@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ผู้เห็นแสงอรุณ 7 จึงจะปฏิบัติไปรอดได้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ถ้าผู้ใดยังไม่เห็นแสงอรุณ 7 ข้อนี้ คุณมาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ก็ปฏิบัติไปไม่รอด ยิ่งไม่ใช่ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 แต่ไปนั่งหลับตาเลย ไม่รู้จะพูดอย่างไรอีก มันหมดคำเว่า มันสุดสงสาร ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย เขาโง่เกินกว่าที่จะรู้อะไรที่ควร มันหมดคำเว่า อาตมาไม่ยอมหมดคำเว่า อาตมาจะพูดอีก หมดคำเว่าคือหมดคำพูด แต่ไม่เอาหรอก ต้องพูดอีก พูดจนรำคาญเลย แต่ไม่พูดจนเขาเอาปืนมายิงเอามีดมาแทง อย่างนั้นก็ประมาทไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ 

มูลสูตร 10 ทำจิตเป็น มนสิการ ในมูลสูตรยังไม่มีโยนิโส ต้องมาทำใจในใจเป็นข้อ 2 ของมูลสูตร ศาสนาไหนจะต้องเข้า เมื่อเรียนรู้ดีๆแล้ว ศาสนานี้เราจะต้องเข้าไปอยู่ในศาสนานี้ เข้าไปแล้วทำอะไรไปทำใจในใจ แต่เทวนิยมเขาไม่รู้ เขาทำตามคำสอน บัญญัติของพระเจ้า ไม่ได้ทำใจในใจ แล้วบัญญัติมันก็มีความหมายเข้าใจไปคนละนัยยะได้ บาลีตัวเดียวกันนี่แหละ เขาใช้ภาษาของแต่ละศาสนาก็ว่าไป เขาก็เข้าใจพวกเขาเองยังเข้าใจแตกต่างกันไป แต่ละอาจารย์ ศาสดาว่าอย่างนี้ พระบุตรเอามาแจกแจง พวกที่เรียนต่อเข้าใจตามกันไปได้ จึงเกิดนิกาย แตกแยกกัน 

แล้วเขาก็ไม่รู้จักนานาสังวาสด้วย ศาสนาอื่น ไม่มีหลักนานาสังวาส มีศาสนาพุทธมีนานาสังวาสเป็นหลักตัดสินความสงบสูงสุด เพราะสุดท้ายแล้วความเห็นของเธอกับความเห็นของเรามันต่างกัน เพราะฉะนั้นก็ต่างคนต่างปฏิบัติของใครของมันก็แล้วกัน อย่ามาฟ้องร้องกัน คุณจะว่ากันเท่าไหร่ ปฏิกโกสนา ว่าแรงๆข่มกัน ด้วยปากหอก พูดกันเท่านั้น อย่าเอาหอกจริงมาซัดกัน ทุบกันด้วยเสียงปาก คอคุณจะแตกก็เรื่องของคุณเอาแต่เสียงปากพูด นี่คำสอนของพระพุทธเจ้ารอบรัดสมบูรณ์ที่สุด 

ที่มา ที่ไป

พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2565 วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2565 ( 22:12:12 )

ผู้แพ้

รายละเอียด

บันทึกประวัติศาสตร์ : ศึกษาแนวคิดการบริหารการปกครองในระบบสาธารณโภคี (รัฐศาสตร์แบบโลกุตระ) บ้าน วัด โรงเรียน ในช่วงเปลี่ยนผ่านการบริหารจากผู้นำสูงสุด (พ่อครู) มายังคณะนักบวช (ในช่วงมกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป) 

อดีต : บวรราชธานีอโศก จัดตั้งขึ้นในปี...  

ระยะช่วงเริ่มต้นบริหาร : วิธีการ...

พ่อครูวางมือการบริหาร : ในปี...

คณะนักบวชบริหารแทนพ่อครู : ในปี...

คณะกรรมการ : คุณสมบัติ...แนวทางการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง...วิธีการ...การประเมินผลและตรวจสอบ...กระบวนการตัดสินใจ...

สาเหตุของปัญหา : 

ทางออกจากปัญหา :

ปัจจุบัน :

อนาคต

ที่มา ที่ไป

บวรราชธานีอโศก 7 มกราคม 2563

ผู้แพ้ในหมู่ จะเจริญ

กำหนดคณะกรรมการ ๑๕ คน

ไฟล์แนบ : 630107 ยอมทำงานเป็นผู้แพ้ในหมู่จะเจริญ_1.mp4

ลิ้งดาวน์โหลด คณะกรรมการควรลาออก : www.youtube.com/watch?v=ioayXAC2XUM

ลิ้งดาวน์โหลด ผู้แพ้ : www.youtube.com/watch?v=eAeNfsNMmuU

ลิ้งดาวน์โหลด win win : www.youtube.com/watch?v=9ShjiCX8osY&t=10s

ลิ้งดาวน์โหลด การเลือกตั้ง หรือ แต่งตั้ง ที่เหมาะสมสำหรับสังคมสาธารณโภคี...? : www.youtube.com/watch?v=ybDpAlkWhTU

ลิ้งดาวน์โหลด โอวาทพ่อครูคณะกรรมการชุดใหม่ : www.youtube.com/watch?v=a_v8CLriCgs

ลิ้งดาวน์โหลด ทีมไร้ราคาประกาศนานาสังวาส : www.youtube.com/watch?v=kzh0Fsn-3Oc

ลิ้งดาวน์โหลด แตกต่าง แต่ ไม่แตกแยก : www.youtube.com/watch?v=0GdxsUCH4Q8

ลิ้งดาวน์โหลด ความขัดแย้งอันพอเหมาะ : www.youtube.com/watch?v=U306o4WuOPA


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2563 ( 12:23:55 )

ผู้แพ้ ผู้ยอม ผู้เสียสละ คือผู้เจริญ 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในพวกเรา โดยรวม อาตมาพามาทำเป็นสังคมสารณียธรรม 6 ชุมชนเราทุกชุมชนชาวอโศกเป็นชุมชนสาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่าง เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ตำรวจตกงานหมด ไม่มีคดีในหมู่พวกเราด่ากันก็ไม่มี พูดกันแรงๆหน่อยนอกนั้น ดีไม่ดีไม่ชอบใจ ต่างคนต่างเงียบ ต่างคนก็ไม่พูด จะมาด่ามาทะเลาะกันไม่มีในพวกเรา จะถึงทะเลาะกันตีกันฆ่ากันไม่มี นี่เป็นผลสำเร็จจริงนะ 

คนอยู่ที่นี่ร้อยพ่อพันแม่ ดูซิมารวมกันอยู่ ใช่ไหม มาจากไหนต่อไหนมาเป็นพี่น้องกันจริงๆเลย อยู่กันอย่างอนุโลมปฏิโลม ศัพท์ของในหลวง ร. 9 คืออยู่กันอย่างอนุโลมอะลุ่มอล่วยกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน 

ถ้อยทีถ้อยอาศัยนี่คือ มีผู้รู้จักแพ้ มีผู้รู้จักยอม มีผู้รู้จักเสียสละ เพราะการมาเป็น ผู้แพ้ ผู้ยอม ผู้เสียสละ คือผู้เจริญ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงาน ปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 15 เมษายน 2566 ( 11:25:16 )

ผู้แยกกายแยกจิตไม่ได้ไม่มีนิพพาน

รายละเอียด

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง 5 คำนี้จะเอาคำไหนไปใช้อธิบายก็ได้ ให้รู้ว่าเมื่อใดเป็นผมมีกาย เมื่อใดเป็นขนมีกาย เมื่อใดไม่มีกาย ผมก็ตาม ขนก็ตาม เล็บก็ตาม ฟันก็ตาม หนังก็ตาม เมื่อใดมันมีกาย เมื่อใดมันไม่เป็นกายแล้ว

อันนี้จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย แต่จะยากหรือง่ายก็ต้องเรียนรู้ เป็นภาคบังคับเลยสำหรับผู้มุ่งนิพพาน คนที่ไม่เข้าใจแยกกายแยกจิตไม่ได้ไม่มีนิพพาน มีแต่นิพพานเก๊ นิพพานจริงต้องแยกได้ 

อาการของสภาพที่เรียกว่า กาย คือจะต้องมีความรู้สึก มีจิตร่วมเรียกว่า มีกาย

ถ้าสภาพนั้น ผมก็ตาม ตัดออกมาแล้ว มันไม่มีจิตร่วม เล็บก็ตาม ชิ้นที่ตัดออกมาไม่มีชีวะแล้ว ไม่ร่วมอยู่กับร่างกายแล้ว มาเป็นวัตถุดินน้ำไฟลม ไม่เป็นชีวะแล้วอย่างนี้เรียกว่าไม่มีกาย 

ต่อมาเล็บ ที่ยังอยู่กับร่างกายยังไม่ได้ตัดออกมา แต่ม้นยังยาวพ้นประสาท มีอาหารเลี้ยงให้ยาวได้อย่างนี้เรียกว่าเป็นพืช ถือว่า ไม่มีกายเพราะมันไม่มีจิต แต่มันมีชีวะ มันไม่มีจิต มันไม่มีวิญญาณ มันไม่มีเวทนา มันมีแต่การปรุงแต่งของสังขารและสัญญา เป็นรูปเป็นสภาพสัญญา สังขาร นี่เรียกว่าพืช 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 26 ทำปาฏิหาริย์ให้ชีวิตมีค่า สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:14:19 )

ผู้แยกสภาพ 2 ไม่ได้คือผู้ยังวิปลาส

รายละเอียด

เพราะจริงๆแล้วมันเป็นสภาพ 2 แต่เขาไปหลงยึด 1 วิปลาสว่ามันเป็น 1  หลงว่ามันเป็นสุขอย่างนี้เป็นต้นทั้งที่มันมีสุขมีทุกข์ซึ่งมันแยกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงชัดเจนในสัจจะว่าสุขทุกข์แยกกันไม่ได้ เมื่อแยกไม่ได้ก็ไม่เอามันทั้งคู่ ไม่เอาทั้งสองเลย เป็นคนไม่สุขไม่ทุกข์ 

แล้วจะรู้ความสุขความทุกข์คืออะไรก็คือเวทนา คือความรู้สึก นี่สิเป็นจุดสำคัญ ก็ลงไปเรียนรู้ที่เวทนา แยกแยะไป ทีละ 2 ๆๆ จนกระทั่งรู้หมดเลยเป็นลำดับๆ ตั้งแต่ขั้นอบายมุขขั้นกาม แยกเป็น 2

จนกระทั่งรู้แจ้งว่า อบายมุข เป็นมายา กามเป็นมายา เหลือรูปจิต อรูปจิต ก็ศึกษาอีกว่ามันเป็นมายา แท้จริงมันเป็นมายาทั้งหมดเลย ไม่ต้องเอามันเลยก็เป็นอนัตตา ผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงหรือว่าสิ่งที่ไม่มีหรืออนัตตา ไม่ใช่ตัวใช่ตนไม่มีตัวตนอะไร แต่เรายังมีชีวิตอยู่ ก็รู้ความจริง อนุปคัมมะ อ๋อ! แท้จริงที่หลงว่ามันมี แท้จริงมันคือสิ่งที่ไม่มี 

แต่สภาวะปัจจุบันขณะนี้เรายังมีธาตุรู้ มีปัญญามีตัวรู้แจ้งเห็นจริง เป็นอภิภู เป็นผู้ที่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ปรุงแต่งกันอยู่ทุกอย่าง โดยอิสระ เรียกว่า อภิภายตนะ 8 ซึ่งเตรียมจะอธิบายอยู่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มี
อภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 10:30:46 )

ผู้แสวงหาที่ไม่มีอคติจึงจะมาอโศกได้

รายละเอียด

ผู้ที่แสวงหาไม่มีอคติในใจก็จะรู้ว่า อ๋อ.. อย่างชาวอโศกนี้ถูกต้องที่สุดเลย ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้จริงๆเลย ผู้แสวงหาแล้วไม่มีอคติ จะมา ผู้ที่ยังมีอคติ ยังมีอวิชชา ยังไม่เปิด จิตยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ยังงมงายอยู่ ติดในลาภยศสรรเสริญอยู่ เขามาไม่ได้หรอก นอกจากมาไม่ได้ก็มองพวกเราเป็นพวกที่ผิด ซึ่งมันเป็นสัจจะนะไม่รู้จะว่าอย่างไร เขาก็ต้องเป็นอย่างนั้น  เขาก็ต้องรู้สึกอย่างนั้น เขาก็ต้องเห็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิธรรม‌ของ‌ศีล‌ข้อ‌ ‌1‌ ‌ที่‌ชาว‌อโศก‌ปฏิบัติ‌ได้‌ ‌วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน2 ปีฉลู


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:06:06 )

ผู้ใดชอบเที่ยวอยู่ ผู้นั้นอีก  นานนนน มากกกก ยาวววว

รายละเอียด

แก่นไม่ใช่ออกไปแต่ต้องเข้ามาจะหนีออกไปอยู่ ถ้าผู้ใดชอบเที่ยวอยู่ ผู้นั้นอีก  นานนนน มากกกก ยาวววว ยืดดดด ไปด้วยความวิปลาส พอที ใช้อาศัยพยัญชนะสื่อให้ฟัง ถ้ายังไม่เข้าใจว่าคุณอยู่ในกระบวนการอย่างที่อาตมาว่า คนนี้ กูเป็นอย่างนี้หรือ ถ้าไม่รู้ตัวก็แล้วไป 

ถ้ารู้ตัวก็ เราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด เป็นองคุลิมาลกันซะบ้าง จะรู้สึกไหม เพราะฉะนั้นไปหลงอะไรว่า เป็นสิ่งที่น่าได้ เป็นรายได้ เป็นกำไร เป็นความเจริญ ทั้งๆที่มันเฟ้อ มันเกินไปมากแล้ว ไม่รู้จักย่นย่อเข้ามา ไม่หยุดการวน เลิกวนเวียน อยู่ในที่ที่มันกว้างเกินไปแล้ว แคบเข้ามาหาเนื้อหาแก่นหน่อย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนา บำเพ็ญธรรมภาคค่ำ ว.บบบ. เตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่ 2566 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2566 ( 13:42:27 )

ผู้ใดถึงที่สุดอันนั้นแหละอันเดียว

รายละเอียด

ที่พระพุทธเจ้าตรัส สัจจะมีหนึ่งเดียวไม่มีสองจนกระทั่งสัญญายนิจจานิโลเก อัญญตร สัญญาย นิจจานิโลเก เว้นแต่ว่าความกำหนดหมาย สัญญาที่เที่ยงแท้แน่นอนแล้ว ซึ่งมีหนึ่งเดียว คือ ผู้ที่มีภูมิทำถึงขั้นนิพพาน ถึงขั้นอริยสัจ 4 จบรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ ้ด้วยมรรคมีองค์ 8 อันเป็นทางปฏิบัติเอนกของพระพุทธเจ้าจบอริยสัจ 4 ผู้ใดถึงที่สุดอันนั้นแหละอันเดียวใครก็แล้วแต่ก็คือพระอรหันต์ ต้องเป็นพระอรหันต์ขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ใช่อรหันต์แล้ว แย้งกันหมดเถียงกันหมด ต่างกันหมดเลย เห็นไหม

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 11:21:24 )

ผู้ใดทำกรรมอย่างไรก็ไปอย่างนั้น

รายละเอียด

คำว่าโลกหน้าปรโลก จะขอให้ไปเป็นไปตามที่ขอไม่ได้ ผู้ใดทำกรรมอย่างไรไว้ก็ไปอย่างนั้น ผู้ทำดีได้ดี หรือผู้ที่ทำเป็นโลกุตระ จนที่สุดเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านสามารถตายด้วยนิพพาน 3 สูญเลย ท่านก็ทำได้ของท่านเอง ตายแล้วไปสู่ภพของจิตวิญญาณ  

ภพของจิตวิญญาณไม่มีใครรู้จักใคร มันไม่มีใครรู้จักใคร เป็นภพของตนๆ เป็นภวังค์ของตน มันไม่ไปกระทบกับใคร ไม่กินสถานที่ ไม่กินเครื่องอาศัยอะไรเลย มันยิ่งกว่าอากาศ มันไม่กินพื้นที่  ไม่กินสถานที่ ไม่กินวัตถุ ไม่กิน มันเป็นนามธรรม ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเป็นภพของตน

เพราะฉะนั้น ภพที่ไปสร้างอย่างอุทกดาบส อาฬารดาบส ไปสร้างภพของตนเองเป็นอสัญญี พวกนั่งหลับตาดับจิต ดับสัญญา ไม่รู้เรื่อง พวกนั่งหลับตาเป็นพวกอสัญญีทั้งนั้น แต่ไม่รู้ตัวเองเพราะไม่มีสัมมาทิฎฐิที่สามารถดับสัญญาได้เด็ดขาด จะนานเท่าไหร่ก็แล้วแต่ หรือจะสนิทอย่าง อาฬารดาบส ซึ่งที่จริงไม่สนิททีเดียว แต่ อาฬารดาบส ไม่มีพลังจะไปรู้สภาวะที่เกินกว่าพลังที่ตัวเองจะรู้ได้ รู้ได้แค่กรอบเท่านั้น แม้มันจะแว๊บไปคุณก็ไม่รู้ได้เพราะมันเป็นลักษณะสะกดจิต กดมันไว้ที่เก่า แต่อุทกดาบส รู้นะว่า ยังไม่สนิทมันมีอีก แว้บ ก็เลยนับเป็น 8 เป็นฌานที่ 8 แต่อุทกดาบส ก็เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ไม่รู้ว่าอายตนะนี้ มันเป็นภพหรือไม่เป็นภพ จะว่าภพก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ภพก็ไม่ใช่ เขาก็ดับสะกดจิตหนักเข้าไปอีก เขาทำเท่าไหร่มันก็ได้ เป็นมิจฉาผล เป็นผลของพวกฤาษี เทวนิยม เดียรถีย์ ทั้งหลายแหล่ มีความรู้เป็นโลกียะอยู่แค่นี้ อุทกดาบส ดับได้ทนได้นาน ทนได้นานมากยิ่งกว่าอาฬารดาบส นานจนกระทั่งตายไปในคราบของความยึดติดยึดถือนั้น

เมื่อตายไปแล้วมันก็จะจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง นานเท่าไหร่ไม่มีอะไรมากระทบ ไม่มีอะไรมาสะกิด ไม่มีอะไรสะเทือนเลย มีแต่พลังสะกดของตัวเอง
อีกนานๆๆๆๆ จนพระพุทธเจ้าจะไปโปรด เห็นว่าสององค์นี้เคยเป็นอาจารย์ ตอนที่ท่านออกบวชใหม่ๆก็ไปฝึกสมาธิแบบนั้น เรียกว่าเป็นช่วงลิงลมอมข้าวพองของพระพุทธเจ้า ก็คิดว่า ท่านมีเคยบุญคุณ ได้เคยโอภาปราศรัย ในลักษณะนี้ก็ถือว่าเป็นอาจารย์ แม้จะเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ตาม ท่านก็จะไปโปรดเพราะเห็นว่ามีพื้นฐาน

พอระลึกถึงไปว่า ท่านอยู่ที่ไหนหนอ พระพุทธเจ้าก็หยั่งญาณดูว่า อยู่ที่ไหนหนอ อ้าว.. ตายแล้ว ตายไปก่อน 7 วัน อาฬารดาบส ส่วนอุทกดาบส ตายไปเมื่อ 2 วันก่อนนี่เอง ท่านก็เลยอุทานว่า  ฉิบหายใหญ่เลย เพราะช่วยกันไม่ได้แล้ว ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมของ อาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ต้องไปตามยถากรรม กรรมวิบากของท่านเองหนอ

หากว่าไปทันจะช่วยได้ไหม...น่าจะช่วยได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านหยั่งญาณไปรู้แล้วน่าจะช่วยได้ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ งานโพธิบูชากตัญญู ครั้งที่ 3

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน 2565  แรม 15 ค่ำ เดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2565 ( 11:54:17 )

ผู้ใดมีภูมิปัญญาบริสุทธิ์จะรู้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด

รายละเอียด

ผู้มีปัญญารู้แล้วจึงเป็นผู้มีความบริสุทธิ์และตั้งอยู่ในความวินิจฉัยทิฐิ และร่าเริงอยู่ วินิจฉัยเองว่าอันไหนเป็นอย่างไร ผู้ใดมีภูมิปัญญาบริสุทธิ์จะรู้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด ใครไม่รู้ว่าร่าเริงเป็นอย่างไรก็ดูที่ โพธิรักษ์ ตำหนิก็ยังร่าเริง บางทีร้องเพลงไปด้วยตำหนิไปด้วย กล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลาไม่ฉลาด บุคคลเจ้าทิฐิย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลาด้วยทิฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียนผู้อื่นกล่าวทิฐินั้นเอง บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาด ด้วยทิฐินั้น ชื่อว่าเจ้าทิฐินั้นเต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่งและมัวเมาเพราะมานะ มีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วยใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฐินั้น ของเขาบริบูรณ์แล้วอย่างนั้น ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทรามด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทรามไปด้วยกัน อนึ่ง หากว่าบุคคลจะเป็นผู้ถึงเวท เป็นนักปราชญ์  ด้วยลำพังตนเองไซร้ สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่มีใครเป็น ผู้เขลา ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฐิอื่นจากนี้ไป  ชนเหล่านั้นผิดพลาด และไม่บริบูรณ์ด้วยความหมดจด เดียรถีย์ทั้งหลายย่อมกล่าวแม้อย่างนี้โดยมาก เพราะว่า เดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนักด้วยความยินดีในทิฐิของตน เดียรถีย์ ทั้งหลาย กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือทิฐินี้เท่านั้น หากล่าวความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่ เดียรถีย์ทั้งหลาย โดยมาก เชื่อมั่นแม้ด้วยอาการอย่างนี้ เดียรถีย์ทั้งหลาย รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนนั้น อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนัก- แน่นในลัทธิของตน จะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลาในลัทธินี้เล่า เดียรถีย์นั้น เมื่อกล่าวผู้อื่นว่าเป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตนฝ่ายเดียว เดียรถีย์นั้น ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว นิรมิตศาสดาเป็นต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป บุคคลละการวินิจฉัยทิฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาท ในโลก ฉะนี้แล 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 11:42:12 )

ผู้ใดยอมก่อนผู้นั้นชนะก่อน ผู้ใดจะเอาชนะเขาตลอดกาลผู้นั้นยังโง่ดักดาน

รายละเอียด

นอกจากจะไม่ทำทั้งกายกรรม  มโนกรรม  วจีกรรมแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เข้าไปถึงจิตก็มีความละอาย จะทำร้ายสัตว์เล็กสัตว์น้อยก็ละอาย อย่าว่าถึงสัตว์ใหญ่อย่าว่าถึงคนเลย เพราะฉะนั้นคนที่มีจิตอย่างนี้แล้วเขาทำร้ายเรานี่ ใครจะมาทำร้ายเราก็ไม่ตอบโต้ เขาทำร้ายก็ทำไปเราไม่ตอบโต้ เหมือนอย่างพระโมคคัลลานะเขาจะมาฆ่าท่านก็ไม่ได้อะไรมากให้เขาฆ่าก็ตาย ชุบตัวเองมาใหม่ เพราะท่านชุบตัวเองได้ พวกนั้นก็ว่าไม่ตายก็มาฆ่าอีก มันเป็นคำสอนตัวอย่างที่ลึกซึ้งมากเลยโมคคัลลานะ ถูกฆ่าตายท่านก็ฟื้น ก็กลับมา ฆ่าใหม่ไม่จบ จนท่านก็ว่าแม้ไม่ตอบโต้ก็ไม่หยุด ท่านก็ตรวจดู พบว่ามีอนันตริยกรรม ฆ่าพ่อแม่ตาบอด หลอกเอาเข้าป่าแล้วฆ่า อนันตริยกรรมร้ายแรงมาก สุดท้ายท่านก็ยอมให้เขาฆ่า ท่านก็เลยตายเพราะถูกฆ่า หากท่านไม่มีภูมิระลึกได้ ท่านก็ต้องต่อสู้ แม้กระทั่งต่อสู้ด้วยการไม่ตาย แทงด้วยหอกร้อยเล่ม เช้าเที่ยงเย็นก็ไม่ตาย แต่สุดท้ายก็เห็นได้ว่า ผู้ที่สูงสุดคือผู้ที่ยอม จำไว้  “ผู้ใดยอมก่อนผู้นั้นชนะก่อน ผู้ใดจะเอาชนะเขาอยู่ตลอดกาล ผู้นั้นยังโง่อยู่ดักดาน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2563 ( 11:38:27 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:24:12 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:21:04 )

ผู้ใดรู้เหตุ ดับเหตุได้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใดรู้เหตุ ดับเหตุได้ ก็เหลือจิตวิญญาณสะอาด และเป็นจิตวิญญาณที่สะอาดประเภทที่ กิเลสในโลกรู้ทันหมด มันมีอยู่ในโลกที่เกิดจากสัมผัสกันตั้งแต่ 2 ชิ้น 2 อย่างไปตามจิตวิญญาณโง่กับทุกสิ่ง 

บางคนชอบกินขี้ ว่าเป็นความสุข พูดให้มันถึงๆน่ะ บางคนชอบกินเศษขยะ ว่าเป็นสุข มันจะไม่น่าเกลียดเท่าที่พูดมาตอนต้นเท่าไหร่ก็ตาม มันก็คือสิ่งที่ไปสัมพันธ์กัน เกิดมาเป็นสภาพอย่างนั้น เรียกว่าย่อลงไปที่สัมผัส 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แล้วก็ยังไปปรุงแต่งกันอยู่ในจิตอีก เป็นอันที่ 6 ที่ไม่มีประมาณ ของแต่ละคน บ้าไปได้อย่างนับไม่ถ้วน ของใครของมันบ้าปรุงแต่งอยู่ 2 อัน ถ้าได้อย่างนี้เป็นอย่างนี้ๆ ถ้ามีอย่างนี้เป็นอย่างนี้ 

มันเป็นลมๆแล้งๆเป็นเรื่องที่เพ้อเจ้อ เป็นเรื่องที่บอกว่า น่าได้น่ามีน่าเป็น มันเห็นเป็น สุภะ ทั้งๆที่มัน อสุภะ เป็นสิ่งที่ไม่น่าหลงไม่น่ามีเลย ถ้าผู้ใดเห็นว่ามันไม่มี สุภะ มีแต่อสุภะ น่าเกลียดน่าชัง 

สรุปลงตรงที่ศัพท์ง่ายๆบอกว่า ทุกอย่างมีแต่ขี้ มีแต่อุจจาระ ทุกอย่าง excrement ภาษาง่ายๆเขาเรียกว่า shit ขี้ ทุกอย่างลงท้ายแล้วมันจะเป็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 เมษายน 2566 ( 15:17:09 )

ผู้ใดหมดกามผู้นั้นอย่างน้อยเป็นอนาคามี

รายละเอียด

ผู้ใดหมดกามผู้นั้นเป็นผู้เจริญ ผู้ใดไม่มีอาการกามอยู่ในจิตอีกแล้ว อย่างน้อยเป็นอนาคามีบุคคลเป็นต้นไป 

ตัดเกรดตัด Curve คำว่ากามของอนาคามีก็ค่อยๆเรียนกัน 

เพราะฉะนั้นท่านจึงสอน ทาน ศีล สัคคะ คือสวรรค์ สวรรค์นี่แหละคือกาม ความใคร่อยากในรสเสพสม ก็เรียกว่าสมใจก็ได้สวรรค์ เสพความสนุกรื่นเริงเพลิดเพลินขึ้นสวรรค์ด้วยความพอใจอะไรก็ตามใจ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องอาการของสวรรค์ จิตที่เป็นอาการของสวรรค์ คนผู้นั้นก็จะตกอยู่ในความต้องการเสพภพชาติของสวรรค์อยู่ตลอดกาลนาน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 21:02:43 )

ผู้ใดเห็นกามเป็นโทษ ผู้นั้นมีปัญญา

รายละเอียด

คุณตุ๊ก กล่าวถึง “กามคุณ” กลายเป็น “กามโทษ” คำนี้สำคัญ

กามคุณ คือหลงกามว่าเป็นคุณ กามโทษ เข้าใจกามเป็นโทษ

ผู้ใดเห็นกามเป็นโทษ ผู้นั้นมีปัญญา ผู้ใดที่เห็นว่ากามเป็นคุณ ผู้นั้นโง่มีอวิชชา 

ในอนุปุพพิกถา พระพุทธเจ้าถึงสอนไว้ 

1. ทาน การสละ  การให้ 

2. ศีล  การชำระขัดเกลา ด้วยเจตนางดเว้น 

3. สัคคะ (สวรรค์) 

4. กามานัง  อาทีนวัง  โอการัง  สังกิเลสัง โทษของกาม  ความต่ำทรามของกาม    ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย 

5. เนกขัมมะ อานิสัง  อานิสงส์การออกจากกาม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 21:01:17 )

ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

รายละเอียด

ถูกต้องแล้ว นี่แหละอ่านอาการอ่านอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจริงเป็นจริงที่ตัวเองมีผัสสะมีเหตุการณ์ในปัจจุบัน อ่านอันนี้เลยอย่าไปอ่านความจำ อย่าไปอ่านความนึกคิด ปัจจุบันเกิด สัมผัสแล้วเกิดอาการอย่างไร ก็อ่าน แล้วอาจจะเป็นสิ่งที่ผ่านมาระลึกเป็นความจำที่เราทำได้มา เราก็ท้าวความมาเป็นเช่นนี้เอง เรียกว่า เตวิชโช สามอย่าง ระลึกถึงสิ่งเก่าๆที่ผ่านมา อะไรมันเกิดอะไรมันดับ อะไร ละหน่ายจางคลาย ก็จะเห็นความจริงมันมา อันไหน ถอนอาสวะได้แล้ว นี่คือ เตวิชโช 

คนที่รู้จักความจริงแล้วจะรู้ว่าไม่มีเพชรนิลจินดาอะไรที่จะมีคุณค่ากว่าความดีที่เป็นโลกุตระ คุณธรรมทางโลกียะ มีการทำดีทำชั่ว ทำได้ความดีมีความประเสริฐสูงขึ้นไป ก็ดีแล้ว ก็ดีกว่าเพชรนิลจินดาแล้ว ยิ่งเป็นโลกุตรธรรมเข้าใจสุขทุกข์ แล้วดับเหตุแห่งความโง่ที่เราไปหลงสุข คนมันไม่หลงทุกข์หรอกแต่มันโง่กับทุกข์ จนกระทั่งพ้นสุขพ้นทุกข์ไปได้ สูง เจริญขึ้นมาเรื่อยๆ สุดยอดประเสริฐเลย 

มาเรียนรู้อันนี้แหละ แล้วจะรู้ว่าจริงๆแล้วจิตมันโง่สุดยอดที่ไปหลงติดว่า ทุกอย่างเพื่อสุขเพื่อทุกข์ ไม่ใช่ ทุกอย่างไม่มีอะไรเลย อนัตตา ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนหรอก มันเป็นสังขารปรุงแต่งอยู่ในโลก ตราบที่เราโง่เราก็มีสังขารโดยไม่รู้จักสังขาร สังขาร 3 กาย วจี มโน จนกระทั่งรู้จักอภิสังขาร มันติดมันยึดอยู่ก็ล้างมันออก ปุญญาภิสังขาร ดับมันไปๆๆ จนมันหมด มันจะปรุงแต่งกับโลกก็เพื่ออาศัยไม่ได้ติดยึด ม่ได้เอียงข้างไปหาข้างใดข้างหนึ่งเลย เรียกว่าเป็นกลาง 

สันทิฏฐิโก หมายความว่า เอาตัวเองนี่แหละมาปฏิบัติพิสูจน์ อกาลิโก ไม่จำกัดกาลเวลาไหน ก็มาเถอะมาได้มาเลย เอหิปัสสิโก แล้วจะบรรลุผลเอง จนเรียกผู้อื่นมาดูได้  เอหิปัสสิโก เชิญให้ผู้อื่นมาดูได้ ผลที่เราได้แล้วนะมายืนยันพิสูจน์ตามพระพุทธเจ้าสอนไว้ทุกอย่าง โอปะนะยิโก เป็นของสูงที่ควรเอื้อม เอาให้ได้ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ภาษาพูดก็ง่ายๆ แต่สภาวธรรมจริงๆต้องลึกซึ้งจริงๆ ต้องเห็น ต้องเกิด ต้องเป็น ตถตา แปลว่าเป็นอย่างนั้นเองเราก็เป็นเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 54 ผู้เป็นกลางคือผู้วางกามกับอัตตา วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2565 ( 15:05:54 )

ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต

รายละเอียด

ได้ เหมือนกับทุกวันนี้เราไม่ได้พบพระพุทธเจ้า มีใครแอบไปพบพระพุทธเจ้าบ้างไหม แต่เราก็อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า เพราะเราเองฟังธรรมะของท่านมาตลอด เราฟังอยู่ตลอดเวลาพยายามปฏิบัติตามคำสอนท่านตลอดเวลา อย่างที่โอ๋พูดมา สิ่งเหล่านี้เป็นตัวเชื่อมให้วิญญาณเราไม่ห่างจากท่าน ถูกต้อง แน่นอนก็คงไม่ได้เจอตัวจริงของพระพุทธเจ้าอีกแล้ว แต่เราก็ใกล้ชิดท่านได้ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 20:18:20 )

ผู้ใดเอาแต่ใจตัวเองเอาตามอัตตาตัวตนเป็นเสรีที่ไม่เสรีแล้ว

รายละเอียด

แต่ถ้าสัตว์ที่มี ish ตัวกูของกู มี i มี self แล้ว ตัวตนมาแล้ว ก็เริ่มไม่ยอมแล้ว ยิ่งเป็นคน โอ้โห ยิ่งไม่ยอมใหญ่เลย ยึดมั่นถือมั่น เลยเข้าใจว่าเสรีภาพเป็นธรรมะ ที่จริงคุณยึดถือจะเอาอย่างใจคุณจึงเรียกว่าเสรี เอาแต่ใจ ผู้ใดที่เอาแต่ใจตัวเองเอาตามอัตตาตัวตน เป็นเสรีที่ไม่เสรีแล้ว ไม่เสรีโดยเสรีแล้ว จบ เป็น Independent กิเลสใหญ่ที่สุดก็คือตัวตนนี่แหละ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2563 ( 14:35:12 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 04:15:00 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:26:42 )

ผู้ใฝ่ธรรมะ

รายละเอียด

เทศน์บรรยาย อาตมาว่า ตื่นเช้าขึ้นมาไม่เทศน์ก็เหมือนกับเทศน์  ดีไม่ดี ปรมัตถ์ลึกๆด้วยนะ พวกเรามาคุยกันเรื่องธรรมะ มันเป็นเรื่องอยู่ในกระแสเลือดและจิตวิญญาณของพวกเราเป็นผู้ที่ใฝ่ธรรมะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกคือชุมชนบุญนิยมที่มีมรรคผลจริง วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่สันติอโศก


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:24:25 )

ผู้ใหญ่และเด็กต้องปรับตัวเข้าหากัน

รายละเอียด

ฟังไว้ก็ถูกต้อง เด็กก็น่าจะต้องเป็นผู้ที่ยังมีวัยวุฒิ มีอะไรต่ออะไรได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ต้องพยายามตระหนัก ต้องพยายามเข้าใจเด็กดีๆ แต่ผู้ใหญ่จริงๆโดยสามัญมีอะไรรู้ดีๆกว่าเด็ก ก็ต้องปรับตัวลดหย่อน หรือว่าอนุโลมให้แก่เด็กไป ไม่ใช่ว่าจะเอาดั่งใจเรามันก็แข็งขืนไปมันก็ไม่ดี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 14:11:02 )

ผู้ให้เชื้อต้นกำเนิดโลกุตระ

รายละเอียด

สรุปแล้วพวกเรานี่อุดมสมบูรณ์ เราสำคัญในความสำคัญ ปัจจัย 4 นอกนั้นก็อาศัย เป็นบริขาร เล็กๆน้อยๆไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร จิตก็เบา สบาย ง่าย สะดวก ก็เท่านี้แหละชีวิตก็ไป แล้วมีประโยชน์ที่เสียสละ ทำงานทำการสร้างสรรนั่นนี่อะไรต่ออะไร แล้วเราก็เสียสละเกื้อกูลผู้อื่นไป คุณอยากเกื้อกูลไปอีกเท่าไหร่ล่ะ ก็เกื้อกูลไปจนกระทั่งอย่างอาตมานี้ทำมาทุกขั้นแล้ว จนถึงขั้นที่ เทศนามาเป็นผู้ให้ความรู้ มาเป็นโพธิสัตว์ที่จะให้ความรู้หลักอย่างละเอียดลออ ผ่านมาจนกระทั่ง...ใครว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตร คนนั้นดูถูกอาตมา เพราะอาตมาทุกวันนี้สูงเจริญกว่าพระสารีบุตรแล้ว ใครฟังได้ก็ฟัง ใครฟังไม่ได้จะอาเจียนเป็นโลหิตพุ่งออกจากปากก็ตามใจ 

ถ้าเป็นความจริงอาตมาเป็นพระสารีบุตรเมื่อก่อน 2500 ปี ล่วงมาถึงบัดนี้อาตมาไม่ได้พัฒนาตน อาตมาจะได้เป็นพระพุทธเจ้าไหมนี่ไม่ได้เป็น อาตมาไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก ถ้าอาตมาเป็นพระสารีบุตรจริงแล้วอาตมาก็บำเพ็ญมาจนถึงวันนี้ อาตมาก็ต้องเหนือกว่าพระสารีบุตร ฟังแล้วจะอ้วกแตกไหม..ใช่ไหม นี่คือสัจจะ เพราะฉะนั้นไม่ยึดมั่นถือมั่นใครจะว่า อาตมาเป็นพระสารีบุตรมาเกิดหรือไม่ใช่พระสารีบุตรมาเกิด อาตมาไม่ได้เป็นปัญหา มันอยู่ที่สัจธรรม และธรรมะที่เหมาะกับยุคนี้ด้วย สื่อออกไปแล้วพวกคุณก็ฟังเข้าใจแล้วทำได้แล้วก็มีทุกอย่างรองรับ ใครเข้ามาอยู่แล้วคุณก็ได้ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนความเสียสละ ก็ สบม ทมด ปกต หห จจ มชยลล ไม่แปลพูดให้งงไปงั้น 

สรุปแล้ววันนี้ อาตมานี่แหละเกิดมาชาตินี้นี่ เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ในตัว เป็นผู้ให้เชื้อต้นกำเนิดโลกุตระ แล้วก็เป็นผู้ที่พยายามให้เข้าใจขยายความ จ้ำจี้จ้ำไชนี่แหละเป็นบุคลิกของแม่ พ่อนี้ก็ตบผัวะจบเลย ไม่เรื่องมาก ถ้าเรื่องมากนี่คือแม่ ไม่เรื่องมากนี่คือพ่อ เพราะฉะนั้นลักษณะพ่อก็ดี แม่ก็ดี โลกนี้ก็ดี โลกหน้าก็ดี โลกนี้คือไม่จบ อยังโลโก โลกหน้าคือรู้จบ และการรู้จักที่จบ แล้วก็จัดการกับความจบให้แก่ตน สูงสุดเราไม่ได้ไปจัดการคนอื่นเราจัดการตน จบกิจตน ทำตนให้จบ สุดท้ายจบในขณะที่เราทำงานทำกิจ เราก็ต้องมีกรอบของความจบ ถ้าไม่มีกรอบของความจบ อันนี้แหละ วันนี้วันแม่อย่างไรก็ขอนิดนึง 

ท่านประยุทธ์ ปยุตโต สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ท่านไม่รู้จุดจบท่านไม่รู้บทสรุป ความรู้ท่านมีมากเกิน เกินกว่าที่จะบรรลุอรหันต์แล้วท่านไม่รู้กรอบไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ท่านก็เลยบอกว่างานมันเยอะยังทำไม่เสร็จอยู่ตลอดเวลาเลย ท่านตายไม่ลงง่ายๆหรอก แบบนี้ตายไม่ลง แม้แต่ทรมานตน ขันธ์ท่านก็เป็นคนไม่แข็งแรงตั้งแต่ไหนแต่ไร มีคนช่วยเยอะใช้วิทยาศาสตร์การแพทย์ช่วยกันไป เพราะฉะนั้นอาตมาเห็นอันนี้แล้วก็ต้อง อยากจะให้ท่านเข้าใจท่านจะได้รู้จบ เพราะว่าท่านเองท่านมีผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสเยอะ โพธิรักษ์เทียบไม่ติดในเรื่องผู้ที่มาศรัทธาเลื่อมใสด้วยความเชื่อถือจริงๆ ความเชื่อถือนับถือท่านมีมากมาย เพราะฉะนั้นถ้าท่านเองท่านเข้าใจจุดจบ แล้วก็โอ้โห ถ้าเข้าใจจุดจบที่ถือว่าจบรอบแรกคืออรหัตผล หรืออรหันตะ ต้องใช้พยัญชนะตรงนี้ ก็คือรู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน แล้วจะรู้ได้ก็ต้องมีผัสสะที่แท้จริง ตั้งแต่ตัวแรกเลย เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 1 แล้วก็เข้าใจสภาพที่อยู่กับสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะคนนี่แหละ 

1.เข้าใจพฤติกรรมของคนให้ได้ ว่าพฤติกรรมของคนนี้ ยกตัวอย่างง่ายๆ คุณคนนี้เป็นพระอรหันต์ ถ้าคุณไม่รู้อรหันต์คุณจะรู้ว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์ไหม ขนาดเป็นพระอรหันต์ยังไม่ได้รู้ผู้อื่นว่าเป็นอรหันต์ได้ง่ายๆเลยถ้าเป็นอรหันต์ขนาดต้นๆตื้นๆ ต้องอรหันต์ขนาดพอสมควร อย่างนี้แหละจึงพิสูจน์ได้เลยว่า อรหันต์ขนาดอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นอรหันต์ระดับ 4 เป็นอรหันต์ขั้น 4 โพธิสัตว์ระดับ 7 ท่านยังไม่ยอมรับว่าอาตมาเป็นอรหันต์แล้วท่านจะไปรู้อะไร 

อันนี้แหละอาตมาเสียดายมากเลย ถ้าท่านรู้แล้วท่านก็สาธยายธรรมะที่ถูกต้อง ไม่ต้องยอมรับว่าเข้าใจตามอาตมาก็ได้ ขอให้เอาธรรมะที่อาตมาอธิบายไปตั้งแต่กายเป็นอย่างไรบุญเป็นอย่างไร  ท่านก็ยังเข้าใจ อาตมาเคยพูดไปหลายทีแล้วว่าท่านจะเข้าใจกายได้สัมมาทิฏฐิหรือยัง ส่วนบุญนี้ไม่สัมมาทิฏฐิแน่ สัมมาสมาธิท่านก็ยังไม่ใช่ง่ายๆ เป็นสมาธิลืมตาเป็นสมาธิฌานลืมตา เป็นสัจธรรมที่เป็นธรรมดาสามัญนี่แหละ ฌาน เป็นธรรมดาไม่ต้องไปนั่งเต๊ะท่า มีหลักธรรมพระพุทธเจ้าอ่านธรรมะพระพุทธเจ้าสามารถทำให้กิเลสลดได้ในขณะทำฌาน   จนกิเลสลดหมดไปเป็นรอบๆ อันนี้หมดรอบจบรอบแล้วอรหัตผลก็รู้ คุณก็อ่านสภาวะได้จบหมดมันก็รู้ได้ด้วยตนมันก็พูดได้ง่ายๆไม่ได้ยากเพราะมีของจริงเอามาพูดเป็นภาษาไทย เท่าที่เรารู้ภาษาไทย อาตมาก็พูดเป็นของจริงอย่างนี้ อาตมามีความจริงก็พูดไป แล้วพวกเราก็เข้าใจมันไม่ยาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นแม่ที่ให้กำเนิดโลกุตรจิต วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2566 ( 20:17:51 )

ผู้ไกลจากวิเวก

รายละเอียด

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฏกเล่ม 29 ข้อ 30


เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2562 ( 13:15:04 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:25:06 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:21:45 )

ผู้ได้ฌาน 4 แบบมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างไร

รายละเอียด

ปัญญาข้อที่ 4 ผู้ได้ฌาน 4 แบบมิจฉาทิฏฐิ ก็คือฌานหลับตา ง่ายๆ นั่งหลับตาทำฌานในภพ บรรลุฌาน ในนั่งหลับตาไม่ใช่ของพุทธ ถ้าพุทธต้องเป็นฌานลืมตา ปฏิบัติจรณะ 15 อยู่ในข้อที่ 12 13 14 15 เป็นฌาน 1 2 3 4 ต้องปฏิบัติตามหลัก อปันกปฏิปทา 3 เป็นตัวกำหนดชัดเจนว่าคุณต้องตื่นลืมตา มีสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 มีของกินของใช้ที่คุณจะต้องสัมผัสของกินของใช้ต่างๆนานา เป็นเครื่องอาศัยทั้งหมด ที่คุณจะยังชีพ คุณต้องมี แล้วคุณต้องตื่นฝึกให้เกิดชาคริยานุโยคะ ตื่นทั้งภายนอกภายในตื่นทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ก็บรรลุมิจฉานิโรธ มิจฉานิพพาน นึกว่าตนเองดับได้แบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส นิพพานของพระพุทธเจ้าจะต้องมีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง(อาโลก) ไม่ใช่คุณบรรลุก็อยู่ในภพแดนฝันของคุณ ซึ่งขั้นต้นคุณก็ยังทำไม่ได้ไปลัดเข้าไปนั่งหลับตา ก็มาคิดได้อย่างนี้ คือในภูเขาลูกใหญ่ เขาบอกว่าในกลางภูเขาเป็นถ้ำใหญ่เป็นโพรงสว่าง เป็นโพรงที่น่ารื่นรมย์มาก อยู่ในกลางภูเขา เป็นแดนอันเกษมที่สวยงามที่สุด คุณก็อยากจะเข้าไป แต่คุณไม่มีวิธีเข้าไปก็เลยคิดฝันเอาว่า ถ้าอย่างนั้นก็นั่งหลับตาแล้วหายตัว เข้าไปอยู่ข้างใน เข้าไปอยู่ในกลางภูเขานั้นได้ นี่คือคุณฝัน แล้วคุณก็ไปสร้างภพชาติ ว่าคุณอยู่ในภพกลางภูเขาอันใสสว่าง อันแสนสงบอันแสนดีนั่นแหละ ที่จะบรรลุสูงสุดนั่นแล้ว ที่จริงแล้วคุณยังไม่ได้เป็นเลย มันเป็นวิมานเพ้อเจ้อเท่านั้นเป็นอุปาทานเป็นภพชาติ จิตคุณก็นิ่งดิ่งไปแบบสมถะ แต่คุณยังไม่ได้ล้างกิเลสตั้งแต่ภูเขาภายนอก ยังไม่ได้เจาะภูเขาเป็นช่องเป็นรู แล้วถึงเข้าไปข้างใน พอลดกิเลสล้างกิเลสเหมือนเจาะภูเขา ถึงจะเข้าไปถึงข้างในกลางภูเขาได้ คุณยังไม่ได้ปฏิบัติอย่างมีลำดับอันน่าอัศจรรย์อย่างนี้เลย ได้แต่ฝันคิดเอาและสร้างภพเอา แล้วคุณเข้าไปได้อย่างไร น่าสงสารคนที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ หมดเวลาแล้ว เราก็ทำตามเวลาเขาถ้าเขาเห็นใจเขาก็จะให้เรา 2 ชั่วโมง 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2563 ( 09:00:48 )

ผู้ได้เจโตสมถะ / อธิปัญญา 4

รายละเอียด

1. ผู้ได้เจโตสมถะในภายใน แต่ไม่ได้อธิปัญญาเห็นแจ้งในธรรม

2. ผู้ได้อธิปัญญาเห็นแจ้งในธรรม แต่ไม่ได้เจโตสมถะในภายใน

3. ผู้ได้เจโตสมถะในภายในด้วย ได้อธิปัญญาเห็นแจ้งในธรรมด้วย

4. ผู้ไม่ได้เจโตสมถะในภายในด้วย  ไม่ได้อธิปัญญาเห็นแจ้งในธรรมด้วย

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 36  "จตุกกนิทเทส"  ข้อ  177

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2562 ( 14:06:36 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 03:57:39 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:22:33 )

ผู้ได้เจโตสมถะ / อธิปัญญา 4

รายละเอียด

1. ผู้ได้เจโตสมถะในภายใน แต่ไม่ได้อธิปัญญาเห็นแจ้งในธรรม

2. ผู้ได้อธิปัญญาเห็นแจ้งในธรรม แต่ไม่ได้เจโตสมถะในภายใน

3. ผู้ได้เจโตสมถะในภายในด้วย ได้อธิปัญญาเห็นแจ้งในธรรมด้วย

4. ผู้ไม่ได้เจโตสมถะในภายในด้วย ไม่ได้อธิปัญญาเห็นแจ้งในธรรมด้วย

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 36 “จตุกกนิทเทส” ข้อ 137


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2565 ( 21:27:23 )

ผู้ได้เปรียบทางเศรษฐกิจจะไม่มีคำว่า เพียงพอ

รายละเอียด

อาตมาพูดไปนี้ พวกสายหลับตาเขาจะบอกว่า โพธิรักษ์เอาอะไรมาพูด ไอ้คำว่าเศรษฐกิจฟังแล้วก็บ้าๆบอๆ แล้วยังไงมาเกี่ยวกับเทวะเกี่ยวกับจิตวิญญาณเข้าไปอีก จะเห็นว่า เขาฟังไม่ออก พูดง่ายๆ 

“ทฤษฎี”ของชาวเทฺวนิยม หรือชาวโลกที่ยังไม่มี“ทฤษฎี”ของชาว“โลกุตระ”ไม่มี“จุดสำเร็จ”ของ“ปัญหา”ว่า จะ“จบ”ปัญหาเศรษฐกิจได้แท้จริง 

เพราะ“คำตอบ”ของคนร่ำรวยหรือของผู้ได้เปรียบทางเศรษฐกิจ จะไม่มีคำว่า “เพียงพอ”หรือ“พอ”เป็นอันขาด คนผู้ไม่มี“ปัญญา”รู้แจ้งรู้จริงทาง“จิตวิญญาณ”จากการเรียนรู้และปฏิบัติจนกระทั่งเกิด“ปัญญา”แท้ใน“อาริยสัจ 4”เท่านั้น ที่จะ“ยุติ”การกอบโกย-การเอาเปรียบจากสังคม จึงจะเป็นผู้“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ของตนให้แก่สังคมได้สำเร็จจริง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิโดยพ่อครู GDPแบบพุทธที่ต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยม วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 15:26:38 )

ผู้ไม่กินเนื้อสัตว์ เข้าใจถึงกรรมวิบาก

รายละเอียด

พืชพันธุ์ธัญญาหาร มีค่าสูงกว่าเอาสัตว์มากิน เพราะฉะนั้นคนที่เอาสัตว์มากิน ไปล่าสัตว์มากิน ยังบาป มีวิบากอะไรอีกเยอะ แล้วไม่ประเสริฐเลย มันไม่ใช่อาหารของคนด้วย เป็นอาหารโง่ เนื้อสัตว์  ฉะนั้นผู้ที่ถึงขั้นไม่กินเนื้อสัตว์ เข้าใจในสัจธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน เข้าใจถึงกรรมวิบาก เข้าใจถึงพลังงานของจิตวิญญาณ ที่มีความอาฆาตพยาบาทเคียดแค้น ทำลายกัน จองเวรจองภัยกัน เพราะเรากินพืชพันธุ์ธัญญาหารมันก็เจริญแล้ว สบายแล้ว ไม่ตายแล้ว ไม่ตายกินพืชพันธุ์ธัญญาหารอย่างไรก็ไม่ตาย ไม่กินเนื้อสัตว์อย่างไรก็ไม่ตาย ดีไม่ดีกินแต่เนื้อสัตว์ไม่กินพืชพันธุ์ธัญญาหารนั้นอายุสั้น สั้นกว่าคนกินพืชพันธุ์ธัญญาหารด้วย นี่เป็นสัจจะวิทยาศาสตร์เขาก็ยืนยัน 

คนก็ยังโง่ไม่เสร็จอยู่นั่นแหละกินเนื้อสัตว์ แล้วก็ไปฆ่าสัตว์ ศีลข้อที่ 1 ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ให้ฆ่าสัตว์ ลึกซึ้งถึงขั้นไม่ให้ฆ่าแม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อย เพราะเป็นชีวะเริ่มเป็นชีวะเป็นจิตนิยามขึ้นมาตั้งแต่เซลล์เดียว จนกระทั่งถึงล้านๆๆๆ เซลล์ มาเป็นคน มันเป็นเรื่องที่มันเกิดมาแล้วในโลกเปลี่ยนตระกูลจากพีชะมาเป็นจิตนิยาม นี่เป็นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า นักวิทยาศาสตร์ไหนก็คิดไม่ได้ มีนักวิทยาศาสตร์อย่างพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เรื่องนี้ เป็นคนค้นพบ ซึ่งแม้แต่รางวัล Nobel prize ก็ไม่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ความรู้ที่สุดยอด เขาไม่มีภูมิ เขาเป็นเทวนิยม ชาวกรรมการของ Nobel prize เป็นเทวนิยม เขาไม่ใช่ชาวอเทวนิยม ไม่ใช่ชาวพุทธ เขาไม่รู้หรอกว่า ข้าวมันสูงสุดขนาดไหน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การวัดคุณค่าของมนุษย์กับสิ่งสร้างขึ้นของมนุษย์  วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565 ขึ้น 1 ค่ำ เดือนยี่ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 มกราคม 2566 ( 12:18:09 )

ผู้ไม่กินเนื้อสัตว์จะมีภูมิสูงขึ้นไปไม่มีอะไรกั้น

รายละเอียด

ผู้ไม่กินเนื้อสัตว์สูงไปได้เกินกว่านั้นไม่มีอะไรกั้น แต่ผู้ที่กินเนื้อสัตว์จะไม่ได้เกินโสดาบัน ถ้าภูมิสูงขึ้นไปเป็นสกิทาคามีก็จะเลิกกินเนื้อสัตว์ ไม่อย่างนั้นคุณก็จะวนเวียนมีรังสีราศีที่เป็นโอเวอร์แลปไปหาสกิทาคามีบ้างก็ไปไม่รอด เป็นสกิทาคามีไปได้ไม่กี่ก้าว ก็จะวนเวียนในโลกโสดาฯมันไปอีกนานแสนนานจนกว่าจะรู้จักอิทัปปัจจยตา กรรมวิบากที่เกี่ยวกับสัตว์ที่เป็นจิตนิยามที่มันยึดตัวตน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มนุษย์ที่ยังมีทุกข์มีสุขอยู่ก็คือโง่กว่าพืช วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 20:05:37 )

ผู้ไม่บรรลุธรรม

รายละเอียด

คือ  ผู้ที่จะต้องศึกษากับความจริงทุกอย่าง  เมื่อไปนั่งหลับตา  คุณก็ไปอยู่กับตัวเอง  ความรู้ก็มีอยู่ในตัวเองจะเรียนรู้อะไรก็เรียนรู้ได้แต่ของตัวเอง  เพราะไม่มีอะไรจากผู้อื่น  ไม่มีปรโตโฆษะเลย  ก็นั่งหลับตาเข้าไปก็นั่งหลับเข้าไปในภวังค์  เข้าภพ  จมอยู่ในรูนี้อย่างเก่า  แล้วก็ไปหลงฟุ้งซ่านใหม่เองไปติดอดีต  18  อย่าง หรือ ก็คิดฟุ้งซ่านไปในอนาคตมากมาย  ก็ได้แค่ 44  ทิฎฐิวนอยู่แค่นี้ ก็ไม่ได้งอกเงย  สัตบุรุษที่แท้  ก็จะสอนว่าอย่าไปนั่งหลับตา การปฏิบัติหลับตา  ไม่มีรูปนามไม่มีภายนอก  ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8  ด้วยกาย เป็นคนปฏิบัติไม่ครบความเป็นกาย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 69 วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 14:37:18 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:26:31 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:26:10 )

ผู้ไม่ปฏิบัติศีลด้วยวิญญาณฐีติจะไม่พ้นสัตตาวาส 9

รายละเอียด

สัตตาวาส 1 2 3 4 คุณปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่ตรงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า คุณได้ผลเหมือนกัน ได้ผลเป็นสัตว์อยู่นั่นแหละ สัตว์ประเภทที่ 1 คุณก็เห็นต่างกันไปหมด กายต่างกันสัญญาก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง พวกนี้พูดกันไปเดี๋ยวก็ทะเลาะกันง่ายๆ เพราะพวกคุณไม่มีความรู้เรื่องกาย เรื่องสัญญาเลย ในสัตตาวาสข้อที่ 1 

พูดไปก็แย้งกันไกล ต่างกัน สัญญาต่างกัน มันแทบจะไม่ลงกันเลย เห็นความเป็นมนุษย์เห็นความเป็นเทวดาเห็นความเป็นพรหมต่างกันหมด จนกระทั่งเริ่มมีจุดที่ร่วมกันได้ คือทำความหยุด เรียกว่า ปฐมฌาน ทำความหยุด ในความหยุดก็ต่างกัน

สัตตาวาส ก็คือ เป็นสัตว์ เลิกความเป็นสัตว์ก็เป็นเทวดาเป็นอุบัติเทพวิสุทธิเทพ แต่คุณก็ยังมีทิฏฐิมีความต่าง แม้จะได้ปฐมฌาน ในข้อที่ 2 คุณก็ได้อย่างหลับตา ลืมตาออกมาคุณไม่ได้ กายที่มีความรู้ต่างๆ ตาหูจมูกลิ้นกายคุณหยุดอย่างนั้นให้นานๆ ถาวร ลืมตาแล้วไม่มีกิเลสเกิดเลยคุณทำไม่ได้ คุณได้แต่หลับตามันก็ต่าง ทิฏฐิต่างกัน 

เพราะฉะนั้นสัญญาก็ต่างกัน อาจจะได้กายอย่างเดียวกันคือ ไม่รู้เรื่องเป็นหนึ่ง จิตเป็นหนึ่ง ไม่รู้อะไรมากกว่าหนึ่ง ส่วน 2 3 4 5 6 7 ไม่รู้คุณก็ได้แต่บอกว่านี่เป็นเอกัคคตารมณ์ หนึ่งยิ่งใหญ่แต่ยิ่งใหญ่แบบที่หลับตาอยู่ในภวังค์ ลืมตามาคุณไม่ได้แล้ว กำหนดไม่ได้ ถูกกระทบกระแทกกระเทือนไปไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จนกระทั่งคุณหลงไปกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หลงไปในลาภยศสรรเสริญสุข คุณก็ไม่รู้เรื่องว่าคุณเองหลงงมงายติดยึดกับสิ่งเหล่านี้ ก็ยังจมกับมันอยู่นั่นแหละ 

สัตตาวาสข้อที่ 1 กับวิญญาณฐีติข้อที่ 1 ภาษาเหมือนกัน แต่ทิฏฐิ ต่างกัน 

ข้อที่สองภาษาก็เหมือนกัน วิญญาณฐีติเป็นสัมมาทิฏฐิ สัตตาวาสเป็นมิจฉาทิฏฐิ 

ข้อที่ 3 ภาษาก็เหมือนกัน แต่มันต่างกันไปในรายละเอียดลึกซึ้ง 

อย่างข้อที่ 3 รู้กาย เป็นอาภัสรากับรู้กาย เขาก็กำหนดภาษาว่า อาภัสราเหมือนกัน เหมือนอย่างคณะธรรมกาย 

แม้ภาษาถึงข้อที่ 8 ก็เหมือนกัน แต่สัตตาวาส มีอสัญญีสัตว์ มันก็เลยเป็น 9 แต่วิญญาณฐีติไม่มี นอกจาก วิญญาณฐีติไม่มี 9 และไม่มี 8 ด้วย วิญญาณฐีติก็มี 7

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พาปฏิญาณศีล 8 วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2565 ( 12:15:58 )

ผู้ไม่มีบุพเพกตปุญญตาได้แต่สร้างนิรมาณกาย

รายละเอียด

ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นผู้ที่มีมาได้ตามจริงนั้นๆ แต่ถ้าผู้ใดยังไม่เคยมีบุพเพกตปุญญตา ไม่เคยมีบุญมาเก่า ปฏิบัติบุญยังไม่เป็นปฏิบัติได้แต่กุศลได้แต่ดีแต่ชั่ว ไม่ถึงขั้นไปกำจัดกิเลส ลดกิเลสได้ ก็ไม่มีบุญอะไรสักเล็กสักน้อย 

ผู้ที่ไม่มีบุพเพกตปุญญตา  ต่อให้ตายไปแล้วมาระลึกเอามันก็ไม่มี มันไม่มีของเก่าที่เป็นส่วนบุญที่คุณเคยได้ คุณไม่เคยได้เลยใดๆคุณจะระลึกให้ตายอย่างไรก็ระลึกขึ้นมาไม่ได้แน่  นอกจากหลงเพ้อไปสารพัดเป็นของเก๊เลอะเทอะ เพ้อไปสร้างนิรมาณกาย คือของเก๊ สร้างนิรมาณกายมาหนักอย่างบางคนบอกว่าฉันเกิดมาเป็นพระศรีอารย์ หรือเป็นพระอรหันต์ หลงหนัก หลงในสิ่งที่ไม่ใช่ของจริง ซับซ้อนหลอกตัวเองสาหัสขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่นั่งหลับตาปฏิบัติซึ่งมันไม่สัมมาทิฏฐิ หลงผิด ทำกันมากเลยในโลก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 20:21:59 )

ผู้ไม่มีภูมิธรรม อธิบายโอวาทปาฏิโมกข์ 3 ไม่ได้

รายละเอียด

ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วจะไม่ใช้พลังงานตัวเองเต็ม จะมีความเผื่อพอ จะรู้ว่าตัวเองจะถลำอย่างไร จึงควบคุมความเที่ยงได้ไม่มีความไม่เที่ยง ถึงไม่มีบาปอีก สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง บุญหมดแล้วบาปไม่เกิดอีก เหลือแต่กุศลอย่างเดียว เพราะฉะนั้นการอธิบายกุศลกับบุญต่างกันได้ ต้องมีภูมิธรรม คนไม่มีภูมิธรรมจะอธิบายโอวาทปาฏิโมกข์ 3 ไม่ได้ ก็จะอธิบายเป็นโลกีย์

แต่ถ้ามีภูมิธรรม จะอธิบายปาฏิโมกข์ 3 นี้อย่างมีภูมิธรรม รู้ว่าอย่างนี้คืออรหันต์ อย่างนั้นจะสับสนวนไปวนมาก็ยังไม่ใช่อรหันต์นี่เป็นสัจจะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครู เทศน์ ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:46:27 )

ผู้ไม่มีโลกุตรจิตถึงขั้น นิยตะ ให้ระวังตอนวิบากออกฤทธิ์

รายละเอียด

หากไม่มีโลกุตรจิตถึงขั้น นิยตะ เที่ยงแท้ ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา

 องค์คุณส่วนเกิดของพระโสดาบัน

ข.) ส่วนที่เกิดทางจิต (โอปปาติกโยนิ) 

5. โสตาปันนะ (เข้าสู่กระแสโลกใหม่คือโลกุตระ) . . 

6. อวินิปาตธัมโม (ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา) 

7. นิยตะ (เที่ยงแท้แน่นอนสู่มรรคผลที่สูงขึ้น) 

8. สัมโพธิปรายนะ (มุ่งตรัสรู้ในภายหน้า) 

(พตปฎ. เล่ม 19  ข้อ 1475)  

โสดาบัน แปลว่าเข้ากระแส อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ เมื่อเข้ากระแสแล้วจะมีเชื้อของโลกุตระเข้าไป 25 ส่วน 

อวินิปาตธรรม เรียกว่ายึกยัก ๆ แต่ไม่ตกต่ำ ไม่ตกไปจากโสดาบันทีเดียว แต่มันก็ยึกยักอยู่นานกว่าจะมาถึง 50 ส่วน แล้วถึงจะเที่ยง พอ 50 ก็ไม่ยึกยักแล้ว ขึ้นไปได้จนกว่าจะถึง 75 ก็เที่ยงเลย สัมโพธิปรายนะ สู่ที่สูงที่สุดแต่ถ่ายเดียว

คนที่มารู้จักว่าเราเกิดมาเป็นคนนี้ เราเห็นความสำคัญของโลกุตระ ผู้ที่เข้ากระแสแล้วจะเห็นถ้าเห็นจริงเลย มันก็จะมี จิต ที่หยั่งเป็นอนุสัยของผู้ที่ได้ซับซาบโลกุตรธรรม มันจะมีธรรมชาติของปัญญาชัดเจนว่า โอ้โห! เกิดมาเป็นมนุษย์ถ้าไม่ได้มีโลกุตรธรรม ไม่ได้ถึงนิพพาน ก็จะวนเวียนสุขๆทุกข์ๆดีๆชั่วๆ ดีๆอย่างนั้นแหละเป็นล้านปี ก็หมุนเวียนอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่มาพบศาสนาพุทธ ไม่ได้มารับรู้ อัญญธาตุ คือธาตุ จิตวิญญาณที่จะไปสู่โลกุตรธรรม  มันก็จะหลงวนเวียนอยู่นั่นแหละ 7,000 ล้าน เป็นเทวนิยมไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ 

แม้แต่ประเทศไทยเป็นพุทธซึ่งเป็นโลกุตรธรรม ก็ยังเสื่อมไป จนอาตมาต้องเอาโลกุตรธรรมมาตั้ง มาหยั่งมาประกาศขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ของอาตมาเป็นผู้ตรัสรู้นะเป็นของพระพุทธเจ้า แต่ว่าอาตมาต้องนำมาเพราะมันเสื่อมไปหมดสิ้นไม่เหลือ ตอนนี้ก็พูดชัดๆอย่างนี้ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหา อาตมาพูดสัจจะความจริง 

เพราะฉะนั้นท่านที่รู้ศาสนาพุทธอยู่ทุกวันนี้ ถ้าไม่มาชัดเจน ตามที่อาตมาพูด อธิบาย ท่านก็ยังวนเวียนอยู่ในโลกียะ อยู่ในเทวนิยมยังงั้นแหละ 

เราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าวิบากจะออกฤทธิ์จัดสรรขึ้นมาตอนไหนในโอกาสเกิดร่างใหม่ของภพชาติถัดไป เกิดชาติหน้ามันอาจจะไม่มีจุดที่สั่งสมโลกุตรธรรมในอนุสัย คือจิตใต้ก้นบึ้ง จะสั่งสมลงในอนุสัยเลย เมื่อไม่มีก็จะวนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย พอเริ่มต้น มีจุดเริ่มต้นของโลกุตรธรรมขึ้นไป คนนี้ถึงจะต่อชาติ อาจจะมีวิบากของแต่ละคนไปก็แล้วกัน อันนี้บอกไม่ได้ อจินไตย มาเจอแล้วต้องไปใช้วิบากอีก กว่าจะได้มาเริ่มต้นต่อก็แล้วแต่ละคน 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2565 ( 05:27:32 )

ผู้ไม่รู้สัจธรรมเป็นผู้ที่น่าสงสารยิ่ง

รายละเอียด

ผู้หลงผิดตั้งแต่เริ่มต้น ไม่รู้ตนเอง ก็น่าสงสาร ยิ่งผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่มีแม้การเริ่มต้นที่“สัมมาทิฏฐิ”ก็ไม่มีลำดับต้น มันก็ไม่สามารถจะมี“ปัญญา 8”และไม่มี “วิชชา 8”ได้ครบถ้วนเด็ดขาด ก็น่าสงสารยิ่งนัก  

“วิชชา 8”นั้นเป็นสุดยอดแห่งความมี“ปัญญา”ครบสูตรแห่ง“ปัญญา”ของศาสนาพุทธ ที่เริ่มจาก“วิปัสสนาญาณ”อันเป็น“สัมมาทิฏฐิ” ซึ่งทุกวันนี้“วิปัสสนาญาณ”ก็ได้พากันหลงวิตถารพิสดารผิดเพี้ยน“มิจฉาทิฏฐิ”ไปมากมาย   ซึ่งผู้“อวิชชา”หรือยังเป็น“เทฺวนิยม”อยู่ ไม่สามารถแยกความแปลกกัน-ความแตกต่างกันในความเป็น“เทฺว”คือ“ภาวะ 2”ได้นี่เองเป็นสำคัญ 

เพราะเขาไม่ได้ยินไม่ได้ฟังความเป็น“ปัญญา”จากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า หรือจากสัตบุรุษ หรือจากคนผู้มี“สัมมาทิฏฐิ”แล้วที่อยู่ในฐานะครู หรือแม้จะได้ยินได้ฟัง แต่เขาก็ยังหลงติดยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิ”เดิมๆอยู่ คงงมงายมืดมนอยู่นั่นแล้ว ยังหลงยึดถือ“เทฺว”หรือ“พระเจ้า”ที่ไม่สามารถแยกความเป็น“เทฺว”อันมี“กาย”กับ“กรรม”ตนเองได้ จึงไม่สามารถรู้ตนเองว่า ตนเองเป็นใคร ทั้งๆที่ตนเองคือ“พระเจ้า”เอง คือ“ศาสดา”ของชาว

เทฺวนิยมซึ่งแสดง“ความรู้เองของตนเองแท้ๆ”ที่ตนเองได้สั่งสมมาเอง เป็น“วิบาก”ของตนเอง เป็น“มรดกกรรม”(กัมมทายาท)ของตนเอง ไมใช่ของ“พระเจ้า”ใดเลย ก็ไม่รู้สัจธรรมนี้ จึงเป็นผู้ที่น่าสงสารยิ่งอยู่แท้ เพราะยังจม“อยู่ในสงสาร”กับ“อุปาทาน”กับ“อวิชชา” จึงเป็นผู้น่าสงสารยิ่ง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1

วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 21:46:13 )

ผู้ไม่รู้โลกุตระจะเห็นผิดครบวิปลาส 4

รายละเอียด

ผู้ที่ยังไม่รู้ก็จะปน เห็นดำเป็นขาว เห็นขาวเป็นดำ เป็นวิปลาส สลับกันไปสลับกันมา ไม่แน่ ไม่ชัดเจน สุดท้ายก็หลงผิดจนกระทั่งเห็นดำเป็นขาว เช่น เห็นทุกข์เป็นสุข วิปลาสแน่แท้ เห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง เห็นว่าไม่ใช่ตนเป็นตน เห็นความไม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็น เป็นความน่าได้น่ามีน่าเป็น ครบวิปลาส 4 อย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งที่พูดไปแล้วนั้นเป็นสัจธรรมทั้งสิ้น ผู้ที่ไม่ศึกษาดีๆ แม้แค่วิปลาส 4 ที่อาตมาพูดไปแล้วนั้น อาจจะฟังภาษาเข้าใจ แต่สภาวะยากที่จะมี สัจจะของสภาวะ วิปลาส 4 ที่จะรู้แจ้งเห็นจริงและหลุดพ้นผ่านมาแล้วเป็นคนผู้ที่ไม่วิปลาสแล้ว เพราะเขายังเป็นคนที่มีวิปลาส 3 อยู่แล้วสมบูรณ์แบบ วิปลาส 3 คือมีสัญญาวิปลาส มีทิฏฐิวิปลาส มีจิตวิปลาส หรือมี สัญญาวิปลาส มีจิตวิปลาส มีทิฏฐิวิปลาส

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 10:26:00 )

ผู้ไม่รู้โลกุตระต้องจมอยู่กับ เทฺว อันอวิชชาอยู่นานจนถึงนิรันดร

รายละเอียด

จึงเป็นผู้ได้ศึกษาตามพระพุทธเจ้าจนมีสัมมาทิฏฐิ และสามารถตีแตกแยกแยะ“เทฺว”ออกได้จริงด้วย“ธรรมะ 2” ทั้งในความเป็น “พยัญชนะ”ทั้งในการจัดการกับ“ธรรม”ได้ถูก“ตัวตน”แท้ๆสำเร็จ

คำว่า “เทฺว”นี้จึงยิ่งใหญ่จนสุดจะกล่าว

เพราะ“เทฺว”เป็น“อัตตา-อาตมัน-ปรมาตมัน”ที่ชาว“เทฺวนิยม”ย่อมจมอยู่กับ “ตัวตน” จะ“ไม่รู้ตัวตน” กันได้ง่ายๆเลย ตราบที่ยังไม่ได้พบพระพุทธเจ้า หรือสัตตบุรุษ ก็จะต้องอยู่กับ “ตัวตน” ที่ “ไม่รู้จักตัวตน”อยู่นั่นแล ตลอดกาลอันไม่มีที่สุดจบลงได้

ซึ่งน่าเห็นใจอย่างมากจริงๆที่ประดาคนทั้งหลายในโลก ผู้มีชีวะขั้น“จิตนิยาม”แล้ว แต่ยังไม่รู้“โลกุตระ” ก็ยังต้องจมอยู่กับ“เทฺว”อัน“อวิชชา”อยู่นานสุดแสนนานถึงนิรันดร ก็แสนจะจริง สายเทวนิยม บอกว่าพระเจ้านิรันดร อัตตานิรันดร จึงเกิดความเที่ยงไม่สูญหายตีไม่แตกทำลายไม่ได้ ก็จะจมอยู่อย่างนั้น มันก็มีความจริงนี้มาตลอดกาลคู่กับโลก ศาสนาพระพุทธเจ้า บรรลุธรรมแล้วเกิดความเห็นแย้งว่า วิญญาณไม่เที่ยง สัพเพธัมมาอนัตตา แล้วท่านก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยว่า จิตวิญญาณของแต่ละคนที่สุดของตนเองทำให้จิตวิญญาณตนเองเป็นอนัตตาได้มันก็สูญ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตรปัญญาต้องได้มาจากสัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 18:56:06 )

ผู้ไม่เชื่อคือผู้มิจฉาทิฏฐิที่น่าสงสารมาก

รายละเอียด

พูดอย่างอวดตัวอวดตนจริงๆ อาตมาก็รู้สึกหมั่นไส้ตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่มันเป็นการพูดความจริงที่อาตมาหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อยืนยันว่าคำสอนนี้ที่เขาว่าเป็นความสุดโต่ง เป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นจริงได้จึงต้องย้ำเน้นและยืนยัน เดี๋ยวจะหาว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเป็นเรื่องสุดโต่ง เป็นเรื่องที่ Impossible ซึ่งมันไม่ใช่ มันเป็นของจริง อาตมาเป็นคนไม่มีภาษี ไม่มีอลังการทางโลกเลยที่เขาจะยอมรับนับถือ ยังให้พวกเรามาปฏิบัติทฤษฎีวิเศษนี้จนได้ผล คนที่ศึกษามามีหลักฐาน เป็นเปรียญ เป็นดอกเตอร์วิชาการหรือสังคมยอมรับอะไรก็ยิ่งจะมาสอนได้ดี ขนาดอาตมาไม่มีอะไรเลย ขี้กะโล้โท้ มาสอนแล้วก็ยังได้ผลเลย คนที่มีเครื่องรับรองฐานะของตนเอง ก็ยิ่งจะสอนได้ผล แต่เขาไม่เชื่อความจริงอันนี้ เพราะเขาได้มิจฉาทิฏฐิไปอย่างน่าสงสารมากเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2563 ( 18:15:38 )

ผู้ไม่เชื่อว่าพ่อครูเป็นอรหันต์

รายละเอียด

ความเห็นของคุณก็อย่างนึง ความเห็นของเราก็อย่างนึง บอกว่า..อย่าจากกันนะ ศึกษาไปด้วยกันเถอะ คุณก็ฟังไปศึกษาไป เราก็ของเรา คุณก็ของคุณ ไม่ต้องทะเลาะกัน มาเป็นญาติกันมิตรสหายกันได้ตลอดไป ไม่มีปัญหาอะไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:20:09 )

ผู้ไม่เอาคำสอนของพระเถระเอาแต่พุทธวจนเป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูง

รายละเอียด

ทีนี้มีบางคนชักมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่เอาคำสอนของพระเถระที่อยู่ในพระไตรปิฏก คัดออกหมด เอาแต่พุทธวจน มีผู้ที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างนั้น ก็เอาเถรวาทะให้มันได้ก่อนเถอะ พระเถระ ที่ขยายความให้ได้เข้าใจยิ่งขึ้นกว่าก็ลบหลู่พระเถระอีก ก็ยิ่งใหญ่ไป จะเป็นผู้ที่มีภูมิสูงจะเอาแต่ของพระพุทธเจ้าก็แล้วแต่ นัยยะต่างๆนี้ อย่างอาตมา มาประกาศตนเองว่าเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 ซึ่งอาตมาไม่ได้พูดพล่อย พูดเล่นๆ พูดอย่างมีความรู้และก็มีความจริง ที่เป็นจริงออกมาเป็นคำจริงทั้งนั้นที่พูดออกมา พูดไม่จริงมันก็บาปแล้ว อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จะพูดจาไม่รู้จักบาปไม่รู้จักบุญก็แย่แล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาให้พ้นความสุขคือความโง่ วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2564 ( 20:25:48 )

ผ่านมาหมดแล้วชาตินี้เพียงฟื้นขึ้นมาเท่านั้นเอง

รายละเอียด

อาตมาไปอยู่ป่า เมืองกาญจน์ ตอนบวชใหม่ๆ ไปอยู่คนเดียวนะไม่ต้องไปตามด้วย นอกจากไปอยู่ป่าคนเดียว ยังไปค้างคืนอยู่บนเขาไม่ให้คนอื่นตามไปด้วย กลางคืนก็มีเสียงสัตว์ออกมาหากิน ก็นอนไป ทั้งกลิ่นสัตว์ เสียงสัตว์ เขาสร้างกุฏิให้นิดหน่อยก็นอนอยู่ในนั้นมีที่มุงบังอยู่น้อย เราก็อยู่ของเรา ก็ได้ไปลองในชาตินี้ปางนี้เป็นพระโพธิรักษ์บวชมา ก็ได้ไปลอง ไปฝึกปฏิบัติประพฤติ ซึ่งจริงๆอาตมาก็รู้มาหมด ลองมาหมด ผ่านมาหมดพวกนี้ เป็นแต่เพียงชาตินี้ฟื้นขึ้นมาเท่านั้นเอง ไปปฏิบัติดูก็เข้าใจ ไม่ได้ประหลาด ไม่ได้แปลกไม่ได้ทนไม่ได้ หรือไม่ได้ไปชอบอกชอบใจจนติดยึดอยู่ในป่า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ผู้อยู่ป่าเป็นผู้เสื่อมผู้อยู่เมืองเป็นผู้เจริญ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 21:44:09 )

ผ้รู้จักสภาวะจากพยัญชนะคือผู้มีภูมิธรรม

รายละเอียด

พยัญชนะที่เอามาสู่สภาวะต่างๆ อาตมามีภูมิธรรมไม่ต้องไปท่องบ่นจากตำราไหนหรอก หรือแม้แต่ตำราไหนที่เขาบรรยายแปลไว้ อาตมาแตะก็เข้าใจ เพราะมีอยู่ในตัวแล้วก็ไม่ต้องไปย้ำมากมาย หยิบเอามาได้เลยเอามาใช้ได้เลย เอามาใช้กับพวกเรา เพื่อถ่ายทอดสัจจะ พระบาลีต่างๆเหล่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสไว้อยู่ในพระไตรปิฎกจะว่าทุกคำของพระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมา ก็เอามาบอกไว้ด้วยพยัญชนะ เพื่อให้รู้จักสภาวะ คนที่รู้จักสภาวะจากพยัญชนะเหล่านี้ ก็หยิบพยัญชนะเหล่านี้มาสื่อให้รู้กัน อย่างที่อาตมาได้ทำมา 50 กว่าปีแล้ว ก็ได้มนุษยชาติขนาดนี้ ไม่เป็นหมัน อาตมาทำงานไม่เป็นหมัน และที่สำคัญก็คือ 

จะต้องทำเนื้อหาสาระที่จะมีเนื้อหาที่จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ต่อไปอีกได้ถึงพุทธศักราช 5000 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 20:53:52 )

ผ้าจีวรของภิกษุต้องมีขันธ์หรือไม่

รายละเอียด

ตอนหลังไม่ใช่ผ้าบังสุกุล แต่ก็มาตัดเย็บเป็นช่องๆก็กำหนดเอาเองพระพุทธเจ้าไม่เคยกำหนดหรอก เขาบอกว่าต้องเป็นผ้ามีขันธ์ ก็เอาเลขสวยๆมากำหนด มันเป็นเรื่องวุ่นวายของคนคิดมาก คนกำหนดมาก ก็หลงติดยึดกันไปเอง 

อาตมาว่า อย่างชาวอโศกมีผ้าผืนเดียว ก็เย็บขอบหน่อยไม่ต้องมีขันธ์ ดีไม่ดี พวกผ้าตัดใหม่ แต่เขาไปตัดให้เป็นช่อง นี่เรียกว่าพวกโง่แต่ขยัน เขาบอกว่าถ้าไม่มีช่องก็ถือว่าไม่ถูกต้องเป็นอาบัติ ซึ่งกำหนดเอาเอง ไม่มีคำสอนพระพุทธเจ้ากำหนดให้เป็นอาบัติ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 15:15:20 )

ผ้าจีวรของภิกษุมีแบบมาตรฐานแน่นอนหรือไม่

รายละเอียด

เอาละอาตมาขอตอบรวมๆไปก่อนว่า เรื่องจีวรคุณอย่าไปยุ่งอะไรมากนัก ผ้านุ่งห่มก็มีโตใหญ่พอสมควร มีขนาดกว้างยาวเท่านั้นเท่านี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดเอาไว้ประมาณไม่ใช่เอาตายตัวเป๊ะๆ มากกว่าหน่อย ยาวกว่าหน่อยแล้วแต่ละคน คนนั้นตัวใหญ่ไม่เท่ากัน เช่นตัวเล็กก็ไม่ต้องกว้างยาวใหญ่มาก คนตัวโตก็กว้างยาวใหญ่มาก สิ่งที่พอเหมาะพอควร พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้ในพระธรรมวินัยหรือไม่..ก็ไม่ได้กำหนดตายตัวในผ้านุ่งห่ม มีนัยยะกำหนดคือว่า ให้หนักไปในทางผ้า อย่าไปหลงโลก ผ้าราคาแพงหรูหราฟุ่มเฟือยสดสวยงดงาม อย่าไปหลงอย่างนั้น ถ้าใครสามารถใช้ผ้าสีหมองผ้าที่เขาทิ้งแล้วเรียกว่า บังสุกุล (ผ้าไม่มีเจ้าของแล้วเขาทิ้งแล้วคลุกขี้ฝุ่น บังสุกุละ คือ ขยะแล้ว) แต่ผ้ามันยังดี พอจะใช้ได้ เช่น ผ้าห่อศพมันเปื้อนน้ำเลือดน้ำหนองแต่ผ้ามันดีนะ ส่วนมากเขาจะเอาผ้าใหม่ๆห่อศพ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าชอบกัน ถ้ามันยังดีอยู่เป็นแต่เพียงเปื้อนน้ำเลือดน้ำหนอง เขากลัวเรื่องวิญญาณเรื่องของผีความสกปรกก็ไม่ใช้ เราเอามาใช้น้ำย้อมสีคล้ำก็กลบสีน้ำเลือดน้ำหนองได้แล้ว จึงกลายเป็นผ้าย้อมน้ำฝาด แต่ทีนี้ไปกำหนดเป็นตารางอย่างนั้นอย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 15:10:55 )

ผ้าบังสุกุล

รายละเอียด

ผ้าบังสุกุล  คือ  ผ้าที่เปื้อนเลือด  เปื้อนหนองก็เอามาย้อมให้เป็นสีเดียวกัน ได้ผ้ามาใช้เป็นผ้าไตรจีวร  สบง  สังฆาติ  จีวร  เอามาใช้  การย้อมสีให้เป็นสีตามธรรมชาติ เช่น เปลือกไม้  ลูกไม้  เอามาย้อมก็เกิดสี  มันจะย้อมสีอื่นก็ได้  ย้อมเป็นสีเหลืองก็มี  สีแดงก็มี  ครามก็มีแต่ถ้าเผื่อว่าจะย้อมเป็นสีในโทนธรรมชาติ  เขาเรียกสีเปลือกไม้หรือสีย้อมน้ำฝาดจะเป็นสีน้ำตาลส่วนใหญ่

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการสำมะปี๋ซี่วิต


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2562 ( 17:13:22 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:27:01 )

ผ้าปิดจมูกใช้ปิดจมูกเป็นหลัก

รายละเอียด

มีคนตั้งข้อสังเกตว่าการใช้ผ้าปิดจมูกปากบางคนส่วนมากก็ผิด ถูกแล้วคือเขาปิดนี่เขาปิดจมูกเป็นหลัก แต่ว่าบางคนปิดแต่ปากไม่ปิดจมูกอันนี้ทำผิดวิธี เพื่อสุขภาพของพ่อครู แต่ก็ทำให้คนดูเข้าใจว่าที่นี่มีโรคร้ายหรือไม่ แล้วก็เสียดายอากาศหวานของที่นี่ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 10:50:15 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:14:12 )

ผ้าป่า

รายละเอียด

ผ้าป่า คือผ้าผืนนี้ เป็นไตรจีวรหรือผ้าที่ภิกษุจะเอาไว้ใช้ เป็นผ้าที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นผ้าบังสุกุล เป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้ว ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แสดงความเป็นเจ้าของไม่ได้ เสร็จแล้วผู้ที่เห็นว่าของนี้เป็นของทิ้ง เช่น พระบางรูป ก็มาขอไปเถอะเอาไปใช้ จะไม่เป็นบาป ไม่เป็นหนี้อะไร ซึ่งเป็นผ้าที่เลอะเทอะไปหมดแล้ว 

เพราะฉะนั้นพวกที่ทำงานศาสนาอยู่ก็กลายเป็นพุทธพาณิชย์ไปหมด กฐินก็พาณิชย์ ผ้าบังสุกุลก็พาณิชย์ ทำกิจกรรมอะไรต่างๆนานาก็พาณิชย์หมด สวดมนต์สวดพรก็พาณิชย์ทั้งนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาส่งท้ายปีเก่า 2566 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 1 วันวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2567 ( 15:21:47 )

ผ้าป่า กฐินผิดพระธรรมพระวินัย

รายละเอียด

สาธุที่เลิกจารีตประเพณีที่ทำลายศาสนา เป็นเรื่องผิดก็ธรรมวินัยไปไกลๆเลย ทั้งในความหมายตื้นและลึก ทั้งผ้าป่าและกฐิน ไปหมายเอาเงิน โดยเฉพาะพระภิกษุ ถ้าหากมีทอดผ้าป่าทอดกฐินก็จะได้เงินทอง นอกนั้นพฤติกรรมทางธรรมได้อกุศลได้บาปทำลายศาสนา ถ้าเลิกผ้าป่ากฐินไปเสียทุกวันนี้ศาสนาพุทธจะดีขึ้นอีกเยอะ กฐินทำได้แค่ครั้งเดียวต่อปี ส่วนผ้าป่าทอดได้ตลอดปี การหาเงินจากกฐินผ้าป่าคือบาป พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้พระไปวุ่นวายเกี่ยวกับการหาเงิน ขนาดตอนแรกเริ่มเราทำกับพวกเราเองยังกลายเป็นเทวนิยมได้ เป็นเรื่องเลอะเทอะก็เลยเลิกทำ มาจนถึงบัดนี้ แต่สมัยก่อนทำเพื่อหาผ้ามาทำจีวรเท่านั้นเอง เพราะว่าผ้ามันหายาก 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 17 มกราคม2563


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2563 ( 15:51:40 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:28:20 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:24:05 )

ผ้าป่า-ทอดกฐิน หลับตาเป็นเดียรถีย์คือความเสื่อมในศาสนาพุทธ 

รายละเอียด

ความเป็นผ้าป่าคือความไม่รู้ว่าผ้านี้ของใคร แล้วก็ไปชักผ้าบังสุกุล นี่ใครจะเป็นเจ้าของผ้าป่า แล้วผ้าป่าจะได้งบเท่าไหร่ มันผิดจากศาสนาพระพุทธเจ้าไปอย่างชิบหายวายป่วง ทุกวันนี้ทอดกฐินกันก็ว่าจะได้เงินเท่าไหร่ ได้เงินมาเลี้ยงวัดวาไป ก็อ้าง การสร้างโบสถ์วิหารเจดีย์ สร้างศาสนวัตถุอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมันเป็นความเสื่อมจนไม่รู้จะเสื่อมอย่างไรในศาสนาพุทธ 

พระป่า ทำที เป็นไม่หลงเงิน แต่ก็ไปหลงทางด้านจิต หลับตาเป็นเดียรถีย์ เป็นพญานาค ถ้าเข้าใจแล้วพญานาคก็คือโจรปล้นศาสนา ที่พระพุทธเจ้าท่านสมมุติเป็นเรื่องว่ามีพระราชา จับโจรได้ที่มาปล้นทำลาย ขอให้เอาโจรไปฆ่า ประหารเสียให้หยุดทำบาป ฆ่าก็ยังไม่ตายอีก ซับซ้อนในอุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้า สุดยิ่งใหญ่สุดซับซ้อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนจน 2 แบบ คนจนอวิชชากับคนจนโลกุตระ ตอน 3 วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2564 ( 11:54:55 )

ผ้าป่าเป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้วเรียกว่า ผ้าบังสุกุล แปลว่า ของเขาทิ้งแล้วเช่นผ้าห่อศพเป็นต้น

รายละเอียด

ผ้าป่าเป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้วเรียกว่า ผ้าบังสุกุล แปลว่า ของเขาทิ้งแล้ว ทิ้งขว้าง เช่น  ผ้าห่อศพ เป็นต้น หรือผ้าที่เขาทิ้งแล้วไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้แสดงตัวเป็นเจ้าของแล้ว เลยเรียกว่า ผ้าบังสุกุล ผ้าที่ไม่มีเจ้าของ ก็ต้องไม่มีผู้เป็นเจ้าของมายืนยันให้คนอื่นรู้ พระพุทธเจ้าตรัสเขตไว้อย่างนี้ 

ผ้าอันนี้ไม่มีเจ้าของแล้วเราก็รู้ชัดว่าไม่มีเจ้าของ เป็นผ้าที่เขาทิ้งเด็ดขาด ไม่มีใครเขามาตู่เอาคืนแล้ว ถ้าผ้านี้ยังมีเจ้าของแล้วมายืนยันว่าทอดผ้าป่า ซึ่งมีเจ้าของอยู่ทนโท่ อย่างนี้ไม่ใช่ผ้าป่า อันนี้มันผ้าขี้ตู่ เป็นผ้าที่มันไม่เข้าท่า มันเรื่องวินัย มันผิดวินัยแล้ว ผ้าป่าสามัคคีขี้หมาอะไร มันออกนอกรีต  นอกธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ผ้าป่าเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของ เป็นผ้าที่เขาทิ้งไว้แล้วจริงๆ ถ้าผ้านี้ยืนยันว่ามีคนเป็นเจ้าของ ฉันหามา เป็นต้น คนที่มีเงินมีทองมีสิทธิ์จะซื้อหามาถวายพระได้ เป็นผ้าที่มีเจ้าของ ต่างกันกับผ้าป่า 

เดี๋ยวนี้เอาคำว่าผ้าป่ามาทอดกัน คือ ผ้าป่า จะหาได้เป็นผ้าที่เขาทิ้งและไม่มีเจ้าของเก็บเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีกำหนดเวลา ไม่มีลิมิต ไม่มีจำกัด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อานาปานสติอย่างพุทธ ไม่มี
นัตถิกทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2565 ( 18:35:05 )

ผู้จะมนสิการทำใจในใจถึงโยนิโสมนสิการได้จะต้องมีจิตฉันทะเต็มสภาพ

รายละเอียด

จริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็นมูลกา” (ข้อที่ 1 ของ“มูลสูตร 10” พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ“ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เป็น“โลกุตระ”ได้สำเร็จผล ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”

ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียว ก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”จิตที่ถึงฉันทะ ยินดีพอใจ เต็มที่เป็นรากเลย ยินดีเต็มสภาพเลย เป็นมูลกา ผู้นี้จึงจะปฏิบัติข้อ 2 มนสิการทำใจในใจ ถึงจะเป็นโยนิโสมนสิการได้ ถ้าไม่เช่นนั้นคุณทำมนสิการไม่ลงไปถึงที่เกิด โยนิโสแปลว่าลงไปถึงที่เกิดเหตุ จะต้องเป็นสัมมาทิฏฐิที่แยบคายถ่องแท้ถูกตรง แล้วก็รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพานลงไปถึงรากเหง้าของจิตที่เกิด แก้ไขจิตวิญญาณได้ถึงรากเหง้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาถลกหนังพญานาคจอมหลับตา วันพุธที่ 26 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 22 พฤษภาคม 2565 ( 16:11:12 )

ผู้ที่ปราศจากอาวุธเป็นผู้มีศีล

รายละเอียด

บุญ ​ไม่ใช่สิ่งที่จะมีได้มา แต่เป็นอาวุธที่จะฆ่ากิเลส ผู้ใดที่ปราศจากอาวุธ ผู้นั้นมีศีล จะต้องทำตนให้ปราศจากอาวุธให้ได้ ก็คือมีศีลให้ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 38 อัมพัฏฐสูตรและกายในกาย วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 กันยายน 2565 ( 14:06:32 )

ผู้ที่มาย้ำเรื่องคนจนในยุคนี้

รายละเอียด

ในยุคนี้คนที่จะมาย้ำเรื่องคนจน คืออาตมากับ ในหลวงรัชกาลที่ 9 คนที่มาเป็นคนจนได้แล้วเคยแพ้ได้ยังไม่ง่าย อาตมาพาทำหรือยังไม่ง่าย แต่ง่ายหรือยากมันต้องทำไม่มีทางเลือกมากกว่านี้ คนจนนี่เป็นคำสิริมหามายา เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่คนรวยธนบัตร รวยเพชรนิลจินดา รวยทองคำ  รวยน้ำมัน ไม่ใช่ แต่ว่ารวยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่เป็นอาหาร ซึ่งทุกคนก็ต้องกิน ธนบัตรกินไม่ได้ ทองคำกินไม่ได้ เพชรนิลจินดากินไม่ได้ ถ้าขืนกินแล้วตายโหงเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 32 ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 

 


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2565 ( 13:57:10 )

ผู้ที่ไม่แก้ไขตนเองคือผู้ที่ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง

รายละเอียด

ผู้ที่ไม่เห็นความบกพร่องของตนเอง แน่นอน เขาก็รู้ตัวเขาเอง เขาไม่มีข้อบกพร่องแล้วเขาจะไปแก้ไขทำไม เพราะเขาไม่เห็นข้อบกพร่องตัวเอง ไม่รู้จักข้อบกพร่องตัวเอง ดีไม่ดี เข้าใจว่าตัวเองนี้ ไม่บกพร่อง แต่รู้ดีรู้ครบรู้เต็ม รู้ถูกรู้ยิ่งใหญ่กว่าใครๆอีกด้วย เขาจะไปแก้ไขอะไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 08:34:02 )

ผู้ฟังธรรมแล้วจะต้องเชื่อว่าเป็นโลกุตรธรรม

รายละเอียด

ผู้ที่เข้าใจเชื่อถือก็จะเชื่อว่าอาตมาเป็นผู้มากอบกู้โลกุตรธรรม ศาสนาพุทธต้องเป็นโลกุตรธรรม ใช้คำว่า ต้อง Have to เลยนะ จะต้องเป็นโลกุตระ ถ้ายังไม่เป็นโลกุตระ ธรรมะนั้นยังไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าทีเดียว เป็นโลกียะก็เป็นดีชั่วซึ่งไม่เที่ยง 

ดี ชั่ว นั้นไม่เที่ยง อาจจะพยายามพากเพียรทนปฏิบัติดีให้ได้แน่นอนคงทนนาน ได้ อุตสาหะวิริยะเพื่อจะให้ยืนยาวปฏิบัติที่ให้ยืนยาวก็ทำได้ แต่ไม่เที่ยง เพราะไม่เข้าใจกรรมวิบากที่เป็น อจินไตย ไม่รู้จักการเวียนวน  ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย  คนนี้ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายเป็นล้านๆชาติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมศีลข้อ 1 ให้ลึกซึ้งถึงกรรมวิบาก วันพุธที่ 14 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 ตุลาคม 2565 ( 12:25:07 )

ผู้มีจรณะและวิชชาเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก

รายละเอียด

ท่านให้ยึดเอาผู้ที่มีวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด อย่าไปยึดเอาความเป็นนักบวชหรือไม่ พระพุทธเจ้าพยายามสรุปให้ฟัง จะถือโคตรถือตระกูลก็ต้องเอาวิชชาและจรณสมบัติเป็นหลัก ผู้ที่สามารถมี จะมีแต่เพียงบทมนต์ท่องจำหรือได้ปฏิบัติจริงในจรณะ 15 

วิชชาจรณสัมปทา

[162] อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉน. พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอัมพัฏฐะ ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตรหรืออ้างมานะว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เราอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้างอ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้ เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล.

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 38 อัมพัฏฐสูตรและกายในกาย วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 สิงหาคม 2565 ( 15:09:57 )

ผู้มีชาคระหรือชาคริยามีความตื่นรู้อะไร

รายละเอียด

เวลาตื่นก็มีสติมีความรู้ตัวชาคระ ให้มีความตื่นอันเป็นประโยชน์โดยมีการสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ผู้มีชาคระ มีความตื่นรู้ จึงเป็นคนที่มีปฏิภาณปัญญา ที่จะทำตัวเองให้เป็นสุดยอดแห่งความตื่นรู้สุดท้ายเรียกว่าพุทธะ ใช้ชาคระหรือชาคริยา ปฏิบัติไปให้เป็นผู้ตื่นจนสุดท้ายเป็นผู้ตื่นเต็ม ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน 

พวกเรามีพุทธะบ้างหรือยังตื่นรู้ รู้อะไร รู้โลกีย์ รู้ลาภยศสรรเสริญเราเคลียร์จบ รู้กาม รู้อะไรอีก รู้อัตตา พวกเรานี่เรียนไปรู้แล้วล้างละ ยศสรรเสริญโลกียสุขพวกเรารู้ดีแล้วก็เลิกมาได้ แต่ก่อนเราก็ไปแย่งกับเขาหน้ามืดตามัว แต่เดี๋ยวนี้ว่างเบาสบาย เขาแย่งเขาก็แย่งกันไปเราก็มีอยู่พอกินพอใช้อาศัยสาธารณโภคี แม้จะเจ็บป่วยจะแก่เราก็มีที่พึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้ โดยสาธารณโภคีหรือแผ่นดินพุทธหรือเสนาสนะ บุคคล อาหาร ธรรมะสัปปายะ 4 สบายแล้ว สบายจริงๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 2 วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2564 ( 19:06:18 )

ผู้มีฌานขั้นสมาหิโตคือยอดมนุษย์ที่ใช้ วิตก วิจาร มาทำงานช่วยมนุษย์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น มนุษย์ผู้ที่มี ฌาน ขั้นสมาธิหรือสมาหิโต อย่างแข็งแรงตั้งมั่นด้วย จิตไม่มีนิวรณ์อย่างแข็งแรงตั้งมั่นด้วย เป็นปกติ เป็นสามัญ แล้วทำงานช่วยมนุษย์อยู่ด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข อุเบกขา นี่แหละคือมนุษย์ยอด มนุษย์โพธิสัตว์ มนุษย์อรหันต์ ถ้าคุณจะเกิดมามีชีวิตเป็นคนแบบนี้ จะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ก็อยู่ไปสิ  เพราะมีแต่ประโยชน์คุณค่าให้แก่มนุษยชาติ คุณจะกิน คุณจะกินเท่าไหร่กันเชียว คุณจะใช้ก็ใช้เท่าไหร่กันเชียว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ 4 ประการ วันพุธที่ 24 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กันยายน 2565 ( 14:32:14 )

ผู้มีปรมัตถธรรมที่เรียกว่าบรมอัตถะคือใคร

รายละเอียด

จนกว่าจะมีปัญญา นี้ทุกข์ นี้สมุทัย นี้นิโรธ นี้มรรค ตราบใดที่ยังไม่รู้ชัดถึงว่านี้คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็จะยังวนอยู่ในวิมุติที่ตัวเองไม่ได้รู้อาริยสัจ 4 หรอก มุด สรุป จบ กดดัน ข่มไว้ กดดัน วนอยู่ในรูแคบๆที่เล็กๆแล้วกดนิ่ง นึกว่าจบ นึกว่าหยุด นึกว่าหลุดพ้น นึกว่าดับ นึกว่านิโรธ มันเป็นความยังไม่ฉลาดของเขาที่เรียกว่า ไม่ใช่ปัญญา แต่เขาก็เชื่อ รู้ ศรัทธาก็แปลว่ารู้ แปลว่าเชื่อ  เชื่อและรู้ของตัวเอง ซึ่งตัวเองทุกคน เกิดมาเป็นตัวเองนี่ รู้เองไม่ได้ จะต้องรู้จากพระพุทธเจ้าที่เป็นคนเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์รู้ก่อนทุกคน ในแต่ละยุคพระพุทธเจ้า คนจะเกิดมาเป็นจิตนิยามแล้ว บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า คือผู้บรรลุสูงสุด 

เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่มีพระพุทธเจ้า ก็ยังไม่มีผู้บรรลุสูงสุด จนจบ จนแยกธาตุจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย รู้ว่าทุกอย่างไม่มีอะไร อนัตตา มันรวมตัวกันอยู่อย่างสมมุติ แล้วก็ควบคุมสมมุตินั้น ผู้ที่ควบคุมสมมุติได้ก็เรียกว่า มีปรมัตถธรรม มีเนื้อแท้อันยิ่งเรียกว่า บรมอัตถะ  อัตถะ(เนื้อแท้) บรม(ยิ่งใหญ่) 

ที่อาตมาอธิบายนี่เป็นภาษาของอาตมาเองทั้งนั้น ขยายเป็นภาษาไทยที่พวกคุณฟังได้เข้าใจง่ายหมด ไม่ได้ต้องมาจากคำแปลของใคร ไม่มี ใครจะพูดไม่เหมือนอาตมาทีเดียวหรอก ลอกเลียนได้ แต่ถ้าคุณไม่เหมือนอาตมาไม่เท่าอาตมา คุณพูดเท่าอาตมาไม่ได้หรอก คุณต้องเท่าอาตมา คุณจึงจะพูดอย่างอาตมาได้ ถ้าคุณไม่เท่าจะพูดว่าเท่าได้อย่างไร อธิบายเท่าอาตมาไม่ได้ ใครอยากจะแกล้งอธิบายเก่งๆเหมือนอย่างอาตมาก็เอาสิ แกล้งให้ได้นะ เอาให้เหมือนนะ แล้วอาตมาก็ไม่มีวันหมดง่ายๆด้วย ขยายไปได้เรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 51 เป็นผู้แพ้ผู้รับใช้ได้ไม่ยาก ด้วยฌานทั้ง 4 วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2565 ( 14:39:29 )

ผู้มีอภิปโมทยังจิตตัง คือ

รายละเอียด

 อภิปโมทยังจิตตัง หมายความว่า มีจิตเบิกบานร่าเริงอยู่เสมอ อาตมาว่า อาตมาเป็นคนเช่นนั้น ไม่โศกไม่เศร้า ไม่เคยเป็นคนจิตซึมๆ ความเครียดเป็นอย่างไรไม่รู้จักเลย จิตมันร่าเริงเบิกบาน อภิปโมทยังจิตตัง มันเป็นสามัญของผู้ที่มีจิตเป็นอย่างนั้นแล้ว แล้วเราก็ทำจิตของเราได้ จนกระทั่งจิตของเราเป็นอัตโนมัติ  มันก็เป็นอยู่อย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า อาตมาไม่ได้เสแสร้ง มันก็เบิกบาน ร่าเริงของมันอยู่เป็นปกติสามัญ จนกระทั่งบางทีค่อนข้างจะมากไปด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องดี มันเป็นเรื่องปกติ นั่นเขาสายหลับตาพูด ไม่ยิ้มมาก ต้องเต๊ะท่า ผู้ที่เต๊ะท่า ยึดมั่นถือมั่นในท่า แต่ อาตมาไม่ต้องการเต๊ะท่าอะไร ก็ทำไปอย่างสบายๆ ใช่ คนเราก็อาศัยความสุข อาศัย.. ภาษาเรียกว่า ปรมังสุขัง ก็เรียกว่าอาศัยสิ่งที่มันสบายๆ เรื่องอะไรจะไปอาศัยสิ่งที่มันงอๆ คดๆโค้งๆ ไม่โปร่งไม่ใส ตื้อๆทึบๆ อย่างไร พยัญชนะสู่สภาวะอย่างนี้

เขาเองเข้าใจแบบนั้นเข้าใจว่าอยู่เฉยๆนี้ คือไม่มีบวกไม่มีลบ แต่ อาตมารู้จักอนุโลมปฏิโลมแล้ว ถ้าหากอาตมาเป็นคนเช่นนั้น เป็นคนเต๊ะท่าอย่างนั้น รับรอง พวกคุณเข้าไม่ติดหรอก เด็กๆเล็กๆจะไม่เข้ามาหาหลวงปู่หรอก แต่นี่เห็นไหม ทุกคนอยากเข้าใกล้ เกรง แต่ไม่กลัว อาตมาคนเกรง แต่คนไม่กลัว ใช่ไหม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณลักษณะของไก่ตัวพี่ที่มาสืบสานศาสนา วันพุธที่ 7 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2565 ( 15:27:54 )

ผู้มีอัญญธาตุเท่ากับได้ออกจากกะลาครอบ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ออกจากกะลาครอบ หรือออกจากสิ่งที่ยึดถือในวงวนของตนเอง ออกมา ซึ่งสิ่งที่ออกมา มันต้องใหม่ มันต้องสูงกว่า มันต้องมีอะไรที่ไม่ใช่อย่างที่มันเป็นอย่างที่เรามีแล้ว มันมีอะไรใหม่ เป็นอื่นที่เรียกว่า อัญญธาตุ ที่ใช้ภาษาวิชาการว่า อัญญะแปลว่าอื่น อัญญธาตุ ซึ่งศัพท์นี้ อัญญะหรืออื่น นี้ มันก็ใช้ด้วยกัน แต่มันมาเป็นภาษาของโลกุตระ 

อัญญะ คำนี้ เป็นรากศัพท์ของคำว่า อัญญา อัญญะ อญญ ซึ่งลงไปถึงพยัญชนะ ถึงตัวอักษรพวกนี้แล้วมันยาก อาตมายังไม่อยากพูดเท่าไหร่ พวกเราก็มีคนสนุกกับอันนี้อยากให้อาตมาต่อ อาตมาก็ไม่อยากต่อ เพราะมันจะเลยเถิดไป จะไปติดพยัญชนะมากไป เอาพวกนี้เสียก่อน อย่าเพิ่งไปอย่างโน้น ถ้าไปแล้วมันจะไกลจะลึก ผู้ที่ชอบมันก็จะไป หลายคนพวกเราชอบ อาตมาก็เลยไม่ต่อ ถ้าต่อแล้วมันจะไปกันใหญ่ เสียเวลา มันเป็นพยัญชนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ต้องดูไปไม่ต้องไปดูไบ

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2565 ( 09:06:17 )

ผู้มีเอกธรรมหรือเอกัคคตาธรรมมีลักษณะอย่างไร

รายละเอียด

หมดแล้ว อาตมาไม่ไปวน อาตมาพ้นสงสารแล้ว พ้นสังสารวัฏที่มันอวิชชา แล้วก็งมงายในสังสารวัฏ อาตมาหลุดพ้นแล้ว นี่พูดอวดอุตริมนุสธรรม อย่างไม่มังกุไม่เก้อเขิน พูดอย่างอาสโภ อาจหาญจริงๆอาจหาญ อาสโภ คืออะไร คือ อาตมากล้าที่จะพูดโดยที่จิตไม่มีอะไรเก้อเขิน ไม่มีอะไรเก้อยาก ไม่มีอะไรที่จะต้องสะดุด มันพูดได้เต็มๆ พูดได้อย่างบริบูรณ์ สัมบูรณ์ จบไปในตัว แล้วยืนยันว่า นี่เป็นเอกธรรมหรือเอกัคคตาธรรม ธรรมที่เป็นเอก ไม่เป็น 2 

หมดมานะ อุทธัจจะ อวิชชา ไม่มีเหลือ บอกว่าเป็นไก่ตัวพี่ก็พูด แล้วก็ยืนยันว่าเป็นไก่ตัวพี่ ถ้าเข้าใจไก่ตัวพี่คืออะไร ในยุคนี้อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ ในยุคของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ท่านเป็นไก่ตัวพี่ที่เจาะกะเปาะไข่ออกมาได้ก่อนใครๆ ในยุคนี้อาตมาก็เจาะกะเปาะไข่ออกมา นอกนั้นเขายังอยู่ในกะลาครอบอยู่ในไข่อยู่เลย ยังงงอยู่ในวังวนสังสารวัฏของโลกีย์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2565 ( 12:02:52 )

ผู้สอนพุทธศาสนาระดับปริญญาเอกที่ยังเป็นชาวเทวนิยมจะไม่สามารถเข้าถึงสภาวะโลกุตระถึงขั้นความเป็นกลางได้

รายละเอียด

คนที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังศาสนาพุทธเลย อย่างชาวเทวนิยมในโลกตะวันตก ตะวันออกกลาง ยุโรปทั้งหลาย เป็นต้น ถ้าในโลกของเอเชียมีศาสนาพุทธ หรือในอินเดียมีศาสนาพุทธ ก็ยังพอจะมีบัญญัติผ่านหูเรื่องพุทธศาสนาบ้าง แต่ในโลกของโลกีย์ เทวนิยม ทางยุโรปก็ดี อเมริกาก็ตาม อเมริกาเขาก็เริ่มมีพุทธศาสนา เริ่มมีการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยแล้ว ประกาศปริญญาบัตรระดับศาสนาพุทธเป็นปริญญาเอกด้วย แต่ผู้สอนนั้นเป็นคนที่เป็นคริสต์นั่นแหละ อาจจะเป็นชาวพุทธด้วย แต่ยังไม่ได้มาศึกษาเข้าถึงสภาวะมีแต่ภาษาบัญญัติก็ได้แค่นั้น มั่วๆไม่ชัดเจน ไม่ใช่ดูถูกเขานะ แต่วิจัยตามวิชาการให้ฟัง 

เพราะฉะนั้นคนที่ยังเป็นโลกีย์ สรุปก่อนว่า ยังโง่ซวย คนเป็นอารยะ หรือกัลยาณชนจะรวยเด่น จนกระทั่งเป็นอาริยชนเป็นโลกุตรธรรม จนกระทั่งสูงสุดถึงขั้นเป็นกลาง 

อนุปคัมมะ บรรลุความมีและความไม่มี  คำว่า เป็นกลาง ผู้ที่บรรลุความเป็นกลางแล้ว ที่คุณวีรศักดิ์ คำซุย หรือคุณเดวิส โลว์ บอกมาก็ตาม 

ขอขยายความคำว่า อนุปคัมมะ แปลว่า ผู้เป็นกลาง เป็นผู้ที่ควบคุม เป็นผู้ที่มีอิทธิพลครอบงำ คุมภาวะโลกหรืออัตตา บรรลุโลกุตระยังไม่สูงสุดสักทีเดียว แต่เข้าขีดอภิภู เป็นผู้ที่มีภูมิโพธิสัตว์ระดับ 8 ขึ้นไปเรื่อยๆ คนๆนี้จะบรรลุธรรมอย่างชนิดที่เรียกว่า จะรู้จักความมีกับความไม่มี อัตถิกับนัตถิหรือโหติกับนโหติ แปลเป็นภาษาไทยว่า มีความจริงกับไม่มีความจริง 

แล้วมีอะไรกับไม่มีอะไร คนที่มีความเป็นโลกียะ แม้แต่ความเป็นอารยะ  อริยะ อาริยะ รู้รายละเอียดของสิ่งเหล่านี้ บรรลุแล้วด้วย จึงอยู่ในท่ามกลางโลกที่เขามีกับไม่มี มีขนาดระดับโง่ซวยเราก็รู้ มีระดับรวยเด่นแล้วก็รู้ มีระดับเป็นกลางเราก็รู้ รู้หมด แล้วเป็นได้ด้วย มีจิตเข้าขีดขั้น ระดับ 8 ระดับ 7 ก็พอรู้แล้วแล้วก็สะสมบารมีที่จะมีความรู้เป็นอภิภู หรือ ความรู้ในระดับ อนุปคัมมะ อย่างอาตมา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 41 คนโง่ซวย รวยเด่น และเป็นกลาง วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 กรกฎาคม 2565 ( 14:18:17 )

ผู้สายสหสัทธาวิมุติที่หลงไปนั่งหลับตาจะช้าและยากมาก

รายละเอียด

เหมือนอย่าง เถรสมาคม ที่อาตมาพูด คนไปเจอที่อาตมา วิจารณ์ไว้ในหนังสืออโศก คั้นออกมาจากความไม่รู้ พ.ศ. 2514 ที่อาตมาหยิบยก อ.มั่นมาอธิบาย 

ก็ว่าไปว่าเพราะ ความไม่รู้ ยังอวิชชา ไปนั่งหลับตา วิจารณ์มาตั้งแต่บัดโน้น จนบัดนี้ก็ยัง บื้อกันอยู่ ตั้งแต่ 2514-2565 ก็ 51 ปีแล้ว เห็นไหมว่าช้าและยาก จนอาตมา จะไอเป็นเลือดแล้ว มันสุดสงสารจริงๆไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะ สงสาร

เขาอยากได้ เขาอยากบรรลุ แต่ไม่มีปรโตโฆษะ มีอัตตามานะสูง หลง​อาจารย์ที่พาผิดก็ไม่รู้จะทำอย่างไร พออาตมาบอกว่า อาตมาถูก ซึ่งมันก็จะไม่เหมือนกับที่อาจารย์เขาสอน อาจารย์เขาสอนก็พาเข้าป่าเข้ารกจริงๆ อาตมาไม่ได้พาเข้าป่าเข้าดง พามาหาคนที่เป็น 
อาริยกะ คนเจริญไม่ใช่คนเถื่อน มิลักขะ ไปถึงทิฏฐิปัตตะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาวิมุติเหนือกว่าอุภโตภาควิมุติอย่างไร วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กันยายน 2565 ( 15:03:10 )

ผู้หลง 2 เป็น 1 คือผู้อวิชชาที่มันจะขยายเป็นอิทัปปจยตาไป

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่มีอะไร แต่ที่มีนี้เพราะคุณไม่รู้ อวิชชา เป็นเงื่อนต้น มีปัจจัย ถ้าจะขยายความไปหา อิทัปปจยตา คือ ปฏิจจสมุปบาท อวิชชา มีสังขารเป็นอาหาร สังขารมีวิญญาณเป็นปัจจัย มีวิญญาณเป็นอาหาร วิญญาณมีนามรูปเป็นปัจจัย มีนามรูปเป็นอาหาร นามรูปที่เป็น 2 คืออายตนะ เป็นอาหารและเป็นปัจจัยของวิญญาณ อายตนะมีผัสสะ เป็นอาหารหรือเป็นปัจจัยของ ผัสสะ 

ผัสสะ มีเวทนา เป็นอาหารหรือ เป็นปัจจัย จากเวทนาแล้วก็โง่ดักดานมี ตัณหาเป็นอาหาร ยึดเป็นอุปาทาน ตลอดกาลนานพระพุทธเจ้าจึงให้จับที่เวทนาเป็นตัวหลักเป็นตัวแท้ที่จะเอามาเรียนรู้ แยกแยะให้ครบ อาตมาอธิบายเวทนา ก็มาต่อตรงนี้ พระพุทธเจ้าแตกไปถึง 108 เวทนา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2565 ( 15:11:28 )

ผู้หลงผิดยึดกามว่าเป็นนิพพานในทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ

รายละเอียด

แม้แต่กาม เขาก็หลงผิดไปยึดกามว่าเป็นนิพพาน ในทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ จึงมี 5 มี

กาม กับ ฌาน 1 2 3 4 ไปหลงผิดเอา 5 ขั้นในปัจจุบันธรรมของเขา แต่มันผิด เขาถือเป็นปัจจุบัน แต่เป็นปัจจุบันธรรมอย่างมิจฉาทิฏฐิ คุณหลับตาปฏิบัติ คุณไม่มีทวารทั้ง 5 ไม่มีกาม นั่นเป็นมิจฉาทิฏฐิของผู้ได้อดีตกับได้อนาคตตามพรหมชาลสูตร ซึ่งเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านแยกธรรมะมิจฉาทิฏฐิ 62 เอาไว้ ก็จะได้แต่มิจฉาทิฏฐิ 62 จะไม่สามารถเป็นสัมมาทิฏฐิได้เลย เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องไม่ธรรมดาเลยแต่อาตมาจำเป็นต้องอธิบายเพื่อบันทึกไว้ใช้เป็นหลักฐานเพื่อตรวจสอบ ผู้ที่ศึกษาตั้งใจจริงแสวงหาก็จะได้หลักฐานพวกนี้ ปฏิบัติบรรลุได้แล้วก็จะนำพาให้ศาสนายาวไปถึง 5,000 ปีของพระพุทธเจ้าได้สำเร็จ ก็จำเป็นต้องทำกันไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาคุยกับเทวดาเอากิเลสล้างกิเลส วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564 แรม 7 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กรกฎาคม 2564 ( 15:29:56 )

ผู้อปุญญาภิสังขาร กรรมที่ทำจึงเป็น 0 จึงเป็นอทุกขมสุข 

รายละเอียด

ใน ปฏิจจสมุปบาท ทั้งหมด ผู้มีวิชชาแล้วรู้จักสังขาร ไม่หลงผิดในสังขาร ทำอภิสังขารได้ เป็นปุญญาภิสังขาร จนไม่ต้องสังขารอีกแล้ว อปุญญาภิสังขาร หมดบาปหมดบุญ เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำจึงเป็น 0 ไม่เป็นบาปไม่เป็นบุญ สูญความเป็นบาปสูญความเป็นบุญ เป็นกรรมที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เป็นโลกุตระ ส่วนดีชั่วนั้นมีแต่กรรมดีอย่างเดียว ไม่ทำชั่วอีกเลย ทำดีอย่างเดียวไม่มีกรรมชั่วอีกแล้วเมื่อมีชีวิตอยู่เป็นหลักประกัน โดยเฉพาะไม่มีสุขไม่มีทุกข์จึงเป็น อทุกขมสุข 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2565 ( 15:19:57 )

ผู้เป็นอนุปคัมมะ

รายละเอียด

แม้กระนั้น ผู้ที่มี“โลกุตรธรรม”แล้วก็ยังคือ ผู้เป็น “อนุปคัมมะ”หรือ“ผู้เป็นกลาง(ผู้มัชฌิมะ)” เป็นผู้ไม่ได้ชัง“คนผิด” แล้วก็ชอบ“คนถูก” เพียงเป็นผู้“ชี้บอก”เท่านั้น ว่า อันใด“ผิด” อันใด“ถูก” และควรข่ม“คนผิด”ก็ข่ม ยก“คนถูก” ก็ทำไปตาม“สัจธรรม”เป็นปกติธรรมดาของคนที่“ไม่ดูดาย” ไม่ยอมเป็นคนอยู่แบบหนักแผ่นดิน  แต่การ“ข่ม”นั้นย่อมเป็น“คำที่ไม่น่ารัก”ไม่น่ารื่นรมย์แน่

ยุคนี้ยิ่งเป็นยุคคนเสื่อมไปจากศาสนาพุทธตรงตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าอยู่แท้ๆ ก็แน่นอนว่า คนผู้บรรลุโลกุตรธรรมนั้นย่อมมีน้อย  แต่คนในโลกมันมี“ผู้ไม่รู้(อวิชชา)จำนวนเทียบกับ“ฐานปีรามิด”นั้นย่อมมากกว่า “ผู้รู้(วิชชา)”ที่เป็นส่วน“ยอดของปีรามิด” มันก็เป็นธรรมดาสามัญแท้ๆตามสัจจะ  ใครๆก็เห็นได้ เข้าใจได้ ไม่ใช่“ความลึกลับ”ไปจากปกติโลกกันตรงไหน  เพียงแต่“จิตผู้เป็นกลาง”ของ“ความเป็นกลาง” ไม่ชอบ-ไม่ชังฝ่ายใดนี้เป็น“อจินไตย”ที่จะใช้“ตรรกะ”หรือ“เดา”ไม่ได้

ผู้มี“อภิภุยฺย”เป็น“อนุปคัมมะ”คือผู้มีอิทธิพลเหนือ “ความมี-ความไม่มี” จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง-ความไม่จริง” จึงเห็นชัดเจนได้ว่า คนผู้“มี” เขาก็ยัง“มี” จนกว่าเขาจะเข้าถึง“ความไม่มี”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้ จึงจะทำ“ความไม่มี(น โหติ)” ที่เป็น“อนัตตา”หรือเป็น“สูญ” แยก“ธาตุจิตของตน(จิตนิยาม)”ให้หมดสิ้นไปเป็น“ดินน้ำไฟลม(อุตุนิยาม)”สำเร็จเป็นที่สุดก็จริงที่สุด  มันเป็นเรื่อง“อจินไตย” เป็นเรื่องนิรันดร “ทั้งความมี- ทั้งความไม่มี” โลกียะเขาก็“นิรันดร”ใน“ความมี“ ส่วนพุทธ ที่เป็น“โลกุตระ" ก็“นิรันดร”ใน“ความไม่มี”  ก็“นิรันดร”ทั้งคู่ ผู้“มี”ก็คือ“ผู้ยังต้องมี” ส่วนผู้“ไม่มี”ได้แล้วจริง ก็เป็น“ผู้ไม่มี” จึงทำที่สุดแห่งที่สุดที่“ความไม่มี นิรันดร”ได้จริง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 32 ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2565 ( 14:29:51 )

ผู้เป็นอภิภูจะรู้รูปภายในและเห็นรูปภายนอกพร้อมกันทันที

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาภายนอกภายใน จนรู้สภาพนี้พร้อม เป็นอภิภู สามารถรู้อภิภายตนะ 8 อภิภายตนะ 8 มันต่างจากอายตนะ 1 หรืออายตนะ 6 นะ อภิภายตนะ 8 เป็นความสามารถของอภิภู ผู้ยิ่งใหญ่ อาศัยอายตนะ คือสะพานของสัมผัสและมีสภาพ 2 มี 6 คู่ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส สัมผัสภายนอก แล้วก็ข้างในกับข้างใน 6 คู่ อายตนะ 6 

ต้องศึกษาให้ตัวเองมีกาย เมื่อเป็นอภิภูแล้ว เป็นผู้ที่รู้รูปภายใน และเห็นรูปภายนอก ทันทีเลยรู้ทั้งคู่ทั้งภายในภายนอก เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้านั้นจะไม่ขาดการรู้ภายนอกภายในทุกเรื่อง แล้วก็แยกแยะการรู้ภายนอกภายในได้ว่า อย่างนี้เป็น ปริตตัง สุพรรณะ ทุพรรณะ รายละเอียดต่างๆกระจายไปจนถึงอภิภายตนะ 8 ข้อ อาตมายังไม่อยากอธิบายมากนักเพราะเป็นเรื่องชั้นสูง เป็นเรื่องที่ยาก อาตมาก็ยังไม่ค่อยคล่องไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ก็สงวนท่าทีไปก่อน เดี๋ยวพลาด มันไม่ง่าย มันละเอียดลออแต่ก็พอรู้พออธิบายได้ พวกเราฟังไปก่อน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูฝืนตายฝืนกินอยู่ด้วยอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 พฤษภาคม 2565 ( 11:43:00 )

ผู้เริ่มปฏิบัติต้องเรียนรู้กาย รู้สักกายะ รู้สัมภเวสี

รายละเอียด

ไม่เข้าใจสภาวธรรม คำว่าสัมภเวสีล่องลอยอย่างไร เข้ามาร่วมอยู่เป็นสภาวะ 2 คืออย่างไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเรื่องกายจึงเป็นเรื่องเริ่มต้น บอกแล้วว่า อุปัชฌาย์สอนสัทธิวิหาริกเมื่อเริ่มศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ก็ต้องเรียนรู้ กาย เรียนรู้สักกะ สักกะคือ ตัวตน ตัวเรา อยู่ที่ตัวเราเองโดยเฉพาะในตัวเรา จริงว่า กายมันมีรูปกับนาม จิตคุณต้องรับรู้สัมผัสภายนอกไม่แยกกัน กายขาดนามไม่ได้ แล้วจริงๆจะให้บริบูรณ์นามก็ต้องมีกาย มีภายนอกด้วย ต้องมีทั้งภายนอกภายใน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภูผู้รู้จบสัตตาวาสและวิญญาณฐีติ วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2565 ( 14:38:28 )

ผู้เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า จะเกิดวิชชา 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะเกิดวิชชา 

วิชชาคือความรู้ ปัญญา ญาณ วิชชา ความรู้ที่เป็นโลกุตตรธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะรู้จักตัวแรกคือสังขาร การปรุงแต่งกันอยู่ของจิตเจตสิก มันก็ปรุงแต่งกันอยู่เป็นกายนั่นแหละ แต่ในปฏิจจสมุปบาทไม่มีคำว่า กาย เลยนะ แต่มันก็ปรุงแต่งกันเป็นกายนั่นแหละ เป็นนามธรรม ที่มีภายนอกภายในปรุงแต่งเป็นอายตนะ ก็คือนามรูปนี่แหละ ฟังให้ดีนะ ฟังให้ทันจากสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ นี่เป็นล็อค 1 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2566 ( 13:23:09 )

ผู้แพ้คือผู้เจริญจริง

รายละเอียด

คุณพาดพิงไปเป็นถึงสังคมที่ยอมแพ้ คนที่เข้าใจแล้วว่าชีวิตเราอยู่อย่างผู้แพ้ เป็นผู้แพ้และก็กระทำตนเป็นผู้แพ้ แล้วทำก็คือธรรม ก็คือกรรม การ กระทำตนเป็นผู้แพ้นั้น แล้วจิตใจ ปัญญาของเรา เราก็รู้ด้วยว่าการเป็นผู้แพ้ ไม่ใช่เป็นผู้เสียหาย คนหรือว่ามนุษย์ในโลก มันจะเอาชนะนี่แหละ มันจึงเป็นเรื่องยุ่งยาก มันเป็นเรื่องวุ่นวาย มันเป็นเรื่องเดือดร้อน ที่สุดเลย จะเอาชนะไม่ว่าที่ไหนเลย คิดให้ลึกเถอะ เห็นให้จริง ทั้งนั้นเลย 

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราทำอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส เราหยุดแล้วองคุลีมาลเธอยังไม่หยุด หยุดอะไร ท่านหยุดที่จะไปเอาชนะคะคานใคร การชนะแพ้นั้นเป็นโลกียะ เป็นเรื่องไม่เกิดประโยชน์ มีแต่โทษทั้งนั้นเลย ที่จะไปเอาชนะคะคานคนอื่น 

เรารู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า อะไรคือสาระสำคัญ สาระสำคัญของชีวิต 

1.ชีวิตเราเป็นชีวิตชีวิตหนึ่ง เราเกิดมาในโลก เราก็ถูกครอบงำแบบโลกๆ โลกเขาจะตกเป็นทาสของ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นอย่างนั้นเลย เป็นอวิชชาของเขา เขาเป็นทาสอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่เรียกว่าวิชชา ท่านก็เลิกเป็นทาส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข นี่คือคำสรุปง่ายๆสั้นๆ แล้วรู้กันทั่ว ฟังรู้เข้าใจ 

มันเลิกโดยที่มันมีปัญญา คำว่า ปัญญา คือความรู้ความฉลาด มันเป็นโลกุตระ เป็นความรู้ความฉลาดที่โลกเทวนิยมหรือลัทธิพระเจ้าไม่มีปัญญา มีแต่ใช้ศัพท์วิชาการก็คือ เฉโก แปลว่า ความรู้ความฉลาดเหมือนกัน แต่เขาไม่เอาไม่นิยมคำนี้ เขารู้ว่าความรู้ความฉลาดแบบนั้นไม่ใช่ความรู้ความฉลาดแบบโลกุตระ เขาก็เอาคำว่าปัญญาไปใช้แทน เฉโกหมด ความหมายที่เป็นปัญญาโลกุตระจึงตกลงไป เสื่อมไปหมด มีค่าเท่ากับ เฉโก ของคนในสังคม แม้แต่ชาวพุทธเองก็ยังแยกความรู้ความฉลาดที่เป็น เฉโก กับ ความรู้ความฉลาดที่เป็นปัญญาไม่ได้ 

พระพุทธเจ้าตรัสปัญญา 8 อาตมาเห็นว่าเป็นความยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ขยายความจากปัญญา 8 ก็คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งหมดนั่นแหละ เขียนออกมาพิมพ์เป็นเล่ม 1 ก็แล้ว เล่ม 2 ก็แล้ว เล่ม 3 เล่ม 4 ยังจะตามมา จะมีเล่ม 5 หรือเปล่า อาตมาก็ไม่รู้ อาตมาพยายามจะหยุด มันยังไม่ได้หยุดเลย ถ้าแบ่งไปซัก 400 กว่าหน้าเล่มหนึ่งประมาณนั้น 500 หน้ามันก็โตใหญ่ เอา 400 กว่าหน้า มันแบ่งไปถึงเล่ม 4 เล่ม 5 แล้ว 

ยิ่งอ่านทวนก็ยิ่งขยายแทรกอีกตลอดเวลาเลย อาตมาก็เลย เมื่อยก็เมื่อยนะ แต่เห็นว่ามันดี๊ดี ถ้าไม่เขียนไว้เสีย ถ้าไม่บันทึกไว้เสีย ขออภัยที่ต้องกล่าวความจริง แล้วใครจะมาบันทึกไว้ มันก็หายไปกับอาตมา เพราะฉะนั้นก็บันทึกไว้ ใครที่สามารถเข้าถึง ใครที่สามารถรับได้ก็ได้ประโยชน์ไป ส่วนใครที่เข้าไม่ถึงรับไม่ได้มันก็จะทำไง มันบังคับกันไม่ได้ ยัดเยียดกันไม่ได้ มันก็จำนนเท่าที่ได้ แต่มันยอดจริงๆ มันดี พระพุทธเจ้าถึงได้เรียกว่า มันเป็นคุณวิเศษ  มันเป็นเรื่องเหนือมนุษย์สามัญทั่วไป เหนือกว่าโลกียะเหนือกว่าปุถุชน มันเป็นเรื่องโลกุตระ อนุตตรธรรม เป็นธรรมะที่ไม่มีอะไรที่จะมาเหนือกว่านี้อีกแล้ว 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การเมืองและเศรษฐกิจแบบโลกุตระ พรรคสัมมาธิปไตย วันพุธที่ 15 มีนาคม 2566 แรม 9 ค่ำเดือน 4 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2566 ( 14:34:56 )

ผู้แยกอัตตาจนเป็นอรหันต์ได้จะต่อไปเป็นโพธิสัตว์ระดับ 5,6,7 ก็ได้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น จึงเป็นสุดยอดแล้วที่จะเป็นความรู้ และจะรู้ให้อยู่อย่างดีที่สุด จนกระทั่งสลายหายไปจบได้ 

อาตมาก็เป็นโพธิสัตว์มา ศึกษาตามมาจนถึงบัดนี้ก็พอเข้าใจถึงคำนี้พูดสู่ฟัง ไม่ใช่เรื่องตื้นเขินแล้ว เรียนรู้ให้ดีๆจะรู้ว่า ไม่ใช่เรื่องตื้น ผู้ที่ทำมาจะรู้สัจจะความจริงเพิ่มขึ้น บางคนยังไม่ถึงอรหันต์ก็รู้ได้แล้วว่า อันนี้ ยังมีที่ต่อ สอุตรังจิตตัง ยังมีสิ่งลึกซึ้งจะให้ศึกษาอีกเยอะ แม้บรรลุเป็นอรหันต์แล้วยังมีโพธิสัตว์ต่อจากอรหันต์มาเป็นระดับที่ 5 ที่ 6 ถึงที่ 7 เหมือนอย่างอาตมา อาตมาก็พยายามเหลื่อมเข้าไปหา 8 ก็จะมีปฏิภาณไหวพริบที่จะรู้นำตามไปเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาวิมุติเหนือกว่าอุภโตภาควิมุติอย่างไร วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 กันยายน 2565 ( 14:06:09 )

ผู้ไม่มีธรรมะเป็นพระราชาจะเสพสุขด้วยนิวรณ์ 5 น่าสงสาร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีธรรมะเป็นพระราชา จึงเป็นพระราชาที่เสพสุขด้วยนิวรณ์ 5 ไป จมกับอวิชชา คือ นิวรณ์ 5 เป็นอาหาร สั่งสมเป็นชาติๆก็น่าสงสาร กษัตริย์ที่ไม่มีศาสนาพุทธไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะว่าเป็นเทวนิยม ไม่ได้สอนพวกนี้ไม่รู้กรรมวิบาก ไม่รู้ว่าเสพกามคุณ เสพนิวรณ์อยู่ เขาถือว่าเป็นธรรมดาธรรมชาติ แม้แต่ศาสดาบางองค์ก็มีเมียหลายคนได้อย่างนี้เป็นต้น เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่รู้ที่จบของการเกิดมาเป็นมนุษย์ 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นอัตตาที่นิรันดร อัตตาที่ไปอยู่กับพระเจ้า และพระเจ้าเขาก็ไม่รู้ว่าคืออะไร จริงๆแล้วพระเจ้ากับพระศาสดาของเทวนิยมอันเดียวกัน พระเจ้าก็คือศาสดาองค์นั้น ความรู้ที่ศาสดามีคือที่บอกว่าเป็นความรู้ของพระเจ้า ความรู้นี้มาจากพระบิดาพระเจ้าให้มา เขาเป็นพระบุตร ที่จริงเขาไม่รู้ตัวเองว่าเขาต่างหากที่สะสมความรู้มาเป็นโลกียธรรมที่เขาได้ เขาสะสมมาไม่รู้กี่ชาติมันก็ได้มามากขนาดนี้ จึงมีบารมีที่จะมีบริวารสายของตนเอง ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง แม้แต่ในของเทวนิยม ซึ่งมีหลายศาสนา เสร็จแล้วก็ไม่ลงรอยกันเท่าไหร่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2565 ( 15:29:57 )

ฝังชิป

รายละเอียด

อาตมามาเกิดในยุคนี้ พูดไปก็จะยกตัวเองมันก็จะไม่ดี มันเป็นยุคกึ่งพุทธกาลของพระพุทธเจ้า มันเสื่อมสุดแล้ว กึ่งหนึ่ง อาตมาก็จะต้องมา ไม่เช่นนั้นความเสื่อมนี้มันก็จะกู้ไม่ขึ้น มันต้องรีบมากู้ แต่มันก็เสื่อมจนจะกู้ไม่ได้แล้ว ถ้าอาตมาไม่มีธรรมฤทธิ์ขนาดนี้ กู้ไม่ได้ กู้ได้ขนาดนี้ก็จะเกิดเป็นต้นทุนของโลกุตรธรรมต่อไป ต่อไปอาตมาตายไปแล้วลูกๆหลานๆก็จะสืบสานต่อไป เพราะมันได้ถกฉีดฝังชิพเข้าไป ไม่ใช่วัคซีนเท่านั้นนะ แต่ฝังชิบเลย ที่อาตมาทำ ไม่ใช่แค่วัคซีนนะ แต่ฝังชิพนะ ก็ไปได้ ไม่เช่นนั้นไม่จริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มาฝังชิปโลกุตระใส่จิตวิญญาณตนจนเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565 วันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 ธันวาคม 2565 ( 12:14:45 )

ฝัน

รายละเอียด

การทำงานของจิตในขณะหลับ เพราะไม่มีสติควบคุมและมีกิเลสร่วมด้วย

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 216


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:21:29 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:38:00 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:04:10 )

ฝัน

รายละเอียด

เมื่อนอนหลับมันจะมีภพภูมิ ภาพเรื่องลีลาของสิ่งที่เกิดมาจากความจำเรียกว่าสัญญาเป็นคลังความจำแต่ละชาติของเรามีเยอะ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:05:12 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:28:57 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:04:33 )

ฝันกับคุยกับเทวดาต่างกันอย่างไร 

รายละเอียด

ฝันก็คือฝันของคุณนั่นแหละ จะหมายถึงอะไร ก็เป็นความรำพึงรำพันรู้สึกนึกคิดของคุณแล้วเอาไปฝันไม่มีสติควบคุม มันก็คิดไปได้สารพัดบางทีมันก็ปนกันเละ เรื่องที่ไม่ได้เรื่องอะไรต่ออะไร ตอบไม่ไหวหรอก ฝันก็คือความคิดที่มันเละเทะเลอะเทอะอยู่ในนั้น ไม่เป็นส่ำ จนกระทั่งคุณลดที่จะไปหลงยึดถือในสิ่งต่างๆที่ไม่เป็นส่ำ ความฝันก็จะเป็นเรื่องเป็นราวจนเป็นพระอรหันต์ไม่ฝัน แต่จะมีนิมิตที่เป็นธรรมะเยอะแยะเลย จะหยุดหรือไม่หยุด ท่านเรียกว่าคุยกับเทวดา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระคือสิ่งสำคัญสุดที่เกิดมาแล้วต้องเอาให้ได้ วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 พฤษภาคม 2565 ( 10:59:06 )

ฝันของปุถุชนคนไม่ปฏิบัติธรรม

รายละเอียด

คนที่ไม่ปฏิบัติทำฝันก็จะเละเทะนอกจากเขาจะมีกิเลสแรง อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็สร้างเรื่องไปตามใจตนเอง สุขบ้างทุกข์บ้างไปเละเทะไปตามเรื่องตามราว ซึ่งมันก็เป็นอำนาจของกิเลสซ้ำซ้อน เพราะฉะนั้นปุถุชนความฝันคือเรื่องราวของความจำที่อยู่ในคลังความรู้ ความจำเป็นธาตุรู้ที่ขึ้นมาทำงาน มันไม่มีของใหม่หรอก ตอนนอนหลับไปไม่มีของใหม่ มีแต่ของเก่าทั้งนั้นเลย หรือจะเป็นอันใหม่ คุณก็ฟุ้งซ่านเอง คิดเองมีอะไรเอง อยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไปในอนาคต ซึ่งมันยังไม่ถึง คุณก็ฟุ้งซ่านคิดเพ้อเจ้อไป ก็ปรุงแต่งไป อนาคตจึงมีมากกว่าอดีต ที่พระพุทธเจ้าสรุปไว้ว่า  อดีตมี 18 อนาคตก็มี 44

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:06:58 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:30:11 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:05:08 )

ฝันของพระอรหันต์

รายละเอียด

ภาพที่เกิดฝันอรหันต์ภาพเหล่านี้ก็ไม่มีกิเลสปน แต่มันจะมีความทรงจำเก่าๆขึ้นมาต่างๆนานาเยอะเหมือนกัน ท่านเรียกธาตุที่เกิดตอนฝันของพระอรหันต์ว่าคืนนี้นิมิต

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:08:05 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:31:00 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:07:23 )

ฝันของพระอรหันต์ต่างจากฝันของปุถุชน

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นการที่จะควบคุมให้ตื่น เป็นชาคริยาเต็มร้อยมันก็ยาก คุมไม่ค่อยได้ ถึงต้องมาฝึกฝน จริงๆแล้วมันก็เป็นธรรมชาติของการปรุงแต่ง เป็นพระอรหันต์ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นในตอนนอนหลับ มีเรื่องราวมีสภาพของพลังงานรูปนาม ปรุงแต่งกันเป็นธรรมชาติ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็มีกิเลสเลอะเทอะไปกับโลก พอเป็นพระอรหันต์แล้ว จิตก็ไม่มีเรื่องของกิเลสของโลก มันก็มีเรื่องของธรรมะ ก็ปรุงแต่งเป็นธรรมะไป เป็นเรื่องเป็นราวของธรรมะไปเท่านั้นเอง 

คนไม่รู้ก็บอกว่าพระอรหันต์นอนแล้วจะมีฝันไหม คนไม่รู้ว่าฝันคืออะไรก็นึกว่าเป็นเรื่องราวที่ปรุงแต่งกันก็เรียกเลอะกันเป็นฝันหมด ฝันในความหมายของชาวโลกที่คนเข้าใจก็คือ สภาพที่ปรุงแต่งกันแล้วก็มีกิเลสเข้าไปปรุงกันใหญ่นั้นเรียกว่าฝัน พอไม่มีกิเลสแล้ว อย่างพระอรหันต์ท่านไม่เรียกฝัน แต่มีเรื่องราว ปรุงแต่งเป็นเรื่องราว ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นก็เป็นธรรมะเป็นเหตุเป็นผล เป็นนิมิตเป็นเครื่องหมาย มีความเข้าใจ สังเคราะห์สังขาร ชนิดที่ไม่ได้เป็นรสของโลกๆที่จะต้องมีรสอร่อยรสสนุกแบบรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มีอัสสาทะ มันไม่มี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณา ครั้งที่ 39 สร้างอาหารให้กับโลก วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 12 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2564 ( 11:55:52 )

ฝันที่เป็นเทพนิมิต

รายละเอียด

ฝันที่เป็นเทพนิมิต เกิดเป็นจริงได้ บางทีก็เป็นเรื่องบังเอิญ แต่เอาเถอะคุณเองมีอะไรเกิดขึ้นในจิตขณะฝัน ถ้ามันเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมาก็ยกประโยชน์ให้แก่จำเลย ว่ามันจริงก็แล้วกัน ก็แสดงว่าคุณมีเทพนิมิตสังหรณ์ ซึ่งมันไปคาดคั้นกำหนดให้เป็นเจตนาอย่างนั้นเลยไม่ได้ทำตามที่เจตนาก็ไม่ได้ มันบังเอิญไปยังไงก็ไม่รู้ จะไปเอานิยายอะไรกับมันมันเป็นเรื่องอยู่ในฝัน อย่าบ้าเอาเป็นจริง จะมาตรงกันบ้างก็ช่างเถิด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 1 วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 กรกฎาคม 2564 ( 10:42:30 )

ฝันว่าเสพกามสุกะเคลื่อนไม่ปรับอาบัติ

รายละเอียด

ทำไมในพระวินัย ภิกษุนอนหลับฝันว่าได้เสพกาม สุกะเคลื่อน ไม่ปรับอาบัติสังฆาทิเสส ก็มันเป็นเรื่องการนอนหลับจะไปควบคุมอะไรมันได้มันก็เป็นไปตามสรีระ เป็นไปตามกิเลส มันจะขับเคลื่อนมันก็ขับเคลื่อน ยิ่งมีกิเลสเป็นตัวขับเคลื่อนมันก็ขับเคลื่อนออกไป ไปเอานิยายอะไรได้เพราะมันไม่มีเจตนา แต่อาจมีกิเลสในภพ ควบคุมมันไม่ได้เป็นจิตในภวังค์ มันก็ทำงานตามกิเลสที่เป็นที่มี จนกว่าคุณจะไม่มีกิเลสมันก็บังคับไม่ขับเคลื่อนอะไร มันก็หยุด เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังดับกิเลสไม่ได้มันก็ขับเคลื่อนไปตามสรีระที่มันพึงเป็นพึงมี ยิ่งมีกิเลสผสมก็เป็นไป แต่ไปโทษมันไม่ได้ 

แล้วถามว่า ทางอภิธรรมกับวินัยต่างกัน ทางวินัยบอกไม่เอาโทษ แต่อภิธรรมจะไปเอาอะไรอีก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้เกิดปัญญาถึงอรหันต์ วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 21:20:14 )

ฝันเป็นเรื่องของสัญญา

รายละเอียด

คือการฝันบางครั้งเป็นเรื่องฟุ้งซ่าน  ในฝันเป็นเรื่องของสัญญาที่เอามายำเละเทะไปไม่เป็นระบบ  ดีไม่ดีมีร้ายแรง จนทุกข์ร้อนในฝันมากมาย  ทรมาทรกรรมก็มี เพราะฉะนั้น ผู้ที่ศึกษาให้ดีแล้วก็จะห้ามเรื่องเลวร้ายพวกนี้  แม้แต่ในสัญญาเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับความจำของเรา เราก็ไม่ให้มันมาเกิดขึ้น แม้แต่ในตอนนอนหลับ ในสัญญาความจำเก่าๆ  ที่เราเคยผ่านมาได้  ก็ค่อยๆ  ศึกษาไป

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปิ๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 13:32:34 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 04:23:24 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:06:55 )

ฝันเป็นเรื่องของสัญญา

รายละเอียด

เป็นการฟุ้งซ่านในฝันเป็นเรื่องของสัญญาที่เอามายำเละเทะไปไม่เป็นระบบ ดีไม่ดีมันมีร้ายแรง จนทุกข์ร้อนในฝันมากมายทรมานทรกรรมก็มี เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาให้ดีแล้วก็จะห้ามเรื่องเลวร้ายพวกนี้ แม้แต่ในสัญญาเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับความจำเรา  เราก็ไม่ให้มันมาเกิดขึ้นแม้แต่ในตอนนอนหลับ ในสัญญาความจำเก่าๆที่เราเคยผ่านมาได้ ก็ค่อยๆศึกษาไป

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2563 ( 10:07:16 )

ฝากเป็นประวัติศาสตร์ให้โลกได้ศึกษาอาศัย

รายละเอียด

เป็นคนไม่มีกิเลสนี้แหละจึงจะมีพฤติกรรมพฤติการณ์อย่างที่ชาวอโศกเราเป็น คนแบบนี้สังคมแบบนี้พฤติกรรมแบบนี้เป็น สาราณียธรรม 6 อย่างนี้ อาตมาว่า คุณอย่ารีบตาย ไม่เกินร้อยปีอยู่ไปอีกให้ถึง 100 ปี ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว เข่งว่า 76 บวกไปอีก 100 ให้เป็น 176 

อาตมาเชื่อว่ากระแสของสังคมโลกจะมาเห็นความสำคัญความถูกต้องอันนี้ ไม่ใช่ของอาตมานะแต่เป็นของพระพุทธเจ้า เขาจะมาเห็นมาเข้าใจ ตอนนี้ยัง โดยเฉพาะอาตมาถูกเถรสมาคมที่เขายึดถือว่าเขาเป็นเจ้าของศาสนาบอกว่า กบฏ อย่าไปเชื่อมัน โพธิรักษ์ เขาก็ฟังเสียงกระแสหลัก เพราะเขามีอิทธิพลเป็นที่ยอมรับ ทางสากลเป็นที่ยอมรับของทุกชั้นฐานะ โพธิรักษ์นี้เอาแต่ความจริงมาเท่านั้นเอง เอามาเปิดเผยในยุคนี้ ฝากไว้ในสังคมมนุษยชาติ 

ก็มีคนที่มีภูมิปัญญารับได้จำนวนประมาณเท่านี้แหละ เท่าที่พวกคุณมีอยู่นี่แหละ และอาตมามั่นใจว่าได้ลงรากปักหลักแล้ว มีคนจริงรับทางจิตวิญญาณไว้ อาตมาก็ทำสมมุติทั้งพูดมีอัดเสียงไว้เยอะ มีไว้อยู่ใน YouTube อยู่ใน Google อยู่ในอะไรก็แล้วแต่ มีทั้งเขียนพิมพ์เป็นเล่มเป็นหมื่นๆล้านๆฉบับ เป็นไอ้ใบ้เสียงดังทำไว้แล้ว แล้วพวกคุณก็มีพฤติกรรมจริง เป็นตำนาน คนรู้จักคนสัมผัส คนบอกว่าฉันเคยรู้จักนะคนอโศกคนนี้เขาเป็นอย่างนี้ เคยเห็นเคยรู้เขาเป็นอย่างนี้อย่างนี้ มันฝากเป็นตำนาน ฝากเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ใครจะเอาลิควิด ใครจะเอายางลบมาลบก็ไม่หาย 

มันมีอย่างนี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งนี้จึงจะอยู่ในโลก ให้โลกได้ศึกษาอาศัย จนกว่าจะมีคนรับไม่ได้ ยาวนานไปถึงวาระหนึ่ง ก็ได้เท่านั้นพยายามจะทำไปให้นาน 2500 กว่าปี จะถึงหรือไม่ถึงก็ต้องพยายามไป ต่อยอดทำให้มันนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเผื่อว่ามันยังไม่ถึงตายแล้วอาตมาก็ต้องเกิดมาต่ออีก ถ้าเผื่อว่ามันทำในชาตินี้ไปอีก มีน้ำหนักมีมวลประมาณแล้วโลกนี้ 7 พันล้าน หรือจะ 8,000 ล้านคนแล้วก็ช่าง เราดูแล้วว่าจำนวน ดูแล้วอาตมาไม่ต้องมาเกิดอีกหรอก พวกเราสืบทอดและนำพาอันนี้ไปได้ถึง 5,000 ปี อาตมาก็ไม่ต้องมาเกิดจนกว่าจะถึงกลียุคนี้ แต่โพธิสัตว์อาจจะต่อภพภูมิอยู่ ก็พูดสู่ฟัง พวกคุณฟังไว้ไม่เสียหลายหรอก 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #18 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 16:16:55 )

ฝีมือคนละชั้น

รายละเอียด

ก็เพราะว่าปัจจุบันนี้ก็เห็นดีแล้ว เพราะฉะนั้นก็น่าจะลอง เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะต้องไปเลือกตั้ง ตอนนี้ก็ขอผู้ที่มีอาชีพนักการเมือง ไปหาอาชีพหลัก เอาการเมืองเป็นไซด์ไลน์ชั่วคราว ขอสัก 4-5 ปี ดูซิ เพราะอย่างไรๆพวกคุณก็ได้ทำงาน พวกนักการเมืองเก่าเขาทำมาแล้วเห็นฝีมือแล้วเห็นน้ำยาแล้ว ไม่ได้ความหรอก พูดตรงๆ สู้พลเอกประยุทธ์ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นให้บริหารไปเถอะ พลเอกประยุทธ์บริหารไปเถอะ ทำใจดีๆ ปล่อยให้ทำสัก 4 ปี ถ้าผ่าน 8 ปีไปแล้วพลเอกประยุทธ์ทำได้ไม่ดีผลการบริหารไม่ดี เอา อาตมาจะช่วย ดีไม่ดี ถ้าทำไม่ดีไม่งามถึงขั้นจะต้องไปประท้วง อาตมาจะพาพวกเราไปทำ เหมือนพวกเราเคยทำ อีก 4 ปีอาตมาก็คงไม่ตายนะ อีก 4-5 ปีก็ 89-90 ​เอง และเชื่อว่าจะไม่งกเงิ่นด้วย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561  


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2564 ( 11:01:17 )

ฝึกการวิเคราะห์วิจัยแล้วจะพ้นสงสารได้

รายละเอียด

อย่างเช่น อาตมาเอามาพูดเพราะมีของตนรู้ได้ด้วยตนเอง อาตมาพูดด้วยภาษาตัวเองเลยด้วยภาษาไทย เพราะฉะนั้นเหมือนคุณคนนี้แหละที่บอกว่าพูดเอง ที่อาจารย์ต่างๆเอามาอธิบายก็ล้มของเขาหมด มีคุณเดชาที่เขียนมา คุณก็กำลังเห็นสิริมหามายา คุณเห็นมารเป็นพระเจ้า เห็นพระเจ้าเป็นมาร เห็นมารเป็นพระพุทธเจ้าเห็นพระพุทธเจ้าเป็นมาร คุณก็เห็นแต่หน้ามารเป็นมายาหลอกคุณ แล้วหลงว่าเป็นพระพุทธเจ้า น่าสงสารสำหรับคุณเดชา ให้ศึกษาให้ดีๆ อาตมาไม่ได้ว่าคุณนะ อาตมาชอบคุณนะที่คุณตามศึกษา แม้คุณจะวิเคราะห์วิจัยอาตมา คุณได้ฝึกการวิเคราะห์วิจัย มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เดินดีๆศึกษาให้ดีๆ อาตมาชอบคนอย่างคุณที่ตามศึกษาแทนที่จะไม่เอา บอกว่าโพธิรักษ์ไร้สาระ พวกนี้ยังน่าสงสารน่ะ อย่างเช่นอาตมา นี้ชอบแบบคุณ เพราะว่าคุณยังทำวิจัยศึกษา อย่างนี้ดีแล้ว อีกหน่อยคุณ ก็พ้นสงสารไม่ต้องสงสารคุณมากหรอก อีกหน่อยคุณพ้นสงสารแล้วก็ไปช่วยคนอื่นให้พ้นสงสารต่อ เขาอาจจะพูดว่า อาตมาวนไปวนมาซึ่งอาตมาก็บอกว่าน่าสงสารเขาอีกนั่นแหละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทเริ่มอธิบายที่ชาติ 5 วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 16:25:19 )

ฝึกจิตอย่างไรให้เข้มแข็ง แข็งแรง

รายละเอียด

เท่ากับถามธรรมะทั้งหมดของศาสนาพุทธ ก็ให้ฝึก ศีลสมาธิปัญญาวิมุตติ ก็ตอบตรงง่ายๆ คุณอ่านศีล ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายศึกษาความหมายของ 3 อย่างนี้กับพบสัมผัสและคุณก็ปฏิบัติ อันนี้มันเกิดกิเลสเกี่ยวกับสัตว์อันนี้มันเกี่ยวกับของก็เกิดกิเลส กิเลสคืออะไรคือมันจะไปเอาของของเขาที่ไม่ใช่ของเราก็จะไปวุ่นวายไปทำไม ไม่ต้องไปเบียดเบียนกับสัตว์ให้มันอยู่ไปตามวิบากของมันปล่อยมันไป ทีนี้คุณก็มาเกี่ยวข้องกับของ ชีวิตคนเกี่ยวข้องกับของไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสัตว์เลยก็อยู่ได้ไม่ตาย สัตว์จะเป็นอย่างไรก็อยู่ของมัน หากคุณหลีกเลี่ยงไม่ได้มันจะกัดคุณตายก็แล้วไป แต่หากหลีกเลี่ยงได้ก็ดี อยู่กับข้าวของก็มีของและพืช ก็กินใช้อาศัยแค่นี้ แล้วก็ดูกิเลสตาหูจมูกลิ้นกายของคุณ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2564 ( 12:03:11 )

ฝึกฌานแบบพุทธ เริ่มที่หลักธรรมจรณะ15!

รายละเอียด

เพราะ“ฌาน”ที่เป็น“วิสัย(อารมณ์)”ขั้น“อจินไตย” ที่จะเกิดได้เป็นได้ด้วยการปฏิบัติด้วย“จรณะ 15 วิชชา 8” มิใช่ด้วยการปฏิบัติ“หลับตา” ที่ไม่มี“สังวรศีล”สักข้อ ไม่ได้“สำรวม

อินทรีย์ 6 ครบทั้งภายนอกภายใน”เลย ไม่ได้ปฏิบัติในขณะบริโภค

อาหาร ก็ไม่มี“อาหาร 4”ให้ตนได้ปฏิบัติตัดกิเลสในการกิน ซึ่งใน

อาหารการกินนี่แหละที่มันเกิดกิเลสให้เราได้ปฏิบัติกันคนทุกคน 

เพราะคนต้องกินอาหารประจำชีวิตให้เราได้ปฏิบัติกันทุกคน แต่พวกหลับตาไม่ได้พากเพียรเรียนรู้ปฏิบัติออกมาหา“ความตื่น(ชาคริยา)”ให้ครบทั้งภายนอก-ภายใน แต่กลับหลบเข้าไปหลับอยู่ภายในภวังค์เสียด้วยซ้ำ

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 281 หน้า 220


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:02:31 )

ฝึกปฏิบัติจริงกับ กวฬิงการาหารมีขั้นตอนอย่างไรที่จะจบลงอย่างนิรันดร!

รายละเอียด

ตามตัวอย่างง่ายๆ ที่คนเราเป็นอยู่ในชีวิตด้วยตัวเองนี้แหละ นั่นคือ ความเป็น“อาหาร 4”ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 240 ตั้งแต่“กวลิงการาหาร” ซึ่งต้องมี“ผัสสาหาร” จึงจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“มโนสัญเจตนาหาร”ที่เป็น“ตัวการสำคัญ”อันชื่อว่า“ตัณหา 3”ที่มันเป็นตัวพาให้เกิด“เวทนา 3”อยู่ ไม่รู้จักจบลงได้นิรันดร

จึงต้อง“ลืมตา”มี“สัมผัส 6”เป็นการศึกษาที่มี“วิญญาณ”กันจริงๆ ให้เรียนรู้“การเกิด”จริง และทำ“การดับ”ได้กันจริงๆ โดยเฉพาะตัว“เวทนา”ที่เป็นตัว“ทุกข์”ตัว“สุข”เองแท้ๆ ที่ผู้เป็น“อาริยะ” โดยจับ“ภาวะ”นี้ เป็น“สัจจะแห่งการศึกษา” เรียกว่า“อาริยสัจ 4” ที่มีความรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“วิญญาณ”หรือ“อัตตา”หรือ“พระเจ้า” หรือ“เทฺว” ที่เป็นภาวะคู่คือ “สุข-ทุกข์”ตัวร้ายที่สำคัญยิ่งได้โทนโท่ จึงสามารถ“ดับสุข-ดับทุกข์”กันได้จริงแท้

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 242 หน้า 197


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 12:47:15 )

ฝึกปฏิบัติเรียนรู้ “เวทนา” ไต่ลึกเข้าถึงฌาน 4!

รายละเอียด

ซึ่งเป็น“ความรู้สึก”ที่เจริญถึงขั้น“ฌานที่ 4”อันเกิดจากการปฏิบัติตามกระบวนการ“เวทนา 108”แยกแยะ“มโนปวิจาร 18”ออกได้ แล้วจัดการ

(อภิสังขาร)ชำระกิเลสใน“เคหสิตเวทนา 18”ที่เป็น“โลกียะ”ให้เจริญพัฒนาสู่“เนกขัมมสิตเวทนา 18”เป็น“โลกุตระ”ได้สำเร็จ จนกระทั่งถึงผลบรรลุ“เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา” ก็ได้“ที่อาศัยจุดสำคัญ”ของ“ภาวะนิพพาน”

“อุเบกขา”ที่เป็น“เนกขัมมสิตเวทนา”(แตกต่างจาก“เคหสิตเวทนาคนละขั้ว) ผู้ปฏิบัติตามกระบวนการ“เวทนา 108” จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“ความเป็น“มโนปวิจาร 18” ของโลกียะกับโลกุตระได้ด้วยตน

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 339 หน้า 251


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 15:40:29 )

ฝึกฝนจนมีพฤติกรรมจริง

รายละเอียด

เป็นชุมชนที่ทำสาธารณโภคีกันให้เห็น เป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ คนที่มีปัญญาในอนาคตจะนำสิ่งเหล่านี้มาวิจัยแล้วขยายความ สู่คนรุ่นหลังฟัง แต่มันมีปรากฏการณ์จริงที่พวกเราได้ประพฤติมาแล้ว คำว่า สาธารณโภคี ซึ่งแปลง่ายๆก่อนว่า ผู้มีความเป็นสาธารณะ ที่ร่วมกัน มีทรัพย์สฤงคาร มีของกินของใช้มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่เอาเป็นของตน เอามารวมไว้กองกลาง แล้วเราก็ร่วมกินร่วมใช้อยู่อย่างเป็นคนดี เป็นคนมีวินัย เป็นคนมีความระมัดระวัง ตามคุณธรรมของพระพุทธเจ้าสอนมา  เป็นคนมี ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ

เป็นคนมีวรรณะ 9 มี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  หรือมี เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  อย่างนี้เป็นต้น คำบาลีที่อาตมายกอ้างมาประกอบยืนยันพวกนี้ เป็นพฤติกรรมจริงที่คนอย่างพวกเราได้ฝึกฝนจนมีพฤติกรรมจริงตามแต่ละพระบาลีแต่ละตัวนี้กันทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #19 วาระแห่งชาติ ระดมเชียร์ลุงตู่ให้อยู่ต่อ

วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2566 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 พฤษภาคม 2566 ( 12:53:22 )

ฝึกฝนจิตจนเกิดพุทธพจน์ 7 และจะมีสาราณียะ 6

รายละเอียด

จะมีสาราณียธรรม 6 เพราะจิตใจของคุณได้ฝึกฝนจนเกิดพุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ มีลักษณะระลึกถึงกัน พวกเรานี้คำว่าระลึกถึงกันมีขึ้นมาในตัวตน เกิดเหตุการณ์เป็นภัยเป็นโทษเป็นอะไรที่ควรจะต้องระลึกถึงใครหนอ เราก็จะต้องรีบระลึกถึงจะด้วยความปรารถนาดีจะด้วยความมีเภทภัยขึ้นมาก็จะนึกถึงคนที่เขาควรจะต้องนึกถึงก่อน เกิดเภทภัยขึ้นมาแล้วก็จะระลึกระลึถึง ได้สิ่งที่ดีๆมาก็ควรจะนึกถึงคนไหนก่อนคนนั้นแหละคือคนที่เรามีสาราณียะ มันจะเป็นจริง เพราะมันยิ่งกว่าเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่ ยิ่งกว่าครอบครัว ยิ่งกว่าหนึ่งเดียว เป็นหนึ่งเดียวกัน มันเป็นของเราตัวเราและของเรา เพราะฉะนั้นก็จะนึกถึงก่อนเป็นสาราณียธรรม ด้วยอาการของจิตมีปิยกรณะ เป็นความรัก เป็นความรักที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่ใช่ความรักอย่างโลกีย์เป็นความรักมิติที่ 1 แต่เป็นความรักมิติที่ 7 ขึ้นไป ตั้งแต่พระเจ้า จนถึงมิติที่ 8 เป็นพุทธ มิติที่ 9 ก็เป็นพุทธสุดยอดเลยเป็นพุทธะเป็นโพธิสัตวภูมิ เพราะฉะนั้นเมื่อมาศึกษาธรรมะพุทธเจ้าแล้วได้สาระธรรมดังกล่าวนี้ที่อธิบาย คุรุกรณะ รู้จักเคารพกัน การเคารพมีทั้งเคารพด้วยวัยวุฒิ เคารพด้วยคุณวุฒิ เคารพด้วยวุฒิภาวะต่างๆ แม้แต่สมมุติ แม้แต่ชั้นวรรณะก็เข้าใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีวรรณะสูงวรรณะ 9 เป็นผู้ที่ควรเคารพ

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 09:35:38 )

ฝึกฝนตนจนเป็นคนเหนือโลกได้จริงและไม่เปลี่ยนแปลง

รายละเอียด

เป็นคนขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ผลผลิตแจกจ่ายเจอจาน โดยตัวเองไม่ต้องสะสมอะไรเลย คุณสมบัติพวกนี้เป็นคุณสมบัติของคนในสังคมเหนือโลกโลกีย์ธรรมดา แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่เรื่องสุดโต่งที่เป็นเรื่องเพ้อฝันอะไรแต่เป็นเรื่องจริง และเป็นไปได้อย่างเป็นหมู่กลุ่มปฏิบัติได้รวมกันมากเป็นหมู่กลุ่มเป็นปึกแผ่น รวมตัวกันอยู่ในนี้ส่วนใหญ่ทำได้ จิตใจของคนที่ทำได้แล้วซักไซ้ไล่เลียงดูว่าไม่ได้ฝืนใจอะไรเป็นเรื่องจริง เรื่องเหล่านี้อาตมามั่นใจว่าคนเราทำได้ อาตมาไม่ได้มาไม่ได้มาครอบงำทางความคิด แต่เป็นเรื่องที่เห็นด้วยปัญญาเข้าใจด้วยจริง ชัดเจนในตัวเองว่าฝึกฝนจนตัวเองเป็นได้บรรลุเข้าถึงได้ ไม่ใช่เรื่องเลาะแหละ แต่เป็นเรื่องจริงที่ตั้งมั่นยืนยันไม่เปลี่ยนแปลง อวิปริณามธัมมัง ไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่น แม้จะมีอะไรมาหักล้าง ก็อสังหิรัง ไม่เปลี่ยนแปลง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2563 ( 11:05:20 )

ฝึกฝนให้สติเป็นนายประสาทเป็นบ่าวได้

รายละเอียด

ทุกทีอาตมากิน กินเบียร์ตั้งแต่กลางวันเย็นจนกระทั่งรุ่งเช้า หมดไปแล้วหลายลัง กินกันสองสามคน กินแล้วเดินเยี่ยวๆ มันก็ไม่เมา แต่พวกเพื่อนก็เมากัน อันนี้ไม่ได้อวดเก่งอะไรมันก็เป็นความจริงตามผู้ที่มีสิ่งที่ได้ฝึกฝนหรือว่าได้สร้างอำนาจทางสติแข็ง สติดี สติไม่ถูกกดข่มด้วยอำนาจ แม้อำนาจประสาทตัวเองก็ไม่ได้อ่อนแอ จนทำให้สติใช้ประสาทไม่เต็มหรือสติไม่แข็งแรงพอ สติแข็งแรงพอ สติก็เป็นนาย ประสาทก็เป็นบ่าวได้ แต่ถ้าคนที่สติอ่อนแอ สติก็เป็นบ่าว ประสาทก็เป็นนาย ก็เป็นธรรมชาติศึกษาฝึกฝนไปก็จะรู้เข้าใจ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมวิจัยให้รู้ความต่างในวิญญาณฐิติ 7 วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 20:15:22 )

ฝึกฟังแต่เสียงภาษาไทย พิจารณาแค่เกิดดับ จะถือว่าเป็นสมถะหรือไม่

รายละเอียด

มันเป็นแต่เพียงสมถะ มันเกิดดับๆ มันก็ได้อย่างหนึ่ง อย่างแค่สมถะ มันไม่ได้เป็นวิปัสสนา มันไม่รู้เรื่อง ที่อธิบายไปแล้ว ว่าเขาด่าอะไร เขาด่าสาดเสียเทเสีย ไม่สาดเสียเทเสีย มีความหมาย เขาด่าอย่างนั้นถูกตัวเราหรือไม่ เป็นอย่างที่เขาว่าเขาด่าหรือไม่ ก็พูดไปแล้ว ก็ถ้าไปทำสมถะอย่างนั้นคุณก็ทิ้งไปเฉยๆ แต่คุณไม่ได้เจริญอะไร ก็เหมือนสมถะไปนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่ได้เจริญอะไร คุณปัดทิ้งไปเฉยๆ ผ่านกาลเวลาคุณก็ตายไปไม่ได้อะไร ตายไปชาติหนึ่ง ไม่ได้พัฒนาอะไรเลย พวกนั่งหลับตาสะกดจิต แค่นี้แหละไม่ได้อะไร 

ดีไม่ดี คุณไปหลงผิดว่า 1.อันนั้นคือการได้มรรคได้ผลไปเป็นอรหันต์เก๊ 2. คุณไม่ได้มาศึกษาหาความเป็นจริงที่มันสัมผัสต่างๆที่เป็นวิปัสสนาญาณ จะเกิดจากความเป็นจริงนี้ มันมีเหตุคือกิเลสนะ ทำให้เราต้องเป็นนี้ มีความโกรธใหญ่ โกรธน้อย มีความโลภใหญ่ โลภน้อย มีความรักใหญ่รักน้อย อะไรเป็นกิเลสพวกนี้ ราคะ โทสะ โมหะ คุณไม่ได้มาทำพวกนี้ เลยเสียเวลาสูญเปล่า ดีไม่ดี ไม่ได้พิจารณาแล้วมันก็สะสมใส่ตัวเอง โดยไม่รู้แม้แต่เรื่องของการสัมผัสข้างนอก 

1. ลาภ ยศ สรรเสริญ คุณก็ไม่ได้เข้าใจ คุณก็ต้องได้ต้องมีต้องเป็นไป ดีไม่ดีซ้อนอย่างมหาบัวนี่ไม่ได้ลาภ แต่ก็เป็นเล็นเฝ้าทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็นทองคำ ที่เรี่ยไรมาด้วย ที่อาตมาเคยพูดตอนนี้มหาบัวไม่ได้เกิดเป็นคน ไปเกิดเป็นเล็นไปเฝ้ากองทองคำดอลล่าร์ ตอนนี้มันก็ไม่ใช่ของมหาบัวที่เดียว พลเอกประยุทธ์ก็หาทองคำเข้าคลังอยู่อีกเยอะ ก็ไปหลงขี้ตู่เป็นเล็นเฝ้าอยู่

ขออภัยนะที่อาตมาอธิบายธรรมะนัยยะที่ลึกซึ้งคือ ไม่รู้ตัวเลย นี่ก็คือสิ่งที่ไม่รู้เรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วก็ได้รับคำสรรเสริญเยินยอไปทั่วประเทศ ลาภยศ ก็ได้หลงสรรเสริญ หลงติดอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็เกิดความหลงใหญ่ถึงขั้นว่า ประเทศนี้..ข้านะเป็นผู้อุ้มชูไว้ ถ้าไม่มีข้าซะอย่างป่านนี้ประเทศไทยล่มจมไปแล้ว อย่างนี้เป็นต้น เขาไม่รู้ตัวว่าติดลาภ ยศ สรรเสริญรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แค่กินหมากกินพลูเป็นสิ่งเสพติด ไม่ต้องไปพูดอย่างอื่น เราไม่รู้ว่าติดรสชาติอะไรอีกบ้างก็ไม่รู้ แต่กินหมากปากเปรอะอยู่จนตาย แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วว่ามันเป็นสิ่งเสพติดที่จะต้องให้ลด ละ เลิก 

ที่อาตมาพูดนี่ มันเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ก็ขอให้พวกท่านทั้งหลายที่สนใจในธรรมะ แล้วก็ไปหลงยึดมั่นถือมั่นคำสอนหรือว่าสิ่งที่ยังไม่ใช่ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิออกนอกรีตนอกทาง อาตมาสงสารศาสนาพุทธมากตรงที่ว่า มันไม่ใช่โลกุตระ มันออกนอกรีตนอกทางเป็นเดียรถีย์ ไปไกลจนกระทั่งมันเสื่อมหนัก นี่อาตมากอบกู้ได้พวกคุณมาเท่านี้ นอกนั้นฟังไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไปเชื่อเถรสมาคมที่มาว่าอาตมาว่าเป็นพวกนอกรีต จนเดี๋ยวนี้เขาก็ยังเกรงใจเถรสมาคมอยู่ จะมาชมโพธิรักษ์ จะมายอมรับโพธิรักษ์ก็ไม่กล้า เพราะสู้อำนาจเถรสมาคมไม่ได้ คุณก็ยังตกอยู่อำนาจมารอยู่นั่นเอง 

คนใดที่ยังหลงเถรสมาคมไม่มาเห็นชัดว่า ต้องส่งเสริมคนที่ควรส่งเสริม ยกคนที่ควรยก ตำหนิคนที่ควรตำหนิ ไม่ได้อยู่ในร่องรอยตามพระพุทธเจ้าสอน ตามสัจจะพระพุทธเจ้าเลย สัจจะพวกนี้ มันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง มันเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาดีๆ เพราะฉะนั้นอาตมาได้พยายามเอาธรรมะพระพุทธเจ้า มากอบกู้ขึ้นมาได้ขนาดนี้ แม้แต่มีมวลแค่นี้อาตมาก็ว่า มันยืนยันได้จนอาตมาได้สรุปไปหมดแล้วว่า ชาตินี้อาตมาได้ทำถึงขั้นมีสาธารณโภคี เกิดสังคมสาธารณโภคี สุดยอดแล้ว และพวกเราก็มาชัดเจนในเรื่อง วรรณะ 9 มาเป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย มาเป็นคนมักน้อย ไม่ได้ไปเที่ยวอยากได้โลภโมโทสันอีก เป็นคนมีใจพอ  เป็นคนสันโดษ เป็นคนมาปฏิบัติขัดเกลาตัวเอง สัลเลขะ หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติ ธูตะ เจริญขึ้นไปเป็นลำดับ จนมีอาการน่าเลื่อมใส ผู้รู้เห็นแล้วก็น่าเลื่อมใส และก็ไม่สะสม อปจยะ วิริยารัมภะ เป็นผู้สูงสุด 

รู้สึกตัวบ้างไหม แต่ก่อนนี้เราขี้เกียจมาก เดี๋ยวนี้เราดีขึ้นบ้างขยันขึ้นบ้าง แต่ก่อนนี้เราขี้เกียจจริงๆนะ แต่เดี๋ยวนี้มาอยู่กับหมู่นี้ยังพอขยันขึ้นบ้าง จะขี้เกียจอย่างแต่ก่อนก็ไม่แล้ว ก็เจริญขึ้นบ้าง หลายคนจะเห็นว่าเราเจริญขึ้นผิดตา จากคนขี้เกียจมาเป็นคนขยันอย่างนี้เป็นต้น เราก็จะชัดเจนตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าเอามาตรวจสอบได้เลยว่ามันถูกต้องตามคำสอนตามพระอนุสาสนีไหม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ปลุกธรรม #38 เจาะลึกเทวทัตยุคดิจิตอลที่หาความเลวเพิ่มไม่ได้อีก วันนี้วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2566 ( 14:47:43 )

ฝึกลดละ อบายมุข ชีวิตมีความสุขขึ้น

รายละเอียด

ดีมาก ได้เรื่องอบายมุข แล้วจากนั้นก็เป็นเรื่องกามเรื่อง ปฏิฆะ จนหมดกาม หมดราคะ หมดปฏิฆะแล้ว ก็เข้าไปสู่ภูมิอนาคามีภูมิ รูปราคะ อรูปราคะ และสังโยชน์เบื้องสูงต่อไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทศพิธราษฎรธรรมมีจริงในชาวอโศก วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 แรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2565 ( 18:21:26 )

ฝึกอย่างไรไม่ให้เกิดจิตพยาบาทอาฆาต

รายละเอียด

ก็โง่ รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ดีก็ต้องกันมัน อย่าให้อาการนั้นมันเกิดในจิตเรา เราก็ต้องฝึกอย่างนี้แหละ ให้มีปัญญาว่าเกิดกิเลสอย่างนี้มันไม่ดีมันโง่ พลังงานของปัญญาจะมีฤทธิ์อำนาจ เพราะฉะนั้นพลังงานของปัญญามีพลังงานมากถึงขีด กิเลสพวกนี้เกิดมันก็ดีดออกไปหมด คุณก็สร้างปัญญาที่รู้ความจริงเหล่านี้ให้หมด ความจริงที่ว่าโง่ตายซัก จะทำทำไมเรื่องโง่ๆอย่างนี้เมื่อไม่ทำแล้วก็จบแล้วนี่ แม้แต่คิดคุณก็ไม่คิด ก็ดีดมันออกจากความคิดมันก็ไม่เกิดความคิด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561

ที่ปฐมอโศก สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน เตือนสติอย่างไรเมื่อรู้ว่าตนกำลังจะตาย


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:45:05 )

ฝึกอานาปานสติอย่างไรให้เป็นลำดับไม่ลัดขั้นตอน

รายละเอียด

นี่ล่ะ ถ้าพูดไปแล้วมันน่าจะทุบหัวพวกที่มาสอนผิด โอ้โห.. เราก็ต้องมา ตามล้างตามเช็ด ต้องมาอธิบายขยายความหมาย

อานา กับ อาปานะ แปลว่าลมหายใจเข้า ลมหายใจออก คุณจะสลับกันยังไงก็ได้ จะให้อานา เป็นลมหายใจออกหรือเข้าก็ได้ อาปานะ ลมหายใจเข้าหรือออกก็ได้ไม่เป็นไรให้ถูกก็แล้วกัน ให้ตรงก็แล้วกัน

ทุกลมหายใจเข้าหายใจออก มีสติตื่นเต็ม รู้จักผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจทุกอย่าง ตื่นเต็มร้อย เสร็จแล้ว คุณปฏิบัติมันมีลำดับ ของพระพุทธเจ้าปฏิบัติไปตามศีล 5 ตามลำดับ คุณอย่าไปเลอะเทอะ อะไรก็เอาหมดกิเลสมันเกิดก็เอาหมด ไอ้ที่มันยากยังสูงคุณไม่อยู่ในฐานที่จะต้องทำก็เอาไว้ก่อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาปฏิบัติเป็นลำดับอย่างไม่กดข่ม วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2565 ( 21:30:03 )

ฝึกเป็นคนประเสริฐที่ไม่มีความโกรธได้อย่างไร

รายละเอียด

อาการโกรธมันเป็นอย่างไร อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ดีๆ อาการความโกรธเป็นอย่างนี้เอง อย่าทำอาการนั้น รู้ตั้งแต่อาการนั้นหยาบ อย่างนี้โกรธแท้ๆชัดๆ ก็เลิก เบาลงมาก็น้อยลงเบาลง กลางๆก็เลิกอีก มันเหลือนิดน้อยก็ยังเป็นอาการก่อน ก็ต้องเลิกมันให้ได้อีก อย่างนี้แหละให้มันเบาบางเศษธุลีละอองอย่าให้มันมี เราก็หยุดโกรธได้ เข้าใจชัดเจนไหม ต้องทำ จิตใจเราจะหมดความโกรธ ต้องทำต้องฝึกต้องพยายามต้องอ่านใจเรา ความรู้อย่างนี้ที่หลวงปู่ว่าต้องพยายามทำให้จริง ปัญญานั้นเป็นตัวสำคัญ หากรู้ด้วยปัญญาว่าเรามีความโง่ พลังงานปัญญาจะมีประสิทธิภาพสูงสุด ไปลดความโกรธ อาการโกรธจะฝ่อลงไปเลย พลังปัญญาเรามีประสิทธิภาพมีความสูงแรง เรียกว่าทำฌาน หรือพลังไฟฌาน พลังงานในระดับที่ลดไฟแห่งความโกรธ ไฟราคะโทสะโมหะ มันลดได้จริงๆ มันเป็นพลังงานทางจิต เราเป็นผู้สร้างพลังงาน เราต้องทำเองเราต้องสร้างพลังงานนี้ให้แก่ตัวเอง สร้างจิตของเราสร้างพลังงานจิต ใครสร้างให้เราไม่ได้ พระเจ้าก็สร้างให้เราไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็สร้างให้เราไม่ได้หรอก ก็ต้องสร้างเอง อย่างไรก็คนอื่นสร้างให้ไม่ได้ พระเจ้าก็สร้างให้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็สร้างให้ไม่ได้ หลวงปู่จะสร้างให้ได้ไหม อย่าไปฝันว่าจะสร้างให้ได้ ไม่มีหวัง ต้องทำเองต้องฝึกเองสร้างเองจนสร้างเป็น แล้วก็สร้างให้ชำนาญ สร้างเก่งทำได้เร็ว ทำได้เด็ดขาดทำได้ทันที เรียกว่า มุทุ เร็วได้จริง ปัญญารู้เร็ว ตัวจิตก็ทำได้ อย่าให้มีอาการโกรธได้อย่างเร็ว จนเป็นอัตโนมัติมันไม่มีอาการโกรธเกิดเลย กระทบกระแทกด้วยเหตุที่มันเคยโกรธ เหตุมันก็แรงขึ้นสูงขึ้น เหตุมันกระทบยิ่งแรงยิ่งสูงเท่าไหร่มันก็ไม่เกิดความโกรธนั่นจึงชนะ ชนะๆ เพิ่มขึ้นด้วยเรื่อยๆ ฟังเข้าใจไหม เข้าใจได้ไม่ยากแต่ก็ต้องทำ อย่าไปนึกว่าเราไม่เก่งทำไม่ได้ เราไม่เก่งเราก็ต้องยิ่งพากเพียร เราไม่มีพื้นมาเลย เรายิ่งต้องขวนขวายพากเพียรขยันทำไป ไม่เช่นนั้นก็ไม่ได้ฝึกจนเป็นคนประเสริฐคือไม่มีความโกรธ คนยังมีความโกรธก็ยังไม่ประเสริฐ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตาภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 18:11:59 )

ฝึกแบบสมถะและปัญญาของการตื่นนอน

รายละเอียด

อันนี้มันลึกซึ้งเรื่องนี้ลึกซึ้ง การไม่ให้ตื่นสายต้องไม่ติดการนอน ให้ตื่นแต่เช้าตามนิสัย สร้างนิสัยก่อน หัดตื่นโดยไม่มีความรู้อะไรฝึกให้ตื่นแต่เช้า จะเห็นความเป็นประโยชน์ ความดีงามของการตื่นเช้า นี่แบบสมถะ ถ้าฝึกอย่างปัญญาแล้ว จะเรียนรู้ถึงจุดสำคัญของคนที่ติดการนอนการหลับก็คือ อาตมาพยายามใช้ภาษาที่มัน รำไร ง่วงๆ งัวเงียสลึมสะลือ หัดตื่นก็ตื่นให้สว่างเลย แล้วหลับก็ดับให้เร็ว ตื่นก็ตื่นสว่างเลย เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเต็มๆ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 08:15:53 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:17:09 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 08:06:20 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์