอกุศลก็ห้ามใจตัวเองได้มากขึ้น ในศีลข้อที่7 ที่บอกว่าให้เว้นขาดจากการดูมหรสพ,การละเล่นต่างๆที่เป็นข้าศึกแก่กุศล ในโลกโชเชียลทุกวันนี้มันทำให้คนยิ่งเสพติดสิ่งที่เป็นอกุศลต่างๆเพิ่มมากขึ้น ศีลข้อ7ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติมันจะยิ่งทำให้จิตวิญญาณของเราเข้มแข็งในสิ่งต่างๆที่โลกสร้างขึ้นมามอมเมาจิตวิญญาณของเรา ดิฉันเข้าใจและปฏิบัติอย่างนี้ถูกต้องไหมคะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า...ขอกระหน่ำเครื่องมือเทคโนโลยี แต่ก็เห็นใจเข้าใจว่าจะต้องมีความเจริญก้าวหน้า เพราะมันมีด้านที่เป็นประโยชน์ มันก็เกิดประโยชน์ ทีนี้ ประโยชน์นี่แหละ อาตมาอยากขอวิจารณ์ให้ฟังว่า ประโยชน์มันมีความความเหมาะ มันมากเกินไปก็ไม่พอเหมาะมันเกิน พอเหมาะนั้นมีเขตมีขอบ คนที่มีน้อย วันที่มีน้อยลงและอาศัยมันพอ คนนี้จะเบา ไม่เสียเวลาทุนรอนแรงงาน ทีนี้คนที่ไม่พอ แค่นี้ไม่พอ คนนี้ยิ่งไม่มีขอบเขตของความพอ ไม่มีที่สุด ความพอไม่มี มีแต่จะเพิ่มท่าเดียว เหมือนกับธัมมชโยรวยไม่มีที่สิ้นสุด คนนี้แหละคือคนตรงกันข้ามกับศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธจะต้องมีพอ และน้อยลงน้อยลงมีที่จบ ส่วนการไม่พอไม่มีที่จบบานเป็นปากกรวย เพราะฉะนั้นคนนั้นเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด เพราะจะเป็นนิรันดรมีอยู่นิรันดร และอยากใหญ่อยากมาก บานเป็นปากกรวยนิรันดร ส่วนคนที่ลดลงน้อยก็พอ สันตุฏฐิ อัปปิจฉะ แต่เขาแปลเบี้ยวบาลีว่า พึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ อาตมาก็ว่าไปถามบิลเกตต์สิว่า เขาพอไหม ถ้าเขามีมากขึ้นอีกเขาจะพอใจไหม
ถ้าพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ก็ดี ไม่ไปเอาของคนอื่น แต่มันเบี้ยวบาลี สันโดษแปลว่าใจพอ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เราเป็นคนที่มีใจพอ มีเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าไม่รู้จักพอ บานปลายไม่มีที่สิ้นสุด อัปปัญญาคนนี้บ้าเลือดเลย กิเลสทะลุทะลวงไปรอบโลกเลย ตายพอดี ศาสนาพุทธ ให้มีที่สิ้นสุด จนสูญก็จบ ตกลงผู้ที่มาถึงศูนย์แล้วก็พอที่สูญ คืออรหันต์ ก็จบ
เมื่อปฏิบัติธรรมมีความเข้าใจผิด มีทิฏฐิผิดก็เลยซวย อย่างศาสนาที่ไปมุ่งสะสมความรวย อาตมาถึงพูดชัด และในหลวงเราก็เป็นพระโพธิสัตว์ที่ตรัสตรงๆ แต่คนไทยเป็นพุทธศาสนิกชน 95% ไม่ฟัง อาตมาก็เอามาออกอากาศ ที่อื่นไม่เห็นมีโทรทัศน์ช่องไหนเอาไปออก ไม่ขานรับด้วย แต่เห็นว่าเป็นของในหลวง เป็นพระราชดำรัสของในหลวงก็เลยไม่แตะไม่กล้าวิจารณ์ ลึกๆนึกๆก็คงว่าช่องบุญนิยมบ้าหรือเปล่าเอามาออกเป็นประจำเลย
ขออภัย อย่าหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือเปล่า เขาคงหาว่าอาตมาไปส่งเสริมในหลวง ในหลวงตรัสว่าต้องมาเอาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ไปส่งเสริมอะไร? ใครจะหาว่าจะมาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็แล้วแต่ แต่อาตมาว่าในหลวงตรัสไว้ถูกแล้วมีพระปัญญาธิคุณยอดเยี่ยม ตรัสว่า ถ้าจะมาแก้ปัญหาบริหารประเทศแบบเอาทฤษฎีแบบคนจน ถ้ามาศึกษาปฏิบัติให้ได้ จนคนไทยเป็นนักกล้าขาดทุน ไม่ต้องไปเอากำไรเลย ไม่ต้องกำไรชาวโลกไม่ต้องกำไรกันและกัน มีแต่ขาดทุนให้กันและกันประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจเป็นประเทศที่เจริญที่สุดในโลก
อาตมาสนับสนุนส่งเสริมในหลวง ใครจะหาว่าบ้าบอเลอะเทอะก็ช่าง อาตมาว่า พูดด้วยสัจธรรมความจริง เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องทวนกระแสโลก เป็นความเข้าใจที่ต้องมีภูมิปัญญาจริงๆ
ทีนี้ขออภัยอีกครั้ง อาตมาประสบความสำเร็จ พาให้คนมาศึกษาทฤษฎีพระพุทธเจ้าให้มาจน มาตั้งใจจน เต็มใจจน มาปฏิบัติตนให้เป็นคนจน จนสำเร็จ
อาตมายังนึกเลยว่า นี่หมู่บ้านราชธานีอโศกเป็นคนจน อยู่ในระดับที่ 5 อาตมาว่า ไม่มีความรู้ในการตรวจสอบ ต้องเป็นระดับที่ 1 สิ เขานึกว่าหมู่บ้านอื่นเขาจนกว่าราชธานีอโศก แต่จริงๆแล้วชาวอโศกนี้จนกว่าทุกหมู่บ้านโดยค่าเฉลี่ย แต่เขาไม่รู้ก็เลยคำนวณอย่างไร ตรวจสอบอย่างไร เขาคำนวณไม่ออกหรอก ที่อาตมาพูดเช่นนี้ เพราะพวกเราตั้งใจจน มาเต็มใจจน แต่พอมีบ้าง แล้วไม่ได้อยากมีมากอะไร แต่ก็มีประสิทธิภาพมีความขยันหมั่นเพียร สร้างสรรทำงานเป็นส่วนได้ส่วนมีหมุนเวียนออกไป แต่ไม่สะสม มีก็นิดๆหน่อยๆ เพราะฉะนั้นจึงอยู่ในอันดับที่รวยเพราะใช้ได้ จนในระดับที่ 5 แต่จนระดับที่ 4 3 2 ก็แย่กว่า อ้าวหมู่บ้านจนอันดับหนึ่งคงไม่มีกินมีใช้อะไรเลย
คนจนอันดับแรกคือคนไม่มี ถ้าคนมีก็คือคนรวย
ทำไมเขาไม่มี
1. มันขี้เกียจ มันไม่ทำอะไรก็ต้องจนแน่
2. มันผลาญพร่า
3. มันพิการ ทำอะไรไม่เป็นอีเดียดโมรอล ไร้สมรรถนะก็เลยจน
แบบนี้เขาทำอย่างนั้นก็เลยจน แต่คนจนที่เป็นคนจนมหัศจรรย์เป็นคนจนอาริยะ เป็นคนจนแสนประเสริฐ อันนี้ศาสนาพุทธสอน ในหลวงตรัสว่า มาเอาแบบคนจน เป็นคนจนผู้ประเสริฐ เป็นคนจนที่
1. เป็นคนเลี้ยงง่าย
2. บำรุงง่าย
3. กล้าจนหรือมักน้อยอัปปิจฉะ
4. ใจพอสันตุฏฐิ
5. มีการขัดเกลาใจ
6. มีศีลเคร่ง แต่มีศีลได้แล้วท่านไม่รู้สึกเคร่ง แต่คนอื่นจะมองว่าเคร่ง สุดโต่งไป เช่น เขาว่าคนอโศกกินมื้อเดียว ไม่ใส่รองเท้าเอาแต่ทำงานสารพัดจะว่าอโศก คนที่ไม่เข้าใจ ธูตะ ไม่เข้าใจว่าคนที่มีศีลเคร่งได้ด้วยความสบาย เขาจะรู้สึกว่าเป็นคนสุดโต่ง
7. ปาสาทิกะ เป็นคนมีอาการน่าเลื่อมใส กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม
8. ไม่สะสม ทั้งวัตถุและกองกิเลส อปจยะ
9. ยอดขยัน ขยันเสมอ ปรารภความเพียร เป็นคนขยันอยู่เสมอ แต่จน ขยันแต่จน ขยันสร้างสรรแล้วมีความสุจริต ไม่เอาเปรียบเอารัดอีกต่างหาก ก็สร้างสรรมี แต่จน มี แต่จน เพราะไม่เอาไว้มากมันจึงมีน้อย คนมีน้อยคือคนจน คนมีมากคือคนรวย คนมีน้อย แล้วอยู่ได้อย่างสบาย อิ่มหนำสำราญ อยู่ได้อย่างเบิกบานร่าเริง อยู่ได้อย่างแข็งแรงสุขภาพดี อยู่ได้อย่างสดชื่น Fresh up เป็นคนจนประเสริฐตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เรามุ่งหมาย
ว่าให้มาเอาแบบคนจน มาขาดทุนดีกว่า แล้วเป็นคนจนได้ไหม ขาดทุนได้แต่อยู่ได้ เขาเรียกว่าคนเหนือคน คนแบบนี้เป็นคนเหนือคน อยู่ได้อย่างเบิกบานแจ่มใสยินดีปรีดาอยู่ได้อย่างเป็นสุข อยู่ได้อย่างสงบสงัดอบอุ่น เป็นคนจนที่ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นคนจนที่เกื้อกูลผู้อื่นเสมอด้วย แล้วในกลุ่มตนเองอุดมสมบูรณ์ คนจนที่อุดมสมบูรณ์มีอยู่มีกินมีใช้ สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยหรูหราฟู่ฟ่าไม่มี ไม่นิยม แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิตอุดมสมบูรณ์ แต่สิ่งฟุ้งเฟ้อหรูหราไม่ต้องสะสมไม่มี นี่คือคนรู้จักสาระ ผู้รู้จักสาระทำชีวิตให้เป็นสาระ
เพราะฉะนั้นการจะบริหารประเทศ แบบคนจน หรือแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเราที่ในหลวงท่านได้สรุปลงไปแค่ว่า เศรษฐกิจพอเพียง มาบริหารแบบคนจนนี่แหละคือเศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่ ประเสริฐ ให้ประเทศเป็นคนจน เราไม่รวยเราไม่อยากรวย แต่เราก็รวยพอสมควร ในหลวงท่านได้ตรัสว่า เราไม่อยากก้าวหน้าอย่างชาวโลกเขา ก้าวหน้าอย่างชาวโลกเขานั้นยิ่งถอยหลัง ถอยหลังอย่างน่ากลัว
ท่านตรัสสั้นๆ ทำไมเจริญแบบโลกๆร่ำรวยหรูหราเหมือนอย่างธัมมชโยพาให้ร่ำรวยแล้วมันเป็นเรื่องถอยหลังอย่างน่ากลัว จนกระทั่งยังไม่รู้ว่ามุดถอยหลังไปอยู่ไหนเลย เห็นความถอยหลังอย่างน่ากลัวไหม จนมีคนบอกว่าออกนอกประเทศแล้ว แต่หมอมโนยืนยันว่ายังอยู่ในประเทศไทย อยู่ในรูนั้นแหละ และเจาะได้เจาะดี มีหมายเรียกจับ แต่ทำไมยังไม่ตามจับให้ได้ จริงๆแล้วนี่ มันจะเข้าข่ายผิดกฎหมายมาตรา 157 หรือเปล่า ข้าราชการ ปล่อยปละละเลยไม่เอาคนผิดมาลงโทษ มีหมายเรียกด้วย แล้วตามไม่ได้ หนึ่งแสดงว่าไร้สมรรถภาพ สองไม่ทำตามหน้าที่ มันเป็นยังไง ขออภัยอาตมาพูดกระตุกให้ ต้องการให้มันชัดเจน มันเป็นเรื่องคาราคาซัง ประเทศถ้าจะมาปล่อยให้คนปลุกเร้าเอาแต่รวยไม่รู้จักสิ้นสุด โดยไม่มีที่สิ้นสุด ปล่อยบ้าบออะไรเหมือนอย่างธัมมชโยเขาปลุกเร้า แบบนี้มันค้านแย้งกับในหลวงที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในประเทศ มันผิด ใครก็ตามที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตรัสให้เอาแบบคนจนก็มาศึกษา เป็นของแบบพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งประเสริฐ ถ้าทำได้อย่างที่ในหลวงตรัสว่ามาเอาแบบคนจน ทุกคนเข้าใจว่าไม่ต้องไปมีชีวิตร่ำรวย มาให้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มีเจตนาทิศทางต้องพยายามไม่เอามาก ต้องพยายามลดลงให้ได้ เจตนาและปฏิบัติให้จริงได้ คือความจบ คือความพอเพียง แต่นี่ไม่ได้พยายามอธิบายไม่พยายามให้เป็น ในประเทศไทยมีคนที่พยายามทำอยู่คือกลุ่มคนอโศก
กลุ่มคนอโศก ทั้งพากเพียรทำตนทั้งชี้ชวน เอาโฆษณาให้มาจนกัน มันนัยลึกซึ้งว่า จนแล้วอดอยากทุกข์ยากไปเดือดร้อนผู้อื่นหรือไม่ ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ไม่อดอยากไม่ลำบากลำบน ไม่ไปเบียดเบียนวุ่นวายก่อความเดือดร้อน มีแต่ก่อความอุดมสมบูรณ์ ความเกื้อกูลช่วยเหลือกันและกันด้วยซ้ำ นี่เป็นธรรมะโลกุตระเหนือโลกีย์สามัญ เหนือความรู้สามัญของมนุษย์ธรรมดา เป็นความรู้ลึกซึ้งซับซ้อนว่าจนแล้วไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร จนยังอุดมสมบูรณ์อย่างไร
จนแต่แข็งแรงอยู่กันอย่างเป็นสุขสงบอบอุ่นได้อย่างไร ทำไมไม่แย่งชิง ไม่ตีรันฟันแทง เป็นความซับซ้อนลึกซึ้งเป็นความลึกซึ้งที่ซับซ้อน นัยยะลึกซึ้งซับซ้อนเป็นนัยยะโลกุตระที่คนเข้าใจปฏิบัติได้ ได้ชื่อว่าเป็นคนเจริญ เรียกว่าอาริยะ Civilization เป็นความเจริญที่เยี่ยมยอด เพราะฉะนั้นเมืองไทยมันน่าเสียดาย ที่ผู้บริหารนักวิชาการเรียนมา หัวผุหัวพัง แต่ไม่เข้าใจนัยยะสำคัญของพระพุทธเจ้าและในหลวง จะเป็นเพราะว่ารังเกียจพระโพธิรักษ์อธิบายหรือไม่ จะให้อาตมาหยุดคุณจึงจะเอาเรื่องแบบคนจนไปทำหรือ
ถ้าเข้าใจได้แล้วมาประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นความเจริญของชาติเป็นอาริยะประเทศที่เจริญยิ่งกว่าอเมริกาคือประเทศไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอังกฤษ เดี๋ยวประเทศอื่นใดก็แล้วแต่ เพราะเป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า
ยกตัวอย่างชาวอโศก มาปฏิบัติตนเป็นคนจนได้จนสำเร็จ กินไม่มากใช้ไม่มากสะสมไม่มากไม่สะสม สร้างสรรมากขยันมาก และก็เอาไปบริจาคเกื้อกูลอนุเคราะห์ช่วยเหลือแจกจ่ายผู้อื่น ทำอย่างจริงๆจังๆ ทำกันอย่างใจจริง ทำอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ทำโก้เก๋อวดอ้างหรือไม่มีปัญญา ไม่ใช่เลย แต่เป็นการทำอย่างรู้และเข้าใจชัดเจน
การปฏิบัติ หรือเรียนรู้จนทำได้สำเร็จ และเอามาชวนกัน ปฏิบัติประพฤติกัน ถ้าคนไทย นักวิชาการก็ดี ผู้บริหาร เข้าใจ แล้วปฏิบัติอย่างชาวอโศก งานบริหารแบบคนจนเป็นอย่างไร จะอยู่ได้อย่างไร จะมีความสุขอย่างไร สังคมจะสงบสุขอบอุ่นจะยั่งยืนหรือ เป็นคนจนอย่างไร
ก็ต้องมีการมาลดกิเลส ลดกิเลสให้ได้เป็นคนขาดทุนให้แก่ผู้อื่นให้ได้จริง
ขอถามพวกเราหน่อยว่า พวกเรานี่ ทุกวันนี้พวกเราได้ขาดทุนให้แก่สังคมไหม อาตมาว่าพวกเราขาดทุนให้แก่สังคมถึงขีดพอสมควรแล้วนะ สนองพระราชดำรัสในหลวงได้ มาเป็นแบบคนจนขาดทุนของเราคือกำไรของเราได้จริง เสร็จแล้ว เราถูกสังคมประท้วง พวกอโศกนี่บ้าๆบอๆ ปล่อยให้เขาบ้าไปเถอะ เขาจะทำเหมือนชาวอโศกไม่มีอยู่ในสังคมประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสารมวลชน นักวิชาการ ผู้รู้ ผู้บริหาร เหมือนไม่มีอะไร เหมือนไม่มีชาวอโศกอยู่ในประเทศไทย มันน่าว้าเหว่เนอะ lonesome ๆ
สมณะฟ้าไทว่า...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:41:16 )
รายละเอียด
600814_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ไตรสิกขาให้ถึงทักขิเนยบุคคล 7
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2560 ที่บ้านราชฯ ชีวิตเราก็คงดำเนินไป จนกว่าจะสิ้นชีวิต ก่อนจะสิ้นชีวิต ก็มาสั่งสมกรรมดีกัน… มีญาติธรรม ที่เพิ่งทำการฌาปนกิจศพไปไม่กี่วัน คือคุณยายคำผ่อน พรมโสภา เป็นมะเร็ง ก่อนตายก็ได้มาต่อสู้ ไม่ทิ้งสนามรบ มาอยู่วัดได้ และขวนขวายกิจน้อยใหญ่ของหมู่กลุ่ม เป็นชีวิตที่มีคุณค่ามาก
ที่บ้านราชน้ำท่วม แต่การงานเราก็ไม่ได้ลดลง การฟังธรรมก็ไม่ได้ลดหย่อน ชุมชนอื่นส่งข่าวว่าจะเอาพืชผักผลไม้มาช่วย เราก็ขอขอบคุณ แต่ตอนนี้ก็ยังพึ่งพาตนเองได้อยู่
พ่อครูว่า...เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ปัจจุบันมีผู้เขียนมารายงานให้ฟังบ้าง ประทับใจ โฮมแฮง ช่วยกันแก้ปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ของราชธานีอโศกยิ่งนัก วันกรอกทราย ทุกคนรู้และเข้าใจว่าตอนนี้ชุมชนเรากำลังเผชิญอะไรอยู่ จึงออกมาช่วยกัน กรอกทรายสามกองหลวงกระสอบปุ๋ย เตรียมการทำคันกั้นน้ำปกป้องโรงปุ๋ยให้ปลอดจากภัยน้ำท่วม พอมาถึงวันนี้น้ำมาช้ากว่าที่คิด เกิดผักตบชวาลอยเต็มไปหมด พ่อครูให้สัญญาณว่า ปุ๋ยชั้นดี ลอยมาถึงหน้าบ้านแล้ว พวกเราก็โฮมแฮงเอาผักตบชวามาทำแพผักปลูกผักไว้กินตอนน้ำท่วม ส่วนปุ๋ยก็นำไปขายในราคาต่ำกว่าทุนได้อีก
ปีนี้ขนปุ๋ยไปขึ้นเทรลเลอร์ยาว ออกไปขายที่กุดระงุมและอุทยานบุญนิยม โดยมีกำลังสำคัญคือศิษย์เก่าสัมมาสิกขาและศิษย์ปัจจุบันที่กำลังศึกษามาช่วยกันเป็นหลักเป็นเรี่ยวแรงให้อย่างดี ทำให้กระบวนการร่วมด้วยช่วยกันเป็นไปอย่างราบรื่น ประกอบกับผู้ปกครองพ่อแม่นักเรียนของสัมมาสิกขาราชธานีอโศก มาร่วมงานวันแม่พอดีเลย จึงเป็นโอกาสให้บำเพ็ญสะสมกรรมอันเป็นกุศลร่วมกันอย่างอบอุ่น วันแม่ปีนี้ วันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา น้องน้ำจึงเป็นสายน้ำแห่งความอบอุ่นของบวร ราชธานีอโศกอย่างแท้จริง
ทีนี้ส่วนอุทยานบุญนิยม ในช่วงนี้น้ำท่วม อุทยานบุญนิยมกับสวนอุทยานไม่เหมือนกันนะ ปีนี้มีญาติธรรมหนีน้ำไปช่วยงานที่อุทยานบุญนิยมก็ทำให้สะดวกไม่ต้องเดินทาง แต่ต้องเตรียมวัตถุดิบกันหน่อย
อีกกิจกรรมคือรายการตามหาพระโสดาบัน … (บันทึกไม่ทันบางส่วน)
เราก็เอาความจริงของผู้รู้มาสื่อกันให้รู้ทั้งภายนอกและภายใน ภายในนั้นพิสูจน์กันรู้ไม่ได้ง่ายๆหรอกนั่งเพ่งกัน อาตมาไม่เอาเรื่องนี้เป็นหลัก เอาเรื่องที่กลุ่มรับรู้สัมผัสกันภายนอกได้ แล้วก็อ่านไปถึงภายในจิตได้ มันมีหลักเกณฑ์หลักสูตรพระพุทธเจ้าเป็นบัญญัติทฤษฎีทุกอย่างเลย ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น เราก็เอาความจริงอาศัยสิ่งจริงนี้อยู่ในสังคมมนุษยชาติ เราเกิดยุคนี้ก็เอาจริงใจตามภูมิ ไม่มีดัดจริต ไม่มีอกุศลอะไร
ความเป็นบวรนั้นง่ายต่อการเข้าถึงมาก เพียงแต่ผู้ศึกษาเองต้องลงทุนแสดงศักยภาพในส่วนบทบาทของตนตามให้ทัน ผู้ถูกศึกษา เท่านั้นเอง
การศึกษาแบบอย่างโลกๆเขาที่ทำกัน บางที พ่อครูก็นำพาชาวอโศกทิ้งห่างไปไกลมากแล้ว ไม่ต้องมากก็ได้ เราไม่ดูถูกไม่ได้ทิ้ง แต่เรื่องฟุ่มเฟือยเราไม่เอา ไม่ต้องมากนัก เช่น การเข้ามาจัดบรรยากาศห้องเรียน อันนี้ข้างนอกต้องจัดให้มากมีจิตวิทยา แต่ของเราเป็นของจริงอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นมากหรอก พวกเราก็ทำอยู่แล้วไม่ต้องมากเรื่อง เช่น บรรยากาศห้องเรียนอโศก
หากจะบอกผู้วิจัยตามหาพระโสดาบันอย่างนี้ใช้ได้ไหม
พ่อครูว่า...ก็ใช้ได้ ช่วยกันแนะนำบ้าง comment
SMS จากเฟซบุ๊ค
_Honey Boogy · สงสัยต้องตั้งตบะ กินทุเรียน โชคดีชะมัด เกลียดทุเรียนสุดๆ เหม็น เหม็น เหม็น
_สาคร เวียนตระกูล · อเจลกัสสป ปริพาชก กับพระมหากัสสป ใช่องค์เดียวกันหรือเปล่าครับ?
พ่อครูบอก ไม่ใช่ คนละองค์
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อุทิสมังสะ คือเจตนาฆ่าสัตว์
_น้องแสนดี 11 สิงหาคม 2559 ตอน 2 ถ้าไม่รู้ รับไว้ ก็ไม่ผิด
ลองค้นในชาดก เจอเรื่องหนึ่งน่าสนใจครับ
เกี่ยวกับ การยัดข้อหาใส่ร้าย ด้วยการถวายของคือเนื้อแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วหาเรื่องใส่ร้ายท่านว่า ทรงรับเนื้อที่ฆ่ามาเฉพาะเจาะจงทั้งที่รู้
(คือรู้นะว่าสัตว์นั้นตายลงเพราะท่าน ถ้าในทางศีลพระแล้วถือว่าห้ามฉันครับ)
พ่อครูว่า...คำว่าเจาะจงคือ เจาะจงฆ่า ไม่ใช่เจาะจงให้คนนั้นคนนี้ฉัน
มีสองสูตรที่บอกไว้
องค์ 5 ของปานาติบาต
1.สัตว์ยังมีชีวิต
2.รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
3. มีเจตนาฆ่า
4. ลงมือพยายามฆ่า
5. สัตว์นั้นตายลง
คำว่าอุทิส คือ เจาะจง เจตนาให้ตายลง คือสัตว์ตายด้วยเจตนาฆ่าของคน ท่านขยายตั้งแต่ สัตว์นั้นมีชีวิต เราก็รู้ว่ามีชีวิต เราต้องหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงไม่ใช่ไปทำชีวิตมันให้หมดไป แม้แต่สัตว์เซลล์เดียว มันอาจพัฒนาไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ไปตัดตอนวิบากได้อย่างไร ระวังเถอะ
เรื่องเจตนาฆ่าสัตว์ ทีนี้อีกสูตรหนึ่งในชีวกสูตร หรือสีหสูตร ก็ไปอ้างบริสุทธิ์โดยส่วนสามคือ ไม่จำเพาะเจาะจงบุคคล แต่ที่จริงพยัญชนะมีเพียง สัญจิตจ ปานาชีวิตัง โมโรเปตุง แต่ไปแปลเพี้ยนไป สัญจิตจ คือเจตนา ปานาคือชีวิต ชีวิตังคือชีวิต โมโรเปตุง คือทำให้ตายไป ก็ตรงๆแค่นี้
อาตมาก็เลยได้อันนี้ชัดเจนใน ชีวกสูตร สีหสูตร ยืนยัน ความลึกซึ้งของบาปบุญ โดยใช้คำว่า ไม่ใช่บุญเป็นอันมาก แต่เป็นบาปเป็นอันมาก ตั้งใจฟังคำความนี้
ไม่ใช่สิ่งที่ทำแล้วเป็นบุญคือกำจัดกิเลส แต่ได้บาปเป็นอันมาก บาปนี้สะสมได้ แต่บุญไม่มีการสะสมได้
ในสูตรนี้ได้บาปเป็นอันมากเพราะคือ
ทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ (ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ)
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) แต่เขาแปลเลี่ยงไปว่า เจาะจงนำสัตว์ไปให้คนชื่อนี้ๆกิน คนนี้จะกินไม่ได้...มันก็แปลกมากนะ ไม่น่าจะแปลเป็นเช่นนี้
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
พ่อครูว่า...อาตมาสรุปว่าใครต้องการจะกินเนื้อสัตว์ก็กินไปเถอะ แต่ถ้าถึงครั้งคราวจะต้องกิน ก็กิน เขาอ้างในพระไตรปิฎกมาด้วย แล้วพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ากินก็กิน ถ้ามันจะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่มันร้ายร้าย กับผู้ที่มีจริตแบบหมาจิ้งจอก ในสิคาลวรรค ท่านก็ประชดเสริมไปว่า ถ้าเธอแน่จริง ท่านแปลรวมว่าเป็นคนไม่ดีมีอยู่สามสัตว์มีคำว่า หนฺตฺวา ฆตฺวา วธิตฺวา จ
a รวมสามคำนี้ ท่านแปลว่าผู้ไม่สำรวม แต่ที่จริงแปลว่าผู้โหดร้าย การแปลว่า ผู้ไม่สำรวม จึงไม่ถูก ซึ่งเป็นการแปลแบบเบี้ยวบาลี ทำให้อ่อนลง เพราะท่านผู้แปลเป็นผู้ที่กินเนื้อสัตว์อยู่นั่นเอง
ลองมาดูนะครับว่า ท่านจะว่าอย่างไร และผิดหรือไม่... ห
อรรถกถา พาโลวาทชาดก ว่าด้วยคนมีปัญญาบริโภค
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา เสด็จเข้าไปอาศัยกรุงเวสาลี ทรงปรารภสีหเสนาบดี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า หนฺตฺวา ฆตฺวา วธิตฺวา จ ดังนี้.
ความย่อมีอยู่ว่า สีหเสนาบดีนั้นถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งแล้วนิมนต์ไปถวายภัตตาหารปรุงด้วยเนื้อ. พวกนิครนถ์ฟังข่าวแล้วไม่พอใจ ใคร่จะเบียดเบียนพระตถาคตเจ้า จึงกล่าวใส่ไคล้ว่า พระสมณโคดมเสวยเนื้อที่เขาอุทิศถวายทั้งที่รู้อยู่.
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย นิครนถนาฏบุตรกับพวกบริษัทเที่ยวใส่ไคล้ว่า พระสมณโคดมเสวยเนื้อที่เขาอุทิศถวายทั้งที่รู้อยู่.
พ่อครูว่า...อันนี้ถ้าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติการกล่าวว่า กล่าวใส่ไคล้ของนิครนถ์ ก็จะไม่มีผลอะไร แต่นี่เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์ จึงเป็นเหตุให้นิครนถ์ เอามาโพนทะนา ใส่ไคล้
ก็ใครจะกินก็นิมนต์ แต่เราไม่กินกันแล้ว เป็นปกติ
อันที่เขียนต่อมาก็ไม่อ่านแล้ว ก็เมื่อคุณจะรับประทานก็หาเหตุผลมาอธิบาย แต่เราไม่เสียเวลาเสียพลังงานไปวิจัยแล้ว เพราะพูดมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ลงท้ายก็ใช้อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าความเห็นของเธอกับความเห็นของเรานั้นคนละอย่างกันแล้ว คุณจะกินก็แล้วแต่ แต่เราไม่กินก็จบ ไม่ทะเลาะกันเราไม่ได้ไปแย่งของคุณด้วย เราไม่เป็นคู่แย่งแล้วดีจะตายไป
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน เนกขัมสิตะเวทนากับเคหสิตเวทนา
_จาก ลอย แคนาดา กราบขอบพระคุณพ่อครู และสมณะครูอย่างสูง เป็นคำสอนที่ลึกซึ้งยิ่ง
ผู้นำมาถ่ายทอดเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากของศตวรรษนี้ เขาคงศึกษาพุทธธรรมอย่างลึกซึ้ง
ขออนุญาตเรียนถามต่อในโอกาสหน้าว่า ความแตกต่างของอุเบกขาเนกขัมสิต กับ อุเบกขาเคหสิต วัดที่ ตัณหา ว่าเกิดหรือไม่เกิด ใช่หรือไม่ครับ
อุเบกขาเนกขัมสิต คือ อาการหยั่งรู้ ที่ไม่ยินดี ยินร้าย ผมเข้าใจถูกไหมครับ
พ่อครูว่า...ปฏิบัติเกิดผลก็เรียกว่า เนกขัมมะ เป็นส่วนบุญคือทำให้กิเลสลดลง จางคลายลงเรื่อยๆ คุณเข้าใจถูกต้องว่า เป็นปัญญาของเราที่เรารู้ว่าเราทำออก เนกขัมมะ ทำให้กิเลสจางคลาย ดับได้ จนกลายเป็นความไม่ยินดียินร้าย อุเบกขา อย่างนี้ เข้าใจถูกแล้ว ซึ่งคุณจะรู้ได้จริงๆจะต้องเรียนรู้อาการของจิต โดยเฉพาะอาการเวทนา พระพุทธเจ้าท่านสอนเวทนา 108 ตรงที่เรียกกันอย่างสำคัญว่ามโนปวิจาร คือพฤติกรรมของจิต ลีลาเคลื่อนไหวของมโนที่คุณทำให้เกิด
ทำด้วยวิชชาเป็นเนกขัมมะ ทำด้วยอวิชชาเป็นเคหสิตะ คุณทำได้จิตคุณมีสัญญากำหนดอ่านเป็นปัญญา รู้จริงๆ เห็นอาการมันเข้าใจอ่านออกได้ ว่าจิตเราควรมีอาการที่ต่างจากเคหสิตะ คือคุณอาศัยอย่างนี้อยู่คุณยึดอันนี้อยู่ตั้งนานแล้ว ทีนี้คุณทำได้มีสูตรใหม่ของพระพุทธเจ้า คุณก็ได้พอใจ เราพอใจที่ทำไม่เอา วางจางเลิกละก็ต่างกัน จึงเรียกว่าเป็นคนละเรื่องกัน เรียกว่าอัญญะ
แต่ก่อนนี้เราเอาเต็มที่ แต่ตอนนี้เราทำออกๆๆ
คนที่ไม่เข้าใจ อาการของเคหสิตะ เป็นกิเลส เป็นองค์ประชุมของรูปนามเป็นสักกายะ ต้องมีจิตของคุณไปรู้ คุณต้องมีตัวรู้ ถ้าไม่รู้ก็มีแต่รูป แล้วไม่มีตัวนามไม่มีตัวคุณเลยคุณไม่ได้ไปรู้ตัวนี้ แล้วจะไปปฏิบัติอะไร ต้องมีนามธรรมตัวรู้ จึงจะปฏิบัติธรรมได้ เป็นกายต้องเอาที่ตัวรู้ กายต้องกำหนดว่ามีธรรมะสอง ทำตั้งแต่โอฬาริกอัตตา แล้วทำ รูปอัตตา อรูปอัตตา แม้แต่ มนายตนะ กับธรรมมายตนะ คู่สุดท้ายตัวในเลย ก็ต้องรู้สิ่งที่ถูกรู้คือรูป แม้เป็นอรูปก็ถูกรู้ ตัวรู้คือ Subject ตัวถูกรู้คือ object มันก็ทำให้เป็นหนึ่งได้ เวทนาเป็นหนึ่ง แม้จะกระทบอีกมันก็นิ่ง เป็น 1 และทำถึง เป็น 0 ได้ไม่มีได้ ก็รู้สภาวะของนปุงสกลิงค์ ไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบแม้นิดแม้น้อย แม้จะเหลือเศษ ท่านก็ตัดเป็นพระอรหันต์ได้ หมดอาสวะแล้ว อาจเหลืออนุสัยได้ ก็เป็นพระอรหันต์ อาสวะมี 10 อนุสัยมี 7
ย ตัวต้น ว เป็นตัวต้นเหมือนกัน แต่เป็นเส้าที่สอง
ย เริ่มต้น ล
ส่วน ว ส ห อีกอันหนึ่ง เศษวรรค ฬ อํ สองเส้านี้เขาก็เอาพยัญชนะ ตัว ย กับตัว ว มาใส่ ก็สลับไปมา อธิบายได้ยากสภาวะที่กลับจะเปลี่ยนสภาพ เป็นเรื่องอจินไตย ผู้ยึดมั่นถือมั่นก็ต้องยอมเขา แต่คนไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ละเหตุองค์ประกอบมันคนละเหตุปัจจัย มันไม่เที่ยง ผู้ที่รู้สภาวะจริงแล้วจิตสะอาดบริสุทธิ์เป็นหลัก คนยึดอยู่ก็ยึด เราก็ไม่ทะเลาะอะไรกับใครก็จบ
ตกลง สรุปอันนี้ให้คุณลอยว่าจิตเป็นกลางอุเบกขา ซ้อนกัน คุณต้องปฏิบัติเวทนา 108 ให้ถึงอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน อาการอย่างนี้ ก็จะละเอียดสุขุมประณีต ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
จิตใจแข็งแรงขึ้นดีขึ้น ประเสริฐขึ้น ทำได้ตามต้องการมากขึ้นประเสริฐสูงสุด ถึงขั้นเป็นพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีใครทำได้เท่า นอกนั้นก็ทำได้ตามฐานะแต่ละคน ถ้าคุณเองศึกษาไปถึงสภาวะนั้นๆก็จะรู้ได้เอง
สรุปแล้ว เนกขัมมะ กับ เคหสิตะนี่แหละ เป็นตัวสำคัญของอาการเวทนาที่คุณต้องเรียนรู้สัมผัส มโนปวิจาร 18 เป็น เนกขัมสิตเวทนา กับ เคหสิตเวทนา มีทั้งสุข ทุกข์ อุเบกขา และเป็นทาง ทวารทั้ง 6 รวมเป็น 18 นี่คือมโนปวิจาร 18 คุณได้พยัญชนะก็ต้องศึกษาสภาวะจริง จนอ่านของจริง กำหนดรู้สัญญากำหนดรู้ อาการ ลิงคะ นิมิต อุเทส เห็นความต่างของมัน กำหนดรู้อย่างนี้เรียกว่าโกรธนะ อย่างนี้เรียกว่าโลภนะ อาตมาก็ทำ กิริยา ประกอบให้เห็นว่าต่างกัน แต่จริงๆแล้วมันไม่มีรูปร่างเคลื่อนไหวให้เห็น แต่เป็นนามธรรม คุณต้องอ่านของคุณเอง ในมโนวิญญํัติที่ ออกมาเป็นการเคลื่อนไหวภายนอก เราก็โยงเข้าภายใน หรือตัวมโนมันกระดุกกระดิก ก็ตัวสุดท้ายแล้ว คุณจะต้องอ่านของตัวเองให้ชัดเจนพึ่งพาคนอื่นไม่ได้แล้ว อ่านได้ชัดเจนก็ต้องเป็นปฏิภาณไหวพริบ มุทุภูตธาตุ เป็นปัญญาของคุณเองสุดท้ายต้องพึ่งตน อัตตาหิอัตโนนาโถ แต่ก็ต้องพึ่งลำลอง จากผู้รู้ท่านอื่นไปก่อนจนถึงที่สุดแห่งที่สุดก็ต้องพึ่งพาตนเองตัดสินเอง เป็นสุดท้าย
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน แตกตัวอัตตาจนหมดสุขหมดทุกข์ถาวร
_จาก สมณะพอจริง
คน= คำนาม+ คำกริยา
คำนาม คนคือ สัตว์ ประเภทหนึ่ง
คำกริยา คน คือ กวนสิ่งที่จับกันเป็นก้อน(ฆ) ให้แตกกระจายออกจากกัน (อุทธัจจะ)เป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น และคนสิ่งที่กระจายอยู่(อุทธัจจะ)ให้เข้าเป็นก้อน
(ฆ) เป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่น เพื่อปรับสมดุลในการทรงอยู่ทั้งรูปธรรมและนามธรรม
องค์ประกอบของคนมี 3 ส่วน
1. ตัวคน คือรูปขันธ์(อาการ 32)
พ่อครูว่า...อาการ 32(ทวัตติงสาการ) เป็นอาการของรูปกับนามทำงานร่วมกัน เช่น ตับ ไต มีรูปมีนามและมีอาการ
2. พฤติกรรม คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
สังขารขันธ์คือ
-กายสังขาร = กายวิญญัติและวจีวิญญัติ
-จิตสังขาร -วจีสังขาร = มโนวิญญัติ
รวมแล้วเป็น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
พ่อครูว่า..สรุปว่าไม่สุขไม่ทุกข์ เนกขัมสิตอุเบกขาก็ควรพอใจแล้ว พระพุทธเจ้าได้แจกแจงพยัญชนะไว้อีกเยอะ เผื่อพอแล้ว
ทำสองอย่างนี้คิอ ทำทุกข์สุขให้หมดไป กับแตกตัวอัตตาไม่ให้มารวมตัวได้อีก ต้องทำการสลายตัวตนพลังงานยึดติดของตนได้ ต้องรู้ พลังงาน จิตนิยาม พีชนิยาม แล้วอัตตาพีชนิยามของคุณจะพัฒนาเป็นจิตนิยามอีกก็ปล่อยมันเถอะ ถ้าคุณทำไม่สำเร็จ แต่ถ้าคุณแยกได้เป็นพีชะก็ไม่มีความสุขความทุกข์แล้ว หรือคุณจะแยกเป็นอุตุอีก ก็แล้วแต่ ค่อยๆทำจะรู้รายละเอียด อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ยังไม่เก่ง อาตมาก็อธิบายได้ขนาดนี้แหละ อาตมาไม่ได้วิตกเรื่องอย่างนี้แล้วยิ่งคุณทำได้จริงไปเรื่อยๆ ญาณปัญญาจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ อาตมาไม่ทิ้งหรอก ทำให้สู่สูงสุด ตั้งใจเป็นสัมมาสัมพุทธะสุดท้ายจะตกไปเป็นปัจเจกสัมb มาสัมพุทธะก็ไม่รู้ได้ ตั้งใจจะประกาศศาสนาของตนสักครั้งแล้วก็พอแล้ว หรือปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ภูมิเท่ากันแต่ไม่ได้ประกาศศาสนา
อาตมาก็นึกถึง พระพุทธเจ้าสมณโคดม เป็นพระพุทธเจ้าที่มาฆบูชาครั้งเดียวมีพระอรหันต์ 1250 องค์ ก็ท่านจะเป็นอีกสักสมัยได้ไหมก็ถ้าเข้าใจปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ กับพระพุทธเจ้า อาตมาไม่สงสัย จิตปัจเจกฯ อาตมาอาจไปถึงแค่นั้นก็ได้ แต่อาตมาหวังสูงไปถึงสัมมาสัมพุทธะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ พุทธุปาทกาละ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่นด้วยว่าจะประกาศศาสนาได้หรือไม่
สื่อธรรมะพ่อครู(โอวาทปาติโมกข์) ตอน สั่งสมกุศลในจิตไร้สำนึก
3.นิสัยคือวิญญาณขันธ์ (นิสัย วิสัย อาสวะ อนุสัย)
นิสัย = จิตสำนึก (จิตที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางทวาร 5 ได้แก่ ตาหูจมูกลิ้นกาย)
วิสัย = จิตใต้สำนึก (จิตที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางใจได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด)
อาสวะ .อนุสัย = จิตไร้สำนึก(จิตที่เก็บพฤติกรรมความเคยชินทางทวาร5 และความรู้สึกนึกคิด ไว้รอเวลากำเริบเมื่อมีผัสสะ)
ถาม สรุปแล้ว คนก็คือ ขันธ์ 5 อยู่ที่ว่าจะเป็นคนทั่วไป หรือ คนปกติ เท่านั้นเองใช่ไหม?
อาสวะและอนุสัยมักจะได้ยินว่า อาสวะกิเลส อนุสัยกิเลส ซึ่งเป็นการสะสมอกุศลจิต ถ้าเป็นการสะสมกุศลจิต จิตระดับนี้(จิตไร้สำนึก)เรียกว่าอะไร?
พ่อครูว่า...โดยสภาวะอาตมา ok ทั้งนั้นเลย อาตมาไม่มีปัญหา ถ้ามันไม่กำเริบ ทุกปัจจุบันสั่งสมเป็นอดีต เป็นที่ตั้งแข็งแรงๆๆ จนมั่นใจว่าอนาคตก็ต้อง 0 ตัดสินได้เลย มั่นใจเพียงพอจริง
แล้ว ถ้าเป็นการสะสมกุศลจิต จิตระดับนี้(จิตไร้สำนึก)เรียกว่าอะไร
พ่อครูว่า..ก็เรียกว่า จิต สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) เพราะว่าได้ สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)ไม่ต้องตั้งพยัญชนะใหม่ให้คุณอีก
ผู้ที่จบ โอวาทปาติโมกข์ 3 จึงมีแต่กุศลสั่งสมในจิต เพราะคนที่เป็นอรหันต์จะไม่ทำอกุศลอีกแล้ว ทำแต่กุศลถ่ายเดียว จะเป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้าที่ยังไม่สิ้นชีวิตปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ก็ไม่มีบาป ไม่มีอกุศล มีแต่กุศลๆๆ ก็เป็นกำแพงกั้น ไม่ให้บาปอกุศลที่เป็นหมาไล่เนื้อมาทัน เพราะมีแต่กุศลทั้งนั้นเลย ขนาด เป็นพระพุทธเจ้ายังมีบางตัววิ่งตามทัน แต่แน่นอนมันอ่อนแรงทั้งนั้นเลย กว่าจะวิ่งตามท่านทัน ก็แม้จะสั่งสมแต่กุศลสมบัติ แต่อกุศลสมบัตินั้นก็ไม่หายไปนะ ที่เคยทำไว้เก่าก็วิ่งไล่มาอยู่ กุศลอกุศลคือสมบัติ แต่บาป บุญ คือวิบัติ แต่บาปบุญเป็นส่วนอนุสัยได้ คือโง่แล้วสั่งสมเป็นสมบัติ ถ้าเอาออกหมดแล้วมันก็ไม่มี ใช้พยัญชนะสื่อสภาวะก็ละเอียด
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน กายกับไตรสิกขา
ศีล สมาธิ ปัญญา ที่จะต้องศึกษากันอย่างสำคัญ คือจะต้องรู้จักกาย ไม่อย่า งนั้น ไม่สามารถปฏิบัติโลกุตรธรรมได้ กายนั้นไม่ใช่ตัวเรานี้รู้ได้ง่าย ดินน้ำไฟลม ภายนอกก็รู้ได้ง่าย แต่ถ้าแม้ดินน้ำไฟลมจะมาสังเคราะห์เป็นตัวเรา ก็ต้องแยกให้ได้อีก ส่วนนอกที่ไม่ใช่กายนี้หั่นขาดได้ง่าย แต่ที่เป็นตัวเราอยู่นี่ กายคือรูปและนาม กายไม่มีเดี่ยวจะต้องมีสอง
รูปและนาม ที่พระพุทธเจ้าให้เป็นมูลกรรมฐาน 5 คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เอาเล็บ เป็นตัวอย่าง
เล็บส่วนที่ไม่ใช่กายไม่มีจิตไปร่วม มันยาวได้ คือเพราะว่ามันเป็นพีชะ จะหั่นออกไปอย่างไรก็ไม่เจ็บ เพราะไม่เกี่ยวเนื่องกับเส้นประสาทที่มีจิตร่วมอยู่ อันนั้นไม่ใช่กายเราแล้ว แต่เป็นพีชะ เป็นชีวะในตัวเรายังยาวได้ คนถึงทึ่ง ที่ไม่รู้รายละเอียดในพระสายพวกนั่งหลับตาเจโตสมาธิ เหมือนไม่ยอมตาย ที่จริงตายแล้วเป็นพีชะ ถ้ามีอาหารเลี้ยงอยู่ แม้ตายแล้วเล็บก็งอกยาวเนื้อหนังก็สดอยู่บ้าง เขาก็ทึ่งว่า มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช ก็คุณไปยึดอยู่ได้ ถ้าไม่ยึดก็สลายไปแล้ว แม้จะไม่มีวิญญาณแต่เหลือโมเมนตัม เป็นพีชะ เป็นมนุษย์พืช ถ้ายังให้อาหารมันอยู่ก็เหมือนการเลี้ยงพืชไว้จะอยู่อีกกี่ปีก็อยู่ได้ อาหารก็สังเคราะห์เหมือนกับพืช แต่วันหนึ่งก็ต้องมีวันสิ้นสุด จะเลี้ยงไว้อย่างไรก็ต้องมีที่สิ้นสุด
เล็บส่วนที่ไม่ใช่กายก็อย่าไปยึดสิ แต่คนก็ยึดติดกัน อย่าตัดของฉัน ของฉันสวยของฉันรักนะ ประคบประหงมทั้งที่มันไม่มีความรู้สึกแล้ว
แม้แต่คุณจะเล็บยาว พวกฤาษีเลี้ยงเล็บยาว จนไม่รู้ว่ากินข้าวได้อย่างไร เคยเห็นภาพที่เขาเอามาให้ดู ไว้ผมยาวก็มี มันเป็นโทษเป็นภาระด้วย
ถ้าศึกษาคำว่า กาย ไม่สัมมาทิฎฐิ ก็ปิดประตูบรรลุธรรมได้เลย
ในอานาปานสติ มีคำว่า กายสังขารัง ปัสสัมภยัง เขาก็เข้าใจว่าทำให้ร่างกายนี้ไม่กระดุกกระดิกเท่านั้น ก็ไม่ถูก เพราะหลับตาเอาแต่ลมหายใจเข้าออกเหลือกายคือลมหายใจ แต่ถ้าทิ้งลมหายใจก็ไม่ใช่กาย ไม่มีธรรมะ 2 ก็ไม่มีสัมมาทิฏฐิ เพราะไม่มีกายให้ปฏิบัติ ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 กรรมฐานคือเวทนา ถ้าทำอันนี้เป็นพระอรหันต์หรือเป็นพระพุทธเจ้าได้ เพราะเวทนาเป็นตัวใช้ ในเวทนา 108 ถ้าคุณไม่สามารถอ่านเวทนา จนทำเวทนา 108 ได้ แบ่ง มโนปวิจาร ได้ ทำเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนาได้ ทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีตที่แข็งแรง เป็นอุเบกขาได้ ทุกปัจจุบันทำได้ อนาคตก็ตัดสินได้ว่า 0
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตัดสินที่ทิฏฐธัมนิพพานทิฏฐิ ทิฏฐธรรมนี้เป็น เจตสิก เป็นความเห็นความรู้ ทิฏฐเป็นรูป เป็นกรรม สุดท้ายก็มีกาละกับกรรม ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิของพระพุทธเจ้าต้องมีปัจจุบัน ต้องมีธาตุรู้ ทิฏฐิ ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิจนเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ในกระบวนการ 6 ของปัญญา
ในศีลถ้าคุณปฏิบัติศีล แล้วคุณก็แยกกายกับจิต ศีลคุณปฏิบัติแค่กาย สมาธิก็ไปนั่งหลับตา คุณก็ไม่มีวันที่จะบรรลุอรหันต์ได้ จะได้แต่อรหันต์เก๊ อรหันต์ผิดๆ ทุกวันนี้คนก็ไปยึดถืออรหันต์เก๊เป็นอรหันต์จริง
กายคำเดียวนี้อย่างหนึ่ง บุญก็ตาม ปัญญาก็ตาม ที่อาตมาเอามาขยายความ พวกเราไม่เบื่อกัน เพราะมีความรู้เพิ่มเติมทีละนิดทีละหน่อยอีกได้
ศีล ไม่ใช่แค่กายกับวาจา ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน กิมัตถิยสูตร ศีล ทำให้เกิดการเจริญเป็นกุศล พอปลายของกุศลต้องเป็นบุญ เป็นการชำระกิเลส ถ้ากุศลของคุณไม่เกิดเป็นอัญญา ไม่เกิดปัญญา กุศลของคุณก็ไม่ได้ตรัสรู้ กุศลของคุณต้องเกิดอัญญาปัญญา แล้วทำให้กิเลสตายได้เป็นความฉลาดแบบโลกุตระ ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่มีคนไม่มีทาง ก็วนในโลกียะตลอด
ศีล หากไม่สัมมาทิฎฐิก็ไม่มีทางไปถึงอรหันต์ได้ มีแต่อรหันต์เก๊
สมาธิที่ไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิจริง แล้วจะเป็นได้อย่างไรอรหันต์ ป่วยการกลาวถึงปัญญา ก็ศีลเบื้องต้นผิด สมาธิผิด ปัญญาก็ไม่ได้ ไม่เป็นสัมมาปัญญา วิมุติจริงก็ไม่ได้ เป็นมิจฉาวิมุติ ตลอดกาล
สื่อธรรมะพ่อครู(ทักขิเนยบุคคล) ตอน ทักขิเนยบุคคล 7
ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นไตรสิกขาของพระพุทธเจ้าจะต้องสัมมาทิฏฐิ จึงจะมีวิมุติเป็นสัมมา พอวิมุติไปสนธิกับคำว่า ศรัทธา คำว่า ปัญญา ก็ตาม ก็ขออธิบายแถมว่าบุคคล 7
ตัวที่สี่ท่านไม่เรียกปัญญาวิมุติ ท่านเรียกทิฏฐิปัตตะ ตัวที่ห้าจึงเป็นปัญญาวิมุติเป็นอรหันต์แล้ว แต่กายสักขี ไม่ถือว่าเป็นอรหันต์ อาสวะบางอย่างสิ้นไปได้ แต่ไม่ถึงปลายสุด ยังมีสิ่งลึกลับอยู่ไม่เป็นอรหันตะ มีอัตตา อรหัตตผล ตัวที่ไม่ได้ตัดสิน คนที่มีกาย แล้วกาย เข้าใจว่าเป็นตัวภายนอก มีกายสักขี เหมือนงามพร้อมไม่ละเมิดอะไรเลย อย่างฤาษีทั้งหลาย อย่างเชน มักน้อยสันโดษ ไม่เบียดเบียน ไม่เป็นโทษภัยกับใครจริงๆเลย แต่ไร้ประโยชน์มากเลย อยู่กับภพชาติตัวเอง แก้ผ้า อยู่ป่าเขาถ้ำไป อากาศหนาวมาก็ทนได้ ฝน ร้อน ทนได้หมด พระพุทธเจ้าก็บอกว่า มันพาโล คือมากไปเวอร์ไป ไม่เป็นประโยชน์สูงประหยัดสุด ไม่เป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน
แต่ของพุทธ ประโยชน์สูงประหยัดสุดก็ยอมตนประโยชน์ท่านอันบริบูรณ์สมบูรณ์ที่สุด
สัทธานุสารี แปลว่า มีแกนศรัทธาแล้ว มาตามหาแก่นสาร กับแกนปัญญาแต่ไม่ท่านไม่เรียกปัญญา เรียกว่า ธัมมานุสารี
สายศรัทธา
1. สัทธานุสารี
3. สัทธาวิมุติ
5. กายสักขี
(ต้องอาศัยวิโมกข์ 8)
สายปัญญา
2. ธัมมานุสารี
4. ทิฏฐิปัตตะ
6. ปัญญาวิมุติ
(มีวิโมกข์ 8 มาตลอด)
ในสัทธาวิมุติ ต่อมาอีกเป็นทิฏฐิปัตตะหากเป็นสายปัญญา บรรลุปัตตะเข้าถึงบรรลุ ตามสัมมาทิฏฐิ หากไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่บรรลุทิฏฐิปัตตะ
หากสายสัทธา ก็มีเป็นกายสักขี มีองค์ประกอบภายนอกที่สมบูรณ์ได้ จนไปหลงว่ามีแต่กายนอก อย่างที่เขาถือว่าเป็นพระอรหันต์กันทั้งหลายในประเทศไทย ก็เป็นสายหลับตา ไม่ได้เรียนสัมมาทิฏฐิ ก็มีผลมีประโยชน์ต่อสังคมรอบ ต้องมีต้องอาศัย เพราะคนมีศรัทธาจริตมากกว่าปัญญาแบบของพระพุทธเจ้า มีเหตุปัจจัย กระบวนการองค์ 6 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ ถ้าไปนั่งหลับตาสะกดจิตไม่มีปัญญา หรือถ้ามีของเก่าก็จะรู้ของตนได้ แต่ถ้าไม่มีก็ไปสมมุติใหม่หรือระลึกได้แค่สัญญาของตน
จากสัทธาวิมุติกว่าจะข้ามเส้าเป็นทิฏฐิปัตตะ เรียกว่าธัมมาวิมุติก็ได้ แต่เป็นทิฏฐิปัตตะคือเข้าถึง ตามสัมมาทิฏฐิ ท่านยังไม่ใช้คำว่าปัญญา ต่อจากนี้ไปเป็นกายสักขีตัวที่ ห้า ก็ขั้นจากฐาน สัทธาวิมุติ เป็นกายสักขี อาจเป็นได้ถึงศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าจึงต้องกำกับว่าต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
สมณะเดินดินว่า...วันนี้ ทำอย่างไรวันคืนที่ผ่านไป เราจะทำให้ตนออกจากสุขทุกข์อย่างตั้งใจ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ตั้งใจ ทำ เป็นเฉยแบบเคหสิตะ แต่ต้องสัมผัสแล้วไม่อร่อยได้ ออกจากความสุขความทุกข์ได้ ทำอย่างไรเราจะแตกตัวอัตตาไม่ให้รวมตัวกันได้อีก ต้องตั้งคำถามว่าเราปฏิบัติธรรมแล้วเอาแต่ตัวเรามากขึ้นหรือเปล่า อย่างนั้น อาตมาคิดว่ายุคนี้ยุคบวร ต้องหมั่นประชุมตกลงกัน สิ่งเหล่านี้ เป็นองค์ประกอบให้เราลดความเอาแต่ใจตัว เอามติที่ประชุม ไม่ต้องคิดว่าให้ได้อย่างใจเรา อย่างที่พ่อครูว่าทำอย่างไรจะแตกตัวอัตตาไม่ให้มารวมตัวได้อีก ทำทุกข์สุขให้หมดไป สองข้อนี้คือ ปัญญาวิมุติ สัทธาวิมุติที่แต่ละคน จะได้เดินทางไปตามทางของตัวเอง
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:42:17 )
รายละเอียด
600816_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ไฟบุญชำระจริตหมาจิ้งจอกจนพ้นสัตตาวาส
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2560 แรม 9 ค่ำเดือน 9 ปีระกา ตอนนี้ที่บ้านราชฯน้ำก็ลดลง ที่อยุธยาก็จะมีการเกี่ยวข้าวกันตอนน้ำลด เป็นทุ่งรวงทอง ที่บ้านราชฯตอนน้ำลงก็หนัก เพราะมีคนมาซื้อปุ๋ยตอนนี้ ก็เป็นเรื่องโชคดี ขนกัน 800 กระสอบ ตอนเหลือ 50 กระสอบสุดท้ายต่างคนต่างหมดแรง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะต้องยกปุ๋ยจากสิบล้อหนึ่งไปอีกสิบล้อหนึ่ง ก็เลยหนัก ไม่เหมือนขึ้นปุ๋ยด้วยสายพาน เด็กๆก็ไม่บ่นกัน
ตอนเย็นผู้ใหญ่ก็ไปตามหาพระโสดาบันกันแถวแพผักมี 2 แพด้วยกัน เอาผักตบชวาขึ้นบนแพให้ได้ ก็สนุกสนาน มันไม่ร้อน เย็น แต่เหนื่อยเหลือเกิน ก็ว่าจะทำถึง 6 โมงครึ่ง สนุกสนานแต่ผักมันก็ยังไม่หมด ก็คงจะมีวันอื่นที่ไปขึ้นกันอีก แต่ก็เป็นอนิจจัง ดูว่าปีนี้ ที่ราชธานีอโศก ก็เหนื่อยกว่าทุกปี งานตลาดอาริยะคนก็ซื้อปุ๋ยมาก ตอนน้ำท่วมก็เหนื่อยขนของกัน แต่ปีนี้เหนื่อยเอาผักขึ้น เหนื่อยขายปุ๋ย แต่อาตมาพิจารณาดูแล้วว่าพระโพธิสัตว์คงเหนื่อยกว่าเราอีกเยอะ กว่าจะสร้างคนให้เป็นพระอาริยะได้ สร้างคนให้เป็นพระโพธิสัตว์สืบสานศาสนาต่อไปอีกก็คงต้องเหนื่อยอีกมาก ปั้นนามธรรมให้เป็นคนอาริยะได้นี่ไม่ใช่งานธรรมดา เป็นงานหนักมาก ให้คนเป็นคนพิเศษที่ไม่สามัญ
พ่อครูว่า...คนทั่วไปคือปุถุชนสาธารณะ แต่คนที่ไม่ใช่ปุถุชนไม่ใช่คนทั่วไป แต่คนไม่สามัญไม่ทั่วไปเหมือนปุถุชน เป็นคนที่ปกติ ที่อยู่ในบริบทของโลกุตระ คนเขาไม่อยู่ในบริบทโลกุตระก็จะบอกว่าไม่ปกติ
สมณะฟ้าไทว่า...ในญาณ 7 พระโสดาบัน ข้อ 3 ก็จะบอกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่จะสร้างอาริยบุคคลได้ ไม่ใช่ปุถุชนทั่วไปเขาเป็นได้ เป็นเฉพาะ มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น เป็นศาสนาวิเศษเฉพาะ เป็นศาสนาเดียวในโลกที่สลายตัวตนไม่ให้มาเกิดอีกได้ ศาสนาอื่นทำได้แค่เทวนิยม มีตัวตน ที่ไม่สิ้นสุดไม่จบ
พ่อครูก็เน้นประเด็นที่ว่าเราอยู่ในศาสนาพุทธสำคัญที่สุดคือทำให้เราพ้นสุขให้ได้ พ้นทุกข์ให้ได้เป็นสำคัญ ตอนไปย่อยธรรมะตอนเช้านี้ก็ถามพวกเราว่า ภาษาที่พ่อครูสอนเพียงพอให้เราบรรลุธรรมไหมก็ได้ แต่พ่อครูก็จะมาย้ำให้พวกเรามั่นใจขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุญเรื่องกาย พ่อครูก็ย้ำให้เกิดรายละเอียดมากขึ้น พวกเราก็ต้องฟังทวนฟังให้สม่ำเสมอ จะมีความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จะมีรายละเอียดในภาษาที่ทำให้เราเข้าใจสภาวะได้ลึกซึ้งมากขึ้น
พ่อครูว่า…เราก็มาโอภาปราศรัยก่อน
SMS วันที่ 14 สิงหาคม 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน รู้ก็สักแต่ว่ารู้ คืออย่างไร
_3867พ่อครูสอนจิตที่รู้เท่าทันทุกขเวทนา108ที่แบกทุกความรู้สึกทุกอารมณ์จากทุก ผัสสะ!แล้วทำใจในใจอย่างแยบคายรู้ก็สักแต่ว่ารู้ในปัจจุบันขณะนั้นจึงพ้นสักกายทิฏฐิได้ถูกไหม?
พ่อครูว่า... คนไม่ชำนาญไม่เก่งก็เผลอได้ ไม่ทำได้ทุกผัสสะ ต้องทำใจให้แยบคายถ่องแท้ได้จริง ก็ทำใจในใจ
คำว่ารู้ก็สักแต่ว่ารู้นี้ถูกนิดเดียวแต่ผิดเยอะ คนพวกนักรู้ก็ตัดเอาแค่นั้น ก็ว่างนะ แต่ได้แค่นั้น แต่หวัดๆ ก็วนกลับมาใหม่ เพราะว่ามันไม่ได้รู้สึก ก็สักแต่ว่ารู้ คำนี้เป็นคำจบ ของผู้ที่ได้รู้อย่างบริบูรณ์แล้ว สักแต่ว่ารู้ไม่ใช่รีบโยนทิ้ง แต่จิตของเรารู้แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น
สักแต่ว่ารู้นี้คือ หมดความยึดมั่นถือมั่นแล้ว และจิตคุณได้หมดความยึดมั่นถือมั่นแล้วจริงไหม ก็ต้องปฏิบัติล้างความยึดมั่นถือมั่นไปตามลำดับ จนหมดความยึดมั่นถือมั่น เป็นแต่เพียงอาศัย
สมณะฟ้าไทว่า...สักแต่ว่ารู้เป็นการใช้สมถะ
พ่อครูว่า...เป็นภาษาของนักตีกิน แต่พวกสมถะก็ใช้คำนี้มาตีกินได้เหมือนกันแต่ว่าสายตรรกะนี้ใช้ได้มากกว่า เพราะเข้าใจความหมายอันนี้ได้เร็วกว่าพวกเจโต
นึกถึงสมัยไปที่สำนักตักศิลาวัดมหาธาตุ มีหลวง...อะไร? ใช้ตรรกะว่ารู้นิ่งเฉยคือรู้แล้วตัดเลย ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ไม่ได้ตัดกิเลสไปตามลำดับ จนกระทั่งรู้สักแต่ว่ารู้เป็นตัวจบ เขาก็วนไปวนมา ตอนแรกๆ สักแต่ว่ารู้ ในผู้ที่ปฏิบัติยังไม่จริงจะเป็นการตีกิน ทั้งสายปัญญาและสายเจโต ส่วนสักแต่ว่ารู้ตัวจบในผู้ปฏิบัติได้บริบูรณ์สัมบูรณ์จึงเป็นสักแต่ว่ารู้อย่างแท้จริง หรือตถตา ก็คือ สักแต่ว่ารู้นั้นเอง ถ้าเราโยนทิ้งไป ก็ไม่ได้พิจารณาอะไรมันก็ว่างได้จริงๆ แต่เสร็จแล้วก็กลับมาใหม่ จะว่างได้ชั่วระยะหนึ่งแล้วก็ผ่านไปตัวใหม่ ไปเสพสุขกับตัวใหม่เป็นอย่างนี้ โดยไม่รู้ตัวเองว่า เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ เรียกว่าเลื้อยไปเรื่อย พวกเลื้อย ตัวนี้ ก็ไปตัวนั้นอีก โดยตัวเองไม่ทำให้จบสมบูรณ์แบบไปทีละอันที่สุดจนกระทั่ง “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” จบจนกระทั่งแน่จริงว่ากระทบสัมผัสอีกเท่าไหร่ก็ไม่เกิดกิเลส มีอเนญชาภิสังขารจริง กระแทกกระทุ้งกระเทือนอย่างไรก็ไม่มีหวั่นไหว
_3867รู้อารมณ์ปรมัตถ์จากจิตเจตสิกรูปนิพพานบ่ต้องวิปัสสนาอารมณ์108อันยุ่งเหยิงให้ปวดหมอง!ตามดูรู้รูปนามในขณะนั้น!โลภก็รู้ว่าโลภ!โกรธก็รู้ว่าโกรธ!หลงก็รู้ว่าหลง!แล้วลดละวางเสีย แค่นี้พอไหม?
พ่อครูว่า... ไม่พอ พวกนี้จะได้ฉาบฉวย เพราะฉะนั้นอย่ารีบจบเร็วๆฉาบฉวยเลื้อยไปเรื่อย ภาษานี้แสบมาก ระวังเถอะ
SMS จากเฟซบุ๊ค
_วีระ แสงทองล้วน · กราบนมัสการพ่อครู ผมฟังอยู่ที่เท็คซัสครับ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน จริตหมาจิ้งจอกที่ต้องการกินเนื้อ
_จากอโศกสัมปวังโก ...ในลังกาวตารสูตรไม่มีข้อความไหนเลยที่บ่งบอกว่า พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ฉันเนื้อสัตว์ แต่ในพระไตรปิฎกของไทยมีบทบัญญัติ “มังสะ 10”(เนื้อสัตว์ 10 อย่างที่พระภิกษุห้ามฉัน)
พ่อท่านชี้ชัดได้หรือไม่ครับว่า บัญญัติดังกล่าวเป็นสิ่งแปลกปลอมในพระไตรปิฎกของไทย
พ่อครูว่า...ไม่ต้องแปลกปลอมก็ได้ให้เป็นจริงก็ได้ ให้เขาเข้าใจความซับซ้อนลึกซึ้งๆอย่างที่เราได้เอา สิคาลวรรค หมาจิ้งจอก จริตนิสัยแบบหมาจิ้งจอก มันไม่ยอมจบง่ายๆหรอก เอ็งไม่โกงพ่อก็โกง พ่อไม่โกง ปู่ก็โกง ปู่ไม่โกง ทวดก็โกง ทวดไม่โกง ทวดของทวดก็โกง...มันไม่หยุดหรอกสันดานจิ้งจอก สิคาละ พระพุทธเจ้าถึงได้จบตรงนี้ ท่านยืนยันสำคัญสุดท้ายชัดเจนเลยว่า
ถ้าเผื่อผู้ใด จะมายืนยันว่า จะต้องฉันเนื้อสัตว์ล่ะก็ฉันไปเลย ต่อให้คุณบอกว่า เอาเนื้อฆ่าบุตร ภรรยา มาให้ฉัน ก็ฉันเนื้อบุตร ภรรยานี่ละ มันเป็นคำประชดสุดท้าย ถ้าเขาจะยัดเยียดให้แล้ว เป็นการโกงเหมือนหมาจิ้งจอก ยัดเยียดว่า เอ็งต้องโกงแน่ เอ็งไม่โกง พ่อก็โกง พ่อไม่โกง ปู่ก็โกง ปู่ไม่โกง ทวดก็โกง ทวดไม่โกง ทวดของทวดก็โกง เป็นจริตของหมาจิ้งจอก
ก็บอกเถอะ เราจึงต้องใช้คำจบคำเดียวกันว่า ความเห็นของเธอกับความเห็นของเราคนละอย่างเสียแล้ว จบ
ก็เป็นความยึดถือความเห็นความเชื่อ เธอก็เห็นอย่างนั้น เราก็เห็นอีกอย่าง จบแล้วนะ พูดอย่างสุภาพๆ ความเห็นของเธอกับความเห็นของเรามันคนละอย่างกันเสียแล้ว จบไหม? จบ เธอก็ไปของเธอตามที่ชอบเราก็ไปของเราตามที่ชอบ
_ภก. ประยงค์ อัครพัฒนากูล นมัสการ ครับ พ่อครู ..ที่พ่อท่าน บอกว่า...ไอ เพราะคันคอ ก็ ตรงกับ Physical Respond อันเนื่องจาก เส้นเสียง...แห้ง หรือ มีเสลดเหนียว พันคอ
ดังนั้น... นิมน !! พ่อท่าน จิบน้ำ 1 คำ เมื่อมีอาการ กระผมคิดว่าน่าจะลดอาการลงไม่น้อย
พ่อครูว่า…อาตมาว่ายานี้ ไม่ใช่คุณรู้คนเดียว เขารู้กันทั้งโลกแล้ว ก็ขอบคุณ จะพยายามทำอันนี้ด้วย ความเห็นอีกอย่างคือ อาตมาไม่อยากเสียเวลาแม้นิดน้อย อาตมาเสียดายเวลา จึงไม่ค่อยถนัดมีเรื่องจุกจิกอย่างนี้ พยายามเก็บทุกหยดหยาดของเวลา ก็ขอบคุณ คุณประยงค์
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญคือพลังงานไฟไปชำระบาป
_จาก ชาวบ้าน ค่ะ พ่อครู บรรยาย ถึงคำว่า บุญเป็นวิบัติ เป็นสิ่งชำระล้าง บาป ลูกเข้าใจถูกหรือไม่ ว่าบุญเป็นตัวชำระบาป หากยังมีบาป ก็ควรทำบุญ เพื่อชำระบาป จนกว่าจะไม่มีบาป. พระอรหันต์ไม่มีบาปให้ล้างอีกแล้ว เพราะบาปไม่เกิดอีกเลย. ท่านเลยหมดภาระล้างบาป แต่คนที่มีกิเลส ยังทำบาปอยู่เนืองๆ จึงคิดทำบุญล้างบาปโดยตลอด ลูกเข้าใจเช่นนี้ถูกหรือไม่คะ
พ่อครูว่า…ถูกต้องบุญเป็นสิ่งชำระบาป เข้าใจถูกแต่ขออธิบายเพิ่ม บาปบุญไม่ใช่การทำเพื่อสะสม แต่ก็เป็นการทำพลังงานทำอาการใจ ให้มันเกิดพลังงาน มันไม่ใช่รูปร่างตัวตนเลย เป็นพลังงาน ให้เกิดพลังงานนั้น จนมีคุณสมบัติคุณวิเศษถึงขั้น เรียกโดยภาษาว่า พลังงานไฟ หรืออุณหธาตุ หรือเรียกภาษาบาลีว่าเตโชธาตุ มันจะสามารถมีพลังงานเหนือกว่า ไฟราคะโทสะโมหะ แล้วมันก็จะสลายพลังงานราคะโทสะโมหะได้อย่างแท้จริง
ผู้ใดมีความรู้ความสามารถและสร้างพลังงานนี้ให้ตัวเองได้เรียกว่าพลังงาน ฌานก็เรียก เป็นพลังงานไฟกองใหญ่ เผาไฟราคะ ไฟโทสะไฟโมหะ เผาจนไม่มีกองเหลือเลย แต่ก่อนเป็นก้อนใหญ่หนักโตแข็ง แต่ก็ทำให้หายไปได้เลย
โยนิโสมนสิการ จึงสำคัญ หากไม่ใช่อาตมาแปล จะไม่สัมมาทิฏฐิได้ง่ายๆ จะมีสัมมาทิฏฐิจะต้องได้ฟังจากสัตบุรุษ ถ้าเชื่อถือว่าคนนั้นเป็นสัตบุรุษ คนนั้นแหละพูด หากคุณไม่ค่อยรับ แต่พระพุทธเจ้าว่าต้องปรโตโฆษะ อันที่คุณเห็นว่าอื่น ไม่รับว่าเป็นเรา ไม่เป็นพวก ให้เป็นเดียรถีย์ ๆ จริงๆไม่ใช่เดียรถีย์ แต่จริงๆเป็นอัญญะเป็นอันอื่นที่คุณไม่เคยรู้ เป็นความรู้ใหม่เรียกว่าอัญญา
แต่คุณไม่ปรโตโฆษะ ไม่รับไปศึกษาพิจารณาให้ดี จึงไม่ง่าย ถ้าไม่รับเสียงที่คุณไม่อยากรับ แม้ไม่อยากรับ ก็ไม่ต้องเอาตัวตน แต่เอาปัญญาเนื้อแท้ ก็ไม่รู้จะบังคับอย่างไร เขาเกลียดขี้หน้า ไม่อยากฟังเสียงไม่อยากดูหน้า พูดไม่เข้าหูก็เลยไม่เข้าใจไม่เข้าถึง แม้เข้าหู แต่ไม่ให้เข้าใจ พอไม่เข้าใจ แล้วจะบรรลุถึงได้อย่างไร ก็ทำใจไม่เป็น ก็ไม่บรรลุไม่เข้าถึง
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน จริตหมาจิ้งจอกนั้นเป็นเช่นไร
_ปรัชญา ปารมี (รายการ"สิ่งดีๆที่ผ่านมา14สค.60") ท่าน"ผู้นำอโศก"สังเกตว่าคล้ายเริ่มมีการ"ใช้ไหวพริบ-ปฏิภาณ?"เพื่อ"หาทางออกให้ตัวเอง?"โดยมีลักษณะการ"พูดพลิกแพลงหลักธรรมะ?"ในช่วงหลังๆเสมือนว่า"อรหันต์ยังมีอนุสัยกิเลสเล็กน้อยได้บ้างอยู่?"{เพราะอาจมีคน"ตั้งข้อสงสัย"(แต่"คนภายในอโศก"ไม่กล้าถามให้"กระจะกระจ่าง?"เพราะ"เกรงใจผู้นำ?" โดยเกรงว่า"ท่านจะเสียหน้า-ถ้าตอบไม่ได้?")ก็เป็นได้?ว่า ทำไม"เป็นอรหันต์หมดกิเลสแล้ว?"-แต่ยังคงมี"อารมณ์เศร้าได้?"จนถึงขั้น"หลั่งน้ำตา?"ให้"เห็นอยู่หลายๆครั้ง?" และท่าน"ผู้นำอโศก"ก็ไม่เคยนำมา"ตอบให้ชัดเจนกระจ่างแจ้ง?"เลยสักที?}ซึ่งไม่เคย"ได้ยิน-ได้อ่าน?"ใน"หลักคำสอนของพุทธ"มาแต่ไหนแต่ไรเลยว่า"อรหันต์ยังคงสามารถร้องไห้ได้อยู่?"แต่อย่างใด? ใช่หรือไม่?
พ่อครูว่า...เอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งสักเรื่องเดียวแล้วคุณไม่ปล่อยได้ไหม ปฏิบัติสักเรื่องหนึ่งหาทางออกให้ตัวเองให้สมบูรณ์
อาตมาขอยืนยันว่าจะไม่ใช้ลักษณะใช้ไหวพริบ-ปฏิภาณ?"เพื่อ"หาทางออกให้ตัวเอง?นั้น แต่คุณจะยัดเยียดก็เป็นความเห็นของคุณ
คำว่าไหวพริบปฏิภาณคือสัจจะคือความตรง สำหรับอาตมา แต่พลิกแพลงคือความไม่ตรงไม่ใช่ไหวพริบปฏิภาณ เป็นเรื่องเฉโก
คุณเก่งภาษาบัญญัติพอได้ แล้วเอามาสลับคำ ดีไม่ดีเอาบาลีมาสลับกับไทย ไหวพริบคือไทย ปฏิภาณคือบาลี แล้วเอามาคู่กันว่า อาตมาใช้ไหวพริบ-ปฏิภาณ?"เพื่อ"หาทางออกให้ตัวเอง? โดยยัดเยียดคำว่า ไหวพริบปฏิภาณเป็นพลิกแพลง หาว่าอาตมาพลิกแพลง เอาปฏิภาณคู่กับไหวพริบ เอามายัดอาตมา ใช้ทั้งบาลีและไทยมายืนยันอาตมาว่า เอาไหวพริบปฏิภาณพลิกแพลง
ถ้าคุณเห็นว่าอาตมาเป็นคนช่างพลิกแพลง อาตมาว่า คุณกับอาตมาน่าจะจบ เพราะอาตมายืนยันว่าจะไม่ใช้ไหวพริบปฏิภาณมาเป็นการพลิกแพลง จบนะ
ถ้าเผื่อว่าจะให้อาตมาอธิบายแล้วคุณระแวงอีก อาตมาก็ต้องใช้พยัญชนะ คุณก็ต้องหาทางเถียงอาตมาอีก อาตมาก็จบดีกว่ากับคุณ เพราะคุณต้องมียาวยืดอีก มีคำว่าเศร้าโศก หลั่งน้ำตา
อาตมาก็ว่าหลั่งน้ำตา ไม่ใช่เศร้าแต่เป็นปีติ คุณก็รวบคำว่าเศร้ากับปีติปนเปอีก คุณเมาภาษากับพยัญชนะ สับสนระหว่าง สภาวะกับภาษา คนรู้มาก รู้บาลีไทย ดูจะเก่งกว่าอาตมาด้วย อาตมาสู้คุณไม่ได้หรอก อาตมาแพ้คุณ สำหรับคุณปรัชญา ปารมี ถ้าส่งมาอีก อาตมาก็ยอมแพ้คุณทุกที ไม่เช่นนั้นไม่จบ เพราะคุณยังไม่ต้องการจบ อาตมาวนกับคุณไม่ไหว จะวนกับคุณก็ได้ แต่อาตมาไม่มีเวลา อาตมารู้ว่า คุณเป็น สิคาลอยู่ อาตมาก็ขอจบ
SMS วันที่ 15 สิงหาคม 2560 (สมณะ สิกขมาตุ-บวรสันติอโศก)
_3510ติดตามรับชมรับฟังผ่านดาวเทียม ไทยคม ด้วย กล่อง ipm ช่องที่ 96 แขวงหนองแขม เขต หนองแขม จังหวัด กรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ 10160 ครับผม สัญญาณ ชัดเจนดีมากๆครับผม นึกถึง เพลง เพ่งมองผ่านเมฆ .... เลย ครับผม ขอขอบพระคุณครับ.
_7711 ขอบพระคุณมากๆ เรื่องความเกรงใจ จริงใจนี้ เป็นเรื่องที่กำลังสงสัยพอดีเจ้าค่ะ
SMS จากเฟซบุ๊ค เจิน วดี · อาหารใจ ฟังไม่รู้เบื่อยิ่งฟังยิ่งรู้ สาธุๆๆ
_สมถวิล บาลเวช กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะทำจิตวิญญาณไม่ให้มีทั้งสุขและทุกข์ไม่ดูดไม่ผลักบางตัวก็แสนยากและทุกข์ทำไม่ได้ยังเพิ่มโทสะเศร้าอีกก็ตั้งหลักพิจารณาแล้วจะทุกข์ไปทำไมอบรมจิตต่อไปอีกแล้วๆเล่าๆไม่ง่ายแต่ก็จะพยายามต่อไปค่ะด้วยความเคารพอย่างสูง
พ่อครูว่า...ตกลง เอาของท่านจันทร์ไปใช้ ความพยายามคือความพยายาม
_กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพบูชาค่ะ ดิฉันใจแก้ว อโศกตระกูล จะมาเล่าเรื่องการปฏิบัติ มาเป็นคนจนเป็นอย่างไร คำว่ามาเป็นคนจนนั้น คนฟังแล้วก็กลัวไม่อยากเป็นคนจน ทุกคนอยากเป็นคนรวย คนสวย คนหล่อ และเป็นคนมีอำนาจกันทั้งนั้น เพราะอยากให้คนในสังคมยอมรับนับถือ มันเป็นรสโลกียสุข ดิฉันก็เคยเป็นเช่นทุกคนค่ะ ดิฉันเคยเป็นลูกสาวเถ้าแก่มาแล้ว ก็มาเป็นเถ้าแก่เองอีกครั้งก็รวยมาแล้ว แต่มาปฏิบัติธรรมกับพ่อครูที่สันติอโศก ปฏิบัติตอนแรกๆ ก็คิดว่าเราคงจนไม่ลงแล้วแน่เลย
ถ้าเราปฏิบัติตรงกับสัมมาทิฏฐิของมรรคองค์8 ให้ถูกต้องแล้วจะเดินทางไปเป็นคนจน ไม่ใช่เดินทางไปเป็นคนรวย นั้นผิดทาง พระพุทธเจ้าสอนให้มาคนจนที่ขยันไม่ใช่ขี้เกียจนั่งเฉยๆ ต้องทำงานช่วยผู้อื่น
พอได้ทำงานอยู่กับคนมากๆก็ต้องมีผัสสะกระทบกระทั่งกันทำให้เราเห็นอาการกิเลสขึ้นมาว่า เราโกรธเขาหรือไม่ เราก็ได้จับอาการนั้นแล้วก็ปรับให้อาการนั้นลดลงแล้วดับไป
ถ้าเราอยู่เฉยๆไม่ขยันทำงานอะไรเลยก็ไม่มีใครจะมาว่าเราได้ แล้วเราจะเห็นกิเลสของเราเกิดขึ้นได้อย่างไร มีผัสสะเกิดขึ้นกับเราอยู่เรื่อยๆ ทำให้เราเก่งขึ้นมีวิธีจัดการกับกิเลสของเราได้
ดิฉันได้พิสูจน์กับตัวเองมาแล้วว่าถ้าเราได้ใช้อิทธิบาท4
1.ต้องมีความยินดีเกิดขึ้นในใจของเรา
2.มีวิริยะตัวขยันให้มากๆกุศลธรรมจะเกิดขึ้นได้จริงไม่มีช่องให้อกุศลเข้าได้เลย
3.จิตตะตั้งมั่นมีใจของเราโถมให้เต็ม
4.วิมังสา พิจารณาทบทวนอยู่เสมอๆ เป็นคนจนต้องมีศีล5,ศีล8หรือสูงขึ้นเป็นศีล10ไม่ต้องใช้เงินเลยสบายดี
ดิฉันได้ตัดสินใจแล้ว จะอยู่แบบคนจนไปตลอดชีวิตค่ะ ดูแล้วทางโลกีย์ไม่เห็นมีอะไรเป็นสาระเลย ทำงานหาเงินเหนื่อยแทบตายแล้วก็รวย สุดท้ายก็ทิ้งหมดไปทุกสิ่งทุกอย่าง บางคนทำแล้วยังไม่ทันใช้ก็ตายจากไป คิดแล้วน่าสงสารเสียดายเวลาเกิดมาชาตินี้ กุศลก็ไม่ได้ บุญลดกิเลสก็ไม่ได้ ได้ไปแต่บาปอย่างเดียว ดิฉันเขียนออกมาจากสภาวะที่ได้ของตัวเอง กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ
พ่อครูว่า...สาธุดีมากที่ได้ประโยชน์จากผัสสะ รับมือกับกิเลสและจัดการกิเลสได้เรื่อยๆ จนเห็นคุณค่าของการอยู่กับงานกับผัสสะ
_กราบนมัสการค่ะมีประเด็น เรียนถามพ่อครูว่าทำอย่างไร เราถึงจะปฏิบัติมรรคทั้ง 8 องค์ ให้ได้ต่อเนื่องตลอดทั้งวันคะ (พลังเพ็ญ คำด้วง กราบนมัสการค่ะ)
พ่อครูว่า... ก็คำตอบของท่านจันทร์ ความพยายามอยู่ที่ความพยายาม อาเสวนา ภาวนา วงพหุลีกัมมัง ทำซ้ำทำทวนจนกว่าจะได้จริง
_จาก..ลูกหนอนใต้ต้นโพธิ์
กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพค่ะ ตอนนี้พวกเราหลายคนเวลาจะทำงานอะไรที่ต้องใช้พลังหรือเพิ่มประสิทธิภาพตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ก็จะบอกกันว่า “ต้องสัมประสิทธิ์กัน”
พ่อครูสอนไว้ว่า” สัมประสิทธิ์คือความจริงของแต่ละคนที่มีแกนสมาธิ(จิตตั้งมั่นอย่างคงตัว คงที่แล้วเป็นหลักยืน) กับ ประสิทธิภาพ ของแต่ละบุคคล ก็จะเกิดเป็นตัวแปร ที่เพิ่มพูน ความก้าวหน้าพัฒนา ประสิทธิภาพ ของโลกุตรบุคคล”(จากหนังสือเราคิดอะไร ล.324 น.46)
กราบเรียนถามพ่อครูว่า แกนสมาธิ ที่สามารถเป็นหลักยืนได้ เป็นพลังงาน Static ที่เกิดจากเดินโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ยิ่งลดกิเลสได้มาก เจริญอุเบกขา เข้าสู่สูญญตา ได้มากเพียงใด ยิ่งมีพลังมาก แกนสมาธินี้ก็เป็นเหมือนเสาเอกที่แข็งแรง มั่นคง สามารถทำงานควบคู่กับพลังงาน Dynamic หรือประสิทธิภาพ สมรรถนะ ความขยัน เสียสละของแต่ละบุคคล ที่จะมีมากหรือมีน้อยขึ้นอยู่กับแกนสมาธิของแต่ละบุคคล วัดกันได้จาก ลดกิเลสได้มาก ขยัน สร้างสรร เสียสละได้มาก ลดกิเลสได้น้อย สมรรถนะก็น้อยตามไปด้วย ยกเว้นผู้ที่เจ็บป่วย
เพราะฉะนั้น สัมประสิทธิ์ที่จะมีประสิทธิภาพระดับคูณ จะขึ้นอยู่กับแกน แก่นหลักคือตัวเราลดกิเลส ได้มรรคผลมากน้อยเพียงใด เกิดประโยชน์ตนคือลดกิเลส ประโยชน์ท่านคือสร้างสรร เสียสละให้ผู้อื่น ได้มากน้อยตามการบรรลุธรรมของแต่ละบุคคลที่เกิดจากสมาธิลืมตา ลงมือปฏิบัติมีผัสสะในปัจจุบันเท่านั้น ถึงจะเกิดสัมประสิทธิ์ได้ ไม่ใช่นึกคิดเอา..ลูกเข้าใจถูกไม๊คะ
กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า...ถูกต้อง จบ
เอาเรื่องคนจนต่อ จะพูดได้อีกนาน ว่าต้องมาปฏิบัติให้เป็นแบบคนจนมีพยัญชนะบาลีคือ อัปปิจฉะ มากล้าจนมามีน้อยๆเอาน้อยๆ มันมากไปก็พอสันตุฏฐิ แล้วปวิเวก ไม่ต้องมีสวรรค์ต่อคือ อสังสัคคะ แล้วทำงานขยัน วิริยารัมภะ ก็วนอยู่อย่างนี้ กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ปวิเวกะ อสังสัคคะ
มีให้น้อยมากเท่าไหร่ น้อยที่สุดก็คือ 0 ถ้ามี 1 มี 2 ก็ว่าน้อยอยู่ แต่ถ้ามี เป็นล้านเป็นหมื่นล้านก็ยังน้อย อย่างนี้ไม่จบ แต่ถ้ามาอยู่กับหมู่ อยู่ด้วยกันจริงๆจะรู้ว่าไม่มีใครหลอกกันหรอก ก็มีแค่นี้แหละ ไม่ต้องมีมากมาย ใครจะหมกหมักซ่อนในหมู่ก็เรื่องของเขา แต่เราอยู่กันอย่างจริงใจจะเป็นมวลเดียวกัน อย่างพวกเราชาวอโศก เป็นคนจนอยู่แบบคนจน
จะใช้ภาษาหลอกลวงกันก็ได้ แต่เอาความจริงมาอยู่ด้วยกันสัมผัสสัมพันธ์กันทุกวันด้วยกัน เป็นหมู่กลุ่มแล้ว หมู่กลุ่มชาวคนจน มันมีแล้วก็อยู่อย่างเป็นสุขขอบคุณ เชิญเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์ มาพิสูจน์ล้วงตับไตไส้พุงเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ตั้งตนบนความลำบากแต่อย่าให้เข็ด
_ขอโอกาส ถามเพื่อความเข้าใจ เมื่อมีผัสสะ แล้วมีเวทนา 2 ผู้ปฏิบัติจะทำให้เกิดเวทนา 1 เป็นปุริสภาวะ เรียกว่าปุงลิงค์ ความเป็นหนึ่ง ผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ต้องทำ ทำความเป็นหนึ่งให้เป็นศูนย์ได้ อรหันต์คือ 1 เที่ยงแท้มั่นคงแข็งแรง ถ้าจะให้ยิ่งกว่าคือทำให้เป็นศูนย์ นปุงสกลิงค์ แล้วผู้นี้จะใช้อิตถีภาวะและปุริสภาวะให้เหมาะสม กับคนอื่น
พ่อครูว่า...ได้เพราะจะมีคุณสมบัติของสัจธรรมจริงๆที่มีความแข็งแรงมั่นคง เป็นอเนญชาภิสังขาร จะมีความแข็งแรงตั้งมั่นไม่หวั่นไหวเลย แม้จะกระทบกระแทกกระทุ้งกระเทือนหนักเท่าไหร่ก็ไม่ไหวหวั่น ไม่มีกระดิกเลยจริงๆ ด้วยการปฏิบัติสั่งสม อเนญชาภิสังขาร มี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา กระบวนการ 5 ของอุเบกขา
ปริสุทธาคือ ความบริสุทธิ์ กระทบกระแทกกระทุ้ง อย่าหนี การกระทบกระแทกกระทุ้ง แต่ละคนจะได้รับตามบารมี ถ้าไม่ไหวก็หลบ แต่ถ้าไม่ไหวก็หลบ ถ้าไหวก็รับ รับเท่าที่คุณรับไหว แต่ต้องตั้งตนบนความลำบาก เป็นประเด็นที่สำคัญ หากไม่ตั้งตนบนความลำบาก เอาแต่สบายสบายก็ไม่ไปไหนหรอก เพราะสบายๆ ออเซาะกิเลสตัวเองแล้ว จะต้องตั้งตนบนความลำบากแต่อย่าลำบากเกินแรงตัวเอง จะเข็ด หากเข็ดแล้วจะหนี นานชาติเลย นานกัปป์กัลป์เลยนะ ต้องไม่ให้เข็ด ต้องรู้จักประมาณตนเองให้พอเหมาะ อย่าให้สู้ไม่ไหวเข็ดจนหนี
ต้องประมาณให้พอดี และต้องตั้งตนบนความลำบาก ถ้าไม่ลำบาก ตั้งตนบนความสบาย อกุศลกรรมเจริญยิ่ง สุขังโขเมวิหรโต ต้อง ทุกขายปนเมอัตตานังปทหโต แล้วอย่าออเซาะเข้ากับความสบายให้มากนะ
_ฝากน้ำใจโสดาบันถึงพ่อครูว่า ศีลคือกรรม 3 ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...ศีลคือหลักที่จะเอาไปปฏิบัติ กรรม 3 คือกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม เอาไปแปะกันอย่างไร มันมาใช้ร่วมกัน ศีลกับกรรม 3
ศีลคือข้อหลักเกณฑ์ที่จะปฏิบัติให้เหมาะสม ปฏิบัติการระมัดระวังกรรมทั้งสาม คือกรรมที่หยาบออกมาภายนอก ตั้งแต่นัจจะ สุ้มเสียงสำเนียงภาษาพูด แล้วก็มีใจ เพราะฉะนั้นคุณต้องคำนึงประมาณ ท่าทีลีลาด้วย สุ้มเสียงสำเนียงภาษา แล้วก็ใจด้วย ทั้งสามอย่างนี้ ก็ค่อยๆฟังธรรมไปถามมานี่ไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่
_วิชชา ที่พ่อครูสอนคือวิชชาที่พึ่งพาตนเองได้ เป็นภาษาโลกุตระ คนไฮโซอโศกคงเข้าใจยาก จะไปอยากตรวจโสดาอโศก ดร.เขาสอนไฮโซใช่ไหมคะ แต่พ่อครูนั้นสอนให้หายโศก จงสุขกายสุขใจเถอะ รูปธรรมปลอดภัยไร้สารปนเปื้อนของนายทุน ก็พ้นทุกข์สบายใจไว้ใจได้ระดับโสดาฯ ต้องมาเกาะกลุ่มและเก็บปรากฏการณ์เป็นแบบฝึกหัด วิชาการส่งพ่อครู ช่วยลดกิเลสสะสม(บุญ)กุศล เป็นคะแนนหรือเป็นหน่วยกิต สะสมการบรรลุธรรมต้องทำเอง ถูกไหมคะ พ่อครูสอนให้ลดกิเลสแต่พ่อครูสอนให้ลดกิเลส น้ำใจ เป็นโลกุตระทรัพย์ วัตถุทรัพย์ของคนรวยสามารถแปรรูปเป็นโลกุตรทรัพย์ได้ด้วยน้ำใจใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...ใครรู้สึกตัวว่าเป็นคนไฮโซอโศก คือพวกเรานี้มีดร.เยอะ ใช่อาตมาสอนหายโซ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ธรรมะคือเหนือธรรมชาติ
_ในรายการกฎธรรมชาติของโสภณ เจ้าของรายการได้เน้นอยู่เสมอว่าธรรมะคือธรรมชาติ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับแนวคิดของพ่อครูว่า ธรรมะคือเหนือธรรมชาติ คือจิตที่เหนือธรรมชาติได้ จะปรองดองแนวคิดสองอย่างนี้อย่างไร
พ่อครูว่า...คำว่าธรรมะคือธรรมชาตินั้นไม่ใช่แค่คุณโสภณเพียงคนเดียว มีท่านพุทธทาสด้วย ท่านก็ย้ำอยู่ หลายคนก็ย้ำอยู่ จนที่สุดมาถึงคุณโสภณก็ย้ำอีกว่า ธรรมะคือธรรมชาติ อาตมาก็ย้ำอีกว่า ไม่ได้เห็นว่าธรรมะคือธรรมชาติ
พิสูจน์แค่ว่า พยัญชนะ ธรรมชาติ ชาติคือ ชาติ ธรรมะคือธรรมะ
ทีนี้คุณบอกว่า ธรรมะคือธรรมชาติ ก็ลองตัดคำว่า ธรรมะออก ก็เหลือแต่ ชาติคำเดียวไม่มีธรรมะหรอก ธรรมะมันสูญไม่เกิด แต่ถ้าจะดันว่าธรรมะ คือธรรมชาติก็ไม่รู้จัก สมการคณิตศาสตร์โลโซง่ายๆ ว่า ธรรมะคือธรรมชาติ มันไม่มีสมการนี้หรอกในโลก
ต้องมาเรียนรู้ชาติ คือการเกิดของจิต พระพุทธเจ้าเรียนรู้ชาติ 5
ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตตะ ต้องมาเรียนรู้กระบวนการเกิดของนามธรรม ต้องรู้จัก นาม 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
เราเรียนรู้จนหมดการเกิดทางจิตได้ เหนือธรรมชาติคือความทรงไว้ของกาเรกิด เรายังไม่กายแตกตาย ไม่กายัสเภทา เราไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน หากเราเป็นอรหันต์แล้วก็อยู่เหนือการเกิด ควบคุมการเปลี่ยนได้ ไม่ให้สิ่งที่เป็นอกุศลเกิดทั้งภายนอกและภายใน
เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมะคือธรรมชาติ กับธรรมะคือธรรมะ ชาติคือชาติ แตกต่างกัน
จะปรองดองได้คือ ความเห็นของเธอกับความเห็นของเรานั้นคนละอย่างกัน หากคุณไม่จบเราก็จบ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จริตหมาจิ้งจอกหลอกกินเนื้อ
มาต่อที่สัญชาติของหมาจิ้งจอก ยังเกิดอยู่ เป็นชาติ เป็นสัญชาตญาณ ใครชนะสัญชาตญาณเป็นการเกิดที่ อภินิพพัตติ ก็มีปัญญาอยู่เหนือสัญชาติ ไม่ให้สัญชาติมาทำอะไรเกินกว่าที่ไม่ควร เราอยู่เหนือสัญชาติญาณ สัญชาตญาณมีราคะเขาก็ว่าต้องปล่อยมัน ก็เสร็จสิ ต้องอยู่เหนือสัญชาติญาณด้วย
สัญชาติ แปลว่า สิ่งที่เกิดมาจากความจำเดิมที่สั่งสมมา สองกำหนดรู้ความเกิดนี้ เรียกว่าสัญชาติ เป็นความหมายในอดีตกับปัจจุบันต้องทำกำหนดสัญชาติปัจจุบันให้อยู่เหนืออกุศล ทำแต่สิ่งที่ควรเป็นกุศล สิ่งที่เป็นอกุศลไม่ทำ
อาตมาก็จะจบ สิคาละ จริตนิสัยจิ้งจอกหรือหมาป่า ก็เอาตามพระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้เนื้อสัตว์ที่เรากิน คุณจะบอกว่า หรือหมาจิ้งจอกจะบอกว่า คุณจะกินเนื้ออยู่เลย ต่อให้เป็นเนื้อบุตรหรือภรรยาแล้วก็กิน ก็จบ เราว่าเราไม่มีอกุศลเจตนา
ถ้าจะกินก็กินเนื้อปวัตตมังสะ หรือป่วยเจ็บต้องกินหรือเนื้อ 10 อย่าง นี่ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเรื่องของอรรถกถาจารย์หรือเรื่องของพระพุทธเจ้ากำหนด
แม้แต่พระพุทธเจ้าจะกำหนด อาตมาอธิบายว่า เป็นเนื้อที่ไม่ควร เช่นสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงของคนก็ไม่ควร หรือเสือ หรืองูพิษก็ไม่กินมัน หรือสัตว์ใช้แรงงานก็ไม่กิน สุดที่สันดานหมาจิ้งจอกจะมาแย้ง ท่านก็เอาแค่สิบอย่างนี้ก็แล้วกันว่าอย่ากิน มันไม่ควรอย่างยิ่งแล้ว นอกนั้นถ้าจะดึงดันกินก็กินไปเถอะ อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าจะอ่านสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลของอาตมาก็คือ มันรู้สึกไม่จบสักที ก็ไม่มีอะไรมาก แต่ว่าต้องทำ เพราะว่างานนี้อาตมาเลือก
สื่อธรรมะพ่อครู(สัตตาวาส 9) ตอน สัตตาวาส 9 ข้อ 1-5
มาเข้าถึง สรุปเรื่องของคนจน ใครไม่เคยจนก็มาหัดจนเสียบ้าง อยากจะท้าทายคนไม่เคยจนมาหัดจนเสียบ้าง เอาสัก 1 ชาติก็ได้ ขอมากไปก็ขอสัก 10 ปี มาหัดจนด้วยกันสัก 10 ปี ถ้าไม่หนาเกินไปจะรู้สึกได้น่า ที่นี่มีหมู่มวล แต่ถ้า 10 ปีแล้วยังไม่ได้ก็ไปที่ชอบที่ชอบก็แล้วกัน ตอนนี้ลดหย่อนแล้วไม่เอาทั้งชาติ แต่ก่อนนี้ขอสักชาติ
อาตมาไม่เหงาเลย นอกจากไม่เหงาแล้วอบอุ่น ลูกหลานเยอะ
อยากจะพูดทวนถึงสัตตาวาส 9
1. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า
2. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น .
3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน เช่นพวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) .
4. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) .
5. สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์ เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)
6. สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)
7. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง
8. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..อากิญจัญญายตนะ (ดับไม่ให้มีอะไร)
9. สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ)
(ววัตถุสัญญา พตปฎ. ล.23 ข.228) และ 11/353
1. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า
กายตรงนี้ ถ้าไปเอารูปมาเลย กับนาม รูปมันเป็นของหยาบ ขอเลื่อนเข้ามาหานามก็แล้วกัน นามนี่ละเอียดกว่ารูป คนที่ไปกำหนดแม้แต่นามว่า กาย ยกตัวอย่าง เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า
เพราะฉะนั้นเอาเฉพาะนาม เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า ก็คือจิตนะ เพราะฉะนั้นจิตของมนุษย์ก็ดี เปรตก็ดี เทวดาก็ดี แต่กายก็คือจิต กายเป็นอรูป จริงๆ เป็นความรู้สึกเป็นตัวรู้ เป็นนาม เป็นเวทนาสัญญาสังขาร
และในคำว่า เวทนาสัญญาสังขาร คำว่าสัญญาคือกิริยาของจิตที่มีการกำหนดหมายหรือจำ ไปกำหนดหมาย ไปทำเครื่องหมายกับอะไรเพื่อรู้ในปัจจุบัน ส่วนอีกอัน ก็คือจำ เป็นอดีต
กายของพวกมนุษย์เราก็ต้องมองที่จิต กายของมนุสโส คือคนเป็นๆ
สองเทวดา เทวดาคือคนเป็นๆที่มีจิต ถ้าอธิบายโลกีย์คือจิตของคนเป็นสุข คนพอใจ คนชอบใจ คนเอร็ดอร่อย จิตคนมีความพอใจในจิตนั้น ส่วนเปรตนั้นเป็นทุกข์กับจิต เป็นความไม่สบายเป็นความตกต่ำเสื่อมเสียในจิตนั้น ก็เรียกว่าเปรต
เพราะฉะนั้นถ้าคนที่ไปกำหนด เรียกว่าสัญญา แล้วก็ไปกำหนดว่ารูปร่าง ของมนุษย์ก็ตรงกันในหยาบๆ มีหัวมีแขนขา ก็ตาม
เอาใจของมนุษย์ ใจของมนุษย์ที่เป็นเทวดากับเปรต
ถ้าเป็นเทวดาก็คือมันดี ถ้าเป็นเปรตก็คือไม่ดี
ทีนี้ดี อย่างโลกีย์ดีอย่างมีโลกธรรม อย่างมีลาภมากยศสูง สรรเสริญเยอะ มีสุข ตั้งแต่หยาบ สุขในกาม สุขเสพ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ลาภยศสรรเสริญมากๆ นั้นเรียกว่าเปรตอยู่ ตัวอยากได้ เปรตคือตัวอยากไม่รู้จักจบ เขาจึงวาดรูปเปรตเป็นตัวโตๆท้องใหญ่ๆปากเล็กๆ ท้องโต ใส่ไม่เต็มเสียที คือความตะกละ อยากได้อยากมีอยากเอา
ทีนี้สัญญาของคุณ กำหนดสัตว์เดรัจฉาน ก็มีรูปร่าง แต่แท้จริงมันไม่มีรูปร่าง เป็นอรูป เป็นเส้นแสงสีเสียง แต่คนที่กำหนดว่าเห็นได้เป็นรูป เราก็ไม่เถียงกับเขา อันนั้นพระพุทธเจ้าเรียกว่ามโนมยอัตตา เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต มันไม่มีจริงหรอก แต่คนรู้สึกสัมผัสแตะต้องได้จริง เช่นคนมีผัวเป็นพระพรหม คนมีเมียเป็นนางตานี แล้วเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆได้ อาตมายังเคยรักษาคนผู้หญิงที่มีผัวเป็นพระพรหมเลย ปั้นเป็นรูปร่างสมสู่ได้ เรานึกไม่ออกเพราะว่าเราไม่เป็น นึกไม่ออก เขามีจริงๆมีความสุขจริงๆ ภาษาทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมอด้วยกว่า psychosis มันทำให้เกิดวัตถุเกิดมีอะไรขึ้นมาได้ ตัวร้อนขึ้นมาได้เลย มีแผลขึ้นมาได้เลย บางคนทำได้รุนแรงกว่านั้นอีก พลังของที่ทำขึ้นมา Psychosis บันดาลให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าคุณสามารถที่จะรวบรวมพลังอย่างนั้นได้ แล้วก็ทำตนเองหรือทำผู้อื่น ทำผู้อื่นมันก็บาป ทำตัวเองก็ทุกข์ ทำให้เจ็บปวดได้ พวกมาโซคิส ก็แค่นั้น
ทีนี้หลงว่าสุขก็ของปลอม เป็นทุกข์ก็ล้างได้หมด เรียกว่าทุกข์อาริยสัจ ถ้าสุขนี่ของเก๊ แต่ทุกข์นี่สะสมตกผลึกในอนุสัย ทุกข์ในอนุสัย ส่วนสุข ถ้าเข้าใจชัดเจนเดี๋ยวนี้ก็ทิ้งได้เดี๋ยวนี้หายไปเลยได้เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นใครฟังอาตมาดีๆ แล้วเชื่อที่จะมาพูด คุณทิ้งได้เลยก็หายจากกิเลสพวกนั้นได้เลยทันที กิเลสที่เป็นสุขเป็นทุกข์กับโลกีย์หลายๆอย่าง
สรุปแล้ว พวกกายที่สัญญากำหนดว่ามีอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็มี ถ้ารู้ความจริงตามความเป็นจริงว่ามีนั้นคือตากระทบเห็นรูป เสียงกระทบได้ยิน และคนที่ไม่วิปลาสก็เห็นเหมือนกันได้ยินเหมือนกัน เป็นรูปร่างสีสันเหมือนกัน ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกได้กลิ่นก็ได้กลิ่นเหมือนกัน ใช้พยัญชนะเรียกว่าเหม็นเรียกว่าหอมเหมือนกัน อธิบายลักษณะอย่างไรก็เข้าใจกันได้ ลิ้นสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็เป็นกาย ทวาร 5 ภายนอกสัมผัส ใจเราก็รับรู้เอาใจมาพูดออกมาตามข้างนอกตรงกันหมด เมื่อข้างนอกตรงกันหมด ใจก็ตรงกันใช่ไหม เมื่อพูดกระทบสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างไร ใจก็เป็นอย่างนั้น
ถ้าสัญญาตรงกัน ก็มาพูดอธิบายตรงกันหมด ก็อย่างนั้น แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างเดียวกัน ของคุณกับของเราคนละอย่างเสียแล้ว คุณเป็นอย่างนั้นก็ยึดไปแต่เราไม่เป็นอย่างนั้น
ส่วนนามธรรมคุณไปยึดถือของคุณว่าถูก เข้าใจอีกอย่างก็ต่างกันแล้ว จะให้เรายึดถือเหมือนคุณ เราก็ไม่เอาหรอก
จะไปสมมุติความดีงามความสวยความอร่อย ความเป็นเปรตว่าเป็นความทุกข์ทรมานนิดน้อยเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ต่างคนก็ต่างสัญญากันต่างกันไป แต่ถ้ามา กระทบสัมผัสพร้อมกันทางทวารภายนอกตาหูจมูกลิ้นกาย พูดกันและก็ลงตัวกันได้หมด ถ้ายังแย้งอยู่ จริงๆแล้วเราอาจจะยึดถือผิด เขาอาจจะยึดถือถูก แต่เราก็จบ
การตัดสินให้อยู่ร่วมกันให้สงบก็คืออย่างนี้ ส่วนของใครของมันก็คือของใครของมัน จะพิสูจน์ไปอีกกี่ชาติก็แล้วแต่
สมณะฟ้าไทว่า..ผู้ที่จบจะมีสิทธิ์ถูก
พ่อครูว่า..ผู้ที่ยึดถืออัตตาไว้อย่างเหนียวแน่น ก็จะไม่จบ คนเข้าใจความเป็นอัตตาจริง โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ผู้นั้นจะจบก่อน ผู้ใดยังเข้าใจอัตตาไม่ได้ และยังทำอัตตาโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ให้สูญไม่ได้ คนนั้นก็จะแย้งต่อ
เมื่อกำหนดสัญญาอย่างเดียวกันแล้วก็จบ หรือไม่อย่างเดียวกัน แล้วคุณก็ของคุณ ของเราก็ของเราก็จบที่เรา ความสงบมันก็เกิดไม่ขัดแย้งกันแล้วเพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่ตีกันเลยถกกัน เถียงกันก็ไม่ทำ เถียงนี่มากกว่าถก ยิ่งตีกันก็ยิ่งไม่มี
2. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น .
พรหมคือวิสุทธิเทพ สัญญาอย่างเดียวกันคือปฐมฌานคือ ฌาน 1 เกิดจิตเอกัคคตา จิตไม่ถึงอุเบกขา แต่ได้อุเบกขาในความหยาบหมดแล้ว เหลืออุเบกขาในความละเอียด จึงไม่เรียกอุเบกขา มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
จนฌาน 2 ไม่วิตกกังวลแล้ว และเรียนรู้ปีติ สุข อาการพวกนี้และเป็นเอกัคคตาก็ลดวิตกวิจารได้หมดก็เหลือปีติ สุข เอกัคคตา
พอเริ่มต้นฌานที่ 3 ท่านจะเรียกว่าสงบแล้ว เพราะตอนนี้หมดความกังวล วิตกเขาแปลว่ากังวลในภาษาไทย ไม่มีเรื่องอะไรหงุดหงิดรำคาญแล้ว สงบเงียบๆ สุข แต่ยังกรึ่มอยู่ อร่อยในสุข
ภาวะสุขขั้นฌาน เป็นวูปสโมสุข จึงเป็นความสงบสุข น่าดู แต่ถ้าปีติลดลงไปอีก ปีติมีฟูใจ แต่ถ้าปีติหมดลงเหลือสุขกับเอกัคคตา
ฌาน 3 ท่านเรียกว่าเป็นผู้ที่มีอุเบกขา เหลือสุขก็อุเบกขา เอกัคคตาเป็นอุเบกขา ลดสุขได้เหลืออุเบกขาได้อย่างเดียว อันที่ห้า
และมาเรียนรู้สภาวะความเฉยอุเบกขา และก็ไปฝึกอุเบกขาให้แข็งแรงตั้งมั่น ด้วยปริโยทาตา ตกผลึกสะสมความเก่ง มีมุทุภูตธาตุ ลหุตา กัมมัญญตา ดีขึ้นเจริญขึ้นเรื่อยๆ
มุทุก็เร็วขึ้นไวขึ้น ลหุ คุณยิ่งเก่ง คุณยิ่งทนหนาขึ้นๆ ลหุที่จริงแปลว่าบางเบา แต่คุณเก่งขึ้นยิ่งเก่ง ยิ่งทนหนา ก็เหมือนมันหนาขึ้น เหมือนรับแรงได้มากขึ้นๆ รับได้มากขึ้นๆ นั่นคือการเจริญ นี่ใช้พยัญชนะอธิบายสภาวะ จะบัญญัติตายตัวไม่ได้
คุณยิ่งเก่งในลหุตาเท่ากับคุณยิ่งมีภาวะหนาทนความแรงได้มากยิ่งขึ้น
พยัญชนะกับสภาวะจะสลับกันไปมา ผู้ใดไม่แม่นคมชัดลึกจริงๆ หากมีคนเอาพยัญชนะมาตีกินคุณจะหัวหมุนเลย แต่ถ้าสภาวะแม่นจะสู้ได้
กายกับสัญญามันคนละอย่างกันนะ ถ้าใครไปเข้าใจว่ากายกับสัญญาเป็นอันเดียวกันเลย คุณจะสับสนเลย และเมื่อมันแยกกันคุณจะทำอย่างไร ถ้าแยกสูงสุดก็มีคำว่ากายกับสัญญาที่จะมาเรียกความเป็นสัตว์ สัตตาวาส จึงเริ่มต้นที่กายต่างกันสัญญาต่างกัน
ถ้ากำหนดหมายสัญญาอย่างเดียวกันว่านี่คือปฐมฌาน อาการจิตสงบตรงกัน ได้สภาวะรูปนามตรงกัน ความรู้สึกหรือเวทนาก็ตรงกัน
3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน เช่นพวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) เช่นสว่างใส อย่างเดียวกัน ทีนี้สัญญา ว่า ใส เช่นธัมมชโยเอาคำว่าใส ไปให้คนกำหนด เรียกว่าสัญญา คนก็กำหนดสัญญาว่าใสอย่างนี้ ใสอย่างนี้เป็นโสดาบัน ก็ปั้นเอาเองกำหนดเอง สกิทาฯก็ใสอย่างนี้ อนาคาฯใสกว่าสกิทาฯ เขาก็ไปกำหนดอนาคาฯใสกว่า การกำหนดเอาเอง อาภัสรา แปลว่าใส แต่อาภัสราที่คุณไปสร้างสภาวะกำหนดใสใส่ใจตน คุณก็ใสของใครของมันนะ เพราะคุณกำหนดเองของคุณ แล้วคุณก็ไปพูด แล้วมันจะไปรู้เรื่องกันได้อย่างไร คนนี้ว่าใสสกิทาฯคุณได้ไหม อนาคาต้องใสกว่าสกิทาฯไหม ก็ว่าใช่ แล้วอรหันต์นี้ใสกว่าอนาคาฯก็ใช่แล้วของเอ็งหรือของข้าวะ แล้วเอาออกมาให้ดูกันสิ คนก็หลอกกันสิ คนโง่ให้ธัมมชโยหลอก
ยิ่งกว่าอรหันต์คือโพธิสัตว์เขาก็ไถลเถลือกว่ากันไปล้านๆๆใส ได้อีก เพราะมันปั้นเป็นมโนมยอัตตา ปั้นด้วยจิต สัญญาเอาเอง ทั้งที่มันต่างกันซับซ้อนสัญญาต่างกัน กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน คุณก็เมากันไปไม่รู้เรื่อง ไม่ลงตัวกันสักอย่าง
สมมุติว่า สว่างใส มีคำเดียวคืออาภัสรา แต่คุณไปปั้นอาภัสราไปกี่ชั้นเล่า เป็นล้านชั้นก็คือมโนมยอัตตาทั้งนั้น เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต อัตตาสำเร็จด้วยจิต
นี่คืออาภัสราที่น่าสงสาร
กายอย่างเดียวกันคือใส แต่สัญญาต่างกัน สัญญาของแต่ละคนของใครของมันกำหนดความใสแค่นี้ คุณก็ได้ความใส แล้วเอามาพูดกัน เมื่อมาพูดกันเป็นรูปนาม แต่กำหนดหมายอยู่ที่สัญญาของแต่ละคน แต่พูดกันมี 2 คือรูปกับนาม แต่สัญญานั้นมีหนึ่งเดียวของคุณเอง แล้วก็มาพูดกับคนอื่นว่าเหมือนกัน เหมือนกันคือคำพูด ใสในสัญญาของคุณ มันต่างกัน แต่คุณมาใส เป็นกายเหมือนกัน แต่กายคือธรรมะสองว่ากันตรงกันก็เลยกอดคอโง่กันไป
คนเข้าใจสัตตาวาส 9 ถ้าเข้าใจสภาวะตรงสุดท้ายไปเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา คุณพ้นอันนี้ได้จึงจบสัญญาเวทยิตัง นิโรธังโหติ
ในสัตตาวาส 9 ไม่มี สัญญาเวทยิตนิโรธ ที่หมดความเป็นสัตว์แล้ว เคล้าเคลียอารมณ์ 108 ปฏิบัติจนเป็น90 ไม่มีกิเลสเหลือแล้ว
กายต่างกันสัญญาต่างกัน คือความใส โชคของคนไทยที่มีตัวอย่างนี้ คนชอบใสสวยงาม จึงไปอยู่กับธัมมชโย
4. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) ขออภัยฝ่ายดำดับ อ.มั่น ฝ่ายหลับตานี้ ดีกว่าสายลืมตาใสอย่างธัมมชโย ที่หลอกกันไม่สิ้นสุด แต่ฝ่ายดำนี้สุดอยู่ที่มืด จึงไม่มีอะไรมาก มืดหยุดได้ของใครของมัน คนที่หยุดได้แค่อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นสองอย่างสุดยอดของฝ่ายดับดำแล้ว เขาก็เห็นว่า ความดับดำนี้น่าได้น่ามีน่าเป็น คือสุภกิณหา
สายดำนี้จึงชอบหลับตาแล้วจบ แม้ไม่หลับตาก็ลืมตาแต่นิ่งแข็งไม่รู้เรื่อง อยู่ในภพ หลับตาก็ไม่รู้เรื่องเรียกพรหมลูกฟัก เอาไฟมาจี้ไม่รับรู้เลย ดับในภพลึก เอาอะไรมาแทง มาหั่นก็ไม่เจ็บ แต่ออกมาก็รับรู้สึกมีแผลมีหนองซวยอีก แต่ตอนเป็นนั้นไม่รู้สึกตอนอยู่ในภพไม่รู้สึกได้ นี่มีของจริงอยู่ มีผู้ติดยึดอยู่สองสาย
คนเหล่านี้จมในภพนี้ทิ้งกาลเวลา ส่วนธัมมชโยนี้บ้าไปกับเวลา พวกนี้สนุกสนานสวยงามไม่หลับไม่นอนกัน แต่เสร็จแล้วก็ตายได้ ไปวุ่นวายสนุกสนานรื่นเริงไม่หลับไม่นอน ต้องเก่งนะ นั่งทั้งวันทั้งคืน สวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร 20 ล้านจบ หลอกกันจนทนได้ชื่นใจๆๆ
จะท่องเพื่อจำได้ แล้วเอาไปใช้งาน ที่ท่องล้านเที่ยวเก่งกันมากๆก็หลอกกัน ท่องเพื่อใช้งาน แต่เดี๋ยวนี้มีวัตถุดิบเก็บได้เก่ง ไม่ต้องท่องมาก ในอนาคตจะยิ่งมีสิ่งทีเ่ก็บไว้มาก แต่ถ้าเกิดยุคนี้จะใช้จำได้มาก ก็เกิดผิดยุคสมัยแล้ว ถูกเขาหลอกให้นั่งท่องเสียเวลาทุนร้อนแรงงานอยู่อย่างนั้น ให้จำได้เพื่อเอามาใช้ ไม่ใช่จำเพื่อให้เกิดความพิเศษมีฤทธิ์เดชพิสดารอะไร คนท่องได้เก่งก็ส่งฤทธิ์มา ทำลายสัจธรรมของเราสิ ว่าจะไม่พูดแล้วนะ มันไม่มีฤทธิ์มีเดชขี้หมาอะไรหรอก พูดอย่างดูถูกเลย มันงมงายน่าสงสาร เหมือนลบหลู่ แต่อาตมาบริสุทธิ์ใจไม่มีจิต แบบนั้นหรอกพูดโดยโวหาร
กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกันนี้ มันจึงยากมากเพราะเป็นความมืดขยายอะไรไม่ออกพูดอะไรไม่ออก แต่อาภัสรานี้มีแสงสเปคตรัมอีกไม่รู้เท่าไหร่ ขยายได้เยอะ ก็เอามาพูดกันได้ มันเป็นปรากฏการณ์การหักเหของแสง ก็เอามาพูดกันไปแยกกันไป รายละเอียด มากน้อยต่างกัน นับไม่ถ้วน เฉดแสงมีล้านๆเฉดก็หลอกกันไปว่าสมมุติว่าต้องมี แค่คนไม่มีแล้วไม่สงสัย เหลือแต่ปรุงขึ้นก็ได้ แต่บางคนนึกไม่ออกเลยก็ได้สัญญาไม่ขึ้นมาเลยก็ได้ แต่รู้ แม้จะนึกสภาวะไม่ออกแต่ก็พอจำบัญญัติได้
กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน จะใส ก็ไปที่สภาวะขยายได้แต่ดำมืดนี้จบไป ขยายไม่ออก ไปขยายสุดท้ายแค่ อาฬารดาบส อุทกดาบสมีสองสุดท้าย สุดท้ายก็มีหนึ่ง มีหนึ่งกับไม่มีเลย หนึ่งอะไร ก็หนึ่งดำกับไม่มีเลย ก็จบ
ดำไม่มีเวบหนึ่งเลยอย่างอาฬารดาบสก็ดำอย่างนั้น ดำได้เจ็ดวัน 49 วันก็เชิญนั่งดับมืดไปหรือจะมากกว่านั้น 49 ท่านใช้สังขยาเลขคูณ 7x7 ถือว่าเลข 7 เป็นเลข Coefficient สัมประสิทธิ์สูงแล้วที่จะก้าวหน้าไม่มีถอยหลังเลย สู่สัมโพธิปรายนะ ไม่มีถอย ไม่มีลดอีกแล้ว
5. สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์ เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)
ไม่กำหนดไม่รู้สึก ไม่รับรู้ ความจำไม่ต้องพูดถึง เอาปัจจุบันไม่รู้สึกอะไรเลย อสัญญี ไม่มีความรับรู้ความรู้สึก เหมือนกับไม่มีธาตุรู้เลย จะกดข่มจิตไม่ให้มีความรู้สึกได้อีกกี่วัน 5 วัน 10 วัน 100 วันแล้วจะอยู่รอดไหม สังขารร่างกายที่ต้องใช้การสังเคราะห์กันจะอยู๋ได้ไหม นั่งอย่างนี้ห้าร้อยวัน ฟื้นมาก็ทนได้ ทนไม่ได้ก็ตายไปเลยในร่างนั้น อยู่ที่โมเมนตัม มันถือมั่นมากหรือไม่ ก็เลี้ยงร่างไว้ มันไม่มีพลังงานตั้งสูญถ่วงไว้ก็ล้ม แต่ถ้ายึดไว้ได้ก็ไม่ล้ม โลกไม่นิ่ง ก็ต้องถูกเหวี่ยงไปกับศูนย์ถ่วงโลก
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้พ่อครูอธิบายสิ่งหนึ่ง ว่าเวลาพ่อครูมีค่ามาก แม้แต่เวลาจิบน้ำ แม้จะเป็นความจำเป็นของร่างกายก็ตาม สำหรับพระโพธิสัตว์แล้วเวลาแต่ละวินาทีเป็นเวลาที่มีคุณค่าทำประโยชน์ต่อผู้อื่น ทุกขณะเวลาเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ได้จริงๆ สิ่งสำคัญคือเราฟังท่านแล้วก็ต้องเอาไปทำให้ได้ คือสิ่งที่เราอ่านกิเลสเรา เรากับเธอหากความเห็นคนละอย่างแล้วเราก็ยอมแพ้ก็แล้วกันก็จะได้จบ
เราเอาพลังงานบุญไปชำระกิเลสเท่าที่เราจะทำได้ตามเหตุปัจจัย ทำให้ได้เจริญขึ้นทุกขณะที่เราได้ตั้งศีลข้อปฏิบัติ ….ขอกราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:44:35 )
รายละเอียด
600818_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 มูลสูตร 10
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560 ที่ราชธานีอโศก พวกเราก็ได้บำเพ็ญบารมีกันทำงานหนักในช่วงนี้ แล้วก็ได้ฟังธรรมที่เป็นสาระแก่ชีวิตเพิ่มเติมขึ้นทุกวัน สิ่งที่พ่อครูได้อธิบาย สิ่งหนึ่งคือ พ่อครูรู้จักเกิดและรู้จักจบ อะไรที่เกิดไปแล้ว ไปไม่ได้ก็จบกัน จบที่ตัวเรา เขาไม่จบก็เรื่องของเขา ก็หมดปัญหา แสดงให้เห็นได้ว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกับใคร เป็นศาสนาแห่งความสันติสุขร่มเย็น เป็นพลังรวมของสังคม อยู่กันด้วยเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีสาราณียธรรม 6 ระลึกถึงกัน รักกัน เคารพกัน เคารพในวัยวุฒิ คุณวุฒิ และเป็นคนเกื้อกูลกัน ตั้งแต่วัตถุทางด้านนามธรรม ทำให้ตัวเองพัฒนาการมากขึ้นและเป็นคนไม่ทะเลาะกัน แต่สามารถถกธรรมะกันได้ โต้ตอบกันได้ และเป็นคนสามัคคีกัน อยู่ร่วมกันทำงานเป็นปึกแผ่น เหมือนเนรมิตได้ทำงานสำเร็จ ถ้าคนบ้านราชฯมีเป็นพันคนได้ อะไรก็สำเร็จ มีความเป็นหนึ่งเดียวกันเอกีภาวะ
เกิดจากการที่คนได้ลดละกิเลส ตามที่พ่อครูได้สอนมาเกือบสี่สิบปี ได้ผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน มีคุณภาพคุณธรรมจากสิ่งที่พ่อครูสอนโลกุตระ เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาแจกแจงให้พวกเราได้เข้าใจชัดเจน ตั้งแต่คำว่าบุญคือการชำระกิเลส บุญไม่ใช่สมบัติ บุญเป็นวิบัติ พ่อครูเป็นคนที่พูดคนเดียวคนแรก คนอื่นพูดไม่ได้เพราะว่าไม่มีสภาวะ
คำว่า กาย ถ้าไม่ได้มาศึกษากับพ่อครูก็ไม่รู้ เรารู้แต่ว่ากายคือดินน้ำไฟลม ไม่ได้เป็นองค์ประกอบธรรมะ 2 อย่างที่พ่อครูอธิบาย แม้แต่สัญญาในสัตตาวาส 9
พ่อครูว่า...ตอนนี้เราก็จะได้เห็นกล้วย ง้าว ภาษาอีสานว่า ง่าว คือง้าว ไม่ใช่ง่าวแบบภาษาภาคเหนือ อาตมาก็ยังไม่ได้ชิมว่ารสเป็นอย่างไร แต่กินเข้าไปลูกหนึ่งจุกแน่ๆ อาตมาเคยพูดเล่นๆตอนเด็กว่า สารพัดยัดเข้าไป กล้วยทั้งเครือไม่เหลือซักใบ พูดอย่างนี้นึกถึง คนญี่ปุ่นที่ซื้อกล้วยหอมไปกินในห้องจนตายเลย
เอาเรื่องสำคัญ ตีปลาหน้าไซก่อนเถอะ เตรียมกวีไว้ อยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องทำความเข้าใจกัน ใช้สัจจะ ความจริงที่ประเสริฐ แล้วเราจะทำงานทำอะไรได้ดี ประเสริฐ แล้วเป็นคุณค่าต่อมวลมนุษยชาติด้วย
“ยิ่งลักษณ์”คือยิ่งทำยิ่งเป็นลักษณะแท้
(1) “อาริยสัจ”นามเรียกนี้ “อริยสัจ”
ความประเสริฐยิ่งชัด “ยิ่ง”แท้
ความชั่วก็ตระบัด- สัตย์มิ ได้เลย
เป็นมนุษย์ไม่คิดแก้ ยิ่งซ้ำ“กรรมตน”
(2) “ลักษณะ”คนย่อมแท้ ใน“กรรม”
“ยิ่ง”ดัดจริตเป็นทำ ดีดดิ้น
“ยิ่ง”ผิดยิ่งย้ำยำ “ลักษณ์”ผิด เพิ่มแล
“ยิ่งลักษณ์”ล้างสัตย์สิ้น ยิ่งล้วนตนทำ
(3) “กรรม”ใดทำย่อมแท้ เป็นผล
“วิบาก”เป็นของตน ครบสิ้น
ทั้งกุศลอกุศล ถ้วน“สัจ”
ทุกมนุษย์ใครหลีกดิ้น ไป่ได้“เวรกรรม”
(4) “ยิ่ง”ทำกรรมชั่วไซร้ “ยิ่ง”จริง
“ลักษณะ”ใดควรประวิง บ่รู้
“ยิ่ง”ผิด“ยิ่ง”ดิ้นชิง เพื่อชนะ “ยิ่ง”ฤา
“ลักษณ์”อย่างนั้น“ยิ่ง”ผู้ โง่แท้อวิชชา
(5) ศึกษาพุทธรอดได้ ด้วยกรรม
กรรมผิดแล้วอย่าทำ อย่าย้ำ
“ยิ่ง”ผิด“ยิ่ง”โง่สัม- ประสิทธิ์ส่ง
หลงผิดว่าจักค้ำ ยิ่งซ้ำเลวเสริม
(6) หยุดเหิมเกริมได้จัก ลด“ลักษณ์”
หากบ่หยุด“ยิ่ง”หนัก “ยิ่ง”ช้ำ
“ยิ่งลักษณ์”รักพี่ทัก- ษิณ“ยิ่ง” ถลำรา
พี่“ยิ่ง”หลอกลึกล้ำ โง่ซ้ำระเริงหลง
(7) ลงนรกตกกระทะต้ม จนสุก
ชีพหกล้มหกลุก โหดร้าย
ยิ่ง“หนูไม่รู้”ทุก ใดถูก ผิดเลย
“ยิ่งลักษณ์”จึงเป็นป้าย ตลกให้คนเห็น.
“สไมย์ จำปาแพง” 4 ส.ค. 2560
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 326 ประจำเดือนกันยายน 2560]
ยิ่งลักษณ์หมายถึงชื่อของคนๆหนึ่ง คือยิ่งทำยิ่งเป็นลักษณะแท้
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ผู้ยอมผู้แพ้ คือผู้ชนะทุกอย่างในโลก
ถ้าคุณยิ่งลักษณ์หยุดยอมแพ้แล้วสั่งการเลยว่าไม่ตอบก็ยอมแพ้แสดงอาการใหม่ แสดงอาการยอมแพ้ก่อนถึงวันที่ 25 หรือใครมาก็บอกพวกเลยว่ามาศาลก็ยอมแพ้ เปลี่ยนแปลงเลยคุณว่าจะได้แต้มหรือเสียแต้ม ได้แต้ม พวกคุณตอบได้หมด แต่เขาจะคิดได้ไหม.. (ตอบกันว่า ไม่ได้)..
จริงๆใจลึกๆของอาตมาอยากให้เขาได้นะ เพราะว่าจะเป็นการประกาศธรรมะที่ยิ่งใหญ่ เป็นการจารึกประวัติศาสตร์ทางการเมือง จะจารึกไว้ให้คนได้ศึกษา ถ้าเขายอมได้เขาจะเป็นตัวอย่างอันดีงามมาก เป็นประโยชน์ตัวเขาด้วยชีวิตเขาด้วย สาธุ ขอให้คุณยิ่งลักษณ์ได้ฟังอันนี้ ได้บันดาลใจ มีใครเอาไปให้ก็ได้ เสร็จแล้วเขาก็ได้คิดยอมได้จริงๆ ผู้ยอมผู้แพ้นี่ชนะทุกอย่างเลยในโลก จริง ชนะ แม้คุณจะแพ้ แล้วถูกฆ่าตายในชาตินี้ก็ชนะ ในชาติหน้า ชนะในที่สุดเลย ผู้แพ้ โดยชัดเจน แพ้โดยไม่ทุกข์ เป็นผู้มีปัญญาที่แท้จริง ขออภัยเหมือนอาตมา แพ้ๆ ไม่มีปัญหาเลย อาตมายอมแพ้ แพ้ได้จริงๆ แพ้นี่คือหมดอัตตา เพราะที่สุดคือคนที่ยอมแพ้ได้ทั้งๆที่รู้ ไม่ใช่แบบจำนน ตัวเองไม่ได้แพ้ ไม่ใช่ใจยังฮึดยังสู้นะ แต่อาตมาวางใจ แพ้อย่างสูญ แพ้อย่างสูญนี่ชนะทุกอย่าง ก็เท่ากับสุญญตา ให้จริงเลย สะอาดจริงๆ ถ้าแพ้แล้วเล่ห์เหลี่ยมก็ไม่สูญ ดีไม่ดีเป็นภัย กิเลสทับทวี แพ้อย่างมีเล่ห์ยึกยักอะไร
พวกเราเข้าใจคำว่าสัมประสิทธิ์แล้ว มันมีแต่ก้าวหน้างอกงามไพบูลย์แต่ถ้าผิดก้าวหน้างอกงามไพบูลย์ส่ง ใครทำก็สุดยอดเจ็บปวดรวดร้าวเลยเป็นกรรมที่คุณทำ คำว่าสัมประสิทธิ์ใช้กับสิ่งไม่ดีก็ใช้โดยอนุโลม แต่ก็ใช้ในคนไม่รู้ก็ใช้ คือเต็มที่ เป็นพลังงานชนิดหนึ่งในสมมุติสัจจะ แต่ปรมัตถสัจจะไม่ใช่ แต่โดยสมมุติเขาก็ใช้โดยมั่ว อยากใช้ก็ใช้ไป เหมือนคนเอาคำว่าปัญญาไปใช้ ก็เช่นกัน
SMS วันที่ 16 สิงหาคม 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
_3553กราบนมัสการพ่อครู คำว่า"อุ้มบุญ" ที่ถูกต้อง ควรใช้คำว่าอะไรครับ
พ่อครูว่า...อุ้มบุญนี้ ผู้หญิงทำได้ ให้อุ้มท้องแทนนั้นเอง แต่คำว่าบุญโดยปรมัตถสัจจะเป็นเอกังสะ มีหน้าที่กำจัดกิเลสอย่างเดียว ทำเสร็จแล้วบุญก็สลายแต่เอาไปใช้กันเลอะเทอะ เอาไปใช้ถึงอุ้มบุญ หมายความว่ารับจ้างอุ้มท้อง ให้สรีระอาการ 32 เราเลี้ยงลูกแทนคนอื่นจนคลอด ใครจะรับจ้างหรือรับฝาก ธรรมชาติของคนเป็นไปได้ แม้อายุมากก็ตาม รับจ้างกัน ก็ใช้คำให้ดูดี อาตมาก็ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไร คุณจะใช้อะไรก็แล้วแต่เถอะ
_5263กราบนมัสการพ่อครูคะที่ลูกใด้ส่งมาขอร้องให้พ่อครูจิบน้ำระหว่างเทศนั้น ขอแก้จาก40ปีเป็น47ปีค่ะ และไม่เห็นด้วยที่พ่อครูบอกเสียเวลาเพราะการที่พ่อครูจิบน้ำนั้นจะทำให้พ่อครูมีเสียงและอยู่สอนลูกๆใด้อีกนานๆค่ะ(จากลูกคนเพชรบูรณ์ รักและห่วงพ่อค่ะ)
_3867ที่เคยศึกษาธ.โลกุตระผ่านบุญนิยมบ้างผ่านงานวบบบ.พุทธาฯปลุกเสกฯบ้างทุกบวรอโศก!มีถูกผิดพลาดพลั้งบ้าง!กราบขออภัยอย่างสูง!คำติเตือนพ่อครูเสมือน คำพร่ำเตือนจากปู่ย่าตายายที่รักห่วงใยลูกหลานจริงๆ
พ่อครูว่า...จริงอาตมาจริงใจอย่างนั้น แต่คนไม่เข้าใจก็มี
_3867จนใจเสียทรัพย์!จนแต้มเสียพนัน!จนตรอกเสียลาภยศ!จนพอเพียงไม่เสียอะไร!คำสอนในพ่อหลวงฯไม่เคยทำใครอับจนเลย!
SMS จากเฟซบุ๊ค
(พชร ทองอ้ม)Portchara Thongom · ทำไมต้องเขียนหัวข้อเป็นภาษาอังกฤษ แต่เทศภาษาไทย เพื่อ?
พ่อครูว่า...อาตมาไม่ใช้หัวข้อเป็นภาษาอังกฤษหรอก
_คนเหนือ ประเทศไทย เป็นอโศกหน้าจอติดตามฟังพ่อครูเทศและบุญนิยมทีวีทุกวัน
_(อ๋อย บริงโซ) Aoi Bringsoe. พ่อครูพูดว่า "อาตมาไม่อยากเสียเวลาแม้นนิดแม้นน้อย อาตมาเสียดายเวลา" ฟังแล้วจับขั้วหัวใจค่ะ คนทั่วไป ที่ไมใช่คนปรกติเสียเวลา เสียทุนรอนไปกับสิ่งที่ไม่ใช่สาระของชีวิตมากมาย พ่อครูเป็นพระโพธิ์สัตว์ พยายามทำงานช่วยคนทั่วไป ให้เป็นคนปรกติ ไม่ยอมเสียเวลาแม้นนิดแม้นน้อย ลูกฟังแล้วตื้นตันใจ บอกไม่ถูกค่ะ รู้แต่ว่าชีวิตนี้โชคดีนักที่ได้มีโอกาสรู้จัก และฟังธรรมะแท้จากพ่อครู แลัหมู่สมณะ-สิกขมาตุชาวอโศก กราบสาธุพ่อครู จากแดนไกลค่ะ
SMS วันที่ 17 สิงหาคม 2560 (สมณะ สิกขมาตุ-บวรสันติอโศก)
3867ร.ร.สัมมาสิกขาฯคงเป็นร.ร .แรกร.ร.เดียวที่ฝึกเด็กเรียนรู้อยู่กับทุกขพิบัติภัยด้วยการพึ่งตนเป็นที่พึ่งแก่ตนเองและผู้อื่นได้ทุกสถานการณ์!ถ้าตนอยู่ใกล้บ้านราชก็คงลงน้ำไปช่วยกู้เก็บผักฯเหมือนกันเพราะโตมากับปู่ย่าตายายที่ใช้เราทำงานยกขนแบกหามพืชผักผล!ติดดินลงน้ำลุยโคลนมาสารพัด!ชีวิตชาวอโศกเหมือนชีวิตคนรุ่นเก่าสมัยโบราณที่ใช้ชีวิตกลมกลืนเข้ากับธรรมชาติมากที่สุด!
SMS จากเฟซบุ๊ค
_วรรณชัย บุญพิทักษ์ · อโศกทำประโยชน์ตนพร้อมกับประโยชน์ท่าน สาธุ
_แหม่ม สวิส · กราบนมัสการค่ะ / รับชมจากสวิส ชัดเจนดีทั้งภาพและเสียงค่ะ
_เล็ก มณีรัตน์ · ปลาไหลโชคดี ที่เจอะเจอคนมีศีล คนมีศีลยังห่วงปลาไหลจะเวียนหัวเสียอีก สาธุค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน สัญญามีทั้งนิ่งและเคลื่อนไหว
_ส.ดาวดิน มีผู้ฝากความเห็นเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของจิตกรณีที่พ่อท่านอ้างถึงนีล อาร์มสตรองอาจจะส่งจิตไปที่ดวงจันทร์ซึ่งอยู่ห่างจากโลกมากด้วยเวลาเพียงชั่วขณะด้วยว่า นั่นไม่ใช่การส่งจิตไปแน่ แต่เป็นเพียงเขาได้เอาความทรงจำของเขาเกี่ยวกับดวงจันทร์ให้กลับเข้ามาสู่การรับรู้ของเขาอีกครั้งเท่านั้นเอง.
พ่อครูว่า…ไม่ใช่ส่งจิตไปแล้วส่งกาละมังไปหรืออย่างไร ไม่ใช่อรูปด้วยนะ เพราะว่านีล อาร์มสรอง ส่งไปเป็นนามธรรมของตนว่า ตรงที่ตนไปเหยียบดวงจันทร์ ตรงนั้น พอใครถามก็ส่งจิตไป เพราะต้องระลึกได้แน่ เป็นสิ่งที่ตนภูมิใจ นึกตอนไหนก็ได้ ใหม่ๆ นีล อาร์มสตรองส่งจิตไปแน่ เพราะชีวิตนี้หนึ่งครั้งได้ไปเหยียบดวงจันทร์
ถ้านีล อาร์มสตรองพูดตรงนี้ ว่าไม่ได้ส่งจิตไป อยู่กับที่เอาความจำ คือเอาความจำมาพูด แต่ถ้าความจำที่ทำงานเพ่งกำหนดหมาย การเพ่งกำหนดหมายก็เป็น kinetic ของสัญญาของผู้นี้ แต่ถ้าความจำอันนั้นของผู้นั้นไม่ได้ทำงาน เอามาระลึก ความจำอันนั้นก็เป็น static แต่เชื่อว่า นิล อาร์มสตรองต้องระลึกไปถึงแน่เลย
อาตมาไม่เชื่อว่านีล อาร์มสตรองจะส่งจิตไปช้าๆแล้วค่อยมาคุยต่อ แต่เชื่อว่าจิตพุ่งปร๊าดไปดวงจันทร์แน่เลย
สมณะฟ้าไทว่า...คำถามนี้ถ้าไม่ใช่ พ่อครูอธิบายยาก
พ่อครูว่า...ไม่มีใครพูดอธิบายได้แบบนี้หรอก นี่กำลังอธิบายขยายความ kinetic หรือ dynamicของสัญญา การวิ่งของจิต ไม่ใช่เรื่องเดา ท่านดาวดินนี้ก็ยังดุ๊กดิ๊กๆอีกเยอะ น่าจะชื่อดาวดิ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ยอมแพ้ได้คือยอมลดตัวตนได้
_พิมพ์เพชรรุ้ง...ชอบ ประโยคนี้ "จบมั้ย ถ้าคุณไม่จบ อาตมาขอจบ" ตอบโจทย์สภาวะอึดอัดของลูกได้อย่างดีมาก เวลาฟังคำถามของนักถาม (นักแถ) ขี้สงสัย ถามวกไปวนมา
แบบนี้ คือไม่รู้จักสดับฟัง แล้วทำ ธัมมวิจัยใช่มั้ยคะ ? ....
เข้าใจว่าจมอยู่กับภพวิตกของตัวเอง มากไป
...ถามแค่นี้พอแล้วค่ะ ไม่อยากเสียเวลาวิตกกับคนประเภทนี้ มากเกิน
กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า...ใช่ เขาไม่ได้ธัมมวิจัย แต่ขอถามเพียงเพื่อจะเอาชนะ ถ้าคนจะหยุดนี้จะผิดหรือถูกก็ได้ แต่ถ้าเป็นนักแถ ก็ต้องถามต่อ ก็ต้องแย้งอีก ถ้าเกิดหยุดแล้ว จะวิจัยอีกต่อ คุณอาจถูกหรือผิด แต่นี่ยังไม่ยอมวิจัย แต่ถ้าทำธัมมวิจัยคนนี้ก็จบ ก็ขยายความอันนี้ว่า จบไหม ถ้าคุณไม่จบเราก็จบ
เรายังขอเสริม ยังจะไม่ไปจากคุณยิ่งลักษณ์ อยากจะให้พลพรรคคุณยิ่งลักษณ์อีกนิดหน่อย พลพรรคของคุณยิ่งลักษณ์ก็ไม่น้อย ตอนนี้ได้ข่าวว่ากำลังเตรียมพลพรรคไม่น้อย (พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
ความเชื่อของตน หรือจริงๆแล้วบางทีน่าสงสารที่ ก็รู้อยู่ว่าแพ้แต่จิตใจยังไม่ยอมแพ้อันนี้น่าสงสาร รู้ว่าอะไรยังไงก็แพ้แต่ไม่ยอมแพ้ อาตมาว่า ถ้าอย่างไรก็แพ้ก็ยอมแพ้ดีกว่า แต่มันไม่ยอมแพ้ต้องการจะเอาชนะก็ต้องดันทุรังต่อไป แต่ถ้าเรารู้ว่าถึงอย่างไรก็แพ้ อาตมาว่า แพ้นี่แหละได้ลดอัตตา
ใครอยากชนะแล้วก็ยอมแพ้ ก็คือยิ่งคุณลดตัวตน ก็แพ้เป็น เป็นการลดมานะอัตตา มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ มันลดอัตตาจริงๆ
น่าสงสารคุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเป็นวิบากของเขา
ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ไม่มีกุศลวิบาก อยู่ดีๆจะไปเป็นนายกรัฐมนตรีภายใน 15 วันได้อย่างไร เป็นกุศลวิบากของเขา แต่เป็นทุกขลาภ เป็นประโยชน์ที่จะได้ศึกษาแม้จะไม่สำนึกก็เป็นประวัติให้เขาระลึกในอนาคต เขายังไม่เข็ดก็จะต่อไปอีก จนกว่าเขาจะเข็ด ก็จะได้มีความจำเป็นตัวอย่างระลึกให้กับตัวเองในอนาคตว่า ตูหนอตู ชาตินั้นเป็นยิ่งลักษณ์มีพี่ชายชื่อทักษิณ ตูหนอตู ต้องให้พี่ชายทักษิณไปต้มเอา ต้องให้ทักษิณริ ยิ่งลักษณ์ ยำ ขออภัยแรงไปไหม ก็พูดตามที่เขาพูดกัน มันเป็นตัวอย่างในโลก จะเป็นตัวอย่างแบบหนึ่ง
ถ้ายิ่งลักษณ์หยุด จะเป็นตัวอย่างอีกแบบหนึ่งถ้าไม่หยุดจะเป็นตัวอย่างอีกแบบหนึ่งอยู่ในนิทานเรื่องนี้
สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าเขาจะแทงกันก็แทงยิ่งลักษณ์ไม่หยุด
พ่อครูว่า...นักแทงหวย จะแทงเบอร์นี้พวกนักเล่นการพนัน เล่นได้ทุกอย่าง หายใจเข้าออกก็เล่น ท่านก็ผ่านการพนันมา
สื่อธรรมะพ่อครู(สัตตาวาส 9) ตอน สัตตาวาส 9
อาตมาเข้าสู่เนื้อหาสาระสำคัญ เรายังไม่ได้พูดต่อในเรื่องของ สัตตาวาส ใช่ไหม ได้อธิบาย ถึง สัตตาวาสข้อที่ 5
สัตตาวาสข้อที่ 1 มันไม่มีความรู้ในเรื่องความเป็นสัตว์เลย เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณของตนเอง กายของจิตวิญญาณ เป็นมนุษย์ก็ไม่รู้จัก กายเป็นเทวดา เทวดาหมายถึงจิตก็ไม่รู้ เปรตกายของตนที่หมายถึงจิตก็ไม่รู้ สรุปในข้อที่ 1 กายต่างกันสัญญาต่างกัน สองคนนี้ไปด้วยกันได้ พูดอย่างไปไหนมาสามวาสองศอก
นึกถึงตอนเล่นไสยศาสตร์ เขาเรียกว่าใช้ภาษาเทพ ส่งเสียงล้งเล้ง เข้าใจกันแต่ไม่รู้เรื่องหรอก พอออกจากการทรงไม่รู้เรื่องหรอก แต่ตอนนั้นก็ว่ารู้เรื่อง คนทรงกับคนทรง แต่คนทรงกับคนไม่ทรงก็พูดกันรู้เรื่องก็มีนะ
อันที่ 1 ไม่มีความรู้เรื่องกายเรื่องจิตไม่รู้มนุษย์เปรตเทวดา พูดกันเละเทะ เหมือนคนสมัยนี้ แต่เขาก็ตกลงกันได้
2. พวกมีกายต่างกัน แต่สัญญาอย่างเดียวกัน เช่นกำหนดว่า ฌาน ปฐมภูมิ ทำจิตให้เป็นปฐมฌาน คือจิตไม่มีนิวรณ์ 5 ทั้งคู่ แต่กายต่างกัน เช่น พวกนั่งหลับตาทำฌาน เขาก็จิตไม่มีนิวรณ์ แต่พวกสัมมาทิฏฐิแบบพุทธ ลืมตาปฏิบัติก็ไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน
แต่ของพุทธนี้เห็นรูปนามเหมือนกันหมด ทุกคนลืมตา แต่คนหลับตานั้น เขาก็ไม่มีนิวรณ์ 5 แต่เขาเห็นกายอีกอย่างหนึ่ง กายของเขา รูปนามของเขาไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย มีแต่นามอันเดียว กายของเขาที่ได้ ดีไม่ดีไปปั้นนามใหม่ เป็นมโนมยอัตตา มีรูปร่างสีสันได้อีก แต่ไม่ใช่อันที่ ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกเห็น กายจึงต่างกัน แต่สัญญา ไม่มีนิวรณ์ 5 เหมือนกันเป็นคู่ แต่รูปนามเห็นต่างกัน อันที่สอง
3. กายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน ...อันนี้อธิบายยากพอสมควร กายอย่างเดียวกัน เช่นเทวดาอาภัสรา แสงสว่าง อย่างธรรมกาย ใสๆๆๆ กายอย่างเดียวกัน เขาก็ใส โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ ใสที่มีอุปาทานทั้งสิ้นเลย
เพราะฉะนั้นในอันที่ 3 พวกเดียวกันเขาจะใสเหมือนกัน แต่คนที่ใสโสดาบันนี้ คนนี้ เขาจะต้องหลับตานะ สายนี้ สายธัมมชโย ใสนั่งหลับตาแล้วเห็นใสไหมลูก เห็นแล้ว เขาไม่พูดข้างนอกว่าใสอย่างไร เขาจะพูดเป็นความลับกับคนข้างในเฉพาะหมู่ เพราะฉะนั้น คนที่เขาบอกว่าได้ใสโสดาบันก็จะได้อย่างหนึ่ง ใสสกิทาฯก็อย่างหนึ่งใสอนาคาฯก็อย่างหนึ่งแต่แท้จริง เป็นใสที่เป็นมโนมยอัตตาเท่านั้น เขาเห็นได้จริงๆ กายเขาก็ใสอย่างเดียวกัน แต่สัญญาของเขาก็ต่างกันไป
ต้องไปนั่งหลับตา ถ้าลืมตาเห็นใสเหมือนกันหมด ไม่ได้ปั้น แต่พวกลืมตาปั้นนี่แหละ ขนาดไม่มีอะไรเลยยังปั้นเป็นนางตานี พระพหรม โครงกระดูกเดินได้เลยอะไรอย่างนี้เป็นต้น
4. มีกายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน เหมือนเทวดาสุภกิณหา กิณหาแปลว่าดับดำมืด หลับตาดำมืด สาย...ขออภัยต้องเอ่ยชื่อสายอาจารย์มั่น สายหลวงตาบัว ดับดำมืดได้สนิท จะแยกไม่ค่อยออกว่าต่างกันไหม อาจแยกได้เป็นแบบอาฬารดาบส อุทกดาบส แต่ส่วนมากจะแยกไม่ได้มืดดำดับสนิทไปหมด
สายที่ 4 กายจะดำดับไปหมด แล้วเขาก็เรียกว่าคือนิโรธ คืออรหันต์ สูญแล้วดับสนิทแล้ว นั่งหลับตา เพราะฉะนั้นลืมตาขึ้นมา คุณก็ดับดำอย่างนี้เลยก็เหมือนกัน กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน หลับตาก็ทำง่าย ลืมตานี่ทำยากกว่า แต่ถ้าดับดำแล้วก็อย่างเดียวกัน คนที่ทำแบบตาลืมเลยนะ ก็ทำได้ อย่างคนตกภวังค์สนิทๆ
พวกนี้เห็นความรักความดับดำว่าเป็นของดีสุภกิณหา
สิ่งเหล่านี้อาตมารู้สึกสงสารเห็นใจ ถ้าอาตมาไม่ได้เอามาพูดก็จะไม่เข้าใจกัน จึงจำเป็นต้องเอาไปพูด จึงเหมือน เชิงข่ม ลบหลู่ ก็ขออภัยคนที่เขานับถือกันก็พูดเป็นวิชาการให้รู้
5. พวกไม่มีสัญญาไม่เสวยเวทนา ตัดความรับรู้หมดเลย อสัญญีสัตว์ ดับไม่รู้สึกไม่รู้เรื่องเลย ดับปี๋ จะลืมตาทำก็ได้ แต่ยากกว่าหลับตาทำ หลับตาทำได้ง่ายกว่า แต่คนลืมตาทำได้ก็มี จะยากมาก ต้องสร้างประสาทให้แข็งค้างไว้แล้วตนเองก็ดับจิตตัวเอง อาตมาเคยเห็นคนเล่นไสยศาสตร์ด้วยกัน เขายกย่องให้เป็นอาจารย์เป็นหัวหน้าด้วย ตาแข็ง พวกนี้ลูกน้องเห็นตาแข็งได้อย่างนี้ก็ว่าอาจารย์เข้านิโรธแล้ว ลืมตา ธรรมดาตาจะมีการกระพริบมีเวลาแต่ ถ้าตาแข็งเมื่อไหร่ก็ว่าอาจารย์เข้านิโรธแล้ว
สมณะฟ้าไทว่า...แสดงว่าอันที่ 4 รู้ว่าดำ แต่อันที่ 5 นี้ไม่รู้อะไรเลย
พ่อครูว่า...ใช่ ไม่มีเวทนาไม่มีสัญญา ไม่รู้อะไรเลยไม่มีความรู้สึก อสัญญี พวกนี้ ไม่มีสัญญาไม่มีเวทนาเลย อันอย่างนี้ พวกที่ สายส่วนใหญ่บอกว่าสัญญาเวทยิตนิโรธ คือดับเวทนา ดับสัญญา ซึ่งมันไม่ใช่ ของพระพุทธเจ้าปรินิพพานแบบ จักขุมาปรินิพพุโพติ ลืมตารู้ชัดเจน แคล่วคล่องด้วย ตาหูจมูกลิ้นกายความรู้สึก ยิ่งคล่อง เป็นปาคุญญตา เวทนาสัญญาสังขารแคล่วคล่อง ไม่ใช่ดับจนหมดฤทธิ์เดชอะไร
6. อากาสานัญจายตนะ แล้วก็เข้าถึงความสว่าง ไปว่าง สว่าง ไม่มีที่สิ้นสุด อากาสานัญจายตนะ คือเหมือนมองไปท้องฟ้านอกโลก อวกาศก็สว่างไม่สิ้นสุดคือรูปธรรมง่ายของอากาสานัญจายตนะก็มองไปสว่างไกลเท่าที่จะมองได้ก็จบเท่านี้ เขาเรียกว่าว่าง สุดท้ายเรียกที่ว่างไกลลิบว่าท้องฟ้าหรืออากาศ สายสว่างนะ
คู่หนึ่งของอรูปคืออากาสานัญจายตนะกับวิญญานัญจายตนะ อีกคู่หนึ่งคือ อากิญจัญญายตนะกับเนวสัญญานาสัญญายตนะ
พวกที่หลับตานั่งสมาธิแล้วเห็นความว่างอยู่ในภพของตัวเอง ไอ้ที่มันเห็นความว่างอยู่คือวิญญาณคุณยังเกิด วิญญาณคุณไม่ได้ดับ ไม่เหมือนอุทกดาบส อาฬารดาบสที่ดับนึดนึงน้อยหนึ่งก็ไม่มี แต่อาฬารดาบส ไม่เก่งเท่าอุทกดาบส คืออากิญจัญ คือนิดหนึ่งน้อยหนึ่ง
อากาสาคือว่างไกลไปลิบ เป็นท้องฟ้าไม่มีที่สิ้นสุด สว่างใสไปหมดอะไรจนกระทั่งความรู้ของคุณไปไม่ได้ มันสุด แต่ความไกลนั้นมันไปไกลกว่าคุณ แต่คุณไปไม่ได้ไม่ถึง สัญญาของคุณจบแค่นั้น สัญญาของคุณกำหนดได้แค่นั้น ในปัจจุบันกำหนดรู้ ตัว static ตัว dynamic ตัวสัญญาที่เป็นเครื่องหมายอันนั้น กับสัญญาที่กำลังปฏิบัติปัจจุบัน
7. วิญญานัญจายตนะ เป็นความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนอากาสาคือว่างทะลุไปไม่มีที่สิ้นสุด หรือว่าสุดของคุณ คุณไปไม่ได้แล้วก็สุด
8. อากิญจัญญายตนะ อันนี้นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี คนที่มีตัวรู้ว่ายังมี อย่างอาฬารดาบส มีจิตแวบขึ้นมา แต่ภูมิรู้ไม่พอก็เลยไม่รู้ แต่อุทกดาบสนั้นรู้ได้ แม้แวบนิดน้อย อุทกดาบสสูงกว่าหนึ่งขั้น แต่ก็ยังโง่อยู่ทั้งคู่ไปหลงอยู่แบบนั้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่ามีฐานบารมีเพราะได้เลยแต่ไปช่วยไม่ทัน นี่ก็เป็นเรื่องของวิบากเหมือนกัน มีอรรถกถาเขียนไว้ไหมไม่รู้
9.เนวสัญญานาสัญญายตนะ อันที่เป็นสองอันสุดท้าย เนวคือภาคเศษ จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่รู้ก็ไม่ใช่ เนว การกำหนดรู้ยังไม่แน่นอนชัดเจนทีเดียว ยังรู้ไม่หมด
คนไหนที่ไปหลง เนวสัญญานาสัญญายตนะว่าสุดแล้ว คนนั้นก็จบอยู่แค่นี้ เหมือนกันอาฬารดาบส คนที่หลง เนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นสายรู้ ส่วนอากิญจัญคือตัวถูกรู้ อากิญจัญ คือสิ่งนี้นิดนึงน้อยหนึ่ง เนวสัญญาคือต้องรู้ให้ได้ ถ้าไม่รู้ก็ค้างอยู่ตรงนี้แหละ ตัวที่ 9 นี่แหละ สุดเลย สัตว์ตัวที่ 9 คุณจะต้องค้นความเป็นสัตว์ตัวที่ 9 นี่ให้ได้ โดยคุณจะต้องพ้นอวิชชาสวะ หรือสุดแห่งที่สุด อวิชชานุสัย สุดเลย
สิ่งที่ไม่รู้อีกไม่มี พ้นอวิชชาถึงขั้นพ้นอาสวะก็เป็นอรหันต์ปัญญาวิมุติ แต่ถ้าจะให้หมดอนุสัยก็เป็นอุภโตภาควิมุติ แต่คนจบหมดอาสวะแล้วก็ได้ที่ชอบๆแล้วสบายๆไปแล้ว เหลืออันนั้นจะทำหรือไม่ก็ได้ แล้วอาสวะนี่เป็นสิ่งที่จะว่าแล้วมี 2 คำ
สวะ แปลว่าตัวตน กับอนุสยะ ตอนนี้มาเล่นพยัญชนะเลย
สวะ คือเศษวรรค
สยะ ก็เศษวรรค
ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ย เป็นตัวต้นเลย ตัว ฬ เหมาเข่งหมดเลย มีเต็มเบ้า โอฬาร เอกภพคือโอฬาริกโลก ก็ตัดทิ้งไม่ต้องพูดถึง
มาพูด ตัว ว กับ ย
สว กับ สย มันสลับกันอยู่
ย ขึ้นก่อน ว เป็นเส้าที่สอง ในเศษวรรค มี ย ร ล ว ส ห
ตัว ย เป็นเส้าที่1 ส่วน ว เป็นตัวต้นของเส้าที่ 2 เพราะฉะนั้น ว หยาบกว่า ย นี่คือความหมุนรอบเชิงซ้อน เพราะบัญญัติมาแล้วว่า อนุสัย กับอาสวะ ผู้มีสภาวะก็รู้ว่าสลับกัน เหมือนเอาหัวเดินต่างตีน เดี๋ยวเอาตีนเดินต่างหัว
สมณะฟ้าไทว่า...สักกายะตัวตน อาสวะตัวกลาง อนุสัยตัวท้าย ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า...ก็ถูกแล้ว แต่สักกายะนั้น ถ้าจะว่าก็มี ย ยักษ์ ก็ต้องหยาบแน่นอน
สิ่งเหล่านี้ บัญญัติจะกลับไปกลับมาได้ สภาวะจึงเป็นตัวยืนยันสัจจะที่ดีที่สุด คนไหนไม่ถึงสภาวะก็จะยาก อาตมาถึงได้บอกว่า อาตมาแปลบาลีด้วย สภาวะไม่ได้แปลด้วย บัญญัติหรือไวยกรณ์หรือตามตำราที่เขาเรียนกัน
ก็ขอถามว่า สภาวะกับตำราไวยากรณ์อันไหนเกิดก่อนกัน ก็ต้องสภาวะ เพราะภาษาเกิดจากสภาวะ หรือไวยกรณ์ก็เกิดตามภาษาด้วย มาตั้งกฎเกณฑ์กันมาเอามาใช้ได้
เหมือนกันกับความที่ยังไม่ละเอียดพอ แต่ก่อนนี้คนเราเข้าใจว่าโลกแบน เขาก็คำนวณและอาศัยอะไรอยู่ อย่างคนสังคมโลกแบน เขาก็คำนวณกันได้ เส้นโคจรดาราศาสตร์ก็คำนวณได้ทั้งที่รู้ว่าโลกแบน คือโลกนี่มันวิ่งระดับหนึ่ง โลกแบนหมายถึงว่า มันไม่ได้วิ่งรอบตัวเอง แต่มันวิ่งรอบจักรวาล รอบพระอาทิตย์ รอบจักรวาลน้อยใหญ่ ก็อาศัยระยะทางเป็นเหตุในการคำนวณได้
เขาจะคำนวณตั้งแต่โลกแบนเขาก็คำนวณสุริยคติ จันทรคติได้แล้ว ถ้าโลกกลมก็ยิ่งแม่นกว่า เป็นความละเอียดเข้าในระดับหนึ่งเหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบสก็ดำทั้งคู่ แค่คนรู้ละเอียดจะรู้ว่าต่าง คนที่รู้ยิ่งกว่าก็จะจบ แต่คนไม่รู้ก็จะเถียงเอาชนะส่วนมากจะเป็นอย่างนั้น นี่คือลักษณะที่มันยาก
สรุปแล้ว วันนี้ได้ฟัง สัตตาวาส 9 ยังไม่ได้สรุปตรง สัญญาเวทยิตนิโรธไม่ได้อยู่ในสัตตาวาส 9 แต่ในวิโมกข์ 8 มี
สื่อธรรมะพ่อครู(วิโมกข์ 8) ตอน วิโมกข์ 8
วิโมกข์ 8 พาไปสูงกว่า สัตตาวาส 9 มีตั้ง9 แต่ไม่มีสัญญาเวทยิตนิโรธ
1. ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ) ผู้ใดมีประสาทมีจิตวิญญาณมีธาตุรู้ก็จะสามารถเห็น ถึงภายนอก รูปี รูปานิ คือรูป ในขณะที่คุณเองคุณมีรูป ถ้าคุณเองอยู่เฉย มองไปเห็นรูปอะไรที่จะสัมผัสรู้ คุณก็เป็นคนผู้สามารถรู้รูป ประสาทไม่เสีย ถ้าคุณมีรูป ผู้มีความสามารถที่จะเห็นรูป ก็จะเห็นรูป รูปีคือรูปทั้งหลาย รูปานิ เขาแปลว่าผู้รู้รูป อาจแปลสลับไปมาได้ บางทีเขาแปล รูปานิว่า รูปที่ถูกรู้ ส่วนรูปี เป็นตัวรู้ ก็เหมือนกับ อานา อาปานะก็สลับ ระหว่างลมหายใจเข้าออกได้
ถ้ามีสองอันนี้ ทำงานร่วมก็จะเป็นสามเส้าอันที่ทำการเห็นได้ ครบสามเส้าธาตุรู้ทำงาน ต้องมีสามเส้า มีตัวรู้กับตัวถูกรู้แล้วมีประธาน
ถ้าเกิดว่า ไม่มีธาตุรู้ ไม่มีผู้รู้แล้วจะศึกษาได้อย่างไร ถ้าไปดับจิตก็ไม่มีตัวรู้ก็ไม่มีทางปฏิบัติได้บรรลุ การหลับตาเป็นอุปการะ ไม่ใช่ทางอันสมบูรณ์ อาตมาพูดแล้วพูดอีกมา 47 ปีแล้ว แต่ท่านก็ไม่ฟัง
อันที่หนึ่ง คนมีรูป คนที่สามารถรู้รูปได้ก็เกิดเส้าที่สาม สัมผัสกันทำงานร่วมกัน วิสยรูปกับโคจรรูป ปสาทรูปทำงานร่วมกันก็เกิดภาวรูปเป็นอันที่สาม
2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป) แต่ท่านแปลว่า ไม่สำคัญมั่นหมายรูปภายใน เห็นรูปภายนอก
แต่อาตมาแปลว่าต้องรู้จากภายนอก เข้าไปถึงภายในจนถึงอรูป รู้จนถึงอัชฌัตตังคือรู้หมดภายนอกภายใน รูป อรูป รู้ละเอียดหมดรู้ครบ นี่คือวิโมกข์ข้อที่ 2 หลุดพ้นด้วยการรู้ทั้งนอกและใน รูป อรูป เล็กที่สุดจนแม้เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ก็ต้องรู้ให้ได้ แล้วรู้จนจบความไม่รู้พ้นอวิชชาสวะ พ้นอวิชชานุสัย เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นการใช้สัญญากำหนดรู้เวทนา 108 หรือเวทยิต ท่านแปลว่าเคล้าเคลียอารมณ์เป็นปฏิเวธธรรมรู้ทั้ง 108 ตั้งแต่ 2 3 5 6 36 108
นั่นคือผู้ที่รู้ชัดเจนหมด ในรูป อรูป ทั้งภายนอกและภายใน คือวิโมกข์ ข้อที่ 2
3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
พตปฎ. ล.10 ข.66 / ล.23 ข.163
จิตมันโน้มไปทางนี้ ถูกแล้ว จิตที่เป็นอันที่สามคือจิตคุณต้องเจริญไปสู่ที่สูงที่สุดไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นวิโมกข์ 3 ข้อนี้เกี่ยวกับภายนอก เกี่ยวทั้งภายใน วิโมกข์ 3 วิโมกข์ไม่มี 1-4 แล้วเป็นอากาสาฯ แล้วไปที่สัญญาเวทยิตนิโรธ
วิโมกข์ 1 2 3 จึงรวบภายนอกไว้หมด ส่วน 4 5 6 7 รวบภายในหมด ส่วนอันที่ 8 ตีหัวเข้าบ้านรู้จบหมดด้วยอันที่ 8
นี่คือวิโมกข์8 หากไม่มีสภาวะแล้วอย่ามาเดา มาเดาได้อย่างไร อตักกาวจรา หากถูกผู้รู้ซักเอาก็จากตายเลย เหงื่อจักแร้ไหลโชกแน่เลย
4. ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา(พ้นรูปฌาน) เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะ ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่าอากาศหาที่สุดมิได้ (สัพพโส รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ ปฏิฆสัญญานัง อัตถังคมา นานัตตสัญญานัง อมนสิการา อนันโต อากาโสติ อากาสานัญจายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ)
อากาสาเป็นรูป วิญญานัญจาเป็นนาม
อีกคู่หนึ่ง อากิญจัญญายตนสัญญากับเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา
นาคือต่างๆ คุณจะไปกำหนดรู้อะไรอีกทุกอย่างที่ต้องกำหนดรู้ใน นาสัญญายตนะ ต้องรู้ให้หมดนะ ต้องใช้สัญญากำหนดรู้ สัญญาตัวที่สูงที่สุดคือเนวสัญญานาสัญญายตนะสัญญา กับอสัญญีสัตตายตนะ เป็นอายตนะสองตัวสุดท้าย แต่ไม่มีในวิโมกข์ 8 หรอก
อายตนะที่ต้องรู้มีสองอันสุดท้าย พวกหลับตาปฏิบัติฌาน ยิ่งอรูปฌานนี้ไล่ไม่ถูกหรอก มันจะเป็นอย่างเดียวกันหมดเหมือนสายอาภัสรา สว่างโสดาฯ สกิทาฯ อนาคา มันก็ไปปั้นเองตั้งเองว่าแสงสว่างของโสดาฯ แสงสว่างของ สกิทาฯใสกว่านะ ของใครของมันไปเทียบกันไม่ได้หรอก ก็โม้กันน่าดู คุณได้สว่างสกิทาฯไหม ก็ไปด้วยกันได้แต่ไม่จริง
อาตมาดีอย่าง เล่นไสยศาสตร์ไม่เคยดับสนิท จะรู้อยู่นิดนึง คนที่ดับสนิท จะมีพลังวิเศษ กล้าตัดลิ้นได้ อาตมาเข้าทรงอย่างไรก็ไม่เอามีดมาเชือด เพราะมันรู้ มันสลับซับซ้อน พวกนั้นไม่รู้ แต่เขาได้พลังพิเศษเชือดไม่เช้าได้ อาตมาก็เล่นได้หนังเหนียว เชือดไม่ธรรมดาเอามีดโกน ยิลเล็ตมาเชือดนะ ต้องลองก่อน โกนให้ขนร่วมกราวเลย ว่าอันนี้คมแน่ ตอนบาดลงไปก็เป็นแค่รอยหรือเลือดซิบๆ เจ็บนะ
อย่างมีดที่มีปลายแหลมนะ ก็ถ้ากรีดเฉยๆก็ลื่นไปเฉยๆเหมือนกับของไม่มีคม แต่ทีนี้ถ้าเอามีดปลายแหลมทั้งคมทั้งแหลมจิกเข้าไปก็เข้าเหมือนกัน เป็นรอย แต่ไม่เหวอะ คนถึงอวดดีไง อาตมาถึงอวดดี ขับรถ โอเปิ้ล คาปิตัน สองตอนใหญ่ อาตมาขี่มอเตอร์ไซค์ดั๊กลาส ออกจากกรมประชาสัมพันธ์จะไปสถานีโทรทัศน์บางขุนพรหมจะไปเลี้ยวเกาะถนนราชดำเนิน ก็ชนเข้ากับโอเปิ้ล คาปิตัน คนถีบสามล้อมองเห็นมาเล่าว่า พอรถชนตัวพี่ก็ลอย แล้วรถก็วิ่งไป แล้วรถมันก็ผ่านไป แล้วพี่ตกลงหลังรถ เราก็รู้ตัวบ้างไม่รู้บ้างมันเร็ว รถโอเปิ้ล คาปิตันก็ไม่หนีนะ เรื่องจริงที่เกิดก็ไปโรงพัก ชนะสงคราม จะต้องชดใช้เดือนละ 800 เพราะอาตมาเจ็บ เขาก็สารภาพ ใช้จ่ายยอด เดือนละ 800 แต่ก็ใช้ไม่หมด เลิกไปเลย แต่ชนแล้วแผลไม่มีนะ หม้อน้ำมันดั๊กลาสบุ๋มเข้าไป อัดขาเรายัดกับหม้อน้ำมัน บุบเลย แต่ที่ขามีกล้ามเนื้อยุบ เหนียวนะ ไม่มีแผล แต่มารักษาตัว หมอเขาว่าไม่มีอะไรกลับบ้านได้ เราก็ไปรักษากว่าแผลจะหาย เนื้อมันบุ๋มบาดเจ็บภายใน ก็เลยว่าไม่ดีเลย พออาตมาถูกชน เขาหามไปโรงพยาบาลตำรวจ ขาบวม ต้องเอากรรไกรตัดขากางเกง มอส หรือเดฟ ขาบวมแดงเขียวช้ำ แต่ไม่มีแผล หมอก็ว่ากลับบ้านได้ตอนเช้าเราก็มารักษาเองแทบแย่
นอกจากเล่นไสยศาสตร์คาถาอาคมแล้ว ยังมีพระห้อยเต็มคอเลยนะ คอหนักเลย พอรถชน เปิดที่คอว่าพระองค์ไหนนะ ไปเห็นซากรถ
วิโมกข์ 3 ข้อต้นไม่ใช่รูปฌาน 4 นะ มีนัยสำคัญต่างกัน ไม่ใช่อันเดียวกัน อันนี้อธิบายรูป อรูป และการเห็น ขออภัยหากไม่มีสภาวะจริงอธิบายไม่ได้หรอกต้องมีสาระปรมัตถสัจจะ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าฌานวิสัยเป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องอุตริมนุสธรรมที่อธิบายเล่นไม่ได้ ถ้าไม่มีจริงแล้วอวดก็เละ
ศาสนาเสื่อมเพราะคนอวดดี ไปเข้าใจสิ่งผิดนึกว่าตนเองถูกโดยไม่เจตนาก็มีเยอะ โดยเจตนาก็มีเยอะ กิเลสมันแรง รู้ว่าผิดแต่ก็ไปตามน้ำด้วยเลย ถ้าไม่มีสภาวะแล้วอย่าเป็นอันขาด ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยองค์ประกอบของกายคือรูปกับนามที่แท้จริง 1 2 3 มันคี่นะ จับคู่ไม่ได้หรอก มันเป็นคู่รูปกับนาม แต่อันนี้สาม
เดาไม่ได้หรอก
นี่คือสภาวะต้องรู้ รูปนามคือกาย
5. ผู้ที่ล่วงพ้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณ หาที่สุดมิได้ (สัพพโส อากาสานัญจายตนัง สมติกกัมมะ อนันตัง วิญญาณันติ วิญญาณัญจายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ ฯ)
6. ผู้ที่ล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงจึงบรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร (สัพพโส วิญญาณัญจายตนัง สมติกกัมมะ นัตถิ กิญจีติ อากิญจัญญายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ)
7. ผู้ที่ล่วงพ้น อากิญจัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง จึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ (สัพพโส อากิญ-จัญญายตนัง สมติกกัมมะ เนวสัญญานาสัญญายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ ฯ) หรือจิตวิญญาณต้องพ้นสิ่งที่ไม่รู้ และไม่มีที่จะไม่รู้ . . . .
8 .ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญา-นาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง (สัพพโส เนวสัญญานาสัญญายตนัง สมติกกัมมะ สัญญาเวทยิตัง นิโรธัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ) หรือพ้นอวิชชาสังโยชน์
อันผู้เข้าถึงแล้ว พึงทบทวนตรวจสอบอย่างอนุโลมบ้าง อย่างปฏิโลมบ้าง ทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง หรือบางขณะก็อยู่ในอารมณ์บางขณะก็ไม่อยู่ในอารมณ์แห่งวิโมกข์8 อยู่บ้าง-ไม่อยู่บ้างตามคราวที่ต้องการ ตามที่ปรารถนาและตามกำหนดที่ประสงค์ จึงบรรลุเจโตวิมุติ - ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป เพราะทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน นี้เรียกว่า อุภโตภาควิมุติ
พตปฎ. เล่ม 10 ข.66 (มหานิทานสูตร)
ในอนุปุพพวิหาร สัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ข้อ 9 ก็จะไม่ขยายความ 5-7 แต่อธิบาย อันที่9 เลย แต่ถ้าเข้าใจคำว่ากายไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ปฏิบัติวิโมกข์ 8 ไม่ได้ ถ้าเข้าใจว่ากายแค่ดินน้ำไฟลมก็ไปปฏิบัติ ยกหนอ ย่างหนอ กระทบหนอ ฟักทองหนอ เพชรหนอ เงินหนอ ทองหนอ ยุบหนอพองหนอก็มีแต่รูป เพราะเข้าใจกายว่าเป็นแค่ดินน้ำไฟลม
แต่พพจ.ตรัส ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230 เป็นเรื่องที่เดาไม่ได้ต้องศึกษาอย่างโยนิโสมนสิการ ศึกษาอย่างถ่องแท้ หากไม่ศึกษาถ่องแท้ มนสิการก็เป็นอโยนิโสมนสิการ
ก็ขอสรุปตรงที่ว่า สัตตาวาส 9 ก็ดี วิโมกข์ 8ก็ดี จบด้วย สัญญาเวทยิตนิโรธ
สัญญาเวทยิตนิโรธจึงเป็นนิโรธที่ลืมตา มีทุกอย่างสัญญากำหนดอย่าง ปาคุญญตา กัมมัญญตา สัญญาแคล่วคล่อง ไม่ได้ดับสัญญาเวทนาอย่างที่คนเดาเข้าใจผิด เมื่อเข้าใจผิดหรือเดาเสียแล้วก็ไม่ถูก
สื่อธรรมะพ่อครู(มูลสูตร 10) ตอน มูลสูตร 10 เน้นมนสิการ
ผู้ที่ทำใจในใจมนสิการ(คำนาม) หรือมนสิกโรติ(กิริยา)
มูลสูตร 10 อะไรเป็นรากเหง้า ให้เป็นที่หยั่งลง และเป็นที่สุด
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) คำว่ามนสิการยังไม่มีโยนิโส หรืออโยนิโส เป็นคำกลางๆ ทำใจในใจ หากไม่สัมมาทิฏฐิแล้วไปทำในใจอย่างไม่โยนิโส ไม่ถึงที่เกิด ที่สัมภาวะ ปภวะ ที่หทยรูป ไม่ได้กำหนดที่ที่ไหน แต่ที่ๆไหนที่ชัดเจนว่านี่แหละสักกายะ โดยเฉพาะตัวนี้คือตัวกิเลส แยกจากจิต เป็นอกุศลจิต สักกายะกิเลสคืออกุศลจิตก็จัดการตรงนี้
ศาสนาพุทธไม่ใช่กำจัดไปหมดจิต แต่ต้องแม่นในสักกายะของตนกายคือรูปนามที่ปรุงแต่งอยู่กายนี้หมายถึงกิเลส เป็นตัวหยาบเลย ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา อัตตาหยาบก็คือสักกายะ มโนมยอัตตาคือตัวกลาง อรูปอัตตาคือตัวปลาย
ผู้ที่ไม่ชัดเจนถ่องแท้มนสิการตัวที่สองของมูลสูตรหากคุณนั่งหลับตาสะกดจิตก็ทำใจในใจ ให้มันนิ่ง ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ทำใจในใจวิธีหนึ่ง ก็มนสิการไม่ถูก เพราะคุณไม่มีเหตุที่ถูกในข้อที่ 3
หากเข้าใจไม่สัมมาทิฏฐิ มนสิการก็ผิดได้ เป็นอโยนิโสฯ แต่ถ้าได้คบสัตบุรุษ ฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ศรัทธาบริบูรณ์ก็มีโยนิโสมนสิการบริบูรณ์ ต้องพบสัตบุรุษให้ได้ พบก็อย่าสักแต่ว่าพบ แต่ต้องฟังธรรมให้บริบูรณ์ก็จะมีความเชื่อที่บริบูรณ์มีความเข้าใจเห็นจริงที่บริบูรณ์ เพราะคุณฟังอย่างบริบูรณ์ (ในอวิชชาสูตร)
มนสิการต้องทำให้เป็นต้องเข้าถึงการทำใจได้ ถ้าทำไม่ได้ก็เท่ากับอโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจไม่ถูกต้อง เพราะทำใจในใจไม่ถูกต้องคุณเข้าใจผิดไม่มีมรรค คือไม่มีสมุทัยเป็นเหตุคือผัสสะ เมื่อปฏิบัติไม่มีผัสสะ 6 คุณก็หมดทางที่จะมีเวทนาในการปฏิบัติ เวทนาเป็นกรรมฐาน คุณก็ไม่มีกรรมฐานให้ปฏิบัติ ไม่มีผัสสะ ก็ไปเอาสัญญามาวิเคราะห์ ภพชาติอนาคตมาคิดนึก เอาอดีตมาคิดก็ได้แต่อดีตอนาคต หรือปัจจุบันก็คิดเอาปั้นเอาในทิฏฐิ 62
3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) เหตุคำนี้ไม่ใช่เหตุในอาริยสัจ4 ไม่ใช่กิเลสแต่คือเหตุในตัวมรรค มีสัมผัส ผัสสะเป็นภาคปฏิบัติ. คือมีผัสสะเป็นเหตุ หากไม่มีเหตุก็จะเอาผลได้อย่างไร ไปนั่งหลับตาก็ไม่มีเหตุให้ปฏิบัติ พูดแล้วพูดอีกตื่นเสียเถิด ชาวไทย อย่ามัวหลับไหลลุ่มหลง โลกมันเหลืองลงๆแล้ว ก็เพราะเราทั้งหลาย
4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:45:47 )
รายละเอียด
600818_สัมภาษณ์วิจัย พฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 8 อ. ของพ่อท่าน
พิมพ์ว่า…ดิฉัน นส.ถึงขวัญพุทธ เป็นนักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ขออนุญาตถามพ่อครู เรื่องหัวข้อ "ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองกับภาวะสุขภาพของวัยผู้ใหญ่ในชุมชนราชธานีอโศก" ตัวแปรต้นคือ พฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 8 อ. ของพ่อท่าน ตัวแปรตามคือ ภาวะสุขภาพ 4 ด้าน (กาย ใจ สังคม จิตวิญญาณ) ขอสัมภาษณ์พ่อท่านเกี่ยวกับ หลักสุขภาพ 8 อ มีเกณฑ์ประเมินอย่างไร และภาวะสุขภาพ 4 ด้าน ตามหลักของพ่อท่านเป็นอย่างไร
มีเกณฑ์ในการประเมินสุขภาพ 4 ด้าน
อยากถามภาวะสุขภาพหมายถึงอะไร
พ่อครูว่า…หมายถึงสรีระร่างกายของเราอาการ 32 ทำหน้าที่ทำงานสังเคราะห์สังขารได้สัดส่วนสมดุล หมายความว่าได้ องค์รวมอย่างพอเหมาะลงตัว เป็นไซคลิก order ถ้ายังไม่เสื่อม ถ้ามันเท่ากันที่อยู่ได้นาน แต่ทุกอย่างมันไม่เที่ยงหรอก อย่างไรมันต้องมีเสื่อม ถ้าไม่มีอะไรกระตุ้นให้เพิ่มขึ้น แต่ถ้ามีอะไรกระตุ้นขึ้นมาก็จะไปได้ ยิ่งมีการกระตุ้นมากขึ้นอัตราการก้าวหน้าก็จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ตัวแปร เป็นตัวเร่ง ถ้าไม่มีตัวเร่ง เป็นธรรมชาติเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปก็เสื่อม
ชรตานี้ ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงให้อยู่ติดกับอนิจจตา อนิจจตา ตัวท้าย ขึ้นอยู่กับจิตนิยามของมนุษย์ ถ้ามีเหตุปัจจัยกระตุ้นให้เพิ่มขึ้นมันก็สูงขึ้นไม่เสื่อม ก็แก้ชราตาได้ แต่ถ้าการ์ตูนไม่พอมันก็เสื่อม ยิ่งถ้าเพิ่มความเสื่อมก็ยิ่งไปเร็ว เสื่อมไวกว่าที่ควร
พิมพ์ว่า.ความหมายสุขภาพ 4 ด้าน (กาย ใจ สังคม จิตวิญญาณ)
พ่อครูว่า...คำว่ากายจะต้องมีภาวะคู่ภาวะ 2 อย่าง ถ้าไม่มีนามธรรมไปเกี่ยวข้อง กับวัตถุ วัตถุกับวัตถุมันก็แปรเปลี่ยนไปตามสภาพดินน้ำไฟลม ถ้าเร่ิมเป็นจิตวิญญาณก็สูงกว่าพีชะ ที่พืชก็พัฒนาควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ไปมีอิทธิพลกับอันอื่นยาก แต่จิตนิยามนั้นมีอิทธิพลกับอันอื่นได้
กายก็ต้องเน้นที่จิตวิญญาณเป็นประธาน กายกับใจ รวมกันแล้วเป็นคน ก็อยู่กับสังคมก็เป็นสามเส้า กาย ใจ สังคม รวมเป็นหนึ่ง ก็คือต้องที่ใจ เป็นประธาน
ถ้าเผื่อว่า ใจไม่มีสิทธิผลสู้กับสังคมกับกายไม่ได้ ก็เสื่อม ถ้าสังคมเยอะก็ต้องวิจัยไปยาว ต้องมาหาที่จบตรงใจ ใจของเราเป็นประธาน ใจต้องการอะไร แล้วจะมีพลังงานสัมประสิทธิ์ของเราเป็นตัวแปรมีอิทธิพลได้ ถ้ามีอิทธิพลพอจะเป็นได้ก็ทำได้ เห็นควรหรือไม่ ใช้มหาปเทส 4 สัปปุริสธรรม 7 โดยไม่มีอคติก็จบ นี่คือลักษณะของผู้ที่ตัดสิน
ทีนี้พลังงานต่างๆที่เราหมายปักใจไปหาสุขภาพ จำกัดความเลยว่า ความลงตัวของสรีระร่างกายที่จัดส่งอยู่ดี สมดุลไปได้นานที่สุด ในภาวะของเหตุปัจจัยร่างกายจะสมดุลได้นานที่สุดเราก็ต้องรู้ ต้องหาเหตุปัจจัย ตรงไหนเกี่ยวข้อง จะเรียกว่าธาตุวิตามิน อาหารก็แล้วแต่ให้พอดีหรือมันเกิน ก็ไปจบตรงนั้น หากความพอเหมาะพอดีจะอยู่ได้นาน
กำหนดรู้โดย อาการ ลิงค นิมิต อาการคือสิ่งที่เคลื่อนไหว นิสิตคือสิ่งนี้ๆ เป็น static ส่วนอาการคือ dynamic ที่จะได้สัดส่วนอันพอเหมาะ
รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อุเทสคือคำอธิบายของผู้รู้ ส่วน อาการกับนิมิต นิมิตคือรูป อาการคือนาม หรืออาการคืออรูป เคลื่อนที่ นิมิตคือ static
จะให้มันยาวนานหรือสั้นลง จะให้สวยจะให้ขี้เหร่ จะให้แข็งแรงอ่อนแอ ให้บางให้หนา ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ที่เราจะจัดการ
_ทำอย่างไรจะให้สุขภาพดี
พ่อครูว่า ให้พอเหมาะ ปโหติ ให้พอดีสมดุล เป็นความได้สัดส่วนที่พอเหมาะที่สุด ซึ่งมันละเอียดในระดับที่เราพูดไม่ได้โดยใช้ ความเป็นสาเหตุของดินน้ำไฟลมอากาศ โดยเฉพาะมีจิตวิญญาณร่วมด้วยก็ของใครของใคร ดีๆก็เยอะ ชั่วๆก็เยอะ
_หลัก 8 อ.ที่พ่อครูนำมาใช้ในอโศก
พ่อครูว่า..ได้จากการศึกษาความรู้ทางธรรมที่สำคัญ จริงๆแล้วอจินไตย อาตมาก็ศึกษาความรู้วิทยาศาสตร์มา ที่พูดนี้เอาของเก่ามาใช้ทั้งนั้น ชีวิตชาตินี้เกิดมาไม่ค่อยได้เรียนทางโลกเท่าไหร่ก็อาศัยของเก่า ก็พอกระทบไหล่ดาราได้นะ ไม่ตกยุค
_8 อ.ในแต่ละด้าน ก็ความหมาย
พ่อครูว่า...ก็คงครบแล้ว เขารวม 4 อ 5 อ. อาตมาก็มาเติม สูงสุดได้ 8 อ.แล้วนะ เร่ิมด้วยอิทธิบาท ลงท้ายด้วยอาชีพ หากควบคุมได้ 8อ.นี้จะอยู่นานเท่าไหร่ก็น่าจะพอแล้ว จะมีความรู้ต่อไป มีต้นทุนสะสมใหม่
ที่จริงคนเราตายไป ต้นทุนเราจะกลับไปสังเคราะห์ เลือกเฟ้นมาใหม่ เมื่องบดุล คนมีกุศลก็เพิ่มกุศล แต่คนอกุศลก็กุศลลดลง
อิทธิบาทพอเหมาะไหม ถ้าเกินหรือขาดก็เสื่อม
อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ อันไหนเกินก็ตัด อันไหนขาดก็เติม คุณใช้ 8อ.นี้ได้กี่ล้านๆๆๆชาติ
มากไปน้อยไปของแต่ละคนอย่างไร
พ่อครูว่า….ของแต่ละคนก็แล้วแต่ อารมณ์เป็นตัวสำคัญหนัก อารมณ์คือเวทนา เป็นตัวแตกปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเรียนรู้เวทนาได้ ต้องทำสภาวะ
บางคนชอบเศร้าๆทุกข์ๆ บางคนชอบเบาๆ ก็แล้วแต่คน ถ้าเบาๆก็ต้องช้าหน่อย แต่ถ้าแข็งแรงก็เร็ว แต่ถ้าแข็งมากเกินก็ไม่ค่อยดี เป็นธรรมชาติ สังคมที่มีความรู้เรากระทำจะมีการจัดสวนได้พอดีพอเหมาะพอสม ดีกว่า สังคมที่ไม่มีความรู้โลกุตรธรรม
แพรลายไม้ว่า...ถ้าเราอยู่กับสังคม ที่มีคนมีภูมิใกล้กันจะทำให้กิเลสลดลงได้ดีขึ้น
พ่อครูว่า...ศีลคือข้อปฏิบัติที่ทำให้เราเจริญ ไปเป็นรอบรอบ ศีล 5 8 10 26
จะมีความเจริญของจิตที่เป็นวิมุติ ส่ิงไหนไม่ควรจะมีอยู่ในจิตเราก็ล้างออกได้เธอเกิดโตวิมุติเป็นตัวที่ 4 เป็นวิมุติญาณทัสนะ ไปเรื่อยๆ ซึงมันจะได้ตามความเป็นจริงเหตุปัจจัย มีสัดส่วนสมดุลดีเจริญได้ อยู่ที่ผู้เป็นเจ้าของความรู้และก็ทำได้จริงเป็นจริง หากมีแต่รู้แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ ทำเป็นแต่ไม่รู้ก็ไม่ได้ ต้องได้สัดส่วนที่ดี
ความรู้ที่ว่านี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะศึกษาหรอก ถ้าเราไม่รู้หรือรู้ผิดก็ว่าไป
พ่อครูว่า หากจะให้บอกคนข้างนอก ว่า ให้เข้ามาศึกษา อาจอยู่ภายนอกแล้วก็มารรับความรู้จากผู้ที่ทรมานตน
_ถ้าจะพัฒนาผู้ใหญ่ทำอย่างไร
พ่อครูว่า..ผู้ใหญ่สังขารร่างกายก็เสื่อมไม่fresh up เท่าวัยหนุ่มสาว ให้เอาแต่พอดีๆไปตามลำดับ รู้มากจะยากนาน
_อากาศ
พ่อครูว่า...อากาศคือสิ่งสองสิ่งเป็นต้นไป ถ้าสิ่งเดียวอันเดียวสนิทไม่มีช่องว่าเลย ถ้าสามเส้าก็แน่นอน มีช่องว่างแน่ อะไรสนิทแน่นไม่เกิดช่องว่างเลยก็แล้วแต่
ทุกอย่างหากดำเนินอยู่ตามเหตุปัจจัย ถ้าเดินได้สมดุล น้อยไป ก็เสื่อม มากไปก็เสื่อม สมดุลอยู่ได้นานที่สุด
สมดุแล้วจะยิ่งขึ้นได้ต้องดูตัวก้าวหน้า ตัวก้าวหน้าคือ + คูณยกกำลังเป็นสัมประสิทธิ์ coefficient เป็นตัวแปรทำให้เราไม่เสื่อม ใครจะสามารถรู้ยิ่งกว่าอาตมารู้ เรื่อง Coefficient ส่วน ใครจะทำสูตรนี้ให้เจอกันกว่าจะมาได้อีกเอามาเสนอกันแต่อาตมาคิดไ้ด้ทำได้ขนาดนี้
_ใน 8 อ.นี้ ตัวไหนสำคัญสุด
พ่อครูว่า...ตัวอารมณ์สำคัญสุด
พ่อครูว่า...อิทธิบาท อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ
อิทธิบาท อารมณ์ อาหาร สามเส้า ถ้าทำสามอันนี้ดีแล้ว สิ่งอื่นเป็นตัวเสริม
ต่อจากนั้นเป็นอากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก เราก็รู้ความจริงของภาษา ถ้าแกนได้ก็เสริม อันนี้ก็เป็นอีกเส้า ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก ก็เป็นสามเส้า อาชีพคือตัวรวม คือยังชีวิตอยู่ อาชีพคือชีพที่ขึ้นอยู่กับสองเส้านี้
_จิ๊บว่า ลดกิเลสได้ก็จะทำได้
พ่อครูว่า คำว่ากิเลสนี่คือตัวโง่ จะทำให้ไม่รู้ที่พูดมานี้ แต่ถ้าจัดการกิเลสคือโง่ได้ก็ฉลาดรู้ขึ้นมา จัดให้พอเหมาะสัดส่วนพอดี ปโหติ พอเหมาะคือความมี ถ้าไม่พอเหมาะคือความไม่มี เสื่อม
_จิ๊บว่า...เราไม่ต้องดูว่าช่วงอายุ เราดูที่กิเลสเสื่อมหรือไม่
พ่อครูว่า..ใช่ เราทำกิเลสให้หมดไป มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอยู่เป็นผล กิเลสทำให้ไม่ได้สัดส่วนพอดี ก็เพราะไปหลงชอบอันนั้นอันนี้ กิเลสคือตัวหลง
_จิ๊บว่า… การแพทย์สมัยใหม่ก็ใช้เครื่องมือวัดเก่งรู้
พ่อครูว่า...เครื่องมือเกิดเองไม่ได้ จิตทำให้เกิด ทำให้สร้างสิ่งเหล่านี้ที่เป็นเครื่องมือวัดได้…
_พูนบำเพียร...อยากได้นิยามของพ่อครูเรื่องบทสวดมนต์ การสวดมนต์ การทบทวนธรรม
พ่อครูว่า...บทสวดมนต์เป็นของตายตัวอยู่แล้ว ก็คือตัวมนต์ การสวดมนต์ต้องมีคนไปสวด ให้สัตว์ไปสวดไม่ได้ คนที่ชอบสวดก็สวดไป เขาก็จะท่องจำไว้ ถ้าท่องจำแล้วมันก็ติดจิตสัญญาเราข้ามชาติไป แต่ถ้าใครสวดแล้วหาเงินค่าสวดก็แล้วแต่วิบากใคร การจำมนต์เพื่อรักษาความรู้ไว้ มนต์คือใช้บัญญัติรักษาไว้ ท่องไว้ข้ามชาติไป จำได้ก็เอามาใช้กับคนอื่นที่ร่วมรู้ได้ แต่ถ้าคนอื่นไม่รู้ด้วยก็สื่อไม่ได้ เอาไปอวดดีอวดใหญ่ หรือมีฤทธิ์เดชก็อุปาทานกันใหญ่ ใครหลงก็เรื่องของเขา การท่องไว้มีสองประเด็น หนึ่งคือสังคีติคือท่องจำไว้ แต่อีกอันคือสังคายนาคือผู้ท่องคนเดียวแล้วมีคนฟัง เพื่อทักท้วงว่า อันไหนตรงที่สุด ก็ตัดสินกัน
ในวาระที่ไม่มีเครื่องมือบันทึกก็ต้องท่องจำ สมัยนี้ก็ใช้เครื่องมือบันทึก แต่ว่า ต่อไปจะเปลี่ยนแปลงเป็นพวกท่องจำอีกก็อีกนานมาก พวกท่องจำคือจับกังแบกลังทอง เขาหลงว่า จะมีฤทธิ์เดช ก็ท่องไป ในยุคไม่มีเครื่องมือบันทึกก็ต้องอาศัยคนจำ ใช้สัญญาจำ ก็สำคัญมาก ในยุคที่ไม่มี แต่ถ้าโง่ไม่รู้ก็เท่ากับจับกังแบกลังทอง ได้ค่าจ้างแบกลังทอง อย่างน้อยเขาก็ชมเชย เก่งขอบคุณ เอาไปห้าบาทสิบบาทเป็นต้น
ทบทวนธรรมเพื่อให้จำก็ได้ หรือสองทบทวนเพื่อธัมมวิจัยต่อ เทียบเคียงว่าอะไรถูกหรือไม่ถูกแยกแยะใช้ประโยชน์ ต้องเลือกส่ิงควรสิ่งดี สิ่งไม่ควรต้องไม่ทำ สูงสุดมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4
มหาปเทส 4 กันไว้ในสิ่งไม่เที่ยงในปัจจุบัน มีอันใดห้ามกับอนุญาต หากไม่มีเลยก็ต้องใช้ปฏิภาณปัญญาว่าควรหรือไม่ ในเหตุปัจจัยปัจจุบัน ต้องใช้สิทธิของเราสมบูรณ์แบบ ควรในสิ่งที่ควร หรือถ้าไม่ควร แม้อยู่ในสิ่งที่ควรก็ไม่ทำ หรือว่ามันควรในส่ิงที่ไม่ควรเราก็ทำ
สมมุติว่า ทุกคนเห็นว่าไม่ควร แต่เราเห็นว่าควร เราก็ทำไปโดยรับผิดชอบเองนะ ก็เท่านั้น แต่ถ้าเขายอมคุณ คุณก็ชนะตัดสินควรในสิ่งไม่ควร หากคุณมีอิทธิพลก็ชนะ
_ความเครียดหมายถึงอะไร
พ่อครูว่า ส่ิงนี้มันตึงไปเคร่งไป ไม่พอเหมาะพอดี เมื่อไม่พอเหมาะพอดีอยู่แล้วคุณก็ไปซ้ำเติมอีกก็เลยหนัก ถึงว่าอย่าไปเพิ่มโทษในส่ิงที่เป็นโทษอยู่แล้ว เครียดมันไม่ดีแล้วก็อย่าไปทุกข์ซ้ำอีก ถ้ารู้สึกว่าต้องทนลำบาก แต่แท้จริงทุกอย่างก็ต้องทน แต่ทนได้โดยไม่ยากโดยไม่ลำบาก
ฌาน 1 ทนได้โดยมีวิตก(กังวล) ตรวจสอบวิจาร ต่อ ถ้าทำได้ดีขึ้นก็ดีใจ มีปีติ อาศัยปีติ ประคองไป ถ้าไม่ต้องใช้ให้เสียพลังงาน สงบลง เร่ิมฌาน 3 ก็เป็นอุเบกขาก็จะกลางๆ ไม่อะไรมากแล้ว มีสุขสงบ สี่ก็ทนแม้แต่อะไรนิดนึงก็ไม่มี สบายที่สุดแล้ว นี่คือภาษาที่อธิบายสภาวะถึงอุเบกขาเนกขัมสิตะ
ในความเจริญของอุเบกขาก็จะมี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา พระโพธิสัตว์ก็จะพัฒนา 5 พลังงานนี้ ถ้าไม่พัฒนาจะสู้ความเสื่อมไม่ได้ แต่ถ้าพัฒนาก็จะต่อได้ ต่อสันตติ ชนะความเสื่อมได้ แต่ถ้าไม่ชนะก็อุปจยะ ไม่สันตติก็ต้องชรตา อนิจจตา
สันตติ มันเป็นตัวกลาง คุณเป็นประธานจะตัดหรือต่อก็ได้ แล้วมี ชรตา อนิจจตา มีชรตาได้แต่ถ้าเติมพลังงาน ฮึดมาก็ ไม่อนิจจตา สันตติต่อได้….จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:48:01 )
รายละเอียด
600820_วิถีอาริยธรรม ศีรษะอโศก ตอน คนจนมหัศจรรย์ที่มีวรรณะ 9
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 2560 วันนี้สัญจรมาที่ บวร ศีรษะอโศก อาตมามาปีละครั้ง ปีที่แล้วก็มางานนี้ ปีที่แล้วพ่อครูเทศน์ที่อาคารปัจจัยชีวี วันนี้มีงานเปิดสถาบันแพทย์แผนไทย คลินิกแพทย์แผนไทยอโรคยาศาสตร์ เขานิมนต์พ่อครูมาเปิดคลินิก รักษาโรคได้ถูกต้องตามกฏหมาย มีนศ.แพทย์แผนไทย 130 คน ปีนี้จบได้ 70 คน วันนี้พ่อครูมา แต่เป็นแพทย์รักษาโรคจิต เพราะอาตมาก็เป็นโรคจิตที่ถูกเยียวยาให้หายมาเป็นลำดับ
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน ความเจริญจริงของชีวะ
พ่อครูว่า...แพทย์ปัจจุบันเขาดูได้แค่ระดับประสาท เขามีรพ.โรคจิต แต่เขาก็รักษาโรคประสาท โรงพยาบาลโรคประสาทเขาว่าเขารักษาโรคจิต แต่เขาก็ไม่มีความรู้พอ เขารักษาได้เพียงโรคประสาท
ประสาท เป็นเพียงกายภาพ แต่จิตเป็นจิตภาพสองอย่าง คำว่ากายก็มีสองอย่างมีจิตและร่างกาย คำว่ากายไมได้หมายถึงเรื่องแค่อุตุนิยาม แม้พีชนิยามก็ไม่เรียกกาย
กายต้องมีทั้งรูปและนาม และนามจะต้องมีธาตุรู้ถึงขั้นเป็นจิตนิยาม มีธาตุรู้แค่พีชนิยาม มีชีวะแล้วมี ISH ของเขาแล้วสามเส้าพลังงานระดับประธาน มีพลังงานสองตัวบวก ลบ อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ เป็น cyclic order ขึ้นมา
ขณะนี้พวกเรากำลังบุกเบิก ทั้งลักษณะของไทยๆ แล้วก็เป็นลักษณะธรรมชาติของตนเอง ธรรมชาติท้องถิ่น ธรรมชาติของสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ทั้งสิ่งแวดล้อมที่มีอุตุ พีชะ มีจิต
อุตุคือสภาพดิน น้ำ ไฟ ลมโดยตรง
พีชะ เป็นองค์ประชุมองค์ประกอบของชีวะที่มีพลังงานในระดับหนึ่งแล้ว cyclic order สามเส้ามีตัวตนมาแล้ว แต่ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณครอง ธาตุพีชะจึงไม่มีกรรมวิบาก ไม่ใช้หนี้ใช้สินของกรรมอะไร เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างที่วิทยาศาสตร์ทางโลกไม่สามารถเข้าใจได้ โดยเฉพาะชีวะถึงระดับ ยังไม่รู้จะเรียกอะไร เป็นความรู้ระดับพระพุทธเจ้า ถ้าระดับ psychology ก็สูงแต่ยังไม่ถึงระดับพระพุทธเจ้า เราก็มีตัวอย่างหลักฐานยืนยัน ของพระพุทธเจ้ามีรายละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก เราเดินสายพระพุทธเจ้าก็เลยพยายามทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง ยืนยันกับโลกเขาได้ช่วยโลกได้อย่างแท้จริง
ซึ่งวิธีทำของพวกเราเป็นวิธีทำไปหาความจริง ความถูกต้อง โดยที่เอามาให้เป็นประโยชน์กับมวลมนุษยชาติ ไม่พยายามที่จะให้เป็นระบบทุนนิยม ก็หมายความว่าไม่ให้เป็นระบบที่เอาเปรียบมนุษย์อื่น ให้เป็นการเสียสละแก่มนุษย์อื่นด้วย
ในทฤษฎีหรือศาสตร์ของพระพุทธเจ้า จึงเป็นความรู้ที่ไม่เห็นแก่ตัว หรือวงเล็กพวกตัว มีแต่เพื่อผู้อื่นมากขึ้นๆ เป็นลักษณะเสียสละแก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง ซึ่งโลกยุคไหนก็ตามต้องการอันนี้ ต้องการการทำเพื่อมวลมนุษยชาติ แต่มันจะเป็นจริงได้หรือไม่เท่านั้นเอง ผู้ที่สามารถทำความจริงได้ก็ทำไปก่อน ผู้ถึงความจริงได้อย่างบริสุทธิ์สะอาดเพื่อผู้อื่น จะไม่เกี่ยงงอนกับพวกไม่เจริญเท่า มีแต่สงสารพวกไม่เจริญ ก็เขาไม่เจริญก็อาจทำร้ายเรา หรือเขาอาจข่มเรา ผู้เจริญแล้วไม่ข่มใครไม่รังแกใคร เราก็หลบหลีกเอา เหมือนเด็กทำ เขาInnocent ไม่รู้ตัว
สื่อธรรมะพ่อครู(สุขภาพบุญนิยม) ตอน การฆ่ากันด้วยเจตนาอันแสนดี
เรามางานนี้ มีการพัฒนาเรื่องโอสถ หยูกยา การรักษาสุขภาพร่างกาย ทางจิตอาตมาก็พาทำกันอยู่ อาตมานำพยายามศึกษาฝึกฝนพากเพียร ได้เกิดเป็นจริงอยู่
ทางด้านกายภายนอก ก็ทำเพิ่มเติมไป ขณะนี้ จนทางการรัฐก็เข้าใจในความบริสุทธิ์ใจของพวกเรา และก็ยังมีประสิทธิภาพคุณภาพของความจริงผลงาน ของพวกเราก็พอเป็นไปได้จึงได้อนุมัติ ให้พวกเราได้ทำเพิ่มเติมขึ้นมา ซึ่งการทำงานเพื่อขยายความเจริญ สร้างสรรผลผลิตประกอบขึ้นมามีคุณสมบัติมีสมรรถนะ มีสิ่งที่ดีตั้งแต่รูปจนไปถึงนาม
ผู้มีความรู้จริงบริสุทธิ์ใจจริง ไม่เห็นแก่ตัวอย่างละเอียดสุดยอดจริงๆได้ ก็จะเป็นคนจริง ทำเพื่อมนุษยชาติอย่างแท้จริง อาตมามั่นใจว่าชาวอโศกเป็นคนเช่นนั้น เราก็จะทำอยู่เพื่อพิสูจน์
อาตมาก็พยายามรักษาสุขภาพร่างกาย พวกเราพยายามช่วย จนเกิน ตอนนี้บอกได้ว่าเกิน กินเกิน พักเกิน เป็นต้น อาตมาก็พยายามจัดสรรตัวเอง เพราะทุกคนปรารถนาดีทั้งนั้นที่เอามาให้ มั่นใจว่าของตัวเองมีคุณค่าจะช่วยเหลือเกื้อกูลอาตมา เป็นความปรารถนาดีทั้งนั้น เจตนา มันฆ่ากันด้วยเจตนาอันแสนดีก็ได้ เจตนาแสนดีเวอร์เกินก็เลยฆ่ากันได้ อันนี้เป็นเรื่องสัจธรรมที่กลับไปกลับมา เมื่อเกิน แต่ปรารถนาดี เจตนาดีแต่ความรู้ไม่พอ ความจริงไม่พอก็เลยไม่เกิดผลดี
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ประเทศต้นแบบคนจนแบบพอเพียง
ทีนี้พวกเรานี่ ทุกวันนี้อาตมาเห็นจริงว่าพวกเรามีแกนจิตเป็นตัวประธาน เป็นตัวความจริงที่เราได้ดำเนินมา สอดคล้องกับในหลวงร. 9 เราทำทฤษฎีเสียสละจริง เป็นคนขาดทุน และเราก็รู้ว่าขาดทุนนี่แหละเป็นความเจริญ ที่เราได้คือเราเสีย เราเสียสละเราให้คนอื่น แต่เป็นโวหารว่าเราได้ แต่ที่จริงเราเป็นต้นทางการเสียสละออกไปให้แก่ผู้อื่น เป็นความสูญจบ
คนที่รู้ความจริงอย่างนี้จึงไม่ใช่ธรรมดาเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นอาริยะที่เรียนรู้เรื่องจิตวิญญาณจึงมีความเข้าใจเช่นนี้ เป็นความเข้าใจที่ทวนกระแสโลกีย์
ในหลวงท่านตรัสว่า มาเอาแบบคนจนแบบขาดทุนนี่แหละ คือเราได้แล้วเราจะเป็นผู้เจริญ เป็นผู้ที่มีประโยชน์คุณค่าต่อโลก เมื่อไหร่ๆก็ไม่ขัดแย้งความจริงอันนี้ ทุกพฤติกรรมอันนี้ เป็นความจริงที่ถูกต้องที่สุด
ตอนนี้เมืองไทยเรา กำลังเป็นเมืองที่มีต้นแบบคนจน ต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง ต้นแบบเศรษฐกิจเราเป็นผู้ขาดทุน อย่างเต็มใจจริงใจ และมีความรู้ละเอียดถึงขั้นพลังงานระดับชีวะ พลังงานอินทรีย์หรือชีวะไปถึงขั้นพืช ดินน้ำไฟลมเป็นพลังงานสสารโดยแท้ ทำงานควบคู่ไปเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมแท้ๆ รวมตัวกันแล้วเกิดพลังงานขึ้น ก็จัดสรรเรียกว่าอุตุนิยาม ภาษาทางด้านต้นรากของภาษาอังกฤษฝรั่งเศสยุโรปไม่มีหรอก ต้นรากเหล่านี้ไม่มี มีทางอินเดีย เป็นภาษาบาลี ภาษาไทยก็เอามาจากบาลีอินเดียเจริญมาก่อน เมื่อเราได้หลักสูตรทฤษฎีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาทำ เราจึงมั่นใจมากเลยว่ามันจะเป็นสิ่งที่ช่วย อนุเคราะห์โลก โลกานุกัมปา จะเป็นทฤษฎีที่ประเสริฐสุดแล้ว อนุเคราะห์โลกด้วยบริสุทธิ์ใจจริงๆ ความบริสุทธิ์ใจที่คนไหนเป็นได้อย่างละเอียดละออจริงๆ ความบริสุทธิ์นั้นจะชนะทุกอย่างได้ทุกอย่าง ประเสริฐทุกอย่าง สุดยอดทุกอย่าง ในที่สุด
เราก็ยืนยันอย่างบริสุทธิ์ใจเท่าที่เรารู้และทำความลึกซึ้งไปหาความจริงสูงสุด เรามาพิสูจน์สิ่งนี้กันเรากำลังทำจริง ในปลายยุคภัทรกัปนี้แล้ว ภัทรกัปป์นี้เอาตัวเลขมาเรียกไม่ได้ รวมกันเป็นคำว่า กัปป์ก็ได้แล้ว ยาวนานมากแบบอย่าไปคิดเลย ใครรักจะตามเรียนรู้ศึกษาไป ก็เท่ากับที่เราไปได้
ท่านให้เรียนรู้อาการจิตเป็นสำคัญ จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว มโนปุพพังคมาธัมมามโนเสฏฐามโนมยา ผู้ที่สามารถทำจิตให้บริสุทธิ์สูงส่ง ทำจิตให้มีความรู้ความสามารถ ไม่มีตัวตนได้จริง จิตจะมีประสิทธิภาพพิเศษประเสริฐสุด แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
เป็นสามคำที่ยิ่งใหญ่มาก ทำให้เกิดความสุขที่ประเสริฐสุขที่วิเศษ สุขก็ต้องขยายความ เพราะสุขที่มีการบำบัดบำเรอสมจิตสมใจ ก็ไม่มี มีแต่ความจริงที่สมบูรณ์ ก็ทำเต็มที่ ขณะที่ทำก็จะมีสัมประสิทธิ์ Coefficient มีการก้าวหน้าต่อไป สัมประสิทธิ์ Coefficient จะเป็นตัวนำหน้าไปสู่จุดที่สูงที่สุด สัมโพธิปรายนะ
อาตมามาชาตินี้ปางนี้ อาตมาก็รู้ตัวได้ว่า อาตมามาเปิดเผยพลังงาน สัมประสิทธิ์ Coefficient ทางฟิสิกส์เขาก็มี Coefficient
แต่ของอาตมาเป็นพลังงานทางจิต ละเอียดกว่าของฟิสิกส์คือไอน์สไตน์ ที่จริงไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์ที่จะพัฒนาตัวเองต่อ เป็นเจ้าทฤษฎีของสสาร ไม่ใช่เจ้าทฤษฎีของพลังงาน
เขาบอกว่า จินตนาการเป็นพลังงานสูงสุด แต่ทางพุทธศาสตร์บอกว่าจินตนาการเป็นเพียงความคิด ไอน์สไตน์แยกแยะปัญญา สัญญา จินตนา ไม่ออก ไอน์ไสตน์อยู่ในระหว่างพัฒนาสัญญาจินตนา แต่ยังไม่เป็นปัญญา แต่เขามีอัญญาแล้ว มีความรู้อื่นที่เข้าเขตกระแสโลกุตระแล้ว แต่ยังไม่ครบสามเส้าของ จินตนา สัญญา ปัญญา ก็เอาสัญญามาใช้ เช่น เขาคิด สูตรของ E = mc2 มันเป็นของเก่าของเขาไม่ใช่เขาค้นพบใหม่นะ เขายังบอกเลยว่า เขาเป็นเพียงนักจินตนาการ ห้องแล็ปของเขาอยู่ใต้หมวก เขาไม่เคยทดลองระเบิดนิวเคลียร์จริง จินตนาการของเขาก็คือสัญญา เขานึกว่าเป็นเพียงความคิดตรรกะได้ผลออกมา แต่ที่จริงแล้วผลของเขามีอยู่เดิมแล้วในสัญญา ก็ต้องพัฒนาไปสู่ปัญญาไปสู่ความฉลาดที่สมบูรณ์แบบของพระพุทธเจ้า ที่ครบพร้อมทั้งพลังงานทั้งด้านจิตวิญญาณอย่างสมบูรณ์ เขาเป็นพระโพธิสัตว์แล้วไม่มีปัญหา นอกจากจะรีไทร์ตัวเองแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ประเทศที่มีเอกลักษณ์ทางจิตวิญญาณสูงสุด
ตอนนี้เราขับเคลื่อนโรงงานมีทางวิทยาศาสตร์หลายอย่าง ชาวอโศกมีพัฒนาการที่จะสร้างสิ่งมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ให้เป็นพิษภัยน้อยที่สุดจนไม่มีพิษภัยเลย เพื่อความบริสุทธิ์ของมวลมนุษยชาติ ไม่ทำอย่างทุนนิยม ประชานิยมด้วย แต่ทำอย่างบุญนิยม ทำอย่างเป็นการชำระกิเลสของตัวเองทั้งสิ้น
ระดับประเทศผู้ที่เป็นตัวจักรในการทำงานเพื่อประเทศชาติบริหารประเทศชาติ ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทุกวันนี้ ของไทยเรากำลังนำโลกอยู่
ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะประชาธิปไตยขาเดียวที่ไม่มีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประชาธิปไตยขาเดียวประชาธิปไตยที่มีครบองค์ของธรรมชาติ ธรรมชาติแค่ 2 ขา เป็นเพียงระดับระนาบ 2 ขามีบวกกับลบเป็นพลังงานไม่มีจิตวิญญาณ จิตวิญญาณยังไม่เกิดหรือไม่เจริญ ยังไม่มีองศาของจิตวิญญาณเป็นเส้าที่ 3 ให้ศึกษาเป็นประชาธิปไตยครั้งเดียวขณะนี้กำลังชัดเจน ยิ่งเผด็จการขาเดียว ก็เหลือเศษที่เกาหลีเหนือ ดูไปอย่าเบื่อ สร้างกุศลให้แก่ตัวเองแล้วจะแคล้วคลาด แต่ถ้ากุศลไม่มากพอ จะไม่แคล้วคลาดเป็นเหยื่อให้แร้งกาวิบากธรรมชาติของโลกไม่ได้ แต่ก็อย่าเสียใจแม้เราจะตายจะสูญเสีย ขอให้มั่นใจว่าเราทำสิ่งที่ดีงามเป็นกุศลทุกอย่างจะไปตามวิบากกรรมทั้งสิ้น
ตอนนี้ตัวอย่างของ วัตถุธรรมรูปธรรมมนุษย์โลก จนรวมตัวเป็นรัฐประเทศ ที่กล่าวถึงขณะนี้มีอินเดียกับจีน 2 ประเทศหลักใหญ่ที่สุด
จีนอยู่ในฐานของสายปัญญา อินเดียอยู่ในฐานของสายเจโตหรือศรัทธา และมีการทำงานโดยมีมนุษย์เป็นตัวแทนของแต่ละประเทศ เกิดองค์รวมรูปธรรม รูปลักษณ์ รูปลักษณ์ ก็เกิดของแต่ละประเทศแต่ละคน รูปลักษณ์จะเกิดเป็นอัตลักษณ์ของ อินเดีย รัสเซีย จีน อเมริกา อัตลักษณ์ของไทย ก็มีลักษณะของตนของตน
แต่ละอัตลักษณ์ ก็เป็นเอกลักษณ์ คือไม่เหมือนใครเป็นหนึ่งเดียว เอกลักษณ์ในด้านจิตวิญญาณสูงสุดในขณะนี้คือ ไทย ที่ทุกคนมีการศึกษาเพื่อจะสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองให้เจริญ ก็จะมีพลังงานความรู้เอาไปเสริมแต่สร้างเพิ่มขึ้นๆ ของแต่ละคน ไม่ใช่หนึ่งเดียวแต่สะสมเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความรู้ของที่เกิดจากจิตวิญญาณและมนุษยชาติแต่ละประเทศแต่ละรัฐ ที่ตนเองพยายามทำ เราก็ไม่ไปแข่งขันใคร แต่คนที่ยึดรัฐของกู คนของกู พวกกูก็มี เมื่อศึกษาแล้วเปิดโลกจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
มองคุณภาพสัจธรรมเป็นหลักว่าถูกต้องแล้วหรือไม่ อันนี้คุณภาพดีที่สุดก็เอาอันนี้ ด้วยความจริงใจไม่มีตัวตนไม่มีพรรคพวกไม่มีของตน จิตเป็นธาตุรู้ที่เฉลียวฉลาดจะทำอย่างจริงใจ ในความจริงใจก็มีกิเลสของแต่ละคนที่โดยที่ตัวเองไม่รู้แล้วก็ทำออกมา หรือรู้แต่กำจัดไม่ได้ มันก็ออกมา คนที่ไม่เหลือกิเลส อย่างละเอียดมากที่สุดเท่าไหร่ ก็ทำงานได้ดีเท่านั้น เป็นความจริงใจของแต่ละคน ผู้ใดมีแฝง จะมีวิบากเป็นความซับซ้อน เป็นพลังงาน action reaction ซับซ้อนทับถมให้แก่ตัวเอง พลังงานเสียก็เสีย พลังงานดีก็ดี จะโดยที่รู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ ใครไม่รู้ก็ทำโดยไม่รู้ น่าสงสาร แต่คนรู้แล้วมีส่วนรู้แต่ก็ยังดันทุรังทำให้เป็นกิเลสซ้อน
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ปาฏิหาริย์แห่งการยอมแพ้
ขออภัย เช่น ทักษิณยิ่งลักษณ์ ยังไม่ยอมแพ้ดันทุรัง ถ้าเขายอมและจะสงบสุขสะอาด ยิ่งลักษณ์ถ้ายอมเสีย ประกาศเลยว่า พี่ทักษิณไม่ยอมแต่หนูยอม คำเดียว เขาจะได้รับความปรานีความเมตตาอย่างสูงสุด อาตมาพูด เพื่อต้องการให้ยิ่งลักษณ์ได้ยิน แล้วจะกล้าปฏิบัติไหม ถ้ากล้าปฏิบัติจะเห็นผลของการยอมแพ้ว่าเขาจะได้รับอานิสงส์ อาตมาเชื่อว่าคนไทยมีเมตตาเป็นพระพรหมจริง พวกเราไม่ใช่อำมหิตโหดร้ายจริง แต่อำนาจของกิเลสว่ากูจะต้องเอาชนะไม่ยอมแพ้ อันนี้เป็นความสูงส่งในทางที่ไม่ดี เป็นอกุศลจิต น่าสงสารจริงๆ
อาตมายังไม่รู้ว่าอิทธิพลของญาติโกโยติกากองเชียร์ของยิ่งลักษณ์ กับตัวเขาเองใครจะมีอิทธิพลกว่ากัน ถ้าเขามีอิทธิพลเหนือกว่า ถ้าเขาประกาศเองเลยว่าพี่ไม่แพ้หนูแพ้ พี่ไม่แพ้แต่ฉันจะแพ้ รับรองว่าเป็นปาฏิหาริย์ของเมืองไทยเลย จะดังทั่วโลกยิ่ง
คำว่ายิ่งนี้ยิ่งใหญ่ อาตมาอยากให้ยิ่งลักษณ์แสดงเป็นตัวอย่างเพื่อเป็นกุศลวิบากของคุณเลย ยิ่งใหญ่เลยนะ อาตมาไม่ได้พูดประชดแดกดัน แต่พูดด้วยปรารถนาดีจริงๆ เมืองไทยขณะนี้เป็นตัวอย่างที่มันน่าจะเกิดอันนี้ ลึกๆยังหวังว่าน่าจะเกิดนะ
สมณะฟ้าไทว่า...เด็กบ้านราชฯเขาเข้าค่ายแล้วหนีค่าย ผมก็บอกว่าจะจบช้าหรือจะสารภาพหน้าค่าย เขาก็ว่าทำอย่างไรก็แค่เดินไปหน้าแถวแล้วก็สารภาพว่าผมทำผิดแล้ว เขาก็ไปทำ ทำแล้วเขาก็ชมผมหมดเลย มันกลับด้านไปเลย เขาก็เบิกบานแจ่มใสมีพลังงานทำดีต่อ
พ่อครูว่า...ผู้ที่มีความรู้เข้าใจจริงแล้ว มันจะเป็นจริงไม่มีอะไรขัดแย้ง ถ้าเขาทำจะมีคุณค่าต่อประเทศ ยิ่งลักษณ์จะเกิดปาฏิหาริย์ รับรองว่า เขาจะอยู่ในประเทศไทยได้อย่างดี ต่อไปเลย เป็นสิ่งที่น่าจะมีปาฏิหาริย์อะไรสักอย่าง นอกจากวันที่ 25 แล้ว จะมี after shock โมเมนตั้มอีกบ้าง แต่ถ้ามันสุดสิ้นอย่างที่ว่า มันน่าจะดีมากเลย เพราะว่าโลกทั้งโลกต้องการ ถ้าประเทศไทยสงบอันนี้ลงไปแล้ว ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก จะเป็นกุศลของมนุษยชาติจะเป็นตัวอย่างของโลก เพราะคะแนนของเขาได้อยู่แล้ว
คือ 1. เขาเป็นผู้หญิง ผู้หญิงนี้ได้คะแนนสงสารมากกว่าผู้ชายนะ
2. เขาใช้ woman touch เก่งมากด้วย ลีลาจริตของเขายอดที่จะโน้มน้าวลงไปให้คนได้ชื่นชมเขามาก จะได้เห็นว่า ป่านนี้เขาก็ยังไม่มีการได้รับการลดความนิยมชมชอบ
3. ไม่อยากจะพูดเท่าไหร่ว่าเขาหน้าตาสะสวยดีด้วย
ส่วนเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่เขารับได้ ถ้าเกิดว่าเขาทำสิ่งหนึ่งสิ่งเหล่านี้ จะรวมกันเป็นพลังงาน ขึ้นมาเลย เป็นพลังงานปฏิภาคทวี
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน แบบคนจนมหัศจรรย์
ประเทศไทยกำลังพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงโดยกำลังทำความเข้าใจกับแบบคนจน แบบคนจนคือผล ถ้าแบบขาดทุนของเราเป็นมรรค ต้องมาหัดขาดทุนสิถึงจะจนได้ ถ้าไม่ขาดทุนเอาแต่กำไรมันก็จะไม่จนอย่างบิลเกตต์หรือมาร์คซัคเคอร์เบิร์ก มีแต่จะไม่ลด ลดก็เอาหน้า ทำทานทำกุศลส่วนหนึ่ง แต่ส่วนอื่นทดทับทวีมากขึ้น เป็นวิธีการของคนฉลาดแกมโกงรู้เขาก็ทำทั้งนั้น คนบริสุทธิ์ใจจะไม่มีเจตนาเช่นนี้ มีเจตนาบริสุทธิ์ช่วยเขาไปตามมากน้อยตามบารมี อาตมาได้มาก็ให้ไปหมด ไม่ได้และเล็มเลียบเคียงหว่านล้อม ไม่โฆษณาอย่างธัมมชโย เก็บกวาดบูมเมอแรงให้วนกลับมาหาเรา บูมเมอแรงที่องศาน้อยกว่าจะวนเข้ามา ที่กว้างกว่าจะวนหาเรา พวกบูมเมอแรงนี่คดโค้งหาตัวเอง คือพวกที่มีตัวกูของกูทั้งสิ้น ต้องทำอย่างบริสุทธิ์สะอาดจริงใจ เราจนโดยที่อยู่กับหมู่ มีประเด็นเงื่อนไขสำคัญหลักคือคนเป็นคนจนคุณอยู่คนเดียวไม่ได้ มันเป็นไฟท์บังคับ คุณจะเป็นคนจนนี่ ต้องหาหมู่ สัมปวังโก มีหมู่คณะเป็นสัมปวังโก
กัลยาณมิตโต กัลยาณสหายโย กับยาณสัมปวังโก มิตรหมายถึงจิตวิญญาณ สหายคือร่วมประโยชน์ สัมปวังโกคือองค์รวมทั้งหมด ผู้ใดบริสุทธิ์สะอาด ประโยชน์ก็จะสะอาดหมู่มวลก็จะสะอาด คุณก็จะมาอยู่กับหมู่ ถ้ามีสถานที่อันสมควร เสนาสนสัปปายะ แล้วก็มีคนที่ เป็นมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นสัตบุรุษ อาริยบุคคล บัณฑิต เป็นบุคคลสัปปายะ จากนั้นเราก็มีอาหารสัปปายะ สิ่งแวดล้อม อาหาร วัตถุสมบัติจนถึงจิตวิญญาณ วิญญาณสัตว์โลกมวลมนุษย์ ที่เป็นสิ่งที่ร่วมกันได้มากเท่าใด ก็เป็นสัมปวังโกมากเท่านั้น
กัลยาณมิตโต กัลยาณสหายโย กับยาณสัมปวังโก มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ก็ระวังแต่ว่าคนโกงจะเข้ามาร่วม แต่พวกเราตาแหลมคม ปากก็คม ไม่ลงมือลงไม้หรอก ชาวอโศก มีแต่มุขสตี มีหอกปาก หอกตา เรียกว่าเนตรสตี สตีแปลว่าหอก มุขสตีแปลว่าปากหอก เนตรสตีแปลว่า ตาหอก มีนะ คนที่มีพลังงานทางตามองแค่นั้นก็หลบ ยอมรับ เป็นพลังงานอจินไตย คนที่มีพลังงานจริงใช้ได้จริงๆ พลังงานทางจิตพระพุทธเจ้าให้ใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช้ไปทางสายดำขี้โลภ ทำร้ายทำลายคนอื่นอย่างธัมมชโย หลอกคนว่าเขาเป็นสายขาวสายใส ไม่ใช่พวกสายดำนะ แต่เขาดำยิ่งกว่าพวกดำ หลอกคนอื่นว่าใส แต่ดำหนักหนาสาหัสไม่ให้ใครรู้เลย คนที่หลงลมก็เลยหลง ใสแต่แท้จริงดำ ก็ต้องขอบคุณธัมมชโยที่เป็นตัวอย่าง ป่านนี้ยังไม่รู้ว่าหลบรูไหน DSI ยังจับตัวไม่ได้ จับตัวไม่ได้ก็หนีไป แต่คนไม่หนีอย่างยิ่งลักษณ์เหนือชั้นกว่าทักษิณ หรือจะถูกบังคับให้อยู่รับหน้าก็แล้วแต่ อาตมาก็ยกให้เหนือกว่าทักษิณ ทักษิณเป็นผู้ชายเสียเปล่า เสียชื่อผู้ชาย สู้น้องสาวไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น
คนจนหมายความว่า เป็นคนไม่สะสมหรือสะสมน้อยจนไม่สะสม คุณคงเชื่อว่า คนในชาวอโศกไม่ต้องสะสมหรอก เงินทองวัตถุสมบัติไม่ต้องสะสม แม้แต่นามธรรมก็สะสมบ้าง สะสมความดีงาม แต่ไม่ต้องสะสมกิเลส พอหมดกิเลสแล้วจบ หมด ก็จะไม่มีพลังงานที่ไม่ควรจะมีในจิตใจ ก็จะเหลือแต่พลังงานที่เอามาทำงาน พลังงานนั้นจะเกิดแต่ดี กุสลสูปสัมปาท ทำแต่ความดีงามสะสม แม้เราจะไม่รับเป็นของเราแต่มันก็เป็นเราทำ กัมมสกะ ถ้าเราไม่ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ก็จะเป็น กัมมปฏิสรโณ เป็นสิ่งที่คุณต้องอาศัยพึ่งพาไปจนกว่าจะปรินิพพาน เป็นปริโยสาน
จะบอกว่าไม่เอากุศล ก็ไม่ได้ ไปทำลายทิ้งก็ไม่ได้ กัมมัสกะ ตนต้องเป็นคนรับมรดกกรรมตนเอง ไปแบ่งออกไปไม่ได้ อาตมาย้ำแล้วย้ำอีก ว่า แบ่งกรรมวิบากกันไม่ได้ เป็นกรรมของตน ตนเองต้องรับมรดกกรรมของตนไม่ขาดหกตกหล่น มันมายังไม่ถึงเท่านั้นก็เลยใช้ไม่ได้ ถ้ามาถึงก็เอาไปใช้ได้ แต่ถ้าไม่มีมันก็ไม่มาหรอก เป็นสัจจะที่สุดยอดไม่มีอะไรขัดแย้ง ไม่มีอะไรต่อต้านลบล้างบิดเบี้ยวได้ ทุกอย่างเป็นจริง
เพราะฉะนั้นผู้ที่มาหัดจน ผู้ที่มีจิตใจกล้าหาญถึงขั้น อัปปิจฉธรรม คือคนกล้ามามักน้อยอยู่อย่างจนอยู่อย่าง 0 พยายามทำตนให้ 0 ได้ อยู่กับหมู่มิตรดี เขาไม่ปล่อยปละละเลยเลย คนชั่วเขาก็ยังช่วยเลยถ้าไม่สุดวิสัย คนดีจะช่วยใครก็ไปช่วยคนชั่ว คนดีช่วยตัวเองได้แล้วก็ไปช่วยคนชั่วต่อ แล้วคนชั่วก็มีเยอะด้วย จะปล่อยตำตาอย่างไร หูได้ยิน จะปล่อยปละละเลยใจดำได้อย่างไร
เราทำตามสูตรพระพุทธเจ้า และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้ตรัสไว้แล้ว ว่ามาเอาแบบคนจน ซึ่งจะเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ ต้องมายืนยันพิสูจน์ศึกษากันแล้วทำให้จริงเป็นจริงให้ได้ โดยนัยสำคัญที่ว่า พอเพียง ขาดทุน กับจน นี่แหละ
มาขาดทุนคืออย่างไร คือเราต้องเสีย ชักเลือดเนื้อวิญญาณของเราให้คนอื่น แล้วอย่ากักตุนสะสมก็จนสิ ขาดทุนแล้วอย่าสะสม ประมาณให้พอเป็นพอไป
1 ประมาณให้พอกินพอใช้ของตน 2 อย่าตะกละเผื่อไว้มาก ไม่ต้องเผื่อใครมากหรอก เผื่อพอดี เขาก็ไปตามวิบากกรรม ในสัจจะ ต้องรู้กรอบขอบเขตความควร ต้องเผื่อไปถึงขีดไหน ไม่ใช่ใจดำ เราต้องรู้ตนอัตตัญญุตา ตัวเราก็เท่านี้ ให้ได้ประโยชน์สูงประหยัดสุดต้องพอแล้ว
เมืองไทยกำลังทำอยู่มีตัวอย่างของจริง มีของจริงของคนจน ระบบคนจน ระบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ระบบการงานสร้างสรรผลิตสิ่งที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยเป็นประโยชน์สูงประหยัดสุด กำลังทำอยู่อย่างซับซ้อน ขอพูดสรุปแค่นี้ก็แล้วกัน
เราก็ยืนยันว่าอยู่ได้อย่างเบิกบานร่าเริงเป็นคนสมบูรณ์ ไม่เหลือมากหรอก อย่างในหลวงตรัสว่าเราก็ไม่เป็นคนรวย ไม่รวยมากหรอก แต่เราก็ไม่ขาดแคลน อยู่อย่างอลุ่มอล่วยช่วยเหลือเกื้อกูลขาดทุนคือกำไร เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด ในหลวงเป็นคนตรัสน้อยไม่พูดมากหรอก
อาตมาพูดมาก เจตนาไม่ให้ผิด แต่เก่งเท่านี้
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐศาสตร์และการเมืองที่แท้
พูดถึงจุลินทรีย์เจ้าเจ๋ง ก็เป็นการยืนยันความรู้เจตนาดีของชาวอโศก เป็นพลังงานของจุลินทรีย์ ทั้งในด้านกาย มีองค์รวมของรูปนามที่เป็นสภาพจุลินทรีย์
จุลินทรีย์ถือเป็น ธาตุ จะว่าจิตนิยาม ก็เป็นจิตนิยามที่ยังไม่เจริญ จะว่าเป็นพีชนิยามก็เป็นพีชนิยามที่เจริญมาก จะมาช่วย พีชนิยามได้มาก แต่จะมาช่วยจิตนิยามไม่ได้มาก เป็นจิตนิยามชั้นต่ำ แต่จะช่วยพีชนิยามรายละเอียดลึกซึ้งมาก
จิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยามเป็นสามเส้าที่จะทำบทบาท ออกเป็นกรรมนิยาม จะรวมตัวเป็นอีกอันคือธรรมนิยาม เป็นนิวเคลียสของสอง สองของอะไร
สองของสามตัวนี้ มีตัวที่สามต่อ แล้วจะพัฒนาการต่อไป พัฒนาการที่ยังไม่เรียก Coefficient สัมประสิทธิ์ จะเป็นพลังงานบวก บวกสอง สาม สี่ ห้า เป็นอัตราก้าวหน้า บวกขึ้นไปจนถึงกับไม่ต้องบวกหรอก ต้องคูณเลย แล้วจะเป็นครน.หรม.จะเป็นตัวยกกำลังหรือคูณ จึงจะเรียกว่าcoefficient หรือสัมประสิทธิ์ เป็นเงื่อนไขว่าจะต้องมีพลังงานระดับคูณหรือยกกำลัง
สมณะฟ้าไทว่า...ยกตัวอย่างชาวอโศกที่มีระดับบอกอยู่แล้วเมื่อมารวมกันจึงเป็นระดับคูณ
พ่อครูว่า... ตอนนี้ชาวอโศกยังมีไม่มาก ต้องบวกไปก่อน บวกไปสูงสุดถึง 9 ถ้าต่อไปจะเป็น 10 20 30 จะต้องขยายกรอบการบวก พอสามเส้าคุณก็เลิกบวกมาเป็นคูณเลย และต่อไปก็ยกกำลังเลย คือจะได้สั้นลง ครน.หรม.
ลักษณะใช้พยัญชนะโวหารมาอธิบายลักษณะนามธรรมที่ละเอียดลออมากทางด้านสสารและพลังงาน โดยเฉพาะจิตวิญญาณที่เป็นพลังงาน ที่จะมาเป็นเจ้าจัดการควบคุมสสาร คนที่งมงายมัวแต่สร้างพลังงานสสาร มาทำร้ายกัน เป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ยังตกยุคอยู่มาก ก็จะมีอกุศลวิบากไปอีกนานมาก เขาสร้างจริงอกุศลวิบากก็จะเกิดจริงเราไม่อยากให้เป็นให้ทำ ก็ให้ลดดีกว่า มาทำแต่กุศลสิ่งที่ไม่เป็นกุศลก็ไม่ทำดีกว่า
ประเทศที่หยุดสร้างอาวุธปืนสร้างอำนาจวัตถุ ที่ไปข่มคนอื่นได้ ประเทศนั้นเจริญ ถ้าประเทศใดสร้างพลังงานวัตถุ ที่เป็นสิ่งอาศัย ก็จะไม่ทำลายกัน อาศัยให้อุดมสมบูรณ์ดี ประเทศนั้น ตัดเกรดได้ว่าเจริญ นี่คือนัยยะที่เป็นความรู้และต้องทำจริง
ประเทศไทยทำมาไกลแล้ว อาตมาพูดนี้บางคนอาจยี้ ว่า เอ็งรู้มาจากไหนนะ เพราะชาตินี้อาตมารูปไม่หล่อพ่อไม่รวยไม่มีสำนักไหน ไม่มีอะไรเป็นอลังการที่มารับรองเลย ดีแต่ว่าไม่ขี้เหร่เกินไป พออาศัยยังพอดูได้นะ เนื้อตัวหน้าตาผิวหนังพออะไรได้บ้างแต่ไม่หล่อ
เรามาพิสูจน์เศรษฐกิจและการเมือง เรื่องสังคมไม่ต้องไปพิสูจน์มาก เป็นเรื่องมวลมนุษยชาติอยู่รวมกันก็จะมีรูปลักษณ์อัตลักษณ์ มียิ่งลักษณ์ของมันเอง มันมีลักษณะที่ดียิ่งยิ่งขนาดไหนก็เป็นของมันเอง ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องสังคมมันจะมีความจริงของความรู้
แต่เรามาทำงานเพื่อมวลมนุษยชาติเราเรียกว่าการเมือง การเมืองคือการทำงานเพื่อมวลประชาชนเพื่อมวลมนุษย์ ตรงกันกับธรรมะ รับใช้มวลมนุษย์ การเมืองก็เหมือนกัน ทำงานเพื่อมวลมนุษย์รับใช้มวลมนุษย์ อย่างแท้จริงไม่มีอะไรแอบแฝง ช่วยเขาให้เป็นอยู่สุขและเจริญอย่างดีก็แล้วกัน
ส่วนเศรษฐศาสตร์นี้ เสฏฐะ เสฏโฐ แปลว่าความเจริญดีงามสุดยอด ผู้ที่สามารถ เข้าใจความเจริญที่เป็นเสฏฐะได้
เจริญในความเป็นอยู่ของชีวิตไม่เดือดร้อนทุกข์ร้อน ทางกาย ไม่เดือดร้อนทุกข์ร้อนทางใจ ก็สงบ สงบด้วยวิธี กดข่มบังคับเผด็จการก็ได้นะ ยิงทิ้งประหาร อย่างที่เขาใช้อำนาจบาตรใหญ่กัน แต่ถ้าไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ให้อยู่อย่างอิสระ ทุกคนมีอิสระแสดงออกการคิดพูดทำในทางที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล แสดงออกสิ่งที่เราปรารถนาดี อะไรต่างๆ
เศรษฐศาสตร์คือความรู้ที่ทำให้ทุกอย่างอยู่อย่างสมดุลพอเหมาะพอดี อยู่อย่างไม่เดือดร้อน
เรามามองในสังคมอโศกเป็นตัวอย่าง สังคมอโศกไม่เดือดร้อน ทั้งๆที่จน เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มคนจนของโลก จนอย่างไม่จำนนไม่งอมืองอเท้า จนไม่ขี้เกียจคร้าน จนอย่างไม่อวดดิบอวดดี ห้ามไม่ฟัง เชื่อหัวไอ้เรืองไม่เอาหมู่กลุ่ม จิตพวกนี้พวกเรามีอยู่หลายคน หมู่เขาเอาแบบนี้เราก็ไม่เอากับหมู่ หรืออาตมาเป็นผู้นำก็ไม่เอากับผู้นำ สองส่วนนะ หมู่กับผู้นำ กับตัวเขา เขาก็ไม่เอากับสองส่วนนี้ แต่เขาอยู่กับหมู่แต่ไม่เอากับหมู่ จะไปอยู่หาหอกทำไม?
ยังดีนะ ยังอุตส่าห์อยู่ในหมู่นี้ ยังไม่ออกไปก็ยังฉลาด ถ้าไม่ฉลาดออกไปเลย นึกว่าคุณฉลาดก็ออกไปไม่เสียหาย เพราะว่าไม่ได้แรงงาน แต่เป็นแรงงานลดทอน แทนทีจะมีพลังงานเสริมหนึ่งหน่วยกลับเป็นพลังงานทอนหนึ่งหน่วย
ถ้าพลังงานทอน มี Resistance มีหมู่มวลก็จะมีพลังทดทวี แต่ถ้ามีหนึ่งนิดเดียว เหมือนสำลีเช็ดหนามทุเรียนให้เรียบราบ ก็หมดสำลีเป็นล้านๆตันสิ ไม่พูดถึงเอาผ้าใยบัวมาลาดภูเขาเวปุลลบรรพต ให้ราบเรียบนะ ถ้าเช็ดหนามทุเรียนทีละสิบปี เมื่อไหร่จะหมด แสนปีก็ไม่หมด มีแต่ใยสำลีก็ติดหนามให้หนาขึ้นๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน แบบคนจนมหัศจรรย์มีวรรณะ 9
มาเข้าสู่ความจนและความพอเพียงของเศรษฐศาสตร์
พอคือสันตุฏฐิ ใจพอ วัตถุพอ เราเรามีวัตถุแค่นี้พอ รู้จักขีดพอ คือตัวพอเพียงสันตุฏฐิ การประมาณให้พอดีในวัตถุก็ยาก ยิ่งนามธรรมยิ่งยากใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4
เราทำให้จนพอดี อย่างในหลวงตรัสว่าเราไม่รวย เราก็รวยพอควร เราไม่ทำอย่างพวกอุตสาหกรรมก้าวหน้า ท่านไม่ได้ว่ากสิกรรมก้าวหน้า
กสิกรรมกับอุตสาหกรรม กสิกรรมเป็นเรื่องจริงกับชีวิตมากกว่าอุตสาหกรรม ในหลวงว่าถอยหลังอย่างน่ากลัว ถ้าก้าวหน้าแบบนั้น คนไม่ได้เข้าใจได้ง่ายๆ
พวกเราทำไป บริหารไป ถ้าอะไรเกินไปอาตมาก็จะท้วง จะเตือนติงให้สัญญาณไป ผู้ที่มีความเคารพนับถือก็จะฟัง คนไม่นับถือก็ไม่ฟัง
ประเทศใดมีคนที่มีความฉลาดเฉลียว ประเสริฐเสฏโฐ มากกว่าประเทศใดๆในโลกแม้จะมีพลเมืองไม่มากแค่ 70 ล้าน ก็มีรากฐานการได้DNAของความฉลาดพวกนี้ มาจาก DNA ของพระพุทธเจ้า
อาตมาเอา DNA มาเทียบเคียงกับนางมาทำที่จริงแล้ว DNA อยู่ในลักษณะรูปธรรม DNA อยู่ในส่วนของชีวิตที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรมแท้ๆ แต่เขายืมมาขยายความเพื่อให้เข้าใจ อยู่ในธาตุจิตวิญญาณก็มีธาตุรูปกับนาม ธาตุรูปคือ DNA หรือเราเข้าใจกันว่าเป็นสรีระ
สรีระไม่ใช่กรรมไม่ใช่จิต
จิต กรรม สรีระ สามเส้า
จิตเป็นตัวประธาน จิตเป็นธาตุรู้ จะรู้ถึงกรรมกับสรีระ สรีระของคุณจะเป็นอย่างไรก็เกิดจากกรรมที่มีตัวประธานเป็นตัวกำหนด อยากจะหล่อจะสวยก็ทำตามที่ทำ ทำเหตุปัจจัยของมันให้ได้ มันก็ออกมาเป็นสรีระของคุณ เช่นอาตมาอยากจะให้สรีระหล่อผิวผ่องกว่านี้ก็ต้องศึกษาวิธีทำแล้วทำ ก็จะได้ แต่ทำไมไม่ไปเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้ อาตมาเอาแค่นี้ก็ได้แล้ว
ถ้าร่างกายอาตมาหล่อ ไม่ต้องเอามากกว่านี้ แต่ให้แข็งแรงกว่านี้ก็จะลงทุนเพื่อทำให้แข็งแรงมากกว่าเอาหล่อ
เท่าที่เรามีความรู้มีธาตุรู้เป็นประธาน ทำไป สรีระกับกรรมก็อยู่ที่ประธาน ว่าจะทำหรือไม่ทำ สรีระ อาตมาเอาเท่านี้ก็พอ จะเหลือแต่ความแข็งแรงจะมีเส้นประสาทอวัยวะ องคาพยพ 32 ที่มีอวัยวะแข็งแรงอย่างนี้แหละ อาตมาก็จะเอาเท่านี้ แข็งแรงก็พอแล้วเพื่อที่จะทำงาน
ในความรู้ที่อาตมาซ้อนๆลงไปถึงขั้นมีสรีระ กรรม และประธาน จะต้องดูแลสิ่งเหล่านี้ อาตมาไม่กังวลสรีระ ก็ไม่กังวลมากมาย เป็นแต่เพียง ทรถ
ทรถ นี้จะละเอียดกว่า กิลมถะ
พระอรหันต์จะมี ทรถ แต่ไม่มีกิลมถะแล้ว ไม่มีความลำบากในจิตใจพระอรหันต์แล้วอาศัยเพียง ทรถ เรามีกรรมกริยาที่ต้องทำ เป็นอาการ 32 เราต้องอาศัยมัน ก็กำวลมัน ตับไม่ดี ไตไม่ดี ทรถ นิดๆหน่อยๆ ไม่ได้กังวลมาก รักษาไม่ไหวตายก็ตาย จะไม่ยอม เอาแบบไม่ยอมตายๆ ถ้ามันสุดวิสัยควรตายก็ต้องตาย แต่ถ้ายังไม่ถึงตายก็มีความดิ้นรนนิดหน่อย เรียกว่าทรถ
ก็ฝากไปถึง ผู้ที่ดิ้นในระดับดาว ก็ดาวดิน ก็พอสมควร ถ้าจะให้เป็นดาวดินแล้ว เป็นพระจันทร์ดิน ตะวันดินจะยิ่งดีกว่า จะมีพลังงานมีประสิทธิภาพในตัวสูงกว่านี้ นี่เป็นดาวก็ดี ดีกว่าขยะดิ้น ดีกว่าจุลินทรีย์ สิ่งไม่รู้เรื่องดิ้น ก็พัฒนาการให้เป็นความรู้ ก็อาศัยชื่อดาวดิน ดาวดินทางโลกติดคุกอยู่ตอนนี้ อย่าลืมว่าดาวดินมีชื่อตัวอย่างไปติดคุกอยู่นะ เป็นเรื่องอจินไตยที่อาตมาเข้าใจ
ถ้าดาวดินนี้เจริญกว่าดาวดินนี้ก็จะรู้ แต่ดาวดวงนี้ไปคุก ดาวนี้เปล่งแสงสวรรค์แต่นี่ไม่ใช่ แต่ถ้าดาวดินนี้ไปคุก... ก็วอนหลายทีแล้วนะ ก็อย่าเลย อย่าให้ถึงขั้นต้องเข้าคุกเลย ปล่อยให้ดาวดินตัวโน้นไปคุกเถอะ
นี่เป็นการศึกษาเป็นการสอนท่านดาวดินด้วย และก็สอนผู้อื่นด้วย
สังคมที่พิสูจน์ว่าสังคมแบบคนจน อย่างที่ในหลวงท่านได้พิสูจน์กับรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ให้บริหารแบบคนจนเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากเลย จนอย่างอุดมสมบูรณ์ช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่น เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ด้วย จนอย่างเป็นคุณงามความดี จนไม่เบียดเบียนใคร จนมีแต่ช่วยเหลือผู้อื่นเสียสละ เป็นคนจนมหัศจรรย์ เป็นคนจนที่ยิ่งใหญ่
เราอาศัยกินใช้แค่ 20 มีเหลืออีกตั้งเยอะ เราสร้างได้ตั้ง 100 มีสมรรถภาพ กินใช้แค่ 20 ที่เหลือเอาไปให้หมู่กลุ่มใช้ 30 อีก 50 เราเสียสละไปให้หมู่อื่นได้ นักเศรษฐศาสตร์จะไม่เข้าใจว่าจนแล้วอยู่ได้อย่างไร เราก็ว่าอยู่แบบนี้ไง
ในความจนความพอเพียงขาดทุนของเราคือกำไรของเราที่ในหลวงท่านได้ตรัสไว้แล้วทิ้งให้เป็นสมบัติอันยิ่งใหญ่ให้คนไทย ที่ต้องมาพิสูจน์ตัวเองให้เป็นคนจนคนพอเพียงเป็นคนขาดทุนให้แก่มนุษยชาติ โดยเราเองขยันหมั่นเพียรมีวรรณะ 9
วรรณะหมายถึง The Classes ไม่ใช่ The Masses คือมวลทั่วไป แต่The Classes คือกลุ่มที่เจริญ มีการศึกษามีขั้นตอนมีลำดับ คนมีปัญญารู้จักระบบระดับมีปัญญาจัดสรรอันนี้ได้ แต่ถ้าอยู่ยากไปยาก กินยาก อะไรยากไปหมด เสียสละไม่ได้อดทนไม่ได้ ก็ไปตายเสียเถอะ ต้องเสียสละหน่อยอดทนหน่อย เลี้ยงง่ายบำรุงง่าย ว่านอนสอนง่าย
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) อยู่โดยไม่เบียดเบียนตนและคนอื่น มีแต่ประโยชน์ให้แก่คนอื่นทั้งนั้น
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ไม่ใช่พึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ไปถามมาร์คซัคเคอร์เบิร์ก เขาก็พอใจ ไปถามนายธนินท์ ไปถามนายเจริญ เขาก็พอใจสิ ไปถามบิลเกตส์ เขาก็พอใจสิ เขาก็พอใจในสิ่งที่มากขึ้นอีก แล้วเขาบอกว่าไม่ทุจริตไม่คิดโกงนะ ทำตามตรงหลักเกณฑ์ประเทศ แต่เขารวยขึ้นๆ กฎหมายออกให้เขาได้ประโยชน์ เขาก็เอาอย่างสุจริต แบบนี้ใจไม่พอมีใจมักมากๆไม่กล้าน้อยลง
ให้สำนักงานใหญ่ Forbes มาตรวจสอบชาวอโศกว่าใครจะจนที่สุด มาสำรวจคนรวยที่สุดมันจะไปยากอะไร แน่จริงมาตรวจสอบว่าใครจนที่สุดในโลก แล้วหาทางพิสูจน์ว่าจนคืออะไร จนอย่างประเสริฐวิเศษมหัศจรรย์ ไม่ใช่จนอย่างไม่เข้าท่า จนอย่างมีประโยชน์คุณค่าเป็นที่พึ่งต่อผู้อื่นเลยทีเดียว
จนจนกระทั่งเราจะให้อเมริกาพึ่ง ตอนนี้เขายังไม่ถืออะไรหรอก อย่างน้อยมาขอพึ่งพาความรู้ แน่นอนวัตถุจะสู้ไม่ได้พลเมืองเขามี 300 ล้าน ของเรามีแค่ 70 ล้าน และอะไรต่างๆ ที่จะสร้างสรรวัตถุเครื่องกลเราก็ไม่เจริญเท่าเขา
ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) ขัดเกลาสิ่งไม่ดีทางกายกรรม วจีกรรมมโนกรรม
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) ทำศีลเคร่งโดยใจไม่เคร่ง เขาว่าสุดโต่ง แต่เราสบาย เรามี 0 นี่สบาย แค่คุณจะไปรวยแล้วก็คนละความคิด สรุปคือทำศีลเคร่งอย่างสบาย ปกติ คนฝืนอยู่ก็ลำบาก แต่คนทำอย่างปกติ มีศีลเป็นตถตา ไม่ต้องระมัดระวังเป็นอัตโนมัติในตัวเลย คือธูตะ
มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) มีอาการทางกายกรรมวจีกรรมน่าเลื่อมใส มีกายสักขีน่าเลื่อมใส อย่างอาตมามีกายสักขีไม่น่าเลื่อมใสสำหรับคนไม่นับถือ ไม่มีสมณสารูป หรือทำงาน ต้องสร้างทำอะไรขึ้นมาอีกทำไมมากมาย
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
สฟ.ว่า..
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:49:55 )
รายละเอียด
600821_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พ่อครูคือสยังอภิญญา
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2560 ที่บ้านราชฯ วันแรม 14 ค่ำเดือน 9 ปีระกา รายการพุทธศาสนาตามภูมิ ก็มาพบกับพวกเราทุกๆวันยกเว้นวันอาทิตย์
เมื่อวาน ได้ฟังผู้รับใช้ โรงบุญท้องสนามหลวงรายงานมา ตอนแรกก็คิดว่าทำมาเป็นปีจะแผ่วปลาย แต่ได้ฟังแล้วไม่เป็นอย่างนั้น กลับเป็นว่าพวกเรารวมกลุ่มกันเหนียวแน่นมากขึ้น ศาลีอโศกมีเครือแห ร่วมงานกันกว่า 50 คน มากกว่าที่วัดอีก สันติอโศกก็มีศิษย์เก่ามารวมพลัง ทั้งศิษย์ปัจจุบัน และญาติธรรม แม้แต่ผู้รับใช้ก็รายงานว่า ยิ่งทำงานไปความสามัคคีเอกีภาวะกันเหนียวแน่นรวมคนได้มากขึ้น จนเขารู้สึกว่าจะมากไปไหมนี่ มีรัศมีความสงบ ผ่องใส ของความผนึก พลังร่วมกันของพวกเราที่จะไปช่วยกันจัดงานโรงบุญ งานนี้ได้ชุบชีวิตศิษย์เก่าฟื้นคืนได้ พวกเครือแหที่ไม่มีเวลามาวัดก็มารวมกันได้ที่ท้องสนามหลวง
กว่าจะถึงวันถวายพระเพลิง ก็คงจะคึกคักกันเพิ่มขึ้น ยังเป็นห่วงว่า งานเจที่อุบลฯจะแผ่วไปไหม ตอนนี้เมนูที่ได้รับความนิยมเป็นมาตรฐานเลยคือข้าวผัดเบญจรงค์ มีสีสัน แครอท ฟักทอง ข้าวโพด มีสีสัน ตอนแรกคิดว่า จะฝ่าด่านเนื้อสัตว์ได้อย่างไร แต่คนที่มาท้องสนามหลวงไม่ได้ห่วงเรื่องรสชาติอะไรหรอก เขาตั้งใจมากราบพระบรมศพ ก็ต้องหาอาหารที่มีความสะอาดความปลอดภัยกับสุขภาพเขา มากกว่ารสชาติ อาหารมังสวิรัติเราก็เลยไม่น้อยหน้าอาหารเนื้อสัตว์ คนที่ไปก็มีจิตใจที่ดีงาม
ข้าราชการแต่ละกระทรวงที่ส่งมาช่วย เขามาแต่เช้า โรงบุญฯอื่นยังไม่เปิด ของเราเปิดตั้งแต่เช้าเขาก็เลยเฮโลมาช่วยพวกเรา พวกเราได้เอาธรรมะพระพุทธเจ้าไปพิสูจน์ระบบสาธารณโภคี คิดว่ามันเป็นประโยชน์หลายด้านทีเดียว เพราะว่าพวกเราได้รับฟังธรรมะจากพ่อครู และนำไปปฏิบัติจนเกิดผลมีประสิทธิภาพ
แม้วันสำคัญเราจะต้องประกบ การบินไทย ไทยพาณิชย์ ปตท. ก็ยังยืนยันข้าวผัดเบญจรงค์ที่มีความปลอดภัยและสะอาด คิดว่าพวกเราที่อยู่ต่างจังหวัดถ้าจะปลูกข้าวโพดเสริมส่งไปก็ได้
เขาเชื่อใจอย่างหนึ่งว่า โรงบุญของเรา แม้ซื้อขอมาจากตลาดก็ล้างแล้วล้างอีก จนพวกเขาสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของพวกเรา ใจของเราคิดทำและความละเอียดประณีตในการปรุงอาหารของพวกเรา แม้เราจะไม่ได้มีอาหารราคาแพงไป แต่ความตั้งใจและความประณีตของพวกเราก็ทำให้ชนะใจได้ พวกเราอยู่ต่างจังหวัดหากจะปลูกฟักทองข้าวโพดส่งไปร่วมงานใหญ่ก็นำไปได้
วันนี้พ่อครู มีเวลาเมื่อไหร่ก็ไม่ได้หยุดที่จะทำให้พวกเราพัฒนาตนเองทำชีวิตให้มีคุณค่ามากที่สุดให้ได้
พ่อครูว่า...ก็เอา sms กับไลน์มาพูดก่อน
_รายงานผลการปฏิบัติธรรมจากสภาวะโฮมแฮงเอาผักตบชวาขึ้นจากน้ำ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม 2560
การทำงานครั้งนี้ได้ใช้ธรรมะอิทธิบาท 4 ดูแลจิตวิญญาณดังนี้
1. ฉันทะ จิตยินดี พอใจในงานโฮมแฮงเอาผักตบชวาขึ้นจากน้ำร่วมกับ “ บวร ” ซึ่งประกอบไปด้วยชาวชุมชน นิสิต ว.นบ. ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนบ้าน นักบวชทั้งสมณะและสิกขมาตุ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีพ่อครูสมณะโพธิรักษ์มาให้กำลังใจกับลูก ๆ ด้วยรอยยิ้มทั้งสีหน้าและแววตา ความเอื้ออาทร เหมือนจะบอกว่าพวกเราทำถูกต้องแล้ว ดีแล้ว สมควรแล้ว ประเสริฐแล้วกับสถานการณ์น้ำท่วม เอาผักตบขึ้นเพื่อให้ใช้น้ำและทางน้ำได้สะดวก เมื่อน้ำท่วมพืชผักที่ปลูกไว้เป็นอาหารที่ใช้ได้ก็เหลือน้อย ไม่พอบริโภคสำหรับชุมชนเราที่มีสมาชิกมาก การเอาผักตบขึ้นจึงได้ประโยชน์อีกต่อหนึ่งคือ นำมารองพื้นแทนดินส่วนหนึ่งได้และเป็นปุ๋ยไปในตัว ดังนั้น การโฮมแฮงก็เป็นประโยชน์ต่อที่สาม แต่สำคัญสุดในบรรดา 3 ข้อ เพราะการโฮมแฮงเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นปึกแผ่น เป็นความสามัคคีของหมู่กลุ่ม มองแล้วก็บอกได้เลยว่า “ นี่คือความอยู่รอด ” เป็นชุมชนเข้มแข็ง ไม่ใช่แค่เปลือกนอก แต่ของเราลึกถึงจิตวิญญาณของความเป็นหนึ่งทางธรรมที่หาชุมชนใดเสมอเหมือนได้ยาก ด้วยเหตุว่าในหนึ่งคนกว่าจะเติบโตทางจิตวิญญาณนั้นต้องใช้เวลาแสนนาน และข้ามชาติ ทั้งชาติการเกิดทางสรีรพันธุ์มาเป็นคน และชาติโอปปาติกะ ซึ่งที่นี่ทำได้เป็นร้อยคนเป็นอย่างน้อย ส่วนนักเรียนก็เป็นสัญลักษณ์แทนโรงเรียนค่ะ
ดังนั้น จิตยินดีตัวนี้จึงยินดีในการทำงานที่พระอาริยะพอใจ ยินดีในการเสียสละแรงงานแทนความเป็นส่วนตัวเพื่อประโยชน์ของเราผู้อยู่อาศัย และประโยชน์ของส่วนรวม ซึ่งได้เป็นกุศล กับทั้งได้ชำระกิเลสติดยึดในความเป็นตัวของตัวเองออกซึ่งเป็นบุญ รวมทั้งยินดีในความอบอุ่นกับสังคมบวรที่มีพ่อครูเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ มีสมณะ สิกขมาตุพาทำงาน และพระอาริยะ ผู้ฝึกความเป็นอาริยะทั้งหลายมาผนึกแรงกายแรงใจร่วมกันทำงานค่ะ
2. วิริยะ จิตตั้งอยู่ในความเพียรในการเอาผักตบชวาขึ้นจากน้ำร่วมกับหมู่กลุ่ม ทั้งเพียรในการละจากสภาวจิตที่อยากจะพักสัก 1 ชั่วโมงก่อนลงงานไปกับหมู่ เพื่อคลายความเหนื่อย เมื่อยล้าจากการไปทำงานเวร ว.นบ. ประจำวันพฤหัสบดีตั้งแต่เดินทาง 05.00 น. ทำหน้าที่ล้างภาชนะเล็กที่อุทยานบุญนิยม 06.00 น. – 14.00 น. ซึ่งนอกจากเวลาอาหารแล้วก็ต้องปักหลักยืนล้างภาชนะตลอด ไม่ได้นั่งพักเลย วันนี้ลูกค้าเข้าร้านมากมาย จาน ชาม ถ้วย จอกกินน้ำเยอะมาก ๆ แต่เมื่อมาถึงบ้านราชเพื่อนบอกไปเร็ว ๆ เขาประกาศเรียกลงงานแล้ว ใจก็อ่อยอิ่งให้กิเลสอยากพักสักพักหนึ่ง จึงตัดสินใจใช้วิริยะสลัดตัวขี้เกียจออกลงงานทันที ชนะอีกคราหนึ่งแล้ว บุญแท้เลยนี่..สาธุให้กับตัวเองค่ะ
3. จิตตะ จิตตั้งใจฝักใฝ่ในงานเอาผักตบชวาขึ้นจากน้ำร่วมกับหมู่กลุ่ม ณ ที่เดียว อย่างร่าเริงยินดีทั้งผนึกกับความตั้งใจฝักใฝ่ไม่ให้มีจิตรำคาญ พยาบาทในสัตว์พวกแมลง มด ที่กัดและรบกวนขณะทำงาน อย่างสมาธิเป็นหนึ่งเดียว ไม่วอกแวกไปที่อื่นเลย
4. วิมังสา จิตตั้งอยู่ในการพิจารณาทบทวนว่าเรามีตัวรำคาญ พยาบาท ในสัตว์ที่รบกวนบ้างหรือไม่มีจิตเพ่งโทสถือสาใครในขณะเอาผักตบชวาขึ้นจากน้ำร่วมกับหมู่กลุ่มนี้หรือไม่ ทบทวนแล้วก็ตอบกับตัวเองได้ว่ามีผัสสะ แต่เป็นผัสสะที่เป็นบวก มีแต่ความอิ่มเอมเปรมปรีย์ยินดีไปกับหมู่กลุ่มค่ะ ไม่มีคะแนนลบในครั้งนี้ค่ะ
วิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์กับศีล 5
ศีลข้อ 1. ผ่าน ดูจาก อิทธิบาทข้อ 3. จิตตะ ไม่มีจิตรำคาญ พยาบาท สัตว์ที่กัด และรบกวน
ข้อ 4. วิมังสา ไม่มีจิตเพ่งโทสถือสาใคร
ศีลข้อ 2. , 3. , 4. ผ่าน ดูจาก อิทธิบาทข้อ 3. จิตตะ สมาธิเป็นหนึ่งเดียว ไม่วอกแวกไปที่อื่นเลย
ศีลข้อ 5. ผ่าน ดูจาก อิทธิบาทข้อ 2. ใช้วิริยะสลัดตัวขี้เกียจออกลงงานทันที แล้วจิตก็ ชนะ เป็นไท
คำถาม การอ่านสภาวะออก ปหานกิเลสได้ ยังยึกยักอยู่นิดเดียวก็สลัดทิ้งได้ เป็นไท แต่ไม่ตกต่ำแน่นอน มั่นใจค่ะ ถ้าทำดังนี้ได้ทุก ๆ สถานการณ์ เป็นสภาวะของอวินิปาตธรรม ขั้นที่ 2 ของโสดาบันใช่หรือไม่คะ
กราบนมัสการค่ะ
สมาชิกกลุ่มขยะวิทยาด้วยหัวใจ
พ่อครูว่า...วิมังสา อาตมาแปลว่า เอาเนื้อๆยิ่งๆ รวบรวมพิจารณา ตั้งแต่ฉันทะ วิริยะ จิตตะ ที่เรามีกรรมกิริยา ทำงานแล้วเกิดอะไรบ้างในจิต วิมังสา เป็นการสรุปรวมยอด ได้เนื้อแท้สัจธรรม ตั้งแต่เป็นบุญได้ลดละกิเลส และเป็นกุศล จะได้ล้างบาป อกุศล อ่านอาการพวกนี้ อ่านสภาวะตรงตามบัญญัติ ได้ก็รู้ว่าได้ บกพร่องก็รู้ว่าบกพร่อง ทำไม่ได้ก็รู้ว่าทำไม่ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ปาฏิหาริย์ของคำสอนที่ควรได้
เป็นปาฏิหาริย์ของคำสอน เราสามารถลดละกิเลสได้มันเป็นปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่กว่าเดินน้ำดำดินหยั่งรู้ใจคนได้ อย่างนั้นฤาษีชีไพรเขาทำได้เก่งเยอะแยะไป มันก็ยั่วกิเลสทำให้กิเลสเกิดไม่ได้ลดละจางคลายอะไร จะมีบ้างก็ช่างมันไม่ต้องไปสนใจ เราไม่ได้ปฏิเสธไม่ได้ดูถูกดูแคลน อิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์อะไร ดีไม่ดี เราเป็นโพธิสัตว์ก็ฝึกได้บ้างไม่เป็นไร แต่เราไม่เอาดีเอาเด่นทางนี้ ไม่ได้ตรวจสอบว่าเรามี อิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์เก่งเท่าไหร่อย่างไรไม่ต้องประเมิน ไม่ต้องตรวจสอบ ว่าเราเก่งเท่าไหร่ไม่ต้อง เก่งไม่เก่งช่างมัน แต่เอาอนุสาสนีปาฏิหาริย์ให้เก่ง
อันนี้รายงานมาถูกต้อง จะนิยตะ จะเที่ยงแท้ สูงไปเป็นสัมโพธิปรายนะ ไม่มีการถดถอยมีแต่จะตรงไปสู่ที่สูงสุดถ่ายเดียว
พวกเราเดี๋ยวนี้ทั้งทำรายงาน ทั้งมีการปฏิบัติได้มรรคผลก็น่าชื่นใจ
_3867หลังตรัสรู้แล้วพระพุทธเจ้าจักแสดงธ.ต่อบัว4เหล่าฯบัวแรกคือ อาฬารดาบส กาลามโคตร แต่มิทันกาลเพราะท่านสิ้นไปเป็นอรูปพรหม ไม่สามารถรับรู้ได้! บัว4เหล่าต่อมาคือปัญจวัคคีย์ที่ยังชีวิตมีกาย(จิตมโนวิญญาณ)มีรูปฌานฤาพรหมมีรูปฤาพรหมในรูปภพ จึงบรรลุอรหัตผลหลังได้รับธัมมจักกัปปวัตนสูตรจากตถาคต! ผู้น้อยมีสัญญา(ความจำ)ถูกไหม?
พ่อครูว่า...มีอนัตตลักขณสูตรด้วย เติมให้
_3867เข้าพรรษา3เดือนในปี m เยือนมูน!ฟังธ.ย๊ากยากกว่าปีนักรบมือตบเป่านกหวีดปิ้ดปี้ปิ๊ดดังกังวาลก้องกรุงฯซะอีกหนิ
_7630ผมยิ่งฟังยิ่งงงๆๆๆครับหลวงปู่!!!!!
พ่อครูว่า...อันใดที่พอรับได้ ก็ติดตามที่พอเข้าใจได้ เข้าใจยิ่งขึ้นก็ติดตามตัวนี้ ที่เข้าใจไม่ได้ก็วางไปก่อนไม่ต้องเศร้าใจตีโพยตีพายถล่มตน ไม่ต้องไปดูถูกดูแคลนตัวเองด้วย ไม่ต้องไปอิจฉาริษยาใครตั้งใจศึกษาไปตามลำดับ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เปรตกับเทวดา หมายถึงอะไร
_(มิ้นตี้ โซ)Minty so มีคำถามสงสัย คือ
1. ในบทสวดมนต์ มีการกล่าวถึงเปรต กับเทวดา อยากถามว่า เปรตกับเทวดาหมายถึงอะไรคะ
พ่อครูว่า...ตอบเป็นพื้นฐานไปก่อน ติดตามให้ดีๆแล้วจะเข้าใจตัวเปรต ตัวเทวดา
เปรต ความหมายคือสัตว์ชั้นต่ำ สัตว์ตัวจิต ทางจิต ไม่ใช่สัตว์ทางร่างกาย ไม่มีรูปร่างหัวหางอะไร ไม่มีเส้นแสงสีเสียงอะไรหรอก เป็นนามธรรม เป็นอาการ อกุศล อาการชั่ว อาการต่ำ อาการเสียหาย เรียกว่าเปรต
เปรตเขาให้ความหมายชัดๆว่าคือตัวอยาก อยากรวมทุกอย่าง เปรตคืออยากไม่รู้จักจบ
เอาจิตใจเรา ไม่ต้องห่วงคนอื่น จิตเราอยาก อยากมากมายทุจริต เป็นตัวเปรตแท้ อยากจนต้องทุจริตถึงทำ หากอยากก็ต้องลดกิเลส ลดไม่ให้บำเรอตัวอยาก จนทำร้ายคนอื่น เรียกว่าโลภ โทสะ ลดให้จิตจางคลายได้ นั่นแหละคือเทวดา เรียกว่าเทวดาปรมัตถ์ด้วย
เทวดามีสามอย่าง สมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ
สมมุติเทพคือเทวดาอย่างโลกๆ กิเลสมากขึ้นก็เป็นเทวดาพอใจสุขใจอร่อยใจก็เป็นเทวดา แม้แต่ตัวทุจริต ไปโกงเขาเป็นต้น โกงเขาแล้วดีใจว่าเราโกงเขาได้จิตดีใจอย่างนั้นคือเทวดา โลกียะ เทวดาหน้าโง่ ไปโกงเขาได้ทุจริตเขาได้จิตมันก็เป็นวิบากจริง แต่อาการดีใจของคุณเป็นเทวดาเป็นอาการดีใจชอบใจขึ้นสวรรค์ สวรรค์เก๊สวรรค์ชั่วสวรรค์เลว
แม้คุณจะไม่โกงเขาทำอย่างสุจริต แต่เอาเปรียบเอารัดได้มา ไม่หยุดหย่อน โลภมา พอได้มาก็ดีใจ แม้จะสุจริตก็เป็นเทวดาเป็นเทวดาสุจริต กิเลสก็โตขึ้นพองขึ้นหนาขึ้น ปุถุชนก็เป็นอย่างนั้น ได้มาก็ย่ามใจแม้สุจริต ก็ยังเป็นภพชาติ ยังต้องวนเวียนในวัฏสงสารไม่จบสิ้น แล้วมันไม่เที่ยง มันสมใจมันได้มันก็จะต้องมีเสีย มันได้มาเป็นของตนก็ต้องถูกแย่งคืนไป เป็นสมบัติผลัดกันชม วนเวียนอย่างนั้นต่อให้เป็นความสุจริต ดีไม่ดีมันรุนแรงจนต้องทุจริต ขอให้ได้มาบำเรอใจ คนไม่รู้อวิชชา ก็หลงแย่ง แก้แค้นกัน สมบัติผลัดกันชม คนไม่คิดว่า จะมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างไรถึงจะได้มาแม้ จะโกง โกงอย่างร้ายแรงก็ยังนึกว่าตนโกงน้อย โกงทีได้เป็นพ้นล้าน เขาก็กล้าโกง มันขี้โลภ เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้เป็นจิต สัตว์เปรตสัตว์นรก
แม้จะสุจริตตามโลกที่เขาสมมติ โลภได้มาแก่ตน ยังมักมาก กิเลสก็ยังพอง ไม่รู้ทุกข์ภัย ไม่ละหน่ายคลาย ติดอย่างนั้น ที่เห็นคือ ท่านที่ร่ำรวยมากๆ ทำให้สังคมติดขัด ขาดแคลนทุกข์ร้อนแย่งชิงฆ่าแกงกัน ตัวเองเป็นเหตุนะ คนรวยเป็นเหตุให้คนอื่นลำบากลำบน เพราะเอามากักตุนคนอื่นก็ขาด
เรามีไว้น้อยๆนี่จะปลอดภัยไม่เป็นเหตุให้คนอื่นลำบาก เป็นสัจธรรม
เทวดาตัวที่1. สมมุติสัจจะ ต้องเรียนรู้ให้ดี ลดกิเลสได้คืออุบัติเทพ มีญาณรู้กิเลสตัวเองและลดกิเลสได้นี่แหละคือ อุบัติเทพ ต้องรู้แจ้งรู้จริง ไม่ใช่โมเม และต้องเป็นการลดลงอย่างโลกุตระ ลดอัตตาไปตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา จนจิตเกิดอุบัติเทพ ไม่ใช่เทวดาที่หมุนเวียนในโลกียะ ได้แก้แค้น ได้ชอบได้ชังวนเวียนอย่างนั้น ซึ่งมีอยู่เต็มโลก ยุคนี้ยิ่งหาได้เยอะ หามนุษย์โลกุตระได้ยากได้น้อย
ผู้ที่สามารถทำอุบัติเทพได้ก็อยู่ในระหว่างสะสม จนสมบูรณ์กิเลสหมดเกลี้ยงเป็นวิสุทธิเทพ จิตสะอาด เป็นพระอรหันต์ หรือเรียกว่าพรหม แต่พรหมเขาก็เข้าใจเพี้ยนไป กลายเป็นพรหมปลอม ต้องศึกษาให้ดี พยัญชนะตัวเดิมตัวเก่าแต่ว่าความเข้าใจได้ผิดเพี้ยนไปแล้ว
สมมุติเทพคือเทพวนเวียนในโลกียะเท่านั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน การระลึกชาติที่จริงคืออย่างไร
2. คนที่นั่งสมาธิแล้วเห็นชาติก่อนๆของตนเองหรือคนอื่น สามารถเป็นไปได้มั้ยคะ ถ้าคนนั้นยังกินเนื้อสัตว์อยู่
ขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า... เป็นไปได้สำหรับผู้มีความจริง เราเคยสัมผัสกับคนนั้นคนนี้ก็ระลึกได้ แต่ถ้าคนไหนคุณไม่เคยสัมผัสมาก่อนตั้งแต่ชาติไหนๆก็ไม่มีสิทธิ์ ระลึกเห็นได้ ถ้าคนไหนบอกว่าระลึกถึงคนนั้นนี้ได้ ทั้ งที่ตัวเองไม่เคยเกิดร่วมชาติกันมาเลย ก็ไม่จริง ส่วนมากไม่จริง เป็นมโนมยอัตตา ปั้นเองขึ้นมา แล้วหลงว่าเป็นจริง ปั้นเป็นเรื่องราวเลยได้
ถ้ายังกินเนื้อสัตว์อยู่ส่วนมากเป็นของเก๊ หรือยกเว้นว่า ถ้ายังกินเนื้อสัตว์อยู่ก็เพราะว่าตอนนั้นเขายังอยู่ในสภาวะ ลิงลมอมข้าวพอง แต่ถ้ารู้ตัวว่าตัวเองบริสุทธิ์แล้วก็ไม่กินหรอก ถ้าได้ฟังสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในสิคาลวรรค
6. พาโลวาทชาดก
ว่าด้วยคนมีปัญญาบริโภค
[342] บุคคลผู้ไม่สำรวม ประหารสัตว์ เบียดเบียน และฆ่าสัตว์ ให้ทานแก่
สมณะใด สมณะนั้น บริโภคภัตเช่นนี้ ย่อมเข้าไปติดบาปด้วย.
[343] ถ้าสมณะเป็นผู้มีปัญญา แม้จะบริโภคทานที่บุคคลผู้ไม่สำรวม ฆ่าบุตรและภรรยาถวาย ก็ไม่เข้าไปติดบาปเลย.
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าท่านต้องตอบด้วยคำจบ สำหรับผู้ถามแบบจริตหมาจิ้งจอก มันจำนน มันอาจเป็นวิบากบาป แม้ไม่มีเจตนา ไม่มีวิบากหนักหนาอะไร ถ้าสัตว์มันไม่รู้ไม่คิดไม่พยาบาทก็จบ แต่ถ้ามันยังพยาบาทก็จำนน แต่อย่างน้อยก็ตบมือข้างเดียว เป็นเรื่องสุดวิสัยของคนสันดานหมาจิ้งจอก ฟังอันนี้ให้เข้าใจ
จิตมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง เหมือนสุภาพ แต่ที่จริงต้องการเอาเรื่อง
_3867ขอบคุณบุญนิยมทำให้รู้ถึงปฏิปทานุตตริยะจากพ่อครูเข้าถึงการปฏิบัติ(ท่ามกลางทุกขภัย)จากมรรคองค์8สมดุลสมบรูณ์อย่างยอดเยี่ยมถึงวิมุตตานุตริยะหลุดพ้นได้ถึงที่สุดในทุกสภาวะการณ์โลกอันปรวนแปร!สาธุskk
_Tina Wood · กราบนมัสการค่ะพ่อท่าน ดูชัดค่ะจากอเมริกาค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(ทักขิเนยบุคคล) ตอน การเกิดเป็นมนุษย์ถือเอาที่กาย
_จาก คุณ ไปสู่ดิน ตามที่ พระพุทธเจ้าตรัส สรุปว่า...เมื่อเราตายไปแล้ว จะเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากมากดุจดินที่ติดเศษเล็บ ...ทำนองนี้
ถามว่า..เกิดเป็นมนุษย์ยาก หมายถึง จิตเป็นมนุษย์ หรือ ถือเอากายเป็นคน
หมายถึง...จิต หรือ กาย เป็นเกณฑ์บอกความเป็นมนุษย์
ผมเข้าใจเช่นนี้ถูกไหม ตายไปเกิดใหม่ในร่างคนนี้แหละ มากมาย แต่จิตเป็นเป็นสารพัดนรก เปรต เดรฉาน ฯลฯ เป็นส่วนมาก แต่เกิดมาเป็นคนที่จิตสูง เป็นมนุษย์ มีน้อยมากดังเทียบไว้ครับ
ตอบ ...ถือเอากายบอกความเป็นมนุษย์ ในยุคนั้นคนเป็นอย่างนั้น คนทั่วไปในยุคของท่านคนทั่วไปชั่วมาก คนเรานี่แหละตายจากร่างกายในชาติหนึ่งจะเกิดด้วยร่างกายเป็นมนุษย์อีกยากกว่ามาก ถ้าเป็นยุคพระพุทธเจ้าบางองค์ก็อาจจะง่ายก็ได้แล้วจะเป็นคนดีไม่ใช่คนชั่วในยุคที่มีคนดีมากๆพระพุทธเจ้าบางองค์ ท่านก็ตรัสในบริบทของท่าน ก็เป็นคนส่วนใหญ่ดี พอได้เกิดมามีร่างเป็นมนุษย์ได้ไม่ยากแต่นี่ได้ยากมาก ดุจดินติดเศษเล็บ ได้ยากและได้น้อยคน
ฟังดูน่ากลัวมากดินทั้งโลกกับดินแค่ติดเศษเล็บ
ไม่ว่ายุคไหนสอนโลกุตระ คนจะรับได้มาเกิดโลกุตระก็ยากกว่าเป็นธรรมดา หากง่ายจะพากเพียรทำไม ก็ปล่อยไปตามสบายสบายถ้ามันได้ง่าย
สื่อธรรมะพ่อครู(ทักขิเนยบุคคล) ตอน ทางปฏิบัติของคนสายศรัทธาหรือปัญญา
_กราบนมัสการหลวงปู่ครับผม เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรา บรรลุ อรหัตมรรค หรือ มี อรหัตผล แล้วน่ะครับผม ……ช่วยกรุณาตั้งชื่อให้กระผมด้วยนะขอรับ
กระผม นาย(หนุ่ม)(เด็กชาย)สันติ จรูญวิทยากร 0897816577ครับ
พ่อครูว่า...จบวิศวกรด้วย
ถ้าปฏิบัติอย่างไม่มีปัญญา ธาตุรู้ไม่เก่ง เช่นสายศรัทธา
พระพุทธเจ้าแบ่งไว้ 2 3 สายศรัทธากับปัญญา สัทธานุสารี กับ ธัมมานุสารี
ธัมมานุสารีคือสายที่ค้นหาตามหาธรรมะที่ควรได้
สายศรัทธาจะได้ปัญญาเกิดปัญญาได้ช้าได้ยาก ปัญญาจะเกิดได้ต้องเริ่มจากทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วจะปฏิบัติไล่ไปเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ตามการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าด้วยสัมมาอาริยมรรค แล้วต้องมีธรรมวิจัยไปตลอดกับธรรมะ เป็นธรรมะสองๆ ไปเรื่อยๆ จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความจริงจริงๆ แล้วจะสั่งสมลงเป็นปัญญา
สายศรัทธา จะไม่ค่อยมีปัญญาเป็นตัวจริงเป็นแก่น พระพุทธเจ้าจึงได้จัดแบ่งคนไว้ในสายศรัทธา ปฏิบัติธรรมก็จะบรรลุเป็นสัทธาวิมุติ เป็นกายสักขี แล้วอีกนานกว่าจะบรรลุอุภโตภาควิมุติ มี สัทธานุสารี กายสักขี สัทธาวิมุติ
ส่วนปัญญานั้นท่านไม่ได้ตรัสว่าเป็นปัญญาแต่ธัมมานุสารี แล้วจะได้สัมมาทิฏฐิเป็น ทิฏฐิปัตตะ ปัตตะแปลว่าการเข้าถึงบรรลุด้วยทิฐิ ถ้าสัมมาทิฏฐิ หากไม่สัมมาทิฏฐิไม่ได้ สายศรัทธา จะเป็นสัมมาทิฏฐิได้ยากและไม่ชัดเจน ยิ่งไปนั่งหลับตายิ่งนาน เพราะว่าจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องต้องเปิดตาเป็นสัมมาอริยมรรค มีตาหูจมูกลิ้นกายใจทวารทั้ง 6 ปฏิบัติให้ถูกต้องเป็นลำดับ แล้วจะพัฒนาเป็น ทิฏฐิปัตตะ เป็นผู้บรรลุด้วยสัมมาทิฏฐิไปตามลำดับ เมื่อบรรลุทิฏฐิปัตะ อันที่สามจะได้อรหันต์เลย เป็นอรหัตตผล
จะได้รู้ถึงอรหัตตผลก็ต้องรู้อรหัตสมาธิสัมมาทิฏฐิตามมรรคมีองค์ 8 ตามโพธิปักขิยธรรม 37 ซึ่งจะต้องมี โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 เป็นกระบวนการ 37 ไม่ออกไปนอกกว่านี้ นี่ก็พูดให้สันตินะ ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้ คนอื่นก็พลอยรับฟังไปด้วย
ตอบอีกทีหนึ่งจะรู้ได้อย่างไร ก็ต้องมีญาณรู้ตั้งแต่สักกายทิฏฐิ คือรูปนามของเราคือธรรมสอง แล้วทำให้เป็นธรรมะหนึ่ง จะรู้ว่าธรรมะสองละลดเป็นธรรมะหนึ่งได้คือละลดตัวไม่จริง เก๊ เป็นทุกขสมุทัย กำจัดมันให้เป็นหนึ่งได้ จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่าถูกต้อง จะมั่นใจในสภาวะ ปฏิบัติไปนิดหน่อยจนได้มาเรื่อยๆถูกแล้ว แล้วเราจะมีหมู่กลุ่ม คบคุ้นกัน ถามไถ่ตรวจสอบเช็คกัน ก็จะมีทุกอย่าง
การอยู่กับหมู่กลุ่มมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ การอยู่กับหมู่บัณฑิตอาริยบุคคล พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ขนาดพระอานนท์ก็ว่าเข้าใจแล้วพระเจ้าข้าว่า มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ใช่หรอกอานนท์ แต่คือทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์เลยทีเดียว สำคัญมากเลย มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี ใครไม่อยากมาก็ไม่ต้องมาไม่มีปัญหา ไม่เรียกร้อง ไม่และเล็มเลียบเคียงไม่หลอกล่อ จะมาก็มา ขนาดมาแล้วก็ต้องคัดเลือกนะ ถ้ามาแล้วก็จะมีการคัดเลือกเอง จะรู้เองว่าอยู่ไหวไหม บางทีบางคนก็เกินดึงดัน เพราะที่นี่ก็มีเรือดันน้ำเหมือนกันนะ ก็มาเจอกันหน่อยมาศึกษาฝึกฝน หมู่มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีไม่รุนแรงหรอก สุภาพ แต่เขาแรงชนิดหนึ่งนะจะรู้ได้ นี่เป็นสังคมที่ต้องเชิญมาดูมาศึกษาฝึกฝน มีอยู่ในสังคมมนุษย์ในยุคนี้ก็น่าเสียดายนะ
คุณเกิดมายุคนี้ได้วิบากมาชุดหนึ่ง ได้เจอพระโพธิสัตว์ได้เจอพระอาริยะเป็นความโชคดี ยุคอื่นอาจมีพระโพธิสัตว์เกิดแต่คุณอาจไม่รู้จัก พระโพธิสัตว์ไม่ได้ตั้งหมู่กลุ่ม แล้วคุณจะได้อยู่กับหมู่มิตรดีที่ไหน ยุคที่ไม่มีพระโพธิสัตว์เกิด ยิ่งยุค พระพุทธเจ้ายิ่งยากใหญ่ ยุคนี้มีพระโพธิสัตว์ตั้งหลายองค์ หรือใครเป็นโพธิสัตว์ก็ต้องเอาข้อมูลมาศึกษามีหลักฐานมาศึกษา อย่างอาตมายกตัวอย่างคานธี ไอน์สไตน์ ในคนไทยเราอาตมาก็ค่อยเปิดเผย แต่ในคนไทยนี้ก็ต้องขอเวลา ซึ่งมีอีกหลายองค์หลายระดับหลายชั้น ยุคนี้ดีที่ยังมี แต่ยุคหน้าไม่แน่ วิบากคุณอาจพาไปเกิด เอธิโอเปียนิวกินี อะไรก็แย่ อย่าประมาท ในเวลาโอกาส พยายาม ยุคที่มีสิ่งนี้แล้วอย่าช้า
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน กินมากจนแน่นท้องทุกวันเป็นสักกายะไหม
_ผมมีกิเลสกินแน่นท้องทุกวันครับ เท่าที่รู้น่าจะมีกิเลสติดรสชาติ ชอบกินพวกผัดๆครับจึงตักไว้เยอะ บางวันก็กินไม่หมด คำถามคือใช่เป็นสักกายใหญ่ใช่ไหมครับ
ตอบ..ใช่ เรื่องกิน ทุกวันนี้คนยั่วยวนหลอกเยอะ มาพูดถึงกินง่ายอยู่ง่าย มาอยู่กับคนกลุ่มนี้ ถ้ามีกิเลสแรงหนา ถ้ามาอยู่กับหมู่ คุณก็ทำเองได้ ที่นี่ไม่โหดร้ายขนาดไม่ให้เติมรสชาติเลย ก็มีการอนุโลมอยู่ได้ไม่ถึงตายหรอก ให้กิเลสมันได้ทรมานมั่ง อย่าไปตามกิเลสมันมากนัก ถามว่าเป็นสักกายะก็ใช่
พระพุทธเจ้าถึงได้ตั้ง หลัก โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ให้มาปฏิบัติธรรมกับเรื่องอาหาร มีกิเลสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เรียนได้จนเป็นพระอรหันต์ เมื่อเป็นอรหันต์แล้วก็ต้องกินอาหาร แต่หลายอย่างเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ต้องยุ่งกับมันเลยก็ได้ห่างมันไปไกล แต่กินนี่ทิ้งไม่ได้พระพุทธเจ้ายังต้องกิน
ยิ่งคนจะเอาอาหารประณีตสุดยอดเยี่ยมมาให้ เหมือนกับยั่วยวนพระพุทธเจ้าผู้ปฏิบัติธรรมเสมอๆ จะเป็นอย่างนี้แหละ คุณจะได้ไม่ต้องห่วง หัดเรื่องกินนี่แหละสำคัญมาก
อาตมาเคยพูด นึกถึง พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ เขาว่า อะไรปฏิบัติธรรมไม่มานั่งหลับตา มาพูดแต่เรื่องกินเรื่องกินเรื่องกิน ตะกละ แกว่าอาตมา ว่าพวกบ้ากินหลงกิน ไม่ไปนั่งหลับตา พูดกันอยู่จนหนวกหู พูดแต่เรื่องกินไม่ได้ปฏิบัติธรรม แกว่า แต่พูดไปก็ยังนึกถึงสงสารแก เราไม่เคยโกรธไม่เคยเกลียด แกติดคุกเราก็ส่งอาหารให้ แกก็เขียนจดหมายถึงอาตมาว่า “ข้าวของท่านมียาง” ใช้สำนวนเหลือร้ายเลยนะ ก็ขอระลึกถึงขอบคุณ แต่มีอัตตามากไม่ขอบคุณง่ายๆ เราส่งข้าวน้ำแกตอนแกติดคุก
สื่อธรรมะพ่อครู(มูลสูตร 10) ตอน เวทนา กับ ผัสสะ
_อีกข้อหนึ่ง..ในนาม 5 ประกอบด้วย เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ สังเกตได้ว่าเวทนามาก่อนผัสสะ ส่วนในมูลสูตร 10 ข้อ 3. มีผัสสะเป็นเหตุเกิด ข้อ 4.มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง และ ปฏิจจสมุปบาท 11 ข้อ 6. เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ทั้งมูลสูตร และ ปฏิจจสมุปบาท จะมีผัสสะก่อน จึงมีเวทนา คำถาม ทั้ง 3 หมวดธรรมนี้ ผัสสะ กับ เวทนา มีความหมายและสภาวะแตกต่างกันอย่างไรคะ สมาชิกกลุ่มขยะวิทยาด้วยหัวใจ
ตอบ...ไปจับเคล็ดแค่ว่ามาก่อนมาหลัง
ถ้าคุณเข้าใจผัสสะกับเวทนาต่างกันไม่ได้ อาตมาว่าคุณยากแล้วล่ะ ถ้าเข้าใจความหมายของพยัญชนะ 2 ตัวนี้ไม่ได้ ผัสสะกับเวทนานี้เป็นปัจจัยคู่ด้วยซ้ำผัสสะมีเวทนาเป็นปัจจัย เวทนามีผัสสะเป็นปัจจัย ต่างคนต่างคู่กันบางทีอันนึงก่อน อันหนึ่งหลังก็ได้พยายามเข้าใจสภาวะให้ได้แล้วจะไม่งงกับบัญญัติภาษา ที่บางทีสูตรนั้นก็เอามาก่อน บางสูตรก็สลับไปหลัง ตามเหตุปัจจัยของแต่ละโอกาส แต่ละกระบวนการของการปฏิบัติธรรม เพราะในการปฏิบัติธรรมมีกระบวนการอย่างนั้นอย่างนี้ หรือในปริเฉทนั้นมีเท่านั้นเท่านี้ มีกระบวนการนี้รวมกันอยู่ ก็ค่อยๆเรียนรู้ตามลำดับข้อสำคัญสรุปอีกทีต้องเข้าใจสภาวะของผัสสะกับเวทนา
ผัสสะเป็นการสัมผัสแตะต้อง คุณต้องมีจิตวิญญาณถึงจะมาเรียนรู้ได้ ถ้าเป็นอุตุมีแต่ดินน้ำไฟลมกระแทกสัมผัสกันก็เรียนรู้ไม่ได้ แม้แต่อุตุกับพีชะก็ไม่ได้ เป็นชีวะที่มีแต่สัญญา สังขารก็ไม่ได้ แต่แม้เป็นจิตนิยามระดับอเวไนยสัตว์ก็ไม่ได้ แต่คุณมีภูมิปัญญาขนาดนี้แล้วก็น่าจะเรียนรู้ได้ ฟังไปไม่เข้าใจสักวันก็ต้องเข้าใจ แต่ถ้าวันนี้ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ก็อเวไนยสัตว์ แต่ถ้าคนฟังไม่เข้าใจแต่ก็พากเพียรจะฟัง ข้ามชาติกันเลย มันต้องได้สักชาติหนึ่งแหละ ความพากเพียรจึงเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด ถ้าแน่ใจว่านี่เป็นเรื่องถูกแล้ว เสียเวลาให้เลยทั้งชีวิต ทุนรอนก็ช่าง ไม่อยากบอกเรื่องทุนรอน เดี๋ยวหาว่าและเล็มเลียบเคียง แต่เวลา ความพากเพียรเอามาทุ่มเททางนี้เลย เพราะถ้าแน่ใจว่าอันนี้ใช่ เป็นโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้าแน่สำคัญอันนี้ ถ้าคุณสามารถเข้าใจอันนี้ได้ มีญาณปัญญารู้ได้ว่าอันนี้ใช่ก็เอาเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน พ่อครูคือสยังอภิญญาผู้มาประกาศโลกนี้โลกหน้า
พอมาถึงตรงนี้ก็ขอแวะเลย
ขอแวะอธิบายตรงนี้แหละ อันนี้ใช่นี่ หนึ่ง คุณจะต้องรู้บุคคล สองรู้หมู่กลุ่ม เป็นหมู่กลุ่ม มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีของบัณฑิต ไม่ใช่หมู่พาลหรือโลกียะ แต่เป็นสังคมศิวิไลซ์ เป็นคำซ้ำที่มาจากภาษาอังกฤษว่า civilization มาเป็นภาษาไทยก็มาตีกินว่า เป็นความเจริญ อาริยะ นี่แหละศิวิไลซ์ ขั้นโลกุตระ
ยุคนี้ออกประกาศไปแล้ว บอกไปแล้ว ยืนยันไปแล้วว่า นี่คือสังคมศิวิไลซ์ ชาวอโศกเป็นสังคมศิวิไลซ์
พระพุทธเจ้า ตรัสว่า หนึ่งต้องฟังธรรมบริบูรณ์คบสัตบุรุษบริบูรณ์ จะได้มีความเชื่อความเห็นที่ถูกต้องบริบูรณ์อย่างดี แล้วจะได้ทำการมนสิการ อย่างโยนิโสมนสิการ คำว่า โยนิโสมนสิการคือจะมาปฏิบัติทำใจในใจอย่างถูกต้องอาตมาแปลว่า ทำใจในใจเป็น สัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติ
คือรู้จักสักกายะ รู้จักกิเลส รู้จักลดละ เป็นวิปัสสนาวิธี ไม่ใช่สมถวิธี เป็นสัมมาปฏิบัติ
สัตบุรุษ จึงเป็นตัวตนตอ ไว้วันพุธ อาตมากำลังเขียน ในหนังสือพิมพ์เราคิดอะไร อธิบายพาดพิงถึงสัตบุรุษ ว่าในสูตรหลายๆสูตร ในจักร 4 หรือปัญญาวุฒิ 4 ก็จากคบสัตบุรุษแล้วได้ฟังสัทธรรม คุณจึงปฏิบัติโยนิโสมนสิการเป็น
ถ้าไม่เช่นนั้น คุณไม่ได้ฟังสัทธรรมจากสัตบุรุษ อาตมากำลังแยกสายศรัทธาสายเทวนิยมกับอเทวนิยม
สายสัทธานุสารี จะไม่ค่อยเข้าใจถึงเรื่องสภาวะธรรมเป็นจิตเป็นวิญญาณ เป็นลักษณะที่แม้แต่จะรู้จัก สัตบุรุษก็จะรู้จักไม่ค่อยได้ ก็จะไปรู้จัก คนที่ไม่ใช่สัตบุรุษ อสัตบุรุษจะไปคบหา ก็ไม่ได้ฟังสัทธรรม
ในอวิชชาสูตร จะต้องคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ฟังธรรมะเงี่ยโสตสดับฟังธรรมะให้บริบูรณ์จึงได้เกิดความเชื่อถือศรัทธาธรรมะที่บริบูรณ์
เมื่อมีธรรมะที่เชื่อถือเป็นสัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ เพราะได้คบสัตบุรุษจริง คุณจึงจะโยนิโสมนสิการได้ จึงจะปฏิบัติธรรมอย่างถ่องแท้ถูกต้อง ลงไปถึงที่เกิดในจิต ถึงทหยรูป ตรงสัมภวะ จิตมันเกิดตรงนี้แหละ อาตมาทำมือไม้ด้วย พวกเราได้ฝึกมาเบื้องต้นท่ามกลางจะรู้ เพราะนามธรรมธรรมะมันยากมาก
จะบอกว่ามาอยู่กับหมู่กลุ่มอาตมาเถอะ มันก็เหมือนจะเรียกร้องมากไป เหมือนดูถูกดูแคลนคนอื่นไม่อยากจะพูด
1.การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .
2.การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
3.ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์
8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
โยนิโสฯแปลเอาความหมายว่าถ่องแท้แยบคาย แต่จริงๆเน้นที่มนสิการ
ในมูลสูตรเน้นฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด ยังไม่มีโยนิโส นะ ในมูลสูตร มีผัสสะเป็นสมุทัยมาก่อนเวทนา เป็นหลักใหญ่เลย สมุทัยนี้เป็นต้นเหตุของการปฏิบัติ ไม่ใช่สมุทัยในอาริยสัจ อันนั้นสมุทัยเป็นตัณหา แต่นี่สมุทัยเป็นผัสสะ หากไม่มีสภาวะจะยากเพราะมันจะกลับไปกลับมาเป็นคัมภีราวภาโส วนไปซ้ายขวา หากไม่จริงก็วนไปมา หรือตกต่ำ มีแต่บานไปหาปากกรวย แต่ถ้าวนถูกจะสูงขึ้นและน้อยลงๆจน 0 จบได้
ย้ำอีก ถ้าไม่พบสัตบุรุษ ไม่ฟังธรรมจากสัตบุรุษ ก็ได้แต่ฟังอสัตบุรุษมันจะวนอีกนาน การฟังธรรมการพบสัตบุรุษ พระพุทธเจ้าสอนไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร
สัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ที่ท่านสอนว่า ในโลกนี้ เอาขณะนี้ก็แล้วกันยุคนี้ หมุนวนพวกเราเกิดร่วมยุคร่วมโลกกัน
นัตถิโลเก และอัตถิโลเก พลความต่อไป ถ้าคุณเห็นว่าไม่มี คือคุณว่าไม่มีหรอกในโลกยุคนี้ไม่มีพระอาริยะไม่มีพระอรหันต์ คุณคนนี้ปิดประตูเลย ชาตินี้จะสั่งสมแต่นรก เพราะแม้สวรรค์โลกียะก็คือนรก พวกเราฟังแล้วจะเข้าใจ เพราะแดนสวรรค์ไม่มี มีแต่สวรรค์เก๊ เพราะสวรรค์เกิดนรกก็เกิด คนนี้ปิดประตูนิพพาน
เพราะในยุคนี้อาตมาประกาศตนเองว่าเป็นพระอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ แต่คุณไม่เชื่อก็ต้องไม่มาแน่นอน บางทีดูถูกๆแคลนด้วยซ้ำ ก็ไม่เป็นไรไม่มีปัญหา ไม่ได้ขอข้าวเขากิน
ผู้ที่พบสัตบุรุษในยุคนี้แล้วก็เป็น อัตถิโลเก ว่า ยุคนี้มีพระอาริยะมีสัตบุรุษด้วยหรือ ขอภัยอย่างยิ่งเลย อาตมาประกาศว่าในหลวงเป็นโพธิสัตว์เป็นอาริยบุคคล ต้องเอาตาม คุณศรัทธาในหลวงได้ แต่อาตมายืนยันว่า ในหลวงกับอาตมาอธิบายคำว่าสายเดียวกันคือมาเป็นคนจน มาเป็นคนที่เสียคือเราได้ อธิบายอย่างเดียวกับในหลวง คุณมีปฏิภาณรู้ไหมว่าเป็นอย่างเดียวกัน ท่านสัตบุรุษด้วยกันหรือ ในหลวงเป็นสัตบุรุษจริง เพราะงั้นอาตมาจะเป็นสัตบุรุษด้วยจริงไหม คนที่มีอัตตาสูงแล้วไปติดอาจารย์โน้นนี้ อาจารย์ไหน กล้าประกาศ อาตมาไม่มีจิตสาเฐยจิต ไม่มีจิตอวดโอ่อยากได้อะไรตอบแทนกลับมาเลย ไม่ได้ประกาศเพื่ออยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คนที่ไม่ศรัทธา ฟังให้ตายก็ไม่เชื่อ คนที่อาจจะมีสะดุดใจก็จะมี
อาตมาก็พยายามอยู่ไปให้ถึง 151 ปี ไม่ได้เขินอายตะขิดตะขวงใจเลย แต่พูดด้วยความปรารถนาดีไม่ได้พูดเอาโก้ เอาดีเอาเด่นอะไร
ในขณะนี้ เจ้าของคำถามถามว่า ผัสสะ กับ เวทนา มีความหมายและสภาวะแตกต่างกันอย่างไร อาตมาแวะไปหน่อย ก็ตอบไปแล้ว
ขอย้ำตรงนี้อีกว่า อาตมาเป็นสัตบุรุษหรือเป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
อาตมาขอบอกว่าอาตมาเกิดในยุคพระสมณโคดมด้วย คนมีอคติก็ไม่ได้แน่นอน คุณไม่เอา ถ้าคุณมาคุณจะได้
อาตมาก่อนจะมั่นใจว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดมท่านได้ตรัสไว้ในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ ว่า อาตมาเป็นสมณะองค์นั้นเป็นสยังอภิญญาองค์นั้น ที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมได้บัญญัติเอาไว้ในพระไตรปิฎกเล่มนี้ ผู้สืบทอดต้องปรากฎในยุคนี้ ถ้าในยุคใดอาตมาต้องเกิดกับพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็เป็นยุคนั้น แต่ละยุคนี้อาตมาก็ประกาศว่าเป็นองค์นี้ แล้วจะพิสูจน์อย่างไรก็ต้องพิสูจน์ผลการปฏิบัติ ตรวจสอบ อาตมาอธิบายอีก 9 ข้อได้ไหม ในสัมมาทิฏฐิ 10 อธิบายแล้วพาทำได้ไหม เข้าใจได้ไหม เข้าใจ ปฏิบัติได้ผลจากที่ 9 ข้อใหม่ ได้ก็ไม่เป็นหมันไม่ใช่ของผิด ก็เป็นของที่ถูกสิ
เช่น อธิบายว่าข้อ 1 ทานที่มีผลเป็นโลกุตระ อาตมาอธิบายได้ไหมก็ได้ แล้วทุกวันนี้สอนทานไม่มีผล สอนทานเป็นสมบัติ ทานให้ไปต้องไม่ได้อะไรกลับ ทานแล้วจะได้วิมาน ได้อันโน้นอันนี้ ทานต้องไม่มีแม้สาเปกโข ก็อธิบายอ้างอิงตามพระไตรปิฎกของพระสมณโคดม มีใครอธิบายอย่างอาตมาบ้าง
บอกว่าทานนี่อย่าไปตั้งจิตผิด ถ้าตั้งจิตผิด ก็ยิ่งกว่าโจรฆ่าโจร อำมหิตโหดร้ายยิ่งกว่าโจร ก็ อธิบาย ทานสูตร
ทานมีผล
ยิฏฐัง ยัญพิธีต่างๆ ปฏิปทาต่างๆ ปฏิบัติแล้วลดละกิเลสได้ผลจริงมันก็มี 3 อย่างคือ ทาน ศีล ภาวนา อันที่สองคือศีล คือวัตรปฏิบัติ อันที่สามคือจิตมีผลไหม หุตัง คือจริงจิตได้รับผล ทานก็เกิดจิตลดกิเลสจริง ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติตามศีลตามวิธีปฏิบัติอันไหน ยิฏฐัง หรือยัญพิธีต่างๆมันละกิเลสได้จริงไหม ได้หุตังมีผลลดกิเลสในจิต
สิ่งเหล่านี้เกิดจากสัมมาทิฎฐิข้อที่ 4 ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) กรรมเท่ากับ God ก็ขยายความไป จากนั้นคือโลกนี้ โลกหน้า ข้อ 5 ข้อ 6
โลกนี้คือโลกโลกียะ โลกหน้าคือโลกต่อไป โลกใหม่โลกุตระ ปโรโลโก คือโลกใหม่โลกุตระ แล้วอธิบายถูกไหมฟังเข้าใจปฏิบัติเข้าสู่โลกใหม่ได้ไหม ถ้าได้ อาตมาก็อธิบายโลกนี้โลกหน้าถูก
แม้แต่มาตา ปิตา ความเป็นแม่ ความเป็นพ่อ ความเป็นลูกหรือความเป็นสัตว์โอปปาติกะ ข้อ7 8 9 ของสัมมาทิฏฐิ
ส่วนข้อ10 นั้นคืออาตมา พูดเหมือนอวดตัวตนใหญ่ แต่ไม่มีสาเฐยจิต แต่ย้ำยืนยันสำหรับคนชัดเจน ที่มีศรัทธาเต็ม ส่วนคนไม่ศรัทธามีอคติ อาตมาก็จำเป็น ขออภัย
พระพุทธเจ้า แบ่งคนไว้ 3 ประเภท 60 60 60 คนพวกหนึ่งฟังธรรมะโลกุตระพระพุทธเจ้า ฟังเสร็จแล้วอาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปากตาย หมายความว่า ฟังแล้วตกตายจากสัจธรรมนี้เลย ไม่หันมาดูดำดูดีกันเลย
สองเป็นพวกที่ฟังแล้ว ลาสิกขาบท แต่ก่อนก็ศรัทธา พอเชื่อฟังแต่ว่าฟังแล้วไม่ไหว ถอนทัพ ไป 120 แล้วนะ ส่วนอีก 60 นั้นได้บรรลุเป็นอรหันต์ ได้หนึ่งในสามหายไปสองในสาม
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ละเอียด พอถึงเวลาอาตมาลงแรงหนักก็จะเป็นอย่างนี้ ก็ได้ 60 วาระนี้ก็ยังไม่ได้อรหันต์ถึง 9 เลย อายุย่าง 84 เพิ่งได้อรหันต์ 2 ที่จริงน่าจะประกาศองค์ที่ 3 เป็นผู้ชาย องค์ที่สอง กับหนึ่งเป็นหญิง ไม่อยากพูดซ้ำซาก เขาจะอาเจียนเป็นโลหิตร้อนออกจากปากแล้ว
อาตมาขยายทิฏฐิ 10 นี้จนคุณรู้แจ้ง เป็น ปเวเทนตีติ ตามสัจฉิกัตวา อาตมาขอยืนยันอย่างนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน นาม 5
อาตมาย้ำตรงนี้นานแล้ว มาเข้าสู่ประเด็นปัญหา
คนนี้ถาม เรื่อง เวทนา ในนาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
ในมูลสูตรมี ฉันทะ เป็นมูล มนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นสมุทัยมีมนสิการเป็นแดนเกิด
ในนาม 5 เวทนามาก่อน ผัสสะ ส่วนมูลสูตร เวทนาอยู่หลังผัสสะ ในปฏิจจสมุปบาท (เสียงพ่อครูขาดไป ตัดออกด้วย)
ในปฏิจจสมุปบาท มีทั้งอนุโลมและปฏิโลม จะบอกว่าอะไรมาก่อนหลังก็ได้ทั้งนั้น ก็ตัด ปฏิจจสมุปบาทไป เหลือในนาม 5 และมูลสูตร
ในนาม 5 จะปฏิบัติทำใจในใจเป็น มนสิการ ถ้าจะพูดรวมเป็น common noun คือวิญญาณ จะพูดเป็นเฉพาะ proper noun ต้องรู้จักจิต แล้วแยกเป็นเจตสิก จากหยาบถึงละอียดเรียกมโนหรือมนะ ตัวละเอียดสุด
เพราะฉะนั้นคุณจะทำจิตเป็น ก็ต้องทำจิตที่ละเอียดภายใน แต่จิตหรือมนะ หรือวิญญาณ คุณต้องเกี่ยวข้องกับภายนอกเสมอเรียกว่ากาย กายะคือจิตคือมโนคือวิญญาณ
การปฏิบัติต้องเกี่ยวกับภายนอกต้องมีผัสสะ คุณจึงจะทํามนสิการได้ หรือมนสิการทำใจในใจเป็น ทำใจในใจไม่เป็นก็ได้ นั่งหลับตาเขาก็ทำใจแต่ไม่มีผัสสะเลย ยิ่งมิจฉา ของพระพุทธเจ้าต้องลืมตามีผัสสะ มีปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 ทำงานร่วมกันเป็น ภาวรูป 2 คุณอธิบายรูป 28 ได้ไหม หากไม่มีผัสสะก็ไม่รู้ รู้แต่สัญญา
สิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดที่ผู้รู้แล้วจะเอาสภาวะกับบัญญัติภาษามาอธิบายให้เลิกสับสนได้ แต่ก่อนนี้คุณสับสนกันไหม ไม่ได้รู้มาแต่เกิด ตอนนี้ก็พอรู้เรื่องบ้าง แต่ก็ยังสับสนอยู่
สรุปลงตรงนี้ ในเวทนาหรือในผัสสะ คุณพยายามรู้สภาวะ ผัสสะนั้นคือองค์ประกอบต้องสอง เวทนาสองก็ได้หนึ่งก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะปฏิบัติต้องมีผัสสะเป็นมรรค ในมูลสูตร ผัสสะเป็นมรรค เป็นทางปฏิบัติมา นา
ส่วนในนาม 5 มนสิการ มีผัสสะ จะปฏิบัติธรรม ทำอะไร ไม่ใช่ทำแต่ภายนอก ดินน้ำลมไฟ โดยเฉพาะกายภายนอกก็ไม่ใช่ ต้องทำภายใน และต้องทำถึงที่เกิด คือมน จิตวิญญาณ มน เล็กกว่าจิต เล็กกว่าวิญญาณ จึงเป็นต้นเค้าต้นรากคือ มนะไม่ใช่จิตหรือวิญญาณในมูลสูตรจึงใช้มนะไม่เอาจิตหรือวิญญาณ
ท่านให้ทำที่จิตคือ สิการ ที่มนะ จิตคือให้รู้แบบกว้างขวาง แต่ให้ทำที่มนะ ไม่ได้บอกวิญญาณสิการ แต่บอกมนสิการ แต่ทุกวันนี้แปลโยนิโสมนสิการว่าคิดลึกทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ แต่โยนิ แปลว่าที่เกิด
ถ้าเผื่อว่าไม่แม่นในสภาวะ รับรองพูดไปยิ่งหมุนสับสน แต่นี่กระจ่างขึ้นไหม สาธุ
เจตนาเป็นตัวกลาง ตัวการ เจตนาเป็นตัวที่อยากเป็นตัวกลาง ตัวการ ในเวทนาจะมีเหตุคือตัณหา จะมีสุขหรือทุกข์เกิดจากตัวตัณหาเป็นเหตุ เพราะฉะนั้น อุปาทาน ตัณหา เวทนา เป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน อนุโลมปฏิโลม กลับไปกลับมาเป็นเหตุปัจจัยกันและกัน
ในสัญญา ตัวสำคัญที่คุณจะต้องใช้ ตั้งแต่ต้นจนจบสัญญาเวทยิตนิโรธ ยังมีเวทยิตคือมีเวทนาเหมือนกัน นิโรธคือตัวดับ สัญญาคือตัวกำหนดรู้ เป็นสามเส้า ตัวจิตทำงานเป็นธาตุรู้ ต้องใช้สัญญาทำตั้งแต่ต้น อยู่ในสัญญาหมด ไม่ไปไหน คุณจะดึงระลึกได้ไหม จะระลึกของเก่าได้มันไม่ไปไหน หากคุณระลึกไม่ได้ก็ว่าไม่มี ไปอ่านในพรหมชาลสูตร ท่านก็ว่าระลึกได้แค่นี้ อันอื่นไม่ได้ในอดีต18
ที่อาตมาดึงมาให้รู้ได้ เยอะไหม ไม่สับสนกัน พวกคุณฉลาด หรืออาตมาเก่ง
ถ้าคุณปฏิบัติไม่ได้ก็จะสับสน คนที่ปฏิบัติธรรมไม่ได้ขอยืนยันว่าจะสับสน แม้จะตั้งหลักมีสติสัมปชัญญะมีปัญญาปฏิภาณให้ดีเรียนให้ได้ แต่ถ้าไม่มีมรรคผลจะสับสน มึน ลืม ไม่แม่นไม่จำ เพราะไม่มีสภาวะในตัว ใครมีสภาวะจะจำได้ง่ายและไม่สับสน
ผัสสะในนาม 5 คุณต้องมีเป็นสมุทัย ในปฏิจจสมุปบาทถ้าไม่มีผัสสะก็เรียนรู้เวทนาไม่ได้ ต้องอ่านเวทนา จนเวทนานี้ คุณทำเวทนาสองให้เป็นหนึ่งได้ๆ สโมสรณา สั่งสมลงตกผลึกลงควบแน่นเป็นหนึ่งๆๆ อย่างแข็งแรงตั้งมั่นคงที่เที่ยงแท้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สมณะพราหมณ์ในสัมมาทิฏฐิ 10
สรุปตรงนี้ต้องขออภัย ย้ำที่ตัว สัตบุรุษ อาตมาเป็นสัตบุรุษเป็นสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ลงท้ายท่านสรุปว่าเป็นสยังอภิญญา คือลักษณะของตนเอง สยังแปลว่าตนเอง อภิญญา เป็นภูมิรู้ในโลกุตรภูมิ โลกุตรภูมิที่อาตมานำมาเผยแพร่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันบัดนี้ เป็นของอาตมาเองมาก่อนเก่า ปางนี้อาตมาไม่ได้ศึกษาธรรมะไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่มีสำนัก ไม่ได้เรียนเป็นกิจจะลักษณะก็รู้อยู่แล้ว แต่เป็นของเก่าทั้งนั้นที่เอามาเป็นของตัวเอง สยังอภิญญา ที่พูดมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้จะเกือบ 50 ปีเป็นของเก่าทั้งนั้น แล้วก็เอาของที่มีในตำราเป็นบัญญัติภาษาจากเนื้อสภาวะของอาตมา อาตมาจึงบอกว่าแปลบาลีด้วยสภาวะ อาตมาไม่ได้แปลบาลีด้วยบัญญัติหรือไวยากรณ์ ไม่ได้แปลบาลีด้วยการศึกษาแบบของเขา
อาตมาก็ถามว่า สภาวะกับภาษาอันใดเกิดก่อนก็ต้องสภาวะ
สมณะเดินดินว่า...ความเป็นสมณพราหมณ์ของพ่อครู แม้แต่ชื่อ กระทรวงศึกษาธิการก็เอามาประกาศให้ตามกฎหมายเลย คือเขาห้ามไม่ให้ใช้ชื่อ พระ ภิกษุ หรือนักบวชหรืออื่นใด ก็ให้เลือกมุณี กับสมณพราหมณ์ เราก็เลือกสมณพราหมณ์ มารู้ทีหลังว่า อยู่ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 เลย
พ่อครูว่า...เมื่อคุณจรวย หนูคง มาบอกให้ใช้สมณพราหมณ์ เขาเป็นตัวแทนกรมการศาสนา ว่าให้เรียกสมณะ ตกลงกันเสร็จ ไปบอกทางโน้น มหาระแบบก็ว่า สมณะแปลว่าอรหันต์นะ ก็เอาไปให้เรียกได้อย่างไร ก็เสร็จเรา เป็นไปตามธรรม
สมณะเดินดินว่า...เป็นไปโดยธรรมะทั้งรูปและนาม อยู่ดีๆก็เอามาให้เรียกเรา อาตมาพยายามติดตามอ่านทั้งคานธี ไอน์สไตน์ อย่างไอน์สไตน์นี้ดังมาก ไปที่ไหนคนก็อยากจะฟังทฤษฎีทั้งที่ฟังไม่รู้เรื่อง
ถ้าในสายที่เข้าใจกัน ท่านก็พยายามพาพวกเราไปสู่พระอรหันต์ แต่ในอรหันต์สุกวิปัสโก เหมือนอรหันต์สายแห้งแล้วไม่เล่นฤทธิ์เดช แต่มาที่นี่มีแต่สัจจะอย่างเดียว มาให้จน มาให้สูญ ประกาศอรหันต์มาตั้งนานแล้วไม่เห็นมีคนมาสนใจเป็นอรหันต์สายแห้งแล้ง แต่เราเข้าใจแล้วว่า เป็นสายตรงเลย สายแห้งแล้ง อาตมาไม่ติดใจนะว่าพ่อครูจะเป็นอะไรหรือไม่เป็นอะไร แต่อาตมาอยู่กับท่าน อาตมาเห็นว่าท่านไม่มีความทุกข์ที่เราสัมผัสได้ แม้จะเจอผัสสะเรื่องราว เราสัมผัสได้ถึงจิตที่ไม่มีความทุกข์ และยังจะคิดจะช่วยมนุษยชาติอีก เทียบกับคานธีแล้ว อันนี้เหมือนหนังเศร้า ทำงานแล้วมีแต่คนไม่ชอบใจ ไม่มีคนยกย่อง อย่างไอน์สไตน์หรือคานธี ก็มีแต่คนยกย่อง แต่พ่อครูเหมือนแห้งแล้งมาก
พ่อครูว่า..แห้งแล้งที่ไหน น้ำท่วมอยู่
สมณะเดินดินว่า...ไปไม่ถูกเลยครับ… จบแบบหัวทิ่มเลย...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:50:45 )
รายละเอียด
600823_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อุตริมนุสธรรมของนิยตโพธิสัตว์
สมณะฟ้าไทว่า…วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 ราชธานีอโศก พ่อครูได้เทศน์ไว้เมื่อวันจันทร์ว่า กาละนี้เป็นยุคสำคัญ มีพระโพธิสัตว์เกิดร่วมกันทำงานหลายองค์ ท่านก็ได้มาสร้างชุมชนโลกุตระ อันประกอบด้วยพระอาริยะอยู่ร่วมกัน เราก็มาศึกษาร่วมกันในชุมชนนี้ ในกาละนี้ เป็นกาละที่มีพระโพธิสัตว์เกิด พ่อครูก็ประกาศตัวว่าเป็นโพธิสัตว์ มาสืบทอดงานศาสนาพุทธให้ไปถึง 5,000 ปี
ในสุริยเปยยาล อวิชชาสูตร ก็เริ่มต้นด้วยมิตรดีคือการคบสัตบุรุษ พ่อครูท่านก็บอกว่าท่านคือคนนี้ คือสยังอภิญญา ที่มาประกาศโลกนี้โลกหน้า ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งให้คนมาปฏิบัติตามจนได้ผลจริง เมื่อคนได้ปฏิบัติผลได้จริงแล้วก็จะไม่เสียเวลารอคอย จะทุ่มเททั้งชีวิตมาปฏิบัติธรรมร่วมกัน กาละนี้ท่านก็ทำงานมาสี่สิบกว่าปีแล้ว ขณะที่อยู่ไปปีต่อไป ท่านบอกว่า 90 ปีก็จะฉลอง ซึ่งอีก 6 ปีนี้ก็ไม่ง่าย ท่านขอเวลาเราแค่สิบปี ก็จะมีผลแล้ว
ตอนนี้ถ้าเราได้ติดตามฟังธรรมจากท่าน ก็จะลงลึก แรง ชัดเจน มาอยู่กับท่านก็ไม่เสียหลาย จะได้ประโยชน์จากท่านในกาละที่ท่านอยู่
SMS วันที่ 21 สิงหาคม 2560
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อุตริมนุสธรรมของอรหัตตผล
_3867คำตอบทุกประเด็นธ.อรหัตผลโดยพ่อครูฯต้องมีความรู้วิเศษจากจิตรู้ทันกิเลส,ตามองทะลุกิเลสได้,หูแยกแยะกิเลสได้!กำหนดรู้กิเลสทุกผัสสะ!ระลึกชาติก่อนในกิเลสเก่าได้!รู้แจ้งด้วยอภิญญาว่าสิ้นกิเลสแล้วถูกไหม?
พ่อครูว่า…ถูกต้อง อรหัตตผล นี่ต้องรู้รอบ มีความรู้พิเศษเป็นอุตริมนุสธรรม ญาณทัสสนะวิเศษ ไม่ได้รู้อะไรหรอก ไม่ได้รู้ว่าเหาะเหินเดินน้ำดำดิน ไม่ได้รู้ว่านอกโลกมีเรื่องราว หรือเรื่องโลกมีอะไร ไม่ใช่ แต่รู้เรื่องกิเลสเป็นหลัก รู้ทันกิเลส มองกิเลสได้ทะลุ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสแล้วก็รู้อาการจิต กำหนดรู้ทุกผัสสะ โดยเฉพาะคำว่า รำลึกชาติก่อนในกิเลสเก่าได้ …
คือพอสัมผัส เราจะรู้กิเลสในปัจจุบัน เราสัมผัสก็จะรู้ว่ากิเลสปัจจุบันไม่มี กิเลสเก่าไม่มีแล้ว ปัจจุบันไม่มีกิเลสเก่า หรือระลึกสัมผัสได้ขณะนี้ พอสัมผัสแล้วระลึกถึงชาติก่อนของกิเลสเก่า ขณะนี้เราไม่มีกิเลสแล้ว เราก็ระลึกถึงกิเลสอย่างนี้ได้ ซึ่งรู้ได้จริงๆ เพราะเราจะรู้จักกิเลส กิเลสมันมีหรือไม่มีในจิตเรา เราจะรู้จริงๆ หากเราไม่รู้ก็ไม่ใช่การศึกษาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อุตริมนุสธรรมของพระโพธิสัตว์ระดับ 7
อาตมาพูดมานาน 40 กว่าปีแล้ว ที่ไปนั่งหลับตาสมาธิไม่ได้รู้กิเลสอย่างที่ว่านี่หรอก ไม่ได้รู้ว่า ในปัจจุบันเราสัมผัสกับอะไร กิเลสเก่ามันมีหรือเปล่า มันไม่รู้ เพราะปัจจุบันไม่ได้สัมผัสหลับตาไป แล้วหลับตานี้เป็นภาคปฏิบัติของกระแสหลักส่วนใหญ่ หรือสำนักใหญ่ๆที่ว่าปฏิบัติธรรมทำสมาธิคือนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่ได้วิจัย กาย เวทนา จิต ธรรมอะไรหรอก ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีแต่สะกดจิตลงไปแล้วบอกว่าเป็นการทำนิโรธสมาธิ สะกดจิตในช่วงขณะนั้นให้จิตไม่มีอาการของนิวรณ์ ด้วยสมถวิธี ซึ่งก็เข้าใจได้ Meditation เป็นวิธีที่เก่าแก่มาก
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา แล้วท่านก็ไปตรวจดู นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายเมื่อท่านออกบวช ก็ไปเจอ นักปฏิบัติธรรมพวกนี้ อาฬารดาบส อุทกดาบส หรือฤาษีอื่นๆที่นั่งปฏิบัติหลับตา เป็นส่วนใหญ่ เขาไม่ได้รู้เรื่องสัมมาสมาธิ ที่เป็นสมาธิอันประเสริฐ ที่เรียกว่า เป็นคุณวิเศษ เป็นธรรมะอันประเสริฐเป็นสัมมาสมาธิเป็นธรรมะของพระอาริยะ สัมมาสมาธิเรียกว่า อริโยสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิประเสริฐของพระอาริยะ ไม่รู้หรอก มีศาสนาพุทธนี่แหละ มีพระพุทธเจ้านี่แหละเอามาเปิดเผย เป็นผู้รู้เป็นเจ้าของความรู้อันนี้
เพราะฉะนั้นการนั่งหลับตา อาตมาเอาหลักฐานต่างๆมายืนยันมากมาย เพื่อที่จะให้รู้ อาตมาเอง ขอพูดตัวเองนิดหนึ่ง ท่านฟ้าไทว่า กาละนี้ มีพระโพธิสัตว์อุบัติมาในโลกหลายพระองค์ แล้วท่านก็ว่าอาตมาคือโพธิสัตว์อุบัติขึ้นมาในชาตินี้ครั้งนี้ อาตมาประกาศออกไปเช่นนั้น หน้าที่พระโพธิสัตว์ ในระดับสูงๆ เป็นโพธิสัตว์ที่เหนือกว่าโพธิสัตว์ระดับ 4 ขึ้นไป เป็นโพธิสัตว์
โพธิสัตว์ 9 ระดับ
1.โสดาบันโพธิสัตว์
2.สกิทาคามีโพธิสัตว์
3.อนาคามีโพธิสัตว์
4.อรหันต์โพธิสัตว์
5.อนุโพธิสัตว์
6.อนิยตโพธิสัตว์
7.นิยตโพธิสัตว์
8.มหาโพธิสัตว์
9.สัมมาสัมพุทธโธ(พระพุทธเจ้า)
อาตมากล่าวพูดเช่นนั้น ไม่ได้พูดด้วยจิตมีกิเลสอยากอวดโอ่ ว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์มาทำงานนี้ เป็นการพูดด้วยจริงใจใสซื่อ เปิดเผยความจริงออกไปเท่านั้น ให้รู้สำหรับผู้ที่ไม่มีอคติในจิต ไม่เพ่งโทษ ผู้ฟังธรรมด้วยดี ซึ่งต้องการพบสัตบุรุษ เพราะศาสนาพุทธนั้นต้องพบสัตบุรุษ พบผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่มีธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงจะได้รับความรู้ ถ้าไม่พบสัตบุรุษ ผู้รู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแม้แต่เพียงขั้นโสดาบัน พบใครต่อใครทั่วไปไม่ได้มีหวังจะบรรลุธรรม ไม่มีเลย พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้หลายสูตร ในจักรสี่ ปัญญาวุฒิสี่ ต้องพบสัตบุรุษได้ฟังสัทธรรม ในอวิชชาสูตรบ้าง พบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ มีการฟังธรรมที่บริบูรณ์ มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ได้โยนิโสมนสิการให้บริบูรณ์
ประเด็นสำคัญคือศาสนาพุทธมีเชื้อพิเศษเป็นเชื้อของความรู้อาริยะขั้นโลกุตระ ปุถุชนไม่มีสิทธิ์ คนไม่บรรลุธรรมะจริงไม่มีสิทธิ์เอามาพูดให้คนฟังอย่างถูกต้องบริบูรณ์หรือไม่มีผิดเพี้ยน ไม่มีสิทธิ์
เพราะว่าจะไม่ชัดเจนในสภาวะกับความรู้ที่เป็นความจริง ไม่ชัดเจนจะผิดเพี้ยน เพราะฉะนั้นอาตมาจึงได้จำเป็นมาก เพราะว่า ยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุค และเป็นยุคที่คนที่เป็นชาวพุทธได้เสื่อมไปจากศาสนาพุทธ เกือบสิ้นเชื้อแท้ คือเชื้ออาริยะ เชื้อโลกุตระ เกือบนี้อาตมาเกรงใจ ที่จริงมันสิ้นไปหมดแล้ว มันไม่มีแล้วในเชื้อศาสนาพุทธที่เป็นความถูกต้อง
ศาสนาพุทธทุกวันนี้มีแต่จารีตประเพณีนอกรีต เดรัจฉานวิชา ไสยศาสตร์ ประเพณีที่สร้างขึ้นใหม่ขึ้นมาให้คน นึกว่ามาเอาความพ้นทุกข์ มาด้วยเลือดเนื้อวิญญาณของชาวโลกีย์ปุถุชน ผู้ที่ไม่รู้ธรรมะก็ต้องให้เขาได้รับความพอใจ เขาเป็นเลือดโลกีย์ปุถุชน เขาต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขาไม่ได้สอนโลกุตรธรรม ไม่พูดกันแล้ว
ที่ไม่พูดก็เพราะไม่รู้ เข้าใจกันไม่ได้แล้ว ศาสนาพุทธจึงน่าสงสารมากเลย อาตมาเกิดมาที่จะมาทำงานนี้จึงสงสารศาสนาพุทธมาก
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตรธรรม มีคนพูดว่า ศาสนาพุทธสอนทั้งโลกียธรรมและโลกุตรธรรม
ท่านสอนทั้งสองอย่าง ก็พูดโลกียธรรมให้รู้เพื่อเปรียบเทียบให้รู้ ว่าคนปุถุชนที่หลงโลกียธรรมเป็นเช่นนี้ โลกุตรธรรมก็อย่าเอาเยี่ยงอย่าง ศึกษาให้ดีว่าต้องการให้เลิกโลกียธรรม ที่พูดนี้ไม่ได้หมายถึงว่า สอนโลกียธรรม ไม่ต้องสอนหรอก คนเป็นนักล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอยู่แล้วไม่ต้องสอนเลย
เพราะฉะนั้นสอนแต่อุบายเครื่องออกจากโลกียชน ออกจากการไปหลงลาภยศสรรเสริญโลกียสุข มันเป็นทุกขอริยสัจ
ลาภ ยศ ชั้นสรรเสริญก็มีในโลก ความสุขโลกีย์ที่โฆษณากันเต็มเมือง ให้มารับความสุขหาความสุขให้ความสุข แล้วพยายามใช้เวลาแสดง ใช้ทุนรอน เครื่องไม้เครื่องมือ เพื่อที่จะโฆษณาความสุข โลกียสุขให้คนไปเอาไปเสพ ไปซื้อหาไปใช้จ่ายแลกเปลี่ยน ไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธเลย
อาตมามาทำงานศาสนามาสอนศาสนาพุทธ จึงเป็นเรื่องที่ชาวโลกเขา ที่อาตมาบอกว่า มันไม่มีศาสนาพุทธแล้วเขาจึงเห็นว่าอาตมาเป็นเศษสวะอะไรในโลก ยกตัวอย่างเช่นสื่อสารมวลชน เขาไม่ถือเป็นสาระเลย ไม่สื่อเลยไม่เห็นค่า โพธิรักษ์เสียเวลาพูดทำไม พูดอยู่ได้จนแก่จะตายแล้ว แต่ยังไม่ตายนะ แม้จะอายุมากก็ยังไม่ยอมแก่ พยายามรักษาขันธ์ให้ยืนยาวไป เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรจะได้
ขอพูดย้ำซ้ำซาก พูดอวดอุตริมนุสธรรมอีก ว่า อาตมามีธรรมะที่เป็นโลกุตระธรรม และมั่นใจว่าเป็นสัมมาทิฏฐิด้วย พูดด้วยความจริงใจใสซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมกิเลสแอบแฝง ไม่ได้พูดเพื่อให้คนอื่นสนใจ แต่พูดเพื่อรายงานความจริง ทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง
อาตมาจึงได้พูดบรรยายทุกวี่วันเพื่อให้ผู้ที่แสวงหา ผู้ที่ตั้งใจจริง ผู้ที่ไม่มีจิตเพ่งโทษ ผู้ที่ฟังด้วยใจไม่คิดว่าเอาความรู้ของตน คุณรู้ได้อย่างไรว่าอาตมาไม่ใช่อาริยะ ไม่ใช่โพธิสัตว์ ไม่ใช่ผู้มาพูดความจริง คุณเก่งอย่างไร คุณจะมาตัดสิน วัดว่าอาตมาไม่ใช่ความจริง คุณศึกษาอ่านเอาได้ ท่องจำเก่งสอบได้เป็นเปรียญ 9 ด็อกเตอร์ทางศาสนา เป็นอัจฉริยะทางศาสนาพุทธด้วย คุณสามารถเป็นมิเตอร์วัดอาตมาได้หรือ ว่าอาตมาไม่เป็นพระอาริยะ ไม่เป็นพระอรหันต์ ไม่เป็นพระโพธิสัตว์
อาตมาขอยืนยันว่า ไม่มีใครสามารถวัดได้หรอก วัดไม่ได้ในความเป็นจริง แต่ว่า คุณได้ฟัง หลายผู้หลายคนอาจอายุ 80 ปี ได้ศึกษาศาสนามานาน คนก็ได้ฟังศาสนาพุทธที่คุณศึกษามาอย่างนั้นแหละ พอมาฟังอาตมาพูด มันเป็นปรโตโฆษะ มันเป็นอันอื่นขึ้น จากที่คุณรู้แล้ว
อาตมาพูดนี้คือปรโตโฆษะ ถ้าคุณได้ยินได้ฟังอันเก่า ป่านนี้คุณเป็นอรหันต์แล้วถ้าสัมมาทิฏฐิ แล้วคุณก็ปฏิบัติตามตั้งหลายสิบปีแล้ว หลายคนพากเพียรปฏิบัติจนอายุ 80 อย่างพระที่บวชอายุ 80 ตั้งเยอะ ป่านนี้เป็นพระอรหันต์หมดแล้วถ้าสัมมาทิฏฐิ ในบรรดาอาจารย์ที่ถ่ายทอดกันและเป็นกระแสหลักกระแสเดียวกัน เช่น
สอนว่าศีลคือ ปฏิบัติแค่การสำรวมกายวาจา แล้วก็แยกสมาธิไปนั่งหลับตา ปัญญาก็คิดตรรกะคำนวณไป ไม่ได้เกิดจาก
ปัญญาต้องเกิดจากกระบวนการของมรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 แล้วก็เกิดกระบวนการของการสังเคราะห์สังขารทั้งหลาย คุณก็เรียนรู้แล้วก็ทำ อภิสังขารซ้อน ให้เกิดพลังงานบุญ กำจัดกิเลสนั้นให้สำเร็จไปได้เรื่อยๆจนหมดกิเลส
แต่ไม่ได้สอนกันอย่างนี้ ปัญญาไม่ได้เกิดด้วยกระบวนการ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ สัมมาทิฏฐิ ในมหาจัตตารีสกสูตร
เขาว่าไปนั่งหลับตาปฏิบัติให้เกิดสมาธิ แล้วจะเกิดปัญญาตามมา ปัญญาจริงๆนั้น ไม่ได้เกิดหลังสมาธิ แต่ปัญญาจริงๆนั้นเกิดพร้อมสมาธิ ธาตุรู้ที่เป็นธาตุรู้อาริยะ ธาตุรู้อันเป็นอาริยะ จะเป็นสัญญาก็ตาม จะเป็นอัญญาก็ตาม เป็นอาริยะ ก่อนอื่น สัญญาก็เป็นอาริยะ ธาตุรู้ที่ทำงาน เป็นตัวงาน เป็นตัวทำงานจริงๆเลยสัญญา
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ภาคปฏิบัติของ นาม 5
คนปฏิบัติธรรมต้องใช้สัญญาตลอดเวลา ในนามธรรม 5
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่านามรูป มีอะไรบ้าง รูปก็มี รูป 28 นามก็มีนาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
นาม 5 เป็นกระบวนการของการปฏิบัติธรรม มี 5 ลักษณะนี้
1. คุณจะต้องมีเวทนา เป็นกรรมฐานเดียวของศาสนาพุทธ ปฏิบัติเวทนา 108 บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ อยากรู้เวทนาต้องมีสัญญากำหนดรู้อาการของเวทนา จะเกิดเวทนาได้คุณจะต้อง ผัสสะ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ่นกระทบรส กายสัมผัส แล้วจะเกิดเวทนา เมื่อเกิดเวทนาแล้ว คุณจะต้องศึกษาเวทนาแยกแยะเวทนา วิจัยเวทนา พิจารณา เวทนาในเวทนา ในเวทนา 108
แล้วแยกเคหสิตเวทนา มันจะเป็นก่อน แล้วคุณก็ปฏิบัติให้เกิดเนกขัมมะ ทำให้ออกจากกิเลส กาม พยาบาท วิหิงสา ในสังกัปปะ ก็เอากิเลสออกเป็นเนกขัมมะ
การที่คนรู้จักกิเลส เข้าไปรู้กิเลสในจิต แล้วแยกแยะกิเลสได้ แล้วปฏิบัติหรือทำให้กิเลสลดลงไปได้เรียกว่ามนสิการ เรียกว่าการทำใจในใจ การปฏิบัติใจของเราเอง ทำใจเราให้กิเลสมันลด กระบวนการ 5 นี้ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะมนสิการนี้แหละ คือตัวตัณหา
เพราะเจตนามีสาม กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
นี่คือเจตนา ตัวนี้เป็นสมุทัย ต้องทำเบื้องต้นก่อนที่กามตัณหา คุณต้องมีวิภวตัณหาก่อน วิภวตัณหาคือตัณหาไม่มีภพ เป็นความต้องการเรียนรู้ รู้ว่าเรามีภพ มีกามภพ ตัณหาที่มีกาม ก็ต้องล้างกามให้หมดภพชาติก็หมดกามตัณหาก็เหลือภวภพ ในรูปภพ ก็ล้างระดับกลางอีก คือรูปภพ
ล้างกิเลสรูปภพหมดก็เหลือกิเลสอรูปภพ ล้างอรูปภพก็สำเร็จวิภวตัณหา ตัณหาไม่มีภพ แต่ท่านไปแปลกันว่า กามภพคือตัณหาในกาม ภวภพคือตัณหาในภพ วิภวภพคือตัณหาในความไม่มีภพ แล้วอธิบายไม่ได้ว่า วิภวตัณหาเป็นตัณหาที่เป็นคุณหรือโทษ
ผู้ที่มิจฉาทิฐิก็จะไม่รู้จักความไม่มีภพ แต่จริงๆแล้วมันเป็นอรูปภพ ดีไม่ดีเป็นรูปภพได้ เช่นไปนั่งสมาธิ คนนั่งหลับตาแล้ว เขาก็ตัดประเด็นข้างนอกเป็นกามภพไม่เอา ทิ้งไปดื้อๆ แล้ว เขาก็ไปอยู่ในภพภายใน นั่นคือขั้นหนึ่งในการไม่มีภพ วิภวภพ เขาก็นึกว่าเขาหลุดพ้นแล้วก็ไปอยู่ในภวังค์ ไม่มีกามภพ ไม่รับรู้ นั่นก็คือเขาได้พ้น วิภวะ ไม่มีภพอย่างหนึ่งแล้ว เขาอยากได้อย่างหนึ่ง นี่ก็คือการได้ภพ
การนั่งหลับตาสมาธิเป็นการสร้างภพ ไม่ใช่ล้างภพ เป็น meditation สะกดจิตหลับตาให้ดิ่งลงไป เป็นมิจฉาทิฐิทั้งโลกที่ทำสมาธิแบบนี้ เป็นของเดียรถีย์ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ วิภวตัณหา จึงทำตามที่ตนเองเข้าใจ ไม่สามารถอธิบายอย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ
จึงไม่มีความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม อย่างเก่งทุกวันนี้ผู้ที่เก่ง มีความรู้ในศาสนา พูดก็เก่งอยู่ที่พยายามเรียนรู้พยัญชนะของศาสนาพุทธ แล้วก็พยายามแปลพยัญชนะของพระไตรปิฎก อาตมาไม่เอาของอรรถกถาจารย์ ที่แปลอย่างเอาแค่เป็นตนเองไปผสม พระไตรปิฎกมีเนื้อแท้จากคำสอนพระพุทธเจ้ากลับไม่เอามาศึกษาโดยตรง แต่มีคนพยายามแปลพระไตรปิฎก มีอยู่ไม่ใช่น้อย แปลให้ตรงกับพยัญชนะบาลี โดยมีความรู้บาลี พยายามแปลให้ตรงกับบาลี อาตมาก็ขอยกย่องท่านประยุทธ์ ปยุตโต ว่า ท่านเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้ ท่านมีความรู้เท่าไร ท่านซื่อตรงท่านพยายามไม่ให้ผิด
สื่อธรรมะพ่อครู(โอวาทปาติโมกข์) ตอน อรหันต์คือคนสิ้นบุญสิ้นบาป
เช่น ขออภัย ต้องขอยกมือไหว้ ตอนนี้ท่านเป็นสมเด็จพุทธโฆษาจารย์แล้ว อาตมาเป็นพระผู้น้อง แม้อายุจะแก่กว่า ท่านแปล อภิสังขาร
อภิสังขาร 3 (สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ, เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม)
1. ปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นบุญ, สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นกามาวจรและรูปาวจร)
2. อปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือเป็นบาป, สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่ อกุศลเจตนาทั้งหลาย)
3. อาเนญชาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นอเนญชา, สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร 4 หมายเอาภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน
ท่านแปลตรงตามอักษร แต่อาตมาสงสารคนอ่าน เขาไม่เข้าใจ ว่า อภิสังขาร เป็นการปรับแต่ง สังขาร แล้วเกิดบุญ เพราะฉะนั้น สังขารที่เป็นบุญ พยัญชนะสู่พยัญชนะไม่ผิดหรอก แต่ไม่ถึงใจโลกุตระ เพราะการสังขารที่เกิดบุญ สภาพปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ซึ่งไม่ใช่ เป็นสภาพปรุงแต่งซึ่งทำลายกิเลสฝ่ายชั่ว
ปุญญาภิสังขาร คือการปฏิบัติธรรมให้รู้จักสังขารแล้วแยกสังขารนั้นออกได้ว่าเป็นวิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา แยกอ่านตัณหาได้ แล้วก็กำจัดตัณหาได้ คืออภิสังขาร กำจัดชำระกิเลสได้เรียกว่าบุญ กำจัดกิเลสไม่ใช่เป็นการปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี แต่ไปปรุงแต่งกรรมฝ่ายชั่ว ปุญญะมีหน้าที่ทำลายชั่ว ไม่มีหน้าที่ทำลายดี เมื่อทำลายชั่วหมด จริง ปุญญะเป็นกุศลเจตนาที่จะไปทำลายกามาวจร รูปาวจร แต่สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดีนี้ไม่ถูก
แล้วไม่ใช่ปรุงแต่งธรรมดา แต่เป็นอภิสังขารแปลว่าจัดการกิเลส สร้างพลังงานในจิตให้เป็นพลังงานบุญ บุญเป็นพลังงานเท่านั้น เป็นพลังงานเท่านั้นไม่ใช่สสาร บุญเป็นพลังงานโลกุตระที่พิเศษที่สุดในศาสนาพุทธ บุญคือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและเอามาใช้ในศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นไม่มีเรื่องบุญ ไม่รู้จักบุญ เพราะกำจัดกิเลสไม่เป็น ศาสนาพุทธกำจัดกิเลสเป็น รู้จักกิเลสเหตุแห่งทุกข์มีวิธีการกำจัดเหตุแห่งทุกข์ แล้วทำให้เหตุแห่งทุกข์หมดไปเรียกว่านิโรธ นั่นคือวิธีการของบุญ
ในอภิสังขาร 3 มีอยู่สามอัน
ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร ท่านแปลแค่นั้น
อปุญญาภิสังขารท่านก็แปลว่า อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือเป็นบาป, สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่ อกุศลเจตนาทั้งหลาย ท่านแปล อปุญญะว่าบาป อันนี้ศาสนาพุทธพังทันทีเลย เพราะปุญญะนี่เป็นเอกังสวาที เป็นสภาวะของสัจธรรมเดียว ไม่มีแยกอื่น เป็นอกังสเสนะ เป็นสถานะบทบาทมีหน้าที่เดียวคือกำจัดกิเลส กำจัดกิเลสหมด บุญก็หายไปไม่เหลือ บุญจึงยิ่งใหญ่พิเศษที่สุดที่ต้องรู้ความหมาย ถ้าไม่รู้ความหมายสมบูรณ์จะเป็นอย่างนี้จึงล้มเหลวในการปฏิบัติธรรม
อาตมาโชคดีที่ยังมีพยัญชนะเช่น โอวาทปาติโมกข์ สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
ส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นสมาธิในส่วนของ สาสวะ เป็นเสขบุคคล ในมหาจัตตาริสกสูตร ท่านตรัสว่ามีส่วนแห่งบุญหรือพูดสั้นๆว่าส่วนบุญ แต่ทุกวันนี้บอกว่าแบ่งส่วนบุญ เป็นการออกนอกศาสนาพุทธหลงผิดมิจฉาทิฐิ เอาบุญมาแบ่งกันแล้วเอาบุญมาเป็นสมบัติ ออกนอกทางศาสนาพุทธไปเลยเป็นมิจฉาทิฐิไม่มีทางบรรลุธรรม เพราะเข้าใจคำว่าบุญผิดเพี้ยน ศาสนาพุทธทุกวันนี้จึงได้ขายบุญเอาบุญมาหลอกล่อ จริงๆ บุญต้องมาเรียนรู้และสร้างทำขึ้นมา ทำพลังงานให้มันเกิดบุญเรียกว่ามนสิการ ทำให้เกิดพลังงานบุญ บุญเป็นพลังงานอาวุธเครื่องมือทำลายกิเลส มีหน้าที่ฆ่ากิเลสหมดก็หมดหน้าที่
บุญเหมือนกับคุณสร้างระเบิดปรมาณู คนสร้างระเบิดปรมาณูได้ แต่บุญเป็นพลังงานไม่ใช่สสาร อาตมาก็ขอขยายเอารูปพลังงานปรมาณูมาขอใช้หน่อย คุณทำพลังงานระเบิดปรมาณูได้ ก็อาศัยวัตถุ แล้วออกไประเบิด ก็กำจัดอะไรก็แล้วแต่
ตั้งใจจะระเบิดที่ไหนก็ตาม จะไปทำลายเกาะกวม ขู่ๆไว้ ขอยืมยกตัวอย่างปัจจุบันธรรม พอระเบิดปรมาณูระเบิดแล้วพลังงานก็ไม่เหลือ สูญหายหมด คุณไปจับพลังงานปรมาณูนั่นมาไม่ได้อีกแล้ว หมดไป พลังงานบุญ คุณต้องสร้างขึ้นเป็นปัจจุบันเท่านั้น คุณสร้างไว้รอก็ไม่ได้ เพราะบุญไม่ใช่สมบัติ บุญมีหน้าที่วิบัติอย่างเดียว มีหน้าที่ปหานอย่างเดียวทำลายอย่างเดียว ทำลายเสร็จแล้วพลังงานนี้ก็สูญไปเหมือนกับการทิ้งระเบิดปรมาณู เสร็จแล้วก็หมดหน้าที่ของบุญ
อปุญญานี้มันไม่มีบุญแล้ว อภิสังขารเป็นโลกุตรธรรม เป็นการจัดการกิเลส คือสถานะที่ปรุงแต่งจัดการกับกรรมฝ่ายชั่ว เมื่อเกิดอกุศลกรรมก็ทำลายมัน คือปุญญาภิสังขาร เมื่อหมดกิเลสก็เป็น อปุญญา
อันที่ 2 คือ ผู้ที่เป็นอรหันต์ อันที่ 1 คือเสขบุคคล อันที่ 3 คืออรหันต์หรือพระโพธิสัตว์ที่สั่งสมอภิสังขารที่เป็นอเนญชา ก็จะเกิดความชำนาญในจิตมีอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
มีความบริสุทธิ์สะอาด กระทบกระแทกสัมผัสกับโลกก็ยังสะอาดปริโยทาตา มีความคล่องแคล่วของเวทนา สัญญา สังขาร มุทุ มีกายปาคุญญตา ทำงานเก่ง คล่องแคล่ว ดับกิเลสได้เก่งขึ้นเร็วไวขึ้น ตัวเจโตก็แคล่วคล่องปรับไว ตัวปัญญาก็รู็เร็ว จะไปทำงานก็เป็นการงานที่ดีได้สัดส่วนไม่มีโทษ ปภัสสรา ถึงอย่างไรก็ผุดผ่องผ่องแผ้วอย่างเดิม จะผ่านการงานอะไรก็ยังเจริญ เป็นความเจริญของอุเบกขา 5 ท่านตรัสไว้ในธาตุวิภังคสูตร ก็เจริญอุเบกขาเจริญขึ้นไปเรื่อย
อาตมาแปลจากสภาวะของอาตมาเป็นความรู้เก่า ไม่ได้แปลด้วยพยัญชนะหรือมาจากอาจารย์ไหน ที่เป็นอนุฎีกาฯ ฎีกาจารย์มาช่วย ก็อาศัยความรู้ที่ตนเองเรียนมาบ้าง อาตมาจึงไม่ได้แปลตามที่ท่านแปลกัน แต่ก็เข้าใจว่าท่านแปลตามที่จะรักษาพยัญชนะ ซึ่งส่วนมากก็มีการขยายความตามความเข้าใจตัวเอง คนต่อไปก็เอาคำขยายของท่านไปแปล คนอื่นก็เอาไปเป็นตัวตั้งต้นเอาไปแปลต่อไปเรื่อยๆมันก็ผิดเพี้ยนไปทีละน้อยจนผิดเพี้ยนไปจนกระทั่งไม่ตรงกับความเป็นจริงเลย เช่นอันนี้แหละ อปุญญาภิสังขาร ท่านแปลว่า อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือเป็นบาป
ซึ่งอภิสังขาร เป็นการสร้างฐานที่ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญ แต่เป็นการปรับแต่งจัดการกิเลส อภิสังขารเป็นโลกุตระ สังขารต่างหากเป็นโลกียะ แล้วสังขารนี่แหละจะต้องเป็นตัวสำคัญที่เราจะเรียนรู้แล้วทำอภิสังขาร 3 ให้ได้ ก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าคุณไม่สามารถทำอภิสังขารก็จะมีแต่สังขารไปตลอดกาล ในอภิสังขาร 3 ไม่ใช่ความหมายทางโลกียะ ถ้าแปลอย่างโลกียะก็ไปไม่รอด ปฏิบัติธรรมไม่ได้ ไม่มีตัวให้ปฏิบัติ อภิสังขารเป็นตัวธรรมะของพระพุทธเจ้า ให้ทำอย่างนี้อภิสังขารเป็นอุบายเครื่องออกเป็นการจัดการปรับแต่ง มนสิการทำใจในใจ
ปุญญาภิสังขารก็ทำกิเลสให้ดับ อปุญญาภิสังขารก็ไม่มีบาปให้ดับแล้ว บุญก็ไม่มีด้วย บาปหมดไป หน้าที่บุญล้างบาป เหมือนระเบิดปรมาณู บุญก็หมดไปด้วย ไม่ได้เป็นการสะสมอะไร
ผู้ที่ทำลายบาปได้ จึงเป็นผู้ที่หมดบาป บุญก็หมดไปด้วย เป็นเสขบุคคลก็ทำลายบาปไปได้ทีละส่วนจึงเรียกว่าส่วนแห่งบุญ ทำลายสองส่วนสามส่วนไปเรื่อยๆ บุญคือการทำลาย พอเป็นอนาสวะ หมดสิ้นอาสวะ อาสวะคือบาปหมด บุญก็หมดด้วย พยัญชนะบาลีคือ ปุญญปาปกริขีโณ คือพระอรหันต์เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป
สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
กุศลเป็นสมบัติ กุศลไม่ใช่บุญ บุญไม่ใช่กุศล ถ้าแยกบุญกับกุศลไม่ออก ทำให้ศาสนาพุทธเละเทะ เข้าใจว่าบุญกับกุศลเป็นสิ่งเดียวกันเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น บุญเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาเป็นฌาน เป็นต้น ทำให้เกิดเป็นพลังงานไฟ อุณหธาตุที่เป็นไฟวิเศษ มีหน้าที่เข้าไปทำลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ มีอำนาจ เป็นเตโชธาตุ กำจัดพลังงานไฟเหมือนกันแต่มีฤทธิ์มากกว่า ฌานแปลว่าไฟกองใหญ่ ในพจนานุกรมบาลีก็แปลเช่นนี้ เป็นพลังงานที่วิเศษอย่างยิ่ง ที่มีความเหนือกว่าไฟราคะ โทสะ โมหะ จึงสามารถทำลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้
ถ้าเข้าใจคำว่าบุญไม่ถูกต้องอย่างเดียว ก็ไม่มีทางปฏิบัติธรรมได้สำเร็จของศาสนาพุทธ มันจะวนอยู่ไม่ไปไหน จะวนไม่เจริญพัฒนาขึ้น วนอยู่ที่เก่าคือโลกีย์
โลกีย์คือโลกอันวน บุญเป็นการทำลายโลก โลกีย์มันคือกุศลอกุศลที่วน มีแต่โลกหมุนดีชั่ว ชั่วดี สัพพปาปัสอกรณัง แปลกันว่าไม่ทำชั่วทั้งปวง กุสลสูปสัมปทา แปลว่าทำแต่ดี สจิตติปริโยทปนัง คือทำจิตให้ผ่องใส
การแปลว่า สัพพปาปัสอกรณัง แปลกันว่าไม่ทำชั่วทั้งปวง เป็นการแปลที่ผิด
สัพพปาปัสอกรณัง คือบาปทั้งปวงไม่กรณะแล้วไม่เกิดแล้วที่จิต ผู้ที่สำเร็จโอวาทปาติโมกข์สามนี่คือพระอรหันต์ เพราะท่านทำจิตให้ขาวรอบได้แล้ว สจิตตปริโยทปนัง
ศึกษาเพื่อให้เป็นชีวิตที่ไม่มีบาปทั้งปวงทำอย่างไรก็มีแต่กุศลให้ถึงพร้อม จะมีข้อปฏิบัติอะไรอีกก็มีแต่การถึงพร้อม มีแต่กุศลเกิด แต่บุญไม่เกิดอีกแล้ว
ข้อต้นว่า ไม่มีบาปทั้งปวง แต่ท่านไม่ตรัสว่า ข้อสองก็ว่าทำแต่บุญสิ ทำไมใช้ทำแต่กุศล
ถ้าจะหมายบุญว่าเป็นตัวตน ก็ถ้าหมดบาปแล้วก็ทำแต่บุญสิ แต่ไม่ใช่ เพราะบุญต้องหมด เป็นปุญปาปปริกขีโณ คือสิ้นบุญสิ้นบาป เป็นพระอรหันต์ ทำกิจทำกรรมอะไรก็มีแต่กุศล เพราะเหตุแห่งอกุศลหมดไปแล้ว
ถ้าไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิอธิบายคำว่าสิ้นบุญสิ้นบาปไม่ได้หรอก
จะบอกว่าคนหมดบุญคือการตาย แต่ต้องรู้ว่าคือกิเลสตาย กิเลสตายอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)ด้วยนะ
คนธรรมดาคือคนเมาโลกีย์ เมาไปกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สติไปอยู่กับเงินทองลาภยศสรรเสริญ นี่คือคนเมา
_3867อยู่กับการเมืองไทยมาทุกรบ.ยังไม่เห็นมีรบ.สมัยใดกำจัดกิเลสในตัวตนให้หมดจดได้เลย!ไม่เช่นนั้นคอรัปชั่นหมดสิ้นแผ่นดินไปนานแล้ว!จริงบ่จริงพิสูจน์ที่ผลคดีขจัดสุจริตชนฤาอุ้มทุจริตชน?
พ่อครูว่า...ในวงการศาสนาพุทธทุกวันนี้มีแต่ปฏิบัติธรรมออกนอกรีตมิจฉาทิฐิไปหมดแล้ว ต้องพูด เถรสมาคมทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะอาตมาล้มเหลวนะ แต่คนอื่นเขาก็พูดกัน ทำให้ธัมมชโยยิ่งใหญ่ได้นี้คือล้มเหลวแล้ว ยิ่งกว่าไม้หลักปักขี้โคลน
ไม่ว่าก็ไม่ได้ มีแต่เรื่องนิคคัณหะ มีแต่เรื่องต้องว่ากล่าว กำราบปราบปราม แต่ถ้าจะชม ปัคคัณหะ ก็มีแต่ต้องชมชาวอโศก เพราะสัมมาทิฏฐิอยู่ที่นี่ แล้วพูดสัจธรรมต้องอธิบาย อธิบายถูกก็เข้าตัว มันก็ชมแต่พวกมันว่าถูกว่าดี แต่มันจริงหรือเปล่า?หนอ
_5818 การนั่งสมาธินั้นมิใช่การนั่งนิ่งๆเฉย การนั่งเงียบๆเฉยๆนั้น ไม่ผิดอะไรกับก้อนหินตอไม้ เพราะวัตถุเหล่านี้ก็อยู่เงียบๆ เช่นกัน ผู้น้อยกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพ ชี้แนะการทำสมาธิที่ถูกต้อง สาธุ
พ่อครูว่า...ที่สอนที่พูดตลอดเป็นการให้ทำสมาธิที่ถูกต้อง ทั้งสิ้น ติดตามให้ดี
_จากเฟซบุ๊ค
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน อัญญาโกณฑัญญะเกิดอัญญาแล้ว
_Winai Witayalai · สาธุ ฟังธรรมพ่อครูได้ปัญญาเพิ่มขึ้นๆเสมอ
พ่อครูว่า...ปัญญาจะเกิดด้วยการปฏิบัติธรรม นอกจากคุณจะเก่ง ในการฟังธรรม ก็ทำอภิสังขารได้ เข้าใจว่าอย่างนี้เป็นกิเลสหรือ แล้วก็มีปัญญาขึ้นมาเดี๋ยวนี้มีการประหารกิเลสเก่งในปหาน 5 พอรู้กิเลสก็จัดการกิเลสได้เร็วไวทันที ปหานได้สมุจเฉทปหาน ปฏิปัสสัทธิปหาน นิสรณปหาน แม้แต่วิกขัมภนปหาน ตทังคปหานได้เดี๋ยวนี้เลย หรือกดข่มไว้ก็ตาม สรุปแล้วคุณทำปหาน5 ได้จะเกิดญาณปัญญา เพราะปัญญาจะเกิดตามปุญญะ หรือปุญญา
ตัวสัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ในการปฏิบัติธรรมตรวจสอบ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม จะมีธาตุรู้ที่เป็น อัญญา สัญญา ที่เป็นสัมมาทิฏฐิแล้วสัญญาก็จะเป็นอัญญา จนเป็นปัญญา
ผู้ที่เกิดอัญญาองค์แรกก็คืออัญญาโกณฑัญญะ โกณฑัญญะเป็นคนแรกที่เกิด อัญญธาตุในจิต เมื่อพระพุทธเจ้าเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร อนัตตลักขณสูตร โกณฑัญญะก็เกิดจิตที่เป็นอื่น เป็นโลกุตรจิต เป็นธาตุจิตตัวใหม่ที่เป็นอื่นจากโลกียธาตุ เมื่อจิตตัวใหม่นี้เกิด พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อัญญาสิ วตโพโกณทัญโญ จิตใหม่เกิดแล้ว
อาตมาขยายความเชิงเรื่องราว ว่าในศาสนาพุทธ มีพระอัญญาโกณทัญญะ เป็นคนแรกเลยที่เกิดปัญญา หรือเกิดธาตุรู้ตัวเอง ที่ไม่ใช่ธาตุรู้ของ ปุถุชน ธาตุรู้ของปุถุชนเป็นความเฉโก(เอกพจน์) เฉกะ(พหูพจน์) หรือเฉกตา(นาม) ไม่ได้มีปัญญาเลยสำหรับปุถุชน เอาปัญญาไปทำเสียหายว่าปุถุชนมีปัญญา แต่ฉลาดตัวใดก็แล้วแต่ของปุถุชนเป็นเฉโก แต่เขารู้ทันว่าเฉโกคือฉลาดแบบมีกิเลสก็เลยไม่นิยมใช้
เหมือนคำว่า เสฏฐี แปลว่า ผู้ประเสริฐ แต่กฏุมพี แปลว่าคนรวยที่ไม่ดี เขาก็เลยเรียกแต่เศรษฐีกันไม่เรียกกฎุมพี
ปัญญาก็เช่นกัน ต้องเกิดจาก องค์ 6 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ สัมมาทิฏฐิ ต้องทำใจในใจให้เกิดบุญ มีพลังงานกำจัดไฟราคะ โทสะ โมหะได้จึงจะเกิดปัญญา
ให้อาตมาไปเทศน์วัดมหาธาตุนะ แล้วเขาไม่รู้ว่าอาตมาเป็นใครเลย บอกว่าเป็นพระองค์หนึ่งรู้ธรรมะ วันแรกก็จะไปฟังกันมาก แต่วันที่สองก็จะเหลือครึ่งหนึ่ง พอวันที่ ห้า จะเหลือครึ่งคนเลย
อาตมาอธิบายธรรมะมาเกือบ 47 ปีแล้ว ยังมีพวกคุณมาฟังธรรม ตกเย็นๆมาฟังธรรม ใครรู้สึกว่ามาฟังธรรมจะได้ฟังอย่างสบายใจชอบใจ ยกมือสิ…
_Aranyar Zeman · กราบนมัสการค่ะ,, เสียงชัด และภาพก็ชัดเจนดีมากค่ะ, (ดาร์วิน,bเตรเลีย)
_จากเชวง กิจจะบรรณ์ อยากเป็นคนเหนือโลกเหมือนชาวอโศก อยากไปอยู่มากอยากหมดกิเลสอยากหมดอัตตาอยากหมดเวรครับผม
SMS วันที่ 22 สิงหาคม 2560
_4155ถูกต้องค่ะ ลุงพูดถูกแล้ว อายุมาก จะหลงลืมเก่ง หาของทั้งวันค่ะ ปรบมือรัวๆ ถูกใจค่ะ
_3867ผู้ก่อการการร้ายตะวันออกกลางถือปืนพกระเบิดพลีชีพพังโลก!โปลิศสากลตั้งข้อหาอาชญากรสงคราม!ผู้ก่อการ(บ่)ร้ายบางกอกถือขัน(ธ์)5พกน้ำปานะกู้ชาติ!ม๋าต๋าตั้งข้อหากบฎก่อการร้าย!แด่ท.แก่ไม่มีวันตายผู้กล้าหาญที่สุดในประวัติศ.การรบด้วยมือเปล่าที่โลกลือถือศีล8ชัดศีลธ.!
3867ขอส่งกำลังใจให้ลุงจำลองป้าลักษณ์มีสุขภาพแข็งแรงอยู่ปฏิบัติธ.กับพ่อครูให้ถึง150ปี เป็นขวัญกำลังใจให้มวลชนคนใช้หนี้แผ่นดินนานๆนะคุณลุงฯควันหลงพฤษภาทมิฬ35
จากเฟซบุ๊ค
_Aranyar Zeman · ชอบฟังคุณลุงจำลองพูดค่ะ สนุกและได้ความรู้ค่ะ
_Titaree Song · ดีใจได้ฟังเรื่องดี/สำคัญจากคุณลุงจำลอง..
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน วิปัสสนาความง่วง
คำถาม 600823
_ ดิฉัน เข่ง ใจแก้ว อโศกตระกูล จะกราบเรียนพ่อท่านในการปฏิบัติชีวิตประจำวัน ดิฉันได้ตื่นขึ้นมาก่อนตี2 หรือหลังตี2 ทุกวันค่ะ เพราะดิฉันก่อนนอนได้ตั้งจิตว่า พรุ่งนี้จะตื่นในเวลาตี2 เพื่อมาปอกผลไม้ขึ้นศาลาโต๊ะพระตอนเช้า และโต๊ะของทุกฐานงาน เสร็จแล้วก็ช่วยปอกให้กับร้านอาหารมังสวิรัติ(ชมร.สันติอโศก)ด้วยค่ะ
พอได้ตั้งจิตว่าจะตื่นตี2แล้วก็หลับไป พอดิฉันตื่นขึ้นมาก็มองนาฬิกาดูก่อนตี2บ้าง หลังตี2บ้างเล็กน้อยค่ะ เป็นอยู่อย่างนี้มาตลอดทุกวันค่ะ
ดิฉันกราบเรียนถามพ่อท่านว่า
ถ้าเราตั้งจิตจะตื่นเวลาที่ตั้งไว้ แล้วก็ตื่นตามเวลาที่ตั้งไว้เป็นประจำ แสดงว่าจิตของเรานั้นสั่งได้ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...อาตมาเคยฝึก ตื่นมาตีระฆังทุก ชม. ก็จะเลยหรือก่อนไปไม่เกิน 10 นาที มันก็เป็นสมถะ แต่ต้องวิปัสสนา การติดความง่วง ความหลับความนอนคือกิเลส รสชาติการติดหลับนอนคืออย่างไร คือ เมื่อรู้สึกตัวตอนตื่นนอนมันไม่ใส แล้วอยากหลับต่อ คือตัวติดง่วงนอน อยากงัวเงียอยากหลับต่อ ให้หัดอย่างนี้ ตื่นเมื่อไหร่ เปิดใจให้ใสเมื่อนั้น อย่าไปเอาตัวงัวเงีย ถ้าตื่นมามีสติเต็ม แล้วก็หลับด้วยสติ ตื่นด้วยสติใส หลับก็สติใส แต่ถ้าตื่นงัวเงีย หลับงัวเงียจะได้เรื่องอะไร
ข้อ2. อยู่มาวันหนึ่งดิฉันกำลังปอกผลไม้อยู่ ก้มหน้าเร่งปอกให้ทันหน้าร้าน ชมร.สันติอโศก พอดีพ่อท่านมาถามว่ายืนปอกมากี่ปีแล้ว ดิฉันก็ตอบพ่อท่านว่ายืนปอกมาได้15 ปีแล้วค่ะ
พ่อท่านถามแล้วก็เดินไป ดิฉันก็มาทบทวนว่าปอกผลไม้มาแล้ว15ปี ยืนปอก5-6ชั่วโมงต่อวันและปอกทุกวัน ไม่มีวันหยุดเลย ถามตัวเองว่ารู้สึกเบื่อไหม จิตบอกว่าไม่เคยเบื่อเลย แต่เหนื่อยนั้นก็มี แต่พอพักแล้วก็หายเหนื่อย เคยฟังพ่อท่านได้แต่งเพลงหนึ่ง ดิฉันฟังแล้วประทับใจมากมานานแล้ว เพลงความซ้ำซากที่ไม่น่าเบื่อหน่ายเลยทำให้ดิฉันทำงานทนได้นานๆอย่างไม่เบื่อหน่ายเลยค่ะ ตลอดเวลามาดิฉันได้ตรวจตัวเองว่าเป็นสายเจโต พอมาปฏิบัติฟังธรรมพ่อท่านแล้วก็ได้เสริมปัญญาขึ้นทุกวัน ก็ได้เอามาใช้กับชีวิตประจำวัน เวลาเจอผัสสะก็ได้เห็นกิเลส บางครั้งก็ใช้เจโตบางครั้งก็ใช้ปัญญาช่วยกันเสมอ จึงจัดการกิเลสลดลงได้
เรียนถามพ่อท่านว่า
ข้อ1. เวลาทำงานอยู่กับที่นานๆหลายชั่วโมงมีอาการจิตมีความยินดีเบิกบาน ทำงานให้เป็นกสิณ มีความอดทนที่ไม่เบื่อหน่ายเลยค่ะ ถามพ่อท่านว่าเป็นเจโตสมถะใช่ไหมคะ
ข้อ2.เวลาเจอผัสสะแล้วอ่านอาการจิตออกเป็นกิเลสตัวอะไร ใช้โยนิโสมนสิการคือปัญญาใช่ไหมคะ
แต่เวลาจับกิเลสได้ ดิฉันก็ได้ใช้ทั้งเจโตและปัญญากำจัด พ่อท่านว่าถูกต้องไหมคะ กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ
พ่อครูว่า...ถ้าปล่อยวางอย่างชินชา เป็นสมถะ แต่ถ้าอย่างคุณอยู่ปอกผลไม้ อย่างมีปัญญาเห็นประโยชน์ที่จะทำ คนก็ไม่ได้แย่งมาทำ คุณก็ทำอยู่ตลอด มีผลไม้ คนต้องกินผลไม้
แล้วเจอผัสสะ ก็เอาศัพท์ตรงๆ เจอผัสสะแล้วอ่านอาการจิตออก แล้วอ่านออกว่าเป็นตัวอะไรด้วย ถามว่า เป็นโยนิโสมนสิการ คำว่าโยนิโสมนสิการคือทำใจในใจให้ถ่องแท้ละเอียดแยบคายให้ลงไปถึงที่เกิดกิเลส ถ้าทำไม่โยนิโสคืออโยนิโส ไม่ถึงที่เกิดกิเลส แล้วคุณก็ว่าอ่านอาการกิเลสออกว่าตัวอะไร วิจัยได้ด้วย คุณได้ทำ แล้วก็ให้กิเลสมันลดได้เรียกว่าโยนิโสมนสิการ ทำถูกต้องด้วย คือปัญญาก็ได้มันเริ่มเป็นตัวญาณที่ถูกต้อง เพราะได้เรียนมา ที่อาตมาอธิบาย คุณก็จะเกิดจิตที่ออกจากกิเลสทำให้กิเลสลดได้ เกิด โยนิโสมนสิการเกิดปัญญารู้จักกิเลสทำให้กิเลสลดได้ ก็รู้ว่ากิเลสลดได้ เช่นถึงวิมุติก็รู้ เป็นวิมุติญาณทัสนะ
ก็ต้องใช้ทั้งเจโตและปัญญาจัดการกิเลสก็ถูกต้อง
คำถาม และข้อความ ใน ยูทูปช่อง สื่อธรรมะพ่อครู
_ ttee su 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา
บอกว่าเป็นพระโพทิสัต ต่อมา คงลาบน้อย เลยเป็นพระอรหันเลยดีกว่า
_sara waja สาระ วาจา 1 เดือนที่ผ่านมา
องค์แห่งมรรค ต่างจากปัญญาพละ อย่างไรครับ
พ่อครูว่า...ปัญญาพละเกิดจากการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 แล้วจะเกิดอินทรีย์ ส่วนพละเป็นกำลังแรงเป็นอันท้าย อินทรีย์มี 5 พละมี 5 ปัญญาพละอยู่ตัวปลายสุดของอินทรีย์ 5 พละ 5 มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
คุณปฏิบัติธรรมด้วยการปฏิบัติองค์แห่งมรรค แล้วมีโพชฌงค์ ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม จะเกิด ศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ วิริยินทรีย์ วิริยพละ สตินทรีย์ สติพละ สมาธินทรีย์ สมาธิพละ แล้วเป็นปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
องค์แห่งมรรคคือการบอกกระบวนการปฏิบัติธรรม ปัญญินทรีย์ เป็นตัวที่ห้าของ อินทรีย์พละ 5
อาตมาว่า ปัญญาจะเกิดต้องมีกระบวนการ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ สัมมาทิฏฐิ
_Na Ru 1 เดือนที่ผ่านมา
ที่สุดแห่งธรรมก็คือนิพพาน จะฉันเนื้อหรือไม่ฉันนั้นมิใช่ประเด็นพระพุทธโคดมเคยตรัสไว้แล้ว ตอนที่เทวทัศขอให้ภิกษุเลิกฉันเนื้อ ไม่ยึดติดคือหนทาง ฉันเพื่อบรรเทาหิว มีเนื้อไม่กี่อย่างเท่านั้นที่ห้ามฉัน บาปบุญก็เช่นกัน ถ้าวัฏสงสารนี้เปรียบเสมือนทะเลที่ต้องข้ามไป อีกฝั่งคือนิพพาน บุญเปรียบเสมือนทอง บาปเปรียบเสมือนหิน ท่านจะเอาอะไรไป ถ้าเอาบุญไปมันก็หนักแต่มีสุข ถ้าเอสบาปไปก็หนักแต่มีทุกข์ ผุ้ที่เห็นหนทางแล้ว จะไม่เอาอะไรไปเลย เพราะจะไม่กลับมาเวียนว่ายอีกแล้ว นี่คือหนทางแห่งนิพพาน
_Da Dee 2 เดือนที่ผ่านมา
ท่านครับ. นอกจาก3ภพ. ยังมีโลกอื่นอีกไหม
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าสอนว่า โลกจินตา เป็นอจินไตย คืออย่าไปคิดถึงเรื่องโลก มาเรียนรู้ดีๆ สิ่งที่จะเรียนรู้คือเรื่องโลกและอัตตา ถามมาอย่างนี้ ก็บอกว่ามีโลกอื่นมากมาย มีหลายภพชาติ
_ชีวิต ลิขิตเอง 2 เดือนที่ผ่านมา
ปัจจัตตัง เป็นเรื่องของบุคคลบอกไปก็จะแตกเป็นสองฝ่ายๆเชื่อกับฝ่ายไม่เชื่อเป็นการสร้างกรรมให้ตนเองและผู้อื่น
พ่อครูว่า…ก็ไม่ให้บอกอะไรก็เข้าโลหิจสูตร พวกนี้พระพุทธเจ้าสรุปว่า มีที่ไปคือนรก หรือเดียรฉาน ไปอ่านในโลหิจสูตร ล.9 http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=09&A=7899&Z=8548
_Mr.Sarawut Sonpimpo 2 เดือนที่ผ่านมา
หมายถึงต้องกินมังสวิรัสใช้ไหมครับถึงจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้
_ป่าน ดี 3 เดือนที่ผ่านมา
พระทีดีต้องทำตัวดี
ไม่ใส่รัายผู้อื่น
พ่อครูว่า...อาตามาไม่เคยใส่ร้ายใครเลย ไม่ได้ใส่ไคล้ปนเปเลย แต่ว่าไม่ดีนี่ว่าถูกตรง แต่อาจว่าไม่ครบด้วยซ้ำ ไม่ดีก็ว่าไม่ดี ดีนั้นมีน้อย
_ ป. ชานนท์ 5 เดือนที่ผ่านมา
สดับมาว่า พระอรหันต์นั้น ใจท่านไร้ ตัณหากิเลส มิใช่หรือ...แลเห็นแต่พฤติภายนอก แล้วหยั่งรู้ใจท่านได้ล่ะหรือ เมื่อความบริสุทธิ์จริงแท้เป็นเรื่องเฉพาะตน???
สาธุชนทั้งหลายพึงพิจารณาเถิด...ก็เหมือนดั่ง หยดน้ำบนใบบัว นั้นแล ถึงจักเห็นอยู่ว่า น้ำและใบบัวอยู่ด้วยกันทีเดียว แนบชิดสนิทกันทีเดียว แต่แท้จริง สิ่งทั้งสองกลับหาได้ติดแปดเปื้อนอันใดกันไม่ น้ำก็ยังเป็นน้ำ ใบบัวก็คงแห้งสะอ้าน...ว่าด้วยเรื่องภายนอกนั้น บางที ก็มิอาจสื่อถึงความจริงภายใน
_Apirat Salee 1 วันที่ผ่านมา
ในพระสูตรเล่ม19ข้อ900 กล่าวว่าอันตราปรินิพพายี อินทรีย์รองจากพระอรหันต์นี่ครับ รองลงมาคืออุปหัจจะ จนถึงอกนิษฐคามี พ่อครูช่วยอธิบายในพระสูตรหน่อยครับ
พ่อครูว่า...ขอสรุปๆว่า อนาคามีนี้ ฟังภาษา ว่า อนาคามี มี 5 แบบ
ห้าก็หมายถึงคุณลักษณะของพระอนาคามี 5 อย่าง ที่มีนัยยะต่างกัน
อย่างที่หนึ่ง คือ ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิจะบอกว่าพระอรหันต์ตายไปแล้วจะอยู่ในระหว่าง แล้ววิญญาณจะปรินิพพานได้ในระหว่างใดระหว่างหนึ่ง
อุปหัจจปรินิพพายีต้องช่วยเหลือตัวเองบ้างถึงปรินิพพานได้
สสังขารปรินิพพายี ก็ต้องปรุงแต่ง ต้องพยายามมากหน่อยถึงปรินิพพานได้
อสังขารปรินิพพายี คือไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากก็ปรินิพพานได้
อกนิษฐคามีคือไม่เป็นสองรองใคร ใกล้ปรินิพพานแล้ว
ถ้าคุณถึงสภาวะอนาคามีแล้วก็ค่อยมาคุยกัน ตอนนี้หมดเวลาแล้ว
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:51:22 )
รายละเอียด
600825_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตำนานสิริอัญญาจนถึงปุญญะ
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2560 ที่บ้านราชฯ วันนี้ถือว่า เป็นวันสำคัญของประวัติศาสตร์ประเทศไทย เป็นวันที่ทุกคนรอ หลายคนลุ้น บางคนโล่ง บางคนลา(แล้วประเทศไทย) ตอนนี้นักข่าวก็แคะคุยกันว่า เคยเห็นหน้าอดีตนายกรัฐมนตรีครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มีแต่เห็นทาง facebook หลายวันแล้ว ตอนนี้คงไปไกลแล้ว เดากันใหญ่ว่าไปอยู่ประเทศไหน มีข่าวว่ารัฐมนตรีติดคุก 40 ปี 30 กว่าปี คงจะพอรู้แกวก็เลยไปก่อน
ถ้าใครเคยฟัง อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข นายรักเกียรติ สุทธนะ ช่วงชีวิตที่เขาทุกข์ทรมานที่สุดคือช่วงที่ต้องหนี เคยคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่ช่วงที่ถูกตำรวจจับได้ตอนนั้นแหละคือโล่งเลย ตอนอยู่ในคุกได้อ่านหนังสือธรรมะจิตใจกลับดีมากเลย ไม่รู้ว่าคนหนีกับคนถูกจับติดคุก คนไหนสบายใจกว่า
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนพาล เมื่อทำบาปอยู่ เขาย่อมเห็นว่าเป็นรสหวาน สนุกสนานเพลิดเพลินมาก เมื่อได้เงินทองมามาก แต่ที่สุดบาปก็ย่อมแสดงผล เขาไม่ได้ฟังสัทธรรมไม่ได้อบรมมีความรู้ เขาก็ยินดีในการได้ทำบาปนั้น
อาตมาก็เริ่มเป็นห่วงว่า ชาวชุมชนของเรา อยู่ที่นี่หลายร้อยคน แต่ขาประจำที่มาฟังธรรมมะยังไม่มีมากเท่าไหร่ หายไปเกินครึ่งหนึ่งเลย ไปตกในที่ไหน แต่ว่า เมื่อพวกเราไม่ค่อยได้มาฟังธรรมะ จิตใจจะไปอย่างไร น่าเป็นห่วงมาก เพราะไม่ได้รับการอบรม ศรัทธาจะลดลงไป การทำจิตแยบคายก็จะไม่เป็น
ส่วนใหญ่คนทำบาปนี้ เป็นการสะสมอารมณ์ ก็เกิดอารมณ์ชั่ววูบ เคยเห็น พนักงานดีเด่น ไปไขกุญแจเอาเงินจากธนาคารมา ทั้งที่เขาน่าจะรู้ว่ามีกล้องวงจรปิดจับภาพอยู่ แต่ไปมีแฟนแล้วติดอบายมุข ก็เลยคิดอะไรง่ายๆหาทางออกอะไรง่ายๆ เพราะว่า เขาไม่ได้สั่งสม หิริโอตตัปปะ ไม่ได้สำนึกเกรงกลัวต่อบาป
ได้ข้อคิดอย่างหนึ่งแม้แต่พวกเราที่อยู่ในนี้ก็ไม่ได้มาฟังธรรม จะอยู่ในรัศมีของโลกุตระหรือเปล่านะ หรือหลุดไปในอบายภูมิแล้ว
ทุกวันนี้พวกที่อยากจะอยู่วัดใจจะขาดคือพวกสุนัขทั้งหลาย แต่จับกันแต่ละทียากมากนะ เขาจะสู้สุดฤทธิ์เลย แต่เขาไม่มีคุณสมบัติ เรามาอยู่กันแล้วมากัดกันทําร้ายร่าง พวกเราไม่มีการนิยมความรุนแรงขนาดนี้ แล้วยังกัดกันจนตายเลย แล้วยังกัดสิกขมาตุด้วย นี่ยิ่งบาปกว่าเก่า ด้วยคุณสมบัติทั้งปวง อย่างนี้ถึงจะอยากอยู่อย่างไรก็อยู่ไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนไม่มีศีลก็มีวิบากเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ดูอะไรดีหมดแต่ก็ยังอดไม่ได้
พ่อครูเคยเขียนบทกวีไว้ว่า ที่ได้ชื่ออย่างนี้เพราะแต่ละคนกำหนดกรรมของตัวเขาเอง ทุกขณะเวลาทุกคนกำลังสร้างกรรม ที่จะนำพาตัวเองไปสู่ทิศทางใด
เมื่อกี้นี้เพิ่งประชุมสมณะไป ว่าเราโชคดีนะที่มีพ่อครูอยู่ มาเปิดเผยสัจธรรม ไม่ใช่แค่ปริยัติ และเป็นตัวอย่างให้เราดู อย่างเราไปอ่าน องค์คุณอุเบกขา แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อย่างไร
ตอนนี้พี่น้องเราที่ไม่ค่อยฟังธรรมจะไปอยู่ในภพภูมิไหน ก็ไม่รู้
พ่อครูว่า…ก็โอภาปราศรัยกับผู้ที่ sms มาก่อนก็แล้วกัน
SMS วันที่ 23 สิงหาคม 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
_1614ตอนเป็นเด็ก เจอความทุกข์เมื่อไหร่ ก็แค่นั่งลงแล้วร้องไห้ดังๆ ต่างกับตอนโต.. ความทุกข์เข้ามา ยังต้องยิ้มแล้วบอกว่า.."ไม่เป็นไร"/สาระอัปแดท
พ่อครูว่า...ลึกๆ คนเรามีการเสแสร้ง แม้ว่ารู้ว่าเราทุกข์ แต่ก็ยิ้มไว้ก่อน จนสุดทน ทนไม่ไหวก็ต้องปล่อยออกมา ขนาดนั้นก็ยังคิดว่าทางรอดก็ยังมีอยู่ จนวินาทีสุดท้าย
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน เด็กต่ำกว่า 7 ขวบ ควรบวชเณรหรือไม่
_4155เด็ก4 ขวบ บวชเณรได้มั้ยคะ( ดูจากรายการ คน ค้น คนค่ะ วัดนั้นบวชเณรเด็กอายุ4ขวบ)
พ่อครูว่า…อาตมาว่า เจตนาเอาเด็กมาบวชก็จะได้ทรัพย์สินเงินทองความเคารพนับถือ จริงๆแล้วอาตมารู้ดีว่า ผู้เอามาบวชนั้นไม่สามารถสอนให้เด็กเป็นอริยะได้หรอก รู้แสนรู้ดี แต่มันพ่วงโลกธรรม พ่วงลาภ ยศ สรรเสริญ อะไรไป นี่ทำให้ศาสนาเสื่อม ก็คงไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตมากมาย ตอบตอนนี้ว่าไม่ควรทำเลย 7 ขวบขึ้นไปก็ค่อยว่ากัน ถ้า 7 ขวบ มีก็ต้องชัดเจนว่า มีอะไรเหนือกว่าธรรมดา แสดงออกอย่างชัดเจนเลย คนที่มีความเหนือ อุตริ เหนือธรรมดาสามัญของคนโลกๆ แสดงว่าแตกต่าง มันไม่เหมือนหรอก อย่างอาตมาตอนเด็กหรือตอนหนุ่มก็ไม่ได้แสดงออกโลกุตระ ไม่มีอะไรบอกลางเค้าอะไร แต่มาสืบสาวราวเรื่องก็จะพบชื่อ เรื่องราวมันมีอยู่ แต่จะแสดงท่าทีเด่นเหมือนผู้มี talent พรสวรรค์ เด่นทางโลกีย์ก็ตาม อาตมาไม่มีเลย แต่มันก็ตอบไม่ได้ แล้วก็เป็นไปได้ โดยยากอยู่
_8498ปีหน้าเลขสวยครับ 48 กับ 84 48 ปีของเพศบรรพชิต 84 ปี ของอายุร่างกาย กราบนมัสการครับ _48 84. เป็นเลขกำลังใจที่ลูกๆจะสัมประสิทธิถวายพ่อครูครับผม
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน พุทธเป็นศาสนาแห่งกรรม ไม่ใช่ศาสนาแห่งGod
_7504คนทำผิดกี่คนไม่รู้สำนึก คนสำนึกดีหรือคนดีที่มีอำนาจบริหารปททคงไม่เกรงกลัวภัยพาลพวกโกงฯคนไทยดูเวรกรรมอยู่
พ่อครูว่า…คนเรามีไม่เชื่อศาสนาพระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรมวิบากมันมีจริง วิบากจะต้องมาเล่นงานกลับไปกลับมา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ กรรมเป็นสำคัญ ไม่ใช่God ไม่ใช่พระเจ้า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งกรรม กรรมนี้เป็นเรื่องของตนเอง God นี้ ไม่มีใครเคยเห็นหน้า God มีแต่มโนมยอัตตาของศาสดาที่ว่าได้พบพระเจ้า เป็นของตัวคนเดียว แล้วอธิบายว่ามีพระเจ้าและมีพระบุตร สายเทวนิยมที่มีผู้รู้และมีพระเจ้า นอกนั้นไม่มีสิทธิ์ จะเป็นผู้ประกาศได้คนเดียว รับธรรมะของพระเจ้ามาขยายได้คนเดียว คนอื่นมีแต่รับฟังไม่มีสิทธิ์จะมาเป็นพระบุตร ซึ่งต่างกันกับของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธทุกคนเป็นศาสดาได้ เราไม่ต้องเป็นถึงพระเจ้าหรอก เป็นพระบุตรก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวของพระเจ้า มาประกาศมาทำแทนพระเจ้า
แต่ศาสนาพุทธไม่เน้นทางอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ จึงไม่เอาอันนั้นเป็นเรื่องราว เน้นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ต่างกันมากเลยนะ อนุสาสนีปาฏิหาริย์กับ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ที่เป็นเรื่องลึกลับไสยศาสตร์วิชา เป็นเรื่องที่ทำได้แต่อธิบายไม่ได้ แล้วก็ทำได้เป็นบางคน น้อยคนไม่ทั่วไปไม่ใช่สามัญ โดยเฉพาะไม่ใช่เรื่องรู้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่ใช่เรื่องที่สอนให้คนพ้นทุกข์ สอนให้คนเป็นคนดี สอนให้คนเป็นคนมีประโยชน์สร้างสรรค์แก่คนอื่น เขาจะสอนให้เป็นคนวิเศษ ใช้อำนาจ วิเศษมีบริวาร แม้จะมีการช่วยเหลือเกื้อกูลมีเมตตาซ้อน แต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ใช้ฤทธิ์เดชของ ศาสดา
แต่ในศาสนาอื่น ถ้าฟังก็คือ ให้ปฏิบัติตามที่พูด ไม่ใช่ให้เอาไปคิดแล้วปฏิบัติจะได้บรรลุ แต่ให้ทำตามนี้แล้วจะได้ดี จะอะไรก็แล้วแต่ที่มนุษย์โลกียปรารถนาจะได้
ประเด็นของศาสนาเทวนิยม กับอเทวนิยมของพระเจ้า ประเด็นหลักก็คือ อยู่ที่คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นสอนแล้วทำจิตในจิต มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ อะไรเกิดในปัจจุบัน มีทั้งสมมุติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ ร่วมรับรู้กับคนอื่นได้ด้วย ไม่ใช่เห็นแต่คนเดียวเป็นเอกคนเดียว รู้คนเดียวกับพระเจ้าเท่านั้นไม่ใช่ ศาสนาพุทธไม่พูดถึงพระเจ้าเลย แต่มีพลังพิเศษอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ไม่เอามาใช้ด้วย มีอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ด้วย อาตมาก็ยังเผลอไปเล่นตั้ง 8 ปี ตอนเป็นฆราวาส มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร มันซ้อน ไม่ใช่เรื่องที่เป็นสัจจะโดยตรง ที่จะทำให้คนนี้เป็นคนดี เสียสละมีประโยชน์คุณค่าเป็นคนมีเมตตาจริงๆ ไม่มีอะไร ซ่อนแฝงเลย ไม่เบ่งอำนาจ ไม่ยึดอำนาจ รับใช้ผู้อื่น
เป็นเรื่องที่ถ้าถือว่าสุดยอด มันเป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าได้สุดยอดเลยสำหรับมนุษย์ที่จะ พึงเป็นพึงมี แล้วมีภาวะซับซ้อนที่ว่า ผู้ที่สูงหน่อยจะได้รับการบริการยกย่องเชิดชู ก็มีซ้อน อาตมาก็ได้รับการยกไว้ เคารพนับถือซับซ้อน แล้วเราไม่เบ่งไม่เอาเป็นสิ่งเหนือชั้น ถ้าเราสามารถมีเวลาโอกาสทำได้โดยไม่ต้องให้คนอื่นทำหรอกตัวเราเองก็จะทำได้ เราจริงใจ ไม่มีศักดินา จริง ละเอียดสุดเลย เป็นเรื่องที่ต้องยืนยันไม่เกิดให้มี
_3867โลกพุทธศ.มีหลากหลายนิกายมีทะไลลามะมีติชนัชฮันห์มีหลวงปูทวดมีพุทธทาสมีพระฤษีลิงดำมีมีสมเด็จปอ.ปยุตโตมีว.วชิระเมธีแล้วโลกจะมีสมณะโพธิรักษ์บ้างไม่ได้ฤา?พุทธกินผักอโศกนับถือพระทุกองค์ที่เคร่งจริยวัตรครัดพระธ.วินัยถูกตรงคำสอนแท้จริง!
_3867ลุงจำลองวัยหนุ่มเป็นท.นักรบสงครามเวียดนาม!วัยกลางคนเป็นนักรบกู้ชาติ!สูงวัยเป็นนักรบพิชิตโรคภัยด้วยศีล8-1มื้อคงเป็นนักรบโลกุตระธ.คนเดียวในหมู่อโศก รบตั้งแต่เด็กยันแก่!พ่อครูว่าใช่สัตตบุรุษตัวจริงที่หายากในวงการเมืองไทยไหม?
ถ้ารัฐลุงตู่เขียวเหมือนรัฐป๋าเปรม!คืนความสุขให้ปชช.ในชาติ!ปวงชนชาวไทยคงแฮปปี้เอนดิ้ง!
พ่อครูว่า…คุณจำลองเป็นผู้ที่ได้ให้หยาดน้ำใจทองคำ จากที่อาตมาได้ให้ป้า คือภรรยาลุงหมอ ที่เป็นลุงแท้ๆ ป้าเป็นป้าสะใภ้ เลี้ยงอาตมาตั้งแต่เด็กจนท่านอายุ 80 กว่า อาตมาก็ได้ให้เป็นคนแรก หยาดน้ำใจทองคำ
ส่วนผู้อื่นก็มีคุณจำลองที่อาตมาได้ให้ หยาดน้ำใจทองคำ ก็มีญาติโยมทำมาให้ตอนฉลองอายุ 72 ปี เขาทำมาให้ 72 อัน เป็นทองคำ ให้คนที่ 1 2 3 4 ตอนนี้ให้ไปไม่ถึง 10 อันให้ไปก็ไม่ขอกล่าวชื่อในที่นี้ ที่อาตมาให้ ให้ด้วยใจจริง ให้ด้วยใจที่เคารพนับถือคุณค่า เป็นคนมีประโยชน์สังคมประเทศชาติอย่างแท้จริง หรือแม้แต่อย่างป้า เป็นประโยชน์ต่ออาตมาโดยตรงส่วนตัว หรือคุณจำลอง เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ อาตมาก็ให้คนอื่นต่อไป ก็ไม่ขอกล่าวนาม เดี๋ยวก็จะดูลำเอียง บางคนก็ไม่ควรกล่าวแม้จะได้ไปแล้ว เพราะว่าต้องระมัดระวังในสังคมหลายอย่าง แต่แสดงออกของความจริงใจเป็นน้ำใจ อาตมา เทิดทูนบูชายกย่อง จึงให้หยาดน้ำใจทองคำ พวกคุณก็ได้แต่หยาดน้ำใจเงิน อย่างดีก็มีหยาดน้ำใจพรายทอง ได้กัน อย่างสมณะนี่ได้หยาดน้ำใจเงิน สิกขมาตุ ฆราวาสหลายคนก็ได้หยาดน้ำใจเงินที่มีพรายทอง
สิ่งที่ให้นี้ไม่ได้หมายความว่า อาตมาอยากได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือแบบประชานิยมทุนนิยม เป็นการให้เพื่อบอกสิ่งหนึ่งของตนเอง ฆราวาสเขาทำให้ เพื่อยกย่องเชิดชูบูชา ทองคำ หยาดน้ำใจหนักเกือบหนึ่งบาท ไม่มีอะไรแอบแฝง
ป๋าเปรมเป็นรัฐบุรุษ เป็นผู้ที่น่านับถือยกย่อง ซื่อสัตย์จริงใจ ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ อายุยาวกว่าใคร เป็นป๋าเลย แม้แต่พลเอกประยุทธ์ ก็ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติแต่ก็มีเวลาทำต่อไปอีกนาน อาตมาว่าทำแล้วมีคุณค่าประโยชน์ เหมือนกับป๋าเปรม แต่มีนัยยะที่ต่างไป คือทำได้รอบเร็ว ป๋าเปรมทำในแนวเจโตสายศรัทธา ส่วนพลเอกประยุทธ์ เป็นสายปัญญา สายปัญญาที่มีเจโต เพียงพอ สมกับยุค กล้าหาญเด็ดเดี่ยวจริงจัง ไม่ได้หนุงหนิงอะไรหรอก ซึ่งเป็นลักษณะที่ อาตมาก็อธิบายไม่เก่งหรอก
สมณะเดินดินว่า...ตอนนั้นผมเองเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ อารมณ์ของนักศึกษา ก็จะไม่นิยมป๋าเปรม เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ ก็เพราะได้รับข้อเขียนที่ต่อต้านหลายอย่างจากม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ส่วนพลเอกประยุทธ์ ก็คงมีคนที่ไม่เข้าใจท่านอยู่
พ่อครูว่า...สำหรับคนอย่างคึกฤทธิ์ อาตมาบอกตรงๆเลยว่าหลายอย่างอาตมาไม่ชอบ แม้ในการบริหาร ก็เลยไม่ค่อยจะ มีอะไรหลายอย่างที่ของท่าน โดยเฉพาะอาตมาบอกโดยไม่ได้มีอคติ คือยังเป็นคนมีอะไรแฝงโลกีย์เยอะ มีอะไรแรงๆ(หยาบ) อะไรหลายๆอย่างซ้อน แม้แต่ในเชิงโลกีย์ ซับซ้อน ทางลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข ซ้อนทางกาม ที่พูดนี้ เป็นการศึกษาวิชาการไม่ได้พูดลบหลู่ เป็นตัวอย่างที่เราจะได้เรียนรู้เหมือนชาดก เป็นเรื่องที่คนเราในโลกนี้ ยุคนี้หรือยุคไหนก็ตาม จะมีคนที่ใช้ความซับซ้อนเชิงโลกีย์หลอก เหมือนยิ่งลักษณ์ ทักษิณ โชว์สิ่งดีๆ ให้คนตายใจหลงเชื่อ แต่ลึกๆแล้วล้วงตับกินไส้ หลายชั้น คนฉลาดโลกีย์เฉโก จะเป็นเช่นนี้ มันมีกิเลสเป็นตัวตั้ง อาตมาศึกษามาในศาสนา รู้ต้นทางหรือสัจจะพวกนี้ อย่างที่คิดว่ามั่นใจ ก็เลยพูดไว้ ให้ศึกษา ให้เป็นตัวอย่างเป็นประโยชน์ก็ต้องขอบคุณ หม่อมคึกฤทธิ์ ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ เราก็ขอบคุณที่เป็นตัวอย่าง เขาอาจไม่ได้เจตนาเสียสละ แต่พูดให้ค่าว่าเสียสละ
SMS จากเฟซบุ๊ค
_กะซาง หัว มันแหล่ว · ….ธรรมะขั้นอริยะ สาธุ!
_มิตร ชัยวัฒน์ นามเสนา · โทรทัศน์เสียเลยต้องดูทางเฟสฯ กราบนมัสการครับพ่อครูท่านสมนะและสิขมาตุผมปฎิบัติธรรมตามแนวอโศกถือศิล 5 อย่างจริงจัง ทานมังสวิรัติด้วยครับ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ตอบ อ.ไพศาล ถาม สมาธิพุทธคืออะไร
_ส.บินก้าว มีคำถาม จาก อาจารย์ไพศาล พืชมงคล เมื่อพฤ 24 สิงหาคม 2560
“ฟังพ่อท่านมาเดือนกว่า มีความเข้าใจดังสรุปดังที่ว่านี้ถูกไหมพระคุณเจ้า การทำสมาธิคืออะไร
คือ การทำจิตให้ตั้งมั่น(สมาหิโต)
คือ การทำจิตให้บริสุทธิ์เป็นอิสระจากจากกิเลสและอาสวะ(ปาริสุทโธ)
คือ การทำให้จิตมีความสามารถพร้อมที่จะทำหน้าที่สำคัญที่สุดของจิต
คือ การสลัดออกจากความติดยึดทั้งปวง(กัมมนิโย) จิตที่ครบองค์สามนี้ได้ชื่อว่าสัมมาสมาธิ
พ่อครูว่า...ก็คือ หนึ่งสมาหิโต แปลว่า ความตั้งมั่นแข็งแรง เป็นเจโต บรรลุเจโตวิมุติ ปริสุทโธ เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ ก็หมายความว่า เป็นเชิงปัญญา แต่อาจสลับกัน ปริสุทโธคือจิตตั้งมั่น ส่วนบริสุทธิ์สะอาดจากอาสวะ สายพุทธต้องเรียกปัญญา
ส่วนอันที่สาม กัมมนิโย อาตมาว่าถ้าใช้กัมมัญญตาจะชัดกว่ากัมมนิโย คือภาคปฏิบัติ หากได้ผลเป็นพละจึงจะเป็น กัมมัญญตา
องค์สามเส้าที่พูดนี้ถูก
ทีนี้แจกแจงรายละเอียดต่ออีกว่า
(อริยมรรคองค์ 1-6 เป็นบาทฐานที่ทำให้จิตอบรมครบองค์สามเป็นสัมมาสติ เหตุนี้สัมมาสติจึงเป็นบาทฐานของสัมมาสมาธิและสัมมาสมาธิจึงเป็นบาทฐานของวิมุตติ)
พ่อครูว่า...ถูกต้องนี่คือความลึกซึ้งหมุนรอบเชิงซ้อน คัมภีราวภาโส หมายความว่า เป็นแสงรังสีความซับซ้อนที่หมุนรอบในวง เหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์ หมุนวน ปฏิสัมพัทธ์กัน อย่างลึกซึ้ง
แบบแผนในการทำสมาธินั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ 36 แบบคือ กสิณวิธี 10 อสุภะสัญญา 10 อนุสติ 10 อัปมัญญา 4 จตุธาตุวะวัตถาน 1 และอาหาเรปฏิกูลสัญญาอีก 1
ใครถูกอัชฌาสัยแบบไหนก็ใช้แบบนั้น...
ถูกไหมครับ ???
พ่อครูว่า...อรรถกาจารย์เก็บมาเป็นกสิณ 40 อันนี้ที่ให้มานี้ ขาด ดินน้ำไฟลม ก็เป็น 40 อาตมาไม่เคยพบ กสิณ 36 ก็ไม่เคยพบ ในพระไตรปิฎก สมัยนี้กดดู ฉบับสยามรัฐ ก็อ่านได้ ก็จะเจอแต่กสิณ 10 ในภาควินัยก็มีกสิณ 10 เล่ม 24 นี้ก็กสิณ 10 ข้อ 25 เล่ม 11 ข้อ 358 ก็กสิณายตนะ 10 อย่างเหมือนกันก็เจอแต่กสิณ10
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน คัดเลือกพันธุ์แห่งอัญญาด้วยปุญญะ
ก็ขยายความคำว่ากสิณ
กสิณ คืออะไร กสิณ นี้คือ สิ่งที่ใช้เป็นเครื่องเกาะ ให้จิตเกาะ เพื่อที่จะใช้ให้มีจิตเป็นหนึ่งรวมอยู่กับที่ เป็นหลัก เมื่อได้สิ่งนี้เป็นหลักก็ไม่ ซัดส่าย ไม่กระจาย ทิ้งไป ก็จะเหมือนมีหลัก มีที่เก็บ มีที่ช่วย เหมือนกับหลักของ พลังงานภายในโลก จะมีบวก กสิณนี้เหมือนบวก หลัก แล้วสิ่งที่ทำเหมือนลบ เป็นกระแส ก็มีตั้งแต่พลังงานอุตุนิยาม พีชนิยาม ยิ่งจิตนิยามก็ยิ่งต้องใช้ อย่างอาตมาเอาหลักฟิสิกส์ นิวเคลียร์ฟิชชันฟิวชันมาใช้ จะเห็นได้ว่าเป็นอย่างนั้น แต่อันนี้ เป็นพลังงานของจิตที่มีธาตุรู้กำกับ แต่ลักษณะของมัน เอามาใช้อธิบายเป็นพลังงานเหมือนกัน แต่ซับซ้อนที่มีจิตเป็นเจ้าเรือน ก็จัดการ
ผู้จัดการพลังงานสองนี้ได้ บวกกับลบ เจโตกับปัญญา จึงจะเกิดความสมบูรณ์แบบ ต้องมีพลังงาน 2 พระพุทธเจ้าถึงรวมที่ทำมา 2 แล้วจัดการพลังงงานสองนี้ล้างสิ่งไม่ดีออก ให้เหลือแต่สิ่งที่ดี พลังงานที่มีต้นทุนอยู่ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พลังงานกลางที่มีประสิทธิภาพในการทำลายล้าง เรียกว่าปุญญะ ตัวนี้เป็นพลังงานยิ่งใหญ่มากในศาสนาพุทธ คำว่าบุญ ในบาลีว่าปุญญะ เป็นพลังงานเกิดจากเหตุปัจจัยเป็นโลกุตระ บุญไม่มีหน้าที่สะสมเลย มีหน้าที่ทำลายอย่างเดียว ซึ่งวิเศษที่สุด ขออภัย ถ้าอาตมาจะกล่าวว่า ถ้าอาตมาไม่อุบัติในยุคนี้ คำว่าบุญจะผิดเพี้ยนมิจฉาทิฐิไปตลอด แล้วศาสนาพุทธจะเสื่อม เร็วกว่า 5000 ปีแน่นอน
คนมีปฏิภาณฟังดีๆ ถ้าอาตมาไม่มาเปิดเผย บุญ หรือปุญญะของพุทธ ปุญญะเป็นเอกังเสนะ หมายความว่า เป็นลักษณะหนึ่งเดียวถ่ายเดียวส่วนเดียว ไม่มีอะไรเป็น 2 เลย ยืนยัน บุญมีหน้าที่ใช้พลังงานอย่างเดียว คือทำลายกิเลสในจิต แล้วจิตพาให้เกิด ถ้าไม่มีจิต บุญไม่เกิด บุญเกิดได้เพราะจิต นอกจิตไม่มี ไม่เกิดที่ใด แล้วผู้ที่สามารถทำการสร้าง อภิสังขาร เรียกโดยภาษาวิชาการ ว่า อภิสังขาร ปรับแต่ง create ไม่ใช่แค่ design สร้างขึ้นมาเลย สร้างพลังงานอันนี้ขึ้นมาได้ จะเรียกว่าฌาน ก็ในภาคสั่งสม ฌานหรือไฟ จนสามารถสมบูรณ์แบบ ทำลายกิเลสได้หมด เมื่อทำลายกิเลสเกลี้ยงหมด บุญก็สลายไปพร้อมกับความเป็นจริงของกิเลส อกุศลจิต มันสูญหายไม่เกิด บุญก็หายไปไม่มีอีกเลย จะมีก็เกิดเพราะกิเลสอื่นของเรา เป็นของๆตน บุญ จะเอาไปแบ่งใครไม่ได้เลย มีแต่สอนให้ไปสร้างพลังงานบุญนี้ให้เกิดในตน
ที่สำคัญคือบุญเป็นวิบัติ ถ้าอาตมาไม่เกิดมาบอก คุณจะไม่รู้เลยว่าบุญเป็นวิบัติ และเอกังเสนะ บุญไม่ใช่สมบัติ ไม่ใช่กุศล กุศลเป็นสมบัติสั่งสมได้แล้วอาศัย บุญไม่ใช่เครื่องอาศัย บุญเป็นอาวุธทำลายอย่างเดียว ของตนเองก็อาศัยฆ่ากิเลสตัวเอง ยิ่งคนอื่นก็ทำให้ไม่ได้ บุญไม่มีพลังงานไปมีฤทธิ์กระทบแผ้วพาลใครได้ บุญเป็นของตนคนเดียว บุญนี้คือพลังงานวิเศษจริงที่สร้างขึ้นได้
ใครที่ไม่เข้าใจได้ละเอียดอย่างนี้ โดยเป็นปัญญา เป็นความรู้ที่เกิดจาก อัญญะ อัญญา เกิดจากความรู้ที่เป็นโลกุตระ ถ่ายเดียว อันอื่นศาสตร์อื่นไม่มี แต่พุทธศาสตร์เท่านั้นที่จะมีความเฉลียวฉลาด นอกโลกีย์ อัญญะ อันอื่นจากโลกีย์ ซึ่งเป็นพลังงานหน่วยแรกที่เป็นโลกุตระ หน่วยแรกของอัญญาโกณทัญญะ ที่เกิดก่อน
แล้วถ้าอาตมาไม่มาบอก ก็ไม่รู้ถึงตำนานอัญญานี้ได้หรอก พอเริ่มต้นพระพุทธเจ้าประกาศศาสนาก็มีคนรับได้ปุ๊บเลยห้าคน จากห้าคนมีคนเดียวเท่านั้นก่อนเพื่อนคือ โกณฑัญญะ ท่านก็ว่าโอ้ โกณฑัญญะเกิดแล้ว เป็นพลังงานที่เล็กละเอียดควรจะต้องมีญาณที่รู้ ว่า พลังงานนี้พิเศษอย่างไร แตกต่างจากอะไรทุกอย่างในโลก แตกต่างจากอะไรต่างๆทุกอย่างในโลก จึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเข้าใจ
เข้าใจให้ลึกซึ้งเพราะว่าบุญคืออะไร ก็เป็นพลังงาน มีฤทธิ์แรง เป็นพลังงานไฟ อุณหธาตุ เตโชธาตุที่สลาย ราคะ โทสะ โมหะ เท่านั้น นอกจากราคะ โทสะ โมหะ บุญไม่ไปข้องแวะ ไม่เบียดเบียนไม่ทำให้อื่นระคาย เป็นพลังงานไฟจริง แต่ไม่ไประคายอันอื่นเลย นอกจาก ราคะ โทสะ โมหะ ที่ความเฉลียวฉลาดจาก อัญญา ปัญญา คม ชัด ลึก แม่น ตรง จริง เป็นพลังงานที่เฟ้นเลือก ตรง คม ชัด ลึกแม่นจริง ไม่ไปแผ้วพาลอื่นเลย ไม่ว่าดีหรือชั่ว เอาชั่วตัวเดียวที่ต้องทำนี่แหละ บุญนี่ มีประสิทธิภาพที่สุดยอดขนาดนั้น
ในพลังงานทางฟิสิกส์ ไอน์สไตน์ค้นพบพลังงานนิวเคลียร์ ที่เป็นพลังงานสูงสุด ทุกวันนี้ที่เอามาใช้ก็สูงกว่าที่ไอน์สไตน์ค้นพบ ก็มีคนเอามาใช้เยอะแยะมากมาย อย่างเช่นคอมพิวเตอร์มีความเล็กละเอียดที่เอามาใช้ในทางสร้างสรรไม่ได้ใช้ในทางทำลาย นัยยะเดียวกัน พลังงานปัญญา ที่เป็นปัญญา ไม่ใช่ทางฟิสิกส์ทางจิต เพราะฉะนั้น ผู้ที่จิตวิญญาณ ที่สามารถจะ Create สร้าง พลังงานนี้ขึ้นมาได้ พลังงานของบุญขึ้นมาได้ ตั้งแต่รากฐาน ตั้งแต่ เซลล์จิตนิยามแรก Primary cell ตั้งแต่พีชนิยาม ทำองค์ประกอบเหตุปัจจัยที่พูดด้วยภาษาไม่ได้ มันเล็กกว่าอากาศอีก ไม่รู้กี่เศษอากาศ จะเรียกเป็นแก๊ส ทางฟิสิกส์ก็มีแก๊สต่างๆ แต่นี่มันละเอียดกว่านั้น แบบมีนัยยะเป็นธาตุรู้ของเชิงปัญญา ไม่ใช่เจโต ฟิสิกส์มีใช้ทางพลังงานเจโต อาศัย ไบโอโลจี เป็นชีววิทยาบ้าง ก็เป็นวัตถุ
ถ้าอาตมาจะออกไปทำงานแค่นักเกษตรกรรม อาตมาก็จะ breed พืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่จริงไม่น่าจะใช้คำว่า Create แต่น่าจะสร้างด้วยการ Breed เพราะ Create เป็นภาษาทางอุตุนิยาม แต่ breed เป็นการสร้างให้แตกต่างเป็นตระกูลพันธุ์ใหม่ breed พันธุ์ใหม่ มันแยกพันธุ์ออกมาได้อย่างดี
ปัญญาหรือทางพุทธศาสตร์ จึง breed ออกมาเป็นพันธุ์ใหม่ ต้นรากเรียกว่า อัญญะ ในเรื่องบุญหรือปัญญา อัญญานี้ก็ค่อยเป็นไป
อย่างคุณไพศาล ใช้นามปากกาว่า สิริอัญญา คุณไพศาล เป็น สิริอัญญาจริง เป็นฆราวาส เป็นผู้ที่มีทุนทางสังคม อยู่ในวงการ รัฐศาสตร์การเมืองทางศาสนา นิติศาสตร์ ก็สารพัดรู้ มีความรอบรู้ เฉลียวฉลาดทางสังคมในระดับ เหนือกว่าโพธิรักษ์โพธิรักษ์มากมายเลย แต่มีอัญญธาตุนี้ แล้วเป็นคนเปิดตัวว่ายอมรับนับถือโพธิรักษ์ กล้าเปิดเผย ยอมรับโพธิรักษ์ว่าเป็นอาริยะ ยอมเรียกว่าเป็นอาริยะ คนแรกและยังไม่มีคนที่สองเลย ที่จะออกประกาศต่อสาธารณะอย่างเปิดเผย
สมณะเดินดินว่า..แสดงว่าเป็นสิริอัญญาตัวจริง
พ่อครูว่า...เพราะว่ามีอัญญธาตุ ในตัวคุณไพศาลจริงจึงสามารถยอมรับนับถือโพธิรักษ์ และยอมที่จะเปิดเผยตัวต่อสาธารณะ ยอมรับว่านี่คือพระอาริยะ
ทุกวันนี้คนก็อาจดูว่าดี แต่ไม่กล้าเปิดเผย แต่หลายคนก็ว่าดีหรือ บ้าๆบอๆหรือเปล่า จะเยอะ
_จาก..ลูกหนอนใต้ต้นโพธิ์
กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพสูงสุดค่ะ ขอรายงานผลการฟังธรรมแล้วนำไปปฏิบัติค่ะ
การรู้อาการ ตามเห็นอาการเมื่อมีผัสสะมากระทบ เป็นหน้าที่ของอาริยชนที่พึงปฏิบัติทุกขณะจิตปัจจุบัน
เมื่อมีผัสสะจาก ตา หู จมูก ลิ้น กายแล้วมีอารมณ์เกิดอาการ อย่างไร ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ ที่เราจะสามารถจับอาการเวทนาเหล่านี้ได้ทันจนสามารถควบคุมกรรม 3 ที่จะแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ลูกจับเวทนามีมากระทบกับขันธ์ 5 ดังนี้ค่ะ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน มีนามและรูป ที่ให้ได้ศึกษาเรียนรู้ รูป 28 นาม 5 เมื่อเจอผัสสะในปัจจุบันธรรมต้องเกิดญาน หรือตัวรู้ เห็นจริงตามความเป็นจริง มีโยนิโสมนสิการ มีธัมมวิจัย สามารถทำฌานเพ่งเผากิเลสในขณะปัจจุบันได้ โดยเรียนรู้ตั้งแต่ เวทนา 108 ทำเวทนาให้เป็น 1 แยกเคหสิต เนกขัมมะ ทำเวทนาให้เป็น 1 คือ เนกขัมมะสิตอุเบกขาเวทนา แล้วทำงานควบคู่กับสัญญา เรียนรู้สัญญาทุกสัญญา สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ทำสัญญาให้เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ มีอุเบกขา สังขารที่ปรุงแต่งจะเป็นสังขารชั่ว อกุศล เรียนรู้อภิสังขาร 3 ทำฌานเผากิเลสเป็นปุญญาภิสังขาร เป็นบุญที่เกิดขึ้นจากกระทบผัสสะในขณะปัจจุบันเท่านั้น จนสามารถถึงขั้นอเนญชาภิสังขารจนบรรลุอรหันต์ได้ เกิดเป็น วิญญานอาริยบุคคล ตั้งแต่โสดา สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ที่สามารถทำบุญลด ละกิเลสกาม อัตตาได้ ตามลำดับ
เป็นอาริยชนคนโลกุตระ สามารถไล่วิญญานผี สัตว์นรก เทวดา ออกจากตน มีจิตอุเบกขาถึงขั้นนิพพาน วิมุติ เห็น ทุกข์อาริยสัจเกิดจิตอุเบกขาถึงขั้นปภัสสรา ผุดผ่อง ผ่องใส แววไว หมดประโยชน์ตนไปตามลำดับ มีแต่ประโยชน์ผู้อื่นแต่เพียงถ่ายเดียว
ลูกนำข้อธรรมต่างๆที่พ่อครูสอนนำไปปฏิบัติแบบนี้พอได้ไหมคะ ต้องปรับแก้ไขอย่างไรบ้างคะ เพราะยังรู้ไม่เท่าทันผัสสะทุกครั้ง มีพลาดไปก็เริ่มใหม่ๆค่ะ เหมือนเด็กหัดเดินแล้วล้ม ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ยังสนุกกับการที่จะเดินแล้ววิ่ง หัวเข่าถลอกปอกเปิกก็ยอม มีสงครามกับจิตตัวเองทุกวันค่ะพ่อครู แต่ลูกยังมีฉันทะในการฝึกฝนทุกวัน ยังสนุกกับสงครามกิเลสกาม อัตตาของตัวเองค่ะ
พ่อครูว่า…มาสู่กสิณ 36 ที่อ.ไพศาลถามมา
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน จากอายตนะสู่อัญญาธาตุ
มาเปิดพระไตรปิฎกเล่ม 11 ข้อ 358 เรื่องกสิณายตนะ [แดนกสิณ] 10 อย่าง
อายตนะเกิดเมื่อผัสสะ หมดผัสสะอายตนะก็หายไป ถ้าผัสสะแล้วอยู่เหนืออเนญชาภิสังขารได้ตลอด อายตนะก็ไม่เกิด อายตนะจะเกิดเมื่อมีกิเลส อายตนะของพระอรหันต์ไม่มี พระอรหันต์เลิกมีอายตนะแล้ว อายตนะสอง m คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะกับอสัญญีสัตว์คือ อรหัตตมรรคสุดท้าย เมื่อจบอายตนะ สองตัวนี้สุดท้าย คือ อสัญญีสัตว์กับเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในสัตตาวาส 9 มีอสัญญีสัตว์ เป็นตัวที่ 5 แล้วมี เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ เป็นตัวที่ 9
คนไม่เข้าใจเรื่องกาย สัญญา ก็ไม่เข้าใจสัตตาวาส 9 จะไปล้างสัตตาวาส 9 ออกไปจากจิตได้อย่างไรทำไม่ได้หรอก
สัตว์ตัวที่ 1 กายต่างกันสัญญาต่างกัน เมื่อกายคุณก็ไม่รู้ สัญญาคุณก็ไม่รู้ สัญญามีคุณลักษณะ 2 ลักษณะ คือกำหนดหมาย และก็เก็บเป็นคลังความจำ ตั้งแต่ต้นจนจบเลย เพราะฉะนั้นใครก็ตาม เกิดอัญญธาตุตัวแรก พอเริ่มเอามาทำงานก็จะเกิดธรรมะ 2 พหูพจน์ อัญญธาตุเป็นเอกพจน์ของใครที่เกิดมี อัญญาสิวตโพโกณฑัญโญ ออกเดินแล้วพระพุทธเจ้าก็อุทาน เมื่อเอาอัญญธาตุทำงาน ก็มีสอง เป็นพหูพจน์ก็เป็นอัญญา
จากอัญญะ พยัญชนะแปลว่าอื่น จากโลกีย์ เป็นความฉลาดความรู้ปัญญาตัวแรก เรียกภาษาว่า ความฉลาดโลกุตระ เพราะฉะนั้นความเป็นปัญญาใน คนโลกีย์ไม่มี มีแต่เฉกตา หรือเฉโก แต่เขาเอาปัญญาไปใช้กลบคำว่าเฉโกหรือเฉกตาหมด คำนี้คนเลยไม่ได้ใช้ เป็นความฉลาดเฉโก
ค่าของความเป็นปัญญา เอาปัญญาไปทดแทนเฉโก ปัญญาเลยลดค่า เพราะเอาไปแทนเฉโก คือการดึงปัญญาลงต่ำ คนที่ดึงสิ่งสูงลงต่ำนี้บาปไหม ก็บาป คนไหนเอาธรรมะพระพุทธเจ้า ปัญญาธาตุ ธาตุรู้ตัวหนึ่งที่เป็นปัญญาในเรื่องนั้น มันเป็นธาตุรู้ที่ ผู้ค้นพบคือพระพุทธเจ้า และยังไม่มีผู้ค้นพบคนที่ 2 พระสมณโคดมเปิดเผยศาสนากับคน 5 คนแรก เมื่อประกาศแล้ว ต้องมีเหตุปัจจัยมีคนรองรับ ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะประกาศศาสนาได้อย่างไร จะต้องมีสาวกคนที่ 1 2 3 4 แต่อัญญาโกณฑัญญะนี้เป็นผู้ ที่เป็นเอตทัคคะทาง ผู้รัตตัญญู เป็นผู้ที่เป็นต้นเลย ที่เริ่มต้นรู้ของพระพุทธเจ้าก่อนใครเพื่อนเลย มีญาณปัญญาเกิดในจิต ญาณของศาสนาพุทธ ของโลกุตระคนแรก
อาตมาสาธยาย ความเป็นอัญญา โลกุตระมาถึงวินาทีนี้ ละเอียดขึ้นไหม ให้ได้รู้อะไรลึกซึ้งขึ้นใหม่ ที่จริงเรื่องเก่าซ้ำซาก ผู้ที่ฟังแล้วไม่เข้าใจก็ว่าไม่รู้ ว่ามันมีรสชาติอย่างไรมีธรรมรสอย่างไร เราฟังแล้วมีอานิสงส์ในการฟังธรรมะ 5 ประการ
ได้ฟังสิ่งใหม่ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ได้เคยเข้าใจมาเก่ามันเข้าใจยิ่งขึ้น บรรเทาความสงสัย ทิฏฐิความเห็นก็ตรงขึ้น แต่ก่อนตรงเป๋ ตอนนี้มันตรงเป๋งเลย ทิฏิงอุชุงกโรติ ความเห็นตรงขึ้น จิตใจก็เบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส จิตมัสสปสีทติ คนได้ใหม่ก็อย่าให้แรงเป็นอุเพงคาปีติ มันได้สิ่งใหม่ คนที่มีอุพเพงคาปีติ ก็ทำให้เบาลงเป็นผรณาปีติ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน กสิณตัวที่ 10 คือวิญญาณ
เข้ามาถึงกสิณ ในพระไตรปิฎก ที่จริงในโลกยุคไหน ก็มีกสิณ จะมีเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นก็ได้เพื่อให้จิตใจมีที่เกาะยึดมีที่ตั้งไม่แกว่ง ไม่เช่นนั้นไม่มีหลักอะไรเลย เดี๋ยวก็ทำหลังลืมหน้าทำหัวลืมท้าย เหมือนหมากินเชือกฝั้น หายไปเรื่อยๆ ก็ฝั้นไป แต่นี่ตนเองลืมไป ลืมอันเก่า ทำใหม่ก็นึกว่าไม่ได้ทำ ทำซ้ำซาก กสิณ ก็เป็นที่เกาะ เท่าที่ดูในหลักฐาน ในพระวินัยหรือพระสูตร ก็มี
หมวดกสิณ 10
1. ปฐวีกสิณ เพ่งธาตุดิน
2. อาโปกสิณ เพ่งธาตุน้ำ
3. เตโชกสิณ เพ่งไฟ
4. วาโยกสิณ เพ่งลม
5. นีลกสิณ เพ่งสีเขียว
6. ปีตกสิณ เพ่งสีเหลือง
7. โลหิตกสิณ เพ่งสีแดง
8. โอฑาตกสิณ เพ่งสีขาว
9. อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง
10. วิญญาณ เป็นกสิณตัวที่ 10
ศาสนาพระพุทธเจ้าใช้วิญญาณเป็นหลัก เป็นนาม ส่วนรูปคืออันที่ 1-9 ใช้นามคือวิญญาณ เราต้องมีบวกมีลบ มีตัวหลัก กสิณประกอบ ใครก็ตามที่จำเป็นต้องมีสิ่งยึด ให้จิตเกาะ เท่านี้ก็เหลือแหล่ 9 ดินน้ำไฟลม ก็มีสี จะเอาเฉดไหน เหลืองแดง น้ำเงินก็มีสามแม่สี แล้วก็ขาว ขาวนี้ก็คือสีเต็มที่ สีดำท่านจัด เป็น นีลกสิณ ส่วน โอฑาต สีขาว คือในแสดงเป็นสี เป็นสเปรคตรัม การหักเหของแสงเป็นสี ที่จริงมีขาวกับดำ ในโลกมีมืดกับสว่าง ถ้าแสงไม่เต็มที่ไม่เกิดสีรุ้ง พอสีรุ้งไปถูกมุมเหลี่ยมของปริซึ่มจะหักเห แตกเป็นสีเจ็ดสี ที่จริง ภาพสีต่างๆเป็นความหลอนของวัตถุที่เป็นเหตุปัจจัยกัน สเปกตรัมของปริซึมคือสิ่งที่เกิดขึ้นของมายา เกิดขึ้นแล้วมันก็หายไป เมื่อผู้ใดสามารถเอาวัตถุ มาแล้วก็ทำให้ในธรรมชาติก็มี มาผสมส่วน แล้วก็เกิดตัวธาตุรวมตัวกันเข้า สะท้อนจากแสงแล้วให้เหลือสีนั้นไว้ ถ้าไม่สะท้อนเลย มันจะดำมืด
ความดำคือที่เก็บแสงทั้งหมด ไม่มีอะไรสะท้อนออกมา ถ้าสะท้อนออกมาหมดก็ขาวจั๊ว ถ้าสะท้อนออกมาหักเห มีมุมก็เกิดเฉดสีต่างๆมากน้อย จัดแม่สีได้สามสี เท่านั้น นอกนั้น
กสิณตัวที่ 10 คือวิญญาณ นอกนั้นเป็นวัตถุ ลม ดิน น้ำ ไฟแม่สี น้ำเงิน เหลือง แดง และขาว
ในแม่สีสามสี ผสมกันได้สัดส่วนจะได้สีดำ สัดส่วนเท่ากันดีๆ จะได้สีดำ เวลาเขาใช้แสงในคอมพิวเตอร์ แสงผสมกัน เป็นดำได้ นั่นแหละสามสีนี้แหละ ถ้าเอามากระจาย ให้แสดงไม่ไปทำมุมก็ขาว แสงกระทบแล้วไม่ทำมุมเลยก็ขาวหมด เขาพิสูจน์กัน เอาสีมาทำเฉดสี เรียงเป็นลำดับ จะมากสีก็ได้
คนไม่ใช่สายปัญญาก็จะใช้กสิณไปได้มากมาย แต่นามธรรมนี้เป็นกสิณของศาสนาพุทธถ้าใช้วัตถุ มันเป็นสมถะ คุณไปเกาะสสารไม่ได้วิจัยอะไรเลย เพราะวิจัยแล้วจะไปรู้กิเลสในวัตถุไม่มี กิเลสอยู่ในวิญญาณ กสิณตัวที่ 10 เป็นวิญญาณ พุทธแท้ๆไม่งง กสิณของคุณไพศาลว่ามา 36 ของอาจารย์ไหนๆ ก็มีเป็นร้อยเป็นพัน แต่ก็เป็นวัตถุ ก็ทำสมถะ ไม่ได้วิจัยอะไรเลย ทุกสมุทัยนิโรธไม่ได้อยู่ในวัตถุ ทุกข์สมุทัยไม่ได้อยู่ในวัตถุสสาร แต่ทุกข์สมุทัยอยู่ในวิญญาณ อยู่ในกสิณข้อที่ 10 ถึงเรียกว่าอายตนะ
ในพระไตรปิฎกท่านวงเล็บว่าเรียกว่า [358 กสิณายตนะ [แดนกสิณ] 10 อย่าง ผู้รู้แล้วกายก็เน้นจิตวิญญาณ กสิณก็เน้นจิตวิญญาณ พลังงานที่อยู่กึ่งกลาง
สูตรอาตมา E=C(mc2+A) ตัว A คือ abstract เป็นนามธรรม เป็นเหตุปัจจัยถ้าจะเป็นพลังงานเพิ่มก็ต้องหามาเพิ่ม คุณจะรู้จักพลังงานเพิ่มได้ต้องรู้จักพลังงาน ลด พลังงานจะต้องทำลาย จะทำลายอะไร ก็ต้องใช้ abstract พลังงานตัว A จะค้นหาทำลายพลังงานกิเลส ก็คือต้องสร้างพลังงานขึ้นมาทำลายกิเลสให้ได้คือพลังงาน A เมื่อได้แล้วก็พิจารณา ยังมีบวกลบ เป็นพลังงานที่ต้องอภิสังขารกัน
m = เจโต หรือเนื้อ พลังงานบวก
c = พลังงานลบ ทางวัตถุใช้แสง ทางนามธรรมใช้จิต ที่เร็วกว่าแสง เร็วกว่าแสงแค่ใด เร็วกว่าแสงแค่บวก หรือคูณหรือยกกำลัง ความเร็วเหล่านี้ เป็นจิตที่คำนวณ เป็นตัวเลขหรือสูตรไม่ไหวแล้ว ยกไว้ในฐานที่เข้าใจ แล้วคนที่เข้าใจก็เข้าใจสูตรนี้แล้วเอาไปใช้ได้
C ใหญ่คือ Coefficient เป็นพลังงานองค์รวมของ (mc2+A)
E ของอาตมาเป็น Coefficient ที่เพิ่มด้วย (mc2+A) เพิ่มด้วยพลังงานจิตที่เร็วกว่าแสง
m คือความแรง static ส่วน c คือ Dynamic เป็นพลังงานบวกลบทำงานร่วมกันตลอดเวลา
พลังงานที่เป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโนอภินิโรปนา เป็นตัวสั่งสมสันนิธิ เป็นพลังงานมวล ส่วนพลังงานที่จะเสริมเพื่อพลังงานเคลื่อนที่ c เป็นตัวหาเงินหาทอง ตัว c หา ตัว m เป็นเซฟ ใส่ เก็บเงินๆๆๆ
m เป็นแม่บ้าน c เป็นพ่อบ้านหาเงินตะลอนๆ
เห็นอานิสงส์ในการฟังธรรมห้าประการไหม ใหม่แปลก ศิลปินพยายามให้สนใจได้ ทำให้สวยจัด เก่งจัด ความสามารถพิเศษแปลกใหม่ หาสิ่งที่มันเกิดใหม่ เข้ามาบ้าง มันก็เลยเป็นสิ่งที่ เฟ้อเกินเยอะ ทุกวันนี้ศิลปะศิลปินจึงเป็นผู้ที่สร้างสิ่งที่ เฟ้อมาหลอกมนุษย์ เป็นนักมายากลตัวเอง เลยไม่เข้าใจแก่นแท้ศิลปะคืออะไร แก่นแท้เป็นสาระแก่นสาร เป็นประโยชน์คุณค่า
สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ศิลปินโลกุตระ
อาตมาเรียกตัวเองเป็นศิลปิน แต่ไม่มีใครเรียกตามไม่มีใครเห็นว่าเป็นศิลปิน แต่เขาไปเรียกศิลปินนักร้อง รวยเอาๆ คนนิยมชมชอบ โดยเทคนิคด้วยวัตถุ ไม่ได้เป็นนามธรรมแต่เป็นเทคนิควัตถุ เด่นทางโลก ทางจิตกรรม สถาปัตยกรรม
เดี๋ยวนี้มีศิลปินอะไรมากมายศิลปินแต่งเล็บเลอะเทอะไปหมด แค่ตั้งชื่อออกไปจาก pure art 5 อย่างนี้ก็คือนักปลอมแปลงแล้ว ศิลปินเดี๋ยวนี้คือนักมายากลนักมายากลเยอะแยะ ขออภัย เรียนศิลปะมาไม่ได้เพื่อด่าศิลปิน ถ้ารู้แล้วก็เลิกทำ หลอกเขาซ้ำซ้อนหนัก ดีไซน์กระเป๋ามา ราคาทุนแค่ร้อย แต่หลอกขายเป็นแสนเป็นล้านมันบาปขนาดไหน คนหลงใหลได้ปลื้มดีไซน์เนอร์พวกนี้ เขาก็เรียกศิลปิน เต้นแร้งเต้นรำผลิตอะไร แต่มันมีศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดม ซ้อนกันอยู่ไหม อุดมคืออุตระ หรือโลกุตระ เหนือโลก
คนที่จะเข้าใจว่าศิลปะเป็นมงคลอันอุดม หรือเข้าใจได้ว่า ศิลปะของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ ทำให้คนลดความเป็น โลกีย์ ลดกิเลสได้จริงๆ ช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์ได้จริงๆ ช่วยมนุษย์ที่โดนหลอก
อาตมาเอาวิชาการ มาเปิดเผยให้รู้ว่าศิลปินที่อยู่ในโลกคือนักร้องนักมายากลของโลก แท้จริงคือนักอบายมุขขั้นแรงร้ายมาก ศิลปินหรือนักกีฬา เป็นอบายมุขที่จัดจ้านมาก สังคมใดประเทศใด ที่ราคาของนักกีฬาหรือศิลปิน ราคาในด้านใดก็แล้วแต่ จิตรกรรมประติมากรรมสถาปัตยกรรมวรรณกรรม ราคาค่าตัว เต้นแร้งกา ดรามาติก เพลงกาลลามกราคะ ราคาของสิ่งเหล่านี้ ถ้ามันไม่ใช่ศิลปะแท้ที่ได้ผสมสัดส่วน มีฤทธิ์ในการกำจัดกิเลส แต่ถ้าเอาไปมอมเมาเพิ่มกิเลส ยิ่งราคาแพง ได้ค่าตัวค่าแรงสูงเท่าไหร่ สังคมก็เสื่อมเท่านั้น คนเหล่านั้นไม่ใช่นักศิลปะ แต่เป็นนักอบายมุขผู้ยิ่งใหญ่
เป็นความรู้ที่ควรจะรู้ เพราะอาตมาก็ผ่านการทำศิลปะ เป็นศิลปินทำแบบนั้นมา แต่อาตมามาชาตินี้ไม่ได้ อาตมาอยากเป็นพระเอกนะ แต่เขาให้เป็นตำรวจ ไปจับผู้ร้ายตอนจบเสมอ ไม่ได้เป็นหรอกพระเอก เราก็หล่ออยู่นะพอได้อยู่ แต่ไม่ได้เป็น ยัดเยียดตัวเองเท่าไหร่เขาก็ไม่ให้เป็น ในทางวรรณกรรม เราก็ว่าเราเขียนดีไม่ใช่เล่น แต่เขาก็ไม่ให้รางวัล แต่งเพลงโลกุตระด้วยนะ แต่อาตมาแต่งเพลง เคยได้รางวัลครั้งหนึ่ง อาตมาแต่งเพลงที่พี่ล้วนประกาศทำนอง แล้วให้คนแต่งเนื้อร้องมา ไพบูลย์ บุตรขัน ก็แต่งมา คนอื่นที่ดังก็แต่งมาประกวด ไพบูลย์ บุตรขัน ใช้นามปากกาว่า ตรีบูลย์ อาตมาเป็นเลขาก็เลือกไว้ๆ ที่พี่ล้วนเลือกไว้เข้ารอบอาตมาทำแฟ้ม อาตมาก็แต่งบ้าง แล้วก็สอดให้เขาอ่าน เขาก็อ่านเจอ เขาก็ว่า อันนี้ ก็ว่าตัดสินแล้วนะ เขาใช้นามปากกาว่าศรีสวัสดิ์ เพลง วาสิฏฐีจำแลงหรือไง ของอาตมาเพลงกลางไพรสณฑ์ชมธรรมชาติ เขาก็ไปเจอก็ว่าอันนี้ดี อาตมาใช้นามปากกาว่า ยุบลรัตน์ ก็ว่าให้ วาสิฏฐีจำแลง ที่หนึ่งแล้ว แต่อันนี้ก็ไม่เลวเลยนะ สุดท้ายเขาก็ตัดสินว่าให้ที่ 1 2 รางวัล แล้วให้รางวัลปากกาเชฟเฟอร์ ให้เขาสลักชื่อเสร็จ พอเสร็จแล้วก็ประกาศให้มารับรางวัล ศรีสวัสดิ์เขาก็มารับรางวัล แต่อีกอันก็ไม่มีคนมารับเสียที ยุบลรัตน์ เราก็หาคำตอบให้ไม่ได้ กว่าจะบอกมาได้ สุดท้ายเขาก็ถามหลายที เราก็บอกว่า ไอ้นั่นน่ะผมเองล่ะครับ...แกก็ตอบว่า ไอ้เหี้ย! ให้กูเสียเงิน นี่คือรางวัลโพธิรักษ์ หลักฐานมีเพลง กลางไพรสณฑ์ แต่อาตมาเอามาเป็นเพลง ไฟฟ้า แล้ว
นี่คือชีวิตอาตมา วรรณกรรม ดราม่า มิวสิค อาตมามาอยู่กับคุณล้วนแล้วก็แต่งเพลงได้แล้ว เขาก็ใช้ให้แต่งเนื้อเพลง เขาก็รู้ว่าอาตมาแต่งเก่ง เขาให้แต่งเพลงแรก อาตมาเอาเพลงของล้วน ควันธรรม อาตมาแต่งด้นไป รวมเป็นปึกสองร้อยกว่าเพลง แล้วเขาก็เอา มีเพลงจริงบ้าง รวมเพลงขาย ปกแข็งโรงพิมพ์เวิ้งนครเกษมเอาไปพิมพ์ขาย มีนิยายอีกเยอะ นี่ละ ได้รางวัลของเขาทีหนึ่ง ปากกาเชฟเฟอร์ สลักชื่อยุบลรัตน์ เขาก็ถามหลายทีก็เลยบอก ได้รับคำอะไรมา
สมณะเดินดินว่า...สัญลักษณ์ของพระเยซูคือมือตรึงกางเขน แต่พ่อครูนี้เป็นพวกบุญแรงแห้งรางวัล ใครทำงานทำดีแล้วถูกด่าถูกว่าก็คือว่าได้เดินตามรอยพ่อครูกัน...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:52:12 )
รายละเอียด
600827_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สูตรสัมพัทธภาพแห่งกรรมและกาละ
สมณะฟ้าไทว่า…วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2560 ราชธานีอโศก ตอนนี้ข่าวที่พูดกันมากในประเทศไทยคือเรื่องจำนำข้าว เรื่องที่เกิดทำให้เรามีผัสสะได้อ่านเวทนาว่าชอบหรือไม่ชอบ
พ่อครูว่า...ตอนนี้ที่กล่าวกันว่า ทักษิณริ ยิ่งลักษณ์ทำ ก็ชัดเข้าไปอีก เป็นตัวอย่างที่ไม่มีใครจะสร้างได้ง่ายๆเสแสร้งไม่ได้ แต่คนที่เขาทำก็คือนักเสแสร้งตัวร้าย ใครจะเสแสร้งเท่าเขาไม่ได้ เพราะเขาเป็นนักมายากล ยิ่งกว่า Hudini เป็นนักมายากล ที่แม้ถูกมัดหมดตัว เอาไปใส่ในถังน้ำ ปิดให้ดี เอาโซ่รัด เรียบร้อยหมดก็ออกมาอยู่ข้างนอกได้ เหมือนไม่มีอะไร ก็คนเก่าแล้ว นักมายากลคนนี้เก่า สมัยนี้ก็ดูทักษิณยิ่งลักษณ์เป็นตัวอย่าง แต่ hudini เป็นนักมายากลแต่ไม่ได้มีผลกระทบกับประชาชนเท่าไหร่ คนนิยมชมชอบก็ไปดูเขา เขาก็เก็บเงินเท่านั้นแหละ แต่นี่ทุกคนถูกหลอกหลงเชื่อ เอาทั้งเงินส่วนรวม เงินรัฐบาล เงินผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสเข้ามา สารพัดสารเพ ทุ่มเทให้เขาหมดเลย
สังคมประเทศไทยตั้งแต่เกิดมาเป็นประเทศไทยยังไม่มีใครที่จะ ต้มประชาชนในประเทศได้เท่าเขา ต้มจนสุก เขาเอากระดูกมาต้มต่ออีก สุดโหดเลย ต้มจนเปื่อย เหลือแต่กระดูก ก็เอากระดูกมาต้มต่ออีกไม่ยอมหยุด เรียกว่า เป็นคนใจดำอำมหิต มีผู้อาศัยเป็นคู่กัน มีธัมมชโยเป็นคู่เคียงกองหนุนร่วมกันไปด้วยกัน ตาบอดตาใส ก็เลยทำให้โลกยิ่งลำบาก
เขาทำแบบที่อาตมาเคยเรียกว่า เลวที่สุดในแผ่นดินคือ หากินบนคำว่า “ช่วยเขา”
นสพ.แนวหน้า จั่วหัวว่า กวนน้ำให้ใส : ถ้าจำนำข้าวแบบยิ่งลักษณ์ ทำได้ ไม่ผิด ต่อไป นักการเมืองจะแข่งกันรุมทึ้งเงินแผ่นดิน
พ่อครูว่า....เป็นความฉลาดเฉโกที่ยากรู้ทัน ตอนต้นก็ไม่มีใครรู้ทัน แต่พอตอนหลังก็เห็นเลยว่า มันเกิดผลเสียหาย ตอนแรกคุณทักษิณ อาตมาก็เขียนจดหมายไปยกย่องชมเชยว่า เป็นผู้มี Charismatic มากเลย ขนาดเขาซุกหุ้น เรายังช่วยเขาเลย ตอนแรกก็ยังคิดว่า ยังไงก็ต้องช่วยคนนี้ มันน่าเข็ดหลาบ ทำให้เรารู้ไม่ทัน ฉลาดเหนือชั้นเลย
ลองพูดถึงธรรมะละเอียดๆ ย้อนถึงกวี ที่อาตมาได้เอามาอ่านในรายการ
“ยิ่งลักษณ์”คือยิ่งทำยิ่งเป็นลักษณะแท้
(1) “อาริยสัจ”นามเรียกนี้ “อริยสัจ”
ความประเสริฐยิ่งชัด “ยิ่ง”แท้
ความชั่วก็ตระบัด- สัตย์มิ ได้เลย
เป็นมนุษย์ไม่คิดแก้ ยิ่งซ้ำ“กรรมตน”
(2) “ลักษณะ”คนย่อมแท้ ใน“กรรม”
“ยิ่ง”ดัดจริตเป็นทำ ดีดดิ้น
“ยิ่ง”ผิดยิ่งย้ำยำ “ลักษณ์”ผิด เพิ่มแล
“ยิ่งลักษณ์”ล้างสัตย์สิ้น ยิ่งล้วนตนทำ
(3) “กรรม”ใดทำย่อมแท้ เป็นผล
“วิบาก”เป็นของตน ครบสิ้น
ทั้งกุศลอกุศล ถ้วน“สัจ”
ทุกมนุษย์ใครหลีกดิ้น ไป่ได้“เวรกรรม”
(4) “ยิ่ง”ทำกรรมชั่วไซร้ “ยิ่ง”จริง
“ลักษณะ”ใดควรประวิง บ่รู้
“ยิ่ง”ผิด“ยิ่ง”ดิ้นชิง เพื่อชนะ “ยิ่ง”ฤา
“ลักษณ์”อย่างนั้น“ยิ่ง”ผู้ โง่แท้อวิชชา
(5) ศึกษาพุทธรอดได้ ด้วยกรรม
กรรมผิดแล้วอย่าทำ อย่าย้ำ
“ยิ่ง”ผิด“ยิ่ง”โง่สัม- ประสิทธิ์ส่ง
หลงผิดว่าจักค้ำ ยิ่งซ้ำเลวเสริม
(6) หยุดเหิมเกริมได้จัก ลด“ลักษณ์”
หากบ่หยุด“ยิ่ง”หนัก “ยิ่ง”ช้ำ
“ยิ่งลักษณ์”รักพี่ทัก- ษิณ“ยิ่ง” ถลำรา
พี่“ยิ่ง”หลอกลึกล้ำ โง่ซ้ำระเริงหลง
(7) ลงนรกตกกระทะต้ม จนสุก
ชีพหกล้มหกลุก โหดร้าย
ยิ่ง“หนูไม่รู้”ทุก ใดถูก ผิดเลย
“ยิ่งลักษณ์”จึงเป็นป้าย ตลกให้คนเห็น.
“สไมย์ จำปาแพง” 4 ส.ค. 2560
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 326 ประจำเดือนกันยายน 2560]
พ่อครูว่า...สงสัยจะไม่ได้ลงแค่กระทะทองแดง จะลงกระทะทองคำ ต้มได้อย่างเนียนมากเลย กระทะทองคำ ยิ่งกว่ากระทะทองแดง หลงใหญ่เลยว่า นี่เป็นกะทะทองคำนะ แต่เป็นทองคำชุบ ทองคำหลอกมนุษย์มาหุ้มไว้เท่านั้นเอง ต้มจนสุก แล้วเอากระดูกมาต้มต่อ
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน สูตรสัมพัทธภาพของกรรม
ทุกสิ่งทุกอย่างหากบอกไม่รู้อะไรหนูไม่รู้ทั้งนั้น จึงเป็นตัวตลกของโลกเลย ยิ่งลักษณ์ กับโดนัลด์ทรัมป์ ก็เป็นตัวตลกต่อโลก ตัวไหนหยาบกว่ากัน โดนัลด์ทรัมป์ หยาบกว่า ยิ่งลักษณ์ละเอียดลึกเนียน หยาบกว่าใครก็ดูออก โฉ่งฉ่างโผงผาง สุดยอดเนียน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ซึ่งอธิบายในตัวมันเอง ละเอียดมากเลย ก็ขออภัยทั้งสองคนที่เอามายกตัวอย่างในการบรรยาย
มีเหตุการมีทั้งวัตถุ ตัวบุคคล ข้าวของนานาสารพัด ตั้งแต่ อิฐหินดินปูน ดินน้ำไฟลม ไปจนกระทั่งเพชรและทองคำ เอามาประกอบกัน เต็มไปหมด และพร้อมทั้งพฤติกรรม อาการกิริยาต่างๆ ล้วนครบพร้อมเลย มาจากจิต เป็นตัวประธานสิ่งทั้งปวง ประธานสิ่งทั้งปวงคือ ตัวจิต มโนปุพพัง มาก่อน จิตเป็นประธาน
มโนปุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา เป็นตัวที่ อาตมาเขียนไว้
จิตนิยามตั้งแต่ Primary cell คำว่า กรรม เริ่มจากเป็นจิตนิยามตัวแรก อุบัติมาเป็นสัตว์ตัวแรก ที่พัฒนาจากพีชนิยาม เซลล์แรกของสัตว์ ที่พัฒนาจากพีชนิยาม ออกจาก cyclic ของพีชนิยาม ออกด้วยอำนาจ แรง Coefficient ถ้าไม่มีแรงมากพอเกิดไม่ได้ เกิดได้เพราะได้สั่งสมจนถ้วนเต็ม จากนั้นก็มีกรรม จาก Primary cell เป็น Secondary cell และ Tertiary cell ต่อไปซับซ้อนมากมาย
ในโลกของวัตถุคือสัมพัทธภาพ เราเอามาเป็นคู่อธิบาย ในวัตถุหรือสสารต่างๆ Space and time of Continuum เป็นกิริยาในปัจจุบัน
Space คือทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ที่ดูไม่ออกเลย คือเทหวัตถุแท่งทึบ ในอวกาศทั้งหมดที่เรามองไม่ออกเลย หรือแม้แต่เป็นแท่งขาว แยกไม่ออกเลย ก็เหมือนกัน space ทางด้านวัตถุก็มีสิ่งที่ถูกรู้
ทางด้านวัตถุเป็น Space and time
ส่วนจิตนิยามเป็น กรรมและเวลา
สูตรทางวัตถุ คือ E=mc2
ส่วนสูตรทางนามธรรม E=mc2+A อาตมาก็เรียนรู้มาจากพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป็นใบไม้กำมือเดียว ท่านไม่ได้อธิบายทั้งป่า แล้วท่านก็ทิ้งเอาไว้ให้ใครมาอธิบาย อาตมาก็ประกาศไปแล้ว ไม่ได้เหนียมอายว่า มาให้อาตมาอธิบาย อาตมาจึงได้ขยายมาเป็น E=C(mc2+A) เป็นของพระพุทธเจ้าที่ทิ้งเอาไว้ให้อาตมาเอามาขยายอีกที เป็นหน้าที่ของอาตมา ไม่ได้รู้มากกว่าพระพุทธเจ้านะ แต่ท่านบอกแล้วว่า ท่านสอนใบไม้กำมือเดียว
C คือ Coefficient คือพลังงานที่ต้องรังสรรค์ต่อ เป็นงานที่ต้องทำต่อไป เป็นอัตราการก้าวหน้า progression ratio เพราะมันยังไม่พอ สิ่งที่จะลากให้เสื่อมมีเยอะ ทำลายศาสนาทำร้ายศาสนามีเยอะ โดยอวิชชา โดยเขาไม่รู้ตัว แม้บางคนจะรู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่คนที่ชัดเจนว่า โพธิรักษ์ถูก ตัวเองไม่ถูก หรือยอมรับว่าตนเองด้อยกว่า แต่หลายคนขี่บนหลังเสือ ลงไม่ได้ กลัวเสือกัดตาย ก็ให้มันตายเพราะว่าเราลงจากหลังเสือเถอะ
เหมือนกับยิ่งลักษณ์ทักษิณไม่ยอมลงจากหลังเสือ ถ้ายอมลงจากหลังเสือก็อยู่ในประเทศได้ แม้จะยอมเข้าคุก เดี๋ยวก็จะมีคนช่วย แต่ยิ่งลักษณ์ทักษิณคิดผิด คิดใหม่ทันไหมนี่ ช้าไปแล้วต๋อย ต้องใช้สำนวนนั้น ส่วนคนที่เขายังโกรธแค้น อาตมาไปบังคับใจเขาไม่ได้
พระพุทธเจ้ามีความรู้ นิยามชีวิต 5 อุตุนิยามพีชนิยามจิตนิยามกรรมนิยาม ธรรมนิยามเราจะมาขยายความกรรมนิยาม
กรรมเป็นอันทำ กรรมเป็นกิริยาของทุกอย่างทั้งข้างนอก หยาบที่สุด เรียกว่าทางกาย องค์รวมทั้งหมด ภายนอกภายใน เรียกว่า กาย เสร็จแล้วก็ไปถึงขั้นจิต มีขั้นวาจามีนัจจะ คีตะ วาทิตะ ประกอบด้วยกายกรรม มีลีลา พฤติกรรมเนื้อตัว หมดจากนัจจะก็มีคีตะ มีวาทิตะ ก็แต่ละคนคัดเลือกมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตน ดีไม่ดีก็อยู่ที่ภูมิธรรมแต่ละคนที่ออกมาเป็นกรรม(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พีชะมีสัญญา สังขาร แต่ถ้าจิตก็มีตัวกรรม ที่เป็นตัวเคลื่อนในปัจจุบัน แล้วแต่ว่า ถ้าเรามิจฉาทิฏฐิ ก็ทำกรรมชั่ว ยิ่งลักษณ์ก็ไปอยู่ที่ไหนแล้วไม่รู้ พ่อครูพาเราทำกรรมโลกุตระที่จะพาเราพัฒนาสู่ความไม่มีตัวตน แล้วก็ทำงานเพื่อมนุษยชาติต่อไป ตามที่เราจะทำได้
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน แปรรักชังเป็นพลังเพื่อผู้อื่น
พ่อครูว่า...มาขยายคำว่า กรรม พระพุทธเจ้าท่านค้นพบและตรัสสอนไว้ ว่า กรรม แล้วก็วิบาก กรรมเป็นของๆตน แล้วก็เป็นวิบาก แล้วก็คำตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 4 อย่าง ใครไม่เชื่อว่ากรรมนี่เป็นกรรม แล้วกรรมมีวิบาก ต้องรับ
กรรมเป็นของๆตน กัมมัสกะ คุณต้องเป็นทายาทของกรรม
1. กัมมสัทธา (เชื่อกรรมเป็นเหตุ)
2. วิปากสัทธา (เชื่อผลวิบากของกรรม) &
3. กัมมัสสกตาสัทธา (เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็น สมบัติแท้ของตน กรรมเป็นพระเจ้าบันดาลแท้)
4. ตถาคตโพธิสัทธา (เชื่อความตรัสรู้ของตถาคต)
(ข้อ 4 มีใน พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 4)
กรรมเป็นของๆตนออกฤทธิ์กับตน หากเอากรรมนี้ไปออกฤทธิ์กับใครแก้แค้นก็ยิ่งต่อไปอีก แต่ถ้าจะแก้แค้นอย่างไรก็ไม่แล้ว เลิก แม้รัก คุณรักคนนี้ รักอย่างกาม เราก็เลิกจากกามเสีย แต่ถ้าไม่เลิกจากกามยิ่งย้ำยิ่งตอก ผูกพันไม่รู้กี่ชาติ แต่ถ้าเลิกเสียก็จบ แล้วเอาพลังงานที่เลิกจากพวกโน้น เอามากระจายสู่ผู้อื่นกลายเป็นการส่งเสริมเป็นประโยชน์คุณค่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อไป
เราแปรสภาพนี้ด้วยปัญญาด้วยความรู้ที่ลึกซึ้ง ให้เป็นประโยชน์คุณค่าได้มาก แปรไป
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน อ่านจิตให้ละเอียดทุกกรรมกาละ
พอจากกรรม 4 นี้ เมื่อชัดเจนแล้ว คุณทำตามนี้อย่างจริงทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า ตถาคตโพธิสัทธา แล้วทำกรรมของตน ก็เป็นกุศลวิบาก เป็นผล แม้ที่สุด บุญ เป็นผลแต่ไม่เป็นส่ิงสะสม จะบอกคำว่าวิบาก ไม่เป็นผล
กุศลเป็นผลมีเป็นวิบากแท้ เป็นผลสั่งสมตกผลึก เป็นนิธิ เป็นผลสะสมต่อไปตกผลึก เป็นกำแพงยักษ์ ไปเรื่อยๆ ส่วนปุญญะหรือบุญ ไม่สะสม สลายทำลายจบไปเลย เป็นเอกังเสนะ เป็นกิจเดียวหน้าที่เดียว
คำว่าบุญหาก ไม่เข้าใจอย่างนี้จึงไม่เกิดผลของการเป็นบุญที่แท้จริง เช่นท่านสอนเรื่องทานในทานสูตร คุณต้องรู้จัก การทำใจในใจ มนสิกโรติ คุณต้องทำใจในใจเป็น
เวลาคุณทานคุณก็อย่าให้เกิดสาเปกโข ต้องอ่านอาการ ให้ละเอียดเก่งกว่าอุทกดาบส ไม่ใช่รู้เฉพาะตอนหลับตาแต่ลืมตาก็ให้อ่านรู้ มีจิตแล้วคล่องว่องไว มีเวทนาสัญญาสังขาร ที่เก่ง รู้เวทนาสัญญาสังขารแยกมาเป็นเวทนา กว่าจะสังขารให้เป็นอภิสังขารจากอภิสัญญาก็ต้องคือตัวเวทนา 108 แยกเคหสิต เนกขัมมะแล้ว ปฏิบัติเนกขัมมะให้เก่งให้เร็ว ให้ได้ทันที เป็นอุเบกขาทันที ๆ แล้วจะมี สเตตัส ที่เป็นสิ่งสะสม static เป็น status quo ทั้งตัวที่เป็นพลังงาน คอนสแตนท์ เที่ยง คงที่สั่งสมเป็นปัจจุบัน status quo เป็น sustainable เพิ่มพลังประสิทธิภาพของตัว static ตัวต้นทุน อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา เป็นลำดับไปเรื่อยๆ ด้วยกรรมกิริยาที่คุณทำเป็นพลังงานที่ดีที่ถูกต้องเสริมทับทวีขึ้นเรื่อยๆ เพราะงั้นมันก็จะไม่หยุด ในขณะที่เรามีกรรมกับเวลา
karma and time ก็จะมีเรื่อยๆ แล้วคุณก็ทำได้จริง ถูกต้องดีที่สุด เป็นคุณสมบัติคุณภาพเป็นพิเศษ ยิ่งดียิ่ง เป็นอภิ อภิ อภิ ยิ่งๆๆ ขึ้นไป
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาให้คนศึกษาตาม ไม่ง่าย เพราะเป็นเรื่องที่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
เป็นความสงบของผู้อยู่เหนือ เราสงบได้ และจะต่อความสงบนี้ สันตติหรือจะตัดไม่ต่อ คุณเป็นอมตบุคคล คุณมีอำนาจ เป็นประธาน เป็นนายที่จะทำได้ เป็นของตน จิตวิญญาณ จิตนิยามของตน ทำได้อย่างแท้จริง หากจะต่อก็ต้องมีแต่ดีถ่ายเดียว ไม่มีชั่วไม่มีไม่ดีเลย ไม่ดีไม่ทำ สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ถ้ามีกรรมกิริยาดีก็ทำต่อมีแต่ดีทั้งสิ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน
พระพุทธเจ้าสอนไว้ คำสอนพระพุทธเจ้าออกมาประกาศแล้ว ว่ามีกรรมมีวิบากเป็นของๆตน เราก็เอามาเรียนรู้ปฏิบัติประพฤติ กรรมทายาท เราต้องเป็นผู้รับมรดก กรรมของตน ทั้งหมด แบ่งใครไม่ได้ ไม่ระเหิดไม่ระเหย ออกไปเต้นไปจนกว่าจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แล้ววิบากกรรมไม่ได้มาทั้งหมดหรอก มาตามเหตุปัจจัย หากไม่มีคู่ที่ร่วมเวรร่วมกรรมกัน หากไม่มีคู่ก็ไม่เกิดปฏิกิริยาอะไร ก็เสียแรงเปล่า คุณมีฉิ่งสองอันจะตีให้ดังก็ได้ แต่ถ้ามีฉิ่งอันเดียว ตีให้มันดัง มันก็ไม่ดังมีแต่วืดๆ กับลมไป ไม่เป็นฉิ่งก็ไม่ตีเป็นฉิ่ง ข้างเดียว ใช่ไหม
1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 581)
กัมมโยนิ กรรมเป็นตัวทำให้เราเป็นไปได้ทุกอย่าง ออกผลให้เรา โทษใครไม่ได้ จริง คนอื่นอาจเป็นเหตุให้เรารับรู้รับช่วง แต่ถ้ารู้แล้วไม่ได้ทำก็ไม่เกิด จะบังคับเราจนตายเราไม่ทำก็ไม่เกิด กรรมของคุณเอง ฆ่าเองก็จะมีวิบาก ลูกศิษย์เราก็อาจไปจัดการคุณก็ได้แก้แค้นแทนได้ เป็นอจินไตยที่มากมาย
กัมมโยนิ คือการกระทำของเรานี่แหละ เป็นทั้งตัวเกิดตัวตาย เป็นทั้งตัวเป็น ตัวมี ตัวอยู่ ทั้งสิ้นทั้งหมด กรรมจึงเป็นทุกอย่างเป็น God ของผู้ไม่รู้
ศาสนาพุทธจึงเลือกลักษณะของกรรม ไม่เลือกลักษณะ God เราไม่บอกว่า กรรมเหนือกว่า God นะ เราไม่ได้พูดอย่างนั้น แต่เราพูดว่า กรรมนี่มันทำแล้วมันพิสูจน์กันได้ยืนยันเห็นผลจริง จึงถือว่ามีปัจจุบัน มีสิ่งสัมผัส มีคู่มีธรรมะสอง ธรรมะเดียว ไปนั่งคิดนั่งเพ้อ จะไปคุยกับพระเจ้าอย่างไรใครจะไปรู้กับคุณด้วย คุณก็รู้กันสองคนกับพระเจ้า ถ้าไม่แสดงออกมากับโลก หากคุณเป็นพระบุตร คนอื่นจะมาเป็นอย่างเรากับพระเจ้าไม่ได้
แต่ของพุทธได้ และของจริง ที่เป็นกรรมกิริยาก็มีเหตุจริง มีดินน้ำไฟลมจริง มีกรรมกิริยา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมจริง มีผลตามมาจริงยืนยันพิสูจน์ได้ แต่ของคุณ...ก้อนดิน น้ำไฟลมอากาศ ที่เป็นพระเจ้าอยู่ที่ไหน... มันไม่เห็นมี แล้วคนอื่นจะไปรับรู้กับคุณได้อย่างไร ความจริงของพระพุทธเจ้าจึงเป็น
1. เป็นปัจจุบัน 2. ต้องมีคนร่วมรับรู้ได้ตั้งแต่ 2 คน ร่วมยืนยันว่านี่คือความจริง ยิ่งสามคนสี่คน เป็นล้านๆๆๆคน ก็ยิ่งจริง แต่จะบอกว่า ล้านๆๆๆคนก็ใช่แต่จะบอกว่าพระเจ้าอยู่ไหน เห็นเพียงคนเดียวคือพระบุตรอย่างนั้นไม่ใช่ ศาสนาพุทธไม่เอา จะจริงไม่จริงก็ช่างเถอะอย่างนั้น แต่เราจะเอาจริงอย่างนี้ นี่คือสัจจะที่พระพุทธเจ้าเอามาเปิดเผยเอามาใช้
เอากันที่รู้กันในโลกได้ตั้งแต่สองคน ตั้งแต่สองเซลล์ Secondary เป็นต้นไป ยิ่งเป็นล้านๆๆๆ ร่วมรู้กันได้ก็ยิ่งจริง
เมื่อคุณเองสามารถเข้าใจ ความเข้าใจ กัมมโยนิ คุณรู้จัก โอปปาติกโยนิ ตอนนี้ เข้าไปหาจิต โอปปาติกะคือจิตวิญญาณ ทั้งตัวตนบุคคลต่างๆที่ยอมรับได้
ใครทำกรรมใดก็เป็นอันทำ กัมมัสกะ เป็นทายาทของกรรมตนเอง แล้วเกิดการกระทำนี้จากจิตเป็นประธาน พลังงานของจิตนิยาม คือสัตว์ พลังงานที่เป็นพลังงานในระดับพีชนิยามไม่เรียกว่าสัตว์
เมื่อผู้ใดรู้จัก พลังงานสัตว์ แล้วก็เป็นสัตว์ ทั้งเลวทั้งต่ำ ต่ำที่สุด แต่เลวยังไม่มาก คือสัตว์ ที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ตัวตนก็ยังน้อย ทำอะไรเพื่อตัวตนเป็นสัตว์เซลล์เดียว เป็นสัตว์ 3 เซลล์ ก็พัฒนาเซลล์ของตนเองให้มันโตขึ้นมา เหมือนกับพืช ก็พัฒนาตนให้เป็นของมันเอง สัตว์ที่ยังไม่เจริญมากก็ทำตัวเองให้เจริญไป ต่อไปจะละลาบละล้วงเอาของคนอื่น เป็นสัตว์แล้วก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่รู้ไปกว้างมากขึ้น เสร็จแล้ว มันก็จะไปรู้ว่า อันนี้มันดีกว่าในแง่นั้น แง่นี้เรายังไม่ดีเท่าในแง่นั้นนี้ก็จะอยากเพิ่มก็จะมารวมตัวกัน เป็นสัตว์ไม่รู้มีกี่แง่แง่งก็มีงางวง มีเขี้ยวเล็บมากขึ้น อาละวาด โดยลืมตัวตนนึกว่าตนเองมีอำนาจเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กรรมหรือบาป ก็จะเกิดขึ้นสะสมโดยมีอวิชชาก่อน ด้วยความไม่รู้
ก่อนจะไปมีความรู้ และความรู้จะมาเป็นโลกุตระ มันก็จึงซับซ้อนๆ เก่งดีนั้นอยู่เหนือเขาเป็นต้นไป การแย่ง ลาภยศสรรเสริญ สุข ด้วยกาม เป็นโลกของภายนอก มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หยาบมากเป็น โอฬาริกอัตตา ภายนอกหยาบมาก พอล้างหมดโอฬาริกอัตตาภายนอก ก็เป็นเราปั้นเองเสพเอง คนอื่นก็มีผลกระทบบ้าง ดีไม่ดีคนอื่นก็ไม่ว่าเท่าไหร่ ทนได้ ดีไม่ดีหลอกให้เขาทน ตนเองก็เสพ เป็นมโนมยอัตตา เมื่อไม่เสพมโนมยอัตตาภายนอกแล้ว มีแต่มโนมยอัตตาภายใน เป็นอนาคามีแท้ ข้างนอกกระทบแล้วไม่เบียดเบียนใคร กระทบกับคนอื่นก็มีแต่ประโยชน์คุณค่าสร้างสรรค์ ไม่เป็นโทษเป็นภัย รู้คุณรู้โทษ รู้ดีรู้ชั่ว ไม่เป็นภัยกับใคร แต่เหลือในตนเป็นการเสพรูปภพอรูปภพ เป็นมโนมยอัตตา เป็นอนาคามีแท้ ก็ล้าง แม้กระทบภายนอก แต่ไม่มีโทษภัย พิษกับภายนอก เหลือแต่ล้างพิษรูปภพของตนให้หมด พอหมดก็เหลืออรูป อนาคามีก็เป็นอรูป
มโนมยอัตตาภายนอกหมด ก็ทำมโนมยอัตตาภายใน หมดภายในก็เหลืออรูปอัตตา
หมดภายนอกเหลือแต่ภายในก็เป็นอนาคามีแท้ เพราะฉะนั้นคุณจะหมดเศษของสกิทาคามีก็ต้องรู้อาการข้างนอกกับข้างใน ว่าข้างนอก ไม่เป็นโทษภัยกับใคร เป็นอนาคามี ถ้ายังเป็นโทษภัยกับภายนอกอยู่ ยังตัดเขตอนาคามีไม่ได้ เมื่อเป็นอนาคามีแท้ก็เหลือภายในเป็นภวภพ ก็ล้างมโนมยอัตตาภายใน เมื่อหมดแล้วก็ล้างอรูปต่อ จากอนาคามีเป็นอรหันต์
เกิดจาก กัมมโยนิ ทั้งสิ้น เกิดจากการกระทำของคุณเอง ใครจะมาฆ่ากิเลสภายในอรูป ให้คนอื่นฆ่าไม่ได้ มันเป็นนามธรรม เอาเลเซอร์ไปยิงให้ไม่ได้ มันเป็นรูปธรรม มันเป็นนามไม่ได้ นามนี่ไม่มีใครไปทำแทนใครได้ เหลืออรูปภพของตนเอง คุณต้องฆ่าของตนเอง
ทีนี้ เลื่อนจากกัมมโยนิ มาเป็นกัมมพันธุ ในขณะทุกอันนี้คุณเปลี่ยนพันธุ์เปลี่ยน DNA เปลี่ยน Genome ไม่ใช่ DNA ของ นามธรรม ตรวจ DNA ทางสรีระคือตรวจได้แต่รูป กับปริมาณ ตรวจนามไม่ได้ ปริมาณของนามตรวจไม่ได้ คุณไม่มีเครื่องมืออะไรตรวจหรอก ตรวจได้ด้วยมิเตอร์ของตัวเอง
มิเตอร์ของจิตตัวเอง มิเตอร์ของปัญญาตัวเอง มิเตอร์ของธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มิเตอร์ของสัญญา มิเตอร์ของปัญญาของตัวเอง เป็นตัวรู้ รู้สัมผัสนามธรรมของตัวเอง ของคนอื่นไปรู้เขาไม่ได้ รู้ได้หากคุณเก่ง แต่ยากมากจะไปล่วงรู้นามธรรมคนอื่น ต้องมีนามที่เหนือชั้นกว่ามากจึงรู้
ขั้นพระโพธิสัตว์พระพุทธเจ้า ท่านมีได้ แต่ยังไม่ถึงเวลาอย่าอยากเลย อาตมาไม่มีใจอยากไปใช้ทำ หยั่งรู้ใจคนอื่น เพราะต้องใช้เวลา พลังงานไปทำมากเลย ถ้ารู้อย่างนั้นอาตมาก็ไปทำนาคนอื่น นาอาตมาจะทำ โพธิสัตวภูมิ ต้องใช้พลังงานมาก ทุกวันนี้ก็มีคนถนอมแคลอรี่ให้อาตมา แต่ก็ใช้เกินอยู่เรื่อย เพราะพวกคุณทำเรื่องราวเลวร้ายในสังคมมากไง อาตมาเลยต้องเสียพลังงาน แคลอรี่
ต้องพยายามช่วยกันเถอะ ช่วยตนเอง ช่วยอาตมา
สรุปกัมมโยนิ ทำแล้วค่อยตกผลึกเป็นกรรมพันธุ์ เชื้อจริงพันธุ์จริงก็จะรับมา แต่ถ้าไม่ใช่ตัวจริง จะไม่รับ
พ่อแม่ จะมาทำพันธุกรรมของเรา พ่อก็ทำของพ่อเองทำกรรมของพ่อเอง แม่ก็มีกรรมพันธุ์ของแม่เอง ลูกก็มีกรรมพันธุ์ของลูกเอง
กรรมพันธุ์นี้ เป็นทางวัตถุมีแต่คุณภาพกับปริมาณ ของรูปธรรมเท่านั้น ไม่ใช่นาม คุณตรวจดีเอ็นเอของนามไม่ได้ เอาของคนอื่นไปตรวจก็ไม่ได้ ต้องตรวจของตัวเองเท่านั้นจึงจะจริง ตรวจได้ คุณต้องมีพลังงานนั้นมากพอเหลือเฟือ อย่างเช่นพระพุทธเจ้าเป็นต้น ก็เข้าไปดูได้ อัญญาสิ วตโพ โกณทัญโญว่า พลังงานอัญญะเกิดในจิตของอัญญาโกณฑัญญะแล้ว เป็นพลังงานธาตตุรู้ที่เป็นโลกุตรจิต ตัว Primary cell เป็นเซลล์ของจิตนิยามตัวแรกเรียกว่า อัญญะ
อัญญะตัวแรกนี้ คำว่าอัญญะ ในภาษาบาลีจึงแปลว่าอื่น หรือต่างหากจากอันเดิมอันเก่าโลกีย์ แต่ก่อนรู้เก่งมาก รู้จบ ครบ ความเก่งโลกีย์ แต่ไม่เคยมีธาตุอัญญธาตุเลย ธาตุโลกุตระ ตรงข้ามโลกีย์ 180 องศา
โลกียะกับโลกุตระนั้นตรงกันข้ามกัน180 องศา เป็นเส้นตรง หันหน้าหันหลังให้กันเลย
เส้นแบ่งระหว่างโลกียะ โลกนี้ คือโลกโลกีย์ โลกอีกโลกคือปโรโลโกคือโลกหน้า ปร แปลว่าอื่น อัญญะคือโลกอื่น
ปร ก็อธิบาย คือโลกอื่น แต่โลกอื่นของโลกียะ ว่าต้องตายจากร่างนี้ไปเป็นโลกอื่น แล้วรู้ได้ไหม พระพุทธเจ้ารู้ได้ อาตมารู้ได้บ้าง แต่คนส่วนมากนั้นรู้ไม่ได้หรอก อย่างนั้นก็ไม่ต้องไปรู้มันมาก เอาโลกอื่นทางจิตดีกว่า
จิตที่ทวนกระแส ปฏิโสตัง หันหลังการเดินชนกัน 180 องศา นี่คืออัญญธาตุ ต่างจากโลกียะ คนละทิศ คนละองศา ตรงกันข้ามกันเลยนะ เส้นตรงนี้ เส้นตรงนี้จะเกิดองศา เริ่มต้นมาทางนี้นะ
อัญญะเริ่มตัวแรกเลย ตัวแรกละเอียดจะเริ่ม .0001 ก็ตามแต่มันแยกจากโลกียะ แต่มันน้อย จึงเป็นอัญญะ อันอื่น เป็นความรู้อันเป็น บัณฑิตโลกุตระ เกิดสองเส้า เดินระหว่างสองเส้าสองมิติเพิ่มขึ้นเป็นระดับบวก 2 3 4 5 มาจับเป็นเส้าๆ ก็จะคูณ จะบวกไปจนจะยกฐานะเป็นคูณ จนถึงยกกำลัง จะมีสภาพเจริญมากขึ้น เป็นความรู้ใหม่เรียกว่า อัญญา
อัญญา จึงแปลว่าความรู้ อัญญะ แปลว่า อื่นแยกจากโลกีย์ อัญญะ จึงเป็นคำโดยเฉพาะ ไม่ใช่ ประ
มีคำว่าอื่นอีกไหม นอกจากคำว่า อัญญะ และ คำว่าประ ….
มหาบุญหนาว่า...มีสองคำนี้ เป็นอนิยมะ
พ่อครูว่า เป็นอนิยมะ คือไม่เที่ยง มันได้เท่านี้
คำว่า อัญญะ ที่อาตมาขยายนี้ ซึ่งเป็นตัวพลังงานวิเศษของจิตนิยาม ที่แยกแตกออกมาแล้ว มันจะไปโมเม ซื้อตามร้านขายยา ห้างสรรพสินค้า ไปเอาจากใครไม่ได้ ตัวเองต้องสร้าง
ถ้าใครฉลาด แล้วติดโลกีย์มาก จะไปทางมากเด่นโด่งดังมาก เขาใช้เวลา พลังงานสะสมอย่างนั้นมาก แต่ถ้าเราจะไปโลกุตระ มันต้องได้รวยสักล้านๆเสียก่อนจึงจะไป ถ้าไม่ได้ลิ้มรสล้านๆยังไม่ไป ก็จะพัฒนาโลกีย์หาทางรวยล้านๆ แม้จะสุจริตก็ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ แต่ถ้าคนนี้บอกว่าไม่ประหลาดหรอก รวยแค่สิบล้านก็เหลือแหล่แล้ว รู้รสโลกีย์แล้ว เอาร้อยล้านก็พอแล้ว ผลก็ตัดสินว่าเอาแค่นี้ก็พอ มาเอาโลกุตระดีกว่าก็มา แต่ถ้าคุณว่ายังไม่ได้หรอก แค่ร้อยล้านไม่พอต้องพันล้าน จะไปโลกุตระได้อย่างไร จะหมื่นล้านแสนล้าน ล้านๆ ก็เชิญ อาตมาไม่เอา พอแล้วเข้าใจแล้ว
เพราะเรามาลดความรวย เอารวยไปซื้อ ลาภยศสรรเสริญ สุขทางกาม ทางอัตตา เท่านี้ล่ะรู้แล้ว ใครไม่รู้อยากลองลิ้ม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อัตตามากๆ เมื่อไหร่จะรู้สักทีนะ ว่ามีมากแล้วอะไร หลงรวยหลงกามหลงความรู้ตนผลาญพร่า ก็แล้วแต่ ใครยังไม่รู้สักทีก็ อยู่ต่อไป ตอนนี้จะเอาคุกชีวิตมาเปิด เอาเพลงจนอะไรหรือรวยอะไร เพลงคุกชีวิต จะเปิดหลังรายการนี้
ถ้าใครไม่รู้จักกัมมโยนิ ว่ากรรมนี้พาให้เกิด เกิดทาง โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา เกิดทางนามธรรมล้วนๆ เป็นโอปปาติกะโยนิ เกิดทางนามธรรมทางจิต เกิดเป็นผี เป็นสัตว์นรก เกิดเป็นคนเลว เกิดเป็นคนมีโทษไม่ใช่คุณ แม้จะมีคุณ ไม่โทษ แต่เป็นทางโลกียะ เราก็เข้าใจ
มาเกิดเป็นโลกุตระ คุณก็แยกอาการของโลกุตระกับโลกียออกจากเวทนา ออกจากความรู้สึกโลกียะ มาลดสุข โลกียะมาเป็นโลกุตระ ลดอย่างกดข่ม วิกขัมภนะหรือลดอย่างวิปัสสนาลดอย่าสงอาริยะที่ยืนยันทั้งภายนอกภายในว่าน่ามาทำมีอาการอย่างนี้ อาการสุขทางโลกียเป็นอย่างนี้ ทำพลังงานใหม่ให้มันลดความสุขโลกียะได้ โดยจัดการที่ต้นเหตุ ตัวตัณหาที่เป็นตัวเหตุให้โง่ไม่ไปหลงสุขก็อยากได้อย่างนี้ ได้ลาภยศก็สุข ได้ยกเลิกก็เจ็บ ได้สรรเสริญก็สุข ลาภยศมันก็ หยาบรู้ได้
สรรเสริญนี่ละเอียด แต่คนที่ หยาบยังเห็นได้เลย อย่างธัมมชโย ยิ่งลักษณ์ เขาหยาบทั้งรูปธรรมลาภเอาเยอะ ยศก็เอานี่ถูกถอดยศทั้งทักษิณ ธัมมชโย ยิ่งลักษณ์ถูกถอดยศจากการเป็นนายกฯด้วย มันไม่ใช่เรื่องย่อยนะ คนยึดติดเจ็บปวดนะ เหมือนหมอมโน บอกว่าธัมมชโยเจ็บปวดมากที่ถูกถอดยศ
ทักษิณ เป็นตั้งพันโท แล้วมาถูกถอดยศ ธัมมชโยเป็นชั้นเทพก็ยังถูกถอดยศ ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีก็ยังถูกถอดยศ เป็นความเจ็บปวด สำหรับคนที่ยึดติดเป็นเราเป็นของเรา จะเจ็บปวดมาก เจ็บปวดจริงๆ
ยศก็ดี สรรเสริญนี่ยังน้อยกว่า การยกย่องชมเชย ในวงการศาสนา อย่างธัมมชโยถูกถอดยศชั้นเทพ ถ้าเขายึดถือก็เจ็บปวดแน่นอน ถ้าได้สูงกว่าชั้นเทพ เป็นชั้นธรรมชั้นพรหม ก็ตายแน่ๆ นี่ขนาดนี้ก็ยังซึมเศร้า
ทางด้านโน้นแค่พันโท จองเวรจองกรรมไม่หยุดเลย ยศแค่พันโท มีเหรียญตราอื่นๆ ก็ถูกริบหมดไม่เหลือ นี่ก็ยิ่งลักษณ์ก็เจ็บปวด
ทีนี้ ยศ ถ้าสรรเสริญยิ่งละเอียดใหญ่เลย ขณะนี้ฝ่ายที่สรรเสริญยกย่องยิ่งลักณ์ทักษิณ ยังยกย่องชมเชย กันอยู่ เป็นความเฉลียวฉลาดของเขา แต่คนมีปัญญาหรืออัญญาก็จะถดถอยแน่นอน แต่คนไม่มีอัญญา เป็นเฉโก เป็นความฉลาดโลกีย์ อย่างเช่นคุณวัฒนา เมืองสุข รับรองจะอยู่ด้วยกันส่งเสริมสนับสนุนกัน อยู่อย่างนั้น เพราะมันไม่ได้ข้ามขั้นมา ว่าไปหลงอะไรแบบโลกียะ ลาภ ยศ สรรเสริญ สรรเสริญโลกียะ
มาสรรเสริญทางโลกุตระไม่ดีกว่าเหรอ มาเรียนรู้โลกุตระให้ได้ ธรรมะโลกุตระเป็นอย่างไร เข้ามาอยู่ทางฝ่ายโลกุตระซะ ยิ่งมีนามธรรมเข้าไปมีญาณปัญญา มีอัญญา อันนี้เริ่มต้นจริงแล้ว อัญญามาเป็นสัญญา เป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ
ปัญญามันต่างจากเฉกา คนที่ไม่เริ่มมีอัญญา ก็จะมีปัญญาไม่ได้ เข้าใจมากขึ้นไหม มันมีแต่ฉลาด จะฉลาดมากเท่าไหร่ ก็เฉโกมากเท่านั้น ฉลาดมากเท่าไหร่ยิ่งเฉโกมากเท่านั้น ยิ่งมีเหลี่ยมให้คนหลงได้มากเท่านั้น
คืออย่างคุณทักษิณ มันน่าเห็นใจ ซวยตั้งแต่ไปเรียน อาชญาวิทยา แทนที่จะเอาอาชญาวิทยาไปปราบอาชญากร แต่เอาไปเป็นตัวอาชญากรเอง ก็เลยเป็นอาชญากรที่เก่ง ไม่เอาอาชญาวิทยา ที่ตนเองเรียน หรือไม่แน่ใจว่า เป็นอาชญากรรมจริงไหมก็ต้องเป็นเอง เป็นเองคนเดียวไม่พอ ก็เอาน้องสาวมาเป็นด้วย แม้แต่น้องเขยก็มาร่วมเป็นด้วย เวรภัยที่ทักษิณ เอาญาติโกโยติกาเพื่อนฝูง ทั้งตัวสาวกลิ่วล้อ มาเป็นปริมาณเท่าไหร่ แตกตัวเป็นนิวเคลียร์ฟิชชันมากเท่าไหร่ นี่คือสัจจะ อธิบายภาษาทางวิทยาศาสตร์ ที่อาตมารู้ภาษาวิทยาศาสตร์แค่ไส้เดือนกิ้งกือ ไม่ใช่รู้แค่งูๆปลาๆ ที่มีฐานะมากกว่าไส้เดือนกิ้งกือ ถ้ารู้มากกว่านี้ก็ดีสินะ
สรุปกัมมโยนิ เป็นตัวการกระทําพาเกิดพาเป็น เกิดอะไร เกิดเทวดาหรือเกิดผีสัตว์นรก คุณทำความเป็นสัตว์นรก คุณทำความเป็นเทวดาเอง ถ้าเป็นเทวดา สมมุติเทพ ก็เป็นเทวดาโลกีย์วนเวียนสุขๆทุกข์ๆ มีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขสมบัติผลัดกันชม ไม่เชื่อหรือ แต่คุณธนินท์คุณเจริญไม่เชื่อหรอก คุณเฉลียวก็ตายไปแล้ว ตอนนี้ตามจับตัวทายาทกระทิงแดงอยู่
คนที่แยกโลกียะกับโลกุตระ ด้วยบัญญัติความรู้ก็ตาม แยกไม่ออกว่ามัน 180 องศานะจ๊ะ เพราะฉะนั้นถ้าใครแน่จริงเลยว่า 180 องศาก็ต้องมาเลย ต้องมาจน ไม่เอาไปรวย ไม่อร่อยทางกามอัตตา ทางศักดินาทางศักดิ์ศรีอะไรไม่เอา คุณออกทีเดียวทั้งหมดไม่ได้หรอก ต้องมาล้างไปตามลำดับ ถ้าอยากมาแล้วมาอดทนก็เข้าๆออกๆ กลับไปกลับมาสัก 7 เที่ยว แล้วค่อยไป อย่างนั้นไม่ไหวแล้ว ก็ควรจะอยู่ข้างนอกก่อน เพราะอาตมาก็ดูไม่ไหวเหมือนกัน มาเป็นตัวนิวแซนด์ในนี้ แต่คุณอย่าดูถูกตัวเอง อาจจะไม่ถึง 7 เที่ยว เรานึกว่าตัวเองแย่ ดีไม่ดีออกไปเที่ยวเดียวก็กลับมาได้ อย่างแย่ก็ 2 เที่ยว หรือมาแล้วอยู่ได้เลย(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
มาแต่ตัวกับหัวใจ ไม่ต้องเอาเงินมาหมื่นล้าน แสนล้าน เพชรนิลจินดา ไม่ต้องเอามา มาแต่ตัวกับหัวใจมาเลย อาตมาต้องการคนอย่างนั้น ถ้าคุณไม่มีญาติจะให้เลยก็มาให้ที่นี่ อาตมาก็ไม่รังเกียจ
ต้องการตัวกับหัวใจนั้นสำคัญมาเลย ตอนนี้ว่ากันจริงๆแล้ว ประเทศไทยกำลังจะต้องสร้างอาริยบุคคลจริง ช่วยกัน
สถานะของอโศกทุกวันนี้ก็ค่อยๆกระเตื้องขึ้นไป แต่มันยากเพราะโลกโลกียะมันมากกว่าเราเยอะ จนกว่าเราจะเผยเนื้อตัว เป็นที่ยอมรับแล้วเขาจะเห็นมีปัญญา พอจะรู้ว่า อันนี้คือของจริงของดี
เรื่องกิเลสอัตตาของตน หลายคนชื่ออะไรว่าอโศกจริง แต่กาม ก็ตนเองยึงติดอยู่มาก มีคนที่ได้รับการยอมรับ สูงกว่าโพธิรักษ์เยอะ แล้วจะมาเป็นลูกศิษย์ โพธิรักษ์ได้อย่างไร อย่างมหาระแบบพี่ชายของจตุพร ก็ว่าโพธิรักษ์เป็นใคร มหาระแบบได้ป.โทนะ บอกว่า โพธิรักษ์มีอะไร? มีปวส.อนุปริญญา เปรียญไม่มีสักเปรีญ เขาเปรียญ 6 ก็จริง ยศชั้นทางพระ เป็นชั้นเทพ
อาตมาพูดตอนโน้นว่า อาตมาไม่มีอะไร แล้วมหาระแบบรู้ไหมว่าอาตมาไม่มีอะไร? มหาระแบบเป็นเจ้าคุณนะตอนนั้น โสภณคณาภรณ์ อาตมาแม้พระครูก็ไม่ได้เป็น เป็นพ่อครู
นี่คือรายละเอียด ฟังธรรมด้วยดีย่อมได้ปัญญา อย่างน้อยมี อานิสงส์การฟังธรรมห้าประการโดยลำดับ
ประเทศไทยโชคดี ที่ประเทศไทยมีตัวอย่าง ตัวจริง ไม่ต้องไปเอาชาดกนิทานโบราณมาพูด มันเป็นตัวอย่าง ที่เห็นหลัดๆ มีกรรมกิริยาทุกอย่างดี ไม่ดีทรัพย์สินของเรา เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาไปปู้ยี่ปู้ยำ เสียอีก
ประเทศไทยกำลังปราบพวกฉลาดเฉโกให้หมดไป อาตมาไม่ได้เป็นผู้ไปแย่ง หรือเป็นศัตรูคู่แข่งกับเขาเลย อาตมาจะอยู่ทำงานนี้ มีแต่อาตมา อยากให้ใครมาช่วย มีความรู้ความสามารถมีกำลังวังชา มาทำแทนอาตมา ทำได้ดีกว่าอาตมา ทำได้เฉลียวฉลาด รู้มากกว่าอาตมาก็เชิญ มาช่วยเผยแพร่ธรรมะพระพุทธเจ้าอธิบายธรรมะพุทธเจ้า ถ้าสัจจะอันเดียวกันมันเหมือนกันหมด อาตมาก็จะรู้ว่าเหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนก็จะรู้ จะได้ช่วยรังสรรค์สิ่งนี้ วัดที่อาตมาพาทำให้มันจริงไหม
เอาหลักตรวจสอบพระธรรมวินัยตามพระไตรปิฎก ตรวจเลยว่า อันไหนเข้าเกณฑ์พระพุทธเจ้า ยังไม่สิ้นไร้ไม้ตอก มีพระไตรปิฎกฉบับนี้ยืนยันได้ พระไตรปิฎกฉบับอื่นยังไม่สากลเท่าอันนี้ ในประเทศไทย ก็ทำร่วมกันเป็นหลักฐานยืนยันร่วมกัน เป็นหลักเกณฑ์
วันนี้อาตมาได้พูดถึง
1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 581)
กัมมโยนินี้ถึงโอปปาติกโยนิ ขยายถึงสัตว์โอปปาติกะเป็นผี สัตว์นรก เทวดาโลกีย์และเป็นสัตว์เทวดาโลกุตระ เป็นอุบัติเทพ จนกว่าจะหมดความเป็นสัตว์ 9 ชนิด เป็นวิสุทธิเทพ จึงจะหมดความเป็นสัตว์ที่สมบูรณ์แบบ
หมดความเป็นสัตตาวาส 9 พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ ด้วยการเรียนเวทนา 108 วิญญาณฐีติ 7 สัตตตาวาส 9 วิโมกข์ 8
สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้พ่อครูเน้นเรื่องกรรมตลอดสาย ทั้งภายนอก ภายใน ...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:52:59 )
รายละเอียด
600828_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ นัยต่างกันของเอกัคคตาจิตกับเอกจิต
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2560 ราชธานีอโศก เหลืออีกไม่กี่วันก็สิ้นเดือนสิงหาคมแล้ว เดือนกันยา ก็มาฟังกันใหม่ เดือนสิงหาผู้ต้องหาไม่อยู่ เดือนกันยา ก็คงจะไม่อยู่ มีผู้เปรียบเทียบ วันที่ 25 สิงหาที่ผ่านมา อดีตนายกรัฐมนตรีไทยไม่มารับฟังคำพิพากษา ที่เกาหลีใต้ อดีตประธานาธิบดีหญิงเกาหลีใต้ก็ถูกใส่กุญแจมือเดินเข้ารับฟังคำพิพากษา เขาบอกว่าเป็นความประมาทของเขา เป็นความผิดที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ลองเปรียบเทียบกัน อันหนึ่งยอมรับผิดและขอโทษประชาชน อีกอันหนึ่งไม่ยอมรับผิดอะไรและหนีไปอย่างนั้น อันหนึ่งมีความจบความหยุด ยิ่งถ้าได้อ่านบทสัมภาษณ์ของอดีตรัฐมนตรีรักเกียรติ สุขธนะ บอกว่าชีวิตที่ต้องหนี เป็นชีวิตที่ประสาทจะกิน เดือดร้อนมาก ทุกข์ทรมานมาก แต่เมื่อถูกจับได้ชีวิตรอด โล่งเลย อยู่ในคุก ก็อ่านหนังสือธรรมะ ถูกพิพากษาให้จำคุก 15 ปี แต่อยู่ในคุกก็ได้ลดโทษลงเรื่อยๆ เขาบอกว่าเขาน่าจะได้รู้จักธรรมะก่อนหน้าที่จะทำผิด คนที่เข้าใจชีวิตก็จะมีตัวจบ แต่คนไม่เข้าใจชีวิตก็จบไม่ได้ อย่างที่ว่า พี่ชายคุณยิ่งลักษณ์บอกว่า ยอมให้น้องสาวติดคุกแม้แต่วันเดียวไม่ได้ ก็เป็นชีวิตที่ไม่รู้จักยอม เพราะไม่ได้พบธรรมะ ชีวิตจึงติดคุกตารางแต่คุกคงไม่ได้มีแต่ในลูกกรง ยังมีคุกภายใน มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอัตตาที่ทำให้
จิตวิญญาณเราไม่มีอิสรเสรีภาพ
คุณรักเกียรติว่า เพราะไม่มีศีลธรรม จึงเป็นบันไดทำให้ทำผิดกฎหมายได้ เราก็มาเรียนรู้ออกจากคุกภายใน ให้หัวใจเรา เป็นอิสระเสรีภาพ
พ่อครูว่า...นำด้วย sms
SMS วันที่ 25 สิงหาคม 2560
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ยุคเจโตและยุคปัญญาของประชาธิปไตยไทย
_3867 สมัยรัฐป๋าเปรมตอนลุงจำลองเป็นเลขาธิการนายกฯและตอนลุงจำลองเป็นผู้ว่าฯกรุงฯก่อน พค.ทมิฬ35 ยุคนั้นบ้านเมืองสงบสุข!ลงใต้ร่มเย็น!ขึ้นเหนือสุขสันติ!ปชช.รักใคร่กลมเกลียว!ไม่มีแบ่งสี!ไม่แบ่งพวกแยกพ้อง!ไม่ยึดติดพรรคใด!ไม่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้น!
รัฐลุงตู่เขียวจะทำให้กรุงฯเหนืออีสานใต้ออกตกสงบสุขสันติคืนความร่มเย็นทุกภาคได้ไหม?ก็คงมีแต่ราษฎรใต้ร่มพระบารมีฯร่วมกับไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินคืนความสุขให้ปชช.ในชาติสัมประสิทธิ์สมประสงค์ได้จากใจจริงที่ทำจริงจัง!
โลกกำลังเผชิญวิบากกรรมจากภัยธรรมชาติภัยน้ำมือมนุษย์แย่งชิงผลปย.อำนาจความเป็นใหญ่สงครามทำลายล้าง?ไทยรวมพลังตั้งมั่น!รวมกันเราอยู่! แยกกันเรามลาย!
พ่อครูว่า... ตอนเป็นเลขาธิการนายกฯ คุณจำลองมียศเพียงพันเอก ซึ่งปกติแล้ว จะต้องเป็นพล.อ.ถึงได้เป็น คุณจำลองจึงเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่มียศพันเอก แต่ได้เป็นถึงเลขาธิการนายกฯ
ยุคพล.อ.เปรม บริหารประเทศ 8 ปี อยู่ในความสงบเรียบร้อยดี เป็นความสงบระดับเจโต เป็นยุคที่พล.อ.เปรม แสดงความจริง ขอกล่าวเชิงความรู้ของอาตมา เชิงอจินไตยว่า ยุคพล.อ.เปรม แสดงยุคร่มเย็น ในการบริหารประเทศ โดยการใช้สมถะ สุภาพเรียบร้อย ไม่พูดมากไม่มีเรื่องอะไรก็กลับบ้านเถอะลูกมีเจตนามุ่งหมาย เพื่อประเทศชาติ ใครจะมีอะไรก็เป็นประเภทตบมือข้างเดียวเพราะเป็นเชิงเผด็จการในที และพล.อ.เปรมคุมทหารได้ดี แม้ในยุคนี้ ทหารยังยอมรับพลเอกเปรม
คุณจำลองก็ทำงานตามฐานะ เป็นรูปธรรมยืนยันชัดเจน เท่าที่อาตมามองทั้งรูปและนาม มาถึงวันนี้แล้ว ตอนโน้นเจโต ตอนนี้มันปัญญาแล้ว มายุคทักษิณ เป็นความฉลาด แต่เป็นความฉลาดที่เลวร้ายมาก ยุคพล.อ.เปรม แสดงความฉลาดไม่ได้ เป็นยุคเจโต และต้องมีความตั้งใจดี ซื่อสัตย์สุจริตทุกอย่าง
พอมาถึงยุคทักษิณ เป็นยุคที่กล่าวแล้วว่า ขอสำทับว่า ประเทศไทยเป็นตัวอย่าง ทั้งแง่สมถะและปัญญา แสดงออกซึ่งวาระที่ไม่ไกลมานี้ วาระเจโตผ่านไปแล้ว ตอนนี้เป็นวาระปัญญา ส่วนยุคทักษิณ ไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นเฉโกที่เลวร้ายมาก จากนี้ไปจะเป็นยุคปัญญาแท้เกิดขึ้น
ประชาธิปไตยของประชาชน คนไทยยังไม่ตื่นตัว ตอนนั้น ยังลิงลมอมข้าวพอง ยังไม่รู้เรื่องไม่ชัดเจน จนกระทั่งมาถึง ที่ในหลวง ทรงงานมา 70 ปี คนไทยก็ยังไม่ตื่นตัว มาตื่นตัวในตอนหลัง ในหลวงทรงงานต้องอย่างนี้หรือคือประชาธิปไตย ต้องทำอย่างไม่มีตัวตนอย่างนี้หรือ เป็นเรื่องที่ ตื่น คนไทยตื่น ปัญญาขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงชัดเจน ในหลวงชัดเจนมาก ปัญญาตื่นตัวมา ชาคริยะ ตื่นตัวมาชัดเจน เข้าใจ รู้ จึงเกิดลักษณะที่คงอยู่
เพราะฉะนั้นตอนนี้คนไทยตื่นหมดแล้ว คนไทยทั้งประเทศตื่นรู้ตัวหมดแล้ว การทำงานเชิงปัญญา เชิงประชาธิปไตยเป็นการทำงานเพื่อมวลประชาชนที่แท้จริง ขอให้พลเอกประยุทธ์ทำเต็มที่เลย มันจะต่างกัน พล.อ.เปรม เป็นเจโต เจโต นี้ทำงานช้าใช้พลังงานมาก แต่ตอนนี้ประชาชนจะทำงานร่วม ได้เร็วได้มากเลย เพราะถึงเวลาที่จะต้องทำงานให้แก่โลก อาตมามองตามภูมิว่า
ไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะตื่นตัวมี activity อย่างประเทศไทย ในเรื่องของการเมือง บทบาท กิริยา กรรม พฤติกรรมของการเมือง ในขณะนี้ประชาธิปไตย ส่วนสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ก็ไม่มีบทบาทอะไรเป็นที่ยอมรับ ประชาธิปไตยที่สะอาดบริสุทธิ์จริงใจ ประชาธิปไตยที่ทำเพื่อมวลชนอย่างบริสุทธิ์ จะมีสมรรถนะ มากเท่าใดๆ ก็เป็นเงื่อนไขหลัก มีสมรรถนะ ความรู้ ความสามารถ มีนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถก็ร่วมมือกันให้ดี ร่วมมือทำงานกับ พลเอกประยุทธ์ ให้ดี จะไปได้อย่างงดงาม
จากเฟซบุ๊ค
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน เจ้าคุณนรฯคือเจโตผู้บำเพ็ญธัมมานุสารี
_ภัสราภรณ์ นิลโท · อยากรู้ค่ะว่า พ่อครูมีความเห็นอย่างไร เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติํธรรมของท่านเจ้าคุณนรฯ
พ่อครูว่า... เจ้าคุณนรฯ เป็นสายเจโตที่พยายามหาปัญญาแต่ไม่มีมิตรดีสหายดี โดดเดี่ยวแล้วไม่มีใคร ขออภัย อาตมาก็ไม่โผล่ พออาตมาโผล่ เจ้าคุณนรฯ ก็เลยเสียชีวิตก่อน ดีนะ อาตมายังได้คุยกับเจ้าคุณนรฯ เลยได้รู้อะไรที่ลึกซึ้ง
เจ้าคุณนรฯ ก็เป็น ผู้มาบำเพ็ญของเฉพาะตน อย่างจริงจัง เป็นเจโต ทางศรัทธา เต็มรูปและมีลักษณะปัญญา แสวงหาปัญญา และมีอัญญะ อัญญาแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในวาระที่ไม่มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อม สัมปวังโก จึงไม่มีหมู่คณะอาจารย์เลย เป็นตัวอย่างที่โดดเดี่ยวมาก แต่เป็นผู้ที่จะเรียกว่าโพธิสัตว์ก็โพธิสัตว์ เป็นธัมมานุสารีแล้ว
_หินแสง ....ขอน้อมกราบแทบเท้าพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
กระผมขอรายงานความเข้าใจของกระผมเรื่อง"อัญญะ"ครับ
"อัญญะ" คือ การผุดเกิดของ"มโนวิญญาณโลกุตระ"ที่ได้หยั่งลงใน"จิต"
ทำให้เกิด"ความรู้ความรู้สึก"แบบอื่น อันใหม่ขึ้น ที่แตกต่างไปจาก"ความรู้ความรู้สึก"เก่าๆ
เดิมๆที่เคยผ่านมา เป็น"จิตวิญญาณโลกุตระ"ตัวแรก ที่จะเริ่มพัฒนาต่อยอดต่อภูมิเชื่อมต่อกับคำสอนทฤษฏีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ได้อย่างน่าอัศจรรย์
"อัญญะ"นี้เป็น"ต้นเชื้อDNAโลกุตระ"ที่จะพัฒนา"ความรู้ความเฉลียวฉลาด"นี้ต่อไป จนเกิดประสิทธิภาพขั้น"สัมประสิทธิ์" คือสามารถแสดงจาก"นามธรรม"ออกมาเป็น"รูปธรรม"
เป็น"กายวิญญัติ วจีวิญญัติ"
"อัญญะ"นี้เป็น"ความฉลาดโลกุตระ"แรกที่ต่างไปจาก"ความฉลาดเก่าๆเดิมๆแบบโลกียะ"
ชนิดกลับขั้ว"ทวนกระแส" สวนทางกันคนละทิศ คนละทาง คนละโลกอย่าง 180 องศา "อัญญะ"นี้จึงไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นกับคนที่ยังเป็น"ปุถุชน"เป็น"โลกียชน"
จะเกิดขึ้นเฉพาะกับ "อาริยชน"หรือ"โลกุตรชน"เท่านั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ต้องมีปริยัติแต่เน้นที่ปฏิบัติ
Kor Chobtang แล้วทำไมต้องมีการแยกเป็นคู่ๆ เป็น ... ปัตติมรรค กับ .... ปัตติผล
มรรค กับ ผล มีความเหมือน และ แตกต่างกันอย่างไร ในกรณีนี้
พ่อครูว่า...ธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้ามีตั้งแต่ 2 เป็นต้นไปไม่มีอะไรเหมือนกัน จึงต้องตรวจตั้งแต่ หยาบใหญ่ให้รู้ได้แล้ว พยายามรู้ความต่างกัน เมื่อต่างกัน ต้องมีอะไรดีและไม่ดี อะไรถูกอะไรผิด อะไรควรแล้วไม่ควร เราก็เลือกเอาความควร ไม่ต้องไปพูดคู่ที่หยาบ เพราะฉะนั้นต้องใช้ 2 เสมอ เพื่อปฏิบัติ คนใดที่ดันแต่หนึ่งไม่เอาสอง คนนี้ปล่อยเขาไป คนนี้ไม่มีทางเจริญ จมดิ่ง ไม่มีปรโตโฆษะ ติดกับอันนั้นตลอดกาล ถ้าเขาเจริญก็เจริญไปแล้ว
คนที่เจริญทางปริยัติ แต่ไม่รู้สภาวะไม่รู้ปฏิบัติ อย่างอาตมานี่พาทำทั้งปริยัติและปฏิบัติ แต่เน้นปฏิบัติมากกว่าปริยัติ คนที่หลงว่ารู้กว่าอาตมา อาตมาไม่เคยบอกว่าเลยว่า ปริยัติ อาตมาเก่งกว่า อาตมาไม่เก่งปริยัติไม่ใช่ learned man
เราเป็นคนใช้สภาวะสร้างความเป็นจริงเป็นหลัก ผู้ที่ยึดติดภาษา บัญญัติ ไม่มีปรโตโฆษะก็จะจมอย่างนั้น แค่สัมมาทิฏฐิ จะมี ปรโตโฆษะ กับโยนิโสมนสิการ จะทำใจในใจอย่างไร ศีล สมาธิ ปัญญา จะทำอย่างไร ก็ไม่งมคลำกับอันเก่า ต่อให้คุณพอรู้ปริยัติ ที่อาตมาพูดบ้าง แต่ถ้าไม่ตามปฏิบัติ ได้แต่รู้มาก เต็มหูเต็มหัว และที่เต็มหูเต็มหัว อาตมาอธิบายแยกแยะไป หรือบางอย่างคุณรู้มากกว่าอาตมา อาตมายังไม่ได้ไปถึงไม่ได้แยกแยะ ก็นึกว่าตนรู้มาก จริง รู้มากหัวโตเลย อาตมาหัวลีบ
สรุปแล้วต้องมีธรรมะ 2 ไม่ต้องตะกละ ทำให้เป็นหนึ่งไปเรื่อยๆ ก็จะเจริญสั่งสมไปตามลำดับเท่าที่ทำได้
_ลอย แคนาดา ขออนุญาตเรียนถามพ่อครูว่า
ตามความรู้พื้นฐาน สังขาร ที่เป็นการปรุงแต่ง เกิดก่อนเวทนาแต่การที่สังขาร เกิดขึ้นตามเจตนาบางชนิด เช่น ความชอบใจต่ออารมณ์นั้น (ต่อเวทนานั้น) แสดงว่า เวทนา ทำให้เกิดสังขาร ที่ในแบบหนึ่ง ที่มีทั้งกิเลส และปัญญา ใช่หรือไม่ครับ
พ่อครูว่า...สังขารธรรมดาเป็นโลกียะ สังขารอีกอย่างเป็นอภิสังขาร พวกสังขารโลก ก็จะยินดีที่ได้ปรุงแต่งสำเร็จตามโลกโลกียะ ส่วนโลกุตระก็มีอุปกิเลสซ้อนได้ มีปีติ อย่าให้สูงจนอุพเพงคาปีติ จะร้อนจะเวอร์
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อจินไตยทำไมบางสมัยมีพระพุทธเจ้า
_จางคลาย จากการฟังธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับยุคของพระพุทธเจ้าสมณะโคดม ซึ่งมีอายุทั้งสิ้น 5 พันปี หลังจากนั้นจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้น และก่อนหน้ายุคของพระพุทธเจ้าสมณะโคดมก็เคยมียุคของพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ มาก่อนแล้ว
ผมเข้าใจว่าสัจจะความจริงของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทุกยุคสมัยนั้นตรงกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใช่มั้ยครับ?
แต่โลกนั้นแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ เปลี่ยนไปตามกาล ตามยุคสมัย การเปลี่ยนแปลงของโลกดำเนินไปอย่างช้าบ้าง เร็วบ้าง แล้วแต่ช่วงแห่งกาลสมัย ทำให้ยุคของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีความเสื่อมไปตามเหตุแห่งยุคสมัย หรือจะเรียกว่าศาสนาเสื่อมก็ได้ แต่สัจธรรมนั้นเที่ยงแท้แน่นอนไม่มีเสื่อม ใช่มั้ยครับ?
เพียงแต่ว่าสัจธรรมที่พูดกันตามคำสอนของพระสมณะโคดม ตามพยัญชนะในยุคพุทธกาลนั้น ยังเป็นที่เข้าใจได้ง่ายสำหรับคนในยุคเดียวกันหรือยุคใกล้ ๆ ที่สืบต่อมา แต่เมื่อผ่านกาลยุคสมัยมาไกลถึง 2600 ปี ภาษาและพยัญชนะเดิมนั้นได้กลายเป็นสื่อกลางที่เข้าใจได้ยากขึ้นสำหรับคนในยุคนี้ และคงจะเข้าใจได้ยากยิ่งขึ้นไปอีกในยุคต่อ ๆ ไป จนถึงสิ้นยุคศาสนาของพระสมณะโคดม ก็อาจจะเสื่อมจนแทบไม่เหลือใครที่พอจะเข้าใจได้อีกแล้ว จึงถึงคราวที่ต้องมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้น เพื่อสร้างคำสอน บัญญัติ หรือสื่อกลางที่จะเป็นเครื่องมือถ่ายทอดสัจธรรมหนึ่งเดียวของจักรวาลให้มนุษย์ได้เรียนรู้กันต่อไป
อันนี้ผมคิดตามความเข้าใจของผมเองนะครับ หากผมเข้าใจผิด ขอนมัสการพ่อครูช่วยอธิบายแก้ไขให้ด้วยครับ หรือช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้เข้าใจถึงยุคสมัยของศาสนาและความจริงแท้ของสัจธรรมด้วยครับ
พ่อครูว่า...โลกุตระนั้นไม่มีสิทธิ์ที่ปุถุชนจะรู้เอง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถือว่าเป็นธรรมสามีเป็นเจ้าของธรรมะ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จะไปบอกว่าเป็นเจ้าของธรรมะยังไม่ได้ ยังไม่อยู่ในฐานะสุดยอด เพราะฉะนั้น ธรรมสามีคือพระพุทธเจ้าเท่านั้น ในยุคนี้อาตมาเจอคนหนึ่ง ตอนอาตมาเริ่มปฏิบัติธรรม เขาใช้นามปากกาว่า ธรรมสามี คำว่า ธรรมสามี คนอื่นไม่มีสิทธิ์ใช้ เขาก็เลยได้รับวิบาก
คำว่าธรรมกายก็ไม่ควรใช้ คำว่าธรรมสามีก็ไม่ควรใช้ ขี้กลากกินหัว ไม่ดี
ภัทรกัปป์นี้ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ แล้วจะมีพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ที่ถามมานี้ อาตมาจับความได้ว่า หากศาสนาพุทธจะหมดลง ก็จะมีพระพุทธเจ้าองค์ต่อมา มาสืบทอดต่อเลย บางกัปป์ บางยุคเป็นได้ เช่นในภัทรกัปป์ เมื่อพระพุทธเจ้าองค์นี้จบ องค์ต่อไปก็ต่อมา ท่านก็ยังไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร ก็มีคนเดาว่า เป็นพระอชิตะ บางคนก็เดาว่าพระกัสสปะ ก็เดาทั้งคู่ แต่เพราะพระพุทธเจ้าสมณโคดม นี้ไม่สอนใบ้ไม้ทั้งป่า ท่านก็เลยไม่ตรัสอันนี้ ท่านก็เลยตรัสแต่ว่า ก็จะมีผู้m เราเก่งกว่าเรา ที่จริงเป็นโวหาร เป็นสมมุติสัจจะ ประวัติพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เก่งเท่ากัน เช่น พระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตรย เป็นตำแหน่ง ที่จะมาเกิดในครั้งหน้าเป็นองค์ต่อไป ที่จะมาต่อยุคพระสมณโคดม พระสมณโคดมเป็นยุคที่น้อยที่สุดแล้ว แล้วก็จะสิ้น เมื่อจบสิ้นน้อยที่สุดแล้วก็กลียุค กลียุคนี้โลกจะฉิบหายวายป่วง ต้องการรักษาทั้งผืนแผ่นดิน มวลมนุษยชาติ เซลล์เชื้อชีวะ จึงใช้เวลายาวนาน ศาสนาพุทธในยุคนี้ ของพระสมณโคดมจบลง จะทิ้งระยะพุทธันดรนานกว่าจะสะสมอะไรต่อไป ในโลกยุคนี้แหละเพราะว่าโลกยุคนี้ยังไม่แตกง่าย อีกนานกว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาเกิด
พระพุทธเจ้ามาเกิด จะเกิดได้สองนัย นัยหนึ่ง พระพุทธเจ้ามาเกิดเพราะสมควรจะเกิดแล้ว อีกนัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเกิดมาเสวยผล แต่นัยที่พระพุทธเจ้าต้องมาเกิดนั้น อย่างยุคนี้ เกิดมาเสียของ ต้องให้โพธิสัตว์มาเกิด อาตมานี่แหละ ไม่ค่อยจะมีความครบพร้อมเท่าไหร่ ขาดๆวิ่นๆมาเกิด จึงจะเหมาะสม แต่ก็จะได้ประโยชน์เท่าที่ควรจะได้ อย่างพวกคุณได้ ซึ่งอาตมาอธิบายไม่เก่ง มีนัยลึกซึ้งกว่านี้ แต่รู้ว่าอธิบายยังไม่ครบบริบูรณ์
สรุปแล้ว พระศรีอาริยเมตไตรยจะทิ้งช่วงยุคพุทธันดรไปอีกนาน ไม่รู้ตัวเลข แต่นานเป็นแสน เป็นล้านปีกว่าจะมีศาสนาพุทธเกิดขึ้นมาใหม่
ในกลียุค เดือนร้อนจริง ก็จะมีพระโพธิสัตว์เกิดมาเพื่อศึกษา แต่ท่านช่วยคนอื่นไม่ได้ รักษาตัวเองให้รอดจากลียุคไฟไหม้โลก ก็ต้องมาฝึกที่จะสู้กับไฟนรก ต้องมาสัมผัสของจริง เดาเอาไม่ได้ จินตนาการไม่ได้ อตักกาวจรา ก็เป็นหน้าที่ อาตมาต้องถึงขนาดนั้นหรือไม่ ในยุคที่จับยอดหญ้าก็เป็นดาบ ฆ่ากันอย่างแหลกราญ เป็นสำนวนโบราณ แต่สมัยนี้มันยิ่งกว่าดิจิตอลเป็นนาโนแล้ว ยิ่งกว่าหนังกำลังภายใน ยิ่งกว่าเด็ดหญ้ามาเป็นดาบได้ อธิบายตามยุค
_กูรู อุลตร้าแมน ขอกราบพ่อท่านด้วยความเคารพ
มาถึงปีนี้ ผมขอฝึกเป็นอรรถกถาจารย์ต่อหน้าพ่อท่านสักครั้งนะครับ เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับผู้เอาใจใส่ศึกษา
ว่าด้วยเรื่อง สองลำดับสุดท้ายก่อนจะเป็นผู้หมดบุญ ในขั้น "รูป" ก็คือ วิธีการให้เป็นผู้หมดบุญนั้น ก็จะไปกองกระจุกกันเป็นคอขวด อยู่สองขั้นสุดท้าย คือ สัมมาสติ และส่งไปยัง สัมมาสมาธิ
เมื่อทุกๆ มรรค จะทำการสังขาร (ทิฐิ วายามะ สติ สังขารไปกับ มโน วจี กายกรรม อาชีวะ) เป็นปุญญาภิสังขาร ลงไปที่ไหน ก็ลงไปกองกันที่คอขวด คือ สัมมาสติ
แล้วสัมมาสติที่คอขวดนี้ ก็ยังไม่ใช่สติที่บริสุทธิ์ดีนัก จนกว่า สติจะพาสิ่งที่สัมมาทั้งหลายสั่งสมลงเป็น สมาธิ เกิดฌาน 1 2 3 4 ผลสุดท้ายแล้ว การได้ฌานที่ 4 ก็พ้นสุข พ้นทุกข์ เพราะเหตุมาจาก "รูปต่างๆ ในโลก" คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของโลก จะเกิดอานิสงส์เจาะจงลงไปที่ สติ จึงมีสติบริสุทธิ์ด้วยอุเบกขาอยู่
จะเห็นว่า สัมมาสติ ที่คอขวด พาไหลลงสู่ปากขวดเป็นสัมมาสมาธิ คือได้อุเบกขาที่ฌานอันดับที่4 แล้วความน่าน่าอัศจรรย์ก็มีให้รู้ตรงที่ ก็สัมมาสมาธินั่นแหละ เป็นเหตุให้สติ บริสุทธิ์อยู่ (มรรคที่7 ก่อเกิดมรรคที่8 แล้วมรรคที่8 ก็ย้อนกลับไปสร้างอานิสงส์ให้แก่มรรคที่ 7)
ดังนั้น สติที่บริสุทธิ์แล้วนี่แหละ ที่จะเป็นยาดำไปในทุกๆ เรื่อง คือ เมื่อหมดบุญที่จะชำระ เรื่องรูป แล้ว ก็ใช้สติที่บริสุทธิ์แล้วนี้แหละ ไปตรวจเรื่อง ความสะอาดหมดจดเรื่องบุญ หมดงานแล้วในเรื่องรูป
แม้จะย้อนกลับไปหา การปรุงแต่งวจีสังขารอีก ว่า อะไรน่าพูด ไม่น่าพูด ก็สติที่บริสุทธิ์แล้วนี่แหละครับ ที่จะมีอำนาจ เป็นฝ่ายประสานงานนำหน้าปัญญาไปหา การปรุงแต่ง ใดๆ ในล้านๆ เรื่องแห่งการสังขาร
มีเท่านี้แหละครับ ว่า สติบริสุทธิ์ที่ได้มาจากฌานที่4 แล้วเท่านั้น จึงจะมีสติรู้ดีว่า หมดบุญแล้ว เรื่องรูป จบโดยทำรูปฌาน หมดบุญแล้วเรื่องรูป
ยังเหลือแต่ต้องไปชำระในขั้นละเอียดกว่ารูป ก็คือ ล้างสัญญา ในรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา ก็อาศัยสติที่บริสุทธิ์นี้อีกนั่นแหละ ที่จะพาวนกลับไปปฏิบัติกับการเปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย อีก แต่มันไม่เหมือนเดิม เพราะ รอบนี้ จะล้างสัญญาม ไม่ใช่ล้างรูป
ขอสรุปว่า สติที่บริสุทธิ์แล้วเท่านั้น จึงจะเป็นสติที่มีอำนาจ จะยืดจะหด จะถ่วง จะอืด จะทน ยังไงๆ ก็มีอำนาจที่จะใช้ทำการปรุงแต่ง อย่างมีวสี คือ มี เจโตวสิปัตโต
/ จบข่าวครับ
พ่อครูว่า...ปฏินิสัคคะ ทวนไปทวนมา แล้วจึงมี ปฏิปัสสัทธิ คือไม่มีนิ แล้ว มี Action reaction อยู่ในโลกแต่อยู่เหนือ แทงทะลุหมดเลยเป็นปฏิเวธ สมบูรณ์แบบ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สัปปุริสธรรมของผู้น้อย
อาตมาก็ใช้สัปปุริสธรรม 7 เลือกเฟ้นองค์ประกอบทำงาน อาตมาทำขนาดนี้ดูแรงต้องแรง ถ้าไม่แรงขนาดนี้ อาตมาข่มริปูไม่อยู่ ที่แรงขนาดนี้ ข่มริปูอยู่ อาตมาเคยยกตัวอย่างหลายครั้ง เหมือนหมาน้อย ถูกหมาใหญ่ขย้ำ หมาน้อยร้องเสียงดัง ดังไว้นะ แยกเขี้ยวด้วย กันไม่ให้หมาใหญ่ทำ ฉันเดียวกัน อาตมาก็ต้องกันไม่ให้หมาใหญ่ทำ แต่มีเขี้ยวแล้วมีพิษนะ ถ้าไม่งั้นหมาใหญ่คะนองนะ อาตมาต้องพูดนี้ไม่ได้พูดธรรมดานะ เขี้ยวอาตมามีธรรมฤทธิ์ อาตมาพูดเหมือนอวดอ้างตนเอง อวดอ้างอโศกคือหมาน้อยร้องส่งพิษ ธรรมฤทธิ์กันไม่ให้เขามาทำ ก็เราทำดีเสียสละต่อสังคมไหม เราออกไปประท้วงจนชนะ แม้เขาจะไม่เชื่อก็ตาม แต่มีคนเข้าใจเลยว่ากองทัพธรรมออกไปจึงเป็นผลสำเร็จ ไม่เกิดความรุนแรง คุณประยุทธ์จึงได้บอกว่าผมขอยึดอำนาจได้สบาย เพราะทุกอย่างพร้อม นี่คือสัจจะที่เป็นจริง อาตมายืนยัน เห็นว่าทุกอย่างลงตัวมันเป็นไปได้ มีเท่านี้แหละครับ
SMS วันที่ 27 สิงหาคม 2560 (วิถีอาริยธรรม)
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน โรคไบโพล่าที่น่ากลัวที่สุด
3867ความอยุติธรรมใช้กฎหมายมิชอบสะท้อนผลวิบากกรรม!ความยุติธรรมใช้กฎหมายชอบธรรมประจักษ์ผลกฎแห่งกรรม(กัมมัสสกตาสัทธา)!
พ่อครูว่า...กรณียิ่งลักษณ์ เกิดมาเป็นคณะ ตั้งแต่ทักษิณ จนเขาตั้งเป็นระบอบทักษิณ เป็นความซับซ้อนที่ยิ่งยอดยิ่งเยี่ยมก็เลยยิ่งยากที่จะปราบ และแก้ไข ผู้รู้ก็เลยว่ายิ่งน่าเหยียด น่าหยาม น่าแหยง น่าเหยียบย่ำ เพราะเขาสร้างรูปธรรมที่หลอกคนเป็นตระกูลเดียวกันแนวคิดเดียวกัน เลือดสุพรรณไปด้วยกันมาด้วยกัน ก็ก็ยกยิ่งยอดยิ่งเยี่ยม ก็เลยแก้ปัญหายิ่งยาก นี่ก็ยังไม่เสร็จไม่จบนะ เขาถือว่า สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร มันก็ยิ่งยอดเยี่ยมเหยอะหยะ
จึงจำเป็นต้องน่าย้ำ เอามาอธิบายกันให้คนรู้ มันเป็นรูปธรรม อจินไตย เขาจึงได้ฉายาเหลี่ยม ไม่รู้กี่เหลี่ยม ถ้าเป็นเหลี่ยมของเพชรแพรวพราว แต่นี่ก็เป็นความแพรวพราวที่น่ากลัว จนคนรู้ไม่ทัน
นี่เป็นเรื่องทางโลกทางการเมือง
ส่วนทางศาสนา ธัมมชโย เป็นเหลี่ยมทางธรรม อธิบายได้ยากมากกว่า ทักษิณ ทางโลก การเมืองนี้ก็คือที่เป็นตัวอย่างในสังคมยุคนี้ก็มียิ่งลักษณ์ทักษิณ
ยิ่งลักษณ์มีลักษณะที่เป็น bipolar มนุษย์สองเหลี่ยม เขาไม่ใช่เหลี่ยมมาก แต่เร็วมาก ที่กลับไปกลับมานี้นับเหลี่ยมไม่ได้เลย เกือบกลม เขาพลิกไปมาสองเหลี่ยมเร็วมากจนคนไม่รู้ นึกว่ากลม นี่ล่ะ bipolar ที่ไร้เหลี่ยม
แกแสดงออกจนวินาทีสุดท้ายว่าแกไม่ผิดๆ ขนาดคนในก็ไม่รู้ นึกว่าถูกแท้นะนี่ อกหักอกพังยังคิดไม่ถึง ไปยืนออกันหน้าศาลเลย เช่นคุณเต้น แม้แต่คนใกล้ชิดเขาก็ยังไม่แพร่งพรายยังปิดบังว่าเขาถูก แน่ใจว่าตนเองผิดก็เลยหนี หากแน่ใจว่าตนไม่ผิดจะหนีทำไม ถ้าแน่ใจว่าตนเองไม่ผิดจะหนีทำไม เหมือนโพธิรักษ์ไม่ถอยแม้ก้าวเดียว ไม่ลงใต้ดินแม้ครึ่งเมล็ดงา
นี่มันน่ากลัวที่สุดเป็นมนุษย์ bipolar ที่น่ากลัวที่สุด คำว่าประชานิยมก็ดี คำว่าประชาธิปไตยก็ดี คนที่อยู่ในฝั่งของพรรคเพื่อไทย ฝ่ายทักษิณ เขาเชื่อว่าเขาเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดที่แท้จริง จริงๆนะ เท่าที่เขามีปัญญา ไม่ใช่ปัญญาแต่เฉกา เท่าที่เขามีความเฉลียวฉลาดว่าเขาเชื่อว่ามีประชาธิปไตยอย่างนั้นดีที่สุด เขาออกจากกรอบโลกียะไม่ได้ เป็นประชาธิปไตยโลกียะ ทำได้สูงสุดแค่นี้
เหลี่ยมคูของทักษิณ โดยเฉพาะโดนัลด์ ทรัมป์ ห่างโยชน์เลย เรื่องการแสดงออกว่า เป็นประชาธิปไตยซับซ้อน เอาความดีมาล่อ ทำอย่างใครก็รู้ว่าโธ่เอ๊ย หยาบอย่างนี้ไม่ทำหรอก แต่นี่ทำแบบดูดีทั้งนั้น สวยสดงดงามเยี่ยมยอดทั้งนั้น
ขนาดปู้ยี่ปู้ยำประเทศชาติ กว่าจะกอบกู้ขึ้นมาไม่ใช่เล่นเลย ขนาดนั้นประชาชนคนไทยยังบอกว่า ประยุทธ์ ทำนี่เศรษฐกิจไม่ขึ้นเลย คนไปลงโทษคน ปู้ยี่ปู้ย้ำ แล้วเมืองไทยรวยขนาดไหนเชียว เอาไปทำลายผลาญขนาดนี้ กว่าจะเก็บเล็กผสมน้อยขึ้นมาได้ ไม่เห็นใจกันบ้างเลย กอบกู้ขึ้นมาได้ขนาดนี้ อาตมาว่าดีมากแล้ว ต้องรักษาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นมาและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วยมันง่ายที่ไหน
คำว่าประชาธิปไตยที่เขาเอามาขายมาเปิดเผย โดยใช้ประชานิยม เป็นตัวอวดอ้าง เป็นตัวสินค้าขาย เพื่อสร้างประชาธิปไตยของเขา เป็นประชาธิปไตยที่หลอก หมุนรอบเชิงซ้อน สนิท ใช้เพียง 2 เหลี่ยม แต่ที่จริง นับเหลี่ยมไม่ถ้วนเลย
ทางด้านธัมมชโยธรรมกาย ยิ่งยาก มันละเอียดสุขุม งาม ซับซ้อน ไม่มีคำอธิบายด้วย คุณเอาอโศกไปศึกษาเทียบกับธรรมกาย จะเห็นนัยยะซับซ้อนอย่างตรงกันข้ามชัดเจน ไม่ต้องเอาอะไรอย่างการพูดจาระหว่างโพธิรักษ์กับธัมมชโย หรือหน้าผ่องต่างกันเลย
สินค้า คำว่า ประชาธิปไตยเป็นสินค้า คำว่าธรรมะ ระดับพระพุทธเจ้า ระดับสวรรค์ เขาเอานิพพานไปแปะกับสวรรค์ไม่รู้กี่เฟส คนรู้ไม่ทัน เพราะหยาบมากโง่มากก็ไม่ทันเขา แต่อาตมาเชื่อว่า พุทธศาสนิกชนคนไทย 95% ในประเทศไทย เขาไม่ใช่จำนวนมาก ธัมมชโย แต่เขาเก่งที่ไปเอาเถรสมาคมเป็นพวกได้ จึงเกิดน้ำหนักทำให้คนยอมรับนับถือ เพราะคนต้องยอมรับนับถือเถรสมาคม เพราะเป็นกระแสหลักของประเทศ มันก็ต้องใช้
ูดเถอะ จะให้อาตมาโพธิรักษ์ เข้าไปบริหารศาสนาพุทธตอนนี้ทำไม่ได้ อย่างไรก็ไม่รับ ทำไม่ได้ ต้องอาศัยท่านที่ทำนี่แหละ ขณะนี้เหมาะสมที่สุดเลย เถรสมาคมบริหารไป ขอให้จริงใจกับธรรมะพระพุทธเจ้า อย่าอคติ ปรโตโฆษะบ้าง ศึกษาให้ดี ประคองไปถือว่าใช้ได้ โดยเฉพาะเดรัจฉานวิชา ให้เลิกเสียมันเป็นอบายมุขของศาสนาอย่างยิ่ง
ในมหาศีลเอามหาศีลไปทำ ถ้าเถรสมาคมเลิกรดน้ำมนต์ เลิกจุดธูปเทียนบูชาไฟ สวดมนต์ก็เพลาลงบ้าง จะเป็นราชพิธีก็ต้องทำ แต่อย่าทำแบบ สวดมนต์ล้านเที่ยวแล้วไม่ต้องให้ติดคุกไม่ต้องถูกจับ อย่างที่ธรรมกายเขาเอาไป ให้เลิกได้เลย ในสังคมยุคภัทรกัป ปลายนี้ สังคมมนุษย์ยิ่งเป็นความซับซ้อน ของผู้ที่ใช้สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ที่จะใช้แง่ดีงาม เหมาะสมกับยุค ที่จะเอามาหลอกล่อ ทำให้คนเข้าใจผิด เชื่อถือ เขาก็เอามาทำเท่าที่เขาทำกันได้
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน เอกัคคตาจิตกับเอกจิตนั้นต่างกัน
เมื่อกี้นี้ พูดกับคนที่บอกว่า สมาธินี้ ทำให้เกิดฌาน 4 จะเกิดเอกัคคตาจิต คือจิตที่เป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ เลิศยอด เป็นหนึ่งอย่างวิเศษจริงๆ คนหลงผิด มิจฉาทิฏฐิ เข้าใจเอกัคคตา หรือสมาธิ อย่างมิจฉาสมาธิ เขาก็ได้เอกัคคตาจิต แต่ความเป็นหนึ่งของจิตเหมือนกัน
จิตที่สำเร็จความเป็นหนึ่งของจิตอย่างวิธีสะกดจิตหลับตา ก็มีอีกเยอะเลย แต่นี้เขาไม่ปรโตโฆษะ เขาเชื่อมั่น นั่งหลับตาสะกดจิตไม่คิดไม่นึก ให้สงบลงไป สำรวมให้เป็นหนึ่ง เรียกว่าสมถะซึ่งไม่ใช่แบบพุทธเลย เป็นวิธีสากล ยังทำกันอยู่ตลอดที่ไหนก็มี นั่งหลับตาสะกดจิตนี้มีอยู่ตลอดกาลนาน ไม่มีขาดเว้นในโลก ในกัปป์ทุกกัปป์ อาศัยได้อย่างยุคพุทธก็อาศัยได้ ผู้ที่อาศัยมากก็มีผู้ที่อาศัยน้อยก็มี อย่างอาตมาไม่ต้องอาศัย ที่จริงควรใช้บ้าง หมอก็มาบอกว่าอาตมาธาตุไฟเยอะไป
การนั่งสะกดจิตหลับตาไม่ใช่ของพุทธ ไม่ใช่ของสากล ทำได้ตลอดกาลเป็นแบบสามัญ พื้นๆ เพ่งกสิณ ทำสมาธิ แบบ Meditation ไม่ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าสอน ไม่ต้องเรียน นั่งหลับตาสะกดจิตก็เป็นได้เอง โดยไม่ต้องมี ธรรมะสามี ทุกคนเป็นเอง นั่งหลับตาสะกดจิตอย่างไรก็ ทำได้ จิตเป็นหนึ่งอย่างนี้ไม่ต้องมีอาจารย์สอนก็ได้
สมาธิ ที่มีจิตเป็นหนึ่งเอกจิต จิตเป็นหนึ่งจริง แต่ไม่กระดุกกระดิกอะไรเลย ดีไม่ดี นิ่งดำ แล้วหลงความดำเป็นสุภะ เป็นสิ่งน่าได้น่าเป็น เรียกว่าสุภกิณหา ไม่รู้อะไรเลย แข็งเป็นพรหมลูกฟัก คือรูปพรหม เหมือนลูกฟังกลิ้งไปได้เลย คือแข็งจริงๆเลย นั่งขัดสมาธิ กลิ้งไปได้เลย
นี่เป็นเอกจิต จิตเป็นหนึ่งแต่ไม่เป็นเอกัคคตาจิต แต่เขาเอาคำนี้ไปเรียก เหมือนทักษิณ ธัมมชโยก็ใช้คำว่าปัญญา แต่แท้จริงคือเฉโก นี่ก็เช่นกัน
เอกัคคตาจิตที่จริงที่สำเร็จ จิตเป็นหนึ่งด้วยวิธีไม่ได้นั่งหลับตาสะกดจิต ขออภัยลืมไปอีกอย่างคือพวก สว่างใสอาภัสรา ตาบอดตาใส คือมืดข้างใน ตนเองไม่รู้ว่ามืดภายใน มีอาโลกสัญญา เห็นลาภยศสรรเสริญ แต่ที่ดับปี๋นี้ไม่รู้เรื่อง ลาภยศสรรเสริญอะไร พวกนี้ไม่เป็นภัยเท่าพวกลืมตาใส
พวกนี้ ออกเหลี่ยมเฉโก หาเหลี่ยมล่อเอาเงิน ลาภ ยศ ตำแหน่ง ที่จริงธัมมชโยได้แค่ชั้นเทพนะ ไม่ได้ชั้นสูง แต่ได้สมเด็จช่วง ที่เป็นลูกน้องธัมมชโยชั้นเทพ สภาพอาภัสราคือมืดซ้อน แต่บอดสนิท ไม่รู้ทั้งตัวเองและผู้อื่น
สภาพเอกัคคตาจิตฟังพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติ มีธัมมวิจัยเป็นตัวหลัก
สรุปคือ มีอารมณ์เป็นหนึ่งด้วยมรรค 7 องค์ ทำปฏิกิริยา ปฏิสังเคราะห์ ปฏิสัมพัทธ์ interaction สังเคราะห์สังขาร วิจัย กำจัดกิเลสไปได้ตามลำดับ แล้วจิตยิ่งคล่องแคล่ว ยิ่งเอาการงานเอาภาระ แต่ไม่เอามาเป็นของตน
ยิ่งทำเป็นลำดับรู้จักอัตตา โอฬาริกอัตตาคือกามภพ ภายนอก หากลดลงก็เป็นสกิทาคามี อนาคามีเป็นส่วนสุดท้าย ล้างออกหมด
อนาคามีหมดมโนมยอัตตาภายนอก เหลือแต่มโนมยอัตตาภายใน อนาคามีไม่มีกิเลสภายนอก สกิทาคามีมีมโนมยอัตตาภายนอกอาจสังเกตุได้ แต่ถ้าหมด ก็เหลือมโนมยอัตตาภายในก็ล้างต่อ จนหมดเหลืออรูปซ้อนๆๆ เหลืออรูปน้อยลงไป เหลืออรูปสุดท้ายเป็นอรูปอัตตา
การทำได้เป็นลำดับจะเกิดการปรุงแต่งระหว่าง รูปกับนาม เป็นธรรมสองเป็นกาย
ภายนอกไม่ได้หลับตารู้ทุกอย่าง และอยู่เหนือด้วย เป็นพลังวสิปัตโต เหนือโลก ไม่ทำลาย ไม่ข่ม แต่ช่วยเขา เหนือเป็นอุตระ
จิต โดยเฉพาะเจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ยิ่งแคล่งคล่องว่องไวประเสริฐ ไม่ใช่ยิ่งเฉื่อยเนือย ไม่กระดุกกระดิก แต่สงบจากกิเลส ไม่มีตัวกวนตัววุ่นวาย ไม่ใช่ปนเปแยกไม่ออก ต้องแยกออกแล้วทำได้ไปตามลำดับ
อาการที่ไปสอนกันไม่ให้นึกคิด มันตรงกันข้ามกับธัมมวิจัย ตรงข้ามกับวิตกวิจารที่เป็นความดำรินึกคิด วิตกคือกังวล ความหมายภาษาไทย คือกลัวจะไม่ดีกลัวเกิดภัย ก็ทำเสียให้หมดเหตุที่ไม่ดีก็ลดวิตกไปเรื่อยๆ ก็ลดระแวงระวังก็แข็งแรงคุมได้อยู่เหนือขึ้นเรื่อยๆ อาการจิตก็ยิ่งแคล่วคล่องว่องไว กิเลสก็ยิ่งหยุดบทบาทจนไม่มีฤทธิ์ เฉยๆได้
ยุคนี้กิเลสไม่ได้ปิดบังตัวเอง มันแสดงอยู่เต็มโลก โฆษณาด้วย ร้องลั่นเต็มไปหมด ชวนกันไปแย่ง ลาภยศสรรเสริญ เสพกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเต็มทั้งหมด โฆษณากันไม่รู้กี่ชั้น ดีอย่างนั้นอย่างนี้ต่างๆนานาสารพัด ยุคนี้มีอบายมุขซับซ้อนเหมือนผู้ดี แต่รุนแรงจัดจ้านมาก อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ แกไม่ค่อยซับซ้อน แต่หยาบๆ ง่ายๆ ไม่ยาก ใช่ไหม คนอย่างนี้ยังน่าสงสาร
พวกซับซ้อนไม่รู้เหลี่ยมนี่มันน่าเหยียบย่ำ แปลเอาเอง
bipolar นี้ สองเหลี่ยมแต่หักเหลี่ยมกลับไปมา โดยเร็วมาก อย่างยิ่งลักษณ์ อาตมาว่า ณัฐวุฒิ เต้น จะเจ็บปวดแค่ไหน อันนี้ก็ไม่รู้หรอกว่าไปอยู่ที่ไหน ก็ออกข่าวกั้นไว้อยู่ แน่นอนที่อยู่ก็ต้องไม่อยู่ประเทศสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แน่นอนว่า ผู้ร้ายคดีการเมืองให้ลี้ภัยได้ แต่ถ้าผู้ร้ายอาญาต้องส่ง
ผลสำเร็จของเอกัคตาจิต การที่จะทำได้ผลสำเร็จตามที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างแท้ๆ ไม่ง่ายเลย อธิบายยาก แต่อาตมาไม่สับสน ความหมุนรอบเชิงซ้อนของแต่ละพระสูตร
ในมูลสูตรมีสติเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นยิ่ง ในจรณะ 15 ก็มีสติ เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ แล้วสติก็ต้องไปควบคุม สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 แม้มีปีติก็ต้องควบคุมให้ลดลง ปัสสัทธิก็ต้องลด ความสงบต้องมีสติ แล้วยิ่งจะฝึกให้ปัสสัทธิต้องฝึก ปฏิปัสสัทธิ ฝึกฝนให้แข็งแรงจนเกิดความมั่นคง อุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ต้องปฏิบัติให้แข็งแรงทั้งใน กัมมันตะ อาชีวะ วาจา สังกัปปะ จะสั่งสมซับซ้อนๆไป
ตัวสติ กับ วายามะ กับตัวพยายาม จึงเป็นคู่หูกัน ฝึกสติ เป็นคอขวดอย่างคุณนี้พูดมา สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ จะเกิดกระบวนการ 7 มีอย่างซับซ้อน ปฏิปัสสัทธิ ปฏิสังเคราะห์ ปฏิสังขาร ตลอดเวลาสังเคราะห์เป็นการสละออกไปๆ แต่สังขารคือวิเคราะห์วิจัย
กระบวนการสติสัมปชัญญะปัญญา จะมี สัมปะ ที่เยอะ
สัมปชัญญะ = ความรู้ตัว ต่อกับการมีสติระลึกรู้
สัมปชานะ = รู้สำนึกตัวในการปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่
สัมปาเทติ = เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ
สัมปัชชติ = ความรู้จากการแยกแยะขจัด
สัมปาเปติ = การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร
สัมปฏิสังขา = ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ
สัมปัชชลติ = เข้าสู่การโหมไหม้
สัมปัชชลิตะ = ไหม้เสร็จแล้วหาย แล้วค่อยจับตัว สว่างเรืองรอง
สัมปัตตะ, สัมปันนะ = การเข้าบรรลุผล.(ในรอบนั้น)
สัมปฏิเวธะ = ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอดในรอบนั้น
ปฏิสาเรสฺสามิ = จักทำให้เขาสำนึก
ปัจจเวกขันตัสสะ = ได้สำนึก)
เป็นพลังงานอุณหธาตุที่ทำงานไปเรื่อยๆ จึงเรียกว่า เวทยิตตัง แปลโดยอัต คือเคล้าเคลียอารมณ์โดยไม่เหลือ ทำเวทนา 108 ทวนแล้วทวนเล่า สัมผัสไปมา หมุนรอบเชิงซ้อน จนไม่รู้กี่ชาติ เป็นเคออสที่เป็นระบบ ถ้าไม่ชัดเจนอย่างเป็นระบบแล้วเสียท่า ผิดช่องทาง หลงทางตัวเองเขาวงกตแน่นอน
คำว่าเคออส เมื่อเป็นสัมมาเคออสแล้วยอด จะจัดระบบได้ หรือไม่ต้องจัด แต่รู้เส้นทางเลยว่า นี่หักมุมนี่โค้ง รู้ว่าแยกไหนไม่สับสน เพราะมีปัญญารู้ทุกอย่าง แต่ก่อนนี้อาตมาไปกทม.ใหม่ๆ ไปออกแยก 22 กรกฏา ออกไม่ค่อยถูกเลย เข้าไปแล้วออกไม่ได้ อาตมามาอยู่วัดปทุมคงคาออกมาแล้วกลับไม่ถูกวัดมาใหม่ๆ พักวัดปทุมคงคา อยู่กับพี่ชายญาติเป็นพ่อครัวให้
ก็ขอสรุป ว่าจิตเป็นหนึ่ง หรือเอกกัคคตา กับเอกจิต นี่ต่างกัน พวกที่สมาธิหลับตามิจฉาทิฐิก็ไม่มีทางเป็นเอกัคคตาจิต เขามีแต่เอกจิต จิตเป็นหนึ่งอย่างไม่วิจิตรพิสดาร
เรารู้หมดเลย รู้หมดแต่ไม่ข่มเบ่ง มีแต่สงสาร อย่างทักษิณยิ่งลักษณ์ น่าสงสารว่าเขาจะตกในสงสารอีกนานเท่านาน หรือธัมมชโย เขาจะตกในสงสารอีกนาน นี่ยังไม่โผล่นะ ถ้าจะหาความบริสุทธิ์สะอาดจากคนทุกคนในวงการได้ยาก เพราะฉะนั้นจึงเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยจึงเห็นแก่หน้ากัน สังคมประเทศไทยจึงมีตรงนี้ ให้การเห็นแก่หน้ากัน ขอเถอะ ถึงยุคที่เหมาะสมแล้ว คุณไม่บาป จัดการไปเลย ไม่ต้องเห็นแก่หน้ากัน คุณทำเพื่อมวลชนเยอะแยะ อันนั้นคุณรักษาผลประโยชน์คนต่างหาก ตอนนี้ต้องกล้าหาญเด็ดขาด แต่เท่าที่ดูก็นิ่มนวลเด็ดขาดแล้ว
สมณะเดินดินว่า...ก็วันนี้ได้ฟัง ก็มีความคิดอย่างหนึ่ง พ่อครูว่าในยุค พุทธันดร ต้องใช้เวลายาวนานมาก ไม่มีศาสนา หลังกลียุคแล้ว องค์ประกอบของพวกเรา พ่อครูทำให้มี มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ดีแล้ว ที่จะสร้างอินทรีย์พละ หากเราไม่เร่งทำ ยุคนั้นก็จะลำบาก
ส่วนสติ เป็นส่วนแทรกในสูตรต่างๆมาก และที่เกิดเรื่องต่างๆ ในสังคม เพราะมีอารมณ์ชั่ววูบขาดสติ แต่ถ้าเรามีความละอายและเกรงกลัวต่อบาปก็จะมีสติอยู่บ้าง อาหารของสติคือความมีจิตแยบคาย หากเรามักพูดคำหยาบ ถ้าเราไม่เห็นโทษภัยของคำหยาบก็จะขาดสติได้ง่าย ….
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:54:19 )
รายละเอียด
600830_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ รู้จิตอยู่ที่ไหน จนถึงได้อรหันต์
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2560 ที่ ราชธานีอโศก ใกล้สิ้นเดือนสิงหาคมแต่น้ำก็ยังขึ้นๆลงๆ มีคนบอกว่าน้ำขึ้นน้ำลงปลงเสียเถอะ ขึ้นได้ก็ลงได้ เราก็ปรับตัวได้
พ่อครูในระยะนี้ก็เทศน์ลึกซึ้ง เมื่อวันอาทิตย์ก็เทศน์เรื่องกรรม เมื่อวันวานเราก็ไปขนทรายที่โรงเต้าหู้ สี่รถสิบล้อ เรามีหมู่มิตรดี ที่จะสร้าง Coefficient กันเราจึงไป เป็นพลังพากันไปทำสิ่งที่ดีเป็นกุศลชีวิต และได้ลดละกิเลส แทนที่จะไปนอนสบาย ก็ไปลำบากเปียกฝน ก็ได้ทำบุญ ได้ทำกุศล ได้ทำกรรม กรรมเป็นทรัพย์ของตน
พ่อครูเทศน์คนไม่ฮือฮา แต่คนเหลืออยู่เยอะ คือไม่ถอย แต่หลายคนเห็นคนมาฟังกันเยอะ แต่ว่า คนไม่อยู่ด้วยแทบไม่เหลือคน โลกุตระนี้คนไม่ฮือฮา แต่คนอยู่ขนาดนี้ แต่เป็นเนื้อ เป็นอาริยชนที่แท้จริง แม้แต่เด็กสัมมาสิกขา และนักเรียนพุทธธรรมก็ตาม เขามาอยู่ช่วยเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การสร้างอาริยบุคคล ต้องใช้เวลา ต้องร่วมกันจริงๆ
พ่อครูว่า...เริ่มต้นด้วย sms
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาให้ถึงวิมุติญาณทัสนะ
เราเองเรามีเทศน์ทุกหกโมงเย็น บรรยายธรรมะที่ราชธานีอโศก ก็ใคร่จะเชิญชวน สาธุชนทั้งหลาย ทั่วโลก บินมาก็ได้ แต่ไม่ค่อยมีนะอาตมาพาทำงานศาสนาไม่มีจารีตประเพณีแบบวัดต่างๆ วัดต่างๆ ที่เขาทำกัน คนไปไม่ต้องพูดถึงว่ามีลิเกละครมาเล่นในวัดมีงานวัด งานอย่างนั้นอย่างนี้ ฉลองอย่างนั้นอย่างนี้ มีงานทอดกฐินสนุกสนานเฮฮา มีงานทอดผ้าป่า สนุกสนาน หรือไม่เขาก็มีวิธีหาทางมาบูชาเคารพ กราบไหว้ มีรูปปั้น มีอะไรต่างๆนานาที่จะสร้างไว้ให้ดึงดูดให้คนมา ให้มากราบคารวะ มาอธิษฐาน อยากได้อะไรก็มาขอ แล้วก็พยายามสร้างค่านิยม ให้เขาเห็นว่า วัดนี้มีอะไรเป็นความขลัง อย่างน้อยก็มีต้นตะเคียน มาขัดอาจจะได้เลขไปนะ สารพัดจะหาเรื่อง ทุกวันนี้วัดต่างๆ พุทธศาสนิกชนที่ไปวัด จึงไม่ได้ไปฟังธรรม น้อยมาก ส่วนมากก็ไปทำพิธีการแล้วก็สวดมนต์ ถวายอาหารเสร็จแล้วก็สวดมนต์กันไปเอาหลายสูตรมาสวดให้ฟังจบ แล้วก็สาธุ กรวดน้ำ ก็น่าสงสารศาสนาพุทธงมงายกันไม่เข้าท่า บางวัดมีการเทศนาแสดงธรรม แทนที่จะแสดงธรรม ก็เอาอกเอาใจญาติโยม มีงานอะไรมีเรื่องอะไรที่จะต้องมาสร้างวัดวาอย่างนั้นอย่างนี้ ก็หาเรื่องพูดไปเพื่อจะให้มา จะได้บุญได้สวรรค์ ได้อย่างนั้นอย่างนี้ ปฏิบัติธรรมก็มีทาน ถือศีล อยู่ในวัดออกจากวัดก็ไม่มีศีล ออกไปนอกวัด ก็ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เอาเปรียบเอารัดเงินทอง เรื่องกามก็ไม่สังวรระวังไม่รู้เรื่อง เป็นประจำในชีวิต
ถือศีลไม่ใช่อยู่แต่ในวัด แต่ให้ถือศีลตลอดต่อเนื่องไปทุกเวลา มันควรถือศีลด้วย พุทธศาสนิกชนทุกคนควรถือศีล 5 เป็นเบื้องต้น ศีลจะทำให้เกิดสมาธิ ปัญญาวิมุติ เกิดวิมุติญาณทัสนะ
ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วจะเกิดสมาธิ เกิดปัญญาก็คือบางทีก็ให้คิดนึกเอา ศึกษาความรู้ฟังคนเทศนาก็เกิดปัญญา หรือที่อธิบายกันว่า นั่งสมาธิให้นั่งหลับตา จิตดิ่งเป็นสมาธิ แล้วปัญญาจะโผล่ ตรงกันข้ามกับคำสอนพระพุทธเจ้าว่าปัญญาจะเกิดได้ต้องมี มัคคังคะ มีมรรคมีองค์ 8 ต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เราจะเกิดสัมมาทิฏฐิ พัฒนาเจริญขึ้น โดยมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานตัวแรก ปฏิบัติแล้ว สัมมาทิฏฐิจะเจริญด้วย สัมมาวายามะ สัมมาสติ ห้อมล้อม ปฏิบัติสัมมาอาชีวะ กัมมันตะ ปฏิบัติในการทำงานการพูดการคิดการทำ มีสังกัปปะ 7 แล้วก็จะเกิดปัญญารู้ละเอียดละออ ถึงรูป นามต่างๆ รู้กระบวนการของ จิตที่มันจะสังเคราะห์ สังขาร อภิสังขาร ให้เกิด การรู้จิต เป็นสักกายะ และปฏิบัติตามวิธีการ ทำให้กิเลสลดได้จนเกิดเป็นปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ
แต่ไม่ได้เป็นเช่นนี้เลย ศีลก็ทำแบบกาย วาจา ไม่ละเมิด มือไม่ฆ่า ปากไม่ฆ่า มือไม่ลักทรัพย์ ปากไม่พูดลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใครทางกาย วาจา ส่วนสมาธิก็ไปนั่งหลับตาเอา นี่คือความเสื่อมความผิดพลาดของศาสนาพุทธ เป็นอย่างนั้นทั่วเลย
อาตมากล่าวเช่นนี้คนเดียว ไม่เหมือนกับครูบาอาจารย์คนอื่นเขาพูด พูดเหมือนตีทิ้งเขาหมด แต่พูดด้วยความจริงใจเห็นว่ามันผิดจึงตำหนิทักท้วง สิ่งที่ถูกก็ชม แต่มีน้อย เมื่อจะชมก็เลยถูกพวกอโศก เอาหลักธรรมในพระไตรปิฎกมาตรวจก็ตรงกับพวกอโศก ก็เลยระมัดระวังอะไรยาก
อาตมาก็รู้อยู่ ตั้งแต่จะมาทำงานด้านนี้ มันจะต้องต่อสู้กับลักษณะอย่างนี้ เป็นสถานะที่มันยังครองอยู่ เป็นอย่างนี้ตามสังคมศาสนา ที่มีแต่เดรัจฉานวิชา นอกรีตศาสนาพุทธ สร้างใส่วัดวา ในภาคปฏิบัติเต็มไปหมด
ยกตัวอย่าง ปฏิบัติธรรมทำสมาธิ ขยายออกไป ไม่รู้อธิบายอะไรกันมากมายก่ายกอง อาตมาไม่เคยเห็นในพระไตรปิฎกว่านั่งสมาธิหลับตาแล้วจะเห็นจิตอย่างนั้นอย่างนี้ ที่นักรู้ขยายความกันว่า นั่งหลับตาแล้วจะเห็นจิตเป็นอาการอย่างนั้นอย่างนี้ตอนหลับตา ไม่เคยมี มีแต่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ลืมตา แล้วจะรู้จักกิเลส และกำจัดกิเลส
ให้รู้กิเลส ลดกิเลส ให้จางคลาย วิราคานุปัสสี ดับ นิโรธานุปัสสี แล้วทำทวน ปฏินิสสัคคานุปัสสี กิเลสไม่เที่ยง อนิจจัง ไม่ได้ถาวร แต่คนโง่ดึงไว้ว่าเป็นของเราในจิตในใจ แต่ที่จริง มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สัมผัสกับอะไรกิเลสที่ขึ้น แบบต่างๆ เดี๋ยว ลาภ ยศ สรรเสริญ เดี๋ยว สุข ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เดี๋ยวก็บำเรออัตตา ก็สุข
ทั้งที่สุขเป็นเท็จ ศาสนาพุทธไม่เคยสอนให้ไปหาสุข ให้รู้ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์แล้วดับเหตุ สุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน เกิดจากตัณหาเป็นตัวเหตุ เมื่อได้สมใจตัณหาก็สุขเป็นของเก๊ ชั่วคราว บำบัดอารมณ์ ศาสนาพุทธชัดเจนว่าจะต้องดับตัณหาตัวนี้ ให้หมดสุขหมดทุกข์เป็นเนกขัมสิตอุเบกขา คืออารมณ์นิพพาน
อุเบกขามีสองแบบ คือเคหสิตอุเบกขา คือแบบปุถุชน ไม่สุขไม่ทุกข์เฉยเฉยๆเป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติ
แต่อุเบกขาที่เรียนรู้อย่างจริงเ ป็นเนกขัมสิตอุเบกขา เป็นโลกุตระ เป็นมโนปวิจาร 18
เคหสิตเป็นโลกียะ 18 ตัวนี้แหละ มโนปวิจาร 18 เป็นอาการของจิตที่เราจะต้องเรียนรู้
วันนี้มีประเด็นคำถามของอาจารย์ไพศาล พืชมงคลถามมา จะได้ขยายความ ถามว่าจิตอยู่ที่ไหน
_อ.ไพศาล พืชมงคล แจ้งข่าว เมื่อเวลา 16.41 วันนี้ 29 สิงหาคม 2560 ว่า...
มูลนิธิธรรมนิติและมวลมิตรจะมอบข้าวสารหอมมะลิงวดแรกจำนวน 5 ตัน แก่โรงบุญของสันติอโศก และ หลวงปู่พุทธอิสระที่สนามหลวงในวันที่ 31 สิงหาคมนี้เวลา 10.00 น. และ จะมอบงวดที่สองอีก 5 ตัน ในราว 10 วัน หลังจากมอบงวดแรก และ ถ้ามีเงินเพิ่มก็จะบริจาคต่อจนหมด
... ขอท่านทั้งหลายจงร่วมอนุโมทนาและรับเอาส่วนแห่งกุศลเพื่อความสุขความเจริญด้วยกันเถิด กราบเรียนพ่อท่านด้วยครับ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน จิตอยู่ที่ไหน
ประเด็นคำถาม จาก อ.ไพศาล พืชมงคล 30 สิงหาคม เวลา 05.53 น.
ขันธ์ 5 เป็นทุกข์
ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือ รูปกับนาม
เวทนาสัญญาสังขาร วิญญานเป็นนาม หรือคือกายกับจิต กาย คือ ร่างกายเห็นง่าย
จิตเห็นยาก
แล้วจิตอยู่ที่ไหน ?
แม้นไม่รู้ว่าจิตอยู่ที่ไหน ? จะฝึกฝนอบรมจิต ทำจิตให้ผ่องแผ้วได้อย่างไร ? จิตอยู่ที่ไหน?
พ่อครูว่า...จิต ไม่มีที่อยู่ อยู่ในร่างกาย ยาววา หนาคืบ กว้างศอก ในนี้แหละเรียกว่าคูหาสยัง ในนี้
เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้จักจิต ผู้ที่เขาเรียนรู้กันอย่างมิจฉาทิฏฐิ เขาก็เลยเรียนรู้ว่า จะปฏิบัติจิต อธิจิต ให้จิตเป็นสมาธิต้องมาเรียนข้างใน อย่าให้จิตออกนอกตัว อย่าไปทำงาน อย่าสัมผัสกับข้างนอก ปิดหูปิดตา จมูกลิ้นกาย เสร็จแล้วพยายามเพ่งจิต เมื่อไม่รู้ว่าจิตอยู่ที่ไหนก็เลยหากสิณมาเพ่ง กสิณอะไรก็แล้วแต่
โดยเฉพาะอานาปานสติ จะเพ่งกสิณ ดินน้ำไฟลม กสิณ 40 ของศาสนาอื่นเขาก็ทำมาแต่ไหน อาฬารดาบส อุทกดาบส หรืออาจารย์ไหน ก็เป็นลักษณะเดียวกันคือการสะกดจิต บางอาจารย์ให้จ้องนิ้ว หรือเพ่งมือ นิ้วทั้งห้า แล้วเขาจะใช้จิตวิทยาว่า นิ้วนี่จะทำให้แยกออกนะ อาตมาเคยเรียนสะกดจิตมา หรือแม้มันไม่แยกออกหรือมันแนบเข้า ก็ใช้จิตวิทยาครอบงำ เขาก็จะระวัง เขาก็จะสู้ๆๆไม่ให้ออก คือ ล่อให้จิตอยู่ตรงนี้
วิธีกสิณคือวิธีสะกดจิต ทั้งนั้น เป็นวิธีการทำสมาธิทั่วไป แล้วก็จะทำจิตให้เป็นหนึ่ง อ่านของอาจารย์ไหนๆ เช่น ของอ.อริยาภรณ์ สิทธิธรรมพิชัย บอกว่า ...สาธุชนจงพากันรีบชมรีบรับรีบใช้ ในเมื่อมีผู้ชี้ขุมทรัพย์ และคุณค่าพร้อมอุบายใช้จ่ายทรัพย์จะได้ทันแก่กาลที่ตนปรารถนา จับเอาจิตที่เป็นหนึ่งให้ได้ เมื่อได้แล้วพยายามรักษาไว้เอาอันเดียวนี้ การหัดภาวนาเบื้องต้นคือทำจิตให้เป็นหนึ่ง แม้เบื้องต้นแต่ถึงที่สุดได้ คือจิตเป็นหนึ่ง
การฝึกหัดจิต หัดมากหัดน้อยเท่าไหร่ก็ตามต้องการให้จิตเข้าถึงที่สุดคือ จิต เป็นหนึ่ง ส่วนอุบายปัญญาเกิดเฉพาะแต่บุคคล แก่นสารคือจิตที่เป็นหนึ่ง จับเอาจิตเป็นหนึ่งให้ได้ ครั้นได้แล้วรักษาให้มั่น ไม่ต้องเอา อะไรอย่างอื่นเอาอันนี้อันเดียว นี่คือ อาจารย์ฝั้น อาจาโร ได้ให้ไว้คือ ท่องพุทโธ พุทธเข้า โธ ออก คือให้จิตเพ่งกสิณ แล้วจะได้จิตเป็นหนึ่งจิตถูกบังคับผูกไว้ ไม่ได้มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ไม่มีมัคคังคะ ไม่มีอาชีวะ กัมมันตะ วาจา ไม่รู้จักสังกัปปะ ว่า มันเริ่มวิตกอย่างไร แล้วมีพฤติกรรมจิตเรียกวิจาร ก็อ่านอาการเหล่านี้ว่ามันมีอะไรมาสังขารปรุงแต่งในวิตก ในจิต มันมีกามหรือพยาบาทดำริในนั้น ก็อ่านให้ออก แยกให้ออกมีธัมมวิจัยในนั้น ไม่ใช่ว่าให้หยุดคิดนึกแล้วได้จิตเป็นหนึ่ง เป็นสมถะ แต่ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ เป็นของศาสนาทั่วไปทั่วโลก
น่าสงสารที่เข้าใจเอกัคคตาจิตว่าคืออันนี้ แต่ที่จริงมันแค่เอกจิต ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมันแค่หยุดจิต กดข่ม บีบคอให้หยุดดิ้น ไม่มีท่าอะไรเลย ไม่อัคคะ ไม่ยิ่งใหญ่อะไร เขาเข้าใจเอกัคคตาจิต ทำจิตเป็นหนึ่ง เป็นสมาธิแบบนี้
อ.ไพศาลถามว่า จิตอยู่ที่ไหน อาการลิงคนิมิตอุเทศ อุเทศคือคำอธิบาย เช่นอาตมาอธิบายนี้ เช่น จิตอยู่ที่ผัสสะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อมีผัสสะ แล้วจะเกิดภาวะ interaction มีปฏิฆะ มี action reaction มีปฏิฆสัมผัสโส ฆ นี่คือกลุ่มของการสัมผัส เรียกว่าเกิดสภาพที่สาม มีพลังงานกระทบสัมผัสสอง แล้วเกิดสภาพที่สาม
จิตอยู่ตรงผัสสะ แล้วเกิดภาวะอันนี้ จิตอยู่ไหน ตากระทบรูป ปสาทรูป ปะทะกับอะไรข้างนอก มีดินน้ำไฟลม เป็นมหาภูตรูป จะกำหนดรู้ก็กำหนดเมื่อตากระทบรูป เอาอันเดียวก่อน อย่าเอาห้าอันหมดเลย เอาแค่หนึ่งก่อน
ตากระทบรูป ก็เกิด ปฏิฆสัมผัสโส เกิด ปฏิกิริยาของธาตุรู้ เกิดขึ้นมา เราก็ต้อง อ่านอาการ อ่านเครื่องหมายของอาการให้ได้ เห็นอันนี้เป็นอันนี้ อันนี้คือรูปฟักข้าว นี่คือรูปกล้วยหอม นี่คือกล้วยน้ำว้า ระกำ ส้มโอ เป็นต้น
จิตอยู่ที่รู้ตรงนั้น ถ้าไม่มีผัสสะ จิต มโน วิญญาณ ไม่มี
จิต มโน วิญญาณจะเกิดจากภาวะกาย เป็นภาวะธรรมะสองที่เกิดการดำเนินไปของปสาทรูป โคจรรูป สัมผัสกัน ก็มีรู้อันนี้ นี่คือ ต้องรู้จิต จากรูปจิต
รูปจิตนี่เกิดเมื่อมีผัสสะเป็นปัจจัย หากไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย จิต มโน วิญญาณก็ไม่มี ไม่เกิด
จิตจะไม่ใช่ว่า จิตจะมีอาการสภาวะล่องลอยที่ไหนก็ได้ เห็นผี เทวดาล่องลอย เหมือนภิกษุสาติ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน (มหาตัณหาสังขยสูตร ล.12 ข.442)
ถ้าไปนั่งหลับตาสมาธิ วิญญาณ จะเกิดที่ไหนได้ มันโมฆะจริงๆ อาตมาพูดมา 47 ปีแล้ว กระเตื้องที่ไหน ยังโมหะมิจฉาทิฏฐิเต็มไปหมด อาตมาพูดไปเหมือนสายลมผ่าน ไม่เคยเอาไปตรวจสอบว่า ที่อาตมาพูดนี้ถูกหรือผิด ที่ตนทำนี้เป็นอย่างไร
จิ
เจตสิกสามนี้ แม้จะเอาเจตสิกไปใช้ เช่นสัญญาไปกำหนดเกาะกสิณ รู้อะไรที่กสิณ จิตนิ่งจะว่าวิญญาณเกิดที่กสิณก็ใช่ แต่ไม่ได้พิจารณามาก เพราะมันเป็นวัตถุ แม้ลมหายใจเข้าออกก็เป็นลม พระพุทธเจ้าสอนให้แยกแยะจิต อภิธรรมแยกเจตสิก 52 แยะจิต 89 121 อาตมาไม่ได้นำมาขยายความ เจตสิก 52 จิต 89 จิต 121 อาตมาอธิบายได้ แต่ไม่อยากให้วุ่นวายมาก เรียนแค่รูป 28 ก็พอ
เมื่อตากระทบรูปก็มีจิตให้ศึกษา จิตวิญญาณหรือมโน
จิต เป็นภาษาที่ รวมๆ พูดรวมๆ
วิญญาณก็เป็นตัวธาตุรู้ที่ไม่เรียกว่าจิต แต่กระทบแล้วเกิดวิญญาณแล้วศึกษาที่จิต จิตก็ค่อยลึกละเอียดไปหามโน จิตแยกเป็นเจตสิก เรียนรู้ละเอียดจนเหลือ จิตละเอียดถึงมนายตนะกับธัมมายตนะ เป็นต้น
จิตอยู่ที่ไหน? จิต ก็ต้องมีรูปหรือมีกาย มีรูปมีนาม กายคือรูปนามแล้วมีผัสสะขึ้น จิตก็เป็นผัสสะ สาม เกิดขึ้นมาให้เราเรียนรู้
จิตไม่ได้ล่องลอยที่โน่นนี่ แต่เกิดจากเหตุปัจจัย ปสาทรูป 5 ตา หู จมูก ลิ้นกาย ไปมีบทบาทกระทบโคจรรูปก็เกิดภาวรูป
สิ่งภายนอกเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูปกระทบ เมื่อกระทบแล้วเกิดภาวรูป พระพุทธเจ้าให้ศึกษาภาวรูป 2 มีอิตถีภาวะ กับปุริสภาวะสองอัน
คนอวิชชาก็เกิดสองคือสิ่งที่ถูกรู้กับตัวรู้ พวกอวิชชาเกิดอิตถีภาวะ ต้องทำให้อิตถีภาวะหายไปจากจิต ดับอิตถีภาวะที่ดิ้น ไม่สงบไม่หยุดไม่เป็นหนึ่งไม่สงบไม่เป็นแท้ๆอันเดียวเป็นปุริสภาวะ
จึงต้องอ่านอาการดิ้นที่เป็นตัวแส่หาของตัณหา ก็ต้องพยายามจับเหตุ ที่เป็นเหตุคือตัณหา ที่ทำให้ดิ้นคือตัณหา หากเป็นธาตุรู้ที่ไม่มีตัณหาก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง
เช่นตากระทบรูปกล้วยหอม รูปอวบน่ากิน กระทบส้มโอก็เห็นน่ากิน ตัวดีดดิ้นน่ากินมันไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงคือส้มโอ ถ้าตาไม่แฉแหม ตาบอด ก็จะเห็นเหมือนกันหมดทุกคน ตากระทบรูปนี้เหมือนกันหมด
วันนี้ บวบมังกร เอาไปต้มแกงแล้ว มันแปลก เอาฟักข้าวนี่ก็ได้ ตาใครกระทบฟักข้าวนี้ ทุกคนตาไม่บอดไม่ถั่วไม่เพี้ยนก็เห็นฟักข้าวเหมือนกัน เป็นความจริงตามความเป็นจริง แต่กระทบแล้วถ้ามีอิตถีภาวะ ไม่รู้ความจริงแล้วจบแค่นี้ แต่มันมีสวย อยากได้ น่ากินนะ กินได้หรือเปล่า มันดิ้น ตัวนั้นแหละยิ่งเป็นตัณหาอยากได้อยากมีอยากเป็น อยากได้เป็นของตัวของตน นั่นแหละคือยิ่งเป็นตัวอิตถีภาวะ เรียนรู้มันเป็นเวทนาแท้ เป็นเวทนาเทียม ยิ่งได้สัมผัสแล้วสวย ได้ดมก็หอม แทนที่จะสัมผัสแล้วรู้ว่าอันนี้คืออันนี้ แล้วจะทำประโยชน์อะไรให้เกิดคุณ อย่างไรให้เกิดโทษ ได้ยินได้กลิ่นแล้วจะเอาไปทำอย่างไรดี
ก็เป็นการรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อย่างไม่เกิดตัวแฝงที่ไปหลงตัวปลอมตัวเก๊ ชอบไม่ชอบ ไปหลงสวรรค์นรก ให้รู้แค่นี้จิตเรามีสวรรค์หรือนรก แล้วอย่าให้เกิด เกิดสวรรค์ก็อยากได้ ก็ไม่ต้องเกิดอาการนี้
จะสัมผัสกองขี้ก็ไม่ต้องเกิดอาการขยะแขยง ขี้ก็คือของเสียของเน่า ขี้โคลนเลน ขยะก็อย่างนั้น หรืออันนี้นี่มันถูกปรุงแต่งดูดีก็เห็นธรรมดา ควรจะได้ สิ่งที่ไม่ควรก็รู้ว่าไม่ควร ที่ควรก็ควร ควรได้แล้วสมควรไหม เรามีสิทธิ์ไหม เป็นของเรามีสิทธิ์ส่วนได้โดยไม่มีปัญหา ถ้าไม่มีสิทธิ์ก็อย่าเอา ไม่ขโมย
จริงๆแล้วอาตมาว่า ธรรมะนี่มันไม่ยากเลยนะ มันรู้ว่าอะไรควรหรืออะไรไม่ควร ก็อย่าเกิดอาการชอบหรือไม่ชอบ รู้ความจริงตามความเป็นจริง กระทบตาหูจมูกลิ้นกาย ตามปฏิฆสัมผัสโส เท่าที่มันเป็นจริง ไม่ต้องมีอาการที่มันเกิดจากอวิชชา ทำได้ก็จบเป็นอรหันต์ ง่ายจะตาย
สมณะฟ้าไทว่า...มันได้ แต่ไม่ได้ง่ายตั้งแต่ต้น
พ่อครูว่า..นี่อวดอุตริมนุสธรรมนะ ตอบหน้าตาเฉย แสดงว่าได้จริง ฝึกมาแล้วก็ตอบตามจริง ไม่ถือว่าอวดหรอก ถือว่าถามตามปัจเวกขณข้อที่ 10 ลดกิเลส ได้หรือไม่ ถามว่าได้หรือไม่ก็ตอบตามจริง
ที่อาตมาพูดวนมาวนไป ก็พูดชัดๆว่ามันไม่ได้ยาก อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะได้โดยไม่ยากไม่ลำบากเป็นฌาน ฌานคือสภาวะของจิต องค์ประกอบหรือกระบวนการของจิต เมื่อกระทบสัมผัสแล้วก็เกิดวิตกวิจาร อะไรวะก็คือธัมมวิจัย อันนี้ดูดีนะก็ปีติ อ๋ออันนี้หรือ เช่นเราไม่รู้จักฟักข้าว เราไม่เคยเห็น สัมผัสแล้วไม่รู้จัก พอเขาบอกฟักข้าว เราก็ว่าอ๋อ ก็ปีติ อ๋ออย่างนี้หรือ วิตกวิจาร รู้ความจริงตามความเป็น ปีติธรรมดา ได้รู้แล้วก็สุข ไม่มีอะไรมาปนเป ไม่มีอะไรมาสังขารต่อก็จบ รู้ตามความเป็นจริง
แต่คนก็เห็นว่าอ๋อ ขายเท่าไหร่อยากได้ จะซื้อ แม้คุณอยากได้ก็ไม่ต้องละลาบละล้วงก็เห็นว่าดีเหมือนกัน เอาไปทำกิน มีประโยชน์คุณค่าอาหารอย่างไร หรือเรามีความรู้มาก่อนว่ามีคุณค่าอาหารอย่างนี้นะ เราเรียนรู้ว่ามีคุณค่าอาหาร ควรได้ แต่ก็ไม่ใช่ของเรา หรือมันเป็นของสาธารณะ ที่ไม่มีเจ้าของดีไม่ดีมันเกิดในสวนเราเองด้วย มันมีประโยชน์คุณค่าก็เอามาตามควร ก็ไม่ใช่กิเลส ก็เห็นตามควร
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน จะรู้จิตได้ต้องมีผัสสะในปัจจุบัน
ในรายละเอียดของอันนี้ ตกลงจิตอยู่ที่ไหน...มีผัสสะแล้วเกิดขึ้น จิตอยู่ที่ผัสสะแล้วเกิดขึ้น ถ้าไปนั่งหลับตา แล้วนึกคิดอะไรได้ ก็ไม่เรียกจิตเต็มๆแต่เป็นสัญญากำหนดรู้อดีต อนาคต อดีตสิ่งที่ผ่านมาแล้ว อนาคต ก็มีเท่านั้น สัญญากำหนดแต่อดีต อนาคต ไม่มีปัจจุบัน เมื่อไม่มีปัจจุบันศาสนาพุทธจึงไม่เรียกว่าทิฏฐิ ทิฏเฐ
ความจริงต้องมี ทิฏฐิ ทิฏเฐ มีปัจจุบันจึงจะเรียกว่าเป็นความจริงเป็นสัจจะ อดีตกับอนาคตไม่ใช่สัจจะ อดีตก็หายไปแล้วเอาความจำมานึกคิด อนาคตมันก็นึกคิดเอา แต่ปัจจุบันที่สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย สัจจะมีอยู่นิดเดียว
ถ้าส่วนอดีต อนาคตที่คุณยังวุ่นวายในอดีต อนาคต ไปวุ่นวาย จริงๆ มันมีแต่ปัจจุบัน หมดอดีตที่ต้องตามหา อนาคตก็ไม่ได้วุ่นวายอยากได้อยากมีอยากเป็น ก็หมด ถ้าไม่มีกระทบสัมผัสก็สูญ
อดีต อนาคต ข้อ 7 ทั้งส่วน อดีต ส่วนอนาคต อันนี้ก็คือ สูญ เป็นปัจจุบัน เป็นสัจจะอยู่ที่ปัจจุบัน ความจริงจึงจิ๊ดเดียว อันนี้อาตมาเคยอธิบายไว้ใน หนังสือคนคืออะไร? ความจริงเหมือนปลายเข็มจุดลงไป นิดเดียวแล้วหายไป เป็นอดีต เป็นอนาคต
ถ้าคุณไม่เกิดผัสสะ จิ๊ดหนึ่งคือผัสสะ หากไม่มีผัสสะก็สูญ ใครทำสูญได้ เมื่อผัสสะก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงโดยไม่มีธรรมะ 2 มีแต่ ธรรมะหนึ่ง ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 เป็นหัวใจของศาสนาพุทธ ตรงนี้ถ้าเข้าใจและทำได้ก็จบเลยหรือจะทำ0 เป็นนปุงสกลิงค์ก็ได้ ก็ไม่มีเรื่องไม่ต้องรู้อะไร ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ถ้ามี 1 ก็ทำงานไปได้ต่อ
สมณะฟ้าไทว่า..อันสุดท้าย อสัญญีสัตว์คือไม่รู้อะไรเลย
พ่อครูว่า..เนวสัญญานาสัญญายตนะคือภูมิสูงแล้ว เมื่อสัมผัส แล้วเหลืออายตนะสุดท้าย ที่ท่านแปลว่ารู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ หมายถึงว่า คุณยังไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ถ้ารู้ความจริงตามความเป็นจริงก็จบ สัญญาเวทยิตนิโรธ
สิ่งที่รู้ความจริงตามความเป็นจริงเมื่อ ผัสสะก็เกิดเวทนา เป็นปฏิจจสมุปบาทผัสสะแล้วเกิดเวทนา เราก็รู้เวทนา พระพุทธเจ้าให้ศึกษาเวทนาเป็นกรรมฐานแล้วเรียนรู้กรรมฐาน กรรมฐานเวทนา 108
เวทนา 2 กายิกเวทนา เจตสิกเวนา
เวทนา 3 ก็สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
เวทนา 5 ภายนอก สุขทุกข์ และภายในสุขทุกข์ แล้วก็เฉย อุเบกขา มีมากมีน้อย ก็ตรงนี้
เวทนา 6 คือ เวทนาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เวทนา 18 คือ เวทนาทาง ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ทำงานแล้วเกิด สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ทวารละ 3 อย่างนี้ ก็รวมเป็น 18
กรรมฐานของศาสนาพุทธ จึงมีเวทนานี้เท่านั้น แต่มันผิดเพี้ยนไปไกลไปทำกสิณอะไรบานปลายออกนอกศาสนาพุทธไปหมด ก็เลยไม่ได้ถูกต้องกรรมฐานแท้ คือเวทนา หากไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาก็ไม่มีฐานในการปฏิบัติ
9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
แต่มันเพี้ยนไป มีกรรมฐานเป็นกสิณ แต่กรรมฐานของพุทธมีแต่เวทนา แล้วก็แยกเวทนา 108 ตัวปฏิบัติคือเคหสิตเวทนาในมโนปวิจาร
พฤติกรรมของเวทนา แล้วเรียนรู้ สุข ทุกข์ เรียนรู้เหตุ ดับเหตุคือกิเลส ทำกิเลสลดได้เป็นเนกขัมมะ เป็นฐานนิพพานคือเนกขัมสิตอุเบกขา ทำให้เก่ง เป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
เรียนรู้มีผัสสะเป็นปัจจัย มีตัณหาเป็นเหตุ ก็ล้างตัวนี้ได้เป็นเนกขัมมะ
สรุปว่า เรียนรู้มโนปวิจาร 18 ทำอุเบกขา แล้วทำอุเบกขาเป็นอเนญชา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นี้ให้ได้
อาตมาเอาสภาวะแท้มาอธิบาย ไม่ได้เอามาจากอาจารย์ไหนแต่มันตรงกับของพระพุทธเจ้าอธิบายไว้ในพระไตรปิฎก
ตอนนี้มันบานปลายแตกหน่อ แตกกิ่งก้านมิจฉาทิฏฐินอกเรื่องราวไปไกลมาก ลืมว่าศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนใน พรหมชาลสูตรว่า ต้องมีผัสสะ จึงมีเวทนา ให้ปฏิบัติ นอกจากปฏิบัติเวทนา 108 นอกนั้น ปฏิบัตินอกรีต เป็นความแส่หาของตัณหาทั้งสิ้น
ฟังบ้าง ออกนอกรีต อนุสาสนีย์พระพุทธเจ้าเยอะแยะ อาตมามากู้ศาสนาพุทธกลับ อย่าดูถูกดูแคลนอาตมามากนัก ว่าไม่มีค่าไร้ค่า พูดธรรมะนี้เหมือนคนบ้า ไม่ใช่ อาตมามีแต่ความจริงใจสุจริต มีแต่ความจริงมาอธิบายเพื่อกอบกู้ศาสนาพุทธ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ต้องคนตาดีจะเห็นสิ่งที่โพธิสัตว์พาทำ
เถรวาท ไม่นับถือโพธิสัตว์
สมณะฟ้าไทว่า...คนเขาพูดกันทั่วไปในยุคกึ่งพุทธกาลจะมีโพธิสัตว์สององค์เกิด ก็ต้องตามหากันสิ
พ่อครูว่า...มีแต่อาตมายืนยันว่าในหลวงเป็นโพธิสัตว์ ถ้าไม่ใช่ท่านจะไม่ตรัสว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
แม้แต่ท่านพุทธทาส ท่านประยุทธ์ ปยุตโตก็ยังเข้าใจว่าการนั่งหลับตาเป็นภาคปฏิบัติของศาสนาพุทธทำให้เกิดสมาธิ อาตมาก็ยืนยันว่า อันนั้นนอกศาสนาพุทธแบบนั้น สมาธิของศาสนาพุทธอยู่ในมหาจัตตารีสกสูตร ปฏิบัติมรรค 7องค์สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ
แต่พระพุทธเจ้าท่านต้องตรัสแบบประนีประนอม เพราะมีแต่คนทำสมาธิหลับตา ยังไม่มีใครมากล่าวสมาธิแบบพุทธ เขาเข้าใจสมาธิหลับตาสะกดจิตทั้งนั้น พูดไปจะเป็นปฏิปักษ์มาก แต่อาตมาถือว่ามีสมาธิของศาสนาพุทธแล้ว ก็เลยพูดมากได้ เราก็บอกว่าพุทธเป็นอย่างนี้
ก็แค่ประเด็นเดียวว่า สัมมาสมาธิ ของศาสนาพุทธไม่ใช่เกิดจากการนั่งหลับตา เพราะเขายึดมั่นถือมั่นอย่างดำฤษณาหน้ามืดตามัว พูดให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ อมหลวงพ่อโต วัดอินทร์ มาพูดเขาก็ไม่เชื่อ
ใครฟังเข้าใจแล้วมาแก้มิจฉาทิฏฐิเสีย มาปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิก็จะได้ ในยุคนั้นตอนออกบวชท่านก็ไปในป่า หลงป่า 6 ปี พอระลึกได้ว่าในป่าไม่ใช่ แต่ท่านก็ยังไม่ได้ออกมา ท่านตรัสรู้แล้วก็ไปมีภิกษุของท่าน ท่านก็ตรัสกลางๆว่านั่งหลับตานั้นไม่ใช่ ท่านได้สูตรอันนี้ ก็ว่าภิกษุทั้งหลายเรียบเรียง มหาจัตตารีสกสูตร หรือสูตรอื่นว่า สมาธิของศาสนาพุทธไม่ใช่อย่างนั้น แต่เกิดจากศีลเป็นเหตุ แล้วปฏิบัติศีลไปตามลำดับ เช่นศีล 5 จิตเราต้องอ่าน
เมื่อสมาทานศีลไม่ฆ่าสัตว์ต้องมีสติสัมปชัญญะ ระมัดระวังตาหูจมูกลิ้นกาย ระมัดระวังกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม สัมผัสกับสัตว์ใดอย่าไปทำร้ายอย่าไปฆ่า มีเมตตาเกื้อกูลเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายก็แสวงหาสิ่งที่มีประโยชน์ทั้งนั้น มันเป็นสัตว์ร่วมเกิดร่วมตาย อย่าไปละเว้นสัตว์ใดใด แม้แต่จะไปฆ่ามากิน
ความรู้ของศาสนาพุทธในยุคนี้จึงเป็นความรู้ที่ ยากจะแก้กลับไปสู่ความถูกต้องได้ง่าย ไม่ง่าย แล้วอาตมาก็ชาตินี้อาภัพ อัปภาคย์ เกิดมา รูปไม่หล่อพ่อไม่รวยไม่มีศักดินาอลังการไม่มียศศักดิ์ ไม่มีความรู้ไม่มีใบรับรอง ไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีสำนักพี่น้อง เป็นเครื่องอ้างอิง แล้วเอาความรู้มาจากไหนก็เอามาจากชาติก่อน นี่อวดอุตริอีก พอดี มีพระไตรปิฎกก็ตรงกันพอดี แต่ก่อนไม่มีพระไตรปิฎกก็พูดตามโวหารภาษาตัวเอง
สมณะฟ้าไทว่า...ผมว่ามันเหมาะกับยุคสมัย หากพ่อครูมีอลังการ ผมว่าผีแทรกเยอะ ต้องมาลดโลกธรรมตัวตน สลายตัวตนอย่างเดียว
พ่อครูว่า...ที่อาตมาเป็นอย่างนี้เป็นเครื่องคัดเลือกคนมีดวงตาว่า โพธิรักษ์มีพุทธธรรมจึงจะมา หากเขาไม่มีดวงตารู้อันนี้ก็จะไม่มา ต้องมีดวงตารู้ว่า นี่สัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ คนที่มีดวงตาจึงจะมา คนไม่มีดวงตาตาบอดตาถั่วตาเน่าไม่มา
ใครจะมาเอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขในนี้ไม่มีให้หรอก มีแต่ขัดเกลา ตามวรรณะ 9
เลี้ยงง่ายเหมือนหมู ใส่รางเลื่อนให้กิน ทุกวัน เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย ไม่ต้องประคบประหงม ไม่มีเครื่องอลังการอะไร อัปปิจฉะกล้าจนมักน้อย ไม่มีเรื่องให้มักใหญ่มากๆ ไม่มีให้ไปรวย มีแต่ให้มาจน ไปหาสูญลูกเดียว
ใจพอ 0 ยังพอเลย ไม่มีก็ยังพอ สบาย มาอยู่ที่นี่ไม่มีรายได้เลยยังพอ เหลือด้วย เฟ้อด้วยนะชาวอโศก อุดมสมบูรณ์ เช้ามาเหลา ที่นี่อย่างกับเหลา เลื่อนกันกองเบะๆๆ นี่เหลือเฟือ ก็ไม่เห็นมีใครมาเอาไปกิน เด็กๆเล็กๆก็ไม่มาเอา
สมณะฟ้าไทว่า...ในโลกีย์หาของไร้สารพิษกินยากนะครับ
พ่อครูว่า...แต่นี่เหลือ เป็นเรื่องเหลือเชื่อ อาตมาพาปฏิบัติธรรมตาม ที่เราเอาบทคำสอนพระพุทธเจ้ามาวัดมาเทียบยืนยัน เป็นไปเพื่อวรรณะ 9 ไหม แม้ที่สุดอาตมาพาทำได้ถึงสาราณียธรรม 6
1. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .
2. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
3. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
4. แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .
5. มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
(สีลสามัญญตา)
6. มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย . (ทิฏฐิสามัญญตา) . . (ล.22 ข. 282-283)
จะเกิดจากนี้ได้ต้องมีพุทธพจน์ 7
1. สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)
2. ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .
3. ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
4. สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .
5. อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .
6. สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .
7. เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22 ข.282-283)
อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาสอนมาประกาศ ประสพผลสำเร็จถึงกับมีสังคมสาธารณโภคี
วรรณะ 9 ก็สำเร็จ
1. เลี้ยงง่าย (สุภระ)
2. บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
3. มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . .
4. ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
5. ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
6. เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
8. ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9
9. ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .
หรือเอากถาวัตถุ10
1. เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา) .
2. เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา)
3. เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) .
4. เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา) อยากได้สวรรค์จิ๊ดหนึ่งก็นรกจิ๊ดหนึ่ง อย่างธัมมชโย ประกาศขายสวรรค์ก็คือกำลังขายนรก
5. เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา) .
6. เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)
7. เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ (สมาธิกถา) .
8. เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)
9. เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส (วิมุติกถา)
10. เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 69)
ในอนุปุปพิกถา 5
สรุปหาแก่นสาระ เราต้องมาเรียนรู้เนกขัมมะ เน้นเนกขัมมะ 18 หากทำไม่เป็น ถือศีลก็ไปหลงสวรรค์ ไม่ได้เรียนรู้ว่ากาม ใคร่อยากคืออะไร
ต้องทำเนกขัมมะไปตามลำดับ ศีล สมาธิ ปัญญา ค่อยทำไปทีละกรอบ ทีละปริเฉท ศีล 5 8 10 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มหาศีลเป็นศีลของศาสนาพุทธ จุลศีลคือข้อปฏิบัติของเฉพาะตน มัชฌิมศีลก็คือจุลศีลที่ละเอียดขึ้น
แต่เขาไม่ปฏิบัติศีลกันแล้ว แต่บอกว่าวินัย 227 ข้อคือศีล แท้จริงคือวินัยมีบทลงโทษเป็นอาญา
ความรู้ความเข้าใจความหมายต่างๆที่ได้กล่าวมานี้ อาตมาต้องมากล่าว มาอธิบายมาพูด เพราะผู้รู้ท่านไม่ได้สอนอย่างนี้ อธิบายอย่างนี้ก็เลยจมกับสิ่งผิดไปเรื่อยๆ
อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร พูดอย่างหมดเนื้อหมดตัวกับชีวิตอาภัพชาตินี้
อธิบาย ศีล สมาธิ ปัญญา
ปัญญานั้นเป็นธาตุรู้โลกุตระ เกิดจากอัญญธาตุ แล้วเป็นอัญญาเป็นปัญญาทีหลัง อาตมาก็อธิบาย ไม่เหมือนใคร อาตมาอธิบายธรรมพิสดารหาฟังได้ยาก ถ้าไม่มีอคติก็จะได้ฟัง ที่ไม่เหมือนกับที่อื่น เหมือนกับที่ภิกษุพูดบอกว่า ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลยพระเจ้าข้า
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูมาชาตินี้ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ใหญ่แต่เล็ก
พ่อครูว่า...คุณพูดเพราะคุณรู้ เข้าใจ มีปัญญา เข้าใจชัดเจน แต่คนอื่นเขาดูถูกไว้ก่อนเลย
อาตมามีแต่ความดีความจริงมาแสดงอย่างไม่ได้อวดโอ่ ไม่มีสาเฐยจิต ไม่มีจิตอยากอวด อาตมารู้ อ่านจิตตนเองออกว่า ขณะพูดนี้มีสาเฐยเจตสิกร่วมปรุงแต่งไหมก็ไม่มี แต่เขาก็ไม่ค่อยเชื่อ
แบบนี่คุณเห็น แต่คนตาบอดตาถั่วไม่เห็น
_สุดชดา ดิฉันได้สรุปพระอนาคามี5แบบขอเรียนถามพ่อครูว่าถูกหรือผิดประการใดค่ะ
พระอนาคามี5แบบ
1. อันตราปรินิพพายีคือ
ก.ตัดวีติกกมกิเลสและปริยุฏฐานกิเลสหมดแล้ว
ข.เหลืออนุสัยกิเลสแต่ไม่ได้เพียรลดละต่อให้อนุสัยค่อยๆหมดไปเอง
2. อุปหัจจปรินิพพายีคือ
ก.หมดวีติกกมกิเลสและปริยุฏฐานกิเลสแล้ว
ข.กำลังเพียรลดอนุสัยกิเลสอยอยู่
3. อสังขารปรินิพพายีคือ
ก.ละสังโยชน์เบื้องตำ่ได้แล้ว
ข.กำลังละสังโยชน์เบื้องสูง
ค.กำลังบำเพ็ญอนาคามีโพธิสัตว์แต่ไม่ยากลำบากเพราะมีโสดาบันโพธิสัตว์และสกทาคามีโพธิสัตว์มาก่อนแล้วเป็นบาทฐาน
4. สสังขารปรินิพพายีคือ
ก.ละสังโยชน์เบื้องต่ำได้แล้ว
ข.กำลังละสังโยชน์เบื้องสูงอยู่
ค.เริ่มศึกษาใบไม้นอกกำมือคือโพธิสัตวภูมิแต่เนื่องจากไม่ได้บำเพ็ญโสดาบันโพธิสัตว์และสกทาคามีโพธิสัตว์เป็นบาทฐานมาก่อนจึงต้องใช้ความสามารถความพยายามฝึกฝนการรื้อขนสัตว์มากๆ
5. อุทธังโสโตอกนิฏฐคามีคือ
ก.ละสังโยชน์เบื้องตำ่หมดแล้ว
ข.สังโยชน์เบื้องสูงได้ภาวะจิตอุเบกขาบริสุทธิ์สูงสุด
ค.บำเพ็ญอนาคามีโพธิสัตว์และจะก้าวไปสู่อรหันต์โพธิสัตว์ในอนาคต
พ่อครูว่า...ถ้าเข้าใจโวหารภาษาที่พูดมานี้ แม้แต่อสังขารปรินิพพายีก็บำเพ็ญโพธิสัตว์
เราเอาโพธิสัตว์มาปนเข้าไป ที่อาตมาเคยแยก โพธิสัตว์ของอาตมาคือเป็นผู้ลดกิเลสได้ตั้งแต่ขั้นต้นคือโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นโพธิสัตว์ระดับ 3
อรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 หมดสิ้นอาสวะ ถ้าบำเพ็ญต่อเป็นอรหันต์ระดับ 5 สูงไปเป็นอนุโพธิสัตว์
อนุโพธิสัตว์คือผู้จะตามบำเพ็ญเป็นสัมมาสัมโพธิญาณ บำเพ็ญต่อเป็นอนิยตโพธิสัตว์ แต่ยังไม่เที่ยงแท้ต่อการเป็นพระพุทธเจ้า ยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าไม่ได้ นิยตโพธิสัตว์คือเที่ยงแท้ต่อการเป็นพระพุทธเจ้า
8.มหาโพธิสัตว์ 9.สัมมาสัมพุทธโธ(พระพุทธเจ้า)
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.สัมมาสัมพุทธโธ(พระพุทธเจ้า)
คุณเอาโพธิสัตว์มาปนทำให้ตนเองก็ยากคนอื่นก็ยาก อาตมาก็พลอยอธิบายได้ยากด้วย ถ้าคุณเข้าใจไปตามที่อาตมาอธิบายก็ได้ส่วนอนาคามีนั้นศึกษาตามที่พระพุทธเจ้าสอนในพระไตรปิฎก เอาตามสมเด็จพุทธโฆษาจารย์เขียนไว้ก็พอแล้ว
เอาความเข้าใจของอาตมา
1. อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ) ผู้มีภูมิจะนิพพานได้แล้วปล่อยไปก็ปรินิพพานได้
2. อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ) ต้องพยายาม แล้วก็ทำได้สำเร็จตามความสามารถตน ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยอย่าง อันตราปรินิพพายี
3. สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)
4. อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)
5. อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว) อันนี้สุดยอดกว่าอีกสี่อัน
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูมาแสดงถึงกรรมของผู้หมดกิเลสว่าเป็นอย่างไร ….
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:55:41 )
รายละเอียด
600903_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก สัจจะ 3 สู่การหลุดพ้นจริงในปัจจุบัน
สมณะเพาะพุทธว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 2560 ที่สันติอโศก ได้ทราบว่า วันมะรืนนี้วันอังคารที่ 5 พ่อครูจะไปเทศน์หน้าศพ แม่ของ ดร.เทียนชัย วงชัยสุวรรณ ที่วัดบางเตย เวลา 19.00-20.00 น. เดิม เจ้าอาวาสวัดบางเตยองค์เก่าไม่ยอมให้สมณะชาวอโศกไปเทศน์ แต่บัดนี้มีเจ้าอาวาสองค์ใหม่ ท่านก็ยินดีให้ไปเทศน์ได้ เจ้าอาวาสองค์เก่าได้ลาสิกขาไปแล้ว ก็เป็นอนิจจัง ซึ่งอนิจจังมีสองทิศทาง เชิงบวก คือกิเลสลด อนิจจังเชิงลบ ก็คือกิเลสเพิ่ม
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ทุกปัญหาที่เกิดในมหาจักรวาลเรามีส่วนผิด
เมื่อกี้นี้ได้โอกาสอ่านบันทึกที่ได้บันทึกเรื่องที่พ่อครูเทศน์ พ่อท่านเทศน์ว่า ไม่มีอะไรเลยที่ไม่สัมพันธ์กันในมหาจักรวาลนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันหมด การทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวแต่ก็กระทบกับส่วนรวมได้
พ่อครูว่า...ก็ขอแถมให้ชัดๆ ในจักรวาลนี้แม้แต่อุกกาบาต ที่ไม่เข้าในเส้นวงโคจรใด ถูกแรงต่างๆผลักดันดูดให้ไป แต่มันก็ไปสัมพันธ์ได้ อยู่ในเอกภพเดียวกัน มันยังไม่สูญหายไปจากเอกภพไม่มีอะไรไม่สัมพันธ์กัน
เอกภาพ หมายถึงภาวะที่ลงกันเป็นหนึ่งเดียว แต่นี่ถ้าไม่ลงกันเป็นหนึ่งเดียวมันเกะกะระราน ดีไม่ดี อีกหมื่นชาติล้านชาติแสนชาติ ก็เที่ยวไปกระทบสะเปะสะปะไป
สมณะเพาะพุทธว่า..ความสัมพันธ์นี้มีทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
พ่อครูว่า...อาจจะนานมากเป็นหมื่นชาติล้านชาติ แม้จะไม่มากระทบเราก็ไปกระทบอันอื่น ก็เป็นคลื่นที่มาถึงเราได้ จากหยาบไปถึงละเอียด จนกระทั่งมาถึงเราจนได้
สมณะเพาะพุทธว่า..ไม่แปลกใจในช่วงสงครามเมื่อ 10-20 ปีก่อน สงครามอาหรับซัดดัมและอเมริกา เกิดปัญหากัน พ่อท่านเคยพูดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของอาตมา อาตมายังมีบารมีไม่มากพอจะทำให้เหตุการณ์ทุเลาเบาบางได้
พ่อครูว่า….ผมเห็นด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างนั้นจริงๆ
สมณะเพาะพุทธว่า...คำว่า ไม่มีอะไรไม่สัมพันธ์กันเลยในมหาจักรวาลนี้
พ่อครูว่า...แม้แต่ความผิดของคิมจองอึนที่ทำตอนนี้ เป็นความผิดของอาตมาด้วย ที่ไม่สามารถสอนให้เขาได้รับรู้แล้วประพฤติแก้ไขตัวเอง
สมณะเพาะพุทธว่า...ถ้างั้นคนที่กำลังหนีไปตอนนี้ก็เป็นความผิดของพ่อท่านด้วย ที่ยังตามหาตัวไม่เจอ เป็นความผิดของพ่อท่านด้วย
การคิดเช่นนี้ทำให้ปัญหาจบเร็ว ความผิดอยู่ที่เรา
พ่อครูว่า...ไม่ใช่พูดให้จบๆไปนะ แต่เป็นเรื่องจริงด้วย ถ้าอาตมามีบารมี มี Authority ที่มากเพียงพอ ยิ่งลักษณ์ก็ต้องมาทำทานมาบริจาค มาเรียนรู้ รับสิ่งที่ดีที่เป็นมงคลจากเรา เขาก็จะได้สิ่งที่ถูกต้องไป ไม่เตลิดเปิดเปิง ไม่ทิ้งขี้ทิ้งขยะไว้อย่างนี้ แต่นี่เราไม่สามารถทำถึงขนาดนั้นได้ เป็นเรื่องจริง เราก็ต้องยอมรับว่าเราไม่มีอิทธิพลพอ ยังไม่ดีพอไม่มีความสามารถพอ จะทำให้สิ่งเหล่านี้ เข้ามายอมรับกับสิ่งที่เรามี ทำดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ
สมณะเพาะพุทธว่า..สุภาษิตนี้ทำให้เราปรารภตัวเอง ที่ว่า ทำดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ แต่ถ้าบอกว่าทำดียังไม่ได้ดีเพราะคนอื่นตาถั่ว อย่างนี้ไม่ทำให้ตนปรับปรุง อะไรก็ตามที่ไม่ดีในโลกนี้เป็นความผิดของเรา
มีท่านผู้หนึ่ง เห็นสิ่งปลูกสร้างส่วนกลาง ถูกปล่อยปละละเลย แรกท่านก็โทษหน่วยงานราชการที่ไม่มาดูแล แต่ท่านคิดใหม่ว่า สิ่งนี้ถูกปล่อยให้เรามาดูแลต่างหาก คิดอย่างนี้ก็เลยเข้าไปดูแล เรื่องก็เลยจบ สิ่งที่ถูกปล่อยปละละเลยก็ดีขึ้น ถ้าไปคิดว่าเทศบาลไม่มาดูแลหน่วยงานนั้นไม่มาดูแล ก็มาคิดใหม่ว่า เขาเก็บไว้ให้เราเข้าไปดูแลเป็นคนแรกต่างหาก วิธีคิดนี้ทำให้จบ เรื่องราวเป็นไปได้อย่างดี
สื่อธรรมะพ่อครู(สัจจะ) ตอน จะรู้ได้อย่างไรในอจินไตย 4
พ่อครูว่า...ขอชี้แจงในสัจจะปัจจุบันนี้ โต๊ะข้างหน้าอาตมาเต็มไปด้วยผลผลิต ที่แสนสะอาด ไม่ว่าผักขะแยง ผักอีตู ใบก้านตง เห็ดฟาง อะไรต่างๆนานา บางอย่างขอยอมรับว่าเรียกชื่อไม่ถูก มันเป็นธรรมชาติจริงๆ แม้แต่ดอกดาวเรืองที่มาเหลืองเต็มหน้าฉาก ก็มาจาก สวนบุญผักพืช คลอง 13 เป็นสวนของสันติอโศก ที่ช่วยกัน ดูแลประจำ จรไปจรมาหรือไปพักก็ว่าไป แล้วของเหล่านี้ ผลิตที่โน่นแล้วมาที่ตลาดนัดวันอาทิตย์ที่นี่ และตลาดแพทย์วิถีธรรมสัญจร
ชีวิตตั้งแต่เดรัจฉานถึงคน มันต้องกินทั้งนั้น กิน ไม่ได้ ต้องกินกสิกรรมพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไปกินเหล็กกินหินไม่ได้ มันเป็นอุตุ แต่พันธุ์ธัญญาหารเป็นพีชะ สังเคราะห์สังขารได้ ยังช่วยกันไป
อาตมาอธิบายยังไม่ละเอียดพอ ใน อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม เป็นความจริงของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสรู้ ความจริงสูงสุดนั้นไม่มีใครรู้เกินพระพุทธเจ้า ที่เราได้ฉลาดรู้เพิ่มขึ้นมาก็คือความเจริญรากเหง้าที่เราได้จากพระพุทธเจ้า และเราได้ก็ยังไม่ถึงที่สุดของพระพุทธเจ้าอยู่ดี เพราะฉะนั้นอย่าไปหยิ่งผยองอะไรเลย ไม่ต้องหยิ่งผยองหรอก ที่พูดนี้ไม่ใช่ว่าเราไปหลงใหลพระพุทธเจ้าแต่เป็นเรื่องจริง ว่า พระพุทธเจ้าท่านพยายามบำเพ็ญศึกษาทุกอย่างให้รู้จริงๆ คนที่จะมีภูมิธรรมเท่าพระพุทธเจ้านั้น มันห่างมาก
ในโพธิสัตว์ระดับ 9 ที่จะขึ้นไประดับ 10 เป็นระดับสัมมาสัมพุทธะ ระดับสัมมาสัมพุทธะก็ยังแบ่งเป็นสอง มีปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ กับอนุตตรสัมมาสัมพุทธะ จบตรงนั้น จะเป็นหนึ่งก็คือ มีพฤติกรรมมาประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ส่วนพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้มีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากันกับพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ประกาศศาสนา ปรมัตถสัจจะ ท่านเท่ากันแล้ว แต่สมมุติสัจจะ ไม่เท่ากัน
สมณะเพาะพุทธว่า..จะเรียกว่าเสียของไหม
พ่อครูว่า...เสียพระปัจเจกไป แต่ก็มีองค์อื่นมาแทนอยู่ดี ไม่ต้องไปกังวลแทนท่านหรอก ถ้ารู้สึกว่าเสียของ แสดงว่า ปัจเจกองค์นั้นก็มีตัวตน กลัวคนอื่นจะว่าเราเสียของ จะเสียหรือไม่เสียก็เป็นธรรมชาติ ของมันเสียก็เสีย ดีก็ดีไป สิ่งนี้ท่านจะเสียก็เรื่องของท่าน
สมณะเพาะพุทธว่า...สัมมาสัมพุทธะมีสองคือ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ากับอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องนี้เป็นเรื่องอจินไตย 4
คือ เรื่องของ
1. พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
2. ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน
3. วิบากแห่งกรรม
4. ความคิดเรื่องโลก (จักรวาล เอกภพ) โลกาจินตา
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 77)
พ่อครูว่า...ผู้ที่รู้ยิ่งกว่าก็คือพระพุทธเจ้า ท่านรู้ได้มากไปครบกว่า เราก็รู้ได้แค่นี้
โลกาจินตา คือ เรื่องของโลก โลกคือความหมุนวน โลกคือสิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ตั้งแต่ 2 หน่วยขึ้นไปจนกระทั่งนับไม่ถ้วน ปรุงแต่งสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอยู่ทั้งหมดในโลก มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้กระทั่ง .00001 วินาทีมันก็เปลี่ยนไป ละเอียดมาก มีเกิดมีดับ คุณไม่สามารถดูได้หมดหรอก มันมากกว้างใหญ่เยอะมากมาย ต่างๆนานา มันซ้อนอยู่กับกาละ ทุกกาละๆ คุณจะแบ่งแยกกาละออกเป็น .00001 วินาทีเท่าไหร่ก็แล้วแต่ เขามีภาษาเรียกความละเอียดของวินาที
โลกาจินตา คือสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาตั้งแต่ 2 หน่วยขึ้นไปจนนับไม่ถ้วน อย่าไปคิดเรื่องอจินไตยเหล่านี้ อาจจะรู้ได้จำนวนหนึ่ง แต่คนอื่นเขารู้ได้มากกว่าเรา เราจะไปแส่รู้ไปทำไมมันรู้ได้ไม่หมดหรอก รู้ได้เท่าไหร่ก็บอกไปเท่าที่จะเป็นประโยชน์
SMS วันที่ 30 สิงหาคม 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
_3867ผู้น้อยคงนั่งหลับตาทำสมาธิบ่ได้นานนั่งทีไรหลับอุตุไร้ภวังค์ใดๆหลับใหลลึกไปอยู่กับโลกเงียบที่สงบที่สุด!เสียงในโลกดังเท่าไรก็บ่ได้ยินเลย!ถนัดนั่งลืมตาทำสมาธิ อยู่กับงานศิลป์อึดได้ทั้งวันทั้งคืน!นั่งหลับตานั่งบ่รู้ผัสสะกระทบทวาร5 ฝึกง่าย แต่ลืมตารู้ผัสสะทุกขณะที่มากระทบจนเกิดอารมณ์ความรู้สึกเวทนา108ฝึกย๊ากยาก! กองทัพใดในโลกก็สู้กองทัพกิเลสบ่ได๊!ยกเว้นอาริยะชนโลกุตระฯ สมาธิลืมตาโดยพ่อครูตรงกับธ.เก่าแก่ว่าขณะลืมตามีสติระลึกรู้สภาวะของรูปนามนั้นจิตจะต้องตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวคืออยู่กับรูปนาม-กายใจอันเป็นสภาวะของความตื่น!จิตจึงจะเกิดปัญญารู้ลักษณะของรูปนามตรงตามตามความเป็นจริงได้!ถูกไหม?
พ่อครูว่า...หลับตาปฏิบัติ ทำปรินิพพาน เป็นปริโยสานไม่ได้ จะปรินิพพานได้ต้องปฏิบัติแบบลืมตา หลับตาปฏิบัติจะไม่รู้จักพระนิพพาน จะตรวจ รูปฌาน อรูปฌาน แล้วมาอยู่อุเบกขาก็คือลืมตาทำ ปรินิพพานตรงนี้ ไม่ใช่ ปฏิบัติ ปรินิพพานในภพ เป็นส่วนตัวไปหมดเลย ไม่ใช่ ???
ตรงกลางที่สุดคือ ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น กับไม่เกี่ยวข้องกับตัวเรา เป็นจุดกลางที่สุดแล้ว
_จากเฟสบุ๊ค
_พิสิษฐ์ นฤนาทดำรงค์ · คลื่นเฟสขัดๆ_ลำปางฝนตกหนักครับ
_โอจันทร์ แซ่ตั้ง · เพิ่งค้นหาบุญนิยมทีวีเจอวันนี้เอง เลยได้ฟังธรรมจากพ่อท่านฯ สาธุ สาธุ สาธุ
_แหม่ม สวิส · ติดตามอยู่ที่สวิสได้ยินเสียงพ่อครูบอกให้บินมาก็ได้ ... ตรงกับใจที่คิดไว้เมื่อเช้านี้ว่าน่าจะเลื่อนตั๋วเดินทาง! จึงตัดสินใจจะเลื่อนตั๋วเดินทางไปไทยและไปถึงบ้านราชฯให้เร็วกว่ากำหนดค่ะ
_หินไท ชาวหินฟ้า · ผอ.สำนักพุทธคนดีอยู่ไม่ได้ โดนมหาเถรกดดัน..โอหนอคนดี???
ยิ่งลักษณ์หนีศาลช่วยขานไข บอกว่าไม่ บริสุทธิ์ ไม่สู้หน้า
การกระทำบ่งบอกถึงเจตนา เขียนคำพิพากษาด้วยตนเอง
_SMS วันที่ 31 สิงหาคม 2560 (สมณะ สิกขมาตุ-บวรราชธานีอโศก)
_3867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯทุกบวรอโศกกับกำลังใจที่ส่งให้ผู้ประสบวาตะอุทกภัยทั่วไทยทั่วเอเซียทั่วโลกด้วยน้ำใจคนไทยหัวใจเดียวกัน!
_3867กราบขอบคุณท่านฟ้าไท-ถักบุญ-กล้าข้ามฝันกับอัญญา,ปัญญาธรรมปัจจุบันขณะกับความรู้จริงตามความเป็นจริง!กัญญาเกิดยินดี!ฆัญญาสิ้นอวิชชา!ชัญญา,สัญญาควรกำหนดรู้!พาใจพ้น อกุศลกรรม เจริญกุศลจิต
พ่อครูว่า...อาตมาค่อยๆทยอยบอกไปใช้ภาษา มนุษย์มีภาษามากมาย ถ้าสมมุติอันเดียวกันจะสื่อกันได้ แต่ละภาษาก็กำหนดมา เอาภาษามาสู่สภาวะทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องไปขัดแย้งกันเลยว่าภาษาไหนเลิศกว่า ใครจะละเอียดขนาดไหนก็เท่าที่เรารู้ละเอียดได้เท่าที่เรารู้ แล้วไม่มีใครตัดสินว่าภาษาไหนละเอียดกว่าภาษาไหน นอกจากเราถนัดภาษานั้น อาตมาถนัดไทย บาลี ลาว ซึ่งบาลีกับไทย มาจากรากเหง้าทดแทนกันหมดเลย อาตมายังไม่สามารถแปลจากบาลีเป็นไทยได้ครบ ก ข ฆ ค ง เป็นต้น ยังไม่สามารถแจกแจงได้ครบ ก็ค่อยทยอยให้ ก็ฝากไว้ก่อนโอฬาร ตัว ฬ เป็นเศษวรรคสุดท้าย รวมไว้หมด ฬ เท่ากับ ถังขยะ รับเละ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน มโนปวิจาร คืออะไร
_5845ขอบคุณท่านสมณะฟ้าไทผู้น้อยฟังธรรมะมา10ปีพึ่งรู้ว่าเวทนา2คืออะไรผู้มีปัญญาน้อย
พ่อครูว่า ...มันไม่ง่าย แต่อ่านให้ได้ให้ตรง โดยเฉพาะ เคหสิตะกับเนกขัมมะ เคหสิตะคือโลกีย์ คุณทำให้มันลดได้เป็นเนกขัมมะ
สภาวะที่เรียกว่ามโนปวิจาร คือพฤติอย่างยิ่งเอามาวิจาร อาการเคลื่อนไหวอย่างยิ่งของมโน ละเอียดสุดแล้ว จับอาการของมันให้ได้ ว่าอาการอย่างนี้ดิ้น อาการนี้หยุดดิ้นแล้วอาการนี้หมองหรือสดใส หรือเฉยๆ มันเฉยอย่างโลกีย์หรือเคหสิตะ เฉยๆอย่างนี้เนกขัมมะโลกุตระ เราทำนะ เฉยอย่างนี้เราทำเอง แต่เคหสิตะนี้เราไม่ได้ทำเอง จะกลับไปอีกทีคือมันเป็นอัตโนมัติ ตถตา
ก็เลยใช้พยัญชนะแทนเคหสิตะไม่ได้ แต่มันอันเดียวกันเลย ไม่ต้องไปกังวลมันเป็นความเฉยเราไม่ต้องทำแล้ว มันทำเองเป็นอัตโนมัติ จะมีเหตุปัจจัยอะไรมามันก็เป็นของมันเอง
นอกจากคุณยังไม่สามารถเป็นได้ เมื่อเป็นไปไม่ได้มันก็ไม่เป็น แต่ถ้ามันเป็นไปได้ มันเป็นแล้วก็ผ่านไปเราก็เลยไม่สะดุด แต่ถ้าคนที่มีญาณปัญญาละเอียดจะรู้ว่ามันมีอีกนิดหน่อย จะรู้ของคุณเอง คุณจะรู้ตัวเอง
_จากเฟสบุ๊ค
_ทิพา ศิริรักษ์ · สาธุนี่คือคลังแห่งความรู้และสติปัญญา
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน นัยต่างกันของคำว่าความเห็น
_สมณะพอจริง ถามว่า ทิฏฐิ ทัสสนะ ปัสสนะ ปัสสนา ปัสสติ ต่างก็แปลว่า เห็น มีนัยต่างและเหมือนกันอย่างไร กาลใด สภาวะใด ใช้คำใด
พ่อครูว่า….เอาแค่อธิบายคร่าวๆก็แล้วกัน ภาษาเหล่านี้จะวนซ้อนหลายตลบ ไม่คนฟังก็คนอธิบายมึนก่อน
ทิฏฐิ นี้เป็นความเริ่มรู้ เป็นตัวนำ สัมมาทิฏฐิ ประธานของความรู้ทุกอย่าง ท่านไม่เรียกสัมมาวิญญาณ แต่เรียกสัมมาทิฏฐิ ไม่เรียกสัมมาทัสสนะ ไม่เรียกสัมมาปัสสะ ไม่เรียกสัมมาปัสสนา แต่ท่านเรียกสัมมาทิฏฐิ คือตัวรู้ตัวแรก ตั้งแต่เริ่มรู้อย่างแข็งแรงมั่นคงด้วยพยัญชนะ
ท เป็นตัวแข็งแรง อุตุนิยามหรือพีชนิยามหรือจิตนิยามลักษณะ ตัว ท เป็นตัวแข็งแรง วรรค ก จ ต ฏ ตัว ท อยู่ในวรรค ต ตัวกลาง ต ถ ท ธ น
ส่วน ฏ ฐ ฒ ฑ ณ นี่รุ่มร่าม พอมาเป็น ต ถ ท ธ น
ถ้าเริ่มต้น ตั้ง แล้วไม่ต่อก็ไม่มีก็จบ อย่างนี้เป็นต้น จะจบหรือไม่จบก็คือ สนต หรือสันตติ เริ่มต้นพลังงาน เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ย ร ล เป็นสามเส้า ว ส ห เป็นอีกเส้า ชื่ออาตมาอยู่ตัว ร
ทิฏฐิ ใช้ตัว ฐ
พอมา ทัสสนะ เป็นเส้าที่สอง
ป คือกรรมกิริยา ม คือจิต ธาตุรู้ วิญญาณ
ผ คือเริ่มกระทบผัสสะ พ คือมีอาการพฤติ ภ คือเจริญ ม คือจิต
แถวห้า ป ผ พ ภ ม คือสภาพมี สภาพแถวที่สี่คือสูญ ถ้าตั้งขึ้นแล้วมีก็รุ่มร่ามอีก ไปหา ก ข ฆ ค ง ก็มีอยู่ตลอดกาล ไม่ไก่ก็ไข่
ก มี ข คือไม่มี เริ่มต้นมีสองตัวนี้ แต่ถ้าสองตัวนี้มีแล้วก็มาครบเลย ถ้าจะต่อนะ แต่ถ้าไม่ต่อก็ตัด คุณจะตัดรีบจบโดยที่คุณปรินิพพานเป็นปริโยสาน
เช่น พระอรหันต์รู้และมีระเบิดปรมาณูในตัวเองแล้ว จะทิ้งระเบิดไปแล้วก็จบ ได้แล้ว ทำลายตัวเองสูญ พอระเบิดแล้วก็สูญ มีความรู้เท่าไหร่ สามารถรู้จักโลกนี้เท่าไหร่ก็เท่าที่พระอรหันต์รูปนี้มี โดยที่ตนเองสลายอัตภาพตนเองได้ แต่ถ้ายังไม่ยอมจบขอรู้ต่อเป็น 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.สัมมาสัมพุทธโธ(พระพุทธเจ้า) เป็นพระอรหันต์แล้วสามารถมีปรมาณูในตนแล้วก็ทิ้งสลายได้
ทีนี้ ปัสสะ ปัสสนาก็แปลว่า “เห็น” ทั้งนั้น ปัสสติก็เห็น ปัสสตินี้ครบทุกทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ครบทั้งนอกและใน
ทิฏฐิต้องเป็นปัจจุบัน ปัสสนะนี้สั่งสมเป็นอดีตและปัจจุบัน มากขึ้นเป็นพหูพจน์ คือปัสสนา อนาคต สิ่งที่มาไม่ถึงไม่มีการปรากฏ อนาคต คือผลจากปัจจุบันและอดีต ถ้าไม่มีอดีตและปัจจุบันอนาคตไม่มี
กาละที่คุณจะต้องปัจจุบันเป็นทิฏฐิ ปัสสนะนี้ปัจจุบันด้วยสะสม ปัสสนารู้พร้อมทั้งหมด ปัสสตินี้รู้ทั้งตนและเขาคนอื่นด้วยทั้งกาละ กรรม and time
สื่อธรรมะพ่อครู(สัจจะ) ตอน สัจจะ 2
_คำถาม จาก อ.ไพศาล พืชมงคล เช้าวันนี้ 3 กันยายน 2560 เวลา 06.06 น.
กราบอาราธนาพ่อท่านช่วยแสดงธรรมอธิบายอริยะสัจสี่ที่มีรอบสามอาการ 12 ที่ทรงเทศในธรรมจักรหน่อยครับ ? เพราะทรงยืนยันว่า...ตราบใดเราไม่แจ้งในอริยะสัจสี่ด้วยปัญญาอันยิ่งโดยรอบสามอาการสิบสองจะไม่ทรงปฏิญานพระองค์ว่าตรัสรู้
ยุคนี้เห็นจะมีพ่อท่านรูปเดียวที่อธิบายได้ เพราะไม่มีใครสอน ไม่มีใครอธิบาย
ว่ากันแค่อาการเดียวรอบเดียว
จะเป็นประโยชน์มาก ตรงนี้ทรงยืนยันว่าเป็นเรื่องของการตรัสรู้
พ่อครูว่า….อาริยสัจะ 4 ทุกข์ สมุทัย นิ โรธ มรรค กับญาณ 3 คือสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ
อาริยสัจ 4 อาการอย่างนี้ทุกข์ รู้ของตน จะไปอ่านของคนอื่นยาก จะรู้ก็เพื่อช่วยคนอื่นได้ และถ้าไม่รู้ของตนจะซวยหากของตนไม่ชัดเจนก่อน แล้วไปบอกไปชี้ของคนอื่นจะไม่มัวหมอง ของตนเองให้ชัดเจนก่อนจึงจะอธิบายได้ ขนาดรู้ของตนเองแล้ว จะอธิบายของตนเองหมดก็ยังไม่ได้เลย เราเรียนของตนไม่ค่อยคล่องให้คนอื่นก็ไม่หมด
อาการ เอาอาการ 3
อาการของนิโรธคือการที่ไม่มีอาการ วิธีสู่ความไม่มีอาการ ต้องศึกษาของตนแล้วจะรู้ตน ปัจจัตตังก็บอกให้คนอื่นรู้ได้เท่าที่ตนเองมีภาษาและเก่ง อาตมาเรียนทางสายปัญญาสื่อได้ขนาดนี้ ยังรู้สึกว่าตนเองยังไม่เก่งพอ รู้สึกว่ามันยังไม่เต็มที่เรารู้ ยังไม่หมดที่เรารู้
หนึ่ง สัจจะนี้ต้องรู้ อย่างสัจจะสองอันแรกคือ ปรมัตถสัจจะ สมมุติสัจจะ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สัจจะไม่มีเลยในโลก สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก ถ้าจะมีสัจจะนี้ต้องมีสองที่จะรู้กันเป็นหนึ่งเดียวตรงกันเป๊ะเลย สองก็จึงเป็นหนึ่ง เมื่อสองรวมเป็นหนึ่ง หากอยู่คนเดียวไม่มีสองคนก็อยู่กับ 0 ถ้า 1 กับ 1 มันเป็น 2 แน่ แต่ถ้า 1 กับ 0 เอา 1+0=1 แต่ถ้า 1x0 =0 ก็จะมีแต่บวก ถ้ามันไม่ต่อก็ชรตา ก็เสื่อมไปๆ เสื่อมอย่างลักษณะ 5 ของอนาคามี
1. อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)
2. อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)
3. สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)
4. อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)
5. อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว)
ถ้าชรตาแล้วไม่มีอะไรไปเติมอีก ไม่สันตติต่ออีกเลย ก็อนิจจังของคุณก็ไปหา 0 สุดท้ายเป็นลักษณะ 4 ของสิ่งที่จะรู้ได้ด้วยนาม ญาณปัญญาคุณไปรู้ ด้วยตนเองเป็นปัจจัตตัง หรืออยู่ร่วมกับคนอื่นในโลกได้ ถ้าไม่สามารถมีคนรู้ ร่วมได้ด้วยก็เป็นปัจเจก แม้สมมุตว่า ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะองค์นี้รู้ยิ่งกว่าสัมมาสัมพุทธะองค์อื่นแต่ไม่ประกาศศาสนา ก็ตายสูญคนเดียวก็ไม่มีอะไร คนอื่นก็ไม่รู้ด้วยกับท่าน แต่ถ้า ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ มี 5 องค์ก็รู้กันแต่ละองค์ แต่ถ้าไม่บอกใครก็ของทิ้งทั้งนั้น ถ้าท่านมีองค์เดียว ท่านรู้ยอดแล้วไม่บอกใครก็ปรินิพพานก็ไม่มีอะไรเกิดในเอกภพนี้ก็ไม่มี ถ้าเข้าใจแล้วไม่สับสนชวนงง ใครจะใหญ่กว่าใคร ถ้าใหญ่กว่าสัมมาสัมพุทธะทุกองค์ก็มาพิสูจน์กับคนอื่นสิ คุณแสดงออกมาได้ไหม อย่างธัมมชโยแสดงออกมานี้มหานรกทั้งนั้น คนที่รู้ก็ไม่เอาด้วย คนโง่ก็ไปเอาด้วย
สื่อธรรมะพ่อครู(สัจจะ) ตอน สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลกและสัจจะไม่มีในโลก
เขาก็บอกว่าอันนี้ชิปหาย เขาก็ตัดทางที่จะให้คุณทำ ถ้าคุณยังดิ้นอยู่ เขาก็จะทำให้คุณหยุดดิ้น จะหยุดดิ้นได้สูงสุดก็หมดลมหายใจ ถ้ามีลมหายใจก็ดิ้นแน่ อย่างเก่งก็ฉีดยาให้เป็นมนุษย์พืช สมัยนี้ทำได้นี่เรียกว่าเมตตานะ แต่ก็โหดแล้ว แล้วคนถูกฉีดยาไม่ยอม ก็ฝากเอาไว้โอฬารอีกร้อยชาติไม่สาย ถ้าจองเวรจองกรรมกัน
เข้าสู่เนื้อหา
สัจญาณ ญาณคือความรู้ต้องดูด้วยสัจจะ ยุคนี้ จะมีอะไรที่พูดแล้วร่วมรับรู้กันได้ ยิ่งมีเทคโนโลยีอะไรที่ให้รู้ได้ ไม่ต้องสัมผัสกับตัวจริงก็รู้ได้เท่าที่รู้ได้ก็เป็นข้อจำกัดที่ให้เรารู้ได้ หนึ่งคุณมี ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เป็นทวารรับรู้ สองมันตรงกับคนอื่นไหม สองคน หรือสามคนหรือมากคน แต่ถ้ารู้กันแค่สองคน คนอื่นไม่รู้ด้วย ก็โง่แค่สองคน อันที่คนอื่นรู้ร่วมกันได้มากเท่าใดอันนั้นเป็นความจริงกว่า เอารู้ร่วมกันได้มากกว่าแค่แม้ครึ่งคน หนึ่งคนก็ชนะแล้ว แต่นี่มีไม่รู้กี่ล้านๆๆคน กับอีกหมู่นี้ล้านๆๆๆๆ แค่มีมากกว่ากันหนึ่งคนก็ชนะแล้ว จะเอาชนะหรือแพ้
สัจจะ ก็เอาสมมุติสัจจะมายืนยันว่าจริง แต่แท้ไม่เที่ยง เกิดเป็นตามกาละ ดินน้ำไฟลม หรือ ที่ผสมมายืนยันต่อกันเท่านั้นเอง นอกนั้นไม่มีอะไรจริง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า สัจจะไม่มีจริง แต่ถ้าจะมีจริงคุณจะต้องมีพวก เป็นหนึ่งเดียวตรงกันหมด ล้านคนตรงกันหมด ร้อยล้านพันล้านตรงกำหนด ใครจะมากกว่ากันเท่าไหร่ มากคือเยภุยยสิกา มากคือชนะ
สรุปแล้วสมมุติสัจจะ มันไม่มีจริงหรอก ถ้าจะมีจริงต้องตรงกัน
ทีนี้ที่มี มันจะอยู่นิรันดรไหม ก็ไม่อยู่ ไปหาไม่มี เพราะฉะนั้นสัจจะ ก็เถียงกันเท่าที่มี คนจะจบ แม้เราจะฟังแล้ว เรายังไงๆ ก็ยืนยันว่าเราดีกว่าเรายึดนี้ดีกว่าที่เขายึดไม่ดีกว่า คุณจะยืนยันอย่างไรหากไม่ลงกันก็แย้งกันทะเลาะกันก็ทุกข์ หากเราไม่ยึดก็วางก็ไม่ทุกข์ ใครอยากยึดก็ let it be เราไม่ยึดก็จบ
ไม่ยึดแล้วก็สูญ ยึดก็มี คุณจะแบกไปอีกกี่ชาติก็แล้วแต่ ถ้าจบ 0 ก็จบตรงนี้ยึด
ถ้าจริงต้องมีพวกยอมรับกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ก็ถือว่าเป็นความจริงที่มี แต่ถ้าเราจะร่วมกับเขา ก็ไปร่วมแม้จะเห็นว่าไม่เหมือน ไม่ต้องขัด หากขัดก็วิวาท ขัดแย้งดีไม่ดีคนใจร้อนใจแรงก็รับวิบากเองนะ ไปขัดเขาแล้วมันใจร้อนใจแรง สู้เขาไหวไหมล่ะ สู้เขาไหวก็ได้เอาสิ แล้วมันจะหยุดไหม คนสู้ไม่ได้จะจองเวรไหมก็ยาวยืดไปอีก
สรุปแล้วสัจจะพิจารณาจากปรมัตถ์หรือปัญญาของเรา ปัญญาธาตุรู้จึงเป็นความรู้ที่เฉพาะบุคคล ตนจะวางหรือตนจะต่อ ถ้าตนต่อ ก็ต้องเอาไปเปรียบเทียบกับอะไรต่อ ต้องมีการเปรียบเทียบ และการเปรียบเทียบนั้นแหละ มันไม่มีความจริงหรอกว่าอะไรถูกหรือผิด หรืออะไรดีอะไรไม่ดี มันจะจริงก็ต่อเมื่อคนอื่นมาร่วมรับรู้ ถ้าเขาไม่ร่วมรับกับคุณ คุณก็แพ้อยู่ดี คุณถูกอยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่ถูกแล้วคุณจะทำอะไรได้ ใช่ไหม มันทําไม่ได้ เขาไม่ให้คุณทำหรอก
มีคำขอบคุณสำนักพิมพ์กลั่นแก่น ว่าขอแจ้งเลื่อนหนังสือออกไปเป็นงานมหาปวารณา พฤศจิกายน ธรรมดาออกในวันเกิดเราคิดอะไร ตุลาคม ผู้ใดจะสมทบทุนติดต่อที่ lineID baiyanang หรือ โทร 081 2537677 (พ่อครูไอ)
สมณะเพาะพุทธว่า...สัจจะต้องมีพวกร่วมรับรู้กับเรา แม้เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะหากไม่มีคนรู้ร่วมได้แม้คนเดียวก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อโลก
ศาสนาพุทธเป็นพลังรวมสังคม อันใดที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อร่วมกันรวมกัน อันนั้นไม่เรียกว่าศาสนา
ถ้าเราอยากเข้าถึงสัจจะต้องพยายามเข้าถึงการรู้ร่วมกับคนอื่น ถ้ารู้คนเดียวไม่เป็นประโยชน์ต่อโลก สัจจะต้องเป็นอัตถะ ไม่เป็นอัตตา ทำให้คนอื่นรู้ร่วมด้วย พ่อท่านเน้นย้ำว่า ถ้าจริงต้องมีพวก ถ้าไม่มีพวกยังถือว่าไม่จริง อาจเป็นจริงส่วนบุคคลแต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อโลก
ปัญญาเป็นธาตุรู้เฉพาะตน จะต่อหรือไม่ต่อก็แล้วแต่เรา
พ่อครูว่า... ขอสรุป สัจญาณ
สื่อธรรมะพ่อครู(สัจจะ) ตอน สัจญาณ กตญาณ กิจญาณ อันลึกซึ้ง
ตกลง สัจญาณ เป็นสิ่งที่ต้องมีครบทั้งสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ ปรมัตถ์หมายความว่าส่วนตัว สมมุติต้องมีผู้ร่วมรู้ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป จึงเรียกว่าสมมติ
สมมุติสัจจะ ถ้าไม่ได้ประกาศ มันไม่สามารถที่จะเป็นสมมุติสัจจะ มันเป็นปรมัตถสัจจะอย่างเดียว ต่อให้ปรมะ แปลว่าเลิศยอดใหญ่บรมในอัตถะเนื้อหาเท่าใด แต่ไม่สามารถทำให้คนอื่นดูได้เป็นคนที่ 2 คุณก็ตาย ปรินิพพานไป ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรในโลก พูดไม่ได้ตอบไม่ได้ยืนยันไม่ได้เลย ยกประโยชน์ให้สูญไป เวิ้งว้างจับไม่ติด จะมีสัจจะต้องมีในมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานเก่งขนาดไหนก็แล้วแต่ไม่สู้มนุษย์ มนุษย์เท่านั้นที่จะสามารถรู้แล้วเอามาใช้ประโยชน์ให้เป็นคุณประโยชน์ แต่เอาไปทำเป็นโทษก็เยอะ เราก็ไม่เอาแบบนั้น
สมมุติสัจจะ จึงต้องมีพวกตั้งแต่ 1 จนถึงนับไม่ถ้วน
กิจญาณ ต้องมีการกระทำการประกอบการ สัตว์มันทำการกิน มันทำการเดิน เคลื่อนไหว ทำการต่อสู้ มันทำการทำร้าย หรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉานทำการช่วยเหลือเกื้อกูล เลี้ยงดู สัตว์มันก็ทำเป็น คนก็ต้องทำเป็นยิ่งกว่า
กิจญาณ ญาณรู้ว่า การกระทำอย่างไรเป็นโทษ การกระทำอย่างไร เป็นคุณ คนที่ไม่โง่ การกระทำเป็นโทษก็ต้องเรียกว่าไม่ดี ชั่ว การกระทำเป็นคุณก็เรียกว่าดี เราสื่อด้วยภาษาไทย ให้ตรงกัน
สื่อรู้แล้วก็ทำตรงกัน คุณจะทำดีไม่กระทบใคร จะชั่วคนเดียวไม่กระทบกับใครเลย จะร้ายแรงเลวเท่าไหร่ไม่กระทบใคร ก็เรื่องของคุณ แต่ถ้าทำแล้วมันไปกระทบ อย่างน้อยความรู้สึกของผู้เห็นผู้รับรู้ก็ชั่วแล้ว ถ้ายิ่งกระทบไม่แค่ความรู้สึก กระทบ จนเขาปฏิบัติประพฤติในสิ่งที่ไม่ดีตาม แล้วขยายผลตามก็กลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่บานปลาย มีผลกระเทือนต่อมวลของโลก เกิดกระแสของโลก มันก็ไม่ดี
กรรมวิบากเป็นเรื่องอจินไตย ตราบใดที่ยังไม่ปรินิพพาน มีเชื้อชีวะ ในวัฏสงสารไม่สลายเชื้ออัตภาพก็มีผลต่อคุณทั้งนั้น เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอาตมาเห็นจริง เรื่องผลกระทบย้อนมาหาตนนี้ มันซวยมันลำบาก ไม่เอา อาตมาเชื่อกรรมวิบากกรรมเป็นของของตน เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อาตมาเชื่อสี่อย่างนี้ กรรมเป็นของของตน พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง เรามีกิจญาณ จะทำอะไรเมื่อสัมผัสสัมพันธ์กระทบกระแทก ถ้าจะกระทบกระแทกคนอื่นก็ให้เป็นคุณค่าประโยชน์ ถ้าเป็นโทษก็ต้องรับอยู่ดี มันจะตอบแทนเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น มันไม่หายไปไหน
ในกิจญาณของเรา คนมีความรู้ที่จะรู้ว่าอันนี้เป็นคุณ อันนี้โทษ พระพุทธเจ้าจบที่รู้คุณรู้โทษ รู้ถูกรู้ผิด อันนี้จบ จะแถมรู้ดีรู้ชั่วก็ได้ แต่รู้คุณรู้โทษ รู้ถูกรู้ผิด เราไม่ทำสิ่งเป็นโทษ เราทำสิ่งที่เป็นทรัพย์ของเรา สิ่งที่ต้องอาศัย ถ้าเรายังไม่สูญเป็นปรินิพพานก็มีผลต่อตัวเราอยู่ดี คำว่ากิจญาณ จึงมีการตอบการรับเรียกว่า ปฏิ Action reaction อนุโลมปฏิโลมอยู่ตลอดเวลา แล้วก็เกิดผลขึ้นมา ผลอันนั้นจะเรียกว่า ฆ ตัวฆ ระฆัง จึงเรียกด้วยพยัญชนะว่า ปฏิฆะ ผู้ใดรู้ว่าเราสร้างเอง ปฏิฆะ จะมาทำร้ายเรา คำว่าปฏิฆะคือยังมีโทษต่อเราอยู่ แต่ถ้าคุณยังไม่เกิด
ปฏิ คือทวนไปทวนมา เป็น นิวเคลียร์ฟิชชัน ไม่มีสะท้อนกลับมาเป็นบูมเมอแรงกลับมาเลย แม้จะ 0.0000001 องศาก็ศูนย์เด็ดขาดไม่โค้งมาเลยก็ปฏิ ทวน ฆ ตัวนี้ก็คือ 0 จะ0 ได้ต้องทำ ปฏิฆะให้ 0 ถ้ามีก็จะสื่อกับคนได้ สื่อด้วยภาษาเรียกอธิวจนะ ถ้าให้คนอื่นสัมผัสรู้ด้วยเป็น อธิวจนสัมผัสโส เป็นภาษาที่สื่อออกมา แต่ถ้าไม่มีบัญญัติภาษาก็สื่อไม่ได้ แม้จะสื่อภาษาใบ้ ก็ได้หรือใครจะเก่งสื่อเป็นในใจต่อใจเลยก็ได้ถ้าเก่งพอ อาตมาเคยเล่นแต่ยากมาก แล้วไม่เที่ยง ใช้พลังงานความสามารถมาก ทำได้ไม่นาน ทำอีกไม่ง่าย
อาตมาเคยฝึกสะกดจิต หันหลังชนกันแล้วให้เพ่ง ส่วนมากเดากันว่าใบอะไร ทายถูกครั้งนี้ก็เฮ ทายถูกครั้งต่อไปไม่ได้หรอก ก็เล่นทางวิทยาศาสตร์สะกดจิต มันมีพลังแต่ไม่ง่าย ยากฉิบหาย อย่าไปเสียพลังงานเลย เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า เป็นประโยชน์มากกว่าอยู่อาศัยเป็นสังคม ทั้งเด็กและคนแก่ผู้ใหญ่ก็ทำได้ อาศัยใช้ชีวิตไป หากไปทำแต่ตัวเองจะเก่งอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ คนนี้จึงรู้กิจญาณ อยู่กับสังคม ทำสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ ประโยชน์สูงประหยัดสุด อย่าให้สูญเสีย เรียนรู้ ครน. หรม.
ครน.หมายความว่าจะให้มันก้าวหน้า แต่อย่าให้อย่างอื่นเสีย ให้เสียน้อยที่สุด คุณร่วมน้อย ให้ก้าวหน้าแต่อะไรร่วมนั้นอย่าให้สูญเสีย ไม่สูญเสียเลย เก่ง ถ้าทำได้ แต่ถ้าไม่ได้ ต้องพยายามให้น้อยที่สุดหรือจะหาร จะหารออกเลยในสิ่งที่มันไม่ดี หารเลยสิ่งที่ไม่ดี ที่ไม่เป็นประโยชน์ของไปให้ได้มากที่สุด แต่ที่เหลือนี้เอาไว้แต่ดีๆๆๆนะ ถ้ามีชั่วร้ายนิดนึงมันก็แย่ ต้องหาร เอาสิ่งที่ไม่ดีออกให้มากที่สุดให้เหลือสะอาดที่สุดให้ได้ คือหารร่วมมาก
สมณะเพาะพุทธว่า...หรม.คือสัพพปาปส อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง)
ครน. คือ กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม)
พ่อครูว่า...กิจญาณคือมีความรู้รอบในสิ่งที่เราทำว่ามีคุณหรือโทษ ให้มีโทษน้อยที่สุด ที่ไม่ควรจะสูญเสียก็ไม่ควรให้เสียแต่มันต้องมีบวกมีลบเป็นพลังงาน ถ้าอะไรยังมี พลังงานบวกลบก็ต้องมี ไม่เช่นนั้นมันไม่ต่อ ถ้ามันเย็นลงไปเรื่อยๆไม่มีพลังงานร้อนก็ไปหา 0 เมื่อมีการกระทบก็ต้องมีปฏิกิริยาอุ่นร้อนในขนาดที่พอเหมาะ
กิจญาณต้องใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ประมาณในทุกเหตุปัจจัย อัตถะ ธัมมะตัวเราร่วมด้วย ทั้งกาละ ทั้งปริสัญญุตา ที่เป็นเหตุปัจจัยร่วม หรือต้องบุคคลแต่ละบุคคล ปุคลปโรปรัญญุตา คนนี้ไม่ควรกระทบคนนี้กระทบไม่เป็นไร ดีไม่ดี คนนี้กระทบจนตาย เพราะเขาเป็นโทษ ไม่ใจร้ายนะ พูดตามสัจธรรม นี่พูดวิชาการนะ อยู่ไปก็สะสมบาป ตายไปดีกว่า จะไปใช้วิบาก ตายก็ใช้วิบากชั่วนาน ดีมีน้อย คนตายแล้วไม่เกี่ยวกับใคร จิตวิญญาณก็ไปรับวิบาก
กิจญาณคุณต้องทำด้วยญาณปัญญาคำนวณประมาณ ใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เกี่ยวกับกาละ ที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้หรือไม่ ควรหรือไม่ควรด้วย ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติก็ต้องใช้วิจารณญาณ ถ้าคุณไม่ลำเอียง มีภูมิปัญญารู้รอบมาก ก็เอามารวมแล้วก็ตัดสินได้อย่างพอเหมาะ ก็ถูกตรงที่สุดเที่ยงธรรมที่สุด เราอยากให้เที่ยงธรรม แต่เรามีกิเลสแฝงเราไม่มีปัญญารู้ เราก็ว่ามีจิตบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์ต่อตนเองแต่ถ้าแอบให้กิเลสตีท้ายครัว รู้ว่ามีกิเลสแต่ก็ยอม ก็ยิ่งวิบากยกกำลังคูณไปเลย อย่าเล่นกับสัจจะ ไปโกงสัจจะไม่ได้ สรุปแล้วกิจญาณนี้จริง
สัจญาณนี้จริง กิจญาณก็จริง อย่าเล่นกับกรรม กิจคือปัจจุบัน ก กับ จ ส่วน สัจญาณก็ ส กับ จ ถ้า กิจ นี้ ก กับ จจ นะ ถ้า ก มม นี้เจโต ถ้า ก จจ นี้ปัญญานะ
สรุปแล้วกิจญาณไม่ได้ทำอย่างมืดๆนะ ทำอย่างสว่างอย่างรู้ๆ ทำอย่างมืดๆจะไปได้เรื่องอะไร มีแต่คนตาดีสว่างสว่าง เอ็งยังทำชั่วเลยตาบอดตาใส
ตาบอดตาใสนี้ไม่น่าคบหมายความว่ามีแสงสว่างส่องอยู่แต่ที่มืดนี้ไม่รู้จริงก็ต้องอภัยเขาแต่ที่ตาบอดตาใสนี้ มันตาไม่บอดนะ แต่มันบอกว่ามันบอด แล้วใครจะไปรู้ คนตาบอดนี้ ถ้ามีใสนิดๆ ก็จะรู้ แต่ถ้ารู้ชัดๆแล้วโกหกว่าตาบอดเลยนะ คนนี้อย่าไปคบเป็นอันขาด
สรุปแล้วกิจญาณคือรู้แล้วทำเท่าที่วิสัยเรารู้ได้ ไม่โกหกต่อวิสัยที่เรามี สุดวิสัย ถ้าคุณโกงต่อวิสัยก็วิบากมาก
อาศัย นิสัย วิสัย ต่างกัน
อาศัยคือใช้ร่วมกันธรรมดา ยังมีอยู่ก็ต้องอาศัย
นิสัยคือคุณได้ล้างมันแล้ว ถ้าอวิชชาก็สร้างตัวนี้เป็นนิสัย คือสิ่งที่ทำอย่างเคยตัวเป็นประจำ อย่างไม่สังวรระวัง ตรวจสอบ ถ้ามันไม่ดีก็ต้องเลิกทำแล้ว นิสัยเสียไม่เอาถ่าน แต่ถ้าคุณสั่งสม หัดมีสติ สัมปชัญญะ ระวังอย่าทำสิ่งที่ไม่ดีก็สั่งสมนิสัย ก็ไม่มีนิ มีแต่ สย ของตน หรืออาศัยที่ไม่ดีไม่มี จน เป็นวิสัย ที่จะไม่ให้มี นิสัยที่ไม่ให้มีก็หมดไป เหลือแต่สิ่งที่ดีที่ให้มีเป็น วิสัย
สมณะเพาะพุทธว่า...อาศัย เป็นเรื่องทั่วไป นิสัยเป็นเรื่องพื้นๆปถุชน ที่สะสมไม่ดี แต่วิสัยคืออาริยชน
พ่อครูว่า...วิ กับ อา คำว่า อา นี้ไปๆมาๆ แต่วิ เป็นเอกังสะ หนึ่งเดียว วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิทธิ์ ไปสู่ดีสู่ยอด
สมณะเพาะพุทธว่า..วิสัยให้เป็นไปในเชิง ยิ่ง วิเศษ สุดยอด วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิทธิ์ วิเศษคือไม่เหลือเลย
พ่อครูว่า...กิจญาณคือทำให้ วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิทธิ์ ให้ได้
กตญาณ กต คือแล้ว จบ
จบจนกระทั่งไม่ต้องทำอีกเป็นเองเลยอัตโนมัติ ถ้าจะเดินก็มีแต่เจริญถ่ายเดียว ไม่มีวอกแวก ตรงเป๋งเลย ไม่มีเป๋ ทุกอย่างต้องมีการจบ แม้แต่ฐานต้น คุณติดอบาย คุณจะเลิกก็ปฏิบัติตัวอย่างปัญญาทฤษฎีอุบายเครื่องออก จนคุณสามารถเลิกได้จบ ก็จะรู้จบ จบจนกระทั่งสามารถทำเป็นอัตโนมัติ มันเป็นเช่นนั้นเอง ตถตา มันเป็นอย่างนั้นเองโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องทำ มันก็ทำของมันอย่างนี้ ทำโดยอัตโนมัติ เป็นรหัสในตัว ถ้ามีอะไรกระทบตามที่มีสัญญากำหนดรู้ของมัน
สัญญาของจิตวิญญาณของอาริยะ สัญญาณในระดับโลกุตระ เป็นอัญญา สัญญา ปัญญา
สัญญาก็สั่งสมเป็นสัญญาณ ที่ทำงานโดยอัตโนมัติขึ้น อะไรกระทบก็มีสัญญากำหนดรู้ อันไหนตรงโต๊ะทำงาน ยิ่งทำ มันก็สั่งสมตามที่มันซื่อสัตย์ ถ้าเราสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นโลกุตระมีแต่ความจริงความสร้างสรรค์ อะไรที่มันเกินกว่ารู้มันก็ไม่ทำ มันไม่มีสัญญาไม่มีการกำหนดรู้ สัญญามันไม่มี กดอย่างไรมันก็ไม่ขึ้นไม่มีสัญญาณ ในยุคนี้เป็นยุคที่มีสัญญาณเยอะแยะ
อย่างไหนจบแล้วก็ตัด ตัวจบของพระพุทธเจ้าจึงกำหนดที่การสั่งสมในปัจจุบัน ให้มากๆๆอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำให้คุ้นเคยสั่งสมในสิ่งที่ทำได้ที่มันเป็นสิ่งที่ดีให้อเนญชา อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำให้มากสั่งสมลงจนกระทั่งทุกปัจจุบันที่เป็นความจริง อดีตคือสิ่งที่ทำสำเร็จไปแล้ว อนาคตมันยังมาไม่ถึง เมื่อมันมาถึงทีไรมันก็เป็นปัจจุบันทั้งนั้น ปัจจุบันผ่านไปก็เป็นอดีตอีก ต้องรีบทำปัจจุบันต้องแก้ในปัจจุบัน อนาคตมันจะมาแย่อย่างไรก็ทำปัจจุบันให้ดีให้สั่งสมควรไปต่อ คุณก็ผ่านไปได้เรื่อยๆ ปัจจุบันจึงเป็นตัวกลางของความจริงที่สุด
เมื่อจริงตัวนี้แล้วอดีตก็ไม่เที่ยง เมื่อผ่านปัจจุบันที่ไร ถ้าคุณทำดี ความดีก็ไปเพิ่มจำนวนในอดีต ถ้าทำชั่วความชั่วก็ไปลดจำนวนในอดีตอีก ไม่เที่ยงนะ ส่วนอนาคตนั้นไม่เที่ยงแน่นอนยังมาไม่ถึง กว่าจะมาถึงเราแล้วจะมีอะไรข้างทางอีก กระทบกับเราแล้วเราจะสู้ได้ หรือสู้ไม่ได้ก็แล้วแต่ ก็ต้องทำปัจจุบัน ถ้าสู้ได้ๆ ก็ทำตามสุดวิสัยให้มันดี มันก็สั่งสมเป็นอดีต
สัจจะของพระพุทธเจ้าจึงรวมลงที่ ทิฏฐะ ทิฏเฐ ปัจจุบันเท่านั้นที่คุณต้องรู้ต้องเห็น ที่ถามมา ทิฏฐะ ทัสสนะ ปัสสะ ปัสสนา ปัสสติ เริ่มต้นมีผัสสะมีทิฏฐิ ตัวเห็นในปัจจุบันนี้ เห็นแล้วก็จัดการ จัดการก็จะกลายเป็น ทัสสนะ ปัสสะ ปัสสนา ปัสสติ ตามที่ ท่านพอจริงถามมา
ปัสสติ คือเห็นพร้อมกันหมด ผู้ใดรู้ในวิโมกข์ 8 อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ จนอันสุดท้าย สุภันเตว อธิมุตโต โหติ ไม่มีปัสสติแล้ว มีแต่โหติ คือเป็นแล้ว ในวิโมกข์ 3 ข้อแรก ต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องรู้จักธรรมะ 2 คนไม่มีภูมิธรรม อธิบายวิโมกข์ 8 ไม่ได้หรอก
ข้อ 1-3 เป็นฌาน แต่ต้องประกอบด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีญาณปัญญาที่เป็นทัศนะวิเศษรู้เห็น จึงจะรู้ความหมายทั้ง 3 วิโมกข์ได้ เมื่อรู้ความหมายของวิโมกข์มีแล้ว จึงจะไปเหลือเศษของ อากาสา วิญญา นัญจา อากิญจัญ เนวสัญญาฯ จนเป็น สัญญาเวทยิตนิโรธ
วิโมกข์ 8 ต้องมีกาย สัมผัสด้วยกาย เป็นธรรมะ 2 ไปนั่งหลับตามีนิโรธเดี่ยวไม่มี 2 ไม่มีทางได้บรรลุ เอาแต่อยู่ในจิตไม่ออกจากจิต ไม่มีทางปรินิพพาน เป็นปริโยสานได้
สมณะเพาะพุทธว่า...พ่อท่านอธิบาย สัจญาณ กตญาณ กิจญาณ เรื่อง วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิทธิ์ วันนี้ได้ฟังเรื่องของปัจจุบันสามารถเปลี่ยนแปลงกรรมเราได้
พ่อครูว่า...อนาคต คือ คต คือ ไปสู่ความตรง
สมณะเพาะพุทธว่า...สัจจะที่เราควรจะรักษาไว้คือสมมุติสัจจะ ส่วนปรมัตถสัจจะนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน และจะมีประโยชน์ต่อโลกต้องมีการรับรู้ร่วมกับคนอื่นด้วยตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป พระพุทธเจ้าแบบเปิดปากจึงเป็นประโยชน์ต่อโลก
รัก กับ ชอบ ต่างกันที่ตรงไหน
ชอบดอกไม้แล้วเด็ดดอกไม้นั่น
รักดอกไม้แล้วรดน้ำดอกไม้นั้น
โปรดเลื่อนขั้นทางจิตนะมิตรเอย
รัก ประกอบด้วยเมตตา ชอบประกอบด้วยอัตตา…
วันมะรืนนี้วันอังคารที่ 5 พ่อครูจะไปเทศน์หน้าศพ แม่ของ ดร.เทียนชัย วงชัยสุวรรณ ที่วัดบางเตย เวลา 19.00-20.00 น.
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:56:40 )
รายละเอียด
600904_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก โยนิโสมนสิการให้ถึงญาณ 3
อาจารย์กฤษฎาว่า…วันนี้ที่ปฐมอโศกตรงกับวันที่ 4 กันยายน 2560 วันนี้มีประเด็นที่ขบไม่แตก มาพูดคุย กรณีธรรมกาย สังคมทุกวันนี้ถ้าบอกว่า เรานับถือพุทธ แล้วอย่างไหนพุทธแท้กับพุทธงมงาย ผมอยากเปรียบเทียบกรณีเจ้าเงาะกับรจนา รจนาเลือกเจ้าเงาะเพราะศรัทธา แต่ท้าวสามลไม่เห็นว่าดี แต่เจ้าเงาะนั้นก็เล่นสองบทบาท เราจะมองผู้อื่นอย่างศรัทธาได้อย่างไร เหมือนกับชาวอโศกผมไปไหนก็กล้าพูดว่าผมเป็นลูกศิษย์พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ หรือบางคนอาจมองว่างมงาย ผมจึงอยากถามให้ชัดว่าตัวเราเอง เมื่อได้ฟังสัตบุรุษแล้ว สิ่งเหล่านี้ เราจะมองภาวะที่ถูกกระทำ แล้วมองเข้าหาตัวเองอย่างไร ในสัมมาทิฏฐิ พ่อครูสอนเรื่องสภาวะเป็นส่วนใหญ่ ผมออกไปก็ต้องเจอ สิ่งเหล่านี้ เป็นสามัญ เราจะมีมุมมองและท่าทีอย่างไร?
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน เจ้าเงาะและสังข์ทองนัยของพ่อครู
พ่อครูว่า...คำถามนี้ เป็นคำถามที่ ยากจะตอบ เป็นคำถามอจินไตย ยิ่งถามเปรียบเทียบถึงเจ้าเงาะ เป็นเรื่องซับซ้อนที่ยากจะรู้ได้ ของศาสนาพุทธนี้มันซับซ้อนลึกซึ้ง คัมภีรา ทุททัสสา ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา นิปุณา บัณฑิตเวทนียา เป็นเรื่องหมุนรอบเชิงซ้อน
อาตมามาปางนี้ เป็นปางเจ้าเงาะ คนก็เห็นว่าจะมาเป็นเจ้าเงาะบ้าใบ้ เขามองด้วยความรู้เท่าที่เขามี เขาจะเห็นอาตมาเป็นเงาะ อาตมาก็ยังพูด มีเสียงมีบรรยายเขาก็ไม่ฟัง มีเสียงเรียกว่าโฆษะ
คนที่เคยฟังผู้รู้เขามีความยึดมั่นถือมั่นในความรู้นั้นแล้ว ก็ไม่ฟังเสียงอาตมาหรอก ถือว่าทำมาเป็นเสียงอื่น ปรโต ที่ไม่ตรงกับที่เขายึด มันก็ไม่มีปรโตโฆษะ เขาไม่มีปรโตโฆษะ ถ้าสิ่งที่เขายึดถือมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สัมมาทิฏฐิแล้ว อาตมาก็เป็นเงาะบ้าใบ้จริง พูดให้ตายก็เป็นเงาะบ้าใบ้
แต่ถ้าสิ่งที่เขายึดถือไม่สัมมาทิฏฐิ เขาก็ควรจะต้องฟัง เพราะอาตมาที่เห็นเป็นเงาะ แต่ภายในเป็นพระสังข์ทอง
อาตมามาในปางเงาะ ไม่ได้หมายความว่าสังข์ทองไม่มา แต่สังข์ทองอาตมาจะไม่สีใส อาจสีขุ่นหน่อย ก็เห็นยาก ที่จริงไม่ขุ่นหรอก อาตมาแสดงความใส แต่ตาของคนมองต่างหากที่มองใสไม่ได้
อาตมาออกมาทำงาน ย่าง 47 ปีแล้ว ทำอย่างไม่ได้แหนงหน่าย อาตมาหาเงินหาทองอยู่ทางโลกทำไปสบายๆไม่ต้องเข็นเหมือนมาทางนี้เลย ทางนี้ไม่ค่อยได้ส่ิงที่ควรได้ แต่อยู่ทางโลกได้ไม่มีปัญหา แต่อาตมาก็ไม่เห็นว่าทางโน้นจะดีกว่าก็เลยเอาชีวิตมาทางนี้จนกว่าจะตาย ไปหลงทางโน้น 36ปีก็เสียเวลาไป
ความยากที่จะมองเช่นนี้ เหมือนอย่างกับ sms เจ้านี้ถามมา
SMS วันที่ 3 กันยายน 2560
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พ่อขุนรามคำแหงบรรลุธรรมขั้นไหน
_3867สงสัย(อีกล่ะ)พ่อขุนรามคำแหงพระเจ้ากรุงสุโขทัยผู้ให้กำเนิดอักษรไทยจนมีผลบังเกิดอักษรธรรมตามพระตปฎ.บรรลุอรหัตผลขั้นใด?เพราะคำอันเป็นสัจธรรมจริงรู้ได้เฉพาะพระอรหันต์ฯพระโพธิสัตว์ฯเท่านั้นถูกไหม?
สรุป ถามว่าพ่อขุนรามคำแหงบรรลุธรรมขั้นใด
ตอบ...ใช่ ระดับโพธิสัตว์ก็จะรู้ได้ดีกว่า โสดา สกิทาฯก็รู้น้อยกว่า จะให้ตอบว่า พ่อขุนรามคำแหงบรรลุอรหันต์ขั้นใด ตอบยาก เพราะว่าเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ตอบได้แต่ว่า พ่อขุนรามคำแหงเป็นพระโพธิสัตว์ ก็เหมือนในหลวงร.9 เป็นพระโพธิสัตว์ จะบอกว่าขั้นใดนั้น อาตมาพอรู้ แต่ไม่อยากชี้ลงไปว่าขั้นใด เพราะจะเกิดการแย้ง แย้งแล้วเมื่อย ที่ทำอยู่ก็เมื่อยพอแล้ว
สภาวะของสยะ ความเป็นตนเอง ในความเป็นตนเองของทุกคน ก็ดำเนินไป เรียกกลางๆว่า อาศัย คนเราต้องอาศัยตนเองดำเนินไป เมื่อไม่ได้ศึกษาอะไรก็ไม่มีการพัฒนา อาศัย ดีไม่ดีจะสร้าง สัย ให้เป็น นิสัย เป็นสัยที่ นิ คำว่า นิ แปลว่าไม่ ถ้าไม่ศึกษาธรรมะแล้ว นิสัยของคุณก็เป็นนิสัยโลกีย์ ยิ่งจมในโลกีย์ ปุถุชนคือคนกิเลสหนา หายใจเข้าออกก็เป็นกิเลสนอนหลับหรือตื่นก็เป็นกิเลสเขาไม่รู้ด้วย
มีสุขก็ยึด มีทุกข์ก็ยึด เป็นตัวตนทั้งนั้น หายใจเข้าออกมีทุกข์มีสุข เป็นตัวตน เขาไม่รู้ด้วย เพราะฉะนั้น จึงยาก
คนที่มาปฏิบัติธรรมแล้วจึงมาสร้างสยะ ให้เจริญขึ้นไปเป็นนิสัย ที่ดี ทางโลกียะ หรือเทวนิยมก็พยายามสร้างคนให้ดี แต่เป็นนิสัยแบบโลกียะ เขาก็ทำได้ดี ประเด็นที่มันต่างกับ โลกุตระคือ โลกียะมันไม่แน่นอน โลกียะไม่ตั้งมั่น เวียนวนกลับไปกลับมา เริ่มต้นหายไปได้ แต่โลกุตระ มีความเที่ยงแท้ตั้งแต่ระดับโสดาบัน มีนิยตะ มีสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็ยิ่งได้สยะ ที่เป็นตนที่มี วิสัย วิสัยก็จะสั่งสมลงไป
วิ นี้มีความหมาย 2 ที่ไม่ให้เป็นตนก็เอาออก ที่จะให้เป็นตนก็ทำให้ตั้งอยู่ ตนนี้เป็นเครื่องอาศัย พระอรหันต์ จึงมีตนเป็นเครื่องอาศัยมีอัตตาเป็นอรหัต เป็นอัตตาที่ไม่ลึกลับแล้ว อรหันต์ พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีความลึกลับในความเป็นตน หมดความเป็นตัวตนเห็นแก่ตัวตน แต่ยังไม่ตายไม่ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ก็มีตัวตนเป็นสภาวะที่ต้องอาศัยไปเรื่อยๆ อาศัยตัวนี้ ถึงไม่เหมือนปุถุชน ที่เอาดีได้อย่างเก่งก็กัลยาณธรรม วนเวียนสูงต่ำสุขทุกข์ ไม่มีความสุขความแล้วไม่มีสัจญาณ กตญาณ กิจญาณ สูงๆต่ำๆ สูงแล้วก็ชินชาแล้ววนมาของเก่าคือต่ำอีก
เพราะไม่รู้รากเหง้าคือตัวประธานจิตเจตสิก แล้วล้างจิตเจตสิกที่เป็นตัวโง่อวิชชา อกุศล ล้างออกให้หมดจริงหายตายเกลี้ยง ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้จึงเป็นธรรมะที่ พูดไปก็เหมือนกับคุย ทับถมอันอื่น แต่เราไม่รู้จะทำอย่างไรจำเป็นต้องพูดความจริงอันนี้
ในเรื่องของ สยะ หรือคน ที่ต้องอาศัยจำเป็น นิสัย จนแก้นิสัย แก้ได้เป็นโลกุตระก็เป็นวิสัย เป็นวิ ในระดับ วิมุติ วิโมกข์ ซึ่งเป็นโลกุตระ
ถามมาว่า พ่อขุนรามคำแหง บรรลุ อรหัตตผลในระดับใด
อรหัตตผล มีตั้งแต่ระดับโสดาบัน สกทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ แล้วมีรอบของพระอรหันต์ที่สูงขึ้นไปอีกเป็นลำดับ สูงสุดเรียกว่า อนุตตระ อรหันต์ หรืออนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขั้นสุด ไม่มีอะไรเหนือกว่านั้นอีก
ความซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนที่จะต้องมาอาศัยร่างคน พ่อขุนรามคำแหงก็อาศัยร่างคน อาตมาก็อาศัยร่างคน ในหลวงก็เป็นผู้อาศัยร่างคนมาทำงาน
โสดาฯก็มีอรหัตตผลโสดาฯ สกิทาฯก็เป็นอรหัตตผลสกิทาฯ จนเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ 4
พ่อขุนรามคำแหงก็เลยขั้น 5 6 แล้วในหลวงเราเลยขั้น5 6 แล้วแต่อย่าซักถามต่อ เป็นเรื่องอจินไตยเป็นเรื่องวิบากกรรมของแต่ละคน ที่ได้สร้างฌานวิสัย ฌานไม่ใช่นั่งหลับตา แล้วสะกดจิตเป็นฌาน บอกว่าเข้าฌาน บอกว่าจิตเป็นหนึ่งแต่จิตเข้าภพ อันนั้นเป็นมิจฉาทิฐิที่ผิดไปไกลเลย ความเป็นเอกัคคาจิตที่ว่าเป็นฌาน
สื่อธรรมะพ่อครู(อจินไตย) ตอน ฌานวิสัยเป็นอจินไตย
ฌานวิสัยเป็นอจินไตย ทุกวันนี้คนไม่รู้จักฌานของพระพุทธเจ้าจริง จึงเป็นฌานที่มิจฉาทิฐิ นั่งหลับตาสะกดจิตได้ฌานเต็มไปหมด
พระพุทธเจ้านั้นเป็นฌานที่ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ฌานทั้ง 4
มีวิตกวิจารคือธัมมวิจัยมีสติ แล้วพากเพียรทำธรรมสองแล้วทำอกุศลธรรมให้หมดไปเหลือแต่ธรรมหนึ่งที่เป็นกุศลธรรม เพ่งรู้แล้วทำลายสิ่งที่ควรทำลายให้หมดไปจากจิต เป็นพลังงานระดับ อุณหธาตุ พลังงานไฟ ทำลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไปเรื่อยๆก็ตกผลึกลงเป็นสมาธิ เป็นจิตสะอาดปราศจากกิเลสไปเรื่อย ๆ ฌานเป็นมรรค เป็นการปฏิบัติธรรมที่เกิดผล รู้จักกิเลสแล้วรู้จักวิธีล้างกิเลส ลดกิเลสได้หมด เป็นลำดับ จิตตกผลึกเป็นสมาธิ ไปเรื่อยๆ
ฌาน ทุกวันนี้สับสนจนบอกว่า สมาธิเกิดก่อนฌาน นั่งหลับตาแล้วจะเกิดฌาน แท้จริง ฌานต้องเกิดก่อนสมาธิ
สื่อธรรมะพ่อครู(มูลสูตร) ตอน โยนิโสมนสิการคือการปฏิบัติใจให้เปลี่ยน
อาจารย์กฤษฎา...ทุกวันนี้สิ่งที่ไม่ใช่การปฏิบัติที่ไม่ใช่กลายเป็นเขาศรัทธาและบอกว่าใช่คือสิ่งที่ถูกต้อง เอาความไม่ใช่กลายเป็นใช่ และมีความศรัทธาอย่างแรงกล้า
พ่อครูว่า...นั่นแหละคือความงมงาย ศาสนาพุทธทุกวันนี้จึงจมกับความงมงาย เพราะไม่รู้จักสัตบุรุษ ไม่เข้าหาคบหาสัตบุรุษอย่างบริบูรณ์ แล้วฟังธรรมะของสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ศรัทธาจึงจะบริบูรณ์ ตามอวิชชาสูตร แต่เขาไม่รู้จักสัตบุรุษ แล้วยังเห็นว่า สัตบุรุษเป็นอสัตบุรุษ อย่างอาตมาเขาไม่เชื่อ แล้วไปเชื่ออสัตบุรุษแล้วยึดถือคำสอนไม่ถูก ก็เลยศรัทธาไม่บริบูรณ์ โยนิโสมนสิการก็ไม่บริบูรณ์
ทุกวันนี้คนทำใจในใจก็ แปลพยัญชนะสู่พยัญชนะ โยนิโสมนสิการแปลว่าทำไว้ในใจโดยแยบคาย แปลว่าพิจารณาเป็นหลัก
ความจริงแล้วโยนิโสมนสิการแปลว่าการปฏิบัติเป็นหลัก ปฏิบัติใจให้เกิดผลเลย เป็นมนสิการ เป็นการทำใจ เป็นข้อ 2 ของมูลสูตร ทำใจให้เกิด โอปปาติกโยนิเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(อจินไตย) ตอน ต้องมีศีลจึงไม่สับสนในโลกอจินไตย
ในสภาพ หมุนรอบเชิงซ้อนอย่างที่ว่า ผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ มีภูมิเป็นพระโพธิสัตว์ ในพ่อขุนรามคำแหงเป็นพระโพธิสัตว์ มาเกิดในร่างมนุษย์ แล้วท่านก็สั่งสมบารมีไปเกิดอีกเป็นลำดับ ก็ต้องอาศัยร่างคน แม้ทุกพระองค์ที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องมาอาศัยร่างคน ไม่มีร่างคน ไม่สามารถเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ พุทธเจ้าตั้งมาเกิดในร่างคน ส่วนปัจเจกนั้น ท่านไม่ประกาศศาสนาก็ปรินิพพานไป แม้ท่านีจะมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่ก็ไม่ประกาศศาสนา
ในอจินไตย 4
1 พุทธวิสัย
2 ฌานวิสัย
3 กรรมวิบาก
4 โลกาจินตา คือความคิดของปุถุชนคนโลกโลกีย์ธรรมดา เป็นเรื่องมากมายเยอะแยะสอนไม่ต้องไปคิดหรอก มาปฏิบัติธรรมเรียนรู้แล้วจะรู้โลกเอา จะรู้สาระในสาระ อะไรเป็นอสาระ ก็จะรู้ชัดเจน ปลดปล่อยไม่เอาอสาระ
อาจารย์กฤษฎา…..เพราะว่ามีเหตุปัจจัยอะไรเยอะแยะไม่ต้องไปหาเหตุทั้งหมดหรอก
พ่อครูว่า...ต้องมาเริ่มต้นที่เรา ศีล สมาธิ ปัญญาไปตามลำดับให้มีสมาธิ แล้วจะค่อยๆเกิดภูมิปัญญารู้ ทุกวันนี้คนไปสับสนวุ่นวายไปหาปัญญาไปหาศีล สมาธิ แยกส่วน จนไม่รู้อะไรเป็นหัวหางเป็น Chaos เป็นเรื่องวุ่นวายเลอะเทอะเรียงลำดับอะไรไม่ได้เลย
อาตมาพามาปฏิบัติโดยให้เอาศีล 5 ไปปฏิบัติ ตั้งแต่ศีลข้อ1 ไม่กินเนื้อสัตว์เป็นตัวปฏิบัติเลย อย่าว่าแต่ไม่ฆ่าสัตว์เลย แล้วทำให้เกิด อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา จะไม่เอาของใครก็ทำ ไม่พูดปดไม่มีอบายมุข จนกระทั่งเกิดผลเป็นชุมชนมนุษย์ที่เป็นอาริยะ เป็นชุมชนอาริยะ ตอนนี้พูดโจ่งแจ้งประกาศตัวตน
คําว่าศรัทธาที่พูดขึ้นมากับความงมงาย
ทุกวันนี้ศรัทธาแบบงมงายกันจริงๆ ไม่ได้ใส่ความหาเรื่อง ไม่ได้ดูถูกดูแคลน แต่กำลังพูดความจริงให้ฟังเป็นวิชาการเป็นความรู้ แต่เขาไม่ยอมรับกันหรอก อาตมาเห็นแล้วก็สังเวชใจน่าสงสาร เปิดโทรทัศน์ช่องธรรมะแต่ละองค์ได้บรรยายความรู้ที่ตัวเองคิดว่ามันถูกมันดี ขออภัย ก็งมงายกันไป บรรยายออกไปตามประสาที่เขายึดว่าถูกต้อง ซึ่งมันเป็นเทวนิยม เดรัจฉานวิชา โลกีย์ จมวนเวียนเรื่องลาภยศสรรเสริญโลกียสุข
บรรยายธรรมะไปสุดท้ายก็บอกว่าขอให้เจริญในลาภสักการะสรรเสริญ
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ พระที่รู้อยู่แล้วจะไม่พูดแบบนั้น กระดากปากจะตาย ไม่ต้องอวยพรแบบนั้นก็ตีกันจะตาย แล้วไปอวยพรให้รุ่งเรืองในลาภยศสรรเสริญก็ตีกันหนักไปอีก พูดไปแล้วอาตมาเลยกลายเป็นเหมือนคนปากจัด เพราะหาจุดชมยากมาก แต่เรื่องตินี้มีมากมาย
อาจารย์กฤษฎาว่า..เขาก็ถล่มเราเหมือนกัน กระบวนการก็จะย้อนมา 10 รุมหนึ่ง แต่เราก็ยึดมั่น เวลาผมออกไป เผชิญยุทธจักร พ่อครูสอนให้ยึดหลักธรรมองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อครูสอนให้รู้สภาวะ บวกกับบทที่1 บวกกับองค์ประกอบร่างกายเรา อายตนะ 6 หลักผัสสะ ปฏิจจสมุปบาท ก็ไปกันไม่เป็นแล้ว ดูๆแล้วเกิดการย้อนแย้งตัวเอง เอาศีลมาตั้งเขาก็ย้อนแย้งตัวเอง แม้แต่เพื่อนผม ซึ่งแม่เขาก็เป็นอุปัฏฐากรุ่นแรกๆที่สันติอโศก ก็มีคนบอกว่าไปนั่งสมาธิบ้างสิ ก็เหมือนถูกตำหนิมาคุยกับผม ผมก็ว่าถูกทางแล้ว เขาเป็นเด็กมาวิ่งเล่นที่สันติอโศก ก็ต้องพูดกันให้มั่นใจคนวิตกจริต
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ปัจจัยเกิดสัมมาทิฏฐิ 2
พ่อครูว่า...ถ้ามั่นใจแล้วก็ไม่วิตก คำสอนพระพุทธเจ้านี้เยอะเลย จะเริ่มต้นตรงไหน ก็เกือบจับไม่ถูก ในสัมมาทิฏฐิ บทแรกที่จะต้องรู้คือ
สัมมาทิฏฐิ บทแรกคือต้อง
1.ฟังเสียงผู้อื่น ปรโตโฆษะ 2.ต้องทำใจในใจเป็นโยนิโสมนสิการ
เป็นสองประเด็นแรก ที่จะทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ
แต่ชาวพุทธทุกวันนี้ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่มีปรโตโฆษะ อาตมาพูดไม่เหมือนกับที่เขาพูดแตกต่างจากที่เขายึดถือก็ไม่ฟัง เริ่มต้นไม่มีปรโตโฆษะก็เลยไม่โยนิโสมนสิการ
โยนิโสมนสิการเป็นรากฐานการปฏิบัติธรรม ในมูลสูตรก็ดี แสงอรุณ 7 ก็ดี ในปัญญาวุฒิ 4 ก็ดี ในอวิชชาสูตรก็ดี ต้องคบสัตบุรุษ
ในอวิชชาสูตรกำชับเลยว่า ต้องคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ฟังธรรมให้บริบูรณ์ มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ถ้าศรัทธาบริบูรณ์ จะเข้าใจ จะโยนิโสมนสิการอย่างไรให้บริบูรณ์ ถ้ามีศรัทธามีความเข้าใจอย่างบริบูรณ์ เชื่ออย่างบริบูรณ์จึงจะมีการมนสิการ อย่างโยนิโส อย่างถ่องแท้แยบคาย ลงไปถึงที่เกิดได้
อาจารย์กฤษฎาว่า...ผมเห็นพ่อครูทำด้วย ผมได้ฟังพ่อครูทำด้วยสัมผัสการกระทำด้วย ปรโตโฆษะ อาจจะหมายถึงการได้เห็นด้วยไหม
พ่อครูว่า...ได้ แตกต่างในการเห็น การได้ยิน แม้แต่ได้กลิ่น แตะรส สัมผัสเสียดสี ได้ทั้งนั้น
อาจารย์กฤษฎาว่า..เช่นสัมผัสรส ผมเคยลองเป็นลูกศิษย์พ่อครู อยากรู้ว่าอาหารพ่อครูฉันเป็นอย่างไร ผมก็ลองดู ผมพยายามทำทุกอย่าง ผมพยายามเดินตามรอยพระอรหันต์ อายตนะเรามีภายนอกกับภายใน อะไรที่เป็นภายนอกได้ก็พยายามตามรอย แต่ภายใน บางครั้งระลึกนึกถึงสิ่งที่พ่อครูได้เทศน์ได้บอก วันนี้อาจยังไม่ได้แต่ระลึกนึกถึงด้วยใจเวลาเจอผัสสะ ถือว่าเป็นปรโตโฆษะ ได้หรือไม่
พ่อครูว่า...ได้ ปรโตโฆษะ ทางทวารนอก แล้วทวารในจะไปฟังอื่นได้อย่างไร เราต้องฟังสิ่งที่ต่าง จากที่เรายึดถือ ถ้าเรายึดแต่ของเราภายในก็ไม่ฟังภายนอกก็ไม่มีทางเปลี่ยน เราก็ยึดของเราเองไม่เปลี่ยน ไม่มี ปรโตโฆษะ เต็มร้อยเลย
อาจารย์กฤษฎาว่า...ที่ผ่านมาพ่อครูว่า ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด เราก็เอามาทบทวน
พ่อครูว่า...โยนิโสมนสิการไม่ใช่แค่การทบทวนพิจารณา การพิจารณาเป็นตัวรอง แต่การทำใจในใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นหลัก ทำใจด้วยการพิจารณาว่าทำใจอย่างนี้มันถูกหรือไม่ถูก การทำใจในใจอย่างนี้เป็นการตั้งจิตไว้ผิดทิศทาง ผิดไปกันใหญ่ อย่างนี้ทำไม่ถูก ไม่ใช่ทิศทางสัมมาทิฏฐิ พิจารณาตั้งแต่แห่งทิศทาง แต่ต้องทำใจในใจให้จริงจึงจะเป็นโยนิโสมนสิการ
อาจารย์กฤษฎาว่า...อะไรเป็นตัวชี้วัดว่าเรามีการโยนิโสมนสิการที่แท้จริง
พ่อครูว่า...ตอบผ่าหัวใจศาสนาเลย สิ่งที่จะรู้ว่าเรามีโยนิโสมนสิการ คุณจะต้องรู้จักเวทนาในเวทนาและ คุณจะรู้จริงๆว่าถูกต้อง จะต้องรู้เวทนาที่เป็น มโนปวิจาร 18 เคหสิตะ กับเนกขัมมสิตะ 18 อ่านจิตเจตสิกออกเลยว่าอย่างนี้เคหสิตะ โลกีย์ ทำอย่างนี้ออกจากโลกีย์เป็นเนกขัมมะ จึงจะเป็นตัวชี้วัดว่าคุณได้โยนิโสมนสิการได้จริง
คำว่าโยนิโสมนสิการจึงเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ถ้ายังไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ในสุริยเปยยาล 7 ต้องมีมิตรดี อย่างอาตมาเป็นมิตรดีสหายดีที่คุณจะต้องคบหาและฟังธรรมให้บริบูรณ์ จึงจะเกิดศรัทธาที่บริบูรณ์ความรู้ความเชื่อถือที่บริบูรณ์ จึงจะมีโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์
เมื่อคุณยังไม่มีมิตรดีก็จะไม่เกิดศีล เพราะว่ามาที่นี้จะต้องพาให้ปฏิบัติศีล ไม่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ศีลจะทำให้เกิดสมาธิเกิดปัญญาเกิดวิมุติ คุณไม่ได้ฟังก็จะแยกแยะศีลสมาธิปัญญาออกไปอย่างวินาศสันตะโรเละเทะไปหมด ก็จะไม่เกิดปีติ ไม่มีฉันทะ
อันนี้สุริยเปยยาลเป็นลำดับ มิตรดี ศีล ฉันทะ อันที่สี่ต้องรู้จักอัตตา จะต้องมีข้อปฏิบัติในเรื่องของอัตตา 3 แสงอรุณคุณจะต้องได้ก่อนที่จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ถ้าแสงอรุณ 7 ไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ลงทะเลยะเยือกเย็นเลย
ทิฏฐิ เป็นตัวที่ 5 ของสุริยเปยยาล ตัวที่ 6 เป็นโยนิโสมนสิการ ตัวที่ 7 เป็นความไม่ประมาท
ต้องมี 7 เฉท สเปคตรัม ถึงจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้บริบูรณ์ แม้มีแค่มิตรดี แต่ศีลไม่รู้เรื่องไม่ยินดีใน พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ยิ่งอัตตา เขาไม่ได้อธิบาย อัตตา 3 โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตาให้ฟังเลย แล้วจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 อย่างไร เวลาสอนก็ไปนั่งหลับตาหนีทิ้งหมดเลย ไม่มีอาชีพการงานอะไรเลยไม่ได้เรียนรู้ เลิกเลย ไม่ได้เรียนรู้แม้แต่มิจฉาชีพ 5
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนรวยไม่รู้จบคือผีนรกของทุกยุคทุกสมัย
ลูกศิษย์ลูกหาของธัมมชโย ร่ำรวยมหาศาลแต่อบายทั้งนั้นเลย แต่ไปเอาเปรียบเอารัดขี้โกง มีสหกรณ์ ที่ต้องคดี ฟอกเงินรับของโจร นี่คือโลกของอบายภูมิหนักหนา เขาก็ไม่รู้ หลงว่าร่ำรวยนี้ดี ถ้าไม่เพราะคนนี้แล้วเราชาตินี้ไม่ได้เป็นอย่างนี้หรอก ไม่ได้ร่ำรวยอย่างนี้หรอก บูชายกย่องเทิดทูนใหญ่ ไม่รู้จักนรกอเวจี
ขอโขกกะบาล ว่า คนรวยนี่คือผีนรกของทุกยุคทุกสมัย ...พระพุทธเจ้าไม่พูดอย่างนี้เหมือนพระโพธิรักษ์ ท่านค่อยๆพูด ท่านบอกว่า เงินทองคืออสรพิษ ใครหอบเงินทองไว้มาก คือสะสมอสรพิษไว้เต็มไปหมด คนที่สะสมอสรพิษเป็นคนโง่หรือคนฉลาด ….คนโง่
คนโง่ พูดแล้วเหมือนโขกกบาลเขา เพราะเขาหลงในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ดำฤษณา อาตมาสงสารชาวพุทธที่มีพระโพธิสัตว์ มาสอนเช่นในหลวงร.9 ท่านตรัสว่า จะบริหารประเทศชาติ รัฐมนตรีเกาหลีมาทูลถามท่าน จะบริหารแบบไหน ท่านก็ไม่อยากพูด พูดไปเขาไม่ใช่พุทธไม่ใช่คนไทยพูดแล้วหูหักแน่ เขาก็เซ้าซี้ ท่านก็บอก ว่า ให้บริหารแบบคนจน ก็หูหักแน่ เขาก็อยากจะฟังอีก เราก็อธิบาย อธิบายแล้วเขาก็เฉย สุดท้ายท่านก็ลงท้ายว่า เอาแบบคนจน อย่างที่ท่านตรัส หรือหนักเข้าไปบอกว่า ขาดทุนคือกำไร ชาวพุทธหรือพวกจบดร. จบเปรียญ 9 ฟังแล้วกระดิกหูที่ไหน ไม่รู้เรื่องไม่ได้เอามาปฏิบัติเลย
อโศกเราทำตามที่ท่านตรัส เราทำแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราเสียนี่แหละคือเราได้ทำอยู่ตลอด แต่เขาตีทิ้งเลย เถรสมาคมทั้งเถรสมาคม ประกาศเลยว่าพวกนี้เป็นกบฏของศาสนาพุทธ น่าสงสารศาสนาพุทธ ที่มีผู้มิจฉาทิฏฐิทำบาปเวรแก่ตน มาลบหลู่สิ่งที่ดีที่ถูกต้องของศาสนาพุทธ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
อาจารย์กฤษฎาว่า...เราได้ฟังเรื่องเงินทอนวัด กันผ่านมา
พ่อครูว่า...เงินทอนวัดนี้พูดอย่างผู้ดี ที่จริงคือการโกงกันในวัดวา แล้วใครโกง ก็ทั้งพระเจ้าก็โกง ปาราชิกกัน พูดจริงๆ ไม่ได้พูดอย่างใส่ไคล้ ไม่ได้หาเรื่อง ถ้าไม่จริงก็อย่างน้อยสังฆาทิเสสหรือปาราชิก
ขอพูดตรงๆด้วยความจริงใจ ใครจะไม่เชื่อไม่ศรัทธาเลื่อมใสก็ไม่เป็นไร เพราะอาตมาไม่ได้ต้องการความศรัทธาเลื่อมใส อาตมาไม่ได้แสดงธรรมเพื่อต้องการให้คนมาศรัทธาเลื่อมใส มาหาบริวาร ไม่ได้หาพรรคพวก อาตมา มีหน้าที่ประกาศความจริงตามความเป็นจริง ที่ผิดร้ายแรงก็ว่าร้ายแรง ทุกวันนี้เหมือนคนช่างด่าว่าความผิดของเขาอยู่นั่นแหละ แล้วความผิดกลับยิ่งงอกงามไพบูลย์ไม่กระดิกหูเลย ต้องกระหนาบแล้วกระหนาบอีก อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส
พูดอย่างจริงใจเมตตาปรารถนาดีทั้งนั้นแหละ แต่เขาก็มองหาว่าอวดดิบอวดดี
อาจารย์กฤษฎาว่า...ถ้ามีการถอนเงินจริงเจ้าอาวาสปาราชิกไหม
พ่อครูว่า...ใช่ พระที่เล่นกับเงินนี่หารอดไม่ปาราชิกยาก เงินวัดวาที่ถ่ายเทกัน รอดเรื่องปาราชิกยาก แล้วทุกวันนี้เขาไม่เอาเรื่องราว ไม่รู้เรื่องกันแล้ว เพราะฉะนั้น อาตมาก็ขอพูดชัดเจนว่า อาตมาบวชปั๊บ จึงขอลาออกมาจากคณะใหญ่ เพราะอาตมาอยู่ด้วยไม่ได้กับพวกปาราชิก พูดชัดๆ เปิดเผยเต็มคำวันนี้ อาตมาอยู่ร่วมไม่ได้ จึงประกาศนานาสังวาส ว่า ขนาดใหญ่ก็อยู่ของท่านไปเถอะ อาตมาเห็นว่า อยู่ด้วยไม่ไหว ก็เลยประกาศแยก แต่มาตีกลับ เอาโพธิรักษ์เข้าไป ปกาสนียกรรมแล้วบอกขับจากหมู่ใหญ่ ทั้งที่อาตมาประกาศลาออกมาแล้วเราไม่ขออยู่กับกลุ่มที่เน่า ขออภัยที่วันนี้พูดแรง
อาจารย์กฤษฎาว่า...ช่วงนี้ นิทานอีสปเรื่องหมาจิ้งจอกกับลูกแกะ เขาก็พยายามหาเรื่องลูกแกะที่อยู่ปลายน้ำเสมอ
พ่อครูว่า...ไปอ่าน สิคาลวรรค สุดท้าย พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เธอก็ว่าไปตามเธอ เราก็ว่าตามเรา คุณจะว่าเราผิดก็จำนน มันสันดานหมาป่า หาเรื่องเอาผิดจนได้ ไม่ใช่อาตมาเป็นหมาป่านะ ไปหาเรื่องมหาเถรสมาคม แต่มันผิดจนไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
อาจารย์กฤษฎาว่า..ที่ผมได้ฟังธรรมพ่อครู ที่ว่า แยกออกมาก็ได้รับคำเรียกหาว่าสมณะ ตกลงเรียบร้อยผมก็ดูแล้วขำทุกที
พ่อครูว่า...สมณะแปลว่าอรหันต์นะไปให้เขาได้อย่างไร เขาว่างั้น ซึ่งก็เป็นไปตามธรรม สมณะที่1-4อยู่นี่หมดแล้ว นอกนั้นเป็นพระมหาศาล สมัย พระพุทธเจ้าเรียกว่า พราหมณ์วิสาโล คือพราหมณ์ผู้ร่ำรวย แต่ตอนนี้ก็เป็นพระ(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
อาจารย์กฤษฎาว่า...ตอนที่ผมมาที่นี่แรกๆก็นึกว่า แปลกที่เรียกว่าสมณะ แต่พอมาเจอต้นเรื่องก็เข้าใจ
พ่อครูว่า...ก็เป็นไปตามธรรม ที่จริงเขาจะเอาความผิดมาให้เรา แต่ดันเอาความถูกมาให้เรา ก็เลยแล้วไปแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาแก้ปัญหาได้ทุกสถานการณ์
_พรหมสิริรัฐ : ศีล สมาธิ ปัญญา แก้ปัญหาได้ทุกสถานการณ์
พ่อครูว่า...ศีลที่ปฏิบัติได้ถูกจะเกิดความแข็งแรงตั้งมั่นของจิตเรียกว่าสมาธิ ส่วนปัญญานี้ ไม่ใช่ความฉลาดแบบโลกๆคือแบบเฉกา ปัญญา จะเกิดได้จากการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ปัญญาไม่ได้เกิดจากการนั่งหลับตา การนั่งหลับตาไม่เกิดมรรคมีองค์ 8 ปัญญาจะเกิดจากกระบวนการโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 กระบวนการเต็มคือ โพธิปักขิยธรรม 37 จะเกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ
คนไม่เข้าใจในธรรมะที่เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่เหล่านี้ก็จะสับสน มันไม่เป็นระบบระเบียบ จึงไม่เกิดปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา
ถ้าเป็นศีลที่จริง สมาธิจริง ปัญญาจริง จะสามารถแก้ปัญหาได้ทุกสถานการณ์
ถ้าบริหารประเทศให้ดี จะต้องให้คนมีศีลจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม เช่นเรื่องศีลข้อ 1 เรื่องไม่ให้ฆ่าสัตว์มันเซ็งแล้ว เขาก็ว่าเขาไม่ได้มีอาชีพฆ่าสัตว์ก็ไปซื้อจากตลาดมากิน ก็ไม่เกี่ยวอะไร ใครจะฆ่าก็ฆ่า แต่ฉันก็กิน ไม่เกี่ยวกับการทำครัวไม่ซื้อไม่ฆ่า เราเป็นเจ้าบ้านก็นั่งกินอย่างเดียวไม่เกี่ยว ศีลข้อที่ 1 เป็นอิทัปปัจจยตา เกี่ยวเนื่องกัน จนอาตมาเอาพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ชีวกสูตร (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
อาจารย์กฤษฎาว่า...พ่อครูอธิบาย ศีล สมาธิ ปัญญา เริ่มจากศีล พ่อครูจึงนำเริ่มจากศีล 5
พ่อครูว่า...เอาศีลข้อ 1 ถ้าปฏิบัติศีลข้อหนึ่งในการเกี่ยวกับสัตว์ หนึ่งถ้าคุณไม่รู้ว่ามีปฏิกิริยาลูกโซ่ เข้าไปกินเนื้อสัตว์ สัตว์ใดถูกฆ่ามา เขาก็เลี่ยงบาลีว่า ฆ่าเจาะจงชื่อใคร คนนั้นก็กินไม่ได้ แต่ความจริงแล้วคำว่าอุทิศแปลว่า คนเจตนาฆ่า ถ้าสัตว์ตายโดยคนเจตนาครบ ปานาติบาต 5 และในชีวกสูตร ตรัสไว้ชัดว่า เป็นบาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย เขาก็ไม่รู้ ที่บาปเป็นอันมาก ใน ชีวกสูตร
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
พหุง แปลว่าเป็นอันมาก คำว่า ปุญญะคือชำระกิเลส แต่การไปฆ่าสัตว์เอาเนื้อสัตว์มากินไม่มีบุญตรงไหนเลย ไม่ได้ลดละกิเลสตรงไหนเลย คนกินเนื้อสัตว์ก็ติดเนื้อสัตว์ จะได้บุญตรงไหน ไม่มี
ผู้กินเนื้อสัตว์ใดย่อมติดบาป ท่านแปลในพระไตรปิฎกว่าคนไม่สำรวม คือคนไปฆ่าสัตว์แล้วนำมาถวายพระพุทธเจ้าหรือสาวกพระพุทธเจ้า
แต่ถ้าเอาเนื้อสัตว์ที่คนฆ่าโดยเจตนา ครบองค์ 5 ของปานาติบาต คือ สัตว์นั้นมีชีวิต-รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต-มีเจตนาฆ่า-ลงมือฆ่า-สัตว์นั้นตายลง (ล.27 [342] บุคคลผู้ไม่สำรวม ประหารสัตว์ เบียดเบียน และฆ่าสัตว์ ให้ทานแก่สมณะใด สมณะนั้น บริโภคภัตเช่นนี้ ย่อมเข้าไปติดบาปด้วย.)
ในชีวกสูตรบอกว่า อุททิสสะ คือ เจตนาเจาะจง มันถูกมัดมาเอาตัวมาก็บาปแล้ว แล้วกล่าวว่า จงฆ่าสัตว์นี้ ปฏิเสธไม่ได้แน่นอนว่าบาป แล้วเอาไปทำอาหารอีก
บอกว่าไปเอามาก็บาป ไปผูกไปจับมันมาก็บาปขั้นสอง แล้วพูดอีกว่าจงฆ่า อันที่สี่ สัตว์ที่กำลังถูกฆ่าย่อมทุกข์หนัก แล้วจะเป็นบาปกี่ชั้น มิหนำ เอาสัตว์นั้นมาทำอาหารถวายพระพุทธเจ้า และสาวก ก็ยิ่งบาปเต็มขั้นเลย เอาของบาปสี่ขั้นไปถวายอีก ก็ยิ่งติดบาป บาปบริบูรณ์ ในศีลข้อที่ 1
อาตมาพาไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คุณก็ว่ากินเนื้อก็ไม่บาป แต่ถ้าคุณไม่กินเนื้อสัตว์แล้วคุณก็มีสุขภาพดีมีความแข็งแรงทุกอย่างจะไปแคร์อะไรเลย ก็ไม่กินเสียได้ก็จบ แล้วเราก็ไม่กิน เพราะว่ามีอาหารให้กินเยอะแยะไป ยังชีวิตได้ดีด้วย เนื้อสัตว์เป็นที่มาแห่งโรคภัยและความเบียดเบียน พืชพันธุ์ธัญญาหาร จะว่าไปแล้วคนไม่แย่งชิงเท่ากับแย่งเนื้อสัตว์ เพราะว่าคนติดเนื้อสัตว์เยอะ เราไปตั้งโรงอาหารมังสวิรัติ กับพวกกินเนื้อสัตว์ คนก็ไปกินเนื้อเยอะมากกว่าของเรา
อาตมาก็มาบอกสิ่งที่ควรเลิก ส่วนใครจะไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหา พูดไปแล้วคนไม่เอาก็เรื่องของคุณ จะทำบาปทำกรรมก็ทำไปเถอะ อาตมาไม่ได้บาปด้วย ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าสมมุติว่า คุณกินเนื้อสัตว์นี้บาป เราไม่กินก็ไม่บาป แต่ถ้าไม่จริง แต่เราก็ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามันบาป เราก็รอดทุกประตู
นอกจากไปเข้าใจว่า ถ้าไม่กินเนื้อสัตว์จะขาดสารอาหารอะไร ก็ศึกษาให้ดีๆ แม้แต่หมอรักษาคนไข้ รักษาไปรักษามาก็บอกว่า คุณควรจะเลิกกินเนื้อสัตว์ ทั้งๆที่หมอก็กินเนื้อสัตว์อยู่มีเยอะไป เพราะรู้ว่ามันเป็นที่มาแห่งโรคหลายอย่าง ถ้ากินก็ไปตายแน่ๆเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำใจไม่ขัดแย้งอย่างไรหากไม่กินเนื้อสัตว์
_ถามว่าจะแก้อย่างไร หากก็รู้ว่าไม่กินก็ดี แต่อีกใจก็ว่ากินนิดนึงก็ไม่น่าเป็นไรเพราะยังอร่อยอยู่ จะทำใจอย่างไรไม่ขัดแย้ง
พ่อครูว่า...ถึงอย่างไรอยู่ในหมู่นี้ไม่กินเนื้อสัตว์อยู่แล้ว ก็ปล่อยใจไปตามหมู่กลุ่ม มีอาหารมังสวิรัติก็กินไป กินไปนานเข้าก็อร่อยไปเอง อธิบายไปแล้วว่าแม้แต่หมอเองก็บอกว่าไม่ต้องกินเนื้อสัตว์หรอกจึงจะดี แสดงว่าเนื้อสัตว์เป็นที่มาแห่งโรคภัยและความเจ็บปวด ไม่ใช่ที่มาที่จะทำให้ฉลาด แม้แต่มีอาหารมีธาตุอาหารที่ทำให้ยังชีวิตได้ คนที่อยู่ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ เขาไม่มีพืชผักจะกินก็มีแต่น้ำแข็ง ปลูกพืชผักไม่ได้ก็ต้องกินเนื้อสัตว์ คนเหล่านั้น อายุเฉลี่ยแล้ว 25 ปี สูงสุดที่เขาเคยมีสถิติ คนขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้อายุ 40 ปี อายุยืนสูงสุด ส่วนคนชาวหรรษาอยู่ในภูเขา มีพืชพันธุ์ธัญญาหารให้กินเยอะแยะในป่า อายุ 100 เป็นสามัญ น้อยกว่าร้อยหรือมากกว่าร้อยเป็นเยอะแยะ เห็นหลักฐานนี้ไหม คนกินแต่พืชผัก อายุยืนยาวทั้งนั้น กินแต่เนื้อสัตว์อายุสั้น เพราะมันไม่ใช่อาหารของคน มันจะมีการช่วยได้บ้างแต่ไม่ใช่อาหารของคน ทำแล้วมันจะติดบาป (ส ปาปมุปลิมฺปติ)
เนื้อที่ไม่ให้กินคือเนื้ออุทิสสมังสะ ที่ไม่ใช่ ปวัตตมังสะ คือ ได้ยิน ได้เห็นหรือสงสัยว่าถูกฆ่ามาก็ไม่ให้กิน ปวัตตมังสะคือเนื้อเดนสัตว์กิน และสัตว์ตายลงเอง
อุทิสสังมังสะคือ เนื้อสัตว์ที่คนเจตนาฆ่า ตามองค์ 5 ของปานาติบาต สัตว์นั้นมีชีวิต-รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต-มีเจตนาฆ่า-ลงมือฆ่า-สัตว์นั้นตายลง
ติดบาปคือ ส ปาปมุปลิมฺปติ คำว่า ส คือ มี ท่านก็แปลบาลีเป็นไทย แปลว่าติดบาป บาปติดมาเลย ถ้าไปกินเนื้อสัตว์
ทีนี้คนแย้งเถียง โดยเฉพาะศาสนาพุทธ ที่เบี้ยวมากินเนื้อสัตว์ไปแล้วในเมืองไทย แต่คนต่างประเทศที่รู้สัจจะพุทธ เมื่อมาเจอเมืองไทยที่เป็นเมืองพุทธ เห็นพระเจ้ากินเนื้อสัตว์กันปากเปรอะ ก็เลยตกใจ แทนที่จะหามังสวิรัติกินได้เยอะ แต่เดี๋ยวนี้เราทำงานมา 30 ถึง 40 ปีก็รู้เรื่องมังสวิรัติกันเยอะขึ้น
ทำอย่างไรจะเลิกก็ค่อยๆศึกษา เห็นว่ามันเป็นโทษภัยเป็นบาปกรรม ที่จะต้องมีเชื้อแห่งเวรภัยต่างๆ พิจารณาให้กลัวบาป ติดอร่อยก็ลดสิ ติดอร่อยก็คือกิเลส ลดกิเลสไม่เสียหายหรอก มันเป็นตัวปลอมตัวเก๊ตัวเทียมไม่ใช่ตัวจริง เนื้อสัตว์หรือพืชผักมันก็มีรสชาติของมันจริงๆ แต่ที่ไปชอบนี้ไม่ใช่รสจริง
_หนูอยากรู้ว่าทำไมคนถึงมีความโกรธและหงุดหงิดในเวลาไม่ได้ดั่งใจ แล้วจะมีวิธีแก้ไขยังไง
พ่อครูว่า...ต้องมาปฏิบัติธรรมให้ดี ลดความโลภโกรธหลง ไม่มีทางแก้ไขอื่นๆปฏิบัติไปตามนี้แหละ จำไว้นะ ชาตินี้ได้มาปฏิบัติธรรมกับชาวอโศกเมื่อปฏิบัติแล้วก็มาลดความโลภโกรธหลง จำให้ได้ ชาติหน้ามาหาชาวอโศกก็ให้มาปฏิบัติอย่างนี้อีกกี่ชาติก็แล้วแต่ แล้วก็จะได้เลิกลดกิเลส
_ทำไมสมณะชาวอโศกไม่โกนคิ้ว
พ่อครูว่า...ทำตามธรรมวินัยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้โกนหนวดและผม สองอย่าง นอกนั้นใครโกนขนอื่นๆก็อาบัติ โกนขนหน้าแข้งก็อาบัติ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน หลวงปู่คิดอย่างไรจึงมาทำงานนี้
_ดช.มารวย...ผมจะดับความโกรธได้อย่างไรครับ แล้วหลวงปู่คิดอย่างไรจึงมาบวชและมาช่วยคนครับ
พ่อครูว่า...มันดีที่สุดแล้วมาบวชแล้วช่วยคนให้ลดความโลภโกรธหลง มันดีที่สุดแล้วไม่มีอะไรดีกว่านี้อีก ที่พูดนี่คือความจริง คนเราตัวเราเองก็ต้องมาลดความโลภโกรธหลงเป็นกิเลสในจิตให้ได้ แล้วเราก็สอนคนอื่นแนะนำคนอื่นให้เป็นอย่างนี้ด้วย เป็นงานที่สุดประเสริฐ สุดประเสริฐของคนที่จะทำแล้ว เป็นงานที่มีกุศลเป็นสิ่งประเสริฐ ดีที่สุดไม่มีงานอะไรดีเท่านี้
_คนเราถ้านั่งอยู่ในห้องกระจก ดู fmtv + astv เปิดแอร์แล้วก็นอน เมื่อเขาอยู่ในวัด พ่อครูจะทำอย่างไร
พ่อครูว่า...ก็เวลานอนก็ปิดให้หมดสิ นอนดูก็นอนไปสิ จะเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้นั่งดูเท่านั้นแหละ
_ทำไมถึงต้องมีบาปด้วยครับทั้งๆที่มันก็ไม่ใช่เรื่องดีด้วยค่ะ
ตอบ...เพราะโง่มันจึงมีบาป ไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ เพราะว่าโง่จึงต้องทำอยู่ ต้องเรียนรู้ว่ามันไม่ดี ก็ไม่ทำ ไม่ทำแล้วก็ไม่บาปไม่โง่ ถ้ายังทำอยู่ก็บาปแน่นอน เพราะความโง่ความไม่รู้ ถ้ารู้แล้วก็พยายามไม่ทำ ทั้งๆที่รู้แล้วยังทำอีกก็มี
_ผู้บรรลุพระโสดาบันแล้วจะไปเกิดในกลียุคใหม
พ่อครูว่า...เกิด
_หนูอยากเป็นพระโสดาบันค่ะ หนูพยายามปฏิบัติให้ดีแล้วแต่มันยาก ขนาดข้อแรกหนูรู้แล้วแต่ก็ทำไม่ได้
พ่อครูว่า…ที่นี่สอน พระโสดาบันไม่ยากหรอก สกิทาฯก็ยากกว่า อนาคาฯก็ยากกว่า ไม่ยากหรอก ศึกษาให้ดีและปฏิบัติ ถ้าทำได้ง่ายพระอรหันต์ก็เต็มบ้านเต็มเมืองแล้วสิ แล้วก็เคารพผู้ที่ปฏิบัติได้อย่างแท้จริง เพราะมันไม่ง่ายเป็นเรื่องยาก รู้ยังยากเลย จะทำให้ได้ก็ยังยากใหญ่ ต้องพากเพียรทำจริงๆ
_เอกีภาวะ วิชชาราม : พ่อครูเจ้าขา อีกเดือนกว่า ๆ นายหลวงจะทิ้งพวกเราไปแล้ว น่ะเจ้าคะ ยอม รับ เหงา เศร้าและกลัว ทำไงดี นี้คือเวทนาใช่ไหมเจ้าคะ
พ่อครูว่า...คนต้องบอกเตือนต้องพากันเลิกจากนรก สิ่งที่ไม่ดี
_ฮวก พรชัย : ท่านซาบซึ้ง สิกขมาตุแสดงธรรมได้ชัดเจน เห็นสภาวะ ลึกซึ้งมีประโยชน์มาก
_สัมมาอริยมรรค อโศกบุญนิยม : ท่านใต้ดาวและท่านแก่นเกล้าด้วย ห้ามสึกน่ะเจ้าคะ
_ถุงเงิน ปิ่นแก้ว :อย่างน้อยหนูหนึ่งคน ดูทีวีรายการพ่อครูทุกวัน เช้า เย็น ค่ะ
_จาก คุณSakda t ผมฟังพ่อครูตอบคุณไพศาลในวิถีอาริยธรรม600903ก็ยังไม่เคลียร์ พยายามทำความเข้าใจ แล้วเขียนเป็นรูปออกมา...ตามรูปผมเข้าใจถูกไหมครับ ถ้าถูกกรุณาอธิบายด้วยครับ
พ่อครูว่า...อาตมาดูเส้นที่คุณเขียนมาก็ดูไม่ค่อยออก ซ้อนไปมาเลยดูยากสรุปแล้วเรื่องอาริยสัจ 4 กับญาณ 3 ที่มีอาการ12
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ญาณ 3 สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ
ก็ขอเข้าสู่ประเด็นนี้ เป็นหัวใจศาสนาพุทธ อาริยสัจ 4 กับ ญาณ 3
ญาณ 3 มี สัจญาณ กตญาณ กิจญาณ
สัจจะคือความจริง กิจคือการกระทำ กต คือ แล้วเสร็จจบ ญาณ
คนที่ไม่รู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ปฏิบัติธรรมไม่รู้ว่ามันจบแล้ว มันปลายแล้วมันก็จบ เบื้องต้นก็รู้ว่าจบ จบขั้นกลางก็จบแล้วเหลือขั้นปลายจบ คุณมีกตญาณรู้ตัวจบก็จบแล้ว คนไม่ศึกษาให้ดีไม่มีญาณ 3 ก็ไม่รู้แล้วทำแล้วก็วนกลับไปทำอีก สำนักปฏิบัติธรรมในเมืองไทยไม่รู้จัก กตญาณ ไม่รู้จักจุดจบ
ที่ไม่รู้เพราะว่าอ่านจิตตัวเองไม่ออก ได้แต่ท่องได้แต่เรียนพระอภิธรรมท่องภาษาเต็มไปหมด แต่อ่านจิตจริงๆของตัวเองไม่ออก อาการของจิตเจตสิกต่างๆ
ถ้าผู้ศึกษาธรรมะไม่รู้ในความรู้ของรูป 28 โดยเฉพาะอุปาทายรูป 24
ความเป็นภาวรูป ชีวิตรูป(ชีวิตินทรีย์) มีหทยรูปก่อน
ถ้าสัมผัส ตาสัมผัสรูป หูสัมผัสเสียง สิ่งที่เกิดคือรูปที่ถูกรู้ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง เสียงคือรูป รู้ด้วยกลิ่น กลิ่นคือรูป รสก็คือรูป กายสัมผัสเสียดสี เย็นร้อนอ่อนแข็งก็เป็นรูป คือสิ่งที่ถูกรู้
ผู้ที่ศึกษาไม่เป็นรู้รูป 24 เขาจะไม่รู้ว่าจิตอยู่ที่ไหน
ฟังแล้ว ออกจะสับสน รูปคือจิตหรือก็คือรูปจิต อรูปจิต ต้องเรียนรู้จิต กายนั้นเรียนรู้ได้ง่ายดินน้ำไฟลมภายนอก รูป 4 เรียนรู้ง่าย แต่กายไม่ได้มีแค่ดินน้ำไฟลม ทุกวันนี้ คำว่า กาย เพี้ยนไปแล้ว ภาษาไทยแปลว่าส่วนของดินน้ำไฟลมเท่านั้น
แต่อาตมาอธิบายคำว่ากาย เป็นสัมมาทิฏฐิ ของพุทธ
กายนั้น จะต้องเป็นธรรมะ 2 กายไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว โดยเฉพาะกายจะต้องมีจิตมโนวิญญาณเข้าไปร่วมรับรู้ด้วยเป็นธรรมะ 2 ถ้าไม่มีจิตมโนวิญญาณเข้าไปร่วมรับรู้ด้วย อันนั้นไม่ใช่กาย ไม่มี จิตมโนวิญญาณเข้าไปร่วมรับรู้ด้วย อันนั้นไม่ใช่ กาย
ฟังอีกทีหนึ่ง
ถ้าธรรมะสองนั้นเกิดขึ้น เป็นองค์รวมมีรูปกับนาม สองอย่างนี้เกิดมาแล้ว ถ้ามันไม่มีสภาวะธาตุรู้ที่เป็นจิตมโนวิญญาณร่วมรับรู้ด้วย มีแต่ดินน้ำไฟลม ไม่ใช่กาย
ดินน้ำไฟลมชนิดเฉยๆไม่ใช่กาย ต้องมีจิตมโนวิญญาณร่วมรับรู้ด้วยจึงจะเรียกว่ากายได้ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า กายเราเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
อาตมายกตัวอย่างมูลกรรมฐาน 5 ให้แยกกายแยกจิตให้ออก แต่ทุกวันนี้เข้าใจว่ากายคือดินน้ำไฟลม จิตคือภายในเท่านั้น แยกจากกัน ก็น่าสงสาร
แยกกายแยกจิต กายคือดินน้ำไฟลม จิตก็อย่าให้ปนกับกาย แยกกายแยกจิต นี่คือ การสอนในระดับกรรมฐานของเกจิอาจารย์ แล้วจะไปไหนรอด คำว่ากายเป็นคำแรกของโพธิปักขิยธรรม 37 ให้พิจารณากายในกาย เมื่อเข้าใจว่ากายคือภายนอกไม่เกี่ยวกับจิตไม่เกี่ยวกับภายในจะไปเหลืออะไร จะไปรู้เรื่องอะไร เป็นการเข้าใจผิดของศาสนาพุทธอย่างน่าสังเวชใจน่าสงสารที่สุด เป็นมิจฉาทิฐิ เริ่มต้นก็ผิดแล้วเป็นประธาน
อาจารย์กฤษฎาว่า...ถ้าบอกว่ากาย แยกจากจิต แล้ว จะปฏิบัติสติปัฏฐานได้อย่างไร จะรู้กายภายในได้อย่างไร
พ่อครูว่า...ก็ไปเห็นกายทิพย์ เป็นตัวตน กายสัตว์นรกเขาวาดสารพัดรูปร่างยิ่งกว่าอีที ทั้งที่ จิตวิญญาณมโนไม่มีรูปร่างสีสัน แต่เรียนมาก็สับสนว่ามันมี แล้วถือว่าคนเห็นก็เป็นตาทิพย์อีกทั้งที่คือตาถั่วตาเลอะ พูดแรงๆ ก็หาว่าอาตมาไม่มีภูมิปัญญาจะเห็น อาตมาน่ะเรียนรู้ไสยศาสตร์มาเยอะ มีเทวดามีพรหมอะไรก็เล่นมาแล้ว เล่นไสยศาสตร์มา 8 ปี ลิงลมอมข้าวพอง ...เคยรักษาหญิงสาวที่บอกว่ามีผัวเป็นพระพรหม เราก็ต้องเชิญพระพรหมที่ใหญ่กว่ามารักษา เป็นพระพรหมที่ไม่มีผัวมีเมียมาปราบก็หาย แต่จำไม่ได้แล้วพูดอย่างไร โตแล้วยังมาหาอาตมาเลยบอกว่าจำหนูได้ไหม เคยรักษาหนูตอนที่มีพระพรหมมาเข้า ตอนที่มาพบนี้บอกว่าหนูอายุ 57 ปี ตอนที่รักษานั้นอายุ 17 ปี อาตมาก็จำไม่ได้หรอก
มาเข้าสู่ประเด็นสำคัญ สัจญาณ กตญาณ กิจญาณ คนไม่รู้จักจิตเจตสิก อ่านอาการจิตเจตสิกไม่ออกโดยเฉพาะ มโนปวิจาร 18 จิตวิญญาณไม่มีรูปร่างสีสันเส้นแสงมีแต่อาการ เราก็จับอาการ อาการทุกข์ อาการสุข ไม่มีเส้นแสงสีเสียงรูปร่าง
อาการ อร่อย ...อาการ ไม่อร่อย ไม่มีเส้นแสงสีเสียงอะไร
อาการกิเลสโลภ อาการกิเลสโกรธ ไม่มีรูปร่างเส้นแสงสีเสียง
คุณต้องกำหนดไหนเอาเอง ดูนิมิต ว่าอาการอย่างนี้โกรธ อาการอย่างนี้โลภ ก็อ่านนิมิตเอง ของใครของมันเป็นปัจจัตตัง คนอ่านออกดูออกเมื่อไหร?ก็ต้องเกิดในบัดนั้น เอาความจำมารู้นั้นไม่ใช่ของจริง ต้องอ่านอาการโลภอาการโกรธในขณะนั้นและสถานการณ์ในปัจจุบัน อ่านให้ออก ปฏิบัติธรรมต้องมีปัจจุบันธรรม ผู้ใดอ่านอาการออก ผู้นั้นรู้จักจิต
(พ่อครูไอ…ตัดออกด้วย)
อ.กุ้งว่า...ต้องตอนผัสสะใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า... สัมผัสแล้วเกิดอาการโกรธ โลภ จะเห็นชัดกว่าอาการเฉยๆ อาการเฉยเฉยๆนี้รู้ยากมันไม่กระดุกกระดิก ไม่โลภ-ดูด โกรธอย่างนี้-ผลัก ทำลาย อ่านอาการพวกนั้น มันเกิดที่ใจเราเมื่อเกิดสัมผัส นั่นแหละคุณจะเห็นจิต ถ้าไปนั่งหลับตาสะกดจิตไม่มีสัมผัสอะไรเลยก็ทำจิตว่างให้นิ่ง แล้วเข้าใจว่าเอกกัคคตาจิต คือจิตหยุดหรือนิ่งเป็นหนึ่ง นั้นผิดแล้ว จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ที่ใช้คำว่า จิตหยุดจิตนิ่งคือกิเลสมันหยุดมันนิ่งไม่มีบทบาทในจิตเรา จิตเป็นปาคุญญตา เป็นมุทุภูตธาตุ ที่แคล่วคล่อง ไม่ใช่จิตหยุดจิตนิ่ง นี่คือความหมายพาซื่อว่าจิตนิ่ง เราจะต้องทำให้กิเลสตายไปล้างไปหมดจากจิตไม่ใช่ให้มันนิ่งเฉยๆ
อ.กุ้งว่า..ณ ขณะนั้นคือ การฝึกสติ สมาธิ ต้องเห็นปัจจุบันตอนผัสสะ
พ่อครูว่า...ใช่ นั่นคือจึงจะอ้างอิงว่าเป็นความจริงมีปัจจุบันธรรม ถ้าไม่ใช่ปัจจุบันทำไม่ใช่ข้อตัดสินเลยว่าบรรลุ
อาตมาพูดมา 47 ปีแล้ว ในพรหมชาลสูตร ว่าทิฏฐิ 62 นี้ เป็นอดีตและอนาคตที่เกิดจากการนั่งหลับตา เป็นการผิดคำพูด ไม่มีเวทนาไม่มีกรรมฐานในการปฏิบัติ กรรมฐานของศาสนาพุทธมีเวทนาอย่างเดียว ไม่ใช่กสิณ
กรรมฐานคือ กายเวทนาจิตธรรม ในเวทนาในเวทนามีอกุศล แล้วลดอกุศลได้ จิตจะสะอาด มีความแคล่วคล่องว่องไวไม่ใช่ไปหยุดจิต
อ.กุ้งว่า...สมาธิเกิดในขณะผัสสะ ถึงจะเป็นสมาธิพุทธที่แท้
พ่อครูว่า...สมาธินี้เขาไม่ชัดเจนกันสักที การตกผลึกตั้งมั่นของจิตจากการทำให้กิเลสมันจางคลายและดับ ดับได้เป็นผลในจิต จิตก็ตกผลึกตั้งมั่นแข็งแรงในจิต การไปนั่งหลับตาสะกดจิตเป็น general สมาธิ แต่ของพระพุทธเจ้าเป็น special สมาธิ ปฏิบัติอย่างลืมตา ทำมรรคทั้ง 7 องค์ สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ
อ.กุ้งว่า..ตอนนี้โลกเขาเปิดคอร์สทำสมาธิกัน
พ่อครูว่า...โลกมันวุ่นวายมากพอทำการสงบได้ก็สบาย คนจึงชอบการสะกดจิต มันเป็นพื้นฐานง่ายๆ ให้จิตนิ่งๆสมถะ อย่างน้อยก็เป็นที่พักผ่อน มันก็มีประโยชน์อยู่บ้างนะ ก็ได้เพลาแต่ถ้าเอาจริงๆแล้ว ของพระพุทธเจ้านั้นมีทั้งความจริงของการสงบ ที่ไม่ใช่สมถะ สงบคือปัสสัทธิ ไม่ใช่สมถะ สงบปัสสัทธิคือมีความสำเร็จ สิทธิคือสำเร็จ
ประสบความสำเร็จในการเป็นสัมมาสมาธิที่ถูกต้อง คือสงบจากตัวแย่ตัวเลวตัวกวนไม่ให้สงบคือกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด มันสงบไปจากจิตคือตายไปเลย เป็นพระอรหันต์แล้วไม่มีกิเลสในจิต คือโลภโกรธหลงไม่มี แต่จิตปรารถนาดี จะเรียกมีตัณหาก็ได้
อย่างพระพุทธเจ้าท่านมีตัณหาสูงมากเลย มีตัณหาอยากสร้างศาสนาพุทธแก่โลก อาตมาก็อยากให้พวกเราเอาธรรมะปฏิบัติให้บรรลุ อยากจริงๆ เรียกว่าวิภวตัณหา เป็นตัณหาที่ไม่มีภพ ไม่ใช่กามตัณหา ภวตัณหา เป็นวิภวตัณหา ที่ทำงานอยู่นี้
พูดไม่ได้นั่งเล่นลิ้นพยัญชนะ แต่เป็นเรื่องสัจจะที่เข้าใจสภาวะของจริงแล้วเป็นเช่นนั้น คนที่ไม่เข้าใจเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ภพ ชาติ ตัณหา สังขาร ที่มีอวิชชาเป็นปัจจัย ไม่รู้ว่าสังขาร 3 ที่เป็น กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร ที่จะมีอภิสังขาร 3 ที่เป็นโลกุตระ คนไม่รู้สภาวะก็แปลอปุญญะว่าบาปอีก ก็เลยวนกลับไม่บรรลุ แม้แต่อภิสังขาร ที่เป็นสังขารโลกุตระ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
เข้าใจอภิสังขารจากปฏิบัติ ปุญญาภิสังขาร ทำบุญชำระกิเลสจนหมด ก็ไม่ต้องใช้บุญอีก หมดบุญเป็นอปุญญาภิสังขาร คำว่าบุญ เมื่อไม่เข้าใจก็จะไม่เข้าใจว่าบุญคือวิบัติ นึกว่าบุญคือสมบัติ ปฏิบัติส่วนบุญ ที่เป็นของเสขบุคคลให้ผลแก่ขันธ์ แต่ไม่เข้าใจนึกว่าเราได้ แต่ที่จริงคือเสีย เราเสียนี่แหละคือเราได้
บุญนี้คือเราต้องเสียไป นั่นแหละคือเราได้ อะไรเสีย เสียกิเลส เสียความชั่วเสียสิ่งที่ไม่ควรจะมีออกไป เสียได้เมื่อไหร่ เราได้เมื่อนั้น
อาตมาเป็นผู้มากอบกู้สิ่งที่มันผิดไปเกือบหมดแล้ว มันน่าสงสารมากจริงๆ พูดแล้วไม่ได้อวดเก่งอวดดีอวดใหญ่แต่ฟังอาตมาบ้างสิ อย่ามองดูแคลนกันมากนัก แม้รูปไม่หล่อพ่อไม่รวย ไม่ได้เรียน ป.จัตวาเลย ก็ฟังบ้าง แล้วดูว่าเข้าท่าไหม ถ้าเข้าท่าก็เอาไปปฏิบัติบ้าง จะได้รับประโยชน์
สัจญาณคือความจริง ความจริงก็มีแค่ 2 อย่างคือสมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ
สมมติสัจจะคือสัจจะที่ยังไม่ลึกซึ้งไม่ใช่ความจริง ปรมัตถสัจจะคือความจริงแล้วเรียนรู้กิเลสให้หมด ก็เป็นความสมบูรณ์ของปรมัตถสัจจะ
ผู้สมบูรณ์แล้วอย่างพระอรหันต์ก็อยู่กับสมมุติ ท่านจบกิจ คนจบกิจก็เลิกไม่ต้องมีบุญ ก็อนุโลมไปกับโลกเหมือนท่านทำบาปกับเขา เหมือนพ่อแม่เลี้ยงลูก ก็ทำตามฐานะเด็กให้เล่นซนแบบนี้ทำเสียหายแบบฐานะเด็กต้องยอมอนุโลมตามฐานะเขาไป จึงเข้าใจกันยากมาก สัจญาณคือการอนุโลมของผู้ที่จบกิจแล้ว ต้องรู้จักสมมุติสัจจะ เพราะจบปรมัตถสัจจะ ต้องทำคุณอันสมควรก่อนแล้วสอนผู้อื่นจะไม่มัวหมอง
คนที่ไม่ได้ทำตนให้บรรลุก่อน ไปสอนคนอื่นจึงทำให้ศาสนาเสื่อม จะสอนพระโสดาบันต้องทำตัวเองให้บรรลุพระโสดาบันก่อน เป็นสกิทาคามีจึงจะดี คนจะไปสอนปริญญาตรีต้องจบปริญญาโท คนจะสอนปริญญาโทต้องจบปริญญาเอก
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทำคุณอันสมควรก่อนจึงสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง แต่ทุกวันนี้ได้แต่ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองแล้วสอนกัน
กิจญาณก็ไม่เข้าใจเรื่องกิจต่างๆ เช่นบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องกิจของสงฆ์ อาตมาเองพาพวกเรา ออกไปประท้วงทางการเมือง เขาก็บอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ คนที่มาแยกการเมืองกับธรรมะออกจากกัน ไม่รู้ป่านนี้ตกนรกขุมไหนยังไม่ขึ้นหรอก บ้านเมืองถึงได้ฉิบหายกันไปใหญ่ เพราะนักการเมืองไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะ ก็เลยเลวไปใหญ่
อ.กุ้งว่า...สรุปว่า ผมตั้งประเด็นศรัทธากับงมงาย ผมไม่กังวลกับเราท่านที่ได้ติดตามฟัง ประกาศตัวเป็นลูกศิษย์ พ่อครู เพราะมั่นใจ ในความเป็นสัตบุรุษ ของพ่อครู...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:57:34 )
รายละเอียด
600906_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ต้องละเฉกาถึงเกิดปัญญาพาบรรลุธรรม
สมณะฟ้าไทว่า…วันพุธที่ 6 กันยายน 2560 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 10 ปีระกา ที่บวรราชธานีอโศก เข้าพรรษามาได้ 2 เดือน เหลืออีก 1 เดือนก็ออกพรรษา ถ้าเป็นทางโลกๆ ก็คิดว่าสึกแล้วจะทำอะไรต่อดี แต่ของเราเข้ากับออกก็เป็นอย่างเดียวกัน
วันนี้พ่อครูมาที่บวร ราชธานีอโศก แล้ว เมื่อ 6 วันก่อนก็ได้สัตตาหกรณียะไปประชุมสันตินาครและบวรปฐมอโศก พ่อครูต้องไปรับรู้เรื่องราวติดตามงานที่แต่ละชุมชน ตอนนี้พ่อครูก็ได้เทศน์สองวันที่ผ่านมาจะเทศน์เรื่องญาณ 3 สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ
สมมุติเราก็อยู่กับโลกเขา ฝ่ายสมมุติก็คือฝ่ายพวกมากชนะ ส่วนปรมัตถ์เราก็มาดูใจเรา ว่าทำกิเลสให้เป็นสูญได้หรือไม่ เป็นภาระกิจของคนโลกุตระ ทำให้สูญได้ก็ทำ หรม. คือทำสิ่งไม่ดีออกให้มากที่สุด เหลือสิ่งที่ดีเอาไว้ แล้วทำ ครน.คือทำอัตราก้าวหน้าให้ได้มากที่สุด แล้วทำให้เกิดผลเสียน้อยที่สุด แล้วพ่อครูก็เน้นว่า ต้องทำปัจจุบัน ปัจจุบันดีก็สั่งสมเป็นอดีตที่ดี ถ้าปัจจุบันไม่ดีก็สั่งสมอดีตไม่ดี ปัจจุบันจึงสำคัญที่สุด อนาคตมาไม่ถึง อดีตเปลี่ยนแปลงไม่ได้
วันนี้พ่อครูจะมาอธิบายธรรมะที่พวกเราควรจะได้ที่เป็นประโยชน์
พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็เอา sms มาก่อน
SMS วันที่ 4 กันยายน 2560 (พ่อครู-อ.กุ้ง บวรปฐมอโศก)
_8130ดิฉันขอคำอโศกต่อท้ายนามสกุลได้ไหมคะพ่อครู เพราะนามสกุลปิ่นทอง มีเยอะแยะมากจาก จ. เพชรบุรีชัดเจนดีคะ
พ่อครูว่า...อาตมาไม่ได้มีสิทธิ์ในการห้ามใช้หรือให้ใช้ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ขาดทุนคือกำไรและแบบคนจนที่จริง
_3867แผ่นดินไทยโชคดีที่สุดที่มีมรดกล้ำค่าสูงส่งยังปย.สุขประเสริฐยิ่งกว่าผลปย.ชอบมิชอบใดๆในโลกคือปรัชญาพอเพียงจากพ่อหลวงร.9 !น้อมกราบสาธุการฯลูกไทยใจภักดิ์
พ่อครูว่า...อาตมาเห็นด้วย และเห็นว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นโพธิสัตว์ ท่านได้เอาหลักธรรมะมาใช้ เศรษฐกิจพอเพียง บริหารประเทศแบบคนจน ซึ่ง อาตมาพูดไป นักบริหารประเทศชาติจะฟังแล้วหูกระดิกหรือไม่นะ เราเอาออกอากาศทุกวัน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา และแบบคนจน ทำอย่างไร เราจะพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แล้วท่านก็ตรัสว่า นักเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์เขาก็จะว่าพูดอะไร? ท่านก็ว่าอย่างนั้น ก็แน่นอน ทางทุนนิยมก็ต้องบอกว่าฟังไม่ขึ้น เล่นลิ้นหรือเปล่า? พูดเชิงตลก แฝงคารมหรือไม่ แล้วมันเป็นไปได้หรือไม่ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แต่ที่จริง มันเป็นไปได้ในตัวของมันเองอยู่แล้ว อย่างพวกเราชาวอโศก เราขาดทุนแล้วเราก็บอกว่าเราได้กำไร เรายังขาดทุนไม่ค่อยเก่ง ถ้าเราขาดทุนได้เก่งกว่านี้จะดีกว่านี้ เห็นจริงเลยว่าเป็นอย่างนั้น ในหลวงตรัสตามภูมิ เป็นพระปรีชาญาณของพระองค์ ว่า คนเราถ้าเห็นความจริงนี้ ฉลาดเข้าใจอย่างเป็นปัญญา เป็นความเฉลียวฉลาดเชิงปัญญาจริงๆ เห็นว่าขาดทุนของเราคือนั่นแหละเรากำไร เราเสียนี่แหละคือเราได้ เราได้เสียไปนี่แหละชีวิตเราเป็นคนที่มีประโยชน์ คนที่สามารถเข้าใจและทำได้อย่างนี้เป็นผู้ให้ผู้เสียสละ ชีวิตของเราเรามีของเราเป็นสิทธิของเรา แต่เราไม่เอาเปรียบ เราได้มาอย่างเอาเปรียบเราเป็นคนขาดทุน ถ้าได้อย่างสุจริตเป็นสัจธรรม ลาภธัมมิกา เป็นลาภโดยธรรม เราไปได้มานี่ ถ้าเราเอาเปรียบหาเชิงฉลาดที่จะได้เปรียบมามากๆได้แล้วหลงดีใจ ที่จริงควรเสียใจ เพราะนั้นเป็นบาป
ด้วยสัจจะของโลกุตระบุคคล ผู้มีภูมิปัญญามีโลกุตรภูมิ จะเห็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นเรื่องที่ทวนกระแสมาก ก็ค่อยๆศึกษาไป
ปัญญาที่มีไว้ชนกิเลส คนที่มีปัญญาจะเข้าใจ ว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คนไม่มีปัญญาจะรู้แต่เพียงหลักการ แต่ใจเขาไม่ได้เกิดความฉลาดความเห็นจริงอย่างจริงใจ ว่าอ๋อจริงๆนะ ว่าเราขาดทุนนี้คือเรากำไร
_3867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.สันติฯทุกบวรอโศกฯ กับปัญญาที่มีไว้ชนกิเลสเพื่อชนะใจตัวเอง!มิใช่เป็นแต่ปัญญาชนแล้วปล่อยให้กิเลสชนตัวแล้วแพ้ใจตนเอง!
พ่อครูว่า...ปัญญาที่มีไว้ชนกิเลส เพื่อชนะใจตนว่า ขาดทุนของเรานี่แหละคือการกำไรการได้กำไรเขามาคือการขาดทุน ก็มีปัญญานี้ไว้ชนกิเลส
คุณ 3867 เอาคำว่าฉลาดไปใช้แทนปัญญา แล้วถ้าผู้ใช้ปัญญาที่ถูกต้องตามหลักโลกุตระ จะเห็นได้เลยว่าเราเสียไปคือเราได้มาอย่างที่ในหลวงตรัส ในหลวงร.9 นี่แหละ ท่านเองทรงงานทรงตรัสเรื่องสัจธรรม ที่เราได้เอามาออกโทรทัศน์ แบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา การก้าวหน้าอย่างนั้นแบบคนโลกๆเป็นความถอยหลังอย่างน่ากลัว เป็นเรื่องทวนกระแสภูมิปัญญาของโลกปุถุชนคนสามัญ
ผู้ที่มีโลกุตรภูมิ ก็เหมือนกับคนขวางโลก ขวางโลกีย์เขา เขาก็ฟังอาจรู้สึกหมั่นไส้ หมั่นไส้ที่เราพูดอยู่นี่ แล้วจะหมั่นไส้เรายิ่งขึ้น เพราะเราพูดตรงกับในหลวงที่ท่านได้ตรัสไว้ ก็เลยเห็นว่า เราเอาในหลวงมาข่ม เขาก็ยิ่งหมั่นไส้หนักเข้าอีก เราก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรนะ
เข้าใจตรงกันกับในหลวงเป็นสัจจะ ในหลวงไม่มีใครกล้าขัดแย้ง แต่โพธิรักษ์นี้เขาค้านแย้ง
สมณะฟ้าไทว่า...ความจริงเราน่าจะเทิดทูนบูชาประมุขของชาติที่ไม่มีความโลภ
พ่อครูว่า...ก็คงมีภูมิปัญญามีความเฉลียวฉลาดฟังเข้าใจ แม้จะไม่เป็นปัญญาจริง จะเป็นความฉลาดพอสมควรก็พอเข้าใจได้อยู่
เรื่องของปัญญาไม่ใช่ความฉลาดแกมโกง หรือเฉกาหรือเฉกะ
_3867ปชช.เห็นคอรัปชั่นมีปัญญาฉลาดแกมโกงกินชนะในการกอบโกยของๆโลกโดยชอบมิชอบมาทุกทศวรรษ!ก็ยังไม่เคยเห็นทุจริตชนคนใดใช้ปัญญาเอาชนะความโลภโกรธหลงในตัวเอง?มาตลอดศตวรรษ!ปลงเอวัง(เวง)
พ่อครูว่า...ปัญญามีพลังชนะความโลภโกรธหลง ถ้าคุณสร้างพลังงานจิตให้เกิดปัญญาจริง พลังงานปัญญาจะชนะความโลภโกรธหลง มันจะทำลาย เป็นพลังงานปัญญาที่มีอิทธิพลมีอำนาจมีฤทธิ์ เป็นปัญญาเป็นพลังงานที่มีฤทธิ์ชนะ พลังงานความโลภ โกรธ หลง ที่จิตใจเรามี
_หนูอ่อนตา · อยากรู้ เรื่อง อัดตาแต่ละอย่าง ขยายความให้ทราบได้ใหมค่ะ?
_SMS วันที่ 5 กันยายน 2560 (สมณะ-สิกขมาตุ บวรสันติอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน กำลัง 4 พ้นภัย 5 จึงกล้าตาย
_3867กราบขอบคุณท.แสนจน-ซาบซึ้ง-สัจฉิกตากับธ.พลังปัญญาอันมีกำลัง4ที่ให้คุณปย.กายใจจิตวิญญาณก่ออานิสงส์ต่อเนื่องให้เกิดการนำพามวลมนุษยช.ก้าวล่วงพ้นภัย5ด้วยปัญญาพลัง,วิริยพลัง,อนวัชชพลัง,สังคหพลังสาธุ!
พ่อครูว่า...กำลัง 4 พ้นภัย 5
มีภัย 5 ที่พ้นก็คือ
1. อาชีวิตภัย (ภัยจากการดำรงชีวิต หาอาหารเลี้ยงกาย)
2. อสิโลกภัย (ภัย คือ การติเตียนจากคนโลกๆ)
3. ปริสสารัชภัย (ภัยคือ การสะทกสะท้านต่อสังคม)
4. มรณภัย (ภัยคือ ความตาย)
5. ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ เช่น อบายภูมิ นรก เดรัจฉาน ฯ)
(พลสูตร พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 209)
อาตมาไม่กลัวใครตำหนิ แต่ก็มีคนตำหนิมากมาย เพราะอาตมาไม่ได้พูดเหมือนทั่วไป แม้แต่ในธรรมะกระแสหลัก ธรรมะของผู้รู้ของสังคมศาสนาพุทธ ที่ทุกวันนี้ เขาก็รู้อย่างนั้น อาตมานี่แหละก็มาตำหนิเขาว่ามันผิดๆๆ นะ คนที่เขายึดถือ ทางแบบที่ เถรสมาคมหรือกระแสหลัก ทั่วประเทศไทย หรือชาวพุทธของไทย เราไม่พูดถึงประเทศอื่น คนไทยได้ยึดมั่นถือมั่นว่า ที่เถรสมาคมยึดถือ ดำเนินการประพฤติชั่วขณะนี้ อาตมาตำหนิ ว่าผิด ผิดไปจนเกือบหมด ไม่พูดว่า “หมด” ก็บุญแล้ว ผิดจนเกือบหมด แล้วไปยึดถือสิ่งที่ผิดว่าเป็นสิ่งที่ถูก อาตมาจึงได้หนักมากเลยทำงานชาตินี้ปางนี้ ถ้าอาตมาไม่มาก็คงไม่เหลือสิ่งที่ฟื้นมาได้เลย ก็พยายามไม่ตายง่ายๆ เพื่อยืนยันได้มากกว่านี้ เอาหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงให้กระจ่างขึ้น มีสิ่งที่ปฏิบัติจริงยืนยันได้ผล ขึ้นไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นในความเป็นจริง ที่เป็นเรื่องของปัญญาของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ พ้นอาสิโลกภัย ไม่กลัวการตำหนิติเตียน ไม่สะทกสะท้าน ในสังคม สังคมโลก สังคมพุทธ สังคมเขายึดถืออย่างนั้น เราก็ไม่สะทกสะท้าน เขายึดถือแบบนั้นเลย อาตมาพาพวกเราไปไหน ๆ ก็ไม่เคยสะทกสะท้าน ทำอย่างที่เราเป็นเป็นอย่างที่เราเป็น ไม่เคยสะท้านสะทกอะไร เพราะเราทำดีแล้วทำถูกแล้ว จะไปสะทกสะท้าน หวาดกลัวหวาดหวั่นอะไร เราไม่ได้ทำผิดเราทำถูกทำดี มันชัดเจน
จึงไม่สะทกสะท้านแม้แต่มรณภัย และทุคติภัย เราเข้าใจธรรมะได้ดียิ่งขึ้นแล้วทุกคนก็ต้องตาย เราไม่กลัวตายเพราะเราได้ทำสิ่งที่เป็นกุศลเป็นบุญ ทำสิ่งที่ดีจริงๆ ตายแล้ว วิบากที่จะเกิดในชาติหน้า จะได้ร่างดีกว่าเก่าสุขภาพดีกว่าเก่า อาการ 32 จะเจริญกว่าเก่า ปัญญาจะเจริญกว่าเก่า ภูมิธรรมสูงขึ้นจริงๆ เปลี่ยนร่างเปลี่ยนอะไรขึ้นมาอีกก็ได้ ได้องคาพยพใหม่ ได้ร่างใหม่ชีวิตใหม่ กายและจิตใหม่ก็จะยิ่งดีขึ้น จะหล่อกว่าเดิม ฉลาดเฉลียวมีปัญญามีจิตใจแข็งแรงกว่าเดิม
เพราะฉะนั้นจะไม่กลัวตาย เพราะการตายคือการเปลี่ยนร่าง แล้วเราจะรู้ว่าถ้าจะตายอย่าง อรณะ ไม่ใช่แค่ตายอย่าง มรณะที่ต้องวนเวียน อรณะคือตายอย่างไม่ลึกลับ ตายอย่างไม่มีสงคราม อรณะคือถ้ายังไม่มีสงคราม ตายอย่างจิตไม่ลึกลับ อรหะ
ตายอย่างหมดสงคราม สงครามที่เราจะต้องต่อสู้กับกิเลสไม่มีแล้ว เราอยู่กับสังคมก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย ยิ่งทุคติภัย ไม่กลัวจะตกต่ำแล้วตั้งแต่มีภูมิโสดาบัน อวินิปาตธรรม ไม่มีความตกต่ำเป็นธรรมดาผู้ที่เข้ากระแสโลกุตระแล้วจริงๆ จะไม่มีการตกต่ำ
นิยตะ สัมโพธิปรายนะ ยิ่งเป็นสกิทาฯก็ยิ่งไม่ตกต่ำ ไปสู่ที่สูงที่สุดอย่างจริงยิ่งกว่าพระโสดาบัน ยิ่งอนาคามีก็ยิ่งจริงยิ่งขึ้น อรหันต์คือทะลุเลยสูงสุดจบ
เราไม่กลัวมรณภัย ทุคติภัย เพราะเรามีปัญญา เดี๋ยวจะได้ขยายความปัญญาต่อไป
ก็มาขยายความเฉกาหรือเฉโกเสียก่อน
“ไพบูลย์” ชี้ มส.กดดันย้าย ผอ.พศ.หวังยุติสาวทุจริตเงินทอนวัด จี้ รบ.อย่าเกรงอิทธิพล
เผยแพร่: 6 กันยายน 2560 15:51 น. ปรับปรุง: 6 กันยายน 2560 17:05 น. โดย: ผู้จัดการออนไลน์
อดีตประธาน กก.ปฏิรูปพุทธศาสนา มองการย้าย “พ.ต.ท.พงศ์พร” พ้น ผอ.พศ.เป็นกระบวนการ มส.ต้องการให้ยุติขยายผลเงินทอนวัดที่โยงถึงวัดใหญ่ หลังพบไม่โปร่งใส ผลาญงบเพียบ หวังกลบความผิด เผย ปชช.ไม่เห้นด้วยการย้าย ย้ำต้องปฏิรูปคณะสงฆ์ จี้รัฐเลิกเกรงอิทธิพลพระผู้ใหญ่
วันนี้ (6 ก.ย.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป และอดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยว่า การย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และมีการแต่งตั้งนายมานัส ทารัตน์ใจ จากอธิบดีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม มาดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ.คนใหม่แทน เป็นกระบวนการของพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคม (มส.) ที่ต้องการให้ยุติการขยายผลการตรวจสอบเรื่องเงินทอนวัดที่ไปถึงวัดใหญ่ระดับกรรมการมาเป็นเจ้าอาวาส และมีปัญหาในการใช้งบประมาณแผ่นดินปีละ 600 ล้านบาท ที่อ้างว่านำไปใช้เผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่ง ผอ.พศ.คนเดิมที่ถูกย้ายได้ตรวจสอบพบความไม่โปร่งใส ไม่มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าได้ใช้เงินของรัฐไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า ประการสำคัญมีการตรวจสอบพบว่า งบประมาณอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมปีละ 1,200 ล้านบาท นอกจากมีเจ้าอาวาสหลายวัดทุจริตปั้นตัวเลขนักศึกษาลมมาเบิกงบหลวงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นปรากฏว่ามีหลักฐานชัดเจนว่าวัดใหญ่ในกรุงเทพฯ 3 วัดที่เจ้าอาวาสเป็นกรรมการ มส.เบิกงบเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม ทั้งที่ไม่ปรากฏว่ามีโรงเรียนพระปริยัติธรรมอยู่ในวัดนั้น เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตอย่างแน่นอน ผิดทั้งกฎหมาย และล่วงละเมิดพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง จึงมีขบวนการของพระผู้ใหญ่ที่ต้องการกลบความผิดโดยใช้วิธีตัดตอน กดดันให้รัฐบาลเปลี่ยนตัว ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ คนใหม่ เอาคนที่ไม่มีประวัติทำงานด้านตรวจสอบความถูกต้อง โปร่งใสใดๆ มาทำงานเพื่อรอเกษียณปีหน้า โดยขณะนี้ขบวนการดังกล่าวคิดว่าพวกเขาประสบความสำเร็จแล้ว
“ประชาชนจำนวนมากทั่วประเทศต้องการเห็นการปฏิรูปคณะสงฆ์ให้อยู่ความถูกต้อง โปร่งใส ไม่ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ออกมาตำหนิรัฐบาลในการย้าย ผอ.พศ.ครั้งนี้กันมากมาย และเรียกร้องให้การตรวจสอบการทุจริตงบประมาณแผ่นดินของเจ้าอาวาสวัดต่างๆ ที่ต้องดำเนินต่อไป รัฐบาลต้องไม่เลือกปฏิบัติ หรือคอยแต่เกรงกลัวอิทธิพลของพระผู้ใหญ่ใน มส.จนจะทำให้กระบวนการเพื่อความถูกต้อง ความยุติธรรม ความสุจริต เป็นไปตามหลักธรรมภิบาลของชาติเสียหาย ทั้งนี้ ส่วนตนจะติดตามเรื่องทุจริตเงินทอนวัดและเรื่องบัญชีรับจ่ายวัดให้มีการเปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ต่อไปเช่นเดียวกัน ล่าสุดได้ข้อมูลว่าคณะปกครองสงฆ์ส่งแต่ตัวเลขจำนวนวัดที่ทำบัญชีมาหลอกสังคมและหน่วยงานรัฐอื่นให้คิดว่ามีการจัดทำบัญชีวัดครบแล้ว และส่งมาให้ พศ.ไว้แล้ว” นายไพบูลย์กล่าว
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ต้องละเฉกาถึงเกิดปัญญาพาบรรลุธรรม
พ่อครูว่า...จริงแล้วเราไม่ได้มีจิตเกลียดชัง แต่เป็นเรื่องที่ต้องตำหนิเพราะมันแย่จริงๆ ก็เขาบอกไปโดยตรงว่าเดี๋ยวนี้ศาสนา เอาในเมืองไทยเป็นหลัก เมืองอื่นไม่ต้องพูดถึง ศาสนาพุทธในเมืองไทยนี่แหละ ไม่ได้มีปัญญากันหรอก มีแต่เฉโก
คำว่าความเฉลียวฉลาดในภาษาบาลีมี 2 คำ(ปัญญากับเฉกา)
ปุถุชนนี้มีความฉลาดแบบ เฉโกหรือเฉกะ หรือเฉกตา ชนิดเดียว ไม่มีความฉลาดทางปัญญาเลย
ผู้ที่มีความฉลาดที่เรียกว่าปัญญา คือความเฉลียวฉลาดแบบที่สอง
ปุถุชนมีแต่เฉกา แต่อาริยะชนตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไปเริ่มมีความเฉลียวฉลาด ที่เรียกว่าอัญญา เป็นความเฉลียวฉลาดทางโลกุตระ
ผู้จะมีปัญญาได้จะต้องมีสัมมาทิฐิ ต้องมีสัมมาปฏิบัติ ต้องเกิดจิตบรรลุธรรม เกิดอธิปัญญา เกิดปัญญาจากการปฏิบัติ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ปัญญาจึงจะเกิด
ปัญญาจะเกิดจากการอื่นไม่ได้เลยจะต้องเกิดจาก
1. ได้คบสัตบุรุษ ฟังสัทธรรมบริบูรณ์ จึงเกิดความศรัทธาที่บริบูรณ์ จึงทำใจในใจบริบูรณ์ โยนิโสมนสิการได้บริบูรณ์ จึงจะเกิดปัญญา สติสัมปชัญญะจึงจะบริบูรณ์ สํารวมอินทรีย์ 6 จึงบริบูรณ์ สุจริต 3 จึงบริบูรณ์ สติปัฏฐาน 4 จึงบริบูรณ์ โพชฌงค์ 7 จึงบริบูรณ์ วิชชาและวิมุติจึงบริบูรณ์ นี่คืออวิชชาสูตร
ทุกวันนี้ศาสนาพุทธได้เสื่อมและผิดเพี้ยนไปจนเข้าใจคำว่าฉลาดที่เป็น เฉโก กับความฉลาดที่เป็นปัญญาแยกแยะไม่ได้
คำว่าปัญญาจึงถูกสวมรอย ด้วยความฉลาดแบบ เฉโก ทุกวันนี้เลยถือว่าปัญญา เป็นความฉลาดทั่วไปหมดเลย ทำให้ปัญญานี้เสีย ทั้งที่ปัญญาคือความเฉลียวฉลาดที่ไม่มีกิเลส ถ้าสูงสุดเลยเป็นพระอรหันต์ก็ลดกิเลสได้หมดเลย ถ้าเป็นพระอาริยะตามลำดับ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี ก็มีปัญญาไปตามลำดับ มีความฉลาดที่ทำให้กิเลสหมดไปเรื่อยๆอย่างสมบูรณ์ นอกนั้นเป็นคำว่า เฉโกหมด แต่เขาไม่ใช้คำนี้แล้ว ไม่ยอมรับคำว่า เฉโกแล้ว จะใช้คำว่าปัญญาแทนหมด
คือเขารู้ พอเข้าใจว่า หมายถึงความฉลาดที่ไม่ดีก็ไม่ยอมรับ ก็อยากได้ความฉลาดที่ดีคือปัญญา แต่ความจริงแล้วไม่ได้มีปัญญา
ปัญญา ให้ชัดๆ ตั้งแต่ว่า
ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ปัญญาในเชิงไหนๆ ที่คิดทัน
อาตมาคิดเริ่มต้นสูตรหลักคือ ศีล สมาธิ ปัญญา และปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากกระบวนการ 6 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ ต้องปฏิบัติโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 และพัฒนาสัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิจะเจริญขึ้นเป็นพลวัตไป เสริมให้เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ เป็นปัญญาพละในที่สุด จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป เป็นความหมุนรอบเชิงซ้อนในกระบวนการปฏิบัติ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ
ปัญญาจะต้องเกิดจากการปฏิบัติมรรค ถ้าไม่มีการปฏิบัติมรรคเป็นสัมมา
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
เกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ปัญญาเกิดขึ้นง่ายๆไม่ได้ ถ้าแค่แยกแยะ ปัญญากับเฉกาไม่ออกก็ไม่มีทางเกิดปัญญา ปัญญาจะมีลักษณะแตกต่างอย่างไร แค่ปัญญาโลกุตระก็ไม่ชัดเจน ปัญญาไม่มีโลกียะ คนที่ฉลาดสามารถร่ำรวยเอาเปรียบเอารัด สามารถอะไรต่างๆนานา เก่งยอดทางโลกเป็นโลกจินตา ทั้งหมดความรู้ทางโลก ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นปัญญาเลย
คิด คอมพิวเตอร์มาได้อย่างเก่ง แพร่หลาย เป็นสิ่งเสพติดทั่วโลกคือสมาร์ทโฟน คือสิ่งเสพติดที่ร้ายแรงที่มากในโลก ไม่ผิดกฎหมายค้าขายกัน เอาไปใช้ต่อหน้าต่อตา เป็นสิ่งเสพติดที่ร้ายแรงมากขณะนี้
เป็นความเสื่อมของสังคมโลกที่ถึงขีดแล้ว มันมีประโยชน์ แต่มันงมงายแล้ว ติดยึด เอาจริงเอาจัง ถ้าอาตมาจะใช้ก็รู้ว่ามีประโยชน์อย่างไร อาตมาทำไม่เป็นหรอก แต่ก็อาศัยพวกเราก็ใช้ได้แล้ว เหลือแหล่ แค่อาตมาใช้นิดหน่อยก็คุ้มกินคุ้มใช้ ไม่ต้องไปใช้มากมาย แต่เสพติดกัน ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมากเอามาทำพิษภัยให้กับตัวเองอย่างร้ายกาจ มีความเป็นโทษแต่เอาประโยชน์มาครอบงำเป็นความหลง จริงๆแล้วไม่ใช่ประโยชน์ มันหลงผิด มันเป็นโทษเสียมากกว่ามาก แต่ก็ไม่รู้จะไปห้ามอย่างไรห้ามไม่ได้
มาพูดถึงปัญญา
ปัญญานี้เป็นภาษาบาลีมีเฉพาะในศาสนาพุทธ ศาสนาเทวนิยมใดๆ ในโลก ศาสนาที่มีพระเจ้าเอาคำว่าปัญญา ภาษาบาลีตัวนี้ไปใช้ผิดหมด ไม่ใช่ เขามีแต่เฉโกทั้งนั้น แม้แต่ชาวพุทธเองก็ยังใช้คำว่าปัญญาอย่างผิดเพี้ยนมิจฉาทิฐิ ก็เฉโกเหมือนกัน เพราะเข้าใจสัมมาทิฏฐิไม่ได้
ปัญญาจะเกิดได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร ข้อ 258
จะเกิดปัญญาได้ต้องมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิมี 10 ข้อ ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 มหาจัตตารีสกสูตร ข้อ 257 ก่อนจะเป็นปัญญาต้องสัมมาทิฏฐิก่อน
สัมมาทิฏฐิ ต้องเข้าใจอย่างถูกต้องในคุณสมบัติ ถ้าสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อนี้ไม่ได้ เข้าใจ 10 อย่างนี้ไม่ได้ คุณไม่มีทางที่จะไปสร้างปัญญาได้เลย
ไม่มีทางบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า แม้จะนั่งสมาธิจนก้นแตก เพราะสัมมาทิฏฐิ 10 นี้ไม่ได้ให้ไปนั่งหลับตา แต่ให้ไปลืมตาปฏิบัติทั้งนั้น ตั้งแต่ทาน ข้อที่1 เลย คุณไปหลับตาทำทานนี้ไม่มีหรอก การไปนั่งหลับตาสะกดจิตจะได้ทำทานที่ไหน
ต้องรู้ว่าทำทานอย่างไรจึง อัตถิทินนัง ทานอย่างไรจึงมีผลถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าพาทำ การทำทานทุกวันนี้จะพูดได้เลยว่า จะหาสักครึ่งวัดได้มั้ย ไม่ต้องเอาเต็มวัดหรอก ที่สอนทำทานแล้วมีอานิสงส์เป็น อัตถิทินนัง
หมายความว่าอะไร หมายความว่า คุณสอนทาน พากันทำทานแล้วจิตคุณไม่ได้ทาน จิตคุณไม่ได้มีอานิสงส์ในการทาน จิตคุณมีโทษในการทาน แทนที่จะได้กุศล ไม่ต้องพูดถึงบุญเลย
โดยเฉพาะวัดธรรมกาย มีแต่อกุศลมีแต่นรกทั้งนั้นสอนให้ได้นรก คือ ไปสร้างภพ สร้างชาติ สอนทำทานแล้วให้อธิษฐานให้ได้สวรรค์ว่าเราทานอย่างบริสุทธิ์ใจ ความบริสุทธิ์ใจนี้อธิบายไม่เป็น บริสุทธิ์ใจคือให้ทานยังไม่มีกิเลสอยากได้อยากมีอะไรกลับมาเลย
อย่างธรรมกายให้ทานแล้วก็จะได้หวังอะไรกลับมาตอบแทน แท้จริงการทานต้องไม่มีองศาแห่งความโค้งสักนิดเลย ให้ตรงแหน้วเลย เป็นไอโซโทป เป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน
คุณอ่านจิตของคุณเป็นให้แล้วตรงแน่วเลย ไม่มีองศาแห่งความโค้ง ไม่เกิดพลังงานจิตที่เกิดองศาโค้งเลย ตรงไปเลย นี่เรียกว่าไม่มีสาเปกโขเลย ตรงแน่วอย่างเดียวให้เป็นให้ บริสุทธิ์ ไม่มีความโค้งงอแม้สัก .000001 องศาเลย จะลากไปกี่0 ก็ตามใจไม่มีโค้ง มีแต่ตรง ให้อย่าง 0 องศาเลย
การให้อย่างนั้นจึงจะเรียกว่าการทานที่มีอานิสงส์เต็ม แต่ถ้าคุณให้ไปร้อยหนึ่ง คุณก็ยังหวังกลับคืนมา 90 ก็ยังมีอานิสงส์เรียกว่าส่วนบุญ 10
อธิบายส่วนบุญ เขาอธิบายส่วนบุญว่าเป็นสมบัติมันเป็นเรื่องผิด ส่วน เรื่องส่วนบุญนี้เป็นวิบัติ การได้ส่วนบุญคือทำทานไป 100 ก็ยังได้คืนมาสัก 90ก็เลยได้ให้ไป 10 สละไป 10 เสียไป 10 การเสียนั่นแหละคือการได้ ส่วนบุญที่ได้คือการเสีย
สัจจะทุกวันนี้ เมื่อไม่เข้าใจคำว่าบุญคือสิ่งที่เป็นวิบัติ และเป็นวิบัติที่เป็น เอกังสเสนะด้วยนะ คือ เป็นวิบัติถ่ายเดียวทิศเดียว วิบัติแล้วทำเสร็จ จบ เป็นระเบิดปรมาณูที่ทำลายกิเลสเสร็จ พลังงานปรมาณูหมดไปไม่มีระเบิดลูกนั้นอีกแล้ว บุญลูกนั้นก็สูญหาย พร้อมกับที่ทำลายกิเลสได้สำเร็จ บุญก็ทำหน้าที่เสร็จจบ ถ้าทำลายไม่หมด เหลือเศษต้องเอามาทำลายต่ออีก เศษบุญต้องเอามาโยนต่อ เอามาทิ้งระเบิดทำลายสิ่งที่เหลือเศษอีก เหลือเท่าไหร่บุญก็ทำต่อ จนกว่าจะหมด 0 บุญก็หมดด้วย ปุญญปาปปริกขีโณ บาปหมดบุญหมด ไม่มีบุญไม่มีบาป
ที่อาตมาพูดอยู่นี้มันน่าเหนื่อยไหม เหนื่อยแทนอาตมาบ้างไหม…
มันแก้ได้ยากมากศาสนาพุทธทุกวันนี้ได้เบี้ยวบาลีไปมาก ที่พูดมาตั้งแต่ ศีลสมาธิ ปัญญา บุญ กาย ที่นับไม่ถ้วนแล้ว คือไม่รู้จะเอาคำไหนถูก แล้วคำสำคัญๆทั้งนั้นนะ แล้วมันจะไปเหลืออะไรศาสนาพระพุทธเจ้า เพราะมันได้ผิดสัจจะของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้แล้วเอามาเปิดเผย พูดไปแล้วก็น่าเห็นใจ น่าหมั่นไส้ ว่าอวดดีอวดเก่ง ว่าถ้าอย่างนั้นเถรสมาคมทั้งหมดก็ผิดสิ ...ถูกแล้ว
ฟังอาตมาแล้วเถรสมาคมจะมาแก้ไขหรือไม่ องค์ไหนกล้าทำแล้วก็ไม่ต้องมาบอกอาตมาหรอก ถ้ายิ่งกล้าออกมาบอกว่า ทำอย่างโพธิรักษ์นี่แหละ สงสัย คิมจองอึน หยุดทดลองนิวเคลียร์แหงๆเลย ถ้าเถรสมาคมหยุดแล้วมาเอาอย่างพระโพธิรักษ์ คิมจองอึน สั่งหยุดพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ปรมาณูแล้ว จะมีสักองค์ไหม
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน คนเป็นกลางต้องประกอบด้วยปัญญา
คำว่าปัญญากับเฉโก สองคำนี้ หากแยกสภาวะที่แตกต่างของสองคำนี้ เรารู้ตัวเองว่าเรายังใช้ความฉลาดแบบ เฉโกอยู่นะ แล้วมาพัฒนาตัวเองให้มีความฉลาดแบบปัญญาจริงๆบ้าง สังคมโลกสังคมประเทศชาติ สังคมไหนก็ตามจะได้เป็นสุข เช่นสังคมชาวอโศก ได้อยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว
อาตมาไปเจอบทความ ของ ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร ที่เขียนในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ อาตมาทุกวันนี้ก็อ่านหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ แนวหน้า ผู้จัดการ 3 ฉบับเป็นหลัก นอกนั้นก็ไม่ค่อยมีเวลา
อาตมาอ่านแล้ว เขากล้าหาญ ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร เป็นนามสกุลทางอุบลฯนี่แหละ เหล่ากอท้าวคำผง กล้าที่จะประกาศว่า “สันติอโศกโมเดล” ว่าทำไมรัฐบาลไม่เหลือบแล เอาอย่างสันติอโศกโมเดลนี้บ้าง ก็ทำมา 30 40 ปีแล้ว ในหลวงท่านก็ตรัสอันนี้ เศรษฐกิจพอเพียง เอาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา สอดคล้องกับในหลวง แล้วก็พูดกันโก้มากว่า ทำตามคำพ่อสอน อะไร ศาสตร์พระราชา ก็พูดอยู่นั่นแหละ เราทำมามากมาย เราทำมา 30-40 ปี ทำตามศาสตร์พระราชา ทำตามพ่อสอน ทำแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เศรษฐกิจพอเพียง หรือจะเรียกแค่เศรษฐกิจพอเพียงก็ได้ ทำไมไม่มาดูสันติอโศก model บ้าง ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร นี้กล้าที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะว่าเห็นด้วยเห็นดีกับวันนี้
ผู้ที่รู้นั้นมีอยู่ไม่น้อย คอลัมนิสต์ต่างๆก็รู้ สื่อสารมวลชนต่างๆก็รู้อยู่เยอะ หรือนักวิชาการนักรู้ก็พอ แต่ไม่กล้ามารับรองอโศก ไม่รู้เขาจะสะทกสะท้านต่อสังคม ไม่มีกำลัง 4 ก็เลยไม่พ้นภัย 5 กลัวสังคมจะตำหนิ สะทกทะท้านต่อคำติเตียนของหมู่ใดอื่นๆ อะไรพวกนี้ ซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ทั้งนั้น แต่ไม่กล้า เพราะไม่มีปัญญาไม่มีพลัง 4 ไม่มีพลังปัญญา มีแต่พลังเฉโก
พลังปัญญาไม่มีมากพอเพียงจะมารับรองสนับสนุน คือผู้ที่มีปัญญานี่ต้องเป็นคนเป็นกลาง คนเป็นกลางต้องเข้าข้างบัณฑิตต้องเข้าข้างคนดี ถ้าคนเป็นกลางไม่เข้าข้างคนดีที่เรียกว่าคนเป็นกลางที่ยัง
1. เพราะมิจฉาทิฐิ ว่า คนเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างคนดี คนเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร ตั้งอยู่กลางๆไม่เข้าข้างชั่วหรือดี อยู่ไปกลางๆนี้ นั่นคือ มิจฉาทิฏฐิ
2. กลัวเสียลาภยศสรรเสริญหากเข้าข้างคนดี กลัวเสียโลกธรรมก็ไม่กล้า
3. ไม่กล้าเพราะไม่รู้ ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดใครดีใครชั่ว ก็เลยอยู่เฉยๆ กลางโดยที่ว่าไม่รู้จะทำอย่างไร มันไม่รู้เฉยๆ ก็เลยจำเป็นต้องกลาง ไม่รู้อะไรดีอะไรชั่วอะไรถูกอะไรผิด นี่คือคนโง่ เป็นกลางแบบโง่ๆ
ส่วนคนที่เป็นกลางอย่างกลัวจะเสียลาภ ยศ สรรเสริญนั้นรู้ว่าอะไรถูกอะไรดี แต่ไม่กล้า ส่วนคนเห็นผิดนั้น เห็นว่าคนเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร แล้วรู้ว่าใครถูกใครผิดใครดีใครชั่ว แต่มิจฉาทิฏฐิว่าคนเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร เราไม่มีพลังอะไรเลยเราก็เฉยๆ คนนี้ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่าอะไรเลย
คนที่จะรู้ว่าอะไรชั่วอะไรดี ก็ต้องช่วยคนดี เข้าข้างคนดี ยิ่งคุณเป็นคนที่มีเครดิตทางสังคม ยิ่งเข้าข้างไหน ข้างนั้นก็ได้น้ำหนัก ต้องเข้าข้างคนดี คนดีจะได้มีน้ำหนัก มันจะได้ถ่วงสังคม แต่เพราะว่ามิจฉาทิฏฐิ สังคมก็เลยช้าไปไม่ออก รู้ว่าดีก็ไม่เข้าข้าง ไม่ส่งเสริม ถ้าส่งเสริมคนดี ความดีไปด้วยกัน น้ำหนักของความดีก็จะไปได้ไกลได้เร็ว
ในความเป็นกลางที่ว่าแค่นี้ ก็ยังมีความมิจฉาทิฐิหรือกลัวอยู่ ความเป็นกลางที่ถูกต้องที่จะมีประโยชน์ความเป็นกลางที่จะมีปัญญา ปัญญาปาสาโท คือ ผู้มีปัญญาที่อยู่ข้างบนเหมือนกับมองลงมาจากข้างบนปราสาทก็จะมองเห็นกว้างแบบ Bird eye view มองจากยอดปราสาทลงมา ถ้าไม่มองโดยองค์รวมก็จะมองเห็นแต่บางส่วนไม่เห็นทั้งหมด
น่าเห็นใจ บางคนก็อยากมองแต่มองไม่เป็น ส่วนคนที่มองออกรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่เพราะว่ากิเลสตัวเองยังเป็นไม่ได้ ดังที่รู้ ดั่งที่ชาวอโศกมาเป็น มาเป็นคนจน มาขาดทุน อย่าไปเอากำไร มักน้อยสันโดษให้มารับใช้ประชาชน มาเสียสละ มาเป็นคนมีวรรณะ 9
วรรณะ 9 เป็นตัวหลักของพระพุทธเจ้า มี
1. เลี้ยงง่าย (สุภระ)
2. บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
3. มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)
4. ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
5. ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
6. เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
8. ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9
9. ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ตนเองสร้างมากๆ แล้วให้ผู้อื่นมากๆ เราเอาไว้แค่พอกินพอใช้ สันตุฏฐิ ใจพอ ไม่สะสม อปจยะ ใจพอสันตุฏฐิ แต่แปลเบี้ยวบาลีว่าสันโดษคือ พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ปัดโธ่! ไปถามบิลเกตส์หรือเศรษฐีคนไหนสิว่าพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ไหม ไปถามคุณเจริญก็ได้ ไม่ต้องออกนามสกุล เดี๋ยวจะหาว่าหมิ่นประมาท ไปถามว่าร่ำรวยขนาดนี้พอใจไหม เขาว่าต้องหยุดดื่มเหล้าขณะขับรถ แต่ก็ผลิตเหล้าออกมาขาย
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน วรรณะ 9 และมิจฉาวณิชชา 5
ผู้ที่ยังไม่รอบถ้วนชัดเจนยังไม่ชัดเจนเรื่อง เฉโก กับปัญญาจึงส่งเสริมเฉโก ไม่เข้าข้างปัญญา
เราลูกพระพุทธเจ้า ศึกษาให้สัมมาทิฏฐิแล้วมาเดินตามพระพุทธเจ้า มาเดินทางด้วยวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ศีลใดที่เราทำได้แล้ว คนอื่นจะเห็นว่าสุดโต่งแต่เราทำได้สบายแล้ว ไม่เคร่ง เป็นปกติธรรมดาไม่ฝืน เป็นปกติเป็นของมันเอง บริสุทธิ์ในศีลด้วยตัวมันเอง
มีอาการน่าเลื่อมใส กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมน่าเลื่อมใส ในผู้รู้นะ แต่ผู้ที่ไม่รู้จะหาว่าดราม่าหาเสียง แต่คนที่ทำได้จริงจะทำอย่างจริง
ไม่สะสม เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่มาก คนที่ยอดขยัน อันที่9 วิริยารัมภะ สร้างแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ไม่เป็นพิษภัยไม่มอมเมา ไม่ไปทำร้ายกาจอะไร ทำสินค้าที่พ้นมิจฉาวณิชชา 5
1. การค้าขายอาวุธ (สัตถวณิชชา)
2. การค้าขายสัตว์มีชีวิต (สัตตวณิชชา)
3. การค้าขายเนื้อสัตว์ (มังสวณิชชา)
4. การค้าขายสิ่งมอมเมา (มัชชวณิชชา)
5. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ (วีสวณิชชา)
(พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 177)
ประเทศใดที่สร้างอาวุธขายอยู่คือประเทศสร้างนรก ค้าสัตว์เป็นก็เป็นสัตว์นรก ค้าเนื้อสัตว์ก็เป็นสัตว์นรก ค้าสิ่งมอมเมา สิ่งเป็นพิษก็อบายมุข
ประเทศไทยหากศึกษาและทำให้พ้นมิจฉาวณิชชา 5 จะเจริญแน่นอน ไม่ต้องไปค้าขายหรอกสิ่งเหล่านี้ ให้คิมจองอึน ให้โดนัลทรัมสร้างแข่งกัน
คำว่าสร้างอาวุธคือสร้างขึ้นมาเพื่อประหัตประหารคน อาวุธเป็นการสร้างเครื่องมือเพื่อประหัตประหารคน ถ้าสิ่งที่ประหัตประหารสัตว์ ก็เป็นเครื่องมือล่าสัตว์ แต่นี้เครื่องมือฆ่ามนุษยชาติ รู้ทั้งรู้ตั้งแต่เจตนาจะทำ ยิ่งทำให้ร้ายแรงยิ่งบาปกินหัวหนัก แล้วเขาก็ไม่รู้กันแล้ว
ผู้ที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าในโลกนี้มี 190 หรือ 200 ประเทศ ได้ศึกษาศาสนาพุทธ แล้วเข้าใจมิจฉาวณิชชา 5 ประเทศจะอยู่สงบสุข จะสบาย อุดมสมบูรณ์กว่านี้เยอะ ถ้าแรงงานมาสร้างสิ่งที่ไม่เป็นโทษภัย
สิ่งมอมเมา แม้แต่เครื่องสำอาง เป็นของแบรนด์เนม อะไรต่างๆที่มามอมเมาทั้งสวยโก้หรูหรา เหาะได้ มอมเมากัน แล้วส่งเสริมกันจัง
สิ่งที่เป็นพิษ วีสวณิชชา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เป็นเครื่องกินเครื่องใช้ก็เป็นพิษ เอาที่สุด วนจนสิ่งเสพติดที่ถูกกฎหมายขายกันทั่วโลก วนจนกระทั่งเป็นโทษภัยแค่ไหน
อาตมาพูดไปนี่ พูดอย่างสบายสะอาด ก็ไม่เคยมีใช้สักอัน ก็รู้ว่ามีประโยชน์อยู่ ก็ว่าไป ก็ใช้บ้าง แต่โทษมันอยู่ในนั้น มหาศาล ต้องออกกฎระเบียบควบคุมให้ดี มันเป็นโทษภัยมหาศาล หากออกกฎระเบียบควบคุมไว้ได้มากเท่าไหร่จะดี จะได้ลดลงบ้าง หากปล่อยปละละเลยจะเป็นโทษภัยมหาศาล
สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน อุตริมนุสธรรมอันควรบอกต่ออุปสัมบัน
สังคมทุกวันนี้ทางด้านศาสนาก็ตาม อาตมาเทศน์อยู่ ยาก กลับไปต้านและค้านแย้งกับสังคมโลกที่เขาว่าเจริญ อาตมารู้ว่าเจริญในมุมหนึ่ง และมีความเสื่อมในมุมหนึ่ง ก็ต้องว่าในความเสื่อม มุมเจริญก็ไม่ว่ากันอนุโมทนาสาธุ
ทุกวันนี้อาตมาพูดธรรมะได้ยากเพราะคนเข้าใจ หลงแบบโลกๆไปติดยึด ตามโลก หรูหรานิยม ฟุ้งเฟ้อนิยม ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ก็เลยต้องพาให้ทำสิ่งที่พอจะเป็นไปได้ คนที่มีดวงตาปัญญา มาเอามาลดละก็ได้เท่านี้
พระพุทธเจ้าสมณโคดมอุบัติขึ้นมา แล้วท่านก็พยายามประกาศศาสนา ถึงวันเวลาที่จะต้องมีผู้บรรลุธรรม แล้วแสดงตัว เรียกว่ามาฆปุณมี ก็ปรากฏได้มา 1250 องค์ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่น้อยที่สุดแล้ว
หลังจากนั้นมาแล้ว อาตมาก็ว่าชาตินี้อาตมามีอรหันต์ 9 รูปก็บุญแล้ว 1250 นี้ไม่บังอาจ ให้ได้สัก 9 รูป พอถูไถก็คงได้ ตอนนี้ก็พอมี ก็ระบุไปบ้าง แต่ไม่อยากระบุมาก ถ้าไม่ระบุบ้างจะหาว่าไม่มีตัวอย่าง พูดไปก็หาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรม
อาตมาพูดอย่างไม่ได้ เละเทะ พูดอย่างรู้จักกาละ ไม่ได้พูดเล่น แต่พูดอย่างระมัดระวัง ก็ต้องเปิดเผย ทำไมเปิดเผยธรรมะพระพุทธเจ้าจึงกลายเป็นธรรมเดา อรหันต์เดา
ทุกวันนี้ในโลกสังคมพุทธ จึงมีแต่อรหันต์เดา พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกว่า เรามีอุตริมนุสธรรมแล้วไม่ควรเปิดเผย หรือ เปิดเผยไม่ได้ ในโลหิจสูตร
แล้วท่านก็บอกไปว่า ผู้ไม่บอกนั่นแหละ มันไปไม่รอด ในปัจเวกขณ์ข้อที่10 เราบรรลุ
10. ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส เป็นอริยะ คือ อุตริมนุสสธรรมอันเราได้บรรลุแล้ว มีอยู่หรือหนอ ที่เป็นเหตุให้เรา ผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้ว จักไม่เป็นผู้เก้อในกาลภายหลัง . (อุตตริมนุสสธัมมา อลมริยญาณ ทัสสนวิเสโส อธิคโต โสหัง ปัจฉิเม กาเล สพฺรหฺมจารีหิ ปุฏฺโฐ น มังกุ ภวิสฺสามีติ) (พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 48)
อย่างอาตมาพูดไปนี้ คือ เขาว่า พระรูปนี้พูดแต่อภิธรรมพูดถึงนิพพานแล้วได้บรรลุธรรมขั้นไหน อาตมาก็เปิดเผย อย่างไม่ได้อยากอวด แต่ในใจเขามีแล้ว แล้วเขาก็ไม่กล้าถาม เพราะเขาได้ถูกสอนว่าถามไม่ได้เดี๋ยวอาบัติปาราชิก
คนที่มีคุณธรรมนั้นในตัวเองแล้ว บอกไปเท่าไหร่ก็ไม่มีปาราชิก อย่างเก่งก็เป็นปาจิตตีย์ แล้วท่านก็มีวงเล็บไว้ว่า ปาจิตตีย์ ถ้าจะอาบัติก็คือ ไปประกาศแก่คนที่ไม่สามารถรู้ธรรมะได้ เป็นอนุปสัมบัน
อาตมาก็มีคนบอกว่า บรรยายต่อ อนุปสัมบัน ต้องปาจิตตีย์ สมัยนี้การสื่อสารเป็นโกลบอลไลซ์ globalization ก็ต้องสื่อสารไป เขาก็บอกว่าไม่ผิด ซึ่งไม่ผิดหรอก ผู้ที่เปิดฟังนี้เขาต้องเป็น อุปสัมบัน แต่พวกอนุปสัมบัน เขาไม่เปิดฟังหรอก เปิดผ่านไปเท่านั้นแหละ ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นอาบัติสำหรับอาตมาออก คนที่จะเปิดฟังเขาต้องยินดีพอใจจะฟัง ถ้าไม่ยินดีพอใจ ก็ไม่เปิดฟังหรอก หรือพวกที่จ้องจับผิดก็ต้องอยากฟัง
ที่พูดนี้ไม่ได้กระทบอาบัติอะไรเลย ถ้าอธิบายให้ลึกซึ้ง ไม่มีอาบัติ ที่ไม่อาบัติ เพราะอาตมามีใจจริงไม่มีสาเฐยจิต ไม่ได้แสดงธรรมเพื่ออยากให้ใครมาเคารพนับถือ หรืออยากได้ลาภยศสรรเสริญ หรือให้คนว่าเราเก่งเราดี อาตมาอ่านใจเป็น ที่พูดนี้ ก็สอนเพื่อให้อ่านใจให้เป็น แล้วทำใจเป็นได้ด้วย ทำใจในใจเป็นและทำใจในใจได้ถึงจะบรรลุธรรม
ถ้าทำใจไม่เป็นเป็นมิจฉาทิฐิ บอกว่าทำสมาธิของพระพุทธเจ้าเข้าไปนั่งหลับตาสะกดจิต เป็นการทำใจในใจเหมือนกัน ย่างหนอก้าวหนอ แต่เป็นสมถะ ทำใจในใจแต่ไม่เป็นอย่างพระพุทธเจ้าสอน
พระพุทธเจ้าสอนให้ทำใจในใจขณะที่คิดพูดทำ ทำอาชีพ ทำอย่างลืมตาในชีวิตประจำวัน สามัญ แต่ทำในกรอบแต่ละศีล เราทำเกี่ยวกับสัตว์กับของ
หนึ่ง เราจะเป็นอย่างไรกับสัตว์ทั้งหลาย จิตของเราจะเป็นผู้ที่มีเมตตามีความกรุณา หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลาย วางศาตรา วางอาวุธไม่ทำร้ายสัตว์ใดเลย คำว่า หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง คุณต้องเข้าใจว่า สัตว์คืออะไร
สัตว์คือ ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็คือสัตว์แล้ว จนถึงสัตว์ที่สูงสุดคือ พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นสัตว์ที่สูงสุดแล้ว พ้นความเป็นสัตว์ด้วย
เราหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง แม้แต่สัตว์เซลล์เดียว อย่าไปฆ่าอย่าไปทำร้ายกัน ถ้าเขาจะทำเลวทำชั่วก็เป็นเรื่องของเขา
เราจะไม่ฆ่าสัตว์ใดแม้แต่สัตว์เซลล์เดียว มีแต่พยายามช่วยกัน ช่วยกันตำหนิ ช่วยกันยกย่อง ช่วยกันให้ความรู้ อาตมาก็ต้องให้ตำหนิมาก เพราะว่าทำผิดมาก ยกย่องพูดน้อย เพราะพูดแล้วก็เข้าพวกตัวเอง
ผู้ใดเข้าใจปัญญาว่าคืออะไร แล้วมาสร้างปัญญา เริ่มจากเลิกเฉโก ตัวเฉโก เป็นมิจฉาทิฐิเป็นบาป เลิกเฉโก มาฉลาดแบบไม่มีกิเลส ถ้าเป็นความฉลาดที่มีกิเลสร่วมด้วยก็ไม่ทำ เลิกให้ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ลดอัตตาตามกถาวัตถุ 10
_หนูอ่อนตา ·อยากรู้เรื่อง อัดตาแต่ละอย่าง ขยายความให้ทราบได้ใหมค่ะ?
พ่อครูว่า... อัตตาคือกิเลสที่ยึดถืออยู่ ผู้ใดยังยึดถือตั้งแต่หยาบที่สุด คือโอฬาริกอัตตา อยู่ในกามภพ ภายนอก กิเลสอัตตานี้ อยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ตัวตนบุคคลเราเขาข้างนอกทั้งหมด ที่เรากระทบสัมผัสแล้วอยากได้อยากมี อยากตะกละตะกราม อยากได้ไปหมด แม้แต่ของเป็นพิษภัย ไม่รู้ของที่เป็นปัจจัยสำคัญ มีข้าว ผ้า ยา บ้าน เป็นบริขาร ก็ไม่ศึกษาตามลำดับ ต้องรู้ปัจจัยชีวิตต้องมีเครื่องประกอบบริหาร ทุกวันนี้ บริขารก็มากกว่าสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว แว่นตา ดีไม่ดีคอมพิวเตอร์ก็เป็นบริขาร ถ้าเข้าใจจุดหมายองค์ประกอบในการยังชีพ เป็นผู้ที่ไม่มาก ลงมาหาน้อย อัปปิจฉะๆ ให้พอ ลดลงมาๆ ตามกถาวัตถุ 10
สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
มาปวิเวก ให้สงบลง เราอย่าไปดิ้นแส่หาด้วยตัณหา ลดตั้งแต่ภายนอกจนถึงจิต ลดลง
อสังสัคคะ ไม่ต้องไปหลงไหลในสวรรค์ ลดลงมาตามลำดับ สวรรค์ขี้เก๊ สวรรค์อบาย สวรรรค์กาม หมดกามนรกสวรรค์ ก็เหลือรูปภพ มีสวรรค์นรกในรูปภพก็ลดรูปภพอีก ก็เหลืออรูปภพ ก็ลดสวรรค์นรกในอรูปภพอีกได้หมดก็เป็นอรหันต์
อ่านจิตตัวเอง มีปัญญารู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน อาตมาว่าอาตมาบรรยายธรรมะมาเกือบ 50 ปีแล้ว อาตมาว่าอาตมาอธิบายไปมากพอแล้ว ที่จะเอาไปปฏิบัติเป็นอรหันต์กันได้ อาตมาพูดอยู่ทุกวันนี้ ก็วนซ้ำซาก รายละเอียดที่ลึกซึ้งก็พยายามขยายความเพิ่มอีก ลึกละเอียดก็อยู่ที่โครงสร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ
หรืออีก 5 ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
มาทำให้พวกเรามักน้อยสร้างสรรเผื่อแผ่ อาตมาพาพวกเราทำได้ พึ่งพาตัวเองให้ได้ ทำให้มากให้เกินแล้วมีเหลือก็แจกจ่ายผู้อื่น ก็สบาย วิเวก วิเวก ไม่ใช่ไปนั่งในที่สงบไม่มีเสียง อย่างนั้นเป็นวิเวกของพวกหูหนวกตาบอด ไม่ใช่เป็นวิเวกที่มีปัญญา วิเวกพาซื่อ สงบแบบพาซื่อ
สงบคือ ไม่มีกิเลสเข้าไปกวนเลย เรียกอุปธิวิเวก สงบเพราะปราศจากกิเลส
แล้วก็ไม่หลงสวรรค์ อสังสัคคะ ท่านก็แปลพยัญชนะว่า ไม่คลุกคลีกับหมู่ท่านไม่กล้าแปลว่า ต้องเลิกสวรรค์ ไม่คลุกคลีสวรรค์ คือ ไม่คลุกคลีหมู่นรกสวรรค์ คือภพชาติ แต่ก็ไปหลงสวรรค์กัน
ทุกวันนี้แยกแยะสวรรค์นรกไม่ออก แยกภพชาติไม่ออก นรกก็ภพ สวรรค์ก็ภพ ต้องเดินดูให้ละเอียดลออ ลดลงมาอย่าเอาสวรรค์หยาบ สวรรค์ขั้นอบาย เช่นไปโกงทีละแสนล้านเป็นอบายมหาอบาย เลิกเสียที นรกกินหัวไม่รู้เท่าไหร่
เลิกโกงเอาเปรียบเอารัด เอาเครื่องมอมเมาขายให้คนจน ตนเองร่ำรวย ทำให้คนตกต่ำแล้วตัวเองก็รวย ทำให้คนเสื่อมแย่ตกนรกทั้งเป็น มีตายและพิการเยอะแยะ
มอมเมาอย่างหยาบที่พอรู้ก็ยังปล่อยปละ มอมเมาละเอียด เช่นมอมเมาในเรื่องเพลิดเพลิน หรือเอาชนะคะคาน เรื่องของการกีฬา
สังคมใดยุคใด ถ้าราคาค่าตัวของพวกบันเทิงและกีฬาราคาแพง นั่นคือความเสื่อม สังคมไหนที่ยังแพง สังคมนั้นคือความเสื่อม กีฬาการละเล่นเป็นอบายมุข หรือดาราดังค่าตัวแพง นั่นคือสังคมกำลังเสื่อม
อาตมาก็อดไม่ได้ที่ต้องลงน้ำหนักแรง ดัง เพราะอยากให้ไปได้ยินกระตุกต่อมสำนึกบ้างว่าให้ตื่นเสีย ไปส่งเสริมกีฬาการละเล่นไปส่งเสริมดาราสนุกสนานเพลิดเพลินขึ้นราคาค่าตัวกัน ทั้งทางตรงทางอ้อม มันคือความเสื่อมความโง่ จะพอมีปัญญา จะพอมีความเฉลียวฉลาดพอเข้าใจได้บ้างไหมนี่ หยุดส่งเสริมเสีย ไม่ต้องกลัวว่าประเทศจะไม่เจริญ อย่าไปกลัวว่าประเทศจะไม่ทันเขา เอาเวลาทุนรอนแรงงาน ไปส่งเสริมทางกีฬาการละเล่นบันเทิงเริงรมย์ โทรทัศน์การสื่อสาร ประเดี๋ยวก็มีข่าวกีฬาข่าวบันเทิง มากมาย แต่ข่าวที่ทำให้สังคมอยู่ดีกินดีไม่ค่อยจะออกไม่ค่อยจะสนใจ ถ้าข่าวอย่างโน้นตกไม่ได้เชียวนะ ข่าวกีฬาข่าวบันเทิงตกข่าวไม่ได้นะ เมื่อไหร่จะตื่นเสียที
พูดไปแล้วเหมือนอวดดียกตัวตนดูถูกดูแคลนผู้รู้เขาไปหมด แต่เขาก็ทำกันอย่างเต็มบ้านเต็มเมือง ก็ว่าเขาไปหมดสิ ใช่แล้ว พูดไปแล้วก็โดน
คนมาทำอย่างพวกเราทำนี้มีน้อย จนเกือบจะหาไม่ได้ แม้แต่ในสื่อสาร บอกว่าสื่อสารของวัด สื่อสารของศาสนา มีโทรทัศน์ดาวเทียมกันไม่รู้กี่ช่อง ทำเหมือนอย่างช่องบุญนิยมนี่ไหม อย่างเก่งก็เรี่ยไร แล้วเอาบุญมาขาย อธิบายบุญก็ผิด แยกแยะกุศลหรือบุญก็ไม่ออก ก็เลยไม่รู้จะพูดอย่างไร
ถามจริงๆ คุณเหนื่อยอย่างผมบ้างไหม
สมณะฟ้าไทว่า...รู้สึกว่าโพธิสัตว์ต้องเหนื่อย แล้วมันก็ยาก ผมเห็นความยากของพ่อครู ในหลวงก็ยาก
พ่อครูว่า..ในหลวงเหนื่อยทางรูปธรรม อาตมาเหนื่อยทางภายในเป็นจิตวิญญาณ มันเห็นตามได้ยาก ทุททัสสา ทุรนุโพธา ของในหลวงเห็นตามได้ง่ายกว่า ท่านอยู่ในฐานะหน้าที่ตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน
สมณะฟ้าไทว่า..ของในหลวงทำให้คนพ้นทุกข์รูปธรรม แต่พ่อครูทำให้พ้นทุกข์ทางนามธรรม
พ่อครูว่า..พูดไปเหมือนทวงบุญคุณก็ขออภัย พูดไปเพื่อให้พวกเราเกิดปฏิภาณ เท่านั้นแหละ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ยุคน้ำเน่าต้องเอาตัณหาล้างตัณหา
ในวงการธรรมะ วงการศาสนา เป็นเครื่องชี้บ่ง ว่าในสังคมหรือในประเทศ ถ้าประเทศใดมีธรรมะ ประเทศนั้นเจริญ ก็ถ้ามีธรรมะลึกซึ้งถึงขั้นโลกุตระ ประเทศนั้นจะเป็นประเทศที่เจริญ แต่การเจริญนั้นก็อย่างที่ในหลวงได้ตรัส เราก็เจริญพอสมควร เราไม่เจริญก้าวหน้าแบบทั้งโลก เราไม่อยากเจริญแบบนี้ เพราะการ
เจริญแบบนั้นมันถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัวด้วย ในหลวงตรัสเป็นเรื่องโลกุตระ เป็นเรื่องอาริยชนคนมีภูมิปัญญาถึงจะฟังออก คนโลกียฟังไม่ออกหรอก
มีคนบอกว่าจะมาโหนในหลวง แต่อาตมาก็พูดมาตั้งแต่แรก ในหลวงท่านก็ตรัสมาเรื่อยๆของท่าน ก็มาสอดคล้องตรงกัน โดยที่ว่าสิ่งที่ตรงกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ชวนให้คนมาเอาสิ่งที่ถูกต้องดีงามอันเดียวกัน มันก็ต้องตรงกันจนได้แหละ มันไม่เป็นสองรอง ธรรมะไม่เป็นสองต้องเป็นหนึ่งตรงกันที่เป็นสมมติสัจจะ ส่วนปรมัตถสัจจะเป็นสัญญายนิจจานิ
อาตมาจำเป็น เพราะเขาผิดกันเยอะ ก็เลยต้องพูดว่าสิ่งผิด นิคคัณหะ หรือหนักไปทางตำหนิมาก ก็จำนนไม่รู้จะทำอย่างไร
ถ้าเผื่อว่าระบบของศาสนาพุทธในเมืองไทยไม่ผิด ประเทศชาติไม่เป็นอย่างนี้หรอก ทักษิณขึ้นมาใหญ่ไม่ได้ ยิ่งลักษณ์ขึ้นขึ้นมาเล่นมายากลจนบัดนี้ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน เหมือนกับธัมมชโย ถ้าเผื่อว่าถูกต้องมันไม่มีอันนี้เกิดขึ้นได้หรอก ธัมมชโยล่องหนหายตัว ยิ่งลักษณ์ก็ลองหนหายตัว มันไม่เกิดในประเทศไทย
มันจะเกิดนักมายากลตัวร้าย ได้เพราะประเทศชาติธรรมะของกระแสหลักระดับสังคมประเทศ ที่ไปยึดถือเป็นที่นับถือ ต้องใช้หลักเกณฑ์นี้ หลักเกณฑ์ที่ดีจริงๆนั้นสู้อิทธิพลไม่ได้ สู้สิ่งที่ผิดที่ครอบงำไม่ได้ ก็ไม่สามารถเบ่งอิทธิพลได้
สมณะฟ้าไทว่า..ขนาดเห็นการโทนโท่ปฏิเสธไม่ได้ก็ยังอยู่ไม่ได้
พ่อครูว่า..มันน่าเศร้าและน่าสังเวชใจประเทศไทยจริงๆ ตอนนี้เขาย้ายพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ นี่แหละประเทศไทยมันน่าเศร้าใจ เขาก็ต้านไม่ได้ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็จำนนมันเป็นไปตามโลก สุดท้ายก็เหนียวไม่พอ
สมณะฟ้าไทว่า...คนใหม่นี้เขาแซวกันว่าเข้ากันได้เพราะจบเปรียญมา แต่พวกนักข่าวว่าคนละประเด็น ที่เขาต้องการคือต้องการมาจัดการสิ่งผิด
พ่อครูว่า...เขาพูดเรื่อยไปอย่างนั้นแหละ พูดไปก็เป็นไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ พอจะรู้กัน จริงๆแล้วอาตมาว่าสังคมยุคนี้ ก็ยังแข็งขืนได้ พอสมควรทีเดียว อาตมาบอกด้วยใจจริงเลยนะว่า อาตมาเกิดมาในยุคนี้ ในสังคมประเทศ เกิดมาก็ทัน ประชาธิปไตยเกิดปี 2475 ก่อนอาตมาเกิด 2 ปี อาตมาก็มีอายุยืนยาวกับประชาธิปไตยมา ก็รู้เห็นมาตามประสาจนถึงทุกวันนี้ ก็รู้ว่ารัฐบาลตั้งแต่ยุคโน้นจนถึงยุคนี้ รัฐบาลไหนก็ตาม ไม่มีรัฐบาลไหนทำได้ดีเท่ากับรัฐบาลนี้ ปราบได้ โดยเฉพาะปราบ ส่งเสริมนั้นมันยากอยู่แล้ว เพราะตัวที่ต้องปราบยังหนักอยู่ ก็เลยส่งเสริมยาก
อย่างเช่น อาตมายังส่งเสริมตัวเองไม่ขึ้น ยังถูกกระแสของสังคมประเทศชาติกดเอาไว้อยู่ เอาตัวเองแทบไม่รอด แล้วเราจะต้องปราบก่อน น้ำมันเน่าจะต้องเอาน้ำใสมาล้างน้ำเน่า ก็ต้องพยายาม จะไปทำน้ำใสโดยที่น้ำเน่าอยู่ยังไม่ได้ ความจริงแล้วทำน้ำเน่าให้หายมันก็ใส มันก็อยู่ในตัวของมันเอง
สรุปแล้ว มาถึงยุคที่มันเน่าจนถึงขีดแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้อง ถ้าเราเอาน้ำที่ใสถึงขนาดหนัก มาล้างน้ำเน่าที่เน่าขนาดหนัก จ้างก็ไม่ได้ผลอะไรเลย เราจึงต้องผสมให้มีน้ำหนักของน้ำเน่าพอสมควร อาตมาจึงต้องจำนน ที่ตัวเองต้องไม่งาม คือเหมือนกับเน่า แต่ขอใช้ภาษาบัญญัติแค่นั้น เอามาล้างเน่า ไม่เช่นนั้นมันไม่พอน้ำหนักมันไม่ได้ มันจึงเอา ในสำนวนภาษาศาสนาเรียกว่าใช้ตัณหาล้างตัณหา
จึงต้องเอาตัณหาที่หยาบมาล้างพอสมควร มาล้างตัณหาที่หยาบมาก จะเอาสำลีมาเช็ดน้ำทุเรียนให้ราบเรียบนั้น เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง
สองพันกว่าปีนี้มันแทบไม่เหลือเชื้อ แถมยังเอาเชื้อโรคมาใส่อีกต้องเอาเชื้อโรคออกก่อนที่อยู่ในน้ำเน่า หลายชั้นมาก ต้องเอาเชื้อโรคออกก่อน มันหนักหนาสาหัสจริงๆ ไม่ใช่ใส่ความ ไม่ได้แก้ตัวด้วย แต่เขาหาว่าอาตมาพูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น แต่อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเลี่ยงไม่ได้ ก็เลยต้องบอกว่า..สู้ๆ
สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้พ่อครูพูดถึงเรื่องปัญญา เทียบเคียงปัญญากับ เฉโก ต้องเลิกจากเฉโกจึงเป็นปัญญาได้ ปัญญาต้องเกิดจากสัมมาทิฏฐิ 10 ใครจะไปนั่งหลับตาทำทาน ประเด็นที่ชัดเจนดี จะต้องลืมตาจึงจะทำทานได้
พ่อครูว่า...แถมอีกนิดนึงธรรมะทุกอย่างนั้นย่นย่อไปที่ทานตัวเดียว บารมี 10 ทัศ ในทุกบารมีจบที่การทาน ต้องทานเท่านั้น จะเป็นที่ปฏิบัติธรรมได้ต้องมีเมตตากับอุเบกขา มีอุเบกขาเป็นฐานพัก มีเมตตาเป็นฐานทำงาน พระอรหันต์มีเมตตากับอุเบกขาเพื่อให้คนรู้จักทาน
สมณะฟ้าไทว่า..ต้องทำใจในใจเป็นจึงจะทำได้ วันนี้พ่อครูปรารภบ่อยว่าเหนื่อย ผมก็เห็นใจด้วย ดูพระราชกรณียกิจของในหลวงสละทั้งเหนื่อยเหลือเกิน พ่อครูนั้น ทำงานไปเสียสละไปแล้วยังถูกว่าเสียด้วย เหมือนกับวันนี้ที่โทรทัศน์บุญนิยมมีรายการที่บอกว่ามาปฏิบัติธรรมได้อะไรครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่าก็ไม่ได้อะไรนี่แหละ
อาตมาเห็นพ่อครูทำงาน บางอย่าง ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรต้องเป็นบารมีของพระครูธรรมเท่านั้น เราก็พยายามช่วย เท่าที่เราสามารถทำได้ พ่อครู ปรารภว่าสมัยพระพุทธเจ้ามีพระอรหันต์ 1250 รูป สมัยนี้ขอเพียง 9 รูป ก็หืดขึ้นคอ ก็ต้องมาช่วยกัน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1cRoqgUA-_fUfFvw2gBwGcY9eDg0aW-rs56e-QGEoKug
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=0B1SIObdHg192Q2d1MjI5QTgxQWc
ดาวโหลดยูทูปที่...https://www.youtube.com/watch?v=JV-Ws-2Q3gY
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:58:19 )
รายละเอียด
600908_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เนกขัมมะด้วยปหาน 5 ให้ถึงตถตา
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560 ที่ราชธานีอโศก ทางโลกเขาถือว่าวันศุกร์ก็สุขกันเถอะเรา จะได้พักผ่อน แต่พวกเราก็ทำงานกันต่อไป แต่จะทำอย่างไรให้เข้าเป้า เข้าหลักที่จะเข้าถึงแก่นแท้
ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิ เป็นเปลือก ปัญญาเป็นกระพี้ วิมุติเป็นแก่น
พ่อครูได้เทศนาถึงปัญญากับเฉกาพ่อครูได้แยกแยะ ปัญญาคือพลังอำนาจที่จะสลายกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ของเราได้ เฉกาคืออำนาจฤทธิ์ที่จะถนอมความโลภ โกรธ หลงให้แก่ตัวเอง
อาตมาเคยสัมภาษณ์พระที่เป็นชาวต่างชาติ มาบวชเป็นพระไทย ก็จบถึงดร.แต่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่า ท่านจะดำเนินไปอย่างไรต่อไป ถ้าจะสึกก็มีอะไรรองรับพอสมควร ถ้าจะทำงานศาสนาก็ได้ แต่เรียนมาตั้งเยอะ แต่ก็ยังหาคำตอบของตัวเองไม่ได้กับชีวิต แม้จะเป็นเปรียญ 9 ประโยค ก็ไม่ได้ทำให้เกิดปัญญาทางพุทธศาสนาเท่าไหร่ ไม่ต้องพูดถึงดอกเตอร์ทางโลก
ทุกวันนี้มีข่าวฮือฮา ว่า ให้คนไปแจ้งว่าเป็นคนจน จะได้ให้การช่วยเหลือ ปรากฏว่ามีด็อกเตอร์หลายร้อยคน ปริญญาโทหลายพันคน แจ้งลงทะเบียนว่าเป็นคนจน ก็มีคนตั้งคำถามว่าพวกนี้เรียนไปทำไมกัน เป็นไปแล้วไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้เลย ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งโตยิ่งอวิชชาก็เพราะว่า ไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจสัจธรรม นั่นเอง ยิ่งไปก็ยิ่งทำให้ความโลภโกรธหลงมากขึ้น ค้นหาคำตอบในชีวิตตัวเองไม่ได้ ได้แต่รู้ๆๆๆ เพื่อสนองความโลภโกรธหลงเท่านั้น
พ่อครูว่า...ก่อนจะได้บรรยายเฉกา กับปัญญา ทั้งสองคำ หมายถึงความเฉลียวฉลาด เดี๋ยวนี้วงการศาสนาพุทธไม่รู้กันแล้ว อาตมากล้าพูดได้อย่างนั้นจริงๆ แม้จะจบเปรียญ 9 ปริญญาเอก ก็ไม่ได้ให้ความเข้าใจความรู้ฉลาดแยกแยะให้เข้าใจแล้วจะได้ปฏิบัติถูก
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สร้างให้เกิดความเฉลียวฉลาดที่เป็นปัญญาให้แก่คน คนปุถุชนทั่วไป เฉลียวฉลาดแค่เพียงเฉโก สูงสุดก็วนในเฉโก คือเป็นโลกียธรรม ไม่ออกนอกโลกียธรรมได้ ซึ่งต้องใช้ปัญญา ทำให้ออกจากโลกีย์ ออกจากกาม พยาบาทได้ เป็นเนกขัมมะได้ ความเฉลียวฉลาดทางปัญญาเป็นพลังงานสำคัญที่ทำให้เกิดเช่นนี้ได้ เดี๋ยวค่อยสาธยายเรื่องนี้
SMS วันที่ 6 กันยายน 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
_3867พ่อครูเคยสอนปัญญาทางโลกุตระ อันนี้ใช่ปัญญาวุฑฒิ4ไหม? ถ้าเป็นปัญญาทางโลกียะที่ภาษาชาวบ้านเรียก ปัญญาทราม คงไม่ใช่?
พ่อครูว่า...ไม่ใช่แน่นอน ปัญญาทางโลกีย์เป็นภาษาชาวบ้านเรียก ก็ยังมีความซับซ้อน ความหมายที่ขยายได้ เขาเอาปัญญาไปใช้แทนความเฉลียวฉลาด แต่โลกีย์ไม่มีความเฉลียวฉลาดที่เป็นปัญญา มีแต่เฉโก นี่เป็นนิยามของความหมายในพยัญชนะ หรือในความเป็นจริงของศัพท์พวกนี้เป็นนิยามแท้ๆ แต่ไปใช้กันผิดก็เลยฟั่นเฝือ เลอะเทอะ ไม่รู้จะใช้แทนอะไรกันได้ ก็เลยเอามาศึกษาเรียนรู้เละเทะ นี่คือความผิดพลาด
ปัญญาวุฒิ 4
1. สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ) .
2. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)
3. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) . .
4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 248)
_3517น่าสงสารชาวอโศก ไปเเจกโรงบุญ ข่าวสักช่องไม่ออกข่าวชาวอโศกเลย แม้แต่คนอโศกเดินผ่านกล้องของช่องทีวีต่างๆเค้ายังตัดออกหรือว่าฟ้าตาบอดเลยมองไม่เห็นมุมดีดีของสังคมบ้าง สงสัยเค้าคงจะเกลียดชาวอโศกมาก ใครที่อายุ 40 ปีขึ้นไปคงจะจำได้คุณปรีชา ทรัพย์โสภา นักข่าวของกรมประชาสัมพันธ์อ่านข่าวตอนเช้าเวลามีโรงบุญ5ธันวามหาราชเค้าจะอ่านข่าวประกาศว่า พวกเราจัดโรงบุญห้าธันวาทั่วประเทศ 800 ถึง 900 โรงเลย
_3867คิดดีได้บุญ(ขัดเกลาใจ)ดี!พูดดีได้กรรมดี!ทำดีได้กุศลดี!คิดชั่วได้บาป!พูดชั่วได้กรรมชั่ว!ทำชั่วได้อกุศลชั่ว!ใครทำดีชั่วกับอโศก?คนนั้นก็ได้ดีชั่วตามที่คิดพูดทำเอง?อโศกก็ยังเป็นผู้ละ สิ้นทุกข์โศกคงเดิม!สู้นะskk
พ่อครูว่า…อาตมาเป็นหัวโจกของชาวอโศกไม่ได้มีความรู้สึกว่า ท้อถอย ไม่อ่อนด้อย แต่เห็นจริงว่าพวกเรามีจำนวนน้อย อาตมาก็ยังภาคภูมิใจกับจำนวนน้อยนี้ ก็ยังมีผู้มีดวงตา มีความรู้ในสาระว่าเป็นสาระ รู้ความสำคัญในความสำคัญ และก็เอาชีวิต บางคนเอาชีวิตเต็มตัวมาอยู่กับชาวอโศก บางคนก็มาเป็นครั้งคราว บางคนก็ตามศึกษาเห็นว่าเป็นสาระ แต่กระนั้นก็ดี ยังมีคนอีกมากกว่ามากในคนไทย ที่ยังไม่เห็นคุณค่า ไม่เอาตาดูหูแลชาวอโศก
พูดเหมือนเราท้อ ออดอ้อน ไม่มีลักษณะเช่นนั้นแต่เราพูดตามความจริง
SMS วันที่ 7 กันยายน 2560 (สมณะ สิกขมาตุ-บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน เนกขัมสิตอุกเบกขาคือเป้าหมายหลักของพุทธ
_3867 ทุกขเวทนาเกิดเพราะทุกผัสสะมากระทบทางทวารทั้ง5ทุกขณะ!หยุดเวทนาทุกความความรู้สึกทุกอารมณ์ มิใช่หยุดที่สัญญา!แต่ให้หยุดที่สังขารจึงเกิดวิญญาณจากสังขารธ.ถูกไหม?
จิตที่รับรู้จดจำที่เวทนาสัญญาไม่ปรุงแต่งให้เกิดกิเลสต่อบางขณะบางคราวเข้าถึงตทังควิมุติ!ถ้าตั้งใจทำวิปัสสนาด้วยตังคปหานจนมีสมาธิตั้งมั่น ตัดขาดกิเลสตัณหาอุปาทานด้วยสมุจเฉทปหานจึงจะพ้นทุกข์ขั้นสมุจเฉทวิมุติได้ถูกไหม?
พ่อครูว่า..เขาถือว่าสัญญาเวทยิตนิโรธ คือ เป็นการดับทั้งสัญญาและเวทนาไม่รับรู้ทุกอย่าง อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดมาก
แล้วจะบอกว่าทุกขณะมันก็ไม่เชิง เพราะว่าบางขณะสัมผัสก็อุเบกขา ผู้ที่ไม่ปฏิบัติธรรมก็จะเป็น เคหสิตอุเบกขาเวทนา เป็นการพักยกความสุขทุกชั่วคราว พระพุทธเจ้าท่านสอนให้แยกว่าเป็นแบบเคหสิตะกับเนกขัมมะ การฝึกฝนเรียนรู้จิตเจตสิก ที่มันเกิดเป็นแบบ เคหสิตะก็เป็นแบบคนโลกๆทั่วไป และแบบเนกขัมมะคือ แบบที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราออกจาก กิเลส กาม พยาบาท ผู้ปฏิบัติได้ดังนี้คือผู้มีทางบรรลุธรรม ทำได้มากก็บรรลุมาก ทำได้น้อยก็บรรลุน้อย
เป้าหมายหลักอยู่ที่เนกขัมมะ คือศาสนาพระพุทธเจ้า เป็นเนื้อแท้เลย ผู้ที่ไม่เรียน มโนปวิจาร18 เรียนให้รู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของความเป็นเวทนาที่เป็น เคหสิตะ นั่นลักษณะหนึ่ง ความเป็นเนกขัมสิตเวทนา นั้นเป็นอีกลักษณะหนึ่ง
ถ้าไม่เรียนตรงนี้แล้วปฏิบัติให้เกิดผลออกเป็น เนกขัมสิตเวทนา ไม่มีทางบรรลุธรรม การปฏิบัติใดๆก็โมฆะจากการบรรลุธรรม ถ้าไม่มีญาณปัญญารู้จักเวทนาในเวทนาตัวนี้
การเรียนรู้โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าเริ่มต้นตั้งแต่กายในกาย ต้องเรียนรู้โดยรู้จักองค์ประชุมของรูปกับนาม แล้วก็พิจารณาลงไปที่องค์ประชุมของรูปกับนามเรียกว่ากายในกาย แล้วจะพิจารณาเห็นว่า กายในกายที่เป็นองค์ประชุมของกายมีเวทนาอยู่ แล้วก็แยกแยะเวทนาในเวทนา ทำเนกขัมมะได้ นี่คือผลสำเร็จ
ผู้ที่พิจารณาสติปัฏฐาน 4 กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม จึงเป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าแท้ ในโพธิปักขิยธรรม 37 จนเป็น บุคคล 8 และนิพพาน 1
ผู้ใดเกิดมาทำเช่นนี้ได้ก็ไม่โมฆะ ผู้ไม่ได้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเช่นนี้จะมีมรรคผลอะไรก็เป็นโมฆะทั้งนั้น เป็นผู้ที่สูญเปล่า ไม่ได้สิ่งที่ควรจะได้ ทั้งที่ได้องคาพยพอาการ 32 นี้มาเป็นคน หากไม่ได้อันนี้ไปนี่น่าเสียดาย โดยเฉพาะผู้ที่พบศาสนาพุทธด้วย แต่ใกล้เกลือกินด่างไม่ได้อะไร
เพราะฉะนั้น หยุดเวทนาทุกความรู้สึกทุกอารมณ์ มิใช่หยุดที่สัญญา ถูกต้อง หยุดเวทนาในเวทนา ไม่ใช่หยุดเวทนาทั้งหมด ต้องย้ำทวนให้ชัดเจน ไม่ใช่ไปดับความรู้สึกทั้งหมด แต่ดับความรู้สึกส่วนหนึ่ง ที่อาตมาอธิบายเวทนาแท้-เทียม ให้เกิดรู้ความจริงตามความเป็นจริง และจัดการเวทนาเก๊ เวทนาเทียมให้หมดไป
สัญญาไม่ต้องไปดับ สัญญาเป็นตัวรู้แจ้งรู้ชัดรู้จริง แต่ให้หยุดที่สังขาร จึงเกิดวิญญาณ จากสังขาร ถามมาว่าถูกไหม?
หยุดแต่ให้หยุดที่สังขาร อันนี้ก็ถูกต้อง คนเราไม่รู้จักสังขาร 3 กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร การปรุงแต่งของอาการจิต แล้วไม่รู้จักอาการที่ปรุงแต่งอย่างนี้ ผู้มีอวิชชาก็จะมีสังขารเป็นปัจจัย เมื่อไม่รู้ก็เกิดสังขาร 3 นี้แหละ พระพุทธเจ้าให้ดูตรงนี้แล้วปฏิบัติอภิสังขาร ก็มีสาม แต่ไม่ใช่ กายสังขารจิตสังขารวจีสังขาร แต่อภิสังขาร 3 คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร
ศาสนาพุทธให้เรียนรู้อภิสังขาร 3 นี้แหละ หากไม่เรียนรู้แล้วไม่สามารถปฏิบัติได้ก็ไม่มีทางบรรลุธรรม จะอวิชชาอยู่นั่นแหละ จะไปเรียนรู้อะไรมากมายเต็มหัวแต่ไม่รู้จักอภิสังขาร
ผู้ที่มีอภิสังขารคือผู้ที่มีวิชชา ผู้ไม่มีวิชชาก็แก้ไขสังขารตัวเองไม่ได้ ผู้ที่มีวิชชาจะแก้ไขสังขารตัวเองให้ลดกิเลสได้ เรียกว่าบุญ บุญคือการชำระกิเลสในสังขาร หากชำระกิเลสในสังขารได้เรียกว่าปุญญาภิสังขาร ข้อเดียว ที่เป็นการปฏิบัติ จบสมบูรณ์แล้วเรียกว่าอปุญญาภิสังขาร พอทำปุญญาภิสังขารจนได้อรหัตตผลแล้วก็ไม่ต้องมีบุญอีก
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติที่จะมีกรรมต่อไป ก็มีแต่ อาเนญชาภิสังขาร เป็นการอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ทำในสิ่งที่ทำได้ให้ซ้ำให้มาก แล้วให้เกิดผลอย่างนี้แหละ ทำให้มาก แล้วจะเกิดความแข็งแรงอาเนญชา ไม่หวั่นไหวตั้งมั่นแข็งแรงมั่นคง หรือจะเกิดสมาธิ อเนญชาภิสังขารคือการสั่งสมจิตให้ตกผลึกเป็นสมาธิ
การสั่งสมจิตที่เป็น ปุญญาภิสังขารแล้ว ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมต้องเข้าใจบุญ ทำสังขารให้เกิดบุญ ผู้ทำได้จึงเกิดอภิสังขาร ชำระกิเลสในสังขาร
วิญญาณเป็นคำกลางๆ คือธาตุรู้จากเริ่มต้น ผัสสะแล้วเกิดวิญญาณแล้วเราก็ชำระกิเลสในวิญญาณ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ปหาน 5 ให้ถึงตถตา
จิตที่รับรู้จดจำที่เวทนาสัญญาไม่ปรุงแต่งให้เกิดกิเลสต่อบางขณะบางคราวเข้าถึงตทังควิมุติ!ถ้าตั้งใจทำวิปัสสนาด้วยตทังคปหานจนมีสมาธิตั้งมั่น ตัดขาดกิเลสตัณหาอุปาทานด้วยสมุจเฉทปหานจึงจะพ้นทุกข์ขั้นสมุจเฉทวิมุติได้ถูกไหม?
ตทังคะ แปลว่าเป็นครั้งๆคราวๆ ทำให้กิเลสดับได้เป็นคราวๆ ถามว่าจิตที่รับรู้จดจำที่เวทนาสัญญาไม่ปรุงแต่งให้เกิดกิเลสต่อบางขณะบางคราวเป็นผู้เข้าถึงตทังควิมุติถ้าทำให้จิตรับรู้แล้วจดจำที่เวทนา และสัญญาไม่ปรุงแต่ง กำหนดรู้ แล้วก็ทำการไม่ปรุงแต่งให้เกิดกิเลสในแต่ละครั้งคราว ...ถูกต้อง
ปหานมันมี 5
1. วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) .
2. ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .
3. สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด สลัดออกได้เก่ง) .
4. ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ ทวนไปมา) .
5. นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที เก่งจนเป็นปกติ)
(พตปฎ. เล่ม 31 ข้อ 65)
ปหาน 5 นี้ ถ้าทำได้ถูกต้องก็บรรลุธรรม วิกขัมภนะคือการกดข่มใจ คนเราทำเป็นทุกคนแม้ปุถุชนก็ทำเป็น คนเรามันโลภโกรธก็กดไว้ มีเท่าไหร่ก็ปล่อยออกมาไม่ได้หรอก เป็นสามัญสำนึกของคน กดข่มกิเลสไว้ มันเป็นทุกคน รู้จักให้ได้ว่า การกดข่มกิเลสวิกขัมภนหปานเป็นเช่นนี้ เรียนหรือไม่เรียนก็ทำเป็น แต่ไม่มีทางสำเร็จบรรลุธรรม กดให้ตายก็ไม่มีทางบรรลุ ความรู้ของพระพุทธเจ้าต้องมีอุบายเครื่องออกมีวิธี ปหานกิเลสให้ถูกต้อง ผู้ที่สามารถเรียนรู้อุบายเครื่องออก รู้วิธี
รู้จักกิเลส อ่านอาการ ลิงค นิมิต ตามความรู้ความเข้าใจที่ได้ฟังมา เห็นองค์ประชุมรูปนามของตัวเอง เรียกว่าสักกายะ ว่ามันปรุงแต่งเรียกว่ากิเลสนะ สัมผัสแล้วเกิดกิเลสก็อ่านกิเลสออก โดยกำหนดหมาย อ่านอาการของจิต เจตสิกของเรา มันมีอาการอย่างนี้เรียกว่าอาการกิเลส แยกออกชัดเจน ว่า อาการกิเลสมันคืออาการอย่างไร อาการที่รู้ความจริงตามความเป็นจริงมันคืออย่างไร
เช่น อาตมาสัมผัสการจัดฉากวันนี้ ผู้แต่งพยายามตกแต่ง ที่อื่นจะตกแต่งอย่างเช่นชาวอโศกหรือไม่ ชาวอโศก จะใช้ผลหมากรากไม้มาตกแต่งเป็นหลัก นี่ก็ไปได้ดอกกระเจียว มะนาว มะเดื่อได้ผลหมากรากไม้หลายอย่างมาจัดเข้าตกแต่งเข้า อาตมาสัมผัสแล้วก็รู้ว่า ความจริงตามความเป็นจริงเป็นเช่นนี้ ก็เข้าใจ ผู้ที่จัดนั้นเข้าใจการจัด คอมโพซิชั่น ของรูปทรงต่างๆนานาก็รู้ ว่าพยายามจัดว่าอย่างนี้เป็นศิลปะ เป็นรูปที่ควรตกแต่ง รู้ความจริงตามความเป็นจริง
ส่วนจิตที่บอกว่า ชอบ อาการชอบ ยินดี ดูดซึม ดูดเข้าไปประทับไว้ในจิตแล้วก็ติดใจ อาการอย่างนั้นแหละคือกิเลส หรือไม่ชอบ ฟังแล้วก็ผลักรู้สึกไม่ดีรู้สึกไม่ชอบใจ อาการชอบไม่ชอบใจนั่นแหละคือเวทนาเก๊ ต้องแยกให้ได้ ใครแยกได้ว่ามันมีผลักหรือดูด มันเป็นตัวเก๊ อย่าให้ตัวอยากตัวนี้มันเกิด กดข่มก็ได้วิกขัมภนะ
ถ้าใช้ปัญญารู้ว่าตัวนั้นคือเวทนาเทียม เวทนาเก๊ มันเป็นอาการจิตที่เคยชินเป็นไปตามโลกครอบงำมา แล้วเราก็เป็นแบบนี้มานาน เราก็เรียนให้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มัน เป็นตัวแทรกตัวเวทนาเทียม มันไม่มีตัวจริงเป็นอุปาทานเป็นกิเลสตัณหาในจิต
เราต้องรู้ด้วยปัญญาว่าตัวนี้ไม่ใช่ของจริง อนัตตา แล้วมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ตัวผลัก ดูดนี้แหละเป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วมันก็ไม่เคยเที่ยงแท้หรอก เดี๋ยวมันก็มาเดี๋ยวมันก็ไป เดี๋ยวมันก็เกิดเรื่องอื่น ปุถุชนก็เกิดความสุขความทุกข์ตลอดเวลา ก็เลยเหมือนเกิดความเที่ยง เพราะมันต่อเนื่องด้วยกิเลสตลอดเวลา จะว่างเป็นอุเบกขา อทุกขมสุขบ้างก็น้อย จะว่างสบายๆ นั่งตรงนี้อากาศดีลมดีแสงดี อะไรก็แล้วแต่ที่บำเรอในกรรมกิริยาต่างๆ แล้วไม่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ จึงสะสมจิตที่ชอบและไม่ชอบให้เป็นสุขและทุกข์แก่ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ปุถุชนนี่แหละ น่าสงสารมาก หายใจเข้าก็กิเลสเข้า หายใจออกก็กิเลสเข้า หายใจออกไม่ได้มีกิเลสออกด้วย หายใจเข้าก็กิเลสเข้า หายใจออกก็กิเลสเข้า เป็นอย่างนั้นจริงๆตลอดเวลา อานาอาปานะ ไม่ใช้สติพิจารณา วิจัย กำจัดกิเลสที่มันไม่ใช่ตัวตน สติมีแต่สติปุถุชน ไม่เคยเป็นสติอาริยชนเลย เป็นสติที่บำเรอกิเลสไปตลอดเวลา พักยกบ้างอทุกขมสุขอุเบกขาบ้าง ไม่เป็นเนกขัมสิตอุเบกขา เป็นจิตไม่ดูดไม่ผลัก เป็นฐานอุเบกขา ไม่ได้ฝึกฝนให้เกิดอุเบกขาฐาน ไม่ได้เกิดฝึกฝนให้เวทนาเป็นฐานนิพพาน
ถ้าจิตโดยปัญญารู้ชัดเจน แล้วทำให้จิตเราเกิดเนกขัมมะสิตอุเบกขาได้เสมอเสมอ ก็เท่ากับสั่งสมหน่วยกิต ของนิพพานตลอดเวลา นี่คือพูดเอาสภาวะต่างๆมาอธิบายเป็นภาษา ที่พูดนี้ก็พูดต่อไปจนหมดเวลาหรือต่อพรุ่งนี้ก็ได้
วิกขัมภนปหานเป็นสามัญ แต่ตทังคปหานต้องมีภูมิปัญญาทำให้กิเลสลดได้ เป็นครั้งคราว
เมื่อทำได้คุณก็ทำให้จริงทำให้สะเด็ดทำให้เด็ดขาด ทำให้คล่องว่องไวเป็นอัตโนมัติให้ได้เป็น สมุจเฉทปหาน ทำอย่างนี้แหละทวนไปทวนมาเรียกว่าปฏิ ทำซ้ำทำทวนให้มันสงบ ปัสสัทธิ จิตมันสงบเพราะทำให้กิเลสมันดับได้อย่างนี้ ทำจนให้เกิด สมุจเฉทปหาน ทำทวนทำซ้ำ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง รักษาผลให้เกิดอเนญชาภิสังขารไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จบเป็นนิสรณปหาน ทำจนสำเร็จเป็นเอง สลัดออกจนมันเป็นตถตา เป็นเช่นนั้นเองอัตโนมัติ กิเลสมา
พอสัมผัสอันนี้ มันเป็นเหตุเป็นกิเลส แต่ตอนนี้มันเป็นเหตุแห่งกิเลสนั้นก็จริง แต่มันสัมผัสกับเราแล้วกิเลสไม่เกิดอีกเลย ขณะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่เกิด ทีเผลอ ก็ไม่เกิด ยิ่งมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวยิ่งไม่เกิด รู้ทันไม่เกิดกิเลสได้ จนเป็นอัตโนมัติเป็นเองตถตา จึงเรียกว่าเป็นเช่นนั้นเองด้วยตัวของมันเอง เรียกว่าตถตาเป็นตัวจบ ของพระพุทธเจ้านั้นก็จบ ถึงขั้น เป็น ตถาคตา เรียกว่า เสด็จไปดีแล้ว เป็นความจริงเสร็จรอบถ้วนแล้วตถาคตา ส่วนของคนก็เรียกว่าตถตา
คนไปขยายความคำว่าตถตาเป็นโลกียะ นั้นผิด มันเป็นเช่นนั้นเอง แปลพยัญชนะว่าเป็นเช่นนั้นเอง แล้วเป็นเช่นนั้นเองต้องมีนัยอธิบายว่า คือผู้ที่ทำความจริงให้เป็นความจริงจนความจริงเป็นเช่นนั้นเอง ความจริงคือ จิตตนเป็นปรมัตถสัจจะชั้นสูงด้วยตนเอง สมบูรณ์ด้วยบรมแก่นสาร วิมุติเป็นแก่น ของพระพุทธเจ้าแล้วอยู่ด้วยสมมุติสัจจะ พระอรหันต์อยู่ด้วยสมมติสัจจะ ปรมัตถสัจจะท่านจบแล้ว จบอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) มีแต่ทำงานปรุงแต่งกับสังคมอย่างอนุโลมปฏิโลมไป
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สภาพหมุนรอบเชิงซ้อนระดับโพธิสัตว์
พระอรหันต์ ยิ่งเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่มาสอน รื้อขนสัตว์ โพธิสัตว์คือผู้ที่บรรลุอรหันต์ของตนเองแล้ว แล้วก็เอามาแจกเผื่อให้คนอื่นรู้ตาม เป็นผู้สืบสานศาสนาพุทธ ก็ยิ่งจะรู้ดี และอนุโลมปฏิโลมคนอื่น
เพราะฉะนั้นพระโพธิสัตว์จึงมีกายกรรมวจี แต่มโนท่านไม่ได้อนุโลม มโนของท่านแข็งแรงถาวร ตั้งมั่นไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว มีแต่อนุโลมให้คนอื่น พูดกับคนอื่นกับคนมีกิเลสมาก ก็พูดเหมือนมีกิเลสในฐานที่เขาพอรู้เรื่อง คนไม่รู้ความจริงอย่างนี้จึงอ่านตามอาการ นัจจะ คีตะ วาทิตะ ที่ปรุงแต่งให้พวกเรารู้ได้ ก็อ่านตามอาการว่าคนนี้ต้องมีกิเลส เพราะคนโลกๆเขาปรุงแต่งอย่างนี้ คนนี้ทำเหมือนกันก็คงมีกิเลสเหมือนกัน เช่นอาตมาทำอาการอย่างนี้ เขาก็ว่าไม่ได้บรรลุ ทั้งที่จิตเราทำงานเสร็จแล้ว เราปรุงแต่งกับคนอื่นโดยไม่มีกังวลกับตนเองแล้ว คนอ่านตามอาการก็เพ่งโทษ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับคนที่เข้าใจไม่ได้ ไม่เข้าใจสัจธรรมที่เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ที่แสดงอย่างนั้นเพื่อผู้อื่น ไม่ได้แสดงอะไรเพื่อตนเองเลย
อาตมาอวดอุตริมนุสธรรม เขาก็หาว่าปาราชิก แต่อาตมาอวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตนนั้น หนึ่งไม่ปาราชิก สองไม่ปาจิตติย์เพราะว่า แสดงโดยประมาณแล้วแต่เขาก็ถือพยัญชนะมาเพ่งโทษ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ
ที่พูดก็เพื่อให้รู้ลึกซึ้ง ว่า สิ่งที่เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ซึ่งมันเป็นปฏินิสสัคคะ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนอันลึกซึ้ง คัมภีราวภาโส เป็นเรื่องกลับไปกลับมา เหมือนทำอย่างเดิม กิริยาอาการอย่างเดิม แต่ในใจไม่มีกิเลสไปร่วมอยู่แล้ว อันนี้เป็นเรื่องที่เขารู้ไม่ได้ แล้วเพ่งโทษ จึงไม่เกิดประโยชน์อะไร
อาตมาจึงจำเป็นต้องบอกความจริงว่า มีอุตริมนุสธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะอาตมาต้องแสดงเต็มที่ ในเรื่องการแสดงออก เพื่อให้เกิดผลต่อการกระทบสัมผัสกับผู้รับ ให้เกิดประโยชน์ร่วมกันได้ ในท่าทีที่แสดงออก นัจจะ คีตะวาทิตะ บางครั้งก็แรง บางครั้งก็เล่น เป็นอุบายเครื่องออกที่ต้องประกอบการ สภาพนัจจะคีตะวาทิตะ ทั้งท่าทีลีลาสุ้มเสียง จัด คอมโพซิชั่น เพื่อให้สื่อแล้วผู้รับสามารถรู้ได้ ก็เลยเหมือนลิงค่าง เหมือนดารานักแสดง ดรามาติก เป็นเช่นนั้นจริงเพราะอาตมา สื่อแสดงให้คนอื่นรับ หนึ่งเป็นสุนทรียศิลป์ ชวนให้รับรู้ สองเป็นสารศิลป์ ให้รู้สาระที่สื่อไป แสดงออกเป็นสัจจะ
ทุกวันนี้ศิลปะเขาก็ไม่รู้จักสารศิลป์แล้ว มีแต่สุนทรียศิลป์ มีแต่สิ่งที่ชวนให้คนพอใจในสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้คนติดใจคนนับถือ ก็ทำแต่แบบนั้น ศิลปะอยู่ทั้งศาสตร์และศิลป์ ส่วนสุนทรียศิลป์ชี้ชวนให้คนได้รับประโยชน์
เช่น จะเอายาให้กินเป็นยาขมคนก็ไม่กิน ก็เอาสีใส่เอาน้ำตาลไปใส่ เป็นสุนทรียให้คนกินอย่างนั้นได้ แต่ทุกวันนี้มีแต่สีมีแต่น้ำตาลเนื้อหาสาระของยาไม่มีแล้วเต็มไปหมดเลย ต่างกันเพียงหาวิธีที่แตกต่างกันไป แล้วก็บอกว่านี่ของฉันเป็นเอกลักษณ์ของฉันเป็นอัตลักษณ์ของฉันคนอื่นก็จะต้องมาเอาตาม ซึ่งเป็นเรื่องของเทคนิคเท่านั้น
คนที่จะหมดกิเลสด้วยปหาน 5 ถึง นิสรณปหาน ก็จบด้วยตถตาก็ต้องเข้าใจปหาน 5 แล้วทำให้ถูกต้อง
สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน การอวดอุตริมนุสธรรมอันมีในตน
_ดิฉันเข่ง ใจแก้ว อโศกตระกูล จะเล่าว่า ตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่นขึ้นก็มีความรู้สึกรักสวยรักงามมากๆ คงติดมาหลายชาติแล้วก็ได้ เกิดมาชาตินี้กิเลสตัวติดสวยติดงามก็ตามมาเกิดด้วยค่ะ จะใช้เงินไปกับความสวยงามก็ยอมที่จะจ่าย ได้เข้าไปร้านเสริมสวย ซอยผมแหว่งไปนิดเดียวก็เกิดอารมไม่ชอบใจขึ้นมาทันที เมื่อก่อนก็ไม่รู้ว่าการติดยึดความสวยความงามนั้นเป็นกิเลสหรอก เพราะคุณแม่หรือคนจีนเรียกมาม้าได้พาดิฉันไปปฏิบัติธรรมแบบเทวนิยม สวดมนต์เจ้าแม่กวนอิม พระจีนหรือวัดไทยพระไทยก็ไม่ได้สอนเรื่องของกิเลสเลย ดิฉันอยู่แถวปาดังเบซาร์ ส่วนใหญ่เป็นคนมีอันจะกินกัน ต่างคนต่างมีลูกสาว อาเตี่ยอาม่าให้ลูกสาวแต่งตัวสวยๆกันทั้งนั้นค่ะ เป็นธรรมดาของคนทางโลกๆใช่ไหมคะ แต่ถ้าหากคนเกิดมาหน้าตาดีเป็นธรรมชาติไม่ได้เติมแต่งเพิ่มขึ้นอีก ก็รู้ว่าหน้าตาดีก็ไม่ใช่กิเลสใช่ไหมคะ
ต่อมาดิฉันได้มาปฏิบัติธรรมที่สันติอโศก ก็ได้รู้ว่าติดสวยติดงามติดอะไรหรือหลงอะไรก็เป็นกิเลส ติดนอนก็เป็นกิเลส แต่งงานก็เป็นกิเลส ฟังธรรมแล้วรู้สึกว่าทำไมเรามีกิเลสมากจริงๆ แต่ดิฉันเป็นคนชอบฟังธรรมสม่ำเสมอค่ะ เป็นประจำ ฟังแล้วก็มาตรวจดูตัวเอง เมื่อก่อนพ่อท่านเทศน์ชัดๆแรงๆ ฟังแล้วเหมือนกิเลสจะหลุดออกไปจากตรงนั้นเลยค่ะ ดิฉันได้ฟังพ่อท่านเทศน์ก็ได้รู้ว่ากิเลสเป็นอย่างนี้เอง พอเจอผัสสะก็เกิดกิเลสขึ้นมา ก็เกิดหิริโอตตัปปะ 20 ปีผ่านไป ดิฉันอาจเป็นคนโชคดีที่มีผัสสะมาก อุปสรรคก็มาก แต่ก็มีความศรัทธาในธรรมที่พ่อท่านได้สั่งสอน แม้มีผัสสะมาก อุปสรรคมาก ก็สู้ด้วยน้ำตานองหน้า แต่ก็มีพ่อท่านที่เป็นกำลังใจช่วยให้ดิฉันมีพลังต่อสู้กับกิเลสจนถึงปัจจุบันนี้ได้ 40 ปีแล้วค่ะ
พ่อท่านเป็นทั้งพ่อและแม่แล้วสอนให้ดิฉันมีศีลเป็นแม่ปัญญาเป็นพ่อ สอนให้มีสัมมาทิฏฐิ ดิฉันปฏิบัติจึงเกิดมรรคผลได้ตามลำดับค่ะ ทุกวันนี้เรื่องของติดสวยติดงามนั้นได้ลดหายไป ทุกวันนี้ตื่นขึ้นมาก็หวีผมไม่ได้ส่องกระจกเลย ใส่เสื้อผ้าก็เข้าไปทำวัตรเช้าก็ทำงานต่อไป ไม่ยุ่งยากเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีเงินเดือน มีความสุขสบายยิ่งกว่าเมื่อก่อนที่มีเงินมากๆค่ะ
สุดท้ายนี้จะถามพ่อท่านว่า เราปฏิบัติธรรมจนได้มรรคผลของโลกุตระแล้ว เราก็อยู่กับสมมติสัจจะได้อย่างสบายใช่ไหมคะ ขอกราบนมัสการพ่อท่านค่ะ
พ่อครูว่า...คนนี้มาตั้งแต่สาว จนบัดนี้ ยืนปอกผลไม้สารพัดมาหลายสิบปีแล้ว ทำงานหลายอย่าง
ตอบมานี้ถูกต้อง เป็นการรายงานผล ไม่ใช่เป็นการอวดตัวอวดตนอะไร เป็นการปฏิบัติและรายงานผลต่อครูบาอาจารย์ว่าอย่างนี้ถูกต้องไหม ก็ถูกต้องชัดเจน ไม่ได้ลงไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรมอะไร แม้แต่พ้นโลกียะมาเป็นโลกุตระแล้วก็บอกตรงๆ อย่างนี้เป็นศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้ผิดเพี้ยนไปมาก บรรลุธรรมแล้วอย่าบอกใครๆ อันนี้แหละ เป็นเรื่องที่ทำให้ศาสนาเสื่อม
บรรลุธรรมแล้วอย่าบอกใคร เรื่องนี้เป็นประเด็นในโลหิจจสูตร ล.9 ข.351 เป็นต้นไป
[352] ครั้งนั้น โลหิจจพราหมณ์เกิดมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้ว ไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภ ว่าเป็นธรรมลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ดังนี้
พ่อครูว่า...หมายความว่าผู้บรรลุธรรมจะไปบอกคนอื่นเขาก็บรรลุไม่ได้จะไปบอกทำไม แล้วก็เปรียบเทียบว่า การบอกนั้นเหมือนกับเราเองไปอวดอ้าง เหมือนกับเราไปโชว์ของดีที่เราได้บรรลุแล้ว เราก็บอกว่าเราได้บรรลุ มันก็เหมือนกับเครื่องจองจำ ที่เราออกได้แล้วเอามาใส่ใหม่ การไปบอกว่าตนเองบรรลุแล้วก็เหมือนกับการใส่เครื่องจองจำ สรุปแล้วก็คือไม่ให้บอก บรรลุธรรมแล้วไม่ให้บอกบอกแล้วมันเป็นกิเลสของเราเอง
จริง คนที่อยากอวดตนเอง ตนเองบรรลุธรรมได้จริง แล้วก็มีจิตลามกอยากอวดตัวนี้เป็นปาจิตตีย์ ตนเองบรรลุธรรม มีอุตตริมนุสสธรรมในตนเอง โดยเฉพาะอวดกับอนุปสัมบันก็ปาจิตตีย์
แต่อาตมาอวดกับอุปสัมบันแต่ท่านแปลอุปสัมบันว่า ผู้ที่ออกบวชครองผ้า ถ้ายังไม่ออกบวชครองผ้าไม่เป็นอุปสัมบัน แต่อาตมาแปลว่า ผู้ที่ควรและเหมาะสมจะได้ฟังธรรม คืออุปสัมบัน อาตมาหมายถึงเช่นนี้ แต่ผู้รู้ได้แย้งว่า ต้องผ่านการบวช นุ่งห่มจีวรโกนหัวจึงเป็น อุปสัมบัน ผู้ยังไม่ได้ผ่านการบวชนั้นเป็น อนุปสัมบันทั้งนั้น
อันนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจแตกต่างกัน เพราะอาตมาแปลว่าผู้ที่จะเข้าถึง คืออุปสัมบัน พูดแล้วก็จะรู้เรื่องกันเข้าถึงได้เข้าใจได้ แต่ผู้ที่แม้แต่จะใส่จีวร นุ่งห่มจีวร บวชมาร้อยพรรษาแต่พูดแล้วไม่เข้าใจก็ไม่ใช่
สมณะเดินดินว่า...ตอนนี้มีพระที่ตั้งศูนย์บำบัดยาบ้า แต่เอายาบ้ามาใส่ให้คนกินอีก ก็ไปตามประวัติว่าพระครูนี้เป็นพระที่เสพยาบ้ามาก่อน แล้วก็บวชมาเกิน 20 พรรษาด้วย ดูแล้วอย่างนี้ถือเป็นอุปสัมบันไม่ไหว
พ่อครูว่า...ความรู้ทางศาสนาพูดอย่างนี้มันผิดเพี้ยนไปไกลไม่เหลือ ขนาด ผู้รู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ทางศาสนา อาตมาก็บอกว่าเขาอธิบายบางอย่างผิด อาตมาก็ยืนยัน ส่วนสิ่งที่ท่านอธิบายถูกก็ยืนยันอยู่ ก็มีอยู่เยอะ อาตมาก็ได้อาศัยอันนั้นที่ท่านแปล บันทึกไว้ด้วยซ้ำไป
ส่วนอันที่แปลถูกก็เยอะ แต่แปลส่วนผิดก็ต้องตำหนิ ท่านก็ไม่ยอมให้ตำหนิเลย เราไม่ได้ลบหลู่ทั้งหมดทั้งด้าม แต่ส่วนถูกก็ว่าถูก ส่วนผิดก็ว่าผิด อันนี้ก็ว่ากันไป
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน สวดมนต์อย่างไรไม่ทำลายศาสนา
เมื่อกี้ว่าจะพูดเรื่องสวดมนต์ อาตมาขอยืนยันว่าการสวดมนต์ทุกวันนี้เป็นบาป เป็นกิเลส สวดมนต์ทุกวันนี้เป็นการสะสมความงมงาย สวดมนต์ทุกวันนี้เป็นการใช้บทมนต์เป็นเครื่องหากิน ซึ่งเป็นบาปกันอย่างมหาศาลที่หลงงมงาย โดยเฉพาะที่ชัดเจนก็คือกระแสของธรรมกาย สวดมนต์ล้านเที่ยวๆ พากันงมงายหนักมาก ในสมัย พระพุทธเจ้า ใครฟังแล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ช่าง ไม่มีหรอกการสวดมนต์อย่างที่เป็นทุกวันนี้ในสังคมศาสนาพุทธที่ปฏิบัติกัน ไม่มี
เช่น ไปรับกิจนิมนต์แล้วเขาให้ไปฉันอาหารที่บ้านแล้วก็ไปสวดมนต์ ฉันอาหารแล้วก็ได้รับซองมา เราไม่พูดเรื่องซอง แต่พูดแต่เรื่องสวดมนต์นั้น ในศาสนาพระพุทธเจ้าไม่มี มีแต่การบรรยายธรรม สวดมนต์เป็นหมู่ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปให้ญาติโยมที่เป็นอนุปสัมบันฟัง เป็นอาบัติปาจิตตีย์
พระพุทธเจ้าท่าน กันไม่ให้มีการสวดมนต์แบบนี้ ในยุคพระพุทธเจ้านั้นไม่มี เพราะสวดเพื่อทำมาหากินได้รับการยกย่องนับถือ ได้รับเงินทองได้รับเกียรติยศ เป็นการสวดมนต์เพื่อให้ได้รับอามิส
การสวดมนต์นั้นไม่ใช่เพื่อการรับอามิส
สวดมนต์มีสองอย่างคือ สังคีติ กับสังคายนา
สังคีติ คือ สวดพร้อมๆกันในหมู่นักบวช ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็สวดกันเพื่อให้จดจำกันไป สมัยก่อนไม่มีการบันทึกตัวอักษร ก็เลยใช้วิธีการท่องสวดจดจำกัน ก็คือสังคีติ ก็เหมือนเราสวดท่องอาขยาน สวดกันเป็นหมู่ก็จะได้ท่องจำติดสัญญาไป ก็ท่องกันในนักบวช ไม่ใช่สวดต่อหน้าญาติโยมธารกำนัลไม่ได้ เพราะฉะนั้นการสวดทุกวันนี้เป็นเรื่องที่ผิดหมด กลายเป็นเรื่องงมงาย อย่างธรรมกายที่ให้พากันสวดมนต์นั้นเป็นเรื่องงมงาย บทมนต์เป็นการสวดเพื่อให้เกิดการศึกษา ไม่ใช่เพื่อให้เกิดฤทธิ์เดชอะไรแบบนั้น แต่ให้ศึกษาบทคำสอนของพระพุทธเจ้าคือบทมนต์
บทมนต์มีสองอย่างคือ 1 ประณามคาถากับ 2 บทมนต์ ธรรมบท
บทประณามคาถาคือการแต่งขึ้นมาทีหลังเพื่อยกย่องคุณพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ จะสวดอย่างไรเท่าไหร่ก็เป็นการสรรเสริญคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ไหนก็ไม่อาบัติ
แต่การเอาบทมนต์ธรรมบทของพระพุทธเจ้าไปสวดต่อหน้าธารกำนัลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปอาบัติ แต่นี่ยิ่งเอาเป็นทำมาหากิน ก็ยิ่งบาปซ้อน การสวดมนต์ทุกวันนี้จึงได้บาปทั้งนั้น
ที่พูดวันนี้ ไม่คิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรอก แต่ใครจะกล้า อาสโภ เปลี่ยนแปลงหยุดที่จะไม่สวดเลอะเทอะได้ แต่จะให้หยุดการสวดมนต์ที่เป็นการทำลายศาสนานั้น เอาไปสวดมนต์ทำมาหากินหาเงินทำให้งมงายก็เป็นความเสื่อม
การสวดมนต์จึงแทนที่จะเป็นคุณค่าต่อศาสนา กลับจะเป็นโทษต่อศาสนา คนทำไปทำไม
อโศกอาตมามาบวช ตั้งแต่ได้บวชกับหมู่ใหญ่ ก็ไม่เคยไปสวดกับเขา แต่ก็ลงโบสถ์กับเขาแต่ไม่สวดธรรมบทก็ดูเพื่อจำ ส่วนประณามคาถาก็ทำได้สวดได้ไม่มีปัญหาอะไร ชาวอโศกไม่มีการสวดมนต์ที่เป็นการทำลายศาสนา แต่การสวดมนต์ของทั่วไปนั้นเป็นการทำลายศาสนา พูดมาไม่รู้กี่ทีแล้ว
กลายเป็นศาสนาสวดมนต์ทุกวันนี้ แล้วต้องสวดมนต์ นักบวชแล้วไม่สวดมนต์อยู่ไม่รอด ถึงจะมีรายได้อยู่ได้ อย่างนั้นเลย แล้วก็สวดกันไปจนกระทั่ง ใส่ลูกคอสวดกัน เอื้อนเอ่ยกัน แล้วสึกออกมาก็เป็นนักร้องนักแหล่ เพราะฝึกร้องมาตั้งแต่ตอนเป็นนักบวช มีหลายผู้หลายคน วงการศาสนานี้สร้างนักร้องได้หลาย
อาตมาขอสวดส่งไปหน่อย
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ปหาน 5 ให้ถึงตถตา
ทีนี้เรื่องอีกอันที่สำคัญ
….เป็นคนโชคดีที่มีผัสสะมาก อุปสรรคก็มาก หรือท่านก็สอนให้สู้ด้วยน้ำตานองหน้า... ขอย้ำว่าการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ถ้าปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยนั้นเป็นโมฆะ ในการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า
แต่นั่งหลับตาทำสมาธิ ปิดผัสสะทั้ง 5 ปิดปสาทรูป โคจรรูป 5 ปิด ไม่มีผัสสะ คือพวกโมฆบุรุษ ปฏิบัติไปจนนั่งก้นแตกตายกันตายเปล่า แล้วหลงว่าตนเองบรรลุธรรม นิพพาน อาตมาก็พูดซ้ำซาก
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกตั้งแต่เริ่มพระสูตรแรกคือ พรหมชาลสูตร ท่านตรัสไว้ชัดคือ ถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยก็ไม่เกิดเวทนา เมื่อไม่เกิดเวทนาก็ไม่มีกรรมฐาน แต่เพี้ยนไปว่ากรรมฐานคือ กสิณ
กรรมฐานของศาสนาพุทธมีเวทนาเป็นกรรมฐานเดียว แล้วบรรลุธรรมด้วยเวทนา 108 เท่านั้นและเท่านั้น
ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร พูดไปอย่างกับเป็นนักรู้ ที่จริงก็เป็น แต่คนก็ไม่ยอมรับเท่านั้น อาตมาไม่เป็นนักรู้จะมาสอนได้อย่างไร แต่ถ้าคนไม่รู้มาสอนนี่แหละทำให้ศาสนาเสื่อม
ในพรหมชาลสูตรท่านรวมไว้หมดแล้วเริ่มต้นท่านก็ตรัส พรหมชาล แปลว่าข่ายแห ท่านก็ว่าในยุคของพระพุทธเจ้า ศาสนาอื่นนั้นตกอยู่ในข่ายติดบทมนต์ แล้วก็นั่งหลับตา สวดมนต์แล้วนั่งหลับตา นั่งหลับตาสะกดจิต
เนื้อแท้ในพรหมชาลสูตรนั้น นั่งหลับตาสะกดจิตแล้วได้ผลเป็นอดีต 18 อนาคต 44 เป็นทิฏฐิ 62 ในบรรดาทิฐิของโลกนี้ 62 อย่างคือมิจฉาทิฎฐิ
ทิฏฐิที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าคือ ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ
ต้องมีปัจจุบัน ปัจจุบันนี้แบ่งเป็น 5 คือ
1 กาม ลืมตามีสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็มีกาม ต้องมีปัจจุบันมีกามคุณ 5 ให้สัมผัสแล้วต้องเป็นฌาน ยังลืมตาในปัจจุบันอีก 4 รวมเป็น ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5
แล้วปฏิบัติลดกิเลสอย่างเป็นฌาน ฌาน ของศาสนาพุทธไม่ใช่ฌานหลับตา
ฌานคือไฟกองใหญ่ ไฟวิเศษที่เป็นอุณหธาตุที่เป็นพลังงานทางนามธรรม สามารถกำจัดพลังงานอุณหธาตุที่เป็นราคะ โทสะ โมหะได้จริงๆ เป็นพลังงานที่เหนือชั้น
ฌานนี้เป็นพลังงานที่มีปัญญา ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น เหมือนล้างมือด้วยมือ ล้างเท้าด้วยเท้า ศีลกับปัญญาจะช่วยกันขัดเกลาจิต คืออธิจิต ทำให้จิตผ่องใสขึ้นด้วยปัญญา
ฌานของพุทธนี้ก็เพี้ยนไป จนไม่เข้าใจกันแล้ว ปฏิบัตินั่งหลับตาก็เป็นฌาน เขาอธิบายกันจนกระทั่งว่า ต้องนั่งสมาธิก่อน แล้วจึงจะเกิดฌาน ก็เวรจริงๆ
การไปบอกว่า นั่งสมาธิแล้วจะเกิดฌานนั่นก็คือมิจฉาทิฏฐิ ที่เขาไม่เข้าใจว่า สมาธิต้องนั่งหลับตา ฌานก็นั่งหลับตา เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ฌานต้องเกิดก่อนสมาธิ ไม่ใช่ตรวจสมาธิแล้วจึงเกิดฌาน
ฌานคือการเพ่งรู้และเพ่งเผา เมื่อ ตา หู จมูก ลิ้น กายได้กระทบกับกามคุณ 5 แล้วก็อ่านจิต ให้เจอกิเลส ลดกิเลส
สื่อธรรมะพ่อครู(สังโยชน์) ตอน จะอ่านสังโยชน์ได้ต้องมีผัสสะ
มีคำถามอันหนึ่งก็ตอบไปในตัวเลย
_ถามว่า คำว่าสังโยชน์แปลตามศัพท์คืออย่างไร (ในธรรมพุทธสุดลึกหน้า 180) แปลคำว่าสังโยชน์โดยอรรถ คือ กิเลสที่ผูกมัดใจไว้กับทุกข์ ขอความกรุณาพ่อครูได้อธิบาย
พ่อครูว่า..ที่อื่นเขาคงไม่แปลอย่างนี้ ก็ขอขยายความว่าต้องมีผัสสะ แล้วอ่านจิต ด้วยการจับนิมิตของอาการ จิตไม่มีเส้นแสงสีเสียง แต่จับอาการให้รู้ หมายว่าอย่างนี้คืออาการทุกข์อาการสุข หรืออาการราคะโทสะ อ่านอาการให้ออกแล้วกำหนดเครื่องหมาย ตัวเองกำหนดหรือนิมิตว่าอย่างนี้คือโกรธ อย่างนี้คือโลภ มันต่างกันนะ ลิงคะ อาการเศร้าใจกับดีใจมันต่างกัน อ่านอาการให้ออก
ไม่ใช่ไปเห็นรูปร่างตัวตน ของอกุศลจิตเรียกว่าผี สัตว์นรก มีรูปร่างเปรต อสุรกาย มันไม่ใช่ มันเป็นอาการทั้งนั้น ต้องอ่านอาการให้ออก ที่เป็นกิเลสผูกมัดจิตไว้กับทุกข์แม้แต่มัดจิตไว้กับสุขก็กิเลสทั้งนั้น
ศาสนาพุทธนั้นล้างสุขทุกข์ออกจากจิตได้หมด ในจิตใจไม่มีสุขไม่มีทุกข์
ไปยอมแพ้ต่อโลกโลกียะว่าต้องเอาสุข อนุโลมให้เขาได้สุขก่อน แต่ไม่บอกให้ชัดเจนว่าจุดมุ่งหมายคือหมดสุขหมดทุกข์
เริ่มต้นสุขอย่างหยาบก็เอาไว้ก่อน แต่สุขคือทุกข์ ทุกข์คือสุข ไม่ได้แยกจากกัน นอกจากคุณจะเอาแต่สุข ไม่เอาทุกข์ เอาทุกข์ไม่เอาสุข ก็เรื่องของคุณ แต่ความทุกข์ก็คือกิเลสตัณหา จะเรียกว่าเป็นเหตุก็ได้
อ่านอาการจิตของเราให้ออกว่าอ๋อ อาการอย่างนี้กิเลสตัณหา คือเหตุแห่งทุกข์ ตั้งแต่ภายนอก โอฬาริกอัตตา อัตตาอย่างหยาบ ในโลกกามคุณอย่างลืมตาภายนอกก่อน
เช่นไปติดการละเล่น เรื่องที่ง่ายๆ ไปติดโกงแสนล้านคือมหาอบาย โกงเล็กๆน้อยๆไม่ทำ ด้วย นั้นเรียกมหาอบาย ไปมีกิจการที่ทำทีต้องได้เปรียบมหาศาล ต้องเรียกว่าเมกะโปรเจค ต้องได้เปรียบมากๆเป็นกอบเป็นกำเลย นั่นแหละคืออบาย จะต้องเอาเปรียบเขาที่ว่าได้นั่นคือได้เปรียบ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ขาดทุนคือกำไรทำได้จริง
พูดแล้วนึกถึงในหลวงว่า เอาเปรียบคือเสีย ในหลวงตรัสว่า เราเสียนั่นแหละคือเราได้ เป็นสุดยอดของธรรมะโลกุตรธรรม ท่านก็มาตรัสให้กับประชาชนฟัง โดยเฉพาะท่านเป็นพุทธมามกะ ท่านก็ตรัสสัจจะของศาสนาพุทธที่เป็นโลกุตระเลย คนไม่ยอมฟัง ไม่ซาบซึ้ง ไม่เอามาศึกษาฝึกสอนให้เป็นไปได้ เมื่อท่านสวรรคตก็มาบอกว่า ทำตามพ่อสอน
อาตมาก็ยืนยันตั้งแต่ท่านยังไม่สวรรคต ทำมา คนก็ไม่เอาขยายความต่อ ผู้รู้ก็ไม่พยายามขยายความเผยแพร่กันให้เข้าใจ ยอดหัวใจของศาสนานี้ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แบบคนจนคือยอดของศาสนา
แล้วในหลวงเป็นนักบริหารที่บอกว่าบริหารแบบคนจน จะมีนักบริหารคนไหนหนอที่ประกาศว่าจะบริหารแบบคนจนตามในหลวง แล้วมา ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา อะไรของเรา ให้ได้ คนก็จะย้อนแย้งว่าอยู่ได้ไหม
เราก็บอกว่าทำได้
ขาดทุน คือ เราออกแรงไปเราทำงานไปสร้างผลผลิตไป สมมุติว่าผลผลิตนี้ราคา 100 ตีราคาตามวิธีของสังคมที่นิยมกัน ประเมินตามราคาตลาด เราขายให้ต่ำกว่าทุนได้เท่าไหร่ก็คือ การขาดทุน เราขาดทุนค่าแรงงาน บางคนตีราคาค่าตัวค่าแรงสูง อย่างทุนนิยมอเมริกานี้ ชั่วโมงละเท่านี้ วันละเท่านี้ คิดเป็นเงินเลยราคามหาศาล ราคาค่าตัวเขาแพงเท่าไหร่เขาถือว่าเป็นคนเจริญเป็นคนมีผลสำเร็จ พวกนี้บาปกินหัว สูงเท่าไหร่บาปเท่านั้น
เมื่อคิดราคาค่าตัวบวกเข้าไปในทุนแล้ว เมื่อเราลดราคาต่ำได้มากเท่าไหร่ก็ได้กุศล ถ้ารู้เลยว่าเราลดได้จริง ได้ลดความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวของตนเองก็เป็นบุญด้วย ไม่เอาค่าตัวก็ลดลงมา ค่าตัว100 จนไม่เอาค่าตัวเลยทำงานฟรี
คนอาจไม่เชื่อว่ามาทำงานฟรี ไม่เอาค่าตัวค่าแรงเลย ไม่ที่ไหน ...ก็มีที่นี่ล่ะโว้ย การที่อาตมาพูดวะโว้ยนี้ เป็นการคัดคน คนที่ว่าการพูดเช่นนี้นั้นเป็นคนไม่มีค่าอะไร อาตมานั้นทำงานแบบเป็นเงาะป่า ข้างในคือสังข์ทอง เป็นการคัดเลือกคน เพราะอาตมากลัวว่าคนจะมากเหมือนธรรมกาย ก็เลยต้องกันตัวเองไว้ คนที่มามองเนื้อในของเงาะป่าว่าเป็นสังข์ทองนั้น คนที่มีดวงตาเห็นจะมา ก็คัดเลือกคนได้แค่นี้ นอกนั้นจะมองไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ขนาดมาเท่านี้เป็นพระอรหันต์กันได้กี่คน แต่เราก็มีอรหันต์กันไปตามลำดับกัน การถือศีลที่เป็นกุศลจะยังความเป็นอรหันต์ไปโดยลำดับ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ถือศีลถูกต้องได้อานิสงส์ 10
ถือศีลที่เป็นกุศลคือการปฏิบัติศีลอย่างถูกต้องอย่างมีผล
พื้นฐานคือศีล 5 อย่าฆ่าสัตว์อย่าไปทำร้ายสัตว์ ศีลข้อที่1 ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางสาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
2.พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นคนสะอาดอยู่
การเป็นผู้ไม่ฆ่าสัตว์ นอกจากไม่ฆ่าสัตว์แล้วไม่มีเครื่องมือจะฆ่า นอกจากไม่มีเครื่องมือแล้วก็ไม่มีกรรมกิริยาที่จะทำร้ายหรือฆ่า มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ เห็นสัตว์เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ไม่ใช่ไปท่องบทแล้วไม่ทำ ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็เห็นเป็นเพื่อนทุกข์
ไม่ฆ่าสัตว์แม้แต่เป็นสัตว์เซลล์เดียว เพราะสัตว์เซลล์เดียวตัวนี้อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตก็ได้ หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง
อาตมาอยู่กับสัตว์ทั้งปวง ไม่ได้ไปทำร้าย และมีความปรารถนาดีต่อทรัพย์ทั้งปวง แม้แต่ผู้ที่ทำร้ายทำเลวก็ตาม อาตมา ว่ามาด่ามาตำหนิ ก็ด้วยความเมตตาเกื้อกูล ไม่ได้มีความใจร้ายหรือทำเลว แต่ต้องว่าต้องด่า
ทุกวันนี้ศาสนาพุทธ- ไม่เหลือเลย ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีลของเณร แต่ไม่ได้รู้หรอกว่า เอามาจาก จุลศีล มัชฌิมศีล บวชเป็นพระภิกษุแล้วก็ต้องมีตั้งแต่ศีล 5 ต้องมีครบทั้งกายวาจาใจ จึงเริ่มต้นเป็นพระโสดาบัน
จะมีผลเป็น
1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .
2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)
3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .
4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
6. สมาธิ (จิตมั่นคง)
7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .
8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .
9. วิราคะ (คลายกิเลส)
10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 , 208)
ปฏิบัติศีลจะได้ผลที่กายวาจาใจ แต่เขาสอนกันว่าศีลจะควบคุมที่กายกับวาจา สมาธิก็ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ แยกศีล สมาธิ ของพระพุทธเจ้าจนหมดไม่เหลือ
ความเข้าใจผิดที่ จึงหมดทางที่จะปฏิบัติให้เกิดศีล สมาธิ ปัญญา วิมุต วิมุตติญาณทัสสนะ เพราะข้อแรกก็ปฏิบัติศีลไม่เกิดอวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)
การไปฆ่าสัตว์ก็เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ แม้สัตว์ก็เดือดเนื้อร้อนใจ
สิ่งที่เป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย ลึกซึ้งแต่ก็เบี้ยวบาลีกันในชีวกสูตร
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
เป็นบาปเป็นอันมากไม่ได้เป็นบุญแม้สักนิดเดียว สัตว์มันก็อยู่เป็นอิสระเสรีภาพ ไปเอามันมาทำไมมันก็หมดอิสระเสรีภาพ
สองมันก็ถูกผูกมัดมาใส่โซ่ตรวนใส่ตะข้องใส่ถังใส่กรงมาก็แล้วแต่ สัตว์นั้นถูกนำมาถูกผูกมัดจับมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
ข้อที่สาม พูดอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้เสีย สัตว์มันก็ทุกข์ทรมาน บาปก็หนักยิ่งขึ้นไม่ใช่บุญเลย ตามลำดับ หนักเข้าไป ยิ่งข้อ 5 นี้บาปเต็มกระบุงเลย
ข้อที่ 4 สัตว์นั้นเมื่อกำลังถูกฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส คุณทำทุกข์แก่ผู้อื่นคือคุณบาป
แล้วยังให้ตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ คุณทำบาปแล้วเอาไปไกลๆ ตถาคตและสาวกตถาคต มันเป็นอกัปปิยะคือสิ่งไม่ควรอย่างยิ่งแต่เขาก็ไม่เข้าใจ นี่คือสัตว์ที่เจาะจงฆ่าโดยคน ไม่ใช่ว่าไปเจาะจงชื่อพระพุทธเจ้าหรือสาวกพระพุทธเจ้า แต่แท้จริงอุทิสคือเจาะจงฆ่าสัตว์นั้น นี่คือการแปลอย่างเบี้ยวบาลีเพื่อต้องการกิน ให้แต่คนที่ระบุให้บาปเป็นอันมาก คนอื่นกินได้ไม่บาป อย่างนี้เป็นต้น นี่คือการเบี้ยวบาลีเพื่อจะกิน
ศาสนาพุทธจากต่างชาติมา เขานึกว่าเมืองไทยเป็นเมืองศาสนาพุทธเกือบหมดประเทศ เขาก็นึกว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ หรือหากินยาก เพราะเป็นเมืองพุทธศาสนาไม่กินเนื้อสัตว์ แต่เขาก็ต้องแปลกใจว่ากินเนื้อสัตว์กันเต็มไปหมดประเทศไทย
เถรวาทนี้เพี้ยนไปกินเนื้อสัตว์เฉย แต่มหายานเขาชัดเจนไม่กินเนื้อสัตว์กัน พูดไปเขาก็ไม่สะดุ้งสะเทือน เริ่มต้นศีลข้อที่ 1 คุณก็บาปแล้ว จะไปมีภูมิปัญญาอะไรในศีลข้อที่ 2
ศีลข้อ 1 เป็นเรื่องของชีวิตสัตว์โลกต้องศึกษา ศีลข้อที่ 2 คือสิ่งของต่างๆในโลก ของใครก็ของใครที่ไม่ใช่ของเรา อย่าไปละเมิดเอามา หรือบางทีขโมย
ศีลข้อ3 กามหรือราคะ ผัสสะ กิเลสตัวนี้กามนี่แหละแล้วก็ติดยึดตรงนี้
เรื่องข้อ 1 กับ 2 เป็นเรื่องโลกียะ ส่วนข้อ 3 คือราคะ โลกียะคือ ลาภยศสรรเสริญ ส่วนกามราคะคือข้อ 3
แต่เขาไม่เข้าใจในเรื่องศีลแล้วปฏิบัติให้เกิดการลดและมีอานิสงส์ของศีล ตามกิมัตถิยสูตร ไม่ได้เป็นไปตามลำดับที่พระพุทธเจ้าสอนเลย แล้วผิดเพี้ยนไป บอกว่าปฏิบัติศีลคือสังวรกายกับวาจา ส่วนปฏิบัติจิต อธิจิต คือให้ไปนั่งหลับตาสะกดจิตเอา นี่คือความล้มเหลวในการเข้าใจพระอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าไปไม่เหลือแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน วิบากของพระพุทธเจ้าในทุกรกิริยา
ย้อนเข้ามาหาการนั่งหลับตา ทำไมหนังเหนียวตอกแล้วตอกอีก ทุบแล้วทุบอีกไม่กระเทือนเลย
การนั่งหลับตาสมาธินั้นเป็นของนอกรีตศาสนาพุทธ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเมื่อออกบวช ก็ไปพบ พวกนั่งสมาธิ ท่านก็ลิงลมอมข้าวพอง นึกว่า ปฏิบัติธรรมต้องทำแบบนี้หรือ ก็ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ คือภูมิธรรมท่านไม่ออกมาเต็มที่ มันเป็นวิบาก 6 ปีนั้นเป็นวิบากของท่านต้องลิงลมอมข้าวพอง ก็ไปตามหาผู้ที่ปฏิบัติเก่ง ได้ข่าวว่า อาฬารดาบส อุทกดาบส ทำฌานได้เก่ง ฌาน 7 8 แต่ท่านทำแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ ก็หลีกเสีย แล้วก็ปฏิบัติลัทธิเดรัจฉานวิชา ต่างๆท่านก็ทำได้อุกฤติกว่าเขา ท่านก็เล่าว่าเป็นวิบากที่ต้องชดใช้ ในพระไตรปิฎกเล่ม 31 ข้อ 392 เป็นวิบากท่านที่ได้ไปกล่าวตำหนิ พระพุทธเจ้ากัสสปะ ตอนสมัยเป็นโชติปาลมานพ ว่า..เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา6ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ(ปุญญปาปปริกขีโณ) เป็นผู้ไม่มีอาสวะ...ฯลฯ (ล.32 ข.392)
สมณะเดินดินว่า..ฌานของพุทธคือการเพ่งเผากิเลสในตัวเรา เราเป็นนักปฏิบัติธรรมต้องเอากิเลสมาขยี้ดูพิจารณาให้เป็นโทษภัย มองเห็นกิเลสตน เผาของเราอย่าเผากิเลสเพื่อน เผากิเลสเราเมื่อไหร่ก็เกิดฌาน
พ่อครูเน้นว่า จะบรรลุธรรมได้ต้องแยกแยะ เนกขัมสิตเวทนากับเคหสิตเวทนา สิ่งเหล่านี้จะเกิดไม่ได้กับพวกที่ตัดรอบไม่เอาผัสสะ ศาสนาพุทธจึงย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย และมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์จึงแยก เนกขัมสิตเวทนากับเคหสิตเวทนาออกได้แต่พวกที่เลิกกับเพื่อนแต่กอดคอกับกิเลสเสียแน่น...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:59:09 )
รายละเอียด
600910_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ พ่อครูคือใครจึงอธิบายอจินไตยฌานวิสัยได้
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2560 ที่ราชธานีอโศก
พ่อครูว่า...ตอนนี้ข่าวเฮอริเคนของอเมริกา จะกินอาณาบริเวณมา ถึงอุบลกรุงเทพเลย พื้นที่ 700 ตารางกิโลเมตร อพยพคนกันจะเหยียบกันตาย
สมณะฟ้าไทว่า…ไม่รู้ว่าเมืองไทยจะได้ส่งข้าวไปช่วยอเมริกาเปล่า
พ่อครูว่า...อเมริกาเขาปั๊มเงินดอลลาร์ได้ ประเทศไหนก็ยินดีรับเชื่อว่าจะซื้อคืนได้หมด
สมณะฟ้าไทว่า…แต่ถ้าน้ำท่วมโรงงานอาจจะใช้ไม่ได้
พ่อครูว่า..อเมริกามีคนเก่งปั๊มกระดาษเปล่าไปใช้ทั่วโลกได้
สมณะฟ้าไทว่า…อเมริกาก็สร้างวิบากไว้กับมนุษยชาติไปมากมาย เกือบจะทั่วโลก ไปรุกรานเขาทั่วโลก ถ้าเราฟังมาตั้งแต่อดีตกาล ไม่ว่าจะเป็นเวียดนามหรือในญี่ปุ่นหรือในอิรัก ที่ยังคงมีความเดือดร้อนจากสารเคมีที่ได้ทิ้งไว้ พ่อครูว่า เขาไม่เชื่อกรรมถ้าเชื่อกรรมก็คงจะไม่ทำ
อยู่ในเมืองไทยถือว่าเป็นเมืองที่ดีที่สุดในโลกก็ว่าได้ เราเกิดมาท่ามกลางพระโพธิสัตว์ล้อมรอบตัวเรา เยอะแยะมากมาย ที่เกิดมาไม่ได้มีองค์เดียว สององค์ขึ้นไป เราเกิดมาท่ามกลางอย่างนี้ถือว่าแผ่นดินมีความผาสุกแน่นอน เป็นผู้ที่มาเสียสละเพื่อมวลมนุษยชาติ มีความสามารถมีญาณปัญญา แล้วไม่ได้ทำเพื่อตัวเองด้วย เขามีแต่เกิดมาเพื่อกอบโกยขูดรีดให้ตัวเองให้เดือดร้อนชั่งหัวมัน ข้าพเจ้าอยู่เป็นสุขก็พอ แต่โพธิสัตว์เกิดมานั้นจะต้องช่วยคนที่เดือดร้อนให้ได้ ตั้งแต่ความเป็นอยู่ของชีวิต โดยเฉพาะความเดือดร้อนทางด้านจิตวิญญาณท่านจะช่วยให้เราพ้นทุกข์เรื่องนี้ได้
แต่แม้แต่ในเมืองไทย อีกหลายสิบล้านคนก็ไม่รู้จักโพธิสัตว์ ว่าได้อุบัติขึ้นมาแล้วกำลังช่วยมนุษยชาติให้คนพ้นทุกข์ได้เป็นลำดับอย่างนี้ เขาก็ยังไม่ได้พบได้เห็น ท่านก็มาสอนแจกแจงให้เราได้เรียนรู้สัมมาทิฏฐิแบบพุทธ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ ท่านก็มาอธิบายให้เราเข้าใจแจ่มแจ้ง
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเรารู้ชัด แล้วรู้ชัดยิ่งกว่า เราจึงไม่ยึดมั่นถือมั่น จึงรู้คุณและโทษ แล้วรู้ความเกิดความดับ รู้วิธีการทำ กิจนั้นให้สำเร็จได้ พ่อครูก็มาอธิบายให้เราได้ชัดเจน ในระยะหลังนี้ ท่านก็อธิบายรายละเอียดมากขึ้น ภ.ติกขะบอกว่า อธิบายตอนนี้ทีไรก็ถึงพระอรหันต์ มีรายละเอียดเยอะแยะ แต่ก่อนนั้นก็อธิบายเรื่องมังสวิรัติเรื่องของศีล อโศกเขาบอกว่าเอาเรื่องศีล สมาธิก็ไปธรรมกาย ปัญญาก็ไปหาท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสก็ตายไปแล้ว ธรรมกายธัมมชโยก็หายไปไหนไม่ทราบ เหลือแต่พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่จะมาอธิบายมหาจัตตารีสกสูตร สมาธิของพุทธ ว่าปฏิบัติจากมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติมรรค 7 องค์ รวมเป็นมรรคองค์ที่ 8 ท่านอธิบายเรื่องกาย ย้ำหัวตะปูจนมิดด้าม ซ้ำแล้วซ้ำอีก อธิบายชัดยิ่งกว่าชัดไม่รู้จะชัดอย่างไรแล้ว ใครยังไม่รู้ก็ต้องปล่อยวางแล้ว แต่สักวันหนึ่งเขาต้องรู้ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ขนาดเรายังรู้ได้เลย ขนาดอาตมาโง่ๆขนาดนี้ยังรู้ได้เลย เขาฉลาดกว่าอาตมาก็ต้องรู้ได้ เมื่อเขาดูได้สังคมก็จะดีขึ้น
ถ้าสอนได้ถูกต้องในสังคมประเทศไทยจะไม่มีปัญหาคอรัปชั่น ปัญหาทุกปัจจุบันนี้ก็ไม่เกิดขึ้น ปัญหาที่จะย้ายผอ. สำนักพุทธศาสนาก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะคนเข้าใจแล้วว่าสิ่งไหนดีไม่ดี วันนี้ก็ตรงกับ 130 ปีของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จุดหมายของเขาคือจะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแห่งโลก นับว่าเป็นเป้าหมายที่ดี แต่พุทธศาสนาที่จริงมันเป็นอย่างไรไม่ทราบว่าเขารู้หรือไม่
พ่อครูว่า...ใครเข้ามาเมืองไทยตาดีก็มาที่นี่ได้ตาไม่ดีก็ไปโน่น ชายเฟือย
สมณะฟ้าไทว่า...ตาดีได้ตาร้ายก็เสีย ตาดีก็มาเจอของแท้ ตาไม่ดีก็ไปเจอของเทียม แล้วแต่ของใครของมัน วันนี้พ่อครูก็จะมาสาธยายธรรมในสิ่งที่เป็นธรรมะของแท้ทำให้เราลดละกิเลสได้พ้นทุกข์ได้เป็นอย่างไร ขอกราบนิมนต์พ่อครูด้วยความเคารพ
พ่อครูว่า...ก่อนจะเริ่มต้นก็ขออ่าน หนังสือพิมพ์ สู่กันฟัง จากแนวหน้าคอลัมน์ บ้านเกิดเมืองนอนโดยสิริอัญญา
หลังจากนายกรัฐมนตรีได้แถลงรับรองต่อประชาชนว่าผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นคนดี มีความสามารถ มีความตั้งใจในการทำงาน จะไม่มีการโยกย้ายผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็ก่อให้เกิดความยินดีปรีดาแก่ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ
ด้วยความหวังว่า การปราบปรามการโกงวัด โกงชาติ โกงศาสนา ทั้งส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้คนในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและในมหาเถรสมาคม รวมถึงเจ้าคณะและเจ้าอาวาสหลายเรื่องหลายกรณีจะได้รับการชำระสะสาง เพื่อความจำเริญของพระพุทธศาสนาสืบไป
ประชาชนแซ่ซ้องสาธุการเพราะเชื่อว่าเมื่อมีการตรวจพบการทุจริตจำนวนมาก จำแนกได้เป็นสองรายการสำคัญแล้ว หากมีการสอบสวนจัดการกับพวกคนโกงทั้งหลายอย่างจริงจังดังที่ปรากฏเป็นข่าว จะสามารถชำระสะสางความโสโครกทั้งหลายที่เกิดในวงการพระพุทธศาสนาและในสังฆมณฑล ซึ่งจะเป็นผลทำให้พระพุทธศาสนาและสังฆมณฑลมีความมั่นคงเป็นที่ศรัทธาของประชาชนสืบไป
เพราะผลการตรวจสอบขององค์กรอิสระและหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบในเรื่องการทุจริตได้ตรวจสอบพบว่า เรื่องโสโครกทั้งหลายที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับวงการพระพุทธศาสนาที่ต่อเนื่องมายาวนานนั้นมีสาเหตุใหญ่จากการทุจริตทั้งสิ้น
การทุจริตที่เกิดขึ้นและตรวจสอบพบสองรายการ ประกอบด้วย
รายการแรก การทุจริตเงินงบประมาณแผ่นดินที่มีการจัดตั้งขึ้น เพื่อใช้งบประมาณแผ่นดินนี้ในการบำรุงบูรณะวัดวาอารามและศาสนสถานต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นวงเงินรวมกันหลายพันล้านบาท
ลักษณะการทุจริตคือมีการสมคบกันตั้งเรื่องขอเบิกงบประมาณบูรณะและบำรุงวัดและศาสนสถาน มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณนั้นจากทางราชการแก่ทางวัด ซึ่งจะจ่ายเงินผ่านผู้มีอำนาจของวัด
หลังจากมีการจ่ายเงินแก่ทางวัดแล้ว ก็จะมีการคืนเงินให้แก่เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเกี่ยวข้องในอัตราถึง 80% ของเงินงบประมาณที่จ่ายไป และมีการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจได้ทุจริตรับเอาเงินนั้น และอาจมีการแบ่งปันกันเป็นลำดับชั้นสำหรับผู้คนที่เกี่ยวข้อง
มีการตรวจสอบพบการทุจริตแบบนี้กว่าร้อยเรื่อง เกี่ยวข้องกับผู้คนหลายร้อยคน ทั้งคนหัวโล้นและคนหัวดำ หัวขาว ในขณะที่ประเทศได้สูญเสียงบประมาณไปแล้ว แต่กลับมิได้นำไปใช้เพื่อการบำรุงบูรณะวัดวาและศาสนสถานต่างๆ ตามที่ได้เบิกเงินไป
นี่คือการโกงวัด โกงชาติ โกงศาสนา ที่ผู้เกี่ยวข้องหรือผู้ต้องหามีทั้งคนห่มเหลือง และคนไม่ห่มเหลือง แต่จะต่อท่อส่งกันไปถึงไหนย่อมเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบกันต่อไป
รายการที่สอง เป็นการทุจริตเกี่ยวกับโครงการสนับสนุนโรงเรียนปริยัติธรรม ซึ่งได้มีการตั้งงบประมาณอุดหนุนแก่วัดหรือสำนักสงฆ์ที่มีการจัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรม เพื่อวัตถุประสงค์ในการอบรมสั่งสอนพระปริยัติธรรมแก่เด็ก เยาวชน และคนทั้งหลายให้มีความรู้ในเชิงปริยัติในพระพุทธศาสนา โดยตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนตามจำนวนนักเรียนปริยัติธรรมเป็นรายหัว
จากการตรวจสอบของหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่พบว่า มีการสมคบกันทุจริตเงินงบประมาณส่วนนี้ในสองลักษณะ คือ
ลักษณะแรก มิได้มีการตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมจริง หรือมีแต่ชื่อโรงเรียนปริยัติธรรมเพราะเลิกร้างกันไปนานแล้ว และมิได้มีการสอนปริยัติธรรมกันจริงๆ แต่สมคบกันเบิกจ่ายงบประมาณโดยยกเมฆเสกตัวเลขว่ามีนักเรียนจำนวนเท่านั้นเท่านี้ แล้วเอางบประมาณไปแบ่งปันกันดื้อๆ
ลักษณะที่สอง มีการตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมจริง แต่มีการยกเมฆเสกตัวเลขนักเรียนปริยัติธรรมเกินจำนวนที่เรียนจริง เช่นมีนักเรียนปริยัติธรรม 30 คน แต่ตั้งตัวเลขเพื่อโกงงบประมาณว่ามีนักเรียนปริยัติธรรมถึง 300 คน เป็นต้น
ผลการตรวจสอบพบว่ามีการทุจริตโกงเงินงบประมาณในลักษณะนี้ไปแบ่งปันกันหลายร้อยคดี และมีผู้คนเกี่ยวข้องหลายร้อยคน
เมื่อผลตรวจสอบปรากฏและปรากฏความว่าเกี่ยวข้องกับผู้คนทั้งในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และบรรดาเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะที่เกี่ยวข้องหลายคน หลายรูป ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงได้แถลงข่าวอันเป็นปกติที่ต้องบอกกล่าวให้ประชาชนรู้
แค่นั้นแหละก็เกิดเสียงก่นด่า ต่อต้าน ขับไล่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกันยกใหญ่ ตั้งข้อกล่าวหาว่าทำให้เกิดความเสียหายแก่พุทธศาสนาและคณะสงฆ์ แล้วกดดันกันเป็นการใหญ่เพื่อขับไล่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่และเรียกร้องให้หยุดดำเนินการในทันที
จึงเป็นเหตุให้ประชาชนทั่วประเทศออกโรงปกป้องผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเรียกร้องให้ชำระสะสางเรื่องนี้ให้กระจ่าง กระแสเรียกร้องก้องกระหึ่มไปทั่วประเทศ จึงทำให้นายกรัฐมนตรีต้องแถลงรับรองว่าไม่โยกย้าย
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน การลงโทษคนดีคือส่งเสริมคนชั่ว
แต่แล้วก็มีการโยกย้ายผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจนได้! แม้ว่าข่าวคราวจะปรากฏว่าย้ายไปเพื่อความเจริญในหน้าที่ราชการก็ตามที แต่ประชาชนย่อมวิตกกังวลว่าการกลบเกลื่อนหรือปกปิดการทุจริตงบประมาณแผ่นดินรายใหญ่รายนี้กำลังจะถูกกลบฝัง ซึ่งเป็นการทำลายความยุติธรรมของประเทศ เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาให้ย่อยยับต่อไปในอนาคต
เพราะคนทั้งหลายย่อมเข้าใจว่าการกำจัดคนดีออกจากอำนาจก็คือการส่งเสริมคนชั่วให้ทำชั่วต่อไปนั่นเอง แล้วจะทำอย่างไรกันดี!
พ่อครูว่า..นี่คือบทความที่กำลังทันสมัยร้อนๆ อาตมาว่ามันน่าจะต้องให้สำเร็จลงให้ดีให้ได้ จะสำเร็จลงอย่างไม่ดีนั้นไม่ดีแน่ๆ ระวังเหตุการณ์ประเทศชาติ โดยเฉพาะถ้าจะพูดกันแล้วถึงอิทัปปัจจยตา ประเทศไทยเสื่อมทุกวันนี้ เพราะศาสนาที่เป็นศาสนาหลักของประเทศคือศาสนาพุทธ คนนับถือศาสนาพุทธถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ศาสนาที่จริงไม่ได้เสื่อมโดยตัวของมันเอง แต่คน คนนั่นแหละมันเสื่อมจากศาสนา แล้วก็ฉุดศาสนาให้เสื่อมลงไปขนาดนี้ ร้ายแรงมาก ร้ายแรงด้วยการทุจริตคอรัปชั่น ด้วยการเงิน
ถ้าตรวจสอบการเงินของวัดวาต่างๆ กับภิกษุที่ดูแลที่เกี่ยวข้องกับการ ก็จะต้องถูกจับปาราชิกกัน ไม่เหลือกันกี่หัวหรอก รับรองเลย จะเหลือก็แต่พระลูกวัดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเงินเลย ไม่ได้แตะต้องเงินเลยนั่นแหละจะเหลือดูแลวัด นอกนั้นจะหาที่จะเหลือ ดูแลวัดสักครึ่งวัดไหมนะ
สมณะฟ้าไทว่า...ต้องปลุกพระเจ้าอโศกมหาราชให้มาจัดการ
พ่อครูว่า...แม้เจ้าอโศกมหาราชก็ต้องทำอย่างโหดร้าย ซึ่งท่านก็ไม่ต้องการทำเลย
ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลบริหารประเทศชาติ เพราะประเทศแบ่งแยกเป็นฝ่ายธรรมะกับฝ่ายดูแลบริหารปกครอง โดยที่ประชาชนให้เกียรติกับทางฝ่ายธรรมะฝ่ายศาสนาแต่ฝ่ายธรรมะฝ่ายศาสนานั้นไม่รักษาเกียรติตัวเอง ไปทำลายเกียรติตัวเองด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่นเลวร้ายมาก ทำลายทั้งตนเองสังคมและศาสนา อย่างหนัก จึงจำเป็น เพราะหน่วยเหนือหน่วยใหญ่หน่วยหลักของวงการศาสนา หรือธรรมะ ก็ไม่มีแรง อ่อนเปลี้ยเสียขา ที่จะปฏิรูป หรือพัฒนาให้ฟื้นจากศาสนาได้ จึงจำเป็นต้องอาศัยพลังงาน หรืออำนาจทางด้านฆราวาส ทางด้านผู้บริหารปกครอง ที่มีเจตนาดีและมีความรู้จริงๆ ไปจัดการชำระชำแหละเสียให้ดี เหมือนอย่างพระเจ้าอโศกมหาราชได้จัดการไปอย่างที่ว่า ซึ่งไม่ใช่ผิดเลย จัดการได้อย่างถูกต้องและทำได้ดีสำเร็จไป ซึ่งมันเลวร้ายกันอย่างนั้นจริงๆเลย
เพราะว่า ไม่ไปชำระ และปล่อยให้ศาสนาซึ่งเป็นคุณธรรมของมนุษยชาติ เป็นเรื่องจิตวิญญาณเป็นเรื่องความดีความชั่ว ถ้าคนไปหนักในความชั่ว ความไม่ดี ด้วยกิเลสเป็นเจ้าเรือน ไม่สามารถทำให้กิเลสออกไปจากมนุษย์ได้ ดีไม่ดี ไปคบหาส่งเสริม ผู้ที่มีกิเลสขึ้นมาเป็นใหญ่ในวงการธรรมะด้วย จะไปมีที่พึ่งที่ไหนได้ในสังคมมนุษยชาติ ล้มเหลวเสียหายอย่างแย่เต็มทีเลย
เพราะฉะนั้นในยุคนี้ขนาดนี้ อาตมาจึงขอให้กำลังใจ และก็ขอส่งเสริมว่า ต้องอาศัยทางด้านฆราวาสผู้บริหารปกครองนี้แหละ แม้ที่สุดจะใช้มาตรา 44 ก็ต้องใช้ กรุณาเลย จัดการ จริง เห็นใจเหมือนกัน
ตำรวจนี่ เขาไม่อยากไปจัดการกับพระ แม้แต่ว่าจะรู้ว่าพระนี้ผิดแต่นุ่งห่มผ้าเหลืองเขาก็เกรงใจ เขาไม่อยากยุ่งนะเพราะเขากลัว กลัวเพราะเขาไม่รู้ว่าผิดหรือถูกจริง บาปจะกินหัวเขา เขาไม่อยากทำ มันซ้อน เพราะตัวเองก็ไม่มีความรู้ว่าผิดหรือไม่ผิดจริง
ในฐานะผู้บริหารบ้านเมืองขณะนี้ อาตมาว่ามีความเฉลียวฉลาดมีความรู้เพียงพอที่จะจัดการ โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้เพียงพอ เช่น พันตำรวจโทพงศ์พรพราหมณ์เสน่ห์ ที่เป็นอยู่ขณะนี้ กำลังทำหน้าที่ได้ดีเลย อาตมาว่าถ้าเผื่อว่า ถูกย้ายปลดไป โดยไม่ควร กับเสียงประชาชน แล้วทำได้ดีแล้ว อาตมาว่า ผู้ที่มีอำนาจโยกย้าย จะถูกคดีเหมือนกับกรณีคุณถวิล เปลี่ยนศรี ดูเหมือนจะต้องติดคุกไหมนะ
ที่พูดนี้ สิ่งที่ควรก็ต้องเป็นสิ่งที่ควร สิ่งไม่ดีก็อย่าเกรงใจ จะไปเกรงใจทำไมคนชั่ว คนชั่วจะต้องถูกรื้อรังของตัวเองที่แสนทุจริตโสโครก เขาก็ต้องพยายามป้องกันไม่ให้รู้ เป็นธรรมดาธรรมชาติ 3 รู้ทั้งรู้อย่างนี้ถ้าไม่ช่วยส่งเสริมสิ่งที่ดี จัดการสิ่งไม่ดี ประเทศไทยก็จะแย่
ที่ประเทศไทยแย่มีการทุจริตมากเพราะว่าศาสนามันเสื่อม ศาสนาแท้จริงไม่ได้เสื่อม แต่ผู้ที่ดูแลศาสนาคุมเกมอยู่นี้เสื่อม ทำให้เสียหายไปจากสัจธรรมของพระพุทธเจ้า มันเป็นเรื่องอิทัปปัจจยตา มันไม่ได้มาจากอย่างอื่นเลย ซึ่ง มีความรู้เข้าใจสิ่งเหล่านี้กันได้ก็น่าจะช่วยกันจัดการ
อ่านเฟสบุคที่มาต่อ
_ปรีชา ขำเพชร ·...กรณีที่ท่านพงค์พร..ผอ.สำนักพุทธ...ถูกโยกย้ายจากตำแหน่ง..เนื่องจากจะจัดการเรื่องเงินทอนวัด...และเงินของโรงเรียนปริยัติธรรมที่ทุจริตกันอย่างฉาวโฉ่นั้น....อยากเรียนถามพ่อครูในเรื่องของ...กุศลกรรม อกุศลกรรม......บุญ...บาป...ของท่านพงค์พรและInvisible handในกรณีนี้ครับ?
พ่อครูว่า...ถามมาก็ตอบแรงๆว่า เรื่องการทุจริตเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม และมีเรื่องอื่นๆอีกที่เอาเงินไปให้วัดใช้ มันเป็นเรื่องทุจริตอีกมากมาย มีตัวอย่างเป็นเรื่องเงินทอนวัดนี้ ถามอาตมาว่า เรื่องกุศล อกุศล หรือบุญ บาป ในเรื่องของ คุณพงษ์พร
ผู้อำนวยการพุทธศาสนาคนนี้ ทำได้แม่น แม่นยำทั้งกฎหมายและธรรมวินัย ก็เลยจัดการได้ดีข้อสำคัญเป็นคนกล้าหาญชาญชัยหาได้ยาก ยิ่งยุคนี้ด้วย อาตมาว่าอาตมากล้าหาญพอควรนะ ไม่ได้ย่นย่อหยุดยั่งเลย จนกระทั่งทุกวันนี้อาตมาก็ยังทำได้อยู่ อาตมาก็ยังว่า คุณพงษ์พร นี้ทำต่อไปเลยอย่าหยุดยั้ง
เรื่องศาสนานี้เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลต่อสังคมมนุษยชาติ ถ้าศาสนาบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปหาอกุศลทุจริต สังคมมนุษยชาติก็ได้รับอิทธิพลนั้นด้วยแน่นอนที่สุด แต่ถ้าบูรณะ ปฏิสังขรณ์ปฏิรูปให้ศาสนามีอิทธิพลมีอำนาจขึ้นมาได้ คนจะมีอำนาจอิทธิพลก็ต้องเป็นคนสุจริตเป็นคนดี คนนั้นแหละ เป็นตัวจริง คนดีก็มีอิทธิพลดี คนชั่วก็มีอิทธิพลชั่ว ยิ่งให้คนชั่วไปรวมหัวกัน สร้างอิทธิพลชั่ว แล้วสังคมมันจะเหลือเรอะ
บุคคลร้อยคนหาคนกล้าได้หนึ่งคน
บุคคลพันคนหาคนเป็นบัณฑิตได้หนึ่งคน
บุคคลแสนคนหาคนพูดความจริงได้เพียงหนึ่งคน
ส่วนคนที่เสียสละโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนนั้นไม่ทราบว่าจะมีหรือไม่ คือไม่ทราบว่าจะหาในบุคคลจำนวนเท่าไร จึงจะพบได้หนึ่งคน"
บุญนี้สะสมไม่ได้ เป็นวิบัติเป็นเอกังเสนะ คือมีหน้าที่เดียว(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สื่อธรรมะพ่อครู(อวิชชาสูตร) ตอน คบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ จึงทำบุญเป็น
สมณะฟ้าไทว่า...ไอ ภาษาอังกฤษแปลว่าฉัน พ่อครูกำลังอธิบายคำว่าบุญ บุญมีหน้าที่เดียว (เอกังเสนะ)
พ่อครูว่า...เป็นเอกังสวาที คือ พูดได้หน้าที่เดียว จะไปแจกเป็นวิภัชวาทีแตกแขนงไปไม่ได้ พูดได้เป็นความหมายอย่างนี้อันเดียว นี่คือคำว่าบุญ บุญมีหน้าที่กำจัดกิเลส กำจัดกิเลสแล้วหมดหน้าที่ก็จบไม่ทำอย่างอื่น จะว่าบุญทำอย่างอื่นไม่เป็นก็ได้ ทำหน้าที่เดียวอย่างเด็ดขาดด้วย แต่ทุกวันนี้คนทำบุญไม่เป็นทำไม่เด็ดขาด หน้าที่ของบุญจึงไม่เกิด คน ทำบุญทุกวันนี้ถึงไม่มี
ไม่พ้นสักกายะ อ่านรูปนามของตัวตนกิเลสไม่ได้ ต้องอ่านอาการ ลิงค นิมิตกิเลสที่เป็นอกุศลจิตในใจไม่เป็น ไม่เรียนรู้กันเลย เข้าใจคำว่ารูปนาม คำว่ากายก็เข้าใจผิด ก็เลยยิ่งไปใหญ่ จะไปมีทางที่หวังว่าจะทำบุญกำจัดกิเลสอะไรได้
คำว่ากายก็ไม่เข้าใจ รูปก็ไม่รู้เรื่อง นามก็ไม่รู้เรื่อง เพราะไม่รู้จักเรื่องรูปจึงไม่อธิบาย อุปาทายรูป 24 หรือ แม้แต่นาม 5 ก็ไม่ได้อธิบาย หรือชาติ 5 ก็ไม่ขยายได้ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ เรื่องของรูปหยาบ รูปของนามยังอธิบายไม่ได้ เรื่องของนามก็ยิ่งอธิบายไม่ได้
รูป 24 ปสาทรูป โคจรรูป สัมผัสเกิด ภาวรูป 2 มีหทยรูป มีอาหารรูป ที่มีอาหาร ในอวิชชาสูตร
1. การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ..
การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง
2. การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ..
ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)
3. ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ..
การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)
4. การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น)
เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ .
5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น). .
เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์
6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ..
ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)
7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5
8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา
9. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 62)
เดี๋ยวนี้ อสัตบุรุษครองเมือง คนแม้เป็นผู้บริหารก็ต้องเคารพสัตบุรุษเอาธรรมจากสัตบุรุษ แต่นี่เคารพอสัตบุรุษ พระพุทธเจ้าจึงได้เน้นว่า ต้องคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ จะรู้ได้อย่างไรก็ต้องไปคบให้บริบูรณ์ ตรวจสอบค้นคว้า ทะลุทะลวงให้จริงว่านี้เป็นสัตบุรุษแท้ หรือเป็นสัตบุรุษปลอม ต้องคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ต้องฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ จากสัตบุรุษ มันเป็นสัจธรรมจริงหรือเปล่า แต่นี่สัตบุรุษมาที่บ้านให้ฟังกลับไม่ฟังหนีไปฟังแต่อสัตบุรุษที่ยัดเยียดครอบงำความคิด แล้วก็เชื่อ อสัตบุรุษ ธรรมะมันจะเหลือหรือ
พระพุทธเจ้าว่า คบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ฟังสัทธรรมบริบูรณ์จึงจะเกิดศรัทธาที่บริบูรณ์ แล้วจึงเกิดโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์ ทุกวันนี้โยนิโสมนสิการไม่เป็น ทำใจในใจกันไม่เป็น ก็ไปนั่งสะกดจิตหลับตาแล้วก็สอนไปต่างๆนานาสาระ มันไม่ตรงเลย ทำใจในใจไม่เป็น แค่ตั้งไว้ในใจ ก็ตั้งไว้ผิดทิศทางไปหานรกอเวจี สัจธรรมมันหนักและยาก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องพูดความจริงกระทุ้งกระแทกอย่างนี้ ยังไม่อยากจะตายง่ายๆเพื่อจะอยู่กระทุ้งกระแทกอย่างนี้ ชีวิตนี้ตั้งจิตมีชีวิตอยู่ ทำงานด้วยความกระทุ้งกระแทก เหนื๊อยเหนื่อย เพราะมันหนายิ่งกว่าหนังแรด แถมมีหนามอีกตั่งหาก
_ชุติญา วัฒนชุติกุล · ศึกษาธรรมมานานฟังอ่านมาเยอะแต่จิตบอกว่าไม่ใช่ จนมาเจอพระอาจารย์บอกเลยว่าใช่ น้อมนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า...จะตรวจสอบให้ดี ว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษไหม
1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์
2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์
8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ถูกใช้ให้ร่วมลักของมีวิบากไหม
_คำถาม จาก ชาวคริสต์ ที่ชอบนั่งสมาธิในวัดพุทธ...ถามว่า...
พระคุณท่าน ผม ได้พบพระท่านหนึ่งในวัดดัง กทม.แรก ๆ ก็ศรัทธา แต่พอสนิทเข้ารู็สึกแปลก ๆ คือ วันหนึ่ง ท่านวานให้ผมยกสิ่งของมีค่าออกมาจากกุฏิ โดย ให้นำไปให้คนขับรถของท่าน ที่กุฏินี้ มีพักกันสองรูป คือ พระท่านนี้ กับ หลวงตาที่ชรา เดิมผมก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่า เป็นของท่าน แต่มาสะดุดใจนิดเมื่อท่านย้ำว่า... หากหลวงตามาถามหาสิ่งของชิ้นนั้น ให้ตอบว่า ไม่รู้... ผมก็แปลกใจว่า คนในวัดหลายคนก็เห็นผมยกมา จะไม่รู้ได้อย่างไร ?
แล้วก็จริง วันต่อมา หลวงตาถามผม และ ให้ผมนำสิ่งของนั้นมาคืน เพราะมันเป็นของหลวงตา ผมก็บอกตามจริงว่า พระท่านที่หลวงตาอยู่ด้วย ให้ผมยกออกไปให้คนขับรถ... หลวงตาก็โวยใส่ผม ให้ผมนำไปใช้คืน...ของแพงขนาดนั้นจะซื้อมาคืนได้อย่างไร ? และผมก็ว่า ผมไม่ได้เป็นคนนำไป ผมจึงไปถามคนขับรถของพระรูปนั้น เขาก็ว่า เอาไปขายแล้ว...ผมเซ็งมากครับกับสิ่งที่ผมเจอแบบนี้
ขอกราบขอถามพระคุณว่า... ผมจะบาปมั๊ยครับ และ พระท่านที่ใช้ผมให้มายกของหลวงตาไป จะผิดวินัยข้อใดครับ...? ตอนนี้ ผมไม่กล้าไปวัดไหนอีกเลย หากก็เริ่มมาชมบุญนิยม ทีวีครับ
กราบนมัสการ ครับผม
พ่อครูว่า... ผิดวินัยข้อปาราชิก การเจตนาหยิบของที่ไม่ใช่ของๆเรา ให้เคลื่อนที่แค่ 1 องคุลี ยกขึ้นมาสูงแค่ 1 องคุลี หรือพื้นที่แค่ 1 องคุลีคือนิ้วเดียวก็ปาราชิกแล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนบงการทุกอย่าง คนเป็นแต่เพียงจับกัง ยกของแทนเขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็เหมือนกับสายพาน รถเข็น เหมือนอะไร คนทำก็มีจิตบงการ คุณก็เหมือนกับหุ่นยนต์ คุณไม่ผิดอะไรหรอก พาซื่อจะตาย แต่ถ้าคุณมีจิตใจร่วมรู้ทั้งรู้ว่าเป็นสิ่งไม่ถูกแล้วทำด้วยมีเอี่ยวด้วยก็บาปแน่นอน หรืออาจรู้ว่าผิดแน่ แต่รอให้ขายให้ได้ก่อนแล้วมาแบลคเมย์ทีหลัง ว่า ผมขอสามพัน อาจารย์สองพัน ถ้าไม่ยอมปาราชิกนะ แต่อย่างว่าสังคมสงฆ์ทุกวันนี้ไม่เอาเรื่องราว อาตมาถึงได้ขอแยกออกจากมหาเถรสมาคม แล้วเขาก็มาบอกว่าอาตมาเป็นพวกนอกรีต
ในจิตใจที่จะบาปหรือไม่ถ้ามีจิตใจร่วมก็บาป แต่เท่าที่เล่ามาก็ไม่บาปอะไร แต่พระที่ให้มายกนี้ต้องอาบัติปาราชิก เดี๋ยวนี้เขาไม่รู้เรื่องกันแล้วปาราชิกอะไร
ทีนี้ก็มีประเด็นที่อาตมาเองค้างไว้ก่อน จะพูดทีหลังก็คือ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน มิจฉาวณิชชา5 เน้นที่อย่าขายอาวุธ
_3867 สงสัย(อีกล่ะ)จรวดเกาคิม ยิงผ่าโอโซนทะลุอ่าวร้อยพันลูก!สารพิษนิวเคลียร์แตกกระจายทั่วทะเลเจแปนมีผลกระทบกับสัตว์น้ำไหม?ห่วงคนกินอาหารปลาเป็นหลัก!บทเรียนสงครามโลกที่1-2สงค.เวียดนาม,นาซี,อ่าวเปอร์เซีย,ตะวันออกกลางฯที่ไหนๆมีจุดจบเหมือนกันหมด!ป่าสวนไร่นาแหล่งพืชพันธัญญาหารถูกทำลายหมดทั้งบนบกทะเล!แต่ที่ไม่เคยเสียหายจากสงค.เลยคือ แหล่งพลังงานที่ฟื้นคืนชีพหลังสงค.เร็วไวกว่าแหล่งอาหารเสียอีก!พ่อครูว่าจริงไหม?
สงครามสากลแต่ละยุคสมัยนักค้าอาวุธมหาอำนาจเบื้องหลังทุกสงคราม เขาจะเปลี่ยนครัวโลกเป็นมหานครพลังงานโลกฤา?แล้วพลโลกรุ่นต่อไปจะเอาอะไรกิน?
พ่อครูว่า...มาถามอาตมา จะมีความรู้ไหม ให้ไปถาม Google ดีกว่า
อย่างคิมจองอึนกับโดนัล ทรัมป์แล้วคนคะนองเจอกับคนคะนอง หญ้าแพรกก็แหลกราญ
อย่างไรก็ตามถ้าเกิดสงครามโลกเกิดขึ้น ประเทศไทยขอประกาศเลยว่าไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับสงครามโลกได้ไหม เขาจะฆ่าแกงก็เป็นเรื่องของเขาเอง แม้แต่จะบินข้ามน่านฟ้าก็ไปบินที่อื่น อย่ามาข้ามตรงนี้ ประกาศเลยได้ไหม เราไม่อยากจะให้เกิดเลยสิ่งเหล่านี้
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องมิจฉาวณิชชา 5 ที่ร้ายเเรงสุดขึ้นข้อหนึ่งเลยคือการค้าขายอาวุธ สัตถวณิชชา การร้ายแรงข้อ 2 บาปมหาศาลคือ สัตตวณิชชา
1. การค้าขายอาวุธ (สัตถวณิชชา)
2. การค้าขายสัตว์มีชีวิต (สัตตวณิชชา)
3. การค้าขายเนื้อสัตว์ (มังสวณิชชา)
4. การค้าขายสิ่งมอมเมา (มัชชวณิชชา)
5. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ (วีสวณิชชา)
(พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 177)
ใครที่ขายเนื้อสัตว์อยู่ก็บาปทั้งนั้น ไปค้าขายสัตว์เป็นสัตว์มีชีวิต บาป ตลอดเวลา การค้าขายอาวุธนี่บาป ประเด็นที่1 อาวุธสร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าคน มันเลวร้ายตั้งแต่รู้ว่าสร้างขึ้นมาทำไม ไม่ได้สร้างไปฆ่าสัตว์หรอก แต่สร้างมาฆ่าคน จะหาคนที่เลวที่สุดเท่าที่หา เท่าที่คนไปสร้างอาวุธมาค้าขายกันไม่ได้ เลวที่สุดในกระบวนการค้าขาย 5 ประการที่เป็นมิจฉาวณิชชา เลวที่สุด
เพราะฉะนั้นคนร่ำรวยด้วยการค้าขายอาวุธ ฆ่าคน นี่ จึงเป็นการทำบาป ซับซ้อน สร้างอาวุธก็บาป แล้วดันเอาไปขูดรีดด้วยการซื้อ เพราะตนเองสร้างได้ร้ายแรง ประเทศอื่นสร้างได้ไม่เท่า ก็ต้องมาซื้อ เกาหลีเหนือคงคิดเช่นนี้ ถ้าสามารถสร้างอาวุธได้ร้ายแรงมากกว่าประเทศอื่น เขาจะเป็นมหาอำนาจยิ่งกว่าอเมริกาหรือรัสเซีย แล้วเขาจะผลิตอาวุธนี้ขาย ยิ่งจะเกิดสงครามโลก เขาก็ยิ่งได้ขายแน่นอน เขาจะรวยขึ้นทันที จะเอาเงินมาซื้อประเทศต่างๆมนุษยชาติต่างๆเอามาครอบงำประเทศต่างๆทันที
เขาจะมีอย่างนี้ไม่มีทางออกอื่นเลย จะเอาสินค้ามาขายก็ไม่ได้ทางลัดเท่ากับการสร้างอาวุธได้เก่งที่สุด เพราะฉะนั้นจึงพัฒนาอยู่ตลอดเวลา จึงพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อาวุธไฮโดรเจน อาวุธนาโน อาวุธอะไรอื่นอีก นี่เขาก็ทำด้วยแบบนั้น
สรุปแล้วในมนุษยชาติเขาไม่รู้ประสีประสาไม่รู้จักดีจักชั่ว จึงเกิดเป็นจริงอย่างนี้ในสังคมโลก เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้ความจริงแล้วอย่าให้ตัวเองไปพัวพัน มันห้ามไม่ได้หรอก ที่จะมีคนดีคนชั่วในโลก คนเลวคนดีห้ามไม่ได้มันต้องมี
เพราะฉะนั้นเราก็อย่าไปวุ่นวายกับคนชั่ว พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้คบคนชั่วด้วยประการทั้งปวง มาคบคนดีกันช่วยกันไป คนชั่วนั้นเราไปข้องแวะด้วยไม่ได้หรอก บางทีเราฉลาดเฉลียว สู้คนชั่วไม่ได้ด้วย เพราะคนชั่วมันพัฒนาความชั่วได้อย่างฉลาดไม่หยุดยั้ง พัฒนาความฉลาดไม่หยุดยั้ง พัฒนาสิ่งที่แปลกใหม่ร้ายแรงไม่รู้จบ สร้างสิ่งที่ร้ายแรงแปลกใหม่พิสดาร ร้ายแรงที่เหนือคาดคิด สร้างขึ้นเรื่อย เพราะเขาจะใช้อันนั้นเป็นอำนาจไม่หยุดหรอก แต่คนที่มาทางดี นอกจากดีแล้วมาทางอาริยะมาทางโลกุตรธรรม ก็ไม่คิดจะไปสร้างชั่ว สร้างแต่ดีที่จะเป็นการเกื้อกูล อนุเคราะห์ช่วยเหลือกันอย่างนั้นจริงๆ
ธรรมะที่อาตมานำมาเสนอต่อโลก ไม่ใช่เสนอต่อแค่ประเทศไทย เพียงแต่โลก ประเทศต่างๆ เป็นประเทศที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนาในระดับเทวนิยม จึงเข้าใจอเทวนิยมที่เป็นโลกุตระนี้ไม่ได้ แม้แต่ประเทศที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาเหมือนกัน เขาก็เข้าไม่ถึง อเทวนิยมที่เป็นโลกุตระ เขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง แม้แต่จะเป็นพุทธ อเทวนิยม แต่เขาก็ฟังโลกุตรธรรมไม่ออก
ขอประกาศอย่างมั่นใจและจริงใจที่สุดว่าประเทศไทยมี โลกุตรธรรม ที่อาตมานำมาฟื้นคืน มันเป็นธุลีสุดท้ายของโลกุตรธรรม แต่อาตมาคว้าดึงมาได้ ก็มีขึ้นมาในประเทศไทย อย่างน้อยก็มีชาวอโศก ก็จะพยายามสืบทอดกันไปในประเทศไทยให้เป็นหลัก ประเทศอื่นที่เขาศึกษาพุทธศาสนาคนที่ศึกษาโลกุตรธรรมบ้างก็ค่อยๆมารู้ ซึ่งไม่ง่าย ขนาดคนไทยเป็นชาวพุทธมาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดยังเข้าใจได้ยาก แล้วพวกเทวนิยมคนละขั้วจะเข้าใจง่ายได้ที่ไหน ไม่ต้องกลัวหรอก ว่าประเทศอื่นจะมามาก แต่จะมาได้บางคน ประเทศไทยเองก็หลงกับโลกียะไม่มาเอา แต่ถ้าคนที่ชัดเจนและฉลาด ก็มาเอา
เมื่อได้ปลูกฝังปลูกวัฒนธรรมไปในโลกแล้ว หยั่งรากลงไป ก็จะเกิดการเจริญงอกงาม จะโตช้าบ้างก็ไม่เป็นไร แน่นอนของดีของยาก คนก็มาเอาช้า เราก็ดูแลรดน้ำพรวนดินทําให้โลกุตรธรรมนี้เจริญงอกงามไป ประมาทไม่ได้
อาตมาได้พูดไว้ว่า สักประมาณ 500 ปี โลกุตรธรรมจึงจะขึ้นถึงpeakสูงสุด โลกุตรธรรมที่อาตมาได้พัฒนาขึ้นมาจะค่อยๆเจริญงอกงามไปเจริญสูงสุดอีก 500 ปี ก็ทำงานมา 47 ปีแล้วก็เหลืออีก 453 ปี แต่peak สุดในอีก 500 ปี
แล้วเนื้อหาโลกุตระ peak สุดนี้ก็ค่อยๆเสื่อมไปจนกระทั่งหมด สองพันกว่าปีก็ครบห้าพันปี ศาสนาพุทธก็สิ้นสุดในกัปป์นี้ไม่เหลือ ไม่ได้พูดเล่น โบราณาจารย์พูดว่าศาสนาพุทธจะมีอายุถึง 5000 ปี ท่านก็ว่าไว้แล้ว อาตมาไม่ได้งมงาย แต่ก็มีภูมิของตนรู้ว่า ศาสนาพุทธของพระสมณโคดมจะอายุถึง 5000 ปี แม้แต่หลักฐานยืนยัน 2500 ,2600 ปีก็เกือบไม่เหลือเลย
_6956 เขามองไม่เห็นพราะอยู่คนละภพภูมิกับชาวอโศก บางแค ก ท ม
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พ่อครูคือใครจึงอธิบายอจินไตยฌานวิสัยได้
_2166 กราบนมัสการครับหลวงปู่ วันนี้ผมขออาสาเป็นหนูเอากระดิ่งทาผูกคอแมว(หลวงปู่) วันนี้ขอถามหลวงปู่ว่าหลวงปู่คือไครกันแน่ วันนี้ห้ามแทงกั๊กนะครับ เช่นเป็น พระโกณทัญญะ หรือ พระกัสสปะ หรือ พระสารีบุตร หรือ พระพาหิยะ หรือ ฯลฯ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว หลวงปู่ก็ประกาศมาหมดแล้ว หรือว่าเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช หรือเป็นพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ขอบคุณหลวงปู่ครับผม. / เชียงบัว เมืองอุบล.
พ่อครูว่า...เรื่องอย่างนี้นี่เขาไม่พูดกันหรอกไม่บอกกันง่ายๆหรอก แต่อาตมาพูดไปพูดมาก็บอกบ้าง เขาอยากรู้กันก็เลยให้รู้กันบ้างเล็กๆน้อยๆ เป็นน้ำกระสาย เล็กๆน้อยๆไป ก็ขอตอบเป็นวิชาการว่า
การจะเกิดเป็นใครเป็นใครนั้น มันเป็นเหตุปัจจัยที่มีจริงของแต่ละคนแต่ละคน จะไปเอาร่างกายเนื้อหนังมังสาดินน้ำไฟลมเป็นตัวยืนยันไม่ได้หรอก อาตมาเคยบอกแล้วว่า คนที่บอกว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรมาเกิดใช่ไหม อาตมาก็บอกว่า ถ้าใครพูดว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรมาเกิดนี่ คนนั้นดูถูกอาตมา เพราะอาตมามาเกิด พระสารีบุตรเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านพยายามพัฒนาพากเพียรจนเจริญขึ้น ในแต่ละชาติที่ท่านเกิด ในยุคของพระสมณโคดมท่านก็พากเพียรตัวเอง แม้จะไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมาเกิดกับสังคมโลกมนุษย์ ก็ต้องพากเพียรปฏิบัติเสริม ความเป็นโพธิสัตว์ให้เจริญขึ้นอีก
ถ้าอาตมาเป็นพระสารีบุตรมาเกิดมาเป็นสมณะโพธิรักษ์ อาตมาเกิดมาอีกตั้งหลายชาติแล้ว มาถึงชาตินี้ก็ต้องพัฒนาขึ้นมาอีกไม่ใช่น้อยกว่าพระสารีบุตร แล้วมาบอกว่านี่แหละพระสารีบุตร คุณดูถูกอาตมา อาตมาทิ้งความเป็นพระสารีบุตรมาตั้งแต่ไหนมาเป็นคนเจริญกว่านั้น จริงๆ ถ้าอาตมาเป็น แต่ถ้าอาตมาจะไม่ติดร่างกายตัวตน ว่าไปเกิด เป็นพระสารีบุตรหรือไม่ แต่เป็นนามธรรมสัจจะ โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าทุกองค์เป็นอันเดียวกัน อาตมาเป็นหน่อเนื้อของพุทธะสัมมาสัมพุทธะ เหมือนกันหมด DNA เดียวกัน จะแตกแบ่งไปเป็นบุคคลใดๆ ถ้าเป็นสัจธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นสัมมาทิฏฐิที่ตรงกันเป็นโลกุตระธรรมอันเดียวกัน
อาตมาคือพระสมณโคดม คือพระสารีบุตร คือพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์อันเดียวกันหมดเลย มาเป็นสมณะโพธิรักษ์ก็อันเดียวกัน ผู้ที่มีโลกุตรธรรม คุณถามมา พระโกณทัญญะ หรือ พระกัสสปะ หรือ พระสารีบุตร หรือ พระพาหิยะ พระเจ้าอโศกมหาราช หรือเป็นพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ใช่หมด พอไหม ตอบขนาดนี้ อิ่มหรือยัง
ในเรื่องอจินไตยนั้นอาตมาก็พยายามอธิบาย อจินไตย อธิบายได้สำหรับผู้รู้ ผู้ที่ไม่รู้อย่าไปคิดเดี๋ยวหัวแตกเป็น 7 เสี่ยง แต่ผู้ที่ถึงภูมิอจินไตยนั้นก็อธิบายได้
เอาข้อเขียน ที่อาตมาจะเขียนลงเราคิดอะไรฉบับหน้ามา อ่าน
ฉบับ 326 เราได้เปรยปรามผู้ที่ยังไม่รู้จริงสัจจะของพุทธธรรมสัมมาทิฏฐิแท้ แล้วใช้“ความเห็น”ของตนสาธยายธรรมไปผิดๆ
คนแบบนี้แหละที่ทำให้ศาสนาพุทธ เสื่อมไปมากกว่ามาก ผู้ทำความเสื่อมแบบนี้ได้บาปหนักยิ่ง เพราะทำให้ผู้คนเข้าใจเนื้อแท้ความจริงของศาสนาผิดเพี้ยนไป
ทุกวันนี้ก็ยังมีคนที่“ทำบาปให้แก่ตนเอง”แบบนี้อยู่มากหลาย เพราะอวิชชาของเขาผู้นั้นแท้ๆ จึง“ก่อบาปใส่ตน”หนักหนาสาหัสสากรรจ์ โดยไม่รู้ตัว
บางคนนั้นรู้ทั้งรู้ ว่าที่ตนสาธยายนั้น ตนเองก็ยืนยันไม่ได้หรอกว่าที่ตนสาธยายไปนั้น“ผิด”หรือ“ถูก” แต่ก็ประมาทสาธยาย จะด้วยความอวดดีก็ตาม ด้วยความไม่เกรงกลัวบาปก็ตาม หรือด้วยความจำเป็นก็ตาม เมื่อพูดผิดจริง ก็ต้อง“ได้บาป”จริง ซึ่งมันเป็น“กรรมที่เป็นอันทำ” ใครทำก็“ได้บาป” แน่ เพราะ“กรรม”ที่ตน“ทำเอง”จริงนั้นแท้ๆ
ซึ่งธรรมขั้น“โพธิสัตวภูมิ”นี้เป็นโลกุตรธรรม ต้องคนผู้มีภูมิสูงจริงผ่านความเป็นโพธิสัตว์ขั้นนั้นแล้ว จึงจะสามารถสาธยายภูมิ“อจินไตย”แต่ละขั้นนั้นๆเป็นความรู้ได้
โพธิสัตว์คือผู้ที่ต้องมีภูมิเป็นพระอรหันต์มาแล้ว เริ่มตั้งแต่ โสดาบันโพธิสัตว์เป็นต้นไป แต่ในเมืองไทยนั้นมีผู้เฒ่าชนที่เป็นโพธิสัตว์เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก
แต่ทุกวันนี้ โพธิไม่เหลือ จึงไม่สามารถอธิบายโพธิปักขิยธรรม 37 ที่เป็นโลกุตระทำได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 31 ข้อ 620 มีโลกุตรธรรม 46
“อจินไตย”พระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ ซึ่งได้แก่ 1.พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้า(พุทธวิสยะ)
2.ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน(ฌานวิสยะ) 3.วิบากแห่งกรรม(กัมมวิปาโก) 4.ความคิดเรื่องโลก(โลกจินตา) จากพระไตรปิฎก เล่ม 21 ข้อ 77
ในฉบับที่แล้ว เราได้สาธยายถึง ความเป็นโพธิสัตว์กัน
“ภูมิโพธิสัตว์”นั้นเป็นภูมิ ที่มี“ความตรัสรู้”คือ มี“โพธิ”ไปตามลำดับๆก็เป็นผู้“พ้นอจินไตย”ไปตามลำดับ ยกขั้น“พุทธวิสัย”ไว้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็น“ภูมิสัมมาสัมพุทธเจ้า”ที่พึงรู้ยิ่งเองในพระองค์เอง อันผู้ยัง“ไม่มีภูมินั้น”ย่อมมิบังอาจจะมีความเป็น“ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ”(ภาวะธรรมที่ผู้รู้รู้ได้เฉพาะตน)ได้เด็ดขาด
นอกนั้นก็เป็น“ภูมิโพธิสัตว์”ตั้งแต่ขั้น “ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน” เป็นต้นไป จึงเป็นผู้มีภูมิ“พ้นอจินไตย”จริงของโพธิสัตว์แต่ละขั้น จึงจะสามารถสาธยายความเป็น“ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน”ตามฐานะของตนๆได้
คนที่อธิบาย ฌาน อย่างผิดๆ จึงลงนรกกันไปกอดคอกันลงนรก คนจะพูดเรื่องฌาน จะต้องเข้าใจชัดเจนว่าเป็นฌาน ของพระพุทธเจ้านะ แต่ฌานก็มีฌานโลกีย์กับฌานโลกุตระ
ฌาน คือ วิสัย ของพลังงานที่แต่ละคนสร้างพลังงานนี้ได้ถึงขีดที่จะทำลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ อาตมาว่าได้อธิบายใช้ภาษาสื่อชัดเจนนะ ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญาไม่ได้ยากอะไรเลย ใช้ภาษาไทยและภาษาบาลีผสมผสานขยายความได้ชัดเจน
ใครอวดดีอธิบายฌาน แล้วดันผิด ก็ได้บาปได้อจินไตยบาปที่ทำ เพราะว่าได้อธิบายผิด แล้วก็ย้ำยืนยันว่าถูกอีก คนเชื่อถือก็ไปนับถือแต่เนื้อหาผิด ก็เลยบาปไปด้วยกันเลย
1.“พุทธวิสัย”ที่จำกัด“อจินไตย”เฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น เป็น“สัพพัญญุตญาณ”
ซึ่งผู้ยังไม่มีภูมิ“สยัมภู”ย่อมเกินกว่าจะค้นลึกนึกคิดเอา“ความจริง”นั้นมาบอกใครได้
“ความจริง”ที่เป็นโลกุตระแท้จริงนั้น ผู้บรรลุ“ความจริงในโลกุตรธรรม”จริงด้วยตัวเองแท้ๆเท่านั้น จึงจะกล่าว“ความจริง”นั้นได้จาก“ความจริง”เท่าที่ตนบรรลุเอง เป็นอันรับรองได้ว่า“ถูกต้อง-ตรงจริง”ตามความจริง
ไม่ว่าจะเป็นอจินไตยขั้น“ฌานวิสัย”ก็เท่าที่“ตนเอง”บรรลุ“ฌาน”ระดับนั้นๆจริง
ซึ่งความเป็น“ฌาน”ของพุทธนี้ยังยากมากที่จะสาธยายความเป็น“ฌาน”ให้ผู้ที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิจริงเข้าใจตรงแท้ตามสภาวะจริงของความเป็น“ฌานของพุทธ”ได้อย่างครอบคลุมบริบูรณ์สัมบูรณ์
จึงมีแต่“ฌาน”ที่ทำได้แบบเดียรถีย์กันเต็มสังคมทั่วไป ไม่ใช่“สัมมาฌาน”ของพุทธ
เพราะความเป็น“ฌาน”นี้มันเป็น“วิสัย” ที่สุดแห่งที่สุดของ“สยํ”(เอง,โดยตนเอง)จริงๆ
“ฌาน”ของพุทธจริงๆนั้นมันหมายถึง
“พลังงานอุณหธาตุ”ที่เป็น“ไฟกองใหญ่”มีฤทธิ์เหนือกว่าพลังงาน“ธาตุสสาร”และ“นามธาตุขั้นโลกีย์” อย่างวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)เกินคาด
ซึ่งเป็น“พลังงาน”ที่มีทั้งความเร็วในการหมุนตัวรอบสูง และมีทั้งความแรงที่มีฤทธิ์สลายธาตุอื่นได้เยี่ยมยอด จึงสามารถ“เผา”หรือ“กำจัดไฟธาตุ”อื่นที่เป็น“จิตนิยาม”คือ“ไฟราคะ-ไฟโทสะ-ไฟโมหะ” ให้ละลายหายสูญไปอย่างสิ้นซากเกลี้ยงสนิทเด็ดขาดถาวรยั่งยืนตลอดกาลนิรันดรได้จริงๆ
พลังงาน ฌาน นี้ถ้าสามารถรวมอย่างเก่งสามารถเผาไม้เผาวัตถุได้ด้วยถ้ารวมได้อย่างเก่งจริงๆเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ เขาเรียกพระฤาษีตาไฟ มีพลังฌานที่แรงมาก ฤาษีนี้เลยมีตาที่สาม ไม่ลืมตานี้ง่ายๆ ถ้าลืมตานี้ก็กระทบวัตถุไหม้ไปเลย เรียกฤาษีตาไฟ จริงๆทำได้ อันนั้นเป็น เดรัจฉานวิชชา ทำได้เป็นโลกียะ พระพุทธเจ้าไม่เอาเวลาแรงงานไปทำพลังงานแบบนั้น ไม่ต้องใช้ขนาดนั้นหรอก แต่ใช้พลังงานมารู้จักกิเลส แล้วใช้พลังงานฌาน ไปตามสมควร ไปตามลำดับ จะสลายพลังงานกิเลสได้ ซึ่งสลายวัตถุนั้นทำยากและไม่ได้เก่งอะไร สร้างพลังงานเพิ่มดีกรีองศาความร้อนทางวัตถุ นั้นทำง่ายกว่าเยอะไม่ต้องใช้พลังงานจิตนี้หรอก เอาพลังงานมาสลาย ราคะโทสะโมหะดีกว่า
แต่ผู้มีจริตสายสมถะ ก็เอาภาษาคำว่า “ฌาน”ไปใช้ในเชิง“การเพ่ง-การข่ม”เท่านั้นโดยวิธี“กดข่มจิต”(meditation ซึ่งมิใช่ supra-concentration)ด้วยพลังงาน“ข่มจิตสะกดจิต”ให้ยิ่งๆ จนกระทั่งแข็งแน่นนิ่งสนิทไม่เคลื่อน ไม่ไหวติงได้ ไม่รู้ตนนานสุดแสนนาน ถึงขั้นตน“จำกาละ”ไม่ได้ จึงทำให้หลงว่า นี่คือ “นิรันดร” เพราะมันนานเกินกว่าที่ตนจะระลึกนึกถึงหรือระลึกนึกค้นขึ้นมาได้
แล้วแม้จะทำได้แล้วจะสอนคนอื่นให้ทำตามก็ยิ่งยากเสียเวลาทำได้ไม่กี่คนหรอก
แต่ตามความเป็นจริงสภาวะนั้นยังไม่ได้ถูกกำจัดทำลาย ยังไม่“สลายสูญไป”หรือหายไปจากความเป็น“ตัวตน”นั้นๆเด็ดขาด
“ฌานวิสัย”แบบพุทธจึงเป็น“อจินไตย” ที่มันสุด“วิสัย”ของพุทธ ซึ่งเกินกว่าใครอื่นหรือผู้มีแค่“ฌานโลกีย์”จะคาดเดา หรือจะนึกคะเนคำนวณเอาอย่างเป็นจริงได้
ต้องผู้ที่ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิและสัมมาปฏิบัติกระทั่งเกิดความเป็น“ฌานโลกุตระ”
ชนิดที่เข้าไปถึงขั้น“โอปปาติกโยนิ”ในจิตของผู้มี“ฌานเอง”(ฌานิกะ)อย่างถูกตรงแน่แท้เท่านั้น จึงจะ“พ้นอจินไตย”ที่เกิด“ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน(ฌานวิสยะ)แบบพุทธ”กันจริงๆ
ผู้หลับตาสะกดจิตปฏิบัติก็สามารถได้แค่“ฌานโลกียวิสัย” จึงมิใช่วิสัยของผู้มี“ฌานโลกุตรวิสัย”เลย ด้วยประการอย่างนี้
“อจินไตย”ในเรื่อง“ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน”(ฌานวิสัยะ)จึงมีนัยสำคัญที่ต่างกันฉะนี้
“อจินไตย”รองลงมาจาก“พุทธวิสัย” คือ“ฌานวิสัย”จึงเป็น“อจินไตย”ฉะนี้เอง
“ฌานวิสัย”ของพุทธเป็น“อุตตริมนุสสธรรม”แท้ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องจะเอาไปพูดสาธยายกันได้ง่ายๆ ขืนไม่เป็นผู้มี“ฌาน”ที่สัมมาปฏิเวธในตนจริง ผู้พูดพล่อยๆกันจึงคะนองปากอย่างที่เห็นที่เป็นอยู่ นั่น..นรกนะ!
สองสายที่พูดเรื่องนี้ มีสายสว่างใสอาภัสรา อย่างธรรมกายธัมมชโย กับสายดับดำมืดอย่างพระป่า สองสายนี้เข้าใจผิด พูดฌานแบบผิด
ของพุทธเป็นการขจัดกิเลสออกจากจิต จิตก็ยิ่งคล่องแคล่ว ผ่องใส มีโลกวิทู มีโลกุตรจิต มีโลกานุกัมปา จิตที่เป็นฌาน เป็นวิมุติของพระพุทธเจ้า ยิ่งเป็น อุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
“ฌานวิสัย”นี้จึงเป็น“อจินไตย”สูงสุดสำหรับ“วิสัย”ทั้งหลาย ยกเว้น“พุทธวิสัย” เท่านั้นที่ต้องยกไว้เป็นที่สูงที่สุดแห่งที่สุด
“อจินไตย”รองลงมาจาก“ฌานวิสัย”ก็คือ“วิบากแห่งกรรม”(กัมมวิปาโก)ก็เท่าที่“ตนเอง”ได้มีส่วนเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กันมาแล้วกับตนเอง อาจจะเป็นอดีตกี่กัปป์กี่กัลป์ ก็ตาม ถ้าผู้นั้นเคยเกี่ยวข้องกันมาจริงและเก่งพอ มีภูมิถึงจริงก็สามารถระลึกนึกค้นเอา“อดีต”ที่ตนเคยเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กันมานั้นๆได้จริง ถ้าไม่มีภาวะที่ตนได้สัมผัสสัมพันธ์กันมาจริง อดีตนั้นก็ไม่จริง ก็โกหก การระลึกชาติภูมิอดีต จึงปลอมกันเยอะ
เพราะถ้าไม่เคยเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กันมาเลยสักชาติ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะนำ“ความจริง”นั้นมาระลึกถึง ตามที่เป็นจริงมีจริงได้
ผู้จะระลึกชาติของตน หรือระลึกชาติของใครก็ตามได้นั้น ตนต้องมีความสัมผัสสัมพันธ์ในเหตุการณ์นั้นปรากฏการณ์นั้นๆในชาติใดชาติหนึ่ง หรือในหลายชาติจริงมาแล้ว จึงจะระลึก“ความจริง”นั้นๆขึ้นมาได้
ไม่เช่นนั้น จะเอาอะไรมาระลึก มันต้องมีอยู่ในคลัง“สัญญา”(ความจำ)ของตนเองจริงก่อน จึงจะระลึกชาติเก่าขึ้นมาได้
ผู้จะระลึกชาติก่อนได้ ก็ต้องระลึกจาก“สัญญา”ที่ตนเองเคยมีมาแล้วในเก่าก่อน จึงจะสามารถระลึกเอา“ความจริงที่มี”นั้นมาให้ระลึก หาไม่ก็เป็นเรื่อง“คิดเอาเองปั้นเอาเอง”
ยิ่งระลึกเอา“ความรู้”อันเป็นคุณวิเศษ ขั้น“โลกุตรธรรม”นั้น ยิ่งเป็นเรื่องนำมาพูดอวดดี อวดโก้ อวดใหญ่ไม่ได้เป็นแน่แท้ จะพล่อยพูด จะพร่ำเพ้อกันอย่างไร ก็ไม่ถูกไม่ตรงตามสัจจะแห่งโลกุตระได้เด็ดขาด
พ่อครูจบตรงนี้
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูได้พูดเรื่องฌานวิสัยตอนท้ายใน อจินไตย 4
จบ….
ตรวจสอบเอาตามหลักฐานทั้งหลายที่มีกันอยู่เถิด ยุคนี้ก็ยังมีหลักฐานให้อ้างอิงมากมาย ทั้งวัตถุ ตำนาน สถานที่ บัญญัติ ภาษา ตำรา คัมภีร์ ผู้คน เหตุผล ฯลฯ
ขออธิบาย“อจินไตย”ต่อ
“อจินไตย 4”นั้นยก“พุทธวิสัย”ไว้แล้ว นับตั้งแต่ขั้น“ฌานวิสัย”แล้วก็“วิบากแห่งกรรม” แล้วจึง“ความคิดเรื่องโลก(โลกจินตา)ซึ่งเป็นลำดับๆ สำหรับผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงจึงจริง
เช่น โสดาบันก็มี“ภูมิโพธิ”หรือ“ภูมิที่ตนตรัสรู้โลกุตรธรรม”ในขั้นของตนแท้จริง ซึ่งบางคนก็ไม่สามารถสาธยาย“ภูมิขั้นที่ตนมี”
สู่ผู้อื่นฟังได้ แต่ในตนมี“ภูมิธรรม”นั้นๆแล้ว
จริง หรือขั้นอื่นก็เช่นกัน ท่านที่บรรลุ“ภูมิแห่งความตรัสรู้”(โพธิสัตวภูมิ)นั้นๆแล้วจึงยังมีแตกต่างกันไปอีกหลายอย่างหลายนัย
เพราะบางท่านไม่มีจริตนิสัยในการสาธยาย แต่ท่านมีความประพฤติที่เห็นได้อ่านออกว่าท่านหลุดพ้น หากได้คบคุ้นกันเพียงพอ ถ้าผู้นั้นมีภูมิที่สามารถรู้ได้ ก็จะรู้
แต่บางท่านแม้คบคุ้นแล้วก็ยังรู้จักท่านไม่ได้ ก็มีอยู่มากมาย ถ้าท่านไม่บอกตนเอง
ดังนั้น “การบอกความจริงของตนเอง” ที่สำคัญสูงยิ่งคือ“อุตตริมนุสสธรรม”จึงจำเป็นต้องบอก ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน“โลหิจจสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 351-364)จึงเป็นสูตรที่ยืนยันสำคัญยิ่งในเรื่องนี้ ศึกษาอ่านตรวจกันให้ละเอียดลออเถิด หรือแม้แค่ใน“อภิณหปัจจเวกขณะ 10”ข้อที่ 10 ก็ยืนยันอยู่โต้งๆว่า “ต้องบอก-ต้องยืนยัน“อุตตริ
มนุสสธรรม”ด้วยตนเอง เพราะใครจะยืนยัน “ความจริง”ขั้นโลกุตรธรรมได้เท่าตนเองผู้บรรลุเองจริงกันเล่า
“โลกุตรธรรม”มีทั้งการอนุโลม(ย้อนตาม ลูกศร)-ปฏิโลม(ย้อนทวนลูกศร) ที่เป็น“สัจจะย้อนสภาพหรือเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน”(ปฏินิสสัคคะ,คัมภีราวภาโส)ที่กลับไปกลับมา วนไปวนมา ดูเหมือนกลับกลอกยอกย้อนไม่สุจริต
แต่แท้จริงผู้ที่สูงจริงที่จะต้อง“ปฏิโลม”
ตนเอง เพื่อ“อนุโลม”แก่ผู้ยังอยู่ในฐานที่ยังไม่สูงถึงขั้นสูงนั้น มันก็จำเป็นที่จะต้องร่วมมีร่วมเป็นไปกับผู้ยังไม่เดียงสา ผู้ยังอ่อนวัย ยังอ่อนภูมิ เป็นธรรมดา ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถนำพาผู้ด้อยกว่านั้นไปได้
ลองไตร่ตรองดูสิ ถ้าผู้ที่ยังข้องใจ สงสัย ลังเลอยู่ว่า “เอ๊..อรหันต์นี่มันเป็นยังไงน้า!”
จะอ่านเอาจากที่มองเห็นด้วยตาเนื้อ หรือแม้จะมีความรู้ทางปริยัติมามากมายแค่ใดก็เถอะ หากมาเจอ“สภาพสัจจะย้อนสภาพหรือสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน(ปฏินิสสัคคะ,คัมภีราวภาโส)อย่างว่านี้เข้า ถ้าไม่ให้ผู้ที่บรรลุจริง“บอกตนเอง”รับรองว่า“ตนเองบรรลุจริง แต่นี่คือการอนุโลม-ปฏิโลมเพื่อผู้อื่นนะ”
ซึ่งไม่ใช่การเล่นลิ้นแก้ตัว โกหกซ้ำซ้อนเลย แต่เป็นความจริงความแท้ของผู้ซื่อตรงที่แท้ แล้วมันจะทำให้หายข้องใจ สงสัย ลังเล กันได้ง่ายๆมั้ย? ลองใคร่ครวญไตร่ตรองดูซิ
เห็นมั้ย? ว่า ผู้บรรลุจริงเท่านั้นที่จะต้อง“บอกความจริง”เพราะท่านคือ ผู้ซื่อสัตย์สุจริตจริง ก็ต้องพูดแต่จริง แล้วจะปล่อยให้คนไม่มีความจริงโกหกอยู่ฝ่ายเดียว หรือปล่อยให้“คนผู้ไม่รู้-ไม่แน่ใจสักที” เดาเอาตลอดกาล
แล้วมันจะมี“ความจริง”แท้ๆได้เมื่อไหร่? เกิดขึ้นอย่างไร? คิดให้ทะลุ แล้วตอบ
เห็นไหมว่า ความผิดพลาดมันเกิดมาหนักหนาสาหัส จนยากแก่การจะนำกลับไปสู่“ความจริง”ได้ มันแสนเข็ญกันจริงๆ
เพราะศาสนาพุทธทุกวันนี้ มันได้เข้าใจผิดไปมากแล้ว จนกลายเป็นเชื่อกันว่า “ผู้บรรลุธรรมเป็นอาริยะแล้ว ห้ามบอกใคร” ถึงขั้นกล่าวกันว่า “ผู้บอกว่าตนบรรลุ ผู้นั้นคือผู้ไม่บรรลุ” แล้วเพ่งโทษว่าท่านปาราชิกไปเลย ก็มีอยู่มากมายในวงการพุทธ
มันเพี้ยนกัน ผิดจากสัจจะกันปานนี้
เมื่อผู้บรรลุธรรมอันเป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้าแล้วไม่บอกใคร หรือห้ามไม่ให้บอกใคร ขืนบอกเอาผิดกันเลย การกระทำแบบนี้เอง ที่ทำให้อาริยธรรม ที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้า เลือนหายไป แล้วพุทธธรรมก็เลอะเทอะเละเทะกันอย่างที่เป็นและเห็นอยู่ในทุกวันนี้ ยืนยันความจริงที่ว่านี้
ความเป็นอาริยธรรม โดยเฉพาะผู้ใด
จะเป็นอาริยบุคคล ในทุกวันนี้จึงต้อง“เดา” กันเอาเองทั้งนั้น เพราะไม่ให้ผู้บรรลุบอกตนเองว่าบรรลุ นี่เอง
ในสังคมพุทธศาสนาทุกวันนี้ จึงมีแต่“พระอริยะ”ที่ต่างคนต่าง“เดา”กันไปว่า ท่านปฏิบัติบรรลุผล หรือไม่ก็มีผู้เจริญแบบ“อารยะ”ที่เก่งแค่บัญญัติภาษาตรรกะ
หาผู้เป็น“พระอาริยะ”จริงแท้กันยากมาก จงทำความเข้าใจคำว่า“อารยะ-อริยะ-อาริยะ” สามคำนี้ให้ตรงนิยามกันดีๆเถิด
มันน่าสงสารศาสนาพุทธกันยิ่งนัก
เพราะได้ครอบงำทางความคิดที่ผิดไปแล้วกันไว้ จนยึดถือกันอย่างเป็นจริงแล้ว
และเพราะตนเองก็ไม่สามารถอ่านความเป็น“พระอาริยเจ้า”จริงออก รู้ไม่ได้
มิหนำซ้ำกลับเติมเสริมหนักเสียอีกหาว่า พระอาริยเจ้าท่านนั้น เป็นพวกทำลายศาสนาพุทธ เป็นผู้มิจฉาทิฏฐิ เป็นพวกนอกรีต ถึงขั้น“ปกาสนียกรรม”(การประกาศให้เป็นที่รู้ทั่วกัน ถึงสภาะของภิกษุรูปนั้นซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของสงฆ์ อันพึงถือว่าการใดที่เธอทำ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของเธอ ไม่ผูกพันกับสงฆ์หรือต่อพระศาสนา ดังที่ทำแก่พระเทวทัต) ต่อสังคมกันทีเดียว
แล้วก็กลับไปหลงรับนับถือเอาผู้หลงตนว่าบรรลุ ซึ่งที่จริงยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่..โน่น เป็นผู้ที่ควรเคารพนับถือบูชา ยกย่องกัน
เพราะเขาอ่าน“สัตบุรุษ” ผู้เป็นอาริยบุคคลแท้จริง ไม่ออก เขาเข้าใจพระอาริยะจริงกันไม่ได้แล้ว ไม่เชื่อถือกันแล้ว
แม้จะรับฟังธรรมท่าน ก็ไม่เอาเลย ผู้เป็นดังนี้จึงไม่มี“ปรโตโฆสะ” จึง“อโยนิโสมนสิการ(คือทำใจในใจไม่เป็น)” ก็ดักดานกันต่อไป
ผู้ที่เป็นดังว่านี้ ในวงการศาสนาพุทธ
จึงปิดประตูตนเองอย่างสนิทแล้ว เพราะเขาไม่ฟังธรรมของผู้เป็น“สัตบุรุษ”แท้ๆเสียแล้ว
ก็ไม่มีพันธุ์แท้ใดๆของ“โลกุตรธรรม”
จากสัตบุรุษตัวจริงหยั่งลงในจิตของเขาเลย การสืบเชื้อก็ไม่มี น่าเสียดาย-น่าเวทนาจริงๆ
เมื่อผู้ใดไม่ยอมรับฟังก็เป็นดังที่พระ
พุทธเจ้าตรัส คือไม่มี“เชื้อโลกุตรธรรม” หรือ “อาริยธรรม”ของศาสนาพุทธ สำหรับเขาผู้นั้นเป็นอันหมดทางช่วยกันได้อีกต่อไป
เพราะไม่“ต่อเชื้อมาจาก“สัตบุรุษ”แท้ๆซึ่ง“โลกุตรธรรม”จะต้องได้รับ“ถ่ายทอดบอกกล่าว”จากสัตบุรุษแท้ จึงจะเป็นของจริง
โลกุตรธรรมพระพุทธเจ้าหากไม่ได้รับถ่ายทอดจากสัตบุรุษจริงก็ไม่มีใครจะบังอาจคิดเองค้นเอา“โลกุตรธรรม”ขึ้นมาเอง ได้เลย
“โลกุตรธรรม”แท้ๆนั้น จะต้อง“ได้รับ”
ถ่ายทอดจากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
โดยตรง หรือไม่ก็จาก“สัตบุรุษ”จริงที่เป็น
“สัตบุรุษ”แท้ อย่างสัมมาทิฏฐิเท่านั้น
“สัตบุรุษ”คือ ผู้มีสัมมาทิฏฐิแท้ ผู้บรรลุธรรมพุทธที่นับตั้งแต่ขั้นโสดาบันเป็นต้นไป
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ชัดเจนยิ่งใน
พระอนุสาสนีของพระองค์มีมากมายหลายสูตร เช่น จาก“ปัญญาวุฑฒิ 4”ก็ดี หรือใน “อวิชชาสูตร”ก็ตาม เป็นต้น อันพระองค์ทรงยืนยันไว้ว่า ต้องได้คบกับ“สัตบุรุษ” จึงจะได้ฟังสัทธรรม(ธรรมที่ถูกต้อง,ธรรมที่ดีแท้)
และพระพุทธเจ้าทรงกำชับด้วยนะว่า
ทุกอย่างต้องให้“บริบูรณ์” เป็นต้นว่า “คบ
สัตบุรุษให้บริบูรณ์-ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์-จนมีความรู้ความเชื่อที่บริบูรณ์-จนกระทั่งมีการทำใจในใจเป็นหรือทำได้อย่างบริบูรณ์-จึงจะสามารถมีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์-แล้วจะปฏิบัติสำรวมอินทรีย์ 6 บริบูรณ์-จึงจะเกิดสุจริต 3 บริบูรณ์-เพราะปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ได้บริบูรณ์-และปฏิบัติโพชฌงค์
7 ก็บริบูรณ์-วิชชาวิมุติจึงบริบูรณ์”(อวิชชาสูตร พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 61)
แล้วจึงจะปฏิบัติด้วย“กระบวนการ”
(process)ที่เป็น“โพธิปักขิยธรรม 37”เกิด
“สัมมาปฏิเวธ”
กระบวนการ(process)ของ“โพธิปักขิยธรรม”นั้น มีทั้ง“โพชฌงค์ 7 กับมรรคองค์ 8”
เป็นหลักใหญ่แกนสำคัญต้นราก อันมีทั้ง
สติปัฏฐาน 4-สัมมัปปธาน 4-อิทธิบาท 4
จึงจะเกิด“อินทรีย์ 5”สูงขึ้นไปๆสะสมผลจน
ถึงที่สุดก็เป็น“พละ 5” ก็จบเป็น“ผล”รวมสูง
สุดของกระบวนการ“โพธิปักขิยธรรม 37”
ถ้า“ทิฏฐิ”ของใครเริ่มตั้งต้น“กระบวนทัศน์”(paradigm)ก็ไม่สัมมาทิฏฐิมาก่อน
แน่นอน“การปฏิบัติ”ไม่มีผลเป็นสัมมาปฏิบัติ จนสามารถบรรลุถึงที่สุดเป็น“สัมมาปฏิเวธ”ได้บริบูรณ์เด็ดขาด
“สัมมาปฏิเวธ”คือ ความรู้ที่รอบรู้ครบ
ถ้วนทั้งกระบวนทัศน์(paradigm) และทั้งกระบวนการ(process) อีกทั้งประกอบด้วย
ภายนอก ทั้งภายใน และทั้งปฏิสังขารกัน-
ทั้งปฏิสังเคราะห์กันอย่างบริบูรณ์
“ความรู้”ที่มิจฉาทิฏฐิ เมื่อนำไปฏิบัติ
“ผล”ก็เกิดได้มีได้เช่นกัน แต่เป็น“มิจฉาผล”
ไม่ใช่“ผล”ของศาสตร์ที่เป็นของศาสนาพุทธ
ผู้“มิจฉาทิฏฐิ”จะหลงงมอยู่กับ“มิจฉาผล”ของตนนั่นแหละ ว่า“ตนได้-ตนเป็นผล-
ตนมีผล”เช่นกัน เพราะ“มิจฉาปฏิบัติ”ก็ย่อมมี“ผล”สำเร็จของเขาได้แน่นอน..แต่เป็น“ผล
ที่ไม่ใช่แก่นแท้เนื้อจริงของพุทธ”(มิจฉาผล)
เขาหลงยึดอยู่ว่า นี่ไง“มันมีผลอยู่นี่!”
เป็นต้นว่า เขายิ่งรวย เขายิ่งเริด เขายิ่ง
หรู เขายิ่งโก้ เขายิ่งกร่าง เขายิ่งสร้างลีลา
ดรามาติกในฝ่ายรูป ที่ดับดำมืด อยู่ในภวังค์
ข้างในจิตก็ดี หรือแม้ฝ่าย“อรูป”ที่ใส-ว่างโล่ง
ทั้งนอกและทั้งในก็ดี ก็ยิ่งมีคนมากหลายเข้า
มากรูเกรียว มานิยมชมชอบ รสนิยมแบบนี้
มันคือโลกียะปุถุชนเท่านั้น ซึ่งก็ธรรมดา
สามัญของคนทั้งโลก เป็นพื้นฐานปกติ
มันไม่ใช่“รสนิยม”ที่แตกต่างไปเป็น “อัญญะ”(อื่น)คนละขั้ว มันก็ยังมี“รสนิยม”
ของโลกเก่าอันเป็นโลกีย์สามัญ ไม่ออกไปจากโลกเดิม ยังไม่มี“รสนิยม”ของคน“โลกใหม่”(โลกุตระ)ที่แตกต่างแยกเป็น“อื่น”(อัญญะ)ไปจาก“รสนิยม”โลกเก่า ที่ชื่อว่า“โลกียะ” (โลกธรรม 8)นั้นแต่อย่างใดเลย
แค่มันมากยิ่งๆ(มหัปปิจฉะ) มันใหญ่โตโก้
หร่าน(มหิจฉะ) มันมโหฬารพิลึกเหลือหลาย(โอฬาริกา) มันมากมายเหนือใครๆเท่านั้นเอง
ก็ใจคนที่มันชื่นชอบใน“ความใหญ่
ความมาก” อย่างไม่มีขีดจำกัดไง!!! มันก็คือคนมักมาก(มหัปปิจฉะ ตรงข้ามกับอัปปิจฉะ)ยิ่งๆขึ้น
มันแค่ยิ่งทำให้เขามั่นใจปักใจหนักขึ้นๆ
มันก็ยิ่งเสริมเติม“ความหลงใหลในผิดยิ่งๆ
ทับทวีขึ้นๆ”ต่างหาก แต่..แท้จริงมันยังเป็น
แค่“โลกียผล”ที่เจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ
มันก็เลยกลายเป็น“ความโง่”(อวิชชา)
แท้ๆที่ก้าวหน้าโตใหญ่ทับทวีขึ้นถึงขั้น“ยกกำลัง”ทีเดียว เขาจึง“โง่หลง”ซับซ้อนยิ่งๆขึ้น
เห็นหรือยัง? เห็นความเจริญก้าวหน้าทับทวีของ“ความโง่”ที่หลงใหญ่หลงโตที่ซับซ้อนทวีคูณ ยกกำลังทับซับซ้อนซ่อนเหลี่ยมซ่อนมุมยิ่งๆขึ้นมั้ย?
อย่านึกว่า“ความโง่”มันเจริญพัฒนาเก่งกาจใหญ่โตยยิ่งยอดไม่ได้นะ “ความโง่” (อวิชชา)มันก็เจริญพัฒนาเก่งกาจใหญ่โตได้อย่างไม่มีขีดจำกัดจริงๆ มีให้เห็นยิ่งๆขี้น
ความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องที่เรียกว่า“เฉโก”หรือ“เฉกะ”ของคนเก่ง คือ ความฉลาดของปุถุชน มีมาแต่ไหนๆ มีมาก่อนความฉลาดที่เป็น“โลกุตระ”ด้วยซ้ำ และมีมากมายครองโลกตลอดกาล ทับทวีไม่หยุด
นั่นเป็นความเจริญของ“ความฉลาดรอบรู้”ที่เรียกว่า“เฉโก” ซึ่งมันก็สามารถฉลาด
ยิ่งขึ้นๆยิ่งยอดยิ่งเยี่ยมใน“โลก”ของปุถุชน
แต่ยอดเยี่ยมเยี่ยงนี้ไม่ใช่“ความฉลาด”
ที่มีนัยสำคัญที่เรียกได้ว่า“ปัญญา”เลย
พอจะเห็นชัดเจนไหมว่า ความฉลาด 2 ชนิดนี้ มันหันทิศกันไปคนละขั้ว หลังชนกัน
“ความฉลาด”สามัญทั่วไปของปุถุชนนั้นแม้จะเฉลียวฉลาดเยี่ยมอัจฉริยะยอดยิ่งปานใดก็เรียกได้แค่ว่า“เฉโก” ซึ่งเป็นภาษา ที่ใช้เรียกขาน“ความเฉลียวฉลาด”ของคนโลกียปุถุชนทั่วไปทั้งหลายแท้ๆมาแต่ดั้งเดิม
แต่ทุกวันนี้ ไม่ใช้ภาษาคำว่า “เฉกะ, เฉโก”กันแล้ว เพราะกิเลส“ความฉลาดโกง”คือ“เฉกะ,เฉโก”นี้แหละ ที่มันพาคนขี้
โกงเอง เอาคำว่า“ปัญญา”มาใช้แทนคำว่า “เฉโก,เฉกะ”กันเสียเอง “ตีกิน”เฉยเลย!!!
“สัจจะ”ของความหมายที่ลึกล้ำซ้อนอยู่ในคำ 2 คำนี้ ซึ่งมันบ่งบอกถึงเนื้อแท้ของ“ความฉลาด”ที่สำคัญยิ่ง 2 นัย นัย 1 นั้นเป็น“ความฉลาดของปุถุชนคนโลกีย์” ได้แก่
คำว่า“เฉกะหรือเฉโก” ส่วน“ความฉลาดของอาริยชนคนโลกุตระ” ได้แก่คำว่า“ปัญญา”
ภาษาคำว่า“ปัญญา”จึงมีความหมายตกต่ำลงไปเป็นความฉลาดโลกีย์“เฉโก”แล้ว
เพราะคนชาวพุทธเองแท้ๆที่พากัน เอาภาษาคำว่า“ความฉลาด”ที่มีคุณสมบัติถึงขั้นเป็น“คุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)”คือ “ปัญญา” ไปใช้ระบุ“ความฉลาด”ที่มีโทษสมบัติอยู่ในตัวเอง ซึ่งเป็น“ความฉลาด”ที่ยังมีกิเลสเป็นอำนาจบงการอยู่
ดังนั้น “เฉะ,เฉโก”นี้ถ้ายิ่งฉลาดมากเท่าใดๆ ก็ยิ่งเป็น“ความฉลาดที่มีกิเลสลึกซ้อนโกงยอกย้อน ที่ทุจริตเก่งมาก”เท่านั้นๆ
เมื่อเอาคำสำคัญยิ่งในความหมายบ่ง
บอก“คุณวิเศษ”ที่แสนพิเศษพาคนเจริญคือ “ปัญญา”ไปสรวมใช้แทนคำสำคัญยิ่งในความหมายบ่งบอก“ผีร้ายในตัวคน”ที่แสนพิษพาสังคมเสื่อมพาคนเลวคือ“เฉกะหรือเฉโก”เสียสนิทสนมราวกับเป็นของแท้ของจริง มันจึงทำความเสียหายขั้น“ฉิบหาย”หนักร้ายสาหัสให้แก่ความเป็น“สัจจะ”ของศาสนาพุทธไปอย่างเป็นจริง ดังที่เกิดที่เป็นอยู่ จึงเต็มไปด้วยแสน“สงสาร”ไม่มีวันจบ เสื่อม “เวทนา”ยิ่งขึ้นๆไม่มีโอกาสพ้นทุกข์แน่นอน
เหมือนเอาคำว่า“เลว”ไปสรวมแทนคำว่า“ดี”ขั้น“วิเศษ”ด้วยนะ แล้วก็พากันใช้“คำผิดๆ”นี้แหละเรียกสภาพคนที่เกิดที่เป็นอยู่
กันจริงๆในสังคมพุทธเองและสังคมทั่วไป หน้าตาเฉย โดยไม่รู้สีรู้สาอะไร ไม่รู้ตัวกัน
เลยว่า มันเรียกตีนเป็นหัว เรียกหัวเป็นตีน ที่ผิดความจริงสุดๆ ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมยิ่งๆ
เพราะการ“กำหนดผิด-สำคัญผิด”นี้กันจนศาสนาไม่เหลือ“ความถูกต้อง”กันสิ้นซากแล้ว
ศาสนาพุทธก็เลยดู“ต่ำเตี้ยตกลงไป
เพราะคนอวิชชานี่เอง“ทำความเพี้ยนๆผิดๆ” ไปจาก“เนื้อแท้ของพุทธ”จนพาลเห็นเป็นว่า ศาสนาพุทธเสื่อมไปจริงๆ
โดยสัจจะนั้นศาสนาพุทธเอง โดยตัวเองไม่มีวันเสื่อมไปเองได้หรอก
แต่ด้วยการ“ถูกโกง”เอาคำว่า“ปัญญา” ของคนผู้อวิชชา ไปใช้แทนคำว่า“เฉโก,เฉกะ” เยี่ยงนี้แล ที่ทำความเสื่อมเสียใหญ่หลวงยิ่ง
เห็นผลเสียอย่างร้ายกาจของการเอาภาษาคำสำคัญๆไปใช้กันผิดเพี้ยน มั้ยล่ะ?
คำว่า“ปัญญา”แตกต่างจาก“ความรู้”
ที่ว่า“เฉโก” สุดสำคัญยิ่งฉะนี้ และแตกต่าง
จากความรู้ที่เป็น“ตรรกะ” คนละขั้วกันเลย
“ตรรกะ”เป็นความรู้ที่ยังไม่บรรลุถึง “สัจจะ” เพราะ“ตรรกะ”นั้นหมายเอา“ความรู้”
ที่มุ่งกันแต่เหตุผลค้นคิดเท่านั้น อย่างเก่งก็
ลึกซึ้งสุดสุขุมละเอียดยิบ ด้วยเหตุผลอ้างอิง มีกันได้มากมายหลายหลาก แตกแขนงยิ่งๆ
แต่ยังไม่มี“สภาวธรรม”จริงที่เป็นปรากฏ
การณ์ ให้สัมผัสภายนอกได้ คนอื่นยังไม่สามารถสัมผัสด้วยทวาร 5 ยืนยันได้เช่นกัน
เพราะ“ตรรกะ”ยังไม่ใช่“สัญญาเจตสิก”
แม้คำว่า“สัญญา”ที่สมมุติสัจจะนำไป
ใช้กันภายนอกจิตแท้ๆ(หนังสือสัญญา,คำมั่นสัญญา เป็นต้น) มันก็ยังไม่ใช่“ปัญญา”อยู่ดี
หรือแม้แต่มีแค่“สัญญาเจตสิก” ที่เกิด
ขึ้นให้ผู้ปฏิบัติรู้แจ้งจริงได้ พัฒนายังไม่ถึงขั้น“ปัญญาธาตุ”เพราะ“โอปปาติกโยนิ(การเกิดของจิตนิยาม)”ยังเจริญไม่ถึงขีด“ปัญญา”
“ปัญญา”ต้องเกิดจาก“กระบวนการ
องค์ 6” อันได้แก่ “ปัญญา-ปัญญินทรีย์-
ปัญญาผล-ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์-สัมมา
ทิฏฐิ-องค์แห่งมรรค”(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258)
“ปัญญา”จึงไม่ใช่ภาวะที่จะเกิดจากการ
ระลึกเอาขึ้นมาได้เองเหมือน“ญาณ”(ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นต้น) เหมือน“วิชชา” หรือเหมือน“สัญญา” เพราะ“ปัญญา”นี้เป็น“ธาตุพิเศษ”ที่มีเชิงชั้นของ“ธาตุรู้โลกุตรภูมิ”
“ปัญญา”เกิดจาก“ปุญญาภิสังขาร” “ปัญญา”เป็น“อัญญธาตุ”ที่พัฒนาเจริญขึ้น
มาเป็น“อัญญา” เป็น“ปัญญา”
“อัญญธาตุ”คือ “ธาตุอื่น”ที่ไม่มีในโลกของจิตวิญญาณปุถุชน ปุถุชนมีไม่ได้ เพราะไม่สามารถ“มี”นั่นเอง
ถ้าคนผู้ใดสามารถ“มีอัญญาธาตุ”ขึ้นในจิตวิญญาณของตนขึ้นมาได้ผู้นั้นก็มีฐานะเป็น“อาริยชน” เป็นมนุษย์โลกุตระไป ทันที และจะเป็นอาริยชนเจริญไปสู่ที่สูงที่ เจริญสุดก็ถึงขั้นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กันทีเดียว อย่างไม่ถึงขั้นนั้นก็เป็น“อรหันต์” ได้เฉพาะตน ชนิดที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลย
“ธาตุรู้”ที่ก่อนจะเจริญเป็น“ปัญญา” ต้องได้พัฒนามาเป็น“สัญญา”ขั้น“โลกุตระ” ให้ได้ก่อน เพราะคนทุกคนมี“สัญญา”(ความจำ,
การกำหนดหมายเพื่อรู้)ที่ทำงานทั้งที่เป็น“โลกียภูมิ”มาแล้วทั้งสิ้น สัญญาขั้น“โลกุตรภูมิ”นั้นต้องเกิด“อัญญธาตุ”ในคนผู้นั้นก่อนจึงจะใช้“สัญญา”ที่เป็น“โลกุตรธาตุ”ได้
ธรรมชาติปุถุชนปกติก็มี“สัญญาขันธ์”
กันอยู่ครบ“ขันธ์ 5”ทุกคนแล้วทั้งนั้น
นอกจากคนผู้นั้นภูมิธรรมจะถึงขั้นมี
“ธาตุรู้”เข้าเขต“ปัญญา”แล้ว ก็คือ เป็นอาริย
บุคคลแล้วนั่นเอง จึงจะสามารถใช้“สัญญา” ทำงานตามหน้าที่ให้เกิด“ปัญญา”
ปกติปุถุชนใช้“สัญญาเจตสิก”ทำงานขั้น“โลกียภูมิ”มาก่อนเป็นธรรมดาทั้งนั้น
“โลกียภูมิ”ยังเป็นคนที่ไม่มี“ปัญญา” ร่วมทำงานในจิตหรอก
“ปัญญา”จะต้องมีทั้ง“สัญญา” และ “ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์”ทำงานช่วยกันตลอด ที่สำคัญต้องมีสัมผัส 6 กับภายนอก 5 เสมอ
“ธัมมวิจัย”ปุถุชนก็มี อาริยชนก็มี“ธัมมวิจัย” แต่แน่นอน“ธัมมวิจัย”คนละภูมิแน่
นักวิจัยทำงาน“ธัมมวิจัย”ได้ แต่ผลงานจะถึงขั้น“ปัญญา”หรือ“โลกุตระ”ไหม?แค่นั้นเอง เพราะ“ความรู้”มันมีทั้งขั้น“โลกียภูมิคือเฉกา”และมีทั้ง“โลกุตรภูมิคือปัญญา”
“ปัญญา”จึงไม่ใช่ภาวะลมๆแล้งๆที่รู้อยู่แต่ภายในความนึกคิดเท่านั้น “ปัญญา”
ไม่เวิ้งๆว้างๆ หรือไม่มีแม้แต่“การเก็งหา ความจริง”กันอยู่แค่นั้น แน่นอน
ย้ำซ้ำชัดๆก็คือ“ปัญญา”ไม่ใช่ภูมิธรรม
ที่มีคุณสมบัติแค่“สัญญา”เท่านั้นจริงๆ
สำหรับ“สัญญา”นี้ มีนัยสำคัญยิ่งที่ควรแยกแยะไว้อีก จะได้ปฏิบัติธรรมมีมรรคผลกันสำเร็จ หากผู้ใดเข้าใจในความเป็น“สัญญา”
ก็ดี “ปัญญา”ก็ดี เพี้ยนไป ผิดไปจาก“สัจจภาวะ”ตามที่เป็นจริง จะไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้สำเร็จเป็นอันขาด
กล่าวคือ ถ้าใช้“สัญญา”ไม่เป็น หรือ
หลงเข้าใจผิดว่า“สัญญา”เป็น“ปัญญา” ก็
ล้มเหลวในการปฏิบัติธรรมแน่นอน
เพราะการปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนา
จะต้องศึกษาปฏิบัติโดยมีทั้ง“สัญญา”มีทั้ง
“ปัญญา” เช่น “นาม 5”ที่มีในพระไตรปิฎก
เล่ม 16 ข้อ 14 ว่า “นาม 5” นั้นมี เวทนา
สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เป็นต้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน“วิภังคสูตร” ได้ทรงจำแนก“ปฏิจจสมุปบาท”ว่า ผู้ปฏิบัติจะต้องศึกษาเรื่อง“ชาติ”ก็จะต้องศึกษาใน“นาม 5”
และ“ชาติ”ในที่นี้หมายถึง“การเกิดทาง
ใจ”(ที่ยังเป็นอกุศลจิต)ซึ่งมันกำลัง“เกิด”อยู่ในใจ
ของเรา ณ ขณะนี้นั้น เราจะทำให้“ชาติดับ” เราจะศึกษาได้หรือจะปฏิบัติจัดการ“ทำใจที่
เป็นอกุศลในใจ”ของเราตัวนั้นให้“ดับ”สำเร็จ
มันก็ต้องมีสภาวะนั้นอยู่โทนโท่ ปรากฏ
“ตัวตน”ให้เรา“ทำการดับ”อยู่โต้งๆ
..ใช่มั้ย? จึงจะ“ดับตัวตนนั้นได้”
ต้องเป็น“ตัวตนโทนโท่”ปรากฏอยู่ของ“สภาวะที่เราต้องการ” อย่างแม่นยำ
ไม่เช่นนั้น ก็“ดับ”สะเปะสะปะ หรือ
“ดับ”เดาๆเอา ไม่แม่นไม่คมไม่ชัดไม่จริงใน“ความเป็น“ตัวตน”ของอกุศลจิตที่เราต้อง“ดับ”มัน แล้วจะแม่นมั่นแน่จริงได้ไง?
นั่นคือ ผู้ปฏิบัตินั้นต้อง“พ้นสักกายทิฏฐิสังโยชน์” ชนิดที่ต้อง“พ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์”กันทีเดียว
“สังโยชน์”หมายถึง กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ หรือธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์
ซึ่งหมายถึง “นามธรรม”ทั้งสิ้น ดังนั้น
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:00:27 )
รายละเอียด
600912_เทศน์ก่อนฉัน ค่ายแพทย์วิถีธรรม ดอนตาล ตรวจสอบภูมิอาริยะในตนจะได้ไม่วนทำซ้ำ
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 แรม 7 ค่ำเดือน 10
ปีระกาที่สวนป่านาบุญ อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร พ่อครูได้สัญจรมาที่ สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เป็นค่ายพระไตรปิฎกชื่อว่าค่ายเบิกบานในอมตะธรรม ค่ายนี้ เป็นค่ายเบิกบาน
คนที่มีจิตใจเบิกบานแจ่มใสได้ต้องลดละกิเลส ต้องมีฉันทะ มีความยินดีก่อนเลยเป็นประเด็นแรกที่จะทำอะไรต่อไป ถึงจะไปรู้จิตใจตัวเองได้ ถ้าไม่มีจิตใจยินดีจะไปมนสิการไม่ได้ ต้องมีจิตใจยินดีที่จะทำให้เราเองลดกิเลส แล้วเรียนรู้ความรู้สึกที่จะมาลดละกิเลสจากการผัสสะ ในปัจจุบัน หากผ่านปัจจุบันแล้วทำอะไรไม่ได้แล้ว แล้วมันเร็วมาก ที่เรามาปฏิบัติธรรมเข้าค่าย ดูแลสุขภาพทางด้านร่างกายก็ตาม แต่จิตใจเป็นตัวนำ สุขภาพจิตดีสุขภาพกายก็จะทำได้ง่าย ไม่ยากเพราะเราไม่มีโรคจิตแฝง โรคจิตรักษาให้ได้ก่อนแล้วโรคกายก็ให้หมอรักษาได้ง่าย เมื่อเช้าเขาก็มากัวซาให้ เราไม่มีความรู้ก็ได้แต่วางใจให้เขาจัดการ
วันนี้พ่อครูจะได้มาให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ชีวิต ในกาละนี้ ไม่มีอะไรดีกว่าเรื่องนี้แล้ว ได้ฟังสัทธรรมที่ท่านจะได้แสดงให้พวกเราฟัง ท่านเคยบอกว่าโลกีย์ไม่ต้องสอนหรอกมันเป็นอยู่แล้ว โดยปกติ ไม่ต้องบอกเลย เป็นทุกคน แต่โลกุตระสิ ยาก คัมภีรา ลึกซึ้ง ทุททัสสา เห็นตามได้ยาก ทุรนุโพธา จะรู้ ว่าเป็นโพธิตรัสรู้ก็ยิ่งยาก เป็นความสงบ ไม่ใช่ความสงบแบบนั่งนิ่งๆเฉยๆ แต่สงบจากกิเลส แต่วุ่นวาย คือต้องทำงาน ไม่ใช่สงบแบบเฉยๆ อาตมาอยู่ใกล้พ่อครูเห็นเลยว่า ท่านจะขวนขวายกิจกุศลตลอดเวลา เวลาว่างของท่านก็ต้องทำเพื่อคนอื่น จะอ่านหนังสือพิมพ์ก็ทำเพื่อคนอื่น นอกจากเขาบังคับ ผู้นำก็คือทำตามที่เขาบอกได้ก็สบาย เป็นสิ่งที่เราได้รู้เห็นเป็นของจริงแท้ แค่ในตัวหนังสือ ในพระไตรปิฎกไม่ใช่ของจริง ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎกโดยไม่มีภูมิรู้ก็มีเรื่องผิดเพี้ยนได้เยอะ แต่พ่อครูมาบอกความจริงแก่เรา เราเห็นกับตาชัดเจน ถ่ายภาพไว้เลย ชัดเจน ปฏิบัติก็ได้ชัดเป็นได้ก็ชัดเจน วันนี้เราก็มาเรียนรู้สิ่งนี้แหละที่จะชัดเจนที่สุด พูดชัด แสดงกายก็ชัด เราก็ทำให้มันชัดก็จะได้ตรงกัน
พ่อครูว่า...ก่อนจะได้เริ่มต้นก็ขอพูดถึงกระแสสังคม ขออ่านบทความของสิริอัญญาเป็นคนเขียน
การกำจัดคนดีก็คือการส่งเสริมคนชั่ว!
จากแนวหน้าคอลัมน์ บ้านเกิดเมืองนอนโดยสิริอัญญา
หลังจากนายกรัฐมนตรีได้แถลงรับรองต่อประชาชนว่าผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นคนดี มีความสามารถ มีความตั้งใจในการทำงาน จะไม่มีการโยกย้ายผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็ก่อให้เกิดความยินดีปรีดาแก่ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ
ด้วยความหวังว่า การปราบปรามการโกงวัด โกงชาติ โกงศาสนา ทั้งส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้คนในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและในมหาเถรสมาคม รวมถึงเจ้าคณะและเจ้าอาวาสหลายเรื่องหลายกรณีจะได้รับการชำระสะสาง เพื่อความจำเริญของพระพุทธศาสนาสืบไป
ประชาชนแซ่ซ้องสาธุการเพราะเชื่อว่าเมื่อมีการตรวจพบการทุจริตจำนวนมาก จำแนกได้เป็นสองรายการสำคัญแล้ว หากมีการสอบสวนจัดการกับพวกคนโกงทั้งหลายอย่างจริงจังดังที่ปรากฏเป็นข่าว จะสามารถชำระสะสางความโสโครกทั้งหลายที่เกิดในวงการพระพุทธศาสนาและในสังฆมณฑล ซึ่งจะเป็นผลทำให้พระพุทธศาสนาและสังฆมณฑลมีความมั่นคงเป็นที่ศรัทธาของประชาชนสืบไป
เพราะผลการตรวจสอบขององค์กรอิสระและหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบในเรื่องการทุจริตได้ตรวจสอบพบว่า เรื่องโสโครกทั้งหลายที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับวงการพระพุทธศาสนาที่ต่อเนื่องมายาวนานนั้นมีสาเหตุใหญ่จากการทุจริตทั้งสิ้น
การทุจริตที่เกิดขึ้นและตรวจสอบพบสองรายการ ประกอบด้วย
รายการแรก การทุจริตเงินงบประมาณแผ่นดินที่มีการจัดตั้งขึ้น เพื่อใช้งบประมาณแผ่นดินนี้ในการบำรุงบูรณะวัดวาอารามและศาสนสถานต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นวงเงินรวมกันหลายพันล้านบาท
ลักษณะการทุจริตคือมีการสมคบกันตั้งเรื่องขอเบิกงบประมาณบูรณะและบำรุงวัดและศาสนสถาน มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณนั้นจากทางราชการแก่ทางวัด ซึ่งจะจ่ายเงินผ่านผู้มีอำนาจของวัด
หลังจากมีการจ่ายเงินแก่ทางวัดแล้ว ก็จะมีการคืนเงินให้แก่เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเกี่ยวข้องในอัตราถึง 80% ของเงินงบประมาณที่จ่ายไป และมีการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจได้ทุจริตรับเอาเงินนั้น และอาจมีการแบ่งปันกันเป็นลำดับชั้นสำหรับผู้คนที่เกี่ยวข้อง
มีการตรวจสอบพบการทุจริตแบบนี้กว่าร้อยเรื่อง เกี่ยวข้องกับผู้คนหลายร้อยคน ทั้งคนหัวโล้นและคนหัวดำ หัวขาว ในขณะที่ประเทศได้สูญเสียงบประมาณไปแล้ว แต่กลับมิได้นำไปใช้เพื่อการบำรุงบูรณะวัดวาและศาสนสถานต่างๆ ตามที่ได้เบิกเงินไป
นี่คือการโกงวัด โกงชาติ โกงศาสนา ที่ผู้เกี่ยวข้องหรือผู้ต้องหามีทั้งคนห่มเหลือง และคนไม่ห่มเหลือง แต่จะต่อท่อส่งกันไปถึงไหนย่อมเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบกันต่อไป
รายการที่สอง เป็นการทุจริตเกี่ยวกับโครงการสนับสนุนโรงเรียนปริยัติธรรม ซึ่งได้มีการตั้งงบประมาณอุดหนุนแก่วัดหรือสำนักสงฆ์ที่มีการจัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรม เพื่อวัตถุประสงค์ในการอบรมสั่งสอนพระปริยัติธรรมแก่เด็ก เยาวชน และคนทั้งหลายให้มีความรู้ในเชิงปริยัติในพระพุทธศาสนา โดยตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนตามจำนวนนักเรียนปริยัติธรรมเป็นรายหัว
จากการตรวจสอบของหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่พบว่า มีการสมคบกันทุจริตเงินงบประมาณส่วนนี้ในสองลักษณะ คือ
ลักษณะแรก มิได้มีการตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมจริง หรือมีแต่ชื่อโรงเรียนปริยัติธรรมเพราะเลิกร้างกันไปนานแล้ว และมิได้มีการสอนปริยัติธรรมกันจริงๆ แต่สมคบกันเบิกจ่ายงบประมาณโดยยกเมฆเสกตัวเลขว่ามีนักเรียนจำนวนเท่านั้นเท่านี้ แล้วเอางบประมาณไปแบ่งปันกันดื้อๆ
ลักษณะที่สอง มีการตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมจริง แต่มีการยกเมฆเสกตัวเลขนักเรียนปริยัติธรรมเกินจำนวนที่เรียนจริง เช่นมีนักเรียนปริยัติธรรม 30 คน แต่ตั้งตัวเลขเพื่อโกงงบประมาณว่ามีนักเรียนปริยัติธรรมถึง 300 คน เป็นต้น
ผลการตรวจสอบพบว่ามีการทุจริตโกงเงินงบประมาณในลักษณะนี้ไปแบ่งปันกันหลายร้อยคดี และมีผู้คนเกี่ยวข้องหลายร้อยคน
เมื่อผลตรวจสอบปรากฏและปรากฏความว่าเกี่ยวข้องกับผู้คนทั้งในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และบรรดาเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะที่เกี่ยวข้องหลายคน หลายรูป ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงได้แถลงข่าวอันเป็นปกติที่ต้องบอกกล่าวให้ประชาชนรู้
แค่นั้นแหละก็เกิดเสียงก่นด่า ต่อต้าน ขับไล่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกันยกใหญ่ ตั้งข้อกล่าวหาว่าทำให้เกิดความเสียหายแก่พุทธศาสนาและคณะสงฆ์ แล้วกดดันกันเป็นการใหญ่เพื่อขับไล่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่และเรียกร้องให้หยุดดำเนินการในทันที
จึงเป็นเหตุให้ประชาชนทั่วประเทศออกโรงปกป้องผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเรียกร้องให้ชำระสะสางเรื่องนี้ให้กระจ่าง กระแสเรียกร้องก้องกระหึ่มไปทั่วประเทศ จึงทำให้นายกรัฐมนตรีต้องแถลงรับรองว่าไม่โยกย้าย
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ประชาธิปไตยกับศาสนาพุทธ
แต่แล้วก็มีการโยกย้ายผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจนได้! แม้ว่าข่าวคราวจะปรากฏว่าย้ายไปเพื่อความเจริญในหน้าที่ราชการก็ตามที แต่ประชาชนย่อมวิตกกังวลว่าการกลบเกลื่อนหรือปกปิดการทุจริตงบประมาณแผ่นดินรายใหญ่รายนี้กำลังจะถูกกลบฝัง ซึ่งเป็นการทำลายความยุติธรรมของประเทศ เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาให้ย่อยยับต่อไปในอนาคต
เพราะคนทั้งหลายย่อมเข้าใจว่าการกำจัดคนดีออกจากอำนาจก็คือการส่งเสริมคนชั่วให้ทำชั่วต่อไปนั่นเอง แล้วจะทำอย่างไรกันดี!
พ่อครูว่า...ในสังคมพระสงฆ์ทั่วไป เน่าไปหมดแล้ว อาตมาเลยลาออกมาเป็นนานาสังวาส เราก็ทำงานได้จนกระทั่ง แต่มาต่อสู้กับอาตมายาก เพราะอาตมาทำมานานและยืนยันได้ว่าจริง เพราะอ้างอิงจากพระไตรปิฎกเล่มเดียวกับที่เขาใช้ เขาไม่กล้ายันกลับมา ก็เลยเงียบ
อาตมาว่า ความดีถูกความชั่ว ทำอย่างนี้ สังคมก้าวหน้าไม่ได้หรอก การเจริญก้าวหน้าของสังคมขึ้นอยู่กับคุณธรรม ผู้บริหารต้องมีคุณธรรมแม่นชัด ประชาชนจะได้ก่อตั้งขึ้น ก็จะพัฒนากันได้ หรือ ผู้บริหารคุณธรรมไม่ค่อยดีไม่แข็งแรงพอ อ่อนแอปวกเปียก แต่ถ้าอำนาจของประชาชนรวมกันแข็งแรง รวมตัวกันให้ดีมุ่งมั่นแล้วต่อต้านผู้บริหารที่ทำมาไม่ถูกต้อง ทำอย่างนี้มันเสื่อมเสีย ก็กล้าต่อต้าน อย่างทางการเมืองก็ออกมาประท้วงนี่คือลักษณะประชาธิปไตยที่แท้ ศาสนาพุทธเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ใช้อำนาจมวลชนเป็นหลักไม่ใช้อำนาจส่วนตัวอำนาจหมู่ เอาอำนาจหมู่มากดขี่อำนาจส่วนใหญ่
ผู้บริหารตอนนี้ก็ดี อาตมาส่งเสริมอยู่ ทำได้ดีแข็งขันชัดเจน ปราบความไม่ดีงาม ทุจริตมาได้เรื่อยๆ ถ้าทำให้ศาสนาเป็นอย่างนี้ ธรรมะสู้อธรรมไม่ได้
ตอนนี้ แม้ว่าจะได้ออกคำสั่งมาแล้วว่า จะให้ย้าย ผู้อำนวยการพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็แก้กลับได้ แสดงอำนาจประชาธิปไตย เอาเสียงประชาชนเป็นหลักเลย จะตรวจสอบด้วยประชามติ กี่% จะใช้ได้ก็ทำเลย อาตมาว่า เป็นวิธีการที่จะทำตามหลักประชาธิปไตยทำได้เลย อาตมาขอให้คิดอย่างนี้เถอะ ตอนนี้ ถ้าเอาอำนาจประชาชนออกมา นายกฯก็จะว่ากระแสยังแรงให้เอาเสียงประชามติเลย จะใช้เวลาเท่าไหร่ก็ทำ จะได้ผลที่ดีที่ถูกต้อง นายกฯก็พ้นชนักด้วย เพราะไม่ได้ขัดแย้งเสียงประชาชน อาตมาว่าอย่างนั้นนะ
เพราะสิ่งสำคัญเรื่องนี้เป็นเรื่องศาสนา กำลังดำเนินไปด้วยดีทีเดียว เพราะฉะนั้นถ้ามาแพ้อำนาจอธรรม แม้จะมีอิทธิพลมากก็แสดงตัวออกมา เป็นสมเด็จ เป็นเจ้าคุณชั้นใหญ่ขนาดไหนก็แสดงออกมา
อาตมาพูดถึงสังคมศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้ก็อุ่นใจที่มีสมเด็จพระสังฆราชที่เที่ยงธรรม อาตมาก็นับถือนะ แต่สมเด็จ พระราชาคณะ สมเด็จหลายรูปอาตมาไม่นับถือ สมเด็จมีเท่าไหร่ จำไม่ได้ จะเป็นเหมือนตำแหน่งนายพล ตำรวจ ทหาร ของประเทศไทยที่ตั้งขึ้น เดินชนจะหัวแตกตาย มันอะไรกันนักกันหนา หลงใหลได้ปลื้มกับตำแหน่งยศศักดิ์ เป็นเครื่องชี้บ่งความเสื่อม ไม่ใช่ความเจริญของสังคมมนุษย์ประเทศชาติ ย่อยยับเข้าไปทุกทีๆ
อาตมาก็จำเป็นต้องพูดถึง ความจริงที่ปรากฏและมันกำลังดำเนินไปนี้มีแรงอิทธิพลอำนาจ อาตมาก็เป็นพลเมืองคนหนึ่งที่มีสิทธิ์ออกเสียง อาตมาเสียงน้อย แต่ก็พยายามตะโกนให้เสียงดังเหมือนหมาน้อยตะโกนใส่หมาใหญ่ อย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องออกเสียงให้แรง เพราะความจำนนจำเป็นที่จะต้องพูดอย่างนี้ นี่คือสิ่งที่ดำเนินไป ก็ช่วยกันทำ
มาดู sms
_สมถวิล บาลเวช....ฌานคือ วิสัยของพลังงานที่แต่ละคนสร้างพลังงานนี้ได้ถึงขีดที่จะทำลายไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะได้คำพูดที่หลวงปู่แสดงธรรมตรงนี้ผู้ปฏิบัติธรรมตามขั้นตอนที่หลวงปู่สอนก็จะมีไฟฌานเพิ่มขึ้นตามลำดับเมื่อทำลายกิเลสลงได้ทีละครั้งๆใช่ไหมคะแต่ทำไมกิเลสมากมายมหาศาลเหลือเกินและฆ่าได้ยากเหลือเกินนี่เพราะฟังธรรมไม่มากพอหรือการเกียจคร้านวิปัสสนาด้วยใช่ไหมคะด้วยความเคารพบูชาหลวงปู่จะพยายามต่อไป
กราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเคารพสูงสุดไม่ได้ฟังสดไม่ได้ฟังจากทีวีวันอาทิตย์ร้านนำ้ผักปั่นจะสนุกเหนื่อยเป็นพิเศษต้องใช้สมาธิอย่างมากคนน้อยแต่ลูกค้าแน่นใช้วิธีอ่านอย่างน้อย2เที่ยวเพื่อให้เกิดความเข้าใจและได้ตัวธรรมที่จะนำไปปฏิบัติเพิ่มด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า...ก็คุณไปสะสมกิเลสเอาเองนะ ที่เข้าใจนี้ถูกต้องแล้ว
SMS วันที่ 10 กันยายน 2560 (วิถีอาริยธรรม)
_3867สงครามสร้างความร่ำรวยให้ผู้กระหายอำนาจลาภยศยิ่งใหญ่แต่เปลือกโลกธรรม!สันติภาพสร้างความพรั่งพร้อมมิตรภาพน้ำใจมวล มนุษย์ใหญ่ยิ่งในแก่นแท้สัจธรรม
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุด
_3867ผู้นำโลกที่มิใช่พระอรหันต์แท้มักมาพร้อมกับหายนะโลกวิกฤติกลียุคมิคสัญญีจริง
พ่อครูว่า...อาตมาเป็นโพธิสัตว์แท้ แต่ก็กำลังหืดขึ้นคอ แต่ก็สุขสงบขึ้นพอสมควร ผลของการปฏิวัติในประเทศไทย การปฏิวัติคือไม่ต้องใช้รถถังหรือปืน ผบ.ทบ. เป็นใหญ่ในกองทัพ ก็บอกว่า ผมขอยึดอำนาจ ใช้ภาษาเพียงเท่านี้ปฏิวัติมันมีที่ไหนในโลก จะปฏิวัติได้สะดวกสวยงามขนาดนี้สุดยอดขนาดนี้ เพราะอะไร เพราะเกิดความสงบ เราได้ต่อต้านประท้วง จนชนะรัฐบาลแย่ๆไม่รู้กี่รัฐบาล ทักษิณสมชายยิ่งลักษณ์ จนประเทศสงบขึ้น เราประท้วงกันเป็นปีๆ ด้วยความเรียบร้อยสงบ ไม่ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายรุนแรง
สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุการณ์ปรากฏการณ์ที่ฟินอมินอลที่จริงของประเทศเป็นประชาธิปไตยที่สวยงามมากเลยในโลก ไม่ได้พูดอย่างหลงตัวลงตน เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่กว่าอเมริกา อเมริกายังไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยเป็นทุนนิยม เป็นประชาธิปไตยอำนาจนิยม (เบ่งอำนาจ)
ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่งดงามที่สุดในโลก แต่คนทั้งโลกไม่เข้าใจหาว่าประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะนายกรัฐมนตรีนั้นเกิดจากการปฏิวัติ พาซื่อกันแต่เปลือกบัญญัติ ไม่ดูองค์รวมเนื้อหาสาระที่แท้จริง ที่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ไปเอาแต่ว่าเลือกตั้งจึงเป็นประชาธิปไตย ความรู้ทางรัฐศาสตร์จุดนี้เขาไม่มีกัน อาตมาก็ขอสู้กับดร.ทางรัฐศาสตร์ อธิบายตามภูมิอาตมา ประเทศไทยกำลังไปได้ดี ต้องพากเพียรเอาใจใส่ ด้านเศรษฐกิจสังคม ศาสนา ที่นายกตู่กำลังทำ เข้าตาประชาชน เพราะคนไทยมีความรู้ความเข้าใจในประชาธิปไตย ไม่ไปหลงกับประเทศอื่น
แม้แต่นักวิชาการที่จบจากด็อกเตอร์ต่างประเทศ ประชาชนคนไทยที่เป็นมวลใหญ่ของประชาธิปไตย ไม่ได้รับปริญญา แต่ภูมิรู้เป็นประชาธิปไตยก็แสดงมวลออกมาช่วยประเทศชาติ ขณะนี้
แม้แต่ในตัวนายกประยุทธ์เองประชาชนคนไทยก็ส่งเสริม นี่เป็นความรู้ของประชาชนคนไทยรู้อะไรเหมาะควรถูกต้อง ก็ส่งเสริมสิ่งที่จริงนั้นให้อยู่อย่างนี้เป็นต้น นี่คือคุณลักษณะแท้ของประชาธิปไตยในประเทศไทย
ศิลปะที่เป็นโลกุตระจะทำเพื่อสังคมส่วนรวม แต่ศิลปะที่เป็นโลกียะจะเป็นความอัปลักษณ์ เข้าใจว่า กูเป็นเจ้าของศิลปะ สร้างงานชิ้นนี้ให้คนยกย่องชมชื่นราคาแพงเป็นศิลปินของโลกเท่านั้นเอง สารศิลป์ไม่มีอะไร มีแต่สุนทรียศิลป์ให้คนได้ติดยึดเปลือก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน โพธิสัตว์มากับสันติภาพโลก
_3867พระโพธิสัตว์แท้มักมาพร้อมกับสันติภาพโลกอันสุขสงบจริง
พ่อครูว่า...อาตมาพาทำความสงบสยบความเคลื่อนไหว แก่นแกนกองทัพธรรมยืนยันเป็นมวลหลัก อยู่ในสนามร่วม ใครก็ปฏิเสธความจริงนี้ไม่ได้ กองทัพธรรมทำมาหลายปี พังไปหลายรัฐบาล เป็นหลักฐานอ้างอิงยืนยันได้ ไม่ได้ทวงบุญคุณ แต่พูดถึงสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์จริง เพื่อการศึกษา
ประเทศไทยนี้มีบทบาททางประชาธิปไตยที่งดงามมีอำนาจมีฤทธิ์ และเป็นอำนาจที่ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ยืนยันเลย เอาความสงบไปประท้วงหรือกดดันให้อำนาจไม่ดีของรัฐบาลต่างๆ หยุด จนกระทั่งถูกปลดถูกไล่ออก อำนาจสุดท้ายนี้ของยิ่งลักษณ์ก็ไล่มาต่อเนื่องตลอด เป็นประชาธิปไตยขี้โกง ไม่ว่าทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ก็หมดอำนาจไปแล้ว ออกฤทธิ์อะไรเพิ่มไม่ค่อยได้
จากนี้ไปอาตมาคิดว่า แสงทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน นี่แหละคือพวกประชาธิปไตย
ที่พูดนี้แสดงถึงว่าโพธิสัตว์แท้มาทำงานกับสังคมจริงแล้วเกิดผลทำให้เกิดความสงบสุข แม้จะมีการปฏิวัติก็เป็นอย่างสุภาพมาก จนถึงทุกวันนี้แล้วดีวันดีคืนด้วย เพราะประชาชนเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ประชาชนเข้าใจประชาธิปไตยจริง ยังมีสื่อสารมวลชนที่ไปรับสินจ้างรางวัล หัวเอียงไปทางนั้นบ้างเป็นเศษๆ นอกนั้นเป็นประชาธิปไตยจำนนกับความจริงแล้ว ฉะนั้นประเทศไทยกำลังก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ เป็นสังคมประชาธิปไตยที่สงบสันติสุข ไปเรื่อยๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน โพธิสัตว์คือผู้มากอบกู้โลก
_3867พ่อครูสรุปพระอรหันต์ตรงสัจธรรมจริงของโลก!พระเทียมผู้นำเท็จสร้างปย.สุขให้ผู้คนไม่ได้จริง!พระแท้ผู้นำจริงพาผู้คนพ้นทุกข์ทั้งปวงได้จริง!
พ่อครูว่า…คนจนนี่แหละเป็นเครื่องชี้บ่งความทุกข์ ถ้ามาจนแล้วสุขสบายดี ความจนนี้ยังตั้งใจจนพากเพียรเป็นคนจน จนคืออะไร จนคือไม่สะสมกอบโกยกักตุนไม่เอาเปรียบ แต่มีสมรรถนะมีความขยันหมั่นเพียรสร้างสรร ให้ตนเองพึ่งพาตนเองก็ได้ มีอยู่มีกินมีใช้พอเพียง แล้วที่เหลือก็สะพัดออก เกื้อกูลสังคม มันจึงไม่มีมันจริงหรือน้อยเรียกว่าจน คนจนคืออย่างนี้ คนจนนี่แหละยอดของความสุข พิสูจน์ได้เลยว่าคนจนมีสุข ถ้าพระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นคนรวยและมีความสุขจะไม่ทิ้งสมบัติออกมาเลย แล้วท่านก็มีความสุข ความสุขทางโลกียะเป็นสุขเท็จสุขหลอก ไม่ใช่ปรมังสุขัง คนจนมหัศจรรย์คือคนที่กินน้อยใช้น้อยแล้วสร้างสรรช่วยเหลือสังคม คนจนแบบนี้มีมากเท่าใดสังคมประเทศชาติจะเจริญเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติในโลกมากเท่านั้น
ในเมืองไทย ที่อาตมาสาธยายอยู่นี้คือโพธิสัตว์ ทยมีโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งคือ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสนี้ตรงกับที่อาตมาพูด หรือที่อาตมาพูดนั้นตรงกับของท่าน ในหลวงว่า เราไม่เอาก้าวหน้าแบบนั้น ก้าวหน้าแบบนั้นมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว ในหลวงตรัสด้วยพระทัยจริงของท่าน บอกให้คนไทยรู้จักสัจธรรมนี้ อาตมาทำงานมา 47 ปีพาคนมาจนได้ก็ทำด้วยภาคภูมิใจ ถ้าหลอกให้มาจนได้ หลอกได้ไม่นาน แต่ถ้าหลอกให้รวยสอดคล้องกับกิเลสก็หลอกได้นาน แต่มาให้จนนี้ไม่ได้ตรงกับกิเลส จะต้องเข้าใจและมาอยู่ได้อย่างสบายดี อย่างพวกเราไม่เดือดร้อนใจไม่อวิปฏิสาร อยู่กับศีลกับธรรม เป็นสัจจะ
ดีไม่ดี มีความภูมิใจ มีปิติ ปัสสัทธิ อาตมาได้ฟื้นคืนศาสนาพุทธมาได้ ศาสนาพุทธกำลังถูกตรวจสอบ ไปเรื่อยๆ อาตมานำพาสัจธรรมนี้มาได้ยาก แต่ยากก็ไม่ท้อ จึงพาทำกันได้ผลขนาดนี้ อาตมาว่า ภาคภูมิใจที่เกิดมาชาตินี้ มีประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติ แม้จะถูกว่า ถูกด่า อาตมานี้บางคนเขารังเกียจยิ่งกว่าขี้ รังเกียจยิ่งกว่าหมูกว่าหมา เขาบอกว่า คนๆนี้ คือทวนกระแสกิเลสเขา เขาเชื่อโลกีย์ แล้วอาตมาจัดการด่าว่าโลกีย์เยอะเขาก็เลยรังเกียจ อาตมานั้นสงสารเขา ไม่ได้พูดเล่นลิ้น ก็เอามวลใหญ่เป็นประมาณ ส่วนใหญ่ฟังรู้เรื่อง ส่วนน้อยฟังไม่รู้เรื่อง ส่วนน้อยของคนที่ มีปัญญา ส่วนน้อยคนที่มีปัญญาจะฟังอาตมาเข้าใจแต่ส่วนใหญ่ของคนไม่มีปัญญาจะฟังไม่เข้าใจ
อาตมาเอาส่วนน้อยที่มีปัญญา ฟังเข้าใจ ส่วนคนที่ไม่มีปัญญาฟังไม่เข้าใจ แม้จะมากเท่าไหร่จะไปบังคับให้มาฟังก็ไม่ได้ เขาต้องมีปัญญาของเขาเอง ตกหล่นเขาเอง อาตมาต้องไปงมก็เสียเวลา อย่างมากจะพยายามอยู่ให้ถึง 151 ปี จะถึงหรือไม่ถึงก็ไม่รู้ ก็ช่วยคนที่ฟังรู้เรื่องก่อน
คนทุกวันนี้ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์นี้ ทุกข์คืออาริยสัจ ผู้ใดเห็นทุกข์ก็เกิดปัญญา เพราะทุกข์ มันปลอมเป็นสุข แล้วคนก็เข้าใจว่าสุขคือสิ่งที่ดีที่สุด เขาก็เลยพยายามไปแสวงหา สร้างความสุขให้แก่ตัวเอง คำตอบก็คือ นั่นแหละคือตัวทุกข์ สุขนั่นแหละคือตัวทุกข์ การไปแสวงหาความสุขก็ได้ทุกข์ทุกตัว
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่เอาคำพูดว่าทิ้งสุข แต่เอาคำว่าปราบสุขที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ สุขทุกข์เป็นของปลอม ผู้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์แล้วไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอุเบกขาไม่ทุกข์ไม่สุข ความรู้สึกของเวทนาเป็นอุเบกขาเวทนา นั่นคือจิตที่เป็นฐานนิพพาน
ผู้ใดสร้างและทำจิตตัวเอง มนสิการ ทำใจตนเองให้เป็นอุเบกขา อย่างรู้ๆว่าไม่สุขก็ต้องดับเหตุได้ จิตเป็นเนกขัมสิตอุเบกขา ได้ก็คือมีเชื้อของนิพพานเป็นลำดับ เรียกว่ามีนิพพัตติ สูงสุดเป็นอภินิพพัตติ เป็นอรหันต์
เดี๋ยวนี้อธิบายกันไม่เป็น อธิบายไม่ได้แล้ว
หนึ่งชาติ สองสัญชาติ สามโอกกันติ สี่นิพพัตติ ห้าอภินิพพัตติ
การเกิดชาติ เป็น Common noun เป็นสามัญนาม ชาติปิทุกขา การเกิดใดๆเป็นทุกข์ คนใดไม่เรียนรู้เรื่องชาติเรื่องการเกิด คุณก็จะมีตัวสัญชาติ คือการเกิดเก่า สร้างสังขารสั่งสมหยั่งลงโอกกันติ ด้วยอวิชชาไม่รู้จัก ชาติ สัญชาติ ไปตลอด จนกว่าคุณจะเรียนรู้ชาติ แล้วทำให้เกิดชาติแบบใหม่ แบบอื่น ที่เป็นปัญญาที่เป็นชาติที่เกิดด้วยปัญญา เป็นการเกิดของจิต โอปปาติกโยนิ ทำให้เกิดโลกุตรสัตว์หรือบุคคลโลกุตระ เป็นอาริยบุคคล ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ต่างไปจากคนโลกีย์ มีเนื้อแท้ของจิต จิตที่เป็นสัตว์โลกีย์มาเป็นสัตว์โลกุตระ ที่จริงไม่เรียกสัตว์แล้วเรียกมนุสโส คือผู้มีใจสูง เจริญขึ้นเจริญขึ้นอย่างแท้จริง
ผู้ที่เรียนรู้ได้จริงทำได้จริง ขออภัย ต้องพูดความจริงอย่างชาวอโศก เรียนรู้ชัดเจนได้จริง จึงเป็นคนไม่สุขไม่ทุกข์ กิเลสขาดไปได้เรื่อยๆ นานวันมาแล้วก็ได้มากขึ้นๆตามลำดับ จนทุกวันนี้ก็ยังยืนหยัดยืนยันอยู่ สิ่งที่ได้มาแล้ว ตั้งแต่ปฏิบัติเริ่มต้นมาเป็นชาวอโศก ก็จะมีคนเป็นชาวอโศก ตั้งมั่น constant อยู่กับชาวอโศกไม่เปลี่ยนแปลงเป็น status quo ถึงปัจจุบันนี้ ที่ไม่มีเปลี่ยนแปลงแล้ว
นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)อย่างแท้จริง เป็นเครื่องยืนยันว่ามนุษย์ทำได้ทำโลกุตรธรรม ไม่เป็นหมัน ไม่สูญเปล่า แม้มาถึงทุกวันนี้
พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า คนจะรู้เรื่องได้หรือ ตอนท่านตรัสรู้ใหม่ๆ แต่สหัมบดีพรหม ก็มาอาราธนาธรรม บอกว่าชิปหายแล้วนะพระพุทธเจ้า หากไม่สั่งสอนคน พระพุทธเจ้าก็ตรวจโลกดูพบว่ายังมีคนที่พอจะสอนได้อยู่นะ ก็เป็นศาสนาพุทธที่จะมีคนบรรลุธรรมได้น้อยที่สุดกว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น พ้นจากนั้นเป็นพระศรีอริยเมตไตรยจะบรรลุธรรมได้มากมาย พระสมณโคดมเป็นชาติที่จะสอนคนได้น้อยที่สุดแล้ว ท่านจึงได้โปรดสอน เพราะฉะนั้นการสอนของท่านจึงตั้งใจสอนให้ถึงอรหันต์ไว้ ถ้ายุคใดก็ตาม ไม่มีใครบรรลุอรหันต์เลย ก็จบพุทธศาสนามีแต่จะเสื่อมลงไป
เพราะฉะนั้นมาถึง 2600 ปี ถึงได้ใหม่ เกือบจะสายใยสุดท้ายขาดไปแล้ว อรหัตตผลเกือบไม่มี อาตมาจึงรีบ สาวขึ้น รีบกอบกู้ขึ้นมา ทุกวันนี้ก็เริ่มมีปัญญารู้ว่า อรหัตตผลคืออ่างไร มีโสดาฯสกิทาฯอนาคา ถ้าอาตมาไม่รีบคว้าไว้จากก้นหลุม ศาสนาพุทธในเมืองไทย จะหลงแต่อรหันต์หลับตาซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นอรหันต์เก๊ อรหันต์ปลอม หลงเชื่อว่าเป็นอรหันต์จริงๆน่าสงสาร
แม้แต่ตัวผู้ที่บรรลุอรหันต์เก๊นั้นก็หลง ประชาชนที่เข้าใจทฤษฎีแบบนั้น ก็หลงนับถือบูชายังมีจำนวนมากอยู่ทีเดียว ในบรรดานักศึกษานักรู้นักเรียน ที่ศึกษาศาสนา ก็เชื่อแบบนั้น อาตมาพูดมานี่ไม่กระเตื้องขึ้น แม้เสี้ยวหนึ่งจะได้ถึง 25% ไหมอาตมาว่าไม่ถึง แต่ความจริงอันนี้แม้ไม่ถึง 25% ก็มีน้ำหนักเหมือนปรอท ที่ไม่เหมือนโฟม น้ำหนักปรอทจึงถ่วงโฟมได้ ไม่ถูกเฮอริเคนพัดไปง่ายๆ แต่โฟมนั้นแค่ลมหัวกุดก็พัดไปได้ แต่ปรอทนี้ไม่ไปได้ มันเป็นเรื่องจริง
เมื่อสัจจะ หยั่งลงจริง จึงจะยั่งยืนและเจริญงอกงามต่อไป เพราะทฤษฎียังอยู่ ความต้องการปรารถนาที่จะให้ได้สัจจะของศาสนาขึ้นมา เพราะพระพุทธศาสนาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นไม่มี 0 ยังจะเจริญงอกงามต่อไป อย่างน้อยก็พวกคุณนี่แหละยังจะพากเพียรเสียเวลาใช้เวลา มาเอาความจริงเอาความรู้อันนี้ ไม่ไปแย่งชิงลาภยศสรรเสริญโลกียสุขภายนอกแล้ว มาศึกษาทางนี้ดีกว่า
คนที่ยินดีในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขจะไม่ยินดีในโลกุตรธรรม เขาจะไปหาโลกียธรรมที่เพิ่มลาภยศสรรเสริญโลกียสุขของเขา เขาจะไม่มาขัดเกลา ไม่มาเอาโลกุตระที่ไม่ส่งเสริมเพิ่มกาม อัตตาหรอก ก็ได้หมู่มวลเท่านี้ ที่เป็นปรอท ก็ใช้ได้แล้ว ก็พากเพียรกันไป ก็ค่อยๆก้าวหน้าขึ้นเป็น status quo ไป ให้ sustainable มั่นคงถาวร มีสมรรถนะ สัจธรรมโลกุตระนี้ ต่อไป
อาตมาขยายความกว้างและลึกมาแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ตรวจสอบภูมิอาริยะในตนจะได้ไม่วนทำซ้ำ
_จาก ญาติธรรมคนหนึ่ง...
พอดีวันนี้เจอเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกทุกข์ ระหว่างที่ครอบครัวขับรถกลับมาจากออกกำลังกาย พบชายคนหนึ่งกำลังต่อยเด็กขับรถเครื่องขายไอศรีม(เด็กตัวน้อยมาก เป็นเด็กกระเหรี่ยง)
ประมาณว่าชายคนนั้นขับย้อนศรมาแล้วมาเฉี่ยวรถเด็กคนนี้ที่ขับมาถูก พอเห็นก็รีบบอกพ่อให้ถอยรถไป เพื่อให้ฝ่ายชั่วมันเกิดเกรงกลัวบ้าง พร้อมโทร.บอก 191 แต่พอใกล้ถึง ฝ่ายชั่วเห็นมีคนมา ก็เลยขับมอเตอร์ไซค์ไป
ตนเองรู้สึกสงสาร ก็เลยให้ตังค์เด็กขายไอศกรีมวอลล์ที่โดนชก และถังน้ำแข็งขาดไป 100 บ.
แต่ทำไมยังรู้สึกทุกข์ว่าทำไมมันถึงมีคนชั่วที่รังแกคนอ่อนแอกว่า ทำไมคนเราถึงเลวร้ายอันธพาลทำร้ายคนที่ด้อยกว่าตัวเองได้ขนาดนี้ เลวสงสารเด็กน้อยนั่นมาก
และที่เด็กคนนี้โดนกระทำเป็นเพราะวิบากที่เค้าจะต้องชดใช้หรือไม่ ทุกอย่างมาแต่เหตุใช่หรือไม่คะ? จริงๆก็พอรู้คำตอบอยู่ว่าเป็นวิบากกรรมของเขา แต่ก็ยังรู้สึกทุกข์ สงสารเด็กคนนั้น เลยอยากรู้ว่าที่คนแต่ละคนต้องเจอสิ่งที่เลวร้าย คนที่เลวร้ายกระทำ ทุกอย่างมาแต่เหตุใช่รึไม่คะ
แล้วจะทำใจในใจอย่างไร กับการเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ให้เราทุกข์หรือทำให้ทุกข์น้อยลงจนไม่ทุกข์ได้คะ ที่รู้สึกทุกข์เพราะเราสงสารเด็กน่ะค่ะ .... กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า...ใช่แล้ว คำตอบก็คือคุณยังไม่รู้จักสงสาร ก็เลยมีจิตสงสาร จิตคุณเกิดอารมณ์สงสารไม่คลายเพราะเข้าใจสงสารไม่ได้
สงสารคือความหมุนเวียนของการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เพราะฉะนั้นในจิตของใครที่มีอะไรเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป โดยไม่ได้ล้างสิ่งที่ควรจะหยุดหมุน หยุดการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปก็คือ อวิชชา
อวิชชาคือ ความไม่รู้ ไม่รู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้นในจิตบ้าง เราล้างสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตเราได้หรือไม่ เพราะคุณทำให้เกิด ความไม่หมุน ไม่เกิดสงสารได้ก็ดับเหตุได้ เหตุคือกิเลสคือความไม่รู้ ต้องทำความรู้ในความหมุนเวียนของจิต หมุนเวียนไปสู่ความต่ำ ในโลกต่ำๆ ที่ไปเกี่ยวข้อง ไป สังสัคคะ ไปสนุก ไปเพลิดเพลินเอร็ดอร่อยไปแสวงหาไปคว้าเอามาเกี่ยวข้อง สังสัคคะ แปลว่า ความเกี่ยวข้องกับโลกีย์ ของโลกสงสาร หรือหมุนเวียน
ต้องตรวจสอบโลกที่หยาบต่ำสุด ต้องตรวจเป็นลำดับ หากคุณไม่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่สังสัคคะแล้วในกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ต้องตรวจสอบทำอย่างเป็นลำดับเป็นความอัศจรรย์ ในเรื่องกาม โลกของกามคุณ 5 แม้แต่เรื่องเพศก็คือกาม ตรวจสอบ เรื่องเพศเราก็พ้นมา ไม่เดือดร้อนไม่วุ่นวายกับใครมากมาย ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสกามคุณ 5 ตากระทบรูปอย่างนี้ชอบ หูกระทบเสียงลิ้นกระทบรส
ถ้าหมดการแสวงหา จิตเราไม่มีแล้วในโลกกามคุณ เราไม่เสียเวลาทุนรอนแรงงานกับมันแล้ว ต้องตรวจให้จริงๆ
ต่อมาตรวจใน รูปภพอรูปภพ เป็นอนาคามี ก็ตรวจว่าเหลือเชื้อเหล่านี้ในจิตไหม โลกก็มี แต่ว่า เราก็ไม่มี
เขาเคยถามอาตมาตั้งแต่ตอนรุ่นสาวๆ ตอนนี้ก็ยังไม่แก่หรอก ยังวัยไม่สี่สิบหรอก เป็นอาจารย์เขาเคยถามอาตมาว่า ทำไมหนูถึงไม่มีคนจีบเลย อาตมาก็ตอบว่าคุณมีบารมี ที่ไม่มีคนมาจีบ เขาไม่ได้เดือดร้อนใจอะไรเลย ก็ไม่ได้ไปหลงกับเขา เรื่องกามเรื่องเพศก็ไม่มีวอแว คุณก็ไม่ได้เป็นคนขี้เหล่หน้าตาก็ดี แต่ไม่มีคนจีบ มันเป็นบารมีของคุณ เรื่องนี้เป็นเรื่องกรรมวิบาก เป็นอจินไตย เป็นเรื่องดีแล้วไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่มีก็ดีแล้ว นี่คือสัจจะ ยังเหลือเชื้อข้างใน รูปภพ อรูปภพ ทำความเข้าใจให้ดี
ถ้าคุณตรวจ รูปภพ ราคะ โทสะ ในสังโยชน์ที่เหลือก็น้อยหรือไม่มีเลย ไปหลงตามโลก เพราะความไม่มั่นใจ ต้องตรวจสอบให้ดีว่าไม่มีแล้ว แต่อย่าไปอยากกับเขาอีก มันทวนไปทวนมา ถ้าไม่เข้าใจไม่มีปัญญาตัดสิน ถ้าเข้าใจที่อาตมาพูด เราจะวอนไปวิ่งหาที่ต่ำทำไม ก็จบ ยิ่งราคะ รูปราคะ อรูปราคะไม่มีก็เป็นอรหันต์ ไม่ได้พูดเล่นเลยให้ตรวจจริงๆ คุณต้องมั่นใจ มีจิตที่มั่นคงชัดเจน รู้ว่าเราชัดเจนแล้วก็อย่าวอแวอีก
ยังเหลืออีกนิดเดียว ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วแต่ตรวจสอบตัวเองไม่ได้ แต่ก็ยังวนกลับมาเพราะไม่เป็น อุภโตภาควิมุติ มันวิมุติแต่เจโต แต่ปัญญาที่จะครอบคลุมเป็นอุภโตภาควิมุติไม่มี ถ้าเจโตวิมุติก่อนจะไม่จริง เจโตวิมุติได้ต้องมีสัมผัสของจริงเป็นการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
เมื่อเราตรวจสอบตนเอง เราเกิดมาเป็นโพธิสัตว์แล้วนะ แต่เป็นโพธิสัตว์ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรมาก ไปตามโลกเขา ก็สงสัย เพราะฉะนั้นตรวจสอบตัวเอง ตรวจสอบความรู้คำสอนที่จะมาบรรยายให้ดีๆ แล้วจะรู้ว่า เราไม่ได้เป็นคนมีกิเลสเป็นพิษภัยในโลกแล้ว ก็มีแต่จะมาช่วยสังคมมาช่วยกอบกู้
ถ้าเข้าใจสัจจะเมื่อใด จะเลิกสอนความรู้โลกีย์จะมาช่วยอาตมาสอนความรู้โลกุตระแน่นอน ตอนนี้รอแต่ว่า จะขึ้นขีดนั้นไหม แต่ก็วนนะ อาตมาฟังแล้ว เอาสักวันหนึ่งก็คงจะต้องรู้ตัวเอง อาตมาก็เพิ่มเติมให้จะได้เลิกเร็ว ไม่อยากให้วน แต่ไม่จำบ่ม ให้สุกเอง มาก็มาเอง ให้เป็นไปตามธรรม
ทีนี้เพราะคุณยังไม่รวบรวมคำตอบ ความรู้ให้เป็นลำดับอย่างถูกต้องเลยพะวักพะวน อาตมาว่าคุณเป็นแล้วแต่ไม่ได้เรียบเรียง เขาเป็นนักนิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เป็นดอกเตอร์ ถ้าได้หรือเปลี่ยนความรู้ดีพอแล้ว ให้รู้ด้วยตัวเอง อาตมาพูดนี้ไม่ได้พูดให้เหลิง อย่าเหลิงหลงตัว แต่ให้เข้าใจสัจจะให้ดี แล้วจะได้ช่วยสังคมมนุษยชาติต่อไป นี่ก็อายุ 40 แล้ว ก็ตอบยาวพอสมควร เป็นสาระที่ฟังด้วยดี จะเกิดประโยชน์ตาม
อาตมาจะเอาคำถามมาตอบต่อ
_ถามว่า หนึ่งคำว่าสังโยชน์แปลตามศัพท์คืออะไร ในธรรมพุทธสุดลึกหน้า 21 แปลโดยอัตถ์ว่า กิเลสที่ผูกมัดใจไว้กับทุกข์
ตอบ...ก็ขยายความไปบ้างแล้ว ก็สำทับอีกทีว่า ตัวกิเลสมันผูกมัดเรา เราก็เลยต้องติดกับทุกข์นั้น เพราะไม่รู้จักกิเลสนั้น ยังไม่สิ้นอาสวะ อนุสัย ก็ยังเหลือความทุกข์อยู่ อธิบายสั้นๆ ก็มาเรียนไปตามลำดับ อยู่กับหมู่ แล้วตั้งใจทำไปเรื่อยๆจะได้จริง
สื่อธรรมะพ่อครู(สังโยชน์ 10) ตอน สักกายทิฏฐิ และอัตตานุทิฏฐิ
_สักกายทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นว่ากิเลสเป็นตัวเรา ขยายความให้กระจ่างกว่านี้ได้ไหมครับ สักกายทิฏฐิ ต่างจากมิจฉาทิฏฐิ แลอัตตานุทิฏฐิอย่างไรครับ
พ่อครูว่า...กาย คือ ธรรมะ 2 คือรูปกับนาม รูปเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ตัวผู้รู้คือนาม สิ่งที่ถูกรู้ คือ object ตัวผู้รู้คือ subject หรือแม้แต่ข้างนอก ดินน้ำไฟลมตัวตนเราเขาต้นหมากรากไม้ เรามีจิต เรามีธาตุรู้สามารถรู้ได้
ธรรมะสองมาเกี่ยวข้องกันแล้วเกิดสังขาร คุณจะรู้สังขารต้องเรียนรู้รูปนาม จะรู้สิ่งที่ปรุงแต่งเป็นอันที่ 3 ต้องรู้รูปนาม 2 อันก่อน
กายคือธรรมะสอง สักกะคือของเรา อย่าไปทำนาคนอื่น ต้องรู้กายของเรา อย่าไปเพ่งกายคนอื่น อย่าไปรู้รูปคนอื่น นามของเราเป็นตัวรู้ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ตั้งแต่มาเกี่ยวข้อง กับนาม แยกกันไม่ได้
ศาสนาพุทธ คำว่า กาย เมื่อเข้าใจเป็นมิจฉาทิฐิแล้วว่ากายคือดินน้ำไฟลม ไม่มีจิตไม่มีมโนไม่มีวิญญาณเข้าไปร่วมในนั้นด้วย เป็นส่วนหนึ่งเรียกว่าธรรมะ 2 เป็นสิ่งที่ไม่มีความรู้สึกไม่มีธาตุรู้เลย ถ้าคุณแยกไป ว่าเป็นสิ่งภายนอก ไม่มีจิตร่วมเลย ถ้าเข้าใจเช่นนี้ศาสนาพุทธจึงไม่มีมรรคผลนิพพาน และศาสนาพุทธชาวพุทธเข้าใจอย่างนี้แหละ จนคำว่ากายนี้เป็นภาษาไทย ในพจนานุกรมไทย แต่พจนานุกรมบาลี กายนั้นแปลว่า หมวดของเจตสิก เวทนาสัญญาสังขาร
แต่ในพจนานุกรมไทย กาย แปลว่า ร่าง ภายนอก ความประชุมของดินน้ำไฟลม ไปโน่นเลย นี่คือ เป็นเครื่องชี้บ่งถึงศาสนาพุทธจบแล้ว แม้แต่ราชบัณฑิต มีทั้งเปรียญ 9 มีทั้งผู้รู้เป็นดอกเตอร์อะไร ก็ให้นิยามผิด
สรุปแล้ว สักกะ แปลว่าของตน ต้องทำความรู้กายให้ชัดเจน หากเข้าใจถูกต้องก็พ้นสักกายะทิฏฐิ เข้าใจธรรมะสองแล้ว โดยบัญญัติอาจเข้าใจได้ แต่ถ้าไปปฏิบัติตน มีรูปกับนาม มะละกอเป็นรูป คุณมีจิตรับรู้ ว่ามีมะละกอ อันที่สามเป็นสภาพรู้ เป็นองค์ 3 ผัสสะ 3 คุณรู้สักกายะ เรียกว่าพ้นสักกายทิฏฐิ แต่นี่เป็นความจริงไม่ใช่แค่รู้ ในsuddenly ปัจจุบันเลยนะ ถ้าตาไม่สัมผัสรูปแล้วก็เป็นความจำ คุณระลึกถึงมะละกอนี้ เป็นความจำ ถ้าไม่เคยเห็นก็ระลึกไม่ได้หรอก (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...มะละกอนี้สีเขียว มีอารมณ์อยากจะกินหรืออารมณ์ไม่ชอบใจ ถ้าไม่มีอารมณ์นี้ก็จบ
พ่อครูว่า...ความรู้ในความจริง ต้องสัมผัสปัจจุบันเป็นความจริงอันนี้ อันนี้แหละเรียกว่า มีทั้งสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ มีความจริงทั้งภายนอกภายใน สมมุติต้องร่วมรู้กับคนอื่น ถ้ารู้คนเดียวคนอื่นไม่รู้ร่วมด้วยเลย เป็นปรมัตถสัจจะภายใน ถ้าไม่แสดงออกให้คนอื่นรู้เลยก็ไม่มีสมมุติในโลก
พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัจจะของท่าน เป็นปรมัตถสัจจะ ถ้าท่านไม่ประกาศศาสนาเลย เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ไม่ประกาศศาสนาเลย แล้วท่านก็ปรินิพพาน เป็นปริโยสานไป ท่านก็ได้เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีสัพพัญญุตญาณเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกองค์ มีอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากัน แต่ถ้าไม่ประกาศในโลกมนุษย์ ไม่ประกาศศาสนาพุทธ ต่อให้มนุษย์คนที่ 2 รู้ขึ้นมา จนกระทั่งรู้เป็นจำนวนหมื่นแสนล้านคน ท่านก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์ ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าเฉพาะพระองค์เดียว นี่คือปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ผู้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเหมือนกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์แต่ไม่ประกาศศาสนา เป็นเหตุผลส่วนตัวเป็นเรื่องส่วนตัว นี่เป็นความรู้ตามภูมิของอาตมาที่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขอยืนยันว่าที่พูดนี้ไม่ได้เดา เป็นความจริงที่ถูกต้อง อาตมาก็พากเพียรไปสู่ความเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นตนเอง สักกะ มีรูปนาม เป็นความรู้ทั้งหมด ถ้าเข้าใจกาย ที่เป็นรูปนาม ผิดก็ไปไม่รอด ต้องมาเข้าใจคำว่ากายให้สัมมาทิฏฐิให้ได้
แล้วต่างจากมิจฉาทิฏฐิ ก็คือ ถ้าไม่เข้าใจกาย ตั้งแต่ต้น ก็เป็นมิจฉาทิฐิ ก็ไม่เข้าใจโลกุตรธรรม ล.31 ข.620 โลกุตระ 46 ถ้ากายมิจฉาทิฏฐิไปแล้ว คือไม่เข้าใจกายตัวเอง เพราะโลกุตระข้อแรกคือกายในกาย ต้องศึกษากายในกายแล้วลึกไปหา เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม แต่ไม่เข้าใจกายตั้งแต่ต้น แล้วยังไม่พ้นสักกายะทิฏฐิ ไม่รู้กายของตัวเอง นั่นคือคำว่ามิจฉาทิฏฐิ ถ้าไม่รู้จักกาย
และอัตตานุทิฏฐิ คืออย่างไร อนุแปลว่าตาม คือตามไปรู้ทิฏฐิ ความเห็นความรู้ แล้วต้องตามไปปฏิบัติให้รู้จักอัตตา อัตตานุทฺฏฐิ ตัวหยาบสุดคือโอฬาริกอัตตา ต้องมีข้างนอก โอฬาริกอัตตาเป็นอัตตาหยาบสุด มโนมยอัตตาเป็นอัตตาลำดับต่อไป เมื่อรู้ ละโอฬาริกอัตตา ก็มาปฏิบัติลดมโนมยอัตตาต่อไป มีทั้งข้างนอกและข้างใน ก็ลดข้างนอกแล้วลดข้างในต่อจนหมด มโนมยอัตตาภายนอก เหลือมโนมยอัตตาภายในเป็นรูปภพอรูปภพก็จัดการต่อ หมดรูปภพเหลืออรูปภพหมดก็เป็นอรหันต์จ้อย
คุณต้องพ้นสักกายทิฏฐิ แล้วมาเรียนรู้กาม อัตตา อนุทิฏฐิต่างๆ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ดับอัตตาสามก็เป็นอรหันต์
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน เวทนาเป็นกรรมฐานเดียวของศาสนาพุทธ
โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ก็คือกาย คือธรรมะ 2 ทั้งสิ้น แต่ต้นจนจบ
และต้นจนจบที่จะต้องจัดการก็คือเวทนา ในพระไตรปิฎก ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 นี่คือ ประโยคทองของศาสนาพุทธ
กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนาเท่านั้น แต่มันผิดเพี้ยนไป เอากำมะถันเป็นดินน้ำไฟลม เป็นอะไรต่างๆ มีเกจิอาจารย์รวบรวมว่าเป็นกสิณ 40 เป็นกรรมฐาน 40 เป็นเรื่องนอกรีตศาสนาพุทธ
ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
เว้นผัสสะก็ไม่มีเวทนา ท่านก็แจกเวทนาเป็น 108 ถ้าปฏิบัติสัมมาทิฏฐิอย่างที่อาตมาว่าจะได้ผล จะไม่ไปแสวงหาอะไรอย่างอื่นเลยจะศึกษาที่เวทนา แล้วศึกษาให้รู้ มโนปวิจาร 18 ที่ปรุงแต่งเป็น เคหสิตะ เป็นเนกขัมมะ ดับเหตุที่ทำให้เป็นโลกีย์ ออกไป จะเหลือตัวแท้ เป็นโลกุตรธาตุได้สำเร็จไปตามลำดับๆ
ที่ต้องทำคือต้องแยกแยะเวทนา 18 ที่เป็น เคหสิตะ เป็นเนกขัมมะ เป็นเวทนาในเวทนา ใครก็ตามปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า อ่านเวทนาในเวทนาแยกแยะรูปนามอย่างนี้ออก นามนั้น พระพุทธเจ้าให้แยกแยะเป็น นาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
เวทนา คือ ความรู้สึก สัญญาคุณจะต้องใช้ ใช้สัญญากำหนดรู้ กำหนดรู้ในการผัสสะ ในผัสสะมีสังขารธรรม ต้องวิจัยลึกเข้าไปว่ามันจะมีเจตนา มันจะมีเจตนา มีกามตัณหา ละกามตัณหาแล้วเหลือภวตัณหา(รูป อรูป) ดับรูป อรูปหมดก็เป็นวิภวตัณหา
ตัณหาไม่มีภพ ท่านแปลภาษาวิภวตัณหา ในวงการศาสนาว่าเป็นความไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่ถูก แต่ความจริงแล้วเป็นตัณหาที่หมดภพชาติ หมดรูปภพอรูปภพ กามภพ หมดสามภพแล้วก็เป็นวิภวตัณหา พระพุทธเจ้าทำงานด้วยวิภวตัณหา เขาก็หาว่า อาตมาไปตู่ว่าพระพุทธเจ้ามีตัณหา อาตมาก็ไม่เถียง เพราะเขาเข้าใจแค่พยัญชนะ ถ้าไปเถียงกับคนบ้าคนเมา เราก็โง่หนัก
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ความจนไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ความทุกข์
ศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าท่านพูดสั้นๆ ว่าต้องมาเรียนรู้ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค
ตัวทุกข์นี้เป็นตัวที่เรียนรู้ได้ยากมากเลย เพราะความสุขมันบัง คนไปแสวงหาสุขอยู่คนนั้นไม่รู้จักทุกข์ เพราะความสุขมันไม่มี คุณจะไปแสวงหาความสุขได้เท่าไหร่มา ก็วนเวียน ผู้ใดทำให้หมดสุขทุกข์ คือนิพพาน เป็นอุเบกขา
นี่คือความสรุปแล้วสรุปอีก ย้ำแล้วย้ำอีก คนที่พ้นทุกข์แล้วจะเป็นคนไม่มีกิเลสแล้วเป็นคนที่มีปัญญา จึงเข้าใจความจริงว่า ตัวเราก็ยังมีองค์ประกอบองคาพยพรูปนามขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ต้องอาศัยมันไป เป็นรูปกับนาม เพื่อทำประโยชน์ ให้เกียรติผู้อื่น คนที่ไม่ขึ้นกับความจนความรวย คนที่มีความจนทำความจนอย่างมีปัญญาเป็นคนจนได้สำเร็จ แล้วก็ไม่ทุกข์ คนนั้นแหละเป็นคนสบาย ศาสนาพุทธจึงจะไม่สิ้นเชื้อ ยังพาคนมาจนได้ แล้วพาคนมาอยู่อย่างคนจนทำงานสร้างสรร กินใช้ร่วมกัน ไม่ยื้อแย่งเอามาเป็นของตัวตน อยู่อย่างสาธารณโภคีแล้วช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์อยู่ตลอดเวลา
ความจนจึงไม่ใช่เครื่องชี้ของความทุกข์ คนที่ไม่เรียนรู้ความจน แล้วเป็นคนจนอย่างมีบารมีเป็นคนจนมีประโยชน์เป็นคนจนไม่มีทุกข์ เป็นคนจนช่วยเหลือคนอื่นได้ เป็นคนจนอุ้มชูโลกช่วยเหลือโลก โลกานุกัมปายะ เป็นคนมีประโยชน์ต่อโลก อันนี้คือความยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ เมื่อคนเราสร้างสรรได้มาก แต่ไม่สะสม จึงเป็นคนจน ไม่ยึดถือมาเป็นเราเป็นของเราจึงเป็นคนจน มีหมู่กลุ่มวัฒนธรรมพฤติกรรมสังคม ทำงานอยู่ร่วมกันอย่างชาวอโศก กลุ่มนี้ทำอย่างนี้เป็นอริยะแท้เป็นคนศิวิไลซ์แท้ เป็นคนเจริญของโลกจริงๆ เป็นประโยชน์ต่อโลกอย่างมาก เป็นคนชนิดนี้
ศาสนาไหนสังคมไหนก็ต้องการ เขาไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงเป็นคนเช่นนี้ได้มีทฤษฎี พระพุทธเจ้าสอนไว้หมด พวกเรามาเป็นได้อย่างนี้เป็นการกอบกู้ศาสนาพุทธเอาไว้ เพราะรู้จริงและเป็นได้จริง แล้วก็มาเป็นคนไม่ทุกข์ไม่สุขจริง เป็นคนสร้างสรรให้มากเป็นคนมีวรรณะ 9 อยู่ง่ายกินง่าย
1. เลี้ยงง่าย (สุภระ)
2. บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
3. มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) มีน้อยก็พอ สบาย
4. ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
5. ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) ขัดเกลาสิ่งที่บกพร่องอยู่จนเป็นอรหันต์ต้องรู้ที่จบ จึงไม่วนเวียน อรหันต์ของชาวอโศกมีไม่น้อย แต่ไม่รู้ที่จบไม่มีกตญาณ หากสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงจะมี ปัญญาวิมุติ แม้จะมีสัมมาทิฏฐิแล้ว
6. เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
8. ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9
9. ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ในทักขิเนยบุคคล 7 ผู้มีปัญญาละอาสวะได้ จึงจะเป็นอรหันต์ แม้จะเหลืออนุสัยในส่วนลึกของเจโต แต่คนนี้อย่างไรก็ไม่มีโทษภัย อยู่ที่ไหนเกี่ยวกับโลกอย่างไรก็ไม่มีโทษภัย จะมีอนุสัยไปอีกนานเท่าใด ไม่ล้าง จะหมดอาสวะแล้วอย่างเดียว จนเป็นโพธิสัตว์ระดับสูงจึงจะล้างอนุสัย แล้วก็ปฏินิสรณะ วนเวียนช่วยโลกไป โดยไม่สงสัยลังเล ไม่งง ชัดเจนทุกด้าน นี่คือ ความรู้ของคนที่ชื่อว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มาถึงวันนี้ คนก็บอกว่าจะมาสูงกว่าขั้นที่ 7 แล้ว ไม่มีปัญหาหรอก ถ้าเราสูงแล้วเขาบอกตัวเราต่ำก็ไม่เป็นไรไม่มีปัญหา อาตมาตั้งปณิธานไว้จะตอบแทนบุญคุณของศาสนาพุทธให้ได้ กับสงสารมนุษย์จะต้องช่วยกัน เท่านี้ก็เหลือแหล่ ให้อาตมาทำต่อแล้ว
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูบอกว่า ชาวอโศก แสดงตัวเป็นอาริยะบุคคล ความจนจึงไม่ใช่เครื่องชี้ของความทุกข์ คนจนจะเปิดเผยมากกว่าคนรวย จะพ้นทุกข์ได้มากกว่าคนรวย คนจนจะเป็นคนที่เสียสละช่วยเหลือผู้อื่น ท่านเตือนว่า ให้ตรวจสอบตนเองให้ชัดเจน หากไม่ชัดก็จบไม่เป็น ก็ไม่รู้ว่าตนเองบรรลุธรรมแล้วก็จะวนเวียน
พ่อครูว่า...ผู้ที่ถามมานี้ อาตมาเผยไปว่าเขาเป็นดอกเตอร์ ที่จริงมีบารมี
สมณะฟ้าไทว่า...กายเขาทำได้แต่จิตไม่ชัดเจนก็ตัดรอบไม่ได้ พ่อครูได้กอบกู้ศาสนาให้ถึง 5000 ปีให้ได้ เราก็ต้องช่วยกอบกู้ด้วย ต้องช่วยอย่างยิ่ง ให้เป็นโพธิสัตว์ตั้งแต่ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และเป็นอรหันต์ให้ได้จึงจะได้ชื่อว่ากอบกู้ศาสนาได้ จริง …
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=0B1SIObdHg192d3c2ajg4dVcwMnc
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:02:53 )
รายละเอียด
600913_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ต้องข้ามเขตกุศลได้จึงเป็นบุญ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธ ที่ 13 กันยายน 2560 แรม 8 ค่ำ เดือน 10 ปีระกา ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เรามีงานศพของ ครูอุดม พรหมสีดา ซึ่งเป็นบิดาของ สมณะเดินดิน บวชตั้งแต่ปี 2517 บวชมา 43 ปี โยมอุดม อายุ 97 ปี
ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ [421] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ
[422] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัดทอนหญ้า ไม้กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็นมัดๆ ละ 4 นิ้ว วางไว้ สมมติว่า นี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของเรา โดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่า หญ้า ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูน
ปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนาน เหมือนฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ก้อนดินทั้งหมดปฐพีนี้หมดก่อน บิดาของเรามีมากกว่านั้น ไม้เหล่านี้หมดก่อน มารดาของมารดาเรามีมากกว่านั้น ควรเบื่อหน่ายในวัฏสงสารนี้ได้แล้ว คนก็ไม่ค่อยได้คิดได้เห็น เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติก็มีคนมาปฏิบัติได้ระดับนั้น ในกาละนี้พ่อครูมา ก็มีคนมาฟังธรรมระดับนี้ คนจะมาฟังสัทธรรมเป็นสิ่งที่หาได้ยาก สัทธรรมเป็นเรื่อง รู้ตามได้ยากเห็นตามได้ยากปฏิบัติตามได้ยาก แต่เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่เราควรจะได้ ท่านก็พยายามสาธยายให้เราได้รับรู้ ทำให้เราเข้าใจให้ได้ น่าเห็นใจท่านมาก อธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้เราเป็นให้ได้ลดละกิเลสให้ได้จนบรรลุธรรมได้ แล้วทำงานเพื่อศาสนาโดยไม่มีตัวตนให้ได้ จึงเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก ที่ใครทำได้เป็นได้ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในโลก ยิ่งโลกปัจจุบัน กิเลสมากมายมหาศาล คนทำได้ก็น่าเคารพบูชา อย่างอ.อุดม พรหมสีดา ที่ทำได้ เราจะทำได้ไปตลอดชีวิตหรือไม่ก็ต้องพิสูจน์กันต่อไป
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน โลกียะกับโลกุตระต่างกันตรงไหน
พ่อครูว่า…เนื้อหาสาระของธรรมะจะพูดอย่างไรมันก็ต่อกันได้หมด พูดไปพูดไปก็จะถึงตรงนั้นเอง เป็นอย่างนั้นเอง โลกียะกับโลกุตระนี่ มันจะถึงกันได้ ถ้าเผื่อว่า ผู้ที่สามารถมีภูมิโลกุตระจริงแล้ว จะมาพูดทุกสิ่งออกมามันเป็นสมมติที่บัญญัติ เป็นการกำหนดโดยการสื่อให้รู้กันได้ เรียกว่าสมมุติขึ้นมาเป็นภาษา ก็จะเป็นภาษา คนเราจะดีตรงที่เหนือกว่าสัตว์เดรัจฉานตรงที่มีภาษา ภาษาของชาติไหนก็พูดเป็นภาษาของชาตินั้นๆได้ สามารถสื่อสารให้รู้สภาวะธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งถึงขั้นโลกุตระ โลกุตระเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะรู้ที่จะเข้าใจ
มีผู้เขียนถามมาว่า…
โลกียะ กับโลกุตระ โดยแยกแยะว่า ..โลกียะเป็นรูป โลกุตระเป็นนาม
คณิตศาสตร์หลงรูปเรขาคณิต บ้าน หน้าตา วัตถุ สี เสียง บ้านเลขที่ ฯลฯ บวกลบคูณหารกันในทางที่ผิด
ภาษาก็หลง ลาภยศ ชื่อ ตำแหน่ง ก-ฮ สระต่างๆ แก่งแย่ง ทำลายล้าง บ้าอำนาจ นี่คือโลกียะ
(พ่อครูว่า...ฟังแล้วก็ โอ้โห พูดเหยียบย่ำโลกียะติดดินเลย)
ต่อมาโลกุตระ(นาม) ถือว่าเป็นพลังงานจิต (ดี) เป็นคณิตศาสตร์ที่ใช้บวกลบคูณหารอย่าง ไม่ติด ไม่เยอะ ไม่ยึด ภาษาก็ใช้พยัญชนะ หัวข้อ อธิบาย สภาพสภาวธรรม รู้ความคิดและอาการของกิเลส เวทนา 108 ความรู้สึกดับไป เป็นอนัตตา ไม่ติดไม่ยึด
อดีต เคยเป็นครู อนุบาล ประถม ถนัดวิชาการ กบายเป็นวิชาเกิน เป็นวิชากรรม ปัจจุบันเป็นนร.สถาบันวิชชาราม และจิตอาสา ทำงานฟรี เรียนรู้วิชชาธรรมกับพระโพธิสัตว์เบิกบาน บำเพ็ญกุศล สุขทั้งแผ่นดิน ทุกข์เท่าฝุ่นปลายเล็บ
สภาวธรรมตอนนี้ฝึกฝน พุทโธ เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ปัญญาของผู้เรียนทุกวันนี้ ไม่รู้จักโต เรียนเท่าไหร่ก็ไม่เลื่อนชั้นเรียนเป็นโลกุตระ
พ่อครูว่า...ตัวท้ายนี้จริง ที่ว่า จะฟื้นได้เท่าไหร่ แต่ได้ อย่างพวกเรามาเข้าโลกุตรภูมิ
โลกุตรภูมิกับโลกียะนั้นต่างกัน คือ
โลกุตระนั้นคือผู้สามารถรู้จิตตัวเอง และรู้อารมณ์ตัวเองคือเวทนา แล้วทำอารมณ์ตัวเองให้เป็นผู้ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
อารมณ์ที่ว่า คือเวทนา ศาสนาพุทธนั้นเรียนรู้อารมณ์เป็นสำคัญ ความเป็นทุกข์ก็คืออารมณ์ ความเป็นทุกข์ก็คือความรู้สึก เพราะฉะนั้นความเป็นทุกข์ก็คืออริยสัจ สมุทัยอาริยสัจ นิโรธอาริยสัจ
ฟังมาถึงตรงนี้แล้วก็คงจะรู้ว่า การเรียนรู้ศาสนาพุทธนั้นสำคัญที่เวทนา ที่เวทนานี้แหละสำคัญที่สุด เวทนาเป็นกรรมฐาน
เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธอาตมาไม่เห็นว่ามีใครพูด ว่า เวทนานี่เป็นกรรมฐาน เป็นฐานที่จะต้องกระทำ กระทำกับเวทนานี่แหละ เวทนา 108 จัดการกับเวทนา 108 ของตนให้ได้ โดยเฉพาะ ผู้ที่สามารถ อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ คือรู้รูปนามของอาการที่มันเป็น จิต เจตสิก โดยเฉพาะอาการที่เป็นเวทนา รู้อาการเวทนาได้ 108 แล้วปฏิบัติเวทนา 108 ได้บรรลุสมบูรณ์สูงสุดครบถึงที่สุดแห่งความเป็นเวทนา 108 จนจบ
จบก็คือ เวทนาของตน ที่ปฏิบัติแล้วเป็นปัจจุบัน เวทนาที่เป็นปัจจุบันของตนเองก็เป็นเวทนาที่กิเลสไม่มี เป็น 0 อดีตก็เป็น 0 อนาคตก็เป็น 0 ถาวร พ้นความเป็นอวิชชาในส่วนอดีตและอนาคต ถาวร ตามพระพุทธเจ้าท่านตรัสในอวิชชา 8 ที่บอกว่า ผู้ที่ยังไม่รู้ คืออวิชชา ก็คือไม่รู้ 8 สภาพนี้
1.ไม่รู้ในทุกข์
2.ไม่รู้สมุทัย
3. ไม่รู้นิโรธ
4.ไม่รู้มรรคมีองค์ 8 คือทางแห่งการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์
5. ไม่รู้ส่วนที่เป็นอดีต
6. ไม่รู้ส่วนที่เป็นอนาคต
7. ไม่รู้ส่วนที่เป็นอดีตและอนาคต
8. ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่เกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่งการเกิดทุกข์คือปฏิจจสมุปบาท
อาตมาพูดไปพูดมา ก็พยายามสรุป ทุกวันนี้ศาสนาพุทธ ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อเพ้อเจ้อออกไปจากจุดสำคัญของศาสนาพุทธ เลอะเทอะไปเยอะเลย ที่พูดกันทุกวันนี้เป็นเรื่องฝอยเฟ้อกันเยอะ บรรยายกัน ไม่ได้เข้าหาโลกุตรธรรม ไม่เข้าหาเนื้อหาสาระสัจจะของศาสนาพุทธ ไปพูดถึงเรื่อง โลกจินตา (ความคิดทางโลก) โลกก็คือโลกียะ ไปพูดโลกจินตา กัน ซึ่งเป็นอจินไตยข้อที่ 4 มันไม่มีจบหรอกเรื่องทางโลก เท่าที่ตัวเองไปติดยึดมาในเรื่องทางโลก แต่ละคนไปติดยึดมามันน้อยเมื่อไหร่ จะไปเพิ่มความติดยึดทำไม เอาเวลาแรงงานทุนรอนมาปฏิบัติโลกุตระเถิด
แต่ก่อนอาตมาพูดเรื่องให้คนมาเป็นโสด คนก็แย้งว่า ถ้ามาบวชหมด ไม่แต่งงานคนก็หมดโลกสิ สูญพันธุ์สิ แต่อาตมาก็ว่า คุณมาบวชให้ได้ก่อนสิ ไม่แต่งงานให้ได้ก่อนสิ ...เขาก็เลยจำนนเพราะเขาทำไม่ได้ แล้วคนทั่วไปก็ไม่สามารถมาไม่แต่งงานได้หมดหรอก
SMS วันที่ 11 กันยายน 2560
_3867เห็นพ่อครูเพียรไม่พักแล้วท่านก็สอนลูกศิษย์เพียรแล้วพักบ้าง! แต่เห็นพ่อครูพักน้อย มากกว่าเพียรหนักทุกที! อยู่กับหมอเขียวท่านก็ยังไอจนน่าเป็นห่วง!ผู้น้อยควรส่งให้น้อยลงเพื่อรักษาน้ำเสียงท่านดีไหม?
_3867เป็นโยมเฝ้าหน้าจออโศกตั้งแต่เป็นFMtvจนมาเป็นบุญนิยมแล้วมาเป็นมวลเสริมกทธ.บ้างก็จะสิบปีแล้ว!หลังพิธีมงคลสูงสุดผ่านไปจนเข้าสู่แผ่นดินรัชสมัยใหม่!ผู้น้อยสมควรหยุดได้แล้วกระมัง?ห่วงใยพ่อครูเกรงใจทีมงานด้วยท่านเห็นเป็นอย่างไร?skkแต่ยังไปศาลีอโศกคงเดิม
_3867จิตนิพพานที่ญตธ.ถาม!ถ้าพูดภาษาธ.คือจิตแท้ที่ละกิเลสอุปกิเลส!ดับวิปัสนสูปกิเลสที่เป็นวีติกกมกิเลส,ปริยุฏฐานกิเลส,อนุสัยกิเลสจนหมดสิ้นเป็นจิตบริสุทธิ์ฤาจิตปภัสสรถูกไหม?
_3867พ่อครูเพียรหนักจนเสียงแห้ง!ฉันแต่ผักผลแห้งๆน่าจะฉันน้ำมะพร้าวสักช้อน2ช้อนทุกวันเทศน์จะได้ลื่นไหลทุกวัน
กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูที่คนปฏิบัติจนรู้จักความเป็นโอปปาติโยนิเป็นผู้มีภูมิธ.สูงพาให้เจริญในศีล จนพ้นสีลัพพตปาทานฤาสีลัพพตปรามาสจนได้สัมมาญานฤาปรทัตตูปชีวี(สัมมาสมาธิ-อธิปัญญา)
พ่อครูว่า... ไปเอาทำไมปรทัตตูปชีวี มันคือเปรต
_7680เอื้อไออุ่นครานี้ดูแล้วรู้สึกว่าร้อนแรงด้วยพลังงานที่พ่อครูขับออกมาอย่างเต็มที่ครับ ขอกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง – จางคลาย
_2166เรื่องโคออฟฟิเสียน ออฟฟิเชิ่น สูตร ชีใหญ่ ชีเล็ก บวกโอ บวกเอ ไม่ทราบว่าหลวงปู่เทศให้นักวิทยาสาดรุ่นไหนฟังครับ ผมฟังแล้ว งงๆๆๆๆ ยกกำลัง12 ครับ.? /เชียงบัว.
_3752กราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่ให้ทุกๆอย่าง
_จากเฟสบุ๊ค
_นางสุธิดา อุ่นเรือน · กราบนมัสการพ่อครู ขอบพระคุณมากนะคะที่ขยันอบรมสั่งสอนลูกๆ คนไกลวัดอย่างดิฉันก็ได้ฟังและเพียรปฏิบัติตามด้วยค่ะ
_แสน เลียม · กราบเท้าพ่อท่าน ผมคนเสื่อม บางทีพ่อท่านใช้ศัพท์สูงเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจ แต่ผมก็จะพยายามที่จะทำความเข้าใจครับพ่อท่าน
พ่อครูว่า...ผู้ไม่เข้าใจก็มีแต่ก็พยายามทำความเข้าใจ
_วันชัย สหมโนธรรม · ฟังพ่อครู แล้วชัดเจนเรื่อง มังสวิรัติ มากขึ้น สาธุ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน กุศลกับบุญต่างกันตรงไหน
มีอันที่ค้างอยู่ไม่ได้ตอบก็คือ บอกว่า
_ทำบุญทำกุศล สร้างบารมีไว้ แต่ละชาติแต่ละชาติจะมีโอกาสไหมครับที่จะบรรลุธรรมได้
พ่อครูว่า...มีคำว่าทำบุญกับทำกุศล ถ้าคุณทำ บุญ ให้อาตมาอธิบายให้ชัดๆว่า คำว่าทำบุญนี่แหละจะพาคุณบรรลุ ถ้าทำบุญได้สำเร็จ มีผลถูกต้องสัมมาทิฏฐิตามคำว่าบุญ คุณจะบรรลุธรรม
แต่คำว่ากุศลนั้นต่างกับคำว่าบุญ คำว่ากุศลนั้นพาให้เจริญ เจริญโลกียะเป็นต้น กุศล เป็นภาษาทางโลกียะ เป็นขั้นตอนเท่านั้นเอง กุศลนี่แปลว่า ความเฉลียวฉลาด
ถ้าเฉลียวฉลาดข้ามขั้นกุศลโลกีย์มาเป็นโลกุตระ ความรู้ความเฉลียวฉลาดข้ามกรอบออกนอกกรอบของโลกียะเรียกว่า อัญญะ อัญญา ที่แปลว่าอื่น เป็นความรู้ความเฉลียวฉลาดที่แยกออกมาจากความเฉลียวฉลาดของโลกียะได้ ท่านก็เลยเรียกว่า อัญญา มันเป็นความรู้ที่เฉลียวฉลาดความรู้ เป็นความรู้ที่แตกต่างจากความรู้ที่ทุกคนมีคือปุถุชน แต่อัญญะหรืออัญญานี่ คนที่บรรลุธรรมมีจิตที่เป็นอัญญธาตุ แล้วก็เป็นธาตุความรู้เรียกว่าอัญญา
ภาษาที่พระพุทธเจ้าสื่อแล้วอาตมาขยายความมันไม่ใช่ง่ายๆ ในสภาวธรรม ขออภัยที่จะพูดว่าไม่มีใครมาขยายความได้ละเอียดอย่างอาตมา เพราะมันไม่ได้ง่ายที่จะขยายความอย่างละเอียดอย่างที่ว่านี้ แม้แต่อัญญะ อัญญา เป็นความเฉลียวฉลาดที่มีนิยามของมัน
ความเฉลียวฉลาด อัญญา มาเป็นปัญญา ปัญญา เป็นความเฉลียวฉลาดโลกุตระ ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดของโลกียะเลย ซึ่งโลกียะนี้ได้ขี้โกง เอาภาษาคำว่าปัญญา ชาวปุถุชนโลกียะโกงเอาคำว่าปัญญาไปเรียกแทนคำว่า เฉกะหรือเฉโกที่ชาวปุถุชนเป็นกัน เพราะเป็นความฉลาดของโลกียะปุถุชน ในกรอบโลกีย์ ไม่เป็นโลกุตระ
เพราะฉะนั้นทุกวันนี้จึงยากมากที่จะปักหลัก เอาธรรมะพระพุทธเจ้ากลับคืนไปสู่ความรู้ สู่ความเป็นสภาวะจริงให้ตรงจริงของศาสนาพระพุทธเจ้า แม้แต่คำว่าปัญญานี่ก็เข้าใจผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว
ปัญญา ไม่ใช่คำที่เป็นความฉลาดและผิดเพี้ยนไปอย่างทุกวันนี้ ต้องใช้เฉกา แต่เขาไม่ใช้ เขาไม่ใช้เฉโกหรือเฉกากันแล้ว ไม่ใช้แล้ว จนมาใช้คำว่าปัญญาไปเรียกว่าฉลาด ฟั่นเฟือนไปจนหมด ก็เลยอาตมาอธิบายกลับย้อนไปสู่สภาวะเก่าจึงยากมาก
หรือแม้แต่คำว่าบุญ ก็จึงอธิบายกลับไปสู่คำว่าบุญก็เหมือนกับคำว่าปัญญา อธิบายกลับไปสู่คำว่าบุญจริงๆหมายความว่าอะไรจึงยากมาก จะว่าไปแล้ว คำว่าปัญญา ยังเข้าใจได้ง่ายกว่า อธิบายได้เข้าใจได้ง่ายกว่า คำว่าบุญ ยิ่งเข้าใจได้ยากกว่าปัญญา
เพราะว่าปุญญะ นี้มีลักษณะพิเศษมากยิ่ง เพราะว่า เป็นลักษณะ เอกังเสนะ เอกังสวาที เป็นลักษณะเอง โดยตนเองอย่างเดียวไม่เกี่ยวกับใครเลย ที่ว่าไม่เกี่ยวคือมีหน้าที่เดียว แล้วทำอย่างเดียว บุญนี้ไม่เป็นอื่น เป็นอื่นไม่ได้ เป็นได้อย่างเดียวคือ ฆ่า บุญมีหน้าที่อย่างเดียวคือ ฆ่า ฟังแล้วจะตกใจ ใครไปอยากได้บุญคือคนยังไม่เข้าใจศาสนาพุทธเลย อยากได้บุญคือคนไม่เข้าใจศาสนาพุทธเลย
บุญไม่ได้เป็นสมบัติ บุญใครทำได้แล้ว สร้างขึ้นมาได้แล้ว เป็นเครื่องมือฆ่าได้แล้วทำหน้าที่จบแล้ว บุญก็หายไป บุญ เหมือนระเบิดปรมาณูระเบิดไฮโดรเจน คนจะสร้างให้เกิดระเบิดไฮโดรเจนได้ต้องมีปัญญา มีเฉโกหรือเฉกะสร้างไม่ได้ สร้างบุญไม่ได้ นี่ขอยืมคำว่าระเบิดปรมาณูมาเทียบ คนไม่มีความรู้ก็สร้างระเบิดปรมาณูไม่ได้
หรือ คนไม่มีความรู้จริงๆไปสร้างระเบิดปรมาณูก็จะตาย ผิดพลาด ระเบิดตัวเองตายเลย ฉันเดียวกัน คนที่ไม่รู้จักคำว่าบุญก็ไปสร้างคำว่าบุญเละเทะไปหมด ตัวเองก็ตาย เพราะตัวเองก็ไม่รู้แล้วไปสร้าง ใครก็ไปสร้างบุญไม่ได้ ถ้าไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญา คนที่จะสร้างได้ก็คือ อาตมาพูดว่าคนโลกีย์สร้างบุญไม่ได้ ทำบุญไม่ได้ บุญถ้าทำขึ้นมามันก็จะทำงานทันที ระเบิดทันที ทำงานฆ่ากิเลส
ถ้าคุณไม่มีกิเลส คุณจะสร้างบุญขึ้นมาทำไม คุณจะเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า เรียนเพื่อสร้างความเป็นบุญให้เกิดให้ได้ แล้วสร้างได้แล้ว บุญนั้นก็จะทำหน้าที่ล้างกิเลสจัดการกับกิเลสเรียกว่าอภิสังขาร เรียกเต็มๆว่าปุญญาภิสังขาร
อภิสังขารนี้คือผู้มีวิชชา เป็นผู้รู้จักสังขาร รู้จักวิญญาณ รู้จักนามรูป รู้จักอายตนะ รู้จักผัสสะ รู้จักเวทนา รู้จักตัณหา รู้จักเวทนา รู้จักภพรู้จักชาติ รู้จักความทุกข์อริยสัจ
เมื่อรู้หลักปฏิจจสมุปบาททั้งหมดนี้จึงสามารถที่จะ โดยเฉพาะรู้จักชาติ และรู้จักชาติถึงขั้นชาติ 5 รู้และทำได้ ทำนิพพัตติ ทำจนสุดเป็นอภินิพพัตติ เป็นชาติ ชาติตัวที่ 4 ตัวที่ 5 ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ อภินิพพัตติ เป็นตัวจบ เป็นการเกิดที่เกิดอรหันต์ ถ้านิพพัตติ คือเกิดโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี
คนที่ไม่รู้จักชาติก็อยู่ใน ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นี่เป็นอีกสาม ทำชาติ สร้างชาติที่เป็นนิพพัตติไม่ได้ ไม่เป็น ก็จะอยู่กับ ชาติ สัญชาติ
ชาติ คือความหมายกลางๆ ของการเกิดทั้งปวง
สัญชาติ คือความหมายของการเกิดเก่าที่มันเกิดแล้วแล้วติดตัวมาเรียกว่าสัญชาติ เคยเกิดมากับตัวเราแล้ว อยู่ในสัญญา สัญญะของเรา แล้วมันก็มาเป็นสัญชาตญาณ สัตว์ธรรมดาสามัญก็มีสัญชาตญาณของแต่ละสัตว์ คนก็มีสัญชาตญาณของแต่ละคน ที่มันมีไว้ใช้โดยอัตโนมัติ ก็คือชาติเก่า ของเก่าเราเกิดมาจำได้มีสัญญา สัญญะ เราเป็นมา ไม่มีใครสอนหรอก
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธนี้ศึกษาให้ดีแล้วจะไม่งงว่า ทำไมถึงทำเป็นอย่างนี้ เกิดมาทำอย่างนี้เป็นเลยทำไมรู้ ลูกจิงโจ้ มันเกิดมาก็ไต่ไปหากระเป๋าหน้าท้องได้ ไม่มีใครไปสอนมัน ลูกสัตว์เกิดมาก็ไต่ไปหากินนมแม่เลย ตายังไม่ลืมเลย ก็คือ สัญชาตญาณของมัน
มาขยายความคำว่ากุศลกับบุญที่สร้างบารมีไว้
ตอบที่เขาถามว่า ทำบุญทำกุศลไว้แต่ละชาติจะมีโอกาสบรรลุธรรมไหม
พ่อครูว่า...สร้างบุญนี่แหละจะบรรลุธรรม สร้างกุศล บรรลุโลกุตรธรรมไม่ได้หรอก เพราะกุศลเป็นสมบัติแล้วอยู่กับตัวเรา ในชีวิตแต่ละอัตภาพ ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวจนมาเป็นคน ล้วนเก็บเป็นสัญญา เก็บกุศลกับอกุศลใส่ไว้ บันทึกไว้ เป็นสมบัติ ไม่หายไปไหน จะออกผลกับเราเรียกว่า กรรมทายาท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ พาเราเป็นไปก็ด้วยกรรมที่ทำมา สั่งสมในกุศลอกุศลกรรม ออกฤทธิ์กับเราตลอดกาลนาน
จนกว่าจะสามารถเรียนรู้ กรรมนิยาม รู้จัก อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ศาสนาพุทธ เรื่องกรรมอย่างยิ่งใหญ่โดยเฉพาะกรรมที่เป็นปัจจุบัน กรรมที่เป็นอดีตก็ต้องผ่านปัจจุบัน กรรมที่จะมาถึงในอนาคตก็ต้องผ่านปัจจุบัน นอกจากคนจะไปหลงวาดเรื่องอนาคต แล้วนึกว่าอนาคตมันเป็นมันมี แล้วตนเองก็ไปยึดถือ ลอยๆเพ้อๆ อย่างนี้ก็แน่นอน ตนเองก็อวิชชา ทั้งๆที่มันไม่มีเลยอนาคตก็เอามาเป็นตัวเป็นตนได้ ยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตน แล้วตนก็ใส่กระบะอวิชชาของตนเองไว้ ทั้งที่อนาคตนั้นมันไม่มี
สรุปคำตอบ กุศลเป็นสมบัติ ไม่ได้พาไปบรรลุธรรม แต่พาให้เจริญได้ พระพุทธเจ้าให้ทำกุศลให้เจริญไปจนเกินกุศลก็เป็นบุญ (ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังความเป็นอรหัตผลไปโดยลำดับ) กุศลที่สุดคือบุญ บุญคือยอดของกุศลที่ข้ามเขตกุศลไป ต้องข้ามเขตกุศลด้วยนะ มันเป็นอัญญะ อื่นจากสมบัติมันเป็นวิบัติ คืออะไร คือทำกุศลที่ฆ่ากุศล ฆ่าสมบัติได้ สมบัติของจิตโง่ๆอวิชชา มันติดลาภยศสรรเสริญโลกียสุขทั้งนั้น
กุศลแปลว่าฉลาด อกุศลแปลว่าไม่ฉลาด ถ้าหลงอกุศลเป็นกุศลมันก็เป็นสมบัติ กุศลเป็นสมบัติ อกุศลก็เป็นสมบัติ
ไม่ได้พูดเล่นลิ้นเล่นภาษา แต่บอกลักษณะของสัจธรรมที่มันต่าง กุศลนี่มันไม่ใช่บุญ แต่จะสร้างกุศล จนกระทั่งเป็นบุญได้จะต้องสุดยอดของกุศลจึงจะข้ามเขตไปเป็นบุญ แต่มันไม่ใช่กุศล
กุศลแปลว่าฉลาด ต้องฉลาดข้ามเขตของโลกียะเป็นความฉลาดอื่น จึงเป็นความฉลาดที่ใหม่มาก พระพุทธเจ้าเทศนา 2 กัณฑ์กับปัญจวัคคีย์คือพราหมณ์ 5 รูปมีอัญญาโกณฑัญญะเป็นต้น โกณฑัญญะก็เกิดจิตตัวนี้ เป็นจิตตัวที่ฉลาดสุดยอด เป็นความฉลาดตัวใหม่ที่ไม่ใช่กุศลเป็นบุญ เป็นอัญญะ เกิดจิตตัวแรกเลย เริ่มเกิดขึ้นมาในโลก เป็นคนที่มีอัญญธาตุเกิดมาเป็นคนแรกในโลก
พระพุทธเจ้าหยั่งรู้จิตใจคนได้ รู้ว่าอัญญาโกณฑัญญะ อัญญธาตุเกิดแล้ว ท่านก็อุทานว่า อัญญาสิ วตโพ โกณทัญโญ พระพุทธเจ้าจึงมีกำลังใจ ตอนแรกท่านก็จะไม่สอน มันจะสอนคนรู้เรื่องหรือไม่หนอ เสียเวลาเปล่าไปกระมัง จะสอนเรื่องบุญเรื่องโลกุตระนี่ ปรุงให้เกิดสภาวะที่เรียกว่าบุญนี้ให้ได้ จึงเรียกว่าปุญญาภิสังขาร จะมีฤทธิ์ทำลายพลังไฟราคะ โทสะ โมหะได้ จะเรียกว่าฌานก็ตาม เป็นตัวมรรคของศาสนาพุทธ
คำว่าฌาน ศาสนาอื่นเขาก็ใช้แต่คนละเรื่องกับของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ใช้บัญญัติภาษาของเขาอธิบายแบบของท่าน ถึงยากมากเลยพระพุทธเจ้าจึงได้ปริวิตกว่าท่านจะสอนคนรู้เรื่องได้หรือ อธิบายเรื่องบุญมันจะเข้าใจหรือ จะเกิดปัญญารู้ได้หรือ ท่านก็เลยลองเทศนาดู ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร กับ อนัตตลักขณสูตร อัญญาโกณฑัญญะจึงได้มีอัญญธาตุ ท่านก็อุทานว่าได้แล้วหนอ ท่านก็เทศน์ต่อ จนได้เป็นพระอรหันต์กัน เกิดเป็นพระอรหันต์ 5 องค์แรก ที่จริงก็เป็นบารมีของพระพุทธเจ้า ท่านจะสร้างศาสนาทุกอย่างก็ครบหมดแล้ว เหมือนลิเกโรงนี้มีพร้อมมีตัวโกง ตัวพระ ตัวนาง ตัวประกอบต่างๆ แม้แต่เสนาก็พร้อม
สิ่งเหล่านี้เป็นอจินไตยจะต้องมีสิ่งที่ต้องมี มันถึงจะทำให้เจริญขึ้นไปได้ เพราะศาสนาพุทธนั้น สิ่งที่มันไม่มีจะไม่มีเลย ศาสนาพุทธนั้นสิ่งที่ต้องมี ถึงจะมี ไม่เช่นนั้นไม่ได้
ศาสนาพุทธของแต่ละพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ พอถึงยุคที่หมดเชื้อของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธจะไม่มีในโลก มนุษย์จะไม่รู้จักพุทธศาสนา เมื่อไม่มีแล้วใครคนใดคนหนึ่งที่จะมาเกิดที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า จะมาเกิดแล้วมาเอาศาสนาพุทธประกาศจะไม่มี จะมีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะเอาศาสนาพุทธมาประกาศขึ้นมาในโลก ถ้าหากศาสนาพุทธในโลกนี้มันหมดไปแล้ว หมายความว่า ศาสนาพุทธสมณโคดมจะหมด 5000 ปี เมื่อไหร่ 5000 ปีก็หมดศาสนาพุทธแล้ว จากนั้นใครจะมาเกิดที่จะมาเอาศาสนาพุทธมาประกาศก็ไม่มี ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งมาอุบัติขึ้นอีก หลังจากศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าสมณโคดมหมดไป 5000 ปีก็จะเกิดพุทธันดร
เกิดช่วงกัปป์ที่ไม่มีศาสนาพุทธไปอีกนาน เพราะมันจะเกิดกลียุคเลย มันจะมีการทำร้ายทำลายฆ่ากัน ศาสนาพุทธเอามาสอนเขาไม่รู้เรื่องเพราะเขาชั่วจนเกินจะรับได้
สมณะฟ้าไทว่า..แต่ละพุทธันดร มีเวลาเท่ากันไหมครับ
พ่อครูว่า..ไม่เท่ากันหรอก แต่ละพระพุทธเจ้า แต่ละองค์ไม่เท่ากัน มันก็เป็นเรื่องอจินไตย แต่ละกัปป์แต่ละกัปป์ อย่างกัปป์นี้ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ เป็นกัปป์ที่ไม่ใช่พุทธันดร ไม่ใช่กัปป์ที่ไม่ใช่แบบไม่มีศาสนาพุทธ ภัทรกัปป์หนึ่งห้ารูปหรือไม่ใช่ห้ารูปก็ได้ ไม่ต้องไปคิดตามหรอก เอาแค่กัปป์นี้ เอาแค่อาริยสัจ 4 ให้บรรลุอรหันต์ให้ได้
พระพุทธเจ้าสมณโคดมก็พยายามสอนใบไม้กำมือเดียวคือพระอรหันต์ แต่อาตมานี้มาพูดมากกว่าพระพุทธเจ้า เพราะอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะต้องสอนให้หลากหลายแล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้าก็ได้ตราลงไปแล้วในโลกมนุษย์แล้วท่านก็ปรินิพพานไปแล้วก็ได้ปล่อยไว้
อันใดหลายอย่างที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ไขความ อาตมาก็มาไข บางสิ่งบางอย่างก็เหมือนกับว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้อธิบายไว้ แต่อาตมาก็ขยายต่อ ไม่ใช่ว่าเอาที่ไม่มีเค้าเงื่อนเลยมาพูด
อาตมาจึงไม่ค่อยพูดเรื่องโลก อะไรที่ไม่เป็นธรรมะ แม้อาตมาจะไปพูดเรื่องการเมือง การค้าขาย เรื่องอะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นอยู่ในสังคมมนุษย์ ก็เป็นธรรมะทั้งนั้น
การเมืองก็เป็นธรรมะ การค้าขายก็เป็นธรรมะ เช่นมิจฉาวณิชชา 5 ก็ต้องพูด หรือแม้แต่เศรษฐศาสตร์ก็ต้องพูดขยายความอธิบาย เพราะมันเป็นพฤติกรรมสังคม
จะแยกอะไรออกจากธรรมะไม่มีหรอก ถ้าไม่มีโลกียะ โลกุตระก็ไม่มีคำพูด ก็ต้องอาศัยโลกียะ เป็นตัวพูดตัวสื่อ แล้วเหนือกว่าโลกียะ นั่นแหละคือโลกุตระ
เขาให้อาตมาประชาสัมพันธ์ เนื่องจาก เหลือเวลาอีก 3 สัปดาห์ก็จะออกพรรษา ทางผู้วิจัยต้องประเมินผล ตอนนี้กำลังอยู่ในการทำคอร์ส ตามหาพระโสดาบันกัน แล้วก็ทำเกณฑ์ตรวจสอบความเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นก็อยากให้อาตมาบอกพวกเรา ผู้วิจัยก็จะประเมินผลให้เห็นภาพก่อนมหาปวารณา จึงขอความร่วมมือจากญาติธรรม ช่วยกรอกข้อมูลเรื่องเกณฑ์ ชุดที่ 1 เรื่องความเป็นผู้มีศีล 5 บริสุทธิ์ ชุดที่ 2 เรื่องญาณ 7 พระโสดาบัน
ญาณ 7 คือเครื่องตรวจสอบ ถ้าเราไม่มีเครื่องหมายไม่มีมาตรวัด ญาณ 7 เป็นเครื่องตรวจสอบว่า เราจะมีญาณ 7 ตามที่ท่านตรัสไว้ไหม ถ้าไม่มี คุณก็ไม่ชัดเจน พระโสดาบันคือใคร พวกเราช่วยกันทำก็ดีแล้ว อาตมาพูดไว้มาก พวกเราก็ช่วยกันตามมาทำ
อาตมาสอนโลกุตระไม่ได้สอนโลกียะ โลกียะไม่ต้องสอนมากหรอก สอนแค่ความสุจริตก็พอแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไร ความสุจริตก็สอนในตัวแล้ว ถ้าคุณไม่มีกิเลส ความทุจริตก็หายไปเอง กิเลสเป็นตัวการให้เกิดทุจริตพาให้ชั่ว
เมื่อรับเอกสารไปแล้ว หรือผู้ใดยังไม่ได้ก็มาเอาไปได้ที่โต๊ะท้ายศาลาประชาสัมพันธ์ และส่งที่กล่องเดิมนี้
ผู้ที่ทำนี้อาตมาก็ขอขอบคุณและอนุโมทนาที่มาเอาภาระ จะได้หลักฐานนี้ เอกสารเขาก็ช่วยกันออกแบบช่วยกันทำมา ต่างคนต่างก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ดีกว่าเรียนแล้วทิ้งขว้างเลอะเทอะ เป็นคนที่ไม่พยายามเรียนรู้อย่างมี กิจญาณ กตญาณ
อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจญาณ แล้วก็เก็บความรู้ สมัยนี้มันมีเอกสารหลักฐานงานวิจัย ยุคนี้มันเป็นยุคทำพวกนี้ได้ดี ก็จะเกิด ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จักกตญาณ ไม่รู้จักกรอบ จบโสดาฯเมื่อไหร่ จบสกิทาฯเมื่อไหร่ อนาคาฯเมื่อไหร่
ที่จริงไม่ได้ตัดเป็นท่อนๆหรอก มันจะมี overlap จะค่อยประสาน โสดาบันจะค่อยๆเกิดคุณธรรมของสกิทาคามีไป เมื่อเข้าเขตสกิทาคามีแล้วก็เลยโสดาบัน ไปเป็นสกิทาคามีเหลื่อมได้อนาคามีเพิ่ม สกิทาฯก็สูงขึ้น จนหมดความเป็นโสดาบัน จนเป็นอนาคามี ก็ลดสกิทาคามี จนหมดอนาคามี ก็ไปสู่ความเป็นอรหันต์ไปตามลำดับ
ความเป็นลำดับนั้นต้องมีจริง แต่ทุกวันนี้ไม่พูดกันชัดเจน พาให้นั่งหลับตาตะพึดบรรลุอรหันต์เลย ปุ๊บ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นอรหันต์เดา แล้วมีอาจารย์สอบญาณ ที่จริงเราทำเกณฑ์ตรวจญาณ เกณฑ์โสดาฯสกิทาฯก็เหมือนกับการตรวจญาณ แต่ก็ไม่สามารถรู้ใจของคนปฏิบัติ หากไม่ทำอย่างละเอียดลออจริงๆ โดยการให้เขามานั่งสมาธิแล้วมีอาจารย์มานั่งเช็ค ขั้นนั้นแล้วขั้นนี้แล้ว เหมือนพระอนุรุทธะตรวจญาณของพระพุทธเจ้าเก่งจริงๆ แต่มาถึงอย่างนี้แล้วก็แจ้งบอก
_ขอให้พ่อครูอธิบายรายละเอียด เขาทำ pattern แต่ละช่อง ให้ขีดถูกลงว่าเราทำได้หรือไม่ในแต่ละช่องศีล 5 ในศีลแต่ละข้อ เป็น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
พ่อครูว่า...ถ้าคุณรู้เข้าใจในแต่ละระดับนี้ ก็ดูรายละเอียดของเขา อย่างหยาบมาหาละเอียด ขั้นกาย วจี มโน แล้วมีมากหรือน้อยอีก ทำได้กี่ % ก็มีช่องให้ลงละเอียดพอสมควร ก็ขอบคุณจริงๆ อาตมาไม่มีเวลาจะมาทำแบบนี้ พวกเราก็ช่วยเสริม พวกเราก็ได้ศึกษา
เป็นการศึกษาที่ได้เรียนจริงๆ ผู้ที่ไม่เอาถ่านไม่ใส่ใจในการเรียนก็ไม่ได้เพิ่มเติม แต่ผู้ที่เอาใจใส่เพิ่มเติมการเรียนก็เป็นประโยชน์ เราเรียนกันโดยชนิดที่ว่า ไม่ได้มีค่าจ้างวานอะไร ทำด้วยใจด้วยน้ำใจ เสียสละมาช่วยกันโดยแท้จริง ก็ต้องขอบคุณอย่างจริงๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ธรรมะกับการเมือง
อาตมาพูดผ่านๆว่า พูดเรื่องธรรมะก็พูดเรื่องการเมืองด้วย เขาก็หาว่ามาพูดเรื่องการเมืองทำไม อาตมาก็มาไขความลับเปิดโปงว่า คนที่มาแยกการเมืองออกจากธรรมะนี้ คนไหนที่มาพูดว่าธรรมะอย่ามายุ่งกับการเมือง ส่วนการเมืองอยากมายุ่งกับธรรมะ มาหาเสียงมาหาพรรคพวก แต่เขาก็พยายามห้ามว่าพวกธรรมะอย่ามายุ่งกับการเมือง จริงๆมันก็ถูกในส่วนหนึ่ง เพราะว่าธรรมะนั้นไม่มีภูมิคุ้มกัน เหมือนเด็กไม่รู้เดียงสา จึงต้องป้องกัน พวกการเมืองนี้พวกอันธพาล เป็นพวกเกเร เป็นพวกร้ายกาจ จึงต้องป้องกันเด็กไม่รู้เดียงสาไม่ให้อันธพาลมายุ่ง พวกนี้ร้ายกาจ ขืนไปก็เสร็จ เพราะศาสนานั้นไม่มีภูมิคุ้มกันก็ถูกแล้ว อย่าไปยุ่งกับนักการเมือง ถ้าไปยุ่งกับนักการเมืองก็เสร็จ เป็นเบี้ยล่างของนักการเมือง ให้นักการเมืองใช้ศาสนาเป็นแหล่งหาเสียง หัวคะแนน เขาจึงเอาวัดเป็นหัวคะแนน เขาจะไม่ลงจากที่นั่นเลย ยิ่งต่างจังหวัดชนบทได้เลย วัดต่างๆหัวคะแนนเข้าไปรวบรวมคะแนนได้อย่างเยอะเลย เขาก็เลยป้องกันเอาไว้ ยิ่งเอาเงินไปล่อก็เสร็จแล้ว พระเจ้าแต่ละวัด ถูกนักการเมืองใช้เป็นเบี้ยเลย เขาจึงกันไว้ ที่อาตมาพูดนี้ ขอยืนยันว่าเป็นความจริงเขากันไว้ก็ดีแล้ว
แต่อาตมาไม่ใช่พวกอย่างนั้น ที่อ่อนแอไม่มีภูมิคุ้มกัน อาตมาจึงไม่ต้องทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นนักการเมืองมาเลย ยินดีต้อนรับ แต่เขาก็ไม่มา เพราะอโศกรู้ทันหมด เงินก็ไม่มีจะมาหาเงินกับอโศกก็ไม่มี จะมาหาเสียงกับอโศก จ้างก็ครอบงำไม่ได้ มาได้แต่ก็ไม่ได้ เขาจึงรู้ดีและไม่กล้ามา ไม่ใช่ไม่กล้า เขาไม่อยากมา มาแล้วก็ป่วยการครอบงำไม่ได้ อโศกมีความเป็นตัวของตัวเองพอ จะไปเลือกตั้งก็เป็นตัวของตัวเอง จะเลือกใครก็ถูกครอบงำไม่ได้ ยิ่งเอาเงินมาซื้อครอบงำทางนั้นทางนี้ก็ไม่สำเร็จ ดีไม่ดี นักการเมืองมันจะถูกสอนด้วย ลองสิ จะถูกชาวอโศกโดยเฉพาะฆราวาสนี่แหละอบรมให้ ไม่ต้องให้พระภิกษุสมณะหรอก สมณะนั้นไม่มีปัญหา มาก็อบรมแน่ นักการเมืองมา แม้แต่ฆราวาสก็ลองแตะดู แต่ละคนเป็นไฟเลย รับไม่หวาดไม่ไหวเลย เทศน์ธรรมะให้
นักการเมืองแท้จริง ไม่ใช่ผู้ที่เบ่งอำนาจ หรือแสวงหา ใช้อำนาจ มาบริหารประชาชน เรียกว่าเอาอำนาจมาปกครองประชาชน ไม่ใช่เลย แต่นักการเมืองไม่เบ่งอำนาจ ไม่ใช้อำนาจกับประชาชน
แต่นักการเมืองคือผู้ที่ประชาชนเต็มใจจะมอบอำนาจ ยกอำนาจให้เป็นผู้บริหารประชาชนเป็นผู้ปกครองประชาชนเอง
นักการเมืองคือผู้ที่ประชาชนจะมอบอำนาจยกอำนาจให้เป็นผู้บริหารประชาชน ปกครองประชาชนเอง ประชาชนเขาจะให้เอง แต่ทุกวันนี้ประชาชนไม่มีความรู้อย่างที่กล่าวนี้กันจริงๆสักเท่าไหร่ เพราะนักการเมืองจะไม่สอนการเมืองให้แก่ประชาชน เขาจะสอนเหมือนกัน แต่เขาไม่เป็นนักการเมือง เขาไม่มีความรู้ในการเป็นการเมืองโดยเฉพาะเป็นประชาธิปไตย เขามีแต่ผู้แสวงหาอำนาจ นักการเมืองทุกวันนี้มีแต่ผู้แสวงหาอำนาจเท่านั้น แม้แต่ไปเรียนทางรัฐศาสตร์ เขาบอกว่าการเมืองคือการแสวงหาอำนาจ เขาสอนกันในนั้น ถ้าไม่มีอำนาจบริหารปกครองประเทศชาติไม่ได้ เลอะเลย
อำนาจคืออะไร ต้องขยายกันอย่างลึกละเอียดมาก อำนาจคืออะไร?
อำนาจคือการเสียสละ อย่างเป็นกุศล เป็นการทำงานให้แก่สังคม นั่นคืออำนาจ อำนาจคือผู้รับใช้ เพราะฉะนั้นผู้ใดที่รับใช้เก่ง ผู้นั้นได้อำนาจจากผู้ที่เราไปรับใช้เขา เขาจะให้ความยอมรับนับถือ ว่าเป็นผู้รับใช้ประชาชนจริงๆ การเมืองเขาก็ไปหาเสียงว่ามาเลือกผม ผมมารับใช้ท่าน เขาก็พูดอย่างนั้น แต่จริงๆเมื่อเลือกเข้าไปแล้ว เขาไม่ได้ไปรับใช้ เขาไปข่มเบ่ง อันนี้คือความไม่จริง คือความตลบแตลงของนักการเมือง พูดโก้ๆ รู้คร่าวๆ แต่ไม่ทำจริงอย่างที่รู้ ก็ประดักประเดิด ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว ไม่ชัดเจนอะไร
อำนาจนี่ ประชาชนจะยกให้ผู้ที่ควร ผู้ที่บริหารมารับใช้ประชาชน ผู้ที่ทำงานให้แก่ประชาชน ในหลวงร .9 เป็นผู้ได้อำนาจจากประชาชนเอง ท่านไม่เบ่งอำนาจด้วย แต่ท่านรับใช้ประชาชนถ้าพูดตรงๆง่ายๆ
ท่านทรงงานรับใช้ประชาชนตลอด 70 พรรษา ตอนนี้ก็ระลึกถึงท่านใช่ไหม ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ แล้วท่านก็ไม่ใช่ผู้ช่างพูดด้วย ท่านทรงงาน ท่านมาปางนี้ท่านมาทำๆๆๆๆ ซึ่งต่างจากพวกที่มาพูดๆๆๆๆ คนละหน้าที่ แต่อาตมาก็พาทำด้วย สำหรับผู้ที่เข้าใจก็มาร่วมทำ ถึงไม่ง่าย
เช่น ในหลวงท่านตรัสว่า มาบริหารแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แม้แต่ย่นย่อว่า ต้องทำเศรษฐกิจแบบเศรษฐกิจพอเพียง กระเตื้องกันที่ไหน อาตมาก็มาขยายเศรษฐกิจพอเพียง ก็มาขยายแบบคนจน ขยายแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แล้วก็พิสูจน์ความจริงอันนี้
พวกชาวอโศกมาเป็นคนจน อย่างไม่ได้เสแสร้งไม่ได้ทำเอาหน้า ไม่ได้มาทำชั่วครั้งคราว มาทำด้วยปัญญา มาทำด้วยความชัดเจนในใจ ด้วยความจริงว่าเราจะต้องมาเป็นคนจน แล้วเราก็มาเป็นคนจนกันสำเร็จเท่าที่มี จนมาเป็นผู้ทำงานฟรีไม่รับเงินส่วนตัวอีก ในพวกเรานี้ ชุมชนชาวอโศกทุกแห่ง เข้ามาในนี้ทำงานฟรีทั้งนั้น
ทำงานแล้วมีมรรคผลมีผลผลิตเอาเข้าส่วนกลาง เอามาบริหาร เอามาแบ่งกันกินกันใช้ จนเกิดสังคมสาธารณโภคี ซึ่งเป็นผลสำเร็จของทฤษฎีพระพุทธเจ้า เกิดสาราณียธรรม 6 มีพุทธพจน์ 7
มีความระลึกถึงอย่างหมดตัวตน มีตัวตนน้อยลงไม่ใช่ไม่นึกถึงใคร คำว่าอยู่แต่ผู้เดียวไม่มีเพื่อน 2 ไม่ได้หมายความว่าเอาตัวเองออกจากมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่ใช่ จะต้องอยู่ในหมู่บัณฑิต อยู่ในหมู่ของผู้ที่เป็น สัมปวังโก องค์รวมของผู้ปฏิบัติธรรม อย่างสังคมชาวอโศกเป็นสังคมคนมีศีลของผู้ปฏิบัติธรรมจริงๆ ตั้งแต่เริ่มต้นมีชุมชนชาวอโศกชุมชนแรก คนเข้ามาในนี้ต้องถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ ไม่ใช่ถืออย่างชั่วคราวแต่ถือตลอดชีวิต
ในเถรสมาคม เพิ่งจะขึ้นมา สมเด็จช่วงก็ว่าให้แต่ละหมู่บ้านถือศีล 5 แต่คำพูดมันก็เป็นวาทะที่หายไปกับสายลมแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นมา แต่ชาวอโศกต่ชาวอโศเป็นกันได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทุกวันนี้ เป็นชุมชนที่มีศีลทั้งนั้น แล้วปฏิบัติให้เกิดสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิแบบพุทธเป็นสมาธิลืมตา ไม่ใช่สมาธิหลับตา เพราะสมาธิหลับตาไม่ใช่ของพุทธ
ในพรหมชาลสูตร ชัดเจน ถ้านั่งหลับตา ปฏิบัติแล้วจะได้แต่ทิฏฐิ 62 ที่มีแต่อดีตกับอนาคต จะเรียนรู้ธรรมะได้ต้องมีการกระทบสัมผัส มีรูปนาม เกิดเวทนาให้เรียนรู้ แต่นี่เขาไม่ได้ศึกษาแบบนี้ไม่ทำแบบนี้ ไปถือศีลก็ถือแค่กาย วาจา สมาธิก็ไปนั่งหลับตา แยกส่วน หั่นศีล สมาธิออกจากกันแล้วปัญญาเขาก็ว่าเกิดจากการนั่งสมาธิจิตนิ่งแล้วปัญญาจะเกิดเอง อย่างนี้ไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย
ความรู้ที่ได้จากการนั่งหลับตามีแต่สัญญาไม่ใช่ปัญญา เขาปนเปสัญญากับปัญญา นั่งหลับตาไม่เกิดปัญญาได้ ปัญญาจะเกิดต้องเกิดจากการปฏิบัติ องค์ 6 มีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มรรคองค์ 8 และสัมมาทิฏฐิ
เอกกัคตาของพระพุทธเจ้าต้องมีการวิจัย โดยการทำตามลำดับ วิจัยมีรูปนาม มีธรรมะสองแล้วทำธรรมะให้เป็นหนึ่งคือเอกัคคตาของพระพุทธเจ้าโดยเหลือธรรมะอีกหนึ่ง
จิตเจตสิกเมื่อวิจัยธรรมะสองให้เป็นหนึ่ง ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
เวทนาสัญญาสังขารคล่องแคล่ว เป็นกายปาคุญญตา และเป็นกายกัมมัญญตา ทำงานได้ดีแคล่งคล่องเพราะ เวทนาสัญญาสังขารแคล่วคล่อง เพราะจิตเจตสิกต่างๆไม่มีผีร้ายแล้วจึงคล่องแคล่ว ปาคุญญตา
เขาเรียนกันได้แต่พยัญชนะ ได้แต่ความรู้ทางภาษา ไม่ได้สภาวธรรม เก่งด้วยนะ เก่งทางไวยกรณ์ วายสัมพันธ์ อาตมาสู้ไม่ได้หรอกไม่ได้ศึกษา ไม่ประสีประสา แต่อาตมาว่าอาตมามีสภาวธรรม เอาสภาวธรรมบรรยายเป็นหลักก็อาศัยไวยกรณ์ด้วย มาใช้สื่อตามภาษาที่เราไม่ค่อยเก่ง แต่ก็พยายามไม่ให้ผิด มั่นใจว่าไม่ผิด เท่าที่มีความรู้
ธรรมะพระพุทธเจ้าทุกวันนี้อาตมาเอามาเปิดเผยและพยายามเก่งให้คนเอาไปปฏิบัติได้ ก็สำเร็จได้ผล ผู้ที่ปิดประตูไม่รับเพราะเห็นอาตมาไม่สงบเรียบร้อยเห็นอาตมาบรรยายเสียงดัง เขาได้รับการสอนเช่นนั้นก็ดี แต่อาตมาว่าสอนไปแบบนั้นมีแต่คนหลับ
ถ้าไม่อย่างนั้นก็ตลกไปเลยหรือมหาสมปอง หรือพระพยอมตอนนี้เป็นเจ้าคุณแล้วก็น่าสงสารล้มหัวฟาด ดีนะสมองไม่เป็นอะไร เย็บสิบสองเข็ม
คนที่ปราถนาดีมาสอนธรรมะแต่ไม่ค่อยรู้จริงจึงทำให้ศาสนามัวหมอง เพราะพระพุทธเจ้าว่า ต้องทำคุณอันสมควรก่อนพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง บรรลุโสดาฯก็สอนโสดาฯ ...สกิทาฯก็สอนสกิทาฯ แต่ตอนนี้ที่สอนกันสอนอรหันต์แต่ผู็สอนไม่ได้บรรลุ อาตมาก็สอนอรหันต์ แล้วเขาก็ว่าเอามาจากไหน อาตมาก็ว่าบรรลุแล้วก็มีของตน เขาก็ว่าไม่จริงอีก
ถ้าเขาว่า เอามาจากไหนมาสอน อาตมาก็ว่าเอาจากของเก่าชาติก่อนมาสอน เขาก็มองหน้าเลย หาว่าอวดอุตริมนุสธรรม เอาจากชาติก่อนจริงหรือเปล่าวะ ...จริง ที่จริงที่สุดเพราะว่าอาตมาเอามาจากชาติก่อนจริงๆ เอามาพูดอธิบายอย่างอาตมาว่านี้มันเป็นของอาตมามา แล้วมั่นใจว่าถูกต้องจริง จึงยืนยันว่าที่เขาสอนไม่ถูกมันจึงขัดกัน ที่อาตมาโดนทางโน้นเล่นงานก็ถูกแล้ว ก็ส่งเสียงออกมา ถ้าอาตมาถูกทางโน้นผิด ถ้าอาตมาผิดทางโน้นถูก
ศาสนาพุทธในเมืองไทย เขาสืบทอดกันมาเป็นร้อยปี ถ้าถูกลักษณะของศาสนาพุทธทุกวันนี้จะเป็นเช่นนี้ไหม ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเสื่อม ก็ยอมรับกันว่าเสื่อม จะปฏิรูป ก็โดนอิทธิพลใหญ่ครอบครอง เล่นการเมืองทางศาสนาจนเขาต้องยาย พลต.โทพงษ์พร หราหมณ์เสน่ห์ น่าสงสารประเทศไทย อิทธิพลผีมีเสน่ห์ พราหมณ์สู้ไม่ได้ น่าสงสารประเทศไทย แต่อาตมาก็ไม่ท้อ อย่างไรก็พากเพียร แล้วไม่ยอมตายง่ายๆ รักษาขันธ์ทั้งที่ควรจะไปแล้ว แต่ก็อยู่ต่อไป ถ้าอาตมาจะอายุ 100 120 ก็อยู่เพื่อยืนยันสัจธรรม
อาตมาเกิดมาชาตินี้เพื่อทำงานเช่นนี้ กว่าจะรู้ตัวก็อายุ 36 รู้แล้วก็ทำงานทางนี้จนกว่าจะตายให้ตายก็ไม่ไปทำทางโน้น เขาว่าจะจับอาตมาเข้าคุก อาตมาก็ว่าไม่ยากหรอก ในคุกก็มีมนุษย์สอนคนเดียวห้าคนก็ได้อาตมาจะบรรยายธรรมะ ขี้คร้านผู้คุมจะจัดคิวให้อาตมา เพราะควรทำ เพราะไปนิมนต์พระไปก็ยาก เสียเงินอีก แต่นี่เทศน์ฟรี ไม่ไปไหนด้วยหากในคุก
พูดมาแล้วอาตมาว่าพูดจนเหนื่อย เหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยก็พูดต่อ จะตายก็ไม่ยอมตาย เพื่อพูดต่อ พูดไปก็ได้ผลอยู่
สิ่งทีจะรับได้ มีชามๆหนึ่งหากมีอะไรเต็มชามก็ใส่เข้าไปไม่ได้ อาตมาก็พยายามให้ชามที่อาตมามีขยายเพิ่มเพื่อรับได้เพิ่ม แต่ขยายชามได้ยาก แต่ไม่ได้ขยายชามแบบธัมมชโยนะ
อาตมามีชาร์มนะ มีตั้งแต่เด็ก เหมือนใบโพธิ์ มีภาพ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ใครคือสัตบุรุษผู้มีธรรมวาที
อาตมาก็ขอสรุปเข้าเนื้อหาสำคัญ ที่อาตมาบรรยายธรรมะแล้วอธิบายสมาธิว่าไม่เหมือนที่เขาเข้าใจกัน คำว่าบุญ คำว่ากาย คำอื่นๆด้วย ไม่เหมือนที่เขายึดถือเขาเข้าใจกัน
แม้แต่คำในภาษาบาลี ในบัญญัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เหมือนเขา เมื่อไม่เหมือนก็ต้องมีฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิด จึงบอกไปทั่วๆว่าผู้ที่ศึกษาธรรมะ ฟังให้ดี พระพุทธเจ้าว่า ถ้าแยกเป็นสองฝ่ายไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็ว่าฟังธรรมะทั้งสองพวก อย่าฟังธรรมขั้วเดียว คำสอนพระพุทธเจ้าไม่มีช่องนี้ช่องเดียว มีแต่ฟังสองขั้ว แล้วฟังว่าอะไรเป็นธรรมวาที อะไรเป็นอธรรมวาที ให้เอาธรรมวาที
ถ้ามหาเถรสมาคมเป็นธรรมวาที อาตมาก็เป็นอธรรมวาที
ถ้าอาตมาเป็นธรรมวาที เถรสมาคมก็เป็นอธรรมวาที
ก็ใช้การฟังสองฝั่งตามพระพุทธเจ้าสอน เมื่อชัดเจนในอันไหนเป็นธรรมวาที ก็ต้องมีคนบรรยายธรรมวาที ก็เป็นสัตบุรุษ พระพุทธเจ้าก็สอนให้คบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ไม่ใช่คบเล่นๆหัวๆไม่บริบูรณ์ ถ้าคบไม่บริบูรณ์
1. การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ..
การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง
2. การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ..
ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)
3. ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ..
การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)
4. การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น)
เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ .
5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น). .
เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์
6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ..
ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)
7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5
8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา
9. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 62)
เมื่อมีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร ไม่ได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษคุณไม่สามารถรู้นิวรณ์ 5 หรอกจะขจัดนิวรร์ 5อย่างไร คนไม่รู้จะมีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร เมื่อได้รับอาหารเป็นนิวรณ์ 5 จึงมีทุจริต 3 เป็นอาหาร ทุจริต3 มีก็ไม่มีสำรวมอินทรีย์ ไม่สำรวมอินทรีย์ก็มีความไม่มีสติสัมปชัญญะ
สติ มีสามแบบ คือสติปุถุชน กัลยาณชน และอาริยชน ถ้าไม่คบสัตบุรุษก็มีแต่สติอย่างมากก็สติกัลยาณชน ก็ทำตามสัญชาตญาณ ถ้าคุณสังวรระวัง ก็จะเกิดวิจัยธรรมะ ฝึกให้มีกัลยาณธรรมได้ เพราะคุณยังไม่เข้าใจสติอาริยธรรม คืออย่างไร
สตินั้นต้องเป็นสติสัมโพชฌงค์ เป็นสติที่มีอาริยธรรม ประกอบไปด้วยการพากเพียรทรงสติ เรียกว่าวิริยะ
แล้วสติที่จะเป็นสัมโพชฌงค์ต้องมีองค์ 3 สำคัญ คือธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะฉะนั้นพวกนั่งหลับตาไม่มีธัมมวิจัยไม่เกิดธรรมะสอง มีแต่สะกดจิตให้เป็น เอกจิต เอกธรรม เป็นธรรมะหนึ่งไม่เป็นอัคคะไม่ยิ่งใหญ่เลอเลิศ แต่สะกดจิตให้นิ่งเป็นหนี่งไม่ได้พิสดาร ไม่รู้จักเวทนา 2 3 5 6 18 แยกมโนปวิจาร18 เนกขัมมะ 18 เคหสิตะไม่ได้ แล้วก็ทำ ให้เป็นเนกขัมมะ สั่งสมผลเป็นเวทนา 108 อย่างสมบูรณ์ไม่ได้ คุณไม่ได้ทำอย่างนี้ก็อธิบายไม่ได้ นั่งหลับตาจะไปมีมโนปวิจาร 18 ที่ไหน นั่งหลับตาได้แต่เอกธรรม แต่เอกัคคตาจิตนี้ไม่ใช่หยุดนิ่งแต่ยิ่งเคลื่อนไหว แววไว
คำว่าดับ นิ่ง สงบ คือกิเลส ไม่ใช่จิต จิตยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ยิ่งสงบ นิ่งคือกิเลส ยิ่งกิเลสตายไปเลย จิตยิ่งคล่องแคล่วว่องไวเป็นกายปาคุญญตา ทำงานเก่งเป็น กายกัมมัญญตา เขาอธิบายเบี้ยวบาลีไปเยอะเลย ขออภัยพูดแล้วเหมือนยกตัวยกตนที่เขาจบเปรียญ 9 ดร.มีปริญญากิติมศักดิ์ห้าใบแปดใบ
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูไม่จบ แต่จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:04:55 )
รายละเอียด
600915_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เข้าใจกายให้พ้นความเป็นสัตตาวาส
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน เดินตามรอยเท้าพ่อหลวง
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560 แรม 10 ค่ำเดือน 10 ปีระกา ที่ราชธานีอโศก เขาถือว่าวันศุกร์ เป็นวันสุขของคนทั่วไป เพราะวันเสาร์จะได้พัก แต่ของเราอยู่ที่นี่ วันไหนก็สุข เพราะสุขของเราเกิดจากความว่าง วันไหนหากเราว่างก็มีสุขทุกขณะ พ่อครูว่าคนที่อยู่ว่างๆคนนั้นไม่ค่อยจิตว่าง คนไหนที่จิตว่างคนนั้นจะไม่ค่อยอยู่ว่างๆ
ในอินเตอร์เน็ต เขามีการทำหนังสือที่ชื่อว่าถอดรหัสกษัตริย์ผู้มองเห็นในอนาคต The Visionary ส่งมาให้ฟรีๆเลยนะ ดูเหมือนที่กทม.เขาก็แจกที่หอศิลป์ ก็พยายามดูว่าผู้จัดทำคือใคร ก็มีแต่บอกว่า ทีมงานสานต่อที่พ่อทำ ดูเหมือนหนังสือเล่มนี้ต้องการสืบสานอุดมการณ์ของในหลวง พยายามใช้ภาษาสมัยใหม่ พยายามยกเอามาวิเคราะห์ว่า ความสำเร็จของในหลวง 4600 กว่าโครงการ สำเร็จได้ด้วยอะไร เป็นหนังสือที่ทันสมัยและทำรูปเล่ม อย่างเรานี่ไม่ถึงเขาแน่ ทำแบบสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะอ่าน เขายกเรื่องประเด็นสำคัญๆ เช่น
". . .เมื่อหลายปีมาแล้ว..ตอนที่ไปสหรัฐอเมริกามีทีวีอเมริกันมาสัมภาษณ์ เขาถามว่า ในรัชกาลของท่าน ท่านต้องการอะไร...จุดหมายต้องการอะไร..อยากให้รัชกาลของท่านจารึกในประวัติศาสตร์อย่างไร ..ก็ต้องตอบเขาว่า...
"ความปรารถนาคือว่า รัชกาลนี้ขอไม่จารึกในประวัติศาสตร์..ไม่ให้มี เขาก็แปลกใจ แต่ท่านทั้งหลายคงไม่แปลกใจ เพราะอธิบายแล้วว่า...ถ้ามีความสงบ..มีความเรียบร้อยของประเทศชาติ จะไม่เป็นประวัติศาสตร์..เราไม่ต้องการประวัติศาสตร์ เวลาไหนที่มีสงคราม มีความยุ่งยากตีกันนั้นน่ะเป็นประวัติศาสตร์ ฉะนั้นที่ต้องการก็คือ..ต้องการให้เมืองไทยอยู่ไปอย่างสงบ ไม่ต้องมีอะไรโลดโผนเท่าไหร่ ไม่ต้องมีชื่อ ไม่ต้องดัง แล้วจะมีความสุข และจะยั่งยืน"
วันไหนที่เราจะดังก็ดังได้เพราะเรามีความสงบสุข
(พระราชดำรัสของสมเด็จพระภัทรมหาราช พระราชทานในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม 2523)
ก็นึกถึงที่พวกเราไปชุมนุม เราก็ทำแบบพระราชดำรัสของในหลวง การชุมนุมของกองทัพธรรมเป็นการชุมนุมที่สงบเรียบร้อยมาก ไปนั่งสมาธิล้อมทำเนียบ พวกสายฮาร์ดคอ ก็จะบอกว่ามานั่งนิ่งๆทำไม ต้องเอาหัวไปชนแก๊สน้ำตา มันถึงจะเป็นการชุมนุม เราก็อยู่ในทิศทางที่ไม่ต้องการดัง อยากให้เรียบร้อยสงบสุข
หนังสือนี้ถอดรหัสกษัตริย์ผู้มองเห็นอนาคต พ่อครูว่า สิ่งที่ในหลวงตรัสนั้นคนไทยยังเข้าไม่ถึงเท่าไหร่ ก็เป็นงานของพ่อครูอีกที่ต้องมาบอกย้ำว่า สิ่งที่ในหลวงตรัสจะเป็นอนาคตอย่างไรของประเทศไทย
พ่อครูว่า...อันนั้นจริง ที่ท่านเดินดินพูดนำไปแล้ว มันเป็นหน้าที่ของอาตมาที่จะต้องมาอธิบายสัจธรรม ในหลวงตรัสนั่นคือสัจธรรม โดยเฉพาะเป็นสัจธรรมของศาสนาพุทธ จะมีความเข้าใจจะมีความต้องการ ที่ไม่ใช่กิเลสตัณหา แต่มีเจตนามีความมุ่งหมายอยากจะให้เป็น ดังที่ในหลวงท่านได้ตรัส
คำตรัสของในหลวง ที่ท่านเดินดินอ่านมานั้น มันเป็นโลกุตรธรรม เป็นสังคมเป็นมนุษย์ ที่มีคุณธรรมคุณสมบัติที่เป็นโลกุตระ เป็นอาริยธรรมที่สูงส่ง ที่คนเรานึกไม่ออกว่านี่คือเป้าหมาย เช่นเดียวกัน ท่านก็ตรัสย่นย่อ เอาเนื้อแก่น ประเด็นที่ชัดๆ ว่า ถ้าจะบริหารประเทศนั้นจะบริหารแบบไหน ผู้ที่ได้บริหารประเทศก็น่าจะฉุกคิดและค้นคว้าว่าท่านหมายถึงอะไร แล้วจะทำอย่างไรจะเป็นเหมือนที่ในหลวงท่านได้ตรัส คือ ท่านตรัสว่าเอาแบบคนจน บริหารประเทศแบบคนจน
ซึ่ง อาตมาว่า คนที่ได้ฟังแรกๆ จะสะดุดใจ ว่า เอ๊ะท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าของประเทศ เป็นเบอร์ 1 ของประชาชนในประเทศ ก็ต้องดูแลประเทศ ดูแลประชากรของพระองค์ แล้วจะให้อยู่กันอย่างแบบคนจน มนุษย์ปุถุชนในโลกนี้ใครจะมาคิดแบบนี้ ต้องมาอยู่แบบคนจน ...ก็พวกคุณไง
ก็พวกเราจะมาจนกัน ปฏิบัติตั้งใจเป็นคนจน แต่เป็นคนจนที่มีคุณค่าเป็นคนจนที่ประเสริฐไม่เบียดเบียนใคร อยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่าประโยชน์ ไม่ใช่อยู่ในสังคมอย่างมีพิษภัยมีโทษ เป็นคนที่ ยิ่งอยู่ไปก็ยิ่งลำบาก หนักสังคม แต่เราจะเป็นคนจนที่ทำให้สังคมอยู่อย่างเป็นสุข มีอยู่มีกิน ไม่ทะเลาะวิวาท เป็นคุณสมบัติตามสาราณียธรรม 6 เพราะมีจิตที่เป็นพุทธพจน์ 7 มีสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ มีความเป็นอยู่อย่างเอกภาพ น่าบูชาเคารพ มีจิตอย่างนั้นจริงๆ
นี่คืออุดมการณ์หรืออุดมคติที่สุดยอด แล้วก็เป็นไปได้ ตามทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าท่าน พาปฏิบัติไปสู่ที่หมายคือสาราณียธรรม 6 เพราะจิตใจมีพุทธพจน์ 7 เป็นคนมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีสาธารณโภคี มีลาภธัมมิกา มีลาภโดยธรรม ทุกคนทำงานก็เอาลาภมารวมกับกองกลาง มีทิฏฐิสามัญตา มีความเห็นความเข้าใจในทิศทางตรงกัน ไปสู่ความหมดกิเลส อย่างนี้เป็นต้น ซึ่ง เป็นอุดมคติอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่มาก
ยุคนี้ ไม่ค่อยเข้าใจกัน และไม่เอามาพูดถึง หายลืมเลือนกัน ทั้งที่อยู่ในพระไตรปิฎกเป็นคำสอนพระพุทธเจ้าที่สำคัญ อาตมาเอามาพูดขึ้นในยุคนี้ ยุคก่อนๆดูเหมือนจะหายไปแล้วไม่พูดถึงสาราณียธรรมพระพุทธพจน์7นี้กันแล้ว อาตมาเห็นว่านี่คือยอดที่หมายของสังคม
ถ้าสังคมถึงสาธารณโภคีได้ มีสาราณียธรรม 6 ได้ มีสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะได้ มันก็จะมีปรากฏการณ์ มีความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ดังที่ได้เห็นและเป็นอยู่ คือ ชาวอโศกเราเป็น เรายืนยันนะ จะบอกว่าอวดอุตริมนุสธรรมนั้น นี่ประกาศเป็นมวลหมู่สังคมด้วย ความเป็นสังคมที่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า บรรลุอุตริมนุสธรรม เพราะเป็นธรรมะที่เหนือมนุษยชาติ เหนือจนกระทั่ง แม้ในสังคมไทยทุกวันนี้เขารู้และได้ยินได้ฟังอยู่ ว่าอโศกเป็นอย่างไร มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ นานมาแล้วหลายสิบปี เขารู้ เขาเห็น เขาเข้าใจ แต่เขามองเหมือนไม่ใช่คน ไม่ใช่สังคมที่เขาต้องการ เป็นมนุษย์อะไรก็ไม่รู้ ไม่สนใจไม่น่าสนใจ ไม่น่าสะดุดอะไร เห็นแต่เพียงบ้าๆบอๆไม่เหมือนกับโลกที่จะต้องไปล่าลาภยศสรรเสริญ ต้องไปรวย ไปแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเป็นสามัญ แย่งกันหัวหมุน เดือดร้อนกัน ต้องบริหารอย่างลำบากลำบน
ชาวอโศกไม่ต้องบริหารอะไรอย่างลำบากเลย ไม่ต้องมีอะไรลำบากในชาวอโศก เพราะอาตมาเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาประกาศ ใครสนใจแบบนี้ พวกเราก็มา ก็เป็นคนไทยในประเทศไทย จำนวนหนึ่ง สนใจคําที่อาตมาเอาของพระพุทธเจ้า ตามความรู้ของอาตมา ทำความเข้าใจคำกล่าวของอาตมา ว่าความรู้ของพระเจ้าเป็นแบบนี้ปฏิบัติแบบนี้ความหมายแบบนี้ปฏิบัติแล้วจะได้ผลอย่างนี้ จนกระทั่งเกิดจริง หลักการต่างๆพวกเราก็เข้าใจ แล้วเราก็ปฏิบัติตามและได้ผลอย่างที่เห็นนี้เป็นคนชาวอโศกอย่างนี้ มีพฤติกรรมอยู่ในสังคมหลายสิบปี จนเกือบ 50 ปีแล้ว
ประเทศไทยมีครูบาอาจารย์สืบสานธรรมะพระพุทธเจ้าสืบทอดถ่ายทอดกันมา เข้าใจและปฏิบัติกันในสังคมประเทศ ก็ทำกันอยู่มีสายหลักของประเทศเรียกว่ามหาเถรสมาคม หรือพุทธศาสนากระแสหลัก ก็นำพาอยู่ในศาสนาพุทธไม่ได้สูญหายไปจากประเทศไทย คนก็เป็นชาวพุทธ ไปวัดไปวาได้แล้วในสถานที่ของศาสนาที่เรียกว่าศาสนาพุทธ ก็พากันปฏิบัติพากันไปประพฤติ มี concept มีความเห็นความเข้าใจรวมรวมว่า ศาสนาพุทธจะต้องเป็นอย่างที่เถรสมาคมพาเป็น แต่อาตมาบอกวาไม่ใช่ ต้องมาเป็นอย่างชาวอโศก ที่อาตมาพาเป็น
ทางโน้นบอกว่าเป็นการกบฏต่อศาสนาพุทธ ก็เลยจัดการ จนทุกวันนี้พ้นจากภาวะที่เขาต้องจัดการแล้ว เขาจัดการเราทุกอย่าง หาเรื่อง ทางธรรมอาตมาก็ไม่หยุด ยืนยันว่าธรรมะต้องอธิบายแบบนี้ พวกเราเข้าใจก็มายืนยันตามกัน พูดกัน ฉอดๆแนวนี้อย่างนี้ คอนเซ็ปอย่างนี้แล้วมาประพฤติอย่างนี้จริงๆเป็นอย่างนี้จริงๆ
ทางด้านโน้นเขาก็เข้าใจมี concept อย่างของเขา แล้วเขาก็พากันประพฤติอย่างนั้น แล้วเขาก็เป็นกระแสหลักที่ทางรัฐทางส่วนใหญ่ของประเทศจะต้องยอมรับเคารพนับถือ ยกเป็นแบบอย่าง ยกเป็นความรู้ว่าศาสนาพุทธของประเทศต้องปฏิบัติอย่างนั้น ไม่ใช่ชาวอโศก
ทางโน้นมีอำนาจ มีทุกอย่างพร้อมจึงได้มาจัดการชาวอโศก เพื่อไม่ให้ชาวอโศกแสดงและประพฤติ อย่างที่อโศกเข้าใจ อย่างทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา อย่างนี้ไม่เอา พยายามจะปราบให้สูญสิ้นจากประเทศไทย
แต่เสร็จแล้วอาตมาก็ไม่ยอม ทางศาสนา เนื้อหาธรรมะอาตมาต้องอธิบายแบบนี้ไม่ยอมหยุดหรอก เผยแพร่ออกไปทั้งหนังสือ สื่อสาร ทุกคนก็ช่วยกันเผยแพร่อย่างนี้ อย่างไรก็ไม่หยุด
ทางโลกเขาก็ต้องเอาทางโลก มาจับ หาข้อผิดทางโลก ข้อทางธรรมเขาก็มาบอกว่าอาตมานี่ เป็นผู้ที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ประพฤติผิดธรรมวินัยเป็นอาจิณ เป็นข้อหาที่ตีขลุม ถ้าเผื่อว่า เอาธรรมะประพฤติผิดธรรมวินัยเป็นอาจิณ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง อะไรพวกนี้มาเล่นมาว่ากันจริงๆเลย อาตมาเปิดตำราพระพุทธเจ้า ใส่ กระจุยเลย เถรสมาคม
แม้แต่คำว่า ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าคนที่มาออกบวชนี้ให้ทิ้งบ้านช่องเรือนชานไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่ทางโน้นบอกว่าไม่ได้ต้องมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง นี่เป็นการขัดกับคำสอนพระพุทธเจ้าไหม
ถ้าเอาธรรมะมา ยิ่งอธิบายไปหาอภิธรรม ยิ่งสนุก ไม่ต้องเอาอะไรมาก เอาศีล กางศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลเลย เถียงไม่ได้ แล้วตัวเองเถียงไปก็เข้าเนื้อเพราะละเมิดศีลของพระพุทธเจ้าเกือบหมด เขาไม่พูดถึงจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ไปเข้าใจไปพูดกันว่าศีลคือวินัย 227 ข้อ พระวินัยไม่ใช่ศีล พระวินัยเป็นเหมือนกฎหมายอาญา เป็นรั้วของศาสนา ป้องกันเชื้อโรคเข้ามาทำลายภายใน
แต่ศีล เป็นเครื่องขัดเกลาทำลายกิเลสกายวาจาใจให้สมบูรณ์ ซึ่งมีความหมายต่างกันไปฝากคนละเรื่องเลย เข้าใจความหมาย ศีล ที่มีนิยามแต่ละอย่างก็ไม่ได้แล้ว แล้วก็เป็นความจริงที่อาตมาพูด ศาสนาพุทธทุกวันนี้ พระ เจ้า ทุกวันนี้ไม่มีศีล ถือแต่วินัย
จุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ เป็น 43 ข้อ ก็ทิ้งไปหมด จะมีเหลืออยู่ก็ศีล 5 8 10 ก็คือจุลศีล
สมณะเดินดินว่า...ดูเหมือนว่า ให้ฆราวาสถือ พระไม่เกี่ยว
พ่อครูว่า...พระไม่เกี่ยวเพราะพระมีศีล 227 ข้อแล้ว
สมณะเดินดินว่า...พระยุงกัดก็ตบ
พ่อครูว่า...พูดไปแล้วน่าสังเวชใจว่าทำไมศาสนาพุทธถึงได้เสื่อมกันอย่างนี้
วันนี้วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560 แรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีระกา บอกวันเวลาตามเรื่อง ต่อจากนั้นก็เตรียมมา วันนี้ตั้งใจจะเอาบทความมาอ่าน และจะอธิบายธรรมะจาก sms เป็นส่วนใหญ่
มาอ่าน บทความสามบท…
แม่ปูหนี ..คอลัมน์ ถูกทุกข้อ ของคุณอัตถ์ อัตนัย…..
พ่อครูว่า...ที่เป็นได้เพราะคณะพวกเราไปประท้วง ทั้งกปปส. พธม. กองทัพธรรม ที่ไปนี้ไม่มีข้อหาที่ประท้วงอย่างรุนแรงหรอก มีแต่พวกอื่นมาสอดแทรกเอาอาวุธมา แต่คณะจริงของพธม. กองทัพธรรม กปปส. เป็นการชุมนุมด้วยความสงบไม่มีอาวุธถูกต้องตามกฎหมาย จึงประท้วงกันได้นาน และได้ประสิทธิภาพ กำลังของการเมือง เราไปประท้วงนั้นประท้วงอย่างไร
ไปประท้วงอย่างครบเครื่องปักหลักกันเป็นเดือนเป็นปี ตั้งโรงครัวตั้งที่อยู่กันเป็นเดือนเป็นปี แล้วก็ประชาสัมพันธ์ แล้วก็ประกาศแล้วก็พูดบรรยายให้ผู้รู้ มาบรรยาย นักการเมืองไม่ค่อยมาเท่าไหร่ มีพวกฝ่ายค้านบ้าง ฝ่ายรัฐบาลไม่มาเลยเพราะเราไปประท้วงเขา
เสร็จแล้วพวกนี้ก็มารวน เมื่อประท้วงกันอยู่นาน แล้วก็บรรยาย โดยมีผู้รู้นักวิชาการ นักการเมืองฝ่ายค้าน มาประท้วง รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลแม่ปูนี่แหละ ประกาศให้ประชาชนมาร่วมกันเป็นปี ประชาชน เอาปรอทอุดหูไม่ใช่แค่สำลี เอาปรอทอุดหูก็ได้ยิน ประกาศไปว่าเราประท้วงเพราะอะไร มันไม่ถูกไม่ดีอย่างไรที่เขาทำอยู่ จึงซึมซับกันเข้าไป การประท้วงจึงทำให้ประชาชนรับรู้ว่าคณะนี้ผิด มีแต่พวกแดงที่หลงงมงายเข้าเส้นแล้วก็ไม่ยอม
ประชาชนที่ไม่ใช่อย่างนั้นก็จะรับ ซับซาบไม่มากก็น้อยว่าอันนี้ผิด ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจแต่ไม่ออกมาโวยวายเพราะรักสงบ ที่อยู่กับฝ่ายทักษิณฝ่ายแดงฝ่ายแม่ปูมีอยู่ไม่เท่าไหร่ มาร้องแรกแหกระเชอ ตีปี๊บเลยเสียงดัง แต่ประชาชนส่วนใหญ่นั้นเงียบสงบเห็นได้ว่าพลเอกประยุทธ์ปฏิวัติก็ดำเนินไปอย่างเรียบร้อย ถ้าประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจแล้ว มีแต่จะบอกว่าให้ดำเนินไปด้วยไม่ต้องเลือกตั้งหรอก พวกตี โหวกเหวกจะให้เลือกตั้งนั้นมีอยู่ไม่เท่าไหร่หรอก มันแบ่งขั้วกันชัดเจนแล้ว พวกที่ทำมาหากินก็ไม่ว่าอะไรหรอก พวกที่มีปัญหาพวกนี้ จึงเป็นพวกที่มีความเข้าใจผิด มีความโง่ในทางการเมือง เขาเรียกตัวเองว่าเป็นพวกประชาธิปไตย เขาเรียกพวกที่บริหารประเทศขณะนี้ คณะคสช.เป็นพวกปฏิวัติ เป็นพวกทำร้ายประชาธิปไตย เขาก็เอาประเด็นตื้นๆมาประกาศมาพูด โดยไม่ได้รู้เนื้อหาสาระของความเป็นประชาธิปไตยอะไรหรอก รู้แต่แค่ ต้องมีการเลือกตั้ง ถ้ามายึดอำนาจอย่างนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย เขามีความรู้ประชาธิปไตยแค่ตื้นๆอย่างนี้
สรุปแล้ว ที่อาตมาแวะออกมานี่ เพื่อจะบอกว่า ประเทศไทยในช่วง รัฐบาลทักษิณ มาจนถึงท่านประยุทธ์นี้ เป็นการแสดงตัวอย่างของความเป็นประชาธิปไตยที่งามที่สุด ถ้าเป็นที่อื่น ยิงกันโป้งป้าง เป็นการจลาจลไปแล้วแต่นี่สงบดี นี่ก็ทยอยจับเข้าคุกไป หรือไม่ก็หนีไปต่างประเทศ เช่นเจ้าโกตี๋ หรือออกไปหลายคนแล้ว ถ้าอยู่โดนจับ สรุปแล้วไม่มีอะไร ขณะนี้บ้านเมืองเรียบร้อย แต่ตัวไม่เรียบร้อยตัวร้ายก็จะรวนตลอด
อ่านบทความ แม่ปูหนีต่อ….นางยิ่งลักษณ์ตั้งให้นายนิวัฒน์ธำรงค์….
อ่านอีกบทความ จาก ผู้จัดการ บอกว่า ฆ่าคนดี สังเวยอลัชชี ของ คุณสุนันท์ ศรีจันทรา
แม้คนในรัฐบาลจะดาหน้าออกมาแก้ต่างข้อครหา คำสั่งเด้งพ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อย่างไร แต่ไม่อาจลบล้างข้อสงสัยในเบื้องหน้าเบื้องหลังสังคมการโยกย้ายครั้งนี้ไปได้
สังคมปักใจเชื่อไปแล้วว่า การสอบสวนการทุจริตเงินอุดหนุนวัด ซึ่งกำลังรุกคืบเข้าไปใกล้ตัวพระชั้นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกรรมการเถรสมาคม เป็นชนวนเหตุสำคัญในการปลดนายพงศ์ธร
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้พูดถึงเบื้องหลังการโยกย้ายพ.ต.ท.พงศ์พรโดยตรง แต่พูดถึงการแต่งตั้งนายมานัส ทารัตน์ใจขึ้นมารับตำแหน่งแทน
นายออมสินระบุว่า นายมานัสมีความประนีประนอม และน่าจะทำงานกับคณะสงฆ์ได้ดี และไม่น่าจะเกิดปัญหาทำงานกับคณะสงฆ์ซ้ำอีก
การรับประกันว่า ผอ.พศ.คนใหม่ เป็นคนประนีประนอม และไม่น่าจะเกิดปัญหาการทำงานกับคณะสงฆ์ แสดงว่า ผอ.พศ.คนเก่า เป็นคนไม่ยอมประนีประนอม จึงเกิดปัญหาการทำงานกับคณะสงฆ์ จนถูกเขี่ยให้พ้นทาง เพียงเพื่อให้พระพอใจ จะได้ไม่วุ่นวายกับรัฐบาลใช่หรือไม่
ถ้าพ.ต.ท.พงศ์พรเป็นคนไม่ประนีประนอมจริง และร่วมงานกับคณะสงฆ์ไม่ได้ คำถามที่รัฐบาลจะต้องให้คำตอบคือ
ทำไมพ.ต.ท.พงศ์พรจึงไม่ยอมอ่อนข้อให้พระ ทำไมคณะสงฆ์จึงไม่พอใจการทำงานของ ผอ.พศ.คนเก่า และคณะสงฆ์ชุดไหนที่ออกมาต่อต้าน
เป็นพวกบรรดาเจ้าคุณที่ฝักใฝ่การเมืองหรือไม่ เป็นพระชั้นผู้ใหญ่จีวรแดงที่ทำตัวเป็นลูกสมุนระบอบทักษิณหรือไม่
ถ้าการต่อต้านพ.ต.ท.พงศ์พร เกิดจากการทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่ละเว้นพระที่ละโมบ ไม่ยอมปล่อยให้พระที่ร่วมทุจริตเงินอุดหนุนวัดลอยนวล ไม่ยอมก้มหัวให้พระผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยกิเลส และดำเนินคดีโดยไม่ละเว้น รัฐบาลต้องปกป้องพ.ต.ท.พงศ์พร
ต้องสนับสนุนให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป เพื่อชำระล้างวงการสงฆ์ให้สะอาด ไม่ปล่อยให้พวกอลัชชีทำให้พุทธศาสนิกชนเสื่อมความศรัทธาในพระ
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน ติคนที่ควรติ ชมคนที่ควรชม
การโยกย้ายพ.ต.ท.พงศ์พรกำลังถูกมองว่า เป็นการ “ฆ่าตัดตอน” เพื่อให้พระชั้นผู้ใหญ่พอใจ เพื่อให้คณะสงฆ์อยู่ในความสงบ ไม่ออกมาข่มขู่กดดันรัฐบาล ไม่ก่อหวอดเคลื่อนไหวก่อม็อบพระประท้วง
การสรรหา ผอ.พศ.คนใหม่ รัฐบาลคงกำหนดคุณสมบัติไว้แล้ว จะต้องเป็นคนประนีประนอม ยอมโอนอ่อนผ่อนปรน และเป็นบุคคลที่ผ่านความเห็นชอบจากบรรดาสงฆ์ผู้กว้างขวาง
คดีเงินทอนวัดที่พ.ต.ท.พงศ์ธรกำลังสาวลึก และใกล้ตัวพระชั้นผู้ใหญ่เข้าไปทุกที เป็นที่คาดหมายว่า อาจถูกปิดฉากลง พร้อมกับ ผอ.พศ.คนเก่า โดยที่บรรดาพระกิเลสหนาที่ร่วมโกงเงินทอนวัดคงจะถูกปล่อยให้ลอยนวลต่อไป
ส่วนรัฐบาลอาจรู้สึกว่า การนำพ.ต.ท.พงศ์พรไปบูชายันต์ ทำให้แก้ปัญหาไปได้อีกเปราะ ไม่ต้องกังวลกับการเปิดศึกกับพระ แม้จะเป็นพระเลวที่โกงเงินภาษีของประชาชนก็ตาม ไม่ต้องพะวงม็อบโล้นห่มเหลือง
ศาสนาจะเสื่อม พระจะหากินอย่างไร จะโกงเงินหลวง จะประพฤติผิดศีลผิดธรรม รัฐบาลไม่ต้องใส่ใจ ขอเพียงอย่าก่อม็อบสร้างความวุ่นวายให้รัฐบาลเป็นพอ
เพียงเพื่อป้องกันความขัดแย้งกับพระ เพียงเพราะไม่ต้องการมีปัญหากับพระ และเพียงเพราะต้องการสงบศึกกับพระชั้นผู้ใหญ่เพียงบางกลุ่ม รัฐบาลพร้อมจะทำร้ายจิตใจข้าราชการที่มีผลงาน
การเด้งพ.ต.ท.พงศ์ธรเป็นการตอกย้ำว่า แผ่นดินนี้แทบไม่เหลือที่ให้คนดีได้ยืนแล้ว และต้องหลีกทางให้คนโกนหัวห่มผ้าเหลือง ที่สวมคราบความเป็นพระทำมาหากินในทุกรูปแบบ แม้แต่โกงเงินหลวง
รัฐบาลคงเลือกแล้ว เลือกเอาใจพวกอลัชชีมากกว่าปกป้องข้าราชการดีๆ
พ่อครูว่า...บทความนี้เป็นบทความที่ชี้บ่งปรากฏการณ์ในประเทศไทยขณะนี้ อาตมาเกิดในยุคนี้ ขึ้นมาทำงานในสิ่งที่มันเป็นสัจธรรม ทำงานที่ขอยืนยันว่าอยู่กับความเป็นสัจธรรม ไม่ว่าจะเป็นการเมืองการศาสนา เป็นเรื่องของมนุษยชาติสังคมประเทศประชาชนทั้งนั้น อาตมาก็ต้องยืนหยัดยืนยัน ไม่ว่าจะการศาสนา การธรรมะ เรื่องของประชาชนก็ตาม อาตมาก็ต้องยืนยัน ความถูกต้องดีงาม จึงต้องพยายามบอกในสิ่งที่ต้องตำหนิ นิคคัณเห นิคหารหัง อะไรที่ควรยกย่องก็ยกย่อง ปัคคัณเห ปัคหารหัง มีสิ่งที่ควรยกย่องอย่างเช่นพลเอกประยุทธ์ ที่ทำอยู่ ก็พูดถึงเป็นคราวๆไป แต่คนทำดีมีน้อย แต่พวกทำชั่วตีฆ้องร้องป่าวดัง ทำให้หนวกหูอยู่ ก็เลยรวนในสังคม นี่ก็คือ เรื่องราวที่เกิดในสังคม
อาตมาออกมา ทำงานด้านนี้ตั้งแต่อายุ 36 ปี และจะทำต่อไปอย่างยาวนานที่สุดเท่าที่จะรักษาขันธ์ไว้ได้ ยังพอใจที่จะทำงานนี้ให้แก่มวลมนุษยชาติ ไม่ได้รายได้ไม่ได้เงินทอง ดีไม่ดีถูกพวกที่เขาไม่ชอบใจด่าว่าเกลียดขี้หน้า อาตมาก็ไม่สนหรอก ใครจะเกลียดขี้หน้า หรือรักขี้หน้าก็แล้วแต่ เพราะอาตมาไม่ได้ทำเพื่อให้คนรักหรือชัง แต่ทำเพื่อให้สัจธรรมนั้นได้ปรากฏ ไม่ได้มีหน้าที่ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญ เพื่อจะได้ประกาศว่าตัวเองดีตัวเองเก่งด้วย จึงไม่รักษามาด ไม่ดราม่า ไม่แม้แต่จะแสดงออกไปเป็นท่าทาง(นัจจะ) สำเนียงสุ้มเสียง(คีตะ) เป็นท่าทางลีลาภาษาคำพูดที่ปรุงแต่งให้สื่อได้ความหมายชัดเจนที่สุด เจตนาอย่างนั้นอย่างเดียว
ใครจะหาว่าอาตมาไม่สุภาพ ก็ว่าถูกทั้งนั้น ขออภัย อาตมามีความเห็นว่า น่าด่าก็เลยต้องทำ เป็นเรื่องของความหวังดีปรารถนาดีที่อาตมามีอย่างนั้นจริงๆต่อมวลมนุษยชาติต่อประเทศไทย ที่ทำอยู่นี่ ใครจะแปลความหมายแปลเจตนาอะไรของรัฐมาเป็นอย่างอื่นก็แล้วแต่
สมณะเดินดินว่า...อย่างชาวบ้านเขาอยากจะด่าก็ด่าไป แต่พ่อครูเห็นว่าพ่อครูด่าเพราะมันน่าด่า แต่ชาวบ้านก็ด่าเพราะอยากจะด่าเหมือนกัน แล้วต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า….ความแตกต่างประเด็นแรกคือ อาตมานี่ด่าถาวร ส่วนพวกเขา ด่าเป็นครั้งคราว แต่อาตมาเอาชีวิตไม่ทำมาหากินออกมาทำงานด่าเป็นหลัก เทศน์ภาษาไทยแปลว่าด่า ใครถูกเทศน์คนนั้นก็ถูกด่า ภาษาไทยที่ว่า วันนี้ถูกแม่ถูกพ่อเทศน์ให้ ก็คือถูกด่า อาตมาก็เหมือนพ่อแม่ด่าลูก อาตมาพูดได้เพราะอายุ 84 ปีแล้วด่าลูกเต้า เหลนโหลน
สมณะเดินดินว่า...ผมไม่กล้า ยังกลัวจะตายไม่สวย
พ่อครูว่า..เรื่องนี้เป็นอจินไตย จะตายสวยหรือไม่สวยก็เป็นอจินไตย ทิ้งไว้เท่านี้ อจินไตย อาตมาไม่กลัวตาย จะเห็นได้ ไปพาประท้วงก็ไม่กลัว ถึงเวลาควรจะทำก็ทำ หลายคนก็บอกว่า ไม่น่าเสี่ยง
SMS วันที่ 13 กันยายน 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
_7680กราบนมัสการพ่อครู ขอให้พ่อครูช่วยอธิบายหน่อยครับว่า ผู้ที่มีครอบครัว อยู่กับคู่ครอง กับลูก จะเจริญเป็นอาริยะสูงสุดได้ถึงขั้นไหนครับ?
พ่อครูว่า...ถ้ายังอยู่อย่างนั้นแม้แต่อนาคามีก็ไม่ถึงหรอก อรหันต์ไม่ถึงหรอกหากออกมาก็จะหมดกามได้ไปถึงที่สุดได้ ถ้าอยู่อย่างนั้นได้อย่างเก่งก็โสดาฯ สกิทาฯ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กายหมายถึงอะไร
_2166ขอนิมนต์หลวงพ่อ อธิบายคำว่า "กาย" จ๊ะๆเจ๋งๆ อีกสักครั้งเถอะครับ เพราะมันยังไม่ชัด มันยังคาใจผมอยู่ ก็ได้ฟังแต่หลวงพ่อองค์เดียวเท่านั้นแหละครับในโลกที่อธิบายแบบนี้ และกายกับร่างกาย มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ ขอเนื้อๆเลยนะครับหลวงพ่อ ?
พ่อครูว่า...คำว่า กาย เปิดตำราอธิบายดีกว่า…
อธิบายจากหลักของพระพุทธเจ้าที่ตรัสเรื่องกาย อธิบายนำนิดหน่อยว่า กายนี้คือองค์ประกอบของรูปกับนาม กายต้องมีจิต มีมโน มีวิญญาณอยู่ร่วมตลอดจึงจะชื่อว่ากาย มีเหลือแต่ดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป ถ้ากายหมายถึงมีแต่ดินน้ำไฟลม มีแต่มหาภูตรูป ไม่มีจิต ไม่มีมโน ไม่มีวิญญาณ เข้าไปร่วมเป็นองค์ประชุมองค์ประกอบด้วย อันนั้นไม่ใช่กาย
คำว่ากายเมื่อเป็นภาษาไทยแล้ว ไม่เป็นภาษาธรรม ภาษาทางศาสนา คนก็ยังไม่เข้าใจ ไปหมายว่ากายนี้หมายถึงดินน้ำไฟลม เป็นภาษาไทยหมายถึงกองประชุมของมวลดินน้ำไฟลมประกอบกัน ไม่เกี่ยวกับใจไม่เกี่ยวกับจิต ไม่เกี่ยวกับมโนวิญญาณเลย คนไทยโดยทั่วไปทั้งหมด แม้แต่วงการศาสนาก็เข้าใจเช่นนี้กันไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นจึงผิดเพี้ยนเลย ศาสนาพุทธเสื่อมถ้าเข้าใจความหมายคำว่ากายเป็นเช่นนี้ก็จบเห่ ปฏิบัติธรรมะไม่บรรลุธรรม ปฏิบัติธรรมะอย่างไรก็ไม่บรรลุธรรมออกไปเข้าใจกายว่าหมายถึงอย่างนี้
อธิบายตามหลักพระพุทธเจ้าเลย
กายนี้พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ระบุไว้ว่า ถ้าปฏิบัติธรรมต้องเรียนรู้ความเป็นสัตว์ คนทุกคนเป็นสัตว์ แล้วก็จะอยู่ในความเป็นสัตว์ เรียกว่าสัตตาวาส จะต้องล้างความเป็นสัตว์ออกจากตัวเอง นี่คือจุดหมายของศาสนาพุทธเลย เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจความเป็นสัตว์ ซึ่งจะต้องรู้อะไร ความเป็นสัตว์ก็คือสัตตาวาส 9 หรือวิญญาณฐิติ 7 ท่านตรัสไว้อย่างนี้ กายก็คือรูปนาม ธรรมะสอง หรือองค์ประชุมของ จิต มโน วิญญาณ ที่คุณจะต้องรู้ คุณจะต้องมี นามธรรม มีสัญญาเป็นต้น กำหนดรู้ อาการของ รูป-นาม ตั้งแต่รูปภายนอก ดินน้ำไฟลม จนกระทั่งมาถึงพืชมาถึงสัตว์มาถึงตัวเราที่ประชุมตัวเป็นร่างกาย แล้วจิตของเราต้องอ่านพวกนี้ รู้แล้วแบ่งแยกให้ถูก ดินน้ำไฟลม เป็นมหาภูตรูปที่ไม่มีวิญญาณไปร่วม
จนรูปอีก 24 ปสาทรูปโคจรรูป ….ไปจนจบ
ต้องเรียนรู้
สัญญามีหน้าที่กำหนดรู้ และจดจำ เป็นตัวหน้าที่กำหนดรู้อันนั้นอันนี้ กับจำ
1. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า
2. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น .
3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน เช่นพวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) .
4. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) .
5. สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์ เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)
6. สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)
7. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง)
8. สัตว์บางพวก ..อากิญจัญญายตนะ (ดับไม่ให้มีอะไร)
9. สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ)
(ววัตถุสัญญา พตปฎ. ล.23 ข.228) และ 11/353
สัตว์นี้หมายถึงจิตวิญญาณที่มีความเป็นสัตว์เรียกว่าสัตว์โอปปาติกะ ไม่ใช่สัตว์ที่เป็นข้างนอกตัวตนบุคคลเราเขา อันนี้หมายถึงสัตว์โอปปาติกะ หมายถึงสัตว์ทางจิตวิญญาณ 9 อย่าง
แล้วก็มีวิญญาณฐิติ 7 เป็นวิญญาณที่ตั้งอยู่ 7 อย่าง
พ่อครูว่า...เพราะไม่เข้าใจความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณเหล่านี้ จึงไม่ได้ปฏิบัติลดละสัตว์ในจิตวิญญาณ ผู้ยึดถือ ทำจิตให้เป็นแบบฤาษี เป็นอสัญญีสัตว์ ก็ไม่รับรู้อะไรได้
ถ้านั่งหลับตาไปถึง เนวสัญญานาสัญญายตนภพ ถือเป็นสัตว์เต็มบ้องเลย ที่ลึกที่สุด ในความเป็นสัตว์ที่ไม่เหลือวิญญาณ ในวิญญาณฐิติ 7 จึงไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงไม่เรียกว่ามีวิญญาณ ทั้ง 7 ข้อนี้เหมือนสัตตาวาส 9 แต่ไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะกับอสัญญีสัตว์
แต่ที่จริงสองอย่างนี้ก็คือสัตว์ แต่ศาสนาพุทธเรียนวิญญาณฐิติ 7 ต้องให้วิญญาณรับรู้ จะไปวุ่นวายกับการดับความรับรู้ในลักษณะของอสัญญีสัตว์ พอนั่งหลับตาแล้วชำนาญแล้ว อาตมานั่งหลับตามานัก พอเริ่มนั่งหลับตา ไม่ต้องผ่านชั้น 1 2 3 4 ก็ลัดเข้าหาดับเลย อสัญญีเลยหรือเนวสัญญานาสัญญายตนะเลย ที่เป็นอรูปตัวปลายสุดท้าย ไม่ต้องพิรี้พิไรกับฌาน 1 2 3 4 เลย อย่างนี้เป็นต้น
อาตมานี่ ปฏิบัติประพฤติเรียนรู้ทั้งในทางที่ผิดๆมาก่อน ทำกับโลกเขามาจนกระทั่ง คล้ายแบบที่พระพุทธเจ้าทำ อาตมามาทำงานศาสนาจะออกมาทำงานทางศาสนา ก็ออกมาดูว่าโลกเขาทำอย่างนี้หนอ ภูมิตนเองยังไม่ขึ้น เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่ออกบวชตอนแรกก็ เขาพาเข้าป่า นั่งหลับตาทำสมาธิ ผิดทางเหมือนกัน ตอนนั้นไม่มีศาสนาพุทธเลย เหมือนกัน ตอนนี้ เนื้อหาศาสนาพุทธไม่มีเลยมีแต่เนื้อหาที่เป็นตัวหนังสือ ในพระไตรปิฎก แต่ในยุคพระพุทธเจ้าไม่มีศาสนาพุทธเลยท่านก็มาประกาศศาสนาพุทธ มาถึง 2600 ปีแล้ว ก็เหมือนกัน ศาสนาพุทธกลับไปเลอะเทอะเหมือนเดิม เหมือนกับที่มันไม่ใช่ เป็นศาสนาที่ รวมเละมาเป็นศาสนาของตนไม่ใช่เนื้อแท้ศาสนาพุทธ แต่เหลือเศษในบัญญัติ ก็ต้องขอบคุณผู้ที่รักษาภาษาของศาสนาไว้รักษาพระไตรปิฎกรักษาความหมายของพยัญชนะ มีพจนานุกรมบาลี- ไทยอะไรต่างๆไว้ อันนี้เป็นประโยชน์มากเลย อาตมาก็ได้อาศัยพวกนี้ ถ้าจะเอาที่ท่านบรรยายความเห็นเองนั้นท่านไปแล้ว ทิฏฐิของท่านไปนอกแล้ว แม้จะเอาบัญญัติที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้ามาขยายความ ก็ขยายผิดออกไปหาทางโน้น
ไม่ต้องเอาคำว่าอะไร เอาคำว่าสมาธิก็ไปแล้ว เอาคำว่ากายก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้เลย
วิโมกข์ 8 ก็พัวพันกับวิญญาณฐิติ เพราะจะรู้จักความเป็นสัตว์ความเป็นวิญญาณต้องมีวิโมกข์ ต้องปฏิบัติวิโมกข์ 8 และปฏิบัติด้วยกาย ท่านยืนยันเลย
กายคือจิตวิญญาณ เรื่องนี้อาตมาเห็นใจ ที่เขาเข้าใจกันไม่ได้เรื่องสภาวะ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งมีกายสักขี ถ้าไปถึงกายสักขีแล้ว มันเป็นขั้นตอนที่ถือว่าอรหันต์ ถ้ามิจฉาทิฐิมาตั้งแต่ต้น อันนี้ เรียนกันใน ทักขิเนยบุคคล 7
แม้จะเป็นกายสักขี เห็นมีรูปธรรม คุณจะยืนยันว่าเป็นจิต แต่ที่จริงเข้าใจสับกัน เขาเข้าใจว่า กายเป็นรูป แต่ที่จริงกายเป็นนาม เขาก็ตั้งใจปฏิบัตินาม ให้เข้าใจว่าฉันบรรลุสูงสุด พวกที่มิจฉาทิฐิจะนั่งหลับตาทำสมาธิทำได้เหมือนเขาได้บรรลุมีกายสักขี อย่างสายอาจารย์มั่น สายธรรมกาย อธิบายได้ยากหน่อยเป็นพวกตาบอดตาใส ลวงโลก
สายนั่งหลับตาจะนั่งหลับตาทำนิโรธวิมุตติเมื่อนั่งหลับตาไปก็จะได้ แล้วบอกว่าเป็นอรหันต์ อาจารย์มั่นเป็นพระอรหันต์ มหาบัวเป็นอรหันต์ เพราะนั่งหลับตาเป็นกายสักขี
1.สัทธานุสารี คือพวกตามหาสัมมาทิฏฐิ สายเจโต
2.ธัมมานุสารีคือพวกตามหาธรรมะสัมมาทิฏฐิสายปัญญา
3.สัทธาวิมุติ
4.ทิฏฐิปัตตะ
5.กายสักขี
ห้าอย่างนี้มิจฉาทิฏฐิ ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่จะสัมมาทิฏฐิจะต้องเข้าใจคำว่ากาย พออันที่กายสักขี ท่านตบท้ายเลยว่า ผู้จะบรรลุขั้นที่ 6 เรียกว่าปัญญาวิมุติ ผู้ปัญญาวิมุติ ถ้าสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติถูกทางจนถึงปัญญาวิมุติ อาสวะทุกอย่างสิ้น จึงนับเป็นพระอรหันต์ได้
ส่วน มิจฉาทิฏฐิ 5 อย่างนี้ กายสักขี ท่านถึงจำกัดว่า ถ้าคุณจะปฏิบัติแล้ว กายสักขีนี่ จะต้องมีวิโมกข์ 8 จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องเข้าใจกายมาตั้งแต่ต้น ทั้งความเป็นวิญญาณฐิติ 7 และสัตตาวาส 9 คำว่ากายจึงเป็นเรื่องสำคัญในการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งของศาสนาพุทธ
หากเข้าใจกายผิด ไม่มีจิตวิญญาณก็จบเห่แล้ว ในศาสนาพุทธบอกว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
ปัญญาวิมุติ ข้อที่ 6 ท่านก็บอกบาลีว่า เนว ท่านก็แปลกันว่าไม่มีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย นี่คือมิจฉาทิฏฐิ ถ้าสัมมาทิฏฐิแล้วจะสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายมาตั้งแต่ต้น
มาถึงปัญญาวิมุติ บุคคลข้อที่ 6 ไม่ต้องพูดคำว่าสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะสัมมาทิฎฐิมาตั้งแต่ต้น อาสวะทั้งหมดสิ้น
ส่วนกายสักขี อาสวะบางอย่างดับได้ ก็ให้รู้ว่าอาสวะบางอย่างดับได้ อาจเป็นคนที่มีบารมีนั่งสะกดจิตก็เลยเข้าล็อคเดิม ก็ได้บางอย่าง ส่วนคนไม่มีเริ่มต้นมาเลยจะปฏิบัติ ไม่เคยดับอาสวะได้สักอันเลย นั่งหลับตาให้ตายก็ไม่มีทางดับอาสวะได้
กามที่หยาบเรียกว่าอบาย ต้องดับมาตั้งแต่ต้นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย จนเหลือรูป อรูป ทำโอฬาริกอัตตาก่อน แล้วทำมโนมยอัตตา ทำอรูปอัตตาตามลำดับ แต่นี่ทำไม่เป็นลำดับ
จะปฏิบัติกายคตาสติ กายปัสสัทธิ กายกลิ กายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา ในพระบาลีจะมีคำว่ากายอยู่เยอะ แต่ถ้าเข้าใจคำว่ากายผิดก็ปฏิบัติผิด เช่นคำว่ากายคตาสติ คุณก็เข้าใจกายคือดินน้ำไฟลม หรือรูปภายนอกก็ได้แต่ปฏิบัติ ก้าวหนอ ย่างหนอ
กายปัสสัทธิ กายต้องสงบ ก็เข้าใจผิดว่ากายคือ แขนขาดินน้ำไฟลมอวัยวะน้อยใหญ่ ต้องสงบ ให้มีแต่จิตเคลื่อนไหว ทำให้กายปัสสัทธิคือหายใจเข้าหายใจออกได้อย่างเดียวอันอื่นนิ่งหมด นอกนั้นไม่ให้กระดุกกระดิก เรียกว่ากายปัสสัทธิ
ซึ่ง กายปัสสัทธินั้นหมายเอาทั้งรูปและนาม แล้วเรียนรู้ จิตมโนวิญญาณ พระพุทธเจ้าบอกว่า กายภายนอกสงบไม่ยากหรอก แต่กายที่เป็นจิตมโนวิญญาณนี้ยาก จะทำให้เบื่อหน่ายในกายภายนอกนั้นง่าย แต่จะเบื่อหน่ายในกายจิตมโนวิญญาณนี้ยาก ท่านก็ตรัส ยืนยันไว้ชัดเจน
ประเด็นที่สองถามว่า กายกับร่างกาย มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
กาย กับร่างกาย มีความเหมือนกันทุกอย่าง แต่มีความไม่เหมือนตรงคนไทยมีมิจฉาทิฐิ ไปเรียกร่างกายว่ากาย ร่างคือสรีระ เอาคำว่าร่างกายไปใส่คำว่ากาย แล้วหมายว่า ร่างกายคือร่างเท่านั้นไม่เกี่ยวกับใจ
กายก็แปลว่ารูปนาม ร่างกายก็คือรูปนาม แต่คุณดันเอาความคิดผิดๆ เอาคำว่าร่างไปกำกับ เหมือนคำว่า สรีรกาย ก็คือกายที่หมายเอาแต่ร่างภายนอก คำว่า กายก็หมายถึงร่างกาย ให้ชัดเข้าไปอีก กาย กับร่างกาย ก็คือมิจฉาทิฏฐิเอาคำว่าร่างไปใส่คำว่ากาย ทำให้กาย หมายถึงแค่ดินน้ำไฟลม เท่านั้น ถ้าเข้าใจคำว่ากายคำเดียวนี้ผิดปฏิบัติธรรมไม่ได้ผลเลย วิญญาณฐิติ สัตตาวาสก็ไม่รู้เรื่อง กาย รูปนามก็ไม่รู้เรื่อง ธรรมะสองก็ไม่รู้เรื่อง
คุณจะปฏิบัติธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 จะทำได้ที่ไหน จะพิจารณา ธรรมะสอง กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ซ้อนกันเข้าไป นี่คือการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องมีธรรมะ 2 มีผัสสะ การนั่งหลับตาไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธไม่มีกรรมฐาน แต่ลงส้วมหมดแล้ว ไม่มีกรรมฐาน แต่เป็นฐานส้วมไปแล้ว ภาษาอีสาน ส้วมแปลว่าห้องนอน ฐานหรือเว็จแปลว่าส้วม กรรมฐานของศาสนาพุทธมีอย่างเดียวคือเวทนา ในพรหมชาลสูตรบอกไว้ แต่ไปไกลเอากรรมฐาน 40 กสิณ 40 เลอะไปหมด ทั้งที่จะบรรลุธรรมต้องเรียนรู้เวทนา 108 จะรู้จักเวทนาในเวทนาตรง เคหสิตเวทนา18 แล้วทำให้เป็นเนกขัมสิตเวทนา108 ให้ได้ทำให้เกิด เวทนาเดียวคือเนกขัมสิตอุเบกขา แต่โดยธรรมชาติก็มีอุเบกขาพักยก ไม่ทุกข์ไม่สุขจิตมันเฉยๆเป็นครั้งคราวโดยธรรมชาติ มันก็มีเป็นธรรมชาติ ก็ต้องรู้ว่ามีนัยต่างกัน เนกขัมสิตอุเบกขา กับเคหสิตอุเบกขาเวทนาต่างกัน เนกขัมสิตอุเบกขาเป็นฐานนิพพานเลย แต่เคหสิตอุเบกขาเวทนา เป็นแบบของปุถุชนไม่ได้เป็นอริยะเลย
สรุปแล้วคนไทยเอาคำว่ากายมาปู้ยี่ปู้ยำ เอาคำว่าร่างนี้ไปใส่คำว่าร่างกาย แล้วก็หมายถึงแต่อย่างเดียวกัน ลากเอาคำว่ากายนี้ไปเป็นความหมายแบบร่าง คนตาย คนตายนี้ จิตวิญญาณออกหมดเหลือแต่ร่างไม่มีกาย ซากศพนี้ไม่ใช่กายมนุษย์ กายหมดไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจกันแล้ว
ขออธิบายซ้อนลึกเข้าไปอีก คนตายที่ไม่เน่า
คนตายที่ไม่เน่าแล้วก็ไปหลงว่าคนตายที่ไม่เน่า ผมก็ยาวได้ เล็บมือยาวได้ แต่ที่จะเห็นสภาพลมหายใจ การเคลื่อนภายนอกหมดแล้ว เหลือแต่พีชธาตุ พลังงานของพีชะ แต่จิตนิยามหมดแล้ว พลังงานตกลงมาเหลือแต่พีชธาตุ
คนตายที่มีโมเมนตั้มของพีชะเหลือก็ยังทำงานอยู่ ก็เอาธาตุมาเลี้ยงร่างกาย เหมือนมนุษย์พืช ไม่มีเวทนา เล็บก็ยังยาวได้ผมก็ยังยาวได้ ถ้าหมดพีชธาตุก็เหลืออุตุ ถ้ายังมีพีชะธาตุก็ยังอยู่ เหมือนกับมนุษย์พืชที่เข้าไอซียูแล้วเขาก็ให้อาหารเลี้ยงไว้ ธาตุวิญญาณนี้ไม่ขึ้นมาอีกแล้ว คนนี้ ถ้าอยู่ในเครื่องอะไรที่เขาให้ เดี๋ยวนี้ทางการแพทย์นั้นเก่ง แล้วก็ให้อาหารอยู่ ก็เลี้ยงมนุษย์พืชนี้ไปอีกนานเท่าที่มันจะรักษาสภาพได้ สุดท้ายมันก็ต้องตาย เพราะมันไม่ครบวงจรก็มีแต่เสื่อมก็แค่ชะลอได้
คนกลับไปบูชาเคารพศพที่ตายแล้วไม่เน่า แสดงความยึดมั่นถือมั่นจิตไม่ปล่อยวาง แม้จะตายแล้ว ก็ไม่ยอมให้พลังงานชีวะหยุด แม้พลังงานตก เหลือพีชนิยาม แม้พลังงานต่ำกว่าพีชนิยามก็ยังยึดอยู่ ร่างกายก็สดอยู่ แต่ก็เสื่อมลงเรื่อยๆ แต่ถ้าให้อาหารอยู่ก็ยังอยู่ ถ้าวงจรของมันยังไม่ขาดไป มีแต่สัญญา สังขารทำงานเป็นโมเมนตัม ท่านเรียกว่ามนุษย์พืชไม่ผิดหรอก
ถ้าเป็นสมัยก่อนตายไปนานแล้ว ไม่มีเครื่องช่วยเหล่านี้ แต่สมัยนี้วิทยาศาสตร์การแพทย์เก่งก็เลยทรมานตายก็ไม่ได้สักที แต่ถ้าไม่มีเวทนาก็ไม่ค่อยทรมาน แต่ก็อยู่อย่างนั้นเป็นภาระให้คนที่ยังอยู่
_3867สมัยวัยรุ่นผู้น้อยเคยรับเงินซื้อสิทธิ์ขายเสียงเพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาใครๆก็ทำกัน!แต่แม่สอนอย่ารับ เงินไม่ดีเป็นเงินบาปจะติดหนี้เวรหนี้กรรมเขาเป็นวิบากทวงคืนชดใช้ไม่จบสิ้น!ลูกข้ารองบาทฯผู้รับใช้แผ่นดิน
_3867กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูฯกับพระโสดาบันผู้เข้าถึงกระแสธรรมจนสิ้นภพจนจบที่ๆสุดแห่งทุกข์ได้กับการเมืองอันโปร่งใสด้วยสุจริตชนคนถือคำสัตย์ปฏิญาณฯแน่วแน่สาธุskkส่งแค่นี้ตามพ่อครูชี้แนะเจ้าค่ะ!
จากเฟสบุ๊ค
_ณฐาไท มอร์เก้น · ตั้งแต่ฟังธรรมมายังไม่เคยเห็นพระรูปไหนอธิบายได้ชัดเจนเท่าพ่อครู แม้แต่คำว่าไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตยังอธิบายไม่ชัดเจนเลย หรือว่าท่านไม่กล้าที่จะพูดความจริงเหมือนพ่อครูและอาจารย์หมอเขียวที่อธิบายจนหมดเปลือกจริงๆ
พ่อครูว่า…ใช่ เขาไม่กล้าหรอก โดยเฉพาะ ชีวกสูตร เป็นบาปไม่ใช่บุญเลยห้าประการ เขาไม่เข้าใจกัน ไม่เอามาอธิบาย แต่ตีกินไปว่า บริสุทธิ์โดยส่วนสามอีก
มีพระสูตรที่บอกว่าทุกคนที่กินเนื้อสัตว์จะต้อง ติดบาป(ส ปาปมุปลิมฺปติ) ล.27 ข้อ 342 สิคาลวรรค
ทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ (ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ)
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
สมณะเดินดินว่า...ชาวอโศก คงตื่นตัวกับกรรมฐาน ที่พ่อครูบอกว่า กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา จะอ่านตรงไหน วันหนึ่งวันหนึ่งเราจะผ่านความชอบใจไม่ชอบใจแต่เรามักไม่อ่าน จะไปอ่านที่นอกตัวเราเรามีแต่เราไม่เคยล้างให้มาเห็นเวทนาแท้เลย เราก็ไม่ได้มีเวทนาเป็นกรรมฐานเลย ...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:05:37 )
รายละเอียด
600915_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เข้าใจกายให้พ้นความเป็นสัตตาวาส
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน เดินตามรอยเท้าพ่อหลวง
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560 แรม 10 ค่ำเดือน 10 ปีระกา ที่ราชธานีอโศก เขาถือว่าวันศุกร์ เป็นวันสุขของคนทั่วไป เพราะวันเสาร์จะได้พัก แต่ของเราอยู่ที่นี่ วันไหนก็สุข เพราะสุขของเราเกิดจากความว่าง วันไหนหากเราว่างก็มีสุขทุกขณะ พ่อครูว่าคนที่อยู่ว่างๆคนนั้นไม่ค่อยจิตว่าง คนไหนที่จิตว่างคนนั้นจะไม่ค่อยอยู่ว่างๆ
ในอินเตอร์เน็ต เขามีการทำหนังสือที่ชื่อว่าถอดรหัสกษัตริย์ผู้มองเห็นในอนาคต The Visionary ส่งมาให้ฟรีๆเลยนะ ดูเหมือนที่กทม.เขาก็แจกที่หอศิลป์ ก็พยายามดูว่าผู้จัดทำคือใคร ก็มีแต่บอกว่า ทีมงานสานต่อที่พ่อทำ ดูเหมือนหนังสือเล่มนี้ต้องการสืบสานอุดมการณ์ของในหลวง พยายามใช้ภาษาสมัยใหม่ พยายามยกเอามาวิเคราะห์ว่า ความสำเร็จของในหลวง 4600 กว่าโครงการ สำเร็จได้ด้วยอะไร เป็นหนังสือที่ทันสมัยและทำรูปเล่ม อย่างเรานี่ไม่ถึงเขาแน่ ทำแบบสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะอ่าน เขายกเรื่องประเด็นสำคัญๆ เช่น
". . .เมื่อหลายปีมาแล้ว..ตอนที่ไปสหรัฐอเมริกามีทีวีอเมริกันมาสัมภาษณ์ เขาถามว่า ในรัชกาลของท่าน ท่านต้องการอะไร...จุดหมายต้องการอะไร..อยากให้รัชกาลของท่านจารึกในประวัติศาสตร์อย่างไร ..ก็ต้องตอบเขาว่า...
"ความปรารถนาคือว่า รัชกาลนี้ขอไม่จารึกในประวัติศาสตร์..ไม่ให้มี เขาก็แปลกใจ แต่ท่านทั้งหลายคงไม่แปลกใจ เพราะอธิบายแล้วว่า...ถ้ามีความสงบ..มีความเรียบร้อยของประเทศชาติ จะไม่เป็นประวัติศาสตร์..เราไม่ต้องการประวัติศาสตร์ เวลาไหนที่มีสงคราม มีความยุ่งยากตีกันนั้นน่ะเป็นประวัติศาสตร์ ฉะนั้นที่ต้องการก็คือ..ต้องการให้เมืองไทยอยู่ไปอย่างสงบ ไม่ต้องมีอะไรโลดโผนเท่าไหร่ ไม่ต้องมีชื่อ ไม่ต้องดัง แล้วจะมีความสุข และจะยั่งยืน"
วันไหนที่เราจะดังก็ดังได้เพราะเรามีความสงบสุข
(พระราชดำรัสของสมเด็จพระภัทรมหาราช พระราชทานในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม 2523)
ก็นึกถึงที่พวกเราไปชุมนุม เราก็ทำแบบพระราชดำรัสของในหลวง การชุมนุมของกองทัพธรรมเป็นการชุมนุมที่สงบเรียบร้อยมาก ไปนั่งสมาธิล้อมทำเนียบ พวกสายฮาร์ดคอ ก็จะบอกว่ามานั่งนิ่งๆทำไม ต้องเอาหัวไปชนแก๊สน้ำตา มันถึงจะเป็นการชุมนุม เราก็อยู่ในทิศทางที่ไม่ต้องการดัง อยากให้เรียบร้อยสงบสุข
หนังสือนี้ถอดรหัสกษัตริย์ผู้มองเห็นอนาคต พ่อครูว่า สิ่งที่ในหลวงตรัสนั้นคนไทยยังเข้าไม่ถึงเท่าไหร่ ก็เป็นงานของพ่อครูอีกที่ต้องมาบอกย้ำว่า สิ่งที่ในหลวงตรัสจะเป็นอนาคตอย่างไรของประเทศไทย
พ่อครูว่า...อันนั้นจริง ที่ท่านเดินดินพูดนำไปแล้ว มันเป็นหน้าที่ของอาตมาที่จะต้องมาอธิบายสัจธรรม ในหลวงตรัสนั่นคือสัจธรรม โดยเฉพาะเป็นสัจธรรมของศาสนาพุทธ จะมีความเข้าใจจะมีความต้องการ ที่ไม่ใช่กิเลสตัณหา แต่มีเจตนามีความมุ่งหมายอยากจะให้เป็น ดังที่ในหลวงท่านได้ตรัส
คำตรัสของในหลวง ที่ท่านเดินดินอ่านมานั้น มันเป็นโลกุตรธรรม เป็นสังคมเป็นมนุษย์ ที่มีคุณธรรมคุณสมบัติที่เป็นโลกุตระ เป็นอาริยธรรมที่สูงส่ง ที่คนเรานึกไม่ออกว่านี่คือเป้าหมาย เช่นเดียวกัน ท่านก็ตรัสย่นย่อ เอาเนื้อแก่น ประเด็นที่ชัดๆ ว่า ถ้าจะบริหารประเทศนั้นจะบริหารแบบไหน ผู้ที่ได้บริหารประเทศก็น่าจะฉุกคิดและค้นคว้าว่าท่านหมายถึงอะไร แล้วจะทำอย่างไรจะเป็นเหมือนที่ในหลวงท่านได้ตรัส คือ ท่านตรัสว่าเอาแบบคนจน บริหารประเทศแบบคนจน
ซึ่ง อาตมาว่า คนที่ได้ฟังแรกๆ จะสะดุดใจ ว่า เอ๊ะท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าของประเทศ เป็นเบอร์ 1 ของประชาชนในประเทศ ก็ต้องดูแลประเทศ ดูแลประชากรของพระองค์ แล้วจะให้อยู่กันอย่างแบบคนจน มนุษย์ปุถุชนในโลกนี้ใครจะมาคิดแบบนี้ ต้องมาอยู่แบบคนจน ...ก็พวกคุณไง
ก็พวกเราจะมาจนกัน ปฏิบัติตั้งใจเป็นคนจน แต่เป็นคนจนที่มีคุณค่าเป็นคนจนที่ประเสริฐไม่เบียดเบียนใคร อยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่าประโยชน์ ไม่ใช่อยู่ในสังคมอย่างมีพิษภัยมีโทษ เป็นคนที่ ยิ่งอยู่ไปก็ยิ่งลำบาก หนักสังคม แต่เราจะเป็นคนจนที่ทำให้สังคมอยู่อย่างเป็นสุข มีอยู่มีกิน ไม่ทะเลาะวิวาท เป็นคุณสมบัติตามสาราณียธรรม 6 เพราะมีจิตที่เป็นพุทธพจน์ 7 มีสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ มีความเป็นอยู่อย่างเอกภาพ น่าบูชาเคารพ มีจิตอย่างนั้นจริงๆ
นี่คืออุดมการณ์หรืออุดมคติที่สุดยอด แล้วก็เป็นไปได้ ตามทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าท่าน พาปฏิบัติไปสู่ที่หมายคือสาราณียธรรม 6 เพราะจิตใจมีพุทธพจน์ 7 เป็นคนมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีสาธารณโภคี มีลาภธัมมิกา มีลาภโดยธรรม ทุกคนทำงานก็เอาลาภมารวมกับกองกลาง มีทิฏฐิสามัญตา มีความเห็นความเข้าใจในทิศทางตรงกัน ไปสู่ความหมดกิเลส อย่างนี้เป็นต้น ซึ่ง เป็นอุดมคติอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่มาก
ยุคนี้ ไม่ค่อยเข้าใจกัน และไม่เอามาพูดถึง หายลืมเลือนกัน ทั้งที่อยู่ในพระไตรปิฎกเป็นคำสอนพระพุทธเจ้าที่สำคัญ อาตมาเอามาพูดขึ้นในยุคนี้ ยุคก่อนๆดูเหมือนจะหายไปแล้วไม่พูดถึงสาราณียธรรมพระพุทธพจน์7นี้กันแล้ว อาตมาเห็นว่านี่คือยอดที่หมายของสังคม
ถ้าสังคมถึงสาธารณโภคีได้ มีสาราณียธรรม 6 ได้ มีสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะได้ มันก็จะมีปรากฏการณ์ มีความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ดังที่ได้เห็นและเป็นอยู่ คือ ชาวอโศกเราเป็น เรายืนยันนะ จะบอกว่าอวดอุตริมนุสธรรมนั้น นี่ประกาศเป็นมวลหมู่สังคมด้วย ความเป็นสังคมที่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า บรรลุอุตริมนุสธรรม เพราะเป็นธรรมะที่เหนือมนุษยชาติ เหนือจนกระทั่ง แม้ในสังคมไทยทุกวันนี้เขารู้และได้ยินได้ฟังอยู่ ว่าอโศกเป็นอย่างไร มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ นานมาแล้วหลายสิบปี เขารู้ เขาเห็น เขาเข้าใจ แต่เขามองเหมือนไม่ใช่คน ไม่ใช่สังคมที่เขาต้องการ เป็นมนุษย์อะไรก็ไม่รู้ ไม่สนใจไม่น่าสนใจ ไม่น่าสะดุดอะไร เห็นแต่เพียงบ้าๆบอๆไม่เหมือนกับโลกที่จะต้องไปล่าลาภยศสรรเสริญ ต้องไปรวย ไปแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเป็นสามัญ แย่งกันหัวหมุน เดือดร้อนกัน ต้องบริหารอย่างลำบากลำบน
ชาวอโศกไม่ต้องบริหารอะไรอย่างลำบากเลย ไม่ต้องมีอะไรลำบากในชาวอโศก เพราะอาตมาเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาประกาศ ใครสนใจแบบนี้ พวกเราก็มา ก็เป็นคนไทยในประเทศไทย จำนวนหนึ่ง สนใจคําที่อาตมาเอาของพระพุทธเจ้า ตามความรู้ของอาตมา ทำความเข้าใจคำกล่าวของอาตมา ว่าความรู้ของพระเจ้าเป็นแบบนี้ปฏิบัติแบบนี้ความหมายแบบนี้ปฏิบัติแล้วจะได้ผลอย่างนี้ จนกระทั่งเกิดจริง หลักการต่างๆพวกเราก็เข้าใจ แล้วเราก็ปฏิบัติตามและได้ผลอย่างที่เห็นนี้เป็นคนชาวอโศกอย่างนี้ มีพฤติกรรมอยู่ในสังคมหลายสิบปี จนเกือบ 50 ปีแล้ว
ประเทศไทยมีครูบาอาจารย์สืบสานธรรมะพระพุทธเจ้าสืบทอดถ่ายทอดกันมา เข้าใจและปฏิบัติกันในสังคมประเทศ ก็ทำกันอยู่มีสายหลักของประเทศเรียกว่ามหาเถรสมาคม หรือพุทธศาสนากระแสหลัก ก็นำพาอยู่ในศาสนาพุทธไม่ได้สูญหายไปจากประเทศไทย คนก็เป็นชาวพุทธ ไปวัดไปวาได้แล้วในสถานที่ของศาสนาที่เรียกว่าศาสนาพุทธ ก็พากันปฏิบัติพากันไปประพฤติ มี concept มีความเห็นความเข้าใจรวมรวมว่า ศาสนาพุทธจะต้องเป็นอย่างที่เถรสมาคมพาเป็น แต่อาตมาบอกวาไม่ใช่ ต้องมาเป็นอย่างชาวอโศก ที่อาตมาพาเป็น
ทางโน้นบอกว่าเป็นการกบฏต่อศาสนาพุทธ ก็เลยจัดการ จนทุกวันนี้พ้นจากภาวะที่เขาต้องจัดการแล้ว เขาจัดการเราทุกอย่าง หาเรื่อง ทางธรรมอาตมาก็ไม่หยุด ยืนยันว่าธรรมะต้องอธิบายแบบนี้ พวกเราเข้าใจก็มายืนยันตามกัน พูดกัน ฉอดๆแนวนี้อย่างนี้ คอนเซ็ปอย่างนี้แล้วมาประพฤติอย่างนี้จริงๆเป็นอย่างนี้จริงๆ
ทางด้านโน้นเขาก็เข้าใจมี concept อย่างของเขา แล้วเขาก็พากันประพฤติอย่างนั้น แล้วเขาก็เป็นกระแสหลักที่ทางรัฐทางส่วนใหญ่ของประเทศจะต้องยอมรับเคารพนับถือ ยกเป็นแบบอย่าง ยกเป็นความรู้ว่าศาสนาพุทธของประเทศต้องปฏิบัติอย่างนั้น ไม่ใช่ชาวอโศก
ทางโน้นมีอำนาจ มีทุกอย่างพร้อมจึงได้มาจัดการชาวอโศก เพื่อไม่ให้ชาวอโศกแสดงและประพฤติ อย่างที่อโศกเข้าใจ อย่างทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา อย่างนี้ไม่เอา พยายามจะปราบให้สูญสิ้นจากประเทศไทย
แต่เสร็จแล้วอาตมาก็ไม่ยอม ทางศาสนา เนื้อหาธรรมะอาตมาต้องอธิบายแบบนี้ไม่ยอมหยุดหรอก เผยแพร่ออกไปทั้งหนังสือ สื่อสาร ทุกคนก็ช่วยกันเผยแพร่อย่างนี้ อย่างไรก็ไม่หยุด
ทางโลกเขาก็ต้องเอาทางโลก มาจับ หาข้อผิดทางโลก ข้อทางธรรมเขาก็มาบอกว่าอาตมานี่ เป็นผู้ที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ประพฤติผิดธรรมวินัยเป็นอาจิณ เป็นข้อหาที่ตีขลุม ถ้าเผื่อว่า เอาธรรมะประพฤติผิดธรรมวินัยเป็นอาจิณ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง อะไรพวกนี้มาเล่นมาว่ากันจริงๆเลย อาตมาเปิดตำราพระพุทธเจ้า ใส่ กระจุยเลย เถรสมาคม
แม้แต่คำว่า ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าคนที่มาออกบวชนี้ให้ทิ้งบ้านช่องเรือนชานไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่ทางโน้นบอกว่าไม่ได้ต้องมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง นี่เป็นการขัดกับคำสอนพระพุทธเจ้าไหม
ถ้าเอาธรรมะมา ยิ่งอธิบายไปหาอภิธรรม ยิ่งสนุก ไม่ต้องเอาอะไรมาก เอาศีล กางศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลเลย เถียงไม่ได้ แล้วตัวเองเถียงไปก็เข้าเนื้อเพราะละเมิดศีลของพระพุทธเจ้าเกือบหมด เขาไม่พูดถึงจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ไปเข้าใจไปพูดกันว่าศีลคือวินัย 227 ข้อ พระวินัยไม่ใช่ศีล พระวินัยเป็นเหมือนกฎหมายอาญา เป็นรั้วของศาสนา ป้องกันเชื้อโรคเข้ามาทำลายภายใน
แต่ศีล เป็นเครื่องขัดเกลาทำลายกิเลสกายวาจาใจให้สมบูรณ์ ซึ่งมีความหมายต่างกันไปฝากคนละเรื่องเลย เข้าใจความหมาย ศีล ที่มีนิยามแต่ละอย่างก็ไม่ได้แล้ว แล้วก็เป็นความจริงที่อาตมาพูด ศาสนาพุทธทุกวันนี้ พระ เจ้า ทุกวันนี้ไม่มีศีล ถือแต่วินัย
จุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ เป็น 43 ข้อ ก็ทิ้งไปหมด จะมีเหลืออยู่ก็ศีล 5 8 10 ก็คือจุลศีล
สมณะเดินดินว่า...ดูเหมือนว่า ให้ฆราวาสถือ พระไม่เกี่ยว
พ่อครูว่า...พระไม่เกี่ยวเพราะพระมีศีล 227 ข้อแล้ว
สมณะเดินดินว่า...พระยุงกัดก็ตบ
พ่อครูว่า...พูดไปแล้วน่าสังเวชใจว่าทำไมศาสนาพุทธถึงได้เสื่อมกันอย่างนี้
วันนี้วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560 แรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีระกา บอกวันเวลาตามเรื่อง ต่อจากนั้นก็เตรียมมา วันนี้ตั้งใจจะเอาบทความมาอ่าน และจะอธิบายธรรมะจาก sms เป็นส่วนใหญ่
มาอ่าน บทความสามบท…
แม่ปูหนี ..คอลัมน์ ถูกทุกข้อ ของคุณอัตถ์ อัตนัย…..
พ่อครูว่า...ที่เป็นได้เพราะคณะพวกเราไปประท้วง ทั้งกปปส. พธม. กองทัพธรรม ที่ไปนี้ไม่มีข้อหาที่ประท้วงอย่างรุนแรงหรอก มีแต่พวกอื่นมาสอดแทรกเอาอาวุธมา แต่คณะจริงของพธม. กองทัพธรรม กปปส. เป็นการชุมนุมด้วยความสงบไม่มีอาวุธถูกต้องตามกฎหมาย จึงประท้วงกันได้นาน และได้ประสิทธิภาพ กำลังของการเมือง เราไปประท้วงนั้นประท้วงอย่างไร
ไปประท้วงอย่างครบเครื่องปักหลักกันเป็นเดือนเป็นปี ตั้งโรงครัวตั้งที่อยู่กันเป็นเดือนเป็นปี แล้วก็ประชาสัมพันธ์ แล้วก็ประกาศแล้วก็พูดบรรยายให้ผู้รู้ มาบรรยาย นักการเมืองไม่ค่อยมาเท่าไหร่ มีพวกฝ่ายค้านบ้าง ฝ่ายรัฐบาลไม่มาเลยเพราะเราไปประท้วงเขา
เสร็จแล้วพวกนี้ก็มารวน เมื่อประท้วงกันอยู่นาน แล้วก็บรรยาย โดยมีผู้รู้นักวิชาการ นักการเมืองฝ่ายค้าน มาประท้วง รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลแม่ปูนี่แหละ ประกาศให้ประชาชนมาร่วมกันเป็นปี ประชาชน เอาปรอทอุดหูไม่ใช่แค่สำลี เอาปรอทอุดหูก็ได้ยิน ประกาศไปว่าเราประท้วงเพราะอะไร มันไม่ถูกไม่ดีอย่างไรที่เขาทำอยู่ จึงซึมซับกันเข้าไป การประท้วงจึงทำให้ประชาชนรับรู้ว่าคณะนี้ผิด มีแต่พวกแดงที่หลงงมงายเข้าเส้นแล้วก็ไม่ยอม
ประชาชนที่ไม่ใช่อย่างนั้นก็จะรับ ซับซาบไม่มากก็น้อยว่าอันนี้ผิด ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจแต่ไม่ออกมาโวยวายเพราะรักสงบ ที่อยู่กับฝ่ายทักษิณฝ่ายแดงฝ่ายแม่ปูมีอยู่ไม่เท่าไหร่ มาร้องแรกแหกระเชอ ตีปี๊บเลยเสียงดัง แต่ประชาชนส่วนใหญ่นั้นเงียบสงบเห็นได้ว่าพลเอกประยุทธ์ปฏิวัติก็ดำเนินไปอย่างเรียบร้อย ถ้าประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจแล้ว มีแต่จะบอกว่าให้ดำเนินไปด้วยไม่ต้องเลือกตั้งหรอก พวกตี โหวกเหวกจะให้เลือกตั้งนั้นมีอยู่ไม่เท่าไหร่หรอก มันแบ่งขั้วกันชัดเจนแล้ว พวกที่ทำมาหากินก็ไม่ว่าอะไรหรอก พวกที่มีปัญหาพวกนี้ จึงเป็นพวกที่มีความเข้าใจผิด มีความโง่ในทางการเมือง เขาเรียกตัวเองว่าเป็นพวกประชาธิปไตย เขาเรียกพวกที่บริหารประเทศขณะนี้ คณะคสช.เป็นพวกปฏิวัติ เป็นพวกทำร้ายประชาธิปไตย เขาก็เอาประเด็นตื้นๆมาประกาศมาพูด โดยไม่ได้รู้เนื้อหาสาระของความเป็นประชาธิปไตยอะไรหรอก รู้แต่แค่ ต้องมีการเลือกตั้ง ถ้ามายึดอำนาจอย่างนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย เขามีความรู้ประชาธิปไตยแค่ตื้นๆอย่างนี้
สรุปแล้ว ที่อาตมาแวะออกมานี่ เพื่อจะบอกว่า ประเทศไทยในช่วง รัฐบาลทักษิณ มาจนถึงท่านประยุทธ์นี้ เป็นการแสดงตัวอย่างของความเป็นประชาธิปไตยที่งามที่สุด ถ้าเป็นที่อื่น ยิงกันโป้งป้าง เป็นการจลาจลไปแล้วแต่นี่สงบดี นี่ก็ทยอยจับเข้าคุกไป หรือไม่ก็หนีไปต่างประเทศ เช่นเจ้าโกตี๋ หรือออกไปหลายคนแล้ว ถ้าอยู่โดนจับ สรุปแล้วไม่มีอะไร ขณะนี้บ้านเมืองเรียบร้อย แต่ตัวไม่เรียบร้อยตัวร้ายก็จะรวนตลอด
อ่านบทความ แม่ปูหนีต่อ….นางยิ่งลักษณ์ตั้งให้นายนิวัฒน์ธำรงค์….
อ่านอีกบทความ จาก ผู้จัดการ บอกว่า ฆ่าคนดี สังเวยอลัชชี ของ คุณสุนันท์ ศรีจันทรา
แม้คนในรัฐบาลจะดาหน้าออกมาแก้ต่างข้อครหา คำสั่งเด้งพ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อย่างไร แต่ไม่อาจลบล้างข้อสงสัยในเบื้องหน้าเบื้องหลังสังคมการโยกย้ายครั้งนี้ไปได้
สังคมปักใจเชื่อไปแล้วว่า การสอบสวนการทุจริตเงินอุดหนุนวัด ซึ่งกำลังรุกคืบเข้าไปใกล้ตัวพระชั้นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกรรมการเถรสมาคม เป็นชนวนเหตุสำคัญในการปลดนายพงศ์ธร
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้พูดถึงเบื้องหลังการโยกย้ายพ.ต.ท.พงศ์พรโดยตรง แต่พูดถึงการแต่งตั้งนายมานัส ทารัตน์ใจขึ้นมารับตำแหน่งแทน
นายออมสินระบุว่า นายมานัสมีความประนีประนอม และน่าจะทำงานกับคณะสงฆ์ได้ดี และไม่น่าจะเกิดปัญหาทำงานกับคณะสงฆ์ซ้ำอีก
การรับประกันว่า ผอ.พศ.คนใหม่ เป็นคนประนีประนอม และไม่น่าจะเกิดปัญหาการทำงานกับคณะสงฆ์ แสดงว่า ผอ.พศ.คนเก่า เป็นคนไม่ยอมประนีประนอม จึงเกิดปัญหาการทำงานกับคณะสงฆ์ จนถูกเขี่ยให้พ้นทาง เพียงเพื่อให้พระพอใจ จะได้ไม่วุ่นวายกับรัฐบาลใช่หรือไม่
ถ้าพ.ต.ท.พงศ์พรเป็นคนไม่ประนีประนอมจริง และร่วมงานกับคณะสงฆ์ไม่ได้ คำถามที่รัฐบาลจะต้องให้คำตอบคือ
ทำไมพ.ต.ท.พงศ์พรจึงไม่ยอมอ่อนข้อให้พระ ทำไมคณะสงฆ์จึงไม่พอใจการทำงานของ ผอ.พศ.คนเก่า และคณะสงฆ์ชุดไหนที่ออกมาต่อต้าน
เป็นพวกบรรดาเจ้าคุณที่ฝักใฝ่การเมืองหรือไม่ เป็นพระชั้นผู้ใหญ่จีวรแดงที่ทำตัวเป็นลูกสมุนระบอบทักษิณหรือไม่
ถ้าการต่อต้านพ.ต.ท.พงศ์พร เกิดจากการทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่ละเว้นพระที่ละโมบ ไม่ยอมปล่อยให้พระที่ร่วมทุจริตเงินอุดหนุนวัดลอยนวล ไม่ยอมก้มหัวให้พระผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยกิเลส และดำเนินคดีโดยไม่ละเว้น รัฐบาลต้องปกป้องพ.ต.ท.พงศ์พร
ต้องสนับสนุนให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป เพื่อชำระล้างวงการสงฆ์ให้สะอาด ไม่ปล่อยให้พวกอลัชชีทำให้พุทธศาสนิกชนเสื่อมความศรัทธาในพระ
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน ติคนที่ควรติ ชมคนที่ควรชม
การโยกย้ายพ.ต.ท.พงศ์พรกำลังถูกมองว่า เป็นการ “ฆ่าตัดตอน” เพื่อให้พระชั้นผู้ใหญ่พอใจ เพื่อให้คณะสงฆ์อยู่ในความสงบ ไม่ออกมาข่มขู่กดดันรัฐบาล ไม่ก่อหวอดเคลื่อนไหวก่อม็อบพระประท้วง
การสรรหา ผอ.พศ.คนใหม่ รัฐบาลคงกำหนดคุณสมบัติไว้แล้ว จะต้องเป็นคนประนีประนอม ยอมโอนอ่อนผ่อนปรน และเป็นบุคคลที่ผ่านความเห็นชอบจากบรรดาสงฆ์ผู้กว้างขวาง
คดีเงินทอนวัดที่พ.ต.ท.พงศ์ธรกำลังสาวลึก และใกล้ตัวพระชั้นผู้ใหญ่เข้าไปทุกที เป็นที่คาดหมายว่า อาจถูกปิดฉากลง พร้อมกับ ผอ.พศ.คนเก่า โดยที่บรรดาพระกิเลสหนาที่ร่วมโกงเงินทอนวัดคงจะถูกปล่อยให้ลอยนวลต่อไป
ส่วนรัฐบาลอาจรู้สึกว่า การนำพ.ต.ท.พงศ์พรไปบูชายันต์ ทำให้แก้ปัญหาไปได้อีกเปราะ ไม่ต้องกังวลกับการเปิดศึกกับพระ แม้จะเป็นพระเลวที่โกงเงินภาษีของประชาชนก็ตาม ไม่ต้องพะวงม็อบโล้นห่มเหลือง
ศาสนาจะเสื่อม พระจะหากินอย่างไร จะโกงเงินหลวง จะประพฤติผิดศีลผิดธรรม รัฐบาลไม่ต้องใส่ใจ ขอเพียงอย่าก่อม็อบสร้างความวุ่นวายให้รัฐบาลเป็นพอ
เพียงเพื่อป้องกันความขัดแย้งกับพระ เพียงเพราะไม่ต้องการมีปัญหากับพระ และเพียงเพราะต้องการสงบศึกกับพระชั้นผู้ใหญ่เพียงบางกลุ่ม รัฐบาลพร้อมจะทำร้ายจิตใจข้าราชการที่มีผลงาน
การเด้งพ.ต.ท.พงศ์ธรเป็นการตอกย้ำว่า แผ่นดินนี้แทบไม่เหลือที่ให้คนดีได้ยืนแล้ว และต้องหลีกทางให้คนโกนหัวห่มผ้าเหลือง ที่สวมคราบความเป็นพระทำมาหากินในทุกรูปแบบ แม้แต่โกงเงินหลวง
รัฐบาลคงเลือกแล้ว เลือกเอาใจพวกอลัชชีมากกว่าปกป้องข้าราชการดีๆ
พ่อครูว่า...บทความนี้เป็นบทความที่ชี้บ่งปรากฏการณ์ในประเทศไทยขณะนี้ อาตมาเกิดในยุคนี้ ขึ้นมาทำงานในสิ่งที่มันเป็นสัจธรรม ทำงานที่ขอยืนยันว่าอยู่กับความเป็นสัจธรรม ไม่ว่าจะเป็นการเมืองการศาสนา เป็นเรื่องของมนุษยชาติสังคมประเทศประชาชนทั้งนั้น อาตมาก็ต้องยืนหยัดยืนยัน ไม่ว่าจะการศาสนา การธรรมะ เรื่องของประชาชนก็ตาม อาตมาก็ต้องยืนยัน ความถูกต้องดีงาม จึงต้องพยายามบอกในสิ่งที่ต้องตำหนิ นิคคัณเห นิคหารหัง อะไรที่ควรยกย่องก็ยกย่อง ปัคคัณเห ปัคหารหัง มีสิ่งที่ควรยกย่องอย่างเช่นพลเอกประยุทธ์ ที่ทำอยู่ ก็พูดถึงเป็นคราวๆไป แต่คนทำดีมีน้อย แต่พวกทำชั่วตีฆ้องร้องป่าวดัง ทำให้หนวกหูอยู่ ก็เลยรวนในสังคม นี่ก็คือ เรื่องราวที่เกิดในสังคม
อาตมาออกมา ทำงานด้านนี้ตั้งแต่อายุ 36 ปี และจะทำต่อไปอย่างยาวนานที่สุดเท่าที่จะรักษาขันธ์ไว้ได้ ยังพอใจที่จะทำงานนี้ให้แก่มวลมนุษยชาติ ไม่ได้รายได้ไม่ได้เงินทอง ดีไม่ดีถูกพวกที่เขาไม่ชอบใจด่าว่าเกลียดขี้หน้า อาตมาก็ไม่สนหรอก ใครจะเกลียดขี้หน้า หรือรักขี้หน้าก็แล้วแต่ เพราะอาตมาไม่ได้ทำเพื่อให้คนรักหรือชัง แต่ทำเพื่อให้สัจธรรมนั้นได้ปรากฏ ไม่ได้มีหน้าที่ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญ เพื่อจะได้ประกาศว่าตัวเองดีตัวเองเก่งด้วย จึงไม่รักษามาด ไม่ดราม่า ไม่แม้แต่จะแสดงออกไปเป็นท่าทาง(นัจจะ) สำเนียงสุ้มเสียง(คีตะ) เป็นท่าทางลีลาภาษาคำพูดที่ปรุงแต่งให้สื่อได้ความหมายชัดเจนที่สุด เจตนาอย่างนั้นอย่างเดียว
ใครจะหาว่าอาตมาไม่สุภาพ ก็ว่าถูกทั้งนั้น ขออภัย อาตมามีความเห็นว่า น่าด่าก็เลยต้องทำ เป็นเรื่องของความหวังดีปรารถนาดีที่อาตมามีอย่างนั้นจริงๆต่อมวลมนุษยชาติต่อประเทศไทย ที่ทำอยู่นี่ ใครจะแปลความหมายแปลเจตนาอะไรของรัฐมาเป็นอย่างอื่นก็แล้วแต่
สมณะเดินดินว่า...อย่างชาวบ้านเขาอยากจะด่าก็ด่าไป แต่พ่อครูเห็นว่าพ่อครูด่าเพราะมันน่าด่า แต่ชาวบ้านก็ด่าเพราะอยากจะด่าเหมือนกัน แล้วต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า….ความแตกต่างประเด็นแรกคือ อาตมานี่ด่าถาวร ส่วนพวกเขา ด่าเป็นครั้งคราว แต่อาตมาเอาชีวิตไม่ทำมาหากินออกมาทำงานด่าเป็นหลัก เทศน์ภาษาไทยแปลว่าด่า ใครถูกเทศน์คนนั้นก็ถูกด่า ภาษาไทยที่ว่า วันนี้ถูกแม่ถูกพ่อเทศน์ให้ ก็คือถูกด่า อาตมาก็เหมือนพ่อแม่ด่าลูก อาตมาพูดได้เพราะอายุ 84 ปีแล้วด่าลูกเต้า เหลนโหลน
สมณะเดินดินว่า...ผมไม่กล้า ยังกลัวจะตายไม่สวย
พ่อครูว่า..เรื่องนี้เป็นอจินไตย จะตายสวยหรือไม่สวยก็เป็นอจินไตย ทิ้งไว้เท่านี้ อจินไตย อาตมาไม่กลัวตาย จะเห็นได้ ไปพาประท้วงก็ไม่กลัว ถึงเวลาควรจะทำก็ทำ หลายคนก็บอกว่า ไม่น่าเสี่ยง
SMS วันที่ 13 กันยายน 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
_7680กราบนมัสการพ่อครู ขอให้พ่อครูช่วยอธิบายหน่อยครับว่า ผู้ที่มีครอบครัว อยู่กับคู่ครอง กับลูก จะเจริญเป็นอาริยะสูงสุดได้ถึงขั้นไหนครับ?
พ่อครูว่า...ถ้ายังอยู่อย่างนั้นแม้แต่อนาคามีก็ไม่ถึงหรอก อรหันต์ไม่ถึงหรอกหากออกมาก็จะหมดกามได้ไปถึงที่สุดได้ ถ้าอยู่อย่างนั้นได้อย่างเก่งก็โสดาฯ สกิทาฯ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กายหมายถึงอะไร
_2166ขอนิมนต์หลวงพ่อ อธิบายคำว่า "กาย" จ๊ะๆเจ๋งๆ อีกสักครั้งเถอะครับ เพราะมันยังไม่ชัด มันยังคาใจผมอยู่ ก็ได้ฟังแต่หลวงพ่อองค์เดียวเท่านั้นแหละครับในโลกที่อธิบายแบบนี้ และกายกับร่างกาย มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ ขอเนื้อๆเลยนะครับหลวงพ่อ ?
พ่อครูว่า...คำว่า กาย เปิดตำราอธิบายดีกว่า…
อธิบายจากหลักของพระพุทธเจ้าที่ตรัสเรื่องกาย อธิบายนำนิดหน่อยว่า กายนี้คือองค์ประกอบของรูปกับนาม กายต้องมีจิต มีมโน มีวิญญาณอยู่ร่วมตลอดจึงจะชื่อว่ากาย มีเหลือแต่ดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป ถ้ากายหมายถึงมีแต่ดินน้ำไฟลม มีแต่มหาภูตรูป ไม่มีจิต ไม่มีมโน ไม่มีวิญญาณ เข้าไปร่วมเป็นองค์ประชุมองค์ประกอบด้วย อันนั้นไม่ใช่กาย
คำว่ากายเมื่อเป็นภาษาไทยแล้ว ไม่เป็นภาษาธรรม ภาษาทางศาสนา คนก็ยังไม่เข้าใจ ไปหมายว่ากายนี้หมายถึงดินน้ำไฟลม เป็นภาษาไทยหมายถึงกองประชุมของมวลดินน้ำไฟลมประกอบกัน ไม่เกี่ยวกับใจไม่เกี่ยวกับจิต ไม่เกี่ยวกับมโนวิญญาณเลย คนไทยโดยทั่วไปทั้งหมด แม้แต่วงการศาสนาก็เข้าใจเช่นนี้กันไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นจึงผิดเพี้ยนเลย ศาสนาพุทธเสื่อมถ้าเข้าใจความหมายคำว่ากายเป็นเช่นนี้ก็จบเห่ ปฏิบัติธรรมะไม่บรรลุธรรม ปฏิบัติธรรมะอย่างไรก็ไม่บรรลุธรรมออกไปเข้าใจกายว่าหมายถึงอย่างนี้
อธิบายตามหลักพระพุทธเจ้าเลย
กายนี้พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ระบุไว้ว่า ถ้าปฏิบัติธรรมต้องเรียนรู้ความเป็นสัตว์ คนทุกคนเป็นสัตว์ แล้วก็จะอยู่ในความเป็นสัตว์ เรียกว่าสัตตาวาส จะต้องล้างความเป็นสัตว์ออกจากตัวเอง นี่คือจุดหมายของศาสนาพุทธเลย เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจความเป็นสัตว์ ซึ่งจะต้องรู้อะไร ความเป็นสัตว์ก็คือสัตตาวาส 9 หรือวิญญาณฐิติ 7 ท่านตรัสไว้อย่างนี้ กายก็คือรูปนาม ธรรมะสอง หรือองค์ประชุมของ จิต มโน วิญญาณ ที่คุณจะต้องรู้ คุณจะต้องมี นามธรรม มีสัญญาเป็นต้น กำหนดรู้ อาการของ รูป-นาม ตั้งแต่รูปภายนอก ดินน้ำไฟลม จนกระทั่งมาถึงพืชมาถึงสัตว์มาถึงตัวเราที่ประชุมตัวเป็นร่างกาย แล้วจิตของเราต้องอ่านพวกนี้ รู้แล้วแบ่งแยกให้ถูก ดินน้ำไฟลม เป็นมหาภูตรูปที่ไม่มีวิญญาณไปร่วม
จนรูปอีก 24 ปสาทรูปโคจรรูป ….ไปจนจบ
ต้องเรียนรู้
สัญญามีหน้าที่กำหนดรู้ และจดจำ เป็นตัวหน้าที่กำหนดรู้อันนั้นอันนี้ กับจำ
1. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า
2. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น .
3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน เช่นพวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) .
4. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) .
5. สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์ เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)
6. สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)
7. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง)
8. สัตว์บางพวก ..อากิญจัญญายตนะ (ดับไม่ให้มีอะไร)
9. สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ)
(ววัตถุสัญญา พตปฎ. ล.23 ข.228) และ 11/353
สัตว์นี้หมายถึงจิตวิญญาณที่มีความเป็นสัตว์เรียกว่าสัตว์โอปปาติกะ ไม่ใช่สัตว์ที่เป็นข้างนอกตัวตนบุคคลเราเขา อันนี้หมายถึงสัตว์โอปปาติกะ หมายถึงสัตว์ทางจิตวิญญาณ 9 อย่าง
แล้วก็มีวิญญาณฐิติ 7 เป็นวิญญาณที่ตั้งอยู่ 7 อย่าง
พ่อครูว่า...เพราะไม่เข้าใจความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณเหล่านี้ จึงไม่ได้ปฏิบัติลดละสัตว์ในจิตวิญญาณ ผู้ยึดถือ ทำจิตให้เป็นแบบฤาษี เป็นอสัญญีสัตว์ ก็ไม่รับรู้อะไรได้
ถ้านั่งหลับตาไปถึง เนวสัญญานาสัญญายตนภพ ถือเป็นสัตว์เต็มบ้องเลย ที่ลึกที่สุด ในความเป็นสัตว์ที่ไม่เหลือวิญญาณ ในวิญญาณฐิติ 7 จึงไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงไม่เรียกว่ามีวิญญาณ ทั้ง 7 ข้อนี้เหมือนสัตตาวาส 9 แต่ไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะกับอสัญญีสัตว์
แต่ที่จริงสองอย่างนี้ก็คือสัตว์ แต่ศาสนาพุทธเรียนวิญญาณฐิติ 7 ต้องให้วิญญาณรับรู้ จะไปวุ่นวายกับการดับความรับรู้ในลักษณะของอสัญญีสัตว์ พอนั่งหลับตาแล้วชำนาญแล้ว อาตมานั่งหลับตามานัก พอเริ่มนั่งหลับตา ไม่ต้องผ่านชั้น 1 2 3 4 ก็ลัดเข้าหาดับเลย อสัญญีเลยหรือเนวสัญญานาสัญญายตนะเลย ที่เป็นอรูปตัวปลายสุดท้าย ไม่ต้องพิรี้พิไรกับฌาน 1 2 3 4 เลย อย่างนี้เป็นต้น
อาตมานี่ ปฏิบัติประพฤติเรียนรู้ทั้งในทางที่ผิดๆมาก่อน ทำกับโลกเขามาจนกระทั่ง คล้ายแบบที่พระพุทธเจ้าทำ อาตมามาทำงานศาสนาจะออกมาทำงานทางศาสนา ก็ออกมาดูว่าโลกเขาทำอย่างนี้หนอ ภูมิตนเองยังไม่ขึ้น เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่ออกบวชตอนแรกก็ เขาพาเข้าป่า นั่งหลับตาทำสมาธิ ผิดทางเหมือนกัน ตอนนั้นไม่มีศาสนาพุทธเลย เหมือนกัน ตอนนี้ เนื้อหาศาสนาพุทธไม่มีเลยมีแต่เนื้อหาที่เป็นตัวหนังสือ ในพระไตรปิฎก แต่ในยุคพระพุทธเจ้าไม่มีศาสนาพุทธเลยท่านก็มาประกาศศาสนาพุทธ มาถึง 2600 ปีแล้ว ก็เหมือนกัน ศาสนาพุทธกลับไปเลอะเทอะเหมือนเดิม เหมือนกับที่มันไม่ใช่ เป็นศาสนาที่ รวมเละมาเป็นศาสนาของตนไม่ใช่เนื้อแท้ศาสนาพุทธ แต่เหลือเศษในบัญญัติ ก็ต้องขอบคุณผู้ที่รักษาภาษาของศาสนาไว้รักษาพระไตรปิฎกรักษาความหมายของพยัญชนะ มีพจนานุกรมบาลี- ไทยอะไรต่างๆไว้ อันนี้เป็นประโยชน์มากเลย อาตมาก็ได้อาศัยพวกนี้ ถ้าจะเอาที่ท่านบรรยายความเห็นเองนั้นท่านไปแล้ว ทิฏฐิของท่านไปนอกแล้ว แม้จะเอาบัญญัติที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้ามาขยายความ ก็ขยายผิดออกไปหาทางโน้น
ไม่ต้องเอาคำว่าอะไร เอาคำว่าสมาธิก็ไปแล้ว เอาคำว่ากายก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้เลย
วิโมกข์ 8 ก็พัวพันกับวิญญาณฐิติ เพราะจะรู้จักความเป็นสัตว์ความเป็นวิญญาณต้องมีวิโมกข์ ต้องปฏิบัติวิโมกข์ 8 และปฏิบัติด้วยกาย ท่านยืนยันเลย
กายคือจิตวิญญาณ เรื่องนี้อาตมาเห็นใจ ที่เขาเข้าใจกันไม่ได้เรื่องสภาวะ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งมีกายสักขี ถ้าไปถึงกายสักขีแล้ว มันเป็นขั้นตอนที่ถือว่าอรหันต์ ถ้ามิจฉาทิฐิมาตั้งแต่ต้น อันนี้ เรียนกันใน ทักขิเนยบุคคล 7
แม้จะเป็นกายสักขี เห็นมีรูปธรรม คุณจะยืนยันว่าเป็นจิต แต่ที่จริงเข้าใจสับกัน เขาเข้าใจว่า กายเป็นรูป แต่ที่จริงกายเป็นนาม เขาก็ตั้งใจปฏิบัตินาม ให้เข้าใจว่าฉันบรรลุสูงสุด พวกที่มิจฉาทิฐิจะนั่งหลับตาทำสมาธิทำได้เหมือนเขาได้บรรลุมีกายสักขี อย่างสายอาจารย์มั่น สายธรรมกาย อธิบายได้ยากหน่อยเป็นพวกตาบอดตาใส ลวงโลก
สายนั่งหลับตาจะนั่งหลับตาทำนิโรธวิมุตติเมื่อนั่งหลับตาไปก็จะได้ แล้วบอกว่าเป็นอรหันต์ อาจารย์มั่นเป็นพระอรหันต์ มหาบัวเป็นอรหันต์ เพราะนั่งหลับตาเป็นกายสักขี
1.สัทธานุสารี คือพวกตามหาสัมมาทิฏฐิ สายเจโต
2.ธัมมานุสารีคือพวกตามหาธรรมะสัมมาทิฏฐิสายปัญญา
3.สัทธาวิมุติ
4.ทิฏฐิปัตตะ
5.กายสักขี
ห้าอย่างนี้มิจฉาทิฏฐิ ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่จะสัมมาทิฏฐิจะต้องเข้าใจคำว่ากาย พออันที่กายสักขี ท่านตบท้ายเลยว่า ผู้จะบรรลุขั้นที่ 6 เรียกว่าปัญญาวิมุติ ผู้ปัญญาวิมุติ ถ้าสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติถูกทางจนถึงปัญญาวิมุติ อาสวะทุกอย่างสิ้น จึงนับเป็นพระอรหันต์ได้
ส่วน มิจฉาทิฏฐิ 5 อย่างนี้ กายสักขี ท่านถึงจำกัดว่า ถ้าคุณจะปฏิบัติแล้ว กายสักขีนี่ จะต้องมีวิโมกข์ 8 จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องเข้าใจกายมาตั้งแต่ต้น ทั้งความเป็นวิญญาณฐิติ 7 และสัตตาวาส 9 คำว่ากายจึงเป็นเรื่องสำคัญในการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งของศาสนาพุทธ
หากเข้าใจกายผิด ไม่มีจิตวิญญาณก็จบเห่แล้ว ในศาสนาพุทธบอกว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
ปัญญาวิมุติ ข้อที่ 6 ท่านก็บอกบาลีว่า เนว ท่านก็แปลกันว่าไม่มีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย นี่คือมิจฉาทิฏฐิ ถ้าสัมมาทิฏฐิแล้วจะสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายมาตั้งแต่ต้น
มาถึงปัญญาวิมุติ บุคคลข้อที่ 6 ไม่ต้องพูดคำว่าสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะสัมมาทิฎฐิมาตั้งแต่ต้น อาสวะทั้งหมดสิ้น
ส่วนกายสักขี อาสวะบางอย่างดับได้ ก็ให้รู้ว่าอาสวะบางอย่างดับได้ อาจเป็นคนที่มีบารมีนั่งสะกดจิตก็เลยเข้าล็อคเดิม ก็ได้บางอย่าง ส่วนคนไม่มีเริ่มต้นมาเลยจะปฏิบัติ ไม่เคยดับอาสวะได้สักอันเลย นั่งหลับตาให้ตายก็ไม่มีทางดับอาสวะได้
กามที่หยาบเรียกว่าอบาย ต้องดับมาตั้งแต่ต้นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย จนเหลือรูป อรูป ทำโอฬาริกอัตตาก่อน แล้วทำมโนมยอัตตา ทำอรูปอัตตาตามลำดับ แต่นี่ทำไม่เป็นลำดับ
จะปฏิบัติกายคตาสติ กายปัสสัทธิ กายกลิ กายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา ในพระบาลีจะมีคำว่ากายอยู่เยอะ แต่ถ้าเข้าใจคำว่ากายผิดก็ปฏิบัติผิด เช่นคำว่ากายคตาสติ คุณก็เข้าใจกายคือดินน้ำไฟลม หรือรูปภายนอกก็ได้แต่ปฏิบัติ ก้าวหนอ ย่างหนอ
กายปัสสัทธิ กายต้องสงบ ก็เข้าใจผิดว่ากายคือ แขนขาดินน้ำไฟลมอวัยวะน้อยใหญ่ ต้องสงบ ให้มีแต่จิตเคลื่อนไหว ทำให้กายปัสสัทธิคือหายใจเข้าหายใจออกได้อย่างเดียวอันอื่นนิ่งหมด นอกนั้นไม่ให้กระดุกกระดิก เรียกว่ากายปัสสัทธิ
ซึ่ง กายปัสสัทธินั้นหมายเอาทั้งรูปและนาม แล้วเรียนรู้ จิตมโนวิญญาณ พระพุทธเจ้าบอกว่า กายภายนอกสงบไม่ยากหรอก แต่กายที่เป็นจิตมโนวิญญาณนี้ยาก จะทำให้เบื่อหน่ายในกายภายนอกนั้นง่าย แต่จะเบื่อหน่ายในกายจิตมโนวิญญาณนี้ยาก ท่านก็ตรัส ยืนยันไว้ชัดเจน
ประเด็นที่สองถามว่า กายกับร่างกาย มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
กาย กับร่างกาย มีความเหมือนกันทุกอย่าง แต่มีความไม่เหมือนตรงคนไทยมีมิจฉาทิฐิ ไปเรียกร่างกายว่ากาย ร่างคือสรีระ เอาคำว่าร่างกายไปใส่คำว่ากาย แล้วหมายว่า ร่างกายคือร่างเท่านั้นไม่เกี่ยวกับใจ
กายก็แปลว่ารูปนาม ร่างกายก็คือรูปนาม แต่คุณดันเอาความคิดผิดๆ เอาคำว่าร่างไปกำกับ เหมือนคำว่า สรีรกาย ก็คือกายที่หมายเอาแต่ร่างภายนอก คำว่า กายก็หมายถึงร่างกาย ให้ชัดเข้าไปอีก กาย กับร่างกาย ก็คือมิจฉาทิฏฐิเอาคำว่าร่างไปใส่คำว่ากาย ทำให้กาย หมายถึงแค่ดินน้ำไฟลม เท่านั้น ถ้าเข้าใจคำว่ากายคำเดียวนี้ผิดปฏิบัติธรรมไม่ได้ผลเลย วิญญาณฐิติ สัตตาวาสก็ไม่รู้เรื่อง กาย รูปนามก็ไม่รู้เรื่อง ธรรมะสองก็ไม่รู้เรื่อง
คุณจะปฏิบัติธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 จะทำได้ที่ไหน จะพิจารณา ธรรมะสอง กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ซ้อนกันเข้าไป นี่คือการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องมีธรรมะ 2 มีผัสสะ การนั่งหลับตาไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธไม่มีกรรมฐาน แต่ลงส้วมหมดแล้ว ไม่มีกรรมฐาน แต่เป็นฐานส้วมไปแล้ว ภาษาอีสาน ส้วมแปลว่าห้องนอน ฐานหรือเว็จแปลว่าส้วม กรรมฐานของศาสนาพุทธมีอย่างเดียวคือเวทนา ในพรหมชาลสูตรบอกไว้ แต่ไปไกลเอากรรมฐาน 40 กสิณ 40 เลอะไปหมด ทั้งที่จะบรรลุธรรมต้องเรียนรู้เวทนา 108 จะรู้จักเวทนาในเวทนาตรง เคหสิตเวทนา18 แล้วทำให้เป็นเนกขัมสิตเวทนา108 ให้ได้ทำให้เกิด เวทนาเดียวคือเนกขัมสิตอุเบกขา แต่โดยธรรมชาติก็มีอุเบกขาพักยก ไม่ทุกข์ไม่สุขจิตมันเฉยๆเป็นครั้งคราวโดยธรรมชาติ มันก็มีเป็นธรรมชาติ ก็ต้องรู้ว่ามีนัยต่างกัน เนกขัมสิตอุเบกขา กับเคหสิตอุเบกขาเวทนาต่างกัน เนกขัมสิตอุเบกขาเป็นฐานนิพพานเลย แต่เคหสิตอุเบกขาเวทนา เป็นแบบของปุถุชนไม่ได้เป็นอริยะเลย
สรุปแล้วคนไทยเอาคำว่ากายมาปู้ยี่ปู้ยำ เอาคำว่าร่างนี้ไปใส่คำว่าร่างกาย แล้วก็หมายถึงแต่อย่างเดียวกัน ลากเอาคำว่ากายนี้ไปเป็นความหมายแบบร่าง คนตาย คนตายนี้ จิตวิญญาณออกหมดเหลือแต่ร่างไม่มีกาย ซากศพนี้ไม่ใช่กายมนุษย์ กายหมดไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจกันแล้ว
ขออธิบายซ้อนลึกเข้าไปอีก คนตายที่ไม่เน่า
คนตายที่ไม่เน่าแล้วก็ไปหลงว่าคนตายที่ไม่เน่า ผมก็ยาวได้ เล็บมือยาวได้ แต่ที่จะเห็นสภาพลมหายใจ การเคลื่อนภายนอกหมดแล้ว เหลือแต่พีชธาตุ พลังงานของพีชะ แต่จิตนิยามหมดแล้ว พลังงานตกลงมาเหลือแต่พีชธาตุ
คนตายที่มีโมเมนตั้มของพีชะเหลือก็ยังทำงานอยู่ ก็เอาธาตุมาเลี้ยงร่างกาย เหมือนมนุษย์พืช ไม่มีเวทนา เล็บก็ยังยาวได้ผมก็ยังยาวได้ ถ้าหมดพีชธาตุก็เหลืออุตุ ถ้ายังมีพีชะธาตุก็ยังอยู่ เหมือนกับมนุษย์พืชที่เข้าไอซียูแล้วเขาก็ให้อาหารเลี้ยงไว้ ธาตุวิญญาณนี้ไม่ขึ้นมาอีกแล้ว คนนี้ ถ้าอยู่ในเครื่องอะไรที่เขาให้ เดี๋ยวนี้ทางการแพทย์นั้นเก่ง แล้วก็ให้อาหารอยู่ ก็เลี้ยงมนุษย์พืชนี้ไปอีกนานเท่าที่มันจะรักษาสภาพได้ สุดท้ายมันก็ต้องตาย เพราะมันไม่ครบวงจรก็มีแต่เสื่อมก็แค่ชะลอได้
คนกลับไปบูชาเคารพศพที่ตายแล้วไม่เน่า แสดงความยึดมั่นถือมั่นจิตไม่ปล่อยวาง แม้จะตายแล้ว ก็ไม่ยอมให้พลังงานชีวะหยุด แม้พลังงานตก เหลือพีชนิยาม แม้พลังงานต่ำกว่าพีชนิยามก็ยังยึดอยู่ ร่างกายก็สดอยู่ แต่ก็เสื่อมลงเรื่อยๆ แต่ถ้าให้อาหารอยู่ก็ยังอยู่ ถ้าวงจรของมันยังไม่ขาดไป มีแต่สัญญา สังขารทำงานเป็นโมเมนตัม ท่านเรียกว่ามนุษย์พืชไม่ผิดหรอก
ถ้าเป็นสมัยก่อนตายไปนานแล้ว ไม่มีเครื่องช่วยเหล่านี้ แต่สมัยนี้วิทยาศาสตร์การแพทย์เก่งก็เลยทรมานตายก็ไม่ได้สักที แต่ถ้าไม่มีเวทนาก็ไม่ค่อยทรมาน แต่ก็อยู่อย่างนั้นเป็นภาระให้คนที่ยังอยู่
_3867สมัยวัยรุ่นผู้น้อยเคยรับเงินซื้อสิทธิ์ขายเสียงเพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาใครๆก็ทำกัน!แต่แม่สอนอย่ารับ เงินไม่ดีเป็นเงินบาปจะติดหนี้เวรหนี้กรรมเขาเป็นวิบากทวงคืนชดใช้ไม่จบสิ้น!ลูกข้ารองบาทฯผู้รับใช้แผ่นดิน
_3867กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูฯกับพระโสดาบันผู้เข้าถึงกระแสธรรมจนสิ้นภพจนจบที่ๆสุดแห่งทุกข์ได้กับการเมืองอันโปร่งใสด้วยสุจริตชนคนถือคำสัตย์ปฏิญาณฯแน่วแน่สาธุskkส่งแค่นี้ตามพ่อครูชี้แนะเจ้าค่ะ!
จากเฟสบุ๊ค
_ณฐาไท มอร์เก้น · ตั้งแต่ฟังธรรมมายังไม่เคยเห็นพระรูปไหนอธิบายได้ชัดเจนเท่าพ่อครู แม้แต่คำว่าไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตยังอธิบายไม่ชัดเจนเลย หรือว่าท่านไม่กล้าที่จะพูดความจริงเหมือนพ่อครูและอาจารย์หมอเขียวที่อธิบายจนหมดเปลือกจริงๆ
พ่อครูว่า…ใช่ เขาไม่กล้าหรอก โดยเฉพาะ ชีวกสูตร เป็นบาปไม่ใช่บุญเลยห้าประการ เขาไม่เข้าใจกัน ไม่เอามาอธิบาย แต่ตีกินไปว่า บริสุทธิ์โดยส่วนสามอีก
มีพระสูตรที่บอกว่าทุกคนที่กินเนื้อสัตว์จะต้อง ติดบาป(ส ปาปมุปลิมฺปติ) ล.27 ข้อ 342 สิคาลวรรค
ทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ (ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ)
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
สมณะเดินดินว่า...ชาวอโศก คงตื่นตัวกับกรรมฐาน ที่พ่อครูบอกว่า กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา จะอ่านตรงไหน วันหนึ่งวันหนึ่งเราจะผ่านความชอบใจไม่ชอบใจแต่เรามักไม่อ่าน จะไปอ่านที่นอกตัวเราเรามีแต่เราไม่เคยล้างให้มาเห็นเวทนาแท้เลย เราก็ไม่ได้มีเวทนาเป็นกรรมฐานเลย ...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:05:38 )
รายละเอียด
600917_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ รู้ความจริงปัจจุบันของกายในอานิสงส์ของศีล
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2560 แรม 12 ค่ำ เดือนสิบ ปีระกา ที่ราชธานีอโศก ใกล้จะออกพรรษาแล้ว บางคนบอกว่า เห็นสวรรค์รำไรเพราะใกล้จะออกพรรษาก็หมดเวลาตบะที่ตั้งกันไว้ แต่พ่อครูบอกว่า นรกคือสวรรค์นั่นเอง สวรรค์นิดๆก็นรกนิดๆ และตอนนี้ก็ใกล้เทศกาลกินเจ เราก็ต้องช่วยเตรียมงานกัน ปลูกผักกัน
ที่ผ่านมาพ่อครูเน้นย้ำเรื่องกาย เพราะเป็นความเข้าใจกายที่จะเอาไปปฏิบัติในหลักต่างๆของพุทธ
พ่อครูเน้นกรรมฐานของพุทธคือ เวทนา ทำทุกปัจจุบันให้ 0 ได้ คือความสำเร็จ ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
พ่อครูว่า...เริ่มต้นด้วยคำถาม ที่ค้างมาว่า ขอให้พ่อครูอธิบาย ความจริงกับปัจจุบัน และปัจจัตตัง สามคำนี้ เกี่ยวข้องกันอย่างไร เรารู้กันลึกซึ้งขึ้นมา ทำให้รู้ว่าแต่ละคำมีนัยต่างกันเล็กละเอียด
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ความจริงคืออะไร
ความจริงคือสิ่งที่เป็นสภาวะเดียวในโลก ที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุด ถูกต้องที่สุด จะต้องมีต้องเป็นให้ได้ จะต้องถึงให้ได้ ถ้าจะมี ก็ต้องมีอย่างความจริง ถ้าไม่มีก็หมดไปเลย เกลี้ยง และความจริงนั้นต้องดี อาตมานิยามความจริงเอาไว้ถึง 10 อย่าง
1. เป็นความดี
2.มีความถูกต้อง
3.มีคุณค่าเป็นประโยชน์
4.ต้องพ้นทุกข์อริยสัจ
5.ต้องเป็นไปได้จริง
6.รู้ได้จากสัมผัสปัจจุบัน แม้ที่สุด..รู้กระทั่งนามธรรมในระดับสุญญตา หรืออนัตตา ต้องจริงอย่างแจ้งใจ
7.เข้าถึงความจริงนั้น หรือตนเองเป็นได้ ตามความรู้นั้นๆ แล้ว อย่างเต็มใจ เอาปัจจุบันหลัดๆยืนยันให้ตรงกัน เร็วที่สุด สั้นที่สุด แน่ที่สุด ก็คือปัจจุบัน แม้แต่แค่หายใจเข้าออกหรือจิ้มลงไปปั๊บพอถอนมาก็ไม่ใช้ปัจจุบันแล้ว แต่ใจจริงก็ต้องรู้ว่าอะไรดีๆก็ให้นานไว้หน่อย
ตอนนี้ในโลกก็มี คิมจองอึน กับโดนัลด์ทรัมป์ ทำสงครามกัน อาตมาไม่สงสัยหรอก ผ่านมาหมดแล้ว และเคยทำสงครามอย่างฉลาดกว่ามีปัญญากว่านั้นมากนัก
ว่ากันแล้ว ชาวอโศกก็ทำสงครามอยู่ เราขณะนี้ก็ทำสงคราม แต่เป็นสงครามยิ่งกว่ามหาภารตะยุทธ เป็นสงครามคุณธรรมลึกซึ้ง รบกันด้วยคุณธรรมอย่างไม่หยาบคาย เป็นคุณค่าคุณงามความดี แม้แต่ร่างกายก็ไม่ทำให้ระคายเจ็บปวด มีแต่จิตที่จะให้กระทบกัน อย่างหยาบสุดก็แค่ปากหอก จะเจ็บปวดก็แค่มุขสตี แค่ภาษาสำเนียง ตบก็ตบกันอย่างลมๆแล้งๆไม่ถูกตัว ที่จะหยาบอย่างใช้อาวุธหั่นร่างกายนั้นมันต่ำไปแล้ว
8.ผู้ฉลาดแท้หรือปราชญ์แท้ก็จะจำนนยอมรับ ต่อผลของความจริง ที่เป็นแล้ว - ที่มีแล้วนั้น ต้องมีคนอื่นอย่างน้อยอีก1 คนยืนยันร่วมยอมรับได้ด้วย ยิ่งมีมากคนเท่าไหร่เป็นร้อยคน พันคน ล้านคน ก็ยิ่งถือว่าเป็นความจริงมากเท่านั้น โลกุตระก็มีจำนวนหนึ่งไม่มากเท่าโลกียะ โลกียะเขารับรองกันมากมาย ไม่ประหลาด เราก็เข้าใจ เราเคยโง่อย่างนั้น คุณก็รับรองแต่เราก็ไม่เอาแบบคุณแล้ว คุณยังเสียเวลาทุนรอนแรงงานไปกับโลกีย์ก็แล้วแต่ แต่เราไม่ริษยาหรอก เราทิ้งแล้วเราถือเป็นอุจจาระแล้ว(อจร.)
9.ไม่แปรเป็นอื่นอีกแล้ว (อวิปริณามธัมมัง)
10.ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ (เอหิปัสสิโก)
ปัจจุบันเป็นกาละ
ความจริงคือ สิ่งที่เป็นกรรมวิบาก สิ่งนั้นเกิดในจิตนิยามจะมีกรรมวิบาก เป็นของคน เป็นทายาทของคน สั่งสมเชื้อพันธุ์ของคน เป็นเครื่องอาศัยถ้ายังไม่ปรินิพพานที่ยังต้องทำสงคราม สรณะก่อนจนกว่าใครจะสามารถจบสงครามเป็นอรณะแล้ว จะมีบารมีช่วยด้วย
ปัจจัตตัง คือ เกี่ยวกับตัวเราทั้งนามและรูป เราต้องรู้ด้วยนาม และต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด และที่สัมผัสรู้ต้องให้ผู้อื่นร่วมรู้ด้วยได้ ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ยิ่งมากคนยิ่งเป็นความจริงเท่านั้น
คำนี้ต้องขออภัย ต้องอธิบายต่อ ปัจจ
ป คือกรรม ก ก็คือกรรม แต่ ป เป็นกรรมที่มีปัญญามีความรู้ เริ่มต้นด้วย ป จึงมีความรู้ มีปุญญะเป็นต้น
ป ผ พ ภ ม เป็นฐาน ที่มีคุณสมบัติคุณธรรมของผู้ที่มีความรู้มีความเป็นไปได้มีความเจริญ ผ คือ การปฏิบัติจะต้องมี ผ มีสิ่งที่ต้องมาเกี่ยวข้องร่วมทำไปด้วยกัน ผ ต้องมีสิ่งตอบรับ มีคู่ทายก ปฏิคาหก เป็นต้น
ภ คือรวมเป็นกิริยา มีสิ่งที่เกิดบทบาทอยู่ ภ สำเภา แปลว่าความเจริญก้าวหน้าพัฒนาการขึ้นไป ยิ่งใหญ่
ม คือรวมลงที่จิตวิญญาณ
ป เริ่มต้นทำ + จ เป็นแสงสว่างเป็นความรู้ + อัตตา คือตัวเรา
ตัว ต คือสิ่งที่มีอยู่ตั้งอยู่ สิ่งที่มีอยู่ต้องประกอบด้วยปัญญาหรือแสงสว่าง หรือ จจ ถ้ามีทั้งตัวนั้นและมีทั้งตัวรู้ก็เป็นสัจจะ อย่างนี้เป็นต้น สรุปแล้ว ปัจจัตตัง ต้องมีความจริงในปัจจุบันและมีความรู้เพิ่มเติม จึงเรียกว่าปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ ซึ่ง วิญญูหิติคือรวมความรู้ทั้งหมดเลยคือวิญญาณ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน คนเราเกิดมาเอาอะไร
_คนเราเกิดมาเอาอะไรคะ
พ่อครูว่า...เริ่มต้นจิตนิยามเป็นเซลล์แรก เริ่มต้นPrimary cell เป็นจุดเริ่มต้นของชีวะที่เป็นสัตว์ต่างกับพีชะแล้ว กว่าจะออกจากกรอบพีชะมาเป็นสัตว์ต้องมีพลังงานพอ หากเรียนรู้ความรู้จากพระพุทธเจ้าจากผู้รู้ก็ออกได้ง่ายกว่า แต่ทุกวันนี้คนออกนอกโลกสบาย แต่ก่อนออกนอกโลกไม่ได้ง่ายๆ หาพลังงานองศาที่จะออกจากโลกไม่ได้ แรงดึงดูดในโลกก็ดึงดูดกลับมาหมด แต่ทุกวันนี้ได้หมดแล้ว รู้มุม เหลี่ยม องศา วิธีการที่จะใช้พลังงานอย่างนั้นอย่างนี้ได้หมด
สรุปแล้วคนเราเกิดมาเอาอะไร คนเราเกิดมาตอนโง่ที่สุด เป็นจิตนิยาม มาเอาอัตตาตัวตน
อัตตาที่เป็นตัวต่อ เซลล์จิตนิยามตอนแรก คล้ายกับพีชะ มีแต่ของตัวของตน เอามาเป็นตัวเป็นตน แต่รบกวนใครยังไม่ค่อยเป็น ก็ได้แต่เป็นเหยื่ออันอื่น เป็นสัตว์เซลล์เดียว จนกระทั่งพัฒนามีเขี้ยวเล็บ ก็พัฒนาผิด สรุปแล้วคนเราเกิดมาเอาอะไรตอนแรกก็มาเอาอัตตาโง่ๆ อวิชชา เป็นตัวกูของกู พีชะ มันก็มีตัวกูของกู แต่ไม่ระรานใคร แต่อัตตาที่เป็นจิตนิยามมันเริ่มมี ตัวกูของกูที่เป็นพิษภัยต่ออันอื่นหยาบคายร้ายแรงเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นได้ หนักเข้าก็อำมหิตโหดเหี้ยม
เซลล์ถ้าอวิชชาก็มีแก้แค้นพยาบาทสมบัติผลัดกันชม ทำลายล้างกัน สมบัติก็ผลัดกันชมกัน ถ้าเข้าใจอันนี้ สมบัติผลัดกันชมกับทำลายล้างแก้แค้นกัน สองอันนี้ คือนิยายของโลก ความวนเวียนของโลกียะเท่านี้ สมบัติผลัดกันชมกับทำลายล้างแก้แค้นกัน แรงเท่าที่สามารถเลวได้ เรารู้แล้วก็เลิกไม่ต้องไปแย่งสมบัติใครไม่ต้องไปจองเวรจองกรรมกับใคร ให้มันหลุดพ้นจากบ่วงเวรที่ต้องไปทำร้ายใคร
ผู้มีปัญญา ก็เลิกล้างไป มาเอาสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดพิษภัยเกิดโทษ ไม่ต้องไปเอาของใคร อยากได้ก็สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรง สั่งให้ได้เกินและเหลือ แจกจ่ายผู้อื่น ใครมารบกับเราก็เอาสมบัติแจก ใครมากวนเราก็เอาสมบัติแจก เดี๋ยวมันก็ถูกสมบัติเราทับหัวตาย ทำให้ตาลายทำให้งงงวย จะทำร้ายเราไม่ออก
สมณะฟ้าไทว่า...พระพุทธเจ้าตรัสว่าการให้เสมอด้วยการรบ
พ่อครูว่า...คนไม่รู้ก็จะมารบกับเรา ทุกวันนี้เราให้ขนาดนั้นเราก็ยังต้องรบ เขาก็มารบกับเรา เราก็สร้างของเราให้เหลือกินเหลือใช้
สรุปอีกที มีภูมิปัญญาแล้วมาค่อยลดละ 1.สมบัติผลัดกันชม 2.ทำร้ายทำลายแก้แค้นกัน ชาตินี้อาตมามีบารมีสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นไม่แผ้วพาลเราได้ เป็นเรื่องอจินไตยวิบากกรรมที่เป็นบารมีของใครของมัน ต้องสั่งสมบารมีนั้นเอาเป็นเรื่องสุดยอด จบตรงนี้แค่นี้ ก็แล้วกัน ก็ค่อยๆได้เป็นจริงตามที่เราสะสมด้วยกรรมของเราเอง จะไปเอามาจากของใครไม่ได้
_คนทุกข์และมีปัญหาและก็หลงตัวเองติดยึดไม่รู้จักตัวเองเป็นได้ไหม เพราะอะไรคะ
พ่อครูว่า...ก็เป็นอยู่เยอะแยะ แม้แต่ตัวคุณเองก็ดูให้ดี ระวังโง่ เพราะมันไม่รู้ ต้องเรียนรู้แล้วเลิกลาให้ได้จริงๆจึงจะจบได้
_จากไลน์ส.บินก้าว ส่งคำถามมา
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน มหาปเทส 4 คืออะไร
กราบนมัสการเจ้า ท่านสมณะ คะ ลูกขอนำเรียนถามถึง
1.มหาภูต 4 คืออะไรคะ... ?
2. มหาปเทสอีกค่ะ 4 ข้อย่อยๆ ที่เป็นความหมายทั้ง 4 นั้นคืออะไรคะ...สิ่งที่ควร สิ่งใดห้ามสิ่งใดไม่อนุญาตอะไร ทั้ง 4 ข้อนั้นคืออะไรคะ อธิบายให้ลูกทราบทีเจ้าคะ กราบนมัสการคะ
พ่อครูว่า... มหาปเทส 4 จะใช้สำหรับพระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ก็เริ่มฝึกกัน มหาปเทส 4 คือ
1. สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
2. สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย
3. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
4. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.
(พระไตรฯ ล.5 ข.92)
เมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ จึงต้องใช้ความซื่อสัตย์ของตัวเองและภูมิปัญญาของตัวเองตัดสินอย่างซื่อสัตย์ ไม่มีตัวตนไม่มีอคติ
_คนที่ 2 จู่ ๆ ส่งภาพและลิ้งค์เพลง คืนความสุขประเทศไทย เข้ามา แล้วถามว่า ทำไมทุกครั้งที่ปฏิวัติสำเร็จแล้ว จึงไม่มีตราของประชาชน ร่วมประกาศเข้าไปด้วยบ้าง ? เพราะประชาชนต่างหากที่ให้การสนับสนุนจึงสามารถทำการได้สำเร็จ และ ก้อประชาชน นี่แหละ ที่ยังร่วมมือตลอดมา...เพื่อว่า หากมีอะไรที่เริ่มออกนอกแนวทาง..จะได้ฟังประชาชนด้วย ตัวอย่างเรื่อง ธัมมี่ , ปู หนีไปได้ หรือ ย้าย ผอ.สำนักพุทธ แบบนี้ ประชาชนไม่พอใจ ออกมาติงบอก ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ โยนกันไป-มา หรือว่า ไม่เห็นประชาชนในสายตา... กราบขอบพระคุณครับ อึดอัด.. อึดอัด..
พ่อครูว่า...ให้คนไปสร้างตราของประชาชน แล้วให้ทุกคนยอมรับให้ได้ก่อน แต่ที่ประชาชนทำมาด้วยความสงบเรียบร้อย ทำให้เกิดการปฏิวัติด้วยความสงบอันนี้เป็นความจริง ใช้ความสงบสยบความรุนแรง ความสงบสยบความเคลื่อนไหวจนสามารถชนะได้อย่างเนียนละเอียด เบา จนกระทั่งพลเอกประยุทธ์บอก ถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ เป็นรัฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน สัตตาวาส 9 วิญญาณฐิติ 7
_จากอโศกสัมปสังโก ….เมื่อวันก่อนพ่อครูอธิบายวิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 และสัตตาวาส 9 ทำให้ญาติธรรมเข้าใจเรื่องกายได้อีกมาก ในอดีต พ่อครูได้นำธรรมะ 2 หมวดนี้อธิบายแต่ไม่เคยเชื่อมโยงอย่างนี้ วันนี้ผมอยากให้พ่อท่านให้การรับรองว่า ถ้าหากเข้าใจธรรมะ 3 หมวดนี้แล้ว ก็จะสามารถเข้าใจความหมายคำว่ากายได้ชัดเจน และจะทำให้เกิดการปฏิบัติธรรมได้ผล และคำว่ากาย คือองค์ธรรม 1 ในสติปัฏฐาน 4 อันเป็นก้าวแรกของโพชฌงค์ 7 ในโพธิปักขิยธรรม
พ่อครูว่า...ใช่อย่างที่คุณพูด ถ้าสามารถเข้าใจวิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 และสัตตาวาส 9
วิญญาณฐิติ 7 กับสัตตาวาส 9
สัตตาวาส 9 เป็นองค์รวม แต่วิญญาณฐิติ 7 ถอดเอามาเฉพาะวิญญาณ ทิ้ง เนวสัญญานาสัญญายตนะ กับ อสัญญีสัตว์
รูปคือตัวที่ถูกรู้ นามคือตัวรู้ กายคือรูปกับนาม
ในสัตตาวาส 9 มี
1. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า
2. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น .
3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน เช่นพวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) .
4. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) .
คำว่าอสัญญีนี้ มีได้สองอย่าง อสัญญีสายหลับตาดับปี๋ เขาหลงว่าเป็นนิโรธดับ ไม่มีสัญญาจริงๆ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นคัมภีรา ปฏินิสสัคคะ หมุนรอบเชิงซ้อนทวนกลับ มีทั้งมี มีทั้งไม่มี
สัญญาหนึ่งคือ สิ่งที่เป็นตัวกำหนดรู้ แล้วไปยึด อีกสัญญาหนึ่งก็ไปรู้สัญญาตัวที่ไปยึด ก็ล้างสัญญาตัวที่ยึดมั่นถือมั่นให้หมด พ้นสัญญูปาทานักขันโธ คือการยึดสัญญาว่าเป็นเราเป็นของเรา ล้างสัญญาตัวนี้จนหมดอุปาทาน จึงเกิดสัญญาสะอาด สัญญาตัวที่ไม่มีคือสัญญูปาทาน คือตัวกูของกู ตัวเราของเราก็ล้างให้หมด เหลือแต่สัญญาตัวที่สะอาด สัญญาหนึ่งมีอยู่อีกสัญญาหนึ่งทำให้ไม่มี ก็เหลือแต่สัญญาที่ไม่มีอุปาทาน เป็นสัญญาอาศัย คุณก็อาศัยสัญญานี้จนเป็นวิสัย จนเป็นนิสัย หรือจะโง่ต่อ เอาไปฝังในอนุสัยก็ตามใจเถอะ
สัตตาวาสเป็นรูป วิญญาณฐิติเป็นนาม และวิโมกข์เป็นกรรม
กายคือธรรมะสอง เอามาทำงานร่วมกันเสีย เป็นคู่ๆอย่าไปทำปนเปทีละร้อยทีละหมื่น อย่าตะกละ จัดการไปแล้วคุณจะเก่งจะเร็วเอง คุณเก่งเร็วทำทีละสอง เก่งเร็วจนคนประดังมาเท่าไหร่ก็ทัน เป็นจอมยุทธที่รับลูกได้ทัน เป็นจอมยุทธที่สุดยอด จัดการได้หมด จะมาท่าทีแบบไหน ก็มีมุทุภูตธาตุ มีธาตุจิตแววไวไหวพริบ ทั้งเจโตก็ปรับเป็นตัวนั้นตัวนี้ได้เร็ว
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กายในโลกุตรธรรม 37
ในคอลัมน์ คนจะมีธรรมะได้อย่างไร อาตมาเขียนไว้
ฉบับที่ 326 เรากำลังอธิบายกันให้ลึกซึ้งถึงความเป็น“กาย”กันอีก ต้องพูดซากพูดซ้ำย้ำกันไปทุกเหลี่ยมทุกมุม กว่าจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในคำว่า“กาย”กันได้จริงๆสำคัญยิ่ง สำคัญมาก เฉพาะอย่างยิ่งในคนไทย “กาย”คำนี้ได้กลายมาเป็นภาษา“ไทย”ไปแล้ว และได้เบี้ยวบิดผิดเพี้ยนจากความหมายเดิมของ“ศาสตร์”พุทธไปสนิท
ที่จริงในพจนานุกรม“บาลี-ไทย”ซึ่งยังมีคำแปลกันไว้ ถูกต้องอยู่ ก็ยังมีเยอะนะ
กาย = กอง,ฝูง,หมู่,ประชุม ; หมวดแห่งเจตสิกธรรม คือ เวทนา สัญญา และสังขาร
ซึ่งมันก็คือ “กาย” และแปลว่า องค์ประชุมหรือหมวดหรือกองของเจตสิกธรรม อันมี เวทนา สัญญา และสังขาร นั่นเองก็ยืนยันชัดเจน คำว่า “กาย”นั้น ไม่ใช่
คำที่มีความหมายแค่“ร่างภายนอก” อันประกอบด้วยดิน,น้ำ,ไฟ,ลมประชุมกันอยู่เท่านั้น แต่ต้องมี“นามธรรม”เป็นหลัก คือ เจตสิกทั้งหลายเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความถูกต้องตามความหมายแท้ของคำว่า“กาย”นั้นยังยืนยันมีหลักฐานอยู่ชัดๆว่า “กาย”ก็หมายถึง องค์ประชุม หรือกองหรือองค์รวมของเจตสิก
ธรรม อันมี เวทนา สัญญา และสังขาร ตรงๆ
คำว่า “กาย”ในศาสนาพุทธนั้นเป็น
บาลี ซึ่งมีนัยะสำคัญยิ่งยวดในการปฏิบัติธรรม เพราะเป็น“โพธิปักขิยธรรม”ข้อต้น
กันทีเดียว ที่คนผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธจะต้องเรียนรู้ให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิกันให้ได้ ก่อนคำว่า“เวทนา” ก่อนคำว่า “จิต” ก่อนคำว่า“ธรรม” เพราะ“กาย”เป็น“ธรรม”ภาวะข้อแรก ที่ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงก่อนอื่นใดของ“พุทธธรรม” อันเป็น“ธรรม”ที่มีคุณวิเศษ(อุตริมนุสธรรม)ถึงขั้น“โลกุตระ” ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ตรงๆชัดๆว่า “โลกุตรธรรม 46” ที่มี“โลกุตรธรรม 9” กับ“โลกุตรธรรม 37”นั้นอย่างไร? ได้แก่ อะไรกันบ้าง? มีอะไรกันแน่? (ผู้สนใจตรวจดูได้จากพระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620 )
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “มรรคผล”นั้นมี “โลกุตรธรรม 9” และกระบวนการ(process)ในการปฏิบัตินั้นคือ “โพธิปักขิยธรรม 37” รวมแล้วทั้งหมดเป็น“โลกุตรธรรม 46”
ซึ่งมี“สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน(คัมภีราวภาโส)”ของกระบวนการแห่งโลกุตระอย่างมี ระบบระเบียบของขั้นต้น,ขั้นกลาง,ขั้นปลาย ที่ผู้มี“วิปัสสนาญาณหรือญาณทัสนวิเศษ”จะมีภูมิปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงตามสภาวแห่งธรรมอันมี“รูปนาม-นามรูป”ที่มีครบทั้ง“มหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูป 24”
ชนิดที่สลับซับซ้อนดูเหมือนจะสับสน-ไม่มีระบบระเบียบ(chaos)เอาเสียเลยสำหรับผู้ที่ภูมิยังเป็น“ปุถุชน”หรือยังมี“ภูมิโลกียะ” แต่ผู้ที่มี“ภูมิโลกุตระหรือในภูมิของ“อาริยชน”นั้น จะไม่สับสนเลย จะเข้าใจเห็นจริงชัดเจนชัดแจ้งด้วย“วิปัสสนาญาณหรือญาณทัสสนวิเศษ”ที่มีระบบระเบียบตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าได้แท้จริง
คัมภีราวภาโส = คัมภีระ + ภาวะ +โอภาส
คือสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ดับสวรรค์ขึ้นไปเป็นลำดับชั้นชั้น ไปได้ไปเรื่อยๆ แต่คนอวิชชาจะสร้างสวรรค์ขึ้นไปเป็นชั้นๆ เป็นตีนภูเขาที่ใหญ่โตบานปลายไปหาที่ต่ำด้วย ส่วนโลกุตระจะเป็นปลายยอดภูเขามีที่สิ้นสุดไปหายอดสุด
เพราะมี“การสัมผัสของจริง”ที่เป็น“ธรรมะ 2”(เทฺว ธัมมา)ทั้งภายนอกและทั้งภายใน ยืนยันความเป็น“กาย”ต้องมีครบ “ธรรมะ 2”ให้รู้จักรู้แจ้งอยู่ในปัจจุบันหลัดๆโต้งๆครบถ้วน ด้วย“รูป”ด้วย“นาม”ที่เป็น “ปัญญา”อันเป็น“โลกุตรภูมิ”อย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้น การเกิด“มรรคผล”ที่เป็น“โลกุตรธรรม 9”ก็ดี การปฏิบัติด้วย “กระบวนการของโพธิปักขิยธรรม 37”ก็ดี แม้จะมีความสลับซับซ้อนมากมาย มีสภาพ“หมุนรอบเชิงซ้อน”อย่าง“สูงหล้า-ฟ้าลึก”ปานใด ก็เป็นไปตามทฤษฎีที่เป็น“ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย”อันมีระบบระเบียบ เป็นไปได้ชนิดที่ลุ่มลึกราบเรียบ “ราวฝั่งทะเล”อย่างน่าอัศจรรย์ อย่างไม่น่าเชื่อ
ซึ่งผู้ไม่มี“ภูมิโลกุตระ”จะ“ไม่เชื่อ” ยุคนี้ในวงการพุทธมัน“เป็นจริง”ตามคำตรัสของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ทุกประการ เห็นได้ว่าปฏิบัติหลับตาทิ้งภายนอก ไม่เริ่มต้นจาก“กาย” และเข้าใจ“กาย”ผิดไปหมดแล้ว
“ความน่าอัศจรรย์”ที่พิเศษจริงๆนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109 “ปหาราทสูตร” ค้นหาอ่านดูเถิด จะเข้าใจได้อย่างดียิ่ง เพราะเป็นเรื่อง“ทวนกระแสความเป็นโลกียปุถุชน”(ปฏิโสตัง)แท้ๆ ซึ่งเป็น“ความน่าอัศจรรย์”ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 8 ที่เริ่มต้นด้วย“ความเป็นไปตามลำดับ”อันมี“ต้น-กลาง-ปลาย”ย่อมเรียงกันไปเป็นลำดับๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ปฏิบัติศีลให้เกิดอานิสงส์ไปตามลำดับ
เริ่มจาก“การศึกษาไปตามลำดับ(อนุปุพฺพสิกขา) กระทำไปตามลำดับ(อนุปุพฺพกิริยา) บรรลุไปตามข้อปฎิบัติเป็นลำดับ(อนุปุพฺพปฏิปทา) มิใช่บรรลุอรหัตผลกันแบบลัด ตัดทิ้ง“กายมีแต่ใจ”(ไม่มีต้น-กลาง-ปลาย) ต้องมี“กาย”กับใจ”เสมอทั้งขั้นโสดาบัน-สกิทาคามี-อนาคามี สุดท้ายถึงขั้นอรหันต์
มีปฏิเวธ แปลว่าแทงลงไป คือที่จริงคือการเคล้าเคลียอารมณ์ลงไป เหมือนจุนสีที่จะซึมซับทั่วไปทุกอณูเลย
ปฏิบัติ“ศีล”ก็ต้องมีต้น-กลาง-ปลาย ที่เจริญอย่าง“หมุนรอบเชิงซ้อน”(คัมภีราวภาโส)ที่เป็นระบบระเบียบลึกซึ้งด้วย“อธิศีลสิกขา-อธิจิตสิกขา-อธิปัญญาสิกขา” พร้อมกายใจ “อธิจิต”หรือ“สมาธิ” ใจก็ต้องสั่งสมตกผลึกเจริญอย่าง“หมุนรอบเชิงซ้อน”ไปครบ“ใจ”ครบ“กาย” เป็น“สมาธิ-สมาธินทรีย์-สมาธิพละ”เสมอ ไต่ลำดับต้น,กลาง,ปลาย “อธิปัญญา” ก็มี“ความฉลาด”ที่ต้องเจริญชนิดที่“หมุนรอบเชิงซ้อน” ครบ“ใจ” ครบ“กาย” ไปตามลำดับมี“ต้น-กลาง-ปลาย” เป็น“ปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาพละ”จริง แม้“วิมุติ”ก็ดี หรือ“วิมุตติญาณทัสสนะ”ก็ดี
หากไม่มีต้น-มีกลาง-มีปลายเป็นไปตามลำดับดังสาธยายมานี้ นั่นก็คือ ผู้นั้นปฏิบัติธรรมที่ไม่ใช่แบบพุทธ เพราะไม่เริ่มต้นเป็นลำดับ ตรงจุดแรกของการปฏิบัติแบบพุทธที่สำคัญยิ่งได้ถูกแน่ แม่นแท้จริง ผู้นั้นก็จะเสียเวลามาก จะสับสนวนเวียน จะวกไปวนมา ทำแล้ว ก็จะต้องกลับมาทำอีก กลายเป็นคน“วิตักกจริต”ที่จะต้องใช้เวลาปฏิบัติเสียเวลาสูญเปล่ายาวนานเยิ่นเย้อเกินไปกว่าที่ควรจะเป็น ทำแล้ว ไม่รู้แล้วรู้เสร็จ ทำได้ผลหรือไม่ได้ผล ก็ไม่มีกรอบขอบเขตกำหนดตาม“สัจจญาณ-กิจจญาณ-กตญาณ”
เหมือนพวกเชน ที่มีภาชนะอันเดียว ใส่อะไรทั้งหมด ข้าว ขี้ เยี่ยว หรือมีไม้ปัดอันหนึ่งก็ปัดแล้วปัดอีกให้สะอาดๆๆ
หรือเปรียบเทียบเหมือนพวกเอาขี้มาขยำอีกต่อ ไม่ใช่พวกเอาขี้ไปทำปุ๋ยนะ
ผู้ปฏิบัติที่ไม่มี“วิธีปฏิบัติ”ที่ถูกต้องอย่างเป็นลำดับของ“ศีล-สมาธิ-ปัญญา-วิมุติ-วิมุติญาณทัสสนะ” อันเป็นของพุทธ นั่นก็คือ ผู้ปฏิบัติที่ไม่เป็น“ไตรสิกขา”เช่น ผู้มี“ความเห็น”(ทิฏฐิ)ว่า การปฏิบัติธรรม คือ“การหลับตาทำสมาธิ” แล้วก็สอนกันว่า หลับตาทำสมาธิไปเถอะ หลับตา นี่แหละ จะเกิด“ศีลบริสุทธิ์”ตามมาเอง!!!..?
มีสอนกันแบบนี้จริงๆ คิดดูเถิด! ศีลจะเกิดได้ในหลับตา ..มันจะเกิดได้ยังไง?
ในเมื่อ“ศีล”นั้นคือ ข้อกำหนดเป็นข้อๆ เช่น ข้อ 1 อย่าฆ่าสัตว์ ข้อ 2 อย่าลักทรัพย์ของคนอื่น ข้อ 3 อย่าทุจริตละเมิดในกาม เป็นต้น และอีกเยอะแยะมากมาย
แต่ไปปฏิบัตินั่ง“หลับตา” ไม่มีกิริยาเคลื่อนไหวภายนอกเลย ซึ่งไม่ได้สัมผัส “สัตว์”ที่มีสัตว์อยู่ภายนอกจริงๆ หรือไม่ได้สัมผัสกับ“ของ”ที่เป็นของที่มีอยู่ภายนอกจริงๆ แล้วจะยืนยันว่าบริสุทธิ์ ได้ไง?
จิตใจเราจะ“อยากทำร้ายสัตว์”หรือเปล่า.. ก็ไม่มี“ความจริง”นั้นให้เรารู้จริง ให้เราได้สังวรระวังปฏิบัติอะไร หรือจิตใจเราจะเกิด“อยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา”ขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มี“ความจริง”นั้นให้เราพิสูจน์เลย ไม่มีอะไรให้เราได้ปฏิบัติสังวรระวังเลย
ไม่มีสังวรศีล ไม่มีสำรวมอินทรีย์อะไร
“หลับตา”เข้าไป ไม่“สัมผัส”อะไรเลย แล้ว“ตีขลุม”ว่า ไม่ได้ละเมิดศีลข้อใดเลย
นี่คือ ..บริสุทธิ์แล้ว อุ๊บอิ๊บมากไป!
ไอ้แบบนี้มันได้ปฏิบัติ“ศีล”ข้อไหนกันล่ะ ข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ฯลฯ ไม่มีเลย!!!
มันจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกันได้ยังไง..หา?
“ศีล”มีแตกต่างออกไปสารพัดอีกมากมาย เรายังหลงติดยึดในอะไรต่างๆนั้นอยู่บ้าง? อย่างน้อยก็ปฏิบัติตาม“จุลศีล” ซึ่งมีแค่ 26 ข้อ ก็ยังจะพอพิสูจน์ยืนยันได้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
มหาศีลนี้ไม่ใช่ศีลเฉพาะภิกษุแต่ภิกษุก็ควรรู้ก่อนเลย มหาศีลเป็นเรื่องหยาบ เป็นโอฬาริกนรก อเวจี ยกตัวอย่าง หวย ประเทศไทยเลิกไม่ได้ ยังมีหวยรัฐบาล หากไม่มีหวยรัฐบาล ประชาชนมีหวยไม่ได้หรอก แต่นี่เหมือนแม่ปูกับลูกปู ไม่ให้ประชาชนเล่นการพนัน แต่ทำไมรัฐบาลเล่นการพนันกองใหญ่ เดือนหนึ่งๆดูดของประชาชนไปเป็นพันล้าน จะให้ลูกปูเดินตรงแต่แม่ปูไม่เดินตรง จ้างให้ก็ไม่ได้
อาตมาภูมิใจชาวอโศกไม่เล่นหวย ใจไม่เล่นจิตไม่โลภแล้ว ได้อย่างฟลุคๆ เป็นหนี้อย่างไม่รู้เรื่อง ตาดีได้ตาร้ายเสียเป็นต้น แต่ไปตกเป็นเหยื่อหน้าตาย ประตูได้มีนิดเดียว แต่พวกที่จะได้กินนั้นยิ่งกว่าตาอยู่เอาไปกินหมดเลย ตัดแต่หางนิดๆให้คนหมู่ใหญ่ แต่ตนเองกินตรงกลางตรงหัวหมด
ชาวอโศกตอนนี้ยังฟุ่มเฟือยอยู่ จนเด็กๆเอาอย่าง อย่าสุรุ่ยสุร่ายมากนัก
26 ข้อนี้ หรือทั้ง“จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล”นี้ พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงคัดสรรมาแล้ว ด้วยพระสัพพัญญุตญาณของพระองค์ว่า เป็น“ธรรมนูญอันเพียงพอจะยืนยันแล้ว” มัน“พอเพียง”เป็นหลักเกณฑ์สำคัญของพุทธศาสตร์ เป็น“ตัวอย่าง”(specimen)แทนสิ่งทั้งหลายในโลก ครอบคลุมสารพัดกิเลสได้อย่าง“เพียงพอ”ทีเดียว ที่ผู้ปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ จะใช้ปฏิบัติบรรลุธรรมจนชื่ออรหันต์ สำหรับความเป็น“คน”แต่ละคนอันจะถือได้ว่า เป็นผู้บรรลุพ้น“ทุกขอาริยสัจ” จริงแท้ พอเพียงได้แล้ว(efficiency)
นี่อะไร? ...“สมมุติธรรม”ก็ไม่มี!!!
“ปรมัตถธรรม”ยิ่งเลอะใหญ่! จะฝันเฟ้อเพ้อพกยังไงไปกับ‘ภพน้อยภพใหญ่’ได้ทั้งนั้น เห็นได้มั้ยว่ามันโมเม มันมิจฉาทิฏฐิเพราะ“ศีล”นี้ต้อง“มีของจริง”ที่ระบุให้ปฏิบัติกันตอนมีชีวิตปกตินี่แหละ เป็นชีวิตลืมตา เมื่อสัมผัสอะไร กับสิ่งนั้นก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วสังวร อย่าทำทุจริตให้ผิดศีล โดยไม่ให้“ผิดศีล”ไปตั้งแต่ภายนอกทีเดียวก่อน ที่จะนับว่าบรรลุ“การมีศีล”หรือผู้นั้นบรรลุธรรมคือ เจริญ“อธิศีล-อธิจิต(สมาธิ)-อธิปัญญา-อธิมุติ”นั้น “ในจิตในใจ”ของผู้นั้นต้อง“ไม่มีกิเลส”ที่มันจะละเมิด“ศีล”นั้นๆ
อบายมุขแม้แต่สิ่งเสพติดหยาบอย่างเช่นหมาก ท่านมหาบัวก็ยังติดอยู่เลย จึงไม่มีภูมิปัญญาที่จะรู้ลึกซึ้งกว่านั้น มหาบัวนี้ ภูมิใจมากที่ได้ช่วยชาติโดยเอาตัวหลอก (ขออภัยพูดด้วยวิชาการ) หลอกอะไร หลอกว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ คนก็นิยม แล้วเป็นเชิงซ้อน ที่จริงทำทาน ให้เขาบริจาคให้มหาบัว มหาบัวก็เลย เป็นตัวรวม แล้วบอกว่าไม่ได้ให้ตัวเองนะ บริจาคเพื่อชาติ เป็นเชิงซ้อนเอามาให้กูๆไม่เอา แล้วก็โชว์ตัวไม่เอานี่แหละเป็นตัวกู เห็นไหม เป็นกอบเป็นกำเป็นล้านแท่ง เอาไปช่วยชาติ เอารูปมาทำตัวนั้นไปโชว์แล้วก็ยึดว่ากูไม่เอาๆๆ กูแน่นะ เป็นอัตภาพ อรูปธรรมหนึ่งที่มหาบัวไม่รู้จักอรูปตัวนี้
ชัดเจนไหม ระวัง ทุกคน ซับซ้อนอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ท่านก็ไม่รู้ว่าที่ท่านทำคืออัตตาของท่าน ได้อันนั้นเป็นอรูปไปแล้ว ท่านก็เลยหลอกคนงมงายว่า ท่านคืออรหันต์ โพธิรักษ์มาว่านี้บาปนะ
สมณะฟ้าไทว่า..คนโลกๆอาจคิดว่าริษยาหลวงตาบัวไหม ตัวเองทำไม่ได้
พ่อครูว่า...ไม่เป็นไรไม่ได้น้อยใจไม่ได้ริษยาไม่ได้แข่งดี อย่างนั้นน่ะ ขั้นหยาบ อัตตาทั้งนั้น อาตมาผ่านมาหมดแล้วก็ไม่เอาแล้ว ทิ้งเป็น อจร.แล้วไม่เกี่ยว
ผู้ที่ยังไม่เข้าใจ มีอะไรมาสัมผัสก็ไม่ได้ศึกษา ไม่มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่ได้หัดระวังสังวรว่าอะไรผิดศีลไม่ผิดศีล ก็ไม่ได้ศึกษากิเลสลดกิเลส
มาสอนแบบนี้นั่งหลับตาแล้วศีลจะบริสุทธิ์เองนี้มันผิดไป หรือไม่ก็หลงผิดอย่างนี้หรือ
..ก็ไม่สอนกันแบบนี้ อย่างนี้ กันแล้ว หรือไม่ก็..หลงผิดไปว่า ถือศีล ปฏิบัติศีล จะมีผลแค่ควบคุมกาย กับวาจา อย่าให้กายให้วาจาผิดข้อที่“ศีล”กำหนดไว้ เป็นอันจบกิจของศีล คือแค่หมายเอาว่า “ศีลจะมีผล ไม่ทำทุจริตทาง‘กาย’กับ‘วาจา’เท่านั้น” สอนกันว่า“ผล”ของศีล มีอยู่เท่านี้!
ทั้งๆที่ใน“กิมัตถิยสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 1 กับข้อ 208) พระพุทธเจ้าตรัสไว้โต้งๆว่า “ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตตผลให้บริบูรณ์โดยลำดับ ดังนี้ ได้แก่ 1.อวิปปฏิสาร(ไม่เดือดร้อนใจ) 2.ปามุชชะ(เบิกบานยินดี) 3.ปีติ(อิ่มใจ) 4.ปัสสัทธิ(สงบระงับกิเลส) 5.สุข(ยินดีเพราะลดกิเลสถูกตัวมัน) 6.สมาธิ(จิตตั้งมั่น) 7.ยถาภูตญาณทัสสนะ(รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง) 8.นิพพิทา(เบื่อกิเลส) 9.วิราคะ(จางคลายจากความยึดมั่น) 10.วิมุตติญาณทัสสนะ(เห็นแจ้งเห็นจริงในความหลุดพ้น)
ก็อ่านดูแล้วไตร่ตรองตามดีๆ ทั้ง 10 อย่างนั้น ตั้งแต่ข้อ 1 “อวิปปฏิสาร” ไปจนถึงข้อ 10“วิมุตติญาณทัสสนะ”นั้น มันคือ อะไร? คือ“อาการ”ของกาย-วาจา หรือ? หรือว่ามันคือ“อาการ”ของจิตใจกันแน่?
ใน 10 ข้อนี้หมายถึงจิตทั้งนั้นเลย ไม่ใช่ประโยชน์ทางวัตถุเลย
ดังนั้น “ความรู้”แม้ในวงวิชาการพุทธศาสตร์ที่มีกันดื่นดาษในยุคนี้ ที่เชื่อกันและสอนกันว่า “ศีลให้ผลแค่กายกับวาจา” เท่านั้น ส่วน“สมาธิ”หรือ“ปัญญา”นั้นก็ให้ไป“หลับตาทำจิตสงบเข้าไปอยู่ในภวังค์”
การนั่งทำแบบนั้นอาตมาเคยทำมาแล้ว ได้แล้ว และถ้าคุณก็บอกว่าได้ แต่ว่าของคุณกับของอาตมานั้นก็เอามายืนยันกันไม่ได้เป็นปรมัตถ์ทั้งนั้น ก็เลยไม่รู้เพราะไม่รู้จักตัดรอบสมมุติปรมัตถ์
เอาอีกที แบบนี้มันแยก“ศีล”ต่างหากจาก “สมาธิ” จาก“ปัญญา” จาก“วิมุติ” ไปแล้ว
“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”จะแยกกันปฏิบัติไม่ได้ มันเป็น“กระบวนการ”(process)ที่ต้องปฏิบัติร่วมกัน ทำงานมีปฏิสัมพัทธ์กันอยู่
สมณะฟ้าไทว่า..ผมสงสัยว่าเขาเอาหลักฐานคำสอนพระพุทธเจ้าคำไหนในพระไตรปิฎกที่ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้นั่งหลับตาปฏิบัติ
พ่อครูว่า...แม้ในอานาปานสติ ก็บอกว่า นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น ไม่ได้มีคำไหนบอกให้หลับตาเลย
อาตมาก็เคยนั่งหลับตามาแล้ว ซึ่งมันยืนยันกันไม่ได้ว่าได้หรือไม่ ถ้าอาตมาโกหก เขาก็ไม่รู้ได้ ถ้าเขาโกหก อาตมาก็ไม่รู้ได้หรอก เถียงกันไปไม่มีประโยชน์หรอก
ลองทบทวน“กระบวนทัศน์”(paradigm) ของตนที่มีมาแล้ว และ“ยึดถือ”มันว่าถูกต้องแน่ยิ่งจริงจัง แถมปฏิบัติตามกระบวนทัศน์นั้นมานานแล้วด้วย มันก็ได้“ผล”อย่างที่ท่านได้“ยึด”กันนั้นแหละ ลองมี“ปรโตโฆสะ” ฟังเสียงอาตมาบ้าง หรือฟังคำอธิบายของอาตมาให้ดีๆให้บริบูรณ์ดูเถิด เผื่อจะเกิด“ความเชื่อ”(ศรัทธา)อาตมาขึ้นมาได้บ้าง และเข้าใจใน“โยนิโสมนสิการ”(การทำใจในใจ)ตามที่อาตมาอธิบาย
เผื่อจะปฏิบัติ“ทำใจในใจ”ของคุณเกิดผลตามที่อาตมาว่าเป็น“สัมมาผล”กันนี้บ้าง พระพุทธเจ้าทรงสอนให้“ปฏิบัติศีล”เป็นหลักต้น แล้วจะเกิด“ผล”จาก“ศีล”แต่ละข้อตามที่ตนสมาทานนั้นๆ ได้“อธิจิต”ได้“สมาธิ”ได้“อธิปัญญา”ที่มี“กระบวนการ”เกิดการสังเคราะห์-อภิสังขารกัน มีสัมมาผลเป็น“ปุญญาภิสังขาร”เข้าขั้น“โลกุตระ”แท้
❆ เก่าสมัย ใหม่เสมอ
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้พ่อครูย้ำหัวตะปูเรื่องกาย เรื่องอานิสงส์ของศีล
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:06:43 )
รายละเอียด
600918_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ กายคืออะไรทำไมสำคัญนัก
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560 แรม 13 ค่ำเดือน 10 ปีระกา ที่ราชธานีอโศก วันนี้ได้เห็นภาพสองภาพที่ผู้คนหลั่งน้ำตากัน แต่ภาพแรกก็คือ ประชาชนชาวไทยไปสักการะพระบรมศพ ดูเหมือนว่า พอสำนักพระราชวังประกาศให้เสร็จสิ้นวันที่ 30 นี้ คนก็ไปกันมาก ไปตั้งแต่เช้า กว่าจะได้เข้าก็ตีสอง ออกมาก็เจอพวกไปตีสี่กำลังมา ผู้คนไปใช้บริการกันมากทีเดียว แต่เดิมวันธรรมดาประมาณ 2-3 หมื่น แต่เดี๋ยวนี้ขึ้นไปถึงห้าถึงหกหมื่นคน ทุกคนก็มีความสำนึก ว่าใกล้จะหมดเวลาไปแสดงความอาลัย เป็นครั้งสุดท้าย
ฝากพวกเราไว้ว่า ถ้ารู้ว่าคนไปมากอยู่แล้วพวกเราที่เคยไปมาแล้ว ก็ควรทำกุศลให้ถึงบุญ คือมีความฉลาด แล้วทำยังไงที่เราจะลดตัวลดตนของเรา สลายตัวตนของเรา ทำกุศลให้ถึงบุญ ไม่ใช่ว่า ตั้งใจทำกุศลโดยไม่ได้คำนึงถึงคนรอบข้าง ฟังดูแล้วก็ทรมานกันพอสมควรที่ต้องไปเข้าแถวนานขนาดนั้น ในการจะแสดงความคารวะความอาลัยต่อพระโพธิสัตว์ อันเป็นที่รักของประชาชนชาวไทย
ก็เห็นน้ำตาของอีกประเทศคือพวกโรฮิงยา ที่ประเทศพม่า ถูกพม่าถล่มต้องหนีตายไปอยู่บนภูเขา มีคนหลายหมื่น เจ้าหน้าที่สหประชาชาติรับมือไม่ไหวกันเลย เราก็นึกไม่ออกว่า อนาคตไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ประเทศไหนก็ไม่รับ จากคนที่เคยเจอสภาพอย่างนั้น กับคนในประเทศไทยที่มีสภาพอย่างนี้ ก็เป็นกรรมที่จำแนกให้ชีวิตของแต่ละคนเจอสภาพอย่างไร ชีวิตเราหากมีโอกาสจะสร้างกรรม ที่เป็นกุศลจนถึงบุญได้ เราก็มีพ่อครูมาให้สติพวกเรา ไม่ให้เจอสภาพแบบนี้
พ่อครูว่า…มีผู้ให้อาตมามาโฆษณาก่อน …
ประกาศถึงนิสิต วิชชารามนาวาบุญนิยม(ว.นบ) .... จะมีการสอบวิชาการ ของ ว.นบ. ก่อนออกพรรษา ของนิสิต ว.นบ. ในวันอังคารที่ 26 กันยายน นี้ สอบเวลา 18.00 -19.30 น. ที่ ชั้น 1 เฮือน 00 ที่บวรราชธานีอโศก นิสิต คนไหนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่หากประสงค์จะร่วมสอบด้วย กรุณากลับเข้าพื้นที่เพื่อมาสอบ เป็นการวัดผลในช่วงเข้าพรรษานี้ ... สมณะสิกขมาตุ ที่ดูแล ว.นบ.
เชิญร่วมกิจกรรมค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
ครั้งที่ 20 ณ บวร ราชธานีอโศก ศุกร์ที่ 22 - อาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2560
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่ายโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ (จะมาเต็มค่ายหรือไม่ก็ได้) สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ โทรฯ 091-5063130(สิกขมาตุตรงธรรม) คุณชญาดา 087-4437865
ดาวโหลดใบสมัครส่งใบสมัคร onlineได้ที่เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP
อโศกเราประกาศจัดอบรมธรรมะ คนก็มาน้อย แต่น้อยอย่างไร อาตมาก็ต้องทำต่อ แม้จะต้องยัดเยียดก็ตาม เพื่อให้เหลือเชื้อแท้ของศาสนาพุทธ เพราะไม่มีใครจะทำแล้ว คนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในสังคมก็ไม่แล้ว หมดจากท่านพุทธทาสไป ก็ไม่มี
ท่านพุทธทาสพยายามเอาเนื้อหาโลกุตรธรรมเนื้อแท้ศาสนาพุทธ มาประกาศเผยแพร่ จากนั้นมาไม่มี จะมีอยู่บ้างก็ มีแต่ปริยัติมีแต่คำพูดมีแต่ภาษาเท่ๆ แต่ก็ไม่ได้ตั้งจิตตั้งใจเอาจริงเอาจัง นอกนั้นออกนอกรีต เป็นจารีตประเพณีที่ปรุงแต่งให้ศาสนาพุทธเสื่อมหนักเข้าไปเรื่อยๆ เสื่อมเพราะจารีตประเพณี
อาตมาไม่ได้ตีทิ้งจารีตประเพณีนะ แต่เขาปรุงแต่งจารีตประเพณีให้เลอะเทอะ ต้องมีงานใหญ่ปลุกเสกพระเครื่อง ต้องมีกฐิน ทอดผ้าป่าผสมยำเละ จนไม่เหลือเชื้อของคุณค่าศาสนาพุทธ มีแต่มอมเมาด้วยกิเลสกันเต็มไปในประเพณีจารีตเหล่านั้น ใส่กิเลสเข้าไปเต็มเบ้า แต่ละจารีตประเพณี นี่เป็นเรื่องที่น่าสังเวชใจของศาสนาพุทธ
SMS 600917 รายการวิถีอาริยธรรม
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน สมองกับจิตเป็นอย่างเดียวกันไหม
_1614 จิตกับกาย อะไรเป็นแก่นแท้ของเรา แก่นแท้ของความเป็นคนอยู่ที่จิตค่ะ
กายไม่สามารถกำหนดจิตได้หรอกค่ะ จิตไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกับสมอง ใช่ไหมคะ
ตอบ…จิตกับสมองคนละเรื่องกัน สมองเป็นอวัยวะ อวัยวะทั้งหมดในร่างกาย เรียกว่าอาการ 32 ของพระพุทธเจ้านี่คืออวัยวะ แต่ข้างนอกไม่เข้าใจละเอียด ที่จริงเข้าใจบ้าง อย่าง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็เป็นอวัยวะทั้งนั้น
อวัยวะหรืออาการ 32 ก็คือกายทั้งนั้นแต่มันอยู่ภายใน ท่านถึงให้มาศึกษากรรมฐาน 5 ที่มันอยู่ภายนอก ผมขนเล็บฟันหนัง กรรมฐาน 5 ให้มาศึกษาความเป็นกายกับความเป็นจิต แยกกายแยกจิต ลึกซึ้งมาก เรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีใครเอาเรื่องกายมาพูดกันละเอียดละอออย่างที่พูด ในวงการศาสนาไม่มี
กายไปเข้าใจอย่างตื้นว่า กายหมายถึงดินน้ำไฟลม ไม่มีจิตร่วมด้วยนี่คือความหมายที่เข้าใจกันอย่างนี้ในศาสนาพุทธทั่วไป จึงผิดไปเลย จึงปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธไม่บรรลุธรรม เพราะคำว่ากายกับจิตคือรูปกับนาม หรือแม้แต่คำว่ากาย ก็คือจิต ถ้าไม่มีนามก็จบเลย
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
ภาษาบาลีไม่มีคำว่าร่าง มีแต่คำว่า กาเย หรือกาย แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง เข้ามาหาข้างในเลย แต่ทั่วไปเข้าใจว่าแค่ภายนอก จึงจบเห่เลย เมื่อเข้าใจผิดทิศทางก็เลยปฏิบัติไปคนละทิศทางเลยคือความเสื่อมของศาสนาพุทธ
กายไม่ใช่สมอง สมองคืออวัยวะ แต่สมองนั่นแหละคือสิ่งที่ให้จิตมโนวิญญาณทำงาน คือสมองเป็นอุปกรณ์ให้จิตมโนวิญญาณทำงาน
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ทำไมพ่อครูต้องชื่อรัก
_2166 ผมเคยฟังท่าน ว. เทศน์ มีช่วงหนึ่งท่านได้เอ่ยชม หลวงปู่พุทธทาส ท่านอาจารย์มั่น ท่านประยุทธ ท่านหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ว่าเป็นบุคคลที่มีคุณค่า (บรรลุธรรม) ท่านไม่เอ่ยชื่อหลวงพ่อโพธิรักษ์ สักเอ๊ะเลย อยากถามหลวงพ่อว่าท่าน ว.ท่านเคยมาสันติอโศกหรือเปล่าครับ? รู้จักกับหลวงพ่อหรือเปล่าครับ แต่ผมเคยเห็นท่านเคยไปออกรายการกับท่านจันร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงปู่ติชนัทฮันห์ ท่านชมมากๆๆๆๆ?
พ่อครูว่า...เถรสมาคมจัดอาตมาอยู่ในพวก Untouchable คือห้ามแตะห้ามยุ่ง ห้ามสัมผัส ในประเทศอินเดียหมายถึงคนในวรรณะจัณฑาล จัดเป็นบุคคลที่ Untouchable ขยะแขยง แต่ Untouchable ก็หมายถึงสิ่งสูงสุดที่ยกไว้ห้ามไปแตะต้อง
ถ้าคนมีปัญญารู้ว่า สิ่งนี้เป็น Untouchable เป็นสิ่งที่หมายถึงต้องยกไว้ เช่น พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องเกินวิจัยวิจารณ์ ถ้าเรียนรู้ได้ก็เรียนรู้เท่าที่จะมีภูมิรับได้ แต่อาตมานี่ เขาถือเป็นสิ่งที่ต่ำสุด ตีทิ้งเลย
ท่านไม่เอ่ยชื่อหลวงพ่อโพธิรักษ์เลย อยากถามว่าท่านว.เคยมาสันติอโศกหรือไม่
พ่อครูว่า...ไม่เคยรู้จักกัน ท่านอาจไม่เคยรู้จักอาตมา แต่ท่านก็เป็นคนที่รู้กว้างรู้รอบก็น่าจะพอรู้บ้าง แต่ท่านก็คงจะจัดอาตมาไว้เป็นพวกที่ Untouchable ก็คงหมายถึงไม่ได้อยู่ในเชิงสูงแต่คงจัดไว้ต่ำไม่แตะ
ท่านมีจริตไปในทางท่านติชนัทฮันห์
ขอวิจารณ์นิดนึง
ในเชิงความรู้ของศาสนาพุทธ เข้าใจกันไปหลายแง่หลายเชิง ถ้าจะว่าก็มีทิฏฐิ 62 พระพุทธเจ้าท่านก็ว่ามีทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 ที่ยืนยันไว้ใน ทิฏฐิ 62 ด้วย แต่มันละอียดที่ว่า การนั่งหลับตาก็มี ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 คือ กาม และฌาน 1 2 3 4 นั่งหลับตาก็มีอันนี้ได้ ลืมตาก็มีอันนี้ได้ โดยเฉพาะ ฌาน 1 2 3 4 นั้น ของพระพุทธเจ้า คือฌานลืมตา
เพราะฉะนั้นของพระพุทธเจ้าจึงลืมตา เป็นทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 โดยปฏิบัติลืมตา ให้ลดกามคุณ 5 นี่แหละ ฌาน 1 2 3 4 ก็ไปหานิพพาน
แต่นั่งหลับตาไปหาความพาล ความโง่ เลอะเทะ เกเรเกตุงเลย
ท่านเป็นนักศึกษา รับเป็นนักธรรมะนะท่านยังหนุ่มแน่น ตอนนี้ก็ยังหนุ่มอยู่ ไม่รู้อายุถึง 40 หรือยัง ท่านก็เป็นตัวจักรของธรรมะของพุทธศาสนาในเมืองไทยกว้างขวางในวงการเหมือนกัน
สมณะเดินดินว่า..พวกเราก็คงไม่ได้คาดหวังว่าใครจะมาชม พ่อครู คนชมได้ถือว่ามองทะลุเจ้าเงาะเห็นสังข์ทองข้างใน พ่อครูกำหนดหมายว่าเป็นพญาแร้ง
พ่อครูว่า...อาตมาเกิดมาชาตินี้เป็นพญาแร้งเป็นสิ่งที่ Untouchable เขาน่าเกลียดจริงๆ ไม่ใช่สิ่งน่ารักของสังคมเลย คนที่รักอาตมาได้ ต้องเยี่ยมยอดถึงจะรัก ต้องมีดวงตา ต้องมีปัญญา ต้องมีภูมิธรรม ถึงจะรัก ถ้าไม่เช่นนั้นเขาก็จะเฉยๆ ถ้าไม่มีจิตใจอะไรแรงนะ ถ้ามีจิตใจแรงก็จะเกลียดชัง ถ้าไม่แรงก็เฉยๆ ไม่รักไม่ชัง มันก็มีหลายระดับ คนที่มีความรู้สึกกับอาตมามีหลายระดับ ระดับเฉยๆ ก็มี จะเป็นอย่างไรก็เรื่องของท่าน แต่พวกไม่เฉยว่าจะบ้าหรือเปล่าก็มีเยอะ โดยเฉพาะในวงการศาสนา ก็นึกอย่างนั้น ส่วนพวกไม่เอาเรื่องเอาราวไม่รู้จักเลยก็มีเยอะ อ๋อมีชื่อนี้คนนี้ในโลกก็มีหรือ ในคนไทย ทั้งที่อาตมาแสดงตัวขนาดนี้ ถ้าคนไม่หูหนาตาเล่อก็คงรู้ แต่คนไม่เอาใจใส่ศาสนาเลยก็จะไม่รู้ ผ่านตาก็ว่าพระแปลกแต่ไม่รู้จักชื่อเรียงเสียงไร ไม่ต้องพูดถึงว่าได้พูดอะไรไปบ้าง
อาตมามาชาตินี้เป็นตัวที่คนชัง อาตมาจึงได้ชื่อรัก โดยที่อาตมาไม่ได้คิดว่าจะต้องมาตั้งชื่อตัวเองว่า รัก ที่จริงอาตมาตั้งชื่อตัวเองว่ารักนะ ไม่ใช่ชื่อที่พ่อแม่ตั้งมา ชื่ออาตมาสมเด็จพระมหาวีรวงศ์เป็นคนตั้งให้ว่าชื่อ มงคล นามสกุล รักพงษ์ แต่อาตมาก็เอาคำว่ารักในนามสกุลมาตั้งเป็นชื่อรักก็เลยชื่อ นายรัก รักพงษ์ ก็ต้องถ่วงไว้หน่อย เกิดมาชาตินี้คนจะชังมากกว่ารัก ถ้าอาตมาไม่มาบรรยายหรือทำงานศาสนาก็ทำงานอยู่กับโลก เป็นโฆษกโทรทัศน์ ก็จะมีคนที่เป็นแฟนคลับ แต่ไม่มีชังถึงอย่างนี้แน่นอน แต่เมื่อเลิกจากทางโน้นมาทางนี้ ก็ชังอาตมาหนัก เพราะเป็นเรื่องของศาสนาเป็นเรื่องสัจธรรม เป็นเรื่องที่ลึกและยิ่งใหญ่ ต้องมีการชอบและชังหนักกว่าปกติ
อาตมาก็จำนน ไม่รู้จะทำอย่างไร มีใครหรือที่อยากให้คนมาชัง แต่มันต้องพูดสิ่งที่บาดหัวใจเขา สิ่งที่มันไปเจาะลึกถึงความเป็นจริงของเขา เพราะคนมีกิเลสมากหนึ่ง สองคนเข้าใจผิดในศาสนาพระพุทธเจ้าอีกหนึ่ง 2อันนี้เขาก็ยึดธรรมะที่เขาเข้าใจผิดว่าถูก อาตมาไปแตะเข้า เขาก็ด่าว่าวิจารณ์หนัก ว่ามันไม่ได้ประโยชน์ลงนรกด้วย เขาเอาสวรรค์นิพพานนะ ธรรมะที่เขามีบอกว่าไปนิพพานแต่อาตมาบอกว่าไปนรก มันจะอย่างไร อาตมาพูดด้วยความจริงใจเห็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใส่ความ หรือข่มเล่นนะ เขาเข้าใจผิดลงนรกหนัก ลึกด้วย เป็นนรกที่ปลอมแปลงธรรมพระพุทธเจ้า คือนรกหนัก มันปลอมนรกทำนรกหนักเข้าไปใหญ่เลย
อาตมาจึงได้พยายามเตือนมาก เช่นคำว่า กาย มีคนถามมาว่า
สื่อธรรมะพ่อครู(วิโมกข์ 8 สัตตาวาส 9) ตอน สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายหมายถึงอะไร
_สาคร เวียนตระกูล หนังจะนับว่าเป็นกายไหมครับ? น้ำปัสสาวะที่ยังอยู่ข้างในนับว่าเป็นกายไหมครับ?
_คุณสิริกาญถามว่า สัมผัสวิโมกข์8ด้วยกายหมายถึงอะไรคะ
พ่อครูว่า...ในวงการศาสนาพุทธไม่มีใครพูดเรื่องกายกันเลย แล้วอาตมามาพูดเขาก็จะหาว่าบ้า วิจารณ์คำว่ากายอย่างหนัก แต่ถ้าคุณเข้าใจคำว่ากายผิด อยู่ไปปฏิบัติก็เสียเปล่า ถ้าเข้าใจว่ากายคือดินน้ำไฟลม อย่างเดียว ปฏิบัติไปก็ไม่ได้ผล
คำว่าสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ถ้าใครไม่มีวิโมกข์ ก็ปฏิบัติธรรมไม่รู้รูปนาม รูปนามก็คือกาย คำว่า สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คุณจะต้องปฏิบัติธรรมมีวิโมกข์ทั้ง 8 แล้วย้ำคำว่าสัมผัส วิโมกข์ 8 ก็มีตั้งแต่
1. ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ)
2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อท.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อท่านแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
4. ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา(พ้นรูปฌาน)
5. ผู้ที่ล่วงพ้นอากาสานัญจายตนะ
6. ผู้ที่ล่วงวิญญาณัญจายตนะ
7. ผู้ที่ล่วงพ้น อากิญจัญญายตนะ
8 .ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ
คนที่มีรูปฌานก็ต้องสัมผัสกับภายนอก แม้แต่อรูปฌานก็ต้องสัมผัสภายนอก แล้วมี อรูปฌาน ที่สุดสัญญาเวทยิตนิโรธก็ต้องลืมตาปฏิบัติ เข้าใจเวทนา 108 แต่เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจกันแล้วไปนั่งหลับตากัน แต่ฌาน สมาธิ ของพระพุทธเจ้าไม่มีนั่งหลับตาปฏิบัติ
ว.วชิรเมธีอายุ 44 ปี อายุห่างจากอาตมา 40 ปี
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ยังเป็นหนี้อยู่จะมาอยู่วัดได้ไหม
_0931 ผมเป็นคนพิการขาขาดแต่ขาเทียมจบช่างไฟฟ้าจะไปอยู่วัดได้หรือเปล่าจบปวช มีหนี้25000
พ่อครูว่า...ถ้าบอกว่าไม่มีหนี้ก็ว่ามาได้เลย แต่ถ้ามีหนี้ก็มาไม่ได้หรอก เพราะมาที่นี่เขาอยู่ปฏิบัติธรรมทำงานฟรี อาตมาทำเป็นชุมชน เป็นบ้านวัดโรงเรียนเป็นสาธารณโภคี เข้ามาอยู่ในนี้ก็ต้องทำงานฟรีไม่มีรายได้ แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปใช้หนี้ ก็ต้องใช้หนี้ให้ครบก่อนจึงจะเข้ามาได้ แม้จะขาเทียมมา ที่นี่ก็มีคนขาเทียม ข้างเดียว
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำจิตให้เบิกบานทำอย่างไร
_3090 ขอกราบเรียนถามว่าจะทำจิตให้เบิกบานได้อย่างไรครับ
พ่อครูว่า...ง่ายจะตายคุณจะไปเศร้าทำไม ก็เบิกบาน เบิกบานง่ายจะตาย
อาตมาเอง อาตมาบอกตรงๆเลยนะ อาตมาพูดให้ฟังเลยนะ ใครจะหมั่นไส้ก็แล้วแต่ ตั้งแต่เกิดมา อาตมารู้เข้าใจคำว่าเศร้าโศก แต่งเพลง แต่งนิยายเศร้าได้ รู้จักความรู้สึกเศร้า แต่อาตมาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเศร้าเลย ในชีวิตนี้ยังไม่เคยเศร้าเลย ชีวิตคนเศร้านี้น่าเห็นใจ เข้าใจตามสามัญสำนึกนะ แต่ตัวที่จะโศกเศร้านั้นนึกไม่ออกไม่เคยมีเลย จะมาเศร้าสร้อยพิรี้พิไรอะไรบ้าง ไม่เคยเลยในชีวิตนี้ ตอนเป็นฆราวาสก็ไม่เคย ไปนั่งเศร้าสร้อยพิรี้พิไร แต่ความเข้าใจนั้นเข้าใจนะว่าความเศร้าโศกของมนุษย์เป็นอย่างไร แต่ตัวเองไม่เคยมีความเศร้าโศกอะไร ก็เป็นคนสบายสบายเบิกบานร่าเริง เล่นๆ เห็นคนเศร้า บางทีก็ไป ยั่วยุเขา แต่บางทีก็ไม่กล้าก็ทำตามควร
สรุปแล้วเบิกบานร่าเริง ได้อย่างไร คุณจะต้องมาเรียนรู้การปฏิบัติธรรม ที่อาตมาพูดนี้เป็นอจินไตย อาตมามีมาแล้วในปางก่อน ไม่ได้มีความโศกเศร้ามาแล้ว แม้มาในชาตินี้ เป็นเรื่องอจินไตย ทำไมอาตมาต้องตั้งชื่อกลุ่มชุมชนของเราว่าอโศก คือไม่โศกเศร้า ก็เพราะอาตมาเป็นคนไม่โศกไม่เศร้า จึงต้องมาเกิดชื่ออโศก มันจะต้องลงตัว ถ้าไม่ลงตัวมันไม่ใช่ อาตมาเคยพูดแล้วเป็นเรื่องสัจธรรม จะลงตัวต้องมีชื่อนี้ รูปนี้นามนี้ลงตัวเป็นฝากับตัว ไม่ลงตัวมันไม่ใช่ ถ้ามันใช่จะต้องลงตัว ฝากับตัว รูปกับนามต้องรวมตัวกัน เป็นเรื่องอจินไตย ที่อาตมาชัดเจนและใช้อยู่ สรุปแล้วต้องปฏิบัติธรรม
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน โสดาบันเห็นค่าของชีวิตมากกว่าวัตถุ
_1614 เห็นค่าของวัตถุมากกว่าสิ่งมีชีวิต เป็นได้แค่สมมติสงฆ์ อย่าพูดถึงบรรลุโสดาบันเลย
พ่อครูว่า...อันนี้จริง คนที่บรรลุโสดาบันนั้น ศีลข้อ1 จะชัดเจนสำนึก จะเห็นค่าของชีวิตไม่มากก็น้อย จะไม่เหมือนปุถุชนที่ไม่รู้ค่าชีวิตสัตว์เล็กสัตว์น้อย ฆ่าได้ง่ายๆหมด ไม่เห็นค่าชีวิต แต่โสดาบันเป็นต้นไปจะรู้แล้ว จะมีสติสัมปชัญญะ จะรู้ นอกจากขาดสติทำให้ตายก็จะรู้ว่าเราศีลขาดๆ โสดาบัน จึงต้องปลงอาบัติทำคืนเป็นปาจิตตีย์ ทำให้สัตว์ตายโดยไม่เจตนา
_สาคร เวียนตระกูล หนังจะนับว่าเป็นกายไหมครับ? น้ำปัสสาวะที่ยังอยู่ข้างในนับว่าเป็นกายไหมครับ?
_คุณสิริกาญถามว่า สัมผัสวิโมกข์8ด้วยกายหมายถึงอะไรคะก็จะได้อธิบายวิชาการอันนี้เลย
_มีของคุณอโศกสัมปวังโกว่า...เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พ่อครูได้พูดถึงคำว่ากระบวนทัศน์ เป็นคำที่อาจารย์โสภณใช้บ่อยมากในรายการกฎธรรมชาติของโสภณ อ.โสภณ ได้ให้คำจำกัดความว่า เซ็ตของความคิด หรือชุดของความคิด และอ.โสภณได้ยกมาเป็นหลักการแก้ปัญหาความรุนแรงของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้คำแนะนำแก้ปัญหาไว้ว่า “จุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหา เราจะต้องเรียนรู้และเข้าใจ เซ็ตของความคิด ของผู้ที่มีความเชื่อ หรือนับถือศาสนาที่แตกต่างจากเราเสียก่อน ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างถูกจุด”
คำแนะนำดังกล่าวเป็นคำแนะนำที่ พ่อครูเห็นด้วยมากน้อยเพียงไหน และจะให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมอย่างไร
พ่อครูว่า...ในเชิงกว้าง สำหรับคุณโสภณกับอาตมา กว้างถึงการเมือง การบริหาร สังคม อาตมาสู้คุณโสภณไม่ได้ คุณโสภณได้ผ่านมาจริงๆ แต่อาตมาได้มาบริหารภายในกลุ่มของอาตมา เป็นการแคบเข้ามาหาเนื้อแท้ จะใช้คำว่า set ของความคิดนี้ก็ได้ อาตมามีชุดของความคิดแคบกว่าคุณโสภณที่มีsetของความคิดกว้าง
แต่อาตมาบอกคุณโสภณ กว้างกว่าของอาตมาก็ได้ ของอาตมาเข้าหาเนื้อแก่นของศาสนาจึงเป็นคนละทิศทาง อาตมาก็มิบังอาจจะไปแนะนำได้เพราะเป็นคนละหน้าที่
_พ่อครูเคยให้คำพูดว่า “คนที่เป็นโรคเดียวกันรักษากับหมอคนเดียวกัน ใช้ยาขนานเดียวกัน ใช้วิธีการรักษาแบบเดียวกันคนนึงหายใจคนนึงไม่หาย ทั้งนี้ก็เพราะว่าองคาพยพของแต่ละคนไมเ่หมือนกัน” เข้าได้กับลางเนื้อชอบลางยาหรือไม่ และเข้ากับการแพทย์ทางเลือกที่ว่าร้อนเย็นหยินหยางกรดด่าง ธาตุดินน้ำลมไปพิการหรือไม่?
พ่อครูว่า...ที่อาตมาพูดว่า องคาพยพของคน แต่ละคนต่างกันหมดไม่เหมือนกันหรอก องคาพยพคืออาการ 32 ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จนไปถึงข้างในทั้งหมด ไล่ไปทั้ง 32 นั่นแหละ ทวัตติงสาการอาการ 32 ของพระพุทธเจ้าอวัยวะทุกองคาพยพ
คนตายไปแล้วไม่มีกาย แต่ว่า คนที่ตายไปแล้วยังมีพลังงานยึดถือก็จะทำให้ร่างนี้ไม่สลายไป เป็นพีชะได้ แต่คนที่ยึดไว้และอยากฟื้นหากมีพลังงานพอก็ฟื้นมาได้ วิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ช่วยได้
ในองค์รวม องค์ประชุมของกาย กายคือองค์ประชุมของรูปนาม จึงไม่มีอะไรเท่ากัน ไม่มีอะไรเสมอสมานกัน
การเป็นโรคคือความไม่สมดุลของอวัยวะเจ้าการ อาการ 32 ไม่สมดุลก็เจ็บป่วย แม้แต่ธาตุร้อนเย็นไม่สมดุลก็เจ็บป่วยแล้ว
การรักษานั้นที่อาตมาว่า คนที่เป็นโรคเดียวกันรักษากับหมอคนเดียวกัน ใช้ยาขนานเดียวกัน ใช้วิธีการรักษาแบบเดียวกันคนนึงหายใจคนนึงไม่หาย ทั้งนี้ก็เพราะว่าองคาพยพของแต่ละคนไมเ่หมือนกัน โดยเฉพาะจิตที่ยึดต่างกัน ก็ยิ่งไม่หายง่าย ไปกันใหญ่
สื่อธรรมะพ่อครู(วิโมกข์ 8 สัตตาวาส 9) ตอน สัมผัสวิโมกข์ด้วยกายในบุคคล 7
กลับมาสู่คำว่า กาย ในศาสนาพุทธ ถ้าอาตมาไม่เกิดมา คำว่ากายก็จะไม่เอามาพูด และจะไม่เห็นความสำคัญของคำว่ากาย ก็ปฏิบัติกายคือองค์ประชุมของรูปนาม คุณจะไม่มีความรู้ในศาสนาพุทธบริบูรณ์ อาตมาว่า ถ้าเข้าใจสักครึ่งก็เป็นศาสนาพุทธครึ่งใบ แต่นี่ไม่เหลือครึ่งแล้ว ไม่ใช่ศาสนาพุทธครึ่งใบในทุกวันนี้ในไทย เสี้ยวหนึ่งก็ยังยาก เพราะคำว่า กายนี่เขาจะไม่รู้เรื่องเลย
กายเป็นภาษาธรรมะ แม้แต่ในบาลีเอง ถ้าเป็นนักธรรมะในอินเดียเขาใช้ภาษานี้ก็ต้องรู้คำว่ากายหมายถึงอะไร ก็จะเข้าใจกายผิดว่า เป็นดินน้ำไฟลมเหมือนกับคนไทย แต่ถ้าเข้าใจโลกุตระ กายหมายถึงดินน้ำไฟลมด้วย แต่หลักๆ แม้แต่ในพจนานุกรมบาลี เกือบทุกเล่มเท่าที่อาตมาพบ กายเขาก็ยังแปลว่า หมวดหรือกองของเจตสิก สาม คือ เวทนาสัญญาสังขาร กายคือองค์ประชุมของ เวทนาสัญญาสังขาร ในพจนานุกรมแปลเช่นนี้
แต่ทุกวันนี้โดยสามัญสำนึก เขาเข้าใจว่ากายคือดินน้ำไฟลม แต่พอเข้าหาตำราพระพุทธเจ้าแล้วกายเป็นเรื่องของจิต อาตมาว่าชาวอโศกจะเข้าใจได้ดี แต่นอกนั้นต่อให้จบเปรียญ 18 คือจบเปรียญ 9 สองเที่ยว มีสังฆราช สา จบเปรียญ9 ตั้งแต่เป็นเณร แต่ไม่มีหลักฐานก็เลยเรียนใหม่เป็นเปรียญ9 อีกเที่ยวก็เป็นเปรียญ 18 เรียกสังฆราช สา ต่อให้เรียนเปรียญ 9 เปรียญ 18 จะไม่ชัดเจนในคำว่ากาย
อาตมาเอามาจากพระไตรปิฎกไม่ได้พูดเอง คนเจ็ดจำพวก
สายศรัทธา
1. สัทธานุสารี . >
3. สัทธาวิมุติ . >
5. กายสักขี . >
สายปัญญา
2. ธัมมานุสารี .
4. ทิฏฐิปัตตะ .
6. ปัญญาวิมุติ . .
(มีวิโมกข์ 8 มาตลอด)
ถ้าปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิ สายศรัทธา เมื่อปฏิบัติไปเป็นกายสักขี
[42] บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า “กายสักขี”
กตโม จ ปุคฺคโล กายสกฺขี อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล อฏฺฐ วิโมกฺเข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ ปญญาย จสฺส ทิสฺวา เอกจฺเจ อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล กายสกฺขีฯ
คนระดับที่ 5 นี้ต้องรู้จักกาย และสัมผัสกาย สัมผัสกายมีกายสักขี อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอาสวะบางอย่างของผู้นั้นสิ้นไปได้บ้าง แต่ต้องมีปัญญา ปัญญาะจะเกิด ต้องมีสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าไม่สัมผัสก็ไม่ได้ จะบรรลุ อาสวะบ้างอย่างสิ้นก็ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คนนั่งหลับตาปฏิบัติจึงหมดทางที่จะดับอาสวะได้ตลอดกาลนาน
หลับตาปฏิบัติไม่มีคำว่ากาย ไม่มีทางปฏิบัติที่จะหมดอาสวะได้เลยสักอย่าง พระพุทธเจ้าจึงต้องกำชับไว้ว่า จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
กายสักขี ในพระไตรปิฎก แปลว่าผู้เป็นพยานในนามกาย
นามกาย ก็คือทางจิต แล้วการบรรลุดับอาสวะบางส่วน ก็ต้องเป็นผู้มีกาย เพราะฉะนั้น นามกายจะดับบางส่วน ต้องประจักษ์ด้วยตัวเอง ต้องปฏิบัติสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะมีกายสักขี อาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายถึง ผู้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้นไป ปฏิบัติเพื่อเป็นอรหัตตมรรค หรือได้อรหัตตผลเป็นปัญญาวิมุติ
สายปัญญานี้ถูกต้องหมดจะต้องมีสัมผัสภายนอกด้วย แต่สายศรัทธานี้ไม่ค่อยจะมีสัมผัสภายนอกในการปฏิบัติ
ท่านก็แปลว่า ผิดๆ
ปัญญาวิมุติ...[41] บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า “ปัญญาวิมุติ”
(กตโม จ ปุคฺคโล ปญญาวิมุตฺโต อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล น เหว โข อฏฺฐ วิโมกฺเข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ ปญญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล ปญญาวิมุตฺโต ฯ)
หมายถึงว่า บุคคลผู้นี้ไม่ต้องสัมผัสอีกเพราะท่านได้ทำมาตั้งแต่ต้นจนจบแล้วในการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่คนที่ไม่มีสภาวะก็แปลกันตื้นๆว่า ผู้มีภูมิปัญญาวิมุตินี้ไม่มีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่ปัญญาวิมุตินี้สูงกว่ากายสักขี เป็นผู้ดับอาสวะทุกอย่างสิ้นไปแล้ว ไม่ใช่ดับได้บางอย่างเหมือนกายสักขี ปัญญาวิมุตินี้สูงกว่ากายสักขี
กายสักขี...[41] บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า “ปัญญาวิมุติ”
(กตโม จ ปุคฺคโล ปญญาวิมุตฺโต อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล น เหว โข อฏฺฐ วิโมกฺเข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ ปญญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล ปญญาวิมุตฺโต ฯ)
อาสวะบางอย่างดับได้ ก็แปลว่า ผู้ที่แม้กายสักขีก็ต้องมีสัมผัสวิโมกข์8ด้วยกาย ด้วย
แต่เขาเข้าใจผิดเพี้ยนไปหมด อาตมาชาตินี้มาฟื้นคืนความถูกเหล่านี้ถ้าอาตมาไม่มาเกิดไม่มาอธิบาย ความรู้เหล่านี้ก็หายไปหมดแล้ว ผู้ที่มีความรู้ในศาสนาก็ไม่ได้ธิบายกัน
โลกุตรธรรม มี 37 ขึ้นต้นด้วย กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ไปจนถึง
1. สติปัฏฐาน 4 . สติตรวจสอบจิตให้บริสุทธิ์
2. สัมมัปปธาน 4 . ยุทธวิธีเพียรทำลายกิเลส
3. อิทธิบาท 4 ทะยานยันไปสู่ความสำเร็จ
4. อินทรีย์ 5 . สั่งสมเป็นกำลังธรรมของจิต
5. พละ 5 . ขุมกำลังธรรมะของจิต
6. โพชฌงค์ 7 . การก้าวเดิน..สู่การตรัสรู้
7. มรรคมีองค์ 8 ทางเอกเพื่อเดินสู่การตรัสรู้
ถ้าไม่รู้จักกายอย่างสัมมาทิฏฐิ โลกุตรธรรมก็ไม่เกิดก็ตั้งแต่แรก เข้าใจกายในกายไม่ได้ กายในกายในสติปัฏฐาน 4
คำถามว่า กายกับจิต อันไหนคือแก่นแท้ความเป็นคน ก็ตอบว่าจิตสำคัญ แต่ต้องมีภายนอกด้วย กายต้องมีภายนอกด้วย ถ้าไม่มีสัมผัสนอกด้วยก็ไม่ใช่กาย
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน มูลกรรมฐาน 5 ถึงกายปัสสัทธิ
มูลกรรมฐาน 5 ผมขนเล็บฟันหนังพิจารณา แยกกายแยกจิตได้เหมือนกัน
เอาที่เล็บก่อน เล็บติดอยู่ที่ตัวคน เมื่อใดเป็นกาย เมื่อใดไม่เป็นกาย
การแยกมูลกรรมฐาน 5 นั้นที่เขาเข้าใจผิดกัน เขาเลยแยกกายแยกจิตว่า ผมขนเล็บฟันหนัง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ท่องบาลีท่องไทยด้วย เขาก็ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นกาย นอกนั้นเป็นจิตหมด
ถ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ แม้หมอแมะก็สัมผัสเข้าไปได้ หมอปัจจุบันก็ใช้ สเต็ทโตสโคป แต่หมอแมะเขาละเอียดกว่า แมะแค่นี้รู้ปอดหัวใจได้ แต่หมอปัจจุบันไม่รู้เท่าในอันนี้
กาย เอาเล็บมาอธิบาย เมื่อไหร่เป็นกาย เมื่อไรไม่เป็นกาย
ก่อนอื่นต้องเข้าใจกว่า กายต้องมีจิตร่วมด้วย ถ้าไม่มีจิตร่วมด้วยไม่ใข่กาย
เล็บที่ยาวออกมา ส่วนที่ตัดทิ้งไปแล้วไม่ใช่กายเราแล้ว แต่คนที่ยึดเป็นเราเป็นของเรา มันยึดว่าเป็นกายของเราเก็บไว้เสียดาย สวย เป็นของขลัง ยิ่งใหญ่อะไรก็แล้วแต่แต่ตัดแล้วไม่ใช่กาย
แต่ที่ยังไม่ตัดมีความเป็นกายด้วยไหม ที่จะไม่เป็นกายก็คือ คุณต้องรู้เรื่องนิยามชีวิต 5 อุตุ พีชะ จิต
เมื่อเล็บยาวพ้นจากปลายประสาท ปสาทรูป พ้นเขตประสาทไม่มีโคจรรูปไม่มีสิ่งเชื่อมโยงไม่มีจิตร่วมเข้ามา ไม่มีอาการจิตร่วมสิ่งเหล่านี้จึงไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ เล็บหรือผมที่ยาวออกมาตัดเท่าไหร่มันก็ไม่รู้สึกไม่เจ็บ มันไม่มีวิญญาณ หากไม่มีจิต ไม่มีวิญญาณก็ไม่ใช่กายเราแล้ว เป็นพีชนิยาม มันยังต่อเนื่องจากกายเราเป็นเพียงพีชะ ไม่มีประสาทรับร่วม จิตไม่ได้เข้าไปร่วมทำงานกับส่วนนี้แล้วตัดทิ้งได้ ไม่รู้สึกเจ็บไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ อันนี้จึงไม่ใช่กาย แต่เป็นพีชะที่ต่อเนื่องจากจิตนิยาม
ส่วนเล็บที่มีประสาททำงานหากตัดเข้าก็เจ็บ มันเป็นจิตนิยามไม่ใช่พีชะ ตรงนี้ไม่มีใครสอนกันหรอก บอกแล้วว่าถ้าอาตมาไม่มาสิ่งเหล่านี้หายไป พิจารณามูลกรรมฐาน 5 ก็หยาบๆ กายไม่เกี่ยวกับจิต เขาจะบอกว่ากายปัสสัทธิก็คืออย่าดุกดิก ร่างกายก็คือดินน้ำไฟลม อย่าเอาจิตไปรู้มัน ให้มันนิ่งเฉย เขาก็ว่าคือกายปัสสัทธิ
ในอานาปานสติ พิจารณากายสังขารให้ ปัสสัมภยังกายสังขารัง ปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบระงับ ทำกายสังขารให้สงบระงับ ปัสสัมภยังกายสังขารัง เขาก็ให้นั่งนิ่ง กายอย่าดุกดิก ปัสสัมภยังกายสังขารัง เรียกว่ากายปัสสัทธิแล้ว แต่ไม่ใช่
ของพระพุทธเจ้านั้น คุณต้องเข้าใจความเป็นกาย ที่มันมีความซ้อนของเวทนาในเวทนา ซ้อนอยู่ในจิตในจิต ซึ่งเป็นความทรงไว้ในธรรมะ ธรรมะไม่ต้องไปเอาอะไรมาก คือรวมกายเวทนาจิต ถ้ารูปนามเรามีอกุศลจิตผสม มันจะเกิดธรรมะ 2 มันจะเกิดการขัดแย้ง จะเกิดภาวะ 2 อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ ต้องเรียนธรรมะสองแล้วทำให้เหลือหนึ่ง เป็นเอกัคตาจิต เอกธรรมที่ยิ่งใหญ่นะไม่ใช่เอกจิต
ถ้าทำจิตให้นิ่งมันไม่ใช่จิตที่วิเศษที่ยิ่งใหญ่เลย คนทำเอกัคตาจิต ในขณะลืมตา จิตเป็นเอก เพราะทำให้เวทนาเจตสิก เวทนาตัวหนึ่งเก๊ อีกตัวเป็นเวทนาแท้คุณดับเวทนาเก๊ ทำให้เหลือเวทนาแท้ก็ไม่เกิดธรรมะสองแล้ว นี่คือผู้มีแต่ผู้เดียวไม่ใช่หมายถึงเอาร่างกายปลีกเดี่ยว เดี๋ยวเดียวเป็นอรหันต์ อย่างนั้นไม่ใช่หนีไปผู้เดียว ไม่มีผู้รู้ไม่มีสัตบุรุษไม่มีมิตรดีสหายดีบอก แต่ที่พูดนี้เขาไม่ฟัง หากฟังทิ้งขว้างก็ไม่รู้เรื่อง ขนาดตั้งใจฟังขนาดนี้ก็ยังไม่บริบูรณ์เลย
ต้องคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ท่านสำทับไว้เลย ว่าฟังธรรมะให้บริบูรณ์จะได้เกิดความศรัทธาที่บริบูรณ์ แล้วจึงทำการโยนิโสมนสิการได้บริบูรณ์ ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องมีโยนิโสมนสิการ หาก อโยนิโสมนสิการหรือมนสิการไม่โยนิโส ก็เลิกเลย มนสิการแต่ว่าการทำใจในใจ ถ้าคุณทำใจในใจไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่โยนิโส ที่แปลว่าถึงที่เกิด กายกลิ (กิเลส สิ่งที่เป็นโทษภัย ต่อจิต)
องค์ประชุมของกลิ หรือกาลี ตัวจิตที่เป็นกาลีกินจิตต้องทำลายตัวนี้ ถ้าทำลายตัวนี้ไม่ได้ก็ทำใจในใจไม่เป็น ทำอกุศลจิตให้ดับไม่ได้ คุณจะโยนิโสมนสิการไม่ได้หรอก
สื่อธรรมะพ่อครู(มูลสูตร 10) ตอน สัมผัสวิโมกข์ด้วยกายในบุคคล 7
มูลสูตร 10 ถ้าทำ 10 ตัวนี้ได้เก่งคุณเป็นยอดของอรหันต์
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) .ต้องมีความยินดีพอใจในการมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีฉันทะพอก็ไม่ได้ มีความยินดีพอใจอย่างพอเพียง หากไม่พอเพียงไม่ได้ผลไม่ได้ประโยชน์
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) ยังไม่ได้กล่าวถึงโยนิโสฯ แต่ต้องทำใจให้ถึงที่เกิดกิเลสในจิต ถ้าทำใจไม่ไปถึงที่เกิด ไม่ถ่องแท้แยบคาย ละเอียดลออฉลาดพอที่จะไปถึงตัวที่เกิด อกุศลจิต ก็ไม่ได้ แต่แม้คุณยินดีให้ตาย แต่มนสิการไม่รอด ไม่ถึงโยนิโสฯก็จบเลยไม่ได้อีก เมื่อจะมีมนสิการได้ต้องมีผัสสะ
3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) ผัสสะไม่ใช่เหตุในอาริยสัจที่มีตัณหาเป็นเหตุแต่ ผัสสะคือสมุทัยคือเหตุในการปฏิบัติที่เป็นสมมติสัจจะ เป็นผัสสะภายนอก ดินน้ำไฟลมรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสภายนอก โลกธรรม หากปฏิบัติธรรม ไม่มีผัสสะก็เสื่อม
4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) ต้องมีเวทนาเอามาศึกษา ตามปฏิจจสมุปบาท เมื่อมีเวทนาแล้วก็จะรู้ตัณหาคือเหตุ คืออวิชชาก็ต้องมีกิเลสประชุมในเวทนา ก็ต้องแยกเวทนา 108 ศาสนาพุทธมี “เวทนา”เป็นกรรมฐานเดียวไม่ใช่กรรมฐานอื่นใดเลย เอากสิณ 40 เป็นกรรมฐานปฏิบัติให้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) เมื่อลดกิเลสได้ จิตคุณจะสะอาดจากอกุศลจิต กิเลสจิตก็ตั้งมั่นสั่งสมลงเป็นสมาธิ เป็นตัวหลัก เป็นประมุข ต้องทำสมาธินี่แหละให้สมบูรณ์ ทำให้สะอาดจากกิเลสแล้วตั้งมั่น
6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) ...เป็นเชิงเจโต
7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด ปัญญาเป็นธาตุที่ยิ่งใหญ่อยู่เหนือ เป็นเชิงปัญญา
8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง เมื่อได้วิมุติก็เป็นอมตบุคคล
9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
ผู้ที่เป็นพระอรหันต์นั้นจะตายสูญไปเลยเป็นปรินิพพาน เป็นปริโยสานเลยก็ได้ หรือจะตายไม่สูญก็ได้ อมตบุคคลนี้จะอยู่ตลอดไปก็ได้ จนกว่าจะเป็นโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็สร้างศาสนา พระพุทธเจ้าสามารถสร้างศาสนาได้ ก็มีอยู่ 2 แบบ สัมมาสัมพุทธเจ้า กับปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน เหตุที่พระปัจเจกพระพุทธเจ้าไม่ประกาศศาสนา
ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ามีสัมมาสัมโพธิญาณเป็นของตน แต่ท่านไม่ได้ประกาศศาสนาจึงไม่ได้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็เพราะประกาศศาสนา และจะไม่มีพระพุทธเจ้า 2 องค์มาแข่งกัน ประกาศพร้อมกัน
ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาเกิด ก็ไม่มีภูมิร่วมกับพระพุทธเจ้า แต่ถ้าปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ ก็จะมาศึกษาเท่านั้น ท่านรู้ว่าเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ท่านจะไม่แสดงตัวเป็นการแข่งกับพระพุทธเจ้า
ถ้าสมมุติว่า ในยุคที่มีพระพุทธเจ้าแล้ว พระปัจเจกพระพุทธเจ้าที่มาเกิดมีภูมิธรรมเท่ากันหรือใกล้เคียงกันด้วย เมื่อมาอุบัติขึ้นมาในโลก เป็นเรื่องอจินไตย อย่าไปแสดงตัวว่า เป็นผู้ที่เป็นสัตบุรุษ ไม่เช่นนั้นจะมีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ เพราะมีภูมิเท่ากัน ดังนั้น ปัจเจกพระพุทธเจ้าจะไม่แสดงตัว ไม่เช่นนั้น ถ้าประกาศคนก็จะมาศึกษาตามก็ต้องแข่งกับพระพุทธเจ้า ไม่ต้องถึงปัจเจกที่มีภูมิเท่าพระพุทธเจ้าหรอก แม้มีภูมิน้อยกว่าก็ไม่ประกาศ จะประกาศก็ต่อเมื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ปัจเจกนั้น มีตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไปจนถึงพระอรหันต์ จากนั้นก็เป็นพระ โพธิสัตว์ไปตามลำดับ อย่างอาตมานี่ขั้นที่ 7 นิยตโพธิสัตว์ก็เป็นปัจเจกสั่งสมสัมมาสัมพุทธะไปเรื่อยๆ ตั้งแต่อรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 ก็สั่งสมภูมิของพระโพธิสัตว์ในเรื่อยๆ
สิ่งเหล่านี้ที่พูดไม่เหมือนใคร เป็นโลกุตรธรรม อาตมาจะไม่วุ่นวายกับโลกียธรรม มีแต่ด่าผู้ที่ไปเอาศาสนาพระพุทธเจ้าไปทำเละกับโลกียธรรม ไม่ไหว เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตรธรรม เรียนรู้โลกียธรรมเพื่อเลิกละลดให้หมด ไม่ติดยึด ไม่ใช่ไปมั่วกับโลกียธรรม
สื่อธรรมะพ่อครู(วิโมกข์ 8 สัตตาวาส 9) ตอน สัมผัสวิโมกข์ให้ถึงญาณ
พูดๆ แล้วเหมือนรังเกียจโลกียธรรม ที่จริงก็น่ารังเกียจน่าเบื่อระอา น่าหน่ายคลายโลกียธรรม แต่ปฏิบัติธรรมไม่จริงก็ไม่ได้จริง จิตก็ไม่เบื่อหน่ายคลายจริงไม่มีนิพพิทาวิราคะ เป็นญาณ 16 (โสฬสญาณ)
1. นามรูปปริเฉทญาณ ญาณจำแนกรู้รูป-รู้นามและ นามก็เปลี่ยนเป็น“รูป” ให้ถูกรู้อีก ว่ายึดครอง
2. ปัจจยปริคคหญาณ ญาณรู้ปัจจัยของการยึดถือ มั่น ครอบครองมั่น หลงเอารูปทั้งหลายมายึดจนเที่ยง .
3. สัมมสนญาณ ญาณรู้เห็นรูป-นามของกิเลสตัณหา ซึ่งยังวนๆ อยู่อย่างเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ไม่เที่ยง
4. (1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดกิเลส -เห็นความเสื่อมไปของกิเลส ชาติ ชรา มรณะ สุข-ทุกข์เวทนาต่างๆ
5. (2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย
6. (3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป
7. (4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ . ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย
8. (5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย
9. (6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น .(อตัมมยตา)
10. (7)ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึง . การปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้ ก็ทำซ้ำอีกจนสำเร็จยิ่งขึ้น .
11. (8)สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย
12. (9)สัจจานุโลมิกญาณ หรืออนุโลมญาณ ญาณอันเป็น ไปโดยอนุโลมต่อชาวโลก ต่อสมมุติสัจจะทั้งหลาย โดยใช้ สัปปุริสธรรม 7. ที่รู้จักประมาณสัดส่วนต่างๆ
เมื่อทำได้เร็วได้ไวเป็นเนกขัมสิตอุเบกขาได้เร็ว จิตก็จะปริสุทธา ปริโยทาตา จะมีสิ่งที่บริสุทธิ์แล้วจะมีบริสุทธิ์เสมอ แม้จะทำงานกระทบสัมผัสอยู่ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเลย ทำงานอยู่สัมผัสอยู่ก็จะทำความบริสุทธิ์ได้เสมอปริโยทาตา ขาวผ่องรอบเสมอ แล้วมุทุภูตธาตุ อาตมาเรียกจิตหัวอ่อน แต่แบบเขาว่าจิตอ่อนก็ไม่ค่อยดีแต่ที่จริงจิตใจแข็งแรงทำงานอย่างเร็วไว แววไว ทำงานก็สั่งสมมุทุ กายปาคุญญตาเป็นกายกัมมัญญตา เกิดกัมมัญตา เป็นตัวที่ 4 ของอุเบกขา เจริญขึ้น ยิ่งกาย วจี มโนแคล่วคล่องว่องไวทำงานได้คือ เนกขัมสิตอุเบกขา แต่การไปนั่งหลับตาสะกดจิต เป็นเคหสิตอุเบกขา จะไม่เกิดแบบนี้เลย ทำให้จิตนิ่งแข็ง แม้จิตก็ให้นิ่งไม่รับรู้ดับสัญญาดับเวทนา ก็ยิ่งไม่มีกายกัมมัญญตาไม่ต้องพูดถึงจิตประภัสสร จิตผ่องใสไม่มีหรอก จะผ่องใสอย่างสมบูรณ์แบบตามอุเบกขา 5 ประการนี้ไม่มี
คนไม่มีความรู้เรื่องของฌานสมาธิ แม้เรื่องเจตสิกอุเบกขา ไม่รู้แล้วเอามาพูดมันจึงได้เสื่อมเสียและผิดเพี้ยนไปหมด ศาสนาพุทธเศร้าหมองไปหมด เพราะไม่ได้ทำผลอันสมควรก่อน ไม่ได้เรียนรู้ให้ปฏิบัติจนบรรลุก่อนแล้วค่อยสอนผู้อื่นศาสนาจึงได้มัวหมอง ธรรมะจึงได้มัวหมอง
_(คุณอู๊ดถามว่า ถ้าหากว่ากลางวันเราปฏิบัติแบบลืมตา แล้วตอนมืดค่ำแล้วก็ปฏิบัตินั่งหลับตาจะสอดคล้องกันไหม )
พ่อครูว่า...จะไปยากอะไร ลืมตานี้ควบคุมจิตได้ยากกว่าหลับตา หากเรียนรู้ควบคุมจิตในตอนลืมตาได้ ตอนไปหลับตาจะไปยากอะไร การนั่งสมาธิจะไม่ได้ควบคุมอะไรกับตาหูจมูกลิ้นกาย การเลี้ยงวัว 5 ตัว กับเลี้ยงวัว 1 ตัวอะไรยากกว่ากัน หากมีสัมมาทิฏฐิแล้วจะนั่งหลับตาก็ได้ แต่อย่าไปเข้าใจว่านั่งแล้วดับกิเลส นั่งหลับตาดับกิเลสไม่ได้หรอก จะต้องมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายต้องมีรูป ต้องมีอัชฌัตตัง มีพหิทา มีสัมผัสภายนอกมีสัมผัสภายในด้วย ต้องตีความให้แตก ท่านไม่ได้ตัดลัดเอาข้อใดข้อหนึ่ง ในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 มีทั้ง อัชฌัตตังอรูปสัญญีเอโก พหิทารูปานิปัสสติ
ท่านละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าให้หมดกิเลสจากนอกก่อน แล้วล้างกิเลสในรูปภพ แล้วต่ออรูปภพอีก ในกามตัณหาก่อนแล้วไป ภวภพ(รูปภพ,อรูปภพ) ก็เหลือแต่วิภวภพ คือไม่มีภพแล้ว
ขอยืนยันว่า ถ้าอาตมาไม่มาเกิดยุคนี้ อย่าหวังเลยจะได้ยินคำอธิบาย สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ก็จะอยู่แต่ในพระไตรปิฎก ก็มีอธิบายในบุคคล 7 ประเภท แล้วก็มีที่อื่นบ้าง คนศึกษาธรรมะ แต่ไม่รู้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
วิโมกข์เขาก็เข้าใจว่าอยู่ภายใน แต่ให้สัมผัสดัวยกาย เขาก็จะงงมาก เพราะคำว่ากายเขาไม่รู้เรื่องเลย การสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายให้รู้ว่ากายนั้นมีภายใน แต่ไม่ทิ้งภายนอก ยากตรงนี้แลหะ กายต้องมีการสัมผัสธรรมะ 2 ถ้านั่งดับทิ้งกายไม่มีภายนอกแล้ว ผิดตั้งแต่ต้นทาง
พูดไปแล้วก็ยังยากที่จะเปลี่ยนความคิดเห็นความรู้ของชาวพุทธ แม้แต่ในเมืองไทย เขาได้ยึดทั้งหมดแล้วว่ากายนี้ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับจิต แล้วการทำให้จิตเกิดสมาธินั้นไม่เกี่ยวกับกาย ทำจิตเท่านั้นอย่าไปรับไปรู้อะไรกับกาย อย่าออกนอกจิต พูดกันอย่างนั้นเลย อย่าส่งจิตออกนอก
จึงได้ยากเย็นแสนเข็ญที่จะทำให้เขารู้ ที่จะมาปฏิบัติมาเข้าใจให้ถูกต้องจึงยากเย็น การจะไปนั่งหลับตานั้นไม่ยากหรอก ที่สันติอโศกก็พาให้ฝึกปฏิบัติตอนบ่าย นั่งเจโตสมถะ มีสมณะเอาภาระพานั่งหลับตา แต่ที่นี่ไม่ค่อยทำกันเท่าไหร่แต่ทำได้ส่วนตัวเป็นอุปการะ
การนั่งหลับตาปฏิบัติจะมีประโยชน์ 4 ประการ
1. ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
2. ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
3. เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี เหมือนทบทวนลงบัญชี ขาดทุนกำไร อะไรเกิดหรือดับ อย่างไร
4. สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
อย่าไปหลงนั่งหลับตาแล้วมีมโนมยอัตตา สะกดจิตตัวเองเข้าทรง อาตมาเคยเล่นมา สะกดจิตด้วยอุปาทาน ไม่มีวิญญาณอื่นมาเข้าหรอก มีแต่จิตตัวเองทั้งนั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน น้ำปัสสาวะ คือ กายหรือไม่
สมณะเดินดินว่า...มีคำถามที่ว่า น้ำปัสสาวะที่อยู่ภายในร่างกาย นับว่าเป็นกายใหม?
พ่อครูว่า... ก็เหมือนอธิบายคำว่าเล็บไปแล้ว น้ำปัสสาวะภายในก็ถือเป็นกาย หากออกมาภายนอกแล้วก็ไม่ใช่กาย เหมือนอุจจาระ ถ่ายออกมาแล้วก็ไม่เป็นกาย อยู่ภายในเป็นพิษได้นะทั้งปัสสาวะ อุจจาระนี่ทำพิษได้ แต่ถ้าถ่ายออกมาแล้วไม่เป็นพิษภัยอะไรกับเรา หรือจะไปถึงน้ำเหลืองน้ำลายขี้มูกสั่งออกมาภายนอกแล้วก็ไม่เป็นพิษภัยอะไรกับเรา แต่ถ้าอยู่ภายใน ยังอยู่กับเราเป็นองคาพยพ ก็เป็นทวัตติงสาการ มีพลังงานร่วมกับจิตไม่ขาด ยังเป็นชีวะอยู่ แต่ถ้าออกมาภายนอกแล้วตัดออกแล้วผมขนเล็บฟันหนัง ก็ไม่เป็นพิษแล้ว
ถ้าอุจจาระนั้นยึดเป็นเราเป็นของเราก็เป็นสักกายะ ขี้หมาอะไรหากยึดถือเป็นเราเป็นของเราก็เป็นสักกายะ แก้วแหวนเงินทอง อำนาจที่จะบริหารประเทศก็ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา โลภมากจะเอาเป็นเราเป็นของเราให้หมดก็คือสักกายะ
ยกตัวอย่างคนที่รวยที่สุดในประเทศไทย มาปรุงน้ำเหล้า ยาชูกำลัง มาขายมอมเมาคน ใส่สารกระตุ้นต่างๆ แล้วเป็นภัยต่อร่างกาย เขาให้แพทย์ใช้ กันไม่เป็นแพทย์จะไปใช้ ไปเอามาทำขายกันคนก็เลยถูกสารที่เป็นพิษมีฤทธิ์ต่อประสาท ถ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้จะไปออกกฎหมายดูแลสังคมได้ดียิ่งใหญ่ มาให้คนต้องมาเสียประสาทเสียเงินทองเสียเวลา กินเหล้าแล้วก็บอกว่าอย่าขายเหล้า หน้าสงกรานต์แต่ว่า ทุกวันนี้ก็มีคนตายเพราะดื่มเหล้า บางทีจะตายมากกว่าตอนสงกรานต์อีก หากไม่เข้าใจ ก็เลยออกกฎหมายดูแลประเทศไม่ค่อยได้ หากเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าจะออกกฎหมายดูแลประเทศได้อย่างดี ทำให้เกิดประโยชน์คุณค่าได้
สมณะเดินดินว่า...หากไม่ได้ฟังพ่อครูก็ไม่รู้กาย ไม่รู้จิต ก็ปฏิบัติไม่ถูก...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:07:56 )
รายละเอียด
600920_เทศน์ก่อนฉันศีรษะอโศก เรื่อง อจินไตย 4 ตรงไหนที่อธิบายได้
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 20 กันยายน 2560 ที่ศีรษะอโศก ขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 ปีระกา เหลืออีก 1 ปักษ์ก็จะออกพรรษาแล้ว ใครจะออกจากวัดหรือใครจะออกจากกิเลส เรียกว่าเนกขัมมะ ไม่ใช่ว่าออกจากพรรษาแล้วจะปล่อยกิเลสเต็มที่ แต่เนกขัมมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงกี่เดือน แต่ให้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเลย ของเราคือออกเครื่องออกจากกิเลส ออกพรรษาทำได้ดีขนาดนี้อีก 9 เดือนทำให้ต่อไปดีกว่านี้อีก
พ่อครูว่า...วันนี้ก็ขออ่านซ้ำ ที่ทางบ้านราชฯมีการจัดค่ายจัดกิจกรรมกัน
ประกาศถึงนิสิต วิชชารามนาวาบุญนิยม(ว.นบ) .... จะมีการสอบวิชาการ ของ ว.นบ. ก่อนออกพรรษา ของนิสิต ว.นบ. ในวันอังคารที่ 26 กันยายน นี้ สอบเวลา 18.00 -19.30 น. ที่ ชั้น 1 เฮือน 00 ที่บวรราชธานีอโศก นิสิต คนไหนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่หากประสงค์จะร่วมสอบด้วย กรุณากลับเข้าพื้นที่เพื่อมาสอบ เป็นการวัดผลในช่วงเข้าพรรษานี้ ... สมณะสิกขมาตุ ที่ดูแล ว.นบ.
สื่อธรรมะพ่อพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน น้ำปัสสาวะถือเป็นกายไหม
อยากจะอธิบายซ้ำของคุณถาวร เวียนตระกูล ถามว่า หนังจะนับว่าเป็นกายไหมครับ น้ำปัสสาวะที่ยังอยู่ข้างในร่างกายถือว่าเป็นกายไหมครับ
พ่อครูว่า….ผิวหนังที่ขูดออกจากร่างกายหลุดร่อนออกไปได้โดยไม่เจ็บ ก็จะร่อนง่าย ไม่ใช่กาย ส่วนเล็บที่ยาวออกมาเกินประสาทจะรับรู้ได้ ไม่ใช่กายแล้ว ตัดได้ ที่มันสัมผัสแล้ว ตัดทิ้งได้ เอาออกได้โดยไม่เจ็บไม่รู้สึกเลย ประสาทเราไม่ได้รับรู้ ไม่รู้สึก อันนั้นแหละไม่ใช่กาย อันไหนที่มีจิตรับรู้ร่วมอยู่ด้วยจะเป็นผิวหนังก็ตาม จะเป็นอื่นก็ตาม ผมขนเล็บฟันหนัง ส่วนไหนที่รับรู้สึกได้ อันนั้นเป็นส่วนที่เป็นกาย ที่ไม่รู้สึกได้ไม่ใช่กาย
อันไหนมีแต่รูปไม่มีนามเรียกว่าไม่ใช่กายอันไหนมีนามและรูปเรียกว่ากาย โดยเฉพาะต้องมีนาม กายจึงคือจิตมโนวิญญาณ กายจึงไม่ได้โน้มไปที่รูปแต่โน้มเน้นไปที่จิตวิญญาณ หรือนาม แต่ทุกวันนี้ในภาษาไทยคำว่ากายโน้มไปทางรูป ดินน้ำไฟลม ที่ไม่รับรู้ความรู้สึกแล้ว นี่คือความเชื่อสนิทผิดเด็ดขาดของศาสนาพุทธ
คำว่ากายเป็นที่รู้โดยทั่วไป ชาวไทยมีอยู่ 95 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวพุทธก็รู้ว่าคำว่ากายคือรางกาย ตอบด้วยอัตโนมัติจะเป็นอย่างนี้ แม้แต่ผู้ที่ศึกษาบาลีถ้าบอกว่ากายคืออะไร ถ้าไม่ตั้งหลักดีๆเขาจะนึกถึงแบบทั่วไปกายคือร่างกาย
กายคือข้อแรกในโพธิปักขิยธรรม 37 คือกายในกาย ที่เป็นโลกุตรธรรม เดี๋ยวนี้เขาไม่พูดกันแล้ว ท่านพุทธทาสเป็นผู้นำเอาโลกุตรธรรมมาอธิบายโดยองค์รวม แต่ไม่ได้อธิบายโดยลงรายละเอียด แม้กระทั่งรูป 28 รูป 24 ก็ตาม ต้องอธิบายจึงจะเรียกว่าโลกุตระ แต่ท่านพุทธทาส ยังไม่ถึงขั้นนั้น ก็บอกว่าโลกุตระนั้นแตกต่างจากโลกียะ ท่านไม่เข้าถึงอภิธรรม จิตเจตสิก จึงบอกว่าตีทิ้งอภิธรรม เป็นอภิธรรมเม็ดมะขาม
โลกุตรธรรมต้องรู้กายในกาย เป็นตัวแรกคือกายในกายเลยในสติปัฏฐาน 4 ของโพธิปักขิยธรรม 37 แต่ท่านพุทธทาสยังรู้ภาษาของโลกุตระแบบมีความรู้ที่เป็นความรู้อื่น อัญญะแล้ว แต่ไม่รู้ในระดับละเอียด ท่านถึงได้อธิบายเป็นภาษาองค์รวมกว้างขว้างในภูมิของท่านเป็นลักษณะทั่วไป ไม่ได้เจาะในรายละเอียดสภาวะธรรมต่างๆ ยังทำไม่ได้ อาตมาก็มาต่อยอดจากท่านพุทธทาส ขออภัยที่ต้องพูดแล้วเหมือนยกตนข่มท่าน แต่มันเป็นวิชาการเป็นความรู้ ท่านใดปลูกฝัง เบื้องต้นไว้อาตมาก็มาต่อ กลางไปเรื่อยๆ ก็ดี ธรรมดาสามัญไม่มีใครมาสอนถึงโลกุตระอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ในคำสอนของท่านในพระไตรปิฎกก็มี อย่างในอาณีสูตร พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนว่า ต่อไปในอนาคตเมื่อพูดถึงโลกุตระแล้ว คนจะไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจไม่สนใจฟัง มีแต่จะไปฟังคำที่ไพเราะของผู้ที่เป็นภาษาใหม่ ของผู้สอนใหม่บัญญัติใหม่ ก็ไปยินดีกับที่เขาบัญญัติใหม่นั้น ส่วนความเป็นโลกุตระที่ลึกซึ้ง ก็จะไม่รู้กันแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ศาสนาพุทธยังไม่หมดไป ศาสนาพุทธยังมีอยู่เลย ก็พยากรณ์ไว้แล้วว่า ภายภาคหน้าจะเป็นอย่างนี้ ว่า เหมือนกลองอานกะที่มันแตก มันลิ เขาก็เอาไม้ใหม่มาปะหนังใหม่เชือกใหม่มาปะ กลายเป็นกลองชื่อเก่าแต่เนื้อไม้เนื้อหนังเนื้อเส้นเชือก องค์ประกอบของกลอง ไม่ใช่ของเก่าแล้วเป็นของเทียมขึ้นมา ทุกวันนี้ศาสนาพุทธก็ยังชื่อว่าศาสนาพุทธเหมือนชื่อกลองอานกะเหมือนเดิม แต่เนื้อแท้นั้นไม่ใช่ของพุทธแล้ว ท่านตรัสไว้ล่วงหน้า
ขณะนี้ศาสนาพุทธดำเนินมาถึง 2000 เกือบ 2600 ปีแล้ว ความหมายของโลกุตระได้หาย ความเข้าใจในโลกุตระไม่มีแล้ว อาตมาได้นำมาประกาศและอธิบายขึ้นให้เข้าใจโลกุตระ โลกที่สอนกันเหลือแต่โลกียะ อาตมาก็ได้นำโลกุตตระมาสอนมาประกาศขึ้นมาใหม่ ที่จริงเป็นของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของอาตมาแต่เอามาประกาศขึ้นใหม่ ในพระไตรปิฎก ก็มีอยู่ แม้แต่ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่าจะมีผู้รู้
โลกุตระนั้นเช่นฌานวิสัย เป็นเรื่องอจินไตย โลกียะก็เป็นอจินไตยได้ แต่มันเผิน คนก็พอรู้ได้ อธิบายได้ไม่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)
สำหรับโลกุตระแล้วต้องเป็นสัตบุรุษเป็นผู้รู้ที่สัมมาทิฏฐิจริงๆจึงจะสอนได้ ฌานของศาสนาพุทธ ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเรียน เขาสอนกันว่า ฌานก็เป็นการหลับตา ไปนั่งหลับตาธรรมชาติ กำลังหรี่หลับ เลยเป็นภาษาสแลงเรียกคนที่กำลังหรีหลับว่า เข้าฌานแล้ว เอาคำว่าฌานไปใช้ผิดหมด ฌานนั้นเป็นเรื่องของคนตื่นไม่ใช่ของคนหลับ เป็นชาคริยา เป็นพุทธะ ไม่ใช่หรี่หลับ ความเข้าใจนั้นกลับเป็นคนละเรื่องเลย นี่คือเครื่องชี้บ่งว่า ความเข้าใจศาสนาพุทธนั้นผิดไปแล้ว เขาก็เข้าใจและยึดถือกันอย่างนั้นจริงๆสอนกันอย่างนั้น พยายามอธิบายและประกาศเผยแพร่กันอย่างนั้น
ฌานต้องเป็นคนที่ตื่นแจ่มใสเบิกบาน ฌานต้องมีคู่กับปัญญา ที่ใดมีปัญญาที่นั่นมีฌาน ที่ใดมีฌานที่นั่นมีปัญญา
หนังที่อยู่ส่วนภายนอกร่างกายไม่รับรู้สึกไม่เจ็บแล้วไม่ใช่กาย แต่ถ้าส่วนของหนังที่มีประสาทเชื่อมโยงอยู่เป็นส่วนของกาย กายต้องมีเวทนามีจิตวิญญาณรับรู้
น้ำปัสสาวะที่อยู่ในร่างกายก็นับเป็นกาย ยังไม่ได้หลุดออกมาข้างนอก ถ้าปัสสาวะทิ้งออกมาข้างนอกแล้วก็ไม่ใช่กาย แต่ถ้าอยู่ข้างในก็เป็นกาย
สื่อธรรมะพ่อพ่อครู(โพธิปักขิยธรร 37) ตอน ทำวิโมกข์ 8 ด้วยกายทำอย่างไร
_ทำวิโมกข์8ด้วยกายทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...วิโมกข์แปลว่าความบรรลุ เมื่อไม่เข้าใจวิโมกข์เลย ทำไม่ถูกต้องตามวิโมกข์ ก็ไม่มีการบรรลุ
วิโมกข์ 8 นั้น 3 ข้อแรกเป็นขั้นตอนการปฏิบัติ
1. ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ) ต้องมีการผัสสะแล้วเห็น ปัสสะ แปลว่าเห็น ผู้มีรูป แสดงว่าต้องมีตัวคนหมายถึงคน คนตาดี ก็ต้องมองเห็นรูป มีรูป คนตาดี แต่ไม่มีลองกองเป็นรูป ก็ไม่มีรูป แต่คนตาบอด แม้มีส้มโอลองกองอยู่ข้างหน้าคนตาบอดก็ไม่มีรูปี รูปี แปลว่าต้องมีรูป สรุปแล้วรูปีต้องมีสอง มีคนที่มีธาตุรู้Subject และมีสิ่งที่ถูกรู้ Object
รูปานิ คือรูปทั้งหลายอย่างเดียว คุณก็เป็นรูปๆหนึ่งอีกคนจะมาสัมผัสรู้รูปของคุณสัมผัสตัวคุณ คุณเอง สามารถรู้ตัวเราเอง รู้โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา นั่นคือสามารถเรียนรู้ธรรมะ 2 เรียนรู้รูปนาม
เมื่อมันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เราต้องมีญาณปัญญา เข้าไปรู้เวทนาเข้าไปรู้จิต แม้จิตก็เป็นนาม เราเป็น Subject เป็นตัวรู้เข้าไปสัมผัส เวทนาที่เป็นจิต สัมผัสของจริงเลย เรียนรู้กันทุกวันนี้ เผินมากเลย ถามเวทนาก็ตอบบัญญัติ แล้วคุณสัมผัสเวทนาจริงหรือ ถ้าไม่สัมผัสเวทนาจริงจะไม่เรียนรู้ทุกข์อริยสัจได้ ในจิตนั่นแหละแยกเป็นเวทนาเจตสิก ต้องรู้อาการของทุกข์คือเวทนา ถ้าเรียนรู้อาการทุกได้ในจิตก็คือเรียนรู้เวทนาได้ ถ้าไม่สามารถรู้เวทนาและแยกแยะเมื่อสัมผัสความจริง จิตมันเกิดทุกขเวทนา อาการเป็นสภาวะจริง ถ้าไม่มีสัญญา ปัญญากำหนดรู้ว่า กำลังทุกข์อยู่ในจิตเลยสัมผัสกองไฟ มันก็ร้อนทุกข์ กายิกทุกข์ง่ายๆ แต่ถ้าเจตสิกทุกข์ นี่เขาด่าเรา เขาส่งเสียงด่าเรา แล้วก็หายไป คำด่ากระทบหูรู้เรื่อง ถ้าหากคนไม่ถือสากัน เช่นเพื่อนกับเพื่อนด่ากันแรงๆก็ไม่ถือสา แม่ด่าลูกก็ไม่ถือสากัน ดูว่าแม่เจตนาดี คำเตือนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่เราควรแก้ไข จะเรียกว่าเป็นคำด่าเป็นภาษาที่แรงเพื่อจะให้ลูกรู้ตัวเข้าใจอันนี้แล้วเปลี่ยนแปลงพิจารณาอย่าไปเป็นอย่างนั้นอีก เป็นความปรารถนาดีของแม่ก็เข้าใจ แต่ถ้าคนสัมผัสเล็กน้อยแล้วก็ถือสาก็ต้องรับมันไป
เรียนรู้รูปนามอันนี้แหละเรียนรู้กายรู้ใจเรียนรู้กุศลอกุศล เรียนรู้สิ่งที่ผิดสิ่งที่ถูกแล้วก็เลิกล้างสิ่งที่เป็นอกุศลให้หมดไปจากจิต ทำให้หมดไปได้นั่นแหละคือโลกุตระ จิตใจที่ได้รับการล้างกิเลสออกไปล้างหน้ากุศลออกไป จนจบ ถ้าไม่จบมันก็ยังมีอีกก็ต้องล้างให้สนิทให้สมบูรณ์จนเป็นของตัวเอง
2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
พตปฎ. ล.10 ข.66 / ล.23 ข.163
คำว่า สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายเป็นคำของพระพุทธเจ้า อธิบายไว้ในบุคคล 7 ได้บุคคลถึงขั้นระดับที่ 5 กายสักขี พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า กายสักขี ต้องสัมผัสวิโมกข์8ด้วยกายจึงจะอาสวะหมดสิ้นไป พอถึง ปัญญาวิมุติ ท่านก็แปลบาลีว่า ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ฟังแล้วก็เหมือนต่ำกว่ากายสักขี
ปัญญาวิมุติ มีคำว่า น เหว ถ้าให้อาตมาแปล ก็แปลว่าไม่ต้องไปกล่าวว่า ผู้ที่เป็นปัญญาวิมุตจะต้องสัมผัสวิโมกข์8ด้วยกาย ก็ละไว้ เพราะผู้เป็นปัญญาวิมุตินั้นมีพลความบอกว่า อาสวะหมดสิ้นแล้ว เป็นอรหันต์ แต่กายสักขี ยังไม่ใช่พระอรหันต์ มีอาสวะบางอย่างหมดสิ้นแล้ว แต่ปัญญาวิมุตินี้ดับอาสวะหมดสิ้น เพราะฉะนั้นปัญญาวิมุติจึงสูงกว่ากายสักขี
กายสักขี มีคำว่าสัมผัสวิโมกข์8ด้วยกายจึงบรรลุอาสวะสิ้น เพราะฉะนั้นในปัญญาวิมุตินี้ไม่ต้องกล่าวอีก(นเหว) จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอีก ก็ทำมาตั้งแต่ต้นแล้วอย่างสัมมาทิฏฐิ ปัญญาวิมุติจึงเป็นอาสวะขั้นไหนแล้ว อุภโตภาควิมุติจึงดับได้ทั้งอาสวะและอนุสัย
ฌาน เป็นพลังงานไฟกองใหญ่ไฟที่พิเศษสามารถสลายทำลาย ะโทสะโมหะได้ มีฤทธิ์กำจัดไฟอื่นๆได้
SMS วันที่ 18 กันยายน 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
_3867กายอันพ่อครูสอนถูกตรงตามคำตรัสในตถาคตฯ
กายคือนามที่เป็นตัวรู้(จิต)ฯที่เป็นแก่นสุดท้ายของตัวรู้(มโน)ฯที่เป็นตัวรับรู้ความรู้สึกรวมยอด(วิญญาณ)!
คนเชื่อจะพ้นอัตตา!คนไม่เชื่อมักติดตัวตน!ก็แล้วแต่ความคิด คนเชื่อเช่นไรจิตใจก็เป็นเช่นนั้น!
_2108ผมพึ่งดูรายการบุญนิยม สัก3-4อาทิตย์ ผมชอบมาก ผมชอบที่พระครูได้อธิบายได้ชัดแจ่มแจ้งและก็ละเอียด เช่นเรื่องศีลท่านก็อธิบายเป็นข้อๆและก็แ…. (มีข้อความมาแค่นี้)
_7630ที่นั่งฟังแถวหน้าวันนี้ ผมสังเกตุเห็นคนหนึ่งที่ใส่ชุดสีเทามีผ้าโพกหัวแบบอินเดีย ถัดไปอีกเห็นคนหนึ่งหนวดเครายาวแบบนักบวชโบราณอินเดีย อยากถามหลวงพ่อว่า สองคนนี้เป็นนักบวชชาวอินเดียหรือเปล่าครับ ? และขอให้หลวงพ่ออธิบายคำว่า "ตถตา (เช่นนั้นเอง) ? /เชียงบัวครับ
พ่อครูตอบ ไม่ใช่นักบวช เป็นฆราวาสที่ปฏิบัติธรรม คนที่โกนหัวนั้นเมื่อก่อนเขาโกนหัวแล้วเขาก็ไม่อยากจะมีผมอีกแล้วก็เลยโกนหัวตลอด แต่ก็ต้องใส่ผ้าโพกหัวไว้
มาเป็นฆราวาสแล้วไม่ให้โกนหัว เพราะในชาวอโศก มีปะ มีนาคที่โกนหัว ก็แยกแยะยาก ก็เลยบอก ชาวอโศกหากว่าเป็นฆราวาสก็ไม่ให้โกนหัว แต่ก็ยังมีคนอยากโกน พวกชีชั่วคราวก็เลอะ เอาไปเอามาก็ให้ชีโกนหัวได้ จะนุ่งเสื้อสีขาวก็ได้แต่ให้นุ่งผ้าถุงสีดำ
ส่วนคนที่มีหนวดยาวนั้นเป็นความชอบของเขา เท่านั้นเอง เป็นชาวไทยไม่ใช่ชาวอินเดียทั้งคู่
สื่อธรรมะพ่อพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ตถตาคืออะไร
คำว่าตถตา...ทุกวันนี้อธิบายคำว่าตถตากันผิดเพี้ยนไป ตถตา เป็นคำสรุปถึงผลยอดของผู้รู้ผู้ที่บรรลุ ตถะ แปลว่าความจริง คำว่า ตา เป็นปัจจัยใส่ให้เป็นคำนาม
ตถาตา แปลว่าความจริง ความจริงอะไร พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่เป็นตถาคต คือผู้ที่ไปดีแล้ว อาคตะที่เป็นตถา ผู้ซึ่งมีความจริงอันบริบูรณ์ทั้งไปทั้งมา จริงทั้งหมด ทั้งขึ้นทั้งล่องทั้งไปทั้งมา ตถตา เป็นพยัญชนะกลางๆที่บอกถึงความจริงที่จบ เป็นความจริงการบรรลุธรรมสมบูรณ์แบบ
การไปแปลความหมาย เป็นเชิงขยายความหมาย ไม่ใช่อธิบายเนื้อแท้ ของตถะ เป็นการอธิบายเชิงความรู้ว่า ตถตา คืออะไรก็แปลกันว่า เป็นเช่นนั้นเอง ก็ต้องขยายความว่าเป็นเช่นนั้นมันหมายถึงอะไร
เป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า ตัวผู้ที่บรรลุธรรม ตัวผู้ที่มีความจริง เป็นความจริงได้แล้ว เป็นนะ ท่านใดปฏิบัติธรรมถึงความจริง เป็นความจริง มีความจริง ได้ความจริง is being เป็นอยู่คือเป็นได้แล้ว ท่านมีความจริงนั้นได้แล้ว จนเป็นอัตโนมัติ บางทีเราก็เรียกว่าตถตา มีความเป็นตัวตนของตัวเองได้แล้ว
ตถตาจึงแปลว่าความจริงที่เป็นเช่นนั้นแล้ว และเป็นได้อย่างอัตโนมัติเป็นเอง ไม่ต้องไปทำอะไรมันก็เป็น เป็นเช่นนั้นเองเลย เป็นเช่นใด เช่น
ได้ปฏิบัติจนสามารถทำให้ เวทนาในเวทนา 108 ครบอดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคต 36 ก็ครบ 108 ทำเวทนาของตนให้หมดกิเลสเป็นศูนย์ได้ในทุกปัจจุบัน อนาคตมาอีกกี่อนาคตกิเลสก็ 0 ไม่ต้องไปจัดการไปทำอะไรมัน มันได้ในตัวเองเป็นอัตโนมัติแล้ว ตถตา เป็นเช่นนั้นเองจึงไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน เช่น คุณทักษิณ ชินวัตรเขาก็เป็นเช่นนั้นเอง ถ้าคุณทักษิณมีความเป็นตถตาจริงจะไม่มาวุ่นวายอย่างนี้เลย คนที่พูดโก้ได้ คนจะมีสิทธิ์พูดว่าเรื่องนี้เป็นตถตา ดูเท่ แต่เขาไม่ได้เป็นจริงเช่นนั้น อย่าเอาไปพูดกันเล่นเลยเรื่องตถตา นี่เป็นเรื่องของสาวก แต่ถ้าของพระพุทธเจ้าเรียกว่าตถาคตา
SMS วันที่ 19 กันยายน 2560 (สมณะ สิกขมาตุ-บวรสันติอโศก)
สื่อธรรมะพ่อพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไม่กินเนื้ออย่างไรได้บุญ
_3867พุทธกินเนื้อถือศีลปาณาฯแล้วกินเนื้อเขาว่าไม่ผิดไม่บาปก็แล้วแต่ความเชื่อเขา!พุทธกินผักถือศีลปาณาแล้วงดเนื้อจะถูกฤาผิดก็แล้วแต่เรา!กุศลฤาวิบากจะส่งผลกับบุญฤาบาปอยู่ที่คนทำ!กรรมฤาโรคเวรภัยอยู่ที่คนกินด้วยประมาณตนฤาตนประมาทก็แล้วแต่เขา
ตอบ...จะเป็นบุญกุศลหรือเป็นวิบากก็อยู่ที่คนทำ ถ้าพูดโดยพยัญชนะเช่นนี้ ผู้ที่กินเนื้อนี้มีอกุศลวิบาก ส่วนผู้ที่ส่งผลบุญหรือบาป ผู้ที่มีผลบุญก็คือคนที่ไม่ได้กินเนื้อแต่ไม่ได้ตัดกิเลสคนนี้ก็ไม่มีบุญ เราไม่ได้ชำระกิเลสไม่กินเนื้ออย่างภาษาเช่นพวกกินเจ บอกว่าได้บุญ เลยเข้าใจผิดว่าบุญเป็นก้อนเป็นสมบัติ ไม่ได้รู้ละล้างกิเลส สัมผัสเนื้อแล้วเราอยากกินเนื้อแล้วกิเลสขึ้นเราก็ละล้างกิเลสนั้นแหละ แต่นี่บอกว่ากินไม่กินเนื้อแล้วได้บุญเป็นวิมานเป็นสมบัติเป็นภพชาติอะไรเลย นี่คือความไม่ชัดเจนในความเป็นบุญ ไม่ชัดเจนในความลึกซึ้งธรรมะพระพุทธเจ้า จึงปฏิบัติอย่างมิจฉาทิฐิ แล้วก็ไม่ได้การบรรลุธรรมอย่างลึกซึ้ง
จากเฟสบุ๊ก
สื่อธรรมะพ่อพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน อยากมาอยู่วัดทำอย่างไร
_สันติ จรูญวิทยากร น้อมกราบนมัสการ หลวงปู่(พ่อท่าน)(พ่อครู) สมณะโพธิรักษ์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง ครับกระผม นาย(หนุ่ม)(เด็กชาย)สันติ จรูญวิทยากร ลูกชาย นายฑิตกำจร จรูญวิทยากร ครับกระผม "อยากไปอยู่บ้านราชเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน ฯลฯ มากๆๆๆๆๆๆๆ เลยครับกระผม" น้อมกราบนมัสการ หลวงปู่(พ่อท่าน)(พ่อครู) สมณะโพธิรักษ์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง ครับกระผม
ตอบ...อยากมาแต่อะไรผูกไว้ ปุตโตคีเว บุตรผูกคอ ธนังปาเท ทรัพย์สม บัติผูกขา สามีภริยาหัตเถ สามีภริยาถูกมือไว้ อยากมาก็ถอดออกไป ถ้าไม่มีภรรยาก็ดีแล้ว ไม่มีลูกก็ดีแล้ว มีทรัพย์สมบัติอะไรผูกไว้ไหม หรือจะมาแล้วหอบมาก็ได้ หรือมาแต่ตัวกับหัวใจก็ได้ พูดทำไม หลวงปู่ก็พูดอย่างนี้แหละ ดูสิแม้แต่ในน้ำคำ เพชรพลังก็หอบลูกมา จนลูกมีหลานแล้ว
จาก คอลัมน์ คนปลายซอยของไทยโพสต์ เรื่อง 11 ปีที่ไม่เคยจางไปจากหัวใจ
นี่ก็เข้ามาวันที่ 20 กันยาแล้ว
นับไปอีก 7 วัน..........
ถึงตอน 9 โมงเช้า วันที่ 27 กันยา ก็จะรู้ "ยิ่งลักษณ์" อยู่ไหน?
เพราะ "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" นัดให้มาฟังคำพิพากษาวันนั้น
หลังจากอ้าง โรค "น้ำในหูไม่เท่ากัน" เบี้ยวไม่ไปตามศาลนัดครั้งแรก เมื่อ 25 สิงหา
ทางพฤตินัย ทุกคนลงความเห็นว่า เธอหนีออกนอกประเทศไปแล้ว!
แต่ทางนิตินัย ยังฟันธงไม่ได้ว่า "เธอหนี"!?
เพียงแต่ศาลไม่เชื่อว่าเธอป่วยขนาดมาศาลไม่ได้ตามทนายอ้าง และริบเงินประกันไปแล้วเท่านั้น แต่ยังให้โอกาสด้วย "นัดหมาย" อีกครั้ง
ฉะนั้น ตอนนี้.......
เธอจะหลบออกนอกประเทศไปแล้ว หรือเป็นปูผลุบลงซ่อนในรู ทำพิธีปัดรังควานโทษคุก
จะโผล่-ไม่โผล่ให้เห็นในวันที่ 27 กันยาหรือไม่?
ต้องถึง 27 กันยาก่อน ถึงจะสรุปได้ ว่า...
ปูหนีแน่แล้ว หรือปูอยู่นี่ไง!?
ช่วงนี้ จึงเป็นอย่างที่เราคุยกันไปแต่วันแรกๆ
คือตามเชิงกล ก่อนถึง 27 กันยา
เธอจะไม่ปรากฏตัว หรือเผยร่องรอยให้คนภายนอกได้รู้ว่าเธอหนีไปแล้ว หรือปรับน้ำในรูหูอยู่ที่ไหน?
เรียกว่า "กุนซือ" เขาเจ๋ง
สงสัยจะสำนักเดียวกับกุนซือ "บอส-กระทิงแดง" ที่อ่านกฎหมายรู้-ดูกฎหมายเป็น
ซื้อเวลา "ทุกนาที-ทุกช่องทาง" เท่าที่กฎหมาย "มีช่องทาง" ให้เดินได้
ถ้าปล่อยลำพังเธอเองนะ.....
ป่านนี้แม่ไม่โพสต์ ไม่ลงอินสตาแกรมเป้อเร่อ-เป้อเต๋อไปแต่วันแรกแล้วเรอะ!
ดังนั้น จะดูเรื่องนี้ให้อร่อย ต้องใจเย็นๆ
ตามชั้นเชิง เมื่อ 27 กันยาผ่านไป ยิ่งลักษณ์ "ไปศาล-ไม่ไป"
ไม่เป็นปัญหา
ศาลฎีกาฯ จะอ่านคำพิพากษาลับหลัง ในคดีผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ
ถ้าไม่ผิด........
ปูก็จะปร๋อออกจากรู ปรากฏโฉม ให้พ่อยก-แม่ยกและบรรดาชายกระโปรงผู้แก่วิชาหน้าหนาต่างหาก ได้ยกใส่ทูนหัว
เหมือนพี่สะใภ้เขา หนีไปกะผัว ในคดี "ผัวเซ็น-เมียซื้อ" ที่ดินรัชดาฯ เมื่อศาลอ่านคำตัดสินลับหลัง
ปรากฏว่าผัวผิด มีโทษคุก แต่เมียผู้ซื้อไม่ผิด
ผัวเตลิดเป็นสัมภเวสีถึงทุกวันนี้ ส่วนตัวเมีย นวยนาดกลับมาครองอภิมหาสมบัติ
ถ้าปูไม่ผิด ก็จะเป็นลีลานี้
แต่ถ้าปูผิด...........
โลกก็คงมี "สัมภเวสี" ตัวที่สอง ลอยไส้ไป-มา ตามประเทศโน้น-ประเทศนี้ ที่ซื้อพื้นที่อยู่ได้
ส่วนจะกลับเข้าขอบเขตขัณฑสีมาไทย ก็ได้....ไม่มีใครห้าม
แต่ต้องเข้ากระบวนการตามคำพิพากษา!
อีก 7 วัน ก็จะถึงเวลา..........
ถ้าเป็นลิเก ก่อนแสดง ต้อง "ออกแขก" กรณียิ่งลักษณ์ก็เหมือนกัน
เมื่อวาน (19 ก.ย.60) แม้ว "ออกแขก"
ออกทั้งภาคภาษาอังกฤษ-ภาษาไทย ทวีตข้อความทางทวิตเตอร์ @thaksinLive
ถึงเหตุการณ์ถูก "บิ๊กบัง" ทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยา 49 ว่า
"I hope the memory of what happened 11 years ago has not faded from the hearts of Thai people. I am, and will always be, concerned about the livelihood of my fellow Thai citizens."
"ผมหวังว่าความทรงจำกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้วจะไม่จางหายไปจากหัวใจของคนไทย ผมยังคงห่วงเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนชาวไทย"
ก็เข้าใจแล้ว...........
ทำไม "สัมภเวสี" ตัวนี้ ถึงไม่ยอมไปผุด-ไปเกิดเสียที
เพราะวิญญาณยังวนเวียนอยู่กับ "เกลียด-ชัง-รัก-โลภ-แค้น" เรียกว่า ไม่รู้จักละพยาบาท และสำนึกผิดเป็นการ "ตัดเวร-ตัดกรรม"
ในขณะที่ปากบอก "ห่วงชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน"
แต่ลึกๆ ในใจจริง......
มันห่วงอำนาจ-ห่วงสมบัติ ห่วงความหวานหอม "โกงไม่เป็นไร ได้เอามาแบ่งกัน"
และด้วยแรงห่วงผนวกแรงพยาบาทนั้น เป็นกรรมผูกรัดมัดตรึงสัมภเวสีตัวนี้
11 ปีแล้ว จึงยังไม่ไปผุด-ไปเกิด..........
อีก 11 ชาติ 11 ล้านกัป ก็ไม่แน่ว่า มันจะพ้นบ่วงอนันตริยกรรมที่ทำ "แผ่นดิน-ชาติ-ประชาชน" แตกแยก
และการเป็น "แม้ว-ออกแขก" ครั้งนี้ ส่งสัญญาณนำร่อง "ยิ่งลักษณ์ออกฉาก" หลัง 27 กันยาหรืออย่างไร?
หรือแบบเจ้าเล่ห์ สร้างกระแสตีขลุมให้คนเดาสุ่ม เหมือนตอน "บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร" ไปอังกฤษ
มันจัดฉากตัวเองพร้อมลูกสาว-ลูกเขยและหลานสาว ไปปรากฏตัวที่อังกฤษเหมือนกัน
ถ่ายรูปลงอินสตาแกรมให้คนถุย..ถุย ด้วยทุเรศ
แต่คงสมใจ เพราะมีหลายคนช่วยถอดรหัสตามนัยที่ต้องการสื่อนำทิศให้ ทำนองว่า "บิ๊กป้อม-บิ๊กแม้ว" นัดพบกัน!
แม้วกะป้อม "ตะมุ-ตะมิกัน" เขารู้กันมาตั้งนานแล้วล่ะ...ลุง
แต่ที่ "ป้อมกะแม้ว" เดตกันที่อังกฤษ อย่างที่แม้วจัดฉาก-วางยา.............
ถ้าจริงก็ "ควายทั้งคู่"!
แม้วนี่ กี่ปี-กี่ชาติ สันดาน "ปล้อนปลิ้น-ลวงมนุษย์-ลวงโลก" ไม่เคยเปลี่ยน
ปากอ้าง "ห่วงชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน" ตลอด
แต่ตอนทำ.........
มันห่วงแต่ "ตัวมัน-ลูกเมียมัน-คนในตระกูลมัน-สมุนรับใช้มัน"
ประชาชนนั้น แค่ตัวประกัน-ตัวอ้างใช้ เพื่อให้มัน "โกงเอามาแบ่งกัน" เท่านั้น!
"เสนาะ เทียนทอง" ตอนแตกคอก-แตกคอกับแม้ว.....
สาวไส้แม้ว ถึงการหลอกประชาชนให้หลง เพื่อผลทางเลือกตั้งไว้ในหนังสือ "รู้ทันทักษิณ" ของอาจารย์เจิมศักดิ์ ว่า
"............ผมเคยแนะนำ การจดทะเบียนคนจนนั้น มันทำไม่ได้ ไปประกาศเฉยๆ ไม่ได้ เอามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ คนที่เป็นหนี้สินอยู่ที่ไม่ใช่คนจน ก็ไปจดทะเบียนด้วย มันจะบานปลายไปใหญ่
พี่ไม่เห็นด้วย มองด้วยจิตสำนึก มันปฏิบัติไม่ได้ มันได้แค่โชว์ตัวเลขตอนเลือกตั้ง จากนั้นไม่มีผลจริง
แต่ทักษิณตอบว่า..........
'โธ่...พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ'
เขาพูดอย่างนี้ แสดงว่าไม่ได้จริงใจกับนโยบาย ประกาศไปก่อนค่อยหาวิธีทำการตลาดทีหลัง ไปเสี่ยงเอาข้างหน้า ขอให้ได้คะแนนเสียงไว้ก่อน ไม่สนวิธีปฏิบัติราชการ
แม้แต่โครงการ SML ผมก็เตือนว่า 'เข้าข่ายซื้อเสียง' เพราะอยู่ในภาวะเลือกตั้ง
ทักษิณตอบว่า ..........
'โธ่...อำนาจอยู่ที่เรา กกต.ก็ของเรา คนก็ของเรา'
ล่าสุด ก่อนการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 มีการกระทำผิดกฎหมาย คือขนคนมาฟังการปราศรัย โดยจ้างมา มันผิดกฎหมายแน่นอน แต่ กกต.กลับเฉย"
เนี่ย...ชัดมั้ย...........
ว่า "ห่วงประชาชน" ของทักษิณ เนื้อแท้คือทักษิณ "หลอกกินตับประชาชน" ใช่หรือไม่?
ทักษิณเปรียบประชาชนเป็น "คนตาบอด" โง่เง่า ไม่รู้เรื่อง-รู้ความ หลอกอะไรก็เชื่อหมด
ส่วนตัวมันเป็น "เสือ"
แปลงเป็นหมาซื่อสัตย์ส่งเสียงนำทางให้ "คนตาบอด" คือประชาชนหน้าโง่ตายใจ
แล้วเสือก็จับคนตาบอดแดก 5 ปีแรก มันแปลงประเทศเป็นทุนแม้วเกือบหมด
อีก 2-3 ปีหลัง ในร่างทรงน้องสาว
"ทักษิณริ-รับจำนำข้าวทุกเมล็ดเกวียนละ 15,000 แล้วยิ่งลักษณ์ยำ" เฉพาะโครงการนี้โครงการเดียว
ด้วยเงินของประชาชนทั้งประเทศ........
ค่อน "ล้านล้านบาท" ฉิบหายไปอยู่ในกระเป๋าซาลาเปาใคร?
ก็ประชาชนทั้งหลายนี่แหละ ต้องรับชด-รับใช้แทน ทุกบาท-ทุกสตางค์!
รู้เช่น-เห็นชาติกันหรือยัง.........
เข็ดกันหรือยัง?
หรือยังไม่เข็ด ยังเชื่ออย่างที่มันทวีต "ผมห่วงใยชีวิตความเป็นอยู่พี่น้องประชาชน" อยู่อีก?
ทักษิณฝังจำ-ฝังแค้น เฉพาะด้านของมันคนเดียวที่สูญเสีย
แต่ที่ประชาชนทั้งชาติสูญเสียเพราะมัน .....
11 ปีมาแล้ว มันไม่เคยสำนึก ไม่เคยขอโทษประชาชนเลยซักครั้ง-ซักคำเดียว!
รัฐประหารที่เกิดขึ้น เมื่อ 11 ปีที่แล้ว ไม่เคยจางไปจากหัวใจทักษิณ เช่นใด
สิ่งที่ทักษิณทำให้บ้านเมือง-ประชาชนแตกแยกตลอด 11 ปีที่ผ่านมา
ก็ไม่เคยจางไปจากหัวใจผม เช่นนั้น.
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน นักการเมืองไม่ใช่ผู้เบ่งอำนาจ
นักการเมืองไม่ใช่ผู้ที่เบ่งอำนาจ ใช้อำนาจ แสวงหาอำนาจ มาบริหารประชาชนเด็ดขาด แต่นักการเมืองนั้นคือผู้ที่ประชาชนเต็มใจมอบอำนาจยกอำนาจให้เป็นผู้บริหารประชาชน ปกครองประชาชนเอง ชนิดที่ต้องระลึกถึงบูชาพระคุณนักการเมืองผู้นั้นผู้นั้น ด้วยความยกย่องเทิดทูนบูชาต่างหาก เช่น
พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 คือนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ เป็นนักประชาธิปไตยผู้ยิ่งใหญ่ ที่ต้องระลึกถึงและบูชาพระคุณนักการเมืองพระองค์นั้นคือในหลวง ด้วยความยกย่องเทิดทูนบูชาต่างหาก นี่คือนักการเมือง
ผู้บริหารประชาชนจึงต้องทำให้ประชาชนเชิดชูบูชา เต็มใจมอบอำนาจยกอำนาจให้เป็นผู้บริหารประชาชนเต็มใจเอง จะทำอย่างไรจึงเป็นนักการเมืองอย่างนั้น
เอาอย่างในหลวงสิ นี่คือนักการเมืองที่ยอดเยี่ยมคนจึงนับถือบูชาเคารพ การบริหารประเทศมา 70 ปี อย่าไปดูถูกคนไทย คนไทยคือผู้ที่เข้าใจประชาธิปไตย จึงได้มองในหลวงรัชกาลที่ 9 ออก จะได้เคารพนับถือบูชาในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านไม่เคยเบ่งอำนาจใช้อำนาจแสวงหาอำนาจ ประชาชนให้อำนาจท่านเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน อจินไตย 4 ที่อธิบายได้
อาตมาได้เปรยปรามผู้ที่ยังไม่รู้จริงสัจจะของพุทธธรรมสัมมาทิฏฐิแท้ แล้วใช้“ความเห็น”ของตนสาธยายธรรมไปผิดๆ
คนแบบนี้แหละที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมไปมากกว่ามาก ผู้ทำความเสื่อมแบบนี้ได้บาปหนักยิ่ง เพราะทำให้ผู้คนเข้าใจเนื้อแท้ความจริงของศาสนาผิดเพี้ยนไป
ทุกวันนี้ก็ยังมีคนที่“ทำบาปให้แก่ตนเอง”แบบนี้อยู่มากหลาย เพราะอวิชชาของ
เขาผู้นั้นแท้ๆ จึง“ก่อบาปใส่ตน”หนักหนาสาหัสสากรรจ์ โดยไม่รู้ตัว
บางคนนั้นรู้ทั้งรู้ ว่าที่ตนสาธยายนั้น ตนเองก็ยืนยันไม่ได้หรอกว่าที่ตนสาธยายไปนั้น“ผิด”หรือ“ถูก” แต่ก็ประมาทสาธยาย
จะด้วยความอวดดีก็ตาม ด้วยความไม่เกรงกลัวบาปก็ตาม หรือด้วยความจำเป็นก็ตาม เมื่อพูดผิดจริง ก็ต้อง“ได้บาป”จริง ซึ่งมันเป็น“กรรมที่เป็นอันทำ” ใครทำ“บาป”ปุ๊บก็“ได้บาป”ปั๊บ เพราะ“กรรม”นั้นตน“ทำเอง”จริง
ซึ่งธรรมะขั้น“โพธิสัตวภูมิ”นี้เป็นโลกุตรธรรม ต้องคนผู้มีภูมิสูงจริงผ่านความเป็นโพธิสัตว์ขั้นนั้นๆแล้ว จึงจะสามารถสาธยายภูมิ“อจินไตย”แต่ละขั้นนั้นๆ เป็นความรู้ได้
“อจินไตย”พระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ ซึ่งได้แก่ 1.พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้า(พุทธวิสยะ)2.ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน(ฌานวิสยะ) 3.วิบากแห่งกรรม(กัมมวิปาโก) 4.ความคิดเรื่องโลก(โลกจินตา) จากพระไตรปิฎก เล่ม 21 ข้อ 77
ในฉบับที่แล้ว เราได้สาธยายถึง ความเป็นโพธิสัตว์กัน “ภูมิโพธิสัตว์”นั้นเป็นภูมิ
ที่มี“ความตรัสรู้”คือ มี“โพธิ”ไปตามลำดับๆก็เป็นผู้“พ้นอจินไตย”ไปตามลำดับ ยกขั้น“พุทธวิสัย”ไว้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็น“ภูมิสัมมาสัมพุทธเจ้า”ที่พึงรู้ยิ่งเองในพระองค์เอง อันผู้ยัง“ไม่มีภูมินั้น”ย่อมมิบังอาจจะมีความเป็น“ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ”(ภาวะธรรมที่ผู้รู้รู้ได้เฉพาะตน)ได้เด็ดขาด
นอกนั้นก็เป็น“ภูมิโพธิสัตว์”ตั้งแต่ขั้น “ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน”เป็นต้นไป ฌานจึง“พ้นอจินไตย”ของโพธิสัตว์แต่ละขั้น ก็สามารถสาธยายความเป็น“ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน”ตามฐานะของตนๆได้ เท่าภูมิตนมี“อจินไตย 1” “พุทธวิสัย”ที่จำกัดเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น เป็น“สัพพัญญุตญาณ”
ซึ่งผู้ยังไม่มีภูมิ“สยัมภู”ย่อมเกินกว่าจะค้นลึกนึกคิดเอา“ความจริง”นั้นมาบอกใครได้
“ความจริง”ที่เป็นโลกุตระแท้จริงนั้น ผู้บรรลุ“ความจริงในโลกุตรธรรม”จริงด้วยตัวเองแท้ๆเท่านั้น จึงจะกล่าว“ความจริง”นั้นได้จาก“ความจริง”เท่าที่ตนบรรลุเอง เป็นเอง รับรองได้ว่า“ถูกต้อง-ตรงจริง”ตามความจริง
ไม่ว่าจะเป็นอจินไตยขั้น“ฌานวิสัย”ก็เท่าที่“ตนเอง”บรรลุ“ฌาน”ระดับนั้นๆจริง
ซึ่งความเป็น“ฌาน”ของพุทธนี้ยังยากมากที่จะสาธยายความเป็น“ฌาน”ให้ผู้ที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิจริงเข้าใจตรงแท้ตามสภาวะจริงของความเป็น“ฌานของพุทธ”ได้อย่างครอบคลุมครบบริบูรณ์ จนกระทั่งสัมบูรณ์
“ฌาน”จึงมีแต่ที่ทำได้กันแบบโลกียะเต็มสังคมทั่วไป ไม่ใช่“สัมมาฌาน”ของพุทธ
เพราะความเป็น“ฌาน”นี้มันเป็น“วิสัย” ที่สุดแห่งที่สุดของ“สยํ”(เอง,โดยตนเอง)จริงๆ
“ฌาน”ของพุทธจริงๆนั้นมันหมายถึง“พลังงานอุณหธาตุ”เป็น“ไฟกองใหญ่”มีฤทธิ์เหนือกว่าพลังงาน“ธาตุสสาร”และ“นามธาตุขั้นโลกีย์” อย่างวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)เกินคาด ซึ่งเป็น“พลังงาน”ที่มีทั้งความเร็วในการหมุนตัวรอบสูง และมีทั้งความแรงที่มีฤทธิ์สลายธาตุอื่นได้เยี่ยมยอด จึงสามารถ“เผา” หรือ“กำจัดไฟธาตุ”อื่นที่เป็น“จิตนิยาม”คือ“ไฟราคะ-ไฟโทสะ-ไฟโมหะ” ให้ละลายหายสูญไปอย่างสิ้นซากเกลี้ยงสนิทเด็ดขาดถาวรยั่งยืนตลอดกาลนิรันดรได้จริงๆ
แต่ผู้มีจริตสายสมถะ ก็เอาภาษาคำว่า “ฌาน”ไปใช้ในเชิง“การเพ่ง-การกดข่ม”เท่านั้นในวิธีหลับตาเพ่งข่ม(meditation ซึ่งมิใช่ supra-concentration)ด้วยพลังงาน“ข่มจิตสะกดจิต”ให้ยิ่งๆ กระทั่งแน่นแข็งนิ่งสนิท ไม่เคลื่อนไม่ไหวติงสำเร็จ ตนไม่รู้ตัวนานสุดแสนนานถึงขั้นตน“จำกาละ”ไม่ได้ จึงทำให้หลงว่า นี่คือ “นิรันดร” เพราะมันนานเกินกว่าที่ตนจะระลึกนึกถึงหรือระลึกนึกค้นขึ้นมาได้
ซึ่งสัจจะของ“อัตตา(ตัวตน)”แท้ๆนั้นผู้ยอมรับว่ามี“อัตตา”นิรันดรเป็นที่สุด ก็คือ ผู้ยังไม่มี“ปัญญา”แบบพุทธสัมมาทิฏฐิ ตามที่สาธยายมา เป็นผู้ไม่พ้น“อวิชชาสวะ”หรือที่สุดจริงๆคือ ไม่พ้น“อวิชชานุสัย”สัมบูรณ์แท้
ยังเป็นผู้“จำนน”ต่อ“ภาวะที่มีอัตตานิรันดร”อยู่นั่นเอง ตนจึงต้อง“มีพระเจ้า”
เพราะเขาไม่มี“ทฤษฎีวิเศษ”(สัมมาทิฏฐิ)ที่สามารถกำจัด“อัตตา 3”แท้ เกลี้ยงได้จริงอย่างเป็นลำดับละเอียดลอกระทั่ง“อนัตตา(ไม่มีตัวตน)”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้เกลี้ยงสำเร็จแท้ จึงจำนนเป็น“เทวนิยม”ผู้มี“พระเจ้า”คือ“บรมอัตตา(ปรมาตมัน)”อย่างที่มีกันนั้นแหละความจำนนเป็นผู้“มีอัตตา”นิรันดรอยู่แท้จริง จึงเป็นกันด้วยเหตุเช่นนี้เอง
เพราะที่แท้นั้นสภาวะ“อัตตา”นั้นๆยังไม่ได้ถูกกำจัดทำลาย ยังไม่“สลายสูญไป”หรือหายไปจากความเป็น“ตัวตน”นั้นๆเด็ดขาด ตามคำสอนของ“พระศาสดา”
“พระศาสดา”คือ มนุษย์นี่แหละที่มีตัวตนจริง เป็นผู้ประกาศคำสอนแก่มวลมนุษยโลก “พระศาสดา”ทรงสอนให้“รู้”ได้เท่าใด
ผู้ได้รับคำสอนจะปฏิบัติบรรลุผลได้สูงสุดก็เท่าที่พระศาสดานั้นทรงสอนให้เท่านั้น
“พระศาสดา”ของพุทธคือ พระพุทธเจ้า เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งแท้ๆที่ทรงประกาศ“ทฤษฎีวิเศษ”ของพระองค์แก่มนุษยโลก ให้มนุษย์ทุกคนปฏิบัติบรรลุตามได้ กระทั่งสูงสุดก็สามารถบรรลุเท่ากับ“พระศาสดา”เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งบ้าง มนุษย์ทั้งหลายจึงล้วนมีสิทธิ์เสรีภาพจะเป็นได้
ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จริงไม่ทำได้จริงใน พระปัญญาธิคุณ พระกรุณาธิ คุณพระปริสุทธิคุณ เขาไม่ได้ศึกษาจิตสะอาด ที่เป็นพระบริสุทธิคุณมาตั้งแต่ต้น เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เขาจึงไม่มีอรหันต์
มนุษย์ทุกคนจึงมีสิทธิ์เท่าเทียมกันทุกคนที่จะพากเพียรพยายามบำเพ็ญบารมีให้บรรลุความเป็น“พระศาสดา”ของพุทธได้ เป็น“พระพุทธเจ้า”พระองค์ใดพระองค์หนึ่งในโลก ไม่สงวนสิทธิ์ ทุกคนมีอิสระเสรีภาพที่จะบรรลุเป็น“พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า”ได้ ถ้าหากคนผู้นั้นพากเพียรบำเพ็ญตน สั่งสมบารมีให้ถ้วนถึงจนกระทั่งบรรลุ“พระอนุตตรสัพพัญญุตญาณสัมมาสัมพุทธเจ้า”ได้จริง กระทั่งสามารถบรรลุตาม“ทฤษฎีอันวิเศษ”(สัมมาทิฏฐิที่มีคุณวิเศษขั้นอุตตริมนุสสธรรม)ของพระพุทธเจ้าได้จริงแท้
ศาสนาที่ไม่มี“ทฤษฎีวิเศษ” คือ“สัมมาทิฏฐิ”เป็นต้นของพระพุทธเจ้า จะไม่สามารถปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้เป็นอันขาด
นั่นคือ ถ้าไม่มี“ทฤษฎีวิเศษ”คือ“สัมมาทิฏฐิ” เช่นว่า ไม่มีความรู้ขั้น“อาริยสัจ 4”
ไม่มี“สัมมาอาริยมรรค อันมีองค์ 8” ไม่มี “โพชฌงค์ 7” หรือไม่มี“โพธิปักขิยธรรม 37” ไม่มี“จรณะ 15 วิชชา 8” ไม่มี“ไตรสิกขา” ฯลฯ
สมณะฟ้าไท สรุป พ่อครูเทศน์ อจินไตย 4 ฌานวิสัย พุทธวิสัยยกไว้ กรรมวิบากโลกจินตา เราลดละกิเลสเป็นอรหันต์แล้วก็รู้ไปตามลำดับ เป็นพระพุทธเจ้าก็รู้ได้หมดทุกอย่าง
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:09:22 )
รายละเอียด
600922_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อจินไตย 4 ตรงไหนที่อธิบายได้ ตอน2
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560 ที่ราชธานีอโศก วันนี้ดูทีวีช่องไหนเขาก็จะบอกว่าวันศุกร์สุดสัปดาห์ เป็นวันที่คนเขามีความสุขกันเพราะว่าจะได้พัก ของเราไม่ได้สุขจากการพัก แต่เราสุขจากการเพียร
วันนี้ดูข่าวที่ประชาชนไปสักการะพระบรมศพยังคงหนาแน่น บรรยากาศอากาศร้อนมาก ฝนตก เหมือนสามฤดู
วันนี้ดูเหมือนมีข่าวที่ทำให้นายกรัฐมนตรีอารมณ์เสียเพราะนักข่าวมักจะถามเรื่องปล่อยให้คนหนีไปได้อย่างไร นายกฯ ก็บอกว่านักข่าวทำไมไม่ถามเรื่องที่จะพัฒนาบ้านเมือง แต่ก็คนเขาก็มองว่าคนระดับนี้ปล่อยให้หนีไปได้อย่างไรกัน นักข่าวก็บอกว่า มีตำรวจมะเขือเทศหรือเปล่ารองนายกก็บอกว่ายังมีผู้สื่อข่าวมะเขือเทศเลย ก็มีตรรกะของคนที่คิดก็ได้หมด ว่าจะต้องจับมือกันปรองดองรอมชอมกัน ก็คิดกันไปได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ ทำให้นายกฯ อาจจะเกิดอาการท้อก็คือ เปิดดูข้อคิดเห็นที่ส่งมาบอกว่ามีชม 50 ด่า 50 จริงๆแล้วคนไทยน่าจะชมกันมากกว่านี้ แต่พวกที่เป็นฝ่ายอธรรม มักจะรวมตัวกันเหนียวแน่นมาก เหมือนข้าวเหนียว กลมเกลียวสามัคคีกันดีเลย แต่พวกฝ่ายคนดีมีคุณภาพข้าวแต่ละเม็ดเหมือนกับข้าวกล้อง รวมตัวกันไม่ค่อยได้ สิ่งนี้ก็เป็นเครื่องบอกว่าค่านิยมของสังคมไทยเราไม่ค่อยได้แสดงออก ไม่ค่อยแสดงความชื่นชม กับคนที่ดีคนที่น่าสนับสนุน แล้วแต่ตอนนี้เราก็รู้กันว่า การเลือกตั้งใกล้จะมาถึงแล้ว ก็น่าจะหาทางรับมือกัน ปัญหาทั้งหมดนี้เกิดจากคนดีมีไม่มากพอที่จะรวมกันเพื่อให้เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี การสร้างคนดีก็ยังเป็นภารกิจของพ่อครู
อาตมาดูประวัติคนที่แก้ปัญหาของโลกอย่างคานธี มีงานหลักอย่างเดียว คือให้อินเดียออกจากอังกฤษ แต่ว่าไม่มีเวลาสร้างคนดี พอออกมาเสร็จคนดีก็ลุกขึ้นมาฆ่ากัน แต่พ่อครู แต่ละวันก็มีหน้าที่สร้างคนดีให้เกิดขึ้นมา
พ่อครูว่า...ก่อนที่จะได้พูดถึงธรรมะอะไรต่ออะไร มี sms มาด้วย ก็ขอโฆษณาชักชวน ผู้ที่ควรจะได้มาเข้าค่ายบ้าง เราจัดค่ายที่บวรราชธานีอโศกนี้มาถึงครั้งนี้เป็นครั้งที่ 21 แล้ว วันที่ 22-24 กันยายน 2560 อยากจะให้คนภายนอกที่ไม่ใช่ชาวอโศกที่เดียวมาศึกษากันบ้าง แต่ก็ยากเหลือเกินมีน้อย ก็ทำไป จะได้แค่ไหนก็ไม่รู้ได้ ก็ชวนกัน กิจกรรม ลงทะเบียน เข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค ครั้งที่ 21 ที่บวร ราชธานีอโศก
เชิญร่วมกิจกรรมค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
ครั้งที่ 21 ณ บวร ราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 22 - อาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2560
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่ายโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ (จะมาเต็มค่ายหรือไม่ก็ได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ 091-5063130(สิกขมาตุตรงธรรม)
คุณชญาดา 087-4437865
ดาวโหลดใบสมัครส่งใบสมัคร onlineได้ที่เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP
ความเป็นบวร นี้จะถ่ายซึมลึกเข้าหากันอย่างวิเศษ พิเศษ มาอยู่รวมกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า กัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก
กัลยาณมิตโต คือมิตรร่วมกันทางจิตวิญญาณ
กัลยาณสหาโย คือการร่วมกันทำประโยชน์ สหายะ แปลว่าประโยชน์
กัลยาณสัมปวังโก คือทุกสิ่งทุกอย่างสิ่งแวดล้อมทั้งหมดเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ทั้งองค์รวม ดินน้ำไฟลม พฤติกรรมจารีตประเพณี การถ่ายทอด กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมจะซึมลึกหากันอย่างสนิทเนียน อย่างที่ไม่มีคำพูดจะอธิบายได้ ซึ่งมีต้นทุนที่เป็น static เป็นสิ่งที่พวกเรามีอยู่ มีสามเส้า static dynamic และมีตัวแปรที่เป็น Coefficient สิ่งเหล่านี้เป็นพลังงานทางจิตวิญญาณ ที่ถ่ายซึมหากัน เป็นการสร้างสรรค์ที่สุดยอด จะได้พิสูจน์กันใน ยุคปลายกลียุค คนมีภูมิปัญญาในโลกเข้าใจได้ ก็พยายามทำไป อยากจะให้มากัน กับประเทศไทยเป็นประเทศหลักที่จะมีความรู้อันวิเศษอันนี้ อุตตริมนุสสธรรม ของพระพุทธเจ้า เป็นโลกุตรธรรม ให้แก่มนุษย์ทั้งโลก
จะมีการสอบวิชาการ ของ ว.นบ. ก่อนออกพรรษา ของนิสิต ว.นบ. ในวันอังคารที่ 26 กันยายน นี้ ที่บวรราชธานีอโศก นิสิต คนไหนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่หากประสงค์จะร่วมสอบด้วย กรุณากลับเข้าพื้นที่เพื่อมาสอบ เป็นการวัดผลในช่วงเข้าพรรษานี้ กราบขอบพระคุณพ่อครูครับ ... สมณะสิกขมาตุ ที่ดูแล ว.นบ.
SMS วันที่ 20 กันยายน 2560 (พ่อครู : บวรศีรษะอโศก)
_3867ฟังพ่อครูเทศน์รอบเช้ากับรอบค่ำตอนพ่อครูอ่านบทความชำแหละระบอบล้มปืนล้มทุนล้ม..เผากรุงฯเสียงหาย2รอบโดนผีดีลปรองดองดูด ฤากฎอภิสิทธิชนเซ็นเซอร์ก็ไม่รู้?ปลงอธิปไตยในการฟังคิดพูดทำในการดำเนินชีวิต ไม่ได้อยู่ในอำนาจปวงชนเต็มร้อย?อยู่ใต้อำนาจใครก็ไม่รู้? ซักสลึงก็ไม่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุณเกื้อกูลกันซัก฿เดียวเอวัง
_3867ถ้าเป็นเพราะสัญญาณสดุดเพราะคลื่นสุริยะฯทำไมสดุดเฉพาะตอนพ่อครูพูดระบอบการเมืองร้อยเล่ห์เหลี่ยม? ไม่เข้าใจ?
จากเฟสบุ๊ค
_นวลตา ทรายมูลวงศ์ · ชอบมากรายกานนี้ อจ แต่ พึ้นถานความรู้หนูยังไม่ถึงบ้าง ถึงบ้างนิดๆ เลย งงงมากสะส่วนไหย่ค่ะ เจตะชิก 52มีอะไรบ้างค่ะ พระ อจ แยกรูป แยกนาม ต่างกันย่างไร
_ปรีชา ขำเพชร · เสียงขาดหายเป็นระยะๆครับ....ฝ่ายเทคนิคกรุณาด้วยครับ.....ขอบคุณครับ
_สุมณฑา อาจศัตรู เหล่าชัย · เสียงไม่ค่อยสม่ำเสมอ อาจเป็นเพราะสัญญานทางนี้ค่ะ
_พว.ใจเกื้อ ศรีโพธิ์ · เพิ่งได้สังเกตุหน้าตาผิวพรรณพ่อครู สังขารท่านเสื่อมลงเยอะ แต่เสียงไม่เปลี่ยน ขอพ่อครูสุขภาพแข็งแรง อยู่กับพวกเรา ไปอีกนานแสนนาน กราบนมัสการค่ะ
_ขวัญไพรเย็น ....กราบนมัสการค่ะ ขวัญขอส่งประเด็นคำถาม พ่อว่า เมื่อเราปฏิบัติธรรมแล้วในบางตัวที่ยังเหลืออาสวะ อนุสัยอยู่ เปรียบเหมือนกับเรามีวัคซีน เพื่อให้เกิดปัญญาจากการสู้ แล้วผลจากการสู้กลับไปเสียบกิเลสตาย เก็บสาระจากอาสวะอนุสัย เช่นนี้ลูกเข้าใจถูกไหมค่ะ
ตอบ...ถูกต้อง
_The Sun ... กราบ ถามพ่อครูว่า
เพื่อมนุษยธรรม ประเทศไทยควรเปิดรับชาวผู้อพยพต่างชาติให้มาลี้ภัยในประเทศไทยเราไหมครับ
พ่อครูว่า อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ควรรับหรือไม่ควรรับ ต้องมีข้อมูลผู้อพยพมาเป็นคนลักษณะไหนมีนิสัยใจคออย่างไร มีปัจจัยเยอะ ทั้งโอกาส สถานที่บุคคลและอะไรอื่นอีกมาก ตอบไม่ได้เลย ผู้ที่ดูแลอยู่ เห็นควรหรือไม่ ชาวพุทธชาวไทยมีเมตตากรุณากันอย่างยิ่ง อันนี้ได้รับการยืนยันจากต่างประเทศก็มี คือเราไม่ใช่คนโหดร้ายอะไร ถ้าเหตุปัจจัยมันไม่เหมาะสม ก็ต้องว่ากันไปตามเหตุปัจจัยนั้นนั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลที่พระอาริยะพอใจคืออย่างไร
_สมบัติ ...ผมสงสัย โสตาปัตติยังคะ 4 คืออะไร ที่ว่า
1. ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระพุทธเจ้า
2. ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระธรรม
3. ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระสงฆ์
4. ประกอบด้วยอริยกันตศีล คือ ศีลอันเป็นที่ชื่นชมพอใจของพระอริยะ บริสุทธิ์ ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิแปดเปื้อนหรือครอบงำ และเป็นไปเพื่อสมาธิ
และโดยเฉพาะข้อ 4 อริยกันตศีลนี้ มีขอบเขตแค่ไหนครับ?
พ่อครูว่า...อริยะ ก็คือ ความเจริญ civilization อาริยะ กับ อันตะ คำว่า อันตะ แปลว่า มากเป็นที่สุด เพราะฉะนั้น อาริยกันตศีลคือ ศีลที่พระอาริยะ(อันตะ) เขาก็แปลความว่า ท่านชื่นชมพอใจ คือศีลที่ปฏิบัติแล้วพระอริยะท่านเป็นผู้ให้คะแนน ศีลที่คุณปฏิบัติ พระอริยะสัตบุรุษผู้รู้ท่านพอใจใช้ได้ ตามฐานะที่ควรเป็นไป นั่นคือ อาริยกันตศีล
ถ้าคุณปฏิบัติศีล แล้วพระอาริยะไม่ให้คะแนน ดีไม่ดีผิดด้วย เช่น ปฏิบัติศีลได้แค่กายกับวาจาเท่านั้น ก็ไม่ใช่
ปฏิบัติศีล กายกรรมไม่ฆ่า วจีกรรมไม่พูดฆ่าไม่เอาของคนอื่น แต่ตัวตัดสินอยู่ที่ใจ ยิ่งถ้าภายนอกไม่บริสุทธิ์ก็ยิ่งไม่ได้ ข้างนอกต้องได้ก่อน แล้วจิตคุณจะเกิด
ศีลพระพุทธเจ้าอธิบายในกิมัตถิยสูตร
1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .
2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)
3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .
4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
6. สมาธิ (จิตมั่นคง)
7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) .
8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .
9. วิราคะ (คลายกิเลส)
10. วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 , 208)
อาการของจิต เป็นเครื่องวัด อาริยกันตศีล คือปฏิบัติศีลแล้วพระอริยะเห็นว่าใช้ได้ เข้าเกณฑ์ เกณฑ์คือ ไม่ใช่แค่กายกับวาจา ต้องจิตเป็นได้ด้วยตามลำดับ เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ไม่ประพฤติผิดในกาม ออกนอกรีต ก็พยายามคบคุ้นกันก็ตัดสินกันได้ภายนอก แต่ที่จิตนี้ถ้ากดข่มก็แสดงออกทางกิริยามาก ก็แสดงว่าไม่บรรลุ หากไม่ต้องกดข่มมาก ก็แสดงว่าบรรลุ หรือมีภาวะจิตอ่านภายนอกและซับซาบภายใน สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลเป็นต้น คืออ่านรู้ภายนอกเข้าถึงภายในได้ สรุปแล้ว ต้องให้ผู้รู้ผู้ที่มีภูมิธรรมแท้จริงเป็นผู้ให้คะแนนผู้ตัดสิน นี่เรียกว่า อาริยกันตศีล
ส่วนรายละเอียดว่า ศีลอันเป็นที่ชื่นชมพอใจของพระอริยะ บริสุทธิ์ ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิแปดเปื้อนหรือครอบงำ และเป็นไปเพื่อสมาธิ
สมาธิคือความตั้งมั่นของจิตที่บริสุทธิ์สะอาด จิตที่ลดกิเลสได้ แล้วตกผลึก ผนึกกันเข้า ควบแน่นกันเข้า ก็เรียกว่าจิตตั้งมั่น สมาธิ ไม่ได้แปลว่านั่งหลับตาสะกดจิต แข็ง นั่นเป็นสมาธิของลัทธิศาสนาอื่น ที่เป็นโลกียสมาธิ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นหมายถึงกิเลสลดแล้ว จิตตกผลึกตั้งมั่นสะอาดแข็งแรงขึ้นเป็นธรรมชาติ สะสมจนไม่ต้องควบคุม ไม่กดข่ม ทำแล้วทำอีกก็ได้ จะถึงขีดที่ถาวรสะอาดบริสุทธิ์ สูงสุดของความบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า จึงถึงขั้น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
เป็นคุณสมบัติความดีความดีงามแข็งแรงถาวรสะอาดบริสุทธิ์ ความขยันหมั่นเพียรความเสียสละ ความเป็นผู้ทำงานรับใช้มวลชนอย่างแข็งแรงมั่นคงถาวรตลอดกาลไม่ท้อถอย เหมือนในหลวงร.9 ทรงงานมาตั้ง 70 ปีนี่ละสุดยอด
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ปัจจัตตังที่ถึงอจินไตยคืออย่างไร
_จาก...ลูกหนอนใต้ต้นโพธิ์
กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพสุดบูชาค่ะ ปัจจัตตัง กับ อาจินไตย เหมือนกัน หรือมีส่วนเชื่อมโยงกันอย่างไรบ้างคะ เพราะต่างเป็นวิสัยของผู้มีญานปัญญา เป็นอาริยบุคคล ลูกเข้าใจว่า
ปัจจัตตังเป็นมรรคของผลที่ปฏิบัติให้เกิดความจริง(กรรรม วิบาก)ได้ในขณะปัจจุบัน จนถึงขั้นอุเบกขา มีผลเกิดเป็นอาจินไตย ที่ถ้าใครยังไม่มีสภาวะ ไม่สัมผัสด้วยการปฏิบัติฌานลืมตา สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายด้วยตนเอง อธิบายยังไงให้คนที่ไม่มีสภาวะคงเข้าใจยาก แต่ในตัวเราที่เป็นปัจจัตตังจะรู้ในตนเอง ว่าเราหลุดพ้นได้แค่ไหนแล้ว อยู่ที่ตัวเราจะจบกิจ(กิจจญาน)ในเรื่องนั้นๆ มีกตญาน จบเป็นเรื่องๆไป สั่งสม เก็บแต้มสู่นิพพานไปเรื่อยๆ ลูกเข้าใจอย่างนี้ถูกไหมคะ กราบรบกวนพ่อครูอธิบาย ขยายความเพิ่มด้วยค่ะ
พ่อครูว่า...อุเบกขาของทางโลกนั้นเป็นเคหสิตะ คือไม่เที่ยงแท้ไม่ถาวรยั่งยืน ทนไม่ตลอดกาล กลับกำเริบได้ สักวันหนึ่งก็อาจจะนานมากก็ได้แต่ต้องเวียนกลับ แต่ของพุทธไม่เวียนกลับ พอได้ล้างตัวเหตุให้หมดสิ้นไปอย่างไม่เหลือเชื้อเลย อาตมาเทียบ อุปมาว่า เหมือนกับระเบิดปรมาณู มันระเบิดตูมทำงานเสร็จ ระเบิดก็หายไป มันไม่สามารถก่อตัวกลับมาอีก จะไปสร้างระเบิดใหม่ก็เป็นอันใหม่ แต่อันเก่านั้นหมดแล้วหมดเลย สูญถาวร สนิทจบ
อุเบกขานี่เป็นผลอจินไตย จะพูดว่าถูกก็ถูก แต่ต้องอธิบายถึง นิสัย วิสัย อนสัยแล้ว มีอจินไตย ที่ผู้ที่บรรลุแล้วเป็นวิสัย เช่นฌานวิสัย พุทธวิสัย เป็นเรื่องลึกซึ้งมากและต้องเป็นจริง ได้แล้วเป็นจริงของผู้นั้น ส่วนผู้ที่ยังไม่ถึงอย่าไปคิด คิดแล้วหัวแตกเปล่าๆ
คุณสมบัติของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธะวิสัยอย่าไปคิด ไม่มีทางถูก มันเกินกว่าความคิด
แม้แต่ฌานวิสัยของพระสาวกต่างๆก็สะสมเป็นฌานที่สูงขึ้นๆ ฌานคือการทำลายกิเลสและสั่งสมสร้างสิ่งที่เจริญแข็งแรงเป็นสมาธิ ฌานเป็นมรรคของสมาธิ แยกว่า ปัจจัตตังเป็นมรรค อจินไตยเป็นผลก็ได้ อย่างที่คุณหมาย ปัจจัตตัง คือรู้ได้ด้วยตนและตนทำแล้วก็สร้างตนเอง เป็นนามธรรมที่รู้ได้ด้วยตนของตนคนอื่นไม่เกี่ยว เหมือนช้อนที่อยู่ในแกงก็รับรสนั้น แต่ช้อนที่ไม่ได้อยู่ในแกงจะไปรู้รสแกงได้อย่างไร...ไม่ได้ ต้องมีสภาวะนั้นสัมผัสแล้วเกิดผลของตนเองเป็นปัจจัตตัง แล้วสั่งสม จนถึงวิสัย ขึ้นไปถึงอนุสัย เป็นอนุสัยที่ไม่ใช่กิเลส แต่เป็นอนุสัยของปัจจัตตังของผู้ที่มีภูมิถึง ตามอนุสัยได้ อนุ แปลว่าตาม สย หรือสยังของตนเองไปได้
อาตมาขยายความธรรมะพระพุทธเจ้ายังไม่หมดมีอีกเยอะ อาตมาอายุ 84 แล้วมันชักจะยังไงๆอยู่ อาตมาฝืนขันธ์ตนเองมา หนึ่งนักษัตรแล้ว พยายามดันตนเองให้ถึงสามนักษัตร
จะพยายามไปถึง 144 ก็ครบรองสามนักษัตร ก็มีผู้ช่วยเหลืออยู่ วันนี้ก็ไปยกกระสอบปุ๋ย ทีละสองกระสอบ กระสอบละ 50 กิโลกรัม ไม่ค่อยได้ทำก็เลย เรื้อ ไปช่วยเขาขึ้นได้คันเดียวเขาก็ให้พักแล้ว ก็กล้ามเนื้อยังไม่ค่อยเข้าที่
การสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายก็ยังขยายกันอยู่ เป็นเรื่องใหญ่ รูปีรูปานิปัสสติ อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ และสุภันเตวอธิมุตโตโหติ ไปสู่อากาสา วิญญานัญจา อากิญฯ เนวสัญญาฯ ก็ขยายไปเรื่อยๆ ก็ค่อยๆขยับขยายไป ก็ต้องตามฟัง
พระพุทธเจ้าตรัสว่าต้องคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์
1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .
2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
ุ6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์
8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
9. โพชฌงค์7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ ุ61)
มนสิการ จนเป็นหลักของศาสนาพุทธที่สำคัญ หากไม่สัมมาทิฏฐิ ก็จะไปนั่งสะกดจิตหลับตา หรือลืมตาสะกดจิตแบบ ติชนัทฮันห์ เป็นต้น ก็พยายามอธิบายทั้งสัมมาทิฏฐิ และส่วนที่ผิดก็ต้องขอบคุณที่ต้องเอามายกตัวอย่างอ้างอิงประกอบ และก็ถามไปว่า เราหลุดพ้นได้แค่ไหนแล้ว ปัจจัตตัง อยู่ที่ตัวเรา จบกิจ กิจญาณในเรื่องนั้นๆ กตญาณ จบเป็นเรื่องเรื่องไปสั่งสมนิพพานเป็นแต้มไป
พ่อครูว่า ถูกแล้ว
_Nuch สัณห์ปัญฑา....นมัสการเจ้าค่ะ
มีปัญหาถามค่ะ ออกไปใส่บาตรแล้วเจอคนห่มเหลืองที่เดินมาแต่หนูไม่นิมนต์เค้าให้มารับอาหาร มีแต่คนว่าหนูว่าใส่บาตรให้ใส่ๆไปเลยจะเลือกพระใส่ทำไม ก็ในเมื่อคนนี้ไม่ใช่พระ เป็นกระเทยที่ชอบด่าชาวบ้านด้วย เพียงแค่ห่มผ้าเหลืองเพื่อหาเงิน หนูผิดมั้ยคะที่เลือกพระรับบิณฑบาต
พ่อครูว่า..ถูกต้องทำถูกแล้วอย่าไปส่งเสริมพระที่ทำผิด
_ดิฉันเข่ง ใจแก้ว อโศกตระกูล จะเล่าตอนดิฉันมาปฏิบัติธรรมที่สันติอโศกใหม่ๆ แบกอัตตามานะมาเต็มที่ กับหยิ่งถือตัวก็เท่านั้น หลงตัวว่าสวย รวย เก่ง สิ่งเหล่านี้แหละเสริมอัตตามานะได้อย่างดี ดิฉันเลยเกิดอัตตามานะมาก ไม่ค่อยจะฟังใครเขา เชื่อมั่นตัวเองไม่ยอมใครง่ายๆเลยค่ะ ตอนมาปฏิบัติธรรมที่สันติอโศกใหม่ๆจะฟังแต่พ่อท่านเทศน์อยู่องค์เดียวเท่านั้น องค์อื่นๆเทศน์ไม่สนใจฟัง คิดดูก็แล้วกันว่า ถ้าหากดิฉันไม่มาปฏิบัติลดละอัตตามานะ ถ้าหากอยู่ทางโลกๆจะน่ากลัวแค่ไหน จะเบียดเบียนตัวเองและไปเบียดเบียนผู้อื่นขนาดไหน ถ้าอยู่ทางโลกๆมีทั้งเงินทอง มีทั้งอำนาจ มีทั้งคนยอมรับในสังคมนั้นๆด้วย อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากไม่มีศีลมีธรรม เราก็หลงตัวหลงตนว่าเราเป็นคนดีแล้วเข้าข้างตนเอง หารู้ไม่ว่ากำลังสร้างกรรมวิบากให้กับตัวเองมากๆ
อยู่มาวันหนึ่งความไม่เที่ยงก็เกิดขึ้น ได้เปลี่ยนทางเดินมาเข้าสู่โลกโลกุตระ ทางนี้ต้องขยัน กล้าจน ทนเสียดสี หนีสะสม นิยมสร้างสรร สวรรค์นิพพาน ทางนี้ก็เสื่อมลาภยศสรรเสริญ ถูกนินทา ใหม่ๆก็ทุกข์เพราะเคยได้สมใจทุกอย่าง สุดท้ายมาทางนี้ก็ต้องเสื่อมหมด แล้วไม่ทุกข์ได้ ถึงจะเข้าถึงมรรคผลได้
พอดีฉันได้ปฏิบัติธรรมนานวันเข้าก็ได้เจริญธรรมขึ้นไป ก็ได้ทบทวนตัวเอง ก็ได้เห็นโทษของอัตตามานะชัดขึ้น มันน่าเกลียดอย่างนี้ ดิฉันก็เลยตั้งใจพยายามจะลดตัวอัตตามานะ แต่ก็ไม่ใช่จะลดได้ง่ายๆทันทีก็พยายามหาวิธี ฟังผู้อื่นและก็ยอมผู้อื่น แม้บางครั้งเขาเข้าใจเราผิด เราก็ต้องยอมไม่เถียง ทำทุกวิถีทางจะลดอัตตามานะ บางครั้งก็เจ็บปวดหัวใจเหมือนกัน บางครั้งน้ำตาก็ไหลออกมา บางครั้งน้ำตาก็ตกอยู่ข้างใน ดิฉันคิดแล้วไม่มีทางอื่น มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่มีพ่อท่านพระโพธิรักษ์พาสอนให้ลดอัตตามานะได้จริงๆ ที่อื่นๆมีแต่สอนให้เพิ่มอัตตา ไม่ได้สอนให้ลดอัตตาเลย เรื่องของอัตตามานะนั้นไม่ใช่จะยอมกันง่ายๆเลย ถ้าไม่สู้อย่างชนิดตายเป็นตายและเด็ดขาด กิเลสมันไม่ยอมเราง่ายๆเลยค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ต้องทิ้งโลกธรรมจึงรู้รสพระธรรม
สุดท้าย จะถามพ่อท่านว่า ถ้าดิฉันไม่ได้มาปฏิบัติจนกระทั่งเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสรรเสริญ จะไม่รู้รสของความเสื่อมทุกสิ่งทุกอย่างของการหมดของโลกียะ จะไม่รู้ว่าพ้นโลกธรรมใช่ไหมคะ คนที่มีลาภ มียศ มีสรรเสริญอยู่เต็ม จะไม่รู้เลยว่า การเสื่อมมีอาการของโลกธรรมเป็นอย่างไร ใช่ไหมค่ะ
กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ
พ่อครูว่า...ถ้าไม่ต้องทิ้งอะไรมาก็ได้ พระพุทธเจ้าจะทิ้งมาทำไม อาตมาจะทิ้งทางโลกออกมาทำไม มันต้องหมดตัวจริงๆ เราไม่มีจริงๆถึงรู้ แล้วอีกอย่างคือวิบาก หากคุณ ไม่มีลาภยศสรรเสริญเลย แล้ววิบากตามมาทันแล้ว เราจะรู้ เราจะเอาอำนาจเอาเงินฟาดจัดการก็ได้ทั้งนั้น แต่นี่มันไม่มีแล้วคุณจะต้องยอม ลดมานะอัตตาแล้วจะมีทางออก แล้วก็มีอจินไตย ยิ่งเราให้ยิ่งเราไม่มี ยิ่งเราขาดทุนจะยิ่งกำไร เป็นเรื่องที่เป็นปัจจัตตังรู้ด้วยตนเอง ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา หรือแบบคนจน เราทำแบบคนจน ในหลวงเรา ท่านเองพยายามทำตัวจน แต่บารมีท่านต้องมีคนหนุน แม้แต่อาตมาก็ตาม แต่บารมีไม่มากเท่าในหลวงหรอก แต่เรารู้ว่าใจเราสะอาด ไม่ได้ยึดถือเป็นเราเป็นของเราจริงๆ
เงินที่เขาเอามาบริจาคให้อาตมา อาตมาจะไม่ใช้เพื่อตัวเองเลยแม้ตนเองจะเจ็บป่วยจนจะตายแล้วก็ไม่เอาเงินที่เขาบริจาคนี้มาใช้รักษาตัวเอง ถ้าไม่มีส่วนไหนมาช่วย ตายเป็นตายหรือต้องกินอันนี้ จะต้องกินอันนี้จึงจะไม่ตาย ก็จะไม่ใช้เงินที่เขาบริจาคมาซื้อ อาตมาตั้งปณิธานไว้ ทำได้มาตลอด เงินที่บริจาคมาก็หมุนเวียนไปใช้ในกิจกรรมส่วนกลางหมด ไม่เอามาใช้ส่วนตัวแม้แต่กระทั่งกินข้าวหรือซื้อยา อันอื่นก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ไม่ทำเพื่อตนเอง อาตมาทำได้สำเร็จ พูดแล้วเหมือนยกตัวยกตน แต่มันเป็นวิชาการที่เอามายืนยัน พูดให้ฟัง เป็นเรื่องสัจจะที่ต้องปลูกฝังอย่างมาก แล้วจะได้นำพาความจริงที่เป็นมวลปฏิบัติได้ เป็นมวลที่เป็นรูปธรรม และมีพลังงานมีพฤติกรรม ทำงานให้แก่สังคมโลกไม่ใช่แค่ในประเทศไทย
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน จิต มโน วิญญาณต่างกันอย่างไร
_อีกอัน จิตมโนวิญญาณ เป็นอย่างไรคะ ต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...ตอนนี้คงอธิบายไม่ไหวแล้วละ่ก็ค่อยคิดตามฟังไปเรื่อยๆ ก็ตอบไปเล็กน้อย
จิต มโน วิญญาณ
จิตกับมโน เป็นคู่รูปนาม มโนนี่ถือเป็นพลังงานที่เรียกว่าพลังงานทางจิตยิ่งกว่าจิต ส่วนคำว่าวิญญาณ เป็นพลังงานโดยองค์รวม เจตสิกทั้งหลาย องค์รวมของเวทนา สัญญา สังขาร ทั้งหมดคือวิญญาณ การทำงานก็คือธรรมะสองมีจิตกับมโน สุดท้ายจริงๆแล้ว ธรรมะ 2 ขั้นปลายสุด ก็มีมนายตนะกับธัมมายตนะ มีสะพานกันมโนกับธรรมะ ธรรมะคือสิ่งทรงไว้เป็นอัตตาเรา กับการทำงานมโน
มโนเป็นตัวละเอียดที่สุดทำงานคู่กับจิตเป็นธรรมะ 2 ตลอดเวลา ส่วน วิญญาณเป็นองค์รวม เป็นประธานของ จิตกับมโน แต่ตัวทำงานหลักคือ จิตกับมโน จิตจะเป็นตัวหยาบใหญ่ก็ได้ มโนเป็นตัวละเอียด ขยายความแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน มันจะมีอะไรอีกเยอะ เมื่อขยายจิต 82 เป็นต้น จะมีอะไรละเอียดกว่านี้อีกเยอะ
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ฌานพลังงานคือเผากิเลสตน
_อาตมาเอาข้อเขียนที่จะลงหนังสือเราคิดอะไร เดือนตุลาคม “ศาสตร์พระราชา”
“ฌาน”ของพุทธจริงๆนั้นมันหมายถึง“พลังงานอุณหธาตุ”เป็น“ไฟกองใหญ่”มีฤทธิ์เหนือกว่าพลังงาน“ธาตุสสาร”และ“นามธาตุขั้นโลกีย์” อย่างวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)เกินคาด
เผาแต่ของตนเอง คนอื่นทำให้ไม่ได้ ถ้าตนเองทำได้ แล้วก็ใช้ไฟฌานเผากิเลสคนอื่นได้ ถ้าทำได้ พระพุทธเจ้าก็ทำแล้วสิ แต่มันเป็นไปไม่ได้ จึงต้องสร้างขึ้นมาเอง ไฟฌาน อันประกอบด้วยปัญญา
ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานอยู่ที่นั่น ไปบอกว่า นั่งหลับตาแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นเอง พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนอย่างนั้น มีแต่ต้องปฏิบัติ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ สัมมาทิฏฐิ
ต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิที่จะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ทยอยเติมปัญญาเป็นปัญญินทรีย์ จนเป็นปัญญาผล มีกระบวนการทั้ง 6 นี้ทำงาน อาตมานามของพระพุทธเจ้ามาอธิบายตามแบบของอาตมา
ซึ่งเป็น“พลังงาน”ที่มีทั้งความเร็วในการหมุนตัวรอบสูง และมีทั้งความแรงที่มีฤทธิ์สลายธาตุอื่นได้เยี่ยมยอด จึงสามารถ“เผา”หรือ“กำจัดไฟธาตุ”อื่นที่เป็น“จิตนิยาม”คือ“ไฟราคะ-ไฟโทสะ-ไฟโมหะ” ให้ละลายหายสูญไปอย่างสิ้นซากเกลี้ยงสนิทเด็ดขาดถาวรยั่งยืนตลอดกาลนิรันดรได้จริงๆ
แต่ผู้มีจริตสายสมถะ ก็เอาภาษาคำว่า“ฌาน”ไปใช้ในเชิง“การเพ่ง-การกดข่ม”เท่านั้นในวิธีหลับตาเพ่งข่ม(meditation ซึ่งมิใช่ supra-concentration)ด้วยพลังงาน“ข่มจิตสะกดจิต”ให้ยิ่งๆ กระทั่งแน่นแข็งนิ่งสนิท ไม่เคลื่อนไม่ไหวติงสำเร็จ ตนไม่รู้ตัวนานสุดแสนนาน
ถึงขั้นตน“จำกาละ”ไม่ได้ จึงทำให้หลงว่า นี่คือ “นิรันดร” เพราะมันนานเกินกว่าที่ตนจะระลึกนึกถึงหรือระลึกนึกค้นขึ้นมาได้
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน สัจจะของอัตตา
ซึ่งสัจจะของ“อัตตา(ตัวตน)”แท้ๆนั้นผู้ยอมรับว่ามี“อัตตา”นิรันดรเป็นที่สุด ก็คือ ผู้ยังไม่มี“ปัญญา”แบบพุทธสัมมาทิฏฐิ ตามที่สาธยายมา เป็นผู้ไม่พ้น“อวิชชาสวะ”หรือที่สุดจริงๆคือ ไม่พ้น“อวิชชานุสัย”สัมบูรณ์แท้ยังเป็นผู้“จำนน”ต่อ“ภาวะที่มีอัตตานิรันดร”อยู่นั่นเอง ตนจึงต้อง“มีพระเจ้า”
เพราะเขาไม่มี“ทฤษฎีวิเศษ”(สัมมาทิฏฐิ)ที่สามารถกำจัด“อัตตา 3”แท้ เกลี้ยงได้จริงอย่างเป็นลำดับละเอียดลอกระทั่ง“อนัตตา(ไม่มีตัวตน)”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้เกลี้ยงสำเร็จแท้ จึงจำนนเป็น“เทวนิยม”ผู้มี“พระเจ้า”คือ“บรมอัตตา(ปรมาตมัน)”อย่างที่มีกันนั้นแหละ
ความจำนนเป็นผู้“มีอัตตา”นิรันดรอยู่แท้จริง จึงเป็นกันด้วยเหตุเช่นนี้เอง เพราะที่แท้นั้นสภาวะ“อัตตา”นั้นๆยังไม่ได้ถูกกำจัดทำลาย ยังไม่“สลายสูญไป”หรือหายไปจากความเป็น“ตัวตน”นั้นๆเด็ดขาด ตามคำสอนของ“พระศาสดา”
“พระศาสดา”คือ มนุษย์นี่แหละที่มีตัวตนจริง เป็นผู้ประกาศคำสอนแก่มวลมนุษยโลก “พระศาสดา”ทรงสอนให้“รู้”ได้เท่าใดผู้ได้รับคำสอนจะปฏิบัติบรรลุผลได้สูงสุดก็เท่าที่พระศาสดานั้นทรงสอนให้เท่านั้น
“พระศาสดา”ของพุทธคือ พระพุทธเจ้า เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งแท้ๆที่ทรงประกาศ“ทฤษฎีวิเศษ”ของพระองค์แก่มนุษยโลก ให้มนุษย์ทุกคนปฏิบัติบรรลุตามได้ กระทั่งสูงสุดก็สามารถบรรลุเท่ากับ“พระศาสดา”เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งบ้าง มนุษย์ ทั้งหลายจึงล้วนมีสิทธิ์เสรีภาพจะเป็นได้
มนุษย์ทุกคนจึงมีสิทธิ์เท่าเทียมกันทุกคนที่จะพากเพียรพยายามบำเพ็ญบารมีให้บรรลุความเป็น“พระศาสดา”ของพุทธได้เป็น“พระพุทธเจ้า”พระองค์ใดพระองค์หนึ่งในโลก ไม่สงวนสิทธิ์ ทุกคนมีอิสระเสรีภาพที่จะบรรลุเป็น“พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า”ได้ ถ้าหากคนผู้นั้นพากเพียรบำเพ็ญตน สั่งสมบารมีให้ถ้วนถึงจนกระทั่งบรรลุ“พระอนุตตรสัพพัญญุตญาณสัมมาสัมพุทธเจ้า”ได้จริง กระทั่งสามารถบรรลุตาม“ทฤษฎีอันวิเศษ”(สัมมาทิฏฐิที่มีคุณวิเศษขั้นอุตตริมนุสสธรรม)ของพระพุทธเจ้าได้จริงแท้
ศาสนาที่ไม่มี“ทฤษฎีวิเศษ” คือ“สัมมาทิฏฐิ”เป็นต้นของพระพุทธเจ้า จะไม่สามารถปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้เป็นอันขาด
นั่นคือ ถ้าไม่มี“ทฤษฎีวิเศษ”คือ“สัมมาทิฏฐิ” เช่นว่า ไม่มีความรู้ขั้น“อาริยสัจ 4”
ไม่มี“สัมมาอาริยมรรค อันมีองค์ 8” ไม่มี “โพชฌงค์ 7” หรือไม่มี“โพธิปักขิยธรรม 37” ไม่มี“จรณะ 15 วิชชา 8” ไม่มี“ไตรสิกขา” ฯลฯ
ก็จะไม่สามารถมีความรู้“ธรรมนิยาม 5” และไม่พ้น“อจินไตย 4”แน่นอนเด็ดขาด
เช่น ยุงนี้ ตับไตไส้พุงมันทำงานอย่างไร ส่องกล้องจุลทัศน์ไปก็ยังไม่ทราบ มีอจินไตยต่างๆ เป็นสัญชาตญาณ เช่นจิงโจ้ คลอดออกมาแล้วก็ไต่หากระเป๋า ใครบอกมัน ทำไม? ทำไมสัตว์ต่างเกิดมาต้องกินนม แล้วหาเจอด้วยนะ อะไรต่างๆนานา สัญชาตญาณต่างๆ ใครสอนมัน ลูกหมาหรือลูกสัตว์อื่นก็เป็นเหมือนกันเพราะสิ่งต่างๆสั่งสมเป็นสัญชาตญาณ
สัตว์ต่างๆไม่ได้เกิดมาชาติเดียว มันเกิดมาเป็นล้านๆชาติ เกิดมาเป็นคนกี่ชาติอย่านับ ตั้งหน้าตั้งตาล้างกิเลสไปแล้วจะไม่สงสัย อย่างอาตมาไม่สงสัย มันสั่งสมตั้งแต่ อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ แล้วคุณจะเข้าใจว่า มันสังเคราะห์กันอย่างไร แม่เหล็กแสงเสียงไฟฟ้า ก็ตามเป็นอุตุ คุณจะเข้าใจได้ พีชนิยามมันรวมตัวสังเคราะห์อย่างไร มีแต่สัญญา สังขาร ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ จะไม่งงว่ากินพืชจะบาป ก็ไม่บาปเพราะไม่มีวิญญาณไม่มีเวทนา มีแต่ ISH มี I แล้วมีภาวะสอง she he ปุริสภาวะและอิตถีภาวะ I คือประธานจัดการ she he แต่ถ้าจัดการไม่ได้ อิตถีภาวะ และปุริสภาวะมันก็จะรวมหัวกันใช้ I เล่นงาน I ตัวประธานคือตัวเอง โดนสองกิเลส อิตถีภาวะ she he เล่นงาน I คุณจะไม่งงไม่สงสัย ภาวะ สามนี้ทำงานซับซ้อน กันไป
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน อจินไตยในฌานวิสัย
ศาสนาที่ไม่มี“ทฤษฎีวิเศษ” คือ“สัมมาทิฏฐิ”เป็นต้นของพระพุทธเจ้า จะไม่สามารถปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้เป็นอันขาด
นั่นคือ ถ้าไม่มี“ทฤษฎีวิเศษ”คือ“สัมมาทิฏฐิ” เช่นว่า ไม่มีความรู้ขั้น“อาริยสัจ 4”
ไม่มี“สัมมาอาริยมรรค อันมีองค์ 8” ไม่มี “โพชฌงค์ 7” หรือไม่มี“โพธิปักขิยธรรม 37” ไม่มี“จรณะ 15 วิชชา 8” ไม่มี“ไตรสิกขา” ฯลฯ
ก็จะไม่สามารถมีความรู้“ธรรมนิยาม 5” และไม่พ้น“อจินไตย 4”แน่นอนเด็ดขาด
ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาแห่งกรรม “หากควบคุมกรรมได้ก็เท่ากับคุณคือ God”
“พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้า”นี้ เป็น “อจินไตย”ที่ยกไว้ ซึ่งเกินกว่าคนชั้นใดๆจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้บริบูรณ์สัมบูรณ์ นอกจากผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองทุกพระองค์เท่านั้น จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“พ้นอจินไตย”ขั้นสูงสุด สุดๆกว่าความสูงใดๆอีกแล้วนี้
แม้แต่“โพธิสัตว์”ระดับสูง ขั้น 9 ผู้มี “ญาณ 67”ที่ยังไม่มี“อนุตตริยะ 6” อันได้แก่
1.อินทริยปโรปริยัติญาณ(ญาณในความยิ่งและหย่อนของสัตว์ทั้งหลาย) 2.อาสยานุสยญาณ(ญาณในฉันทะเป็นที่มานอน และกิเลสอันนอนเนื่องของสัตว์ทั้งหลาย) 3.ยมกปาฏิหิรญาณ(ญาณในยมกปาฏิหาริย์) 4.มหากรุณาสมาปัตติญาณ 5.สัพพัญญุตญาณ 6.อนาวรณญาณ
ก็คือ ผู้ยังไม่มี“พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้า”ที่เป็น“อจินไตย” ซึ่งพระโพธิสัตว์ก็จะต้องบำเพ็ญสร้างบารมีให้ครบ“อนุตตริยะ 6 ของพระพุทธเจ้า”นี้ให้เป็นที่สุดต่อไป
นั่นคือ “อจินไตย”ขั้น“พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้า”ที่เป็นที่สุดแห่งสุดแล้ว ในพุทธศาสนา เป็นสุด“วิสัย”เฉพาะ“พระสัมมาสัม
พุทธเจ้าเท่านั้นที่จะมีได้ ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์ จึงต้องยกไว้เป็นพิเศษตามสัจจะที่เป็นจริงของ“พุทธวิสัย” ซึ่งสูงสุดแห่งที่สุด
“อจินไตย 4”ที่เหลือ ตั้งแต่“อจินไตย”ขั้นที่ 3 ได้แก่ “ฌานวิสัยของผู้ได้ฌานโลกุตระ”ซึ่งเป็นแบบพุทธ จึงเป็นของพระพุทธสาวก
“ฌานวิสัยของผู้ได้ฌานโลกุตระ”แบบพุทธนี้แม้ผู้เป็นชาวพุทธแท้ๆที่เรียนรู้และปฏิบัติก็ยัง“พ้นอจินไตย”นี้ได้ไม่ง่ายเลย
ดังนั้น คนอื่นหรือชาวศาสนาอื่นก็ยิ่งหมดสิทธิ์ที่จะ“พ้นอจินไตย”ในความเป็น“ฌาน” โลกุตระนี้ จึงเรื่องมิบังอาจ“คิดเอา”เด็ดขาด
คนอื่นหรือศาสนาอื่นก็มีแต่“ฌาน”ที่เป็นแบบอื่นคือ “ฌานโลกียะ” ซึ่งไม่ใช่“ฌาน” แบบพุทธแน่นอน เป็น“ฌาน”สามัญที่มีทั่วไป
“ฌานโลกียะ”นั้นใครๆได้ยินได้ฟังพูดได้อธิบายก็พอรู้ ไม่ยาก หรือได้เห็นได้ทำตามก็ทำตามกันได้ง่ายๆ ก็เห็น“หลับตาทำกันอยู่เต็มโลก ไอ้ที่ให้เพ่งเข้าไปในจิต-สะกดเข้าไปในจิต ให้จิตไม่นึกไม่คิด ให้จิตอยู่นิ่งๆ อยู่เช่นนั้นให้ได้นานๆ” ไม่เห็นจะ“ลึกซึ้ง(คัมภีรา) เห็นตามได้ยาก(ทุทฺทสา) ตรัสรู้ตามได้ยาก(ทุรนุโพธา) สงบ(สงบอย่างพิเศษ) ประณีต(ปณีตา) คาดคะเนเดาเอาไม่ได้(อตักกาวจรา) ละเอียด(นิปุณา) รู้ได้เฉพาะบัณฑิต(ปัณฑิตเวทนียา) กันตรงไหนเลย “ฌานโลกีย์”ที่รู้จักกัน ที่เชื่อถือกันทั่วไป
ใครฟังก็ไม่เห็นจะเข้าใจยากอะไร และฝึกหัดทำตามที่บอก ก็ไม่ใช่เรื่อง“ลึกซึ้ง(คัมภีรา) เห็นตามได้ยาก(ทุทฺทสา) ตรัสรู้ตามได้ยาก(ทุรนุโพธา) สงบ(สันตา) ซึ่งมันก็“สงบ”แบบโลกียะ“มิติ”สามัญ ที่ไม่เห็นว่า จะเป็น“มิติที่ลึกซึ้ง” (คัมภีรา)“เห็นตามได้ยาก(ทุทฺทสา)“ตรัสรู้ตามได้ยาก(ทุรนุโพธา)ตามคำตรัสกันตรงไหน? อย่างไร?
มันก็เป็นความหมายทั่วๆไป ที่อธิบายกัน นิยามกัน ซึ่งเป็นความหมายของ“ฌานโลกียะ”สามัญ พูดกัน บอกกัน ก็สามารถจินตนาการตามได้ และปฏิบัติกันได้ทั่วไปด้วย ไม่เห็นจะมี“มิติ”ถึงขั้นที่จะเรียกได้ว่า “ลึกซึ้ง(คัมภีรา) เห็นตามได้ยาก(ทุทฺทสา) ตรัสรู้ตามได้ยาก(ทุรนุโพธา) “สงบ”ที่จะเป็น“ความสงบถึงขั้นโลกุตระ”อะไรเลย ไม่เห็นจะถึงกับเป็น“อจินตง-อจินไตย”กันตรงไหน
ลองฟังกันให้ดีๆ พิจารณากันให้ชัดๆ
ซึ่ง“ฌานโลกียะ”หรือที่พูดกันทั่วไปว่า“ทำฌาน-ปฏิบัติฌาน”กันในสังคมคนทั่วไปนั้น พูดกันง่ายๆ ว่า “เพ่งเข้าไปที่อะไรก็ได้ ให้จิตมันนิ่ง ให้จิตมันหยุดคิดหยุดมีอาการ ให้จิตมันอยู่เฉยๆ ไม่มีอารมณ์“นิวรณ์ 5 ให้ได้ขณะที่เพ่งที่สะกดจิตๆไว้นั้นๆ” แบบนี้แหละเรียกว่า“ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน” ซึ่งเป็นแบบโลกีย์ เป็นแบบสามัญทั่วไป ที่เรียนกัน ฝึกปฏิบัติกัน
คำว่า“ฌาน”เป็นภาษาที่ใช้เรียกภาวะความเป็นลักษณะของ“การกระทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เกิดขึ้น ผลสำเร็จของ“ฌาน”เรียกว่า “เอกัคคตา” ซึ่ง“เอกัคคตา”นี้แปลกันว่า ความมีอารมณ์เป็นหนึ่ง”
และ“ความมีอารมณ์เป็นหนึ่ง”นี้เองที่เป็นความหมายของคำว่า“เอกัคคตา” จะต้องมี“ความเป็นหนึ่ง”อย่าง“อัคคะ”ให้จริง
คำว่า “เอกัคคตา” คือ เอก+อัคค+ตา
“เอก”หมายถึง เป็นหนึ่ง หรืออันเดียว ส่วน“อัคคะ”หมายถึง เลิศ,สูงสุด,ยอดเยี่ยม
แต่“ฌานโลกียะ”นั้นเป็น“อัคคะ” หรือ เลิศ,สูงสุด,ยอดเยี่ยม กันอย่างไร? ตรงไหน?
เพราะถ้าใครๆได้ฟังอธิบายก็เห็นตาม(ทิฏฐิ)ได้ แม้จะทำก็ทำได้ผลนิ่งสงบได้ มันก็ง่ายๆ ไม่เห็นจะ“ลึกซึ้ง(คัมภีรา)” มัน“เห็นตามได้ยาก(ทุทฺทสา)กันที่ไหน,มันมีความตื่นรู้(ชาคริยา,โพธ)”หรือ“หลับ”กันแน่? มันตรงตามคำตรัส(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 26, 30,34,38 ฯลฯ) ว่า ธรรมของพระองค์นั้น “ลึกซึ้ง(คัมภีรา) เห็นตามได้ยาก(ทุทฺทสา) ตรัสรู้ตามได้ยาก(ทุรนุโพธา) สงบ(สงบแบบพิเศษ) ประณีต (ปณีตา) คาดคะเนเดาไม่ได้(อตักกาวจรา) ละเอียด(นิปุณา) รู้ได้เฉพาะบัณฑิต (ปัณฑิตเวทนียา) จริงๆเหรอ?
ฉะนั้น ความรู้และการกระทำ“ฌานโลกียะ”นี้ ที่มันมี“อารมณ์เป็นอันเดียว แบบมิติเดียวนี้ จึงเป็นเรื่องตื้นๆพื้นๆ รู้ได้ง่ายๆ ทำกันได้ไม่ยากอะไร จึงรู้กันได้ มีกันได้ดาษดื่นแพร่หลายอยู่ทั่วไปครองโลกสากล
แล้วมันจะ“อจินไตย”กันตรงไหน?
ถ้าเทียบระหว่าง“ฌานโลกีย์”กับ“ฌานโลกุตระ”ก็จะมีภาวะความเป็นจริงหลายๆนัย-หลายๆมิติ-หลายๆความสลับซับซ้อน-หลายๆเชิงความลึก-หลายๆความมากเชิงชั้น-หลายๆความยากง่าย-หลายๆความเป็นระบบระเบียบ จะเห็นได้ชัดว่า“ฌานโลกีย์”ไม่ใช่เรื่อง“อจินไตย”กันตรงไหนเลย
พ่อครูจบตรงนี้….
สมณะเดินดินว่า...พ่อครูตอนนี้ก็ต้องบอกว่า ฟังแต่เสียงอย่างเดียวอย่าดูหน้า วันนี้เราได้ฟังเนื้อหาหลักคืออจินไตย คงไม่มีใครอธิบายให้เราฟังได้ง่ายๆ แต่ฝากไว้ว่า ฌานวิสัย เราเคยฝึกมาทำให้จิตเป็นหนึ่งเดียว แต่มาฟังพ่อครูก็ไปไม่เป็นเลย เรื่องสมาธิ ก็เหมือนกัน ฌานคือมรรค สมาธิเป็นผล… สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องลึกซึ้ง ที่เป็นอจินไตยคือถ้าไม่มีผู้รู้มาอธิบายก็คิดเอาไม่ได้...จบ….
เอาไว้ต่อครั้งต่อไป……...
“ฌานโลกียะ”สามัญก็สากลรู้กันและทำกันอยู่ตลอดกาลนานนั้นจึงอย่าหลงผิดว่าฌานโลกีย์มันเป็น“อจินไตย” เพียงแต่จะมี“ฌานโลกีย์”ได้ก็ต้องปฏิบัติให้เป็นให้ถึง ใช้ความพยายามหน่อย หรือใช้ความสามารถพอสมควรเท่านั้น ก็เป็นได้ ทำได้ ไม่ลึกซึ้งซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อน(ปฏินิสสัคคะ =ความสลับซับซ้อนยอกย้อนของการเรียนรู้ภาวะจริงด้วยการ“สัมผัสรสสุขรสทุกข์” แล้วปฏิบัติโลกียะให้เป็นโลกุตระ) ที่จะต้องใช้ทั้ง“ปัญญา” ทั้งใช้การสำรอกกิเลสออกให้เกิดผลจริง ให้จิตสะอาดอย่างหมดความเป็น“กาย”ทั้งหลาย(สังขารของความเป็นธรรม 2 ที่เป็นโลกีย์) และ“ดับ”ความเป็น“กายคต(สิ่งที่ดำเนินไปในกาย)-กายกลิ(สิ่งที่เป็นโทษในกายคือกิเลส)-กายฑาห(ความเร่าร้อนแห่งกายคือตัณหา-กายตปน(การยังกายให้เร่าร้อน)-กายทุกข(ความเป็นทุกข์ของรูปและนาม)-กายทุจริต-กายทุฏฺฐุลฺล(ความประพฤติชั่วหยาบทางกาย)-กายปโกป(ความกำเริบไปทางผิดของกาย)-กายวิปฺผนฺทน(ความดิ้นรนทางกาย) เป็นต้น และยังมีอีกมากมายในความเป็น“กาย”ที่ยังไปในทางบาป ทางอกุศล ที่จะต้องกำจัด“ธรรมะ 2”ให้เหลือหนึ่ง หรือเป็นหนึ่ง คือเป็น “เอกัคคตา”
หรือทำได้แล้ว ทำบรรลุผลธรรมแล้ว รูปนามที่เหลือก็รวมตัวกันเป็น“กุศลจิต”เรียกว่า กายปัสสัทธิ(ความสงบจากกิเลส ดับกิเลสออกไปจากจิตได้ จิตใจก็สงบ ก็เหลือรูปกับนาม(ธรรมะ 2)ที่สงบจากกิเลสนั่นเอง “กายปัสสัทธิ”นี้จึงไม่ใช่หมายเอา“ร่างภายนอกจิตโน่นที่หยุดนิ่งหรือสงบ แต่มันคือจิตแท้ๆที่สงบจากกิเลสกันอย่างถูกตัวถูกตนของกิเลสจริงต่างหาก)
“กายสงบหรือความสงบกาย”ที่เป็น
โลกุตระนี้คือ กิเลสมันออกไปจากใจ ใจจึงยิ่งสะอาดคล่องแคล่วปราดเปรียวว่องไว(กาย
ปาคุญญตา) ใจผู้นี้จึงบงการ“กายวาจาและใจเอง”ให้ทำงานเก่งอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว มีสมรรถนะทำงานได้ดีเยี่ยมเหมาะสมเหมาะควรแก่งานนั้นๆโดยจะใช้“สัปปุริสธรรม ุึ7 และมหาปเทส 4”ชนิดที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงทั้งภายนอกและภายในอย่างดีจริงๆ(กายกัมมัญญตา)
“กายสงบ”จึงมิใช่แค่“ร่างภายนอก”สงบ นิ่งๆ แต่คือ“จิตสงบจากกิเลส”จึงทำงานได้ดี
“ฌานโลกุตระ”มีหลากหลาย“มิติ”หมุน
รอบเชิงซ้อนกันอย่างเป็นระบบระเบียบ ถ้า
หากคนผู้ใดไม่มี“ปัญญา”จริง จะไม่สามารถ
รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความสลับซับซ้อนนี้อย่าง
มีต้น-กลาง-ปลายเป็นระบบไปตามลำดับชนิดที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ได้เลยเป็นแน่แท้
จึงน่าอัศจรรย์ยิ่งจริงๆ สำหรับผู้ไม่มี
“ปัญญา” ไม่มี“ความรู้และความเป็นจริง”นี้ใน
ตนเองจริง ก็จะรู้สึกเข้าใจยาก จะงงๆในความสลับซับซ้อนนั้น เพราะมันจะมีความยอกย้อนสลับซับซ้อน บางทีเหมือนเขาวงกตออกไม่ได้
ซึ่งแท้จริง โลกุตระนั้นจะสลับซับซ้อนจริง จะวนอย่างมี“รอบ”ของต้น-กลาง-ปลายซับซ้อนย้อนกันไปมาอย่างเป็นระบบระเบียบ แต่มันละเอียดลึกซึ้ง มันเป็นเรื่อง“ทวนกระแสโลกีย์”(ปฏิโสตัง) และซับซ้อนที่มี“การหักกลับ
หรือหวนกลับ(ปฏินิวัตตติ)” โดยเฉพาะมี“การสลัดคืนหรือการสละทิ้ง(ปฏินิสสัคคะ)”ชนิดที่โลกียะไม่มี จึงคิดไม่ออก “ความรู้และความจริง”นี้
ก็ขาดหายไปในโลกโลกีย์ “โลกียะรู้จักรู้แจ้ง
สัจจะนี้ไม่ได้” จึงเรียกว่า “อจินไตย”จริงๆ
แต่“ฌานโลกุตระ”นั้นผู้ปฏิบัติทั้งรู้ทั้งทำได้จริง และมีระบบต้น-กลาง-ปลายที่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ตามที่พระพุทธเจ้า
ตรัสไว้ใน“ปหาราทสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 23
ข้อ 109) แม้จะสลับซับซ้อนยอกย้อนกี่“มิติ”ก็จะแยกมิติเหล่านั้นออก เห็นในความมีเหตุมีปัจจัยที่เป็น“ปัจจยาการ”กัน เช่น รู้จักรู้แจ้ง
รู้จริงใน“ปฏิสมุปบาท” เป็นต้น หรือรู้จักรู้แจ้งในกระบวนการที่สลับซับซ้อนมีสัจจะย้อนสภาพปฏิสัมพัทธ์กันอย่างสอดซ้อนกันไปมาของ“โพธิปักขิยธรรม 3ุึ7” เป็นต้น
“ฌานโลกีย์”มันเรื่อง“มิติเดียว”ตื้นๆ เหมือนเส้นตรง ตรงดิ่งทื่อๆ ไม่สลับซับซ้อน ที่ละเอียดอ่อนสุขุมอะไรเลย
“ฌานโลกีย์”จะไม่มีความเป็น“ปฏิ” อยู่ในการปฏิบัติ คือ จะไม่ย้อนไปย้อนมา จะไม่มีการศึกษาสภาวะทวนกระแส จะไม่รู้แจ้งรู้จริงสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เช่น “ปฏิปัสสัทธิ” ก็จะเข้าใจ“ความสงบ”ที่มีสภาวะเป็น“ปฏิ”ไม่ได้
กล่าวคือ “ปัสสัทธิ”นั้นแปลว่า ความ
สงบ เมื่อผู้ปฏิบัติจนกระทั่ง“กายสงบที่เป็นธรรมขั้นโลกุตรผล”ได้จริง “กายนั้นยิ่งจะมี
ความคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว”(กายปา
คุญญตา,กายกัมมัญญตา) ฉะนี้เองชื่อว่า “กายปัสสัทธิ” “กาย”ก็คือ“หมวดเจตสิก 3”แท้ๆ
นั่นก็คือ กายคือจิต กายคือเจตสิก ที่
“เจตสิก”ตัวหนึ่ง“สงบไป”หรือ“ดับไป” เจตสิก
ที่เหลือ ที่มีอยู่ก็ยิ่ง“คล่องแคล่วว่องไว”
ดังนั้น เมื่อทำให้“กายสงบ”ได้ ก็คือ
“หมวดของจิต”อันเป็น“องค์ประชุมเจตสิก” นั่นเองที่ยิ่ง“คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว”
ความเป็น“ปฏิ”(ทวนไปมา)เช่นนี้ ใน“ฌานโลกียะ”ไม่มี มีแต่“ดิ่งไปทิศเดียว”จนจบสุด
เช่น การทำ“ฌาน”ของแบบโลกียะ ก็คือ สะกดจิตให้มัน“หยุดๆ-นิ่งๆ-ดับไปๆ-ไม่รับรู้อะไรเลย” เมื่อทำได้ ก็จะได้แต่“จิตที่ถูกสะกด-ถูกหยุด-ถูกทำให้นิ่ง-ทำให้ดับไป -ทำให้ไม่รับรู้อะไรเลย” กลายเป็นคน“ทำธาตุรู้ของตนให้ไม่มีสมรรถนะ” หรือจิตยิ่งไม่มีปัญญา เจตสิกยิ่งเฉื่อยยิ่งไม่คล่องแคล่ว
โดยพากันหลงผิดว่า การทำให้จิตหยุดนิ่งแบบนี้แหละ เมื่อจิตหรือเจตสิกหยุดได้นิ่งลงไปได้แล้ว จะมี“ปัญญา”เกิดขึ้นมาเอง
เพราะหลงผิดว่า “การทำให้จิตหยุดนิ่ง,เจตสิกไม่รับรู้อะไรได้แล้ว”นี่แล เป็น
“การทำ“สมาธิ” เมื่อจิตเป็น“สมาธิ”แล้วจะเกิด“ปัญญา”ขึ้นมาได้เอง ชนิดที่ไม่มี“เหตุ
แห่งการเกิดปัญญา”ใด ไม่มีที่มาที่ไปเลย
การทำให้“จิตหยุดคิดปรุงแต่ง”แบบนี้แหละ มันจึงไม่เกิด“อภิสังขาร” โดยเฉพาะไม่เป็น“ปุญญาภิสังขาร” ซึ่งจะเป็น“การปรุงแต่งจิต”ขั้นโลกุตระ อันมี“โพธิปักขิยธรรม 37”บริบูรณ์ ทำให้เกิด“การชำระกิเลส” คือ “บุญ”ทำหน้าที่ฆ่ากิเลส แต่นี่ไม่เป็นเช่นนั้น
เห็นได้ไหมว่า ที่อาตมาสาธยายมานี้
พูดถึงความเป็น“ฌานโลกุตระ” ที่สามารถ “ชำระกิเลส”ได้นี้ มันออกจะได้ฟังคำอธิบาย ที่เข้าใจไม่ใช่เรื่องพื้นๆตื้นๆ ไม่ใช่เรื่องระนาบชั้นเดียวเท่านั้น ซึ่งหาฟังกันไม่ได้ง่ายๆ
มันต่างจากที่ฟัง“ฌานโลกียะ”กันเยอะ
เรื่องของ“ฌานโลกียะ”นั้นถ้าได้ฟังคำอธิบาย ก็เข้าใจได้ง่ายๆ แม้จะเอาไปปฎิบัติ
ก็ง่าย ไม่ยากเย็นเกินไปแต่อย่างใด สะกดจิตมุ่งมั่นดิ่งเข้าไปๆๆๆๆ เท่านั้น ก็ได้ผลแล้ว
แล้วมันจะเป็น“อจินไตย”อะไรกัน
แม้คนที่ยังมีกิเลสหนาอยู่ในใจเต็มกระบุงอยู่แท้ๆ กามก็ยังหนา โทสะก็ยังแรง มาเรียนรู้ปฏิบัติให้เกิด“ฌานโลกีย์”จริง ก็
ทำได้ มี“ฌานโลกีย์”ได้ ไม่เห็นจะประหล่งประหลาดอะไร วิเศษอะไรกันตรงไหน?
ในช่วงที่อาตมายังไม่ฟื้นตื่นจากถูกอำนาจโลกครอบงำเป็น“ลิงลมอมข้าวพอง” อยู่นั้น อาตมาก็ทำมาหนักหนา เสียเวลาไปกับโลกเขาตั้ง ุึ8 ปี อาตมาก็ไม่เห็นมันยากมันเย็นอะไร ก็ทำอย่างเขาได้ทั้งนั้น เป็นแต่เพียงว่า เห็นว่า แค่ที่ได้ทำมา ลองดูมานั้น มันก็ชัดเจนในความเป็นไปได้เพียงพอแล้ว มันก็แค่นั้น จึงเลิกเด็ดขาดจาก“ฌานโลกีย์”
หันทิศทางมาสาธยายเผยแพร่“ฌานโลกุตระ”ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งวินาทีนี้
ซึ่งเห็นความ“ยาก”สุดแสน“ยาก”เหลือเกิน ที่จะทำความเข้าใจในเรื่องของ“ฌานโลกุตระ”และ“โลกุตรธรรม”กับชาวพุทธแท้ๆ ทุกวันนี้ 40 กว่าปีแล้วก็มีคนทำได้อยู่เท่านี้
ซึ่ง“ฌานวิสัยของผู้ได้ฌานโลกุตระ”
แบบพุทธนี้ เป็น“อจินไตย”จริงๆ
“อจินไตย”พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน (พระไตรปิฎก เล่ม 21 ข้อ ุึ7ุึ7)
ดังนั้น จึงต้องรับฟัง“ความรู้เรื่องฌาน”
โดยเฉพาะ“ฌานวิสัยของผู้ได้ฌานโลกุตระ”
แบบพุทธจากสัตบุรุษเท่านั้น จึงจะได้“ความรู้”อันเป็น“อจินไตย”ในความเป็น“ฌานวิสัย
ของผู้ได้ฌานโลกุตระ”แบบพุทธแล้วจริง
หาไม่แล้ว “ความรู้”ในความเป็น“ฌานโลกุตระ”ก็จะไม่มีทางเกิดในคนผู้นั้นเลย
“ฌานวิสัยของคนผู้ได้ฌาน”แบบพุทธ
นั้นเป็น“อจินไตย” หากใครขืนคิดเอาเอง
ระวังเถิด“พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า
เดือดร้อน” ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแน่นอน
อาตมาพยายามอธิบายสาธยาย“ฌานโลกุตระ”มาตั้ง 47-48 ปีเข้านี่แล้ว จึงเห็นจริงๆว่า“ยาก”สุดแสนยาก
แต่ถึงอย่างไร อาตมาก็ต้องพูดต้องสาธยาย“ความจริง-ความรู้”เรื่องนี้ไปจนตาย ตายจากชาตินี้แล้ว ก็จะเกิดมาสาธยายอีก
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:10:35 )
รายละเอียด
600924_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ต่างคิดต่างสิทธิ์ ตอน 1
สื่อธรรมะพ่อครู(ความรัก 10 มิติ) bomb of love จากพระโพธิสัตว์
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2560 ที่บวร ราชธานีอโศก ที่ราชธานีอโศกก็มีค่ายสัมมาอาริยมรรค มีคนมาเข้าค่าย 39 คน ก็มีคนใหม่มาเล็กน้อย ที่อื่นก็เช่นกัน คนเก่าก็ยังคงต้องมา
พ่อครูว่า...อยู่ในหลัก3 นี้เป็น cyclic orderได้ ถ้าเพิ่มเป็น 4 5 6 ก็เร็วขึ้น กว่าจะได้ 7 ก็นานยาก กว่าจะได้ 8 ได้ 9 อีก
สมณะฟ้าไทว่า...เป็นตัวแรกที่เราต้องเรียนรู้ว่าได้ 3 หลัก เป็นความมั่นคงรอบเพิ่มเป็น 4 5 6 ก็เร็วขึ้น 7 8 9 ก็ยากขึ้นอีก วันเวลาจะ 3 หรือ 4 ก็ไม่สนใจมันจะไปของมันเรื่อยๆ คนก็ลุ้นกับวันที่ 27 แต่วันที่ 30 นี้เขาก็ไม่อยากให้ถึง วันที่ 27 นี้เขาอยากให้ถึง วันที่ 30 นี้ คนก็ไม่อยากให้ถึง ยิ่งวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ คนก็ไม่อยากให้ถึง
พ่อครูว่า...เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เมืองไทยคนไทยเป็นต้นแบบของจิตวิญญาณที่แสดงถึง ปัญญา ถึง ภูมิธรรม คนไทยมีภูมิธรรม รู้จัก โลกุตรจิต โลกุตรภูมิ ในหลวงร.9 เรามีโลกุตรภูมิ ได้แสดงถึงความเป็นมนุษย์โลกโลกุตระ จนคนไทยเราเห็นได้ ประชาชนคนไทย 50 ถึง 60 ล้านคน 70 ล้านคน สามารถมองเห็นได้ส่วนใหญ่เลย มองเห็นได้ชัดเจน เข้าใจเป็นส่วนใหญ่ว่าอันนี้คือคุณค่า จิตวิญญาณที่แสดงออก อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระจริยวัตรต่างๆ เป็นพระทัยที่สุดยอด เป็นโลกุตตรจิต คนไทยมีภูมิธรรมเข้าใจได้ ท่านตรัสสอนไม่มาก
เอาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เอาเศรษฐกิจพอเพียงนี่แหละ มันน้อยแล้วก็พอ หยุด แล้วก็น้อยลงอีกได้ก็พอ แล้วก็สงบไม่ดิ้นรน ไม่แส่หาอีก สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ ไม่เอาแล้วสวรรค์ เลิก ไม่ต้องมีหรอกสวรรค์ สวรรค์คู่กับนรก มีนรกต้องมีสวรรค์ ไม่เอา เลิก หยุด ไม่เอาทั้งสวรรค์และนรกไม่ต้องมีแล้วสวรรค์นรก คนไทยเข้าใจได้ แสดงภูมิจิต ภูมิธรรมของคนไทย ปัญญาของคนไทยที่ไม่เฉโก เป็นความฉลาดชนิดวิเศษ เข้าใจคุณธรรมอันประเสริฐวิเศษนี้ได้
ท่านไม่ต้องการให้ใครมาเคารพ ไม่ต้องการให้ใครมาเป็นบริวาร ไม่ต้องการการหาเสียงอะไรเลย แต่คนจะมีภูมิปัญญาเอง รับรู้ได้ พอท่านสวรรคตขึ้นปั๊บก็เสียดาย พอท่านสวรรคตปุ๊บไหวพริบก็เกิด ของยิ่งใหญ่เสียหายของประเทศไทย Bomb of love ก็เกิด ตูม ระเบิดแห่งความรัก ตูมขึ้นมา
ไอน์สไตน์ได้พูดเอาไว้เรื่องของ bomb of love ไอสไตน์ได้เขียนจดหมาย ถึงลูกสาวเอาไว้ อาตมารับมาไว้ก็บอกว่าเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ก็ได้เอามาอธิบาย และก็มีจริง Bomb of love เกิดระเบิดแห่งความรัก รักอย่างเทิดทูนเชิดชู ให้แก่สิ่งที่ประเสริฐสูงส่ง เป็นความรักอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ความรักเชิงกาม ไม่ใช่ความรักเชิงศักดินา เป็นความรักที่ Fraternity เป็นความรักอย่างพ่อแม่ลูก เป็นความรักที่ประเสริฐยิ่งใหญ่
สมณะฟ้าไทว่า...เมื่อตอนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน คนก็เสียใจกันมาก แต่พระพุทธเจ้าก็บอกไว้ก่อนหลายเดือน เมื่อท่านนอนใต้ต้นสาระ ภิกษุได้ถวายพัดอยู่ พระพุทธเจ้าก็บอกให้ภิกษุถอยไป กษัตริย์ลิจฉวีจะมาพบเรา คนก็ขอให้ได้อยู่ ตอนพระพุทธเจ้าปรินิพพานก็พอ
ตอนนี้พ่อครูก็เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง เราก็ไม่อยากให้จากกันไป แต่ถ้าท่านจะไป เราก็คงทำอะไรไม่ได้
พ่อครูว่า...อาตมาช่วยยื้อให้อยู่ เมื่อไหร่มันจะสุดสิ้นก็ไม่ทราบ
สมณะฟ้าไทว่า...พวกเราก็ต้องช่วยท่านทำงาน จะไปยื้อยุดสรีระของท่านก็ไม่ได้ ท่านก็ยื้อมา 12 ปีแล้ว เห็นอาการฝืนวิบากของท่านอยู่ ท่านมีความเมตตาต่อมนุษยชาติให้ได้รู้ธรรมะอันลึกซึ้ง ให้คนได้พ้นทุกข์ไปได้ เพราะคนในสมัยนี้มีความทุกข์เยอะมากกว่าสมัยโบราณ มีองค์ประกอบมาก ก็อยากจะช่วยให้มนุษย์ที่อยู่ในปัจจุบันนี้ให้พ้นทุกข์ให้ได้ ก็มีความพากเพียรพยายามเป็นความกรุณาของท่าน ซึ่งเราเป็นลูกศิษย์ก็ต้องพากเพียรที่จะกตัญญูกตเวที พากเพียรที่จะลดละกิเลส ที่จะเสียสละให้ได้ สิ่งที่ท่านอธิบายก็มีความต่างกับโลกีย์ โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะคำว่าบุญ กาย สมาธิ ก็มีความต่าง ถ้าไม่ต่างเราก็ไม่ต้องมาหาท่าน
ญาณ พระโสดาบัน ก็จะรู้ว่ามีธรรมะที่ไม่เหมือนทั่วไป เป็นของวิเศษ ต้องเป็นสัตบุรุษเท่านั้นที่จะพูดได้
พระพุทธเจ้าบอกว่ามีเรากับสาวกตถาคตเท่านั้นที่จะอธิบายแบบนี้ได้ สมัยนี้ก็มีพ่อครูอธิบายได้ พวกอาตมายังไม่ถึงก็ต้องเรียนรู้ปฏิบัติตามไปเรื่อยๆ
พ่อครูว่า...ก่อนจะได้อธิบายรายละเอียด ก็ฟัง โฆษณาคั่นรายการก่อน
จะมีการสอบวิชาการ ของ ว.นบ. ก่อนออกพรรษา ของนิสิต ว.นบ. ในวันอังคารที่ 26 กันยายน นี้ ที่บวรราชธานีอโศก นิสิต คนไหนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่หากประสงค์จะร่วมสอบด้วย กรุณากลับเข้าพื้นที่เพื่อมาสอบ เป็นการวัดผลในช่วงเข้าพรรษานี้
พุทธสถานและสังฆสถานต่างๆ ถ้าชุมชนใด ต้องการที่จะ ทำบททดสอบ การฟังธรรมะของพ่อครู ว่าเข้าใจ ได้ถูกต้องมากน้อยเพียงใด โดย จะให้ทำข้อสอบชุดเดียวกับ นิสิต วนบ. ในวันอังคารที่ 26 กันยายน 2560 เวลา 18.00 น ถ้าพุทธสถานใด ต้องการ ให้ชาวชุมชน ร่วมบททดสอบนี้ด้วย ช่วยกรุณาแจ้งมาให้ที่ท่านแสนดิน
SMS วันที่ 22 กันยายน 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
จากเฟสบุ๊ก...
_ภัสราภรณ์ นิลโท · กราบนมัสการพ่อครูค่ะ
ดิฉันจำได้ว่า พ่อครูเคยบรรยายธรรมในตอนหนึ่ง ได้อ้างอิงถึงตัวละคอนในเรื่อง "สามก๊ก" ว่า "อาตมา คือกวนอู" พ่อครูต้องการที่จะสื่อถึงอะไรหรือคะ เพราะกวนอูเป็นผู้มีคุณธรรมที่เด่นชัด คือ ความซื่อสัตย์ กตัญญู อดทน ไม่หวั่นไหวต่ออริ และอธรรม และเป็นผู้มีพละกำลังมหาศาล
พ่อครูว่า...กวนอูมีคุณสมบัติอะไรอาตมาก็มีอย่างนั้นยกเว้นพละกำลังไม่มีมากเหมือนกวนอูที่ยกง้าว 80 ชั่งได้
_จากชาวชุมชน กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ประเด็นคำถามคือ ควรจะทำใจอย่างไรไม่ให้ทุกข์ เมื่อเจอเหตุการที่เราไม่สามารถจะจัดการอะไรได้ เนื่องจากมีเหตุการณ์ดังนี้ค่ะ
มีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในชุมชนศีรษะอโศก สามีป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ช่วยเหลือตัวเองได้ไม่สะดวก แต่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้ในบ้านคือแมว ปัญหานี้เรื้อรังมานานแล้วค่ะ….เพราะมีการบอกกล่าวกันกับครอบครัวนี้แล้วว่า ผิดกฎระเบียบชุมชน แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ ตอนนี้ประชากรแมวเพิ่มขึ้นหลายตัว เป็นปัญหากับชุมชนมากโดยเฉพาะหน้าฝน ทั้งขี้และเยี่ยวจะมีกลิ่นเหม็นมาก
ล่าสุด..ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ได้บอกกล่าว ให้จับแมวไปปล่อยที่อื่นเพราะได้รับการร้องเรียนมา สิ่งที่ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้รับคำตอบคือ “ไม่จับ ใครอยากตายก็มาจับ ลองดู” ทั้งๆที่เขาบอกกล่าวด้วยเจตนาดี รับได้รับคำตอบมาแบบนั้น...ฟังแล้วเกิดอาการหดหู่ใจค่ะ…
หลายคนช่วยกันเอาภาระบอกกล่าวด้วยเหตุผล เพราะเข้าใจว่าเป็นผู้ป่วย ไม่ใช้คำพูดที่รุนแรง เพราะกลัวว่าจะเป็นการทำร้ายจิตใจผู้ป่วย ท่านสมณะ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ต่างก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว…
_เพิ่มเติมประเด็นคำถามค่ะ
จะทำใจอย่างไรไม่ให้ทุกข์ เพราะรู้สึกสงสารผู้ที่มีบ้านที่มีบริเวณติดกัน และทุกข์จากการที่เริ่มมีอาการไม่ชอบใจเจ้าของแมว(วจีสังขารข้างในพูดว่า ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด(ผู้พิการ)แล้วจะเลี้ยงแมวเพื่ออะไร)
ปล ปัญหานี้เรื้อรังมาร่วมปีแล้วค่ะ
พ่อครูว่า...ผู้ที่ทำชั่วทรมานเบียดเบียนคนอื่นเขาก็ได้วิบากเขาไป แค่นี้ก็เป็นวิบากที่ทำให้คนอื่นทรมานขนาดนี้ ต่อไปวิบากตอบแทนเขาจะได้รับวิบากหนักกว่านี้หลายเท่า ในอนาคต จะได้รับเพิ่มเติม แต่เขาไม่รู้เพราะว่าเขาเป็นคนอวิชชา สิ่งเหล่านี้เป็นอจินไตย
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า...อกุศลแม้น้อย ความไม่ดีงามแม้เล็กน้อยอย่ากระทำเลย เป็นเรื่องสุดยอด อาตมาซาบซึ้งมาก
_ฝนเอื้อฟ้า...หัวข้อ : สาเหตุแห่งการล่มสลายของ บวร ในประเทศสยาม ภายใต้การนับถือ ศาสนาพุทธในยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน
คำว่าบวร คือ สถานที่ประเสริฐ สถานที่ล้ำเลิศ สถานที่ดีเลิศ
ขอย้อนรอยทางกลับไปประวัติศาสตร์ไทย ของคนสมัยก่อนๆ มีทั้งความกลมกลืน กลมเกลียว แน่นแฟ้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวัด เพราะวัดก็คือ โรงเรียนที่อยู่ใกล้ชุมชนต่างๆตามหัวเมืองน้อยใหญ่ และที่ห่างไกลตามชนบท วัดและชุมชนนั้นมีการพึ่งพาอาศัยถ่ายเท มีปฎิสัมพันธ์เกื้อกูลทั้งทางด้านสังคม พฤติกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมมาช้านาน คนสมัยโน้นก็ใช้คำว่า บวร นี้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ใช่ บวร ที่เป็นโลกุตระดังเช่น ชาวอโศก โดยเฉพาะบวรบ้านราช ซึ่งเป็น บวรที่ดีที่สุด ขณะนี้บนโลก แต่นิยามคำว่า วัด หรือบวร ของคนในสมัยก่อนก็คือ สถานที่ บ่มเพาะทางจริยธรรม เพื่อช่วยสร้างจิตวิญญานที่ดี ประสิทธิ์ประศาสตร์สอนวิชาความรู้เพื่อใช้ในการประกอบสัมมาอาชีพให้เท่านั้นไม่เน้นสอนการลดกิเลส ให้ความรู้ชนชั้นสูง ชนชั้นปกครอง จนถึง ชนชั้นชาวนา ชาวไร่ บริเวณใกล้ๆเคียงกัน แต่แล้วบวรของประเทศสยามได้เริ่มสั่นคลอนตั้งแต่เริ่มมี แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ในปีพุทธศักราช 2504 - 2509 สมัยจอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นต้นมา เพราะตั้งแต่บัดนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ บวรของสังคมภายนอกได้สวนทางกับแนวคิด บวร ของพ่อครู สมณะโพธิรักษ์ อย่างสิ้นเชิงแบบ 180 องศา
คำว่า บ้านของพ่อครู คือ สังคมทั้งหมดที่เราอยู่ร่วมกัน แต่บ้านของคนภายนอกคือ ต่างคนต่างอยู่ ด้วยกระแสค่านิยมตัวใครตัวมัน
คำว่า วัดของพ่อครูคือ คุณธรรม คือ ธรรมะโลกุตระ แต่วัดของคนข้างนอกคือ สถานที่มาประกอบพิธีกรรมตามจารีตประเพณีด้วยกระแสของเม็ดเงินโดยแท้
คำว่า โรงเรียนของพ่อครู คือสถานที่ให้การศึกษาเพื่อพึ่งตนเอง จนเป็นที่พึ่งให้แก่ผู้อื่นได้ แต่ โรงเรียนของคนข้างนอก คือ การมาเรียนจนจบออกมาพึ่งพานายทุน การเก็บค่าแป๊ะเจี๊ย สถานะของผู้ที่เรียกตนเองว่าครู เน้นเก็บค่าสอนพิเศษรายชั่วโมงกับนักเรียน เหมือนนายจ้างจ่ายเงินให้ลูกจ้างเพื่อช่วยมาสอน ( ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ น่าเทิดทูนในฐานะแห่งความเป็น ครู แต่อย่างใด เป็นแค่นักติวเตอร์ เก็งข้อสอบ )
และ บวรของชาติไทยก็ได้ล่มสลายขาดสะบั้นไร้รอยต่อทางจิตวิญญานมาช้านานแล้ว ยกเว้น บวร ของอโศกเท่านั้น
" วัดจะดีมีหลักฐานเพราะบ้านช่วย
บ้านจะสวยเพราะมีวัดดัดนิสัย
บ้านกับวัดผลัดกันช่วยก็อวยชัย
ถ้าขัดกันก็บรรลัยทั้งสองทาง" (สุภาษิตโบราณได้ว่าไว้เช่นนี้ค่ะ)
สุดท้ายนี้ แม้ศาสนาอิสลามก็ยังสร้าง บวร ในชุมชนมุสลิมให้เหนียวแน่นด้วยใช้สุเหร่าสื่อกลางสอนศาสนา ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคพยายาม สร้างบวรในชุมชนชาวคริสต์ด้วยโบสถ์ สอนคำสอนในคัมภีร์ไบเบิ้ล แม้ศาสนาพุทธตามชุมชนในประเทศ นั้นยังยากมากเลยที่จะเป็นบวรที่แท้จริง จะเป็นสามเส้า บ้าน วัด โรงเรียน จะซึมซับหากัน อย่างละเอียดมีสภาวะจริง ความจริง มีความรู้ที่เป็น โลกุตรธรรมแทรกซึมเข้าไปให้กับทุกคน= สัจจะของ บวร มีแต่อโศก เพียงเท่านั้น
ถ้าวิเคราะห์ช่วงไหนขาดหายผิดพลาดไป กราบรบกวนพ่อครูเสริมในจุดที่ขาดด้วยนะคะ
_อยากรู้เรื่องอนุสัยคือเชื้อโรค ขอคำอธิบายโดยพิสดาร
พ่อครูว่า...ยังไม่ขอใช้เวลาตอนนี้อธิบาย ต้องรู้ตั้งแต่อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย จึงเข้าใจได้ ก็ค่อยติดตามไปอนุสัยนี้ยิ่งกว่าอาสวะอีก
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน สุดวิสัยที่เจตนา
_ลูกจะมีวิบากเรื่องนี้หรือไม่คือว่า มีแมลงปอ เข้ามาติดในห้องอาคาร ซึ่งตอนแรกติดกับห้องที่ลูกทำงานอยู่ ตอนแรกก็ลังเลว่าจะช่วยหรือไม่ แต่ก็ทนไม่ได้เลยเปิดประตูเข้าไปช่วย เพื่อจะนำแมลงปอออกไปปล่อยข้างนอก แมลงปอก็บินมาเกาะที่อุปกรณ์ช่วยเหลือ แต่พอใกล้จะถึงทางออกก็บินไปเกาะที่เพดานอีก ก็มีจิ้งจก(ซึ่งลูกก็ไม่เห็นในขณะนั้น) เคลื่อนมาอย่างเร็วมาก งับแมลงปอทันที (ลูกเจตนาช่วย แต่การณ์กลับกลาย) สภาวะขณะนี้เหมือนลูกลังเลสงสัยว่า เลือกมาอยู่ราชธานี ด้วยการตัดสินใจตอนที่ตัวเองจะมีอายุครบ 60 ปี เริ่มฟังพ่อท่านตอนเป็นพันธมิตรปี 51 แล้วเกษียณอายุตัวเองจากการป่วย ปี 53 แล้วตามฟังพ่อท่านด้วยความศรัทธาในคำสอน ปี 55 รักษาตนเองตามคำบอกของอาจารย์หมอเขียว ขณะนี้ลูกตัดสินใจถูกไหมว่า 1. มาอยู่ที่บ้านราชธานีซึ่งตอนนี้กำลังก่อสร้างแล้ว ช่วยงานตามฐานงานต่างๆ 2. มีโอกาสช่วยงานหมอเขียว 3. ฟังธรรมแล้วปฏิบัติธรรมให้ดียิ่งขึ้น การที่เราจะมีสติกำหนดรู้ให้เท่าทันและรวดเร็วจะกำหนดที่ตรงไหนจุดใดก่อน
พ่อครูว่า...เจตนาเป็นสำคัญสุดจากที่คิดที่ทำแล้วก็สุดวิสัย เอาแค่เจตนาคุณดีแล้วเป็นกุศล คุณก็ได้แล้วกุศลเจตนา ส่วนมันจะร้ายแต่เราจะดีหรือมันดีเกินกว่าเจตนาไปแล้วมันยากที่จะไปตัดสินได้ว่า มันเป็นเพราะคนหรือมันเป็นเพราะเหตุอื่น มันเป็นสุดวิสัยแล้วนะ วิสัย คือ สัยตัวปลายสุดแล้ว ไปทำอะไรไม่ได้แล้ว จากวิสัยเป็นอนุสัยแล้ว คือสิ่งที่เล็กละเอียด อนุ สั่งสมในก้นบึ้งของจิตเราคือคลังสัญญาเราแล้วออกมาทำงาน ถ้าสั่งสมโลกุตตระก็มาทำงานแบบโลกุตระ ถ้าสั่งสมอกุศลก็ออกมาเป็นแบบอกุศล มันต้องมาทำงาน มันมีฤทธิ์ อนุสัยอย่างเลว ก็ออกเลว ถ้าอนุสัยดีก็ออกมาทำงานดี ถ้าอนุสัยโลกุตระก็ออกมาเป็นโลกุตระ
อรหันต์ที่กำจัดอนุสัยได้ก็ไม่มี แต่ถ้าแค่ดับอาสวะ ก็จะกดอนุสัยไว้ได้ แต่ถ้าถอนแล้วก็ไม่เหลือ อยู่ที่เราจะได้ขั้นไหน ถ้าไม่ได้ฝึก ก็ไม่รู้จัก มันออกมาอย่างไม่ได้บอกกล่าวก็ออกมาเต็มที่เลย เราห้ามไม่อยู่ แม้จะห้าม อนุสัยมันเก่งก็ตบหัวคุณ คุณจะไปทำอะไรมันได้ ต้องจัดการอนุสัยของเรา ไม่อย่างนั้นมันก็มาตบหัวเราได้ ก็หน้าเด๋อให้อนุสัยตนเองทำงานได้
สร้างบ้านแล้วก็มาอยู่เถอะ ช่วยงาน
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กำหนดสติ กำหนดที่ตรงไหนก่อน
_การที่เราจะมีสติกำหนดรู้ให้เท่าทันและรวดเร็วจะกำหนดที่ตรงไหนจุดใดก่อน
พ่อครูว่า...คุณต้องรู้ว่าสติคืออะไรสติคือการตื่นรู้มัน อาการตื่นรู้คุณเข้าใจไหม ทำภาวะนี้ได้ไหม มีไหม ถ้าคุณมีอาการสตินั้นคุณก็จับอาการนั้นได้ ก็กำหนดที่จุดสติก่อนอาการของความตื่นรู้เป็นอย่างไร จับอ่านจนชัดเจน ให้อยู่กับเราเสมอเสมอยั่งยืนมั่นคง ถ้าไม่ฝึกไม่มีทางได้
_ยังไม่เก่งค่ะ จึงได้พยายามฟังธรรมแล้วนำไปปฏิบัติ แต่ ก็จะมีอาการที่เรียกว่า ติด คือ ชอบใจจะได้ตามฟังธรรมจากพ่อครูเทศน์แบบตัวจริงเสียงจริง ถึงจะลองเปิดตัวเองรับผิดชอบงานในพื้นที่อื่น แม้ไม่ได้อยู่ใกล้พ่อครูดูทีรึว่าจะเป็นเช่นไรเพราะคิดว่าเราต้องโต จะเป็นลูกแหง่ไปตลอดไม่ได้ แต่ใจเจ้ากรรม ไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือเลย ดูทีวีก็ยังเห็นว่า ฟังสดๆดีกว่าค่ะ หนูควรทำใจอย่างไรดีคะ จึงจะเอาชนะกิเลสตัวงอแงนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
พ่อครูว่า...ดี ...ลองฝึกลองพรากบ้าง อาตมาเคยสอน เลี้ยงลูกให้รู้จักโตเลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย ก็ลองดู ถ้าจะดูแค่ทีวีไม่ต้องดูสดๆ มันจะไม่ได้หรืออย่างไร ดูทีวีก็เสียงชัดเจนอยู่ จะเอาแต่สดๆ อย่างนี้คนเรามักชอบแต่ของสดๆ ไม่เอาของแห้ง เป็นกิเลสลักษณะต่างๆเยอะแยะ เลือกเอา มันติดนักก็เลิกบ้างก็ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้คนตายทำไม่ได้
_ขอเป็นลูกพ่อครูด้วยคนนะเจ้าคะ
1. ถ้าเราหันมาทำความดีทุกรูปแบบแล้วรำลึกถึงบุญคุณ และอุทิศในใจว่า บุญกุศลใดๆ ที่ข้าพเจ้าได้ทำมา และจะทำต่อไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ จะไปถึงพ่อแม่และบรรพบุรุษที่ล่วงลับตายไปแล้วหรือไม่ อย่างไรเจ้าคะ
พ่อครูว่า...ตอบ สับธง ไม่ใช่แค่ฟันธงนะว่า ไม่ถึงไม่ไป กัมมัสกะ กรรมเป็นของใครของมัน ส่งไปถึงพ่อแม่นั้นไม่ได้หรอก พูดแล้วไม่ใช่อกตัญญู แต่กรรมเป็นของใครของมัน เป็นสัจจะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และนำมาสอน เราเป็นทายาทกรรมของเรา พ่อแม่ก็เป็นทายาทกรรมของท่าน ของใครของมันแบ่งกันไม่ได้ ส่งให้กันไม่ได้ แบ่งกันไม่ได้ แต่ระลึกถึงพ่อแม่นั้นดี ไม่เสียหายหรอก เป็นคุณงามความดีได้ โดยสัจจะปรมัตถ์นั้นส่งให้กันไม่ได้ เป็นนัยลึกซึ้งของศาสนาพุทธที่ได้ประกาศยืนยัน
คนทั่วไปก็นึกว่าเหมือนข้าวของ แบ่งกันได้ แต่นั่นมันเป็นวัตถุ คุณจะส่งส้มโอนี้ไปให้ภพวิญญาณมันจะได้อย่างไร ต้องละลายให้เป็นผุยผงแล้วส่งไปหรือ แล้วที่โน่นก็รวมมันเป็นส้มโออีกหรือ อาจได้ภาพ แต่เนื้อไม่ไป รสไม่ไป น้ำไม่ไป คุณก็ไปนึกเอง นึกว่าได้กินส้มโอเอง คือมโนมยอัตตาคือรูปที่สำเร็จด้วยจิต ด้วยตัวเอง เขาไม่ได้ส่งแล้วคุณก็ไปเอาเองยังได้เลย มโนมยอัตตา ปั้นเอาเองทุกวันนี้ก็ไปเองเยอะแยะไป ปั้นให้เหมือนจริงก็ยิ่งเป็นเหมือนจริง คนแบบนี้เยอะ หลงงมงาย ปั้นสร้าง คนติดก็อยากได้อยากเป็น สร้างสำเร็จด้วยจิตก็เป็นมโนมยอัตตา
สรุปแล้วส่งอะไรไปให้คนตายนั้นไม่ได้มันไม่ถึง ไม่มีไม่เป็นหรอกมีแต่ระลึกถึงก็เป็นความกตัญญูกตเวทีของคุณเอง แต่มันก็มีจารีตประเพณีที่ดีงามที่ควรระลึกถึงและจะได้เสียสละส่งของให้ ก็เป็นการทำลายของเสียของ มันโง่มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ส่งอะไรไปให้ ผู้ที่เราเคารพนับถือผู้ที่เราอยากจะให้ เผาคนเลยส่งไปให้ ไปเป็นคนรับใช้ไปเป็นอะไรก็แล้วแต่เผาเลย สมัยโบราณตั้งแต่ โจนออฟอาร์ค มันไม่ไปเผาละลายตรงนี้ ไปได้อย่างไร แล้วไปตรงโน้นจะไปรวมได้อย่างไร ไม่ใช่สัญญาณโทรทัศน์ พูดแล้วยิ่งกว่ามายากล
สรุปว่าส่งไม่ได้หรอก ทำของใครของมัน กรรมของใครของมัน เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แต่ผู้ที่ยึดติดก็ส่งกันไปก็โทษใครไม่ได้เชื่ออย่างนั้น
แล้วจะถึงลูกหลาน ก็ต้องเอาไปใส่มือ มือรับไปก็ถึง จะส่งส้มโอไปให้ลูกหลานบ้านโน้น ถ้าส้มโออยู่ตรงนี้จะไปถึงได้อย่างไร ลูก หลานจะได้รับหรือไม่ ก็ไม่ได้
_อาชีพเสริมให้คนสวยทุกชนิด บาปมากไหม
พ่อครูว่า...บาปกินหัว จะสวยไปถึงไหนกันก็ไม่รู้ สวยไปหาความหนักความยากลำบาก แล้วไปติดยึดชั่วกับป์กัลป์ คนไม่ลดละก็ไปเรื่อย ยืดยาดไปเรื่อย เจอสัตบุรุษก็ทุบให้ว่าให้สอนให้เลิกละมา ถ้าไม่เจอสัตบุรุษ ถูกส่งเสริมให้ติดหนักเข้าไปใหญ่ เวรจริงๆ พวกนั้นอสัตบุรุษ ถูกหลอกว่าอย่างนั้นหรูหราสวยงามก็ไปหลงกัน
_อกุศลจิต กามราคะ เกิดในช่วงนี้ นำให้เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มหน้าห้องน้ำ ขี่รถจักรยานแล้วก็ล้ม ต้องล้างจิตอย่างไร
พ่อครูว่า...ก็คุณไปคิดถึงกามก็เลยไม่มีสติสัมปชัญญะควบคุมจักรยาน ควบคุมการเดินหน้าห้องน้ำ ไปที่อื่นก็ล้มอีก ก็ต้องล้างกาม ล้างอย่างไร ให้คนอื่นเอาน้ำราดสิ อะไรนักหนา ต้องมาเรียนรู้ว่ากามเป็นอย่างไร เห็นว่ามันไม่ใช่ของจริง กามเป็นของไม่เที่ยงเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันมีอยู่ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งนั้น มันไม่เที่ยง มันไม่อยู่ตลอดนิรันดรหรอก ถ้ามีปัญญามีความรู้แล้วสามารถล้างให้มันสูญได้ นี่คือความไม่เที่ยง ผู้ที่ทำได้ก็ทำได้ ผู้ที่ทำได้ลดลงก็ลดลง มันลดลงได้จริงๆจะเหลือน้อยจนมันขาด ดับได้ ดับได้แล้วก็ซ้ำๆๆๆ ให้ตัวความหมดจริงๆมันเป็น อเนญชามันดับสิ้น สั่งสมความตั้งมั่นแข็งแรง อเนญชาไม่หวั่นไหว ทนได้เก่งจนสมบูรณ์ เป็นวิชาความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท้าให้พิสูจน์เลยทำได้จริงๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน อาหารอร่อยไม่ใช่อาหารปราณีต
_อโศกสัมปวังโก ในธรรมบทต่างๆได้กล่าวถึงการรับโภชนะอันละเอียดประณีตของหมู่พระภิกษุ ไม่ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามฉันของอย่างนั้น แต่ปรากฏชาวอโศกบางกลุ่ม ได้สมาทานอาหารจืดไม่ละเอียดไม่ประณีต และได้เพ่งมองชาวอโศกที่กินอาหารประณีต ว่ายังมีกิเลสอยู่ ขอให้พ่อท่านให้ความ
กระจ่างด้วยครับ
พ่อครูว่า...อาหารอร่อย ว่าเป็นอาหารประณีต คุณไปถือว่าอาหารอร่อยคืออาหารละเอียดประณีต แล้วมีคนตู่ว่า คนทานอาหารละ
ก็คนทานอาหารจืดไม่ต้องแสวงหาความอร่อย กับคนที่แสวงหาความอร่อยอยู่ใครเป็นกิเลสหนักกว่ากัน ก็ไปแสวงหาอยู่ก็เป็นภาระเป็นทุกข์ แล้วคุณจะเอายังไงแบบมีกิเลสกับไม่มีกิเลส ถ้าอยากจะมีกิเลสอยู่ก็ไปทานอาหารอร่อยแล้วบอกว่าเป็นอาหารประณีต ส่วนคนทานอาหารจืดและบอกว่าไม่ละเอียดประณีตได้กิเลสมันก็หมดไปหมดไปเลือกเอาอย่างหนึ่งเถอะ รู้มากยากนานในพยัญชนะแสดงว่าไม่เข้าถึงสภาวะ ก็ถ้าทานอาหารจืดแล้วกิเลสลดลงไปลดลงไปจนหมดมันก็ดีกว่า นี่คือการไปติดในพยัญชนะในภาษา อย่างคุณอโศกสัมปวังโก อาตมาวิจารณ์ได้ว่าไปติดในภาษาไทยจะชนะมากกว่าไปทำในสภาวะ ตัวหนังสือคุณก็เป็นระเบียบเรียบร้อยทุกทีเลย เพราะติดในบัญญัติหมด ตัวหนังสือขึ้นไปเทียบกับท่านประยุทธ์ ปยุตโตนี้ คนละโลกเลย ลายมือท่านประยุตต์นี้อาตมาอ่านได้ยากมาก ท่านเขียนถึงใครก็เขียนอย่างนั้น
ให้เอาแต่พอดี หวัดเกินไม่ดี งามเกินก็ไม่ไหว
_ใน ข้าวผ้ายาบ้าน ซึ่งหมายถึงปัจจัย 4 เป็นการนำเอาปัจจัยข้อที่ 4 มาเรียงสลับที่กับ ข้อที่ 3 ข้าวผ้าบ้านยา ในอนาคตข้างหน้าอาจทำให้คนทั้งหลายเกิดความเข้าใจว่า ยามีความสำคัญมากกว่าที่อยู่อาศัย พ่อท่านจะมีความคิดเห็นอย่างไร
พ่อครูว่า...อาตมาไม่ละเลียดอย่างคุณหรอก แล้วแต่ความสำคัญในความสำคัญของแต่ละคนตามกาลและเวลาที่จะต้องใช้ จริงๆแล้ว บ้านอาศัยมากกว่ายานะ ข้าวผ้ายาบ้านนี้เป็นเหมือนคำ กัน หรือจะใช้คำว่า ข้าวยาผ้าบ้าน
คุณอโศกสัมปวังโก มีภาษาที่ดีเยอะ รู้จักภาษาเรียบร้อยได้ดีมากเลย แต่ถ้าไปติดในภาษา ก็อีกนานนะ
_ศีล เป็นบทเรียนเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรม ศีลที่พระอริยะชื่นชมพอใจ ต้องปฏิบัติอะไรก่อน ฟังดูเหมือนง่ายแต่ปฏิบัติไม่ง่ายเลย สู้ๆ
_ทำไงเราจะไม่เป็น บักหอยลอยไปตามคราด ผัสสะอะไรกระทบก็จมตรงนั้นคลายไม่ได้(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ไปต่อไม่ได้ บางเวลาเหมือนคลายปมได้ แต่ก็หลบไปในกระดองเหมือนเก่า เข้าไปในกองกามอย่างเก่า
พ่อครูว่า...ค่อยๆเรียนไป คนที่หมดปัญหาแล้วคือคนมีปัญญา หากยังไม่มีปัญญาปัญหาก็เยอะ ถ้ามีปัญญาแล้วปัญหาก็จะน้อยหรือไม่มี ปัญญากับปัญหาเป็นคู่ต่อสู้กันอย่างดีเลย แต่ที่หาไปยานี่ ไอ้หากับยานี่ทะเลาะกันน่าดูเลย หาเท่าไหร่เจอยาเข้า ยาคือความรู้ หานี่คือยังไม่เจอยังไม่รู้ยังไม่เห็น มันรู้แล้วก็ไม่ต้องหา
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญไม่มีผลข้างเคียง
_มีญาติธรรมคนหนึ่งตั้งแต่พบเจอเขาเป็นคนดีเป็นพี่เลี้ยงให้กับคนใหม่ มีความอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้ หลายคนก็ชม พี่เขาเอาภาระงานที่ทำอย่างดี จนคนอื่นมองว่า พี่เขาเอาแต่กุศล ตื่นก่อนนอนทีหลัง พอมีคนบอกก็บอกว่าพี่น่ะทำไหวอยู่ยิ้มแย้มแจ่มใสดี แล้วอย่างนี้ พ่อครูว่า พี่เขามีแต่กุศลไม่มีบุญหรือไม่
พ่อครูว่า...ต้องแยกคำว่ากุศลกับบุญให้ออก คำว่าบุญเป็นการชำระกิเลส เป็นพลังงานเป็นไฟกองใหญ่ไฟวิเศษ สามารถชำระไฟโทสะราคะโมหะได้ แต่กุศลคือสิ่งที่ได้อาศัย ขณะที่เขาทำดีก็ได้กุศล แต่เขาล้างกิเลสหรือไม่ ถ้าล้าง กุศลก็ได้ทำบุญ คุณก็ถามเขาสิว่าได้ล้างกิเลสบ้างไหม แต่ถ้าเขาว่าชัดเจน ล้างกิเลสและทำกุศลด้วยก็ดี แต่ถ้าบอกแล้วเขาก็ฉุกคิดว่าไม่ได้ทำบุญจะได้ปรับ กุศลเป็นสมบัติ บุญคือวิบัติ เป็นพลังงานชำระกิเลส ทำเสร็จบุญก็หายไป บุญนี้ซื่อสัตย์ไม่ไปทำลายอย่างอื่น ชำระกิเลสอย่างเดียว หยาบ กลาง ละเอียด เหลือเศษน้อยก็ทำ ไม่มีผลข้างเคียงด้วย “บุญนี่ทำลายกิเลสอย่างเดียว ไม่มีผลข้างเคียงเลย”
พ่อครูว่า...มาเข้าเรื่องนี้ รวม 100เรื่องที่พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ สอนแตกต่างจากกระแสหลัก อันนี้จะเป็นหนังสืออีกเล่มชื่อว่าหนังสือ ต่างคิดต่างสิทธิ์ หรือต่างสิทธิ์ต่างคิด...เอาอันไหนดี
ตกลง ต่างคิดต่างสิทธิ์ ชนะลอยลำ วิจัยแล้วคิดมาก่อน
|
พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ |
พุทธศาสนากระแสหลัก |
แหล่งที่มา |
1 |
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน กรรมพันธุ์ไม่ใช่สรีรพันธุ์ กรรมพันธุ์ คือ คนมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, เราเป็นพันธุ์เทพ,พันธุ์มาร,ก็อยู่ที่กรรมที่เราทำ ถ่ายทอดหรือแบ่งให้คนอื่นไม่ได้ เป็นของๆตนเท่านั้น ที่บอกว่า ยีนส์หรือ genetic เป็นกรรมพันธุ์นั้นผิด มันเป็นเรื่องทางวัตถุ biology พีชะก็เชื้อทางยีนส์ ต่อทางเชื้อพันธุ์ อุตุเป็นวัตถุผสมกัน แต่พีชะมีอัตโนมัติต่อเชื้อได้ แต่จิตนี้ต่อเชื้อทางวัตถุดินน้ำไฟลมไม่ได้ แม้พฤติกรรมก็ตาม เรื่องจิตนิยามจึงไม่ถ่ายทอดทางวัตถุเลย กรรมของใครของมัน กรรมของคนนั้นมาถ่ายทอดให้คนนี้ไม่ได้ ยกตัวอย่างตีหัวเขาแล้วก็แบ่งกรรมนี้ไปให้คนอื่นที่ไม่ได้ทำไม่ได้ ดีไม่ดีเขาจะว่าไปตีเขาทำไม คนละเรื่องเลย ถ้ากรรมแบ่งกันได้พระพุทธเจ้าก็แบ่งกรรมให้คนอื่นได้เลยไม่ต้องเสียเวลาสอน |
กรรมพันธุ์ คือการที่สิ่งมีชีวิตถ่ายทอดลักษณะ (trait) จากรุ่นบรรพบุรุษหรือรุ่นพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูก |
|
2 |
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน กระดูกเป็นพระธาตุไม่ใช่เครื่องยืนยันพระอรหันต์ กระดูกเป็นพระธาตุ ไม่ใช่เครื่องยืนยันความเป็นพระอรหันต์ ถ้าคุณบอกว่า กระดูกเป็นพระธาตุคือพระอรหันต์ก็ต้องยอมรับฤาษีดาบสต่างๆที่มีกระดูกเป็นพระธาตุว่าเป็นพระอรหันต์ด้วยสิ พระธาตุ เป็นเรื่องของพลังงานที่ทำให้กระดูกจับตัวกัน ด้วย พลังงานที่สั่งสม คนที่ทำกระดูกให้เย็นเป็นคนที่ทำความเย็นได้ กระดูกเวลาเผาแล้ว มันจะรวมตัวกันอย่างเก่งเลย ยิ่งเก่งเท่าไหร่ยิ่งรวมตัวกันมากเพราะความเย็นเป็นความรวมตัว ความร้อนเป็นการแต่งสลาย เมื่อมีธาตุเย็น เป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่น ก็ยิ่งกลายเป็น ฟิวชั่น ควบแน่น จนแม้ข้างนอกไม่เหลืออะไร จะมีความมันเลื่อมเลย ฤาษีที่ได้สร้างความเย็นใส่จิต จึงเกิดความดึงดูดทำให้กระดูกเป็นพระธาตุ ทั้งๆที่เขาไม่รู้เรื่องโลกุตรธรรม ฤาษีไม่ได้เป็นแม้แต่โสดาบัน แต่มีกระดูกเป็นพระธาตุ กระดูกเป็นเครื่องบ่งชี้พระอรหันต์ไม่ได้ อรหันต์หลายรูปยังมีพลังงานร้อน กระดูกใดไม่เป็นพระธาตุ พระสารีบุตรนี้กระดูกก็ไม่มันงามแต่เป็นพระธาตุเหมือนกัน เพราะยังปรุงแต่งช่วยคนเป็นโพธิสัตว์จะไปเป็นพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรกระดูกจะไม่สวย แต่กระดูกของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์เป็นฤาษีดาบสกระดูกก็เป็นพระธาตุเยอะ ในเมืองไทยก็มีพวกนั่งสมาธิหลับตาเย็นๆกระดูกเป็นพระธาตุเยอะ ทั้งที่ไม่ใช่พระอรหันต์ จึงได้เกิดพระอรหันต์เก๊ เพราะเอากระดูกเป็นพระธาตุยืนยันความเป็นอรหันต์เยอะ (มีคนให้ข้อมูลว่าเดี๋ยวนี้สามารถทำให้กระดูกเป็นพระธาตุได้ด้วย) ตอนนี้วิทยาศาสตร์ทำได้หมด แล้วก็หลอกกัน ใครจะทำกระดูกเป็นพระธาตุแล้วค้าขายกันก็เชื่อไปเถอะอาตมาไม่เอาด้วย เลอะเทอะเหลวไหล ปลอมได้ ดีไม่ดีทำเป็นงานรับจ้าง สร้างกระดูกของพ่อแม่พี่น้องให้เป็นพระธาตุให้หมด |
กระดูกเป็นพระธาตุ เป็นเครื่องยืนยันความเป็นพระอรหันต์ |
|
3 |
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน กรุณาคือลงมือช่วย กรุณา คือ การลงมือช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ ขอนทุกข์ อุเบกขาคือความวาง ไม่ยึด แม้เราช่วยเขาพ้นทุกข์แล้วก็อย่ายึดว่าเราได้ช่วยเขา การอธิบายเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของอาตมากับกระแสหลักจึงต่างกับกระแสหลัก พระพรหมคนละองค์ แต่ของกระแสหลักไม่ได้ลงมือช่วย มีแค่ความคิดเป็นตรรกศาสตร์ไม่ใช่สภาวะจริง ไม่ใช่เรื่องของคนทำได้จริง แต่เป็นแค่ Epistemology แค่ญาณวิทยา ปรัชญา Philosophy แต่ของอาตมาเป็น Phenomenology (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) อาตมานี่พูดลงมือขูดด้วย สัลเลขธรรม แต่เขาไม่สัลเลขเท่าไหร่ อาตมากำลังแยกแยะ Philolophy คือก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง Epistemology คือคนหาความจริงด้วยเป็นขั้นกลาง ญาณวิทยา มีความจริงบ้าง ส่วน Phenomenal คือที่เป็นความจริงปรากฎเป็น ปาตุสัจจะเลย เป็นของจริง สามขั้น งกระแสหลักได้แค่คิด แต่ของอาตมานี้ลงมือช่วยเลย เมตตาคือความสงสาร คิดจะช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์นี่คือเมตตา กรุณาของอาตมาคือลงมือช่วยให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตาคือความยินดีด้วยกับเขาที่พ้นทุกข์ |
กรุณา คือ ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์, ความหวั่นใจ เมื่อเห็นผู้อื่นมีทุกข์ คิดหาทางช่วยเหลือปลดเปลื้องทุกข์ของเขา |
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) |
4 |
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) กรรมฐานของพุทธมีหนึ่งเดียว กัมมัฏฐาน คือ ที่ตั้งแห่งการปฏิบัติธรรม คือ เวทนา เป็นกรรมฐานหลักกรรมฐานเดียวของศาสนาพุทธ และต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงจะเกิดเวทนาได้ ไม่ใช่กรรมฐานเป็นสกิณ 40 แต่กรรมฐานคือไม่ใช่เอาจิตไปเกาะ แต่ต้องมีวิจัย ต้องมีธัมมวิจัยโดยมีผัสสะเป็นเหตุด้วย อ่านพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้ายืนยันว่าถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยก็ไม่มีเวทนาเป็นฐานที่จะปฏิบัติได้ นี่คือความหมายคำสั้นๆในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ถ้าคุณไม่มีผัสสะเป็นสมุทัยในการปฏิบัติ เวทนาก็ไม่เกิดไม่มีฐานในการปฏิบัติ จะไปเรียนรู้นั่งหลับตาปฏิบัติ ก็ไม่มีเหตุที่มาไม่มีปฏิกิริยาลูกโซ่ที่จะมีฐานในการปฏิบัติ จะไปลัดนั่งหลับตาแล้วจะเกิดการปฏิบัตินั้นเป็นการยกเมฆ ต้องมีผัสสะ จึงเกิดเวทนาแล้วเรียนรู้ เวทนา 108 เป็นฐานที่จะกระทำต้องทํามนสิการทำใจในใจตรงนี้ พ่อครูว่า...ปัญญาของเขาเกิดจากการนั่งหลับตาสะกดจิตแล้วปัญญาจะโผล่เอง อันที่โผล่นี้คือสัญญา ไม่มีปัญญาเกิดหรอก ปัญญาจะเกิดจากองค์กระบวนการของมรรคมีองค์ 8 แล้วปฏิบัติมรรคทั้ง 7 โดยมีสัมมาทิฏฐิมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์เป็นตัวปฏิบัติ จิตใสสะอาดจากกิเลสไปเรื่อยๆ กิเลสลดก็รู้ว่าลด กิเลสดับก็รู้ว่าดับ ดับแล้วยังโผล่อีกก็ดับอีกจนกว่าจะไม่โผล่เลย ไม่ใช่ว่าอยู่ๆปัญญาโผล่เลย ไม่ใช่ ต้องสั่งสมจากปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ มีกตญาณตัดสินว่าจบ เต็มอย่าง “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” คุณมีของจริงเป็นปัจจัตตังคือเป็นการรู้แจ้งของตนเอง |
กัมมัฏฐาน คือ ที่ตั้งแห่งการงาน, อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ, อุบายทางใจ,วิธีฝึกอบรมจิต มี 2 ประเภท คือสมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ 1. วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา 1.
|
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) |
5 |
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) กายคตาสติ คืออะไร กายคตาสติ คือ การมีสติ พิจารณา กาย คือ รูปกับนาม ธรรมะสองที่เกิดขึ้น แล้วทำให้เป็นธรรมะหนึ่ง คือการทำเวทนาสองให้เป็นเวทนาหนึ่ง ทำเวทนาเก๊ให้หมดไปเหลือแต่เวทนาแท้ ตัวปลอมที่ไม่ใช่ของแท้ เป็นอาคันตุกะเหมือนของจริงเลย แต่มันเป็นตัวหลอก ต้องกลับคืนมาเป็นตัวจริง เช่น ระกำ รสมันเป็นอย่างนี้ กลิ่นเป็นอย่างนี้ใครมีประสาทไม่เสีย คนไทยจีนแขกฝรั่งรับรสได้เหมือนกัน แต่ภาษาเรียกอาจต่างกัน ก็เป็นของจริง แต่ทีนี้คนที่บอกว่า รสอย่างนี้ มันเกิดเวทนาอีกอันว่า อร่อยว่ะ อีกคนนึงบอกว่าไม่อร่อยว่ะ รสระกำนี่ คนที่มีเวทนาปลอมแยกเป็นเวทนาชอบไม่ชอบอร่อยไม่อร่อย ก็ล้างเวทนาอร่อยไม่อร่อย ชอบไม่ชอบ แล้วเหลือเวทนาเดียว คือรสระกำอย่างนี้ใครประสาทไม่พิการ แตะเข้าไปแล้วรสเดียวกันหมด ต้องลบอาการ ชอบก็ดูด ไม่ชอบก็ผลัก ดับตัวนี้หายไปคือดับเวทนาในเวทนาอาการพวกนี้ไม่จริง เป็นอาคันตุกะของหลอก ไม่เที่ยง พาทุกข์ไม่มีตัวตน คนไม่อรหันต์ก็กลับไปกลับมา อาลัยอาวรณ์อยากจะได้อยากจะมีอยากเป็นอีก ยังมีความผลักดูดก็เป็นของคุณมันเป็นอย่างนี้คุณจะไปผลักไปดูดทำไมเล่า สมณะฟ้าไทว่าต้องเค้นเสียง...พ่อครูว่า..ทำไมมันโง่อย่างนี้เล่าเมื่อไหร่จะรู้สักที คือลูกมันดื้อมันโง่ ก็อยากให้มันดี อยากให้ได้อยากให้รู้ให้เลิก ทำอยู่ได้ติดอยู่ได้ยึดอยู่ได้ ผิดหรืออยากให้ลูกได้ดี บางคนว่าเบาๆก็ได้แต่ว่าเบาๆนี้ไม่ได้ผลหรอก ถ้าคุณดีจริง บอกนิดหน่อยก็ป่านนี้ได้เยอะแล้ว อาตมาเคยเบาสุภาพแล้วตั้งแต่บวชใหม่ๆสุภาพสุขุม คนก็มากันเต็มเลย ชอบนะคนชอบมากเลย ทำไม่ไหว มันชอบมาหมดเลยคัดไม่ได้ ทำไม่ทัน ตาย ก็ต้องมีการคัดเลือกด้วยวิธีนี้แหละ เอาคนที่มีปัญญาแหลมคมจริงๆ ว่าพ่อท่านของแท้ โขกสับไม่กลัวทนได้ สำนวนพระพุทธเจ้าบอกว่า เราจะกำราบแล้วกำราบอีกไม่มีหยุด เหมือนช่างปั้นหม้อทำกับดินเหนียวที่ยังไม่แห้ง นวดแล้วนวดอีก กำราบแล้วกำราบอีก ผู้มีมรรคผลจึงทนอยู่ได้ ผู้ไม่มีมรรคผลทนไม่ได้หรอก ของอาตมานี่ จนเป็นวิธีการคัดเลือกบุคคล ผู้ที่เอาจริงรู้จริงจะมา ผู้ไม่เอาจริงไม่รู้จริงไม่มีปัญญาฉลาดรู้จริงไม่มาหรอก เอาจริงแต่ไม่รู้จริงก็ไม่มา รู้จริงแต่ไม่เอาจริงก็ไม่มา พวกนี้นอกขอบเขตเทศบาลไม่เก็บภาษี เข้ามาก็รีดภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ แรง น่ากลัว ที่นี่ภาษี 100% เขาถึงบอกว่า โพธิรักษ์สุดโต่ง การคัดเลือกที่นี่จึงแรงมาก ได้ขนาดนี้ก่อน ขนาดนี้สร้างพวกเราถ้าเป็นอรหันต์สักร้อยคน ไม่ตะกละ อาตมาเอาสัก 9 ก็ full house เรียกว่าเลขเต็มแล้ว ในภาษาไพ่เขาเรียกเห่า คือมีตองกับคู่ มีตองสองคือสองสามตัว พูดไปจะเลอะไปหาการเล่นไพ่ มันเคยเล่นกันมา เคยได้ชั่วมาก็เอาชั่วมาประจาน
อธิบายกายคตาสติต่อ...อาตมาไม่เคยสอนให้พิจารณาผมขนเล็บฟันหนังแค่เป็นสิ่งน่าเกลียด แต่ให้เรียนรู้ให้ชัดทุกคนสัมผัสได้แยกแยะให้รู้ว่าเป็นกายเมื่อใดและเมื่อใดไม่เป็นกายแล้วอย่างนี้ต่างหาก พิจารณาแล้วว่ามันไม่ใช่กาย ไม่ใช่เราของเรา แม้แค่กายหากยึดว่าแค่วัตถุมันก็ไม่ใช่เราแล้ว แล้วคุณได้ทิ้งมาหรือไม่ เช่นเล็บที่มันถูกตัดออกไปจากตัวเราแล้วมันไม่ใช่เรา อันนี้รู้ได้ไม่ยาก แต่ที่มันไม่ได้ถูกตัดออกไปมันไม่ใช่กายแล้วของเรา มันเป็นเล็บที่ไม่มีเวทนาแล้วเป็นแค่ พีชะ ก็ต้องรู้ว่าพีชะไม่มีเวทนา ไม่มีกรรมมีเวรแล้วเราไปกินพืชผักผลไม้ก็ไม่มีกรรม อย่าไปกินเล็บก็แล้วกัน หากยังไม่ตัดติดกับเราก็เป็นชีวะ หากตัดออกไปก็เป็นอุตุ แต่มันไม่ใช่กายเรา แต่จิตไม่รับรู้ แต่เอาอาหารไปเลี้ยงได้เป็นพีชะ แต่ไม่มีวิญญาณแล้ว คุณก็ยังยึดว่าเป็นกายเรา มันมีแต่สังขารกับสัญญา ปรุงแต่งด้วยการกำหนดรู้ เล็บที่ติดกับเราไม่ได้ตัดออกเป็นแค่พีช ไม่ใช่จิต ถ้าแยกไม่ออกก็ปนกันเละ มูลกรรมฐาน 5 ผมขนเล็บฟันหนัง เอาอันใดอันหนึ่งมาเป็นเครื่องพิจารณาก็เหมือนกัน ส่วนที่ติดกับเราไม่ได้ตัดทิ้ง มันไม่ใช่กายเราด้วยก็ได้ กายเอาที่จิตเป็นเกณฑ์ไม่ใช่เอาที่วัตถุเป็นเกณฑ์ พระพุทธเจ้าตรัสว่ากายคือจิตมโนวิญญาณ ผู้ที่เข้าใจแล้วก็ปล่อยได้ว่ามันไม่ใช่กายเราแล้ว ถ้าใครจะยึดถือ ตัดทิ้งไปก็ยังเอาเก็บไว้อีก หมกไว้ อีกก็ยึด ที่เป็นทรัพย์สมบัติเพชรนิลจินดาภายนอกมันใช่ของคุณที่ไหน เป็นเงินของกูอยู่นั่นแหละ เมื่อแม้แต่ที่มันจะเป็นกาย คนเข้าใจก็ปล่อยวางกายได้ทำได้ง่ายรู้ได้ง่าย แต่จิตนี่จะได้ปลดปล่อย ไม่เป็นเราเป็นของเรา นั้นยาก ที่เป็นเราอาศัยเท่านั้น สัมผัสอันนี้มันสีเขียว ส้มโอนี้ มันก็เป็นอันนี้ ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง แต่เขียวนี้คุณบอกว่าชอบ อันนั้นมันคือความบ้าแล้ว เป็นความปลอมแล้ว หรือบางคนบอกว่าไม่ชอบ ก็เห็นแย้งกันแล้ว เขาก็ไปตีกัน แต่ของเราไม่ต้องตีกัน เดี๋ยวมันก็เขียวไม่ต้องไปขัดแย้ง เห็นความเขียวเหมือนกันหมดเพราะเป็นสิ่งจริงอันเดียวกันสัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนที่เห็นไม่ตรงกันทะเลาะกันก็แล้วแต่ อาตมาต้องมาขยายความแม้จะเมื่อยก็ต้องทำ เพื่อให้ศาสนาพุทธสืบเนื่องต่อไป พระโพธิสัตว์ต้องมีหน้าที่ทำต่อ จากพระพุทธเจ้า จากสมเด็จพ่อเราก็ต้องเลี้ยงน้องต่อ แค่นี้นี่คืองาน แล้วอาตมาก็เห็นว่างานนี้คืองานประเสริฐที่สุด ถ้าละกิเลสได้จะรู้สิ่งดีก็รู้สิ่งไม่ดีก็รู้แล้วไม่เอา สิ่งที่เป็นพิษมอมเมานั้นเราก็ไม่ทำไม่เอา มัชชะก็ไม่เอา ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กินใช้ร่วมกัน เป็นสังคมประเสริฐที่ต้องมีต้องเป็นให้ได้ ช่วยอาตมาไหม...ช่วยกัน ทำสิ่งที่ประเสริฐมีให้แก่สังคม ทุกวันนี้มันเกิดความจริงอันนี้แล้ว มีอัญญธาตุ มีความรู้โลกุตระเป็นปัญญาแล้ว ไม่แค่อัญญะ ตัดจาก อ เป็น ป แล้ว จะเจริญเป็น ผ เป็น พ ผั๊ว มันหนักน้อยกว่าพั๊ว นะ พั๊วหนักกว่า ผั๊ว เขามีการละเล่นแต่ก่อนชื่อผะหมี เมื่อสัมผัสแล้วก็ปรุงแต่งให้เจริญ ใน ป ผ พ ภ ตัว ภ คือสั่งสมความเจริญให้ดีขึ้นอีกเป็นความเจริญ แล้วสั่งสมไว้ที่ ม (ป ผ พ ภ ม) คือรากศัพท์ของพยัญชนะ ที่อาตมาพอรู้พอสมควร ซึ่งมาจากสภาวะ อาตมาแปลบาลีด้วยสภาวะ ไม่ได้แปลบาลีด้วยพยัญชนะ เป็นภาษาบาลีที่ได้รู้มาแต่ปางบรรพ์ชาติก่อน |
กายคตาสติ คือ คือการใช้สติไปรู้อวัยวะในร่างกายของตน เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นของไม่งาม ปฏิกูล น่าเกลียด โสโครก ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น พิจารณาไปจนเห็นความจริง จิตยอมรับความจริงได้ เกิดความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัดยินดีในกาย ไม่ยึดมั่นถือมั่นกายต่อไป |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ฉีกกระดาษหนังสือธรรมะจะบาปไหม
_แทรกถามว่า ลูกอยู่สขจ.ฉีกหนังสือไปขาย บางทีมีรูปพ่อครูและสมณะ ด้วยค่ะ แต่ลูกก็ตัดใจต้องฉีกไปขายด้วย ลูกทำใจยากมากไม่รู้จะทำอย่างไรดี ขอถาม คือ
1 เช็คหนังสือจะมีกรรมที่เป็นบาปไหม
พ่อครูว่า...ไม่บาปหรอกมันเป็นอุตุ ไม่จองเวรหรอก
2 สมควรไหมที่จะเอาไปขายหรือแจก
พ่อครูว่า...ขายได้
3 หากลูกเกิดอีกจะโง่มากไหม เพราะว่ากรรมชาตินี้ฉีกแต่หนังสือ
พ่อครูว่า...ไปติดใจแต่ว่าเป็นหนังสืออาตมา ซึ่งมันก็มากจนจำเป็นต้องฉีกเพื่อเอาไปแปรเปลี่ยนสภาพไป รีไซเคิล แบบนี้ก็เอาไป แต่ถ้าเผื่อว่าเห็นว่า มันยังมีน้อยและหายากก็เอามาไว้ให้คนอื่นอ่าน ก็เอามาเก็บรักษาไว้แล้วเอาไปแจกต่อ ก็เท่านั้นเอง แต่ถ้ามันเยอะมันมากเกินไม่มีที่เก็บ ก็ต้องระบายไป รู้มากยากนาน
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูอธิบาย สิ่งที่พ่อครูรู้ แล้วไม่เหมือนกับกระแสหลัก สิ่งที่พ่อครูอธิบายมานั้นปฏิบัติได้แล้วทำได้ผลจริงถูกต้องถูกแท้ถูกทั่ว แต่ที่เขารู้นั้นมันปฏิบัติไม่ได้ผลจริงก็แปลว่าไม่ใช่ของจริง ...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:11:30 )
รายละเอียด
600925_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ต่างคิดต่างสิทธิ์ ตอน 2
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2560 ที่ราชธานีอโศก ฝนก็ตกลงมาน้ำก็ขึ้นก็ลงเป็นไปอย่างไม่เที่ยง แต่สิ่งที่เที่ยงคือเราก็มาตั้งใจฟังธรรมเพื่อพัฒนาตัวเองกัน วันนี้มีการประชุมงานเพื่อฟ้าดิน ทุกปี ในช่วงปีใหม่เราจะจัดงาน ว.บบบ.แต่ปีนี้เราจะจัดทั้งสองงานร่วมกันพร้อมกันเลย งาน ว.บบบ. จัด 28-30 ธ.ค.60 แล้ว 31 ธ.ค.60 - 2 ม.ค. 61 จะเป็นงาน เพื่อฟ้าดิน เนื่องจากเราเห็นว่าชาวบ้านชาวกสิกรเดือดร้อนกันมากในปี เราคงไม่ได้จัดงานเหมือนงานปีใหม่ตลาดอริยะที่ขายสินค้าราคาต่ำกว่าทุน แต่งานนี้เราจะเน้นการให้องค์ความรู้แก่ชาวบ้าน ของที่ขายจะเป็นราคาบุญนิยม มีเกษตรกรที่เป็นเครือข่ายและพวกเราเองด้วยมานำเสนอผลงาน หรือจะมาขายสินค้าก็ได้ โดยไม่ได้กำหนดว่าจะต้องขาดทุนเสียทีเดียว แต่ราคามาตรฐานคือว่า ให้ต่ำกว่าราคาท้องตลาด แต่เนื่องจากเขาต้องขนมาเองขายเอง เขาคงไม่ให้บาดเจ็บจนไม่มีค่ารถกลับ ก็ให้พออยู่ได้ ประเด็นนี้เป็นรอง แต่ประเด็นสำคัญคือ แต่ละเครือแหที่นำเสนอสินค้าขึ้นมา เราจะเน้นให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ ว่าสินค้าที่เราผลิตขึ้นมาทำขึ้นมา ทำอย่างไร
วันนี้คุยกับศีรษะอโศกสามารถทำแชมพูน้ำยาซักผ้าโดยไม่ใช้สารเคมี เราก็จะให้มาสาธิตว่าทำอย่างไร นำเสนอทำให้ดู ให้องค์ความรู้ด้วย ผู้ที่มาก็ได้สินค้าได้ด้วยและได้องค์ความรู้ด้วย จะถือว่าเป็นการจัดงานแบบใหม่ของพวกเรา มีพวกเราใช้สำนวนว่า พระราชาไม่ได้สอนให้แจกปลาอย่างเดียว แต่สอนวิธีจับปลาด้วย ของพวกเราจะใช้ว่า มานี่ไม่ได้แจกกล้วยอย่างเดียวแต่ให้วิธีปลูกกล้วยด้วย ก็ขอให้แต่ละชุมชนที่จะมาแสดงสิ่งที่สำคัญของตัวเอง ให้ไปคุยกัน มีองค์ความรู้มีสินค้าใดที่จะนำเสนอในงาน เพื่อฟ้าดิน วันที่ 31 ธ.ค.60 - 2 ม.ค. 61 เราจะไปคุยกันอีกทีในงานมหาปวารณา ที่บวรศาลีอโศก ก็ส่งข่าวไปก่อนเพื่อให้เตรียมตัวกัน ปีนี้เราจะย้ายงานมหาปวารณาไปที่ศาลีอโศก ส่วนงานพุทธาภิเษกฯ จะไปที่ปฐมอโศก
พ่อครูว่า...ใกล้จะถึงวันที่ 27 แล้ว คนที่ศึกษามาถึงขีดหนึ่งจะสนุกกับอจินไตย ทุกวันนี้อาตมาพูดถึงอจินไตยกันไม่ใช่น้อย ตั้งแต่เข้าใจเรื่องอจินไตยไม่ได้ เขาเข้าใจกันว่าเรื่องอจินไตยให้เลิกคิด คิดแล้วหัวจะแตกเป็น 7 เสี่ยง ความจริงแล้วเรื่องอจินไตย พอมีภูมิถึงแล้ววิสัยพอจะรู้ได้แล้วก็จะรู้ได้ ถ้าไม่เช่นนั้นพุทธวิสัย พระพุทธเจ้าตรัสรู้อจินไตยทั้งนั้น โลกุตระก็เป็นอจินไตย ไม่ใช่เรื่องสามัญของปุถุชนเลย คนเกือบทั้งโลก ศาสดาไม่รู้กี่องค์ ก็ไม่ได้รู้เรื่องของอจินไตย ศาสดารู้โลกียภูมิ แต่อจินไตยโลกุตระก็มีแต่ของศาสนาพุทธ คนที่สามารถรู้อจินไตยโลกุตระก็เอามาประกาศให้คนอื่นรู้ได้ตาม ตั้งแต่วิสัยของอาริยบุคคลตามลำดับจนถึงอนุสัย
อจินไตยพูดเล่นไม่ได้ พูดเล่นเสียหายหนัก เพราะเป็นเรื่องลึกซึ้ง ถ้าบิดเบี้ยวนิดนึงก็จะเสียหายมาก เป็นเรื่องลึกและไกล เช่น เรามีเส้นตรงเส้นหนึ่งที่ไปไกล ถ้ามันผิดไป 1 องศา คุณไปใกล้ๆ ก็ไม่ผิดมาก แต่ถ้าออกไปไกล นิสัย วิสัย อนุสัย มันออกไปไกลมากเลย แม้จะผิดเปลี่ยนไปแค่ 1 องศาเท่ากับ เป็นเรื่องที่ให้รู้ว่าอย่าประมาทแม้โทษภัยอันมีประมาณน้อย
ก็มีคนถามมาถึง ลักษณะ 4 อย่างสุดท้ายที่ลึกซึ้ง อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา
อุปจยะ คือการเกิด เริ่มเกิด แล้วก็มีการต่อเป็นสันตติ ถ้าไม่ต่อก็จบ แต่จะต่ออย่างไรก็ต้องมีชรตา คือเสื่อม ถ้าไม่ต่ออีกก็เป็นอนิจจตา คือสูญ
ที่สูงที่สุด ทุกคนเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แต่โลกียะวนเวียนมาใหม่อย่างไม่เที่ยง วนเวียนตามวิบาก อาจจะนานกว่าเก่าหรือสั้นกว่าเก่าก็ได้ อาจจะมีวิบากหนักกว่าเก่าหรือเบากว่าเก่า ไม่รู้กี่รอบๆ เรียกว่ากัปป์ โลกียะไม่หยุดวนเวียน แต่โลกุตระนั้นตัดสันตติดับแล้วชรตาไม่มีอนิจจตาไม่มี เพราะไม่มีอะไรเกิดอีกแล้วจึงไม่มีความเสื่อม ความไม่เที่ยงก็ไม่มี นี่คือลักษณะ 4 สุดท้ายที่ลึก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน เหตุปัจจัยในการอายุยืนยาวของพ่อครู
สำหรับอาตมามีคนสงสาร ไม่อยากให้อาตมาเหนื่อย ไม่อยากให้อาตมาเป็นอะไรต่างๆนานา แต่อาตมาต้องใช้พลังงานอุปจยะ แล้วต้อง Stimulate ให้เกิดถึงสัมประสิทธิ์ ไม่อย่างนั้นมันก้าวหน้าไม่ทันความหยาบและความเร็วแรงหยาบของโลกีย์ขณะนี้ เราก็เลยต้องปรุงเร็วแรงหยาบ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อกี้นี้ อ่านหนังสือพิมพ์ก็ได้ข่าวการเตรียมตัวจะรบกัน ทรัมป์บ้ากับคิมดื้อ อย่างนี้เป็นต้น อาตมามั่นใจว่า เขาจะรบกันเขาเตรียมระเบิดพวกนี้ระเบิดไฮโดรเจน อาตมาว่าเขาทำแน่ คิมน้อยนั้นทำแน่ แต่อเมริกาก็จะทำ ก็ละเมิดกฎ UN แต่ทุกคนก็พูดไม่ออก ทุกคนก็ต้องปล่อยไปอย่างตาไม่ดูหูไม่แล ถ้าอเมริกาก็ต้องสร้าง ระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดไฮโดรเจน อ้างว่าเอาไว้ซัดกับคิมน้อย ประเทศต่างๆก็ต้องให้ แต่ในภาคลึกๆ อเมริกาก็เป็นใหญ่ คนอื่นไม่มีสิทธิ์สร้างนะ มันซ้อนๆๆๆ คนอื่นก็รู้ตรงนี้เหมือนกัน เขาก็ซุ่มสร้างของเขา แต่ไม่พูด คิดว่ารัสเซียสร้างไหม หรือว่าประเทศอื่นจะสร้าง หรืออินเดีย ประเทศจีนจะสร้างไหม คนเรามันไม่ไว้ใจใคร อีกอย่างก็กลัวตาย หรือกลัวฉิบหาย ประเทศฉิบหาย ก็เป็นธรรมชาติของอัตตา เป็นไปตามวิบากของจักรวาลของโลก แม้แต่ฟองสนานก็ทำนายยาก เป็นวิบากอจินไตย
อาตมาก็เลยต้องพยายามเสริม stimulate เร่งสร้างเสริมสร้าง กระตุ้นให้แรงอยู่เรื่อยๆ ให้ถึงสัมประสิทธิ์ ก็เลยใช้แคลอรี่ไม่น้อย ขนาดนี้ยังไม่ค่อยทันเลย ถ้าชะลอไม่ได้ก็ยิ่งเสื่อมเร็ว ที่อาตมากำลังทำนี้ มีพลังงานที่จะให้พวกเราได้ประโยชน์จนเกิดผล ที่สำคัญคือได้ สัมโพธิปรายนะ จะได้สภาพของการไปสู่ที่สูงที่สุดได้
เช่น เข้ากระแสของโลกุตระ โสดาบันก็จะไปสู่อรหันต์ในที่สุดได้ จากอรหันต์มาเป็นพระโพธิสัตว์ ก็จะมีกรอบของโพธิสัตว์เป็นลำดับ หาก stimulate ไม่ถึงก็ไม่ได้ต้องรีไทร์ไป ระดับอนิยตโพธิสัตว์ ยาวนานมาก ปาง 6 แล้วจะไปสู่ นิยตโพธิสัตว์ต่อไป ปาง 6 นี้สูงยาวนานมาก ถ้าไม่ถึงที่สุดก็ต้อง รีไทร์ไปแต่ละรอบ แม้แต่ที่สุดขนาดระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์ยังสามารถ รีไทร์ได้เลย ถ้าไม่เอาจริงเอาจัง แต่ผู้ที่รีไทร์ก็น้อยลง ผู้ที่มีบารมีถึงก็จะเข้าไปได้น้อย และจะรีไทร์ก็มีน้อย เป็นมหาโพธิสัตว์เกือบไม่มีการรีไทร์ นอกจากท่านจะRetire เอง เช่น ถึงขั้นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตั้งศาสนา ก็จบ
_แล้วอะไรที่ทำให้พ่อท่านอยู่ยาวไปได้นานเท่าที่จะนานได้
พ่อครูว่า...ก็อยู่ที่อาตมาจะพยายามเท่านั้น ความพยายามก็ถึง ตอบก็ตอบได้อย่างนี้ ใครจะว่าอย่างไรก็ได้แต่พยายาม พยายามและพยายาม will try and try ไม่ใช่ shall try นะ คือ will มีความมุ่งมั่นตั้งใจ มากกว่า shall
สมณะเดินดินว่า...ลูกๆจะมีส่วนช่วยให้พ่อท่านอายุยาวได้ไหม
พ่อครูว่า...ก็มีอย่างเดียวคือทำตามหลักคำสอนทั้งภายนอกภายในให้ได้สมบูรณ์ตามปัญญา แม้แค่โสดาบัน ญาณ 7 ข้อที่ 5 ก็ช่วยกัน งานการของหมู่กลุ่มอย่าออกจากหมู่กลุ่ม เราเองก็จะเดินในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาไปเรื่อยๆ งานการของหมู่กลุ่มก็ช่วยไปเรื่อยๆ อย่าพรากอย่าหลุด มันจะเอียงเห็นแก่ตัว งานการของหมู่ไม่เอา หรือเอาแต่การงานของหมู่กลุ่มแต่ไม่เจริญอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาของตัวเอง เป็นเรื่องยากของใครๆ ก็ประมาณกันให้ดี
_นอกจากให้ปัจจัยภายในของพ่อท่านเอง แล้วเหตุปัจจัยภายนอกสามารถเป็นพลัง ให้พ่อท่านมีพลังมากขึ้นไหม
ตอบ...มี ไม่ใช่เฉพาะอาตมา ก็รู้จักการช่วยกัน ทั้งในด้านพลังงานที่ได้สัดส่วนที่ดี ถ้าไม่มีพลังงานที่มาช่วย มันก็ไม่พอ ตอบอย่างกำปั้นทุบดิน เพราะขาดมันก็โหลด อาตมาก็ต้องออกพลังงานมากขึ้นก็เป็นธรรมดา ถ้ามันพอ พอมันมากกว่าก็ไม่ต้องเติม ถ้าอาตมาเอามาผสม แต่มันเลยกลายเป็นซับซ้อนเสียได้ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ลึกซึ้ง มันมากเกิน คำนวณผิดมากเกินขีดก็เลยตัดทอน กลายเป็นทำให้ไม่สมดุลเอียงไปก็เสีย
ผู้มีภูมิมีบารมีจะมีไหวพริบปัญญารู้ตามบารมี ผู้ที่รู้ทันก็ตัด ผู้ไม่รู้ทันก็ได้รับวิบากไป เสียเวลา ช้าไป หนักหนา เป็นวิบากเพิ่มขึ้น ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของแต่ละคน ไม่มีใครช่วยใครได้ ที่จะตัดสินก็เหมือนประมาณ สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ตนเองต้องรับผิดชอบของตนเอง โดยอัตโนมัติมันก็มีบ้าง แต่ถ้าเราเข้าใจ ก็จัดสรรให้พอเหมาะ ยิ่งรู้มหาปเทส 4 เป็นของโพธิสัตว์ สัตบุรุษที่สูง เราก็ไม่ต้องกังวลมาก
สิ่งใดที่เกินกว่าพระพุทธเจ้าห้ามหรืออนุญาต นอกกรอบนั้นอย่าไปอวดดี ถ้าเกินกรอบที่พระพุทธเจ้าบัญญัติว่าห้ามหรืออนุญาต ถ้าเกินอันนั้น โพธิสัตว์จะต้องทำงานกับสังคม จึงจะต้องใช้ มหาปเทส 4 แต่เราไม่ใช่โพธิสัตว์จริงก็อย่าแอ๊ค อย่าอวดดี อันนี้เป็นอิสรเสรีภาพ ไม่ไปข่มไม่ไปอวดดี
สมณะเดินดินว่า..เมื่อคืนปัจฉามาเล่าให้ผมฟังว่า ต่อไปพ่อครูจะเน้นทำแต่งานสอนธรรมะ
พ่อครูว่า...ขอให้พวกเราโตขึ้น จะรับเฉพาะงานสอนธรรมะ งานการอื่นก็ให้พวกเราช่วยกันทำ ให้แบ่งเบาไปพวกโลกจินตาก็ช่วยกัน ส่วนเรื่องธรรมะผมก็เต็มที่พวกเราก็ช่วยอยู่แล้วผมก็เสริมกันไป
SMS วันที่ 24 กันยายน 2560 (พ่อครู-รายการวิถีอาริยธรรม)
_3867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯทุกบวรอโศกกับธ.ปลูกป่าในใจคนด้วย มิจฉาที่ถูกต้อง!ปลูกธ.ในจิตคนด้วยสัมมาทิฏฐิที่ถูกทาง!ปลูกจิตบริสุทธิ์ในใจคน ด้วยสัมมาอริยมรรคที่ถูกตรง เพราะโลกุตระธ.อันพ่อครูสอนทำให้รู้ว่าที่ใดมีกรรม ทำให้เกิดทุกข์ที่นั่นเกิดธรรมเพราะธ.คือความหลุดพ้นแห่งทุกข์ทั้งปวง!
กราบอนุโมทนาพ่อครูกับธ.กายคตาสติในธาตุรู้อันเกิดจากองค์ประกอบของรูปนามรับรู้เกิดขึ้นด้วยผัสสะกระทบกายรู้ทันกามคุณ5เกิดความสงบแห่งกายคุตติ! ผู้น้อยลำดับคำไม่เก่ง!ผิดถูก?โปรดติติงชี้แนะ!
พ่อครูว่า...ไปเอาตรรกะมาใช้มาก ระวังจะวิตักกจริต ให้เอาสภาวะเรียนรู้สภาวะไปเป็นลำดับ จะได้จริงระวังจะนานช้า 80 อสงไขยนะ กัปป์กับอสงไขยนั้นนานมากนะ อย่าไปเล่นเผลอๆ มันสนุกกับบัญญัติภาษานะ ตอนนี้พวกเราชักเลอะ ก ข ฆ ค ง นะ ระวังอย่าหลงใหลเกินเหตุ
จากเฟสบุ๊ก
_สุริยันต์ ชนาอินทร์ · กราบนมัสการพ่อท่านผมขอออกความเห็นสันติอโศกเป็นผู้นำในการรักษาธรรมชาติหลายอย่างได้ดีมาก.แต่มีอีกอย่างหนึ่งยังทำลายธรรมชาติมากอยู่เช่นในการเผาศพยังใช้ไม้อยู่เป็นจำนวนมากทั้งที่มีทางออกได้เช่น สร้างเตาเผาใช้ไฟฟ้าแบบทันสมัยที่สุดและสันติอโศกมีศักยภาพทำได้.จึงขอกราบเรียนมายังท่านพ่อครูครับท่าน
พ่อครูว่า... เราใช้ไม้พื้นที่แห้งแล้วทิ้งแล้วมาเผาศพ มันก็เพียงพออยู่ นอกจากบางครั้งที่ไม่ไหวเราก็เอาไม้ที่ดีไปใช้บ้าง แต่ไม้ฟืนที่เราใช้ส่วนใหญ่เก็บมาจากที่เขาทิ้งแล้วต้นไม้มันล้มแล้วที่เป็นเศษเสียหาย ไม่ได้เอามาที่ดีๆมาเผา จะบอกว่าทำลายธรรมชาติแต่เราเอาไม้ที่มันเสียแล้วมาทำเป็นฟืน ไม่ใช่ไปตัดไม้มาใหม่แล้วก็มาทำฟืน ไม่ใช่ จะว่า แก้ตัวก็แล้วแต่ ความเห็นของคุณที่บอกมามันก็ดีจะใช้เตาไฟฟ้า ซึ่งมันก็ราคาหลายล้านนะ ของเราราคาหลักหมื่น เอาน่า ในอนาคตถ้ารวยจะทำ ตอนนี้ฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร
_โคราช สุพรรณ · ไม้ตายแห้งไม่ได้ตัดไม้สดมาเผา เตาเผาก็มีอยู่ที่ปฐมอโศก นครปฐม ไปดู
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน วิบากของการเลี้ยงหมาแมว
_สนอง นิละกุล · ฟังพ่อครูตอบปัญหาเรื่องมีผู้เลี้ยงแมวที่ ชุมชนบวรศีรษอโศก ผมคิดว่าทำหมันให้เขาจะดีไหมครับ..ฝากถึงญาติธรรมบวรศีรษะฯและห้ามเขาไม่ให้เลี้ยงอีกและอย่าลืมโรคภูมิแพ้ฟังพ่อครูว่าอย่าไปเล่นแตะต้องตัวเขา(สัตว์น่ารักทุกชนิด)
พ่อครูว่า...มันจะเป็นวิบากพันไปพันมาไม่รู้กี่ชาติ ดีไม่ดีได้สามีภรรยาเป็นแมวเป็นหมา ต่อไปนะ คนนี่แหละมีภรรยาเป็นหมา และคนนี่แหละมีสามีเป็นหมา คุณรู้ไหม เป็นเรื่องตัวตนบุคคลจริงๆคุณจะเอาไหม ชาติโน้นชาตินี้จะวนเวียนมีสามีภรรยาเป็นหมาเป็นแมวก็ว่ากันไป
สัตว์แต่ละตัวตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็มีวิบากของมัน ถ้าเกิดมีวิบากร่วมกันไป ถ้าใครตัดออกมาก็จบ เหลือคนเดียวเราตัดแต่เขาไม่ตัดก็มากระทบพัวพัน ถ้าเขาระอาแล้วตบมือข้างเดียวไม่ดังเขาก็เลิกไปในอนาคต แต่ถ้าเอื้อกันนิดหน่อยนี้ต่องแต่งๆ นี่แหละนาน ถ้าตัดเลยเด็ดขาดก็เข็ดเลย
สมณะเดินดินว่า...ตัดพี่ตัดน้องได้ แต่ตัดแมวไม่ได้ ทำไม
พ่อครูว่า...มันโง่ไง
_โคราช สุพรรณ · จับไปทีละตัวสองตัวก็หมดแมว ใครก็ได้จับไปปล่อยเอาไว้ทำไมแมว
_วรรณภา · เสียงภาพชัดเจนค่ะรับชมประเทศเนเธอร์แลนด์สาธุค่ะ
_พิสิษฐ์ นฤนาทดำรงค์ · กราบพ่อท่าน,เช้าหลังวันเผา,2 พระศิษย์หลวงตามหาบัวจากสมุทรปราการออกทีวีโชว์พระธาต,ซึ่งเกิดจากสำลีเช็ดน้ำเหลืองหลวงตา,แต่สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ไปเก็บอัฐิออกทีวี,ก็ยังเห็นเป็นอัฐิกระดูกอยู่เลย,อนิจจังพุทธศาสนิกชนครับ
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ส่งผลกรรมให้คนตายทำไม่ได้
_พิสิษฐ์ นฤนาทดำรงค์ · กราบพ่อท่าน,ลูกหลานสามารถส่งผลกรรมต่างๆไปถึงพ่อแม่บรรพบุรุษที่วายชนม์ได้จริงตามกฎธรรมชาติครับ,อธิบายได้ครับ.
พ่อครูว่า...ไม่มีในคำสอนพระพุทธเจ้าที่สามารถส่งกรรมให้ไปถึงพ่อแม่ที่ตายไปแล้วได้ ถ้าอธิบายมาจะอธิบายเป็นมโนมยอัตตาของคุณมันไม่ใช่เรื่องจริง คุณเข้าใจภพชาติไม่ได้ก็เข้าใจแบบนั้น เป็นมโนมยอัตตา เป็นอุปาทาน ยังไม่สามารถดูได้ว่า อัตตาคืออะไร
สมณะเดินดินว่า...เรื่องนี้ดูเหมือนว่าศิษย์ของธรรมกายถวายหัวให้เจ้าสำนักเลยเพราะว่าสามารถส่งกุศลให้พ่อแม่ได้
พ่อครูว่า...เขาไม่รู้ว่าเป็นมโนมยอัตตา ถือว่าเป็นเรื่องจริง
_จิรา จันทร์ · กราบนมัสการท่านพ่อครูสมณะเจ้าค่ะ..
จริงๆแล้วตามแผนพัฒนาฯปัจจุบันก็มีเป้าประสงค์เช่นที่ท่านพ่อครูกล่าวเจ้าค่ะ แต่คนที่นำมาปฏิบัติ กิเลสหนาอีกมาก เลยเอามาแปลงไปตามอำนาจที่มี พระสงฆ์องค์เจ้าก็เพี้ยนๆไปไม่ทำหน้าที่ ไม่สั่งสอนอบรม ศาสนิกเอาเวลาว่างไปทำสิ่งที่เป็นอบายเพื่อความสบาย คนเองก็ไม่มีธรรมะในใจ ความละอายต่อบาปหดหาย ก็เลยเวทนาตามๆกันเจ้าค่ะท่านพ่อครูเจ้าขา
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ความฝันของพระอาริยะ
_ขออนุญาตเรียนปุจฉา พระครูหรือ พ่อครู หน่อยครับว่า
ความฝันของผู้บรรลุธรรมในระดับต่าง ๆ จนถึงอรหันต์ แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไรครับ
ขอบพระคุณ สาธุ ครับ
พ่อครูว่า...ความฝันมีอยู่ 3 ระดับ
คนธรรมดานั้น ฝันเละเทะไปนัวเนีย ส่วนใหญ่เป็นกิเลสตัณหาอยู่ในนั้นไม่ได้เรื่องอะไร เอาเป็นสาระไม่ได้เลย อย่าเอาความฝันของคนมาเป็นสาระ โยนทิ้งไปได้เลย
ทีนี้ ความฝันของผู้ที่พ้นแล้วเป็นอรหันต์ มันมีภาพนิมิตตอนนอนหลับคือฝัน อรหันต์เจโตไม่ค่อยมีภาพไม่ค่อยฝัน สายปัญญาจะมีภาพมีเรื่องราวในความฝัน ออกมาเป็นนิมิต เป็นรูปร่างได้ หรือเป็นเฉพาะสาระของธรรมะเลย วิเคราะห์วิจัยอย่างไม่มีรูปร่าง เป็นอรูป ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้ว จะมีนิมิตพวกนี้ ยิ่งสายปัญญาหรือสายทำงานอย่างอาตมานี่เยอะ จะมีสภาพพวกนี้อยู่ ไม่ใช่ฝันเลอะเทอะไม่ใช่ฝันอะไรมากมายเลย มันไม่ใช่ความปรุงแต่งของกิเลส แต่เป็นความปรุงแต่งของสภาพอรหันต์เอง ยิ่งอรหันต์ที่ต่อภพภูมิเป็นพระโพธิสัตว์ก็ต้องปรุงแต่งต่อไป
โพธิสัตว์ในระดับที่ปรุงแต่งต่อแต่ไม่สอนไม่เอาภาระมาก ก็จะปรุงแต่งระดับหนึ่ง ภาพก็ไม่ชัด พลังงานที่ไปใช้ก็ไม่มาก แต่โพธิสัตว์ระดับสูงที่ต้องทำงาน ต้องรับผิดชอบ ขออภัยอย่างอาตมามันต้องปรุงมาก
อรหันต์ธรรมดา จะมีภาพในเรื่องเป็นคราวครั้งตามที่ตนต้องการ จะเลือกเอาตามพอควร แต่พระโพธิสัตว์ที่ต้องรับผิดชอบจะต้องจำนนที่ต้องมีอยู่ อย่างอาตมาเป็น ขออภัย มันจึงยากมาก ปรุงเยอะ เรื่องเยอะ ก็ยิ่งหนักเลย สรุปแล้ว ที่ปรุงเยอะ มีทั้งภาพ และตัวธรรมะ อาตมาบอกได้ว่า แม้แต่คิดเรื่องนี้อยู่เมื่อนอนหลับแล้วก็ต่อไปกับเรื่องนี้ เมื่อตื่นขึ้นมาก็ต่อกับเรื่องนี้อีกได้ แม้จะหมดสติภายนอก ไปอยู่ข้างในก็ยิ่งแรงขึ้นอีก
วันนี้คนก็ขอร้องให้อาตมาหยุด อาตมาก็ว่าเมื่อยเหมือนกันแต่มันดับเครื่องไม่ได้ ลดเครื่องไม่ได้ เบรกหายไปเลย คันเร่งสปริงเสียอีก ปล่อยไปมันก็ค้างอยู่นั่นแหละ
สมณะเดินดินว่า...สงสัยอจินไตยว่า ตอนกลางวัน พ่อครูเหยียบคันเร่งมากไปหรือเปล่าครับ กลางคืนก็เลยปรุงต่อ
พ่อครูว่า...มันพลาดไปแล้ว อยากจะโทษพวกเราโทษมนุษยชาติ เพราะมันยาก อัธยาศัยมันยาก ก็เลยต้องเร่งเครื่อง เลยเถิด พอรู้ตัวก็หนักเสียแล้ว อาตมาก็เลยพยายามผ่องถ่ายให้พวกเรารับไป มันก็มีเหตุปัจจัย อายุอาตมา 84 หลักตัว 4 นี้มันหนัก
ยกตัวอย่างในประเทศไทยการบริหารบ้านเมืองเศรษฐกิจสังคม ตอนนี้ไม่คล่องตัว ไม่ใช่เบา มันยังหนักอยู่ มีอะไรรุกรานอยู่ ไม่อยากจะโทษอันอื่นอยากจะโทษตัวเอง แต่มีเหตุปัจจัยอื่น เหตุปัจจัยของปี 2560 ยังมีเหตุปัจจัยพวกนี้อยู่จริงๆ ต้องเลยปีนี้ไป สำหรับอาตมาก็อยู่ในวิบากบารมีอาตมา ถ้าอาตมาเลย 84 เลยไปถึงปีหน้า พ้น 5 มิถุนายน เต็ม 85 ก็จะเพลาลง อจินไตยพวกนี้อาตมาเข้าใจจึงได้ทนเอา ก็จะยังค่อยยังชั่ว แต่ถ้าไม่รอดก็ไม่รู้ได้ ถ้ามันรอดไปได้ก็แค่นั้น จะไปได้เรื่อยๆ จะไปอีกทีก็ 96 ถ้าไปถึงได้ ถ้าไม่ถึงได้ก็แล้วแต่ แต่ จะไปหนักตอน 96
มันถึงรอบกว่าจะเป็นพลังงาน Coefficient ที่จะออกไป 3 ไปเป็น 4 จาก 5 6 กว่าจะไปเป็น 7 อีกก็จะยากอีก
สมณะเดินดินว่า...กว่าจะถึง 5 มิถุนายนปีหน้าก็เป็นช่วงที่พวกเราต้องเอาภาระหนักขึ้น
พ่อครูว่า...ใช่แล้วถูกต้อง
สมณะเดินดินว่า...ในการทำงานตอนนี้ พวกเราดูเหมือนว่าคุยกับกรรมการไม่ค่อยรู้เรื่อง จะคอยลัดไปหาพ่อครูอยู่เรื่อย แต่ทุกวันนี้ถึงคุยกับพ่อครูอย่างไรก็ต้องกลับไปให้คุยกับหมู่อยู่ดี
พ่อครูว่า...จึงบอกว่าไม่ต้องมากวนอาตมานักหรอก ก็โยนให้หมู่กลุ่มตัดสินอยู่ดี ถ้าอาตมาตัดสินเองก็จะซวย ให้อาตมาพ้นซวย หมู่กลุ่มมีหลายคนก็แบ่งเบาไป
_ต่อมาจากคุณพิมพ์เพชรรุ้ง
วันที่ 24 กันยายน 2560
กราบนมัสการ พ่อท่านฯ สมณะโพธิรักษ์ ที่เคารพอย่างสูง
ลูกขออนุญาต กราบรายงานผลและทบทวนการปฏิบัติธรรมตามรอยพระโพธิสัตว์
ที่ผ่านมาดังนี้ค่ะ
1. ลูกได้เรียนรู้จากการปฏิบัติธรรมแบบมีผัสสะและพิจารณาทำใจในใจตามที่ พ่อท่านฯ สอน จนเกิดความชัดเจนว่า การปฏิบัติศีลให้กาย วาจา ใจ มีความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น จะทำให้สติบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น สติที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นก็จะมีพลัง ทำให้ศีลบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ลูกเข้าใจแบบนี้ถูกมั้ยคะ
2. จากข้อ 1. ลูกได้เห็นต่อไปอีกว่า การเดินตามรอยพระโพธิสัตว์ เป็นปณิธานที่ต้องอาศัย
พลังบริสุทธิ์ 5 อย่าง คือ
- พลังศรัทธา ที่บริสุทธิ์ หยั่งลงอย่างมั่นคง ไม่สั่นคลอน
- พลังความเพียร ที่บริสุทธิ์ มุ่งมั่น อดทน ไม่ท้อถอย
- พลังสติ ที่บริสุทธิ์ จากการปฏิบัติศีล ให้บริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้น
- พลังสมาธิ ที่บริสุทธิ์ จากการปฏิบัติสัมมาอาริยมรรค ให้สมบูรณ์ยิ่งๆขึ้น
- พลังปัญญา ที่บริสุทธิ์ จากการเพียรพยายามเผากิเลสด้วยไฟฌาน ให้จิตบริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้น
พลังบริสุทธิ์ทั้ง 5 นี้ จะสั่งสมได้จากการปฏิบัติอยู่ในหมู่กลุ่มที่มีมิตรดีสหายดีเท่านั้น ลูกเข้าใจถูกมั้ยคะ
พ่อครูว่า...ถูกต้อง คุณออกไปจากหมู่กลุ่มมิตรดีก็ไม่เจริญ จะเป็นอุกกาบาตหรือไปจักรวาลไหนอีก
3. ลูกได้สรุปบทเรียนให้กับตนเองในครั้งนี้ว่า การเดินตามรอยพระโพธิสัตว์นั้น จะต้องเกิดชาติแล้วชาติเล่า ต้องพบกับโจทย์อย่างมากมายตลอดเส้นทาง จนกว่าจะปรินิพพาน จึงต้องสร้างพลังทั้ง 5 ให้บริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้น เพื่อรับมือกับโจทย์ที่เราจะต้องเจอ และพยายามที่จะไม่สร้างโจทย์ใหม่จากอกุศลกรรมใดๆ เพิ่มขึ้นอีก
ลูกขอกราบขอบพระคุณพ่อท่านฯ ที่เมตตานำธรรมะของจริงมาสอนให้กับลูกๆ จนเห็นจริงเป็นจริงกันตามลำดับ ขอกราบขอบพระคุณท่านสมณะ สิกขมาตุ ที่ให้คำชี้แนะในการทำงานและขอบพระคุณพี่น้องหมู่กลุ่ม ที่ให้ความอนุเคราะห์ในฐานงานต่างๆ เพื่อการฝึกฝนขัดเกลากิเลส ลูกจะตั้งใจและพยายามพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้นต่อไปค่ะ
พิมพ์เพชรรุ้ง
สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน เรียน สมมุติสัจจะของนักศึกษา ปวส.
_ไม่ประสงค์ออกนาม คำถามถึง พ่อครู
ได้คุยกับศิษย์เก่าคนหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังว่า ในสมัยเขาเป็นนักเรียนสัมมาสิกขา เขาได้ฝึกปฏิบัติในเรื่องระเบียบ กฏเกณฑ์ต่างๆที่โรงเรียนกำหนด พอจบมาเติบโตเข้าสู่วัยรุ่นและเคยได้ไปทำงานหาเงิน ในช่วงปิดเทอมบ้าง ก็พบเห็นสังคมภายนอกที่ไม่ค่อยน่าอยู่ ประกอบกับได้ยินพ่อครูเทศน์บอกศิษย์เก่าว่าอยากให้อยู่ช่วยงานวัด จึงเกิดความคิดที่อยากจะอยู่วัดต่อและจะได้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นไปด้วย เพราะเห็นเพื่อนๆพี่ๆว่าพอศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น คือ ปวส. ก็ไม่ต้องปฏิบัติตัวเองให้อยู่ภายใต้กฏระเบียบที่เคร่งครัดเหมือนนักเรียนสัมมาสิกขา ไม่ต้องใส่เครื่องแบบ ไม่ต้องตัดผมสั้น ไม่ต้องมาทำวัตรเช้า ไม่ต้องเข้าแถวรวมตัว ไม่ต้องตื่นนอน-เข้านอนให้ตรงตามเวลาที่กำหนด จะไปไหนมาไหนก็ตามแต่ใจ จะใช้เงิน จะใช้โทรศัพท์ ก็มีอิสระไม่มีใครจะมาว่าได้ เพราะได้ผ่านการฝึกฝนถึง 6 ปีมาแล้ว และเห็นว่าเรื่องการแต่งเครื่องแบบตามระเบียบไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการแต่งกายไม่ได้วัดว่าคนๆนั้นมีความรู้ความสามารถในเรื่องที่ได้ร่ำเรียนมา อย่าวัดคนที่การแต่งกาย และความรู้สึกอีกอย่างที่นักเรียนสัมมาสิกขาไม่สามารถพัฒนาศีลของตัวเองได้เป็นเพราะ ครูตั้งระเบียบกฎเกณฑ์จนนักเรียนปฏิบัติไม่ได้จนเกิดความกดดันต้องไประบายออกทางอื่นจนเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของชุมชน , ครูเอาใจใส่นักเรียนและใกล้ชิดกับนักเรียนน้อยไปทำให้มีช่องว่าง
กราบนมัสการถามพ่อครูว่า
1. การศึกษาของสัมมาสิกขาทุกที่ มีระเบียบแบบนี้หรือเปล่าครับ แล้วมหาวิทยาลัยของชาวอโศกที่จะตั้งขึ้นใหม่นี้ ใช้หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติแบบนี้หรือเปล่าครับ
พ่อครูว่า...ไม่ใช่แบบที่เข้าใจหรอก อันนั้นเละ ปล่อยไปตามอิสระไปทำตามใจอะไรได้ทุกอย่างอย่างที่เขียนมานี้ เขียนมายังไม่หมดนะ ปล่อยไปตามอิสระเสรีภาพจะทำอะไรก็ได้ไม่ใช่ ทั้งปวส.หากจะมีมหาวิทยาลัยก็ต้องมีกฎเกณฑ์
2. ถ้าทิฏฐิของนักเรียนสัมมาสิกขาและศิษย์เก่าที่เรียนต่อระดับ ปวส. เป็นแบบนี้ จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ
พ่อครูว่า..ก็เข้าใจแบบนี้ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้เท่านั้นเอง ปวส.ก็ต้องมีกฎเกณฑ์ ที่บอกว่าปล่อยเพราะว่าเขามีคุณวุฒิวัยวุฒิพอสมควร ให้ปล่อยได้ตามลำดับเป็นธรรมดามีอยู่บ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์ก็ต้องตั้งตามวุฒิภาวะของแต่ละคน ทำตามลำดับอยู่แล้ว
3. สมมุติสัจจะของโรงเรียน คือ ระเบียบที่โรงเรียนตั้งขึ้นมา มีความสำคัญหรือไม่ที่นักเรียนและทุกคนไม่ว่าจะระดับใดก็ตาม ควรยึดถือสมาทานไว้ เพื่อเป็นหลักวิธีการและรูปแบบในการปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมเชื่อมโยงกับสังคมภายนอกในการสืบทอดวัฒนธรรม
พ่อครูว่า..สมมุติสัจจะสำคัญเท่ากันกับปรมัตถ์แต่มันหยาบกว่ากัน ต้องสมาทาน สมมุติสัจจะถ้าสังคมใดไม่มีก็จะเละเทะ ถ้าสังคมใดที่ไม่มีความสามารถทำ ปรมัตถสัจจะ ก็จะอยู่กับ สมมุติสัจจะที่เข้ม ไม่อย่างนั้นไปไม่รอด อย่างมุสลิมหรือญี่ปุ่น ผู้ที่เข้าใจปรมัตถธรรมก็จะอนุโลมปฏิโลม เข้าใจสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เข้าใจว่านี่เด็ก 5 ขวบ 10 ขวบ 20 ขวบ หรือเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะรู้แม้แต่นิสัยใจคอจริต นี่เป็นปรมัตถสัจจะ เข้าใจว่าเขาก็เป็นอย่างนี้ เข้าใจในสัปปุริสธรรม 7 อยู่ในนี้ทั้งนั้นเลย พระพุทธเจ้าเรียบเรียงไว้ครบหมดแล้ว
4. อิสระที่ศิษย์เก่า ปวส.ควรจะมีเกณฑ์ยืดหยุ่นในขอบเขตใด จึงจะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิต นักเรียนสัมมาสิกขาในเชิงลบน้อยที่สุด
กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า.. ไม่ต้องห่วงหรอก ท่านใช้ สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 อย่างไรเราก็ต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ได้เจตนาร้ายไม่มีอคติอะไร มันสุดวิสัยตรงที่ว่า มีผู้ยังมีอคติในตัวบ้าง จะทำอย่างไรได้ ก็ต้องช่วยดูแลกันเท่านั้นเอง
_ผู้นำแพทย์ทางเลือกวิถีธรรมได้กล่าวถึงพ่อท่านโดยใช้คำแทนว่าครูบาอาจารย์ ...ต่อมาเมื่อมี หมู่มากขึ้น มีคนศรัทธามากขึ้น จึงใช้คำเรียกว่าเป็นพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ พฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่สอดคล้องกับผู้ที่มีสัปปุริสธรรมหรือไม่ หากเปรียบเทียบกับผู้ที่บอกว่าเป็นศิษย์พ่อท่านตั้งแต่แรก แต่ไม่สามารถสร้างหมู่กลุ่มได้สักคนเดียว พ่อท่านคิดว่า ผู้ใดมีสัปปุริสธรรมมากกว่ากัน
พ่อครูว่า...อย่าไปหยุมหยิมมากนัก แบ่งกันกินบ้าง ก็เราเห็นว่าอะไรควรก็ทำอะไรไม่ควรก็ไม่ควรทำ เป็นอิสระเสรีภาพสูงสุด มหาปเทส 4 ตัดสินเอา คนอื่นก็ของคนอื่นเขา มันอาจจะเป็นได้นะ ว่าอันนี้มีอัตตามานะบ้างก็ปล่อยเขาบ้าง เขามีภูมิสูงพอก็จะแก้ไข ผู้ที่ปรารถนาไปสู่ความบริสุทธิ์สะอาดแห่งสัจจะ ไม่มีใครดันทุรังเถียงสัจจะหรอก แล้วไปแย้งสัจจะได้อย่างไร รู้เราพลาดไปแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น
พูดตรงนี้ก็นึกถึงท่านประยุทธ์ ปยุตโต มีคนไปถามว่าสันติอโศกเป็นอย่างไร ท่านก็บอกว่าเรื่องนี้อาตมาพลาดไป คำเดียวนี้ อาตมาไม่กล้าซักถามต่อรู้คำเดียวนี้ก็พอใจแล้ว
สมณะเดินดินว่า...ผมคิดว่า กรณีผู้นำแพทย์วิถีธรรม ก็ต้องใช้การประมาณในการพูดกับคนภายนอกไม่ให้มีปัญหา
พ่อครูว่า...มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย เราก็เอาที่เราเป็นหลัก คนอื่นก็ใช้เป็นการศึกษาเป็นตัวอย่าง แม้แต่อาตมาต้องขอบคุณธัมมชโย หรือคนอื่น คุณทักษิณบ้างก็ขอบคุณเขาอยู่ เขาเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เรา พูดอย่างเป็นวิชาการ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ภาวนามยปัญญาคืออย่างไร
_2.คำว่า ภาวนามยปัญญาของ ว.วชิรเมธี และภิกษุณีฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์
เขาบอกว่าคือปัญญาที่ผุดเกิดขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องผ่านสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการใช้ความคิด ยกตัวอย่างปัญญารู้ความกำเนิดจักรวาลของไอน์สไตน์ หรือปัญญาในการรู้อริยสัจ 4 ของพระพุทธเจ้า เป็นความเข้าใจถูกหรือผิดมากน้อยอย่างไร และขอความหมายของคำว่าภาวนามยปัญญาที่ถูกต้อง
พ่อครูว่า..ของอาตมา ภาวนามยปัญญาเกิดจากการปฏิบัติและเกิดผล เกิดผลแล้วเรียกว่าภาวนา ภาวนาแปลว่าการเกิดผล ปฏิบัติแล้วเกิดผล เมื่อเกิดผลแล้วจะรู้จักมีญาณ สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ รู้ตั้งแต่สมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ จะมีสัจจะอะไรที่ละเอียดลออ อีกทั้งนั้น รวมแล้ว เป็นผลความรู้รอบของการปฏิบัติ คือกิจญาณ จนสังเคราะห์รวมตัวจบเป็น กตญาณ เป็นญาณที่เกิดจากการปฏิบัติทั้งนั้น ไม่ได้โผล่ขึ้นมาเองโดยไม่มีเหตุ ทุกอย่างมาจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุก็ขัดแย้งกับพระพุทธเจ้าสอน
ไอน์สไตน์ ว.วชิรเมธี และภิกษุณีฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ทั้งสอง ท่านก็เข้าใจเหมือนกันว่า ภาวนามยปัญญาคือปัญญาที่ผุดเกิดขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องผ่านสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา ซึ่งมันต้องผ่านการปฏิบัติเกิดเป็นของจริง โดยเรามีจินตา เป็นความคิดของเราแล้วเอาไปปฏิบัติ เกิดอัญญะ อัญญา ปัญญาเป็นลำดับ
ทีนี้ เทียบเคียง ว.วชิรเมธี และภิกษุณีฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ บอกว่าปัญญาเกิดจาก การนั่งหลับตาแล้วปัญญาจะโผล่ขึ้นมา อาจารย์มากมายเข้าใจว่านั่งสมาธิให้เกิดสมาธิที่ดีเยี่ยมและจะเกิดปัญญา อันนั้นเป็นเรื่องนอกรีตของพระพุทธเจ้าสอน ปัญญาไม่ได้เกิดจากการนั่งหลับตา แต่ปัญญาต้องเกิดจากรูปนามที่มีผัสสะเป็นเหตุ
ไอน์สไตน์ ที่รู้ว่า E=mc2 มันเป็นสัญญาเก่าของไอน์สไตน์ ไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์รู้มาจากชาติก่อนแล้ว เมื่อถึงเวลาวาระก็เอามาใช้ แกไม่รู้หรอกว่าเป็นโพธิสัตว์ เป็นโพธิสัตว์ระดับที่ยังไม่รู้จักตัวเองได้ ก็มี แต่ตนเองมีภูมิแล้ว สายเจโต หรือแม้สายปัญญาก็ไม่รู้ตัวเองได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าหรืออาตมา ก็ลิงลมอมข้าวพองได้ เป็นเรื่องอจินไตยที่ต้องศึกษาต่อไป สรุปแล้วไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์ ไอน์สไตน์ก็รู้ทำได้ แต่ไม่รู้ตัวเอง แม้แต่เรื่องของ bomb of love ก็ฝากลูกสาวไว้ คนจะรู้จักพลังงานระดับ bomb of love ไม่ใช่ง่ายๆ เป็นพลังงานความรักที่วิเศษบริสุทธิ์สะอาดเพื่อมนุษยชาติ ความรักที่ เกินกว่ามิติที่ 7 ขึ้นไปแล้ว เป็นความรักของโพธิสัตว์ของอรหันต์ อย่างในหลวงเรา เป็นอจินไตยที่คิดเอาไม่ได้
คนที่จะมีความเข้าใจ ภาวนามยปัญญา ต้องผ่านการปฏิบัติและมีผลของการปฏิบัติไม่ใช่โผล่ขึ้นมาเอง จึงจะถูกต้อง นี่คือความเห็นของสมณะโพธิรักษ์
สรุปอีกทีว่าภาวนามยปัญญาคือปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดโดยการนั่งหลับตาสมาธิให้สนิทให้สมาธินิ่งแล้วปัญญาจะโผล่มาเอง ไม่มี มีแต่สัญญา ถ้าคุณไม่มีสัญญาเก่าก่อน ไปนั่งสมาธิหลับตาแล้วไม่มีของจริงไม่มีสัจจะที่เกิดมา ไม่มี โดยเฉพาะปรมัตถสัจจะ หรือแม้แต่สมมติสัจจะที่เคยผ่านมา เป็นความจำ หมายถึงที่ไม่ใช่จิตใจตัวเอง เป็นตัวตนบุคคลเราเขา ดินน้ำไฟลม เหตุการณ์เรื่องราวบ้านเมือง สารพัดที่จะสมมุติกัน คือทุกสิ่งทุกอย่างเรียกว่าโลก โลกจินตา ทุกอย่างเป็นสมมติสัจจะ ก็ไม่พึงคิด มันมีความละเอียดมากมายที่เกินกว่าจะคิด
_การที่มีโครงการตามหาพระโสดาบันเป็นเพราะว่าไม่มี ปฏิสัมภิทา 4 คือ มีแค่ 2 ข้อแรกแต่ยังขาด 2 ข้อหลังใช่หรือไม่ครับ
พ่อครูว่า...จะว่าอย่างนั้นก็ถูก ปฏิสัมภิทาญาณ 4 คือ อัตถะ ธัมมะ นิรุติ ปฏิภาณ
สองข้อแรกคือ อัตถะกับธัมมะ มีแต่สาระที่แท้ที่เป็นสัจจะ ส่วนนิรุติ ปฏิภาณ คือความรอบรู้ภายนอกยังไม่พร้อม ก็ถูกต้อง เพราะโลกจินตามันมาก คนที่มีปรมัตถสัจจะแค่โสดาบัน จะไปตัดสินโลกจินตาไม่ได้ เพราะมันมีมากมายเกินกว่าภูมิ ก็อย่าไปตำหนิหรือดูถูก ให้ร่วมมือไปช่วยกันคนละไม้คนละมือ อย่าไปริดรอนกำลังใจกันควรจะช่วยกันคนละไม้คนละมือ เราต้องมีศิลปะในการร่วมมือกัน
พวกเรานี้ก็ดีเก่งและเข้าใจอะไรกันเยอะ เข้าท่านะ
_ ที่เตรียมมาจะพูดก็คือ รวม 100 เรื่องที่พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ สอนแตกต่างจากกระแสหลัก ต่างคิดต่างสิทธิ์
|
พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ |
พุทธศาสนากระแสหลัก |
|
5 |
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กายคตาสติแบบพ่อครู กายคตาสติ คือ การมีสติ พิจารณา กาย คือ รูปกับนาม ธรรมะสองที่เกิดขึ้น แล้วทำให้เป็นธรรมะหนึ่ง คือการทำเวทนาสองให้เป็นเวทนาหนึ่ง ทำเวทนาเก๊ให้หมดไปเหลือแต่เวทนาแท้ มีความเข้าใจรูปนามที่ดำเนินไปต่างจากของเขาที่เข้าใจแต่รูป กายคตาสติคือ ควบคุมแต่รูปสิ่งที่ไม่มีจิตวิญญาณเข้าไปร่วม นี่คือส่วนใหญ่เขาคิดว่าเขาเข้าใจว่ากายคือดินน้ำไฟลม รูปธรรมไม่มีจิตร่วมแล้ว |
กายคตาสติ คือ คือการใช้สติไปรู้อวัยวะในร่างกายของตน เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นของไม่งาม ปฏิกูล น่าเกลียด โสโครก ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น พิจารณาไปจนเห็นความจริง จิตยอมรับความจริงได้ เกิดความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัดยินดีในกาย ไม่ยึดมั่นถือมั่นกายต่อไป |
|
6 |
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กายแบบพ่อครูสอน กาย คือ ธรรมะสอง คือรูปกับนาม ที่ทำปฏิกิริยาร่วมกัน คือ ปสาทรูปทำงานร่วมกันกับโคจรรูป กายคือ จิต มโน วิญญาณ (ล.16 ข้อ 230) หากเข้าใจคำว่ากายอย่างมิจฉาทิฎฐิไม่มีทางบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าเลย สำคัญมากเลยกายนี่ ในพจนานุกรมบาลี- ไทย คำว่า กายที่เป็นพยัญชนะบาลีมีเยอะเลย ถ้ารวบรวมจริงๆอาจจะมีเป็นร้อยคำ คำว่ากายต้องมีจิตวิญญาณเป็นหลัก ธรรมกายนั้นจิตมโนวิญญาณเป็นใหญ่ ใจไม่ใช่ดินน้ำไฟลมเท่านั้นเป็นใหญ่ ถ้าใครเอียงไปทางสรรพคุณตัวตนภายนอก ดินน้ำไฟลมเป็นใหญ่ปฏิบัติธรรมไปไม่ได้แล้ว ถ้าเข้าใจกายไม่ได้ ก็จะไปเข้าใจ กายกลิได้อย่างไร กายมุทุตา กายปาคุญญตา กายปัสสัทธิ แค่กายปัสสัทธิ คุณก็ไปนึกว่าแค่ร่างกายเท่านั้นสงบก็จบแล้วไม่ใช่ กายปัสสัทธิคือจิตสงบ แต่ทำข้างนอกให้สงบก่อนแล้วก็ไม่ใช่กายปัสสัทธิคือร่างไม่กระดุกกระดิก ไม่ใช่ แต่กายกรรมที่เป็นทุจริตไม่มี กายกรรมเราไม่มีทุจริตเลย คือการสงบสนิท เรียกว่า กายปัสสัทธิ โดยใจเราสั่งการ เพราะว่าจิตไม่มีกิเลสมาทำงานร่วม ไม่ออกกายวิญญัติในเรื่องทุจริตอกุศลเป็นตถตาเลย มันไม่สั่งการให้ทำเลยอัตโนมัติ ยิ่งกว่าหุ่นยนต์เลย มีรหัสเท่านั้นเท่านี้ตามอัตโนมัติเลยว่าไม่ทำทุจริตเด็ดขาด นี่คือกายปัสสัทธิ การเข้าใจผิดว่ากายคือข้างนอกเท่านั้นก็จบเห่ด้วยประการฉะนี้ |
กาย คือ กอง, หมวดหมู่, ที่รวม, ชุมนุม เช่น สัตวกาย (มวลสัตว์) พลกาย (กองกำลังทหาร) รถกาย (กองทหารรถ) ธรรมกาย (ที่รวมหรือที่ชุมนุมแห่งธรรม)
|
|
7 |
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กายวิเวกแบบพ่อครูสอน กายวิเวก คือ ธรรมะสองคือรูปกับนาม สงบสงัดจากกิเลส ไม่ได้หมายถึงร่างกายนี้นิ่งสงบหรือไปหนีไปอยู่ในที่ๆสงบจากเสียงอึกทึกวุ่นวายแสงสีเสียงโลกียะที่เป็นกามภายนอก หรือร่างกายไม่กระดุกกระดิก มันไม่ใช่ แต่ว่าคือห้องประชุมของรูปและนาม วิเวก จากอกุศลหรือกิเลส ตายเกลี้ยงเลย เข้าใจไหม แล้วเอาไปทำได้ใช่ไหม เมื่อเข้าใจโลกเข้าใจนะ เข้าใจกายเข้าใจจิต ก็ทำจิตที่มันมีฤทธิ์เดชให้มันหมดฤทธิ์ แล้วจิตที่จะให้หมดฤทธิ์คือจิตที่เป็นอกุศล ยิ่งถ้ามันดับมันหยุด ลดฤทธิ์ลงจนมันดับเลย จิตที่แท้ก็ยิ่งใสสะอาดที่มีพลังคล่องแคล่วปราดเปรียว ไม่ใช่เฉื่อยเนือย แข็งทื่อ |
กายวิเวก คือ ความสงบสงัดทางกายนั้น ก็หมายถึงจะต้องปลีกกายออกไปสู่ที่สงบสงัด ดังเช่นที่ตรัสสอนเอาไว้ในต้นสติปัฏฐาน ว่าไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือว่าเรือนว่าง แม้ว่าการมาสู่สถานที่นี้ อันเป็นที่ที่จัดไว้สำหรับปฏิบัติทางกรรมฐาน อันเป็นที่วิเวกคือสงบสงัด ก็ชื่อว่าเป็นการปลีกมาสู่ที่สงบสงัดได้ พ่อครูว่า...เขาเข้าใจว่าเป็นรูปธรรมภายนอก ไม่เกี่ยวกับนามธรรมเลย กายวิเวก แต่ที่พระพุทธเจ้าพูดถึงสติปัฏฐานเพราะเป็นการนั้น พระพุทธเจ้าสอนภิกษุทั้งหลายที่ได้หลงทิศทางไปสู่ป่า ไปเข้าใจผิดหนีเข้าป่า หาที่สงบสงัด พระพุทธเจ้าตรัสกับผู้ที่หลงทิศทางอย่างนั้นท่านใช้คำว่า วา คือ ทำแบบนี้ก็ดี ตามที่ท่านสอน คำพูดในขณะกาละนั้นที่ต้องพูดกับคนหลงผิดอยู่ ท่านว่า ก็ดีๆนี้ผิดทั้งนั้น ความจริงแล้วอยู่ในชีวิตสามัญทำอาชีพการงานอยู่กับสังคมสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ดีหมด ทำได้เหนือหมด ไม่จำเป็นต้องหนีไปโคนไม้ อย่างนั้นมันไม่เก่งอะไร แต่ต้องกระทบสัมผัสอยู่เหนือไม่ต้องหนีแล้วมีจิตมั่นคงไม่หวั่นไหว ไม่เกิดกิเลส เมื่อไม่หนีก็อยู่กับมวลมนุษยชาติ แล้วช่วยเหลือมนุษยชาติ จึงเป็นคุณค่าต่อมนุษยชาติ ไม่ใช่หมู่น้อยๆด้วย จะเป็นพหุชนะหิตายะได้อย่างไร จะมากขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับบารมี แต่การไปหนีออกไปนั้นมันมากที่ไหน เมื่อเข้าใจผิดอย่างนั้นก็ปลีกไปอย่างนั้นก็ยึดมั่นถือมั่นในคำสอนเดิม เมื่อสมณะโพธิรักษ์พูดเขาก็ไม่เชื่ออีก เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้สู่ที่ชอบที่ชอบ |
|
8 |
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กายสังขารแบบพ่อครูสอน กายสังขาร คือ ปรุงแต่งกันระหว่างภายในกับภายนอก ปสาทรูปทำงานกับโคจรรูป ก็มาทำงานร่วมกันปรุงแต่งกันที่จิต เป็นการปรุงแต่งองค์ประชุมของรูปนาม เน้นที่ภายนอกทางทวาร 5 ร่วมกับภายในคือจิต คือการปรุงแต่งความเป็นวัตถุกับจิต แต่ของอาตมาต้องเน้นเลย ที่การสังขารที่อภิสังขาร สังขารธรรมดานั้นเป็นสุจริตก็ได้ทุจริตก็ได้ แต่ไม่อยู่ในขั้นโลกุตระจะเป็นกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารที่อวิชชาสุจริตหรือทุจริตก็ได้ เป็นโลกียะ วนเวียน สมบัติผลัดกันชมจะออกจากโลกไม่ได้ จะออกจากโลกได้ต้องรู้จิตเจตสิกหรือตัวตนของกิเลส อกุศลจิต หรือบาป แล้วกำจัดด้วยพลังงานที่เรียกว่าปรุงแต่งหรือสังขารขั้นอภิสังขาร เรียกอภิสังขารตัวต้นเลยว่า ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เริ่มต้นปุญญาภิสังขารคือสร้างพลังงานเป็นบุญได้ที่จะสลายพลังงานราคะโทสะโมหะได้ ได้เป็นส่วนๆได้ว่าได้ผลแห่งบุญ ได้คือเสีย เสีย ราคะ โทสะ โมหะ อยากเสียออกไปจากตนไหม ...อยาก คุณทำลายราคะไม่สมบูรณ์ก็ต้องทำต่อ ราคะกับกล้วยหอมส้มโอ เมื่อลดอาการกิเลสได้ทีละส่วน สัมผัสเห็นอาการเลยว่า กายกลิเราจางคลายลงจนดับ ไม่เกิดชั่วคราว จนมันดับ ก็ทำซ้ำ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง จนมันตั้งมั่นตกผลึกแข็งแรง เที่ยงแท้ มั่นคง ยั่งยืนถาวรตลอดกาล ผู้เข้าใจอภิสังขารกับสังขารที่เป็นโลกียะ โลกุตระไม่ได้จึงวน ปุญญะคือมีหน้าที่ทำลายกิเลสในปัจจุบันเท่านั้น ในขณะที่ทำลายมันได้คือกิเลสหมด หมดแล้วหมดบุญทำต่อไปมีแต่อเนญชา สั่งสมให้ตกผลึกแข็งแรงตั้งมั่นขึ้นเรื่อยเป็นสมาธิ หรือสมาหิโต ตั้งมั่นแล้วจบแล้ว กตญาณแล้ว การสั่งสมสิ่งที่เป็นจิตดี จะเรียกว่ากุศลก็ได้ คือทำจิตร้ายออกไปจากจิตดีให้หมด หมดแล้วจิตร้ายหมดแล้วก็ไม่ต้องล้างอีก อปุญญะคือไม่ต้องทำบุญอีก ถ้าเข้าใจวนเวียนว่า ปุญญะคือดี กุศล อปุญญะคืออกุศล ก็เลยวนเวียนแค่ดีกับชั่วแค่นั้นไม่ขึ้นไปจากนั้นอีก ที่จริง ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นกำจัดทั้งดีและชั่ว ท่านพุทธทาสก็เลยบอกว่าทั้งชั่วทั้งดีอัปปรีย์ทั้งนั้น แต่ท่านก็ยังไม่เข้าใจสภาวะ เป็นความเข้าใจทางทิฏฐิ แล้วจึงมาปฏิบัติให้สมบูรณ์ สรุปแล้ว กายสังขาร ต้องมีรูปนามภายนอกภายในเสมอแต่เน้นที่จิต ภายนอกนั้นบางทีมีสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน อย่างอาตมากายกรรมวจีกรรมอาจแรง แต่ไม่ถึงกับไปทำร้ายใคร มีแต่สุ้มเสียงท่าทีลีลา ภาษาอาจจะใช้หยาบ แต่ใจสะอาดอยู่ตลอดเวลา แต่คุณอ่านใจอาตมาไม่ได้ อาตมาประมาณเท่านี้ มันก็มีสิ่งที่หยาบมาปรุงแต่งร่วมด้วยให้เหมาะสมกับความหยาบ เพื่อจะได้ผล มันเป็นการประมาณของอาตมาส่วนตัวเห็นว่าได้ผล พวกคุณต้องประมาณของคุณเอง อย่างท่านปยุตต์ ปยุตโต อาตมาเคยเขียนจดหมายถึงท่านว่าท่านอ่อนไปเบาไป ท่านมีบารมี ตั้งแต่ท่านเขียนหนังสือว่าอาตมาเล่มแรก อาตมาก็เขียนจม.ถึงท่านไปมีเนื้อหาว่าเบาไป แรงหน่อยจะได้ผล ท่านมีบารมีในทางโลกสังคม คนนับถือมากกว่าอาตมาเยอะแต่อาตมาไม่มีบารมีก็ต้องทำหนัก ถ้าท่านทำหนักหน่อยก็จะเบาแรงอาตมาอีกเยอะ กายสังขารที่เป็นอภิธรรม แยกโลกียะกับโลกุตระออกแล้ว จึงจะเป็นอภิสังขาร จึงจะจัดการปรับแต่งปรุงแต่งเอากิเลสออก ถูกต้องเลย นี่คือการปรุงแต่งปรับแต่งจิต ให้กิเลสออก นี่คืออภิสังขาร เพราะฉะนั้นกายสังขารคือต้องรู้ทั้งรูปและนาม สัมผัสกันแล้วมันก็เกิดสภาวะนั้นมา แล้วเราก็แยกถ้ามันมี 2 เป็นธรรมะ 2 ก็แยกสองนี้ออก เอาเฉพาะจิตที่เป็นอกุศล ของมโน วิญญาณออก กำจัดอกุศลจิตตัวนี้ ยิ่งออกไปได้ จิตจริงแท้ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพ มันจึงเหลือ 1 เรียกว่าเอกัคคตา กายสังขาร จึงมีกระบวนการที่มากกว่าของเขามากมาย แต่ของเขานั้น อภิสังขารมีสุจริตก็ได้ทุจริตก็ได้ แล้วก็วนเวียนไปมา สมบัติผลัดกันชม ดีกับชั่วสูงกับต่ำ ขึ้นไปลงต่ำแบบนั้น |
กายสังขาร คือ เจตนาที่ปรุงแต่งกายทุจริต และกายสุจริตให้เป็นผล สำเร็จลง สภาพที่ปรุงแต่งกาย ได้แก่ อัสสาสะ ปัสสาสะ คือ ลมหายใจเข้าออก พ่อครูว่า...อันนี้การปรุงแต่งระหว่างเจตสิกของจิต หรือวิญญาณ เป็นตัวอาการของเจตนา เป็นความมุ่งหมาย ไปมุ่งหมายกับทุจริตกับสุจริต อะไรก็ได้ทั้งคู่แล้วปรุงแต่งกับภายนอกคือทุจริตกับสุจริต |
|
|
|
|
|
สมณะเดินดินว่า...ถ้าเราไม่ถึงโลกุตระก็ต้องวนเวียนกับโลกียะ สุจริตทุจริตก็อยู่กับโลกียะวนเวียน จะเป็นโลกุตระได้ต้องอ่านจิตเจตสิกออก เพื่อจัดการกับอกุศล เคหสิตเวทนา ตัวปัญหาของการปฏิบัติธรรมคืออกุศลทั้งหลาย ถ้าเราไม่ถึงโลกุตระก็ต้องวนเวียนกับความดีความชั่ว ต้องมีปุญญาภิสังขารที่เจาะข้อหากิเลสได้และทำลายกิเลสได้ทำให้เราเข้าหาโลกุตระที่ไม่ต้องเวียนว่ายเวียนวนกับโลกียะทั้งหลายทั้งปวงในที่สุด
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:13:07 )
รายละเอียด
600927_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ต่างคิดต่างสิทธิ์ ตอน 3
สมณะฟ้าไทว่า…วันพุธที่ 27 กันยายน 2560 ที่ราชธานีอโศก เมื่อวานกับวันนี้คนไทยก็มีความสุขขึ้นมานิดนึง เรื่องของศาสนา ไม่มีรัฐบาลไหนที่จะทำได้อย่างนั้น เท่าที่อาตมาเกิดมา การย้าย ผอ. พศ. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ไปเมื่อเดือนที่แล้ว แล้วก็กลับมาในเดือนตุลาคม ไม่มีรัฐบาลไหนทำได้อย่างนี้ พ่อครูบอกว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่ฟังเสียงประชาชน ปกติเขาไม่ยอมง่ายๆหรอก แสดงถึงความไม่ยึดมั่นถือมั่น ตัวตนเขาคงจะน้อย
อีกประเด็นคือ เห็นรัฐบาลนี้ฟังเสียงประชาชนก็คือ เขาเกษียณข้าราชการประจำสำนักนายก ข้าราชการคนนี้ก็เขียนข้อคิด...เขาก็ว่า ข้าราชการที่ถูกย้าย ไปอยู่สำนักนายก ไปตรวจสอบแล้วก็เห็นว่าไม่ได้ผิดอะไรเลย ก็เลยเขียนบอกว่าคนที่มาในรัฐสภาไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนก็มีสิทธิ์โกงด้วยกันทั้งนั้น ประโยคนี้ ทำให้ นายกฯต้องให้ตรวจสอบสนช.ว่ามีการโกงไหม แล้วท่านถูกย้ายไปนี่เหมาะสมมั้ย ก็เป็นการตรวจสอบ รัฐบาลนี้ทำได้ดีกว่ารัฐบาลอื่นๆ มาตรวจสอบตัวเองว่ามีข้อบกพร่องไหม
พ่อครูก็ยกย่องว่าเป็นรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยคือพอสมควร
พ่อครูว่า...ดีที่สุดเท่าที่เคยพบมาในชีวิตประเทศไทยผ่านมาจนป่านนี้แล้ว ผ่านรัฐบาลมา 29 รัฐบาลแล้วก็ขอรับรองว่า รัฐบาลนี้ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ทำงานเป็นประชาธิปไตยและทำงานเต็มที่ จริงๆ ทำงานกัน เพราะมีนายกฯที่เอาจริงเอาจัง Active ตลอดเวลา จนกระทั่งหาว่า…... ต้องใช้คำว่า...หาว่า หาว่าเป็นผู้ที่ ของขึ้นอยู่เรื่อย ซึ่งไม่ใช่...แต่เป็นคน active อาตมาว่า เรื่องหยุมหยิมแบบนี้ไม่ควรมาหาเรื่อง โดยเฉพาะนักข่าวเขาจะหาข่าว นักข่าวหรือนักหนังสือพิมพ์เป็นนักหาเรื่อง ถ้าเขาไม่มีเรื่องก็ไม่มีอะไรไปลงหนังสือ
มันเป็นเรื่องที่ทั้งน่าเกลียด และมันก็ต้องมีเรื่องหนังสือพิมพ์ เป็นเรื่องน่าเกลียด งานเหล่านี้เป็นเรื่องน่าเกลียด เป็นเรื่องที่ต้องแหย่หาเรื่องเพื่อที่จะเอาไปเป็นเรื่องที่จะได้เป็นข่าว บางทีเป็นเรื่องหยุมหยิมมาก ไม่ใช่ กาลเวลาที่จะถาม เสียเวลา งานการของประเทศมีเยอะแยะ แต่เขาก็หาเรื่องแหย่ อาตมาถึงเห็นใจนายกฯที่ต้องว๊ากอยู่เรื่อย มันหยุมหยิมมากไป เรื่องที่เข้าเนื้อหาท่านก็ตอบ แต่นักข่าวเขาไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น ยิ่งกว่าอิตถีภาวะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
สรุปแล้ว รัฐบาลนี้อาตมาว่าทำงานมา 2-3 ปี ให้ทำไปเถอะ ไม่ต้องมีเวลาจำกัดหรอก ถ้ามันมีอะไรที่ก้าวหน้าอยู่อย่างนี้ ให้ทำไปเรื่อยๆ อย่าไปคำนึงเลยในโลกที่เขาบอกว่าประชาธิปไตยต้องเลือกตั้ง อย่าไปกังวลเลย ไม่เลือกตั้งก็เป็นประชาธิปไตย แล้วเป็นประชาธิปไตยได้ ไม่ต้องเลือกตั้งเลยตลอด เป็นประชาธิปไตย ถ้าเนื้อแท้เป็นประชาธิปไตย คือคณะผู้บริหาร ค่าเฉลี่ยคณะผู้บริหารเขาทำงานเพื่อประชาชนอย่างได้ค่า
เช่น ถ้าวัดค่าจริงๆ ว่าคณะรัฐบาลนี้ทำงานเพื่อประชาชน ค่าเฉลี่ยแล้วได้ 70% ขึ้นไป ถือว่าใช้ได้ หรือจะ 65 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้วอาตมาว่า คณะรัฐบาลนี้ทำงานเพื่อประชาชนได้ถึง 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เรื่องที่จะมานั่งเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวคอรัปชั่นอย่างที่เคยผ่านมานั้น จะกลัวถูกม.44 เข้าไปหรือเปล่า ทำได้อย่างนี้อาตมาว่าทำไปเถอะ
ก็มีแต่พวกอยากหาเรื่องเข้ามาสู่อำนาจ หรือพวกที่เป็นนักอัตตา ถือว่าตนเองมีความรู้แล้วหาเรื่อง ไม่พยายามดูความพอดีความพอสมควร
ความพอดี ความพอสมควร หรือพอเพียงเป็นคำตรัสของในหลวง มันพอดีแล้วพอสมควรแล้วอะไรกันนักกันหนา จะไปเอาอะไรให้เป๊ะ ความพอสมควรคือพอดีพอเพียงมันโต่งไปโต่งมาไม่เที่ยง อนิจจังคือทุกวินาที จะมีเข้ามาใหม่ มีการหาเรื่องมีกรรมกิริยา ก็มีน้ำหนัก ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดความไม่เที่ยงตลอดเวลา ถ้าเข้าใจอย่างละเอียดลออจะรู้ว่า คำว่าอนิจจัง ไม่เที่ยงนี้มันละเอียดลอออยู่ทุกอย่าง เราต้องรู้ความพอสมควร ต้องรู้จักประมวลความเข้าใจเหตุปัจจัยแต่ละกาละ
ทุกวันนี้ข่าวคราวมันเร็วมากให้เราได้บวกลบคูณหาร สำหรับการประมาณ ว่ามีอันนี้นะข้อมูลเปลี่ยนแปลง ข้อมูลใหม่มาเราก็จะต้องทันพวกนี้ เรียกว่ารู้กาละเวลา คำว่าพอสมควร ทุกกาละคืออย่างไร
ถ้ามีผู้มีปฏิภาณปัญญาเร็วทันก็ไม่ตกความจริง หรือว่าความเหมาะควรที่จะใช้ทุกกาละได้ อันนี้สำคัญที่สุด
สมณะฟ้าไทว่า...เขาถามนายกฯก็บอกว่าเหนื่อย แล้วนักข่าวก็บอกว่าจะเป็นนายกฯอีกหรือเปล่าและจะลงเลือกตั้งไหม ก็ตอบว่าไม่ลง ให้เป็นนายกฯอีกหรือเปล่า บอกว่าไม่รู้
พ่อครูว่า...คำตอบนี้ชัดเจนว่า รู้เข้าไปในใจถึงนายกฯ มีลักษณะที่ว่ามันตรงๆเหมือนกับอาตมา อาตมาก็จะตอบแบบนี้ ถ้าถามมาแบบนี้ก็ต้องตอบแบบนี้ บอกว่า เออ เป็นลักษณะบ้านเมืองที่มีอาริยบุคคล นายกฯลุงตู่เป็นอาริยบุคคลรู้จักสัปปุริสธรรม
สมณะฟ้าไทว่า...คำตอบนี้เป็นคำตอบหลังไมค์เขาเอามาเขียนลง
พ่อครูว่า...นักข่าวถ้าไม่มีเรื่องก็ไม่มีอะไรมาเขียน แล้วพวกนักข่าวนี่ มีนัยว่าถ้าเขามีเรื่องที่แปลกแตกต่างพิเศษจากคนอื่นเขาเด่นนะ จึงจะต้องหาแง่มุมอย่างนี้ตลอดเวลา
สมณะฟ้าไทว่า...สรุปว่า พ่อครูก็เหนื่อยเหมือนกัน พวกเราก็จะปลดงานบริหารงานวัตถุให้พวกเรารับผิดชอบ ท่านจะได้ดูแลพวกเรา บอกเราถูก ตอนนี้ท่านยังอยู่ หรือเราจะไปก่อนพ่อครูก็ไม่รู้ เราไม่แน่จะไปก่อนท่าน วันนี้พ่อครูก็จะมานำเสนอสิ่งที่ควรนำเสนอ
พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็โอภาปราศรัยกับ sms
SMS วันที่ 26 กันยายน 2560 (สมณะ สิกขมาตุ : บวรสันติอโศก)
_เอกีภาวะ วิชชาราม · สรุป ท่านสิกขมาตุ ชัดเจนในบทบาทชีวิตตัวเองและให้เราต้องรู้ตัวทั่วพร้อม ให้เราพัฒนาให้ยิ่งๆ จนเกิดประโยชน์แก่หมู่ชนเป็นอันมาก พัฒนาลักษณะนั้นให้ชื่อสัตย์ สะอาดยิ่งขึ้นไป
· สรุปท่านชาบชึ้ง การดูลักษณะคนบ่งบอกนิสัย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าที่เรามีลักษณะนี้เพราะเราทำกรรมสะสมมาเช่นพ่อครูบอกชาติหน้าอาตมาจะหล่อกว่านี้ ...การทำกรรมใหม่เพิ่มในปัจจุบันที่เราทำจะดีหรือชั่วจะเป็นไปตามกรรม...อยู่ที่กรรม
จาก ชาวบ้าน ค่ะ
_กราบนมัสการ พ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ค่ะ
ข้อ1 ขอกราบเรียนถามพ่อครูค่ะ ลูกมีความเข้าใจ คำว่า อธิปไตยของพุทธ คือ มรรค ถูกหรือผิด อย่างไรคะ
ตอบ...อธิปไตยเป็นผลไม่ใช่มรรค ผลที่เกิดจากมรรควิธีของพระพุทธเจ้า มีสติเป็นอธิปไตย แล้วก็มีปัญญา เป็นอุตระ เป็นต้น เป็นผลจากการปฏิบัติ ตามมูลสูตร 10 เป็นแก่นของมนุษย์ปฏิบัติธรรมเลย
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) ต้องมนสิการให้ถึงแดนเกิด สัตว์ ในสัตว์ลักษณะ 9 ของสัตตาวาส 9 รู้ความเป็นสัตว์แล้วทำความเป็นสัตว์ให้หมดไปก็คืออรหันต์
3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) เป็นเหตุให้เกิดเวทนา
4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)
5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)
6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)
7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันรู้ยิ่งยอด
8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) = สอุปาทิเสสนิพพาน
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน วิตกกับวิจารต่างกันอย่างไร
_ข้อ2 ขอกราบนมัสการพ่อครู อธิบาย การทำงาน ของคำว่า วิตก และ คำว่า มนสิการ ค่ะ
พ่อครูว่า...คำว่าวิตกหมายความว่าจิตของเรามันเกิดเริ่มดำริ ก็คือมีตักกะ ถ้าภาษา ตักกะไม่ใช่วิตักกะ คือรู้แค่ปริยัติภาษาเฉยๆ แต่ถ้า วิตักกะ อยู่ในสังกัปปะ 7 อยู่ในฌานก็ตาม ตัววิตักกะ จะต้องมีญาณอ่านตัวจิตที่ดำริขึ้นมา พยายามให้ทัน เมื่อมีผัสสะปั๊บจิตก็ดำริขึ้นมา หากไม่มีผัสสะจิตมันก็เฉยๆไม่มีความจริงทั้งสมมติและปรมัตถ์ มันมีตักกะที่มีกิเลสรวมปรุงแต่งหรือไม่ ถ้ามันมีกิเลสมาเราก็ต้องแยกออกให้ได้ มันจะมีเวทนาในเวทนา
ในวิตักกะจะมีรูปกับนาม มีกายกับจิต มีธรรมะสอง ก็ต้องแยกธรรมะสอง แยกหยาบคือกายกับจิต แยกละเอียดคือเวทนาในเวทนา มีเวทนาเทียมเก๊กับเวทนาจริง เราก็จัดการกับเวทนาเก๊ให้หายไป เหลือแต่เวทนาแท้ ทำให้ตัวกิเลสตัณหาแท้ดับไป ก็เหลือแต่รูปนามสะอาด กายสะอาด เพราะอกุศลจิต ถูกดับไปได้ กายเวทนาจิตธรรม ก็เป็นเช่นนี้
เราสามารถรู้จักการตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ มาอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา การสังขารก็เป็นอภิสังขารจนเป็น ปุญญาภิสังขาร จนสังขารสะอาดก็เป็นอปุญญาภิสังขารไม่ต้องทำบุญอีก ก็ทำต่อเป็นอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ก็จะสั่งสมได้เป็นอเนญชาภิสังขาร สั่งสมตกผลึกแน่นเข้าแข็งแรงมั่นคงไม่หวั่นไหวก็เรียกว่าเป็นสมาธิ สร้างอเนญชาภิสังขาร เรียกว่าสร้างให้จิตตั้งมั่น
การอธิบายเช่นนี้เป็นการอธิบายการทำใจในใจ จัดการใจในใจคือการอภิสังขาร ไม่ใช่ว่ามนสิการแปลว่าการพิจารณานั้นไม่ใช่เลย เขาเอาคำว่าโยนิโส มาใส่เข้าไปเป็นคำว่าโยนิโสมนสิการ โยนิโสนั่นแหละเป็นตัวพิจารณา วิจัยวิจารณ์ให้ถ่องแท้ การทำในใจก็ต้องมีโยนิโส มีการวิจารณ์วิจัยทำให้ถ่องแท้
มนสิการ แปลรวมว่า คือการทำใจในใจ ในมูลสูตรข้อ 2 มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด ทำให้จิตใจเป็นพระอาริยจนเป็นพระอรหันต์ก็ต้องทำใจในใจอย่างนี้
_ได้ฟังธรรมพ่อครูมา 30 กว่าปีแต่ตอนนั้นไม่อยู่กับหมู่กลุ่ม แต่มาอยู่กับหมู่ 1 ปี การปฏิบัติก็ไม่เหมือนกับการอยู่กับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ได้ฟังธรรมเข้าใจยิ่งขึ้น มีความเพียรที่จะทำตามคำสอน พ่อท่าน
สภาวะที่ได้คือมีสติ เมื่อเรามีผัสสะ กิเลสก็ไม่เหนือเราได้ เหมือนนักมวยที่ตั้งการ์ดไว้ดี คู่ต่อสู้ก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ไม่ว่าจะมาทางไหน
พ่อครูว่า...ถูกต้องแต่ไม่ได้หมายความว่าเราสำเร็จแล้วนะ เป็นแต่เพียงเราป้องกัน สติก็คือป้องกัน แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติใจในใจต่อ ก็ต้องมีวิธีการ ป้องกันตัวเองขึ้นมาก็ดีแล้วเป็นกรอบแรก
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน การใช้ภาษาสื่อสภาวะ
_อโศกสัมปวังโก
1 ผมมีความสงสัยว่าในการเรียบเรียงพระไตรปิฎก ทำไมพระเถราจารย์ผู้เรียบเรียงจึงไม่ใช้ภาษาเชิงธรรมาธิษฐานตรงๆ และเลือกใช้ภาษาที่เอื้อต่อความเข้าใจของคนในยุคทุกสมัย ซึ่งจะทำให้บุคคลที่มีลักษณะตามสัมมาทิฏฐิข้อที่สิบ ท่านทำงานได้ง่ายขึ้นไม่เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสจนเกินไป
พ่อครูว่า..ก็ขอบคุณที่เห็นใจอาตมา ก็ตอบได้ว่า ในสัจจะนั้นมีสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ สัจจะมี 2 อย่าง จะบอกแต่ธรรมาธิษฐานตรงๆ ท่านตรัสแล้วเป็นธรรมาธิษฐานทั้งนั้น ภาษาที่ใช้เป็นธรรมาธิษฐานทั้งนั้น แต่คนเข้าใจไม่ได้ ตัวเองแยกแยะไม่ออก เช่น พูดถึงคำว่าเทวดา พูดถึงคำว่าสัตว์นรกอย่างนี้เป็นต้น ถ้าฟังเป็นภาษาบุคลาธิษฐานก็เป็นเทวดาสัตว์นรก ที่เป็นตัวตนสำหรับพวกที่มิจฉาทิฐิ แต่ผู้ที่สัมมาทิฎฐิแล้วก็เป็นปรมัตถสัจจะทั้งนั้นเป็นธรรมาธิษฐานทั้งนั้น พูดถึงเทวดาหรือสัตว์นรกก็เป็นธรรมาธิษฐาน
แล้วจะบอกว่าทำไมท่านไม่เลือกใช้ภาษาแบบนั้น ก็เพราะว่าภาษามันมีคำว่าสัตว์นรกและเทวดา จะให้เอาภาษาไหนมาใช้ให้ร่วมสมัย คำว่าสัตว์นรก คือจิตวิญญาณที่ไม่มีตัวตน เป็นนามธรรม เทวดาคือจิตใจที่สูงส่งและเจริญ มีทั้งที่เป็นกัลยาณธรรม หรือถ้าเป็นอุบัติเทพ คือรู้จักกิเลสลดกิเลสได้เป็นส่วนๆ มีส่วนแห่งบุญ เมื่อเป็นวิสุทธิเทพก็เป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส ก็ต้องใช้ภาษาพวกนี้อธิบาย ถ้าไม่ใช้ภาษาแบบนี้อธิบายคุณจะเอาอะไรมาพูดมาสื่อสาร เพราะฉะนั้นบุคลาธิษฐาน แปลภาษาบัญญัตินี้เป็นอธิวจนะ
ต้องมี อธิวจนสัมผัสโส จึงจะไปสามารถรู้ ปฏิฆสัมผัสโสได้ ถ้าไม่มีบัญญัติ ไม่มีอธิวจนะ ไม่มีคำเรียกที่จะสื่อสารออกไป แล้วคุณจะไปสัมผัสนามธรรม
ปฏิฆ คือก้อน ให้คุณรู้ Action reaction ให้รู้ได้ เทวดาและสัตว์นรกเป็นนามธรรมไม่มีตัวตน ถ้าไม่มีอธิวจนะให้ฟังเลย(พ่อครูทำหน้าเฉยๆ ไม่พูด) คนก็ไม่รู้ได้
ท่านไม่มีทางเลือก ต้องใช้บัญญัติภาษาให้คนรู้ปฏิฆสัมผัสโสได้ อธิวจนสัมผัสโสคือรูปธรรม ปฏิฆสัมผัสโสคือนามธรรม หากมีแต่ธรรมาธิษฐานก็เอาแต่ส่งจิตกันก็ไม่รู้เรื่องแต่ต้น อาตมาไม่เก่งขนาดมานั่งแล้วส่งจิตให้คนอื่นรู้นะ ไม่ได้ประชดแต่พูดให้เข้าใจดีๆว่าคุณละเลียดไป เพ่งไป สรุปคำตอบคือจำนน
_ผมได้ติดตามและศึกษากระบวนทัศน์ของสำนักพุทธวจนะ ให้ศาสนิกของตนท่องจำพุทธพจน์อย่างแม่นยำและไม่ให้ตีความและไม่ต้องสื่อกับใคร อนาคตของพุทธศาสนิกชนกลุ่มดังกล่าวจะเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า...พวกมีอัตตามานะสูง และเคารพนับถือพุทธพจน์มาก และอย่าวิจารณ์ อย่าวิจัยอะไร จำให้ได้อย่างเดียวเท่านั้นคุณก็จบแล้ว สรุปแล้วพวกนี้คือพวกนกแก้วนกขุนทอง ยิ่งกว่านกแก้วนกขุนทองอีก ให้นกแก้วมันท่องแก้วจ๋าในใจอีก คือไม่ให้พูดออกมาด้วย มันจะมากไปแล้ว สุดโต่งจนน่าสงสารอย่างยิ่ง วิจารณ์แค่นี้ก็พอ
3. ผมได้ติดตามรายการมองโลกมองธรรม ผมเองชื่นชมความกล้าหาญของนายแพทย์มโนอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังมองว่ายังไม่สามารถทิฐิเพียงพอ และหากหมอมโนได้รับคำแนะนำจากพ่อท่าน หรือร่วมศึกษากับชาวอโศกอย่างจริงจัง จะทำให้คำพูดหมอมโนมีน้ำหนักชี้ถูกผิดดีชั่วได้อย่างถูกต้องชัดเจนขึ้น จะทำให้งานกวาดล้างมารศาสนาสำเร็จมากยิ่งขึ้น
พ่อครูว่า...เห็นด้วยอย่างยิ่งถูกต้อง แต่หมอมโนก็คือหมอมโน จบ ไม่วิจารณ์ต่อไปว่าเขาจะศรัทธาอาตมามากแค่ไหน อาตมาก็พอรู้ พอวัดศรัทธา ปัญญาพอวัดได้บ้าง พอเข้าใจ
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน อาหาร 4 กับการปฏิบัติที่ไม่ผิด
_มีคำถามที่ค้างไว้ของคุณอโศกสัมปวังโก คือ คำว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลกเป็นพุทธพจน์หรือไม่ครับ แล้วมีจุดประสงค์เพื่อให้เรียนรู้อะไร
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าอาหารเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าสิ่งใด เพราะถ้ามนุษย์ไม่มีอาหารกินก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ อาจารย์บางท่านก็สอนว่ามีความสำคัญมากที่คนเราต้องเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
และบางอาจารย์ก็เน้นว่าจะต้องทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นหรือร้อนตามสัดส่วนเหมาะสมเพื่อรักษาความสมดุลให้กับร่างกาย
ส่วนอาจารย์ไม้ร่มก็บอกว่าอาหารต้องมาจากอาหารที่มาจากพระศิวะ (อาหารอินเดีย)
ส่วนความเข้าใจของสมณะท่านหนึ่งเข้าใจว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลกนั้นหมายถึงอาหาร 4 ในความสำคัญอย่างมากในการปฏิบัติธรรม
พ่อท่านคิดว่า ความเข้าใจของท่านใดถูกต้องครับ
พ่อครูว่า... เป็นพุทธพจน์ ก็ให้เรียนรู้ความเป็นอาหารแล้วสรุปลงไปว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก
ถูกต้องไปคนละแง่มุม ของอ.ไม้ร่มก็เป็นแบบของเขา พูดถึงกวฬิงการาหาร เป็นอาหารในอาหาร 4 กินเข้าไปเลี้ยงร่างกายคือคำข้าว เรียกอาหารพระศิวะ เขาปรุงแต่งอาหารอย่างนั้นมาหลายพันปี อย่าว่าแต่พระศิวะปรุงแต่งอาหารมาหลายพันปีเลย อาหารของชาวไทยนี้ก็ปรุงแต่งมาหลายพันปี เท่าที่คนไทยกินอาหารและก็มีอาหารประจำชาติไทยตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา จนเดี๋ยวนี้ก็ยังกินกันอยู่ พวกน้ำพริกอะไรเป็นต้น มันก็เป็นอาหารมาหลายพันปีเหมือนกัน ถ้าเป็นความศรัทธาของไม้ร่มแล้วศรัทธาหนักว่าต้องกินแบบนี้ แบบอาหารแขก ต้องกินถั่ว กินแกงถั่วอย่างนี้ ในอินเดียกินแกงถั่วเป็นหลักกับจาปาตี
คืออินเดียเป็นพวกเจโตอยู่กับ อาหารซ้ำซากได้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เขาจึงอยู่อย่างซ้ำซากที่เป็นหนึ่งเหมือนกันไม่แตกต่างกันมาก เขาอยู่อย่างไม่ทะเลาะกันไม่เหมือนกับจีน ความเห็นแตกแยกกันทะเลาะกัน มันก็คนละขั้ว คนหนึ่งสายฟุ้งซ่าน อีกคนหนึ่งสายเจโตดิ่งหนัก
อันนี้วิจารณ์ของไม้ร่มหน่อยเดียว คนคิดมากจะวิจารณ์คนยึดมาก
อีกอัน อาหารเป็นหนึ่งในโลก แล้วก็แยกเป็นอาหาร 4
ทำไมเป็นหนึ่งในโลก เพราะว่าอาหารทางรูปธรรมต้องกินอาหารคือคำข้าว ต้องกินอาหารตั้งแต่เดรัจฉานจนถึงคน วัวควายมันไม่กินข้าวก็กินหญ้า มันก็กินพืชผักของมันคือ อาหารที่ต้องกินเข้าไปสังเคราะห์ร่างกาย หากไปถามสัตว์ต่างๆมันก็บอกว่าไม่มีอะไรสำคัญกว่าการกิน อย่างอื่นเป็นรอง เรื่องสืบพันธุ์ก็เป็นเรื่องรอง เรื่องอื่นเป็นเรื่องรองทั้งนั้น อาหารเป็นเรื่องหลัก ตั้งแต่เริ่มเป็นสัตว์ เป็นแบคทีเรียตั้งแต่เซลล์เดียว มันก็ต้องหาอะไรเข้าไปพัฒนาตัวใหม่ นั่นแหละคืออาหารคือหนึ่งในโลกหยาบที่สุดและจริงที่สุด
คนนั้นถึงมาเรียนรู้อาหารที่สำคัญอีก 3 คือ ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
ศาสนาพุทธแยกแยะให้เรียนอีกสามอาหาร อย่างสำคัญเป็นหนึ่งในโลกด้วย ศาสนาอื่นไม่รู้จักอาหาร 3 เรียนรู้อาหาร 3 จึงจะรู้จักวิญญาณ ในนั้นมีเจตนาอยู่ในนั้นด้วยแล้วเจตนานี่แหละเป็นตัวการ เรียนรู้เจตนาที่มันไม่ใช่เจตนาบริสุทธิ์สะอาด
เจตนาแบ่งเป็น 3 อย่าง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เราก็ล้างกามตัณหา ภวตัณหาให้หมด หมดแล้วก็จบไม่มีภพชาติ กามภพ ภวภพ (รูปภพอรูปภพ) ก็จะเหลือแต่วิภวตัณหา พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์พระพุทธเจ้า ทำงานด้วยวิภวตัณหา ไม่มีภพชาติเป็นตัณหาที่ทำเพื่อผู้อื่นจริงๆ ด้วยตนเองไม่ต้องการอะไรตอบแทนแม้กระทั่งชั่วครั้งชั่วคราวก็เรียกว่าวิภวตัณหา หากมันเกิดโดยไม่เจตนาโดยไม่ตั้งใจก็ตาม พ่อแม่ปรารถนาดีต่อลูกอย่างไม่ต้องการอะไรตอบแทนก็เป็นวิภวตัณหา
อาหารอีก 3 อย่างนั้นก็คือทั้งหมดของศาสนาพุทธ และในกวฬิงการาหาร ก็ศึกษาอาหารอีก 3 อย่างได้ เป็นการศึกษาที่ไม่ผิดตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อปัณกปฏิปทา 3 มีการสํารวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ
การปฏิบัติถ้ามี 3 อย่างนี้ไม่ผิด การปฏิบัติไปนั่งหลับตาไม่มีสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไปนั่งหลับตาเลยแล้วก็สะกดจิตเข้าไป จึงเป็นการปฏิบัติที่ผิด เป็นปัณกปฏิปทาสำรวมทวารเดียวเป็นการปฏิบัติที่ผิด เมื่อเป็นทวารเดียวการปฏิบัตินั้นก็ไม่มีกาย โดยไปเอาแต่จิตข้างในโดยทิ้งกายข้างนอก ศาสนาพุทธไม่ทิ้งกายภายนอกตลอดในการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า แต่แน่นอน คนเราก็ทิ้งกายภายนอกบ้างแต่ไม่ใช่เวลาปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมต้องมีกายภายนอกประกอบด้วยเสมอเป็นภาวะ 2 ภาวะ 2 ต้องมีทั้งภายนอกและภายใน มีรูปและนาม
หากแหว่งไปอันเดียวเป็นปัณกปฏิปทา เป็นการปฏิบัติธรรมที่ผิดไปจากศาสนาพุทธ การพิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ก็เข้าใจเป็นกายภายนอก
สองสัมมัปปธาน 4 ก็ไม่มีสำรวมอินทรีย์ 6 ก็จะเกิด ปหานปธาน ภาวนาปธานไม่ได้ มันเป็นการเข้าใจผิด ไปไกลเหลือเกินของศาสนาพุทธ โดยไปเข้าใจว่าการทำสมาธิต้องนั่งหลับตาสะกดจิต
พูดไป 47 ปีแล้ว ตีกบาลเรื่องนั่งหลับตาสมาธิ บอกว่านั่งหลับตาสมาธินั้นเลิกได้เลย พระพุทธเจ้าเล่ามาหมดแล้ว พูดซ้ำหมดแล้ว เริ่มต้นปฏิบัติธรรมก็ออกไปแสวงหาอาจารย์ที่เขายกย่อง คืออุทกดาบส อาฬารดาบส ไปนั่งหลับตาได้ฌาน 7 ฌาน 8 ถือว่าเก่งที่สุดเลยในยุคนั้นท่านก็ไปดูแล้วทำได้ก็บอกว่าไม่เอา ทิ้งมาหมดแล้ว พวกฌานหลับตา
เพราะจริงๆแล้วฌานของพระพุทธเจ้าไม่นั่งหลับตาเลย ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องมีรูปภายนอก ข้อที่ 2 ชัดเจน ต้องมีอัชฌัตตัง พหิทา ในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 แล้วก็ทำให้เจริญเป็นวิโมกข์ 8 ข้อที่ 3 สุภันเตว อธิมุตโตโหติ ท่านตรัสไว้ชัดว่าต้องปฏิบัติธรรมแบบลืมตา รูปี คือผู้มีรูป รูปีคือคนต้องมีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปานิ ปัสสติ) รูปานิคือรูปทั้งปวง ที่ตาเราไปกระทบสัมผัส หูก็ไปกระทบสัมผัสเสียงภายนอก จมูกก็กระทบกับกลิ่นภายนอก
เอาแต่ตาก่อนกระทบรูป แต่ถ้าไม่ลืมตามากระทบรูป หรือคนตาบอดก็ไม่มีรูป ผู้มีรูปต้องมีตาที่มีประสาท ต้องโคจระไปกระทบกับรูป ผู้ที่ไม่มีรูปปฏิบัติธรรมไม่ได้เช่นคนตาบอดเป็นต้น ปฏิบัติธรรมได้แต่ได้ไม่ครบ กระทบรูปแล้วต้องเห็นรูปทั้งหลาย เป็นวิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 บังคับไว้ในตัวถ้าไม่เห็น คนนั้นไม่มีวิโมกข์ ปฏิบัติวิโมกข์ไม่ได้ แล้วไปปฏิบัติอะไรธรรมะพระพุทธเจ้า ก็ต้องปฏิบัติให้บรรลุวิโมกข์ไปตามลำดับขั้นตอน หากเข้าใจวิโมกข์ไม่ได้ แล้วข้อ 2 ข้อสรุปรวมว่า มีรูปแล้วต้องมีทั้งภายนอกและภายใน เข้าไปถึงอรูป แต่เขาแปลผิด ว่า ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน อย่างนั้นก็ไม่ต้องศึกษาเลยสิไม่สำคัญในรูปภายใน ซึ่งจริงๆแล้วต้องสำคัญ ไปแปลอรูปสัญญีว่าไม่มีความสำคัญ สัญญีคือความกำหนดหมายรู้ แต่เอา อ ไปต่อหน้า ก็ไปแปลว่า กูไม่มีความสำคัญในรูป ที่จริง อรูปสัญญีคืออรูปภายใน ส่วนพหิทารูปานิปัสสติคือรูปภายนอก แล้วทำให้เจริญผลเป็น สุภันเตวอธิมุตโตโหติ แต่เขาแปลตามพยัญชนะว่าเป็นผู้ที่มีโชค ผู้น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม ก็จมอยู่กับงามเด๊ ก็เลยไปติดของงามสิ ฟังแล้วก็อ่อนใจ ไม่สัมพันธ์กับข้อ 2 เลย
เมื่อรู้รูปนามแล้วข้อ 3 หมายความว่าต้อพ่อครูว่า... เป็นพุทธพจน์ ก็ให้เรียนรู้ความเป็นอาหารแล้วสรุปลงไปว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก
ถูกต้องไปคนละแง่มุม ของอ.ไม้ร่มก็เป็นแบบของเขา พูดถึงกวฬิงการาหาร เป็นอาหารในอาหาร 4 กินเข้าไปเลี้ยงร่างกายคือคำข้าว เรียกอาหารพระศิวะ เขาปรุงแต่งอาหารอย่างนั้นมาหลายพันปี อย่าว่าแต่พระศิวะปรุงแต่งอาหารมาหลายพันปีเลย อาหารของชาวไทยนี้ก็ปรุงแต่งมาหลายพันปี เท่าที่คนไทยกินอาหารและก็มีอาหารประจำชาติไทยตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา จนเดี๋ยวนี้ก็ยังกินกันอยู่ พวกน้ำพริกอะไรเป็นต้น มันก็เป็นอาหารมาหลายพันปีเหมือนกัน ถ้าเป็นความศรัทธาของไม้ร่มแล้วศรัทธาหนักว่าต้องกินแบบนี้ แบบอาหารแขก ต้องกินถั่ว กินแกงถั่วอย่างนี้ ในอินเดียกินแกงถั่วเป็นหลักกับจาปาตี
คืออินเดียเป็นพวกเจโตอยู่กับ อาหารซ้ำซากได้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เขาจึงอยู่อย่างซ้ำซากที่เป็นหนึ่งเหมือนกันไม่แตกต่างกันมาก เขาอยู่อย่างไม่ทะเลาะกันไม่เหมือนกับจีน ความเห็นแตกแยกกันทะเลาะกัน มันก็คนละขั้ว คนหนึ่งสายฟุ้งซ่าน อีกคนหนึ่งสายเจโตดิ่งหนัก
งพยายามปฏิบัติให้เกิดอธิมุตโต อธิโมกโข คือเจริญในวิมุติวิโมกข์ จิตโน้มไป คือจิตเดินทางเข้าท่า เข้าทิศทางไปสู่ความสูงสุด สุภันเตวะ คือไปสู่ที่สุดที่สูง นั่นเอง จนจบ โหติ
นี่คือความหมายข้อที่ 3 สรุปปฏิบัติข้อที่ 1 และ 2 ให้เจริญให้จบ ถ้าไม่เจริญก็ไม่เป็นสุภะ ต้องให้เป็นสุภะ ใจก็จะเจริญโน้มน้อมไปสู่ความเจริญ จนจบ อันตะคือสุดปลาย สุภะกับอันตะ จะเดินไปสู่ที่สูงที่สุดเรียกว่า อธิมุตโต อธิโมกโข
ในข้อที่ 1 มีรูปทั้งหลาย และมีผู้ปฏิบัติต่อรูป การไปนั่งหลับตาไม่มีกายแล้วเข้าใจผิดว่ากายคือรูปภายนอกเท่านั้น ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ากายคือจิตมโนวิญญาณ คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นเรื่อง คัมภีรา เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง แต่ทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องตื้นเขินน่าสงสารจริงๆ
พูดแล้วเหมือนยกตัวเองว่า ตนเองถูกคนเดียว ขออภัยที่ต้องพูดสัจจะ หาไม่ได้จริงๆสักองค์สักรูปที่สัมมาทิฎฐิจริงๆ มาคุยกันหน่อย หายังไม่ได้เลย แล้วคนเหล่านั้นก็หาว่าอาตมาอวดดี ยกตนข่มเขา เขาก็มีมานะอัตตากับอาตมา ก็ไม่มาคุยกับอาตมา เพราะเขาถือดีว่าได้จบสูงส่งเปรียญ 9 อะไรต่างๆ อาตมาไม่มีใบหลักฐานอะไรสักอย่าง
อาตมาก็บอกว่า เอาของจริงจากอดีตมาพูด จนอาตมาพูดว่า อาตมาคือสยังอภิญญา เป็นผู้ที่อยู่ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 คือสมณะพราหมณ์ผู้นี้
เพราะอาตมาอธิบายสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ 10 ได้ แยกโลกนี้โลกหน้าอธิบายให้ฟังได้ แยกโลกแยกอัตตาให้ฟังตลอดเวลา คนเราก็เรียนรู้เรื่องโลกและอัตตาเท่านั้นแหละ
ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรก็มีเรื่องโลกและอัตตา
เริ่มจากโลกกับภายใน ข้างนอกคือกามโลก ข้างในคืออัตตา
เข้าใจแล้วก็เรียนไปตามลำดับ ตั้งแต่โลกของกามภายนอก หยาบที่สุดเรียกว่าอบายมุข ก็เรียนรู้ธรรมะ 2 ล้างกิเลสขั้นอบายมุข ก็จะมีตัวอย่างมีรูปแบบที่เราทำได้ แล้วก็เอามาเรียนรู้ให้ลึกซึ้งให้สูงขึ้น โดยไม่ต้องหลับตาเลย
โลกอบายไปหากามก็ไม่ต้องนั่งหลับตาปฏิบัติ จนกระทั่งเป็นอนาคามีก็ไม่ต้องนั่งหลับตา ลืมตาปฏิบัติก็จะเหลือรูปโลก อรูปโลก ก็ล้างต่อ จะมีรูปราคะ อรูปราคะ มันเกิดเมื่อกระทบสัมผัส ต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัย จะเรียนรู้กิเลสที่เป็น รูป อรูป ก็ต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัยภายนอกด้วยไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วเรียนรู้ รูป อรูป ทำอย่างไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลางบั้นปลาย มันเป็นการผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว
ผู้ที่บรรลุธรรมเป็นอนาคามี เหลืออุทธัมภาคิยสังโยชน์ก็ต้องเรียนรู้ต่อ แต่กิเลสภายนอก ท่านอยู่เหนือมันหมดแล้วไม่ต้องหลับตา แต่นี่เข้าใจผิดหมดเลยว่าล้างกิเลสภายในต้องนั่งหลับตา ภายนอกต้องกระทบสัมผัส ไม่ใช่ ศาสนาพุทธไม่มีการหลับตาปฏิบัติลืมตาปฏิบัติตั้งแต่กิเลสกาม จนรูป อรูป ก็ปฏิบัติขณะลืมตาทั้งนั้น เป็นขั้นตอนไป
ศาสนาพุทธปฏิบัติธรรมต้องเป็นปัจจุบันธรรมและมีสัมผัสเป็นปัจจัย มีทิฏฐธรรมนิพพานทิฐิ 5 ทิฏฐะทิฏเฐ คือปัจจุบันด้วยต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทำงานเต็มรูป นี่คือสัจจะที่ต้องอธิบายไปไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาเลือกทำหน้าที่นี้เอง เกิดมาชาตินี้ต้องมารื้อฟื้นสิ่งเหล่านี้ให้มาแก่มนุษยชาติในศาสนาพุทธ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องพูดไป พูดมากก็ไม่ได้ เลือกมาเองจะมาบ่นว่าเหนื่อยก็ไม่ได้
มาเข้าสู่ ต่างคิดต่างสิทธิ์ ความรู้ของกระแสหลัก หรือความรู้ของศาสนาพุทธทั่วไปกับความรู้ความเห็นของอาตมาความคิดของอาตมามันต่างกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน กายสังขารรำงับคืออย่างไรแบบพ่อครู
9 |
กายสังขารรำงับ คือ การทำองค์รวมวัตถุกับจิต ไม่ให้มีกิเลสมาร่วมปรุงแต่ง ทำอย่างลืมตามีผัสสะทางทวารทั้ง 5 ที่ร่วมกับ จิต ไม่ให้มีกิเลสมาปรุงแต่งร่วมด้วย |
กายสังขารรำงับ คือ การนั่งหลับตาทำสมาธิ แล้วเอาสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่เป็นไปด้วยความยาวบ้างความสั้นบ้างนั้น ลมหายใจทั้งหลายเหล่านั้นถูกกระทำให้รำงับไปถึงความสงบไปได้ เมื่อผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดรู้ลมหายใจทั้งหลาย ไม่ว่าจะยาวบ้างหรือสั้นบ้าง เนื่องจากการปรุงแต่งทางกาย(ลม)ที่มีอยู่ของผู้ปฏิบัตนั้น เมื่อเป็นผู้กำหนดรู้รอบด้วยสติเป็นอย่างดีต่อลมหายใจทั้งหลายเหล่านั้น ความปรุงแต่งลมหายใจเพื่อที่จะให้ยาวบ้างหรือสั้นบ้างนั้นจะถึงความสิ้นไป เหลือแต่เพียงลมหายใจที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ กว้างขึ้นและบางเบาถึงความประณีตได้ในที่สุด |
แม้แต่ไม่ใช่สำนักพุทธวจนก็เข้าใจใกล้ๆกันแบบนี้ คือ ความเข้าใจของกระแสหลักส่วนใหญ่คือร่างกายสงบนิ่ง แต่ที่จริงแล้วกายสังขารรำงับ อีกคำหนึ่งท่านจะมีว่า จิตสังขารังปัสสัมภยัง
กายสังขารรำงับคือ เห็นจากภายนอกมีภายในด้วย แต่จิตสังขารังนั้นเน้นที่ภายใน แต่ไม่ได้ทิ้งภายนอก แต่ที่เขาเข้าใจคือ เน้นแต่จิต ไม่รับรู้ภายนอก อยู่กับแค่ลมหายใจ เอาลมหายใจเป็นกสิณ นิ่งอยู่กับลมหายใจ อาตมาก็เคยทำมา สุดท้ายทำแบบนี้การรับรู้สึกลมหายใจก็จะขาดไป ไม่รับรู้ลมหายใจ มันก็จะเหลือแต่ข้างใน แต่มันจะรู้สึกอยู่ภายในโดยข้างนอกไม่รับสัมผัสเลย มันเป็นมโนมยอัตตา
แต่พวกนั่งสมาธิหลับตาจะไม่เข้าใจ มโนมยอัตตาคืออุปาทานที่มีอยู่ โดยที่ข้างนอกไม่รับสัมผัสแล้ว แต่ยังรู้สึกว่ามีหายใจเข้าออกภายในอยู่ จริงแล้วหากไม่หายใจก็ต้องตาย แต่ที่จริงแล้วมันหายใจธรรมดาอยู่ แต่จิตใจนั้นไปรับรู้ลมหายใจที่จิตใจสร้างขึ้นมาเอง เรียกว่า มโนมยอัตตา แล้วก็ทำการขยายให้ลมหายใจสั้นยาวขึ้นบนลงล่างให้ใหญ่ขึ้นเล็กลงให้มันเบามันแรงอย่างไร ก็ไปเล่นเลย เขาบอกว่า กีฬาของฌาน ฌานกีฬา เล่นกับลม
ถ้าไปจดจ่อไฟหรือน้ำ เขาก็จะเอาภาพของไฟมาอยู่ข้างใน เล่นกับกสิณไฟ ขยายให้มันเป็นดวงใหญ่ดวงโตดวงและขยายลูกไฟให้ไปไกลไปใกล้ เล่นอยู่อย่างนั้นแหละ น่าสงสารไปเสียเวลาต่างๆนานา มันไม่รู้จะพูดยังไงคือมันออกนอกทิศทาง ในพระไตรปิฎกไม่มีคำสอนพวกนี้ แต่บรรดาอาจารย์ที่เล่นพวกนี้เข้าใจว่าอันนี้คือของอาจารย์ที่เก่งๆจะอธิบายได้ขยายความเก่ง พวกนี้แล้วเล่นได้เก่ง เอามาสอนลูกศิษย์ น่าสงสารเป็นเรื่องออกนอกรีตออกนอกเรื่องนอกราว เป็นเรื่องอุปาทาน มโนมยอัตตาก็ไม่รู้ อัตตา 3 เขาไม่เคยเอามาพูดถึง อาตมาไม่เห็นในพจนานุกรมของท่านประยุตต์ ก็ไม่มี ไม่เก็บมาเลยทั้งที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 9
1. การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ)
2. การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ ปั้นรูปสัญญา ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตา ฯ)
3. การยึดครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้ หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา ปฏิลาโภ) .
(โปฏฐปาทสูตร พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 302)
ถ้าไม่เรียนรู้อัตตา 3 นี้เราจะทำให้เป็นอนัตตาได้อย่างไร ไม่รู้เลยตั้งแต่อัตตาหยาบภายนอก และทำให้อัตตามันดับไป หยาบ กลาง ละเอียด จนถึงอรูปก็ล้างจนหมด ก็บรรลุอนัตตาได้
(สู่แดนธรรมว่า.. เขาเรียนลัดตามโอวาทปาติโมกข์ สัพเพธัมมาอนัตตา บอกว่าใครมาพูดถึงอัตตาเป็นเรื่องมิจฉาทิฐิ )
พ่อครูว่า...ท่านไม่ได้คำนึงถึงเรื่องพวกนี้เลย ก็เลยไม่ได้เก็บมา มันได้หลุดหายไปเกือบหมดแล้วสัญญาสำคัญ เรื่องโลกก็หายเรื่องอัตตาก็หาย คำว่าโลกยังมีเยอะ แต่เรื่องอัตตาไม่มีเลย
ในการศึกษาศาสนาเรื่องอัตตาเป็นเรื่องใหญ่ต้องรู้อัตตา 3 และทำให้หมดอัตตา คนที่ยังไม่ศึกษามีอัตตาทุกคน ในศาสนาเทวนิยมเป็นปรมาตมันเลย คือบรมอัตตา ไม่มีการเลือกอัตตา มีแต่ทำให้อัตตาบริสุทธิ์สะอาดอัตตาใหญ่ ไม่ได้เรียนรู้หรอกโลกุตรธรรมที่จะล้างอัตตา ถ้าจะว่าจริงๆแล้วศาสนาพุทธล้างพระเจ้าเลย เพราะว่าพระเจ้าเป็นเทวนิยมปรมาตมัน
การทำกายสังขารให้สงบระงับ คือไม่กระดุกกระดิกนั้นไม่ใช่ การทำให้กิเลสสงบระงับไป กายจะยิ่งคล่องแคล่ว กายปาคุญญตา คือหมวดของเวทนา สัญญา สังขารยิ่งจะแคล่วคล่อง วิญญาณยิ่งคล่องแคล่วปราดเปรียว การทำให้กายรำงับ
คำว่ากายสังขาร ท่านเน้นภายนอกแต่ไม่ได้แยกกันนะ ถ้าภายนอกทำได้หมดแล้วระงับได้แล้วก็เป็นอันข้างใน เป็นรูปจิต อรูปจิต ขั้นกลางคือรูปจิตก็ทำให้อกุศลจิตขั้นรูปสงบรำงับ ไม่กวนอีก ข้างนอกกามภพเราดับกิเลสสนิทแล้ว ก็เหลือภายในขั้นกลาง รูปแล้วก็ล้างอรูปต่อก็หมด ก็เป็นการทำกายสังขารสงบระงับ
จิตระงับ ก็ต้องมาเรียนรู้จิตในจิต ก็คือรูปจิต ต้องเรียนวจีสังขาร ต้องเรียนในระดับสังกัปปะ 7 ในกายภายนอกก็เรียนสังกัปปะ 7 เหมือนกัน ในวงการศาสนาพุทธอาตมาไม่เห็นใครพูดถึงสังกัปปะ 7
และต้องมีวิชชา 3 คือกามวิตก พยาบาทวิตกเป็นคู่ เหลือวิหิงสาวิตกเป็นอันต่อไป การดำริในกามในพยาบาท เราก็จับตัวตักกะนี้ให้ได้ สังกัปปะนี้ให้ได้ แล้ววิจัยแยกแยะกิเลสในจิตออกแล้วกำจัดตัวกิเลส ไม่ใช่ไปดับจิตทั้งหมดเลย ไม่ใช่ กลายเป็นจิตไม่รับรู้อะไรเลย การทำสมาธิคือทำให้จิตมันหยุดไม่นึกไม่คิดอะไรเลย มันไม่ใช่ แต่ต้องทำให้อกุศลจิตเท่านั้นลดลง ยิ่งอกุศลจิตลดลงได้เท่าไหร่ จิตที่เหลือยิ่งเป็นจิตที่แคล่วคล่องว่องไว เป็นจิตที่จะรู้แจ้ง รู้จริง รู้สัมผัสกระทบรู้สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีตัวอะไรปนเข้าไปด้วย ลดลงน้อยหนึ่งก็เหลือเท่าที่มันไปปนอยู่ ลดลงไปอีกลดลงได้ครึ่งหนึ่ง ก็เหนือกิเลสไปปนกับจิตครึ่งหนึ่ง ลดลง 75 ส่วนก็เหลืออีกแค่ 25 ส่วน รับรองได้หมดเลยก็ไม่มีกิเลสไปปนด้วย ในการสัมผัสที่จะปรุงแต่งอะไรก็ตาม เขาไม่ได้เข้าใจอย่างนี้เลย
จิตที่หมดอกุศลจิตแล้วยิ่งสว่างไสวแคล่วคล่องว่องไวชัดเจน ไม่ใช่ว่าสงบนิ่งแข็งเป็นนิโรธ นิโรธของพระพุทธเจ้านั้นเป็นนิโรธที่มี สัญญาเวทยิตนิโรธ มีธาตุจิตเจตสิกทำงานกับเวทนา เคล้าเคลียอารมณ์ เราก็ทำเวทนา 108 ได้จบ คือนิโรธ
ที่อาตมาพูดไปนี่ ไม่มีอาจารย์คนไหนพูดอย่างนี้หรอก อาตมาพูดเทียบเคียงกับตำราพระพุทธเจ้า เวทนา 108 เขาก็ไม่ได้พูดกัน โดยเฉพาะเวทนาที่เป็น มโนปวิจาร 18 ยังดีที่เหลือในตำราพระไตรปิฎก
ผู้ใดไม่สามารถการแยกแยะเวทนาในเวทนา แยกแยะเคหสิตะกับเนกขัมมะได้ ว่า อาการอย่างนี้เป็นเคหสิตะ เป็นโลกียะ ทำให้กิเลสลดได้ก็ออกจากกิเลสนั้น ไปตามลำดับเป็นเนกขัมมะ แม้จะมีเนกขัมมสิตโทมนัส โสมนัส คือมันยังทุกข์อยู่ ต้องประคองอยู่ เหมือนกับคนขี่จักรยานเป็นใหม่ๆ ขึ้นนั่งอานได้ ดีไม่ดีก็ล้ม แล้วขึ้นมาใหม่ก็เป็นอย่างนั้นล้มลุกคลุกคลานจนกระทั่งแข็งแรง กว่ามันจะทำได้ดี ตอนแรกมันจะเป็นโทมนัส เราอ่านอาการที่แตกต่างกันของเนกขัมมะ กับเคหสิตะ ได้ โดยอาการลิงค นิมิต โดยฟังอุเทศจากอาตมา กิเลสมันลดได้มากได้น้อย ก็มีความต่างกันทั้งนั้นเลย อินทรีย์ 5 ของกิเลสมันลดลงไม่ใช่จิตนะ จิตใจก็จะสะอาดขึ้น ยิ่งกิเลสลดลงได้มากเท่าไหร่ จิตใจก็ยิ่งสะอาดขึ้น เป็นกายปาคุญตา ก็คือจิต หมวดของเจตสิก 3 เวทนาสัญญาสังขารก็ยิ่ง แคล่วคล่องว่องไว
สังขารก็บริสุทธิ์สะอาดคล่องตัว ทำปฏิกิริยากับอะไรต่ออะไร สามารถจะทำงานเป็น กายกัมมัญญตา เป็นการงานที่ดีที่เหมาะควรประเสริฐ เพราะไม่มีกิเลสเข้าไปร่วม กิเลสลดลงนิดหนึ่งก็เป็นความประเสริฐขึ้นมา กิเลสลดลงหมดก็ประเสริฐทั้งหมด เป็นการงานที่สุดยอดและมีสัปปุริสธรรม 7 ก็ยิ่งประมาณได้อย่างเหมาะควร อย่างเป็นประโยชน์ต่อตนต่อท่าน
คำว่ากายสังขารรำงับ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าคือการนั่งสมาธหลับตา เขาบอกว่า การนั่งหลับตาสะกดจิตให้เหลือแต่ลมหายใจเข้าออกพระพุทธเจ้าอธิบายอย่างจำนนในคนยุคนั้น ที่เขาหลงกับสมาธินั่งหลับตา แล้วเอาลมหายใจเป็นกสิณ มันจะตกค้างไปอย่างนี้จนเสื่อม การปฏิบัติสมาธิต้องหลับตาแล้วใช้ลมหายใจเข้าออกเป็นกสิณ จะต้องปฏิบัติอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจะต้องอธิบายตามที่พวกที่ติดยึดอยู่ ท่านเพียงอธิบายอย่างอนุโลมตาม แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างนี้เลยไม่ใช่การนั่งหลับตาแล้วก็ไปเหลือ แต่ให้เปิดทวารเต็ม มีทั้งรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส กาย ไม่ใช่ให้ไปนั่งหลับตาทำเท่านั้น แต่ท่านอธิบายตามความเป็นจริงที่เขายึดถืออยู่ตอนนั้น เขาก็เข้าใจอานาปานสติสูตรมีทั้งสติปัฏฐาน 4 ท่านก็อธิบายควบคู่กัน ต้องมีสติสัมปชัญญะรู้การก้าวเดินยืนนอน อานาปานสติก็ไม่ได้ขาดจากสติปัฏฐานสูตร สติปัฏฐานก็ต่อเนื่องไปหาอานาปานสติภายในไม่ได้แยกกันเลย
แต่เขาไปแยกกันเอง ว่าสติปัฏฐานก็คือไปพิจารณาข้างนอก เช่น กายคตาสติ ก็มาพิจารณากาย ถ้าในจิตก็มานั่งทำสมาธิเอารู้แต่ภายใน
การแยกกายออกเป็นภายนอกภายในแล้วผิดไปจากศาสนาพุทธ ปฏิบัตินั้นไม่มีทั้งภายนอกและภายใน กายคำเดียวทำให้ศาสนาพุทธล่มจมบรรลัยในทุกวันนี้ มิจฉาทิฏฐิคำว่ากายหมายถึงภายนอกเท่านั้นดินน้ำไฟลมไม่ใช่จิต อาตมาถึงได้รื้อฟื้นขึ้นมา ยังดีที่มีพระไตรปิฎกเหลืออยู่ยืนยันว่า กายนั้น ตถาคตเรียกว่าจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง
เอามายืนยันได้ ไม่อย่างนั้นอาตมาถูกแขวนคอแล้ว ดีที่มีหลักฐานในพระไตรปิฎก
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน การค้าเอากำไรเกินทุนเป็นบาป
10 |
การค้าขายที่เอากำไรเกินทุนนั้นยังเป็นบาป ยิ่งคิดกำไรมากเท่าไหร่ก็บาปมากขึ้นเท่านั้น |
การค้าขายเอากำไร คือถ้าค้าขายเอากำไรพอเหมาะพอควรก็ไม่บาป และถ้าอยากจะรวยเป็นพิเศษอยากจะโก่งราคาให้สูงๆ ก็มีทั้งที่บาปและไม่บาป ถ้าไปค้าขาย ไปโก่งราคา ไปกักตุนสิ่งที่เป็นความจำเป็นในการยังชีพ สิ่งนั้น บาป อย่าทำ |
เมื่อพูดถึงกำไรขาดทุนแล้วก็นึกถึงในหลวง ในหลวงเอาโลกุตรธรรมมาเปิดเผยแต่เขาไม่กระดิกหูกันเลย ท่านจะไปลงน้ำหนักเหมือนโพธิรักษ์ก็ไม่ได้ เพราะท่านเป็นฆราวาสและท่านก็จะต้องนับถือพระ อาจารย์ต่างๆนานาอีกเยอะ ส่วนใหญ่สอนขัดแย้งกับในหลวง เรื่องกำไรขาดทุน เป็นต้น
เพราะฉะนั้นความเข้าใจของคนที่เข้าใจไม่ได้เลย โดยเฉพาะขาดทุนกำไร หรือเรื่องบุญบาป
ถ้าคนไทยหรือพุทธศาสนิกชนเข้าใจมาเรียนรู้เรื่องขาดทุนกำไรคืออย่างไร
ขาดทุน เราต้องเข้าใจคำว่าทุน การคิดทุนของพวกนักค้าขายสากล เขาจะรวมค่าแรงงานเอาไว้ด้วย รวมค่าโสหุ้ย ค่าแรงงานค่าวัตถุดิบต่างๆนานา รวมแล้วที่ลงไปจริง ดีไม่ดี มีค่าความรู้ค่า entertain บวกกันไปเป็นทุนหมดเลย มีค่าโฆษณาอะไรไม่รู้ขี้หมูขี้หมาบวกไป รวมกันหมดเรียกว่าค่าโสหุ้ย ค่าแรงงาน
ค่าโสหุ้ยคุณอาจจะจ่ายจริงก็รวมกันไป แต่ที่สำคัญอาตมาพยายามอธิบายแล้วอธิบายอีก ค่าแรงงานตามสถานะ เช่นระดับต่ำของกรรมกร ของคนเบื้องล่าง อาตมาก็ตั้งไว้ประมาณนี้ ส่วนค่าแรงงานของคนที่มีฐานะสูงก็ไปตามลำดับของสังคม ว่าควรจะมีสถานะอย่างไรได้ราคาเท่าไหร่ บางคนได้ค่าแรงงานวันละเป็นแสน เดือนหนึ่ง ได้ถึง 30 หรือ 40 ล้าน ก็เอาค่าเฉลี่ยมา ค่าเฉลี่ยนี้ก็ซับซ้อน อย่างคนที่จบดอกเตอร์มีทุนทางสังคม เขาไปบรรยาย ค่าแรงงานค่าตัวเขาได้เท่านี้ เดี๋ยวนี้แม้แต่ไปเทศนาก็มีค่าตัว เท่านั้นเท่านี้ หรือผู้ที่เป็นนักรู้นักบรรยายของต่างประเทศก็ได้เป็นล้าน บางทีบรรยายครั้งเดียวได้เป็น 10 ล้าน อย่างนี้เขาก็จ้างมา อย่างอาตมานี้(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูกำลังคิดทุนค่าแรงงานให้ว่าแต่ละคนเท่าไหร่ ระหว่าง doctor กับพวกที่จบป 4 คนที่จบสูงนั้นกับคนที่จบป 4 ทำงานค่าแรงเท่ากันก็น่าจะประสิทธิภาพของคนที่จบสูงจะเร็วกว่าใช่ไหม
พ่อครูว่า..จริงๆแล้วแม้แต่คุณจะจบ doctor ดร. คนที่ทำมาก่อนก็ต้องได้มากกว่าสิ คุณได้กำไรแล้วที่ได้เรียนมาคุณมีโอกาสก็ดี หรือมีเงินทองไปเรียนก็ได้โอกาสได้เปรียบเขาแล้ว ถ้าคุณมีความรู้ความสามารถจริง พรวดเดียวก็เลยหน้าเขา ซึ่งเดี๋ยวนี้มันเหลื่อมล้ำไม่ถูกต้องสต๊าร์ทไม่เท่ากัน เป็นเรื่องที่ผิดเพี้ยนไปทั้งโลกเลย ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย
พูดถึงกำไรขาดทุนอีกที ย้ำ
เมื่อราคาของสังคม ราคาประมาณค่าเฉลี่ยเท่านี้ เราก็คิดค่าเฉลี่ยสิ อาตมาน่าจะมีค่าบรรยายชั่วโมงละเท่าไหร่
อาตมาอธิบายปรมัตถธรรม นักเศรษฐศาสตร์จ้างมาจากต่างประเทศอธิบาย 2 ชั่วโมงได้เป็นล้าน อาตมาก็ตามธรรมดา ปกติของสังคมก็น่าจะมีราคาได้ คิดราคาค่าตัวเท่านั้นเท่านี้ได้ (มีคนว่าเอาทองเท่าน้ำหนักตัว)
เอาค่าเฉลี่ยเมื่อรวมทุนเราก็ต้องเอาค่าตัวรวมเข้าไป เมื่อเราเอาค่าตัวเข้าไปแล้วเรายอมขาดทุนคือเราไม่เอาค่าตัว การลดค่าตัวของตัวเองลงไปคือการขาดทุน มันไม่ได้ตายหรอก พอฟังเผินๆ ขาดทุนก็ต้องลดไปหมดเลย แล้วจะเอาอะไรเป็นทุนไปทำต่อ พูดเป็นเล่นไป การคิดทุนนั้นพ่อค้าที่ไหนก็ต้องมีค่าตัวทั้งนั้น เราก็ลดค่าตัวของเรา อย่างเช่นชาวอโศกไม่มีค่าตัวเลย เรามีระบบสาธารณโภคี กินใช้ร่วมกันแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เหลือเฟือ เศรษฐศาสตร์บทนี้สาธารณโภคีนั้นยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
ชาวนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายยังเข้าใจไม่ได้หรอก
สมณะฟ้าไทว่า...อย่างนี้ชาวอโศกก็ขายขาดทุนโดยปริยาย
พ่อครูว่า...ขาดทุนอยู่แล้วเราไม่เอาค่าตัว มันมีทั้งนามธรรมและปรมัตถธรรม คนที่ยิ่งทำงาน แล้วคิดจะเอาค่าตัวแพงๆ คนนี้ค่าตัวจะยิ่งต่ำเพราะเป็นคนขี้โลภ คนที่คิดค่าตัวของตัวเองแพงคนนั้นที่ขี้โลภ ค่าจริงๆของเขาจึงต่ำ คนไหนที่ทำงานโดยไม่คิดค่าตัวแพงหรือยิ่งไม่เอาค่าตัวเลยคนนี้ค่าตัวของเขาแพง พวกจิตอาสาจึงมีค่าตัวแพงได้รับความเคารพนับถือ ราคาของความเคารพนับถือบูชายกย่องนี้ ราคาแพงนะ เมื่อเทียบเงินทองนี้ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นคนเราถ้าเผื่อว่า ตัวเองยิ่งทำงานฟรียิ่งไม่คิดค่าตัวเลย คนๆนั้นแหละเป็นคนสูงเป็นคนเจริญ เป็นคนที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นทั้งตัว เพราะไม่เอาค่าตัวอะไรเลยทำงานฟรี อย่างเก่งก็แค่ขอแบ่งกินแบ่งใช้ เพื่อยังชีพอยู่เท่านั้น นี่เป็นสุดยอดแล้ว เพราะฉะนั้นชาวอโศกเรานำธรรมะพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติจนเกิดสังคมกลุ่มหมู่บ้านชุมชน มาทำงานไม่เอาค่าตัวเสียภาษี 100% แบ่งกันกินกันใช้ในระบบสาธารณโภคีเป็นเศรษฐศาสตร์บทใหญ่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีแล้วเราทำได้สำเร็จ ก่อนคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยถ้าเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาก็ชอบไม่ได้ขัดแย้งกับใคร ของศาสนาพระพุทธเจ้าแล้วก็ทำได้ จะมาพูดว่าสุดโต่งแต่เราก็ทำได้เป็นคนยุคเดียวกันด้วย
ราคาเครื่องใช้ไม้สอยทางเศรษฐกิจก็เหมือนกันอยู่ในยุคเดียวกันสมัยเดียวกัน ค่าไฟค่าน้ำก็เท่ากัน นอกจากเราทำเองก็ทุ่นไป หรือเราใช้ของตลาดก็ราคาเท่ากัน
เรื่องของเศรษฐศาสตร์บทนี้ อาตมาคิดว่าเมื่อไหร่เขาจะกระเตื้องกัน จริงมันสุดยอดสุดโต่งไกลเหลือเกินที่จะทำได้แต่มันก็มีตัวอย่างคนที่ทำได้จริงยืนหยัดอยู่ในโลก พวกเราชาวอโศก ถ้ามาอยู่ในชุมชนนี้มีหลักเกณฑ์คุณจะต้องทำงานฟรีเลย แต่คนหากมีต้องหารายได้ส่วนตัวในแต่ละคน ของชาวอโศกก็ทั้งนั้นแหละ นอกจากคนไหนที่อยู่ในชุมชนจริง แล้วก็จิตใจถึงจริงๆ ทำงานฟรี อยากจะใช้อะไรก็ใช้กับส่วนกลาง เบิกเงินไปใช้ตามควร เหลือมาก็เอามาคืนส่วนกลาง วันไหนจะใช้อีกก็ไปเบิกกองกลาง ชาวอโศกแบบนั้นก็มี แบบนี้เป็นต้น สัจจะเรื่องนี้เป็นความบรรลุธรรมได้สำเร็จจริงๆ ทำได้เดี๋ยวนี้ก็ยังพิสูจน์ได้อยู่ในชาวอโศกนี้มี อย่างนี้จริงๆ
คนที่ทำได้แม้ไม่ถึงขนาดนี้ คนตีราคาค่าตัวให้น้อยลงน้อยลงได้ เศรษฐกิจก็ดีแล้ว ถ้าคนเข้าใจแล้วไม่พยายามที่จะเพิ่มค่าตัว มีแต่จะลดค่าตัวลงๆ สังคมนั้นเจริญมากเลย จะเกิดผลของส่วนกลาง จะเกิดผลของการสะพัด จะเกิดผลของการไม่แย่งชิง จะเกิดผลของการไม่เอาเปรียบเอารัด สังคมจะสงบ สังคมจะแจกจ่ายเจือจานสะพัดไปถึง เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่จริง
คนที่สามารถมักน้อยขึ้นมาที่โลภเห็นแก่ตัวลดลง นี่คือคนที่สังคมต้องการ อาตมาก็สอนคนให้เป็นคนชนิดนี้ให้แก่สังคมประเทศชาติ นี่คือเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ของสังคมมนุษยชาติ ให้คนเอาจากสังคมน้อยลง ให้แก่สังคมมากขึ้น สรุป
อย่างนี้ไม่ว่าระบอบการบริหารปกครองไหน ต้องการอย่างนี้ทั้งนั้น แต่เขาทำไม่ได้ อาตมาพาทำได้ก็ส่วนหนึ่ง ถ้ารัฐบาลเห็นว่าดีเอาไปทำ มีผู้รู้ต่างๆทำได้เอาหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้าเป็นหลัก แล้วก็ยกย่องเชิดชูคนที่ทำงานฟรีให้แก่สังคมประเทศ เอาเข้าส่วนกลาง ทำได้เอาเข้าส่วนกลางในรัฐบาล ถ้ารัฐบาลยอมรับวันนี้ เอาคนแบบนี้เข้าไปในรัฐบาลได้เลย แต่มันทำไม่ได้ต้องแบ่งเป็นหมู่บ้านอำเภอ ถ้าสามารถขยายได้เป็นอำเภอนั้นคุณจะเห็นรูปธรรมที่ชัดเจน มันจะสงบ ไปถึงไหนก็ไม่ต้องกลัว จะกินจะอยู่สมมุติว่าเป็นได้ทั้งอำเภอเหมือนกับชาวอโศก ไปไหนก็มีที่กินที่พักที่อยู่สบาย และคิดดูสิว่าสังคมนั้นจะเป็นอย่างไร
สมณะฟ้าไทว่า..ถ้าทำได้หนึ่งอำเภอก็กระเทือนทั้งโลก
พ่อครูว่า...แม้แต่ในตำบลก็ทำให้ได้ก่อนเถอะ หมู่บ้านข้างเคียงเขาเข้าใจได้ไหม ดีไม่ดีจะมาขูดรีดพวกเรามาทำงานแล้วอู้งานไป ก็มี ไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็เร่งรัดผู้ที่ดูแลคนงาน ท่านคมคิด ท่านด่วนดี เป็นต้น งานที่ข้างนอกนี้ ทำมาเป็นปีแล้วไม่เสร็จ พูดไปก็เท่านั้นหาว่าเป็นคนขี้เหนียวอีก ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาก็นิสัยเลวลง ไม่ได้เจริญเลย เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวไป อู้กินบ้อไปวันๆ
การค้าขายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของโลก แต่ไม่มีคนมาทำงานฟรีที่อาตมาพาพวกเราทำได้ ทุกวันนี้ภาคภูมิใจที่ทำได้ เราไม่ได้ทำอวดอ้างเอาโก้เอาเด่น เท่ๆ ดราม่า ไม่ใช่ แต่เราทำให้มันเป็นจริง พวกเราสามารถทำงานฟรีเสียสละให้แก่สังคมไปได้ สังคมไหนในโลกก็ต้องการทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ต้องการแบบนี้ทั้งนั้นมันไม่ขัดแย้งกับใครในโลก เราทำงานช่วยเหลือสังคมเสียสละโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทนนี่แหละ ทำงานให้แก่คนอื่นโดยจิตไม่ต้องการอะไรตอบแทนนี่คือจิตสูงสุดแล้ว แล้วเราก็อยู่อย่างนี้มีชีวิตสบายๆ อย่างอาตมาไม่ต้องการอะไรตอบแทนก็ทำงานให้แก่สังคมไป มีอายุยืนยาวไปเท่าไหร่ก็ทำ ก็รับใช้ผู้คนสังคมไปอย่างนี้สุดยอดแล้วในมนุษย์ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีจิตใจที่จริง เราก็เห็นว่ามีแรงงานความรู้ความสามารถที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นและสังคมได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เท่าที่เราจะสามารถทำได้ ตามสมควร อายุมากหน่อยก็ช้าลง จำอะไรไม่ค่อยได้มาก ลืมไปเยอะก็เป็นจริง ทุกวันนี้อาตมาต้องยอมจำนน ยอมรับว่ามันช้าลงและมันก็จำอะไรไม่ค่อยได้เหมือนเมื่อก่อน อะไรต่างๆนานา สิ่งที่เคยจำได้แล้วก็ยังมีเยอะอยู่ ก็ทึ่งว่าจำเก่ง แต่อะไรใหม่ๆนี้ไม่ต้องห่วงหรอกจำไม่ได้หรอก จนกระทั่งสิ่งใหม่ๆให้คนอื่นช่วย คนอื่นไม่ช่วยก็ช่างมัน เอาเท่าไหร่เท่านั้น
ถ้าเผื่อว่าสามารถ เรียนรู้เรื่องกำไรและขาดทุนอย่างเข้าใจ แล้วก็มาเป็นคนทำให้เป็นคน ขาดทุนของเรา นั่นแหละคือกำไรของเรา ตามที่ในหลวงท่านตรัสไว้ เราก็เอามาฉายให้คนได้ยินได้ฟังว่าในหลวงเป็นโพธิสัตว์ผู้สูงส่งในเรื่องของหลักเศรษฐศาสตร์ ในเรื่องของการบริหาร อย่างเช่นมีคนมาถามว่า ท่านใช้การบริหารแบบไหน ท่านก็บอกว่าแบบคนจน ขยายความว่าเป็นคนขาดทุน เราทำแบบไม่รวยหรอก ถ้าเป็นคนขาดทุนไม่เอากำไรนี่มันไม่รวย คนก็ตีทิ้งว่าขาดทุนจะอยู่ได้อย่างไร ขาดทุนในส่วนที่เป็นค่าตัวของเรา ให้มันเหลือค่าตัวของเราพอกินพอใช้ แม้จะไม่เอาค่าตัวเลยก็ได้ถ้าอยู่ในสาธารณโภคี แต่ถ้าอยู่คนเดียวนั้นไม่มีสาธารณโภคี ไม่เอาค่าตัวเลยก็ตาย อยู่ไม่ได้หรอก
มีคนทำงานไม่เอาค่าตัว กินอยู่กับคนอื่น เป็นสาธารณโภคี ได้ยินไหม เป็นคนรับใช้อยู่ในตลาด ดูเหมือนเป็นผู้ชาย มีหลายคนอยู่นะที่เขาเอามาออกข่าว แกก็ทำงานรับใช้ผู้คนไปหมด แล้วไม่เอาค่าแรงอะไร เอาแต่เรื่องกินเรื่องอยู่ที่เขาให้ คนก็เห็นว่าเป็นคนซื่อสัตย์ จะกินที่ไหน จะอยู่ที่ไหนเขาก็ให้อยู่ได้ คนก็หาให้กิน รับใช้คนอื่นตลอดชีวิตสามารถอยู่ได้ คนเราทำงานไม่เห็นแก่ตัวอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ แต่อย่าขี้เกียจ ช่วยเขาทำงานทำการตามสมควรที่เราทำได้ เช่นทำปัดกวาดเช็ดถูก็พอแล้วเลี้ยงตัวรอด ยิ่งจะสามารถทำอะไรได้ดี มีฝีมือรับใช้อย่างอื่นได้ ทำก๊อกน้ำได้คิดอะไรอย่างอื่นได้ ทำไปเถอะ ขี้คร้านจะอยู่ได้สบายมาก
หากเรามีความซื่อสัตย์สุจริต สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องใช้ปัญญาอย่างเฉลียวฉลาดเลย คนก็ฟังเข้าใจและทำให้ได้ แต่กิเลสของคนมันไม่ยอม ถ้าเผื่อว่ากิเลสของคนลดได้จริงเป็นจริงอย่างพวกเรา สบาย เสร็จแล้วก็มาอยู่รวมกัน
อาตมาเองไม่รู้จะทำอย่างไรให้คนมีดวงตาว่า อาตมาได้ทำวัฒนธรรม ได้ทำพฤติกรรมสังคมอย่างสังคมชาวอโศก เป็นสังคมที่มีพฤติกรรมสังคม ที่มีการเป็นอยู่พฤติกรรมการทำงานทำการ การกินการอยู่อย่างเป็นวัฒนธรรมแล้ว มันเป็นสังคมตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ ขออภัยที่เหมือนยกตัวยกตนเยอะไป เป็นสังคมตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐศาสตร์ ทางด้านรัฐศาสตร์ ทางด้านสังคมศาสตร์ก็แล้วแต่
ไม่ต้องมีตำรวจ จะมีเรื่องราวก็พิพากษากันอย่างสบาย มีกรรมการของสังคมหมู่บ้าน เรื่องการเป็นอยู่อะไรต่างๆ ก็ใช้ร่วมกัน ที่อยู่ที่พักที่กินอะไรดี ไม่เดือดร้อนเลยมีมากด้วย ในบ้านราช ใครที่จะมาพักผ่อนที่พักก็มีให้ฟรี ไม่เก็บเงินเหมือนพวกอยู่รีสอร์ท ก็มาพักผ่อนในที่นี้ได้เป็นแต่เพียงว่าอยู่ตามกฎเกณฑ์เค้าหน่อย อย่าออกนอกกฎเกณฑ์เขามากนะให้มีศีล 5 ไม่มีอบายมุข ประพฤติอะไรตามสมควรก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง พออยู่ได้ ลองมาดูบ้างสิ ถ้าอยู่แล้วบอกว่าอยู่ได้สบายมีศีล 5 ไม่มีอบายมุข กินมังสวิรัติ จะพักผ่อนอยู่สัก 8 ปีก็ได้ เกินกว่านั้นก็ได้ไม่ว่าอะไร ไม่ต่ำกว่าขั้นพื้นฐานก็อยู่ได้ ไม่เอาอบายมุขมา ถือศีล 5 ตามลำดับจริงไม่กินเนื้อสัตว์ มีหลักเกณฑ์พื้นฐานแค่นี้ก็อยู่ไปอีกกี่ชาติก็ได้
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:14:20 )
รายละเอียด
600929_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ต่างคิดต่างสิทธิ์ ตอน 4
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 ที่สันติอโศก เหตุการณ์น้ำท่วมที่บ้านราชก็ขึ้นๆลงๆ น้ำลงแล้วก็ขึ้นเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ไม่แน่นอน แต่ที่แน่นอนคือเราจะจัดงานเพื่อฟ้าดินกันในช่วงปีใหม่นี้ เป็นการรวมงาน ว.บบบ. กับงานเพื่อฟ้าดิน มีการบำเพ็ญคุณบำเพ็ญธรรมเหมือนกัน แต่ไม่มีการแจกเข็ม ก็จะดูว่าพวกเราจะมีพลังในการสอบเหมือนกับตอนแจกเข็มไหม
ก็จะตรงกับเหตุการณ์ที่ชาวบ้านชาวไร่ชาวนาเดือดร้อนกัน งานที่จัดก็เป็นการสอดคล้องกับปัญหาของประชาชน ก่อนจะช่วยชาวบ้านเราก็ต้องทำตัวเองให้แข็งแรงก่อน
เมื่อครั้งที่ผ่านมามีพวกเรา พูดถึงว่าฟังธรรมพ่อครูมา 30 ปี อยู่นอกวัด เพิ่งจะมาอยู่ในวัด ทำให้รู้สึกว่าอยู่ในวัดสบายมากขึ้น เหมือนกับนักมวยตั้งการ์ดได้แล้ว กิเลสไม่กล้ามายุ่งเลย พ่อครูว่าก็ดี แต่กิเลสมันยังกอดแข้งกอดขาเราอยู่เฉยๆเท่านั้นเอง คือมันยังไม่ได้ลุกลามบานปลายมากกว่านั้น แต่เราก็ต้องมาศึกษาสิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอีก อกุศลที่เราต้องละมีอีก สิ่งเหล่านี้จะรู้ได้เราต้องฟังธรรมจากสัตบุรุษ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ชาวพุทธ 3 ระดับ
พ่อครูว่า...47 ปีมาแล้วที่อาตมาทำงานศาสนามา จนสามารถสรุปได้ว่า ในวงการศาสนาพุทธทุกวันนี้ หรือการเรียนศาสนาพุทธในทุกวันนี้ ชาวพุทธได้เรียนรู้พุทธกันมา อย่างมิจฉาทิฐิกันไปจนกู่ไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี
นี่เป็นคำสรุปของอาตมาที่ได้ทำงานศาสนาพุทธมา เป็นความเห็นจริงด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ด้วยความหาเรื่อง
การหาเรื่องคือการใส่ความ อย่างนี้ไม่ใช่ เป็นความเห็นจริงของอาตมาเลย เป็นความเข้าใจจริงๆเชื่อจริงๆว่าเป็นเช่นนั้น วงการศาสนาพุทธทุกวันนี้มิจฉาทิฐิกันไปหมดจริงๆ จนกู่ไม่กลับ จะให้กลับฟื้นคืนให้มีขึ้นมา เกือบ ขอใช้คำว่าเกือบจะไม่ได้แล้ว เพราะยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังทำได้ คนจำนวนนั้นชื่อว่าชาวอโศก ฟังเข้าใจ เห็นจริงแล้วน้อมนำไปปฏิบัติตามแล้วได้มรรคผลไปตามลำดับ
ขอยืนยันว่าในชาวอโศกมีอาริยบุคคล ที่ได้แล้วที่อาตมาทำงานมาถึง 47 ปี ไปถึงขั้นอรหันต์ อนาคามี สกิทาคามี โสดาบันจริงๆ
นี่ก็เป็นส่วนที่ได้ นอกนั้นก็ไม่สามารถเทียบไปวัดได้ ที่มาแสดงตัวเป็นชาวอโศกที่พอจะคบคุ้น สามารถเข้าใจได้เป็นได้มรรคผลนั้นมีอย่างนี้ ก็เท่าที่เห็นและเป็นอยู่ มีหมู่กลุ่มเท่านี้ที่เรียกว่าชาวอโศกหรือที่เขาเรียกว่าสันติอโศก มีเท่านี้
นอกนั้นที่เป็นชาวพุทธในประเทศไทยที่นับถือศาสนาพุทธ 95% จะมีบ้างจะถึง 5% ไหม ที่จะฟังธรรมะอาตมาอย่างชัดเจน และเข้าใจว่าต้องฟังที่อาตมาพูดนี้ มีสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้อง จะถึง 5% หรือเปล่า สำหรับคนข้างนอกนะ
เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีความเข้าใจ เมื่อไม่มีสัมมาทิฏฐิ มันก็ไม่มีเชื้อ ไม่มีเชื้อของพุทธ เพราะว่าจิตไม่เข้ากระแส
เชื้อของศาสนาพุทธคืออาริยบุคคล เรียกว่าพุทธบริษัท 4 อาตมาเคยอธิบายแล้ว
ประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธขั้นต้นเรียกว่า1. พุทธศาสนิกชน 2. พุทธมามกะ 3. พุทธบริษัท
พุทธศาสนิกชนคือคนไทย 95% ทั่วไป ตามทะเบียน ตามสกุล ปู่ย่าตาทวดนับถือศาสนาพุทธกันทั้งนั้น เป็นพุทธศาสนิกชน
ส่วนผู้ที่ตั้งใจศึกษา ก็คือเป็นผู้ที่ตั้งใจมาศึกษา พยายามพากเพียรปฏิบัติเป็นพุทธมามกะ ตั้งใจเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศึกษาจริงๆ ถือว่าเป็นพุทธมามกะ
ผู้ที่ปฏิบัติศึกษาแล้วก็บรรลุผล จึงเรียกว่าพุทธบริษัท 4
พุทธศาสนิกชนนั้นบางทีลืมด้วยซ้ำไปว่าตนเองเป็นศาสนาพุทธ อยู่กับโลกโลกีย์ไป ไม่ถือศีลถือธรรมอะไรเลย มีเยอะ ผู้ที่ไม่มีเชื้อพุทธเลย ก็ได้แต่สงสาร ผู้ที่มีเชื้อพุทธอย่างเก่งก็มีสัมมาทิฏฐิกัน นิดๆหน่อยๆเป็นบัญญัติเท่านั้น ที่ไปหลงเรียกกันอยู่ในชาวพุทธว่าเป็นพระอรหันต์ อะไรก็ดี นั้นไม่ใช่หรอก ก็มีสัมมาทิฏฐินิดๆหน่อยๆเท่านั้น นอกนั้นเป็นมิจฉาทิฐิไปมาก ไปเข้าใจมิจฉาทิฏฐิว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นเรื่องซับซ้อน แล้วเอาอันนั้นมาประกาศสิ่งที่ผิดนั้นทำให้เป็นบาปกับตัวเอง เป็นการทำลายศาสนาพุทธ ที่พูดนี้พอเข้าใจนะเป็นเหตุเป็นผล ไม่ได้หาเรื่อง พูดขี้ตู่ ดูถูกดูแคลนกัน แต่พูดอย่างวิชาการธรรมะ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน สติปัฏฐาน 4 แบบย่อ
ส่วนที่อาตมาอุเทศ แสดงธรรมไม่เข้าใจ ไปเข้าใจสิ่งที่นอกที่ผิด ก็จับอ่านอาการ ลิงค นิมิต ไม่ถ่องแท้ถูกต้อง นอกจากไม่จับแล้ว ยังไม่มีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แต่กลับไปเพ่งจิตสะกดจิตให้หยุดไป อย่างนี้เป็นต้น จึงไม่มีทฤษฎี ที่จะรู้กายในกาย วิจัยกายในกาย แยะแยะกายในกาย
กายคือธรรมะสอง แยกแยะทีละคู่ๆไป เรียกว่า กายในกาย
คู่ต่อมาคือเวทนาลึกเข้าไป
สติปัฏฐาน 4 กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
วิจัยกายในกาย สิ่งที่ถูกรู้เป็นรูป สิ่งที่รู้คือ subject เป็นตัวปัญญาเป็นนาม ก็รู้แล้ววิจัยต่อ จะรู้แยกรูปนามแล้วรู้อาการของจิต
รูป เวทนา สัญญาก็ทำงานกำหนดรู้ เวทนา มันก็จะเป็นอารมณ์ ความรู้สึกปรุงแต่งกันอยู่ เวทนากับสังขาร
เวทนาคือการปรุงแต่งของกาย คือรูปกับนาม เรียกว่าธรรมะสอง ปรุงแต่งแล้วเกิดเป็นเวทนา คืออารมณ์ แล้วมีเป็นสุขเป็นทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์
ความสุขความทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ มันมีเหตุ ก็คือจิต เป็นอกุศลจิต ส่วนมากเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ก็ดี เป็นอกุศลจิตทั้งนั้น เป็นสุขก็อกุศลจิตเพราะหลงผิด เป็นทุกข์ก็อกุศลจิต
ถ้าเอาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วต้องเรียนรู้ และทำเวทนาในเวทนานั้น ให้เป็นหนึ่ง เอกสโมสรณา ให้รวมลงเป็นหนึ่ง
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
กาย คือธรรมะสอง นามก็อ่านรูป อ่านเวทนาในเวทนา ก็วิเคราะห์ต่อว่าเป็นทุกข์แล้วมีอะไรเป็นเหตุ ตัวเหตุส่วนมากเป็นอกุศล เพราะยังมิจฉาทิฏฐิ ก็จะเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือไม่รู้เรื่องก็เป็น อทุกขมสุข มีสามเวทนานี้
การไม่สุขไม่ทุกข์อย่างเคหสิตเวทนา อย่างโลกีย์ไม่มีวิชชาไม่เนกขัมมะ
ผู้ที่ศึกษาเรียนรู้โลกุตรธรรม ถ้ามีภูมิปัญญารู้ แยกเนกขัมสิตะ แยกเคหสิตะออก ทำให้จิตเป็นเนกขัมมะ ออกจากกาม ออกจากพยาบาท ออกจากนิวรณ์ได้ เมื่อปฏิบัติได้ก็เข้าสู่กระแสโลกุตระอย่างนี้เป็นต้น
ผู้สามารถแยกแยะได้ก็ต้องมีรูปกับนาม รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ การปฏิบัติของพระพุทธเจ้าคือต้องอ่านอาการหรือนิมิตของเจตสิก รูป คือรูป 28 แล้วปฏิบัติเนกขัมมะจนเข้าสู่ฐานนิพพาน ก็เรียกว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมทุกวันนี้เขา ไม่ได้ดูถูกดูแคลนอะไร ยังคลุมเครือไม่ชัดเจนไม่แม่น ก็ปฏิบัติจับไม่มั่นคั้นไม่ตาย ไม่รู้จัก ไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง พอรู้จักกันอย่างผิวเผิน แต่ไม่รู้แจ้งจนสามารถทำให้เกิดส่วนบุญกันจริงๆได้ ไม่สามารถปฏิบัติเป็นเนกขัมมะ ถ้าปฏิบัติตนที่กิเลสได้จะเป็นส่วนบุญ ชัดเจนว่า เราปฏิบัติได้เป็นมรรคผล มีมรรควิธีมีผลให้กิเลสจางคลาย วิราคะ จนมันดับไป เราก็เป็นผู้รู้แจ้งรู้จริง รู้จัก จิตเจตสิกส่วนบุญอย่างสัมมาทิฏฐิ
ผู้ที่จะปฏิบัติดังกล่าวนี้มันมีจุดสำคัญเลยก็คือ ต้องปฏิบัติที่เห็นจิตเจตสิกอยู่หลัดๆ ทนโท่ในปัจจุบันนั่นเทียว เห็นอาการจิตมันกำลังเกิดอาการและปฏิบัติในจิต ให้มันกำลังลดๆ
นี่คือการปฏิบัติที่ถูกต้องที่สุด เป็นการปฏิบัติแท้ๆ เป็นการทำฌานหรือการทำสมาธิที่แท้ ฌานคือการสร้างพลังงานขึ้นมา ให้มันสามารถขจัดพลังงานกิเลส พลังงานราคะ โทสะ พลังงาน กาม พยาบาท ที่ตนเองอ่านอาการมันได้แล้วสามารถสร้างพลังงานนั้นให้เกิดในจิต เรียกว่าพลังงานฌาน หรืออุณหธาตุ ภาษาไทยเรียกว่าไฟ เป็นไฟพิเศษที่สามารถกำจัดไฟราคะ โทสะ โมหะ ถ้าทำให้ถึงอุเบกขา ก็เป็นเอกัคคตาจิต จะรู้ได้ก็ต้องมีภูมิที่เรียกว่า มีลักษณะ อ่านเรียนจากรูป 28 ทั้งนั้น แต่ในสังคมศาสนาพุทธไม่เห็นอธิบายอย่างที่อาตมาอธิบาย
สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นัยปฏิบัติของรูป 28
ธรรมะ 2 นี่คือความเป็นกาย เป็นรูปกับนาม อ่านด้วยรูป 28 หรือรูป 24 (อุปาทยรูป)
ปสาทรูป โคจรรูป ก็มาเข้าหาองคาพยพของจิต จากมหาภูตรูป 4 ปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 ทำงานมีผัสสะเป็นปัจจัยก็มีภาวรูป 2 ต่อ อิตถีภาวะหรือปุริสภาวะ
ภาวะที่ปฏิบัติจึงจะเกิด เป็นปุริสภาวะ ธรรมดามันก็ปรุงแต่งกันอยู่เป็นภาวะสอง
เราก็ต้องมาเรียนรู้จนสามารถจับสภาพของจิตได้ ใครที่สามารถกำหนดรู้ อาการของจิต จับนิมิตของจิตได้ คือผู้นั้นสามารถรู้จักหทยรูป
ถ้าใครจำรูป 28 หรือ รูป 24 นี้ได้ อาตมาไม่ได้ท่องหรอก แต่มีสภาวะมันจำได้เลย
จับอาการลิงคะ แยกมันได้ ก็จะเห็นชีวิตรูป รูปพวกนี้คืออาการของจิต ไม่ได้หมายถึงว่ารูปนี้คือมะพร้าวหรือแก้วมังกร หรือเป็นบุคคลตัวตนเราเขา ผู้หญิงผู้ชายชื่อนั้นชื่อนี้นั้นไม่ใช่ คืออาการของจิต
รูปนั้นคืออาการของจิต คือกาย ขณะนี้มีรูปและนามทำงานอยู่
มีสิ่งที่ถูกรู้ (Object) และสิ่งที่รู้ (Subject) เราสามารถรู้ได้ มันไม่มีที่อยู่ แต่มันอยู่ในร่างกาย แต่ละคนมีประสาทรับสัมผัสก็สามารถรู้ได้ มันอยู่ที่ไหนไม่รู้ อยู่ที่สมองอยู่ที่ยอดของหัว อยู่ที่กลางมือ อยู่ที่หัวใจอยู่ที่ลำไส้ไม่มี มันไม่มีที่อยู่ แต่มันสามารถรู้ได้ หทัยรูปรู้ แล้วอาการของชีวิต มันยังไม่หยุด มันยังไม่ตาย มันยังไม่ใช่ความไม่มี มันยังมีชีวิตอยู่ มันมีลีลา มีการเคลื่อนไหว เรียกว่า ชีวิตรูป มันแรงมันเบาเรียกว่า ชีวิตินทรีย์ เป็นพฤติกรรมเป็นชีวิต
จากชีวิตรูปก็อ่านไปถึงอาหารรูป ต้องพยายาม วิเคราะห์วิจัยลงไปถึงอาหาร อาตมาเรียงดู ถ้าผิดใครกางตำราดูก็ท้วงได้
อาหาร ก็คือ สิ่งที่มาประชุมลง วิเคราะห์วิจัยได้ว่ามันเป็นสิ่งที่อาศัย ก็คืออาหาร ยกตัวอย่างอันที่หนึ่ง กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
จะต้องประกอบด้วยอาหาร 4 ก็อยู่ใน กวฬิงการาหารนั้น ท่านให้พิจารณาจาก กวฬิงการาหาร เป็นอาหารที่ หยาบใหญ่ อาหารที่มันรวมกิเลส กามคุณ 5 เป็นต้น มันรวมอยู่ในนี้มาก แล้วจะเกิดสิ่งเหล่านี้ต้องมีผัสสะ ต้องมีมโนสัญเจตนา ต้องมีธาตุวิญญาณมีธาตุรู้ที่จะเรียนรู้ได้
วิธีที่จะปฏิบัติ จะต้องต่อไปเป็น.. ..
ปริเฉทรูป ก็คือกลุ่มหนึ่ง กรอบหนึ่งที่เราจะปฏิบัติ เช่นเป็นศีล 5 เราต้องรู้จักการตัดกรอบปริเฉทอย่างเป็นปัจจุบัน ศีลข้อที่หนึ่งเราสัมผัสกับสัตว์ในปัจจุบัน ของจริง แล้วมีกาย เวทนา จิต ธรรมอย่างไร?
วิเคราะห์วิจัยแยกแยะให้ออก มีกิเลสมาผสมร่วมอย่างไร? ก็กำจัด
ศีลข้อที่ 2 สัมผัสกับของ
ศีล 5 ข้อที่พระพุทธเจ้าสร้างทฤษฎีไว้ ในโลกนี้ก็มี ชีวิตกับของ 2 อย่างนี้เท่านั้นแหละ
ข้อที่ 3 เป็นรส เรียกว่า กามรส อันเกิดจาก ผัสสะ
ถ้าเป็นสัตว์ก็เป็นเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องกับเขา จะมีเมตตากับเขา หรือจะโหดร้ายรุนแรง
ถ้าเป็นสัตว์ คุณจะมีพรหมวิหารหรือไม่มีพรหมวิหาร
ถ้าเป็นของ คุณจะมีโลภหรือไม่
ถ้าเป็นการสัมผัส คุณจะมีรสหรือไม่ จะมีกิเลสแล้วเกิด โลกียรสหรือไม่ ท่านเรียบเรียงไว้มีเท่านี้ ปฏิบัติให้ชัดเจนเป็นอรหันต์ได้ มีหยาบ กลาง ละเอียด ในโลกมีเท่านี้
ข้อที่ 4 เป็นการซอยลึกเข้าไปในสามข้อต้น เป็นวาจา
ข้อ 5 เป็นใจ
ผู้ใดปฏิบัติได้ จิตของเราก็จะประสบผล จะมีตัวบังคับตัวกำหนดที่จะเป็นพลัง เป็นประธานสามารถทำให้เกิดกายวิญญัติ วจีวิญญัติได้เป็นวิญญัติอีก 2 จะเกิดจากการควบคุมอาการได้ เรียกว่า วิการ การแปลว่างาน อาการ ของจิตมันทำงาน แล้วคุณสามารถควบคุมได้ เท่ากับคุณมีความสามารถรู้จักอาการจิต
สุดท้ายทำให้มันเกิด ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา กายวิญญัติ วจีวิญญัติ นี่คือวิการรูป 5 ทำสำเร็จเสร็จหมด ก็เหลือ 4 ลักขณรูป
ลักขณรูป 4 ก็มี อุปจยะคือจิตที่มันเกิด แล้วจิตที่มันเกิดจะให้ต่ออีกไหม ถ้าจะต่อก็มีสันตติ ถ้ามันเกิดแล้ว อะไรก็ตามมันจะต้องมีเกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมไป ชรตา ไม่มีอะไรจะไม่เสื่อม แม้แต่คุณจะให้มันเจริญ มันก็ต้องมีเสื่อมสักวัน เจริญแล้วก็ต้องเสื่อม คุณสามารถทำให้เจริญได้ก็ดี คุณต้องพยายาม แต่ถ้าไม่ทำให้มันเจริญ มันก็เสื่อมไปตามธรรมชาติเลย จะเจริญหรือเสื่อมเรียกว่าอนิจจตา ไม่เที่ยง
แต่ผู้ที่บรรลุธรรมเป็นอรหันต์แล้วสามารถทำให้เจริญหรือจะเสื่อมจนศูนย์ได้ แต่ไม่ใช่เสื่อมคืออกุศล เสื่อมคือจิตไม่ให้ปรุงแต่งเกิดต่อ ปล่อยให้มันเบาลงไป หรี่ลงไป จนดับอย่างสงบ
ฝึกหัดให้ได้อย่างนี้ก็จะเข้าใจสภาวะ รูป 4 คือ ดินน้ำไฟลม รูป 24 คือนามทั้งสิ้น
การปฏิบัติกับรูปเหล่านี้ก็ต้องใช้นาม 5
1. เวทนา 2. สัญญา 3. เจตนา 4. ผัสสะ 5. มนสิการ นี่คือนาม 5 และรูป 28 (มหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูป 24)
การอธิบายไปย่อยๆนี้ผู้สามารถทำนามธรรมทั้ง 24 ที่เรียกว่ารูป ที่28 ผู้ปฏิบัติต้องมีประธานเป็นตัวรู้ไปรู้ รูป 24 สิ่งที่ถูกรู้คือนามรูป ผู้ที่รู้ก็คือตัวประธาน เป็นตัวเบื้องตนเรียกว่าสัญญาตัวกำหนดรู้ แต่ถ้าผู้นั้นมีความรู้ยิ่งกว่าสัญญาเรียกว่าปัญญา สามารถรู้และก็ทำได้ รู้แล้วเริ่มลดกิเลสได้ ก็เรียกว่าเป็นส่วนบุญ เกิดส่วนบุญ จนที่สุดจบส่วนบุญ บุญหมด ปฏิบัติกิเลสไม่เกิดแล้ว บุญคือการกำจัดกิเลส สิ้นอาสวะบุญก็หมด ปุญญปาปปริกขีโณ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ฌานคือการเผากิเลสไม่ใช่การเพ่ง
โดยวิธีปฏิบัติที่เป็นหลักสูตรโดยพระพุทธเจ้ารวมไว้หมดเรียกว่าโพธิปักขิยธรรม 37 ซึ่งมีรูป 28 ให้เรียนรู้ฝึกฝนจนถึงพระนิพพานได้สมบูรณ์เลย แต่ทุกวันนี้ทำนิพพานกันสัมบูรณ์ไม่ได้
เหตุที่ทำนิพพานให้สมบูรณ์ไม่ได้ก็เพราะว่าไม่มีปัญญา หลงผิดว่าตัวเองมีปัญญา แต่ไม่ใช่ธาตุรู้ที่เป็นปัญญาที่เข้ากระแส โลกุตระ ตั้งแต่เริ่มมี อัญญธาตุ จนเป็นปัญญา
พลังงานปัญญานี้เป็นพลังงานฌาน ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาไม่มีฌานไม่มี ฌานไม่มีปัญญาไม่มี ปัญญาของศาสนาพุทธคือโลกุตระ ฌานเป็นมรรค ปัญญาเป็นผล
เมื่อทำ ฌาน แปลว่าเผา คือไฟ แต่ไปแปลฌานว่าเพ่ง นี่คือความผิดเพี้ยนหลงทางของศาสนาพุทธแล้ว เป็นเทคนิคการปฏิบัติของอาจารย์ที่ไปเข้าใจว่า เพ่ง เพ่งอะไร เพ่งสมถะ เพ่งจิตให้จดจ่อ ก็เลยเพี้ยนเป็นมิจฉาทิฏฐิในการปฏิบัติ
ฌานเป็นการสร้างพลังงานทำให้เกิดอาการจิต ให้เป็นจิตที่มีพลัง ปัญญานี่เป็นพลังนะ พลังจะเป็นอำนาจ อำนาจคืออธิปไตย เข้าไปสลาย คือพลังงานไฟกองใหญ่ไปเผาพลังงานเหมือนกันคือกิเลส จิตคืออาการของพลังงาน เคลื่อนไหวขึ้นมาเมื่อไหร่เป็นพลังงาน
เมื่อไม่สามารถเข้าใจทฤษฎีโพธิปักขิยธรรม 37 ซึ่งมีรูป 28 ให้เรียนรู้ฝึกฝนจนสามารถทำจิตให้เกิดนิพพานได้สมบูรณ์ แต่ทุกวันนี้ทำไม่ได้ เหตุเพราะว่าไม่มีปัญญา มีแต่ เฉกตาหรือเฉโก เป็นความเฉลียวฉลาด เป็นความรู้ ปัญญาก็เป็นความเฉลียวฉลาดความรู้แต่เป็นพลังงานความเฉลียวฉลาดความรู้ที่เป็นโลกุตระ ส่วนเฉกตาหรือเฉโกเป็นพลังงานความฉลาดของปุถุชนโลกียะ เนื่องมาจาก มันไม่เกิด อัญญธาตุ ไม่เกิดจิตตัวที่ออกนอกโลกีย์ ไม่เป็นธาตุอื่นใหม่จาก เฉกตา
เพราะไม่มีอัญญธาตุในจิต อัญญธาตุคือธาตุอื่นจากโลกียะ เป็นอาริยบุคคล มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้นศาสนาอื่นไม่มี เป็นธาตุคนละแบบคนละตระกูลของความฉลาดแบบโลกียะแล้ว พลังงานอัญญาจึงคือธาตุใหม่วิเศษแตกต่างจากโลกียะ จิตมีอัญญธาตุจึงเข้ากระแสใหม่ พลังงานใหม่อันนี้เป็นพลังงานตัวรู้เป็นจิต ที่เรียกว่า อัญญา เป็นความฉลาดตระกูลใหม่ที่ไม่ใช่เฉกา เป็นตระกูลใหม่ อัญญา ปฏิบัติไปก็จะสั่งสมเป็นปัญญา
มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิสั่งสมเป็น ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เจริญไปตามลำดับของกระบวนการเกิดปัญญา มีสัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ
ผู้ที่ไม่สามารถเกิดอัญญาก็จะเป็นปุถุชนตลอดกาล จนกว่าจะได้พบสัตบุรุษได้ฟังธรรมะจากสัตบุรุษ แม้จะได้ฟังแต่ก็ไม่เห็นด้วยไม่เอาด้วย เรียกว่าไม่มีปรโตโฆษะ เหมือนกับกามนิตพบพระพุทธเจ้า ฟังไปก็ไม่ได้ศรัทธาไม่เข้าใจไม่เชื่อว่านี่คือสัตบุรุษ ไม่เชื่อว่านี่คือพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อว่าเป็นสัตบุรุษ คุณก็ไม่สามารถโยนิโสมนสิการได้ ทำใจในใจของคุณไม่เป็น ทำใจในใจไม่ถ่องแท้ไม่ลงไปถึงที่เกิด ไม่ถึงสัมภวะ ไม่ถึงจุดที่จะเปลี่ยนแปลงจิตให้เกิดโลกุตรจิต คุณไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ได้เรียนรู้สัมมาทิฏฐิจากสัตบุรุษ
เพราะฉะนั้น อาตมาประกาศตนว่าเป็นสัตบุรุษประกาศสัจธรรม ผู้ที่ตั้งใจฟัง คบสัตบุรุษก็คบให้บริบูรณ์ แล้วตั้งใจฟังธรรมให้บริบูรณ์ ให้เกิดศรัทธาเกิดความรู้ความเข้าใจ ที่บริบูรณ์ที่ถูกต้อง คุณก็จะสามารถมีโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์ สามารถปฏิบัติทำสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ได้ สํารวมอินทรีย์ 6 ให้บริบูรณ์ สามารถทำสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์ได้ ทำให้เกิดโพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ได้ วิชชาและวิมุติก็บริบูรณ์ ไล่ตามอวิชชาสูตร
ผู้ที่ฟังธรรมะจากสัตบุรุษไม่บริบูรณ์หรือไม่ใส่ใจไม่มี ปรโตโฆษะ ก็ไม่สามารถมีสัมมาทิฏฐิ สัตบุรุษคือผู้มีสัมมาทิฏฐิ เป็นผู้มีธรรมะจนถึงบรรลุธรรมจนถึงอรหันต์ สัตบุรุษจริงๆ ก็คือพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์พระอรหันต์ก็รองลงมา เป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ
ผู้ที่พบสัตบุรุษแล้วก็ไม่เชื่อไม่มีปรโตโฆษะ ตามที่สัตบุรุษสาธยายอุเทศไปก็ไม่เอา ก็เป็นอันไม่มีสิทธิ์ที่จะมนสิการ ไม่มีสิทธิ์ทำใจในใจปฏิบัติใจในใจของตนเองให้เกิด โยนิโสให้ถ่องแท้ ให้ลงไปถึงที่เกิด ถูกต้องตามระบบของพระพุทธเจ้าอย่างบริบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้น ก็หมดสิทธิ์ ที่จะโยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการไม่บริบูรณ์ สติสัมปชัญญะก็ไม่บริบูรณ์ สำรวมอินทรีย์ 6 ก็ไม่บริสุทธิ์ สุจริต 3 ก็ไม่บริบูรณ์ สติปัฏฐาน 4 ก็ไม่บริบูรณ์โพชฌงค์ 7 ก็ไม่บริบูรณ์ วิชชาและวิมุติก็ไม่บริบูรณ์ ไม่บริบูรณ์ไปทั้งหมด นี่คือสัจจะที่อาตมาไล่เรียง
อาตมาบรรยายธรรมะมา 47 ปีแล้ว สรุปว่าการเรียนรู้ศาสนาพุทธทุกวันนี้ เรียนรู้อย่างมิจฉาทิฏฐิจนกู่ไม่กลับ เพราะเขาได้ยึดมั่นถือมั่นแล้ว บางคนดูไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วแต่ก็อยู่ในจิตใต้สำนึก ในสามัญจิตสำนึกก็บอกว่าฟังได้ แต่ใน subconscious กลับมีความยึดมั่นถือมั่น บางคนมีความยึดมั่นถือมั่นใน unconscious เลย เพราะนึกว่าเรามีสมาธิแล้ว โดยเฉพาะโพธิรักษ์เขาถือว่าที่เถรสมาคมบอกว่าเป็นพวกนอกรีตจะมาทำลายศาสนาพุทธ
อาตมาพูดตรงๆว่า พวกคุณนี่แหละได้ทำลายศาสนาพุทธอย่างแหลกเหลวเลย อาตมากำลังมากอบกู้ศาสนาพุทธขึ้นมาต่างหาก พูดด้วยความจริงใจปรารถนาดี ไม่ได้ข่มเบ่งเลย ด้วยความเห็นใจสงสารว่าเดินผิดทาง หลายคนเอาชีวิตมาทิ้งกับวงการศาสนา ไม่เอาทางโลกแล้วแต่เป็นมิจฉาทิฐิ จึงได้น่าสงสารมาก ปฏิบัติไปยังไง เวลาผ่านวันคืนไป แรงงานทุนรอนก็ไปกับทางโน้นอย่างไม่ได้อะไร พูดถึงความจริงใจ ไม่ได้ดูถูกดูแคลน
อาตมามาทำงานทางนี้ ทิ้งทางโลกมา พยายามพากเพียรที่จะช่วยคืนศาสนาของพระพุทธเจ้าทำกลับคืนมา มันเหนื่อยแต่ก็ต้องพูดเพราะไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ แม้จะทำมา 47 ปีแล้วก็จะทำต่อไปจนกว่าจะตาย จะเหน็ดเหนื่อยอย่างไรก็ต้องทำต่อไป..ขออภัยที่ต้องบ่น
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ทำนาตนเองก่อนทำนาคนอื่น
_มีผู้ถามแทรกมาว่า มี นามแฝงว่า ล.รศ….
ขอโอกาส กราบเรียนถามพ่อครูดังนี้ครับ
หลายครั้งผมคิดจะส่งคำถามมายังพ่อครู
โดยที่ผมมักจะตั้งข้อสงสัยในพฤติกรรมต่างๆ
ของเพื่อนนักปฏิบัติธรรม
จากพฤติกรรมของเขาที่เป็นลบ
ต่อมาผมก็ตัดสินใจไม่ส่ง
และลบคำถามที่กำลังพิมพ์อยู่ทิ้งไป
เพราะผมจับได้ว่า
พฤติกรรมการตั้งคำถามของผมนั้น
เกิดจากจิตที่เป็นปฏิฆะต่อผู้อื่น
ถ้าตรวจสอบมากกว่านั้นอีกก็จะพบว่า
เราย่อมหวังให้คำตอบของพ่อครู
เป็นไปเพื่อตำหนิ หรือเตือนติงคนเหล่านั้น
ซึ่งผมมองว่าจิตตัวนี้น่าจะเป็นอกุศล
ดังนี้ หลังจากที่ได้ลบคำถาม
ที่เตรียมพิมพ์ไว้ไปเรียบร้อยแล้ว
ผมจึงเกิดคำถามที่จะนำมาถามพ่อครูดังนี้ว่า
1. ผมสอบตก ในการพิจารณาแยกแยะ
กุศล-อกุศล ในส่วนของ "สังขาร" ใช่หรือไม่ครับ
(เพราะได้มีพฤติกรรมไปส่วนหนึ่งแล้ว)
2. ล่วงเลยมาถึงการยับยั้ง
ในขั้นของ "ตัญหา"
ที่กำลังขับดันพฤติกรรม(กรรม)
ก็แทบจะสอบตกใช่หรือไม่ครับ
(เพราะได้มีพฤติกรรมไปส่วนหนึ่งแล้ว)
3. จากตัวอย่างนี้ จัดเป็นการยับยั้ง
แบบใช้เจโต หรือ วิปัสสนาครับ
4. พ่อครูมีข้อคิดอย่างไรกับการปรับปรุง
แก้ไขวิธีพิจารณาในส่วนนี้ครับ
พ่อครูว่า...การติงเตือนนี้ ถ้าติงผิดก็อกุศล แต่ถ้าติงถูกก็เป็นกุศล ตอบไม่ได้ว่าคุณจะเตือนใคร อาตมาก็ไม่รู้ว่าคนที่จะเตือนนี้ถูกหรือผิด แต่คุณก็ตัดสินเองว่าเขาผิด ที่จริง ไม่ชอบคนที่มีสิ่งที่ไม่ดีนั้นเป็นอกุศลของเขานะ
อาตมาตอบไม่ได้ ว่า เขาผิดหรือถูก
วิเคราะห์วิจัยด้วยความวิปัสสนา แต่ถ้าเจโตสมถะจะไม่วิเคราะห์วิจัย โดยเฉพาะข้อนี้คำตอบก็คือของคุณทำการวิเคราะห์วิจัยด้วยวิปัสสนา
แต่คุณไปวิเคราะห์วิจัยคนอื่น มันเป็นการทำนาคนอื่น มันเสียเวลา พระพุทธเจ้าบอกไว้ เสียเวลาเสียแคลอรี่ไม่น้อย ก็ไม่ต้องไปมากหรอกที่จะไปเตือนคนอื่น ไม่ต้องไปคิดอะไรมากเพื่อจะช่วยเหลือคนอื่น ทำที่ตัวเองก่อน ถ้าคุณปฏิบัติธรรมที่ตัวเองเรียบร้อยแล้วได้มรรคผลแล้ว คำถามอย่างนี้ก็จะไม่เกิดในคุณแน่ คุณก็ไม่ต้องถามมา แต่ที่ถามมาเพราะคุณไปทำนาคนอื่น มันผิดอยู่ ก็เลยไม่พ้นความสงสัย เพราะคุณเองไม่ได้แก้ไขความเข้าใจเหล่านั้นได้ แม้จะฝึกฝนวิจัยสัจธรรมก็ไม่ฝึก มีแต่อาศัยอาตมาตอบ อาตมาตอบไปก็บำเรอความอยากรู้ของคุณเท่านั้นเอง
เข้าสู่ที่อาตมาได้เอามาอธิบายอยู่คือ ต่างคิดต่างสิทธิ์ 100 ข้อ ที่จริงแล้วมีมากกว่า 100 ข้อในความเห็นของอาตมาซึ่งต่างจากกระแสหลัก อ่านมาหลายวันแล้ว อ่านได้ 10 ข้อเหลืออยู่ 90 ข้อ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จุดธูปเทียนบูชาไฟ ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
11 |
การจุดธูปเทียนบูชาไฟ ในศาสนาพุทธถือเป็นเรื่องผิดมหาศีล ซึ่งเป็นศีลธรรมนูญของศาสนาพุทธ ชาวพุทธ ทั้งพระ สมณะ ฆราวาส ไม่ทำกัน |
การจุดธูปเทียนบูชาไฟ ทำได้ในศาสนาพุทธ ไม่ถือเป็นเรื่องที่ผิดอะไร และกลายเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีต้องทำ ในแทบทุกวัดไปแล้ว |
|
ในศาสนาพุทธตอนพระพุทธเจ้าอยู่นั้น ไม่มีการจุดธูปเทียนบูชาไฟ ตอนนั้นมีการจุดเป็นน้ำมันเปรียง น้ำมันเนย หรือใช้ขี้เลื่อย มีเปลวกับควันสองอย่างเรียกว่าอัคคียัญ ก็คือการใช้ไฟเป็นสื่อในการสื่อสารกับพระเจ้า เป็นของพวกเทวนิยม เป็นการติดต่อกับวิญญาณด้วยไฟ ด้วยเปลวไฟหรือด้วยควัน เป็นเทวนิยม
ศาสนาเดียรถีย์ ทั่วไปเขาก็มีกัน เมื่อศาสนาพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าก็ให้เว้นขาด จากสิ่งเหล่านี้ มหาศีลในยุคพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีในศาสนาพุทธเลย มหาศีลเป็นเดรัจฉานวิชา อัคคียัญ สิญจนยัญ รดน้ำมนต์นั้นไม่มีในศาสนาพุทธ เป็นความเห็นของอาตมายืนยันได้มีหลักฐานอ้างอิง ถ้าเข้าใจโดยปฏิภาณที่พูดไปแค่นี้ก็จะชัดเจน
แต่ในพุทธกระแสหลักนั้นมีหมด เห็นว่าการจุดธูปเทียนบูชาไฟทำได้ ไม่ถือเป็นเรื่องที่ผิดอะไร และกลายเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีต้องทำในแทบทุกวัดไปแล้ว นอกจากพุทธสถานอโศก ก็วัดทุกวัด มีการจุดธูปเทียนบูชาไฟเรียกว่าเรือนไฟ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าตั้งศาสนา ตรัสไว้ในอัมพัฏฐสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 9 ท่านตรัสไว้ว่า ในอนาคตศาสนาพุทธจะเสื่อม มีความเสื่อม 4 ประการของศาสนาพุทธนั่นก็คือ ตอนนั้นศาสนาพุทธยังไม่เสื่อม 4 ประการนี้เลย
1 ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
2 ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
3 สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
4 สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่ (อัมพัฏฐสูตร เล่ม 9 ข้อ 163)
ข้อที่หนึ่งยังเคร่งศีลเคร่งวินัย เก็บผลไม้ที่ร่วงหล่นกิน แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่าที่จริงออกนอกรีตแล้ว การไปแสวงหาอาจารย์ในป่าเป็นพวกนอกรีตไปหมดแล้ว ในยุคพระพุทธเจ้าไม่ได้ถือว่าการออกป่าคือการปฏิบัติธรรมของพุทธนะ แต่ในยุคนั้นมันมีแต่ป่า 2 พระพุทธเจ้าก็เป็น ลิงลมอมข้าวพอง เมื่อปฏิบัติธรรมตอนแรกเขาก็พาออกป่าหลงผิดไปกับเขา เมื่อมีแต่คนออกป่า ศาสนาพุทธยังไม่ขึ้น และถ้าอ่านพระไตรปิฎกแตก ในพระสูตรที่ท่านยืนยันว่าออกป่า 6 ปีเป็นการปฏิบัติที่ผิด เป็นการปฏิบัติทุกรกิริยาทำได้เก่งกว่าเค้าหมดเป็นทางผิดทั้งนั้น ท่านบอกไว้ ศาสนาพุทธตอนนี้ก็น่าสงสาร ไปหลงผิดว่าการปฏิบัติผิดในป่าของพระพุทธเจ้านั้นเป็นการปฏิบัติของศาสนาพุทธ นี่คือความหลงผิดยังน่าสงสาร น่าสงสารมาก
เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา6ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ (ล.32 ข.392)
คือทุกอย่างดูถูกพระพุทธเจ้า ว่ามาหาที่นั่งใต้ต้นโพธินี้หรือ จะได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้ามันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก เป็นการจาบจ้วงแค่นี้ จึงเป็นวิบากของท่าน เป็นการเก็บวิบากที่เหลือ ที่จริงได้ใช้หนี้ไปบ้างแล้ว แต่เศษบาปที่เหลือ ต้องไปทรมานใช้วิบากในป่าถึง 6 ปี ทรมานตัวเองด้วยนะ ใครสามารถปฏิบัติ อุกฤษฏ์อย่างไรท่านสามารถปฏิบัติได้เหนือกว่าเขาหมด แต่ก็ไม่เห็นว่าจะบรรลุ ท่านก็บอกว่าไม่ใช่ จนสุดท้ายวันเพ็ญเดือน 6 ท่านก็ตัดสินพระทัยว่า ธรรมะของพุทธคืออย่างไร เรานี้คนอื่นก็เดากันว่าเป็นพระพุทธเจ้าและเมื่อไหร่จะเป็น แล้วเราจะเอาธรรมะของพุทธมาประกาศเผยแพร่อย่างไร
ท่านได้เคยระลึกได้ว่าเคยนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นหว้า ตอนเป็นเด็ก ท่านนั่งแล้วเงาต้นหว้าไม่ไปตามเลยนะ อธิบายอย่างเป็นอภินิหารไปอีก ปฏิบัติตามคนที่เขาปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์อย่างไรก็ไม่บรรลุ ก็มานั่งหลับตา ระลึกถึงสิ่งเดิม ถ้าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็ต้องมีธรรมะที่บำเพ็ญมา มันต้องมีธรรมะของพระพุทธเจ้ามา ปางนี้จะตรัสรู้ก็ต้องเกือบจัดเต็มกระบุง เหมือนน้ำใกล้เต็มถ้วย เติมอีกหยดก็เป็นพระพุทธเจ้า ก็จริงของท่าน ท่านก็นั่งหลับตาแล้วระลึกชาติ ในยามที่ 3 ก็รู้แจ้งเห็นระลึกชาติได้ว่า ศาสนาพุทธเป็นเช่นนี้เอง
ทีนี้คนก็เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธต้องไปนั่งหลับตาแล้วระลึกชาติ แล้วเราก็จะบรรลุธรรม ปัญญาจะมา ของพระพุทธเจ้าก็ต้องเป็นสัมมาสัมโพธิญาณ พระพุทธเจ้านั้นสั่งสมบารมีมาได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณอยู่แล้วอยู่ในคลังความรู้ ท่านก็ระลึกเอาสิ่งนี้มา ท่านมีอยู่ในเซฟของท่านคือสัญญา ที่ได้สั่งสมสัมมาสัมโพธิญาณในเซฟของท่าน ท่านก็ได้เปิดเซฟออกมา
แต่พวกไม่รู้เรื่องก็ไปนั่งหลับตาแล้วปัญญาจะเกิดเอง เป็นปัญญาบรรลุอรหันต์จะเกิดเอง นั่งสะกดจิตหลับตาแล้วจะเกิดปัญญาให้เป็นการบรรลุรู้แจ้งเห็นจริงหมดเหมือนพระพุทธเจ้า เป็นการเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง ทั้งที่ตนเองไม่มีคุณสมบัติอย่างนั้นเลย และจริงๆแล้ว การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธทั้งหมดไม่ใช่การนั่งหลับตาระลึกชาติ ถ้าอ่านพระไตรปิฎกแตก
พระไตรปิฎกพระสูตรเล่มแรก พรหมชาลสูตร การนั่งหลับตาทำสมาธิจะระลึกได้ถึงอดีต 18 อนาคต 44 มีมิจฉาทิฐิอย่างเดียวถึง 62 เกิดจากการนั่งหลับตา
ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้เลย ถ้าอ่านพระไตรปิฎกแตก ก็จะรู้ว่าการนั่งหลับตาในศาสนาพุทธไม่ใช่ทางปฏิบัติเลย แต่ถ้าใช้เป็นก็จะเป็นอุปการะมาก ใช้เตวิชโช ก็ระลึกถึงสิ่งที่เกิดผ่านไปแล้ว อะไรเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
มีกิเลสอะไรเป็นกาม พยาบาท หรือนิวรณ์ 5 อย่างไรก็นั่งดับนิวรณ์ 5 แล้วเขาถือว่าการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างนั้นไม่ใช่เลย ไม่ใช่ดับกิเลสด้วยสัญญา
ปัญญาจะเกิดได้ต้องลืมตา อยู่ในขณะปฏิบัติงาน มีอาชีพมีกรรมการงานทุกอย่าง ในขณะการพูดการคิดปรุงแต่ง ร่วมวิเคราะห์วิจัย ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ จึงจะเกิดเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละตามขบวนการองค์ 6 สัมมาทิฏฐิ เล่ม 14 ข้อ 258
อาตมาอธิบาย ข้อนี้ก็เป็นธรรมะไปหมด เพราะว่า กายต่างกันสัญญาต่างกัน เทวดา มนุษย์ สัตว์นรก เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันรู้รูปนามต่างกัน การกำหนดสัญญาก็ต่างกัน
จะเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดามันหมายถึงจิต หมายถึงความเป็นกาย ถ้าจิตคุณสัญญามาผิด รู้รูปนามรู้กายผิดๆ กายเช่นเข้าใจว่า สัตว์นรกถ้าเป็นเปรตก็จะเป็นปากแหลมๆเท่ารูเข็ม ท้องโตๆ หัวบ้าๆบอๆ แขนยาวๆ โย่งๆ ที่เขาปั้นรูปเปรต กำหนดอย่างนั้นก็จะเห็นรูปนามเป็นรูปสำเร็จเป็น มโนมยอัตตา ต่างคนต่างสัญญาก็ต่างกันส่วนมากจะเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าผู้ที่รู้จริงก็จะรู้ว่า เปรตก็ดี เทวดาก็ดี มันเป็นจิตวิญญาณทั้งนั้น ถ้าจิตวิญญาณสูงก็เป็นเทวดา ถ้าจิตวิญญาณต่ำก็เป็นสัตว์นรก จนเป็นสมมุติเทพ อุปัติเทพ วิสุทธิเทพ เราก็ทำให้จิตใจเราบริสุทธิ์จนไม่เป็นสัตว์นรกไม่เป็นเทวดาอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นมนุษย์ที่จิตเจริญอย่างสูงสุดเป็นอุเบกขา อย่างนี้เป็นต้นเป็นการสรุป ถ้าใครฟังเข้าใจก็จะรู้ว่า อาตมาไม่ใช่คนธรรมดาที่ยากจะอธิบายจิตเจตสิกให้ถึงอรหันต์ได้ ไม่ได้หลงตัวเองแต่พูดอย่างความเป็นจริงด้วยสัจธรรม
เป็นประเด็นที่การจุดธูปจุดเทียนไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธ ดูถูกเขาไม่ได้ด้วยเขาจะเอาตาย
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน นั่งหลับตาปฏิบัติไม่เกิดปัญญามีแต่สัญญา
12 |
การนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นมีแต่ปฏิบัติกับสัญญา ไม่เกิดปัญญา |
การนั่งหลับตาปฏิบัติสมาธิ เมื่อทำได้ถึงขีด ก็จะทำให้เกิดปัญญาโผล่มาเองได้ |
อาจารย์คนนี้เขียนประจำ ในสือพิมพ์ไทยโพสต์แทบลอยด์ เป็นคอลัมน์ประจำเรียกว่าสมาธิชาวบ้าน
จิตที่เป็นสมาธินั้นเราจะทราบได้อย่างไร ก็ให้ลองสังเกตดูถ้าเราปฏิบัติสมาธิแล้วทำมันไปนานๆให้จิตอยู่กับเครื่องรู้ เช่นอยู่กับลมหายใจ ถ้าเราอยู่กับลมหายใจจนจิตกับลมหายใจไม่พรากจากกันและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จิตเป็นลม ลมเป็นจิต เหมือนคนเพ่งไฟก็เพ่งไปจนจิตเป็นไฟ ไฟเป็นจิต เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่พรากจากกัน รวมกันเป็นหนึ่งสำเร็จได้
ช่วงขนาดนั้นความคิดมันจะน้อยลง จนจิตแยกเป็นอิสระจากความคิด ภาพนิมิตกสิณก็เบาบางลงใสบางลงเบาลง สำหรับคนที่ดูลมหายใจ ลมหายใจก็เบาลงจางลงจนกระทั่งลมหายใจ ภาพนิมิตกสิณก็เช่นเดียวกันมันชัดแล้วก็บางลงๆ จนนิมิตกสิณมันหายไป ร่างกายตัวตนก็เบาหายไปด้วย ความคิดก็หายไป ตรงนี้เป็นลักษณะของการภาวนา แล้วไปพบจิตเดิมแท้ จึงมีอาการแบบนี้ กายกับจิตมันเป็นอิสระต่อกัน
ในช่วงแรกก่อนจะถึงจุดนี้ไม่ว่าเป็นกรรมฐานหรือกสิณ การปฏิบัติเบื้องต้นสิ่งที่เราใช้เป็นอุบายมันจะชัดขึ้น ภาพกสิณก็ชัดขึ้นลมหายใจก็ชัดขึ้นก่อน แต่หลังที่มันชัดที่สุดแล้วกรรมฐานมันจะเริ่มเปลี่ยนแปลง เช่นนิมิตกสิณ ตอนแรกมันจะชัดขึ้นชัดยิ่งกว่าลืมตาเห็นเสียอีก สามารถเรียกนิมิตให้เข้ามาใกล้ ให้ถอยหลังหรือขยายให้ใหญ่หรือย่อส่วนก็ได้ จะให้หมุนซ้ายหมุนขวาได้ ตอนนี้นิมิตภาพจะคมชัดมากชัดกว่าตาเห็น
พอหลังจากนั้นแล้วพอมันได้ที่ของมันแล้ว ก็จะเริ่มบางลงๆ แล้วภาพนิมิตนั้นมันก็จะหายไปลมหายใจมันก็บางลงๆ จนมันหายไปไหนที่สุด นี่เป็นลักษณะของการได้สมาธิจิตซึ่งจิตของเรานั้นก็ได้จดจำและบันทึกเรื่องราวไว้มากมาย ทั้งกรรมดีกรรมชั่วดวงวิญญาณทั้งหลายที่ทำกรรมต่างๆไว้ มันก็บันทึกอยู่ในดวงจิตของเรา ในดวงจิตนี้มันก็จะพิพากษาเราเอง เวลาที่เราถึงความตายแล้ว ดวงจิตนี้มันบันทึกความดีความชั่วไว้หมด ไม่มีทางที่จะลบได้ สิ่งใดที่เราเคยทำไว้จิตมันบันทึกไว้หมดแล้ว เราหลอกคนทั้งโลกได้แต่ไม่สามารถหลอกตนเองได้ ดังนั้นแล้วนรกมันก็อยู่ในใจเรานี่แหละ เวียนอยู่ในจิตในความคิดมันก็จะแปลงมาเป็นนรกภูมิลงโทษเรา
เช่นถ้าเราไปทำกรรมเรื่องนี้ มันก็จะมีบทลงโทษตามนี้ตามแต่เรื่องที่เราได้กระทำไว้ เช่นเราไปข่มขืนคนก็ต้องได้รับบทลงโทษให้ไปปีนต้นงิ้ว ผิดกรรมแบบไหนก็จะมีบทลงโทษที่ต่างกันออกไป ปรโลกในจิตของแต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันตามแต่จิตมันจะชักนำไป แต่ก็จะมีส่วนที่เชื่อมโยงกันอยู่ในวัฏสงสารเดียวกัน ด้วยตราบใดที่เรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ใจเราเองมันก็จะสร้างนรกขึ้นมาเพื่อจองจำลงโทษเรา มันจะไปเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆที่เราต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ โดยมีพลังงานที่สูงกว่าคอยดูแลอีกทีหนึ่ง ซึ่งในคติไทยโบราณเราเรียกพลังงานนั้นว่าพญายมราช ที่คอยจะชี้ให้เราไปรับกรรมอยู่ในภูมิต่างๆเป็นพลังงานที่คุมวิญญาณในการเวียนว่ายตายเกิดเป็นพลังงานที่สูงกว่าวิญญาณทั่วไปมาก มีอำนาจในการสั่งให้ไปรับกรรมในขุมไหนยาวนานเท่าไร เราเรียกว่าพญายมเพราะของเราเรียกแบบนี้ ของต่างชาติเขาก็จะเรียกแตกต่างกันออกไป
เรื่องของอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตายนั้น ก็ในการเปลี่ยนภพภูมิของดวงวิญญาณคนเราก่อนจะตาย บางคนก็เชื่อว่าต้องพูดให้เขาฟังแต่เรื่องดีๆให้นึกถึงกรรมดีที่เคยทำเอาพระมาบรรยายธรรมนำจิตให้จิตมันไปนึกถึงกุศลบุญยึดสิ่งดีๆ พอตายไปแล้วอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย มันจะพาไปสู่สุคติภพ สุคติภูมิ สิ่งที่เชื่อแบบนั้นมันก็จริงในระดับหนึ่ง แต่พอเราตัดสัญญาจากจิตสำนึกสู่จิตไร้สำนึก หรือว่าเข้าสู่สัญญา โดยแท้จริงแล้วจิตสุดท้ายก่อนตาย ถึงเราจะตกแต่งสวรรค์ให้มันเห็นบุญก่อนตายยังไงก็ตาม แม้มันจะมีบุญนั้นนำไปแสวงบุญในภพภูมิที่เป็นบุญกุศลแต่ก็ชั่วขณะเท่านั้น แต่กรรมจริงๆที่ทำไว้หลังจากจิตเข้าสู่ภาวะของความตาย โดยแท้จริงแล้วกรรมที่ทำมาทั้งหมดมันจะผุดขึ้นมาในจิต อะไรก็ตามที่เราทำไว้ปกปิดไว้ไม่อยากให้ใครรู้หรืออยากจะลืม แต่เพราะถึงอำนาจจิตใต้สำนึกส่วนนี้แล้วกรรมเหล่านั้นมันจะหลั่งไหลโผล่ออกมาหมดกรรมที่เราตกแต่งไว้ ว่าอยากให้นึกถึงบุญนึกถึงสวรรค์วิมานอะไรก็หนีกรรมจริงไม่พ้น
เพราะนี่เป็นกรรมจริงๆที่จิตบันทึกไว้ไม่ใช่กรรมที่ตกแต่งก่อนตาย กรรมที่ตกแต่งก่อนตายก็เพื่อให้คนที่อยู่รู้สึกดีที่ได้ทำอะไรให้กับผู้ที่เป็นที่รักที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น ดังนั้นแล้วให้เราตกแต่งจิตอย่างไรก่อนที่เราจะตายแต่บุญจากจิตสุดท้ายก่อนตายมันก็จะพาเราไปเสวยสุขเพียงชั่วคราวเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วพอเข้าสู่จิตไร้สำนึกแล้ว มันก็จะไปเอากรรมจริงๆที่เราได้ไปกระทำมา ส่งผลกับดวงจิตนั้นทันที แต่ถ้าจิตสุดท้ายเราทำดีด้วย และจิตขณะมีชีวิตก็สร้างสมกรรมดีมาโดยตลอดก็ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรกับจุดสุดท้ายของเราเลย ได้ขึ้นสวรรค์ก็ขึ้นต่อไปเลยไม่งั้นขึ้นสวรรค์แป๊บเดียวก็ต้องลงนรกทันที เพราะความจริงก็คือคนชั่วกรรมชั่วก็โผล่มาเยอะแยะหนีไม่พ้น เพราะกรรมชั่วต่างๆที่ทำไว้มันไม่มีทางหนีพ้นหลอกตัวเองว่าเหมือนไม่ได้ทำไว้ แต่พอเข้าสู่จิตไร้สำนึกแล้วกรรมชั่วแล้วนั้น ก็ไหลออกมาดึงลากมาลงนรกเพราะความจริงมันเป็นแบบนั้น
ไปฆ่าใครไปคดโกงอะไรเขาไว้ก็หนีไม่พ้น เพราะจิตเราเป็นผู้บันทึกไม่ใช่ใครอื่นเป็นผู้บันทึก และจิตเราเองหลอกไม่ได้ ก่อนเราจะตายทำชั่วไว้เยอะแยะมากมายแต่ก่อนตายมานึกถึงพระถึงบุญ มันก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ได้ไปเสวยอารมณ์นั้นเพียงเล็กน้อยก็ต้องไปรับกรรมจริงๆ แต่ถ้าเราทำดีมาตลอดอยู่แล้ว จิตสุดท้ายที่ทำดีด้วยก็จะช่วยกันไม่ให้เราไปตกนรกในอบายภูมิแม้เพียงเล็กน้อยก็ตามจิตที่ตายไปแล้ว หลังจากเข้าสู่สภาวะจิตไร้สำนึกแล้วในสภาวะนี้บุญกรรมมันแสดงตามความเป็นจริง ไม่สามารถนึกบุญใดมาตกแต่งบุญกรรมได้อีกถ้าเราปฏิบัติไปเราจะเห็นความจริงว่ามันเป็นอย่างนี้
พ่อครูว่า...เขามีภูมิลักษณะเทวนิยมอย่างนี้อธิบายได้ดีนะ ศาสนาที่งมงายในนรกสวรรค์ แทนที่จะรู้ว่าสังขารเราปรุงแต่ง นรกสวรรค์อย่างไร เกิดจากกิเลสอะไรแล้วล้างกิเลส ให้เกิดเป็น อุปัติเทพ จนเป็นวิสุทธิเทพได้
แต่ถ้าเขาเข้าใจอย่างนี้ก็ต้องการสวรรค์ ก็จะได้แค่สมมุติเทพ ไม่สามารถที่จะเป็น อุปัติเทพหรือวิสุทธิเทพ เป็นเทวดาสูงสุด เพราะได้ล้างกิเลสหมด อุปัติเทพก็ได้เจริญ มีการกำจัดกิเลสเป็นส่วนแห่งบุญไปเรื่อยๆเป็นโลกุตระ ส่วนสมมุติเทพ เป็นเทวดาโลกีย์มีสวรรค์นรก จะไม่เรียนรู้ว่า ศาสนาพุทธนั้นไม่มีสวรรค์นรก หมดสวรรค์นรก เมื่ออ่านคำสอนที่ว่า ศาสนาพุทธจะหมดสวรรค์และนรกเขาก็จะไปตาม แต่โดยสำนึกโดยปัญญาอาจารย์เหล่านั้นจะไม่สงสัยเลยว่าอันนี้คือเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ เขาจะไม่ระลึกไม่รู้หรอก ว่าให้หยุดสวรรค์ ให้หยุดนรก ให้เลิกสวรรค์ ให้เลิกนรก เขาจะไม่เข้าใจ ไม่พูดเรื่องนี้เลย เพราะไม่เข้าใจเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ กลายเป็นเรื่องเทวนิยมไปตลอดกาลนาน ไม่หมดไปจากสวรรค์
เพราะว่าสวรรค์สูงสุดของเขา ถือว่านิพพานอยู่ยอดที่สุดของสวรรค์ เป็นอัตตา ไม่เป็นอนัตตา ไม่หมดสวรรค์ ไม่หมดนรก เป็นความเชื่อลึกๆส่วนใหญ่ของคนทั่วไป
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน หมดสวรรค์ก็หมดนรก
ในพระไตรปิฎกในคำสอนพระพุทธเจ้าที่บอกว่าไม่มีสวรรค์ เช่น ในทานสูตร ยืนยันไว้จริงว่าจะต้องตั้งจิตอย่างไร ทำทาน ถ้าคุณทำทานแล้ว คุณจะต้องทำเป็นกุศล
กุศลก็เป็นสวรรค์ แต่การทำทานของพระพุทธเจ้า ทำแล้วไม่มีทั้งกุศลและอกุศล คือจิตจะไม่สร้างอาการหวังว่าจะได้อะไรจะได้สวรรค์หรือได้อะไรไม่มีสวรรค์การทำทานที่ถูกต้องของศาสนาพุทธ ยิ่งทำทานผิด ตั้งภพเป็นเทวดาชั้นนั้นนี้ก็ไปกันใหญ่เลย เริ่มต้นมีความหวังเป็นสวรรค์เป็นภพชาติครั้งหน้าเรียกว่า สาเปกโข ยิ่งสั่งสมเป็นสันนิธิ ชั้นต่อไปๆ ก็จะยิ่งออกนอกศาสนาพุทธ
สั่งสมแล้ว ก็มีปฏิพัทจิตโต ชอบในสวรรค์
ล.23 ข49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว มี
1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ
2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทาน เทติ
3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทาน เทติ
4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทาน เทติ
อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี
อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี
อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้
อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ
อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ)
อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)
ผู้ที่รู้การปรุงแต่งจิต อภิสังขาร เป็นโลกุตระ แต่ถ้าไม่รู้ก็จะยิ่งสังขารที่เป็นโลกียะ เป็นภพ เป็นชาติ เป็นตัวเป็นตนไปหมดเลย ตั้งแต่ เทวดา 6 จนถึงพรหม 20
ไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิที่แท้ว่า ศาสนาพุทธนั้นดับนรกสวรรค์ ดับสุขทุกข์เป็นนิพพาน ศาสนาพุทธไม่หลงสวรรค์หลงนรก
จะต้องมาลดความเป็นสวรรค์ไปเป็นลำดับขั้น สวรรค์กับนรกก็เป็นอันเดียวกัน ถ้าลดสวรรค์ นรกก็ลดลง เมื่อสวรรค์หมด นรกก็หมดด้วย ทิศทางสัมมาทิฏฐิของศาสนาพุทธนั้นหมดภพจบชาติไม่มีทั้งภพสวรรค์และภพนรก ไม่มีใครอยากสร้างภพนรก ไม่มีใครอยากได้นรกให้แก่ตัวเองมีแต่จะสร้างสวรรค์ทั้งนั้น แต่ยิ่งสร้างสวรรค์เท่าไหร่ก็คือได้นรกเท่านั้น สร้างสวรรค์ใหญ่เท่าไหร่ก็ได้นรกใหญ่เท่านั้น คนสร้างสวรรค์ก็เท่ากับสร้างนรกให้กับตนเอง
สมณะเดินดินว่า...วันนี้พ่อครูเน้น รูป 28
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:15:26 )
รายละเอียด
601001_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก บรรลุความจนได้ต้องทำให้ถึงฌาน
สมณะเพาะพุทธว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2560 ที่สันติอโศก พ่อครู จะมานำเสนอเรื่องของความจน
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนสองแบบในโลก
พ่อครูว่า...ท่านจันทร์ได้กล่าวถึงว่าวันนี้อาตมาจะเทศน์ถึงเรื่องความจน ประเทศไทยทำไมถึงไม่ได้ศึกษาคำตรัสของใน หลวงที่ท่านตรัสให้บริหารแบบคนจน ท่านตรัสจริงๆ ท่านทรงมีพระเจตนาจริงๆ แต่ช่างกระไร อาตมาว่านะ ข้าราชการผู้บริหารต่างๆ ไม่พยายามเอาใจใส่และศึกษานำมาดำเนินตามพระราชดำรัสที่ว่า เพราะเป็นสิ่งวิเศษจริงๆวิเศษยิ่งใหญ่มากจริงๆในโลก ต้องเข้าใจและพยายามพัฒนา จะปฏิรูปปฏิวัติอะไรก็ตามแต่ สังคมมนุษยชาติให้ไปสู่ในระบบ แบบคนจน แล้วก็เป็นไปให้เป็นคนขาดทุน ไม่ใช่เป็นคนเอากำไรกัน ให้เป็นคนขาดทุน ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา ตามพระราชดำรัสที่เราเอามาย้ำตลอดมาให้ได้ มันเป็นเรื่องประเสริฐสุด เป็นเรื่องวิเศษสุด เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่
เรื่องความจนนี้ พระพุทธเจ้าตั้งแต่ออกมาทำศาสนาก็พาให้คนมาจน พระพุทธเจ้าทิ้งทรัพย์สมบัติออกมา มาอยู่อย่างไม่มีสมบัติพัสถานอะไรเลย ที่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา อันนี้สุดยอดแล้ว แล้วก็ต้องเป็นไปในแนวนี้ให้ได้ตามลำดับจริงๆ พระพุทธเจ้าจึงปฏิเสธไม่ได้ คนที่พูดชัดๆ โ่งเง่างมงายอยู่เท่านั้นที่ไม่เข้าใจจุดนี้ ถ้าไม่โง่เง่างมงายก็จะเข้าใจจุดนี้ได้ คนจนนี้เป็นโลกุตระ แต่คนจนที่เป็นโลกีย์ก็มี
คนรวยไม่รู้จบคือคนจนที่น่าทุเรศ คนที่น่าสังเวช
คนจนโลกุตระนั้นเป็นนักเศรษฐศาสตร์เบอร์หนึ่ง เป็นผู้พัฒนาเศรษฐกิจให้แก่ชาติ ขออภัยอย่างยิ่งต่อทุกๆคนที่จะกล่าวว่าชาวอโศกเป็นผู้พัฒนาเศรษฐกิจให้แก่มนุษยชาติ มุ่งมาจน ตั้งใจจน พยายามพัฒนาตนเองให้เป็นคนจนจริงๆอย่างจริงใจ พระพุทธเจ้ามีวิธีแล้ว ศึกษาตามพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าให้เป็นคนจน แล้วก็ทำงานมีชีวิตที่จะมาเป็นคนจนให้ได้
คนยากจนหรือคนจนในโลกมีอยู่ 2 อย่างใหญ่ๆ 2 พวก คือพวกโลกียะกับพวกโลกุตระ เรียกภาษาง่ายๆว่าโลกีย์ กับโลกุต
โลกียะไม่ว่าคนจนหรือคนคนรวยไม่ต้องการความจน ดิ้นรนออกจากความจน ต้องการความรวยไม่มีที่สิ้นสุด
พวกโลกุตระ โลกุต พวกนี้เข้าใจความจน และทำตนให้รู้จักพอ ถึงขั้นทำตนให้จนได้จริงๆ ทำตนมักน้อยสันโดษได้จริงๆ
คนจนอย่างโลกียะนั้นมีทุกข์ ไม่ว่าคนจนหรือความรวยก็มีทุกข์ เพราะต้องการความรวย ไม่ต้องการความจนจึงมีทุกข์ ความต้องการหรือกิเลสตัณหาเป็นเหตุแห่งทุกข์อริยสัจ ไม่ว่าคนรวยคนจนตามสภาพ มีสภาพจนหรือมีสภาพรวยแต่เป็นคนที่ไม่ต้องการจน ยังต้องการความรวยอยู่ คนนั้นทุกข์ทุกคน ทุกข์อยู่ตลอดกาลและนาน
ส่วนคนจนโลกุตระนั้นไม่มีทุกข์ ทุกข์แม้จะเป็นคนจนจริงๆก็เป็นคนไม่ทุกข์เพราะเข้าใจความจน และอยู่อย่างจนอย่างไม่ทุกข์
คนจนโลกีย์ ไม่สะพัดความมีความได้ เป็นคนกักตุน เป็นคนแย่งชิงเป็นคนทำลายเศรษฐกิจ รวยเป็นล้านๆแต่ไม่มีจบ ไม่มีแจก ไม่มีจ่าย ไม่มีการให้สละคนอื่น ก็ยังเป็นคนจน เป็นคนจนที่หน้าเลือดด้วย พวกรวยไม่รู้จบเป็นคนจนหน้าเลือด คนจนโลกียะเป็นอย่างนั้น
คนจนโลกุตระจะสะพัด ความมีความได้ ไม่กักตุน ไม่แย่งชิง ไม่เอาเปรียบ และเป็นคนเกื้อกูลแจกจ่ายให้สังคม จึงเป็นคนเจริญก้าวหน้าในเศรษฐกิจ ชาวอโศกคือคนเจริญในเศรษฐกิจ อาตมานำพาปฏิบัติมา 30-40 ปีแล้ว มีผลสำเร็จในตัว จึงอยู่อย่างเป็นคนนำพาเศรษฐกิจให้สังคม ต้องพูดให้เลยว่าจะจบดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนแบบมีวรรณะ 9
ยืนยันว่า ความจนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลย ถือเป็นคนพัฒนา เป็นคนจนแบบมีวรรณะ 9
1. เลี้ยงง่าย (สุภระ)
2. บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
3. มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)
4. ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
5. ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
6. เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
8. ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9
9. ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) ยอดขยัน
นี่คือคนมีวรรณะ the classesไม่ใช่ the masses เป็นคนชั้นสูงของพระพุทธเจ้าเป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนมีชีวิตกินอยู่ไปมาไม่ยุ่งยาก อาศัยคนอื่นบ้างเมื่อจำเป็น เมื่อไม่จำเป็นก็ช่วยตัวเองเกื้อกูลคนอื่นไปเรื่อยๆ บำรุงให้เจริญได้ง่าย เป็นคนมักน้อยหรือกล้าจน ชอบมีน้อยๆไม่ชอบมีมากๆ อัปปิจฉะใจพอ สันตุฏฐี หรือสันโดษ ไม่ใช่พึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ….ไม่อย่างนั้นไปถามคุณเจริญเขาก็ต้องพอใจในสมบัติแสนล้านของตัวเอง ไปถามคุณธนินท์ก็ยินดีในกันแสนล้านของตัวเอง ทั้งนั้นแหละ ใครก็ตามพอใจ แม้แต่โจรที่ปล้นได้แล้วก็รวยก็พอใจในสิ่งที่ตนมีทั้งนั้น การแปลสันโดษว่าพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่นั้นผิด แปลผิดมากเลย เป็นการเลี่ยงบาลี สันโดษแปลว่าใจพอ จิตใจรู้จักพอไปหาน้อยลง กินวันละ 3 มื้อ แต่ก่อนนี้กินวันละไม่รู้จักมื้อ ก็หยุดมาได้ เลิกมาได้ กินวันละ 3 มื้อก็พอ ใจก็พอ ไม่กินจุบจิบ ลดลงมากิน 2 มื้อได้ก็พอ ใจมันพอสองมื้อก็พอ ก็เป็นคนเจริญจะเป็นคนรู้จักความพอ
เงินทองใช้เดือนละ 50,000 มันมากไปก็ลดเหลือใช้เดือนละ 20,000 ก็พอ ลงมาเรื่อยๆใช้เดือนละ 10,000 ก็พอ ดีไม่ดีใช้เดือนละ 5,000 ก็พอ ยิ่งลดลงมาน้อยลงก็พอ พอโดยสุขภาพไม่เสีย การเป็นอยู่ได้ดี พัฒนาตนเองได้มีคุณค่าประโยชน์ อย่างนี้เป็นต้น
เป็นคน สัลเลขะ ขัดเกลากายกรรม วจีกรรม ขัดเกลามโนกรรม กิเลสเรามีเท่าไหร่ก็ขัดเกลาออกไป หาวิธี มีวิธี เรียนรู้วิธีขัดเกลาตนเองจริงๆ
ผู้ที่สามารถปฏิบัติจนถึงขัดเกลากิเลสได้ก็จะเป็นคนมีหลักเกณฑ์ ที่จะชำระกิเลสทำลายกิเลส แล้วก็เจริญด้วยการมีหลักเกณฑ์ในการชำระกิเลสเรียกว่า ธูตะหรือองค์ของธูตะ เปลี่ยนไปเป็นภาษาไทยด้วยกว่าธุดงค์ สามารถมีหลักเกณฑ์มีข้อมีศีลในการขัดเกลาตัวเองให้สูงขึ้นเจริญขึ้น มีศีลที่สูงขึ้น ธูตะ เรียกสั้นๆว่า มีศีลเคร่ง สำหรับผู้ที่ปฏิบัติได้แล้วไม่เคร่งหรอก เพิ่มขึ้นได้อีกได้แล้วก็เคร่งกันอีกได้แล้วก็เคร่งกันอีกนี่คือลักษณะของ ธูตะหรือองค์ของธูตะ ธุดงค์
มีอาการของ ปาสาทิกะ ปฏิบัติแล้วกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม น่าเลื่อมใส อย่างลักษณะของอาตมาเป็นคนแสดงออกอย่างแรง เพื่อให้เข้าใจให้ได้ชัด คนไม่เข้าใจก็จะถือสา
ปาสาทิกะ เป็นคนที่พัฒนาตัวเองไป คนที่มีดวงตามีปัญญาความรู้จะเห็นว่าคนนี้น่าเลื่อมใส มีอาการกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมน่าเลื่อมใส ที่จริงอาตมาทำงานพยายามช่วยเหลือมนุษย์ เสียสละสร้างสรรด้วยแรงกายแรงใจมาตลอด ตั้งแต่รู้ว่าชีวิตต้องมาดำเนินทางนี้ทำงานทั้งนี้ก็คือมาบวชนี่แหละ 47 ปีแล้วอาตมาทำ คนที่รู้ที่เห็นที่เข้าใจจะรู้สึกเลื่อมใสอาตมา ถ้าอาตมาอยู่แย่งชิงสังคมโลกก็จะแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขได้ไม่มีปัญหา ดีไม่ดีป่านนี้ ถ้าอาตมาอยู่ ไม่แน่ RS หรือแกรมมี่ก็คงเกิดได้ยาก ตอนนั้นอาตมาตั้งชื่อบริษัทหัวใจสีชมพูแล้ว ทางธุรกิจบันเทิง อาตมาชอบทำงานด้วย อาจจะมีสำนักโทรทัศน์เหมือนอย่างนี้แล้ว ก็คุยโม้ไปไม่ได้เกิด มันมาทางนี้ซะก่อน
คนจนโลกีย์กับคนจนโลกุตระก็คนละอย่างกัน คนจนโลกุตระนี่แหละคือตัวจริงของผู้ที่พัฒนาและช่วยเหลือเศรษฐกิจของโลกอยู่ ส่วนคนที่รวยนั้นเป็นคนทำลายเศรษฐกิจ ยิ่งรวยไม่รู้จบก็เป็นคนทำลายเศรษฐกิจของประเทศของสังคมของโลก
คนรวยคือคนทำลายเศรษฐกิจตัวร้าย ยิ่งจะเพิ่มความรวย หรือรวยไม่พอ รวยไม่พอเพียง รวยไม่รู้จบคือตัวทำลายเศรษฐกิจ เป็นคนปิดกั้นการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นคนโง่ในเรื่องของเศรษฐกิจ เป็นกบฏต่อการพัฒนาประเทศ คือคนรวย อาตมาพูดหนักพูดแรงพูดชัดพูดให้ชัดแล้วจะเข้าใจน้ำหนักของภาษาที่อาตมาใช้ อาตมาเลือกภาษามาใช้ เพื่อจะกระทุ้งกระแทกให้เข้าใจชัดๆ ให้เห็นว่ามันรุนแรงร้ายแรงมาก ทั่วโลกเข้าใจว่าความรวยเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นสิ่งที่กูจะต้องสร้างประเทศด้วยความรวย กูจะต้องรวย ไม่ใช่
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน แบบคนจนตามรอยพ่อ
นึกถึงในหลวงแล้วสุดประเสริฐเป็นพระโพธิสัตว์ที่เข้าใจประเทศชาติเข้าใจโลก ที่ท่านได้ตรัสคำนี้อธิบายท้าวความ มีรัฐมนตรีเกาหลีมาทูลถามว่าจะบริหารประเทศแบบไหน จึงเจริญดีประเสริฐ ก็ถามเซ้าซี้ สุดท้ายท่านก็บอก โดยที่ท่านรู้ในพระทัยว่าถ้าตรัสออกไปรัฐมนตรีเกาหลีต้องหูหักแน่นอน แต่สุดท้ายท่านก็ต้องตรัสว่า ต้องบริหารแบบคนจน แต่พวกเขาเอาแต่รวยๆ รวยทุกๆวัน เขาก็นึกว่าประเทศเขาเจริญที่ได้รวยๆ มันเป็นความย้อนแย้ง แต่มีสภาพซับซ้อนลึกซึ้งมากเลย เป็นสิ่งประเสริฐ
ขออัญเชิญพระราชดำรัสในหลวงเป็นคลิปมาก่อน
ขอแวะนิดหนึ่งว่า โทรทัศน์ของเราเป็นโทรทัศน์คนจน ขณะนี้กล้องที่ถ่ายอยู่ 3 กล้องไม่มีคนคุมเลย มีแต่คนใจดำ อาตมาไม่รู้ว่าทำไมไม่มีกะจิตกะใจ ก็รู้ว่าพวกเราทำงานแบบนี้เวลานี้คือเวลาออกอากาศ แล้วคนที่มีความสามารถความรู้ในเรื่องนี้ไม่มีน้ำใจเลย ปล่อยให้คนทำๆอยู่คนเดียว นายป๊อบวิ่งเข้าวิ่งออก วิ่งดูอยู่สามกล้อง ขอประจานตัวเองเบื้องหลังชาวอโศกออกไป พูดแบบนี้แล้วจะรู้สึกหรือไม่ จะมาช่วยหรือไม่ช่วยก็แล้วแต่
ในหลวงทรงงานมาตลอด 70 พรรษา ท่านเองมีภูมิธรรม แห่งความเป็นมนุษยชาติ แห่งความเป็นสังคมสูงส่ง เป็นพระโพธิสัตว์ที่เป็นผู้ที่รู้จักเรื่องของมนุษย์และสังคม อาตมาพูดย้ำไม่รู้กี่ที พระพุทธเจ้าสำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านไม่ได้ศึกษาอะไรนอกจากความมนุษย์และความเป็นสังคม แล้วท่านก็มาช่วยมนุษย์ช่วยสังคมนี่คือจบ แล้วท่านก็ทำหน้าที่อันนี้จนกระทั่งปรินิพพาน เป็นปริโยสาน
ในหลวงเราเป็นผู้ที่ดำเนินรอยตามพระพุทธบาทแล้วก็บำเพ็ญมาจนถึงปางนี้ เป็นพระโพธิสัตว์ในปางของความเป็นพระมหาชนก ดำเนินรอยตามพระมหาชนกกับพระเตมีย์ใบ้
ที่อาตมาใช้คำว่าเตมีย์ใบ้ เพราะท่านไม่ตรัสอะไรมาก เงียบ อย่างนี้เป็นต้น พูดน้อย ไม่ใช่ท่านเป็นใบ้นะ ฉายาเตมีย์ใบ้แต่ท่านไม่ตรัส นี่แหละคือในหลวงภูมิพลอดุลยเดช เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องที่สุดยอด แล้วท่านตรัสไปแล้วใครจะสนองพระราชดำรัส ออกไปศึกษาปฏิบัติตามก็ทำ ไม่สนองก็แล้วไป
"แบบที่เรียกว่า ทำ "แบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคตยังมี" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ "ถอยหลังเข้าคลอง"แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ"
(พระราชดํารัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษา : 4 ธันวาคม 2534) .
คนจนที่เราหมายถึงนี้ไม่ได้หมายถึงคนจนที่ขี้เกียจขี้คร้านไม่สร้างสรรค์ไม่มีสมรรถนะความสามารถไม่ใช่ แต่เป็นคนจนที่มีความรู้ความสามารถ เป็นด็อกเตอร์ก็ได้เรียนมาสูงมีสมรรถนะสูงสร้างสรรค์อยู่มีผลผลิตก็มาก แต่สละออก สะพัดกระจายเพื่อแผ่สงเคราะห์แก่ผู้อื่นให้ได้มากๆ สรุปรวมแล้ว เป็นคนขาดทุน ขาดทุนคืออย่างไร
ขาดทุนคือ ให้แก่ผู้อื่น เช่นผลผลิต สร้างขึ้นมา ราคาของสังคมมีร้อย แล้วเราก็ขายให้แก่สังคม 80 50 ต่ำกว่าราคาตลาด แต่ว่าต่ำกว่าราคาตลาดแล้ว มันต่ำกว่าที่ตัวเองจะอยู่ได้ไหม การคิดทุนต้องคิดค่าวัสดุต่างๆ ค่าโสหุ้ย พร้อมกับค่าแรงงานของเราเองด้วย นั่นคือราคาทุน ในวิธีคิดของทุนนิยมของเขา ทุนนี้เก็บหมดเลย เขาจะคิดค่าวัสดุค่าอะไรที่มันจะมี ค่าโสหุ้ยไม่พอยังรวมไปอีกว่า มันจะมี error อะไรไหม บวกเข้าไปอีก 3% 5% 7% ก็แล้วแต่
นี่คือความโหดเหี้ยมของระบบทุนนิยม แล้วก็ดำเนินทฤษฎีนี้อยู่ในโลก อาตมาบอกว่ามันไปไม่รอดหรอกสังคมโลก ถ้ามันไปแบบนี้กัน ตายแน่ๆ ไม่เจริญ เข่นฆ่าแข่งขันแย่งชิงฆ่าแกงกันอย่างนี้ไม่มีสงบได้หรอก ไม่เป็นสุขหรอก ชาวอโศกมาดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้าตามรอยพระยุคลบาทของในหลวง มาทำแบบคนจน สงบ เบาสบาย จนถึงมาอยู่ในสังคมสาธารณโภคี เป็นแบบคนจนที่ถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์กระทำของความเป็นพฤติกรรมสังคม
ชาวอโศกมาทำงานฟรีเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ กินใช้อยู่กับส่วนกลางยิ่งกว่าคิปบุชหรือคอมมิวนิสต์ หรือสังคมนิยมแบบไหนก็ตาม นี่คือสุดยอดเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้วมีคนมาประพฤติปฏิบัติได้ สำเร็จเป็นผลจริง มีประสิทธิภาพจริง สุดยอด
แล้วคนที่มีชีวิตอย่างคนจนดังกล่าวนี้ เขาเป็นสุขนะ ปรมังสุขัง ไม่ได้สุขอย่างบำเรอกิเลสด้วย วูปสโสุข เอาภาษาคำว่าสุขมาใช้ ที่จริงแล้วไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นสุดยอดของความสุข คืออทุกขมสุข มีจิตใจอย่างนั้นจริงๆ อาตมาพูดได้เพราะว่าอาตมามีจิตอย่างนี้จริงๆ ชาวอโศกก็เราก็ทำได้ ก็อยู่กันไปจนกว่าจะตาย เผากันไปหลายคนแล้ว
อาตมาไม่ได้เป็นคนประดิษฐ์ประดอยคำพูดให้หวานให้ไพเราะ อาตมาพูดอย่างสุภาพที่สุดแล้ว เพราะว่าพูดอย่างมีภาวะที่ดีที่สุด เป็นภาษาพูดที่เข้าใจง่ายเข้าใจตรงเข้าใจสั้น ไม่มีดราม่า ไม่มีไว้ท่า ไม่มีท่ามากอะไร พูดตรงๆเป็นอย่างนั้น
ถ้าเผื่อว่าในเมืองไทยที่มีพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระปัญญาธิคุณรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นสังคมความเป็นมนุษย์อย่างนี้ ท่านก็ทรงบรรยาย ทรงสอน แต่เขาก็เอามาเผยแพร่ไป แต่ประชาชนผู้บริหารไม่พยายามศึกษาตาม แล้วมาลดกิเลสให้ได้แล้วมาเป็นคนจน ต้องขออภัยที่พูดยกตัวเองพวกตัวเอง
ชาวอโศกเป็นตัวอย่างของสังคมประเทศไทย เป็นชีวิตที่ดำเนินแบบคนจน ปฏิบัติตัวเองมา แล้วก็เป็นคนที่มีชีวิตขาดทุนให้แก่สังคม โดยที่เรารู้ดีว่าเราทำอะไร เราได้กำไรอย่างไร กำไรคือเราได้เสียสละ
ในหลวงท่านตรัสไว้ว่า เราเสียนั่นแหละคือเราได้ ตามคลิปเมื่อกี้นี้ เสียอะไร คำว่าเสียตัวนี้คือการสละ เรียกเต็มๆ ว่าเสียสละ ไม่ใช่พูดด้วยภาษาตื้นๆ แต่เป็นผู้ที่ให้ เป็นผู้ที่ขาดทุนให้แก่สังคม ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา ให้แก่สังคมให้แก่ผู้อื่นออกไป
การขาดทุนนี้ไม่ได้ขาดทุนอย่างโง่เง่าหมดเนื้อหมดตัว เพราะว่าคิดทุนหมดแล้วมันมีค่าตัว ค่าตัวเรา 100 ไม่ได้ให้ไปหมดทั้งร้อย เราก็เหลือไว้กินใช้ของเราเท่าที่พอ นอกนั้นก็ให้แก่สังคมไปมันก็มีเหลืออยู่แล้ว เราไม่ได้ตีค่าตัวจนเกินจริง เอาตามอัตราสังคมเขา ราคาตัวเราเท่าไหร่ เราก็ประมาณเอาไม่ตายตัวบอกไปยาก
เป็นผู้ที่เข้าใจว่าเราเป็นผู้ที่อยู่อย่างเสียสละ ไม่ได้โลภมากเห็นแก่ตัวกอบโกยไม่มีที่สิ้นสุด คนมีจริตอย่างนี้มีความคิดรอบเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวมันไม่เจริญหรอก จะร่ำรวยขนาดไหนก็ไม่เจริญ แถมมีชื่อว่าเจริญก็ไม่เจริญ
สมณะเพาะพุทธว่า...ประเทศไทยถูกยึดครองโดยสองเจริญ 1 เจริญโภคภัณฑ์ 2 เจริญ สิริวัฒนภักดี
พ่อครูว่า...เป็นสิ่งที่เป็นสองเป็นสิ่งที่ยืนยันความลงตัวทุกอย่างจะแสดงรูปและนามที่ลงตัว ประเทศไทยเป็นประเทศที่เขายืนยันว่ายุคนี้เป็นชมพูทวีป และมีสิ่งที่ลงตัวเป็นรูปธรรมเป็นรูปนามยืนยันจริงๆ อาตมาไม่เก่งพอที่จะใช้นิรุติปฏิภาณพอจะอธิบายให้คนรู้ได้ครบถ้วนได้ ถ้าคนที่เก่งจะพูดได้ว่าประเทศไทยเป็นเช่นนั้นจริงๆ เป็นประเทศที่มีอาริยธรรมโลกุตรธรรม Civilization ขั้นโลกุตระ
สหประชาชาติก็ขานรับให้ในหลวงเป็นผู้ที่ทรงบริหารประเทศที่เขายกให้ ทูลเกล้าถวายรางวัลเลยมีมาแล้วไม่ได้พูดลอยๆเป็นเรื่องจริง และเป็นสิ่งรับรองยืนยันเป็นปรากฏการณ์ Phenomena ที่รับรองมาแล้ว
พระพุทธเจ้ามีสมบัติพัสถานก็ทิ้งออกมาอย่างไม่ใยดี ไม่ไปวอแวไม่มีจิตอะไรที่จะห่วงหาอาวรณ์สมบัติทางโน้นเลย ขออภัยอาตมาก็เหมือนกันเลิกสมบัติทางโลก แบ่งแจกออกไปเสร็จหมดแล้ว จากวันนั้นจนถึงวันนี้อาตมาไม่เคยไป เรียกร้องทวงอะไรกับสมบัตินั้นเลย แล้วก็แล้วไปจบดำเนินไปได้อย่างนี้
ชีวิตของคนไม่รู้จักว่าคนเราจะเรียกด้วยภาษาว่าเป็นความจน และมาเป็นคนจน คนที่รู้ได้ว่าควรดำรงตนเองเป็นคนจนด้วยมีความจน เป็นความจนอันประเสริฐ ไม่ใช่ความจนอย่างต่ำๆความจนอย่างชั่ว ความจนที่ชั่วคือคนที่รวยมากๆ แล้วก็กอบโกยไม่รู้จักจบจักสิ้น ความจนของคนรวยที่รวยไม่เสร็จไม่สิ้น ก็คือผู้ที่มีความจนที่ชั่วร้ายที่เลวทราม เพราะเป็นความทำลายสังคมมนุษยชาติทำร้ายตัวเอง ตัวเองก็หลงแต่ความรวยในสมบัติพัสถาน
ในหลวงท่านได้ตรัสว่า เราไม่อยากจะรวย ไม่เอาก้าวหน้าแบบนั้น มันเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว เป็นคำตรัสของในหลวงทั้งนั้น “เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ แบบคนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย
ประเทศไทยเราจะต้องเป็นประเทศที่ไม่ร่ำรวย เราก็มีพอสมควรพออยู่ได้ ไม่ต้องมีมากมาย ไม่รวยไม่เป็นประเทศที่รวย แต่มีพอสมควรเลี้ยงตัวเองอยู่ได้ อย่างชาวอโศกไม่รวยแต่มีพอสมควร เป็นคนจนที่ไม่จน
“เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน”
เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้
แต่.. ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก
เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก
เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก
ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง !
ประเทศทุกประเทศต้องการเป็นประเทศที่รวย แม้แต่ประเทศไทยแต่ไม่เอาอย่างในหลวง เอาเศรษฐกิจแบบในหลวงเราเป็นต้น
ท่านตรัสไว้ลึกแรงชัด แต่ไม่มาเอาตาม ประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมากที่บอกว่ามี gdp สูง gdp4 gdp 5 gdp7 gdp 8 ที่บอกว่าเป็นประเทศก้าวหน้า แต่เป็นประเทศที่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า “แบบคนจน” แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือ เมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”
ตำราทั้งหลายมีแต่ตำราพาไปรวย เขาไม่แลไม่สนใจตำราแบบคนจน เขาถือว่าเป็นข้อเขียนที่เป็นเศษสวะ อาตมาเขียนทุกวันนี้เขียนให้มาจน เขาก็ถือว่าเป็นเศษสวะไม่มาสนใจ
ประเทศใดเข้าถึงพฤติกรรมนี้เข้าถึงวัฒนธรรมมีเศรษฐกิจอย่างเศรษฐกิจขั้นสาธารณโภคี ประเทศนั้นเป็นสุดยอดประเทศ มาทำเป็นประเทศไม่ได้ อาตมาก็ทำซ้อนเป็นสังคม สังคมไทยที่เข้าใจแบบนี้ อาตมาก็พามาทำจนเป็นสังคมที่สำเร็จสาธารณโภคี มีชีวิตมีพฤติกรรมชีวิตอยู่ จนเป็นวัฒนธรรมแล้วอย่างนี้เลี้ยงตนเองด้วยระบบสาธารณโภคีสุดยอด เป็นแบบคนจนเป็นแบบเมตตากัน อะลุ่มอล่วยกัน สามัคคีกันเกื้อกูลกัน จากนี้แหละเป็นจุดหมายปลายทางของสังคม เป็นจุดหมายปลายทางของความเจริญ เป็นความเจริญอันสูงสุด อาตมาภาคภูมิใจที่เกิดมาในชาตินี้ทำได้แค่นี้เพื่อสังคมกลุ่มแค่นี้ ซ้อนอยู่ในประเทศไทย แม้ประเทศไทยจะไม่เหลียวแลอาตมา ผู้บริหารทางด้านการเมือง แม้แต่ผู้บริหารทางด้านศาสนาพุทธ ก็ไม่เข้าใจว่าจะมานำพุทธศาสตร์ พุทธธรรมของพระพุทธเจ้ามา เอาของท่านมาปัดฝุ่นมาทำจนสำเร็จ เพราะเขาทำให้ธรรมะพระพุทธเจ้าหม่นหมองจนไม่เห็นเนื้อธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาเอามาล้างฝุ่นให้ออกจนให้คนเห็นว่าธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นแบบนี้แล้วก็ประพฤติกันจนสำเร็จ แม้จะไม่มากมายก็ภูมิใจแล้วได้แค่นี้ก็ภูมิใจแล้ว แล้วจะนำพากันไปจนตาย ตายแล้วจะทำกันต่อไหม ทุกคนขานรับว่าจะทำต่อ
เพราะเป็นเรื่องประเสริฐสุดแล้ว สาธารณโภคีที่เป็นจุดสุดยอดแล้ว ถ้าสังคมใดเข้าใจ โดยเฉพาะในประเทศใดเข้าใจความเป็นชีวิตสังคมมนุษย์แบบนี้ แนวทางการดำเนินชีวิตแบบนี้ สังคมโลกจะมีความเป็นสุขสำราญบานใจ จะไม่มีเรื่องราวอะไรที่เดือดร้อนวุ่นวายนี่เลยจริงๆ
อาตมาขอยืนยันว่าถ้าใครเอาปัญญาดีๆ และเข้ามาสำรวจตรวจสอบ ชุมชนชาวอโศกมาศึกษาให้ดีๆ ว่าด้วยภูมิปัญญาให้ดีๆด้วยความฉลาดแสวงหาความรอบรู้ว่าสังคมควรจะเป็นอย่างไร แล้วมาดูสังคมชีวิตชาวอโศก ชีวิตกินอยู่หลับนอนสบาย ไม่นอนสะดุ้งจนเรือนไหว มีทองแค่หนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว ไม่มีลักษณะนั้นเลย
ดูอย่างหน้าฉากนี้ จะได้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์
สิ่งที่โชว์นี้เป็นปัจจัย 4 เป็นหนึ่งในโลกเป็นอาหาร อาหารเป็นหนึ่งในโลกที่สำคัญที่สุดในความเป็นสัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์ มนุษย์รู้พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกว่าอาหารนี้ กวฬิงการาหาร เป็นข้อต้น ในอาหารทั้ง 4 อาหารเป็นสิ่งที่กินเป็นคำๆกลืนเข้าไปเลี้ยง ร่างกาย
ที่จริงแล้ว อาหารอีก 3 ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร ก็สำคัญที่จะเรียนรู้เพื่อลดความทุกข์ความเสื่อมของชีวิต ถ้าเรียนรู้มโนสัญเจตนา 3 แล้วลดละกิเลสได้ด้วยการมี ผัสสาหาร มีผัสสะเป็นสมุทัย ในการปฏิบัติ ถ้าไม่มีสมุทัยก็ไม่บรรลุ
ตั้งแต่รวมตัวเป็นประเทศสยามก็มีศาสนาพุทธมาตลอด ก็มีคนเชื้อชาติไทยสัญชาติไทยที่นับถือศาสนาอื่นอยู่บ้าง แล้วก็พยายามมาเผยแพร่ให้ได้มาก พยายามอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ศาสนาอิสลามศาสนาใหญ่ๆในโลก พยายามมากระจายเผยแพร่กลืนประเทศไทย แต่กลืนไม่ได้ ประเทศไทยมีพลเมืองนับถือศาสนาพุทธอยู่ 95% ไม่ได้ลดลงเลย เพราะมีต้นทุนอยู่ตั้ง 95% ออกลูกหลานมาก็เป็นพุทธตามสำมะโนครัวอยู่แล้ว ทางโน้นเป็นกลุ่มน้อยออกลูกออกหลานมาอย่างไรก็ไม่ทัน มีอัตราการก้าวหน้าปฏิภาคทวีที่มากกว่า มวลของศาสนาอื่นก็ไล่ไม่ทัน
ศาสนาพุทธนี้อาตมาภาคภูมิใจในคนไทยที่เข้าใจยึดถืออย่างไม่ถอดถอนเปลี่ยนแปลง แม้นที่สุดในถึงยุคนี้วันนี้ คนไทยแสดงตัวเป็นปรากฏการณ์ออกมา เป็นระเบิดรัก ระเบิดรักของคนไทย รักอะไร รักในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่สนามหลวงจะเป็นจุดกลาง ที่ไปสักการะเคารพ พระบรมศพ พระองค์ท่าน ยังฮือฮาคึกคัก เป็นกว่าปีแล้ว ตั้งแต่ 13 ตุลาคม 2559 ก็เกือบครบ 1 ปีแล้ว
เป็นพลังงานความรักที่แรงเรียกว่าระเบิด เรียกว่า bomb of love คำว่า bomb of love ไอน์สไตน์เป็นผู้ที่บัญญัติเรียก ไอน์สไตน์ได้เขียนเป็นจดหมายทิ้งไว้ให้ลูกสาว ให้เก็บจดหมายนี้ไว้บอกว่าต่อไปจะมีปรากฏการณ์ bomb of love เกิดขึ้น พ่อไม่สามารถอธิบายให้ฟังได้ว่าคืออะไร ตลอดชีวิตพ่ออธิบาย E=mc2 อธิบายก็ยากแสนยากแล้ว แต่เรื่องระเบิดรักนี้เป็นปฏิสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าทางสสารทางพลังงาน พ่อมิบังอาจหรอก แต่เก็บไว้จะมีปรากฏการณ์นี้เกิด อาตมาขยายความตามเจตนารมณ์ความรู้ของไอน์สไตน์ และถึงปรากฏการณ์จริงระเบิดรักจากคนจริง ที่ได้แสดงความรักบูชาเทิดทูนต่อในหลวงที่เรียกว่ามันมากมันเหมือนระเบิด ยังไม่จบเลยนะ เป็นระเบิดปรมาณู คุณเคยเห็นไหม พอตูมออกไป ก็จะเป็นรูปลักษณ์ระเบิดที่ยังไม่สลายตัวง่ายๆ
มีความเป็นพระพรหม มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกข ทรงงานแล้วจะได้ไม่ได้ขนาดไหนก็ไม่ทดสอบไม่กังวลมีแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำ ทรงพระจริยวัตรไปตลอดพระชนม์ชีพเลย จนจบ คนไทยมีเลือดของโลกุตรธรรม คือธรรมะที่ไม่มีตัวตน ธรรมะไม่เห็นแก่ตัว ธรรมะทำเพื่อคนอื่น เป็นธรรมะที่ไม่เหลือตัวตนนั้นสูงสุด ในหลวงอย่างไรก็อย่างนั้น โลกุตรธรรม 100% คนไทยขานรับเข้าใจ และก็มาขานรับว่าจะเอาอย่าง จะเดินตามคำสอนพ่อ แสดงออกถึงจิตลึกๆของตัวเองว่าแต่ก่อนก็รู้อยู่ในใจ แต่ยังไม่แสดงออก ตอนนี้ก็แสดงออกกันอย่างเกรียวกราว คนไทยเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ที่รู้จักคุณธรรมโลกุตรธรรมนี้ เป็นความรู้ที่จะแสดงออกจริงแล้ว คนต่างประเทศก็ฉงนว่าทำไมแตกตื่นกับงานศพของพระเจ้าแผ่นดินเขา
บางประเทศบางคนก็อาจจะคิด ยิ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ หรือเป็นประเทศที่แม้จะเป็นประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีในหลวง เขาจะมองว่างมงายอะไรกันมาก เขาจะไม่เข้าใจ คนไทยเคารพความเป็นประชาธิปไตยของในหลวง ในหลวงท่านทรงงานประชาธิปไตยทำงานเพื่อประชาชนจนหมดเนื้อหมดตัว จนวันสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ สุดยอดถ้าใครเข้าใจ
อาตมาได้พยายาม แต่ไม่ได้เป็นผู้ที่ทำงานทางรูปธรรม ก็เลยไม่ค่อยมีรูปธรรมให้เห็น แต่ก็มีอยู่บ้าง
อาตมาพาทำนี้ ขออภัยเหมือนพูดคุยตัว แต่อาตมาพาทำในสภาพ ยอด ขั้นปลาย ขั้นสูง มาเป็นคนจนระดับสาธารณโภคี มาทำงานเสียสละเข้าส่วนกลาง แล้วมาอยู่กันในสังคม กินอยู่ร่วมกัน ซึ่งสังคมประเทศไหนเขาก็ทำไม่ได้หรอกทั้งประเทศ ทำให้เกิดสาธารณโภคีทั้งประเทศไม่ได้ จะมีอย่างเก่งก็หมู่บ้านชุมชนอำเภอ เป็นตำบลเป็นอำเภอยาก แต่ถ้าทำให้เกิดหมู่บ้านสาธารณโภคีได้มากที่สุด สมมุติว่าประเทศไทยมี 80000 หมู่บ้าน ทำให้เป็นหมู่บ้านสาธารณโภคีให้ได้สัก 30000 หมู่บ้านก็เจริญแล้ว ไม่ต้องถึงครึ่งหรอก รับรองว่าประเทศไทยดังไปทั่วโลกเลย รูปธรรมจะชัดเด่น พฤติกรรมเป็นสาธารณโภคีจะปรากฏตัวเลย นักเศรษฐศาสตร์นักสังคมนักเศรษฐกิจจะเข้ามาศึกษาเลย
มีการสะพัดเกื้อกูลช่วยเหลือสร้างสรร คนจนแบบพระพุทธเจ้านั่นเป็นคนขยันหมั่นเพียร มีภูมิปัญญารู้จักว่าสัมมาอาชีพ จะไม่ทำมิจฉาชีพ 5 จะลดละมิจฉาชีพที่หยาบไปเรื่อยๆ เช่น กุหนา ลปนา มิจฉาชีพที่ทุจริตกายวาจาใจ กายวาจา(ลปนา) ทุจริต หยาบ กลาง ละเอียดลดลงมา จะเหลืออย่างละเอียดอยู่ก็ลดลงไปอีก อย่างชาวอโศกลดการทุจริตที่หยาบลงหมด ไม่มีงานอาชีพที่โกงหลอกลวง
ทั้ง 5 อย่างคือมิจฉาชีพหมด
1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง .
2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .
3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้ เริ่มมีศีลขึ้น เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ตามลำดับ
4. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา) แล้วจะไม่อยู่ส่วนตัวจะมาอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ เพื่อสร้างเป็นพฤติกรรมสังคมให้มีอาชีพมีการงานเป็นสัมมาอาชีพสัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะไปเรื่อยๆ แม้ทำงานลาภแลกลาภ ก็เป็นมิจฉาชีพเข้าสุดท้าย
5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร)
ชาวอโศกทำได้สำเร็จจนพ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ไม่ต้องเอารายได้เลย ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา แต่ละชุมชนชาวอโศกทุกคนมาอยู่ในนี้ ก็มาทำงานฟรีแม้จะไปข้างนอก ถ้ามาทำงานอย่างนี้ก็ทำงานสิ ถ้าไม่อย่างนั้นก็อยู่ข้างนอก
ทำงานในนี้แล้วเราก็ดูแลกัน เพราะฉะนั้นชาวอโศกจึงเป็นสังคมกลุ่มที่ซ้อนอยู่ในประเทศไทย เป็นสังคมที่นำ ทิฏฐิ และศีล ของพระพุทธเจ้ามาใช้ มาในนี้ถือศีล 5 ทั้งนั้น
ทิฏฐิ คือ ที่นี่ไม่กินเนื้อสัตว์ ที่นี่ไม่มีอบายมุข ที่นี่ทำงานฟรี เป็นทิฏฐิ เข้าใจกัน คนมาอยู่ในนี้แล้วมี ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา อยู่กันอย่างสุขสําราญสบายใจ
ถือว่าเป็นสังคมคนจน การสำรวจคนจนในประเทศไทย อาตมาว่า เขาไม่เข้าใจเลยว่าคนจนคืออะไร เขาไปสำรวจ ชุมชนชาวอโศก เขาก็บอกว่า ให้คะแนน ราชธานีอโศก ว่า ขุมชนชาวอโศก เป็นคนจนระดับ 5 อาตมาก็ว่าสำรวจอย่างไร ที่จริงต้องเป็นคนจนอันดับหนึ่ง จนที่สุด เราเป็นคนไม่มีรายได้เอาเข้าส่วนกลางเป็นคนจนอันดับที่ 1
ต้องเข้าใจซ้อน สภาพลึกซึ้งของสังคม ที่เขามาตรวจให้คะแนนไปแล้ว ชุมชนอโศกจนระดับ 5 แต่ไม่มีรายได้ส่วนตัวเลย เอาค่าเฉลี่ย มีพวกเราแอบทำบ้าง ขายข้างนอกแล้วเอาเข้าส่วนตัวบ้างแต่มีน้อย กินกับส่วนกลาง ก็บาปกินหัว
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กิจ ในอาริยสัจ ทั้ง 4
อาตมาก็ขอเข้าสู่ความเป็นธรรมะ
คนจนแล้วจะประพฤติปฏิบัติตน เรียกว่ามีกิจ กิจคนจนที่เป็นคนจน ความประเสริฐโลกุตระ เรียกว่าเป็นคนจนที่มีอริยสัจ 4 กิจในอาริยสัจ 4 มีสี่อย่าง
ในพระสูตรเรื่อง 19 ข้อ 1660 ท่านตรัสกิจในอาริยสัจ 4 ว่า
1 มีปริญญา คนจนมีปริญญา ชาวอโศกมีปริญญาแต่ไม่ได้มีใบรับรองใบกระดาษที่รับรองนั้นมีน้อย แต่เป็นคนมีปริญญาคือการหยั่งรู้ใน ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ในนิโรธ ทำได้จนถึงสัญญาเวทยิตนิโนธ
2 มีการ ปหาน กำจัดกิเลส เป็นสังคมมนุษย์ที่พยายามกำจัดกิเลส การทำให้หมดสิ้นไปตามลำดับจนหมดสิ้นได้เป็นพระอรหันต์
3 มีกิจ สัจฉิกกิริยา ทำให้แจ่มแจ้งชัดเจนในตนเองว่าเราได้ประหารกิเลส ในสัจจะ กิจจะ กตะ
สัจจะคือรู้ว่านี่กิเลสจริงๆ อย่าไปกำจัดผิด เช่น จิต มันมีสองจิต คนนี่มีสองจิต เรียกว่าธรรมะสอง จิตหนึ่งเรียกว่าจิตแท้ จิตหนึ่งเรียกว่าจิตเทียม จิตแท้คือจิตที่ทำหน้าที่อย่างไรก็อย่างนั้นเหมือนกันทุกคน รับรู้เหมือนกัน เช่น รับรู้ทางตากระทบ เช่นมะละกอลูกใหญ่ลูกนี้ทำไมมันเหี่ยว เหมือนกันทุกคนเห็นเหมือนกัน แต่จิตที่ไปคิดไปรู้ตามอุปาทานแต่ละคนจะชอบหรือไม่ชอบ อันนั้นเป็นจิตสอง จะรู้สัจจะตัวเองว่าจิตมีสอง มีสัจฉิกิริยา ก็มาปฏิบัติเรียกว่าทำกิจ ทำจิตลดกิเลสจากธรรมะสองให้เหลือหนึ่ง
แล้วมีกตญาณ ไม่เวียนวนอีก ถอนอาสวะสิ้นจนถาวรยั่งยืนรู้จักที่จบ
4 กิจภาวนา เป็นคำรวมต้องรู้ทุกข์ ปหานทุกข์ ทำให้เกิดผลสำเร็จ ภาวนาเป็นตัวรวม เกิดผลนั้นเรียกว่า ภาวนามัย เกิดผลสำเร็จ
ทั้ง 4 กิจนี้จะทำหน้าที่กับอริยสัจ 4 ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค ปัญญาปหาน สัจฉิกรณะ ภาวนา จะทำงานร่วมกันกับทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คือจับต้องอาการทุกข์
จับอาการทุกข์ในจิตของตนให้ได้ ขอขยายความตรงนี้ได้ว่า อาการทุกข์เกิดขึ้นอยู่เกือบตลอดเวลา มันจะมีพักยกสำหรับปุถุชนเรียกว่า เคตหสิตอุเบกขาหรืออทุกขมสุขเป็นพักๆ
นอกนั้นมันจะมีอาการทุกข์อยู่ตลอดเวลา แต่คนอวิชชาหลงมันว่าสุข มันเป็นสัตว์แปลงตัว จิตนี้เป็นสัตว์แปลงตัวเป็นสัตว์โอปปาติกะ
สัตว์ที่แปลงตัวคือมันเป็นสัตว์นรกมันอยาก อยากตลอดเวลา ซอกๆๆๆ แต่พอได้สมอยาก มันก็แปลงตัวเป็นเทวดา เทวดาไม่มีของจริงเลย เป็นของเก๊คือสัตว์นรกทั้งนั้นเลย ทำให้สัตว์นรกดับไป พอมันได้สมใจอยากปั๊บก็ดีใจ ขึ้นสวรรค์หอฮ่อ หลงว่าเป็นเทวดาศาสนาพุทธไม่มีเทวดา มีแต่เทวนิยมที่มีเทวดา มีแต่สัตว์นรกเท่านั้นที่เกิดขึ้นจากนรกเท่านั้นที่ตั้งอยู่สัตว์นรกเท่านั้นที่ดับไป ก็คือทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
คนเราทุกวันนี้ไปหลงเทวดาหลงสวรรค์ ทั้งที่สวรรค์นั้นไม่มี สวรรค์ไม่มี มีแต่ทุกข์เท่านั้น มีแต่นรกเท่านั้นเป็นอริยสัจ ทุกข์เท่านั้นเป็นอริยสัจ สวรรค์ไม่มี สวรรค์เป็นของเก๊ ฟังภาษาธรรมะเทศนาขยายความพูดให้ชัด
ผู้ใดที่เข้าใจที่อาตมาพูดแล้ว จิตสวรรค์ คือจิตที่บำเรอกิเลสอยาก เมื่อบำเรอกิเลสอยากสมใจก็เป็นกิเลสสวรรค์ ไม่สมใจอยากก็มีนรก
อยากกินส้มโอ เขาก็ผ่าส้มโอให้กิน พอกินเสร็จแล้วก็ว่าไม่อร่อย อร่อยไม่เท่า อร่อยบ้างแต่ไม่เท่าภพที่ตั้งไว้ ไม่อร่อยเท่าไหร่เลย กินแล้ว สวรรค์ไม่ถึงที่สุดมีสวรรค์บ้าง มันเป็นของเก๊ทั้งนั้นยิ่งไปได้สวรรค์ที่สุดนั่นแหละยิ่งบ้า ตั้งภพไว้ว่าจะต้องอร่อย
คนไหนไม่คิดว่าจะต้องอร่อยหรอก ผ่าส้มโอมากินแล้วรสมันเป็นอย่างนี้หวานบ้างเปรี้ยวบ้างขมบ้าง ไม่มีอร่อยเกิดเลย คนนั้นแหละคือมีจิตนิพพาน นิพพานนั้นง่ายๆแค่นี้แหละนิพพาน ทำได้ไหมล่ะ เงียบๆอยู่
...ฟังไปตั้งนานเพิ่งตื่นหรือที่จะรู้ว่ามันเป็นของหลอกลวง
สมณะเพาะพุทธว่า...คนถามว่าความอร่อยเป็นของหลอกลวงหรือ มีคนถามเช่นนี้
พ่อครูว่า...ก็บอกตลอดเวลาว่าสวรรค์นั้นเป็นของหลอกลวง อร่อยก็เป็นของหลอกลวง อยากกินอย่างนี้ได้สมใจ แล้วขยายความว่า ตั้งภพว่ามันจะอร่อยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันอร่อยแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ มันก็ไม่ถึงใจ ถูกหลอกทั้งนั้น ถูกหลอกก็ไปว่ามันเป็นรสนั้นรสนี้และมันจะอร่อย อุปาทาน ที่เราตั้งภพด้วยว่าจะต้องอร่อยถึงขั้นนั้นขั้นนี้ มันเป็นของหลอกเป็นอุปาทานเป็นตัณหาทั้งนั้นเลย รสมันจะเปรี้ยวจะหวานจะขมอย่างนี้ มันมีกลิ่นอย่างนี้มันก็อย่างนี้ เป็นคนไทยจีนแขกฝรั่งมาสัมผัสผ่าออกมา ส้มโอลูกนี้กัดเข้าไปในปากก็มีรสอย่างนี้เป็นอย่างนี้เหมือนกัน นั่นคือสิ่งเดียวกันที่เป็นสัจจะมีหนึ่งเดียว ส่วนอันที่มันอร่อยบ้างไม่อร่อยบ้างมีน้อยมีมากอะไรมันก็ของใครของมัน ไม่อร่อยก็ได้ อะไรก็ได้ พวกนี้นั่นแหละการเรียนรู้ศาสนาพุทธเรียนรู้พวกนั้น ตัวพวกนั้นมันพาหลอก ถ้าลดลงจนอาการอร่อยไม่มีในจิตเลย คนนั้นแหละบรรลุธรรม
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสกามคุณ 5ในโลก เขาได้ตั้งค่าว่าเป็นความสนุกรื่นเริงบันเทิงอะไรก็แล้วแต่ เสียงอย่างนี้เป็นความสนุก กลิ่นเสียงสัมผัสอย่างนี้น่าได้น่ามี ตั้งเป้าตั้งค่าไว้ในจิตเป็นอุปาทาน เมื่อสัมผัสแล้วไม่ได้อย่างที่อุปาทานไว้ก็ดีใจบ้างเสียใจบ้าง ก็เป็นคนไม่พ้นทุกข์ เป็นคนที่จะต้องอยากได้อย่างนั้นอยากได้อย่างนี้อยู่ ไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริงที่เราได้สัมผัสแตะต้องเกี่ยวข้อง แล้วก็จบในความจริงอย่างเดียว ไม่ต้องมีธรรมะ 2 มีแต่ เอกัคคตาจิต
เอกัคคตาจิตนี้ เป็นสมาธิสุดจุดจบของสมาธิ เรียกว่าเอกัคคตาจิต คือจุดปลายของความเป็นฌาน
ฌานคือการปฏิบัติจิตให้ไปสู่จุดสูงสุดเป็นฌานที่ 4 เป็นอุเบกขา คือจิตที่ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว แล้วปฏิบัติจิตไม่สุขไม่ทุกข์ให้สั่งสมตกผลึกลง แข็งแรงตั้งมั่นเรียกว่าสมาธิ นี่คือความหมายของสัจธรรมพระพุทธเจ้า
แต่ทุกวันนี้ไปปฏิบัติฌานก็คือไปนั่งหลับตา บางทีก็เลอะเทอะปนกับคำว่าไปนั่งสมาธิ บางทีก็เรียกว่านั่งเข้าฌาน บางทีก็เรียกว่านั่งเข้าสมาธิ ทำวิปัสสนาอีกมั่วไปเลยนี่คือความผิดพลาดของศาสนา
การทำฌานของศาสนาพุทธไม่ได้นั่งหลับตา สั่งสมจิตให้ตั้งมั่นเรียกว่าสมาธิ ด้วยการทำฌานก่อน ฌานคือการชำระกิเลสเผากิเลส ฌานแปลว่าไฟไม่ได้แปลว่าเพ่ง แต่เขาไปแปลว่าเพ่ง แม้แต่ในพจนานุกรมบาลี- ไทยก็แปลว่าฌานคือการเพ่ง ซึ่งไม่มีในต้นรากของคำว่าฌาน ฌาน แปลว่าไฟกองใหญ่ วิเศษ อุณหธาตุ เป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นมาได้และจะไปทำงาน ทำลายไฟที่เป็นราคะโทสะโมหะ
ราคะโทสะโมหะก็เป็นพลังงานจิต เป็นพลังงานที่มีลักษณะของราคะโทสะโมหะ เมื่อสร้างพลังงานใหม่ที่เป็นพลังงานฌานจะไปกำจัดพลังงานไฟราคะโทสะโมหะได้
ผู้ที่สร้างพลังงาน อุณหธาตุ ธาตุไฟ มีประสิทธิภาพไปสลายไฟราคะโทสะโมหะนั่นคือผู้ที่ทำฌาน ไม่ใช่เป็นเพ่งให้จิตมีความเย็น ฌานเป็นไฟ แม้ไฟราคะโทสะโมหะจะร้อนแต่ไฟฌานมีอำนาจทำลายได้
ลองอ่าน ของอาจารย์ที่เขียนในไทยโพสต์ …เป็นการแพร่เชื้อมิจฉาทิฐิก็ต้องแก้ไขกัน
บอกว่า...จิตที่เป็นสมาธินั้นเราจะทราบได้อย่างไร ก็ให้ลองสังเกตดูถ้าเราปฏิบัติสมาธิแล้วทำมันไปนานๆให้จิตอยู่กับเครื่องรู้ เช่นอยู่กับลมหายใจ ถ้าเราอยู่กับลมหายใจจนจิตกับลมหายใจไม่พรากจากกันและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จิตเป็นลม ลมเป็นจิต เหมือนคนเพ่งไฟก็เพ่งไปจนจิตเป็นไฟ ไฟเป็นจิต เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่พรากจากกัน รวมกันเป็นหนึ่งสำเร็จได้
ช่วงขนาดนั้นความคิดมันจะน้อยลง จนจิตแยกเป็นอิสระจากความคิด ภาพนิมิตกสิณก็เบาบางลงใสบางลงเบาลง สำหรับคนที่ดูลมหายใจ ลมหายใจก็เบาลงจางลงจนกระทั่งลมหายใจ ภาพนิมิตกสิณก็เช่นเดียวกันมันชัดแล้วก็บางลงๆ จนนิมิตกสิณมันหายไป ร่างกายตัวตนก็เบาหายไปด้วย ความคิดก็หายไป ตรงนี้เป็นลักษณะของการภาวนา แล้วไปพบจิตเดิมแท้ จึงมีอาการแบบนี้ กายกับจิตมันเป็นอิสระต่อกัน
ในช่วงแรกก่อนจะถึงจุดนี้ไม่ว่าเป็นกรรมฐานหรือกสิณ การปฏิบัติเบื้องต้นสิ่งที่เราใช้เป็นอุบายมันจะชัดขึ้น ภาพกสิณก็ชัดขึ้นลมหายใจก็ชัดขึ้นก่อน แต่หลังที่มันชัดที่สุดแล้วกรรมฐานมันจะเริ่มเปลี่ยนแปลง เช่นนิมิตกสิณ ตอนแรกมันจะชัดขึ้นชัดยิ่งกว่าลืมตาเห็นเสียอีก สามารถเรียกนิมิตให้เข้ามาใกล้ ให้ถอยหลังหรือขยายให้ใหญ่หรือย่อส่วนก็ได้ จะให้หมุนซ้ายหมุนขวาได้ ตอนนี้นิมิตภาพจะคมชัดมากชัดกว่าตาเห็น
พอหลังจากนั้นแล้วพอมันได้ที่ของมันแล้ว ก็จะเริ่มบางลงๆ แล้วภาพนิมิตนั้นมันก็จะหายไปลมหายใจมันก็บางลงๆ จนมันหายไปไหนที่สุด นี่เป็นลักษณะของการได้สมาธิจิตซึ่งจิตของเรานั้นก็ได้จดจำและบันทึกเรื่องราวไว้มากมาย ทั้งกรรมดีกรรมชั่วดวงวิญญาณทั้งหลายที่ทำกรรมต่างๆไว้ มันก็บันทึกอยู่ในดวงจิตของเรา ในดวงจิตนี้มันก็จะพิพากษาเราเอง เวลาที่เราถึงความตายแล้ว ดวงจิตนี้มันบันทึกความดีความชั่วไว้หมด ไม่มีทางที่จะลบได้ สิ่งใดที่เราเคยทำไว้จิตมันบันทึกไว้หมดแล้ว เราหลอกคนทั้งโลกได้แต่ไม่สามารถหลอกตนเองได้ ดังนั้นแล้วนรกมันก็อยู่ในใจเรานี่แหละ เวียนอยู่ในจิตในความคิดมันก็จะแปลงมาเป็นนรกภูมิลงโทษเรา
เช่นถ้าเราไปทำกรรมเรื่องนี้ มันก็จะมีบทลงโทษตามนี้ตามแต่เรื่องที่เราได้กระทำไว้ เช่นเราไปข่มขืนคนก็ต้องได้รับบทลงโทษให้ไปปีนต้นงิ้ว ผิดกรรมแบบไหนก็จะมีบทลงโทษที่ต่างกันออกไป ปรโลก
ปรแปลว่าอื่น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสมาธิที่ข้อที่ 10 ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิแล้วจะมาประกาศโลกนี้โลกหน้า โลกอื่นโลกหน้าเป็นอย่างนี้
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ที่เขาว่าตกนรก ไปก็ไปเจอกัน ก็คงคุยกันที่ร้านกาแฟว่าตกนรกนี้ไปทำอะไรมา เราก็บอกว่าไปโกงมา จึงได้ตกนรก ปล้นชาติมาจึงได้ตกนรกอย่างนี้ ปล้นเศรษฐกิจอะไรต่ออะไรอีกสารพัด การเล่าอย่างนั้นเป็นเรื่องนิทานเป็นภาษาฟุ่มเฟือยเพ้อเจ้อ
โลกนี้โลกหน้าก็อยู่ที่จิต โลกหน้าเรียกสัมปรายิกภพ เป็นโลกที่เราต้องเดินทางก้าวหน้าต่อไป ถ้าทำไม่ดีในปัจจุบันก็สั่งสมโลกอดีตที่เป็นนรกทั้งนั้น เพราะโลกที่จะผ่านไปสู่อดีตต้องเกิดจากปัจจุบัน ปัจจุบันจึงเป็นตัวจัดการโลก อนาคตก็ยังจัดการไม่ถึง อดีต เป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้แล้วผ่านไปแล้ว สัจจะแท้ต้องทำที่ปัจจุบันไม่ไปเพ้อเจ้อในอนาคตไม่ลงวุ่นวายบ้าบอกับอดีตแน่นอนมันทำอะไรไม่ได้เสียเวลา เสียงลมหายใจเข้าออก ไปในอนาคต ให้มาอยู่กับปัจจุบันแล้วปัจจุบันจะต้องมีธาตุรู้ประกอบครบทวารทั้ง 6 สัมผัสกับความจริง ขณะใดคุณได้หลับตาแล้วก็ไปมีธาตุรู้อยู่ในใจ ขณะหลับตานั้น ธาตุรู้นั้นไม่เป็นความจริง เป็นได้แค่สัญญา เป็นได้แค่ความจำเก่า หรือ คุณเพ้อเจ้อใหม่เป็นอนาคตที่จะสร้างปั้นใหม่ แต่ที่สร้างที่ปั้นใหม่นั้นไม่ใช่ของจริงคุณก็คิดฝันไปได้สารพัด จึงมีถึง 44 ในอนาคต ทิฏฐิ ต่างๆ พระพุทธเจ้าก็มาแยกแยะถึง 62 ถ้าไปยังในอดีตมีถึง 18 อย่าง อนาคตมีถึง 44 อย่าง ปัจจุบันเท่านั้นเป็นศาสนาพุทธ ใครเป็นจมกับอดีตหรืออนาคตเป็น สุญโญ
ปฏิบัติธรรมกับอดีตและอนาคตไม่มีทางเลย ปัจจุบันจะมีกามกับฌานอีก 4
ฌานต้องลืมตาปัจจุบันต้องลืมตา ฌานหลับตาก็ไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า ฌานคือพลังงานปัญญาไปสลายไฟราคะโทสะโมหะ
สมณะเพาะพุทธว่า...เราได้รู้เลยทีเดียวว่าฌานคือการเผาไม่ใช่เพ่ง ถ้าเข้าใจเป็นการเพ่งไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:16:07 )
รายละเอียด
601002_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก บุญกับฌานต่างกันอย่างไร
อาจารย์กฤษฎาว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2560 ที่บวรปฐมอโศก เดือนนี้เป็นเดือนที่เวียนกลับมาครบรอบปีของการเสด็จสวรรคตขององค์พระสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำให้ดวงใจของคนไทยหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่ิงที่ผมได้เรียนรู้จากพ่อครูในเรื่อง พลังแห่งความรัก ความรัก 10 มิติ bomb of love ระเบิดรัก เดือนนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของการระเบิดความรักครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง มีผู้คนมาร่วมกันเป็นจิตอาสากันมากมาย ความมีจิตอาสาของจิตอาสากองทัพธรรมและแพทย์วิถีธรรมมีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน กระบวนการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมได้ไปเห็น แล้วก็อยากจะมานำเรียนถามพ่อครูเพื่อให้เกิดปัญญา
ตอนพระองค์ท่านครองราชย์ได้ให้ปฐมบรมราชโองการไว้ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” พ่อครูก็สอนพวกเราให้ทำแบบบุญนิยม ทำตลาดอาริยะ ทำจิตอาสา เพื่อการพัฒนาตน พัฒนาสังคม พัฒนาโลกใบนี้ เราควรมองตัวเองอย่างไรเมื่อไม่มีพระองค์ท่านแล้วเราจะทำตามศาสตร์พระราชาอย่างไรดี
พ่อครูว่า...จะใช้ศัพท์อะไรที่จะตั้งต้นอธิบาย
อาจารย์กฤษฎาว่า..เราจะมองกายอย่างไรในกรณี bomb of love.อย่างไร
พ่อครูว่า...คำว่ากายนี้หมายถึงสภาพธรรม 2 ชนิด เรียกโดยบัญญัติว่ารูปกับนาม เป็นธรรมะ 2 นักปฏิบัติธรรมของพุทธก็จะต้องรู้จักความเป็นกายอย่างสัมมาทิฏฐิแล้วจะต้องรู้กันเป็นเบื้องต้น ถ้าไม่รู้สภาวะของกรรม กาย หรือความหมายของคำว่ากาย ก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมของพุทธ
เช่น ไปนั่งหลับตาแล้วไม่มีการรับรู้ภายนอก ก็ไม่มีความเป็นกายเกิดขึ้นเลย เพราะว่ากายต้องมีภายนอกร่วมด้วย และกายก็สัมพันธ์อยู่กับจิตใจ กายนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่าจิตมโนวิญญาณด้วยซ้ำไป แต่ก็ต้องเป็นองค์รวมของรูปกับนาม ต้องมีทั้งภายนอกและภายใน ต้องสัมผัสกันทั้งรูปทั้งนาม โดยเห็นกันปัสสติ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าปฏิบัติธรรมต้องมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
ในวิโมกข์ 8 พูดถึงรูปแล้วก็ผู้มีรูป แล้วก็มีภายนอกภายใน ซึ่งต้องเห็น รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
เป็นความไม่เที่ยงของสังขารร่างกายเราก็รับรู้มันแล้วแก้ไขไป เป็นธรรมชาติก็เป็นอย่างนั้น งานไหนเราทำได้ก็ทำไป
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน หมดนรกสวรรค์คือเป้าหมายของพุทธ
อาตมาพยายามอธิบายธรรมะมา จนถึงวันนี้และจะอธิบายต่อไป รู้สึกตัวว่าพูดไปแล้ววน วน ไม่ได้ออกหนีไปจากรูปกับนาม ไม่ออกไปจากสิ่งที่ถูกรู้กับตัวจิตวิญญาณของเราที่จะเป็นธาตุรู้ ต้องไปทำงานรู้ รู้สิ่งที่ถูกรู้นั้นแล้วก็ปฏิบัติ แม้เราจะจบเป็นพระอรหันต์แล้ว เราก็มีสิ่งที่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ก็คือ ธาตุรู้ของเรากับสิ่งที่ถูกรู้ แล้วสิ่งที่ถูกรู้นั้นมีตั้งแต่ภายนอก ที่มีตาหูจมูกลิ้นกายของเรารับสัมผัสอะไรต่ออะไรต่างๆนานา อยู่กับเราก็อยู่กับมันจัดการกับมันไป นับตั้งแต่มันเป็นดินน้ำไฟลมเป็นอากาศ จนกระทั่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นสัตว์ตัวตนบุคคลต่างๆที่เราจะเกี่ยวข้อง เราจะอยู่กับสิ่งเหล่านั้นและมีชีวิตกับสิ่งเหล่านี้ แล้วเราก็จะรู้ว่าได้อยู่กับสิ่งเหล่านี้ ศาสนาพุทธสอนให้เราอยู่กับสิ่งเหล่านี้โดยไม่เป็นโทษ โดยไม่เป็นภัย และที่สำคัญคือไม่เป็นทุกข์
ไม่เป็นโทษไม่เป็นภัยกับใครกับอะไร มีแต่คุณ เป็นคุณค่ากับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอยู่ร่วม และไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์ซึ่งสำคัญที่สุดสูงอีกของพุทธ นอกจากไม่ทุกข์แล้วก็ไม่สุข อยู่กับทุกอย่าง ได้อย่างไม่ทุกข์ไม่สุข เป็นเช่นนั้น แต่มันผิดเพี้ยนกันมาไกลจนกระทั่งหลงใหล มันมีสิ่งที่หลงใหล แล้วก็เรียกกันเป็นบัญญัติ มีสวรรค์ 6 ชั้น มีอะไรต่ออะไรไป ซึ่งที่จริงไม่น่าจะต้องไปตั้งขึ้นมาเลย ตั้งขึ้นมาแล้วคนก็เลยหลงผิด
โลกียะ สวรรค์ 6 ชั้น นั้นเป็นโลกียะ ซึ่ง ศาสนาพุทธ ไม่เอา ไม่มีโลกียะ ศาสนาอื่นก็มีสวรรค์ ก็มีนรก แล้วก็พยายามที่จะอยู่สวรรค์ไปสวรรค์ ศาสนาฮินดูก็มีนรกสวรรค์หลายชั้น ศาสนาพุทธนั้นดับสวรรค์ดับนรก ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก จะเป็นสวรรค์ชั้นไหนก็ช่าง นรกสวรรค์ชั้นไหนก็ช่าง อาการที่เป็นสวรรค์อาการที่เป็นนรกไม่ให้มีในจิต เป็นเป้าหมายสูงสุด มันจะมีมากหรือน้อยอยู่ก็นั่นแหละเป็นสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ นรกชั้นนั้นชั้นนี้ มีสวรรค์เมื่อไหร่นรกก็คือคู่กัน อาตมาก็พูดมานาน ย้ำซ้ำซากตรงนี้
อาการของความเข้าใจผิด ถ้ามีอาการอารมณ์ของสวรรค์ นั่นก็คือนรก มันยังมีภพมีชาติ สวรรค์และนรกก็มีภพชาติ ของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีภพมีชาติ ไม่มีสวรรค์นรก รู้ความจริงตามความเป็นจริง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันไป เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธมันไม่มีจุดมุ่งหมายอย่างที่ว่านี้อย่างชัดเจนแล้ว พากันไปเข้าใจผิดแล้วก็หลง แตกแหลกแยกไปสารพัดสารเพ คิดปรุงแต่งมาใส่อีกเยอะ กลายเป็นอะไรต่างๆนานา สอนธรรมะก็เลยยากมาก เพราะว่ามันมีแต่ขี้ฝุ่นฝอยเลอะเทอะเต็มไปหมด ไม่รู้จะไปเอาตรงไหนออก ทั้งหยาบ กลาง ละเอียด ก็เลยตั้งหลักยาก
หลักของพระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นลำดับไป แล้วสอนเป็นขั้นตอนเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เช่น เบื้องต้นเราก็มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติคือศีล 5 แล้วเราก็ปฏิบัติศีลให้เกิดฌานให้เกิดบุญ
มาพูดถึงฌานถึงบุญก็นึกถึงสิ่งที่เขียนถามมา ขอแวะตอบตรงนี้ก่อนละกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญกับฌานต่างกันอย่างไร
กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพสูงสุดค่ะ
ดิฉันขอกราบรบกวนพ่อท่านอธิบายการทำงานของ”ฌาน” กับ “บุญ”แตกต่างกันอย่างไร (เพราะ ฌาน เป็นการเพ่งเผากิเลส บุญ เป็นการชำระกิเลส)มีส่วนเหมือนส่วนต่างกันอย่างไรคะ ขอคำอธิบายอย่างละเอียดด้วยค่ะ
พ่อครูว่า...ฌาน เป็นคำที่ใช้กันมานานก็ไม่มีที่ต่อไม่มีที่ตั้งต้น คำว่าบุญ คำว่าฌานมันเกิดเมื่อไหร่ เกิดมาในศาสนาต่อเนื่องกันมาแล้วพระพุทธเจ้าท่านมาสอนก็เอาคำเดิมที่เขาศึกษากันในวงการศาสนา ที่ยุ่งเกี่ยวกันก็คือศาสนาพราหมณ์กับศาสนาพุทธ สลับกันไปสลับกันมา ที่จริงอันเดียวกัน แต่มันยึดถือผิดกันไปก็เลยกลายเป็นผิด ในอนาคตต่อไป พุทธเสื่อมหนัก ความหมายของพุทธผิดเพี้ยนไป ก็คือความหมายที่ผิดเพี้ยนไปจากพุทธ ก็เลยเป็นพราหมณ์ พยัญชนะเรียกว่าพุทธแต่ความหมายเป็นพราหมณ์หมด ก็หันไปศึกษาเรื่องของพราหมณ์ น้ำหนักเนื้อหาสาระที่ถูกต้องของศาสนาพราหมณ์ ก็คือน้ำหนักที่เราจะมุ่งไปหาศาสนาพุทธขณะนี้ เราต้องไปเป็นพราหมณ์ ต้องเป็นพรหม ก็คือนิพพาน พอฟื้นมาได้ก็เพี้ยนไปอีก ก็เอาคำว่าพราหมณ์ไปใช้ไม่ได้ก็เอาคำว่าพุทธไปใส่อีก ก็หมุนกลับไปมา
ที่ถามว่าฌานกับบุญแตกต่างกันอย่างไร
ฌาน คือ การสร้างพลังงานอุณหธาตุขึ้นมา ให้เป็นพลังงานทำการกำจัด ฌานเป็นมรรค บุญเป็นภาษาทั้งมรรคทั้งผลรวมกันในตัว บุญคือการชำระกิเลส เมื่อรู้ความหมายก็ทำให้บุญเกิดผล เริ่มต้นก็ต้องสร้างฌาน ฌานเผากิเลสได้ก็สำเร็จบุญ บุญก็หมดไปแต่ความเป็นฌานไม่หายไป เรียกว่า ผู้ที่บรรลุฌานสำเร็จสูงสุดแล้ว ก็จะเป็นฌานที่เที่ยง 1 2 3 4 เป็นอารมณ์ของจิต เมื่อเผากิเลสสิ้นเสร็จแล้ว หน้าที่ของบุญคือมรรคและผลก็จบ บุญหายไป คำว่าบุญก็หมดสิ้น ปุญญปาปปริกขีโณ ทำลายสิ่งที่ต้องทำลายหมด บุญหมดหน้าที่สิ้นบุญสิ้นบาป แต่ฌานนั้นยังอยู่ จึงเป็นผู้ที่ได้โดยไม่ยากได้ไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4
ผู้มีฌานถาวรแล้วจะใช้งาน ก็ใช้ตามเหตุปัจจัยมาปรุงแต่ง งานนี้ต้องปรุงแต่งมากหน่อยก็จะกลายเป็นฌาน 1 ปรุงแต่งน้อยลงก็เป็นฌาน 2 ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมาก แต่มันก็มีการปรุงแต่งอัตโนมัติในตัวเรียกว่าสุข ส่วนอุเบกขาเป็นฐานของนิพพาน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ปฏิบัติกับกายให้เป็นเอกัคคตา
เราเริ่มต้นด้วยคำว่ากาย กายคือสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดก็ต้องถูกเรามีญาณหรือธาตุรู้เรียกสูงสุดว่าปัญญา เข้าไปรู้สิ่งเหล่านั้นที่กล่าวมาทั้งหมด จนครบทั้งหมดว่าอะไรคืออะไร แล้วแต่ละคำแต่ละคำมันหมายถึงอะไร ก็รู้ตามความหมายนั้นอย่างสัมมาทิฏฐิ ในความหยาบก็จะดูเหมือนเท่ากัน แต่ในความละเอียดก็จะต่าง แยกกันออกจากกันได้
เช่นอาตมาได้อธิบายธรรมะถึงขั้นว่า อาสวะกับอนุสัยต่างกัน
คำว่ากายคือธรรมะสอง สิ่งที่ถูกรู้มีองค์ประกอบตั้งแต่ดินน้ำไฟลมภายนอก มหาภูตรูป พอมีปสาทรูป โคจรรูป ประสาทนี้จะดำเนินการเรียกว่าโคจระ เมื่อดำเนินไปรับรู้ดินน้ำไฟลมก็จะเกิดภาวะเรียกว่า กาย คือภาวะ 2 ก็เรียนรู้จักตัวนี้ตั้งต้นเลย แยกความต่างเรียกว่า อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ แล้วเราต้องมีความรู้ไปตลอด ที่ต้องชัดเจน เรียกว่าเป็นจิตที่รู้ชัดเจน รู้หนึ่งสุดยอด คือเอกัคคตา ทำได้ก็จบ จนสัมผัสอะไรแล้วมันก็ไม่มีแยกเป็น 2
อาจารย์กฤษฎาว่า...ในรูปธรรม ศีลที่ชัดเจนคือไม่โกหกตนเอง ก่อนที่ผมจะมาศึกษากับพ่อครู บางครั้งการตอบก็จะตอบด้วยตรรกะ หรือกระบวนการป้องกัน แต่มาศึกษาตรงนี้ ความรู้สึกที่ผมมีคือ จะค่อนข้างบริสุทธิ์ เหมือนว่าตัวเองจะรู้ตัวเองว่าจะแสดงออกอย่างไม่เสแสร้ง มันคือฌานไหม สิ่งที่เราจะทำแต่ละครั้งๆ
พ่อครูว่า...ถ้าจะแปลฌานว่าเพ่ง ก็คือพลังงานธาตุรู้มันเกิดในขณะที่มัน มีคุณสมบัติของ ฌาน มันจะต้องทำการสลาย สิ่งที่มันรู้ว่าไม่ถูกต้องในจิตของตน ไม่ใช่ไปเป็นฤาษีตาไฟไปเผาคนอื่น แต่ต้องเผากิเลสของตนเอง
อาจารย์กฤษฎาว่า...ยกตัวอย่างคำว่า สะพัดออก ก็คือการทำกระบวนการแห่งบุญ อย่างผมนี่ผมยอมรับโดยตรงว่าไม่เคยบริจาคอะไรเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะห่วงกังวล แต่พอมาเรียนรู้กับพ่อครู เรียนรู้ขาดทุนคือกำไร บุญคือการชำระกิเลส ให้อะไรก็ไม่ใช่เอาอะไรกลับมา
การทำรายการ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ฉลาดอ่านอาการจิตคือปัญญา
วันนี้ได้คำเปรียบเทียบคำว่าฌานกับบุญ เหมือนเราได้เรียนรู้เพ่งต่อสิ่งที่เรากระทำ ให้ ให้ออกไปโดยไม่ยึดติดกังวล กระบวนการเหล่านี้ใช่ที่พ่อครูอธิบายไหม
พ่อครูว่า..สิ่งที่เกิดมันก็มีสิ่งที่มีและไม่มีเท่านั้นแหละ โหติ กับ นโหติ สองอย่าง คำสอนพระพุทธเจ้าก็มาสอนว่าอะไรที่ไม่ควรจะมี ก็ขจัดมันออกไปไม่ให้เกิดในจิตเลย ผู้นั้นก็บรรลุพระอรหันต์ สิ่งที่เคยมีก็ไล่ออกไปตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ไปเป็นลำดับ กำจัดออกไป เมื่อกำจัดออกไป สิ่งที่จะทำให้เรากำจัดออกไปได้จริงก็คือปัญญา ธาตุรู้ รู้ว่ามันคืออาการเช่นนี้
คำว่าอาการนี่แหละ เป็นสภาวะที่จะต้องเรียนรู้คำว่าอาการคืออะไร อาการคือการเคลื่อนไหว เป็นการเคลื่อนไหวของจิต เจตสิก นี่แหละต้องเรียนรู้การเคลื่อนไหวของจิตเจตสิก ถ้ารู้จักอาการเคลื่อนไหว อาการที่ถูกเรารู้ เรียกว่านาม อาการเคลื่อนไหวเรียกว่ารูป คือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วเราก็ทำการศึกษาอาการที่มันเคลื่อนไหวอยู่ในจิต ที่เป็นอกุศลเรียกว่าเป็นบาป มันเป็นกิเลส มันพาทุกข์แน่นอน ก็เรียนรู้แล้วหยุดอาการนั้นให้ได้ การหยุดไม่ใช่สะกดไว้แต่ต้องให้เกิดปัญญา อ่านมันให้ชัด อ่านมันให้จริง รู้มันให้ได้ แล้วต้องเกิดความฉลาด
ฉลาดรู้ว่ามันไม่มีตัวตน อนัตตา มันไม่เที่ยง มันผ่านมาแล้วก็เกิดเป็นใหม่อีกมันไม่ได้อยู่นานอะไรเลย แล้วอาการเหล่านี้มันล้วนแล้วแต่พาให้เกิดทุกข์ ถ้าเกิดมีอุปาทานว่ามันจะเป็นสุขแล้ว คุณก็จะต้องสัมผัสแล้วต้องให้ได้ดังที่เราอุปาทานไว้ กำหนดไว้ว่าอันนี้ต้องอย่างนี้ถึงจะสุข แล้วอุปาทานนี้มันไม่ได้มีเฉพาะตอนนี้ แต่มันสั่งสมไว้ในใจเยอะแยะมากมาย คุณจะต้องได้อย่างนี้เท่านั้น อย่างนี้คืออุปาทานที่ตั้งเป้าไว้ในตัวเอง มีกันเหมือนกันคล้ายกันบ้าง แต่ของใครของมันไม่เหมือนกันหรอก ละเอียดจริงๆแล้วไม่มีอะไรเหมือนกัน ปรมาณูสองตัว ไม่เหมือนกันหมดหรอก
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรียนรู้เรื่อง 1.ชีวิต 2.ของ แล้วก็กำหนดรู้ว่าเมื่อเราสัมผัส ก็เรียกว่า กาย รูปนาม ถ้าคุณนอนหลับ ไม่ได้สัมผัสอะไรก็มีแต่อารมณ์ปรุงแต่งเลอะเทอะจากสัญญาจากตัณหา ปรุงเละเทะ ระหว่างสัญญากับตัณหา ก็เลยปรุงแต่งในจิต ไม่มีความจริงของรูปนามที่จะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นอิสระ ก็ปรุงแต่งเละ ไม่เป็นส่ำ ไอ้นี่ก็จะเอาไอ้นี่ก็จะเอาก็เลยพันกันยุ่ง สามารถลงเป็นเรื่องเป็นราวไปได้พักหนึ่ง เดี๋ยวก็มีอะไรแทรก เรื่องประหลาดอะไร สิ่งที่เป็นตัวตลก เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้มากมาย มันเป็นเรื่องที่ไปเอานิยายอะไรกับความฝันไม่ได้
อาจารย์กฤษฎาว่า...ตรงผัสสะนี้ มันจะเกิดเฉพาะ อายตนะภายนอกเท่านั้นหรือภายในด้วย
พ่อครูว่า...ผัสสะเอาแต่อายตนะนอก
อาจารย์กฤษฎาว่า...เมื่อปรุงแต่งก็เป็นภายใน
พ่อครูว่า...ตัวจิตเองหากไม่มีผัสสะก็เอาสัญญา ความจำเดิมมาปรุงแต่ง มันมีอดีตกับอนาคต
อาจารย์กฤษฎาว่า...เป็นการทำงานของสัญญาไม่ใช่เกิดจากภายใน ผัสสะเอง
พ่อครูว่า...ใช่ มันต้องมีผัสสะภายนอก แล้วเราถึงจะได้ศึกษาเป็นความจริง ศาสนาพุทธศึกษาเป็นปัจจุบัน ขณะลืมตาทุกเรื่องทุกอัน แล้วก็เรียนรู้ครบผัสสะ เรียกว่ากาย ศาสนาพุทธต้องมีกาย มีรูปกับนาม ธรรมะสองตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่เป็นปุถุชนถึงพระอรหันต์จนเป็นพระพุทธเจ้าก็มี 2 ทั้งนั้น
ใครไปทำแบบไม่มีผัสสะ ใครเป็นนั่งหลับตาไม่มีผัสสะนั้นน่ะ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย มันเป็นศาสนานอกรีต ที่ผิดเพี้ยนไปนานแล้ว พระพุทธเจ้าก็มากู้กลับ เอามาสอนได้ดีขึ้นมา นานไปแล้วอีก ตอนนี้ผ่านมาสองพันหกร้อยปี กลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว ปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะ เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าเริ่มต้นปฏิบัติธรรม
อาจารย์กฤษฎาว่า...ผัสสะน่าจะเกิดจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเท่านั้น ไม่ได้เกิดจากการเรื่องหลับตา ถ้าอยู่ในแต่ภายในเรียกว่าสัญญา หรือปรุงแต่งจากสัญญาก็มีคนอาจเถียงว่าเป็นผัสสะจากปรุงแต่งภายในไง เขายึดถือว่า นั่งปฏิบัติหลับตาแล้วจะได้รู้ทุกอย่าง
พ่อครูว่า...อันนั้นเป็นทางที่ผิดเลย พระพุทธเจ้าสอนศาสนา ก็ตีทิ้งไปเลย สอนอย่างไรก็ไม่เข้าใจกัน ศาสนาพุทธนั้น เรียกสมาธิ แต่สมาธิคือจิตตั้งมั่นปราศจากกิเลส เป็นตัวจิตที่มีคุณสมบัติที่ไม่มีกิเลส สั่งสมตกผลึกแข็งแรง แต่ก็เพี้ยนไปไกลเป็นการสะกดจิตหลับตา
ถ้าฟังธรรมะพระพุทธเจ้ารู้เรื่อง ท่านสอนสัมมาสมาธิ ก็ต้องไม่ใช่มิจฉาสมาธิ
ในพระไตรปิฎก มหาจัตตารีสกสูตรท่านก็ตรัสชัดว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะไม่ใช่สมาธิทั่วไป ประกอบไปด้วยองค์ 7 ก็คือลืมตามีสัมผัสทั้งนั้น ลืมตาในขณะทำอาชีพ การงาน ลืมตามีการพูด มีการสังกัปปะ ขบคิดปรุงแต่งได้ นี่คือตัวปฏิบัติ 4 กรรม แล้วปฏิบัติด้วยวายามาะ ด้วยสติ แล้วเข้าใจให้ได้ ปฏิบัติธรรมจะให้เกิดการลดละ
เริ่มตั้งแต่ ทาน ศีล ภาวนา ทำทานต้องอ่านธรรมะสองคือกาย
กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมะ เป็นโลกุตรธรรม 37 ปฏิบัติแล้วจะเกิด บุคคล 8 และนิพพานอีก 1 รวมเป็นโลกุตระ 46
กลับไปหาคำว่า สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าจะต้องปฏิบัติ องค์ 7 แล้วจะสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ ในองค์ 7 นี้ไม่ได้มีคำว่าให้นั่งหลับตา มีแต่ในขณะทำอาชีพ ทำงาน พูด คิด ปรุงแต่งจิต มันมีหลักธรรมพระพุทธเจ้าอย่างชัดๆ ทำไมนักศึกษาที่เรียนรู้กันมาถึงทำได้ผิดเพี้ยนไป จนวันนี้ไปนับถือเป็นครูบาอาจารย์ ยึดมั่นถือมั่นคำสอนที่ผิด อาตมามาให้สติ เตือน ยืนยันด้วยพระไตรปิฎกเท่าไหร่ก็ไม่กระดิกเลย
ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องมีปัจจุบันธรรม คือมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้านั่งหลับตาเข้าไปก็จะมีแต่ทิฏฐิ 62 จะไปใช้คำว่า ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ อีก 5 คือกามกับฌาน 1 2 3 4 ก็ต้องลืมตาปฏิบัติ กับผัสสะภายนอก เป็นกามคุณ 5 แล้วก็เรียนรู้ลดความยึดติดในกามคุณ 5
อาจารย์กฤษฎาว่า...กระบวนการของฌานและบุญไม่เกิดเพราะตั้งต้นเข้าใจผิดแล้ว
พ่อครูว่า..เมื่อเข้าใจว่าไปนั่งหลับตาจึงจะเกิดฌานเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ปฏิบัติต่อไม่ได้แล้ว ฌานคือพลังงานที่สร้างขึ้นมาเพื่อเผากิเลส ในฌาน 1 2 3 4 ก็เป็นพลังงานที่สร้างขึ้นมาจัดการกับกิเลสอย่างมีประสิทธิภาพ ตามลำดับ เมื่อถึงฌานที่ 4 ก็เข้าทางนิพพานเป็นอุเบกขา เรียกว่า เป็นจิตเป็นพลังงาน
อาจารย์กฤษฎาว่า...การจับอารมณ์แล้วก็เอาฌานมาเพ่งกำจัดกิเลสออกไป
พ่อครูว่า..จนมันสิ้นไปถาวร แล้วฌานก็ยังอยู่ แต่บุญจบไปแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ฌานวิสัย ถึงอนุสัย
ฌานคือ พลังงานที่รวมขึ้นมาเพื่อกำจัดกิเลส เป็นอุณหธาตุหรือธาตุไฟที่ยิ่งใหญ่ ไฟกองใหญ่ ก็จะมาเผาไฟราคะโทสะโมหะ หมดสิ้น พอหมดสิ้นแล้วก็จบ
หน้าที่ของบุญ บุญคือสร้างพลังงานฌานให้เกิด เมื่อพลังงานฌาน สามารถชำระกิเลสได้ ก็เป็นส่วนแห่งบุญ
ฌานคือปัจจุบัน บุญเป็นภาษาลึกและกว้าง
ฌานก็ดี เป็นฌานวิสัย วิสัยของฌานเป็นอจินไตย ท่านแปลว่า คนสามัญอย่าไปคิด คนไม่มีความรู้ ไม่มีความเป็นฌานได้แล้วจริง ไม่มีนิสัยแห่งฌาน พูดถึงฌานเมื่อไหร่จะพูดผิดหมด
ผู้มีวิสัยแห่งฌานก็จะมีอจินไตยอันนี้
อย่าง พระพุทธเจ้า ก็ต้องสั่งสมพุทธวิสัย ผู้มีวิสัยเป็นฌาน สามารถทำฌานและพูดฌานได้ถูกต้อง อันนี้ก็ไม่ใช่สิ่งลึกลับสำหรับท่านแล้ว
ฌานวิสัยเป็นอจินไตย หากไม่ได้ปฏิบัติจนเกิดเป็นนิสัยวิสัยได้ ก็ไม่รู้อจินไตยนี้
อาตมารู้ฌานที่เขาทำนั้นผิดก็เลยอธิบายว่าอันไหนถูกอันไหนผิด อาตมามีวิสัยอันนี้แล้วเป็นนิสัยของอาตมาแล้ว เกินวิสัยแล้ว รวมเป็นอนุสัยแล้วรวมหมด ทุกวันนี้อธิบายฌานก็คืออธิบายด้วยอนุสัย ไม่ได้อธิบายกันด้วยวิสัยหรือนิสัย อาศัยก็ยังไม่ได้ เพราะมันผิดมาตั้งแต่ต้น จนเดี๋ยวนี้ไม่มีถูกให้อาศัย อาตมาก็เอาสิ่งที่ถูกต้องมาให้อาศัย พวกเราก็เรียนกันจนเป็นนิสัย จนเป็นฌานวิสัย จนเป็นอนุสัย ในความถูกต้องแล้ว ไม่ใช่อนุสัยที่ผิดมาตั้งแต่ต้น
อาจารย์กฤษฎาว่า...ผมได้คำตอบส่วนตัวแล้วว่า ผมนี้พยายามตามรอยพระอรหันต์ ผมจะมองพ่อครูเป็นต้นแบบ
โดยส่วนตัวผมจะทำอย่างไรให้มีบุคลิกภาพที่นิ่ง สบาย แต่คนที่รู้ทุกข์ยอมเอาทุกข์ออกไป ก็จะมีสภาวะเย็นหรือนิพพาน คนทั่วไปทำไม่ถึง แต่ผมก็ต้องเรียนรู้ตามสัตบุรุษ คือพ่อครู ผมได้อ่านในหนังสือธรรมพุทธสุดลึก
ฌานที่ 4 คือมีอุเบกขา พ่อครูมีอายุ 84 ปี แต่พ่อครูยังมีสติปัญญาแจ่มใส แต่ว่าคนอายุ 84 นี้คงคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว
ถ้าถึงฌาน 4 แล้วสติบริสุทธิ์คือสัมมาสมาธิหรือไม่
พ่อครูว่า...สัมมาสมาธิที่มีเอกัคคตาจิตถาวร เป็นธรรมดาธรรมชาติแล้ว เอกัคคตา แปลว่าจิตเป็นหนึ่งอันยิ่งใหญ่ ความหมายของเอกัคคตา เอาไว้อธิบายจิต แต่เขาอธิบายว่า นั่งหลับตาแล้วทำให้จิตเป็นหนึ่ง แล้วจิตที่เป็นหนึ่งแบบนั้นมันจะไปยิ่งใหญ่อะไร เพราะอยู่ในภพดับมืดไม่รู้เรื่อง นิโรธที่แปลว่าดับนี้ ของพระพุทธเจ้า แปลว่าการดับสิ่งที่ทำให้มืดมัวหมอง ให้โง่นี้ออกไป การล้างสิ่งที่ทำให้มืดมัวหมองนี้ออกไป จิตก็ยิ่งสว่างใสสะอาด ก็ยิ่งแจ้งสว่าง ฌานยิ่งสว่าง ฌานยิ่งกว้าง ฌานยิ่งรู้รอบ
ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ฌานกับญาณอันเดียวกันเป็นคู่หูไม่แยกกัน
คำสอนพระพุทธเจ้าที่อาตมาหยิบออกมาอธิบาย อาตมาจะอธิบายเป็นอัตโนมัติตีความตามตัวเองเป็นหลัก อาศัยบัญญัติภาษาที่เขาอธิบายเป็นเค้าเงื่อน อาตมาอธิบายไปตามนั้น เสร็จแล้วก็อธิบายไปหาความหมายตามที่อาตมาเข้าใจ ทะลุทะลวงไปจนถึงแก่น ของความหมายจริงแต่ละอันอันนั้นเลย
อาจารย์กฤษฎาว่า...เวลาดำเนินรายการกับพ่อครู ผมก็พยายามย้อนดูสมมุติกับบัญญัติ โดยลืมไปว่ามันไม่ใช่เป็นความเป็นจริง คำว่ากิน กับเจี๊ยะก็อันเดียวกัน ไปย้อนดูแต่ก่อน ความเข้าใจก็ต่างกัน
พ่อครูว่า...ใช่มันมาก ทุกวันนี้อธิบายมากเกิน แต่ก่อนนี้ไม่อธิบายมาก มันสั้นๆ ตีเข้าหาเนื้อแท้ ทีนี้มันเข้าหาเนื้อแท้ มันมีเนื้อแท้มากก็เลยเยอะ ไม่ลัดเข้าหาเป้าคนที่ฟังธรรมะก่อนๆของอาตมาจะฟังเข้าใจง่าย แต่ก่อนอธิบายสั้นลัด แต่ตอนนี้โค้งกว่าจะเข้าเป้าหมาย
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน วจีสังขารกับการทำใจในใจ
อาจารย์กฤษฎาว่า...ทุกครั้งที่พ่อครูอธิบายก็มีการบันทึกไว้ วันนี้พ่อครูไม่ได้มาสอนบทที่ 1 ไป ไปยอดเขาลูกที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
กระบวนการเรียนรู้พ่อครูเน้นว่าต้องมองกายให้ออก จะเห็นปฏิจจสมุปบาท
พ่อครูว่า..การจะรู้อะไรก็ต้องรู้กาย ปฏิจจสมุปบาทเริ่มที่สังขาร ก็ต้องเริ่มที่ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร อวิชชาคือไม่รู้อะไร ก็ค่อยเรียนสังขาร
สังขารก็คือวิญญาณ กายก็คือวิญญาณ จริงๆแล้ววจีก็คือวิญญาณ ถ้าเข้าใจวจีสังขารในสังกัปปะ 7 ก็คือนามธรรม คนที่ไม่ได้มีความรู้ชัดเจนตามที่พูดมานี้ก็จะงง หาว่าอาตมาโมเม วจีสังขาร เขาก็ว่าอยู่ข้างนอก จริงๆไม่ใช่ วจีข้างนอกเป็นวจีกรรม ไม่ใช่วจีสังขาร
วจีสังขาร มันคือคำที่ปรุงแต่งอยู่ข้างใน มีภาษาที่ตั้งชื่อเรียกแล้วเรียกว่า อธิวจนสัมผัสโส ผู้ใดมีคำนั้นในใจ สังขารในใจ ก็จะรู้ว่ามันมีในใจ แต่ไม่เป็นกรรมกริยาเป็นคำพูดออกมาภายนอก ไม่เป็นวจีวิญญัติ มันอยู่ข้างใน เป็นบัญญัติภาษาชื่อเรียกมันมาก่อนอยู่ภายในก่อน คนไทยก็มีภาษาไทยในใจ คนฝรั่ง คนจีนก็มีภาษานั้นแต่ละคนในใจ มันเร็วมากเป็นอัตโนมัติ ปฏิภาณของคนเร็วมาก
สรุปแล้วคำว่า กาย ถ้าไม่เรียนรู้ให้ถูกต้องโดยสัมมาทิฏฐิ แล้วก็เริ่มต้นปฏิบัติกาย คุณจะบรรลุธรรมสูงสุดอย่างไรๆ คุณก็ต้องมีคำว่ากายอยู่ร่วม ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นพระอรหันต์
คือธรรมะสอง ที่สุดแห่งธรรมะ 2 ที่ทำให้เป็นธรรมะหนึ่งได้ ทำเป็นธรรมะ 1 สำเร็จ สำเร็จถาวรด้วย คุณก็จะรู้จักธรรมะ 2 คือสิ่งที่เราสำเร็จแล้ว ธรรมะที่มันเป็น 2 นั้น มันไม่เกิดในจิตคุณอีกแล้ว เมื่อเป็นพระอรหันต์ มันมีแต่ธรรมะ 1 แต่ธรรมะ 2 นั้นเป็นความรู้ เรารู้ว่าอันนี้เราเคยมีเคยเป็น หรือไม่เคยมีเคยเป็น โลกเขามีเขาเป็น แต่เราไม่เคยเป็น เราก็พอจะรู้ จากที่ได้ศึกษาจากคนอื่น แต่เราต้องไปศึกษาของเราเองที่เราไปยึดติดเป็นตัวที่ 2 ต้องทำมันให้หมดไปในตัวที่ 2 มันเป็นกายที่ 2 เป็นเวทนาที่ 2 เป็นจิตที่ 2 ซึ่งเรียกมันว่าเป็นอกุศล อกุศลจิต อกุศลเวทนา อกุศลกรรม
พระอรหันต์มีจิตที่เป็นหนึ่งเอกัคคตาเป็นถาวร จิตเป็นหนึ่งถาวรก็คือกายเป็นเอกกัคคตา
อาจารย์กฤษฎาว่า...ตรงวจีสังขาร เป็นการระเบิดจากภายในใช่ไหม
พ่อครูว่า...ใช่ มันจะเป็นวจีสังขารก็คือมโนที่ปรุงแต่งเป็นภาษา ถ้าไม่มีภาษาเป็นอธิวจนะก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา มันมีสภาวะแล้ว เช่น อรูปหลายๆอย่างในจิต แต่ไม่มีชื่อนามธรรมขั้นอรูป แต่คุณไม่มีภาษาเรียกก็สื่อคนอื่นไม่ออก
อาจารย์กฤษฎาว่า...ตอนก่อนจะมาวจีสังขารมันต้องผ่านโยนิโสฯมาก่อนหรือไม่?
พ่อครูว่า...โยนิโสมนสิการนี่แหละเป็นตัวปฏิบัติธรรมตั้งแต่ต้นจนจบของศาสนาพุทธ ผู้ใดไม่รู้จักโยนิโสมนสิการอย่างสัมมาทิฏฐิให้ถูกต้อง คนนั้นไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรม ทุกวันนี้เขาโยนิโสมนสิการไม่เป็นเลย
ผู้จะโยนิโสมนสิการให้บริบูรณ์ ต้องได้พบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ แล้วต้องฟังสัทธรรม ฟังธรรมะของสัตบุรุษให้บริบูรณ์ จึงจะเกิดความเชื่อถือศรัทธาความเห็นที่บริบูรณ์ ความเห็นที่บริบูรณ์คือโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์ เมื่อมีโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์ก็ปฏิบัติธรรมที่บริบูรณ์ ที่จะบรรลุวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์
ในนามธรรม 5 มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
มนสิการคุณต้องทำใจในใจให้โยนิโส มนสิการเป็นตัวหลัก ในมูลสูตร ก็มี
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .
4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
หากมนสิการไม่โยนิโส ไม่ถ่องแท้แยบคายถึงที่เกิดอย่างละเอียดลออเลย ถ้าทำอันนี้ไม่ถึงก็ปฏิบัติธรรมผิดหมด
หากไปนั่งหลับตาปฏิบัติก็เป็นการสะกดจิตสะกดใจ แต่มันไม่เป็นโยนิโส มันไม่ได้ถ่องแท้แยบคาย ไม่ได้ไปหาที่เกิด มันไกลไปจากความจริงของศาสนาพุทธมากมาย ทำอย่างไรถึงจะดึงกลับคืนมาได้
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สมาธิสะกดจิตทำผิดเป้าหมายพุทธ
อาจารย์กฤษฎาว่า...การไปนั่งอย่างนั้นเขาก็ว่าได้สมาธิ
พ่อครูว่า...เป็นการได้มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิต้องปฏิบัติจากมรรคทั้ง 7 องค์ การทำอาชีพ การทำ การพูด การคิด โดยมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน มีความพยายาม มีความมีสติ ในขณะที่ทำการงานอาชีพ ทำกัมมันตะ ทำการพูดทำการไปคิดอยู่ทุกอย่าง แล้วคุณก็เรียนรู้ให้รู้กิเลสแล้วกำจัดกิเลสออกไป เป็นฌาน วิมุติไปตามลำดับ ไม่ได้ไปนั่งหลับตาทำอะไรเลย
อาจารย์กฤษฎาว่า...ตอนนี้มีงานวิจัยทางการแพทย์สนับสนุน การนั่งสมาธิหลับตาแล้วออกมา แต่เขาก็ว่า ทำให้คนเรานั้นมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น
พ่อครูว่า...ก็เป็นผลงานในการเรียนรู้สร้างสรรไม่ใช่การรบกิเลสจริงๆแล้วเป็นการเพิ่มการงาน กัมมารามตา ไปยินดีในผลของการงาน การนั่งหลับตาก็ทำให้จิตมันรวมตัวได้ดีขึ้นเป็นConcentration เมื่อลืมตาก็มีอิทธิพลจากการนั่งหลับตาทำให้รวมจิตได้เร็ว Concentrate ได้เร็วการงานก็ดีขึ้น ไม่ได้เป็นผลจากการลดละกำจัดกิเลสอะไรเลย มันเป็นผลแห่งการนั่งหลับตาแล้วสร้างให้จิตมันรวมเป็นกลุ่ม จะเรียกว่าเป็นสมาธิก็เป็น คอนเซนเตรชั่น ด้วยการฝึกอย่าง Meditation แล้วมาทำขณะลืมตาควบคุมได้เก่งขึ้น ก็เอามาใช้ในการทำประโยชน์การงานแต่ไม่ได้เรียนรู้ลดละกิเลส ก็มันหลงในการงานสร้างสรรอีก ที่พูดนี้ไม่ได้หมายถึงว่าการทำงานไม่ดี แต่พูดถึงความรู้ศาสนาพุทธที่เรียนรู้กันอย่างผิดเป้าหมาย ก็เลยไม่ได้ผลที่จะล้างกิเลส
อาจารย์กฤษฎาว่า...วันนี้ก็เลยกลายเป็นว่ามีทหารอเมริกาและนักกีฬาอเมริกามานั่งสมาธิ แต่ไม่ได้ทำตามเจตนาของศาสนาพุทธ
พ่อครูว่า...วิธีทำสะกดจิต meditation ก็คือรวมจิตให้เก่งอย่างชำนาญ เอาไปใช้งานในการทำอะไรมันก็ดีขึ้น มันก็ได้งานขึ้น มันไม่ได้ลดกิเลส มันเป็นการหลงในการงาน การกระทำกัมมารามตา ยินดีในกรรมปรุงแต่งสร้างสรร แล้วคุณก็ได้เจริญในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ทำได้เก่งกว่าเขาชนะเขาเหนือกว่าเขา ไม่ได้ทำการงานที่ปราศจากกิเลสเป็นโทษเป็นภัยต่อสังคม ไม่ได้ล้างกิเลส แต่ยิ่งมีกิเลสเพิ่มขึ้น ยินดีเพิ่มขึ้นในกรรมที่ทำได้โลกธรรมเจริญขึ้นๆ
อาจารย์กฤษฎาว่า..ตอนนี้เขาเชิดชู การนั่งสมาธิหลับตากันมาก
พ่อครูว่า...ถามมาก็ดี เมื่อกี้นี้ตอบไป ฌานกับบุญต่างกันอย่างไรก็ต้องฟังต่อไปเรื่อยๆแหละ
_อันที่สองจากแววน้อม...หากเรากินอาหารเค็มเกินหวานเปรี้ยวเกินกินไม่ได้ก็ไปหาวิธีทำหรือปุรงใหม่อย่างนี้เรียกว่ากิเลสข้อไหนคะ
พ่อครูว่า...กิเลสข้อที่อยากให้มันพอดีกับที่ใจต้องการ ถ้ามันจะกินพอได้ไม่จัดมาก ไม่ทรมานทรกรรม มันจัดเกินกินไม่ไหวหรอก แต่เราเองไปมีรสนิยมเปลี่ยนให้ได้ตามกิเลส รสนิยม
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ความฝันเป็นการทำงานของเจตสิกอันไหน
_การนอนหลับฝัน ล้วนแต่เป็นการทำงานของสัญญาใช่ไหม
พ่อครูว่า...นอนหลับฝันคือ บทบาทการทำงานของสัญญาคุณล้วนๆ โดยไม่มีสติเข้าไปควบคุม เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ฝึกสติจนกระทั่ง มีสติควบคุมความคิดได้ อย่างเช่นพระอรหันต์ผู้ที่ฝึกจิตดีแล้ว การนอนหลับก็จะเป็นการปรุงแต่งอย่างมีสติควบคุม อย่างอาตมานอนหลับก็มีสติควบคุม มีนิมิตก็เป็นเรื่องธรรมะทั้งนั้น เพราะว่าเราก็ได้ฝึกแล้ว ไม่มีตัววุ่นวายในจิตแล้ว มันก็ปรุงแต่เรื่องธรรมะ แต่ผู้ที่ยังไม่หมดไม่หยุดในสิ่งที่ไปปรุงฟุ้งซ่านกับกิเลสมาร่วมปรุงแต่งก็เละเทะไปเลย สติไม่ได้ควบคุม ไม่ได้ควบคุมก็ปรุงแหลก กิเลสในสัญญามากวน เป็นฝันมากมาย
สรุปแล้วการทำงานในสัญญาทั้งในนอนหลับตาฝัน สรุปว่าฝันนั้นไม่ใช่เรื่องจริงแล้ว
_นั่งหลับตาสมาธิก็คือฝันเอาใช่ไหม
พ่อครูว่า….ถูกต้อง ไปนั่งหลับตาสมาธิก็คือเป็นอดีตกับเป็นอนาคต 62 อดีต 18 อนาคต 44 ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ 62 เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจคำสอนพระพุทธเจ้า อ่านพระสูตรแรกพรหมชาลสูตรในทิฏฐิ 62 คือการนั่งหลับตาทำสมาธิ แล้วก็จะมีมิจฉาทิฏฐิได้ 62 เท่านั้น สรุปแล้วผู้ใดนั่งหลับตาทำสมาธิจะได้มิจฉาทิฏฐิหมด ในพระไตรปิฎกเรียกว่าทำเจโตสมาธิไม่เกิดปัญญาอะไรเลย มีแต่ทิฏฐิที่เป็นประธานแล้วหลงปรุงแต่งไปมาอยู่เก่า ไปในอดีตและอนาคตเท่านั้นเอง
อาจารย์กฤษฎาว่า...มันเป็นอุปาทานร้อยเปอร์เซ็นต์
พ่อครูว่า...มันเป็นตัณหาที่แส่หา ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ท่านสรุปว่า เป็นตัณหาที่แส่หา เป็นผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของผู้มีตัณหา ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหา เท่านั้น.
อาตมาพูดไปเขาก็ไม่ฟัง เป็นความไม่มีปรโตโฆษะ เหมือนตอนที่พระพุทธเจ้าประกาศศาสนา คนที่ติดยึดในของเก่า ทิฏฐิเก่าก็ไม่มีปรโตโฆษะเขาก็ไปมนสิการ ไปทำของเขาได้ คือทำใจในใจเขาได้ตามที่เขายึดถือมาเก่า พระพุทธเจ้าจะตรัสเท่าไหร่เขาก็ไม่ฟัง ไม่เห็นด้วยไม่เปลี่ยนแปลงตาม เขาก็เป็นอย่างนั้นไปตลอดกาลนาน ฉันเดียวกันอาตมามาพูดตอนนี้ หากเขาไม่ฟังก็ทำแบบเดิมก็ไม่เกิดโยนิโสมนสิการ ไม่ถ่องแท้ไม่แยบคาย ไม่ลงไปถึงที่เกิด ไม่ถูกต้อง
หากเข้าใจในอวิชชาสูตร
1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .
2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์
8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์
(อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
ที่อื่นๆเขาไม่ได้เรียนอย่างเป็นหมวดหมู่ตามคำสอนพระพุทธเจ้าหรอก เอามาขยายก็จะไม่เข้าใจโดยนัยยะซับซ้อนลึกซึ้งขยายความร้อยเรียงกันได้ เขาก็เอาแต่นั่งหลับตาไปถึงแล้วจะบรรลุอรหันต์ เป็นเรื่องน่าสมเพชเวทนา น่าสงสารมากกว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้
โดยเฉพาะ พระป่าสอนกันว่าไม่ต้องอ่านตำราหรอก สอนให้นั่งหลับตา อย่าให้จิตออกนอกตัวเป็นหลัก อยู่ในภพเลย จะมารับรู้หัวมันนี่ก็ไม่ได้ ตกอยู่ในภพน่าสงสาร ก็ไม่รู้จะเตือนสติอย่างไร
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ฌานคือไฟบุญคือสลายกิเลส
_จะเทียบฌานคือสิ่งเหลือที่จะเจริญไปสู่ญาณ ได้หรือไม่ ฌานเปรียบเหมือนสารอาหารไปเสริมสร้างปัญญา ส่วนบุญ คืออุจจาระที่กำจัดทิ้งจากการย่อยที่เป็นปัญญาญาณได้หรือไม่
พ่อครูว่า….ฌานคือการสร้างพลังงานหนึ่งขึ้นมาเป็นอุหณธาตุ ไฟกองใหญ่ให้ไปสลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้ แล้วบอกว่าฌานคือสิ่งเหลือที่จะเจริญไปสู่ญาณ ...ได้..ถ้าคุณเข้าใจ แต่ภาษามันวนแล้วเอาบัญญัติไปใส่
ฌานคือพลังงานไฟไปสลายกิเลส ขณะสลายกิเลสได้คือหน้าที่ของบุญ ไปสลายเสร็จ บุญก็หายวับไปเลย ไม่เหลืออะไรเลย ถ้าบอกว่าบุญคืออุจจาระ แล้วกำจัดทิ้งออกไปก็ใช้สำนวนว่ากำจัดทิ้งไป มันก็ต้องทิ้งเมื่อกำจัดกิเลสได้ก็ได้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
อาจารย์กฤษฎาว่า...บุญเป็นทั้งมรรคและผล หากสำเร็จผลก็สลายไปเลย คนทำได้ผลก็มีมรรค ก็ยึดไว้ไม่ได้มันเป็นผลไปแล้วไม่ต้องไปยึด เพื่อนผมเขามักไลน์มาว่าใส่บาตรแบ่งบุญมาให้ แต่ผมก็บอกไปว่าคุณใส่บาตรก็ได้กุศลแต่ตนเอง
พ่อครูว่า...ความฉลาดของปุถุชนคือโลกียะเฉโกทั้งนั้น ความฉลาดที่เป็นปัญญาต้องเป็นโลกุตระ ต้องมีอัญญะ มาเป็นปัญญา
ไม่มีใครจะมาอธิบายถึงต้นตออย่างอาตมาหรอก มีแต่ไปลอกเลียนพยัญชนะตามกันมา อาตมาเอาสยังอภิญญาความรู้เก่ามาอธิบาย สิ่งที่ถูกให้กลับมา อันไหนผิดก็แก้ไขให้ถูก
อาจารย์กฤษฎาว่า...กลองอานกะ พ่อครูบอกว่ากลองเดิมเป็นอย่างนี้นะ อันที่เห็นไม่ใช่แล้ว
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ตั้งแต่สร้างศาสนาว่าต่อไปจะเป็นยังไงในอนาคตเป็นกลองอานกะ ที่การเปลี่ยนเนื้อหนังของปลอมไปหมดแล้วแต่ยังชื่อเก่า กลองอานกะ เขาก็ยืนยันว่าอันนี้แหละใช่ อาตมาก็บอกว่ามันไม่ใช่ ดีไม่ดีทาสีไปไม่รู้กี่ชั้น เก่าก็เอาของเก่ามาแนะนำให้ ด้วยเจตนาดีแท้ๆ คนเชื่อก็มีชาวอโศก นอกนั้นเขาเชื่อครูบาอาจารย์เก่า อาตมาว่าโทษของมหาเถรสมาคมที่มาจัดการอาตมาให้ออกจากวงการศาสนา ได้บาปไปมากเลย ทำลายสิ่งดีงามถูกต้อง
อาจารย์กฤษฎาว่า...ล่าสุดมีคำสั่ง สมเด็จพระวันรัต เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุติ และสมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก มีคำสั่งเรื่อง ให้พระสังฆาธิการตรวจสอบพฤติกรรมและลงโทษพระภิกษุในปกครอง 4 ประเด็น คือ
ข้อแรก ให้พระสังฆาธิการดำเนินการตามกฎ ข้อบังคับและระเบียบ ดำเนินการกับพระภิกษุสามเณรที่ละเมิดกฎหมายบ้ายเมืองและพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
ข้อที่ 2 ให้พระสังฆาธิการกวดขันควบคุมพระภิกษุสามเณร ที่วิพากษ์วิจารณ์ หรือแสดงตนกระทบต่อความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และความสงบสุขของประชาชน
ข้อที่ 3 ให้พระสังฆาธิการกวดขันควบคุมพระภิกษุสามเณร ที่มีความประพฤติเสียหาย ไม่เหมาะสม ทั้งร่างกาย วาจา การใช้สื่อสังคมออนไลน์ ใช้อุปกรณ์สื่อสารผิดกาละเทศะและไปในสถานที่ไม่สมควรแก่บรรพชิต
ข้อที่ 4 ให้พระสังฆาธิการกวดขันควบคุมพระภิกษุสามเณร ที่ไม่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยและไม่รักษาเชิดชูพระธรรมวินัย
พ่อครูว่า...ขันชะเนาะบิดเกลียวกันบ้างก็ดี ขออนุโมทนาสาธุ อย่างน้อยก็ยังเข้าหาสัจธรรมกันเพิ่มขึ้น ขอให้ทำให้ได้
อาจารย์กฤษฎาว่า...อีกฉบับหนึ่งว่า ห้ามติดแผ่นป้าย ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จากนั้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน พระพรหมดิลก เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ได้ออกคำสั่งที่ จค 141/2560 ถึงเจ้าคณะเขตทุกเขตในกรุงเทพมหานคร เรื่องห้ามติดแผ่นป้ายการโฆษณาพระพุทธรูป พระเครื่อง วัตถุมงคล และเทวรูปในที่ต่างๆ ความว่า “เนื่องด้วยในปัจจุบัน มีกลุ่มบุคคลใช้ความเชื่อทางด้านศาสนามาแสวงหาผลประโยชน์ ได้ทำการโฆษณาสรรพคุณพระบูชาและวัตถุมงคล โดยอ้างแหล่งที่มาของวัสดุที่นำมาสร้างพระบูชาวัตถุมงคล และเทวรูปต่างๆ ตลอดถึงอ้างอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงหลักธรรมคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา ทำให้ประชาชนเกิดความหลงผิด เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร จึงขอให้เจ้าคณะเขตทุกเขต ได้สอดส่องดูแลการโฆษณาการจัดสร้างพระบูชา วัตถุมงคล และเทวรูปทางสื่อต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีการเผยแพร่พุทธธรรมอย่างถูกต้องชัดเจน อนึ่ง เนื่องจากพระอุโบสถหรืออุโบสถ เป็นสถานที่ที่พระภิกษุสงฆ์ใช้ทำสังฆกรรมตามพระวินัย จึงขอให้เจ้าคณะเขตทุกเขต ได้แจ้งให้วัดทุกวัดในเขตปกครอง ไม่ควรจำหน่ายพระบูชา วัตถุมงคล และเทวรูปต่างๆ ภายในและบริเวณพระอุโบสถหรืออุโบสถ
พ่อครูว่า...ดีมากเลยก็ขอให้สำเร็จเอาใจช่วยอย่างยิ่ง ทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องโฆษณากันในหนังสือพิมพ์ เต็มหน้าเลย เครื่องรางของขลัง วัดนั้นวัดนี้ทำกัน คือศาสนาผู้บริหาร นี่ก็ดีแล้วล่ะพยายามจัดการขึ้นมาบ้าง ที่ผ่านมาไม่เอาภาระ ปล่อยปละละเลยจนมันเน่าเฟะ เข้าใจเชื่อถือกันผิด พูดกับวงการในศาสนาเหมือนกับพูดกับคนไม่รู้เรื่อง จะทำอย่างไรถึงจะได้สื่อสารกันรู้เรื่อง
SMS วันที่ 1 ตุลาคม 2560 (วิถีอาริยธรรม-บวรสันติอโศก)
_7630พ่อท่านครับ กระผมว่าท่านรัฐมนตรีการท่องเที่ยวและกีฬาของเกาหลีใต้ที่มาถามในหลวงนั้น ได้ฟังคำตอบแล้ว "ไม่หูหัก" หรอกครับ ผมว่าเขาทึ่งมากกว่า ไม่เหมือนของไทย "หัก" แน่ๆเลย
_3867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.สันติฯทุกบวรอโศกกับสัจธ.ตามรอยพ่อฯour loss is our gainด้วยศก.คนจนเชิงโลกุตระและโลกธ.ตามกระแสกิเลสเอารัดเอาเปรียบด้วยศก.คนรวยเชิง โลกียะฯ
_2166ไม่ทราบว่าพ่อท่านได้เคยเข้าไปสักการะพระบรมศพหรือยังครับ?
พ่อครูว่า...ที่อาตมาทำนี้แทบทุกวัน เอาคุณงามความดีของท่านมายกย่องเชิดชูมากล่าวถึง อธิบาย มาทำตาม นี้ยิ่งกว่าไปสักการะพระบรมศพ ทำอยู่แล้ว
_3867หนังสือธรรมะโดยพ่อครูฯจะออกเมื่อไรหนอ?ตั้งหน้าตั้งตารอร้อร๊อรอคอยอ่านอ๊านอ่าน!สมาชิก340เราคิดอะไรผู้ร่วมบริจาคพิมพ์ธ.อโศก
_3867กราบอนุโมทนาพ่อครูฯกับพลังA BOMB OF LOVE พลังตื่นรู้จากใจรักภักดีต่อร.9พลังเดียวเพื่อมวลมนุษย ช.ด้วยพลัง"พอ"หยุดกลียุคโลก!พลัง"ให้"รักษ์สันติสุขโลก!
_9759เมื่อโลกจมลงกู้ได้ด้วยวิถีธรรม-เมื่อโลกขาดธรรมพระอริยจะอุบัติช่วย
พ่อครูว่า...อาตมาที่พูดแล้วอวดอุตริมนุสธรรม เป็นการพูดอย่างบริสุทธิ์จริงใจ ก็ขอปรามคนเพ่งโทษ
_4155ตั้งใจจะมาสันติวันนี้ แต่มีมาร เสียดายจังค่ะ
จากเฟสบุ๊ก
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน เห็นอาหารแล้วนำ้ลายสอเป็นกิเลสไหม
_อำภา รื่นใจดี · น้อมกราบนมัสการท่านพ่อครู เจ้าค่ะ ขอความเมตตาชี้ทางธรรมในสิ่งที่ลูกสงสัย ดังนี้
ข้อ.1 ตาได้ไปผัสสะเข้ากับมะดัน แต่มั่นใจว่าได้รู้สึกว่าอยาก หรือไม่อยาก คือรู้สึกเฉยๆ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น แต่รู้สึกได้ว่าน้ำลายในปากมีรสเปรี้ยว หมายความว่าลูกยังมีกิเลสอยู่ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...ถูกแล้วเพราะว่ามันยังมีอิทธิพลต่อเรา ความรู้สึกปรุงมาจนน้ำลายสอ
ข้อ 2. สภาวะธรรมหมายความว่าอย่างไร เป็นรูปธรรม นามธรรม หรือเป็นทั้งรูปทั้งนามคะ
พ่อครูว่า...สภาวธรรมหมายถึงรูปธรรม นามธรรม สภาวะแปลว่าการปรากฏ
ข้อ 3. จากข้อ 1. ส่วนไหนคือสภาวะธรรม ตาเข้าไปผัสสะกับมะดัน หรือ น้ำลายมีรสเปรี้ยว หรือมีมากกว่านี้คะ กราบขอบพระคุณที่เมตตาค่ะ
พ่อครูว่า...ก็เป็นสภาวะทั้งนั้นแหละสภาวะของการเกิดมีน้ำลาย ตาสัมผัสมะดัน คุณมีปสาทรูป ไปสัมผัสมะดัน คุณไปผัสสะกับมะดันก็เป็นสภาวะคือสิ่งที่ปรากฏ
_จาก ชาวบ้าน ค่ะ กราบนมัสการพ่อครูกระผมฟังเทศพ่อครูมาจนหูตาสว่างขึ้นมาบ้างแล้ว
ข้อ1 ขอกราบเรียนถามพ่อครู ค่ะ ลูกมีความเข้าใจ คำว่า อธิปไตยของพุทธ คือ มรรค ถูกหรือผิด อย่างไรคะ
พ่อครูว่า…อธิปไตย มันหมายถึงพลังอำนาจ คำว่าพลังอำนาจนี้ท่านเอามาใช้กับธรรมะว่าสติ เป็นอธิปไตย หากคุณมีพลังงานอำนาจสติตื่นรู้ตลอดเวลาไม่หลับใหลตกร่วงให้โลกครอบงำก็มีอำนาจในตัว อยู่เหนือโลกพระอรหันต์มีอธิปไตย เหนือเป็นปัญญา เป็นอุตตระ
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน วิตกกับวิจาร คืออย่างไร
ข้อ2 ขอกราบนมัสการพ่อครู อธิบาย การทำงาน ของคำว่า วิตก และ คำว่า มนสิการ ค่ะ
พ่อครูว่า…คุณจะต้องทำใจในใจเป็น จึงเรียกว่าโยนิโสมนสิการ เฉพาะมนสิการคือการทำใจ วิตกหมายความว่า อาการของจิตที่มันดำริขึ้นมา มันเริ่มดำริขึ้นมาเรียกว่าวิตก แล้วคุณก็อ่านอาการที่ดำริขึ้นมา แล้วก็พยายามวิจัยคำว่าวิตกนี้ วิจัยดูพฤติการณ์ของมันเรียกว่าวิจาร จารคือพฤติการณ์ ก็วิจัยในวิตก ก็อ่านพฤติ จาระ มันปรุงแต่งอยู่ อะไรมาปรุงแต่ง เป็นกุศลหรืออกุศลจิตปรุงแต่งร่วมด้วยไหม วิจัยให้ออก เรียกว่าแยกในวิตก วิจัยออกว่ามีกามผสมมาก็เรียกว่า มีกามวิตก ก็จะต้องเลือกเอาพลังงานส่วนที่เป็นกามมากำจัด อย่าไปกำจัดทั้งดุ้น เช่นไปนั่งหลับตาสะกดจิตไม่ให้เกิดกามเกิดพยาบาท เหมือนจับโจรในบ้านโดยการเผาบ้านทั้งหมด แต่โจรขุดรูอยู่หนีไปแล้วก็ได้
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:16:56 )
รายละเอียด
601004_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ “จนเจริญเจริญ”
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2560 ที่ราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ และมีวันที่มีคนไม่อยากให้ถึง คือวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งอยู่ในช่วงเทศกาลกินเจคือวันที่ 26 ตุลาคม 2560 อาตมามาปฏิบัติธรรมกับชาวอโศกถือศีลกินเจมา 36 ปีแล้ว ก็ยาวนาน พ่อครูช่วงนี้ก็ขอพักงานอื่น จะทำแต่งานแสดงธรรม
พ่อครูว่า...เริ่มจาก sms กับ facebook
SMS วันที่ 3 ตุลาคม 2560 (สมณะ สิกขมาตุ : บวรสันติอโศก)
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพเป็นอย่างสุง ขณะนี้กระผมรับชมพ่อครูที่บ้าน เพราะกลับจากบ้านราชก่อนกำหนดพรรษา สาเหตุเพราะหลังเคล็ดอย่างแรงหลังจากไปช่วยกันเตรียมที่ข้างเฮือนสวน. รถไถเดินตามติดหล่มก็ช่วยกันทั้งดันทั้งยก จึงเป็นเหตุให้ช่วยงานที่วัดไม่ได้ ครั้นจะอยู่ก็กลัวจะเป็นภาระคนอื่นจึงตัดสินใจกลับบ้าน หายดีเมื่อไหรจึงจะได้กลับไปบ้านราชครับ
พ่อครูว่า...อันนี้ก็ขอต่อว่า ผู้ที่ช่วยงานอโศก เมื่อเจ็บป่วยก็กลับไปให้ทางบ้านรักษา ที่จริงเราก็ช่วยกันดูแลรักษาพอได้ จนกระทั่งมีคนว่า อโศกพอดีๆก็ใช้งาน พอเจ็บป่วยก็ให้กลับบ้าน ดีก็ใช้พอป่วยไข้ก็ไม่รักษา อย่างนี้เสียอโศกหมดเลย เราไม่ได้มีประเพณีวัฒนธรรมแบบนี้ แต่คนเขาเกรงใจทำให้เราก็เลยเสียไปด้วย ที่จริงจะไปรักษาก็บอกกันได้ แต่เกรงใจก็เลยกลายเป็นแบบนี้ ชาวอโศกเขาก็เลยว่าเป็นแบบนี้ พอดีก็เอามาใช้ พอเจ็บป่วยก็ให้ไปรักษาเอง
_หินเย็น ศิลป์ประกอบ · ขอบคุณผู้ที่เอาภาระในการนำเสนอรายการสดอย่างยิ่งครับกราบนมัสการนักบวชด้วยครับขอให้มีอย่างนี้ตลอดไปครับ
_ตุ้ม พรทิพย์ · ฌานคือพลังจิตที่เข็มแข็งในการล้างกิเลสใช่หรือไม่เจ้าคะ
พ่อครูว่า...ฌานคือพลังงานของจิต ผู้ที่ศึกษาสัมมาทิฏฐิจะสร้างพลังงานจิตนี้ได้ เป็นพลังงานฌาน เป็นอุณหธาตุ แปลเป็นไทยก็คือธาตุไฟ สามารถที่จะสลายไฟ ราคะโทสะโมหะได้
ทำให้มีคุณสมบัติถึงขีดก็จะสามารถล้างกิเลสได้
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน วจีสังขารเป็นรูปหรือนาม
_อำภา รื่นใจดี · วจีสังขารเป็นนามรู้นามใช่ไหมเจ้าคะ
พ่อครูว่า...วจีสังขารเป็นนามธรรมไม่ใช่วจีกรรม เป็นภาษาอยู่ภายในใจ ปรุงแต่งเป็นคำพูดอยู่ในใจ อยู่ในสังกัปปะ 7 เป็นต้น วจีสังขารจึงคือนาม เมื่อเรากำหนดรู้วจีสังขารนี้ได้ วจีสังขารก็กลายเป็นตัวถูกรู้ เป็นรูป อาการของจิตที่มันเป็นวจีสังขาร เรียกพยัญชนะว่าวจีสังขาร กำหนดรู้ตัวนี้ได้ อาการนี้ถูกรู้โดยตัวผู้รู้ที่เป็น subject เป็นประธาน สิ่งที่เป็นวจีสังขารก็เป็น Object ค่อยๆรู้ไป รู้จักสภาวะดีแล้วจะไม่สับสนภาษาจะไม่สลับไปสลับมา คนเอาไปตีกินก็จะชั่ว คนยังไม่เอาไปตีกินก็สลับกันไปมาบ้าง คนไม่รู้ก็สับสนเลยกลับไปกลับมา เป็นสัจธรรมที่อาตมาใช้ภาษาเรียกว่า สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนคัมภีราวภาโส ปฏินิสสัคคะ กลับไปกลับมา ทำให้มันเกิดความสมบูรณ์เรียกว่า นิสสัคคะ คือไม่มีสวรรค์แล้ว สัคคะคือสวรรค์ นิแปลว่าไม่ รูปนามที่สลับกันไปมา Action reaction ปฏิคือทวนไปทวนมา กระทบไปกระทบมา แล้วเราก็สามารถรู้จักสภาวะของการเกิดชนิดนี้ ของนามธรรมหรือจิตวิญญาณนี้
_เอกีภาวะ วิชชาราม · เห็นพ่อครูไอ ท่านแพ้พัดลมแอร์อากาศข้างหลังหรือเปล่า อากาศไม่ค่อยดีหรือเปล่า พัดลมตัวข้างหลังพ่อครูหนูเคยเห็นเค้าแพ้พัดลมแบบนี้กันแล้วไอก็มีน่ะเจ้าคะ ลองปรับอุณภูมิรอบตัวดูบ้าง อยู่แบบร้อน ๆ แล้ว ไม่ไอ อาจจะดีกว่ามั้ยเจ้าคะ น้อมกราบนมัสการ โอมแข็งแรง สู้ สู้
พ่อครูว่า...อย่าเอาอาตมาเป็นเกณฑ์เลยอาตมาไม่ได้แพ้อย่างที่ว่าหรอก คนก็พยายามช่วยกันอยู่จัดสรรให้
ตอนนี้มีผู้พยายามทำ ตรวจสอบ ภูมิ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ เรากำลังจะใช้เครื่องมือด้วยวิชาการ ที่มีเครื่องมือทางโลกง่ายๆนี่แหละ ตรวจวัดจากอาการจริงด้วยญาณปัญญาจริง ผู้รู้สามารถประเมินได้ด้วยการวัด โดยวิธีการทางโลกเป็นสากล เราก็พยายามสร้างและทำ นอกจากนั้นการวัดโดยนามธรรมนั้นไม่ง่าย การตรวจสอบคุณธรรมก็มีมาแต่เดิมตามสมัยพระพุทธเจ้า เขาก็พยายามสร้างเครื่องมือวัดตอนนี้ แต่วัดกิเลสนี้คงวัดไม่ได้ง่ายๆ แต่ก็พยายามวัดตามเกณฑ์หากผู้ที่ตอบมีความซื่อสัตย์ก็จะสามารถวัดได้ ไม่อย่างนั้นก็งมคลำเดาด้นไป มันก็จะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ
ก็ขอพูดถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน พันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ก็ได้กลับมาทำงาน อาตมาว่าเป็นยุคสมัยที่ดีมากเลย จัดการชำระ โดยที่ไม่ได้ชำระอย่างรุนแรงเหมือนสมัยพระเจ้าอโศก ที่ท่านชำระอย่างไม่ไว้หน้า ปราบกันถึงตายเลย การทำอย่างรุนแรงนั้นล้าสมัยแล้ว ก็หลงเหลืออยู่แค่ คิมน้อยก็ปล่อยเขาไว้เถอะ มีผู้ปรามกันอยู่ เป็นเหตุปัจจัยของสังคมของโลกตามยุคกัปป์เป็นอจินไตย มันต้องมีตัวอย่างมีเหตุปัจจัยอย่างนี้แหละ เป็นจริง เป็นตัวแสดงเป็นตัวละครของโลก มันก็เป็นอย่างนี้ก็ค่อยๆเป็นไป ก็ช่วยกันไป กรรมการก็มีไม่ใช่จะปล่อยแต่โดนัลด์ทรัมป์ สู้กับคุณคิมจองอึนเท่านั้นก็ไม่ใช่ ถ้ามีกรรมการเยอะอยู่พอสมควรก็ดูกันไปช่วยกันไป แม้แต่ไทยเราก็พยายาม ถูกดึงเข้าไปสู่เหตุการณ์ด้วย คุณโดนัลด์ ทรัมป์ก็พยายามให้มาช่วยกัน อย่างไรอย่างไรก็เป็นไปสู่ความดี เพราะมวลประชากรของชาวโลกมีปัญญาแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่ปัญญา เป็นเฉกา เป็นความรู้ทางโลกีย์ก็ตาม ก็มีใจที่ต้องการไม่ให้เกิดความรุนแรงโหดร้ายแรง เพราะรู้แล้ว ยิ่งเป็นจิตที่เป็นโลกุตระจิต มีอัญญธาตุแล้วก็ยิ่งชัดเจน
ลองอ่านคอลัมน์กวนน้ำให้ใส ของสารส้ม ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า
คณะปกครองสงฆ์ขยับเข้าไปจัดระเบียบพฤติกรรมไม่เหมาะสมในวงการสงฆ์ เช่น
ห้ามพระเณรประพฤติไม่เหมาะสมแก่สมณสารูป แต่งกายที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ย่าม กระเป๋าเฟี้ยวฟ้าว ฟู่ฟ่า รองเท้าแบรนด์เนม เป็นต้น
ห้ามพระเณรแสดงพฤติกรรมไม่สอดคล้องเพศกำเนิด
ห้ามเดินทางไปในสถานที่อโคจร ไม่ควรแก่เพศบรรพชิต
ห้ามใช้อุปกรณ์สื่อสารผิดกาลเทศะ ห้ามใช้โซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊ค ห้ามกดไลค์ กดแชร์ โพสต์ภาพ รวมถึงเผยแพร่ข้อความวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นต่างๆ ในสังคม
ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำไม่เหมาะสม ยั่วยุ ปลุกปั่น ก้าวร้าว เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีข้อห้ามอันกระทบกับผลประโยชน์ในวงการพระและวัดบางแห่งด้วย นั่นคือ ห้ามติดแผ่นป้ายโฆษณาพระพุทธรูป พระเครื่อง วัตถุมงคล เทวรูป อ้างอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ สรรพคุณเกจิอาจารย์
ห้ามขึ้นป้ายงานพุทธาภิเษก รวมถึงพิธีปลุกเสก ห้ามจำหน่ายวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง ในอุโบสถ
ห้ามจำหน่ายรูปเหมือน รูปปั้นและเหรียญเทพเจ้าต่างๆ
ห้ามเรี่ยไร ตั้งแผงพระ วัตถุมงคล จำหน่ายในงานประเพณี
โดยสั่งเก็บ ปลด รื้อป้ายโฆษณาวัตถุมงคล พระพุทธรูปพระเครื่องที่มีอยู่เดิมออก และให้พระสังฆาธิการตรวจสอบ กวดขัน ควบคุมพฤติกรรม และลงโทษภิกษุในปกครอง หากมีความประพฤติไม่เหมาะสม ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง และพ.ร.บ.คณะสงฆ์ รวมถึงมติมหาเถรสมาคม
1. ขออนุโมทนาสาธุ
เร่งจัดการกันเถิดพระคุณเจ้า ก่อนพระนอกรีต พฤติกรรมนอกคอก จะนำความเสื่อมมาสู่พระพุทธศาสนาองค์รวม เพราะในปัจจุบันมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับความเป็นพระให้เห็นกันทุกวัน
และนับวัน วัดบางแห่งก็กลายเป็นโรงงานผลิตเครื่องวัตถุมงคลจำหน่ายเข้าไปทุกวันแล้ว
2. ธุรกิจวัตถุมงคลของพระและวัด มีมูลค่าผลประโยชน์หลายหมื่นล้านบาท
มีกำไรส่วนต่างมหาศาล เพราะต้นทุนวัตถุดิบไม่กี่บาท
แถมเงินรายได้ทั้งหมด ก็ยังไม่มีการเสียภาษี
อาศัยพระอุโบสถวัด และจีวรพระสงฆ์ เป็นเครื่องมือเกาะเกี่ยวหาผลประโยชน์
3. ข้อห้ามที่ออกมานั้น จะกระทบกับธุรกิจมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทนี้แค่ไหน?
ห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจวัตถุมงคล มีหลายส่วน อาทิ
ธุรกิจการผลิตวัตถุมงคล ประกอบด้วย การสรรหามวลสาร การเลือกสถานที่สร้าง วิธีการสร้าง ลักษณะของวัตถุมงคล จะเป็นพระเครื่องหรือเครื่องราง ขนาด ชนิด และที่สำคัญ คือ การประกอบพิธีพุทธาภิเษก และการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ทั้งหมดจะมีผลต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้า
เมื่อห้ามการสร้างและการโฆษณาในพระอุโบสถ แน่นอนจะกระทบกับความขลังในส่วนนี้
ต่อไป เราคงเห็นการพยายามหาจุดขายใหม่
ธุรกิจแผงขายวัตถุมงคล ประกอบด้วย แผงพระ ศูนย์พระเครื่อง แผงจำหน่ายวัตถุมงคลต่างๆ มีทั้งที่อยู่ตามวัดและนอกวัด ทั่วประเทศน่าจะนับหมื่นแห่ง
เมื่อห้ามขายในวัด ก็จะกระทบเพียง “หน้าร้าน” ในวัดเท่านั้น อาจเปิดนอกวัด ฝั่งถนนตรงข้ามวัด หรือหลังวัดต่อไป คงคล้ายๆ กับร้านเหล้ารอบๆ มหาวิทยาลัย
ธุรกิจโฆษณา ปัจจุบัน วัดที่สร้างพระเครื่อง มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
การขึ้นป้ายในวัดเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เมื่อถูกห้ามส่วนนี้ ก็คงต้องยุติไป
แต่ส่วนที่โฆษณาผ่านสื่อ ทั้งสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์สมัยใหม่ น่าจะยังคงดำเนินต่อไป แถมจะได้รับอานิสงส์ความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม เพราะการโฆษณาชวนเชื่อ คือ เคล็ดวิชาคาถาสำคัญในการปั่นกระแส สร้างมูลค่าเพิ่มแก่วัตถุมงคลทั้งหลาย ซึ่งคงจะมีการพลิกแพลงวิธีการมากกว่าเดิม เช่น ปั่นราคาผ่านสื่อออนไลน์ เป็นต้น
4. กระบวนการทั้งหมด กระทบผลประโยชน์ของพระสงฆ์และวัด เช่น
ปัจจุบัน ค่าปลุกเสกของพระระดับเกจิ หลายหมื่นบาทต่อวัน
บางรูประดับแสนบาท
บางรุ่น มีการนิมนต์พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์
แผงขายพระที่เกิดตามวัดต่างๆ ก็มีการแบ่งเปอร์เซ็นต์ นอกเหนือ
จากค่าเช่าให้กับพระหรือวัดจำนวนไม่น้อย
แถมมีระบบสายส่งพระ เพื่อกระจายพระเครื่อง เหมือนสายส่งหนังสือพิมพ์ ไปรับพระมาจากวัด แล้วเดินไปตามศูนย์พระต่างๆ ได้เปอร์เซ็นต์ ขึ้นกับแต่ละวัด
5. ทั้งหมด มิใช่ข้ออ้างเพื่อจะเข้ามาอาศัยจีวรและชายคาวัด หากิน
มิใช่แนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แน่แท้
หากพระสงฆ์รูปใด วัดใด ยังดื้อดึง อยากทำมาหากินต่อ ควรจะรีบลาสิกขา ออกไปตั้งสำนัก ตั้งโรงงานผลิต จดทะเบียนถูกต้อง เสียภาษีถูกต้อง ตามระบบกฎหมาย
สารส้ม
พ่อครูว่า...เรื่องความขลังไสยศาสตร์นี้เป็นเรื่องอุปาทานที่มีจริงในคนที่มี อย่างที่ภูเก็ตเวลาเทศกาลกินเจเขาก็เอามีดแทงปากก็ทำได้ เล่นกันหนักหนาอาตมาก็เคยเล่นมาเป็นเรื่องเป็นพิษภัย ต้องใช้พลังงานจิต เราไม่ได้ปฏิเสธว่าพลังงานจิตไม่มีจริง สามารถทำจิตใจของคนรวบรวมพลังงานเอามาใช้ จะให้แรงเร็วเหมือนพลังงานปรมาณูก็ได้ ตอนนี้วงการศาสนาก็ได้พัฒนาขึ้นมา ศาสนาพุทธจะดีขึ้นดีขึ้น สิ่งที่กระทำกันอยู่นั้นเป็นเรื่องนอกรีตเป็นเรื่องเดรัจฉานวิชา ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้ โดยเฉพาะมหาศีล
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลของพุทธนั้นไม่ใช่วินัย 227 ข้อ
ศีลของพระพุทธเจ้านั้น ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่มีศีลกันแล้ว ภิกษุไม่มีศีลกันแล้ว เหลือเศษ ศีล 5 8 10 เหลือเท่านี้ จุลศีลไม่ทราบแล้ว ก็เหลือเศษ เขาเอาไปทำตามจารีตประเพณีกันสูงสุดก็เป็นศีล 10 แล้วบอกว่าคือศีลของเณร แล้วบอกว่าของพระคือศีล 227 ออกนอกรีตแล้ว 227 ข้อนี้ไม่ใช่ศีล เป็นวินัย แต่แน่นอนวินัยก็ต้องมี วินัยเหมือนรั้วของศาสนา ถ้าไม่มีรั้วของศาสนา วัวควายหมูหมากาไก่สัตว์เดรัจฉานมา ปู้ยี่ปู้ยำศาสนาหมด วินัยคือรั้วกั้น เป็นกฎหมายอาญาที่มีโทษ ส่วนศีล ไม่มีบทลงโทษ ปฏิบัติแล้วจะได้เป็นสัมมาปฏิบัติสัมมาปฏิเวธเฉพาะตัว เป็นโลกุตรธรรม แต่วินัย เป็นการบังคับ แต่คนเอาไปสับสนกับศีล หลงเรียกว่าศีล 227 ถามกันว่าพระถือศีลอะไรก็บอกว่าศีล 227 แต่ที่จริง 227 ข้อคือวินัย
พระพุทธเจ้าสร้างศาสนามาด้วยจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
จุลศีลมี 26 อย่าง ปฏิบัติตามทั้งหมดนี้เป็นพระอรหันต์ได้แน่นอน ปฏิบัติมากกว่านี้ก็ได้ก็ทำไป แต่ 26 นี้พระพุทธเจ้าท่านรวมมาหมดแล้ว ใช้ตามนี้เลย เป็นหมวดหมู่เป็นขั้นตอนครบแล้ว ที่จะล้างกิเลสสิ้น เป็นพระอรหันต์ได้
ส่วนมัชฌิมศีลคือ เพิ่มจากจุลศีล ให้เข้มงวดกวดขันเพิ่มขึ้น ท่านก็เพิ่มให้ ขยับสูงขึ้นไปก็จะช่วย
ส่วนมหาศีล เป็นศีลของศาสนาทั้งหมด เป็นข้อห้ามที่เป็นเดรัจฉานวิชา เป็นเดรัจฉานกถา
เดรัจฉานวิชชาคือ เป็นวิชชาที่ยังไม่พ้นจากความเป็นเดรัจฉาน เป็นความรู้ที่ไม่พ้นจากความเป็นเดรัจฉาน มันยังต่ำๆอยู่ ยังไม่เจริญอะไรเลย แปลอย่างเอาเนื้อความ ผู้ที่ชัดเจนแล้วในยุคพระพุทธเจ้าไม่มีหรอกสิ่งเหล่านี้ ที่ท่านห้ามไว้ในมหาศีล ไม่มีในสมัยพระพุทธเจ้า เช่นเรื่องทำนายทายทัก ไม่มีในมหาศีล
เช่นที่อาตมายกตัวอย่าง แต่หาว่าอาตมาพูดนอกรีต ดีที่มีหลักฐานในพระไตรปิฎก
มหาศีล
พระไตรปิฎกเล่ม 9 [114] 1. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างสมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษเป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
การใช้ไฟเป็นสื่อเป็นเปลวหรือเป็นควัน ติดต่อกับวิญญาณด้วยไฟที่สื่อ สมัยโบราณใช้น้ำมันเปรียงน้ำมันเนย ถ้าเป็นควันก็ใช้กำยาน เอากำยานมาโรย ขี้เลื่อยมาโรย โรยแล้วก็เกิดควัน ก็มีสองอย่าง คือควันกับไฟ มาถึงยุคนี้ก็ใช้เป็นเทียนไขปั้นเป็นแท่ง ทำเป็นธูปเพื่อให้เกิดควัน การเดินเวียนเทียนนี้ก็ไม่ใช่ ทำให้เกิดการไหม้หลังไหม้ไหล่ สมัยนี้มีจุดธูปเทียนแบบไฟฟ้าเลยไปกันใหญ่
[115] 2. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะผ้า ทายลักษณะไม้พลองทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาสทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ ทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทาทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
พ่อครูว่า...อย่างเจ้าคุณธงชัยที่ทำให้คนงมงายกับเรื่องไสยศาสตร์เหล่านี้ถ้าสึกได้ก็สึกไปเสียเลย ขออภัย พูดอย่างคนรักศาสนามากหน่อย
อย่างกาพย์กลอนนี้ ก็ต้องใช้อยู่บ้าง อย่างอาตมาแต่งกวีเป็นโลกุตระอย่างนี้เป็นต้น
[119] 6. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่
สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ให้ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
[120] 7. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยาชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
พ่อครูว่า...ก็อย่าพาซื่อขนาด พระมาบวชแล้วก็ต้องรักษาดูแลกัน ก็ซ้อนอีก แต่จะไปดูแลรักษาฆราวาสไม่ได้แล้ว เป็นพระเป็นเจ้าแต่ดูแลรักษากันในกรอบขอบเขต ก็ต้องเข้าใจในส่วนที่ควรจะเป็น
มหาศีล เป็นส่วนที่พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ทำ ศาสนาพุทธไม่มีสิ่งเหล่านี้ ย้ำแล้วย้ำอีกว่า ศาสนาพุทธทุกวันนี้ศีลก็ไม่มี สมาธิก็ไม่มี ปัญญาก็ไม่มี วิชชาและวิมุติก็ไม่มีเพราะศีลไม่มีตั้งแต่ต้น
ปฏิบัติศีลก็ไม่ถึงวิมุติ สอนว่าศีลเป็นการควบคุมกายกับวาจา สมาธิก็ไปนั่งหลับตาเอา แยกไปเลย ซึ่งไม่ใช่ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ เป็นปฏิจจสมุปบาทเนื่องกันไปหมดเลยปฏิสัมพันธ์กัน ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุตติญาณทัสสนะ เนื่องกันหมดแต่ไม่รู้กันแล้วอธิบายนำพาทำกันไม่ได้ เขาถึงได้พูด ศาสนาพุทธไม่มีอรหันต์แล้ว ศาสนาพุทธไม่มีอริยบุคคลกันแล้ว โสดาบัน ก็ไม่รู้ความจริงกันสักเท่าไหร่ มีอยู่บ้างบางคนที่ตกทอดมาแต่มีบารมีเก่า สายอื่นๆ อาตมาก็เคยพยากรณ์หลายรูป ว่าท่านมีของเก่าตกค้างมา แต่ท่านก็ขยายผลไม่ได้ พาออกนอกรีตไป ของเก่าท่านมีแล้วก็เป็นของเก่าไป แต่ของใหม่ที่ท่านอธิบายผิดก็เป็นวิบาก นี่คือความซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อน เป็นอจินไตย ก็ฟังไว้แล้วก็ไปศึกษา
เมื่อศึกษาได้มีภูมิปัญญาเหมือนอย่างอาตมาก็จะเข้าใจได้ พูดด้วยจริงใจไม่ได้อวดดี อวดเด่น อาตมาจะไม่พูดผิดเพราะว่าเป็นวิบาก
สมณะฟ้าไทว่า…ถ้าเขาเป็นพระโสดาบันเจอพ่อครูเขาจะศรัทธาไหม
พ่อครูว่า...บางคนก็ศรัทธาบางคนก็ไม่ศรัทธา เพราะไม่มีภูมิพอ แม้สกิทาคามีก็ไม่ได้บางคน ส่วนสกิทาคามีขั้นสูงกับอนาคามีจะเข้าใจแล้ว ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น จะไปตัด curve ทันทีไม่ได้มัน โอเวอร์แลป กันอยู่ พลังงานทางจิตนี้ละเอียดกว่าทางอุตุและพีชะ
แม้แต่คำว่านิยามชีวิต 5 ประการ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ก็ไม่มีใครเอามาขยายอย่างที่อาตมาขยาย
สรุปว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้คนทำบาปมากเลย อาตมาขอปรามว่าหยุดเถิด ขออภัยต้องบอกว่ามาฟังอาตมา มาฟังชาวอโศก แล้วศึกษาให้ดี อาตมายืนยันว่า ชาวอโศกทำถูกต้อง แม้แต่ในหลวง ร.9 อาตมาก็ยืนยันว่าท่านทำถูก ท่านเป็นโพธิสัตว์ อาตมาเป็นคนเปิดฉาก ว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นโพธิสัตว์ ไอน์สไตน์และคานธีที่เป็นโพธิสัตว์ เขารู้กันที่ไหน อาตมามาอธิบายเนื้อหาสาระสัจจะ อาตมาก็ยังไม่เก่งพอที่จะอธิบาย
ประเทศไทยคือแดนชมพูทวีป คือดินแดนที่มีศาสนาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า หยั่งลงเป็นแก่นแกนหลักยิ่งกว่าประเทศใด ก็ถือว่าประเทศนั้นเป็นชมพูทวีป แต่ก่อนอยู่ที่อินเดีย เดี๋ยวนี้เลื่อนเข้ามาแล้ว เพราะว่าในอินเดียศาสนาเทวนิยมกินเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังสงบเมื่อเทียบกับจีน ทางจีนนั้นสงบสู้ไม่ได้ จีนเป็นสายปัญญา อินเดียเป็นสายเจโต เป็นเรื่องของจริตนิสัยจะต้องมีในสังคมในโลก เป็น 2 ประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดในโลก มีเมืองไทยเป็นเมืองกลาง ที่จะเป็นกรรมการของอินเดียกับจีน
ฝ่ายข้างไหนจะถือข้างอินเดียหรือจีนก็ค่อยๆอธิบายกันในอนาคต เป็นเรื่องสังคมมนุษยชาติที่มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันอย่างสงเคราะห์เกื้อกูลกัน หากฆ่าแกงกันมันก็ไม่ได้ ก็ต้องอยู่กันอย่างเอื้อเฟื้อเจือจาน เมืองไทยจะเป็นเมืองที่มีความเจริญทางด้านจิตวิญญาณมาก เราไม่จำเป็นต้องไปประเทศที่ก้าวหน้าอย่างเขาทั้งวัตถุ ยุคนี้ต้องมาแสดงลักษณะทางด้านนี้ ทางด้านความจน
พระพุทธเจ้าสมณโคดมแสดงลักษณะของความจนมาก่อน ในยุคนี้ท่านต้องพามาเป็นคนจน ก็จนตามท่านไปเถอะ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์ท่านถึงได้ตรัสว่าให้เอาแบบคนจน มาพาให้เป็นคนจน แต่มีความซับซ้อนที่ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ต้องมีสถานะอยู่พอสมควร ไม่ใช่พระโพธิรักษ์ ที่จะมาอยู่ติดดินอย่างนี้ เป็นคนละกาละตัวอย่าง อย่ามาถามว่า อาตมากับในหลวงมีระดับต่างกันอย่างไร อย่ามาถามนะไม่ดี
ในสิ่งที่เป็นอจินไตยเรื่องลึกซึ้งที่ยากอธิบาย จึงเป็นเรื่องที่มีจริง อาตมาเป็นคนขยายว่าอจินไตยหมายความว่าอย่างไร
อจินไตยเป็นไปได้ อจินไตยมี 4
พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้าอาตมาไม่บังอาจ จริงแล้วอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์แค่ระดับ 7 บางคนก็ว่าแน่นอนขึ้นไปหาระดับ 8 บ้าง อาตมาไม่ไปหลงตนเองว่าสูงก่อน หลงว่าตนต่ำไว้ก่อนดี ไม่ดีหรอกว่าหลงตนว่าสูง ถ้ารู้ตัวว่าสูงเสียแล้วไม่มีปัญหา แต่ไปหลงว่าตนสูงแต่ตนต่ำนี้ไม่ดี อย่าไปหลงตน หลงระเริง แต่ก็จริงใจ จะอ่อนน้อมถ่อมตนก็ดี อย่าไปทำเป็นต่ำเต๊ะท่าอะไรมากไปมันก็ไม่ดี
ในสิ่งที่ซับซ้อนตรงนั้น อาตมาก็ค่อยอธิบายยกตัวอย่างอ้างอิง ถ้าไม่มีอะไรยืนยันอ้างอิงจะเชื่อได้ยาก นี่โชคดียังมีตัวอย่างอ้างอิงอะไรไปได้ แม้ว่าผู้ที่อาตมาขอใช้อ้างอิงไปในทางไม่ดี ก็ได้โปรดเข้าใจและขอขอบคุณจริงๆ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีก็ต้องขอบคุณ เพราะท่านจะต้องไปรับวิบากของท่านไป แต่อาตมาก็ต้องใช้เป็นเครื่องมือในการประกอบการศึกษา ก็ต้องขออนุญาตขอบคุณ เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ
ศาสนาพุทธทุกวันนี้อาตมาไขความ แม้แต่เรื่องศีล ก็ต้องขยายความ เขาไม่มีศีลกันแล้วผิดเพี้ยนไปแล้ว สมาธิก็ผิดเพี้ยนไปแล้ว บอกแล้วบอกอีกว่า สมาธิหลับตานั้นเป็นมิจฉา ไปอ่านพระไตรปิฎกตั้งแต่พระสูตรแรกเลย ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้สมาธิหลับตาที่เรียกว่าเจโตสมาธิ เมื่อหลับตาแล้วก็จะมีแต่อดีต แล้วท่านก็แยกไว้ว่า อดีต จะมีทฤษฎีหรือทิฏฐิ 18 อย่าง นอกนั้นก็มีอนาคตอีก 44 อย่างที่มีปัจจุบันซ้อนในนั้น แม้ลืมตาก็เป็นภพชาติ แต่ปัจจุบันหลับตาไม่มีผัสสะภายนอก ก็เป็นมิจฉาฌาน อีก 4
กามคุณ 5 นั้นต้องล้างออกให้หมด ล้างได้ต้องมีการสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย จึงจะเป็นปัจจุบัน เป็นของแท้เป็นสัจจะ กามคุณ 5 หากไปอยู่แต่ภายในก็เป็นเพียงสัญญากำหนดรู้ ว่าลักษณะของกาม ที่เราจำได้ มันไม่ใช่กามจริง กามคุณมีทวาร 5 แต่หลับตา ดับหู ไม่มีสัมผัสมันจะเป็นกามครบได้อย่างไร กามาวจรไม่เกิด
ภาษาพยัญชนะที่พูดนี้เรื่องกามก็ดี เรื่องกายก็ดี เรื่องบุญก็ดี เรื่องปัญญาก็ยิ่งสำคัญ วิมุติไม่ต้องพูดเลย สำคัญแน่นอน
ปัญญา เป็นภาษาไทยแปลว่าความเฉลียวฉลาด อยากเป็น 2 อย่างคือ เฉกะ กับปัญญา
เฉกะมาจาก ฉ คือหก สามัญปุถุชนก็มีทวารทั้ง 6 เหมือนกันทุกคน ฉลาดด้วยทวาร 6 เหมือนกัน แต่ฉลาดแบบโลกีย์ ฉฬ ตัว ฬ นี้เป็นเศษวรรค
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 รู้ไม่ได้ละเอียดหมดแต่ก็รู้ไม่น้อย
ยืนยันว่าศาสนาพุทธที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ สัมมาผล มีอยู่ในประเทศไทย เป็นแก่นแกนเป็นหลักแท้ เพราะฉะนั้นก็ขอเตือนท่านนักบวชหรือผู้ที่เผยแพร่ศาสนาพุทธอยู่ อย่าทำบาปอีกต่อไป ไม่ได้บังคับท่านหรอกนะ พูดเป็นภาษาเป็นโวหาร ไม่ได้คุยหรือไปบังคับ ขออภัยหากภาษาทำให้เข้าใจว่าเป็นการบังคับ เป็นภาษาที่ใช้สื่อให้รู้ ว่าอย่าทำ กรุณาอย่าทำ โปรดอย่าทำ เพราะว่ากรรมเป็นอันทำ
พีชนิยามไม่มีรักหรือชัง ไม่มีวิบาก พอเริ่มมาเป็นสัตว์ จิตนิยาม ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็เริ่มสะสมวิบาก เซลล์ร้อย พันเซลล์ก็ไม่รู้เท่าไหร่ ก็สั่งสมวิบากต่อไป มันจะไปเป็นตัวเลวซับซ้อนต่อไปได้ มาเป็นมนุษย์นั้นยิ่งจะซับซ้อน แล้วฉลาดกว่าเดรัจฉาน ทุกคนกว่าจะมาดีได้ก็ต้องเลวมาก่อนทั้งนั้น ชั่วเลวร้ายหนักหนาสาหัสมากมาแล้ว แต่ระลึกไม่ได้เท่านั้น พระพุทธเจ้า บอกว่าดินที่ติดเล็บมานี่คือที่เกิดมาเป็นคน นอกนั้นดินทั้งหมดไม่มีดินที่ไหนที่สัดว์ไม่เคยเกิด ไม่ได้เป็นการเปรียบเทียบเลยเป็นเรื่องจริง โลกใบนี้ เกิดมากี่ล้านปีแล้วไม่มีใครรู้หรอก ทางวิทยาศาสตร์ก็เดาเอาเท่านั้น
อาตมาถึงได้พยายามฝืนขันธ์ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ ถ้าอาตมาไม่จริง อยู่ได้ไม่นานหรอก คนที่ทำชั่วก็เลยได้รีบตายเดี๋ยวเขาจับได้ ตายไปแล้วเขาก็ไม่รู้ แต่แท้จริงกรรมวิบากไม่จบสิ้นเลย ไม่ถูกด่าตอนนี้ก็ต้องเกิดมาถูกด่ากันอีก ต้องถูกเขาเฉ่ง หลีกเลี่ยงกรรมวิบากมากหรือน้อยไม่ได้
ชาตินี้อาตมาอายุ 84 แล้ว อาตมาไม่เคยมีวิบากที่จะถูกใครเตะหรือถีบ ไม่ได้แคล้วคลาดเพราะของขลังอย่างอื่นนะ แต่เป็นเรื่องบารมี อาตมาเคยถูกแม่ตีครั้งเดียวใช้ไม้บรรทัดตี ครูเคยตีอาตมาเพราะไม่ส่งการบ้าน
พูดถึงเรื่องศีลต้องมาอธิบายกันอีกไม่ใช่น้อย ว่าปฏิบัติกันอย่างไร มีหลักฐานในกิมัตถิยสูตรแม้ใน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลก็เช่นกัน เป็นธรรมนูญของพระพุทธเจ้า ส่วนพระวินัยนั้นเป็นกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายลูก มีบทลงโทษ ศีลนั้นไม่มีบทลงโทษใครทำได้ก็บรรลุเป็นส่วนตัวเอง แต่เขาก็ไม่เข้าใจกัน ไปตรวจสอบดูว่าอาตมาอธิบายผิดไหมถ้าหากอธิบายผิดก็เป็นกรรมวิบากที่หนักมาก เล่าเรื่องของธรรมนูญพระพุทธเจ้ามาทำให้ผิด
อาตมาภูมิใจที่พาพวกเราสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดม ทำได้ขนาดนี้ยังไม่มีเดรัจฉานวิชา ไม่มีการจุดธูปเทียน ไม่มีการรดน้ำมนต์ ไม่มีการเวียนเทียน ไม่มีการดูหมอทำนายทายทัก บูชาด้วยไฟด้วยน้ำอะไรไม่มี ประเสริฐแล้ว ไม่ต้องเรี่ยไร อาตมาว่า ทำได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว ขอให้ท่านที่มาทำงานศาสนาในยุคนี้ทำได้อย่างที่อาตมาทำก็สุดยอดแล้วนะ อาตมาพาพวกเราทำ จนเกิดเป็นชุมชนพุทธธรรมเป็นแผ่นดินพุทธ อาตมานี่ก็จะให้ขึ้นป้ายบนหลังคานี้ว่า แผ่นดินพุทธ
สามารถทำได้ถึงเป็นสาธารณโภคี แล้วก็มั่นใจว่าเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์ในระดับ เศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี ที่เรียกว่าเศรษฐศาสตร์บุญนิยม สุดยอดของเศรษฐศาสตร์บุญนิยมคือสาธารณโภคี ยอดกว่าประชาธิปไตย ยอดกว่าคอมมิวนิสต์ ทุกคนมาทำงานในนี้เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์โดยเต็มใจไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องไปตั้งกฎหมายว่าคนนี้ต้องจ่ายเท่านั้นเท่านี้ ไม่ต้อง ถ้าเข้ามาอยู่ในกรอบขอบเขตภูมิประเทศชุมชนที่นี่แล้ว ก็ทำงานฟรี เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปได้ในยุคนี้เป็นเรื่องสุดยอดของทางโลกเขา ทางโลกเขาทำไม่ได้หรอกเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มี คอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยหรือเผด็จการก็ทำไม่ได้ แต่ของศาสนาพระพุทธเจ้าทำได้ เป็นสุดยอดปาฏิหาริย์ ตามคำสอนพระพุทธเจ้า ในยุคของพระพุทธเจ้ายังทำไม่ได้เลย เพราะว่ามีข้อจำกัด เพราะว่าเป็นยุคทาส มนุษย์ยังไม่เข้าใจสิทธิต่างๆ กรอบขอบเขตนั้นจำกัด แต่ยุคนี้ ไม่มีความเป็นทาส มีสิทธิมนุษยชนจนจะเกินไปอีก ก็ต้องค่อยๆดูแลกันไปอีก
ตัวอย่างของความเป็นมนุษย์ ตัวอย่างของความเป็นสังคม พระพุทธเจ้านี่แหละ มีหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้านี่แหละ บทเรียนหลักสูตรของพระพุทธเจ้านี่แหละ สมบูรณ์แบบแล้วที่จะนำมาพิสูจน์สังคมยุคนี้ ของพระสมณโคดมนี่แหละ
ในยุคพระพุทธเจ้ามีบัญญัติภาษาเรียกต่างกัน แต่ในยุคนี้มีของประยุกต์ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นอะไรต่ออะไรเป็นเทคโนโลยีต่างๆ เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งอีกเยอะแยะ ปรุงกันมาแม้แต่ พืช พีชะ ก็ยัง breed กันขึ้นมา สมัยพระพุทธเจ้านั้นยังไม่มี สมัยพระพุทธเจ้าคงไม่มีแก้วมังกร ไม่รู้จะมีอโวกาโด้นี้ไหม คนที่ไม่เชื่อ ยังไม่เชื่ออาตมาก็ไม่มีปัญหาบังคับกันไม่ได้ นี่เราทำมาได้อย่างอุดมสมบูรณ์จริงๆ พืชผักผลไม้เหล่านี้
ศาสนาพุทธสอนให้คนมาจน ในยุคนี้จะไม่มีใครยืนยันว่าต้องมาเอาแบบคนจนเหมือนอย่างในหลวงกับโพธิรักษ์ ขอยืนยันจะไม่มี แล้วอธิบายได้และพาทำให้เป็นอย่างนั้นได้ด้วย ในหลวงก็พาให้ทำได้ในประมาณของท่าน เอาแบบคนจน แล้วท่านก็อยู่ในฐานนั้น บอกว่าเราก็รวยพอสมควร เราเลี้ยงตัวอะไรต่างๆได้ แต่อาตมาพาให้จนกว่านั้นเลี้ยงตนได้ เป็นความจนที่มหัศจรรย์และอุดมสมบูรณ์ไม่อดอยากเลย เอาไปแจกจ่ายกันได้อยู่ ชัดเจน ทุกวันนี้ก็ลำเลียงไปสนามหลวง ก็ช่วยกันอย่าให้อาตมาหน้าแตก ช่วยกันปลูกเอาไปที่สนามหลวง งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา เป็นสัจจะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน ความจนที่อุดมสมบูรณ์
ความจนที่อุดมสมบูรณ์นี่แหละ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่อาตมาต้องขยายความ และพาพิสูจน์ความจริง ชาวอโศกจะเป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์ไปด้วยอย่างโลกฟุ้งเฟ้อ แต่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปัจจัยหลักของชีวิตเป็นหลัก ตั้งแต่ปัจจัย 4 เป็นต้นไป
เพราะฉะนั้นชาวอโศกจะเป็นต้นแบบ หรือ จะเป็นผู้นำในเรื่องของ อาหาร พืชพันธุ์ธัญญาหาร ยารักษาโรค จะเป็นนะ เครื่องนุ่งห่มไม่กระไร บ้านที่อยู่ก็เป็นตัวอย่างบ้าง อย่าไปบ้าๆบอๆ เราทำใหญ่ก็เพื่อรับงานอย่างศาลา อย่างเฮือนสวน. ทำเพื่อเป็นการประหยัดนะ แต่ตอนนี้คนยังไม่เข้าใจ เฮือนสวน. เป็นอาคารขนาด 11 ไร่ ชั้นล่างเป็นตลาด ชั้นบนเป็นการศึกษาและราชการ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับราชการต่างๆเขา และการศึกษา เป็นห้องหับ ซึ่งไม่ได้ทำเพื่อให้เช่า
ตอนนี้ประกาศได้เลยว่า ผู้ที่ต้องการมาประพฤติปฏิบัติธรรม มาจองที่ขายได้ โดยไม่ได้คิดค่าเช่า ปฏิบัติอยู่ในเกณฑ์ก็อยู่ได้ อาจมีนิดหน่อย ถ้าไม่มีค่าเช่าอะไรเลย ก็มาจองขวางลำก็ไม่ดี ต้องให้พอสมควร อันนี้ไม่ได้พูดกันไว้ แต่ว่าจะมีค่าเช่าแต่รับรองห่างไกลจากข้างนอก แต่ก็ต้องพอสมควร ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่ขยัน แต่มาขวางคนอื่น เราต้องตั้งกฎเกณฑ์ให้เช่า โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในข้างใน สมาชิกที่ทำร่วมกับชาวอโศกอย่างจริงใจมาแล้วก็ไม่มีปัญหา ฝั่งหนึ่งเป็นของแห้ง อีกฝั่งเป็นตลาดสด เพื่อให้ประชาชนได้รับอย่างเป็นประโยชน์ต่อสังคม บุญนิยม ตลาดก็มีถึง 4 ระดับ ตลาดบุญนิยมนะ แต่ตลาดอาริยะก็อีกอย่าง
ตลาดบุญนิยมมี 4 ขั้น แต่อย่างน้อยต้อง 1.ขายต่ำกว่าราคาตลาด ต่ำได้มากเท่าไหร่เจริญ
2.เท่าทุน 3.ต่ำกว่าทุน 4.แจกฟรี ให้มาอย่างสมัครใจเลย หากไม่สมัครใจมาก็อยู่ไม่รอด หากมาแฝงก็ทำยาก เพราะว่าชาวอโศกมีมากพอ คุณมาทำไม่ดีตีกินไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นสิ่งที่เราจะพิสูจน์ความจริงว่าสังคมที่เป็นแก่นแกนรู้จักสาระสัจจะของมนุษยชาติ รู้จักสาระสัจจะของสังคมที่จะช่วยกัน
นี่คืออาคารเฮือน สวน.ก็มาจาก สัมมาสิกขาวิชชารามนาวาบุญนิยม ยาวหน่อย
พอจะมีการศึกษา เอาภาษา บวร. คือ บัณฑิตวิชชาราม รวมสังคมเอาไว้ สังคมคือบ้าน บ้านวัดโรงเรียน ศาสนาคือวัด บ้านวัดโรงเรียน บวร หรือ บัณฑิตวิชชารามเรียกว่าสังคมบวร ทำไว้สื่อให้กับสังคม ไม่ได้ทำเพื่อหากินกับสังคม ไม่ล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เพราะมันบาปเป็นเวรานุเวร เราจะไม่เอาเปรียบ เราจะไม่กอบโกยสะสม ก็มันเป็นสัจจะที่ดีงาม
เราจนอย่างมีคุณภาพมีความรู้มีสมรรถนะ มีการเสียสละสร้างสรรรับใช้ผู้อื่น รับใช้ประชาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)นี่คือสัจจะ
เราก็จะพิสูจน์สัจธรรมพวกนี้อย่างแท้จริง คนยังเข้าใจได้น้อย ชาวอโศกจึงเป็นมวลที่เล็กๆ แต่อาตมาเอง ที่เป็นผู้นำ มาพาทำมา ก็ตั้งใจจะอยู่ให้นานที่สุด เพื่อที่จะได้ช่วยกัน เป็นที่ปรึกษา เป็นที่นำพา เท่าที่จะมีพลังมีแรงงาน มีขันธ์ ที่จะทำงานได้ไปจนกว่าจะถึงวาระที่ไม่ไหวแล้ว มันรู้สึกว่าเป็นภาระ ทุเรศทุรังการแล้วไปเถอะ ก็ต้องไป ซึ่งก็ได้พยายามแล้วเก่งเท่าไหร่ก็เท่านั้น แต่ตั้งเป้าไว้ 151 ปีแล้วไม่เบานะ ไม่พูดที่มาที่ไปเลขนี้ ใครติดตามประวัติก็มีที่มาที่ไป ก็ว่ากันไปตามควร ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น มีเป้าหมายที่จะไปให้ถึงเท่านั้นเอง ได้เท่าไหร่ก็เท่าที่เราจะสามารถรักษาสภาพที่มันเป็นจริงได้ ไม่ได้ถ่อมตนหรือไปทำอวดอ้างอวดดี เกินไป น้อยก็ไม่ใช่มากก็ไม่ใช่ พยายามรักษาสมดุลให้ได้เสมอ ความสมดุลจะทำให้ไปได้นานที่สุดหรือ สำนวนของในหลวงคือความพอเพียง จนก็คือความพอเพียง ขณะนี้ดีที่สุดแล้วทุกอย่างเลย ใช้แทนอะไรได้ทั้งหมด
สรุป เหลือเวลาอีก 8 นาที
แบบคนจนนี้ต้องขยายความไปอีกพอสมควร เป็นเรื่องที่ประเสริฐ คนจนที่ประเสริฐให้มาศึกษาให้ดีเถอะ มันเป็นสิ่งประเสริฐเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ดูแล้วน่ากลัวน่าเกลียดน่าชังไม่ใช่
อาตมาถล่มคำว่ารวยเสียอีก ก็ขออภัยที่ต้องถล่ม ขออภัยที่ใช้ภาษาแรงหยาบ เพราะว่า จะไปตั้งหน้าตั้งตารวยนั่นมันผิด จะในยุคไหนก็ผิด ถ้าจะรวยด้วยบุญบารมีด้วยกุศลของตนเอง ก็รวยไปเถอะ แต่ผู้ที่รู้แล้วรวยไม่ดีก็จะสะพัดออก ไม่เอาความรวยนั้นมาบำเรอกิเลสตัวเอง ไม่เอาไปมอมเมาหรือเอาเปรียบคนอื่น ขออภัย อย่างเช่นคุณเจริญเอาความรวยของตนเองไปมอมเมาคนอื่นก็จะตกนรกอีกนาน ตอนนี้ คุณได้เสวยฐานสบายอยู่นานแต่เลี่ยงไม่พ้นหรอก อาตมาไม่ได้ไปว่าแต่พูดให้ฟัง
แม้แต่เจริญโภคภัณฑ์ก็ตาม ท่านขุนน้อยก็ว่าเอาคำว่าเจริญ สองเจริญนี้ เขาไม่กล้าว่าแรงอย่างอาตมาหรอก ขออภัยที่ต้องเอามาพูดถึงเป็นตัวอย่างให้ศึกษา ด้วยความจริงใจว่ามันไม่ดีหรอก คุณมีมากก็ให้สะพัดออกเถอะ มาทำประโยชน์ให้กับประชาชนแล้ววิบากจะดีขึ้น พอได้แล้ว มันมีเหลือเฟือมากแล้ว แล้วก็ปล่อยให้ลูกไปทำอะไร มันเป็นเวรซ้ำซ้อน เจ้าหน้าที่ก็ต้องหนัก เป็นบาปเป็นภัยถึงลูกหลาน ให้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ดีๆเถอะ มีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว คุณเจริญนี้ไม่ดื่มเหล้านะ ลูกเต้าก็ไม่ให้ดื่ม แต่ไปออกทางร่ำรวยหรูหรา อาตมาถือว่า อาตมาอายุมากกว่าก็เจตนาดีพูดให้ได้คิดบ้าง แต่ฟังหรือไม่ฟังก็ไม่รู้ ตีงูให้กากิน อาตมาลงทุนนะ อาตมาพูดนี้ ไม่เชื่อว่าคุณเจริญจะรักกับอาตมา อาตมาไปว่าเขา ก็ไม่คิดว่าเขาจะมาชมชอบอาตมาแต่อาตมาก็ต้องเสียสละ มีวิบากด้วย ขอใช้ชื่อคุณมาใช้ การสร้างสิ่งต่างๆให้เจริญงอกงามก็ต้องทำ
สฟ.ว่า...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:18:02 )
รายละเอียด
601005_พ่อครูเทศนาเวียนธรรม ออกพรรษา บวร ราชธานีอโศก
พ่อครูว่า...สาธุนะทุกๆคนที่ยังใส่ใจเอาชีวิตมาสนใจกับธรรมะ ผู้คนทุกวันนี้อาตมาเห็นแล้วน่าสังเวชใจน่าสงสาร ชีวิตลงอยู่กับโลกธรรม หลงอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไป วันๆคืนคืน ซอกๆๆๆ อยู่กับอย่างนั้นแหละ ไม่เข้าใจว่าชีวิตที่เกิดมานี้ มันควรจะได้อะไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าโมฆบุรุษ คนที่เกิดมาเป็นโมฆบุรุษเสียเยอะ คือเกิดมาแล้วเสียชาติเกิด เกิดมาแล้วโดยเฉพาะผู้ที่เกิดมาพบศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาที่รู้จักความเป็นชีวิต รู้จักความเป็นสังคม
ชีวิตและสังคม พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้จักความเป็นกรรม ศาสนาอื่นเขาให้ฟังคำสอนของGodแล้วพยายามให้เป็นอย่างGod ที่จริงก็อันเดียวกัน God คือสิ่งประเสริฐสูงสุด เราจะเป็นอย่างGodก็ต้องศึกษาความประเสริฐสูงสุดนั้นเป็นอย่างไร ส่วนพระพุทธเจ้าท่านเอาคำว่ากรรมไม่เอาคำว่า God
God คือเทวดา พระเจ้า เป็นสิ่งสูงสุดเขาให้ God เป็นผู้ประทานเป็นผู้กำหนดทุกอย่างนั่นก็คือการจำนน ความจริงแล้วผู้ที่ปฏิบัติธรรม จนสามารถ ควบคุมกรรมของตนได้ ก็คือ ผู้ที่ควบคุม God ได้ หรือ ผู้ที่ควบคุมกรรมตัวเองได้เท่าที่ตนเองเห็นว่าดีและมีปัญญารู้ว่าดีคืออะไรไม่ดีคืออะไร คนที่จะทำให้เกิดเป็นคนที่ควบคุมกรรมได้ และก็มีปัญญา รู้จักความดีที่จริง แล้วควบคุมกรรมได้ปฏิบัติกรรม ทำกรรมแต่สิ่งที่ดีได้ ก็ต้องเป็นคนที่มีปัญญารู้ว่า สิ่งที่ทำให้คนทำกรรมไม่ดีได้ คืออะไร
สิ่งที่หรือสภาวะที่ทำให้คนทำกรรมไม่ดี ก็คือ ภาวะของผีนรก หรือซาตาน หรือพลังงาน ที่มันโง่ มันชั่ว อยู่ในจิตเราเรียกว่ากิเลส มันเป็นพลังงานอยู่ในจิตเราและก็ควบคุมกรรม เสร็จแล้ว มันก็ทำให้คนเราก่อกรรมเลวที่เป็นทุกข์เป็นโทษภัย ยิ่งมันเป็นผีเป็นกิเลสเลวร้าย ก็ก่อกรรมเลวร้ายที่ไม่ดีทั้งนั้น
พระพุทธเจ้าจึงได้สอนให้คนนี้ ให้มารู้จักกรรม แล้วก็พัฒนากรรมหรือจะใช้ภาษาที่เขาพูดว่ามาแก้กรรม ก็คือตรงนี้แหละ คือว่าแก้กรรมที่เราทำกรรมทุจริต กรรมที่เป็นอกุศล หรือกรรมที่มีเจ้าเรือนคือกิเลสเป็นเจ้าเรือน กิเลสมันสั่งการมันควบคุมอยู่ ให้ทำตามกิเลส กิเลสมีอำนาจเหนือเรา นั่นแหละเป็นตัวจุดสำคัญ
ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่เรียนรู้กรรม กายกรรมวจีกรรมโดยเฉพาะมโนกรรม ซึ่งเป็นประธานจิตเป็นประธาน และกิเลสก็อยู่ที่จิต เพราะฉะนั้นจึงเรียนรู้กิเลสในจิต ที่มันจะควบคุมกรรม เมื่อรู้จักกิเลสที่เป็นตัวบงการเลวร้ายที่ไม่ดี ก็ต้องเรียนรู้ตัวนี้ให้ถูกต้อง จับตัวกิเลสให้ได้ นี่เป็นหลักสำคัญ
ทุกวันนี้ศาสนาพุทธได้ผิดเพี้ยนไปไม่ได้เรียนรู้จักกิเลส กิเลสมันก็ต่อเมื่อมีการกระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย อยู่กับลาภยศสรรเสริญสิ่งที่ยั่วยวนให้เราหลงไปสุข แล้วก็เป็นทุกข์ มันมีการกระทบสัมผัสแล้วเกิดอาการจริง เกิดกิเลสจริง จะรู้จักกิเลสได้ต้องมีการสัมผัสมีการกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย ใจ นี่คือหลักใจของศาสนาพุทธที่ท่านได้แก้ แก้การปฏิบัติ ที่ผิด การศึกษาศาสนาที่ผิด ที่ท่านได้ออกมาทำงานศาสนาพระพุทธเจ้า ทำให้เรียนรู้สมาธิเรียนรู้ฌาน ที่เป็นอยู่เขาทำกัน ที่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตมันผิดหมดเลย นั่งหลับตาสะกดจิตหรือนั่งหลับตาทำสมาธิ ทำฌานก็ผิดไปหมด
พระพุทธเจ้าได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณสัพพัญญุตญาณ มาก่อนแล้ว ที่จะเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะฉะนั้นท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมหรอกในชาติสุดท้าย พอท่านจะออกมาทำงานก็ทิ้งทางโลกไปออกมา ก็ไปเจอกับนักบวชที่เขาปฏิบัติกันอย่างไร สังคมเค้าหลงผิดว่าออกป่า แล้วก็ไปนั่งหลับตาสะกดจิตทำสมาธิทำฌาน ก็จะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งมันก็ทำให้คนเข้าใจผิดได้ ที่พระพุทธเจ้าจะบรรลุสูงสุด ก็บรรลุที่วันเพ็ญเดือน 6 ท่านก็นั่งหลับตาสมาธิด้วย มันก็เลยพาลพาให้คนเข้าใจผิด ว่าจะเกิดปัญญาตรัสรู้ต้องเป็นนั่งอย่างพระพุทธเจ้าสิ เกิดเป็นรู้สัพพัญญุตญาณ อันนี้แหละเป็นเรื่องใหญ่มากเลยที่คนเห็นไม่ได้เข้าใจไม่ได้ กลายเป็นสิ่งที่ เละที่สุด เรื่องใหญ่ที่สุดที่ทำให้คนหลงผิด ว่าต้องไปนั่งหลับตาทำสมาธิ ซึ่งไม่ใช่ท่านตีทิ้งเลย
การนั่งหลับตาทำสมาธินั้น ท่านมีเตวิชโชเก่งแล้ว คือนั่งนิ่งๆอยู่ระลึกย้อนสัญญาไปถึงสิ่งที่ตนเองมีตนเองเป็นตนเองได้ ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ระลึกเอามาใช้ได้ แต่คนที่ไม่ได้บรรลุจะให้ทำ ฌานทำสมาธินั้น ไม่ได้ทำฌานสมาธิอย่างที่พระพุทธเจ้าทำ แปลว่า ฌานสมาธิอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนคือให้ลืมตาปฏิบัติ ไม่ใช่นั่งหลับตาปฏิบัติ
หากนั่งหลับตาปฏิบัติก็ต้องมีสัมมาทิฎฐิ เป็นการทบทวนอดีตที่เราผ่านมาแล้ว หรือในอนาคตก็ไม่ต้องทำอะไร เพราะในอนาคตทำอะไรมันไม่ได้นั่งหลับตาก็ทำอะไรมันไม่ได้ จะไปฟุ้งซ่านเท่านั้นเอง หลับตาและคิดถึงอนาคตเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดเคยมีใครไป คุณก็คิดฟุ้งซ่านไปเท่านั้น บ้าๆบอๆเสียเวลาพลังงานไปคิดถึงอนาคตทำอะไรไม่ได้ก็นั่งเฉยๆ ไปนั่งฟุ้งซ่าน มันทำอะไรไม่ได้ ไม่ได้กระดุกกระดิกอะไร ที่ไปคิดอยู่กับอนาคตมีถึง 44 ทิฏฐิ หรือไม่ก็ไปเอาอดีตอีก 18 อยู่ในพรหมชาลสูตร เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้พาให้ทำ
ศาสนาพุทธนั้นอาตมาได้มาเปิดเผยว่าที่ทำกันมานั้นมันผิด ก็เอาสิ่งที่ถูกต้องมาพูด วันนี้วันออกพรรษาก็เอาสิ่งนี้มาพูดเคยย้ำแล้วย้ำอีก แล้วก็ตีทิ้งสิ่งที่เขายึดถือและปฏิบัติติดกันอยู่ในวงการศาสนาพุทธ พูดมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว พูดย้ำซ้ำซากอย่างนี้แหละ
พวกเราได้มาเรียนรู้ได้มาพบอาตมาได้มาศึกษาปฏิบัติประพฤติก็ได้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ได้มรรคได้ผลขึ้นมา จนกระทั่งตอนนี้เราจะได้สำรวจมีแบบแผนวิชาการ มีการตอบคำถาม มีการตรวจสอบตัวเอง ระบุดูว่าเราเข้าเขตของโสดาบันใหม่ ต่อไปเป็นสกิทาคามีก็ค่อยๆทำต่อ อนาคามีก็ค่อยๆทำต่อก็จะตรวจได้ ตรวจตัวเองได้ ตอบหรือให้ผู้อื่นรู้จากที่เราตอบนี่แหละแล้วประมวลดูว่าเราอยู่ในเกณฑ์โสดาบัน อยู่ในเกณฑ์ของสกิทาคามี เกณฑ์ของอนาคามีก็รู้ได้
ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแล้วก็เป็นความงมงาย งมคลำ จับไม่มั่นคั้นไม่ตายรู้ไม่ชัด รูปนามอย่างไรๆ อาการของกิเลส อาการลิงคนิมิตอย่างไร ฟังธรรม อุเทสมาแต่ก็ไม่สามารถเอาไปปฏิบัติเรียนรู้ ปฏิบัติอย่างนี้จะเป็นอาการกิเลส ปฏิบัติอย่างนี้ทำให้กิเลสจางคลาย ก็มีสัญญาไปกำหนดรู้ได้ว่ากิเลสมันลดลงจริงๆ กิเลสมันดับก็รู้ว่าดับกิเลสได้ ต้องรู้แจ้งเห็นจริงอย่างนั้น ไม่ใช่งมคลำเดากัน ทุกวันนี้เป็นศาสนาเดากันหมด พูดก็ว่าพูดไม่ได้ บอกว่าเราเองเป็นผู้บรรลุก็บอกไม่ได้ เป็นเรื่องเลอะเทอะเข้าใจผิดไปหมด แล้วก็ไม่เชื่อด้วยว่าคนมาพูดจริง มาบอกตัวตนจริงว่าเราเป็นสัตบุรุษเป็นผู้รู้เป็นผู้ที่มาบอก พูดด้วยความจริงใจ ไม่ใช่อวดโอ่อะไร แต่เขาก็ไปติดอยู่ในตำราอย่างนั้นแหละ ตีทิ้งเลยว่า เราพูดนี่ออกนอกตำรา คือเขาไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีผู้บรรลุมาบอกความจริงไม่เชื่อ ก็ไปเชื่อตำราที่มีแต่เดา เดาว่า ผู้นี้เป็นอาหารเป็นผู้รู้อะไร จำคำสอน เป็นปทปรมบุคคล บวชก็จำคำสอนพุทธพจน์ได้มาก สอนก็มากท่องบนก็มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย เป็นปรปรมบุคคลเยอะ จะว่าเป็นกันทั้งนั้นก็ได้
เพราะว่าถ้าคนที่บรรลุธรรมมะจริง ฟังธรรมะของอาตมา ถ้ามันตรงกันว่าจะมาพูดให้ถูก ถ้าบรรลุธรรมเหมือนกันก็ต้องตรงกันก็ต้องขานรับและยอมรับอาตมา แต่เมื่อท่านเห็นว่าจะมาไม่ถูกก็ตีทิ้งก็ตัดสินเลยว่าจะมาผิดแล้วท่านถูก แต่ถ้าอาตมาถูกท่านก็ผิด ไทยเห็นอย่างนี้ก็มาศึกษาเอา ไม่ต้องศึกษาทางโน้นก็ได้ แต่ที่จริงคำสอนเดียวกันแต่เอามาอธิบายกันคนละอย่าง
สมาธิก็ธิบายคนละอย่าง ปัญญาก็อธิบายคนละอย่าง บุญก็อธิบายแตกต่างกัน อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นมันก็เลยต้องแยกกันอธิบาย พระพุทธเจ้าท่านพูดถึงการแยกกันอย่างนี้ก็คือ เป็นนานาสังวาส การร่วมกันเรียกว่าสังวาสเดียวกัน แต่มันมีนานา คือต่างกัน ก็ประกาศให้ประชาชนรู้ว่าเป็นนานาสังวาสกัน ทุกวันนี้ก็ประกาศชัดเจนว่าชาวอโศกคือชาวพุทธร่วมกัน แต่ว่าเป็นพุทธอีกอย่างหนึ่ง แตกต่างจากชาวพุทธกระแสหลัก ที่ท่านกำลังสังเคราะห์และปฏิรูปจัดการกันอยู่ แต่ของเราไม่ต้องจัดการ หมู่สงฆ์ของเราเรียบร้อยฆาราวาสของเราเรียบร้อยไม่ต้องจัดการอะไรอยู่ในระบบระเบียบอยู่ในศีลธรรมตามพระวินัย ตามพระสูตรเรียบร้อย ของท่านนั้นเละตุ้มเป๊ะ ตัวอย่างพวกเรานี้สบายมีแต่นั่งเรียนฟังธรรมเอาไปปฏิบัติพัฒนากันไป ยังเหลือแต่ว่าทุกคนก็สามารถที่จะมีปัญญาอย่างตรวจสอบตัวเองได้ อย่างรู้ตัวเองได้จริงๆว่าเราเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามีเป็นพระอรหันต์โดยไม่หลงผิดพลาดอะไรชัดเจน
อาตมารับรองนะว่า พวกเราเป็นอริยบุคคลกัน ไม่ได้พูดให้เหลิงไม่ได้พูดให้หลงตัว พยายามตรวจสอบให้ดี คนข้างนอกเขานับถือกระแสหลัก ไม่นับถืออาตมา เพราะกระแสหลักเป็นกลุ่มใหญ่เป็นหลักของประเทศประเทศรองรับทุกอย่าง แต่อาตมาพาทำนี้ประเทศไม่ได้รองรับไม่ได้ขานรับ มีแต่อิสระเสรีภาพส่วนตัวใครจะฟังธรรมะของสายอโศกแล้วรับได้ก็เป็นอิสระเสรีภาพ
มีแต่ด้วยจำนวนประมาณ 1 ที่ไม่กล้าเปิดตัวว่า นี่เขาฟังธรรมะของสายอโศกอยู่นะ ไม่กล้าเปิดตัวเพราะว่าตัวเองยังอยู่ในฐานะของผู้ที่อยู่ในสายโน้น แสดงออกเปิดเผยตัวเองไม่ได้ แม้จะมีภูมิปัญญารู้ว่าอย่างนี้ถูกต้อง ดีไม่ดีก็ชัดเจนว่าอย่างนั้นมันผิด แต่มันได้ตกกระไดพลอยโจนไปแล้ว ชีวิตชาตินี้ได้รับตำแหน่งได้รับหน้าที่ได้รับสถานะอย่างนั้นอย่างนี้ไปแล้ว บางคนก็เป็นถึงสมเด็จ บางคนเป็นเจ้าคุณชั้นสูง เป็นผู้ที่สอนอยู่ แต่ถ้าถือว่าเป็นผู้ที่จริงใจต่อสัจธรรม ก็เห็นว่าที่เราสอนนั้นผิดก็แก้เสียก็ใช้ได้ ที่เขาสอนนั้นผิดพระโพธิรักษ์สอนอยู่เป็นเรื่องถูกก็เปลี่ยนแปลงมา
ที่จะถูกจะผิดนั้นถ้าเป็นนานาสังวาสพระพุทธเจ้าตรัสว่าให้ทำอย่างไร พุทธศาสนิกชนก็จะทำอย่างไร พระพุทธเจ้าก็บอกให้ฟังธรรมทั้งสองข้าง แล้วคุณต้องตัดสินเองว่าอันใดเป็นธรรมวาที ที่อาตมาเทศน์เป็นธรรมวาทีก็มาเอา ถ้าฟังแล้วเห็นว่าโพธิรักษ์ไม่ถูกก็ไปเอาทางโน้น สุดท้ายเราก็เป็นผู้ตัดสินเองว่าอะไรถูกอะไรผิด ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอิสระเสรีภาพ ก็ต้องใช้ญาณปัญญาของตนเองตัดสินเองว่าอะไรถูกหรือผิดแล้วคุณก็มาศึกษาฝึกฝนปฏิบัติเอา
อาตมาทำงานมาจนอายุถึงป่านนี้ ทำงานมา 47 ปีแล้ว ถึงปีหน้าก็จะอายุครบ 84 ปี จนกว่าจะถึงวันที่ 7 พ.ย. 2560 ก็เต็ม 47 ปี ตอนนี้ก็สอนมาย่าง 47 ปีเข้าไปเรื่อยๆ พอถึง 2560 วันที่ 7 พ.ย.ก็ขึ้นปี 48 วันที่ 7 เป็นวันบวชอาตมาก็ขึ้นปีที่ 48 ก็ทำงานมาตลอดได้
คนที่ฟังแล้วได้รับความเข้าใจเอาไปปฏิบัติเอาชีวิตมาศึกษาทำงานมาอยู่กับกระแสนี้เลยสายนี้สายอาตมาพาไปเลย จนกระทั่งเห็นจริงเห็นจังว่าสายโน้นไม่เอาแล้ว ไม่สนใจแล้ว ไม่ศึกษาปฏิบัติด้วยแล้วมาปฏิบัติทางนี้ทางเดียว จนอยู่อย่างนี้เลย ใครทำอย่างนี้รู้สึกอย่างนี้อย่างนี้บ้าง เมื่อตัดสินใจแล้วว่าอันนี้ถูกก็มาดำเนินทางนี้จะได้ไม่เสียเวลา อาตมาจะไม่พาคนผิด ขอยืนยันว่า อาตมาจะไม่พาทำส่ิงผิด อย่างจริงใจตามภูมิ ไม่ออมมือไม่อ้อมค้อมอะไร
อาตมาออกมาทำงานศาสนาเต็มตัว ตั้งแต่ชัดเจนว่าต้องมาทำอะไรมาทำงานกอบกู้ศาสนาพุทธ เชื่ออย่างนั้นจริงๆมั่นใจอย่างนั้นจริงๆและจะมาทำให้ถูกด้วย ธรรมะ 47 ปีก็ยังมั่นใจเห็นชัดเจนว่าถูก เห็นชัดเจนว่าทั้งนั้นผิดก็ไม่ปิดอย่างไร เละตุ้มเป๊ะกันกำลังจะสะสางกัน ตอนนี้ก็เลยกฎหมายทางบ้านเมืองเป็นตัวช่วย จะออกกฎหมายควบคุมอย่างไรก็ทำเลยไม่อย่างนั้นไปไม่รอด ผู้ที่ควบคุมดูแลก็ดีแล้วเป็นผู้รู้ช่วย เอาให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์หลักธรรมของพระพุทธเจ้า อาตมาก็อนุโมทนาสาธุ ไม่อย่างนั้นบรรลัยจักร ให้ทำตามกฎหมายจะจับสึกอะไรก็ทำเลย ทำเลยขอส่งเสริมไม่เช่นนั้นไม่ได้เรื่องหรอก ศาสนาพุทธพังแน่ๆ เอาเท่าที่รู้ก็ได้ เท่าที่เป็นไป เป็นการปฏิรูปปฏิวัติขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วขันชะเนาะให้เกิดความถูกต้องขึ้นมาประมาณ 1 ทางโน้นก็มีความรู้และผู้รู้มากมาย อาตมาไม่มีส่วนหรอก ชาตินี้ อาตมาก็ต้องมาทำส่วนย่อย จนตาย หมู่ใหญ่ไม่ยอมรับหรอก
แม้ว่าอาตมาอยู่หมู่ใหญ่ก็ทำอะไรไม่ได้หรอกเพราะหมู่ใหญ่นั้นมีมานะอัตตาจะรับประกันมาเข้าไปทำไม ถ้ารับเข้าไปก็เท่ากับเอาความถูกต้องเข้าไปใช่ไหม ทางโน้นก็จะไม่ให้อาตมาทำ เพราะว่าเมื่อไม่ยอมรับแสดงตัวมาแล้วว่าไม่ยอมรับ ถ้าไม่ยอมรับตอนนี้ก็เท่ากับเขาหมดเนื้อหมดตัว ก็เท่ากับยอมรับผิด เหมือนกับคุณปู่ที่หนีศาลไปเลย เขารับไม่ได้หรอก ก็ต้องปล่อยให้อาตมาทำไปอย่างนี้จนตาย
อาตมาก็ไม่ท้อแท้ ไม่สงสัยเลยว่าต้องทำเช่นนี้เป็นวิบากของอาตมาต้องมาใช้หนี้ต้องมาทำงานอย่างนี้ หนักมาก ลำบากลำบน แต่อาตมาตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์แล้วต้องพากเพียรทำสิ่งนี้ไป จะหนักหนาเหน็ดเหนื่อยอย่างไรก็ต้องทำ
ที่อาตมาทำมาจนถึงทุกวันนี้ อาตมาแคล้วคลาด รอดพ้นมาไม่ได้โดนทำร้ายทำลาย จนตนเองต้องได้รับการบาดเจ็บทางร่างกาย ก็แคล้วคลาดมาตลอด หมายความว่า เขาจะทำร้าย เหมือนที่เขาจะทำร้ายพระพุทธเจ้าจริงๆ ขนาดจ้างคนไปฆ่าจริงๆ เอาน้ำเมามอมเมาช้างตกมันให้มาทำร้ายพระพุทธเจ้า จ้างนางจิญจมาณวิกา จะมาหักล้างพระพุทธเจ้า แต่อาตมาไม่ได้โดนถึงขนาดนั้น อาตมาก็ทำได้อย่าง อาตมาว่า อิสระพอได้นะ
อาตมาสามารถประกาศบรรยาย แสดงความเห็น แสดงความเชื่อมั่น พูดอย่างไม่อมพะนำว่าอย่างนี้ถูกอย่างนี้ผิด ถูกคือเรา ผิดคือเขา พูดได้อย่างอิสระเสรีภาพมากเลยก็ต้องขอบคุณประเทศไทยที่ให้อิสระเสรีภาพ อย่างดีมากเลยต้องขอบคุณจริงๆอันนี้ เป็นประเทศที่ให้อิสระเสรีภาพทางด้านการนับถือศาสนา แต่ก็มีเงื่อนไขเพียงแต่ว่าผู้ประกาศธรรมะนั้นจะต้องไม่ให้เกิดความไม่สงบต่อสังคมก็มีสิทธิ์ทำได้ตามกฎหมาย ธรรมะที่อาตมาประกาศ มันไม่ผิดกฏหมาย ไม่ได้ทำให้เกิดความไม่สงบมีแต่จะทำให้เกิดความสงบเสียด้วยซ้ำ จริง
อาตมาพาพวกเราไปประท้วงรัฐบาลในยุคนั้น เราก็ไปทำให้เกิดความสงบ แม้จะมีคนก่อความวุ่นวายก่อความเดือดร้อน มีคนทำร้ายทำเลว ถึงขั้นไปยิง อีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าจะพูดตรงๆก็คือยิงฝ่ายเรานั่นแหละแต่ก็ยิงไม่โดน พวกชาวอโศกทีเดียว อันนี้เป็นเรื่องอจินไตยเป็นบารมี ชาวอโศกแคล้วคลาด ไม่มีใครบาดเจ็บถึงตาย ก็มีคนที่มีวิบากมาร่วมชุมนุมประท้วงด้วย ก็เป็นวิบาก เป็นคนที่กำลังจะเข้ามาสู่สิ่งที่ดีที่ถูกต้อง แต่เขาได้ถูกฆ่าถูกยิง เขาก็ได้กุศลนะ วิบากเจริญวิบากดีตอนเขาถูกฆ่าเพราะเขามารวมกับหมู่บัณฑิต ต่อต้านกับสิ่งที่เป็นคนพาล คนพาลกับบัณฑิตเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกัน เขาก็มาช่วยกันเพื่อแก้ไขความพาล ให้มันถูกต้องดีงาม สัจจะพวกนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นไปตามจริง เพราะฉะนั้นผู้ที่มาช่วยมารวมกับพวกเรา แม้จะถึงตายก็เป็นผู้ได้กุศลอันสูงส่ง แม้จะบาดเจ็บหรือตาย เป็นเรื่องที่ได้กุศลเป็นเรื่องดีทั้งนั้น ไม่ได้ตู่หรือพูดเอาใจนะ แต่อธิบายอย่างเป็นวิชาการตามความจริงให้ฟัง
เมืองไทยเป็นศาสนาพุทธมีศาสนาพุทธตั้งแต่รวมเป็นประเทศไทยศาสนาพุทธจึงเป็นหลักของประเทศ มีศาสนาพุทธมีประชากรของคนไทยนับถือศาสนา 95% เขาสำรวจประมาณ 94.6 % ก็ปัดเศษเป็น 95%
แต่น่าเสียดายที่ได้ผิดเพี้ยนไป ผู้ที่นำพาก็ เฉไฉ ออกไปจากความถูกต้องเป็นมิจฉาทิฐิแล้วพากันทำมิจฉาปฏิบัติ แม้กระทั่งศีลก็ไม่เหลือ ผู้ที่จะต้องดูแลศีลก็คือภิกษุผู้ที่บวชมา แต่ตกลงพิสูจน์ทุกวันนี้ไม่มีศีล แล้ว จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลก็ไม่มีแล้ว ยึดถือได้แค่พระวินัย 227 ข้อแล้วนับถือกันว่าเป็นศีล ที่พูดเรื่องนี้ซ้ำซากเพราะอยากให้สะดุดว่ามันได้ผิดเพี้ยนไปไกลจนกระทั่งว่าจริงหรือ ภิกษุในหมู่ใหญ่ เดี๋ยวนี้ไม่มีศีลแล้วหรือ มีแต่ใดรัฐฉานวิชาเดรัจฉานกถากันเต็มไปหมด
เดรัจฉานกถา คำว่ากถาแปลว่าคำพูด พูดการสอนการบรรยายให้เป็นเดรัจฉาน ไม่ได้ไปสู่ความเป็นอริยะ พูดและสอนการให้ไปตกนรกไม่ได้เป็นอริยะไปสู่ความเสื่อมเพราะอะไร เพราะความมิจฉาทิฐิ ที่เป็นเดรัจฉานกถาเต็มไปหมด แล้วมันจะมีอะไรเป็นศาสนาพุทธ พูดแล้วอาตมาก็เกรงใจต้องขออภัย เกรงใจที่ต้องพูดถล่มทลายไปดูถูกดูแคลน ไปว่าเขาผิด ซึ่งมันก็ผิดจริงๆเรื่องจากสัตว์จะไม่ได้ผิดก็ต้องว่าผิดถูกก็ต้องว่าถูก
ถ้าเป็นไปได้ เกิดว่าวงการศาสนาพุทธกระแสหลักยอมรับว่าอโศกนี้ถูกต้อง มาทำตามอโศกนี่แหละ โลกนี้จะแตกหรือเปล่านะจะเจริญอย่างหาที่เปรียบมิได้เลยจริงๆ สังคมจะเปลี่ยนไปทันที จะเป็นไปถูกต้อง จะเปลี่ยนไปมาบริหารกันแบบคนจน จะเปลี่ยนไปจะต้องมาเอาเศรษฐศาสตร์บทใหม่ เศรษฐศาสตร์ที่จะต้องมาสอนให้ลดละ มาเป็นคนขาดทุน อย่ามาหากำไร มาเป็นผู้ที่เสียสละอย่าเป็นผู้ที่เอาแต่ได้
หลักเกณฑ์ที่ชัดชัดก็คือ ใครก็ตามที่เข้าใจสัจธรรมของศาสนาพุทธแล้ว จะมาเป็นผู้ที่ปฏิบัติเพื่อได้สละ ได้เสียนั่นเอง ให้แก่สังคม ไม่ใช่เป็นผู้ที่ไปเอาจากสังคม ฟังความนี้ไว้ให้ดีๆ ถ้าแต่ละคนมีกำลังวังชามีความรู้ความสามารถ ก็จะกระทำการงาน ทำกัมมันตะวาจา สังกัปปะ ทำการงานแล้วเกิดมีผลผลิตผลได้ แล้วเราก็เอาผลที่ได้นี้ ไปจำหน่ายจ่ายแจก ให้แก่คนอื่นต่อ อย่างที่พวกเราปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ เป็นพืชพรรณธัญญาหารที่ไร้สารพิษ เราทำกันจนสำเร็จเป็นตัวหลักเลย ชาวอโศก เป็นตัวหลักที่ทำพืชพรรณธัญญาหารที่ไร้สารพิษไม่ใช่แค่ปลอดสารพิษ
ปลอดสารพิษคือทำได้ตามหลักเกณฑ์ทฤษฎีในการใช้สารเคมี ก็เลยปลอดภัย ส่วนไร้สารพิษนั้นก็คือไม่ใส่สารเคมีเลย ยาฆ่าหญ้าฆ่าแมลง ไม่ต้องทำตามหลักเกณฑ์เขาเลย ใช้ตามธรรมชาติ เรียกว่าเป็นพวก กสิกรรม แบบ อินทรีย์ แบบธรรมชาติ Organic ไม่ใส่สารเคมีเอาตามธรรมชาติปุ๋ยเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องไปนับเวลาอะไรเพราะไม่มีสารพิษ ออกมาก็กินได้สดๆถ้ามันไม่เปื้อนดินเปื้อนฝุ่นอะไรบ้าง ก็กินได้สดสดเลยของพวกเราสะอาดๆเด็ดยอดใบกินลูกได้ เพราะไม่มีสารเคมีที่เป็นพิษอะไรอย่างนี้เป็นต้น
เราได้สามารถที่จะนำพาสังคมเป็นผู้ผลิต เป็นผู้ทำผู้สร้างเป็นกรรมกร อาตมาได้พาชาวอโศกหรือพวกที่ปฏิบัติธรรมทางสายนี้ ให้มาเป็นผู้สร้าง มาเป็นกรรมกรเป็นผู้ทำงานให้เกิดตั้งแต่ผลผลิตปัจจัย 4 เป็นต้น สร้างขึ้นมา นอกนั้นก็มีงานอื่นๆเป็นองค์ประกอบบ้างก็ทำไป แต่มาทำงานเป็นกรรมกรเป็นชาวกสิกรรมกสิกรเป็นผู้ที่มาสร้างสิ่ง ที่จำเป็น พวกเราไม่เรียกว่าชาวเกษตร เพราะการเกษตรนั้นรวมทั้งปศุสัตว์ทั้งประมงไปด้วย แต่เราไม่ได้ทำ เราได้ยกเว้นได้เลือกที่จะไปเอาเรื่องของสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำสัตว์บกเอามากิน เอามาเลี้ยงก็ไม่เอา
เพราะว่าสัตว์ทุกตัวมันเกิดมาก็มีวิบากของมัน ก็ให้มันชดใช้วิบากของมันตามสัญชาตญาณ ไม่ต้องไปทำอะไรมัน ถ้าคนเข้าใจอย่างนี้ แล้วระมัดระวังดูแลสัตว์ที่เป็นพิษเท่านั้น สัตว์นอกนั้นจะอุดมสมบูรณ์มากเลย แล้วมันก็จะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ จะจัดสรรธรรมชาติมันได้อย่างดี อย่างดีเลย สัตว์นี้มันจะช่วยอย่างมาก แต่มันได้ผิดเพี้ยนไปจนกระทั่งเขานึกไม่ออก คิดไม่ได้ว่าจะช่วยอย่างไร สัตว์มันจะยุ่งกันตายสิ เขาก็ไปนึกถึงแต่สัตว์ที่เป็นพิษสัตว์ที่เป็นสัตว์ร้าย แต่คนไม่ได้อยู่ในป่า คนก็อยู่ในเมืองสัตว์ร้ายมันไม่เข้ามา สัตว์ร้าย มันก็อยู่ในส่วนของมัน นอกจากสัตว์ที่กึ่งร้ายกึ่งดีบ้างมันก็เข้ามาแต่เราก็มีวิธีป้องกัน
สรุปแล้วก็คือพวกเราได้เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาปัดฝุ่น มาทำให้สะอาดสะอ้านมาทำให้ถูกต้อง แล้วก็ได้ประโยชน์จากธรรมะพระพุทธเจ้ากัน นี่แหละได้มรรคได้ผลได้คนที่อาศัยอยู่ดีกินดีสบาย ผู้ที่มาเป็นชาวอโศกจริงๆแล้วจะมีชีวิตที่สบายไม่ดิ้นรนเดือดร้อนไปแย่งชิงต้องไปเป็นโทษภัย หรือจะไปสร้างวิบากอะไร กับคนอื่น เพราะจะมีแต่กุศล มีแต่เอาไปแจกไปแบ่งให้คนอื่นไปขายให้ถูกอะไรต่างๆนานา แล้วพวกเราก็อยู่รอด อุดมสมบูรณ์ อุดมสมบูรณ์จริงๆพวกเราจึงอยู่ไปจะเห็นได้ว่าพวกเราอุดมสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ อาตมาได้ทักท้วง ว่าพืชพรรณธัญญาหารทำไมมันสวยงามและใหญ่โตดูน่ากินทั้งนั้นน่าเอาไปใช้ทั้งนั้น มันเป็นเรื่องของสัจจะ ที่มันต้องเป็นเช่นนี้เป็นความอุดมสมบูรณ์เป็นความเจริญอันนี้เป็นสิ่งที่ยืนยัน อะไรต่างๆนานามันก็จะค่อยๆเจริญ นอกจากสิ่งเหล่านี้ที่เป็นปัจจัย 4 ของมนุษยชาติแล้ว อื่นๆก็จะค่อยๆเป็นไป เอาล่ะก็ต้องถึงเวลาพักแล้ว ก็ขอตัดจบลงแต่เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน ขอให้เจริญเจริญ สู่ผู้สู่คนเด้อ ...สาธุ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:18:50 )
รายละเอียด
601006_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ไขปัญหาให้ถึงปัญญาโลกุตระ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2560 ที่ราชธานีอโศก เป็นวันออกพรรษาทางโลกเขา คือวันที่กิเลสออกทำมาหากิน เข้าพรรษาก็อดทนกิเลสไว้ ออกพรรษาทีก็แตกกระจาย ผีดีใจเต้นแร้งเต้นกากัน พวกเราก็มาทำเวทนา 2 ให้เป็น 1 กันต่อ
ส่วนที่สนามหลวงก็มีประชาชนเข้ากราบพระบรมศพเป็นวันสุดท้ายเมื่อวานนี้ ประชาชนมาแสดงความอาลัยรักต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 กัน สำนักพระราชวังสรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ตั้งแต่เวลา 00.01 น. จนถึงเวลา 24.00 น. มีทั้งสิ้น 88,602 คน รวม 335 วัน มี 12,532,492 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญ พระราชกุศลเป็นเงิน 5,712,411.25 บาท รวม 335 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 876,090,282.76 บาท โดยเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพชุดสุดท้ายของวันที่ 3 ต.ค. ในเวลา 03.50 น. ของวันที่ 4 ต.ค.
พ่อครูยังมีชีวิตอยู่กับเรามีอิทธิบาท 4 ยังไม่จากเราไปและเราก็ไม่ได้จากท่านไป เราก็มาฟังธรรมที่ท่านแสดง เพื่อให้ได้รับประโยชน์ ทำบุญเพื่อให้หมดบุญ และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อไป
พ่อครูว่า...มาสาธยายกันต่อ ชีวิตนี้เบิกบานร่าเริงสนุกสนานกับธรรมะ มีธรรมะซะอย่าง ก็อยู่กันอย่างเบิกบานร่าเริงสนุกสนาน ขาดธรรมะแล้วมันไม่เบิกบานร่าเริงสนุกสนาน เขาเองจะเบิกบานร่าเริงสนุกสนานกับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขก็ว่ากันไป โดยเฉพาะธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม สุดยอด
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน ระเบิดรักระเบิดประชาธิปไตย
ขอต่อนิดหนึ่งที่ท่านฟ้าไท พูดเอาไว้ถึงเรื่องของความตื่นตัว ตื่นตัวจริงๆ แล้วเป็นการตื่นตัวอย่างระเบิดเถิดเทิง เรียกว่า bomb of love เป็นระเบิดแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยเกิดในโลกในประเทศไหนที่เคยมีมา ในลักษณะอย่างนี้ ที่อื่นจะตื่นเต้นรักผู้ที่เขารัก ในระดับที่เขารัก เชิดชูกันจริงๆจังๆ อย่างไรอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้แสดงออกอย่างลึกซึ้ง เนียนในสูงส่ง มีลึกซึ้งเนียนในในหลายผู้คนมีอยู่ที่คนรักนับถืออย่างมาก จะมีคนที่รักนับถือเนียนในสูงส่งกันก็ผู้ที่มีโพธิสัตวคุณ มีคุณมีความเป็นโพธิสัตว์ อย่างเช่นคานธีเป็นต้น ในหลวงร. 9 ของเราเป็นต้น เขาแสดงออกอย่างแท้จริง เป็นเรื่องสูงส่ง ลึกซึ้งเป็นเรื่องที่ออกจากจิตใจแท้ๆของเขา ที่เขานับถือยกย่อง ยกมอบให้
คุณลักษณะที่สุดยอดก็คือเป็นคุณลักษณะอันเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สุด นั่นคือ คุณสมบัติของผู้ที่รับใช้ประชาชน ทำงานเพื่อประชาชนที่แท้จริง เสียสละเพื่อประชาชนที่แท้จริง ไม่ว่าคานธี ไม่ว่าในหลวงก็นัยเดียวกัน สาระเดียวกัน เป็นต้น
ที่อาตมานำคำว่าประชาธิปไตยมาใช้ เพื่อยืนยันว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีประชาธิปไตยสมบูรณ์สุด ในยุคพระพุทธเจ้าเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคราชาธิปไตย แต่พระพุทธเจ้านำประชาธิปไตยออกไปเผยแพร่ประกาศ โดยราชาของแต่ละแคว้นแต่ละแดนแต่ละประเทศนั้นเอง ในทวีปอินเดีย พระพุทธเจ้าไปแคว้นไหนรัฐไหนก็แล้วแต่ เขาก็ยกให้หมด โดยท่านมีธรรมนูญของท่านมีทฤษฎีของท่าน มีระบอบของท่าน มีระเบียบของท่านมีกฎเกณฑ์ของท่าน ใครจะมาเข้ารีตมาเข้ากฎระเบียบมาเข้าธรรมนูญของพระพุทธเจ้า กษัตริย์แต่ละแคว้น แต่ละรัฐ แต่ละประเทศในยุคนั้น ก็ยกให้ท่านหมดเลย
นี่คือความเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ประกาศในยุคนั้น ก็ต้องเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยให้ดีทีเดียว เป็นประชาธิปไตยที่มีอิสระเสรีภาพ มีภราดรภาพ มีสันติภาพมีสมรรถภาพ มีบูรณภาพ สมบูรณ์แบบเลย นี่คือสุดยอดแห่งประชาธิปไตย คนที่เป็นพุทธต้องศึกษาให้ดี และทำความเป็นประชาธิปไตยที่สุดยอดนี้ให้ได้ ในประเทศไทยมีคนที่พยายามศึกษาฝึกฝนอย่างเช่นชาวอโศก แล้วก็ได้ความเป็นประชาธิปไตยที่มีอิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพจริงๆ นี่ขอยืนยัน พูดโดยไม่ได้หลงตัวหลงตนยกตนข่มท่าน พูดด้วยวิชาการ ด้วยความจริงของสัจธรรมของความรู้ เมืองไทยมีประชาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ แม้ตอนนี้ก็ขอรับรองว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยที่เหนือกว่าอเมริกา ให้ไปศึกษาเถิดนักรัฐศาสตร์ทั้งหลาย
มี อิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ เหนือกว่าอเมริกาที่เขาหลงใหลยกย่องว่า เป็นประเทศประชาธิปไตยเบอร์ 1
ซึ่งประชาธิปไตยของอเมริกาเป็นประชาธิปไตยขาเดียว สู้ประเทศอังกฤษไม่ได้ ประชาธิปไตยของอังกฤษเป็นประชาธิปไตย 2 ขา ประชาธิปไตยขาเดียวคือประชาธิปไตยที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีผู้สืบสันตติวงศ์ที่มีกฎมณเฑียรบาล คำว่ากฎมณเฑียรบาลคือกฎหมายคือระบอบระเบียบ ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน พระเจ้าแผ่นดินจะต้องสืบทอดกฎมณเฑียรบาล
แต่ประชาธิปไตยขาเดียวนั้นไม่มีการสืบทอดกฎมณเฑียรบาลอะไรเลย มาเลือกเอาเลย ประชาชนเลือกขึ้นไปให้เป็นใหญ่ที่สุดในประเทศ คนที่ได้รับเลือกไปไม่ได้มีมณเฑียรบาลอะไร ไม่มีสายทางจิตวิญญาณมีแต่รูปธรรมง่ายๆ มีแต่คำว่าเลือกตั้งเลือกๆ แล้วก็เลือกใครก็ได้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงมีการขี้โกงกันได้ด้วย มีทรัพย์สินลาภยศเงินทองอำนาจก็ขึ้นไปเป็นเบอร์ 1 ของประเทศได้ แล้วก็เป็นประเทศเหมือนกับอาบูฮาซัน เป็นใหญ่เพียงชั่วคราวแล้วก็ตกกระป๋อง ดีไม่ดีถูกไล่ออกยังไม่รู้ไม่แน่เลย โดนัลด์ทรัมป์จะถูก impeachment หรือไม่
สมณะฟ้าไทว่า...ประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีการสืบทอดทางจิตวิญญาณ ไม่ต่อเนื่อง แล้วแต่ว่าแต่ละกลุ่มจะคิดอะไรขึ้นมา
พ่อครูว่า...เป็นประชาธิปไตยแบบสมบัติผลัดกันชม
SMS วันที่ 4 ตุลาคม 2560 (พ่อครู : บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน จะทำชินชาหรือจะยินดีกับคนที่มาวัด
_8647กราบนมัสการพ่อครูคะขอถามเลยค่ะการที่ลูกมาเข้าค่ายกับอโศกบ่อยๆแล้วลูกมีจิตที่ดีใจเมื่อใด้เห็นคนเก่าๆที่มาเข้าเหมือนได้พบญาติสนิทแม้จะเจอผัสสะบ้างก็ยังสนิทกันเหมือนเดิมและดีใจที่เห็นคนไหม่ๆเข้าค่ายชีวิตดีทีล่ะก้าวคะ
ก่อนถึงวันเข้าค่ายลูกจะคิดถึงคนนั้นจะมาไหมน่ะ คนนี้จะมาไหมน่ะแต่พอใด้เห็นพี่ๆเขามากันก็ดีใจมากคะ ลูกทำถูกไหมค่ะหรือลูกควรทำเฉยๆ มาก็ชั่งไม่มาก็ชั่ง(กราบขอบพระคุณกับธรรมดีๆตลอดมาและตลอดไปคะ
พ่อครูว่า...มันก็เป็นคุณสมบัติที่ดีไม่เสียหายอะไร แต่ถ้ามันจะชินชา ผู้มาเก่าก็มาอีกผู้มาใหม่ก็ยินดี ยินดีที่มีคนมาสนใจ มายืนหยัดยืนยันกับธรรมะ มันเป็นคุณสมบัติคุณธรรมที่ดีเป็นจิตใจที่ดีเป็นกุศลจิต ไม่เสียหลายอะไร จะบอกว่า ถ้าทำอย่างนี้ มันจะดีกว่ามาก็ช่างไม่มาก็ช่าง เฉยๆหรือไม่ ไม่ต้องห่วงหรอก แม้แต่ความปิติยินดีมันก็ไม่เที่ยง มันก็จะนานไปแล้วก็จะชินชา ชินชา เป็นภาษาไทยไปแล้ว ชิน ภาษาบาลีแปลว่าผู้ชนะ ชา แปลว่าความรู้
เมื่อผู้ที่เคยชนะมันก็ยินดีปรีดา มันเป็นการชนะอันหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่ดีเป็นความดีที่ชนะแล้ว เป็นความรู้ เมื่อมันครบแล้วนานเข้าไป มันก็เข้าสู่กฎของไตรลักษณ์ มันก็ไม่เที่ยง มันก็เกิดเฉย ชินชา คือถ้ามันเป็นอย่างนี้ไปก็ชินชาไป แต่ถ้ามันไม่เกิดเป็นอย่างนี้ มันก็จะเกิดไม่ยินดี ไม่ชอบใจก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นอย่างนี้ไปก็จะชินชา ก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว
_3867มหาศีลล้วนเป็นกฎต้องห้ามฯไม่ให้ภิกษุยังชีพโดยทางผิดที่เกี่ยวกับพิธีกรรมทางติรัจฉานวิชาฤาไสยศาสตร์ต่างๆ!ยุคต่อไปวัดไหนคงทำพิธีก.ทางศ.ไม่ได้?ก็คงยกหน้าที่ให้พราหมณ์จาก ศ.พรามหมณ์ฮินดูช่วยรักษาประเพณีเก่าแก่ที่ยังมีในพุทธศ.กระมัง?
พ่อครูว่า…พิธีกรรมของศาสนาพุทธก็มีแต่ไม่ได้เป็นเดรัจฉานวิชา เป็นพิธีกรรมที่เหมาะกับสถานะนั้นๆ เช่นมีสังฆกรรม เป็นต้น ก็ต้องใช้องค์ประกอบ ภาษาบัญญัติ การกราบไหว้ก็เป็นพิธี อย่างเราจะออกพรรษาก็มีคำกล่าวสังฆัมภันเต ปวาเรมิ เป็นต้น ก็เป็นพิธีกรรมที่ต้องใช้พอสมควร แต่นี่มันยาวยืดไป เป็นเดรัจฉานวิชาก็คือ มันเอาพิธีกรรมนั้นไปตกแต่งปรับปรุง แล้วไปเป็นวิธีการพิธีกรรมที่ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เป็นโลกียะ นั่นคือความเสื่อมของพิธีกรรม
จากเฟซบุ๊ก
_สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · สาธุ ยินดีกับกฏหมายสงฆ์ที่จะออกมา ถึงไม่ได้เข้ามาเป็นชาวอโศก แต่เห็นด้วยทุกๆอย่างบางทีตัวเองเป็นแกะดำในหมู่แกะขาว คือญาตินี่แหล่ะบางครั้งรู้สึกอึดอัด ต้องทำหูหนวกตาบอดไปบ้าง
_วลัยพรรณ วรชัยศรีโสภณ · ผักที่นำมาตกแต่งและการตกแต่งวันนี้ดูแปลกตาดีเชียวคะ อนุโมทนาบุญด้วยน่ะคะ
พ่อครูว่า...พวกเรามาแสดงว่านี่เป็นพลวปัจจัยของชีวิต เราไม่ได้หลงเพชรนิลจินดาอะไรเอามาโชว์อวด แล้วไปซื้อทองเพชรมาประดับก็ไม่ใช่ เราเอาปัจจัยของชีวิตมาให้ดูเป็นความอุดมสมบูรณ์ อย่างนี้ไม่ตายหรอก กินเพชรพลอยไม่ได้ตาย ผู้ที่ไปยึด อสาระ ว่าเป็นสาระคือคนไร้สาระ
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ · สุดยอดครับพระแท้ของชาวพุทธ
_นิตยา เฝ้ากระโทก · ขายของขาดทุนยังไม่พอแถมแจกฟรีอีก สาธุค่ะ
_ธนวัฒน์ สิริสุริยเสรี · ระนอง ชัดเจน บ่ายวันนี้ไร้ฝน
_คุณลายารัตน์ ทันแมน · สวีเดนชัดเจนค่ะ..กราบนมัสการพระคุณเจ้าค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ระบบประสาทอัตโนมัติเป็นกิเลสไหม
_ปัญญา หิรัญ ....กราบนมัสการ!เรียนถามหนึ่งประเด็นขอรับว่า..อาการแสดงออกของ ระบบอัตโนมัติในร่างกาย จะถือว่าเป็น กิเลส ประการหนึ่งหรือไม่? อย่างเช่น ถึงเวลารับประทานอาหารประจำวันแล้วน้ำย่อยออกมา เวลาได้กลิ่นมะนาว หรือมีของเปรี้ยวเข้าปาก เวลาเห็นอาหารแล้ว น้ำลายออกมา โดยที่จิตใจก็ยังไม่ได้ดูดอะไร มันเป็นกิเลสไหม ถ้าเป็นจะอยู่ใน กิเลส ระดับต้น กลาง ปลาย จะอยู่ในอาสวะหรืออนุสัย...
พ่อครูว่า...ถามละเอียดลออเลยนะ อัตโนมัติที่มันเป็นอาการของ 32 อาการของร่างกายมันเป็นอัตโนมัติมันเป็นนิสัย ของอาการของร่างกาย มันจะถึงเวลามีน้ำย่อยออกมาอะไรออกมา มันก็มีเป็นธรรมดาธรรมชาติ ไม่ถือเป็นกิเลส เป็นสัญชาตญาณ
สัญชาตญาณที่มันเป็นอัตโนมัติ สัญชาตญาณที่เป็นกิเลสก็มี สัญชาตญาณที่เป็นกิเลสนี่แหละเราจะต้องเรียน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้มาเรียนรู้สัญชาติ
ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ นี่คือการเกิด 5 ประการ
ชาติ คือ การเกิด เป็นคำนามทั่วไป เป็นสามัญนาม เป็นคำรวม คำกลางๆ
สัญชาติ คือการเกิดที่มันเคยเกิดมาแล้ว สัญชาติที่มันเคยสั่งสมก็เป็นอัตโนมัติ มันก็เป็นเอง รู้เองเป็นเอง ซึ่งผู้ที่เข้าใจสัญชาติแล้วสั่งสมมา คนที่รู้จักเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะไม่แปลกใจ ทำไมสัตว์มันเกิดขึ้นมาจะต้องรู้ว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ พอออกมาก็หานมแม่กิน จิงโจ้ออกมาก็หาถุงหน้าท้องของแม่ไปอยู่ในถุง ทำไมมันรู้ก็เป็นสัญชาติ ศาสนาพุทธสอนให้รู้สัญชาติ มันเป็นของสะสมในจิต เป็นคลังแห่งความจำ เมื่อมันเกิดอนิจจังอันนี้ได้ มันก็ออกมาเป็นในตัวของมันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะฉะนั้นเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะรู้ครบหมดเลย
นิพพัตติ คือการเกิดที่มีโลกุตรธรรม
อภินิพพัตติ คือ การเกิดที่สูงสุดบรรลุนิพพาน
โอกกันติ คือ ถ้าอวิชชาก็เกิดชาติสัญชาติ เป็นการสั่งสมส่วนมากเป็นโลกียะ ทำให้เป็นโลกุตระ หยั่งลงเป็นโอกกันติไม่ได้ ผู้สามารถทำโลกุตระ หยั่งลงในจิตได้ก็ข้ามเขตมาสู่นิพพัตติ
อ่านจิตที่มันเกิดมีโอปปาติกะโยนิ ที่เราสามารถแยกแยะเวทนาที่เป็น เนกขัมมะ ที่เป็นโลกุตระ เวทนาที่เกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ สุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ 18 อย่าง จากตาหูจมูกลิ้นกายใจ จากสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ ก่อนจะเป็น 18 อาการ
อาการ เคหะสิตตะ เป็นโลกีย์ก็อ่านออก แล้วลดเหตุ ลดสมุทัยของมัน เข้าใจเวทนาในเวทนาที่เป็นเวทนา 108 โดยเฉพาะมโนปวิจาร 18 แล้วทำให้เกิดเนกขัมมะ นี่คือการปฏิบัติของศาสนาพุทธและบรรลุได้สูงสุดจริง เป็นคนประเสริฐในโลกไม่เป็นพิษเป็นภัยไม่เป็นโทษแก่ใคร เพราะฉะนั้นประเทศไหนมีทฤษฎีของพระพุทธเจ้า และมีคนปฏิบัติได้มรรคผลจริง เป็นคุณค่าต่อโลกทั้งโลก เมืองไทยมีอันนี้ก็พยายามพากเพียรศึกษาและปฏิบัติให้ได้คุณธรรมอันนี้
ถามว่าอัตโนมัติเหล่านั้นเป็นกิเลสไหม บางอย่างก็เป็นกิเลสผสมอยู่ เป็นอาสวะอนุสัย สัญชาตญาณที่ไม่เป็นกิเลสแล้วเป็นอาการมันก็เป็นบ้าง ถึงเวลาหิวโหยน้ำย่อยออกมา ก็เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อเนื่องกันทำให้เกิดสภาพ ต้องเป็นเช่นนั้นต้องทำอย่างนั้น ถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้วตาย ไปไม่รอดเป็นต้น มันก็ต้องทำ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อรหันต์ขั้นสูงจะรู้อาริยะของคนอื่นหรือไม่
_จาก ดอยแพงค่า . สงสัยว่า ที่ว่า อรหันต์ย่อมรู้ในอรหันต์ของตน
กราบเรียนถามพ่อครูว่า ผู้ที่เป็นอาริยะ ขั้นสูง เช่น อรหันต์ ย่อมจะรู้ภาวะโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี ของตนหรือบุคคลอื่น หรือไม่ครับ?
พ่อครูว่า..ใช่สิ แต่ถ้าเราไม่ตรวจสอบ เช่นพระสารีบุตรบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ คือ ท่านพระสารีบุตรที่จริงแล้วเป็นพระโพธิสัตว์ พอถึงเวลาท่านก็ตื่นจากสิ่งที่ท่านเป็นก็ถือว่าบรรลุ แต่ลิงลมอมข้าวพองก็ถือว่าไม่บรรลุ แต่ที่จริงแล้วท่านมีแล้ว มีลูกศิษย์พระสารีบุตร บรรลุธรรมเป็นอรหันต์แล้วแต่พระสารีบุตรไม่รู้
ถ้ามีสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ตัดรอบรู้ภูมิตัวเอง
ส่วน ที่เขารู้ก็รู้ของตน อย่าไปรู้ของคนอื่นเลย มันไม่ง่าย พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ ส่วนจะไปรู้คนอื่นก็รู้โดยปริยาย อยู่ได้ด้วยการแสดงออก ทางกายรรม วจีกรรม มโนกรรม และมีปฏิภาณรู้ว่าลักษณะอย่างนี้รวมแล้ว ถ้าอยู่คบคุ้นกันนานๆก็พอที่จะใช้เหตุปัจจัยตรงนี้ มาสรุปได้ ถือว่าบรรลุแล้วเป็นอรหันต์แล้ว ได้สำหรับผู้ที่พอมีภูมิ สามารถเอาเหตุปัจจัยเหล่านั้นมาประเมินประมวล ให้ค่าตีราคาพิพากษาได้ ก็ให้รู้ของตัวเองก่อนของคนอื่นนั้นยาก พระสารีบุตรยังไม่รู้ลูกศิษย์ตัวเองเลย รู้ของตัวเองถูกต้องก็ดีแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ปรับปวาทะนิพพานเป็นอัตตา
_ทีนี้ของคุณ อโศกสัมปวังโก นี่ว่ามาตั้งยาว ก็เอาอันนี้ไปแสดงธรรม มี 9 ข้อ ละเอียดละออดี
1.ในกรณีที่ผู้นำความคิดของพุทธศาสนิกชน กลุ่มธรรมกาย ได้ตีความนิพพานว่าเป็นอัตตานั้น กลุ่มมหาบัวก็ตีความนิพพานเป็นอัตตา สายนั่งหลับตาจะตีความผิดเพี้ยนทั้งนั้น สายมหาบัวก็ตีความนิพพานเป็นอัตตา แต่มีนัยละเอียดต่างกัน คนหนึ่งสายมืดคนหนึ่งสายสว่าง ที่ตีความนิพพานเป็นอัตตาเพราะพระพุทธพจน์ที่ว่า นิพพานังปรมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
พ่อครูว่า...อาตมาเคยแปล นิพพานังปรมังสุขังว่า นิพพานนั้นยิ่งกว่าสุข แต่เขาแปลว่าสุขอย่างยิ่ง
ซึ่งเอานำมาเทียบกับไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เอานิพพานังปรมังสุขังมาตีความ กับ อนิจจังทุกขังอนัตตา (สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์และสิ่งนั้นย่อมเป็น อนัตตา) ก็เกิดความเข้าใจกันทันทีว่า นิพพานนั้นเป็นสุข ไม่ใช่ทุกข์ เพราะใช้ตรรกะ อนิจจังไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ก็ใช้ตรรกะว่า นิพพานเป็นสุขไม่ใช่ทุกข์ และเมื่อนิพพานเป็นสุข นิพพานจึงมีความเที่ยง และเป็นอัตตา มีสถานที่เป็นพุทธะเกษตร พระพุทธเจ้ามีพระอรหันต์นั่งล้อมรอบ ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้าจะนั่งโดดเดี่ยว เพราะสัมพันธ์กับความเชื่อที่ว่า พระปัจเจกพระพุทธเจ้าสอนใครไม่เป็นจึงไม่มีลูกศิษย์ลูกหา แล้วอยู่ห่างจากโลกมนุษย์หลายล้านปีแสง ไม่มียานพาหนะใดๆที่จะนำไปสู่โลกอย่างนั้นได้ (พ่อครูว่า..เห็นได้ว่าพวกเพ้อพกนี้มันบ้ากันไป โลกจินตา) ผมเห็นว่าตรรกะดังกล่าว มีความหนักแน่นยากที่จะ ปรับปวาทะด้วย(พ่อครูว่า..ปรับปวาทะคือไม่ใช่เถียงแต่แก้กลับที่เขาเห็นผิดจากของพระพุทธเจ้า)
ผมคิดว่าในยุคนี้ ไม่มีใครจะสามารถปรับปวาทะกับคนกลุ่มเหล่านี้ได้ นอกจากพ่อท่าน เพื่อป้องกันไม่ให้นักปฏิบัติธรรมชาวอโศกไปตกในการยึดถือความคิดแบบนั้น เพราะว่า ในอดีตมีชาวอโศกที่ไปนับถือธรรมกาย
พ่อครูว่า...ประเด็นที่พูดมาให้เห็นว่าเป็นเรื่องของอัตตา เขาเห็นว่านิพพานเป็นอัตตา มันก็เป็นความจริงที่เขายึดมั่นถือมั่นอย่างไม่ลืมหูลืมตา อย่างสนิทแล้ว ก็เป็นธรรมชาติของเขา สุดท้ายพระพุทธเจ้าถึงบอกว่าตัดสิน คุณก็เป็นความเห็นของคุณ เราก็มีความเห็นของเรา อย่ามาทะเลาะวิวาทกัน พระพุทธเจ้าไม่พยายามสร้างนิกาย แต่เขาก็อยู่ของเขา เราก็อยู่ของเรา เพราะคำว่าพุทธศาสนาไม่มีลิขสิทธิ์ ใครจะเอาไปประพฤติปฏิบัติก็ได้ แต่เมื่อเขาเข้าใจผิดออกนอกทางก็เป็นอกุศลเป็นบาปของเขา ถ้าเราถูกก็ทำไป แต่สุดท้ายมันสุดวิสัย เขายึดถืออย่างนั้นเลยพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าจะว่ากันต่อไปก็ตีกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ทำให้เกิดความเป็นไปได้ในโลกนี้ มันเป็นสิทธิมนุษยชนเขาจะยึดถืออย่างนั้นสุดท้ายก็ต่างคนต่างอยู่ สูงสุดพระพุทธเจ้าจึงเรียกว่านานาสังวาส
เป็นชาวพุทธด้วยกันแต่ก็มีเงื่อนไขในการอยู่ต่างกันร่วมกัน ร่วมกันทำสังฆกรรมไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น ทำได้แค่ปฏิกโกสนา คือว่ากัน ค้านกันอย่างแรงๆดังๆ ค้านอย่างหัวชนฝาก็ได้ แต่อย่าไปถึงอุกโกสนา ฟ้องร้องจนถึงขึ้นโรงขึ้นศาลไม่ได้ อย่างนี้คือนานาสังวาส
แต่เถรสมาคม เอาชาวอโศก ขึ้นโรงขึ้นศาล เขาก็มีภูมินานาสังวาส แต่เขาก็มาทำผิดธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้า อาตมาประกาศนานาสังวาส ตอนแรกเขารับนะ ตอนพ.ศ. 2518 อาตมาก็อยู่มา มีหลักฐานยืนยันเลยว่า มหาเถรสมาคมถือว่าเราเป็นนานาสังวาสไม่อยู่ในการปกครอง ต่างคนต่างปกครองตัวเอง เขารู้ เพราะมีหนังสือของกรมการรถไฟ ที่จดหมายไปถึงเถรสมาคมว่า ชาวอโศก เป็นพระในปกครองของเถรสมาคมหรือไม่ เขาก็ตอบไปว่าไม่ได้อยู่ในการปกครองของเถรสมาคม ตอบไปเป็นหลักฐานยืนยันเขารับแล้ว ว่าอยู่กันคนละพวกเป็นนานาสังวาส อยู่กันตั้งแต่พ. ศ. 2518
แต่วันร้ายคืนร้าย พ.ศ. 2532 ก็รวมกัน ทั้งมหานิกายและธรรมยุต รวมหมู่ทำสังฆกรรม ซึ่งก็ผิดแล้ว คนละนิกายเอามาทำสังฆกรรมร่วมกันไม่ได้ แล้วก็พิพากษามา ก็พิพากษาแบบลับหลัง ไม่ได้เรียกตัวจำเลยเข้าไปให้การ แล้วไปให้ทางการใช้กฎหมายจับ ตามกฎหมายสงฆ์พ. ศ. 2505 ซึ่งเขาบอกว่ามีสิทธิ์ที่จะสั่งให้อาตมาสึกได้ แต่ในธรรมวินัยพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีใครจะสั่งให้สึกได้ ถ้าไม่ผิดตามหลักพระธรรมวินัย 11 ข้อและไม่ปาราชิก เขาก็หลับหูหลับตาทำผิดวินัย เราเองผู้น้อย ถูกย่ำยี เป็นอนันตริยกรรม เพราะเขาทำกับอาตมาเหมือนเป็นนิกาย ทั้งที่อาตมาเป็นนานาสังวาส เขาแยกตัวกับพวกเราเป็นนิกาย แต่เราทำกับเขาเป็นนานาสังวาส อย่างเช่นพระทางเถรสมาคมมาอยู่ร่วมกับเรา เราก็ให้ร่วมได้ในส่วนที่ร่วมได้ เราทำตามพระวินัยนานาสังวาสของพระพุทธเจ้าที่อนุญาต แต่ทางเราไปนั้นไม่ได้เลยจะต้องให้สึกก่อนเท่านั้น เป็นลักษณะนิกายอย่างนี้เป็นต้น ทั้งที่เป็นผู้รักษาธรรมวินัยแต่เป็นอย่างนี้ นี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธ ที่กระแสหลักไม่อยู่ในร่องรอยไม่อยู่ในธรรมวินัย ก็จัดการกันไปเถอะ เดี๋ยวนี้เละเทะ อาตมาไม่มีหน้าที่จัดการมีหน้าที่ทำงาน แล้วอาตมาก็ทำของอาตมาไม่กลัวหรอก จะจับไปฆ่าแกงเอาอำนาจบาตรใหญ่ทำก็เป็นบาปใครบาปมันกรรมใครกรรมมัน ใครทำอาตมา พูดตรงๆก็คือเขาบาป ไม่ใช่บาปเล่นๆ เพราะอาตมามาทำงานศาสนาด้วยความตั้งใจจริงใจและสัมมาทิฏฐิ คนที่มาทำร้ายสัมมาทิฏฐิจะบาปขนาดไหน คิดเอาเองก็แล้วกัน
จะให้อาตมาปรับปวาทะ มันไม่มีทางจะไปแก้ไขเขาหรอก แปลว่าการแก้ไข ปรับปรุงด้วยคำพูดด้วยวาทะ ให้ธรรมกายสำนักธรรมกาย สำนักธัมมชโยเปลี่ยนแปลง อาตมาว่า ทำให้หมามีเขางอกจะง่ายกว่ากระมัง เพราะฉะนั้นก็จะเป็นตัวอย่างอันเลวทรามอยู่ในโลก เราเป็นแต่เพียงพูดสัจจะว่าเป็นเรื่องต่ำเรื่องผิดเรื่องทำลายศาสนาอย่างถึงราก เราก็ประกาศอย่างนี้เป็นปฏิกโกสนา เป็นการค้านแย้งอย่างจังอย่างจัดเต็มที่แล้วด้วยพยัญชนะด้วยภาษาก็ทำได้แค่นี้ จะไปฟ้องร้องนั้นพระพุทธเจ้าไม่ให้ทำได้ อาตมาก็ถือเขาเป็นนานาสังวาส แต่เขาจะถือว่าเราเป็นนิกายก็แล้วแต่
แม้แต่ พระภิกษุของธรรมกายจะมาที่นี่เราก็ต้อนรับด้วยนานาสังวาส อะไรที่ร่วมกันได้ก็ให้ร่วม อะไรร่วมไม่ได้ก็ไม่ร่วม เช่น เขาจะใช้โอวาทปาติโมกข์ ที่สวดในวัน แรม 15 ค่ำขึ้น 15 ค่ำ อันเดียวกันกับเราไหม ถ้าเดียวกันก็ร่วมกันได้ อย่างพระของเถรสมาคมก็ลงปาฏิโมกข์กับเราได้แต่ของเราใช้ภาษาไทย
เขาเข้าใจว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นัยสิ่งนี้ เมื่ออันนี้เป็นทุกข์เป็นอนัตตา แสดงว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องแก้กลับ คือ แก้ให้เป็นเที่ยงเป็นสุข แก้ให้เป็นอัตตา คุณก็อยู่ในโลกของความเที่ยงที่มีธรรมะ 2 อย่างนั้นตลอดไปนิรันดร
ศาสนาพุทธไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ หมดสุขหมดทุกข์หมดอัตตาหมดอนัตตาไม่ยึดติดในอนัตตา แม้จะทำให้อัตตาหมดเป็นอนัตตา ทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยง ทำให้ชัดเจนแล้ว จะมีสิ่งเที่ยงแท้สิ่งเดียวที่เขาเข้าใจผิด คือความบรรลุธรรมของผู้บรรลุธรรมนั้นเที่ยง ไม่ใช่ธรรมะเที่ยงนะ ความบรรลุธรรมของผู้บรรลุธรรมนั่นเที่ยง พระอรหันต์จริงๆแล้วเป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพานที่บรรลุแล้ว นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
สุดท้าย นัตถิอุปมา ไม่มีอะไรสามารถเทียบเคียงได้อีกจบแล้วในตัว เทียบเคียงกับอะไรไม่ได้ จะสุดยอดแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงรู้จักที่อะไรเป็นนิจจังอะไรเป็นอนิจจัง รู้จักอะไรอัตตาหรืออนัตตา อะไรมีอยู่หรือไม่มีอยู่ โหติหรือนโหติ ท่านก็จะสามารถ ปโหติ
เมื่อเรายังมีอยู่ก็ต้องอาศัยสิ่งที่มี แต่สิ่งที่ไม่มีคือกิเลสในจิต แต่สรีระขันธ์ 5 ของเรายังมีอย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่ได้สงสัยในเรื่องมีหรือไม่มี แม้มีก็ไม่ได้ยึดติดเป็นเราเป็นของเราในจิตเราเลย ก็ต้องรู้ว่าจิตไม่ยึดติด แม้แต่ขันธ์ 5 ของเรา แม้จะเป็นขันธ์ 5 ที่บริสุทธิ์ ท่านก็ไม่ได้ยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา เพียงแต่อาศัยทำประโยชน์คุณค่า เมื่อบรรลุธรรมแล้วเป็นอรหันต์ก็ทำประโยชน์คุณค่าไป ขันธ์นั้นไปจนตาย
จะตายแบบปรินิพพาน เป็นปริโยสานก็ทำได้ แต่ถ้าไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะต้องเป็นโพธิสัตว์มาสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าก็เรื่องของท่าน เพราะท่านเป็นอมตะบุคคลแล้วอย่างนี้เป็นต้น
สรุป ศาสนาพุทธไม่มีทั้งสุขและทุกข์ เข้าใจสุขทุกข์ก็เป็น อุทุกขมสุข จิตเป็นอุเบกขา นิพพานไม่สุขไม่ทุกข์ จำไว้ใส่กบาล นิพพานไม่ใช่สุข นิพพานังปรมังสุขังไม่ใช่นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่นิพพานเป็นยิ่งกว่าสุข คือไม่สุขไม่ทุกข์ อทุกขมสุข อุเบกขาจึงเป็นฐานนิพพาน
อุเบกขามีในโลกียะและเนกขัมมะ
แม้เคหสิตอุเบกขา ก็ไม่สุขไม่ทุกข์แต่ได้เพียงชั่วคราว คนที่ทำได้กดข่มได้ชั่วคราวก็เป็นอุเบกขา แต่ถ้าคนล้างสมุทัยไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นเนกขัมสิตอุเบกขาจบได้ แต่เคหสิตอุเบกขาไม่จบมีแต่วน สามารถสะกดจิตได้มากได้นานก็ได้แต่ไม่เที่ยง ยังวนเวียนกลับ สังกุปปัง ไม่“นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
คนก็หาว่านิพพานเป็นนิจจัง แต่ที่จริงแล้วท่านทำอุเบกขา ได้อย่างเที่ยง นิจจัง มันเป็นคุณสมบัติเป็นคุณธรรมไม่ใช่ตัวตน จะบอกว่าอัตตา ก็เป็นคุณค่าความดี โลกียะหรือโลกุตระแล้ว ท่านก็อาศัยอย่างไม่เป็นโทษ มีแต่คุณ อาศัยขันธ์ 5 ที่เป็นคุณประโยชน์ไม่มีโทษ อาศัยสร้างสรร ถ้าจบเป็นปรินิพพานก็เลิก
ผู้ใดฟังแล้วชัดเจนในสิ่งที่อาตมาอธิบายละเอียดถูกต้อง คนนั้นจะรู้ว่าอาตมาเป็นใคร คำว่าเป็นใครนี้อาตมาบอกให้ก็ได้ จะรู้ว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งที่มาสอน คำว่าจะรู้อาตมาเป็นใครคือ จะรู้ว่า อาตมาเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งที่มาบรรยายธรรมะมาสอนธรรมะ
ทุกวันนี้เขาไม่เข้าใจว่าพื้นฐานของนิพพานคืออารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขา คือฐานนิพพาน ต้องสั่งสมฐานของนิพพานนี่ให้ยั่งยืนถาวร มีองค์ธรรม 5 นี้ให้อเนญชา เป็นการรักษาผลให้สมบูรณ์ ถ้าฟังอาตมาพูดนี้ก็หมดแล้ว จนวนไปวนมาแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทำไมพระบางพวกต้องไปอยู่วัดป่า
_ผมเคยฟังเทปธรรมะของหลวงปู่ชาวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
พ่อครูว่า...พออาตมามาบวช คนก็ไปถามหลวงพ่อชาว่ารู้จักอาตมามั้ย.. เขาก็บอกว่ารู้จักพ่อเขา เพราะว่าบ้านของพ่ออยู่หน้าวัดไม่ได้ไกลเท่าไหร่ ไม่รู้ได้อย่างไร
หลวงปู่ชา ได้ชี้แจงสาเหตุที่ท่านต้องไปสร้างวัดอยู่ในป่า ว่า พระพุทธเจ้าเมื่อประสูติตรัสรู้ปรินิพพานก็อยู่ในป่า เหตุผลดังกล่าวเป็นเหตุผลที่กินใจนักปฏิบัติธรรมสายป่าเป็นอย่างยิ่ง พ่อท่านจะวิจารณ์การใช้เหตุผลนั้นว่าอย่างไร
พ่อครูว่า...ก็วิจารณ์ให้ฟังว่าพระพุทธเจ้าตกกระไดพลอยโจน ในยุคนั้นมันได้ผิดเพี้ยนกันไปไกล แม้ยุคนี้ ศาสนาพุทธเกิดแล้ว ซึ่งเป็นศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาออกป่า เป็นศาสนาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ทำไปตามลำดับนี้มีกัมมันตะ วาจา สังกัปปะ ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญา ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลก็บรรลุธรรมได้ แต่ไม่เข้าใจกันก็ไปออกป่า เมื่อไม่เข้าใจโพธิปักขิยธรรม 37 ก็ปฏิบัติไม่เป็น ปฏิบัติศีลไม่เป็น เพราะฉะนั้นจึงล้มเหลวหมด
พูดถึงพระพุทธเจ้าในยุคนั้น คนทั้งหมดเข้าใจว่าศาสนาคือปฏิบัติออกป่า ท่านออกบวชก็เข้าป่า ปฏิบัติตามเขาหมด 6 ปีในป่า ทำอย่างตกกระไดพลอยโจน แล้วท่านถึงไประลึกชาติในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ที่ใต้ต้นโพธิ์ จึงรู้ว่า อุต๊ะ มันไม่ใช่นี่ ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นศาสนาออกป่า สัพพัญญุตญาณท่านขึ้นมาเต็มที่ แล้วคนก็หลวมๆเผินๆว่า ถ้าจะบรรลุธรรมต้องนั่งหลับตาแล้วระลึกชาติ จึงบรรลุออกมาได้
พระพุทธเจ้าก็ไขความไว้แต่คนบันทึกเอาไว้อย่างสั้นๆ ที่จริงมีในพระสูตรอื่นๆอีก พรหมชาลสูตร สามัญผลสูตร อัมพัฏฐสูตร แต่ที่ท่านออกป่านั้น ช่วงแสวงหา 6 ปี ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม.
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ (ล.32 ข.392)
ถ้าไม่มีหลักฐานเหล่านี้ อาตมาแบนแล้ว เพราะเขาไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นมีแต่สัญญา ไม่มีปัญญาเกิด
พรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าเรียกการนั่งหลับตาปฏิบัติว่าเป็นเจโตสมาธิ จะมีมิจฉาทิฐิถึง 62 ทิฏฐิ จะไประลึกอดีตได้ 18 แล้วไปฟุ้งในอนาคตได้อีก 44 ไม่มีปัจจุบัน ศาสนาพุทธต้องอยู่กับปัจจุบัน มีการงานอาชีพ มีการกระทำ มีการพูด การคิด สัมผัสทางทวารทั้ง 6 อยู่ตลอดเวลา ตามสามัญผลสูตรคือ การบรรลุธรรมเป็นสามัญเป็นลำดับเป็นสมณะตามลำดับ ด้วยศีลสมาธิปัญญาวิมุติด้วยจรณะ 15 อย่างนี้เป็นของพุทธในสามัญผล
มีการปฏิบัติศีลอันเป็นอริยะ มีการสำรวมอินทรีย์อันเป็นอริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะ มีการลดละได้จนบรรลุสันโดษ เป็นผู้มีสันโดษอันเป็นอริยะ นี่คือเป็นผู้บรรลุอาริยธรรมได้ ปฏิบัติอย่างนี้โดยมีศีลมีจรณะ 15 มีการเจริญ ด้วยการสำรวมอินทรีย์ สํารวมเสร็จแล้วก็ประหารกิเลส สังวรในอินทรีย์ทั้งหมด ตามสติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 สัมมัปปธาน 4 หรือ ตามจรณะ 15 สังวรศีลไปตามลำดับ แล้วปฏิบัติในกฎเกณฑ์ 3 อย่างคือ สํารวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ นี่คือการปฏิบัติที่ไม่ผิดของพระพุทธเจ้า จะต้องมีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 แล้วกระทบสัมผัสสิ่งที่บริโภคอุปโภค โภชเนมัตตัญญุตา กระทบสัมผัสแล้วมันจะเกิดกิเลสก็อ่านกิเลสนั้น แล้วให้ตื่นจากการหลงงมงายด้วยโลกียรส แล้วล้างออกมา นี่คือ อปัณกปฏิปทา แล้วจะเกิด ฌานอีก 4 วิชชาอีก 8 นี่คือจรณะ 15
เมื่อไม่เข้าใจคำสอนพระพุทธเจ้าอ่านพระไตรปิฎกไม่แตก ก็เลยเอามาปนเปกันเละเทะไปหมด แต่ถ้าเข้าใจแล้วมันจะสอดคล้องเรียงลำดับกันอย่างดี
มีผู้รู้ว่า ผู้ที่บรรลุในป่าก็มีบารมีของแต่ละองค์แต่ละท่าน ซึ่งมีน้อย ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้บรรลุธรรมในเมืองในวัดในวิหารในวัดเชตวันวิหารเชตวัน แม้แต่มีวัดวาก็มีป่าไผ่ ป่าเวฬุวัน
อาตมาพยายามบอกสิ่งจริงสิ่งชัด ศาสนาพุทธน่าจะชัดเจนแต่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่เสื่อม นานมาถึงสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้วมันก็เสื่อมลงอาตมาถึงมาแก้กลับ จริงๆแล้วพระพุทธเจ้านั้นส่งมาให้อาตมาแก้กลับ แต่คนไม่เชื่อหรอก ท่านได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกได้พยากรณ์ไว้ก่อนแล้วว่าจะมีคนมาแก้กลับ คนที่มาแก้กลับก็คืออาตมา แก้กลับได้อย่างไร ท่านก็ตรัสไว้ว่า คนคนนั้นต้องสามารถอธิบายโลกนี้โลกหน้า ให้คนได้รู้แจ้งเปลี่ยนแปลงได้ เป็นสยังอภิญญา
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) อาตมาก็มาไขความสัมมาทิฏฐิทั้ง 9 ข้อ
เอาแค่ทาน ทุกวันนี้ก็มีแต่การทานที่ ล.23 ข 49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว มี
1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ
2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทาน เทติ
3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทาน เทติ
4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทาน เทติ
การทำทานตอนนี้เขาก็มีแต่การสร้างความหวังเป็นเพราะเป็นวิมานเป็นสวรรค์ แต่ทานที่เป็นสัมมาทิฏฐิจะต้องทำลายภพชาติ แต่ถ้าตั้งภพชาติก็ยึดติดตลอดกาลนาน จะตั้งไว้ลดลงก็ได้ ทำทานไป 150 อยากได้กลับมา100 ก็ลดได้ 50 แต่นี่ทำทาน100 จะเอากลับคืนมาเป็นร้อยเป็นล้าน ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างที่ธัมมชโยหาคำมาหลอกล่อ วิบัติจนบาปกินหัวไม่รู้เท่าไหร่ ได้ทำธรรมะของพระพุทธเจ้าให้วิปริตให้วิบัติ บาปไม่รู้เท่าไหร่ ตัวเองทำเองแล้วบอกว่าพาไปสวรรค์ จะให้ขึ้นจากนรกแต่แท้จริงพากันลงนรกอย่างหัวปักหัวปำ ตัวเองนี่เป็นตัวมหานรกตัวพ่อ ธัมมชโย อาตมาปฏิกโกสนาอย่างแรง เพื่อให้เข้าใจ ไม่ได้เกลียดชังเขา แต่น่าสงสาร พูดด้วยความเมตตาสงสาร
อาตมาก็ไขความข้อหนึ่งไปพอสมควรแล้ว จะต้องรู้ว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่จะไปเอาสุข สรุปเนื้อหาให้ชัดเจน ที่เขาเข้าใจ นิจจัง สุขัง อัตตา นั้นไม่ใช่ ไม่เข้าใจไม่ได้ก็อธิบายอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไม่ได้แยกแยะ นิจจัง สุขัง อัตตาไม่ได้
หลวงพ่อชาไปสร้างวัดในป่าเพราะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าประสูติตรัสรู้ปรินิพพานอยู่ในป่า แท้จริง พระพุทธเจ้าท่านได้หลงผิดไปที่อยู่ในป่า 6 ปีมันผิดหมด ท่านไม่ได้บรรลุในทางนั้น ตามที่ท่านตรัสบรรยายไว้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แต่คนผิวเผินก็เลยไม่รู้ว่านี่คือพระสูตรสำคัญ ตอนนี้เป็นเนื้อความสำคัญ ...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ (ล.32 ข.392)
ไหนว่าพระพุทธเจ้าจะใช้หนี้วิบากมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว แต่ในชาติสุดท้ายยังมีเศษวิบากต้องไปรับวิบากต้องทรมานในป่าถึง 6 ปี
ศาสนาพุทธนั้นไม่ได้ปฏิบัติธรรมในป่าเลยแต่อยู่ในบ้านในเมือง มีวัดวามีที่สอนมีที่อบรมมีที่พาทำ แล้วก็ให้ปฏิบัติไปตามลำดับ ศีล 5 8 10 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ทำไปตามลำดับจนเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ก็ตามลำดับ
ท่านหลวงปู่ชานี้ท่านก็ยังไม่เข้าใจ ขออภัยเถอะผู้ที่เคารพนับถือท่านก็เคารพไป ส่วนที่ถูกก็มี แต่ส่วนที่ผิดอาตมาก็ต้องว่า ถ้ายังไปหลงป่านั้นมันยังไม่ใช่ แต่ในยุคโน้นมันก็เป็นป่าเสียเยอะ ท่านไม่ได้สร้างโบสถ์วิหารอะไรใหญ่โต ก็ยังเป็นวัดที่เป็นป่าอยู่ อารามก็แปลว่าป่า แต่ก็ไม่ต้องไป ที่ต้องไปยึดที่ป่าสงวน ที่โดนจับกันไปตอนนี้ ไปบุกรุกที่เขาที่หลวง เป็นการเข้าใจผิดกันเยอะแยะ เป็นการออกนอกเรื่องราว
สรุปแล้ว ท่านหลวงพ่อชานี่ไม่ทราบว่า ท่านเองก็ไม่ได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์อะไรขออภัยพูดตรงๆชัดๆ ท่านก็มีสัมมาทิฏฐิส่วนหนึ่งแล้วก็นำมาปฏิบัติกัน ก็ยังไงก็ยังไปได้อะไรบ้างในส่วนที่ได้ ส่วนที่มันไม่ถูกต้อง ไม่สามารถทำทั้งหมด ยังไม่รอบถ้วน ยังทำให้เกิดอรหันต์ไม่ได้
สายนั่งหลับตาเป็นสายสัทธานุสารี ได้แต่นั่งหลับตาก็เลยปิดทาง สายที่เขาว่าเป็นปัญญาแท้จริงเป็นเฉกา ที่ออกนอกรีต มหายาน ก็โต่งไปอีกข้างมหายานบานเบิกเลย แต่หินยาน ยังมีที่จบมักน้อยสันโดษ แต่มหายานนี้ไม่มีความมักน้อยสันโดษเลย อย่างเช่นธัมมชโยออกไปนอกโลกเลย ยิ่งจะไปกันใหญ่บานปลายเป็นปากกรวย ส่วนทางด้านอีกด้านเป็นก้นกรวยไม่อยู่ในมัชฌิมา ไม่อยู่ในทางที่ถูก
พระพุทธเจ้าประสูติในป่าและตรัสรู้ในป่า ท่านไม่ได้ออกมาจากป่าก็ตรัสรู้อยู่ในนั้น ซึ่งท่านมีสัพพัญญุตญาณแล้ว
การสร้างวัดวานั้นพระพุทธเจ้าก็บอกว่าอย่าไปอยู่ในเมือง เป็นเรื่องของการปรุงแต่งเยอะ ต้องสร้างให้ห่างประมาณอย่างน้อย 2 กิโลเมตร พอที่จะเดินทางไปมาได้ ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไหร่ จากเมือง อย่างเช่นเขาคิชฌกูฏ วังของพระเจ้าอชาตศัตรูนั้นอยู่ไม่ไกล เมื่อท่านมีความเดือดร้อนใจจากการได้สังหารพระบิดา ก็ต้องหาทางออก คนก็บอกว่าให้ไปหาพระพุทธเจ้า ท่านก็บอกว่าไป ยกพลช้างพลม้าไปประเดี๋ยวเดียวก็ถึงไม่นานนัก แม้แต่เขาคิชฌกูฏคือวัดก็อยู่ใกล้กับวัง จะบอกว่าป่าเขาก็เป็นเมือง
สรุปแล้วหลวงพ่อชาเข้าใจว่าอ้างเหตุผลนี้ พระพุทธเจ้า ประสูติตรัสรู้ปรินิพพานในป่าก็เป็นพระสายป่าก็ยังดีกว่าพระในบ้านพระในเมืองที่ไม่รู้เรื่องราวบานปลาย ทำปู้ยี่ปู้ยำศาสนา
อาตมาเองพูดตำหนิติเตียนสิ่งผิดที่มีมากมาย ก็เลยเป็นคนปากจัด ที่ตำหนิติเตียนหรือยังไม่หมดนะ ที่ยังไม่รู้มีอีกเยอะ
เขามองพระโพธิรักษ์เป็นคนครึ่งคน บอกว่าคนนี้ไม่เต็มบาท พูดอยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่มีใครมาพูดอย่างนี้ แล้วพูดอยู่ได้ แต่เขาไม่กล้าขัดแย้ง เพราะอาตมาแบกพระไตรปิฎกมายืนยัน อาตมาอยู่ได้เพราะมีพระไตรปิฎกเอามาอ้างอิงยืนยัน เขาก็เลยพูดไม่ออก แต่เขาไม่ยอมรับ ถ้าเขายอมรับก็จะแก้ไขปรับปรุงตามพระไตรปิฎกก็ดีสิ แต่เขาแก้ที่ไหน เฉยอย่างกับม้าตด
สรุปว่าหลวงพ่อชาก็ยังไม่ตื่นว่าศาสนาพุทธนั้นไม่ใช่ศาสนาในป่า นิยมอยู่กับป่าอย่างนั้นแหละ ขอวิจารณ์ตรงนี้เป็นสำคัญ สัมมาทิฏฐิของท่านก็พอมีบ้าง แต่มิจฉาทิฐิก็ยังมีไม่น้อย นั่งหลับตาทำสมาธิเป็นต้น แต่ท่านก็ยังมีตื่นมีสติอะไรอีกเยอะ ตื่นไปแต่ก็ไม่ได้ตื่นมากขนาด ติชนัทฮันห์ ติชนัทฮันห์เล่นกีต้าร์แล้วเดี๋ยวนี้ พาให้เล่นกีต้าร์แล้ว มหายานก็ยานไป
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน รักษาโรคร่างกายก็ต้องให้ถึงสมุทัย
3.การที่เหล่าบรรดานักการแพทย์ต่างๆของชาวอโศก ได้นำออกคำว่าสมุทัยมาใช้ในการแพทย์ด้วยคิดหานิยามว่า ดูสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค อันได้แก่ ภาวะร้อนที่เกินเกณฑ์ที่เกินบ้าง หยินหยางหย่อนแกร่งบ้าง กรดด่างมากน้อยเกินไปบ้าง ธาตุทั้ง 4 คือดินน้ำไฟลมบางพลีพิการบ้าง สารโซเดียมโพแทสเซียมในร่างกายไม่ได้สัดส่วน และได้ให้เอามรรคเป็นคำนิยามต่อว่าเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อให้หายจากโรค ซึ่งก็คือการต้องปรับร้อนเย็นกรดด่างหยินหยางฯ และสรุปด้วยภาษาบาลีว่า "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ)
ผมอยากให้พ่อครูวิจารณ์การใช้ภาษาบาลีนี้ว่าจะทำให้ตื้นเขินต่อไปหรือไม่
พ่อครูว่า….ก็กำกับบ้างถ้าจะเอามาใช้กับเรื่องทางโลกไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นสมมุติธรรม จริงๆนั้น มรรคมีองค์ 8 ของพระพุทธเจ้าแก้ไขได้ทั้งโลกียะและโลกุตระ ทางโลกีย์ก็ต้องรู้เหตุ แก้ที่เหตุตามเหตุให้เจอ เหมือนกันหมด โลกียะแก้เหตุ เจอก็แก้สมุทัย
ยกตัวอย่าง ชาวอโศกแก้ไขปัญหาว่า คนเรา มันจนแล้วทุกข์ จนแล้วเป็นทุกข์ ชาวอโศกก็เลยแก้ปัญหาว่า การเป็นคนจนแล้วทุกข์ เพราะไปอุปาทานว่าจนนี้มันพาทุกข์ แท้จริง ความรวยนั้นพาให้เป็นความทุกข์ต่างหาก ถ้ามันอยากรวยมันจึงให้พาทุกข์ แต่พวกที่อยากมาจนนั้นก็จะมีความทุกข์ลดน้อยลง เดี๋ยวนี้มีพวกมุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน เพราะเข้าใจปรมัตถ์สัจจะ ว่าความสุขความทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ความจน ความรวย และที่สุดแห่งที่สุดก็ไม่ต้องสุขต้องทุกข์ รวยก็ไม่สุขไม่ทุกข์ จนก็ไม่สุขไม่ทุกข์ สบายมากปกติหายห่วง(สบม ปกต หห จจ มชยรล ธมดปกต)
ถ้าเกิดว่าเข้าใจสมุทัยอย่างแท้จริง ว่าเราไปยึดติดในความจนความรวย ยึดติดในความสุขความทุกข์ เมื่อเข้าใจแล้ว มันก็มีความทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้กับความทุกข์ที่เลี่ยงได้ เรียกว่า ทุกข์อาริยสัจ แก้ปัญหาทุกข์อริยสัจจบก็เหลือแต่ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ทุกข์ปวดขี้ปวดเยี่ยว นิพัทธทุกช์ ทุกข์ที่ต้องแสวงหางานทำให้เกิดประโยชน์แก่โลก อาหารปริเยติทุกข์ ทุกขันธ์ อย่างนี้เป็นต้น ก็รู้ว่าจบในทุกข์อริยสัจ ก็เหลือแต่ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้อีก 5 - 6 อย่าง ก็อยู่กับมันไปตามที่เรายังมีขันธ์ 5 ก็เป็นผู้ที่เข้าใจทุกอย่างแล้วก็เบาสบาย ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่น อยู่กันไปตามสมควร อะไรไม่สมดุลก็จัดให้สมดุล สรุปแล้วอยู่กันอย่างสมดุล อยู่กันอย่างพอดีพอเหมาะพอเพียง อยู่กันอย่างไม่ โต่งไปโต่งมา นี่คือความเป็นอยู่
ความเป็นอยู่ที่สมดุลคือความเป็นอยู่ที่พอสมควรเป็นกลาง ชัดเจน สมดุล จะอยู่ได้นาน ไม่เย็นไม่ร้อนสบาย ไม่ขัดไม่แย้งอะไรเลยสบายมาก ลงตัวที่สุด ตราบที่คุณยังมีขันธ์ 5 ขันธ์ 5 จะต้องมีทศนิยม ต้องมีธาตุที่จะต้อง...ถ้าสมดุลคือเท่ากันหมด อยู่ไปก็มีแต่จะหมดไปกับแรงโน้มถ่วง แต่ถ้าคุณจะอยู่ก็ต้องเพิ่มทศนิยมให้มันต้านทานแรงโน้มถ่วงให้มันอยู่ได้ตลอดไปนาน คุณก็อยู่ได้ คือคุณจะต้องมี Coefficient สัมประสิทธิ์ พยายามให้อยู่ไว้
อย่างอาตมาพยายามอยู่เกินอายุขัย อาตมาพอมีความรู้ทำได้ก็ฝืนอายุขัย พยายามยืดอายุตัวเองให้ไปเรื่อยๆ อาตมาก็เคยพูดแล้ว ใครจะเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ว่าขันธ์อาตมามี 72 ปี นี่ยืดมาเกิน 1 นักษัตรแล้ว 12 ปี เพื่อยืนยันอิทธิบาทของพระพุทธเจ้าว่า ผู้ที่มีอิทธิบาทเต็มแล้วจะสามารถมีอายุเกินกว่า 1 กัปของตัวเอง อาตมาตั้งไว้เป็นตัวเลข 151 ปี คิดว่าถ้าถึง 151 ปี มันมากแล้ว มันเกินจาก 72 มา เป็น 84 จาก 84 ก็เป็น 96 ได้สองนักษัตรแล้ว จาก 96 ก็เป็นร้อยแปดเป็น 3 นักษัตร 108 ไปอีก 12 ปีก็เป็น 120 ปี จาก 120 ไปอีก 12 ปีก็เป็น 132 เป็นนักษัตร ที่ 5 ไปอีก 12 ปีเป็น 144 เป็นนักษัตร ที่ 6 แล้วบวกอีก 7 ปีก็เป็น 151
อยู่แค่ 100 ปีก็สงสัยจะรับแขกเพิ่มขึ้นอีกเยอะ อาตมาก็จะแสดงสัจจะ อย่างที่พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ได้ปลูกฝัง ความเป็นอาริยะ อาริยธรรมที่โลกต้องการ Civilization ตามที่โลกต้องการ คนก็เข้าใจกันมากแล้วที่ยกย่องเชิดชูจนเกิดเป็น Bomb of love อาตมาพูดเป็นสิ่งอจินไตย เป็นสิ่งประเสริฐสูงสุดในโลก ก็ค่อยๆทำไป
เอาสมุทัยมาใช้กับโลกียะก็ได้ ถ้ารักษาไปถึงเหตุก็รักษาโรคหาย หมอเขารักษาโรคก็ตามหาเหตุทั้งนั้น เพราะฉะนั้นผู้ใดตามหาเหตุได้ และก็รักษาให้ถูกต้นเหตุของมันก็จบ ถ้ารักษาไม่ได้ มันก็รักษาไปตามอาการเท่านั้นก็เรียกว่าเป็น Symptomatic treatment หมอก็พยายามรักษาเหตุ Radical treatment หมอเขียวก็เอาเหตุตัวต้นทางก็ไม่ประหลาดอะไร จะไปรักษาแต่ตามอาการ Symptomatic treatment รักษาตามอาการมันก็ได้แค่บรรเทามันไม่หายขาด จะให้หายขาดต้องลงไปถึงรากฐานถึงต้นเหตุของโรค
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ตถตา 3 แบบ
4.นักปราชญ์วัดยานเวศกวัดในจังหวัดนครปฐม ได้จำแนกสัจจะโดยธรรมชาติและสัจจะโดยปรมัตถ์ แต่พ่อท่านจำแนกสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ การจำแนกสัจจะของทั้ง 2 ท่านเป็นการจำแนกที่มีผลลัพธ์ต่อความเข้าใจเหมือนกันหรือไม่ หรือว่าการจำแนกทั้ง 2 แบบเป็นที่ผู้ศึกษาต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
พ่อครูว่า...การใช้ภาษาว่าสัจจะโดยธรรมชาติและสัจจะโดยปรมัตถ์ ภาษาที่อาตมาใช้ว่าสมมติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ
ทีนี้ก็สงสัยแต่เพียงว่า สมมติสัจจะกับสัจจะโดยธรรมชาติเหมือนหรือต่างกันอย่างไรที่ถามมานี้
คำว่าสมมติสัจจะรวมความเป็นธรรมชาติไว้หมดด้วย ธรรมชาติที่มันเกิดโดยอัตโนมัติ มันเกิดแล้วคนก็ไปอธิบายว่ามันเป็นตถตา ที่จริงตถตานั้นเป็นปรมัตถ์ ตถตาไม่ใช่สมมุติ ตถ แปลว่าความจริง แล้วความเป็นเช่นนั้นเองอย่างที่ท่านพุทธทาสอธิบาย ก็ไม่ได้แยกแยะให้ชัดเจนว่า ตถตานั้นมีถึง 3 นัย
ตถตา 1.เป็นแบบโลกีย์ 2.เป็นตถตาโลกุตระ 3.เป็นตถตาจากความไม่รู้ พูดไปว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มันก็เป็นอย่างนั้น ไม่รู้อย่างไรมันก็ทิ้งให้เป็นแบบนั้นเอง ทีนี้ผู้ที่รู้แล้ว แยกโลกียะกับโลกุตระออก ถ้าธรรมะที่มีความเกิดเรียกว่าธรรมชาติ
1. ตถตายถากรรม (รู้เห็นเช่นนั้นๆ ปล่อยวางแบบสมถะโลกีย์โดยลืมตาละวางแต่ไม่เกิดปัญญา - ไม่รู้เห็นปรมัตถ์)
2. ตถตาในภาคมรรค (เห็นทุกข์-สุขจริงในขณะฝึกละ)
3. ตถตาปรมัตถ์ (จิตเกิดเป็นเช่นนั้นเอง ได้เองอย่างปกติมี อัตโนมัติแล้ว หรือได้สัจธรรมความว่างเป็นเช่นนั้นเอง ในตัวแล้ว จนเกิดบารมีในตนจริงอย่างไม่แปรเป็นอื่น). อันสุดท้ายนี้เป็นความว่างที่ว่างจากกิเลส จนทำได้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นเช่นนั้นเอง โดยไม่ต้องควบคุม ไม่ต้องไประวัง มันไม่เป็นอื่นไปอีกแล้ว มันเต็มแล้วอย่างนั้นเลย เป็นตถตาปรมัตถ์ ส่วนตถตายถากรรม ก็เป็นคำประโลมเฉยๆ ไม่เข้าสู่การตามหาเหตุที่เป็นอริยสัจ ที่พูดว่า สัจจะเป็นธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติแบบโลกีย์ ตถตาตามมีตามได้
ก็ต้องไปดูตัวเหตุที่เป็นชาติแล้วดับการเกิดให้หมดสิ้น หมดภพจบชาติ ก็เป็นพระอรหันต์ มีตถตาสมบูรณ์
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ศีลกับปัญญา
5.พ่อครูตีความว่า มาตา หมายถึงศีล ปิตาก็คือปัญญา ทำให้เกิดวลีขึ้นใหม่ว่าศีลเป็นแม่ปัญญาเป็นพ่อ พุทธพจน์ที่ว่า ฌานยังไม่มีกับผู้ที่ไม่มีปัญญา ปัญญายังไม่มีกับผู้ที่ไม่มี ฌาน พุทธพจน์อันไหนทำให้ชัดเจนกว่ากัน
พ่อครูว่า...ก็อยู่ที่เราจะชัดเจนไม่ต้องไปเทียบกันหรอก
มาตาเทียบเป็นแม่ ก็ชัดเจน ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ที่อาตมาเทียบนั้น อาตมาลองนึกดูว่ามีคำตรัสของพระพุทธเจ้าไหม ว่า ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ …
ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ (โสณทัณฑสูตร
ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ล.9 ข.193)
ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล และศีลก็เป็นของผู้มีปัญญา
นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก
เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น
พ่อครูว่า...มาตาคืออิตถีภาวะ ปิตาคือปุริสภาวะ ทำให้สัตว์โอปปาติกะ ทำให้จิตวิญญาณที่เกิดโดยใช้ศีลกับปัญญา ผู้ใดปฏิบัติธรรมโดยไม่ใช้ปัญญา มีแต่ศีลก็ไม่ได้ ปฏิบัติศีลก็ไม่เกิดสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติได้แค่กายกับวาจา การทำให้เกิดสมาธิก็ไปนั่งหลับตาเอา เมื่อไม่ปฏิบัติศีลมีแต่ปัญญา ก็ไม่เกิดสมาธิที่เป็นอาริยะ จะกลายเป็นสมาธิ ที่ผิดเพี้ยนเป็นโลกียะอย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้
เพราะว่าไม่ได้ปฏิบัติศีล ให้เกิดสมาธิ ปัญญา
ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 2 3 ก็ต้องเกี่ยวข้องกับสัตว์ เกี่ยวข้องกับข้าวของ มาเกี่ยวข้องกับสัตว์แล้วมีจิตไปในทางโทสมูล หยาบ กลาง ละเอียด ก็ต้องรู้ตัวแล้วลดละอย่าให้มันเกิด
ศีลข้อ 2 อทินนาทาน คุณก็ต้องลด โลภะ เมื่อสัมผัสกับสิ่งของ
ศีลข้อที่ 3 เมื่อเกิดสัมผัสแล้วมีอาการ กาม การสัมผัสเสียดสี กามคุณ 5 ก็ต้องปฏิบัติตนลดละกาม ต้องรู้สมุทัย มีศีลพรต ในการปฏิบัติที่จะกำจัด กิเลส ปหาน 5 แล้วปฏิบัติลดละได้
ปฏิบัติศีล 5 แล้วก็เจริญเป็นศีล 8 เป็นอธิศีล แล้วศีล10 ตามลำดับ จุลศีล 26 ข้อ เมื่อปฏิบัติ 26 อย่างนี้ได้บริบูรณ์หมดตามที่ท่านเลือกเฟ้นมา สามารถขัดเกลากิเลสจนเป็นพระอรหันต์ได้ ครบ 26 นี้เป็นพระอรหันต์ บางคนไม่ถึง 26 ก็เป็นพระอรหันต์ก่อนได้ สูงสุด 26 ข้อนี้ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ขอให้ปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ จะเกิดสัมมาปฏิเวธอย่างแท้จริงเลย เพราะฉะนั้นเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา จึงเป็นไตรสิกขาของพระพุทธเจ้าตลอดกาลนาน
ถ้าปฏิบัติศีลจนไม่เกิดพลังงานปัญญาที่ไปกำจัด ไฟราคะโทสะโมหะได้ก็ไม่ได้บรรลุธรรม ถ้าสามารถกำจัดได้เป็นส่วนๆ ก็เป็นส่วนแห่งบุญ เมื่อกำจัดกิเลสจนหมดสิ้นอาสวะ บุญก็หมดหน้าที่ กิเลสก็หมด เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ
แต่เดี๋ยวนี้ไปเข้าใจคำว่าบุญเป็นสมบัติ ทำให้เกิดส่วนบุญขึ้นได้สมบัติด้วย ทั้งที่ส่วนบุญคือส่วนวิบัติเพื่อกำจัดกิเลสได้ก็ทำให้วิบัติกิเลสในส่วนนั้น การได้บุญก็คือการได้เสียกิเลสไป อย่างที่ในหลวงได้ตรัสเราเสียนี่แหละคือเราได้ เมื่อไม่เข้าใจในสัมมาทิฏฐิก็เลยปฏิบัติไม่เกิดสภาวะแท้
สมณะฟ้าไท สรุป...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:20:37 )
รายละเอียด
601006_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ไขปัญหาให้ถึงปัญญาโลกุตระ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2560 ที่ราชธานีอโศก เป็นวันออกพรรษาทางโลกเขา คือวันที่กิเลสออกทำมาหากิน เข้าพรรษาก็อดทนกิเลสไว้ ออกพรรษาทีก็แตกกระจาย ผีดีใจเต้นแร้งเต้นกากัน พวกเราก็มาทำเวทนา 2 ให้เป็น 1 กันต่อ
ส่วนที่สนามหลวงก็มีประชาชนเข้ากราบพระบรมศพเป็นวันสุดท้ายเมื่อวานนี้ ประชาชนมาแสดงความอาลัยรักต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 กัน สำนักพระราชวังสรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ตั้งแต่เวลา 00.01 น. จนถึงเวลา 24.00 น. มีทั้งสิ้น 88,602 คน รวม 335 วัน มี 12,532,492 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญ พระราชกุศลเป็นเงิน 5,712,411.25 บาท รวม 335 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 876,090,282.76 บาท โดยเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพชุดสุดท้ายของวันที่ 3 ต.ค. ในเวลา 03.50 น. ของวันที่ 4 ต.ค.
พ่อครูยังมีชีวิตอยู่กับเรามีอิทธิบาท 4 ยังไม่จากเราไปและเราก็ไม่ได้จากท่านไป เราก็มาฟังธรรมที่ท่านแสดง เพื่อให้ได้รับประโยชน์ ทำบุญเพื่อให้หมดบุญ และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อไป
พ่อครูว่า...มาสาธยายกันต่อ ชีวิตนี้เบิกบานร่าเริงสนุกสนานกับธรรมะ มีธรรมะซะอย่าง ก็อยู่กันอย่างเบิกบานร่าเริงสนุกสนาน ขาดธรรมะแล้วมันไม่เบิกบานร่าเริงสนุกสนาน เขาเองจะเบิกบานร่าเริงสนุกสนานกับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขก็ว่ากันไป โดยเฉพาะธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม สุดยอด
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน ระเบิดรักระเบิดประชาธิปไตย
ขอต่อนิดหนึ่งที่ท่านฟ้าไท พูดเอาไว้ถึงเรื่องของความตื่นตัว ตื่นตัวจริงๆ แล้วเป็นการตื่นตัวอย่างระเบิดเถิดเทิง เรียกว่า bomb of love เป็นระเบิดแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยเกิดในโลกในประเทศไหนที่เคยมีมา ในลักษณะอย่างนี้ ที่อื่นจะตื่นเต้นรักผู้ที่เขารัก ในระดับที่เขารัก เชิดชูกันจริงๆจังๆ อย่างไรอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้แสดงออกอย่างลึกซึ้ง เนียนในสูงส่ง มีลึกซึ้งเนียนในในหลายผู้คนมีอยู่ที่คนรักนับถืออย่างมาก จะมีคนที่รักนับถือเนียนในสูงส่งกันก็ผู้ที่มีโพธิสัตวคุณ มีคุณมีความเป็นโพธิสัตว์ อย่างเช่นคานธีเป็นต้น ในหลวงร. 9 ของเราเป็นต้น เขาแสดงออกอย่างแท้จริง เป็นเรื่องสูงส่ง ลึกซึ้งเป็นเรื่องที่ออกจากจิตใจแท้ๆของเขา ที่เขานับถือยกย่อง ยกมอบให้
คุณลักษณะที่สุดยอดก็คือเป็นคุณลักษณะอันเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สุด นั่นคือ คุณสมบัติของผู้ที่รับใช้ประชาชน ทำงานเพื่อประชาชนที่แท้จริง เสียสละเพื่อประชาชนที่แท้จริง ไม่ว่าคานธี ไม่ว่าในหลวงก็นัยเดียวกัน สาระเดียวกัน เป็นต้น
ที่อาตมานำคำว่าประชาธิปไตยมาใช้ เพื่อยืนยันว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีประชาธิปไตยสมบูรณ์สุด ในยุคพระพุทธเจ้าเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคราชาธิปไตย แต่พระพุทธเจ้านำประชาธิปไตยออกไปเผยแพร่ประกาศ โดยราชาของแต่ละแคว้นแต่ละแดนแต่ละประเทศนั้นเอง ในทวีปอินเดีย พระพุทธเจ้าไปแคว้นไหนรัฐไหนก็แล้วแต่ เขาก็ยกให้หมด โดยท่านมีธรรมนูญของท่านมีทฤษฎีของท่าน มีระบอบของท่าน มีระเบียบของท่านมีกฎเกณฑ์ของท่าน ใครจะมาเข้ารีตมาเข้ากฎระเบียบมาเข้าธรรมนูญของพระพุทธเจ้า กษัตริย์แต่ละแคว้น แต่ละรัฐ แต่ละประเทศในยุคนั้น ก็ยกให้ท่านหมดเลย
นี่คือความเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ประกาศในยุคนั้น ก็ต้องเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยให้ดีทีเดียว เป็นประชาธิปไตยที่มีอิสระเสรีภาพ มีภราดรภาพ มีสันติภาพมีสมรรถภาพ มีบูรณภาพ สมบูรณ์แบบเลย นี่คือสุดยอดแห่งประชาธิปไตย คนที่เป็นพุทธต้องศึกษาให้ดี และทำความเป็นประชาธิปไตยที่สุดยอดนี้ให้ได้ ในประเทศไทยมีคนที่พยายามศึกษาฝึกฝนอย่างเช่นชาวอโศก แล้วก็ได้ความเป็นประชาธิปไตยที่มีอิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพจริงๆ นี่ขอยืนยัน พูดโดยไม่ได้หลงตัวหลงตนยกตนข่มท่าน พูดด้วยวิชาการ ด้วยความจริงของสัจธรรมของความรู้ เมืองไทยมีประชาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ แม้ตอนนี้ก็ขอรับรองว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยที่เหนือกว่าอเมริกา ให้ไปศึกษาเถิดนักรัฐศาสตร์ทั้งหลาย
มี อิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ เหนือกว่าอเมริกาที่เขาหลงใหลยกย่องว่า เป็นประเทศประชาธิปไตยเบอร์ 1
ซึ่งประชาธิปไตยของอเมริกาเป็นประชาธิปไตยขาเดียว สู้ประเทศอังกฤษไม่ได้ ประชาธิปไตยของอังกฤษเป็นประชาธิปไตย 2 ขา ประชาธิปไตยขาเดียวคือประชาธิปไตยที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีผู้สืบสันตติวงศ์ที่มีกฎมณเฑียรบาล คำว่ากฎมณเฑียรบาลคือกฎหมายคือระบอบระเบียบ ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน พระเจ้าแผ่นดินจะต้องสืบทอดกฎมณเฑียรบาล
แต่ประชาธิปไตยขาเดียวนั้นไม่มีการสืบทอดกฎมณเฑียรบาลอะไรเลย มาเลือกเอาเลย ประชาชนเลือกขึ้นไปให้เป็นใหญ่ที่สุดในประเทศ คนที่ได้รับเลือกไปไม่ได้มีมณเฑียรบาลอะไร ไม่มีสายทางจิตวิญญาณมีแต่รูปธรรมง่ายๆ มีแต่คำว่าเลือกตั้งเลือกๆ แล้วก็เลือกใครก็ได้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงมีการขี้โกงกันได้ด้วย มีทรัพย์สินลาภยศเงินทองอำนาจก็ขึ้นไปเป็นเบอร์ 1 ของประเทศได้ แล้วก็เป็นประเทศเหมือนกับอาบูฮาซัน เป็นใหญ่เพียงชั่วคราวแล้วก็ตกกระป๋อง ดีไม่ดีถูกไล่ออกยังไม่รู้ไม่แน่เลย โดนัลด์ทรัมป์จะถูก impeachment หรือไม่
สมณะฟ้าไทว่า...ประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีการสืบทอดทางจิตวิญญาณ ไม่ต่อเนื่อง แล้วแต่ว่าแต่ละกลุ่มจะคิดอะไรขึ้นมา
พ่อครูว่า...เป็นประชาธิปไตยแบบสมบัติผลัดกันชม
SMS วันที่ 4 ตุลาคม 2560 (พ่อครู : บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน จะทำชินชาหรือจะยินดีกับคนที่มาวัด
_8647กราบนมัสการพ่อครูคะขอถามเลยค่ะการที่ลูกมาเข้าค่ายกับอโศกบ่อยๆแล้วลูกมีจิตที่ดีใจเมื่อใด้เห็นคนเก่าๆที่มาเข้าเหมือนได้พบญาติสนิทแม้จะเจอผัสสะบ้างก็ยังสนิทกันเหมือนเดิมและดีใจที่เห็นคนไหม่ๆเข้าค่ายชีวิตดีทีล่ะก้าวคะ
ก่อนถึงวันเข้าค่ายลูกจะคิดถึงคนนั้นจะมาไหมน่ะ คนนี้จะมาไหมน่ะแต่พอใด้เห็นพี่ๆเขามากันก็ดีใจมากคะ ลูกทำถูกไหมค่ะหรือลูกควรทำเฉยๆ มาก็ชั่งไม่มาก็ชั่ง(กราบขอบพระคุณกับธรรมดีๆตลอดมาและตลอดไปคะ
พ่อครูว่า...มันก็เป็นคุณสมบัติที่ดีไม่เสียหายอะไร แต่ถ้ามันจะชินชา ผู้มาเก่าก็มาอีกผู้มาใหม่ก็ยินดี ยินดีที่มีคนมาสนใจ มายืนหยัดยืนยันกับธรรมะ มันเป็นคุณสมบัติคุณธรรมที่ดีเป็นจิตใจที่ดีเป็นกุศลจิต ไม่เสียหลายอะไร จะบอกว่า ถ้าทำอย่างนี้ มันจะดีกว่ามาก็ช่างไม่มาก็ช่าง เฉยๆหรือไม่ ไม่ต้องห่วงหรอก แม้แต่ความปิติยินดีมันก็ไม่เที่ยง มันก็จะนานไปแล้วก็จะชินชา ชินชา เป็นภาษาไทยไปแล้ว ชิน ภาษาบาลีแปลว่าผู้ชนะ ชา แปลว่าความรู้
เมื่อผู้ที่เคยชนะมันก็ยินดีปรีดา มันเป็นการชนะอันหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่ดีเป็นความดีที่ชนะแล้ว เป็นความรู้ เมื่อมันครบแล้วนานเข้าไป มันก็เข้าสู่กฎของไตรลักษณ์ มันก็ไม่เที่ยง มันก็เกิดเฉย ชินชา คือถ้ามันเป็นอย่างนี้ไปก็ชินชาไป แต่ถ้ามันไม่เกิดเป็นอย่างนี้ มันก็จะเกิดไม่ยินดี ไม่ชอบใจก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นอย่างนี้ไปก็จะชินชา ก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว
_3867มหาศีลล้วนเป็นกฎต้องห้ามฯไม่ให้ภิกษุยังชีพโดยทางผิดที่เกี่ยวกับพิธีกรรมทางติรัจฉานวิชาฤาไสยศาสตร์ต่างๆ!ยุคต่อไปวัดไหนคงทำพิธีก.ทางศ.ไม่ได้?ก็คงยกหน้าที่ให้พราหมณ์จาก ศ.พรามหมณ์ฮินดูช่วยรักษาประเพณีเก่าแก่ที่ยังมีในพุทธศ.กระมัง?
พ่อครูว่า…พิธีกรรมของศาสนาพุทธก็มีแต่ไม่ได้เป็นเดรัจฉานวิชา เป็นพิธีกรรมที่เหมาะกับสถานะนั้นๆ เช่นมีสังฆกรรม เป็นต้น ก็ต้องใช้องค์ประกอบ ภาษาบัญญัติ การกราบไหว้ก็เป็นพิธี อย่างเราจะออกพรรษาก็มีคำกล่าวสังฆัมภันเต ปวาเรมิ เป็นต้น ก็เป็นพิธีกรรมที่ต้องใช้พอสมควร แต่นี่มันยาวยืดไป เป็นเดรัจฉานวิชาก็คือ มันเอาพิธีกรรมนั้นไปตกแต่งปรับปรุง แล้วไปเป็นวิธีการพิธีกรรมที่ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เป็นโลกียะ นั่นคือความเสื่อมของพิธีกรรม
จากเฟซบุ๊ก
_สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · สาธุ ยินดีกับกฏหมายสงฆ์ที่จะออกมา ถึงไม่ได้เข้ามาเป็นชาวอโศก แต่เห็นด้วยทุกๆอย่างบางทีตัวเองเป็นแกะดำในหมู่แกะขาว คือญาตินี่แหล่ะบางครั้งรู้สึกอึดอัด ต้องทำหูหนวกตาบอดไปบ้าง
_วลัยพรรณ วรชัยศรีโสภณ · ผักที่นำมาตกแต่งและการตกแต่งวันนี้ดูแปลกตาดีเชียวคะ อนุโมทนาบุญด้วยน่ะคะ
พ่อครูว่า...พวกเรามาแสดงว่านี่เป็นพลวปัจจัยของชีวิต เราไม่ได้หลงเพชรนิลจินดาอะไรเอามาโชว์อวด แล้วไปซื้อทองเพชรมาประดับก็ไม่ใช่ เราเอาปัจจัยของชีวิตมาให้ดูเป็นความอุดมสมบูรณ์ อย่างนี้ไม่ตายหรอก กินเพชรพลอยไม่ได้ตาย ผู้ที่ไปยึด อสาระ ว่าเป็นสาระคือคนไร้สาระ
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ · สุดยอดครับพระแท้ของชาวพุทธ
_นิตยา เฝ้ากระโทก · ขายของขาดทุนยังไม่พอแถมแจกฟรีอีก สาธุค่ะ
_ธนวัฒน์ สิริสุริยเสรี · ระนอง ชัดเจน บ่ายวันนี้ไร้ฝน
_คุณลายารัตน์ ทันแมน · สวีเดนชัดเจนค่ะ..กราบนมัสการพระคุณเจ้าค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ระบบประสาทอัตโนมัติเป็นกิเลสไหม
_ปัญญา หิรัญ ....กราบนมัสการ!เรียนถามหนึ่งประเด็นขอรับว่า..อาการแสดงออกของ ระบบอัตโนมัติในร่างกาย จะถือว่าเป็น กิเลส ประการหนึ่งหรือไม่? อย่างเช่น ถึงเวลารับประทานอาหารประจำวันแล้วน้ำย่อยออกมา เวลาได้กลิ่นมะนาว หรือมีของเปรี้ยวเข้าปาก เวลาเห็นอาหารแล้ว น้ำลายออกมา โดยที่จิตใจก็ยังไม่ได้ดูดอะไร มันเป็นกิเลสไหม ถ้าเป็นจะอยู่ใน กิเลส ระดับต้น กลาง ปลาย จะอยู่ในอาสวะหรืออนุสัย...
พ่อครูว่า...ถามละเอียดลออเลยนะ อัตโนมัติที่มันเป็นอาการของ 32 อาการของร่างกายมันเป็นอัตโนมัติมันเป็นนิสัย ของอาการของร่างกาย มันจะถึงเวลามีน้ำย่อยออกมาอะไรออกมา มันก็มีเป็นธรรมดาธรรมชาติ ไม่ถือเป็นกิเลส เป็นสัญชาตญาณ
สัญชาตญาณที่มันเป็นอัตโนมัติ สัญชาตญาณที่เป็นกิเลสก็มี สัญชาตญาณที่เป็นกิเลสนี่แหละเราจะต้องเรียน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้มาเรียนรู้สัญชาติ
ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ นี่คือการเกิด 5 ประการ
ชาติ คือ การเกิด เป็นคำนามทั่วไป เป็นสามัญนาม เป็นคำรวม คำกลางๆ
สัญชาติ คือการเกิดที่มันเคยเกิดมาแล้ว สัญชาติที่มันเคยสั่งสมก็เป็นอัตโนมัติ มันก็เป็นเอง รู้เองเป็นเอง ซึ่งผู้ที่เข้าใจสัญชาติแล้วสั่งสมมา คนที่รู้จักเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะไม่แปลกใจ ทำไมสัตว์มันเกิดขึ้นมาจะต้องรู้ว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ พอออกมาก็หานมแม่กิน จิงโจ้ออกมาก็หาถุงหน้าท้องของแม่ไปอยู่ในถุง ทำไมมันรู้ก็เป็นสัญชาติ ศาสนาพุทธสอนให้รู้สัญชาติ มันเป็นของสะสมในจิต เป็นคลังแห่งความจำ เมื่อมันเกิดอนิจจังอันนี้ได้ มันก็ออกมาเป็นในตัวของมันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะฉะนั้นเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะรู้ครบหมดเลย
นิพพัตติ คือการเกิดที่มีโลกุตรธรรม
อภินิพพัตติ คือ การเกิดที่สูงสุดบรรลุนิพพาน
โอกกันติ คือ ถ้าอวิชชาก็เกิดชาติสัญชาติ เป็นการสั่งสมส่วนมากเป็นโลกียะ ทำให้เป็นโลกุตระ หยั่งลงเป็นโอกกันติไม่ได้ ผู้สามารถทำโลกุตระ หยั่งลงในจิตได้ก็ข้ามเขตมาสู่นิพพัตติ
อ่านจิตที่มันเกิดมีโอปปาติกะโยนิ ที่เราสามารถแยกแยะเวทนาที่เป็น เนกขัมมะ ที่เป็นโลกุตระ เวทนาที่เกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ สุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ 18 อย่าง จากตาหูจมูกลิ้นกายใจ จากสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ ก่อนจะเป็น 18 อาการ
อาการ เคหะสิตตะ เป็นโลกีย์ก็อ่านออก แล้วลดเหตุ ลดสมุทัยของมัน เข้าใจเวทนาในเวทนาที่เป็นเวทนา 108 โดยเฉพาะมโนปวิจาร 18 แล้วทำให้เกิดเนกขัมมะ นี่คือการปฏิบัติของศาสนาพุทธและบรรลุได้สูงสุดจริง เป็นคนประเสริฐในโลกไม่เป็นพิษเป็นภัยไม่เป็นโทษแก่ใคร เพราะฉะนั้นประเทศไหนมีทฤษฎีของพระพุทธเจ้า และมีคนปฏิบัติได้มรรคผลจริง เป็นคุณค่าต่อโลกทั้งโลก เมืองไทยมีอันนี้ก็พยายามพากเพียรศึกษาและปฏิบัติให้ได้คุณธรรมอันนี้
ถามว่าอัตโนมัติเหล่านั้นเป็นกิเลสไหม บางอย่างก็เป็นกิเลสผสมอยู่ เป็นอาสวะอนุสัย สัญชาตญาณที่ไม่เป็นกิเลสแล้วเป็นอาการมันก็เป็นบ้าง ถึงเวลาหิวโหยน้ำย่อยออกมา ก็เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อเนื่องกันทำให้เกิดสภาพ ต้องเป็นเช่นนั้นต้องทำอย่างนั้น ถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้วตาย ไปไม่รอดเป็นต้น มันก็ต้องทำ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อรหันต์ขั้นสูงจะรู้อาริยะของคนอื่นหรือไม่
_จาก ดอยแพงค่า . สงสัยว่า ที่ว่า อรหันต์ย่อมรู้ในอรหันต์ของตน
กราบเรียนถามพ่อครูว่า ผู้ที่เป็นอาริยะ ขั้นสูง เช่น อรหันต์ ย่อมจะรู้ภาวะโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี ของตนหรือบุคคลอื่น หรือไม่ครับ?
พ่อครูว่า..ใช่สิ แต่ถ้าเราไม่ตรวจสอบ เช่นพระสารีบุตรบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ คือ ท่านพระสารีบุตรที่จริงแล้วเป็นพระโพธิสัตว์ พอถึงเวลาท่านก็ตื่นจากสิ่งที่ท่านเป็นก็ถือว่าบรรลุ แต่ลิงลมอมข้าวพองก็ถือว่าไม่บรรลุ แต่ที่จริงแล้วท่านมีแล้ว มีลูกศิษย์พระสารีบุตร บรรลุธรรมเป็นอรหันต์แล้วแต่พระสารีบุตรไม่รู้
ถ้ามีสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ตัดรอบรู้ภูมิตัวเอง
ส่วน ที่เขารู้ก็รู้ของตน อย่าไปรู้ของคนอื่นเลย มันไม่ง่าย พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ ส่วนจะไปรู้คนอื่นก็รู้โดยปริยาย อยู่ได้ด้วยการแสดงออก ทางกายรรม วจีกรรม มโนกรรม และมีปฏิภาณรู้ว่าลักษณะอย่างนี้รวมแล้ว ถ้าอยู่คบคุ้นกันนานๆก็พอที่จะใช้เหตุปัจจัยตรงนี้ มาสรุปได้ ถือว่าบรรลุแล้วเป็นอรหันต์แล้ว ได้สำหรับผู้ที่พอมีภูมิ สามารถเอาเหตุปัจจัยเหล่านั้นมาประเมินประมวล ให้ค่าตีราคาพิพากษาได้ ก็ให้รู้ของตัวเองก่อนของคนอื่นนั้นยาก พระสารีบุตรยังไม่รู้ลูกศิษย์ตัวเองเลย รู้ของตัวเองถูกต้องก็ดีแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ปรับปวาทะนิพพานเป็นอัตตา
_ทีนี้ของคุณ อโศกสัมปวังโก นี่ว่ามาตั้งยาว ก็เอาอันนี้ไปแสดงธรรม มี 9 ข้อ ละเอียดละออดี
1.ในกรณีที่ผู้นำความคิดของพุทธศาสนิกชน กลุ่มธรรมกาย ได้ตีความนิพพานว่าเป็นอัตตานั้น กลุ่มมหาบัวก็ตีความนิพพานเป็นอัตตา สายนั่งหลับตาจะตีความผิดเพี้ยนทั้งนั้น สายมหาบัวก็ตีความนิพพานเป็นอัตตา แต่มีนัยละเอียดต่างกัน คนหนึ่งสายมืดคนหนึ่งสายสว่าง ที่ตีความนิพพานเป็นอัตตาเพราะพระพุทธพจน์ที่ว่า นิพพานังปรมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
พ่อครูว่า...อาตมาเคยแปล นิพพานังปรมังสุขังว่า นิพพานนั้นยิ่งกว่าสุข แต่เขาแปลว่าสุขอย่างยิ่ง
ซึ่งเอานำมาเทียบกับไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เอานิพพานังปรมังสุขังมาตีความ กับ อนิจจังทุกขังอนัตตา (สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์และสิ่งนั้นย่อมเป็น อนัตตา) ก็เกิดความเข้าใจกันทันทีว่า นิพพานนั้นเป็นสุข ไม่ใช่ทุกข์ เพราะใช้ตรรกะ อนิจจังไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ก็ใช้ตรรกะว่า นิพพานเป็นสุขไม่ใช่ทุกข์ และเมื่อนิพพานเป็นสุข นิพพานจึงมีความเที่ยง และเป็นอัตตา มีสถานที่เป็นพุทธะเกษตร พระพุทธเจ้ามีพระอรหันต์นั่งล้อมรอบ ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้าจะนั่งโดดเดี่ยว เพราะสัมพันธ์กับความเชื่อที่ว่า พระปัจเจกพระพุทธเจ้าสอนใครไม่เป็นจึงไม่มีลูกศิษย์ลูกหา แล้วอยู่ห่างจากโลกมนุษย์หลายล้านปีแสง ไม่มียานพาหนะใดๆที่จะนำไปสู่โลกอย่างนั้นได้ (พ่อครูว่า..เห็นได้ว่าพวกเพ้อพกนี้มันบ้ากันไป โลกจินตา) ผมเห็นว่าตรรกะดังกล่าว มีความหนักแน่นยากที่จะ ปรับปวาทะด้วย(พ่อครูว่า..ปรับปวาทะคือไม่ใช่เถียงแต่แก้กลับที่เขาเห็นผิดจากของพระพุทธเจ้า)
ผมคิดว่าในยุคนี้ ไม่มีใครจะสามารถปรับปวาทะกับคนกลุ่มเหล่านี้ได้ นอกจากพ่อท่าน เพื่อป้องกันไม่ให้นักปฏิบัติธรรมชาวอโศกไปตกในการยึดถือความคิดแบบนั้น เพราะว่า ในอดีตมีชาวอโศกที่ไปนับถือธรรมกาย
พ่อครูว่า...ประเด็นที่พูดมาให้เห็นว่าเป็นเรื่องของอัตตา เขาเห็นว่านิพพานเป็นอัตตา มันก็เป็นความจริงที่เขายึดมั่นถือมั่นอย่างไม่ลืมหูลืมตา อย่างสนิทแล้ว ก็เป็นธรรมชาติของเขา สุดท้ายพระพุทธเจ้าถึงบอกว่าตัดสิน คุณก็เป็นความเห็นของคุณ เราก็มีความเห็นของเรา อย่ามาทะเลาะวิวาทกัน พระพุทธเจ้าไม่พยายามสร้างนิกาย แต่เขาก็อยู่ของเขา เราก็อยู่ของเรา เพราะคำว่าพุทธศาสนาไม่มีลิขสิทธิ์ ใครจะเอาไปประพฤติปฏิบัติก็ได้ แต่เมื่อเขาเข้าใจผิดออกนอกทางก็เป็นอกุศลเป็นบาปของเขา ถ้าเราถูกก็ทำไป แต่สุดท้ายมันสุดวิสัย เขายึดถืออย่างนั้นเลยพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าจะว่ากันต่อไปก็ตีกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ทำให้เกิดความเป็นไปได้ในโลกนี้ มันเป็นสิทธิมนุษยชนเขาจะยึดถืออย่างนั้นสุดท้ายก็ต่างคนต่างอยู่ สูงสุดพระพุทธเจ้าจึงเรียกว่านานาสังวาส
เป็นชาวพุทธด้วยกันแต่ก็มีเงื่อนไขในการอยู่ต่างกันร่วมกัน ร่วมกันทำสังฆกรรมไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น ทำได้แค่ปฏิกโกสนา คือว่ากัน ค้านกันอย่างแรงๆดังๆ ค้านอย่างหัวชนฝาก็ได้ แต่อย่าไปถึงอุกโกสนา ฟ้องร้องจนถึงขึ้นโรงขึ้นศาลไม่ได้ อย่างนี้คือนานาสังวาส
แต่เถรสมาคม เอาชาวอโศก ขึ้นโรงขึ้นศาล เขาก็มีภูมินานาสังวาส แต่เขาก็มาทำผิดธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้า อาตมาประกาศนานาสังวาส ตอนแรกเขารับนะ ตอนพ.ศ. 2518 อาตมาก็อยู่มา มีหลักฐานยืนยันเลยว่า มหาเถรสมาคมถือว่าเราเป็นนานาสังวาสไม่อยู่ในการปกครอง ต่างคนต่างปกครองตัวเอง เขารู้ เพราะมีหนังสือของกรมการรถไฟ ที่จดหมายไปถึงเถรสมาคมว่า ชาวอโศก เป็นพระในปกครองของเถรสมาคมหรือไม่ เขาก็ตอบไปว่าไม่ได้อยู่ในการปกครองของเถรสมาคม ตอบไปเป็นหลักฐานยืนยันเขารับแล้ว ว่าอยู่กันคนละพวกเป็นนานาสังวาส อยู่กันตั้งแต่พ. ศ. 2518
แต่วันร้ายคืนร้าย พ.ศ. 2532 ก็รวมกัน ทั้งมหานิกายและธรรมยุต รวมหมู่ทำสังฆกรรม ซึ่งก็ผิดแล้ว คนละนิกายเอามาทำสังฆกรรมร่วมกันไม่ได้ แล้วก็พิพากษามา ก็พิพากษาแบบลับหลัง ไม่ได้เรียกตัวจำเลยเข้าไปให้การ แล้วไปให้ทางการใช้กฎหมายจับ ตามกฎหมายสงฆ์พ. ศ. 2505 ซึ่งเขาบอกว่ามีสิทธิ์ที่จะสั่งให้อาตมาสึกได้ แต่ในธรรมวินัยพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีใครจะสั่งให้สึกได้ ถ้าไม่ผิดตามหลักพระธรรมวินัย 11 ข้อและไม่ปาราชิก เขาก็หลับหูหลับตาทำผิดวินัย เราเองผู้น้อย ถูกย่ำยี เป็นอนันตริยกรรม เพราะเขาทำกับอาตมาเหมือนเป็นนิกาย ทั้งที่อาตมาเป็นนานาสังวาส เขาแยกตัวกับพวกเราเป็นนิกาย แต่เราทำกับเขาเป็นนานาสังวาส อย่างเช่นพระทางเถรสมาคมมาอยู่ร่วมกับเรา เราก็ให้ร่วมได้ในส่วนที่ร่วมได้ เราทำตามพระวินัยนานาสังวาสของพระพุทธเจ้าที่อนุญาต แต่ทางเราไปนั้นไม่ได้เลยจะต้องให้สึกก่อนเท่านั้น เป็นลักษณะนิกายอย่างนี้เป็นต้น ทั้งที่เป็นผู้รักษาธรรมวินัยแต่เป็นอย่างนี้ นี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธ ที่กระแสหลักไม่อยู่ในร่องรอยไม่อยู่ในธรรมวินัย ก็จัดการกันไปเถอะ เดี๋ยวนี้เละเทะ อาตมาไม่มีหน้าที่จัดการมีหน้าที่ทำงาน แล้วอาตมาก็ทำของอาตมาไม่กลัวหรอก จะจับไปฆ่าแกงเอาอำนาจบาตรใหญ่ทำก็เป็นบาปใครบาปมันกรรมใครกรรมมัน ใครทำอาตมา พูดตรงๆก็คือเขาบาป ไม่ใช่บาปเล่นๆ เพราะอาตมามาทำงานศาสนาด้วยความตั้งใจจริงใจและสัมมาทิฏฐิ คนที่มาทำร้ายสัมมาทิฏฐิจะบาปขนาดไหน คิดเอาเองก็แล้วกัน
จะให้อาตมาปรับปวาทะ มันไม่มีทางจะไปแก้ไขเขาหรอก แปลว่าการแก้ไข ปรับปรุงด้วยคำพูดด้วยวาทะ ให้ธรรมกายสำนักธรรมกาย สำนักธัมมชโยเปลี่ยนแปลง อาตมาว่า ทำให้หมามีเขางอกจะง่ายกว่ากระมัง เพราะฉะนั้นก็จะเป็นตัวอย่างอันเลวทรามอยู่ในโลก เราเป็นแต่เพียงพูดสัจจะว่าเป็นเรื่องต่ำเรื่องผิดเรื่องทำลายศาสนาอย่างถึงราก เราก็ประกาศอย่างนี้เป็นปฏิกโกสนา เป็นการค้านแย้งอย่างจังอย่างจัดเต็มที่แล้วด้วยพยัญชนะด้วยภาษาก็ทำได้แค่นี้ จะไปฟ้องร้องนั้นพระพุทธเจ้าไม่ให้ทำได้ อาตมาก็ถือเขาเป็นนานาสังวาส แต่เขาจะถือว่าเราเป็นนิกายก็แล้วแต่
แม้แต่ พระภิกษุของธรรมกายจะมาที่นี่เราก็ต้อนรับด้วยนานาสังวาส อะไรที่ร่วมกันได้ก็ให้ร่วม อะไรร่วมไม่ได้ก็ไม่ร่วม เช่น เขาจะใช้โอวาทปาติโมกข์ ที่สวดในวัน แรม 15 ค่ำขึ้น 15 ค่ำ อันเดียวกันกับเราไหม ถ้าเดียวกันก็ร่วมกันได้ อย่างพระของเถรสมาคมก็ลงปาฏิโมกข์กับเราได้แต่ของเราใช้ภาษาไทย
เขาเข้าใจว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นัยสิ่งนี้ เมื่ออันนี้เป็นทุกข์เป็นอนัตตา แสดงว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องแก้กลับ คือ แก้ให้เป็นเที่ยงเป็นสุข แก้ให้เป็นอัตตา คุณก็อยู่ในโลกของความเที่ยงที่มีธรรมะ 2 อย่างนั้นตลอดไปนิรันดร
ศาสนาพุทธไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ หมดสุขหมดทุกข์หมดอัตตาหมดอนัตตาไม่ยึดติดในอนัตตา แม้จะทำให้อัตตาหมดเป็นอนัตตา ทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยง ทำให้ชัดเจนแล้ว จะมีสิ่งเที่ยงแท้สิ่งเดียวที่เขาเข้าใจผิด คือความบรรลุธรรมของผู้บรรลุธรรมนั้นเที่ยง ไม่ใช่ธรรมะเที่ยงนะ ความบรรลุธรรมของผู้บรรลุธรรมนั่นเที่ยง พระอรหันต์จริงๆแล้วเป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพานที่บรรลุแล้ว นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
สุดท้าย นัตถิอุปมา ไม่มีอะไรสามารถเทียบเคียงได้อีกจบแล้วในตัว เทียบเคียงกับอะไรไม่ได้ จะสุดยอดแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงรู้จักที่อะไรเป็นนิจจังอะไรเป็นอนิจจัง รู้จักอะไรอัตตาหรืออนัตตา อะไรมีอยู่หรือไม่มีอยู่ โหติหรือนโหติ ท่านก็จะสามารถ ปโหติ
เมื่อเรายังมีอยู่ก็ต้องอาศัยสิ่งที่มี แต่สิ่งที่ไม่มีคือกิเลสในจิต แต่สรีระขันธ์ 5 ของเรายังมีอย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่ได้สงสัยในเรื่องมีหรือไม่มี แม้มีก็ไม่ได้ยึดติดเป็นเราเป็นของเราในจิตเราเลย ก็ต้องรู้ว่าจิตไม่ยึดติด แม้แต่ขันธ์ 5 ของเรา แม้จะเป็นขันธ์ 5 ที่บริสุทธิ์ ท่านก็ไม่ได้ยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา เพียงแต่อาศัยทำประโยชน์คุณค่า เมื่อบรรลุธรรมแล้วเป็นอรหันต์ก็ทำประโยชน์คุณค่าไป ขันธ์นั้นไปจนตาย
จะตายแบบปรินิพพาน เป็นปริโยสานก็ทำได้ แต่ถ้าไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะต้องเป็นโพธิสัตว์มาสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าก็เรื่องของท่าน เพราะท่านเป็นอมตะบุคคลแล้วอย่างนี้เป็นต้น
สรุป ศาสนาพุทธไม่มีทั้งสุขและทุกข์ เข้าใจสุขทุกข์ก็เป็น อุทุกขมสุข จิตเป็นอุเบกขา นิพพานไม่สุขไม่ทุกข์ จำไว้ใส่กบาล นิพพานไม่ใช่สุข นิพพานังปรมังสุขังไม่ใช่นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่นิพพานเป็นยิ่งกว่าสุข คือไม่สุขไม่ทุกข์ อทุกขมสุข อุเบกขาจึงเป็นฐานนิพพาน
อุเบกขามีในโลกียะและเนกขัมมะ
แม้เคหสิตอุเบกขา ก็ไม่สุขไม่ทุกข์แต่ได้เพียงชั่วคราว คนที่ทำได้กดข่มได้ชั่วคราวก็เป็นอุเบกขา แต่ถ้าคนล้างสมุทัยไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นเนกขัมสิตอุเบกขาจบได้ แต่เคหสิตอุเบกขาไม่จบมีแต่วน สามารถสะกดจิตได้มากได้นานก็ได้แต่ไม่เที่ยง ยังวนเวียนกลับ สังกุปปัง ไม่“นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
คนก็หาว่านิพพานเป็นนิจจัง แต่ที่จริงแล้วท่านทำอุเบกขา ได้อย่างเที่ยง นิจจัง มันเป็นคุณสมบัติเป็นคุณธรรมไม่ใช่ตัวตน จะบอกว่าอัตตา ก็เป็นคุณค่าความดี โลกียะหรือโลกุตระแล้ว ท่านก็อาศัยอย่างไม่เป็นโทษ มีแต่คุณ อาศัยขันธ์ 5 ที่เป็นคุณประโยชน์ไม่มีโทษ อาศัยสร้างสรร ถ้าจบเป็นปรินิพพานก็เลิก
ผู้ใดฟังแล้วชัดเจนในสิ่งที่อาตมาอธิบายละเอียดถูกต้อง คนนั้นจะรู้ว่าอาตมาเป็นใคร คำว่าเป็นใครนี้อาตมาบอกให้ก็ได้ จะรู้ว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งที่มาสอน คำว่าจะรู้อาตมาเป็นใครคือ จะรู้ว่า อาตมาเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งที่มาบรรยายธรรมะมาสอนธรรมะ
ทุกวันนี้เขาไม่เข้าใจว่าพื้นฐานของนิพพานคืออารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขา คือฐานนิพพาน ต้องสั่งสมฐานของนิพพานนี่ให้ยั่งยืนถาวร มีองค์ธรรม 5 นี้ให้อเนญชา เป็นการรักษาผลให้สมบูรณ์ ถ้าฟังอาตมาพูดนี้ก็หมดแล้ว จนวนไปวนมาแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทำไมพระบางพวกต้องไปอยู่วัดป่า
_ผมเคยฟังเทปธรรมะของหลวงปู่ชาวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
พ่อครูว่า...พออาตมามาบวช คนก็ไปถามหลวงพ่อชาว่ารู้จักอาตมามั้ย.. เขาก็บอกว่ารู้จักพ่อเขา เพราะว่าบ้านของพ่ออยู่หน้าวัดไม่ได้ไกลเท่าไหร่ ไม่รู้ได้อย่างไร
หลวงปู่ชา ได้ชี้แจงสาเหตุที่ท่านต้องไปสร้างวัดอยู่ในป่า ว่า พระพุทธเจ้าเมื่อประสูติตรัสรู้ปรินิพพานก็อยู่ในป่า เหตุผลดังกล่าวเป็นเหตุผลที่กินใจนักปฏิบัติธรรมสายป่าเป็นอย่างยิ่ง พ่อท่านจะวิจารณ์การใช้เหตุผลนั้นว่าอย่างไร
พ่อครูว่า...ก็วิจารณ์ให้ฟังว่าพระพุทธเจ้าตกกระไดพลอยโจน ในยุคนั้นมันได้ผิดเพี้ยนกันไปไกล แม้ยุคนี้ ศาสนาพุทธเกิดแล้ว ซึ่งเป็นศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาออกป่า เป็นศาสนาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ทำไปตามลำดับนี้มีกัมมันตะ วาจา สังกัปปะ ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญา ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลก็บรรลุธรรมได้ แต่ไม่เข้าใจกันก็ไปออกป่า เมื่อไม่เข้าใจโพธิปักขิยธรรม 37 ก็ปฏิบัติไม่เป็น ปฏิบัติศีลไม่เป็น เพราะฉะนั้นจึงล้มเหลวหมด
พูดถึงพระพุทธเจ้าในยุคนั้น คนทั้งหมดเข้าใจว่าศาสนาคือปฏิบัติออกป่า ท่านออกบวชก็เข้าป่า ปฏิบัติตามเขาหมด 6 ปีในป่า ทำอย่างตกกระไดพลอยโจน แล้วท่านถึงไประลึกชาติในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ที่ใต้ต้นโพธิ์ จึงรู้ว่า อุต๊ะ มันไม่ใช่นี่ ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นศาสนาออกป่า สัพพัญญุตญาณท่านขึ้นมาเต็มที่ แล้วคนก็หลวมๆเผินๆว่า ถ้าจะบรรลุธรรมต้องนั่งหลับตาแล้วระลึกชาติ จึงบรรลุออกมาได้
พระพุทธเจ้าก็ไขความไว้แต่คนบันทึกเอาไว้อย่างสั้นๆ ที่จริงมีในพระสูตรอื่นๆอีก พรหมชาลสูตร สามัญผลสูตร อัมพัฏฐสูตร แต่ที่ท่านออกป่านั้น ช่วงแสวงหา 6 ปี ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม.
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ (ล.32 ข.392)
ถ้าไม่มีหลักฐานเหล่านี้ อาตมาแบนแล้ว เพราะเขาไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นมีแต่สัญญา ไม่มีปัญญาเกิด
พรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าเรียกการนั่งหลับตาปฏิบัติว่าเป็นเจโตสมาธิ จะมีมิจฉาทิฐิถึง 62 ทิฏฐิ จะไประลึกอดีตได้ 18 แล้วไปฟุ้งในอนาคตได้อีก 44 ไม่มีปัจจุบัน ศาสนาพุทธต้องอยู่กับปัจจุบัน มีการงานอาชีพ มีการกระทำ มีการพูด การคิด สัมผัสทางทวารทั้ง 6 อยู่ตลอดเวลา ตามสามัญผลสูตรคือ การบรรลุธรรมเป็นสามัญเป็นลำดับเป็นสมณะตามลำดับ ด้วยศีลสมาธิปัญญาวิมุติด้วยจรณะ 15 อย่างนี้เป็นของพุทธในสามัญผล
มีการปฏิบัติศีลอันเป็นอริยะ มีการสำรวมอินทรีย์อันเป็นอริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะ มีการลดละได้จนบรรลุสันโดษ เป็นผู้มีสันโดษอันเป็นอริยะ นี่คือเป็นผู้บรรลุอาริยธรรมได้ ปฏิบัติอย่างนี้โดยมีศีลมีจรณะ 15 มีการเจริญ ด้วยการสำรวมอินทรีย์ สํารวมเสร็จแล้วก็ประหารกิเลส สังวรในอินทรีย์ทั้งหมด ตามสติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 สัมมัปปธาน 4 หรือ ตามจรณะ 15 สังวรศีลไปตามลำดับ แล้วปฏิบัติในกฎเกณฑ์ 3 อย่างคือ สํารวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ นี่คือการปฏิบัติที่ไม่ผิดของพระพุทธเจ้า จะต้องมีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 แล้วกระทบสัมผัสสิ่งที่บริโภคอุปโภค โภชเนมัตตัญญุตา กระทบสัมผัสแล้วมันจะเกิดกิเลสก็อ่านกิเลสนั้น แล้วให้ตื่นจากการหลงงมงายด้วยโลกียรส แล้วล้างออกมา นี่คือ อปัณกปฏิปทา แล้วจะเกิด ฌานอีก 4 วิชชาอีก 8 นี่คือจรณะ 15
เมื่อไม่เข้าใจคำสอนพระพุทธเจ้าอ่านพระไตรปิฎกไม่แตก ก็เลยเอามาปนเปกันเละเทะไปหมด แต่ถ้าเข้าใจแล้วมันจะสอดคล้องเรียงลำดับกันอย่างดี
มีผู้รู้ว่า ผู้ที่บรรลุในป่าก็มีบารมีของแต่ละองค์แต่ละท่าน ซึ่งมีน้อย ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้บรรลุธรรมในเมืองในวัดในวิหารในวัดเชตวันวิหารเชตวัน แม้แต่มีวัดวาก็มีป่าไผ่ ป่าเวฬุวัน
อาตมาพยายามบอกสิ่งจริงสิ่งชัด ศาสนาพุทธน่าจะชัดเจนแต่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่เสื่อม นานมาถึงสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้วมันก็เสื่อมลงอาตมาถึงมาแก้กลับ จริงๆแล้วพระพุทธเจ้านั้นส่งมาให้อาตมาแก้กลับ แต่คนไม่เชื่อหรอก ท่านได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกได้พยากรณ์ไว้ก่อนแล้วว่าจะมีคนมาแก้กลับ คนที่มาแก้กลับก็คืออาตมา แก้กลับได้อย่างไร ท่านก็ตรัสไว้ว่า คนคนนั้นต้องสามารถอธิบายโลกนี้โลกหน้า ให้คนได้รู้แจ้งเปลี่ยนแปลงได้ เป็นสยังอภิญญา
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) อาตมาก็มาไขความสัมมาทิฏฐิทั้ง 9 ข้อ
เอาแค่ทาน ทุกวันนี้ก็มีแต่การทานที่ ล.23 ข 49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว มี
1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ
2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทาน เทติ
3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทาน เทติ
4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทาน เทติ
การทำทานตอนนี้เขาก็มีแต่การสร้างความหวังเป็นเพราะเป็นวิมานเป็นสวรรค์ แต่ทานที่เป็นสัมมาทิฏฐิจะต้องทำลายภพชาติ แต่ถ้าตั้งภพชาติก็ยึดติดตลอดกาลนาน จะตั้งไว้ลดลงก็ได้ ทำทานไป 150 อยากได้กลับมา100 ก็ลดได้ 50 แต่นี่ทำทาน100 จะเอากลับคืนมาเป็นร้อยเป็นล้าน ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างที่ธัมมชโยหาคำมาหลอกล่อ วิบัติจนบาปกินหัวไม่รู้เท่าไหร่ ได้ทำธรรมะของพระพุทธเจ้าให้วิปริตให้วิบัติ บาปไม่รู้เท่าไหร่ ตัวเองทำเองแล้วบอกว่าพาไปสวรรค์ จะให้ขึ้นจากนรกแต่แท้จริงพากันลงนรกอย่างหัวปักหัวปำ ตัวเองนี่เป็นตัวมหานรกตัวพ่อ ธัมมชโย อาตมาปฏิกโกสนาอย่างแรง เพื่อให้เข้าใจ ไม่ได้เกลียดชังเขา แต่น่าสงสาร พูดด้วยความเมตตาสงสาร
อาตมาก็ไขความข้อหนึ่งไปพอสมควรแล้ว จะต้องรู้ว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่จะไปเอาสุข สรุปเนื้อหาให้ชัดเจน ที่เขาเข้าใจ นิจจัง สุขัง อัตตา นั้นไม่ใช่ ไม่เข้าใจไม่ได้ก็อธิบายอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไม่ได้แยกแยะ นิจจัง สุขัง อัตตาไม่ได้
หลวงพ่อชาไปสร้างวัดในป่าเพราะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าประสูติตรัสรู้ปรินิพพานอยู่ในป่า แท้จริง พระพุทธเจ้าท่านได้หลงผิดไปที่อยู่ในป่า 6 ปีมันผิดหมด ท่านไม่ได้บรรลุในทางนั้น ตามที่ท่านตรัสบรรยายไว้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แต่คนผิวเผินก็เลยไม่รู้ว่านี่คือพระสูตรสำคัญ ตอนนี้เป็นเนื้อความสำคัญ ...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ (ล.32 ข.392)
ไหนว่าพระพุทธเจ้าจะใช้หนี้วิบากมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว แต่ในชาติสุดท้ายยังมีเศษวิบากต้องไปรับวิบากต้องทรมานในป่าถึง 6 ปี
ศาสนาพุทธนั้นไม่ได้ปฏิบัติธรรมในป่าเลยแต่อยู่ในบ้านในเมือง มีวัดวามีที่สอนมีที่อบรมมีที่พาทำ แล้วก็ให้ปฏิบัติไปตามลำดับ ศีล 5 8 10 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ทำไปตามลำดับจนเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ก็ตามลำดับ
ท่านหลวงปู่ชานี้ท่านก็ยังไม่เข้าใจ ขออภัยเถอะผู้ที่เคารพนับถือท่านก็เคารพไป ส่วนที่ถูกก็มี แต่ส่วนที่ผิดอาตมาก็ต้องว่า ถ้ายังไปหลงป่านั้นมันยังไม่ใช่ แต่ในยุคโน้นมันก็เป็นป่าเสียเยอะ ท่านไม่ได้สร้างโบสถ์วิหารอะไรใหญ่โต ก็ยังเป็นวัดที่เป็นป่าอยู่ อารามก็แปลว่าป่า แต่ก็ไม่ต้องไป ที่ต้องไปยึดที่ป่าสงวน ที่โดนจับกันไปตอนนี้ ไปบุกรุกที่เขาที่หลวง เป็นการเข้าใจผิดกันเยอะแยะ เป็นการออกนอกเรื่องราว
สรุปแล้ว ท่านหลวงพ่อชานี่ไม่ทราบว่า ท่านเองก็ไม่ได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์อะไรขออภัยพูดตรงๆชัดๆ ท่านก็มีสัมมาทิฏฐิส่วนหนึ่งแล้วก็นำมาปฏิบัติกัน ก็ยังไงก็ยังไปได้อะไรบ้างในส่วนที่ได้ ส่วนที่มันไม่ถูกต้อง ไม่สามารถทำทั้งหมด ยังไม่รอบถ้วน ยังทำให้เกิดอรหันต์ไม่ได้
สายนั่งหลับตาเป็นสายสัทธานุสารี ได้แต่นั่งหลับตาก็เลยปิดทาง สายที่เขาว่าเป็นปัญญาแท้จริงเป็นเฉกา ที่ออกนอกรีต มหายาน ก็โต่งไปอีกข้างมหายานบานเบิกเลย แต่หินยาน ยังมีที่จบมักน้อยสันโดษ แต่มหายานนี้ไม่มีความมักน้อยสันโดษเลย อย่างเช่นธัมมชโยออกไปนอกโลกเลย ยิ่งจะไปกันใหญ่บานปลายเป็นปากกรวย ส่วนทางด้านอีกด้านเป็นก้นกรวยไม่อยู่ในมัชฌิมา ไม่อยู่ในทางที่ถูก
พระพุทธเจ้าประสูติในป่าและตรัสรู้ในป่า ท่านไม่ได้ออกมาจากป่าก็ตรัสรู้อยู่ในนั้น ซึ่งท่านมีสัพพัญญุตญาณแล้ว
การสร้างวัดวานั้นพระพุทธเจ้าก็บอกว่าอย่าไปอยู่ในเมือง เป็นเรื่องของการปรุงแต่งเยอะ ต้องสร้างให้ห่างประมาณอย่างน้อย 2 กิโลเมตร พอที่จะเดินทางไปมาได้ ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไหร่ จากเมือง อย่างเช่นเขาคิชฌกูฏ วังของพระเจ้าอชาตศัตรูนั้นอยู่ไม่ไกล เมื่อท่านมีความเดือดร้อนใจจากการได้สังหารพระบิดา ก็ต้องหาทางออก คนก็บอกว่าให้ไปหาพระพุทธเจ้า ท่านก็บอกว่าไป ยกพลช้างพลม้าไปประเดี๋ยวเดียวก็ถึงไม่นานนัก แม้แต่เขาคิชฌกูฏคือวัดก็อยู่ใกล้กับวัง จะบอกว่าป่าเขาก็เป็นเมือง
สรุปแล้วหลวงพ่อชาเข้าใจว่าอ้างเหตุผลนี้ พระพุทธเจ้า ประสูติตรัสรู้ปรินิพพานในป่าก็เป็นพระสายป่าก็ยังดีกว่าพระในบ้านพระในเมืองที่ไม่รู้เรื่องราวบานปลาย ทำปู้ยี่ปู้ยำศาสนา
อาตมาเองพูดตำหนิติเตียนสิ่งผิดที่มีมากมาย ก็เลยเป็นคนปากจัด ที่ตำหนิติเตียนหรือยังไม่หมดนะ ที่ยังไม่รู้มีอีกเยอะ
เขามองพระโพธิรักษ์เป็นคนครึ่งคน บอกว่าคนนี้ไม่เต็มบาท พูดอยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่มีใครมาพูดอย่างนี้ แล้วพูดอยู่ได้ แต่เขาไม่กล้าขัดแย้ง เพราะอาตมาแบกพระไตรปิฎกมายืนยัน อาตมาอยู่ได้เพราะมีพระไตรปิฎกเอามาอ้างอิงยืนยัน เขาก็เลยพูดไม่ออก แต่เขาไม่ยอมรับ ถ้าเขายอมรับก็จะแก้ไขปรับปรุงตามพระไตรปิฎกก็ดีสิ แต่เขาแก้ที่ไหน เฉยอย่างกับม้าตด
สรุปว่าหลวงพ่อชาก็ยังไม่ตื่นว่าศาสนาพุทธนั้นไม่ใช่ศาสนาในป่า นิยมอยู่กับป่าอย่างนั้นแหละ ขอวิจารณ์ตรงนี้เป็นสำคัญ สัมมาทิฏฐิของท่านก็พอมีบ้าง แต่มิจฉาทิฐิก็ยังมีไม่น้อย นั่งหลับตาทำสมาธิเป็นต้น แต่ท่านก็ยังมีตื่นมีสติอะไรอีกเยอะ ตื่นไปแต่ก็ไม่ได้ตื่นมากขนาด ติชนัทฮันห์ ติชนัทฮันห์เล่นกีต้าร์แล้วเดี๋ยวนี้ พาให้เล่นกีต้าร์แล้ว มหายานก็ยานไป
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน รักษาโรคร่างกายก็ต้องให้ถึงสมุทัย
3.การที่เหล่าบรรดานักการแพทย์ต่างๆของชาวอโศก ได้นำออกคำว่าสมุทัยมาใช้ในการแพทย์ด้วยคิดหานิยามว่า ดูสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค อันได้แก่ ภาวะร้อนที่เกินเกณฑ์ที่เกินบ้าง หยินหยางหย่อนแกร่งบ้าง กรดด่างมากน้อยเกินไปบ้าง ธาตุทั้ง 4 คือดินน้ำไฟลมบางพลีพิการบ้าง สารโซเดียมโพแทสเซียมในร่างกายไม่ได้สัดส่วน และได้ให้เอามรรคเป็นคำนิยามต่อว่าเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อให้หายจากโรค ซึ่งก็คือการต้องปรับร้อนเย็นกรดด่างหยินหยางฯ และสรุปด้วยภาษาบาลีว่า "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ)
ผมอยากให้พ่อครูวิจารณ์การใช้ภาษาบาลีนี้ว่าจะทำให้ตื้นเขินต่อไปหรือไม่
พ่อครูว่า….ก็กำกับบ้างถ้าจะเอามาใช้กับเรื่องทางโลกไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นสมมุติธรรม จริงๆนั้น มรรคมีองค์ 8 ของพระพุทธเจ้าแก้ไขได้ทั้งโลกียะและโลกุตระ ทางโลกีย์ก็ต้องรู้เหตุ แก้ที่เหตุตามเหตุให้เจอ เหมือนกันหมด โลกียะแก้เหตุ เจอก็แก้สมุทัย
ยกตัวอย่าง ชาวอโศกแก้ไขปัญหาว่า คนเรา มันจนแล้วทุกข์ จนแล้วเป็นทุกข์ ชาวอโศกก็เลยแก้ปัญหาว่า การเป็นคนจนแล้วทุกข์ เพราะไปอุปาทานว่าจนนี้มันพาทุกข์ แท้จริง ความรวยนั้นพาให้เป็นความทุกข์ต่างหาก ถ้ามันอยากรวยมันจึงให้พาทุกข์ แต่พวกที่อยากมาจนนั้นก็จะมีความทุกข์ลดน้อยลง เดี๋ยวนี้มีพวกมุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน เพราะเข้าใจปรมัตถ์สัจจะ ว่าความสุขความทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ความจน ความรวย และที่สุดแห่งที่สุดก็ไม่ต้องสุขต้องทุกข์ รวยก็ไม่สุขไม่ทุกข์ จนก็ไม่สุขไม่ทุกข์ สบายมากปกติหายห่วง(สบม ปกต หห จจ มชยรล ธมดปกต)
ถ้าเกิดว่าเข้าใจสมุทัยอย่างแท้จริง ว่าเราไปยึดติดในความจนความรวย ยึดติดในความสุขความทุกข์ เมื่อเข้าใจแล้ว มันก็มีความทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้กับความทุกข์ที่เลี่ยงได้ เรียกว่า ทุกข์อาริยสัจ แก้ปัญหาทุกข์อริยสัจจบก็เหลือแต่ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ทุกข์ปวดขี้ปวดเยี่ยว นิพัทธทุกช์ ทุกข์ที่ต้องแสวงหางานทำให้เกิดประโยชน์แก่โลก อาหารปริเยติทุกข์ ทุกขันธ์ อย่างนี้เป็นต้น ก็รู้ว่าจบในทุกข์อริยสัจ ก็เหลือแต่ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้อีก 5 - 6 อย่าง ก็อยู่กับมันไปตามที่เรายังมีขันธ์ 5 ก็เป็นผู้ที่เข้าใจทุกอย่างแล้วก็เบาสบาย ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่น อยู่กันไปตามสมควร อะไรไม่สมดุลก็จัดให้สมดุล สรุปแล้วอยู่กันอย่างสมดุล อยู่กันอย่างพอดีพอเหมาะพอเพียง อยู่กันอย่างไม่ โต่งไปโต่งมา นี่คือความเป็นอยู่
ความเป็นอยู่ที่สมดุลคือความเป็นอยู่ที่พอสมควรเป็นกลาง ชัดเจน สมดุล จะอยู่ได้นาน ไม่เย็นไม่ร้อนสบาย ไม่ขัดไม่แย้งอะไรเลยสบายมาก ลงตัวที่สุด ตราบที่คุณยังมีขันธ์ 5 ขันธ์ 5 จะต้องมีทศนิยม ต้องมีธาตุที่จะต้อง...ถ้าสมดุลคือเท่ากันหมด อยู่ไปก็มีแต่จะหมดไปกับแรงโน้มถ่วง แต่ถ้าคุณจะอยู่ก็ต้องเพิ่มทศนิยมให้มันต้านทานแรงโน้มถ่วงให้มันอยู่ได้ตลอดไปนาน คุณก็อยู่ได้ คือคุณจะต้องมี Coefficient สัมประสิทธิ์ พยายามให้อยู่ไว้
อย่างอาตมาพยายามอยู่เกินอายุขัย อาตมาพอมีความรู้ทำได้ก็ฝืนอายุขัย พยายามยืดอายุตัวเองให้ไปเรื่อยๆ อาตมาก็เคยพูดแล้ว ใครจะเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ว่าขันธ์อาตมามี 72 ปี นี่ยืดมาเกิน 1 นักษัตรแล้ว 12 ปี เพื่อยืนยันอิทธิบาทของพระพุทธเจ้าว่า ผู้ที่มีอิทธิบาทเต็มแล้วจะสามารถมีอายุเกินกว่า 1 กัปของตัวเอง อาตมาตั้งไว้เป็นตัวเลข 151 ปี คิดว่าถ้าถึง 151 ปี มันมากแล้ว มันเกินจาก 72 มา เป็น 84 จาก 84 ก็เป็น 96 ได้สองนักษัตรแล้ว จาก 96 ก็เป็นร้อยแปดเป็น 3 นักษัตร 108 ไปอีก 12 ปีก็เป็น 120 ปี จาก 120 ไปอีก 12 ปีก็เป็น 132 เป็นนักษัตร ที่ 5 ไปอีก 12 ปีเป็น 144 เป็นนักษัตร ที่ 6 แล้วบวกอีก 7 ปีก็เป็น 151
อยู่แค่ 100 ปีก็สงสัยจะรับแขกเพิ่มขึ้นอีกเยอะ อาตมาก็จะแสดงสัจจะ อย่างที่พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ได้ปลูกฝัง ความเป็นอาริยะ อาริยธรรมที่โลกต้องการ Civilization ตามที่โลกต้องการ คนก็เข้าใจกันมากแล้วที่ยกย่องเชิดชูจนเกิดเป็น Bomb of love อาตมาพูดเป็นสิ่งอจินไตย เป็นสิ่งประเสริฐสูงสุดในโลก ก็ค่อยๆทำไป
เอาสมุทัยมาใช้กับโลกียะก็ได้ ถ้ารักษาไปถึงเหตุก็รักษาโรคหาย หมอเขารักษาโรคก็ตามหาเหตุทั้งนั้น เพราะฉะนั้นผู้ใดตามหาเหตุได้ และก็รักษาให้ถูกต้นเหตุของมันก็จบ ถ้ารักษาไม่ได้ มันก็รักษาไปตามอาการเท่านั้นก็เรียกว่าเป็น Symptomatic treatment หมอก็พยายามรักษาเหตุ Radical treatment หมอเขียวก็เอาเหตุตัวต้นทางก็ไม่ประหลาดอะไร จะไปรักษาแต่ตามอาการ Symptomatic treatment รักษาตามอาการมันก็ได้แค่บรรเทามันไม่หายขาด จะให้หายขาดต้องลงไปถึงรากฐานถึงต้นเหตุของโรค
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ตถตา 3 แบบ
4.นักปราชญ์วัดยานเวศกวัดในจังหวัดนครปฐม ได้จำแนกสัจจะโดยธรรมชาติและสัจจะโดยปรมัตถ์ แต่พ่อท่านจำแนกสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ การจำแนกสัจจะของทั้ง 2 ท่านเป็นการจำแนกที่มีผลลัพธ์ต่อความเข้าใจเหมือนกันหรือไม่ หรือว่าการจำแนกทั้ง 2 แบบเป็นที่ผู้ศึกษาต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
พ่อครูว่า...การใช้ภาษาว่าสัจจะโดยธรรมชาติและสัจจะโดยปรมัตถ์ ภาษาที่อาตมาใช้ว่าสมมติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ
ทีนี้ก็สงสัยแต่เพียงว่า สมมติสัจจะกับสัจจะโดยธรรมชาติเหมือนหรือต่างกันอย่างไรที่ถามมานี้
คำว่าสมมติสัจจะรวมความเป็นธรรมชาติไว้หมดด้วย ธรรมชาติที่มันเกิดโดยอัตโนมัติ มันเกิดแล้วคนก็ไปอธิบายว่ามันเป็นตถตา ที่จริงตถตานั้นเป็นปรมัตถ์ ตถตาไม่ใช่สมมุติ ตถ แปลว่าความจริง แล้วความเป็นเช่นนั้นเองอย่างที่ท่านพุทธทาสอธิบาย ก็ไม่ได้แยกแยะให้ชัดเจนว่า ตถตานั้นมีถึง 3 นัย
ตถตา 1.เป็นแบบโลกีย์ 2.เป็นตถตาโลกุตระ 3.เป็นตถตาจากความไม่รู้ พูดไปว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มันก็เป็นอย่างนั้น ไม่รู้อย่างไรมันก็ทิ้งให้เป็นแบบนั้นเอง ทีนี้ผู้ที่รู้แล้ว แยกโลกียะกับโลกุตระออก ถ้าธรรมะที่มีความเกิดเรียกว่าธรรมชาติ
1. ตถตายถากรรม (รู้เห็นเช่นนั้นๆ ปล่อยวางแบบสมถะโลกีย์โดยลืมตาละวางแต่ไม่เกิดปัญญา - ไม่รู้เห็นปรมัตถ์)
2. ตถตาในภาคมรรค (เห็นทุกข์-สุขจริงในขณะฝึกละ)
3. ตถตาปรมัตถ์ (จิตเกิดเป็นเช่นนั้นเอง ได้เองอย่างปกติมี อัตโนมัติแล้ว หรือได้สัจธรรมความว่างเป็นเช่นนั้นเอง ในตัวแล้ว จนเกิดบารมีในตนจริงอย่างไม่แปรเป็นอื่น). อันสุดท้ายนี้เป็นความว่างที่ว่างจากกิเลส จนทำได้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นเช่นนั้นเอง โดยไม่ต้องควบคุม ไม่ต้องไประวัง มันไม่เป็นอื่นไปอีกแล้ว มันเต็มแล้วอย่างนั้นเลย เป็นตถตาปรมัตถ์ ส่วนตถตายถากรรม ก็เป็นคำประโลมเฉยๆ ไม่เข้าสู่การตามหาเหตุที่เป็นอริยสัจ ที่พูดว่า สัจจะเป็นธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติแบบโลกีย์ ตถตาตามมีตามได้
ก็ต้องไปดูตัวเหตุที่เป็นชาติแล้วดับการเกิดให้หมดสิ้น หมดภพจบชาติ ก็เป็นพระอรหันต์ มีตถตาสมบูรณ์
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ศีลกับปัญญา
5.พ่อครูตีความว่า มาตา หมายถึงศีล ปิตาก็คือปัญญา ทำให้เกิดวลีขึ้นใหม่ว่าศีลเป็นแม่ปัญญาเป็นพ่อ พุทธพจน์ที่ว่า ฌานยังไม่มีกับผู้ที่ไม่มีปัญญา ปัญญายังไม่มีกับผู้ที่ไม่มี ฌาน พุทธพจน์อันไหนทำให้ชัดเจนกว่ากัน
พ่อครูว่า...ก็อยู่ที่เราจะชัดเจนไม่ต้องไปเทียบกันหรอก
มาตาเทียบเป็นแม่ ก็ชัดเจน ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ที่อาตมาเทียบนั้น อาตมาลองนึกดูว่ามีคำตรัสของพระพุทธเจ้าไหม ว่า ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ …
ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ (โสณทัณฑสูตร
ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ล.9 ข.193)
ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล และศีลก็เป็นของผู้มีปัญญา
นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก
เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น
พ่อครูว่า...มาตาคืออิตถีภาวะ ปิตาคือปุริสภาวะ ทำให้สัตว์โอปปาติกะ ทำให้จิตวิญญาณที่เกิดโดยใช้ศีลกับปัญญา ผู้ใดปฏิบัติธรรมโดยไม่ใช้ปัญญา มีแต่ศีลก็ไม่ได้ ปฏิบัติศีลก็ไม่เกิดสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติได้แค่กายกับวาจา การทำให้เกิดสมาธิก็ไปนั่งหลับตาเอา เมื่อไม่ปฏิบัติศีลมีแต่ปัญญา ก็ไม่เกิดสมาธิที่เป็นอาริยะ จะกลายเป็นสมาธิ ที่ผิดเพี้ยนเป็นโลกียะอย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้
เพราะว่าไม่ได้ปฏิบัติศีล ให้เกิดสมาธิ ปัญญา
ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 2 3 ก็ต้องเกี่ยวข้องกับสัตว์ เกี่ยวข้องกับข้าวของ มาเกี่ยวข้องกับสัตว์แล้วมีจิตไปในทางโทสมูล หยาบ กลาง ละเอียด ก็ต้องรู้ตัวแล้วลดละอย่าให้มันเกิด
ศีลข้อ 2 อทินนาทาน คุณก็ต้องลด โลภะ เมื่อสัมผัสกับสิ่งของ
ศีลข้อที่ 3 เมื่อเกิดสัมผัสแล้วมีอาการ กาม การสัมผัสเสียดสี กามคุณ 5 ก็ต้องปฏิบัติตนลดละกาม ต้องรู้สมุทัย มีศีลพรต ในการปฏิบัติที่จะกำจัด กิเลส ปหาน 5 แล้วปฏิบัติลดละได้
ปฏิบัติศีล 5 แล้วก็เจริญเป็นศีล 8 เป็นอธิศีล แล้วศีล10 ตามลำดับ จุลศีล 26 ข้อ เมื่อปฏิบัติ 26 อย่างนี้ได้บริบูรณ์หมดตามที่ท่านเลือกเฟ้นมา สามารถขัดเกลากิเลสจนเป็นพระอรหันต์ได้ ครบ 26 นี้เป็นพระอรหันต์ บางคนไม่ถึง 26 ก็เป็นพระอรหันต์ก่อนได้ สูงสุด 26 ข้อนี้ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ขอให้ปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ จะเกิดสัมมาปฏิเวธอย่างแท้จริงเลย เพราะฉะนั้นเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา จึงเป็นไตรสิกขาของพระพุทธเจ้าตลอดกาลนาน
ถ้าปฏิบัติศีลจนไม่เกิดพลังงานปัญญาที่ไปกำจัด ไฟราคะโทสะโมหะได้ก็ไม่ได้บรรลุธรรม ถ้าสามารถกำจัดได้เป็นส่วนๆ ก็เป็นส่วนแห่งบุญ เมื่อกำจัดกิเลสจนหมดสิ้นอาสวะ บุญก็หมดหน้าที่ กิเลสก็หมด เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ
แต่เดี๋ยวนี้ไปเข้าใจคำว่าบุญเป็นสมบัติ ทำให้เกิดส่วนบุญขึ้นได้สมบัติด้วย ทั้งที่ส่วนบุญคือส่วนวิบัติเพื่อกำจัดกิเลสได้ก็ทำให้วิบัติกิเลสในส่วนนั้น การได้บุญก็คือการได้เสียกิเลสไป อย่างที่ในหลวงได้ตรัสเราเสียนี่แหละคือเราได้ เมื่อไม่เข้าใจในสัมมาทิฏฐิก็เลยปฏิบัติไม่เกิดสภาวะแท้
สมณะฟ้าไท สรุป...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:20:38 )
Facebook : test
Youtube : Name
Twitter : Name
Line : Name
Telegram : Name
Wechat : Name
Skype : Name