@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

งานอโศกรำลึกและบูชาพระบรมสารีริกธาตุครั้งที่ 40

รายละเอียด

งานอโศกรำลึกและบูชาพระบรมสารีริกธาตุของเรา ซึ่งเป็นงานประเพณีสำคัญของชาวอโศกครั้งนี้ก็ปฏิบัติประพฤติกันมาเป็นครั้งที่ 40 ไม่ใช่น้อยแล้วนะปีละครั้ง เคยวรรคเว้น ไม่ได้ทำ มีปีหรือสองปี เราเคยไปทำถึงกลางถนนก็เคย ตอนที่ไปทำงานช่วยชาติ เราไปติดอยู่กลางถนนราชดำเนิน ไปประท้วงแบบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบ ที่เราได้พากันไปทำ 

ก็ขอขยายความประเด็นนี้ ในวันอโศกรำลึกนี้ หลังจากที่อาตมาเทศน์ก็จะมีข่าวเด่นชาวอโศก รวบรวมกันมาตลอดปี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึกครั้งที่ 40 ปี 2564 วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 สิงหาคม 2564 ( 19:42:32 )

งานเขียนของคุณบ้านเล็กเมืองน้อยเป็นผู้ที่เข้าใจหลายอย่างรวมกันเป็นหนึ่งได้

รายละเอียด

ที่อาตมาขยายความของบ้านเล็กเมืองน้อยยังไม่สมบูรณ์ อาตมาพูดทิ้งท้ายว่ามันลึกซึ้งซับซ้อน ผู้ที่ทำอันนี้มาเป็นผู้ที่เข้าใจทำหลายอย่างอันนี้มารวมกันเป็นหนึ่งได้ คนจะเข้าใจอย่างนี้ไม่ง่าย คุณเข้าใจอย่างนี้แล้วมาสื่อสารกับอาตมาก็พอแล้วอย่าให้ไปสื่อสารกับคนอื่นเขาจะสรุปรวมอย่างที่คุณทำไม่ได้ง่ายๆ อาตมาพอรู้ว่าคนไหนเป็นอย่างไร อาตมาไม่อยากพูดว่าคนนี้ทำไมไปตกหล่นไปศาสนาคริสต์ ที่จริงแล้วเขาไม่ใช่ชาวคริสต์หรอกเขาเป็นชาวพุทธที่มีวิบาก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ปฏิบัติธรรมกับอาหารในพระสูตรต่างๆ วันพุธที่  ธันวาคม2562


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2562 ( 20:07:14 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:26:23 )

งานเขียนปัญญา 8 และประชาธิปไตยที่ใครๆก็ไล่ไม่ทัน

รายละเอียด

ปัญญา 8ตอนนี้อาตมาก็เขียนขยายความอยู่ แต่ก็อธิบายไปเรื่อยๆแล้ว และก็เขียนหนังสือ ประชาธิปไตยไทยที่ใครๆไล่ไม่ทัน เขียนสลับกันไปคู่กัน ไม่สับสนกันด้วย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2563 ( 10:04:38 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:01:31 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 05:09:00 )

งานเทศน์ของพ่อครูเป็นวรรณกรรมโลกุตระ

รายละเอียด

อย่างอาตมาแสดงศิลปะทุกวันนี้ อาตมาทำงานเทศน์คือสุดยอดวรรณกรรม เพราะวรรณกรรมระดับโลกุตระที่อาตมาบรรยาย พาคุณไปสู่โลกุตระ นิพพาน

คนที่เป็นอาริยะ เป็นพระอรหันต์ มีประโยชน์ต่อโลกต่อสังคมสูงสุดไม่ใช่เป็นโทษต่อโลก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สุดยอดวรรณะกรรมโลกุตระของโลก วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 15:52:59 )

งานเปิดเผยความจริงเป็นไปเพื่อประโยชน์ใคร

รายละเอียด

ใช่ อาตมาบอกมาแต่ไหนแต่ไร อาตมามาทำงาน อธิบายขยายความไม่ใช่เป็นไปเพื่อให้คนมานับถือ ไม่ได้มาหาบริวาร ไม่ได้ให้คนเข้าใจว่า อาตมาเป็นคนเก่งคนวิเศษ ไม่ได้มาหาลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข ตั้งแต่ต้นก็ไม่มี แม้แต่จะให้คนมานับถือ มาเป็นบริวาร มาเข้าใจว่าอาตมาเป็นผู้ที่เก่งวิเศษเลิศเลอ เป็นผู้ที่จะมาสร้างลัทธิ ข่มลัทธินั้นข่มลัทธินี้ ไม่ใช่

แต่มาเปิดเผยความจริงให้มาละหน่ายคลาย ให้เลิกยึดถืออย่างที่หลงมาไม่รู้กี่ล้านชาติแล้ว ให้เลิกซะ เท่านี้ เพราะอาตมามาชาตินี้ อาตมาไม่ได้ลาภ อาตมาก็พอแล้ว อาตมาไม่ได้ยศ อาตมาก็พอแล้ว อาตมาไม่ได้รับสรรเสริญเลย ดีไม่ดีได้รับแต่คำนินทาว่าร้าย อาตมาก็พอแล้ว อาตมาไม่ได้เสพสุขเสพทุกข์เลย เพราะอาตมาชัดกว่าชัดว่า สุขทุกข์มันก็เป็นสภาพ 2 ที่คนไปหลงน่ามี น่าเป็น น่าได้ เท่านั้นเอง แต่ถ้ามาก็ไม่มีจริงๆ จิตใจของอาตมาก็เห็นว่า อันนี้ทุกข์สุขก็ไม่เป็น มันก็เป็นอย่างที่มันเป็น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม คนจนโลกุตระมีประชาธิปไตยที่ดีสุดในโลก วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 19:26:29 )

งานโพธิสัตว์เป็นงานที่สุดยอด

รายละเอียด

ทำงานเป็นโพธิสัตว์นี้เป็นงานที่สุดยอดเลย อาตมาสนุกก็สนุก เมื่อยก็เมื่อยจริงๆ แต่ก็ตั้งใจแล้ว อาตมาตั้งปณิธานแล้ว จำเป็นต้องทำงานอันนี้ให้บรรลุ ให้สำเร็จที่สุด จนกว่าจะถึงสุดยอด อรหันต์นั้นสามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้ว มีผู้ตั้งใจเป็นโพธิสัตว์ แต่ไปแล้ว ไปไม่ไหวก็เลิกไปก็มีเยอะ ไม่อย่างนั้นคู่แข่งโพธิสัตว์ก็มีเยอะสิ แล้วโพธิสัตว์บางท่านก็ปรินิพพานไป บอกว่าพอแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ก็ไปแล้ว สลายแตกเป็นอุตุธาตุ จบเรื่องไป จบกิจไป ของแต่ละอัตภาพ ของพระอรหันต์แต่ละองค์ ไม่งั้น อรหันต์ ก็มาแข่งเป็นโพธิสัตว์กันเยอะแยะมากมายตีกันตาย ถึงแม้จะไม่ตีกันแต่มันก็หนักหนาสาหัสเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 12:48:29 )

ง่ายนิดเดียว แต่ยากเยอะ

รายละเอียด

ภาษาคำว่า ง่ายนิดเดียว แต่ยากเยอะ ก็เป็นภาษาสิริมหามายาเหมือนกัน ง่ายนิดเดียว แต่ยากเยอะ..หมดเลย ง่ายกับยาก สองคำง่ายๆสั้นๆ พูดง่าย ใครก็รู้ ยากก็รู้ แล้วยิ่งรู้นิดเดียวมันมีนิด แต่มันมีเยอะก็รู้ยาก แต่มันยากเยอะ ง่ายนิดเดียว ก็บรรลุเร็วสิ แต่เปล่าหรอกง่ายนิดเดียวนี่แหละยากชะมัดเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหารย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ สื่อธรรมะพ่อครู ตอน  อจินไตยของฌานวิสัย วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 20:38:51 )

จ. ชีวิตรูป 1

รายละเอียด

13.ชีวิตินทรีย์ รู้ความมีชีวิตอยู่ของกิเลส ชีวิตต้องมีความเป็นกับความตาย ถ้ายังเป็นอยู่ก็เรียกว่ายังมีพลังงานของชีวิตที่เรียกว่าอินทรีย์ หรือพลังงานสูงสุดเรียกว่า พละ หากมีชีวิตอยู่ก็เรียกชีวิตินทรีย์ สูงสุด เป็นชีวิตพละ ก็เราไม่เรียกเท่าไหร่ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2563 ( 14:26:14 )

จงกรม

รายละเอียด

จงกรม หรือ จัง-กะ-มะ  คือ  การก้าวเดิน

(การเดิน, การเดินเพื่อออกกำลังกายของพระอาริยเจ้า)

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการสำมะปี๋ซี่วิต

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า191

คนคืออะไร? หน้า 151


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:21:43 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:32:04 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 05:09:34 )

จงกรม

รายละเอียด

การก้าวเดิน , การเดินไปมาโดยมีสติกำกับ

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 11:19:42 )

จงดีใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยและนับถือศาสนาพุทธ

รายละเอียด

ประเทศอื่นๆเขาหนักกว่าหมดเลยในย่านเรา เพราะฉะนั้นคนจะเกิดในประเทศไทย เรียกว่า เสนาสนสัปปายะ เป็นคนมีกุศล เป็นคนไม่ใช่คนธรรมดาจะมาเกิดเป็นคนไทย นี่อธิบายถึงเชิงวิบาก เพราะฉะนั้นจงดีใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยและนับถือศาสนาพุทธ ได้เกิดในย่านนี้เพราะวิบากที่เป็นกุศลของเราจริงๆ 

ยิ่งได้เกิดแล้วพบศาสนาพุทธก็ยิ่งเจริญ นอกจากพบศาสนาพุทธแล้วได้ศึกษา ได้เข้าใจโลกุตรธรรมอีก มันก็ยิ่งเจริญยิ่งๆขึ้น ยิ่งโลกุตรธรรมแล้วปฏิบัติจนบรรลุอรหันต์ก็จบกิจ คุณจะเกิดเป็นคนอีกหรือไม่เกิดเป็นคนอีกก็จบแล้ว คำว่า จบกิจ กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นอีกแล้ว 

คุณจะอยู่เป็นโพธิสัตว์อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เขาไม่เข้าใจเขาก็ไม่เชื่อ อาตมาไม่มีปัญหาไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ อาตมาบอกว่าอาตมาพูดความจริง อาตมาบอกความเท็จไม่ได้ เพราะว่ารู้ว่าพูดความเท็จมันบาป อาตมาเป็นอรหันต์แล้วจะไปทำบาปทำไมโง่จะตาย อรหันต์จะทำบาปไหม ไม่ 

ไม่มี เราพูดเท็จหรือพูดจริงก็ต้องรู้ว่าเราพูดเท็จหรือพูดจริง เพราะฉะนั้นอาตมาจะไม่พูดเท็จ พูดมันเป็นกรรมที่เป็นอันทำหรือเปล่า ...เป็น แล้วคุณพูดเท็จ แล้วคุณจะบอกว่าเอายางลบลบนะ เอาลิควิดลบ พูดไปแล้วลบออกหน่อยเราไม่รับ ได้ไหม ไม่ได้ กรรมเป็นอันทำ คุณทำแล้วก็เป็นของคุณ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก ทิ้งก็ไม่ได้ ไม่เอาก็ไม่ได้ มันต้องเป็นของคุณ มรดกกรรมคุณทำแล้วต้องเป็นของคุณ ทำดีทำชั่ว ทำหยาบทำละเอียดอะไรก็แล้วแต่ 

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงมีกรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เพราะฉะนั้นคุณจะยังไงก็เพราะกรรมนี่แหละ พาคุณเป็นพาคุณไป กัมมโยนิ แล้วคุณก็พึ่งพาอาศัยกรรมของคุณเอง ไม่มีใครมาบัญชา ไม่มีใครมาสั่ง ไม่มีใครมาบันดาล คุณทำของคุณเองแล้วก็เป็นไปตามกรรมวิบากของคุณเองทั้งนั้น คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าสูงสุดแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เกิดมาต้องรู้จักความเป็นคนกับสังคมจึงไม่เสียชาติเกิด วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2566 ( 12:58:53 )

จงทำ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ประเสริฐแล้ว 

รายละเอียด

เราก็ยังจะมีบิ๊กคลีนนิ่งกันอีกนะ มากันให้ครึกครื้นเลยตอนนี้ มาช่วยกัน การแสดงพฤติกรรมที่ดีๆต่อสังคมออกไปนี่นะ แสดง จะบอกว่าอวดอ้างอวดโชว์ก็ได้ แสดงพฤติกรรมดีๆออกไปให้มนุษย์ได้เห็น ได้พบ มันเป็นกุศล มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่มนุษย์จะพึงกระทำให้แก่กันและกัน แค่ได้เห็นก็ดีแล้ว ยิ่งได้มาร่วมมือร่วมไม้กัน พร้อมใจทำด้วยกันเลยยิ่งดีใหญ่ใช่ไหม “จงทำ” อย่างนี้แหละ ขอใช้คำ command เลย จง ที่จริงว่า ช่วยกันทำก็เบาหน่อย แต่อาตมาใช้คำว่า จงทำ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ประเสริฐแล้ว 

เครื่องมือช่างถ้าคุณไม่หนักหนาสาหัสจะเอามาด้วยก็ดี ทางวัดก็พอมีบ้าง เครื่องมือทางวัดก็ไม่รู้จะถนัดมือคุณหรือไม่ เครื่องมือบางอย่างคุณเห็นว่าหายาก ถ้าเรานำมาได้ก็ติดตัวมา ที่นี่ก็มีเครื่องมืออยู่บ้างประมาณหนึ่ง ถ้ามีดีๆมาด้วยก็ยิ่งจะดี มาเลย มาเลย ยินดีต้อนรับ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องง่ายที่แสนยากของการเพาะพันธุ์จิตอรหันต์ วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 ธันวาคม 2565 ( 12:35:52 )

จงเป็นผู้รู้จักครุกรณะ

รายละเอียด

พวกเราต้องเข้าใจอันนี้ไว้ก่อน เหมือนพระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีหลักเกณฑ์อะไรบ้าง ผู้มาบวช การบวชก่อนนี้ กว่าจะมาบวชต้องมีกติกาคัดเลือก ผู้ที่มาบวชก่อนนี้ถือว่าต้องเคารพท่าน จะผิดหรือถูกก็ตาม ต้องเคารพก่อน เพราะว่าผ่านบทเรียนพื้นฐานของสังคมนี้ อย่างของพระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่บวชที่หลังต้องกราบคนที่บวชก่อน แม้คนมาทีหลังจะเป็นอรหันต์ก็ต้องกราบ นี่เป็นหลักเกณฑ์สังคม จำไว้ ผู้ใหญ่ที่นี่ไม่ใช่ผู้ใหญ่สะเปะสะปะเหมือนข้างนอก มีมาตรฐานอย่างน้อยศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 แล้วพวกเราทำศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ได้หรือยัง เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่ที่นี่ดีกว่าอย่างแน่นอน เป็นผู้ที่รู้จักครุกรณะ เป็นผู้รู้จักการเคารพคารวะตามหลักเกณฑ์ของสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 อย่าเอาตามใจเราเป็นเครื่องตัดสิน เพราะโดยค่ารวมนั้นมันมีมากกว่า เป็นแต่เพียงขอเตือนผู้ใหญ่ว่าอย่าเบ่งอำนาจ อย่าเอาแต่ใจตน ต้องดูใจเขาใจเรา เขาควรได้ตามฐานะของเขา การประมาณนั้นไม่ง่าย เด็กบางคนตัวน้อย แต่จิตใจเป็นผู้ใหญ่ บางคนตัวโตแต่จิตใจเหมือนเด็ก เราจึงต้องมีสัปปุริสธรรมที่จะต้องประมาณจะต้องระมัดระวัง ก็จะมีผลตอบสนอง เด็กมีมากเป็นหมู่ใหญ่ด้วยต้องระวัง เด็กที่จะเข้ามาที่นี่ต้องผ่านการคัดเลือกเข้าค่ายนะ เด็กก็มีมาตรฐานระดับหนึ่ง หากผู้ใหญ่อวดดีว่าถือว่าเป็นเด็ก ไม่ได้หรอกต้องประมาณอย่างสำคัญ มีความซับซ้อน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 18:51:39 )

จงใจ  

รายละเอียด

จงใจ  คือ รู้อยู่  รู้ดีอยู่ จงใจฝ่าฝืน ล่วงละเมิด

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม  บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:05:55 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:36:40 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 05:09:48 )

จงใช้ตัวธรรมะอย่าใช้ตัวบุคคลเป็นหลักในการบริหาร

รายละเอียด

ก็อ่านไป เจอกับใครก็สำนึกเอาก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้อาตมาก็วางมือเรื่องการบริหาร วางมือเรื่องที่พวกเราจะเอาภาระดูแลกัน อาตมาก็ไม่เอาภาระเท่าไหร่แล้ว อาตมาขอปลดเกษียณเรื่องพวกนี้ให้พวกเราช่วยกันเถอะ ช่วยกันดูแลเอาที่ประชุม เอากรรมการหมู่กลุ่มเป็นหลัก อย่าไปเอาตัวเองเป็นหลัก เหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าจงใช้ตัวธรรมะ อย่าใช้ตัวบุคคล เป็นหลักในการบริหาร ปกครองดูแลอะไรกัน ให้ใช้ธรรมะอย่าไปใช้อำนาจส่วนตน อาตมาก็ให้ทำเช่นนั้นพยายามทำกันอยู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ สำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ  วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561

สื่อธรรมะพ่อครู (อัตตา) ตอน การอยู่ร่วมกันไม่ควรเอาบุคคลใดเป็นใหญ่

 

 


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:23:15 )

จงไปลดความรู้เฉโกลง ไปเพิ่มความรู้ปัญญา

รายละเอียด

ก็เอาล่ะ คุณถาวรนี่ จะว่าไป ปัญญาก็ต้องมีพอด้วย บอกตรงๆ ถาวรนี่มีปัญญาเฉโกมันกลบปัญญา ความรู้เฉโก มันกลบความรู้ปัญญา  จงไปลดความรู้เฉโกลง ไปเพิ่มความรู้ปัญญา คุณยังยึดถือความรู้เฉโกมาก เป็นตัวกูของกู ฟังดีๆนะตรงนี้ลึกซึ้งความรู้ของ เฉโก คุณอย่าไปยึดถือมันมาก ทิ้งมันไปเลย มาเอาความรู้ทางปัญญาดีกว่า ต่างกันอย่างไร 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:05:15 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:30:56 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 05:10:18 )

จตุทิสาสังฆิกวิหารทาน หมายถึงอย่างไรแท้

รายละเอียด

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีผลมาก มีอานิสงส์มากเรียกว่า จตุทิสาสังฆิกวิหารทาน เขาก็อธิบายเป็นโลกีย์ตื้นๆ ว่าสร้างวิหารถวาย มีอานิสงส์มาก เอามาอ้างเพื่อที่จะสร้างวิหารของตัวเองให้ยิ่งใหญ่ เป็นวิหารวิมานใหญ่ เป็นสถาปัตยกรรมใหญ่ ก็เอามาอ้างว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่านี่แหละเป็น การทำทานที่มีอานิสงส์สูงใหญ่มาก 

จตุทิสาสังฆิกวิหารทาน หมายถึงสงฆ์ที่มาจากทุกทิศ คือทานที่ไม่กำหนดสงฆ์ พระเล็กพระน้อยพระผู้ใหญ่ไม่กำหนด เมื่อไม่กำหนดแม้สงฆ์ ไม่กำหนดแม้ของ เช่น ไปทำสังฆทาน คุณก็เอาของใส่ถังกำหนดไว้ ส่วนใหญ่ท่านเอาไปทิ้งไม่ค่อยได้ใช้หรอกถังสังฆทาน พวกค้าขายก็เหมาไปซื้อ ซึ่งมันไม่มีความจำเป็นไม่ถูกต้องตามที่เขาขาดแคลน พระนี้ขาดด้าย ก็เอาด้ายเอาเข็มไปทานได้อานิสงส์มากกว่าไปถวายวิหารอีก 

จตุทิสาสังฆิกวิหารทาน วิหารคือสถานที่ปลูกสร้างวิหาร ท่านมีวิหารอยู่ แต่ท่านขาดด้ายขาดเข็ม ไม่มีผลมากเลย ท่านเฟ้อแล้ววิหาร ก็ไปทำวิหารให้อีก ท่านเป็นพระไม่ใช้เงิน แต่ดันเอาเงินไปถวายอีก เห็นไหมว่ามันไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นการรู้จักกิเลส เป็นเหตุปัจจัยที่ไม่ถูกต้องที่จะไปทำทานให้วิหารให้ธนบัตรเยอะๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 20:10:59 )

จตุมหาราชิกา คือพวกยักษ์มาร 4 ทิศ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคนที่จะเริ่มต้นสวรรค์ ท่านก็พูดเป็นภาษาที่น่ากลัวไว้แล้วเป็นจตุมหาราชิกา 

จตุมหาราชิกา คือพวกยักษ์พวกมาร เขี้ยวโง้ง ตาโปน จะกินๆ ดุ แล้วก็เต็มไปด้วยดาบด้วยหอก ไล่แทงไล่ฆ่าเขาทั้งนั้น พวกยักษ์มาร 4 ทิศ​ จตุมหาราชิกา พอไปแย่งฆ่าแกงใครเขาได้ก็หลงว่า ตาวติงสา แปลว่าอะไร แปลว่าอาการที่ 33 ตาวติงสะ แปลว่า 33

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 15:00:22 )

จน

รายละเอียด

คือไม่ต้องไปสะสม ไม่ต้องไปมีอะไรมาก แต่พระพุทธเจ้าไม่ใช้คำว่าจน ท่านใช้คำว่า  อัปปิจฉะ แปลว่ามักน้อย  ก็อันเดียวกัน มีน้อยนั่นแหละ  คือจน  ถ้ามันมีมากก็คือไม่ใช่จนแล้ว

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 11:16:25 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:44:12 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 05:10:32 )

จน

รายละเอียด

คือ คนที่ไม่มีสมบัติเป็นของตนมาก แต่ต้องพยายาม เป็น“คนมีความรู้ความสามารถมาก และขยันสร้างสรร เก่งๆ” แล้วสะพัดผลผลิต บริจาคแรงงาน ให้ความรู้ของ เราแก่ผู้อื่นมากๆ ก็เป็น“คนจน”สำเร็จ เพราะเราเองเป็น “คนไม่สะสมอะไรไว้ที่ตนมาก” เป็นคนมี“ความพอ”แท้จริง

หนังสืออ้างอิง

คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม หน้า336


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 14:21:46 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:45:55 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 05:11:04 )

จน

รายละเอียด

คือไม่ต้องไปสะสมไม่ต้องไปมีอะไรมาก แต่ท่านไม่ใช้คำว่าจนท่านใช้คำว่า อัปปิจฉะ แปลว่ามักน้อย ก็อันเดียวกัน มีน้อยนั่นแหละคือจน ถ้ามันมีมากก็คือไม่ใช่จนแล้ว 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2563 ( 13:08:07 )

จน คือการดำเนินชีวิตด้วยภูมิปัญญาด้วยความพอใจของเรา

รายละเอียด

จนคืออะร ไม่สะสมเงินทองใช้กินกับส่วนกลาง ไม่ใช่เรื่องอวดอ้างเรื่องยกตนข่มใคร แต่เป็นเรื่องชีวิตมนุษย์ที่จะดำเนินชีวิตด้วยภูมิปัญญาด้วยความพอใจของเรา จิตของเราก็อยู่สบาย ไม่เดือดไม่ร้อนไม่ทุกข์ที่จะต้องไปแย่งชิงแข่งขัน ไปหลงโลกที่มอมเมา ต้องเปลืองผลาญอย่างนี้ เป็นคุณธรรมมีธรรมะที่แท้จริง มีความจริงที่ตนเองลดละได้ก็ไม่ต้องไปหลงใหลกับโลก ที่มอมเมาให้ไปแย่งชิง อวดโอ่ ต้องไปสวยอย่างนั้น ไปเต้นไปดีดไปสะสม ไม่ต้องเลย มันเป็นความสงบไม่ต้องแก่งแย่งไม่ต้องฆ่าแกงไม่ต้องเป็นศัตรูใคร สบายสุดยอดมาก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ขั้นตอนการสร้างพลังงานบุญโดยพิสดาร วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 03:42:34 )

จน คือไม่สะสม

รายละเอียด

จนคือไม่สะสมสิ่งของเข้าของ ก็มีของไว้น้อยมีกินก็น้อยใช้ก็น้อย สรุปเข้าหาของกินของใช้ที่เป็นของอาศัยในชีวิตมีน้อย ปัจจัยบริขารของชีวิต มีเท่านี้ก็พอทำประโยชน์ได้ อุปกรณ์ก็มีพอสมควร เห็นว่าเป็นบริการที่เป็นปัจจัยต้องมีปากกา ต้องมีคอมพิวเตอร์ต้องมีแว่นตา ต้องมีเครื่องมืออะไร สำหรับประโยชน์ตัวเองไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์หรอกสบายมาก แต่ที่นี้ต้องทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นก็ต้องใช้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2563 ( 15:33:51 )

จนทางปรมัตถ์

รายละเอียด

คือคนที่ไม่มีเงินเลย ก็ยังไม่อยากได้  ไม่อยากแย่ง และยังประพฤติการไม่แย่ง อันนี้แหละคือจน จนนอกจากไม่ประพฤติการแย่งแล้ว ยังขยันหมั่นเพียร  สร้างสรรค์ผลผลิตขึ้นมากินใช้  อาศัยในชีวิต  พออยู่ พอกิน  เหลือเฟือ เผื่อคนอื่นได้ด้วย  เกินจนไหม  คนที่มีพฤติกรรมอย่างนี้  มันเกินคนจนนะ  อย่างชาวอโศกถือว่าเกินเป็นคนจน เป็นคนจนมหัศจรรย์  เป็นคนจนพิเศษ

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 14:23:01 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:47:51 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:18:05 )

จนอย่างคนมีปัญญา เป็นโลกุตระธรรมสมบูรณ์แบบ

รายละเอียด

อาตมาว่ามันจะเห็นผลจริงๆ มันจะเหลือเฟือมันจะพออยู่พอกิน แล้วก็ส่งออกไปแพร่กระจาย ทุกวันนี้การขนส่ง การคมนาคมก็สะดวกเร็วไวแล้ว แจกหรือว่าขายให้ถูก เพราะว่าเรามีอยู่มีกินแล้ว อย่างพวกเราชาวอโศกได้พิสูจน์แล้วว่า เรื่องธนบัตรเรื่องเงินเรื่องทอง มันเป็นเรื่องที่ปลีกย่อย เป็นเรื่องเล็กมาก เลยไม่จำเป็นที่จะต้องไปแย่ง มา เป็นคนจนเราก็จนกันได้จริงๆ จนกันอย่างที่มีการศึกษา จนเป็นคนจนที่มีการศึกษาตามที่พระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้าหรือว่าตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรานี้ตรัสไว้ แล้วปฏิบัติจริงๆ ปฏิบัติมาเป็นคนจนจริงๆ คนจนอย่างมีปัญญา มีความรู้ มีความสุข มีความอิ่มเอม เกษมใสจริงๆ เลย 

จนกระทั่งเป็นคนจนที่มีปัญญาเป็นโลกุตระธรรมสมบูรณ์แบบ สำเร็จจริงๆ จึงจะเป็นคนผู้ที่มี เศรษฐกิจ เป็นคนจนนี่แหละที่มีปัญญาตามของพระพุทธเจ้า ตามในหลวง ร.9 เราตรัสไว้ อย่างมีภูมิปัญญาเฉลียวฉลาดที่เต็มใจจน ตั้งใจจนมาจนกันจริงๆ แล้วก็เป็นคนที่ยืนยันเลยว่าเป็นผู้ที่จบ ในเรื่องเศรษฐกิจ ไม่มีปัญหา เรื่องเศรษฐกิจนี้เป็นเรื่องสมบูรณ์จบแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจได้แล้ว มีของอยู่ของกิน นี่แก้ปัญหาได้สำเร็จแล้ว เพราะว่าจิตใจของเรามีปัญญารู้ว่าสิ่งที่มันปลีกย่อยสิ่งที่มอมเมาสิ่งที่ครอบงำ ไปนิยมเป็นรสนิยมโลกๆเฟ้อๆ ฟุ้งๆ อะไร เราเข้าใจเราเลิกละมา มันมีชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์ง่ายๆ เป็นคนเลี้ยงง่ายเป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนจน กล้าจน มีความจนได้ จิตใจพอ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 16:22:37 )

จนอย่างชาวอโศก

รายละเอียด

นี่เป็นการช่วยเศรษฐกิจชั้น 1 เลย แต่ทาง ดร.สมคิดจะพาคนไปรวย อาตมาว่าจ้างคุณก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ตก แต่อาตมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกแล้วสำเร็จแล้วสบายแล้ว เรียบร้อยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ เพราะอะไร เพราะมาเป็นคนจนที่มีแบบ เป็นคนจนที่สำเร็จ เป็นคนจนที่ลงตัวแล้ว จนอย่างไร จนอย่างมีปัญญา รู้ว่าความจนนี้เป็นความประเสริฐ ความจนไม่ใช่ความตกต่ำ ความจนไม่ใช่ความเสื่อม ความจนไม่ใช่ความโง่ คนที่จะเอาแต่รวยๆๆนั่นต่างหากโง่

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 16 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:41:04 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:51:14 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:19:05 )

จนแต่สุขได้มีหรือไม่ มีที่ไหน

รายละเอียด

(5)  เพราะมีกันแค่รู้ ว่า“ศาสตร์”

แต่ไป่รู้ว่า“ฉลาด” แยกชั้น 

“ฉลาด”โลกร้ายกาจ ด้วยกิเลส เลวเอย

ส่วน“ฉลาด”โลกุตร์นั้น หมดร้ายภัยผอง

(6) สอง“ฉลาด”นี้แยกให้ ธีรเทอญ

พุทธพิเศษ“ศาสตร์”เกิน กล่าวอ้าง

ชาวอโศกใคร่ชวนเชิญ มาพิสูจน์ เราแล

ว่าเท็จจริงสิ่งสร้าง มนุษย์ให้เป็นไฉน

(7)  ทำไม“จน”สุขได้ มีใน โลกฤา

ไร้ทรัพย์แต่เจริญใจ หลอกมั้ง

ที่มนุษย์สุดแปลกใด                วิมุติสุข ฉะนี้รา 

แถมวิศิษฏ์วิสุทธิ์ทั้ง วิเศษฟ้า..เชิญมาดู

จนแต่สุขได้มีหรือไม่…มีวิสุทธิ์ แปลว่า สะอาดผ่องแผ้ว

 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 11:59:50 )

จนแต่อุดมสมบูรณ์

รายละเอียด

คือ ความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น  คือ ความจนอย่างสุขสำราญ เบิกบานใจ

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 14:15:16 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:53:36 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:19:42 )

จนแต่เสียสละ ดีกว่ารวยกอบโกยโกงกิน

รายละเอียด

ก็ชัดๆง่ายๆ นะ แค่นี้พวกเราฟังสบาย จนแต่เสียสละ ดีกว่ารวยกอบโกยโกงกิน ง่าย คนจนแต่เสียสละ มันก็ดีกว่ารวยกอบโกย แถมโกงกินอีก มันจะไปเทียบกันได้อย่างไร มันแน่นอน แค่จนแต่เสียสละ ดีกว่ารวย รวยแล้วไม่รู้จักสละออก ไม่ต้องถึงกับกอบโกยโกงกิน ไม่ต้องถึงขนาดนั้น ใช่ไหมมันก็ดีกว่าคนที่รวยแล้วไม่เสียสละ เหมือนคนจนที่เสียสละดีกว่ารวยที่เสียสละ ฟังซับซ้อนตรงนี้ คนจนที่ถูกเอาเปรียบ ก็หมายความว่า คนที่เอาเปรียบนั้นเลว ใช่ไหม 

คนที่เสียเปรียบนี้ มันก็ไม่ได้เลว ใช่ไหม ยิ่งรู้ว่า เราเสียเปรียบด้วยความเต็มใจ มันยิ่งไม่เลว มันยิ่งดีใหญ่เลย ใช่ไหม เสียสละ ด้วยความเต็มใจสละ แม้จะจน แต่สำคัญคือ อย่าไปเป็นหนี้มาจนก็แล้วกัน เขาจะเอาสมบัติของเรา แม้แต่โกงสมบัติของเรา ต่อให้เขาโกงสมบัติของเรา​ คนที่จนเพราะถูกโกงไป ก็ไม่ได้เลวตรงไหนเลย แต่คนที่โกงไปนี้เลว ​โกงมันก็แน่นอนมันก็ต้องชั่ว คนที่เอาเปรียบโดยไม่โกง แต่ใช้กลเม็ด ใช้วิธีการ ซับซ้อนวิธีการ เหมือนกับไม่ได้เอาเปรียบ เหมือนจะให้คุณนะ แต่เปล่าหรอก ซับซ้อน 

1. กินแรงงานของพวกคุณ เอาเปรียบในแรงงาน เอาเปรียบในความรู้ ความรู้ควรจะเป็นราคาของเขา แต่คุณก็เอาเปรียบในความรู้ของเขาไป แม้จะถือว่า เอาเปรียบตามระบบโลกทุนนิยม มันก็บาปแล้ว ยิ่งเหนือชั้นหาทางเอาเปรียบได้ อาตมาก็ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านหน้าทนที่เอาเปรียบเขาอย่างมาก เช่น ออกกฎหมายมาเพื่อที่จะให้ได้เปรียบในการเซ็น เอาที่ดินที่ไม่ต้องเสียภาษี ถ้าเลยจากวันนี้ไปแล้ว ภาษีจะขึ้นมาอีก เขามีสิทธิ์มีอำนาจก็ออกกฎหมายขึ้นมาเพื่อให้เซ็นอันนี้แล้ว ของตัวเองเสร็จแล้วก็เปิดเป็นกฎหมายอย่างที่มันจะออก ทักษิณทำ ในวันที่ 31 ธันวาคม

อาตมาก็ไม่เคยเห็นว่าคนหน้าด้านเห็นแก่ตัวขนาดนี้ได้ ซึ่งวิธีโกงนี้ใครก็รู้ก็เห็นว่าอันนี้มันทำเพื่อตัวเองอย่างสุดยอดจริงๆเลย ผัวเซ็นเมียซื้อ โอ้โห อาตมาก็ว่า ขออภัยเถอะ พูดตรงๆ ไม่อายความเลวที่ตนเองทำ จะถือว่าเขาฉลาดแกมโกง ก็เป็นความโง่ที่ซับซ้อน เพราะโกงนี่มันโง่ ก็โง่ซ้อนโง่ซ้อนโง่ที่ซับซ้อน ก็คือฉลาดแกมโกงที่ซับซ้อนจนตัวเองก็ไม่รู้ว่าตนเองโง่ โง่อย่างที่ใครก็รู้ก็เห็นว่าโง่ ทำโง่ๆ ทำแย่ๆ ออกมาใครก็รู้ คิดดูเถอะ นี่คือฝีมือคนอย่างทักษิณ 

เพราะฉะนั้นคนที่ไปศรัทธาทักษิณอยู่นี้ อาตมาก็สุดสงสารเหมือนกันว่า ทำไมหนอเขาไปติดอะไร เขาไม่นิยมชมชื่นอะไร ดีงามอะไรของทักษิณ เขาให้เศษน้ำข้าว เศษขยะอะไรกิน หรืออย่างไร มันอะไรกัน อาตมาก็นึกไม่ออก 

มันคงซ้อน ศรัทธาในความเก่ง 1.เขารวยมาก รู้สึกว่าทุกวันนี้เขาก็เป็นผู้ที่เอาตัวรอดได้ มันซับซ้อนอีกมาก ทุกวันนี้ทักษิณเขาเอาตัวรอดได้ เพราะความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ต้องใช้คำนี้ ทักษิณอยู่รอดได้เพราะความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ไม่ลงไปที่บุคคลไหนหรอก คุณธรรมความเป็นคนในสังคมประเทศไทยนี้ ให้เขาได้รับวิบากเองไม่ไปลงโทษอะไรเขา ให้เขาได้รับผลวิบากเอง เขาก็เลยยิ่งผยองตอแยไม่รู้จักจบ ยิ่งทำอย่างโน้นอย่างนี้ยังดิ้นรนเพื่อที่จะสร้างอำนาจ เบ่งใหญ่ อย่างนั้นอย่างนี้ แฝงว่าเขารู้กฏหมาย เขารู้วิธีการซับซ้อนทางการเมืองอย่างนั้นอย่างนี้ มีลูกชายก็เข็นไม่ขึ้น ก็เข็นลูกสาวขึ้นมา ลูกสาวก็มีลูก 2 คนแล้ว แล้วก็ ซ้อน ดีใจได้หลานเพิ่มมาเป็น 6 แล้วนะ ก็ซ้อน มีลูกขึ้นมาอีก คือ ไม่รู้เรื่องอะไร เอ้าพอ เมื่อยแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  Neo Protest ประชาชนปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 12:05:03 )

จนแบบสุขสำราญเบิกบานใจเป็นอย่างไร

รายละเอียด

ยิ่งใหญ่มาก คำถามนี้สั้นๆ ต้องอธิบายจนก่อน จน คือ คนที่มีน้อยๆ จนถึงขั้นไม่มีเลย จน แต่ไม่สะสมอะไรเป็นของตัวเองเลย หรือมีของตัวเองให้น้อยที่สุด แล้วก็ได้อาศัยสิ่งที่เป็นสิทธิที่เป็นตัวเองเป็นของตัวเอง แล้วเราก็มีเพื่อนฝูงมีคณะมีสังคม ที่มายึดถือว่าอันนี้เป็นของตัวเราเอง ของมีเยอะก็เอามารวมกับกองกลาง ทุกคนมีสิทธิ์ใช้ ร่วมด้วยใช้ได้อาศัยมันเป็นของตัวเองได้ นี่แหละคือวิธีการของชาวอโศกเราทำแล้ว เป็นสาธารณโภคีอย่างนี้ เราจึงมีสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องไปยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา ที่ต้องหวงแหนรักษาไว้ใส่กลอนใส่กุญแจใส่เซฟ ไม่ต้องจ้างคนมาเฝ้า สบาย ในสิ่งจริง ความรู้ และวิธีคิด ที่เอามาขยายให้รู้กัน เป็นสิ่งจริง เป็นสิ่งที่อาศัย พยายามแนะนำวิธีคิด มันก็เกิดความรวมตัวเกิดความสำเร็จเกิดความเป็นจริงได้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งเรารู้ว่า ความเจริญมาจาก 1 มวล ของแต่ละอณู มวลแต่ละอณูก็ไม่สะสม เป็นคนไม่มี เอามาไว้ส่วนกลางมีแต่ของส่วนกลาง ทุกคนมีสิทธิ์ร่วมกัน แล้วมีสิทธิ์ร่วมกันแล้ว เราก็แบ่งกินแบ่งใช้ตามแต่ละคน ก็ไม่มีใครที่ ผลาญพร่า ไม่มีใครเอามาเป็นของตัว กินใช้ร่วมกันนี่แหละ ไม่ทำลาย ดีไม่ดีสร้างสรรเพิ่มเติมให้มีมาเสมอก็อุดมสมบูรณ์ตลอดเวลา แล้วเราก็มีเหลือกินตลอดเวลา เรามีความสามารถและสร้างได้มาก คนมารวมกันมากขึ้นก็ยิ่งสร้างได้มากขึ้น แต่ละคนก็มาเรียนรู้ แต่ก่อนตัวเองกินมากใช้มากก็มาลดน้อยลง ก็ยิ่งจะมีความเจริญ เราก็สร้างให้กลับได้มากขึ้น คนก็มีมากขึ้นด้วย ความจริงทั้งคนและกิริยากรรมต่างๆ สอดซ้อน มันจึงอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น นี่เป็นเศรษฐศาสตร์สุดยอดเลยเป็นเศรษฐศาสตร์หลักใหญ่สุดยอด

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 11:41:45 )

จนแบบอโศก

รายละเอียด

มาเป็นคนจนนี้ดี เข้าสู่ประเด็นนี้เลย เศรษฐกิจที่ดีที่สุดของโลกคือเศรษฐกิจมาเป็นคนจน ประเทศหรือสังคมที่เจริญที่สุดคือประเทศที่จน แต่ไม่ได้จนอย่างที่เขาคิดกัน ไม่ได้จนอย่างผู้ที่ไม่ทำมาหากิน ทำอะไรไม่เป็นทำอะไรก็อดๆอยากๆ ดีไม่ดีก็ลำบากลำบนทุกข์เข็ญ ไม่ใช่จนอย่างชาวอโศกนี้ อโศกนี่จน ไม่ได้พูดเล่นลิ้น ไม่โกหก ชาวอโศกนี้จน คนที่จนสำเร็จนี้ก็ไม่ต้องสะสมได้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2564 ( 11:23:39 )

จนในความรวย รวยในความจน 

รายละเอียด

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจขอยืนยันว่า ต้องมาสอนให้คนเข้าใจว่าความจนเป็นความประเสริฐ ความจนไม่ใช่เรื่องตกต่ำ ความจนไม่ใช่เรื่องสิ้นไร้ไม้ตอก พวกเรานี่จนในความรวย รวยในความจน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เกิดมาต้องรู้จักความเป็นคนกับสังคมจึงไม่เสียชาติเกิด วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2566 ( 13:37:47 )

จนให้เป็นแล้วจะสบาย

รายละเอียด

อันนี้จริงนะ พวกเราจนเป็นหรือยัง?...เป็นแล้ว สบายไหม?...สบาย คนในโลกนี้ทุกข์ร้อนเดือดร้อนเพราะไม่มีปัญญา ไม่รู้จักตัวเองไม่รู้จักการดำเนินชีวิต ว่าเราจะอยู่อย่างไร เราก็อยู่กันอย่างมีกรรมกิริยา ทำงานสร้างสรรสิ่งที่เราจะอาศัย สร้างกินสร้างใช้ แล้วก็อยู่ได้กับสิ่งที่เราสร้าง ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เดือดร้อน รักษาชีวิตไปได้ 

เดรัจฉานมันก็พอรู้ตัวเองโดยอาศัยธรรมชาติของมัน แต่คนนั้นฉลาดกว่า สร้างธรรมชาติขึ้นมา ปลูกพืชผักขึ้นมาเอง ปลูกผลหมากรากไม้ขึ้นมา กินไปอาศัยไป ไม่เอาผลไม้รากไม้ก็ไปขุดหัวมันมากิน มาใช้กินแทนแป้งส่วนหนึ่ง ครบ สบาย 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เรียนรู้ศาสนาพุทธ เรียนรู้สภาวะพึ่งตนเองได้ มันจะขี้เกียจขนาดไหน ถ้าไม่มีจริงๆ ก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำก็ต้องตาย ถ้าไม่มีที่ให้ทำ เข้าไปเข้าป่าเขาถ้ำไปทำพอสมควร ไม่ได้ไปบุกรุกป่า รู้พออาศัยหากินก็ทำได้ ตัวเองกิน เอาแต่แค่ชีวิตตัวเองเลี้ยงตัวเองรอด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาอย่างอวดตัวแต่ถ่อมตน ด้วยความจริง วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 แรม 7 ค่ำ เดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2564 ( 21:05:09 )

จบกิจ คือรู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน

รายละเอียด

ประเด็นแรก ธรรมะจะเหมือนกับของสมณะโคดมไหม 2. จะมีธรรมใดที่แท้กว่านี้ได้อีกหรือไม่ ประเด็นแรก อันเดียวกัน คือเป็นโลกุตรธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมที่ให้รู้จักกิเลส ดับกิเลสได้ คนที่ดับกิเลสได้แล้วหมดสุขหมดทุกข์แล้วพระพุทธเจ้าถือว่า จบกิจ 

จบกิจคืออะไร จบกิจคือ รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้ว รู้ว่านิพพานคืออะไร รู้จิตเจตสิกคืออะไร รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วมีธาตุรู้ที่สามารถเข้าไปกำหนดรู้จิต กำหนดเจตสิก คือจิตที่แยกย่อยลงไปเป็นเจตสิกต่างๆ เช่น เวทนา สัญญา สังขาร เป็นต้น หรือแม้แต่รายละเอียดของธาตุจิตที่แยกออกไปเป็น ปาณะ ภูตะ เจตภูต เป็นอะไรต่างๆนานา เป็นชีวะหลายๆ ระดับ ก็รู้รายละเอียดพวกนี้ไปหมด 

จนกระทั่งถึงขั้นมหาภูต ภูตะ มหาภูตคือ ดิน น้ำ ไฟ ลมเลย มหาภูต 4 จนมาเป็นชีวะระดับพืช เรียกว่า ภูตคาม ยังแยกภูตคาม  พีชคาม คือ มีใบ มีกิ่ง มีก้านออกไป ภูตะคือฐานจิต เป็นชีวะเกิดแล้วเรียกว่าเป็นหัวเป็นเหง้า มันเริ่มเป็นชีวะ ภูตคาม แล้วเจริญมาเป็น เจตภูต เป็นชีวะที่เริ่มมีจิต มีเจตโส มีเจตะ เริ่มเข้ามาสู่ จึงจะมาเป็น ปาณะ จึงจะมาเป็นธาตุสัตว์ เจตภูตินี้ยังไม่ถึงเป็นสัตว์เต็มรูป ต้องมาถึงเป็น ปาณะ ใกล้ความเป็นสัตว์ ปาณะแค่ 6 จะมาเป็น สัตตะ คือเป็นสัตว์คือเป็น 7 จะเป็นจิตนิยามขึ้นไป เป็นรายละเอียด ตามทันไหมว่าเป็นพลังงานระดับต่ำ สูง มากน้อยกว่ากันอย่างไร 

นั่นแหละเป็นการรู้เวทนา 5 รู้จักระดับที่เรียกว่า สุข ทุกข์ โทมนัส โสมนัส อุเบกขา นี่เป็นระดับ เป็นดีกรีของมัน เป็นน้ำหนักของมัน เป็นขั้นตอนความเข้มข้น ก็แล้วแต่ความบางความจาง 5 ระดับใหญ่ๆ ระดับทุกข์สุขถือว่าเป็นภายนอกเต็มที่ ถ้ารู้แจ้งจริงแล้วหมดทุกข์สุขในภายนอก ก็ลึกเข้าไปสู่ภายใน เรียกว่าโสมนัส-โทมนัส ก็คือสุขทุกข์ที่เหลือเศษอยู่เป็น รูปภพ อรูปภพ ก็ลดอีกในโสมนัสโทมนัส จนกระทั่งไม่มี เป็นอุเบกขินทรีย์ เป็นความเป็นกลางแล้วไม่มีอาการของอัสสาทะ ที่เป็นทุกข์เป็นสุข ที่เป็นโสมนัส  ที่เป็นโทมนัส กลาง

แล้วจิตเป็นกลางนี่แหละมันถึงไม่มีรสอร่อย ซึ่งอาตมาเป็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่มี พยายามจะฟื้นอย่างไร มันก็ฟื้นไม่ได้..รสอร่อย เพราะฉะนั้นอาตมาพูดนี่เป็นการแสดงสัจธรรม ความเป็นจริงของบุคคลไม่ใช่มาดัดจริต ไม่ได้มาเสแสร้งทำเป็นโก้เป็นเท่อะไร...ไม่ใช่ แต่เป็นการบอกความจริง ว่าคนไม่มีรสอร่อยแล้ว คนฝืนอายุขันธ์นี้ มันไม่ใช่เรื่องเบา ขออภัยไม่ได้พูดเพื่อที่จะให้เห็นใจ หรือมาสรรเสริญยกย่องอะไรหรอก มันเป็นสัจธรรม อาตมาอธิบายสัจธรรมต่างๆ สู่ฟัง พยายามฟังดีๆ เข้าใจธรรมะที่อาตมาอธิบาย มันเป็นธรรมะที่ลึก แล้วเชื่อว่าพวกเราจะตามฟังแล้วเข้าใจว่า อ๋อ.. มีนัยยะลึกซึ้งพวกนี้ด้วยหรือ เรายังไม่ถึงก็พอตามได้ พวกคุณยังไม่ถึงอาตมา ไม่ใช่ว่าอาตมายกตัวอย่างเกินไปหรอก พวกคุณยังไม่เป็นพวกนี้ แต่อาตมาเป็นพวกนี้แล้ว มันถึงไม่ได้ไปใยดีอะไรหรอกกับการมีชีวิต เบื่อนี่แหละ ถ้าอาตมาไม่ได้ตั้งปณิธานเพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้านะ อาตมาตายเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานไปนานแล้ว จริง แต่อาตมามีปณิธานไปเป็นพระพุทธเจ้า เห็นทุกข์ มันทุกข์ มันต้องพยายามอยู่ไป พยายามที่จะสร้างสัจธรรมเพิ่มเติม สร้างบารมี สร้างประโยชน์ ทำไป แล้วอาตมาก็กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้าด้วย สืบทอดศาสนาจริงให้จริงด้วย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาต้องเกิดในปัจจุบัน จึงรู้เท่าทันเทวทัตยุคดิจิตอล วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2566 ( 17:16:46 )

จบกิจ จากกาล ด้วยกรรม

รายละเอียด

คนหรือมนุษย์ทั้งหลายไม่ว่าชาติใดศาสนาใด ถ้าสามารถทำ“ปุญญาภิสังขาร”เป็น คือ ทำ“บุญ”เป็น เพราะทำ“ปุญญาภิสังขาร”หรือ“สังขารได้อย่างเก่งวิเศษ”ถึงขั้นกำจัดกิเลสได้ จนกิเลสตาย และหมดไปจากจิตจริงนั่นเอง

      คนผู้“ทำใจในใจ”ได้ผลปานฉะนี้ เรียกว่า “อภิสังขาร” 

      คนผู้ทำ“บุญ”เป็น หรือทำ“อภิสังขาร”มีธรรมฤทธิ์ขั้น“บุญคือ ทำใจในใจตนให้เกิดพลังงาน“ฌาน”สามารถกำจัด“กิเลส”ได้ ผู้นั้นคือ ผู้จัดการกับ“ชาติ”หรือ“การเกิดทางจิตวิญญาณ”ของตนได้อย่างเก่งวิเศษ เป็นอุตตริมนุสสธรรม

      เพราะมี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ปฏิจจสมุปบาท”จึงจะสามารถจัดการกับความเป็น“ชาติ”ของตนให้เป็นการเกิดแบบ“นิพพัตติ” จนกระทั่งที่สุดเป็น“อภินิพพัตติ”สำเร็จ

      การเกิดแบบ“นิพพัตติ”เป็น“โลกุตรธรรม”

      การเกิดถึงขั้นเป็น“อภินิพพัตติ”สูงสุดก็เป็น“อรหันต์” และ“โพธิสัตว์”สูงขึ้นๆไปตามลำดับ ที่สุดเป็นพระพุทธเจ้า 

      ผู้ทำ“ปุญญาภิสังขาร”หรือ“ทำบุญ”ได้สำเร็จกิจ ก็คือ ผู้มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสามารถกำจัด“เหตุ”คือ ความเป็น “กิเลสาสวะ”ไปทั้ง“กามภพ-รูปภพ-อรูปภพ”ได้ ไปตามลำดับ ความเป็นลำดับไม่สับสน จึงสิ้น“ชาติ”ได้บริบูรณ์สัมบูรณ์

      และเพราะสามารถทำ“กิจ”ด้วย“สัจจญาณ-กิจจญาณ-กตญาณ”ได้จริง จึงจัดการกับ“การเกิด 5”คือ “ชาติ -สัญชาติ-โอกกันติ-นิพพัตติ-อภินิพพัตติ”ได้สัมบูรณ์สิ้นด้วย“นิพพาน 3”ในตอน“ทำกาละ”ซึ่งเป็น“การตายครั้งสุดท้าย จิตนิยาม”หรือ“จิตวิญญาณ”ของตนจึงสลายแยกธาตุเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป เป็นการ“จบกิจ” จาก“กาล” 

      ด้วย“กรรม”ที่ตนเองทำเอง  ด้วยประการฉะนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาส่งท้ายปีเก่า 2566 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 1 วันวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2567 ( 16:29:42 )

จบกิจ ตัดสินด้วยเวทนา 108 ในทุกปัจจุบันขณะ

รายละเอียด

อาศัยเวลาแต่ละครั้ง แต่ละครั้ง กระทบสัมผัสร้อยครั้งหมื่นครั้งแสนครั้งก็ 0000 ท่านใช้หลักการของตัวพิสูจน์เวทนา 108 ก็คือการปฏิบัติเป็นกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่เวทนา 18 กับ 18 เป็น 36 คือเคหสิตะ 18 กับ เนกขัมมสิตะ 18  จนหมดความเป็นโลกีย์ เหลือแต่ความเป็นโลกุตระชัดเจนอยู่ในปัจจุบันทุกปัจจุบันที่สัมผัส แล้วทุกปัจจุบันที่สัมผัส ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีกิเลส แหยมนิดนึงน้อยหนึ่ง ตลอดในวิญญาณฐิติตลอด ไม่มีเลย อากิญจัญญายตนะนิดนึงน้อยนึง ก็ไม่มีๆ ไม่มีแม้แต่นิดแต่น้อยก็ไม่มีๆๆๆ จนตัดสินได้เลยว่าจบกิจ โดยเอา ปัจจุบันเป็นตัวหลัก ผัสสะมาทั้ง 108 ของเวทนาในทุกปัจจุบัน ปัจจุบันของ 36 ทั้งเคหสิตะ 18 เนกขัมมสิตะ 18 ทุกปัจจุบันของ 36 มาเมื่อไหร่ในปัจจุบันจบเป็น 0 กิเลส 0 อนาคตมาเมื่อไหร่ก็เป็น 0 มาอีกก็ 0000 ครบทั้ง เคหสิตะ และเนกขัมมะ จะ 36 อีกกี่เที่ยว ถ้วนรอบทุกปัจจุบันสั่งสมเป็นอดีต

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 30 วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 มีนาคม 2564 ( 19:10:25 )

จบกิจ อยู่กับสังคมเป็นอายะ 3

รายละเอียด

จบกิจคือ เราไม่ทุกข์ไม่สุข เราอยู่กับสังคมไม่เป็นภัยเป็นโทษให้แก่สังคม นอกจากไม่เป็นภัยเป็นโทษให้แก่สังคมแล้ว ยังเป็นประโยชน์ ช่วยเหลือเป็นโลกานุกัมปายะหรือเป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นอายะ 3 เป็นหิตประโยชน์แก่พหุชนะ แก่มวลประชาชน พาให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข อนุเคราะห์โลก เลยไปจากกรอบประเทศของตัวเองด้วยซ้ำ ซึ่งมันเป็นสภาวะของรัศมีรังสีออกไป ซึ่งมันเป็น อจินไตย อีกชนิดหนึ่ง 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 16 ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2566 ( 11:21:43 )

จบกิจขั้นต้น ทำแต่ดีไม่ทำชั่วเลย

รายละเอียด

ขั้นต้นคือ เราทำแต่ดีไม่ทำชั่วเลย มั่นใจเลยว่า ถ้าไปหลงดีชั่วมันแค่สมมุติ คุณอยู่ศาสนาอิสลาม เขาบอกว่าทำดีเป็นเช่นนั้น  คุณก็ทำตามสิ ทางโน้นยึดถือ ไม่ทำชั่ว แตกต่างตามคำสอนพระศาสดาคุณก็อยู่ได้แล้ว คุณมาอยู่กับพุทธ ดีเป็นยังไงของพุทธ ชั่วแบบพุทธยังไง คุณก็ทำดีแบบพุทธไม่ทำชั่วได้จริงๆ ซึ่งอาจจะต่างกันกับอิสลาม  แต่นี่เป็นของพุทธ คุณก็ทำได้ ของอิสลามก็ทำได้ ของพุทธก็ทำได้ ตาม คุณอยู่โลกไหนก็โลกนั้น โลกอิสลามหรือศาสนาอิสลาม โลกพุทธคุณก็อยู่กับศาสนาพุทธก็กำหนดต่างกัน หลักเกณฑ์ที่ไม่ทำ อย่าทำนะ อย่างนี้ชั่ว บาปนะ  อย่างนี้ทำอย่างนี้ คุณเรียกว่าบุญก็ตาม แต่ที่จริงบุญกับกุศลมันไม่ใช่อีก นี่ก็รายละเอียด อันนี้กุศล อันนี้อกุศลอย่าทำ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น คุณก็ทำได้ดีพ้นแค่นี้คุณก็ไม่กลัวแล้วทุกข์ที่จะเกิดมา ที่จะต้องกลัวเศร้าหมอง กลัวมันจะเกิดมาเพราะไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา คุณเกิดอีกกี่ชาติคุณก็ไม่มีตกต่ำ คุณไม่มีสิ่งชั่ว คุณไม่ต้องลงนรก คุณไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรอีก มีแต่จะเจริญขึ้น เจริญขึ้น เจริญขึ้น เพราะฉะนั้นคุณจะตายเกิดจะตายเกิดอีกกี่ชาติมันก็คือความตายความเกิด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบกิจทั้ง 4 อย่างมีปาฏิหาริย์ของพุทธ วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มกราคม 2567 ( 14:15:45 )

จบกิจขั้นที่ 2

รายละเอียด

ขั้นที่ 2 สุขทุกข์ ต้องอ่านสุขทุกข์ให้ออก เวทนาในเวทนาจริงๆ เมื่อดับสุขทุกข์ได้นี่แหละ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อยู่ตรงนี้ พอเป็นอรหันต์ก็ เวทนาที่เป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนาจนถึงโสมนัสเวทนาหรือโทมนัสเวทนา คุณจะเข้าใจอาการของจิตแบบนี้เลยว่า โสมนัสก็ไม่มี สุขทุกข์ก่อนโน้น ละก่อนได้แล้ว โสมนัสโทมนัสก็ละได้อีก เป็นอุเบกขา อธิบายทุกข์สุขก่อนนั้นได้ สำนวนที่ท่านแปลไว้ในพระไตรปิฎก ดับทุกข์ดับสุขก่อนๆนั้นได้แล้ว ดับสุขทุกข์ในปัจจุบันที่ละเอียดได้อีก จนเป็นอุเบกขา คุณก็จะอ่านรู้ อาการ ลิงค นิมิต ว่าอุเบกขาเป็นอย่างไร มันไม่มีแล้วสุขทุกข์ มันไม่มีบวกไม่มีลบ มันกลางๆจริงๆ​ มีความรู้รอบ มีแต่ความเป็นพลังงานที่เราสามารถอยู่กับโลก โลกที่คุณหลุดพ้นแล้วตั้งแต่อบาย โลกอบายโลกกาม คุณหลุดพ้นแล้วก็ไม่บวกไม่ลบกับมันจริงๆ มันก็มีอยู่ในโลกนี้แหละตาหูจมูกลิ้นกายเราก็สัมผัสรับรู้ แต่เราลอยตัว มันไม่มีฤทธิ์อะไรกับเราที่จะไปแวะโน่นแวะนี่ที่จะไปเป็นสุขเป็นทุกข์หรือเอียงไปทางโน้นเอียงไปทางนี้ เป๋ มาถูกกระทบแรงๆก็ยังไป ถูกกระทบแล้วก็ยังมีผลอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มีแล้ว แข็งแรงหรือไม่มีตัวตน ให้พลังงานของโลก มันเหมือนไม่ถูกกับเราเลย มันหลุดพ้นอย่างนั้น มันสุดยอดอย่างนั้น 

ที่พูดนี้เป็นภาษาของปรมัตถ์ เป็นภาษาของจิตเจตสิกรูปนิพพาน เป็นภาษาของอาการของจิต โดยเฉพาะเวทนาเจตสิก 

ฉะนั้น เรียนรู้นี่ เรียนรู้ที่เวทนาในเวทนานี่แหละ จะรู้เจโตปริยญาณ 16 จะรู้กายทั้งหลายแหล่ สามารถทำให้มันเป็นธรรมะที่สมบูรณ์แบบ โลกุตระสูงสุดได้ กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วจะทำได้พิสูจน์ได้จริงๆ 

เพราะฉะนั้น จะกลัว หมดกลัว มันไม่ลึกซึ้งอะไรเท่าไหร่หรอกเรื่องการเกิดการตาย เพราะฉะนั้นจะรู้ว่าเป็นธรรมดา และจะไม่เศร้าหมอง แค่เราพ้นจบกิจในระดับต้น ยังไม่ถึงขั้นหมดทุกข์หมดสุข 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบกิจทั้ง 4 อย่างมีปาฏิหาริย์ของพุทธ วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มกราคม 2567 ( 14:14:00 )

จบกิจด้วยกรรม

รายละเอียด

ทำ“กรรม”สำเร็จเสร็จ“จบ”พ้น“อวิชชาสวะ 8”

ด้วยความมี“วิชชา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“ปฏิจจสมุปบาท”ทั้งทำได้ครบ“อนุโลม-ปฏิโลม”

      นั่นคือ จะต้องเป็นผู้มี“วิชชา”หรือ“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู็จริงรู้จบใน“ส่วนอดีต-ส่วนอนาคต-ทั้งส่วนอดีตอนาคต”อันคือ ความเป็น“กาล”  

      คนผู้นี้จึงจะต้องปฏิบัติตนมี“วิชชา 8”หรือ“ญาณ 16”หรือ“ปัญญา 8”ให้บริบูรณ์ทั้ง“กิจ”ทั้ง“กาล”ทั้ง“กรรม”

ความ“จบกิจ”ในเรื่อง“สุข-ทุกข์”อันเป็นเรื่องของ“ปรมัตถธรรม”ที่เป็นเรื่องของ“จิต เจตสิก รูป นิพพาน” 

      ทั้งความ“อยู่เหนือกาล”ในเรื่อง“โพธิสัตว์-อรหันต์” ที่มี“กิจ”มี“กรรม” อัน“จบกิจ”ได้จริง

      ทั้ง“ทำกรรม”ไปกับ“ปฏิจจสมุปบาท”ได้สำเร็จครบ “อนุโลม-ปฏิโลม” ซึ่งสามารถ“มีชาติ”หรือ“ดับชาติ”ได้ตามต้องการกันจริงๆ

      เพราะมี“ปัญญา”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ชาติ 5”จึงสามารถจัดการกับ“ชาติ”ใน“ปฏิจจสมุปบาท”อันเป็น“ชาติ”อยู่ใน“ปัจจุบันชาติ”ที่ไม่ใช่ยังหลงผิดจัดการ“ชาติ”ที่อยู่ใน“ส่วนอดีต”หรือ“ส่วนอนาคต”กันให้สูญเสียเวลาเปล่าๆปลี้ๆ เพราะยัง“มี“อวิชชาสวะ 8”อยู่เกี่ยวกับ“กาล”นี้เอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 19:14:33 )

จบกิจด้วยอาริยสัจ4

รายละเอียด

“อาริยสัจ 4”คือ“ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค” ที่จัดเป็นเรื่องสำคัญถึงขั้นเปรียบปาน“หัวใจคน”ทีเดียว 

      “อาริยสัจ 4”ในศาสนาพุทธที่ชาวพุทธจะต้องศึกษาจัดการอย่าให้มี“เหตุ”ก่อพิษภัยเป็น“ทุกข์”แก่ตนจึงสุดสำคัญ

      ผู้สามารถ“ดับทุกข์”ด้วยการ“ดับเหตุแห่งทุกข์”ด้วย จึงจะทำ“นิโรธ”ได้สำเร็จอย่าง“สัมมาทิฏฐิ”ถูกต้องถ่องแท้แบบ“โลกุตระ”ให้เป็น“อุตุ” ซึ่ง“โลกุตรธรรม”นี้เป็น

“วิทยาศาสตร์ทางจิตสูงสุด”ในโลกอันเป็น“ชีววิทยา”ที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“พลังงาน”ตั้งแต่ขั้น“อุตุนิยาม”คือ “มหาภูต 4” อันได้แก่ “ดิน น้ำ ไฟ ลม”ที่ยังไม่เป็น“ชีวะ”ก็“กระทำใจในใจ(มนสิกโรติ)”ให้“จิตใจ”มีความเป็น“อุตุภาวะ”และทั้งสามารถทำพลังงานให้เป็น“พีชนิยาม”ที่เป็น “ชีวะ”แล้ว แต่่ยังไม่มี“เวทนา”ก็ทำได้ จนกระทั่ง“จบกิจ”  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 19:03:33 )

จบกิจทั้ง 4 อย่างมีปาฏิหาริย์ของพุทธ

รายละเอียด

1. จบกิจโลกีย์ธรรมดา 

2. จบกิจขั้นโลกุตระ จบกิจขั้นสุขทุกข์ 

3. จบกิจต่อภพภูมิของอรหันต์และโพธิสัตว์ 

4. ก็คือทำกาละในมหาจักรวาลนี้ 

ก็จะรู้เรื่องมหาจักรวาลเรื่องจิตวิญญาณที่ละเอียดต่างๆ คุณทำได้เก่งขึ้นหมด จะเก่งแค่อรหันต์สุขทุกข์ ก็เป็นอนาคามี เมื่อกี้นี้เอาคำว่าอนาคามีมาขยายความมันไม่เวียนกลับมาเกิดอีก ที่จะมาที่จะมามีร่างเป็นมนุษย์ไปอยู่ในภพสัมภเวสีอีกนาน พูดกันไม่ได้ พูดกันยากไม่เป็นปัจจุบัน

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าให้เอาปัจจุบันนี้ จบเลย หมดแม้เป็นพระอรหันต์ก็ทำได้ แล้วทำได้จริง เพราะฉะนั้นการจบของพระพุทธเจ้าจึงจบในปัจจุบันที่ยังอยู่ในร่างตอนเป็นๆ ให้สัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์แล้วคุณก็จะตายอย่างไม่มีความสงสัย พ้นวิจิกิจฉานุสัย วิจิกิจฉาที่เป็นสังโยชน์ อาสวะ ก็ระดับหนึ่ง อวิชชาสวะ วิจิกิจฉาในระดับสังโยชน์ 10 นั้นแค่วิจิกิจฉาในหมวดต้นเท่านั้น สังโยชน์10 วิจิกิจฉาก็คือรอบหนึ่งของอาสวะ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบกิจทั้ง 4 อย่างมีปาฏิหาริย์ของพุทธ วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 07 มกราคม 2567 ( 14:26:25 )

จบกิจเกี่ยวกับกาล

รายละเอียด

เมื่อทำ “จบกิจ” สำเร็จได้แล้ว สูงขึ้นไปถึงพลังงานที่เป็นชีวะขั้น “จิตนิยาม” เกี่ยวกับ “กาล” ก็ต้องทำให้ “พ้นอวิชชาสวะ” ส่วนนี้อีก ให้เป็นผู้ “อยู่เหนือกาล” สามารถจะจัดการ “ตนเอง” กับ “กาล” ได้ถึงขั้น “ทำกาละ” คือ “ตาย” ชนิดที่จะ “เวียนวนอยู่ในกาล” คือ “เกิด” มาเป็น “คน” แล้วๆ อีกๆ ก็ได้ 

      หรือจะ “ทำกาละ” คือ “ตาย” ชนิดที่ทำ “จิตวิญญาณตนเอง” ให้สลายหายไปจาก “กาล” กลายเป็น “ดินน้ำไฟลม”  นิรันดรกันเลย ก็ทำ สำเร็จเป็นได้จริง     

      ดังนั้น ความเป็น “ตน” ที่เกี่ยวกับ “กาล” หากผู้ใดยังไม่รู้ใน “ส่วนอดีต-ส่วนอนาคต-ทั้งส่วนอดีตอนาคต” ก็คือ ผู้ยังมี “ความไม่รู้” เป็น “อวิชชา” อยู่ ยังไม่สิ้น “อาสวะ” ในเรื่องของ “กาล” ก็ต้องเรียนรู้ปฏิบัติจนกระทั่งมี “วิชชา” หรือ “ปัญญา” รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบที่จะทำ “กรรมสำเร็จ” ให้ “จบกิจ” เป็นผู้ “อยู่เหนือกาล” หรือจะ “ตาย” จาก “กาล” สลายสูญไปก็ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 19:01:55 )

จบกิจเป็นอรหันต์

รายละเอียด

ให้มาศึกษาเรื่องของปรมัตถ์ ศึกษาว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป จนกระทั่งคุณจบกิจเป็นอรหันต์ได้สรุปง่ายๆ ก่อน​

เมื่อเป็นอรหันต์แล้วคุณก็จะไม่มีความอึดอัด ไม่มีความเหนื่อยหน่าย ไม่มีความใดๆ คุณอยากจะอยู่ต่อก็มีให้อยู่ คุณจะรู้เองว่าคุณจะอยู่ไปสูงสุดได้เท่าไหร่ สูงสุดก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นมาในมหาจักรวาล​ ถ้าคุณไม่อยู่คุณจะปรินิพพานไปเมื่อไหร่คุณก็ไม่มีเหนื่อยหน่าย เป็นกิเลสที่เป็นเรื่องทุกข์  มันจะมีแต่เรื่องดีๆ สมบูรณ์แบบของอารมณ์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะบวร (บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่พ้นอัตตวาทุปาทาน 5 วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2566 ขึ้น 8 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 13:15:49 )

จบกิจเป็นอรหันต์แล้ว จะเลือกเกิดอีกหรือเลือกตายสูญก็ได้

รายละเอียด

ถ้าจะอยู่ก็มีแต่ประโยชน์คุณค่าต่อโลก นี้เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่สอนและให้คนกระทำตนเป็นอย่างนี้ คุณจะอยู่ก็จบอรหันต์ แล้วคุณจะเวียนเกิดเวียนตายอยู่ก็อยู่ไปสิ เพราะมีแต่คุณค่าประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติกับโลก ถ้าไม่อยู่จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ไปหมดสิ้น คุณก็หมดอัตภาพ นี่แหละคือจบกิจที่สมบูรณ์แบบของพระพุทธเจ้า 

ส่วนวิชาการทางเทคนิค วิชาการความรู้พวกนั้น มันก็คือโลกียะที่คุณจะเอามาไว้สำหรับแลก ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไป 1 ชาติแล้วก็วนเวียนตกนรกขึ้นสวรรค์ ขึ้นสวรรค์ตกนรกไปอย่างนั้นอยู่ตลอดอีกนับชาติไม่ถ้วน คุณก็จะอยู่อย่างนั้น วิบากดีหน่อยได้สวรรค์หน่อย วิบากดีมากหน่อยก็ได้สวรรค์ ซึ่งเป็นของหลอก เป็นของลวงของมายาทั้งนั้น สุขก็เป็นมายา ทุกข์ก็เป็นมายา แล้วก็ไม่พ้นจากมายา มันน่าเสียดายชีวิต ผู้ที่ได้แล้ว ได้แล้วอย่างพวกเราเป็นอรหันต์ก็ดีค่อยยัง หรือยังไม่เป็นอรหันต์ก็เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ส่วนผู้ที่ไม่เข้ากระแสก็หัวหกก้นขวิด วนเวียนอยู่ตลอด คุณจะไปเรียนรู้วิชาการอีกกี่ชาติกี่วิชาเก่งเท่าไหร่ ก็รับรองได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาบำเรอกิเลสคุณเท่านั้นเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เกิดมาต้องรู้จักความเป็นคนกับสังคมจึงไม่เสียชาติเกิด วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 เมษายน 2566 ( 11:42:19 )

จบกิจแล้วไปไหน

รายละเอียด

พุทธนี้จบได้เป็นอมตบุคคล จบเลย ที่เรียกว่าจบกิจ จบกิจคืออะไร คุณจะเกิดต่อหรือตายเป็น 0 ไม่ต้องมาเป็นจิตวิญญาณอีก ไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้า จิตวิญญาณ 0 เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปเลย ปริโยสานเลย มันจบเลยจริงๆ มันเรียนรู้ว่าที่เราต้องมีร่างกายเกิดมาวนเวียนนี้มันไม่จบ ให้มันจบแล้วคุณจะตาย 0 เลยอย่างที่ว่า คุณเลิกได้เลย จบกิจจริงๆ จบความเป็นจิตวิญญาณ จบความเป็นอัตตาอัตภาพไม่เหลือ เห็นที่สุดแห่งที่สุดของศาสนาพุทธไหม หรือ คุณจะอยู่ คุณก็อยู่ไปได้อีกพัฒนาตนเองไปจนกระทั่งคุณเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็สุดเบื่อแล้ว คุณก็จะรู้ว่าไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนหรอกที่จะเป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัย 

เป็นพระโพธิสัตว์ก็เบื่อแสนเบื่อแล้ว พากเพียรอยู่อย่างนั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้เท่านั้นไม่อย่างนั้นก็สูญ ก็ไปแล้วเบื่อ ยิ่งทุกวันนี้แล้วสังขารมันไม่ค่อยให้ พูดถึงความตายหลายทีจนพวกเราสะดุด พวกเราชักสะดุด แต่ก็พยายามอยู่ เพราะอาตมายังเชื่อว่า ถ้าหากอาตมาอยู่ไปอีก 10 ปี 20 ปีหรือ 30 ปี ได้ มันจะได้ผลจริงๆ เพราะตอนนี้เริ่มต้นมีคนชักจะเข้าใจ ไอ้ตัวที่ไม่เข้าใจแล้วต่อต้านอะไรพวกนี้ ไม่มีแล้ว หาย หายไปแล้วไม่กล้าต้าน หรือ ไม่เอาแล้วไม่ต้าน ไม่ต้านแล้ว ถูกอาตมาย้อนแย้งเอา เอาพระไตรปิฎกมาตีหน้าแง เขาก็เลยไม่กล้า ก็เลยทำได้สะดวก 

เพราะฉะนั้นตอนนี้ทำได้สะดวกขึ้นแล้วก็มีผู้สนใจเพิ่มขึ้น มันเกิดผลเจริญก็เลยคิดว่าได้ผล ทำได้ผลเจริญ ไม่ควรรีบตาย ควรจะอยู่ต่อ มันติดความสุขสบายเป็นสัปปายะ จริงนะ เราก็ต้องเห็นให้ได้ว่ามันจะติดแล้วมันก็จะเป็นสวรรค์ เมื่อเป็นสวรรค์ก็เป็นภพเป็นชาติ เมื่อเป็นภพเป็นชาติ คุณก็จะเป็นพระพรหม 16 ชั้น ตั้งแต่ ขั้นปริตตาภา จนเป็นมหาพรหม ปริตาสุภา ซึ่งเอาพยัญชนะมาอธิบาย แต่เขาก็อธิบายไม่เป็น อธิบายไปเป็นลำแสงอย่างนั้นอย่างนี้ ที่จริงก็คือจิตวิญญาณ 

พระพรหมคือจิตสะอาด จิตมี 1.สมมุติเทพ  2.อุบัติเทพ  3.วิสุทธิเทพ วิสุทธิเทพคือจิตพรหม จิตที่สะอาดจากกิเลส อุบัติเทพคือจิตที่เกิดเป็นโลกุตระไปตามลำดับเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เมื่อถึงความเป็นอรหันต์ ก็เป็นพระพรหม 

แต่เขาไม่รู้ความเจริญของพรหม ก็เลยไปบัญญัติเป็นภพเป็นชาติ เป็นแสง ปริตตาแปลว่านิดนึง ปุโรหิตา แปลว่าครูของปริตตา มหาพรหมก็ผู้เป็นใหญ่ เป็นอาจารย์ใหญ่ ปุโรหิตก็เป็นอาจารย์น้อย รองมาจากมหาพรหม ไล่ขึ้นไปกว่านั้นก็เป็น ปริตตาสุภา ปุรหิตาสุภา สุภาแปลว่ายิ่งขึ้น แต่เขาแปลว่าแสง ดีงาม เจริญ​ แล้วก็มีอะไรต่ออะไรไปอีก อาตมาก็จำพรหม 16 ชั้นไม่ไหว 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 9 พ่อครูพบญาติธรรมสันติอโศก วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2566 ( 19:13:47 )

จบปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง ด้วยปัญญาโลกุตระ

รายละเอียด

ผู้ที่มีความรู้ความสามารถและปฏิบัติจนสำเร็จ เป็นจอมยุทธ “จอมยุทธ”ผู้“อยู่เหนือ”ซึ่งภาษาก็ว่า“อุตตระ”จึงเป็นผู้สามารถพาสังคมหมู่กลุ่ม“พ้นปัญหาเศรษฐกิจ”ที่เป็นเรื่อง“เงินทอง” และ“พ้นปัญหาการเมือง”ที่“จบกิจ”ในเรื่อง Gross Democratic Product ด้วยฝีมืออันเก่งกาจ

เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบครบทั้ง 1) เศรษฐศาสตร์การวัตถุเงินทอง 2) รัฐศาสตร์การเมือง 3) สังคมศาสตร์การธรรมะ” ว่า “วัตถุเงินทอง”ก็ดี “เมืองและสังคมพลเมือง”ก็ดี “ธรรมะ”ก็ดี จะจัดการอย่างไรจึงจะเหมาะควรที่สุด 

จอมยุทธจัดการได้สำเร็จเสร็จ “จบกิจ” นั้นๆ จริงด้วย “ความรู้” แบบโลกุตระ ที่เรียกด้วยภาษาว่า “ปัญญา”

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ แสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ จอมยุทธ์โลกุตระจบกิจเศรษฐกิจ ด้วย 9 เคล็ดวิชา วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 11:29:03 )

จบอยู่ที่พระพุทธเจ้า

รายละเอียด

แต่ของพระพุทธเจ้าไม่โทษใคร โทษเรา ผิดถูกอยู่ที่เรา แต่ท่านก็ยืนยันว่าท่านถูกที่สุดรู้ที่สุด ใครก็ไม่รู้เกินท่าน เกิดมาเป็นคนถ้าถึงขั้นได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นอย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ ระดับไหนก็พอรู้ตัวบอกไปแล้วระดับ 7 อาตมาก็มีความรู้เท่านี้ แล้วพยายามจะทำความรู้นั้นให้เท่ากับพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งจบสูงสุดอาตมาก็จะไปรู้ขนาดนั้นให้ได้ พากเพียรไปไม่ได้หลงตัว แล้วก็รู้ที่จบ! จบอยู่ที่พระพุทธเจ้าแต่ตอนนี้ยังไม่จบ แต่ขนาดที่ยังไม่จบนี้ก็ช่วยคนได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2563 ( 11:10:09 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:02:37 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:20:21 )

จมอยู่ในสัตตาวาส 9 ตลอดกาล

รายละเอียด

หากคุณยังไม่รู้จักวิญญาณฐิติ 7 แล้ว คุณจะจมอยู่ในสัตตาวาส 9 ตลอดกาล แล้วตัวจบที่คุณหลุดพ้นสูงสุดก็คืออสัญญีสัตว์ ส่วนเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น เป็นเนวสัญญานาสัญญายะตะนะสัตว์ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะของอาริยะ แต่เป็นสัตว์ ไม่มีบุคคลที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 ไม่มีพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่มี เป็นสัตว์อยู่ตลอดเลย ไม่มีบุคคลที่1-8 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:06:12 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:08:29 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:20:48 )

จย

รายละเอียด

คือ ปัจจัย ควบคุมการเกิดได้

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชธานีอโศก วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2562 ( 16:43:28 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 15:01:08 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:21:04 )

จรณะ

รายละเอียด

คือ ความประพฤติ

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 139


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:16:46 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:10:51 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:22:25 )

จรณะ

รายละเอียด

ความประพฤติตามธรรมที่เป็นพุทธ , ความประพฤติประเสริฐ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 40,312


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:22:46 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:06:48 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:21:34 )

จรณะ

รายละเอียด

คือข้อปฏิบัติที่พาให้บรรลุวิชชา และก็มีข้อความ ประกอบด้วยศีลและสัมปทา อปัณกปฏิปทา และสัทธรรม 7 ฌาน 1 2 3 4

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 16:05:29 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 15:03:10 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:22:00 )

จรณะ

รายละเอียด

ความประพฤติตามธรรมที่เป็นพุทธ , ความประพฤติที่ประเสริฐ

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 11:20:39 )

จรณะ 15

รายละเอียด

จรณะ 15

1.     ศีล

2.    สำรวมอินทรีย์

3.    โภชเนมัตตัญญุตา

4.    ชาคริยานุโยคะ

5.    ศรัทธา

6.     หิริ

7.    โอตตัปปะ

8.    พหูสูต

9.     วิริยะ

10.  สติ

11.  ปัญญา

12.   ฌาน1

13.    ฌาน2

14.    ฌาน3

15.    ฌาน4

และมีวิชชาอีก 8มาประกอบกับจรณะ15  จะไม่ขาดกันทั้งปัญญาทั้งสิ่งต่างๆ ที่ปฏิบัติ  จะมีตัวปัญญารวมวินิจฉัย  ร่วมทำมาตลอดสาย  ไม่แยกกันเลย  วิชชา8 กับจรณะ15  ไม่ได้แยกกันเลย  ทำงานร่วมกันมาตลอด

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่14 ตุลาคม2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 14:08:51 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:37:45 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:28:04 )

จรณะ 15

รายละเอียด

จรณะ 15 การปฏิบัติศีลไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วโมเมว่า ได้ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ  แล้วศีลก็บริสุทธิ์เอง ซึ่งมันไม่ใช่ แม้แต่

ศีลข้อที่ 1 ก็ชัดเจนแล้วว่า คุณจะต้องมาตั้งต้นตั้งแต่มีศีลกำกับว่า คุณจะปฏิบัติตามศีลกำหนด ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ มีเมตตาต่อสัตว์ แล้วก็ต้องปฏิบัติสัมผัสกับสัตว์ แล้วคุณเกิดจิตไม่ทำร้ายมีความเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงจริงคน ที่สุดจริงๆ แล้วคุณก็จะลืมตาไม่เห็นจะต้องไปหลับตาคุณก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กับสัตว์ คุณก็เป็นพระอรหันต์อยู่อย่างนี้กับสัตว์ทั้งปวง สัตว์ทั้งปวงก็มีพระอรหันต์อยู่ด้วยเป็นผู้หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้ สัตว์ทั้งตัวก็คือสัตว์คนนี่แหละ สัตว์เดรัจฉานอื่นก็จะไปช่วยอะไรได้มากมาย มันมีวัฏสงสารของมันอีกเยอะแยะมากมาย ก็ไม่ต้องไปช่วยมันหรอก มีพระพุทธเจ้าให้ช่วย พระพุทธเจ้าจะช่วยสัตว์เดรัจฉานที่ท่านรู้ว่าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้เป็นโพธิสัตว์มาเกิดท่านก็ช่วยเท่านั้นเอง แต่ถ้าสัตว์เดรัจฉานที่มันไม่สามารถที่จะพัฒนาได้ท่านก็จะต้องปล่อยมันไปตามยถากรรม พระพุทธเจ้าจะไปช่วยสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นได้อย่างไร มีในตำนานพระไตรปิฎกมีไหม ต้องมีศีลเป็นตัวยืนยันเป็นหลักกำหนดขอบเขตของศีล ศีลข้อที่ 1 เป็นอย่างนี้ศีลข้อที่ 2 เป็นอย่างนี้

ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของ รวมทั้งดินน้ำไฟลมและพืช ของมันไม่มีบาปไม่มีบุญแต่มันมีความสุจริตเมื่อเอาของของเขา มันไม่สุจริตมันก็เป็นเรื่อง อีกอย่างก็เป็นเรื่องของเกี่ยวกับสัตว์ ต้องเมตตาปราณี ส่วนอันนี้เป็นเรื่องของตัวกูของกูข้อที่ 2

ศีลข้อที่ 3 นั้นเป็นการเสพรส ถ้าทำศีล 1 2 3 ถ้าเข้าใจให้ดีๆปฏิบัติได้ดีแล้วก็จะเป็นอรหันต์ได้ ส่วนวจีกรรมก็เป็นส่วนที่เสริมหนุน ยิ่งจิต เป็นตัวปฏิบัติทั้งข้างนอกกายกรรม หรือวจีก็ตาม มีมโนกรรมเป็นตัวประธาน จัดการกิเลสในมโนนั่นแหละแล้วก็จะบริสุทธิ์สามารถกดข่มได้แต่มันไม่จริงแต่ถ้าจิตบริสุทธิ์จริง กายกรรมมันก็จริงนะ วจีกรรมมันก็จริง ไม่ขัดแย้งกันเลย 

ศีลเป็นจรณะข้อแรกในจรณะ 15  และอีก 3 ข้อต่อมาก็เป็นตัวยืนยันว่าไม่มีการหลับตา

อปัณกธรรม3

1. สำรวมอินทรีย์  การสำรวมอินทรีย์หากทำแต่จิต 1 ก็ทิ้งไปอีก5 ทวาร พระพุทธเจ้าอนุโลมว่าทำอย่างนี้แล้วนะบางอย่างอาจจะหมดได้มีกายสักขียืนยันทั้งรูปนอกรูปในได้ แต่ไม่ได้เป็นอรหันต์ ที่พูดอย่างนี้คือคนที่ปฏิบัติธรรมมาแล้วมีภูมิเก่ามา ถ้าไม่มีของเก่ามาปฏิบัติอย่างนั้นไม่มีทางบรรลุได้ที่อาสวะมันจะหมด ไม่มีการถอนอาสวะได้เลยในศาสนาอื่น มีศาสนาพุทธเท่านั้นถอนอาสวะได้ ผู้ที่ปฏิบัติไปถึงกายสักขี โดยไม่ได้ปฏิบัติสมบูรณ์แบบให้ครบตั้งแต่ ศีล แล้วอปัณกธรรม3 แล้วจึงเกิดสัทธรรม7 อปัณกธรรม 3 ต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 แล้วก็มาพิจารณาการกินการใช้ 

2.โภชเนมัตตัญญุตา สิ่งที่กินไปได้เป็นอาหาร กินข้าวไปหล่อเลี้ยงร่างกาย อย่างเดียวนี้ก็สามารถพาให้บรรลุธรรมได้ อาหารคือคำข้าวนี่แหละจะรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในนั้นเราก็ปฏิบัติจนไม่ติดยึดได้ อาหารนี้ท่านขยายความต่อ อาหารเป็นคำข้าวแล้วยังมี ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหารวิญญาณอาหาร ถ้าเข้าใจแล้วไม่ได้ออกนอกจากที่พระพุทธเจ้าสอนถ้าได้แล้วมันจะรู้หมดเลยทำถูกหมดเลย อาตมาก็จะไม่ขยายความต่อเรื่องอาหาร 4 โภชเนมัตตัญญุตา หากไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีวันเป็นพระอรหันต์หรอก แม้ว่าจะมีภูมิเก่าบ้างแต่ว่าก็จะได้แค่กายสักขีไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ดีไม่ดีจะยาวนานกว่าปกติสายวิตรรกะที่ใช้เวลาถึง 80 อสงไขย เศษแสนกัปป์ แม้ข้อที่ 3 ของวิธีปฏิบัติที่ไม่ผิด คือการตื่น ชาคริยา 

3. ชาคริยานุโยคะ คือตื่น ไม่ต้องไปหลับตา แค่หลับตาก็ไม่ใช่แล้ว ชาคริยาคือลืมตาตื่น สามข้อนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ไปหลับตานี้มันโมฆะ

 

อธิบายอปัณกปฏิปทา 3ข้อนี้ แค่หลักฐานแค่นี้ก็เชื่อว่าสมบูรณ์แล้ว การสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตาแล้วก็การตื่นชาคริยานุโยคะไม่ต้องไปหลับตาปฏิบัติหรอกทฤษฎีพระพุทธเจ้าเรียนรู้ให้ดีไม่ต้องปฏิบัติแบบหลับตา ได้เป็นพระอรหันต์อย่างจริงด้วยไม่ต้องเป็น สุขวิปัสสโก อย่างที่อรรถกถาจารย์เอามาพูดที่ผิดเพี้ยนไป มันไม่ใช่อย่างนั้นด้วย ผ่านอปัณกปฏิปทา 3คุณเข้าใจและปฏิบัติได้จริงก็จะเกิดสัทธรรม 7หากว่าไม่ปฏิบัติอปัณกปฏิปทา 3 นี้สัทธรรม 7ไม่เกิด 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันที่ 2 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:13:19 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:34:50 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:26:08 )

จรณะ 15

รายละเอียด

จรณะ 15  (ข้อปฏิบัติ 15 เพื่อบรรลุวิชชา 3,  วิชชา 8 หรือข้อประพฤติไปนิพพาน)   เสขปฏิปทาสูตร ได้แก่

1. สังวรศีล (ถึงพร้อมด้วยศีล)

อปัณณกปฏิปทา 3

2. สำรวมอินทรีย์ (ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)

3. โภชเนมัตตัญญุตา (รู้ประมาณในการบริโภค)

4. ชาคริยานุโยคะ (ทำความเพียรตื่นอยู่)          

สัทธรรม 7

5. ศรัทธา (เชื่อมั่นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า)

6. หิริ (ละอายต่อการทำทุจริตกายวาจาใจ)

7. โอตตัปปะ(สะดุ้งกลัวต่อการทำทุจริตกายวาจาใจ)

8. พหูสูต (ฟังมาก รู้มาก ปฏิบัติธรรมแทงตลอดได้มาก)

9. วิริยารัมภะ/อารัทธวิริโย (ปรารภความเพียรละอกุศล)

10. สติ (ระลึกรู้ตัวไม่เผลอใจ)

11. ปัญญา (รู้แจ้งชำแรกกิเลสได้)      

ฌาน 4

12. ปฐมฌาน (ฌานที่ 1)

13. ทุติยฌาน (ฌานที่ 2)

14. ตติยฌาน (ฌานที่ 3)

15. จตุตถฌาน (ฌานที่ 4)  

คำอธิบาย

ปัญญา หมายถึง รวมทั้ง 11 ข้อ พ่อครู 27,9.2562

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 13 “เสขปฏิปทาสูตร” ข้อ27  32-34

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2562 ( 21:48:43 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:12:15 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:26:47 )

จรณะ 15

รายละเอียด

การปฏิบัติศีลไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วโมเมว่า ได้ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ  แล้วศีลก็บริสุทธิ์เอง ซึ่งมันไม่ใช่ แม้แต่

ศีลข้อที่ 1 ก็ชัดเจนแล้วว่า คุณจะต้องมาตั้งต้นตั้งแต่มีศีลกำกับว่า คุณจะปฏิบัติตามศีลกำหนด ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ มีเมตตาต่อสัตว์ แล้วก็ต้องปฏิบัติสัมผัสกับสัตว์ แล้วคุณเกิดจิตไม่ทำร้ายมีความเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงจริงคน ที่สุดจริงๆ แล้วคุณก็จะลืมตาไม่เห็นจะต้องไปหลับตาคุณก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กับสัตว์ คุณก็เป็นพระอรหันต์อยู่อย่างนี้กับสัตว์ทั้งปวง สัตว์ทั้งปวงก็มีพระอรหันต์อยู่ด้วยเป็นผู้หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้ สัตว์ทั้งตัวก็คือสัตว์คนนี่แหละ สัตว์เดรัจฉานอื่นก็จะไปช่วยอะไรได้มากมาย มันมีวัฏสงสารของมันอีกเยอะแยะมากมาย ก็ไม่ต้องไปช่วยมันหรอก มีพระพุทธเจ้าให้ช่วย พระพุทธเจ้าจะช่วยสัตว์เดรัจฉานที่ท่านรู้ว่าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้เป็นโพธิสัตว์มาเกิดท่านก็ช่วยเท่านั้นเอง แต่ถ้าสัตว์เดรัจฉานที่มันไม่สามารถที่จะพัฒนาได้ท่านก็จะต้องปล่อยมันไปตามยถากรรม พระพุทธเจ้าจะไปช่วยสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นได้อย่างไร มีในตำนานพระไตรปิฎกมีไหม ต้องมีศีลเป็นตัวยืนยันเป็นหลักกำหนดขอบเขตของศีล ศีลข้อที่ 1 เป็นอย่างนี้ศีลข้อที่ 2 เป็นอย่างนี้

ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของ รวมทั้งดินน้ำไฟลมและพืช ของมันไม่มีบาปไม่มีบุญแต่มันมีความสุจริตเมื่อเอาของของเขา มันไม่สุจริตมันก็เป็นเรื่อง อีกอย่างก็เป็นเรื่องของเกี่ยวกับสัตว์ ต้องเมตตาปราณี ส่วนอันนี้เป็นเรื่องของตัวกูของกูข้อที่2

ศีลข้อที่ 3 นั้นเป็นการเสพรส ถ้าทำศีล 1 2 3 ถ้าเข้าใจให้ดีๆปฏิบัติได้ดีแล้วก็จะเป็นอรหันต์ได้ ส่วนวจีกรรมก็เป็นส่วนที่เสริมหนุน ยิ่งจิต เป็นตัวปฏิบัติทั้งข้างนอกกายกรรม หรือวจีก็ตาม มีมโนกรรมเป็นตัวประธาน จัดการกิเลสในมโนนั่นแหละแล้วก็จะบริสุทธิ์สามารถกดข่มได้แต่มันไม่จริงแต่ถ้าจิตบริสุทธิ์จริง กายกรรมมันก็จริงนะ วจีกรรมมันก็จริง ไม่ขัดแย้งกันเลย 

ศีลเป็นจรณะข้อแรกในจรณะ15  และอีก3 ข้อต่อมาก็เป็นตัวยืนยันว่าไม่มีการหลับตา

อปัณกธรรม3

1. สำรวมอินทรีย์  การสำรวมอินทรีย์หากทำแต่จิต1 ก็ทิ้งไปอีก 5 ทวาร พระพุทธเจ้าอนุโลมว่าทำอย่างนี้แล้วนะบางอย่างอาจจะหมดได้มีกายสักขียืนยันทั้งรูปนอกรูปในได้ แต่ไม่ได้เป็นอรหันต์ ที่พูดอย่างนี้คือคนที่ปฏิบัติธรรมมาแล้วมีภูมิเก่ามา ถ้าไม่มีของเก่ามาปฏิบัติอย่างนั้นไม่มีทางบรรลุได้ที่อาสวะมันจะหมด ไม่มีการถอนอาสวะได้เลยในศาสนาอื่น มีศาสนาพุทธเท่านั้นถอนอาสวะได้ ผู้ที่ปฏิบัติไปถึงกายสักขี โดยไม่ได้ปฏิบัติสมบูรณ์แบบให้ครบตั้งแต่ ศีล แล้วอปัณกธรรม 3 แล้วจึงเกิดสัทธรรม 7 อปัณกธรรม3 ต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 แล้วก็มาพิจารณาการกินการใช้ 

2.โภชเนมัตตัญญุตา สิ่งที่กินไปได้เป็นอาหาร กินข้าวไปหล่อเลี้ยงร่างกาย อย่างเดียวนี้ก็สามารถพาให้บรรลุธรรมได้ อาหารคือคำข้าวนี่แหละจะรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในนั้นเราก็ปฏิบัติจนไม่ติดยึดได้ อาหารนี้ท่านขยายความต่อ อาหารเป็นคำข้าวแล้วยังมี ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหารวิญญาณอาหาร ถ้าเข้าใจแล้วไม่ได้ออกนอกจากที่พระพุทธเจ้าสอนถ้าได้แล้วมันจะรู้หมดเลยทำถูกหมดเลย อาตมาก็จะไม่ขยายความต่อเรื่องอาหาร 4 โภชเนมัตตัญญุตา หากไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีวันเป็นพระอรหันต์หรอก แม้ว่าจะมีภูมิเก่าบ้างแต่ว่าก็จะได้แค่กายสักขีไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ดีไม่ดีจะยาวนานกว่าปกติสายวิตรรกะที่ใช้เวลาถึง 80 อสงไขย เศษแสนกัปป์ แม้ข้อที่3ของวิธีปฏิบัติที่ไม่ผิด คือการตื่น ชาคริยา 

3. ชาคริยานุโยคะ คือตื่น ไม่ต้องไปหลับตา แค่หลับตาก็ไม่ใช่แล้ว ชาคริยาคือลืมตาตื่น สามข้อนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ไปหลับตานี้มันโมฆะ

อธิบายอปัณกปฏิปทา 3 ข้อนี้ แค่หลักฐานแค่นี้ก็เชื่อว่าสมบูรณ์แล้ว การสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตาแล้วก็การตื่นชาคริยานุโยคะไม่ต้องไปหลับตาปฏิบัติหรอกทฤษฎีพระพุทธเจ้าเรียนรู้ให้ดีไม่ต้องปฏิบัติแบบหลับตา ได้เป็นพระอรหันต์อย่างจริงด้วยไม่ต้องเป็น สุขวิปัสสโก อย่างที่อรรถกถาจารย์เอามาพูดที่ผิดเพี้ยนไป มันไม่ใช่อย่างนั้นด้วย ผ่านอปัณกปฏิปทา 3 คุณเข้าใจและปฏิบัติได้จริงก็จะเกิดสัทธรรม 7 หากว่าไม่ปฏิบัติอปัณกปฏิปทา 3 นี้สัทธรรม7 ไม่เกิด 

สัทธรรม 7 คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา  

ศรัทธา คือความรู้ความเชื่อความเข้าใจ ถ้าไม่มีอาการความรู้ความเข้าใจความเชื่อที่เป็นสัจธรรมที่เป็นของพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้ามันไม่เกิดศรัทธานี้มันไม่เกิดความเป็นหิหิริโอตตัปปะ เช่น ถ้าคนที่ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 เข้าใจมีภูมิปัญญาลึกซึ้งว่าเราต้องไม่ฆ่า เราไม่ไปเป็นเหตุให้เขาจะต้องมาตายด้วยอะไรก็แล้วแต่ คุณจะรู้ตามขึ้นไปเลยขึ้นเรื่อยๆ หิริ เสร็จแล้วคุณก็จะรู้ว่าจิตเรายังมีจิตที่ไปยินดีในการเห็นสัตว์เขาตาย ไม่ต้องอะไรหรอก เห็นสัตว์เขาตายก็เป็นวิบากแล้วไปยินดี ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังไม่พ้นวิบากได้ง่ายๆ ยินดีในสัตว์ที่เขาฆ่าเขาฆ่าสัตว์ เขาก็ฆ่าได้เยอะ ชาวประมงฆ่าสัตว์ได้เยอะ ก็ไปมีจิตยินดี ขนาดมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ววิบากยังไม่หมดเลย น่ากลัวไหม แค่ไปยินดี ที่เขาจับสัตว์มา ยังไม่ได้ฆ่าไม่ได้แกงต้มให้กินเลย สัตว์ตายถูกจับมา แค่นั้นยังเป็นวิบากที่ต้อยติ่งมาจนเป็นพระพุทธเจ้า มันต้องมีกุศลมากแล้ววิบากตามไม่ทันเท่าไหร่ แต่นี่ยังมีมาให้ท่านเป็นอีก วิบากมาปวดสมองเลย รู้ว่าวิบากตามเล่นงาน ท่านก็รู้เพราะว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า อันนี้ลึกซึ้ง อย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ก็รู้ตามมาว่ามีวิบากอย่างไร บางทีมันมีอะไรอยู่ในใจแต่มันก็ไม่แรงอะไรหรอก นี่ก็พูดให้ฟังเมื่อถึงคราวถึงเวลาแล้วคุณจะรู้ ยังไม่ถึงคราวมันไม่รู้หรอกอันนี้มันลึกซึ้ง 

         เพราะฉะนั้นคนจะมีศรัทธาที่เชื่อมีน้ำหนักความเชื่อ แบ่งไว้สาม คือ 1 เชื่อถือ 2 เชื่อฟัง 3 เชื่อมั่น คำไทยนะ ถ้ามีคนเชื่อถือศาสนาพุทธก็เชื่อถือไปอย่างนั้นแหละหัวหกก้นขวิด ไม่ได้ปฏิบัติอะไรทำตัวเละเทะ บอกว่าเป็นศาสนาพุทธ รักศาสนาพุทธ ใครอย่ามาแตะ ศาสนาข้าใครอย่าแตะสามารถตายแทนได้เลย แต่ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลยนั่นคือ เชื่อถือ 2 เชื่อฟัง จะปฏิบัติตาม คนที่เชื่อฟังก็จะปฏิบัติตามที่ท่านสอน ไม่ให้ฆ่าสัตว์หรือ ก็จะเชื่อฟังสูงกว่าเชื่อถือ 3 เชื่อมั่น ปฏิบัติแล้วเห็นผลชัดเจนจริงเลย อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่นเลย เมื่อศรัทธามากพอจึงเกิดอาการหิริ ละอาย เมื่อจิตไม่ดีกับสัตว์ คุณจะละอาย เช่น ปลาตัวนี้อ้วนพี น่าใส่หม้อแกงนะ คุณรู้จักใจตัวเองแล้วจะละอาย เห็นผู้หญิงคนนี้งาม เฮ้ย! กามนะเว้ย จะละอาย แต่ถ้าคนไม่มีสำนึกอย่างนี้จ้างให้มันก็ไม่ละอาย แล้วมันไม่รู้ด้วยว่าอายทำไมวะก็ผู้หญิงสวย ชายมันก็ต้องชอบสิ ปลามันอ้วนพีมันก็ต้องน่ากินสิ น่าเอามาลงหม้อแกง ใช่ไหม มันจะหิริอะไร

หิริ แล้วก็โอตตัปปะ 

หิริ คือ ละอาย แต่ลับหลังก็ยังทำอยู่แต่ถ้าโอตตัปปะแล้วมันมีความเกรงกลัว ต่อหน้าหรือลับหลังก็ไม่ทำบริสุทธิ์ตลอด 

แค่หิริโอตตัปปะ ปฏิบัติแล้วจะเจริญขึ้นจากบาปอกุศลที่คุณละอายคุณกลัวและคุณก็ปฏิบัติถูกต้องคุณก็สั่งสมคุณธรรมลงไป เป็นจริงเรียกว่าพหูสูต เป็นผู้รู้ที่ได้เกิดจากผลของการกระทำมากไม่ใช่แค่รู้เฉยๆนะ พหูสูตหรือพาหุสัจจะ

พหู ก็แปลว่ามาก

พาหุ ก็แปลว่ามาก แต่มากคนละระดับ

อา กับ อุ พาหุ กับพหู

อู นี้มีน้ำหนัก อุ นี่เริ่มต้นคี่ อา พา หุ นำมา พอมาถึง มันสั้นแล้วมันก็สูง พหู สูงกว่าพาหุสัจจะ พหูสูต สูต ก็แปลว่าความเจริญความดีงามความรู้ มันมีความรู้สูงขึ้นสูงขึ้น เจริญมากขึ้นมากขึ้น ถ้าจะเอาคำว่าพหูสูต มาใช้ตรงนี้ ไม่ใช่พาหุสัจจะ

ส่วน วิริยะ สติ ปัญญา เป็นพลังงานร่วมที่จะเสริมให้เจริญใน 4 อันนี้แหละ ในศรัทธาหิริ โอตตัปปะ พหูสูต มันจะเป็นตัวเสริม เมื่อเห็นว่าดีแล้วก็จะเว้นระยะมีสตินำสติกับปัญญาเป็นคู่ที่จะพาให้เจริญ สติเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตตระพาให้เจริญให้ได้ ในอินทรีย์ 5 ศรัทธาเป็นตัวต้นเหตุวิริยะสติสมาธิปัญญาต่อมาสั่งสมคุณสมบัติเหล่านี้จึงจะเกิดเป็นฌานเป็นสมาธิ ก่อนจะเป็นสมาธิ ไม่มีสมาธิในสัทธรรม 7 นะ คือจิตจะตกผลึกตั้งมั่น ต้องมีสัทธรรม 7 นี้ทำให้เกิดจิต สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นไปตามลำดับของฌานที่ 1 2 3 4 

ฌาน 1 ก็เป็นสร้างพลังงานในระดับต้องมีวิตกวิจาร ต้องมีการคิดต้องมีการรู้พฤติกรรมของจิตต่างๆ แล้วก็ต้องรู้ขนาดแล้วรู้วิธีทำ ทำได้ เมื่อทำได้ก็ได้ผล เมื่อได้ผลคุณก็ดีใจเป็นปิติ ฌาน 1 มีทั้ง วิตกวิจาร ปีติ สุขก็มีรวมหมด เอกัคคตา เป็นจิตที่ยิ่งใหญ่ 

ฌาน 2 จะต้องทำงาน ได้ง่ายขึ้นเก่งขึ้นเบา ขึ้นแล้ววิตกวิจารที่ยากลำบากหมดไปเหลือที่ทำได้ง่ายขึ้นแล้วก็มีปีติ เริ่มมีสุขจริงมากกว่า จนถึง

ฌาน 3   จึงชื่อว่า ปีติ สุข และ อุเบกขา

ฌาน 4 จึงเป็นอุเบกขาเต็มที่หรือสุขอุเบกขา สุขด้วยความว่าง สุขด้วยจิตที่ไม่มีกิเลสจนกระทั่งความสุขนี่มันเนียนกลาง 

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช สภาวะของวิชชาจรณสัมปันโน วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2562 ( 12:42:53 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:37:11 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:27:46 )

จรณะ 15

รายละเอียด

คือข้อปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม อันปลอดโปร่งจากกิเลส

1. ศีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล                 

2.อินทรีย์สังวร คุ้มครองทวารอินทรีย์    

3.โภชเนมัตตัญญุตา ประมาณในโภชนา     

4.ชาคริยานุโยค ประกอบความตื่น  

5.ศรัทธา (เชื่อมั่น)   

6.หิริ (ละอายต่อบาป)  

7. โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป).  

8. พาหุสัจจะ แทงตลอดในพหูสูต    

9. วิริยะ ปรารภความเพียร

10. สติ อันเป็นอาริยะ

11. ปัญญา

12. ปฐมฌาน

13. ทุติยฌาน

14. ตติยฌาน

15. จตุตถฌาน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 34 


เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2562 ( 13:04:58 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:36:08 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:27:11 )

จรณะ 15

รายละเอียด

จรณะ 15

  1. ถึงพร้อมด้วยศีล . . 9. ปรารภความเพียร  (อารัทธวิริโย)

  2. คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ 

  3. ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา   

  4. ประกอบความตื่น 12. ปฐมฌาน 

  5. ศรัทธา (เชื่อมั่น) 13. ทุติยฌาน 

  6. หิริ (ละอายต่อบาป)  14. ตติยฌาน 

  7. โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป)  15. จตุตถฌาน 

  8. แทงตลอดในพหูสูต   (ล.13/34)

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2563 ( 11:24:42 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 15:12:07 )

จรณะ 15

รายละเอียด

การปฏิบัติศีลในจรณะ 15 เป็นข้อแรก วิธีปฏิบัติก็จะต้องอยู่กับโลก แล้วก็ต้องสัมผัสสัมพันธ์มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ต้องสังวร สำรวมอินทรีย์ เกี่ยวข้องกับสัตว์ทั้งหลายแหล่ เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทั้งหลายแหล่ ก็สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ต้องปฏิบัติ 3 ข้อนี้ 1.แต่ละคนมีศีลที่เหมาะสมกับตนเอง 2.  มีการปฏิบัติที่ไม่ผิด ก็ต้องมีการสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ยิ่งคำว่าชาคริยานุโยคะ จะต้องทำตนเป็นผู้ตื่น ตื่นทั้งกาย ตื่นทั้งวาจา ตื่นกายกรรมมีสติควบคุมเต็ม มีความรู้ ทั้งเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เรียกว่ามีนาม 5 มันคือเป็นผู้ที่มี นาม ครบ ในการปฏิบัติธรรม แล้วก็ปฏิบัติกับรูป 28 ก็จะต้องเจอดินน้ำลมไฟมหาภูตรูป 4 แล้วก็จะต้องทำงาน ประสาทมีการสัมผัสเกี่ยวข้อง โคจระ โคจรออกไปเป็นอวจร เป็นกามาวจร ที่จะต้องเกี่ยวข้องกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นตัวกลาง โผฏฐัพพะ คือครบทุกทวารข้างนอก ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำงานร่วมกัน เป็นโคจระ มีปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 หักไปหักมาเหลือ 4 เป็น 9 เป็นนัยยะคำสอนของพระพุทธเจ้า สัมผัสกันก็จะเกิดภาวะ 2 ขึ้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทสน์ทำวัตรเช้า วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 14:44:41 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:32:32 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:24:59 )

จรณะ 15

รายละเอียด

คือข้อประพฤติเพื่อบรรลุธรรม อันปลอดโปร่งจากกิเลส

1. สังวรศีล (ถึงพร้อมด้วยศีล)

อปัณณกปฏิปทา 3

2. สํารวมอินทรีย์ (ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)

3. โภชเนมัตตัญญูตา (รู้ประมาณในการบริโภค)

4. ชาคริยานุโยคะ (ทําความเพียรตื่นอยู่)

สัทธรรม 7

5. ศรัทธา (ความเชื่อมั่นอย่างสัมมาทิฏฐิ)

6. หิริ (ละอายต่อการทําทุจริตกายวาจาใจ)

7. โอตตัปปะ(สะดุ้งกลัวต่อการทําทุจริตกายวาจาใจ)

8. พหูสูต (ฟังธรรมรู้ธรรมมาก)

9. วิริยารัมภะ (เพียรไม่หยุดยั้ง)

10. สติ (ระลึกรู้ตัวไม่เผลอใจ)

11. ปัญญา (รู้แจ้งชําแรกกิเลสได้)

ฌาน 4

12. ปฐมฌาน ฌานที่ 1)

13. ทุติยฌาน ฌานที่ 2)

14. ตติยฌาน ฌานที่ 3)

15. จตุตถฌาน ฌานที่ 4)

 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฏกเล่ม 13 “เลขปฏิปทาสูตร” ข้อ27 –32


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2565 ( 11:08:47 )

จรณะ 15 ข้อประพฤติไปนิพพาน

รายละเอียด

อายุเท่าไหร่ (8 ขวบ) พยายามจะอธิบายเป็นภาษาสำหรับผู้อายุประมาณยังไม่ถึง 10 ขวบให้ฟังดู “จรณะ” นี่แปลว่า การประพฤติ เข้าใจความประพฤติไหม? ความประพฤติของเรา เราประพฤติดีหรือไม่ดีในจรณะ ความประพฤติต่างๆ พระพุทธเจ้าท่านมีหลักเกณฑ์ให้เรียกว่า “วิชชาจรณะ สัมปันโน” ผู้ที่บรรลุธรรมวิชชาจรณะแล้ว จะรู้จักหลักเกณฑ์ “จรณะ 15” (ข้อปฏิบัติ 15 เพื่อบรรลุวิชชา 3  วิชชา 8 หรือข้อประพฤติไปนิพพาน)

1. ศีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล    

2. อินทรีย์สังวร คุ้มครองทวารอินทรีย์

3. โภชเนมัตตัญญุตา ประมาณในโภชนา

4. ชาคริยานุโยค ประกอบความตื่น

5. ศรัทธา (เชื่อมั่น)

6. หิริ (ละอายต่อบาป)

7. โอตตัปปะ (สะดุ้งบาป) 

8. พาหุสัจจะ แทงตลอดในพหูสูต 

9. วิริยะ ปรารภความเพียร

10. สติ อันเป็นอาริยะ 

11. ปัญญา 

12. ปฐมฌาน  

13. ทุติยฌาน 

14. ตติยฌาน  

15. จตุตถฌาน  (พตปฎ.ล.13/34) 

จรณะนี้ให้ฝึกหัดประพฤติตามหลัก 15 ข้อ ซึ่งเป็นภาษาที่บอกว่าอันนี้ 1 แล้วก็ทำอันนี้จะเกิดอันนี้ เช่นท่านบอกว่า ศีล แล้วประพฤติในหลัก 3 อย่างนี้นะ 

หลัก 3 อย่างมี 1 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรา มันเป็นทวารรับสัมผัสรู้เรื่องอะไรต่างๆ นานาแล้วก็จะเกิดจิตต่างๆ ก็ให้สังวรสำรวมระมัดระวัง ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ได้เห็นรูปได้ยินเสียงได้กลิ่นทางจมูก ได้รับรสทางลิ้นของเรา ได้สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งที่ผิวข้างนอกเข้าไปข้างใน หรือทางในใจของเราปรุงแต่งอยู่ข้างใน แล้วก็ให้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้น จะสัมผัสแล้วมีการคลุกเคล้าปรุงแต่ง

อันที่ 3 เรียกว่าปฏิบัติไม่ผิดของหลักใหญ่เลยของศาสนาพุทธต้องมี 3 หลักนี้ ปฏิบัติไม่ผิด ถ้าไม่ปฏิบัติ 3 อย่างนี้ ไม่ได้เข้าพุทธเลย ไม่มีสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 การกินการใช้ โภชเนมัตตัญญุตา และฝึกพากเพียรให้เป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ 

คำว่า การตื่น ชาคริยา หรือชาคระ มันเป็นความตื่นมีสติเต็มข้างนอก เต็มข้างใน สติเต็มทั้งในกายวาจา สติเต็มทั้งในจิตเข้ามารวมเป็นผู้ตื่นผู้มีความรู้ ทุกอย่าง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 22 วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 20:35:12 )

จรณะ 15 คือการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

เมื่อ จรณะ 15 ข้อที่ 1 2 3 4 โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ 3 ข้อ ปฏิบัติธรรมของพุทธเจ้าจะต้องลืมตาสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่เป็นหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน การไปนั่งหลับตานี้มันผิดแล้วมันไกลไปจาก อปัณกปฏิปทา มันเป็นการปฏิบัติผิดธรรมะพระพุทธเจ้า การปิดหูปิดตาไม่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ในข้อแรก ศีลข้อที่ 2 เรียนรู้สัมผัสกับของกินของใช้ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัส มันจะมีกิเลสในสิ่งนี้ ก็จะต้องเป็นผู้มีสติ ชาคริยานุโยคะ ปฏิบัติอย่างนี้แหละจะเกิดปัญญาเกิดวิมุติ สมาธิปัญญาวิมุติจะเกิดได้อย่างไร จากข้อที่ 4 5 6 7 8 9 10 ก็คือสัทธรรม 7 ก็เมื่อปฏิบัติ 4 ข้อนี้ก็จะเกิดสัทธรรม ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูต วิริยะสติปัญญา ก็จะเกิดอธิจิต 7 เป็นเทวธรรม จะเกิดจิตรู้เป็นศรัทธาเป็นความเข้าใจเชื่อถือ ปฏิบัติ 4 ข้อนั้นก็จะมีการสำรวมสังวร เกิดความละอาย การเกี่ยวข้องกับสัตว์วุ่นวายกับสัตว์มันน่าอายไม่เอา จะต้องไปฆ่า เมื่อก่อนไม่สังวรเลย สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ฆ่าหมดแต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว ต่างคนต่างอยู่เนาะ ไม่สร้างวิบากร่วมกันอีกแล้ว มีวิบากร่วมกันมาเท่าไหร่ก็ไม่รู้แหละ สัตว์ที่เป็นเซลล์แล้วมันเป็นจิตนิยาม ตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยจนถึงสัตว์ใหญ่ ต่างคนต่างพอ อย่ามาเพิ่มวิบากต่อกันอีก อย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 12:21:25 )

จรณะ 15 ทำให้เกิดปัญญา 8

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านเริ่มต้นด้วยศีล จะได้ปัญญาต้องปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 มีศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 แล้วก็ไล่ไปเป็นพลังงานทางจิตเป็นฌาน 4 ซึ่งมีวิชชา 8 คือปัญญาเป็นยาดำพวกนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญ เมื่อสามารถมีศีล แล้วก็มี อปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติไม่ผิด ถ้ามีการรู้ สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่ใช่ไปหลับตา ปิดหูปิดตา แล้วก็มีสิ่งที่กระทบสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีใจรับรู้ทุกทวาร แล้วก็พิจารณาต่อวัตถุ ต่อพืชพันธุ์ธัญญาหาร ต่อสัตว์ หรือต่อคนที่สัมผัสกัน ก็พิจารณา ใช้วิจารณญาณตลอดเวลาในการปฏิบัติโภชเนมัตตัญญุตา ประมาณให้มันได้ส่วนสัด ให้มันได้สิ่งที่ดีที่สุด เป็นกัมมัญญตา

สรุปแล้ว ศีลก็ดี อปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติให้ถูกต้อง มีครบ มีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค ตื่น แต่นี่เขาพยายามหลับ ไม่พยายามตื่น ไปหลับตานั้นมันหลับแล้ว พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ลืมตา มีจักษุ มีปัญญาญาณ มีวิชชาแสงสว่าง ต้องรับมีแสงประกอบกันตารับรู้ ถ้ามันไม่มีแสงมันมืดก็มองไม่เห็น ต้องแสงสว่างเต็มที่ แสงสว่างของพระอาทิตย์เลย อาโลก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 3 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 เมษายน 2564 ( 21:16:28 )

จรณะ 15 ปฏิบัติอย่างไร

รายละเอียด

ก็ทวนอีก ทวนตรงที่ว่า การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ปฏิบัติมีอาริยะ 4 ศีลเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะ มีความสันโดษอันเป็นอริยะ ปฏิบัติศีลแล้วก็เกิดเป็นอารยะเกิดโลกุตรธรรมขึ้นมาได้ ผู้ที่ปฏิบัติสีลัพพตุปาทาน ถือศีลเคร่งอะไรกันไปตามตามกันไปเป็นมิจฉาทิฐิ ตามครูบาอาจารย์ตามจารีตประเพณีพาทำ ไม่ได้มรรคผลอะไรเรียกว่า สีลัพพตุปาทาน แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิปฏิบัติแล้วเป็นสัมมาปฏิบัติ ปฏิบัติศีลไปตามลำดับปฏิบัติแล้วกิเลสเราจะลดในจุลศีล ส่วนมหาศีล เป็นศีลองค์รวมที่ชาวพุทธจะต้องไม่ให้มีสิ่งเหล่านี้ ส่วนจุลศีลมัชฌิมศีลให้ปฏิบัติส่วนตัวแล้วจะได้ลดละกิเลสไป มัชฌิมศีลก็จะเก็บรายละเอียดของจุลศีล และมีสิ่งที่จะเสริมหนุนให้สมบูรณ์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ภิกษุทั่วไปจะไม่ได้รู้จักศีล 43 ข้อแล้ว จะรู้จักแต่วินัย 227 ข้อที่มีในปาติโมกข์ อย่าละเมิดเพราะเป็นข้อที่มีการลงโทษ หากปาราชิก ไล่ออกจากศาสนาไปตลอดชาติเลย ส่วนศีล เคยปฏิบัติก็จะบรรลุมรรคผลไปเป็นส่วนตัวศีล เช่นเป็นหลักของศาสนา จรณะ 15 ศีล ถึงแยกไป 1 เลย จะถือศีลกี่ข้อจะถือศีลระดับเท่าไหร่ก็ส่วนตัวไม่เกี่ยวกับใคร ให้เหมาะสมกับตัวเอง เพราะฉะนั้นจึงต้องมีข้อกำหนด ศีล สำหรับตัวเองแล้วปฏิบัติ เริ่มปฏิบัติก็มีหลักการอีก 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ โดยมีข้อศีลเป็นหลักการ แล้วคุณก็ต้องปฏิบัติแบบนี้ ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวข้องกับสัตว์คุณก็จะต้องสัมผัสสัมพันธ์กับสัตว์ ปฏิบัติแล้วก็เกี่ยวข้องโดยเฉพาะสัตว์คือตัวบุคคล คนนี่ล่ะ คือสัตว์ตัวใหญ่ สัตว์ที่สำคัญมันยั่วกิเลสดีนัก สัตว์ปูปลาหมูหมา คนจะกินเนื้อมันหรือเอามันมาเล่นหัวเอามันมาฆ่าก็แล้วแต่ มันก็ไม่ยากนะ แต่คนนี่กระบิดกระบวนมีลีลา สัตว์คนนี่แหละ แล้วคุณจะต้องสัมผัสสัมพันธ์กับคนนี้แหละไม่ใช่หนีไปเหมือนพวกเชนไม่คบกับใครเข้าป่า ไปดิ่งๆ หายไปเลย อยู่ในป่าเขาถ้ำ ทั้งปีทั้งชาติไม่เกี่ยวกับใคร มีแต่กินแต่อยู่ไปผ่านวันเวลาไปรอวันเวลาตายเท่านั้น ซึ่งมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย มันเป็นเกิน ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิบัติศีลแล้วไม่รู้จักปฏิบัติศีลให้ถูก พระพุทธเจ้าก็กำกับไว้หมดแล้วต้องมีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ต้องมีการสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับของกินของใช้ ศีลข้อที่ 1 ก็คือสัตว์แล้ว ศีลข้อที่ 2 ก็เกี่ยวกับของใช้ โภชเนมัตตัญญุตา จะต้องรู้จักการกำหนดประมาณในสิ่งที่คุณกินใช้ เกี่ยวข้องกับธนบัตรก็เป็นของใช้ มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะต้องไปหลงใหลได้ปลื้มที่จะต้องน่ามีน่าได้มันก็เป็นเครื่องใช้อย่างหนึ่ง อาหาร กวฬิงการาหารก็เป็นสิ่งที่ต้องกินเข้าไปเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ไม่ใช่ของที่จะบ่งบอกศักดิ์ศรีอะไร กินเข้าไปเพื่อเลี้ยงร่างกายเท่านั้น ต้องอ่านจิตตัวเอง ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับของกินของใช้ จิตใจเราเกิดกิเลสอย่างไรก็รู้ แล้วกิเลสเกิด แล้วก็ต้องพิจารณาไตรลักษณ์ ไอ้พวกนี้เป็นผีหลอกทั้งนั้นแหละ ผีเป็นนามธรรมไม่ใช่ผีแบบช่องส่องผีที่เป็นตัวตนหยาบ แต่นี่เราเป็นพวกสัมมาทิฏฐินักปฏิบัติธรรมชั้นสูงแล้ว ก็อ่าน อาการ ลิงค นิมิต คุณต้องกำหนดหมายรู้เอง นิมิต อาการอย่างนี้ เป็นอาการชอบอาการไม่ชอบ อาการรู้สึก บางเบา หรือมากหรือน้อย ซึ่งจะมีลักษณะต่างๆในอาการต่างๆ ตั้งแต่มันเป็น กายิกะ เป็นความรู้สึก กายิกเวทนา หรือเจตสิกเวทนา มันเนื่องมาจากข้างนอก อันนี้มันหมดแล้วเป็นภูมิธรรม ข้างนอกรสหมดแล้วเป็นอนาคามี มีแต่ เจตสิกะ เราก็อย่าให้ผิดพลาด แม้ว่าคุณจะเหลือแต่ในเจตสิก แต่ข้างนอกคุณก็ยังสัมผัสสัมพันธ์อยู่นะ เราแน่ใจ เราไม่มีกิเลสภายนอก มีแต่ภายใน หากมันแรง มันก็จะออกเป็นท่าทีลีลามันก็เรื่องของคุณ แต่ถ้ามันไม่แรงก็กำกับมันไว้ได้ มันไม่ออกลีลามาก็จะทำท่ายังกับพระอรหันต์ได้ แต่ที่ไหนได้ข้างในยังมีอยู่ก็แล้วแต่ไม่เป็นไร คุณสังวรระวังเอาแล้วก็ต้องพิจารณาด้วยปัญญาอันยิ่ง พลังงานของปัญญานี้มันชัดเจน คุณก็จะรู้ว่ามันไม่เก่งหรอกกิเลส เอาจริงๆแล้วมันตาย มันไม่ใช่ของจริงหรอกมันต้องหายไปได้เอาจริงๆเถอะ คุณเอากิเลสมันตาย แต่ถ้าคุณสู้มันไม่ได้มันก็เอาคุณตายมาไม่รู้กี่ชาติแล้วนะ เพราะฉะนั้นคุณก็พิจารณาไตรลักษณ์ ปัญญาอันยิ่งที่เห็นด้วยไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วมันก็ไม่ใช่ตัวตนอะไร 3 คำนี้แหละยิ่งใหญ่มากเลย ถ้าคุณเห็นคุณเข้าใจชัดแล้ว ถ้าคุณเก่งก็จะรู้ว่าปัดโธ่เอ๊ยไอ้หน้าแหลม มันไม่เที่ยงหรอก มันจะหายไปเลย มันไม่มาทำท่าทีลีลาเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้เราเลย แล้วก็รีบหายวับไป คุณก็จะเห็นว่ามันเป็นอนัตตา มันเป็นความไม่เที่ยงแล้วอนัตตาเลย ยังไม่ทันจะก่อความทุกข์ให้แก่เราหรอก ถ้าหากพลังงานปัญญาเรามีฤทธิ์เก่งเช่นนั้น ใครพอจะมีฤทธิ์ทำอย่างนี้ได้บ้างมันหายไปทันที บางคนหลงว่านี้เป็นพลังสติ เป็นแต่เพียงมีสติ บอกว่ามีสติไอ้นี่มันก็หายไปแล้ว นั่นแสดงว่าสติของคุณมีพลังงานอธิปไตย กำลังสติของคุณสูงทีเดียวเป็นพลังอธิปไตยที่แรง สติเป็นอธิปไตย มันมีพลัง สตินี้มันจะชัดทั้งภายนอกทั้งภายใน ครบเรียกว่าเต็มร้อยสตินี้ไม่มีพร่อง ถ้าหากกายกรรมวจีกรรมก็เต็มร้อย มโนกรรมก็เต็มร้อยจึงเรียกว่ามีสติสมบูรณ์ที่สุดเป็นผู้ที่ตื่นเต็ม แล้วจะมีพลังงานสูงสุดตามความจริงของแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้น ศีล สำรวมอินทรีย์อันเป็นอริยะ ก็หมายความว่าเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิแล้วเกิดสัมมาปฏิบัติเกิดสัมมาปฏิเวธได้เป็นไปตามลำดับ ธัมมานุธัมมปฏิปัติ ได้ผลบุญหรือทำเป็นตามลำดับ เพราะคุณทำการโยนิโสมนสิการคุณทำใจในใจเป็น อยู่ในปัญญาวุฒิ 4 ได้พบสัตบุรุษได้ฟังสัจธรรมก็ได้ โยนิโสมนสิการก็ได้ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอย่างนี้เป็นต้น เมื่อคุณปฏิบัติถูกไม่ผิด 3 ข้อนี้ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ มีสติตื่นเต็มร้อย ไม่ใช่ผู้ที่ไม่ตื่นหรือไปนอนหลับตาด้วย ชาครี ชาคระ แปลว่าผู้ตื่นต้องมีอาการตื่นเต็มทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม สามข้อนี้เป็นเงื่อนไขที่ชัดเจนยิ่งอยู่แล้วในจรณะ 15 ของพระพุทธเจ้าถ้าไม่มี 3 ข้อนี้ คุณจะทำไม่ตรง 3 ข้อนี้คุณไปหลับตาปฏิบัติเข้าป่าเขาถ้ำ ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรนั่นแหละมันผิดจาก 3 ข้อนี้ไปหมดเลย เป็นเดียรถีย์อย่างที่พระป่าปฏิบัติทุกวันนี้ส่วนใหญ่เลยที่ปฏิบัติสายพระป่าธุดงค์ สู่แดนธรรมก็เคยเป็นเหมือนกับพวกนี้มา ก็เป็นพวกสายอาจารย์มั่น อาจารย์เสาร์ ขออภัยที่กล่าวชื่อ มันเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้รับการศึกษา ถ้าหาก 3 ข้อนี้ไม่ตรงทำผิดเพี้ยน ผลของจรณะทั้งหลายข้ออื่นๆก็เป็นโมฆะ ไม่เต็มเต็งไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ถ้าปฏิบัติตามสามข้อนี้ได้ดี ตรงและถูกต้องคุณก็จะเกิดมรรคผลก็คือเกิดสัจธรรม 7 และฌาน 4 ฌาน 4 เป็นพลังงานไฟกำจัดกิเลส พลังงานที่คุณจะต้องทำใจในใจของคุณให้เป็นพลังงานที่ คุณก็จะต้องพยายามสร้าง ไฟที่ว่าคือปัญญา ไฟที่ว่านี่คือความรู้ ปัญญาอันยิ่ง ฌาน อยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานอยู่ที่นั่น ฌาน ที่ไม่มีปัญญาไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า ปัญญา ที่ไม่มีฌานก็ไม่ใช่ปัญญาของพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 13:45:51 )

จรณะ 15 วิชชา 8

รายละเอียด

จรณะ 15 วิชชา 8 พระพุทธเจ้าไม่อุบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มี ธรรมะพระพุทธเจ้าก็คือ จรณะ 15 วิชชา 8 แล้วก็ปฏิบัติอันนี้แหละนอกไปจากนี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า จรณะ 15 

  1. ศีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล               9. วิริยะ ปรารภความเพียร

  2. อินทรีย์สังวร คุ้มครองทวารอินทรีย์      10. สติ อันเป็นอาริยะ . .

  3. โภชเนมัตตัญญุตา ประมาณในโภชนา  11. ปัญญา   

  4. ชาคริยานุโยค ประกอบความตื่น         12. ปฐมฌาน 

  5. ศรัทธา (เชื่อมั่น)                            13. ทุติยฌาน 

  6. หิริ (ละอายต่อบาป)                        14. ตติยฌาน 

  7. โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป)                   15. จตุตถฌาน 

  8. พาหุสัจจะ แทงตลอดในพหูสูต           (พตปฎ.ล.13/34) 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 34


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 09:56:40 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 16:42:47 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:30:56 )

จรณะ 15 วิชชา 8 ขึ้นหัวเรื่อง ศีล

รายละเอียด

ศีลเป็นตัวกำกับกำหนดกรอบขอบเขตของทุกอย่าง ส่วนอปัณณกปฏิปทา 3 คุณต้องปฏิบัติอยู่ใน 3 หลักนี้ให้ได้ ต้องมี ถ้าไม่มี 3 หลักนี้ ไม่ใช่พุทธ ต้องมี 3 ข้อนี้จึงเป็นพุทธคือ สำรวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ ถ้าคุณบอกว่าจะถือศีล แต่ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายไปสัมผัสคุณไปนั่งหลับตาปฏิบัติ นั่งหลับตาแล้วคุณจะต้องไปถือศีลทำไม ศีล มันต้องเกี่ยวข้องกับสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 จะต้องเกี่ยวกับการพิจารณาของกินของใช้ โภชเนมัตตัญญุตา อาหารการกินเครื่องใช้ไม้สอยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ ถ้าหากเกี่ยวข้องกับสัตว์มันจะอยู่ในอาหาร ถ้าเผื่อว่าเกี่ยวข้องกับของกับพืชมันจะอยู่กับเครื่องใช้ เรื่องกินก็คืออาหาร กวฬิงการาหาร เครื่องใช้คือดินน้ำไฟลมกับพืช พืชเป็นพีชนิยาม ไม่มีความรักไม่มีความชัง ไม่จองเวรจองกรรม ไม่สุขไม่ทุกข์อะไร มันมีชีวะแต่มันมีคุณสมบัติเหมือนกับวัตถุหลายอย่าง แต่ว่ามันเป็นชีวะมันก็มีความต่าง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 27 มีนาคม 2563 ( 12:04:14 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:12:03 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:28:29 )

จรณะ 15 วิชชา 8 ต้องใช้ในการปฏิบัติ

รายละเอียด

เรื่องจริงนะ เหลือแต่คุณปฏิบัติจริงๆ ไล่เรียงไปเลย ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 ตามลำดับ คุณจะเกิด สัทธรรม 7 ฌาน 4 ไปตามลำดับเป็นจรณะ15 แล้วมีวิชชาควบคุม วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์ เจโตปริยญาณ ไปตามลำดับได้อีก 3 ข้อเป็นการทบทวนคือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เป็นการทบทวนตรวจสอบว่าหมดอาสวะไหม 5 ญาณนี่แหละวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์ เจโตปริยญาณ 5 ญาณนี่ล่ะ คุณต้องใช้ในการปฏิบัติธรรม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2566 ( 13:03:21 )

จรณะ 15 วิชชา 8 นี่แหละคือพุทธคุณของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่สำคัญที่สุด

รายละเอียด

ถามว่าต่างจากวิชชาจรณสัมปันโน 15 หรือไม่ ไม่ต่าง แต่คุณพูดไม่ครบเท่านั้นเพราะว่า จรณะและวิชชามีวิชชา 8 อยู่ในนั้นด้วย คุณเอาวิชชา 8 ไปทิ้งที่ไหน แตกต่างคือพูดครบทั้งจรณะ แต่วิชชา 8 ไม่ได้พูดจรณะ แต่ถ้าพูดวิชชาจรณสัมปันโน ก็ครบ ก็สมบูรณ์และจรณะ 15 วิชชา 8 นี่แหละคือพุทธคุณของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก็คืออันนี้ อาตมาก็ย้ำไม่รู้กี่ทีแล้ว สำคัญที่สุด

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2563 ( 11:35:08 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:39:54 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:28:54 )

จรณะ 15 วิชชา 8 ปฏิบัติแล้วได้มรรคได้ผล ไขทุกปัญหา

รายละเอียด

จรณะ 15 วิชชา 8 มันไขทุกอย่างเลย ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิได้มรรคได้ผล ล้างอาสวะสิ้น หมดสิ้นอาสวะนั้น เป็นเรื่องของจิตนิยาม เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของพระเจ้า เป็นเรื่องของการล้มล้างพระเจ้า เลิกเลย สลายเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ไปเลย 

พระเจ้าคือพระจิตวิญญาณ แล้วของเขาไม่รู้เรื่องพระเจ้า พระเจ้าของเขาก็เลยหลงเป็นอำนาจเหมือนกับลัทธิที่มีอำนาจในโลก ยกให้เลยทั้งๆ ที่ไม่รู้จักเลยว่าพระเจ้าอยู่ไหน ไหนพระเจ้า ไม่เคยรู้จักอัตภาพของพระเจ้า สมมุติไปอย่างนั้นแหละ ซึ่งมันต้องมาศึกษา พระเจ้าก็ต้องอยู่ในตัวจิตวิญญาณ แล้วในคนมีวิญญาณไหม ก็มี ก็ศึกษาวิญญาณในตัวคนศึกษาให้ทะลุเลยว่า แล้ววิญญาณจริงๆ มันเป็นอย่างไร อ๋อ! วิญญาณจริงๆ เป็นธาตุสังขาร เป็นธาตุที่มีรูปนาม ศึกษาได้อย่างนี้เองหรือ แยกรูปแยกนาม ศึกษาในอายตนะ ผัสสะ เวทนา รู้ตัวเหตุคือตัณหา อุปทาน โอ้โห! ปัญญามันรู้ไอ้ 2 ตัวนี้มันมานั่งมายึดมาถืออยู่ พระพุทธเจ้าบอกว่าเรารู้หน้าเธอแล้วมาร หักยอดเรือนที่เธอสร้างไว้ในจิตวิญญาณหมดแล้ว หักยอดเรือนเธอได้แล้วมาร มารรู้ว่าพระพุทธเจ้ารู้จักหน้าตา รู้จักรูปร่าง รู้จักตัวจริงของไอ้เจ้าตัวปลอม มารมันคือตัวปลอม มันตัวหลอก ไอ้ตัวหลอก ก็เลยจำนนหายไปเลย เหลือแต่ความจริง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหารย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤษภาคม 2565 ( 08:42:43 )

จรณะ 15 วิชชา 8 พุทธคุณข้อ 3

รายละเอียด

ศาสนาพุทธ ข้อที่ปฏิบัติไม่ผิดมาในจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งเป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องมีพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ต้องมีพุทธคุณ 9  ข้อ1 ในพุทธคุณคือ จรณะ 15 วิชชา 8 ถ้าหากคุณไม่รู้หรือรู้ผิดโดยเฉพาะตีไปที่ว่าคุณสำรวมอินทรีย์หรือเปล่า หากคุณไม่ได้สำรวมอินทรีย์ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ แล้วสำรวมอินทรีย์คืออย่างไร คือการสำรวมตาหูจมูกลิ้นกายใจ ต้องมีใจเป็นตัวกลางแล้วรู้ทางทวารทั้ง 5 ตลอดเวลาในการปฏิบัติมีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วก็จะเกิดเจตนาคุณก็จะต้องแยกแยะได้ว่าในเจตนานั้นหรือวิญญาณนั้นเจตนามันเป็นเจตนาอย่างไร 

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2563 ( 13:30:41 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 16:46:16 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:31:50 )

จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นของพระพุทธเจ้าทุกองค์

รายละเอียด

ตอนนี้อาตมาก็ดีใจอุ่นใจขึ้นมามากที่คำว่าจรณะ 15 วิชชา 8 ติดตลาดขึ้นมาบ้างแล้ว ชักจะเป็นยี่ห้อที่คน ว่า อะไร สินค้าใหม่ …ไม่ใหม่หรอก เก่าเอี่ยมเลย  จรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่ขององค์พระพุทธเจ้าสมณโคดมองค์เดียว แต่เป็นของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เริ่มต้นเมื่อไหร่เราไม่รู้ จรณะ 15 วิชชา8 ไม่ใช่พระสมณโคดมเป็นเจ้าของคนเดียว แต่เป็นของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ จนกระทั่งสลับกับความเป็นพราหมณ์ สลับกันจนเป็นความหมายของไตรเภท เป็นความรู้ 3 แล้วสลับความหมายกลับกันไปจนกระทั่งกลายเป็นพราหมณ์มหาศาล คือเป็นพราหมณ์ผู้ร่ำรวยผู้มีอำนาจพราหมณ์เป็นผู้ครองเมือง มีทั้งที่ดินอำนาจปัจจัยเป็นเจ้าพิธีกรรมมีทรัพย์สมบัติต่างๆนานา มีทุกอย่างจนกระทั่งบอกว่ากษัตริย์ต้องมากราบฉันนะ ถึงขนาดนั้นเลย จนพระพุทธเจ้าสมณโคดมต้องปรับวาทะกับอัมพัฏฐะ เอาต้นตระกูลมาเลย แม้แต่คัมภีร์ไตรเพทของพราหมณ์ก็ยอมรับว่ากษัตริย์เหนือกว่าพราหมณ์ ผู้ที่มีจรณะ 15 วิชชา 8 ก็เหนือกว่าผู้ที่ไม่มี สรุปง่ายๆท่านยืนยันอย่างนั้น จนเท้าความไปต่างๆนานา จนอัมพัฏฐมานพจำนนต่อหลักฐาน เขาก็เรียนมาแต่เขาสับสนเองมันเป็นมายามันไม่เป็นสิริมหามายา เขาก็สลับสับสนไม่รู้กี่ชั้น พระพุทธเจ้าค่อยๆคลี่คลายมาทีละชั้น จนกระทั่งอัมพัฏฐะชัดเจนไม่สับสน เหมือนสางแหปมไหมที่ยุ่งให้ออกมาเป็นเส้นๆ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 28 เมษายน 2563 ( 12:56:36 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:33:54 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:32:36 )

จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นธรรมะสภาวะธรรม

รายละเอียด

ศาสนาพระพุทธเจ้า มีจรณะ 15 วิชชา 8 อยู่ในพุทธคุณ 9 มี วิชชาจรณสัมปันโนอยู่ในพุทธคุณ 9 เป็นคำยืนยันว่า เป็นธรรมะสภาวะธรรมของท่าน นอกนั้นก็มีแต่อธิบายความหมายท่านเป็นพระอรหันต์  เป็นสุคโต เป็นผู้ที่สอนคนอื่นได้อย่างไม่มีใครเทียบเคียงเป็นผู้ตรัสรู้เอง อะไรต่ออะไรทั้งนั้น แต่เนื้อแท้นั้นคือจรณะ 15 วิชชา 8 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2563 ( 13:41:31 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:16:45 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:33:03 )

จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นพุทธคุณของศาสนาพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

พุทธคุณ 9 ข้อจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นพุทธคุณของศาสนาพระพุทธเจ้า แต่คนไม่เข้าใจ ทั้งๆที่มีหลักฐานสำคัญยิ่งใหญ่ยืนยันไว้ อาตมาพูดมาขยายความป่านนี้เขาก็ไม่กระดิกหู ฟังแล้วเฉยๆซื่อบื้อแล้วก็หลับตาอย่างเก่า แทนที่จะเรียนรู้ศีล สมาธิ ปัญญา หรือไตรสิกขา ก็ไม่แล้ว ก็ไปนั่งหลับตาอยู่นั่นแหละ ไม่มี อปัณกธรรม 3 ฌานก็นอกรีต ศีลก็ไม่ใช่ ไปนั่งสมาธิ ก็จะได้ฌาน ซึ่งจริงๆแล้วคำว่าสมาธิ ยิ่งลึกยิ่งไกล เพราะว่าในจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มีคำว่าสมาธิ มีแต่ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา ซึ่งในอินทรีย์ 5 พละ 5 มีสมาธิ แต่ในจรณะ 15 ไม่มีคำว่าสมาธินะ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 11:54:36 )

จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นอุบายเครื่องออกให้บรรลุธรรมอย่างสัมมา

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก เจอแต่ เดียรถีย์ นั่งหลับตากันอยู่เต็มป่า ไม่เหมือนโพธิรักษ์เกิดมาก็มีศาสนาพุทธแล้ว แต่เขาขบถจากศาสนาพุทธ อาตมาก็ตีเขาเท่านั้น เพื่อเอาสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ เอามาเปิดเผย สมัยพระพุทธเจ้านั้นมีเดียรถีย์เต็มไปหมด เพราะว่าท่านก็มุ่งมั่นเอาผู้ปฏิบัติธรรมให้บรรลุธรรมนี่แหละ แต่มันไม่ชัดเจน ไม่รู้ ไม่เข้าใจทางออก ไม่มีอุบายเครื่องออกที่ถูก ท่านก็เอาจรณะ 15 วิชชา 8 นี้มาประกาศ โดยมีศีลเป็นหลัก แล้วก็ต้องปฏิบัติศีล มี อปัณณกปฏิปทา 3 ต้อง สังวรสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค ไม่ใช่หลับตา ต้องตื่นแบบชาคริยานุโยคะ แล้วปฏิบัติในขณะมีโภชนะ ของกินของใช้นี่แหละตัวสำคัญ สัมผัสเครื่องกินเครื่องใช้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตนี่แหละ กิเลสมันเกิด กิเลสกามที่มาก แล้วปิดบังเอาไว้แล้วนี่แหละ ต้องพยายามเรียนรู้ให้จริงให้ออกมา แล้วเราก็จะได้ละลดกิเลสไปตามลำดับ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ผู้พ้นอสุรกายจึงได้ไปอยู่โลกหน้า วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 19:58:11 )

จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นแกนของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

เมื่อกี้นี้ ประเด็นที่ว่าจะทำอย่างไรเป็นคนขาดทุนได้ จะขาดทุนได้ต้องปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าให้เป็นคนจนได้ ให้เป็นคนมักน้อยสันโดษได้ ให้เป็นคนขยันหมั่นเพียรได้ตามหลักธรรมวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น ปฏิบัติหลักธรรมพระพุทธเจ้าตามจรณะ 15 วิชชา 8 นี่เป็นพุทธคุณพระพุทธเจ้า จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นแกนของศาสนาพุทธเลย มีศีล มีจิตเป็นสมาธิมีปัญญา ปฏิบัติตามหลัก อปัณกธรรม 3 จะเจริญด้วยสัทธรรม 7 กับฌาน 4 แล้วมีปัญญาร่วมกับจรณะ 15 ร่วมกับอธิศีลอธิจิต เจริญด้วยปัญญาคือวิชชา 8 หรือแม้แต่สัทธรรม 7 ก็มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา ไม่ต้องทำทุกข้อก็ได้ มาปฏิบัติศีลเริ่มต้น 3 ข้อแรก ส่วนข้อที่ 4 ข้อ 5 หมายถึงว่าวจีกรรมกับมโนกรรม 3 ข้อแรกรวมไว้แล้ว ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์คือคน มนุษย์คือสัตว์ประเสริฐคือสัตว์เจริญ ทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนหรือสัตว์ คุณก็พยายามเลย พยายามปฏิบัติกับคนอย่างไร เราถึงจะเป็นคนที่ขาดทุนกับคนได้ คุณจะขาดทุนคุณจะเสียเปรียบเขาได้ เสียเปรียบไม่ใช่เสียรู้นะ เราเป็นผู้ที่ให้เขาได้ เป็นผู้ที่เป็นประโยชน์แก่เขาไม่ใช่เราไปเอาเปรียบ ซึ่งเป็นภาษาที่ไม่ยากเป็นภาษาที่ง่ายและปฏิบัติให้ตรงตามนี้ก็แล้วกัน เราเป็นคนขยันเป็นคนทำงานเป็นความรู้มีความสามารถ จะมีความรู้ความสามารถเท่าไหร่ก็ได้คุณเป็นคนมีความสามารถแค่เป็นคนกวาด กวาดได้เก่ง กวาดได้ดี กวาดได้เป็นระบบที่ดี อย่างมีคุณภาพมีคุณวิเศษอะไรก็ตามใจ แค่การปัดกวาดเช็ดถู คุณทำงานมันเถอะ ทำให้ได้อย่างดีและเสียสละ ที่เขาเอามาออกข่าวกันเขาก็กวาด แค่นั้นแหละเป็นคนประเสริฐแล้ว ไปเก็บเศษขยะก็เจริญแล้ว ที่เป็นคนไม่เห็นแก่ตัวไม่เชื่อ ไม่ใช่ว่าทำงานอะไรจะต้องมีศักดิ์ศรีสูงส่งได้เงินทองมากมาย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2563 ( 13:01:20 )

จรณะ 15 วิชชา 8 เรียนรู้ครบปฏิบัติได้ด้วย

รายละเอียด

อาตมาบรรยายจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นพุทธคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าอันเดียว ในพุทธคุณ 9 ก็คือเนื้อแท้ของศาสนาพระพุทธเจ้าคือจรณะ 15 วิชชา 8 นอกนั้นบอกถึงสภาวะ เป็นผู้ที่เจริญแล้ว ลักษณะที่มีอลังการ แต่เนื้อแท้อยู่ที่จรณะ 15 วิชชา 8 เพราะฉะนั้นมุ่งหมายเรียนที่จรณะ 15 วิชชา 8 ให้ละเอียดชัดเจน แล้วจะรู้ได้ครบ และรู้แล้วก็ปฏิบัติได้ด้วย คุณก็จะสมบูรณ์แบบ ถ้ายังปฏิบัติไม่ได้สมบูรณ์ มันก็ต้องยังไม่สมบูรณ์ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:46:54 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:17:33 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:33:24 )

จรณะ 15 วิชชา 8​

รายละเอียด

จรณะ 15 วิชชา 8​ ศีล แล้วอปันกปฏิปทา 3 ย้ำแล้วย้ำอีก หากคุณปฏิบัติไม่เดินตามลักษณะจรณะ 15 โดยมีหลักเกณฑ์นี้ เกี่ยวกับสัตว์นี่เป็นข้อที่ 1 เกี่ยวกับของ ของก็คือว่าถูกกับพืช ไม่ใช่จิตนิยาม สัตว์มีจิตนิยาม แต่พืชกับของนี่ไม่ใช่จิตนิยาม ไม่มีสุข ทุกข์ บาป บุญ กุศล อกุศล ไม่จองเวร ไม่สะสมวิบาก ศีลข้อ 2 คือวัตถุ กับพืช จะพิจารณาอย่าทุจริต ส่วนสัตว์นั้นอย่าโหดร้ายรุนแรงต่อกัน ต้องหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง ส่วนข้อ 3 นี้เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตัวนี้สลายยาก และมันถึงขั้นเบื้องต้นและจบ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มีทั้งเริ่มต้นและมีตัวจบ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 23 มิถุนายน 2563 ( 09:43:09 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:33:10 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:29:17 )

จรณะ 15 วิชา 8 เป็นหัวใจแท้ๆ ของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

อาตมาจะโปรดยังไงหนอ จะบังคับเขา จะข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า กลัวมันจะไม่กินหญ้า แล้วจะไปข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าจะทำยังไง ก็พูดไปตามพอสม ถ้าเผื่อว่าลูกสาวคุณฟังก็ดีถ้าไม่ได้ฟังคุณก็เอาไปพูดให้ฟัง เพราะเกิดแรงบันดาลใจถามเรื่องจรณะ 15 ก็แสดงว่าเขาอยากเป็นพระอาริยะจริงๆ แต่ก็ดีนะ บอกว่าสนใจอยากจะฟังหัวข้อจรณะ 15 ด้วย ก็ขอยืนยันว่าจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นหัวใจแท้ๆ ของศาสนาพุทธ เป็นพุทธคุณของศาสนาพุทธ ในพุทธคุณ 9 มีตัวนี้เป็นตัวยืนยัน นอกนั้นเป็นการสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ในอีก 8 ข้อ เป็นฉายาชมเชย เป็นคำชมพระพุทธเจ้าทั้งนั้น แต่ตัววิชชาจรณสัมปันโน ข้อนี้เป็นหลักสูตรหรือเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ วิชชาจรณสัมปันโน เป็นเนื้อแท้ธรรมพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นวิชชาจรณสัมปันโน ดูจรณะ 15 วิชชา 8 ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเสื่อมมาก เสื่อมจนกระทั่งไม่มีแล้ว ในวงการศาสนาพุทธไทย ทุกวันนี้ เนื้อหาสัจธรรมอันที่ว่านี้ จรณะ 15 วิชชา 8 อาตมาพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่มีในวงการศาสนาพุทธตอนนี้ไม่มี มีแต่ไปเรียนเป็นด็อกเตอร์ เอาบาลีเอาอะไรมาเรียนฟุ้งซ่าน เป็น โลกจินตา เป็นตรรกะ เป็นพยัญชนะ ภาษา เป็นไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  ไปโน่นเลย เป็นบัญญัติ เป็นพยัญชนะ เป็นเหตุปัจจัยของความหมายเท่านั้น ไม่ได้เข้าหาเนื้อหาที่จะต้องมาสำคัญที่ศีล จะต้องมาสำคัญที่ อปัณณกปฏิปทา 3 ตัวนี้เป็นตัวยืนยันเนื้อหาศาสนาพุทธ 1 ศีล กับ อปัณณกปฏิปทา 3 อปัณณกปฏิปทา 3 ท่านแปลกันไว้เองด้วยนะ ผู้รู้ท่านแปลทิ้งไว้ ว่า นี่คือเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ เป็นความไม่ผิดของศาสนาพุทธ ต้องมีอันนี้ยืนยันอยู่ในความเป็นมนุษย์ ในความเป็นชาวพุทธ จะต้องมีศีลสัมปทา ต้องมี อปัณณกปฏิปทา 3 คือ มีหลักเกณฑ์แต่ละข้อแต่ละข้อเรียกว่าหัวข้อศีล แล้วก็ปฏิบัติ 

1. ตัวศีลเป็นหัวข้อหลัก 2. ปฏิบัติก็คือ สภาพ 3. ปฏิปทา 3 ถึงจะเป็นศาสนาพุทธ ถ้าไม่มีนี่ ผิดเลย ไม่เหลือศาสนาพุทธ ถ้ามี 3 ข้อนี้ โดยมีศีลเป็นหลักอยู่ ศาสนาพุทธจึงมี ถ้าไม่มีศีล ไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ไปดูที่เถรสมาคมที่วงการศาสนาพุทธ ถ้าเขาไม่ไปเรียนรู้แต่พยัญชนะ ตรรกะ เหตุผล ตำราที่เป็น โลกจินตาบานออกไปเอาคำสอนของอาจาริยวาทบานออกไปแล้วก็เป็นผู้รู้จบด็อกเตอร์ไปเอาปริญญาเอกพุทธศาสนาบัณฑิตเอกจากเทวนิยมเข้ามาก็ไม่รู้เรื่องว่าตัวเองทำไมมันขายขี้หน้าจะตายแล้วมันจะภาคภูมิใจอะไรที่คนเขาสอน คือเขาไม่มีภูมิที่จะสอนเลยเขาไม่มีโลกุตรธรรมเพราะเขาเป็นเทวนิยม 

ขนาดชาวพุทธเองยังไม่รู้แล้วจะให้เทวนิยมเขามาสอนศาสนาพุทธแล้วจบปริญญาเอกถือว่าสุดยอดแล้ว ขี้หมาแน่ะครับ คือควรคิดดีๆ ที่อาตมาพูดนี้มันสุดสงสารนะ คำที่พูดไปคือคำสุดสงสาร สงสารแปลว่าอะไร สงสารแปลว่าพวกคุณไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย จมอยู่ในวัฏสงสาร เรียนไปอย่างไรคุณก็ไม่พ้นวัฏสงสาร เรียนไปไม่ได้บรรลุธรรมนั่นแหละสรุปง่ายๆ คุณจะจบด็อกเตอร์มาอีกกี่ใบ คุณก็ไม่พ้นวัฏสงสาร เพราะมันไม่ได้เป็นสัจจะของพระพุทธเจ้าเลย สรุปให้ฟังเลยถ้าคุณไม่มีศีลเป็นหลักในการปฏิบัติแต่ละข้อควรปฏิบัติศีลข้อ 1 ก็ต้องปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ให้บรรลุสัจธรรม 7 ฌาน 4 วิชชา 8 ถ้าคุณไม่ได้เกิดมรรคผลอันนี้เลยเป็นโมฆะหมด ไม่มีอะไรเกิดในศาสนาพุทธไม่มีศาสนาพุทธ อปัณณกะนี่แหละ ไม่มีความเป็นศาสนาพุทธนั่นแหละ อันนี้คือความตัดสินว่าเป็นศาสนาพุทธหรือไม่เป็นศาสนาพุทธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย 

เพราะฉะนั้นคนเข้าใจทุกวันนี้เช่นไปนั่งหลับตาปฏิบัติ มันไม่มีเลย อปัณณกปฏิปทา 3 คุณก็ได้ ฌาน แบบเดียรถีย์แบบนอกพุทธไปแล้วก็หลงกันเป็นอรหันต์เก๊ไปเยอะ ส่วนพวกที่มาศึกษาตรรกะศึกษาบัญญัติภาษา ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  อะไรของคุณไป คุณก็ได้แต่หลักเกณฑ์อะไรต่อหลักเกณฑ์ไปก็เหตุก็ผลของหลักเกณฑ์แล้วรู้มาก เป็นโลกจินตา ไม่ได้เข้าหาเนื้อแท้ของสัจธรรม สภาวธรรมเลย ไม่ได้เข้าหา จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้แต่บัญญัติภาษา การเข้าหา จิต เจตสิก รูป นิพพาน เริ่มต้นจาก กาย คุณก็เข้าใจกายนี้เป็นสรีระ กายเป็นสภาพนอกของสรีระอย่างเดียว กายไม่ใช่อย่างเดียว กายต้องเป็นองค์ประชุม ยังดีนะในพจนานุกรมหรือปทานุกรมของบาลีไทยคุณยังแปลกายว่า เป็นองค์ประชุมหรือเป็นฝูงเป็นหมู่เป็นกลุ่ม ไม่ได้หมายความถึงความเดี่ยว เอกังสะ แต่มันเป็นหมู่เป็นกลุ่ม กาย คุณก็แปลไว้ในพระไตรปิฎกยังดีอยู่ แต่คุณก็ไม่เข้าใจ แล้วท่านก็ชัดเจนนะในพจนานุกรมก็ว่าไว้ชัดว่า กาย แปลว่าองค์ประชุมของเจตสิก มุ่งไปหาที่จิตเลย เจตสิกคือส่วนของจิต ส่วนที่แยกเป็นรายละเอียดของจิตเป็นเจตสิก อย่างเจตสิก 3 เป็นต้น 

กายคืออะไร คือองค์ประชุมของเวทนา สัญญา สังขาร อย่างนี้เป็นต้น ก็ถูกแล้ว แต่ท่านก็เข้าใจผิดไปจากพยัญชนะที่ถูกอยู่ แต่คุณต่างหากผิดไป แม้แต่พยัญชนะก็เข้าไม่ถูกต้องตามสภาวะ เพราะฉะนั้นความเข้าใจไม่มีเลยมีแต่ความเข้าใจผิด ความเข้าใจถูกไม่มี มันซับซ้อนอยู่นี่ เรียนรู้มากๆ นึกว่าเป็นผู้รู้เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธ แต่ไม่เข้าท่าเลย เป็น ปทปรมบุคคล เป็นบุคคลที่รู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามาก ท่องจำได้มาก สาธยายได้มาก  สั่งสอนกันอยู่ก็มาก แต่ท่านไม่บรรลุอะไรเลย ไม่บรรลุธรรมเลย ไปอ่านคำแปลท่านแปลไว้เองอยู่ไหนคำแปล ปทปรมบุคคล นั่นแหละแปลกันไว้เอง 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 32 จรณะ 15 คือการยืนยันหลักปฏิบัติไม่ผิดของพุทธ วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 8(8) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2566 ( 11:08:27 )

จรณะ 15 ศีลมาก่อน

รายละเอียด

จำศีลก่อนแล้วก็ อปัณกธรรมอีก 3 แล้วก็สัทธรรม อีก 7 จากนั้นเป็นฌานอีก 4 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 09:53:22 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:18:32 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:33:41 )

จรณะ 15 เป็นตัวเหตุตัวภาคปฏิบัติให้เกิดฌาน

รายละเอียด

มาอธิบายลงละเอียดที่ จรณะ 15 เป็นตัวเหตุตัวภาคปฏิบัติและจะเกิดฌาน เกิดจิต ผลทางจิต ผลบรรลุทางจิตหรือสมาธิ สมาธิของพระพุทธเจ้าคือ สมาหิโตหรือสมาหิตะ แม้แต่ในยุคพระพุทธเจ้าท่านก็มาแยกเรียก สมาธิ มาเป็น สมาหิโต พยัญชนะตัวนี้

ซึ่งคำว่า สมาหิโต แปลเป็นไทยว่าจิตตั้งมั่นเหมือนกันกับสมาธิของทางมิจฉาทิฏฐิเขาเรียก เจโตสมาธิ ของเขาก็มิจฉาทิฏฐิก็เป็นจิตตั้งมั่นเหมือนกัน แต่จิตตั้งมั่นจากเหตุต่างกัน สมาธินั่งหลับตาสะกดจิตแน่นอนมันก็ต้องได้ผลอย่างที่เขาเป็นกันอย่าง อาฬารดาบส อุทกดาบส แต่ของพระพุทธเจ้านั้นลืมตาปฏิบัติ จนจิตเป็นฌาน ก็เป็นฌานลืมตา 

คำว่า ฌาน คำนี้แหละ เป็น อจินไตย ฌานวิสัยเป็น อจินไตย เป็นสิ่งที่นึกคิดเอาไม่ได้ ตักกะเอาไม่ได้เลย ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิในการปฏิบัติจะปฏิบัติศีลอย่างไร จะปฏิบัติทานอย่างไร จึงจะเกิดผลเป็น ฌานสัมมาทิฏฐิ เป็นฌานวิสัยของพระพุทธเจ้า เพราะการเรียนรู้ฌานนั่นคือต้องนั่งหลับตาต้องเข้าฌานออกฌาน คุณจะเข้าๆ ออกๆ เข้าๆ อยู่นั่นแหละ เข้าฌานออกฌาน อย่างเก่งก็ได้ ชานหมาก เหมือนกันกับมหาบัว 

แต่ ฌาน ของพระพุทธเจ้านั้น มันเป็นอจินไตย เป็นสิ่งที่คิดเอาไม่ได้ เดาเอาไม่ได้ เป็นฌาน ที่จะเกิดจาก 1. ศีล 2. อปัณณกปฏิปทา 3. สัทธรรม 7 จะเกิดอย่างนี้ อาตมาก็ขอยกคำว่า ศีล ไว้ว่า ศีลข้อ 1 ก็ตาม ข้อ 2 ก็ตาม ข้อ 3 ก็ตามหรือจุลศีลก็ตาม หรือแม้แต่ มัชฌิมศีล เป็นศีลที่สูงขึ้นมาขยายละเอียดลงไปก็ใช่เป็นการปฏิบัติจริง ส่วน ศีลมหาศีล เป็นศีลองค์รวมของศาสนา ไม่ใช่ศีลที่ปฏิบัติเฉพาะตนเหมือนจุลศีล

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหารย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 47  วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 16:36:07 )

จรณะ 15 และปฏิบัติมรรค 7 สู่เส้นทางสมาธิไม่ต่างกัน

รายละเอียด

ไม่ต่างกัน เป็นแต่เพียงว่าองค์ประกอบที่สื่อให้รู้เป็นพยัญชนะภาษามันต่างกันเท่านั้นเอง แต่ถ้าโดยเนื้อแท้แล้วมันเหมือนกันจะบอกว่าเป็นมรรคทั้ง 7 องค์ก็ครบพร้อมอยู่แล้วทั้งในทุกอิริยาบถในขณะที่ทำงานอาชีพเรียกว่าสัมมาอาชีวะก็ปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดสัมมาสมาธิเรียกว่าให้เป็นสัมมาอาชีวะซึ่งมี 5 ขั้นตอนมี 5 แบบอย่างนี้เป็นต้น สัมมากัมมันตะในการกระทำทุกอย่างการกระทำทุกอย่างก็ต้องให้สัมมาให้เกิดกรรมกริยาทุกอย่าง จะต้องมีความเป็นสัมมาที่ออกจากมิจฉาในการปฏิบัติ ศีล 3  ข้อ วาจาในขณะพูดก็สัมมาก็พ้นมิจฉา 4 พูดเท็จ ส่อเสียด หยาบ เพ้อเจ้อ สังกัปปะ 3 ก็ให้พ้นมิจฉา 3 คือ กาม พยาบาท วิหิงสา ก็เข้าสู่การปฏิบัติทุกเวลานาที ทุกอิริยาบถ ที่อาตมาอธิบายก็รวบเอาวิชชาจรณะสัมปันโน สรุปเลยว่า สมาธิจะเกิดได้นั้น เป็นการอธิบายคำสอนพุทธคุณ 9 คือ วิชชาจรณสัมปันโนจะเรียกว่าศีลสมาธิปัญญาก็ได้ จะเรียกว่ามรรคมีองค์ 8 ก็ได้ จะเรียกว่าโพธิปักขิยธรรมก็ได้ ถ้าเข้าใจสภาวะแล้วปฏิบัติอยู่ในอิริยาบถอยู่ในทุกกรรมกิริยาในทุกเวลาทุกอย่างในชีวิตที่เป็นอยู่  จรณะ 15 มี 

  1. ถึงพร้อมด้วยศีล . .

  2. คุ้มครองทวารอินทรีย์ 

  3. ประมาณในโภชนา

  4. ประกอบความตื่น 

หากขาดสามข้อนี้ก็ไม่ใช่การปฏิบัติของพุทธแล้ว ไปนั่งหลับตาไม่มีสังวรศีล สำรวมอินทรีย์ไม่มีการประมาณในบริโภค ไม่มีการตื่นเอาแต่หลับ ซึ่งทั้ง 3 ข้อนี้ยืนยันแล้วว่าการปฏิบัติของผู้ต้องปฏิบัติแบบลืมตา

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2563 ( 09:52:48 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:19:45 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:34:32 )

จรณะ 15 โดยย่อ

รายละเอียด

จรณะ 15 มีตัวที่ 1. คือ ศีล ตัวที่ 2 คือจะต้อง สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า สำรวมอินทรีย์ ทางทวารทั้ง 6 อย่าไปตีกินสำรวมแค่ในใจอย่างเดียว 

  1. จะต้องเรียนรู้ในชีวิตจริง ที่เราจะมีอะไรที่จะต้องกินต้องใช้ เรียกว่าโภชนะ ที่เราจะต้องอาศัยในชีวิต เมื่อเราอยู่กับสิ่งที่จะกินจะใช้ เข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วเกิดกิเลส เมื่อเกิดกิเลสเราก็เรียนรู้จัดการกับกิเลสให้ได้ เช่นอันนี้เรากำลังจะกินอันนี้เรากำลังจะใช้ มันจะมีกิเลสอยู่ เรื่องกินนี่แหละ ละ ยากมาก เพราะกินกับใช้ อะไรควรจะทำมากกว่ากัน กิน สิ เพราะกิเลสเรื่องของการกิน หากไม่กินก็ตายเลย เรื่องของใช้นั้นบางอันก็ไม่ต้องใช้ก็ได้ แต่กินนี่ จบกิจเป็นถึงพระพุทธเจ้าก็ต้องกิน 

  2. ต้องเป็นผู้ตื่นอยู่ตลอดเวลาถ้าเป็นเวลาตื่น เช่นเราตื่นจากการหลับ ก็ต้องตื่นรู้ทางตาก็ต้องรู้เต็ม หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัส ก็ต้องรู้เต็ม สัมผัสอะไรเป็นปัจจุบันก็รู้ อยู่กับตาก็รู้ทางตา อยู่กับเสียงก็รู้ทางเสียง อยู่กับกลิ่นก็รู้รับกลิ่น ให้สติของเราเต็มร้อย สติแปลว่าเต็มร้อย เต็มร้อยนี้ มีพฤติกรรม 3 สติ คือ  ส ติ

สรุปแล้ว ต้องเป็นคนตื่นในสิ่งที่สัมผัส นอกจากการนอนหลับก็พักให้สนิท เมื่อไม่พักนอนหลับให้สนิท คุณจะสามารถปรุงแต่งได้ โดยมีพลังงานเหลือก็คิดได้ อย่างไม่เสียสุขภาพไม่เสียชีวิตก็ทำได้ สรุปแล้ว 3 อันนี้ยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้า สำทับไว้ว่าถ้าไม่มี 3 อย่างนี้ไม่มี อปัณกปฏิปทา ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ตกหมดเลย ไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มี 3 ข้อนี้เลย ไม่มีการสัมผัสกับสิ่งใช้สิ่งกิน ดีไม่ดีถ้าให้ไม่หายใจอีกดับหายใจเข้าลมหายใจออกอีก ที่จริงมันไม่ได้หยุดหายใจหรอกแต่มันไม่ได้สัมผัสไม่รู้สึกไม่ได้สัมผัสถึงลมหายใจเข้าออก 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 10:15:56 )

จรณะ 15วิชชา 8 เป็นธรรมะสุดยอดของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์

รายละเอียด

อาตมานำเอาความรู้ของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราปฏิบัติ ฝึกฝน โดยเอาจิตใจเป็นประธาน จิตใจละกิเลสละตัวตน สรุป คือ จะเป็นคนมีวรรณะ 9เป็นคนชั้นสูง the classes และผลของศาสนาที่จะเห็นเป็นหมู่มวลมีคุณสมบัติสาราณียธรรม6 เป็นสองหลักใหญ่ๆของพระพุทธเจ้า มีไตรสิกขา วิชชาจรณสัมปันโน จรณะ15 วิชชา 8 เป็นคุณธรรมเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นธรรมะสุดยอด เป็นกระบวนการของคุณธรรม ที่เป็นศีล สมาธิ ปัญญา ไตรสิกขาอันสุดยอด วิชชา 8 คือปัญญา ศีลก็คือศีล ส่วนสัทธรรม 7 อปัณกธรรม 3 คือ อธิจิต เป็นตัวการพัฒนาการไปเป็นสัทธรรม มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูตร วิริยะ สติ ปัญญา ปัญญาจะพัฒนาเป็นญาณปัญญา วิชชา8

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม2562


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2562 ( 21:28:49 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:42:15 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:35:19 )

จริงต้องดี

รายละเอียด

สัจธรรม คือ สัจธรรม 
ความจริง คือ ความเป็นจริง 

ความจริงนั้น มีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นความดี ต้องเป็นความประเสริฐ สูงขึ้นจนสูงสุด พระพุทธเจ้าของเรา ได้ตรัสรู้สิ่งที่สูง หรือเรียกว่า สิ่งที่เหนือชั้น 

โลกียะ ก็ยังมีความจริงของโลกียะ ซึ่งโลกียะ มีความจริงของโลกียะนั้น มันเป็นมาตั้งนานแล้ว และมันก็เป็นทุกข์ 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์ อย่างจริง อย่างประเสริฐ จึงได้ค้นพบสิ่งที่จริงกว่านี้ ประเสริฐกว่านี้ สูงกว่านี้ ดีกว่านี้ จึงเรียกว่า สิ่งที่เหนือชั้น หรือเหนือกว่าโลก เหนือกว่าโลกีย์ที่เป็นอยู่ เรียกโดยภาษาว่า โลกุตระ แต่ไม่ได้หมายความว่า โลกุตระนั้น ไม่รู้จักโลกีย์ หนีจากโลกีย์ 

แท้จริง โลกุตระนั้น รู้เท่าทันโลกีย์ และรู้ว่าโลกีย์นั้น ไม่จริง เป็นความลวง เป็นมายา เหมือนพยับแดด เหมือนฟองคลื่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค้นพบอริยสัจ หรือสัจธรรมที่ประเสริฐ ความจริงที่ประเสริฐ ความดีที่เหนือชั้น ความดีที่เหนือกว่า ที่มนุษย์พึงมี พึงเป็นได้ และไม่ต้องหนี มีวิธีกระทำตน ให้รู้เท่าทัน และรู้วิธีที่จะละล้าง ปราบปรามสิ่งที่เราเคยหลง เคยลวงเรา ว่าเป็นความจริง จนกระทั่ง ล้างความไม่จริง ที่เราเคยหลงว่าจริงนั้น ออกไปได้ หมดไปได้ 

และ เราก็เป็นผู้ที่อยู่เหนือชั้น อยู่เหนือโลกีย์เหล่านั้น โดยโลกีย์เหล่านั้น รบกวนเราไม่ได้ เราอยู่เหนือ อย่างผู้ที่ช่วยเหลือโลกีย์เหล่านั้น หรือ ผู้ที่ตกอยู่ในความลวง อยู่ตามมายา เหล่านั้น 

โลกุตระ จึงเป็นผู้ที่ยืนอยู่บนความจริง ที่ต้องช่วยเหลือผู้ไม่จริง อยู่ตลอดเวลา ผู้ใด ได้ค้นพบตาม ปฏิบัติประพฤติพิสูจน์ตาม ได้โลกุตรธรรมมาอาศัย มาแทนที่โลกียะที่ตนเคยหลง ผู้นั้นจะเห็นความจริงที่จริง มั่นคง เที่ยงแท้ ไม่มีแปรปรวน เมื่อถึงที่สุด ก็เป็นความจริงนั้น อย่างชัดแจ้ง ยืนยงยืนหยัด บุญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ค้นพบสิ่งนี้นั้น เป็นบุญคุณอันล้นฟ้า เป็นบุญคุณ อันที่นับประมาณมิได้ 

ที่มา ที่ไป

 สมณะโพธิรักษ์ 19 พฤศจิกายน 2528


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:47:40 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:44:44 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:35:57 )

จริงใจตามภูมิไม่ใช่หลงเชียร์พลเอกประยุทธ์

รายละเอียด

อย่าทำเป็นเล่นไปนะ ถ้าเปลี่ยนพลเอกประยุทธ์ออกแล้ว เอาใครมา ตัวไหนล่ะ สุดารัตน์ หรือ ธนาธร เอ้า! มีม้ามืดตัวไหนอีกล่ะ มันไม่ใช่ของเล่นนะ แล้วประเทศไทยมาดีแล้วประวัติศาสตร์ของการบริหารปกครองแบบประชาธิปไตยมันสวยมาตลอดแล้ว อย่าทำเป็นเล่นเลยนะ อาตมาถึงบอกว่าไม่ใช่ไปหลงเชียร์อะไรหรอก แต่อาตมามีความจริงใจเท่าที่อาตมามีภูมิ จริงใจตามภูมิของอาตมา ซึ่งก็เห็นอยู่อย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:44:17 )

จริงใจมั่นใจตามภูมิอย่างซื่อสัตย์สุจริต

รายละเอียด

อย่างอาตมามั่นใจว่าได้ทำอย่างที่กล่าวมาไม่มีปัญหาอะไรเลย เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่เราทำความจริงใจมั่นใจแต่ความจริงของเราอย่างซื่อสัตย์สุจริต เราอาจจะมีความด้อยที่เห็นความจริงผิดพลาด เห็นความถูกต้องผิดพลาดไปบ้าง มันก็เป็นความจริงของภูมิของเรา มันจะไปเกินกว่าภูมิจริงของเราไปได้อย่างไร แต่ถ้าเผื่อเราจริงมีภูมิที่ถูกต้องจริง ไม่ได้มีขบถ คด ความจริงนี่แหละ มีแต่จริงๆๆๆ มันก็ไม่มีอะไรจะแย้ง ไม่มีอะไรที่จะมาต้านมาลบล้างได้เลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 13:52:38 )

จริต 6

รายละเอียด

ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้มีกิเลสเพียงดังธุลีในนัยน์ตาคือปัญญาน้อย-ปัญญามาก ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้มีอินทรีย์อ่อน ผู้มีอาการดี ผู้มีอาการชั่ว ผู้แนะนำให้รู้ได้ง่าย ผู้แนะนำให้รู้ได้ยาก บางพวกเป็นผู้มีปกติเห็นโทษและภัยในปรโลกอยู่ คือ พื้นเพนิสัยของคน  6 จำพวก

1. ราคจริต (นิสัยรักสวยรักงาม)

     แก้นิสัยด้วยการฝึกพิจารณาของไม่สวยไม่งาม, ทรงสอนแก้โดยอสุภกถา

2. โทสจริต (นิสัยโกรธฉุนเฉียว)

     แก้นิสัยด้วยการสร้างเมตตาให้มากๆ, ทรงสอนแก้โดยเมตตาภาวนา

3. โมหจริต (นิสัยลุ่มหลงโง่เขลา)

     แก้นิสัยด้วยการหมั่นถามฟังธรรมจากครู, แก้โดยอุเทศและปริปุจฉา ในการฟังธรรมโดยกาล ในการสนทนาธรรมโดยกาล ในการอยู่ร่วมกับครู

4. วิตักกจริต (นิสัยคิดฟุ้งซ่าน)

     แก้นิสัยด้วยการฝึกทำอานาปานสติ, ทรงสอนแก้โดยตรัสบอกอานาปานสติ

5. สัทธาจริต (นิสัยมีศรัทธาเลื่อมใส)

     เสริมนิสัยด้วยการศึกษาธรรมะดีๆ เพิ่มเสมอ, ทรงบอกสอนความตรัสรู้ดีแห่งพระพุทธเจ้า ธรรมเป็นธรรมดี  สงฆ์ปฏิบัติดี  และศีลทั้งหลายของตน ซึ่งเป็นนิมิต เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส

6. พุทธิจริต หรือ ญาณจริต (นิสัยหยั่งรู้ในธรรม)

     เสริมนิสัยด้วยการพิจารณาในไตรลักษณ์, ทรงสอนแก้โดยบอกอาการไม่เที่ยง  อาการเป็นทุกข์  อาการเป็นอนัตตา  อันเป็นวิปัสสนานิมิต     

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม  29 "ตุวฏกสุตตนิทเทส"  ข้อ  727

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก 


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2562 ( 12:21:51 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:13:12 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:36:44 )

จริต 6

รายละเอียด

คือพื้นเพนิสัยของคน 6 จําพวก

1. ราคจริต (นิสัยรักสวยรักงาม)แก้นิสัยด้วยการฝึกพิจารณาของไม่สวยไม่งาม

2. โทสจริต (นิสัยโกรธฉุนเฉียว)แก้นิสัยด้วยการสร้างเมตตาให้มากๆ

3. โมหจริต (นิสัยลุ่มหลงโง่เขลา)แก้นิสัยด้วยการหมั่นถามฟังธรรมจากครู 4. วิตักกจริต (นิสัยคิดฟุ้งซ่าน)แก้นิสัยด้วยการฝึกทําอานาปานสติ

5. สัทธาจริต (นิสัยมีศรัทธาเลื่อมใส)เสริมนิสัยด้วยการศึกษาธรรมะดีๆเพิ่มเสมอ

6. พุทธิจริตหรือญาณจริต (นิสัยหยั่งรู้ในธรรม)เสริมนิสัยด้วยการพิจารณาในไตรลักษณ์

 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 29 “ตุวฎกสุตตนิทเทส” ข้อ 727


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2565 ( 05:04:50 )

จริตของคน แกนจิตของคนมีลักษณะ 3 อย่าง

รายละเอียด

ก็ต้องท้าวความนิดนึงว่า จริตของคน แกนจิตของคนมี ศรัทธาธิกะ ปัญญาธิกะ วิริยาธิกะ ลักษณะ 3 อย่าง ปัญญาธิกะกับศรัทธาธิกะเป็นคู่ ส่วนวิริยาธิกะจะเป็นปัญญาก็ไม่ใช่ จะเป็นศรัทธาก็ไม่ใช่ ขอเทียบให้ฟัง คุณไปคบกันทางปัญญา ศรัทธา ก็เลยได้สองอย่างหนักเข้าก็เลยเป็นกระเทย วิริยาธิกะเหมือนกับกระเทย เลยซับซ้อนยุ่งเหยิงในตัวเอง ตีไม่ออกแยกไม่ออกตีไม่แตก ของตัวเอง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 09:53:57 )

จริตที่ไม่เข้าใจไม่ถึงสภาวะดีๆก็จะลอยฟ่องกับภาษา

รายละเอียด

หลุดกับพ้นมันก็อาการเดียวกัน จริตที่ไม่เข้าใจไม่ถึงสภาวะดีๆ ก็จะลอยฟ่องกับภาษา เพราะภาษามันง่าย พูดกันมันรับได้ แต่สภาวะมันเป็นเนื้อใน เป็นสัมผัสที่เป็นนามธรรม เป็นจิตเจตสิกต่างๆ มันยิ่งไม่มีอะไรเป็นรูปร่างสีสันด้วย ก็เป็นอาการ ของสภาวจิตเจตสิก เท่านั้น ยิ่งยากใหญ่ ส่วนพยัญชนะนั้นมีเยอะแยะมากมาย แล้วเป็นคำที่ใช้แทนกัน คำไวยพจน์กัน ใช้ร่วมกัน แต่มีหยาบ กลาง ละเอียดกว่ากันมากน้อยก็เลยยิ่งยาก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 09:40:25 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:42:48 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:37:09 )

จริยาวัตร

รายละเอียด

ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ

หนังสืออ้างอิง

ป่ากับพุทธศาสนา หน้า 5


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:23:16 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:07:18 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:37:25 )

จริยาวัตร

รายละเอียด

มารยาทอันควรประพฤติ

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 11:21:28 )

จองเวรจองกรรมกันเพราะอะไร

รายละเอียด

แต่พวกคุณก็ไม่ได้จองเวรจองกรรมกันถึงขนาดนั้นแล้ว ใช่ไหม

ถ้าจองเวรจองกรรมอย่างโลกก็บอกว่า ดีจังเลย คุณก็ซื้อเลย เท่าไหร่.. พันนึง คุณมีเงินก็เอาไปเลยให้ 1,500 เลย ฉันจองเวรจองกรรมแก เสร็จฉัน เข้าครัวเองผัดเองเลยแม่ครัวพ่อครัวไม่ให้ทำ โอ้โห ฉันจะกินแกอย่างอร่อยต้องฝีมือฉันเองเลย เอาไปทอดชุบไข่เลย กิน

ที่อาตมาว่าอาตมาพยายามอธิบายธรรมะพระพุทธเจ้ามาหาสิ่งพวกนี้ พวกเราก็ฟังจนกระทั่งทำมา จนอาตมาไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว มันมากมาย จนกระทั่งน่าจะเป็นอรหันต์กันหมดแล้ว แต่ก็สรุปกันไม่ลงสักที 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหารย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน โจรปล้นศาสนาที่ฆ่าด้วยหอกหลายร้อยเล่มก็ยังไม่ตาย


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 11:57:44 )

จอมยุทธ์ โดดเดี่ยวได้ ป้องกันตนเองได้

รายละเอียด

เรากำลังพูดถึงจอมยุทธ์ จอมยุทธ์นี้โดดเดี่ยว มีเคล็ดวิชาที่ 1 คือป้องกันตนเองได้ จอมยุทธ์น่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล จะมีผู้ที่ไปสมทบเองไม่มีผู้สมทบก็ไม่มีปัญหาอะไร และถ้าสามารถแสดงว่า โดดเดี่ยวได้ ทำคนเดียวก็ได้ไม่มีปัญหาอะไร คนอื่นจะมาสมทบอีกทีหลังก็เขาก็ต้องรู้แล้วว่านี่เป็นจอมยุทธ์ เขาจะมาขอเรียนเคล็ดวิชาด้วยเท่านั้นเอง เป็นธรรมชาติ 

 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ แสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ จอมยุทธ์โลกุตระจบกิจเศรษฐกิจ ด้วย 9 เคล็ดวิชา วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 10:45:59 )

จอมยุทธ์ที่ไม่มีสำนักไม่มีศิษย์น้องไม่มีอาจารย์ไม่รบกับใคร

รายละเอียด

ถ้าไม่ศรัทธาพระข้างนอก ไม่ศรัทธาองค์นี้ องค์นี้ก็มีอีก จะมีองค์ที่ศรัทธาที่น่าพอรับได้อยู่นะ มันไม่สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้นหรอก อาตมาก็เห็นอยู่ว่ามีพระที่น่าศรัทธาเลื่อมใสมีเยอะไป ที่รู้ แม้แต่สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ อาตมารู้จักพระน้อยมาก เพราะเกิดมาชาตินี้ไม่มีสำนักไม่มีอาจารย์ ไม่มีศิษย์ร่วมสำนักอาจารย์เดียวกัน อาตมานี่ ถ้าจะเขียนหนังสือกำลังภายในจะเขียนได้เก่งกว่ากิมย้ง โกวเล้ง เพราะอาตมาเป็นเจ้าสำนักที่ไม่มีลูกศิษย์ ไม่มีอาจารย์ ไม่มีเพื่อนร่วมสำนักที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง โกวเล้งเขาไม่เคยเขียน กิมย้งก็ไม่เคยเขียน เขานึกไม่ออกว่าในโลกมีด้วยหรือคนแบบนี้ คนเกิดมาในโลกนี้ไม่มีสำนักไม่มีอาจารย์ ก็นึกว่าจะต้องมีอาจารย์มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง แข่งขันกัน เข่นฆ่ากัน แต่อาตมาไม่มี แล้วไม่รบกับใครด้วย จอมยุทธที่ไม่มีสำนักไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่มีอาจารย์และไม่รบกับใครด้วย อาตมามีแต่ทำความจริงทำความประสานกับทุกแห่ง จะพูดว่ารบก็ได้แต่เป็นการรบอย่างใช้ความสงบสยบความรุนแรง ถูกต้องตามกฎหมายโลกสากล ใครมาว่าอาตมาไม่ได้ รบอย่างสงบเรียบร้อยช่วยเหลือเกื้อกูลทำความจริง เลยชนะอย่างสง่า ต้องทำในใจและเรียนรู้ว่าทำได้อย่างไร อาตมาเชื่อว่า เป็นเรื่องจริงสุดยอดในโลกแล้วมีตัวอย่างด้วย รูปธรรมที่ทำนี้ไม่ใหญ่ ที่ไม่ใหญ่เพราะรุนแรงไม่ถึงขนาด มีไม่กี่เหตการณ์ เดี๋ยวงานมหาปวารณา อาตมาก็คงจะท้าวความ สงครามสังคมที่อาตมาได้ผ่านมา 12 ปีที่แล้ว 24 ปีที่แล้ว 36 ปีที่แล้ว 48 ปีที่แล้ว ที่เคยอยู่กับสังคม อาตมาพูดหนักพูดแรง พระพุทธเจ้าก็พูดแรง พระ 180 รูป 60 รูปบรรลุเป็นอรหันต์ อีก 60 รูปกระอักเลือด อาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก อีก 60 รูปขอลาสิกขาเลย ของอาตมาทำได้น้อยกว่าพระพุทธเจ้าแม้จะไม่เพิ่มแต่ก็มีจำนวนของที่พอสมควรทุกวันนี้ไม่เหี่ยวแห้ง อย่างน้อยก็มี 50 60 70 คน จะถึง100 ไหมวันนี้ สักวันก็ได้ 200 แต่มีคนฟังข้างนอก เดี๋ยวนี้มันมีสื่อสาร อาตมาพยายามอัดคุณภาพ ปริมาณก็ได้น้อยแต่คุณภาพคับแก้ว แต่มันต้องทำไม่มีทางเลี่ยงจำนนต้องทำ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอารยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 11:53:49 )

จอมโจรบัณฑิต (พวกนั่งหลับตา) อันตรายกว่าโจรปล้นศาสนา

รายละเอียด

คุณก็เข้าใจถูกแล้วนี่ จอมโจรบัณฑิตนั้นก็คือพญาครุฑนั่นแหละอันตรายกว่าโจรปล้นศาสนา คุณสรุปได้ถูกคือพวกนั่งหลับตา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 33 ไม่มีความไม่จริงในสิ่งที่

พ่อครูพูดเรื่องโลกุตระ วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2565 ( 15:21:39 )

จะจนได้จริงต้องอาศัยธรรมะพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

สรุปเรื่อง เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นความรู้เป็นเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์คือความรู้ เศรษฐกิจคือพฤติกรรม พฤติการณ์หรือการกระทำ มนุษย์ก็ทำขึ้นมาตามหลักความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ แล้วก็เป็นผลจริงตามความรู้นั้นลงตัวไปสู่ความจริงตรงได้ตามหลักความรู้นั้น สำหรับความรู้ของพุทธเจ้าให้พากันมาจน แล้วก็จนได้จริงๆจนสำเร็จเรียบร้อย สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นจะจนได้จริงต้องอาศัยธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นคนจนมหัศจรรย์ เป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนจนที่มีแจกมีให้ผู้อื่น เป็นคนจนที่มีอาการที่น่าเลื่อมใส ไม่ใช่น่ารังเกียจ เป็นอาการที่น่าเคารพบูชา เป็นคนจนที่น่าย่องเชิดชู เป็นคนจนที่ซับซ้อนมากเลย เป็นความซับซ้อน เป็นคนจนที่ไม่ก่อความเดือดร้อน ช่วยให้สังคมดีขึ้น สงบร่มเย็นอบอุ่น ช่วยให้คนจนที่อุดมสมบูรณ์ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2563 ( 08:31:36 )

จะช้าหรือจะเร็วอยู่ที่ขวนขวายไม่บังคับกัน

รายละเอียด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 03 มิถุนายน 2563 ( 10:52:27 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:44:25 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:37:52 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์