คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี
เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit
วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5
วีดีโอ Loom 1 : https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044
วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk
รายละเอียด
อภินิพพัตติ คือ การเกิดของโพธิสัตว์หรืออรหันต์ ที่สามารถบรรลุอรหันต์ระดับที่ 1 ได้ เป็นต้นไป ถึงขั้นโพธิสัตว์หรืออรหันต์ระดับสูงสุด ได้แก่ โพธิสัตว์ระดับ 9 หรืออรหันต์ระดับ 6 คือ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
คนผู้ที่มี“ความรู้”เป็น“ปัญญา”ที่เป็น“ความรู้”ของศาสนาพุทธ สูงถึงขั้นรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“อวิชชาสวะ 8”อันได้แก่ (1) ไม่รู้ทุกข์ (ทุกเข อัญญาณัง) (2) ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ (ทุกขสมุทเย อัญญาณัง) (3) ไม่รู้ความดับทุกข์ (ทุกขนิโรเธ อัญญาณัง) (4) ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธคามินิยา ปฏิปทายะ อัญญาณัง) (5) ไม่รู้ในส่วนอดีต (ปุพพันเต อัญญาณัง) (6) ไม่รู้ในส่วนอนาคต (อปรันเต อัญญาณัง) (7) ไม่รู้ทั้งในส่วนอดีตและอนาคต(ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง) (8) ไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท ว่า สิ่งทั้งหลายอาศัยกันและกันเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปันเนสุ ธัมเมสุ อัญญาณัง)
แล้วศึกษาปฏิบัติจนกระทั่งสามารถบรรลุหลุดพ้นหมดสิ้น“อวิชชาสวะ 8”นี้ได้บริบูรณ์สมบูรณ์
ด้วย“ปัญญา”คือ ความรู้ที่เป็น“โพธิสัตวภูมิ”จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงไปตามลำดับถึงที่สุด“รู้จบ”สุดแห่งที่สุดได้
[พระไตรปิฎก เล่ม 34 “อาสวโคจฉกะ” ข้อ 712]
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 20:08:47 )
รายละเอียด
“อภินิพพัตติ” คือ การเจริญทางโลกุตรธรรมเพิ่มขึ้นจนสูงสุด เป็นอินทรีย์ เป็นพละของโลกุตรธรรม จบเป็นพระโสดาบันก็มี อภินิพพัตติ ของพระโสดาบัน ของพระสกิทาคามีก็เป็นระดับของพระสกิทาคามี ซึ่งจะตัดรอบอธิบายยาก หากตัดรอบได้ก็เข้าสู่อนาคามี สกิทาคามีต่อเนื่องยาวจนกว่าจะหมดกามภพก็ตัดเข้าสู่อนาคามี เหลือแต่รูปภพ อรูปภพ ซึ่งมันเป็นพลังงานอ่อน จะไม่เกิดออกมาข้างนอกเลย แล้วก็ล้างรูปภพของตัวเองของอนาคามี จนหมดรูปภพแล้วก็ล้างอรูปภพที่เหลือ หมดอรูปภพก็เป็นพระอรหันต์เป็นวิภวภพ จนกว่าจะหมดความเป็นภพชาติก็เหลือแต่ความต้องการที่เป็นวิภวตัณหา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การเกิดคือชาติ 5 ในปฏิจจสมุปบาท วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:52:55 )
รายละเอียด
ทำให้เกิดขึ้น , สร้างให้มีขึ้น , ผลิตให้เป็นขึ้น โดยตนสร้างอย่างยิ่งสุดพยายาม สุดดีวิเศษให้ได้
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 271
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 11:57:12 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 04:34:50 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:14:50 )
รายละเอียด
1. ย่อมนำออกไป
2. ทำใจให้ขับกิเลส , นำกิเลสออกไปให้หลุดพ้น หรือปลดแอกทางจิต
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 3 หน้า 84, คนคืออะไร? หน้า 271
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:02:05 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 04:39:52 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:15:20 )
รายละเอียด
1. ความยึดมั่นถือมั่น
2. ความยึดติดแม้แต่อาลัยอาวรณ์
หนังสืออ้างอิง
ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 18, อีคิวโลกุตระ หน้า 82
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 11:59:13 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 04:43:25 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:15:44 )
รายละเอียด
อภินิเวส แปลว่า ยึดอย่างลงหลักปักแหล่ง
ที่มา ที่ไป
630609 ทำวัตรเช้าอโศกรำลึก 63
เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2563 ( 04:54:57 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:21:31 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:16:33 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 09:33:57 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:22:01 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:17:03 )
รายละเอียด
1. ยึดมั่น ถือมั่น
2. ความยึดมั่นถือมั่น , ยังมีการสร้างที่จะอยู่ให้แก่จิต
3. ยึดอย่างโมหะ
4.ความยิ่ง ความใหญ่ เป็นกำไรไม่ยอมถอดถอน
5. ความยึดมั่นอย่างปักใจ
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า 64, ทางเอก ภาค 2 หน้า 211,ทางเอก ภาค 3 หน้า 175, สมาธิพุทธ หน้า 171,
ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 104
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:01:01 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 04:48:47 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:17:51 )
รายละเอียด
1. ปักใจ
2. ปักมั่น
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 287, ค้าบุญคือบาป หน้า 298
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 11:58:22 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 04:51:45 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:18:13 )
รายละเอียด
ทำใจให้มุ่งจิตน้อมลงไป หรือมีแนวโน้มไม่ให้เผยอขึ้นเป็นมานะอัตตา
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 271
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:03:19 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 02:50:14 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:18:36 )
รายละเอียด
อภิบาล ผู้ปกครองนี้จะบริหารและอภิบาล อาตมากำลังทำกวี เสร็จใหม่ๆ ออกจากเตาร้อนโฉ่เลย กวี บทที่จะลงเราคิดอะไรเล่มใหม่ ให้หัวข้อว่า อธิปไตยจักเกิดจากธรรมาภิบาล
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน อธิปไตย จักเกิดจาก ธรรมาภิบาล
เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:41:29 )
รายละเอียด
เราไม่ใช้ทั้งโลกาธิปไตยและอัตตาธิปไตย ให้ประชาชนเต็มใจให้แรงพลังแก่เราเอง เอาพลังงานมาเลี้ยงดูมาปกครองมาบริหารช่วยเหลือประชาชน มันก็จะเป็นวัฏฏสงสารแบบนี้เป็นความวนอย่างนี้ในระดับที่ถูกต้อง
ตัวผู้ที่จะทำพลังงาน จงทำพลังงานรับใช้ประชาชน จงทำพลังงานเกื้อกูลช่วยเหลือเลี้ยงดู เหมือนเป็นแม่เลี้ยงพ่อเลี้ยง เลี้ยงเต็มๆเลย อย่าไปถือตัวว่าฉันเป็นแม่แท้ ทำตัวเองให้เป็นแม่เลี้ยง ถ้าเผื่อจะว่าเป็นแม่แท้ เอ็งเป็นลูกข้านะ แล้วข้าก็ไม่ทำอะไรให้ลูกมันรักเลย มันก็ไม่ดี ถ้าแม่แท้ มีหน้าที่อภิบาล ทำพฤติกรรมเป็นแม่เลี้ยงด้วยทูอินวัน สองเป็นหนึ่ง 1 เป็น 2 อาจจะยาก อาจเป็นจริงได้ อย่างอาตมาทำทั้งแม่เลี้ยงแม่จริง
ผู้ที่อภิบาลทำงานเลี้ยงอยู่รับใช้ประชาชนจริง ประชาชนเขาก็จะ มีไม้จิ้มฟันคนละอัน เขาจะเอามาให้คุณ คุณก็เอาไปหลอมให้เป็นไม้แท่งก้อนแข็งใช้ได้ คุณได้เหตุปัจจัยเป็นไม้จิ้มฟัน ประชาชนเอามาให้ คุณก็เอาไปมัดรวมกันเป็นไม้ใหญ่ทำเป็นแรงอธิปไตยได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี สัปปายะ 4 ที่มีสัมประสิทธิ์ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561
เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:24:33 )
รายละเอียด
อภิบาลกับอธิปไตย มันสัมพันธ์กันแต่เกิดคนละสถานะ อภิบาลเป็น continuum แต่คำว่าอธิปไตยเป็น static มันจะเสริมกันช่วยกันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เราจะมีทั้ง Static และ Dynamic Coefficient มีพลังงานบวกลบตกผลึกเป็นพลังงาน พลังงานบวกมีแต่ดึงๆๆๆ พลังงานลบก็จะขยายออก เติมเป็น Coefficient
Coefficient มีพลังเป็น Continuous ขยายขึ้นไป เป็นสัมประสิทธิ์ของ coefficient สั่งสมเป็นของแท้ ช่วยกันตลอด ไม่มีจบตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เราตรัสเอาไว้ อยากเจริญอย่างนี้ จะก้าวหน้าไปไม่มีจบ อาตมาก็จะต้องจบ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี สัปปายะ 4 ที่มีสัมประสิทธิ์ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561
เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:29:59 )
รายละเอียด
คือ ความเบิกบานยิ่ง
หนังสืออ้างอิง
“คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 51
เวลาบันทึก 08 พฤศจิกายน 2562 ( 14:43:33 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:59:53 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:19:01 )
รายละเอียด
ผู้ทำตนให้เบิกบานสบายยิ่งอยู่
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า 10
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:03:57 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:24:22 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:19:21 )
รายละเอียด
1. ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จิตเบิกบาน สดใสเป็นสวรรค์ชั้นต้น
2. จิตที่ปราโมทย์ ร่าเริง เบิกบานยิ่งอยู่เสมอๆ
3. ทำจิตให้ร่าเริง
หนังสืออ้างอิง
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:05:13 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:31:46 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2563 ( 09:34:56 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:22:36 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:20:37 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563
เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 12:14:57 )
รายละเอียด
คืออาตมามันมี อภิปโมทยังจิตตัง มีจิตที่ อภิปโมทยังจิตตัง เบิกบานร่าเริง มันก็อยู่ไปมีแต่เบิกบานร่าเริง ความโศกเศร้ามันไม่มีที่อาตมา นอกจากจะเมื่อยก็อยู่เฉยๆ ไม่เมื่อยก็เอาแล้ว อย่างน้อยก็ยิ้มแป้นไป จริงไหมเล่า ...(โยมว่าจริง)
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศนา บำเพ็ญธรรมภาคค่ำ ว.บบบ. เตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่ 2566 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 06 มกราคม 2566 ( 14:49:35 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นการอยู่กับคนที่มีกิเลสมาก มันก็ต้องช่วยเขาหนัก เป็นภาระหนัก มันก็ทุกข์หนัก ใช่ไหม เพราะฉะนั้นคนในโลก อรหันต์ไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาพูด โพธิสัตว์จึงจะเข้าใจอย่างที่อาตมาพูด พวกที่สุดโต่งไปทางอรหันต์อย่างทางเถรสมาคม ศาสนาพุทธที่เป็นเถรวาท ไปทาง พระมหากัสสปะไม่ค่อยมีปัญญาจึงพูดยากมากเลย ที่จะเข้าใจ พูดยากมาก แต่ก็จำเป็นจะต้องพูดถึงอะไรก็ต้องพูดเพราะมันเป็นสัจจะเป็นความจริง ยิ่งยาก ก็ยิ่งจำเป็นที่จะให้เขาหมดความยากนี้บ้าง เบาบางความยากลงไปบ้าง ให้รับรู้ขึ้นมาบ้าง
เพราะฉะนั้น อาตมาทุกวันนี้ ถ้าได้บรรยายธรรมะ อาตมาจะมี อภิปโมทยังจิตตัง ถ้าไม่ได้บรรยายธรรมะก็จะเขียน ก็อภิปโมทยังจิตตังบ้าง คือมีชีวิตอยู่กับธรรมะนี้ให้เอาไว้เอาธรรมะไว้ นอกนั้นไม่มีอะไร ก็กินกับนอน กินก็ใช้เวลากินก็จนกว่าจะเสร็จ สู่สนามรบจบแล้วก็นอน นอนแล้วคลายเหนื่อย นอนพอแล้ว ก็มาทำงานก็กินกับนอน กินกับนอน วนเวียนอยู่แค่นี้ทุกวันนี้ มันไม่มีอะไรดีกว่านี้อีก มันเขียนหนังสือแสดงธรรมด้วยหนังสือ เป็นงาน เป็นภาระประจำ ไม่ได้ทุกขเวทนาอะไร เป็นทุกข์ที่ต้องแสวงหาอาหารที่ต้องอาศัย อาหารที่เป็นประโยชน์แก่โลกมนุษย์ อยู่ก็มีชีวิตที่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่อย่างนั้นอาตมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 61 สลายพระเจ้าแห่งอวิชชาด้วยปัญญาจากสัตตบุรุษ วันจันทร์ที่ 31ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2565 ( 12:11:04 )
รายละเอียด
พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ในอานาปานสติสูตร อภิปโมทยังจิตตัง จิตยินดีปราโมท
เป็นจิตร่าเริงอย่างยิ่ง อภิปโมทยังจิตตัง ซึ่งต้องดูรายละเอียดเลย
จิตปราโมทย์ ในรายละเอียดไล่ไปตั้งแต่ อวิปฏิสาร
1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)
2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)
3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)
4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
6. สมาธิ (จิตมั่นคง)
7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)
8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)
9. วิราคะ (คลายกิเลส)
10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 , 208)
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 20 วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:29:25 )
รายละเอียด
(อัชฌัตตังรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) คือมีการกำหนดรู้รูปภายใน จะต้องมีการเห็นรูปภายนอกอยู่เสมอด้วย การไปนั่งหลับตาอยู่ภายในไม่มีทางขึ้นไป อภิภู ได้เลย อภิภู คือผู้รู้ยิ่งเป็นผู้รู้เอง เป็นเองเลยนะ สยังอภิญญาเลยนะ อภิภูนี่ อาตมาอธิบายได้เพราะว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญาเอง ที่อธิบายคืออภิภู
2. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่ มีผิวพรรณ ดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่สอง ฯ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่ผิดไปไกลที่สุดในศาสนาพุทธทุกวันนี้ จึงคือผู้หลับตา พูดแล้วพูดอีก น่าเบื่อจริงๆ แต่ก็เบื่อไม่ลง เบื่อให้ตายอย่างไรถ้ามันยังไงก็ต้องพูดอย่างนั้นแหละ เพราะว่ามันผิด ถ้าไม่แก้ตรงที่ผิดก็ไม่รู้จะแก้ตรงไหน และต้องมีอายตนะท่านจึงเรียกว่า อภิภายตนะ คืออภิภู + อายตนะ ภาษาบาลีที่เป็นคำสั้นสั้นแต่รวมความรู้ไว้ยิ่งใหญ่ ความแตกต่างระหว่างข้อที่ 1 คือรูปภายในกับรูปภายนอก เสร็จแล้วข้อที่ 2 คือรูปภายในรูปภายนอก มีเล็กมีใหญ่ อันแรกข้อ 1 มันเล็ก อันข้อ 2 นี้มันใหญ่
3. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กมีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่สาม ฯ
4. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่มีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่สี่ ฯ
5. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเขียว มีวรรณะเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว ดอกผักตบอันเขียว มีวรรณะเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว หรือว่าผ้าที่กำเนิดในเมืองพาราณสี มีส่วนทั้งสองเกลี้ยงเขียว มีวรรณะเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว แม้ฉันใด ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเขียว มีวรรณะเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียวฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็นอันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่ห้า ฯ อันนี้มีนัยฉลาดเห็นมิติต่างๆ เห็นลิงคะ เห็นความแตกต่างมากยิ่งขึ้น
6. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเหลือง มีวรรณะเหลือง เหลืองล้วน มีรัศมีเหลือง ดอกกรรณิการ์อันเหลือง มีวรรณะเหลือง เหลืองล้วน มีรัศมีเหลือง หรือว่าผ้าที่กำเนิดในเมืองพาราณสี มีส่วนทั้งสองเกลี้ยง เหลือง มีวรรณะเหลือง เหลืองล้วน มีรัศมีเหลือง แม้ฉันใดผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเหลือง มีวรรณะเหลืองเหลืองล้วน มีรัศมีเหลือง ฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่หก ฯ
7. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันแดง มีวรรณะแดง แดงล้วน มีรัศมีแดง ดอกหงอนไก่อันแดง มีวรรณะแดง แดงล้วน มีรัศมีแดง หรือว่าผ้าที่กำเนิดในเมืองพาราณสี มีส่วนทั้งสองเกลี้ยง แดง มีวรรณะแดง แดงล้วน มีรัศมีแดง แม้ฉันใด ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายในเห็นรูปภายนอกอันแดง มีวรรณะแดง แดงล้วน มีรัศมีแดง ฉันนั้นเหมือนกันครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็นอภิภาย-*ตนะข้อที่เจ็ด ฯ
8. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันขาว มีวรรณะขาว ขาวล้วน มีรัศมีขาว ดาวประกายพฤกษ์อันขาว มีวรรณะขาว ขาวล้วน มีรัศมีขาว หรือว่าผ้าที่กำเนิดในเมืองพาราณสีมีส่วนทั้งสองเกลี้ยง ขาว มีวรรณะขาว ขาวล้วน มีรัศมีขาว แม้ฉันใด ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายในเห็นรูปภายนอกอันขาว มีวรรณะขาว ขาวล้วน มีรัศมีขาว ฉันนั้นเหมือนกันครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็นอภิภาย-*ตนะข้อที่แปด ฯนัยยะคำว่าเหลือง แดง เขียว ขาว ก็ดี เอาคำว่าขาวเป็นคำสุดท้าย ก็เป็นผู้ที่เห็นหรือรู้ อภิภายตนะ ข้อที่ 8 ฟังแล้วเหมือนตื้น แต่ที่จริงลึก ลึกซึ้งอย่างไรก็ยังไม่มีเวลาจะต่อแล้ว
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2563 ( 14:21:21 )
รายละเอียด
อภิภายตนะข้อที่ 1 เป็นขั้นรูป
อภิภายตนะข้อที่ 2 ขั้น อัปปมาณาภา
ขั้นที่ 3 เป็นขั้น อรูป ปริตตัง
ขั้นที่ 4 อรูป ขั้น อัปมาณา
ขั้นที่ 5 6 7 8 ท่านเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษนี้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้แจกเป็นเฉดของสี เอาสีมาเป็นตัวอธิบาย เป็นตัวสมมุติ
ขั้นที่ 5 รู้จักเฉดของสีเขียว เขียวเหมือนกันหมด แต่ต่างกันตรงเฉดสี คือ รู้เรื่องความละเอียดลออของสรรพสิ่ง ว่ามันมีสิ่งที่ต่างกันเล็กน้อย ทั้งๆที่คนก็มองเห็นเหมือนกันหมดเขียวเดียวกัน แต่นี่แยกความเขียวได้ ไม่รู้กี่เขียว เป็น 10 เฉดเลย
ข้อที่ 6 แดง ก็แยกเป็น 10 เฉด
ข้อที่ 7 เหลือง อ่อนกว่า ถ้าเป็นน้ำเงิน แดง ก็สีโทนจัด พอมาถึงเหลืองก็เป็นโทนอ่อน ก็แยกเป็นเฉดสีนัยยะต่างกัน
สุดท้าย แยกเฉดของขาวออกได้ คนจะละเอียดขนาดไหนล่ะ ถ้าแยกเป็นความต่างของสีขาวเป็นร้อยเฉดสี คุณนึกออกไหมว่ามันขาวขนาดไหน ไปถามพวกยาซักฟอกดูซิ มันจะทำความขาวแข่งกัน นี่เป็นความรู้ที่อาศัยสภาวะและพยัญชนะต่างๆ มาเรียนกัน สรุปแล้วเอาสีมาเป็นตัวตั้งเพื่อศึกษา และอธิบายให้เห็นความต่าง การศึกษาของศาสนาพุทธจึงศึกษาความต่าง เท่านั้นเอง
ข้อต้น ความต่าง ระหว่างพระเจ้ากับการยึดถือพระเจ้ากับการไม่ยึดถือพระเจ้า ความมีพระเจ้ากับความไม่มีพระเจ้า คู่ใหญ่ คู่เอก สุดเอกเลยทีนี้คนที่ไม่รู้ความต่างก็คือ พระเจ้า คนรู้ความต่าง และรู้ความต่างที่ละเอียดจบทุกเฉดเลยคือสายพุทธ ก็คนสายพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นจึงรู้ความต่างของความมีกับความไม่มี รู้ความต่างของจิตวิญญาณกับสิ่งที่ไม่ใช่จิตวิญญาณแล้ว เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปแล้ว รู้ความต่างและทำได้ด้วย จึงรู้ทั้งเกิด รู้ทั้งดับ รู้ทั้งมีและไม่มี ทำได้เองหมด จึงรู้ว่าไม่มีพระเจ้ามาควบคุมหรอก มีแต่ตัวเราเอง ซึ่งทำได้ด้วยกรรม กรรมคือการกระทำ กรรมสำเร็จจบอยู่ในตัวเอง ทำ
ทำเป็นธรรม ธรรมเราทำ อาตมาพูดอธิบายธรรมไปได้เรื่อยๆ แล้วมันต้องพูด เพราะเราเกิดมาตั้งปณิธานแล้วว่า เราจะเกิดมาเพื่อสืบสานธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ เป็นสิ่งที่ควรบอกกล่าว ควรทำความเข้าใจของคนให้เข้าใจให้รู้ ก็มีเรื่องที่ค้างๆ คาๆ ที่ควรจะต้องบอกให้รู้กัน บอกให้รู้ให้ชัดเจน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ งานอโศกรำลึก 2565 อภิภายตนะ 8 ตอน สังคมสาราณียธรรมที่จริงยิ่งกว่ายูโทเปีย วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2565 ( 14:08:47 )
รายละเอียด
ก็จะต้องศึกษากันไปเรื่อยๆ ตอนนี้อาตมาอธิบายถึงขั้นอภิภายตนะ 8 ของพระพุทธเจ้า เอามาขยายความ เพราะว่าอภิภายตนะ 8 มันไม่ใช่ภาวะที่เริ่มต้น แต่เป็นภาวะที่อธิบายถึงความเป็นอาริยะ เป็นโลกุตระตั้งแต่เริ่มข้อหนึ่งเลย มันเป็นเรื่องของผู้ที่มีขั้นถึง อภิภู เป็นขั้นสูงซึ่งอาตมาจำเป็นต้องอธิบายไว้ ต้องรีบอธิบายไว้ ประเดี๋ยวไม่ทันเวลา ไม่ได้พูดอันนี้เอาไว้เลย ตอนนี้เพื่อนๆ หรือคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ที่ยังไม่น่าตายก็ตายไป ตอนนี้ เช่น สมเด็จช่วง ตาย แม่ชีศันสนีย์ ตาย ประยอม ซองทอง ศิลปินแห่งชาติ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้าย ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2564 ( 21:32:50 )
รายละเอียด
ข้อที่ 1 ก็คือเป็นผู้ที่ มีความรู้เป็นอัตโนมัติอยู่แล้ว รู้ทั้งภายนอก รู้ทั้งภายในคู่กัน เรียกว่า กาย ไม่แยกกันแล้ว คนที่รู้ภายนอกกับภายในพร้อมกัน ไม่แยกกัน คนนี้เป็นคนชั้น 1 เป็นคนพิเศษชั้น 1 หากว่ารู้แต่ภายนอกเฉยๆ มันก็แค่นั้น รู้แต่ภายในให้เก่งให้ตายอย่างไร พวกหลับตาปฏิบัติรู้แต่ภายในๆ ให้เก่งให้ตายอย่างไร ก็เสร็จ ไปไหนไม่ออก บรรลุธรรมไม่ได้
บรรลุธรรมไม่ได้ เพราะรู้อย่างใดอย่างเดียว รู้จักภายนอกไม่รู้ภายในร่วม รู้แต่ภายในไม่รู้ภายนอกร่วม ไม่บรรลุนิพพาน ไม่บรรลุธรรมะของพระพุทธเจ้า เพราะจะต้องมี 2 เสมอ
เพราะฉะนั้นเทวนิยมรู้จักพระเจ้าแต่ภายในอย่างเดียว ภายนอกที่กระทบด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่รู้เลย ไม่มีอยู่ ไหนล่ะพระเจ้า ไหนลองสัมผัสดูซิ เอามือจับ ตาเห็น ได้ยินเสียงจริงๆ เดี๋ยวนี้ ได้กลิ่น ลิ้นแตะได้ ก็ไม่ได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นสัจจะครบบริบูรณ์ เมื่อไม่มีสัจจะครบบริบูรณ์ เขาก็ปฏิบัติธรรมบริบูรณ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแม้ข้อเดียว นามรูป หรือภายนอกกับภายใน เท่านี้แหละไม่ครบ
นี้เป็นอภิภายตนะข้อที่ 1 มีสัญญาการกำหนดรู้ภายนอกภายใน สัญญาคือการกำหนดรู้หรือสำคัญมั่นหมาย อันนี้ภายนอกนะ แล้วอันนี้ภายในนะ 2 เป็น 1, 1 เป็น 2
แค่นี้อันเดียว คุณไม่มีแล้ว คุณก็ยังไม่ใช่อภิภูเลย คุณจะเป็นอภิภูได้ ต้องมีข้อนี้เป็นข้อที่ 1 จากนั้นถึงจะรู้ ปริตตัง แล้วจึงจะรู้ไปถึง อัปปมาณา ทุพรรณะ สุพรรณา อะไรเหล่านี้เป็นต้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 จากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2565 ( 05:26:49 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นผู้ที่อภิภู จะรู้จักภายนอกภายใน ซึ่งจะเข้าใจสูตรนี้ไม่ใช่ง่ายๆ ถ้ามีภายนอกก่อนแล้วจึงรู้ภายใน ตัวภายในเป็นฐานรู้ ฐานจิตที่จิต ที่จิตรู้มันอยู่ภายในแล้วก็ไปเรียนรู้ภายใน เรียนรู้ภายนอกก็รู้ รู้ความเล็ก ปริตตัง และ อัปมาณา ความเล็ก ความใหญ่ ใช้ภาษาไทยแค่นั้นแต่ภาษาบาลีมันละเอียดกว่านั้นเยอะ เล็ก ใหญ่ เท่านี้ มันทุกอย่าง สิ่งน้อย สิ่งมาก สิ่งเล็ก สิ่งใหญ่ สิ่งละเอียด สิ่งหยาบ คือลักษณะ 2 ของคู่เทียบระหว่าง ปริตตัง และ อัปมาณา ทั้งหมดเลย
แล้วก็รู้จัก ทุพรรณะ สุพรรณะ แปลว่า ผิวพรรณดีผิวพรรณทราม รู้ตั้งแต่ผิวพรรณภายนอกผิวพรรณที่ดี ผิวพรรณที่ไม่ดี มันหมายถึง วรรณะ ขีดขั้น ชั้นตอน ของคุณธรรมของพฤติกรรม อ๋อ คนนี้ มีความดีงาม มีความไม่ดีไม่งาม หรือ ความชั่ว โลกุตระกับโลกียะ โลกียะก็มีแค่ดีกับชั่ว ถ้าโลกุตระก็ลึกเข้าไปถึงขั้น นาม จะรู้จักสุขรู้จักทุกข์ จนกระทั่งรู้ว่าสุขรู้ว่าทุกข์มันเป็นมายา เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก มีสุขมีทุกข์
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พญานาคมีจริง พญานาคไม่มีจริง วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 ธันวาคม 2564 ( 20:54:21 )
รายละเอียด
ขึ้นต้น อภิภายตนะ 8 ข้อที่ 1 เป็นผู้ที่รู้รูปภายนอก เห็นรูปภายนอกและเห็นรูปภายใน ไปด้วยกันพร้อมด้วยกัน นี่คือผู้ที่เป็น อภิภู
ขออภัยอย่างอาตมานี้เป็น อภิภู เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถรู้รูปภายนอกเห็นรูปภายใน กำหนดรู้รูปภายใน เห็นรูปภายนอก เห็นอย่าง อาตมาไม่อยากให้แปล ปริตตังว่าเล็กเลย แต่แปลว่า บริวาร เห็นรูปภายในภายนอกที่เป็นบริวารก็ดี เป็น อัปปมัญญาว่ายิ่งใหญ่ก็ดี แต่ปริตตัง ไม่อยากจะให้แปลว่าเล็ก มันไม่ใช่ แต่มันเป็นบริวารระดับบริวาร ปริตตัง ถ้าอัปมาณังแปลว่ายิ่งใหญ่
เพราะฉะนั้นจะเป็นผู้รู้ทันทีเลย อภิภายตนะ 8 ข้อที่ 1 จะเป็นผู้ที่กำหนดรู้ภายใน เห็นรูปภายนอกแล้วรู้รูปภายในมีบริวารที่เป็นผิวพรรณดี ผิวพรรณทราม ผิวพรรณก็คือขั้นชั้น คือ วรรณะ 9 อวรรณะ 6 ถ้าขั้นสูงก็เป็นวรรณะ 9 เวลาหมดแล้วเป็นต้น ในรายละเอียดเหล่านี้อาตมาแตกต่างจากท่านที่อธิบายไปบ้างขยายความละเอียดออกมานั้นบ้าง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยข้อที่ 1 กับข้อที่ 8 วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2564 ( 07:19:58 )
รายละเอียด
เริ่มตั้งแต่ อภิภายตนะ 8 ข้อที่ 1 ก็ยังเข้าใจกันยังไม่ค่อยได้ อธิบายให้ฟังข้อเดียว
ผู้ที่เก่งแล้วจะรู้ทันที รู้นามรูป พร้อมกันเลย รู้ภายนอกภายใน แล้วก็รู้ในสิ่งที่ร่วมปรุงแต่งเป็นสังขาร แยกเป็น 2 คือละเอียด เล็ก อะไรละเอียดเล็ก มีทั้งละเอียดเล็ก ที่รู้ทีละน้อย เป็นของขั้นชั้นต่างๆ เรียกว่าวรรณะ สุวรรณะ หรือทุพรรณะ อย่างไหนดีอย่างไหนไม่ดี ขั้นชั้นของความดีขั้นชั้นของความไม่ดี จนมากมายเข้ามาหา จาก ปริตตัง เรียกว่า 1 2 3 4 5 6 มากเพิ่มขึ้นไป ตั้งแต่ 2 เป็นพหูพจน์ไปเรื่อยๆ เป็น 4 5 6 7 8 เป็นอัปปมาณา นับประมาณมิได้
นับประมาณมิได้จะเข้าไปหาคู่ของ ปริตตัง อัปปมาณา ข้อที่ 4 ข้อที่ 2 3 ก็เป็นแบ่ง รูป อรูป อะไรอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ไปแบ่งเฉด จากข้อที่ 5 ที่ 6 แบ่งเฉด เป็นสมมติสีเดียว เขียว แล้วก็ใช้ภาษาเรียกเขียวอย่างนั้นอย่างนี้ไปอีกหลากหลายเฉดสี ต่างกันทีละน้อยๆ ไป แดงก็ต่างกันตามเฉดของแดง ต่างกันทีละน้อยๆๆ น้ำเงินหรือเขียว ภาษาในพระไตรปิฎกเรียกว่า นิลละ ที่จริงแม่สีมันคือสีน้ำเงินแล้วก็แดง แดงก็มีเฉดต่างๆ แยกไปเยอะ น้ำเงินกับแดงนี้ก็เข้มข้นพอกันง่ายหน่อย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2565 วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2565 ( 20:20:07 )
รายละเอียด
พระไตรปิฎกเล่ม 10
ข้อ 100 ดูกรอานนท์ อภิภายตนะ 8 ประการ เหล่านี้แล 8 ประการเป็นไฉน คือ
ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กซึ่งมีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่หนึ่ง ฯ
รูปภายในกับรูปภายนอก กำหนดรู้กาย ได้พร้อมกันเลย กายต้องมีภายนอกและภายในเสมอ
_ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่ ซึ่งมีผิวพรรณดี และมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้วมีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่สอง ฯ
ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็ก(ปริตตัง) ซึ่งมีผิวพรรณดี และมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่สาม ฯ
ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่(อัปปมาณา) ซึ่งมีผิวพรรณ ดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่สี่ ฯ
ในอภิภายตนะ ข้อต่างๆ จะรู้ลงไปในรายละเอียดต่างๆ ตั้งแต่ขนาด จนถึงกระทั่งสีสัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้า ส่งท้ายปีเก่า งาน ว.บบบ เพื่อฟ้าดิน สวดอภิธรรมส่ง
ท้ายปีเก่าให้เข้าถึงนิพพาน วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 18:04:35 )
รายละเอียด
อภิภายตนะ 8 หรือผู้ที่รู้ยิ่งรู้จริงในอายตนะ อายตนะ แปลว่า สะพานเชื่อมระหว่าง 2 สภาพ สะพานเชื่อมสภาวะระหว่างรูปกับนาม มี ผัสสะ จึงเกิดอายตนะ รูปกับนามทำงานแปะกันปั๊บจึงเกิดอายตนะ อายตนะก็มี 2 ขั้ว ขั้วหนึ่งเป็นขั้วรูปอีกขั้วหนึ่งเป็นขั้วนาม อายตนะของคนก็มีได้ถึง 6 ตากระทบรูป 1 หูกระทบเสียง 2 จมูกกระทบกลิ่น 3 ลิ้นกระทบรส 4 ข้างนอกข้างในกระทบกัน 5 ข้างในข้างในกระทบกันอีกเป็น 6 เป็น 6 คู่เรียกว่าอายตนะ 6
ส่วน อายตนะ 8 คือ อภิภายตนะ 8 มันไม่ได้หมายถึงอายตนะพวกนั้นเท่านั้น ซึ่งก็อยู่ในฐานของอายตนะ 6 แต่มันหมายถึงคุณสมบัติความเก่งความสามารถ ของคนที่มีความรู้ในอายตนะ ได้ถึง 8 ชนิด มีคำว่า อภิภู อภิภายตนะ และ อภิภุยฺย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคนไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 11:14:25 )
รายละเอียด
อายตนะไม่มีตัวตนหรอก เกิดในปัจจุบันที่กระทบสัมผัสและเกิดอาการ ในอาการอายตนะนี่แหละ มันจะมีอะไรบรรจุอยู่ในนี้ทั้งนั้นเลย บรรจุอยู่ทั้งหมดเลยตั้งแต่ รูปกับนามแล้วก็มีนามกับอรูป แล้ว ก็มีความรู้ปัญญาอยู่ในนี้หมดเลย รู้ว่าไอ้นี่น้อย ไอ้นี่ใหญ่ ปริตตัง อัปปมาณา จะรู้ว่ามันประกอบไปด้วยเปลือกเนื้อใน เนื้อในอย่างนี้ดีหรือไม่ดี สุพรรณะ ทุพรรณะ รู้ลำดับที่แตกต่างละอียดลออ ใน อภิภายตนะ 8 ซึ่งมันยาก ผู้ที่มีภูมิเป็นอภิภูจึงจะเรียนรู้ได้ ระดับ 8
ที่อธิบายกันอยู่อย่างนี้ยังไม่อยากจะข้ามไปถึงขนาดนั้น อธิบายลงมาหาแค่ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ซึ่งมันเป็นเปลือก ลาภสักการะ เป็นแค่กิ่งกับใบของต้นไม้ ความเสื่อมของศาสนาพุทธทุกวันนี้ 2,500 ปีที่ผ่านมา จึงเสื่อมจนไม่รู้จะพูดอย่างไร อาตมาเกิดมามากอบกู้เอาโลกุตรธรรม สถาปนาลงไปในพุทธ ทำงานมา 50 กว่าปีเข้าไปแล้ว ก็ได้เท่านี้ เอ๊าะเจ๊าะ แค่ ราชธานีอโศก อยากได้คน 1,000 มาตั้งนาน จึงลดลงมาเหลือสัก 777 ก็ยังไม่ถึงเลย สร้างมาตั้งแต่พ.ศ. 2537
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ใครคือผู้ถึงแก่น ใครเป็นผู้หลงกิ่งใบดอกผล วันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 16:21:43 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นอันที่ 1 อภิภายตนะ ข้อที่ 1 ฟังดีๆ นะ ที่อาตมาบอกว่า มันไม่ใช่แค่อายตนะสามัญที่ทุกคนมีอยู่แล้วเป็นปกติ คุณมีแล้วเป็นแล้ว 2 สภาพ อายตนะคือ 2 ต่อกันสัมพันธ์กันเกิดสภาพรู้ขึ้นมา แล้วคุณก็มีอายตนะได้ ทางตากับรูป หูกับเสียง... ห้าคู่ภายนอกกับ 1 คู่ภายใน ก็มีก็ได้เป็นปกติทุกคน
แต่อภิภายตนะมันรู้พิเศษถึงความมีประสิทธิภาพ รูปภายนอกภายในครบพร้อมกันและมันรู้ต่างๆ มากกว่านั้นอีก เริ่มข้อแรกก็รู้ ความรู้ภายนอกภายใน รู้ทั้งปริตตัง ทุพรรณา สุพรรณา ผิวพรรณดีผิวพรรณทราม หรือขั้นดีขั้นไม่ดี ขั้นนิดหน่อย ปริตตา ถ้าข้อ 2 อัปปมาณา
วรรณะคือขั้นชั้นที่ดี กับขั้นชั้นที่เลวก็ต่างกัน คือสุพรรณะ ทุพรรณะท่านก็แปลว่า ผิวพรรณดีผิวพรรณทราม ซึ่งก็มีด้วย ขั้นชั้นสูงคือขั้นไปสู่ความเจริญ คุณก็มีความเจริญอย่างนี้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 11:16:33 )
รายละเอียด
ขอขยายอภิภายตนะ คือ อภิภู+อายตนะ อายตนะคือสภาพ 2 สภาพ 2 ของการกระทบกัน ตาอาตมากระทบกะหล่ำปลี อย่างนี้เป็นต้นก็เรียกว่าอายตนะ ถ้าไม่กระทบอะไรมันก็ไม่มีสภาพสะพานเชื่อม เมื่อมีตากระทบอันนี้ก็มีสะพานเชื่อมเรียกว่าอายตนะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้า ส่งท้ายปีเก่า งาน ว.บบบ เพื่อฟ้าดิน สวดอภิธรรมส่ง
ท้ายปีเก่าให้เข้าถึงนิพพาน วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 18:08:05 )
รายละเอียด
อาตมาตั้งใจจะขยายความ อภิภายตนะ ซึ่งที่จริงเป็นเรื่องสูง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าจะรับฟังรับรู้กันบ้าง เราก็เรียนอะไรมามาก ต่ำ สูง มีอีกเยอะก็เรียนสูงอีกหน่อยจะเป็นอะไรไป
อภิภายตนะคือ การกระทบสัมผัสเกิดอายตนะมีสภาพเชื่อมต่อ ธรรมดาธรรมชาติมีกันเป็นธรรมดาธรรมชาติของทุกคน อายตนะก็มี 6 คู่ ตากระทบรูปก็เกิดอายตนะ หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กาย หรือ โผฏฐัพพะ กระทบกันภายนอกกับภายใน และภายใน จิตวิญญาณ มนายตนะกับธัมมายตนะ อีกคู่หนึ่งภายใน
อายตนะก็มี 6 คู่เป็นธรรมดาธรรมชาติของคน แต่เมื่อไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้มีภาษาบัญญัติ ไม่ได้มีการวิจัยวิจารณ์ ไม่ได้มีหลักทฤษฎี เขาก็ไม่ได้เรียนกันหรอกในทางเทวนิยม แต่ทางพุทธของเราเรียนรู้แล้วก็เข้าใจ นอกจากเข้าใจแล้วก็จัดการ ก็จะจัดการกับอายตนะ 6 นี้ได้
ผู้จัดการให้ได้เป็นสภาพความรู้ที่ยิ่งใหญ่ จากการรู้ที่เกิดจากนามรูป จึงเกิดอภิภายตนะ 8 ขึ้นมา
อภิภายตนะ 8 จึงไม่ใช่ความเป็นอายตนะ 6 หรือความเป็นอายตนะ 1 คู่เท่านั้น แต่มันเป็นความรู้พิเศษ ความสามารถพิเศษที่เกิดขึ้นในคน ผู้มีประสิทธิภาพสูงถึงขั้น มีอภิภายตนะ 8
อภิภายตนะ 8 อยู่ในพระไตรปิฎก เล่ม 11 ตั้งแต่ข้อ 349 เล่ม 10 ข้อ 100 ก็มี คำความเหมือนกันหมดเลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคนไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 11:06:09 )
รายละเอียด
มันมีว่า เมื่อรู้สิ่งเหล่านี้เป็นความสามารถที่จะรู้อะไรต่ออะไรต่างๆ นานา เห็นรูปภายในเห็นรูปภายนอก รู้จักปริตตัง ซึ่งมันเป็นเรื่อง หยาบเบื้องต้นยังไม่ใช่เรื่องละเอียด
แล้วก็รู้ทุพรรณะสุพรรณะ ขั้นชั้น รู้แค่นี้แหละก่อน เป็นข้อที่ 1 อภิภายตนะ แล้วมีอิทธิพลเรียกว่ามี อภิภุยยะ ครอบงำมีอิทธิพลอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้แล้ว
ผู้ที่รู้ตัวเองเห็นภูมิธรรมตัวเองเป็นอย่างนี้ได้ แล้วก็เห็นว่าอย่างนี้แหละๆ กำหนดหมายอย่างนี้ สำคัญมั่นหมายอย่างนี้ว่า อย่างนี้แหละคือเรารู้เราเห็น ชานามิ ปัสสามีติ อย่างนี้ที่จะปฏิญาณตัวเองได้ว่า เราเป็นผู้รู้และเห็นอยู่ นี่ มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้-ชานามิ เราเห็น-ปัสสามีติ อันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่ 1 คือ จะไม่ใช่รู้อย่างสัมภเวสีอยู่ในภพของตัวเองล่องลอยไป แต่จะรู้จะเห็นอยู่ภายนอก ภายนอกคนอื่นมายืนยันได้ เอหิปัสสิโกเรียกมาดูได้ร่วมกันว่าอย่างนี้ไง ร่วมรู้ร่วมเห็นด้วยกันได้ มีคนอื่นยืนยันยิ่งมากคนหลายคนถือว่าเป็นสัจจะมากเท่านั้น 2 คน 3 คน 4 คนไม่ใช่รู้อยู่คนเดียว 2 คนก็ยืนยัน 2 คนได้แต่มันน้อยไป 3 คน 4 คน 5 คน นี่เป็นร้อยกว่า มีทั้งนั่งหน้าจอยืนยันอีกเป็นพันเป็นหมื่น เมื่อไหร่จะขึ้นเป็นล้านๆๆ นี่คือข้อที่ 1
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 16:21:52 )
รายละเอียด
พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 100 อภิภายตนะ 8 ประการ
[100] ดูกรอานนท์ อภิภายตนะ 8 ประการ เหล่านี้แล 8 ประการเป็นไฉน คือ
ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กซึ่งมีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่หนึ่ง ฯ
[100] อฏฺฐ โข อิมานิ อานนฺท อภิภายตนานิฯ กตมานิอฏฺฐฯ อชฺฌตฺตํรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธารูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิสุวณฺณทุพฺพณฺณานิ ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ ปสฺสามีติ เอวํสญฺญีโหติ อิทํ ปฐมํ อภิภายตนํ ฯ
ผู้ที่เป็น อภิภู คือผู้รู้จักอายตนะ 8 มันคือความพิเศษรู้อย่างละเอียด รู้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพของ อภิภูคือ จะมีสัญญามีการกำหนดรู้เป็นอัตโนมัติในตัวผู้ที่มี อภิภูแล้ว สัมผัสปั๊บ จะรู้รูปภายในและรูปภายนอก พร้อมกันเลย
เช่น ตาเห็นรูป จิตภายใน ก็รู้รูปนี้ และรู้ด้วยว่า อันนี้ ปริตตัง สุพรรณัง หรือทุพรรณัง ในข้อ 1 ข้อเดียวนี้รู้ไปพร้อมกันเลยนะ ละเอียดรู้พร้อมกันเลย
คนที่ไม่ถึงอภิภู รู้ไม่ได้ละเอียดขนาดนี้หรอก ก็จะเป็นอัตโนมัติรู้รูปพร้อมกันหมดทุกแง่มุมทุกมิติ นี่คือความสามารถความวิเศษของความรู้ อธิบายมุมไหนมิติไหนก็ติดต่อกันไปเพราะมันรู้ครบหมดแล้ว แต่คนยังไม่รู้หมดก็ค่อยๆนึกหรือยังนึกไม่ออก มันก็ไม่ใช่คนรู้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 11:12:16 )
รายละเอียด
ขึ้นข้อที่ 2 บ้าง ท่านก็เลื่อนละเอียดไปนิดเดียว มีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่ ตอนนี้เป็นอัปปมาณา คือ ใหญ่ ประกอบที่ใหญ่ มีผิวพรรณดีและผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่าเรารู้เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่ 2 ต่างกันเพียงคำว่า ปริตตัง กับ อัปปมาณา ปริตตังที่เล็ก หยาบ อัปปมาณา ใหญ่ ละเอียดขึ้น เห็นไหม ภาษา บางทีไปใช้เอาความละเอียด เอาความหยาบไปใช้ บางทีชั้นสูง บางทีชั้นต่ำ ข้อที่ 2 ต่างกันตรงนี้แหละ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 16:25:35 )
รายละเอียด
ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่ ซึ่งมีผิวพรรณดี และมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้วมีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่ 2 ฯ
{100.1} อชฺฌตฺตํรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธารูปานิ ปสฺสติ อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ ปสฺสามีติ เอวํสญฺญี โหติ(เอวังคือจบความรู้นี้) อิทํ ทุติยํ อภิภายตนํ ฯ
อย่างที่เคยพูดไว้ว่าอาตมาพูดแต่ความจริง พูดความไม่จริงไม่เป็น ซึ่งคนเขาก็อาจจะสงสัย เขาเอาตัวเขามาเทียบเพราะเขาเองก็พูดความไม่จริงหลายที ดีไม่ดีเจตนาพูดความไม่จริงจนน่าโกหกด้วย เขาจะรู้สึกว่าคนที่พูดความไม่จริงไม่เป็น พูดเป็นแต่ความจริง เขาจะรู้สึกว่ามันมากไปไหม ไม่ได้หลบหลับตาหรือเข้าป่า พอไหวกันไหมนี่ ..ไหว ชั้นสูงจริงๆ นะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 11:22:06 )
รายละเอียด
ข้อที่ 3 ผู้นี้ มีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอก เล็ก (ปริตตัง) ผิวพรรณดี ผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้วมีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่ 3 ต่างกันที่ตัว อรูป ซึ่ง ข้อ 2 เป็นรูป
อรูป มันเล็กกว่า ละเอียดกว่า อรูป ละเอียดเล็กกว่ารูป รู้ยากสัมผัสยากกว่า คนไม่มีภูมิ เข้าถึงอรูปไม่ได้ คนได้สัมผัสแต่ภายนอก เปลือกทุเรียนยังไม่เห็นเนื้อในหรอก แล้วยิ่งจะไปเห็นเมล็ดของทุเรียนนั้น ยัง คุณต้องผ่าออกหรือกินเข้าไปให้หมด แต่คนไม่กินเปลือกทุเรียนหรอก แต่ถ้าไม่ผ่าก็คือคิดเอาเอง คุณต้องผ่านจริงๆมีสภาวะ เพราะฉะนั้นข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ขั้น ผ่าน อรูป ต่างกันที่ อัปปมาณา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 16:27:02 )
รายละเอียด
ข้อที่ 4 ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่ ซึ่งมีผิวพรรณ ดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่สี่ ฯ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 16:28:02 )
รายละเอียด
ข้อที่ 5 ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอก อันเขียว มีวรรณะเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว ดอกผักตบอันเขียว มีวรรณะเขียว เขียวล้วนมีรัศมีเขียว หรือว่าผ้าที่กำเนิดในเมืองพาราณสี มีส่วนทั้งสองเกลี้ยงเขียว มีวรรณะเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว แม้ฉันใด ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายในเห็นรูปภายนอกอันเขียว มีวรรณะเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว ฉันนั้น
เหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่ห้า ฯ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 16:28:57 )
รายละเอียด
ปริตตา อย่าว่าเล็กน้อยนะ แต่เป็นเรื่องละเอียดสูงส่ง เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปเข้าใจปริตตาก็ดี อัปปมาณาก็ดี มีสิริมหามายา ก็รู้ประดับปัญญาไปก็แล้วกัน สามารถมีในระดับ โสดาบัน มีอภิภุยยะไปเรื่อยๆได้ไหม? สามารถมีอภิภุยยะในบางเรื่องได้ไหม? สามารถมีอภิภุย ในบางเรื่อง แต่คำตอบคือ จริงๆ แล้ว ยังไม่ได้ ยังไม่ควรเรียก เพราะว่า อภิภุย ท่านแปลว่า ผู้ที่ครอบงำได้แล้วนะ มีอิทธิพลเหนือสิ่งเหล่านั้นเสร็จแล้ว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคนไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 15:33:56 )
รายละเอียด
อนุปคัมมะ เป็นผู้ที่มีพลังสูงเป็น อภิภุยยะรู้จักสภาพที่มี 2 พอสัมผัสกันก็เป็นอายตนะ แล้วก็สูงส่งถึง อภิภายตนะ 8 รู้การแจก อภิภายตนะถึง 8 ประการ ทุกวันนี้เขาไอที แต่อาตมานี่ไอถี่ เขาแค่ไอที จะไปสู้อาตมาได้อย่างไร อาตมาสู้ไอถี่ เขาไอคนละทีสองที แต่อาตมาไอถี่
พวกสัตว์หลับชอบที่มืด คนเราฉลาดนะ จับงูจงอางเอาถุงกาแฟไปถุงเดียว พญานาคคือพวกหลับตา พวกหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น และก็เป็นพวกที่อวิชชา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 พฤษภาคม 2565 ( 08:59:52 )
รายละเอียด
ซึ่งอายตนะเป็นของพระอรหันต์ขึ้นไป ก็จะเจริญเป็น สยังอภิญญา เป็นอภิภูไป คือสามารถรู้สภาพ 2 ของข้างนอก ข้างในคือสภาพคู่ที่ละเอียดมากเลยเรียกว่า เป็นอภิภายตนะ 8 ขอไม่อธิบาย ทิ้งไว้เพราะว่าเป็นของภูมิโพธิสัตว์สูงขึ้นไปกว่าอรหันต์ อภิภายตนะ เป็นความรู้ของโพธิสัตว์ระดับ 8 มหาโพธิสัตว์อาตมากำลังไต่ขึ้นไปสู่โพธิสัตว์ระดับ 8 ที่เข้าใจรู้สภาวะและเอามาพูด อยู่ในพระไตรปิฎก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก
เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2566 ( 11:24:14 )
รายละเอียด
คำว่า อภิภู คือ ผู้เจริญด้วยอภิภายตนะ 8 อภิภายตนะ 8 ไม่ใช่แค่ อายตนะธรรมดา แต่ก็คืออายตนะ อายตนะคือสภาวะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสิ่ง 2 สิ่ง รูปกับนาม เป็นต้น หรือ นามกับนามก็ตาม หรือแม้แต่รูปกับรูป พลังงานทางฟิสิกส์บวกกับลบก็ตาม รู้สภาวะ 2 ที่มันปรุงแต่งกัน
ทีนี้ มันปรุงแต่งกันอยู่มันจะเกิดการปรุงแต่งมันต้องมีอายตนะมีผัสสะ หรือ เกิดอายตนะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย มันผัสสะกันขึ้น จึงเกิดอายตนะ คำว่า อายตนะ คือ สภาพสภาพหนึ่งที่คุณต้องรู้ ในคนมี อายตนะได้ถึง 5 ถึง 6 อายตนะที่พูดทั้งหลายแหล่ ที่พูดอยู่นี้ยังไม่ใช่อภิภายตนะ 8 พวกสัตว์เดรัจฉานหรือว่าคน อเวไนยสัตว์ไม่สามารถรู้จักได้ คนที่เป็นเวไนยสัตว์หรืออาริยะจึงสามารถรู้จักอายตนะที่เป็นสภาวะ และพยัญชนะถูกต้องลงกัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 11:05:10 )
รายละเอียด
อภิภู แปลว่า ผู้ยิ่งใหญ่ ตามพจนานุกรมบาลี เขาแปลไว้อย่างนั้น อภิภายตนะ 8
คือเป็นคนที่เจริญ เป็นคนประเสริฐ เป็นคนเจริญที่พัฒนาตนเองมีความรู้ความสามารถในทางโลกุตรธรรมไปจนกระทั่ง อภิภู คือผู้ที่มีอภิภายตนะ 8
อภิ อายตนะ มีอายตนะยิ่ง อภินี่คือยิ่งใหญ่ เป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องอายตนะถึง 8 ข้อ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ รู้ทั้งรู้ถึงเป็นได้ถึง 8 ข้อ อาตมาค่อยๆ ทยอยอธิบายสู่ฟังไป
ที่จริงมันเป็นเรื่องสูงของเรื่อง สยังอภิญญา สูงจากฐานะของอาตมาระดับ 7 เป็นระดับ 8 อภิภู
ระดับ 8 อาตมาก็เริ่มมีความรู้ในอภิภูขึ้นมาเรื่อยๆ ตามลำดับๆๆ ก็เอาตัวอย่างนิดหน่อย เช่น อภิภู คือผู้ที่มีอภิภายตนะ 8 เป็นอายตนะที่ยิ่งใหญ่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 จากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2565 ( 05:21:36 )
รายละเอียด
อภิภู จริงๆ แล้ว สยังอภิญญา จึงจะมี อภิภู ซึ่งต้องเป็นระดับ 8 ขึ้นไป
อาตมาก็พยายามอธิบาย อภิภู ผู้ที่มีคุณสมบัติอภิภายตนะ 8
อภิภายตนะ 8 ไม่ใช่อายตนะ 6 ทีเดียว คนสามัญก็มีอายตนะ 6 คือตา หู จมูก ลิ้น กายใจ แต่อภิภายตนะ 8 ไม่ใช่อายตนะ 6 คู่นี้ แต่ก็อยู่ในฐานของ 6 คู่นี้ เป็นคุณสมบัติพิเศษที่ยิ่งใหญ่ของผู้ที่มีคุณสมบัตินั้น เป็นคุณสมบัติของ อนุปคัมมะ เป็นความยิ่งใหญ่ของจิตที่อยู่เหนือ มีอิทธิพลอยู่เหนือความมี ความไม่มี แล้วก็ไม่เข้าไปใกล้ทั้งความมี ความไม่มี ไม่เข้าไปใกล้ความมีหรือไม่มีกิเลส ถึงจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติมัชฌิมาปฏิปทาสำเร็จ บรรลุผลเป็น อนุปคัมมะ อย่างนี้เป็นต้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 19:44:11 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 09:42:03 )
รายละเอียด
พระพุทธเจ้าสอนอภิภายตนะ 8 ต้องมีความรู้ในอายตนะ 6 ก่อน ทีละคู่ทีละคู่ แต่ละคู่ๆ เพราะฉะนั้นคนที่จะไปเรียนรู้ อภิภายตนะ 8 ถ้าไม่มีพื้นฐานความรู้อายตนะ 6 ก็จะไม่รู้เรื่องไปเรียนไม่ได้ เป็นอภิภูไม่ได้ อภิภู คือ ผู้รู้จักอายตนะ 6 แล้วใช้อายตนะนั้นมารับรู้ รับรู้ อภิภายตนะตั้งแต่ข้อที่ 1 เป็นผู้รู้ภายนอกภายใน รู้พร้อมกันไปเลยนะ เพราะฉะนั้นการรู้ของพระพุทธเจ้าต้องรู้พร้อมทั้งภายนอกภายใน หรือเรียกว่า กาย แต่ใน อภิภายตนะ 8 ท่านไม่ใช้คำว่ากายเลยสักคำเดียว แต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่ามีสภาพคู่ ภายนอกภายใน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พญานาคมีจริง พญานาคไม่มีจริง วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 ธันวาคม 2564 ( 20:52:34 )
รายละเอียด
ผู้มีอภิภายตนะ 8 เรียกโดยศัพท์ว่าเป็น อภิภู
อภิภู คือผู้มีความรู้ในระดับสูง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ สูงในระดับ สยังอภิญญา ขึ้นไปแต่ยังไม่ถึงสยัมภู อย่างอาตมา มีความรู้ระดับอภิภู
อภิภู จึงเป็นผู้ที่นำพาคนไปสู่ความจนอันสุขสำราญเบิกบานใจ พาไปสู่ความจนอันอุดมสมบูรณ์ พาไปสู่ความจนอันพ้นทุกข์พ้นสุข โอ้โห.. เป็นความจนมหัศจรรย์
พวกเราฟังแล้วไม่แปลกใช่ไหม ฟังแล้วเฉยๆ แต่ข้างนอกจะบอกว่าพูดอะไรกัน คนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเมื่อได้ฟังแล้วก็จะบอกว่า มาจากไหน พูดภาษาอะไร บ้าหรือเปล่า จะอย่างนั้นจริงๆ ตกใจจะไม่มากันเลยก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เอาแต่คนที่แสวงหาและเห็นว่าอย่างนี้ใช่เลย
อาตมาทุกวันนี้ ตามหาญาติ พยายามตามหา พี่น้อง ลูกเต้าเหล่าหลาน จะมาจะเป็นตัวน้อยตัวใหญ่ถ้าเป็นญาติก็มา ไม่ใช่ญาติไม่มาหรอก เจอแล้วรีบหนีเลยไม่เข้ามาใกล้ แต่คนที่เป็นญาติเมื่อเข้ามาใกล้แล้วจะรู้ว่า นี่เองหาทางเข้ามาอยู่ร่วมตรงนี้ ไล่ก็ไม่ไปอีกต่างหาก
เพราะฉะนั้นอภิภู คือผู้ที่มีความสามารถในการเจริญอภิภายตนะ 8 ได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคนไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 11:08:48 )
รายละเอียด
อาตมาตั้งใจจะพูดนี้คือเรื่องของ อภิภู นี่คือละครตัวใหม่ อภิภายตนะ มี 8 อย่าง (พตปฎ. ล.11 ข.349) อภิภู มันหมายถึง ความรู้ยิ่งที่มีในตน จนกระทั่งมีอย่างมีอำนาจเหนือ เป็นผู้สำเร็จความรู้ความเหนือ อย่างรู้อย่างเห็นจริง อภิภู มีความหมายอย่างนั้น อภิภู จะต้องมีอายตนะ ความรู้จะเกิด แล้วเวลาเกิด โดยที่ตนเองจะพูดอธิบายอะไร ไม่มีอายตนะไม่ได้ คือ ต้องมีผัสสะ ในภายนอกภายใน หรือจิตกับกาย หรือมีปสาทรูป โคจรรูป ออกมาทำงานกับข้างนอก สัมผัสกันขึ้นมา ถึงจะพูดกันรู้เรื่อง
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
หนังสืออ้างอิง
พตปฎ. ล.11 ข.349
เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2563 ( 14:19:24 )
รายละเอียด
อภิภู คือตัวบุคคลนั้น ที่ทรงไว้ ซึ่งความรู้ความจริงที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งเล็กนั้นๆ อภิภายตนะ คือ อายตนะที่มีคุณสมบัติถึง “อภิ” ขั้นยิ่งใหญ่ เป็นคุณสมบัติของผู้อภิภู อีกทีหนึ่ง มีคุณสมบัติ คุณวิเศษ ของผู้อภิภู ถึง 8 อย่าง
อภิภายตนะ 8 ไม่หลับตาปฏิบัติ จึงเป็นข้อยืนยันว่าศาสนาพุทธไม่หลับตาปฏิบัติ ถ้าหลับตาปฏิบัติจะไม่มีคุณสมบัติคุณวิเศษที่ถึงขั้น อภิภายตนะ 8 ได้เลย ผู้ปฏิบัติหลับตานอกรีตพูดกันไม่รู้เรื่องหรอกกับอภิภายตนะ 8 จะไม่เกิดคุณวิเศษเหล่านี้ได้ เมื่อหลับตาปฏิบัติ พวกหลับตาปฏิบัติจะเป็นพวก เดียรถีย์
ผู้ยิ่งใหญ่จะต้องมีความสามารถ ต้องเปิดรับสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ทวาร ไม่ใช่ว่าไปปิดความรู้สึกจะปิดความรับรู้เลยทั้ง 5 ทวาร รับรู้อยู่แต่ทวารใจคู่ที่ 6 คู่เดียว ไม่ใช่ ซึ่งศาสนาพุทธไม่ได้เสื่อมแต่ชาวพุทธได้เสื่อมไปจากสัจธรรมที่ถูกต้องของศาสนา
อภิภุยฺย มันหมายถึง ความสามารถความเก่งของอภิภู ที่สามารถมีอิทธิพลอยู่เหนือสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่เหนือ ตั้งแต่รูป กำหนดเอารูปภายนอก แล้วกำหนดเอารูปภายใน เห็นรูปภายนอกพร้อมกันทั้งสองสภาพ รูปภายนอกและรูปภายในคู่กันเสมอไม่ขาด เป็นสองสภาพ
คุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่เรียกว่า อภิภู เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ พวกหลับตาปฏิบัติ คือพวกเดียรถีย์ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ยิ่งใหญ่จะต้องมีความสามารถ ต้องเปิดตาเห็นข้างนอกต้องเปิดเผยได้ยินเสียงข้างนอก จมูกรับกลิ่นข้างนอก ลิ้นกระทบรสอยู่ โผฏฐัพพะก็กระทบสัมผัสอยู่ ไม่ใช่ไปปิดความรู้สึก ปิดความรับรู้เลยทั้ง 5 ทวารนอก ไม่ใช่ ไปรู้อยู่แต่ทวารใจคู่ที่ 6 ไม่ใช่ !
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคนไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 11:20:05 )
รายละเอียด
แม้แต่ข้อแรกที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ แม้แต่ปัจจุบันก็มีสิ่งที่ยืนยัน มีปลา ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา อยู่ ร่างกายยาว 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400 โยชน์ 500 โยชน์ อธิบายเป็นบุคลาธิษฐาน คิดดูสิตัวมันจะเล็กขนาดไหน ดูเหมือนมันเล็กๆ แต่ที่จริงพวกคุณนี้สัตว์ใหญ่นะ มหตังภูตานัง เป็นสัตว์ใหญ่ ภูตานังคือ ธาตุจิตวิญญาณ
นี่แหละคือผู้ที่เป็น อภิภู ผู้ยิ่งใหญ่ อภิภูคือผู้มีอภิภุย เป็นผู้ที่มีอภิภายตนะ 8 อภิภู แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ ที่ยิ่งใหญ่เพราะว่ามี อภิภุย
อภิภุย คือ มีอิทธิพลเหนือรูปนามเหนืออะไรต่างๆ นานา เหนือโลก เหนืออัตตา ครอบงำได้แล้ว มีอิทธิพลเหนือได้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงสามารถมีอภิภายตนะ 8
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยข้อที่ 1 กับข้อที่ 8 วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2564 ( 07:18:13 )
รายละเอียด
อภิภู ท่านไปแปลในนี้ว่า ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว อภิภุยะ คุณสมบัติ อภิภุยยะ คือ ครอบงำหรือมีอิทธิพลเหนือรูปเหล่านั้นแล้ว ขั้นแรกเป็นขั้นรูป ข้อที่ 1 คือขั้นรูป
อภิภายตนะขั้นที่ 2 ก็รูปอยู่แต่เป็นอัปปมาณา ข้อที่ 3 ถึงจะไป อรูป
แต่ว่า ข้อที่ 1 เน้น รูปภายในเห็นรูปภายนอก ข้อที่ 1 เป็น ปริตตัง ข้อที่ 2 เป็น อัปปมาณา
ข้อที่ 3 ไปก็จะมี อรูป ก็มีปริตตะกับอัปปมาณา ข้อที่ 4 ก็อัปปมาณา แล้วก็มีสุพัณณะ ทุพัณณะ
ฟังแล้วคนที่ไม่เข้าใจว่าแตกต่างอย่างนี้จะมีประโยชน์อะไร เพราะเห็นว่าไร้สาระ แต่พวกเรานี่เข้าใจว่า นี่แหละมันเกี่ยวถึงความเป็นคน พฤติกรรมของคน จิตใจของคน คุณสมบัติของคนจิตวิญญาณของคน แต่คนที่เขาไม่รู้จักพวกนี้เขาไม่เข้าใจ เขาไม่มีภูมิถึง เขาจะเห็นว่าอะไร ไม่พูดถึงว่าอะไรได้มากินแซ่บๆน่าจะดีกว่า ว่างั้น หรือวันนี้ได้เงินเท่าไหร่ยังง่ายกว่าเยอะ ก็ใช่ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เท่านั้น มันเป็นเรื่องของอภิธรรม
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคนไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 14:45:04 )
รายละเอียด
อภิภู หรือ สยังอภิญญา ก็เจริญจาก สยังอภิญญา ไปหาอภิภู แล้วก็จะเลย อภิภู ไปสู่ สยัมภู คือพระพุทธเจ้าระดับ 9 เลย ถ้า อภิภู ก็ถือว่า 8 สยังอภิญญา ก็ถือว่าระดับ 7 ส่วน สยัมภู ระดับ 9 พระพุทธเจ้า
ที่มา ที่ไป
พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2565 ( 06:36:01 )
รายละเอียด
แล้วอภิภู เป็นคนในระดับใด ?
อภิภู เป็นคนในระดับ สยังอภิญญา สูงขึ้นไป.. สยังอภิญญา เข้าไปหาสยัมภู เป็นอภิภู
สยังอภิญญา เป็นคำกลางๆ รู้เอง ข้ามชาติมาเท่านั้น การรู้ข้ามชาติมานี้เล็กๆน้อยๆก็ได้ จนกระทั่ง รู้ได้อย่างดีรู้ได้อย่างมีสาระจริงๆเป็นขั้นคนสูง คนสูงขั้น อภิภู คนผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ต้องเป็นโพธิสัตว์ขั้น 7 ขั้น 8 ขึ้นไป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคนไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 14:48:23 )
รายละเอียด
เมื่อผู้ที่เป็น อภิภู รู้จักอายตนะ เมื่อรู้จักอายตนะแล้ว ก็เข้าใจ อายตนะได้ เป็นขั้น อภิ
อภิ รวม อายตนะก็เป็น อภิภายตนะ เรียกว่า อายตนะที่ยิ่งขึ้น เจริญขึ้นยิ่งใหญ่ขึ้น ในคนก็มีความเจริญ รู้อายตนะ รู้อภิภายตนะได้
ส่วน อภิภายตนะ 8 นั้นเป็นนัยยะของสิ่งที่ขยายให้รู้ว่า มันเหนือชั้นกว่าคำว่าอภิภายตนะ 3 อย่างไร อภิภายตนะก็คือรู้อายตนะได้ดียิ่ง
ส่วน อภิภายตนะ 8 คือการมีความรู้ขั้น อภิภายตนะที่วิเศษ เกินกว่าสามัญที่จะรู้ได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 11:07:36 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 11:25:59 )
รายละเอียด
ลักษณะส่งเสริม สนับสนุนให้ทำให้ยิ่ง
หนังสืออ้างอิง
สมาธิพุทธ หน้า 104
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:06:49 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:34:02 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:20:52 )
รายละเอียด
การสังขารอย่างยิ่งเป็นได้ทั้งความผิดเป็นได้ทั้งความถูก เป็นทั้งโลกีย์เป็นทั้งโลกุตตระ เป็นการสังขารอย่างยิ่ง แต่เป็นอภิสังขารอย่างโลกียะและดึงไปหาทางต่ำ ปรุงแต่งเก่ง สร้างเก่ง เหมือนโจร ธัมมชโย ทักษิณเป็นอภิสังขารไปทางชั่วเละ
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 12:10:42 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:25:05 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:21:27 )
รายละเอียด
1. ความรู้ยิ่งที่มีกำลังทางปัญญาเข้มแข็งในการสังขาร
2. จัดการกับจิต หรือปรุงแต่งจิตอย่างยิ่ง
3. การรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขารที่เข้าขั้นสัมมาทิฏฐิแล้ว จึงได้ทำอภิสังขารคือจัดการปรุงแต่ง(สังขาร)อย่างประเสริฐ(อภิ) อย่างยิ่งกว่าสามัญ(อภิ)ซึ่งเป็นการสังขารขั้นอภิของผู้สัมมาทิฏฐินั้นๆ
4. สังขารโลกุตระที่ปรุงแต่งขั้นทวนกระแสโลกีย์ เป็นการกำจัดกิเลส
5. การสังขารที่เป็นบุญ
คำอธิบาย
อภิสังขาร คือ เป็นปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่งไปจัดการจิตของคุณให้ฆ่ากิเลส คือ ปุญญะ ผู้ใดทำพลังงานจิตให้เป็น ฌาน มีไฟโหมไหม้เผากิเลสจนดับ กิเลสดับก็เรียกว่า ทำบุญสำเร็จ พอสำเร็จ บุญก็หายไป ปุญญปาปปริกขีโน แปลว่า หมดสิ้น บุญหายไปแล้ว บุญก็หายบาปก็หาย พระอรหันต์คือคนไม่มีบุญไม่มีบาป
รายการวิถีอารยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562
หนังสืออ้างอิง
ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 158 ค้าบุญคือบาป หน้า 269, 287, 290, ชีวิตนี้มีปัญหา / เราคิดอะไร ฉบับ 273
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:09:40 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:27:47 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:22:45 )
รายละเอียด
คือ การจัดการ ควบคุม บงการ ให้พลังงานให้เป็นไปตามประสงค์ได้จริง
หนังสืออ้างอิง
“คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 268
เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 14:28:21 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 11:28:43 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:23:11 )
รายละเอียด
การจัดการ "บาป" หรือกิเลสนั้นต้องมีพลังงานที่เป็น "บุญ" ซึ่งเป็นอำนาจพิเศษอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง เกิดด้วย "การปรุงแต่งกันขึ้น" เรียกว่า "อภิสังขาร" เรียกเต็มคำก็คือ "ปุญญาภิสังขาร" จึงจะเป็นพลังงานเข้าไปทำลาย "บาป" หรือ "กิเลส" ได้
หนังสืออ้างอิง
คนจะมีธรรมะได้อย่างไร ? หน้า 35
เวลาบันทึก 11 พฤศจิกายน 2562 ( 17:26:26 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:03:55 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:23:33 )
รายละเอียด
ปรุงแต่งอย่างยิ่งอย่างมีภูมิปัญญา ในปุญญาภิสังขาร อปุญญภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 19:09:01 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 13:22:20 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:24:16 )
รายละเอียด
จะรู้รายละเอียดลึกซึ้ง ส่วนคนที่ไม่รู้ก็จะปรุงแต่งกันอย่างโง่ๆ จมในเรื่องกิเลสหนา นรกจกเปรตไปใหญ่
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 17:06:04 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:29:31 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:24:49 )
รายละเอียด
อภิสังขารคือ ความสามารถในการที่จะจัดการสิ่งที่มันปรุงแต่งกันอยู่ ตั้งแต่ปรุงแต่งเป็นจิตนิยาม พีชนิยาม จนกระทั่งปรุงแต่งเป็นพลังงานอุตุ อุตุแล้วมันก็ไม่มาวนเวียนอีก ก็เป็นพลังงานดินน้ำไฟลม ไปกว่าจะมาจับตัวเป็นพืชตามธรรมชาติหรือเป็นสัตว์อีก อีกนานแสนนาน ก็วนเวียนอยู่ในความรู้เหล่านี้แหละ ถ้าใครจัดการทำจิตให้มันเป็นอุตุได้เลยก็จบ จะวนเวียนสั่งสมเป็น อุตุ ตามธรรมชาติให้มาเกิดเป็นพีชะ จากพีชะ กว่าจะสั่งสมตนเองไปเป็นสัตว์หรือจิตนิยาม มันนับชาติไม่ถ้วนเลย มันก็วนเวียนในนี้ไม่เลิก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 05:21:06 )
รายละเอียด
“อภิสังขาร”มี“3 ขั้น”ได้แก่ (1)ปุญญาภิสังขาร” (2)อปุญญาภิสังขาร (3)อาเนญชาภิสังขาร
(1) “ปุญญาภิสังขาร”คือ “การจัดการปรุงแต่งจิตตนให้กิเลสหมดสิ้นไปได้สำเร็จ
(2) “อปุญญาภิสังขาร”คือ ผู้กิเลสหมดแล้ว เป็นอรหันต์แล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่ “การปรุงแต่งจิตตนอยู่”ของอรหันต์ขึ้นไป จึงไม่มี“บุญ”แล้ว และไม่ใช่“บาป”แน่
เพราะ“ปุญญปาปปริกฺขีโณ”คือ“สิ้นบุญสิ้นบาป”แล้ว
“กรรม”ของ“อรหันต์ขึ้นไปจึงมีแต่“กุศล”ถ่ายเดียว สะสมลงในจิต ไม่มี“บาป”เลย เพราะ“จิตสะอาดจากกิเลสยั่งยืนตลอดไปแล้ว “กรรม”จึงมีแต่“อาเนญชาภิสังขาร”
(3) “อาเนญชาภิสังขาร”คือ “กรรม”มีแต่“กุศล”ที่ตกผลึกผนึกกันเป็น“ความควบแน่น”ยิ่งๆขึ้น ไม่หวั่นไหวแท้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศนาส่งท้ายปีเก่า 2566 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 1 วันวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มกราคม 2567 ( 16:40:13 )
รายละเอียด
อภิสังขารมี ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขารเข้าใจบุญว่าเป็นกุศลก็ผิดไปหมดเลย บุญเป็นตัวทำลายบาป อกุศล แล้วมีหน้าที่นี้เท่านั้นแล้วไม่เคยมีอยู่ที่ไหนเลย บุญสะสมไม่ได้ บุญเกิดแต่ในปัจจุบันเท่านั้น ทิฏฐธรรมนิพพาน เกิดในผู้ทำฌานได้ เป็นไฟเผาไฟราคะโทสะโมหะ มันเป็นพลังงานอุณหธาตุ แต่พลังงานฌานเป็นอุตระเหนือกว่าไฟราคะโทสะโมหะ ต้องลืมตาปฏิบัติฌานไปหลับตาปฏิบัติไม่มีทางเกิดฌานของศาสนาพุทธ ฌานของพุทธเกิดจากจรณะ 11 กับวิชชา 8 ในจรณะ 11 คือ ศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคหากกายวิเวก ก็ออกป่า จิตวิเวกนั่งหลับตาสมาธิอีก ไม่มีทางจะรู้จัก อุปธิวิเวก ไม่รู้จักอภิสังขาร 3 จะต้องรู้จักคำว่าบุญ ที่เป็นเหมือนกิโยตินตัดคอกิเลส ฌาน มีอาวุธเริ่มต้นฟาดฟันกิเลส เมื่อตัดคอด้วยกิโยตินคือบุญก็กิเลสขาดตายสนิท เป็นบุญคือปุญญาภิสังขารต้องรู้จักกิเลสสักกายะอย่างพ้นวิจิกิจฉา มีศีลพรตที่ฆ่ากิเลสตายด้วย คือสังโยชน์ 3 ของพระโสดาบันผู้ที่สามารถใช้บุญเป็น หรือทำฌานของพระพุทธเจ้าที่เกิดจากจรณะ 11 และวิชชา 8 ต้องมีปัญญาจึงมีฌาน มีอธิจิตก็เกิดฌาน 4 จะเกิดฌาน 4 ได้ต้องทำจรณะ 11
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 21 มกราคม 2563 ( 20:27:45 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:31:43 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:25:27 )
รายละเอียด
เมื่อไม่มีสัมมาทิฏฐิก็ทำฌานไม่เป็น ไปเพ่งเป็นสมถะไปหมด ไม่มีวิปัสสนา หลับตาปิดหูไม่มีวิปัสสนา แต่ก็เรียกวิปัสสนา นั่งดับจิตยกสู่วิปัสสนา ปัสสะแปลว่าเห็น เป็นวิโมกข์ 8 ต้องมีรูปี รูปานิปัสสติ คุณเป็นคนมีรูป จะรู้รูปได้
ที่มา ที่ไป
วิถีอาริยธรรม บ้านราช เศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่นี่ วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 14:30:47 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:32:27 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:27:12 )
รายละเอียด
คือการปรุงแต่งจิตอย่างยิ่ง 3 อย่าง
1. ปุญญาภิสังขาร (การปรุงแต่งจิตอย่างยิ่งที่เป็นบุญคือ ชำระกิเลสออก)
2. อปุญญาภิสังขาร (การปรุงแต่งจิตอย่างยิ่งที่สิ้นบุญแล้วคือ ไม่ต้องชำระกิเลสอีกแล้ว)
3. อาเนญชาภิสังขาร (การปรุงแต่งจิตอย่างยิ่งที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวแล้ว)
ที่มา ที่ไป
พระไตรปิฎกเล่ม 11 "สังคีติสูตร" ข้อ 228
หนังสืออ้างอิง
ธรรมพุทธสุดลึก
เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2562 ( 20:43:02 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:04:57 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:25:50 )
รายละเอียด
คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
หนังสืออ้างอิง
“คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 268
เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 14:31:03 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:05:56 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:26:33 )
รายละเอียด
ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร อภิสังขารมี 3 อย่างนี้ รวมสภาวะไว้หมด
ปุญญาภิสังขาร คือ การสร้างพลังงานให้มันเกิดบุญนี้แหละฆ่ากิเลส ให้ฆ่ากิเลสให้จบให้หมด อาตมาขยายความไปละเอียดแล้วว่าบุญนี่เป็นพลังงานกำจัดกิเลสอย่างเดียว มันไม่มีหน้าที่อื่นเลย แล้วมันก็ไม่สะสมอะไรอยู่ที่ไหน ซึ่งมันเป็น อจินไตย มันเป็นเรื่องไม่ใช่พูดเล่นๆ ได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีสภาวะจริงแล้วได้ผ่านการพิสูจน์
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ผ่านการศึกษาเรียนรู้พิสูจน์สภาวะเหล่านี้มาจริง จนมาถึงยุคนี้แล้ว โอ้โห ศาสนาพุทธมันเสื่อมจริงๆโลกุตรธรรม เข้าใจบุญไม่ได้ ไปเข้าใจบุญว่าเป็นกุศลก็เลยซวย ศาสนาพุทธเลยไม่มีมรรคผลจริง ไม่มีพระอาริยะอรหันต์จริง ก็พูดไปหมดแล้วพูดด้วยความจริงใจ ไม่ได้ไปพูดดูถูกดูแคลน ไม่ได้ไปยกตนข่มท่าน พูดสภาวะจึงยืนยันอ้างอิง แม้แต่ที่สุดมีบุคคลมาพิสูจน์ตาม ยังมีของจริงยืนยันก็ยืนยันทุกอย่าง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องจบกิจทำกาละพ่อครูประกาศ Animal Right Watch วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2566 แรม 5 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2567 ( 10:49:59 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2563 ( 08:13:44 )
รายละเอียด
“อดีต”ใด ก็มี“บุญ”สะสมไว้ไม่ได้ แม้“อนาคต”ซึ่งอาจจะทำ“บุญ”ให้เกิดได้ เมื่อมาถึง“ปัจจุบันใดปัจจุบันหนึ่ง” คนผู้นั้น“อภิสังขาร”ความเป็น“บุญ”(ปุญญาภิสังขาร)ขึ้นมาได้ จนสำเร็จผล แต่เมื่อ“อภิสังขาร”ที่เป็น“บุญ”ได้แล้ว เสร็จจบแล้ว “อภิสังขาร”ต่อไปก็ไม่มี“บุญ” หรือไม่เป็น“บุญ”นั้นอีกแล้ว เรียกในภาษาว่า“อปุญญาภิสังขาร” ซึ่งเป็น“อภิสังขาร”
“1 ใน 3”ของ“อภิสังขาร 3” จงศึกษากันดีๆ นี่คือ “อภิสังขาร”ของผู้“จบกิจ”ของ “ปุญญาภิสังขาร”แล้วนี้ ต่อไป“สังขาร”อีกก็เป็น“สังขารใหม่”ถ้า“สังขารใหม่”ไม่เป็น“บุญ” ก็ไม่ชื่อว่า“อภิสังขาร”ของพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีฤทธิ์เป็น“บุญ” ไม่ใช่“บุญ” ไม่เกิดฤทธิ์“บุญ”กัน
ผู้“ทำใจในใจ”ต้อง“สังขาร”ที่ประกอบด้วย“ปัญญา”กันแท้ๆ จึงจะมีฤทธิ์ถึงขั้น“บุญ”“อดีต”ใด ก็มี“บุญ”สะสมไว้ไม่ได้ แม้“อนาคต”ซึ่งอาจจะทำ“บุญ”ให้เกิดได้ เมื่อมาถึง“ปัจจุบันใดปัจจุบันหนึ่ง” คนผู้นั้น“อภิสังขาร”ความเป็น“บุญ”(ปุญญาภิสังขาร)ขึ้นมาได้ จนสำเร็จผล
แต่เมื่อ“อภิสังขาร”ที่เป็น“บุญ”ได้แล้ว เสร็จจบแล้ว “อภิสังขาร”ต่อไปก็ไม่มี“บุญ” หรือไม่เป็น“บุญ”นั้นอีกแล้ว เรียกในภาษาว่า“อปุญญาภิสังขาร” ซึ่งเป็น“อภิสังขาร”
“1 ใน 3”ของ“อภิสังขาร 3” จงศึกษากันดีๆ นี่คือ “อภิสังขาร”ของผู้“จบกิจ”ของ “ปุญญาภิสังขาร”แล้วนี้ ต่อไป“สังขาร”อีกก็เป็น“สังขารใหม่”ถ้า“สังขารใหม่”ไม่เป็น“บุญ” ก็ไม่ชื่อว่า“อภิสังขาร”ของพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีฤทธิ์เป็น“บุญ” ไม่ใช่“บุญ” ไม่เกิดฤทธิ์“บุญ”กัน ผู้“ทำใจในใจ”ต้อง“สังขาร”ที่ประกอบด้วย“ปัญญา”กันแท้ๆ จึงจะมีฤทธิ์ถึงขั้น“บุญ”
“สังขาร”ใดหรือ“กรรม”ใดที่มีต่อไปอีกจึงมีแต่“อาเนญชาภิสังขาร”ยิ่งๆ ขึ้น เจริญองค์คุณ 5 ได้แก่ “ปริสุทธา-ปริโยทาตา-มุทุ-กัมมัญญา-ปภัสรา”ซึ่งเป็น“องค์คุณ 5” ของ“เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา”เท่านั้น
เพราะจบกิจ เป็น“อปุญญาภิสังขาร” ไปแล้ว “สังขาร”ไม่เป็น“บุญ”กันอีกแล้ว“สังขาร”ต่อไปจึงเป็นแต่“อาเนญชาภิสังขาร”เท่านั้นที่เจริญยิ่งๆ ขึ้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561
ที่บวรราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู (สมาธิพุทธ) ตอน บุญคือ อธรรม มิใช่ ธรรมะ
เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:42:25 )
รายละเอียด
ที่จริงคำว่าอสัญญีสัตว์ไม่ได้แปลว่าไม่มีสัญญาเหมือนกับคำว่า คล้ายคำว่า ถ้าปุญญาภิสังขาร มันเป็นอภิสังขาร เป็นการปรุงแต่งชั้นโลกุตระ อภิสังขาร 3 เป็นโลกุตระ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร
อภิสังขาร คือการปรุงแต่งอย่างโลกุตระ ปุญญาภิสังขารคือการฆ่ากิเลสได้ ทำใจในใจให้มีมนสิการ โยนิโสมนสิการ ทำใจในใจกำจัดกิเลสได้เรียกว่าเป็นปุญญาภิสังขาร ที่อยู่ในภาค เสขบุคคล ได้ส่วนบุญไปเรื่อยๆ หมดอนุสัยคือหมดบุญหมดบาป เป็นอปุญญาภิสังขาร ไม่มีบุญแล้ว บาปก็ไม่มี จึงไม่ได้หมายความว่า อุปญญาภิสังขาร คือคนไม่เป็นบุญเลยก็เป็นบาป ตีความวน โลกีย์วน แต่โลกุตระไม่วนกลับ ได้แล้วได้เลย กิเลสขาดเป็นสมุจเฉทก็ได้ไปเรื่อยๆ สั่งสมความสงบรำงับไปเรื่อยๆ เป็นปฏินิสสัคคะไปเรื่อย เจริญรุดหน้าไปเรื่อย
หากเข้าใจโลกียะโลกุตระที่หยุดวนไม่ได้ก็กลับไปกลับมา เป็นโลกียะเป็นการปรุงแต่งอย่างเป็นบาป ผู้ที่ยังเข้าใจความเป็นจริงสภาวะละเอียดลึกซึ้งพวกนี้ไม่ออกก็จะเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นความถูกต้องแล้ว ปุญญาภิสังขาร ยังเป็นเสขบุคคลชำระกิเลสไปตามลำดับถึงขั้น อปุญญาภิสังขารก็เป็นอเสขบุคคล ไม่มีบุญไม่มีบาปบุญหมดเกลี้ยง
ที่มา ที่ไป
พ่อครู เทศน์ ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ
วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อานิสงส์ของคนที่ให้คู่ครองไปบวช
เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:32:05 )
รายละเอียด
จากคำว่าปุญญภาคิยา เป็นส่วนของบุญก็มาเป็นปุญญาภิสังขาร การปรุงแต่งอย่างเก่งอย่างเป็นบุญ แล้วก็ลดกิเลสๆ จนหมดเรียก อปุญญาภิสังขาร หมดบุญ เสร็จ งานของบุญ ไม่ต้องมีตัวบุญ ไม่ต้องมีคำว่าบุญ อปุญญะ จบ
เพราะฉะนั้นอภิสังขารมี ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร
อาเนญชาภิสังขารคือพลังงานที่ปรุงแต่ง ปรุงแต่งโดยไม่มีกิเลสแล้ว จึงมีแต่จิตที่สะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา สั่งสมจิตเป็น มุทุภูตธาตุ เป็นธาตุจิตที่เป็นแกนของจิตวิญญาณเลย ทั้งบวกทั้งลบ ทั้งศรัทธา ทั้งปัญญา อยู่ในนี้หมดเลย แก่น Dynamic Static เก่งทั้งคู่เจริญอย่างได้สัดส่วนไม่แย้งกันไม่ทะเลาะกันไม่วิวาทกัน ร่วมกันช่วยกัน อองลอง เป็นอย่างดี เป็นคู่ที่ช่วยกันและกันถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ตลอดกาล จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยหมดเลย เป็นองค์คู่ เป็นองค์รวมของเทวะ สองสหายคู่หู ที่แยกเป็นกาย เป็นนอกเป็นใน อะไรอีกเยอะแยะทำงานเป็น มุทุภูตธาตุ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 07:37:23 )
รายละเอียด
คุณคนนี้คงมีปฏิภาณว่าอาตมาได้แยกแยะ ว่าในคนมีอายตนะ 6 หมายถึงอายตนะจริงๆของคนมีรูปนามสัมผัสกันจึงเกิดอายตนะขึ้น มีทั้งหมด 5 คู่ภายนอกและ 1 คู่ภายใน แล้วก็มีอายตนะ 6 แค่นี้ก็บอกว่ายากแล้ว แล้วอภิภายตนะ 8 มันไม่ได้หมายถึงอายตนะ 1 และไม่ได้หมายถึงอายตนะ 6 เป็นอภิภายตนะ เป็นสภาพความรู้ที่เกิดจากรูปนามเกิดจากการสัมผัสกัน แต่มันเป็นความรู้ของผู้ที่เป็น อภิภูขึ้นไป จึงจะมีอภิภายตนะ 8
อันนี้ก็สูงกว่า สยังอภิญญา ธรรมดา เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่มีภูมิธรรมถึงขั้นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไป จะฟังรู้เรื่องยากมาก พวกเราก็พยายามฟังกันไปเถอะ ก็คิดว่ายังจะไม่ค่อยรู้สภาวะที่แท้จริง แต่ก็รู้บัญญัติไปเถอะ ส่วนผู้ที่ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เหมือนไม่ใช่พวกคุณ รับรองว่าไม่รู้เรื่องเลย จะแยกแยะไม่ออก อย่างที่อาตมาเคยอธิบาย อายตนะ 6 และอภิภายตนะ 8 ซึ่งพวกคุณพอเข้าใจนะ แต่ข้างนอกจะสงสัย อภิภายตนะอะไร อายตนะอะไร
ซึ่งอายตนะก็ธรรมดา คนก็ใช้แทนสิ่งที่มีรูปนาม มีสิ่ง 2 สิ่งสัมผัสกัน ทีนี้เป็นอภิ มันก็ยิ่งกว่าอายตนะ มันต้องอีกชั้นหนึ่งถึงจะรู้ถึงความเป็นอภิ
อย่างเช่นสังขาร ซึ่งก็เป็นการปรุงแต่งกันธรรมดา ปรุงแต่งดี ปรุงแต่งเลวได้ แต่เมื่อเป็นอภิสังขารแล้ว เริ่มตั้งแต่ ปุญญาภิสังขาร ก็ขั้นสังขารอย่างอภิ ไม่ใช่สังขารธรรมดาแล้ว แต่เป็นสังขารอย่างมีวิชชา
ธรรมดาสังขารของคนก็มีแต่ อวิชชา เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมีสังขารถึงขั้นอภิสังขาร หรือมีวิชชามีปัญญามีญาณที่สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าเข้าไปประกอบมันจึงเป็นอีกชั้นหนึ่งที่รู้กิเลสแท้รู้วิธีทำให้กิเลสลดได้จริงๆ เรียกว่าทำอภิสังขาร
ทีนี้ สังขารธรรมดาซึ่งคนก็ต้องเรียนรู้จะรู้ตัวสังขารแท้ๆ ก็ยังยาก ที่นี้รู้อภิสังขารก็เริ่มตั้งแต่ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1
วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 15:11:42 )
รายละเอียด
อภิสังขาร เริ่มต้นปฏิบัติสังขารของพระพุทธเจ้าคือ แยกกิเลสออกมาให้ได้ แล้วกำจัดกิเลสให้ได้ กำจัดด้วยอะไร กำจัดด้วยพลังงาน รู้ ถ้ารู้ขั้นวิตกวิจารได้แล้ว สูงขึ้นไปเป็นปิติ ก็ฆ่าแรงไปอีก กิเลสก็แพ้พ่ายไปอีก ถึงขั้นสุขสงบว่างนั่นแหละดี ว่างจากวิตก วิจาร ว่างจากปีติ ยิ่งกำจัดได้เก่ง จนเป็นยอด เป็นเอก อัคคตา เป็นเลิศ ก็ทำให้กิเลสหายดับไปเลย จึงเกิดกิเลสตาย จิตก็สะอาดจากกิเลส ก็เรียกปริสุทธา หรือฐานอุเบกขา ฐานจิตที่มันไม่มีดูดผลัก ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีคู่ มีแต่ 0 เป็น 1
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ผู้อยู่ป่าเป็นผู้เสื่อมผู้อยู่เมืองเป็นผู้เจริญ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 22:25:15 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นที่อาตมาพยายามอธิบาย สู่ฟัง ให้ล้างทำลายกิเลสได้จริง เพราะมันเป็นสัจจะ ฌาน ของพระพุทธเจ้า เกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8
วิชชา ความรู้ปัญญาญาณกับจิตนี้จะร่วมกันสังเคราะห์สังขารเป็นอภิสังขาร “สังขาร” คือปรุงแต่งแบบ กลางๆ สังขารเป็นสังขารโลก สังขาร ตัวรูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัส, สังขาร, รูปขันธ์, เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์เอง แล้ววิญญาณ แยก เวทนากับสัญญา ก็เป็นเหมือนหวังเฉากับหม่าฮั่น พระเอกซ้ายขวาทำงาน เป็นเวทนา แล้วเอาสัญญากำหนดรู้ สัญญาทำงาน แล้วก็ปรุงแต่งสังขาร ปรุงแต่งเป็นอภิสังขาร ปรุงแต่งเป็นความทำลายให้มันฆ่ากิเลส จนกิเลสตาย เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร กิเลสตายหมดก็เป็น อปุญญาภิสังขาร บุญก็เลิกไปไม่ต้องทำงานแล้วไม่ต้องมีแล้ว เต็มแล้ว ก็ต้องมีแต่สั่งสมผลจิตที่สะอาดจากกิเลสตัวนั้น มีกิเลสตัวใหม่ก็ทำอีก กิเลสตัวเก่าที่พ้นแล้วก็สะสมจิตสะอาดไปเรื่อยๆตกผลึก สะอาดมากยิ่งขึ้น ปริสุทธา ปริโยทาตา ซ้อนเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่
คัมภีรา (ลึกซึ้ง)
ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)
ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)
สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)
ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)
อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)
นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)
ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนจนสาธารณโภคีที่เหาะได้ทั้งชุมชน วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 16:22:31 )
รายละเอียด
อภิสังขาร คือ การปรุงแต่งอย่างโลกุตระ ล้างกิเลสจากรูปขันธ์ นามขันธ์ ล้างกิเลสจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อภิสังขาร คือ ปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่งอย่างยิ่ง ปรุงแต่งอย่างเป็นพลังงานบุญ จึงกำจัดกิเลสออกจากขันธ์ได้ ใช้พยัญชนะขันธ์หรืออภิสังขารอย่างนี้เรียกว่า อุปธิ อมตะ นิพพานเรียกว่า อุปธิวิเวก อุปธิวิเวกได้แก่ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สำรอก เป็นที่ดับ เป็นที่ออกไปจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัดนี้ชื่อว่า อุปธิวิเวก
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู รายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2562
เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2562 ( 17:54:53 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:33:09 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:27:47 )
รายละเอียด
1. ปุญญาภิสังขาร 2. อปุญญาภิสังขาร 3. อาเนญชาภิสังขาร
ปุญญาภิสังขารคือ ปรุงโดยให้เกิด ปุญญะ ก็คือการฆ่ากิเลส เป็นพลังงานที่จะมาฆ่ากิเลส เป็นฌาน แล้วก็เป็นบุญ ฆ่ากิเลสได้เสร็จ เป็นมือประหารเด็ดขาด ถ้าลงถึงมือบุญประหารแล้วละก็ กิเลสต้องตาย ตายไม่ฟื้นด้วย เพราะบุญนั้นฆ่าแล้วฟื้นไม่มี ถ้าถึงมือบุญแล้ว เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย
เหมือนแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้า ตายไม่สนิทหรือไม่ตายเลย กลางวันเย็น ก็ไม่ตาย นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นจริงว่า ไอ้โจรร้าย เจ้าพนักงานเก่งขนาดไหนก็เอาไปฆ่ามันไม่ตายง่ายๆ มันครองโลกนะ เหมือนทุกวันนี้ อาตมาพูดไปเถอะ เขาจะหลับตา อาตมาตายไปแล้วอีกร้อยปี พันปี พวกนี้ก็ยังหลับตา เป็นพญานาค เดี๋ยวจะอธิบายกายกับพญานาคอีก พวกหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น แหม มันกระแทกใจลึกดีจริงๆเลย อาตมาเห็นแล้วน่าสังเวชใจ ทำไมถึงโง่ดักดาน มืดบอด ไม่กระเตื้องอะไรเลย
บอกยังไงก็ทำเป็นหัวเราะเยาะเมินไม่มอง แล้วก็ไปเคารพบูชาคนที่มืดด้วยกันไป คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ เสร็จแล้วก็สนุกสนาน โอ้โห..หนังสนุกจังเลย คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ คุณนึกถึงไหม หนังเขามีภาพ มีแสง มีสี แต่มันไม่มีภาพมีแสงมีสีให้คนตาบอดเห็น ไม่ใช่ไม่มี มันมีแต่คนตาบอดไม่เห็นมันก็อัดเสียง แล้วมันดันเป็นหนังใบ้อีก คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ สมพอกันมันพอกัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาถลกหนังพญานาคจอมหลับตา วันพุธที่ 26 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 22 พฤษภาคม 2565 ( 14:49:40 )
รายละเอียด
จะทำการล้างกิเลสออกไปตั้งแต่บุญญาภิสังขาร ปุญญาภิสังขาร อภิสังขาร
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 17:07:19 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:34:07 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:28:18 )
รายละเอียด
อภิสังขารก็ ฆ่า ที่ไม่สมควรเข้าไปปรุง เรียกว่ากำจัดหรือชำระ ปุญญะ เดี๋ยวนี้คำนี้เพี้ยนไปหมดแล้วกลายเป็นกุศลเป็นสิ่งที่ต้องได้ซึ่งไม่ใช่ นี่มันเป็นอาวุธร้ายเป็นกิโยติน เครื่องประหารตัดหัวหมาของเปาบุ้นจิ้น มันเป็นเครื่องฆ่า บุญน่ะ อย่าไปอยากได้ ใครอย่าไปเข้าใกล้กิโยตินเครื่องตัดหัวหมา เปาบุ้นจิ้น หากว่าใครเข้าไปใกล้แล้วเปาบุ้นจิ้นบอกว่าเอาเครื่องประหารมา ตัดคอเลย ไปเลยอย่าไปอยากได้บุญ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 21:22:14 )
รายละเอียด
รู้ว่าอาการอย่างนี้รู้จักเหตุ ดับเหตุได้ คือ กายกลิ เหตุปัจจัยที่เกิด รูปนาม ของกิเลส แล้วก็กำจัดกิเลสทำให้เกิดพลังงาน ฌาญ มาสลายกิเลสนั้นได้ก็เรียกว่าเกิดปุญญาภิสังขาร
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 12:12:21 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:34:44 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:28:41 )
รายละเอียด
1. ดับจิตสิ้นหมดทั้งสัญญา ทั้งเวทนา ไม่มีแม้นามขันธ์ส่วนใดรับสัมผัสหรือรับรู้อะไรได้เลย
2. ดับวิญญาณ ดับสัญญาเสีย โดยที่ตนเองยังมีความรับรู้แค่เวทนาเท่านั้นเอง
3. สภาพธรรมแห่งการดับจิตให้ไม่รับรู้อะไรเลย ดับธาตุรู้ไม่ให้มี ไม่ให้เหลือเหมือนๆ กัน
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 288, 357, 534
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:11:27 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:38:48 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:29:17 )
รายละเอียด
แต่ว่าต้นหลักต้นแบบ เกิดมาจากประเทศอังกฤษ แต่ทุกวันนี้เขาก็มีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ของอังกฤษเขายังไปได้ดีอยู่ จนกระทั่งฝรั่งเศสเคยปฏิวัติไม่มีกษัตริย์แล้ว กลายเป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีกษัตริย์ อยู่ๆมาเขาก็นึกได้ว่า มันไม่ดีไม่ได้เรื่อง เขาก็โหยหาอยากได้กษัตริย์คืนมา แต่กลับไม่ได้ง่ายๆ
คนมองเผินๆว่า กษัตริย์นี้เป็นศักดินา กษัตริย์เป็นผู้ได้เปรียบ นี่มันเป็นความซ้อน ไม่ใช่ผู้ได้เปรียบ ผู้ที่บริหาร ผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมืองต้องมีสิทธิ ที่ต้องยกให้ท่าน เพราะว่าท่านจะต้องทำงานหนัก ต้องทำงานกับมวลประชาชน ต้องยกให้ท่าน เรียกคำเป็นศัพท์ว่าพิเศษก็ตาม อภิสิทธิ์ก็ตาม อภิสิทธิ์คือสิทธิที่ดีงามที่แท้จริง ไม่ใช่อภิสิทธิ์ความขี้โกงชนิดหนึ่งความได้เปรียบชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ จะเป็นสิ่งสมควรที่ต้องให้แก่ท่าน เป็นอภิสิทธิ์ เช่น พ่อแม่ ลูกจะต้องให้อภิสิทธิ์ของการเป็นพ่อแม่ ต้องกราบเท้าพ่อแม่ เป็นต้น ยกไว้แม้ว่าพ่อแม่จะไม่ได้เฉลียวฉลาดเท่าเรา พ่อแม่จบป. 4 เราจบด็อกเตอร์ เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปลบหลู่พ่อแม่ ต้องให้อภิสิทธิ์แก่พ่อแม่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มาฝังชิปโลกุตระใส่จิตวิญญาณตนจนเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565 วันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 ธันวาคม 2565 ( 12:00:44 )
รายละเอียด
การบรรลุ การได้เป็น
หนังสืออ้างอิง
จากหนังสือทางเอก ภาค 1 หน้า 301
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:06:07 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:40:39 )
รายละเอียด
ทำออกมาไม่เป็นผลจริง ไม่เป็นจริง ทำนายออกมาผิดๆ พลาดๆ
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 3 หน้า 465
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:13:53 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:42:56 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:29:36 )
รายละเอียด
1. สภาพที่ไม่มีการเวียนกลับมาเกิดกลับมาตายกันอีก
2. เป็นผู้ไม่มีคำว่าตาย ไม่มีคำว่าเกิด หรือเป็นผู้หมดตายหมดเกิดแล้วจริงๆ
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 472, ทางเอก ภาค 2 หน้า 548
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:15:16 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:47:23 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:29:59 )
รายละเอียด
จิตที่เหนือกว่าการเกิดการตายที่สามัญรู้ หรือเป็นอยู่เหนือกว่าความสูญ – ความไม่สูญ เป็นจิตที่มีความถึงขั้นนิพพานพุทธแท้ๆ
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 545
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:16:09 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:50:10 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:30:20 )
รายละเอียด
คนที่ไม่ตาย ไม่เป็นอีก
หนังสืออ้างอิง
จากหนังสือทางเอก ภาค 3 หน้า 371
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:16:59 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:59:10 )
รายละเอียด
คือ บุคคลที่สามารถจะตัด“สันตติ”เมื่อตายลงในชาติใดชาติหนึ่งทำตน “ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ก็ได้ หรือจะยัง“ไม่ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน”ก็ได้ ซึ่งสามารถทำ“การตาย”ลงแบบใดแบบ หนึ่งใน“นิพพาน3”ให้แก่ตนได้จริง เป็น“เจ้าแห่งการตาย”
หนังสืออ้างอิง
คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 366
เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 14:43:24 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:35:33 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 11:30:49 )
รายละเอียด
อมตบุคคล เป็นผู้ที่นิพพานแล้ว แล้วก็ทำปรินิพพานไปรอบแล้วรอบเล่า ยังไม่ได้ทำปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็มีนัยยะสำคัญที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้ง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 17:06:35 )
รายละเอียด
แล้วไม่สงสัยในการเวียนตายเวียนเกิด เมื่อมีความรู้ในจุดหนึ่งเป็นอมตบุคคล จัดการความตายความเกิดเองเลย จะตายแล้วไม่เกิดอีกได้มีวิมุติแล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว จะตายแล้วเกิดก็ได้จะตายแล้วไม่เกิดอีกก็ได้ เรียกว่าทำปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ จะทำหรือไม่ทำก็อยู่ที่ท่านเองนั่นแหละ ไม่มีใครเป็นเจ้าเป็นนาย เหนือกว่าอมตบุคคล อมตบุคคลเป็นเจ้าของธาตุจิตวิญญาณที่จะต่อภพต่อภูมิ หรือไม่ต่อภพต่อภูมิ ตายแล้วแยกเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม เลย แยกกันอย่างเด็ดขาดนิรันดร เลิกกันอย่างเด็ดขาด นิรันดรได้เลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 35 จิตวิญญาณแห่งสาธารณโภคีที่มีในชาวอโศก วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2565 ( 09:38:45 )
รายละเอียด
อยู่เหนือการเกิดการตาย จะตายก็ได้ จะเกิดก็ได้ ที่สุดตายอย่างสูญเลยก็ได้ หรือ จะอยู่นิรันดรแบบพระอวโลกิเตศวรก็ได้ ก็มีตัวอย่างยืนยันหลักฐานตำนานยืนยัน เหมือนอย่างเจ้าแม่กวนอิม ก็เป็นปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวร เป็นเรื่องขยายความ ขยายผลออกไปอีกเยอะ
เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาโลกุตรธรรม จะรู้โลกียะกับโลกุตระ อันนี้จะเป็นหลักใหญ่ จะรู้โลกียะกับโลกุตระ เพราะฉะนั้นผู้รู้ ที่เป็นอรหันต์ขึ้นไป จึงเป็นผู้ที่รู้โลกียะดี โดยเฉพาะความเป็นโลกียะของตน เลิกเลย แล้วอยู่เหนือโลกียะนี้หมดจบ เป็นโลกุตระสมบูรณ์แบบ จึงได้ชื่อว่าเป็น อรหันต์ เป็นอมตบุคคล แล้วก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ อย่างนี้เป็นต้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเกิดมาหากไม่ได้โลกุตระ เท่ากับชิงหมาเกิด วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 16:20:07 )
รายละเอียด
“ในโลกหรือ ในเอกภพ มหาจักรวาล ที่มี กาลหรือกาละ หรือมีการเคลื่อนไปอยู่ ทุกอณู ทุกปรมาณูนั้น จะมี 2 ทั้งนั้น ไม่หนึ่งเดียวที่เป็นภาวะปรากฏอยู่ใน กาละหรือต้องมีการเคลื่อนอยู่ทั้งสิ้น นอกจาก 0” และ ความเป็น 1 ก็ดี 2 ก็ดี ที่สุด 0 ก็ดี ทั้ง 3 สภาวะ ล้วนคือภาวะที่เปลี่ยนสภาพหรือแปรสภาวะไปเท่านั้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงไป แปรไป
จะเจริญขึ้นหรือจะเสื่อมลง จึงไม่มีอะไรใดๆเที่ยง นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรเที่ยง อยู่เป็น 1 คงที่ถาวรนิรันดรได้เลย นอกจาก 0 เที่ยง ซึ่งก็จะสูญจากการเป็นตัวของตัวเองไป นั่นเองแท้ๆ การเป็นคน มีธาตุรู้(นามธาตุ) กับภาวะที่ถูกรู้(รูปธาตุ) ผู้ใด สามารถทำปัญญาให้แจ้งถึงภาวะ1 2 0 และทำภาวะใด จะทำ 1 ก็ตาม 2 ก็ตาม 0 ก็ตาม ก็ได้ตามประสงค์ ก็คือ ผู้จบกิจในความเป็นคนแล้ว อรหันต์เลย และจะอยู่ในภาวะใดก็ได้
พอทำได้แล้ว เป็นอมตบุคคล จะอยู่ในภาวะ 1 หรือภาวะ 2 หรือภาวะ 0 จะอยู่ในภาวะใดก็ได้ ดังที่ตนต้องการ เป็นอมตบุคคล ทั้งอยู่ หรือไม่อยู่ ก็เป็น 2 อย่าง ทั้ง 2 อย่างนี้ จะมีอยู่ทั้ง 2 อย่าง อย่างเป็นสุข สงบ อบอุ่น สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ หรืออยู่อย่างอิสระ ชัดเจนอิสระสมบูรณ์แบบ
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 10 ออกจากกาละได้โดยใช้ มูลสูตร10 และวิญญาณฐิติ 7 วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ
เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2566 ( 13:03:59 )
รายละเอียด
ถ้าพูดอย่างสัจธรรมหลักธรรมพระพุทธเจ้าคือเป็นอมตบุคคล เป็นคนที่ไม่ยอมตาย เป็นคนที่ ผ่านวิมุติตามมูลสูตร เป็นคนที่มี ฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด(สัมภวะ) มีผัสสะเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง ใครสามารถทำเวทนานี้ให้ประชุมลงได้ จึงเกิดเป็นสมาธิที่เป็นประธานของชีวิต ผู้ที่สามารถทำเวทนาให้เป็นที่ประชุมลง เป็นเอกสโมสรณาภวันติได้จบก็เป็นอรหันต์ เมื่อเป็นอรหันต์และก็สั่งสม อเนญชา ตกผลึกเป็นสมาธิตั้งมั่นแข็งแรงยิ่งขึ้นๆ โดยมีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระ มีวิมุติเป็นแก่นเป็นสาระ แล้วคนๆนี้คืออมตบุคคล เป็นที่หยั่งลง เป็นทั้งประมุข เป็นผู้ที่ทำงานเป็นผีดิบที่ฆ่าไม่ตาย เป็นยอดคนอมตะที่ฆ่าไม่ตาย สำนวนโวหารของอาตมา แต่คนฟังธรรมสัจจะสาระจะไม่สับสนในพยัญชนะและสภาวะก็ไม่มีปัญหาไม่งง แต่คนที่งงในสภาวะ หรือไม่รู้จักสภาวะกับพยัญชนะก็แน่นอนจะสับสนหัวหมุนหน่อย ก็ทำความเข้าใจให้ดีๆ สุดท้าย อมตะแล้วของมูลสูตรก็คือ นิพพานเป็นปริโยสาน ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ผู้ที่เป็นอมตะบุคคลอย่างเป็นพระอรหันต์ก็ทำงานเป็นโพธิสัตว์ต่อไปเรื่อยๆ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานอย่างเช่นอาตมาก็ทำไปเรื่อยๆ เพราะเป็นอมตบุคคลแล้ว
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561
เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2564 ( 11:41:57 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
เวลาบันทึก 29 กันยายน 2565 ( 11:08:10 )
รายละเอียด
เป็นอรหันต์จบกิจ
1. อรหันต์นี้จะเป็นผู้ที่เที่ยงแท้ชนิดที่หนึ่ง คือ จะเป็นคนไม่ทำความชั่ว ทำแต่ความดี ถ้ายังอยู่ต่อ จะอยู่อีกกี่ชาติก็ตาม จะทำแต่ดีนี้เป็นโลกียะ ไม่ทำชั่วอีกเลย เพราะฉะนั้นจิตจะมีแต่กุศล ไม่มีอกุศล บาปไม่มี อกุศลไม่มี แล้วบุญก็ไม่ต้องทำแล้ว เพราะเป็นอรหันต์แล้วจะไม่ต้องทำบุญอีก เพราะบุญคือความตัดกิเลสสิ้นอาสวะขั้นเรียกว่าอรหันต์ (โอวาทปฏิโมกข์ 3 พตปฎ.เล่ม 25 ข้อ 24)
เพราะฉะนั้นกิเลสหมดแล้ว เกิดอีกกี่ชาติอาสวะดับหมดแล้ว ได้แล้ว เที่ยงแท้แล้ว ได้แล้วได้เลย ขึ้นเป็นโพธิสัตว์ต่อมาก็ไม่มีกิเลสเกิดอีก โพธิสัตว์ในระดับต่อ ระดับโพธิสัตว์ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 ขึ้นมาก็ไม่ต้องแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเครื่องประกันว่าคนผู้นี้ จะยังมีชีวิตเกิดต่ออีกกี่ชาติจะไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี
2. เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว รู้สุข-ทุกข์แล้ว หมดสุขหมดทุกข์แล้ว ก็เป็นผู้ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดอีกกี่ชาติก็เป็นผู้ไม่สุขไม่ทุกข์ ทำแต่ประโยชน์
3. นอกจากไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว รู้แล้วว่ามันเป็นอนัตตา จิตวิญญาณ รู้จักเลยว่าการปล่อย สลาย ตายด้วยนิพพาน 3 ตายด้วย สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตาย-จิตว่าง-วาง สูญ ไม่ตั้งนิมิต ไม่ยึดนิมิตใด ไม่ตั้งจิตที่จะเกิดต่ออีกเลย ตาย พลังงานจิตนิยามก็สลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไปหมดเลย สำเร็จได้เลย เพราะฉะนั้นจึงเป็นหลักประกันทุกอย่างเลย เป็นอมตบุคคล
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จุดสำคัญที่สุดในสัจธรรมของพุทธคือสุข-ทุกข์ วันพุธที่ 27 กันยายน 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 11:10:21 )
รายละเอียด
พูดอย่างนี้แล้วสิ่งที่ไม่มีการเกิดคืออะไร สิ่งที่ไม่มีการเกิดถึงแล้วหรือ ใครถึงแล้ว พระอรหันต์ขึ้นไปจะรู้ว่า ธรรมะที่ไม่มีการเกิด ทำธรรมะที่ไม่เกิดอีกแล้ว ได้ โดยขณะที่ยังไม่ตาย พระอรหันต์ไม่ตายก็ได้ทำแล้วจริงๆ ทำไม่ให้มีการเกิดได้แล้ว จะให้เกิดอีกก็ได้ เป็นอมตบุคคล ตามมูลสูตรข้อที่ 9
ก็เหลือแต่ว่า จะเลิกเกิดจริงๆ เลย เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานสุดท้ายเลย ถ้าไปแยกธาตุปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุจิตนิยามเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไปเลย ไม่รวมตัวกันอีก เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เหมือนพวงมะม่วงตกลงมาแตกกระจาย จะไม่สามารถรวมเป็นพวงมะม่วงนั้นอีกแล้ว แยกธาตุเป็นอุตุนิยาม จะไม่รวมตัวเป็นจิตนิยามอันนั้นอีกแล้ว สลายได้แล้ว นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เรื่องนี้ขึ้นมา
ทีนี้ คำว่า ธรรมนิยาม 5 คำนี้แหละเป็นยอดสุดเลย ที่จะต้องรู้สภาวะของธรรมนิยาม 5 ตั้งแต่ อุตุนิยาม หมายถึงอย่างไร ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น
ต่อไปเป็นสภาพอีกอย่างหนึ่งที่มันรวมตัวกันเป็นชีวะแล้ว เรียกว่า พีชนิยาม ยังไม่ถึงขั้นจิตนิยาม มันคืออะไร มันเป็นอยู่อย่างไร มันจะสลายมันจะเกิดอย่างไร
ถ้าศึกษาเข้าใจได้ ทำได้ จิตคนทำให้เกิด ทำให้ดับ ดับสุดก็เป็นอุตุนิยามไปเลย เลิกสลาย ก็ไม่มีชีวะ พีชะก็ไม่เหลือ จิตนิยามก็ไม่เหลือ เพราะฉะนั้นกรรมกับธรรมะก็ไม่เหลือทั้งนั้น สุดยอด สลายได้สุดยอดแล้ว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกคือชาวหรรษาที่แท้จริง วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2565 ( 19:41:35 )
Facebook : test
Youtube : Name
Twitter : Name
Line : Name
Telegram : Name
Wechat : Name
Skype : Name