@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ความจริงต้องเป็นความจริงวันยังค่ำ คนอื่นบิดเบือนไม่ได้!

รายละเอียด

เมื่อคนผู้ใดสามารถบรรลุถึงซึ่ง“ความจริงแล้ว” มี“ความจริง”ในตนแล้ว

จริง ใครจะพูดอย่างไร ใครจะหาความกันยังไง!  มันก็เปลี่ยน“ความจริง”

ที่มันมี“จริง”เป็น“จริงตามสัจจะ”นั้นๆไปไม่ได้หรอก

ผู้“ไม่รู้โทษภัยที่มันจริง”อย่างถูกต้องแท้จริงนั้นๆเท่านั้น ที่

จะไม่ดิ้นรน“ออกจากโทษภัย”นั้น เช่น ผู้ไม่รู้“กาม” ก็ไม่คิด-ไม่พยายาม“ออกจากกาม”ดังที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้ไง ยิ่งผู้“หลงเสพ

ติดกามอยู่” ก็แน่นอนคนผู้นี้ย่อม“ไม่ออกจากกามที่เป็นโทษภัยแท้ๆ

”นั้นแน่ๆ

แถมจะเกิดอาการ“ไม่ชอบใจ”ที่เราพูด“ความจริง”นี้เอาด้วย

ดังที่เรากำลังยกตัวอย่าง “มหาบัว”ที่ท่านเสพ“กามคุณ 5”อยู่ ดังที่ยกตัวอย่างว่า ท่านติดหมากพลู ที่เป็นสิ่งเสพติดอันมี“รูป-รส-

กลิ่น-เสียง-สัมผัส คือ “กามคุณ 5”แท้ๆ ท่านก็ไม่รู้ว่ามันเป็น“กาม” มันเป็น“สิ่งเสพติด” และท่่านก็กินก็เคี้่ยวเสพมันอยู่ไม่ขาดปาก จนตาย 

แล้วทิ้งความงมงายใน“มิจฉาทิฏฐิ”นี้ไว้ให้ลูกศิษย์ลูกหา เวร!แท้ๆ มันจึงเป็นความจำเป็นที่อาตมาจะต้องมาเสียเวลา“ทำเวร”นี้อยู่ 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 383 หน้า 278


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 12:42:01 )

ความจริงที่ต้องพูด

รายละเอียด

ปาคุญญตา แปลว่า คล่องแคล่ว ว่องไว ปราดเปรียว แต่เขามิจฉาทิฏฐิกันไปนั่งหลับตาสะกดให้หยุด กายอย่าเคลื่อนไหว ปากอย่าพูด ตาอย่าลืม หลับตาซะ หยุดคิด ทำตนเองให้หยุดสัญญากำหนด ไม่ต้องกำหนดรู้อะไรเลย อสัญญี จนสำเร็จ นี่คือมิจฉาทิฏฐิของศาสนาพุทธทุกวันนี้ สายนั่งหลับตาสะกดจิตทำ อสัญญีสัตว์ ให้แก่ตนเองนั่นแหละ จึงอยู่ในสัตตาวาส 9 ตัวที่ 5 อสัญญีสัตว์ เขาทำอย่างนี้กันทั้งนั้นเลยในศาสนาที่เขาปฏิบัติกันอยู่

จะปฏิบัติสัมมาสมาธิอย่างอาตมา อธิบายจรณะ 15 วิชชา 8 มาปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาอย่างนี้ เขาอธิบายไม่เป็น เขาพาทำไม่ได้ มันเสื่อมแล้วศาสนาพุทธ ขออภัยต่อเถรสมาคมที่พูดความจริงแล้วไปข่มท่าน ต้องขออภัยด้วยใจจริง มันเป็นความจริงที่ต้องพูดเท่านั้นเอง ไม่ได้ไปข่มไปแข่งอะไรหรอก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนากัณฑ์พิเศษ เริ่ม 53 ปี โพธิกิจ ยังเป็นรองต้องอุตสาหะ วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 18:51:41 )

ความจริงที่สะอาดบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งบนโลก

รายละเอียด

ทางด้านเชื้อโรคพวกเราก็ไว้ใจทางด้านชุมนุมจะไปทำอะไรไม่ดีมันก็ไม่มี เราชุมนุมกันฟังเทศน์สร้างความรู้ ชุมนุมการทำงานทำการทำประโยชน์ รายละเอียดของความจริงที่เป็นสนใจพวกนี้สุดยอด สุดท้ายจริงๆแล้วผู้มีปัญญาอยู่ด้วยกันไม่มีปัญหาหรอก นอกจากเราไปอยู่ในยุคในสังคมที่มีคนไม่ฉลาด เราก็โดน เหมือนอย่างอาตมาโดน เขาเล่นงานอาตมา สำหรับคนที่ไม่ฉลาด ที่มาเล่นงานเรา นี่ไม่ได้ว่าเขาโง่นะ ท่านเหล่านั้นตอนนี้ตายไปหมดแล้ว พวกเราก็เลยอยู่สบายทำงานสร้างสรร ดีไม่ดีจะค่อยมาสนับสนุน ต้องเป็นความจริงที่สะอาดบริสุทธิ์เท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลก อาตมามั่นใจในเรื่องนี้ไม่มีปัญหา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 05 เมษายน 2563 ( 12:17:55 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:36:05 )

ความจริงที่สุดของสถาบันกษัตริย์ที่ถูกต้อง เป็นอย่างไร

รายละเอียด

สรุปเข้าเป้าตรงนี้ว่า สังคมมนุษยชาติ ถ้าไม่มีผู้ที่มีคุณธรรมของทศพิธราชธรรม  ตั้งแต่เริ่มต้นไม่ประสีประสา จนกระทั่งเป็นคุณธรรม 10 อย่าง ที่มีคุณสมบัติหรือมีคุณลักษณะที่ยิ่งใหญ่ มีลักษณะที่ดีงาม เพียบพร้อม แล้วก็นำมาใช้กับมนุษยชาติอย่างจริงตามสัจจะ เป็นความจริงที่เป็นความดีงาม เป็นความประเสริฐเอามาใช้อย่างแท้จริง อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราทรงงานมาตั้ง 70 ปี ก็ใช้ทศพิธราชธรรมมาตลอด แต่คนเลว คนโง่ ก็มาพยายามที่จะล้มล้างหรือพยายามจะทักท้วง พยายามจะต่อต้าน อย่างที่มันเป็นไป 

ที่จริงห้ามไม่ได้หรอกในโลก โดยเฉพาะประชาธิปไตยต้องมีฝ่ายค้าน ถ้าไม่มีฝ่ายค้านก็จะหลุดเลย หลงตัว แล้วก็กลายเป็นตัวเองเลย ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วมันก็ขาดสิ่งที่จะเกิดสมดุลขึ้นมา เพราะว่ากลายเป็นอำนาจบาตรใหญ่ขึ้นมาเต็มที่เลย มันก็เสีย ทุกอย่างมันก็กลายเป็นอำนาจคนคนเดียว กลายเป็น อัตตา ในอัตตาก็มีมานะ มีความตามใจตัวเองอย่างเต็มที่ มนุษยชาติและสังคมมนุษย์ก็แหลกเหลวก็เละเทะไปหมด  

เพราะฉะนั้น ที่คุณมาทำ เก็บเอาของจริง ที่มันมีมาจริง เป็นปรากฏการณ์จริง เป็นสิ่งที่มันเกิดจริงไม่ใช่เป็นมุข ทุกอย่างเป็น phenomena มีหลากหลาย เป็นปรากฏการณ์จริงของสิ่งที่เกิดแล้ว เอามารวบรวม โดยเฉพาะที่เอามาประมวลไว้ในหนังสือว่า ความจริงที่สุดของสถาบันกษัตริย์ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ที่ผิดเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่ได้เก็บความผิดต่างๆไว้ อย่างที่คุณเปรยมาแล้ว มีแต่เอาความถูกมายืนยัน ได้เล่มขนาดนี้ก็ไม่ใช่น้อยแล้ว

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 6 พ่อครูพบ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2565 ( 12:19:44 )

ความจริงที่หายไปนาน

รายละเอียด

อันนี้แหละใช่ เป็นความจริงที่ล้ำหน้า เป็นความจริงที่หายไปนาน ความจริงที่พระพุทธเจ้าเอามาเปิดเผยตั้ง 2,500 กว่าปี มันได้เสื่อมไปแล้วอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน อาณีสูตร กลองอานกะ ธรรมะโลกุตระมันจะเสื่อมไปแล้ว มันหายไปจริงๆ อาตมาก็เอามาพูดกลับมา 

กว่าคนที่จะแสวงหาแล้วไม่มีอคติ ตั้งใจจริงๆ กว่าจะค่อยๆ รู้ เห็นจริง คนจริง ว่า ท่านองค์นี้เป็นสัตบุรุษ ท่านองค์นี้เป็นโพธิสัตว์จริงๆ นะ โพธิสัตว์ที่ไม่ใช่ระดับธรรมดา ถ้าหากระดับธรรมดามาขยายขนาดนี้ เขาเหยียบเอาตายนานแล้ว นี่มันมีบารมี มันมีความจริงที่คุ้มตัวเองอยู่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์คือด้านมืดเจโต โพธิสัตว์คือด้านสว่างปัญญา วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565 แรม 11 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2565 ( 14:51:01 )

ความจริงที่เขาไม่ชอบ

รายละเอียด

นี่เป็นอานิสงส์ในการฟังธรรม ฟังด้วยดีมีอานิสงส์ 5 ของการฟังธรรม ฟังธรรมแล้วรู้สึกเพิ่มขึ้นลึกซึ้งขึ้น ความจริงที่ไม่ชอบใจ มันเป็นความจริงเหมือนกัน แล้วเขาก็ไม่ชอบความจริงที่ไม่ชอบใจ เขาคิดว่าเป็นความจริงไหม เป็นความจริงที่เขาไม่ชอบ เขาไม่ชอบใจ เขามักไม่ชอบความจริงที่ไม่ชอบใจ ก็คือเขาไม่ชอบใจ ใจเขาเป็นจริงกว่าความจริง อย่างนี้เป็นต้น อย่างที่เราพูดนี้เขาไม่ชอบ เขาไม่ชอบที่เราพูดความจริง เขาชอบความไม่จริงไง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การวัดคุณค่าของมนุษย์กับสิ่งสร้างขึ้นของมนุษย์  วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565 ขึ้น 1 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 มกราคม 2566 ( 12:36:13 )

ความจริงที่เทวนิยมควรใส่ใจศึกษาให้ดี

รายละเอียด

ผู้ที่ทำกรรมกับตัวเอง แยกจิตนิยามของตนเองเป็นอุตุนิยามดินน้ำไฟลมเลยไม่รวมตัวกันอีกแล้ว ที่พระพุทธเจ้าว่า เราหักเรือนยอดของมารได้แล้ว หมดอัตภาพอัตตา เป็นที่สำเร็จสูงสุดจึงยืนยันเปิดหน้าบอกมาว่า วิญญาณนั้นเป็นของเราเองไม่ใช่เป็นของพระเจ้า พระเจ้าไม่มีสิทธิ์บงการ ตายแล้วจะไปอยู่กับพระเจ้า..ไม่ เราตายแล้วแยกธาตุดินน้ำไฟลมเลย ไม่ใช่พระเจ้าบงการเป็นเจ้าของ นี่คือสัจจะที่ลึกที่สุดกำลังจะเปิดเผยขึ้นไป เทวนิยมที่ใส่ใจแสวงหา ศึกษาให้ดีจะได้พบความจริง ถ้าไม่เช่นนั้นจะไปอยู่กับพระเจ้า เป็นทาสของพระเจ้านิรันดร แต่ความจริงไม่ใช่ เราเป็นอิสรเสรีภาพ แม้ในจิตวิญญาณเราเองเราก็เป็นเจ้าของ ไม่ใช่ใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่พระเจ้าที่ไหนเป็นเจ้าของ เราสามารถสลายจิตวิญญาณเราปรินิพพานเป็นปริโยสานได้เลย นี่คือสุดยอดของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ จึงสามารถพิสูจน์ได้ว่า พระเจ้ายังไม่รู้ตัวเอง พระเจ้ายังไม่ได้ศึกษาตัวเอง พระเจ้ายังไม่รู้เลยว่าจริงๆ ตัวเองอยู่ด้วยสังขารที่เป็นอนัตตา 

สังขารที่เป็นอนัตตาปรุงแต่งเป็นวิญญาณ เมื่อมีวิชชาแล้วก็จะรู้จักสังขารวิญญาณปรุงแต่งกันด้วยรูปนาม 2 อย่างคือเทว คือ กายคู่ ปรุงแต่งกันอยู่ ต้องมีผัสสะ อายตนะ แล้วเกิดเวทนา เวทนาคือสัญญาสังขาร ปรุงแต่งแจกแจงเป็นเวทนา 108 

ไม่รู้ว่าผู้ที่ยังไม่รู้คือปุถุชน เป็นเคหสิตะ ก็เอาเหตุที่มันยังงมงายอยู่ คือกิเลส เอาออกไป กำจัด หรือเกิดวิชชาปัญญาหรือความรู้ รู้ว่าที่แท้มันอนัตตา ไม่มีความจริงหรอก อยู่ด้วยการอนุโลม อยู่ด้วยกันหรือจะไม่อยู่ก็เป็นสูญเลยจึงเป็นผู้จบความสูญกับนิรันดร 

อะไรมากมายไม่มีที่สุดเลยกับ 0 เลิก 0ก็ 0 จะไม่เลิก0 จะอยู่ไปตลอดกาลจะเอาความอดก็ได้หรือมากจนไม่มีที่สุดไม่เอาแล้ว มากไม่มีที่สิ้นสุดไม่เอา มาเอา 0 สำหรับผู้ปรินิพพาน

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ้นความโง่อวิชชากับ ปฏิจจสมุปบาท วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 19:14:35 )

ความจริงที่เป็นความมหัศจรรย์คืออย่างไร

รายละเอียด

อย่างที่ท่านฟ้าไทเกริ่นไว้นะ อาตมาว่าอาตมานี่จริงใจ พูดความจริงยืนยันความจริง แต่คนไม่ค่อยเชื่อน้ำมนต์ จะโทษอาตมาไม่ได้ คนไม่เชื่ออาตมา อาตมาว่าโทษคนทั้งหลายมันไม่น่าเชื่อถือ ใครไม่น่าเชื่อถือ มันก็เลยไม่รู้จะเชื่อใคร ก็ไม่เป็นไร เรามาแสดงความจริง พิสูจน์ความจริง อาตมาว่าความจริงที่เราทำกันนี้เป็นความมหัศจรรย์ เป็นความเป็นจริงที่เอาพระไตรปิฎกมาเปิดเลย คำต่อคำหน้าต่อหน้า บรรทัดต่อบรรทัดเลย ตรวจสอบกันเลย อาตมาว่าพวกเรานี่ชัดเจน ลงตัวลงคำความสภาพจริง พวกเราเป็นได้จริง อย่างที่ แม้แต่คำยากๆ คำว่า กาย บุญ สมาธิ อะไรอย่างนี้เป็นต้น เรามีการแสดงกายกรรมวจีกรรมที่จะเอามาเปรียบเทียบ เอามาแทก(เปรียบ) เปรียบเทียบกัน แทกให้ดู กระแทกไปมันจริงกว่าเปรียบ เอามาแปะกันเลย ดูซิว่ามันจะซ้อนกันเนียนเหมือนกันไหม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:08:33 )

ความจริงที่แท้จริงที่สุดคือปัจจุบัน

รายละเอียด

ถ้าหลังจากปัจจุบันไปแล้วเป็นการทบทวน ถ้ายังอยู่ในปัจจุบันนี้ ทิฏฐกาละกระทบเหตุปัจจัยสัมผัสและปฏิบัติอันนั้นแหละเป็นฐานความจริงทั้งหมดจากปัจจุบันไปแล้วเป็นอดีตหรือคิดฟุ้งซ่านไปในอนาคต เพราะฉะนั้นนอกจากปัจจุบันแล้วมันไม่มีความแท้จริงของการแท้จริงที่สุด ความจริงที่แท้จริงที่สุดคือปัจจุบัน ชัดเจนไหม เหตุปัจจัยปัจจุบันที่ครบพร้อมก็คือความสมบูรณ์แบบ ก็ต้องพยายามให้ครบสมบูรณ์แบบตามที่มีเหตุปัจจัยมีตัวเรา มีจิตวิญญาณ และมีธาตุรู้คือสัญญาปัญญาของเราทำงาน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 24 มิถุนายน 2563 ( 10:52:06 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:45:23 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 04:48:38 )

ความจริงที่ไม่สมบูรณ์...ความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์...ความจริงที่ไม่มีบุคคลรองรับ...มันเป็นความจริงที่แปลกประหลาดดีแท้!

รายละเอียด

มันไม่เด็ดขาดสูงสุดสัมบูรณ์แบบ(ultimate absolute)”  เป็น“ความจริง

ที่ไม่ต้องพิสูจน์, ความจริงในตัวของมันเอง(axiom) จึงยังไม่มีที่จบ

ชนิดที่จับต้องได้ จับมั่นคั้นตายกันด้วย“สัมผัส 6” ที่คนทั้งหลาย

ต่างร่วมรู้ร่วมสัมผัสร่วมรับรองร่วมกันเลย

อนึ่ง จะปฏิบัติได้จริงหรือไม่ได้จริง ก็ไม่มี“ตัวตนคนจริง”

ที่ได้พิสูจน์ความจริงนั้นๆด้วยตนเองมาก่อน จนกระทั่งบรรลุเป็น

“พระเจ้า”ได้สำเร็จอย่างมีหลักฐานยืนยันว่า “คำสอนหรือคำ

สั่ง”นี้เป็น“ความรู้”ที่สามารถปฏิบัติบรรลุ“ความจริง”ที่คนอันมีพลังงานกาย-พลังงานใจขั้น“จิตนิยาม”ในโลกมนุษย์นี้จะพากเพียรปฏิบัติได้เสมอกัน ซึ่งยืนยันว่า เป็น“ความรู้-ความจริง”

ที่“คน”ในโลกทำได้สำเร็จเท่าที่คนจะพึงทำได้ เหมือนอย่าง

“พระพุทธเจ้า”ได้พิสูจน์มาแล้วด้วย“สัมภารวิบาก”สุดๆ จริงๆ 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 257 หน้า 207


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 13:16:07 )

ความจริงที่ไม่เหมือนใครในยุคนี้ของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคนที่จะรู้ได้ต้องเป็นคนที่มีบารมี ต้องใช้คำนี้  มีบารมีถึงจะรู้ได้ ไม่มีบารมีก็บังคับกันไม่ได้ ต่อให้โลกเขาเชิดชูยกย่องเป็นผู้รู้ทางพุทธศาสนาแต่กลับมามองอาตมาว่าไม่ใช่ ไม่มีอะไรดี ดีไม่ดีมองเป็นกบฏด้วย น่าสงสารคนนั้น มันยิ่งทำให้อาตมาเห็นว่ามันเป็นความเสื่อม ตัวนี้เป็นตัวชี้บ่งสังคมต่างประเทศยกย่องเชิดชูว่าผู้นี้เป็นผู้ ข่าวคราวเทียบเคียงเป็นคนที่สองรองจากพระถังซัมจั๋ง เป็นเจ้าแห่งพระไตรปิฎก ว่าอย่างนั้นเลย อย่างอาตมานี้เป็นหมาหัวเน่า เน่าไม่รู้จะเน่าอย่างไรเลย เพราะไปขัดกับผู้รู้ที่เป็นรองจากพระถังซัมจั๋ง 

ถ้าเข้าใจจะเห็นว่าที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าความเสื่อมของพระพุทธศาสนามันเสื่อมขนาดนี้ มันไปมองเห็นผิดเป็นถูก ผิดลึกเลยนะแล้วเห็นว่าถูกยอดเลยนะ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงยากมากที่จะเอาความจริงที่ไม่เหมือนใคร มันไม่เหมือนแล้ว มันค้านแย้งกันแทบจะทุกมุมทุกเหลี่ยม แต่กระนั้นก็ดีโลกยังไม่สิ้นโดยเฉพาะคนไทยสังคมพุทธยังไม่สิ้น ยังไม่ไร้เท่าใบพุทรา ยังใบโตเหมือนผักปลังที่นี่ ใบใหญ่กว่าหน้าอาตมาอีก ผักปลังของบ้านราช  

มันยิ่งเห็นสัจจะต่างๆ ที่มันยืนยัน โลกนี้ก็เป็นเช่นนี้เนาะ มันยากจริงๆ ที่อาตมาเกิดมาในความไม่เหมือนใครในยุคนี้ มันยากแสนยาก แต่มันก็มีคนที่จะเข้าใจความยากนี้ได้ เอาชีวิตมาสู่ความยากนี้จนได้โดยง่ายได้โดยไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 พวกคุณนี่จึงมีฌานของพระพุทธเจ้า อย่านึกว่าพวกคุณไม่มีฌาน คนที่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตนั่นแหละไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้าเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมะพ่อครูไม่เหมือนใครตรงที่...คนทำตามบรรลุได้จริง วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2566 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2566 ( 11:17:02 )

ความจริงนั้นยาก ความปลอมนั้นง่าย 

รายละเอียด

คำว่า ปลอม เป็นคำต่ำ คำว่าจริง เป็นคำสูง 

ความจริงนั้นยาก ความปลอมนั้นง่าย 

เพราะคนโง่มันเยอะ คนฉลาดมันน้อย 

คนฉลาดได้ความจริง คนโง่ได้ความปลอม 

คุณอยู่ในพวกไหนล่ะ คุณอยู่ในพวกมากใช่ไหม จบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาสื่อสภาวธรรมโลกุตระ วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565 แรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2565 ( 12:47:48 )

ความจริงนี้ปรากฏ จึงยิ่งมั่นใจ จึงยิ่งเชื่อมั่น!

รายละเอียด

อาตมาจึงมั่นสุดมั่นหัวใจยิ่งๆ ในหลักฐานต่างๆ ที่มี“ความจริง”

เกิดปรากฏขึ้นเป็นจริงได้อย่างแปลกประหลาดหลากหลาย(phenomena)

ทั้งๆที่มันยากแสนยากฝืนใจคน มันย้อนแย้งกระแสโลกแท้ๆ 

มันจึงยิ่งเป็นการยืนยันสัจธรรมต่างๆ ให้อาตมานำมาอ้างอิงกับผู้คนในสังคมยุคนี้ได้ มันทำให้อาตมาเชื่อมั่นเพิ่มยิ่งขึ้นได้ว่า ความรู้ความเป็น“ปัญญา-วิชชา”

ที่อาตมามีจริงนี้ว่า“ถูกตรงตามสัจธรรมพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้

และทรงประกาศไว้”แน่นอน

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 515 หน้า 384


เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2564 ( 11:56:10 )

ความจริงมาเผยแพร่ธรรมะเขาไม่รู้ก็ต่อต้าน

รายละเอียด

มีความละอายที่จะทำร้ายผู้อื่นตอบ มีความเอ็นดูต่อสัตว์ทั้งปวง แม้แต่ศัตรูมาทำร้ายเรา เราก็ยังเอ็นดูเขา นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ อาตมาพ้นจากวิบากที่เขาจะมาทำร้ายส่วนตัวแล้ว ที่เขามาทำร้ายเขาไม่ได้เจตนาทำส่วนตัว แต่เขาทำร้ายเพราะว่าจะมาแพร่มาเปิดเผยลัทธิ ที่จริงมาเผยแพร่ธรรมะ แต่เขาไม่รู้ก็ต่อต้าน เพราะมันคนละแบบกัน สุดท้ายเขาก็ทำอะไรอาตมาไม่ได้ หากมาทำร้ายอาตมาตอนนี้จะถูกมองไม่ดี ถ้าเป็นเมื่อก่อนนั้นไม่ได้ อาตมาแสดงธรรมยังไม่ได้พาปฏิบัติจนถึงหมู่กลุ่มอย่างนี้มีธรรมะโลกุตระอย่างนี้ เป็นมวลเป็นรูปธรรมอย่างนี้ มันไม่มีหลักฐานอ้างอิงยืนยัน เขาก็ไม่จำนน แต่ตอนนี้เขาจำนน มันชัดเจนแล้วยากแล้ว ยืนยันได้ สังคมวรรณะ 9 สังคมสาราณียธรรม 6 สาธารณโภคี มันสุดยอดของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลยแต่เอามาทำได้ในยุคนี้ เป็นทุนนิยมสามานย์ ยอดเยี่ยมที่สุด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2563 ( 11:40:04 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:47:32 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 04:49:40 )

ความจริงมีสิ่งเดียวคือมี 0 ของกิเลสเท่ากันหมด

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าถึงสรุปว่าความจริงมีสิ่งเดียวเลย คุณมี 0 ของกิเลสอย่างเที่ยงแท้มั่นคงแน่นอน คุณทำ 0 นั้นอย่าง คุณมี 0 เท่ากันทุกคนตั้งแต่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทุกองค์และพระอรหันต์ขี้กะโล้โท้ ก็มี 0 เท่ากัน นอกนั้นไม่มีอะไรเท่ากันมี 1 มี 2 ก็ไม่เท่ากัน มีหลากหลายมิติไปเรื่อยๆ นี่ก็สำทับ หรือว่าย้ำซ้ำ จะเรียกว่าสรุป จี้ลงไปให้เห็นว่า สัจธรรมอย่างเดียวไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ อยู่ในจูฬวิยูหสูตร อ่านดีๆ คุณจะหัวแตกไปง่ายๆ อ่านดีๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2563 ( 10:23:09 )

ความจริงมีหนึ่งเดียวคือปัจจุบันเท่านั้น

รายละเอียด

คนที่ไปสร้างภพในจิตของตัวเองไม่มีคนอื่นจะรู้ด้วยมันไม่เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันจะต้องมีแสง อาโลก มีจักขุ ตาหูจมูกลิ้นกายมีคนอื่นร่วมรับรู้ด้วยว่านี่มันเป็นสัจธรรมนี่มันเป็นธรรมะแท้ๆ ไม่ใช่คนรู้อยู่คนเดียว ถ้ารู้อยู่คนเดียวก็จะเป็น สัญญายนิจจานิ สัญญาของคุณเองเพียงแต่คนอื่นไม่เกี่ยวอย่างนั้นไม่ใช่ ความจริงมีหนึ่งเดียวคือปัจจุบันเท่านั้น เรียนภาวะที่เป็นปัจจุบัน จะรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างได้ครบหมด ความจริงนี้ยืนยันอยู่เป็นหนึ่งเดียวก็คือปัจจุบันเท่านั้น ในภาวะ 3 ของโลกที่เป็นอดีตปัจจุบันอนาคต เว้นจากภาวะ 3 นี้อันได้แก่อดีตปัจจุบันอนาคตแล้ว ก็ไม่มีอะไรมีเลยในจักรวาล หรือในอนาคตอยู่ที่ไหน ในประดาภาวะที่มีกับไม่มีก็คือปัจจุบันนั่นเองที่เป็นความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ที่มีและจริงยิ่งกว่าอีกสองภาวะนั้น บทเพลงปัจจุบันแล้วก็ไม่มีอะไรอีกแล้วปัจจุบันนั้นเป็นจริงที่สุด

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2562 ( 07:21:54 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 16:48:22 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 15:17:55 )

ความจริงอยู่ที่ปัจจุบันเรียกว่า ทิฏฐธรรม

รายละเอียด

ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงถือความจริง อยู่ที่ปัจจุบันเรียกว่า ทิฏฐธรรม เรียกว่าปัจจุบันชาติ แปลเป็นภาษาไทยเต็ม ทิฏฐธรรม แปลว่าปัจจุบันชาติ แปลว่าการเกิดอยู่ในปัจจุบัน ผ่านการเกิดนี้ไปก็ไม่ใช่ปัจจุบันแล้ว ในขณะที่เรามีธาตุรู้เป็นตัวเรา แล้วก็รู้สัมผัสอะไรเป็นสภาพ 2 ทำให้เราเกิดวิจัยได้ 

คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เกิดสัมโพชฌงค์ ทั้งๆที่รู้ว่าเรามีสติสัมโพชฌงค์ แล้วเราต้องมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ เราจึงจะเป็นผู้รู้ดีในสิ่งที่ดี ทุกคู่ ทุกสภาพ 2

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 18 วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 11:52:15 )

ความจริงอยู่ในปัจจุบันที่มีผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา

รายละเอียด

ประเด็นแรกคือเราต้องมีภายนอก แต่แม้เราจะสัมผัสภายนอก สัมผัสกับวัตถุวัตถุมันก็ไม่มีปัญหา สัมผัสกับพืชพันธุ์ธัญญาหารมันก็ไม่มีปัญหา แต่สัมผัสกับคนหรือสัมผัสกับสัตว์ที่จะมีปัญหา มีเรื่องมีอะไรต่ออะไรขึ้นมา มีภาวะการตอบรับมีปฏิกิริยา มีปฏิกิริยาตอบโต้ มีผลักมีดูด มี Action reaction มันก็จะเกิดให้เราปฏิบัติ เมื่อไม่มีผัสสะให้เราปฏิบัติ ที่มี Action reaction ปฏิกิริยาโต้ตอบ ถ้าไม่เกิดสิ่งเหล่านี้มันก็ไม่เกิดเวทนา มันสัมผัสเข้าก็จะเกิดอารมณ์ เกิดความรู้สึก แต่ความรู้สึกนี่แหละเป็นกรรมฐาน เป็นตัวกลางตัวที่คุณจะต้องปฏิบัติ ไม่ต้องไปเอาอย่างอื่นเลย กรรมฐานของพระพุทธเจ้ามีอย่างเดียว แล้วที่ไปสัมผัสแล้วมันก็จะเกิดอาการ 2 แล้วพิจารณาอาการ 2 ทั้งหมด แล้วก็ทำให้เป็นหนึ่งแล้วกลับมาเป็นศูนย์ ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ก็เอาที่เวทนา แล้วเรียนรู้เวทนา ทำให้เป็นหนึ่ง อาตมาก็แยกแยะเมื่อเกิดสัมผัสมันก็เกิดของจริง ถ้าคุณไม่สัมผัสมันไม่มีของจริงให้รู้ความจริงหรอก มันเป็นการเพ้อคิดจินตนาการเป็นสัญญากำหนดเอาเอง มันถึงเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตร ถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยก็จะมีแต่ปัญหาเป็นการแส่หาทั้งนั้นเลย มันเรียนรู้ไม่ได้ ไม่มีฐานให้เรียนรู้แม้ว่ามันเป็นตัณหาความแส่หามันก็เรียนรู้ไม่ได้เพราะไม่มีความจริง เพราะความจริงจะเกิดในปัจจุบัน ไม่มีผัสสะได้ขนาดนี้ก็มีแต่อดีตกับโครงสร้างในอนาคต คุณไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในปัจจุบัน มันมีแต่อดีตกับอนาคต ความจริงในปัจจุบันที่คุณจะรู้ได้ อดีตก็คือปัจจุบันที่มันผ่านไปแล้ว มันยังไม่มาถึงมันจะเป็นความจริงได้อย่างไรมันเป็นอนาคต มันมาถึงปัจจุบันมันก็เป็นความจริงในขณะปัจจุบัน แต่เมื่อผ่านปัจจุบันไปปั๊บ มันก็เป็นอดีตแล้วมันจะไปเป็นความจริงได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแค่ประเด็นนี้ปฏิบัติไม่มีปัจจุบันก็ไม่มีทางบรรลุ จะต้องเข้าใจความเป็นความรู้ของปัจจุบัน ทิฏฐกาละ ถ้าไม่มี ในทิฏฐิ 62 ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 ประการที่เป็นมิจฉาทิฐิเป็นการนั่งหลับตา คุณก็มี ปัจจุบันได้ ในอนาคต 44 คุณก็ฟุ้งซ่านไป ในปัจจุบันขณะนั้นที่คุณคิด สิ่งที่เรียนรู้ ไม่ได้ปฏิบัติหรอกเอาขันธ์ในอนาคตที่ไม่เคยปฏิบัติแต่คุณเคยคิดถึงมันมาก่อนแล้ว แต่ยังไม่ได้มรรคผล ไม่ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร คุณก็ได้แต่คิดฟุ้งซ่านเอาหรือคิดฟุ้งซ่านใหม่มันจึงมีมากตั้ง 44 พูดไปมันก็จะละเอียดลึกซึ้งมากไป

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 12:36:06 )

ความจริงเป็นหนึ่งไม่มีสอง

รายละเอียด

ความจริง คือ ความจริง สัจจะ คือ สัจจะ 
สัจจะนั้น เป็นความเที่ยง เรียกว่า นิยตะ 
สัจจะนั้น เป็นความจริง เป็นความแท้ เรียกว่า ตถตา ความจริงนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง 
ความจริงนั้น ไม่เป็นอื่น 
ความจริงนั้น ไม่เป็นสอง 
เอกัง หิ สัจจัง ความจริงนั้น เป็นหนึ่ง เท่านั้น 
น ทุติย มัตถิ ไม่เป็นสอง ในความจริงสูงสุด เพราะฉะนั้น ผู้ใดได้ฝึกตนสู่ความจริงหรือสัจธรรม เมื่อมีความจริง เป็นความจริงในตนแล้ว ผู้นั้นเที่ยงแท้ มั่นคงแน่นอน ผู้นั้นเป็นความจริง เป็นความแท้ เป็นอยู่เช่นนั้นเอง เป็นอยู่เช่นนั้นแหละ ตราบนิรันดร์ 

ที่มา ที่ไป

สมณะโพธิรักษ์ 18 พฤศจิกายน 2528


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:43:56 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:48:35 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 04:50:33 )

ความจริงแล้วความแตกแยกของคนไทยลดลงได้มาก

รายละเอียด

ถูกต้องแล้ว คุณเข้าใจถูกต้องแล้ว เราต้องรู้ความลงตัว เมืองไทยขณะนี้ประชาธิปไตยมีฝ่ายค้านและฝ่ายเสนอคือฝ่ายรัฐบาล เป็นประชาธิปไตยลงตัว สงบเรียบร้อยดีที่สุด มันต้องมีฝ่ายค้านพวกนี้ ฝ่ายค้านที่ค้านนอกระบบกับค้านในระบบมีหมด 

ค้านในระบบก็อยู่ในสภา ค้านนอกระบบก็บ๊องๆๆ ไป ซึ่งมีเศษเสี้ยวนิดๆหน่อยๆ ประชาชนคนไทยเกือบ 70 ล้าน มีเห่าบ๊องๆ อยู่ประมาณ 700 ให้ 700 เลยนะ อาตมาก็ว่าให้มากแล้วนะ ที่จริงจะบอกว่ามี 77 คนก็เกรงใจ จริง มันเป็นธรรมชาติพวกนี้คือพวก Error พวกฟุ้งฝอย เศษๆ เศษขยะเป็นธรรมดา ไม่มีปัญหาอะไร 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูตอบปัญหาผู้ชมทางบ้าน วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 12:01:50 )

ความจริงใครจะมาบิดเบี้ยว ใครจะมาเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันไม่ได้หรอก

รายละเอียด

อาตมาพูดโดยใช้ศัพท์วิชาการพวกนี้ เป็นศัพท์ทางศาสนา ศัพท์ของพระพุทธเจ้า มันก็อาจจะยาก แต่ค่อยๆศึกษาไป มันไม่ใช่ภาษาสากลเหมือนภาษาอังกฤษ ภาษาจีนหรือภาษาทั่วไปพื้นๆที่เข้าใจได้ง่ายๆ แต่เป็นภาษาวิชาการของทางโลกุตรธรรมมันก็จะยากหน่อย แต่มันเป็นเรื่องจริงที่จะห้ามไม่หยุดหรอก ห้ามไม่หยุด สิ่งเหล่านี้จะมีวิวัฒนาการ มีพัฒนาการต่อไปอีก เรื่อยๆๆๆ ช่วยกันเถอะเพราะฉะนั้นแก้ไขความผิดอย่างที่คุณทำ ข้อที่ความจริงที่ถูกบิดเบือนของสถาบันกษัตริย์ นี่ก็เป็นจุดสำคัญ เพราะกษัตริย์ไทยเรามีทศพิธราชธรรมที่แท้จริง และก็มีปรากฏการณ์ มีฟีโนมีน่า ที่ทำไว้อย่างยืนยันได้ เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่ใช่พูดแต่ปาก 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งจริงทั้งวัตถุ ทั้งพฤติกรรม ทรงเอง มีพระจริยวัตรแล้วก็เกิดผล ในประเทศไทย อะไรต่ออะไรต่างๆนานา มีหลักฐานอ้างอิงยืนยันได้สมบูรณ์แบบ สิ่งเหล่านี้จะเป็นความจริงที่ยืนยันต่อมวลมนุษยชาติในโลก คือ ใครจะมาบิดเบี้ยว ใครจะมาเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันไม่ได้หรอก เพราะว่าเป็นความจริงที่มันเกิดแล้ว เป็นแล้ว ปรากฏแล้ว มันก็คนก็จะต้องรับรู้แล้วก็ยอมรับ เพราะว่าไม่ใช่เรื่องที่อยู่แต่ในหัวคิด อยู่ในความนึกคิด อยู่ในห้วงความฝันเท่านั้น ไม่ใช่ แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดปรากฏเป็นสังขารเป็นกรรม เป็นองค์รวมที่เกิดเป็นรูปนาม เป็นสิ่งปรุงแต่งขึ้นมา เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาให้คนสัมผัสได้แล้ว

เพราะฉะนั้น ยืนยันสิ่งที่ผิดที่ถูกกันเข้าไปคนละประเด็น แต่ละมิติ แต่ละส่วน แต่ละภาคที่ใครถนัด ถนัดอันใดก็ทำไป แต่อาตมานี่ทำเป็นธรรมะ เป็นนามธรรมมาก 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 6 พ่อครูพบ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2565 ( 20:05:43 )

ความจริงใจ ของผู้ที่มีธาตุปัญญา

รายละเอียด

อันนี้เป็นความจริงใจ ของผู้ที่มีธาตุปัญญา สัมผัสสิ่งนี้แล้ว เห็นว่าเป็นสิ่งที่เยี่ยมยอด เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ แล้วก็ได้พบแล้วหนอ มันก็ซาบซึ้งใจประทับใจ แล้วก็แสดงความจริงออกมาอย่างที่ได้พูดมานี้ แล้วก็ได้พยายามติดตาม ศึกษาปฏิบัติก็เห็นจริง เกิดความจริง เกิดความเป็นจริงขึ้นมา นี่คือสัจจะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณลักษณะของไก่ตัวพี่ที่มาสืบสานศาสนา วันพุธที่ 7 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กันยายน 2565 ( 13:38:02 )

ความจริงใจที่ทำประชาธิปไตยของนายกฯที่ผ่านมา

รายละเอียด

อาตมาเห็นนายกมาเท่าที่อายุอาตมา อาตมาเกิด ปี 2477 ก็เห็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่เริ่มตั้งไข่มา ก็ 83 ปีกว่าแล้ว ก็เห็นนายกฯมา 29 คน

ในความจริงใจที่ทำประชาธิปไตย ทุกคนก็ทำตามเต็มที่ตนเอง ไม่ว่าจะนายกคนไหนก็แล้วแต่ ทำงานประชาธิปไตยเต็มที่ แต่ก็เป็นประชาธิปไตยตามภูมิปัญญาตามกิเลสแต่ละคนก็ได้แค่นี้นะ อย่างทักษิณเขาก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตย เขาก็หลงเพ้อพูดไป ทั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอะไรเลย ความรู้ทางสัจธรรม ก็ต่ำมาก นึกว่าตนเองสูงฉลาดในทางธรรมด้วย แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ ในทางโลก เข้าใจว่าตนเองเป็นประชาธิปไตยก็ไม่ใช่ เป็นประชาธิปไตยเก๊แสนเก๊ ทางธรรมะก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง มันก็ยิ่งแย่ใหญ่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สุดยอดวรรณะกรรมโลกุตระของโลก

วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 11:13:58 )

ความจำกัดในโลกของเศรษฐศาสตร์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในโลกของเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายแหล่ ซึ่งมันมีความจำกัด Limited มีความจำกัดในทรัพย์สินข้าวของ แต่ละคนก็แย่งเป็นเจ้าของกันอีกเยอะ มันก็เลยเหลือส่วนกลางเหลือที่จะสะพัด จำแนกแจกจ่าย ที่จะเผื่อแผ่ สู่คนนั้นคนนี้กันไป มันน้อย มันก็เลย พวกที่มีจิตเผื่อแผ่ที่ไม่เป็นเราของเรา เป็นต่อ CATLALYSE และจำแนกแจกจ่าย dispensation ไปบำบัดความขาดแคลน SCARCITY ไปแก้ไข บำบัดจัดการ พวกเราจึงเป็นพวกนักจำแนกแจกจ่าย

Dispensation เขาหมายถึงสิ่งของของพระเจ้า ที่พระเจ้าจำแนกแจกจ่ายให้แก่มนุษย์ หรือว่าเป็นบัญชาสวรรค์ อย่างนั้น คือการสร้างของพระเจ้า

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้าพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เพิ่มสัมประสิทธิ์เพื่อสะพัดสู่ผู้ขาดแคลน


เวลาบันทึก 26 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:02:33 )

ความจำที่ตกผลึกแล้วเป็นสัญชาตญาณ

รายละเอียด

คำที่อาตมากำลังกล่าวก็ตาม เป็นคำนาม เป็นคำกล่าวเอามาบอก ขณะนี้ได้นำสัญญาเก่าที่เคยเกิด ซึ่งตอนนี้เป็นเพียงความจำที่ตกผลึกแล้วเป็นสัญชาตญาณ เป็นสัญชาติของอาตมาเท่านั้น มันเดินทางผ่านกาละมาแล้ว แม้จะเคยเกิดเป็นกิริยาหรือนามเป็นอดีตเคยเกิดมาแล้ว เมื่อผ่านปัจจุบันอันโน้นมาแล้วก็มาเป็นผลของกรรมดั้งเดิม ที่เคยทำมาแล้วนำมาพูดใหม่ตอนนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 19:55:08 )

ความจำเป็นที่จะต้องมาอยู่กับหมู่กลุ่ม

รายละเอียด

มีความจำเป็นมาอยู่กับหมู่กลุ่ม สัมปวังโก มิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์

1.มีมิตรผู้มี “ทิฐิ” ตรงกัน ปรารถนาดีต่อกัน (กัลยาณมิตโต)

2.มีมิตรดีผู้มีความร่วมมือร่วมประโยชน์ดี (กัลยาณสหาโย)

3.มีสังคมสิ่งแวดล้อมดี (กัลยาณสัมปวังโก)

นี้เป็นทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ (คือทั้งสิ้นของศาสนา)

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฏก เล่ม 19 ข้อ 5


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:36:58 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 16:49:22 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 04:51:42 )

ความจำได้ไม่ต้องลืมแต่ไม่ต้องมีรส

รายละเอียด

ความจำได้มันมีอยู่ แต่ไม่ได้ปฏิพัทธ์รุนแรง เป็นความจำ พระพุทธเจ้าเคยปรารภกับพระอานนท์ อานนท์ความจำนี้มันลืมยากนะ คนเขาฟังแล้วก็จะบอกว่าความจำ มันจำยากแล้วต้องลืมหรือไม่ต้องลืม ก็คือไม่ต้องลืมหรอกแต่ไม่ต้องมีรส ไม่ต้องไปสนุกอะไรกับมัน แต่มันก็ต้องสะดุด นี่เอาอารมณ์ของพระอรหันต์พูดให้ฟังแล้ว มันไม่ได้เป็นกิเลสแต่มันยังเป็นความจำ มันต้องอยู่กับมันต้องประสบกับมัน วันใดวันหนึ่งต้องมาเจอ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ลาภยศสรรเสริญโลเกียสุข ก็มีอยู่ในโลก ซึ่งเป็นผู้ที่เจริญก็ยิ่งเป็นผู้ที่เจอมาก เขาก็จะเอามาประเคน เอาแต่ของที่ดีมาให้สัมผัสทั้งนั้นแหละ เราก็จะเจอกับมัน ไม่เชื่อไปถามสมเด็จ ไปถามเจ้าคุณชั้นสูงดูสิ อาหารที่เขาเอาไปประเคนให้ มีแต่อาหารอย่างประณีต ไม่ประณีตไม่นำเอาไปถวายดอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้ อาหารให้บรรลุถึง อรหันต์ วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:50:22 )

ความจำไม่ใช่ความจริง

รายละเอียด

เคยตอบมาหลายที อธิบายด้วย อาการ ลิงค นิมิต เป็นเรื่องสำคัญอยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 แม้เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยก็อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 นี้ 

ถ้าผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าอ่านอาการไม่เป็น จับนิมิตไม่ได้ แล้วรู้ความต่างเรียกว่า ลิงค หรือเพศ รู้ความต่างของมันซึ่งจะต้องมี 2 เสมอ มีสิ่งที่ถูกรู้ก็ต้องมีตัวธาตุรู้ อย่างไรๆ เกิดมาเป็นคนต้องมีจิตวิญญาณ คุณจะไม่รู้ปัจจุบันนี้ ตากระทบรูป หูกระทบเสียงทันที คุณก็ไปรู้ 2 ที่อยู่ในจิต ปั้นสร้างขึ้นมา เอาความจำมา ความจำก็เหมือนกับสิ่งข้างนอกแหละแต่มันเป็นความจำ ไม่ใช่ความจริง เพราะฉะนั้นในความจำที่คุณจะจำตั้งแต่เคยผ่านมาเป็นอดีต เคยคิดมาเป็นอนาคต ผ่านมาเป็นอดีตก็เคยผ่าน แต่สิ่งนี้ไม่เคยผ่านหรอกแต่เคยคิดเป็นอนาคตอีก 44 เป็นอดีตอีก 18 พระพุทธเจ้าก็เอามารวมให้ศึกษาหมดแล้ว ใครไปนั่งหลับตาเป็นต้น ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย คุณก็จะมีแต่อดีต 18 อยู่กับอนาคต 44 ที่ท่านรวมไว้หมดแล้ว ไม่มีความจริงเลยที่จะเอามาปฏิบัติ เป็นศาสนาโมฆะ เป็นของเดียรถีย์ แต่ก็ยังเอาไปนั่งหลับตาเป็นคณะใหญ่ แล้วยกย่องกันเป็นอรหันต์ด้วย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 16:30:56 )

ความจำไม่ใช่ความจริง ความจริงคือปัจจุบัน

รายละเอียด

ถ้าเรียนรู้แล้วไม่รู้อาการของมัน อาการมันจะเกิดตอนกระทบสัมผัสกับอันนู้นอันนี้ ถ้าไม่กระทบสัมผัสมันก็เป็นความจำ เอาความจำมาระลึก ความจำขยำขี้อยู่นั่นแหละ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความจริง ความจำไม่ใช่ความจริง ความจำคืออดีต ความจำสิ่งที่เกิดแล้วหายไปแล้ว ความจำไม่ใช่ความจริง ความจำไม่ใช่ความจริง ความจริงคือปัจจุบันไม่ใช่อดีต อนาคตยังมาไม่ถึงไม่ใช่ความจริงใหญ่เลย ความจริงอยู่กับปัจจุบัน มีเท่านี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 14:27:37 )

ความฉลาด

รายละเอียด

แต่ประชาธิปไตยที่เขาเรียกร้องกันทุกวันนี้ มันไร้สาระเป็นคนที่หลง ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ประสีประสา แต่ห้ามเขาไม่ได้หรอก เขามีความฉลาดเท่านั้น เพราะคนเราก็มีความฉลาดเท่าที่ตัวเองโง่ ไม่มีใครที่จะฉลาดเกินกว่าตัวเองโง่หรอก คนเราโง่เท่าที่ตัวเองฉลาดทุกคน ก็ต้องเป็นเท่าที่เขาเป็น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 12 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2563 ( 09:18:45 )

ความฉลาด 2 อย่างของมนุษย์ เฉโก กับ ปัญญา

รายละเอียด

มันมีประเด็นของจิตวิญญาณนี่ จะต้องมีภูมิปัญญา ปัญญานะ จะต้องมีภูมิปัญญา ไม่ใช่ฉลาดอยู่ในกรอบของโลกียะ ซึ่งภาษาศัพท์วิชาการว่า เฉโก ซึ่งเขาไม่ใช้แล้ว เขาไม่รู้เรื่องแล้ว แต่อาตมาแยกอยู่นะ เฉโก กับปัญญาเป็นความรู้ความฉลาด 2 อย่างของมนุษย์ คนโลกียะปุถุชนเขาก็มีความรู้ แม้แต่ศาสดาเทวนิยมเขาก็มีความเฉลียวฉลาดรู้ในกรอบของเฉโก ไม่มีความฉลาดที่เรียกว่าปัญญาได้เลยเพราะมันไม่เป็นโลกุตระ อันนี้ก็พูดไปเขาจะได้เข้าใจแค่ไหนก็ไม่รู้ แม้แต่ในชาวพุทธจะเข้าใจได้แค่ไหนก็ศึกษาดีๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 16  ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2566 ( 11:16:33 )

ความฉลาดกับความซื่อสัตย์เอามารวมกันจึงเป็นปัญญา

รายละเอียด

ไม่ได้พูดยกตัวอย่างตนข่มผู้อื่นนะ ไม่ใช่ คนอินเดียเข้าใจหมดไม่มีแย้งเรื่องนี้ คนอีก 1,000 กว่าล้านชาวจีนก็เข้าใจอันนี้ได้ไม่เลว แต่ชาวจีนนั้นฉลาดแกมโกงเยอะกว่าอินเดีย อินเดียนั้นฉลาดซื่อๆ กว่าเยอะ พลเมืองส่วนมากของโลก พลเมืองเกิน 1 พันล้านก็มี 2 ประเทศนี้แหละ นอกนั้นไม่มีประเทศไหนเกิน 1 พันล้าน มี 2 ประเทศนี้แหละที่ที่มีประชากรเกินพันล้าน คนละ character คนละรสนิยม คนละพฤติกรรม คนละขั้ว ขั้วหนึ่งเจโต ขั้วหนึ่งปฏิภาณปัญญา แต่ไม่ใช่ปัญญาแท้แต่เป็น เฉโก ที่ฉลาด 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าความซื่อสัตย์กับความฉลาดเอามารวมกัน จึงเป็นปัญญา ฉลาดไม่โกง ฉลาดซื่อสัตย์ ฉลาดจริงใจ ฉลาดเข้าใจลึกซึ้ง

เป็นความฉลาดที่พระพุทธเจ้าชาวพุทธเป็นผู้รู้ความฉลาดสุดยอด คนเอาความฉลาดของพระพุทธเจ้าไว้ได้ แรกเริ่มมาประกาศคนก็เห็นตามเยอะ ผ่านไป 2,000 กว่าปีก็เสื่อมๆๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของศีลที่พ่อครูเอามาสถาปนา วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 7 ค่ำเดือน 3 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:21:13 )

ความฉลาดของมนุษยชาติ

รายละเอียด

ประเทศจีนกำลังรวบรวมเอาความประเสริฐต่างๆไปใช้ได้ดี ตามสถานภาพที่แท้จริงของเขา ก็ทำได้ดีขนาดนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มหมู่มนุษยชาติที่น่ากลัวมาก เป็นการตื่นตัวในสมัย จีนกับอินเดีย มีพลเมืองประมาณกัน เป็น 2 ประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุด

อินเดียเป็นเชิงเจโตเป็นเชิงศรัทธา ไม่ปรู๊ดปร๊าดทางปัญญาแต่จีนเป็นสายปัญญาเฉลียวฉลาด ทางอินเดียมีความลึกในทาง เจโต ศรัทธามีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา นี่เป็นสองลักษณะของเทวะ เทวคือธรรมะ 2 ที่มีอยู่ในมนุษยชาติทั้งโลกตลอดกาลนาน ก็ต้องศึกษาเทวะหรือสองนี้ให้ดี

อาตมาก็ขอพูดตามภูมิอาตมา ว่าจีนเขาก็มีความรู้ในเชิงธรรมะโลกุตระกลายๆ แต่สำคัญอยู่ที่ว่าในพลเมืองจีนจะมีศาสนาหรือธรรมะขั้นโลกุตระ สัจจะทางจิตของเขา จะมีคุณลักษณะคุณธรรมต่างๆเข้าขั้นไหม แต่เขามีแน่ ขณะนี้ที่ประมวลแล้วเขามีคุณธรรมเชิงมักน้อย ไม่เห็นแก่ตัวไม่มีตัวตน เพื่อมวลประชาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ช่วยโลกไม่มีขีดขั้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 18:22:32 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 16:50:06 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 04:52:55 )

ความฉลาดของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

ที่นี้เขาไปปลุกเสกเป็นพระเครื่อง เป็นเครื่องรางของขลัง เป็นเรื่องของวัตถุ เขาปลุกเสกพระ ปลุกเสกวัตถุ พระเครื่องบูชาองค์ใหญ่ๆด้วย อาตมาก็เคยทำไสยศาสตร์พวกนี้มาก่อน คืออาตมาในชีวิตนี้อย่างที่เขาเป็นในเรื่องของศาสนา ในเรื่องของไสยศาสตร์ เขาเป็นกันอาตมาก็เคยเป็นมา เคยผ่านมาทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นอาตมาจะรู้ 2 อย่าง นั่งหลับตาที่อาตมาว่าเขาอยู่นี้อาตมาก็เคยไปนั่งมา นั่งมาไม่ใช่น้อยๆ รู้ทั้งนั้นที่เขาพูดที่เขาเป็น ถึงแยกออกในสิ่ง 2 นี่คือความฉลาดของศาสนาพุทธ วิภัชติ แยกสองสิ่งเปรียบเทียบกัน อาการ ลิงค นิมิต ตามคำสอนของสัตบุรุษพระพุทธเจ้าสอนมาเรียกว่า อุเทส ไปอ่านอาการ แล้วเทียบ 2 ให้รู้ว่าอะไรดีกว่า ก็จบตรงนี้ 

ต้องเรียนรู้ 2 แล้วเปรียบเทียบ ไม่ใช่ 2 แล้วคุณเปรียบเทียบไม่ได้ ห้ามแยกห้ามตีแตก เหมือนเทวนิยม พระเจ้าก็คือวิญญาณใหญ่มีหนึ่งเดียว ห้ามไปแตะ ห้ามไปแยก ห้ามไปวิจารณ์วิจัย ต้องตามนั้นเลย ศาสนาเทวนิยมจึงกลายเป็นศาสนาที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ไม่มีอะไรเคลื่อนที่ ไม่มีอะไรเป็นอย่างอื่นเลย เป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อแต่ล้านล้านปีมาก็เป็นอย่างนี้หมด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 16:10:54 )

ความฉลาดของโลกียะ เรียก “เฉโก” ความฉลาดของ “โลกุตระ” เรียก “ปัญญา”!

รายละเอียด

“โลกียะ”นั้นไม่สามารถ“ดับกิเลส”ให้เป็น“นิพพาน”ได้ “โลกุตระ”จึงจะสามารถ“ดับกิเลส” จนกระทั่ง“ดับความเป็นเทฺว”ลงได้ ซึ่งยืนยันว่า“วิญญาณ”หรือ“อัตตา”หรือ“เทฺว”ไม่ใช่ความเป็น“นิรันดร” แต่เป็น“อนัตตา”ที่พิสูจน์ได้จริงผู้พิสูจน์ความเป็น“เทฺว”ได้จริง และสามารถ“ดับเทฺว”ได้แท้จึงพิสูจน์ความเป็น“วิญญาณ”ว่า “วิญญาณ”ไม่ใช่ของ“พระเจ้า” แต่“วิญญาณ”เป็นของตนเอง ที่เจ้าของ“วิญญาณ”เองสามารถ“ดับความเป็นวิญญาณของตนเอง”ได้เอง จึงเป็น“นิพพาน”จริง

 

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 457 ข้อที่ 633


เวลาบันทึก 16 มิถุนายน 2565 ( 14:35:25 )

ความฉลาดขี้โกงหรือเฉโกของคนที่ตีความให้ตนได้กินเนื้อสัตว์ 

รายละเอียด

ตั้งแต่โหดร้ายฆ่าสัตว์ จนกระทั่งถึงการโลภ การเห็นแก่ตัว ไม่ฆ่าสัตว์แต่กินเนื้อสัตว์เอาเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามากิน ฉันไม่ได้ฆ่า เขาก็ตีความพระพุทธเจ้าว่า เราไม่ได้เห็นกะตา เราไม่ได้รู้ข่าว เราไม่ได้สงสัย แล้วเขาก็ตีความว่า ไม่เห็นกับตาไม่รู้ข่าวไม่สงสัย ว่าเนื้อสัตว์นี้เขาฆ่าจำเพาะระบุชื่อ เช่น ระบุชื่อคุณเข่ง คุณเข่ง เท่านั้นกินไม่ได้ ระบุชื่อผู้ที่ฆ่าให้กิน ผู้นั้นจะกินไม่ได้ ตีความแปลงสารพระพุทธเจ้าไป

ทั้งๆที่มันหมายความว่า สัตว์นี้ถูกฆ่าด้วยจิตเจตนาของคน คนไหนก็ตามแต่ มีจิตใจมุ่งหมายจะฆ่าสัตว์มีให้ตายเท่านั้นแหละระบุ อุทิส แต่เขาไปตีความเสียให้ไกลตัวเองเพื่อให้ตัวเองจะได้กินเนื้อสัตว์ นี่เห็นไหม ความฉลาดขี้โกง เฉโก ของคนแทนที่จะตีความให้ตนเองจะได้ไม่ต้องมีวิบากใดๆในการไปกินเนื้อสัตว์ 

สัตว์แต่ละตัวมันจะรู้ไหมว่าเนื้อนี้ไม่ใช่เนื้อของข้า ทั้งๆ ที่เนื้อของมัน มันตาย โดยเฉพาะมันถูกฆ่า คนฆ่า แล้วเอาเนื้อมันไปกิน มันรู้ไหม ถ้าวิญญาณอย่างที่คุณเข้าใจ ปัดโธ่ มันฆ่าคุณได้มันฆ่าแล้ว แต่มันตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง มันก็ว่า เอ็งกินเนื้อข้าๆ มันก็จองเวรจองกรรม นี่เล่า พูดภาษาให้ฟังชัดๆ 

มันจะรู้หรือ มันก็รู้แต่ว่าเอ็งมาฆ่าข้า แล้วก็กินเนื้อข้าหน้าตาเฉยเลย มันจะยินดีหรือ กินเนื้อฉันอร่อยไหมจ๊ะ สัตว์แต่ละตัวมันจะคิดอย่างนี้เหรอ ก็ไม่ใช่สิ พูดให้มันหนำใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของศีลที่พ่อครูเอามาสถาปนา วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 7 ค่ำเดือน 3 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 18:59:18 )

ความฉลาดคือประเทศใด

รายละเอียด

ส่วนความฉลาด ปราดเปรียวนั้น จีน อาตมาอนุโลมใช้คำว่า ปัญญากับจีนเพราะมันมีความฉลาดที่รู้จักมวลมนุษยชาติ แล้วทำความรู้ความฉลาดนั้นกับมวลมนุษยชาติ ให้เกิดประโยชน์ที่จะอยู่กันอย่างสงบอบอุ่น อยู่อย่างเรียบร้อย 

คนจีนทุกวันนี้คนตั้งพันล้าน ไม่ใช่จะอยู่กันง่าย เขาไม่แย่งชิงกัน เขาไม่ทะเลาะกัน เขาไม่เอาเปรียบเอารัดกัน จนกระทั่งผู้บริหารลำบากเลย มันแย่งกัน ฆ่ากัน มันตีกันก็ไม่ใช่ ทุกคนขยัน ทุกคนทำงาน ทุกคนรู้สิทธิของตน แล้วก็ขายออกต่างประเทศ ก็ได้ระบบทุนนิยม ระบบซื้อขายไปเลี้ยงประเทศ อุดมสมบูรณ์จนกระทั่ง คนมาเที่ยวนี้มีจีนเท่าไหร่ กี่เปอร์เซ็นต์ จีนเป็นเบอร์หนึ่งเลยที่ไปเที่ยวทั่วโลก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ลักษณะประชาธิปไตยสุดยอด 11 ประการ วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน 2565 แรม 1 ค่ำเดือน 12 ปี ขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2565 ( 12:17:52 )

ความฉลาดที่ถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้าหายไป

รายละเอียด

จนกระทั่งความฉลาดที่มันถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้าหายไป อาตมาอุบัติมาในชาตินี้ โอ้โห! ต้องมางมเอาความฉลาดที่คนโง่ทับถมจมมหาสมุทรเอาขึ้นมา เอามาพูดใหม่ 

แต่ของพระพุทธเจ้าเก่านั่นแหละ เอามาขยายความให้เห็นความจริงใหม่ ซึ่งอาตมาไม่มีเครดิตไม่มีบารมีเท่าพระพุทธเจ้า แล้วมาในปางนี้ นอกจากบารมีไม่เท่าแล้ว ไม่มีผู้พี่ที่เป็นอาจารย์ มาแล้วมาประกาศตัวเองว่าเป็นอาจารย์ตัวเอง ตัวเองรู้มาเองมาแต่ชาติก่อนๆ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าชาติก่อนๆ อาตมาเป็นใคร บอกเป็นใครเขาก็ไม่เชื่อ ไปเชื่อง่ายๆได้อย่างไรก็ไม่มีหลักฐาน หลักฐานก็มีบ้าง แต่ว่าอ้างอิงอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของศีลที่พ่อครูเอามาสถาปนา วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 7 ค่ำเดือน 3 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:22:29 )

ความฉลาดที่เป็นฌาน มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น

รายละเอียด

ลองอธิบายคำว่า ความฉลาด ดูบ้าง ความฉลาดนี่มีอยู่ในศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่นยังไม่มีความฉลาด มีแต่ความรู้ที่เป็นโลกีย์เท่านั้น อยู่ในกรอบของโลกีย์ เป็น เฉโก เป็นหนึ่ง ฉ (ฉะ)คือ 6 ของเขาเอาไปเป็น 1 เป็นเอก ของเขา 6 เอาไปรู้แค่ 1 เอก หรือเอกะ เลยกลายเป็น เฉก หรือ เฉโก พยัญชนะก็คือ ฉ ที่แปลว่า 6 เขาไม่มี 6 เพราะคนจริงๆมี 6 มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 6  ใช่ไหม นี่เป็นสัจธรรมของคน มี 6 แต่ไปโง่ รู้อยู่อันเดียว หรือแม้มาลืมตา เปิดทวารทั้ง 6 ก็รู้มันอยู่แต่กรอบโลกีย์กรอบเดียว ไม่ออกไปสู่กรอบ 6 กรอบที่จะรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เขารู้แต่ใจ แล้วคำว่า กายนี่แหละ กายคือ จิต เจตสิก 

กาย คือ จิต วิญญาณ มโน พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ เราเคยอ้างอิงจากพระไตรปิฎก ตถาคตเรียกกายว่าจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง เล่ม 16 ข้อ 230 เขาก็น่าจะสะดุดใจนะ ในพระไตรปกฎกก็มีหลักฐานยืนยัน ผู้ที่ศึกษาจริงๆ อ่านเจอนี้แล้ว  เอ๊ะ! พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องกายอย่างนี้ เพราะว่าชาวพุทธไทยเข้าใจว่ากายไม่ใช่จิตแล้ว กายไม่มีจิตร่วมด้วย กายคือสรีระ กายคือร่างข้างนอกเท่านั้น เขาเข้าใจว่ากายคือร่างข้างนอกเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจว่า กายคือร่างข้างนอกเท่านั้น คนนั้นก็ไม่พ้นสักกายทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิในคำว่ากายแล้ว ติดกระดุมเม็ดแรกของโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้าผิดแล้ว เม็ดแรกเลย เพราะฉะนั้นเม็ดอื่นๆผิดหมด เม็ดอื่นๆ ก็ยิ่งผิดบานปลายออกไปใหญ่โตเลย ใช่ไหม 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเข้าใจฌาน ฌานก็ต้องประกอบไปด้วยสภาพที่มันมีนามรูป มีปัญญา ทำงานร่วมกันเป็น 2 สภาพ เทวธัมมา มี 2 ทำงานร่วมกัน อันหนึ่งคือ ธาตุวิญญาณ ธาตุรู้ อีกอย่างหนึ่งคือทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่วัตถุ ดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป  ไปจนกระทั่ง  ภูตคาม พีชคาม จนกระทั่งถึงจิตนิยาม เจตภูต ไปถึงจิตนิยาม ไปถึง ปาณะ ไปถึงสัตตะ ไปถึงชีวะที่มันถึงขั้นจิตนิยาม แล้วก็รู้กรรมนิยาม การกระทำกับทุกสภาวะเลย โดยเฉพาะจิตนิยามนี้ ทำให้สุดท้ายศึกษาปฏิบัติจนรู้แจ้งว่า อ้อ จิตนิยามนี้คือธาตุปรุงแต่งกันอยู่ 2 เพราะฉะนั้นเราจะแยกธาตุนี้ได้อย่างไร มีปัญญารู้แจ้งรู้จริงว่าการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ทำให้มันดับไป แล้วดับอย่างถาวร  ดับอย่างแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยก็ทำได้ พอทำได้แล้ว เราก็จะชัดเจนว่า ธาตุจิตวิญญาณนี่มันเป็นธาตุคู่  แล้วมันหลงคำว่าสุขนี่แหละเป็นตัวโง่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาต้องเกิดในปัจจุบัน จึงรู้เท่าทันเทวทัตยุคดิจิตอล วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กันยายน 2566 ( 09:19:25 )

ความฉลาดโลกียะ 

รายละเอียด

ในเรื่องของเทวนิยมหรือความรู้ เฉกา เฉโก ความรู้ในกรอบโลกียะจึงไม่รู้รูปรู้นาม ไม่รู้กาย รู้จิต เทวนิยมนั้นไม่มีความรู้ในขั้นปัญญา นี่ก็พูด เฉโก กับปัญญานั้น ไม่ง่ายที่เขาจะพอเข้าใจว่าปัญญากับ เฉโก ไม่ใช่อันเดียวกัน ซึ่งไม่ง่ายแต่คนเอาปัญญาไปใช้เป็นความรู้ความฉลาดแทนคำว่า เฉโก ไปนานแล้ว แม้แต่คนไทยก็ไปหลงผิดว่าความรู้ความฉลาดมีอันเดียวคือปัญญา ซึ่งที่จริงไม่ใช่ 

ความรู้ความฉลาดส่วนใหญ่ของพวกที่ยังไม่ใช่โลกุตรชน เป็นโลกียชนนั้นเป็นความรู้ ฉลาดเฉโกอยู่ทั้งหมดนั่นแหละ แต่ว่าฉลาดแกมโกงในพจนานุกรมก็แปล ฉลาดมีกิเลส ฉลาดยังไม่หมดกิเลส ฉลาดไม่รู้ว่าเป็นกิเลส เป็นความฉลาดโลกียะ เพราะฉะนั้นเทวนิยมนั้นไม่มีความรู้ในขั้นปัญญา แม้แต่จะสัมมาทิฏฐิในคำว่ากาย แม้ชาวเทวนิยมคนไทยที่เป็นพุทธก็ตามยังมีภูมิแค่เทวนิยม ยังไม่มีภูมิที่เป็นปัญญาแท้ มีความรู้อยู่ในกรอบของ เฉโก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 1 วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2566 ( 13:01:51 )

ความชอบธรรมอยู่แค่ปัจจุบันเล็กนิดเดียว

รายละเอียด

อาตมาก็บอกว่า ความจริงที่จริงมันเล็กนิดเดียว ปัจจุบันเป็นจุดเล็กนิดเดียว พอเวลาเคลื่อนไป มันก็จะเปลี่ยนแล้วเคลื่อนที่ไปมันก็จะเปลี่ยนมีเหตุปัจจัยอื่นมาผสมอีกไม่คงที่ก็ไม่ใช่ของเดิม ดังนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2563 ( 10:20:55 )

ความชั่วที่ซับซ้อนของมหาบัว

รายละเอียด

ที่จริงพอมีปฏิภาณรู้นะ แต่มันติดนี่ แล้วจะไปบอกว่าติดจะได้ยังไง ก็เลยโกหกสิ่งที่ตัวเองรู้ทั้งรู้อันนี้แหละ อาการหนักมาก ผู้ที่รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองโกหกนั้นไม่มีความชั่วใดที่จะทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เพราะฉะนั้นความชั่วที่คนอย่างนี้ทำ จึงเป็นความชั่วที่ซับซ้อนที่ตัวเองอาจจะหลง ขออภัยมหาบัวอาจหลง หรือไม่หลง แต่รู้ หรือหลง หลงว่า ตัวเองเก่งตัวเองมีค่าหลงความนับถือก็เลยใช้วิธีการเรี่ยไร อ้างอิงประเทศ เอามาช่วยประเทศ คนก็ศรัทธามาช่วยเสร็จแล้วทำจริงด้วยนะ อันนี้ก็เป็นความดีของท่าน เอาเข้าคงคลังของประเทศเลย ทั้งธนบัตรและทองคำ คนก็ยิ่งเห็นดีก็ยิ่งเอามาให้เป็นความศรัทธาซับซ้อน ก็ได้ชื่อเสียงขึ้นแป้น 

ถ้าท่านรู้ตัวว่านี่คือความหลอก ท่านแย่ แต่ถ้าท่านไม่รู้ตัวว่าท่านหลอกก็คือติดนะ อติมานะ ติดยึดในคุณความดี จริงที่เป็นคุณความดีช่วยประเทศชาติ แต่ช่วยอะไรก็คือเรี่ยไรเอาเงินของคนอื่นมาให้ แล้วคุณก็ได้ชื่อเสียง ได้รับความยอมรับสรรเสริญเป็นความซับซ้อนในการหาชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง เก่งไหม เก่ง จะว่าเก่งก็เก่ง ถ้าหลงก็ยิ่งนาน ถ้าไม่หลง รู้ทั้งรู้แล้วทำก็ยิ่งแย่ โกหกเขา นี่คือสิ่งที่ต้องศึกษาเล่าเรียนกันอย่างสำคัญ 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 18:26:24 )

ความชิบหายทั้งมหาเอกภพ

รายละเอียด

อย่าหลงปัจจุบันหรือตีทิ้งลบหลู่อดีตเด็ดขาดไม่อย่างนั้นคุณจะแย่ที่สุดยอดที่สุด และไร้ค่าที่สุด หรือคุณจะสูญเสียทุกอย่างชนิดที่ไม่มีอะไรเสียได้เท่าอีกแล้วในภาวะที่เรียกว่าความชิบหายทั้งมหาเอกภพ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2562 ( 07:26:24 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 16:50:43 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 04:53:42 )

ความซวยของผู้ไม่มีหิริโอตตัปปะ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ลักษณะที่จะละอายอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า แล้วก็จะเคารพอย่างแรงกล้า นับถือรักอย่างแรงกล้า ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในปัญญาข้อที่ 2 ข้อที่ 1 มันจริงอย่างนั้นเลยนะ นี่ตัวสภาวธรรมมันจะเกิดอย่างนั้นจริงๆ เลย 

แต่ถ้ายังไม่ทำ ไม่รู้จะข้ามไปอีกกี่ชาติก็ไม่รู้ ยิ่งเกิดมาแล้วคุณก็ถูกวิบากหายไปไกล ไม่ได้เวียนมาพบอาตมาเลย หรือไม่เวียนพบโพธิสัตว์ในระดับที่ควรจะมี คุณจะมีกุศลร่วมกับโพธิสัตว์ที่ได้ทำกุศลร่วมกันมาไหมล่ะ แล้วจะไปรู้ได้ยังไง ใช่ไหม ถ้ามันไม่มี คุณก็ซวยไปอีกไกลเลย ถ้ามีบ้างก็ยังดี เพราะโพธิสัตว์ไม่ได้มีอาตมาองค์เดียว องค์อื่นก็มี อาจจะได้ทำกับคนนั้นคนนี้บ้าง ก็เอาเถอะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ นำปฏิญาณศีล 8 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 10:31:55 )

ความซับซ้อนของกรรมของวิบาก ยากที่จะเข้าใจ

รายละเอียด

ความซับซ้อนของกรรมของวิบากพวกนี้เยอะ ละเอียดลออ ยากที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้นเทวนิยมไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก ทางสายเทวนิยมเรื่องโลกีย์เขา ศาสนาอื่น ศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เขาก็วนเวียนอยู่ในวงวัฏสงสาร วนเวียนอะไร ใช้หนี้กัน และกัน 

ได้เปรียบกันก็ไปเป็นผู้อยู่เหนือ ลดลงมาเสียเปรียบมากที่สุด มาอยู่ล่างที่สุด ดูอย่างอินเดีย จนกระทั่งยึดชั้นวรรณะ ชั้นต่ำสุด ชั้นศูทร ต่ำกว่านั้นไม่ต้องพูดเลย จัณฑาลไม่ต้องพูดเลย ถูกเหยียบย่ำขนาดเหมือนกับไม่ใช่คน เป็นยิ่งกว่าสัตว์ สัตว์เขายังแตะต้องนะ แต่จัณฑาลยิ่งกว่าวัวกว่าควาย วัวนี้คนอินเดียเขายกมือไหว้นะ แต่จัณฑาลนี้เข้ามาใกล้ เข้ามาเหยียบพื้นเหยียบที่ เขาใช้น้ำนมล้างเลยนะ ซึ่งมันรุนแรงมากเลยในเรื่องของการแบ่งชั้นวรรณะ 

เพราะฉะนั้น อันนี้เขาอยู่ได้ คนของเขาตั้งพันกว่าล้าน เขาต้องอยู่แบบนี้ แล้วเขาก็ซื่อ อินเดียเป็นพวกซื่อ ยอม ยอมจริงๆเลยนะ ขนาดที่ให้จัณฑาลอาบน้ำชั้นล่าง คนอื่นเขาอาบชั้นบนมา หลายชั้นแล้ว ชั้น พราหมณ์  กษัตริย์ แพศย์ ศูทร จันฑาลขึ้นไปไม่ได้ เขาถือว่าละเมิด บาป เป็นเทวนิยม ที่จริงมันก็ดี ทำให้ไม่วุ่นวาย ไม่สับสน ไม่แย่งชิง มันก็อยู่กันรอด 

ส่วนฝ่ายคนจีนนั้นฉลาดสายปัญญา ก็มีชั้นวรรณะน้อย ฝ่ายตะวันตก ฝ่ายยุโรปเป็นเทวนิยมอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่ปัญญานิยม ไม่ใช่สายเอเชีย เขาก็แบ่งชั้นวรรณะของเขาอีกแบบหนึ่ง แบ่งสีผิวแบ่งฐานะ แบ่งอำนาจทางโลกอะไรต่ออะไรกัน เขาแบ่งอีกมุมนึง อีกเหลี่ยมมุมนึง อีกมิตินึงไป เสร็จแล้วมันก็คือเบียดเบียนกันเหยียดกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงาน ปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 22 เมษายน 2566 ( 15:37:46 )

ความซับซ้อนของทานที่เป็นความโง่

รายละเอียด

แน่นอน อย่างมหาบัวเรี่ยไรเงิน เขามาให้ท่านนะ แต่ท่านฉลาดซ้อน ทุนนิยมสามานย์ร้ายกาจ ว่าเอาให้ชาติ แล้วท่านมีสัญญาด้วยนะว่า อย่าเอาไปใช้นะ ให้เป็นเงินคงคลังนะ แต่ป่านนี้คงเอาไปใช้ เพราะฉะนั้นในจิตของมหาบัว ไม่ได้พรากว่า ไม่ใช่ตัวกูของกูเลย ยังเต็มไปด้วยตัวกูของกูเต็มบ้องเลย แต่เป็นนามธรรม ที่มันเป็นความโง่ยิ่งกว่ารูปธรรม 

เพราะรูปธรรม หากเรายึดถือเป็นเราเป็นของเรากอบโกยเป็นของเรา คนก็จะเห็นว่าน่าอาย แต่นี่คนไม่รู้ ว่าเป็นของกู หลงเป็นของกูยิ่งใหญ่ ชาตินี้กูช่วยไว้ ประเทศนี้กูช่วยไว้ มหาบัวไม่รู้ว่าตนเองยึดถืออย่างนั้น แล้วซ้อนอีกว่า บอกตนเองบริสุทธิ์ไม่เอามาเป็นของตัวสักบาทเดียว บริสุทธิ์ เอาไปไว้ให้แบงค์ชาติ ไม่เป็นของตัวเลย ยิ่งเป็นของตัวที่ยิ่งใหญ่ นี่แหละคือความซับซ้อนของสิริมหามายา ที่ไม่รู้เท่าทัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ทุนนิยม‌คือ‌ ‌Infinity‌ ‌แต่‌บุญ‌นิยม‌​‌นี้‌ ‌0‌ ‌ยิ่ง‌กว่า‌ ‌0‌ วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2565 ( 04:57:57 )

ความซับซ้อนของมหาบัวคนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ

รายละเอียด

อิทธิวิธญาณมีฤทธิ์เดชอำนาจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจให้คนหลงตกในอำนาจอย่างมหาบัว หรือธัมมชโยมีหลากหลายไม่ได้ซื่อตรงอย่างมหาบัว คุณเข้าใจไม่ได้ง่ายๆหรอกเขาหวังดี แต่ความซับซ้อนของมหาบัวมีอัตตาสูง จนหลงอัตตาตัวเอง ภาคภูมิ ที่จริงเป็นภพชาติของพรหมชั้นสูง เป็นผู้ที่มีประโยชน์คุณค่าต่อประเทศชาติ เอาทองคำเข้าคลัง แล้วตัวนั้นก็มีจริงคนก็ต้องยอมรับ แต่อัตตาของมหาบัว คนไม่รู้จักมหาบัวติดยึดเท่าไหร่ ข้องอยู่ในถ้ำหนักเท่าไหร่ในตัวมหาบัวอันนี้สิเป็นธรรมะ

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 22 ธันวาคม 2562 ( 15:42:25 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:49:40 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 04:54:24 )

ความซับซ้อนของมหาบัวคนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ

รายละเอียด

อิทธิวิธญาณ มีฤทธิ์เดชอำนาจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจให้คนหลงตกในอำนาจอย่างมหาบัวหรือธัมมชโย มีหลากหลายไม่ได้ซื่อตรง อย่างมหาบัว คนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆหรอกเขาหวังดี แต่ความซับซ้อนของมหาบัว มีอัตตาสูงจนหลงอัตตาตัวเอง ภาคภูมิ ที่จริงเป็นภพชาติของพรหม ชั้นสูง เป็นผู้ที่มีประโยชน์คุณค่าต่อประเทศชาติเอาทองคำเข้าคลัง แล้วตัวนั้นก็มีจริงคนก็ต้องยอมรับ แต่อัตตาของมหาบัว คนไม่รู้จักว่ามหาบัวติดยึดเท่าไหร่ ข้องอยู่ในถ้ำหนักเท่าไหร่ ในตัวมหาบัว อันนี้สิ เป็นธรรมะ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2562 ( 14:33:22 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 16:51:44 )

ความซับซ้อนของสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนเป็นไฉน

รายละเอียด

ท่านบอกว่าอย่าสาเปกโข อย่าไปหวัง ให้มันจบในตัว เวลาทำอะไร ทำทาน ทำทานคือการให้ ให้ก็จบแล้ว แต่ไปสร้างสวรรค์ต่อ ต้องมีสวรรค์ ต้องมีวิมานในอนาคต อยากได้แดนสวรรค์ แน่นอนนรกต้องมาแน่ ฟังจากการเทศน์บรรยาย ให้อยากได้สวรรค์มากมายกี่ชั้นๆยิ่งจะซวยหนักยิ่งจะโง่หนัก หลงผิด นี่คือความซับซ้อนของสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ภาษาเรียกว่าคัมภีรา หรือเป็นปฏินิสสัคคะ ทั้งๆที่มันไม่มีสวรรค์แต่ก็ชวนไปเป็นสภาพสวรรค์นรกอีกเป็นธรรมะมี action reaction คุณเกิด action ก็ต้องมี reaction เป็นของคุณ คุณก็โง่ทำ action อีก ยิ่งมากยิ่งหนักขึ้นไปเรื่อยๆ ซับซ้อน มันก็เลยเป็นเรื่องซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนหนักด้วยอวิชชา

หากไม่อยู่ในหมู่มิตรดีสหายดีอยู่โดดเดี่ยว ไม่มีผู้ที่จะช่วย โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อเป็นพี่ที่จะช่วยเราเลี้ยงเราขึ้นมาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่ไม่มี ก็ยิ่งจะยาก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึกครั้งที่ 37 วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน 2561 


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:15:23 )

ความซับซ้อนของอรูป

รายละเอียด

คนโลกียะนั้นเหน็ดเหนื่อย หนักหนาสาหัส ไม่รู้จักการเหน็ดเหนื่อย คนโลกียะนั้นเหน็ดเหนื่อย หนักหนา สาหัส จะเป็นจะตายกันก็แต่ว่า ใครจะหาทางได้ลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุดเก่งกว่ากัน 

ดูเหมือนว่าเราไม่เอาลาภ ก็คือทรัพย์สินวัตถุ ของหยาบๆ เราไม่เอาหรอก แล้วก็แข่งกัน“หาเสียง” ว่า “ข้านี่แหละ” ตนเองนี่แหละจะเป็นผู้ทำให้คนร่ำรวย อยู่ดีมีสุขกับการมีลาภ เสพลาภ มียศ เสพยศ มีสรรเสริญสักการะมากยิ่งๆ ก็เสพ สรรเสริญสักการะ ได้ยิ่งๆ อยู่นานยิ่งๆ เสพกันให้หนักยิ่งๆ

เราไม่ได้ต้องการลาภที่เป็นวัตถุทรัพย์สิน แต่เรายินดีในวัตถุทรัพย์สินที่ดูเหมือนว่าไม่ใช่ของเรา แต่เรามีส่วนที่จะกำหนดทรัพย์สินนั้น ดีไม่ดีเรามีสิทธิ์เป็นหนึ่ง คนอื่นไม่มีสิทธิ์ด้วยในทรัพย์สินนั้น แต่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในตัวเรานะ ไม่ได้ปรากฏอยู่ที่ตัวเรา ยิ่งสมัยนี้อยู่ในมูลนิธิ อยู่ในแบงค์มันยิ่งชัด อยู่ในอะไรก็แล้วแต่แฝงๆอยู่ เป็นองค์รวม แต่เรามีสิทธิที่จะสั่งการ บัญชาการทรัพย์สินนั้นๆ นี่ซับซ้อนเหมือนไม่มี

หรืออันนี้ยิ่งซับซ้อนเป็นอรูปเลย เรานี่ทำให้คนนับถือเชื่อถือได้ จนกระทั่งถ้าต้องการเมื่อไหร่ พูดไปปั๊บ คนนำมาให้เลย มากมายเลย ถ้าต้องการที่จะทำ

เขาจะรู้หรือไม่รู้ว่าเราต้องการทำอะไรก็ตาม พอบอกว่าเอามาใช้ประโยชน์อันนี้ เขาจะเอามาให้ทันที เหมือนอย่างกับมหาบัวบอก จะเอามาเข้ากองคลังให้รัฐบาล คนก็เอามาให้สิ แต่ตัวเองเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้าทรัพย์อยู่นั่นแหละ จิตตัวเองผูกพัน พูดเมื่อไหร่ก็บอกว่าบริสุทธิ์สะอาด เอาเข้าคลังหมด ไม่ว่าดอลล่าร์หรือทองคำ พูดเมื่อไหร่ก็เป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเกาะทรัพย์เฝ้าทรัพย์นั้นอยู่ อย่างนี้เป็นต้น มันไม่รู้ง่ายหรอก จิตที่มันมีอุปาทานยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรานี้มันไม่ง่าย เป็นการยึดถือ 

แม้แต่บางคนบอกว่า ลาภนี้เราไม่เอาแล้วเราสบาย ซับซ้อน คนที่มียศ มีสักการะ สรรเสริญ มีคนมาให้ความสักการะสรรเสริญจริงๆ ผู้ที่ได้รับการสักการะ สรรเสริญ อย่างมีคนนับถือ เชื่อถือมาก ต้องการลาภเมื่อไหร่ก็ได้ง่ายทันที จะเอามาใช้อะไรสำคัญๆ คนเชื่อถือเพราะว่ามีความรู้มีความเข้าใจเรื่องโลก เรื่องธรรมอะไรลึกซึ้ง ต้องการเมื่อไหร่ก็ได้มา เพราะฉะนั้นลาภมันก็อยู่ในตัวกับสรรเสริญกับสักการะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 1 วันพุธที่ 29 มีนาคม 2566 วันขึ้น 8 ค่ำ เดือนห้า ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 พฤษภาคม 2566 ( 20:28:14 )

ความซับซ้อนค่าของเงินกับค่าของอาหาร

รายละเอียด

ถ้าจะพูดความซับซ้อนค่าของเงินกับค่าของอาหาร ที่คนบริโภค มันเทียบค่ากันไม่ได้เลย เทียบไม่ได้เลยในความจริง ด้วยความจริง ด้วยความต้องการจริงๆ เงิน ให้มีค่าราคาแพงเลยในโลกขณะนี้ ไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม ค่าของเงินที่สูงสุดตอนนี้ เงินปอนด์อังกฤษสูงสุด ต่อให้สูงสุดที่สุดเลยในโลกกับเม็ดข้าวเนี่ย เด็กก็คิดได้ เอาเข้าจริงๆแล้ว มันหิวมา มันไม่เอาหรอกเงิน ยิ่งมันหาข้าวไม่ได้ มันจะต้องรีบแย่งข้าวก่อน

เพราะฉะนั้น ในสังคมที่มีความคิด หรือมีความรู้ของศาสนาพระพุทธเจ้าสอนความรู้ให้เข้าใจ ให้คิด แล้วก็รู้ความสำคัญของชีวิต รู้ความสำคัญของสิ่งที่จะสร้าง แล้วก็เห็นความสำคัญของความเป็นชีวิตกับสิ่งที่จะสร้างขึ้นมา ก็ใช้เวลาแรงงานทุนรอน สร้างสิ่งที่ควรสร้าง แล้วก็ยังชีพไป อยู่อาศัยสิ่งที่เราสร้าง สร้างให้มาก สร้างให้เหลือ ให้เกินกินเกินใช้ แล้วก็แจกคนอื่นเผื่อแผ่แบ่งปัน จะขายบ้างเอามาเพื่อความจำเป็น ถ้าไม่จำเป็นก็แจกไปเลย อย่างที่ชาวอโศกเราฝึกฝนตนเอง กระทำ ประพฤติ 

อาตมาเชื่อว่าสัมมาทิฏฐิอันนี้ของชาวอโศก เด็กๆ ก็เริ่มเข้าใจ ผู้ใหญ่เข้าใจหมดแล้ว แล้วจะกล้าหาญที่จะอยู่กันอย่างระบบสาธารณโภคี ไม่ต้องสะสมเลย สร้างสิ่งที่ต่างคนต่างช่วยกันสร้าง แหม.. ต้องขยายความประกอบนิดหน่อยจะเข้าใจยิ่งขึ้น อย่างราชธานีอโศกตอนนี้สร้างแม่น้ำ ลำธาร ภูเขา สร้างต้นหมากรากไม้ สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็พร้อมขึ้นมาประกอบให้มันบริบูรณ์ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 8 พ่อครูพบคุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มกราคม 2566 ( 12:48:04 )

ความซับซ้อนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเกี่ยวกับมนุษย์พืช

รายละเอียด

ความเป็นชีวะในระดับพีชะนี่แหละ คนไม่เข้าใจความซับซ้อน ทำจิตให้เป็นพีชะ แล้วยึดมั่นถือมั่นเป็นอัตตา แต่ไม่ใช่เป็นพีชะสมบูรณ์แบบ คือยึดสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณของตัวเองเท่านั้น

อย่างมนุษย์พืชมีชีวะ แต่ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญญากับสังขาร ปรุงแต่งกันอยู่ มนุษย์พืชมีสังขารกับสัญญา 

ผู้ที่นั่งหลับตาสมาธิ แล้วก็สะกดจิตตัวเอง ไม่รับรู้ภายนอก ไม่รับรู้เวทนา ไม่เป็นวิญญาณ กลายเป็นวิญญาณที่ผู้กำหนดตัวเองให้ไม่รับรู้อะไร รู้แต่ในสัญญากับสังขารของตัวเอง เสร็จแล้วก็ตาย เป็นมนุษย์พืชตายแล้วก็ไม่ยอมเน่า เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ 

ธรรมชาติของสัตว์ตายแล้วก็เน่าเปื่อยสูญสลาย แต่นี่ไม่เป็นธรรมชาติตายแล้วก็ยังเป็นตัวกู ถ้าให้อาหารไปก็เหมือนมนุษย์พืช จะอยู่ได้อีกนานเหมือนมันอยู่ในห้อง ICU จนกว่า ธาตุขันธ์ อวัยวะต่างๆไม่ทำงานแล้ว ไม่งั้นก็เลี้ยงไปจนกว่าจะไป อย่างที่เห็นกันอยู่ มันทรมานมากเพราะไม่เข้าใจ ทรมานทั้งผู้อยู่ ทั้งผู้ที่เป็นมนุษย์พืชเอง ทำให้ผู้ที่ต้องดูแลเป็นภาระ มีเครื่องมือเครื่องไม้ต่อลมหายใจไป ให้เขาทำแทนหมด เป็นเรื่องน่าสงสารสมเพชเวทนาในความไม่รู้พวกนี้ ที่เป็นภาระ เห็นความไม่รู้จักกรอบที่ตัด กลายเป็นเรื่องไม่เข้ารูปเข้ารอยอะไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 10 วันจันทร์ที่ 20 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2565 ( 11:28:20 )

ความซับซ้อนลึกซึ้งคำว่า กาย

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในความซับซ้อนลึกซึ้งพวกนี้ คำว่า กาย เป็นทั้งคำต้นในศาสนาพุทธ เป็นทั้งคำในขั้นต่อมา ขั้นปฏิบัติต่อมา ถ้าแบ่ง 3 อย่างก็เป็นต้น กลาง ปลาย มีทั้ง 3 ระดับสำหรับ กาย ไม่ขาด 

หรือจะไม่มีกาย หมายความว่าอะไร จิตไม่มีกายแล้ว จิตมีแต่อาการหรือกิริยา หรือลักษณะ เหลือแค่อาการของพีชะ เราก็อาศัยพีชะ ทำให้มันเป็นอุตุเลยก็อาศัยได้ เราก็ต้องอาศัยทั้งอุตุและพีชะอาศัยทางจิต 

อุตุนิยาม ก็ต้องเข้าใจนิยามของมันว่าอุตุขนาดไหน ทำความเข้าใจคำจำกัดความว่า มันคืออย่างนี้อย่างนี้คืออุตุ คือดินน้ำไฟลมคือสิ่งที่เป็นวัตถุ เป็นสสาร หรือจะเป็นพลังงานก็เป็นพลังงานทางสสารวัตถุ ไม่มีชีวะเข้าไปเกี่ยวข้อง นั่นคือกรอบของอุตุ 

กรอบของพีชะ คือมีพลังงานความเป็นชีวิตแล้ว เพราะฉะนั้นขั้นเป็นชีวิตนี้ เราก็อาศัยขั้นนี้ได้ เพราะในขณะที่จิตของเราทำให้มันลดระดับความติดยึด ความเป็นอาการ ความเป็นกิริยา ความเป็นพลังงานในระดับที่มันเป็นจิตนี่ เกี่ยวข้องกับอะไรก็แล้วแต่ เกี่ยวข้องกับสัตว์  เกี่ยวข้องกับพืช เกี่ยวข้องกับคน คนนี้คือจิตวิญญาณแล้ว สัตว์พืชคน 

คุณก็สามารถทำจิตของเราสัมผัสเกี่ยวข้องกัน ทำงานร่วมกัน ไม่ให้เกิดอาการ 1.ทำได้ไม่เป็น กาย ในระดับที่ไม่เป็นกายอย่างสนิท จึงคืออุตุ มันไม่มีกายแล้ว ไม่ถือว่ามีกายแล้ว แต่มันยังมีชีวะเกี่ยวเนื่องอยู่กับเรา ถ้าอยู่ภายนอกก็มี แต่ไม่มีทุกข์มีสุขแล้ว ถ้าเป็นภายนอกเกี่ยวข้อง เช่น ผมยังยาวออกไป เออ.. ผมก็เป็นชีวะอยู่กับตัวเราอยู่แต่มันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีบาปไม่มีบุญ นี่แหละจะเป็นฐานที่คุณจะบรรลุ บรรลุอาริยะ บรรลุโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ได้ก็ต้องรู้อันนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ นำปฏิญาณศีล 8 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 05:55:04 )

ความซับซ้อนลึกซึ้งในตำนานประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธ 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทำสำเร็จได้ในสงฆ์ของท่าน ตามหลักพระธรรมวินัย แม้ในทวีปอินเดียมีแคว้นใหญ่แคว้นโกศล แคว้นมคธ พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร เป็นแคว้นใหญ่มาก ในอินเดีย เป็น 2 แคว้นใหญ่ในทวีปอินเดีย พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นรัฐเป็นประเทศของท่านเล็กๆ แคว้นสักกะไม่ใหญ่เลย แต่ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสารยอมยกให้เลยให้เป็นอาจารย์ ให้เป็นปุโรหิต เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่ท่านได้สิทธิอันนี้ จากผู้ยิ่งใหญ่คือพระเจ้าปเสนทิโกศล และพระเจ้าพิมพิสารแคว้นมคธ ทั้งสองพระองค์ยกให้เลย 

ยกให้ถึงขนาดในตำนานมีว่า พระพุทธเจ้าทูลถามพระเจ้าอชาติศัตรู ตอนนั้นพระเจ้าอชาตศัตรู ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร พระพุทธเจ้าลองถาม ถ้าคนของท่านเป็นคนใกล้ชิดเลย ตื่นก่อนนอนทีหลัง รับใช้อย่างใกล้ชิดเลย ท่านรักมาก เพราะว่าเป็นผู้ที่ใกล้ชิด ซึ่งพระองค์รักมาก พระพุทธเจ้าถามว่า ถ้าจะเอาคนนั้นมาบวชในลัทธิของพระพุทธเจ้า มาเป็นคนของพุทธเจ้าท่านจะว่าอย่างไร 

พระเจ้าอชาตศัตรูนี้ไม่ได้บรรลุพระโสดาบัน เพราะว่าท่านได้ทำอนันตริย
กรรมคือประหารพระราชบิดา ขนาดนั้นนะ ขนาดพระเจ้าอชาตศัตรู ที่มีปัญญาเป็นโสดาบันไม่ได้ แต่ก็มีความเฉลียวฉลาดมากพอที่เห็นความสุดยอดประเสริฐของพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าตรัสถามแบบนั้น คนของท่านมาอยู่กับเราแล้วท่านจะทำอย่างไร พระเจ้าอชาตศัตรูก็บอกว่าก็ต้องสนับสนุนเขาให้อยู่เลย ให้เจริญเลย.. พระพุทธเจ้าว่า แล้วไม่เอาคืนหรือ.. ไม่เอาคืนหรอก สนับสนุนให้เขาทำเลย มาทางนี้เจริญที่สุด ถึงอย่างนั้น
เหรอ ถึงอย่างนั้นเลย มันเป็นความซับซ้อนลึกซึ้งมากในตำนาน ในประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูพบคุณตู่-จตุพร และทนายนกเขา ดำเนินรายการโดย คุณสุชัย เจริญมุขยนันท์ วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2565 ( 12:24:43 )

ความซับซ้อนในคำสรรเสริญ

รายละเอียด

ความซับซ้อนแก่ความหมายต้องคมชัดแม่นประเด็น พระพุทธเจ้าบอกว่าคำสรรเสริญเป็นสิ่งชั่วเป็นความหมายที่ลึกและกว้าง ในกว้างๆนั้นใครก็รู้ว่าคำชมคนก็ต้องชื่นชอบ เหมือนอย่างที่อาตมาได้รับคำชมเชยยกย่องให้ได้รางวัลฟังพระเทศน์เขาเขาก็ให้มา เขาก็เป็นองค์กรหนึ่ง ในประเทศเกาหลีเขาให้มา ให้มาแล้วเขาก็มาถามใจอาตมา ว่าท่านรู้สึกอย่างไร จะให้อาตมาพูดว่าเขาสรรเสริญเราเป็นสิ่งชั่วจะให้พูดอย่างนี้หรือ ? เราจะไปพูดอย่างนี้ทำไม ถึงไม่พูดความจริงแล้ว ซ้อนลึกลงไป เขาสรรเสริญอะไร? เขาสรรเสริญว่าเราเป็นผู้เผยแพร่ เป็นผู้สร้างให้เกิดความมีสันติภาพ อาตมาได้รับรางวัลในประเด็นการนำสันติภาพมาสู่สังคมโลกมนุษย์ ซึ่งมันลึกซึ้งมากและกว้างขวางมาก นี่เป็นประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ เขาไม่ได้หมายความว่า เป็นคนทำเฉพาะประเทศเขา เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมันไม่ใช่มันเป็นสากล มันเป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากเหมือนกัน แต่มันเป็น มันมีเหตุปัจจัยอะไรต่างๆนานา แล้วทำจริงขึ้นมาด้วย เกิดผลพิสูจน์ยืนยัน มีสิ่งปรากฏสภาพให้เห็น ว่ามันเกิดสันติภาพ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2563 ( 09:45:14 )

ความซื่อสัตย์ยิ่งใหญ่มาก

รายละเอียด

ความซื่อสัตย์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ความซื่อสัตย์นี้ยิ่งใหญ่มาก ใครก็ต้องยอมรับว่าพลเอกประยุทธ์นี้ซื่อสัตย์ เพราะฉะนั้น พลเอกประยุทธ์มีตัวเด่นคือซื่อสัตย์กับทำงานรับใช้ประชาชน 2 อย่างนี้ ที่เด่นดังอยู่ทุกวันนี้ พลเอกประยุทธ์มี 2 อย่างนี้ของประชาธิปไตยคือซื่อสัตย์กับรับใช้ประชาชน และ 3 คือมีสมรรถนะมีความรู้คือสามารถสร้างสรรค์ช่วยเหลือมนุษยชาติ ก็เห็นความเสียสละของพลเอกประยุทธ์อยู่อย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นขั้นไม่มีตัวตนก็อาจจะยังไม่ถึงขั้นบริบูรณ์ในตัวนั้น แต่เสียสละซื่อสัตย์ มีสมรรถนะมีความรู้ กับรับใช้ประชาชนนั้น พลเอกประยุทธ์มีอย่างเห็นๆ นี่ได้แสดงตัวเอง ได้ทำงานผ่านมา 8 ปี มีหลักประกัน มีสิ่งยืนยันใน กาละ เทศะ ฐานะ มาแล้ว

เพราะฉะนั้น คนจะมาแข่งขันนี้ อาตมาเคยพูดแล้วว่าในชีวิตของอาตมา อาตมาเกิด 2477 ประชาธิปไตยเมืองไทยประกาศ 2475 แต่มันยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นรูปร่างอะไรขึ้นมามากหรอก มันยังเป็นการเมืองที่เป็นเผด็จการ ยังไม่เข้าร่องเข้ารอยมานาน แต่มันก็เป็นประชาธิปไตยแบบไทยที่มีรากเหง้าของโลกุตรธรรม แม้ว่ามันจะไม่ขึ้นมาเป็นตัวทำงานข้างบน แต่อยู่ข้างใต้ Unconscious Subconscious ในจิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก มันก็ออกมาทำงานอยู่ อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 27 ตอบปัญหาให้ถึงสัมมาธิปไตย วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2566 ( 18:49:01 )

ความซ้อนของกาละ

รายละเอียด

ความเป็นปัจจุบันซึ่งที่มีทั้งที่เป็นปัจจุบันและทั้งอนาคตซ้อนกันอยู่

หนังสืออ้างอิง

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 298


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 22:22:25 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 15:44:03 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 04:54:50 )

ความซ้อนของความจริง

รายละเอียด

สรุปแล้วผู้ที่ยังจะต้องมีวิบากเป็นตำรวจเป็นทหารนั้นน่ะซ้อน ยกตัวอย่างอาตมาไม่รู้ประวัติของพลเอกประยุทธ์ ว่าได้ไปรบราในสนามรบใดหรือไม่ … (เสียงตอบ ไปรบเวียดนาม) เอ้อ รบ ก็ต้องมีวิบาก เพราะฉะนั้น มันก็ยังเป็นเศษส่วนของตัวอย่างที่จะต้องมีวิบากซ้อนอยู่อย่างนี้ 

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง อย่าง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไม่ได้ไปรบไปราอะไรกับใคร ท่านไม่มีวิบากใดเลย อย่างนี้เป็นต้น หรือแม้แต่รัชกาลที่ 10 ก็ไม่ได้รบรา นี่ก็เป็นสิ่งที่ซ้อนอยู่ในความเป็นประเทศไทย ท่านเป็นทหารนะ ที่จริงก็เป็นจอมพล เป็นจอมทัพเหนือกว่าพลเอกทั้งหมด เดี๋ยวนี้ไม่มีตำแหน่งจอมพลแล้ว ท่านเป็นจอมทัพ เหนือกว่าพลเอกทุกเหล่า ทหาร 3- 4 เหล่า 

เพราะฉะนั้น ในความซ้อนของความจริงเหล่านี้ ที่อาตมาพยายามอธิบายให้ฟัง ขออภัยที่จะต้องพูดความจริงอีกทีหนึ่งว่าอาตมาผ่านสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่ชาติก่อนๆ ผ่านมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 นี้ อาตมาผ่านมาหมดแล้วทั้งนั้นแหละ 

มาชาตินี้นี่เป็น นิยตโพธิสัตว์ ที่จะขึ้นไปเป็นมหาโพธิสัตว์และเป็นพระพุทธเจ้า มันรอบสุดท้ายแล้ว ที่จะมาเคยอธิบายว่าเป็นผู้ที่สอบจะขึ้นไปเป็นตำแหน่งพระพุทธเจ้าได้แล้ว 3 ตำแหน่งสุดท้าย   7 8 9 

จาก 5 6 ยังไม่ได้ อนิยตะ ยังไม่แน่นอน จะมาเป็นพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ อนิยตะ ยังไม่เที่ยง อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้น ในความซับซ้อนที่เมืองไทยแล้วก็มีความรู้ มีศาสตร์ มีพุทธศาสตร์ให้เราได้ศึกษาอย่างนี้ มันเป็นความรู้และเป็นศาสตร์ที่โลกในประเทศอื่นใดๆ เขายังไม่มี แม้จะมีประเทศที่เป็นเมืองพุทธ พลเมืองของเขาก็เป็นพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ เช่น ประเทศพม่า ประเทศเขมร ก็มีพุทธไม่ใช่น้อย ประเทศญวน ประเทศลาว ลาวก็มีน้อยแล้ว ไปเป็นคอมมิวนิสต์ซะหนัก แล้วแม้ประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่นเขาก็มีศาสนาพุทธ ประเทศศรีลังกาก็ตาม ก็ไม่สู้ประเทศไทย อาตมากล้าพูดได้ด้วยว่า ประเทศเหล่านั้นยังไม่มีโลกุตระ มีโลกุตระอยู่ในประเทศไทยนี้ประเทศเดียวขณะนี้ ใกล้กลียุคนี้มีอยู่ประเทศเดียว 

และแม้จะมีอยู่ประเทศเดียวก็ยังมีจำนวนปริมาณมาก ใช่ไหม โลกุตระในเมืองไทยนี้ยังมีจำนวนมากใช่ไหม (เสียงตอบ ไม่ใช่) เออ ฉลาด มีน้อย ก็มีอยู่แค่นี้เอง กระจิบแค่นี้ น้อย นี่ก็ยืนยันสัจจะว่า มันเป็นความเสื่อมใกล้กลียุค มันเป็นยุคที่มันยากแล้วในโลกุตระ แต่มันยังเหลือความจริงยืนยันพิสูจน์อยู่ในโลก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 42 ประชาธิปไตยโลกุตระที่มีอายะ 3 และ อธิปไตย 3 วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2567 ( 19:51:56 )

ความดับที่ถาวรที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความดับที่ถาวรที่สุด ให้แก่จิตวิญญาณตัวเองได้ จะไปดับโลกเขาไม่ได้ โลกนี้พระเจ้าเป็นผู้สร้าง ก็ให้พระเจ้าเป็นเจ้าของ แต่สำหรับคนแต่ละคนนั้น ไม่ต้องไปคิดว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน จะจริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่ แต่มันมีโลก มันมีธรรมชาติทุกอย่างเกิดขึ้นอยู่ ตั้งแต่เป็นอวกาศ มีอะไรทั้งหมดมาเลย มี Big Bang มีเนบิวล่า มี Galaxy จนกระทั่งมาเป็นโลก มาเป็นจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ และก็มีชีวะ เกิดพีชนิยาม จิตนิยาม ขึ้นมาในโลกลูกหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตามลำดับว่า ในธรรมชาติมันพัฒนาของมันเอง ตั้งแต่อุตุนิยาม มาเป็นพีชนิยาม แล้วมาเป็นจิตนิยาม จนกระทั่งมาเป็นคน เป็นคนที่ฉลาด คนประเสริฐ เป็นอาริยบุคคล จนเป็นพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ในจิตนิยามมีตัวตน จนกระทั่งท่านตรัสรู้ว่า ตัวตนนี้มันก็ ถ้าไม่รู้มันก็อยู่เป็นตัวตนนิรันดรเหมือนเทวนิยม ถ้าไม่มีปัญญา ไม่เกิดความรู้ขั้นโลกุตระสุดยอดเลย ก็จะเป็นจิตนิยามอยู่นิรันดร 

อยู่กับโลกียะ หมุนเวียนตาย ตายแล้วก็เกิด แต่ลัทธิที่เป็นเทวนิยมเยอะมากที่เขาไม่รู้จักการเวียนตายเวียนเกิด เขาไม่รู้ เขารู้แต่ว่าเกิดเป็นคนตายเสร็จแล้วในชาติเดียวก็ต้องไปอยู่กับพระเจ้าต่อ ตายปุ๊ป ไปอยู่กับพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะให้เกิดมาต่ออีกไหม ก็ไม่ได้อธิบาย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 48 อยากหมดอวิชชาต้องเริ่มคบพ่อครูผู้สัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 19:52:06 )

ความดีของพระพุทธ

รายละเอียด

ดีคืออะไร ดีคือไม่ทุจริตก็ถูกต้อง แล้วก็พอเข้าใจเหมือนกันว่าดีคือผู้ต้องเผื่อแผ่เจือจานแก่ผู้อื่น เขาก็ทำได้ ทำให้โลกอยู่ได้ แต่ของพุทธเจ้าก็รู้การทำดีเหมือนเขาแต่เติมเพิ่มไปอีกคือมีนิพพาน เขาวนเวียนชาติแล้วชาติเล่า เป็นคนดีแล้วก็เป็นคนเลวมีทุกข์ก็มีสุขมีสุขก็มีทุกข์ ไม่เที่ยง แต่ว่าเขาระลึกถึงไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 01 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:23:09 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 16:52:35 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 04:55:22 )

ความดีความชั่วก็คือความวนเวียน

รายละเอียด

 ศาสนาของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งซับซ้อนกว่านี้ ว่าความดีความชั่วก็คือความวนเวียน เมื่อทำดีได้ก็ดีต่อไป เสร็จแล้วเมื่อนานๆเข้า ลาภก็จะเยอะ ยศก็จะเยอะ สรรเสริญก็จะเยอะ มีความสุขเยอะแยะก็จะหลงความสุข ได้บัลลังก์ ก็จะยิ่งมากขึ้นเพราะทำได้ผลส่งผลให้เราเสวยกุศลอันนี้ เสร็จแล้วพอไปได้มากขึ้นก็เหลิงหลงตัว ทำชั่วทำอะไรขึ้นมา ยิ่งจะผยองอวดดี ก็จะตกอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วก็ต้องมาใช้หนี้ใหม่สร้างตัวเองขึ้นมาใหม่อยู่แค่นี้แหละ นรกสวรรค์สวรรค์นรกสุขทุกข์อยู่แค่นี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561

ที่ปฐมอโศก สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน ทำอย่างไรจะหายกลัวตาย


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:05:50 )

ความดีความชั่วเป็นเรื่องไม่เที่ยง ขึ้นอยู่กับ กาละ เทศะ ฐานะ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำกิเลสดับหมดเลยสูญแล้ว แล้วจะไปมีอะไรต่อได้อีกล่ะ กิเลสมันหมดแล้วหมดกิเลสแล้ว กิเลสไม่มีแล้ว แล้วได้สิ่งที่ทำอย่างมีปัญญารู้อยู่ด้วยว่า ความดี พฤติกรรมที่จะเป็นความดี แม้แต่จะเป็นสมมุติ เราก็มีปัญญารู้ว่า ดีที่สอดคล้องทางสังคมที่เขานิยม เราก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขา 

เพราะความดีก็เป็นสมมุติทั้งนั้นแหละที่ใช้ตาม กาละ เทศะ ฐานะ ที่ไม่เที่ยง เพราะความดีมันไม่เที่ยง ความดีความชั่วเป็นเรื่องไม่เที่ยง มันเป็นเรื่องขึ้นอยู่กับ กาละ เทศะ ฐานะ ในยุคนี้กาลนี้แม้แต่ภูมิประเทศต่างๆก็ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกันฐานะของตัวบุคคลเอง มันก็ไม่ได้เที่ยง มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยแวดล้อม เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่อาศัย ส่วนตัวเองนั้นสูญแล้ว จะเป็นอย่างไรก็ได้ มีก็ได้ไม่มีก็ได้สูญแล้ว จะเลือกเป็นอย่างไร มีเท่านี้กับเขาก็ได้ไม่มีเลยสูงสุดแล้ว สูญไม่มีเลยก็ได้ มันก็จบอย่างนี้เป็น 

เพราะฉะนั้นอาตมาพยายามจะวิเคราะห์วิจัยในเรื่องของผู้ที่ทุกวันนี้ ขอย้ำหัวตะปูพวกที่พูดมาก พูดคุยโม้ พูดโอ้อวด แต่ยังไม่ได้กระทำ หรือกระทำไม่ตรงตามที่พูด 

การพูดกับการลงมือกระทำที่เกิดผลจริงนี่แหละ ขณะนี้มันมีเยอะ นักการเมือง นักอะไรก็แล้วแต่ขี้โม้ขี้โอ่ขี้อวด พูดอย่างไรก็พูดได้ การพูดกับลงมือทำเกิดผลจริงมี 2 อย่างนี้ เป็นตัวชี้วัดตัดสิน ตัดสินกันว่าอย่างไรมันจะเป็นความจริงที่แท้จริงกว่ากัน ที่พูดโวๆๆๆ คุยโม้ไป กับมีผลที่เขาทำแล้วลงมือทำมีผลเกิดจริงแล้ว อย่างพวกเราทำมีผลเกิดจริงชื่อว่าความจริง ไม่ใช่พูดนี้ยังไม่ได้ทำกับไอ้ที่ทำแล้วมีผลจริงอันไหนมันจริงกว่ากัน ... อย่าตอบอย่าตอบเดี๋ยวสอบตก อาตมาไม่ได้ถามให้ตอบ ก็เดี๋ยวตอบผิดจะสอบตกไม่เอา มันไม่ได้ยากอะไรเลย ง่ายจะตายเห็นกันชัดๆ 

เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เราอย่าไปเชื่อน้ำมนต์ที่ใช้ภาษาสวยๆ ว่า วาทกรรมกันเลย อย่าไปฟังพวกขี้โม้ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Big Word ถ้าพูดจริงเรียกว่า Great Word เกรทเวิร์ด มันต่างกันคนละอย่าง ขี้โม้เขาเรียกว่า Big Word ถ้าพูดแล้วจริงได้ ดีได้ เขาเรียกว่า Great Word 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ แสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์แนวคิดเศรษฐกิจของชาวโศกที่ทำจริงมีผลสำเร็จจริง วันพุธที่ 1 มีนาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 4 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 18:55:09 )

ความดีเป็นเครื่องอาศัยของตนเอง 

รายละเอียด

เจโตเริ่มนับตั้งแต่จิตนิยาม ตั้งแต่เดรัจฉานมา ไม่รู้สีรู้สามาตั้งแต่เดรัจฉาน จนกระทั่งมาถึงขั้นสัตว์ ขั้นมนุษย์ เป็น อเวไนยสัตว์มา จนกระทั่งเริ่มมีความรู้ตั้งแต่เริ่มเป็นกัลยาณธรรมแบบความดีความชั่ว แล้วก็เป็นคนดี ค่อยๆเข้าใจถึงเรื่องตายแล้วเกิด เรื่องตายเรื่องเกิด เวียนตายเวียนเกิด ความดีเท่านั้นเป็น กัมมปฏิสรโณ ความดีเป็นเครื่องอาศัยของตนเอง 

แต่ตราบใดที่ยังมีสรณะยังไม่เป็น อรณะ คุณก็ต้องพัฒนาให้พ้นจากโลกีย์ จนกว่าจะเข้าเขตโลกุตระ คุณจึงจะลด สรณะ เกี่ยวกับสภาพที่คุณจะต้องรบ ลดลงๆ มาหาอรณะหมดเลย ก็เป็น 2 คำใหญ่ สรณะกับอรณะ เป็นคู่ที่เข้าใจให้ได้ว่า ไอ้สิ่งที่ยังมียังไม่จบคือ สรณะ สิ่งที่มีแล้วจบคือ อรณะ ไม่ต้องรบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ลักษณะอันสูงสุดของมนุษยชาติ 7 ประการ วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565 แรม 13 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 มกราคม 2566 ( 11:22:37 )

ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ ทำให้จิตนิยามของมนุษย์เป็นพีชะและอุตุได้

รายละเอียด

ที่พลังงานของจิตมีกรรม พลังงานพีชะไม่มีกรรม ไม่มีวิบาก ไม่มีกรรมครอง อนุปาทินกสังขาร สังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง แต่สัตว์อย่างมนุษย์เกิดมามีจิตนิยามแล้วก็ทำจิตนิยามให้เป็นพีชะ จิตของเราก็ไม่มีภัยไม่มีโทษ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขไม่มีบาปไม่มีบุญ นี่แหละเป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทำได้จริงด้วย ทำได้แล้วคนนี้คือสุดยอดคือพระอรหันต์ จะทำได้ก็ด้วยกรรม ปรุงแต่ง เกี่ยวข้องกับโลกจัดการพลังงานจิตให้พลังงานจิตที่ไม่ดี มันโง่ มันชั่ว มันไม่ดี ให้เลิกไป ให้กลายเป็นพลังงานที่ดีสำเร็จจริง รู้จักจิตเจตสิกรูปนิพพานที่แท้จริง สามารถศึกษารูปนามด้วยธรรมะ 2 นี้ไปจนครบวิญญาณ จิตมโนวิญญาณเป็นภาษาไวยพจน์ นี่เป็นความรู้สุดยอดของพระพุทธเจ้า เป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่สุดสามารถแยกทางจิตวิญญาณของตนเองให้เป็นอุตุนิยามได้ ตายแล้วแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเกิดได้อีกเลย เรียกว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสาน 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 01 กุมภาพันธ์ 2563 ( 12:27:13 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:17 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 04:56:30 )

ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามีสภาวะลึกซึ้งกว่าที่แปลเป็นภาษาไทย

รายละเอียด

นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่อาตมาศึกษาตามก็พอมีหลักฐาน อาตมามีสภาวะลึกซึ้งเหล่านั้น สภาวะที่ละเอียดลึกซึ้งนั้นจะละเอียดกว่าพยัญชนะที่ท่านว่ากันไว้ โดยเฉพาะที่แปลเป็นภาษาไทย ก็แปลไม่ถึง อาตมาว่ามาจากบาลีนั้นเข้าถึงมากกว่า เข้าถึงสภาวะมากกว่า เริ่มตั้งแต่ ก หมายถึงสภาวะอย่างไร ข หมายถึงสภาวะอะไร ค ฆ ง มีสภาวะอย่างไร อาตมาเข้าใจสภาวะของพยัญชนะเหล่านี้ 

รากเหง้าของภาษาบาลี 

วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง

วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ

วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ

วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น

วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม

เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ชาติ‌ ‌5‌  พา‌พ้น‌ขิฑฑาป‌โท‌สิ‌กะ‌และ‌มโน‌ป‌โท‌สิกะ‌ ‌วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มกราคม 2565 ( 20:03:06 )

ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าพืชไม่มีความเจ็บปวด

รายละเอียด

คือพระพุทธเจ้าเรียงลำดับเป็นชีวะ  พีชะ บนนี้มีถั่วขอ เมล็ดใหญ่  เลยนะมันเป็นพืช ที่มันไม่มีความเจ็บ ความปวด  นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่า ชีวะ ตัวมันเองก็มีประธาน และมี ISH ตัว I คือตัวเราประธาน S คือ She คือลบ อิตถีภาวะ H คือ บวก คือปุริสภาวะ

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 14:37:37 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:56 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 04:58:42 )

ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นความตรัสรู้ที่สมบูรณ์สุด

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึงเป็นความตรัสรู้ที่สมบูรณ์สุด ไม่มีอะไรที่จะต้องรู้อีกแล้ว และรอบที่ตัดสุด แค่เป็น อรหันต์ ก็ตัดสุดแล้วจึงรู้โลกว่า คนต่างๆยึดอะไรสารพัดยึดติด ตามที่เขายึดก็ช่วยเขา ให้เขาเข้าใจว่า อย่าไปยึดเลย ไม่ยึดแล้วก็หมดแล้วก็อยู่ มีหลักประกันทุกอย่าง จะอยู่ก็อยู่อย่างคนที่มีประโยชน์ คนที่ดี ไม่เป็นโทษภัยอะไรเลย 

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่รู้สาระ ไม่รู้เหตุผลว่า ถ้าคุณจะมีจิตวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ อย่างเทวนิยมโลกียะ เขาจะไม่มีทางรู้เลย ยิ่งเพื่อนคุณที่บอกว่าไม่มีศาสนา เขาจะไม่มีภูมิธรรมที่จะรู้อันนี้ได้หรอก จะมารู้โลกุตรธรรม เขาก็เวียนว่ายตายเกิดไปตามวิบาก ขนาดพระศาสดาทุกองค์ของเทวนิยม แต่ละศาสนายังไม่รู้เลยว่า ตัวเองจะเวียนว่ายตายเกิด ศาสนาเทวนิยมไม่ได้คงที่ทุกองค์ ไม่มีองค์ไหนคงที่ เกิดมาวนเวียนจะเป็นคนตกต่ำได้อีกเยอะแยะ จนกว่าจะได้มาเป็นศาสนาพุทธ จนกว่าจะได้มารับ อัญญธาตุ จนกว่าจะได้โลกุตรธรรม จะพัฒนาตัวเองสูงสุดไม่มีตกต่ำเลย เกิดอีกก็เป็นคนสูงสุด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 53 ประโยชน์อันสูงสุดจากศาสนาที่มนุษย์พึงได้ วันจันทร์ที่ 5 กันยายน 2565 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2565 ( 13:20:19 )

ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นสูตรสำเร็จแก้ไม่ได้

รายละเอียด

คนอวดดี ไม่ยอมเปิดจิตมารับ ปรโตโฆษะ แล้วก็เป็นวิตักกจริต กว่าจะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าก็ 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป สองเท่าของสายศรัทธา มันเสียเวลาเปล่าก็อย่าไปอวดดีเลย อันนี้เป็นสูตรสำเร็จ นอกสูตรไม่ได้ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแก้ไม่ได้มันจะต้องเป็นสูตรนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระปัญญาต้องได้มาจากสัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 19:24:16 )

ความตรัสรู้ที่พิเศษกว่าชาวโลก

รายละเอียด

เรื่องพลังงานทางอุตุ ก็ต้องรู้ต้องใช้ พลังงานทางจิต พลังงานทางนามธรรม พลังงานทางชีวะก่อน ก็ต้องพอรู้ รู้ไปจนถึงขั้นเราเรียกสภาพนั้นว่าสุขภาพอนามัย อะไรก็แล้วแต่ เราก็ต้องเข้าใจแล้วจัดสรรสุขภาพอนามัย ปรับชีวิตไปให้ได้สัดส่วนอย่างดีก็ต้องทำด้วย อย่าง 8 อ. อาตมาทำทางด้านสรีระ 

ทางด้านนามธรรม อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้พิเศษกว่าชาวโลก เพราะมันละเอียด ไม่มีรูป มันเป็นความรู้สึก เป็นนามธรรม ท่านแยกไว้เลยว่าเวทนา สัญญา สังขาร รวมเรียกว่าวิญญาณเป็นธาตุรู้ ซึ่งจะต้องมีรูปเป็นคู่ ที่กระทบสัมผัสกันแล้วเกิดการรู้ เกิดเวทนา สัญญา สังขาร แล้วก็รวมตัวกันเรียกเต็มๆว่า วิญญาณ 

เพราะฉะนั้น 3 เส้า เวทนา สัญญา สังขาร จึงเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งที่จะต้องรู้อาการของสภาพพวกนี้ที่ใช้งาน สุดท้ายที่ท่านใช้งานจริงจบ ก็เป็น 3 เส้า ตรีนี่แหละ หรือติ ก็ 3 

ปรุงแต่งกันเป็นสภาพสองตัว เป็นพลังงานทั่วไปตั้งแต่วัตถุทุกอย่างต้องมีรูปกับนาม มีบวกกับลบ มีคู่ เพศชายหญิง หรืออิตถีภาวะ ปุริสภาวะ ทำงานร่วมกัน 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในเรื่องทุกอย่างที่โลกเขารู้ ท่านก็รู้กับโลกทั้งหมด รู้ร่วมกับเขาได้ตรงกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 12:01:40 )

ความตรัสรู้ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้อันนี้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ จนสามารถที่จะจัดการกับความเป็นชีวะ จัดการความเป็นสัตว์ของท่าน สลายหายไปหมดเลย แล้วท่านก็สอนเรื่องสัตตาวาส 9 ตั้งแต่สัตว์ข้อที่ 1 ซึ่งมีกายต่างกันสัญญาต่างกัน มันจะเห็นแตกต่างกันหมดเลยสัตว์ ตั้งแต่สัตว์มนุษย์ สัตว์เดรัจฉานที่เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นตัวเป็นตนนี่แหละ แตกต่างกันไปอีกเยอะแยะมากเลยตั้งแต่ไวรัส สัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์เซลล์เดียว 2 เซลล์ 500 เซลล์จนกระทั่งถึงเป็นล้านเซลล์

มาเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ที่มีชีวะ มีชีวิตเกิดด้วยการปรุงแต่งของดินน้ำไฟลม แล้วมาเกิดเป็นสัตว์ ซึ่งต่างจากพืช เป็นพลังงานปรุงแต่งกันอยู่ ตั้งแต่อุตุดินน้ำไฟลมปรุงแต่งกันตั้งแต่ 2 ธาตุ ออกซิเจนกับไฮโดรเจนปรุงแต่งเป็นน้ำเป็นต้น เคมีเรียนกันมาเยอะแยะผสมส่วนกัน หรือทางฟิสิกส์ก็เป็นความร้อนแสง เสียงแม่เหล็กไฟฟ้าปรุงแต่งกันอยู่ในสภาพที่ไม่มีตัวตน เป็นอรูป ความรู้เรื่องความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าเดี๋ยวนี้ก็เอามาใช้กันเยอะ ใช้งานมาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 11:59:12 )

ความตัดสินที่สุดวิสัยของคน "นานาสังสาส" เป็นหลักการตัดสินของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ก็เอาที่ดูที่มีวรรณะ 9 นี้ไหมอยู่ในคน คนมีวรรณะ 9 มีไหม? (เหล่าโยมตอบ มี) อยู่ที่ไหน? (ตอบ ที่อโศก) อยู่ที่อโศก มีอยู่ที่คนเดียวหรือ หลายคนหรือ  2 คน 3 คน? ถามหน่อย (โยมตอบ ไม่ถึงแสน) เขาบอกว่า ไม่ถึงแสน อยู่ในชาวอโศก ที่มีวรรณะ 9 ไม่ถึงแสน เราก็ไม่รู้ว่าถึงหรือไม่ถึงแสน เพราะคนที่จะปฏิบัติตามแบบอโศก มีอย่างอ่อน อย่างจาง มันก็มีไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องไปได้เยอะ 

พูดไปหมดแล้ว เป็นเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ เป็นคุณสมบัติของผู้ที่มีเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่แล้ว เป็นคนไม่สะสม ก็ต้องเป็นคนจน อัปปิจฉะ ก็เป็นคนจนได้ เป็นคนมักน้อย กล้าจน ไม่สะสม เป็นคนใจพอ อธิบายไปหมดแล้ว แม้แต่มี 0 ไม่มีสมบัติเลย ไม่มีเงินทองเลย อยู่ไหน ก็อยู่กับหมู่กองกลางนี้ อยู่กับหมู่ สาธารณโภคี อธิบายชัดเจนทุกอย่างเป็นเครื่องยืนยัน นี้เราก็ปฏิบัติธรรมตรงตามพระอนุสาสนี ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า สำเร็จผล สำเร็จผลนี่คือมรรคผลที่แท้จริง ชาวอโศกเป็นอยู่นี้ ชีวิตที่เป็นอยู่จริง เป็นชีวิตที่มีมรรคผลตามคำสอนของพระพุทธเจ้า 

นี้เป็นเรื่องยืนยัน เพราะฉะนั้นคนที่เขาไม่เชื่อ เขาไม่รู้ เขาดูไม่ออก เพราะเขาไม่มีปัญญา เขาไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไปถูกล้างสมองเป็นมิจฉาทิฏฐิไป แล้วก็ไปหลงยึดติดสิ่งที่ผิด ไปนับถือสิ่งที่มิจฉา จนกระทั่งสมองเสียหมด พอสัมมาทิฏฐิมาประกาศตัว เขาก็ไม่รู้ได้ นอกจากไม่รู้ได้แล้วยังหาว่าจะไปทำลายสิ่งที่เขาติดอยู่ถืออยู่ หาว่าเราจะไปทำลาย เพราะเราไปพูดเป็นปฏิปักษ์ หรือตรงกันข้าม หรือเราว่าของเขาผิดว่าของเราถูก เขาก็เลยยิ่งเห็นว่าเราจะเป็นกบฏ หรือเราจะเป็นผู้ที่จะทำลาย ที่จริงเรากำลังจะล้างสิ่งผิด จะทำลายไอ้สิ่งที่คุณยึดถือผิดเหล่านั้นออกต่างหาก แต่เขาไม่เข้าใจ ฟังไม่รู้เรื่อง นี่เป็นเครื่องชี้บ่งถึงความเสื่อมของคนส่วนใหญ่จริงๆเลย 

อาตมาทำงานมา 50 กว่าปีนี้ ได้ผลมาประมาณนี้ อาตมาบอกหลายทีแล้วว่า ได้ผลขนาดนี้ก็ภูมิใจพอใจ แต่น้อยนะ น้อย แต่น้อยนี้ก็เป็นหัวเชื้อที่จริง เป็นสัจธรรม อรหันต์มีจริงในที่นี้ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีจริงในที่นี้ มีโพธิสัตว์ในชาวอโศก นี่แหละ

คนที่เขาไม่ศรัทธา ไม่มีปัญญา มิจฉาทิฐิ เขาก็หาว่าพวกเราหลงตัวเองมันพูดไป ก็ไม่มีปัญหา มันก็จริงที่เขาก็ต้องเข้าใจอย่างนั้น เพราะความจริงของเขา เขาเห็นอย่างนั้นจริงๆ เขาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ มันจะไปบังคับกันได้ยังไง 

เพราะฉะนั้นจบ มันก็จบด้วยนานาสังวาส อันนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดคำว่านานาสังวาส มันเป็นหลักการตัดสินของพระพุทธเจ้า ที่ตัดสินความสุดวิสัยของคนแล้ว ความเห็นของเธอก็อย่างหนึ่ง ความเห็นของอีกคนหนึ่งก็อีกอย่างหนึ่ง ขัดแย้งกันแล้ว ลงกันไม่ได้แล้ว ไปด้วยกันไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นก็เมื่อไปด้วยกันไม่ได้แล้วก็อยู่ด้วยกันเถอะ คำว่า "อยู่ด้วยกัน” ก็คือคำว่า "สังวาส” อยู่ร่วมกันเถอะ ร่วมกันอย่างไร ก็ร่วมกันอย่าง "นานา” ต่างคนก็ต่างเข้าใจกันคนละอย่าง 

เพราะฉะนั้นการประกาศด้วยปัญญาว่า คุณมีความเห็นของคุณอย่างนั้นเราไม่บังอาจ อย่างที่อาตมาประกาศแยกเป็นนานาสังวาสกับเถรสมาคม เถรสมาคมเขาไม่รู้เรื่อง เพราะประกาศตอนแรกเขาก็รู้สึกว่ามันงันๆ ไปอย่างไรไม่รู้ อยู่ได้ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 จนถึง 2532 วันร้ายคืนร้ายผีเข้า กลับมาเล่นงานเรา ทั้งๆ ที่มาเล่นงานก็เป็นอาบัตินะ เพราะว่าเราประกาศสำเร็จแล้ว มาอธิกรณ์อะไรเราก็ไม่ได้ จะมาวุ่นวายอะไรกับเราก็ไม่ได้แต่ ต่างคนต่างอยู่ แต่ "ปฏิกโกสนา” ตำหนิกัน ว่ากันแรงๆ ว่ากันอย่างชัดๆ อธิบายแรงๆ อย่างที่อาตมาพูดทำอยู่นี่ได้ อย่าให้มีการฟ้องร้อง เขาก็ฟ้องร้อง อย่าให้มาทำเป็นคดีขึ้นมา ถ้าเป็นคดีขึ้นมาผิด อย่างนี้เป็นต้น เขาก็ทำอย่างผู้ไม่รู้จริงๆ น่าสงสาร เถรสมาคมทำกับอาตมาทำกับอโศก ทำผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าตลอด อย่างที่อาตมาเขียนอยู่ในหนังสือ “ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส” สาธยายไป อ้างอิงหลักฐานธรรมวินัยไว้ให้เห็นชัดเจนว่าน่าสงสารความเสื่อมของศาสนานี้ เขาทำได้เหมือนเด็กๆ ไม่เดียงสา ทำไป แล้วก็นึกว่าตัวเองถูกต้องยืนยัน นี่มันเป็นการแสดงเป็นเครื่องชี้บ่งว่า หมู่ใหญ่เสื่อมจริงๆเลย

ฉะนั้นอาตมาเอาสัจธรรม เอาโลกุตรธรรม เอาสิ่งที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าขึ้นมา อ้างอิงยืนยันหลักฐานต่างๆ พูดความจริง มันเป็นความจำนน เป็นความจำเป็น เป็นความจำใจ จำต้องบอกว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมามีมาเอง อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ อาตมานี่แหละเอาโลกุตระจริงๆ มาประกาศถูกต้อง เพราะมันสูญไปแล้วหมดแล้วตามอาณีสูตร อะไรต่างๆ ยกมาอ้างอิงทั้งนั้น อาตมาไม่ได้พูดลอยลม อาตมามีสิ่งที่อ้างอิงยืนยันทั้งนั้น ไม่ได้พูดปากเปล่า โชคยังดีที่อาตมาก็พูดแล้วว่ายังมีพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้ายังอยู่ แล้วก็นับถือกันพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน อันนี้โชคดีมากเลย อาตมาก็อ้างอิงยืนยันพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน 

เพราะฉะนั้นก็จึงอยู่รอด ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริง ทุกวันนี้ก็ยังอยู่รอด รักษาอยู่ได้ ทำงานมาตลอดจนกระทั่ง จะตายอยู่แล้ว อายุขัยก็แย่เต็มทีแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 47 อโศกมีแค่แสนจะสืบแก่นศาสนาได้อย่างไร วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2567 ( 17:05:12 )

ความตั้งมั่นของญาติธรรมที่ปฏิบัติจนเกิดมรรคผล ไม่เวียนกลับโลกีย์

รายละเอียด

อาตมาแค่สามอันนี้นะมาเผยแพร่ประกาศธรรมะพระพุทธเจ้า ธรรมะที่อาตมาพูดไม่ใช่ธรรมะตื้นๆ พวกคุณนั่งฟังนี่นะ ประชาชนนั่งฟังธรรมะอาตมา ถ้าไม่ใช่พวกคุณป่านนี้ ตอดเงา คือนั่งสัปหงกกันหมดแล้ว แน่นอนแต่พวกคุณอาตมาไม่เห็นใครง่วงเลย หลบอยู่ข้างหลังไม่เห็นนะ อาตมาภูมิใจสบายใจที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้าที่รู้กันได้ยากเอามาเปิดเผยแล้วให้ปฏิบัติจนเกิดมรรคผล จนกระทั่งเอาชีวิตเข้ามาอยู่ในสังคมนี้ เข้ามามีชีวิต มีพฤติกรรมมีการเป็นไปมีการยังชีพ หลายคนก็คิดว่าไม่ไปไหนก็มาอยู่นี่จนตาย เพราะที่นี่มีกองฟอนเผาอยู่แล้ว ใครจะอยู่ทางนี้ไม่ไปทางโลกีย์จะอยู่จนตาย ยกมือ…ยกกันเกือบหมด  คนขี้เกียจหรือคนฟังไม่รู้เรื่องเท่านั้นที่ไม่ยกมือแบบนี้เปอร์เซ็นต์แบบนี้ถือว่าพอใจ คนฟังธรรมะแล้วพอใจยินดีรื่นเริงในธรรมหากง่วงก็ไม่รื่นเริงในธรรมะ ธรรมะที่อาตมาแสดงนั้นมันยากมันหนักแต่ไม่ง่วงเลยแล้วรู้ด้วย ไม่สูญเปล่าเลย ไม่อย่างนั้นอาตมาไม่มีคนรับฟัง ที่จริงคนมานั่งฟังทุกวันนี้ก็ไม่น้อยเลยนะ มาฟังขนาดนี้ก็ดีแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2563 ( 18:25:56 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 16:54:50 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 04:59:36 )

ความตาย

รายละเอียด

ไม่เป็นอะไรเลยเขาแสดงความเป็นจริงจากจิตที่เขาเข้าใจและรู้สึก พูดออกมาได้แต่ละประโยคนี้…คม แล้วก็เป็นความหมายที่ เป็นโลกุตระเลย เป็นสิ่งที่ประเสริฐ​นี่เด็กม.1 นะ เพราะฉะนั้นอันนี้ก็ค่อยๆดูกันไปอย่าเพิ่งไปขี้ตู่ ตีขลุม ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ จะมีน้ำไหลไปหาน้ำ จะมีน้ำมันไหลไปหาน้ำมันมัน จะเป็นธรรมดาธรรมชาติค่อยๆเป็นไปเรื่อยๆ นับวันจะมีสิ่งอย่างนี้เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นพูดไว้แค่นี้ก็แล้วกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 13:02:56 )

ความตายคือการเปลี่ยนร่าง

รายละเอียด

พวกเราพูดถึงการตายการเป็นไม่ได้มีความโศกเศร้าอะไร พูดกันเฉยๆยิ้มแย้มเบิกบานร่าเริงธรรมดาเพราะเรารู้จักความตายความเกิดของชีวิต ความตายคือการเปลี่ยนร่าง ความตายคือการเปลี่ยนร่างถ้าไม่ตั้งจิต ตายอย่างสุญญตนิพพาน ตายอย่างสูญ อปณหิตะ ไม่ตั้งเครื่องหมายอะไรเลย อปณิหิตนิพพาน สูญวางปล่อยเฉย ไม่ตั้งจิตไปนั่นไปนี่ อยู่นั่นอยู่นี่ ไม่ตั้งเลย จบสูญไปเลย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 85


เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 15:36:37 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 16:55:22 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 05:00:45 )

ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว อยู่ที่ตอนมีชีวิตเราทำกรรมอย่างไร

รายละเอียด

พูดถึงเรื่อง ตายๆนี่ ไม่ต้องไปกลัวมากหรอก มันเป็นธรรมชาติของการอยู่การตาย เป็นเรื่องธรรมดา ถ้ายังจะอยู่ แม้จะเป็นพระอรหันต์อยากเป็นพระโพธิสัตว์ยังอยากอยู่ก็ได้ เรียนให้ดีๆจะรู้ว่าการเกิดการตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ไม่ใช่เรื่องน่าหนักอกหนักใจอะไร ความตายความเป็น 

ประเด็นเล็กๆ น้อยๆ แค่ว่า ถ้าเราจะตาย เราก็ดูว่าเราเองผ่านชีวิตมา แม้จะยังไม่ดีในเบื้องต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่ต่อไปไม่เป็นบ้องกัญชา แต่จะเป็นบ้องข้าวหลาม ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ ต่อไปเป็นบ้องข้าวหลามใส่กะทิเลย มันก็ดี หรือเราเองจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ดูท่าทีดีหน่อยนะ แต่พอยิ่งยาวยิ่งแย่ลง นี่แหละคือเริ่มต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอต่อไปๆ เป็นบ้องกัญชา เมาโลก เมาลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เกิดมาเสียชาติเปล่าๆ แท้ๆ หลงใหลได้ปลื้มกับลาภยศสรรเสริญสุข 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยข้อที่ 1 กับข้อที่ 8 วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2564 ( 04:24:44 )

ความติดคืออารามตา 5 อย่าง

รายละเอียด

คณิกะมาจากคำว่า คณะ ความเป็นคณะต้องมีความเข้าใจ คณะคนชั่ว คณะคนดี ที่ห้ามไม่ให้คลุกคลี อารามตา แปลว่าความยินดี ยินดีในคณะ ความยินดีที่เป็นโทษ มี 5 อย่าง กัมมารามตา ภัสสารามตา สังคณิการามตา นิทรารามตา ปปัญจารามตา กัมมารามตา คือยินดีในการทำงาน อธิบายซื่อๆคือไม่ให้ยินดีในการทำงาน ยินดีในการทำงานเป็นความเสื่อมของการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับคณิกา หากไปยินดีในหมู่คณะไม่ดีต้องไม่ยินดี ต้องปลีกเดี่ยว หากไปยินดีในหมู่ก็เสื่อม ก็เช่นกัน ไปยินดีในการงานก็เสื่อม การทำงานแล้วหลงติดยึดการงานคือยินดี อย่าไปหลงติดหลงยึดการงานจนเสียสุภาพเป็นต้น  จนทำเวอร์ไป หรือเสียผลการงาน หรือมุ่นกับการงานนี้การงานอื่นที่ควรทำก็เสีย หากเราพอช่วยได้ ทั้งที่ไม่ควรไปมุ่นกับงานนั้นแล้วก็มีมิติอีกมาก ภัสสารามตา ไปยินดีในคำพูด เสื่อม ก็ตีความว่าต้องไปนั่งหุบปากจึงเจริญ ก็พาซื่อผิดๆอีก ต้องมีนัยละเอียดอีก นิทรารามตา ไปยินดีในการนอน ก็แปลซื่อๆว่าไม่ต้องนอนไปเนสัชชิ อย่างนี้เป็นต้นก็ไม่ถูก แต่ควรนอนอย่างพอเหมาะพอดี นอนไม่ให้สติตก กิเลสมาเล่นงานฝันร้ายแรง ฝันราคะโทสะแรงก็ไม่ดี สังคณิการามตา มีการร่วมหมู่ก็ต้องเลือกหมู่คณะไปร่วม อย่าไปยินดีกับหมู่คนชั่ว แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่คบหา เราต้องคบหาหมู่มิตรดี แต่ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกันไปคบหาหมู่ไม่ดีก็ถูกดึงไปแน่ หากจะเข้าไปหมู่ไม่ดีต้องมีพลังพอ หากพลังไม่พอเสร็จ ต้องมาอยู่กับหมู่คนดี แต่ถ้าไม่ก็ถูกดึงไปแน่

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2562 ( 14:48:39 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 16:56:25 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 05:02:19 )

ความติดยึดของทักษิณ

รายละเอียด

เขาบูชาสิ่งนี้เขาอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะสิ่งนี้ ถ้าเขาปล่อยสิ่งนี้ไปเขาจะเจริญมากแต่เขาปล่อยไม่ได้ เราเข้าใจ ใจเขาว่าเขาปล่อยไม่ได้ อาตมาว่าร่างกายชาตินี้ตายไป ชาติหน้าจะไม่สิทธิ์ได้รวยอย่างนี้ ให้โกงให้ตายก็ไม่ได้เท่านี้ ฉลาดแกมโกงอย่างนี้ จะลดลง ฉลาดแกมโกงได้หนักมากเลยในชาตินี้คุณ สมแล้วที่ไปจบด๊อกเตอร์ทางอาชญาวิทยา ความรู้ทางด้านโจร เลยออกมาเป็นโจรเสียเอง เป็นโจรที่ยิ่งใหญ่มาก จนคนในโลกประเทศต่างๆยังรู้ไม่ทันยังยกย่องทักษิณ อาตมาก็จะดู ทักษิณจะมีอิทธิพล พอที่สีจิ้นผิงจะยอมรับไหม จะดูภูมิสีจิ้นผิงจะรู้เท่าทันทักษิณไหม ถ้าสีจิ้นผิง ยอมรับทักษิณ ก็ได้รู้ว่าสีจิ้นผิงเอ้ย อื่นก็เหมือนกันชาติไหนก็แล้วแต่ก็ดูกันไป แต่ตอนนี้แน่นอนมอนเตเนโกรดูไบยอมเขา อีกหลายที่จะยอมเขาอยู่ แม้แต่อังกฤษ นี่เราวัดค่าภูมิธรรมของแต่ละสังคมประเทศได้อย่างนี้ ขออภัยที่พูดนี้ไม่ได้ดูถูกดูแคลนตรงนั้นตรงนี้ ต้องขออภัยจริงๆมันเป็นวิชาการเป็นความรู้ที่ต้องศึกษาโลก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:10:23 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 16:57:14 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 05:03:43 )

ความต่อเนื่องระหว่าง อุตุ พีชะ จิตนิยาม

รายละเอียด

สรุปแล้วก็คือการกระทบสัมผัส มีความขุ่นเคือง เล็กน้อยจนถึงมาก แล้วคุณก็ไปเน้นมากสิ จนกระทั่งถึงโต้เถียงถึงขั้นทำลายถึงแก่ชีวิตกัน ที่ถามมา ความหมายในอัตตา 3 อย่างไร อาตมาอธิบายอัตตา 3 ให้ฟังแล้วเมื่อกี้ ก็คงจะพอเข้าใจแล้ว 

ถ้ามันรุนแรงอย่างที่คุณพูดถึงขั้นทำร้ายกัน คนพวกนี้ไม่รู้จักจิตเจตสิกตัวเอง(ใจเขาใจเรา) ไม่รู้จักถึงกรรมกิริยาของจิตเจตสิกที่โหดเหี้ยม ที่ไม่รู้จักว่าสัตว์นี่เป็นเพื่อนทุกข์ ทุกชีวิตเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น จะไม่มีความรู้เลยเหมือนกันกับทางเทวนิยม 

ศาสนาที่ไม่ได้สอนอย่างพระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนอย่างศาสนาพุทธ นี่อย่างเห็นทั่วไป เขาฆ่ากัน ทำสงครามกัน เขาห้ำหั่นกัน ทำกันอย่างที่ไม่ได้มีความรู้เลยว่า จะไปฆ่ากันทำไม ห่างไกลคำว่า”กรรมวิบาก” เขาไม่มีความรู้ในกรรมวิบากเลย ว่าทำกรรมที่โหดที่ร้ายต่อกันนี่ มันจะต้องอาฆาตมาดร้าย มีการทดแทนกัน เขาไม่มีความรู้เลย 

พูดก็พูดเถอะ ศาสดาของเขาไม่ได้สอนเรื่องกรรมวิบาก เรื่องฆ่าเขาแล้วนี่ เขาจะต้องได้รับวิบากที่จะต้องทดแทนกัน ศาสดาเขากลับสอนว่า “ฆ่านี้เพื่อพระเจ้า ไม่บาป” หรืออธิบายดีขึ้นหน่อย
“ฆ่าเพื่อมวลมนุษยชาติ” หรือ”ฆ่าเพื่อผู้อื่น” นี้ไม่บาป แต่ในศาสนาพระพุทธเจ้าไม่เคยละเว้น ไม่เคยอนุโลมในเรื่องฆ่าเพื่อผู้อื่นนี้ไม่บาป 

ถ้าไปฆ่าสัตว์ใดตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อย จนกระทั่งทำชีวิต ชีวิตหรือชีวะตั้งแต่ในระดับปาณะ เป็นปาณาติปาตา ปาตะแปลว่าตกร่วง ยังไม่ใช่ตายทีเดียวนะ ตกร่วงนี้แค่ตกต่ำมาจาก ธาตุวิญญาณหรือธาตุจิตในระดับขั้นปาณะ ขั้นปาณะซึ่งเป็นธาตุจิต ที่ถือบาป เป็นบาปเป็นบุญแล้ว ขั้นปาณะ

ถ้าจิตที่มันจะต่ำกว่านั้นลงไป ขั้นเจตสิกอย่างกลางๆ อัพยากฤต ยังบาปยังบุญ ยังบอกไม่ได้ ต้องตัดสินด้วยเหตุปัจจัย ถ้าลงไปถึง
”เจตภูต” ตอนนี้ยังไม่ถือว่าบาป 

“เจตภูต” บางทีก็ถือว่าเป็นผี เป็นวิญญาณผี ซึ่งที่จริงเป็นพลังงานที่เริ่มเป็นชีวะ เป็นชีวะต่อจาก”พีชคาม” ต่อจาก”ภูตคาม”

“ภูตะ”เป็นตัวเชื่อมของพลังที่จะเริ่มมาเป็นชีวะ มาหา”คามะ” 

“คามะ” แปลว่า ชีวิตสัตว์หรือชีวิตมนุษย์ ชีวิตที่เขาเกิดเป็นพวกที่มาอยู่รวมกันแล้ว คามะ 

เพราะฉะนั้นจาก”มหาภูต” ภูตะ เป็นพลังงาน จากภูตะแล้ว พัฒนาเจริญขึ้นมา ภูตะมีคามะ แล้วเจริญเป็นพีชะคามะ แล้วจึงเจริญเป็น เจตภูต จากเจตภูต จึงเจริญมาเป็นเจตสิก จากเจตสิกก็เจริญไปเป็น ปาณะ จาก ปาณะ ขึ้นมาเป็น สัตตะ และจากสัตตะ ก็มาเป็นจิตนิยาม ครบ 7 ก็ไปเป็นจิตนิยามเต็มรูป จะมีจิตนิยามหรือจิตวิญญาณเต็มรูป แล้วเป็นสัตว์เต็มตัว เป็นสัตว์เต็มที่ แล้วก็เข้ามาหา สัตตะ แล้วก็ไปปาณะ แล้วก็ไปหาเจตสิก แล้วก็ไปหาเจตภูติ แล้วจึงเข้าไปหา พีชคาม ภูตคาม จึงจะเชื่อมกับมหาภูต ดิน น้ำ ลม ไฟ 

ฉะนั้นพลังงานดิน-น้ำยังไม่เป็นชีวะ แต่จะต้องมีพลังงานร่วมกันกับไฟ กับลม ลม-ไฟ ช่องว่างกับไฟ พลังงาน 2 อย่าง ช่องว่างระหว่างพลังงานกับไฟ อุณหธาตุ ทำขึ้นมาจึงจะกลายมาเป็น ภูตคาม เป็นพืชที่เป็นหัว เป็นพืชที่เป็นก้อน ต่างจากดิน เพราะดิน ปฐพีนั้นไม่มีชีวะ แต่ภูตคาม หัว หัวอะไรก็แล้วแต่หัวพืช หัวมัน หัวเผือก ยังไม่ใช่รากทีเดียวนะ หัว ถ้ารากนี้มันจะออกไป ถ้าหัวมันจะโตๆๆๆขึ้นมาในตัวมันเอง

นี่ก็อธิบายละเอียดๆๆขึ้นไป พวกชีววิทยาฟังแล้วจะสนุก อาตมาก็ไม่ได้ไปเรียกว่าชำนาญทางด้านโน้นทีเดียว แต่ก็พอรู้ก็อธิบายไปบ้างถึงเวลาวาระก็อธิบายบ้าง ความรู้จริงๆจะดิ่งไปทางโน้นอาตมาก็ได้ แต่ว่าอาตมาไม่อยู่ในฐานะที่จะอธิบายแล้ว มันมีหน้าที่ยิ่งกว่านี้ อันนี้ก็ปล่อยให้คนอื่นเขาศึกษาไป 

สรุปแล้วจาก ภูตคาม มาเป็นพืชหรือเป็นราก เป็นพีชะ เป็นกิ่งเป็นใบ
ออกมาๆๆ มันก็ค่อยๆพัฒนาการ ค่อยๆเจริญพัฒนาการมา 

จาก พีชคาม มาเป็นเจตภูต ภูตก็ยังเนื่องมาจากมหาภูตอยู่นะ ภูตคามมาเป็นเจตภูต พัฒนาขึ้นมาก็ยังเป็นเชื้อ พวกนี้ยังไม่มีชีวะบาปบุญอะไรๆ ชัดเจนจริงหรอก แม้เป็นพืชมันก็ยังไม่เป็นบาปบุญอะไร แต่เริ่มแล้วพีชคามมาหาเจตภูต มันชักจะเริ่มมีอัตตาตัวตนขึ้นมา พอเจตภูตมาเป็นเจตสิก ตอนนี้ก็เป็นอัตตาตัวตนขึ้นมาแล้ว พอเป็นเจตสิกก็เป็นปาณะ จากปาณะ ก็เป็นสัตตะชีวะระดับปาณะ ยังไม่ถึงสัตตะ

ทำให้สัตว์เสียขวัญก็บาปแล้ว ไม่ต้องถึงขั้นทำให้มันตายลง เสียขวัญก็ได้ ก็ขยายความไปพวกนี้พวกเราฟังแล้วก็จะเข้าใจ พวกเทวนิยม พวกชีววิทยาทางด้านตะวันตก ชีววิทยาทางด้านไบโอโลยีโลกีย์เขานั้นยัง พวกนั้นเขาเรื่องของรูป ถ้าเรื่องของนามธรรมของจิตวิญญาณเขายังห่างยังไกลอยู่ ขยายไปแค่นั้นก่อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้จบกิจ 4 ประการเป็นผู้อยู่เหนือกาละได้ วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2566 วันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2567 ( 03:51:11 )

ความต่าง 3 ประเด็นของนานาสังวาส

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าจึงมีทางออกสุดท้ายคือนานาสังวาส จากคนคนเดียวเห็นแตกต่างกับหมู่ใหญ่หมดเลย ก็มีสิทธิ์ที่จะขอประกาศนานาสังวาสกับหมู่ส่วนใหญ่ ขอปกครองตัวเองปฏิบัติตามตัวเองก็ต้องอนุญาตให้เขาเป็นนานาสังวาส เขาก็เป็นไปตามที่เขาเป็น ส่วนอีกหมู่หนึ่งมันก็ต้องต่างกัน ความต่างจะมี 3 ประเด็นใหญ่ๆ 

  1. ศีลไม่เสมอสมานกัน 

  2. ความประพฤติไม่ตรงกัน

      3. อุเทส คำอธิบายธรรมะต่างๆไม่ตรงกัน อธิบายความหมายต่างๆไม่ตรงกัน อธิบายสภาวะธรรมไม่ตรงกัน อธิบายพยัญชนะไม่ตรงกัน 

มันจะต่างกัน 3 ประเด็นนี้ นี่คือ 3 ประเด็นใหญ่ จะต้องแยกกัน และมีวิธีการ วินัยของพระพุทธเจ้าคือแยกนานาสังวาสอย่างที่ชาวอโศกประกาศนานาสังวาสกับเถรสมาคม แต่เถรสมาคมไม่เอาพระวินัยของพระพุทธเจ้าบังคับพวกเรา เราก็ยืนยันตามธรรมวินัยก็ทำอะไรเราไม่ได้ เรายืนยันตามพระไตรปิฎกยืนยันจนบัดนี้เถรสมาคมก็ทำอะไรเราไม่ได้ เขาถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาล เราก็แพ้คดีแล้วก็ติดคุก แต่ให้รอลงอาญาติดคุกอยู่นอกคุก 2 ปีก็ผ่าน 2 ปีมาแล้วไม่ได้ประพฤติผิดอะไรก็จบแล้วก็เลยสุดในทางกฎหมายก็จบแล้ว

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2563 ( 12:42:07 )

ความต่างกันของการแกะรอยพระไตรปิฎกกับพุทธวจน

รายละเอียด

อาตมาพยายามแกะรอยพระไตรปิฎก แล้วก็ยืนยันพระไตรปิฏก ว่าอันนี้หมายถึงอย่างนี้จริงๆ ตรงๆนะยืนยัน อาตมาว่า อาตมาสอนหรือแนะนำหรือพาปฏิบัติอยู่นี้ ยิ่งกว่าพวกพุทธวจน พวกที่ไปเรียบเรียงตัวหนังสือพุทธวจนะ เขาจะเอาแต่พุทธวจนะ แล้วไม่ได้อธิบายอย่างที่อาตมายืนยันแล้วตรงไหม เขาเอาแต่ว่าใครไม่เอาตามพุทธพจน์ ไปเอาตามอรรถกถาจารย์ เอาตามสาวก ไม่เอานะ เขาคัดเอาคำของพระเถระออกหมดเลย เขาเอาแต่พระพุทธพจน์ พุทธวจนะอย่างเดียว เอาหัวเชื้ออย่างเดียว 

ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย ขณะที่พระเถระเถรีรุ่นในยุคพระพุทธเจ้าขยายความไว้ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็รับรองคำพูดของพระเถระเถรี เขาก็ไม่เอา เขาเก่งกว่าพระเถรีเถระในยุคพระพุทธเจ้าอีก อาตมาก็ว่าหมายสูงจริงๆ พวกนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 20:14:44 )

ความต่างกันของฌานฤาษีกับฌานพุทธ

รายละเอียด

ศาสนาพุทธเสื่อมจรณะ 15 หายไป ฌานก็ไปเอาฌานฤาษี ได้แต่นั่งเพ่งหลับตา ซึ่งก็ทำมาแต่ไหนแต่ไรตั้งแต่เริ่มรู้กันเรื่อง ฌาน แล้วพระพุทธเจ้า ท่านก็มาตรัสรู้ ฌานของท่านเป็นพลังงานเผา ไม่ใช่พลังงานเย็น พลังงานดูด พลังงานเกาะ พลังงานแน่น พลังงานติดดับ เกาะตัวอยู่นิรันดร มันปฏิโสตัง ทวนกระแสจริงๆ ฌานของท่าน ปฏิโสตัง เป็นโลกุตระ ตรงกันข้ามกับการเกาะตัวจับตัวของจิต ฟังดีๆ นะ ฌานวิสัยเป็น อจินไตย 1 ใน 4 เป็นเรื่องคิดเอาเองไม่ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ชาว‌อโศก‌มี‌ความ‌มหัศจรรย์‌ได้‌ตาม‌ปหาร‌าท‌สูตร‌ ‌วันพุธที่ 5 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มกราคม 2565 ( 21:25:44 )

ความต่างกันของนิพพาน,ปรินิพพาน และปรินิพพานเป็นปริโยสาน

รายละเอียด

นิพพานก็คือ ผู้ที่ทำการเกิดการตายของกิเลสได้แล้ว ปรินิพพานก็ได้รอบถ้วน ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็คือ รอบถ้วนจริงๆ เลย ถึงที่สุดแห่งที่สุด แยกธาตุจิตนิยามให้เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย 

ซึ่งที่อาตมาขยายความในรายละเอียดต่างๆเหล่านี้ ไม่มีใครมาอธิบาย ไม่มีใครมาขยายได้หรอก ถ้าไม่มีความจริงแห่งความจริง ไม่มีความจริงแห่งความจริง ขยายไปก็เละ คนที่พอมีปฏิภาณปัญญาจะรู้เลยว่า พูดเละเทะเลอะเทอะ ฟุ้งซ่านอะไรเขาก็จะเข้าใจ แต่อาตมานี้ขอยืนยันว่าอาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น ที่พูดอยู่นี้มีแต่ความจริง พูดความไม่จริงไม่เป็น ฟังแล้วดูน่าหมั่นไส้นะ พูดความไม่จริงไม่เป็น พูดกันแต่ความจริง พูดความไม่จริงไม่เป็น น่าหมั่นไส้ไหม?....โยมว่าไม่น่าหมั่นไส้แต่น่าเคารพบูชา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 17:12:17 )

ความต่างกันของปรอทกับโฟม

รายละเอียด

เหมือนปรอทกับโฟม ปรอทมีก้อนนิดเดียวแต่มีน้ำหนักมากกว่าโฟม มันเป็นสัจจะของมัน เราอยู่ของเรามีจำนวนมีมวลน้อย แต่อยู่ได้ คานได้ ทางโน้นมาจะบอกว่ามาทำลายมาล้มล้างจำนวนน้อยนี่แหละไม่ได้หรอก มันเป็นสัจจะ ความไม่จริงมันไม่มีน้ำหนัก แน่นมาก หนักมาก ส่วนของทางโลกนั้นฟ่ามไม่หนัก เบา งัดนิดเดียวก็กระเด็นได้ง่ายๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 36 แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์ วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 14:16:44 )

ความต่างกันของประชาธิปไตยแบบไม่มีสารัตถะของโลกุตระกับแบบมีสารัตถะของโลกุตระ

รายละเอียด

สิ่งที่ทำอย่างเปลือกๆ propaganda หาเสียงแบบการเมือง หรือประชาธิปไตยเปลือก กับการเมืองสารัตถะแบบเนื้อ แบบเปลือกนี่ไม่ครบ 2  ประชาธิปไตยขาเดียว แล้วขาเดียวเอาแต่หาเสียงกับสร้างภาพมีแต่เปลือก ส่วนพวกเนื้อ ผู้ที่ทำเนื้อได้มันจะมีเปลือก ส่วนผู้ที่ทำแต่เปลือกจะทำเนื้อไม่ได้ มันจะเห็นชัดขึ้นไปทุกทีๆ

ฉะนั้นประชาธิปไตยขาเดียวมีแต่เปลือกจะเห็นชัดเจน ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม เหมือนทางสายตะวันตก ไม่มีสารัตถะของโลกุตระ เป็นประชาธิปไตยเปลือก ที่ชัดเจนอยู่ทุกวันนี้ที่ว่าเป็นใหญ่ก็คืออเมริกามีขาเดียว เปลือกเลือกตั้งอย่างเดียว ไม่มีเนื้อของจิตวิญญาณร่วมด้วย อันนี้ก็ยากที่จะเข้าใจ แม้แต่เมืองไทย เป็นประชาธิปไตยเนื้อ มีเปลือกหุ้ม เป็นเนื้อแท้ๆ ของความเป็นประชาธิปไตย มีแกน ความรู้ของพระพุทธเจ้ามา จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ก็เป็นประชาธิปไตยที่มีเนื้อและก็มีเปลือกหุ้ม แต่ยังเป็นประชาธิปไตยที่ยังไม่ใหญ่ ยังเป็นก้อนประชาธิปไตยที่ไม่ใหญ่ คนก็เห็นรูปร่างไม่ได้ เพราะว่ามันยังเล็กละเอียดเกินกว่าตาสามัญของโลกโลกีย์จะรู้ได้ เพราะมันเป็นโลกุตระ ก็ค่อยๆ สร้างค่อยๆ ทำเนื้อไป 

ขอพาดพิงถึงปัจจุบันธรรม ยกตัวอย่างเป็นตัวตน อาตมาไม่สงสัยคุณรสนากับคุณชัชชาติ

คุณชัชชาติเป็นประชาธิปไตยสร้างเปลือก โฆษณาหาเสียงวางแผนทำมานาน คุณรสนานี้ทำเนื้อมาโดยไม่ได้สร้างเปลือก จนกระทั่งมาวันนี้ประกาศตัวจะลงสมัครผู้ว่า จึงมีอโศกไปเป็นเปลือกให้เป็นรสนา ไปช่วยเป็นเปลือกให้รสนา อโศกก็ยังไม่ใหญ่ยังไม่มาก ก็เลยไปหุ้มรสนาไปช่วยให้เป็นรูปเป็นร่าง เปลือกก็บางๆ เนื้อก็ยังไม่มากเลย สู้ชัชชาติไม่ได้เพราะว่าเปลือกใหญ่เหมือนอึ่งอ่างพอง สักวันก็เป็นตามนิทานอีสป ในนิทานก็จะต้องท้องแตกระเบิดตาย เพราะมันไม่ใช่ความจริง ขออภัยอาตมาพูดสัจธรรมให้ฟัง ไม่ได้ดูถูกดูแคลนคุณชัชชาติ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เป็นอย่างนั้น 

เขามีวิธีการสร้างภาพโปรโมทตัวเองไว้นานหลายปี เขาวางแผนมานานหลายปีแล้วไม่ต้องกลัว เขาจะต้องไปเป็นนายกฯให้ได้ มันต้องผ่านตรงนี้ จึงต้องดูกันไป จึงคอยดูกันไป อาตมาไม่พยากรณ์ว่า ชัชชาติ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ อาตมาตอบได้เลยว่า อาตมาไม่รู้หรอกว่าเขาจะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไหม แต่จุดเป้าหมายเขาถึงแน่ เพราะเขายังอายุไม่ถึง 60 ตอนนี้ เขาเอาแน่ เขาวางทางมา วางแผนมา

แต่วิธีวางทางของเขาเป็นวิธีวางทางแบบ โปรโมท สร้างเปลือก มันเดินทางกันคนละอย่างกับรสนา ขออภัยคุณชัชชาติด้วย คุณรสนาที่อาตมาใช้เป็น specimen อธิบายสัจธรรมให้ฟัง ขออภัยหากถือสาแต่ไม่ได้ดูถูกดูแคลนทั้งคู่ มันเป็นลักษณะ 2 อย่าง 

แต่ถ้าคุณชัชชาติรู้ตัวแล้วเร่งสร้างเนื้อให้มาก คุณจะเป็นนายกฯที่ดีเลย ตอนนี้คุณสร้างเปลือกได้ชำนาญ หากคุณหันมาสร้างเนื้อได้จะทัน เกิดปี 2509 อายุ 56 ก็ทัน อีก 4 ปีนี้ ทันสร้างเนื้อได้เป็นนายกฯที่มีเนื้อ มีเปลือก อย่างใช้ได้เลย ข้อสำคัญต้องเรียนรู้โลกุตระให้ได้ให้ดี จะได้เป็นนายกที่มีเนื้อของโลกุตระในเมืองไทยเป็นได้ เพราะมีเชื้อโลกุตระ มีตัวจริงเป็นได้อย่างเช่น ชาวอโศกมีโลกุตรธรรม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 39 พุทธานุสสติ และอัมพัฏฐสูตร วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 17:16:08 )

ความต่างกันของพรหมวิหาร 4 โลกุตระกับเดียรถีย์

รายละเอียด

มาเข้าสู่สภาวะปัจจุบันธรรม อาตมานำธรรมะของพระพุทธเจ้านี้มาแล้วปฏิบัติตามกัน จนกระทั่งเกิดสังคมสาราณียธรรม 6  อันได้แก่ 

สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  อยู่กันอย่างมีเมตตากันจริงๆ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อาตมาก็ได้ขยายความไปแล้ว เมตตาคือปรารถนาให้ผู้นั้นได้พ้นความทุกข์ความสุข กรุณาก็คือลงมือทำ ลงมือช่วยให้คนผู้นั้นพ้นทุกข์พ้นสุขจริงๆ เมื่อช่วยให้พ้นความทุกข์ความสุขได้แล้วก็มีมุทิตา ก็หมายความว่ายินดีด้วยที่เขาได้ดีแล้ว แล้วก็อุเบกขาวางปล่อยไม่ยึดถืออะไรเป็นเราเป็นของเราเป็นบุญเป็นคุณอะไรไม่มี 

อาตมาอธิบายพรหมวิหาร 4 ซึ่งไม่เหมือนกับที่เขาอธิบายกัน เขาอธิบายเมตตา กรุณาก็ต้องการให้เขาพ้นทุกข์ กรุณาต้องการให้เขามีสุข อะไรอย่างนี้ มุทิตาก็ยินดีที่เขาพ้นทุกข์ มีสุข อุเบกขาก็เฉยๆ แบบเดียรถีย์ ซึ่งมันก็ต่างกันกับโลกุตระ ศึกษาดีๆก็จะเข้าใจ อาตมาพาทำมา 50 ปีเกิดชุมชนสาราณียธรรม 6 พิสูจน์ลาภที่ได้โดยธรรม แล้วก็เอามารวมกับกองกลาง ใช้กินร่วมกัน เป็นกองกลางกัน ตั้งแต่อาตมาพยายามทำงานศาสนา ก็ไม่คิดว่าจะทำได้ทันที พอเอาศาสนาพระพุทธเจ้าประกาศลงไป ก็เป็นสาธารณโภคีมาตั้งแต่ต้นจน 50 ปี แต่มันยาก ขยายสภาวะ ขยายผลออกไป มากขึ้น ลำบาก มันยาก และอยู่ในยุคใกล้กลียุคเต็มทีแล้ว คนที่จะมีธุลีในดวงตาน้อยจึงจะรู้ คนที่แสวงหา คนที่ไม่มีอคติที่จะมาฟังธรรมะโลกุตระ หรือที่อาตมาสาธยายรับได้รู้เรื่อง มันจึงยาก ยากมาก

แต่อาตมาก็เชื่อว่ามีผู้แสวงหาที่อคติของท่านน้อย ไม่อยากจะบอกว่าไม่มีอคติ คนที่ไม่มีอคติเลยมันไม่ง่าย แต่คนที่มีอคติน้อยก็พอรับได้ แต่ท่านยังติดอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ดังที่เห็นที่เป็น เพราะฉะนั้นภิกษุหรือผู้บวชเอาชีวิตมาทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นสายพระป่าหรือสายพระบ้าน คนไทยเมืองไทยมีพระอยู่ประมาณ 3-4 แสนรูป ที่หมุนเวียนอยู่คงที่ประมาณ 3 แสน พระที่บวชๆสึกๆหมุนเวียนไปอีกแสน ประมาณ 3-4 แสนรูป ที่เป็นพระทางเถรสมาคม บวชเล่น บวชหัว บวชสึก บวชอะไรของเขาต่างๆ นานา สาธยายกันเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 17:24:51 )

ความต่างกันของพระเจ้ากับพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

สรุปตรงนี้ก่อนว่า ปัญญากับศรัทธา เป็นจิตนิยามคู่ เป็นธาตุคู่ เทวะ ตั้งแต่เกิดจนสูญ สุดท้าย ก็คือเลิกเป็นเทวะไปหมดเลย เทวะนี้ ผู้ไม่รู้ก็เลิกไม่ได้ เป็นพวกสายเทวนิยม ดับเทวะไม่ได้ ดับคู่ไม่ได้ แล้วหลงคู่นี้ว่าเป็นหนึ่ง ใหญ่ที่สุด ศาสดาแต่ละองค์ของเทวนิยมก็นึกว่า ตัวเองใหญ่ที่สุด แต่จริงๆแล้วศาสดาในโลกนี้มีตั้งไม่รู้กี่องค์ ศาสดาทางเทวนิยม ต่างคนต่างใหญ่ทั้งนั้น เสร็จแล้วก็แข่งดีแข่งเด่นกัน แล้วมีความลึกซึ้ง เทวนิยมเขาก็ลึกซึ้งอยู่ว่า อย่าไปแข่งดีให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราไปแข่งดีเขานะ คนที่แข่งดีแข่งเด่นกับคนอื่น มันไม่ดีหรอก แต่แข่งดีแข่งเด่นอยู่ในตัวเรา เป็นธรรมชาติของความโง่ที่ซ้อนอยู่ในความฉลาด คือยังมี 2 อยู่ใน 1 แต่เขานึกว่า เขาเป็น 1 คือฉลาดไม่มีโง่ ไม่มีโง่กว่าใคร เขานึกว่าอย่างนั้น 

สำหรับพระพุทธเจ้านั้น รู้ทั้งโง่ซ่อนฉลาด และฉลาดซ่อนโง่ รู้ 2 แล้วรู้ชัดด้วย ว่าอะไรโง่กับฉลาด มันไม่ใช่อันเดียวกัน รู้ชัดด้วย ถูกต้องด้วย แล้วรู้ด้วยว่า พวกที่เขายึดว่าโง่ว่าฉลาด เขายึดว่าเขาฉลาดแต่เขาโง่ รู้ด้วยว่าคนนี้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปแก้ไขเขาหรอก แสดงความจริงให้เขามาฉลาดตาม แล้วเขาก็จะหลุดพ้นด้วยตัวเขาเอง คนที่หลุดพ้นด้วยตัวเอง แจ้งเองเป็นปัจจัตตัง ด้วยตัวเองรู้ได้เอง เมื่อนั้นเขาจำนนแล้วหรือเมื่อนั้นเขาถึงที่สุด อ๋อ.. นี่คือเราเองนะ เรารู้อย่างนี้ เรายอมรับความจริงอย่างนี้ เช่น ขณะนี้ คนที่อวดดีกว่า ตัวเองรู้ตัวเองเก่งอยู่ในโลก อยู่ในสังคม อยู่ในประเทศไทย อยู่ในวงการธรรมะ เขาจะนึกว่า เขานี่ยอดกว่าอาตมา รู้มากกว่าอาตมา เหนือกว่าอาตมาว่างั้นเถอะ เขาเชื่ออย่างนั้นอยู่ 

แต่จริงๆเลย อาตมาขอพูดความจริงว่า เขาไม่ได้เหนือกว่าอาตมาหรอก อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ในเรื่องของธรรมะพระพุทธเจ้า หรือธรรมะของมนุษย์ มนุษย์ที่สูงสุดก็คือพระพุทธเจ้า นอกจากสิ่งที่เขาไม่รู้ว่ามันสูง เขานึกว่าพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าลึกลับไม่มีตัวตน พระเจ้าก็คือตัวศาสดาเทวนิยมแต่ละองค์นี่หละ แต่ศาสดาเทวนิยมแต่ละองค์ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักกรรมวิบาก สั่งสมกรรมวิบาก รู้ได้เท่านี้ยอดที่สุด ก็นึกว่ายอดสุดแล้ว เพราะงั้นเกิดมาชาติใด มีบารมีนะ ได้สั่งสมความรู้ความจริงมา ยอด ก็เบ่งขึ้นมา ก็มีสมาชิก มีลูกน้อง มีสาวก ก็มาขึ้น ก็ได้ก๊ก ได้หมู่ ได้เหล่า เป็นคณะๆๆ แต่ภูมิปัญญานั้น อยู่ในวงแคบของ สูงสุดก็เท่ากับศาสดา ของศาสดาแต่ละศาสนา สูงสุด เท่ากับ ศาสดา ไม่มากกว่านั้นอีก แล้วบล็อคด้วย ยึดด้วยว่า ไม่เป็นอื่น ทุกคำไม่ดิ้น ทุกคำไม่ขึ้นอยู่กับกาละ เทศะ ฐานะ เที่ยง ทุกสิ่งเที่ยงตามความจริงของพระเจ้า ของพระบิดา ของผู้เป็นหนึ่งแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เที่ยง 

คนนี้แหละ จะอยู่ตรงที่ตัวเองรู้สูงสุด แล้วไม่ยอมรับคนอื่นเลย คุณก็เท่ากับกบอยู่ในกะลาครอบของคุณ กี่กัปป์กี่กัล กาล เวลา กี่ 100 ปีแสง คุณก็อยู่ในกบกะลาครอบ เพราะคุณไม่รับใครแล้ว คุณมีแต่ตัวเองคุณถือว่าตัวเองสูงสุดยอดไม่มีใครสูงกว่านี้อีกแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น ผู้ที่สูงกว่าพระพุทธเจ้าคือ พระพุทธเจ้าองค์ก่อน แล้วท่านก็ตรัสรู้ องค์ก่อนคือ ผู้มีทั้งอดีตและอนาคต ส่วนท่านเป็นปัจจุบัน พระพุทธเจ้าองค์ก่อนคืออดีตกับอนาคต 2 สภาพ รวมกันเป็น 1 ในโลกนี้มีอดีตกับอนาคต และรู้ตรงไหน รู้ตรงปัจจุบันนี้แหละ ผู้ที่รู้อดีตกับอนาคตมากที่สุด นั่นแหละ ในปัจจุบันนี้เอามาใช้ อดีตก็เอามาใช้ อนาคตก็เอามาใช้ได้มากที่สุด ผู้นั้นแหละคือพระพุทธเจ้าทุกองค์แหละ ในขณะที่พระพุทธเจ้าตัวจริง ยังไม่เกิด ในยุคไหน กาละไหนก็แล้วแต่ อย่างในกาละเวลานี้ในโลก โลกที่อยู่ในฟากความมืดอเมริกาเป็นต้น กับไทยสว่างเป็นต้น อยู่คนละฟากฝั่ง หรืออยู่เหนือ อยู่ใต้ เป็นต้น ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ก็ตาม กาละเดียวกันนี้ ไม่เท่ากัน มีผู้ที่อยู่ในสิ่งที่มีเหตุปัจจัยสมบูรณ์สูงสุดคือ โซน ศูนย์สูตร กลางๆ ดีที่สุด รู้ที่สุด จบสูงสุด 

สรุปว่า ต้องเอาศรัทธากับปัญญา มาศึกษาแล้วคุณจะประนีประนอม รู้จบ ความจบนี้เรียกว่านานาสังวาส นานาคือต่างกัน สังวาสคือ มันต่างกันแต่อยู่ร่วมกันให้ได้ สังวาสแปลว่าอยู่ร่วมกัน ผู้ที่รู้แล้วว่าเรามีอะไรต่างกัน แต่อยู่กันอย่างประนีประนอม อยู่กันอย่างสามัคคีอย่างอาศัยกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 51เป็นผู้แพ้ ผู้รับใช้ได้ไม่ยาก ด้วยฌานทั้ง 4 วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2565 ( 14:44:28 )

ความต่างกันของพวกหนึ่งสะกดกลั้นไม่ให้กิเลสเข้า กับอีกพวกหนึ่งสัมผัสทุกทวารเปิดรู้แต่กิเลสเข้าไม่ได้ 

รายละเอียด

พวกหนึ่งสะกดกั้นไม่ให้กิเลสเข้า กับอีกพวกหนึ่งสัมผัสทุกทวารเปิดรู้ แต่กิเลสเข้าไม่ได้ คือ วิธีมันมี 2 วิธีอย่างนี้ที่แยกกันใหญ่ๆ สะกดกั้น ไม่ให้กิเลสเข้า เขาก็ทำกันทั่วไปเป็นวิธีที่ง่าย แต่มันไม่ได้จริง มันไม่ถาวร มันไม่ยั่งยืน มันไม่เสร็จไม่จบ มันไม่แล้วหรอก มันวนเวียน ได้แล้วก็กลับคืนมาเป็นกิเลสอีก กิเลสมันก็ยังเป็นอยู่ เพราะมันยังไม่รู้จักกิเลสไม่ได้ฆ่ากิเลสให้มันวอดวายตายสนิท มันไม่ได้ฆ่าตัวโจรจริงๆให้ตายสนิทเลย ใช้โวหารพูดกันให้ชัด เป็นพฤติกรรมของตัวโจรที่เลวร้าย เพราะฉะนั้นต้องประหารก็เป็นภาษาที่เป็นโวหาร ฟังด้วยภาษาคนแล้วเหมือนฆ่าแกงประหารกัน แต่ก็คือการกำจัด การชำระการทำลายให้มันหมดไป มันก็เป็นเช่นนั้น 

เพราะฉะนั้นของพุทธจึงชัดเจนว่า ไม่ปิดไม่สะกด ไม่ป้องแต่ทำเป็นลำดับ ทำในจำนวนหนึ่ง เอาแต่เหตุในแง่หนึ่งตามหลักของธรรมของศีลของพระพุทธเจ้าแต่ละข้อ จัดการประพฤติ สัมผัสอย่างนี้ก่อน อันอื่นๆเอาไว้ก่อน มันจะสัมผัสอย่างไรก็ไม่รับ เอาตัวนี้กำหนดของมัน เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ 

เอาเรื่องไม่ฆ่าสัตว์เสียก่อน ไม่ฆ่าแล้ว ก็ไม่ไปทำร้าย ไม่ไปเบียดเบียนอะไร นอกจากไม่ทำร้ายไม่เบียดเบียน ไม่มีอาวุธ ไม่มี ทัณฑะ ไม่มีอะไรไปทำร้ายแล้ว ยังมีตา หู จมูก ลิ้น กาย มีมือ มีเท้าอะไรก็ตาม ก็ไม่ไปทำร้ายหรือไปเบียดเบียนกัน มีความกรุณา มีความเอ็นดู หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือสำนวนของศีลข้อที่ 1 มีรายละเอียดดังนี้ ก็เอามาปฏิบัติให้ได้จริงๆ 

คนที่ปฏิบัติสำเร็จ บรรลุผลที่แท้จริงจนเป็นอัตโนมัติ บรรลุผลเป็นอย่างนั้นจริงๆมันเป็นเช่นนั้นเองเป็นปกติของชีวิต เรียกว่าเป็นผู้ที่มีศีล เป็นผู้ที่มีความปรารถนา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่จริงๆเลย ไม่ทำร้าย แม้ว่าสัตว์อื่นจะทำร้ายเรา เราก็ไม่คิดโกรธเคืองอาฆาตพยาบาทอะไรเลย ถึงปานนั้น เพราะเราห้ามสัตว์อื่นที่ยังโหดร้ายยังทำร้ายผู้อื่นอยู่ เราห้ามไม่ได้ เราต้องฉลาดพอที่จะไม่ให้สัตว์มันทำร้ายเรา เช่นเอาง่ายๆ ว่า ผู้ที่เขายังผิด มันเป็นการกระทบนะ ไปว่าผู้ที่เขายังผิด อย่าให้ผู้ที่รับการตำหนินั้น สะท้อนตอบจนมาทำร้ายเราได้ คุณต้องมีความสามารถถึงปานฉะนี้ แล้วคุณถึงจะทำได้และรอดตัว โดยลักษณะโลกแล้ว ว่าเหมือนอย่างอาตมาว่าแรงเขาก็ตอบไม่ได้เพราะว่าอาตมาเอาสัจจะของพระพุทธเจ้า เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาตอบรับ มันก็สู้ธรรมะ สัจจะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ มันเป็นสัจจะที่ชนะสิ่งที่เหนือชั้นกว่าจริง ถูกต้องกว่าจริง มันก็ชนะจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 36 แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์ วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 14:46:10 )

ความต่างกันของวิญญาณกับวิญญัติ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคำว่าวิญญาณ นี้แยกออกมาเป็น เวทนา สัญญา สังขาร ส่วนวิญญัติคือ การเคลื่อนที่ไปมา กายวิญญัติ ไม่มีความรู้สึก ไม่เกี่ยวข้องกับเวทนา สัญญา สังขาร ไม่เป็นวิญญาณ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 วิญญาณกับวิญญัติ วันมาฆบูชา วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2565 ( 19:35:52 )

ความต่างกันของวิญญาณฐิติ 7 กับสัตตาวาส 9

รายละเอียด

ก็ปฏิบัติตามวิญญาณฐีติ 7 ได้ เริ่มต้นได้หรือที่สุดจบก็จบด้วย วิญญาณฐีติ 7 จบด้วยการรู้จักฌาน 4 แล้วก็รู้ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ จบ ไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่มี มีแค่ 7 ทำไมมีแค่ 7 เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องมาตั้งแต่เริ่มต้น ฌาน 1 2 3 4 ในสัตตาวาส 9 สัตว์ที่ 1 2 3 4 ภาษาคำ ระบุอันเดียวกันกับ วิญญาณฐีติ 7 แต่สัตตาวาส 9 เป็นมิจฉาทิฏฐิ ในสัตตาวาส 9 สัตว์ที่ 1 2 3 4 ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ 

แต่ในวิญญาณฐิติ 7 ข้อที่ 1 2 3 4 ก็เป็นสัมมาทิฏฐิและเรียนรู้ออกจากความเป็นสัตว์ได้ เมื่อถึง สัตว์ตัวที่ 4 วิญญาณฐิติเป็นสัมมาทิฏฐิออกจากความเป็นสัตว์ได้หมด อากาสานัญจายตนะ เป็นของจริง อากาศคือรูป วิญญาณคือนาม อากิญจัญยายตนะ คือ ไม่มี นิดนึงก็ไม่มีไม่มีอะไรก็ไม่มีกิเลส มีแต่ 1 รูป 2 นาม ที่บริสุทธิ์พ้นจากกิเลสอย่างบริบูรณ์ถ้วนรอบ ไม่ต้องไปใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่มี จึงจบด้วย วิญญาณฐิติ 7 คือ อากิญจัญญายตนะ เท่านั้น 

ส่วนผู้ที่ยังมิจฉาทิฏฐิ เป็นสัตตาวาส 9 จึงมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ยังไม่พอ ที่สำคัญก็คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นของเพ้อเจ้อ ผิดไปจริงๆเลย ผ่านอสัญญีสัตว์ ไปดับสัญญาอยู่อันที่ 5 เป็นอสัญญีสัตว์ ผิดไปตั้งแต่สัตตาวาส 9 ที่ 1 2 3 4 แล้วผิดไปแล้ว ยังไม่พอไปดับสัญญาเป็นอสัญญีสัตว์ อันที่ 5 อีก อากาสานัญจายตนะ ก็ยิ่งเลอะเทอะหนัก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภูผู้รู้จบสัตตาวาสและวิญญาณฐีติ วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2565 ( 15:20:10 )

ความต่างกันของสกิทาคามี กับ เอกพีชี

รายละเอียด

ถ้าเกิดมาชาติเดียวบรรลุอรหันต์เลย เรียกว่า เอกพีชี ชาติเดียว 

มันมีคำอยู่ 2 คำ คำหนึ่งว่าเกิดชาติเดียวเหมือนกันคือ สกิทาคามี 

สกิทาคามี กับ เอกพีชี แปลว่าเกิดมาอีกชาติเดียวมันต่างกันอย่างไร 

คำว่าเอกพีชีคือ โสดาบัน ส่วนสกิทาคามีคือพ้นจากความเป็นโสดาบันแล้ว อย่างไรอย่างไรเกิดมาก็จะเป็นสกิทาคามี แต่โสดาบันนั้นเกิดมาอย่างไรก็เป็นโสดาบัน แต่โสดาบันคนนี้ สามารถเรียนตรงเรียนเต็ม ชาตินี้ชาติเดียวสามารถบรรลุอรหันต์ได้เลย อาจจะมีภูมิเก่ามีบารมีเก่า หรืออาจจะบารมีเก่าไม่พอ แต่มาทำเอาใหม่นี้บารมีใหม่ ขยันพากเพียร เออ ชาตินี้ชาติเดียวได้เป็นอรหันต์เป็น เอกพีชี 

เห็นความต่างกันไหม เอกพีชีกับ สกิทาคามี ฟังแล้วเข้าใจไหม เข้าใจนะมีของตัวเองเป็นของตัวเองข้ามชาติ

ที่มา ที่ไป

พ่อ‌ครู‌เทศน์‌ ‌ทำวัตร‌เช้า‌ ‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ ‌งาน‌ ‌ว‌.‌บบบ‌ ‌เพื่อ‌ฟ้า‌ดิน‌ ‌สวด‌อภิธรรม‌ส่ง‌ ท้าย‌ปี‌เก่า‌ให้‌เข้า‌ถึง‌นิพพาน‌ วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 12:19:56 )

ความต่างกันของสัมภเวสีกับวิญญาณฐีติ

รายละเอียด

มันมีภาวะสองเสมอ คนเกิดมาจะต้องอยู่กับสิ่งอื่น มีตัวคุณกับสิ่งอื่น แม้ว่าคุณนอนหลับหลับตาอยู่ในภพชาติ พอลืมตาก็เต็มสภาพ สติเต็มร้อย คุณก็รู้ตาหูจมูกลิ้นกายใจถึงจะเต็มคนเต็มครบ หลับตามันไม่ใช่เต็มคนเต็มครบ มันครึ่งผีครึ่งคน เป็นสัมภเวสี เป็นจิตวิญญาณไม่เต็มเต็ง นอนหลับก็เหมือนกัน นอนหลับก็คือวิญญาณไม่เต็มเต็ง ต้องลืมตาถึงจะมีวิญญาณฐีติวิญญาณเต็มๆ วิญญาณบริบูรณ์ ถ้าไม่เช่นนั้นมันไม่เป็นวิญญาณสมบูรณ์แบบ นอนหลับฝันเป็นสัมภเวสี 

รู้จักสัมภเวสีกับวิญญาณไหม ต่างกัน เด็กๆฟังชัดไหม วิญญาณกับสัมภเวสีนี่มันต่างกัน นอนหลับนี้วิญญาณก็อยู่ในภพ เป็นสัมภเวสีล่องลอยไม่รู้เรื่องเต็ม มันมีแต่สัญญาความจำฟุ้งไป จากความจำเก่าบ้างคิดใหม่บ้างผสมไป พระพุทธเจ้าก็พยายามรวบรวมสิ่งที่เป็นสัญญาในอดีตมีได้ 18 ฟุ้งซ่านคิดอะไรบ้าๆบอๆอีก 44 ซึ่งเป็นรายละเอียดที่อาตมายังไม่บังอาจจะเอามาอธิบายได้เท่าไหร่ มันละเอียดสุดเลย ถ้ารู้จักทิฏฐิ 62 จะค่อยๆกระจายความเข้าใจเป็นฐานให้ก่อน ทีหลังก็จะอธิบายได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤษภาคม 2565 ( 12:07:54 )

ความต่างกันของสูญ กับ ศูนย์

รายละเอียด

คนไทยเอาคำว่า ศูนย์มาเขียนสองแบบคือ สูญ กับ ศูนย์

อย่างอาคารเรานี้ใช้คำว่า เฮือนศูนย์สูญ 

คำ สูญ เป็นคำบาลี ส่วน ศูนย์ เป็นคำสันสกฤต  

มาใช้เป็นความหมายที่ต่างกันบ้าง อย่าง สูญ คือ หายไป หมดไป เป็นความไม่มี 

ส่วน ศูนย์ หมายถึง ความมี กลางๆ อาศัยเลย สภาพศูนย์อันนี้เป็นสภาพอาศัยเลย กลางๆ เช่น ศูนย์กลาง 

เพราะฉะนั้นจะเขียนหนังสือว่าศูนย์กลาง คุณจะต้องเขียนศูนย์ ถ้าไปเรียก สูญกลางก็ได้ ก็หมายถึงกลางตรงนั้นไม่มีอะไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2565 ( 10:55:09 )

ความต่างกันของโสดาบันขี้กะโล้โท้กับโสดาบันโกลังโกละ

รายละเอียด

ถ้าเป็นโสดาบันขั้นต้น แย่ที่สุดคุณเกิดมาอีกที 7 ชาติ  เรียกว่าโสดาบันขี้กะโล้โท้ เกิดอีก 7 ชาติก็ได้บรรลุธรรม ถ้าเก่งขึ้นมากกว่านั้นก็เป็นโกลังโกละ 6 ชาติบ้าง 5 ชาติบ้าง 4 ชาติบ้าง 3 ชาติบ้าง 2 ชาติบ้าง 

ที่มา ที่ไป

พ่อ‌ครู‌เทศน์‌ ‌ทำวัตร‌เช้า‌ ‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ ‌งาน‌ ‌ว‌.‌บบบ‌ ‌เพื่อ‌ฟ้า‌ดิน‌ ‌สวด‌อภิธรรม‌ส่ง‌ ท้าย‌ปี‌เก่า‌ให้‌เข้า‌ถึง‌นิพพาน‌ วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 12:16:57 )

ความต่างกันระหว่างอทุกขมสุขกับอุเบกขา

รายละเอียด

จนสามารถทำกิเลสออกได้ สุขทุกข์ก็ออกไปตาม จนไม่มีสุขไม่มีทุกข์เรียกว่า อทุกขมสุข เป็นซินโนนีม (synonym) หรือไวพจน์ของอุเบกขา มันต่างกันนิดหน่อย ไม่สุขไม่ทุกข์ก็คือ มันไม่มีแล้วนะสุขหรือทุกข์ มันเป็นกลาง คำว่าเป็นกลางก็มาแปลกันว่าอุเบกขา เป็นจิตเป็นกลาง กลางคืออะไร ก็คือไม่สุขไม่ทุกข์ หรือกลางก็คือ รู้สุขรู้ทุกข์ แต่ไม่ได้ไปเข้าข้างไหน ส่วนตัวเองนั้นปลอดสุขปลอดทุกข์ จิตตัวเองไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2565 ( 11:13:10 )

ความต่างกันอย่างสำคัญของศีลข้อที่ 1 และ 2

รายละเอียด

ความมหัศจรรย์ในข้อที่ 2 คือศีล เราไม่ทุจริต ต่อสิ่งที่เป็นทั้งวัตถุสสาร จนกระทั่งถึงพืช ที่เป็นชีวะอีกระดับหนึ่งเรียกว่า พีชนิยาม ซึ่งมันไม่ใช่สัตว์ ของพระพุทธเจ้าแยกการทำงานต่างกันออกไป 

แยกออกมาทำไม ไอ้พวกนี้มันไม่มีวิบากมันไม่มีการยึดถือเป็นตัวตน พืชกับสสารมันไม่มีวิบาก แต่สัตว์มันมีวิบาก มันต่างกันอย่างสำคัญตรงนี้ 

เพราะฉะนั้นคนที่รู้แล้วนี้จริงๆจึงไม่กินสัตว์ ซึ่งมันมีวิบาก ส่วนพืชกับวัตถุ ดินน้ำไฟลม จะเป็นวัตถุที่เป็นอื่นๆที่ไม่ใช่พืชขึ้นมา ซึ่งก็ต้องกินอยู่ เป็นส่วนที่เหมือนธาตุดินธาตุน้ำ เราก็เลี้ยงชีพเราแค่นี้ก็พอแล้ว คนที่รู้ความจริงแล้วไม่ไปต่อวิบากกับสัตว์ตัวไหน ไม่ต่อ ต่อวิบากกับสัตว์มันเป็นวิบากเป็นอันมาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อ‌ครู‌เทศน์‌ ‌ทำวัตร‌เช้า‌ ‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ ‌งาน‌ ‌ว‌.‌บบบ‌ ‌เพื่อ‌ฟ้า‌ดิน‌ ‌สวด‌อภิธรรม‌ส่ง‌ ท้าย‌ปี‌เก่า‌ให้‌เข้า‌ถึง‌นิพพาน‌ วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 19:06:24 )

ความต่างของฉือจี้กับชาวอโศก

รายละเอียด

เอาตัวใหญ่ๆ ฉือจี้กับอโศกต่างกันไกลลิบ ตรงที่ฉือจี้คือโลกียะ บานปลายเป็นปากกรวย สร้างแต่กุศลไม่เป็นโลกุตระ แต่อโศกนี่คือโลกุตระเป็นก้นกรวยมีทางจบ นี่ต่างกันคนละมุมเลย มุมหนึ่งเป็นปากกรวยไปไม่มีทางจบคือฉือจี้ ส่วนอโศกนั้นมีทางจบ มีทางอรหันต์ ฉือจี้ไม่มีทางเป็นอรหันต์จะบานยาวไปเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้เกิดปัญญาถึงอรหันต์ วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 20:48:38 )

ความต่างของชาวสวน ชาวไร่ ชาวนา

รายละเอียด

ปลูกนี่แหละถ้าเผื่อว่าจิตมันขึ้นจริงๆ จะเป็นชาวสวน ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวนชาวไร่ชาวนามันแตกต่างกันนะ ชาวสวนก็อย่างหนึ่ง ชาวไร่ก็อย่างหนึ่ง ชาวนาก็เน้นปลูกข้าว ชาวสวนกับชาวไร่ เขาก็เน้นปลูกต่างกัน ชาวสวนกับชาวไร่ ไร่นี้ปลูกผักที่มันเป็นผัก สวนนี้ปลูกไม้ต้นไม้รวมหมดเลย สวนนี้ไม้ทุกอย่างรวม แต่ไร่นี้ปลูกพืชกิน ปลูกพืชผัก ถ้าสวนนี้ปลูกไม้ผล ไม้พืช ไม้กินใบ ไม้กินดอก บางทีก็เป็นไม้เอามาใช้ไม่ใช่เอาไว้กิน อาศัยเป็นวัตถุก็เป็นสวนหมดเลย ไร่ไม่ได้ปลูกไม้ใหญ่พวกนี้หรอก เช่น ไร่ข้าวโพด พืชกิน ถ้าสวนนี้พูดรวมเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ หนูตัวเล็กอย่างไทยจะช่วยราชสีห์ซาอุฯตัวใหญ่ได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:09:36 )

ความต่างของตระกูลเจโตกับปัญญา

รายละเอียด

มันมี 2 ตระกูลจริงๆ ก็เห็นใจตระกูลเจโต ส่วนผู้ที่เป็นปัญญาก็จะรู้เร็วรู้รอบ รู้ชัดรู้ครบก่อน ส่วนสายเจโตเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ 40 อสงไขยแสนมหากัปก็บรรลุได้ อย่างที่ท่านแจกไว้ ปัญญาธิกะ 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัปก็เป็นพระพุทธเจ้าได้แล้ว ส่วนสายศรัทธาต้อง 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป 

ส่วนคนที่เพียร แล้ววกไปวนมา ไม่แม่น จะเป็นศรัทธาก็ไม่ใช่ ปัญญาก็ไม่เอา กลับไปกลับมาก็เป็นวิริยาธิกะ ต้องใช้ความเพียรมาก ล่อเข้าไป 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ท่านก็ทำเป็นอัตราส่วนให้เข้าใจเอาไว้ ในผู้พากเพียรปฏิบัติ ต้องรู้ตัวเอง แม้เป็นสายศรัทธาก็ต้องรู้พากเพียรไป 40 ก็ 40 ดีหน่อย 39 ดีหน่อย 38 ดีหน่อย 35 30 กัป พากเพียรเอาได้ เก่งสุด ก็ 20 กัป 

มันไปชี้ไประบุเอา ไปเป็นโดยที่ตัวเองไม่มีรากฐานมันไม่มีมูลมาเลย อย่างสายปัญญานี้มูลมาแต่เดิมเป็นปัญญาก็เลือกได้ อย่างไรเป็นของใครของมันแต่ละตระกูล แต่ละพันธุ์ มันมีพันธุ์ของตนเอง พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้อธิบายเอาไว้หมดเรียบร้อย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 วิญญาณกับวิญญัติ วันมาฆบูชา วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2565 ( 19:41:46 )

ความต่างของตัวตนที่เป็น สก สว สย

รายละเอียด

อนุสยะ ตัวตน ถ้าเป็นสยะ เป็นตัวเล็กที่สุดในกระบวน สก สว สย อาตมาได้แจกพยัญชนะสภาวะ ความต่างของตัวตนที่เป็น สก สว สย ให้ฟังแล้ว

สก เป็นตัวตนที่แข็งแรงเต็มรูปที่สุด เป็นตัวต้นของพยัญชนะท้ังหมด

ส่วน สว ก็เป็นตัวกลาง ที่เอาพลังงานทางเศษวรรค สว คือตัวที่ 4 ของเศษวรรค ย ร ล ว สามเส้าเป็นพลังงาน cyclic พลังงานตัวที่ 4 เป็นอีกตัวหนึ่ง ถ้ามันเก่งก็เป็นประธานของ 3 ตัวนี้ได้ ถ้ามันไม่เก่งก็ไปสร้างตัวมันอีกเป็น 5 เป็น 6 เกิดอีก เส้าหนึ่ง เข้ามาเป็นคู่แข่งอีกเส้าหนึ่งเป็น สามเส้า สามเส้า เป็น 6 ก็ชิงดีชิงเด่นกัน สามอันไหน เป็นตัวทำให้เกิด 4 อันไหนทำให้เกิด 4 ได้ก็เป็นประธาน ตัวไหนเป็นตัวประธานก็ทำหน้าที่ เกิดเจริญขึ้นไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ผู้อยู่ป่าเป็นผู้เสื่อมผู้อยู่เมืองเป็นผู้เจริญ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 21:08:52 )

ความต่างของพระเจ้ากับพระพุทธเจ้าอย่างมีนัยสำคัญ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในความเป็นมนุษย์นั้น เทวนิยมเขาสมมุติว่าอยู่ที่พระเจ้า ยู้ฮู พระเจ้าอยู่ที่ไหน พระเจ้า ยู้ฮู พระเจ้า ไม่มีใครเคยพบ เจ้าทุยอยู่ไหน ได้ยินเสียงใครเคยกู่ๆ เรียกหาเจ้าอยู่ๆ หนใด รีบมา พระเจ้าคือเจ้าทุยหรือเปล่า ที่คนเรียกหาอยู่ ทำไมไม่มาสักที ?

เพราะฉะนั้นเป็นความเพ้อฝันหรือเปล่า ความจริงไม่ใช่ พระเจ้าก็คือความรู้ความฉลาดที่สุดของพระศาสดาเองแต่ละพระองค์ แต่ศาสดาเทวนิยมแต่ละพระองค์นั้นไม่รู้จักความจริงที่พระองค์มีความรู้ความฉลาด ศาสดาทุกพระองค์มีความรู้ความฉลาด และความรู้ความฉลาดที่มีในตนเองนั้น ก็คือของตนเองที่ได้สั่งสมมาตามกรรมวิบาก มันจึงได้ จึงเป็น จึงมี มีความรู้ความฉลาดสูง มากพอจนเอามาพูดกับมนุษยชาติ มนุษยชาติเข้าใจ เห็นดี ศรัทธา มานับถือจนได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง แบบของแต่ละศาสดา พระพุทธเจ้าก็เช่นกัน

แต่พระพุทธเจ้านั้นนอกจากจะมีความรู้อย่างศาสดาทั้งหลายรู้ พระพุทธเจ้าก็มีหมด ความรู้ที่เรียกว่าดีชั่ว ที่พระศาสดาของเทวนิยมมีแต่ละพระองค์ พระพุทธเจ้ามีรู้อย่างนั้นรู้หมดเข้าใจทั้งนั้น รู้จนกระทั่งรู้ว่ามีจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง จะเอาให้ดีที่สุดตามแต่ศาสดาแต่ละพระองค์ รู้ของตนเองแต่ละพระองค์ แล้วก็เอามาตรัส เอามาสอนเป็นความรู้ของศาสดาเอามาพูดเอามาสอนให้แก่คน จะเรียกว่าเป็นความตรัสรู้ของศาสดาเทวนิยมแต่ละองค์ก็ได้ ถ้าไม่ติดในพยัญชนะว่าความตรัสรู้เราใช้กับพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นนะ อย่าไปขี้หวงขี้แหนขนาดนั้น จะบอกว่าพระศาสดาแต่ละพระองค์เทวนิยมก็ตรัสรู้ของท่านก็ได้ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นรู้อย่างนั้น ท่านถือว่าเป็นความเจริญและเจริญสูงสุด มีที่ค้างอยู่ จบสูงสุดแล้วก็คือเจริญสูงสุด เป็นความรู้สูงสุดนิรันดร สูงสุดแล้วก็อยู่กับพระเจ้า สูงสุดแล้วก็อยู่กับพระศาสดา พระศาสดาตายแล้วมีความสูงสุดแล้ว ก็ไปอยู่กับพระเจ้า แล้วยังไงต่อ ไม่มีตำราของเทวนิยม มีเท่านี้ก็ปิดตำรา เปิดอีกก็มีจบเท่านี้ ไม่มีต่อ แต่ของพระพุทธเจ้ามีต่อ 

อย่างของศาสดาเทวนิยมมีหมด ตำราทุกเล่มแบบนี้ มาจบอยู่ที่อยู่กับพระเจ้านิรันดร และแดนพระเจ้าคืออะไร คือแดนสุข แดนของพระเจ้าคือแดนสุข แต่ไม่รู้เรื่องทุกข์หรอก แต่รู้ว่าไม่เอาทุกข์ แต่ไม่ได้ศึกษาทุกข์และไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ แล้วจะเลิกทุกข์ได้อย่างไร ศาสดาเทวนิยมทุกองค์ของเทวนิยมไม่มีใครศึกษา ไม่มีใครค้นพบและไม่มีใครมีหลักการหลักวิชา ปฏิบัติจนรู้ทุกข์รู้เหตุแห่งทุกข์แล้วดับทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ เหตุเป็นอิทัปปัจจยตาเท่าไหร่ ตั้งแต่มันโง่อวิชชาแล้วมันปรุงแต่งมาเป็นชีวิตสังขารมีวิญญาณเป็นเจ้าเรือน แล้วก็แยกวิญญาณได้เป็นรูปนาม แล้วมันก็ไปสัมผัสสัมพันธ์กันเป็นอายตนะ โดยมีผัสสะและให้การเกิดสัมผัสสัมพันธ์เป็นอายตนะนั้นๆเกิดความรู้สึกเป็นเวทนา แล้วมันก็หลงสุขเวทนาทุกขเวทนาอยู่ตรงนี้ โดยมีเหตุที่เรียกว่า ตัณหาและอุปาทาน เทวนิยมไม่มีความรู้ในอิทัปปัจจยะตาหรือเหตุนี้เพราะเหตุนี้จึงมีตัวนี้ เพราะเหตุนี้จึงมีตัวนี้ เพราะเหตุนี้จึงมีผลนี้ ศาสดาเทวนิยมไม่มีความรู้ของจิตวิญญาณที่แยกเป็นปฏิจจสมุปบาท จนกระทั่งเกิดภพ เกิดชาติเวียนวนแล้ววนเล่า แต่ไม่รู้ตนเอง เพราะไปอยู่ที่ศาสดาพระเจ้า จบตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก ต้องเกิดอีกทั้งนั้น แต่ศาสดาเทวนิยม ไม่รู้การเวียนตายเวียนเกิด ไม่รู้กรรมวิบาก ไม่รู้เหตุปัจจัยที่อยู่ในกรรมในวิบากว่า คุณหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ในโลกไม่รู้จักจบนิรันดร มันไม่ได้ค้างอยู่ที่พระเจ้าและก็เป็นสุขอยู่ที่พระเจ้า ไม่มี เดี๋ยวคุณเกิดตรงนั้นแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 เมษายน 2566 ( 15:10:04 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์