@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

610712 

รายละเอียด

610712  ปัจจุบันเล็กขนาดจุดปลายเข็ม

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ปัจจุบันเล็กขนาดจุดปลายเข็ม

พ่อครู     :   ตอนนี้เน้นปัจจุบันอย่างมากเลย ถ้าใครเข้าใจปัจจุบัน เขาอธิบายว่า ปัจจุบันนี่มัน จุดเล็กๆ จุดปากกาจึ๊กลง ไปนี่คือปัจจุบัน จึ๊ก พอปากกาจึ๊กลงไปแล้ว นี่คือปัจจุบัน จากนั้นไม่มีแล้วปัจจุบัน ก็เลยอธิบายอย่างนี้  ปัจจุบัน

 

เพราะนั้นใครยึดมั่นถือมั่นเกินปัจจุบันมันก็มีเรื่อง ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น ปัจจุบันก็คือ สิ่งที่เกิดด้วยเหตุปัจจัย พอเกิดเหตุปัจจัยก็เกิดกาละเกิดกรรม ปัจจุบันยังไม่มีกาละ ยังไม่มีกรรม พอเกิดกาละ มีกาละขึ้นมาปั๊บ มีจิตวิญญาณ มีจิตนิยาม มันก็เกิดกรรม หายใจเข้ามันก็เกิดกรรมแล้ว หายใจออกก็เกิดกรรมแล้ว และยิ่งคิดขึ้นมาอีก  อ้าว เป็นกรรมเลย คิดยังไงขึ้นมาก็เป็นกรรม เริ่มก็เป็นกรรม  จากนั้นก็มีพูดมีทำอะไรอีก 

 

เพราะงั้นสุดยอดจริงๆเลยในโลกนี้ก็คือ continuum of กรรมและกาล  กรรมกับกาล continuum ของไอน์สไตน์  continuum of   space and time of continuum  ของผมนี่มัน กรรมกับกาล กรรมกับกาละ  of continuum  กรรมกับกาละ พวกเราจะได้เข้าใจขึ้นเยอะ ว่าเออ กรรมกับกาละ มันไม่อะไร มีแค่นี้แหละ  เพราะงั้นเริ่มต้นกรรมมันมีอะไรขึ้นมามันก็เป็นวิบาก   ถ้ากรรมไม่เป็นมันเป็นอัพยากฤต หรือมันเป็นอุเบกขา กรรมเป็นอุเบกขา มันก็ไม่เกิดวิบากอะไร พอกรรมเกิดมันไม่เป็นอุเบกขา จะเป็นกุศลก็ตาม ก็เป็นวิบาก ยิ่งเป็นอกุศลก็ยิ่งต้องบวกลบคูณหารกันไปซิ  กุศลกับอกุศลก็บวกก็ลบกันไป ก็อย่างนั้น

 

ของเราอยู่กับปัจจุบันสบาย ไม่ต้องไปหวั่นไหวอะไรกับการเปลี่ยนแปลง มันก็ต้องเปลี่ยนแปลง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ใครไปห้ามอนิจจังวะ  ไม่มี ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลง อนิจจังได้เลย ไม่เที่ยง หายใจเข้ากับหายใจออกก็ต่างกันแล้ว

 

ก็แล้วแต่ซิ คุณก็ยึดของคุณ คุณก็ทุกข์ของคุณไป เราไม่ยึดแล้ว เราเข้าใจแล้ว เราจะไปยึดอะไรเล่า มันไม่เที่ยงอะไร หายใจเข้าก็ไม่เที่ยง หายใจออกก็ไม่เที่ยง มีที่ไหนล่ะ  เขาเหมือนกันที่ไหน หายใจเข้า หายใจออก จะให้จริงๆแล้ว คุณหายใจเข้ายาว แล้วมันก็เที่ยงที่ไหนอ่ะ แค่หายใจเข้ายาว มันก็เที่ยงที่ไหน หายใจออกอีก อ้าว ๆๆ เข้ากับออกมันยิ่งชัดเจน คนละสวนทางแล้ว   ยาวกับสั้นมันก็ต่างกันแล้ว ยาวกับสั้นก็ต่างกันแล้ว นี่เข้ากับออกอีก อ้าว  มิติต่างๆก็เกิดขึ้นแล้ว two มิติ three มิติ dimension per dimension

 

. เดินดิน : หายใจเข้าเป็น oxygen หายใจออกเป็น carbondioxide นะครับ

 

พ่อครู : นั่นก็เป็นชัดเจนเข้าไปอีก เป็นอุตุเลย  เข้าก็เป็นออกซิเจน ออกมาก็เป็น คาร์บอนไดออกไซด์  มันก็ชัดเจน มนก็ธรรมดา วิทยาศาสตร์ แท้ๆเลย

 

ถอดความโดย ...ในสวนดาว


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:30:37 )

610713

รายละเอียด

610713  ธรรมะ 2 รวมเป็นเวทนา 1 โดยส่วน 2 ภาคประสานงาน

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ธรรมะ 2 รวมเป็นเวทนา 1 โดยส่วน 2 ภาคประสานงาน

พ่อครู         : คนคิดไม่เหมือนกัน นึกไม่เหมือนกัน มันก็ขัดกันไป จนกว่าคนจะรู้จัก มันธรรมดาทุกอย่างอณูปรมาณู สองตัวสองแบบ มันไม่มีอะไรเท่ากันมันเป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วเราก็รู้ เอ้อ มันก็อันนั้นของอันนั้น อันนี้ของอันนี้ แล้วเราก็จบ ทีนี้เราไม่รู้ เราบอกมันต้องเป็นอย่างเดียวกัน จริงๆ มันเป็นอันเดียวกัน มันอยู่ที่ใจเขา ใจเขาเข้าใจแล้วเขาก็ยอม ประสานกัน แต่ที่จริง มันก็คนละตัว มันอยู่ที่คนที่เขายอมประสานกันเท่านั้นเอง  คนไม่ยอมประสานกัน มันก็ต้องไม่ประสานกัน เพราะว่ามันคนละอย่าง  สองมันก็คือ ไม่ใช่หนึ่ง โดยสัจจะสองมันก็ต้องสอง หนึ่งมันก็ต้องหนึ่งสิ  แต่ทีนี้มันสองหนึ่ง ก็คือ จิตของคุณอ่ะ เออ ประสานกัน รวมกัน มันก็เป็นอายตนะ  มันก็เป็นธรรมะสอง

.แสนดิน    : กรณีนี้ถ้าคนหนึ่งเขาประสาน อีกคนหนึ่งไม่ประสาน มันก็ยัง เป็นขัดแย้งกันอยู่ คือต้องยอมรับวิบากตรงนี้ว่า แม้คุณจะยอม แต่อีกคนไม่ยอม

พ่อครู         : ยอมกันก็คือ คุณคือคุณ เราคือเรา

.แสนดิน       : อ๋อ ไม่เกี่ยวกันละ

พ่อครู            : ไม่ใช่เกี่ยวๆ กันสิ คุณก็คืออย่างนี้ คุณก็คือ หนึ่ง เราก็คือสอง ก็มันก็เหมือนกันไม่ได้ คุณก็คือบวก เราก็คือลบ คุณลบเราก็คือบวกก็เท่านั้นเอง ก็ลบกับบวกก็อยู่กันให้ได้ เป็นนิวเคลียสสิ

. แสนดิน    : ก็อยู่กันอย่างนี้ เขาจะ fight มาก็ปล่อยเหมือนพระโมคคัลลาถูกตี

พ่อครู          : ธรรมชาติของสิ่งที่มีมันก็ต้องสอง  ธรรมชาติของสิ่งที่มี มันต้องเป็นสอง

. แสนดิน    : ไม่มีทางที่จะเป็นหนึ่งได้ ไม่มีเป็นหนึ่ง

พ่อครู         : ไม่มีเป็นหนึ่ง มันเป็นหนึ่งในสอง ทเวธัมมา ทวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ   มันต้องมีธรรมะสอง แล้วก็จัดการให้ไปเป็นสอง ในส่วนสอง โดยส่วนสอง มันต้องมีส่วนสองอยู่เป็นหนึ่งในส่วนสอง  คุณไม่รู้สอง แล้วคุณก็ไม่รู้หนึ่ง  คุณต้องรู้ว่าคุณกับเรา สอง  และคุณกะเรา เราหนึ่ง เขาหนึ่ง ก็อยู่ด้วยกันก็จบ ก็คุณกะเรามันก็คือคุณกะเรา บวกกะลบ คุณจะไปให้บวกมาเป็นลบ คุณจะให้ลบมาเป็นบวกยังไง

. แสนดิน      : อธิบายอย่างนี้ง่ายหน่อย

. หนักแน่น :  อ้าว นาฬิกาของผมกะของพ่อครูมากดดู

. แสนดิน      : อันหนึ่งสามทุ่ม  อันนี้ตีสาม บวกกับบวก ลบกับลบก็อยู่ด้วยกันได้

. หนักแน่น :  นาฬิกายี่ห้อเดียวกันนะ

พ่อครู         : ก็ยอมกันแล้ว ตกลงกันแล้ว กำหนดรู้ตามกันก็จบ ตอนนี้เราจะเอาอะไร ทีนี้มันก็อยู่คนที่ว่า คนใดยอมได้ คนนั้นเป็นตัวผู้จบ

. แสนดิน      : ก็เป็นหนึ่ง

 

 พ่อครู         : ผู้ใดยอมไม่ได้เขาก็ไม่จบ

. แสนดิน      : ก็เป็น สาม สี่ ห้า

พ่อครู         : จริงๆแล้ว ผมกับเถระสมาคม ผมยอม เรื่องก็จบ ถ้าผมไม่ยอม เพราะ ผมเอง ผมเชื่อว่าผมไม่ผิด เขาต่างหากผิด เขาต้องยอมผม แต่ผมจะไปกดหัวให้เขายอมผมได้ไง ผมก็ต้องยอมเองก่อน เสร็จแล้วผมก็สาธยายไป  ทุกวันนี้ผมก็สบาย ผมก็ตีหัวเขาเล่นได้สบายเลย แล้วเขาก็ไม่กล้ามาแอะอะไรกับผม

 

ถอดความโดย..บัวกรุ่นบุญ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:33:08 )

610713

รายละเอียด

610713 พลังงานสัมประสิทธิ์คือพลังแฝง Kinetic energy

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน พลังงานสัมประสิทธิ์คือพลังแฝง Kinetic energy

 

พ่อครู : มันจะมี 3ชั้น  1. มี Static 2. มี Dynamic เป็นคู่กัน  3. มี Kinetic ทีนี้ Kinetic นี่แหละเป็น Coefficient  Kinetic นี่แหละเป็น Potential เป็นสิ่งที่คนไม่ได้ศึกษา มีอยู่แฝงอยู่ ถ้าคุณสามารถจัดการ ให้มัน เพิ่มให้มัน ให้มัน advance ให้มัน progress ให้มันก้าวหน้าได้ คุณก็จัดการ ถ้าคุณไม่ไปรู้มัน มันก็เป็นธรรมชาติของมันเท่านั้นเอง ก็ไม่มีการก้าวหน้าขึ้นไปได้ คุณก็ไม่มีอะไรเพิ่ม มันก็มีอยู่ไปตามธรรมชาติ ถ้าคุณเกิดการ มีอิริยาบถ เพราะมีอิริยาบถ ก็เกิดธรรมดา ก็จะก้าวหน้าได้เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าคุณเองมีเจตนา และมีตัวปรารถนา มีตัวประสงค์ที่จะให้ก้าวหน้า คุณก็เติม ตั้งใจที่จะมีจิต สติ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะ กำหนดตัวนี้ เพื่อให้มันเกิดอย่างเป็นองค์รวม มันก็จะเกิดการก้าวหน้าที่ว่า แต่ถ้าไม่ไปจัดมันก็ไปตามประสา ดีไม่ดีก็สะเปะสะปะ ก็ไม่พัฒนาเท่าที่ควร ถ้าเผื่อว่าเรามีจิต มีสติสัมปชัญญะ  ปัญญาเข้าไปควบคุม มันก็จะเป็น เหมือนกับเราบอก ปล่อยให้เด็กทำงานไม่ไปควบคุมเลย มันก็สะเปะสะปะ ถ้าเรา เอ้ามา  เอาเท่านี้ เอาอันนี้นี้นี้ มันก็จะได้ความ ถ้ายิ่งเราเป็นระเบียบเปี๊ยบวินัยเลย มันก็จะได้ครบ เรื่องธรรมดา

 

ส.แสนดิน : มีพลังงานแฝง ที่คนไม่รู้ แต่ว่า

 

พ่อครู : แต่เค้าไม่จัดสรรมันก็สะเปะสะปะไปตามยถากรรมไง มันมีพลังงานแฝง ฐานแต่ละคน เพราะถ้าไม่ไปจัดสรรมันก็สะเปะสะปะไป เลยเสียเวลาไปเฉยๆ มันก็ไม่ได้เป็นองค์รวมอะไร ไม่เข้าหมวดไม่เข้าหมู่ แต่ถ้าบอกว่า ถ้าเผื่อว่าเราไม่ไปคลุกคลีเกี่ยวข้องเป็นตัวนำ ถ้าเป็นอยู่กับโลก โลกก็เป็นตัวนำเป็นตัวที่จะเป็นเหตุปัจจัยกะเรามันก็ดึงไป แต่ถ้าเผื่อว่าเราไม่ไปมันก็ไม่เป็นไร เช่น อย่างสมมติว่า คนใดคนนึง มาตกอยู่ในสนามแม่เหล็ก มาอยู่กะชาวอโศก พลังงานหรือกรรมทั้งหมดมันก็ช่วยคนนี้ไปเรื่อยๆ

 

ส.แสนดิน : แล้วพลังงานบวก

 

พ่อครู : ใช่ ไม่มีอะไร ก็เหมือนกับโมเลกุลตกเข้ามาในสนามแม่เหล็กนี้

 

ส.แสนดิน : ก็เจริญมั้ย หรือเจริญได้แต่ช้า

 

พ่อครู : เจริญ เจริญ พลังงานของสนามแม่เหล็กมันก็จะจับ เดี๋ยวคุณก็เข้าโค้ดกับเขาหมด คุณอยู่ไม่ได้หรอก

 

ส.แสนดิน : จะมาแข็งไม่ได้

 

พ่อครู : ไม่ได้ ถ้าคุณแข็ง ไอ้นั่นไม่ได้ มันก็กระเด็นออก โมเลกุลนี่มันก็อยู่ไม่ได้นะ มันต้องดันกันออก

 

ส.แสนดิน : ก็ต้องไหลไปตาม

 

พ่อครู : ใช่ มันก็ต้องโน้มมาทางนี้ แล้วก็สุดท้ายก็ต้องไปด้วยกัน มันถึงไปด้วยกัน ก็เป็นหนึ่งเดียวกันไป

 

ส.แสนดิน : แต่ถ้าเราเร่งด้วยล่ะ ไหลไปด้วย

 

พ่อครู : ใช่ เรามีสติสัมปชัญญะควบคุมด้วย นำพาด้วย ช่วยด้วย คือมีจิตเราเป็นประธานไง มีอัตตา จิตของเราช่วยไปเลย  ไม่ให้มันเป็นนอก มันก็จะมาก พลังงานต่างๆ ก็รวมมาหมด แล้วก็พาอันนี้ไปเลย ทิศทางที่เราต้องการจะให้เป็น มันก็เจริญเร็ว ถึงที่หมายสูงสุด ถ้ารวมนี่ดีสุด มันก็มีเส้นทางเส้นเดียว สั้นสุด เร็วสุด ตรงสุด อันนี้ไม่มีอื่นละ

 

ส.แสนดิน : แล้วก็จะช่วยนำอย่างอื่นไปด้วย

 

พ่อครู :  ใช่ มันก็จะมีข้างเคียง  มันคือข้างเคียงที่จะไปด้วยกัน อะไรอื่นมันไม่โดดเดี่ยว ไม่มีอะไรโดดเดี่ยว แม้เราเองก็มีเราอยู่ข้างๆด้วย

 

 

ถอดความโดย...บัวกรุ่นบุญ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:34:22 )

610713

รายละเอียด

610713_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แผ่นดินแห่งอนาคามีที่สมบูรณ์ด้วยสาธารณโภคี

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=138lz_eDGGgyiMMh-9Vd3lz4R8T2BxAl5nNSxfmmXERY

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1h_Soy-fsspD36AfnoxQPbtkcSz5rZ_0b

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน 13 หมูป่าปรากฏการณ์บอกทิศทางกระแสโลก

สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันที่ 13 เลข 13 เป็นเลขที่เราได้ยินติดหู เรื่องหมูป่า 13 คนติดถ้ำ ดูเหมือนว่าจะเป็นเลขที่ไม่เป็นมงคล แต่ก็กลายเป็นเลขที่สวยงามได้ เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ อาตมานึกถึงที่ พ่อครูบอกว่า ต่อไปประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางคุณธรรมของโลก ก็ยังดูว่าจะเป็นไปได้อย่างไร ยังมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแบ่งพวกกันอยู่ แต่จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คุณธีรยุทธ บุญมี บอกว่าเป็นพลังบวกที่มีอยู่ในสังคมไทย ปรากฏการณ์ที่โลกจับตามองการช่วยชีวิตนี้ ก็ทำให้ดูว่ามีเค้าน่าจะเป็นไปได้ ที่พลังบวกพลังคุณธรรมในจิตวิญญาณคนไทยจะเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

วันนี้ทางเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรฯก็มาประชุมที่บ้านราชฯ เพื่อคุยกันว่าอยากจะทำให้จังหวัดอุบลฯ เป็นเมืองเกษตรอินทรีย์ ทำ MOU กับผู้ว่าจะทำเกษตรอินทรีย์ให้ได้ล้านไร่ ก็ตอนแรกจะทำให้ได้สองแสนไร่ ตอนนี้มีห้าหมื่นไร่ ภายในปี 2564

ก็มีผู้ใหญ่บ้านที่เคยมาอบรมกับพวกเราเมื่อปีที่แล้ว ตั้งแต่เป็นลูกบ้านตอนนี้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว อบรมก็กลับไปทำเกษตรอินทรีย์ทำมา 10 กว่าปีเขาก็บอกว่าไม่ง่าย เขารู้สึกว่าการทำเกษตรอินทรีย์ไร้สารพิษมันจะต้องทำด้วยใจ ในช่วงที่เขาฝ่าฟันก็พบกับอุปสรรครายได้ ตอนแรกก็พอได้แต่พอมีการประกันราคาข้าวเกวียนละ 20,000 สมาชิกหายไปเกือบหมดเลย เพราะเขาไม่สนใจคุณภาพข้าว ใส่ใจแต่จะให้ได้ปริมาณมาขาย ตอนนี้เขาก็กำลังหนักใจอีกว่า รัฐบาลให้ทำเกษตรอินทรีย์แต่จะให้เงินปีละ 2000 ในปีแรกปีต่อไปให้ปีละ 3000 ทำให้เห็นว่าพอเป็นตัวเงินขึ้นมา คุณภาพก็จะเปลี่ยนไป

แต่ถ้าเป็นเรื่องของจิตใจ อย่างตอนนี้ที่ถ้ำขุนน้ำนางนอน ปรากฏว่า แม้ช่วยเด็กออกไปได้แล้ว ก็ประกาศที่จะช่วยกันฟื้นคืนสภาพภูมิทัศน์ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะว่ามันเปลี่ยนทิศทางไป ต้องการให้เป็นการอนุรักษ์ให้เป็นที่ท่องเที่ยวที่สมบูรณ์ มีจิตอาสาไปทำกันพันกว่าคน บางคนเป็นชาวบ้านบอกว่ามีความรู้น้อยก็สมัครไปเป็นแม่ครัวทำอาหารได้ ตามกำลังที่ตัวเองจะทำได้แม้จะเป็นคนเล็กคนน้อย แต่ก็มาด้วยใจและช่วยเหลือ ถ้าหากเอาเงินเป็นตัวตั้งก็จะไม่ได้จิตใจและจิตวิญญาณ

ในหลวงองค์ปัจจุบันส่งเสริมเรื่องจิตอาสา มีชุดให้พร้อมเลย ให้เป็นกิจกรรมที่สามารถสร้างคนสร้างสังคมให้เป็นไปได้ด้วยดี แต่อย่างไรก็ดีบางทีเรานึกไม่ออกว่าจะพัฒนาไปอย่างไร แต่ก็ทำให้เห็นโมเดลของ คนมาอบรมที่เขาจากเราไปเสียก่อน แต่ก่อนเขาเป็นชาวบ้านธรรมดา ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว และก็มี Power พอสมควร ที่จะเป็นผู้พานำพาทำ หากผู้ใหญ่บ้านพานำพาทำในสิ่งที่สมควรก็จะเป็นสิ่งที่ดี

ตอนนี้การระดมจิตอาสาเป็นไปได้อย่างดี เราก็ไม่เคยคาดคิดว่าสังคมไทยเราจะเป็นไปได้ดีอย่างนี้ แต่เดิมมีแต่พวกแร้งลงไทยมุง เวลารถอุบัติเหตุก็จะมีคนไปเอาของคนบาดเจ็บ ตอนนี้กลับปรับเปลี่ยนทิศทางไปอย่างไม่น่าเชื่อ พ่อครูบอกว่า เป็นเพราะว่าคนไทยมี DNA ของโลกุตระ เป็นการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

งานนี้ถ้าไปถามคนแต่ละคน ว่าเป็นฮีโร่เขาบอกว่าไม่ใช่ ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนไม่ได้หวังรายได้หวังชื่อเสียงอะไร ทุกคนมาเพื่อช่วย สิ่งที่อยากจะขอได้ก็คือขอให้เด็ก 13 คนนี้รอดปลอดภัย ในงานนี้มีประโยคทองเกิดขึ้นเยอะแยะ แม้แต่ชาวบ้านธรรมดา อย่างเมียของจ่าแซม เขาเล่าให้ฟังว่า เมื่อรู้ว่าเด็ก 13 คนรอดได้หัวใจเขาโล่งโปร่งเลย ไม่ใช่โล่งเพราะว่าสามีตาย แต่เพราะว่า ภารกิจของสามีที่ทำไว้เสร็จแล้ว แล้วเขาไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเป็นปุถุชนคนธรรมดาไม่คิดว่าสังคมต้องมายกย่องอะไรเขา คนเราเมื่อไม่ได้คิดอะไรเพื่อตัวเองก็จะมีความสุข ถ้าหากคิดอะไรเพื่อตัวเองก็จะทุกข์ หัวใจของชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้คิดเพื่อตัวเองคิดว่าจะให้คนอื่นกลับจะเป็นหัวใจที่มีความสุขขึ้นมาทันที

พ่อครูบอกว่าทิศทางที่ดีของโลกเริ่มดีขึ้นแล้ว ขนาดโค้ชทีมฟุตบอลโลกยังบอกว่า แชมป์ที่แท้จริงอยู่ที่ถ้ำ คือทีมหมูป่า

 

พ่อครูว่า...ก็น่าประทับใจ น่ายินดีอย่างที่แนวโน้ม จิตวิญญาณของชาวโลก มีความรู้สึกร่วม มีความเข้าใจร่วม มีการเห็นคุณค่าอันสำคัญขึ้นมาแล้ว เห็นคุณค่าอันสำคัญร่วม ซึ่งคุณค่าอันสำคัญมันเป็นเรื่องของสิ่งที่ประเสริฐสุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือ คุณค่าอันสำคัญ เขตของความสำคัญคือคำว่าโลกุตระ

มันตัดความเป็นตัวตน ตัดความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ตนออกไป นิยามชัดๆของโลกุตระคือลดตัวตน ความเป็นจริงของสภาวะจิตสภาวะธรรมของแต่ละคนนี่ มันลดจริงๆและการลดตัวตนมันไม่ได้เสียดาย มันไม่ได้ห่วงแหน มันไม่รู้สึกว่าเป็นการเสีย มันรู้สึกว่าเป็นการเจริญของตนเลย มันลดได้แล้วมันดีใจในเรื่องที่เราได้เสียสละ หรือว่าได้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ซึ่งมันเป็นความบริสุทธิ์ใจ เป็นเรื่องของสิ่งที่ศัพท์บัญญัติบอกว่า คือตัวตนเกี่ยวกับตัวตน แล้วมันก็ลดตัวตน ตัดความเป็นตัวตน ตัวตนก็จะต้องยึดว่าตัวเองนี้ได้ ยึดว่าตัวเองต้องมีต้องเป็น แต่นี่มันหายไป ตัวตนของเราส่วนนี้ มันหายไปลดลงไป มันลดลงไปได้ 5% 25% มันก็รู้สึกว่าอาการนั้นหมดไป ยิ่งรู้สึกว่าเราไม่มีความรู้สึกนึกถึงตัวเลย ชั่วขณะหนึ่งก็ตาม ก็นั่นแหละ เริ่มเป็นสภาพที่เป็นโลกุตรธรรมเข้ามาเรื่อยๆๆ  แล้วก็ยินดีในการที่ตัวตนเราได้หายไป ยิ่งเป็นปัญญาเป็นความฉลาดที่ว่า ตัวตนมันหายไปนี้มันเป็นความเจริญนะ ถ้ายิ่งสำทับความเข้าใจ ความเชื่อถือ ความเชื่อมั่นว่า อาการอย่างนี้ของจิตอย่างนี้ยิ่งเป็นอาการที่ยิ่งวิเศษ นั่นแหละ ทิศทางของโลกุตระเกิดขึ้นในจิตใจ

ซึ่งมันเป็นจริงศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเป็นจริงและทำให้หมดตัวตนเลยได้ พวกเรานี่มันหมดมากความเป็นตัวตนหมดมากมาอยู่ในชาวอโศก เป็นแดนอาริยะในขั้นอนาคามีภูมิขึ้นไป นี่แดนอาริยะของพวกเรา เป็นแดนอนาคามีภูมิถึงขั้นอรหันต์

อนาคามีภูมิ ก็มีนิยาม มีการจำกัดความว่า เรามาทางนี้อย่างเกินครึ่งแล้ว เกิน50% แล้ว มาถึง 75% เลย     ขึ้นเป็น 60 70 75 เปอร์เซ็นต์ เลย 75% ก็เลยอนาคามีไปหาอรหันต์เลย เพราะฉะนั้นในช่วงที่เราเป็นอนาคามีนี่คือ

อนาคามิ อนาคามิกะ หรืออนาคามี ผู้ที่มีภูมิ อนาคมะนี่ไม่ย้อนกลับไปอีก อนาคมะ ไม่ย้อนกลับไปเป็นชาวโลกอย่างนั้นอีกแล้ว อาคามะเป็นผู้ที่ต้องเวียนกลับไปสู่ชาวโลกอีก ไปเป็นอย่างคนโลกีย์อีก

แต่อนาคามีมรรค อนาคามิกะ อนาคามีบุคคล มันไม่ไปแล้ว จิตมันไม่ไป มันมีปัญญา มันมีความรู้ว่า อันนี้วนเวียนมันเป็นทุกข์ร้อน ไม่รู้แล้วไม่รู้จบ อย่างนี้จบได้ดี มันมาอย่างนั้นจริงๆ  

ชาวอโศกเราถึงอาตมาไม่ห่วง ชาวโลกีย์เขาจะมาหลอกล่อชี้ชวนครอบงำอย่างไร เชิญ  ใครไม่จริงก็หลุดไปตามเขา อาตมาไม่กลัวหรอก มวลที่มีอยู่มีมากพอ อาตมาไม่จำเป็นต้องต้านคนจะมาดึงเอาคนอโศกไป ไม่จำเป็นต้องต้าน คุณคิดว่าแน่มาเอาคนอโศกไปก็มาเอาไป ขออภัยที่พูดเหมือนท้าทาย มาเอาไปเลย จิตมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันจะเกิดปัญญา มันจะเกิดเจโตธรรมะ 2  จิตจริงๆ มันเป็นอย่างนี้ ปัญญามันก็รู้เลย มันต้องอยู่ทิศนี้อย่างนี้ ทางโน้นแน่ชัดไม่ไป

เพราะฉะนั้นผู้อยู่ที่แน่นอนแล้ว ไม่มีใครแวบวับว่าไปตามเขา เขามีอะไรต่ออะไร รุ่งเรืองฟู่ฟ่ามากมายอะไรก่ายกอง ทั้งลาภ ยศ สรรเสริญโด่งดัง เด่น หรูหราฟู่ฟ่า เรายิ่งชัดเจนว่ามันฟุ้งซ่านฟุ้งเฟ้อฟรุ้งฟริ้งมันเกินไป มันจะชัดในใจของเราเลย เราไม่ยี่หระไม่แยแสไม่สนใจหรอก จิตมันจะเป็นจริงของมันอย่างนั้นเลย

อาตมาถึงบอกว่า ถือเอาความจริงที่จิต ถ้าไม่จริงคุณก็ไป คุณจริงคุณก็อยู่ เป็นการพิสูจน์ความจริงนี้ด้วย เพราะฉะนั้นอาตมาจะใช้เวลานี่แหละพิสูจน์ เพราะฉะนั้นจึงพยายามอยากจะอยู่กันยืนยาว โดยใช้วิธีนี้แหละ ดูซิว่าอย่างใจแก้วจะอยู่จนตายหรือเปล่า คิดว่าจะอายุเท่าไหร่จะตาย 100 หรือ? ตอนนี้ 69 แล้ว อีกปีก็ 70 แล้ว อีก 30 ปีเองจะตายถ้า 100

ไม่ใช่ว่าเราสิ้นไร้ไม้ตอกนะ เรามีความรู้มีความสามารถ มีแรงงานมีสมรรถนะ สร้างสรรอยู่ ทุกวันนี้เราก็สร้างสรรอยู่แล้วก็ไม่ได้หวงแหน เราก็ไม่ได้คิดว่าเป็นคุณค่าอะไรมากมายว่าเราจะต้องไปทวงบุญทวงคุณเอาอะไรคืนมา ไม่มีหรอก มันชัดเจนปัญญามันชัดหมดเลย มันสบายใจ

ตอนนี้ก็อย่างไรๆ โรงเรือนตลาดแปรรูปก็เข้าไปร่วมหรือยัง ตอนแรกจะให้เป็นตลาดตอนหลังก็กลายมาเป็น อาคารหลังใหญ่แทนที่เป็นตลาด ตรงนั้นก็ให้เป็นที่สร้างผลผลิต เชิญเลย เป็นโรงเรือนใหญ่ห้อมล้อมไปด้วยเรือต่างๆ ที่พร้อมที่คุณจะพักที่นั่น ได้อาศัยอยู่ที่นั่นด้วยกัน แล้วมันจะเป็นร้านค้าย่อยของสิ่งผลิตอยู่ที่นั่นเลย เอาขึ้นมาใส่ร้าน เอาเรือเป็นร้านค้าปลีกย่อย หรือจะเอามาที่โรงเรือนตลาดใหญ่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ตั้งอีกได้ยังมีที่ว่างอีกที่คุณจะจอง คุณจะเอาสินค้าเอาผลผลิตตอนนี้ยังมีที่นะ อีกหน่อยเต็มแล้วอย่ามาร้องไห้นะ เต็มแล้วไม่มีที่จะได้แล้วนะ ตอนนี้ว่างโหวๆเหวๆ อยู่เลย เป็นแต่เพียงว่าคนไม่มาซื้อเขาเลยไม่อยากเอามากัน ถ้ารอคนมาเต็มแล้วคุณจะมาแล้วมันจะทันเขาเหรอ ต้องลงทุนหน่อยสิ ตอนแรกๆ ช่วยบุกเบิกหน่อยสิ จะมาชุบมือเปิบได้อย่างไร

 

มาอ่าน SMS 12 กรกฎาคม 2561 (พ่อครู : บวรราชธานีอโศก รีรัน)

 

_3867ขอบคุณบุญนิยมที่ออกรายการธรรมะเทปซ้ำพ่อครูให้ดูชดเชย!วันถ่ายสดตรงกับรายการพิเศษปิดศอร.จบภารกิจกู้วิกฤติภัยโลก

 

_3867สามัคคีพลังกู้ภัยสัมฤทธิ์ถ้ำหลวงจารึกประวัติศาสตร์โลกที่รวมกองทัพนานาชาตินักกู้ชีพหมูป่า!แปรพลังเปลี่ยนสงครามความรุนแรงที่รบกันด้วยอาวุธ เป็นสงครามกอบกู้วิกฤติภัยธรรมชาติปรวนแปรทั่วโลก รบกันด้วยหัวใจนักกู้ชีพกู้ภัย!สากลคงเจริญสุขสงบสันติศิวิไรซ้ทั่วโลก!

พ่อครูว่า...จะเรียกว่าการรบมันก็ไม่ถึงขั้นรบ มันเต็มใจเหมือนการแข่งขันแต่ไม่ใช่แข่งขัน มันซ้อนมันมีสภาพการซ้อน ตั้งใจคนทำดีเต็มที่ให้ยิ่งๆ มันเหมือนแข่งกันทำดี แต่จิตใจไม่ได้แข่ง ต่างคนต่างเต็มที่ จึงเป็นคุณภาพเป็นประสิทธิภาพที่วิเศษ คุณคนนี้ใช้คำว่า รบกันด้วยหัวใจนักกู้ชีพ เขาไม่ได้รบ แต่ดูเหมือนแข่งกันก็ไม่ใช่ ต่างคนต่างเร่งกันเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพเต็มที่ โดยไม่คิดถึงชีวิตเลยจนกระทั่งมีเสียชีวิตกันไป นี่แหละคือการหมดตัวตน การลืมนึกถึงตัวตนแม้ตนจะตาย มันลืมไปเลย แต่ก็จริงๆ มันก็ไม่ถึงขั้น ปล่อยให้เลยเถิดจนตัวเองเจอภัยจนตาย มันต้องมีปฏิภาณมีไหวพริบพอที่จะรู้ตัวอยู่อย่างนั้น

สากลคงเจริญสุขสงบสันติศิวิไรซ้ทั่วโลก!

ใช่มันเริ่มแล้ว มันมีแนวโน้มมา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึก จิตใดเป็นจิตวิญญาณ

_0015จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึก จิตใดเป็นจิตวิญญาณครับ

พ่อครูว่า...ฟังดีๆ จิตสำนึกคือ จิตเบื้องบน จิตปกติที่มีการใช้เป็นสามัญทั้งภายนอกภายใน เรียกว่าจิตสำนึก conscious เป็นจิตพื้นฐานเบื้องต้นที่เป็นปกติของคนทั่วไป คนที่ไม่ได้ศึกษาก็จะใช้อันนี้เป็นปกติของเขา จิตใต้สำนึกก็ช่วยเขาอยู่  แม้จิตไร้สำนึก

มันจะมีจิตสำนึก conscious  จิตใต้สำนึก subconscious จิตอีกอันหนึ่งเป็นอนุสัยเลย เป็นจิตขั้นที่ 3 ลึกอยู่ในก้นบึ้งของจิตเลย เรียกว่าจิตไร้สำนึก Unconscious

ถามว่า จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึก อันใดเป็นจิตวิญญาณ ก็ขอตอบว่าทั้งสองอันยังไม่เป็นจิตวิญญาณเต็ม เพราะวิญญาณหรือใช้คำว่าวิญญาณจะใช้คำว่าจิตวิญญาณควบก็เป็นอันเดียวกัน เป็นความเต็มของพลังงานจิตของเรา พลังงานวิญญาณของเรา conscious เป็นเจตสิกส่วนหนึ่ง subconscious  ก็เป็นเจตสิกส่วนหนึ่ง หมายความว่าเป็นส่วนย่อยลงไปอีกจากวิญญาณที่มาทำงานหน้าที่ของแต่ละหน้าที่ ที่จะมีมิติที่ต่างกัน conscious ก็มิติหนึ่ง subconscious ก็อีกมิติหนึ่ง มันจะมีความแตกต่างกัน

เพราะฉะนั้น จิตสำนึก conscious ที่เขาใช้ก็เป็นสามัญสำนึกทั่วไป จะใช้ จิตใต้สำนึก subconscious ก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตที่ใช้เข้าไปใกล้กันกับ conscious มาก  ลึกลงไปหาชั้นลึกเข้าไปอีก เขาแบ่งเป็น 3 ชั้น เขามี conscious subconscious Unconscious  หรือจิตสามัญสำนึก ใต้สำนึก ไร้สำนึกก็มีแค่นั้น

ยิ่งลึกลงไปหาอนุสัยเท่าไหร่ เรียกว่าเวทนา หรือเรียกว่าความรู้สึก เจตสิกแห่งความรู้สึก ส่วนหนึ่งของจิตเป็นความรู้สึก แยกไปเป็นภาษาคือมันไม่เต็มวิญญาณ มันไม่เต็มความเป็นจิตทั้งหมด มันก็เป็นส่วนมาทำหน้าที่ของมันแต่ละหน้าที่ และมันก็มีทั้งดีกรี มีทั้งความแข็งแรงต่างๆ นานา ซึ่งมันเป็นลักษณะที่เป็นคุณสมบัติเป็นสมรรถนะของมันเสริมขึ้นมา มันก็พัฒนาขึ้นมา เวทนาก็พัฒนาขึ้นมา แล้วมันก็เลื่อนชั้นเข้าไปสู่ที่ลึกขึ้นๆๆ จึงเรียกว่าจิตใต้สำนึก subconscious และจิตไร้สำนึก Unconscious

ใครทำจิตสำนึกได้เต็มสมบูรณ์บริบูรณ์ หรือไม่บริบูรณ์เราก็ทำอันที่ 2 เพิ่มขึ้น ก็ทำจิตสำนึกต้นก็จะเป็นพื้นฐานต้นฐาน เป็นกำลัง Static ให้แก่อันต่อๆไป ต่อๆไปก็พัฒนาขึ้นก็เป็นพลังงานร่วมที่ใช้ร่วมคือ dynamic พัฒนาขึ้นจัดการทำงานเพิ่มขึ้นก็เจริญขึ้นเข้าไปลึกเข้าไปหา subconscious หรือจิตใต้สำนึก จนกระทั่งจิตใต้สำนึกขึ้นมาเต็มอีก มันก็มาเป็นจิตสำนึก จิตใต้สำนึกเลื่อนขึ้นมาเป็นจิตสำนึกเต็ม จิตไร้สำนึกก็เลื่อนขึ้นมาเป็นจิตใต้สำนึกอีกทีหนึ่ง หรือเราลึกเข้าไปโดยคำอธิบาย โดยจริงจิตมันเลื่อนขึ้นมา

มันเจริญขึ้นมาหาปัจจุบัน มาหาปกติปัจจุบันสามัญของชีวิตมนุษย์ที่เป็น ถือว่าข้างนอกที่เกี่ยวข้องกับความเปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำงานร่วมกันเลย เป็นทั้งนอกทั้งในร่วมกันไปด้วยกัน นี่เป็นสามัญธรรมดาเป็นความจริงที่สุด เพราะฉะนั้นปัจจุบันนี้เป็นความจริงที่สุด ส่วนที่ลึกอยู่ที่ยังดึงออกมาใช้ไม่ได้ ไกลลึกไปถึงกระทั่งต้องควักไปถึงอดีตมันถึงจะได้ มันยิ่งไม่ใช่ หรือยิ่งไปเฟ้อเอาอนาคตเอาอะไรก็ไม่รู้เอาลมๆแล้งๆ ขึ้นมาใส่ มันก็ยิ่งยังไม่ใช่ เอาความจริงที่ตรงนี้ ปัจจุบันนี้ ตอนนี้อาตมาอธิบายปัจจุบันชัดเจนขึ้น เน้นขึ้น ฟังดีๆ จะเข้าใจ

 

สรุปอีกที จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึก เป็นส่วนประกอบของวิญญาณ อยู่ภายในวิญญาณ ต่างกันนะ เป็นพลังงานของจิตของคน

ความรู้อันนี้เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วอาตมาก็เรียนตามพระพุทธเจ้ามาจริงๆ มาในยุคนี้ความรู้ของคนกำลังเลื่อนไหลมาสู่พลังงานระดับจิต ระดับวัตถุเขาเก่งแล้วเก่งจนจะรู้รอบกันหมดแล้ว เอามาใช้งานได้เต็มที่จนกระทั่งออกไปนอกโลก ออกไปสร้างสถานีนอกโลก ไปเป็นอะไรต่ออะไรเยอะแยะมากมาย ซึ่งมันก็เสียพลังงานเสียเวลาไปอีกเยอะ ทุนรอนมากมาย ซึ่งป่วยการ จริงๆ อยู่ในพื้นโลกนี้มันก็เหลือแหล่ที่จะทำ แต่คนมันอยากใหญ่ มันอยากอวดอ้างอวดอยากเด่นอยากเก่งเขาก็ทำกันไป

แต่แท้จริงแล้ว จิตที่ช่วยมนุษย์ให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสมบูรณ์อันนี้สำคัญกว่า คนเห็นแล้ว ในโลกตอนนี้เข้าใจขึ้น มารวมกันให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เกื้อกูลกันช่วยเหลือกัน ใครตกต่ำก็พยายามช่วยกันให้ดีขึ้นมา ผู้ใดประพฤติชั่วพยายามช่วยกันให้ดี ให้เป็นมนุษย์ที่ดีอยู่ในสังคมร่วมกันเจริญทั้งโลกมากขึ้นๆ ความเข้าใจอันนี้เกิดขึ้นทั่วโลกแล้ว ชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้นความรุนแรงที่จะทำร้ายกัน เกิดมาเป็นสัตว์ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เสร็จแล้วก็วนเวียน เขาจะรู้ความหมุนเวียนของจิตวิญญาณ

ศาสนาเทวนิยมส่วนใหญ่จะอยู่ทางยุโรปอเมริกานั้น เขาไม่รู้จิตที่วนเวียนเกิดๆ เขาไม่รู้ reincarnation การเกิดแล้วตาย เพราะศาสนาเทวนิยมเกิดแล้วเมื่อตายลงจิตก็ไปอยู่กับพระเจ้า นิรันดรด้วยชาติเดียว มาเกิดอีกมาเวียนอีกเขาไม่ต่อ ไม่มีความรู้ที่ว่า ไม่ใช่จิตไม่ใช่เกิดปุ๊บตายชาตินี้แล้วชาติเดียวแล้วไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าก็พิพากษาให้ลงนรกหรืออยู่สวรรค์กับพระเจ้าเอง ไม่ใช่เท่านั้น จริงๆไม่มีพระเจ้าบันดาลหรือกำกับอย่างนั้นด้วยซ้ำไป แต่คนจะต้องพึ่งพระเจ้า ภูมิฐานยังไม่ถึงต้องพึ่งฐานนี้ คนส่วนมากที่อวิชชาอยู่ยังไม่ถึงมีเยอะ คนจึงนับถือศาสนาพระเจ้าหรือพึ่งพาอันนี้มากกว่า

พุทธไม่ได้รังเกียจ พุทธไม่ได้สงสัย พุทธไม่ได้ริษยา เพราะว่ารู้ความจริงว่าต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเขามีภูมิรู้ได้เท่านั้น เขาต้องทำขนาดนั้น ขออภัยนะที่พูดเหมือนข่ม เพราะฉะนั้นเราจึงบอกจะไปทำไมจริงๆ เราก็รู้แล้วเท่านั้นเราก็ผ่านมาแล้ว เรารู้อันนี้กว่านี้ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีปัญหา เป็นแต่เพียงระวังเสียอย่าไปข่มเขาอย่าไปดูถูกดูแคลนเขาเท่านั้นเอง ศาสนาเทวนิยมที่เป็นลัทธิที่แรงก็แตะไม่ได้จึงต้องระมัดระวัง คริสต์นี้ค่อยยังชั่วรู้ตัวขึ้นมามากแล้ว แตะได้พอได้ แต่ศาสนาหลายศาสนาอย่าพึ่งไปแตะ แตะแล้วเป็นเรื่องดีไม่ดีตายด้วย เพราะพวกนั้นรุนแรง รุนแรงอย่างไม่ไว้หน้าด้วย เพราะงั้นเสียผลไม่เกิดประโยชน์ ต้องระมัดระวัง อันนี้ระมัดระวังจริงๆ อาตมาระมัดระวังมากเรื่องนี้ แต่ไม่รู้มันจะพลาดเมื่อไหร่ ถ้าพลาดขึ้นก็ซวย แต่ไม่ให้พลาด เพราะยากเขาเข้าใจยากแก้ตัวไม่ได้ เขายึดถืออย่างนั้น เขาถืออย่างนั้น เขาจริงอย่างนั้น เขาก็หวงแหนเชิดชูบูชาอย่างนั้นจริงๆ เราต้องระวัง 

สัจธรรมพวกนี้เป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าศึกษาตรัสรู้และเอามาประกาศ อาตมาศึกษาตามมาทุกวันนี้แล้วก็อุ่นใจ ดีใจ ชื่นใจที่ คนชักจะเข้าใจความละเอียดลึกซึ้งอันนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมในโลก เป็นพฤติกรรม เราหยิบขึ้นมาเป็น phenomenal ของในหลวงก็ดี พฤติกรรมของในหลวง ซึ่งอธิบายยาก

อาตมาเคยโยงใยไว้แล้วว่า ไอน์สไตน์เขียนจดหมายบอกลูกเอาไว้ว่าเป็น Bomb of love  ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ก็ยินดีพร้อมใจกันทั่วโลกทุกประเทศ เป็นการตื่นตัวตื่นเต้น แล้วก็เป็นการเสียดาย เป็นการเชิดชูบูชารวมกันเป็น Bomb of love ที่ยิ่งใหญ่ ไอน์สไตน์ก็บอกลูกว่า พ่อก็อธิบายให้ลูกฟังไม่ไหว อธิบายไม่ได้ว่ามันจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในอนาคต ตามภูมิของเขา เป็นอนาคตังสญาณของไอน์สไตน์ อาตมาเจอจดหมายฉบับนี้ของไอน์สไตน์อาตมาจึงเอาออกมาพูด ชี้ให้เห็นได้เลยว่าเหตุการณ์ 59 ของในหลวงรัชกาลที่ 9 คือ Bomb of love อาตมาพูดไปเขาก็ไม่ฟังหรอก อาตมาเป็นอาภัพบุคคล แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจมากขึ้นแล้ว เหตุการณ์ของหมูป่าก็ย่อยลงมาอีก จะมีเหตุการณ์อะไรอื่น ความจริงเหตุการณ์อื่นพวกเราก็ทำมาแล้ว

เหตุการณ์นี้มันเฉพาะเรื่อง โดยประเด็นหยิบเอาความเป็นชีวิตอย่างเดียว จงมาร่วมกันช่วยชีวิต เท่านั้นเอง ประเด็นสำคัญ มันตัดกรอบ เข้ามาตีกรอบเข้ามาเอาแค่นี้ ชีวิตคนซึ่งสำคัญนะ มี 13 คน ทั้งๆที่คนในโลกนี้มีตั้งเจ็ดพันกว่าล้าน เขาเห็นความสำคัญของชีวิตขึ้นมา นี่คือคุณค่าของคนที่เห็นว่าโอ้โห อาตมาสอนเอาธรรมะพุทธเจ้ามา

ศีลข้อที่1 อย่าฆ่าชีวิตสัตว์ใดๆ พยายามย้ำแล้วย้ำอีก แต่ข้อสุดท้ายที่ท่านตรัสไว้ในศีลข้อที่ 1 มีความปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งหลาย หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ เพราะฉะนั้นคำสุดท้ายของศีลข้อที่ 1 1.ละการฆ่าสัตว์ 2.เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ละนี้ไม่ทำ เว้นนี้อาจจะเว้นหนึ่งไม่เว้นหนึ่ง แต่ละนี้คือขาด ปล่อย ถ้าเว้น อันนี้เว้นอันนี้ยังไม่เว้นนะ มันจึงมีน้ำหนักหรือความหมายต่างกัน ละมันสูงกว่า 1.ฆ่า ฆ่านี้แรงสุดไม่ฆ่า ละการฆ่า เว้นการฆ่า วางทัณฑะ วางศาสตรา วางวัตถุหยาบเลย ทัณฑะนี่ วางวัตถุฆ่าหยาบเลย ระเบิดไฮโดรเยนเลยอะไรอย่างนี้ หรือจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ปืนกลปืนสมัยใหม่ อาวุธสมัยเก่าก็ตามอาวุธของที่ร้ายแรงที่สุด วางศาสตรามีความหมายทั้งอาวุธและความรู้ เพราะฉะนั้นจะเป็นอาวุธที่ใช้ความรู้เนียนขึ้นมาดูเหมือนมันร้ายแรง มันเนียนในนะ ที่จริงมันแรงกว่าอาวุธหยาบด้วยซ้ำไปอย่างนี้ได้ ศาสตรา วางหมด สรุปก็คือเครื่องฆ่า จะเป็นอาวุธหยาบๆ ใหญ่ๆ หนักๆ สมัยโบราณกิโยตินอย่างนี้เป็นต้น หรือสมัยของเปาบุ้นจิ้น เครื่องประหารหัวสุนัข ก็วางหมด วางศาสตราวางอาวุธแล้วก็ยังมีความละอาย ละอายที่จะไปเบียดเบียนสัตว์ไปทำร้ายสัตว์ เราเป็นมนุษย์ เราเป็นผู้จิตสูงเราเป็นสัตว์ชั้นสูงแล้ว ทำไมจะไปทำลายสัตว์ชั้นต่ำเหมือนผู้ใหญ่ มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่

เราเป็นสัตว์ชั้นสูงแล้วทำไมจะไปทำร้ายสัตว์ที่ชั้นต่ำ เหมือนผู้ใหญ่ที่ไปรังแกเด็ก มันแย่นะ มันต้องเสียสละให้เด็กสิ เด็กจะทุบจะตีเราบ้าง เราก็ทนได้ จะรังแกเด็กเมื่อไหร่ก็ทำได้ เพราะฉะนั้นมันก็สลับไปสลับมาในความสำนึก ในความคิดของคนอยู่ที่การเสียสละ ที่จะใช้ความแข็งแรง ใช้ความเป็นผู้ใหญ่ผู้ที่อยู่เหนือ จะต้องช่วยผู้ที่ด้อยกว่า มันสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็มีความละอาย มีความเอ็นดูในสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะเดินดินว่า...พ่อครูเอาจุลศีลมาอธิบาย บางแห่งเขาเข้าใจผิดว่าสอนแต่ศีล 5 เขาไม่ได้รู้ว่าไม่ใช่แค่ฆ่าสัตว์ มีการวางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีจิตเอื้อเอ็นดู เขาเข้าใจแต่เพียงว่าไม่ฆ่าสัตว์ จบแล้วศีลข้อที่ 1 แต่มันมีรายละเอียดอีก

พ่อครูว่า...ก็ได้ เบื้องต้นหยาบๆ ทำได้อย่างนั้นก็เอา แต่มันไม่จบแค่นั้นนะ ศีลข้อ1 มันยังไม่เต็มนะ ศีลข้อ 1 เต็มก็สวยงาม มันมีจิตไสรทำร้าย ไม่เป็นภัยต่อสัตว์ใดๆเลย นี่เป็นแนวลึกของศีลข้อที่ 1 เพราะงั้นเราก็พยาบามปฏิบัติ มันไม่เสียหายอะไรนี่ ถ้าเราเองจะไม่เป็นโทษภัยจนสัตว์ทั้งหลายไม่กลัวเรา สัตว์ทั้งหลายไว้ใจเรา จะเห็นได้ว่า แดนของพวกเรา นกกระจาบมาสร้างรังเยอะแล้ว นกกระจาบมันมีเซ้นส์ของมันนะ ที่ไหนไม่ปลอดภัยมันก็ไม่ไปอยู่นะ 1. ความสะอาด 2. ปลอดภัย มันเป็นเครื่องวัดบรรยากาศของสังคม 1.บรรยากาศมีความสะอาดไม่มีพิษภัย 2. ปลอดภัย นี่นกกระจาบเป็นตัวชี้ค่าอันนี้  เพราะฉะนั้นตอนนี้นกกระจาบมา ที่สวนบุญผักพืชก็มีรังนกกระจาบมาสร้างรังเยอะแล้วเดี๋ยวนี้ ดินแดนของพวกเราจะมีเพราะมันมี sense ที่จะไว้ใจได้ ถ้าหากที่ไหนไว้ใจไม่ได้มันไม่สร้าง นกกระจาบมี sense อะไรอย่างอื่น สัตว์เดรัจฉานจะมี sense พิเศษ มันต้องรักษาตัวมันชีวิตของมัน เก่งกว่าคนหลายอย่าง คนนี่กลายเป็นไม่เก่งเท่าสัตว์พวกนี้เยอะ

ศีลที่อาตมากำลังอธิบายอยู่ขณะนี้ ก็พยายามตามไปแล้วก็ขยายความเป็น อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติหรืออธิวิโมกข์ อธินี่หมายความว่าจิตมันโน้มน้อมไป เจริญไปเรื่อยๆ ไปถึงจุดสำคัญของศีล จุดสำคัญของสมาธิ จุดสำคัญของปัญญา จุดสำคัญของวิโมกข์และวิมุติพวกนี้ พลังงานของจิตมันก็จะเจริญขึ้นไป พลังงานของจิตจะเจริญสูงขึ้นไป เป็น trend เป็นแนวโน้ม ไปทิศทางนั้น เข้าสู่กระแสไปเรื่อยๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน อัมพัฏฐสูตร เทวดา มาร คือจิตอย่างไร

อาตมาเอาอัมพัฏฐสูตร อธิบายถึงข้อใดแล้ว..ย้อนหน่อยว่าอัมพัฏฐะนี้ไปพบพระพุทธเจ้า อัมพัฏฐมานพ เป็นผู้รู้ในศาสนาพราหมณ์ เขาก็หลงตัวเองว่าพวกกษัตริย์เป็นเพียงพวกที่ไปรบเท่านั้น บริหารประเทศเท่านั้น สำหรับความรู้ก็ต้องยกให้พราหมณ์ เขาก็หลงตัวเองว่าตัวเองเป็นผู้เรียนจบไตรเพท แต่เขาไม่มีสภาวะมีแต่ภาษาบัญญัติเหมือนยุคนี้รู้แต่ภาษารู้แต่บัญญัติเยอะแต่สภาวะไม่ค่อยมีเพราะงั้นก็เลยไม่ค่อยมีผลสำเร็จอะไร พวกเรามาลงถึงสภาวะภาษากลับก็ไม่ค่อยเก่ง โดนเขาว่าอยู่เรื่อย โดนเขาว่าทางภาษา อาตมาก็ไม่มีปัญหา ยิ่งแรกๆ อาตมาโดนด่าหนักด้วยภาษา อาตมาก็จริงๆด้วยไม่ช่ำชองไม่เก่ง เดี๋ยวนี้ก็ยังพึ่งเขาเยอะพึ่งทางภาษาเขาเยอะ แต่อาตมามั่นใจว่าอาตมาทางสภาวะมั่นใจว่าเหนือกว่า ก็ขอพูดความจริงใจอันนี้ อาตมาจึงไม่มีปัญหา เข้าใจว่าข้อด้อยของเราคืออะไร ข้อเด่นของเราคืออะไร อาตมาไม่มีปัญหา

ทีนี้ก็มาสรุปที่จรณะกับวิชชา อัมพัฏฐมานพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ

 [162] อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉน.

 พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอัมพัฏฐะ ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตรหรืออ้างมานะว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เราอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้างอ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล.

พ่อครูว่า..ในยุคนี้โลกมีแนวโน้มจะไม่ได้แสดงความยิ่งใหญ่ด้วยการรบพุ่ง แต่โลกจะแสดงความยิ่งใหญ่ด้วยคุณธรรม ด้วยความช่วยเหลือกัน

ก็ขอขยายความลึกไปตรงนี้ว่า และอะไรเอ่ยคือเทวดา อะไรคือมาร อะไรคือพรหม พร้อมทั้งเทวโลก คือเทวะที่อยู่ในโลกนี้อีกเรียกกันว่าเทวะ มาร โลก อันนี้เรียกเทวะอันหนึ่งเรียกว่ามารอยู่ในโลกนี่แหละ พรหมโลกอันหนึ่งเรียกว่าพรหม ก็อยู่ในโลกนี่แหละ โลกคืออะไร คำว่าโลกก็คือสิ่งที่ประกอบไปด้วยแสง ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลกะ 5คำนี่ อาตมายังไม่ได้ค้นว่าอยู่ในสูตรไหน ดูเหมือนว่าจะอยู่ในสูตรนี่แหละ เล่ม 9 นี่แหละ 5อย่างนี้ แสงนี้เป็นวัตถุ แล้วแสงเป็นสิ่งที่เกิดจากพระอาทิตย์ โลกทุกลูกรับแสงมาจากพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นพระอาทิตย์ที่แสงถึงโลก

พระอาทิตย์ดวงหนึ่งก็มีโลกหลายลูกที่รับแสงจากพระอาทิตย์ดวงนี้ หรือบางทีโลกได้รับแสงจากพระอาทิตย์หลายดวง ก็แล้วแต่ มันก็มีกาแล็กซี่หรือมีหมู่ดวงดาวที่ต่างกัน อยู่เป็นหมู่ใหญ่หมู่เล็กเป็นหมู่ๆ แต่หมู่เล็กที่สุด เขาเรียก นว คือ 9 ดวง พระอาทิตย์หนึ่งดวงมีโลก 9 ดวงเป็นเครือแหอยู่ และ 9 ดวงคือสามเส้า คือ 3  3  3 โลกนี้อยู่ในสุริยจักรวาล มีดาวนพเคราะห์ นักวิทยาศาสตร์ไม่เข้าใจละเอียดถึงเรื่องนี้ กำลังจะตัดเอาดาวพลูโตออกไปให้เหลือ 8 จะไม่เอา เขาก็จะหล่นจะตกร่วงในความครบบริบูรณ์ เขาคิดว่ามันไม่ใช่ เขาเองไม่มีความรู้พอเขาก็เลยจะทิ้ง ซึ่งเป็นความบกพร่องเป็นความพลาดของเขา มันเป็นเส้าสามเส้าซึ่งลึกละเอียด ไม่ต้องพูดเรื่องนี้มาก ไปบังคับเขาไม่ได้ เขาจะคิดอย่างนี้ เขาก็ค่อยๆก้าวหน้าเขาไป เราก็ค่อยๆเก็บรายละเอียดที่เขาได้มา เราก็ได้ประโยชน์จากเขาบ้างเหมือนกัน

 

สรุปหาเป้าว่า เทวดาของโลก โลกหนึ่งมีแสงสว่างและในแสงสว่างจะต้องมีนามธรรม เรียกนามธรรม 3 คือ 1. ปัญญา 2. ญาณ 3. วิชชา เป็นสามเส้าของระดับปัญญา ญาณ วิชชา

วิชชาคือเต็มครบองค์รวมใหญ่ ปัญญาคือธาตุรู้ตัวต้น ญาณคือธาตุรู้ตัวเจริญเพิ่มขึ้นเป็น 2 3 และความรู้ที่เป็นนามนี้อยู่ในโลกคือมีทั้งแสง มีทั้งอาโลก อาโลกหมายความว่ามีทั้งพระอาทิตย์ มีทั้งแสงพระอาทิตย์ แล้วก็ยังมีแสงสว่างไม่ได้อยู่ในความมืดลืมตาโพลงๆ มีผัสสะ 6 มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจครบ นี่คือนิยามของพระพุทธเจ้าว่า นี่คือความหมายของคำว่า อาโลก คำสุดท้าย ว่าต้องมีแสง ต้องมีจิต ทั้งปัญญา ญาณ วิชชารวมอยู่ครบ แสงก็คือ จากพระอาทิตย์มา อาโลกคือรวมทั้งแสงทั้งนามธรรม แสงเป็นพลังงาน จิตวิญญาณก็เป็นพลังงานแต่เป็นนามธรรม แต่แสงเป็นอุตุนิยาม เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าดีแล้วเข้าใจดีแล้วจะเข้าใจธรรมะ 2 มีวัตถุกับจิต หรือมีกายกับจิต มันต้องทำงานร่วมกันตลอดเวลา เหมือนนิวเคลียส ต้องมีบวกกับลบไม่มีพลังงานอะไรยิ่งใหญ่ พลังงานยิ่งใหญ่ที่สุดต้องมีบวกกับลบ ถ้าเขาจับตัวกันอย่างแข็งแรงเต็มที่แล้วมีนิวเคลียสก้อนนั้นมีอำนาจสูงสุดเท่าที่มันมีนะ มันมีบวกมากลบมากก็มีอำนาจสูงกว่านั้น มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ แล้วยังมีตัวที่เพิ่มขึ้นอยู่

ถ้าตัวที่เพิ่มขึ้นนี้มีพลังงานที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาสังเคราะห์สังขารกันอยู่ในตัวมันเอง ไม่ลดลงไม่เสื่อมมันก็อยู่ในระดับสมดุล เรียกว่า อยู่ในระดับการทำงานร่วมกัน เป็นพลังงานรวมกันหมุนอยู่ พลังงานมีแรงมีภาวะหมุน เต็มอำนาจเต็มฤทธิ์แรงหนึ่งอัน เขาจะรู้สอง แต่ตัวรู้อีกตัวหนึ่งคือผู้คนเป็นจิตวิญญาณบวกลบ ซ้อนอยู่ ที่จริงมีอันที่ 3 จะมีฤทธิ์เสื่อมหรือก้าวหน้ามันก็มีฤทธิ์ของมัน เช่นพลังงานพีชะมันก็ก้าวหน้าทำให้พัฒนาขึ้นไปได้ ไม่ก้าวหน้าแล้วมันก็จะเสื่อมสุดแล้วมันก็จะสูญ

มารคือตัวร้าย เทวดาคือตัวดี พรหมคือตัวบริสุทธิ์ มนุษย์คือจิตกลางๆ จิตที่เป็นตัวเจ้าของจิต ที่จะต้องรู้ว่าจิตของตัวเป็นมาร หรือจิตของเราเป็นเทวดา หรือจิตเราเป็นพรหม

พรหมคือ ความสะอาดบริสุทธิ์จากความเป็นมารจากความเป็นเทวดา มารคือนรก เทวดาคือสวรรค์ เทวดาคือสุข มารคือทุกข์ คือบวกกับลบต่างกันสองขั้ว ถ้าไม่มีทั้งบวกทั้งลบก็เป็นพรหม เป็นกลาง

ไม่มีอาการของบวกลบ ถ้าเป็นวัตถุ ไม่มีความรู้สึกบวกหรือลบหรือไม่มีความรู้สึกสุขหรือทุกข์ก็คือพรหม อาการของจิตนี่แหละ

เบื้องต้นของโลกีย์ เขาก็พยายามทำจิตให้มีอาการ อ่านอาการให้จิตของตัวเองโดยการจัดการกดข่ม จัดการด้วยอำนาจ อำนาจความกดข่มความจัดการ ไม่มีปัญญาเข้าไปเป็นตัวจัดการตามลำดับ จัดการอย่างนั้นเลย ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ไม่มีองค์ประกอบจับมันดื้อๆ หัดเข้ามันก็ทำได้ จึงเป็นสายเทวนิยมเป็นสายจิตแบบที่ทำ จัดการด้วยอำนาจบาตรใหญ่ให้เป็นอย่างนี้ๆไม่เอานะอย่างมารไม่เอา เพราะฉะนั้นเทวนิยมจึงฆ่ามารหรือซาตานไม่ได้ ก็บอกว่าพระเจ้าใหญ่ที่สุด สร้างทุกอย่างเลย แต่สร้างซาตานมาทำไม อำนาจซาตานก็ต้องออกไปจากวงจรจิตของเราสิ จิตของเราต้องไม่มีซาตานได้สะอาดเลย เทวนิยมทำไม่ได้ พูดอย่างไรก็บอก ฉันเป็นคนสร้างทุกอย่างทำลายทุกอย่างด้วย พระเจ้าสร้างทุกอย่างทำลายทุกอย่าง แล้วทำไมไม่ทำร้ายซาตานออกไปให้หมดจากวงจรของพระเจ้าหละ นี่พระเจ้าตอบไม่ได้ เพราะในพระเจ้าเขาจะมีซาตานและอะไรเรียกภาษาอีกเยอะแยะ ภาษาไทยก็มารหรือผี สัตว์นรกอะไรพวกนี้ แล้วก็เอาพลังงานพวกนี้ มาเป็นลักษณะอย่างนี้ในคน เขาก็พูดนะอันเดียวกันซ้อนอยู่ จิตวิญญาณของคนคืออันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า ก็ทำจิตวิญญาณมนุษย์สิ อันหนึ่งอันเดียวทำให้เต็มเลยสูงสุดเป็นอย่างไร พระเจ้าสูงสุดก็คือมนุษย์สูงสุดก็อย่างเดียวกัน นี่คือ ความฉลาดของพระพุทธเจ้าที่ค้นพบแล้วก็เอามาพิสูจน์ จนรู้ความเป็นพระเจ้าสูงสุด

สูงถึงขั้นเทวนิยมหรือพระเจ้าแพ้ คือจะให้เกิดโดยที่เรียกว่าพลังงานของจิตที่จะเกิดมาเป็นคน เป็นตัวมนุษย์ชาติในโลกแสดงตัว ถ้าอยู่กับพระเจ้าไม่มีมนุษยชาติไหนรู้จัก เป็นแต่เพียงนิรมาณกาย เป็นแต่เพียงอาทิสมานกาย เป็นสัมโภคกายอยู่เท่านั้น เป็นองค์ประชุมของนามรูปที่คุณไม่มีความเข้าใจ คุณก็สร้างภพขึ้นมาลอยลมว่าเป็นอำนาจ พระเจ้าใหญ่ที่สุดสร้างไว้เท่านั้น แต่คุณไม่เคยเห็นเลย อาทิสมาน คุณไม่เคยเห็นแต่คุณสร้างไว้ อาทิสมานกาย แต่คุณก็ร่วมบริโภคร่วมกัน ในศาสนาเทวนิยมศาสนาพระเจ้าเขาก็บริโภคร่วมกันสุขทุกข์มีได้มีเสียมีต่ำอยู่ร่วมกันหมด สัมโภคกายบริโภคร่วมกันอยู่หมด

ของพระพุทธเจ้ารู้แจ้งไปหมดเลย นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย องค์ประชุมของธรรมะ 2 รู้ชัดหมด

มารคือ จิตนิยามที่ไม่ดี มันพาให้เป็นทุกข์และทำให้ชั่วเป็นต้น เอาแต่แค่ประเด็นชั่วกับทุกข์ อาการของจิตที่มันชั่วกับอาการของจิตที่มันทุกข์ก็รู้หมดเลย สมมุติสัจจะสมมุติธรรมเขาสมมุติว่าอย่างนี้ชั่ว ในโลกของแต่ละองค์ประกอบแต่ละที่แต่ละกลุ่มแต่ละมนุษย์แต่ละพวก เขาสมมุติไม่เหมือนกัน เราก็เอาตามสมมุติของเขานั่นแหละ จิตเราเป็นปรมัตถสัจจะเป็นปรมัตถธรรม เราก็ร่วมกับสมมุติเขาที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่น เอาอันนี้ก็เอา เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามเขาไป ไม่เช่นนั้นเราก็อยู่ร่วมกับเขาไม่ผาสุกไม่เจริญ

ถ้าเราไม่อยู่ร่วม เราก็ออกมา แต่ถ้าเราบอกว่าของเราดี เราก็พิสูจน์ของเรา ปาท่องโก๋ชั้นดีเจ้าข้าเอ๋ยเอาไหม เราก็แสดงสูตรแสดงทฤษฎี จนพิสูจน์ว่าสูตรนี้ดี เขาก็มา อาตมาทำมาจนถึงทุกวันนี้จะ 50 ปีแล้ว ได้ลูกค้ามาอุดหนุนปาท่องโก๋พอสมควร แค่นี้อาตมาก็อยู่เป็นสุขแล้ว เพราะอาตมาไม่ได้มักมากอะไร มากขึ้นก็ดีถ้าได้เนื้อแท้ๆมา ไม่ใช่เนื้อแท้ๆมามากไม่เอา เป็นภาระวุ่นวาย nuisance ด้วย เสียหายไม่เอา เอาอย่างนี้แหละได้เท่านี้

สรุปแล้ว มารคือตัวร้าย เทวดาคือตัวดี รู้ทั้งมาร รู้ทั้งเทวดา แล้วไม่ให้เกิดจิตวิญญาณที่มีอาการมารเลย อาศัยแต่จิตดี อาศัยแต่จิตเป็นเทวดา อาศัยแต่จิตเป็นกุศล แล้วซ้อนยืน เป็นปัญญาที่เฉลียวฉลาดว่าแม้แต่กุศลก็อย่ายึดถือเป็นเราเป็นของเรา แม้เทวดาก็อย่าไปยึดติดแป้น หรือไปยึดว่าเทวดานี้เราจะไม่พรากจากกัน ของพุทธเหนือชั้นกว่านั้น ผู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้แต่เป็นเทวดา จิตเราเป็นเทวดาแล้วนะ เทวดายิ่งใหญ่สูงสุดเป็นเทวดาสูงสุด เป็นเทพเจ้าสูงสุด จนเรียกว่าอีกศัพท์หนึ่งว่าพระเจ้าก็ตาม เจ้าแห่งเทวดาทั้งหลายก็ตาม ซึ่งศัพท์ทางโบราณใช้คำว่าอินทร์บ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่มากมาย หนักเข้าก็บอกว่า พระเจ้ามีองค์เดียวใหญ่ที่สุด องค์อื่นไม่ใหญ่เท่าพระเจ้าของข้าเท่านั้นเอง แต่เขาก็ไม่เคยเห็นพระเจ้า อาทิสมานกาย แต่เขาก็ยึดร่วมกันว่ามีอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ นิรมาณกาย แล้วก็บริโภคว่าพรเจ้าประทานอย่างนี้ หรือแม้แต่พระเจ้าจะให้เราทุกข์ก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า

ศาสนาพุทธถึงบอกไม่จำนน พระเจ้าทำให้เราทุกข์เราไม่เอา เรียนรู้ว่ามันจะทุกข์มันจะสุขอยู่ที่กรรมต่างๆ  กรรมกับกาละ

กรรมพฤติกรรมกับกาละ เพราะฉะนั้นเราไม่ทำเหตุที่จะทำกรรมชั่ว กรรมที่จะทำเป็นเหตุแห่งทุกข์ เราเลิกหมดเลย มันก็ไม่มี มันจะเกิด ทุกข์ขึ้นมา ทุกข์ก็คู่กับสุข

เพราะฉะนั้นเราไม่เอาทั้งทุกข์ทั้งสุขเลย มีกรรมกับกาละที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นอารมณ์ที่สะอาดบริสุทธิ์สูงสุด ไม่มีบวกไม่มีลบ นิวตรอน เทียบกับวัตถุคือนิวตรอน

นี่คือสัจจะที่ ผู้ที่รู้พยัญชนะภาษาว่า พลังงานเป็นอย่างนี้ แล้วทำพลังงานนี้ได้ที่เรา จนเรารู้ว่าเรามีอยู่ในจิตเราเป็นอย่างนี้แล้ว คุณก็ได้อาศัยสิ่งนั้น อย่างอาตมาทำได้ อาตมาก็ได้อาศัยสิ่งนั้น แล้วก็อยากให้พวกเราได้อย่างนี้ ได้อาศัยสิ่งนี้ด้วย พวกคุณก็มาเรียนตาม ได้ตามความเป็นจริงแต่ละฐานะได้ไป อย่างเป็นจริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน เทวดา มาร พหรม คือจิตเช่นไร

อาตมาเห็นว่า คนที่มีจิตแบบนี้มันปลอดภัย มันเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติ มันเป็นประโยชน์จริงๆ มันไม่ไปเสียพลังงานไม่ไปเสียแคลอรี่อย่างเปล่าดายที่ไม่เข้าท่า กลายมาเป็นตัวย้อนกลับที่ทำให้เสียเวลา แรงงาน ทุนรอน ไม่เข้าท่า เราก็มาทำตามที่พระพุทธเจ้าสอน จึงอยู่ดีกินดีไปหมดเลย

ต่อไปนี้ทางกสิกรรมเกษตรกรรมก็จะมา มาเลย ตอนนี้ชักจะเชื่อมือ พวกเราอย่าเสียท่านะ ช่วยกันให้ดี พวกเราสร้าง พืชพรรณธัญญาหารแบบไร้สารพิษและมีคุณภาพดี (พ่อครูยกตัวอย่างมะระกับกระท้อนที่ลูกใหญ่อย่างกับมะพร้าว)พวกเราทำให้ดี ทำให้มีมากเพื่อมนุษยชาติด้วยกัน ไม่หวงแหนเอาไปทำดีๆขึ้นมา ไม่แข่งใครจะทำได้ดีก็อนุโมทนาสาธุ แล้วก็เผื่อแผ่กัน ใครยังขี้โกงทำได้ดีแล้วก็เอาไปโก่งราคาแพงก็เรื่องของเขาวิบากใครวิบากมัน  เราพอแล้วเราไม่เอาหรอก เราไม่ไปโก่งใครหรอกมีมากขึ้นเราก็แบ่งแจกกันกินกันใช้ไป จะขายบ้างก็ขายเหมือนเล่นๆหัวๆ กันบ้างเท่านั้นเอง เพราะเราพอกินพอใช้ไม่ขี้โลภ คุณสมบัติของวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้ามันจึงคลุมรอบของจิตวิญญาณและพฤติกรรมมนุษย์ที่เยี่ยมยอดที่สุด

อาตมาจึงมั่นใจว่าธรรมะของพุทธเจ้าจะเจริญและแพร่หลาย คนจะเข้าใจว่าคนที่ศึกษาความเป็นมนุษย์และความเป็นสังคม อาตมาได้สรุปไม่รู้กี่ทีแล้ว พระพุทธเจ้าท่านได้เรียนความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคมมนุษย์ สังคมเจริญสุดเพราะมนุษย์เจริญ และมนุษย์เจริญรวมตัวกันเกิดเป็นสังคมเจริญ แล้วก็ช่วยให้สังคมมีความเจริญตามทฤษฎีตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสนี่แหละสุดยอด ซึ่งอาตมาภูมิใจมากภูมิใจในตัวเองที่ได้เอาสัจธรรมพระพุทธเจ้ามาพิสูจน์ให้เป็น phenomena ปรากฏได้ทุกวันนี้ เป็นปรากฎการณ์ที่มันเกิดจริงเห็นจริง เกิดจริงได้ทั้งที่มันยากแสนยาก

เกิดจนกระทั่งถึงขั้นเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ขั้นสาธารณโภคี สาธารณโภคีเป็นเศรษฐศาสตร์สุดยอดแล้วในโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจในระดับไหน ในระดับเผด็จการฟาสซิสม์ เอาตัวเองเป็นใหญ่หมดเลย เผด็จการในระดับหมู่ เรียกว่าคอมมิวนิสต์ เผด็จการหลอกๆล่อๆลวงๆ เป็นทุนนิยมแต่เป็นทุนนิยมสามานย์หนักเข้าเลวกว่าคอมมิวนิสต์อีก อ้างว่าให้สิทธิคนอื่น ให้อิสระเสรีภาพคนอื่น หลอกลวงเสร็จแล้วก็มีกลวิธีการ ไม่กดข่มนะ แต่มีวิธีการรวบอำนาจมาได้เอาเปรียบมาได้มากมาย จนกลายเป็นประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์

สามอย่างแล้วนะ เศรษฐกิจสามอย่างแล้วนะ เผด็จการ คอมมิวนิสต์ ทุนนิยมสามานย์ เอาไปเอามา ทุนนิยมสามานย์นั้นเลวกว่าคอมมิวนิสต์

เอาล่ะทีนี้ เป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์เขากำลังรู้ทันแล้ว ก็กลายเป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยขึ้นไปตามลำดับ คือให้ประชาชนเป็นเจ้าอำนาจเป็นเจ้าของอำนาจ ไม่ใช่ให้เราเป็นใหญ่หรือคณะเราเป็นใหญ่ เรียกว่าคอมมิวนิสต์ ให้ประชาชนนี่แหละมีอิสระเสรีภาพและเป็นใหญ่ แล้วเขาจะยกให้เราเอง เขาจะยกให้เราเป็นใหญ่เอง เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยที่ใช้ความรู้ความเป็นจริง อิสระเสรีภาพจริง ผู้ที่จะทำได้จริง ต้องมีอัตตาน้อยหรือไม่มีอัตตาเลย จึงจะให้อิสระแก่ผู้อื่นได้หมด เพราะตัวเราไม่เอาเลย ตัวเราไม่เป็นตัวเรา ตัวเราไม่มีตัวเรา คุณเอาไปเลยเอาไปหมดเลย ส่วนคุณจะให้เราบ้าง ให้เท่าไหร่เอาเท่านั้นอย่างอาตมานี้ใครให้เท่าไหร่เอาเท่านั้น ทุกวันนี้เขาให้บ้างนิดๆหน่อยๆ อาตมาก็ทำนิดๆหน่อยๆ ก็พอใช้แล้วทำได้ แล้วอาตมาก็บริสุทธิ์ใจให้เท่านี้ก็ทำเท่านี้ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าอยากจะให้มากกว่านี้เราจะได้ร่วมมือกันอีก เอา ตอนนี้ก็เลยมีทั้งสายทั้งฆราวาสและนักบวชเข้ามาร่วมกัน ก็จะเข้าใจแล้วก็มาร่วมกันรังสรรค์สังคมมนุษยชาติให้เจริญไปได้ดีด้วยกัน

ซึ่งอาตมาบอกว่า อาตมาไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน เขาก็ไม่เชื่อ ว่าคุยโม้เกินไปไม่เชื่อ ไม่ได้โม้นะ อาตมาพูดความจริง เขาก็ไม่เชื่อเอง ยืนยันซึ่งอาตมาได้อธิบายมาหมดแล้ว ทำไมต้องยืนยันตัวเอง ก็มันไม่มีความจริงเลย ความจริงเป็นอย่างนี้ไม่เชื่อได้อย่างไร พอยืนยันตัวจริงแรงๆ ชัดๆ เข้า มันมากไป ขนาดมากนี้คุณยังไม่เชื่อเลย ถ้าเหยาะแหยะๆคุณยิ่งไม่เชื่อใหญ่

อาตมาไม่ได้พิสูจน์ว่าตัวเองเก่ง แต่พิสูจน์ว่าความรู้ที่อาตมาเอามาประกาศให้คนอื่นทุกคนมีอิสระเสรีภาพของตัวเอง เขารับไปโดยอิสระ ไม่ได้บังคับไม่ได้ล่อหลอก อาตมาไม่หลอกล่อไม่และเล็มเลียบเคียง ให้คุณเข้าใจเองและคุณมาเองนะ มาเองโดยสุจริตเลยไม่มีและเล็มเลียบเคียงหว่านล้อม อาตมาตรงอย่างเดียว เปรี้ยงๆๆ ไม่ไว้หน้าใครเลย เพราะมันตรงอย่างเดียว ตอนนี้เขาชักเข้าใจขึ้นว่าไม่มีอะไรที่จะมีพลังอคติหรือว่าพลังสาเฐยจิตเลย

อาตมาด่าคน แต่ไม่ชังคนที่ถูกด่าเลย สงสารเวทนาเขาด้วย เขาหาว่าพูดเอาโก้ แต่ก็จริงใจนะ พูดชัดๆ จริงใจไม่ได้โก้ๆ

อาตมาบอกว่าอาตมาอ่านอาการของจิตเป็น หยาบ กลาง ละเอียด อาตมาอ่านเป็น สาเฐยจิต แปลว่าจิตมีอะไรแฝงที่ไม่ตรง แฝงทางด้านอวดตัวอวดตน แฝงทางด้านมีพยาบาท หรือมีรักผสมก็ตาม ไม่บริสุทธิ์ แม้แต่แค่มานะอวดตัวอวดตนหลงตัวหลงตนไม่มี ที่จะไปแฝงทางผลักทางดูดไม่มีอยูแล้ว แม้แต่แฝงว่ายกตัวยกตนอวดตัวอวดตนก็ไม่มี ผู้เชื่อเขาก็เชื่อ ผู้ไม่เชื่อเขาก็ไม่เชื่ออย่างนั้น ไปบังคับกันไม่ได้ ก็เอาเท่าที่พอจะเชื่อถือกันยอมรับกันก็มา แล้วก็มาดูสิได้ประโยชน์ก็เอาไป ไม่ได้ประโยชน์มันก็ไม่ได้แหละ มันได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น

มันยากที่คนจะเชื่อได้ง่ายๆ เพราะว่ามันถูกหลอกมามากถูกหลอกมานาน ถูกหลอกมาหนักหนาสาหัสเหลือเกิน มันก็เลยไม่อยากเชื่อใครง่ายๆก็เห็นใจอยู่นะ ก็เลยกลายเป็นเรื่องลำบากของเรามาก เพราะเขาเข็ดกับคนอื่นที่หลอกจังเลย แล้วจะมีใครจริงที่พูดจริงไหมมีความจริงมาเปิดเผย เขาก็เลยไม่เชื่อกันง่ายๆ

อาตมาก็เลยว่าเอาละ ไม่เชื่อง่ายๆก็ไม่เป็นไร พยายาม พยายามพิสูจน์ความจริงนี้ จึงต้องอาศัยเวลา เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์คนพิสูจน์สัจธรรม ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน นี่ก็เป็นคำพังเพยโบราณที่เป็นจริง อาตมาจึงแม้แต่จะตายก็ตายไม่ลง หมดอายุขัยแล้วก็ยังตายไม่ได้ อาตมามองไปในแง่ดีว่า หมดอายุขัยตายไม่ได้ก็ดีเหมือนกัน ก็หาทฤษฎีที่จะทำให้ไม่ตาย ต่ออายุไปได้อีก ก็เลยสร้างพลังงานที่มันจะต่ออายุไปอีกจริงๆ ก็ยังไม่เก่งที่จะอธิบายให้เป็นรูปธรรมขึ้นๆๆก็ได้แค่นี้ อาศัยภาษาวิทยาศาสตร์ที่พอมีความรู้ อย่างไส้เดือนกิ้งกือ ไม่ใช่แค่งูๆปลาๆนะ ก็ยังยากก็เอา จนกว่าเราจะเก่ง จะมีผู้ที่เก่งกว่าเรามาใช้ภาษาใช้สภาวะสื่อให้คนได้รู้เก่งกว่าเรา อาตมาก็รอว่าใครหนอจะมาเป็นผู้ช่วย

ท่านเดินดินก็ยังอธิบายสภาวะต่างๆ ได้เก่งกว่าอาตมาพอสมควรนะ เพราะท่านไม่รู้มากยากนานเท่าอาตมา อาตมานั้นรู้มากยากนาน เหมือนเป็นเศรษฐีบ้านนอก เยอะเลย ไม่รู้จะเอาอะไรบ้าง ท่านนี้บอกมันมากก็ว่าเอาแค่นี้ก่อนก็เลยได้หมวดได้หมู่ที่ดีกว่าอาตมาเยอะเลย อาตมาก็อาศัยทุกๆ คนช่วยกันแต่ละคนแต่ละท่าน ท่านหนักไปในแขนงไหน ก็ช่วยกันคนละไม้คนละ

มาเข้าเป้า มาร เทวดา และพรหมอีก

พระพุทธเจ้าสรุปไว้ 3 คำ มาร เทวดา พรหม

มารคือ พลังงานที่มันเลวร้ายตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด

คุณเข้าใจเท่าไหร่ก็เท่านั้น พลังงานอย่างนี้ในตัวเรา มันหยาบมันไม่ดีเอาออกก่อน ให้มันเป็นพลังงานดี เราเปลี่ยนแปลงพลังงานจิตของเราให้เป็นพลังงาน ไม่เป็นเลยไอ้ที่เลวไม่เป็นเลย เราเข้าใจแล้วและเราก็ทำให้ได้ จิตของเราจะมีกำลังมีอำนาจ ไม่เป็นอีกเลย จะถูกล่อลวง ถูกชวน ถูกกระทบกระแทก ถูกฆ่าตายก็ไม่เป็น แม้ฆ่าเรา เราก็ไม่ไปเป็นอย่างที่คุณจะให้ทำ มันชั่วมันมาร ฉันจะไม่เป็นมารอีกเลย จะเป็นตั้งแต่เทวดาขึ้นไป

เทวดาคือ ระยะทางของพลังงานจิตที่เจริญขึ้น สูงสุดสะอาด เจริญสูงสุดสะอาดจนไม่มีความชั่วเลยเด็ดขาด มีแต่ดี และไม่ยึดดึเป็นตัวตน ภาษาก็พูดได้แค่นี้ เราอยู่ในพลังงานที่ดีทั้งนั้น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเราไม่ทำชั่วอีกเลย ทำแต่ดี แล้วก็รู้ว่าจะทำดีประมาณไหน กับคนไหน ปุคคลปโรปรัญญุตา กับหมู่กลุ่มคนระดับไหน ปริสัญญุตา กับกาละไหนกาลัญญุตา โดยจัดสรรเนื้อหา อัตถัญญุตา กับองค์รวมเรียกว่า ธัมมัญญุตา ประมาณให้ได้สัดส่วนเรียกว่ามัตตัญญุตา เป็นสัปปุริสธรรม 7 ประการ ตัวเราเป็นส่วนหนึ่งด้วยเราก็เท่านี้แล้วเราจะพึงทำได้เท่าไหร่ อนุโลมเท่าไหร่ ได้เท่าไหร่แรงเท่าไหร่กับสังคม ก็ใช้สัปปุริสธรรม 7 ประการนี้ตลอดเวลา แถมมหาปเทส 4 อีก

โดยเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก อันใดคำใดที่ท่านไม่ห้าม ไม่บัญญัติห้ามไว้ ไม่บัญญัติอนุญาต มีห้ามกับอนุญาติ มันไม่มีคำตรัสพระพุทธเจ้าห้ามก็ไม่มีบัญญัติก็ไม่มี แต่กาละนี้มันมีเหตุการณ์นี้ นอกเหนือคำห้ามนอกเหนือคำอนุญาตของพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็ต้องใช้ตัวเราเป็นหลัก มหาประเทส 4 นี่ ก็ต้องใช้ตัวเราเป็นหลักว่า อะไรมันควรอะไรไม่ควร เราก็ต้องประมวลเอาเองประมาณเอาเองแล้วก็พิพากษาเอง มันไม่มีแล้วนี่ที่พึ่งพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บัญญัติว่าห้ามหรืออนุญาต แล้วเหตุการณ์มันมีมันเกินคำอนุญาต คนมันเป็นไปได้ คนทุกวันนี้ปรุงแต่งเกินกว่าที่พระพุทธเจ้าจะมีในยุคของท่าน ในยุคของท่านมันไม่บ้าขนาดนี้ ในยุคนี้มันบ้าปรุงแต่งกัน มันจัดการผสมส่วนมามันสร้างมันแต่งมันทำขึ้นมา เราจึงต้องพึ่งตนเอง ใช้วิจารณญาณของเราเป็นตัวตัดสิน นี่คือมหาปเทส 4

แล้วเราเป็นคนจริง เป็นคนมีความรู้ไม่ลำเอียงไม่มีอคติ เอาสิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้องตัดสินมาใช้ มันเป็นความจริงของคนจริง เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความจริงของคนจริงอย่างนี้แหละ จึงทำงานอยู่กับสังคมโลกอย่างไม่เสียหาย เพราะไม่ได้ลำเอียงกับใคร ทำเอาสัจจะเป็นตัวตั้ง สัจจะบวกลบคูณหารเอาได้เท่านี้ก็ทำ ด้วยจิตที่เป็นพรหมจิตบริสุทธิ์ไม่มีลำเอียงไม่มีซ้ายมีขวา ไม่มีอะไรหมด ไม่เข้าข้างใคร เอาสัจจะสาระเป็นตัวชี้บ่งเป็นองค์ประกอบของการทำงาน ตัดสิน

ทีนี้คำว่าเทวดากับคำว่าพรหม

พรหมนี้ ภาษาอีกอันว่าวิสุทธิเทพ คือเทพที่บริสุทธิ์ สูงสุดแล้วพรหม วิสุทธิเทพพระพุทธเจ้าจึงบัญญัติ เทพไว้ 3 เทพ คือสมมุติเทพ อุปัติเทพ วิสุทธิเทพ คือพรหม

คนที่สามารถทำจิตให้เป็นอุปัติเทพได้ ก็คือโลกุตรธรรม ส่วนคนที่ยังไม่รู้โลกุตรธรรมเลย ก็เป็นสมมติเทพ ดีชั่วก็อยู่ในระดับของสมมติเทพในโลกีย์ เอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ที่บริสุทธิ์สะอาดเป็นตัวตัดสิน เป็นตัวตั้ง คุณได้ลาภ โดยธรรมด้วยบริสุทธิ์สะอาดได้เท่าไหร่แล้วคุณก็ขี้โลภ แล้วคุณก็มีวิธีการเอาเปรียบด้วยความบริสุทธิ์ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดหลักเกณฑ์ไม่ผิดวัฒนธรรม คุณก็ได้มามากๆโดยความขี้โลภอยู่ มันก็กลายเป็นอย่างนี้แล้วคุณก็รักษาความขี้โลภความรวยความมีมากของคุณไว้ คนอื่นก็อยากได้อย่างนี้ เขาก็พยายามรักษาท่าทีความเก่งก็มาแย่งกันได้อีก คุณก็แพ้คุณก็ตกไป คนนี้ก็ขึ้นมา คนใหม่ก็พยายามอีกก็ขึ้นอีก ก็แย่งกันเป็นใหญ่ แย่งกันรวย แย่งกันมี แย่งกันมาก แย่งกันเสพสุขเสพทุกข์ เป็นโลกียะ สองอยู่อย่างนี้ไม่ล้างออกจากจิตเลย คนที่วนในโลกียะอย่างนี้จึงเป็นสมบัติผลัดกันชม ชาติแล้วชาติเล่าๆ สมบัติผลัดกันชม ใครอยากรู้ก็ไปอ่านชาดกพระพุทธเจ้ามีมากกว่าห้าร้อยเรื่อง อ่านดูเถอะสมบัติผลัดกันชม จนมาเป็นโลกุตระ มันมีโลกุตระมากในชาดก แต่ก็มีแกนของสมบัติผลัดกันชมในชาดกเยอะ ถ้าอ่านเป็นแยกเป็น

ความหมายของสมมติเทพ คือเทพที่เป็นสมบัติผลัดกันชม เทพที่เอาลาภ ยศ สรรเสริญที่เป็นโลกียะเป็นหลัก ใครได้ลาภมาก ใครมียศมีอำนาจสูง ใครมีสรรเสริญโด่งดัง เอาอันนี้เป็นอำนาจ คุณได้อำนาจสามนี้ ลาภก็ดี ยศก็ดี โด่งเด่นดังอะไรก็ดีมาให้แก่ตัวเอง ตัวเองก็ใช้อำนาจพวกนี้ได้มาแล้วก็เป็นสุข ไม่ได้มาก็เป็นทุกข์เสื่อมไป ถูกเขาแย่งไปก็เป็นทุกข์ เท่านี้แหละ แย่งกันอยู่ได้นานกี่ล้านล้านๆๆๆชาติ นั่นแหละโง่วนอยู่ตรงนั้นนานมาก ใครรู้สึกได้ว่า เราจะไปวนเวียนอีกกี่ล้านชาติ คนมีไหวพริบคนรู้อันนี้จึงออกจากความวนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านมีหลักเกณฑ์ตั้งแต่อบายมุข ตั้งแต่ต่ำสุดของเราล้างออกไป ล้างออกไป สูงขึ้นๆ คุณก็เจริญเป็นลำดับ แล้วสิ่งเหล่านั้นที่ล้างออกมันสะเด็ดเด็ดขาด มันจะไม่เวียนกลับอีกเลย เป็นอนาคามีจนเป็นอรหันต์ทั้งนั้นเลย ทำได้เลย

เพราะฉะนั้น อุบัติเทพจึงเป็นโลกุตระ มีทางออกเป็นโลกุตระ ถ้าคุณไม่มีทางออกคุณวนเวียนเป็นสมมติเทพ โลกียะเทวนิยม อย่างเก่งก็เป็นผู้ที่เก่งในทางที่มีความรู้ความสามารถให้คนยอมรับในอำนาจได้ อำนาจใหญ่ที่สุด เรียกในพระเจ้าสมัยโบราณคือพระพรหม ข้านี่แหละใหญ่ๆๆ คือพรหมโลกีย์พรหมเก๊ ก็ยึดได้ สมบัติผลัดกันชมเท่านั้น

อาตมาว่าใช้คำว่าสมบัติผลัดกันชม ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว มันเป็นโลกแห่งความวน สมบัติผลัดกันชมนี่ สมบัติอะไร สมบัติโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ ได้แค่นั้น เราไม่เกี่ยวแล้ว ลาภจะมากหรือน้อย ไม่มีลาภแต่เราก็มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์แล้ว และเราก็ไม่ต้องมีอยู่ในความอุดมสมบูรณ์ เราก็กินน้อยใช้น้อยอยู่แล้ว เราก็ทำงานให้มากสร้างให้มากสร้างให้ดีแล้วเผื่อแผ่ให้เพื่อนมนุษย์ นี่มันสุดยอดแล้วมนุษย์ มนุษย์โลกุตระก็จบด้วยความรู้อย่างนี้  อาตมาจึงอยู่สุขสบาย แล้วพวกเราก็เข้าใจก็ช่วยกันทำ ก็เลยเกิดพลังงานร่วม พลังงานเป็นองค์รวม สร้างให้มากได้ดีขึ้นพวกเราก็ยิ่งอุดมสมบูรณ์ในสิ่งที่เป็นปัจจัยของชีวิต

สิ่งที่ไม่เป็นปัจจัยชีวิต เราก็ไม่ทำ ไม่เสียแคลอรี่กับมัน จะไปสร้างอาวุธอย่างนี้ เอาพลังงานไปสร้างทำไมมันบาปตายชัก อาวุธเป็นตัวอบายมุขที่ร้ายแรงที่สุดที่เป็นมิจฉาวณิชชาข้อที่ 1 อย่ามาสร้างอาวุธ อย่ามาค้าขายอาวุธ มันจะเป็นบาปจะเวรไปอีกนานมากจะแรงมากเลย คอยดูเถอะ พวกที่สร้างอาวุธค้าขาย แล้วตัวอำนาจของอาวุธเป็นตัวอำนาจใหญ่ ฉันสร้างอาวุธได้เก่งมีประสิทธิภาพแรงร้ายมาก คิมจองอึนเหลือเศษที่ตกยุค ใช้อำนาจอาวุธเป็นอำนาจ ตอนนี้ก็กำลังจะเข้ามาสู่หมู่แล้ว ถ้าเขาไม่ยอมรับความจริงแล้วจะฮึดไปสร้างอำนาจอย่างนี้อีก เกาหลีเหนือจะหมดสิ้นไปจากแผนดินโลก นี่ไม่ได้พยากรณ์แต่ขอยืนยันว่าเป็นความจริง ถ้าขืนแอ็กซ์ถ้าไม่ยอมตนว่าเราเป็นประเทศเล็ก เราก็อ่อนน้อมถ่อมตน แล้าเราก็มาเอาวิญญาณด้วยจิต

เราก็มาเป็นคนที่มีเมตตาเกื้อกูลมักน้อยสันโดษ อย่าอวดดีว่าเก่งทางอาวุธ ถ้าคุณอวดดีอวดเก่งอาวุธ ตายอย่างเขียดแล้วไม่ได้เหยียดขาตายด้วย ตายอย่างแหลกเลย ตายอย่างเขียดเหยียดขาตายยังมีซากนะ หากว่าคิมจองอึนผยองอีกก็จะตายอย่างเขียดที่ไม่เหลือซากเลย แหลกเป็นผงเลยเพราะว่าอำนาจทุกวันนี้ แม้ขี้เถ้ายังไม่เหลือเลย มันทำลายทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นอย่าทำเป็นเล่นไปเถอะ

แต่อาตมาก็เชื่อว่าเกาหลีเหนือก็คงจะรู้ตัว อย่างน้อยเกาหลีใต้ก็สืบเชื้อสายเดียวกันมาก็คงจะช่วยกัน ปลอบประโลมกัน อย่างน้อยที่สุดก็เป็นพี่ อย่างไรก็เป็นญาติกัน มาคืนดีกันอย่างเดิมเถอะ มันก็จะคลี่คลาย ความเป็นญาติก็จะคืนมา สายเลือดสายตระกูลดีเอ็นเอเกาหลีจะคืนมา เกาหลีก็จะผนึกกันที่ก็แยกออกไป จะมีสามัคคีธรรมเกิดขึ้นในโลก ทิศทางมันดีขึ้นเรื่อยๆ 

ตอนนี้ท่าทีจะประนีประนอมหรือจะต่อสู้กัน ก็ระหว่างคิมจองอึนกับโดนัลด์ทรัมป์ เป็นตัวพระเอกของเรื่อง อาตมาว่าถ้าโดนัลด์ทรัมป์ข่มมากเกินไป คิมจองอึนเกิดไม่ชอบใจก็จะไปร่วมกับเกาหลีใต้หรือผู้ที่เห็นใจเกาหลีเหนือ รวมตัวกัน ก็จะเกิดสองค่ายในสังคมโลก แต่อาตมาก็มั่นใจว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะไม่เกิด ไม่เกิดหรอก เพราะธาตุดีของจิตที่เห็นว่าความปรองดองสามัคคีความช่วยเหลือกันนั้นยิ่งใหญ่กว่าการฆ่ากัน จิตมนุษย์ในโลกขณะนี้กำลังรู้แล้วว่าการช่วยเหลือเกื้อกูลเหมือนอย่างหมูป่า มันเหนือชั้นกว่าที่คุณจะฆ่ากัน นี่สองอันนี่ธรรมะสองเทียบกันให้ดี ใครยังคิดจะฆ่ากันนั้นตกยุคแล้ว เขามาช่วยกันแล้วนะตอนนี้ ไปอยู่ในหลุมดำเบอร์มิวด้าที่ไหนอยู่ อย่าไปตกในเครื่องบินมาเลเซียที่ยังหาไม่เจออีกหรือ เขาออกมาได้หมดแล้ว

สมณะเดินดินว่า...ผมฟังวันนี้คิดว่าแนวโน้มควรจะประนีประนอมกันมากขึ้น เพราะปฎิภาณก็จะรู้ว่าถ้าประนีประนอมก็จะได้คะแนน

พ่อครูว่า...แนวโน้มมันดีไปหมดตอนนี้ เรามีอย่างสำคัญของเรา ไทยนี่แหละ กสิกรแข็งขลังเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม

เพลงของหลวงวิจิตรวาทการชั้น 1 เลย นี่มันจริงนะ เพราะฉะนั้นเราชาวอโศก ทำกสิกรรมเป็นไหม เก่งไหม เอาเลยๆ ทำขึ้นมาให้เต็มที่เลย อย่าไปขี้เกียจ หากใครขี้เกียจเข้าไปหาไฟพรตามพร แม้แต่สิกขมาตุเป็นหญิงก็ไปหาเลย เอาเลยช่วยกัน ที่ดินของเรา ทำให้อุดมสมบูรณ์เลย ทั้งงามทั้งสวยทั้งดีไม่มีพิษมีภัย ใครเห็นแล้วจะต้องน้ำลายไหล เช็ดไม่ทันเลย และก็ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ เบื่อทวง ปวดท้อง

สร้างขึ้นมาแล้วก็เป็นของดีราคาถูก หรือแจกได้แจก ไม่เอาระบบสินเชื่อซึ่งเป็นระบบที่เลวที่สุดที่ทำให้สังคมเป็นทุกข์ เราไม่เอา เราใช้แบบสด ขายได้ขาย ขายไม่ได้ก็แจก แจกไม่ได้ก็จะเน่าเสีย เสียดาย จะให้เหลือทำไมก็รีบแจก เหมือนที่เราเคยทำ

นี่คือสัจจะ พูดจนสิ้นเกลี้ยงแล้วไม่รู้จะพูดตรงไหน

สรุปแล้ว มาเลย เมืองไทยอยู่ในเขตศูนย์สูตร ในพิกัดของโลก เป็นโซนอบอุ่นที่สร้างพืชพรรณธัญญาหารได้ดีมากเลย ทั้งฤดูกาลทั้งแผ่นดินองค์ประกอบต่างๆ ต้องทำให้เป็นประโยชน์เลย ที่ของเรายังพอมี ทำให้มันเต็มที่ไปเลย ยังมีแรงทำอีก อาตมาจะพยายามขวนขวายจะหาทางมีที่เพิ่มอีก ตอนนี้มีนาคำยอด นาโม นาเรามีหลายร้อยไร่ ทั้งนาทั้งสวน จะทำสวนทำนาทำไร่ก็ได้ พวกเราก็มีความรู้อันนี้อยู่แล้ว

จึงรู้กาละเทศะนี้ว่าอันนี้ จงตื่นตัว ใครจะเก่งอย่างไรก็ต้องกินอาหารนะ โดยเฉพาะพืชมันกินได้หมดเลย ไม่ว่าศาสนาไหนก็กินได้ วีแกนก็กินได้ อิสลามมากินที่เราก็สบาย เพราะเราสะอาดอยู่แล้ว ไม่มีสิ่งที่เป็นของแสลงของห้ามของพวกเขา อิสลามมาที่เรานี้สบาย เวลาเราไปชุมนุมพวกอิสลามมาอยู่กับเราก็สบาย เขาก็เลยเอาป้ายว่ากองทัพธรรมไปตั้งที่เขาเหมือนกัน แต่เรามันได้ไปแล้วชื่อมูลนิธิของเรากองทัพธรรม

 

เทวดาที่เป็นอุบัติเหตุจึงมีนัยะแตกต่างจากสมมติเทพ อย่างไรเข้าใจชัดขึ้นหรือยัง

สมมุติเทพนั้นคือวนเวียนอยู่ในโลกียสมบัติผลัดกันชม เป็นโลกีย์ ธาตุรู้ที่เริ่มต้นออกจากโลกียะมาเป็นอุบัติเทพได้มาตามลำดับเรียกว่าอุบัติเทพ มาเป็นอุบัติเทพที่เป็นโลกุตระไปได้เรื่อยๆก็เลิกโลกที่เป็นโลกียะที่เรายังติดอยู่ คนนั้นก็ติดอย่างนั้นอย่างนี้ คนนี้ติดความรวยยังไม่ยอมลดความจน อย่าง ดร.ต้อม ปรารถนา ตั้งชื่อให้ใหม่แล้วว่าปรารถนาจน ก็บอกว่าใจยังไม่ถึง ถ้ายอมไปแล้วมันก็จะต้องจนจริงๆ มันยังออกไม่ได้ มันยังไม่ไว้ใจตัวเอง มันยังไม่กล้า เมื่อไหร่จะกล้าก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ไปไหนไม่ออก อยู่ที่นี่แล้ว สักวันหนึ่งก็ต้องยอมรับชื่อปรารถนาจน จนได้ ตั้งให้แล้วไม่เอาวันหนึ่งก็ต้องเอาจนได้ ก็มันจริง เพราะพวกเรามันชัดแล้ว อย่าว่าแต่ชื่อเลย นามสกุลก็ตั้งกันไม่รู้กี่จนแล้ว จนกระทั่งไม่รู้จะเอาคำว่าจนไปตั้งอะไรกันแล้ว จนอีหลีอีหลอก็ยังมีเลย จนสารพัดจนเลย มันชัดเจนมันมั่นใจ ไม่ไปรวยอีกแล้วมาจนนี่สุดยอด เพราะฉะนั้นมาเป็นเทวดาที่จน แล้วยิ่งจบเทวดาเลย มันไม่มีการลังเลสงสัย มันไม่มีอะไรที่จะแปรปรวนแปรเปลี่ยน มันนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จนทิศทางเดียว เป็นแต่เพียงว่าเรายังจนไม่ลงเท่านั้นเอง เหลือมากหรือน้อยก็ของใครของมัน เพราะฉะนั้นสังคมเราจึงเป็นสังคมคนจนที่จริงใจ สังคมที่จนจริงๆ ไม่ใช่สังคมพูดเล่น ล่อลวง dramatic ทุกอย่างเป็นของจริงหมด ไม่มีอะไรแฝงไม่มีเลศเล่ห์ จริงใจจริงจัง มันสุดยอด แล้วมันจนไม่ดียังไง ขอแวะตรงนี้เลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ชาวอโศกมีเศรษฐศาสตร์ระดับ 5

แวะเข้าหาเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์มาเป็นคนจนนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านเองท่านชัด ท่านจึงตรัสอันนี้อย่างอาจหาญแกล้วกล้า  อย่างจริงพระทัยของท่านจริงๆ ว่ามาเอาอย่างนี้มันสุดยอด แต่ท่านก็มีหน้าที่ที่ท่านอธิบายได้เท่านั้น ก็ปล่อยให้โพธิรักษ์มาพูดมากๆ  ท่านอยู่ในฐานะพระเจ้าแผ่นดินท่านก็ตรัจได้เท่านั้น อาตมาก็ต้องมีหน้าที่มาขยายแหลกเลย จะไปกระทบใคร อาตมาไม่มีปัญหา I don't care If the sun Don't Shine I don't care If the moon Glow blind เพื่อที่จะยืนยันสัจจะความจริงนี้

โดยหลักเศรษฐศาสตร์ความเป็นมนุษย์นี่ คนมาร่วมกันจนทำให้โลกสบายขึ้น เพราะจนอย่างมีหลักวรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่ายคือทำให้เจริญง่าย เป็นคนมักน้อยมีน้อยก็พอ สูญก็ยังพอเลย เราอยู่กับหมู่เราก็สูญ แต่เรามีร่วมกันอยู่ กินใช้อยู่อย่างสาธารณโภคี ชัดเจนแล้วหมดปัญหาไม่สงสัย สาธารณโภคีร่วมกินร่วมใช้อย่างนี้อยู่ได้ ตายอีกกี่ชาติ คุณตายแล้วมาเกิดอีกจะเชื่อถือระบบนี้ไหม ตายแล้วมาเกิดระบบนี้ไม่เปลี่ยนแปลง คุณจะเชื่ออีกกี่ชาติคุณก็มานี่ ดีไม่ดีก็เกิดมาก็จะมาหาสังคมแบบนี้ว่าอยู่ที่ไหน ก็จะหาสังคมนี้ จริง เพราะมันชัดเจนถ้าเรามีภูมิแล้วมันจะฝังรากของจิต ตายแล้วเกิดชาติหน้าชาติไหน ถ้ามันถึงขั้นโลกุตระแล้วมันฝังรากจิตเลย แล้วมันก็จะเอาอันนี้เป็นตัวแกนของจิต เรียกว่าเป็นเชื้อแก่น อีกกี่ชาติก็จะเป็นแบบนี้ เป็นของตัวเอง ไม่ใช่ของพ่อแม่ เรื่องของจิตวิญญาณเป็นของของตน มันจะมีแก่นเชื้ออันนี้เป็นของของตน ไม่ใช่ทางวัตถุ ไม่ใช่ทางสรีระ ไม่ใช่ทาง DNA ทางวัตถุ แต่เป็นทางจิตวิญญาณ แบ่งใครไม่ได้ ของใครของมันของคนนั้น ได้การบอกเขาให้เขาปฏิบัติเอาเอง ได้ที่จิตของเขาเอง เขาจะเป็นเหมือนอย่างที่เราเป็น

 

คำว่าเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์เผด็จการฟาสซิสต์เลวที่สุด เศรษฐศาสตร์มาเป็นคอมมิวนิสต์ ถ้าคอมมิวนิสต์คณะใหญ่มีอำนาจเหมือนเผด็จการอีกก็เลวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคอมมิวนิสต์เขาก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น คอมมิวนิสต์ขณะนี้ถ้าใครเป็นคอมมิวนิสต์แบบอำนาจบาตรใหญ่ไปไม่รอด แม้แต่จีนตอนนี้ก็ต้องรู้แล้ว ทำไม่ได้ถ้าขืนจะอำนาจบาตรใหญ่ไม่ได้ ต้องอนุโลมปฏิโลมช่วยคนนั้นคนนี้เขาต่างๆนานา แคบๆ เห็นแต่เพียงจีนก็ไม่ได้อีกอย่างนี้เป็นต้น มันมีความซับซ้อนเยอะ 

เศรษฐศาสตร์เผด็จการเลวที่สุด เผด็จการคอมมิวนิสต์ที่เอากลุ่มหมู่ตัวเองเท่านั้น เหมือนยังกับโดนัลด์ทรัมป์บอกว่า America First แบบนี้ คอมมิวนิสต์First เหมือนกัน อย่างนั้นไม่ได้ ต้องคำนึงถึงเพื่อนฝูงของโลก ถ้าหากเราได้เราสบายต้องอยู่ยอดเหนือกว่าอะไรทั้งหมด แล้วคนอื่นก็จะอยู่อย่างทุกข์ร้อน เขาต้องการความช่วยเหลือคุณก็ไม่เห็นใจเขา อย่างนี้อยู่ไม่ได้หรอก ยุคนี้อยู่ไม่ได้ หากจิตใจของโดนัลด์ทรัมป์บอกว่า American First อย่างนี้ไปไม่รอดหรอก ไปไม่ออกแน่นอน

สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างของมนุษยชาติ ตัวอย่างของพฤติกรรมมนุษย์ ตัวอย่างของสังคม

อาตมาแยกเศรษฐกิจออกเป็น 5 อย่าง

เผด็จการ คอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์ แล้วก็มาถึงประชาธิปไตยชั้นดี ประชาธิปไตยชั้นดีคือจะต้องมีอิสระเสรีภาพ ตัวหลักที่เป็นตัวไขความเป็นประชาธิปไตยคือ

1. มนุษย์มีอิสระเสรีภาพ 2. มนุษย์ไม่มีอัตตาตัวตน นี่เป็นเรื่องใหญ่ หากจิตใจใครไม่มีอัตตาตัวตนหรือมีอัตตาตัวตนน้อยเลย นี่แหละคุณเลือดประชาธิปไตย ยิ่งไม่มีอัตตาตัวตนเลยจริง แล้วก็ให้อิสระเสรีภาพแก่ทุกคนเท่าเทียมกันหมดนั่นแหละคือจริง นี่คือยอดประชาธิปไตย มันจะเป็นได้ คุณต้องศึกษาทางจิต จิตวิญญาณเท่านั้นถึงจะรู้ความเป็นอิสระเสรีภาพ จิตวิญญาณเท่านั้นถึงจะรู้จักอัตตาตัวตน แล้วทำความไม่เป็นอัตตา ทำความเป็นอิสระเสรีภาพให้เท่าเทียมกันหมดได้ จิตวิญญาณเท่านั้นเป็นตัวรู้และเป็นตัวปฏิบัติได้สำเร็จ พืชทำไม่ได้ จิตวิญญาณของคนเลวทำไม่ได้ ต้องเป็นจิตวิญญาณคนประเสริฐเท่านั้น เห็นไหม

เพราะฉะนั้น เศรษฐกิจในระดับที่ 4 ประชาธิปไตยชั้นดีขึ้นมา สูงสุดเป็นสาธารณโภคี ประชาธิปไตยชั้นดีต้องมีกษัตริย์ มีประชาชน และมีจิตวิญญาณ นี่ก็เป็นสูตรสำเร็จของความเป็นประชาธิปไตยอีกอันหนึ่ง

ถ้าประชาธิปไตยไม่มีกษัตริย์ไม่มีกฎมณเฑียรบาลไม่มีการสืบสันตติวงศ์ ใครมีอำนาจเงิน ใครมีอำนาจของอำนาจ ใครมีเล่ห์กลโกงเก่ง คุณก็ได้เป็นประธานาธิบดีทั้งนั้นแหละ แล้วมันก็ไปอยู่ในสังคมโลกทุกวันนี้ มันไม่ได้สืบสานอะไรเลยเอาอำนาจโลกีย์ อำนาจเงินอำนาจในอำนาจ อำนาจด้วยเล่ห์เหลี่ยม คุณก็ชนะ ชนะ

อเมริกา เลือกตั้งประธานาธิบดีที ใช้เงินเท่าไหร่กี่หมื่นล้าน แล้วจะมานั่งขี้โม้ และมีเล่ห์เหลี่ยมซุกซ่อนมีค่ายกล มันไม่ได้หรอก ประเทศอื่นก็เหมือนกัน แต่ประเทศอเมริกานั้นเห็นชัดเจน มันเป็นตัวอย่าง อาตมาไม่ได้เรียนรัฐศาสตร์มาหรอก ไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์มาหรอก แม้จะเป็นนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ก็ไม่ได้ปริญญาจากเศรษฐศาสตร์ แต่อาตมามีภูมิเก่า อาตมาเคยใช้หลักรัฐศาสตร์ใช้หลักเศรษฐศาสตร์ อาตมาบริหารเคยทำงานมาไม่รู้กี่ชาติ ไม่ต้องพูดมาก พูดมากแล้วไม่ดี พอพูดแล้วคนอื่นไม่รู้ด้วยมันไม่เข้าท่า ต้องเอาสิ่งที่คุยกันรู้เรื่อง อาตมาไม่นิยมสิ่งงมงาย

สรุปแล้วเศรษฐศาสตร์ 5 ระดับนี้ อาตมาพยายามขยายความอยู่ ชาวอโศกมีเศรษฐศาสตร์ในระดับที่ 5 สาธารณโภคีแล้ว

เศรษฐศาสตร์ในระดับที่ 4 ก็มี แม้แต่เศรษฐศาสตร์ในระดับที่ 3 ที่เป็นคอมมิวนิสต์ที่ดี ก็ยังมี ส่วนที่เป็นทุนนิยมสามานย์คอมมิวนิสต์ที่เหลวแหลก ที่นี่ไม่มี นี่คือ เศรษฐศาสตร์ 5 ระดับที่อาตมาขยายความอยู่

หรือแม้แต่รัฐศาสตร์ อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาไม่เอารัฐศาสตร์ประชาธิปไตยขาเดียว เพราะธรรมชาติของมนุษยชาติ มันต้องมีจิตวิญญาณกับวัตถุ ไปเอาแต่วัตถุเป็นหลักทิ้งจิตวิญญาณไม่ได้ มันต้องมีหลักเกณฑ์ของจิตวิญญาณเป็นประธานของวัตถุด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นที่เขาเถียงกันว่าจิตวิญญาณเหนือกว่าวัตถุ หรือว่าวัตถุเหนือกว่าจิต จิตนิยมเหนือกว่าวัตถุนิยมหรือวัตถุนิยมเหนือกว่าจิตนิยม จิตเหนือกว่าเพราะจิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง

พระพุทธเจ้าบอกว่าจิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง และเป็นประธานจิตด้วย คำตรัสของพระพุทธเจ้าจึงเป็นคำเดียว จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ไม่ต้องบอกวัตถุไม่ต้องบอกจิตเลย มันเหนือทั้ง 2 อย่างเป็นประธานทั้ง 2 อย่าง เพราะฉะนั้นทิ้งจิตวิญญาณไม่ได้

ถ้าคุณไม่มีจิตวิญญาณ คุณมีชีวะ คุณไปเป็นพืช พืชก็ถูกคนจัดการเอาเอง คนที่ขี้โกงคนอะไรก็ย่ำยีพืชได้หมด หรือแม้แต่คนก็ต้องอาศัยพืช คนที่รู้จักคุณค่าของพืชให้เกียรติพืชเขาก็ไม่ทำลายพืช ไม่ไปข่มขี่พืชก็มีช่วยกันบูรณะพืชให้ดี เหมือนกับชาวอโศกเรานี่ ช่วยกันบูรณะพืชให้ดี

เขาเคยสร้างฟักทองได้ลูกใหญ่ พวกนี้เราก็จะพัฒนาให้มะระโตกว่านี้อีก ให้ส้มโอโตกว่านี้ก็ได้ แต่ขนาดนี้ก็พอเหมาะแล้วไม่ต้องให้ใหญ่เกินกาล เท่านั้นแหละ แต่จะให้อวบเด่น สร้างให้ลูกมะระยาว 7 วา คนก็ทำได้มีวิธีการเหมือนเขาสร้างฟักทองใหญ่แข่งกันให้ลูกใหญ่โตมโหฬาร ด้วยวิธีการเอารากมารวมกันแล้วให้ไปรวมกันที่ลูกเดียวด้วย มันก็เป็นหลักการวิชาการธรรมดา ก็เก่งที่ทำอันนี้ได้มา ไม่เห็นจะต้องไปทำทำไม เราทำได้อย่างอุดมสมบูรณ์ขนาดนึงก็พอแล้ว

พูดถึงความพอดี ก็พูดถึงตัวเอง ตอนนี้กำลังวิดพื้น ก็ไล่ขึ้นไป จะไปให้ถึงพันครั้ง อาตมาว่า พันครั้งไม่เบานะ คนอายุจะ 90 แล้วนะ อาตมาก็ว่าจะทำให้ถึงพันทำไม คุณว่าไปก็ว่าไป ก็ทำไป จะได้พิสูจน์พลัง Coefficient จะได้พิสูจน์กัน แต่โดยประมาณของอาตมาแล้ว อาตมาว่า 100 ครั้ง เอาวันละ 100 ครั้งก็พอแล้ว เช้าเย็น ไปอีกจนถึงอายุ 100 ปี อาตมาว่าสบายได้ 100 ครั้งนี้อาตมาว่าได้ จะมาเริ่มตอนนี้ถึง 19 ครั้งแล้ว พรุ่งนี้ 20 ครั้งแล้ว ก็ไปเรื่อยๆจนกระทั่งจะถึงร้อย อายุ 100 ได้ร้อยครั้ง แล้วมันจะควรเติมไปอีกไหม ก็ค่อยไปตัดสินอีกที

สมณะเดินดินว่า...มีเรื่องแจ้งว่า ตอนนี้งานเพื่อฟ้าดินที่ว่าจะจัดเดือนสิงหาคมก็ขอเลื่อนไปก่อนมันยังไม่พร้อม เราก็เดินหน้าไปเรื่องกสิกรรม ตอนนี้ประเทศไนจีเรียประสานมาว่าอยากจะได้ปุ๋ยจากทางปฐมอโศกราชธานีอโศก ผู้นำของอเมริกาบอกว่า American First แต่ของผู้นำประเทศไทยบอกว่าเราจะไม่ทิ้งกัน จะไม่ทิ้งคนข้างหลัง


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:35:18 )

610714

รายละเอียด

610714  สงบสมถะ กับสงบปัสสัทธิ มีนัยยะต่างกันไฉน

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน สงบสมถะ กับสงบปัสสัทธิ มีนัยยะต่างกันไฉน

พ่อครู         : มัน มันมาจากคน คนน่ะ ชอบหาเรื่อง ถ้าไม่มีคนก็ไม่มีควัน

.หนักแน่น    : ทำไมถึงมีคน เพราะโง่เหรอ

พ่อครู         : เขาก็นักทำรายการ ไม่รู้เหรอ นี่รายการนะเนี่ย ไม่ใช่ของธรรมดาออกรายการหนึ่งนะ  ทำรายการซึ่งเป็นรายการที่คนพวกนักทำรายการทำยาก เขาจะทำก็คนที่จะทำรายการแบบมีเชิงนี้ก็ต้องเป็นพวกที่ไปถ่ายภาพที่พวกพงไพร พวกอะไรนี้ พวกชีวิต

.แสนดิน       : discovery

พ่อครู         :  discovery ต่างๆ นั่นมันแกะไม่ออกจากคนไทย  แม้แต่นักปฏิบัติธรรม นักศึกษาทางธรรม ว่านั่งหลับตามันไม่ใช่ เขา เอ๊ เขาเข้าใจไม่ได้ ถ้าเผื่อว่าอ่านมหาจัตตารีสกสูตร แค่นั้นจริงๆนะ อ่านโดยทีเรียกว่า สมมตินะ สมมติว่าคนไม่รู้จักเลยนะ เรื่องสมาธิ เรื่องอะไร ใครก็แล้วแต่  มันอาจจะบอกว่าสมาธิจะเป็นยังไง ถ้าให้ไปอ่านมหาจัตตารีสกสูตร จบปั๊บ เขาจะรู้เลยว่า อ๋อ สมาธิ ปฏิบัติ 7 องค์นี่เนอะ แล้วมานั่งหลับตาสมาธิเขาจะรู้สึกงงเลยเนอะ 

.ดินไท       : นั่งหลับตา

พ่อครู           : แล้วมานั่งหลับตาไปทำนาได้ไง

.ดินไท       : เขาก็นั่งดูลมหายใจ

พ่อครู          : อ้าว ไปทำนา แล้วหลับตาทำนาได้ไง หลับตาขับรถ สัมมาอาชีพอย่างเนี้ย หลับตาขับรถ อย่างเนี้ยพวกกัปตันๆ เครื่องบินอย่างเนี้ย อ้าว กัปตันเครื่องบินหลับตาขับยังไม่เท่าไหร่

.ดินไท       : ลืมตาเขาก็มี เขาก็ลืมตา ดูลมหายใจไปด้วย ลืมตาทำงานไปด้วย ละก็ทำไรก็จดจ่อกับสิ่งนั้น ไม่ฟุ้งซ่าน

พ่อครู         : เออ อันนี้ผิด ที่จริง สมาธิ ของพระพุทธเจ้า อย่างที่ว่านั้น ไม่ได้หลับตาหรอก ทำงานอะไร ทำอาชีพอะไร พูดอยู่ อะไรก็แล้วแต่ แล้วให้พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ไม่ใช่ให้จดจ่อ เพ่ง มันเพ่งเหมือนกัน มันconcentrate เหมือนกัน หลับตาก็ concentrate ลืมตาก็ concentrate   แต่ว่า concentrate ต่างกัน มีนัยยะต่างกัน  concentrate ของไอ้นั่นเขามีเป้า ของพระพุทธเจ้า กายในกายคือ รูปกับนาม รูปกับนามคือ หนึ่ง คือ ปสาทรูปของเรากับโคจรรูป มันเริ่มทำงานสัมผัส สัมผัสแล้วก็เกิดเวทนา พออันแรกรูปกับนามสัมผัสเกิดเวทนา ตามปฏิจจสมุปบาท รูปกับนามหรือกาย กายกับจิต ที่จริง กายเนี่ย มันอยู่กับเนื้อตัวเรา แต่มันมีรูปอยู่ต่างหาก รูปี รูปานิ ปัสสติ เราต้องเห็นรูป  ผู้มีรูปจะต้องเห็นรูป  เพราะงั้นมีรูปต่างหาก มีสิ่งหนึ่ง เสียงก็เป็นรูป กลิ่นก็เป็นรูป ไอ้ที่จะมาแตะลิ้นเราก็เป็นรูป  ไอ้ที่จะมาสัมผัสเสียดสีร่างกายเราก็เป็นรูป แล้วเราเมื่อสัมผัสเข้าก็จึงจะเกิดเวทนา ก็พิจารณาเวทนาในเวทนาให้ดี พิจารณาเวทนาในเวทนาก็แยกกิเลสให้ออก  ทำกิเลสลดให้ได้ แยกกิเลสให้ออก ก็คือแยกจิต เวทนาก็คือแยกจิต เอาอกุศลจิตออกไปจากที่จิตเรา ที่มันเป็นตัวเหตุให้เกิดเวทนาเอง แล้วก็กำจัด ๆ ตัวเหตุนี้ จิตในจิต กำจัดตัวเหตุเสร็จก็ลงเป็นธรรม ธรรมในธรรม ถ้าเผื่อว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนี้ อ่านอย่างนี้ไม่เป็น ทำอย่างนี้ไม่เป็น ธรรมในธรรมมันก็เป็นโลกียธรรม ไปนั่งสะกดจิต จิตมันก็ได้รวมได้อะไรก็เป็นธรรมเหมือนกัน เป็นผลของธรรมะที่ช่วย เป็นผลธรรมเหมือนกัน แม้นเรียกว่าวิมุติ ก็วิมุติแบบเขา วิมุตแบบสะกดจิต เป็นเคหะสิตะวิมุติ เป็นเคหะสิตะแบบอุเบกขา มันก็เฉยมันก็นิ่ง จะเฉยอย่างดำ หรือเฉยอย่างสว่าง  อาภัสรา หรือ สุภกิณหา ก็เท่านั้นเอง ส่วนของพุทธนั้นวิจัยเลย สัมผัสอะไรก็วิจัยออกมา จับเอาตัว รวมก็คือเวทนาปลอม เวทนาเก๊ ไม่ให้มี แท้ก็คือ เหตุก็คือ จับตัวกิเลสให้ได้ แล้วกำจัดกิเลสให้ได้ เวทนาปลอมก็หายไป  เวทนาเก๊ก็หาย เมื่อฆ่าตัวเหตุแล้ว มันก็มีแต่เวทนาแท้  รู้ความจริงตามความเป็นจริง ก็จบ

.แสนดิน       : ผลของมันดูเหมือนจะ เหมือนกันแต่ไม่เหมือนนะครับ ผลของความสงบ  ของจิต

พ่อครู         : ใช่  สงบของจิตมันมีอุเบกขาเวทนา เป็นตัวสงบเหมือนกัน

.แสนดิน       : สงบ สมถะก็ได้ เหมือนกัน

พ่อครู         : ได้ แต่วิธีการ มันต่างกันที่ วิธีการทำสงบอย่าง สงบสะกดจิตเคหสิตะ มันก็สงบ สงบเนกขัมมะสิตะ ก็ไม่ได้สะกดจิต เพราะฉะนั้นจิตมันจึงยิ่งเป็นกายะปาคุญญะตา จิตมันยิ่งแคล่วคล่องว่องไวขึ้น เพราะไปล้างไอ้ตัววุ่น ตัวที่มัน nuisance  ตัวที่มันทำร้าย ตัวที่มันมาทำให้พลังงานจิต ลดพลังลดประสิทธิภาพลง

.แสนดิน       : ตั้งแต่ตอนที่มาปฏิบัติธรรมกับพ่อท่านใหม่ๆ ก็ยังรู้สึกว่า  ผลของสมถะแบบนั้น ที่เคยทำกับแบบนี้ มันสภาวะจิตก็จะเหมือนกัน แต่จริงๆ มันไม่เหมือนฮะ

พ่อครู         : ที่ๆ ปฏิบัติต่างกัน คุณสมบัติก็ต่างกัน

.แสนดิน       : คุณสมบัติของจิตที่มันสงบ

พ่อครู         : สงบก็ต่างกัน ตรงเคหะสิตะ สงบโดยสมถะ สะกดจิตลงไปนี่ มันสงบนะ มันสงบคือมันแข็ง มันทื่อ มันเฉื่อย แต่สงบอันนี้ มันเรียกโดยภาษาว่าสงบจากกิเลส กิเลสมันไม่มี มันหายไป มันก็เลยหมดตัวที่จะวุ่นวายเลยกำจัดตัวโจรไป

.แสนดิน       : มันเลยรู้สึกโล่งว่าง

พ่อครู         : มันจะสงบ สงบมัน คนละอย่าง ไอ้ตัวนั้นมันเกาะกุมแท่งก้อนไปเลย ไอ้นี่มันจึงมีกายะปาคุญญะตา  มันจึงมีความแคล่วคล่องของ  เวทนา สัญญา สังขาร  ความแคล่วคล่องของสามเจตสิกนี้อย่างสมบูรณ์แบบ สงบแต่ยิ่งคล่อง ไอ้นี่สงบยิ่งเฉย ยิ่งแข็ง ยิ่งทื่อเลย มันต่างกัน สงบต่างกัน

.แสนดิน       : แต่เขาก็รู้สึกอิ่ม มีความสุข

พ่อครู         : จริงๆแล้วอันนี้เขาไม่เรียกสงบสมถะ เขาเรียกสงบปัสสัทธิ ของศาสนาพุทธ เรียกสงบปัสสัทธิ สงบอันนี้ สงบสมถะ

.แสนดิน       :คนเลยแยกยาก ถ้าไม่เคยทำแบบ

พ่อครู         : ไม่เรียนอย่างละเอียด

คุณเจมส์   : เขากดข่มตั้งแต่ตั้งกติกาว่าต้องใส่ชุดขาวเท่านั้นไปวัด เขาก็คือพยายามตัดรอบจากการทำงานชีวิตเขา แล้วก็กระโดดเข้าไปเป็นเครื่องแบบแล้วไปนั่ง ไม่คิดเรื่องงานเรื่องการ แค่สงบตรงนั้น สมถะ

.แสนดิน       :คนมาเป็นนักบวชอโศกก็เหมือนกัน ถ้าๆเข้าใจแบบนั้น เข้าใจแบบสงบสมถะก็จะอยู่กับอโศกไม่ได้ เพราะว่าพ่อท่าน

พ่อครู         : พาทำงาน

.แสนดิน       : แม้แต่ใส่ชุดอย่างนี้พ่อท่านก็ไม่ได้พาให้เราอยู่เฉย ออกไปชุมนุมเอย วิจารณ์การเมืองเอย ถ้าความเห็นต่างกันมากๆอยู่ไปนานๆมันไม่ไหวเหมือนกัน

พ่อครู         : อยู่ไม่ได้

 

ถอดความโดย ...อุท้ย กิตติธรรมคุณ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:36:34 )

610714

รายละเอียด

610714  การใช้นาม 5 ให้เกิดสัมประสิทธิ์

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน การใช้นาม 5 ให้เกิดสัมประสิทธิ์

พ่อครู         : มันไม่พาเจริญ เจริญด้วยชีวิตจริงด้วย ชีวิตที่จะอุดมสมบูรณ์ ชีวิตที่ไปให้ประโยชน์ ไม่พาเจริญ ธรรมะพระพุทธเจ้าก็มีการพิสูจน์เยอะ อย่างมารวมกันอยู่นี่ทำงาน ต่างคนต่างไม่ยึดเป็นของตัว เสร็จแล้วไม่ได้สะสม มีน้อย แล้วทำไมไม่แย่งกันไม่ทะเลาะกัน มันมีนัยยะพิสูจน์ธรรมะเยอะเลย

.แสนดิน    : มันไม่เดือดร้อนวุ่นวาย

พ่อครู         : ก็จิตมันเจริญไง จิตมันดี จิตมันไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่ตัว แบบโลกๆ ไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่อยากวิวาท  ไม่มีโทสะ ไม่ต้องไปขึ้น ไปทะเลาะเบาะแว้งอะไรกัน จิตมันชัดเจนไง จิตมันยืนยันความเป็นจริง

.แสนดิน    : มันมีบ้าง แต่ว่ามันไม่มาก

พ่อครู         :  อันนั้นกิเลสมันเหลือ มันก็มีบ้างนิดๆหน่อย

.แสนดิน    : บางที่ก็มีพูดขัดคอขัดแย้ง แทบจะทะเลาะกันบ้างครับ

พ่อครู          : ทฤษฎีมันถูกไง แต่กิเลสมันยังไม่หมด ทฤษฎีมันถูกต้องแล้ว แต่กิเลสมันยังไม่หมด มันก็ต้องแสดงบ้าง มันก็ต้อง มี error มีการ สิ่งที่มันยังมีจริง มันก็ต้องออกมาเป็นจริง  มันก็นั่นแหละ มันก็ต้องมีผัสสะไง ถ้าไม่ผัสสะมันก็ไม่มีจริง มันก็นึกว่าเราหมดแล้ว  มันก็ไม่ขึ้น หรือว่ามันเกิดมา มันไม่ปรากฏตัว มันก็เลยไม่รู้ เพราะนั้นธรรมะพระพุทธเจ้าจึงชัดๆเจนๆแล้ว ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยปฏิบัติธรรมะไม่ได้ ไม่มีผัสสะไม่มีฐาน พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้แล้ว ไม่มีฐานะที่จะเป็นได้ เป็นได้ก็คือที่จะสามารถเป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ไม่มีเวทนามาปฏิบัติ  ไม่มีฐานะจะเป็นอะไรได้เลย เป็นได้อย่างเดิม เป็นปุถุชนที่เต็มไปด้วยกิเลสอย่างเดิม เป็นตัวเจริญ เป็นตัวที่พัฒนาโลกุตระขึ้นมาไม่ได้เลย ปฏิบัติเป็นอาริยะไม่ได้เลย

. แสนดิน      : ผัสสะนี่เป็น นามหนึ่งในนาม คนจะต้องกำหนดมา

พ่อครู         : ใช่ ถ้ารู้ว่านาม 5 นี่คือ นามคืออะไร รูปคืออะไร รูป 28 นาม 5 จบ เขาไม่พูดถึงเลย พวกนั่งหลับตา เขาไม่พูดถึงเลย ไม่พูดถึงนาม 5 เลย ไปพูดถึงจิตเจตสิก  89  121 อะไรไปโน่นเลย

.แสนดิน    : จิตในจิต

พ่อครู  : ไปเอาตัวที่มันเป็นตัวผล ตัวที่เขาแยกสำเร็จไปออกมา ไอ้ตัวนาม 5 ที่เป็นตัวปฏิบัติตามปฏิจจสมุปบาท ที่ท่านตรัสไว้ ไม่พูดถึงเลย ไอ้เราก็เพิ่งมารู้ใน ปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้า นาม 5 ที่พูดไว้ อ๋อ มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี่เอง โอ้โห ชัดเจนเลย คุณต้องทำใจในใจด้วยผัสสะ ด้วยผัสสะ แล้วคุณต้องมีเจตนา เจตนา 3 กาม มโนสัญเจตนา มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ไง เพราะงั้นคุณก็ไม่รู้ว่า อ้าว เจตนา 3 และคุณก็ต้องจัดการกับ กามตัณหา ภวตัณหาไป ก็หมด วิภวตัณหาเป็นตัณหาแบบวิมุติ

.แสนดิน    : ในนาม 5 ที่เป็นตัว A ในสูตรพ่อท่าน m นี่คือ ขันธ์ 5 A นี่คือ นาม 5

พ่อครู         : c อ๋อ ใช่ คือนาม 5

.แสนดิน    : c ใหญ่ 

พ่อครู          : c เล็กคือ ความเร็วของจิต c ใหญ่ก็คือ มุทุ

.แสนดิน    :  c ใหญ่ก็คือ สัมประสิทธิ์ที่มันจะเกิดจาก mc2 + A

พ่อครู  :  A คือ สัมประสิทธิ์ ที่จะเพิ่มขึ้นๆ

.แสนดิน     :  ถ้าจะทำก็ทำที่ A คือ ทำที่นาม 5

พ่อครู  : เอ่อ A นะมันมีตั้งแต่บวก เพราะฉะนั้น เราก็มาเพิ่มขึ้นอีก มี C ใหญ่ก็คือ mc2 + A ใหญ่นี่แหละ  แล้วมีอัตราการก้าวหน้าขึ้นมาจึงเป็น c ใหญ่

.แสนดิน     :  ต้องมีอัตราการก้าวหน้าด้วย 

พ่อครู  :    ต้องเป็นคูณขึ้นไป ถึงยกกำลังเพราะฉะนั้นถึงยกขึ้นมาเป็น c  c คือ ตัวที่เพิ่มส่วนจากการก้าวหน้าที่เป็นคูณ เป็นยกกำลังขึ้นมาของ A  A มันคือบวก A ใหญ่นี่มันคือ mc2 + mc2 +  mc2

.แสนดิน     :  บวกถึงระดับนึง

พ่อครู  :   บวกถึงระดับนึงก็คูณ  ถ้าเป็น 4 ก็เท่ากับ 2 x 2  ถ้าเป็น 2 x 2 เป็น เริ่มต้นเป็นยกกำลังก็ได้  สอง สอง สี่ เป็น ห้า เป็น หก เป็น หก ก็คือ บวกอยู่  ถ้าเป็นเก้า ก็เป็นยกกำลัง อัตราการก้าวหน้าก็เพิ่มไป

.แสนดิน     :  ถ้าภาคของพ่อท่าน มันเป็นภาคของพระโพธิสัตว์  ย่อมไม่เหมือนภาคเสขบุคคลนะครับ

พ่อครู  :   บริสุทธิ์มันก็ต้องรู้ส่วนที่คุณต้องทำตามลำดับ คุณจะไปมั่ว เอามาทั้งก้อน เอามาทั้งใหญ่เลยไม่ได้ ต้องแบ่งส่วนออกมาทำตามลำดับ อย่าไปทำ ทั้งก้อนเลย กิเลสคุณเท่าภูเขา คุณก็จะเอาภูเขามาทลายเลย คุณก็ต้องค่อยๆแซะ ค่อยๆแบ่งส่วน อ้าว เท่านี้ขีดเส้น ตีผัง เอาเท่านี้ก่อน

.แสนดิน     : แต่ว่ามันก็จะไม่เหมือนกับสัมประสิทธิ์พ่อท่านที่ เร่งให้อายุขัยขึ้น 

พ่อครู  :   อันนี้เราไปใช้งาน เราใช้งานที่ว่า รู้จักจิตแล้วเราไว้ใช้งาน นี่มัน advance มันเป็นความรู้ที่มันสูง

.แสนดิน     : จะมาใช้กับพ่อท่านนี่มันจก็ะยากไง

พ่อครู  :   ยาก แม้แต่ผมก็ยังหยิบมาอธิบายเป็นสภาพให้มันเป็นตัว อธิบายเป็นคำๆเลยยังไม่ได้ แล้วมันจะไปทำให้เกิดสรีระที่มันจะต้องก้าวหน้าทั้งกายคือรูปกับนาม อะไรยังไงยังไม่เก่ง ไปขับเคลื่อนยังไงไปกดปุ่มไหน รหัสไหน ตัวไหน

.แสนดิน     : ใช่ เมื่อวาน พ่อท่านตื่นมาตอนดึกๆ ไอมากเลย เหมือนจะเป็นหวัด ไอมากเลย แล้วก็พอจะนอน ตื่นมาก็เป็นอีกสภาพหนึ่ง

พ่อครู  :   ถ้าเผื่อว่ามัน หนึ่งมากไปก็ไอ สองนิ่งๆก็ไอ นิ่งๆก็มากเกิน แต่พอดีๆ สบายๆ

คุณเจมส์ : พ่อครู เหมือนพยายามใช้ตัวพีชะ มาบริหารตน บางทีผมมอง ต้นไม้มัน น้ำมันเยอะก็รู้สึกเป็นหวัด ไม่ออกดอก น้ำน้อย

.แสนดิน : มันก็ปรุงไปเอง ปรุงให้มันมีพลังงานขึ้นมา แล้วกำหนดไหมครับว่ามันจะต้องหาย

พ่อครู  :   ไม่ตั้ง แต่มันหาย พลังงานไม่ต้องไปบอกมันหรอก มันได้สัดส่วนของมัน มันก็เป็นเช่นนั้น

.แสนดิน : แต่เราก็ต้องทำอะไรกับมัน ถ้าไม่ทำปล่อยมันก็

พ่อครู  :   ก็เกิด dynamic ไง เกิดการทำการเคลื่อนตัว การปรุงแต่ง

.แสนดิน : ปรุงแต่ง ภายในจิต เป็นวจีสังขาร

พ่อครู  :   ใช่ ด้วยเจตนาไง โดยที่เรามีความรู้ของการเจตนาที่จะให้ทำ ถ้าโดยสามัญปุถุชน มันเป็นอัตโนมัติ มันไม่มีเจตนาเข้าไปคุม เพราะงั้นเจตนาเข้าไปคุมไม่มี ก็มีตัวกิเลสเป็นตัวเข้าคุม แต่ทีนี้ถ้าเรามีเจตนาเข้าคุม มันก็มีสติ มีเจตนา มันก็อย่างน้อย กิเลสมันทำงานไม่ได้เต็มที่ ถ้าเราฝึกดีๆ กิเลสมันก็ทำงานไม่ได้เลย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:37:29 )

610714

รายละเอียด

610714  เทคนิคการปล่อยวางความยึดและอยู่กับปัจจุบัน

14 .. 2561 ป้าขาว(สีพลบ)กับลูก(พิมพ์บูชา) มาพบพ่อครู

พ่อครู         : โอ้ย จะไปว่าไงเล่า  ก็คน

คุณป้าขาว    : สัปปุริสธรรม นี่ทำยากมากเลยค่ะ

พ่อครู         : เอ๊ย คนมันก็แต่ละจริต แต่ละจิตใจ ใครยึดติดยังไง ถือยังไง มันแต่ละคน มันเหมือนกันที่ไหน

คุณป้าขาว    : ใช่ แต่เราต้องมองเราไง เราเห็นไง ว่ามันชัด

พ่อครู         : ใช่ เรามีหลักเกณฑ์ ตามพระพุทธเจ้าท่านสอน เราเองก็ต้องดูจิต ที่มันทำให้เราทุกข์ มันทำให้เรามีพฤติกรรมอะไรจากอันนี้เป็นเหตุ ให้เรามีพฤติกรรมที่ไม่ดีอะไรๆ มันมีพลังงานกิเลส พลังงานตัวเหตุตัวนี้ คือมันมีอำนาจในตัวเรา คำสอนพระพุทธเจ้าท่านมีให้เลือกตัวนี้แหละ สำคัญแล้วก็จัดการมัน แล้วมันมาทำให้เรามันทุกข์ มันทำให้เกิดผลักดันให้เราต้องออกกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อะไรมันไม่ดี มันเป็นตัวเหตุไม่ดี มันเป็นผีร้าย ก็อย่าให้มันมีอำนาจ อย่าให้มันมีพลังงานขึ้นมากับตัวเรา มีอิทธิพลต่อตัวเรา ก็เท่านั้นเอง ทำได้จนกระทั่งเราไม่เกิดเลย ไม่ว่าจะกระทบยังไง เราก็ไม่เกี่ยงไม่งอน ในแง่นั้นแง่นี้ เชิงนั้น เชิงนี้ วางเฉยกลางได้สบ๊าย สบาย ใครไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ

คุณป้าขาว    : เนี่ย พิมพ์เขาฟัง  เขาบอกเนี่ยฟังแล้วเนี่ยของพุทธมันต้องมีเทคนิคการปฏิบัติที่จะให้ทุกข์ออก ถามว่ามีอะไรบ้าง บอกแต่ละคนก็ของแต่ละคน ใช่ไหมฮะพ่อท่าน มันๆวิธีการที่จะทำ

พ่อครู         :  ที่เกิดอาการทุกข์นั่นอยู่ที่ใจ ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านลึกลงไปอีก ต้องมองเหตุก่อนว่าเราไปยึด ยึดอย่างนั้น ยึดอย่างนี้ เราก็อย่าไปยึดซะมันก็จบ

คุณพิมพ์บูชา : นั่นหละค่ะ ทำยังไงคะพ่อท่าน มีเทคนิคยังไงคะ

พ่อครู         :  ถ้าไปยึดมันก็ทุกข์ ถึงยึดยังไงมันก็ไม่เที่ยง ยึดยังไงเดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป อย่างน้อยที่สุดในกาละเวลานี้ เรายึดปุ๊บ เดี๋ยวมันก็จะมีเหตุอื่นละ มันก็จะไม่อยู่กับอันนี้อีกแล้ว ก็เปลี่ยนไปแล้ว แล้วเราก็จะไปมัวจิตสั่งสมลงไป เอ้ย ไอ้นี่ไม่ได้นะ แตะปั๊บข้าจะต้องอย่างนี้ แตะปั๊บข้าจะต้องอย่างนี้  แล้วก็ไปอันอื่นก็ไปติดใจอย่างนั้นอีก ไอ้นี่ก็แตะปั๊บข้าอย่างนี้  แตะปั๊บอย่างนี้ ตกลงมันมีเข้ามากมายเข้าแล้วคุณจะทุกข์หนักขนาดไหนอ่ะ

คุณป้าขาว    : ก็เมื่อคืน พ่อท่านก็พูดเรื่องการล้างอุปทาน  ท่านเคยพูด ก็เพิ่งเข้าใจ

คุณอานิ่ม : อย่างนี้ก็กลายเป็นไม่อยู่กับร่องกับรอยไปเรื่อยๆ

คุณป้าขาว    : ไม่ใช่

พ่อครู          : คุณจะไปพูดใส่ความ ดูถูกอย่างนั้นก็ได้ ไอ้นี่มันสุดยอดแห่งความเจริญสูงสุด แล้วคุณก็บอกว่าเป็นคนไม่อยู่กับร่องกับรอย เป็นคนไม่ติดใจต่างหาก เป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นคนไม่ติดใจ อยู่กับปัจจุบัน เหตุนั้นเหตุนี้โดยเรามี สัปปุริสธรรม 7 เรามีมหาปเทส 4 เพื่อที่จะวินิจฉัยในเหตุปัจจัยทุกปัจจบันที่มันมา มันเกิดอะไรขึ้น แรงเบาอย่างไร มันจะมี เกิดกรรมที่จะต่อไป มันจะมีอะไรเกิดขึ้นไปต่อข้างหน้าๆๆๆ ยังไง ดีหรือไม่ดี ก็พิจารณาเอาอันนี้ แล้วก็จัดการให้มันดีที่สุด  ก็จบแล้ว เราจะไปยึดอยู่ว่าจะต้องเป็นตามเราคิด เอาปัจจุบัน สบายที่สุด

คุณป้าขาว    : พ่อท่านคะ คืออย่างที่ดิฉันทำมา 8 เดือน จากโจทย์อันนี้ แล้วดิฉันก็เห็นเลยว่า ทุกนาทีอะไรเงี้ย จนเห็นว่า เออ เรารู้จักความไม่เที่ยงของกิเลส อย่างนี้เรายึดไหม พอมันมาเจอโจทย์ อย่างกลับบ้านพอจิตตกมันขึ้นมาละว่า เอ้อ รู้สึกละว่าเหมือนว่าบ้านเงียบ อาการเห็น เศร้าลึกๆ เราก็จากที่เราทำผ่านมาเราก็รู้แล้วว่าเราเคยมีอาการอย่างนี้ หนักกว่านี้อีก ตอนแรกๆ แล้วเราก็รู้ว่าพอผ่านมาๆ พอมีขึ้นเนี่ย เราปรับเลยว่า อ๋อ มันไม่เที่ยง เราเห็นตัวไม่เที่ยงแล้วเนี่ย อันนี้ดิฉันยังไม่แน่ใจว่า ดิฉันเข้าใจแท้ไหม

พ่อครู          : คำว่าไม่เที่ยงเนี่ย มันไม่เที่ยง

คุณป้าขาว    : คือเราเคยเห็นมันไงคะ

พ่อครู          : มันก็เป็นความรู้ชนิดหนึ่ง ว่าไม่เที่ยง เราไปยึดเอาความไม่เที่ยงจะให้มันเป็นอย่างที่มันเป็นอยู่ มันไม่ได้ มันเปลี่ยนไป มันก็เคลื่อนไป แปรรูป แปรเรื่องไป มันก็ไม่เที่ยง เพราะงั้นเราก็ไปยึดไม่ได้ ความหมายมันก็แค่นั้นเอง ถ้าไปยึดอยู่มันก็ทุกข์ ยิ่งไปยึดว่าจะต้อง ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ มันก็ยิ่งทุกข์ใหญ่เลย มันจะเป็นไปยังไง มันเคลื่อนไปแล้วอ่ะ

คุณป้าขาว    : ใช่

พ่อครู          : มันก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

คุณป้าขาว    : จะบอกวิธี แม่ใช้อย่างนี้เลย พอเห็นแล้วว่า เอ้อ มันก็คือโจทย์เดิม เราก็อ่านอาการ มันไม่หนักอย่างคราวก่อน ดีว่าเราไม่เศร้ามาก เบา เราก็เลย เฮ้อ กิเลส ฉันรู้ว่าเป็นแก ฉันไม่ยอมแกหรอก ออกไปจากฉันนะ มันก็โล่งไปเลย

พ่อครู         : ก็ดี ๆ ก็อย่างนั้นก็ดี ทีนี้เมื่อมันโล่งแล้ว มันไม่ต้อง กิเลสตัวนั้นมีอำนาจมีอิทธิพลอะไรกับเราแล้ว เราก็จัดการกับปัจจุบันนี่ไง

คุณป้าขาว    : ก็อยู่กับปัจจุบัน

พ่อครู         : ปัจจุบัน นี่มันมีอะไรหล่ะ มันมีอะไรมา เราก็เอาสิ่งที่เกิดในปัจจุบันมาวินิจฉัย อ่า อันนั้นมันจะดี

คุณป้าขาว    : พ่อท่านสอนไงว่า เออ ตอนนี้ทำอะไรอยู่

พ่อครู         : ไม่ใช่เราเป็นคนโง่ ว่า เอ้อ เราเอาแต่ปัจจุบันโดยเราไม่รู้ว่าเราทำอันนี้แล้วมันจะไป สิ่งที่มันเกิดตามมาเป็นอดีตนี่แหละ เป็นผลจากปัจจุบันนี่แหละ แล้วเราก็มารู้ว่า ผลจากปัจจุบันที่เราทำแล้วเป็นอดีต มันเสียหายนะ ไม่ใช่ว่าเราจะโง่ซะจนไม่รู้ว่ามันจะเสียหาย เราก็พอรู้ เพราะฉะนั้น โดยจริงๆแล้วมนุษย์มันไม่อยากจะให้อะไรเสียหายหรอก ใช่ไหม เป็นสามัญสำนึก คนธรรมดาเป็นสามัญ ไม่เช่นนั้นถ้าเรามีความสำนึกกับมันนิดหน่อยเท่านั้น มันก็พยายามต่อแล้ว สำนึกต่อมันนิดหน่อย เพราะโดยสัญชาตญาณมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสามัญสำนึก ใครอยากให้อะไรเสียหาย ไม่มีใครอยาก  เพราะงั้นเราก็เอาพลังงานเข้ามาร่วม มันก็จะน้อยลง ไม่งั้นเรื่องมันจะเยอะ

คุณพิมพ์บูชา : ไม่ค่ะ แต่บางครั้ง แบบว่า พิมพ์ใช้แบบ  ไม่คิดมันอ่ะค่ะ พ่อท่าน

คุณป้าขาว    : ยกตัวอย่างสิ ที่ยกกับท่านธัมมา

คุณพิมพ์บูชา : คือแบบว่า ไม่คิดมันดีกว่า

พ่อครู         : ไม่คิดมันเลย ไม่เกิดการพัฒนา ไม่เกิดการทำงาน ไม่เกิดการก้าวหน้า มันก็กลายเป็นซื่อบื้อๆๆ สมรรถภาพ สมรรถนะอะไรศูนย์หมด แล้วกัน

คุณป้าขาว    : อันนี้ถือว่าหนีทุกข์ หนีปัญหา หนีอุปสรรค

พ่อครู         : ไม่ใช่หนีอุปสรรคเท่านั้น ตัวเองเนี่ย ถ้ามันเกิดกรรมกิริยาอย่างนั้นเกิดขึ้น เกิดพฤติกรรมอย่างนั้น คนๆนี้ก็ยิ่งจะหมดสมรรถนะ หมดสามารถ หมดการงาน ความชำนิชำนาญ ความเป็นทักษะอะไร คุณยิ่ง down ลง แย่ลงๆๆ หมดเลย

คุณพิมพ์บูชา : ใช่ ก็จริงค่ะท่าน แต่ว่ามันเหมือนใช้พลังงานเยอะมากค่ะ ไม่ได้บอกว่าขี้เกียจนะคะแต่มันเหนื่อยค่ะ ถ้าสมมติเราพยายามไปคิด

พ่อครู         : ก็ไม่ได้ให้ทำมากไง  ทำมากมันก็เหนื่อย ก็บอกแล้ว

คุณพิมพ์บูชาพิมพ์คุยกับท่านธัมมา บอกว่า อย่างแบบ เพื่อนร่วมงานค่ะ เราก็รู้ว่าเขาเป็นคนดี ใช่ไหมค่ะท่าน เขาไม่ต้องมีความพยายามมากในการที่จะทำอะไรออกมา แล้วเขาก็ทำสำเร็จ ทำไมเขาง่ายจังเลย เราก็แบบอิจฉาเขา  แต่ลึกๆเราก็รู้ว่าอิจฉาไม่ดี แล้วคืออีกอย่างเราไปอิจฉาเขา ทั้งๆที่เราก็รู้ว่าเขาเป็นคนดี เราก็จะรู้สึกแบบแย่ อะไรแบบนี้ค่ะ เราก็เลย จริงๆก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

พ่อครู         : มันก็ดีแล้ว เรารู้สึกว่าเราแย่ เพราะว่าเราไม่ดีอย่างที่เขาดี มันก็เป็นความสำนึกชนิดหนึ่งนะ

คุณพิมพ์บูชา : ใช่ค่ะ

พ่อครู         : ก็ดี เราก็แก้ไขสิ รู้สึกแย่ แล้วเราก็เลยอ่อนแรง ไปตามที่เรารู้สึกแย่ มันก็ไม่เข้าท่า เราก็เข้าใจให้ได้ เราแย่ เราแก้เสีย

คุณพิมพ์บูชา : พิมพ์ก็เลย พิมพ์ก็ไม่รู้ว่าพิมพ์ทำถูกรึเปล่าคะ พิมพ์ก็เลย เอางั้น ถ้าสมมติเขาแบบเก่งจริงๆ เราก็ขอให้เขาช่วยเราอะไรอย่างเนี้ยค่ะ เราก็เลยเปลี่ยนเป็นว่า เออ ลองให้เขามาช่วยเรา แล้วถ้าเขายอมที่จะช่วยเรา เราก็รู้สึกดีกับเขา ถ้าสมมติเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าสมมติเราขอให้เขาช่วยเรา เราแล้ว เขาปฏิเสธ มันจะยิ่ง ความรู้สึกที่มีต่อเขาจะแย่ลงกว่าเดิมหรือเปล่า

คุณป้าขาว    : เราต้องอ่าน อ่านเอง แล้วก็ เห็นว่าอันนี้ไม่ดี ทำๆไปแล้วเราจะรู้

 

ในสวนดาว...ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:40:31 )

610714  

รายละเอียด

610714  ชีวิตต้องมีอุปสรรค ถึงเจริญ

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ชีวิตต้องมีอุปสรรค ถึงเจริญ

พ่อครู          : แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาถ้าเผื่อว่าเราปฏิบัติธรรม เราศึกษาธรรม มีผัสสะ มีอุปสรรค มีข้อที่เราจะต้องให้เกิดแก้ไขปรับปรุงจัดการ นี่คือความเจริญ ถ้าเรารู้ เราไม่กลัวอุปสรรค เราไม่กลัวผัสสะ เราไม่กลัวอะไร เพราะว่ายิ่งมีผัสสะมาก หรือผัสสะแรง มีประสิทธิภาพสูง เราก็ยิ่งต้องแก้ไข จะต้องเก่งขึ้น ได้ประโยชน์ ถ้าเราๆเข้าใจนะ แต่อาตมา อาตมากำไรเยอะเพราะว่า ผัสสะมาจากเถระสมาคมเข้าให้ได้โจทย์  โอ้โห หนักหนาสาหัส  อาตมากำไรเยอะแยะเลย

คุณป้าขาว   : สอนดิฉันด้วยนะคะ

พ่อครู         : ก็สอนทุกคนแหละ ทุกคนก็ต้องดำเนินอยู่ในร่องรอยนี้เท่านั้นแหละ

คุณป้าขาว   : ต้องสู้

พ่อครู         : อันเดียวกันแหละ

คุณพิมพ์บูชา : ต้องสู้

คุณป้าขาว   : ใช่ต้องสู้ แม่ก็บอกว่าแม่สู้

พ่อครู          :  ผัสสะ เราก็ใช้ผัสสะนี่แหละเป็นการสร้างความเจริญ อุปสรรคเป็นโจทย์ที่จะทำให้เจริญ ไม่มีอุปสรรคใดเลย  แล้วจะไปเจริญอะไร

คุณป้าขาว   : ตรงหลัง หลังสมเด็จปู่ มีแผ่น คลื่นชีวิต พ่อท่านเขียนปีไหน มาวัดทุกวันก็ไปยืนอ่าน

พ่อครู          :  อุปสรรคเป็นคลื่น

คุณป้าขาว   : อุปสรรคเป็นคลื่น ถ้าใครหนีอุปสรรคก็ไร้ค่า เราไม่ได้หนี เราสู้ อ่านทุกวันแหละ เพราะว่าต้องมากราบสมเด็จปู่ กราบหลวงพ่อ สมเด็จหรือเปล่าองค์ที่ชื่อปรองดอง เรียกไม่ถูก

พ่อครู          : ไม่ๆ สมเด็จต้ององค์นี้  สมเด็จวิชิตอวิชชา

คุณป้าขาว   : สมเด็จองค์เดียว  อีกองค์หนึ่งก็เรียก

พ่อครู          : นอกนั้นก็หลวงพ่อปรองดอง

คุณป้าขาว   : อีกองค์หนึ่งก็เรียกหลวงปู่ปรองดอง   พระพุทธาภิธรรมนิมิต

พ่อครู          : สมเด็จปู่ ให้ตำแหน่งสมเด็จอยู่องค์เดียว

คุณป้าขาว   : ที่สันติแม่ไม่ได้พา เพราะแม่มาทุกวันแม่มาจากบ้าน แม่จะต้องกราบตรงนี้ แล้วไปกราบ

พ่อครู          : ต้องกราบ อาตมาต้องกราบสามทิศ  กราบสามทิศ

คุณป้าขาว   : ดิฉันกราบสมเด็จปู่ แล้วกราบหลวงปู่ปรองดอง กราบสามครั้ง แล้วก็ไปนั่ง เมื่อก่อนจะไม่มีสององค์ก็ ทุกวันก็จะกราบพระธาตุแล้วก็สวดมนต์ มีเด็กเคยมายืนหัวเราะดิฉัน น้องนา เขาถามอธิษฐานอะไร  ไม่ใช่ป้าสวดมนต์  ดินนาก็มายืนหัวเราะ พี่ขาวอธิษฐานอะไรเมื่อกี๊ สวดมนต์ ถือโอกาสสวดมนต์ ๆ สั้นๆ

พ่อครู          : เคยตัวกัน แบบนั้นแหละ

คุณป้าขาว   : แต่ยังทำไม่ได้เนี่ย

พ่อครู          : อธิษฐาน ขอนั่นขอนี่ เหมือนกับอย่างศาสนาเทวนิยม

คุณป้าขาว   : แต่ตอนกลับบ้านลืมทุกที

พ่อครู          : ขอพระเจ้า ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์

คุณป้าขาว   : ลืมเข้ามากราบ ตอนมาไหว้ แต่กลับทุกที ว่าจะทำก็กลับบ้านก่อน

คุณพิมพ์บูชา : แม่ขึ้นลิฟต์ไป หรือว่า

คุณป้าขาว   : อยู่ข้างล่าง อยู่ใต้น้ำตก พ่อท่านทำไว้

คุณพิมพ์บูชา : อ๋อ

พ่อครู          : อยู่ที่ลานข้างล่างไง ลานศิลาอาสน์

คุณป้าขาว   : จริงๆในศาลาก็มีอีกองค์หนึ่ง ตั้งตรงปล่องสูญญากาศ

 

ถอดความโดย...ในสวนดาว


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:39:09 )

610715

รายละเอียด

610715   ทำไมต้องพิสูจน์สัมประสิทธิ์ทำให้อายุยืนยาวได้

พ่อครูสนทนาธรรมยามเช้ากับปัจฉาฯ 15 ก.ค. 2561

พ่อครู         : จริงที่เราเห็นจริง แต่คนอื่นเขายังไม่เห็นจริง เขายังเข้าไม่ถึงไง เขายังเข้าไม่ถึง

.แสนดิน    : เขาเข้าใจกันแบบนั้น

.เดินดิน    : เขายังมองว่าให้แบบให้ไปขับไล่ เราไปนั่งเฉยๆ นั่งล้อมกรุงเทพอย่างนั้นหน่ะ 

พ่อครู         : ไม่ได้ช่วยอะไรได้ ความสงบ ไปสยบอะไรความรุนแรง

.เดินดิน    : มันต้องไปเอาหัวชนแก๊สน้ำตา

พ่อครู         :   นี่มันกลับ มันย้อนแย้ง คนยังเข้าใจไม่ได้ว่า ความสงบนี่สยบความรุนแรงได้อย่างเก่งเลย อันนี้เราเอาตัวสุดยอดมาใช้ ทีนี้คนยังไม่ถึงสุดยอด ค่อยๆไป

.เดินดิน       : แม้แต่พวกเรา เวลาไปชุมนุมจริงๆก็ไปอยู่ที่ คปท. หลายคน ไม่ใช่น้อย พวกแรงพุทธ พวกหัวฮาร์ดคอร์

. ดินไท    :  มีเด็กๆเราไปเขวี้ยงแก๊สน้ำตากับเขา ไปสู้กับตำรวจ

.เดินดิน       : จ่าสมานก็ไปอยู่หน้าเวที คปท.

.เดินดิน       : การรบกัน อย่างนั้นมันถึง

คุณนิ่ม     รองเท้าผ้าใบ กับใจถึงๆ

พ่อครู            : นั่นหน่ะ เขาก็ค่อยๆรู้ไป ทีละกระเถิบไป จนกระทั่งสุดท้ายเขาก็รู้ คนนี้ เอ่อมีนัยยะอันนี้ คนนี้มีนัยยะอันนี้ คนนี้มีนัยยะนี้  จนกว่าคนพวกนี้เขาจะชัดหมดเลย จนกว่าจะถึงเรา เหลือสุดยอด อ๋อ ต้นรากตรงที่ๆไม่มีเลย ศูนย์จริงๆ ตรงนี้เหรอ สงบจริงๆอยู่ตรงนี้เหรอ สยบความรุนแรงทั้งหลายแหล่ ความสงบจริงๆมันอยู่ปลายตรงนี้เหรอ กว่าจะถึงตรงนี้อีกนาน เพราะงั้นเราถึงบอกว่าโอ้โห ก็เลยทำให้เราจะต้องเพิ่มพลัง coefficient ให้มากขึ้น ให้จริง ถ้าไม่งั้นเราอยู่ไม่ถึงเลย

. เดินดิน    : แต่ว่า โห นี่มันเป็นฝังไว้ในยีนเลย เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถ้าไม่เสียเลือดเนื้อมันไม่มีทางเป็นไปไม่ได้

พ่อครู          : เอ่อ ถ้าผมตายก่อน มันจะเสียเวลา มันจะกลับไปซ้อน ถ้าผมไม่ตายมันต่อเนื่องได้ ผมอย่าเพิ่งให้ตาย เพราะว่ามันเป็นประวัติ มันมีตัว มันสืบทอด พอตายแล้วมาเกิดใหม่ กว่าจะสืบทอดอีก มันไม่รู้ ใครวะนี่

. แสนดิน      : เหมือนดาไลลามะ

พ่อครู         : เอ่อ มันยากๆ  เพราะนั้นมันจะสืบต่อกันอีกยาก ต่อไปอีกยาวอีก ซึ่งมันไม่ดี ก็เลย เอาน่า มันได้ตรงที่ว่าเราจะต้องเพิ่ม พลังงานสูตร coefficient มันจริงไหม เท่านั้นเอง ถ้าผมยืดได้ สูตร coefficient  ก็จะยิ่งจริงเท่านั้นๆๆ ด้วย  มันจะได้สองอย่างเลย

. เดินดิน    : ตอนนี้เขาก็น่าจะพอมองเห็นบ้าง

พ่อครู          : เพราะงั้นถ้าใครเขาเอา coefficient ไปพิสูจน์ทางวัตถุนะ เขายอมรับ ถ้าเผื่อว่ามันจริงนะ มันจะเร็วขึ้น มันจะเร็วขึ้น แต่ทีนี้รับประกันได้ไหมล่ะ  ดีไม่ดี คิมจองอิล  เฮ้ย สูตรนี้ใช่ไหม  นี่พัฒนาการของไอ้นี่ นี่หว่ะ ไปเติมไฮโดรเจนและวะ  แล้วมันก็ไปทำระเบิดไฮโดรเจนขึ้นมา จริงขึ้นมา ตายเลยทีนี้

.แสนดิน    : แต่ดูสูตรแล้วเป็นนามธรรม abstract เนี่ย เขาก็คงจะเข้าถึงไม่ได้

.ดินไท   :   ดูคนจะเชื่อย่านาง มากกว่า

พ่อครู         : เชื่อย่านางมากกว่า coefficient เนอะ

.แสนดิน    :  มันเป็นพลังงานนามธรรม

พ่อครู          : อย่าไปพูดไปดูถูกเขานะ เพราะเขาใช้ mc2  อยู่จริงนะ เพราะถ้าเข้าใจ A เขาเข้าใจ A ใช้ได้นะ เขาเริ่มเอา A มาใช้แค่นั้น ก็ใช้ได้แล้วนี่ mc2  + A เขาก็ใช้ได้แล้วนี่ ไม่ต้อง ยังไม่ต้องถึง C

.แสนดิน    :  แต่เขาจะเข้าใจนาม 5 ได้

พ่อครู         :   ไม่ใช่นาม 5 สิ ก็เป็นอรูปไง

.แสนดิน     :  อรูปๆ พลังงานที่เป็นอรูป

พ่อครู        : เอ่อ พลังงานเป็นอรูป  ก็ บวกๆๆๆๆ ไง ถ้าเขาเข้าใจ mc2 +++++ ไป   เขาก็เพิ่ม mc2 เป็นสองตัว  mc2 เป็นสองตัว mc 2เป็นสามตัว  เขาได้แล้ว

.แสนดิน     :  ได้ coefficient

พ่อครู      : ได้ coefficient แล้ว แต่ว่า coefficient ที่ยังไม่เต็ม ยังไม่เป็นแค่ บวก ยังไม่ถึงขั้นคูณ มันยังมีอัตราการก้าวหน้าที่ไม่มีถอย มันยังไม่ถึงนิยตะ มันยังแค่ อวินิปาตธัมอยู่ ทุกอย่างๆ มาหาศูนย์ได้  ต้องบวกไปถึงนิยตะ ถ้านิยตะ มันถึงจะข้ามเขต 50% ขึ้นไป ไปหา 75

คุณเจมส์ : จริงๆ คิมเขาก็ใช้ A  อยู่นะครับ แต่ว่า A  ของเขาเป็น force  เพราะว่าของเกาหลีเหนือเขาจะทำเป๊ะๆๆมาก

พ่อครู     : ใช่ๆ A เขาเป็น force ใช่ เจมส์มองข้าม shot นี้ได้ เขาใช้เป๊ะ เขาได้จริงๆนะ force เขาเต็มที่นะ คิมนิเขาใช้ force เต็มที่เลย

.แสนดิน     :  ทุกคนต้องทำตาม ไม่ทำตามถูกยิงเป้า

พ่อครู       : ตาย force เต็มที่เลย เพราะฉะนั้นเขาได้เด็ดขาดเลย เต็มที่ นะอันนี้จริง อันนี้ เราต้องให้มาใช้ authority ไม่ใช่ force  มาใช้ authority ใช้ force ไม่ดี

.เดินดิน     :  ความจริงพ่อท่านก็พูดเกือบทุกมุมทุกเหลี่ยม ทุกเรื่อง

พ่อครู    : มันกลับไปกลับมา มันจากมุมนี้ คนไม่ทัน พอกลับๆไปกลับมาปั๊บมันจะพลิกมุม กลับมาปั๊บมันก็พลิกมุม  มันเป็นสภาวะสัจธรรมที่ ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันได้แค่นี้ พระพุทธเจ้าสมณะโคดม ก็อธิบายได้แค่นี้ ผมเองไม่เก่งกว่านี้ แต่ก็รู้สึกว่ามาเห็นความเคลื่อนที่ ความไวกลับไปกลับมาได้มากกว่า เท่านั้นเอง เพิ่มขึ้น ได้เพิ่มขึ้น

 

ในสวนดาว...ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:42:46 )

610715

รายละเอียด

610715 แยก เนกขัมสิตะกับเคหสิตะ ในศีล 5

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน แยก เนกขัมสิตะกับเคหสิตะ ในศีล 5

 

พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯ เช้า 15 ก.ค. 2561

           พ่อครูว่า...มันยังแยกมโนปวิจาร 18 ไม่ออก แล้วก็ไม่รู้อาการของมโปวิจาร รู้อาการของมโนปวิจาร และเคหสิตะ แตกต่างจากเนกขัมมะอย่างไร แต่ชัดเจนเลย อาการวิราคานุปัสสี เห็นตั้งแต่ว่ามันไม่เที่ยง ไม่เที่ยงอย่างไร  มันจะลดอย่างไร

เนกขัมมะเนี่ย ตัวเนกขัมมะ อาการเนกขัมมะเป็นอย่างไร ต้องจับสักกายะ ต้องจับตัวกิเลส และกิเลสมันจางคลาย วิราคานุปัสสี แล้วเห็นความจางคลายต่างกันแล้ว ดีไม่ดีต้องทำไปจนกระทั่งมันต่างกันมาก จนเห็นมันต่างกันมาก ถึงจะค่อยแล้วจะค่อยๆ เข้ามาหาความใกล้ ต้องต่างมากถึงจะรู้ ถ้าต่างนิดนึงจะไม่แยกไม่ออก

รู้ความต่างถึงจะค่อยๆรู้เวทนา เวทนาปลอมเวทนาเก้กับเวทนาแท้ แยกเวทนาแท้กับเวทนาเก๊ได้เก่งขึ้น ก็แยกเนขัมมะสิตะกับแยกเนกขัมมะเจตสิกได้ละเอียดขึ้น แล้วค่อยไล่กลับไปกลับมากลับไปกลับมา อาการ

สรุปแล้วเข้ามาหาอาการ วิญญัติ การเคลื่อน การเคลื่อนตัว Kinetic ของพลังงานจิต มันมีรสแท้-รสเทียม อัสสาทะรสเทียมเนี่ย มันเป็นยังไง

อัสสาทะรสเทียมเนี่ย ไม่ใช่รสแท้ มันคือเรื่องของอารมณ์จริงๆ เรื่องของเวทนาแท้ๆ อารมณ์ชอบอารมณ์ชัง อารมณ์ที่เกิดทางตาหูจมูกลิ้นกาย อารมณ์ที่มันแตะเนื้อแล้วมันมีปฏิพัทธ์ มันมีชอบหรือมันไม่ชอบ มันผลักหรือมันดูด

ทุกวันนี้มันได้ขึ้นไม่เสียของ คนแสวงหามากขึ้น สังคมโลกคนกำลังโน้มเน้นมาหาจิตวิญญาณ ที่นี้มันยังไขว้เขวกันอยู่ จิตวิญญาณที่ไป Meditation มันเยอะ อันนี้แหละที่จะต้องมาคัดเลือก จากพวก Meditation ให้มีอัญญะธาตุให้เข้าใจ ออกมาเป็นวิปัสสนา มามีสามัญปกติชีวิตมีอาการ อ่านจิตเจตสิกต่างๆออกจริงๆ

ตอนนี้ผมพยายามเน้นเข้ามาหาศีลสมาธิปัญญา อธิบายศีลตัวเดียว ให้เขาอ่านเรื่องสัตว์เสียก่อน เรื่องสัตว์ เกี่ยวข้องกับสัตว์ต่างๆ แล้วจิตของคุณจะมี อยากฆ่า ละ วางอาวุธ มีความเอ็นดู มีความกรุณา จนกระทั่งถึงขั้นหวังประโยชน์ เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อาการจิตจะละเอียดเป็นอย่างนี้ จนกระทั่งรู้ว่าจิตของเรา เกี่ยวกับสัตว์และเกี่ยวกับของ ศีลข้อ 2 เรายังอยากได้อยากมีอยากอยู่ ศีลข้อ 3 อยากเสพย์รส อยากเสพย์รสทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วค่อยๆอธิบาย ตอนนี้กำลังเน้นสัตว์ แล้วมาเน้นของ แล้วค่อยมาเน้น 5 ทวาร กามคุณ 5 ค่อยๆไล่ไป มันละเอียดนี่มันไม่ง่าย มันช้ามันยาก

ตอนนี้เราเน้นศีลเดียว ศีล 5 ที่ไหน แล้วค่อยๆ 2 ค่อยๆ 3  ศีล 3 ข้อจะเป็นหลัก เพราะศีล 3 สมบูรณ์แบบ แล้วค่อยขยายไปวาจา แล้ววาจาก็จะไปหาจิต แล้วยกจิต จากสุราเป็นเมรยะ จากเมรยะเข้ารอบสูง ก็กระจาย เมรยะนี้กว้าง กว้างรอบสกิทาคามี สุราก็โสดา เมรยะก็สกิทาคามีจะกว้าง จะยาว จะเยอะ  จนกระทั่งหมดข้างนอกโอฬาริกอัตตา แล้วก็ไปอรูปราคะ เก็บจนขึ้นเป็นอนาคามี จะถึงขั้นมัฌฌะ มัทฉะ จะจบกันที่มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ

 

ถอดความโดย...อุทัย กิตติธรรมคุณ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:44:25 )

610715

รายละเอียด

610715 สติเอากิเลสอยู่หมัด ปัญญาเหนือกิเลสได้

พ่อครูสนทนายามเช้ากับปัจฉาฯ 15 ก.ค. 2561

พ่อครูว่า...อัมพัฏฐสูตร นี่ก็จะไปถึงจุดความเสื่อม 4 ประการ ยังไม่ถึงสักที พอถึงจุดเสื่อม 4 ประการคงจะได้ถล่มกันน่าดู อัมพัฎฐสูตรอธิบายไล่ๆ มันเรื่องของตำนาน มีอะไรที่จะขยายความ เบ่งกันข่มกันเรื่องของธรรมะ ทั้งนั้น

วนมาหาเรื่องของศีลเรื่องสมาธิด้วย ว่าต้องขยายศีล ให้รู้จักศีลแต่ละข้อ เป็นตัวกำหนดสมาธิ เป็นตัวกำหนดปัญญา เป็นตัวกำหนดวิมุติ อย่างศีลข้อ 1 นี่คุณจะเกิดอธิจิต ส่วนปัญญาเป็นยาดำ ปัญญาจะอยู่กับความรู้ตลอด อยู่กับศีลต้องรู้อธิศีล อยู่กับจิตต้องรู้อธิจิต ตัวปัญญาเองก็พัฒนาขึ้นมา ได้วิมุตก็ต้องรู้วิมุตติญาณทัสสนะ มันก็ต้องรู้ตามทั้งหมด ยาดำจะเป็นตัวรู้ตามรู้ สัญญาเป็นตัวกำหนด ปัญญาเป็นตัวรวบรวมความรู้ รู้ๆๆๆ ไปเรื่อยๆในทุกอย่างที่ปฏิบัติในทุกอย่างที่มีกรรมกับกาละ มันถึงจะเกิดเกิดเกิดเกิดเกิด เกิดสภาวะต่างๆที่มันเกิด อภิสังขารขึ้นมา

ปราชญ์ต้องรักษาศีล ศีลต้องสะอาด พอได้จิต  จิตได้วิมุต ได้ขึ้นมาเรื่อยๆ ปัญญาก็รู้ ขึ้นมาเรื่อยๆเรื่อยๆ น้ำมันถึงจะเพิ่มทานขึ้นมาเรื่อยๆ มันถึงจะเพิ่มสภาพ พัฒนาศีลข้อ 1 มันจะรู้รอบว่าได้อะไรบ้าง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ วิมุติพร้อมรอบ มุมนั้นเหลี่ยมนี้ อะไรสมบูรณ์แบบแล้วเราก็ขยาย ผลไปหาศีลข้อ 2 เพราะในตัวศีลข้อ 1 สัตว์มันเคลื่อนไหว สัมผัส แล้วตัวสัตว์เองมันก็มีตัวธาตุรู้ก็มันเอง มีอัตตาของมันเอง จึงต้องเรียนรู้รอบ

ส่วนมาเรียนรู้วัตถุข้าวของ หรือแม้แต่พีชะ มันไม่มีอะไรโต้ตอบไม่มีอะไร Action ไม่มี reaction เราแอ็คชั่นมันท่าเดียว เพราะมันมีความรู้ทางด้านสัตว์แล้ว มาเอาของ วุ่นวายของมันง่ายขึ้น ง่ายขึ้นคุณก็จะเพิ่มฐาน มาทำแล้วเจโต ที่คุณจะสร้างกับสิ่งที่นิ่ง คุณก็จะรู้ ออทำกับสิ่งที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบทำกับสิ่งที่นิ่งต่างกันนะ แล้วเราก็จะรู้จักวิธีรับ วิธีตอบ กันยังไงชัดเจนดี ที่เราเองที่จะรู้กับการโต้ตอบ มันต้องมีอาวุธ มันต้องมีความรู้ มันต้องมีสิ่งที่จัดการได้

พอมีสิ่งจะนิ่ง มันง่ายขึ้น ง่ายขึ้นมันก็จะเกิดอัตตา มานะเพิ่ม ก็เข้ามาหาตาหูจมูกลิ้นกายใจ เอาทางตาก่อน ทางหูก่อน จมูกก่อนก็ได้ สิ่งหนึ่งก่อนก็ได้ เพราะจากสิ่งหนึ่งก่อนไปหาสิ่งนี้ก่อนก็ได้ แล้วเราก็อ่าน วัตถุปฏิกิริยาตอบกลับ หรือมีกิเลสเพิ่มขึ้น จนกว่าจะรู้ตัวกิเลสดีจนกระทั่งทำให้กิเลสเชื่องได้กิเลสอยู่ในอำนาจ หรือไม่มีกิเลสเข้ามา ปฏิกิริยากับเรา พูดถึงมุมไหนก็ได้ พูดในมุมของมันไม่มี พูดทุกวัน มันมีแต่เราก็แข็งแรง ก็ได้เหมือนกัน

พูดถึงมันไม่มีบทบาทกับเรา อันนั้นง่าย มีบทบาทกับเรา แต่เราแข็งแรง ทำอะไรเราไม่ได้ อันนี้เหนือกว่า อันนี้ถือเป็นเหนือ อันนั้นแค่หนี้ ให้มันหนีมันไม่มีมาหาเรา หรือเราหนี้มัน มันหนี แต่นี่มันเหนือ เพราะมันเหนือถือว่าสมบูรณ์แล้วนี่ เมื่อเราเองปฏิเสธสิ่งที่จะมาหาเรา มันก็มา เพราะมันมีหน้าที่มามันไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะเรามีหน้าที่ที่จะอยู่เหนือมัน เหนือมันขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างที่อธิบายจุดเหนือจบ มันก็มีหน้าที่เหนือขึ้นไปเรื่อยๆ จะเราอยู่กับมันอย่างสบาย เพิ่มเหนือก็คือเพิ่มปัญญา เพิ่มไม่ต้องหนีแต่แข็งแรง ก็เพิ่มสติ สามเส้า สติคือ สามเส้า ติคือ 3 สะคือประกอบด้วย 3 สติเป็นแรงเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตตระ มันก็เกิดปัญญา เกิดอธิปไตย เกิดปัญญาเกิดสติ เกิดปัญญาเกิดสติ เกิดสติกับปัญญา เกิดสติกับปัญญา เจริญขึ้น เก่งขึ้นเรื่อยๆ สติกับปัญญา สติกับปัญญา สติกับปัญญา สติกับปัญญา เกิดเก่งอธิปไตย กับความอยู่เหนือ อธิปไตย กับความอยู่เหนือ อธิปไตยกับอุตระ อธิปไตยกับอุตระ อธิปไตยกับอุตระ ก็เจริญธรรมะ 2 ไปเรื่อยๆเรื่อยๆเรื่อยๆ ความต้องการที่จะมีอธิปไตย ที่โลกใช้เป็นแกนของทุกอย่างก็ต้องมีตัวปัญญาหรือตัวเหนือ ต้องมีตัวอุตระ เหนือไม่ใช่ไปเบ่งข่ม เหนือมีฤทธิ์แรงลอยตัว อุททังโสโต มีแรงเหนือที่จะครอบง่ำคุณจริงๆ เหมือนกับจับหัวเด็กที่เราแข็งแรงพอ เด็กมันดิ้นสุดที่ยังไง มันจะทำยังไง จะออกทางกว้าง แขนมันก็ไม่ถึง จะเอาทางดิ้นมันก็ดิ้นไม่หลุด แรงไม่พอ จึงเรียกว่าอยู่หมัด สํานวนไทยเรียกว่าอยู่หมัด อยู่ในหมัด นี่ก็ขยายมาจาก อยู่ในมัด มัดได้แน่ มัดมันได้แน่น มัดมันได้แน่น แรงขึ้นเรียกว่าอยู่หมัด มัดได้เต็มหมัด หมัดเป็นแคแนติค ก็ชกเขา แต่ที่มัดเต็มเหนี่ยวทั้งมัดทั้งหมดอยู่ในตัวคือไม่ต้องชก จับมัด เอามัดคลุมไว้เลย ธรรมะ 2 เป็นธรรมะ 1  ทเวธัมมา ทวเนญ สโมสลนา

 

ถอดความโดย...อุทัย กิตติธรรมคุณ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:45:18 )

610715

รายละเอียด

610715_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ความจนคือจุดหมายอันประเสริฐที่สุดของมนุษย์

อ่านทั้งหมดทีหรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1DXse52HpSO7MncaVzrletQCtVQ7bo5cGby0UYzzHsPk

ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1YZztXb7BBnYoyyrgZ5of3p2q3t4tNPOG

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ความจนคือจุดหมายอันประเสริฐที่สุดของมนุษย์

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ก็มีข่าวมรณานุสติ ของชาวอโศก ที่ต้องเสียชีวิตไป  อีก 1 ท่านก็คือ เขาจะเรียกว่าหลวงตาพรหมจริโย อายุ 82 ปี เกิดเมื่อ วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2479 บวช 15 มิถุนายน 2523 บวชมาได้ 38 ปี และเป็นโรคหลายโรค อายุมากแล้ว เพิ่งคุยโทรศัพท์ ภันเตติกขะเมื่อวันพุธ ถามว่าเป็นอย่างไรก็บอกว่าอยู่วันต่อวัน คือวันนี้รอดก็รอดวันนี้ไม่รอดก็ตาย ภาวะร่างกายมันทรุดโทรมไปมากแล้วด้วยโรคต่างๆ หลวงตาพรหมก็เป็นสมณะที่ใจดีมีความเมตตา เรียกว่า งานที่หลวงตาพรหมไปมากที่สุดคืองานศพ ไปตลอด เป็นคนที่อดทนต่อทุกขเวทนา เจ็บปวดอย่างไรก็ไม่บ่น ทนเอา ผลงานที่ราชธานีอโศกก็คือเรือ ที่ท่านช่วยขนมา จนเป็นบ้านราชเมืองเรือ เป็นคนหนึ่งที่ประพฤติพรหมจรรย์มาตลอดชีวิต มรณภาพไปแล้ว ก็คงจะเผาที่ปฐมอโศกหรืออย่างไร ได้ข่าวว่าตอนนี้โรงพยาบาลรับร่างกายไปแล้ว เพราะหลวงตาพรหมได้บริจาคร่างให้โรงพยาบาล ก็ไม่ต้องมีงานเผา

ในสังคมประเทศไทยเราจะเห็นได้ว่ามีการแสดงออก แสดงให้เห็นว่าคนไทยมี DNA ของพุทธเป็นโลกุตระอยู่ในอนุสัย เมื่อมีผัสสะก็แสดงออกให้เห็น ตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคตก็มีคนแสดงออกมา ตอบแทนสิ่งที่ท่านทำอย่างไม่หวังผลตอบแทนให้แก่ปวงชนชาวไทย มีการรับสมัครจิตอาสา ตอนนี้ก็ไปช่วยทำความสะอาด 5 ส. ที่ถ้ำหลวง

พ่อครูมาพาทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและต่อผู้อื่น เป็นพระโพธิสัตว์ ที่บำเพ็ญบารมีมา กว่าจะมาเป็นพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ผ่านการบำเพ็ญมาอย่างนับไม่ได้ ยาวนานมาก เราก็มาฟังพ่อครูให้เกิดผลกับตัวเรา ท่านมาแสดงธรรมให้มนุษยชาติได้พ้นภัยไม่มากก็น้อย

 

พ่อครูว่า...ก็ต่อจากที่ท่านฟ้าไทได้เกริ่นพูดไปแล้ว อาตมาพูดความจริง ทุกอย่าง มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมไม่ได้มีอะไรแฝงซ่อน ที่กล่าวที่พูดไปทุกอย่าง เป็นเรื่องสัจจะเป็นความจริง ที่กล่าวออกไปบอกแก่สังคม บอกแก่ใครๆก็ตาม แล้วมันเป็นเรื่องที่บอกความจริงอันนั้นไปแล้วมันแสลงหูแสลงใจ ของคนที่เขายึดถือว่า อย่างนี้ไม่ควรบอก หรือเรื่องนี้บอกไม่ได้  เรื่องอย่างนี้ผิดกฏผิดหลักเกณฑ์ ผิดธรรมวินัย อะไรต่างๆ ซึ่งอาตมาก็มั่นใจว่าอาตมาไม่ได้ผิด โดยเฉพาะไม่ได้ผิดสัจธรรม ส่วนเขาจะบอกว่าผิดกฎผิดหลักเกณฑ์ ถ้ากฎหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าอาตมาก็มั่นใจว่าอาตมาไม่ผิด แต่ถ้าเป็นกฎหลักเกณฑ์ของคนที่บัญญัติขึ้นมาใหม่ อาจจะผิด จากคนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ก็ไม่ตรงกับสัจจะ ซึ่งเป็นสัจธรรมแท้ๆของพระพุทธเจ้า

อาตมาก็ไม่ได้ว่า จะไปฝืนหรือว่าไปแย้งกับที่เขานิยมนับถือกัน ก็รู้อยู่ว่าคนที่เขานับถือเชื่อถือกันอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ใช่ไม่รู้ รู้ แต่อาตมาเจตนาจงใจที่จะกล่าว เพื่อให้เห็นว่าที่เขายึดถือกันนั้น แค่ยึดถือว่า อรหันต์ประกาศตัวไม่ได้ แล้วอาตมาก็ประกาศว่าเป็นโพธิสัตว์นี้เหนือกว่าอรหันต์ต้องเป็นอรหันต์ก่อนจึงเป็นโพธิสัตว์ แต่เขาเข้าใจว่าพระโพธิสัตว์นั้นไม่ใช่พระอาริยะเป็นพระอาริยะไม่ได้ โพธิสัตว์ถือว่าเป็นผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ไม่เกี่ยวกับโสดาบันสกิทาคามี จะบำเพ็ญแต่ความดีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักโสดาฯสกิทาฯ อนาคาฯ แล้วจะไปทางไหน ไม่ไปทางอาริยะไม่ไปทางนิพพาน ไม่หาโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี  อรหันต์เลย จะเป็นทางสูงสุดพระพุทธเจ้าเลย นี่คือความคิดที่ผิดพลาด

สมณะฟ้าไทว่า..ไม่รู้ทางเดินแต่จะไปให้ถึงอย่างไร

พ่อครูว่า...ไม่มีทางเดินแต่จะไปให้ถึงอย่างไรจะเหาะไปถึงดาวอังคารหรืออย่างไร ตลก

ซึ่งมันเป็นความเข้าใจที่เข้าใจไม่ได้ เข้าใจผิดเพี้ยนไปไกล ไกลกว่าสัจธรรมความคิด หมด หมดเลย

อาตมาอธิบายเรื่องศีลเขาก็ไม่รู้จักเรื่องศีล เขาบอกว่าศีลมี 227 เมื่อกล่าวถึงจุลศีลมัชฌิมศีล มหาศีลก็ไม่รับกันเลย ดีนะยังมีในพระไตรปิฎก เขาก็เถียงไม่ได้ แต่เขาก็มีร่องรอยศีลข้อ 1 อย่าฆ่าสัตว์ ศีลข้อ 2 อย่าลักทรัพย์ ศีลข้อที่ 3 อย่าไปออกนอกรีตนอกราวเรื่องกาม ศีลข้อ 4 อย่าพูดปด ศีลข้อที่ 5 ยาเสพสิ่งเสพติดก็พอรู้ แต่เขาก็ไม่รู้แล้วว่ามาจากจุลศีล 26 ข้อ อย่างนี้เป็นต้น

แล้วศีล ปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติแล้วจะได้เกิด อธิจิตหรือสมาธิอย่างไร ไม่รู้อีก ศีลก็ไปปฏิบัติที่กายวาจา แต่ใจไม่เกี่ยวกับศีล ใจจะเป็นสมาธิก็ต้องไปนั่งหลับตา แยกกันกับศีลแล้ว เป็นความซวยที่เข้าใจผิด ก็เลยไม่ได้มรรคได้ผลอะไรเลย อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจ ถ้าเขาไม่เชื่อถืออีก พูดไปเถอะเขาก็ไม่เชื่อ ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ ยิ่งพูดหมื่นยิ่งพูดแสนก็ไม่เชื่อ อาตมาก็ว่า ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ ไม่เป็นไร คนเชื่อก็ยังมี

มีอยู่จำนวนหนึ่งที่รับได้ นอกนั้นภูมิปัญญาของเขารับไม่ได้ อันนี้ก็เป็นสุดวิสัยของอาตมา อาตมาจะไปแสดงธรรมที่ไม่ใช่โลกุตระ ไม่ใช่สาระสัจจะของพระพุทธเจ้า อาตมาไม่อยากไปเสียเวลา ไม่มีเวลา เพราะมันไม่ใช่เรื่องไม่ใช่สาระที่พระพุทธเจ้าจะพาคนมาเป็นมามี ไม่เอา แล้วสัจจะที่อาตมา สรุปไปเน้นไปคือ

การปฏิบัติธรรมของพุทธเจ้านั้นจะต้องเป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อการลดละเลิก ไม่ไปสะสม อปจยะ ไม่สะสมลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อะไรเลย ไม่ไปสะสม มันเป็นของโลก จะไปสนใจก็ไม่ไปติดใจ มันมีก็มีของมันเองเป็นธรรมดาธรรมชาติ มันมีก็อาศัยใช้สอยไปตามเหมาะควรแต่ไม่สะสม ไม่ติดยึด

มันจะมา  หรือคนจะมายัดเยียด ให้มันเป็นของเรา เราก็อนุเคราะห์ ทาน ก็ฉลองศรัทธา เมื่อมีคนอยากให้ แต่เราก็ไม่ได้ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เรารับแต่ว่าไม่ใช่ของเรา เขาก็ไม่เชื่อ แล้วรับทำไมเขาบอกอย่างนั้น แล้วบอกว่าไม่ใช่ของเรา เขาก็ดูตามรูปธรรมเท่านั้นเอง เรารับมาแต่เราไม่ได้ยึดว่าเป็นของเรา รับเข้ามาเพิ่มมาบริหารให้เกิดประโยชน์คุณค่าเป็นประโยชน์ให้ยิ่งขึ้น ให้ยิ่งงอกเงย ให้ทำประโยชน์ต่อผู้อื่นให้มากขึ้น

คุณมาโยนเมล็ดข้าวเปลือกมาที่นี่ 1 เม็ด ที่นี่จะงอกข้าวเปลือกไปให้คุณล้านเมล็ด มันเป็นอย่างนั้น แต่คนก็ไม่เชื่อถือว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วงอกเป็นล้านเมล็ดนี้ เราไม่คิดว่าเป็นของเราด้วย มีแต่จะสะพัดให้คนอื่น เราก็อาศัยกินใช้ในล้านเมล็ดนี้บ้าง จะกินเท่าไหร่กันเชียวนอกนั้นก็สามารถออกไป จากนี้คือความเจริญ คือตัวเองนั้นมีส่วนผลิตมีส่วนสร้างสรรได้มากได้เกินแก่ผู้อื่น มันจึงเป็นคนที่ไม่ได้เป็นภาระสังคม ฉุดสังคม ไม่ได้เป็นความหนักหนาเหน็ดเหนื่อยของสังคมส่วนอื่นๆของเขา ส่วนอื่นๆก็ไม่ได้ลำบากลำบนกับเราเลย เราก็ไม่ไปเบียดเบียนเขาด้วย เป็นคนที่เจริญสูงสุดแล้วของพระพุทธเจ้า

สรุปผลว่า คนแบบนี้จะเป็นคนอย่างไร เอาวรรณะ 9 มาจับ ก็คือมาเป็นคนจน สุภระ เลี้ยงง่ายอยู่ง่ายไปง่ายมาง่ายกินง่าย สุโปสะ จะทำให้เป็นคนเจริญพัฒนาไปได้ง่ายๆ สะดวก ว่านอนสอนง่าย ศึกษาได้เก่งได้เร็ว เป็นคนที่มักน้อย หรือกล้าจน หรือไม่ต้องการมาก มีน้อยๆก็พอ เป็นคนพอ สันตุฏฐิ หรือสันโดษ น้อยก็พอ มีเท่าไหร่ก็พอ ไม่ต้องกินอะไรมากมาย แต่ไม่ได้ขี้เกียจ โดยเฉพาะทั้ง 9 ข้อนี้ ข้อสุดท้ายเป็นข้อที่ยอดขยัน เป็นคนใจพอเป็นคน สัลเลขะ ขัดเกลาสิ่งบกพร่องของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ส่วนใดที่ไม่ดีส่วนใดที่บกพร่องส่วนใดที่ยังไม่เจริญ ขัดเกลา ส่วนที่ไม่เจริญไม่ดีเหล่านั้นออกไป เป็นคนมีหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติ ธูตะ หลักเกณฑ์คือ ศีล คือข้อปฏิบัติไปตามลำดับๆๆ จึงมีอาการที่น่าเลื่อมใส ปาสาทิโก เป็นอาการที่ถูกขัดเกลาแล้วพัฒนาแล้ว อาการที่ดีที่น่าชื่นชมน่าเคารพยกย่องนับถือหน้าเลื่อมใส

สรุปผลยอดที่เป็นคนไม่สะสม อปจยะ กับวิริยารัมภะ คือสุดยอดของมนุษย์เป็นคนไม่สะสม มีการสร้างสรรไปขยันเสมอ ปรารภความเพียร สร้างสรรสิ่งที่มีปัญญาสร้างสรรเลือกสร้างด้วย สร้างสรร ของอาตมา ถึงไม่มี ค์ ตัวสรรค์แปลว่าสร้างทำ ส่วน สรร ไม่มี ค์ แปลว่าเลือกเฟ้น มีปัญญาเลือกแล้วก็ทำ ไม่ใช่สร้างตะพึด ผิดถูกก็สร้างไปประพฤติ ไม่มีปัญญาวิจารณญาณในการเลือกเลย ก็ต้องเลือกก่อนที่จะสร้าง สร้างโดยไม่คัดเฟ้นเลย สร้างสิ่งที่ไม่ควรสร้างไม่เอา

สร้างสรร ของอาตมา ถึงไม่เขียน ค์ ก่อน จนกว่าจะแน่ใจว่า ได้ผ่านการสร้างสรร ที่ไม่มี ค์ จึงจะเขียน สร้างสรรค์ ที่ใช้ ค์ ได้ อาตมาถึงจะเขียนอย่างนั้น

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ทำให้คนให้มาจน ไม่ใช่ทำให้คนไปรวย อาตมาพาคนให้มาจนได้สำเร็จจึงเป็นชาวอโศก เป็นสังคมคนจนที่สำเร็จแล้ว ก็อยู่ในประเทศ อยู่ในดินแดนไหนก็แล้วแต่ ก็ไม่เดือดร้อนไม่เบียดเบียนใคร มีแต่สร้างสรรค์ช่วยเหลือเฟือฟายมนุษย์อยู่ เกื้อกูลผู้อื่น ถ้าตัวเองพอแล้ว สร้างสรรกินใช้อย่างอุดมสมบูรณ์พอเพียง นี่ดูสิ! ตกแต่งฉากด้วย สิ่งที่น่าอวดอ้าง มีแต่ของน่ากินน่าใช้ น่าบริโภค มันสวยงาม อุดมสมบูรณ์ บริบูรณ์ ทั้งนั้น

อาตมาสังเกตเห็นใบทองหลางที่มารองผลไม้ ว่าจะหยิบมาโชว์ ใบใหญ่มาก ใหญ่กว่าหน้าอาตมาอีก ไม่ใช่ใบสักนะ แต่มันอุดมสมบูรณ์ตัวใหญ่ได้มาก เกินกว่าสามัญ ที่เขาทำได้ หัวเผือกนี่ ยังไม่ได้เป็นหัวใหญ่นะกำลังตั้งต้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ชาวอโศกปลูกมันเหมือนกับจะแกล้งโต ทั้งปริมาณและคุณภาพพร้อมสรรพ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดอย่างฟลุ๊คๆ แต่เกิดจากเหตุปัจจัยที่คนมีใจดีมีน้ำใจมีความรักต่อสิ่งเหล่านี้ มันก็ดีทุกอย่าง มันก็เป็นไปด้วยความใส่ใจ โดยไม่ต้องเอาอะไรมาเสริมเติมไม่ต้องเอาสารเคมีเอาปุ๋ยเร่งมาใส่ ไม่ต้อง ใช้ธรรมชาติปุ๋ยธรรมชาติ หรือแม้ใช้ปุ๋ยธรรมชาติมันก็โตมันอุดมสมบูรณ์

ที่อาตมาพูดพาดพิงสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้เห็นว่าชีวิตคนต้องการอะไร ชีวิตของคนต้องการสิ่งที่เอามาอาศัย แต่ทุกวันนี้คนมันโง่ ไปอาศัยเศษกระดาษที่เขาปั๊มเป็นสีขึ้นมา ไปพึ่งพาอาศัยอันนั้น แล้วก็อยากได้อะไรก็เอาอันนี้ไปเป็นแก้วสารพัดนึกไปซื้อไปแลกเอามา คนก็ยอม โดยไม่มองว่าคุณอยากได้อะไรคุณก็สร้างอันนั้น แต่ไปเอาธนบัตร ถ้าหากคุณขาดธนบัตรคุณก็ตาย จึงเกิดสงครามแย่งธนบัตร การที่จะมาสร้าง แย่ง สร้างสิ่งจำเป็นขึ้นมา พวกชาวอโศกไม่ไปแย่ง เอาเวลาแรงงานทุนรอนมาสร้างสิ่งเหล่านี้ ธนบัตรก็เลยไม่มีความหมายเท่าไหร่ เพราะว่าเราได้สิ่งที่เป็นตัวแท้ของสิ่งที่คนต้องอาศัยธาตุ ธนบัตรไม่ใช่สิ่งอาศัยแท้ๆ อาศัยอันนี้แท้จริงกว่า พวกเราก็เลยถึงจุดซาโตริ อ๋อ หลงโง่มาตั้งนานไปแย่งธนบัตรที่เขาหลอกว่าจะได้ทุกอย่าง ได้ทุกอย่างคุณจะได้ขี้หมาขี้หมูอะไรไม่รู้แล้วเถอะ เสร็จแล้วก็ใช้ธนบัตรไปแลกสิ่งที่เขาหลอกปลอม เป็นสวรรค์เก๊ เป็นเพชรนิลจินดาเก๊ เป็นของเก๊ ขี้หมาทาสีปรุงแต่งเอาเงินไปแลกมา ไม่มีประโยชน์เป็นภาระเป็นพิษภัยด้วยแต่เขาไม่รู้ นี่คือคนฉลาดน้อยหรือว่ามันโง่ ฉลาดน้อยลงๆ โง่ขึ้น

โง่ขึ้นๆๆๆ ฉลาดน้อยลงๆๆๆๆ จนกระทั่งหมดความฉลาด แต่โง่ไม่ยอมหยุด หมดความฉลาดไม่เหลือ แต่ความโง่นี้บานเป็นปากกรวย โง่ต่อไปและต่อไป ….บรรยายเห็นภาพพจน์ไหม ชัดเจน

สิ่งที่เราต้องการนั้น

มันไม่ใหญ่โต

อัครฐาน อะไรดอก !

 

ชีวิตง่ายๆ ถูกๆ ขยันๆ

รู้จักพอดี

มีความซื่อสัตย์ มีเมตตา

เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเสมอๆ

 

ชีวิตเหมือนดอกหญ้า

แต่มันใหญ่ยิ่ง

เป็นมหาพลังเย็นโอบอุ้มโลก

และคือการเข้าถึง

โลกใหม่ (ปรโลก) ได้แล้ว

~สมณะโพธิรักษ์~

 

ชีวิตเรานี่แหละ ชีวิตที่ไม่ต้องใหญ่โตอัครฐานอะไร ชีวิตง่ายๆถูกๆ ขยันๆมีความซื่อสัตย์ มีเมตตาสร้างประโยชน์เพื่อมวลมนุษยชาติ

คนที่ถึงจุดสำเร็จ จะเป็นคนจน ถ้าคนที่จะมุ่งหวังแต่รวยไม่จบ ไม่มีวันสำเร็จจะเอาแต่รวยไม่มีวันสำเร็จ แต่คนที่มาจน จะสำเร็จ เพราะ คนจนได้ถึงที่สุดคือ สูญ ไม่มีตัวตนแล้ว คนที่ถึงที่สุด จนได้ประสบความสำเร็จมีที่จบ แต่คนรวยไม่มีที่จบ

ในหลวงของเรารัชกาลที่ 9 ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ที่อาตมากล่าว มีหลักฐานยืนยัน ถ้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ท่านจะไม่ตรัสอย่างนี้เลย ท่านตรัสว่าประเทศเราจะต้องเป็นประเทศที่จนท่านไม่ได้ตรัสว่าให้มาจนทีเดียว แต่ท่านตรัสว่าไม่รวย และไม่อยากจะเป็นประเทศแบบนั้นด้วย พอเป็นประเทศแบบนั้นมันไม่ก้าวหน้ามันถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัวด้วย เราไม่เอาอย่างนั้น ท่านมีพระปรีชาญาณอย่างนี้ ในโลกหลายร้อยประเทศมีประเทศไหนมีผู้นำที่กล่าวอย่างนี้ไหม หาได้องค์เดียวอยู่ในโลกที่กล่าวอย่างนี้ เป็นผู้นำและกล่าวอย่างนี้มีพระองค์องค์เดียว ข่าวอย่างชัดๆ ไม่ได้เบาๆด้วย เต็มๆไม่ยึกยัก กล่าวเต็มๆ ทำเต็มที่

ได้อย่างขยายผลอีกว่าประเทศต้องมาประเทศแบบคนจน ต้องปกครองแบบคนจนมาเป็นคนขาดทุน อย่าไปเป็นคนเอากำไร มาเป็นคนขาดทุนซึ่งมันซ้อน คนจะขาดทุนได้ด้วยการเป็นสุขไม่ได้มีความทุกข์ คือ ตัวเองต้องมีพอที่จะเป็นขาดทุนโดยตัวเองไม่เดือดร้อน แล้วจะเอาอะไรมาขาดทุนให้กับสังคม ก็ต้องเอาของตนเอง ไปเอาของคนอื่นมาก็เป็นหนี้ตาย คนอื่นเขาเอาเราตาย ก็ต้องเอาของเรา เพราะฉะนั้นก็เป็นภาคบังคับเลยว่าคุณจะต้องมีพอที่จะได้ไปขาดทุนนะ

ขาดทุนคือคุณให้คนอื่นไป คิดอย่างเศรษฐศาสตร์โลก คนขาดทุนได้เพราะมีทุนแลกคืน ถ้าเท่าทุนก็เท่าทุน ถ้าคุณไม่ได้คืนมาก็เรียกขาดทุน หากคุณให้เขาไปแล้วได้เกินมากว่าก็เรียกว่ากำไร แล้วภาษาคำว่ากำไร เป็นสิ่งที่น่าเกลียดเป็นความชั่วโดยสภาวะ แต่คุณไปชอบใจ คนไปชอบใจกำไรว่าเป็นสภาวะที่ ถือว่าเจริญ นี่คือความสับสนของความรู้ของคน ตรงนี้แหละที่เรียกว่าโง่ ที่เรียกว่าอวิชชาไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริง

คุณไปเอาเปรียบเขา แทนที่คุณมีมาก คุณกินใช้ก็เหลือก็พอ คุณจะให้เขาก็ยังได้เลย แต่คุณก็ไม่ให้ ให้ก็ให้อย่างต้องได้สิ่งแลกเปลี่ยนกลับมามากกว่าเดิมอีก เกินกว่าทุนอีก นี่คือวิธีคิดของคนที่โหดร้ายคนชั่วหนัก ใครยังคิดแบบนี้อยู่ชั่วทั้งนั้นโหดร้ายทั้งนั้น นี่พูดความจริงนะอาตมาไม่ได้ด่าใคร ที่อาตมาพูดนี้คือสัจธรรม คือสิ่งที่ถูกต้องดีงามให้ศึกษาแล้วปฏิบัติ

อาตมาทำงานมาถึงทุกวันนี้แล้ว อาตมาดีใจอยู่ว่าได้ทำงานสำเร็จพวกเราปฏิบัติได้ พวกเราปฏิบัติถูกต้องตามสัจธรรมเช่นนี้ อาตมาก็จบกิจ อาตมาทำงานทุกวันนี้อาตมาทำงานไปอีกเกือบ 50 ปีแล้ว อาตมาประเมินผลตัวเองแล้ว ว่าประสบผลสำเร็จแล้ว ที่อาตมาบอกว่าประสบผลสำเร็จ คือพวกคุณมีโครงสร้างมีทฤษฎีมีหลักเกณฑ์ แต่ละคนเข้าใจและแต่ละคนก็ประพฤติตามนี้ได้ เป็นค่าย เป็นคณะ เป็นกลุ่มที่ปฏิบัติตรงตามทฤษฎีนี้แล้ว อย่างเที่ยงแท้ถาวร เสถียรแล้ว อาตมาก็ถือว่าอย่างนี้คือสำเร็จแล้ว 1.ยังไงๆ ปัญญาก็เห็นว่าทางนี้ดี 2. พลังจิตเจโตมันก็ทำอย่างนี้ได้ ก็อุภโตภาควิมุติแล้วสำเร็จ

ยังไม่ถึง 50 ปีอาตมาก็ทำงานสำเร็จ ต่อจากนี้ก็ทำให้ยิ่งขึ้นไปอาตมาจึงสร้างหลักเกณฑ์ทฤษฎีนี้ ให้ปฏิภาคทวีขึ้นเรียกว่าสัมประสิทธิ์ หรือ coefficient

ในรูปธรรมสำเร็จแล้วซ้อนให้มันมีปฏิภาคทวีทับทวีขึ้นไปอีก ที่เป็นนามธรรมที่อาตมาเทียบ ไอน์สไตน์ค้นพบ  E=mc2 อาตมาก็ทำ + A สำเร็จ อาตมาก็ทำ + ให้กลายเป็นยกกำลัง C จะบวกไปร้อยตัวพันตัวหมื่นตัวก็ตามใจ มันก็มาเป็นคูณเป็นยกกำลังไปคือ C นี่คือสูตรหรือทฤษฎีที่อาตมาทำมาต่อ แล้วก็ได้เป็นผลแล้ว มีแต่ว่ามันจะมีอะไรที่จะทำให้มันกระทัดรัด ให้มันเข้ารูปเข้ารอยได้ดี มีตัวนี้อีก ให้มัน Practical ก็ทำอยู่ให้มันดีขึ้น

ที่อาตมาหยิบคำตรัสของในหลวงมายืนยันทุกวันนี้ เพราะในหลวงตรัสแล้ว มันเป็นคำที่ยิ่งใหญ่เป็นผู้นำประเทศ เป็นผู้ที่คนอื่นยอมรับนับถือและยกให้ อย่างอาตมาเป็นเศษดินเศษหินพูดไปคนก็ไม่ยอมรับ ต้องเอาคนที่พูดแล้วตรัสแล้วมีค่า คนยอมรับนับถือเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็นับถือก่อนแล้ว

อาตมานี่ จริงอย่างไรก็ไม่รับง่ายๆก็ไม่มีประโยชน์ อาตมาถึงพูดถึง ว่าที่ท่านตรัสกับที่อาตมาพูดอันเดียวกัน อาตมาจึงบอกความหมายที่ในหลวงตรัส ก็เหมือนกับที่อาตมาพูด แต่คนจะรับได้มากกว่าที่อาตมาพูด อาตมามี เป็น อาตมาก็เอาของในหลวงมาพูด มาอธิบายคนจะได้รับได้มากกว่า

คนเข้าใจไม่ได้ก็หาว่าอาตมา โหนในหลวง เอ้า เขาก็ขี้ตู่กลางนาขี้ตาตุ๊กแก อาตมาไม่ได้โหน อาตมาหาองค์ประกอบที่จะเป็นประโยชน์ใช้ได้

สรุปง่ายๆ ในหลวงที่ตรัสว่า เราไม่ทำให้เป็นประเทศที่รวย ฟังได้ยาก คนในโลกในสังคม คนที่พัฒนาบริหารเศรษฐกิจในประเทศไทย ก็ไม่เข้าใจหรอก ว่าจะให้เป็นประเทศแบบคนจน แบบคนจนด้วย ท่านตรัสคำนี้ มาเป็นคนขาดทุน มันคือกำไร

ทำอย่างไรเราจึงเป็นคนขาดทุนให้กับสังคมได้โดยที่เราอยู่รอด สบายด้วยอยู่เป็นสุขด้วย อาตมายกตัวอย่างพวกเรา นี่ ยกตัวอย่างสิ่งถูก ก็เป็นคนจนแต่สร้างสรรให้แก่สังคมอย่างนี้ต่างหากมันจบ สังคมเราจบเป็น อยู่ได้โดยที่ว่าไม่เดือดร้อนไม่เบียดเบียนใคร เป็นประโยชน์กับเขาด้วย อยู่เย็นเป็นสุข จะอยู่ไปอีกกี่ล้านปีก็เชิญ ถ้าเผื่อว่าสภาพนี้ลงตัวแล้ว มันไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว Axiom สูงสุดบริบูรณ์เต็มที่แล้ว มันไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว อย่างนี้ดีที่สุดแล้ว อาตมาเลยบอกว่า อาตมานี่มาทำงานทุกวันนี้ ประสบผลสำเร็จแล้วเอาหลักฐานของพุทธเจ้ามาตรวจสอบ ตรงกัน ตรงกันหมดแล้ว

แม้แต่ที่สุด แต่มีหลักฐานในหลวงซึ่งท่านก็มีบารมีของท่าน อุบัติขึ้นมาในโลก แล้วท่านก็มาอยู่ในตำแหน่งนั้นก็ทำไปก็ดีแล้ว ท่านสอนคนก็ขานรับ พระจริยวัตรของพระองค์จริงๆก็เป็นสิ่งยืนยันไม่ใช่แต่คนไทยเท่านั้นที่ขานรับ คนเมืองนอกก็ขานรับ อาตมาก็มีศักดิ์ฐานอ้างอิงอะไรตรงกัน ท่านตรัส และทรงงาน อาตมาก็ทำงานของอาตมาตรงกันแต่เขาไม่เข้าใจ มันก็มีนัยยะที่ต่างกันอยู่บ้าง

ในหลวงทรงงานทรงพระจริยวัตรของท่านมีผลต่อประชาชนอย่างนั้น แต่ของอาตมา ทำกับประชาชนมีผลอย่างนี้ ต่างกันกับในหลวงตรงที่ว่า อาตมาเน้นจิตวิญญาณ แต่ในหลวงท่านเน้นทางวัตถุ ทางพฤติกรรมภายนอกเท่านั้นเอง ที่ต่างกันถ้าเข้าใจ อาตมาเน้นทางจิตวิญญาณทางความรู้ ลึก ไปหาสัจธรรมพระพุทธเจ้า แต่ในหลวงท่านจะไม่ทรงอธิบายธรรมะพระพุทธเจ้า แต่ท่านมีความรู้ของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ก็พากันปฏิบัติ โดยท่านทรงงาน ทรงพระจริยวัตรนำไป จนท่านสิ้นพระชนม์ ก็มีอย่างนี้หน้าที่ของท่าน

อาตมานี้ทำจิตวิญญาณเป็นนามธรรมยากกว่าที่ในหลวงทำ แต่มันเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ ถ้าใครเชื่อตามอย่างที่ท่านฟ้าไทกล่าวแล้ว ว่ามีโพธิสัตว์ 2 องค์ถ้าใครเชื่อ ในหลวงองค์หนึ่ง อาตมาองค์หนึ่งก็จริง มาถึงวันนี้แล้ว ใครไม่เชื่อจะหมั่นไส้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เป็นอย่างนั้น

เขาหมั่นไส้เพ่งโทษอาตมาก็บอกว่าเอาอีกแล้ว ตีกินอีกแล้ว ว่าตนเองเป็นธรรมิกราช 2 องค์ จริงๆแล้วเขาพยากรณ์ไว้ก็ไม่ใช่เรื่องลอยลม มันเป็นเรื่องจริง แต่คนไม่รู้ว่าอันนั้นคืออะไร นี่แหละคือสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ

ถ้าใครเห็นว่ามี คนนั้นคือใครคือในหลวงกับโพธิรักษ์ ก็จะเป็นคน อัตถิโลเกฯ ก็จะได้ไป ในหลวงทางรูปธรรม อาตมาทางนามธรรม อาตมาทำไม่ได้มากเท่าในหลวงหรอกแต่อาตมาทำอย่างนามธรรม ไม่มีเศษเสี้ยวแห่งความอยากจะอวดตัวอวดตนในอาตมาเลย

ในโลกนี้ มีคนที่สุดยอดเท่านั้นที่จะสอนคนให้มาจน ตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมาก็มาสอนให้คนเป็นคนจนและพาคนมาจน ไม่ใช่สอนให้คนไปรวย เขียนตำราให้คนไปรวยนั้นมี ไม่มีใครเขียนตำราให้คนมาจนนอกจากโพธิรักษ์ แล้วเขาก็ไม่เชื่อว่าเป็นตำราด้วย อาตมาก็ไม่คิดว่าจะเป็นตำราเขียนให้คนอ่านออกรู้ได้เท่านั้นให้มาเป็นอย่างนี้ มาเป็นคนจน มาเป็นประเทศที่จน ผู้บริหารก็บริหารแบบคนจน คนที่ประสบความสำเร็จก็คือคนจน เพราะความจนคือจุดหมายอันประเสริฐที่สุดของมนุษย์และสังคม แม้แต่ประเทศ

มาเป็นคนจน สังคมคนจน ประเทศที่จน เป็นคนจนที่ประเสริฐอุดมสมบูรณ์ขยันหมั่นเพียรเป็นคนจนที่มีความรู้ รู้อะไร รู้ว่าอะไรควรสร้างอะไรไม่ควรสร้าง เช่น ไปสร้างอาวุธนี้ไม่ควรสร้างมันบาป คำว่าอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นปืนหรือระเบิดก็แล้วแต่ มันสร้างมาเพื่อฆ่าคน ไม่ได้สร้างเพื่อฆ่าช้างม้าอะไร อาวุธนั้นมันเจตนาฆ่าคน ใจมันอำมหิตขนาดไหน สร้างมาเพื่อให้ฆ่าคน อาตมาพูดแต่ความถูกต้องนะ อาตมาไม่ได้พูดความผิดเลย อาตมาว่าอาตมาฉลาดไม่พูดความผิด ใช่ไหม

ไม่ได้เจตนาสร้างมาเพื่อฆ่าช้างม้าวัวควายอะไร มันสร้างมาฆ่าคน ให้พิสดารอย่างหนักด้วย คนที่เจตนาสร้างอาวุธขึ้นมา เจตนาสร้างมาเพื่อให้คนมาฆ่าคนอย่างชิบหายตายห่า อำมหิตอย่างนั้นเลยใจคอของคน ต้องใช้ภาษาสื่อให้ชัดเจน คนทำไมใจดำใจอำมหิตโหดร้ายขนาดนั้น แล้วก็ยังไม่หยุดนะที่จะคิดจะทำอย่างนั้น อย่างเจ้าคิมเป็นต้น หรือแม้แต่ทางอเมริกา แม้แต่รัสเซียก็ตามจีนก็ตามตะวันออกกลางก็ตาม เป็นความสุดโหด

อาตมาคิดว่า มาทบทวนหรือมาพูดถึง เรื่องของสิ่งที่จะเกิดเป็นปฏิกิริยา ปัจจุบันนี้ สังคมปัจจุบันนี้ทุกวันนี้แนวโน้ม trend ของโลก มันเข้าใจนามธรรมหรือจิต ที่มีความเอื้อเฟื้อเจือจานช่วยเหลือเกื้อกูลเสียสละ มันสูงขึ้นมากแล้ว จิตชนิดนี้มันสูง มันเข้าใจได้มากขึ้น

แล้วจิตชนิดนี้มันค้านแย้งกับจิตคนที่คิดจะสร้างอาวุธ contrast กันเลย opposite คนละขั้ว ใช่ไหม คนละขั้วกันเลยกับที่มันเป็นจริงที่มันเกิดอยู่

เพราะฉะนั้นอาตมาจึงเห็นว่า เห็นจะต้องไปส่งเสริม ควรจะต้องมาเน้นย้ำ มาช่วยกันเชิดชู ให้คนมาทำเช่นนี้เถอะ ชาวอโศกทำกันอยู่แล้ว ทำมาตั้งแต่ต้นและจะยืนยันทำต่อไปทำอย่างนี้แหละ แล้วก็เต็มใจทำแบบนี้ อาวุธของชาวอโศกคืออะไร

สิ่งที่คนรู้ได้ก่อนคือ ความสงบ ชาวอโศกมาแสดงตนต่อสังคมประพฤติความสงบ เพื่อให้สยบความรุนแรง นั่นคือพฤติกรรมของชาวอโศก ได้ทำมาแล้ว และเป็นผลสำเร็จแล้วด้วย แต่เราก็ไม่ได้กบฏต่อความเป็นจริงนี้เลย เราก็แสดงความสงบนี่แหละ นิ่ง ใครเขาจะเอาระเบิดมาโยน ใครเขาจะเอาปืนมายิง เรานิ่ง นั่ง นอน สุดท้าย นิ่งนั่งนอนชนะ ระเบิดปืน คนกระเหี้ยนกระหือรือจะทำร้าย แพ้พ่าย พ่ายจะแจ หนีไปเลย หนีไม่ธรรมดาด้วย ทิ้งโล่ห์ทิ้งปืนไป เป็นความสงบสยบความรุนแรงได้เป็นปรากฏการณ์จริงของมนุษยชาติ เป็นสิ่งที่ยากที่สุดแล้ว ที่เราทำได้

เพราะฉะนั้นชาวอโศกเราจึงสร้างความสงบ อบอุ่น อยู่กันอย่างสามัคคี เป็นทิศทางเป็นสิ่งที่เราทำอยู่ทั้งวัตถุหรือพฤติกรรมความเป็นมนุษย์ไปในแนวโน้มอันนี้เลย เราก็ไปให้เขาขึ้นตัวหนังสือมา เราไปชุมนุมประท้วงเพื่อจะให้เกิดผลสำเร็จ โดยใช้บุญญาวุธ

สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น

เขียนขึ้นป้ายเลย ว่าเราใช้ บุญญาวุธ เป็นเครื่องประหารทั้งนั้นเลย

สันติก็เป็นเครื่องประหาร อหิงสา แปลว่า ยกโทษ อโหสิ

เป็นผู้สงบ ไม่รุนแรง(อหิงสา) Non violence ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น

เราใช้บุญญาวุธนี้ทำงานประสบผลสำเร็จ ทำงานปราบความรุนแรงความเลวร้ายที่จะเกิด เมื่อคณะรัฐบาลบริหารประเทศ มันเกิดแล้วเราก็ไม่เอา ไม่ให้ให้บริหาร ประท้วงด้วยความสงบด้วยอาวุธอย่างที่พูดนี้ ทั้ง 6 ประการนี้ ใช้ไล่มาเรื่อยเลย รัฐบาลนี้จะใช้แบบนี้เราเอาอาวุธ 6 ประการนี้ปราบสำเร็จด้วย

จาก รัฐบาล ทักษิณ สมัคร สมชาย อภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ จนจบหมด นี่คือ ประชาชนปฏิวัติ ด้วย 6 ประการนี้ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น

คมลึก กับแม่นประเด็น เป็นความหมายยิ่งใหญ่ เราไม่ตื้นและเราคมทุกอย่าง ไม่มีอะไรเป็นเสี้ยนเศษเลย ลงไปหาจุดหมาย จุดสำคัญ Interest Point แม่นประเด็น ทำอย่างนั้นจริง มีอุปกรณ์อาวุธศาสตราที่มีความหมายชัดเจน

เราใช้สันติความสงบ อหิงสาไม่รุนแรง เราใช้ความซื่อสัตย์ เราใช้ความบริสุทธิ์ เราใช้คมลึกแม่นประเด็น สมบูรณ์แบบ ผลจึงได้สวยงามมาก ไม่เกิดความสูญเสียอะไร แต่มันก็มี error มีสิ่งของพวกที่บ้าบอเขาทำ เขาทำก็เป็นบาปของเขาเป็นวิบากของเขาเป็นความซวยของเขา ก็เป็นคดีของเขา พวกเราก็โดนหางเลขคดีไปด้วย แล้วเราทำสำเร็จด้วย ยังเอาเราไปเป็นคดีอีก ยังไปเป็นกบฏอีก มันเป็นกบฏตรงไหนก็ไปช่วยประเทศไทยแท้ๆ ไปไล่กบฏต่างหาก ไปไล่พวกที่คอรัปชั่น พวกที่เป็นมาเฟียของประเทศต่างหาก จะบริหารปกครองแบบมาเฟียแบบโจร แบบคนไม่สุจริต เราก็ทำได้สำเร็จแล้ว

ทำสำเร็จแล้วก็มีผู้บริหารต่อ ต้องมีผู้นำ ผู้ที่ขึ้นมานำก็ชื่อ ประยุทธ์ แปลว่าการรบ มีชื่อบอกเลยว่าข้าเป็นนักรบ แต่ไม่ต้องไปรบเลย แสดงท่าที อาจจะให้รู้ว่าข้ามีอาวุธข้ามีกองกำลังเท่านั้นเอง แต่สุดท้ายเขาก็หาว่า เอากำลังอาวุธกำลังนักรบเข้ามาเป็นอำนาจบริหาร จนกระทั่งสุดท้าย พลเอกประยุทธ์ก็เข้าใจอันนี้ ก็เลยประกาศว่า ผมไม่ใช่ทหารแล้ว ผมเคยเป็นทหารมาเก่า แต่ตอนนี้ผมเป็นนักการเมือง ผมเป็นนักบริหาร  เป็นนักการเมือง ผมเคยเป็นทหารมาก่อน เขาพูดความจริงแต่คนก็ติดใจ พูดให้ชัด คนไม่มีปัญญาก็ไม่รู้ความหมายว่าเขาพูดไปทำไม พูดเพื่อยืนยันว่าเขามีความจริงอย่างนี้ ไม่ได้เอาอำนาจทหารมาเกี่ยวเลย ตอนนี้ผมมาเป็นนายกฯ แล้วนายกฯนี้ก็กลายเป็นว่า เป็นนายกฯที่ดีที่สุด เพราะเป็นนายกฯที่ประชาชนปฏิวัติแล้ว แล้วก็ให้คนนี้มาเป็นผู้บริหาร

พลเอกประยุทธ์ขึ้นมาบริหารไม่มีประชาชนต่อต้าน นอกจากพวกที่ต้องการอยากได้อำนาจพวกปากหอยปากปูจะอย่างไรกูก็เอาของกู กูไม่ให้ จะเป็นใครดีวิเศษอย่างไรถูกต้องอย่างไรก็ไม่ให้ เป็นพวกหน้ามืดตาบอดเท่านั้น จะไปหัวซามันทำไม หัวซา ภาษาอีสานแปลว่าไม่แคร์

เรามีทฤษฎีที่ไม่ได้อยู่เดียวเดี่ยว แต่เราอยู่กับคนอยู่กับสังคม ไม่ได้ไปอยู่กับช้างม้าอยู่ในป่ากับสัตว์ อย่างนั้นมันโง่งมงายไป อยู่กับเขาป่า สัตว์มีโรคภัยไวรัส เป็นคนเจริญพัฒนาแล้วแต่ก็ยังไปงมงายหลงอยู่อย่างนั้น  แทนที่จะอยู่ร่วมกับโลกศึกษาโลกไปกลับไปหลับหูหลับตาอยู่แต่กูของกูนี่แหละ ก็ตายไปเยอะแล้ว ไร้สาระเกิดมามีชีวิตทำไมไม่รู้ อยู่บนแผ่นดินก็หนักแผ่นดินเขา ชีวิตที่อยู่ต่อไปก็ยังอาศัยกินพืชพันธุ์ธัญญาหาร ดีไม่ดีกินเนื้อสัตว์ด้วยอยู่อย่างนั้นแหละ หนักแผ่นดินเครื่องวัตถุโลกหายใจเข้าก็เปลืองลม มันไร้สาระไร้ประโยชน์อย่างนี้ เสร็จแล้วก็ถือว่าตัวเองประเสริฐ อย่ามาหลอกคนฉลาดเลย คุณจะโง่ก็โง่ไปคนเดียว ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว อาตมาไม่รู้จะให้คิดอย่างไร ปลุกก็ไม่ตื่น ยังงมงายไปนั่งหลับตาหนีเข้าป่าเขาถ้ำ มันไม่ใช่พุทธศาสนา อย่างนั้นเป็นพุทธศาสนาใครสอนคุณอย่างนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเกิดมาในยุคนั้น มันเป็นเมืองที่ยังไม่เจริญเป็นป่าอีกเยอะ อาตมาเกิดมาในพ.ศ.นี้ ยังมีป่าอีกเยอะ ผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว มาก่อนจะมีป่ามากขนาดไหนไม่มีตึกรามบ้านช่องอะไรมากหรอก เดี๋ยวนี้มีตึกทะลุฟ้าไปไม่รู้กี่เมตรแล้ว

ดูว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิต อาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด แม้ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม ถ้ามีเครื่องนุ่งห่มก็ดีขึ้น กันร้อนหนาวแมลงสัตว์กัดต่อย มีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มีที่พักอาศัย หลบแดดหลบฝน หลบแมลงสัตว์กัดต่อย กันช้างม้า แล้วก็มียารักษาโรค

สรุปไว้ครบหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเรามี 4 ปัจจัยนี้ชีวิตอยู่รอดชีวิตอยู่ได้ดีแล้ว เราก็พัฒนา4 อันนี้ ไม่ต้องไปพัฒนาอะไรมากกว่านี้ให้มันบ้าบอ ดีไม่ดีก็ไปพัฒนาลูกระเบิดอาวุธ เป็นเครื่องกลที่จะไปบรรทุกอาวุธถล่มทลาย ได้เร็วได้หนักได้มาก แหม เปลืองผลาญเหลือเกิน แล้วไปสร้างมาทำไมก็สร้างมาฆ่าคน

คำว่า สร้างมาฆ่าคน ลองพิจารณาดูซิว่าคุณคือใคร ไปฆ่าเขาทำไมคน ไม่มีจิตหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ไม่มีจิตกรุณา ไม่มีจิตเอ็นดู สร้าง ทัณฑะ สร้างอาวุธ สร้างศาสตราเพื่อฆ่า

ตรงกันข้ามกับคำสอนพระพุทธเจ้าในศีลข้อที่ 1 เลย ตรงกันข้ามหมดทุกความหมายเลย เพราะฉะนั้นหลักเกณฑ์ศีลข้อที่ 1 ของพระพุทธเจ้าจึงเป็นหลักเกณฑ์ที่ให้รู้จักชีวิต ให้รู้จักชีวิตแล้วหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ แม้จะเป็นสัตว์เซลล์เดียว อาตมาก็พูดซ้ำซากไม่รู้กี่ทีแล้ว

แม้สัตว์เซลล์เดียวที่เริ่มต้นเกิดมา สัตว์เซลล์เดียวนี้อาจจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระมหาศาสดาของโลกเลยนะ ในอนาคต ต้องหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อย่าไปทำร้าย ปล่อยให้เขาพัฒนาตัวเอง เขาจะมีวิบากอย่างไรก็เรื่องของเขา คนเราเกิดมาต้องมีวิบากของตัวเอง อย่าไปทำร้ายสัตว์ใด

ภิกษุละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่

ศีลข้อที่ 1 ข้อเดียวนั่นเกี่ยวกับชีวะชีวิต โดยเฉพาะสัตว์มนุษย์ ถึงขั้นเป็นสัตว์มนุษย์เป็นจิตนิยามที่พัฒนามาจากสัตว์ชั้นต่ำจนกระทั่งถึงสัตว์มนุษย์ สัตว์มนุษย์เป็นสัตว์สูงสุดแล้วในโลก ไม่ว่าในโลกยุคไหนปางไหนกัปป์ไหน เพราะฉะนั้นจะไปทำลายฆ่ามนุษย์กันอีกทำไม บอกกันสอนกันแนะนำกันให้มีความเข้าใจ ไม่เลือกที่จะไปเป็นสัตว์อำมหิต ให้เป็นสัตว์ประเสริฐ คนอย่างป่าเถื่อนเลยไปสร้างอาวุธมาฆ่ากันมาฆ่าสัตว์ โดยเฉพาะจะมาฆ่าคนนี่

คนที่มีจิตสร้างอาวุธสร้างอุปกรณ์เพื่อฆ่าคนนี้ มันจะโง่ขนาดไหน อำมหิตสุดอำมหิตแล้ว โง่ก็โง่ที่สุด อำมหิตก็อำมหิตที่สุด คุณไม่ได้ชื่อว่าคน ในภาษาไทย ไม่ได้เป็นมนุสโสเลย จิตคุณอำมหิตต่ำมาก หากยังสร้างอาวุธยังไม่โงหัว ก็ยังเป็นคนชั้นต่ำที่สุด ของความเป็นคน

อาตมาพูดนี้อาตมารู้นะว่าอาตมากำลังด่า คนที่มีพฤติกรรมแบบนี้อยู่ในสังคมโลก

อาตมาจึงถล่ม คือ ทำไมไม่รู้สึกรู้สา ทำไมไม่เข้าใจ ทำไมไม่รับความรู้เพื่อจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาอาจจะฟังไม่ออกเพราะอาตมาพูดภาษาไทย คนที่ทำอย่างนี้เขาพูดภาษาเกาหลีภาษาอเมริกัน ก็เลยไม่รู้เรื่อง ดีไม่ดีก็จะไปฟังภาษารัสเซียภาษาอาหรับ ก็เลยไม่รู้เรื่อง แต่สมัยนี้กดเอาดูได้ แต่เขาไม่เอาหรอก เขาว่าไร้สาระจะไปแปลให้เสียเวลาทำ พูดอะไรก็ไม่รู้ เขาก็เลยนึกว่า เป็นนกแก้วนกขุนทองร้องรำคาญหู

อาตมาก็รู้แต่ว่าตัวเองเกิดมาในชาตินี้จะต้องมาพูดสาระสัจจะ ที่คนกำลังเตลิดเปิดเปิง ทั้งอำมหิตที่สุดทั้งโง่ที่สุด นี่อาตมาสรุปแล้วนะ แล้วก็มาพูดสัจจะตัวนี้เพื่อที่จะให้เขาได้คิด คนที่มีปฏิภาณปัญญา คนที่ไม่โง่สุดไม่อำมหิตสุด ดำดิ่งอยู่กับอันนั้นก็จะฟังพอเข้าใจ ฟังออกก็จะค่อยๆปรับตัวก็ได้

ส่วนคนที่หนักสุดโง่สุดและอำมหิตสุดยังไม่โงหัวเลย ก็สุดวิสัยแล้วช่วยเขาไม่ได้ ก็ช่วยเท่าที่ได้ คนที่ฟังรู้เรื่องเป็นสาระดี ประเสริฐ ก็มีจำนวนน้อย แต่น้อยก็เอา เพราะมันมีค่ามันประเสริฐที่สุดดีที่สุด มันถ่วงดุลโลกเอาไว้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครมาดึงเอาไว้เลย มันก็จะไปกับทางโน้น หรือไม่มีใครต้านเลย อาตมาก็ต้องต้านคนเดียว จะสู้กับทางโลกก็ช่างมัน อย่างน้อยก็มีพวกคุณ มาช่วยกัน อาตมาดึงหางเชือกไว้ก็ยังพอค่อยยังชั่ว

พลโลก 7000 ล้าน พวกเรามีถึงเจ็ดร้อยไหม ดึงสู้ไหวไหม ชักเย่อกัน

สู้ๆๆๆ หมูป่าสู้ๆ

 

อาตมาเอง ขออภัยที่จะพูดความจริงอันนี้ คุณอยู่ให้ถึงก็แล้วกัน โลกเขาจะเห็นว่าคำพูด คำของอาตมาอธิบายขยายความนี้ มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ในอีก มันจะกว่าร้อยปีขึ้นไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่นั่นแหละ อนาคตถึงรู้ ประวัติศาสตร์มีคนกล่าวถึงอย่างนี้

สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าอีก 100 ปีคนโลกเขากลับมาได้ก็คุ้ม ไปได้ดีเลย

พ่อครูว่า...แล้วพวกเราทำนี่ ขยายความ ไม่ใช่พูดลอยลม แต่เราทำ ปฏิบัติจนเกิดสังคมมีวัฒนธรรมสังคม ชาวอโศกก็มีวัฒนธรรมสาธารณโภคี วัฒนธรรมขาดทุนของเราคือกำไรของเรา วัฒนธรรมเป็นคนใช้ความสงบสยบความรุนแรง ที่พูดนี้ไม่ใช่เรื่องลอยลม เราใช้ความสงบสยบความรุนแรง มันเป็นประสิทธิภาพของพฤติกรรมมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ อาตมาพาพวกเราไปทำ ใช้ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น ซึ่งมันก็เกิดผลมีประสิทธิภาพ ได้ผลดีไม่สูญเปล่า ประสบผลสำเร็จได้ ให้แก่สังคมประเทศชาติ

เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องลึกซึ้งที่คนไม่เห็นหรอก เป็นลักษณะเสียสละ เหมือนกับจ่าแซม แต่จ่าแซม มีรูปธรรมเห็นง่ายมีคนเดียว แต่อาตมาทำเป็นหมู่ แล้วมีแนวลึก คนก็เห็นได้ยาก ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าทวงบุญคุณหรือเอาดีใส่ตัว แต่พูดสัจธรรมให้ฟัง

อาตมาชัดเจน เกิดมาทำ สิ่งประเสริฐสุดของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้คนทำงานนี้อาตมาก็มาทำงานนี้ มาถึงวันนี้อาตมาพูดอย่างนี้ก็หมายความว่า อาตมาเห็นผลแล้วนะ เกิดผล ที่มันเป็นจริง พวกเราได้ช่วยมนุษยชาติ พวกเราได้ทำประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติ จนทุกวันนี้พวกเราก็เลยเพลา ไม่ต้องไปดิ้นอย่างเก่า ตอนนี้ก็เลยลงตัว ทำงานไป ปักหลัก มีแต่สร้าง แล้วก็พยายามทำทฤษฎี

ทฤษฎี กสิกรรมอินทรีย์ เป็นต้น ทฤษฎีของ ปัจจัยสำคัญชีวิต ถ้าเราสามารถสร้างและทำอุตสาหกรรมขนาดนั้นได้เราก็ทำ แต่เราทำสิ่งที่มัน มนุษย์มาอาศัยใช้ได้ก่อนที่จะเอาไปเป็นของที่เฟ้อเกิน เราไม่สร้างทำของเฟ้อเกินหรือจะเป็นสิ่งที่เป็นอาวุธประหารกัน เราไม่ทำ เราทำแต่สิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้ พวกเราไม่ค่อยผลิตเครื่องนุ่งห่ม เพราะไม่ได้เดือดร้อนเครื่องนุ่งห่มอะไร เดี๋ยวนี้มันมากเกินไปในสังคม เราไม่หลงแฟชั่นหลงสวยงาม เครื่องนุ่งห่มคือวัตถุเอามากันร้อนหนาวแมลงสัตว์กัดต่อย กันอุจาด จบแล้ว เราไม่หลงแฟชั่นในรูปสวยสีสวยอะไรต่างๆนานา ดีไม่ดีไปตีราคาค่าของ นี่เป็นเสื้อแบรนด์เนม กางเกงแบรนด์เนม อย่างนั้นไม่ใช่ ไม่ต้องไปหลอกใคร เราพอ เพราะฉะนั้นเรื่องปัจจัย 4 ของเรา

1. ยารักษาโรค เราทำมา ในแนวคิดของเรา

2. ที่อยู่อาศัยเรากระทำบ้างเล็กๆในน้อยไม่ต้องใหญ่โตหรูหราฟู่ฟ่า แข่ง จนไม่รู้แล้วว่าออกแบบอย่างไร สถาปนิก มันแก่งแย่งแข่งดีพิลึกพิลือกัน สถาปนิก แต่เราเห็นว่าแค่นี้ก็สมควรพอแล้วที่อยู่อาศัย เราก็จบ ยารักษาโรคก็พึ่งพาได้ ที่อาศัยก็พึ่งพาได้

3.  เสื้อผ้า มันก็มีมากพอแล้ว

สามอย่างนี้สบายแล้ว เราก็เลยมีพลังงานมาสร้างอาหารเป็นเรื่องหลัก คนฉลาด เห็นไหม จึงมีอาชีพอันสุดยอดเลย เราจะไปหลงสร้างความโง่ที่สุดโหดที่สุดทำไม

อาหารคือหนึ่งในโลก อาหารของเราไร้สารพิษและมีสารอาหารที่ดี น่ากิน เรายังจะสร้างให้เจริญขึ้นไปอีกให้เห็นได้ว่าทุกอย่างที่เราสร้าง วัตถุที่เราสร้าง ดู บนโต๊ะนี้

ตาอู๊ดว่า...เอาอาวุธพวกนี้ไปสู้กับระเบิดนิวเคลียร์

พ่อครูว่า...ในสนามรบ คนที่ปลอดภัยที่สุดในสนามรบที่ฆ่ากันคือใคร กาชาด กับพลาธิการ คือ การรักษาพยาบาลกับอาหารนี่คือปลอดภัยที่สุด ศัตรูทั้ง 2 ข้างจะยกเว้นกาชาดกับพลาธิการ นี่คือสิ่งที่บอกสัจจะของโลก ทุกวันนี้เรามาทำอาชีพ สร้างอาหาร กับทำยา ส่วน เสื้อผ้าหน้าแพร ให้ versace Louis Vuitton สร้างแข่งกันเอา หลอกคนทั้งโลก แม้แต่บ้านช่องเรือนชานก็ให้สถาปนิกแข่งกัน ของเราสบายแล้ว บ้านช่องเรือนชานของเรามีเหลือเฟือ

เราสร้างทำให้ปลอดภัย ถ้ำผาแหงน ไม่ไปเดินถ้ำนางนอน เรามีน้ำตกน้ำไหลให้ชม ไม่เอา ดันไปเข้าถ้ำน้ำไหล คนเรา ทำไมตามืดบอด เราทำให้ อยากจะมาเที่ยวถ้ำก็มา อยากจะเที่ยวน้ำตกก็มา มีน้ำตกทำให้แล้ว ปลอดภัยดีด้วย ทำไปให้แล้ว อาตมาทำทำไม เพื่อที่จะให้มาพักผ่อนหย่อนใจ เข้ามาใช้ประโยชน์ ไม่ได้ทำเพื่อค้าขายหาเงิน ไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียง ไม่ได้ทำเพื่ออยากโด่งดัง ทำเพื่อให้มาได้ใช้สอย ยังไม่ค่อยมีมาเท่าไหร่เลย หากเก็บเงินคงจะมีเสน่ห์กว่านี้ เพราะไม่เก็บเงินเลยไม่มีเสน่ห์ พวกนี้มันโง่ มาสิ มาใช้ฟรีๆ อย่าไปทำสกปรกนะพวกเราเก็บกันจนเมื่อย จะมากินมาอยู่ก็มาใช้พักผ่อน ที่พักตามรอบไม้ก็มี เจตนาอย่างนั้นจริงๆ ก็บอกกล่าวไปทั่ว สร้างขึ้นมาเพื่อให้พวกคุณมาพักผ่อน รัฐบาลพยายามสร้างสวนสาธารณะ สร้างสถานที่พักผ่อนแก่ประชาชนฉันใด โพธิรักษ์ก็พยายามสร้างสถานที่ให้ประชาชนได้มาพักเป็นที่สาธารณะฉันนั้น ไม่ได้คิดเก็บเงินเก็บทองจริง

อาตมาว่า เราก็ได้อาศัยอยู่แล้ว เพราะเราอยู่ที่นี่ก่อนเขา คนอื่นก็ได้มาอาศัยด้วย มันก็เป็นกำไร เป็นความดีงาม เชิญมาพักผ่อนหย่อนใจมาอาศัย ไม่ได้ทำเป็นรีสอร์ทเก็บเงิน เราทำบรรยากาศนิเวศวิทยาให้น่าพักอาศัย ไม่ได้ขูดรีดเก็บเงิน ที่นี่เป็นรีสอร์ทเรือ มาพักได้ หลายเรือว่างอยู่ บรรยากาศ สิ่งแวดล้อมต่างๆมีพอเป็นไป จะขี่จักรยาน จะพายเรือก็ได้ ยังไม่มีเครื่องบินให้เท่านั้น

แม้แต่โรงเรือน อาคารบวร ทำเป็นที่ไว้ให้คนมาค้าขาย เป็นของแห้งของสด จะมาขายก็ได้ แต่ไม่ได้มาให้ขายเนื้อสัตว์เขาหรือของมอมเมาเป็นพิษ ไม่ให้มิจฉาวณิชชา 5 มาขาย ให้ขายอย่างพ้นมิจฉาวณิชชา 5 ไม่ได้เก็บเงินทอง ให้เป็นที่อาศัยทำอาชีพ จะซื้อของเขามาขายก็ได้ เป็นตลาดเป็นที่ขาย

ชั้นล่างเป็นที่ขายของชั้นบนเป็นที่ใช้ประโยชน์ ก็บอกไปให้กับคนย่านนี้หรือที่ไกลออกไปว่ามีที่จะใช้อาศัยได้ มาเลย ยินดีบริการให้ มาบอกกล่าวให้รู้เรื่อง ทำให้อยู่ในกฎเกณฑ์อยู่ในกรอบ เกิดประโยชน์เพื่อตัวเองบ้าง เพื่อคนอื่นสังคมมนุษยชาติ ก็ยินดีต้อนรับ ยินดีทุกอย่าง ไม่ได้ทำมาเพื่อหาเงินทองชื่อเสียง นี่คือใจของอาตมาที่คิดและทำ ถ้าเป็นรัฐบาลทำคนก็คงจะเชื่อ เพราะว่าเป็นรัฐบาล แต่พวกเราทำคนไม่ค่อยเชื่อก็ไม่เป็นไร

พวกเรานี่แหละที่จะเอาของไปขาย ของที่จะเก็บไปขายมีไม่น้อย แต่ไม่ขยันทำ อาจจะคิดว่า เก็บขึ้นไปก็ไม่ค่อยมีคนมาซื้อ ก็ไม่เป็นไร เก็บขึ้นไป คนเขาขยันปลูกเราก็ต้องขยันเก็บ แล้วเอาไปทำไม ก็เอาไปขาย ขายไม่ออกก็เอาไปเข้าโรงครัว แต่คนก็ไม่ค่อยมาทำ อาจจะยังไม่ถึงเวลา ไม่มีปัญหาหรอก อันนี้เราไม่ได้สร้างอย่างทุนนิยม ไม่สร้างขึ้นมาแล้วต้องมีดอกเบี้ยมาไล่ขูด ไม่มี เราสร้างอย่างบุญนิยม ไม่มีดอกเบี้ย สร้างเสร็จแล้วก็เสร็จ ดูแลปัดกวาดเช็ดถูให้ดีเท่านั้น

การไม่มีดอกเบี้ยนี่แหละสุดยอดแล้วชีวิต

มนุษยชาติถ้าผู้ใด

1. ไม่มีหนี้ โดยเฉพาะหนี้ที่ต้องเสียดอกเบี้ยนั้นไม่มี

2. ทำงานสร้างขึ้นมาให้ตัวเองกินใช้อาศัยได้เพียงพอแล้ว

3. สร้างผลผลิตให้เหลือ เกินกินเกินใช้

4. เราก็เอาสิ่งที่เหลือที่เกินนี่แหละไปแบ่งแจกสะพัด จะขายก็ขายให้ถูกๆ เพราะมันเป็นของที่เหลือแล้ว เราก็ขายให้มันถูกๆ ดีไม่ดีขายไม่ออกก็แจก ไม่อย่างนั้นก็เน่าทิ้งไป เราก็ทำอยู่ใน 4 หลักนี้

แต่ทั้งโลกเขาจะต้องสะสม สะสมไว้แล้วก็ต้องจ้างคนมาระมัดระวังมาดูแลอีก โง่ตายชัก เพราะฉะนั้นเราเองรู้ที่จบของชีวิต เรารู้ที่จบของพฤติกรรมมนุษย์ พฤติกรรมสังคม พฤติกรรมของคน พฤติกรรมของกลุ่มหมู่ พฤติกรรมของสังคมองค์รวมเท่าไหร่

ชาวอโศกมีสังคมองค์รวม อยู่ในระบบสาธารณโภคีทุกชุมชน แล้วก็มีกระจายอยู่ในประเทศ เป็นชุมชนชาวอโศกอยู่ในระบบสาธารณโภคี ทุกชุมชนชาวอโศกมีเท่าไหร่ก็เท่านั้นเป็นระบบสาธารณโภคี ใครขาดเหลือก็ยืมกันได้ นี่คือเศรษฐศาสตร์ที่จบแล้ว เศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบแล้ว สาธารณโภคี ก็ไม่รู้ว่านักเศรษฐศาสตร์ที่เรียนมาจนหัวพัง จบด็อกเตอร์กันไม่รู้เท่าไหร่ เขาจะเข้าใจเศรษฐศาสตร์ของพุทธเจ้าที่เป็นสาธารณโภคีได้ไหม

เขาเข้าใจ Utopia ที่ไหน Thomas Moreเขียนจินตนาการมาหาว่าเป็นสังคมแบบนี้แต่ยังไม่มีใครทำสำเร็จ แต่ชาวอโศก เราทำเกินกว่ายูโทเปีย เป็นถึงขั้นสาธารณโภคีที่เกิดจริงแล้ว ยูโทเปียยังไม่เกิดจริง Thomas More ก่อสร้างจินตนาการฝันค้างไว้เท่านั้นเอง แต่เราทำเกินกว่ายูโทเปีย ถ้ามันถึงขั้นสาธารณโภคี ทุกคนตรงกัน ทำได้อันเดียวกัน โทมัส มอร์สร้างยูโทเปียเป็นเพียงที่ใดที่หนึ่งเท่านั้นเมืองใดเมืองหนึ่งเท่านั้น เขายังไม่มีเครือแหแบบเรา ที่มีอุดมคติไม่รวมการทำแบบเดียวกันพึ่งพาอาศัย

ราชธานีอโศกนี้เจตนาให้ใหญ่และเป็นตัวอย่าง และเป็นน้องหลังสุด ปฐมอโศกเป็นชุมชนชาวอโศกพี่คนโต ทุกวันนี้ปฐมอโศกเลี้ยงน้องคนโต คือ ราชธานีอโศก กลายเป็นเด็กอ้วนเกินขีดหรือเปล่าต้องช่วยดูแล

มนุษย์นั้นศึกษาความเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด และความเป็นสังคมการอยู่ร่วมที่ดีที่สุด และมีทฤษฎีที่ถูกต้อง ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าทฤษฎีใหญ่ที่สุดคือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ หรือไตรสิกขา การศึกษา 3 เป็นทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ขยายความเป็น จรณะ 15 วิชชา 8 กับ ศีล สมาธิ ปัญญา ขยายออกมาเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 แล้วมันจะเกิดสายของปฏิจจสมุปบาท 11 12

จะเกิดญาณปัญญารู้ถึงความทุกข์ ความสุข ความเป็นมนุษย์ เป็นตัวหัวใจสำคัญที่สุดของมนุษยชาติคือ ทุกข์กับสุข

มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดคือมนุษย์ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข

เพราะฉะนั้นมนุษย์ที่มีปัญญา มีความเฉลียวฉลาดที่รู้จักอาการจิต อาการจิตที่เรียกว่าทุกข์ อาการจิตที่เรียกว่าสุข เป็นเหรียญสองด้านเท่านั้นเอง สุขกับทุกข์แยกกันไม่ได้ เป็นอาการ เก๊ ทั้ง สุขและทุกข์เป็นอาการที่ไม่มีจริง แต่คนหลงว่ามีจริง แล้วก็ต้องอาศัย จึงหลงยึดสุขยึดทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้

อ่านอาการของจิต คือ สิ่ง 2 สิ่งเป็นธรรมะ 2 บวกกับลบ อยู่กันอย่างนิวเคลียส แล้วก็ทำงานสังเคราะห์สังขารกันอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นผู้ใดจัดสรรจัดการพลังงานบวกลบนี้ ให้อยู่ในวงCyclic order เอง สังขารสังเคราะห์อยู่อย่างไม่ร้อนเกิน อย่าเย็นเกิน อยู่กันอย่างพอเหมาะพอดี ที่จะเกิดปฏิกิริยา เป็น Cyclic Order ก็เป็นตัวธาตุรู้ที่เรียกว่าเป็น ฌาน หรือ ความรู้ของพระอรหันต์ ก็อบอุ่น สบาย

แล้วพุทธนี้เก่งกว่า nucleus ที่มันอยู่เป็นธาตุวัตถุ เพราะมันเป็นธาตุจิตวิญญาณ เป็นประธานควบคุมนิวเคลียส ต้องการ จะให้ขยายตัวก็ได้ ต้องการจะให้หดตัวหรือเท่านี้ก็ได้ ต้องการจะให้สูญแตกสลายธาตุบวกลบไปเลยนิรันดร ไม่เหลือ ธาตุนิวเคลียส แม้แต่อุตุ ก็ไม่เหลือ นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ทำสำเร็จ ที่อาตมา เป็นโพธิสัตว์

เป็นอรหันต์ โพธิสัตว์ระดับ 4 ก็รู้แล้ว มาเป็นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ก็ยิ่งรู้ ไม่ได้เอาแต่เอาภาษาวิทยาศาสตร์ อาศัยภาษาชีววิทยามาอธิบายบ้าง จนกระทั่งอาศัย กรรมนิยามมาอธิบาย

กรรมนิยามอธิบายความเป็นจริง จิตเป็นพฤติของกรรม

จิต ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้ว จะใช้จิตที่เป็นแรงอำนาจอธิปไตย เท่าใด ก็มีปัญญาที่รู้จักพลังงาน ควบคุมพลังงาน ให้แรงให้เบา ให้ขนาดพอเหมาะสมเท่าไหร่ได้ รู้จัก ลหุตา มุทุตา รู้จัก กัมมัญญตา แล้วก็ให้เกิดเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ รู้จักวิการรูป 5 อย่างชัดเจน จึงเป็นผู้จัดการ วิการรูป 5 อยู่อย่างสบาย

เราจะทำให้เบาที่สุดอย่างสมควร เช่น อาตมาจะพูดดังที่สุดเท่านี้เท่าที่เบา เพราะคนมันหูหนวกตาบอดก็ต้องพูดอย่างนี้ จริงๆมันหูบอดตาหนวกด้วยซ้ำไป อาตมาจึงจำเป็นต้องสีควายให้ซอฟัง เพราะมันหกคะเมนตีลังกา เอาผิดเป็นถูกเอาหัวเป็นหางเอาขี้เป็นข้าว

อาตมาก็เลยเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม กินขี้แทนข้าว มันเอาหัวเดินต่างตีน อาตมาอยู่กับเมืองนี้ก็เลยต้องเอาหัวเดิน กับมันด้วย มันซวยจริงๆเลยชีวิตนี้ อาตมาก็จำนนไม่รู้ทำไง เราเอาหัวอยู่ที่ตีน เอาตีนอยู่หัว เราจะไปพูดกับตีนรู้เรื่องได้อย่างไร เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม สงสารอาตมาบ้างไหมนี่

ทำงานทุกวันนี้เท่ากับเอาคนหูบอดตาหนวกจูงกันไปดูหนังใบ้อีก อาการหนักอย่างนี้โลกทุกวันนี้ อาตมาก็จำนนต้องทำไป

สรุป อาตมาก็สอนเรื่องเศรษฐกิจเรื่องรัฐศาสตร์การเมือง เรื่องของสังคม อาตมาก็ต้องสอนอธิบายทั้งนั้นแหละ เหมือนอย่างคนอวดดี ต้องสอนต้องแนะนำพวกเรา เพื่อจะรู้จักเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจแบบนี้ ของการเป็นอยู่ร่วมกัน จะเป็นการเมืองรัฐศาสตร์แบบนี้หรือดี ดูแลเกื้อกูลช่วยเหลือกันไป พึ่งพาอาศัยกันไป จะซื้อจะขายแก่กันและกันอยู่ขนาดนี้แหละ แบ่งแจกกันขนาดนี้ จนกระทั่งสาธารณโภคีนี้เป็นสังคมสุดยอดแล้ว ได้อย่างนี้จริง

อาตมาเกิดมาในชาตินี้มาทำต่อจากชาติก่อน แล้วก็จะทำต่อไปด้วย ที่ทำเพราะเป็นประโยชน์ เป็นงานที่ได้ช่วยมนุษยชาติจริงๆ อาตมาถึงบอกว่ามันเป็นงานของมนุษย์ มนุษย์นี้ทำงานเพื่อช่วยมนุษยชาตินี้ดีที่สุดแล้ว อาตมาก็พยายามพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ สูงที่สุดเป็นพุทธเจ้ามันเป็นอย่างไรแค่ไหน เพื่อตัวเองก็คือจะไปเป็นพระพุทธเจ้า แล้วเพื่อมนุษยชาติ นี่แหละเป็นหลัก ตัวเอง อาตมานี้มีความรู้ที่จะปรินิพพานเป็นปริโยสานเมื่อใดก็ได้แล้ว แต่อาตมายังไม่ทำตามจุดมุ่งหมาย 2 ประการ ประการหนึ่งก็คือเพื่อผู้อื่น ประโยชน์ตนก็เป็นพระพุทธเจ้าได้สูงสุด เพื่อมนุษยชาติ ก็เห็นอยู่ว่าพวกคุณได้รับประโยชน์ ก็จริงๆ อาตมาจึงยังไม่จบ เป็นพลังงานที่จะเป็นมนุษย์ ต้องเกิดอีก เป็นพลังงานที่จะเป็นมนุษย์ที่จะทำงานได้อีก เกิดมาทำแล้วก็ต่อไปอย่างนี้อีก

สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูพูดบอกว่า สมัยนี้เขาเอาหัวเดินต่างตีน พ่อครูก็เลยต้องเดินแบบเขา จะได้สอนเขาได้ สอนที่เท้าเขาก็ไม่ฟัง พ่อครูต้องอนุโลมให้เขา


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:46:56 )

610716

รายละเอียด

610716  อยู่วัด ได้ขัดเกลา และวางใจเป็น

พ่อครูสนทนาธรรมยามเช้ากับปัจฉาฯ 7 ก.ค. 2561

พ่อครู           : คนละวิบาก

.แสนดิน    :  คนละวิบาก

พ่อครู         : วิบากคนละวิบากกันไป เอาน่า รอๆดู 50  60  เลยละก็รู้กันล่ะ

.แสนดิน    :  หมดแรง

พ่อครู         : ว่าจะไปลงจอดท่าไหน ไม่จอดท่า จะอยู่กับคลื่นลม ก็ให้มันรู้กันไป  ไม่ต้องหาท่าจอด

.ดินไท       : ต้องอาบน้ำท่าไหน ต้องมาอาบน้ำท่าวัด

.แสนดิน   : คลื่นสงบ

พ่อครู          : จะไปโต้กับคลื่นลมอยู่ล่ะ ไปหาท่าจอดเอาละ ท่าเก่งจริงก็ลองดู

.เดินดิน    : ไม่แน่ใจว่าการมาอยู่วัดกับอยู่ทางโลกเนี่ย อยู่ในวัดมันทำได้ตามใจตัวเองมากกว่ารึเปล่าครับ

พ่อครู     : ไม่ ไม่ มันก็มีกรอบ ในวัดจริงๆ มันก็มีกรอบ มันก็มี ถึงแม้ว่าจะมีพื้นฐานที่มันเป็นกรอบที่ต่ำสุดรับไว้ แต่ว่าฐานะของแต่ละบุคคลก็รู้กันนะ อยู่ในนี้ คนนี้สูงขนาดนี้ อย่าไปทำไอ้นี่เกินไปเขามีตำรวจซ้อนอีก มีตำรวจซ้อนอีก มี รปภ. ดูแล ซ้อนอีก

.แสนดิน : แค่ ๆ มาสวดมนต์ตอนเช้า คนไหนสวดเสียงยาน เสียงอะไรนะ เดี๋ยวเถอะ  แค่นั่งสวดมนต์ด้วยกันเนี่ย

พ่อครู         :  มันมี มันมีซ้อน มันมี ดูแลกันเป็นชั้นๆ

.ดินไท     : เดี๋ยวนี้เราถือสากันน้อยลง ถ้าเป็นข้างนอก แบบๆญี่ปุ่นเงี้ย  ไม่ได้

พ่อครู        : ไม่ได้ทางญี่ปุ่น เขาต้องใช้แบบนั้น ต้องแข็ง

.ดินไท     : มันก็จะขัดเกลาได้ดีกว่า ถ้ามาอยู่ในวัด เดี๋ยวนี้เราก็แบบ ไม่เป็นไร ไม่ถือสา

.เดินดิน   : ให้คนทางโลกมาอยู่กับเรา งงเลย อะไรต้องคำนึงถึงวิญญาณ อะไรเงี้ย มีอะไรต้องพูดกันเลย

.ดินไท     : อนิจจังด้วย มันไม่เที่ยง เราก็วางได้

.แสนดิน : โลกๆนี่เขาขัดกัน ขัดกันเรื่องผลประโยชน์ เรื่องระเบียบ แต่ข้างในเนี่ย ขัดกันเรื่องศีลนี่แหละ ขนาดทำถูกระเบียบไงก็ตาม แต่เนี่ยพูดจาโกหก

พ่อครู      :  ไม่อยู่ในร่องในรอยของศีล

.เดินดิน  : แต่ว่ามันอย่างนี้ไง คือว่า บางคนที่ขัดได้คนก็จะขัด แต่บางคนที่ขัดไม่ได้เขาก็ปล่อย

พ่อครู     :  วาง พรหมทัณฑ์ไง ของเรามีพรหมทัณฑ์สอน  พรหมทัณฑ์แล้วแต่ เขาก็ทิ้งให้วิบากเลยแหละ แล้วแต่วิบากใครวิบากมัน ศีรษะใครศีรษะมัน

.ดินไท  : ซึ่งคนแบบนี้ พอหมู่ไม่ได้เอาด้วยแล้วเนี่ย  พอไปอยู่ข้างนอก เขาเอาเรื่องนะ ก็เลยไปอยู่ข้างนอกไม่ได้ ต้องมาอยู่ข้างใน

พ่อครู     : มันก็เป็นไปตามสัจจะ มันชัดเจน มันเป็นไป ไม่ต้องไปห่วงมันหรอก มันก็เป็นไปตามธรรม ช่วงนี้มันจะน้อยหน่อย คนน้อยงานเยอะ อะไรก็เอ้า ก็ว่าไป ถูไถไป

.เดินดินอยู่บ้านราชมันยืดหยุ่นมากเลยนะครับ ที่นี่ อ้าว เดี๋ยว มีคนนี้พิเศษ  เดี๋ยวคนนี้พิเศษต้องพิจารณามาก คือเว้นแต่คนไม่พิเศษ ไม่ต้องพิจารณา

.ดินไท  : ผมเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนคนภูมิใจเนี่ยที่รักษาความเป็นโสดได้ คืออยู่ข้างนอกเขา เขาไม่มีใครมาจีบ

พ่อครู     :  ที่แท้ซะพูดเอาโก้เนอะ อยู่ข้างนอกไม่มีใครมาจีบ อยู่ข้างในเนี่ย

.แสนดิน  : อยู่ข้างนอกเรียกขึ้นคาน อยู่ข้างในนิ โห พรหมจรรย์ได้ บัณฑิต

พ่อครู    :  รักษาพรหมจรรย์ได้ เท่อีกแบบ

.แสนดิน  : เขาก็ฉลาด ที่มาอยู่ข้างในก็ โอเค

.เดินดิน  :  อันเนี่ย หลวงตาถึงได้เปรียบพวกเรา เพราะว่าหลวงตามีลูกมีอะไร เพราะงั้นหลวงตาถึงอยู่กับคนได้ทุกคน เพราะว่าหลวงตายืดหยุ่นมาก แต่พวกเราคนโสดกันส่วนใหญ่ เพราะนั้นเจอก็อัดกันตูมตาม เพราะว่าชีวิตมันไม่ได้มีลูกมีครอบครัวอะไร หลวงตา  จึงเป็นที่รักของทุกคน ใครอ่อนแอ ใครจิตตก ใครอะไรนี่หลวงตาประคอง ช้อน ๆ เอาได้หมด

.แสนดิน   : แต่ก็ไม่ๆทุรนทุราย เห็น จะตายก็ พรุ่งนี้จะตายตอนนี้จะอยู่ ไม่อยู่ ไม่เกี่ยวละ

.เดินดิน  :  ก็ที่คุยกับผมวันพฤหัส เอ้ย วันพุธนี่ก็ยังดูไม่น่าจะมีสัญญาณว่าจะตาย

พ่อครู    :  พลังวาง มันก็มีพอ พลังวางมีพอ อย่างท่านถนอมคูณ พลังวางก็มีพอ แต่ว่าไม่รู้มุมเท่านั้นเอง โอ๊ยจะยังไง เอาน่า วาง ปล่อยไปเลย พรึ่บ ประเดี๋ยวพรึ่บเดียว

.แสนดิน   : พ่อท่านไปบอกนิดเดียวเอง ค่อยๆวาง

พ่อครู   :  เออ ตอนแรกก็ดูทุรนทุราย โอ๊ย จะวางยังไง

.แสนดิน : พ่อท่านบอกให้วางที่ใจ

.เดินดิน  :  พอธาตุแตกแล้วเนี่ย ไฟธาตุแตก

.ดินไท   :  เมื่อวานรายการพุทธชีวศิลป์ ภันเตฟ้าไท เขาเอาพระวักกลิมาอ่าน แล้วก็มีว่าพระวักกลิท่านฆ่าตัวตาย

พ่อครู    :  พระวักกลิฆ่าตัวตายเหรอ

.ดินไท  :  เวทนา ท่านไม่ไหวละ ก็ฆ่าตัวตาย

พ่อครู    :  อ๋อ เหรอ

.ดินไท  : ครับ  ก็เลยคิดว่า ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนถามพ่อท่านว่า  เอ๊ ฆ่าตัวตายมันจะผิดไหม เป็นพระอรหันต์ด้วย

พ่อครู   :  เป็น เป็นวิบากซ้อน

.ดินไท :  หลายองค์เลยนะ ที่เมื่อก่อนผมเคยถามพ่อท่าน

พ่อครู    :  ผมก็อธิบายแล้ว คุณต้องใช้ความอำมหิตเพิ่มขึ้น ฆ่าตัวเองตาย

.ดินไท :  อาจจะ เรียกว่าสมัยก่อน มันไม่เก่งเหมือนสมัยนี้ ที่มียาอะไรที่ทุเลาความเจ็บปวดได้

พ่อครู   :  ใช่ ๆ แต่ถ้าตัวเองจะฆ่าตัวเอง ต้องใช้ความอำมหิตมากขึ้น

.ดินไท : คือ เขาอาจจะแบบตัดรอบ ไม่ไหวแล้ว มันทน ไม่ไหวก็ฆ่าตัวตาย คนสมัยก่อนอาจจะธรรมดา การตายเขาก็ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไรมากมาย ตายก็ตาย

พ่อครู   :  พวกเทวนิยม เขาก็อย่างนั้นแหละ เทวนิยม เขาก็ไม่มีอะไร ไปอยู่กับพระเจ้าเท่านั้นเอง  ทีนี้สิ่งที่เขาทำแล้ว ทำชั่วทำดีก็ทำแล้ว พระเจ้าจะสั่งลงนรกก็ต้องจำนนอ่ะ มันทำแล้วอ่ะ

.ดินไท : ตายง่าย

พ่อครู    :  มันสั้น เห็นไหม มันสั้น ของเทวนิยม เนี่ยสั้น แต่ชีวะของคุณยังยาวไปอยู่กับพระเจ้ายาว จริงๆคุณก็ไม่รู้วิบากว่าต้องวนเวียน แต่คุณก็ไม่รู้ว่าต้องมาวนเวียน เพราะคุณเข้าใจตัววนเวียนอีกไม่ได้ คุณก็อยู่ตรงนั้นเอง ก็ตื้ออยู่ตรงนั้นจบอยู่แค่นั้นกับพระเจ้า กาละไม่มี กรรมก็สั้น ทางโน้นกาละกับกรรม กรรมก็สั้น พอสุดท้ายไปอยู่ที่พระเจ้าก็จบละ กาละไม่มีแล้ว กรรมก็เหลือแต่พระเจ้าเท่านี้ พระเจ้าจะว่าไงก็แล้วแต่ กรรมบวกกรรมลบ  กรรมดีกรรมชั่วอะไรก็พระเจ้า นรกสวรรค์อะไร ไม่จบสองไง ธรรมะสองไม่จบ เพราะนั้น หนึ่งก็ยังทำไม่ได้แล้วจะไปหาศูนย์ตรงไหนอ่ะ ปุงลิงค์ก็ยังทำไม่ได้เลย จะไปหานปุงสกลิงค์ เลิกเลย เพราะอธิบาย หนึ่งปุงลิงค์ก็กับนปุงสกลิงค์ อธิบายย๊าก ยาก เพราะว่ามันสิ้นสุดเลยของพุทธนี่นะ จบ พอเป็นนปุงสกลิงค์แล้วเนี่ย หมดคำอธิบาย ภาษาอังกฤษเขายังดีนะมี axiom หมดคำอธิบาย อธิบายยังไง นปุงสกลิงค์

.แสนดิน : นัตถิอุปมา

พ่อครู    :  นัตถิอุปมา มันหมดทางที่จะอธิบาย นัตถิอุปมา นปุงสกลิงค์ จบ มันไม่มีคำอธิบายแล้วมัน จะเทียบอะไรก็ไม่ได้ธรรมะสองก็ไม่ได้ ศูนย์  ศูนย์คืออะไร แล้วจะอธิบายยังไง

.แสนดิน : คนที่ศูนย์แล้ว มาอธิบาย ไม่ได้อีก

พ่อครู    :  มันยังไม่มีสภาวะ อย่า

.แสนดิน  : คนที่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เขาก็ไม่กลับมาเกิด มาอธิบาย

พ่อครู   :  ไม่ได้ เพราะงั้น อรหันต์ยังอธิบายอะไรไม่ค่อยเก่งหรอก อธิบายอะไรไม่ค่อยได้หรอก อรหันต์อ่ะ

.แสนดิน  : แต่คนที่ปรินิพพานแต่ไม่ปริโยสานก็กลับมาอธิบายสภาวะนิพพานได้

พ่อครู  :  ใช่สิ มันก็จะเพิ่ม เพิ่มปฏิภาณขึ้นไปอีก เพิ่มตัวรู้

.แสนดิน   : คนที่ปริโยสานแล้วไม่กลับมาอีกครับ

พ่อครู    :  เออ ใช่ก็ศูนย์

.แสนดิน  : มันก็อธิบาย ไม่มีใครมาอธิบายตรงนั้นได้

พ่อครู   :  เพราะงั้นถึงบอกว่าอรหันต์ถึงศูนย์ไง อรหันต์ศูนย์ อรหันต์ไม่ต่อ  อรหันต์พวกนี้ อรหันต์อย่างเก่งก็สมสีสีไง ตายพร้อมกับตัดเลย สมสีสี ปริโยสานเลย

 

ในสวนดาว...ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:51:45 )

610716

รายละเอียด

610716 ธรรม 2ของภาษาและสภาวะเป็น 3 เส้า

16 ก.ค. 2561 พ่อครูสนทนาธรรมยามเช้ากับปัจฉา

.แสนดิน ฝนตกทั้งวัน

พ่อครู  มันตกไม่หยุด ซู่ๆ แล้วหยุด เดี๋ยวมันซู่ๆอืก แล้วหยุด เอ้อ...ตาล๊ก...ตลก

.แสนดิน เออ ...เราว่าจะจัดงานนะ จะทำโน่นทำนี่ ฝนตก เลิกเลย ทำไม่ได้เลย โอ้ ชีวิต (เสียงดนตรี)

พ่อครู เพลงนี้เราไม่ค่อยได้ออกโทรทัศน์เท่าไหร่นะ

.แสนดิน สมรรถภาพนี่หรือครับ ทราบว่าท่านทำไว้ 2 เวอร์ชั่น........ ตอนนี้เขาเอาปะดาวบุญขึ้นเขียงนะฮะ

พ่อครู อ้อ....เลือดพอมั้ย

.แสนดิน พอครับ เมื่อวานพวกเราไปก้น 7 คน ช่วยกันบริจาค ผ่าลิ้นหัวใจด้วย ไม่ใช่ผ่าเล็กๆเลยล่ะ โอ้โฮ....แหวะสเตนั่มเลย

พ่อครู โอ....ถึงสเตนั่ม แล้วเขาเอาไอ้นั่นดึงไว้ยังไง

.แสนดิน  ก็ใช้...ดึงไว้   ก่อนผ่าต้องทำบายพาส หัวใจก่อน แล้วซ่อมหัวใจทีหลัง ก็ให้หัวใจหยุดทำงานชั่วคราว แล้วก็....

พ่อครู คนเรานี่เก่งนะ สามารถหยุดหัวใจ แล้วก็ต่อหัวใจใหม่

.แสนดิน แล้วผ่านเลือดเข้าไปเหมือนเดิม

พ่อครู แล้วเส้นเลือดมันเล็ก นี้ดดด.....เดียว ต่อกันได้ยังไง

.แสนดิน ใช้กล้องต่อ กล้องขยาย ไมโครเซทารี่ กล้องที่ติดชิดตาเรา มันเห็นได้ละเอียดมากกก...คนมือสั่น หรืออายุมาก ทำงานนี้ไม่ได้ หมอศัลย์นี่ถ้าอายุเยอะก็ปลดระวาง เพราะผ่าตัดไม่ได้มันเหมือนพาร์กินสัน

พ่อครู อีกหน่อยก็ผ่าตัดหัวใจยุง 

.แสนดิน หัวใจยุง? ยุงยังไม่มีหัวใจ  โครงสร้างมันพรีมิถีฟมาก  มีห้องเดียว

พ่อครู อ้อ ยุงยังไม่มีหัวใจ มันคงเป็นพวกพีชนิยาม ยังไม่มีเวทนา    ยังไม่มีหัวใจ

.แสนดิน  มันจะพัฒนาไงฮะ จากห้องหนึ่งเป็นสองห้อง ถ้าเลื้อยคลานมีสามห้อง สัตว์เลือดเย็นนะฮะ แต่ถ้าเป็นสัตว์เลือดอุ่นมีสี่ห้องมีปอดไปฟอกเลือดด้วย ส่วนไส้เดือนนี่หัวใจมันแทบจะไม่มี มันเป็นท่อกินเข้าไปแล้วก็ถ่าย

พ่อครู นี่ก็ค่อยๆพัฒนาการ จากอุตุนิยาม พัฒนาเข้าสู่พีชนิยาม จิตนิยาม ธรรมนิยาม กรรมนิยาม โครงสร้างนี้จะช่วยให้เข้าใจพวกนี้ มันเปรียบเทียบได้ เปรียบเทียบพัฒนาการที่ยังมีระดับที่ไม่ถึงที่ทีเดียว มันยังกำลังโอเวอร์แลป

.แสนดิน ทำไมเราเป็นจิตนิยามแล้วนี่ ทำไมต้องไปเกิดเป็นสัตว์

พ่อครู มันต้องถูกร่อน ร่อนแล้วร่อนอีกๆๆๆ ไม่งั้นมันไม่ได้ มันต้องเกิดกลับไปกลับมา ร่อนแล้วร่อนอีก

.แสนดิน แล้วไปเป็นพีชนิยาม  ไม่ได้เลย

 พ่อครู ใช้ มันต้องเป๋นตามลำดับหลักเกณฑ์ใหญ่ ๆ อันย่อยๆอธิบายไม่ไหว มันสลับซับซ้อน อธิบายยากมาก

.ดินไท มันเหมือนตอนแรกที่ต้องกดข่มอย่างมาก นิ่งๆก่อน เป็นพีชะ

พ่อครู  ยิ่งหลักเกณฑ์ 5 นี่ โอ้โฮ...มันไม่ละเอียดอะไร มันหยาบ เป็นหลักเกณฑ์ใหญ่นะ อุตุนิยามพีชนิยามจิตนิยาม  กรรมนิยาม ธรรมนิยาม  มันหยาบๆ เหมือนปัญจสาขามันก็หยาบ มี กลละ อัมพุช เปสิ คณะ ปัญจสาขา อัมพุชชะ ก็ น้ำ กลละก็น้ำ จะใช้อัมพุททะก็ได้ แต่มัน ท.ทหาร กับ ช.ช้าง ท.นี่มันเจโต เป็นสแตติก ช. มันปัญญามันไดนามิก ถ้าเราเข้าใจพยัญชนะวรรค 5 แม้แต่เศษวรรคอะไรพวกนี้เราจะอาศัยเข้าใจสภาวะละเอียด ถ้ามันไม่มีพยัญชนะพวกนี้รองรับ มันก็ไม่รู้จะอธิบายกันยังไง มันกลับไปกลับมาสลับไปสลับมา ซ้อนไปซ้อนมา แม้แต่เศษวรรค แม้แต่สระ โอ้โฮ เห็นมั้ย เขาใช้พวกนี้สื่อออกมา มันไม่ธรรมดา

.ดินไท ทุกอย่างมันมีเครื่องหมาย

พ่อครู ใช่สิ มันเป็นตัวแทน ต้องใช้สลับไปสลับมาซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนถึงบอกว่า ไม่รู้จะแปลว่าอะไรสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน โอ้.. สระ อะ อา อินี่ก็ สามเส้านะ  อะ อา อิ อี  อี อู โอ   อา อี อู โอ พวกนี้เป็นสระยาว ฑ๊ฆะสระ  อะ อิ อุ เป็นรัสสะสระ เวลาเอามาใช้ก็ต้องผสมกับไอ้โน่นไอ้นี้ก็ต้อง เริ่มต้น อะ อิ อุ พวกสั้นด้วยกัน อา อี อู แล้ว เอ โอ นี่ยาว ของไทยมามี เอะ เอ แล้ว โอะ  โอ แถม เอา  ส่วน อำ นี่ซ้ำกับภาษาไทยที่ใช้ สระอำ แต่บาลีใช้ ไม้หันอากาศ กับ ม. เขาเรียก ม.หัน (มม)คือ อัม ถ้า ร.หัน(รร) ก็ อัน ป.หัน(ปป)ก็ อัป แล้วมี อัง กับ นิคหิ ถ้านิคหินี่จุดล่าง อัง นี่วงกลมบน ตัววงกลมนี่เล็ก  เป็น ไดนามิก แต่จุดนี่เป็นจุดเป็นสแตติก

.แสนดิน แม้แต่ลักษณะตัวพยัญชนะเอง

พ่อครู ใช่ นิคหิต กับ อังนี่ นิคหิตนี่เป็นจุดเฉยๆ แต่อัง นี่เป็นวงกลมแล้วมันโตแล้ว

.แสนดิน อย่าง ก.ไก่ มันมีปากเป็นไก่ ข.ไข่ เหมือน ขวด ค. ควายก็ ฅ.คนมันมีหยัก มันเฉโกตบะแตก คนมันมีเรื่องเยอะ สมองมีรอยหยัก  ง.งู ก็ งงๆ งก ย.ยักษ์ เขี้ยวใหญ่ ยักไว้

พ่อครู ญ. หญิงเขาไม่ยักนะ

.แสนดิน ญ. หญิง เขาสวย ต้องมีข้างล่างเหมือนตุ้มหู

พ่อครู ทำไมต้องมีติ่งไม่รู้นะ ญ.หญิง

.ดินไท ญ.หญิงมีส่วนประกอบของ ถ.ถุงกับ บ.ใบไม้มารวมกัน

พ่อครู ถ. ถุงก็ ก.ไก่ กับ บ.ใบไม้ ถ.ถุงนั้นมันมีหัวด้วย ส่วน ฐ.สัณฐานนั้นทรงเครื่องเยอะเลย มีสระ อี บนหัว มีหยักๆอยู่ข้างล่าง ทรงเครื่องมากกว่าใครเพื่อน ตัวฐ.ฐาน มีทั้งฐานและตัวยอด มีฐานตั้ง มีองค์ตั้งและมียอดชฎาขึ้นไปอีกเหมือนโกฏ มีฐานรองรับ เป็นตัวเต็มที่นะ ฐ.สัณฐานนี่ เป็นตัวตั้งที่รวมไว้หมด ด้านบนด้านล่างด้านข้าง ที่จริงมันมีฐานจาก จ. จาน ตัวแจ้ง ฐ. สัณฐานนี่ตัวตั้งจริงๆคือ จ.จานที่ใส่ชฎาสระอี แล้วมีฐานหยักเอามาจาก ฏ. ปฏัก ตัวหนังสือพวกนี้ ไปดูของแขก ของอาหรับสิ ขีดแค่นี้ๆ ส่วนของจีนก็จับมารวมเป็นตุ้มๆ เยอะ ภาษาจีนดูลึกซึ้ง โอ้โฮ เป็นตุ้มเป็นก้อนใหญ่ๆ แต่ของแขกไปยาวยืด...ไปเรื่อย หลังม้วนบนนิดหน่อย ยืดๆ ของจีนจุ้มๆ

นิ่ม ของจีนนี่แต่ละตัวเขาประกอบกัน

พ่อครู ใช่ ทั้งจุดเล็กบน ขีดใหญ่เล็กล้วนมีความหมาย

นิ่ม คล้ายๆมันจะเชื่อมโยงกับประว้ติศาสตร์ได้ แต่ละตัวมันมีที่มา

พ่อครูใช่ อาตมาไม่เก่งพยัญชนะจีนเลย แค่บาลีก็ปวดหมองแล้ว ยิ่งอาหรับไม่ต้องไปแตะเขาหรอก

.ดินไท แต่บาลีเป็นภาษาอภิธรรม

พ่อครู เขาถือว่าเป็นภาษาที่ตายแล้ว คือมันจบไม่มีวิวัฒนาการต่อ ความหมายมันคงที่หมดเลย มันฟิกซ์แน่นอน มันไม่ดิ้นแล้ว ถ้าใครอธิบายผิดจากนี้ก็ไม่ใช่แล้ว

.ดินไท ไม่มีสะแลง สร้างศัพท์ใหม่ไม่ได้แล้ว สะแลงมันเปลี่ยนความหมายไปเลย

.เดินดิน พอเรียนแล้วรู้สึกว่าท่านผิดเลย

พ่อครู ใช่ ไม่ต้องอะไรหรอก แค่คำว่า สัญญา ยะ นิจจา นินี่ เขายังแย้งอยู่เลย ไม่รู้เขาเข้าใจความหมายว่าอย่างไร

นิ่ม เขาว่า อะไรก็ตามที่มันต้องตายตัว

พ่อครู สัญญา ย นิจจานินี่มันต้องตายตัวนะ แต่เขาเข้าใจยังไงเราไม่รู้

นิ่ม ความจริงมีหนึ่งเดียวแล้วต่อมาก็ความจริงไม่มี

.เดินดิน ถ้าคนทางโลกมาเรียนกับพ่อท่านนี่ ปวดหัว เพราะพวกเขาฟิกซ์เลยว่าไอ้นี่ต้องอย่างนี้

พ่อครู เขาต้องอย่างนั้นแหละ ต้องบังคับ พวกทางโลกมันไม่แน่ไม่นอนก็ต้องฟิกซ์ ถ้าไม่ฟิกซ์ไปต่อไม่ได้ มันเละ มันก็ต้องยังงั้น ฉันเดียวกับข้อด้อยของ...(ไม่ชัด) 10 ข้อนี้ ผู้ที่ยังไม้ได้อรหันต์นี่อย่า แอ็คนะ อย่าทำอย่างอาตมานะ ถือว่าข้อด้อยแล้วทำเป็นเฉยละลาบละล้วง ไม่ได้นะ คุณต้องเคร่งครัดใน 10 ข้อนี้ ยังไม่ได้อรหันต์คุณอย่าเพิ่งแอ็คเป็นอันขาด เห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้าง แม้แต่เริ่มต้นเป็นโพธิสัตว์เล็กๆก็อย่าเพิ่งแอ็ค สิบข้อนี้มันต้องอาศัยฐานจริงๆ จะอนุโลมได้คุณต้องมั่นใจ ไม่งั้นคุณเสร็จเลยนะทำเป็นเล่นไป

.แสนดิน จะบอกว่าจริงใจอย่างนี้ไม่ได้

พ่อครู ใช่ จริงใจอย่างเดียวไม่ได้ นะ จริงใจอย่างเดียวตาย

.แสนดิน เพราะมันเลยสมมติไปไม่รู้กี่ขั้นแล้ว จะสมมติไม่ได้

พ่อครู ไม่ได้ๆ  โดนแน่

.แสนดิน  ไม่รู้ว่าไอ้ที่ติดตามถ่ายแล้วกดๆนี่บางทีไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ บางทีมันแชร์มาไม่ได้อ่านเลย ไม่ได้ดูด้วยซ้ำไป เห็นว่า โอ้

พ่อครู รายละเอียดนับเวลาที่เขาเปิดแล้วอ่านหรือเปล่าก็ยังไม่ได้ เพียงแค่กดรหัสก็รับแล้ว

.ดินไท บางคนได้รับกด ไลค์ เป็นหมื่นเป็นแสน บางทีก็อย่างที่ว่านี่แหละ

พ่อครู เป็นล้านวิว

.แสนดิน ที่เขาจับพวกรับจ้างกด ไลค์ ได้นี่บางคนมีโทรศัพท์ 50 เครื่องมั้ง มีอาชีพใช้นิ้วกด

พ่อครู หารายได้จากการกดนี่นะ เดี๋ยวนิ้วกุดหรอก

.ดินไท บางคนอยากให้มีคนมาเติมยอด ไลค์ ทำยอดวิว ยอด ไลค์บางทีก็ได้สิทธิ์พิเศษในเพจนั้นเพจนี้

พ่อครู อันนี้มันไม่รู้หยุด ไอ้นี่มันไม่รู้หยุด   แต่อย่างของ บิล เกต หยุดนะ มันเป็นตัวตั้งที่ใช้ได้มากแล้ว แต่อันนี้ของ มาร์ค มันเป็นไดนามิก ของบิล เกตเป็นสแตติก

.แสนดิน มาร์ค นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ทำไมมาร์คทำรายได้ได้เยอะ

พ่อครู มันไดนามิกไง มันไม่หยุด มันเดินไปเรื่อย

.แสนดิน ถ้าไม่มี บิล เกต มาร์ค ก็ทำอะไรไม่ได้

พ่อครู ใช่ บิล เกต เป็น สแตติกไง

.แสนดิน เขามีทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์

พ่อครู บิล เกตเป็นสแตติก นี่เราจะเข้าใจได้ง่ายชัดๆ แค่ไดนามิก กับสแตติก 2 อย่างนี้ ใช้แค่กระแสนี้อธิบาย บวก ลบ มันก็เป็นธรรมชาติ 2 สภาพ ขยายถึง พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ธรรมะ สอง โอ้โฮ รวมหมดเลย ธรรมะสองมีประธาน จากประธานสามเส้า แตกแขนงไป....ไม่มีที่สิ้นสุด รูปธรรม นามธรรม กับ อธรรม อ๊อบแจ็ค ซับแจ็คที่จริงก็คือ ภาษานี่ถ้ามีประธานต้องมีกรรม  ซับแจ็ค อ๊อบแจ็ค แต่มีประธานอีก ประธานของ อ๊อบแจ็ค ซับแจ็ค แล้วเขาจะเรียกมันว่าอะไร

.แสนดิน มันพิเศษฮะ จะเรียกออธอริตี้(authority)ได้ไหมหรือ ฟอร์ซ (force)

พ่อครู  ออธอริตี้ก็ได้ ฟอร์ซ ไม่สวยหรอก มันหยาบ  ฟอร์ซ กับ ออธอริตี้มันคนละอย่าง พาวเวอร์(power) เอ็นเนอร์ยี่(energy) หรืออะไรก็ตามมันก็ออธอริตี้นี่แหละถือว่ามันมีศักดิ์ศรี แต่ยังมีการบังคับอยู่ อำนาจอธิปไตย ออธอริตี้ นี่มันไม่ใช่อำนาจปัญญา อำนาจปัญญามีอิสระเต็มตัว อย่างอธิบาย ประชาธิปไตยที่ไม่ต้องมีอิสระและเขาไม่มีอัตตา เรียกว่ามีวิญญาณเป็นประธาน ไอ้ตัววิญญาณที่เป็นประธานนี่ไม่รู้จะตั้งชื่อว่าอะไร วิญญาณมันเป็นองค์รวมของธาตุรวมวิญญาณ ทีนี้เอามาเรียกเป็น  โฮลิสติก เรียกเป็นพระเจ้าเลยนะ โฮลิสติกนี่ เป็นองค์รวมทั้งหมดนะ ส.แสนดิน โฮล whole หรือฮะ

พ่อครู โฮลลี่ holly โฮลิสติก

.แสนดิน ความหมายใกล้เคียง  โฮลแปลว่าทั้งหมด

พ่อครู ใช่ โฮล ก็แปลว่ารวมเหมือนกัน แล้ว แบ็กโฮ

. ดินไท  แบ็กโฮนี่ มัน โฮ hoe แปลว่าจอบ ฮะ

.แสนดิน แบ็กโฮ back hoe แปลว่าจอบหลัง

จบ

 

ถอดความโดย...ปานปั้น


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:53:03 )

610716

รายละเอียด

610716_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาจนให้สำเร็จคุณวิเศษ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1Cvx0GOkrfAKNXWsZDweycupsy65f8SjB1B3v2aw-Wzw

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1uefTJNVkj8FAjYseHm2xUMVjf09NrucI

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า

“เข้าพรรษาสู่โลกหน้าในโลกนี้”

ครั้งที่ 30 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก

ศุกร์ที่ 20 - อาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561

รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)

สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ

โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865

 

วันนี้มีข่าวครูขอพักชำระหนี้ ซึ่งดูจะไม่เป็นที่ยินดีของสังคม เพราะว่าครูควรเป็นตัวอย่างสำหรับเด็กในประเทศชาติ ไม่ควรทำเหมือนชักดาบ ซึ่งครูที่นี่เป็นครูที่ไม่เป็นหนี้ ที่ไม่เป็นหนี้สูงสุดคือไม่เป็นหนี้ชีวิตไม่เป็นหนี้บาป เป็นผู้ สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) เป็นบุคคลประเสริฐเป็นบุคคลที่บริสุทธิ์ เราควรจะตั้งใจ เงี่ยโสตสดับฟังธรรมท่าน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน ทำไมพ่อครูสร้างโรงเรียนสัมมาสิกขา

พ่อครูว่า...อย่างที่ท่านฟ้าไทกล่าวเกริ่นแล้ว จริงๆแล้วพวกเรามีโอกาสดี ที่ได้มาฟังธรรม เด็กในประเทศไทยทั่วไป โรงเรียนทั้งหลายแหล่ มีอยู่มากมายในประเทศไทย เด็กที่อยู่กับโรงเรียนต่างๆเขาไม่มีโอกาสอย่างที่พวกเรา ที่ได้เรียนหนังสือตามหลักสูตรของกระทรวง ชั้นม. 1 ถึงม. 6 ก็มีหลักสูตรที่เราจะต้องเรียนให้ได้ตามกระทรวงกำหนด ให้สอบได้ แต่เราได้ยิ่งกว่านั้น ยิ่งกว่านักเรียนทั้งหลายในประเทศไทยที่โรงเรียนอื่นเขาไม่มี เหมือนอย่างโรงเรียนสัมมาสิกขามี คือเราได้เติมแถมเรื่องของธรรมะ พยายามมี ทั้งพี่ ป้า น้า อา ญาติธรรมต่างๆ มีทั้งสิกขมาตุ สมณะ ช่วยกันดูแลเรา อบรมคนละนิดคนละหน่อยพอสมควร กว่าจะจบม.6 เราก็ได้ไปไม่มากก็น้อย ที่เราจะได้ความรู้อย่างนี้ ยังมีการเป็นงานพาฝึกงานอีก จบออกไป 6 ปี พวกเราสามารถ จบไปแล้วไม่ต้องเรียนต่อชั้นอะไร ก็สามารถทำมาหากินจากความรู้ที่ได้จากที่นี่ มีการงานที่เป็นอาชีพได้ มีความรู้เอาไปประกอบอาชีพตัวเองได้ เลี้ยงตัวเองได้ รักษาตัวเองรอด เป็นประชากรของประเทศ ที่ไม่ต้องเป็นภาระอะไรกับสังคมเขา ไม่ต้องเป็นภาระกับรัฐบาลอะไรมากมายเลี้ยงตัวเองรอด มีส่วนเหลือส่วนเกิน เผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่นได้ ก่อเกิดมาเป็นคนในโลกในประเทศที่ดี ได้รับการฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นคนดี

ที่หลวงปู่พูดนี้ ฟังดีๆแล้วจะเข้าใจว่าพวกเรานี้ได้เปรียบ พูดชัดๆก็คือได้เปรียบกว่านักเรียนข้างนอกเขามากมาย ที่หลวงปู่เห็นชัดๆว่าพวกเรา ที่มาศึกษาฝึกฝนอยู่ที่นี่ ที่ได้เปรียบ ในจุดที่ดีมากที่สุดคือ มีความปลอดภัย คำว่าปลอดภัยมีความหมายละเอียดลึกซึ้ง

สังคมข้างนอกทุกวันนี้ไม่ปลอดภัย มีแต่ภัยสารพัด ภัยทั้งวัตถุ ภัยเป็นทั้งพฤติกรรมมนุษย์ ความประพฤติของมนุษย์ ภัยทั้งสิ่งที่มันครอบงำจิตใจ ชี้ชวนชักชวน อยู่ข้างนอกรับสัมผัสแล้วเราจะถูกมอมเมาเยอะ ทั้งสังคมสิ่งแวดล้อม

อยู่ที่นี่ ทั้งที่พากันประพฤติ มันปลอดภัยมันได้รับการหลุดพ้น ถูกจัดมาสู่ที่สะอาดบริสุทธิ์ ที่ๆไม่ต้องรับเชื้อโรคเชื้อภัยอะไรของสังคมมนุษยชาติเขา อาตมามองเห็นอย่างนี้เด็กๆที่ได้รับโอกาสมาเป็นนักเรียนที่นี่โชคดีมากๆ แต่คนไม่ค่อยเข้าใจ คนมองตื้นเขินว่า ถ้าจะเอาเด็กลูกหลานของตัวเองมาเรียนที่นี่ ก็เห็นว่าที่นี่ไม่ตรง ไม่เหมือนกับส่วนตัวข้างนอกเขากลัวว่าลูกหลานจะเข้ากับคนข้างนอกไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่ร่วมกับคนข้างนอกเขาไม่ได้อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันไม่เป็นจริงเลย ในความระแวงอันนี้ เพราะว่าหลวงปู่ได้พยายามทำมา 20 กว่าปีแล้ว โรงเรียนเราตั้งมา เด็กเราก็จบออกไป 20 กว่ารุ่นแล้ว จนอายุ 30-40 เข้าไปแล้ว ก็ไม่เห็นว่าเขาจะอยู่กับโลกกับสังคมไม่ได้ เขาอยู่สบายด้วยซ้ำไป ถ้าไปตามตรวจสอบดูให้ดี ก็อยู่กันอย่างสบายอยู่กันอย่างเข้าใจสังคมเขา โลกเขา (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สังคมโลกเขาเป็นอย่างไร เรารู้เราเข้าใจแล้ว เราเองก็มีความเข้าใจที่เหนือกว่านั้นชัดเจนกว่านั้น อันนี้อาจจะเป็นรายละเอียดที่ไม่ค่อยรู้ตัว แต่มันได้จากที่นี่ไปจริงๆ เราจะรู้โลก อยู่ที่นี่ไม่ได้ขาดการรู้โลกหรอก เขามีเรื่องราวข่าวคราวเป็นอย่างไรพวกเราก็รู้หมด เหมือนกับคนข้างนอกเขารู้ พวกเราก็รู้ พวกเราจะถูกกันไว้บ้างในสิ่งที่ไม่ควรให้รู้ คือเรื่องเหลวแหลก เรื่องเลอะเทอะสกปรก เรื่องที่เราไม่ต้องไปแตะต้องรับรู้อะไรมัน ไม่มีประโยชน์มีแต่โทษภัย มีแต่ความเสื่อมต่ำ ป้องกันด้วยซ้ำไป อันนั้นไม่จำเป็นจะต้องรู้ ไม่ต้องไปสัมพันธ์อะไรสัมผัสอะไร ให้แปดเปื้อนเราจะโดนเชื้อโรคได้

ที่หลวงปู่ทำโรงเรียนนี้ขึ้นมา

1. ต้องการช่วยประเทศชาติ ด้วยการให้การศึกษาแก่เยาวชน เหมือนรัฐบาล ต้องมีโครงการให้การศึกษาแก่เยาวชน หลวงปู่ก็มีความคิดเช่นนั้น ให้การศึกษาแก่เยาวชน

2. จะต้องให้คุณธรรมแก่เยาวชน โตขึ้นไปจะได้เป็นคนที่มีคุณธรรม นอกจากจะให้การศึกษาตามรัฐบาลกำหนด เรื่องคุณธรรมนี้ หลวงปู่เน้นให้ได้คุณธรรม นอกจากคุณธรรมแล้วจะต้องทำงานเป็น ชีวิตทำงานไม่เป็น มันมีความรู้เก่งเยี่ยมยอด แล้วมันจะไปรู้ทำไม มีความรู้แต่ทำงานไม่เป็น ดีไม่ดีไม่มีคุณธรรมด้วย เป็นมนุษย์อยู่ในสังคมโลกที่แย่ แย่มาก

หลวงปู่จึงพยายามทำประโยชน์ อธิบายมามากมายแล้วว่า หลวงปู่เป็นลูกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนจนกระทั่งเป็นเลือดเป็นเนื้อ อย่างที่พระพุทธเจ้าพาเป็นมา ติดตามมาไม่รู้กี่ชาติ ซึ่งก็คือชีวิตของคนซึ่งจะต้องเกิดอยู่ในจักรวาลนี้ ในกัปป์ ที่ตัวเองยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนแล้ว เราก็จะต้องมีคุณสมบัติ ที่เรียกสูงขึ้นไปว่ามีคุณธรรม สูงขึ้นไปอีกเขาก็เรียกว่ามีคุณวิเศษ ศาสนาพุทธมีคุณสมบัติ มีคุณธรรม มีคุณวิเศษ ถึงขั้นคุณวิเศษ

เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นคนแล้ว เราได้คุณธรรม คุณสมบัติ คุณวิเศษ อันนี้สุดยอดแล้ว โดยเฉพาะสูงสุดถึงขั้นอรหันต์

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เกิดมาเป็นคนควรได้ศึกษาไตรสิกขา

เกิดมาเป็นชีวิตเป็นคนแล้ว สิ่งที่ควรจะได้ก็คือคุณสมบัติคุณธรรมคุณวิเศษ ไม่มีอย่างอื่นดีกว่านี้แล้ว คนในโลกไม่รู้ เกิดมาเป็นคนแล้วจะได้อะไรก็บอกว่าได้เงินเยอะๆ ได้ยศสูงสุด ได้มีอำนาจ ได้รับการสรรเสริญเยินยอยกย่องเชิดชู เด่นโด่ง หรือได้รับความสุขที่ตนเองหลงเสพติดในความสุข สุขเละเทะไปกับอบายมุข สุขเพราะได้เสพกาม ในเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสสิ่งที่ต้องตาต้องหู สุขถึงภพชาติ รูปภพ อรูปภพในจิต

สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วเอามาให้เรียนรู้ ให้รู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้อย่าไปหลงเป็นทาสสิ่งเหล่านี้เลยจริงๆ เป็นมนุษย์ก็เท่านี้แหละ มันงมงายแล้วตกอยู่เป็นทาสอบายมุข ทาสกามโลก รูปโลก อรูปโลก มีเท่านี้แหละ หลุดพ้นจากโลกทั้งหลายเหล่านี้ก็สบายแล้ว ซึ่งหลวงปู่ เอาอันนี้มาสอน 30-40 ปีจะ 50 ปีมาแล้ว มีคนมาเรียนรู้ตาม แล้วได้มรรคผลได้คุณธรรม ได้ฝึกฝนตนเองไป ก็หลุดพ้นจากโลกอบายมุข โลกกาม หลุดมาได้เยอะแยะ หลุดมาได้จริงๆ โลกโลกธรรม รูปโลก อรูปโลก

ผู้ที่บรรลุได้หมดจริงๆก็เป็นอรหันต์ ผู้ที่ยังไม่หมดทีเดียวเหลือภายในก็เป็นอนาคามี ผู้ที่เป็นสกิทาคามี โสดาบันก็รู้ง่ายกว่ามีเยอะ สิ่งที่ควรจะมีคนจะเป็นได้มันมีแค่นี้แหละ ซึ่งก็ขอยาวไปอีกหน่อยว่า

ที่พระพุทธเจ้าเกิดมาจนเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องการจะช่วยคน ดีที่สุด ช่วยให้เขาพ้นความเป็นทาสทางอบายมุข ทาสโลกธรรม ทาสโลกกาม โลกรูปโลก อรูปโลก พูดคำศัพท์วิชาการ สั้นๆง่ายๆ ครบ ไม่มีอะไรดีกว่านี้เลย จะมีความรู้ทางโลกทางวิทยาศาสตร์อะไรต่างๆ มีไปเพื่อเป็นทาสโลก เพื่อรับใช้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เสร็จแล้วก็วนเวียนในนรกสวรรค์ แย่งลาภยศสรรเสริญ ได้มาก็เป็นสุขขึ้นสวรรค์ ไม่ได้มาก็เป็นทุกข์ตกนรก อวิชชาอย่างนั้นวนเวียนแย่งกัน ใครได้มากก็สมมุติว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิต ใครไม่ได้ถูกแย่งไปก็ทุกข์ ก็แย่งสมบัติโลกธรรม ก็เป็นสมบัติผลัดกันชมแย่งกันอย่างนี้ งมงายอยู่อย่างนั้น เขาก็ไม่หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งเหล่านี้และเอามาประกาศว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องลาภยศสรรเสริญ เป็นเรื่องทำความเดือดร้อนทำความทุกข์ให้แก่ตนเองและสังคม

ผู้ที่หลุดพ้นแล้วก็ไม่มีอะไรจะไปทำโทษภัยให้ใคร จะเห็นได้ว่าพวกเราไม่เป็นตัวที่จะไปทำโทษไปให้แก่สังคม ช่วยโลกไป เราไม่ไปก่อเรื่อง เราช่วยเขาลดเรื่องด้วยซ้ำไป ตามกาละอันควร นอกนั้นมีเวลาก็สอนสัจธรรมให้คนมาเป็นแบบนี้

โลกโลกียะใกล้กลียุค ใกล้โลกจะมีไฟบรรลัยกัลป์ ทางเทวนิยมก็บอกว่าน้ำจะท่วมโลก ก็คือโลกจะบรรลัยจักรกัน ไม่ใช่ว่าไฟจะไหม้โลก ไม่ใช่ว่าน้ำจะท่วมโลกอย่างนั้นหรอก

ศาสดาแต่ละองค์ก็พยายามช่วยคนให้พ้นทุกข์ แต่คำว่าทุกข์ตัวเดียวนี้ สุดยอดโลกุตระ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปที่คนอวิชชาไม่รู้จัก จึงเรียกว่าสุดยอดหัวใจของศาสนาทุกข์คือทุกข์อริยสัจ ก็สอนให้รู้ว่าทุกข์คืออะไร ในจิตของคนที่ยึดถือว่าเป็นทุกข์ แล้วก็สอนให้หลุดพ้นจากทุกข์ให้ได้เลย ก็อยู่เป็นสุขที่สุด ดีที่สุดแล้วไม่เป็นโทษภัยอะไรกับใครอีกเลย แล้วเป็นประโยชน์ด้วย เป็นประโยชน์แก่โลก

อย่างหลวงปู่พาคนมาศึกษาประพฤติ หลวงปู่ก็ทำให้พวกเราชาวอโศกนี้เป็นอย่างนี้ มีชีวิตอยู่เป็นประชากรของโลก เป็นพลเมืองของประเทศไทย มีความประพฤติอยู่ จนกว่าจะตาย อยู่กันอย่างเป็นประโยชน์ให้แก่โลก ไม่ได้เดือดร้อนแก่ผู้บริหาร จนตาย ไม่ไปเดือดร้อนกับเขา มีแต่ช่วยเหลือเฟือฟาย ไม่ต้องการอะไรมากมาย

สังคมประเทศทุกประเทศต้องการจุดนี้ทั้งนั้นจะเรียกว่าเศรษฐศาสตร์ จะเรียกว่าการเมืองรัฐศาสตร์จะเรียกว่าสังคมศาสตร์ก็คือจุดนี้จุดหมายอย่างนี้ ให้คนอยู่อย่างอยู่เย็นเป็นสุขไม่เป็นโทษภัยแก่กันและกัน อยู่อย่างประนีประนอมสามัคคีอะลุ่มอล่วยกัน อย่างที่ในหลวงท่านทรงตรัสไว้

พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ เด็กๆก็ฟังได้ เริ่มต้นจะประกาศท่านจะบอกอย่างนี้ ฟังพระพุทธเจ้าท่านจะบอกอย่างนี้

ท่านจะบอกว่า พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมพระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมาเขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.

 

พระพุทธเจ้าประกาศศีล สมาธิ ปัญญาในโลกมีเท่านี้ ผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสก็ออกมาปฏิบัติตามท่าน มาเป็นคนอย่างที่ท่านสอนมาเป็นมา อย่างนี้ดีก็มาปฏิบัติตาม มาเป็นคนไม่เป็นทาสโลก ทาสอัตตา มีความเป็นพลังงานที่พ้นจากความเป็นทาส เรียกว่าอธิปไตย รู้จักอำนาจของโลก อำนาจของอัตตา มีอำนาจธรรมะ เรียกว่าธรรมาธิปไตย อยู่เหนือโลก อยู่เหนืออัตตา

สรุป ธรรมะพุทธเจ้ามีเท่านี้ เด็กๆฟังให้ดี ไม่ได้ยากเย็นอะไรเกิน จะเข้าใจจะถึงเนื้อแท้แล้ว เข้าใจให้ได้ว่า ท่านสอนเป็นลำดับ

โลกชั้นต่างๆ โลกที่เราไปเกี่ยวข้องหมุนเวียนอยู่ ชั้นต่ำเรียกว่าอบายมุข เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ต้องไปลงทุนลงแรงเสียเวลาทุนรอน คนที่มั่วการพนัน มหรสพการละเล่น หลงเรื่องอะไรต่างๆที่มันไปแย่งชิง อยู่ในโลกของการที่จะเข้าไปสู่สังคมที่แย่งชิงเงินทอง หนักๆจัดๆ ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมหนักหัวสมองเป็นอบายมุขทั้งนั้น หรือผู้ที่คิดอ่านสร้างอำนาจครอบงำโลกและสังคมเพื่อเป็นใหญ่จะเป็นเจ้าโลก พวกนี้บ้าบออยากเป็นใหญ่ เขาไม่รู้ว่าเขาเองมีความคิดที่แย่ มันจึงหนักหนาสาหัสมาก

คำสอนพระพุทธเจ้ามีอยู่อย่างนี้ มาบอกมนุษย์ ประกาศให้มนุษย์รู้ ผู้ใดที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว ก็นำมาบอกกัน

รู้อย่างดี ทำตามพระพุทธเจ้าให้ได้แล้วเอามาบอก เอามาประกาศให้คนได้รู้ คำสอนพระพุทธเจ้านี้คนเข้าใจในยุคนี้ผิดเพี้ยนว่า บรรลุธรรมพระพุทธเจ้าแล้วอย่าเอามาบอกคนอื่น บอกแล้วจะไร้ประโยชน์ เป็นการสร้างบาปเป็นต่อ ไปโน่นเลย ในโลหิจสูตร

โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  .

พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง

(พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 358)

 

พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมพระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

 

อ่านคำตรัสของพระพุทธเจ้าแล้วก็เลยเติมตัวเอง หลวงปู่เคยบอกแล้วว่าหลวงปู่คือพระอรหันต์ด้วยความซื่อสัตย์จริงใจด้วยความจริง ตอนนี้มันเลยขั้นที่ว่าบอกไม่ได้ หลวงปู่เลยข้ามขีดนั้นมาแล้วใครจะมาติดใจก็ช่างเขา คนไม่ติดใจก็ฟัง ถ้าเห็นว่าอย่างนี้ควรฟัง แต่คนที่เขาไม่ฟัง เขาตีทิ้งก็เลิกไปเลย เหมือนกับโลหิจสูตร ที่พูดถึง ว่า บรรลุธรรมแล้วมาบอกคนนี้มันผิด ไม่ควร แล้วก็แล้วจบแล้วเสียเวลาทำไม หาห่วงใส่คอทำไม พระพุทธเจ้าตรัสบริภาษภิกษุสาติว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง

พูดตรงนี้ก็สังเวชใจสงสารผู้รู้ในประเทศไทย ที่ขึ้นมาแย้งอาตมาเปรี้ยงว่า รู้แล้วอย่ามาบอกใคร ใครบอกคนอื่นว่าบรรลุคือคนไม่บรรลุ พูดอย่างนี้เลย ก็เลยบอกว่าท่านองค์นี้คนนับถือกันทั่วประเทศทำไมพูดอย่างนี้ สงสารประเทศไทย เพราะเขานับถือคนผู้นี้จริงๆ ฟังแล้วก็รู้สึกสะดุดใจ เศร้าสร้อยใจ พูดด้วยโวหารนะ หลวงปู่ชาตินี้เกิดมายังไม่รู้จักว่าเศร้าโศกคืออย่างไร พูดจริงๆนะ ตั้งแต่เป็นฆราวาสจนมาบวช เขาเศร้าโศกกันเป็นยังไง

จะร้องไห้เพราะอะไรก็ยังนึกไม่ออก ร้องไห้เพราะอะไร ตอนเด็กถูกตีอาจร้องไห้ แต่ว่าโตมาแล้วไม่รู้ว่าจะร้องไห้เพราะอะไร ร้องสงสารปีติใจ ร้องไห้ อันนี้มี แต่ร้องไห้เพราะว่าเสียใจโศกเศร้าอันนี้ไม่มี ปริเทวทุกข์โทมนัสก็ไม่มีนึกไม่ออก พูดไปแล้วเหมือนคุยตัว ใหญ่โต มันเหมือนไม่ดี

หลวงปู่นี่ เกิดมาชาตินี้ เกิดมาพร้อมความจริง เอาสิ่งที่เป็นจริงเหล่านี้มาบอก บอกทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ หลวงปู่มา เป็นผู้ที่มีภูมิธรรมมาแต่ชาติก่อน แล้วจะเอาธรรมะอันนี้มาประกาศ สืบทอดธรรมะศาสนาพระพุทธเจ้า แล้วก็บอกถึงขั้นว่าเป็นหน้าที่ เป็นภาระที่รับภาระนี้มาด้วย ซึ่งถ้าผู้ใหญ่ฟังให้ดีจะเข้าใจว่า โอ้โห มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน เหมือนผู้ที่นอนอยู่บ้านเดียวกับพุทธเจ้า ตื่นเช้ามาก็ไปทำงานตามกิจการของบ้านนี้ ซึ่งก็จริง แต่คนที่ฟังเพ่งโทษ ไม่เชื่อถือก็รับไม่ได้ แต่หากคนไม่มีอคติก็จะเข้าใจ...อ๋อ..อย่างนี้หรือ... ก็จะได้มาก ยิ่ง ไม่มีอะไรติดใจก็จะเปิดใจรับได้มาก จิตเปิดจะรับได้มาก หลวงปู่ทำงานมา 49 ปีมีแต่ตั้งใจทำหน้าที่ตั้งใจประกาศตั้งใจบอกความจริงพูด ทั้งเขียน ทั้งที่จะสื่อสารต่างๆ

สมณะฟ้าไทว่า...เขาฟังว่าพ่อครูทำงานมา 40 กว่าปีไม่มีเรื่องมัวหมองในโลกีย์ มีแต่เรื่องการทำงานให้แก่สังคมทั้งนั้น

พ่อครูว่า...การทำงานให้แก่สังคมก็เป็นแบบอย่างที่ดี เช่น ไปประท้วง ผู้บริหารที่ไม่ดีก็ไปพูดไปอธิบายให้เห็นความไม่ดี

สมณะฟ้าไทว่า...ของคนอื่นถ้าประกาศอย่างนี้ ถ้าไม่จริงจะมีเรื่องราวอะไรตามหลังมาที่ไม่ดีมากมายแต่พ่อครูไม่มี

พ่อครูว่า...หลวงปู่ไม่เหมือนกับพระองค์ไหนอื่นๆ แม้แต่จะไปเสียเวลาสวดมนต์อ้อนวอนก็ไม่มี จะสวดก็เป็นเรื่อง พาทำ ก่อนเทศน์ก็สวดมนต์นำนิดหน่อย หรือเวลารวมตัวกันก็เอาคำประนามคาถาสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาสวดบ้าง แต่จะเอาธรรมะธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดพร้อมกันนั้น มันเป็นอาบัติมันผิด พระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้ พูดไปอย่างนี้เขาก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว

เขาบอกว่าศาสนาพุทธต้องเอาหัวใจอภิธรรมมาสวดกัน เป็นล้านจบ อะไรอย่างนี้ ไม่รู้จะพูดอย่างไรเพราะว่าเข้าใจผิดกันไปไหนต่อไหน กู่ไม่กลับ

สวดจำได้แล้ว ก็เพื่อมาใช้งานใช้ประโยชน์ ไม่ใช่สวดเพื่อก่อสร้างให้หลงความขลัง หนักเข้าก็สวดเพื่อหาเงิน พูดถึงตรงนี้แล้วจุก มันก็เลย ชีวิตถ้าสวดมนต์เจ็ดตำนานสิบสองตำนานไม่ได้อยู่ไม่รอดนะ เป็นพระไม่รอด หากินไม่ได้ มันเลยกลายเป็นอย่างนั้นฟังแล้วน่าเศร้าจริงๆเลย ศาสนาพุทธนี้

ศาสนาพุทธมี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทั้งเบื้องต้นและที่สุด เรียกว่าไตรสิกขาอยู่ตรงนี้ ฟังดีๆ อธิบายให้เด็กๆฟัง ต่อไปจะตอบปัญหา

 

SMS วันที่ 13 กค. 2561 (พ่อครู : ราชธานีอโศก)

 

_8130ดิฉันติดตามฟังธรรมพ่อครูตั้งแต่สมัยชุมนุมจนถึงปัจจุบันนี้ฟังเป็นประจำและดูรีรันช้ำ จึงไม่เถียงไม่ถามฟังธรรมอย่างเดียว สมณะฟ้าไทบอกว่าถ้าใครฟังอยู่ทางบ้านควรแจ้งให้รู้บ้าง ดิฉันจึงส่งSMS มา เป็นกำลังใจ จากปิ่นทองอโศก จ.เพชรบุรี

 

_คนที่เคยได้ทำงานร่วมกัน แม้จะต่างศาสนากัน ในอดีตเคยมีภพชาติร่วมกันไหม

พ่อครูว่า...ตอบตายตัวคงไม่ได้ สังคมโลกคงไม่ได้ปิดกั้น นอกจากบางศาสนาที่เคร่งครัด บอกว่า นับถือศาสนานี้แล้วอย่าไปคบกับคนศาสนาอื่นเลย มันจะมีไหม ไม่ว่าศาสนาไหนก็ไม่เคยเห็นจะห้าม เป็นแต่เพียงลึกๆหน่อย อย่าไปคลุกคลีอย่าไปคบกับนักบวช ศาสนาที่ถือตัวหน่อยก็บอกว่าอย่านะ ไม่ให้มาใกล้นักบวช เพราะถือว่าเป็นตัวแทนศาสนา แต่ฆราวาสนี้คบกันไปได้ ไม่มีปัญหาอะไร

_บ้านเล็กเมืองน้อย...กราบนมัสการ พ่อท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูง

 

ความเมตตาของพระโพธิสัตว์ที่ควรปฏิบัติตาม

 

"....Great Pretender ไม่ว่าจะเป็นยันตระ ทักษิณ แม้แต่ธัมมชโย หรือไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

แม้จะเสแสร้ง ดราม่าอย่างไร แต่ถ้าเขาแสดงความจริงความรู้ที่สัมผัสได้ออกมา ณ ปัจจุบัน มันก็ต้องชื่นชม แม้จะเพียงแว่บเดียว...."

พ่อท่านได้เทศน์ไว้ เมื่อวันพุธที่ 11 กค.

ฟังแล้วเกิดความประทับใจเป็นอย่างมาก จึงกราบขออนุญาตขยายความเพิ่มดังนี้

 

ในโลกโลกีย์สามานย์อย่างทุนนิยม ย่อมจะเต็มไปด้วยนักฉวยโอกาส หลอกลวง และฉ้อฉลเป็นธรรมดา

จึงเป็นเรื่องน่าทึ่งอย่างมาก เมื่อมีผู้ไม่แคร์ว่า จะถูกสังคมเข้าใจผิด

ขอเพียงแลกมาซึ่งโอกาสให้แก่คนไม่ดี ได้พัฒนาตนเป็นผู้ที่เจริญขึ้น

ไม่แคร์แม้กระทั่งถูกหาว่า เป็นคนโง่เง่า ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ที่เจ็บแล้วไม่จำก็ตาม

แต่แท้ที่จริงแล้วคือยอดคน ผู้ไม่กลัวถูกหลอก ไม่กลัวเสียหน้า ที่ความสูงส่งของเมตตา หาค่าวัดไม่ได้

 

แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณอันสุดประเสริญ ของโพธิสัตว์ผู้เจริญยิ่งด้วยเมตตา

ที่มองแต่ปัจจุบัน ไม่สนอดีต ไม่ปรุงอนาคต จึงไร้อคติไม่เพ่งโทษ ให้โอกาสเสมอแก่ผู้กลับใจ

ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใด ที่ทำชั่ว ทำผิดพลาด ถ้ามีการปรับปรุงแก้ไขจนเห็นเป็นประจักษ์ชัด

ย่อมได้รับโอกาสจากท่านอีกครั้งเสมอ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่มีลำเอียง

มหาพลังเย็นแห่งเมตตา ที่โอบอุ้มโลกไว้นี้ เป็นทั้งแบบอย่างที่งดงาม และเป็นทั้งแรงบันดาลใจชั้นยอดให้แก่ผู้คน

เปรียบเหมือนแม่พิมพ์ที่ประทับลงสู่จิตวิญญาณ จนเกิดแรงดลใจ ที่ต้องการจะยกระดับจิตใจตน ให้เพิ่มอธิศีล เติมความเมตตาลงสู่จิต ให้มากขึ้นเป็นลำดับ

 

วิธีคิดที่อยู่กับความจริงในปัจจุบันของท่าน สมควรอย่างยิ่งที่จะนำมาปฏิบัติตาม

เพื่อพัฒนาตนให้มีจิตใจที่เมตตาต่อผู้อื่น ในทุกปัจจุบันขณะ โดยปราศจากการปรุงแต่งใดๆ

" ด้วยความไม่กลัวจะเสีย จึงมีแต่ได้ และได้ยิ่งขึ้น "

คิดแบบท่าน ทำให้ไม่ข่มเหงกันด้วยสัญญาในอดีต.... ไม่คาดโทษเพราะปรุงอนาคต.... ไม่เพ่งโทษเพราะต่างจริต.... ไม่อคติที่ไม่ถูกชะตา....

เลิกยกตนข่มท่าน หันมาเคารพซึ่งกันและกัน ยอมลด ego แล้วสลายอัตตา อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ อะลุ่มอล่วยเข้าว่า มีเมตตาต่อกันและกันเสมอ

พ่อครูว่า...อาตมาประกาศว่าไม่มีตัวตนแล้วเขาก็หาว่าอาตมายกตนข่มท่าน ฟังแล้วมันก็ขัดกันนะ 1.เขาไม่เชื่อว่าอาตมาหมดตัวตน เขาบอกว่าอาตมามีตัวตนเบ้ง ไปยกตนข่มไปทั่ว

 

เริ่มต้นด้วยมีเมตตาต่อผู้ที่ยังเข้าใจผิดอยู่ เมตตาต่อผู้ที่เห็นต่าง ต่อผู้มีเหตุผลที่ขัดแย้ง ต่อผู้ที่ติติงห้ามปรามแรงๆ

ต่อผู้อ่อนด้อยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต่อผู้ที่ช้ากว่าตามไม่ทัน ผู้ที่ยังคิดไม่ได้ ต่อผู้มีความยึดที่เหนียวแน่นกว่า

เมตตาแม้กระทั่ง ผู้ที่ยังต้องการเอาชนะคะคาน ที่เห็นแก่ตัวเองเป็นใหญ่ ต่อคนขี้อิจฉา มากริษยา ต่อวิญญาณที่ยังเสพโลกธรรมไม่รู้จบ.....

 

เมตตามากๆ จนทลายกำแพงแห่งความมิจฉา ทำให้เขาเหล่านั้นเกิดความละอายใจ ปัดเป่าเมฆดำแห่งอวิชาให้พ้นไป

ผลักดันความละอายใจ ให้เปลี่ยนเป็น ความตั้งใจอย่างแรงกล้า ที่จะไม่ทำผิดพลาด ทำเลว ทำชั่ว ซ้ำอีก

เพิ่มความสังวรในศีล จนมีภูมิรู้มากพอที่จะแสดงเมตตาจิตกลับคืนแก่ผู้อื่นได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

สันติธรรมจึงจะเกิดแก่มวลมนุษยชาติได้อย่างแท้จริง

 

พ่อครูว่า...มีเรื่อง ครน. หรม. คนนี้เขียนมาลึกซึ้ง แต่ยังไม่พูดตอนนี้ มาพูดกันส่วนตัวดีกว่า อาตมาเอาภาษามาใช้แทนสภาวะทางธรรม ครน.หรม. ทางนี้ ก็เอาคณิตศาสตร์มายืนดู อาตมาก็หัวหมุน

 

ต่อไป ตอบปัญหาเด็กนักเรียน

 

_หลวงปู่คิดยังไงคะ ที่จะสร้างที่นี่ขึ้น หลวงปู่คิดว่าหลวงปู่จะอยู่อีกกี่ปี

พ่อครูว่า...ดีนะถามมาดี ที่หลวงปู่สร้างที่นี่ขึ้นก็คิดจะให้เป็นแผ่นดินพุทธ ขึ้นป้าย ตัวหนังสือบนหลังคา จะสร้างให้เป็นแผ่นดินพุทธ จะประกอบไปด้วยอะไร ประกอบไปด้วย เสนาสนะ บุคคล อาหาร ธรรมะ

จะสร้างให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ มีเสนาสนะหมายถึงมีสิ่งแวดล้อม ที่ดิน มีอาคาร มีสิ่งแวดล้อม มีต้นหมากรากไม้ ภูเขาลำธาร สิ่งประกอบเป็นนิเวศวิทยาทั้งหมดเรียกว่าสถานที่ สัปปายะ ให้น่าอยู่ อยู่ได้ดี ตั้งใจอย่างนี้

บุคคล จะให้บุคคลมาอยู่ที่นี่ เป็นบุคคลที่มาพัฒนาตัวเอง อยู่กันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข มีความเจริญเป็นผู้ประเสริฐ จนกระทั่งเป็นอรหันต์ได้นั่นแหละ

เครื่องอาศัยคืออาหารตั้งแต่ กวฬิงการาหาร คืออาหารคำข้าว เลี้ยงตัวเองให้ดี ไม่มีพิษภัยมีประโยชน์คุณค่า กินแล้วสุขภาพดีมีชีวิตเจริญไม่เจ็บป่วย มีอายุยืนยาว เราก็สร้างขึ้นมาให้อาศัยกัน

ผัสสาหาร มีการอยู่ร่วมกันแล้วมีผัสสะ กระทบกันไปกันมาจะมีสิ่งที่ควรศึกษาให้รู้ ผัสสะ จะมีการรู้ ผัสสาหาร มีเวทนา 3 มี ทุกข์ สุข ไม่สุขไม่ทุกข์

คนมาอยู่ที่นี่มีอาการ เกิดสัมผัสแล้วเกิดสุขทุกข์ ก็มาสอนให้รู้สึกทุกข์ให้ชัดเจน จนกระทั่งอยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา

มีมโนสัญเจตนาหาร เจตนา มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ให้รู้เท่าทันอาหารเหล่านี้แล้วเลิกการเป็นทาส กาม ทาสภพ จนเป็นวิภวภพ

มีวิญญาณาหารคือ ธรรมะ 2 มีรูปกับนาม

มีสถานที่ที่น่าอยู่ มีบุคคลที่อยู่กันอย่างอบอุ่นมีประโยชน์แก่กันและกันมีอาหารให้อาศัย มีผัสสาหาร แล้วมี เจตนา ไม่ทำเจตนาที่มีทุกข์ภัย ล้างเหตุที่ทำทุกข์ภัยให้หมด ด้วยวิญญาณาหาร คือธรรมะ 2

ธรรมะก็มีธรรมะ โลกียธรรม โลกุตรธรรม อย่างที่หลวงปู่พาทำ

สร้างที่นี่ขึ้นเพื่ออันนี้

 

_หลวงปู่คิดว่าหลวงปู่จะอยู่อีกกี่ปีคะ

พ่อครูว่า...ปีนี้ 84 หลวงปู่จะอยู่ 151 ปีลองลบตัวเลขดู หลวงปู่จะอยู่อีก 67 ปี ถึงไม่ถึงไม่รู้แต่จะอยู่ให้ตามเจตนา ตามผลที่คิดว่าควรจะได้ ก็ 151 ปี

 

_หลวงปู่รู้ไหมครับว่า...ใครเป็นคนเรียบเรียงพระไตรปิฎกครับ

พ่อครูว่า...ตอบ พระมหากัสสปะ เป็นผู้ทำสังคายนาเรียบเรียงไว้ โดยที่พระมหากัสสปะเป็นประธานมีพระอรหันต์ 500 รูปร่วมสังคายนา แล้วก็ท่องจำกันต่อมา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิวรณ์ 5) ตอน ทำอย่างไรจะสลัดความง่วงตอนตื่นนอนได้

_แล้วทำอย่างไร จึงจะสลัด ความง่วงตอนพึ่งตื่นนอนครับ

พ่อครูว่า...หลวงปู่ปฏิบัติมาจนกระทั่งจับตัวที่มันพาให้ง่วงได้ ตัวที่ทำความง่วงนี้ มันชื่อว่าความงัวเงีย จับอาการงัวเงียให้ได้ แล้วฆ่ามันให้ได้

อาการความงัวเงีย พอตื่นนอนขึ้นมาจะมีอาการนี้ อย่าให้มันเกิดในจิต อาการตัวนี้ หลวงปู่จับอาการนี้ได้จริงๆแล้วทำให้ดี สลัดอาการนี้ที่อยู่ในใจ ออกไป สลัดทิ้งไปเลยมันจะใส สติจัดเต็มแล้วก็จะสว่าง ความงัวเงียนี้ให้ออกไป จับความงัวเงียให้ได้แล้ว ดีด ความงัวเงียเอาไปจากใจเรา ปึ๊งเลย สติสว่างแจ่มใสสบาย จริงๆนะอ่านอาการงัวเงียนี้ให้ออก

อาตมามีเพื่อนที่บอกว่า เสียดายความงัวเงีย ไม่อยากให้หาย พยายามรักษาอาการนี้ไม่ให้หาย ตอนเดินไปปัสสาวะ เราก็เห็นชัดว่า เจ้านี่เป็นทาสความงัวเงีย มันติดรสความงัวเงีย อันนี้มันหลอกเรา เด็กๆรู้ตัวไหม นั่นล่ะ ถ้าเรารู้สึกว่าตอนตื่นนอนมีอาการงัวเงีย เราก็บอกว่ามันเป็นผีร้ายอย่าให้มันมี ดีดออก จบเลย หาย ทำจริงๆ ฝึกจริงๆแล้วหายจริงๆ ประคองไว้ก็โง่ตาย ไปชอบมัน มันเป็นสวรรค์เก๊ เวทนาเก๊

หลับคือหลับ ตื่นคือตื่นสว่าง เปลี่ยนภพที่เราไม่ใช่ทวาร 5 ไปอยู่ในทวารใน ออกมาก็สู่ทวาร 5 รู้ครบทวาร 6 เท่านี้เอง ตื่นกับหลับมันก็มีสองภพ ไม่มีอะไรไม่มีงัวเงีย หากงัวเงียอยู่เป็นทุกข์ เป็นสวรรค์เก๊ ได้ก็มีสุขไม่ได้ก็มีทุกข์ ไปแก้ไขอาการที่ว่านี้ให้ได้

สลัดอันนี้ออกนะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทำอย่างไรจะไม่หวั่นไหวง่าย

_ทำอย่างไรเราถึงจะไม่หวั่นไหวง่ายๆครับ

พ่อครูว่า...คนที่จิตไม่หวั่นไหว คือ คนที่มีจิตที่ได้สร้างจิตให้รู้เท่าทันโลก แล้วก็อยู่เหนือโลกแล้วก็สร้างความอยู่เหนือโลกให้เป็น อเนญชา เป็นความไม่หวั่นไหวต่อโลกแม้จะมากระแทกกระทุ้งอย่างไร นี่ตอบเป็นวิชาการ

1. ฝึกให้รู้จักกิเลสแล้วฆ่ากิเลสเรียกว่า ปุญญาภิสังขาร

2. ฆ่ากิเลสหมดก็เรียกว่า อุปญญาภิสังขาร ก็คือ คนปรุงแต่งจิต จะสังขารโดยไม่ต้องฆ่ากิเลส เพราะกิเลสไม่มีให้ฆ่า บาปไม่มีให้ฆ่า บุญก็ไม่ต้องใช้ก็เป็นคนที่สังขาร ว่างๆ เปล่าๆ เรียกว่าเนกขัมมสิตอุเบกขา คนนี้ทำเวทนาเป็นกลาง ปรุงแต่งก็เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา

แล้วอุเบกขา เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อล้างกิเลสออกเรียกว่าเนกขัมมะได้หมดแล้วไปสู่ความเป็นอุเบกขา กิเลสไม่มีแล้ว ความรู้สึกที่เป็นเวทนา เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา

จึงเอาอุเบกขามาสร้างที่จิตตน เมื่อมีผัสสะมากระทบ ก็ทำได้อุเบกขาให้ได้ต่อเนื่องเรียกว่า อเนญชาภิสังขาร ทำให้มันไม่หวั่นไหว

ไม่หวั่นไหวต่ออะไรทั้งนั้นในโลกที่มากระทบสัมผัส ทุกปัจจุบันที่เราทำให้ไม่หวั่นไหวได้ ไม่มีช่องว่างในทุกปัจจุบันคนนี้ก็ อเนญชา เป็นพระอรหันต์แน่นอน คนนี้เป็นคนที่เป็นอรหันต์เลย

ทำจนกว่าจะได้ที่อธิบายนั้นอาจยาก เป็นวิชาการของพระอรหันต์นะ

ไม่มีคำอื่นจะอธิบาย จะตอบแบบโลกธรรมดาไม่หวั่นไหวอย่างสะกดจิต สู้มัน มันจะเป็นอย่างไร ก็ทำกำแพงจิตเราให้เข้มแข็ง สู้กับมันอย่าอะไรกระทบอย่าให้หวั่นไหวก็เป็นวิธีอย่างโลกียะเขาสอนกันเท่านั้นเอง ซึ่งมันไม่หายหรอก มันทำได้สร้างกำแพงมาสู้ แล้วมันก็ไม่เที่ยงสักวันมันก็เมื่อยมันก็เสื่อม แต่ถ้าอย่างนี้ได้นิรันดร

 

_การอ่านใจตัวเอง ผมก็พออ่านออกครับ บางเหตุการณ์ว่ารู้สึกอย่างไรแต่ยังหาความคิดที่จะอยากจะแก้อาการจิตไม่ได้ครับ

พ่อครูว่า...มันต้องอ่านออกสิ เวลาใจเรารู้สึกว่าสนุกเราอ่านออกไหม ใจเรารู้สึกว่าไม่สนุกเศร้าหมองอ่านออกไหม ใจเรารู้สึกว่า ออกกำลังอร่อยอ่านออกไหม กำลังกินอะไร อันนี้มีลำไย มีส้มโอ บนโต๊ะนี้ การจะแก้อาการจิตนั้นไม่ง่าย มันยากพอสมควรก็ค่อยๆเป็นไป เรียนรู้กันไปแล้วจะค่อยๆเข้าใจ อยู่ที่นี่เรียนรู้อันนี้ไม่ต้องห่วง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน เมื่อมีจิตโมโหจะทำอย่างไรดี

_ถ้าเรามีจิตที่ไม่ดี รู้สึกโมโห หนูจะทำอย่างไรคะ จะแก้ข้อบกพร่องตรงนี้อย่างไร

พ่อครูว่า...หลวงปู่เคยบอกสอน โมโห แปลว่าเรามีความโลภ มาจากโมหะ แต่ภาษาไทยใช้แทนความโกรธ เปลี่ยนภาษาที่ผิดเพี้ยนไปแล้วก็เอาตามความหมายนี้ก็แล้วกัน เมื่อเราเกิดอาการโกรธเกิดขึ้นที่จิต ไม่ต้องคิดอะไรเลย อาการนั้น ยกยวงออกไปข้างเดียวเลยไม่ต้องมีค่าในใจเรา เหมือนความงัวเงีย มีแต่โทษ มันจะพาเราทำไม่ดีไม่งามทำความชั่วจึงไม่ต้องไปวิเคราะห์วิจารณ์อะไรเลย อาการนี้เกิดในจิตแล้วมันดีหรือไม่ เอาไว้ ไม่ควรเอาออก ให้คนเอาออกอย่างแรงเลย ใช้ภาษาอังกฤษว่า Kick it out ดีดมันออกไปได้เลย

จะออกไปอย่างไรก็ต้องฝึก ไม่ต้องมีเหตุผลอะไรที่จะต้องเลี้ยงมันไว้ในจิต

 

_เวลา ทำไมถึงรู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่ ตั้งแต่สมัยไอน์สไตน์ตอนนั้นมีเวลาหรือเปล่าคะ และประเทศอังกฤษลอนดอนเอาเวลามาจากไหน เขารู้ได้อย่างไรว่า 1 นาทีต้องใช้ 60 วินาที  

พ่อครูว่า...เวลามันไม่มีอะไรหรอกคนมาจับเวลาเอง เวลามันก็อยู่กับโลกหมุนไปเช้าสายบ่ายเย็นเท่านั้นเอง แด่คนพยายามมาตั้ง เกณฑ์ มันยาวเท่านี้ก็แบ่งเรียกชั่วโมง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงแบ่งประมาณนี้ แล้วก็ตั้งตัวเลข ทำไมถึงรู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าใด ก็มาตั้งกันแบบนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วโลก อยู่ตรงไหน จากพระอาทิตย์กับโลกมันส่องแสงมาหากัน เขาก็จับ ความเป็นปกติของการเวลาที่มันหมุนเวียนตลอด มันมีทศนิยมที่ต่างกันไปบ้าง เขาก็ทดไว้ แล้วประมาณเอาเป็นชั่วโมงนาทีวินาที ถึงเรียกอันนี้ว่านาฬิกา บอกเวลา 

คนตั้งหลักเกณฑ์เวลาคือใครก็ไม่รู้ ก็ตั้งหลักเกณฑ์จากพระอาทิตย์กับโลก แต่จะรู้ไปทำไม เขาทำมาให้ก็ใช้ไปเถอะเป็นประโยชน์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ด่าคนในใจกับต่อหน้าอันไหนบาปกว่ากัน

_การด่าคนในใจ กับต่อหน้า ด่าแบบไหนบาปกว่ากันคะ

พ่อครูว่า..บาปทั้งคู่ มันมีแรงเบา โกรธแค้นเคืองหนักมิติหลายมิติ จะมากหรือน้อยก็บาปก็แล้วกัน อย่าไปทำ ไม่ดี รู้ดีๆนะ อย่าไปด่าใคร ตำหนินี้ไม่ใช่ด่า ด่าคือจิตโกรธ แต่ถ้าตำหนิแรง ดังตำหนิหนัก ตำหนิถูกหน้าเลย โดยจิตไม่มีความโกรธ โลภ มีแต่ความปรารถนาดี ให้เขารู้ว่าจะได้แก้ไข เพราะฉะนั้นคำว่าด่า อธิบายนิยามให้ฟังแล้ว อย่าโกรธแต่ตำหนิได้ จะไปตำหนิเขาทำไม แล้วตำหนิในใจด้วย ที่ว่าด่านี้ ก็ไม่มีอารมณ์โกรธ ถ้าเราไม่มีอารมณ์โกรธอารมณ์รักอะไรแล้วมีแต่ความจริงใจปรารถนาดี เราก็ตำหนิเขาในใจ ตำหนิเขาในใจเขาได้ยินไหมล่ะ ตำหนิให้เสียพลังงานไปทำไม เพราะเขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ตัว เราก็ไปตำหนิเขาเฉยๆ เหมือนหลวงปู่นี่ตำหนิพูดออกมาแรงและดังเลย ตำหนิในใจเสียพลังงานทำไม

เราตำหนิคนในใจไหม เราก็รู้แล้วผ่านเท่านั้น เรารู้แล้วว่าคนนี้มีข้อด้อยอย่างไรก็ผ่านในใจ ก็จำไว้ ถึงเวลาเราจะได้พูดได้บอก คนนี้ นึกออกว่าคนนี้น่าตำหนิ แล้วก็จำไว้ ถึงเวลาก็จะพูด แต่ถ้าไปตำหนิในใจมันก็ไม่ได้ประโยชน์ไม่ได้อะไร ก็ไม่ได้ตำหนิ รู้ว่าคนนี้บกพร่องอย่างนี้ ในใจเรากำหนดไว้ เมื่อถึงเวลาควรจะบอกเขาก็บอก บอกตรงๆไม่ได้ก็ฝากผ่านไปให้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ทำไมต้องมาจนด้วย

_ทำไมต้องมาจนหรือคะ

พ่อครูว่า...การมาจนเป็นการมาทำดี คนที่ทำตัวเองให้จนได้แล้วก็เป็นความสุข เป็นคนจนที่มีความสุข เป็นคนจนที่มีประโยชน์ เป็นคนจนที่มีคุณค่า มีสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐ เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนที่ไม่บกพร่องอะไรเลย เป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียร รู้จักงานที่ควรทำก็ทำ รู้จักพักรู้จักเพียร เป็นคนจนที่ยอดเยี่ยม แล้วทำไมต้องมาเป็นคนจน เพราะในสังคมนี้คนแย่งกันรวย แล้วไปแย่งเขาทำไม มาจนนี่ไม่ต้องแย่งใช่ไหม เมื่อย ดีไม่ดีตีกันด้วย

หลวงปู่จึงพาคนให้มาจนไม่ต้องไปแย่งเขา ถึงได้สบาย เพราะเราเป็นคนจนที่ประเสริฐเป็นคนจนที่ดี เป็นคนจนมหัศจรรย์ เป็นคนจนขยันหมั่นเพียร รู้จักการงานที่ควรทำอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ อะไรไม่ควรทำอย่าไปเสียเวลา คนทำก็ทำก็เลยมีแต่คนดีมีแต่ผลประโยชน์ที่จะได้อาศัยเกิดขึ้นทั้งนั้น แล้วไม่เป็นพิษภัยต่อสังคม ไม่เป็นพิษภัยต่อประเทศ ไม่เป็นพิษภัยต่อโลกด้วย ถึงยิ่งใหญ่ มาเป็นคนจนนี้ยิ่งใหญ่ เป็นคนรวยนี้ชั่ว พอคนรวยนี้ไปแย่งเขา เก็บกักตุนเอาเปรียบเอารัดเขาจึงได้รวย ที่พูดความจริงพูดสัจธรรมไม่ได้ไปด่าใคร หลวงปู่เข้าใจเช่นนี้จึงไม่ไปร่ำรวย แต่ก่อนหลวงปู่ก็หลง เกิดมาโลกก็ครอบงำให้ไปหาความร่ำรวย สะสมอยู่พักหนึ่ง ก็พอทำมาหาได้อยู่ ไม่ได้ด้อยกว่าเขาเท่าไหร่ เราไม่ได้มีศักดิ์ศรีสูงอะไร ก็หาเงินได้มากพอ ขนาดตอนอายุ 20 30 หลวงปู่หาเงินได้ในยุคโน้น 50 กว่าปีที่แล้ว หลวงปู่อายุ 20 กว่า 30 หาเงินได้เดือนนึง 20000 นายกรัฐมนตรีเงินเดือน 8500 ก็ไม่ได้ด้อย ทำด้วยสุจริตเพราะหลวงปู่ขยันทำมาหากิน สอนหนังสือหลายโรงเรียน ทำงานเหน็ดเหนื่อย หาเงินซอกๆๆๆ หลวงปู่หาเงินมา ไม่ค่อยได้ใช้แต่เลี้ยงน้อง 6 คน หลวงปู่เลี้ยงน้องนี้ยากกว่าเลี้ยงลูกนะ ก็ตั้งแต่เรียนไม่จบก็หาเงินส่งตัวเองเลี้ยงน้องอยู่ ทำงานหนัก ไปอยู่ในโลกมีวิบากทำงานอยู่ 12 ปี เมื่อย ตั้งแต่วันนั้นมาถึงวันนี้ไม่เอาแบบนั้น มาเป็นคนจน แล้วมาฟื้นฟูภูมิเก่าพระพุทธเจ้าสอนเราอย่างนี้เอง พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีวรรณะ 9 ให้เป็นคนจน

วรรณะก็คือ the classes ไม่ใช่ The masses ซึ่ง the classes คือคนชั้นสูง ไม่ใช่แบบไฮโซนะ แต่เป็นคนชั้นสูงที่มีหลัก 9 หลัก

วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

หลวงปู่ถ้าให้คนเป็นคนแบบนี้หลวงปู่ประสบความสำเร็จแล้ว แม้แต่ว่าหลวงปู่จะถูกพุทธกระแสหลักต่อต้านอย่างไรก็ทำได้สำเร็จ

ยืนยัน ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ หรือ ผู้ใดพบผู้ที่พาทำ พบ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

หลวงปู่สอนให้รู้โลกนี้ ที่หมุนเวียนอยู่กับสุขทุกข์ ไปสู่โลกหน้าที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หรือมีลดลงเรื่อยๆ ผู้ใดที่บรรลุมากขึ้นวันหนึ่งๆก็ไม่เห็นจะทุกข์อะไร สบายๆทำงานทำการให้เป็นประโยชน์ไปเรื่อยๆ

สิ่งเหล่านี้หลวงปู่ทำงานกับมนุษย์ เกิดผล ให้คนบรรลุธรรมได้พอสมควร ทั้งๆที่ในยุคนี้เขาก็บอกกันว่าผู้บรรลุธรรมไม่มีแล้ว มนุษย์ทำไม่ได้ เขาพูดก็ถูกของเขาเพราะเขาไม่รู้เขาไม่มีทางเขาไม่เชื่อเลยว่าบรรลุได้ แต่หลวงปู่ว่ามันเป็นไปได้ถ้าพระพุทธเจ้ายังอยู่ แม้ว่าธรรมะพุทธเจ้าเขาเข้าใจผิดเพี้ยนไปแล้ว หลวงปู่ก็เอาธรรมะมาอธิบาย เอาพระไตรปิฎกมายืนยันสิ่งที่ถูกต้อง ก็มีคนเข้าใจแล้วมาทำตามจนประสบผล หลวงปู่จึงเป็นคนที่ประสบความสําเร็จในชีวิต ให้คนมีวรรณะ 9 ให้คนมาจน จนสำเร็จ เอาว่า คนที่ชื่อปรารถนา มาชื่อปรารถนาจน ได้สำเร็จ

คนที่สอนศาสนาทุกวันนี้ สอนแต่ให้คนมีภพสวรรค์มีภพชาติ เป็นวิมานไปหมด น่าสงสารศาสนาพุทธที่ได้ผิดเพี้ยนไป

 

_หนูอยากให้หลวงปู่เล่าชีวิตประจำวันค่ะ

พ่อครูว่า...จะรู้ไปทำไม 1. หลวงปู่ 6 โมงก็ตื่นนอน ตื่นนอนก็รู้ออกจากที่นอน ลุกจากที่นอนก็มานั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง นั่งเก้าอี้เขาก็เอาน้ำเยี่ยวมาให้ดื่ม จอกหนึ่ง นี่คือชีวิตประจำวัน นี่เรื่องจริงนะ แล้วก็นั่งพูดธรรมะกัน พวกเราหลายคนก็มานั่งรวมกัน หลวงปู่กว่าจะลุกก็คือปวดอึ ก็ลุกไป พอลุกไปจากเก้าอี้นี้ก็เข้าห้องทำงาน ก็มีกล้องบันทึกทั้งนั้น

หลวงปู่จะไปไหนมาไหนก็มีเครื่องบันทึกเสียงไว้หมด ไม่ได้มีความลับอะไร ขนาดเข้าไป ขี้เยี่ยวตดดังก็อัดไว้หมดตลอดเวลา แต่ยกเว้นไม่บันทึกภาพในห้องน้ำเท่านั้นเอง ส่วนเสียงนั้นบันทึกหมด ออกจากห้องน้ำก็บันทึกตลอด เพราะฉะนั้นไม่มีโอกาสทำชั่วเลย มันดีจริงๆ เกิดมาชาตินี้ มีคนระแวดระวังให้ทำชั่วไม่ได้เพราะเขาบันทึกไว้หมด ทำชั่วไม่ได้ทำชั่วโดนเลย ต่อจากนี้อีกยาว เอาแค่นี้ก่อน

พอจากเข้าส้วมแล้วก็เข้าห้องทำงาน แล้วก็มานั่งฉันข้างล่าง ไปเดิน แล้วเขาก็ให้นอน ตื่นมาก็นั่งทำงานจนกว่าจะนอนอีก

 

_สันติอโศกเคยโดนระเบิดใช่ไหมคะ เมื่อไหร่

พ่อครูว่า..ใช่ จำวันที่ไม่ได้  (คนบอกว่า 22 ก.พ. 2549)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ชุดนักบวชหญิงชาวอโศกเป็นมาอย่างไร

_หลวงปู่เคยบวชให้นักบวชจริง แล้วโดนตำหนิว่าให้ผู้หญิงเดินตามหลังแล้วใส่จีวรสีเหมือนพระมันไม่สมควรแล้วหลวงปู่จัดการอย่างไรคะ

พ่อครูว่า...ไม่ได้ห่มจีวร ห่มเหมือนแม่ชีมีเสื้อแขนกระบอก แต่ย้อมสีกรัก ไม่อยากใช้สีขาวเหมือนแม่ชี ชุดเดียวกับแม่ชีเลย มีเสื้อแขนกระบอกมีเสื้อคอกลม มีผ้าสไบ เมื่อเขาท้วงก็เปลี่ยนเลย เอาสีเทามาคลุม ชุดเหมือนกันเท่านั้นเอง ตอนหลัง ออกแบบเป็นเสื้อคลุมหมดเลย เหมือนพระจีน ผ้าสีน้ำตาลห่มสไบสีเทา เขาจะว่าอย่างไร ก็ไม่เป็นไรหลวงปู่มีความจริงใจ จนกระทั่งขึ้นศาลเขาก็บอกว่าไม่ผิดกฏอะไร เขาก็เลยปล่อยออกมาหมด เพราะหลวงปู่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายไม่ได้ทำผิดธรรมวินัย ไม่ได้ให้ทำแบบภิกษุณี สุดท้าย ไม่ผิดกฎหมายเขาก็ออกกฎหมายเอง ออกกฎหมายว่าเขามีสิทธิ์สั่งให้สึก ทั้งๆที่หลวงปู่ไม่มีความผิดจนสั่งให้สึกได้ คนจะสั่งให้สึกได้มี 11 อย่าง หลวงปู่ไม่ได้มีแบบนั้นแล้วก็ไม่ได้ปาราชิก สังฆาทิเสสก็ไม่มี จึงสั่งให้สึกไม่ได้ แต่เขาไปออกกฎหมายเองว่ามีอำนาจสั่งให้สึกได้เป็นกฎหมายนอกธรรมะพระพุทธเจ้า บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ นี่พูดตรงๆ เขาก็ทำกันหน้าเฉย เขาก็ใช้อำนาจที่เรียกว่ากฎหมาย สั่งให้สึกได้ ที่นี้เขาสั่งให้สึกตามกฎหมายนั้นแล้ว หลวงปู่ไม่สึก เขาบอกว่าให้สึกภายใน 7 วัน ผิดกฎหมายข้อนี้ มาตราเท่าไหร่ จำไม่ได้แล้ว หลวงปู่ก็ไม่ได้สึก แต่เขาจะเอาอำนาจนั้นมาสึกก็ต้องผิดกฎหมายเขา ขึ้นศาลก็ผิดกฎหมายตามมาตรานั้น ศาลพิพากษาให้ผิดตามนั้นหลวงปู่ก็จำนน สู้ไปแค่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ส่วนศาลฎีกานั้นไม่สู้แล้ว ยอมแพ้ ตามกฎหมายเขาว่าไว้แต่ไม่ได้ผิดพระธรรมวินัยเลย

ทีนี้ ผู้หญิงก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย

 

_ถ้าชาวอโศกสามารถทำให้สังคมเปลี่ยนไปได้ หลวงปู่จะดีใจไหมคะ เพราะอะไร

พ่อครูว่า...ดีใจสิ เพราะทำให้คนเป็นคนประเสริฐเป็นคนอาริยะเป็นคนดีที่แท้จริง ตามแบบอย่างตามทฤษฎีตามทางเดินของพระพุทธะ สุคโต มันควรดีใจ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อยากบรรลุโสดาบันควรทำอย่างไร

_หนูอยากเป็นผู้บรรลุเป็นโสดาบันพระอาริยะชั้นสูงควรทำอย่างไร

พ่อครูว่า...ศึกษาให้ดี โสดาบันไม่ได้ยากเท่าไหร่ แต่คนไม่ได้ศึกษาก็เลยนึกว่าหยาบมาก แต่ของเรามีพระโสดาบันเยอะ โสดาบันนี้ เป็นผู้รู้จักอบาย การประพฤติต่ำและหยาบของโลกเราไม่เป็นอย่างนั้น จนบรรลุที่จิตใจเรา โลกอบายโลกหยาบ ในโลกกามคุณก็มีอยู่แต่ไม่จัดจ้าน ไม่เหมือนทางโลกเขาที่ฆ่าแกงกัน พวกเราโสดาบันเยอะ เกือบหมดเลย หรือหมดเลย จริงๆ พวกเรา

โสดาบัน 1. มีศีล 5 เป็นศีล 5 ได้ศีล 5 ปฏิบัติศีล 5 ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก มันไม่ได้ยากไม่ได้ลำบากอะไร

2. รู้ว่าตัวตนสักกายทิฐิ หรือว่าจิตใจของเราไปติดอบายหรือไม่ ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์แถวอโศกมีเยอะแยะ ไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย ไม่ลักทรัพย์ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดปด ไม่เมาสุรา อย่าว่าแต่สุราเลยบุหรี่ก็ไม่มีที่นี่ นำ M100 M 500 ก็ไม่มี ของมอมเมาเราก็ไม่มี ไวน์เราก็ไม่มี ขวดเหล้า บุหรี่ ไม่มี เรื่องยาเสพติดไกลห่างเลยชาวอโศก เป็นสถานที่เป็นที่ที่พวกเราอยู่

อโศก เป็นชุมชนอนาคามีด้วยซ้ำ ถึงขั้นไม่ใช้เงินใช้ทอง ทิ้งบ้านช่องเรือนชาน ทรัพย์ศฤงคาร ยิ่ง สาธารณโภคีนี้เกินกว่าอนาคามี นี่พูดไปแล้ว เขาไม่เข้าใจ แต่ที่พูดนี้พูดเรื่องจริง พวกเราเป็นพวกที่บรรลุธรรม อยู่ในสัจธรรมที่ชั้นสูง ที่นี่คนเขาไม่รู้ เขาก็ดูไม่ออก จะดูออกหรือไม่เขาก็ไม่รู้ แต่เราเป็นอย่างนี้เราดีอย่างนี้ก็ใช้ได้ หลวงปู่จึงสบายใจที่มาทำให้พลเมืองโลก ทำให้ประชาชนของประเทศเป็นคนดี ได้ขนาดนี้ หลวงปู่ได้ช่วยสังคมประเทศชาติ ได้ช่วยโลกมากมายแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน สวดมนต์แล้วเก็บเงินผิดไหม

_วัดที่เขาสวดมนต์ แล้วเอาตังค์ มันผิดไหมครับ

พ่อครูว่า...ผิด รับสตางค์แล้วก็ผิดวินัยข้อรับสตางค์ สวดมนต์ก็ผิดข้อสวดมนต์ไม่เหลือ จำไม่ได้ว่าข้อไหน ในมุสาวาทวรรค ในปาติโมกข์ ผิด เอาตังค์ก็ผิด สวดมนต์ก็ผิด

พูดไปเขาก็ไม่เข้าใจ สังคมเขาก็ต้องสวดมนต์ พระพุทธเจ้าท่านจะต้องสวดมนต์เพราะว่ามันยังมีมีการบันทึกธรรมะพระพุทธเจ้า จึงจำเป็นต้องสวดท่องจำเอาไว้เพื่อจะได้ใช้ ให้รู้ว่าธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นธรรมบทเอาไปปฏิบัติ ถึงสวด ทุกวันนี้บันทึกในเครื่องมือต่างๆนานา อยู่ในตำราในห้องสมุดในหนังสือ ไม่ต้องบันทึกแบบสวดก็ได้ พวกเราไม่สวดแบบเอาธรรมบทมาสวดเพราะผิดธรรมวินัย สวดที่ไม่ผิดเป็นการสวดเพื่อท่องจำมีสังคีติ กับสังคายนา สวดกันเป็นหมู่เพื่อให้จดจำได้ สังคีติไม่ค่อยนิยมกัน ก็เลยสวดแค่สังคายนา มีการสวดพระปาฏิโมกข์ที่ทำต่อกันมา ศีลปาติโมกข์ จริงๆแล้วก็คือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แต่มันก็โกรธลงเอาแค่วินัยมาเป็นปาฏิโมกข์ ก็สวดทุกบักกัน แม้แต่วินัยก็ตาม ส่วนศีล เราก็ให้ ตอนบวชก็ให้จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ที่เห็นเขาไม่มีศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เขามีแค่วินัย 227 ข้อ

 

สมณะฟ้าไท สรุป...สิ่งที่ควรจะย้ำคือหลวงปู่พาคนมาจน คนจนเป็นคนที่ดีที่สุดในโลกคนรวยเป็นคนที่เร็วที่สุดในโลก ...จบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:54:12 )

610718

รายละเอียด

610718_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พระอรหันต์ที่แสดงธรรมอันไม่ควรตู่ท้วง

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1avFVb9xvowz-OmnUiaRGl3UpU_810rzpOoHidpPs5yA

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1PaJUEHVNJl63RAC-SWoN_UzYPzdhNB6H

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ที่นี่ตอนนี้พายุเซินติญก็เข้า เข้าหลายภาคด้วย แต่ฝนจะตกน้ำจะท่วมแดดจะออกเราก็ปฏิบัติธรรมกันต่อ ที่บ้านราชฯก็มีการเข้าค่าย

ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า

“เข้าพรรษาสู่โลกหน้าในโลกนี้”

ครั้งที่ 30 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก

ศุกร์ที่ 20 - อาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561

รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)

สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ

โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865

ตอนนี้เขาก็มีความสนใจที่จะสัมภาษณ์ 13 หมูป่าที่รอดชีวิต คนสนใจกันมาก ถ้าหากมีคนมาสนใจธรรมะโลกุตระของพ่อครูก็คงจะทำให้โลกเจริญ ทำให้โลกนี้ดีขึ้น

คนฟังธรรมะอยู่ทางบ้านได้เห็นบรรยากาศของบวรราชธานีอโศกแล้วก็คงจะอยากมาที่นี่กันเพราะว่าที่นี่คนเยอะ มีกิจกรรมอะไรหลายอย่างที่ดีๆ ที่ขาดไม่ได้คือการฟังธรรม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พระอรหันต์ที่แสดงธรรมอันไม่ควรตู่ท้วง

พ่อครูว่า...อาตมาได้ทบทวนดู ที่ทำงานมาจนถึงวันนี้ ก็นานไกลเหมือนกันนะ ใกล้จะ 50 ปีแล้ว ในหลวงทรงงานมา 70 ปี อาตมานี่ ยังไม่ถึง 50 ปี ชักบ่นๆแล้ว มีคนมาถามว่า ทำไมแต่ก่อนนี้ไม่ถอยแม้ครึ่งก้าว ไม่ลงใต้ดินแม้ครึ่งเมล็ดงา แต่ทำไมตอนนี้พูดเหมือนท้อ มันก็รู้สึกว่า ทำไมหนอ คนเราถึงดื้อดึงยากเย็น พูดแล้วพูดอีกอย่างไรก็ อาตมาทุบแล้วทุบอีกก็ยังไม่รู้สึกตัว ทำไมเป็นคนหมดความรู้สึก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ความจริงแล้วอาตมาไปไหนไม่รอด อาตมารู้ว่าตัวเองไม่มีทางทำอะไรอื่น ต้องมาบรรยายธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้น จะมีคนฟังหรือไม่มีคนฟัง ต้องบรรยาย อาตมาไม่เห็นอันอื่นเลย เกิดมาแล้วจะทำอะไรดีกว่านี้ อาตมาเลือกทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้วนะ พูดไปแล้วก็อาจจะดูน่าหมั่นไส้มากคือ

อาตมาแน่ใจว่าได้นำธรรมะที่ถูกต้องของพุทธเจ้ามายืนยัน มาสืบทอดของพระพุทธเจ้า ไปผิดไปจากที่อาตมาพูด เขาตำหนิไม่เข้าใจ อาตมาก็พูดอย่างมั่นใจ ไม่ได้เป็นอื่นเลย ไม่ได้มีว่า ทำเพื่อไปข่มขี่ดูถูก ไม่ใช่ ด้วยสัจจะจะต้องทำเช่นนั้น เพราะเขาพากันหลงผิดไปเยอะ จนกระทั่งไม่เหลือ อาตมาก็เอาหลักฐานในพระไตรปิฎกมายืนยันเข้าแล้ว เขาก็ดื้อดึงดัน

ที่ดื้อดึงดันก็เป็น รู้นะว่าถูกต้องแต่ไม่ทำ เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก แต่บางคนโง่ฟังแล้วไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่รู้ว่ามีค่าอะไรก็แล้วแต่เถอะ มันโง่ เหมือนสีซอให้ควายฟัง จะโทษควายไม่ได้เลย เราก็ต้องรู้ว่าควาย

แต่อาตมาก็ไม่เชื่อว่าสังคมพุทธศาสนาทุกวันนี้จะมีแต่ควาย ใครเชื่อก็ช่างเถอะ อาตมาจึงดันๆๆ เขาก็ว่าทำไมต้องดื้อดึงดันจัง อาตมาก็ทบทวน ในโลหิจสูตร

1.  [360] ดูกรโลหิจจะ ศาสดา 3 จำพวกนี้ ควรท้วงในโลก และทั้งการท้วงของผู้ที่ท้วงศาสดาเห็นปานนี้ ก็จริงแท้ เป็นธรรม ไม่มีโทษ ศาสดา 3 จำพวกนั้นเป็นไฉน?

ดูกรโลหิจจะ ศาสดาบางคนในโลกนี้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น เขาไม่ได้บรรลุแล้ว เขาไม่ได้บรรลุประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น. แต่แสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อสุขของท่านทั้งหลาย. สาวกของเขาย่อมไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึงและหลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดา. เขาจะพึงถูกท้วงว่า ท่านผู้มีอายุ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์ใดประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น ท่านไม่ได้บรรลุแล้ว ท่านไม่ได้บรรลุประโยชน์ของสมณะนั้นแต่แสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลายสาวกของท่านนั้นย่อมไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึงและย่อมหลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดา เหมือนบุรุษที่รุกเข้าไปหาสตรีที่กำลังถอยหลังหนี หรือดุจบุรุษพึงกอดสตรีที่หันหลังให้ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมอันลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ดูกรโลหิจจะ นี้แลศาสดาที่ 1 ซึ่งควรท้วงในโลกและทั้งการท้วงของผู้ที่ท้วงศาสดาเห็นปานนี้ ก็จริงแท้ เป็นธรรม ไม่มีโทษ.

 

2. [361] ดูกรโลหิจจะ อีกข้อหนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น เขาไม่ได้บรรลุแล้ว เขาไม่ได้บรรลุประโยชน์ของสมณะนั้น แต่แสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย สาวกของเขาย่อมตั้งใจฟัง เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง และไม่หลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดา เขาจะพึงถูกท้วงว่า ท่านผู้มีอายุ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น ท่านไม่ได้บรรลุแล้ว ท่านไม่ได้บรรลุประโยชน์ของสมณะนั้น แต่แสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย สาวกของท่านนั้น ย่อมตั้งใจฟัง เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึงและไม่หลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดาเหมือนบุคคลละเลยนาของตนแล้ว สำคัญเห็นนาของผู้อื่นว่าเป็นที่อันตนควรบำรุง ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมอันลามก  เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้. ดูกรโลหิจจะ นี้แลศาสดาที่ 2 ซึ่งควรท้วงในโลก และทั้งการท้วงของผู้ที่ท้วงศาสดาเห็นปานนั้น ก็จริงแท้ เป็นธรรม ไม่มีโทษ.

 

3. [362] ดูกรโลหิจจะ อีกข้อหนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น เขาได้บรรลุแล้ว เขาได้บรรลุประโยชน์ของสมณะนั้นแล้ว จึงแสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย แต่สาวกของเขาไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึงและหลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดา เขาจะพึงถูกท้วงว่า ท่านผู้มีอายุ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น ท่านได้บรรลุแล้ว ท่านเองได้บรรลุประโยชน์ของสมณะนั้นแล้ว จึงแสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย แต่สาวกของท่านนั้นไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง และหลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดา เหมือนบุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมอันลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ดูกรโลหิจจะ นี้แลศาสดาที่ 3 ซึ่งควรท้วงในโลก และทั้งการท้วงของผู้ที่ท้วงศาสดาเห็นปานนั้น ก็จริงแท้เป็นธรรมไม่มีโทษ ดูกรโลหิจจะ ศาสดา 3 จำพวกเหล่านี้แล ควรท้วงได้ในโลก และทั้งการท้วงของผู้ที่ท้วงศาสดาทั้งหลายเห็นปานนั้น ก็จริงแท้ เป็นธรรม ไม่มีโทษ.

 

สรุปคือ ศาสดาที่ควรตู่ท้วง มี 3 อย่างคือ

  1. ผู้สอนไม่บรรลุธรรม และสาวกไม่ตั้งใจฟัง

     2. ผู้สอนไม่บรรลุธรรม แต่สาวกตั้งใจฟัง

     3. ผู้สอนบรรลุธรรม แต่สาวกไม่ตั้งใจฟัง

 

ศาสดาที่ไม่ควรตู่ท้วง คือ ผู้สอนบรรลุธรรมะ และสาวกก็ตั้งใจฟัง

 

อาตมานี้พ้นจาก 3 ประเภทนี้ เพราะอาตมาบรรลุ แล้วก็

ประเด็นคือทำไมต้องบอกว่าบรรลุ ทำไมไม่สอนไปโดยไม่ต้องบอกแล้วให้คนมาบรรลุเอง มีคนที่เป็นผู้สอนในโลกนี้ที่มีคนมาตั้งใจฟังมากกว่าจะมา คนฟังมากกว่าอาตมา แต่ประเด็นคือ เขาถือว่าบรรลุแล้วไม่บอกว่าตนเองบรรลุอันนั้นถือว่าไม่ได้บรรลุ อาตมาก็ว่า อันนั้นยังไม่ถูกต้อง เขาถือว่าอันนั้นถูกต้องคือบรรลุแล้วอย่าไปบอกผู้อื่นอันนั้นถูกต้อง แต่อาตมาบอกว่าไม่ถูกต้อง บรรลุแล้วอย่าบอกว่าคนอื่นบรรลุ นั้นไม่ถูกต้อง

อาตมาไม่ได้อยู่ในข่าย 3 ข้อนี้ ฟังรายละเอียดให้ดี

พระพุทธเจ้าตรัสใน 12. โลหิจจสูตร

เรื่องโลหิจจพราหมณ์

------------------------

[352] ครั้งนั้น โลหิจจพราหมณ์เกิดมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้ว ไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภ ว่าเป็นธรรมลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ดังนี้

โลหิจจพราหมณ์ได้ยินข่าวว่า พระสมณโคดม ศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุลเสด็จจาริกมาในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงบ้านสาลวติกาโดยลำดับ และเกียรติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่าแม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระองค์ทรงกระทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดามนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์เห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล.

 [353] ครั้งนั้น โลหิจจพราหมณ์ เรียกโรสิกะช่างกัลบกมาว่า มานี่แน่ะ เพื่อนโรสิกะท่านจงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ แล้วกราบทูลถามพระสมณโคดมผู้มีอาพาธน้อยพระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า ทรงพระกำลังอยู่สำราญ ตามคำของเราว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ โลหิจจพราหมณ์ถามถึงพระองค์ผู้มีอาพาธน้อย พระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า ทรงพระกำลังอยู่สำราญ อนึ่ง จงทูลอย่างนี้ว่า ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ โปรดรับภัตตาหารของโลหิจจพราหมณ์ เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้. โรสิกะช่างกัลบกรับคำโลหิจจพราหมณ์แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โลหิจจพราหมณ์ถามถึงพระองค์ผู้มีอาพาธน้อยพระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า ทรงพระกำลังอยู่สำราญ และให้กราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ โปรดรับภัตตาหารของโลหิจจพราหมณ์ เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้.

พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้วด้วยดุษณีภาพ.

 

[354] ครั้งนั้น โรสิกะช่างกัลบกทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว จึงลุกจากอาสนะถวายอภิวาททำประทักษิณแล้ว เข้าไปหาโลหิจจพราหมณ์ถึงที่อยู่แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคตามคำของท่านแล้ว และพระผู้มีพระภาคก็ทรงรับนิมนต์แล้ว.

ลำดับนั้นโลหิจจพราหมณ์ได้ตกแต่งขาทนียโภชนียะอันประณีตไว้ในนิเวศน์ของตน โดยล่วงไปแห่งราตรีนั้น แล้วเรียกโรสิกะช่างกัลบกมาว่า มานี่แน่ะ เพื่อนโรสิกะ ท่านจงไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับแล้วกราบทูลเวลาแด่พระสมณโคดมว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถึงเวลาแล้วภัตตาหารสำเร็จแล้ว. โรสิกะช่างกัลบกรับคำโลหิจจพราหมณ์แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญถึงเวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว.

ทรงโปรดโลหิจจพราหมณ์

[355] ครั้งนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก แล้วทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังบ้านสาลวติกาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. เวลานั้น โรสิกะช่างกัลบก ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โลหิจจพราหมณ์เกิดมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้ว ไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้วไม่ควรสร้างเครื่องจองจำอื่นขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงเปลื้องโลหิจจพราหมณ์เสียจากทิฏฐิอันลามกนั้น. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่เป็นไร โรสิกะ ไม่เป็นไร โรสิกะ เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของโลหิจจพราหมณ์แล้ว ประทับเหนืออาสนะอันเขาปูลาดไว้. ลำดับนั้น โลหิจจพราหมณ์จึงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตนให้อิ่มหนำแล้ว.

 [356] ลำดับนั้น โลหิจจพราหมณ์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเสวยแล้ว ทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว จึงถืออาสนะอันหนึ่งซึ่งต่ำกว่า นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะโลหิจจพราหมณ์ว่า จริงหรือ โลหิจจะ ได้ยินว่า ท่านเกิดมีทิฏฐิลามกเห็นปานนี้ว่าสมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้วไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำอื่นขึ้นใหม่ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ดังนี้.

โลหิจจพราหมณ์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญเป็นอย่างนั้น.

ภ. ดูกรโลหิจจะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านครองบ้านสาลวติกานี้มิใช่หรือ.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เป็นอย่างนั้น.

ดูกรโลหิจจะ เราขอถามท่าน ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า โลหิจจพราหมณ์ครองบ้านสาลวติกาอยู่ โลหิจจพราหมณ์ควรใช้สอยผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในบ้านสาลวติกานั้นแต่ผู้เดียว ไม่ควรให้ผู้อื่น ดังนี้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น จะชื่อว่าทำอันตรายแก่ชนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพอยู่ได้หรือไม่?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าทำอันตรายได้.

เมื่อทำอันตราย จะชื่อว่าหวังประโยชน์ต่อชนเหล่านั้นหรือไม่หวัง.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์.

ผู้ที่ไม่หวังประโยชน์ต่อ จะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเมตตาไว้ในชนเหล่านั้น หรือจะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู.

เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว จะชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเป็นสัมมาทิฏฐิ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ.

ดูกรโลหิจจะ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง.

 [357] ดูกรโลหิจจะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงปกครองแคว้นกาสีและโกศลมิใช่หรือ.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เป็นเช่นนั้น.

ดูกรโลหิจจะเราขอถามท่าน ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงปกครองแคว้นกาสีและโกศลอยู่ พระองค์ควรทรงใช้สอยผลประโยชน์ที่เกิดในแคว้นทั้ง 2 นั้นแต่พระองค์เดียว ไม่ควรพระราชทานแก่ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่พวกท่านและคนอื่นๆ ซึ่งได้พึ่งพระบารมีพระเจ้าปเสนทิโกศลเลี้ยงชีพอยู่ได้หรือไม่?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าทำอันตรายได้.

เมื่อทำอันตราย จะชื่อว่าหวังประโยชน์ต่อชนเหล่านั้นหรือไม่หวัง.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์.

ผู้ที่ไม่หวังประโยชน์ จะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเมตตาไว้ในชนเหล่านั้น หรือจะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู.

เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว จะชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ.

ดูกรโลหิจจะ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง.

[358] ดูกรโลหิจจะ  ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันฟังได้ว่า ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่าโลหิจจพราหมณ์ครองบ้านสาลวติกา ควรใช้สอยผลประโยชน์อันเกิดในบ้านสาลวติกาแต่ผู้เดียวไม่ควรให้ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่ชนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพอยู่ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อ เมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ฉันนั้นนั่นแล ดูกรโลหิจจะ ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้วไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้. บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำอื่นขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมอันลามกเพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่กุลบุตรผู้ที่ได้อาศัยพระธรรมวินัยอันตถาคตแสดงไว้แล้ว จึงบรรลุธรรมวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ คือทำให้แจ้งโสดาปัตติผลบ้าง สกทาคามิผลบ้าง อนาคามิผลบ้าง อรหัตผลบ้าง และแก่กุลบุตรผู้ที่อบรมครรภ์อันเป็นทิพย์ เพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อเมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ดูกรโลหิจจะ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง.

 [359] ดูกรโลหิจจะ ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันฟังได้ว่า ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงปกครองแคว้นกาสีและโกศล พระองค์ควรใช้สอยผลประโยชน์อันเกิดขึ้นในแคว้นทั้ง 2 นั้นแต่พระองค์เดียว ไม่ควรพระราชทานแก่ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่ชนทั้งหลาย คือตัวท่านและคนอื่นๆ ผู้ที่ได้พึ่งบารมีพระเจ้าปเสนทิโกศลเลี้ยงชีพ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อ เมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ฉันนั้นนั่นแล ดูกรโลหิจจะ ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้วไม่ควรบอกแก่ผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำอื่นขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ผู้กล่าวอย่างนี้นั้น ย่อมชื่อว่าทำอันตรายแก่กุลบุตรผู้ที่ได้อาศัยพระธรรมวินัยอันตถาคตแสดงไว้แล้ว จึงบรรลุธรรมวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ คือทำให้แจ้งโสดาปัตติผลบ้าง สกทาคามิผลบ้าง อนาคามิผลบ้าง อรหัตผลบ้าง และกุลบุตรผู้ที่อบรมครรภ์อันเป็นทิพย์ เพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อ เมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ดูกรโลหิจจะ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือนรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง.

 

ศาสดาที่ควรแก่การท้วง 3 จำพวก

1.  [360] ดูกรโลหิจจะ ศาสดา 3 จำพวกนี้ ควรท้วงในโลก และทั้งการท้วงของผู้ที่ท้วงศาสดาเห็นปานนี้ ก็จริงแท้ เป็นธรรม ไม่มีโทษ ศาสดา 3 จำพวกนั้นเป็นไฉน?

ดูกรโลหิจจะ ศาสดาบางคนในโลกนี้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น เขาไม่ได้บรรลุแล้ว เขาไม่ได้บรรลุประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น. แต่แสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อสุขของท่านทั้งหลาย. สาวกของเขาย่อมไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึงและหลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดา. เขาจะพึงถูกท้วงว่า ท่านผู้มีอายุ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์ใดประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น ท่านไม่ได้บรรลุแล้ว ท่านไม่ได้บรรลุประโยชน์ของสมณะนั้นแต่แสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลายสาวกของท่านนั้นย่อมไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึงและย่อมหลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดา เหมือนบุรุษที่รุกเข้าไปหาสตรีที่กำลังถอยหลังหนี หรือดุจบุรุษพึงกอดสตรีที่หันหลังให้ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมอันลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ดูกรโลหิจจะ นี้แลศาสดาที่ 1 ซึ่งควรท้วงในโลกและทั้งการท้วงของผู้ที่ท้วงศาสดาเห็นปานนี้ ก็จริงแท้ เป็นธรรม ไม่มีโทษ.

 

2. [361] ดูกรโลหิจจะ อีกข้อหนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น เขาไม่ได้บรรลุแล้ว เขาไม่ได้บรรลุประโยชน์ของสมณะนั้น แต่แสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย สาวกของเขาย่อมตั้งใจฟัง เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง และไม่หลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดา เขาจะพึงถูกท้วงว่า ท่านผู้มีอายุ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น ท่านไม่ได้บรรลุแล้ว ท่านไม่ได้บรรลุประโยชน์ของสมณะนั้น แต่แสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย สาวกของท่านนั้น ย่อมตั้งใจฟัง เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึงและไม่หลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดาเหมือนบุคคลละเลยนาของตนแล้ว สำคัญเห็นนาของผู้อื่นว่าเป็นที่อันตนควรบำรุง ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมอันลามก  เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้. ดูกรโลหิจจะ นี้แลศาสดาที่ 2 ซึ่งควรท้วงในโลก และทั้งการท้วงของผู้ที่ท้วงศาสดาเห็นปานนั้น ก็จริงแท้ เป็นธรรม ไม่มีโทษ.

 

3. [362] ดูกรโลหิจจะ อีกข้อหนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น เขาได้บรรลุแล้ว เขาได้บรรลุประโยชน์ของสมณะนั้นแล้ว จึงแสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย แต่สาวกของเขาไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึงและหลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดา เขาจะพึงถูกท้วงว่า ท่านผู้มีอายุ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น ท่านได้บรรลุแล้ว ท่านเองได้บรรลุประโยชน์ของสมณะนั้นแล้ว จึงแสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย แต่สาวกของท่านนั้นไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง และหลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดา เหมือนบุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมอันลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ดูกรโลหิจจะ นี้แลศาสดาที่ 3 ซึ่งควรท้วงในโลก และทั้งการท้วงของผู้ที่ท้วงศาสดาเห็นปานนั้น ก็จริงแท้เป็นธรรมไม่มีโทษ

ดูกรโลหิจจะ ศาสดา 3 จำพวกเหล่านี้แล ควรท้วงได้ในโลก และทั้งการท้วงของผู้ที่ท้วงศาสดาทั้งหลายเห็นปานนั้น ก็จริงแท้ เป็นธรรม ไม่มีโทษ.

 

ศาสดาที่ไม่ควรท้วง

[363] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้วโลหิจจพราหมณ์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ศาสดาบางคนซึ่งไม่ควรท้วงในโลกมีบ้างหรือ.

พ. ดูกรโลหิจจะ ศาสดาที่ไม่ควรท้วงในโลกมีอยู่.

ล. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ศาสดาที่ไม่ควรท้วงในโลก เป็นไฉน.

ดูกรโลหิจจะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษผู้ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมพระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่าฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัดไม่ใช่ทำได้ง่าย  ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต

สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่(โภคคักขันธาปหายะ) ละเครือญาติน้อยใหญ่(ญาติปริวัตตังปหายะ) ปลงผมและหนวดนุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.

พ่อครูว่า...อันนี้ท่านตรัสมาตั้งแต่พระสูตรต้นๆเลย คือ

มีศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ มีสันโดษอันเป็นอาริยะ

พวกเราที่มาอยู่ในชุมชนชาวอโศกเป็นพวกใจพอ ถ้าใจไม่พอก็ต้องออกไปแสวงหาแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขกับเขา แม้อยู่ในนี้บางคนก็ยังไปญี่ปุ่นไปหาเงินไปซักผ้า ได้ผู้ที่ใจพอสันโดษแล้วไม่ต้อง อาตมาไม่ได้ใส่ความมีคนจริง อะไรกันนักกันหนามาอยู่ในนี้แล้วยังไม่ทราบซึ้ง ชีวิตอยู่ในนี้ดีแล้ว ในสังคมชาวอโศกส่วนใหญ่เลย เป็นคนที่สันโดษ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่สันโดษก็จะออกไป ใครจะมีมากน้อยก็แล้วแต่ ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ คนที่ไม่ดิ้นแล้วอยู่ในนี้ก็สบาย ทำงานกันไปช่วยกันไป หากใครไม่ขี้เกียจไม่ตกงานแน่ อย่างน้อยก็มาตั้งเก้าอี้ กวาดศาลา ช่วยกันเด็ดผัก ไม่อย่างนั้นก็ลงพื้นดิน ปลูกผักรดน้ำ มีอะไรเยอะแยะ ที่นี่มีงานให้ทำตลอด ใครจะไปช่วยโรงปุ๋ย ใครจะไปช่วยโรงยา ทำแปรรูป เยอะแยะ ไม่ได้มีงานที่มอมเมาเป็นพิษไม่ได้มิจฉา ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ไม่ได้ค้าขายเนื้อสัตว์ สิ่งเป็นพิษสิ่งมอมเมา ไม่มี บริสุทธิ์ ไม่มีการที่จะได้เงินทองจากสิ่งเหล่านี้ บริสุทธิ์ ทั้งมิจฉาวณิชชา 5

พวกเราบริสุทธิ์ถึงขั้นมิจฉาชีพ 5 พวกเรานี่ ปฏิบัติธรรมอาตมาเห็นว่าประสบความสำเร็จ บางคนพ้นมิจฉาชีพ 5 (พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 275   มหาจัตตารีสกสูตร)

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้ ยังไปเสี่ยงต่อบาปอยู่

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา) คนนี้ไม่ทำชั่วด้วยตัวเองแล้ว แต่ยังมอบตนไปรับใช้กับผู้ที่ผิดอยู่ เอาพฤติกรรมบริสุทธิ์ตัวเองไปรับใช้ คนบาปอยู่ เป็นทาสนายทุน ขึ้โกงทุจริตอยู่ ไม่เสียดายไม่มีศักดิ์ศรีตัวเองหรืออย่างไร อยู่ในโลกสังคมของเรา ผู้ที่บรรลุแล้ว ไม่ทุจริตมีอาชีพบริสุทธิ์สุจริตแล้ว จะไม่ไปรับใช้คนพวกนี้ แม้จะจบ Doctor จบสูงเท่าไหร่ก็ไม่ทำ จะทำงานส่วนตัวหรืออยู่กับหมู่กลุ่ม นิปเปสิกตะ

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา) มาอยู่ในหมู่แล้วทำงานโดยไม่รับสิ่งแลกเปลี่ยน

อาตมาพาทำได้ถึงสูงสุดเลย พ้นมิจฉาชีพ 5 ขั้นได้สำเร็จ แม้จะมีคนจำนวนหนึ่งถึงขั้นทำงานไม่เอาลาภแลกลาภ บางคนไม่ไปรับใช้ภายนอกหรอก เสียศักดิ์ศรีไม่เอา อยู่กับหมู่กลุ่มไม่ได้เงินได้ทองอะไร นี่สุดยอด อาตมาพาทำสำเร็จ อาตมาภาคภูมิใจที่ทำได้สำเร็จ เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาทำให้สำเร็จ

ในมรรค 8 มีอาชีพ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ ในมรรคมีองค์ 8 อาตมาพาปฏิบัติธรรมตามธรรมะพระพุทธเจ้าบรรลุสำเร็จผล พาพ้น มิจฉาชีพ 5 มิจฉากัมมันตะ 3 มิจฉาวาจา 4 มิจฉาสังกัปปะ 3 โดยเฉพาะ 2 ข้อแรกคือ กามกับพยาบาท ให้มาเรียนรู้ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา 7 ข้อนี้คือฌานของศาสนาพุทธ ฌานคือพลังงานไฟไปเผากิเลส ฌานคือเพ่ง concentrate รวมพลังงาน ให้มีฤทธิ์ถึงขั้นบุญ ถึงขั้นเป็นไฟ เป็นฌานแล้วเกิดบุญ ฌานคือไฟพิเศษไฟกองใหญ่ มีอุณหธาตุไปสลาย ไฟราคะโทสะโมหะที่มันเป็นพลังงานเหมือนกันแต่มันแพ้ไฟฌาน

ผู้ที่สร้างพลังงานจิตตัวนี้ได้สำเร็จ อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราปฏิบัติได้ เกิดไฟฌานเป็นพลังงานไฟพิเศษที่มีฤทธิ์สลายกิเลสได้

ถ้าไป concentrate แบบ meditation แต่ไม่ได้มีธรรมวิจัยไม่ได้มีการลืมตาสัมผัส สะกดเข้าไป hypnotize แบบนั้น ฌานนอกรีต เขาเข้าไม่ถึงธรรมะพระพุทธเจ้า ก็เลยเสื่อม พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็เจอพวกนั่งหลับตาหนีเข้าป่า ท่านก็มาสอนใหม่ กลับกัน ไม่ต้องหลับตาหนีเข้าป่าเขาถ้ำ อยู่ในเมืองนี้แหละ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาคนเมือง ไม่ใช่คนเถื่อนคนป่า เป็นศาสนาสังคม ไม่ใช่ศาสนาคนอยู่เขาถ้ำ

แต่เมื่อหลงผิดแล้วก็น่าสงสาร เขาบอกว่าผู้ปฏิบัติธรรมของผู้ต้องออกป่าออกเขาถ้ำ ไม่ต้องเกี่ยวกับสังคม เป็นการกบฏต่อศาสนาพุทธทั้งนั้นเลย แล้วก็ไปนั่งหลับตา ไม่ใช่

ขอยืนยันว่าฌานพระพุทธเจ้าลืมตาทั้งนั้น จะเพ่งให้เกิดพลังจิต คุณก็ลืมตา แม้ลืมตาเป็นสมถะก็ยังเป็นพุทธนะ ลืมตา มีสติ เพ่งวิจัย มีสติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ วิจัยเห็นจริงในธรรมะ 2 แยกธรรมะ 2 ให้ออก ว่าตัวหนึ่งเป็นพลังงานจิตจริงๆ ตัวที่สองเป็นพลังงานเก๊ แล้วก็กำจัดพลังงานจิตเก๊ ทำให้ธรรมะ 2 เป็นธรรมะ 1

ตัวที่จะรู้ได้ง่ายคือเวทนาตัวชอบหรือไม่ชอบ พระพุทธเจ้าท่านสรุปวิธีการปฏิบัติธรรม จะไปแยกอันอื่นมันยาก แยกเวทนา ให้ออก ทำให้เป็นหนึ่งเดียว

ธรรมะ 2 จึงมีเวทนาเป็นกรรมฐานในการปฏิบัติ กรรมฐานคือฐานแห่งการงานแห่งการปฏิบัติ อยู่ที่เวทนา ไม่มีเจตนาแล้ว ไม่สามารถปฏิบัติได้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรพรหมชาลสูตร แต่เขาอ่านพระไตรปิฎกไม่แตก นั่งหลับตาไม่มีเวทนา เพราะปิดตาหูจมูกลิ้นกายใจจะไปมีความรู้สึกอย่างไร ดีไม่ดี สะกดความรู้สึกให้อย่าคิดจะนึกเฉยๆดับปี๋ไปเลย มันออกนอกทางนอกรีตหมดเลย จมไปอยู่อย่างนี้หมดประตูเลย น่าสงสารจริงๆหมดประตูที่จะบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า พากันหลงอย่างนี้

แม้แต่จะก้าวหนอย่างหนอก็สมถะลืมตา จะนั่งลืมตาแล้วสำรวมจิตให้นิ่ง หรือสะกดจิตขณะลืมตา เมื่อเข้าได้แล้วตาจะแข็ง วิธีทำนั้นเป็นวิธีที่ผิดทั้งหมด พระสูตรแรกเลย พรหมชาลสูตร ท่านตรัสไว้ เป็นความคิดเห็นที่ผิดทั้งหมด 62 อย่าง ไปนั่งหลับตาก็จะได้ 62 อย่างนี้ ถ้าไม่ลืมตาไม่ได้อะไรเลย ก็ได้ อดีต 18 อนาคต 44 พระพุทธเจ้ารวมไว้หมดแล้วไม่มีอย่างอื่นกว่านี้หรอก ถ้าไปนั่งหลับตาเป็นมิจฉาทิฐิทั้งหมดของ 62 อย่าง อาตมายืนยันความจริงเอาหลักฐานมาพูดให้ฟังเขาก็ไม่สะดุ้งสะเทือน พูดมาจะ 48 ปีแล้ว

อาตมาก็เป็นศาสดาที่คนท้วง แต่อาตมาไม่ล้มเหลว มีผู้มาตั้งใจสดับฟังแล้วก็ได้ประโยชน์ ไม่ล้มเหลวไปเสียทีเดียว แต่จะทำอย่างไรได้คนดื้อด้านดึงดันโง่เง่า อาตมาพูดแล้วพูดอีกก็ไม่ฟัง เอ็งไม่ถูกไม่เข้าท่า อย่างที่ข้าเข้าใจถูกต้อง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน แยกแยะโลกียะกับโลกุตระ

_คนที่เขาไปทำงานหาเงินก็เพราะเกรงใจส่วนกลาง ก็เลยไปทำงานหาเงินบ้าง

พ่อครูว่า...เป็นคำแก้ตัว อยู่ในนี้มันไม่ได้จับเงิน ถ้าไปทำงานข้างนอกได้จับเงินบ้าง ถ้าอยากจะจับเงินเข้าไปเป็นคณะของการเงินสิ แต่จับอย่างนั้นไม่ใช่ของตัวเอง ถ้าไปทำอย่างนั้นมันได้ของตัวเอง ก็เป็นธรรมดา จริงๆแล้ว ชาวอโศกที่ทำงานในนี้ไม่ออกไป เป็นคนมีจิตสันโดษเป็นคนใจพอ จิตถึงขั้นอนาคาริกภูมิ เป็นคนที่ไม่มีทรัพย์สินเงินทองบ้านช่องเรือนชานแล้ว อยู่กับหมู่กลุ่ม ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ...เข้าใจเรื่องบุญปฏิบัติบุญให้สำเร็จคือชำระกิเลสอยู่ในนี้

อาตมาว่า อาตมาอธิบายธรรมะพระพุทธเจ้า แม้แต่คำว่าบุญให้เข้าใจ พวกเราเข้าใจแล้วก็ปฏิบัติได้ตามลำดับ เขาเข้าใจบุญไม่ได้ เอาบุญไปทำผิดเละเทะ ศาสนาพุทธก็เลยฉิบหายวายป่วง เสื่อมเพราะความเข้าใจผิดกับคำว่าบุญ เป็นเรื่องร้ายบาปตกนรกไม่รู้เท่าไหร่ เพราะเอาคำว่าบุญไปใช้ผิด จากความหมายพระพุทธเจ้า

บุญ เป็นโลกุตระธรรมถ่ายเดียว บุญไม่มีสอง บุญมีหน้าที่วิบัติมีหน้าที่ฆ่ามีหน้าที่ชำระกิเลส พูดจริงๆแล้วบุญเป็นอาวุธร้าย มันฆ่ากิเลสนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ดีอย่างเดียวดีสุดยอด แล้วไม่มีดีอื่นเลย ไม่ใช่กุศลเลยนะ อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอธิบายอย่างไรแล้ว ให้หมดเกลี้ยง สะอาดบริสุทธิ์หมดแล้วพูดอย่างละเอียดลออ แต่เขาก็เอาบุญไปขาย ไปเป็นกุศล เลยทำให้คำว่าบุญผิดเพี้ยนไป แม้แต่ศาสนาพุทธก็ยังมีเอาคำว่าบุญไปใช้ผิด

บุญสุดยอดดี บุญยิ่งแก้ว แก้วดีขี้ชั่ว คำไทยเรา บุญนี้ดียิ่งกว่าแก้วอีก คือ เครื่องชำระกิเลส

ผู้ที่เข้าใจผิดคิดว่าบุญเท่ากับกุศล ก็ซวยเลย ศาสนาพุทธจึงเสียหาย ไม่มีใครมาพูดอย่างนี้หรอกในศาสนาพุทธทุกวันนี้ มีอาตมานี้แหละ มาเปิดเผยความจริงสิ่งที่ถูกต้องตามพระพุทธเจ้านี้ เพราะเป็นเรื่องของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า บุญคำนี้เป็นของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นแล้วมีนิยามอย่างนี้

เมื่อคนเข้าใจไม่ได้ก็เอาไปใช้ผิดศาสนาจึงเริ่มเสื่อมไปเรื่อยๆ จนเสื่อมที่สุดเลย พูดอย่างนี้ก็มีคนเข้าใจได้อยู่ แล้วก็เอามาทำให้เกิดผล จึงไม่สูญเปล่า ตกลงอาตมาก็เลยไม่ได้เป็นผู้ที่เป็นศาสดาที่ผู้คนท้วงได้ พอยังมีคนได้ประโยชน์ เงี่ยโสตสดับฟัง แม้จะมีจำนวนน้อย ก็เพราะว่าโลกมันเสื่อมมาก คนย่ำยีทำลายคำสอนพระพุทธเจ้าจนผิดไปหมดแล้ว อาตมาเอาสิ่งที่ถูกมาพูดเขาจะเอาอาตมาตายเพราะไปขัดแย้งกับสิ่งที่เขาพูด อาตมาเลยต้องรักษาตัวรอดเป็นยอดเดี่ยว ได้ทุกวันนี้เก่งแล้ว ไม่มีใครชมอาตมา อาตมารอดมาได้ขนาดนี้เก่งหนักหนาแล้ว เพราะไปค้านแย้งกับเขา ตอนนี้พูดไปว่าเขาอย่างไรเขาก็เงียบไม่กล้าแย้งเพราะอาตมาเอาพระไตรปิฎกมาอ้างอิง เขาก็ไม่กล้าออกจากนั้น แต่ถ้าเขายอมรับไม่ได้ ถ้ายอมรับก็จะต้องรับผิดทั้งหมู่ใหญ่ ให้อาตมาถูกคนเดียว เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น แอคอาร์ทว่ากูถูกทั้งที่รู้แล้วชัดเจน ขออภัยที่พูดเหมือนย่ำยีไม่หยุดหย่อน

อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธออย่างทะนุถนอม

เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียก-ยังดิบอยู่

อานนท์ ! เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด .

อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด

ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร  ผู้นั้นจักทนอยู่ได้ .

(พุทธพจน์จาก พตปฎ.เล่ม 14  ข้อ 356)

เขาทนกันไม่ได้ที่อาตมาพูด เขาว่ามาเห่าอยู่ได้ ว่าอาตมา คุณไปเปิดดูใน Social Media กดโพธิรักษ์นี่เขาจะบริภาษกันมากเลย มันขัดแย้งกับที่เขาเข้าใจกันมา เขาก็ถือว่าอาตมาผิด

 

พูดถึงขี้เถ้า ท่านหนักแน่นเอากระดูกท่านดินดีมาให้ดู อาตมาก็ว่ากระดูกพระอรหันต์ มีสีสันด้วย มีสีเขียวเคลือบขาวผ่องสวย ไม่มีดำเลย เขาหลงพระธาตุกันไปตามตำรา ก็คำนวณไป เอาไปเทียบกับอาจารย์ของตนเพื่อให้ใช่ แต่มันก็ถูกลากมาว่าไม่ใช่ แต่เขาก็พยายามอธิบายว่าใช่ เพราะฉะนั้นกระดูกพระอรหันต์ของเขาจึงได้เพี้ยนไปไกล

ผู้ที่พิจารณาว่าจะเป็นพระอรหันต์ต้องดูที่พระธาตุ อย่างนั้นไม่ถูกหรอก พระอรหันต์ต้องดูตอนเป็นๆ เป็นอย่างไรก็ดูอย่างพระโพธิรักษ์นี่แหละเป็นพระอรหันต์

อาตมาอธิบาย พระอรหันต์ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกคุณเข้าใจ ที่คุณเข้าใจนั้นเก๊ทั้งนั้นแต่อย่างโพธิรักษ์นี้เป็นอรหันต์แล้วอาตมาเป็นอรหันต์ทางปัญญา ธัมมานุสารีด้วย ไม่ใช่สัทธานุสารี เพราะฉะนั้นจึงอธิบายภาษาขยายความได้ละเอียดลออเยอะแยะ ฟังบ้างสิใครขยายได้อย่างอาตมาบ้าง พูดไปแล้วเหมือนคุยตัวแต่ที่จริงอ้างอิงยืนยันเพื่อให้คุณตรวจสอบว่าใช่ไหมที่อาตมาอ้างอิง

อาตมาเอาพยัญชนะสภาวะมาชี้ ขยายความสภาวะอย่างนี้มีพยัญชนะอย่างนี้

เวทนา 108 อารมณ์ความรู้สึกนั้นเป็นกายิกเวทนา เจตสิกเวทนา ก็ขยายความ เป็นธรรมะสอง เรียกกาย อาการความรู้สึกที่เนื่องมาจากภายนอกภายในเรียกว่า กายิกเวทนา ถ้าเข้าไปอยู่แต่ภายในเรียกว่า เจตสิกเวทนา มาเน้นภายใน ละจากร่างกายภายนอก ก็เรียกว่าเวทนา 2

เวทนา 3 คือ สุข ทุกข์ อทุกขมสุข(กลางๆเฉยๆ)

ใครเคยเกิดอาการจิตสุขบ้าง ทุกข์บ้างใครเคยมีมา ก็ต้องเคยมีมาก่อนทั้งนั้น คนที่ไม่ยกแสดงว่าไม่รู้เรื่อง ตอนนี้ไม่มีแล้วก็ไม่เป็นไร

(รู้กำลังของเวทนาทั้ง 5 ได้แก่)

1.สุขินทรีย์ เน้นภายนอก

2.ทุกขินทรีย์ เน้นภายนอก

3.โสมนัสสินทรีย์  เน้นภายใน

4.โทมนัสสินทรีย์  เน้นภายใน

5.อุเบกขินทรีย์ กลางๆ

แล้วก็มีน้ำหนักมากน้อยอย่างไรอีก

 

(แยกเป็น 6 เวทนา ได้แก่)

  1. จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา
  2. โสตสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทหู
  3. ฆานสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทจมูก
  4. ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทลิ้น
  5. กายสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทกาย
  6. มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจปรุงแต่งเอง

 

พวกเราฟังพยัญชนะ และรู้จักสภาวะ สุขทุกข์อยู่ที่เวทนาอาริยสัจ 4 นอกไปกว่าเวทนาไม่มี หากไม่มีเวทนาไม่มีฐานในการปฏิบัติ ในพรหมชาลสูตร หากอ่านพระไตรปิฎกแตก แล้วก็ต้องพิสูจน์ เรียนรู้สุขทุกข์จากของทวารนี้แหละ ไปหลับตาเหลือแต่ภพภายใน แยกกายไม่ออก มีแต่จิตเลยไม่มีธรรมะ 2

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60​ อันนี้เป็นหัวใจใหญ่ของศาสนาพุทธ

เวทนาเป็นกรรมฐาน หากไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่เกิดเวทนา ปฏิบัติอะไรไม่ได้

ศาสนาพุทธที่เอากสิณ 40 ไปปฏิบัตินั้นเลอะเทอะ แทนที่จะเอาเวทนาเป็นกรรมฐาน

ไม่มีใครมายืนยันอย่างอาตมาหรอก เขาผิดเพี้ยนไปไกล เกจิอาจารย์ต่างๆพาออกนอกทางไปหมด เอาอะไรมาผสมผเส เสียหมด อาตมาพามาว่าอันนั้นไม่ใช่ มาทำแบบนี้ๆ

ยิ่งมาแยกเป็น มโนปวิจาร 18  (คือ เวทนา 3 ร่วมกับอายตนะ 6) นี่คือหัวใจศาสนา

สุขเวทนาแบบโสมนัสสูปวิจาร  (6 ทวาร+โสมนัส) 

ทุกขเวทนาแบบโทมนัสสูปวิจาร  (6 ทวาร+โทมนัส) 

เฉยๆ ที่เป็นอุเบกขูปวิจาร   (6 ทวาร+อุเบกขา)

 

เคหสิตโสมนัส 6 

เคหสิตโทมนัส 6 

เคหสิตอุเบกขา 6

เนกขัมมสิตโสมนัส 6

เนกขัมมสิตโทมนัส 6

เนกขัมมสิตอุเบกขา 6 

 

ต้องแยกว่าอันนี้เป็นโลกีย์อันนี้เป็นโลกุตระ แล้วทำให้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา

ต้องแยก ให้ออก แล้วดับเหตุ ไม่ใช่ดับไปหมด สัญญาเวทยิตนิโรธ ดับเหตุมันเท่านั้น เวทนาที่เหลือ เป็นอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตจึงว่องไว เวทนา สัญญา สังขาร แคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียวทำงานอะไรได้ดีสมควรที่สุดเป็น กัมมัญญตา เป็นกายปาคุญญตา ยิ่งเป็นฌาน ยิ่งเป็นวิมุติ จิตยิ่งคล่องแคล่วไม่ใช่จิตยิ่งเฉื่อย ไม่ใช่  ยิ่งคล่องแคล่ว มีภูมิปัญญาจิต เป็น มุทุภูตธาตุ ปัญญาก็รู้เร็ว เจโตก็เปลี่ยนไว เปลี่ยนได้เร็วจนเป็นสิริมหามายา

คำว่า มายา คือเหมือนเล่นกล แต่สุดยอด สิริมหา ยิ่งใหญ่ เป็นมารดาที่ดีเยี่ยมยอด เป็นผู้ให้กำเนิด กำหนดจิต จิตที่ทำให้เกิดนี้ จะให้มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แปลงตัว เป็นอย่างนี้ก็ได้ไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้โดยไม่มีอกุศลจิตเลย อนุโลมปฏิโลมกับเขาได้ เป็นเรื่องเข้าใจยาก เป็นเรื่องฌานวิสัยวิมุติวิสัย ไม่ใช่เรื่องธรรมดา

 

มาอ่าน sms SMS 16 - 17กรกฎาคม 2561

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ค้ากำไรเอาเงินเข้าวัดผิดไหม

_5862กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงสุดครับ ถ้าเราทำการค้าโดยเอากำไรมากหน่อยในช่วงแรกๆ เพื่อไว้ก่อสร้างชุมชนอโศกมันจะผิดไหมครับ

พ่อครูว่า...ไม่ผิดหรอก แต่บาป เพราะไปคิดสร้างมาก ที่นี่ไม่ได้คิดแบบคุณ ไม่คิดเอากำไรใครมา แต่คุณไปหาเรื่องเป็นข้อแก้ตัวของคุณเอง มันไม่ผิดหรอกตามฐานะของคุณคุณว่าจะทำตามเจตนาของคุณอย่างนี้ แต่กิเลสมันพาทำเขาเรียกว่าบาป แต่ถ้าทำโดยไม่คิดว่าจะต้องได้เงินมาหรือไม่ได้เงินมาสร้างอโศก อาตมาพอมีบารมีคนมาบริจาคพอสมควร อาตมาทำสำเร็จ ชีวิตชาตินี้ 1. ไม่ได้เรี่ยไร 2. ไม่ได้หว่านล้อมเลียบเคียงและเล็ม ก็มีทรัพย์ศฤงคารหมุนเวียนมาสร้างสรรศาสนสถานศาสนวัตถุ พอเป็นไป ไม่ต้องทำอย่างทางโลกเขาเลย ชาตินี้อาตมาทำอันนี้ดีแล้ว ไม่ต้องเรี่ยไร นอกจากไม่เรี่ยไรแล้ว ไม่หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ อาตมาจะไม่หลอกลวงเด็ดขาดให้คนมานับถือ ไม่เรียกร้องให้คนมาเป็นบริวาร ทุกคนมาเอง ไม่ได้มาเป็นบริวารอาตมา คุณมาหาประโยชน์จากที่อาตมาให้ ไม่จำเป็นต้องมาเป็นบริวารอาตมา บริวาร จะแปลว่าอะไรก็คือตามใจ คุณจะมาทำประโยชน์แห่งนี้เท่านั้น มิใช่เพื่ออานิสงส์จะได้ลาภ ยศ สักการะ สรรเสริญยกย่อง ให้คนมาตอบแทนอะไร

ไม่ใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ หรือ ค้านลัทธิอื่นใดให้ลงไป ไม่ใช่ มาบอกสัจธรรมเท่านั้น

ความจริงที่อาตมาพูดนี้เป็นความตรงกันข้ามกับที่เขาพูดกันเท่านั้น จะไปเลี่ยงได้อย่างไร และไม่ได้ไปคิดทำลายใคร ใครจะไปยึดมั่นถือมั่นเขาก็ยึดมั่นถือมั่นอยู่ไปล้มล้างได้อย่างไรเขายึดมั่นถือมั่น มีแต่คนเข้าใจได้ว่าอย่างนั้นไม่ดีวางปล่อยเถอะ ก็อนุโมทนาสาธุเท่านั้นเอง จะไปจัดการเขาได้ยังไง และไม่ได้คิดว่าจะไปเป็นเจ้าลัทธิ อย่ามายัดเยียดอาตมาว่าเป็นลัทธิอโศก ไม่ ก็ศาสนาพุทธไม่มีลัทธิอย่างอื่น ทำให้ตรงกับธรรมะพุทธเจ้าจะเป็นลัทธิศาสนาพุทธก็ได้ แล้วมันจะผิดได้อย่างไร

ไม่ได้ให้มาเข้าใจว่าอาตมาเป็นผู้วิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ มันน่าจะไม่เป็นผู้วิเศษอย่างนั้นอย่างนี้อธิบายธรรมะเก่งจังเลยอธิบายได้ลึกซึ้งมากมายก่ายกอง จะไม่วิเศษอย่างไร หากอาตมาอยากให้คุณยกย่องชมเชย อาตมาจะไปแสดงธรรมอย่างนี้ไหม อาตมาไม่แคร์หรอกว่าคนจะมายกย่องสรรเสริญนับถือ ไม่ทำปะเหลาะหรอก อาตมาไม่เคยไว้ท่าไม่กลัวเสียหน้าหรอก ไม่เคยกลัวว่าจะไม่สุภาพ อาตมาไม่เคยไปแสดงคำพูดหยาบคายโกหก

1.อาตมาไม่พูดโกหก 2. ไม่พูดหยาบคาย 3. ไม่พูดส่อเสียด 4.ไม่พูดเพ้อเจ้อ อาตมาใช้วาจาพูดอย่างนี้ ดีที่สุดแล้ว เป็นสาระสัจจะ ธรรมะโลกุตระด้วย

อาตมามาแสดงธรรมไม่ได้แสดงว่าอาตมามีสิ่งอื่น แต่มีสิ่งวิเศษ เป็นธรรมะระดับโลกุตระเป็นอุตริมนุสธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่แสดงธรรมแบบโลกียะ มีแต่โลกุตระส่วนใหญ่ด้วย มันเป็นคุณธรรมอันวิเศษ แต่ไม่ได้คิดว่าจะให้คนมาคิดว่าจะมาเป็นผู้วิเศษ

อาตมาบอกว่าอาตมาเป็นผู้หลุดพ้นจะไปติดความวิเศษอย่างไร จะสามารถอธิบายได้วิเศษอย่างไรมันก็เป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้าของศาสนาพระพุทธเจ้า

อธิบายเพื่อให้คนมาเป็นผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ลดละจากกิเลสให้พ้นทุกข์ แสดงธรรมมาเพื่อนี้ คนไม่เชื่อเขาก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว คนที่เชื่อเขาก็ได้ประโยชน์ไป อาตมาก็ขยายความเลยไปใหญ่เลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน ทำไมต้องบอกอุตริมนุสธรรม

_8498นั่งรถถนนคดเคี้ยว เลยถามคนขับว่าชำนาญทางไหมครับ เจ้าของรถดันขู่ว่า ให้นิ่งๆไว้อย่าบอกใครว่าชำนาญทางถ้าขืนบอกว่าชำนาญก็เท่ากับไม่ชำนาญ

พ่อครูว่า...เหมือนกับผู้ที่บอกว่าบรรลุแล้วบอกใครไม่ได้ อย่างนั้นมีคติเป็นสัตว์นรกหรือเดรัจฉาน

อาตมาทำไมต้องบอก ทำไมต้องประกาศว่าตนเองบรรลุ

เหตุ ข้อที่ 1 ใหญ่ยิ่ง เพราะทุกวันนี้ผู้บรรลุไปถูกครอบงำไว้แล้วว่า อย่าไปพูดว่าบรรลุ จึงไม่มีใครกล้าพูด จึงไม่มีใครบอกแม้จะชื่อว่าตนเองบรรลุแล้วก็ไม่กล้าบอก เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคนบรรลุจริงๆที่กล้าบอกออกมาเลย มีแต่คนอมพนํา ศาสนาพุทธจึงกลายเป็นศาสนาอมพนํา เพราะฉะนั้นใครบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ ก็เป็นแต่อรหันต์เดา ว่าคนนี้เป็นอรหันต์แน่เลย เดาเอา จึงไม่มีอรหันต์จริงๆ เลยไม่มีใครรู้ ทุกคนก็เต๊ะท่าไป

อาจารย์คนนี้บอกว่าเป็นอรหันต์อย่างนี้ๆ แล้วก็เพี้ยนมาเรื่อย ออกนอกรีต จนกระทั่งอรหันต์กลายเป็นคนไม่คิดไม่พูดไม่กระดุกกระดิก ไม่ไปสัมผัสสัมพันธ์กับสังคมเลย หยุดนิ่งเฉย ไม่เอาอะไรไม่ทำอะไรก็อยู่ป่าช้า อย่าง หลวงพ่อเกษม อยู่ป่าช้า ใครไปนั่งเฝ้า ท่านก็ไม่พูดอะไรเลยจนเขากลับไป ก็เลยกลายเป็นตัวอย่าง เขายกย่องกันยกย่องหลวงพ่อเกษม อยู่ป่าช้าไตรลักษณ์ สุสานไตรลักษณ์

ไปเข้าใจอย่างนั้นแหละว่าคืออรหันต์ ถ้าไปพูดอธิบายอะไรก็บอกว่าไม่ใช่ แล้วคนจะได้รู้ไหมนี่ อย่างนี้มันง่ายนะก็เป็นอรหันต์กันหมดบ้านหมดเมืองสิ เหมือนหลวงพ่อเกษมหมดเลยหมดบ้านหมดเมือง แล้วจะกินอะไรกันหว่าอยู่กันอย่างไรหว่า มันไม่เป็นความเจริญ

ศาสนาพุทธนั้นบรรลุธรรมแล้วเจริญ มีคุณค่าเป็นคนขยันหมั่นเพียรไม่ใช่นั่งนิ่งเฉย ไม่สะสม ก็ไม่สะสมไม่ว่ากัน แต่อาการที่น่าเลื่อมใสโดยที่คุณเอาแต่นิ่งอย่างเดียว ตื่นเช้ามาก็บิณฑบาต แล้วก็กินกินแล้วก็นั่งนิ่ง ศีลเป็นอย่างไรก็อยู่ในนี้หมด สมาธิ ปัญญาวิมุติก็อยู่ในนี้หมด เลอะเทอะไปหมดเลย ขี้ตู่ไปหมดเลย

ศีลข้อที่ 1 คุณลืมตาสัมผัสกับสัตว์ทั้งหลายแล้ว คุณอย่าฆ่า ละการฆ่า เว้นการฆ่า วางอาวุธ วางศาสตรา จิตใจมีความเอ็นดูกรุณา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ไม่ใช่ว่าหลับตาแล้วจะเห็นสัตว์เลย พระพุทธเจ้าสอนที่ไหนว่าให้หลับตา ให้เกี่ยวข้องกับสัตว์ข้อที่ 1 ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวข้องกับของ ที่มันไม่ใช่ของของเรา ข้าวของไม่มีจิตวิญญาณ แต่สัตว์ไม่มีจิตวิญญาณ มันไม่มีชีวะ ถ้าสัมผัสกับข้าวของสิ่งเหล่านั้นแล้วมันไม่ใช่ของของเราอย่าเอามา ถ้าจะได้ก็ต้องได้มาโดยสุจริตธรรม ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวข้องกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย กามคุณ 5 กระทบสัมผัสแล้วอันนี้เป็นตัวเหตุหลักเลย ที่มันเกิดกิเลส ตัวนี้ตัวสำคัญอ่านตัวนี้

ศีล 3 ข้อนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ถ้าปฏิบัติเข้าไปให้ลึกซึ้งในศีล 3 ข้อนี้คุณก็เป็นอรหันต์ ศีลข้อที่ 4 เกี่ยวข้องกกับวาจา ศีลข้อที่ 5 เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ก็ขยายความจาก 3 ข้อนี้

ถ้าเข้าใจได้ไม่มีอะไรเลย ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์กับคน ตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยจนถึงมนุษย์ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อย่าไปทำลายอยู่ เขาเกิดมาก็มีวิบากของเขา ตัวเราก็เท่านี้ เราก็มีวิบาก และสัตว์เหล่านี้มันมาเกี่ยวกับเรา โดยเฉพาะคน คนรับกับสัตว์เฉพาะคน กับมนุษย์ วิบากมีตั้งเยอะแยะ คุณรับสัตว์อันนี้ให้ดีได้เถอะ สัตว์เหล่านั้นคุณเลี่ยงได้เลยอย่าไปเกี่ยวข้อง อย่ามาเลี้ยง กับมาเกี่ยวข้อง เขาก็อยู่ตามวิบากของเขา ตัดเรื่องสัตว์ได้เลยนี้มันสุขสบายใจ แล้วคุณก็ทำที่มันหนักหนาสาหัสเป็นวิบากต่อกันโดยเฉพาะวิบากคน เพื่อลดกิเลส ทั้งรักทั้งชัง 16 ปีแสนขมขื่น เรียนรู้อันนี้เถอะ แล้วเราก็ลดละกำจัดกิเลสเหล่านี้ได้

มีพระสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ..ล. 14 [854]  พอนั่งเรียบร้อยแล้ว  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า  ดูกร  อุตตระ  ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า  ฯ

อุ.  แสดง  พระโคดมผู้เจริญ  ฯ

พ.  ดูกรอุตตระ  แสดงอย่างใด  ด้วยประการใด  ฯ

อุ.  ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  ในเรื่องนี้  ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า  อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ  อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต  ฯ

พ.  ดูกรอุตตระ  เมื่อเป็นเช่นนี้  คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์ต้องเป็นคนตาบอด  ต้องเป็นคนหูหนวก  เพราะคนตาบอด  ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ  คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต  เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้  อุตตรมาณพ  ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์นั่งนิ่ง  เก้อเขิน  คอตกก้มหน้า  ซบเซา  หมดปฏิภาณ  ฯ

[855]  ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า  อุตตรมาณพศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นิ่ง  คอตก  ก้มหน้า  ซบเซา  หมดปฏิภาณ  จึงรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า  ดูกรอานนท์ ปาราสิริยพราหมณ์  ย่อมแสดงการเจริญอินทรีย์  แก่สาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง  ส่วนการเจริญอินทรีย์ อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่ง  ฯ

ท่านพระอานนท์ทูลว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต  เป็นการสมควรแล้ว  ที่พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงการเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่า  ในวินัยของพระอริยะ  ภิกษุทั้งหลายฟังต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว  จักทรงจำไว้  ฯ

พ่อครูว่า....การเจริญอินทรีย์ 6 แบบอย่างนั้น ไปปิดทวารอย่างนั้น มันไม่ใช่ของลัทธิพุทธ เป็นลัทธิของคนตาบอดหูหนวก จะให้พูดอย่างไรถึงจะสะดุ้งกันบ้าง อาตมาว่าชาตินี้อาตมาทำอย่างไรจะปลุกพวกนี้ตื่นบ้างไหม ลัทธินอกพุทธหลับหูหลับตา โทรทัศน์กี่ช่องก็มานั่งหลับตา เจริญย่างหนอ มีแต่ช่องบุญนิยม พูดแข็งข้อ ไม่เหมือนเขาเลย นอกนั้นกี่ช่องก็เป็นเหมือนกัน และคนดูก็เยอะด้วย มีหลายช่อง แฟนใครก็ใคร จะเห็นได้ว่าไปหลงลัทธิตาบอดหูหนวกกันมากเหลือเกินในประเทศไทย ลัทธิคนลืมตามีอยู่แค่นี้ มีสติดี ปัญญาดี หูดีตาดี ตาหูจมูกลิ้นกายพร้อมแล้วมาเรียนรู้ลดกิเลสตามวิธีการของพระพุทธเจ้า มีโพธิปักขิยธรรม 37 พิจารณากายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรม

กายต้องเกี่ยวกับภายนอกอย่างนี้แหละ ไม่ต้องไปหลบอยู่ภายในอย่างนั้น ไม่ใช่ ศาสนาพุทธลืมตา ตัดกิเลสแม้กิเลสอบายมุขก็ลืมตา ลดอบายมุขแล้วลดละกามคุณก็ลืมตา หมดกามคุณแล้วเป็นอนาคามีก็ลืมตา ไม่ได้หนีไปไหน ไม่ได้หลับตา

สมณะฟ้าไทว่า...ก็น่าเห็นใจพ่อครูที่ต้องพูด ในสิ่งที่คนไม่เข้าใจสักที แต่ก็ไม่ท้อแท้...จบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:56:52 )

610719

รายละเอียด

610719 งัวเงีย คือ กิเลสสายดับ

      พ่อครูว่า….นอนๆๆๆ เป็นคนต้องนอน ไม่นอนไม่ใช่คน คนมันติดมาจากสัตว์เดรัจฉาน มันถึงเลิกการนอนไม่ได้ง่าย จนสุดท้ายมันติดการนอน จนกระทั่งบอกเคล็ดกับพวกเราได้ ใครเอาไปใช้ทำได้ไหม  นั่นแหละภาษา ใช้ภาษา ความงัวเงีย ตัวนี้แหละ รู้อาการมันให้จริง ตัวนี้แหละโอ๊ยไอ้โง่ ไอ้นี่มันนั่งหลอกเรา ไอ้งัวเงียเนี่ย มันหลอกเราให้เราไปติดงัวเงีย เฮ้ย เอาออกมันชัดเจน มันไม่มีภาษาอื่นที่จะไปเรียกตัวมัน  ตัวนี้แหละไอ้งัวเงียนี้ เฮ้ย

ส.แสนดิน...ความบิดขี้เกียจ ฉำภิตัตตะ

พ่อครู...นั่นแหละอะไรก็ไม่รู้ภาษานู้น มันไม่รู้เรื่องภาษาไทย  งัวเงียนี่ชัดแล้ว แปลชัดแล้ว อารมณ์นี้ อาการนี้

ส.แสนดิน...แต่ภาษาไทยชัดงัวเงีย 

พ่อครู...ภาษาไทยชัดงัวเงียนี้  ภาษาไทยเนี่ย ใครอ่านอาการให้ออกตรงกัน งัวเงียเนี่ย ทุกคนรู้  เพราะมีทุกคน มันติดทุกคน เคยมาทุกคน มันมีของจริงเป็นมาอยู่นี้  ถ้าใช้ภาษาไทยตัวนี้ชัด คนไทยฟังภาษาคำนี้ชัด นั่นแหละอันนั้นออก สลัดได้จริงไม่มาเลย งัวเงียไม่เข้ามาหา

เราเลย จบเลย  นอกนั้นก็เหลือแต่สรีระร่างกาย  มันเอาเราง่วงเท่านั้นเอง ถ้าไม่เหลือ สรีระมันก็

ไม่ง่วง ตื่น มันก็ตื่นสดใส ตลอดกาล

ส.แสนดิน...สายดูด สายกาม มันเป็นอาการสายโมหะ + กาม

พ่อครู...ใช่สิ มันเสพย์ ไง งัวเงียคือ เสพย์ในกาม  ทางเจโตนี่ มันจะว่าเสพย์ก็ไม่เชิง

มันดับ มันกด มันแข็ง  สายเจโต มันกด มันแข็ง มันดับ มันหมดรู้สึกเสพย์ แม้จะว่ารู้สึกเสพย์

มันก็หายไปเลย ไม่ได้ใส่เสพสย์อะไรเลย มันยิ่งค่อยๆ ซึมๆลืมๆ ไม่ได้เสพย์ มันก็จมไปเลย

ดับ มันก็ดับ ไม่ใช่ตัวเสพย์ทีเดียว  มันเป็นตัวกิลมถะ

ส.แสนดิน... เณร เขาบอกว่าเขานั่งแล้วเขาดับ  เขาเรียกว่าเขาเข้าจิตสงบได้ไว เขา

อ่านหนังสือทีไรเขาเหมือนกับเข้าฌา

พ่อครู...เขาเรียกว่า ไม่รักษาทรง  ไม่ได้ฝึก ไม่ได้ฝีกมันก็ไป นี่ ผมนี่เป็นคนไม่รักษาทรงเท่าไร  ถ้าฝึก นั่งเนสัชชิ จะแกว่ง ถึงจะนั่ง แต่จะแกว่งแบบไม่รู้ตัวหรอก  ไม่รุ้ตัว แกว่ง

จะไม่รู้สึกตัว ดับ แกว่ง จะไม่รู้สึกตัวหรอก

ส.แสนดิน...เวลาจะโงกเราก็จะรู้  แต่นี่เขาไม่รู้

พ่อครู... ไม่รู้เลย  แกว่งเลย ไม่ใช่โงกเท่านั้น  แกว่ง แต่มันไม่โงก อย่างผมเป็นอย่างนั้น  แต่ไม่รู้ตัว อยู่นาน

ส.แสนดิน...แต่พ่อท่านเคย แบบร่างกายเวลาไม่ไหวจะมีอาการโงก

พ่อครู...ใช่  มันไม่ไหว มันก็เป็นสรีระมันฉุดลงไปให้เป็น

ส.แสนดิน..สมณะเล่ากันว่า เวลานั่งแล้วโงกง่วง หงายหลัง  เตะบาตรกระเด็นเลยก็มีครับ

 

พ่อครู…(หัวเราะ) เป็นได้  กระดกเลย ตีลังกาเลย .

 

ถอดข้อความโดย อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:00:05 )

610719  

รายละเอียด

610719  ยกสติวินัย ให้พระอรหันต์เป็นอย่างไร

พ่อครู    : เปิดๆ กดๆ ดูไอ้โน่นซิ ว่า ทำไมเขาเรียกการประกาศให้พระอรหันต์ พระอรหันต์ว่าสติวินัย ทำไมเรียกว่าสติวินัย กดดูดิ๊...

.เดินดิน    :  ทำไมนะครับ?

พ่อครู         :   สติวินัย

.ดินไท  ทำไม  ยกสติวินัยให้กับ.....

พ่อครู         :   เออ... ยกสติวินัยให้แก่พระอรหันต์ ทำไมเรียกว่าอย่างนั้น ทำไมเรียกว่าสติ วินัย วินัย วินัยข้อนี้ ทำไมเรียกว่าสติวินัย

.ดินไท       :  ไม่มีเจตนา

.เดินดิน    :  เพราะว่าประเด็นนี้มันอยู่ตรงที่ ในพระไตรปิฏก อยู่ที่ว่า เอ่อ.. พระอรหันต์ขอ.....

พ่อครู     : พระอรหันต์ขอ ขออะไร?

.เดินดิน   : พระอรหันต์ เป็นผู้ขอต่อสงฆ์

พ่อครู      :  ฮะ

.เดินดิน  : พระอรหันต์เป็นผู้ขอต่อสงฆ์

พ่อครู      :  ขอต่อสงฆ์ อ๋อ ..พระอรหันต์เป็นผู้ขอต่อสงฆ์ ว่า....

.เดินดิน  : จะให้ยก….

.ดินไท       :  อาบัติ

.เดินดิน  : จะให้ยกอาบัติทั้งหลาย

พ่อครู     :  อ๋อ.. จะยกอาบัติทั้งหลายว่า ไม่ให้ถือว่ามีอาบัติ

.เดินดิน : ครับ แต่ท่านเบิกบานท่านยังคัดค้านพวกเราอยู่ว่า เอ๊ะ ในพระวินัยเรื่องพระอรหันต์เป็นผู้ขอไม่ใช่สงฆ์เป็นผู้...

พ่อครู     : ผู้ให้

.เดินดิน  : ครับ

พ่อครู     : มันก็กลับกันไง

.เดินดิน  : กลับกัน

พ่อครู     : กลับกัน ยุคพระพุทธเจ้านะสงฆ์เป็นผู้ขอ ไม่ใช่ ตัวภิกษุ  ภิกษุเป็นผู้ขอให้ยกวินัย ให้ยกวินัยให้ ขอให้ยก แต่ผมเนี่ย เมื่อมายุคนี้มันกลับกันหมดทุกอย่าง พระพุทธเจ้าท่านประกาศความเป็นอรหันต์ โอ้โห... คนตื่นเต้นมากันเกรียวกราว ดีใจเคารพนับถือ ผมประกาศอรหันต์ คน..แย้...หนีหมดเลย มันคนละยุค คนยุคโน้นเป็นคนที่พร้อมที่จะสร้างศาสนา เป็นคนพร้อม ยุคพร้อม คนพร้อมที่จะ คนเจริญ คน ประชาชน มนุษย์ในยุคนั้น พร้อมจะเป็นพระอาริยะกัน พร้อมที่จะเกิดศาสนา ปึ๊ด..  แต่ยุคนี้ คนเละเทะหมดเลย ไม่มีศาสนาเลย คือมันตรงกันข้ามกันหมดเลยไง เพราะฉะนั้น พูดอย่างนี้ผมก็เลยยิ่ง ชัดเจน แต่ผมไม่ๆๆ เข้าใจนะประเด็นนี้ ประเด็นที่ว่า สติวินัย ถึงว่า เอ้อ..สงสัย ทำไมท่านเรียกสติวินัย อ๋อ.. หมายความว่าเป็นการรรู้ตัว สติคือการรู้ตัว รู้ตัวว่า เออ เราเป็นพระอรหันต์แล้ว เราก็ขอ ขออนุญาตต่อสงฆ์ บอกสงฆ์ สงฆ์ก็ยอมรับ แต่ทีนี้ผมเอง ผมไม่ใช่ยุคโน้น ผมก็รู้ตัวว่าผมเป็นพระอรหันต์ ก็บอกว่าเป็นพระอรหันต์  ก็เกิดผลสะท้อน คนไม่ยอมรับ คนกระด้างกระเดื่อง สงฆ์ก็ต้องมารับผม สงฆ์ก็เลยต้องมารับผม ประกาศรับผม ด้วยสติวินัย มันกลับกันไง

.เดินดิน  : ครับ

พ่อครู     :  ก็จริง ชัดเจนๆ ๆ  โดยสภาวะถูกต้อง ก็ยังนึกสงสัยเมื่อเช้า เอ๊ะ... ยังรู้สึกสะดุดใจ เออ.. คำว่าสติวินัย เราก็เกิดละสติวินัยตรงที่ว่า มันเกิดเหตุการณ์ คือพวกหมู่คุณก็ประกาศ

.แสนดิน  : ผมว่า มันเป็นความสมบูรณ์ ว่าพ่อท่านเนี่ย ก่อนหน้านี้ ตู่ท้วงพ่อท่านหลายอย่าง แล้วหมู่สงฆ์ก็เห็นว่าอย่างเนี้ย มันไม่สมควร จะมาตู่พระอรหันต์ เพราะว่ารู้กันว่าพ่อท่านเป็นพระอรหันต์ ก็เลยยกขึ้นมาว่า ไม่ควรจะ ให้มันเป็นเหตุเป็นผล และพระอรหันต์อยู่ๆท่านมาบอกว่า  ให้ยกเว้นให้ผมหน่อยนะ อะไรงี้ก็ไม่สมเหตุสมผลเนี่ย ฮะ

พ่อครู    :  อ้าว ก็ยุคพระพุทธเจ้าไง

.แสนดิน  : หมายถึงว่าตัว....

พ่อครู    :  ภิกษุแต่ละองค์ว่าท่านเป็นอรหันต์ ท่านขอให้สงฆ์ยกให้ท่าน

.แสนดิน   : .ใช่ๆ แต่ว่า ถ้าพูดถึงว่า สงฆ์พระอรหันต์เนี่ย ท่าน ปกติท่านบอกว่าจะมายกเว้นโทษให้ผมนะ ท่านก็ไม่พูดหรอก ก็ต่อเมื่อมีคนร้ายมาโจทย์ท่านว่า เนี่ย ..ท่านผิดอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ท่านเป็นพระอรหันต์ หมู่สงฆ์ก็ เอ๊ะ.. อย่างนี้มันไม่ควรจะทำ หมู่สงฆ์ก็ อ้าว อย่าไปโกรธท่านเลย

.เดินดิน  :  แต่ก่อนเรื่องทำนองนี้ก็มีหลายครั้งที่ อย่างภิกษุณีมาโจทย์ภิกษุว่า ไปได้เสียเขา มีท้อง พระพุทธเจ้าก็เรียกเข้ามาสอบถาม ภิกษุก็บอกว่า พระพุทธเจ้าถามว่าเธอได้ทำจริงหรือเปล่า พระที่ถูกโจทย์ก็บอกว่าพระพุทธเจ้าก็รู้ดีอยู่แล้ว บอกเธอทำไม่ทำถามครั้งที่สอง พระพุทธเจ้าก็ย่อมทราบดี ครั้งที่สามพระพุทธเจ้าบอกให้เธอบอกว่าทำไม่ทำ บอกว่าอะไร ตั้งแต่บวชมา 7 วันก็เป็นพระอรหันต์แล้ว แม้แต่คิดยังไม่เคยทำ

พ่อครู    :  พากุละเหรอ?

.เดินดิน  :  ไม่ใช่พากุละ อีกองค์หนึ่ง คือ พระพุทธเจ้าถาม ท่านก็บอกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์นานแล้ว แต่พระพุทธเจ้าก็รู้อยู่แล้วล่ะ ก็ให้บอกที่ประชุม แต่ทำไมมาอ้างตรงนี้ อ้างความเป็นอรหันต์ แต่ว่าที่พระพุทธเจ้าเป็นประธานอยู่เนี่ยก็...

พ่อครู    :  ก็เลยไม่มีใครกล้าพูดอะไร พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตัดสินยอมรับทุกอย่าง แต่ยุคนี้ไม่มีใครตัดสิน

. เดินดิน  : ไม่มีครับ ไม่มีใครตัดสิน

พ่อครู   :  ก็เลยยาก ผมอยู่ๆ ก็ไม่ได้ไปประกาศง่ายๆ  แหม... พูดกับสาธารณะ ก็พวกเราก็รู้ๆกันว่าอะไร ผมก็แน่ใจว่าพวกเราแน่ใจแล้ว ผมก็ถึงประกาศออกไปข้างนอก ประกาศ พ.ศ. 58 ใช่ไหม ?

คุณเจมส์ : ครับ 58 ที่ไพศาลี

พ่อครู    :  58 ก็พอดี 45 ปี พระพุทธเจ้าท่าน 45 ปีท่านก็สิ้นพระชนม์ เรา 45 ปี เราก็ประกาศ อรหันต์

 . เดินดิน  : เรื่องนี้มันเหมือนมีความซับซ้อนว่า ก่อนหน้านี้ที่ว่าพ่อท่านยืนยันว่าเป็นอรหันต์หรือเปล่า พ่อท่านก็ไม่ตอบ อะไรเงี้ย จนองค์ประกอบอะไรมา ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่า อยากจะอวดก็อวดไป มาตลอด ก็อยู่มาทำงานศาสนามา

พ่อครู   :  45 ปี

. เดินดิน  : ครับ 45 ปี

พ่อครู   :  ถึงประกาศ

. เดินดิน  :  เหตุปัจจัยองค์ประกอบ เพระงั้นประกาศตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่

พ่อครู   :  ก็พวกเราก็ไม่ได้ สะดุด สะเดิด  กระดุ๊กกระดิ๊กอะไร เฉยๆ ก็ อือ... มาบอกทำไมอ่ะ

.แสนดิน : ผมเป็นโพธิสัตว์

พ่อครู    :  เอ่อ.. ก็ธรรมดา ก็รู้แล้ว ก็ชัดเจนอยู่แล้ว อธิบายไปจนกระทั่งไม่มีอะไรที่จะข้องคาแล้ว การแสดงออกความเป็นอรหันต์ ก็ต้องมีอะไรที่ตัวเองจะยืนยัน ผมก็ยืนยันตรงที่ว่าผมมีความเข้าใจ ผมมีความรู้นั้นหนึ่ง อธิบายธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ชัดเจนละเอียดลออ เออ ว่าอรหันต์ น่าจะเป็น ถ้าไม่ใช่อรหันต์จะมาอธิบายอะไรขนาดนี้เหรอ  สอง ก็อยู่ด้วยกันมานาน คบคุ้นกันมานาน ว่า เอ้อ จะใช่หรือไม่ใช่ จะเป็นสิ่งยืนยันว่าจะใช่หรือไม่ใช่ อยู่กันมานาน อยู่ด้วยการคบคุ้น รู้ด้วยการคบคุ้น

. เดินดิน  : จริงๆ กว่าจะบอกก็มีลำดับนะครับ

พ่อครู    :  ใช่

. เดินดิน  : ประกาศเป็นโสดาบัน   ประกาศเป็น เจ้าคณะจังหวัดเป็นสกิทาคามี คือมันก็มีลำดับ

พ่อครู    :  ไม่ใช่ว่า พรวดพราดๆ อะไร

. เดินดิน  : แต่คนเพ่งโทษจะจับเอา อยู่ดีๆก็ คุยตัวเอง

พ่อครู    :  ทุกวันนี้ว่ากันจริงๆ แล้วมันไปนับถืออะไรต่ออะไร ไปยึดถืออะไรต่ออะไรไม่ได้หรอก เพราะว่ามัน ๆ เละแล้ว

.แสนดิน  :  ชาวนายังเป็นอรหันต์ อรหันต์ชาวนา อรหันต์อะไรเต็มไปหมดแหละ แล้วแต่ประกาศ

. เดินดิน  : มีกฎหมายอะไร

.แสนดิน  : หรือว่า เอาคำว่า อรหันต์ไปใช้กับทุกๆอย่าง

. เดินดิน  : กฎหมง กฎหมายอะไร ก็อรหันต์ทรงธรรม

.แสนดิน  : มันก็เลยทำให้คำประกาศ ไม่เหมือนเดิม

.ดินไท  :  ไม่บอก บางที บางคนไม่รู้

พ่อครู   :   ไม่รู้ คนที่สงสัย บางที บางคน คนที่ไม่ติดใจ เอ๊ะ พระองค์นี้น่าจะยังงี้ๆ นะ พอผมประกาศไปแล้ว คนที่ไม่ติดใจไงฟังแล้วก็ เออ.. พอผมประกาศไป เออ.. ใช่ๆๆ  ท่านก็กล้าประกาศอะไรเงี้ย เออ.. น่าจะใช่ เพราะเขาไม่ติดใจไง  เขาชัดเจน ศรัทธา เออ... เขาก็จะชัดเจนเขาก็จะหมดความสงสัยคลางแคลง เอ้..  คนมันอยากแสดงออกถึงขนาดนี้ นะ.. รู้ยิ่งขนาดนี้ หรืออย่างพวกเราก็คบคุ้นกันมาขนาดนี้อะไรงี้ คนที่ไม่ได้มาคบคุ้นสนิทอย่างนี้ เขามาได้ฟัง บรรยาย แสดงธรรมอยู่ขนาดนี้ 

. เดินดิน  : จริงๆ ถ้าจะประกาศให้คนเคารพนับถือ เนี่ย ต้องประกาศแบบครูบาบุญชุ่ม แสดงฤทธิ์ แสดงเดช อะไร

พ่อครู  :  ไอ้นั่น มันไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เอาตายสิ ไปประกาศแบบนั้น พระพุทธเจ้าเอาตาย ไปแสดงอิทธิปาฏิหารย์ อาเทศนาปาฏิหารย์ เออ.. แล้วบอกว่าเป็นอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็เอาตาย เท่านั้นเอง  ไม่ใช่เครื่องชี้ ความเป็นอรหันต์ เห็นไหม มันชัดเจนไหมล่ะ อย่างครูบาบุญชุ่ม โอ้.. คนยอมรับ  ดีนะ ท่านแสดงฤทธิ์แสดงเดช ไม่ได้มาก ถ้าท่านแสดงฤทธิ์แสดงเดชได้มาก ฮือฮาดัง โอ้โห รับรองเป็นอรหันต์ชัดเจนเลย

.แสนดิน   : มี การทายว่าาอยู่กี่คน นี่ทำไมถึงหาะเข้าไปได้

. เดินดิน  : แค่ว่าจะออกได้เมื่อไหร่ แต่จริงๆ ก็ทายสามสี่ครั้งก็ไม่ตรงนะ ทายมั่ว

.แสนดิน   : ทายมั่วๆ

พ่อครู    :  ทาย ออกได้เมื่อไหร่ ออกได้ที่ไหนวันที่ 10  ออกได้ที่ไหน

. เดินดิน  : ไม่ได้ๆ ก็ต้องมาทำพิธีใหม่

พ่อครู    :  ผิดด้วย วันที่ 10  วันที่ 10 จะเจอ หรือว่าวันที่ 10 ถึงจะออกได้

. เดินดิน  : ทายๆ ก่อนเจอ บอกว่า จะได้เจอวันนี้ คือมาลุ้นกันว่า  เที่ยงนี้ เจอแน่ ครูบาบุญชุ่มมาก็บอกเลยว่า วันนี้เจอ แล้วก็ไม่เจอ แล้วก็เลยหายไปแวบหนึ่ง แล้วค่อยมาโผล่ มาทำพิธีอีกทีหนึ่ง

.แสนดิน  : เดาเอารู้เลย ว่าเดาเอา

 . เดินดิน  : ใช่ เดาเอา คือ ตอนนั้นใครก็ลุ้นกันว่า ต้องเจอ เที่ยงนี้

.แสนดิน  : กดดันมาก ถ้าไม่เจอ เด็กมันอดข้าวขนาดนี้ มันจะตายแล้ว

. เดินดิน  : ใช่ ๆ ภาวะตอนนั้นมันกดดัน สงสารเด็กกันมาก ครูบาบุญชุ่มมาร่วมผสมโรง คนก็เฮกันไป

.แสนดิน  : คนก็เฮ ต่อเนื่องมาอะไรเงี้ย

. เดินดิน  : แต่คน เหมือนกับคนหลงแล้ว ยังไงก็......

.ดินไท  :  มี ๆ เหตุผล เข้าข้างได้หมด

. เดินดิน  :  มีเหตุผล เข้าข้างได้หมด

.แสนดิน  : ก็สมัยโบราณ พระโมคคัลลาเหาะเนี่ย เหาะเห็นๆ ประชาชน ฮือมากเลย ขนาดนั้นพระพุทธเจ้ายังบริภาษเลย

พ่อครู   :  อืม

.แสนดิน  : โอ้โห..อันนี้แค่ เนี่ย เป็นประเด็นสังคมนะ

. เดินดิน  : ดูมันดราม่า ครูบาบุญชุ่ม แล้วก็บอกไปเข้าปิดวาจา ก็เอากุฏิลอยน้ำเล็กๆ มา เชือกผูกแล้วไปลอย พอตื่นเช้ามาก็หายไปแล้ว ลูกศิษย์บอกไปเข้าเงียบ ที่ไหนได้ไปโผล่ที่ปากถ้ำ คือ.. ปิดวาจาได้ไม่กี่วันก็ คือ เห็นว่ากุฏิไปอยู่ได้ยังไง ไม่มีที่ห้องน้งห้องน้ำอะไร ที่ลอยน้ำเล็กๆ เอาเชือกผูก

พ่อครู   :  อะไร ลอยน้ำ อะไรลอยน้ำ เชือก ?

. เดินดิน  : แบบที่เราไปที่คลอง 13 อ่ะครับ เชือกผูก

.ดินไท  :  เชือกผูก แล้ว ปล่อยให้ลอยน้ำ

. เดินดิน  : ครูบาบุญชุ่ม ปิดวาจา ก็ไปนั่งอยู่ แล้วปล่อยลอยไปกลางน้ำ เหมือนกับจะเข้าปิดวาจา แกเคร่งครัด ไปทำสมาธิ แต่ไม่กี่วัน บอกหายตัวไปละ ลูกศิษย์ก็บอกว่าตอนนี้ ท่านไปไหนไม่รู้ แต่ว่าข่าว ไม่นานเท่าไหร่ ก็ไปโผล่ที่ถ้ำอย่างเก่า  แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่า พระเครื่องของครูบาบุญชุ่ม มันขึ้นเป็นแสนเลย พวกทำขายกันใหญ่ ทำหลายรุ่น พวกทำขายนี่ เขาก็มาให้สัมภาษณ์ โทรทัศน์ มาโฆษณา ไปออกรายการ

 

ถอดความโดย ...ในสวนดาว


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 14:59:00 )

610720

รายละเอียด

610720 อย่าเผลอเพลินกับโลกธรรม สิ่งที่นักรบทวนกระแสต้องระวัง

      ส.แสนดิน...เมื่อคืนพ่อท่านเขียนอะไรครับ

พ่อครูว่า...ทำประโยคนิดหน่อย เพราะกว่า เรื่อง มันจะ เกิด มันก็ต้องมีเหตุ กับ กาละ มาด้วยเสมอ  แต่คนที่เผลอเพลินไปกับโลกธรรมเผลอเพลินลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ก็จะจมทรมซับซึมไปกับลาภยศสรรเสริญสุขได้ทุกเมื่อ

พ่อครู…ส.แสนดิน...ไม่เท่ากันเหตุการณ์

ส.เดินดิน...กาล กว่าเหตุจะเกิด มันไปกับการ การนี้การกระทำ

พ่อครู...กว่าเรื่องจะเกิด a story Is born เพราะกว่า “เรื่อง” กับ “เกิด” มันจะอุบัติหรืออุปัทวะขึ้นมา “เกิดเรื่อง” นั้น มันต้องมี “เหตุ”กับ “การณ์”  ร่วมมือกันก่อนเสมอ

แต่ผู้เพ้อเพลินอยู่กับลาภยศสรรเสริญสุข ที่เป็นปกติของโลกธรรมนั้น มันลืม​ ”ไว้หน้า ผู้ไม่มี “สติ” ไม่ ”สังวรสำรวม” ได้ทุกเมื่อ “

ส.เดินดิน...นี่เป็นคำพยากรณ์ไว้เลยนะ

พ่อครู… มันลืม​ ”ไว้หน้า” ผู้ไม่มีสติ ไม่สังวรสำรวมได้ทุกเมื่อ

ส.แสนดิน...หมอไม่รับเย็บ

ส.ดินไท...หน้าแตก

ส.เดินดิน...วันเกิดสภาพหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ

พ่อครู… ได้ทุกเมื่อ แล้วคุณอย่าไปหาหมอ เพราะหมอจะไม่รับเย็บหน้าคุณ มีสอยอีก

ส.เดินดิน...ที่เราเลือกคนที่มองโลกสวย คือคนที่จมอยู่กับโลกธรรม

พ่อครู…ใช่  มันเผลอเพลิน มันเผลอเพลินอยู่กับโลกธรรม ถูกโลกธรรมครอบงำ

จนซมซาบซึ้งใจ  ตัวซมซาบ จนซมซาบซึมซึ้งใจ ไปกับโลกธรรม ไปกับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข

ส.แสนดิน...น่าเอาไปแต่งเพลง

พ่อครู…มันเป็นภาษาเพลงหมือนกัน ภาษากวี คำกลอน 

      ส.ดินไท...ได้หมด คิดว่าน่าจะแต่งโคลง เป็นเพลงก็ได้  มันมีบทที่มันสอดคล้อง แง่มุมทั้งพยัญชนะ ร้อยเรียง

      ส.เดินดิน...ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นกับพวกเราหรือเปล่า

      ส.แสนดิน...ถูกเกิดอยู่ทุกเมื่อถ้าเผลอ

      ส.เดินดิน...นี่มันสัจจะ

      ส.ดินไท...เป็นได้ทุกคน

      พ่อครู…เผลอเพลิน ลืมไว้หน้า  ปกติมันก็ไว้หน้ากันอยู่ แต่มันลืมไว้หน้า โอ้มันเผลอเพลิน มันลืมเลย

ส.แสนดิน...ปกติมันจะไว้หน้ากับตนเองไม่ไว้หน้ากับคนอื่น เผลอเพลินเลยมันก็หน้าแตก

      ส.ดินไท…เขามีเพลงเพราะลงไว้ใจ

เจมส์...เพราะรักจึงยอมไว้ใจ

ส.ดินไท...เพราะหลงไว้ใจ ก็เลยถูกหลอก

 

                              ถอดข้อความโดย อุทัย

 

https://www.youtube.com/watch?v=QBOjmE3wCgE


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:01:53 )

610720

รายละเอียด

610720_อย่าเผลอเพลินกับโลกธรรม สิ่งที่นักรบทวนกระแสต้องระวัง

เพราะกว่า “เรื่อง” กับ “เกิด” มันจะอุบัติหรืออุปัทวะขึ้นมา “เกิดเรื่อง” นั้น มันต้องมี “เหตุ” กับ “การณ์” ร่วมมือกันก่อนเสมอ

 

แต่ผู้เผลอเพลินจนซมซาบซึมซึ้งใจไปกับ “ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข” ที่เป็นปกติของโลกธรรมนั้น มันลืม “ไว้หน้า” ผู้ไม่มี “สติ” ไม่ “สังวรสำรวม” ได้ทุกเมื่อ

 

พ่อครู...20 ก.ค. 2561

 

โลกธรรม คือ ลาภมากรวยมาก ยศคนยกย่องให้รางวัล สรรเสริญ...สุข...บำเรอกาม อัตตา

 

อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่ อานนท์ ! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ... เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:03:07 )

610720

รายละเอียด

610720_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เป้าหมายของศาสนาพุทธคือไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=100SVtfFKwstR7wQ5DZwgMACHbDwoRfLIEVzur6J2IbY

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1w4xFECHcnY12syL6h6WGx1PDWo_Q6QCf

สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ได้ดูข่าวต่างประเทศ เขาพูดถึงผู้นำสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ไปเยือนประเทศอังกฤษ พูดถึงค่าใช้จ่ายที่เดินทางไป แค่เดินทางไปพักที่รีสอร์ท บอกว่าเกือบๆ 237,500 ดอลลาร์ คนอเมริกันต้องรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ว่าจริงๆยังถูก ถ้าไปพักที่อเมริกาต้องจ่ายคืนละ 1 ล้านดอลลาร์ แท้จริงเจ้าของที่พักก็เป็นโดนัลด์ ทรัมป์เองด้วย แต่ชาวอเมริกันต้องแบกรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่พ่อครูเน้นให้เรามาเป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจนี้เป็นทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและมนุษยชาติ ทิศทางแบบทรัมป์นี้ ทำให้ตนเองและคนอื่นเดือดร้อน ไม่สามารถทำให้โลกเกิดสันติภาพได้แน่นอน มาฟังพ่อครูกันต่อ

พ่อครูว่า...ก่อนจะได้สาธยายทางธรรมก็อ่านsms ก่อน

_มงคล ฉิมพลี · ขอบคุณทุกท่านที่ให้โอกาสได้รับฟังธรรมมะดีๆของอโศก

 

_7722พ่อครูเทศน์วันจันทร์ให้เด็กๆ บ้านราชรู้สึกท่านเมตตาเด็กมาก พุทธสถานอื่นๆ น่าจะให้เด็กได้ชมทางทีวีด้วยครับ

พ่อครูว่า…ที่อื่นก็มีฟังเช่นกัน

 

_ยุพดี พรหมจรรย์· ตลอดระยะเวลาที่ท่านป่วยอยู่ท่านไม่มีห่วงอะไรเสียดายแต่ว่าจะไม่ได้ฟังธรรมอีก เท่าที่ผ่านมานับเป็นบุญกุศลที่ได้ฟังธรรมะจากพ่อท่าน(สมณะโพธิรักษ์) จิตที่ตั้งมั่นประพฤติดีปฏิบัติชอบและจะขอตายภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ค่ะ

พ่อครูว่า…คงพูดถึงท่านพรหมจริโยที่เสียไป

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน คุณสมบัติอรหันต์ 12 ประการ

_วลัยพร วรชัยศรีโสภณ ·ประทับใจเรื่องที่สิกขมาตุเอามาอ่าน ขอบพระคุณค่ะ กราบคาราวะ หลวงตาพรหม จากหัวใจ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:05:42 )

610721

รายละเอียด

610721 ค่า A ในสูตรสัมประสิทธิ์คือนาม 5 ภาคปฏิบัติ

พ่อครู  ...มันก็ยังงั้นแหละ คนที่ต้องมีเรื่องมาก หน้าที่ทำมากคิดมาก เขาก็ต้องมีพลังทางกามมากฮอร์โมนมาก มันต้องไปด้วยกัน

.แสนดิน ....อย่างจอมพลสฤษดิ์

พ่อครู  ....มันเป็นพลังที่สร้างพลังให้เกิดในคนนั้นมากๆยิ่งขึ้นเหมือน stimulate ให้มีขึ้นเพื่อมาเติมเพราะมันไม่พอแคลอรี่มันก็ไม่พอ กามมันเป็นโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) อันหนึ่งของพลังงานกระปรี้กระเปร่าในร่างกายในจิต จิตเป็นตัวตั้งเป็นตัวประธานที่เป็นตัวเพิ่ม เพิ่มจากไหน ก็จากที่ตัวเองอยาก อยากอะไรก็แล้วแต่ก็เป็นพลังแคลอรี่ที่ต้องจ่ายทั้งนั้น

    แม้แต่อยากทางกามก็ใช่และไม่ใช่น้อยๆ เพราะกามก็เป็นมโนสัญเจตนาอย่างหนึ่งเป็นพลังที่จะกระตุ้นให้อยากเพิ่มขึ้น เวลามันเกิด(อุปัจยะ) พลังกามจึงเป็น โคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient)เป็นปฏิภาคทวี พลังที่ไม่มีก็เกิดมี ที่หากมีก็จะยิ่งมีกำลังเพิ่ม ถ้าคุณไปจ่ายพลังที่เกิดขึ้นในตัวคุณ มันก็ต้องเสียพลังไป กับการที่คุณไม่จ่าย  ตัวคุณไม่จ่าย มันก็เพิ่มสิ มันมีภาวะซับซ้อน action  reaction 2 อย่างทันที ไอ้ที่กระจายออกมากก็ลด กระจายไม่มากก็เพิ่ม มันมีมากมันก็ต้อง...เหมือนพลังงานทางวิศวะแรงทดมันจะยิ่งได้แรงเพิ่ม หรือมันจะลดหรือเพิ่มก็อยู่ที่ตัวโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) ที่ A ว่ามี ประสิทธิภาพมากน้อย   พลังงานวัตถุก็เหมือนกัน เพราะงั้นไอน์สไตน์คิดได้ E เท่ากับ mc กำลัง 2  แต่พอบวก A   A นี่แหละเป็นตัวเพิ่มไม่มีหยุด เอ คือ mc กำลัง2 แต่ mc กำลัง 2 ของเอมันยกกำลัง n ไง มันยิ่งเป็นปฏิภาคทวีขึ้นเรื่อยๆจาก 2เป็น 4 เป็น 8 เป็น 16 เป็น 32 ฯลฯ เป็นแต่เพียงว่าเอ ของคุณมันไปได้เท่าไหร่ n คุณไปได้เท่าไหร่ มันมีกำลังทั้งนั้น มันอยู่ที่ isotope ของคุณหรือสายวิ่งของคุณมันไปได้นานเท่าไหร่

ถาม ….n มาจากไหน

พ่อครู ….เรานี่แหละต้องในสร้างองคาพยพในร่างกายของเรา เราต้องเติมให้มัน คือเราต้องฝึกต้องนึกอยู่เรื่อยๆต้องสร้างให้มันเกิดอย่างพอดีอยู่ตลอด อย่างคุณมีสตังค์ ร้อยบาทเท่ากับคุณมี  n แล้ว ถ้าคุณต้องใช้ร้อยนี้ แต่ร้อยนี้ c มันยกกำลังสอง นี่หมายความว่า ที่ไอน์สไตน์คิดไว้คุณต้องเพิ่มมาอีก c ก็ต้องยกกำลังมาอีกเป็นปฏิภาคทวีอย่างที่บอก ไม่ใช่บวกไม่ใช่คูณแต่ยกกำลัง อัตราการเพิ่มมีหลักการใหญ่ 3 ระดับ  บวก คูณ   ยกกำลัง นี่สูงสุดแล้วเท่าที่ไอน์สไตน์คิดไว้ ก็เอา c ไปยกกำลังนี่คืออัตราการก้าวหน้าที่มันจะเพิ่มได้

      เพราะฉะนั้นในพลังงานที่เป็นวัตถุก็ตามคุณจะทำไงที่จะเติมพลังงานตรงนี้ได้เต็มที่ สูงสุดได้เท่านี้แหละที่เขาคิดได้และใช้กันอยู่ เขาก็อยากได้มากกว่านี้ ทีนี้คิดโดยหลักตรรกะก็ เอ ใหญ่นี่แหละ เอาไปเพิ่มได้อีก   ก็จะได้เพิ่มอีกแม้แค่ .0001 คุณก็เพิ่ม A เป็นบวก แล้วจะเพิ่มมากหรือน้อยก็เพิ่ม

.แสนดิน  .....การบวกเพิ่ม A ในนามธรรมจะมีในขั้นโสดาปฏิมรรคและโสดาปฏิผลขึ้นไปนี่จะมีแต่บวกไม่มีเสีย หรือเป็นลบ แต่ของปุถุชนเขาบวกด้วยกามเขาก็มีแต่เสีย มันไม่มีเพิ่มอย่างยั่งยืน

พ่อครู ....ได้ คิดอย่างนั้นก็ได้ ถูก คือทางโลกนี่เขาได้มาเขาต้องไปจ่าย แต่ทางธรรมนี้มันได้เพิ่มแต่ไม่จ่ายหรือจ่ายน้อยลง อัตราเพิ่มก็เป็นปฏิภาคทวีขึ้น แต่ทางโลกนี่จ่ายเพราะตัณหาความอยากได้มันจะสร้างทุกๆเวลาที่กลไก n ในองคาพยพของเราเป็นตัวฐานตัวรูปที่จะสร้างนาม เหมือนคุณจะปลูกพืชผักคุณก็ต้องมีดินมีปุ๋ยมี น้ำอะไรพวกนี้ มันมีองค์ประกอบอยู่แล้วคุณมาเติมสิ่งที่ได้จากอากาศได้จากลมหรืออะไรแล้วแต่หรือเอามาจากอะไรอีกต่างๆนานา หรือพลังที่จะเอามานี่ พลังดูดหรือพลังที่จะเอามานี่คือตัณหาตัวอยากนี่แหละ ตัวต้องการ แล้วมันเอามาจากธรรมชาติด้วย  มันดูดโดยที่ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาไปดูดเอามาและมันก็จะเอาเกินด้วยเพราะมันต้องการ และอาการจิตเป็นตัวอัตตาเป็นตัวเจ้าของเพราะงั้นตั้งแต่พีชะมาเลย แต่ถ้าพวกอุตุนี่มันไม่มีตัวต้องการ มันได้จากข้างนอกให้มัน มันจะมากขึ้นๆจากข้างนอกอัดให้มัน ส่วนพีชะมันเริ่มมีตัวตนมันดูดเข้าแต่ตัวตนมันยังน้อย อุตุไม่มีสัญญาแต่มันสังขาร

.แสนดิน ....เราเอาจุนสีมาแกว่งในน้ำจนมันอิ่มต้ว แล้วเอาด้ายหย่อนลงไปมันก็จ้บตัวกันเป็น ก้อน เป็นผลึก แปลว่ามันมีสัญญาจะจับตัวมั้ย

พ่อครู ....ตัวนั้นมันเป็นสังขารเท่านั้น ไม่ใช่สัญญา ผลึกเกลือก็เป็นสังขาร สังขารนี่มีร้อน เย็น ดูด ผลัก มันยังไม่เป็นสัญญา มันทำปฏิกริยา ทุกอย่างแหละ ในร้อนนี่มีทั้งผลักและดูด ทั้งสลายตัวและรวมตัวมันมีทั้งสองอย่างอะไรที่ได้สัดส่วนที่ต้องรวมมันรวม ต้องสลายก็สลายไปตามนั้น ตัวละเอียดของมันคือนิวเคลียร์ฟิวชั่น กับนิวเคลียร์ฟิชชั่น ในว้ตถุมันก็มีเหตุการณ์ข้างนอกคือร้อนเย็นมันก็มี action-reaction วิ่งไปตามทิศโน้นทิศนี้ มันเป็นคลี่นอยู่อย่างนี้

ถาม ....ถ้าอย่างนั้น พ่อท่านถ้าเราจะสร้างพลังA ในจิตเรามากๆ เราต้องเพิ่มมโนสัญเจตนาหาร แล้วฝึกไปเรื่อยๆ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าการฝึกของเราขณะนั้นมันเป็นบวกหรือยกกำลัง เราตัดสินเองได้ไหม

พ่อครู ....อันนี้คุณต้องเข้าใจของตัวเอง จึงจะมีตัววัดหรือตัวรู้ เพราะงั้นถ้าเราสามารถรู้จนเป็นเหมือนมิเตอร์อันหนึ่งไปวัดได้ คุณก็ประมาณการได้ ที่พูดนี่มันเป็นนามธรรมทั้งนั้น พระอาริยะที่เก่งๆในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ที่พูดนี่เป็นอาเทสฯ ก็สามารถรู้พลังจิตเราขนาดนี้ๆ

    ที่คุณถามมานี่ มันก็มีได้เป็นได้ถ้าคุณศึกษาตนเอง จนกระทั่งคุณกำหนดรู้คุณจะรู้สึก  จริงๆจะรู้ได้จากเวทนาจากความรู้สึกทั้งนั้นเป็นตัวที่จะวัด เพราะตัวเรามีธาตุรู้เป็นเจ้าเรือนเป็นตัวประธาน ตัวละเอียดตัวแรกที่จะเริ่มก็คือเวทนา สัญญา สังขาร ถ้าขยายอีกก็เป็นเวทนา สัญญา เจตนา  ตัวเจตนาเป็นตัวเกิดใหม่ นาม 5 นั้นตัวต้นคือเวทนา สัญญาแล้วก็เจตนา ผ้สสะ มนสิการ  พอโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient)ตัวใหม่มาคือเจตนาตัวอยาก  คุณต้องสร้างอยู่ พอมีเจตนาต้องมีผัสสะเป็นเหตุปัจจัย  ถ้าไม่มีมันเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น มันไม่ย้อนกลับมา คุณเจตนาคือคุณอยากแต่คุณไม่มีผัสสะ แล้วมันก็ไม่มีอะไรมาให้คุณเลย คุณจึงต้องมีผัสสะ ที่เรียกว่า reaction มาให้คุณ คุณจะดูดเอาพลังงานที่มากระทบแล้ว  สัมผัสแล้วกลับมาได้เท่าไหร่ก็อยู่ที่มนสิการที่คุณทำ นี่ครบแล้วในพลังงาน 5ในนามธรรม 5

ถาม .....แสดงว่าเราต้องฝีกบ่อยๆ

พ่อครู  ......ต้องทำเอง คุณเป็นประธานถ้าคุณเฉยๆเจตนาก็ไม่มี ไม่มีตัววิ่งออกไปเลย เอาแต่เฉยๆ มันก็ไม่เคลื่อนอะไรก็ไม่สัมผัส พลังงานมันอยู่ที่ตัวเรา ตัวเราคิดคำนึง แล้วจัดการให้มันวิ่งขึ้นมา มันก็มีเจตนา แล้วมีผัสสะ เกิดปฏิกริยา action reaction ตัวตั้งคุณพอหรือยังถ้ายัง ผัสสะแล้วยังเป็นเคสิตะเวทนา มันไม่รู้หรอกว่าพอไม่พอ มันไม่รู้ มันก้เหมือนอุตุนิยาม ตัวมันเองมันไม่รู้มันจะโตมันเล็กมันไม่รู้ เหตุปัจจัยข้างนอกทำให้มันทั้งนั้น เพราะงั้นตัววัตถุก้อนหินก้อนนี้มันจะแข็งขึ้นจะโตขึ้นก็มีปริมาณมันไม่รู้เรื่อง เหตุปัจจัยบรรยกาศข้างนอกทำให้มันทั้งนั้น มันอาจกลายเป็นเพชรก็ได้แล้วแต่เหตุปัจจัยหรือเป็นแก้วเป็นหินก็ได้ มันแล้วแต่ต้นฐาน ถ้าเป็นคาร์บอนมันก็เป็นเพชร ถ้าไปไม่ถึงก็อาจกลายเป็นถ่าน

ถาม .....หมายความว่าถ้าเราเจอผัสสะมากๆ แล้วเราควบคุมผัสสะนั้นได้ ผัสสะนั้นก็เป็นพลังงานทำให้เราเพิ่ม โคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient)มากขึ้นๆwfh

พ่อครู   ....ใช่ คุณต้องฉลาดที่จะรู้ว่า action  reaction จะเกิดผลเป็นแรงต้าน ทำให้เกิดแรงทด ถ้าแรงทดก็เพิ่มประสิทธิภาพ

.แสนดิน .....ถ้ามากเกินเราก็ไม่ไหว ไม่นิ่ง

พ่อครู .....มากเกิน มันก็จะสูญเสีย     ถ้าพอดีจึงจะเกิดอัตราการก้าวหน้า เสมอๆ อันนี้แหละถ้าเราจะยืดอายุต้องปรับความพอดีให้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่าให้มากเกิน เช่นถ้าโด้ปอาหารมากเกิน ออกกำลังมากเกินมันก็ลด ต้องทำให้พอดีๆ ได้สัดส่วนมันก็จะเจริญ ก็ประมาณ 100 ก็จะพอดี เอา 100 เป็นตัวตั้งก็ไม่น่าจะเกินร้อย

.หนักแน่น ......อีก 73 วัน แต่พ่อท่านยังไม่มีอาการ

พ่อครู  ......ถ้าเกิน 50 แล้วจะรู้ว่าไหมมั้ยที่จะถึง 100  เวทนาคือความรู้สึกของเรา เราจะรู้สึกได้ เราก็ประมาณความรู้สึกดูว่าควรเพิ่มหรือควรลด หรือควรจะรอ

.แสนดิน .....ที่กล้ามเนื้อ ถ้ามันพอประมาณ

พ่อครู .....ก็นั่นแหละอยู่ที่ตัวตั้ง ถ้าสมมติว่านี่คุณเต็มแล้วนา ถ้าเอาอีกก็  overload  คุณก็ต้องรู้ตัว คุณต้องรู้จักความลงตัว ปโหติ พอเหมาะ คุณต้องประมาณให้พอเหมาะให้ปโหติ มีสัมมาทิฏฐิอันพอเหมาะ คนมีสัมมาทิฏฐิพอเหมาะคนนั้นมีสัปปุริส 7 มีมหาปเทส 4 ที่จะประมาณสัดส่วนทุกอย่างได้พอดี พอดีมีเพิ่ม หรือพอดีไม่เพิ่ม แต่สมดุล  ส่วนชรตาส่วนที่มันจะเสื่อมลงๆไม่ต้องไปคิดมันหรอก ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ในขีดหนึ่งของมันแล้วมันจะเสื่อมลง

    งั้นใครก็ตามที่สามารถมีพลังงานสูงสุดก็ทำได้เท่านี้ ถ้าเผื่ออาตมาทำไปได้ถึง 100   ก็จะดูว่า เออ เราเพิ่มได้  ก็เพิ่ม ถ้าเพิ่มไม่ได้ก็เอาแค่นี้แล้วทำตรงนี้ให้สมดุลจนอยู่ตัวเป็น static จนเป็นฟัลคั่มพลังงานที่จะดีดออกไปได้อีก ดีดตัวนี้ต้องใช้พลังงานทดสูงกว่ายกกำลัง เพราะงั้น mc กำลังสองจึงต้องบวก A ต้องสูงกว่ายกกำลัง  ไอน์สไตน์คิดได้แค่นี้แต่นามธรรมหรือจิตวิญญาณ  มันมีตัวประธานมันตะกละ มันมีเจตนามีความมุ่งมั่น มันมีตัวเองที่จะฟุ้งจะออกไปได้มากกว่านี้ แต่วัตถุนั้นมันได้เท่าไหร่ก็อยู่เท่านั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่

    คุณเอง คุณเป็นคนคุณสามารถสร้างพลังงานนี้ให้ได้เต็ม mc กำลังสอง คุณเป็นคนคุณเป็นคนคุณสร้างว้ตถุ แต่วัตถุมันมีพลังบวกลบในกรอบของมันเอง คุณทำได้แค่นี้ เพราะงั้นถ้าคนคิดได้สามารถทำพลังงานจากวัตถุโดยเพิ่มอะไรๆเข้าไปคุณจะได้พลังงานนิวเคลียร์ที่สูงกว่านี้ แต่สูตรนี้ยังไม่มีใครคิดได้ ที่ไอสไตน์คิดไว้นั้นสูงสุดแล้วคนอื่นคงคิดเพิ่มอีกยาก แต่มันก็ยังสามารถเพิ่มได้อีก

ถาม ....ที่เขาทำ ระเบิดนิวเคลียร์ก็ต้อง.....

พ่อครู  ....เขาก็ได้มาจากวัตถุไง เขาเอาจากอะไรล่ะ

.แสนดิน โปรตอนนิวตรอนยิงแสงเข้าไปที่นิวเคลียส แต่สิ่งที่ยิงเข้าไปต้องเล็กมาก เป็นอรูป ไปในนิวเคลียสออกเป็นพลังงาน จะมีพลังงานไหนเล็กกว่านี้

พ่อครู  .....เขาไปกระตุ้นมัน มันมีตัวที่ไปกระตุ้นให้เก่งกว่านั้น ไกลกว่านั้น เล็กกว่านั้น เพราะมันยิ่งเล็กมันยิ่งเร็วยิ่งแรง นี่คือความหมายที่ว่านี้ ถ้าเขาสามารถหาได้ จิตวิญญาณก็เหมือนกันถ้าเข้าใจสูตรวัตถุ เป็นแต่ว่า เราเองเป็นผู้ทำ ทีนี้มันเป็นนามธรรม ผู้ทำนี่ คุณจะจัดการนามธรรมยังไง ธรรมะ 2 รูปนามคุณทำยังไง ทำให้รูปนามมันมีปฏิภาคทวีเป็น โคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient)คุณก็หาที่เล็กและเร็วกว่านี้ได้อีก คุณก็ทำซี

.แสนดิน ....ก็ต้องทำละเอียดขึ้น แต่อย่างปริมาณนี่ พระพุทธเจ้าแค่ยิงคำถาม เข่นเราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด แต่ต้องวิ่งมาเยอะแล้ว โอ้.. กว่าจะสะดุด

ถาม  ....ถ้าเป็นพลังงานของเรา อันนี้หมายถึงความละเอียดของจิตใช่ไหมคะถ้าจิตละเอียดขึ้นเราจะสามารถมีพลังงานมาก การที่จะทำจิตละเอียดต้องทำอย่างไร

พ่อครู  ....คือเราจะต้องสัมผัส ต้องทำผัสสะแล้วมนสิการ  ขณะนี้คุณกำลังพูดถึงเจตนา นามธรรม 5 เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะ มนสิการ มาถามว่าจะทำยังไงให้กิดสัญญาเวทนาเจตนายังไงคุณก็ต้องมีผัสสะ  ผัสสะตัวนี้คุณต้องหาเหตุ  มันต้องมีธรรมะ2 ต้องมีรูปกับนาม คุณต้องสร้างรูปกับนามของคุณเอง

ถาม ...โยนิโสมนสิการจะทำให้จิตเราละเอียดขึ้น

พ่อครู ....ใช่  มนสิการทำให้จิตขึ้น เพราะเป็นตัวทำ  ตัวทำคุณก็ต้องคิดมีเจตนาคุณต้องฝึก ถ้าจะให้เป็นรูปธรรมก็ต้องหัดจับตัวมันให้ติด ตามที่คุณต้องการได้ ถ้าจับไม่ติดก็ต้องทำไปทำมาๆไม่ได้ก็ต้องทำหลายๆครั้งเท่านั้นเอง มันเป็นนามธรรมละเอียด คำว่าละเอียดหรือเล็ก มันเป็นอรูป มันหนักหนาสาหัสแล้วคุณต้องไปฝีกเอา คุณมาถามอาตมา อาตมาก็ต้องบอกให้คุณจับตัวละเอียดของคุณให้ได้

.แสนดิน ....แต่ที่จริงมันอยู่กับตัวเราตลอดเวลา

พ่อครู ....ใช่ มันมีอยู่ในธรรมชาติทั้งหมดแหละ จิตของเราก็อยู่กับเราตลอดเวลา จิตเราก็เป็นธรรมชาติของเรา เราก็ใช้จิตของเรานี่แหละเป็นตัวพลังงาน พลังงานจิตนี่แหละจับพลังงานเป็นทาสให้ได้ ทาสทำอันนี้ไม่ได้ เราต้องบังคับมัน เอ็งต้องทำให้ได้ คุณต้องเก่งในการบังคับมัน ทาสจริงๆน่ะคือตัวคุณเอง จิตที่คุณอยากให้มันเป็นอย่างนั้นก็คือทาสของคุณ คุณก็ต้องฝึกมันเหมือนฝึกทาส ถ้าคุณสอนมันไม่ได้ทาสก็ทำไม่เป็น เพราะทาสมันยังโง่อยู่ สรุปแล้วคุณจะทำยังไง คุณต้องมีปัญญา

ถาม ....สมมติว่าเราคิดไม่ดีกับใคร เรารู้แล้วจับมันได้ อย่างนี้ใช่ไหมคะ

พ่อครู ..ใช่ เวลาเกิดอกุศลจิต คุณต้องสร้างทาสของคุณให้แข็งแรง เขาก็จะทำงานเก่ง คุณก็ฝึกไปเรื่อยๆมันอยู่กับการฝึกและการจัดการเสมอ เพราะงั้น นามธรรมที่จะเกิดเพิ่มก็อยู่ที่ 1 เราเจตนา 2 เราผัสสะ 3 เรามนสิการ สามตัวนี้แหละ คุณมี เวทนา มีสัญญา เป็นตัวตั้ง ทั้งสองอย่างนี้มีตลอด สัญญาเวทนามันเป็นตัวธรรมะ 2 ของจิตนิยาม พีชนิยามมีสัญญาแต่ไม่ถึงขั้น เวทนา ก็เลยได้สังขารไปตามประสา  ส่วนอุตุนั้นถูกสังขารอย่างเดียวยังไม่มีทั้งสัญญา เวทนา จึงถูกสังขารโดย อย่างอื่นทำให้มันเกิด

.แสนดิน  ....ถ้าอรหันต์ มีสัญญาถึงขั้นเวทยิตนิโรธ คือมีเวทนาเหมือนไม่มีเวทนา

พ่อครู .....จะทำเท่าไหร่ก็ได้จะหยุดก็ได้จะสมดุลก็ได้ เพิ่มจะลดก็ได้จะไม่ทำก็ได้

.แสนดิน     .....ก็เหลือแต่สัญญากับสังขาร เหมือนกับพืชได้

พ่อครู ...ใช่  สังขารอย่างพืช และอย่างพืชที่รู้จักสันตติ รู้ตัวจะต่อจะอุปัจยะหรือจะปล่อย ถ้าปล่อยก็ชรตา  เพราะทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องดับไป  พระอรหันต์องค์ไหนท่านไม่สันตติแล้วไม่อุปัจจยะแล้ว ท่านก็นิพพาน  เพราะงั้นสังขารที่เป็นแท่งก้อนของคุณของอรหันต์ก็ตามมันเป็นชีวะ มันชรตาๆๆๆ แต่พระอรหันต์ ถ้าเกิดฮึดมาอีกเมื่อไร อนิจตา เฮ่ย..  ยังไม่ตาย เอาใหม่น่า ...   ถ้ายังไม่ตายก็ฟื้นมาใหม่ได้ สำหรับอรหันต์ แต่คนธรรมดาไม่ได้ ถ้ามันเกินขีดที่จะฟื้นแล้ว คุณจะฮึดยังไงมันก็ไม่ฟื้นจะโด้ปยังไงก็ไม่ขึ้น  ทนพิษบาดแผลไม่ไหวไม่มีแรงจะฟื้น หรือทนพิษแรงจนทำปฏิภาคทวีขึ้นอีกไม่ได้ แรงที่จะฮึดขึ้นมาไม่มีแล้ว

ถ้าเรามาอธิบายประกอบกับทางวัตถุธรรมมันก็เข้าใจเพิ่มขึ้นและมันทำให้เราเข้าใจลึกขี้นไปอีกเป็นนามธรรมยิ่งขี้นไปอีก ก็พัฒนาขึ้นอีก ถ้าเรารู้อยู่เขตไหนมันก็แค่นั้น แต่ถ้าพัฒนามันก็เพิ่ม ที่เราอธิบายกันนี้เราใช้ภาษาวิทยาศาสตร์มาอธิบายเพิ่มเราจึงได้เรียนลึกกว่าสมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่มีภาษาที่จะนำ เช่น ฟิวชั่น ฟิชชั่น ที่เราพูดได้เพราะมีภาษานำ ภาษามันเยอะ

.แสนดิน ....ก็แล้วแต่สมัยนะฮะ บางสมัยมีภาษาอีกแบบหนึ่ง พ่อท่านก็ต้องอธิบายแบบนั้น ใช่ไหม คือใช้ภาษาถิ่น พ่อท่านอธิบายนาม  5 ภาคปฏิบัติได้ชัดขึ้น

พ่อครู  ...มันมีเท่านี้แหละ  ถ้าเข้าใจนาม 5 แล้ว คุณก็ไปจัดการนามหรือกิเลสคุณได้ เพราะฉะนั้นคุณใช้นาม5 ไปจัดการกับกิเลสคุณได้ คุณใช้ทั้งรูป 28 ดินน้ำไฟลม คุณก็มีธรรม2 แล้วคุณก็จัดการให้ถูกกับหทยารูปซึ่งเป็นตัวจิต เป็นจุดรวม พลังงานของคุณอยู่ในคูหาสยังในร่างกายคุณ

ถาม ....งั้นถ้าจัดการกับทาสของเราได้ สุขภาพเราก็จะดีขึ้น

พ่อครู  .... ใช่ นี่เป็นการชะลอวัย ทำให้มันยืนยาว เป็นการเพิ่มอายุขัยที่อาตมาพาทำโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) อยู่  อันนี้แหละที่คุณพูด คุณเรียนพยาบาลมา ก็พอจะเข้าใจได้สามารถก้าวหน้าฝืนความเป็นจริง ที่จริงของคุณต้นทุนของคุณไม่มีอะไรที่จะรู้เลย คุณก็ทำไม่ได้ มันต้องเป็นตามเหตุปัจจัยแต่ถ้าคุณรู้อย่างที่อาตมาพารู้พาทำตั้งแต่ต้นอาตมารู้แล้วพวกคุณมารู้ตาม  คุณจะรู้ชัดเจนหรือรู้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ก็ตามมันก็งงคลำๆพอจับรูปจับนามได้นิดๆ ถ้ายิ่งจับได้ตัวมั่นตัวแม่นเลยนะ คุณก็จะได้จริงขึ้นยิ่งมั่นแม่นทำได้ถูกตัวทำให้เต็มขึ้น คุณก็ยิ่งก้าวหน้ามากขึ้นๆๆ

.แสนดิน ...พ่อท่านสอนไว้เยอะมาก คุณพยายามหยิบให้ได้สักตัว

พ่อครู ...คุณรู้แล้วคุณไม่ทำก็ไม่ได้อีก ถ้ารู้แล้วคุณฝึกจริงก็จะได้

.แสนดิน   ... อันนี้ถามยายสำราญเรื่องฟังธรรม  ยายฟังไม่รู้เรื่องแต่ประทับใจที่ได้เห็นพ่อครู มา เขาก็ประทับใจแล้ว

พ่อครู ....ไอ้ตัวประทับใจหรือตัวที่เกิดพอใจอยาก มันเป็นตัวละเอียดของธาตุรู้สายศรัทธา มันถูกดึงไปเรื่อยๆแม้เราทำเองไม่ได้ด้วยอำนาจศรัทธานี่แหละเป็นพลังเป็นอินทรีย์ 5 เป็นศรัทธา ถ้าเคลื่อนจากศรัทธาได้ ปัญญาก็เป็นตัวเติม คุณจะเพิ่มจากศรัทธามาเป็นวิริยะ คุณต้องมีพลังงานปัญญามาเติม เป็น mc กำลังสอง คือศรัทธา A คือวิริยะ พอวิริยะขึ้น ปัญญาก็ขึ้นวิริยะขึ้นมันก็เกิด 3 เส้าขึ้นมา ปัญญาคือขับแคลือน ตัวศรัทธากับวิริยะ วิริยะก่อเกิดสติ ให้ตื่นทั้งนอกและใน ตื่นจากในมานอก คนที่เอาแต่นั่งๆๆๆมันไม่เจริญ โคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient)ไม่เกิด แต่ถ้าเปิดรับมันได้รับเพิ่มจากข้างนอกมาเรื่อยๆสติก็ทำให้เจริญ ซูปร้าคอนเซ็นเทรชั่น (supra- concentration)ก็เจริญกว่าเมดิเตชั่น(meditation) เพราะเมดิเทชั่นไม่มีการเติม มีแต่ความแน่น ไม่มีโต ไม่มีเจริญ แน่นๆๆๆๆแกร่งๆๆๆ แข็งอย่างเดียว เพราะฉะนั้น ก็แกร่งขึ้นๆ แข็งอย่างเดียวต่อไปก็เป็นเพชร ก็ได้แต่แข็ง เมื่อได้สติแล้วก็เอาสัดส่วนนั้นไปสร้างอันใหม่ จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิก็เกิดจากศรัทธาวิริยะสติสมาธิ ตัวปัญญาเป็นตัวเสริมเสมอ คุณก็เสริมวิริยะอีกเป็นสมาธิ สมาธิเจริญปัญญาก็เติมให้สมาธิอีก ได้ตัวตั้งก็มาเป็นตัวศรัทธา  ปัญญาก็มา เติมวิริยะอีกเป็นโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) วิริยะก็เกิดสมาธิ   สามเส้านี้ทำงานอีกก็เกิดเป็นสมาธิ ปัญญาก็เติมวิริยะ ตัวที่ได้จากสมาธิก็มาเป็นศรัทธา สมาธิก็มาเป็นศรัทธา ๆๆๆๆปัญญาก็คือตัวเติมๆๆ

.แสนดิน ...สายปัญญาก็ต้องมีศรัทธา สุดท้ายก็ต้องวนมา ศรัทธาก็มีปัญญา ใช่ไหมครับ

พ่อครู ....ศรัทธาเป็นตัว static ไง ตัว dynamic คือปัญญา พอรู้ว่าได้ตัวนี้แล้ว ปัญญาก็เติมเข้ามาแล้วเป็นวิริยะ วิริยะก็ปฏิบัติการกับสติ  ศรัทธาวิริยะสติก็เป็นสามเส้า ศรัทธา วิริยะ สติ

.แสนดิน ....แกนของคนที่เป็นสายศรัทธาและสายปัญญา

พ่อครู ....มีปัญญาเป็นตัวรู้ ที่ผมอธิบายนี่สายปัญญา ตัวรู้ทำเพิ่ม แต่ศรัทธามันไม่รู้เท่าไหร่ได้แต่แน่นเข้าๆและนิ่งๆ

.แสนดิน ....พระอัสสชิก็เป็นสายศรัทธา ได้แต่นิ่งๆ ได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัส ยังไม่เชื่อ ตรงข้ามกับพระสารีบุตร แต่สุดท้ายก็ต้งมีทั้งศรัทธาและปัญญา

พ่อครู ....ปัญญาต้องรู้ทุกตัว รู้ทุกสภาวะแล้วต้องทำให้ขัดเจนครบครัน  อย่างผมอธิบายนี่มีactivity ของแต่ละตัวทั้งศรัทธาสติวิริยะสมาธิ ปัญญาก็ต้องมี activity จัดกว่าเพื่อน ปัญญาเป็นตัวรู้ตัวเสริมปัญญาเป็นตัวความจริงและความรู้

.แสนดิน ....พ่อท่านอธิบายอินทรีย์ 5 พละ 5 ภาคปฏิบัติ

พ่อครู ....ใช่ ปัญญาเป็นตัวรู้ ธรรมมีสองอัน static กับ dynamic มันเพิ่มนิวเคลียสของตัวเอง มันมีความรู้จัดการเพิ่มพลังนิวเคลียสของตัวเอง เพราะฉะนั้นเราเพิ่มพลังนิวเคลียสของเราได้ แต่เขาไม่มี พลังงานมีขอบเขตของมัน แต่นี่มันมีอัตตา ข้าไม่จบ ข้าต้องเพิ่ม เท่าที่เราจะมีตัวรู้ อินทรีย์ 5 พละ5 นี้ ยิ่งรู้ก็ยิ่งเติมได้ๆ เราจึงสามารถเพิ่มอายุขัยได้

.แสนดิน ....ได้ทั้งรูปธรรม

พ่อครู  ....และนามธรรมก็เป็นตัวเติม

.แสนดิน  ....ถ้ามันเติมได้น้อย

พ่อครู  ....ถ้ามีความรู้ มันก็ได้  ถ้าไม่มีความรู้ก็น้อยใช่  ถ้ามีความรู้มันก็อ๋อ.. มันมีรายละเอียดของมัน รากฐานของมัน ศรัทธาวิริยะ สติ สมาธิปัญญาก็เติมเข้าไปอีก พละ 5 ก็เพิ่มเข้าไปอีก ศรัทธาเป็นตัว dynamjc พละเป็นตัวstatic พละ 5 ก็เพิ่มขึ้นๆๆเพราะอินทรีย์ 5 ตัว dynamic มันไม่หยุด พละ 5ก็อยู่เท่าเดิมไม่ได้โดนเติมอยู่เรื่อย

ถาม  ...ดังนั้น dynamic เปลี่ยน static ได้

พ่อครู ...ใช่ ถ้าเราไม่หยุด อาตมาถึงเพิ่มอายุขัยได้ อาตมาไม่รู้เพิ่มอายุขัยไม่รู้กี่นักกษัตร อาตมา 72 นี่ต่อมา 1 นักกษัตรแล้วจาก 72 เป็น 84 เดี๋ยวจะเป็น 96 สองนักกษัตร  แล้วก็เป็น 108 สามนักกษัตร แล้วอาตมาจะไม่หยุด สามเส้านะ 108 เส้าที่สี่จะยาก จะเป็น 120 ตรงนี้ยาก ถ้า 120 ได้จะไปง่ายขึ้นเป็น 132  144 จะง่ายขึ้น

.แสนดิน   ....จะจำตัวเลขเหล่านี้ได้แล้ว  72 96 108 120 132 144 เดี๋ยวนี้พ่อท่าน พูดบ่อยจนจำได้

ถาม  .....เดี๋ยวเสริมนิดหนึ่ง ผมอ่านเจอว่า ผมหงอกแล้วออกบวช  ตอนแรกผมนึกว่าอายุน้อย แต่ไม่ใช่ อายุตอนนั้นยุคนั้น อายุเหลืออีก   84000 ปี หัวหงอกครับแล้วออกบวช คนออกบวชไม่ใช่คนแก่

พ่อครู .....ออกบวชคือคนหมดพลัง

ถาม   เป็นคนหนุ่ม

พ่อครู  .......ผมหงอกแล้วคือหมดพลัง  บางคนผมหงอกแล้วแต่ยังไม่แก่  คือเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่เหนือทางวัตถุ มันจึงเป็นของน่าทึ่งกว่าวัตถุ เพราะงั้นพวกเราทำไปเถอะมันจะมีอะไรเกินสภาวะที่มันเคยเป็น มันจะมีอะไรประหลาดจะมีอะไรพิลึก จะมีอะไรน่าทึ่งน่าอัศจรรย์หลายๆอย่าง  ความจริงเราทำสังคมสาธารณโภคีนี่ก็เป็นเรื่องน่าทึ่งน่าประหลาดแล้ว แต่คนเขาไม่รู้เขาเข้าไม่ถึงเขาพยายามพัฒนาเศรษฐกิจวิธีเศรษฐกิจอย่างสังคมเพื่อให่เกิดการหมุนเวียนในเรื่องของวัตถุ ของสิ่งที่จะนำพาให้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ จะมีเงินเป็นแก้วสารพัดนึกก็ตาม อาตมาพาทำตามหลัก พระพุทธเจ้าถึงขั้นสาธารณโภคี เงินที่เป็นแก้วสารพัดนึกค่ามันสูงสุด แต่อาตมาพาเรามาทำนี่ค่ามันสูญใช่มั้ย ทางโลกมันถือเงินเป็นแก้วสาพัดนึกสูงสุด แต่เราเอาของพระพุทธเจ้ามาใช้ตามระบบสาธารณโภคี ค่าเงินมันสูญ

.แสนดิน ....ค่ามันเป็นนิวทรอล (neutral)

พ่อครู .....ใช่ เข้าใจมั้ย มันสูงสุดแล้ว เพราะงั้นหลักเศรษฐกิจแบบเศรษฐศาสตร์ที่สูงสุด ไม่มีอะไรสู้สาธารณโภคี นี่เราพูดนี่เราเข้าใจสาธาณโภคีแล้ว เราอาศัยมันแล้ว เพราะ 1 เราเป็นวรรณะ 9 สูงสุดสาธารณโภคีคือมีคนวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย คนพวกนี้เลี้ยงง่าย ไม่ลำบากอะไรหาอยู่หากิน ครัวกลางก็มี คนทำก็ทำหน้าที่ไป คนปลูกก็ปลูกไป คนเข็นขนก็มี ทำทุกวันด้วย จนตายก็กินไม่หมดเพราะงั้นถึงบอกว่าของเรานี่มันจบสูงสุดแล้ว อาตมาทำให้เกิดสังคมที่รูปธรรมที่เอาของพระพุทธเจ้ามาพัฒนา สมัย พระพุทธเจ้า ทำได้แค่สงฆ์ เพราะสมัยโน้นสมบูรณาสิทธิราชย์ เป็นสังคมทาสที่ไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนใครๆก็ไม่รู้สิทธิในของของตน สิทธิในการแสดงออก เขาไม่รู้เรื่อง เพราะงั้นมันก็ทำไม่ได้ แต่ พระพุทธเจ้าท่านตรัส ท่านเก่ง ใครมาเข้ารีตท่านต้องใช้ธรรมนูญของท่าน คุณย่ามายุ่ง และท่านก็มีบารมีจริงๆ พระเจ้าแผ่นดินที่ไหนๆก็ยอมท่านหมด และถูกทำนายไว้ก่อนด้วย ท่านเป็นเจ้าแห่งโลกจริงๆเจ้าโลกในทวีปอินเดียเลย  จะเสด็จไปไหนทุกแคว้น แคว้นเล็กแคว้นใหญ่ แคว้นกาสี แคว้นโกศล ยอมหมด บางองค์แบ่งบ้านเมืองให้ท่านปกครองครึ่งหนึ่ง บารมีท่านสุดยอด ทุกคนยอมรับท่านหมด มันถ้วนเต็ม อาตมานี่อยู่กึ่งหนึ่งของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงประกาศอรหันต์เหมือนกัน ตรัสชัดเลยว่า เราเป็นพระอรหันต์  เราเป็นสุคโต อรหโต อาตมาเองก็ประกาศอรหันต์แล้วถูกเหยียบเลย แต่พระพุทธเจ้านั้นท่านประกาศแลัว คนเอาถาดทองรองรับทันที อาตมาต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นอรหันต์จริงไหม แต่ พระพุทธเจ้า ไม่ต้องพิสูจน์ทุกคนยอมรับโดยดี เห็นมั้ยบารมีต่างกันสุดๆ อาตมาจึงต้องพิสูจน์ตัวเอง

.หนักแน่น.....มีคนเขาจับได้นะว่าพ่อกำลังท้อนะ

พ่อครู นั่น..จะว่าท้อก็ไม่ท้อนะ พวกนี้ละเอียดเหมือนกันนะ ท้อนะไม่ท้อ แต่มันมีความสะดุด เอ้....ไม่ไหวแล้วมั้ง แต่ก็รู้สึกตัว ไอ้ตัวนี้เขาเรียกว่ามาร มันเข้ามาสะกิด  เฮ่ย...หยุด ๆ ตายได้แล้ว มารมันมาสะกิด

.หนักแน่น ....สถานการณ์ก็มียมบาลมาเยี่ยม

พ่อครู เราก็ ...ไม่ได้ ๆ เราต้องอุปัจยะ ๆ .. เราก็พลิกได้ อาตมาจะพิสูจน์โคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient)จริงๆ คอยดูนะ อย่างเพิ่งรีบตาย คอยดูว่าอาตมาจะได้โนเบิ้ลไพรซ์โคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) นี้หรือเปล่า

.แสนดิน ...ได้เพิ่ม มันจะหนากว่าเดิมแล้ว

.หนักแน่น ....มันเป็นอย่างนี้ ผมเห็นนิดหนึ่ง พ่อครูบอกว่าบ้านราชนี่คนจะมาพันคน ผมก็บอกว่ามันมาครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเสาร์อาทิตย์มันจะมาเป็นครั้งคราว

พ่อครู ...อืม ...เป็นค้างคาวนะ

.หนักแน่น ...แต่ทีนี้หวังไง แต่พ่อหวังว่าคนจะมาเป็นพันคน แต่เวลาจริงไม่มา

พ่อครู ...ก็เป็นค้างคาวเวลานอนต้องเอาหัวลงเอาตีนขึ้นนะ

.แสนดิน ...มันก็พิสูจน์ของมันอยู่แล้ว

.หนักแน่น ...คือลืมไปว่าอีกห้าร้อยปีมันถึงเจริญไง แต่ตอน

นี้ยังไม่ถึง 500 ปีจะได้พันคนหรือ

พ่อครู ...แต่มันก็ดีขึ้นไง แต่ก่อนมาเป็นครั้งคราว ตอนนี้มาเป็นค้างคาวมาค้างแล้วไง

.หนักแน่น ....แต่ที่มาก็เป็นลูกเจ้าเมืองด้วยนะ ไอ้เราเป็นแค่ลูกพ่อครูใช่มั้ย เราต้องบริการเขาไง แล้วทีนี้เจ้าเมืองเป็นใคร ลองไล่ไปดูซิ

พ่อครู (หัวเราะ)  ...พวกนี้ พูดภาษาอะไรกันอยู่นะ

เป็นเชื้อเจ้าเมือง เป็นเจ้าของไง รับบริการทุกเรื่อง แล้วนี่เป็นทายาทถึงเวลามาเอามรดกแล้ว อีกหน่อยบ้านราชจะเป็นที่รุ่งเรือง เป็นที่ๆคนจะไปจะมา ผู้ใดได้มาสัมผัสบ้านราชเป็นผู้มีบุญ พูดอย่างโลกๆเขานะ

ถาม จะรุ่งเรืองอีกนานเท่าไหร่

.หนักแน่น 500 ปีไงบอกแล้ว

พ่อครู ไม่เอาถึงพันล่ะ

.แสนดิน วันนั้น มีคนเข้าค่ายคนหนึ่งเขาเป็นช่างประปา เขาดูโทรทัศน์เจอพ่อท่านปุ๊บ ฟังธรรมพ่อท่านแล้วติดปั๊บเลย ติดตามฟังพ่อท่านตลอด 7 ปี เขาอยู่อำเภอใกล้ๆนี่ แล้วเขาก็มา

พ่อครู นั่นน่ะ เป็นคนมีต้นทุนอยู่ในจิตแล้ว

.หนักแน่น เดี๋ยวผมขอแทรกนิดหนึ่งครับผมไปเจออยู่คนหนึ่งเขาถามว่าทึ่พึ่งเป็นจิตหรือเปล่าครับ

พ่อครู อ๋อ ใช่สิ ใครมีที่พึ่งของตนเองก็เป็นตัว static ของเรา เป็นที่พึ่ง เขามีอะไรเป็นที่พึ่ง ปฏืสรโณ เพราะงั้น กัมมปฏิสรโณ กรรมเป็นที่พึ่งของตนได้ แต่ที่พึ่งมันก็ไม่หยุด มันต้องปฏิต้องมี action reaction สรณีย มันแปลว่าการรบ ประกอบการรบ ทำการรบ การบคือการมี action reaction เสมอ เพราะงั้น ลัทธิที่ไปนั่งหยุดๆๆๆๆมันคนละเรื่องกับศาสนาพุทธ  พุทธต้องเพิ่มโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) ไป เรื่อยๆ ต้องรบอยู่เสมอ คุณไม่รบคูณก้าวหน้า

.แสนดิน  สรณะ ประกอบการรบ เป็นที่พึ่ง ปฏิสรโณ คุณต้องประกอบการรบเป็นจบ คุณตายคุณเสื่อมอย่างเดียว ชรตาอย่างเดียว

ถาม ที่พี่งกับมิตรดีนี่ตัวเดียวกัน มิตรก็เป็นจิตเหมือนกัน

พ่อครู มันก็ใช่ ขยายขึ้นมาก็ใช่  มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี มีมิตรดี มีฉันทะ มีศีล พอมีมิตรดี ก็มีพลังงานว่าเราต้องการฉันทะเรื่องนี้ ฉันทะ คือความยินดีกลางๆ หมายความว่าไม่ยินร้ายหรือไม่แห้ง คือมันสดขึ้น ยินดี พอเพิ่มจากมิตรดี สหายดีมาฉันทะ ในสุริยเปยยาล 7 นี่ก็มี ฉันทะแล้วมี ศีล พอยินดีแล้วคุณต้องเข้าหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า คุณต้องมีศีลเพิ่ม พัฒนาขึ้นมาคือ ศีล แล้วคุณต้องเรียนตัวเองอัตตาจึงจะเจริญด้วยทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ 10 มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน แล้วคุณก็เริ่มเลย ปฏิบัติด้วยศีลพรต มียัญพิธี มียิตถังคือปฏบัติแล้วก็จะได้หุตัง จึงจะได้ 3 เส้า ปฏิบัติแล้วจึงจะเกิดพุทธะได้ เพราะงั้นคุณจะจัดการได้ 3 เส้า คือทานศีลภาวนา หรือ ศีล สมาธิปัญญา คุณจะเพิ่มได้อีกต่อมาคุณจะจัดการเรื่องตัวเองเรื่องกรรม สุคตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก จะมีเหตุมีผลมีกรรมมีวิบากๆๆๆเกิดได้ คุณทำถูกเป็นสุคต ทำไม่ถูก ก็ทุกกฏ

คุณก็ต้องมาพิจารณา อันไหนควรอันไหนไม่ควร คุณจะเพิ่ม ต้องเพิ่มอย่างนี้ อย่างผมนี่ผมเพิ่มอยู่เรื่อยๆ เพิ่มสุคตังนี่ ถ้าคุณไม่ฉลาดพอที่จะรู้ว่าสุคตังคุณคืออะไร คุณต้องรู้จักมัตตัญญุตาประมาณให้พอควรตามสัดส่วน เกินก็ไม่ดี น้อยไปไม่พอก็ใช้ไม่ได้ มันต้องมีโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) มีพัฒนาการที่ได้สัดส่วนดีพอเหมาะที่จะเพิ่ม ๆ ๆให้มีปฏิภาคทวีได้เท่าไหร่ ตัวเองกำหนดทั้งนั้น ไม่มีใครกำหนด ไม่มีตัวเลขให้คุณแล้ว คุณต้องกำหนดของคุณเอง ที่พูดนี่มันละเอียดกว่าตัวเลขแล้ว คุณต้องประมาณของคุณเอง มัตตัญญุตาเอง ถ้าคุณประมาณผิดแค่สัดส่วนคุณก็เสื่อมทรุดไม่เจริญ ถ้าถูกก็ได้ก้าวหน้าพอดี ตัวนี้ยิ่งกว่าปรมาณู มันคือสูญญาณู

.หนักแน่น   อยู่ในหน้า 17 เล่มใหม่

พ่อครู   ท่านองค์นี้ เป็นตัวแทนท่านชัดแจ้ง บอกได้อะไรอยู่หน้าไหนเล่มไหน มีตัวตายตัวแทนแล้ว   

 จบ

 

ปานปั้น ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:07:15 )

610721

รายละเอียด

610721 อะไรที่พ่อครูเหนื่อยที่จะบอกแก่คนทั่วไป

พ่อครูว่า...เฮ้ยมันก็ธรรมดาของคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรแล้ว

ส.เดินดิน…ทุกข์ คิดว่าทุกข์ไม่คิดว่า สู้แบบนี้  มันจะทุกข์

พ่อครู...สู้แบบไม่มีตัวตนง่ายจะตายชัก   

ส.แสนดิน...เหมือนตอนไปชุมนุม พวกตำรวจคุยกันว่าสู้กับพวกนี้มันยาก เพราะมันเตรียมตัวมาแพ้อยู่แล้ว

      พ่อครู...จริง  จริง พวกเราแสดงอะไรไปคนเข้าจะไม่เข้าใจ เราแสดงความเป็นอาริยะ อรหันต์ เราแสดงอะไร คนเขาไม่เข้าใจ แสดงยังไงยังไงคนก็ไม่เข้าใจ คือมันเหนื่อยตรงนี้ มันเหนื่อยตรงคนไม่รู้  ก็เราเป็นอรหันต์ เราเป็นอาริยะ เมืองก็เมืองอาริยะเมืองอรหันต์ เมืองอรหันต์ที่แสดงได้เจ๋งกว่าสมัยพระพุทธเจ้า เพราะเราทำได้แม้กระทั่งฆารวาส เป็นสาธารณโภคี โอ้ย มันทำไมมันไม่มีความรู้ได้ยังไง คือมัน

ไม่เชื่อ  จนกระทั่งโง่ โง่ไม่มีทางแก้เลยนะ  ไม่เชื่อจนมันโง่ไม่มีทางแก้เลย แล้วจะทำยังไง ก็ต้องยอมให้เขาโง่ต่อไป มันไม่มีทางอื่นเลย

ส.เดินดิน...เขาจะรู้ถึงคนละขั้วกับเรา ให้กินหมูเห็ดเป็ดไก่ก็ยังใกล้เคียงกัน 

พ่อครู...ไม่ใช่แค่กินหมูเห็ดเป็ดไก่เท่านั้นหรอกนั้นเรื่องเล็ก แล้วเขาไม่เชื่อ แล้วเขาเข้าใจว่าอรหันต์คืออะไร  แล้วเขาเข้าใจว่าอริยบุคคลคืออะไร โสดาเขาก็ไม่รู้เรื่อง เราอธิบายหมด โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ โพธิสัตว์แน่ะ อธิบายไปอีกโพธิสัตว์ไม่รู้กี่ขั้น แต่เขาไม่มีอะไรเลยนั่งหลับตาท่าเดียว โสดาสกิทาไม่มี อรหันต์ปึ้ง จบ นอกนั้นก็มีแต่พยัญชนะกับท่องมานกแก้วนกขุนทอง โสดาบันก็มีสังโยชน์ 3 อะไรอย่างนี้

 

 

                        ถอดข้อความโดย อุทัย

 

https://www.youtube.com/watch?v=xS-ql5HzzXc


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:09:09 )

610722

รายละเอียด

610722 ข้อด้อยของพ่อครูเป็นอจินไตย

      พ่อครู... ข้อจำกัด เพราะโดนข้อจำกัด เหมือนผมต้องเขียนหนังสือ

ผมมีข้อจำกัด จำเป็นต้องมีข้อด้อย10 ข้อนี้ มันเป็นข้อจำกัดไม่ทำก็ไม่ได้จำเป็น แม้คนที่ไม่ชอบคงหมั่นไส้น่าดูนะ (ประเด็นหนึ่งที่เขาอยากรู้เลยว่าข้อด้อย) 10 ข้อ (นั่นประเด็นนึง) 10 ข้อ บอกหมดแล้วพูดไปตั้งหลายทีแล้ว บันทึกลงไปในหนังสือ คนจนที่มีแบบ ข้อด้อยมันไม่ใช่ข้อดีที่สมบูรณ์นะ ข้อด้อยก็เลิกซะซิ เราก็บอกว่าเราจำเป็นหน้าเราเลิกไม่ได้ ซึ่งมันก็จริงๆมันสุดวิสัยที่คนจะเข้าใจ มันเกินวิสัย มันเป็นฌานวิสัย อันนี้มันเป็นความหลายของวิสัย ฌานวิสัยที่มันเป็นความรู้จริงๆ เป็นฌานที่มัน โอ้โห มันเดินทางไปหาพุทธวิสัยแล้ว

 

อจินไตย 4 นี่ พุทธวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิบาก กรรมวิบากคือยถา ยถากรรม คือการสร้างไปตามยถากรรม ผู้มีความรู้ก็ค่อยๆทำ ค่อยๆพัฒนาขึ้นมานายกรรมวิบาก แต่ถ้ากรรมวิบากนี้ยังไม่ถึงขั้นฌาน มันก็ยังไม่เป็นฌานวิสัยเท่านั้นเอง คนไม่รู้กรรมวิบากก็จะไปตามยถากรรม ทุกคนก็มีตัวลึกๆว่าคนเราอยากดี อยากดีทุกคน ไม่มีใครอยากชั่วหรอก

 

โดยสามัญสำนึก แต่ที่นี้อยากดีแล้วคุณ มีทฤษฎีที่จะทำให้คนดีเท่าไหร่ แล้วคุณก็พยายามดีตามทฤษฎีนั้นให้ได้ มันก็เป็นกรรมวิบากที่คุณทำได้ให้ได้ ที่นี่กรรมจนเกินกรอบ ดีจนเกินกรอบ เป็นการหักกลับ ปฎิโสตังไปก็เป็นฌานวิสัยเป็นโลกุตระ ฌานวิสัยเป็นโลกุตระ กรรมวิบากนี้อยู่กลางๆยังไม่เป็น ยังไม่เป็นโลกุตระทีเดียว ฌานวิสัยเป็นโลกุตระ กรรมวิบาก ยิ่งโลกจินตานี่โอ้โห สารพัดไม่ได้คิด พวกกะเทยนี่มันโลกจินตาน่าดูเลย โอ๊ยมันแสดงแฟชั่นมันออกมา ทำอะไรบ้าๆบวมๆ อะไรอะไรมันก็ใส่เข้าไป ให้มันพิสดารให้มันวิตถาร ให้มันดูแปลกเปลี่ยนให้มันพิลึกมันดูดีตาม Concept ของเขา เท่อย่างนี้ งามอย่างนี้   แปลกอย่างนี้ สวยอย่างนี้ ก็แล้วแต่ ธรรมะ 2 ที่ปรุงแต่งกันอย่างโลดแล่น วิตถาร นิร มารกายไป  แล้วมันสร้างนิรมารกายมาให้เป็นรูปร่างจริง มาเป็นมโนมยอัตตาให้คนสัมผัสได้ มาเป็นมโนมยอัตตา เป็นโอฬาริกอัตตา

 

                                          ถอดข้อความโดย อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:10:01 )

610722_

รายละเอียด

610722_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ พระพรหมแบบไหนที่เป็นอรหันต์

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://drive.google.com/open?id=1qtn6__-HpwB-dzUCvMC0krfuEDWAdYNXj4OX6TxZkEI 

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1okF4O7Lo0L19EWvTLWCC-iHLY-9rwF0C

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ในช่วงสัปดาห์นี้รัฐบาลให้เป็นสัปดาห์แห่งการส่งเสริมพระพุทธศาสนา วันที่ 22-28 กรกฎาคม จะมีหรือขบวนแห่พระบรมสารีริกธาตุที่สนามหลวง

ส่วนพวกเราไม่มีแค่สัปดาห์ส่งเสริมพุทธศาสนา เราส่งเสริมกันทั้งชีวิต มาอยู่ประจำที่วัดราชธานีอโศก หรือที่อื่นก็แล้วแต่ ในช่วงเข้าพรรษาก็จะมีคนมาจำพรรษาอยู่ด้วย

การนำบุญไปใช้ผิดๆ คิดว่าบุญเป็นกุศลก็เป็นการใช้บุญที่ผิด บุญเป็นพลังงานที่ทำลายกิเลสเท่านั้น ส่วนกุศลเป็นพลังความดีที่สะสมได้ เป็นสมบัติ ส่วนบุญเป็นวิบัติ

ล.23 ข.49 ทานสูตร ทำทานแล้วมีจิตเป็น เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง

อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร  ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว จิตมี   1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทานํ  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทานํ  เทติ 

4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทานํ เทติ

 

อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี

อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี

อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้

อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ

อันที่ 6  ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ)

อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พระพรหมแบบไหนที่เป็นอรหันต์

พ่อครูว่า…ตอบคำถามก่อน

_ภาษาอีสานคำว่า สะออน กับออนซอน สองคำนี้แปลเป็นภาษาภาคกลางว่าอย่างไร

พ่อครูว่า...สะออน แปลว่าน่าภูมิใจ ส่วนออนซอนแปลว่า

คือสะสมจิตที่จะผูกพันเข้าไป ชอบๆๆอย่างนี้ ในขนาดนี้เรียกว่าสะออน อย่างนี้เรียกว่าออนซอน อย่างนี้ชื่นใจหรือว่าปลื้มใจหรือว่าประทับใจอะไรก็ว่ากันไป สรุปแล้วคือมันผนึกเข้าไปให้แน่นเข้าๆ หนาเข้าทุกที

ถ้ามองไปประเด็นในแง่ที่ว่ามันก็ชูใจ มันทำให้เราเองเราไม่ผลัก เราไม่ทิ้ง เราก็อยากจะได้ไว้  มันก็ควรมีสิ่งที่ควรได้ไว้ แต่จริงๆแล้วสิ่งที่ควรได้ไว้จริงๆนั้น มันไม่เที่ยงสักอย่าง จนกว่าจะถึงสูญ สูญก็คือไม่มีบวกไม่มีลบไม่มีข้างที่จะเป็นข้างซ้ายข้างขวา อยู่ตรงกลาง เป๊ง ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนกลาง 0 ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากกลาง จิตเราแข็งแรงอยู่ตรงนี้ เรารู้ซ้ายขวาบนล่าง รู้เหลี่ยมรู้กี่องศา เรารู้ว่ามันไม่ตรงเป๊ะอยู่ตรงกลาง เรารู้ แต่ตัวเราเองไม่มีปัญหา เราเองเรามั่นคงแน่นอนตรงอยู่กับตรงกลางได้ เพียงแต่ว่าเราจะร่วมเราจะประสานกับอื่นๆ โดยการใช้ศัพท์ว่าอนุโลม ปฏิโลมไปตามนี้ เราทำได้ อนุโลมไป เหมือนอย่างแม่เล่นขายหม้อข้าวหม้อแกงกับลูกๆ หรือแม่ครัวทำอาหารให้คนอื่นต้องกิน เขาชอบในรสชาติไหน อย่างไร แม่ครัวจำได้ก็ปรุงให้ ตนเองไม่ได้ชอบตามที่เขาติดเขายึดหรอก ไม่ได้ติดเหมือนที่เขาติด แต่รู้ว่าทำอย่างนี้ ปรุงอย่างนี้เราก็ทำให้แก่เขาเท่านั้นเอง ตัวเราเองไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาเป็น ตัวเราเองก็เป็นตัวเราคือ 0  ตรงกลางอย่างนี้เป็นต้น พอเข้าใจได้นะ

อาตมาก็ยังไม่มีตัวอย่างที่ชัดยิ่งกว่านี้ ตอนนี้นึกไม่ออกยกตัวอย่างสองอย่างนี้นานแล้ว

สรุปชัดๆก็คือตัวเราเองมันมีความเป็นจริง มันกลางๆ มันจะอนุโลมก็รู้ว่าอันนั้นไม่ไม่เป็นเรา ไม่ใช่เราเข้าไปเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตัวเราไม่ได้เป็น ไม่ต้องไปเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องไปติดในรสอย่างนั้นไม่ต้องไปได้รสอย่างนั้นได้รูปอย่างนั้นได้เสียงได้กลิ่นอย่างนั้น ถึงจะสุขใจถึงจะเหมาะใจถึงจะพอใจ ถึงจะชื่นชอบอะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่ เฉยๆ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร กลางๆ ได้ก็กลางๆ ไม่ได้ก็กลางๆ นิวตรอนอยู่อย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าเราอ่านอาการจิตเราได้ นั่นคือความเป็นพรหม เป็นความสะอาดบริสุทธิ์

พรหม เป็นภาษาเก่า เป็นภาษามานานศาสนาฮินดูศาสนาพราหมณ์ศาสนาเก่าก็เรียกว่าพรหม ถ้าจะให้อาตมาขยายความไปถึงอักษร

พฺรหม ตัว พฺ มีนฤคหิตข้างล่างกึ่งเสียงนะเอาใช้แค่กึ่งหนึ่งนะ พ เป็นตัวพฤติเป็นตัวพยัญชนะของวรรค ป ผ ภ พ ม

เป็นพฤติกรรมเป็นกลางๆเลย พฤติกรรมเต็มที่ พฤติ พ. พานนี่ เมื่อมาเป็นพรหมจะมีปัญญารู้ว่าอาศัย ไม่เอาเต็มตัว พฺ ก็ครึ่งหนึ่งอาศัยครึ่งหนึ่ง ตัวเราเอง 0 อนุโลมให้กับโลกอีกครึ่งหนึ่ง มีตัวตนครึ่งหนึ่ง ไม่มีตัวตนก็ครึ่งหนึ่ง แต่อาศัยสองเป็นธรรม 2 อยู่อย่างนี้

ร ก็มาจากเศษวรรรค

ห ก็มาจากเศษวรรคตัวสุดท้าย ตัวเต็มที่ ตัวความจริง ห โห หุ คือจริง มันมีตัวตบท้ายวรรคนี้คือ ฬ ใน ย ร ล ว ส ห ฬ อํ

ตัว ย ร ล คือสามเส้า ว ส ห นั้นอีกสามเส้าหนึ่ง ย ร ล ว ส ห มันก็จะเป็น cyclic ของมันอยู่สองเส้า

ฬ เป็นตัวที่ 7 ของทั้งสอง โอฬาร ใหญ่ที่สุดมากที่สุดในเศษวรรค ฬ ยอดเยี่ยมแห่งพลังงาน เริ่มต้นจากเศษ เริ่มต้นจากส่วนย่อยก่อน กว่าจะมาเป็นตัวจริง มาในวรรคต่างๆกัน ก จ ต ฏ ป กว่าจะมาเป็นพวกนี้ ก็เป็น พ เพราะฉะนั้น ห มันเป็นความแท้จริงเป็นความมีความเป็นความแท้จริง

ม คือจิตเป็นใหญ่ จิตวิญญาณ  รวม 4 พยัญชนะนี้แล้วก็คือสิ่งที่อาศัย เรียกพลังงานรวม 4 cyclic กลางแล้วก็มีเศษหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวเกินตัวทศนิยมที่จะพาให้ไม่หยุดหมุน ถ้า cyclic เริ่มหมุนแล้วมันก็ไม่เคลื่อนคลายมันก็ไม่เปลี่ยนแปลง มันก็มีอะไรอยู่อย่างนี้ แต่ถ้ามีเศษทศนิยมออกมาแล้ว มันก็ไม่มีน้ำหนักที่จะต้องถ่วงให้มันเพิ่มหรือลด เพราะฉะนั้นถ้า 4 คุณสามารถเป็น 5 เป็น 6 คุณก็ก้าวหน้า แต่ถ้า 4 แล้วไม่มีต่อไป ลดลงก็สูญ ชรตาอย่างเดียว

พยัญชนะที่ใช้แทนพลังงาน แทนสภาวะต่างๆ แม้แต่แทนรูปธรรม แทนพลังงานจนกระทั่งรวมตัวเป็นรูปธรรม ก็มีรูปกับนามต่างๆ  ผู้รู้เกิดมาเป็นจิตวิญญาณเป็นจิตนิยามแล้วจะสามารถรู้ๆๆ จะพัฒนาจากอุตุ อุตุยังไม่รู้ตัวเอง พีชะไม่รู้ตัวเองแล้วก็ยึดตัวเองเป็นพีชะ จนกระทั่งพัฒนามาเป็นสัตว์ จิตนิยาม จนสัตว์สามารถมีความรู้ในตัวเองในพลังงานต่างๆ เป็นความรวมตัวกันเป็นตัวตน เป็นโลก เป็นตัวตนที่เป็นอัตตา เป็นโลกก็เอามารวม ขยายโลกไปอีกเป็นจักรวาลเป็นเอกภพอะไรก็ว่ากันไป มันก็ขยายมวลซับซ้อนไปอีกเท่านั้นเอง ย่อเข้ามาก็เหลือธรรมะ 2 ตัวหนึ่งเป็นตัวอุตุ ตัวหนึ่งเป็นตัวนามธรรม

และในการเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่า object อุตุก็ถูกรู้ได้ พีชะก็ถูกรู้ได้ แล้วตัวเราเองก็สามารถมีพีชะเริ่มเป็นตั้งแต่ชีวะขึ้นมาจนกระทั่งเป็นจิตนิยาม แล้วก็มีพฤติกรรมต่างๆ เรียกว่ากรรม แล้วก็สะสมลงไปเป็นธรรมะ ทรงไว้ๆก็เป็นตัวตั้งเป็นคลังของจิตนิยาม เป็นคลังของวิบากอยู่อย่างนี้ ก็ใช้ไปใช้มา คนที่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของก็มีสิทธิ์ใช้ มีสิทธิ์แต่ไม่สามารถเอามาใช้ได้ ก็เป็นความไม่สามารถของเขา ใครที่มีสิทธิ์สามารถเอามาใช้และเอามาใช้ได้ ใช้ได้มากได้น้อย ใช้ได้เต็มก็ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าใช้ได้เต็มครบหมด แล้วก็เอามาใช้กับผู้อื่น ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องใช้หมดเท่าที่พระพุทธเจ้าท่านมี เพราะท่านมีมากเอามาใช้กับพวกนี้มันเกินจะตายเอา ใช้กับคนอื่นที่ไม่มีภาวะรองรับได้ใช้ไปได้อย่างไรก็รองรับไม่ได้หรอก มันมีแรงพลังมากกว่าที่จะรองรับ ก็รับไม่ได้หรอก ระเบิดเลยหากรับเข้าไป ใช้สำนวนว่าศีรษะแตกออกเป็น 7 เสี่ยง เหมือนถูกยักษ์จักรบาลตีศีรษะแตก มันรับไม่ได้ มันเกินความเป็นจริงที่เหมาะสม มันเล็กกว่าสิ่งที่จะเอามาใส่เข้าไป ระเบิดแตกตาย มันรับไม่ได้ ใส่ไม่ได้ บรรจุไม่ได้ ตามสัจจะของมัน

เพราะฉะนั้นก็เอาตามพอเหมาะ พระพุทธเจ้าจึงประมาณมีความเหมาะสมได้พอดี จึงมีสัปปุริสธรรม 7 ประการ รู้จักการประมาณ รู้จักการกระทำกับสิ่งต่างๆที่เราร่วมด้วย ให้ได้ประโยชน์สูงประหยัดสุด ให้ได้พอดี

ศัพท์คำว่าพอเหมาะพอดี กลางๆ พอเหมาะพอสม จึงเป็นความสมดุลไม่ว่าในทางด้านวัตถุ สมดุลสูงสุดทั้งนานทั้งมีฤทธิ์มากแรงมาก ทั้งอยู่ได้นาน ที่นี้สภาพที่มันลึกซึ้งมากคือสภาพที่ยิ่งนิ่งยิ่งเร็ว ยิ่งเร็วยิ่งนิ่ง นี่เรื่องยาก

ต้องควบคุมความเร็วอย่าให้เกิดองศา ถ้าเร็วแล้วเกิดองศาจะแกว่ง แต่ถ้าเผื่อว่าเร็ว แล้วไม่เกิดองศาเลย จบเสื่อม เร็วไม่เกิดองศาเลยหมุนหนักเข้าไม่มีอะไรเพิ่ม ไม่มีทศนิยมของพลังงานอื่นช่วยเพิ่มเติมอีกเลย หมุนอยู่แต่เดียว หนักเข้าก็หมดแรงเอง สูญ จึงต้องอาศัยแรงอื่นเข้ามาเติม เติมแล้วก็มีปฏิพากย์ทวี เป็น 2 เป็น 4 เป็น 8 เป็น 16 อะไรต่อไป สูงสุดก็คือยกกำลัง

ผู้ใดสามารถเป็นตัวเองเป็นประธาน และเป็นคนจัดการพลังงานพวกนี้ให้แก่ตนเองได้ นั่นแหละ เป็นผู้ที่สามารถที่จะทำให้คงอยู่หรือลดหรือเพิ่มได้ จะเกิดหรือตายจะตายจะเกิด ได้เก่งที่สุดขึ้น ชำนาญๆขึ้น

อาตมากำลังพิสูจน์อันนี้อยู่อย่างยิ่งเลยในปางนี้ ที่เรียกว่าสัมประสิทธิ์ พิสูจน์ว่าพลังงานเป็นนามธรรมจริงๆเลย  ถึงวันนี้อาตมาก็ยังระบุไม่ได้เต็มที่ ก็พยายามใช้อักษรใช้พยัญชนะ ใช้สิ่งแทน เดี๋ยวนี้ก็ไปอาศัยโครงสร้างของภาษาทางวิทยาศาสตร์ ที่ไอน์สไตน์กระทำไว้แล้ว เรื่องพลังงานวิทยาศาสตร์นี่ ก็เอามาเพิ่ม ก็เลยเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ได้เป็นภาษาไทย มันเป็นตัวย่อ

c ตัวซีเล็ก มันเป็นอัตราเร่ง ความเร็วของมันเร่งในตัว จนกระทั่งความเร็วเร่งในตัวนี่แหละมาเป็น C ซีใหญ่ ขยาย สัดส่วนขึ้นมาจนกระทั่งเป็น C  ที่ทำได้ทุกวันนี้ อาตมาก็พยายามทำเองที่คนอื่นได้ช่วยความรู้ความเข้าใจ เก็บได้จากคนนั้นคนนี้มาใช้มาประกอบความเข้าใจของเรา แล้วก็เอามาประกอบรูปร่างแล้วก็สื่อ เป็นสิ่งที่จะสื่อใช้แทนให้คนอื่นสามารถอ่านเข้าใจตามได้ด้วย ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จักบันทึกไว้ในอะไร ก็ต้องอาศัยพวกนี้เป็นตัวบันทึก พยัญชนะหรืออักษร หรือว่ารูปร่างอะไรพวกนี้ คนอื่นก็จะได้สมมติตามเรา หากเขาไม่สมมติตามเราก็รับไม่ได้ หากสมมติตามได้ก็รับสืบทอดต่อไปได้พัฒนาขึ้นต่อไปได้อีก

การก้าวหน้าที่จะให้เพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เรารู้คนที่รู้ว่า ถ้ามันเพิ่มไปอีกไม่ได้มันก็จะมีแต่เสื่อม ถ้าเรารู้ว่าจะให้มันเสื่อมเราก็เร่งความเสื่อมให้มันเร็ว ไปถึงสูญได้เร็ว ทำได้ คนนี้ก็สามารถควบคุมการเกิดการดับ ให้เกิดได้เร็วเกิดได้มาก ให้เกิดความเสื่อมได้เร็วเสื่อมได้มาก และสุดท้ายสูญเร็ว เราเรียนรู้แล้วเราก็ฝึกจริงๆ มันได้ ได้ทั้งเกิดทั้งดับ จนกระทั่งเป็นภาษาที่พุทธเจ้าท่านตรัจว่า จะให้มีก็ได้จะให้ไม่มีก็ได้ จะให้เกิดก็ได้ไม่ให้เกิดก็ได้ จะให้มากขึ้นอีกก็ได้จะให้น้อยลงอีกก็ได้ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ จากหนึ่งทำให้มากขึ้นก็ได้ จากมากขึ้นทำให้เป็นหนึ่งก็ได้ แม้ที่สุดจากหนึ่งให้เป็น 0 ถ้าหากยังมีหนึ่งก็ยังมีตัวเรา แต่ถ้าเป็นศูนย์ก็คือเลิกจากตัวเราเลย และภาวะมีก็ใช้ 0 เป็นตัวแทน ุถ้าภาวะที่ไม่มีก็สลาย 0 เลย แหลกเหลวเลยไม่มีอะไร จะเรียก 0 ก็ไม่มี ใช้ภาษาพยัญชนะว่า นปุงสกลิงค์ ความแตกต่าง จะแตกต่างเอกจะแตกต่างจากอิตถีภาวะขึ้นไป เอกเป็นปุริสภาวะเป็นอิตถีภาวะนั้นขึ้นไปอีก

นปุงคือยังมีสภาพสูญ สภาพที่ไม่มีเพศ เอก คือเพศเอก ปุริสภาวะเพศเอกเพศหนึ่ง ถ้าเริ่มตั้งแต่สอง เป็นอิตถีภาวะไปเรื่อย มากขึ้นไปตามลำดับ

ผู้ที่มีความรู้แล้วสามารถทำได้ จะยังไงก็ได้ จนกระทั่งเก่งเป็นขั้นมายากล จะเป็นระดับไหนๆ ปุ๊บปั๊บ เปลี่ยนได้เร็วมากด้วย เหมือนพวกเล่นกลเปลี่ยนหน้า แต่นักมายากลมีตัวลวงแฝง tactic มีกลเม็ด ที่เขารู้ว่าเขาทำอย่างนี้ได้ มาจากเหตุ เขาทำเหตุอย่างนี้มาอย่างนี้ เขารู้เหตุรู้ปัจจัย เหตุอย่างนี้มันจึงเกิดผลอย่างนี้ เขาก็ทำได้ เราไม่รู้ก็ทำไม่ได้

ทางนามธรรมอาตมารู้ ทางวัตถุอาตมาไม่รู้ไม่เก่ง มาเก่งทางนามธรรมทำได้ อาตมากำลังอธิบายสิริมหามายาให้พวกคุณฟัง มายาคือมันเหมือนเล่นกล มายากล นักเล่นกล คนเล่นกลให้มีก็ได้ให้หายไปก็ได้ เกิดได้เร็วปุ๊บปั๊บ ผู้ที่สามารถทำได้ด้วยความจริงใจต้องการให้มีให้เป็นประโยชน์คุณค่า ให้ไม่ให้มีก็เป็นประโยชน์คุณค่า แล้วเราก็ทำได้ เราก็สามารถสร้างมีให้เป็นคุณค่า บางทีเราก็อธิบายไม่ได้ บางทีเราก็อธิบายได้ แต่คนรับฟังไม่มีภูมิรับได้พอ รับไม่ได้ อธิบายไปก็สูญเปล่า ต้องอยู่สองสภาวะ สภาวะที่อธิบายไปก็สูญเปล่า ก็ไม่อธิบายดีกว่า เขาจะหาว่าเราไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เพราะเรารู้อยู่

หรือว่าหากอธิบายไปแล้วมันยังไม่ได้ผลพอควร เสีย เอาไว้ก่อน ให้มันมีฐานที่รับที่พอรับได้ เราถึงจะแสดงออกทำต่อ อาตมาจำนนหลายๆอย่างที่อธิบายต่อก็ไม่ได้ เพราะตัวเองก็ยังไม่เก่งที่จะอธิบายต่อ เหมือนกับมีอะไรแฝงๆซ่อนๆอยู่ ไม่บอกให้หมด แต่บางทีมันไม่รู้จริงๆ เพราะอาตมายังไม่ถึงพระพุทธเจ้า เหมือนข้อด้อยของตนเอง 10 ประการที่จริงประมวลออกมามากกว่า 10 ประการ แต่แค่ 10 ประการก็พอเข้าใจกันแล้วหละ ก็มันมีไม่รู้จะทำอย่างไร มันไม่ได้ผลหรอกจะไปโทษเขาก็ไม่ได้ แล้วจะเกิดในยุคนี้ทำไม ยุคนี้มีคนเท่านี้รับได้เท่านี้ ถ้ายุคที่อาตมาเกิดมายุคที่คนอายุ 80,000 ปี อาจจะไม่เป็นอย่างนี้ ใช่ไหม สมองก็คงโต อวัยวะองคาพยพต่างๆ ก็คงรับได้อีกตั้งเยอะตั้งแยะ อาตมาก็ต้องโตพอๆ กันเหนือกว่าเขาอีกจะอธิบายให้เขาฟัง ก็ให้กันได้เยอะกว่านี้ นี่ก็มีเท่านี้ นี่ก็พยายามให้ต่ออายุกันเกินกว่า 100 ไปเรื่อยๆ

ซึ่งเรามีปฏิภาณมีไหวพริบพอที่จะรู้ว่าที่เราทำเป็นนามเป็นอรูป แต่เราก็รู้ว่ามันมีสภาวะของมันจริง มีสภาวะของมันที่มันเป็นจริงได้ สรุปแล้วก็มีทั้งอยู่ที่จะให้ก้าวหน้าไป หรือปล่อยให้มันเสื่อม โดยที่เราไม่สงสัย เราปล่อยให้มันเสื่อเพื่อเราจะสูญจะไปมีปัญหาอะไร แต่ถ้าเราจะให้มันก้าวหน้าอยู่ ยังไม่ยอมให้เสื่อมต่อไปอยู่ ก็จะเกิดทั้งตัวเองเจริญเป็นประโยชน์ ผู้อื่นจะได้ประโยชน์ เราก็ทำไป อาตมาว่ายุคนี้ยังมีสิ่งที่จะก้าวหน้า สิ่งที่จะเจริญต่อเพราะว่าโลกลูกนี้มันยังไม่แตกง่ายหรอก มันยังจะรับการเกิดของมวลมนุษย์ได้อีกอยู่ ยังมีป่าดิบ ยังมีแดนที่คนยังเข้าไปอยู่ไม่ไหว ยังมีอยู่ มันยังจะไปบุกรุกได้อีกหลายล้านมาก เพราะงั้นก็ไปต่อก่อน โลกนี้ยังไม่แตกหรอก ยังไม่ถึงขีดถึงขั้นหรอก เพราะงั้นก็ต้องทำพลังงานก็ต้องสร้างพลังงาน คนเป็นสัตว์โลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะเป็นผู้ทำลายหรือเป็นผู้สร้างสรร ก็ให้คนเป็นผู้สร้างสรรค์อยู่สิ ผู้ที่จะทำร้ายเราก็อย่าไปต่อมือต่อแขนของเขา เราไปต่อมือต่อแขนของผู้ที่สร้างสรร ทุกวันนี้เข้าใจกันแล้ว ยังมีคนที่ตกยุคอยู่บ้าง มีคนที่ยังไม่เข้าใจอยู่บ้าง อาตมาคิดว่ามีน้อยแล้วนะ ลึกๆรู้แล้วทิศทางมนุษย์ในโลกยุคนี้ ว่าควรจะเจริญอย่างนี้ กระแสการแสดงออกทางด้านผลบวกมันเป็นไปได้ ทำกันในโลกมุมไหน ในโลกมุมไหนซอกไหน ก็มีได้ ผลบวกก็จะได้ เล็กๆในน้อยหรือมาก ตามเหตุการณ์ที่จะยืนยันขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ที่ทำแล้วค้านแย้งกับสิ่งที่ควรจะเป็นไปในยุคนี้ คุณก็ยังเป็นผู้ตกยุค คุณยังเป็นตัวทำลายเป็นตัวที่ไม่สร้างสรรไม่ส่งเสริม คนส่วนใหญ่เขาไปอีกทาง คุณยังตกยุคอยู่ พวกนี้ก็จะถูกขัดแย้ง มันก็ถ่วงกันอยู่อย่างนั้น เมื่อเกิดสิ่งที่เป็นสองสิ่งก็ยังหมุนต่อไปได้อีก ไม่ได้ออกนอกทิศทางจนไม่มีจุดศูนย์ไม่มีองค์รวม เป็นอุกกาบาต

อุกกาบาต ไม่นานก็จะถูกแรงดึงดูดไปทำให้แตกสลายไป แตกจนแหลกไป หรือถูกดูดเข้าไปอยู่ในกาแล็กซี่ใดกาแล็กซี่หนึ่ง หรือดาวดวงใดดวงหนึ่ง หรืออยู่ในวงโคจรของจักรวาลใดจักรวาลหนึ่ง เป็นมวลของอันนั้นไป มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ

เมื่อย่อเข้ามาถึงตัวคน ที่มีองคาพยพที่มีรูปกับนาม มีอุตุนิยาม มีพีชนิยามที่มาสังเคราะห์กันขึ้นมา แล้วก็จิตนิยามเป็นประธานควบคุมแล้วจัดการทำให้เกิดกิริยาพฤติกรรมเรียกว่ากรรม แล้วกลายเป็นตัว static คือธรรมะ กรรมกับธรรม กรรมก็เป็นตัว dynamic ธรรมะก็เป็น static เป็นธรรมะ 2 ตัวสุดท้าย ก็มีแค่นี้พูดวนไปวนมาหมุนไปหมุนมา พวกเราก็จะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

คนที่ไม่รู้ก็จะปรุงแต่งกันไป มาลองฉีกหน้า ความแหลกเหลวความเป็นพระพรหมเก๊กันดีกว่า

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พรหม 20 ชั้น) ตอน พรหม 20 ชั้น

ศัพท์คำว่า พรหม แปลว่าความบริสุทธิ์ ขยายพยัญชนะมาเป็นพรหม จากพยัญชนะคำว่าเทพ เทวดา อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ

เทพมี 3 เทพ สมมุติเทพ คือเทพที่วนกับโลก ออกจากโลกไม่ได้มีแต่ใหญ่ขึ้นเล็กลงมีต่ำมีสูงมีเล็กมีใหญ่อยู่อย่างนี้ โลกียะหมุนเวียน ที่อาตมาสรุปความว่า เป็นสมบัติผลัดกันชมมันก็หมุนไปหมุนมา แย่งกันไปแย่งกันมา ใช้หนี้กันไปใช้หนี้กันมา หมุนอยู่อย่างนี้จนนับกาละไม่ได้ ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆ ชาติ คนโง่ดักดานไม่รู้จมอยู่อย่างนั้นอยู่ล้านๆๆๆชาติไม่รู้ทางออก คนที่มารู้ทางออกแล้วโอ้โห ไม่เอาแล้วความวนเวียนอย่างนั้น เรามาลดลงๆๆจนกระทั่งแยกธาตุเลย สูญ นี่เป็นความรู้ของศาสนาพุทธ ไม่คงอยู่นิรันดร จะบอกว่า ข้าเป็นความยิ่งใหญ่เป็นผู้บงการเป็นพระเจ้า หรือศัพท์เดิมเรียกว่าพระพรหม

พระพรหมมันมีจริงตรงที่ว่ามาเป็นพรหมพุทธ พระพรหมไม่มีจริงเป็นพรหมของ God พรหมของเทวนิยมพรหมพระเจ้า นี่เป็นสองพรหม

พรหมของพระเจ้าอย่างศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดูเป็นเทวนิยมเป็ฯพรหมของพระเจ้า ส่วนพรหมของพุทธ สะอาดบริสุทธิ์และสูญสลายได้จริง ไม่มีนิรันดร ส่วนพรหมของพระเจ้าหรือพระเจ้ามีนิรันดร เพราะเขาตีแตกไม่ได้ เขาตีแตกอัตตาตัวเองไม่ได้ เขาแยกธาตุของตนเองจนสูญจนสลายไม่มีตัวเรา เลิก ไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าเหตุที่เขาอยู่เหนือสูงสุดจนกระทั่งเป็นอิสระเสรีภาพ เขาจะสูญก็สูญได้เขาจะมีก็มีได้ จะอยู่นานอยู่เร็วเขาก็ทำของเขาได้เท่าที่เขาจะสามารถ เป็นนายตัวเอง เป็นนายทุกสิ่งทุกอย่าง จึงเรียกว่าพระเจ้า จริงๆเหนือกว่าพระเจ้า จนกระทั่งไม่ยึดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า แต่ตัวเองทำได้ สุดท้ายจริงๆ ก็ไม่คิดจะเป็นพระเจ้า ปรินิพพานเป็นปริโยสานเพราะรู้ทุกข์ ทนไม่ได้ มันไม่เที่ยง คุณก็หมุนวนไปๆมาๆ เล็กๆ ใหญ่ๆ สูงๆ ต่ำๆ ไม่เที่ยง คุณก็ได้อย่างนี้ไม่เบื่อซักทีเหรอ ศาสนาพุทธเบื่อ นิพพิทา รู้แล้วว่าอีกกี่กัปป์กี่กัลป์กี่ล้านๆๆๆชาติ โธ่เอ๊ย เท่านี้เอง มันก็เท่านี้ เพราะอย่างนั้นจึงรู้ที่จบ อย่างอาตมานี่แน่นอนเลย อาตมาตั้งใจอาตมารู้อยู่ว่าสิ่งที่ยังไม่รู้อาตมายังมี จนกว่าอาตมารู้จบจริงๆ เลย หมดแล้ว หมดที่จะรู้จริงๆแล้ว เท่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้ว เราก็จะมีตัวเปรียบเทียบตัววัดของเราเองได้ว่า พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์นั้นเราก็เหมือนพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์นั้นนะ นี่เป็นความจริงที่คนระดับพระพุทธเจ้าจะเทียบ ท่านก็ไม่มีอคติ ท่านซื่อตรงที่สุดแล้ว ท่านก็วัดได้แล้ว,มันก็จบแล้ว สูงสุดแห่งที่สุดอย่างไม่มีที่จะฝึกอีกแล้ว แล้วมันก็ห่างจากผู้ที่เขาตามมาไกลมากเลย ห่างไกลมาก ….

พรหม 16 ชั้นเป็นของเก๊ของปลอมจากความความไม่รู้ จึงมีสิ่งที่มี ผู้ที่เป็นพรหมแท้บริสุทธิ์รู้ว่าความมีกับความไม่มีมันอันเดียวกันเพราะฉะนัันจะเป็นความไม่มีเมื่อไหร่ก็ได้ เลิกมี  เมื่อเรารู้ก็อนุโลมได้

พรหม 20 ชั้น

พรหมชั้น 1

ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ เป็นพรหมที่เป็นระดับลิ้วล้อลูกน้อง เป็นผุยผง เป็นปริมาณมวลบริวาร ซึ่งจะเข้ามารวมตัวกันมายอมรับจับกลุ่มกัน เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นประธาน ผู้ที่เป็นเจ้าอำนาจ ก่อนจะเป็นเจ้าอำนาจเป็นผู้ที่เหนือกว่าก่อน เรียกว่า ปุโรหิตา

ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ หิตะ ปุโรหิตก็คือ ปร แปลว่าอื่น หิตะก็คือความเป็นจริงหรือเรียกว่าประโยชน์ ประโยชน์หรือความเป็นจริงที่ใช้อยู่ มันก็มีเพิ่มขึ้น ได้อื่นขึ้น เพราะฉะนั้นผู้ที่จะสามารถ ทำสองจากหนึ่งก็มีอันอื่นเพิ่มขึ้น หนึ่งแล้วก็มาเป็นสอง ก็เหนือกว่า ปาริสัชชา ที่ไม่รู้ตัวเองเหมือนกับอุตุ พีชะ มาเป็นสัตว์ก็เป็นบริวาร มันไม่รู้เหมือนกับดินน้ำลมไฟเหมือนอุตุนิยาม มันไม่รู้ตัวมันมันทำอะไรไม่ได้ แม้มาเป็นพีชะแล้วก็ยังกำหนดตัวเองกับคนอื่นไม่ได้มากมายอะไร กำหนดตัวมันเอง แม้เป็นสัตว์ชั้นต่ำ ก็ยังถูกสัตว์ชั้นสูงครอบงำเป็นเจ้าเป็นผู้จัดการได้ตัวมันไปเรื่อยๆ เป็นชั้นๆอย่างนี้ จึงเกิดปุโรหิต และเกิดมหาพรหม

 

ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ เป็นผู้มาควบคุมพรหมชั้นที่ 1 และ 2 มีประธานเป็นมหาพรหม เกิดเป็น cyclic สามเส้า ถ้าประธานแข็งแรงก็ไม่มีการแตกตัวออกไปเป็นอย่างอื่นอีก หรือไม่เสื่อมลง ทำให้หมุนเต็มที่เป็น cyclic order เป็นพลังที่ไม่ลดไม่เสื่อมมันก็จะอยู่อย่างนี้นานเท่านาน ถ้าลดลงนิดหนึ่งก็เสื่อมจะไปส่วนหนึ่ง ถ้าเพิ่มส่วนหนึ่งก็เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง เมื่อขยายเป็น 4 5 6 7 8 มันก็จะเป็นพลังงานที่มากขึ้นทับทวีขึ้นไป ทดไปๆเพิ่มขึ้นๆ เกิดเส้าต่างๆ ขึ้นมาอีกตามธรรมชาติก็ตาม แต่ถ้าตามธรรมชาติมันจะช้ากว่าผู้ที่มีธาตุรู้ รู้จักสภาวะแล้วจัดสรรให้มันเป็นระเบียบได้ ไม่ต้องใช้เวลานานเพราะมันหมุนซ้ำซากนานแล้ว ถ้าเผลอตัวให้มันลดพลังงานไม่ให้เท่าเดิมไม่ให้สมดุล เสื่อมนะ มันก็จะเผลอได้ ถ้าเพิ่มขึ้นมันก็จะเพิ่มขึ้นได้เผื่อพอมัน มันจะเสื่อมนี่ดีกว่า ปฏิภาณของคน ปฏิภาณของธาตุรู้ตัวนี้มันก็จะมี เราจะเผื่อไว้ให้มันเจริญ เหมือนอย่างอาตมาพาทำพลังงาน Coefficient พาทำสัมประสิทธิ์เพิ่มขึ้น เพราะในยุคนี้คนเราอายุแค่ 100 ปีเท่านั้น กว่าจะอายุถึง 8 หมื่นปีก็ยังเพิ่มได้อีกตั้งเยอะ อันเสื่อมไม่ต้องทดสอบหรอกไม่ต้องรอเห็นเยอะแยะถ้ามันจัดสรรตัวเองไม่เป็นไม่เหลืออายุเท่าไหร่หรอก ถ้าไม่เรียนรู้ป่านนี้อาจจะตายไปแล้วก็ได้ ตอนนี้ไปเมาแอ๋อยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ โรคภัยไข้เจ็บกินตายไปแล้ว ตอนนี้เพื่อนๆอาตมาก็ตายไปเยอะแล้ว

ถ้าไม่มาเรียนรู้สัจธรรมความจริงดังว่านี้ก็จะไม่รู้เรื่อง มันก็จะเพ้อไปตามอารมณ์หรือตามความฝัน ปาริสัชชา ปุโรหิตา มหาพรหม สามเส้าแรก เป็นประธานแล้วใช้ 2 บริวาร ปุโรหิตก็เหมือนครูเหมือนหัวหน้า อีกอันก็เป็นลูกน้อง แล้วปุโรหิตจะมีลูกน้องมากหรืออย่างไรก็ไม่ลงรายละเอียดอีก เป็นแต่เพียงว่าก็มีพลังงานรวมเป็นมวลให้คนนี้เป็นหัวหน้า มหาพรหมก็คุมได้ทั้งหัวหน้าและบริวาร เพิ่มขึ้นมาเป็นเส้าที่ 3 เป็นพรหมปริตาภา

 

ต่อมาอีก 3 เป็นพวกพระพรหมมีแสง เป็นสายสว่าง

ชั้นที่ 4 ปริตตาภาภูมิ มีแสงรัศมี ปริตคือน้อย อาภาคือแสงคือพลังงาน มีแสงน้อยเหมือนกัมมันตภาพรังสีที่อ่อนบาง เท่าที่เราจะสามารถจับได้เอามาใช้งานได้ เป็น nuclear fusion ที่จะดึงดูด เป็นเอามาใช้ทำงานได้ ส่วนที่พ้นไปที่จะรวมเอามาได้ก็สุดวิสัย ก็ต้องปล่อยไปเป็น nuclear fission เรามีพลังงานน้อยองศาน้อยมากจนไม่มีองศาเป็น 0 ได้

เมื่อเติมพลังงานไปอีกเรียก อาภา 

 

ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ อาภา เป็นสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นไปอีก นับเป็นพลังงานก็คือเป็นแสง รังสี พลังงานแสง มากขึ้น ปริตตามันน้อย อัปปมาณาคือมาก มากหาประมาณมิได้ คือ เอาสองขั้วมาพูดกัน แล้วจะขยายเป็น 4 กลางคือ 2 ก็เรื่องของคุณแล้ว หรือจะขยายเป็น 8 เป็น 16 ก็แล้วแต่คุณ หรือจะกลายเป็น 9 ก็ว่ากันไป

จากมากที่สุดกับน้อยที่สุดแล้ว ก็มาอยู่ในสภาพความมี ความมีคือแสง แสงสว่างเอามาอธิบาย ถ้ามีมากที่สุดเรียกว่าอาภัสรา มีน้อยที่สุดเรียก กิณหา

กิณหามีน้อยจนไม่มีมันดำมันมืดมันไม่รู้ไม่เห็น ไม่เป็นแสงเลย ใช้อักษร ก กัณหา กับกิณหา เป็นไวยพจน์กัน ดำเหมือนกัน แต่กัณหาว่ากันจริงตามพยัญชนะแล้วมันน้อยกว่า เพราะสระมันต่างกัน สระ อะ กับ สระ อิ กิณหานี้มากขึ้นจากสระ อะ อา อิ สามเส้า นี้ มันน้อยจนอธิบายความต่างกันให้ได้รู้ละเอียด ถ้าจะใช้แยกไม่ไหวมันเล็กกิณหานี่ก็แยกยากแล้ว กัณหานี้ยิ่งยากใหญ่เลย ประเดี๋ยวไป กัณอีก หรือ กัน บางทีใช้ ณ เณร บางที น.หนู

ใช้ ณ ก็คือมีตัวตั้งคือ ก แล้วก็ตัวไม่มีมาคู่กัน ในโลกนี้มี 2 อย่างคู่กัน มีกับไม่มีเท่านั้นมาคู่กัน ณ ก็

วรรค ต ถ ท ธ น   ตัวตั้งตัวตัววัฏฏะ ฏ  น  วัฏ ตั้งอยู่กับไม่ตั้งอยู่ ตัวต้น ต ก็เริ่มตั้ง กลางก็ตั้งเต็มที่ แล้วปล่อยต่อไปก็เสื่อมลงไปหา น ก็ไม่มี ตคือมี นคือไม่มี  ท คือตัวที่มีเต็มที่พลังงานที่แข็งแรงเต็มที่ อำนาจสูงสุด

ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ  คือสว่างสูงสุดแล้วสว่างไม่มีอะไรสว่างเท่า มันไม่มีตัวกำหนดแล้ว สูงสุดก็แล้วกัน สว่างสุด เพราะฉะนั้นต้องมีคู่กันก็คือความดำ สว่างสูงสุดอาภัสรา

 

หมวด 3

ขั้นที่ 7 ปริตตาสุภา คือ ปริตน้อย สุภาคือแสงสว่าง แสงสว่างมีแกนมีแก่น สุภา อาภัสรามาเป็นสุภา แล้วก็มามากที่สุดเป็นประมาณไม่ได้ อัปปมาณาสุภา

ขั้นที่ 8 อัปปมาณาสุภา  มามากที่สุดแบบประมาณมิได้ ไม่รู้จะไปประเมินอย่างไร มันเกินเราไม่สามารถเอามานับได้แล้ว มันเป็นขอบของเอกภพที่ไกลจนกระทั่งเราก็ไปเอกภพมิได้ มันเป็น nuclear fission ที่ไกลเกินที่เราจะเอื้อม เราก็ได้เท่านี้  

 

ขั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ คือการดับความรับรู้ ตัวเองมืดไม่รับรู้อะไร ที่จริงไม่ได้ทิ้งไม่ได้หาย เพราะฉะนั้นการที่จะไม่มีกับการดับ ใช้ภาษาสื่อว่าดับ ไม่มีหรือตาย มันตายอย่างโง่ก็คือตายอย่างกดทับดับดำมืด แต่ยิ่งควบแน่น ยิ่งแน่นๆ ทำความรู้สึกของเราไม่ให้รู้สึก คุณก็ไม่รู้สึกไปเรื่อยๆ คุณก็นึกว่าคุณหมด นี่เป็นทิศทางของความซื่อบื้อ ส่วนทิศทางของปัญญาทิศทางของความรู้จริงๆ มันแยกตัวย่อยออก ย่อยออกๆๆ ออกไปหายไปตายไป จนกระทั่งหมด จนรู้จักศูนย์ รู้จักมากแล้วลดลงมา จนกระทั่งมาเหลือ 4 มาเหลือ 3 แล้วลดเหลือ 2 จนกระทั่งเหลือ 1 เกิด cyclic อยู่ก็จะมี 3 จนกระทั่งไม่เป็น cyclic แล้วโดยเป็นแนวระนาบก็เป็น 2 ถ้าคุณจะให้ขึ้นไปอีกไม่เป็น cyclic มันก็ไปอีก เท่าที่คุณจะมีแรงให้มันเป็น ให้มันเป็นอย่างไร แต่ของเราความควบคุมอำนาจของเราที่จะทำ สามารถที่จะทำ

สรุปแล้วสว่างกับมืด ถ้าเป็นพวกที่ไม่มีความรู้จริง ก็หลอกตัวเองอยู่ในระหว่างสว่างกับมืดเท่านั้น แต่ผู้ที่รู้ความจริง ผู้ที่ไม่รู้ความจริงท่านถึงใช้ภาษาว่าสุภกิณหา

กิณหามืด อาภัสราสว่าง มืดมันไปหาความไม่รู้ แต่อาภัสราคือสว่าง แต่ถ้ามากเกินจัดจ้านเกินไปก็หลอกต่อกันไปอีก มันขยายไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถรู้ตนเองได้เลย  แต่การดับมาหาดำดับ จนกลายเป็น ไม่สามารถรู้ตัวเองได้เลย กลายเป็นสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ตัวเองดึงตัวเองออกมาก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในนั้น มีพลังเท่าไหร่คุณก็จมอยู่ในนั้นนานเท่านาน เหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส มันไม่เห็นไม่รู้อะไรจะไปอย่างไรก็ไม่ได้ และพลังงานที่จะให้มันขับเคลื่อนในมุมมืด ก็ไม่มี มันก็เลยแช่นิ่งๆ ถ้ามันแห้งมันก็ไม่ดับ หากมีธาตุน้ำก็เน่า ถ้ามันไม่มีธาตุน้ำ มันก็จะไม่เน่า เน่าคือมีธาตุแบคทีเรียหากไม่มีก็แห้งอยู่อย่างนั้น fossil เกาะตัวนานเป็นล้านๆๆๆชาติ หากจะกลายเป็นโลหะก็คือทอง คาร์บอนก็คือเพชร

ถ้าเป็นน้ำก็คือ fossil มีพลังงานจับตัวของนิวเคลียส แข็งมากจนกระทั่งเอาพลังน้ำมาเป็นน้ำมัน มาแตกตัวนิวเคลียสตัวนี้ใช้ นั่นคือตัวนิวเคลียสของน้ำ

นิวเคลียสของเพชร นิวเคลียสของทอง ทุกวันนี้คนยังทำไม่ได้ เขายังทำอณูของเพชรของทองให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เขาทำอณูของน้ำให้เปลี่ยนแปลงได้

จากอาภัสราก็เป็นคู่กับกิณหา ดำกับสว่าง อันนี้ต้องใช้พยัญชนะว่าสุภกิณหา มันไม่มีตัวรู้นะกิณหะนี่ แต่ถ้าเอาตัวรู้มาใส่ สุภะ มันน่าได้ แม้มันไม่รู้ก็น่าได้ พวกนี้หน้ามืด พวกโง่หน้ามืด มันไม่น่าได้มันมืด มันมืดก็ยังอยากได้หน้าได้อีกก็เลยใช้ภาษาว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น สุภกิณหะ ทั้งที่มันมืดไปไหนก็ไม่ได้แต่ก็ยังอยากได้อีก โง่ไม่มีงอกเงยเลย พวกอาภัสรายังมีวันเห็นวันรู้ แต่มืดนี่ไม่มีวันรู้เลย นี่ก็เห็นใจหมูป่าไปอยู่ที่มืดนานพอสมควร

 

ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ เวหัปผลาก็คือเวหา เวหน แดนไกลสูง ไปไกล fission ออกไปนั่นแหละเวหา 

ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ ส่วนอสัญญีก็คือธาตุรู้ที่คุณไม่มี สุภกิณหาจะดับตัวเองแล้ว ธาตุรู้ตัวเองไม่ใช่ดับ ไม่กำหนดรู้เลย บื้อเลย อสัญญี ใช้พยัญชนะมาแทนว่าอัญญะ เป็นธาตุรู้อัญญา ส เป็นการประกอบธาตุรู้ สัญญาเป็นการประกอบธาตุรู้ สัญญาสัญญี อสัญญีไม่ประกอบไม่ทำธาตุรู้นี้ขึ้นมาเลยทั้งๆ ตัวเองก็มีสัญญามีตัวธาตุรู้มีตัวกำหนดรู้ได้ แต่ตัวเองไม่ทำมันเสียอย่างนั้น สุดดื้อสุดดึง สุดดื้อด้านดื้อดึง

บอกให้ทำตัวเองหน่อยให้ขยับออกมาก็ไม่ขยับ มันก็ดื้อไม่ออกมาไม่ขยับ พวกนี้ก็ต้องปล่อย ศีรษะใครศีรษะมัน จะให้พัฒนาขึ้นไม่กระดิกเลย อาตมาพูดแล้วมันหนำใจตัวเองตรงนี้ไปนั่งหลับตาอยู่ทำไม ไม่กระดิกเลย เห็นใจอาตมาไหม มันดื้ออะไรโง่อะไร มันไม่เจริญแล้วมีแต่ดึกดำบรรพ์เข้าไปอีก เขาก็ไม่เชื่อ อาตมาพูดปลุกกระทุ้งให้ตื่นเสียที  ทำแรงกว่านี้เขาจะตาย ก็ได้แรงเท่านี้ อาตมาก็ไม่อยากเป็นคนร้ายที่จะทำให้คนตาย ก็ได้ทำอยู่ประมาณนี้ แรงสุดแล้ว อาตมาพูดแก้ตัว ก็เป็นข้อด้อยอาตมา มันแรงนี้ไม่ดี น่าเกลียด แต่แรงอย่างนี้ก็ไม่กระดิกเลย เห็นใจอาตมาบ้างไหม มันก็เลยต้องแรงอย่างนี้ อาตมาเหนื่อยนะ แต่มันจะต้องทำ ไม่ทำก็ช่วยเขาไม่ได้ อาตมาก็สูญเปล่า

พวกคุณมาแล้วไม่เป็นไร ไปด้วยกันมาด้วยกัน แต่ที่ยังไม่มาอยากได้เพิ่ม ใครจะหาว่าอาตมายังอยาก ก็อาตมายังทำงานหากไม่มีอยากเลยก็เฉื่อยๆ เนือยๆ  ไม่มีพลังงานเพิ่มเลย คุณจะไปรักษาความสมดุลได้นานเท่าไหร่ แรงดึงดูดของโลกแรงดึงดูดสิ่งแวดล้อม แรงกระทุ้งกระแทกให้แปรปรวนมันทำกับคุณอยู่ตลอดเวลา คุณไม่สามารถรักษาสภาพไม่ได้หรอก อื่นๆมันเยอะกว่าตัวคุณเอง ตัวคุณเองจะใหญ่เท่าไหร่ อื่นๆข้างนอกมันมากกว่าคุณเท่าไหร่ ไม่ว่าหวังร้ายหรือหวังดี หวังดีก็อยากให้คุณเปลี่ยนนะ หวังร้ายก็อยากให้เปลี่ยนเหมือนกันแต่เปลี่ยนกันคนละทิศเท่านั้นเอง

สรุปแล้ว อสัญญีกับเวหัปผลา เป็นตัวหยุดกับตัวเกินเท่านั้นเอง เวหัปผลาคือตัวเกินไม่มีสิ้นสุด แต่ตัวหยุดก็ไม่รู้จุดสิ้นสุดในการหยุด ไม่มีใครรู้กับมัน อสัญญี ก็มีสองพยัชนะที่ใช้แทนได้เท่านี้

พยัญชนะ เอ เว ตัว วิ เขาก็ใช้ เว เขาก็ใช้  เวหัปผลา วิหัปผลา

ย ร ล ว ห ตัว ห คือความจริง

ป คือตัวปฏิกิริยา ตัวเคลื่อนจะเป็นจะทำจะมี

พละก็คือผลนั่นเอง ตัวสรุปรวมสิ่งที่จะเกิดสุดท้าย ผลนั่นเอง พละ ขยายความไปอีก ย ร ล พยัญชนะสามเส้า ย ร ล

หมุน ตัวหมุน สมดุลอยู่ก็คือ ล หมุน ตัวนี้อย่าให้เสื่อมนะให้คงที่นะ มากเกินก็ขยายถ้าลดลงก็หมด

ผ คือต้องผัสสะ ผ ต้องมี 2 มากระทบ เสมอๆ เกิดปฏิกิริยาขึ้น เป็นผล

 

กิณหา มีตัวตั้งกับตัวจบ ก กับ ห ณ หคือตัวจริง คุณยึดว่า ก กับ ณ เป็นของจริง ไม่หรอกมันก็มีแต่ตัวจะเกิดกับตัวจะสูญ ณ นั้นมันสูญ ก นั้นมันจะมี ห ไปหลงยึดว่ามันจะเอาตัวสูญกับตัวมีมารวมสองอันนี้อยู่ให้มันมี ความจริงมันไม่มี ก มันก็ไม่มี น มันก็สูญๆๆ ก็คือไม่มี แต่มันมีเพราะเราจะให้มันมี เรามีชีวะเรามีตัวรู้ เรามีตัวกำหนดเรามีตัวสามารถทำได้ เราก็ทำให้มันมีโดยไม่มีใครไปจ้าง ให้คนนั้นคนนี้มามีหน้าที่เป็นให้เรา เป็นทาสเขาทำไมก็ทำเองสิ ทำเองมีเอง สรุปง่ายๆ คือตัวเกิดกับตัวตาย อสัญญีตัวตาย มันมีสัญญาแต่ดันไม่ทำตัวมัน กับเวหัปผลา ทำไม่มีที่สิ้นที่สุดไปตลอด

 

นี่คือพรหม 11 ชั้น

 

ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ มันก็คล้ายๆกับ เวหัปผลา แต่มันต่าง เมื่อกี๊เวหัป อันนี้ อวิหะ ห ก็คือความจริง วิ ตัวพฤติกรรม ย ร ล ว พลังงานตัวที่ 4 อวิหา ตัวจริง ห  ว พลังงาน อิ สระ ถ้ามันมีวิ นี่สาม อะ อา อิ สามเส้าพลังงานของจิต ก็เลยมีตัวที่มีต้านเอาไว้ อะ อะนี่เป็นตัวสระที่ 1 เลยเริ่มต้น อะ นี่แหละ อะ แล้วก็อา อิ  อี พลังงานตัวที่หนึ่งตัวต้นเลย

อะมาจาก 0 พยัญชนะที่เกิดมาจาก 0 มาใส่หัวหนอยนึง พลิกกลับมาเป็น 1 

อะ คือ วงกลมหรือวงรีก็ตาม ถ้าทางตะวันตกก็จะรี ถ้าตะวันออกจะกลม ใส่หัวมันหน่อย มันเท่ากับห้อง แล้วก็มีตัวเกิดแตะอยู่ที่ผนังห้อง เหมือนกับ protoplasm ที่มี cytoplasm หนึ่งอันเกิดมาแล้วเป็นจุดหนึ่ง ห้องนี้ไม่โตที่จริงมันเล็กนิดเดียว จนขยายห้องโตขึ้น พอมีพลังงานมากขึ้นแล้วขยายตัวและขยายห้องเพิ่มขึ้น จน protoplasm ที่มี cytoplasm โตขึ้น จนกระทั่งโดยธรรมชาติโตอีกไม่ไหวแล้ว ก็มีทางออกโดยธรรมชาติ แต่ถ้าคนไม่ธรรมชาติ ผู้รู้จัดการ แค่นี้พอนะแค่ 10 พอนะ เจาะรูออกหาทางออก อ้ายนี่ไม่เอาอยากจะได้ static มากกว่านี้เอา 100 จึงจะเจาะรูออก อ้ายนี่ไม่เอา เอา 1,000 ค่อยจะเจาะรูออก ก็แล้วแต่ ผู้ที่รู้ก็จะจัดการตามต้องการ ถ้าได้ static แล้วคุณสามารถที่จะทำพลังงาน dynamic มาจัดความหมุนของแกน 100 ให้หมุนได้คุณก็ทำ แต่ถ้าคนไม่รู้ คุณสะสมไปถึง 1,000 แต่ dynamic ของคุณออกมาใช้เข็น 100 เข็น 1,000 นี่ยังไงก็เข็นไม่ขึ้น คุณก็โง่ดักดานอยู่อย่างนั้น คุณก็กลบไปของเก่าคุณก็ต้องพยายามสร้างพลังงาน dynamic ใหม่ ให้มันมาก ก็คุณมีเข้าไปแล้วตั้ง 1,000 แล้ว ถ้าคุณไม่สร้าง dynamic ให้มากพอที่จะเคลื่อนไป static statusของคุณตั้ง 1,000 ให้ได้ คุณก็เคลื่อนมันไม่ได้ เจโตโง่ๆ มันจะช้าอย่างนี้ แต่ถ้าเผื่อว่าปัญญามันก็ทำให้สมดุล  ความฉลาดมันรู้จักวงที่ว่า dynamic  static ที่อาตมาพยายามทำความเจริญ

ที่จริงมันหมุนนะ มันขึ้นมาจากก้นหอยไปปลายหอย นี่ทำให้ดูในแนวนี้ แต่ที่จริงมันหมุนนะ มันก็จะสูงขึ้นๆ ผู้รู้สัดส่วน ซ้ายขวาๆ จะเอามาใช้ทั้งซ้ายขวาทั้งบนล่างให้มันสมดุลกัน คุณไม่รู้คุณไปในแนวเดียวหนักไปดิ่ง ความเป็นลำดับที่น่าอัศจรรย์ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในในปหาราทสูตรอันนี้แหละ ความเป็นลำดับที่ได้สัดส่วนทั้งหมดทั้งมวลล่างสูงต่ำออกเหนือขวาซ้ายอะไรอย่างนี้ มันครบสุดครบมุมเหลี่ยม มันจะเกิดหมุน dynamic

ผู้ที่ประดิษฐ์อักษรไทยก็เอาความรู้จักภาษาบาลีมาใช้ด้วย แต่เอามาเป็นรูปไทยก็มีรากฐานมาจากเดิมอีก

เราไม่รู้ว่า คนเอารูปเดิมมาปรับปรุงคือใครบ้าง แต่อาตมาเป็นคนหนึ่งที่ร่วมกับปรุงแต่ไม่รู้ว่าคนต้นเดิมที่เอามาปรับนั้นคือใคร มีที่มาก่อนแล้วอาตมาก็มาปรับปรุง มาปรับปรุงแล้วแถมตัวเพิ่ม มีสระไทยเพิ่มขึ้นเดี๋ยวนี้ก็ใช้ได้หลายตัว

_มีคำถามว่าพรหมชั้นไหนมีลักษณะคล้ายนิพพาน ขอถามว่าผู้จะอุบัติเป็นพรหม เทวดาที่ภพภูมิสูงเหนือมนุษย์ คนคริสต์อิสลามเป็นพรหมได้หรือไม่?

ตอบ...ได้ ถ้าเข้าใจความหมายพรหมอย่างรายละเอียดพยัญชนะภาษาคำว่าพรหม แต่รายละเอียดของมันก็เป็นสภาวะ มีทั้งนั้นหละไม่ว่าจะเป็นคริสต์เป็นอะไร เช่นที่อาตมาเคยพูดว่า ฆ่าสัตว์จะเป็นศาสนาไหนก็ตาม บาปทุกศาสนาเลย แต่เขาไม่ถือเขาไม่รู้เขาก็ฆ่า เขาก็ได้กรรมวิบากเขา แต่เขาไม่รู้เท่านั้นเอง แม้ที่สุดเขากินเนื้อสัตว์เขาก็เป็นบาปของเขาตามสัจจะที่มันมี แต่เขาไม่รู้ เขาก็มีวิบากของเขาไป ใครจะไปตามอธิบายให้เขาฟัง คุณโง่ แล้วยังมีคนอีกเท่าไหร่ที่ตั้งใจฟัง แต่คุณโง่ไม่ฟัง  อาตมาไม่มีเวลาจะไปตามคุณคนเดียว คุณก็โง่ของคุณไปเถอะ นี่ไม่ใช่ใจดำนะ คุณเองก็พยายามทำความเข้าใจเสียบ้าง หากไม่เข้าใจก็จะต้องไปไกลหลงนานในวัฎสงสารนานเท่านาน แล้วจะให้ไปทำอย่างไร เรารู้เราจึงมีที่จบเราจึงมีที่ตัด คนนี้ช่วยได้เท่านี้ คนนี้ช่วยได้เท่านี้ ก็บอกแล้ว ศีรษะใครศีรษะมัน คุณก็ไปของคุณ มันได้แค่นี้ คุณก็ช่วยตัวเองมาหาเราบ้างสิ อาตมาไม่มีเวลาพอที่จะอธิบายคนเดียวก็อธิบายเฉลี่ยคนที่แน่นสุด คนที่กลางๆ คนที่หลวมๆ ก็อธิบายสลับไปสลับมาประมาณนี้ เท่าที่อาตมาจะมีพลังงานที่จะทำได้ก็ทำตรงนี้

 

ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ คือมันสูง สว่างกระจาย

ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ  มันตรงกันข้ามกับอวิหา อันนั้นมันสว่าง มันสูง กระจาย อตัปปาคือเข้ามาหาตัวตน มาหาความไม่ ต คือตัวตน อ คือไม่ ป คือทำ กริยา ต คือตัวตนตัวสภาวะ อ คือไม่ตัวปฏิเสธ ป คือมีกิริยา

อตัปป ป.ปลาสองตัว ปป มันก็จะพยายามเป็นมี เราต้องพูดว่าตัวนี้ตัวมีนะ ไม่ใช่ตัไม่มีนะ ตัวไม่มีก็ต้องมี อ 2 ตัว อตอ แต่นี่มัน อตัปปะ

มันก็คือตัวมี ที่ไม่ใช่สว่าง มาหาก้อนๆแท่งๆดำๆมืดๆแน่นๆ อตัปปา ไม่เอาสว่างเกินก็พร่า มืดก็ไม่รู้เรื่อง เอาให้มันเห็น จึงเรียกว่า ทัสสะ ทัสสี ทัสสา เห็น ไม่รู้เรื่องไม่เอา ก็เลยมาเป็นสุทัสสา สุทัสสี อะ อา อิ อี สุทัสสาระดับหนึ่ง สุทัสสีก็ระดับหนึ่ง

ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ  แปลว่าผู้งดงามน่าทัศนา

ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ อันนี้ยิ่งใหญ่เลย

ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ อันนี้ไม่เป็นน้องใครเลย ไม่ด้อยกว่าใครไม่น้อยกว่าใคร ไม่เป็นน้องใคร ใหญ่สุด เจริญสุด อกนิฎฐาก็จบที่ตัวอกนิฏฐา

 

ที่พูดพยัญชนะนี้คือสภาวะ จะเรียกว่าดำมืด จะเรียกว่าแสงสว่าง จะเรียกว่าตัวว่าตน มีมีหรือไม่มี สว่างหรือมืด จะใช้พยัญชนะแทนสภาวะอย่างนั้น หรือจะใช้พยัญชนะว่า ครุกับลหุ หนักกับเบา เร็วกับช้า

ช้า คือ อารามตา

เร็ว คือ ขิปปา

มันก็มีสภาพที่คู่กัน เร็วกับช้า นานกับเร็ว มันก็ขยายสภาวะมิติต่างๆของสิ่งที่มันจะเป็นจะไป สุดท้ายก็จบได้

สุทธาวาสก็เป็นเรื่องของรูป นั่นคือรูปพรหม 16 รวมแล้วตั้งแต่ ปริสสะ บริวาร จนกระทั่งมาถึงนายหรือครูปุโรหิตา จนกระทั่งมามีคนคุมนายคุมบริวารอีก มหาพรหม

ต่อมาขยายขึ้นมาเป็นยิ่งขึ้นไป ปริตตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา

จนขยายมากขึ้นเป็นเส้าที่สาม ปริตตาสุภา อัปปมาณาสุภา แล้วเป็น สุภกิณหา

มาขยายเป็น เวหัปผลา อสัญญี  ลึกเข้าไปละเอียดเข้าไปเป็น 5

อตัปปาก็ทิศเดียวกับอสัญญี อวิหาทิศเดียวกับเวหัปผลา

เสร็จแล้วก็พยายามมารู้เพิ่มเป็น สุทัสสา สุทัสสี จะเหลือที่สุดก็ อกนิฏฐา ครบพรหม 16

ใช้สภาวะไปสื่อสภาวะต่างๆ  ใครไปหลงมีก็จะมีอยู่สูงสุดในรายละเอียด 16 ชนิดนี้ ใครจะอธิบายได้เก่งกว่า 16 ก็เอาเถอะ อาตมาก็อยากจะฟังเหมือนกัน ขยายรายละเอียดกว่านี้เอาพยัญชนะมาขยาย อาตมาเข้าใจแล้ว ขณะนี้ก็พออยู่พอกินแล้ว สบายแล้ว สุขๆทุกข์ๆนี้หมดสิ้นได้ ใช้พยัญชนะแค่นี้ก็ได้แล้ว

 

อรูป อีก 4 เป็นพรหม 20 จาก 16  4 ฐานที่เป็นเป็นอรูปนี้

อรูปพรหม

1.ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ อากาศ (สว่าง) เป็นสภาวะของ dynamic เป็นสภาวะของนาม  อากาศว่างแล้วเป็นรูป

2.ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ วิญญาณเป็นนาม

3.ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ มืด เป็นสภาวะของมืดเป็นสภาวะของ static

4.ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

อากาศว่างแล้วเป็นรูป วิญญาณเป็นนาม วิญญาณคือธาตุรู้ แล้วเป็นธาตุรู้ที่ใช้พยัญชนะคือรวมขยายจากธาตุรู้เป็นเวทนา สัญญา สังขาร เป็นต้น ขยายเวทนาไปอีก 108 เป็นต้น ก็ล้วนแล้วอยู่ในตัววิญญาณทั้งนั้น สัญญาจะเป็นสัญญา 10 จะเป็นสัญญาอะไรอื่นๆอีกเท่าไหร่ เยอะแยะอีกสัญญาเหมือนกัน สังขารก็เอามาสรุปรวมเป็นกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร เท่านั้นก็แล้วกัน ส่วนเราจะทำอภิสังขารให้มันมีหรือไม่มี คุณก็แยกย่อยเอา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านรับผิดชอบก็คือ ตัวอาการที่มีแล้วมันสุขหรือมันทุกข์ เพราะว่ามันทุกข์แล้วมันทำลาย มันเป็นพิษ ถ้ามันสุขแล้วมันก็ไม่เป็นพิษกับใคร แต่มันก็ไม่สูญ สุขมันก็ไม่สูญ ท่านถึงจัดการสุขลงไปอีกให้มันสูญ พยัญชนะสุขเองมันคือสูญ สุ นั้นดี ข นั้นว่าง ว่างนั้นแหละดี ว่างหรือสูญนั้นแหละ ไม่มีเปล่าๆนั้นแหละดี พยัญชนะมันก็สื่อสภาวะกลับกันอีก สุขนั้นมันสภาพมี ส่วนสูญนั้นเหมือนไม่มี หรือว่าว่างก็ไม่มี ไม่มีนั้นดีกว่า แต่ถ้าจะอนุโลม สุขก็สุขวะ มี มีอะไร มีสิ่งที่ไม่มีนั้นดี

อากาศ ว่าง

วิญญาณธาตุรู้

อากิญ นิดน้อย มืดดำ เป็นสายไม่ใช่อากาศ สว่าง เป็นสายดำ ดำมีที่จบก่อนสว่าง อากิญจึงมีอยู่แค่นี้ ส่วนอากาศยังมีธาตุรู้ที่จะต้องตามรู้ไปอีก อากาศหรือมีจึงมาถึงเนวสัญญา นาสัญญา

เนวสัญญา นาสัญญา สัญญาคือธาตุรู้ กำหนดรู้ เนวสัญญากับนาสัญญา นาแปลว่าต่างๆ เนว แปลว่าจะรู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ ยังไม่รู้กึ่งรู้กึ่งไม่รู้ คือประเภทตัวรู้ที่มันเป็นกระเทย มันรู้ครึ่งหนึ่งไม่รู้ครึ่ง ไม่เป็น 1 ยังเป็น 2 ยังเป็นธาตุ 2 กำหนดรู้ยังไม่รอบถ้วนยังไม่เด็ดขาด เนวสัญญา เพราะฉะนั้นต้องทำให้รู้ ไม่รู้ไม่ได้ ต้องพ้นความไม่รู้ให้ได้ คุณต้องทำตนเองให้รู้รอบหมดเลย นาสัญญาคือต้องรู้อะไรต่างๆตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด จนกระทั่งเหลือ 1

1 นี้รู้บ้างไม่รู้บ้างรู้มากกว่าครึ่ง หรือรู้น้อยกว่าครึ่ง รู้มากกว่าไม่รู้ หรือไม่รู้มากกว่ารู้คุณก็ต้องทำให้รู้ให้หมด เนวสัญญา ไม่รู้ไม่ได้ ทำให้ทะลุเลยไม่รู้ไม่มี ก็เป็นสัญญาเวทยิตตัง นิโรธังโหติ คุณก็จบโหติ แท้แน่ ด้วยการสัญญากำหนดรู้ เวทยิตตัง ความรู้สึกหรือความรู้ธาตุรู้ทั้งหลาย เวทยิตตะ คุณเคล้าเคลียอารมณ์นี้ คุณเจาะไชใช่หมดเลยรู้ให้หมดสัมผัสให้หมด ไม่มีเอกเทศไหนๆที่เราจะไปไม่ถึง เหมือนน้ำจุณสี เราไปแช่ ให้น้ำจุณสีไปซึมได้ทุกเอกเทศไม่มีรูขุมขนได้เลยที่อันนี้จะไปไม่ถึง มันถึงหมดรู้หมด พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนจุณสีที่แช่น้ำแล้วมันซึมซับไป ไม่มีที่ไหนที่จุนสีจะไปไม่ถึง รู้หมด เนวสัญญา นาสัญญา กำหนดรู้ตัวนี้ เนว

น คือไม่มี ว คือ มี

เนวะ น คือตัวปฏิเสธ เป็นอักษรตัวไม่มีปฏิเสธสูงสุด

ว คือพฤติกรรมตัวที่ 4 ของพยัญชนะเศษวรรค อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ตัว เอ เป็นพลังงานตัวที่ 7 Coefficient แรงมาก ดื้อก็ดื้อมากจะให้ 0 ก็ยาก ดื้อก็ดื้อมาก เอาไม่ค่อยลงเอาให้ลงยาก สูงก็สูงมาก ไปได้เร็ว ไป 8 9 ก็หากไม่มีเส้าที่สาม ไปอีก็คือ 0 จบหรือจะไปต่อก็แล้วแต่คุณ 0 คือตัวลงตัว แต่ถ้าพลังงานสูงสุดก็คือ 9  ตัว 7 ก็คือพลังงานที่จะไปหา 9

แต่ตัว 7 นี้เอายากกว่าจะออกจาก 6 มาได้ จากอนิยตโพธิสัตว์จะมาหานิยตโพธิสัตว์ก็ยาวนานมาก เหมือนกับสกิทาคามีจะไปอนาคามีก็ยาวนานมาก คล้ายๆ กัน

ภาษาพูด วิญญาณคือธาตุรู้ อากิญจัญคือมีนิดนึงน้อยหนึ่ง  อากิญจัญญาคือไม่รู้ว่ามีก็ได้ ต้องทำความรู้ให้หมดความไม่รู้ อากิญมันไม่รู้ มาเป็นเนวสัญญานาสัญญา ใช้สัญญากำหนดรู้อัตตาต่างๆโลกต่างๆจนรู้หมด หมดนาสัญญาเหลือตัวที่ต้องจัดการคือ เนวสัญญา

เอ คือสระตัวที่ 7 ใน อะ อา อิ อี อุ อู ตัวที่ 7 คือ เอ

สรุปว่า เอ คือเอกคือ 1 เอา ก ไปเติมให้เป็นหนึ่งเท่านั้นเอง เป็น เอกะ เอสะ เอวะ ต่างๆ

เมื่อสภาวะของ เอ นี้ มากกว่านี้ก็เป็น โอ สระบาลีมีแค่นี้ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ตัว เอ มาขยายความเป็น อำ ไอ ใอ เอา อีก เอือ ก็มีเพิ่มไปอีก

รู้มากก็อยากนาน แต่ถ้ารู้แล้วสามารถจบได้ก็รู้มากได้ มีแกนนิ่งได้แล้วก็รู้เพิ่มได้ อย่าไปโลภมากจนสัดส่วนไม่ดี หากสัดส่วน dymanic กับ static มันไม่พอก็จะหลุดวงโคจรไปเป็นอุกกาบาต ซวยตายเลย

อาตมาพยายามอธิบายโดยพยัญชนะแล้วก็อธิบายสภาวะ พวกเราก็มีฐานรองรับก็เลยสนุกพูดกันได้ แต่ถ้าคนที่ไม่มีแล้วก็น่าสงสารก็น่าเห็นใจ เขารับไม่ติด ไม่รู้เรื่องด้วย

ถ้าอาตมามีคุณธรรม 12 ประการอย่างนี้คุณจะพอว่าอาตมาเป็นอรหันต์ได้ไหม ก็ลองฟังดูว่าจริงไหม ถ้าคนไม่มีอคติอะไรก็จะพิจารณาได้ว่าจริงไหม

คุณลักษณะ 12 ของ พระอรหันต์ผู้มีอิสระยิ่ง .

1. เป็นคนหมดทุกข์ (ดับทุกข์อริยสัจ)

2. เป็นคนไม่มีภัย

3. เป็นคนมีคุณค่า 

4. เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว (ไม่เพื่อตัวตนเลย)

5. เป็นคนไม่โลภ  ไม่โกรธ  ไม่หลง

6. เป็นคนมีเมตตาจริง

7. เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้

8. เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว

9. เป็นคนทำแต่กุศล ไม่ต้องทำบุญแล้ว ไม่มีบาป(อกุศล)แล้ว กุศลเป็นสมบัติ บุญเป็นวิบัติ ส่วนบาปนั้นเป็นวิบัติก็ได้เป็นสมบัติก็ได้ บาปก็ใช้เป็นไวพจน์แทนอกุศล เพราะฉะนั้นคนที่ทำไม่ดี ในแง่ไม่ดีมันก็มี บาปจึงต้องใช้ภาษาแทน ส่วนบุญนั้นมันเป็นถ่ายเดียว เป็นเอกังสะ มันมีหน้าที่เดียว มันวันเวย์คติมันไม่ถอยหลังมันไม่ย้อนกลับเลย ผู้ทำแต่กุศลมีกรรมกริยาดี มีแต่กุศล

10.เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว ตน คือครบแล้ว ต คือตั้งอยู่ น คือไม่มี ตน(ตะนะ) คือไม่มีที่ตั้ง แต่ใช้พยัญชนะเรียกว่าตน พูดกันอย่างภาษาสมมุติมันมี แต่ตัวจริงไม่มี ตน(ตะนะ) แต่ที่พูดกันโดยพยัญชนะอาตมาก็มีคุณก็มี แต่ปรมัตถ์ของอาตมานั้นมันไม่มีนะ มันตน(ตะนะ) นะ ไม่มีแล้วประโยชน์ตนหมดแล้ว เพราะประโยชน์ตนของอาตมาก็คือนิพพาน สูงสุด ไม่เปลี่ยนแปลง นิจจัง ธุวัง สัสตัง เท่านี้อาตมาเอาเท่านี้ สมบัติเอาเท่านี้แต่ที่จริงมันเป็นวิบัตินะ พยัญชนะมันซ้อน ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องชำระ มันหมดแล้วไม่ต้องชำระไม่ต้องทำอะไรให้ตนอีกแล้ว

11. เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก นิพพาน ถูกถ้วน

12. เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสัมบูรณ์

 

สวรรค์กับนรกคืออะไรนิพพานคืออะไร

สวรรค์ คือ ชื่นๆ ชื่นมากเข้าก็แฉะๆชื้นๆ

นรก คืออะไร ร้อนๆละลายๆๆๆๆ

สวรรค์ก็รู้สึกมันดี แม้จะเป็นคนโง่ เขาสมมุติว่าคนสร้างพลังงานที่ทนได้ต่อน้ำร้อนเกิน 100 องศา ก็อร่อยหอเจี๊ยะ คุณทนได้ ทั้งที่คนทั่วไปทนไม่ได้ คนที่ฝึกมาได้ก็ หอเจี๊ยะ ทนต่อพลังงานพวกนี้ได้

 

มีคนแย้งมาว่า _ตรรกะที่ว่า ผู้บรรลุธรรมหากบอกว่าตนเองว่าบรรลุธรรม ย่อมถือว่าไม่บรรลุธรรม ก็แปลว่าย่อมไม่มีทุกข์ เพราะผู้บรรลุธรรมนี่คือคนหมดทุกข์

พ่อครูว่า...แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าอาตมาหมดทุกข์หรือไม่ เขาจะมาล้วงเวทนาในเวทนาอาตมาได้อย่างไร ว่าอาตมาหมดทุกข์ อาตมาตลอดเวลานี่นะ ใครคบคุ้นกับอาตมามาแต่ละนาทีทุกวินาที เอาละเอียดกว่าวินาทีก็ได้ ทุกวันนี้เขาเอาที่อัดเสียงมาอัดไว้ตลอด และอย่างอื่นก็ถ่ายวีดีโอไว้ ยกเว้นตอนเข้าห้องน้ำไม่ได้ถ่ายวิดีโอเท่านั้น เขารู้อาตมาหมด เขาก็เลยรู้ว่าอาตมาทุกข์หรือไม่ทุกข์ อาตมาปิดบังความทุกข์หรือไม่ อาตมามีอาการโศกเศร้าหรือไม่ เคยเห็นไหม อาตมาว่าอาตมาไม่เคยมีกิริยาอย่างนั้น เพราะเห็นว่าไปทำมันทำไม มีแต่ปรุงสังขารมากเกินไป หากไม่มีอะไรสังขารอาตมาก็เป่าลูกโป่งไป หรือว่าหาวเป็นดาวเป็นเดือน คนอื่นทำล้อเลียนไม่ได้ง่ายๆนะ อาตมามันมีมาในตัวเองเก่าๆ คนอื่นฝึกก็จะได้ มันผสมส่วนของมันก็ได้ มันมี Coefficient ใช้พลังงานน้ำ

ผู้ที่มีตรรกะ ว่าผู้บรรลุธรรม บรรลุธรรมคือหมดทุกข์ แล้วบอกว่า ตัวเองบรรลุธรรมก็คือบรรลุธรรม แต่ก็บอกว่าผู้ที่บอกตัวเองว่าบรรลุธรรม คนนี้ไม่บรรลุหรอก ถือว่าไม่บรรลุ

ตรรกะของคุณก็แปลว่าคนนี้ไม่หมดทุกข์และคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่หมดทุกข์ เขาก็รู้สึกของเขาเอง เวทนาของเขาเองว่าเขาไม่มีอาการนั้นในจิตเวทนานั้นในจิตไม่มี เราก็บอกอยู่แสดงออกอยู่ รู้ได้ด้วยการคบคุ้น คุณพูดนี้คุณไม่ได้อยู่กับผู้เขาอยู่ด้วย คุณพูดนี้คุณอยู่ห่างจากอาตมาเยอะ สัมผัสสัมพันธ์อาตมาไม่ได้อยู่วินาทีต่อวินาทีเลย คนที่อยู่กับอาตมาเขาอยู่กันอย่างวินาทีต่อวินาทีเขาชัดเจนว่า ท่านไม่เห็นมีทุกข์มีโศกมีเศร้าอะไร เขารับรองได้ คุณเองคุณพูดไป คุณรับรองไม่ได้ คุณไม่อยู่สัมผัสสัมพันธ์กับอาตมา แล้วคุณจะบอกว่าคุณรู้ อย่าทำเป็นเก่งหน่อยเลย

สมณะฟ้าไทว่า...สรุป


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:11:45 )

610723

รายละเอียด

610723  สังคมแห่ง บูรณภาพ  Integrity

พ่อครู    : คุณไพศาลเขายังไปพูดถึงเลย พูดถึงว่าพวกเราพยายามขับเคลื่อนเรื่องโสดาบัน ทำอะไรต่ออะไร คือเขาไปเปรียบเทียบกับทางด้านกระแสหลัก ทางด้านเถรสมาคม มันไม่ได้พูดถึงเรื่องพยายามจะพัฒนาการอะไรของธรรมะ มันไปกลายเป็นเรื่องโดนถล่มทลาย เงินทอน เรื่อง... ไล่ตามจับอะไรกันไปกันใหญ่เลย จริงๆมันก็จริง มันเห็นชัด นานวันเข้าก็ยิ่งจะชัด

.ดินไท  ก็..ก็ดีขึ้นนะ  ดีขึ้น ที่มีคนไปจับเอา เรื่องที่มันผิดๆ  ไม่มีใคร...

พ่อครู     :  ใช่ มันก็ดีขึ้นอ่ะ ไม่มีใครกระตุกกระเติกอะไรเลย ปล่อยให้จมดิ่งดำ เน่าเละไปเรื่อย ไม่ไหว ไม่มีการทำความสะอาด มีแต่หมักหมมเข้าไป มันหมักหมมมานาน ธรรมวินัยไม่มีเลย

.ดินไทย   :  เดี๋ยวอีกไม่นาน เดี๋ยวก็ ในหลวงก็ต้องโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง กรรมการเถรสมาคม

พ่อครู      :  อืม .. มันเละ ปาราชิกกัน เป็นว่าเล่น ไม่ อะไรเลย โดยเฉพาะเรื่องปาราชิกเรื่องเงินเนี่ย รับรองว่า มีเยอะมากในวงการ พวกเรานี่อย่าไปวุ่นวายเรื่องเงินเรื่องทอง ดีแล้ว พยายามรักษา พระพุทธเจ้าท่านก็เตือนๆ ว่าเป็นอสรพิษ เป็นอสรพิษ ไม่เชื่อ จน concept ของพระ บอกไม่มีเงินแล้วมันจะอยู่ได้ไง เนี่ย concept ของพระ อย่างนี้เลย ชีวิตทุกวันนี้ไม่มีเงินอยู่ได้ไง อยู่ไม่ได้.. อ้าว อยู่ไม่ได้คุณก็สึกไปสิ!

.ดินไท       : จะเหมือนกับไม่กินเนื้อสัตว์เงี้ย.. อยู่ไม่ได้

พ่อครู     :  ทำไม? อยู่ไม่ได้ก็ตายไปสิ ….. ไม่กินเนื้อสัตว์ อยู่ไม่ได้ก็ตายไปสิ!....  ไม่มีเงินอยู่ไม่ได้ก็สึกไปสิ!

.ดินไทย : คนทางโลกเขาเป็นอย่างนั้นอ่ะ

.แสนดิน  : ธรรมกายก็แย่ตอนนี้  คุณสงกรานต์ ส่งข่าวใน  ผู้จัดการบอกว่า

พ่อครู     : แย่เรื่องอะไร ? เงียบ

.แสนดิน  : สะเทือน เจอปัจจัยลบรอบด้าน เพราะว่ากรรมการมหาเถรเนี่ย ที่ถูกถอดถอน ที่ในหลวงจะเปลี่ยนใหม่ มีสายที่อุ้มธรรมกายอยู่ หลายคน ธรรมกายรอดมาได้ทุกครั้งก็เพราะกรรมการเถรสมาคมเนี่ย รวมถึงพวกเจ้าสัวต่างๆ   อนันต์ อัศวโภคิน เอย พวกดีแทค เอย อะไรเงี้ย

.ดินไท  :  โดนคดีไปด้วย

.แสนดิน  : ผู้สนับสนุนก็หายไป แล้วก็ แต่ก่อนเขาจัดอะไร ยุวพุทธโลกอะไรเงี้ย เขามีเส้นสายทางโลก ก็ได้

.ดินไท  : สืบไปจริงๆ ก็อาจจะเหมือนกับสมรู้ร่วมคิดกัน โครงการอะไรต่างๆที่คิดกันขึ้นมา หลอกลวงประชาชน

.แสนดิน   : ยูฟัน อะไรเงี้ย ที่เขาสนับสนุน ก็ไม่ได้ ศิษย์กระเป๋าหนักหายเรียบ ว่างั้น ยูฟัน สโตร์ ถูกจับกุมเมื่อปี 58

พ่อครู    :  เอ้.... ทำไมของเราไม่เห็นมีเศรษฐีมาเป็น ไอ้ ....กระเป๋า

.แสนดิน  :  เศรษฐีที่เข้ามา เขามีผลประโยชน์ด้วย พวกนี้ ยูฟัน สโตร์ เขาก็ใช้ธรรมกายหากินกับแชร์ลูกโซ่ อนันต์ อัศวโภคิน แลนด์แอนด์เฮ้าส์ นี่ก็ได้รับเหมาธรรมกายเนี่ย ทำโครงการพันล้านหมื่นล้าน  พวกดีแทค บุญชัย นี่ก็ได้สมาชิกดีแทคจากธรรมกาย ล้วนต้องมีผลประโยชน์  ของเรามา มาเอง มาจน ไม่ได้อะไรเลยนะ โอ้... ใครจะมา มาหมดตัว ของเขาก็บอกหมดตัวนะ แต่ไม่ยอมหมดหรอก

พ่อครู    :  หมด  เขาให้เทกระเป๋านะ

. แสนดิน  : เทกระเป๋า ทำไมรวยขึ้น? เจ้าสัวดีแทค...  อนันต์

พ่อครู   :  อนันต์ เขาก็บอกว่าเขาเทกระเป๋า

. แสนดิน  : ยิ่งๆ รวยไง ยิ่งได้รับเหมา

. ดินไท  : เทกระเป๋า ตอนที่กำลังรุ่ง ตอนกำลังรุ่ง

. เดินดิน  :  ของพวกเราแค่ระดับคนชั้นกลาง แค่...

พ่อครู   :  พวกเราคนชั้นสูง พวกวรรณะ 9 อ้าว จริงพวกเราเนี่ยได้สำเร็จผลเลย ถึงขั้นวรรณะ 9   วรรณะ9 สาราณียธรรม 6 พวกเราได้ๆ สำเร็จหมด สาราณียธรรม 6 เราก็ถึง ถึงขั้นสาธารณโภคี คือ เราทำงานทางด้านศาสนาพุทธ สุดละ ผมว่า...ผมไม่มีปัญหาพาทำมาจนทุกวันนี้แล้ว ทำได้สำเร็จ ถึงที่สุดละ เหลือแต่พยายามจะทำให้มัน หนึ่ง รักษาไว้  สอง ให้มันก้าวหน้าขึ้นบ้าง ให้มันขยาย อย่างน้อย คุณภาพไม่ตก แต่ปริมาณเพิ่ม เออ... ใช้ได้

.แสนดิน : คนจะมาเข้าพรรษา น่าจะเยอะกว่าทุกปี

พ่อครู    :  อืม.. คุณภาพมันเต็มที่แล้ว เหลือแต่ปริมาณเท่านั้น เพิ่มปริมาณ คุณภาพมันทำได้ถึงขีดไอ้นี่ละ... ถึงขีด Absoluteness แล้ว  Ultimate แล้ว Entirety…  Fatness แล้ว

. แสนดิน  : Fat นี่แปลว่า อ้วน จริงๆ แปลว่า อย่างอุดมสมบูรณ์ ก็ได้

พ่อครู    :  ใช่ พวกเราๆ อุดมสมบูรณ์ Fatness คนจนอุดมสมบูรณ์  คนจนยังไงวะอุดมสมบูรณ์ ?

.แสนดิน  :  ทำไมอ้วนอ่ะ?

พ่อครู   :   Fatness น่าจะ Fitness .นะ. Fitness ... Fatness …Completeness

.แสนดิน   : แต่ก่อนเขาคงนิยมคนอ้วน เจ้าสัว

พ่อครู    :  Completeness…..   Fullness

.แสนดิน  : Full ก็เต็ม

พ่อครู   :  Entire…Entirety

.แสนดิน  : Entire

พ่อครู   :  Entire ..e-n ไม่ใช่ i-n…   Entire

. แสนดิน  : e-n-t-r-y

พ่อครู   : .t-i-r-e… Entire ไม่ใช่  t-r-y ..t-i-r-e

. แสนดิน  : แปลว่า whole ทั้งหมด ทั้งมวล ทั้งปวง ทั้งสิ้น wholly

พ่อครู   :  สัพเพๆ

. แสนดิน  : สัพเพ

พ่อครู   :  สัพเพ  Entirety ทั้งปวง

. แสนดิน  : สัพพะ สัพเพ Completeness

พ่อครู   :  Complete ครบ..Complete นิ ครบ ๆ Fullness เต็ม Completeness

. แสนดิน  : โดยสิ้นเชิง ทั้งเพ

พ่อครู   :  Fatness..Absoluteness  โอ้โห.. แสดงว่า Integrity มันคือ ถึงขีดเพดานละ สุดเพดาน จุดสุดเพดาน

. แสนดิน  : ยังไม่สุด พ่อท่านยังเติม สวยภาพ สุญญภาพ .. มัน integrity แล้วก็ต้องต่อด้วย... 

พ่อครู   :  สวยภาพ สุญญภาพ  Voidness  กับ….. Emptyness

. แสนดิน  : Emptyness

พ่อครู   :  Emptyness สวยภาพ  สุนทรียภาพ

. แสนดิน  : สุนทรียภาพ

พ่อครู   : Emptyness  กับ    Voidness … Voidness

. แสนดิน  : void.. void แปลว่า ว่าง

พ่อครู   :  Voidness  สุญๆ ว่าง

. แสนดิน  : สุญๆ  สุญญา

 

ในสวนดาว ...ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:12:35 )

610723

รายละเอียด

610723_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาให้มีสภาวะอันพ้นตรรกะ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1VR_P8T1nI343ztot5al2UTehvdj-470kESzMfHBn-d0

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1fCfuhlYZcxwwHEHTJOVv_itXgdWTbPIn

สมณะเดินดิน ว่า…วันนี้เป็นวันบวรของชาวราชธานีอโศก วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2561 วันนี้เราจะมีกิจกรรมร่วมกัน กิจกรรมที่สำคัญคือร่วมฟังธรรม

วันนี้เรามีการบวชสมณะเพิ่มขึ้นอีก 1 รูป สมณะรูปสุดท้ายรูปที่ 88 ได้จากเราไปคือหลวงตาพรหมจริโย วันนี้มีท่านสันติ อาภัสสโร ก็เข้ามาแทน ท่านเป็นพระอาคันตุกะอยู่กับเรามา 7-8 ปีแล้ว เข้ามาเป็นรูปที่ 88 ปีนี้ สมณะรูป 88 จากเราไป แล้วเราได้สมณะรูปที่ 88 มาอีก 1 รูป เป็นปีที่มีเดือน 8 สองหนด้วย

หลวงตาพรหม ชื่อเดิม คือแดนเดิม พรหมจรรย์ พ่อครูถึงตั้งฉายาให้ว่า พรหมจริโย ผู้มีความประพฤติดั่งพรหม และท่านก็เป็นผู้ที่มากด้วยความเมตตากรุณา ช่วยเหลือทุกคน ใครเจ็บใครป่วยใครไม่สบายใครตายก็ไปตลอด ปะที่สันติอโศกเป็นมะเร็งท่านก็ไปเป็นเพื่อนพบหมอด้วยเสมอ น้ำหนักของความเมตตามีมาก เป็นพรหมของชาวอโศก มีคนบอกว่า ความเป็นพรหมไม่น่าจะมีที่หลวงตาคนเดียว น่าจะไปอยู่ที่หัวใจของชาวอโศกทุกคน ที่เราจะมองกันด้วยความเมตตา ด้วยความเป็นพรหม

วันนี้เราก็คงจะได้มาฟังสัจจะจากพ่อครูอีกครั้งหนึ่ง

พ่อครู ว่า...เอา sms เมื่อวานก่อน SMS วันที่ 22 กค. 2561

 

_2166พ่อท่านครับคนใส่ชุดสีเทามีผ้าโพกหัวเป็นคนอินเดียหรือเปล่าครับ?ผมสังเกตุดูแกจะมาเฉพาะวันที่พ่อท่านเทศน์แกฟังภาษาไทยรู้เรื่องหรือครับ? เพราะแกชอบพยักหน้ารับอยู่บ่อยๆเวลากล้องจับหน้าแก รู้สึกแกเล่นกับกล้องเก่ง!!!?

พ่อครูว่า…เขาเป็นคนมีจริตอย่างนี้ มุ่งมั่น ค่อนข้างจะคิดถึงครูบาอาจารย์อยู่พอสมควรเหมือนกัน คนเรา หากมีความจริง มีความรู้ที่มีปัญญาด้วยก็จะไม่หวั่นไหว จะไม่สงสัยอันนั้นอันนี้

 

_3867นมัสการพ่อครูฯสมณะสิกขมาตุ!จรธ.ญตธ.บ้านราชฯ กับอักษรโลกุตระจากนามธรรมในอักขระจากจิตฝ่ายปัญญาและรูปธรรมในอักขระจากกายฝ่ายเจโต!ด้วยกรรมทุกกาละจากรูปนาม

พ่อครูว่า…รู้สึกว่าจะติดใจในพยัญชนะเยอะนะ มันจะนานช้า หลายกัปป์หลายกัลป์ คนที่หลงพยัญชนะจะอยู่กับพยัญชนะ มันมีมากมายและจะวน

 

_3867ฟังธ.พ่อครูรู้จักรูปนามรู้ถึงกายใจรู้ทันทุกข์สุขเวทนา พิชิตโรคหัวใจนำใจอ่อนล้า!โรคเครียดพาใจอ่อนไหว !โรคซึมเศร้าดึงใจอ่อนแอ!โรคแพ้อบายฉุดใจพ่ายโลก ธ.ด้วยโลกุตระนำหลักธ.สุขภาพ 8 อ. อายุวัฒนะยืนย๊าวยาวน๊านนาน

 

_3867คำพรหมฯพ่อครูสอนมีอันเดียวกับจิตพรหมของอาฬารดาบสกาลามโคตรที่มรณะภาพแล้วตถาคตฯโปรดแสดงธ.ไม่ได้ เพราะดาบสอยู่โลกอรูปพรหมฤาอรูปฌา ณฤาพรหมบ่มีรูปฤาในอรูปภพ!ฤาเปล่าหนอ?

พ่อครูว่า…นั่งหลับตาจะติดในภพชาติ ไม่มีธรรมวิจัย ไม่มีผัสสะ ไม่มีกาย เวทนา จิตธรรม คนปฏิบัตินั่งหลับหูหลับตาในภพ

 

_จาก..สมณะพอจริง

พรหม 3 เส้าที่ 3 คือ ฌาน 3 ประกอบด้วยอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย

ปริตตาสุภาพรหม ยึดสุข(วูปสม)มาก อุเบกขามีน้อย

อัปปนาสุภาพรหม ยึดสุข(วูปสม)ปานกลาง อุเบกขามีปานกลาง

สุภกิณหาพรหม ยึดสุข(วูปสม)น้อย อุเบกขามีมาก(ถึงจะมีความบริสุทธิ์มากแต่ก็ยังมีจุดด่างดำอยู่)

สุข+อุเบกขา=เอกัคคตา

สุข=อุบัติเทพ

อุเบกขา=วิสุทธิ์เทพ

เอกัคคตา=วิสุทธิ์เทพ=พรหม

พ่อครูว่า…เดี๋ยวจะมีรายละเอียดของท่านพอจริงที่ส่งมาเพิ่มอีก

 

ก็แวะมาที่ของคุณบ้านเล็กเมืองน้อย...กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง

 

จากคอลัมน์ คนจะมีธรรมะได้อย่างไร?, เราคิดอะไร ฉบับที่ 336......

" เพราะไม่มี "ผู้รู้ธรรมที่เป็นโลกุตระ" ได้แท้      แม้จะ "รู้" ก็รู้กันไม่สัมมาทิฏฐิพอ

จึงไม่สามารถนำพาผู้ศึกษาปฏิบัติบรรลุธรรมที่เป็น "โลกุตรธรรม" ของพุทธถูกต้องแท้ๆได้ "

 

เกิดคำถามว่า.....ผู้รู้ธรรมที่เป็นโลกุตระซึ่งเป็นธรรมะขั้นสูง

ทำไมจึงไม่มีสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นหลักอันดับต้นๆในการปฏิบัติธรรม ?

ความผิดพลาดใดจึงทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น ?

พ่อครูว่า…ความผิดพลาดที่เราเข้าใจว่าสัมมาทิฏฐิมันมีตัวเดียวเป็นโลกุตรธรรม ไม่ใช่ สัมมาทิฏฐิมันมีเป็นลำดับเหมือนกัน นี่คือสภาพเชิงซ้อนที่หมุนรอบเชิงซ้อน ไปตามลำดับอย่างซับซ้อนลึกซึ้งมาก ตั้งใจฟังให้ดี ตอนนี้ก็กำลังพยายามสาธยายพวกนี้อยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากในการอธิบาย

สมณะเดินดินว่า..คงเหมือนกับพระอานนท์ที่รำพึงบอกว่ามิตรดีสหายดีเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์เลยทีเดียว

 

เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการปฏิบัติของตนเอง พบว่ามีบางครั้งสอดคล้องกันกับคำกล่าวข้างต้น

แล้วนำมาเทียบกับหลักปฏิบัติที่ว่า รู้โลก เหนือโลก ช่วยโลก ที่พ่อท่านสอน

สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน ที่ว่า "รู้" นั้น ไม่ได้ "รู้" จริงๆ

 

หากเพียงแค่พอลูบคลำสังเกตเห็น... แล้วนำมาพูดเป็นพยัญชนะ...บางครั้งเอาคำบาลีมาเสริมให้ดูจริงจังเพิ่มขึ้นเท่านั้น

มิได้มีสภาวะที่เกิด ตัว"รู้" ที่เป็น"อัญญา" เลยแม้แต่น้อย เนื่องจากไม่ยอมอนุญาตตัวเอง ให้ได้เห็นแม้เพียงแสงอรุณ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมมา

จึงไม่มีทางเข้าใจได้ว่าความสว่างที่แท้จริงนั้น มีสภาพเป็นเช่นไร

 

ผลก็คือไม่ได้ "รู้" สิ่งแปลกใหม่ ที่จะทำให้เปลี่ยน วิธีคิด วิธีพูด วิธีทำ และปฏิบัติตนเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้น

ได้แต่ปฏิบัติตามจิตวิญญาณที่ยังตกอยู่ภายใต้การครอบงำของโลกธรรม ทำซ้ำรอยเดิม ด้วยวิธีปฏิบัติเดิมๆ วันแล้ววันเล่า

แต่หวังจะได้ผลลัพธ์อื่น ที่แตกต่างออกไป หวังให้ออกมาเป็นโลกุตรธรรม มันจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

ตัว"รู้" ที่ว่ารู้นั้น ต้องเป็นตัว"รู้" ที่ทำให้พ้นทุกข์ได้จริงเท่านั้น จึงเรียกได้ว่าเป็น"ตัวรู้" 

ไม่ใช่เพียงรู้ไว้เพื่อ show off.... ให้ได้โลกธรรม....

เมื่อรู้แล้วว่า "ไร้ตัวตนได้น้อยลงเพียงใด ก็จะพ้นทุกข์ได้มากขึ้นเท่านั้น" จึงจะเกิด ปัญญา ที่เป็น อัญญา และจะนำพา ผู้ศึกษาปฏิบัติ ให้บรรลุธรรม

ให้"รู้"โลกได้จริง,,,,ให้อยู่เหนือโลกได้แท้,,,,เป็น "โลกุตรธรรม" ที่พร้อมจะไปช่วยเหลืออนุเคราะห์โลกได้

แม้ยังต้องคลุกคลีกับโลกโลกีย์อยู่ก็ตาม จิตวิญญาณก็ยังคงความบริสุทธิ์อยู่ได้ ไม่ถูกครอบงำอีกต่อไป

การรู้และเข้าถึงโลกุตรธรรมได้จริงๆ จึงเป็นยิ่งกว่า ความมีเอกราชในแดนดิน ยิ่งกว่าสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆในโลกทั้งปวง

พ่อครูว่า…เราเหนือโลกีย์แล้ว จะไปอยู่ที่ไหนก็เหนือมันได้ โลกอื่นใดก็สู้โลกโสดาบันไม่ได้ เหนือกว่าคนโลกๆได้จริง ก็ค่อยๆเข้าใจไปตามลำดับ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ตอบปัญหาให้มีสภาวะอันพ้นตรรกะ

_สมณะพอจริง ขออภัยครับ ข้อมูลเรียงใหม่ พรหม 16 ชั้นนี้ถูกต้องไหมครับ

จาก..พรหม 3 เส้าแรก คือ ฌาน 1 วิตกวิจาร ปิติ สุข เกิด แต่วิเวก

วิตก เป็น อุบัติเทพ

ปีติ เป็น อุบัติเทพ

สุข เป็น อุบัติเทพ

ทั้ง 3 อย่างนี้ รวมเป็น เอกัคคตา

เอกัคคตานี้ คือ พรหม เพียงแต่ ชีวิตินทรีย์ ของ วิตกวิจาร นั้นต่างกัน จึงทำให้ ความบริสุทธิ์ของพรหม ต่างกันไปด้วย

ปาริสัชชาพรหม มี วิตกวิจาร มาก ปีติ สุข มีน้อย

ปุโหิตมาพรหม มี วิตกวิจาร ปานกลาง ปีติ สุข มีปานกลาง

มหาพรหม มี วิตกวิจาร น้อย ปีติ สุข มีมาก

นั่นคือ วิตกวิจาร เป็น ตัวหลัก(เหตุ) ปีติ สุข เป็น ตัวตาม(ผล) จึงต้องสร้างเหตุ เพื่อ ให้เกิดผล ดังกล่าว

เหตุ กับ ผล รวมลงเป็น หนึ่งและเป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย เรียกว่า เอกัคคตา

เอกกัคคตาจึงเป็น สัมมาสมาธิเบื้องต้นอันเป็นผลของ ฌาน 1(ผลรวมของ วิตกวิจาร ปีติ สุข) เรียกว่า ขณิกสมาธิ ยังมีข้อบกพร่องที่ทำให้ลำบาก โทมนัส อยู่ มาก ปานกลาง น้อย ตามเหตุปัจจัย เอกกัคคตา จึงเป็น วิสุทธิ์เทพ หรือ พรหม เบื้องต้น

สรุป วิตกวิจาร+ปีติ+สุข=เอกัคคตา

วิตกวิจาร = อุบัติเทพ ปีติ = อุบัติเทพ สุข = อุบัติเทพ เอกกัคคตา = วิสุทธิเทพ

วิสุทธิ์เทพ = พรหม

.•. อุบัติเทพ+อุบัติเทพ+อุบัติเทพ=วิสุทธิ์เทพ=พรหม

พรหม 3 เส้า ที่ 2 คือ ฌาน 2 ปีติ สุข ที่เกิดจากสมาธิ

ปริตตาภาพรหม มีปีติ(ดีใจ)มาก สุข(วูปสม)น้อย

อัปปมานาภาพรหม มีปีติ(ดีใจ)ปานกลาง สุข(วูปสม)ปานกลาง

อาภัสราพรหม มีปีติ(ดีใจ)น้อย สุข(วูปสม)มาก

ปีติ+สุข=เอกัคคตา

ปีติ=อุบัติเทพ สุข=อุบัติเทพ เอกกัคคตา=วิสุทธิ์เทพ=พรหม

เป็น สัมมาสมาธิท่ามกลางอันเป็นผลของฌาน 2(ผลรวมของปีติกับสุข)เรียกว่า อุปจารสมาธิ เกิดโสมนัสขึ้น

พรหม 3 เส้าที่ 3 คือ ฌาน 3 ประกอบด้วยอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย

ปริตตาสุภาพรหม ยึดสุข(วูปสม)มาก อุเบกขามีน้อย

อัปปนาสุภาพรหม ยึดสุข(วูปสม)ปานกลาง อุเบกขามีปานกลาง

สุภกิณหาพรหม ยึดสุข(วูปสม)น้อย อุเบกขามีมาก(ถึงจะมีความบริสุทธิ์มากแต่ก็ยังมีจุดด่างดำอยู่)

สุข+อุเบกขา=เอกัคคตา สุข=อุบัติเทพ อุเบกขา=วิสุทธิ์เทพ เอกัคคตา=วิสุทธิ์เทพ=พรหม

เป็น สัมมาสมาธิท่ามกลางอันเป็นผลของ ฌาน 3 (ผลรวมของสุข กับอุเบกขา)เรียกว่า อุปจารสมาธิ ทำให้มี โสมนัส มากขึ้น

พรหมอีก 2 คือ ฌาน 4 มีสติบริสุทธ์ เพราะอุเบกขา

เวหัปผลาพรหม มีอุเบกขาเป็นผลสมบูรณ์

อสัญญีพรหม มีอุเบกขาสมบูรณ์เป็นอัตโนมัติจนไม่ต้องกำหนดอีก

อุเบกขา=เอกัคคตา อุเบกขา=วิสุทธิเทพ=พรหม

เป็น สัมมาสมาธิบั้นปลายอันเป็ผลของ ฌาน 4(อุเบกขาที่มีองค์ประกอบ 5)เรียกว่า อัปปนาสมาธิ(อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา)

สุทธาวาส 5

อวิหา ไม่เสื่อม อตัปปา ไม่เดือดร้อน สุทัสสี เห็นดี สุทัสสา เห็นดียิ่งขึ้น อกนิษฐา ยิ่งใหญ่มาก

พรหมที่ส่งมานี้เป็นพรหมแบบพุทธนะครับ จึงใช้ฌานลืมตา ส่วนแบบ ฤาษี นั้นจะเป็นฌานหลับตาครับ

พ่อครูว่า...ท่านพอจริงก็บวชมานาน ก็วนกับพยัญชนะเสียเยอะ สิ่งที่ละเอียดพวกนี้ ที่เขียนมานั้นถูกต้องแต่มีสภาวะหรือไม่ หากมีสภาวะแล้วจะรู้ว่าเป็นสิ่งละเอียดไม่ใช่สิ่งที่ง่ายๆถ้ารู้แล้วว่าเป็นสิ่งละเอียดและมีสภาวะด้วยก็จะจบ ที่ถามมานี้ อยากจะถามลองภูมิหรือไม่พ้นสงสัยก็เลยต้องถาม แต่ถ้าไม่มีวิจิกิจฉาคุณจบแล้วคุณก็จะไม่ถามอาตมา

ที่พูดมานี้ไม่ผิด แต่คุณจะเอาแต่พยัญชนะหรือ ถ้าคนมีสภาวะแล้วพยัญชนะจะยาวไปเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา คนที่มีจิตสนุกอยู่กับพยัญชนะ หรืออยากอวดว่าฉันรู้พยัญชนะบ้างก็จะโชว์ ก็จะจมอยู่ตรงนั้น ไม่ไปต่อ ฟังไว้นะตัวผีหลอกที่แฝงมา จะเอาตัวเองตายระวังเถอะ

ถ้าหากสภาวะตรงตามสภาวะที่เขียนมานี้ก็ถูกหมด (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะเดินดินว่า...เขามีคำถามว่า พรมประเทศไหนที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์มากที่สุดคำตอบที่ออกมาก็คือพรมเช็ดเท้า

พ่อครูว่า...ถ้าสภาวะที่คุณมีตรงกับพยัญชนะก็ถูกหมด แต่ถ้าสนุกแค่พยัญชนะก็มีแต่ความรู้แต่ไม่มีความจริง

 

หากจะเอาสูตรสามเส้า มาจับกับสภาวะหรือภาษาก็ได้ทั้งนั้น เข้าใจความจริงที่ถูกต้องของพยัญชนะนั้นก็ทำได้ เหมือนพวกอภิธรรมที่ท่องพยัญชนะจิตเจตสิก จิต 83 ดวง พิสดาร 121 เขาท่องได้ อาตมายังทำไม่ได้เลย ท่องเก่ง แต่สภาวะมีตามนั้นไหมหากมีสภาวธรรมนั้นก็เป็นอรหันต์ หากพูดแต่พยัญชนะมากมันก็เมื่อย คนจะได้ความจริงมีน้อยแล้วจะเสียเวลา ก็จะกลายเป็นหลงอยู่กับพยัญชนะบัญญัติภาษา ตัวสภาวะไม่ได้เลย คนที่จะเห็นพยัญชนะสูงกว่าบัญญัติหรือพยัญชนะก็จะมาหาพยัญชนะน้อยลง เสียพลังงานลดน้อยลง ลงทุนน้อยลงก็จะได้สภาวะเพิ่มขึ้น

 

พ่อครูว่า...ก็ขอสรุปว่า หากเอาสามเส้ามาจับกับสภาวะก็ได้ทั้งนั้น หากมีสัมมาทิฏฐิจริงและได้ปรมัตถธรรมแล้ว สัมมาทิฏฐิคือความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นตรรกะแต่มีสัมมาทิฏฐิได้

หากมีสัมมาทิฏฐิจะไปมิจฉาปฏิบัติและจะเกิดสัมมาปฏิเวธได้อย่างไรถ้าเอาแต่ตรรกะที่จะหมุนไปตามตรรกะก็ได้ แต่มันเป็นเพียงตรรกะ

ข้อสังเกต

ผู้ที่มีแต่ตรรกะนั้น จะไม่มีจุดจบ

ผู้ที่มีตรรกะนั้นจะไม่มีจุดจบ ที่จะพ้นวิจิกิจฉา ได้ง่ายๆ

ส่วนผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิแท้ คมชัดแม่นตรงสภาวะปรมัตถธรรมจริง จะไม่ขี้สงสัย

เพราะจะพ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์ (ตัวที่สองของอาสวะ 10) (อยู่ในตัวที่ 4ของอนุสัย 7)

ตั้งแต่แค่สังโยชน์ 2 ของสังโยชน์ 10 ที่จะสงสัยในวิจิกิจฉานุสัยนั้น จะไม่แสดงออกง่ายๆ เพราะว่าผลความสงสัยเบื้องต้นแล้ว หากรู้ปลายแล้วคนจะมารู้ด้วยได้ยาก แม้จะมีวิจิกิจฉาก็จะพูดคุยถามส่วนตัวจะไม่พูดออกมาข้างนอก เท่ากับขายขี้เท่อของตนเองด้วย

ดังนั้นผู้ที่มีแต่ตรรกะ ก็จะมีวิจิกิจฉาไม่จบง่ายๆ

ส่วนผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิแล้วจะพ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์จริง ก็จะไม่ขี้สงสัยเก่ง จริงแม้ไม่หมดวิจิกิจฉาง่ายๆ แต่ก็จะรู้ว่ามันเป็นปลายแล้ว

โทษของวิจิกิจฉา

1. ทำให้ทุกข์ 2. ทำให้ระกำช้ำระบม 3. ไร้พลัง 4. เนิ่นช้า 5. เหยาะแหยะ ไม่เด็ดขาด

นี่คือโทษของวิจิกิจฉา 5 ประการ อันนี้อาตมาเป็นคนพูดไว้

 

ผู้มีตรรกะปรัชญา แค่ญาณวิทยา Epistemology คือผู้ติดตามค้นหาความจริง แต่ยังไม่เจอสภาวะที่แท้จริง ถึงยังไม่ใช่ Phenomenology  ไม่ใช่ปรากฏการณ์วิทยาแท้ ไม่เป็นภาวะของกายที่เป็นธรรมะ 2 ภายนอกและภายในสัมผัสรูปสัมผัสนามอย่างแท้จริง ยังไม่รู้ธรรมะ 2

ยังไม่ลงไปสัมผัสจิต เจตสิก รูป นิพพานจริง ไม่สัมผัสอภิธรรมที่แท้ จะมีวิจิกิจฉามาก จะมีความข้องใจมาก เพราะไม่มีตัวจบ ที่มีวิจิกิจฉาเพราะไม่มีตัวจบในจิตของตัวเอง คือวิมุติตามลำดับหรือนิโรธ ดับกิเลสในจิตได้จริง

ไม่มีนิโรธตามลำดับ ต้น กลาง ปลาย เขาไม่มีสภาพนี้ ไม่มีความลำดับอันน่าอัศจรรย์ จึงวนอยู่กับปรัชญาที่เป็นทฤษฎีบัญญัติเท่านั้น

ทวนตนเองอ่านสภาวะธรรมตัวเอง ว่าตนมีตรรกะมาก จะให้ผลวิจิกิจฉานั้นคือ Philosophy ปรัชญา หรือ Epistemology  ญาณวิทยา ยังไม่ใช่  ปรากฏการณ์วิทยา Phenomenology  มีรูปนามสัมผัสทั้งนอกและในเป็นธรรมะ 2 มีผู้รู้ร่วมกันตั้งแต่ 2 ขึ้นไปจะเป็นล้านคนก็ยิ่งดี ไม่ใช่ตัวเองคนเดียวอยู่คนเดียว

คนที่มีสภาวะความรู้ เป็นญาณปัญญาหรือความรู้จริงครบ มีแสงสว่าง ญาณ ปัญญาวิชชา และอาโลกสัญญา(โลกภายนอกด้วย)

ความรู้และความจริงที่เป็นสภาวะธรรมะ 2 ก็จะครบ ถ้าผู้มีธรรมะ 2 ที่เป็นความรู้และความจริงที่เป็นปรากฏการณ์วิทยา Phenomenology จะไม่มีวิจิกิจฉา จบธรรมะ 2 ทำให้เป็นหนึ่งได้และอยู่ใน 2 เป็นหนึ่งในสอง เราก็มีคนอื่นเขาก็มีเป็นคู่กัน อันหนึ่งผิดอันหนึ่งถูก เราไม่ยึดถือทั้งผิดและถูก ถูกเราก็เป็นได้ผิดแล้วไม่เป็นไร แต่เรารู้แล้ว คนนี้เป็นอย่างไร เราไม่ยึดมั่นถือมั่นหากเราถูกเราก็ชัดเจนยืนยัน หากเราผิดแล้วก็ต้องแก้ไขให้ถูก คนที่เขาถูก ก็เขาถูก คนนี้ยึดถือผิดเขาก็ผิด เราก็ไม่ได้รังเกียจเขาและสงสารด้วยซ้ำ ไปเข้าใจผิดอย่างนั้น

คนที่มีสัจจะธรรมะสองรู้หมดใครผิดใครถูก แต่จะไม่ยึดมั่นถือมั่น รู้ความจริงตามความเป็นจริงตามฐานะของคนแต่ละคน ภูมิแต่ละภูมิ

ผู้ที่มีความรู้ความจริงที่เป็นธรรมะ 2 ที่เป็นปรากฏการณ์วิทยาที่สมบูรณ์แล้วรู้ธรรมะ 2 แล้ว ทำให้เป็นธรรมะหนึ่งให้ตัวเองได้ คนคนนี้จะไม่มีวิจิกิจฉา จะยิ่งชัดเจนมั่นใจในสภาวะจริงของมรรคผลนั้นมากขึ้น เพราะฉะนั้นการแก้ไขตัวเอง ก็ขอย้อนกลับไป

การแก้ไขตัวเองสำหรับผู้ตกในภูมิของตรรกะ ต้องหันมาสนใจในไตรสิกขา ที่บรรลุธรรมตามลำดับ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุต วิมุตติญาณทัสสนะ เอาให้ดีๆ คอนโทรลตัวเองเลย ศีลข้อที่ 1 เป็นอย่างไร ให้บรรลุไปตามลำดับไตรสิกขากันให้จริงๆ

ตอนนี้อาตมากำลังเน้นเรื่องไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ที่มีการหลุดพ้นอย่างเป็นลำดับน่าอัศจรรย์ ใครตั้งใจฟังตอนนี้ถ้ามีภูมิถึงจะได้ประโยชน์มาก แต่ถ้าภูมิไม่ถึงก็ไม่เป็นไรเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็แล้วแต่ ไม่ต้องไปกดดันตัวเองฉันจะต้องรีบเก่ง รีบรู้รีบเร็วอะไร ไม่ต้องถึงขนาดนั้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน การอลุ่มอล่วยกับกฎกติกา

_การอลุ่มอล่วยกับกฎกติกา ตัดสินกันที่ตรงไหนคะ

พ่อครูว่า...1. ใช้คณะกรรมการช่วยกันตัดสิน 2. แม้แต่ตัวเอง คนเดียวก็ตาม เรายึดกฎกติกาเป็นคนเคร่งในกฎกติกาไม่อลุ่มอล่วยเลย ก็ดี แต่มันก็จะไม่ได้ความสามัคคีไม่ได้ความอยู่ด้วยกันอย่างสันติและสงบนักก็จะขัดแย้ง ขบกันพอสมควร ก็ควรลดหย่อนลงมาบ้างอนุโลมบ้าง หากเรามีภูมิทำพอ เราก็ใช้ความรู้ความจริงของเรา เป็นการตัดสินเป็นสัตบุรุษ ก็ประมาณให้พอดี แต่ถ้าเราไม่แน่ใจว่าเราเป็นสัตบุรุษเพียงพอ ก็อย่าประมาท ก็พูดคุยกับหมู่กลุ่มที่เป็นคณะกรรมการ ปรึกษากัน จะอนุโลมกันแค่ไหนตามกฎระเบียบ แค่ไหนได้ไหม ต้องอาศัยกันและกัน เป็นอย่างนั้นเสมอ

คนอวดดีก็จะอาศัยตัวเองเป็นเปาบุ้นจิ้น เปรี้ยงๆๆเลย ไม่ฟังใครทั้งนั้น ไม่ใช่เปาบุ้นจิ้นไม่ดีนะ ดี แต่ยุคสมัยนั้นต้องใช้แบบนั้น ในยุคนี้ทุกคนมีอิสระเสรีภาพมีปัญญามาก เพราะฉะนั้นอย่าไปทำแบบนั้นในยุคนี้ ในยุคนั้นเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ใช้แบบนั้น

 

_การฟังความข้างเดียว ถ้าไปสอบถามคู่กรณี เขาจะถามว่าผู้ใดเป็นคนพูด จะเป็นการเอาเรื่องให้ไป เสี้ยมกันไหมคะ

พ่อครูว่า...ฟังความข้างไหนล่ะ อาตมาว่า สื่อสารมวลชนทุกวันนี้ เอาความข้างไหนไปบอก ก็จะถูกเข้าใจผิดแรงได้ ต้องใช้ภูมิปัญญานักสื่อสารประมาณเหมือนกันไม่ใช่ทำทื่อๆ ทุกวันนี้สื่อสารหากเจตนาทำให้เขาทะเลาะกัน อย่างนี้เป็นความส่อเสียด บาป ทำให้ทะเลาะกันไม่จบ เอาความข้างโน้นไปพูดให้ข้างนี้ เอาความข้างนี้ไปพูดข้างโน้น ดีไม่ดีใส่ไข่ตีสี ด้วย ก็ไม่จบ หากเป็นสัตบุรุษก็จะไม่ลำเอียงก็จะตรง

สู่แดนธรรมว่า... เดี๋ยวนี้เขาแก้ไขปัญหาด้วยให้สองฝ่ายมาพูดกันต่อหน้าสาธารณชน

พ่อครูว่า...สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็บอกว่า พูดกันแล้ว ตรวจกันที่จั๊กแร้ใครมีเหงื่อมากกว่ากันก็แพ้ คือมันร้อนไง ก็เกิดเหงื่อไหล ฉีดจั๊กกะแร้มันมีบริเวณที่จะร้อนมากก็จะมีเหงื่อออก

สมณะเดินดินว่า...ถ้าควันออกหูนี่ ดูยากกว่า สู่แดนธรรมต้องดูว่า เอามาพูดกันต่อหน้าต้องดูว่าอุณหภูมิสูงแค่ไหนหากอุณหภูมิสูงมากกรรมการก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน

 

_หากมีคนไม่ชอบเรา เราจะต้องทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าเขาไม่ชอบเราคะ

พ่อครูว่า..ถ้าเราบอกว่ามีคนไม่ชอบเราก็แสดงว่าเรารู้แล้วว่าเขาไม่ชอบเรา แล้วจะทำอย่างไรให้เรารู้

พ่อครูว่า..อาจถามว่า น่าจะอยากรู้ว่าเขาไม่ชอบเราเรื่องอะไร

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความรัก 10 มิติ) ตอน รักอะไรยิ่งใหญ่ที่สูงที่สุด

_รักอะไรยิ่งใหญ่ที่สูงที่สุด

พ่อครูว่า...รักสิบมิตินี่หลวงปู่ขยายความให้ฟังแล้ว ความรักที่สูงที่สุดนั้นคือความรักที่ยิ่งใหญ่ ยกให้พระพุทธเจ้า เป็นความรักมิติที่สูงสุด ความรักโพธิสัตว์ระดับพระพุทธเจ้า เป็นความรักที่สูงที่สุด ค่อยๆทำความเข้าใจไป ความรักที่ดี ที่จะไม่มีตัวเอง เอามาให้แก่ตัวเอง

กรอบเอามาให้แก่ตัวเอง ยิ่ง เห็นแก่ตัวเองอย่างเดียว ต้องเอามาให้กูอย่างเดียว อันนี้ไม่นับเข้ามาในความรัก 10 มิติเลย ตีทิ้งเลย ไม่มีใครทั้งนั้นแม้แต่คู่คนที่ 2 จะเป็นคู่ที่เรารักที่สุดเป็นคนที่ 2 นี้ ก็ถือว่าเป็น กามนิยม เริ่มต้นแล้วแคบที่สุดเลวที่สุดต่ำที่สุด ความรักทางกามเลวที่สุด

จากนั้น มีลูกขึ้นมา มีลูกมันยังไม่รักลูกเลย สำหรั  บความรักมิติที่ 1 ดีไม่ดีมันเอาลูกไปทิ้งถังผงเลย ได้ยินข่าวไหม เพราะฉะนั้นมันต้องความรักที่ เอื้อเกื้อกว้างไปอีก

มีปิตุปุตตานิยม พันธุนิยม มีพ่อแม่ลูก ขยายเป็น 3 หากกามนิยมเป็น 2 เมถุนเป็นคู่ แต่ปิตปุตา ก็เพิ่มขึ้น ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าคือพ่อแม่ลูก

นอกไปกว่านี้ญาติโกโหติกาปู่ย่าตายาย ข้าไม่เอาแล้วเอาแต่แค่นี้มันก็แคบ ก็เป็นความรักที่ต่ำมาก เอาล่ะ สูงขึ้นไปกว่านั้นระดับที่ 3​ไปหา ปู่ย่าตายายก็ดีขึ้นเรียกว่า โคตรนิยมหรือญาตินิยม

4.กว้างไปกว่าญาติของเราก็ไปสู่สังคมชุมชน คนร่วมเป็นสังคมชุมชนนิยม

5.ชาตินิยม หรือประเทศนิยม รัฐนิยมก็ได้

6.กว้างขึ้นไปอีกเป็นสากลนิยม ไม่จำกัดแค่ในประเทศเราหรือรักของเรา เรารักประเทศอื่นชาติอื่นเป็นสากลกว้างขึ้น ก็เป็นความรักที่กว้างขึ้น

7.เทวนิยมหรือปรมาตมันนิยม คือพระเจ้า เทวนิยมสูงสุด ท่านรักมวลมนุษยชาติหมดเลยนะ แต่ท่านมีความรู้แบบเทวนิยม ปรมาตมันยิ่งใหญ่ ยังไม่รู้จักโลกุตระ รักหมดมนุษยชาติทั้งหมด แต่ไม่รู้จักลำดับ ไม่รู้จักขอบเขต กรอบ ต้น กลาง ปลาย ก็ให้ประโยชน์ไม่มีประสิทธิภาพไม่มีประสิทธิผลมาก จึงต้องหรือว่าอะไรควรหรือไม่ควรก่อนหรือหลัง เพราะว่ารักแต่มวลมนุษยชาติหมดไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมด แต่ไม่มีความรู้เพียงพอในลำดับในสิ่งที่ควรหรือไม่ควร ยังไม่มีทฤษฎีหรือหลักเกณฑ์ของสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ก็เลยยาก แต่มีได้ คนก็เป็นแบบนี้มี

เพราะฉะนั้นศาสดาของศาสนาเทวนิยม จะไม่มีประโยชน์มากก็เพราะว่าไม่แม่นไม่ชัดเจนไม่ถูกสัดส่วนที่เหมาะที่ควร

8.อเทวนิยมหรืออาริยนิยมหรือโลกุตรนิยม อันนี้เป็นของพุทธ พุทธเบื้องต้นก็มีความรู้อย่างนี้แล้วเป็นพระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะเดินดินว่า.. วันนี้มีข่าวใหญ่มากออกโทรทัศน์ทุกช่องเลย เขายกย่องหรือไม่ยกย่องก็ไม่รู้ บอกว่าผู้หญิงคนนี้หัวใจแกร่งมากเลย เพราะว่าเป็นวันแต่งงานของเธอ จัดงานใหญ่โตมีแขกเหรื่อมามาก แต่พอถึงเวลาเจ้าบ่าวไม่มา เจ้าสาวก็เลยขึ้นไปพูดประคองให้จบ บอกว่าแขกเหรื่อ หากวันนี้ต้อนรับไม่ดีก็ขอโทษด้วย พยายามให้งานจบโดยไม่มีเจ้าบ่าว

คนก็ไปตามสัมภาษณ์เจ้าบ่าว เจ้าสาวอายุ 25 เจ้าบ่าวอายุแค่ 18 เจ้าบ่าวเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย เจ้าบ่าวก็บอกว่า จริงๆแล้วก็มีแฟนของเขาอยู่แล้ว แต่ไปรักกัน ผู้หญิงก็บอกว่าท้อง ผู้ชายก็บอกว่าผมเพิ่งรู้จักแค่ 2 เดือน ผู้ชายก็ไม่มีเงินด้วย ก็บอกไม่เป็นไรเดี๋ยวผู้หญิงออกให้หมด ผู้ชายอายุน้อยกว่าก็ดูไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ สุดท้ายวันที่จะแต่งจริงผู้หญิงบอกว่าให้หาเงินมาอีก 200,000 บาท ผู้ชายก็บอกว่าคิดอะไรไม่ถูกก็เลยหายตัวไปเสียเฉยๆ คือเด็กอายุ 18 ก็ถูกจับให้แต่งงานแล้วคงจะเครียดท้อแท้ ก็เลยทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงก็บอกว่าญาติเจ้าบ่าวไม่ธรรมดา ต้องหาคนมาแต่งงานแทน ปรากฏว่าญาติของเจ้าบ่าว มีคนหน้าตาคล้ายเจ้าบ่าว ญาติทางเจ้าบ่าวบอกว่าต้องจ่าย 1 ล้านให้เขาเป็นเจ้าบ่าวแทน แต่ว่าเรื่องนี้ทำให้เห็นว่า คนเรานี้ อาตมาว่าเขามีความรักตัวเองมากเกินไป ผิดพลาดไปก็หาทางแก้ แต่งงานไปต้องไปจ้างคนมาอีกเท่าไหร่ เพราะคิดว่ารักตัวเองมากไปหรือเปล่า หากมีความรักอย่างที่พ่อครูอธิบายเป็น 10 มิติ คิดจะช่วยผู้อื่นอะไรต่างๆนานา ผู้หญิงก็ไปพูดขอบคุณแขก ก็ยิ่งทำให้เสียทางเจ้าสาวมากขึ้น แต่คนก็บอกว่าเป็นผู้หญิงแกร่ง เป็นโทษภัยของการรักหน้าตัวเอง ยิ่งแก้ก็ยิ่งเสียหมด ข่าวออกไปทั่วประเทศ ถ้ารู้จักความรัก 10 มิติ ความรักที่สูงสุดอย่างที่พ่อครูว่าจะไม่พลาดอย่างนี้

พ่อครูว่า...ตัวอย่างที่ยกมานี้ ผู้หญิง 25 ผู้ชาย 18 มันเป็นความรักแบบกามนิยม ความรักแบบผู้ชายผู้หญิงเรื่องเพศ เป็นเรื่องที่ต่ำที่สุดแล้ว มันจะมีนิยายอย่างนี้อยู่ตลอดกาลนาน สำหรับคนอวิชชาไม่ต้องห่วงหรอก จำไว้เด็กๆอย่าไปทำให้มันเกิดเรื่องเกิดวิบาก ไม่มีคู่ได้ดีด้วยซ้ำไปปลอดภัย คนเราเกิดมามีคู่วิบากมากมายนับไม่ถ้วน พยายามเลี่ยงให้ได้ เลี่ยงได้ก็ดีหากเลี่ยงไม่ได้ก็ทุกข์

ในระดับ 9​ นิพพานนิยมหรืออรหันต์นิยม เป็นลักษณะที่พูดกันยาก พวกที่เป็นเทวนิยมที่เป็นโลกีย์ เป็นความรักในระดับโลกีย์ไม่ต้องเรียนมากให้ดีหรือ เพราะว่าคนเป็นเทวนิยมมาเป็นลำดับแล้วต้องมาเสริมทางโลกุตระ ก็คือ อาริยนิยม อเทวนิยม ไปตามลำดับ

ลำดับที่ 9 มีนิพพาน นิพพานคือลักษณะอย่างไรเป็นอรหันต์ อันนี้คือหมายความว่าไม่ลึกลับแล้วอย่างสูงสุด ผู้ที่มีความจริง แต่ละรอบตั้งแต่อบายภูมิ เข้ามาหากามภูมิ ก็มีรอบอีกเยอะ กามภูมิกับสัตว์กับของ แล้วในสัตว์กับของก็ไม่เกี่ยวข้องกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอีก ก็จะค่อยๆเข้าใจ

ลำดับที่ 10 เป็นโพธิสัตวภูมิ ไปจนกระทั่งพุทธภูมิ ถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้ไม่แจกละเอียดนัก ทิ้งไว้เป็นตัวปลาย

 

_พุทธ มีความหมายว่าอะไร

พ่อครูว่า...พุทธมีความหมายว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะ เป็นความรู้ระดับโลกุตระ ไม่ใช่ความรู้ทั่วไป เป็นความรู้โลกุตระของศาสนาพุทธ

ตื่น คือ แต่ก่อนคนเราหลับอยู่ในโลก วงวนของตัวเอง อยู่ในดาวของตัวเอง ตื่นก็หมายความว่าเป็นผู้ได้ออกไปสู่โลกใหม่ โลกหรือดาวต่างดาว ดาวดวงใหม่ ปรโลก ซึ่งมันไม่เหมือนกัน ในความไม่เหมือนกันนั่นคือ เป็นความเจริญ เป็นความลดตัวตน เป็นความอิสระสูงสุด ถ้าเราวนอยู่ในกรอบนี้ก็ไม่อิสระ เพราะวงวนเป็นกะลาครอบ เราออกไปได้ขั้นที่ 1 ก็ออก เริ่มต้นออกไปสู่อันอื่น ภาษาพยัญชนะเรียก อัญญะ(อื่น) ด้วยความรู้เป็นผู้รู้ผู้ตื่น รู้แล้วว่ามันมีอีกอันหนึ่งหรือ โลกไม่ได้มีแต่โลกลูกเดียว มีลูกอื่นๆด้วยหรือ ก็รู้การเพิ่มเติมขึ้น เริ่มมีความรู้อันอื่นแบบอื่น มีเงื่อนไขว่าแบบอื่นที่เจริญยิ่งกว่า หรือเจริญลดละตัวตนมีอิสระแท้ เป็นสามเส้า 1. มีอิสระเสรีภาพ 2. ไม่มีตัวตน 3. มีจิตวิญญาณ สามเส้าศึกษาดีๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำไมคนเราต้องบ่นด้วย

_ทำไมคนเราต้องบ่นด้วย บ่นเพื่ออะไร แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อให้หายบ่น (เรื่องจากการทำงาน)

พ่อครูว่า...คนเราอยากจะบ่น ถ้าไม่ใช่เรา ให้เขาบ่นไปจนคางยานเอง เราฟังได้ไม่ฟังก็ได้ ฟังไม่ได้ก็เดินหนีไป คนบ่นนี้ไม่ได้พูดกับเรานะ แล้วเราจะไปยุ่งอะไรกับเขา เราก็อยู่กับเรา อย่าไปยุ่งกับเขา ประโยคภาษาศัพท์ที่หยาบเรียกว่า...แต่ถ้าเขาบ่นมาให้เราได้ยิน เราก็เดินหนีก็ไม่ได้ยินแล้ว ถ้าเขาด่าจะแรงกว่าบ่น จะมีความยึดมั่นถือมั่นแรงกว่าบ่น

บ่นนี่มันเป็นเรื่องที่อนุโลมมากแล้ว ไม่พูดแรงไม่พูดหยาบพูดร้ายพูดหนักอะไร อยากให้คุณได้ยินบ้าง คุณได้ยินก็เพียงเบาๆไม่หนักหนา มีจริตที่ชอบบ่นก็บ่นไป เดี๋ยวคางเขายานเอง มันหยุดที่เราเอง จริงๆแล้วเราเองแหล่ะ เราขี้บ่นหรือไม่ ถ้าขี้บ่นก็แก้ไขตัวเอง ถ้าเขาขี้บ่นก็อยู่ที่เขา เราอยากให้ผู้ใหญ่คนนี้เลิกบ่นก็ไปบอกผู้ใหญ่คนอื่นที่จะให้เขาแก้ไขตัวเองได้ก็บอก บอกแล้วก็แล้วไม่จ้ำจี้จ้ำไชมาก กรรมวิบากใครก็ของมัน ไม่อย่างนั้นไม่จบนะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน ถ้าเราไม่เต็มใจแต่ถูกบังคับให้เรียนจะทำอย่างไร

_ถ้าเราไม่เต็มใจจะอยู่ที่นี่ แต่พ่อแม่ลุงป้าน้าอาบังคับให้อยู่ และท่านก็พูดคำนี้ว่า “ถ้าออกไปก็จบ ไม่มีอนาคต  และถ้าอยู่ที่นี่ก็จะมีอนาคต” แล้วเราก็ได้เถียงกับครอบครัว เราจะบาปไหมคะ หากเราจะออกไปจะมีความสุขไหม ลูกบอกว่าอยู่ที่นี่มีความทุกข์มากถ้าหากออกไปจะมีความสุขนะคะ หลวงปู่ว่าเหมือนหนูไหมคะ แล้วผู้ใหญ่ที่นี่ไม่ค่อยจะเข้าใจเด็กเลย

พ่อครูว่า..ท่านพูดอย่างผู้ใหญ่ที่มีหูมีตา เราจะฉลาดกว่าพ่อแม่ลุงป้าน้าอาหรือ ทำไมถึงฉลาดมากขนาดนั้น จะไม่ฉลาดมากไปหน่อยหรือ ฉลาดกว่าพ่อแม่ลุงป้าน้าอาหมดเลย บาปแน่นอน เชื่อไหมว่า พ่อแม่ลุงป้าน้าเอานี้ ปรารถนาดีกับเราเชื่อไหม ...เชื่อ

สอง พ่อแม่ลุงป้าน้าอานี้ อายุมากกว่าเราใช่ไหม เห็นโลกมามากกว่าเราใช่ไหม เท่านี้ก็เป็นเหตุผลมากพอแล้ว ที่เราจะยอมตามพ่อแม่ลุงป้าน้าอา ยอมตามไปสักชาติหนึ่งเถอะ เพราะอะไรเพราะว่าเราเลือกพ่อแม่เกิดไม่ได้นี่เป็นวิบาก วิบากสั่งเราให้เรามาเกิดกับพ่อแม่คู่นี้ แล้วก็มีลุงป้าน้าอา ญาติที่เป็นแบบนี้ ที่เขาปรารถนาดีต่อเราแน่นอนจงรับความปรารถนาดีเถอะ แม้เราไม่ชอบก็ต้องให้เกียรติท่าน ท่านคงจะมีภูมิปัญญาไม่เสียหรอก มาอยู่นี่จะมีอนาคตถ้าหากออกไปจะไม่มีอนาคต ท่านก็มองเห็นหมด แล้วคำว่าอนาคตคืออะไร ท่านก็รู้ว่าโลกยุคนี้มันเป็นอย่างไร คำว่าไม่มีอนาคตคืออย่างไรถ้าเราเข้าใจความหมายแล้ว มันไม่ยากอะไรที่จะรู้ คือว่าอนาคตจะแย่เหลวไหลเละเทะเสียหาย ไม่มีอนาคตคือแบบนี้ ถ้ามีอนาคตก็จะอยู่ที่นี่ให้ได้เจริญเข้าท่า

เราเถียงเราก็บาป หากเราจะออกไปจะมีความสุขไหม จะมีความสุข เก๊ๆ มี แต่จะเอาไปทำไมความสุขเก๊ๆ ความสุขคือความร่ำรวยอัตตาตัวเอง เป็นการเสริมกิเลส ซึ่งไม่ควรทำ โดยเฉพาะชาวอโศกให้ลดละตัวตนอัตตา อันนี้สำคัญที่สุดอย่าไปเพิ่มอัตตาตัวเอง

ตอบอีกที ความสุขเป็นของเก๊ทั้งนั้นเลย สุขัลลิกะ ทุกข์เท่านั้นที่เป็นอริยสัจ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ตามที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่พ้นทุกข์ ความทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ 6 ประการพระพุทธเจ้าก็ต้องมี เช่น ทุกข์เพราะต้องปวดอุจจาระปัสสาวะ ทุกข์ก็ต้องแสวงหางานทำ ทุกข์ที่จะต้องแสวงหาอาหาร

หากเราจะไม่มีทุกข์เลยก็ต้องปรินิพพานเป็นปริโยสาน หากได้ร่างกายมานี้ก็ศึกษาเถอะ เราได้มาอยู่ที่นี่ไม่ได้ถูกหลอกล่อ บอกความจริงว่าที่นี่ดีที่สุดแล้ว ทนให้ได้เถอะ เพราะเราเองเรายังไม่มีบารมี ทนเอาบารมีเถอะ แม้เราเอง พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตาอยู่ ก็ชื่อว่าเจริญ ทนเอา แล้วหลวงปู่ขอบอก อริยสัจไม่เคยฆ่าคนตาย แต่กิเลสมันฆ่าคน ตายแล้วตายเล่าในสังสารวัฏ นับชาติไม่ถ้วนก็วนเวียนอยู่กับกิเลสนี้นับไม่ถ้วน

อาริยสัจ ไม่เคยฆ่าคน ที่นี่เป็นแดนอริยสัจ

อยู่ที่นี่ทุกข์มาก แต่หลวงปู่ว่าไม่เหมือนที่เราเห็น แล้วผู้ใหญ่ที่นี่ไม่ค่อยจะเข้าใจเด็กเลย อันนี้ก็เอาตัวเองมาเป็นเครื่องตัดสิน

ก็ตอบให้ฟัง หากหนูเข้าใจว่าผู้ใหญ่ที่นี่ไม่ค่อยเข้าใจเด็ก หลวงปู่ก็จะตอบว่าหนูไม่เข้าใจผู้ใหญ่ที่นี่ต่างหาก ไม่ใช่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจเด็ก ผู้ใหญ่ที่นี่นั้นเมตตาดีทั้งนั้น อดทนเอาหน่อยเถอะน่า ข้างนอกกิเลสเอาตายนะ นี่บอกอย่างหนักอย่างแรงนะ หากยิ่งจะดิ้นรนก็ยิ่งจะทุกข์ ไม่ต้องดิ้นรนอะไร ติดตามทำตามไป เอาใจใส่หน่อยก็พอแล้ว ตั้งใจอีกหน่อย เอาใจใส่ผู้ใหญ่จะให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ก็ได้ พูดอย่างอะลุ่มอล่วยที่สุดแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน คนโลกสวย คนคิดบวก ต่างกันตรงไหน

_คนโลกสวย คนคิดบวก กับคนติดโลกธรรมเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่คะ

พ่อครูว่า..คนคิดบวกเป็นของดี คนที่มีปัญญาปฏิภาณคิดบวก ก็หมายความว่าต้องพิจารณาว่าอันนี้บวกหรือลบ แต่คนโลกสวยนี้มองว่าโลกสวยไปหมดเลย แต่คนโลกสวยนี้จะติดโลกธรรม เพราะโลกมันสวย ส่วนคนคิดบวกนี้ ก็ต้องดูว่าคนหลอกหรือไม่ ต้องเรียนรู้ให้ดี ดีไม่ดีก็สร้างนิยายโลกสวยมาหลอกกันอีก เอาแค่นั้นก่อน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ละตัวกลัวสกปรกกลัวเหนื่อยอย่างไร

_อาการที่กลัวสกปรกกลัวเหนื่อย  ทำให้ฝืนใจ ไม่ให้ไปเกี่ยวข้าว ดำนาลุยโคลนปลูกมันขุดมัน ขอให้ได้ละตัวนี้ด้วย ขอให้พ่อครูช่วย

พ่อครูว่า..ลองคิดถึงประโยชน์สิ ถ้าหากสกปรกก็ทำความสะอาดได้ล้างได้เช็ดได้ เหนื่อยแล้วก็พัก ที่พูดนี้ยังไม่เหนื่อยแล้วยังไม่ได้ทำเลย กลัวเหนื่อยแล้ว สกปรกก็ยังไม่ลองไปลงเลย ก็เลยฝืนใจเพราะว่าตัวเองไปอุปาทานไปยึดถือว่าสกปรก มันจะสกปรกอะไรกันนักกันหนา คำว่าสกปรกนี้คือสิ่งที่เป็นพิษ เข้าไปคลุกคลีกับสิ่งที่เป็นโทษสกปรก ถ้าไปคลุกกับสีดำขี้โคลน อุจจาระ หากมันไม่มีพิษภัยอะไรก็จะไปสกปรกอะไร สกปรกนั้นคือเราไปยึดถือเอง คนอื่นเขาเป็นผู้ใหญ่รู้โลกมากกว่าเรา เขาก็ยังไปเปื้อนเลย เป็นธรรมดาธรรมชาติของความเปื้อนความสกปรก ถ้าทำไปพอสมควรมันก็เหนื่อย เพราะฉะนั้นแค่เหตุผลสกปรกกับเหนื่อยแค่นี้ สู้ทนกับที่นี่ให้เขาพาสกปรกไปด้วยเลย แล้วจะแก้ได้

ถ้าเราเหนื่อยแล้วคนข้างๆเขาจะช่วยเราเองให้เราหยุด เราอย่าไปรักตัวกลัวเหนื่อยเลย นี่ยังไม่ลงไปเหนื่อยเลยก็บอกว่าเหนื่อยแล้ว เห็นแก่ตัวอะไรกันนักกันหนา

 

_ถ้าเราไปชอบดารามากๆ ชอบจนโงหัวไม่ขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้เราผิดศีลข้อไหนคะ แล้วจะเลิกชอบได้อย่างไรครับ

พ่อครูว่า...ผิดศีลข้ออบายมุข คำว่าดารา เป็นตัวแทนตัวที่เด่นดัง ทุกวันนี้โลกงมงายกับตัวดารา ที่เด่นดัง แต่ดาราที่ว่านี้ มักจะเป็นดารา อบายมุข ดารากีฬาการละเล่น ละเม็งละคร ดาราสนุกสนานนักเต้นรำนักร้องอะไรต่างๆนานา ซึ่งมันเป็นเรื่องของอบายมุขทั้งนั้นเลย และก็ไปหลงโลกอบายจัดจ้าน ไปกับเขาหมดเลย เอาตัวอย่างชาวอโศกเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วไม่ไปทำแบบนั้น มันไม่ได้สุดโต่ง โดยไม่มีการร้องรำเลย แต่เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็พอ พออาศัยหากติดฝิ่นก็ไม่ตาย แต่อยู่ที่นี่ไม่ตาย แต่ถ้าไปติดหนักเข้าก็ตายได้เพราะถอนไม่ขึ้น มันเป็นอย่างนั้น

พิจารณาตามผู้ใหญ่ที่พาทำพาเป็น ไปชอบมันก็เกิดทุกข์

 

_แก้วบุญ...ทำไมเราต้องมาจนคะ

พ่อครูว่า...เพราะว่าคนจนนี้เป็นคนที่ประเสริฐ เป็นคนที่ดี เป็นคนที่จะทำให้เศรษฐกิจบ้านเมืองไม่ต้องเดือดร้อนแย่งชิงกัน จนคือความมีสมบัติเงินทองข้าวของอะไรแต่เพียงน้อย ให้พอใช้แต่พอดีหรือน้อยเข้าไว้ ยิ่งอยู่กับหมู่ ไม่ต้องมีมาก คนรวยไม่ต้องมีทรัพย์สินเงินทองทรัพย์ศฤงคารมาก คนรวยคือคนขยัน ความขยันอยู่ในตัวเรา กับ 2 คือความมีความรู้ความสามารถ นี่คือคนรวย ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ คนที่มีความขยันกับความรู้ความสามารถแล้วก็ใช้ความรู้ความสามารถขยันทำงานอยู่ คนนี้แหละคือคนรวย แต่ไม่เอาไว้เป็นของตนเองมาก จึงเรียกโดยโลกๆว่า คนจน แต่จริงๆแล้วเป็นคน ชาวอโศกนี้จริงๆแล้วเป็นคนรวย แต่ข้างนอกเขาเรียกว่าอย่างนี้จน แล้วพวกเราเป็นพวกมีปัญญา เพราะพวกเรามีความรู้ความสามารถและความขยัน นี่คือคุณสมบัติ เป็นสมบัติอันยิ่งใหญ่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความรัก 10 มิติ) ตอน ตัดวิบากรัก

_การที่เรามีความรัก แล้วตัวเราก็เปลี่ยนแปลงขึ้น แต่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่คะ

พ่อครูว่า...เข้าข้างตัวเองหรือเปล่า ก็อาจจะมีนะ ถ้าเผื่อไปรักกับคนที่ดี แล้วก็พากันทำสิ่งที่ดีมากขึ้นๆ ก็เป็นไปได้ แต่มันไม่คุ้มหรอก มันเป็นมะเดื่อผลสุกไซร้ มีพรรณ ข้างนอกแดงดูฉัน ชาดป้าย ผลมะเดื่อนี้ ข้างนอกดูผลสวยงาม ข้างในแมลงวันหนอนบ่อน ดุจดังคนใจร้าย          นอกนั้นดูงาม ฯ...โคลงโลกนิติ

อย่าไปหลงใหลข้างนอกมากข้างในมีดีแล้ว

 

_คนเรารักกันชอบกันคบกัน มันคือวิบากหรือความอยากกันแน่ครับ

พ่อครูว่า...มันจะมีความอยากไปในทางกามถ้าเป็นผู้หญิงผู้ชาย ผู้หญิงผู้ชายก็รักกันอย่างเพื่อนพี่น้องได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของโลก ตั้งแต่เป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นคู่ที่มันพาทุกข์ ถ้าเราอยู่ได้ เลิกได้ มันจะตัดวิบากไปเรื่อยๆ จะเบาลงเบาลง ไม่ใช่ตัดได้ง่ายๆ ไม่ใช่เลิกได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นเรารีบตัดรีบร้อนจะได้ลดได้มากๆ ขนาดตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ายังมีคู่เลย คิดดูซิ เพราะฉะนั้นอย่าประมาท หลวงปู่นี้ตั้งใจว่า จะบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าที่เกิดเป็นพุทธเจ้าในปางที่ไม่แต่งงาน ไม่รู้จะสำเร็จหรือเปล่า ตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ มีพระพุทธเจ้าที่ท่านไม่แต่งงานท่านเกิดมาบำเพ็ญอยู่ในสวน 7 วันก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า มี หลวงปู่ก็พยายามจะเป็นอย่างนั้น แต่วิบากมันมีเยอะ แค่ชาตินี้ปางนี้วิบากหลวงปู่ก็เจอวิบากไปตั้งหลายคนที่เป็นคู่จะต้องเหมือนเป็นคู่รักตั้ง 3 คน นอกนั้นไก่แจ้จีบไปอีกหลายคนจำไม่ได้ บางทีเราก็ทำตัวรู้สึกทุกข์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นวิบากไม่น้อยเรื่องเหล่านี้

สมณะเดินดินว่า...ผมสงสัยว่าคนแรกที่เป็นแฟนรักกันแล้วผู้หญิงไปมีท้องทุกข์มากไหมครับ

พ่อครูว่า..ไม่มากเท่าไหร่ ก็ยังไปอุ้มลูกเขาเลี้ยงลูกเขาเลย ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย เขาก็เป็นอย่างนั้นไปแล้ว

คนที่เป็นไก่แจ้ บางคน ทำให้เราทุกข์ใจมากกว่าอีก มันเป็นวิบากที่ซับซ้อน เราพยายามพากเพียรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ วิบากมันแรงก็เลยมีเหตุปัจจัยให้แรง

 

_หลวงปู่คะ ทำไมที่นี่ปลูกอะไรก็ขึ้นค่ะ ปลูกแต่ละอย่างขึ้นไปหมด หากอยากจะปลูกจะต้องทำอย่างไรคะ

พ่อครูว่า...เอาเถอะตั้งใจ ถ้าเผื่อว่าเมืองไทยเจริญด้วยการปลูก โดยเฉพาะพืชพรรณธัญญาหารเก่งกสิกรรม ปลูกได้ดีสวยอย่างเป็นหนึ่งในโลก เดี๋ยวนี้การคมนาคมขนส่ง เขารักษาสภาพของได้ดีมากเก่ง เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเลยส่งไปทั่วโลกได้สบาย รับรองว่าเราจะเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลก ชาวอโศกเอาแน่เรื่องกสิกรรม หลวงปู่จึงแต่งเพลงสมรรถภาพ ...มาเถอะมาอย่าช้าอยู่ไหนรีบมา คว้ามีดพร้าและจอบเสียม จึงเน้นสมรรถนะเรื่องกสิกรรมเป็นหลัก เราจะเจริญเพราะ.. เป็นกสิกรแข็งขลังเป็นกระดูกสันหลังของชาติ

 

_คนที่พูดมากและเสียงดัง ต้องใช้ยาอะไรถึงรักษาได้

พ่อครูว่า...เอายาทำใจ เลี่ยงไปเสีย ยอดเยี่ยมเลยทำที่ใจเรา จะพูดมาก็พูดไปไม่ใช่เสียงเราคอของใครของมัน

 

_เด็กติดเกมผิดศีลข้อไหน

พ่อครูว่า...อบายมุข แย่ ติดเกมส์ ทุกวันนี้หลอกเลวร้ายหากินหนักจัด อย่าไปวุ่นเลย เกมเป็นเรื่องการละเล่นเรื่องหลอกลวงให้หลงใหลติดยึด games แปลว่าการละเล่น

_การป่วยเพราะห่วงกังวลในสุขภาพ หาหนทางรักษาตัวเองจนสุขภาพปรวนแปร ขอคำชี้แนะเรื่องความอดทนอดกลั้นด้วย

พ่อครูว่า...เอาอย่างนี้ จะตายก็ให้มันตายเถอะ ปลง ที่นี่ช่วยกันดูแลอยู่แล้ว หากว่าห่วงสุขภาพมากจนดิ้นรนไปเรื่อย ที่นี่คนก็ช่วยกันพอสมควรอยู่แล้วมีอะไรก็บอกกัน เราก็ช่วยเหลือกัน เพราะฉะนั้นอย่าเป็นห่วงมันมากเลย ไปกลัวตายอะไรเกินไป วิบากมันจะตายมันก็ต้องตายก็ตายเพราะอะไร จะตายเพราะโรคนี้ก็ต้องตาย บางทีตายเพราะอุปัทวเหตุแล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไป ขอบอกให้ชัดเรื่องนี้ว่า อย่ากลัวตาย เพราะว่าการตายเป็นเรื่องสามัญ ไม่มีสัตว์โลกหรือชีวะไหนไม่เคยตาย ชีวะไหนก็ต้องตาย เป็นแต่เพียงจะตายจบอย่างไม่เกิดเลยอีกได้หรือไม่สูงสุด เราสามารถทำรากฐานของตัวเกิดตัวดับตัวใด ทำให้รู้ความจริงเลยว่า ดับได้ เกิดได้ด้วยวิธีของพุทธเจ้า ดับแล้วไม่เกิดเลยได้อีก เรามีความจริงยืนยันที่พูด

 

_เครื่องบริโภค 4 หลายคนคาใจ ที่เขาไม่ทำงาน

พ่อครูว่า...บริโภคอย่างโจร เป็นหนี้ หรืออื่นๆ มันทำให้เกิดทุกข์ยุ่งยาก เราก็อย่าไปกระทำแบบนั้น เลิก หลายคนคาใจที่เขาไม่ทำงาน ก็ช่างเขาปะไรเขาจะกินจะนอนอยู่ในนี้ก็มีคนคอยดูแลอยู่บ้าง แค่หางตาก็ทําร้ายกันแล้วในคนอโศก คุณไม่เคยเจอหรือไง หางตาชาวอโศก ทั้งแหลมคมบาดลึก

 

_ชื่อเล่นหลวงปู่ชื่ออะไรครับ

พ่อครูว่า...ชื่อ แป๊ก อาตมาคงคู่กับอาป๊อก

 

_ในแต่ละวันสิ่งต่างๆที่ได้เจอมันมีทั้งดีและไม่ดี เจอแต่แบบนี้เดิมๆ มันเป็นเพราะคิดไปเองใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...เจออย่างเดิมๆนั้นดีแล้ว พอใจให้ได้ว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่หรอก เพียงแต่ว่าอันนี้เราไม่รู้ว่าดี หรือไม่ดี มันก็วนเวียนเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปนั่นแหละ ซ้ำซาก แต่คนไม่รู้ดีก็จะรู้สึกอย่างนั้น

 

_หนูเป็นเด็กที่คิดมากค่ะ หนูก็คงจะทุกข์บ่อยค่ะ หลวงปู่ช่วยบอกวิธีปล่อยวางเวลาหนูเจอเรื่องทุกข์ได้ไหมคะ

พ่อครูว่า...เด็กๆพวกเราถาม รู้ทุกข์ด้วย ทุกข์เพราะอะไรก็รู้อีก ทุกข์เพราะว่าคิดมากก็ลดความคิดลง ไม่ต้องคิดมากหรอก  ผู้ใหญ่ช่วยคิดอยู่แล้วที่นี่ ลดคิดลง อย่าให้มากเกิน

สมณะเดินดินว่า...มีคนตั้งข้อสังเกตว่าคนที่นี่ไม่ยุ่งวุ่นวายเท่าไหร่เพราะมีโรงปุ๋ยอยู่

พ่อครูว่า...จะไปโรงปุ๋ยจะไปเกี่ยวข้าวหรือจะไปไล่นกช่วยอาพลังพรก็ได้ ไปหางานทำ สรุปง่ายๆแล้วจะไม่คิด

 

_ทำไมคนถึงมีกิเลส กิเลสเกิดมาจากอะไรครับ

พ่อครูว่า...ตอบยากมาก ตอบ เพราะคนเกิดมาพร้อมอวิชชาคือความโง่ ที่ทำให้กิเลสเกิดในจิตเรา เกิดจากอะไรเกิดจากความโง่ความไม่รู้ ก็ต้องมาทำให้มันรู้

 

สมณะเดินดินว่า...คำถามเด็กทางมายังสำคัญเลย พ่อครูเคยไปที่ปฐมอโศกเคยบอกเด็กๆว่า เด็กมาอยู่ที่นี่อยู่ในระบบสาธารณโภคี แต่ละคนมีเหตุปัจจัยมีของเก่า มีบารมีเก่าที่ทำให้เรามาอยู่ที่นี่ คราวนี้ก็เหมือนกับเราจะมาสร้างบารมีของเราต่อ แต่บางทีเด็กก็ไม่รู้ว่าเรามาอยู่ที่นี่มีอะไรดี เป็นแต่เพียงบอกว่าที่นี่เป็นแดนของสัปปายะ 4 เราจะไปหาที่ไหนที่มีแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ทุกคนเป็นเจ้าของมรดกแล้วแต่ไม่รู้หนีไปไหน มีให้ทำเยอะไปหมด มีทั้งนาทั้งโรงปุ๋ยใหญ่ๆ มากมาย ไม่เอากัน ...จบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:14:29 )

610725

รายละเอียด

610725_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ จรณะ15 มีฌานกับศีลที่เป็นปรมัตถ​์

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://drive.google.com/open?id=1Hb7lLBxvofl4An0zyKjOQbsmbG1ywpJYeMx7ORT8_hg

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1eciQRKqrj6ebSgGsaDBVFEl2_Y_Enj1f

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้วันเข้าพรรษาเข้าไปอีกแล้ว ตอนนี้ข่าวที่คนกำลังสนใจมากคือที่ สปป.ลาว เขื่อนแตกน้ำท่วม ใกล้จะเสร็จอยู่แล้วแต่มาแตกเสียก่อน น้ำท่วมทำให้คนลาวตายเป็นร้อยคน

ขออนุญาต เรียนเพื่อประชาสัมพันธ์ให้คนไทยที่จะเดินทางไปยังแขวงอัตตะปือ สปป.ลาว ว่าตามที่ได้รับแจ้งจาก ตม. อุบล ตม. มุกดาหารว่า มีคนไทยจำนวนมาก จะเดินทางไปยังแขวงอัตตะปือในช่วงนี้

(ตอนนี้ ตม.อุบล แจ้งว่า มีกลุ่มคนไทย+รถ กว่า 40 คัน รอเข้า สปป ลาว) เพื่อนำความช่วยเหลือไปให้ ทั้งในรูปแบบของบริจาค และอาสาสมัคร แต่ด้วยระเบียบ ในการเข้าออกด่าน ทั้งคน และรถ จะต้องใช้ หนังสือเดินทาง และจะต้องมี พาสปอร์ตรถ เพราะหากใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวจะใช้ได้เฉพาะเขตแขวงจำปาสักหรือแขวงสะหวันนะเขตที่มีพื้นที่ติดกับชายแดน เท่านั้น

จะเดินทางออกมายังแขวงอัตตะปือ ไม่ได้ และจะอยู่ได้แค่ 2 คืน 3 วัน หากตรวจพบ จะเกิดปัญหาในการเดินทางออก

วิทยุสื่อสารทุกชนิดไม่สามารถนำออกไปใช้งานนอกราชอาณาจักรไทยได้

ข้อมูลจาก ผอ.สมคิด กสทช.เขต 22

ของเราเองก็จะไปช่วยชาวลาวเหมือนกัน ติดต่อให้ความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์รับความช่วยเหลือที่อุทยานบุญนิยม ติดต่อเบอร์โทรฯ คุณซึ้งบุญ 086-855-3203

พรุ่งนี้จะมีรายการใหม่ของพ่อครู...

พ่อครูว่า...ก่อนจะได้ฟังอะไรต่อ ก็ขอเจรจากับ sms

_8788 กราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ กระผมนายสันติ จรูญวิทยากร ครับ.

_9309 นายกมาอุบลได้มาเยี่ยมบ้านราชบ้างไหมครับ

พ่อครูว่า..นายกฯไม่ได้มาหรอก กำลังทำถนนกันอยู่ตอนนี้ที่บ้านเราก็จะทำให้เป็นมาตรฐาน สำหรับคนที่มารับเหมาของทางการต่อไป ตอนนี้ก็ต้องขออภัยผู้ที่มาดูน้ำตก ซึ่งจะไม่สะดวกเท่าไหร่ กว่าจะเสร็จก็คงจะเป็นเดือนเหมือนกัน

 

_3867โบราณเขาว่าถ้าหัวคิ้วกระตุกแปลว่าอริแทงหลังป้ายสี!จมูกเขม่นแปลว่าพาลจ้องหาเรื่อง!ถ้าไอจาม ทั้งที่มิได้ป่วยแปลว่าคนคิดถึงฤานินทา! พ่อครูไอคงมีใคร คิดถึงฤานินทากระมัง?!?

พ่อครูว่า..ให้มีคนคิดถึงบ้างไม่ได้หรือ

 

_กุสุม บุญ · อยากดูในทีวีนี่ต้องติดกล่องอะไรคะ

(ตอบ...กล่องมีหลายยี่ห้อ แล้วแต่ราคา ถ้าเลือกแบบ hd ภาพก็จะคมชัด กว่าเครื่องธรรมดา แต่ละยี่ห้อ เขาตั้งช่อง บุญนิยมทีวี ให้ไม่เหมือนกัน เลขช่องจะต่างกัน

ต้องถามร้านที่ซื้อ ทางร้านเขาจะอธิบายได้ดีกว่า)

 

_ปาลิตา ทองสุขนอก · นมัสการทุกรูปเจ้าคะ

หนูฟังศีลอย่างละเอียดที่ท่านสมณะซาบซึ้ง หนูมีความรู้สึกว่าถ้าหนูเป็นคนธรรมดาที่ขอโอกาสมาปฏิบัติธรรม หนูคงเป็นคนหนึ่งที่น่าจะผิดศีลบ่อย ๆ ละเอียดมากจริง ๆ เจ้าคะ

พ่อครูว่า..ผิดคุณก็ผิดได้ แต่มันมีขั้นตอน คุณมาแต่ต้นก็ศีลขั้นต้น ก็ผิดขั้นละเอียดแต่ขั้นหยาบคุณอย่าให้ผิดสิ ทำเป็นลำดับ ศีลต้องมีรายละเอียด เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่เช่นนั้นจะสับสนมาก อะไรก็ไม่เป็นส่ำ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปหาราทสูตร ในความเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์มันยิ่งใหญ่มากใน ศีล สมาธิ ปัญญา จะเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่เกื้อกูลกันใน ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็เกิดวิมุติ เป็นแก่น แล้วจะไปรวมกับ ศีล สมาธิ ปัญญาอีก จิตมีทั้งเจโตและปัญญาจัดตั้งสภาพขยายกว้างขึ้น เพิ่มขึ้นไปๆ อธิบายยาก ไม่ใช่อธิบายกันง่ายๆเลย ก็ตั้งใจฟังให้ดี ปฏิบัติไปตามลำดับ ของเรามีเอง จะเข้าใจง่าย แม้เรารู้แล้วแต่ก็ไม่ง่าย เรารู้แล้วก็จบ เราอธิบายได้คนอื่นจะได้ประโยชน์ด้วย แต่ถ้าเราอธิบายไม่ได้ผู้อื่นก็ไม่ได้ประโยชน์จากเรา

 

เกริ่นถึงรายการใหม่  จะเป็นรายการกันเองๆ คุยกันอย่างสนิทสนม อาตมาตั้งใจบ่อยหลายที ตั้งชื่อรายการว่าเอื้อไออุ่น พยายามจะให้มาคุยกันตามประสาพ่อลูก ธรรมชาติมันมีอยู่แล้ว มันดูดีสบาย มีอะไรก็คุยกันไปเรื่อยๆ ไม่เป็นทางการไม่ต้องเกร็ง สบายๆ คนไหนอยากซักถามก็คุยกันไป อธิบายว่ากันไปต่างๆนานา ธรรมชาติมันดูดี อาตมาตั้งชื่อรายการนี้ใหม่ ไม่เอาแล้วแบบเอื้อไออุ่น ตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น “สำมะปี๋ซี่วิต”

สำมะปิ เป็นภาษาอีสานแปลว่า แปลว่า มากมาย สารพัดสารพัน ทุกสิ่งทุกอย่าง จิปาถะ มากหลาย variety

วุ่นเละเทะเลยเป็น chaos แต่มันก็จะหลากหลายในนั้น แต่ก็มีระบบระเบียบในนั้น ไม่ใช่เละเทะเสียหาย เราจัดระบบได้ เท่าที่มันจะมีได้ ในชีวิต หรือซี่วิต

ก็คิดว่าน่าจะดี พวกเราเข้าใจเพิ่มขึ้น พรุ่งนี้จะเริ่มรายการตอนหกโมงเย็น วันพฤหัสบดี วันเสาร์ เอาสองวันก่อน ส่วนวันอื่นๆ อาตมาอธิบายอยู่แล้วไง คนอื่นไม่เป็นไร ตอนนี้เขาให้แล้ว ให้อาตมาเพิ่มพลังไง ลองของดูก่อนสิ ถ้ามันไม่ไหวอย่างไรเราก็มีสิทธิ์หยุด เราทำอย่างไม่มีสปอนเซอร์ ไม่มีปัญหา รูปแบบรายการก็นั่งล้อมวง อาตมาก็นั่งตรงกลาง ถ่ายทอดสด เลือดหยดติ๋งๆ ถามได้ทุกเรื่อง เรื่องไหนตอบไม่ได้อาตมาจะตอบง่ายมาก เรื่องไหนตอบไม่ได้ก็ตอบ ไม่รู้ จบ ไม่รู้จริงๆ ตอบง่าย เรื่องรู้สิตอบยาก บางเรื่องนี่ยาก ลึก ละเอียด ลำบาก ก็ตอบไป

คุยกัน พยายามจะไม่ให้หนัก ทุกวันนี้อะไรก็รู้สึกหนักยาก ก็พยายาม เด็กๆเล็กๆก็ได้ ใครจะถาม เด็กๆพวกเราถามปัญหานี้น่าฟังนะ เด็กพวกเราไม่ค่อยไร้สาระเหมือนเด็กข้างนอก เด็กน้ำมนต์ 6 ขวบเป็นต้น วิ่งไปมาก็คงซึมซับ หลายคนพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นใครที่คิดว่าจะมาสังสรรค์ระหว่างพ่อลูกก็เชิญ

เบิกฤกษ์พรุ่งนี้ ใครจะมาตัดริบบิ้น “สำมะปี๋ซี่วิต” เริ่ม 18:00-20:00 น. วันพฤหัสบดี ที่ 26 ก.ค. 2561 ที่ชั้น 1 เฮือนศูนย์สูญ ติดตามได้ทางบุญนิยมทีวี เราก็ทำไป รายการเราก็มีก็ออก สื่อ เป็นประโยชน์ ชีวิตของเรา เราเข้าใจชีวิตแบบเรา พระพุทธเจ้าท่านเป็นแบบนี้ เราก็จะได้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไปจนกระทั่งมาที่สุด อะไรต่ออะไรที่โลกเขาต้องการเราก็มี ไปตามประสากันไป ให้เกิดประโยชน์กันเกิดมาเป็นคนก็เป็นประโยชน์

 

เข้าสู่รายการ

สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน หลักฐานยืนยันอุตริมนุสธรรมของพ่อครู

เรากำลังพูดถึง อัมพัฏฐสูตรมาเป็นตัวตั้ง แล้วขยายไปถึงโลหิจสูตรที่กล่าวถึง ผู้บรรลุธรรมแล้วไม่ควรบอกใคร บอกใครแล้วถือว่าวิบากบาปไม่ควร เป็นความเห็นที่พระพุทธเจ้าเห็นว่ามันผิด อาตมาพยายามหยิบที่ชาวไทยเราไปยึดถือสิ่งที่เพี้ยนไป อย่างตัวอย่างโลหิจสูตร ผู้บรรลุแล้วไม่ควรบอกใคร ผู้ที่บอกใครว่าบรรลุก็แสดงว่าผู้นั้นไม่ได้บรรลุ ไปอย่างนี้เลย แล้วก็โอ้โห ลองอ่านสำนวน 

โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  .

      พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง

(พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 358)

อาตมาว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน แรง สั้น ลัด คัด concise ชัดเจน ต้องแก้ไข อาตมาก็มาแก้ไขประเด็นพวกนี้ ที่มันขยายความอีก ถ้าขืนผู้บรรลุแล้วบอกใครไม่ได้ จะเอาปาราชิก หรือบาปเลย อาตมาว่า ผู้บรรลุแล้วไม่บอกใครก็เท่ากับไม่รู้ความจริงสิ เจ้าตัวไม่บอกแล้วใครจะไปรู้ เท่ากับว่าเป็นกำหนดว่าคนบรรลุแล้วบอกไม่ได้ ก็คือคนบรรลุจริงบอกไม่ได้ คนอื่นก็เลยต้องเดาเอา จึงเกิดพระอรหันต์แบบเดามาจนถึงทุกวันนี้ เดากันเละเลย เพราะอรหันต์จริงบอกไม่ได้ น่าสังเวชใจไหม ความคิดแบบนี้ มันก็เลยเกิดเดา เกิดคนขี้โกงซ้อน นักเสแสร้างปลอมแปลงเต๊ะท่าหลอกกันไป ยิ่งเข้าใจไปผิดว่าอรหันต์จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรใคร มันมีความเห็นเอียงโต่งไปทางหนีสังคม ไม่ทำงานไม่ทำประโยชน์ให้แก่ใครอะไรเงียบเฉย เข้าใจไปอย่างนั้นจนเป็นตัวอย่าง

อย่างเช่นหลวงพ่อเกษมแห่งสุสานไตรลักษณ์ ขออภัยพูดอย่างวิชาการ ท่านเข้าใจผิดจริงๆแล้วท่านก็เชื่อว่าท่าน ท่านก็ทำแบบนั้นสำเร็จ คนก็ต้องนับถือบูชามากหลงนับถือกัน ไปนั่งเฝ้าท่านนั่งหลับตา ไม่พูดอะไร อยู่เป็นวันๆ คนก็มานับถือเพราะเข้าใจผิดว่าอรหันต์ต้องเป็นแบบนั้น มันก็เลยเสียหายหมดเลย ศาสนาพระพุทธเจ้า จึงไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นอะไรกับใครเลย กลายไปเป็นศาสนาเดียรถีย์ที่เข้าใจผิดหลงทางหมด อาตมาประกาศอรหันต์แต่คนไม่ตื่นเต้นเหมือนสายหลับตาประกาศ

อาตมาประกาศอรหันต์ เขาหาว่าไม่ใช่ ตอนแรกไม่ได้ประกาศก็นึกว่าใช่ ไปประกาศเขาก็บอกว่าไม่ใช่เลย จริงๆแล้วอาตมาก็ไม่ได้อยากประกาศอะไร ไม่ได้อยากอวดอะไร อาตมาประกาศ พ.ศ.2558 แต่ก็รู้กันในนัยยะ มีคนมาถามเพื่ออยากรู้จากปากอาตมา เมื่อพ.ศ.58 อาตมาก็บอกกับคนสองคน

คนหนึ่งเป็นศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม ตอนนี้อายุมากแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นน้องอาตมาเองคือขวัญดี ซึ่งตายไปแล้ว ดูเหมือนขวัญดีถามก่อน เขาเซ้าซี้ถาม อาตมาก็บอกว่าเป็น อ.แสง จันทร์งาม ถามที่สันติฯ อาตมาจำได้ อาตมากำลังฉันข้าวที่ศาลาเก่า ก็ถามหลายอย่าง อาตมาก็ไม่ได้บอกเท่าไหร่ เขาก็ว่าซักอย่างวิชาการครับ เพราะไม่มีใครประกาศโต้งๆ อาจารย์แสงก็รู้ว่าอาตมาเป็นอาจารย์ทางศาสนาพุทธเหมือนกัน อาตมาก็บอกได้ว่าใช่ เท่านั้นแหละ ตอนหลังมีคนไปถามอาจารย์แสง ว่าเคยได้ยินแบบนี้ไหม อาจารย์แกก็บอกว่าจำไม่ได้แล้ว มันก็เลยไม่ค่อยชัดเจน ก็เป็นวิบากอาตมา

อาตมาอาศัยความจริงใจ ตอนนี้อธิบายทางสร้างสรรพิสูจน์ว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาคนจนศาสนามักน้อยสันโดษ เป็นศาสนาที่เป็นไปตามวรรณะ 9 เป็นไปตามกถาวัตถุ 10 เป็นไปตามหลักธรรมวินัย 8 ประการ สิ่งเหล่านั้นมีตัวสำคัญที่ชัด หลายคำ

ความจน เป็นต้น อัปปิจฉะ มักน้อยสันโดษใจพอ อปจยะ ไม่สะสม ไม่สะสมทรัพย์สินเงินทองและกองกิเลสแต่ยอดขยัน

หลักฐานพวกนี้อาตมาทำงานมาเกือบ 50 ปีแล้ว ก็ได้ผู้คนมาจำนวนหนึ่ง ก็มั่นใจว่าเขาบรรลุความจริงอย่างที่เราทำมา อาตมาทำมาก็เข้าหลักเกณฑ์ ตามหลักสาราณียธรรม 6 เกิดจิตตามพุทธพจน์ 7

1.   สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.   ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .

3.   ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.   สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .

5.   อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .

6.   สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .

7.   เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

 

มีความระลึกถึงกัน ไม่ใช่รู้แต่เฉยๆไม่มีน้ำใจ และมีความรักกัน เคารพกัน ตามฐานะ

สังคหะเป็นสากล ตอนนี้กำลังฮือฮากันมาก ช่วยเหลือเฟือฟายกัน เป็นเรื่องตัวกลางเลย เป็นตัวกลางของ พุทธพจน์ 7 สาราณียธรรม 6

1.   เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .

2.   เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

3.   เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

4.   แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย  

(ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .

5.   มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย

      (สีลสามัญญตา)

6.   มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย .  (ทิฏฐิสามัญญตา) . . (ล.22  ข. 282-283)

 

จะเกิดสาราณิยธรรม 6 เพราะปฏิบัติธรรมถูกต้องตามสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า จะเกิดสภาวะตามพุทธพจน์ 7 นี่แหละ พิสูจน์ได้เลยจนกลายเป็นกลุ่มหมู่สังคม ชุมชนชาวอโศก ทุกวันนี้ก็เกิดขึ้นมา มันยากเย็น ตรงกันข้ามกับโลกียะที่เขาไม่รู้เรื่องแล้ว อาตมาก็นำขึ้นมา จนกระทั่งจำนนกันพอสมควร ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี่แหละ อาตมาเอามาใช้เป็นหลักเลย อาตมาว่าใช้ได้ พวกเราปฏิบัติได้ก็เอาตามฉบับนี้แหละ หากจะเอาฉบับอื่นมาอาตมาก็ไม่ใช่นักศึกษาก็เลยไม่รู้ อาตมาก็เอาอันนี้ไม่งั้นวุ่นวายค้านแย้งกันไม่รู้จบ

ข้อสำคัญคือคุณลักษณะของคนที่มาเป็นคนจนช่วยเหลือกันมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนที่มีความรู้ความสามารถมีประโยชน์เกื้อกูลผู้อื่น ไม่ไปเบียดเบียนใครไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เป็นคนจนอย่างนี้แหละ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เข้าใจซับซ้อนและยากเหมือนกัน แต่ว่ามันชัด ผู้มีปัญญาอธิบายจะเข้าใจ เราก็พยายามพิสูจน์กันไปเรื่อยๆ อาตมาว่าขนาดนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจได้ ต้องให้เป็นรูปธรรมสังคมกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ อาตมาก็ตั้งหลัก พูดเปรียบเทียบ จะต้องทำจนคนตาบอดเห็นได้หรือ เอา เอาให้คนตาบอดเห็นได้นี่แหละ ซึ่งก็พยายามทำไปๆ ก็เลยต้อง ที่จริงมันมี คุณประโยชน์แก่ตัวเอง

อาตมาก็มีความสามารถมากขึ้น จะใช้คำว่าเก่งก็ได้ ทุกวันนี้อาตมาต้องดึงของเก่ามาด้วย มีของใหม่มาเรียนรู้เพิ่มเติมด้วย อาตมาไม่ได้ตกต่ำเลย จนอาตมานำมาใช้แล้วได้สูตรขยายอายุขัยอีก อาตมาก็ว่าเอ๊ มันน่าทดสอบพิสูจน์อาตมาว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์อันนี้มันไม่เลวนะ ก็ดู ตอนนี้ก็พยายามพากเพียร ต้องให้แข็งแรงทางรูปขันธ์ด้วยก็พอเป็นไป แต่นามขันธ์นั้นแน่นอนเจริญแน่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าจิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ซึ่งมันจะซ้อนว่า

จิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง เป็นนามธรรม แต่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าศีลเป็นประธาน ก็เลยเหมือนย้อนแย้ง ว่าศีลเป็นนามธรรม เป็นข้อกำหนด บอกว่าศีลเป็นประธานก็ไม่ผิดทั้งคู่ จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวงก็ถูก ก็ศีลเป็นประธานด้วยและศีลมีอีกหลายอย่าง มีท่านลานศิลป์ก็คัดมาดีจังเลย เอามาเลย นี่ยังไม่มาถึงมืออาตมาเลย ที่นิยามเอาไว้

อาตมาสรุปเอง การมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ศึกษาอะไรนอกจากการศึกษาความเป็นมนุษย์มาเป็นคนกับสังคม ความเป็นมนุษย์กับความเป็นไปของมนุษย์ก็คือสังคมและอยู่กันอย่างดี ให้เป็นประโยชน์แก่กันและกัน อยู่กันอย่างเป็นสุขเป็นคุณค่าอย่างดีงาม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มนุษย์เกิดมาก็ต้องตาย ถ้าตายแล้วมีวิบาก หากตายแล้วยังไม่รู้จักวิบากไปสร้างวิบากให้ตัวเองหมุนเวียนตกนรกขึ้นสวรรค์ สองอันนี้ นรกสวรรค์เป็นสมมุติไม่ใช่วิมุติ มันก็เลยยุ่งกันใหญ่เลย หากไปสร้างวิบากกันแล้ว แล้วเราก็ไม่จบ นี่คือความตรัสรู้ของพุทธเจ้าจริง หากเกิดดีได้แล้วก็จะดีคงที่ไม่มีช่วยอีก จนกระทั่งเลิกทำชั่วได้เลย กรรมนิยาม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ในจิตนิยาม มนุษย์จะมี กรรมนิยาม

กรรมมีความสำคัญทางศาสนาเทวนิยม = God ยิ่งใหญ่มาก แต่กรรมนี้เป็นเรื่องที่สัมผัสได้พิสูจน์ได้ เป็นเรื่องของมนุษยชาติ ส่วน God เป็นเรื่องลึกลับที่สัมผัสไม่ได้ นิยาม God ว่า ยิ่งใหญ่ที่สุดดีที่สุดประเสริฐที่สุดก็ไม่ผิด แต่ความหมายของความประเสริฐของความดีเป็นพระผู้สร้างด้วย จะไม่ตรงกับของพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่นอกตัว ที่เกิดจาก อุตุนิยามพีชนิยามก็เป็นเรื่องภายนอก ถ้าหากไม่มีจิตนิยามเข้าไปร่วมสังเคราะห์ จนมีชีวะในระดับพีชะ ซึ่งมันจะเป็นนามธรรมขึ้นมา แต่ตัวรู้เป็น ISH มีประธาน คือ I แล้วมีด้านบวก h มีด้านลบ s

พีชะก็มีแต่ตัวมันเอง ก็ทำหน้าที่เท่านี้ อาตมาก็ยังอธิบายไม่เก่ง พยายามขยายให้ลึกซึ้งเข้าไป จะให้มันเจริญหรือไม่ให้มันเจริญจะบอนไซมันเลยก็ได้ คือไม่ให้มันโต ทำมันอย่างนั้นเลย ใบเล็กนิดนึง เมื่อมีความรู้ก็เอามาให้เป็นประโยชน์คุณค่าแก่กันและกัน เกิดมาเป็นคนหากยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน พระพุทธเจ้าท่านสามารถทำให้แตกสลายหมดตัวเราไปเลยได้ ก็เกิดเป็นธาตุอยู่ในโลกในจักรวาลนี้ เป็นธาตุดินน้ำไฟลมหรือจะเหลือเชื้อของพีชนิยามบ้างก็ไม่มีมาเป็นจิตนิยามได้ง่ายๆ

อาตมาเทียบกับ H และ O คือ ไฮโดรเจนกับออกซิเจน เมื่อปรินิพพานแล้ว ไฮโดรเจนกับออกซิเจนก็แตกตัวจากน้ำ เลิกจากการเป็นธาตุน้ำไปแล้ว กว่าที่ไฮโดรเจนกับออกซิเจนจะรวมตัวกันเป็นธาตุน้ำได้อีก คนเก่งๆก็ทำได้ แต่ก็แล้วแต่เถอะ แต่ถ้าปกติธรรมชาติมันไม่ง่าย

ถ้าแตกธาตุน้ำเป็นแก๊ส ส่วนพระพุทธเจ้าสมณโคดมเปรียบเหมือนพวงมะม่วง ถูกตัดออกจากขั้วแล้ว ตกลงแตกกระจายแล้วไม่รวมกันเป็นพวงอย่างเก่าอีก มันอาจเหลือที่พวงบ้างไม่หลุดไปหมด แต่ก็มีอันที่แตกกระจายทิ้งไปหมดก็เหลือติดอยู่บ้างรวมเป็นพวงอีกไม่ได้ พระสมณโคดมก็เปรียบเทียบอย่างนั้นแต่อาตมาเปรียบเทียบกับธาตุน้ำ แยกเป็น H กับ O ถ้าหากเข้าใจแล้วก็ไม่มีปัญหา สิ่งต่างๆพวกนี้พวกเราเข้าใจลึกซึ้งได้ ฟังแล้วก็รู้สึกว่าพวกเราเข้าใจ อาตมาอธิบายอย่างนี้หลายคนก็อาจจะคิดขัดแย้งจนกระทั่งออกไปจากหมู่กลุ่มได้ เป็นธรรมชาติ เขาก็เลือกเชื่อตัวเอง อาตมาไม่ได้ต้องการคนมานับถือเป็นบริวาร อาตมาตั้งใจแสดงความจริงยืนยันความจริงอันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าสอนมา อาจมีเหตุปัจจัยที่ต่างกันไปแต่หลักการก็ยังเหมือนกัน อริยสัจ 4 ปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น

โชคดีที่มีพระไตรปิฎก คนก็มายอมรับนับถือประมาณหนึ่ง แต่พระพุทธเจ้าท่านมีบารมี คนจะเกิดมาเจอพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ธรรมดา จะมีบารมีที่ไม่มีข้อต่อรองอะไรเลย เป็นเรื่องซับซ้อนที่อธิบายได้ยาก เป็นเรื่องซับซ้อนเป็นอจินไตยในฌานวิสัยและกรรมวิบาก พวกเราศึกษาแล้วจะเข้าใจความเป็นจริงเช่นนี้ อาตมามาพูด แม้จะเรื่องฌานวิสัย ก็พยายามขยายความคำว่า ฌาน นี้เสียก่อน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ฌานกับสมาธิต้องมีศีลเป็นกรอบ

ศีลเป็นเบื้องต้น ศีลเป็นที่ตั้ง ศีลเป็นบ่อเกิดแห่งคุณงามความดีทั้งหลาย
และเป็นประธานแห่งธรรมทั้งปวง บุคคลใดชำระศีลให้บริสุทธิ์แล้ว
จะเป็นเหตุให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ คือ พระนิพพาน

ฌาน เกิดได้ต้องมีศีลเป็นประธาน

ฌานเป็นพลังงาน เรียกโดยบาลีว่าอุณหธาตุ เรียกด้วยภาษาไทยว่าไฟ ร้อน เผาละลายได้ ทำให้ละลายสูญหายได้ ทำให้ ราคะ โทสะ โมหะ ละลายสูญหายไปได้

มันมีลักษณะเป็นไฟ ผู้ใดสร้างพลังงานจิตของเราให้เกิดเป็นพลังงาน ฌาน คุณจะสร้าง ฌาน ฌานนั้น จะมีกรอบว่า ศีลข้อที่ 1 ศีลข้อที่ 2

ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าไม่เบียดเบียน มีใจกรุณาเอ็นดู หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง สัตว์โลกเกิดมาแล้ว ได้เป็นจิตนิยามยิ่งน่าสงสาร ยิ่งเป็นสัตว์ชั้นต้น เราเหนือกว่าเขาก็ฆ่าเขาได้ แต่มันมีวิบาก อาตมาเชื่อในกรรมวิบาก จิตนิยามมันมีกรรมวิบาก สัตว์ชั้นต่ำมันยิ่งไม่รู้มันจะยิ่งผูกพยาบาทเก่งมาก จริงๆแล้ว นี่นะ สัตว์ชั้นต่ำ พยาบาทเก่งกว่ารัก สัตว์ชั้นต่ำมันจะทำลายมากกว่าดูดเอามาเป็นตัวมัน มันยังไม่รู้เท่าไหร่ที่จะดึงดูดอะไรมาเป็นตัวมัน แต่ตัวมัน มันรักตัวมันเป็นตัวกูของกูยิ่งกว่าใคร มันมีความพยาบาทที่หนักกว่า สัตว์ชั้นต่ำมีความพยาบาทสูงกว่ารัก

ความเป็นคนนี้ กลายเป็นรักสูงกว่าพยาบาท แต่คนชั้นต่ำก็มีความพยาบาทสูงกว่ารัก เพราะฉะนั้นคนชั้นต่ำจะเก่งทางฆ่า พอเจริญขึ้นมา ก็ไม่เอาฆ่า คนจะมีน้ำใจรัก อยู่ด้วยกันอบอุ่นช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีคุณค่าต่อกันและกัน มันจะสูงขึ้นอย่างนี้

เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว คนต้องสร้างพลังงานนามธรรมที่เป็นฌาน มีประสิทธิภาพที่ยิ่งใหญ่มาก เมื่อฌานสลายกิเลส ราคะ โทสะ มีหน้าที่เดียว ฌาน

หน้าที่ของฌาน ฌานมีอะไรเป็นอาหาร มีราคะโทสะโมหะเป็นอาหาร เจอ 3 อย่างนี้ไม่ได้เจอเป็นเอาเลย คุณสร้างฌานได้ สลายไฟราคะโทสะโมหะได้ เรียกชื่อเต็มๆว่า บุญ หรือปุญญะ เป็นพลังงานที่มีธาตุรู้ อัญญะ กับตัวทำงาน ป คือ ปุญญะ

ส่วนฌาน เป็น ฌ มาจากธาตุรู้เหมือนกันแต่ยังไม่ใช่ธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ จาก จ ฉ ช ฌ ญ

การสั่งสม จ ฉ (6) ช ก็เป็นสามเส้าแล้วสั่งสมลงที่ ฌ แล้วมาตัว ญ เป็นธาตุรู้

ฌ คือเจโต ญ คือปัญญา

ฌ คือ static ญ คือ dynamic

ฌานก็คือตัวบทบาท เมื่อจะทำงานมันเป็น Dynamic สลายกิเลส เพราะฉะนั้นนามธรรมที่คนสามารถสร้างพลังงานให้เป็นฌาน แล้วเป็นบุญ คือสำเร็จผลฌาน จิตก็คือมีกิเลส เอากิเลสออกจิตก็สะอาดๆ คนมีกิเลสมีอวิชชามาก่อนเป็นพะเรอเกวียนมามากมาย สะสมตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานมาจนเป็นสัตว์ล้านๆเซลล์ เราก็มาสร้างพลังงานนี้ ล้างกิเลส

แล้วคุณไปล้างสิ่งที่ตกผลึกเป็นอดีตไม่ได้ คุณต้องล้างอันใหม่เท่านั้น ทุกปัจจุบันเป็นการทำงานสำเร็จ อนาคตยังมาไม่ถึง อดีตเสร็จแล้วไปแก้ไขไม่ได้

การปฏิบัติพลังงานทางจิต  ต้องทำปัจจุบันเท่านั้นเรียกว่า ทิฏฐิ ปัจจุบันนิดเดียว กรรมกิริยาก็ในปัจจุบันนั้นอย่างเร็วเสร็จเลย มันจะต่อเนื่องต่อไป ในปัจจุบันนี้ เป็นสายโซ่เป็นปฏิจจสมุปบาทเป็นอิทัปปัจจยตา เป็นปัจจยาการเหตุปัจจัยแก่กันและกัน เลิกติดช่วงนี้แล้วก็จบทุกปัจจุบัน ปัจจุบันที่ทำงานร่วมกันเป็นโดมิโนจนจบหมด

หรือวงวน ทนอยู่กับปัจจุบันถ้ามันสมดุลก็เป็นตัวกลาง แต่ปัจจุบันจะต้องให้ก้าวหน้านั้นจะต้องมีตัวที่แตกออก ขยายเพิ่มขึ้นไปมีทศนิยม มีพลังงานเพิ่มขึ้นอีก จะเรียกมวล ก็ยาก เรียกภาษาวิทยาศาสตร์ระหว่าง quantum กับ photon  อาตมาก็ถนัดที่จะใช้ quantum เป็น static ส่วน photonเป็นไดนามิก จะใช้สลับกันก็ได้ระหว่าง 2 อันนี้ เมื่อมีสภาวะแล้วจะใช้พยัญชนะสลับกันก็ได้

สั่งสม แกน static เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา

มีแกน dynamic เป็น ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ

แล้วรวมกันเป็นวจีสังขาร ที่จะออกไปเป็นกายกรรมวจีกรรมก็อยู่ที่ประธาน

สังกัปปะ 7 นี้จึงสำคัญที่สุดในการปฏิบัติฌาน

ฌานก็คือสังกัปปะ 7 นี้แหละ ถ้าคุณสร้างพลังงานขึ้นมาได้ พลังงานสังกัปปะ 7 คือพลังงานที่มีฤทธิ์จะสลายกิเลสได้ แค่ 5  6 นี้ทำลายไม่ได้ ต้อง 7 ทำลายกิเลสได้สำเร็จ มันมีฤทธิ์เพียงพอเลย ถ้า 7 8 9 ก็เต็ม สามเส้า ใช้ตัวเลขบวกลบคูณหารแทนพลังงานที่มันเกิดตามหน้าที่ จะเป็นหน้าที่บวกลบอะไร

สรุปแล้วกรอบที่คุณทำ คุณทำให้เข้าใจเถอะ ถ้าคุณเข้าใจดีแล้ว คุณก็จะเข้าใจรายละเอียด ที่มันซ้อนได้ชัดเจนเพิ่มขึ้น คุณก็จะทำอันต่อไปได้ง่ายขึ้นๆ เพราะจะมีทฤษฎีแบบแผนที่มีโครงสร้างชัดเจน

แค่เหตุปัจจัยว่า เราเกี่ยวข้องกับสัตว์ หรือเราเกี่ยวข้องกับของ ในประเด็นที่ว่าจิตของเราอย่าไปทำร้ายเขา ถ้าเป็นของเราก็อย่าไปเอาของเขามา

เกี่ยวกับสัตว์มันมีพลังงานทางรับ  เกี่ยวกับของมันเป็นพลังงานเอามาหาตัวกู แล้วเกิดสำคัญที่ข้อ 3 เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายในการสัมผัส มันก็จะเกิดผล เกิดเป็นเหตุที่จะเกิดเป็นผล ให้รู้ชอบรู้ชัง ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ดูดหรือผลัก มันก็จะเป็นเรื่อง ไปสัมพันธ์กับสัตว์สัมพันธ์กับของ ซับซ้อน นี่เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่มากเลย

ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึงเป็นความตรัสรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ยิ่งใหญ่มากเลย กว่าวิทยาศาสตร์ทางวัตถุที่เขายังไปไม่ถึง ที่ไปไม่ถึงเพราะเขาไม่สามารถแยกธรรมะ 2 แล้วทำให้ธรรมะ 2 เป็น 1ได้ จึงเป็นลัทธิเทว เทวะแปลว่า 2 ส่วนอเทวะนี้ ไม่เป็นสองแล้ว แต่คุณก็ทิ้ง 2 ไม่ได้เพราะเป็นชีวะจะต้องมีรูปนามและจะต้องมี I เป็น ISH

หากไม่มีประธานขึ้นมาเป็นตัวกูของกู ตั้งแต่พีชะ ก็มีประธานแล้วแต่ไม่วิจิตรพิสดารเท่ากับจิตนิยาม เพราะฉะนั้นประธานตัวที่เป็นนามธรรม คือจิตวิญญาณ กับตัวศีลที่เป็นประธานไม่สับสนใช่ไหม

เราเกี่ยวข้องกับสัตว์ก็ไม่มีจิตอกุศลไม่มีจิตไปทำร้าย ถ้ารักกับสัตว์ จะมาหาศีลข้อที่ 2 ไม่ใช่ของแต่เอาสัตว์มาเป็นตัวเรา แล้วสัตว์มันมีวิบากของมัน มันไม่รู้แล้ว เราเป็นคน บางทีเราก็จะเป็นคนมีวิบากร้ายกว่าสัตว์ รุนแรงกว่าสัตว์ จัดจ้านกว่าสัตว์ สัตว์บางทีมันก็รุนแรงกว่าคนจัดจ้านกว่าคน

ยกตัวอย่างคนไปเลี้ยงเสือ เสือก็เป็นสัตว์ มันไม่รู้ คนก็พยายามไป ตะล่อมให้ใจมันรักเราเรารักมันมันรักเรา มันก็อยู่ด้วยกันได้ไปดี สักวันหนึ่งมันเกิดเป็นตัวมันขึ้นมามันไม่รักเราแล้ว ดีไม่ดี มาทำกูขนาดนั้นมันทนไม่ได้ ก็ขย้ำจนตาย ก็มีมาแล้ว ถึงบอกว่าอย่าไปเล่นกับมันอย่าไปผูกพันกับมัน อย่าไปมีวิบาก วิบากที่จะไปเกี่ยวข้องกับสัตว์นั้นมีอีกเยอะ หรือแม้แต่จะเป็นคนก็มีวิบากกับคน บางคนจะเป็นคนที่มีปัญญาคุณก็ไปสร้างวิบากกับคนอีกเยอะแยะ ทั้งการทำร้ายกันและรักกัน กับคนนี้ก็มีอีกตั้งเท่าไหร่แล้ว เพราะฉะนั้นคุณอย่าไปยุ่งกับสัตว์ ถ้ามันเป็นสัตว์ก็ตัดวิบากจากมันไปก่อนเลย คุณจะได้มีภูมิคุ้มกัน จะได้มีพลังงานกุศล พลังงานที่สะสมได้เรียกว่ากุศลเป็นพลังงานดี เป็นพลังงานที่เป็นเขื่อนเป็นกำแพงกั้น ไม่ให้ตัววิบากบาปที่จะมาทำร้ายเราเข้ามาถึง วิบากกุศลมันก็วิ่งหาเราเหมือนกัน แต่มันจะไม่ร้ายเท่ากับวิบากบาปอกุศล มันตามทำร้ายเรา วิบากอกุศลนั้นน่ากลัว บุญไม่มีวิบาก นี่ก็ยาก ยากขออภัย ชมตัวเองให้ฟังถ้าไม่มีอาตมาเกิดในยุคนี้ ไม่มีใครเข้าใจว่าบุญกับกุศลต่างกัน แม้แต่เรื่อง กาย แม้แต่เรื่อง สมาธิ แม้แต่เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เถอะ ที่จะมาจำแนกอธิบายให้เข้าใจกัน เอาไปใช้งานได้ครบถ้วน มันไม่ง่าย

เพราะฉะนั้น สรุปลงไปอีกที คุณต้องสร้างพลังงานฌาน จากศีลข้อใดข้อหนึ่งที่คุณทำได้ ยังทำไม่คล่องก็ต้องฝึก ฝึกจนสามารถทำได้เป็นอัตโนมัติ จนกระทั่งเป็นเองเรียกว่าตถตา เราไม่ต้องทำมันก็เดินของมันเองตามเหตุปัจจัย คุณก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมันแล้วมันก็ได้สั่งสมเป็นอัตโนมัติช่วยเราได้ ศีลข้อที่ 1 ได้แล้ว

ก็ขยายต่อ ในศีล 26 ข้อจุลศีลไล่ไป

จากศีลข้อ 1 2 ก็ยังยาก ศีลข้อ 3 นี้ต้องขยายความถึง 6 ทวาร

มันก็เกี่ยวข้องกับของกับพืชก็ยังง่าย ศีลข้อ 1 ก็ยากกว่า ถ้าหากปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิให้ดี ปฏิบัติไม่ถึง 26 ข้อก็เป็นอรหันต์ได้ ยืนยันเลย อาตมาขอยืนยัน ว่าต้องเอาศีลเป็นตัวตั้งเป็นตัวกำหนดให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีศีลเป็นตัวกำหนด การไปนั่งหลับตาปิดทวารทั้ง 5 มันได้ปิดประตูของศาสนาพุทธเลย คุณปิดเลยแล้วตอกหัวกระโหลกไขว้ใส่ประตูเลย พูดมาจะ 50 ปีแล้วนะ หยุดทำแบบนั่งหลับตาเสียที ไม่มีใครกล้าฟันธงอย่างอาตมาหรอก

หลับตาก็มีประโยชน์ที่จะได้พักผ่อน จะได้ศึกษาจิตในจิต จะได้เตวิชโช ส่วนอีกอันที่จะเอามาใช้เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเสวนาปาฏิหาริย์นั้น ตีทิ้งเลย จิตมันก็เป็นจริง คุณอยากจะเล่นฤทธิ์เดชก็ไปหาทางสายฤทธิ์เดชทางโน้น ก็เป็นลูกศิษย์ของฤาษีคันธารี มาลิกา อาตมาไม่เอาแล้วแต่ก็มีเชื้อไปเล่นทางไสยศาสตร์อยู่ตอนแรก เท่าที่มีวิบาก ลิงลมอมข้าวพองก็รู้แล้วว่าเสียเวลา

ขนาดนั้นทำมาทุกวันนี้ อาตมาเล่นไสยศาสตร์ตั้งแต่เป็นฆราวาสจนอายุ 36 เล่นอยู่ 8 ปี จึงพอรู้เรื่องว่ามันเป็นอย่างไร เราเข้าใจไสยศาสตร์เหนือกว่าเขาด้วย ไสยศาสตร์นั้นเป็นความมืดมัวไม่เข้าใจกระจ่าง พอเราเรียนพุทธศาสนาจึงรู้ชัดในไสยศาสตร์ด้วย เราเป็นเหตุปัจจัยของอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม

 

ถ้าจะเรียนรู้ให้ได้ผลตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์แล้วจึงต้องมีความรู้ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นไตรสิกขา ที่ได้สัดส่วนสมบูรณ์แบบ แล้วคุณก็จะได้ผลตามมาลำดับอันดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ใช่ไปได้ 1 แล้วได้ 8 ไปด้วย 9 แล้วมาเอา 3 อีก คุณก็ฟันหลออยู่อย่างนั้นตลอด ต้องทำอย่างเรียงลำดับอย่างได้สัดส่วนให้ดี

อาอู๊ดว่า เหมือนกับจาก 1 จึงเป็นเรา รวมเราเขาเข้าเป็นหนึ่งเหมือนกับศีลข้อเดียวก็เหมือนกับได้ทั้งหมด

พ่อครูว่า.. One For All  All for one เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเกวัฏสูตร ในอิทธิวิธญาณ ทำหนึ่งให้เป็นมากทำมากให้เป็นหนึ่ง สลับไปสลับมา

ธรรมะพุทธเจ้าก็จะเกิดผลทำให้เป็นสุข ความสุขก็เป็นขอยืมภาษาเข้ามาใช้ สุขที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องของ โลกีย์ ยืมภาษาโลกีย์มาใช้เท่านั้นเอง บางทีก็ใช้คำว่าวูปสโมสุข หรือโลกุตรสุขหรือปรมังสุขัง มันยิ่งกว่าสุข แต่เขาแปลว่าสุขอย่างยิ่ง ถ้าหากเข้าใจสภาวะแล้วก็ไม่สงสัยอะไร ใช้พยัญชนะมาสื่อสภาวะ มันเหนือชั้นกว่ากัน

เราบอกว่าเราเป็น คนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ มันก็เป็นเพียงใช้ภาษาเท่านั้น

พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าให้ทำสภาวะจิตที่เป็นฌาน มันจะมี

ปัสสัมภยังกายสังขารัง มันจะสงบลงด้วยการสงบ แต่ไม่ใช่ร่างกายหยุด แต่พลังงานของรูปนาม 2 อย่างทำงานร่วมกัน เราก็เอาตัวพลังงาน ที่อยู่ข้างนอก เกี่ยวข้องกับข้างนอกเกี่ยวกับจิต จิตมันก็สงบ ยิ่งสงบยิ่งเร็วยิ่งคล่อง ยิ่งสงบยิ่งทำงานได้ปราดเปรียว เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่สงบมันก็หยุด หยุดอะไร หยุดในร่างกายหยุดการเคลื่อนไหว กายไม่เคลื่อน วจีไม่พูดมโนก็หยุดคิด(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) อย่างนี้ไม่ใช่ของพุทธ

ฌาน ให้ระงับกายสังขาร จิตสังขาร

กายนั้นเอาที่อกุศลจิตออก ดับ กายก็แคล่วคล่อง กายวิเวก กายคล่องแคล่วเป็นพลังงาน

วิเวก ไม่ใช่พลังงานตัวที่ 1 เป็นพลังงานตัวที่ 4 ของเศษวรรค ย ร ล ว

วิ มีสระ อิ ตัว เวก เป็นตัวที่ 7 อะ อา อิ อี อู เอ เป็นต้น

มีสภาวะทั้ง 2 อัน คือ ทั้งวิ และ เวก สงบ ก็ทำให้สงบทางกายทางจิต จิตวิเวก กายวิเวก

จิตวิเวกยิ่งไว สงบ มีอาการที่ท่านบอกว่าเป็นจิตสังขารัง อภิปโมทยังจิตตัง

อภิ กับ ปโมทยะ คือชื่นชอบใจ

นี่ท่านสรุปเอาไว้ ทำฌาน อย่างในอานาปานสติสูตรขยายไว้

ผู้ใดทำได้ตามนี้ เพียงอาศัยไม่ได้ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ไม่ใช่เหี่ยวแห้ง แต่เป็นจิตร่าเริงเบิกบาน เราต้องเข้าใจสภาวะฐานที่ตั้งที่อาศัย คือจิตที่เป็นอโศก มีแต่จิตอภิปโมทยังจิตตัง พวกเรานี้จิตอโศก แต่มีจิต อภิปโมทยังจิตตัง ไว้อาศัย

คนนี้ที่ควบคุม อภิปโมทยังจิตตัง จะทำให้จิตใจมันโลดแล่นไปสนุกได้ แต่เราทำให้มันสูญได้ ทำให้สูญได้แต่อาศัยทำให้มันสบายใน อภิปโมทยังจิตตัง ให้ร่าเริง กว่าจะซับซ้อนฝึกตนให้มี อภิปโมทยังจิตตัง ต้องทำให้ได้ก่อนไม่ร่าซ่า

ร่าซ่าไม่เอาจัดจ้าน แต่ต้องร่าเริงเบิกบานนิดๆหน่อยๆ ดึงไว้ แรงอย่างนั้นไม่เอา เอาหา 0 หากได้ 0 แล้วอนุโลมให้ได้อาศัยนิดหน่อย เราควบคุมอันที่แรงได้แล้วจึงอยู่ที่ลหุตา มันแรงแต่เราควบคุมให้เบาได้ จึงจบที่ ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ที่จะออกเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ อีก รวมเป็น วิการรูป 5

วิการ คืองานอันยิ่ง คือพฤติกรรมของนามธรรมเป็นพลังงาน งานที่มันเป็น ลหุ ตัวมันเองมุทุ พลังงานที่ทำเป็น กัมมัญญตา ก็ออกเป็นกายวิญญัติ วจีกรรม ถ้าอยู่ข้างในเรียกว่า วจีวิญญัติ ผู้ที่จะส่งออกมา เราไม่ส่งออกมาทั้งหมดที่เราสามารถ ถ้าเรามีทุนอยู่ 100 เราส่งออกไปเพียง 50 ถึง 60 เปอร์เซ็นต์กายวิญญัติ ถ้ายิ่งไม่เก่งก็แค่ 50% ก็เหลือกินแล้ว ใครบอกว่าเราไม่เก่งก็ไม่เป็นไร เพราะคนที่อวดเก่งนั้นตายอย่างเขียดเยอะแล้ว สุดท้ายต้องไปเข้าเฝือกต้องไปต่อกระดูกอีกนาน

สรุป ฌานคือพลังงานที่เราต้องทำตามกรอบของศีล

กำจัดกิเลสเสร็จได้เป็นบุญ ฌานกับบุญ ทำงานเสร็จก็หายไปเหมือนกับระเบิดไฮโดรเจน ระเบิดเสร็จแล้วก็ไม่มีชิ้นเหลือที่ไหนแล้ว พลังงานไม่เหลือไม่มีเศษส่วนสะเก็ด (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูเน้นเรื่องศีล กับฌาน ต้องมีศีลเป็นตัวตั้ง แต่ก่อนเราเห็นยุงก็ตบเลย แต่พอเราปฏิบัติศีลเราก็ไม่ตบมัน และมีเมตตาอยู่ในจิต เราไม่เกิดความรำคาญ ศีลนั้นเป็นตัวตนในการทำลายกิเลสที่เกิดกับสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ฌานศีลในจรณะ 15

พ่อครูว่า... ในฌาน จะขยายความประพฤติออกไปอีกก็ได้ ไปเป็นสติปัฏฐาน 4 ไปเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 หรือต่อเนื่องไปเป็นจรณะ 15

สรุปว่าเป็นไตรสิกขา ฌานก็อยู่ในไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ก่อนจะเกิดสมาธิ ฌานก็ล้างชำระอกุศลจิตออก จนกระทั่งตกผลึกรวมตัวเป็นจิตตั้งมั่นที่สะอาด จิตที่เป็นอกุศลจิต จิตที่เป็นกิเลสหมดไปๆ ที่เหลือก็ตกผลึกเป็นสมาธิ เป็นจิตที่สะอาด ตั้งอยู่

หรือ จรณะ 15 ศีล เป็นข้อแรกของจรณะ 15

คุ้มครองทวาร อินทรีย์ทั้ง 6 จิตก็ปฏิบัติกับทวารทั้ง 5 ภายนอก เราก็อาศัยสิ่งที่เราบริโภคอุปโภค คุ้มครองทวารอินทรีย์ทั้ง 6 เราก็อาศัยสิ่งที่เราสัมผัสแตะต้องเป็นเครื่องอาศัยเรียกว่าอาหาร อาหารทางกาย อาหารทางอารมณ์ อาหารทางวิญญาณ ก็ต้องประมาณในเครื่องอาศัยเหล่านี้

การปฏิบัติทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และเกิดอารมณ์ความรู้สึกเป็น เวทนา คุณก็ต้องศึกษาเวทนา เวทนาเป็นตัวสำคัญมาก รู้สึกชอบรู้สึกชังรู้สึกทุกข์รู้สึกสุข กรรมฐานของพระพุทธเจ้าจึงมี เวทนา ตัวนี้ตัวเดียว แต่เขาผิดเพี้ยนไปไกลเอากสิณ 40 ไปทำเป็นกรรมฐาน น่าสงสาร พาออกนอกรีตนอกทาง ได้ถึงกสิณ40 พอที มันแค่สมถะ เอาเวทนาเป็นกสิณดีกว่า สายหลับตาจะไม่บอกว่าเอาเวทนาเป็นกสิณ

กสิณการเคลื่อนไหวก็อย่างอ.แป้น เอาจิตจดจ่อที่มือนะ อ.คำเขียน อะไรอย่างนี้อ.แป้นเป็นต้น คือสมถะเคลื่อนที่ หลวงพ่อเทียน แม้แต่ติชนัทฮันห์ เป็นสมาธิสมถะเคลื่อนที่ทั้งนั้น

ยิ่งไปทางทิเบตก็ยิ่งมีเยอะเป็นกสิณเคลื่อนที่ เร็วด้วยนะ แต่ยังออกจากสมถะไม่ได้ เป็นวิปัสสนาไม่ได้ เรียกวิปัสสนาก็เรียกตามพยัญชนะ แต่เลอะเทอะไปเยอะแยะ

เพราะฉะนั้นต้องชัดเจนในสภาวะธรรม ค่อยๆเรียงลำดับจากจรณะ 15 คุ้มครองทวารอินทรีย์ จะต้องไม่ทิ้งทวารทั้ง 6 อาศัย อาหาร 4 กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร

เกิดจากเจตนาเป็นตัวหลัก เจตนาจะไปหากามจัดการก่อน เจตนามี 3 กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา วิภวตัณหา คือตัณหาที่ไม่มีภพแล้ว ปราศจากกามตัณหา ภวตัณหา เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยใช้ทำประโยชน์ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องใช้ ถ้าเรายังไม่เป็นโพธิสัตว์เป็นอรหันต์ขึ้นไปก็ต้องจัดการที่กามตัณหาก่อน ภวตัณหาก่อน

กามตัณหา ไปจัดการที่ต่ำหยาบก่อน คืออบาย อันไหนที่ตัวเองสะสมมาเยอะ เกาะเกรอะกรังของตัวเอง คนที่เยอะเขลอะมา หากไม่ล้างออกไปบ้าง คุณอยู่ไม่รอดหรอก เพราะฉะนั้นสังคมชาวอโศกจึงเป็นสังคมอาริยบุคคล ยิ่งยุคนี้ยุคสังคมชั้นสูง ชาวอโศกจะเห็นได้ ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่จัดจ้าน ต้องเป็นสังคมอนาคามี แต่ตอนนี้เรากำลังทำฐานโสดาบันให้เขาเข้าใจ ความจริงแล้วชาวอโศกเป็นฐานอนาคามีเป็นหลัก

ฐานกาม ฐานอบายนี้ มันหาได้น้อยในนี้พยายามกดข่มซ่อนแฝงซับซ้อนไม่ได้ ความจริงแล้วเป็นอนาคามีโดยไม่ต้องลำบากอะไร ในทวารทั้ง 5 ภายนอก กามคุณ เป็นเรื่องที่ทำได้แล้ว ปกติแล้ว

สมณะฟ้าไทว่า..แต่ก่อนอาหารเป็นอาหารอร่อยจัดจ้าน แต่ในสังคมอโศก ราชธานีอโศกเป็นอาหารที่โลกุตระแล้ว

พ่อครูว่า...เราก็รู้แล้วว่าทำให้พวกเรากินในนี้เป็นอย่างไร ทำให้คนข้างนอกเป็นอย่างไรเราก็รู้จักอนุโลมปฏิโลม เราก็จะรู้สังคมรู้บริษัทหมู่กลุ่มนี้ ทำประมาณไหนๆ เราก็อยู่กับหมู่กลุ่มได้ทุกขณะ ลักษณะไหนมันเกินมันจัด เราไม่ไหวมันเกินมือเราก็ไม่ได้ ที่มีอยู่ในมือเราก็ล้นแล้วเราอย่าอ้าขาผวาปีกเลย

สํารวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ก็คือการประมาณเรื่องกินเรื่องอยู่โดยเฉพาะเรื่องอาหารเป็นตัวสำคัญ เครื่องอุปโภคยังง่ายกว่าเครื่องบริโภค เพราะว่ามันไปหาลิ้นไปหารสภายใน มันต้องมีรสอย่างนี้นะ แม้แต่เป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้ายังต้องกินเลย รสนี้มันไปกับเราจนปรินิพพานเป็นปริโยสานเลย กินอาหารมีอาหาร 4

มีผัสสะแล้วก็เกิดเจตนา มันจะไปคู่กัน ถ้าเจตนาของเรามันไม่มีแล้ว ในโลกกาม โลกอบายก็ไม่มีแล้ว ทำได้หมดถึงกามคุณ 5 ก็ไม่มีแล้ว เหลือรูปราคะอรูปราคะ คุณก็ทำสังโยชน์เบื้องสูง คุณก็เป็นอนาคามีชัดๆ อยู่ในนี้มีพวกอนาคามีเยอะในพวกเรา

ในโลกตอนนี้มีข่าวเจ้าสาวกับเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวหนีงานแต่งก็ว่ากันเละไป ข่าวที่รุนแรงก็มียิงหัวกันก็มี

ชาคริยานุโยคะ คำว่าตื่น ต่างกับพุทธะ ก็แปลว่าตื่นเช่นกัน อนุโยคะ คือพากเพียร ให้ตื่น เขาก็ไปแปลแค่ตื่นนอน มันซ้อนมีกิเลสในการนอน

ตื่นให้มีสติสัมปชัญญะมีตัวรู้ รู้รอบ ทางตาหูจมูกลิ้นกายตื่นเต็มไม่ใช่อย่างสะลึมสะลือ ไม่ ต้องตื่นรู้ ตื่นเต็มชัดเจนให้มีสติคือร้อยครบร้อย ตื่นเต็มร้อยทำงานเต็มร้อย เป็นปกติ แล้ว 100 นี้มีความรู้รอบ นอกจากทวาร 5 และมีทวารใจเป็น 6 คุณจะเร็วคุณจะมี มุทุภูตธาตุ จะรู้ สัมผัสทีละอัน แต่มันรู้เร็ว เพราะบางทีมันเกิดความเคลื่อนไหว แม้แต่แสง มันช้ากว่าจิตเรา มุทุภูตธาตุเร็วกว่าพวกนั้น กลัวพวกนั้นมันจะเคลื่อนไหวเรารู้เร็วกว่ามัน 5 รอบ 10 รอบแล้ว จิตคนนี่

อาตมาจึงไม่มีปัญหาที่จะดูโทรทัศน์ 3 จอและที่ทำงานอีก 1 จอคนมานั่งคุยอีกคนนึง อาตมาก็ไม่มีปัญหาหรอก เปิด 5 จอได้ ไม่มีปัญหา ก็ทำงานได้ คือฝึกแล้วมันเกิดจิตมุทุภูตธาตุ มันแววไว ทั้งปรับได้ไว เจโตปรับได้ไว ปัญญาเร็วขึ้นๆๆทั้งสองข้าง ธรรมะ 2 เร็วและรู้ได้เร็วด้วย มุทุภูตธาตุ ภูตะ เป็นตัวจิตวิญญาณ มุ คือ ลักษณะจิตวิญญาณ คือจิตมันมุทุภูตธาตุ

มันก็จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เกิดฌาน เป็นพลังงานที่เกิดได้เลิกได้เร็วคล่องแคล่วว่องไว เป็น ปาคุญญตา แคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียว ฌาน ของศาสนาพุทธจึงไม่ใช่ยิ่งซื่อบื้อ พวกไปนั่งหลับตาสะกดจิตทำฌานนั้น เจ๊งเลย ฌานของพุทธเจ้าต้องลืมตาอย่างคล่องแคล่วว่องไว จิตมีลักษณะเร็ว เป็นผู้ตื่น เร็วรอบว่องไว มีมุทุภูตธาตุ

ฌาน 4 ที่มีอุเบกขา คุณสมบัติอุเบกขามี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มีความบริสุทธิ์ทำงานได้อย่างรวดเร็วเหมาะสมจัดสรรได้เก่ง ก็ยิ่งมีความสะอาดผ่องใส ปริสุทธา เป็นความสะอาดเบื้องต้น แต่ประภัสราเป็นความสะอาดขั้นปลายที่มีผลที่เจริญขึ้นจากการทำงาน บริสุทธิ์อย่างมีความสามารถสูงกว่าปริสุทธา

เพราะฉะนั้นองค์ธรรม 5 ของอุเบกขาจึงเป็นองค์ธรรมของพระอริยะของพระโพธิสัตว์ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ได้ มันจะเป็น Coefficient เป็นสัมประสิทธิ์ที่เราจะเพิ่มได้แม้แต่อายุไขของเรา ยิ่งทำงานยิ่งวิเศษยิ่งเก่ง ถ้าหากยิ่งไม่ทำงานยิ่งจะหนืดและเฉื่อยยิ่งเรื้อ แช่ไป ดีไม่ดีเน่าด้วย

สมณะฟ้าไทว่า..โพธิสัตว์จะต่ออายุต้องมีงานให้ทำถ้าไม่มีงานให้ทำก็จะตาย

พ่อครูว่า...ไม่ต้องห่วงหรอกอาตมาประมาณในการทำงาน อาตมาเจตนาจะอยู่ยาว พูดอย่างนี้ก็ควรจะต้านไว้เถอะ ใครมีจริตจะต้านทานไว้ก็ดึงว่าอาตมา แต่ก็ดึงอาตมาไม่อยู่หรอก แต่ก็ควรจะดึง อาตมานี้เป็นช้างสาร เรียกว่าดื้อก็น่าเกลียด

เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะแล้ว ก็จะเข้าไปสู่สัทธรรม 7 ของจรณะ 15 ก็มี หิริโอตัปปะพหูสูต หรือพาหุสัจจะ แล้วก็มี วิริยะ สติ ปัญญา อีกสามตัว นี่เป็นจรณะ แล้วบวกกับ ฌานอีก 4 ก็เป็น 15

ศรัทธา มันมีความเชื่อถือมันมีกำลังใจว่า ความรู้ ความเชื่อ ความเข้าใจ ความเห็น มันก็คือธาตุปัญญาด้วยกัน ศรัทธากับปัญญา แต่ศรัทธาแนวโน้มความstatic (ไฟดับ)

เมื่อมีศรัทธาและมีหิริโอตัปปะ

หิริ คือ ความละอาย โอตตัปปะคือความเกรงกลัวต่อบาป

ความละอายนี้ยังละเมิดอยู่บ้าง ยังไม่สูง ละอาย หากใครไม่รู้ลับตา ฉันก็ทำ แต่โอตตัปปะนี้ แม้ไม่มีใครรู้แต่เราก็รู้ว่าเป็นอกุศล เราไม่ทำ มันเหนือชั้นกว่ากัน หิริโอตัปปะคือคุณสมบัติของคนที่กลัวบาปกลัวอกุศลชัดเจนในวิบาก ว่ากรรมเป็นอันทำ อกุศลเป็นอันทำ ทำแล้วจะบอกว่าเราไม่เอาไม่ได้ เอาไปแบ่งให้ใครก็ไม่ได้ ทำให้มันหกตกหล่นก็ไม่ได้ ไม่ได้ทั้งนั้น ทุกอย่างที่ทำเป็นกรรมเป็นของเราหมดไม่หกตกหล่นไม่ระเหิดไม่ระเหย ได้เต็มๆกรรมเป็นอันทำ กรรมคือการกระทำที่มีวิบากเป็นคนสั่งสมสะสม เราไม่สะสมวิบากบาปที่มาออกฤทธิ์กับเราจนกว่าเราจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน กุศลวิบากก็จะสั่งสม ดีและชั่วเป็นสมบัติ แปลว่าบุญเป็นวิบากไม่ใช่สมบัติมีหน้าที่เดียว หรือฌาน ก็เป็นเหตุของบุญ บุญเป็นผลของฌาน ฌาน ทำพลังงานทำลายกิเลส พอได้ครบถ้วนเต็มรอบก็จัดการกิเลสหยุด เริ่มทำซ้ำ เป็นภาวนามัยสั่งสมผลให้แข็งแรงตั้งมั่นต่อไป

การประกอบความตื่นให้เกิดศรัทธา หิริ โอตัปปะ ทำอย่างตื่น สำรวจในของกินของใช้นั่นแหละแล้วก็สั่งสมเป็นพหูสูต ดีขึ้นเจริญขึ้น มากขึ้น สุตะ ก็รู้ หรือพาหุสัจจะ หากเข้าใจตามสระพยัญชนะ

พหูสูต กับ พาหุสัจจะ สุตะคือความรู้ สัจจะคือความจริงเป็นธรรมะ 2

พหุ หรือพาหุก็คือมาก มากทั้งความรู้และความจริง  เอาพหูสูตมาใช้ก็ได้ มันเป็นไวพจน์กัน รายละเอียดมีอีก แต่เอามาใช้แค่นี้ก็ได้แล้ว พาหุสัจจะหรือพหูสูตก็อันเดียวกันใช้แทนกันได้ จริงๆแล้วละเอียด มันก็ไม่เหมือนกันทีเดียวแต่ก็ใช้แทนกันได้

ก็เหลืออีกสามเส้า คือ วิริยะ สติ ปัญญา เพราะฉะนั้นอินทรีย์ 5 ของตัวกำลังที่มันจะสะสม

อินทรีย์ 5 มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

วิริยะ มันก็มีในจรณะ 15 ด้วย มาเติมปัญญา ที่เป็นตัวรู้ลึกซึ้ง

ปัญญาเป็นของโลกุตระเท่านั้น เฉกะหรือเฉโก เป็นเรื่องของโลกียะมันเกี่ยวกับทวารทั้ง 6 เป็นสภาวะหมุนรอบเชิงซ้อน หากเอาแต่นั่งหลับตาสะกดจิต ไม่มีปัญญา เกิดหรอก มีแต่สัญญา หากเข้าใจสัญญากับปัญญาไม่ได้ก็สับสน

จริงๆแล้วสัญญาก็มีสภาวะเก่งเหมือนกัน มันใช้งานข้างนอกกำหนดรู้ข้างนอกก็ได้ แต่ปัญญานั้นทำงานกับข้างนอกเท่านั้น ไม่มีข้างนอกเป็นปัญญาไม่ได้ แต่สัญญาเป็นได้ในข้างในและข้างนอก สัญญาดูเหมือนเก่งกว่าปัญญา แต่ปัญญามันสูงกว่าสัญญา สภาพหมุนรอบเชิงซ้อนกลับไปกลับมา แต่มีนัยสำคัญต่างกัน ปัญญาต้องมีข้างนอกด้วย ในภวังค์ไม่มีปัญญาเกิดขึ้นไม่มีการสะสมปัญญาในภวังค์ เพราะฉะนั้นการนั่งหลับตานี้ คุณไม่มีหรอกศีล สมาธิปัญญา ไม่ได้ปฏิบัติศีลเลย แล้วเหลือแต่สมาธิอย่างหลับตา ปัญญาคุณก็ไม่เกิด คุณได้แต่ทำสัญญาๆๆเท่านั้น นี่นัยละเอียดมี

วิริยะ สติ ปัญญา 3 เส้า ตัวนี้จึงเป็นตัวสัมประสิทธิ์เป็นตัว Coefficient เติมให้เจริญขึ้นได้เรื่อยๆ วิริยะ แล้วก็ตื่นเต็มสติ เสริมให้เกิดปัญญา วิริยะ สติ ปัญญา 3 เส้า จึงเป็นตัวหลักที่อยู่กับเราทุกวินาที ละเอียดกว่าวินาทีอีก  คุณต้องตื่น ต้องมีวิริยะ เพียรทำให้เกิดปัญญา  เพราะปัญญาเป็นตัวรู้ของโลกุตระ ถ้าคุณไม่ครบก็ไม่ได้โลกุตระได้แต่เฉโก เฉกะ ก็ได้แต่สมมติสัจจะ แต่ถ้ามีปัญญาจึงจะเกิดปรมัตถสัจจะ อันสมมุติเป็นโลกียะเท่านั้น ตัวเพียรไม่มีตัวรู้รอบสติตื่น

การหลับตานั้นสติที่จะมีข้างนอกนั้นไม่มี ตื่น ดูข้างนอกไม่มีมีแต่ตื่นข้างใน เก่งนะ ทำให้ตื่นข้างในเก่งสว่างภายในใส แต่มันก็เก่งในแค่กะลาครอบ ใสแค่ในกะลาครอบ ก็มีประโยชน์น้อยและไม่รู้โลกข้างนอกด้วย

แสงสว่างของพระพุทธเจ้าจึงมี 5 ข้อ คือ แสง สว่าง ปัญญา ญาณ วิชชา

ปัญญาคือความรู้ซับซ้อน ญาณคือความรู้องค์รวม วิชชาเป็นภาษาพระพุทธเจ้าที่ใช้คู่กับอวิชชา รวมความรู้ทั้งหมดของพระพุทธเจ้าคือวิชชา สัตว์ทั้งหลายเกิดมาด้วยต้นเหตุคืออวิชชาคือความไม่รู้เมื่อรู้แล้วก็เกิดวิชชา ก็คือญาณปัญญานั่นเอง ต้องเกิดอยู่ในโลกที่มีแสงสว่างมีแสงพระอาทิตย์ อาโลกสัญญา กำหนดรู้แสงสว่างมีพระอาทิตย์ข้างนอกร่วมด้วย เพราะฉะนั้นมีทั้งแสงมีทั้ง อาโลกสัญญาคือกำหนดรู้ ควบคุมตัวแสง จะไม่ใช่แสงจากพระอาทิตย์ก็ได้ แสงก็คือความสว่าง ส่วนความสว่างที่กำหนดด้วยอาโลกสัญญา คือ พระอาทิตย์ คือข้างนอก

แสงสว่าง แสง คุณทำแสงอยู่ข้างใน ขยายแสงให้สว่างภายในนั้นเป็นการเล่น เขาจะกำกับไว้ครบเลย  แสง สว่าง ปัญญา ญาณ วิชชา  คำว่าญาณกับปัญญาสลับกันได้แต่วิชชา เป็นตัวรวมทั้งหมด ญาณกับปัญญาสลับกันไปมาได้

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ท่านบัญญัติ พระพุทธเจ้าบัญญัติ จึงเป็นผู้ที่รู้ครบพร้อมทั้งภายนอกและภายใน อาโลกสัญญา นี่คือ ความรู้รวมเรียกว่าความรู้ที่ต้องมีแสงมี อาโลกสัญญา ในตัวความรู้ ญาณ ปัญญา วิชชา

มณะฟ้าไทสมณะฟ้าไทว่า...สรุป


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:15:28 )

610726

รายละเอียด

610726 สวดมนต์รื่นเริงขิฑฑาปโทสิกะเป็นโทษ

พ่อครูสนทนาธรรมกับปัจฉาฯยามเช้า บ้านราชฯ 26 ก.ค. 2561

      เดี๋ยววันนี้จะไล่เบี้ยเรื่องสวด สวดหาเงิน มี 2 ทาง เป็นมโนปโทสิกะ กับ  ขิฑฑาปโทสิกะ ครบเลย ส่วนมโนปโทสิกะ เป็นเรื่องคลั่ง เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องสร้างวิมาน เป็นเรื่องลึกลับ ส่วนขิฑฑาปโทสิกะ โอ้โห ไพเราะเพราะพริ้ง หวาน ยวนใจ ขิฑฑา สนุกรื่นเริงไป ก็ 2 นัย คือมันครบเลย นรก 2 ขุมใหญ่  มโนปโทสิกะ ขิฑฑาปโทสิกะ 2 ใหญ่ครบเลย เห็นไหมมันบานปลาย จากนรก 2 ขุมใหญ่แล้วก็ไปแตกลูกแตกหลาน

ทางด้านมโนปโทสิกะ ก็ไปขลังบ้าง ไปวิมาน ไปลึกลับ ไปหลอกกันอีกเยอะแยะเลย  ทางด้านขิฑฑาปโทสิกะ ก็โอ้โห รื่นเริงบันเทิง สนุกสนาน เอร็ดอร่อย แตกลูก ไปเป็นวงดนตรี เป็นนักร้องchoir (ควาอี้) เป็นอะไรไปสารพัด มีแร็พ โอ้โห ทางสู้กันนะ ตาลปัตรคนละข้าง พระแหล่ ไปใหญ่โต เนี่ยเราจะได้พูดชัดเจนว่า มันเป็นไปอย่างนี้ มันจริงๆไม่ใช่เราพูด เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่

 

ถอดข้อความโดยอุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:17:00 )

610726

รายละเอียด

610726_รายการสำมะปี๋ซีวิต บ้านราชฯ ตอน 1

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1hysUjWH_MMjRDXEbRi6lKSoHfCq5YzugAXV-ISXnyUU

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=128cPr-G64B8QYXtmt6N--Z_lRZshiNZj

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน เริ่มต้นรายการสำมะปี๋ซี่วิต

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561 ที่บวร ราชธานีอโศก แต่ก่อนไมค์มันยาวๆ มันมีไมค์กับตุ้มยาวๆ นักร้องก็ร้องที่ตุ้มไม่ได้ร้องที่ไมค์ สมยศ ทัศนพันธุ์ อาตมาเป็นนักรัองไม่ได้ตามตุ้ม อาตมาเป็นโฆษก

(ถามว่าจะเริ่มรายการตอนไหน)...พ่อครูว่า...อยากจะถ่ายเมื่อไหร่ก็ถ่าย คุณไม่ถ่ายก็มีนิพัทธทุกข์เอง ทุกข์มี 6 ชนิด ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้เช่นปวดขี้ปวดขี้ พระพุทธเจ้าก็ต้องมีประจำชีวิตเอาทิ้งออกไปไม่ได้มันเลี่ยงไม่ได้ ทุกข์ที่เลี่ยงได้มี 4  ส่วนทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ก็มี 6 วันนี้วันที่ 26 กรกฎาคม 2561 july เข้ารายการตั้งนานแล้ว พรุ่งนี้ก็อาสาฬหบูชาและ แรม 1 ค่ำเข้าพรรษา ปีจอ ปีเดียวกับที่อาตมาเกิด อาตมานี้เป็นหมากลางตลาด ต้องหากินเองไม่มีเจ้าของ ไม่มีใครเลี้ยง ต้องหากินเอง ต้องหลบบังตอเขาจะฟันเอา ก็ไปหากินต้องหลบน้ำร้อนเขาจะสาดเอา หมอดูเขาบอกไว้ อาตมาต้องทำงานช่วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นไม่มีใครเลี้ยงไว้

แต่ที่สุดแล้วนะทำงานมาตั้ง 47 ปี ย่าง 48 ปี ทุกวันนี้ อาตมาเห็นว่าเขามีคนเลี้ยงไว้ให้ ปรปฏิพัทธา เมชีวิกา ชีวิตนี้อาศัยผู้อื่นเลี้ยงเอาไว้ตามหลักของพระพุทธเจ้า ชีวิตนี้ให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้ไม่ต้องกังวล ถ้าเราไม่ดีจริง เราไม่ทำงาน เราทำงานไม่เป็นประโยชน์คุณค่าไม่มีอานิสงส์เพราะที่เขาจะเลี้ยงดูแลเอาไว้ เขาไม่เลี้ยงก็ตาย พระพุทธเจ้าให้พึ่งพาตนเองให้มีประโยชน์ ปฏิบัติธรรมตามธรรมวินัยจนคนเห็นประโยชน์ยินดีที่จะอนุเคราะห์เลี้ยงดูไว้ เป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อศาสนา อบรมตนอยู่ในธรรมวินัย มาบวชแล้วไม่สูญเปล่า

แต่ทุกวันนี้เขาไม่เป็นไร เป็นจารีตประเพณี เสร็จแล้วก็สร้างความหลอกลวง สร้างของไม่เป็นจริงครอบงำตามจารีตประเพณี พระปฏิบัติแย่ มีคนบอกว่าเสียงเบาไป พ่อครูว่าอยู่ที่เครื่องสิ อย่าให้ตะโกนมากกว่านี้ไปพลังงานมันจะหมด ฝ่ายเสียงให้ดังหน่อยไม่ต้องหวงหรอก

สมณะดินไทว่า...คนที่อยู่ทางบ้าน คนที่อยู่บวรอื่นๆ โทรศัพท์มาร่วมรายการจะได้ไหม

พ่อครูว่า...ได้

สมณะดินไทว่า..คงยาก เพราะว่าสัญญาณดีเลย์ ใครอยากมีส่วนร่วมก็ส่งคำถามมา

สมณะฟ้าไทว่า...สงสัยว่า ทำไมปีจอเขาต้องกำหนดเป็นปีหมาด้วย

พ่อครูว่า..ตอบไม่รู้ มันไม่ยาก เขากำหนดมาแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขากำหนดเป็นปีนักษัตร ทำไมเขากำหนดก็ไม่รู้ เรื่องแบบนี้ยอมโง่ และไม่อยากค้นคว้าด้วย เขาจะให้ปีจอเป็นหมู่ ตีอะไรเป็นอะไรก็ไม่ว่าเราไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา ที่จริงผู้ที่สร้างผู้ที่กำหนดเค้าไม่ทำอย่างชุ่ย เขาจะมีหลักเกณฑ์กันอยู่ เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายนมันเป็นภาษาที่เก่าแกออกมาตามธรรมชาติ

สมณะเดินดินว่า...อยากจะถามต่อจากปีจอ เรื่องความหมายไม่ติดใจ พ่อครูว่า ชีวิตเกิดมาเหมือนหมากลางตลาด แต่เราดูศาสนาทุกวันนี้เราต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก

พ่อครูว่า..หมายความว่าต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก

สมณะเดินว่า...ในเรื่องทานบารมี พ่อครูสู้แม้แต่ลุงจำลองไม่ได้ ที่จะมีคนมาช่วยเหลือมากกว่า แต่ความรู้สึกของผมรู้สึกว่า สปอนเซอร์มีน้อย เรามีแต่สปอนฉลาด คนที่มาช่วยก็ช่วยโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน มาช่วยเพราะเห็นสัจจะ แต่ว่ามันก็มีความไม่สมดุลว่า ถ้ามีพวกสปอนเซอร์มาเยอะ

พ่อครูว่า...คนที่มาช่วยนี้ของผมมีแต่สปอนฉลาด

สมณะเดินดินว่า..การขยายการเติบโตก็ค่อนข้างจะช้า แต่ถ้าสปอนเซอร์มากการขยายการเติบโตจะรวดเร็ว

พ่อครูว่า...จริงๆแล้วการทำงานของศาสนา มันก็ไม่ได้อาศัย เงิน สปอนเซอร์ที่พูดนี้มันจะหมายถึงเงิน เอาเงินมาเป็นตัวทำงาน เป็นตัวบทบาท มันไม่ต้องอาศัยมากหรอก เรื่องนี้ก็ขอสาธยาย ในชีวิตของตัวเองดูบ้าง

อาตมาเกิดมา ปางนี้เป็นปางที่ต้องทำงานหนัก ต้องทำงานหลายอย่างหลายมิติ จะต้องสร้างแม้แต่ที่อยู่อาศัยเอง ขวนขวายสร้างไป จะเห็นได้ว่าอาตมาตั้งแต่บวชมา ไม่เคยไปจองที่สาธารณะที่ไหนตามที่พระท่านเคยจอง อาตมานี้เป็นพระปฏิบัติ พระปฏิบัติเขาไม่ใช่พระบ้านที่จะมีคนสร้างวัดวาให้ เขาจะไปแล้วค่อยสร้างที่อยู่อาศัยด้วยตัวเอง เรียกว่าวัดป่า จะสร้างเองไปใช้ที่สาธารณะ อาตมาไม่ได้ทำเลย ไม่ได้ไปใช้ที่สาธารณะ มีแต่จะไปใช้ที่ต้องขวนขวาย มีแต่ญาติโยมที่จะช่วยแล้วก็ต้องหาสตางค์ซื้อเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปฐมอโศก ก็ต้องไปซื้อต่อทั้งนั้น สันติอโศกก็ตาม ราชธานีอโศกก็ตาม ศีรษะอโศกก็ตามทุกแห่งเลย เขาให้เป็นเค้าหน่อยนึง เมื่อลงหลักปักแรงไม่พอใช้หรอก มันมีไม่ถึงร้อยไร่ มันจะต้องกว้างกว่านัน้

เพราะที่ๆจะสร้างนี้จะไม่เหมือนที่อื่นเขา ที่อื่นเขาสร้างพระปฏิบัติที่จะก่อเกิด เขาจะสร้างแต่วัด แต่อาตมานี้สร้างชุมชน อาตมาจะสร้างบวร บ้านวัดโรงเรียน ตั้งแต่เริ่มจนถึงบัดนี้ จะมีความเข้าใจมีจุดมุ่งหมาย มีกรอบมีวง มีสิ่งแวดล้อมที่จะทำงานของอาตมาจะต่างกับพระทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพระบ้านหรือพระป่า เป็นลักษณะที่ลึกซึ้ง

ถ้าวัดป่านี้เจ้าอาวาสใหญ่ที่สุด แม้แต่วัดบ้านเจ้าอาวาสใหญ่ที่สุด อาตมานี้ไม่ได้ใหญ่ที่สุด ฆราวาสใหญ่สุดเลย

สมณะฟ้าไทว่า..มันเป็นเรื่องอจินไตยไหม เวลาเราซื้อที่ก็ซื้อแพงเวลาจะขายก็ขายไม่ได้

พ่อครูว่า...เราจะต้องเกิดมาเป็นผู้เสียผู้สละเป็นผู้ให้เขา เราไม่ใช่เป็นผู้ที่จะได้เปรียบเป็นผู้จะเอาจากใคร มีแต่จะเป็นผู้ให้ อันนี้เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องจริง เราจะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นคนที่เกิดมาแล้วได้เปรียบเอาเปรียบได้ ได้เปรียบดี มีอะไรมาเลยมันไม่ใช่อาตมาว่า ไม่ใช่ตัวอย่างที่ควรเป็น นี่ถูกต้องแล้ว ถ้าจะซื้อต้องซื้อแพง จำเป็นเราก็ต้องซื้อ

คุณใจแก้วว่า...ฟังท่านเดินดินพูด ดิฉันคิดว่า พ่อท่านเป็นหมากลางตลาด พ่อท่านไม่มีสปอนเซอร์เยอะ แต่ว่าพวกเรานี้เป็นลูกของหมากลางตลาด มันให้ทั้งแรงงานและชีวิต มันเลยยิ่งกว่าเงินทองและวัตถุ เพราะแต่ละคนมาไม่มีเงินก็จริง แต่ว่าเป็นบริวารที่เป็นพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่มากเลยค่ะ

พ่อครูว่า...ดีมากที่เข้าใจ

คุณใจแก้ว...ไม่ต้องเอาเงินมา แต่ทุ่มเททั้งชีวิตเงินกี่ร้อยล้านก็ซื้อไม่ได้

สมณะฟ้าไทว่า..ลูกหมากลางตลาดต้องเอาตัวรอดเก่ง

คุณใจแก้ว...หนีน้ำร้อนมาเยอะ หนีปังตอ

สมณะเดินดินว่า...ต่อจากประเด็นคุณเข่ง..พวกเรามาจึงยิ่งใหญ่มาก ความยิ่งใหญ่มากรู้สึกจะเป็นปัญหากับศาสนาเหมือนกัน มีคนบอกว่าพวกเรา ถ้าทำสินค้าทำงานทำอะไร ถ้าเป็นระบบวัดนี้จะไม่ได้ เพราะว่าระบบวัดแล้วแต่แรงบันดาลใจของใครของ แต่ถ้าได้มาตรฐาน แบบทางโลกเขาจะยากมากเลย เพราะความยิ่งใหญ่ของแต่ละคนจะผลิตอะไรตามความยิ่งใหญ่ของแต่ละคน

พ่อครูว่า..ของเราไม่เหมือนมาตรฐานโลก เพราะเรามีการกำหนดหมาย มี Concept มีกรอบที่เรารู้ว่าเราจะต้องทำอย่างนี้ไม่ตามใจโลก

สมณะเดินดินว่า...แต่ละคนก็จะทำตามอัตตาตัวเอง

พ่อครูว่า..เราไม่ตามใจโลก แต่เรามาตามใจกู กูก็เลยคิดว่าตามคอนเซ็ปตัวเอง อย่างนี้ดีของตัวเองดี ใช่ อันนี้ก็ดีไง ถูกต้อง เป็นแต่เพียงว่าเราจะสร้างอัตตาตัวเรา ให้เป็นคนที่มีความหลุดพ้น ที่จริงจะต้องอาศัยอัตตาตัวเอง พระอรหันต์คือผู้ที่มีอรหัตตา เต็มไม่ลึกลับ อรหะ คือไม่ลึกลับแล้ว อรโห อรหะ แปลว่าไม่ลึกลับแล้ว อรหันต์ไม่ลึกลับในอัตตาท่านพ้นอัตตา 3(โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา) แต่ท่านยังมีตัวตนยังไม่ตายก็ต้องอาศัยอัตตาที่ท่านไม่ลึกลับในความเป็นอัตตา ท่านอยู่เหนืออัตตา การกินใช้ตัวตนที่มีปกติไม่มีกิเลสไม่มีความลำเอียง และไม่เข้าข้างใคร ท่านจะมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ที่จะทำอย่างเหมาะควร เป็นกัมมัญญตา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน อาเทสนาปาฏิหาริย์คือเดรัจฉานวิชชา

พ.ต.ท.ดุลเพชร ...อยากเล่าอจินไตยตัวเอง อาเทสนาปาฏิหาริย์ เราสามารถรู้บางสิ่งบางอย่างที่เรากำหนดได้ มันเป็นเฉพาะของตน บางทีเราสั่ง ส่งจิตให้บังคับเขาลงมา อย่างคนนี่ หรือกิ้งก่า เราดูคน คนไหนเป็นคนร้ายที่เราต้องตามจับตัว เป็นต้น

พ่อครูว่า...อธิบายให้เข้าใจตามหลักฐานเหตุผลแวดล้อม จริงๆให้เข้าใจเลยว่า ถ้าคนเราสามารถใช้พลังงานจิต เป็นพลังอำนาจเลย สั่งให้คนไหนมาหาเราได้ เราเก่งแล้วก็จะใช้อย่างนี้เลย

1. ถ้ามันได้จริงพระพุทธเจ้าก็ใช้ไม่น้อยแล้ว แต่ไม่เห็นว่าพระพุทธเจ้าจะใช้เลย ถ้ามันใช่จริง

2. ถ้ามันจะได้จริง มันก็ไม่ง่ายมันต้องใช้พลังงานมากและพลังงานสูง ถึงจะมีอำนาจมีพลังที่จะใช้ได้ เพราะฉะนั้นมันไม่คุ้มเลย เปลืองเสียเวลา เดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้หรอก กดเอาก็ได้แล้ว

พ.ต.ท.ดุลเพชรว่า..ช่วงที่ผมเป็นสารวัตรสืบสวน ก็เคยชัด

พ่อครูว่า...ตอบตามหลักวิชาก็ได้แต่มันไม่เที่ยงพลังงานพวกนี้

พ.ต.ท.ดุลเพชรว่า..ใครมารังแกดูถูกเหยียดหยามผมหรือทำร้ายส่วนมากจะอายุสั้นหรือตาย ขึ้นอยู่กับวันเดือนปีเกิดหรือไม่ผมเกิดวันอังคาร

พ่อครูว่า...เป็นเรื่องนอกที่ศาสนาพุทธเป็นอำนาจพิเศษอะไรพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน เราอยาก เราเบ้ง เราได้เปรียบเรามีฤทธิ์ ให้มามองหาอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า

พ.ต.ท.ดุลเพชรว่า.. มันเป็นบารมีของแต่ละคนใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าให้ทิ้งให้วาง ใครยังงมงายกับมันก็เป็นคนโง่ไม่อยากโง่ก็เชิญเถอะ แม้เราจะมีจริงก็อย่าไปทำอย่าไปยินดีมันไม่เป็นคุณค่าประโยชน์อะไร บางครั้งมันก็ได้อย่างพระพุทธเจ้า คนจะมาคิดร้ายกับท่านก็แค่ได้รับโทษภัยไปมันเป็นมันมี แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ยินดียินร้ายอะไร มันเป็นอจินไตย อย่าไปจัดการกรรมวิบากอจินไตย ให้จัดการของตัวเอง เราจัดการตามคำสอนพระพุทธเจ้าเท่านั้นพอแล้ว ถ้าเรามีบารมีจริง ใครมาปองร้ายท่านก็จะแพ้ภัยตัว มันเป็นสัจจะ

ดุลเพชรว่า...ผมตั้งใจจะมาหาพ่อท่านก็รู้สึกจะสะดวกไม่มีอุปสรรคเลย ก็เลยโชคดี

พ่อครูว่า..เรามองแต่แง่ที่เราว่าเราได้แค่นั้น เก่ง เรามีความพิเศษ ความพิเศษมันจะหลง พวกนี้หลงติด มันจะเกิดจะมีเป็นบารมีไปเถอะ เราจะมุ่งเอาแต่แบบนี้มันไม่ดี เราอย่าไปเสียแคลอรี่กันแบบนี้เลย เอาพลังงานมาใช้ตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ตามคำสั่งพระเจ้า ท่านสอนว่าอย่าฆ่าสัตว์ อย่าลักทรัพย์ อย่าผิดผัวเขาเมียใคร อย่าพูดปด อย่ามอมเมาตัวเอง ในจุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 มหาศีล 7

พูดถึงศีลก็ขอฉวยโอกาสอธิบายหลักวิชา ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่เหลือแล้วศีล มีแต่วินัย 227 แล้วเขาก็หลงวินัยว่าเป็นศีล ซึ่งมันผิด

วินัยเป็นกฎหมายอาญามีข้อลงโทษ แต่ศีลไม่มีข้อลงโทษ เป็นธรรมนูญเป็นสิ่งที่บัญญัติขึ้นมาให้คนระมัดระวัง ปฏิบัติตามให้ดี ทำไม่ดีก็ไม่เจริญ ถ้าดีก็เจริญเป็นอรหันต์ได้ พระพุทธเจ้าตั้งแต่สร้างศาสนาก็บัญญัติธรรมนูญมาเป็นหลักของศาสนา แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีความเข้าใจไม่เห็นความสำคัญทิ้งเลย จึงพูดได้เลยว่าศาสนาพุทธไม่เหลือ มันยังดีอยู่ตรงที่มีจารีตประเพณีที่มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 มันก็คือจุลศีล 26

ส่วนมหาศีลคือเดรัจฉานวิชาทั้งหมดเลย ศาสนาพุทธทุกวันนี้ มหาศีลมีเต็มไปหมดเลย แล้วถ้าไม่มี เขาถือว่าไม่ใช่ศาสนาด้วย พวกรดน้ำมนต์จุดธูปจุดเทียน สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีการสวดมนต์ให้พร

ทุกวันนี้นักบวชอาศัยการสวดมนต์เป็นเครื่องหากินให้แก่ชีวิต

 

สมณะเดินดินว่า..พ่อครูคุยกับปัจฉาว่า จะพยายามไม่ให้รายการนี้เป็นทางการ พ่อครูเลยห่มจีวรแบบไม่เป็นทางการ

พ่อครูว่า..อาตมาก็ทำเอง จะถามอะไรก็ถามมาได้

สมณะหินจริง...พ่อครูวิดพื้นได้กี่ทีแล้วครับ

พ่อครูว่า...ตอนนี้ก็มาออกกำลังกายใช้วิธี ยึดพื้นบ้าง เพราะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อตรงหน้าอกตรงแขนจะฟีบเหี่ยว หย่อนยาน ก็เลยคิดว่าจะช่วยมันหน่อย ก็เลยต้องวิดพื้น วันนี้วิดได้ 31 ครั้ง เพิ่มวันละครั้ง แต่ยังไม่ถึง 31 วัน ไม่ได้เริ่มต้นที่ 1 เริ่มที่ 10

สมณะหินจริงว่า...จะได้ถึง 50 ไหมครับ

พ่อครูว่า...ก็จะดูกำลังตัวเอง คิดว่า 50 ก็คงจะเป็นลิมิต ไม่น่าจะเกิน 50

สมณะหินจริง ผมลองเรียนแบบพระครูได้ประมาณ 20 ครับตอนนี้

พ่อครูว่า..คิดว่าคงจะประมาณ 50

 

มีคลิป….ให้ดู คลิปพระเทศน์แบบร้องเพลง …

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน การบวชตามประเพณีเป็นการทำลายศาสนา

_ทีม 13 หมูป่าบวชตามความเชื่อชาวพุทธเมืองไทยว่าจะได้บุญกุศล แต่ความเชื่อของชาวพุทธแบบอโศกบวชตลอดชีวิต ทำอย่างไรจะให้ทีมหมูป่าเขาทำได้บุญตามความเห็นของพ่อครู

พ่อครูว่า...การบวชคือการออกมาปฏิบัติธรรมตามธรรมวินัยของพุทธเจ้า บวชแล้วก็จะได้จีวร จีวรเขาเรียกว่าธงชัยพระอรหันต์ เป็นชุดที่เหมือนกับการมูรธาภิเษกของพระภิกษุ บวชแล้วก็มีฤทธิ์ พ่อแม่ก็ต้องกราบคนที่มียศศักดิ์ก็ต้องกราบ ได้อภิสิทธิ์หลายอย่าง เพราะฉะนั้นถ้าเอามาทำเล่น คนที่ได้จีวรคลุมตัวได้อภิสิทธิ์ได้เกียรติยศ ที่ประชาชนให้ ถ้าตัวเองยังเป็นคนไม่มีคุณธรรมคุณค่าพอที่เขาจะกราบ คนนั้นได้บาปตลอดกาล คนนั้นไม่มีคุณธรรมพอที่จะให้เขากราบ คนที่มียศศักดิ์ตำแหน่งหน้าที่ หรือพ่อแม่จะกราบก็ต้องมีคุณธรรม เพราะฉะนั้นบวชตามจารีตประเพณีมันก็เพี้ยนสลับซับซ้อน มันก็ไม่มีสัจจะความจริงอะไรเลย สรุปแล้วการบวชนี้ไม่ใช่เรื่องการทำเล่น ศาสนาเสื่อมเพราะทำการบวชและเข้าใจผิดโง่ๆ การเอาคนมาบวชเล่นนี้โง่ทุกคน

หนึ่งเราต้องรู้ว่าสมัครใจจะบวชและตั้งใจบวชจริง ส่วนมากจะไม่สึกหรอก บวชจนตาย คำขอบวช แต่เดี๋ยวนี้ตัดออกไปหมดแล้ว การบวชเลยกลายเป็นที่ทำมาหากิน คนมีอายุมากไม่มีทางหากินก็มาบวช เดี๋ยวนี้มีเยอะเลย 200,000-300,000 รูปคือพระที่ไม่มีที่ไป ก็เลยมาบวช ถึงมีความซ่อนเชิง บวช ตอนบิณฑบาตก็ใส่ชุด เมื่อเสร็จจากบิณฑบาตก็ใส่ชุดแบบฆราวาส ไม่ได้กลัวบาปกรรมเลย เป็นคนที่ได้บาปยังนรกกินหัวเต็มที่เลย การเอาเด็กมาบวชเณรนี้ก็ดี เอาผู้ใหญ่มาบวชพระก็ดี ยิ่งเอามาบวชเล่นบวชประเทืองบัลลังก์ตัวเอง เช่นธรรมกายจะเอาคนมาบวชเป็นล้านคน เป็นความทำลายศาสนาให้ฉิบหายวายป่วงด้วยความคิดที่โง่ บวชมาปุ๊บ พระที่ไม่รู้เรื่อง พระหนุ่มแน่นพระกลัดมัน เดี๋ยวมันก็อาบัติสังฆาทิเสสข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ง่ายจะตายชัก เรื่องของกาม บาป และบาป สังฆาทิเสสนี้ไม่ใช่เรื่องยาก และเผลอๆ กิเลสมีมากก็สังฆาทิเสสง่ายมาก แล้วก็อยู่ปนเปกับพระปกติ ไม่อยู่กรรม ปิดบังหมกหมักหมมเน่าใจ อยู่กันอย่างนั้น เอาพระหนุ่มหนุ่มมาบวชกันเป็นร้อยคนพันคน รับรองเลย พระพวกนี้อาบัติสังฆาทิเสสไม่ใช่น้อย หรืออาบัติข้ออื่นก็ง่ายเลยสำหรับคนมีกิเลสตัณหา

ทำเล่นแบบนี้ทำให้ศาสนาเสื่อมโดยไม่เดียงสา นึกว่าเป็นประโยชน์คุณค่า ว่าเป็นการรักษาศาสนาไว้ เป็นความเข้าใจผิดหมดเลย อาตมาเกิดมาในชาตินี้ เลยต้องมาทำทุกอย่างให้เข้าร่องรอยตามเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้า พยายามฝืนทนที่ต้องทำทวนกระแสเขา เป็นไอ้เข้ขวางคลองอยู่อย่างนี้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเป็นหน้าที่ของอาตมาที่ต้องทำ

ทีมหมูป่า บวชตามพิธีของไทยนี้ได้บาป แล้วก็จะเสื่อมต่อไปอีก แต่อาตมาพูดนี้ไม่ได้ผลเท่าไหร่หรอกเขาไม่ฟัง เขาไม่สะดุดหรอก มันดื้อด้าน หน้ามืดตาบอดไปไกล

ชาวอโศกถ้าหากจะบวชก็บวชจริงๆ ตอนนี้เรายังไม่มีสามเณรเลยสักองค์ คือผู้เตรียมตัวบวชเป็นสมณะ มาบวชจริง ฝึกฝนหลายปี กว่าจะได้บวชเป็นภิกษุชาวอโศกไม่ใช่เล่นๆ บวช ไม่ใช่ 9 วัน 10 วัน อย่างที่เขาทำ

แล้วจะให้เขาทำอย่างไรกับทีมหมูป่า … เด็กนักเรียนที่นี่คือผู้ที่ปฏิบัติธรรม รักษาศีลสมาธิปัญญา มีไตรสิกขาจริง นี่แหละคือการบวชด้วยการประพฤติ ไม่ต้องไปทำลายรูปแบบจารีตประเพณีธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้าก็มีเด็กมาปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมโดยไม่ต้องมาเป็นชุด คนสมัครใจก็มาบวช หรือมาเป็นฆราวาส สมัครใจปฏิบัติธรรม ตามธรรมวินัยอยู่ที่บ้านก็ได้ ก็ปฏิบัติได้ ไม่ต้องจำเป็นจะต้องให้ชุดมุรธาภิเษกธงชัยพระอรหันต์ของพระพุทธเจ้านี้เสื่อมเสีย มันเสื่อมด้วยความไม่ประสีประสา ในความไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่เป็นเรื่องสำคัญมาก ทุกวันนี้อาตมาเมื่อยจริงๆ ที่ต้องมาแก้ไขความผิดพลาด

คลิปพร้อมแล้ว พระแรพ...สวดแบบกระแทกกระทั้น เป็นความเชื่อโบราณ สวดทำนองกระแทกเสียงจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออก ยิ่งแรงยิ่งปัดได้ดี ต้องกระแทกเสียง ใช้ในการสวดอวมงคล สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นธรรมเทศนาสูตรแรก ของพระพุทธเจ้าด้วย

พ่อครูว่า..นี่แหละคือความเสื่อมที่มันปรากฏจริงในวงการศาสนาพระพุทธเจ้า เสื่อมอย่างฉิบหาย พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการสวดธรรมบท ไม่มีความลึกซึ้งมีสิ่งที่ทำลายศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ ในมุสาวาทวรรค ข้อที่ 4 ปาจิตตีย์ บทนี้เริ่มต้นที่อาตมาบวชมาก็พูดเรื่องนี้ ก่อนบวช อาตมาก็เห็นแล้ว มาบวชก็พยายามแก้ไขโดยอ้างอิงหลักฐานของพระพุทธเจ้า เพื่อจะอธิบายและชี้ให้เห็นความผิด จะได้ปรับปรุงแก้ไข แต่มันคงแก่เกินแกงแก้ไม่ได้ จะไม่สำนึก แต่อย่างน้อยคนที่ตั้งใจศึกษาหาความจริงก็คงจะลดลงบ้าง แต่มันคงลดไม่ได้ เพราะศาสนามันเสื่อมสุดได้ที่แล้ว มันไม่เหลือความเป็นศาสนาพุทธแล้วพูดได้อย่างนั้นเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน สวดมนต์ผิดๆเป็นการทำลายศาสนา

แม้แต่การสวดมนต์ก็ไม่เหลือของศาสนาพุทธแล้ว เอาคำสวดมนต์อย่างเดียวนี้มาเป็นเครื่องวัด กว่าศาสนาพุทธยังมีอยู่ไหม ตอบได้เลยว่าแม้แต่เรื่องการสวดอย่างเดียวนี้ก็ ทำลายศาสนาพุทธไม่เหลือซาก แม้แต่ความเน่า มันก็เน่าจนแบคทีเรียกินเกลี้ยงหมดแล้ว มันสุดที่จะแก้ไขแล้ว

ขออธิบายเรื่องนี้ เรื่องยิ่งใหญ่มากเลย เราทำได้ อโศกเรา เพราะอาตมาควบคุมอยู่ไม่ให้อาบัติ เป็นภัยทำลายศาสนา การสวด อธิบาย เป็นหลักวิชาให้ฟัง

การสวดนั้นมีอยู่ 2 อย่างใหญ่ๆ เรียกว่าสวดสังคีติ กับสวดสังคายนา

สวดสังคีติ คือสวดเพื่อรักษาบท ธรรมบท คำสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้ แต่ก่อนไม่มีสิ่งที่บันทึกต้องใช้คนท่องจำรักษาสืบทอดกันมา สวดเพื่อรักษาคำสอนไว้ เหมือนกันสวดอาขยาน สูตรคูณ ที่จะต้องมานั่งสวดพร้อมกัน การสวดพร้อมกัน ต้องสวดในเฉพาะที่ ไม่ใช่ไปสวดต่อหน้าธารกำนัล สวดในที่ของตน เหมือนนักเรียนท่องสูตรคูณเอาไว้ อย่างนั้นก็ใช้ได้ จำเป็นต้องทำ สมัยพระพุทธเจ้าจำเป็นเพราะไม่มีสิ่งบันทึก สมัยนี้มีการบันทึกด้วยเครื่องและตัวหนังสือเยอะแยะแล้ว อยากจะดูก็เปิดเลย อย่างเช่นอาตมา อันไหนจำได้ก็พูดขึ้นมา อันไหนจำไม่ได้ก็ดู

สวดเป็นหมู่ จะเอาล้านคนมาสวดก็ปาจิตตีย์ล้านบาป สวดคำหนึ่งก็ได้บาปล้านคำ สวดสองคำก็ได้บาปสองล้านคำ ผิดหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้า แล้วเขาก็ทำแบบไม่เรียงสา กรรมเป็นอันทำ เขานึกว่าตัวเองได้บุญได้กุศลทั้งที่ได้นรก เป็นความโง่เง่าอวิชชา ที่ไม่ได้ศึกษา เป็นการทำลายศาสนาจริง จากคนที่ทำผิดเพี้ยนออกนอกรีดธรรมวินัยของพุทธเจ้า มันเป็นอย่างนั้น น่าสงสารศาสนามาก ไม่รู้จะไปแก้ตรงไหน มันเป็นเรื่องของ หมู่ใหญ่ยึดมั่นถือมั่นกลายเป็นรัฐพิธีพิธีราษฎรพิธีสอดคล้องกัน ยึดถือกันอย่างหนาแน่นไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร

อาตมาพาทำใหม่ ทำสิ่งที่ถูกต้องใครเห็นดีเห็นด้วยก็มาทำด้วย ใครเห็นว่าแบบนั้นออกนอกด้วยศาสนาก็อย่าไปส่งเสริมอย่าไปร่วมมือ ที่นี่ก็สวด แต่ไม่ได้ผิดกฎหลักธรรมวินัยของพุทธเจ้าเลย

1. สวดด้วยเสียงอันยาว 2. ใส่ทำนองร้อง rap อย่างสมัยใหม่ที่เห็นมีการสวดกระทุ้งกระแทก เป็น Hard Rock ซึ่งมันเป็นความบ้าบอ ไปหมดแล้ว สวดด้วยการใส่ทำนองใส่เสียง

สวดสังคีติ สวดพร้อมกัน 2 องค์ขึ้นไปต่อหน้าธารกำนัล การสวดสังคีตินั่งสวดเป็นหมู่ สวดสังคายนาสวดคนเดียว สวดสังคายนาคือ สวดธรรมบท ธรรมวินัยพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วพระสงฆ์คนอื่นก็ฟัง อย่างเช่นการสวดปาฏิโมกข์ ภิกษุอื่นก็ฟัง เราก็จำของเรา ถ้าผิดเราก็ตรวจสอบ เพื่อรักษาพระธรรมวินัยไม่ให้ผิดเพี้ยน พระสงฆ์ก็ช่วยกันฟัง ถ้าเราท้วงผิด หมู่ที่อยู่ก็ช่วยตรวจสอบ ความรู้ของคนหลายคนเป็นหลักเกณฑ์ ว่าหมู่ใหญ่หรือคนท่องถูกกว่า เพื่อรักษาสิ่งที่ถูกต้องเอาไว้เป็นการสวดสังคายนา ส่วนสวดสังคีติ เป็นการรักษาธรรมบทของพระพุทธเจ้าเอาไว้อย่าให้สูญหายไป สมัยโบราณไม่ได้บันทึกเป็นตัวหนังสือ เขาจำเป็นต้องท่องกัน ก็ท่องไป ทุกวันนี้ก็ยังอาศัยอยู่บ้างไม่เป็นไร แต่อย่าให้ผิดหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า

เมื่อผิดหลักเกณฑ์แม้แต่ท่องด้วยสำเนียงเสียงยาวใส่ทำนอง ก็บรรลัยจักรหมด ผิดหมด ตั้งแต่พุทธเจ้าท่านตรัสห้ามไว้ ไปสวด 2 องค์ขึ้นไปต่อหน้าญาติโยมฆราวาส ทำไมท่านกันเอาไว้ตรงนี้ จบด็อกเตอร์จบปริญทางศาสนาก็ไม่เข้าใจตรงนี้

เพราะมันเป็นธรรมเนียมของศาสนาอื่น เขาสวดกันเป็นหมู่ชอบกัน สวดกันมากมาย จนกระทั่งเป็นลัทธิมนตรญาน แต่ละที่แห่งการสวด แต่ว่าพระพุทธเจ้าเห็นว่าการสวดอย่างนี้ มันผิด ทุกวันนี้พระก็ไปสวดหากิน ไปงานต่างๆก็ได้ค่าสวด จนเป็นพระรับจ้างสวด จึงเรียกว่าพระหากินเลี้ยงชีพด้วยการสวด มันเป็นอาบัติน่าขายหน้าน่าอายอย่างยิ่งเลย ท่านมีธรรมบทหรือมนตรา เพื่อให้เอาไปปฏิบัติจะได้บรรลุตามคำสอนนั้น แต่เขาออกนอกทางหมดเลย แล้วมาทำปู้ยี่ปู้ยำ เอามาเป็นเครื่องมือหากินอีกจนกลายเป็นจารีตประเพณี ศาสนาฉิบหายหมดแล้ว เขาไม่เข้าใจที่อาตมาพูดนี้หรอก ให้ฟังให้ดีแล้วเอาไปไตร่ตรอง

อาตมาเกิดมายุคนี้ เอาความจริงมายืนยัน มันจากผิดไปถูกเป็น 180 องศาแล้ว แล้วเขาจะยึดมั่นถือมั่นด้วย คิดว่าที่ตัวเองเดินไปนี้ถูกทางผิดไปจากนี้ไม่ใช่ อาตมาพูดขึ้นมาเขาก็ตีทิ้งไม่ฟัง แต่อาตมาไม่ยอมแพ้หรอก แก้ไขคนไหนที่มีภูมิปัญญาพอจะเข้าใจเชื่อได้ก็มาเอา ตนเองอยู่ในวงการที่จะต้องสวดก็แก้ไขได้ก็เชิญ แต่มันก็คงยาก ยากเก่งๆ อาตมาว่ายากยิ่งกว่าเข็นเขาขึ้นครก แต่ถ้าเข็นครกขึ้นเขาพอถูไถนะ แต่เข็นเขาขึ้นครกยากกว่า

 

คุณเทียนดิน...ดิฉันไปเห็นมาแล้วตอนงานศพ เห็นแล้วญาติโยมยังอาย ทำไมพระไม่อาย

พ่อครูว่า...พระหน้าด้าน พระอลัชชี กลายเป็นลงนรกเป็นอบายมุข เสื่อมไปหมดเลย

คุณเทียนดินว่า...พระร้องเพลงแหล่เสียงดีมาก ญาติโยมก็หลง พอญาติโยมหลง พระยังอยู่ในโลกีย์อยู่ใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า..ใช่ ผู้รู้ก็มีอยู่บ้างแต่รู้ไม่ลึกไม่หมด เขาก็พอรู้อยู่ แต่เขาแก้ไม่ไหว

เทียนดินว่า...งานศพของพี่สะใภ้ พระที่ไปเป็นพระมหาที่ดังมาก แล้วพระที่มีอันดับนี้ ติดกัณฑ์เทศน์จะต้อง 5,000 ขึ้น องค์ละนะ แล้วยังมาแหล่อีก เรื่องแม่เลี้ยงลูกมากว่าจะโต ลูกเขาทุกข์อยู่แล้วยังกระหน่ำให้ทุกข์อีก เขาจัดงานศพก็ไม่ได้มีเงินมาก แต่พระก็ยังเบียดเบียนให้เขาต้องเป็นหนี้สินอีก เมื่อแหล่มา จะมีญาติโยมคนหนึ่ง เอาเงินไปใส่ย่ามเลย พระก็จะบอกว่า ดูนี่ทำไมตัดหน้าเจ้าภาพเอากันมาใส่ซอง เจ้าภาพอยู่ไหนทำไมมาหลังคนนี้ เจ้าภาพก็อยู่ไม่ได้จะต้องเอาเงินมาใส่ไม่เอาใบแดงด้วยจะเอาไปม่วง

ขี้เมาทนไม่ได้ ก็มาด่า ให้แต่ญาติโยมทำบุญแต่ตนเองขี้โลภ

พ่อครูว่า..ขนาดคนเมายังรู้เรื่องฉลาดรู้ดีกว่า

คุณเทียนดินว่า...เกิดมาชาตินี้ภูมิใจที่ได้เป็นลูกหมากลางตลาด ก็มันจะต้องฉลาดด้านมีปัญญาหรือว่าตรงไหนจะได้กิน แล้วจะต้องปลอดภัย แต่หมาที่มีเจ้าของถึงเวลาก็นอนเขาเอามาให้กิน ถึงเวลาก็ได้กิน แต่ลูกหมากลางตลาดโยมว่าฉลาดและมีปัญญาด้วย ถึงจะอยู่รอด

พ่อครูว่า...หมาคนรวยนั้นขนฟูมีเพชรพลอยด้วย มีที่นอนอย่างดี

คุณเทียนดินว่า..ลูกหมากลางตลาดต้องเปลี่ยนที่นอนไปเรื่อยๆไม่ติดยึด

พ่อครูว่า...พูดถึงเรื่องการสวดนี้เป็นการทำลายศาสนาให้บรรลัยจากด้วยการสวดอย่างมหาศาล พระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า ลัทธิศาสนาต่างๆก็มีการสวดมนต์ทั้งนั้นเยอะแยะมากมาย ขอยืนยันว่าในยุคพระพุทธเจ้าไม่มีการสวดหรอก หนึ่งสวดการเป็นหมู่ ตั้งแต่ 2 คนพร้อมกันตอนหน้าฆราวาส เขาไม่ทำกัน แล้วเขาก็มีก่อนมีพระวินัย พระพุทธเจ้าไม่ได้พาทำเลย แต่ในยุคนี้ได้ผิดเพี้ยนไปไกล ที่อาตมาพูดนี้เขาจะงง ครูบาอาจารย์ก็ไม่เคยสอนบอกเรื่องนี้เลยอาตมาเข้าใจ แม้แต่ครูบาอาจารย์เขาก็ไม่ประสีประสาเรื่องนี้

เรารู้ข้อเสียข้อด้อย ที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม เหตุใดแค่สวด 2 คนต่อหน้าฆราวาสทั้งหลายนี่แหละที่เป็นอาบัติ และฉุดให้ศาสนาเสื่อม

เพราะ 1 คนจะหลงความขลัง คนสวดแล้วจะได้อายุ วรรณะ สุขะ พละ เป็นสิริมงคล ถ้าพระมาสวดที่ว่าอย่างนี้ ยิ่งมาเป็นคณะให้มากเยอะแยะ เต็มบ้านช่องเลย ยิ่งดียิ่งเป็นสิริมงคล ซึ่งมันกลับตาลปัตรไปหมดเลย มันก็ยิ่งบาปมาก คนมากเท่าไหร่ก็บาปมากขึ้นเท่านั้น ล้านคนก็บาปล้าน สวดคนละหนึ่งคำก็บาปล้าน สวดคำที่สองก็บาปอีกเป็นสองล้าน สวดคำที่สามก็บาปสามล้าน แต่เขาก็สวดกันอีกเยอะแยะเขาจะบาปกันเท่าไหร่ คูณไหวไหม..ไม่ไหวหรอก เอาเครื่องคิดเลขมาเครื่องก็พัง เขาไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไร แล้วศาสนาจะเหลืออะไร

1 ติดจารีตประเพณีเห็นว่าเป็นความถูกต้อง

สอบ สวดแล้วก็มีทำนอง มีจังหวะ เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือเคาะชิงช้าตีกลอง ที่สำคัญก็คือหลงความขลัง สวดแล้วจะได้สวรรค์วิมานได้ประโยชน์คุณค่า

การสวดนั้น มีประโยชน์ในตัวเองคือรักษาคำสอนพระพุทธเจ้า 1. การสวดธรรมบท 2. การสวดปณามคาถา คือการสวดพระสรรเสริญพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำแต่งของพระอรรถกถาจารย์รุ่นหลัง เป็นพระหรือเป็นฆราวาส แต่งขึ้นมาก็เยอะ อย่างพาหุง 8 มหากาฯ เราไม่ได้เอาธรรมบทมาสวด เราดูตามตำราเรียนธรรมบทเยอะ เอามาบรรยาย แต่ปณามคาถาเราก็สวดกันไม่กี่บท

หากไม่เข้าใจในเรื่องการสวด การสวดปณามคาถากับธรรมบท ต่างกันอย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่องแล้ว การสวดปณามคาถา จัดสวนร่วมกันเป็นหมู่เท่าไหร่ก็ไม่ผิดอะไรเป็นการสรรเสริญพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ แต่ถ้าหากเอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวด ท่านกันไว้ เพื่อที่จะ

1. จะได้ไม่เอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดหากิน อันนี้เป็นเรื่องร้ายที่สุด ถ้าคุณเอาประณามคาถามาสวดหากินก็พอทำเนา แต่ถ้าคุณเอาธรรมบทของพุทธเจ้ามาขายมาเป็นเครื่องมือหากินด้วย คนก็ต้องเห็นว่าธรรมบทเป็นเรื่องสำคัญ คนก็อยากฟังธรรมบทมากกว่าปณามคาถา เขาก็จะท้วงว่า เอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดเป็นเรื่องผิดธรรมวินัยนะ แต่เขาไม่รู้หรอกแบบนี้ พระมีอิทธิพลเยอะด้วย มีอภิสิทธิ์มาก อาตมาพูดสัจจะตามคนตรงอย่างอาตมาพูดไม่มีเล่ห์กล ไม่มีท่าที เป็นข้อด้อยของอาตมานะ เรื่องสวดนี้พูดจริงๆแล้วอาตมาก็จำต้องพูด เพราะเป็นเรื่องเสื่อมของศาสนา แต่ว่าภิกษุของเราไม่ได้อาบัติสิ่งเหล่านี้เลย แต่ทางโน้นทำอย่างเป็นเรื่องประจำของศาสนา เหมือนกับทุกวัดจะต้องจุดธูปจุดเทียน ไม่มีไม่ได้

พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยว่าอย่ามี สมัยพุทธเจ้าไม่ให้มีการจุดธูปเทียน น้ำมันเปรียงน้ำมันเนย เอาข้าวสารใส่ไฟทำให้เกิดควัน มีอยู่ 2 อย่างทำให้เกิดเปลวกับเกิดควัน เป็นอัคคียัญ คือการติดต่อกับวิญญาณด้วยไฟเป็นสื่อ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาศีล ห้าม แต่มันผิดไปไกล เราพูดว่าผิดเขาก็ว่าเราบ้า เป็นสัจจะที่เลี่ยงไม่ได้ เป็นธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า

สมณะแก่นเกล้า...ทุกวันนี้ผมไปบิณฑบาตก็เห็นว่าพระจะให้พรกันหนักมาก สมัยก่อน ก็ยังจะมีสายหลวงปู่ชาหลวงปู่มั่น จะเดินแบบสงบ นอกนั้นรู้สึกว่าจะให้พรแข่งกัน ถ้าองค์ไหนให้เสียงดังก็ได้

พ่อครูว่า..ให้พรแล้วเขาจะได้ลาภมาก คนก้าวตามกันไปก็เลยเสื่อม ฉุดลงไปให้ผิดเพี้ยนไปไกล มันเติมความหลงความโง่

สมณะแก่นเกล้าว่า...สมณะจะไปบิณฑบาตแล้วไม่ให้พร เขาก็บอกว่าพระปลอมสวดมนต์ไม่เป็น ให้พรไม่เป็นเป็นพระหากินอีก

พ่อครูว่า...บิณฑบาตทางนั้นไม่ได้ ก็ให้ญาติโยมทางนี้เลี้ยง

สมณะแก่นเกล้า ...พระแต่ละองค์ต่างให้พรแข่งกันเสียงดังกว่าเดิมอีก

พ่อครูว่า...พูดไปก็เอาล่ะ ตัดเรื่องสวดมนต์ พูดไปแล้วมันชี้ช้ำกะหล่ำปลี จบไปตรงนี้ก็แล้วกัน

 

_อยากให้ท่านกลับไปดูเทศน์ที่เคยทำมาขอแนะนำท่านนิดนึง...ท่านคะฝากท่านหนึ่งเรื่อง เวลาท่านสวดมนต์ตามหลวงปู่ ท่านสวดมนต์แบบยานๆลากเสียงเป็นทำนอง อยากให้กระชับสั้นแบบหลวงปู่พาสวด

พ่อครูว่า...จริงนะพวกเราชักจะยานแล้ว พา..หุง..สะ...หัด สะมะพินิมฯ….แม้แต่นะโม ..นา…..มัว….ตัส…..สะ…. พุทธเจ้าตรัสไว้ชัด การลากเสียงอันยาวทำให้คนหลง ท่านก็ห้ามไว้หมด มันก็ไปกันใหญ่ ไปหลงเสียงสำเนียง เหมือนกับเราได้ฟังนักร้องเขาร้องเพลงจะไปหลงเสียงหลงทำนอง การร้องเพลงนั้นเหมือนกับเด็กร้องไห้ การฟังพระสวดก็เหมือนกับการฟังพระร้องไห้

2.สวดหลงขลัง สวดแล้วจะได้อะไรกลับคืนมาเป็นแก้วแหวนเงินทองเป็นสวรรค์วิมานเป็นนิรมาณกายสัมโภคกายอาทิสมานกาย

สามกายนี้ เป็นความสำคัญมากที่คน อุปาทาน

หลงเป็นนิรมาณกายหมายความว่า หลงอะไรก็คือสร้างขึ้นมาเองสร้างภพชาติ มันจะมีอย่างนี้อย่างนี้ แล้วร่วมกันบริโภคของเปล่าๆนี้ สัมโภคกาย ต่างก็ได้วิมาน ได้สิริมงคล ซึ่งมันเปล่าดายมันไม่มีความจริงเลย แต่เขาหลงว่ามีเขาร่วมบริโภคกันทั้งคนสวดคนฟัง นึกว่าปลื้มใจได้แล้ว ซึ่งมันเป็นของไม่มี มันอาทิสมานกาย มันมองไม่เห็นมันไม่มีอะไรเลย แต่คนก็บริโภคของเปล่า ของไม่มีอะไร นึกร่วมกันว่ามี นิมาณ สร้างขึ้นมาเอง คุณปั้นลมปั้นแล้งขึ้นมาเอง อาตมาเอาวิชาการขอบคุณพระเจ้ามาพูดนี้ เดี๋ยวนี้เขาไม่พูดถึงกันแล้ว เพราะเขาไม่เข้าใจเขาไม่รู้เรื่อง เขามีสิ่งเหล่านี้เต็มไปหมดแล้ว

ขออภัยเรื่องการสวดมนต์

 

_คำว่ากูมึง ถือว่าผิดศีลข้อ 4 ไหมคะ

พ่อครูว่า...ในยุคสมัย ก็ถือว่าเป็นคำไม่หยาบแต่ว่า สมัยนี้มีคำใหม่มา ที่สุภาพถือกันว่าสุภาพ เปลี่ยนไปตามยุคสมัย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน จัดการเวทนาทางกายต้องใช้ขันติด้วยหรือไม่

_ดิฉันอยากทราบวิธีกำหนดเวทนา จากความเจ็บปวดทางกาย และสามารถวางเฉยโดยไม่ทุรนทุราย ไม่ทราบว่าต้องใช้ความอดทนอย่างขันติด้วยหรือเปล่า

พ่อครูว่า..ต้องดูเหตุที่ร่างกายมันทนนั่งนานก็เปลี่ยนท่าเสียก็หาย แต่ถ้าขันติอย่างที่ว่าไม่ใช่ขันติ แต่ขันแตก เวทนาจากความเจ็บปวดทางกาย

ฟังให้ดี วิธีกำหนดเวทนาจากความเจ็บปวด หากคุณนั่ง แล้วก็หลงนั่งสมาธิ ทับขาทับกล้ามเนื้อนานเข้าก็ปวด มันปวดคุณก็นวดมันอย่าให้มันทรมานต่อไปก็หายแล้ว ไม่ใช่ทนปวดจนสรีระเสียพิการ ทำให้กายวิภาคเราเสียหายนั่นก็ผิด

ทีนี้คำว่าเจ็บปวดทางกาย คำว่าเจ็บปวดทางกาย ถ้ามีเจตนามุ่งหมายกายมีทั้งภายนอกภายใน กายมีสองอย่าง แยกกันไม่ได้เหมือนเหรียญสองหน้า คุณแยกไม่ได้ในธรรมะสอง คนทุกวันนี้เข้าใจกายไม่ได้เข้าใจว่า คืออุตุนิยามเท่านั้นไม่มีจิตนิยามร่วมก็ผิดหมด

หากเข้าใจว่ากายคือภายนอกก็แก้ภายนอก แต่ถ้าจิตมันไม่ปกติก็แก้ที่จิต

กายก็พอรู้ ไม่สมดุลทางกายก็เจ็บปวดก็แก้ได้ แก้เจ็บปวดกายภายนอกก็ไม่ยาก แก้ตามอาการ ตามที่มันเจ็บ ก็พอมีปฏิภาณสามัญสำนึกรู้ เคลื่อนไหว นวด กินยาก็หาย ก็แก้ไขกันได้ จะกดข่มไว้แล้วเรียกว่าขันติ ปวดก็อดทนไว้ สรีระเสีย พิการได้ จะให้ถึงจุดที่ว่ามันอดได้ไม่ทุรนทุราย มันก็พาซื่อ ผิดหมด ไม่เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน

คำว่า นั่งสมาธิ ของพระพุทธเจ้าก็ไม่เห็นว่ามี สมาธิของพระพุทธเจ้าอยู่ในทุกอิริยาบท การทำงานเลี้ยงชีพก็เป็นสมาธิ สมาธิของพระพุทธเจ้าอยู่ในความเคลื่อนไหว ไม่ใช่นั่งนิ่ง

สมาธิพระพุทธเจ้ามีกายปาคุญญตา มีเวทนา สัญญา สังขาร แคล่วคล่องหมดเลย มีอิริยาบท ทำงานได้ดี กายกัมมัญญตา ทำงานอาชีพ กัมมันตะ การงานต่างๆ การกระทำต่างๆ พูดอยู่ก็ดี พูดดี คิดก็ดี สังกัปปะ มีสมาธิอยู่ ไมใช่สมาธิคือหยุดคิด หยุดพูด หยุดทำงานอาชีพ เลยไม่ต้องมีอาหารกินก็ตายพอดี คือ นอกความจริงของพระพุทธเจ้าหมดเลย ดูตรงไหนก็ผิดหมด เขาก็ว่าโพธิรักษ์นี้อวดรู้คนเดียวเลย พวกที่มานั่งตรงนี้ทำไมยอมรับนับถืออาตมา

สรุปแล้วเวทนาเป็นตัวที่ต้องศึกษาเป็นความรู้สึกไม่ใช่ที่ร่างกายอย่างเดียว แต่ถ้าที่ร่างกายเป็นก็แก้ที่ร่างกาย แต่ถ้าสุขทุกข์ทางใจอันนั้นแก้ยาก

ในพระไตรปิฎก เล่ม 16​ ข้อ 230 พระพุทธเจ้าว่าแก้ทางรูปธรรมภายนอกแก้ไม่ยาก พิจารณาแม้เบื่อหน่ายภายนอกได้ง่าย แต่แก้ไขทางใจ หน่ายทางใจได้ยากกว่า พระพุทธเจ้าตรัส กายคือจิต มโน วิญญาณ

คำว่ากาย ให้ปรับแก้ที่นามมากกว่า ที่ร่างนอกไม่ยากหรอก ไม่ลึกลับอะไร เมื่อเข้าใจผิดไปแยกกายแยกจิต กายคือเหลือแต่ร่าง แล้วเวทนาก็อยู่ที่จิต มันเกี่ยวตรงไหนก็แก้ตรงนั้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน สังคมแห่งวรรณะ 9

คุณสู่แดนธรรม… ขอเปลี่ยนบรรยายกาศสู่เรื่องง่ายๆ ผมจะขอเล่านิทานก้อม สั้นๆ...สมัยหนึ่งพ่อท่านบิณฑบาตอยู่ใกล้กับศีรษะอโศก ชาวบ้านเอาข้าวมาใส่บาตร ข้าวร่วง ไก่มาแย่งจิกกินข้าว ผมก็ถามว่าพ่อท่านก็สอนว่าจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง คนเราเกิดมาแต่ก่อนอาจเคยเป็นเดรัจฉาน ชาตินี้ถ้าไก่มันจิกตีกัน แล้วชาติก่อนมันเคยเป็นคน แล้วความรู้สึกของคนทำไมหายไป ทำไมสมองไก่ทำให้ลืมความเป็นคนหมดเลย

พ่อท่านก็ตอบว่าเหมือนน้ำในคลอง หากคลองคดก็ทำให้น้ำไหลคด พ่อท่านก็พูดถึงสมมุติสัจจะที่สำคัญ พ่อท่านจะเน้นเรื่องสมมุติสัจจะมากกว่าปรมัตถสัจจะครับ

พ่อครูว่า..สมมุติสัจจะอย่างหนึ่ง หมายถึง ความจริงที่รู้ร่วมกันสมมุติกันภายนอก คนอื่น แต่ปรมัตถสัจจะคือเรารู้ของเราคนเดียว สูงสุดหรือนอกรีตก็ได้ เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องจิตในจิตเท่านั้น แต่สมมุติต้องร่วมกับสังคม เมื่อเราต้องมีชีวิตร่วมกันคนอื่น ก็ต้องสมานกันให้ดี อาตมาประสบความสำเร็จ ที่พาทำตามธรรมะพุทธเจ้า 

ทำให้เกิดสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7

สาราณียะคือระลึกถึงกัน คนไหนเจ็บป่วยหายไปก็ระลึกถึงกัน เป็นปิยกรณะ เป็นมิตรที่ fraternity มีความรักยังปรารถนาดีต่อกันและกัน เคารพกัน คุรุกรณะ ในวัยในคุณวุฒิ สมมุติ เราอยู่ได้ด้วยสังคหะ การแบ่งกินแบ่งใช้ช่วยเหลือการอนุเคราะห์กัน ไม่มีวิวาทกัน อาตมาทำงานมา 30 40 ปีพวกเราไม่วิวาทกันถึงขั้นบาดเจ็บ จะ 50 ปีแล้วไม่มีการวิวาทกันถึงขนาดนั้น มีนิดๆหน่อยๆปากหอกกันบ้างแต่มีน้อย error ถือว่าสมบูรณ์แล้ว มีความสามัคคีกันดี อยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่น มีเอกีภาวะ พวกชาวอโศกอยู่ร่วมกันนี้ คนอื่นเขาเห็นแล้วกลัวเพราะเป็นปึกแผ่นกันดี ที่อื่นหาไม่ได้ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน แม้แต่วรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงง่าย มาถึงตอนกินข้าวก็เอาอาหารใส่รางเลื่อนไปเหมือนให้หมูกิน แล้วก็ตักอย่างระวังอย่าตักมากเกินคนอื่นเขาจะไม่ได้ กินง่ายไปง่ายมาง่ายนะง่ายนอนง่ายอยู่ง่ายไม่ได้เรื่องมาก สุภระ

สุโปสะ อาตมาสอนทุกวัน พาทำให้เจริญ วันแล้ววันเล่า จะ 50 ปีแล้วคุณก็มาฟังกัน ขยัน เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ไม่รู้สึกว่าลำบาก ยังมากันหลายสิบคนเป็นร้อย บางทีก็ไม่ถึงร้อย

 

สรุปแล้วอาตมาทำงานศาสนาพุทธ ที่ทำได้เพราะพาทำแบบไม่สะสม อปจยะ เป็นคนจน อัปปิจฉะ กล้าจน มักน้อย เป็นคนมีแต่น้อยมีความสันโดษ สันตุฏฐิ มีใจพอ พวกเราถ้าไม่มีใจพอจะแย่งกันตายเลย

เป็นคนสัลเลขะ เป็นคนขัดเกลากายวาจาใจของตนเอง ธูตะ มีศีลเคร่งขึ้นได้ มีอธิศีล อธิจิตอธิปัญญา อธิมุติไปตามลำดับ

มีอาการที่น่าเลื่อมใส ปาสาทิกะ แม้แต่เด็กต้องพวกเราก็มีอาการน่าเลื่อมใส

อปจยะ ไม่สะสม เป็นเรื่องจริงหลายอัฐมาทำได้สำเร็จเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นคนมักน้อยเป็นคนไม่สะสม ยิ่งข้อสุดท้าย ขยันเสมอ วิริยารัมภะ ไม่มีความขี้เกียจไม่มีอบายมุข

วรรณะ 9 คือ the classes เป็นคนชั้นสูง ทำสำเร็จแล้วพวกเราสำเร็จมีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 อาตมาสรุปธรรมะ พระพุทธเจ้า อาตมาทำมาในชาตินี้จึงบอกว่าประสบผลสำเร็จ มันคงจะได้มากกว่านี้ไม่เท่าไหร่ จะได้เพิ่มกว่านี้ก็มีอัตราการก้าวหน้าบ้าง แต่ก็คงจะมี แก่นแกนเท่านี้ นอกนั้นก็ขยายไป

จะขยายอัตราการก้าวหน้าก็ยังดูไม่ออก ก็คิดว่า คงจะไม่ก้าวหน้ามากกว่านี้ แม้แต่คนศาสนาอื่นคนต่างประเทศ ก็คงจะมีการมาเห็นดีเห็นด้วยไม่มากเพราะเป็นโลกุตรธรรมเป็นธรรมะที่เข้าใจยาก เป็นเรื่อง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

ที่พูดนี้เป็นธรรมบททั้งนั้น อาตมานั่งอิงตามพระไตรปิฎกมหาเถรสมาคมก็เลยไม่กล้ามาแย้ง เดี๋ยวหมอจะไม่รับเย็บ แล้วปากจัดด้วยนะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สุขภาพบุญนิยม) ตอน พ่อครูแข็งแรงด้วยหลัก 8 อ.

ด.ญ.น้ำมนต์ว่า...ทำไมพ่อครูถึงแข็งแรงคะ…

พ่อครูว่า...อยากแข็งแรงเหมือนหลวงปู่คะ เด็กมองออกนะว่าแข็งแรง อาตมาอายุย่างเข้า 85 ก็ยังแข็งแรง ก็ดูกันที่ 90 ปีอีก 5 ปีเอง ถ้า 90 อาตมาก็ยังเป็นอย่างนี้นะ ยัง Active อยู่ อาตมาว่ายังใช้ได้ นี่แหละคือคำตอบที่จะตอบหนูน้ำมนต์

อาตมามีหลักเกณฑ์ 8 อ.

  1. อิทธิบาท ดูแลตัวเองด้วยหลัก 7
  2. รักษาอารมณ์ อาตมาสบายแล้วเพราะไม่ต้องรักษาอารมณ์มาก อารมณ์ของอาตมาไม่มีตัวกิเลส ไม่มีตัวที่ทำให้อารมณ์เสีย อาตมาไม่มีอารมณ์เสีย มีแต่อารมณ์ดีตลอดเวลา อาตมาเข้าใจเวทนาในเวทนา มันเสียมันดีอย่างไร อารมณ์ผิดปกติไปอย่างไรซึ่งไม่ควร อาตมาได้ฝึกมาหมดแล้วก็ทำได้แล้ว
  3. อาหาร คือ กวฬิงการาหาร คำข้าว ในอาหารยังมีต่อ เป็นผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร หากไม่เท่าทันผัสสะ จะเผลอกับรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส จะคุมเจตนาไม่ได้มันใคร่อยากในกาม ต้องอนาคามีก็พ้นกามตัณหา หรือรูปนามก็เรียนในวิญญาณาหาร ขยายความจากอาหาร 4 ผู้ที่สามารถดูแลควบคุมอาหาร คนที่ยังมีความติดอาหาร มีกิเลสในอาหารก็จะยาก คุณก็ต้องเรียนรู้ฝึกฝน การกินอาหารคือการเอาธาตุเข้าไปเลี้ยงร่างกาย ไม่ได้ติดในรสชาติ ไม่ได้ถูกหลอก ต้องไปกินพิซซ่า ไปกินอะไรที่เขาหลอกว่าดี เราก็เข้าใจ มีความรู้ในทางโภชนาการ อาหาร ระวังให้ดี
  4. อากาศ ก็ต้องอยู่ในที่ที่มีอากาศที่ดี ที่นี่พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมสร้างอากาศให้ดีไม่เป็นพิษภัย ค่าของอากาศในกทม.สูดอากาศที่เป็นพิษเข้าไปทั้งนั้น คนที่กรุงเทพต้องทนจริงๆเลย การเป็นโรคภัยก็เลยไม่น่าประหลาด แค่อากาศก็ไม่ดีแล้ว แต่ที่นี่อากาศหวาน ตื่นมาชื่นใจ เป็นเสนาสนะที่น่าอยู่
  5. ออกกำลังกาย สำคัญ อย่านึกว่าเราเป็นเด็กเป็นเล็กยังหนุ่มยังแน่น กำลังยังดีกล้ามเนื้อยังแข็งแรง อย่าประมาท พยายามทำพอสมควร เราเป็นหนุ่มนั่นยังทำงานทำการ ออกกำลังกายตามธรรมชาติก็ดีอยู่แล้ว คนอายุมาก คนที่นั่งทำงานอยู่กับที่ ก็ควรออกกำลังกาย คนที่ทำงานกสิกรรมเป็นกรรมกรเขาไม่ต้องคำนึงถึงการออกกำลังกายเท่าไหร่ มีแต่ถึงเวลาปิดงานก็เมื่อยอ่อนเพลียก็นอน ออกกำลังกายก็ทำให้อย่างพอเหมาะ เกินไปก็ไม่ดี จะทรุดเสื่อม
  6. เอนกาย ...คือ รู้จักการพักผ่อน ให้หยุด แทนที่จะออกกำลังกายจ่ายแคลอรี่มากไปก็พักบ้าง เอนกาย
  7. เอาพิษออก ก็ต้องเรียนรู้ การออกกำลังกายทำให้เหงื่อไหลก็เป็นการเอาพิษออก วิธีการเอาพิษออกมีเยอะแยะ ไปเรียนรู้จากหมอเขียวหรือทางสุขภาพ การกัวซา การเอาแก้วมาดูด
  8. อาชีพ อ.ที่สำคัญ ต้องรู้จักมีอาชีพที่ดีไม่เป็นพิษภัย เป็นอาชีพที่ไม่ตายง่าย อาชีพที่ไปค้าสินค้าสิ่งเสพติด มันต้องพกปืนประจำตัวเลยนะ อาชีพนักเลงชอบพกปืน ก็ต้องรู้ว่าเราอยู่ในอาชีพอะไร เราอยู่ในอาชีพที่ไม่เสี่ยงต่อการตาย อาชีพที่ไม่มอมเมา ทุกวันนี้มีสิ่งแวดล้อมที่มอมเมาเยอะ

 

นี่คือทั้งหมด 8 อ. ดูแลรักษาให้ดีก็จะแข็งแรง น้ำมนต์ฟังไหวไหม

 

หนึ่งฟ้า…ดิฉันมีธรรมชาติชอบถามเรื่องอจินไตย แล้วก็เดาว่า ถ้าพ่อท่านให้คำตอบ หลายคนก็จะน่ายินดีที่จะมา

พ่อครูว่า...ย้อนประวัติไป 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชกำเนิดในปี 200 กว่า ตอนนั้นแผ่นดินอินเดียก็อาจจะหมดความเป็นชมพูทวีปจะต้องหาชมพูทวีปแห่งใหม่ ก็เลยส่งพระภิกษุออกเป็น 9 สาย หนึ่งในนั้นคือดินแดนสุวรรณภูมิประเทศไทยเป็นเป้าหมายหนึ่ง

นานหลายเดือนที่ผ่านมา ปกติดิฉันไม่ชอบดูหนังอินเดีย ก็ได้รับการชักชวนชี้นำจากพี่เกร็ดดินเจ้าแห่งอินเดีย รายเดือนที่ผ่านมาก็ใช้เวลาดูหนังมหาภารตะ 200 กว่าตอน ดูหนังหนุมาน และอีกสารพัดเรื่อง ก็เลยทำให้รู้เรื่องตรีมูรติ จนได้รู้ความสำคัญว่า วิธีการอธิบายของใช้ พราหมณ์ สายเจโตก็อธิบายกันอย่างแตกต่างจากสายพุทธ

สรุปคำถามว่า..หลังจากที่ พระเจ้าอโศกส่งตัวแทนมาเผยแพร่ในสุวรรณภูมิ เมืองไทยก็มาที่อาณาจักรทราวดี เริ่มต้นจากเชียงแสนพระเจ้าตะวันทับฟ้า มาที่สุโขทัย จากนั้นเข้าสู่อยุธยา เป็นช่วงกลาง หลังจากนั้นก็ไปปรากฏตัวในฐานะทายาททองเจ้าเมืองเชียงรุ้ง อพยพผู้คนมาถึงเมืองอุบลฯแล้ว รวมเป็นจุดศูนย์รวมของชาวอโศกที่ชื่อว่าราชธานีอโศก

คำถาม…

1 การเลือกพื้นที่สุวรรณภูมิใครเป็นผู้เลือกที่จะให้พระโพธิสัตว์มาทำงานต่อหรือเป็นการดำริของพระสมณโคดม

2. แล้วการอุบัติขึ้นแต่ละรอบ เป็นการอุบัติขึ้นโดยการกำหนดที่ชัดเจนในสถานที่เคลื่อนไขระยะเวลาและภารกิจที่ต้องมาทำในแต่ละครั้งหรือไม่

3. ผลการทำตรงนั้นส่งผลจนเกิด มหกรรม bomb of love ในงานสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และก็มีกรณีของหมูป่า และอนาคตคงมีเรื่องราวที่ดีอย่างนี้เกิดขึ้นอีก พ่อครูใช้คำว่าโลกุตระในอนุสัยของชาวไทยหรือแม้แต่ การปักหลักในลุ่มน้ำมูลถือว่าเป็นการปักหลักอารยธรรมใหม่ของโลก ที่นี่จะเป็นศูนย์กลางอารยธรรมใหม่ของโลก ถ้าพูดถึงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ อาจารย์ประจักษ์ ก็พูดไว้ อุบลราชธานีเป็นศูนย์กลางของแผ่นดินสุวรรณภูมิอย่างไร มันสามารถเดินทางไปทั่วโลกในลักษณะที่ใกล้ยิ่งกว่าและเริ่มต้นจากกรุงเทพฯอย่างไร เรื่องราวที่ดำเนินไปกำลังส่งสัญญาณอีกเยอะแยะมากมาย

พ่อครูว่า..อาตมาตอบไม่ไหว ถามอย่างดร.อาตมามัน ปริญญาจัตวาก็ไม่ได้เลย ไม่มีแม้แต่ปริญญาตรี ที่ถามมานี้ตอบไม่ไหว ฟังของคุณหนึ่งฝากก็พอแล้ว

สรุปคำตอบของอาตมาทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย นี่คือคำตอบของอาตมา จบ มันเป็นจริงที่จะต้องเป็นเช่นนั้นมันเป็นตถตา คุณร่ายมานี้มันถูกหมด คุณก็จำประวัติศาสตร์ได้ดีแล้วก็เอามาร้อยเรียงมาถาม ก็เลยกลายเป็นความรู้อย่างหนึ่ง ก็ฟังคำถามของคุณคือคำตอบ แล้วมันก็จะเกิดตามเหตุปัจจัยเหล่านั้นมันต้องเป็นเช่นนั้น นี่คือคำตอบ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญไม่ใช่เรื่อง ฟลุค ไม่ใช่เรื่องเสแสร้งที่จะทำอาตมาก็มาตามเหตุปัจจัย

จะพูดถึงประวัติศาสตร์ 2000 ปีจนถึงเดี๋ยวนี้ ไล่มาจนถึงยุคนี้วางแผนก่อนไม่ได้ อาตมาทำงานอย่าง No planning No project ไม่มีพิมพ์เขียวไม่มีแบบแผนไปตามเหตุปัจจัย อาตมาทำงานมาอย่างนั้นตลอด

หนึ่งฟ้าว่า...ถ้าหากผู้ชมไม่อยากตกประวัติศาสตร์ของโลก อยู่ไหนรีบมาไม่ต้องมีมีดพร้าจอบเสียมก็ได้เอาปากกามาก็ได้ เราต้องการผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา ไม่ใช่แค่จอบเสียมเท่านั้น

พ่อครูว่า...ก็มาร่วมมือกัน ถ้าหากมีแต่นักวิชาการไม่ลงไปแบกปุ๋ย ก็อยู่ตามที่คนแต่ละคนถนัด ตอบได้แค่นั้นเป็นตถตา

 

_คุรุใบฟ้า...หนึ่งพ่อครูน้ำหนัก ส่วนสูงเท่าไหร่ อาหารที่ฉันมีอะไรบ้าง

พ่อครูว่า…เมื่อเช้าน้ำหนัก 49.9 กก. ฤกษ์ดีงามดี 48 หากดีก็ 50.1 - 50.2 อย่างเก่ง ส่วนสูง165 อาหารก็แล้วแต่ใครจัดมา หมู่นี้กินทุเรียนมากหน่อยเขาจัดมาให้ รู้สึกร้อนๆเหมือนกัน อาหารของอาตมาค่อนข้างจะจืด พูดไปไม่ได้กำหนดตามอยากนะ แต่มันจะขาดเกลือ ไม่ใช่อาตมากินไม่ได้ กินมาตั้ง 45 ปีแล้วแต่มันจะขาดโภชนาการ มันซ้ำซากอยู่ อยากจะรู้โปรดติดตามคนถ่ายไว้ทุกวัน เยี่ยวก็ถ่ายไว้ อึก็ถ่ายไว้ นั่งนอนถ่ายหมดยังเหลือแต่ในห้องน้ำไม่ตามถ่าย ทุกอิริยาบท จะหายใจออกกี่ครั้งรู้หมดอัดเสียงไว้ตลอด อัดไว้จนถึงนอน ดีไม่ไว้ตอนนอนด้วยจะได้เสียงกรน

 

_พ่อครูพักผ่อนวันละกี่ชม.ครับ

พ่อครูว่า...ไม่น้อยนะ วันหนึ่งๆ รวมๆต้องตื่น 6 โมงเช้าหากไม่ถึงก็จะถูกว่า นอนก็ไม่เกิน 3 ทุ่ม แล้วกลางวันอีกอย่างน้อยก็ บางวันสายๆก็ให้นอน บ่ายๆก็ให้นอน จนอาตมาจะเปลี่ยนชื่อเป็นบังอร เพลงของอัสนีวสันต์

สักวันหนึ่งก็จะนอนน้อยลง ถ้าหนุ่มมากขึ้นสังเกตุ ตรงแขนแต่ก่อนย้อยเหี่ยว แต่ตอนนี้มีกล้ามเนื้อมาแล้ว

 

_อยากถามว่าเจตสิก ที่ชัดและเข้าใจมากที่สุดคืออะไรคะ

พ่อครูว่า...เจตสิกที่ชัด เจตสิกมันจะต้องรวมกันเป็นปัญญา จะรู้กันดีที่สุดเป็นปัญญาก็คือต้องหมดทั้งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และจะต้องเกิด เจตสิก 5 หรือนาม 5 เวทนาสัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ แล้วจะเกิดเป็นเจตสิกใหม่ที่รู้มากที่สุด

 

_สะออนกับออนซอน อยู่ในมิติใดในความรัก 10 มิติ

พ่อครูว่า..ไม่ได้จัดเลย สะออน คือชื่นชม หรือชื่นชอบ ส่วน ออนซอนก็ใหญ่ๆหน่อยเท่านั้นเอง เป็นความชอบใจเป็นกามเป็นฉันทะก็ได้

….จบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:19:45 )

610727

รายละเอียด

610727_พ่อครูเทศน์เวียนธรรม อาสาฬหบูชา บ้านราชฯ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=14uWz-K_ovmKHiilPKtiHoxegp2TSAbyhODxkjetBfEw

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1_UhoTM_CoKv7VlFk8JNpb4eYhNg_vVnr

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ปัญญาไม่ใช่แค่ฉลาดโลกีย์

พ่อครูว่า...กิเลสมันจะฉลาด แต่ให้ฉลาดได้ขนาดไหนมันก็ฉลาดได้แค่เฉโก กิเลสมันฉลาดเป็นปัญญาไม่ได้ ทำไปเลย กิเลสไม่มีสิทธิ์จะฉลาดเป็นปัญญา กิเลสไม่มีโอกาสเป็นอัญญะ ฉลาดอยู่ในกรอบของโลกีย์เท่านั้น อยู่ในเฉกะหรือเฉโก ภาษาของพระพุทธเจ้านั้นชัดเจน แต่ว่าคนมีปัญญาไม่พอ ความเฉลียวฉลาดด้านปัญญาไม่มี คนที่ไม่มีอัญญธาตุในจิต ยังไม่เข้าหาอัญญา อัญญาแปลว่าอื่น ที่ออกไปจากโลกได้ คนที่ในวงวัฏฏะ ของโลกนี้ อยังโลโก ยังไม่มีโลกอื่น ปโรโลโก ใช้พยัญชนะว่า ประ ยังไม่ใช่อัญญะ

ประ แปลว่าอื่น แต่ไม่ใช่อัญญะ

ประ ถ้าจะให้ขยายความเป็นพยัญชนะ ประ คือ ปะ กับระ

ปะคือ ป ผ พ ภ ม ป คือตัวพฤติกรรมการกระทำเริ่มตัวแรกของพยัญชนะ วรรค ปะ

ส่วน ระ คือ ย ร เป็นเศษวรรค ร.เรือ ยังไม่เข้าขั้น ญญ

ญญ คือญาณปัญญาที่เริ่มต้น ญญ เมื่อเริ่มต้นมี อะ เอาสระมาใส่ตัวหนึ่ง สระมากำกับอัญญะ เป็นความฉลาด จ ฉ ช ฌ ญ คือ ความฉลาด

ยิ่ง ญญ คือ สุดฉลาดแล้ว ในวรรค จ ฉ ช ฌ ญ คือฉลาด

ช คือ ความสว่าง ฉ สว่างแจ้งทั้ง 6 ทวาร ฌ มีความรู้ ทั้งสามเส้า คือฌาน คือไฟ พลังงานที่ทำให้ สามเส้า เจริญออกไป เผาตัวโง่คือกิเลสฌานเผากิเลสได้ กิเลสตายมันจึงฉลาดใหม่ เป็นคนโลกใหม่ จึงเกิด ญ แล้วญญ มันก็เกิด เป็นธาตุใหม่เรียกว่าอัญญธาตุ

อัญญาคือคำนาม แปล อัญญาว่า คือความรู้ที่เป็นโลกุตระ ไม่ใช่ความรู้ของโลกียที่เป็น เฉกะหรือเฉโก หรือเฉกา ที่เป็นพหูพจน์หรือคำนามที่เป็นความฉลาด กลางๆ ของมนุษย์ ทางทวาร 6 ซึ่งกำกับว่า ความฉลาดของศาสนาพุทธต้องมีครบพร้อมทั้งทวาร 6

ถ้าหากฉลาดแค่ในจิต ฉลาดรู้มากมายในจิตแต่ไม่ออกมาทางภายนอกไม่มีธรรมะ 2 ไม่มีภายนอกภายใน  ฉลาดอย่างนั้นนั่งหลับตาก็มีแต่สัญญาไม่มีปัญญา

สัญญะ คือเศษวรรค ความฉลาดแค่เศษวรรค ส คือเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ

ส่วน ปัญญา ตัว ป คือพฤติกรรมพฤติการณ์ที่จะครบคู่กับ อัญญา ซึ่งลึกซึ้งกว่ากันมาก

แค่คำว่าฉลาดโลกียะกับฉลาดโลกุตระก็ยาก

ปัญญาไม่ใช่ความฉลาดของโลกีย์แต่เป็นความฉลาดของโลกุตระ

ความฉลาดของโลกีย์ อย่าสะเออะ อย่าไปแหยมจะเป็นปัญญา มันไกลมาก แต่คนชาวโลกีย์จับปัญญาเป็นเชลยหมดแล้ว แล้วมันเป็นตัวปลอมไม่ใช่ตัวจริง ยึดได้แต่ปัญญาตัวปลอม ก็เลยได้แต่ปัญญาตัวโกง ก็เลยโง่กว่าๆหนักกว่าเก่า ก็ยังเป็นความฉลาดแบบโลกีย์อย่างนั้น เลยหลอกพวกโลกีย์หัวปั่นนึกว่าได้ปัญญา แต่เป็นปัญญาตัวหลอก แต่หลอกพวกโลกียะได้ ยอมนับถือว่าเขามีปัญญา คนที่หลอกเก่ง อยากได้ปัญญา แต่ได้ตัวขี้โกง ขี้หลอกของเฉโกซ้อนไปอีกฉลาดเฉโกกว่าไปหลอกคนที่อยากได้นึกว่าได้ปัญญา นี่คือ ความซับซ้อนของสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนระหว่างพยัญชนะกับสภาวะ หรือโลกียะกับโลกุตระ มันหนักหนาสาหัส

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน อาสาฬหบูชาวันบูชาพระรัตนตรัย

อาตมาคิดไม่ผิดว่า จะต้องลากสังขารไปให้ถึง 151 ปี มันยากจังเลย ขนาดเราพูดอยู่ในแวดวงของเรา ยิ่งพูดทุกวันนี้อาตมายิ่งสงสาร มนุษย์โลกประชากร เขาอยากได้สิ่งประเสริฐใช่ไหม อยากได้โลกุตระ เอาให้ชัด กระแสของโลก กำลังมาหาไทย ไทยไม่ใหญ่นะแต่ไทยมีโลกุตระ ชมพูทวีป กำลังแค่ผลิ ยังไม่เป็นตัวนามตัวผลิตเลย แค่ ผลิ

ผลิ ยังไม่เป็นตัวตนของ ผลิต แต่เป็นแค่พลังงานอย่างเป็นนามธรรม แค่ผลิ ออกมา แค่ verb กับ noun

อาตมามาทำงานศาสนา ยังไม่เก่งบาลี ดึงบาลีออกมาไม่เท่าไหร่ อาตมาบรรยายในตอนแรกคนที่เก่งบาลี ซัดอาตมาตั้งเท่าไหร่ แต่ตอนนี้อาตมาก็เก่งขึ้น อาจโดนคางท่านบ้างท่านก็ตั้งหลักพอสมควร ก็เลยค่อยๆศึกษา อาตมาไม่ได้เจตนาทำลาย หรือกดข่มใคร แต่มันเป็นไปตามสัจธรรมก็ค่อยๆมีพัฒนาการไป

วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา มันเป็นวันครบ เมืองไทยค้นพบอาสาฬหบูชา ทางอินเดียๆนั้นไม่รู้เรื่องหรอกเดี๋ยวนี้ยิ่งสูญไปแล้ว แล้วไม่มีที่ไหนรู้เรื่องด้วย ลังกา พม่าก็ไม่รู้เรื่อง แต่ไทยนี่รู้เรื่องคือวันเพ็ญเดือน8 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ผ่านมา 2 เดือน ก็มีพระไตรรัตน์ครบ มีอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระสงฆ์รูปแรก เมืองไทยเป็นผู้ค้นพบวันที่ครบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเกิดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเทศน์บทแรก เป็นธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อัญญาโกณทัญญะรู้คนแรกได้ เลยได้บวชเป็นพระสงฆ์รูปแรกของพระพุทธเจ้า ก็เป็นอาสาฬหบูชา เป็นวันครบพระรัตนตรัย ครบสามเส้าก็เป็น ไตรจักร พุทธจักร ธรรมจักร จักรคือกลไกเคลื่อน เกิดเจริญไปตามลำดับ ครบลักษณะ พระพุทธ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้พุทธธรรม

ก็ขยายความตรงนี้ ขยายความไปถึงว่า...พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อเกิดสามเส้าขึ้นมา มีตัวบุคคล คือ 1 พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์ เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่พระเจ้า พระพุทธเจ้าคือคนจริงๆ ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่เสมอภาค เป็นศาสนาของมนุษย์ ไม่ลึกลับ ผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้า บรรลุธรรมะ สัพพัญญู คือผู้ที่มีความรู้จากการได้พากเพียรปฏิบัติอยู่ในโลกมนุษย์ชาติแล้วชาติเล่า ไม่ใช่อยู่ดีๆก็ประกาศขึ้นมา พระเจ้าสั่งให้เกิดมา ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องความเสมอภาคเป็นเรื่องของมนุษย์คนใดคนหนึ่ง ทุกคนมีสิทธิ์ทุกคน เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาแห่งความเสมอภาคที่สุด คนจะเก่งที่สุดดีที่สุดประเสริฐที่สุด เป็นพระพุทธเจ้า หรือ เขาถือว่ามีความรู้ ความศักดิ์สิทธิ์ ความเก่งยอดที่จิตนิยามหรือสัตว์โลก และสัตว์โลกคือมนุษย์ ทำความรู้ด้วยความจริงให้สูงที่สุดได้คือมนุษย์ทำได้ ช้างม้าวัวควายเป็นไม่ได้ ไดโนเสาร์ตัวใหญ่ที่สุดก็เป็นไม่ได้ เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องเป็นคน คนนี่มีบทบาทมากที่สุดในเอกภพ ไม่ว่าจะในโลกลูกไหนก็ตาม เกิดเป็นคนขึ้นมา ในโลกลูกนั้นก็คือมนุษย์นี่แหละ สูงที่สุดไม่มีอะไรจะสูงกว่ามนุษย์ในความเป็นสัตวโลก ไม่ว่าจะเป็นมหาเอกภพไหนก็ตามมีโลกขึ้นมา

ในมหาเอกภพจะมีจักรวาลใหญ่ แต่ก่อนมาเป็นเนบิวลา เป็น Galaxy เป็นองค์ประกอบ ของโลก ที่จะจับตัวเป็นเนบิวล่า galaxy ก็ไม่พูดต่อ เน้นหาตัวมนุษย์ที่เป็นชีวะ

ชีวะในระดับจิตนิยาม สูงสุดในความเป็นสัตว์โลกความเป็นชีวะ และมนุษย์นี้ยังมีแบ่งเป็นมนุษย์โลกุตระ ที่เป็นความตรัสรู้ของพุทธเจ้า เอามาเรียนรู้ได้ทุกคนมีสิทธิ์เท่ากันหมดเลยจะเป็นพระพุทธเจ้าได้หมดเลย ใครสมัครก็จะมีสิทธิ์เป็นได้ ใครจะพากเพียรเป็นได้ อาตมาคนหนึ่งนำมาแล้ว อาตมานี่นำมาพากเพียรมาจนเป็นโพธิสัตว์ปางที่ 7

พูดถึงตรงนี้อีกนิดนึง โพธิสัตว์ อาตมาเอามาขยายความ ความรู้โพธิสัตว์ของเถรวาทนั้นสูญไปหมดแล้ว อาตมาก็เอามาตราขึ้นใหม่ จะเป็นทฤษฎีหลักสูตรที่ศึกษาเลยว่าโพธิสัตว์ 9 ระดับ อันที่ 10 ก็เต็มสูญ

ใครจะมีภูมิที่ตรัสรู้ถึงโพธิสัตว์ใหญ่ กว่าระดับ 9 สูงสุดแล้ว แต่ไม่ประกาศตัวเป็นพระเจ้า เหมือนพระอวโลกิเตศวรที่เป็นตำนาน ท่านมีปณิธานว่า จะช่วยมนุษย์ให้บรรลุอรหันต์หมดทุกคนในมหาจักรวาล แล้วท่านจึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็นิมนต์เลย อายุของท่านนิรันดรแน่นอนเลย ตามหาวาระที่จะจบไม่ได้นิรันดร นิระ แปลว่าไม่มี อันตระ แปลว่าในระหว่าง

ในกาละกับกาละนี้ กาละต้องมีวัฏจักรของโลกที่มีความหมุนเวียนระหว่างพลังงานและวัตถุ ที่เกิดกาละ ตั้งแต่กาละของโลกกับวัตถุ จนกระทั่งมีมนุษย์เกิดมาในลูกโลกใดก็ตาม ถ้าภูมิจิตเป็นสัตว์ธาตุรู้ที่เป็นสัตว์ ตั้งแต่พีชะ มี ISH คือมีประธานแล้วมีรูปนาม ถ้าเป็นภาษาของวิทยาศาสตร์ก็ บวก ลบ และมีประธาน แต่ตัวประธานนี้เขาไม่รู้ ในทางวิทยาศาสตร์เขาไม่รู้

ในนิวเคลียสหนึ่ง ไม่มีประธานที่ยังไม่ถึงกับเป็นตัวประธานชัด แต่มันก็รักษาความสมดุลของมัน ถ้าไม่สมดุลมันก็รวมกันไม่ติดมันก็แตก ก็เหมือนกับมีปัญหา แต่ 2 ตัวที่มารวมกันก็ไม่รู้ เป็นอุตุนิยาม แต่เมื่อเป็นพีชนิยาม ก็มีประธานที่ไปควบคุมบวกลบ ก็เลยเป็นสามเส้าได้ แต่มันก็มีความสามารถยังไม่มา ก็จึงไปไม่ได้ไกล จนกระทั่งมามีพลังงานเป็นจิตนิยาม เริ่มเป็นเซลล์ของจิตนิยาม แรกๆสัตว์เซลล์เดียว จุลินทรีย์นั้นตายวันหนึ่งๆไม่รู้กี่ล้านๆๆตัว จุลินทรีย์นี้วันหนึ่งๆเกิดตายไม่รู้กี่ ล้านๆ จุลินทรีย์นั้นเกิดเร็วตายเร็ว มีทั้งเกิดทั้งตาย เร็วมาก แล้วจุลินทรีย์ก็อายุยาวนานด้วยนะ ถ้ามันจะไม่ทำปฏิกิริยากับอะไรมันจะเข้า จุลินทรีย์จำศีลเป็นล้านๆปี

พุทธศาสนามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นวันอาสาฬหบูชา คนไทยเข้าใจชัด ถึงหยิบมาเป็นความสำคัญของวันนี้ เป็นวันที่เกิดพระไตรรัตน์ ในทางโลกเขาก็จัดแค่วิสาขบูชา เขาก็รับแค่วิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก แต่อาสาฬหบูชานี้มีที่ไทย ประเทศอื่นยังไม่ยกเป็นวันสำคัญเท่าไหร่ แต่ต่อไปในอนาคตก็จะเห็นความสำคัญ แล้วเขาจะรับ

เพื่อที่จะทำพิธีการ ทำการpropaganda ถ้าจะทำให้คนตื่นตัว จะทำให้เกิดเทศกาล เกิดการใช้ความรู้อันนี้ ใช้วันนี้ เพื่อที่จะขยายผล ของความรู้ความจริงอันนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น มีนัยยะอื่นที่ลึกกว่าสูงกว่า เข้าใจได้ง่ายกว่า

เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ให้ อย่าไปชิงดีชิงเด่น กับนัยยะของหมูป่า คือความตื่นตัวของการเกื้อกูลมีน้ำใจ จะไปบอกว่ามี water heart นั้นไม่มีคำว่าน้ำใจในภาษาอังกฤษ ด้วยภาษาหรือสภาวะจิตวิญญาณ ศาสนาพุทธนี้รู้ถึงเรื่องจิตเจตสิกรูปนิพพาน ที่เอามาเป็นตัวอย่างศึกษาแค่ เจตสิก 52 89 121 แค่นี้ก็สุดยอด อาตมาก็ยังหยิบเอามาอธิบายให้พวกเราไม่หมด

เราเรียนรูป 28 ในตัวนิ่งของรูป 28 ก็มีตัวเคลื่อน

พระพุทธเจ้าเป็นต้นตอของผู้ที่เป็นมนุษย์ ไม่ใช่พลังงานลึกลับที่ไกลสัมผัสไม่ได้ พระเจ้าเป็นผู้ที่ อาตมาก็ไม่อยากจะพูดแต่ต้องพูด ขยายความเป็นวิชาการ

พระเจ้าเลยกลายเป็นพลังงานที่ถูกใช้ เอามายกเป็นนิรมาณกาย เอามาใช้พิสดารมากเลย แล้วแต่ใครจะสามารถใช้ได้ตามเชิงฉลาดของแต่ละคน ถึงได้เอาพระเจ้าไปรวมไว้ที่อื่นๆเยอะ คนหลอกหรือคนโง่ คนโลกีย์นี้มากกว่าคนโลกุตระ

โลกุตระไม่หลอก แต่โลกียะนี้หลอกกันจริงหลอกกันจัง ยังไม่หยุดหลอกมีแต่ความเพิ่มความหลอกให้ซับซ้อนพิสดาร วิตถาร ให้คนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน วิวัฒนาการความหลอกซับซ้อน เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่เกิด ล้านๆๆๆรอบ ผู้ติดตามไม่ทัน ก็ไปไม่รอด

ศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้าที่เป็นยอดหรูที่สุดในความเป็นสัตว์โลกที่เรียกว่ามนุสโส เป็นผู้ที่มีสภาพที่ยืนยันได้ว่ามีอาการ 32 มีธาตุดินน้ำไฟลม จับตัวกันเป็นสารสังเคราะห์ จนกระทั่งมีชีวะไปร่วม เกิดเป็นอาการ 32 ผมขนเล็บฟันหนังตับไตไส้พุง ม้าม ปอด อุจจาระปัสสาวะ อยู่ในนี้ในอาการ 32 ทวัตติงสาการ และก็มีพลังงานอยู่ในนี้ ในร่างของสัตว์ ทวัตติงสาการ

สัตว์ที่ถ้ายังไม่ถึงอาการ 32 ก็มี หรือมันมีแต่คนยังไม่สามารถจะไปเรียนรู้ถึงได้ มันเริ่มมีแล้ว คุณจะพยายามเอากล้องขยายเท่าไหร่ มันก็ยังขยายออกมาไม่ให้รู้ได้เท่าไหร่เลย ยกตัวอย่าง คุณรู้จักหัวใจแมลงหวี่ไหม ขยายยังไม่ได้ แล้วจะเรียนรู้เส้นเลือดของแมลงหวี่ไหวไหม แล้วมันมีสัตว์ที่เล็กกว่าแมลงหวี่ เดรัจฉานที่เล็กกว่าแมลงหวี่มีนะ เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าความละเอียดลออเหล่านี้เป็นเรื่องที่สุดลึก

พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูรู้แจ้ง หลายอย่างอาตมาก็พอรู้ ยังเอามากล่าวกับพวกเราไม่ได้ แม้บางอย่าง อาตมาก็ยัง ดึงขึ้นมาจะเอามาใช้ก็ยังไม่เต็มแม้จะรู้ ต่อไปจากนี้ จะมีคนเก่ง เก่งขี้นไปอีกและจะมาสาธยายได้ดีกว่าอาตมา

คนที่เก่งในเชิงนั้นเชิงนี้แต่ละมุม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเก่งไปทั้งหมด รวมค่าเฉลี่ยแล้ว เก่งกันแต่ละเฉพาะด้าน ก็จะมาขยายกันตามแต่ที่ตนเองเก่ง คนที่เก่งแต่ละด้านกว่าอาตมามี แต่รวมแล้วเขาสู้อาตมาไม่ได้ ค่าเฉลี่ยองค์รวมอาตมาสูงกว่าเขา แต่เฉพาะด้านนั้น ก็จะเก่งกว่าได้ แม้กระทั่งในสังคมโลกทุกวันนี้ ความเก่งเฉพาะด้านเขาเก่งกว่าอาตมาตั้งเยอะ อาตมาไม่เก่งเท่าไหร่ หลายอย่างอาตมาก็ไม่ได้พูดเล่นลิ้น พูดความจริง ไม่ได้พูดเอาโก้ ถ่อมตนไม่ใช่ หลายอย่างก็รู้สู้เขาไม่ได้

ไม่ต้องอะไร ในกระบวนการวิชาการอาตมาสู้ท่านประยุทธ์ไม่ได้ แม้แต่ในขณะนี้ สมเด็จพระสังฆราช อาตมาว่าด้านเฉพาะของท่านอาตมาสู้ท่านไม่ได้ บารมีท่านได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว อาตมาถึงไม่ได้สงสัยมันเป็นวาระเป็นตถตา มันจะต้องมีให้ท่านนี้ ถ้าไม่ใช่ท่านฟ้า ฟ้า ก็ไม่ใช่พระสังฆราชองค์นี้ คือท่านอัมพร อัมภโร อัมพรคือฟ้า อัมภโรคือฟ้า

อาตมา รัก รัก ตอนนี้เป็นรัก รักพงษ์ ตอนนี้กำลังรวมพงษ์ กำลังตามหาลูกหลาน แล้วตามหาพี่อยู่เหมือนกัน มีคนหลายคนอยากเป็นพี่เหมือนกันแต่เป็นให้จริงนะถ้าไม่จริงก็หน้าแตก

แม้แต่แค่ว่า เป็นพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ที่มีบารมีซับซ้อนมากมาย ซึ่งดูได้ยาก ว่า พระโพธิสัตว์ในยุคนี้ หลายคนก็ชัดเจนเชื่อจริงว่าพระโพธิสัตว์ 2 องค์ ในเมืองไทย แต่จะลึกกว่านั้น แล้วใครเป็นพี่ใครกันนะ อาตมาก็ไม่พูด เพราะมันไม่สมควรใช่ไหม ก็ไม่พูด ไม่สมควร

เรื่องอย่างนี้ จึงต้องเป็นเรื่องที่เราต้องศึกษาให้จริงจึงจะรู้ และคนก็จะมีความรู้อย่างนั้นอย่างนี้ ขณะนี้ก็มีคนพอรู้ว่า หลายคนก็ไปดูตำนานหลักฐานต่างๆพยายามรวบรวมกันอยู่ พยายามซอกแซกถามอาตมา มีคนไปค้นพบเจอ พระเจ้าตะวันทับฟ้า เอามาถาม อาตมา อาตมาก็ไม่รู้หรอก เพราะยังรู้ไม่มากเกี่ยวกับพระเจ้าตะวันทับฟ้า แต่พอรู้ว่าอะไรคืออะไรนะ

พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า เป็นต้น พอรู้แต่พูดไปไม่ดี ก็พูดนำไปบ้าง ไม่ได้พูดเพื่อโก้ให้ตัวเองเด่นอะไรนะ

ในสิ่งที่มันเป็นจริงพวกนี้ก็พิสูจน์ไป อาตมานี้บอกว่า คุณจะเชื่อว่าอาตมาเป็นอรหันต์ จะยืนยันได้ว่าโพธิสัตว์นี้ต้องเป็นอรหันต์ก่อน จึงเป็นโพธิสัตว์ แล้วโพธิสัตว์นั้นมีตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์ในระดับที่ยังไม่เป็นอรหันต์ ก็เป็นโพธิสัตว์ระดับนั้นแหละ ยังไม่เป็นโพธิสัตว์แท้ จนกว่าจะเป็นอรหันต์จึงเป็นโพธิสัตว์แท้ เรียกว่าโพธิสัตว์น้อย คืออนุโพธิสัตว์คือ โพธิสัตว์ระดับ 5 อนุนี้แปลว่าเมียน้อย ไม่ใช่หลวงหรอก น้อย อนุโพธิสัตว์ นี่ก็เป็นการใช้พยัญชนะสื่อให้รู้ง่าย เมียน้อยหมายถึงเขามีเมียมากนะ

ในโลกที่จะมีพระไตรรัตน์ มีพระสงฆ์จริง แล้วพระสงฆ์ก็ประกาศเลยว่าเป็นพระสงฆ์ที่เป็นอรหันต์ อาตมาต้องประกาศ เพราะมันมีแต่อรหันต์ เดา อาตมาก็จะยืนตัว ให้พิสูจน์จนกระทั่งเขาพิสูจน์ให้พอใจ มั่นใจว่าตัวเองกล้ายืนอยู่ยาวนานเพื่อพิสูจน์ อาตมาไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน มีแต่จะมีอะไรลึกซึ้งชัดเจนขึ้น เพราะคนที่อยู่กับอาตมา คนละหลายสิบปี ยิ่งจะชัดเจนคือ แม้แต่วันนี้ก็มีอะไรเติมขึ้นไปอีก มีอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการ

มีอะไรใหม่ๆที่ไม่เคยฟังมาแปลกใหม่ ได้ฟังแล้วก็เข้าใจยิ่งขึ้น ทำให้คลายความสงสัย ว่าอ๋อ ทิฏฐิก็ตรงขึ้น ทิฏฐิงอุชุงกโรติ จิตใจก็สว่าง ผ่องใส เลื่อมใส และยิ่งผนึกความเชื่อถือ ผนึกความเชื่อว่าอันนี้ยอดเพชรยอดทองสูงขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เรายิ่งรู้สูตรต่างๆเอามาประกอบก็ยิ่งชัด อาตมามีกำลังใจที่ไม่โดดเดี่ยวมีพวกมีผู้รู้ตาม มีคณะมีมวลมีกลุ่มทำตามได้ ยิ่งทำให้อาตมาเห็นจริงว่านี้ไม่ใช่ของปลอม ของปลอมมันเสแสร้งอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ได้ อาตมายิ่งมั่นใจซ้อนในตัวเอง เพราะอาตมาพยายามพิสูจน์แสดงธรรมเปิดเผยตัว ไม่และเล็มเลียบเคียงไม่เรี่ยไร ทำตามหลักสัจธรรมทั้งนั้นเลย มันได้ มันเป็นผลสำเร็จได้ขนาดนี้อาตมาก็ เห็นกระแสกำลังมาไรๆ

อาตมาเคยพูดว่า อาตมากลัว คนตื่น คนตื่นตูมนี่ มันรุมเลยนะ มันถูกฉีกเนื้อเลยนะเหมือนเอลวิสเพรสลีย์ เราต้องรักษาระยะห่าง รักษาระยะที่เราจะก้าวหน้าได้ มันเป็นเรื่องลึกซึ้งที่สำคัญ ใช้ สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 คุณจะเข้าใจและเริ่มรู้สึกว่าเราใช้เป็น

มหาปเทส 4 ยิ่งจะลึกซึ้งกว่าเพราะเป็นเรื่องของปัจจุบัน เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่าอนุญาตไว้หรือห้ามไม่ให้ทำ ต้องใช้ตัวเองเป็นเกณฑ์ตัดสิน จะต้องเก่งพอสมควร จึงต้องใช้สัปปุริสธรรม 7 ให้ดีก่อนจึงจะมาใช้ มหาปเทส 4 เราจะต้องใช้ภูมิธรรมของเราเอง

ถ้าคนที่ไม่มีความเฉลียวฉลาดเพียงพอในโลกุตระ ที่เป็นปัญญาเพียงพอก็ไม่ได้ใช้แล้วเละ แอ็คอย่างไรก็พัง อาตมาไม่กลัวไส้ศึก จารบุรุษพวกสอดแนม ผู้ที่จะพยายามเข้ามาสอดไส้ ล้วงความลับ อาตมาอยากให้ความลับแก่คุณทั้งหมดเลย ไม่ต้องล้วง มีเท่าไหร่ก็เทกระบะไม่ต้องล้วง จั๊กจี๋ อาตมาปฏิบัติธรรมมาจั๊กจี๋ก็จะน้อยลง พิสูจน์เลยลองที่ฝ่าเท้าก็ได้ จะไม่จั๊กจี๋ ใครหมดจั๊กจี๋ในฝ่าเท้าบ้างยกมือ นี่ก็เป็นพื้นๆ เหมือนกับพระพุทธเจ้าตรัสว่าเหงื่อจั๊กกะแร้ใครออก จี้เอวนี้หยาบกว่าฝ่าเท้า ฝ่าเท้านี้ละเอียดกว่า มีเส้นประสาทเยอะกว่า

ยุคนี้มีพระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ โพธิสัตว์ อาตมาประกาศระดับ 7 แล้วพยายามตามหาผู้พี่ระดับ 8 อาตมามีน้องชาย น้องชายประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้า ก็ยังอยู่ มีน้องชายเหลือคนเดียว บอกให้มาก็ไม่มา ก็ยืนยันว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก็เป็นเรื่องของเขา เขาใหญ่กว่าจะมา จะให้เขามาอยู่ในที่อาตมาได้อย่างไร อาตมาเป็นใหญ่ เขามาไม่ได้

เขาประกาศตนเป็นพุทธเจ้าจนถูกจับ ผู้พิพากษาก็ไม่รู้จักทำอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ประกาศตนเองว่าเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เขาก็ประกาศอย่างนั้น

เป็นเรื่องซับซ้อนลึกซึ้งท่านก็เป็นผู้บำเพ็ญบารมีมาปางนี้ก็เป็นน้องชายอาตมา จะไม่ขยายความมากเพราะมันยาก ท่านก็อยู่เป็นสุขเป็นสุขของท่าน อ่อนกว่าอาตมาแค่ 15 เดือน

ตอนนี้หลายคนก็คงจะเชื่อถือและว่าธรรมราชา 2 องค์ ชัดแล้ว คงจะเชื่อถือเนาะ อาตมาก็จะไม่พูดต่อมากมายกว่านี้ ก็ขึ้นมาทำงาน ก็ทำงานกันไป

แน่นอนธรรมราชาที่จะมาสืบสานศาสนาพุทธนั้น องค์หนึ่งนั้นคนไทยยอมรับ แต่อาตมาคนยังไม่ยอมรับ ไม่เป็นไร อาตมาไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็จะทำงานของอาตมาไป ความจริงจะต้องยืนยันความจริง อาตมาก็พิสูจน์ตัวเอง ท่านบอกว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน อาตมาก็เลยตายยังไม่ลง ก็ต้องถือว่าดี ที่จริงอาตมาก็ไม่ได้มีความสุขอะไรมากมาย แม้แต่สรีระก็ไม่ได้มาก ก็มีผู้ช่วยอยู่ อาตมาก็ยังอนุโลม แม้แต่เดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ก็ต้องลอง ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาไม่เลอะเทอะเกินไป ไปพอสมควรเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้มันยากจะอธิบาย เอาล่ะมันเลยเวลาแล้ว ...


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:21:06 )

610728

รายละเอียด

610728_รายการสำมะปี๋ซีวิต บ้านราชฯ ตอนที่ 2

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1YVNn2gdgJgMlD2jrPR6JpI83xwyAub720MXWsAHppf0

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1S3_nAqrFSw-rXuE_1zJ2Oqe2g1o9fS4M

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สวดอย่างไรให้ถึงนิพพาน

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก  รายการเริ่มไปเลย สำมะปี๋ซี่วิต ไม่ต้องรอสปอนเซอร์เลย วันนี้แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ ก็เอาเรื่องสวดมาให้อีกตอนนี้ อาตมาว่าพูดกันไปเยอะแล้ว ตอนนี้กำลังเขียนแก้เพิ่มในหนังสือคนจนที่มีแบบ ก็เติมการสวดเข้าไป ให้เห็นถึงโทษภัยของการสวด โทษภัยของการสวด กลายเป็นว่าในวงการศาสนาพุทธ คือศาสนาใช้การสวดเป็นอาชีพ เป็นศาสนาที่มีการสวดของภิกษุเป็นอาชีพ ที่ภิกษุใช้เบิกทางชีวิต เบิกทางการเจริญของชีวิต ให้เจริญด้วยลาภ ได้ยศ จากการสวด ได้ยศชั้นสรรเสริญ​สวดดีสวดเก่ง ไม่ใช่บรรยายธรรมะเก่งนะ

การสวดคือสวดสาธยาย คือการนำพุทธพจน์ นำธรรมบทของพระพุทธเจ้า มาสังสาธยายเอามาบรรยายอธิบายมาบอกให้รู้ จะได้เข้าใจเอาไปปฏิบัติ จะได้เกิดมรรคผลอย่างนี้ ตรงกันเท่านั้นเอง ที่จริงคำว่าสวดมนต์เป็นภาษาไทย สวดแปลว่า ปูดออกไป ยื่นยาวออกไป ส่วนงอกเพิ่มออกไปจากอันนั้นๆ

สวดสังสาธยาย คือ การเพิ่มความรู้ให้เติมงอกออกไป เพิ่มความรู้ความเข้าใจให้งอกเพิ่มเติมจากเดิมที่คนเข้าใจ ผู้สวดสังสาธยาย คือ ผู้ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจความรับรู้ได้ดียิ่งขึ้นเป็นประโยชน์ที่จะได้ซาบซึ่งเข้าใจได้เอาไปใช้ได้ จะได้เอาไปปฏิบัติเป็นมรรคผลยิ่งขึ้น อย่างนั้นคือเจตนารมย์ของการสวด การสวดเพื่อรักษาไว้ หรือสวดอาขยาน นั่นก็เป็นอย่างหนึ่งในสมัยพระพุทธเจ้าในยุคนั้นยังไม่มีการบันทึก ในหนังสือในใบลาน ในเทคโนโลยีก็ไม่มีก็เลยต้องใช้การท่องจำ ก็สวดเอาไว้

อีกอันคือสวดตรวจสอบ สังคายนา ผู้ที่จำได้คำสอนพระพุทธเจ้าหรือพระวินัย ปาติโมกข์ หมายถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ศีลสมาธิปัญญา ไม่ใช่คำประนามคาถา ที่เป็นธรรมบท ต้องทำการตรวจสอบรักษาไว้ทบทวนไว้ แต่ทีนี้ทุกวันนี้การสวดมันเพี้ยน กลายเป็นเครื่องมือหากินกลายเป็นเครื่องมือเลี้ยงชีพ มันกลายเป็นจารีตประเพณี มันกลายเป็น ถ้าเผื่อว่าเรื่องของศาสนาแล้ว ไม่มีอะไรก็มีแต่การสวดเท่านั้น เป็นเอกด้วยนะ การบรรยายคำสอนธรรมบทของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจนั้นเป็นรองมากกว่ามาก เป็นรองมากที่สุดเลย จนกระทั่งเขาเข้าใจผิดว่า การจะทำให้เกิดผลก็คือการสวด เรียกว่าภาวนา อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันเพี้ยนไปไกล จนกระทั่งไม่รู้จะทำอย่างไรจะแก้ไขได้หมดท่าเลยจริงๆ เพราะหลงใหลติดยึดการสวด จะเห็นได้ว่าบางลัทธิ ทางด้านธิเบต สวดกันจังเลย สวดมนต์ จนมีแต่มนตรญาณ ญาณแห่งมนต์ก็ได้แต่สวด

สวดแล้วก็ถือว่าจะได้อานิสงส์ได้ผลอะไร สวดแล้วนึกว่าได้สำเร็จ นึกว่าได้เป็นวิมานยิ่งใหญ่สารพัด เป็นเรื่องลึกลับ วิมานปลอมแปลกประหลาดวิตถารไปเป็นภพชาติ ไม่มีการปฏิบัติไม่มีเข้าใจการเรียนรู้บทมนต์คำสอนของพระพุทธเจ้ากลายเป็นเรื่องสูญเสียอย่างเดียว หมดแล้วศาสนาไม่มีอะไร มีแต่การสวดเท่านั้นเอง

ที่จริงก็เอาบทมนต์คำสอนพระพุทธเจ้ามาสวดอะไรก็ดีไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ทุกวันนี้ความสำคัญของการสวดลดลงไปเยอะเพราะมีการบันทึก มีทั้งหนังสือ เครื่องมือเทคโนโลยีมากมาย อยากรู้เมื่อไหร่ กดเอาเลย ได้ครบพร้อมเลย ขอให้ศึกษาเถอะ อยากรู้ธรรมบทของพุทธเจ้าก็ดี ไม่ใช่ว่าอาตมาดูถูกการสวดไม่สำคัญไม่ดีอะไรเลย แต่ว่าความจำเป็นน้อย เอาเวลาไปเสียไปทิ้งกับการสวดนั้นอาตมาว่าไม่ต้องเสียเวลา เอาเวลามาปฏิบัติ เอาคำสวดคำสอนทั้งหลายที่คิดได้รู้ได้ เอามาปฏิบัติตามให้รู้ได้ ระลึกทำความเข้าใจ เช่นคำสอนในมูลสูตร 10 ท่านสอนว่าฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นอำนาจ มีปัญญาเป็นสภาพอยู่เหนือ อุตระ มีวิมุติเป็นแก่นสาร มีอมตะเป็นที่หยั่งลง  มีอันสุดท้ายจบด้วย ปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นที่สุด เราก็ระลึกถึงทำความเข้าใจพิจารณา แล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับสูตรทั้งหลาย

อันนี้หมายถึงอย่างไร เช่น เราจะต้องเป็นอมตะบุคคล ก็ต้องได้วิมุติเป็นแก่นสารเนื้อแท้ จะได้เป็นอมตะบุคคล เอาจนได้วิมุติมันเป็นอย่างไร

จะได้วิมุติ ต้องเป็นคนอยู่เหนือ อุตระ มีปัญญา เป็นอุตระ ปัญญาคืออุตระมันเป็นอย่างไร หรือจะเรียกปัญญาว่าคือโลกุตระ มันเป็นความรู้ความเชื่อและฉลาดทางปัญญา ผลจะต้องได้อันนี้จึงรู้สาระคือวิมุติ หากคุณไม่สามารถมีปัญญามีความเจริญฉลาดแบบปัญญาคุณไม่มีทางได้วิมุติ

ความเฉลียวฉลาดทุกวันนี้ ที่อาตมาวิเคราะห์วิจัยว่าปัญญาเป็นความเฉลียวฉลาดแบบนี้ อัญญธาตุ ก็แจกแจงไป ซึ่งไม่มีคนอื่นทำอย่างนี้ได้ ที่ยกมาเพื่อให้เห็นความสำคัญ มันไม่ได้ฟังง่ายๆ คนจะมาพูดอย่างนี้ คนพูดอย่างนี้น่าจะวิเศษนะ แต่คนที่ดูถูกตีทิ้งก็แล้วไป แต่คนที่แสวงหาปรารถนาอยากจะรู้ อยากจะได้สิ่งที่เป็นความประเสริฐของศาสนา เขาก็จะสะดุดฉุกคิด มาเป็นประโยชน์คุณค่า

อาตมาค่อยๆไล่ จะเห็นได้ว่ามันเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน ผู้ที่เกิดปัญญา ซึ่งเป็นความเจริญชาติแบบอยู่เหนือ ความรู้ความฉลาดโลกีย์มันต่างกัน แล้วปัญญาอันนี้แหละ เป็นอำนาจ อำนาจคือ พลังงานชนิดหนึ่งที่มันได้ในตัว จะทำให้เรามีความตื่นมีสติ มีความตื่นเป็นพุทธะผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ก็เป็นพลัง เป็นอำนาจ เป็นอธิปไตยอยู่เหนือโลกเหนืออัตตาธิปไตย เป็นธรรมะที่อยู่เหนือ เป็นคุณธรรม

คุณธรรมที่เราจะได้จะต้องเป็นแก่นเป็นประมุข เป็นหัวหน้าเป็นเนื้อแท้ มีพลังงานที่ตั้งมั่นตกผลึก จนเป็น status ของเรา เป็นตัวตั้งในจิตของเราประจำในตัวเราเลย จะต้องเกิดจากเวทนาที่ประชุมลงในตัวเรา การประชุมลงของเวทนานี่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นกรรมฐานใหญ่ เป็นถึงจุดสำคัญยิ่งใหญ่เลย ถ้าไม่เรียนรู้เวทนา คนปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธไม่รู้ว่าเวทนาเป็นอาการจิตอย่างไร แล้วถึงที่สุดเป็นอย่างไร นั่นแหละคือหัวใจของศาสนาพุทธคือความทุกข์ความสุข เป็นศาสนาที่ลึกซึ้งที่สุดคือหมดความทุกข์ก็หมดความสุขไปด้วย นี่เป็นโลกุตระ ถ้าหมดทุกข์ที่ยังมีสุขอยู่ก็ยังเป็นโลกีย์ ก็เป็นธรรมะ 2  คุณไม่มีอันนี้ก็อาศัยอีกอันหนึ่ง คุณไม่ได้อีกอันหนึ่งก็ไปเอาอีกอันนึง ก็ไปอยู่กับสุขกับทุกข์ ไม่มีทุกข์ก็อาศัยสุข อยู่อย่างนั้นไม่ได้หมดหายไป

พระพุทธเจ้ามีความลึกซึ้งให้เรียนรู้ที่พัฒนา ให้เรียนรู้ความรู้สึกสุขทุกข์และหมดทุกข์หมดทุกข์ มันเป็นอย่างไร คืออุเบกขา เป็นอาริยสัจ พ้นทุกข์พ้นสุข

โลกียะ สลับไปสลับมาระหว่างทุกข์กับสุข สลับไปสลับมาระหว่างสวรรค์กับนรก ศาสนาพุทธนั้นมี

มีทุกข์ไม่มีสุขเหนือกว่าสวรรค์นรก ไม่มีภพชาติ เป็นเรื่องที่ยาก ถ้าไม่รู้จริงมาพูดก็ไม่ได้ อาตมาว่าอาตมารู้จริงจึงเอามาพูด

ใครเข้าใจไม่ได้แล้วหาว่าเลอะเทอะก็แล้วไปเถอะ ไม่ว่าคนเข้าใจไม่ได้เขาไม่มี ภูมิ พวกเรารู้เรื่องไหม?...รู้ มีภูมินิดหน่อยที่เป็นสาระสัจจะ

คุณไม้ร่มว่า ...ไม่มีทุกข์ก็ไม่มีสุข ไม่มีสุขก็ไม่มีทุกข์ เป็นเหรียญสองหน้า โลกุตระกับโลกียะก็เป็นเหรียญ 2 หน้าไหมครับ

พ่อครูว่า... ก็ใช่

พ่อครูว่า...ถ้าเราไม่มีโลกียะก็ไม่มีโลกุตระใช่ไหมครับ

โลกุตระเป็นบัญญัติ สาระของโลกุตระ 0 นิพพานเป็นโลกุตระ ตัวสำคัญของโลกุตระเป็นนิพพานคือศูนย์ ก็ไม่มี คุณทำได้ไหม คุณทำได้ก็ไม่มีเหมือนกัน โลกียะก็ไม่มีโลกุตระก็ไม่มีเหมือนกัน ถ้าเข้าใจถึงจุดสำคัญ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เมื่อไม่มีไตรสิกขาวิบากก็พาไปตามยถากรรม

คุณพลังพร...ทำนาเกี่ยวข้าวไป 5 วัน ยังไม่หายเหนื่อย ถามสองอย่างค่ะ

  1. เพลงมันสะท้อนสังคม เสียงเพลงบอกว่ามันเป็นผลงานที่แสนห่วย คนที่ซวยก็คือตัวลูกน้อย…เพลงบาปบริสุทธิ์ของแอ๊ดคาราบาว
  2. พระโพธิสัตว์ ว่าจบแล้ว ทำไมต้องรู้และอยากทำไปเรื่อยๆ

พ่อครูว่า...อันแรกก็เป็นเรื่องของคนธรรมดาทำไมต้องมีลูกมีครอบครัวแล้วลงท้ายก็คือเป็นเวรเป็นภัยแก่ลูก รับเละอยู่ที่ลูก เพราะว่าพ่อแม่ไม่ดี เป็นเรื่องละครของเราเป็นกรรมวิบากของอจินไตย ไปตามยถากรรม คนไม่ได้ศึกษาธรรมะก็จะเป็นอย่างนั้น เกิดมาแล้วก็มีคู่มีลูกเต้าแล้วก็มีความทุกข์สารพัดสารเพไป คนที่เขาแต่งงานแล้วมีลูกมีเต้ามีฐานะ เป็นอยู่ไม่ทุกข์ไม่ร้อน อันนี้แหละเป็นเรื่องหลอก เป็นเวทนาหลอก เป็นสวรรค์หลอกให้คนอยู่ได้ในโลก หากมีสวรรค์หลอกอันนี้ บรรลัยจักร เลย คนจึงหลงสวรรค์อยากได้สวรรค์เพราะไม่มีความรู้ว่าสวรรค์กับนรกนี้มันอันเดียวกันแยกกันไม่ได้ คุณได้สวรรค์ก็ได้นรกอยู่ด้วยกัน เผลอเมื่อไหร่ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นชีวิตของคนจึงพ้นทุกข์ไม่ได้

ที่ถามมามันเป็น Story ของชีวิตมนุษย์สามัญที่เป็นล้านๆๆ เรื่อง เอามาถาม อาตมาตอบไม่ได้ กรรมวิบากเป็นเรื่องอจินไตยคิดไม่ได้ตอบไม่ไหวเลย เยอะ และกรรมวิบากเหล่านี้ ศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าตรัสรู้ มันจะสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องแล้วเป็นเรื่องนิยายต่อกันไป ชาติแล้วชาติเล่า มันเป็นอย่างไร ไม่เลิกการดูดการผลัก ระหว่างธรรมะสองระหว่างเพศผู้เพศเมีย แล้วก็มีบานปลายเป็นลูกเป็นครอบครัว มีผู้สนับสนุนเป็นกองทัพ เป็นโลกไป ไม่ได้เรียนรู้ชีวิตของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นมันไม่มีจบ แล้วเป็นไปตามยถากรรม กรรมวิบากที่คุณไม่ได้ศึกษาก็ต้องไปตามนั้น

ศาสนาเทวนิยมก็ไปโยนให้พระเจ้า ถ้ามีความทุกข์ก็เป็นประสงค์ของพระเจ้า มีความสุข ก็ยังดี ปฏิบัติตามคำสอนพระเป็นเจ้าและแสดงความสุข ก็ไปเน้นอ้อนวอนให้พระเจ้าช่วย จึงต่างกับศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่อ้อนวอน ให้ตนเองช่วยตนเอง ตนเองจะมีความสุขในความทุกข์ จะพ้นทุกข์เป็นสุขได้ก็ด้วยตนเองที่ตัวเรา แล้วสูงสุดจนกระทั่งไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นนิพพานนังปรมังสุขัง ขอยืมพยัญชนะมาใช้เท่านั้น นิพพานนั้นยิ่งกว่าสุข ไม่ใช่สุขโลกีย์ที่มีนัยยะสอง นิพพานนั้นไม่มีคู่แล้ว 0 ด้วยซ้ำ

ถ้า 1 แค่นั้นไม่มีคู่เลยก็พ้นทุกข์ระดับ1 หนึ่งไม่ต้องสังขารกับอะไร ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับอะไร คุณเกี่ยวกับอะไรก็มี 2 ขึ้นมา คุณไม่เกี่ยวก็เลยคิด ดื้อๆตื้นๆ ถ้าไม่เกี่ยวกับอะไรก็ต้องหนีไปคนเดียว  อย่างหลวงพ่อเกษมเข้าไปมีไปอยู่ป่าช้าไตรลักษณ์ ใครจะไปจะมาข้าก็ไม่เห็นนั่นแหละเขาว่าสุดยอดแล้วเป็นทางออก ง่ายๆไม่ได้ลึกซึ้งอะไร แล้วก็คิดดูสิ ถ้าหากศาสนาสอนให้คนเป็นอย่างหลวงพ่อเกษม ต่างคนต่างไปอยู่ในรูใครรูมันช้ำใครทําเหมือนป่าช้าใครป่าช้ามัน แต่กินนะ แล้วก็นั่งรอกินก็ไปไม่รอดตาย วิจัยให้เห็นง่ายๆ แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้ ขออภัยหลวงพ่อเกษมที่เอามาอ้างอิงยืนยันสัจธรรม ก็ตายไปแล้วนานแล้ว เขามีลูกศิษย์ลูกหาอยู่

อาตมาก็ไม่ได้ลบหลู่ ก็เคารพนับถือในเชิง ที่อดทนเก่ง ฝึกฝนเก่งก็ได้แบบนั้น แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรได้ควรเป็นควรถึงของศาสนาพระพุทธเจ้าสอนเท่านั้นเอง

ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่สุดยอด อาตมาพาพวกเรามาปฏิบัติธรรม อาตมาบรรลุผลสำเร็จที่ทำงานช่วยคนให้ได้ปฏิบัติตามจนคนมาเจอ รวมเป็นสังคม กลุ่ม มีวัฒนธรรมพฤติกรรมสังคมความเป็นอยู่ แล้ว คนที่อยู่ในนี้ก็ได้อาศัยใช้สอย อยู่กับความเกิดแก่เจ็บตายอย่างไม่ต้องกังวล พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ จิตใจก็พอ ไม่ต้องการมากกว่านี้

คนที่มันจบแล้ว อยู่กับสังคมนี้ ชีวิตอยู่อย่างนี้ ข้างนอกเรารู้ คนรวยหรูหราฟู่ฟ่า พิจารณาด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เราก็เห็นก็รู้ไม่ได้ปิดหูปิดตาหลับตาอยู่ในป่าช้าไตรลักษณ์ อยู่ในป่าเขา ไม่รู้ก็ไม่ใช่ เราก็รู้ทุกอย่าง ที่โลกเขามี ที่เขาหลอกเขาหลงใหลได้ปลื้ม วิ่งแย่งกัน เราก็ไม่ได้ไปแย่ง

สิ่งที่อาศัยอยู่ในนี้ก็พอกินพอใช้เหลือเฟือ อุดมสมบูรณ์มาก อาตมาว่า ใช้ชีวิตอยู่ในสัปปายะ 4 เสนาสนะที่เป็นหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านที่เจริญเป็นหมู่บ้านสบาย มีบุคคล บุคคลในนี้ก็อยู่ได้สบาย เป็นพี่เป็นน้อง เป็นผู้ที่ต้องเกื้อกูล พึ่งพาอาศัย แม้ไม่มีญาติเลยคุณก็อยู่ได้สบาย แม้จะกำพลอย พลอยนี่ราคาแพงกว่าพร้านะ นี่กำพลอย ยิ่งพลอยราคาแพง

อยู่ที่นี่ได้สบาย มีศีล 5 สูงกว่านั้นก็มีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาขึ้นไปเรื่อยๆจนเป็นพระอรหันต์ จริงๆแล้วพวกเรานี้มีพระอรหันต์เยอะ แต่เขาไม่รู้ อาตมาก็ไม่ได้พูดออกไป คนเขาจะเล่นงานอาตมา เพราะว่า Concept พระอรหันต์ของเขาเป็นอีกอย่างหนึ่ง เขาเข้าใจอรหันต์ไม่ได้ เขาว่าอย่างนี้ไม่ใช่ คนที่เราประกาศอรหันต์นั้นเขาฟังแล้วก็ฟันหลุดหัวเราะกัน เขาหัวเราะเยาะ จนฟันเขาร่วงหลุดหายไป เขาไม่เชื่อไม่เข้าใจว่าอรหันต์เป็นแบบนี้ คนอื่นอาตมาก็ประกาศ

 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...คนเขาก็ไม่เชื่อว่ายายกิมตังเป็นพระอรหันต์ เพราะไม่เรียบร้อยและไม่ค่อยมีผัสสะ พอประกาศว่ายายไม่ใช่อรหัตตมรรค พวกญาติธรรมบางคนก็ไม่เชื่อ

พ่อครูว่า...ขนาดพวกเราเองยังไม่เชื่อเลยแล้วจะไปพูดกับคนอื่นข้างนอกได้อย่างไร สรุปได้ยาก

ตอบข้อที่ 2 พระโพธิสัตว์ ว่าจบแล้ว ทำไมต้องรู้และอยากทำไปเรื่อยๆ ถามข้อนี้ก็ง่าย แต่คนไม่ค่อยนึก...โพธิสัตว์มีตั้ง 9 ชั้น โพธิสัตว์คือผู้ที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องอยู่ต่อไป ก็ง่ายๆอย่างนี้ เข้าใจชัดไหม อาตมาบอกถึงขนาดอาตมาอยู่ในระดับ 7 ทุกวันนี้อาตมาอยู่ ไม่ได้ทำประโยชน์ตนเอง เขาก็บอกว่า ถ้าประโยชน์ของตนคือให้ตัวเองเป็นพุทธเจ้าใช่ไหม คำว่าประโยชน์ตนก็คือจบเป็นอรหันต์ คนที่มีประโยชน์ตนคืออรหันต์จบแล้ว เกินกว่านั้น พระโพธิสัตว์ไม่มีประโยชน์ตนแล้ว  ทำประโยชน์คนอื่นเพิ่มขึ้นมีแต่กรรมกิริยาให้คนอื่น ตนเองพ้นจากลาภยศสรรเสริญโลกียสุข มีกรรมกริยาการเคลื่อนไหวก็เพื่อผู้อื่นทั้งนั้น อาตมาบรรยายอยู่ที่ลานอโศกวัดมหาธาตุ บรรยายแล้วก็พูดกับไอ้หนุ่มคนจีนคนหนึ่ง

พูดถึงเรื่องกิน เขาก็บอกว่าจบแล้วทำไมต้องกินเพื่ออยู่ต่อไป อาตมาก็บอกว่ากินเพื่ออยู่ เขาก็บอกว่าจะอยู่ไปทำไม อาตมาก็บอกว่าอยู่เพื่อทำประโยชน์ต่อผู้อื่นกินเพื่อผู้อื่น เขาก็บอกว่ามากไปๆ

เพราะอาตมามีชีวิตอยู่ก็เพื่อผู้อื่น ไม่ได้เพื่อตัวเอง จึงเข้าใจให้ได้ว่าประโยชน์ตนคืออะไร โพธิสัตว์ทุกองค์เพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ตั้งแต่ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมม“สัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน... ดิฉันได้ ประโยชน์ธรรมะพ่อท่านคือเรื่องกายกับบุญ ทำไมดิฉันสงสัย ว่า เมื่อก่อนพ่อท่านไม่สอนทำไมมาสอนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

พ่อครูว่า...ที่อาตมายังไม่สอนเพราะว่าปฏิภาณปัญญาของอาตมายังไม่ขึ้น ที่สอนทุกวันนี้เป็นระยะสำคัญลึกซึ้ง ระดับนั้นมันยังไม่ขึ้น มันยังไม่โผล่มา อาตมาเข้าใจกายกับบุญนั้นมีนัยยะพิเศษที่แยกออกมาอีก คือปฏิภาณยังไม่ขึ้นมา เป็นอจินไตยหลายอย่างเพราะว่า

1. มันยังไม่ถึงเวลาตามอจินไตย 2. อาตมายังไม่ขึ้น ยังไม่มี ภูมิก็ยังไม่แสดง นี่ภูมิอันนี้ขึ้นมาก็แสดง

อาตมาไม่รู้ไม่ได้ ที่อาตมารู้นี้ของใครล่ะ? ของเก่าอาตมา จนกระทั่งพูดออกมาแล้ว ถึงไปค้นจากพระไตรปิฎกจึงเจอว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ทั้งนั้น เช่นคำว่ากายเป็นธรรมะสอง แล้วกายคือ จิต มโน วิญญาณ กายไม่ได้เน้นที่ร่าง ไปยึดว่ากายคือดินน้ำไฟลมก็ผิดอีก คนฟังก็เป็นนัยยะลึกซึ้ง อันนี้คนฟังก็หูหัก กลายเป็นว่ากายคือดินน้ำไฟลมไม่เกี่ยวกับจิต(แยกกายแยกจิตอย่างไร?)

กายไม่เป็นจิตไม่ได้ ต้องมีภายนอกด้วย กายต้องมีภายนอก นี่อาตมายิ่งพูดไปยิ่งรู้สึกว่าไม่เก่งไม่ครบรอบไม่ถ้วนไม่ชัด ฟังแล้วต้องมีประเด็นสงสัยอยู่แน่

คุณสู่แดนธรรมว่า...เหตุปัจจัยที่พ่อครูต้องค้นหาด้วย เช่นเรื่องธรรมกาย

พ่อครูว่า... ไม่เชิง มันถึงเวลาวาระที่ต้องอธิบาย

คุณเกร็ดดินว่า...คือว่า เป็นรอบนักษัตร ตอนนี้เป็นนักษัตรที่ 4 รอบที่ 1 2 3 เป็นศีล  สมาธิ  ปัญญา รอบที่ 4 ก็เป็นวิมุติ

พ่อครูว่า...พวกเราก็ตามด้วย พวกเราถ้าฟังไม่รู้เรื่องอาตมาก็พูดอยู่คนเดียว

คุณเต็มสิริ...ลูกชายคนที่สอง จบวิศวะมาก็รองาน ก็บวชจนป่านนี้ยังไม่สึก 30 ปีแล้ว โยมก็ดีใจ อยากให้ท่านบวชไปตลอด โยมก็ไปเวลาถ้ามีกฐินก็ไปประจำ ตอนหลังโยมมาปลูกบ้านที่บ้านราชฯ พระท่านก็โทรมาคุย ท่านก็ว่า ปีนี้ท่านบวชมา 27 ปีแล้วยังไม่ได้ทดแทนอะไรโยมแม่ ท่านอยากจะขอโทษก็ไม่ได้ขอโทษ ทำอะไรก็ทำไม่ทันดิฉันเสียที ท่านคิดว่าให้โยมไปรักษาศีลที่นั่นแล้ว ท่านจะได้ดูแลโยม แต่โยมก็ว่าจะอยู่บ้านราชฯนี่แหละ

ถามว่าอย่างนี้โยมบาปไหม?

พ่อครูว่า...ไม่บาป ที่จริงเป็นนัยยะสำคัญน่าจะศึกษาว่า ทำไมโยมแม่เรามาชอบ

คุณเต็มสิริว่า...ท่านก็ฟังธรรมของพ่อท่าน

พ่อครูว่า...แสดงว่าฟังธรรมไม่ถึง ถ้าฟังถึงก็จะปล่อยแล้ว ก็เป็นความต้องการเป็นคนงามความดีอันหนึ่ง อยากทดแทนอยากทำความดี เป็นอุปกิเลสชนิดหนี่ง วิจัยแล้ว ก็ไม่ดีเท่าที่กับโยมคิดเอง

 

น้ำมนต์ว่า...ทำไมคนต้องทำกรรมคะ

พ่อครูว่า...กรรมของหนูน้ำมนต์ หมายถึงอะไรลองตอบหลวงปู่มาสิ

น้ำมนต์ว่า...กรรมไม่ดี

พ่อครูว่า...แล้วคนส่วนใหญ่ เขาจะบอกว่ามันเป็นกรรม ก็หมายถึงสิ่งที่ไม่ดี คนที่ไม่เข้าใจไม่รู้ความจริงก็ทำกรรมที่ไม่ดี ถ้าเราฉลาดพอก็จะไม่ทำกรรมไม่ดี บางทีเรารู้ว่ากรรมนี้ไม่ดีแต่เรายังเลิกไม่ได้ ยังทำกรรมไม่ดีอยู่ก็ต้องฝึกฝน เลือกที่จะไม่ทำกรรมไม่ดีให้ได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลที่ทำให้เป็นพระอาริยะไปตามลำดับ

สมณะมือมั่น...พ่อครูเทศน์เมื่อวันจันทร์ ว่าสังคมสาธารณโภคีของเรา อยู่ในระดับอนาคามี พ่อครูก็ย้ำว่า อย่างไรก็แล้วแต่เราควรจะตรวจตัวเองว่าเรามีภูมิพระโสดาบันหรือไม่ เพราะว่าที่เราคุยกันว่า ขนาดโยมกิมตัง พ่อครูบอกว่าเป็นอรหัตตมรรค เราก็ยังสับสนเลย ผมว่า การตรวจภูมิโสดาบันก็คงเช่นกัน เราคงไม่เหมือนอัญญาโกณฑัญญะ ฟังธรรมและก็เป็นพระโสดาบัน ฟังธรรมแล้วบางคนยังตรวจสอบตัวเองไม่ได้ว่าเราเป็นพระโสดาบันหรือไม่

พ่อครูว่า...ก็กำลังทำอยู่ เพื่อตรวจสอบตัวเอง ก็ดี ซึ่งมันมีหลักการพระพุทธเจ้าไว้หมดแล้ว รวบรวมเรียบเรียงให้เข้าใจครบ เช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีภูมิโสดาบันต้องพ้นสังโยชน์ 3 ต้องมีศีล 5 เอามาตรวจสอบว่าเข้ากับหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้าไหม ข้อสำคัญอยู่กับครูบาอาจารย์ ก็ให้เข้าใจคำสอน แล้วก็ปฏิบัติ

ที่สำคัญมากคือศาสนามีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย อาตมาเน้นศีลเป็นตัวหลักจะกำหนดอธิจิตสมาธิ และบ่งบอกปัญญา เมื่อศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ก็จะบ่งบอกเลยว่า ศีลข้อ 1 เรามีวิมุติ อาตมาก็อธิบายขยายความอีกว่า ศีลข้อ 1 คนที่มีศีลข้อ 1 เป็นวิมุติแล้ว คนนี้สัมผัสกับสัตว์โลกมีชีวิตปกติ เป็นสีลบุคคล เพราะจิตของคนๆนี้อยู่กับสัตว์เข้าใจความเป็นสัตว์ไม่ฆ่าสัตว์ วางอาวุธมีความเอ็นดูกรุณา หวังประโยชน์กับสัตว์ทั้งปวงอยู่ อย่างแท้จริงหรือ จะอยู่กับสัตว์ก็ไม่มีภัยมีโทษกับสัตว์ใดๆเลย เพราะว่ามีศีลเป็นปกติ เป็นวิมุติ วิมุตติญาณทัสสนะ

โสดาบันก็ต้องตรวจ อาจไม่ต้องลึกถึงวิมุติ วิมุติญาณทัสนะก็เป็นโสดาบันตามลำดับ ถ้าศีลทำได้เพียงกดข่มเราเกี่ยวกับสัตว์ จิตเราก็ยังมีดุ๊กดิ๊ก ยุงมันกัดก็ยังอยากตบ มันก็ยังไม่เป็นปกติ ถ้ายุงมันกัดมันตัวน้อย ก็เพียงแต่ให้มันไปอย่าเอาเชื้อมาใส่ ทนคันทนเจ็บ มันไม่เจ็บเท่าไรหรอกปากมันแหลมเล็กๆคัน

หรือศีลข้อ 2 สัมผัสกับของที่ไม่ใช่ของของเรา ก็ไม่ได้อยากได้ไม่ได้ถือวิสาสะเอามา ไม่อยากขโมย ไม่ต้องพูดถึงทุจริตถึงขั้นโกงแย่งชิง สรุปแล้วคนที่มีศีล แม้แต่ข้อที่ 3 ถ้าจะขยายความก็ครบเลย แค่ศีล 3 ข้อนี้แหละ

วจีคุณก็สอดคล้อง พูดไม่ผิดเพี้ยน พูดปดไป เพราะจิตคุณข้อ 5 ปฏิบัติไม่ได้ศีลข้อ 4 5 จะมาจาก ศีล 3 ข้อที่เป็นผล วิมุติ เป็นชีวิตปกติที่ไม่มีภัยมีโทษ

ความรู้สูงขึ้นกว่านั้นเป็นสกิทาคามี อนาคามี คุณก็เพิ่มศีลขยายไป ศีลกำหนดเรา ทำได้ศีลข้อ 1 ก็เป็นโสดาบันข้อที่1 ข้อที่ 2 3 หรือ เป็นอรหัตตผลของโสดาบัน

ถ้าทำศีล 5 ได้บริบูรณ์ ในจุลศีลข้ออื่นจะทำได้ง่าย ถ้าทำตามลำดับ แต่นี่สับสนไม่เป็นส่ำ ศีลก็ไม่เป็นสมาธิ ไม่เป็นอธิจิต เพราะคุณไปปฏิบัติ เอาแค่กายวาจา แต่ศีลไม่ได้ลดกิเลส ไม่ปฏิสัมพัทธ์ที่จิต เขาหั่นออกจากกัน ศีลเขาไม่บรรลุมีแต่กดข่ม สมาธิก็ไปนั่งหลับตา ปัญญาก็ไปสร้างปัญญา จะเอาปัญญาสำนักไหนนะ สวนโมกข์ สมาธิก็เอาที่ธรรมกาย ศีลก็ไปสันติอโศก อ.ประเวศก็อธิบายอย่างนี้ ท่านจะเป็นผู้ชี้นำให้คนปฏิบัติตามเป็นอาจารย์ เป็นศาสดาหนึ่งในโลก ก็ไม่พยายามจะศึกษา หากศึกษาศาสนาพุทธและรู้จุดสำคัญก็จะเรียนรู้อันนี้

 

คุณพลังพร...พ่อท่านก็อดทนทำมาหลายปีแล้ว คนก็มีน้อยไม่มากเลย ทำไปอย่างไรได้แค่นี้

พ่อครูว่า...ต้องการรู้ประเด็น สรุปก็คือทำไมทำอยู่ได้เท่านั้นก็แค่นี้ แล้วจะให้อาตมาตายหรือ ไม่ทำก็ตาย ก็อาตมาไม่ตายก็ต้องทำ สองอาตมาว่าอาตมาเพิ่มความรู้เพิ่มความลึกซึ้งไปได้อีกอยู่ แม้คนที่เพิ่งติดตามก็จะได้เพิ่มภูมิ มันยังไม่เป็นหมันไม่สิ้นไร้ไม้ตอก แม้จะไม่มีคำตอบ ว่าเขาได้อย่างไร ก็พอจะประเมินประมาณได้อยู่ แม้แต่พวกเรานี่ก็ได้แต่ละเล็กแต่ละน้อยก็เข้าใจเพิ่มขึ้น มากบ้างน้อยบ้างก็ได้ เป็นอานิสงส์แห่งการฟังธรรม 5 ประการ เกิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้นอกไปจากคำสอนพระพุทธเจ้า

ที่สำคัญก็คือ จะต้องบำเพ็ญเพิ่มขึ้น พยายามมีความสามารถที่จะอธิบาย ให้คนได้รับรู้ หนึ่ง สองจะต้องย้ำยืนยันความถูกต้องว่าศาสนาพุทธนั้นผิดเพี้ยนไปไกลมาก ต้องพยายามให้คนเข้าใจได้เพิ่มขึ้น จะได้น้อยหรือมากก็ต้องทำ เพราะอาตมาเห็นว่าธรรมะต้องถูกต้องเป็นสำคัญ ยังไม่ตาย ยังมีกำลังแรงงานจึงต้องทำ ไม่มีอะไรดีกว่านี้ที่จะทำ ก็ต้องทำ

 

_เนิ่นนานมาแล้วพ่อไม่ยอมออกทีวี และมีเหตุผลอย่างหนึ่งว่าพวกเรายังไม่แข็งแรงพอที่จะรับมือคนที่อ่อนแอที่จะเข้ามา แต่มาถึงตอนนี้เราออกทีวีทุกวันช่องเล็กๆ ถ้าหากทางรัฐบาลนิมนต์พ่อครูออกทีวีเสรีจะไปตามนิมนต์ไหมครับ (แค่สมมุติครับ)

พ่อครูว่า..อาตมาว่า คุณถามสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไม่น่าจะถามนะ สมมติสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าถามว่าหมาที่ท่านเลี้ยงมันออกเขาจะว่าอย่างไร  มันไม่น่าถามหรอก

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สุขภาพบุญนิยม) ตอน ทำไมพ่อครูยิ่งทำงานมากยิ่งแข็งแรง

_คุณกล้าธรรม… ความรู้สึกที่อยู่ที่นี่และเห็นพ่อครูอายุมากขึ้น แล้วก็รู้สึกว่ายิ่งมากก็ยิ่งคล่องแคล่ว ขลัง ให้ความร่มเย็นอบอุ่นกับผู้คน ไม้ที่มีอายุมาก  ยังจะมีร่มเงา  ถ้าเปลี่ยนข้างนอกจะเอาผ้าไปผูกไว้ แต่ว่า คนที่เห็นแล้วก็อยากเข้าไปหา เพราะร่มเย็น ทีนี้ พ่อครูว่าอีก 16 ปีพ่อครูจะอายุ 100 ปีผมก็ตั้งความหวังว่าผมจะอยู่ได้อีก 16 ปี ตอนนี้ผมอายุ 50 กว่าแต่คนมองเหมือนอายุ 70 ถ้าพ่อครูอายุ 100 ผมก็คงมีคนคิดว่าผมอายุ 90 ผมเห็นแล้วก็รู้สึกว่า ไม่ได้สนทนากับพ่อครู แค่เห็นเขารู้สึกว่ามีความเย็น มีความรู้สึกอบอุ่น มันกลับอยู่ใต้ต้นไม้ที่ให้ความเย็นกับทุกสรรพสัตว์

คำถามคือ พ่อครูว่า...จะอายุเป็นร้อย แต่เห็นพ่อครูใช้พลังงานเยอะมาก ที่เห็นได้ชัดคือเทศน์วันละ 2 ชั่วโมง  คนที่มานั่งฟังยังคอตก แต่พ่อครูยืนยาวตลอด นี่แค่ฟังเทศน์แต่ผมกลัวพ่อครูหมดพลัง หรือว่าพลังที่พ่อครูให้ไปนี้กลับมา ยิ่งให้ยิ่งได้มาใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...ยิ่งให้ไปยิ่งได้มาก็ใช่ คนออกกำลังกายก็ได้กำลัง นอกจากว่าออกกำลังกายเกินเขตก็จะทรุด แต่ถ้าหากออกกำลังกายให้เหมาะพอดีจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จริง มันมีขีดจำกัดอายุไขของคน สรีระ ก็แล้วแต่  แต่เราสามารถสร้างพลังงานที่อาตมากำลังพิสูจน์ ที่เกี่ยวกับพลังงานสัมประสิทธิ์ ให้ขยายอายุขัยที่จะไปช่วยทางสรีระด้วย ที่จิตใจจะช่วยให้ตัวนั้นมันเกิดพัฒนาการ ตับไตไส้พุง อวัยวะ จะเป็นไปได้

อาตมาดูตัวเองแล้วกล้าพูด ขณะนี้ อาการ 32 อาตมาแม้แต่อวัยวะตับไตไส้พุงยังไม่มีส่วนใดที่เป็นโรคหรือเสื่อม จนกระทั่งต้องไปหาหมอบำบัด จะมีบ้างที่ตา แต่ก็ใช้ได้ดีอยู่ตาข้างขวาไม่ได้ใช้มา 30 40 ปีแล้ว แม้ไม่บอดทีเดียว แต่ก็ช่วยเรื่องมิติการมองได้ นอกนั้นไม่มี มีแต่ว่า คออาตมามันมีส่วนเกิน มีเนื้องอกเป็นกระเปาะมาเบียด ก็ไม่รู้จะทำไง หมอก็จนใจผ่าไม่ได้ แล้วมันก็เบียด ไอเพราะเส้นเสียงถูกเสียดสี มีปฏิกิริยาก็เกิดการไอ แม้ไม่ได้พูดก็ไอได้ หรือมีเหตุอื่นก็ไม่ทราบ

สรุปแล้วอาตมาพยายามเพิ่มอายุขัย เพราะสรีระองคาพยพส่วนสำคัญที่จะฉุดให้อายุสั้นไม่มี ไม่มีโรคเลย อาตมาก็รักษาความสดของมันให้ได้สดอยู่อย่าให้เสื่อม ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้ภาษาที่เรียกว่าสัมประสิทธิ์ ให้อวัยวะได้รับพลังงานโดยเฉลี่ย ไปทำให้ได้สัดส่วน โดยพลังงานจิตเราไปช่วย สังเคราะห์สังขาร อวัยวะทุกส่วน จะกินอาหารออกกำลังกาย 8 อ. ซึ่งอาตมาว่าได้ผลอยู่นะ ทุกวันนี้อาตมาไม่ได้รู้สึกว่าไม่มีเรี่ยวแรง รู้สึกว่าตนเองเรี่ยวแรงดี นึกเห็นคนแก่อื่นเขาเพลีย ปวดนั่นนี่อาตมาว่าอาตมาไม่มี นั่งทำงานทั้งวันบางวัน 10 ชั่วโมงไม่ได้ลุกเลยนะ นั่ง 8 ชม.ก็เป็นธรรมดา แต่ไม่เคยปวดตรงนั้นตรงนี้ที่เป็นโรคเลย ไม่ใช่ว่าเรามีแล้วปฏิเสธ แต่มันไม่มี จะบอกว่า เป็นความพิเศษอย่างหนึ่ง อาตมาก็บารมีเองมี ก็เหมือนกับพระพุทธเจ้ามีสรีระที่ได้สัดส่วน มหาปุริสลักษณะ 32 แต่ท่านต้องการอยู่แค่ 80 ปี ท่านก็บอกว่าถ้าจะอยู่เกินกว่า 1 กัปป์ก็ไปได้ อาตมาอายุไขมันไม่ถึง ก็เลยต้องฝืนต่อไป เป็นการพิสูจน์ธรรมะอย่างหนึ่ง

ธรรมะนี้มันเกินกว่าวิทยาศาสตร์ไบโอโลจีที่เขาศึกษากัน จิ๋นซีฮ่องเต้ ไปค้นหาอายุวัฒนะอมตะ อาตมาว่าอาตมา ค้นได้ ตามแบบอาตมา แบบอย่างพระพุทธเจ้า

คิดว่ามันยาก ก็พยายามจะคิดเป็นบัญญัติภาษาเป็นสูตรทางวิทยาศาสตร์ออกมา ก็พอลำลองใช้แทนไป เอาล่ะมันลึกซึ้งเกิน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ทำไมคนเราความรู้ความสามารถไม่เท่ากัน

คุณเกื้อดิน..ขอให้พ่อท่านอายุยืนๆ ...คนเรามีอะไรที่ทำให้ความสามารถและความนึกคิด ไม่เท่ากัน อะไรคือสิ่งนี้

พ่อครูว่า..เกิดจากการสั่งสม คุณต้องเรียนรู้และเข้าใจ หากไม่เรียนรู้ไม่เอาใจใส่จิตของคุณก็ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะไปเกิดเป็นความรู้ความแข็งแรง ความจริง ก็ไม่เกิดในตัวของคุณ ถ้าหากคุณพยายามพากเพียรเรียนรู้ศึกษาฝึกฝน ให้มันเกิดเป็น ก็จะสะสมเป็นพลังของชีวิตของแต่ละคนเรียกว่าอัตภาพ ในอัตตาแต่ละคน จนกว่าคุณจะยกเลิก อัตตา คือสลายอัตตา คือสลาย จากที่คุณมีความรู้ สลายแต่อัตตาเล็กๆ โอฬาริกอัตตา  มโนมยอัตตา อรูปอัตตา

อัตตาตัวนี้ คือตัวตนของกิเลสในจิต โอฬาริกอัตตาก็หยาบ กระทบกับสิ่งภายนอก รูปรส กลิ่น เสียง สัมผัส เพชรนิลจินดา ไม่ว่าจะเป็นกับสัตว์กรรมกิริยาโดยเฉพาะของคน เราก็เอามาปรุงแต่งยึดถือ จนกระทั่งไม่ติดใจในความสัมพันธ์ของโลก จนเรารู้โลกวิทู ดูการปรุงแต่งของแต่ละคนเหตุปัจจัยภายนอก จนกระทั่งถึงขั้น มีจิตนิยาม เข้าไปประกอบ ก็จะเข้าใจความปรุงแต่งของสังขารโลก

จนรู้อัตตาตัวเราก็เป็นจิตสังขาร ที่เราปรุงแต่งในจิต เราก็เรียนรู้เฉพาะอัตตาของจิตสังขาร จนพ้นเหตุไม่ยึดติดอัตตา หมดอัตตา 3 ตอนเป็นๆ ก็ยังเหลืออัตภาพ ก็มีภาวะของอัตตาเป็นอัตภาพ แต่เป็นภาวะของอัตตา ที่อยู่เหนือกิเลสที่มันพาให้ทุกข์แล้ว

อาตมาอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้แล้วก็ไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านี้ มีแต่ทุกข์ 6 อย่างที่เลี่ยงไม่ได้อาหารปริเยฏิทุกข์ ทุกข์ที่ต้องแสวงหางานการทำประโยชน์ก็ทำตามเหตุปัจจัย

อาตมาเกิดมาเป็นโพธิสัตว์ขนาดนี้จึงรู้ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ อาตมารู้ว่าจะต้องอยู่เพราะว่าอาตมาได้ขันธ์ 5 นี้มา ได้ชีวิตนี้มาจนถึงทุกวันนี้ ก็เรียนรู้ชีวิต ตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายมาจนถึงครั้งนี้ขณะนี้ชีวิตนี้ ก็เกิดจากการเรียนรู้ อธิบายได้ตามธรรมะพระพุทธเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้เป็นโพธิสัตว์ระดับไหน และที่ยังไม่ตาย ก็เพราะว่า (ที่จริงไม่น่าพูด พูดไปคนอาจจะหมั่นไส้)

อาตมาบอกไปแล้วว่า อาตมาเป็นสยังอภิญญา เป็นผู้รับผิดชอบที่จะต้องมาสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้า มาแก้ไขมาบอกความถูกต้องบอกความจริงอันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากเลย ในสัมมาทิฏฐิ 10 ในมหาจัตตารีสกสูตร ไม่มีใครพูดสัมมาทิฏฐิ 10 อย่างอาตมา อาตมาเป็น

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

อาตมาอุบัติในโลกนี้ ใครก็ตามที่สัมผัสอาตมาแล้วเขาไม่รู้ เขาก็ว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  ไม่มีอยู่  (นัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

ทั้งๆที่มีแต่เขาก็ไม่รู้ สัมผัสอยู่เขาก็ไม่รู้ เหมือนกามนิตมาคุยกับพระพุทธเจ้าจนถึงรุ่งเช้า จนถึงเช้าก็สวัสดีพระพุทธเจ้าจะไปตามหาพระพุทธเจ้า ตามปณิธาน นี่คือกามนิต เป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ อาตมาจึงต้องบอกว่าอาตมาคือคนผู้นี้

ซึ่งเป็นจริง อาตมาเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ต่างจากที่คุณเข้าใจ อรหันต์ตาม Concept ของคุณเป็นอรหันต์ เก๊ ต่างจาก Concept ของอาตมาจึงต้องบอก เขาก็ไม่บอกว่าเขาเป็นอรหันต์แต่คนก็เดาเอา ในสังคมโลกโดยเฉพาะประเทศไทย เป็นอรหันต์เดาทั้งนั้น เขาก็เคยรวบรวมทำเนียบกันมี 50 กว่าองค์ อรหันต์เก๊ ขออภัยที่พูดความจริง เป็นข้อด้อยของอาตมา เป็นคนจริง เป็นคนไม่ไว้หน้า ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ อาตมาเป็นคนไม่แคร์

เวลานี้อาตมาต้องการพูดความจริงเท่านั้น แล้วอาตมาบอกได้ว่าอาตมาไม่มีอะไรที่ผิด ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่มีปัญหา ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นความจริง เอาแต่ความจริงมาแสดง แสดงทุกวันนี้ ขยายความ เป็นความรู้ เป็นความรู้ให้คุณเข้าใจความจริง แล้วคุณจะเชื่อไหม หากเชื่อแล้วจะทำไม เรื่องนั้นเรื่องนี้ ตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้น

อาตมาบอกขึ้นมาเอง ว่า ความเป็นพระอรหันต์มีคุณสมบัติดังนี้ อาตมาลิสต์มาจากความเป็นจริงของอาตมา คุณฟังแล้วจะเชื่อไหม

1. เป็นคนหมดทุกข์ (ดับทุกข์อริยสัจ) พวกคุณเชื่อว่าอาตมาหมดทุกข์ไหม?

2. เป็นคนไม่มีภัย

3. เป็นคนมีคุณค่า 

4. เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว

5. เป็นคนไม่โลภ  ไม่โกรธ  ไม่หลง

6. เป็นคนมีเมตตาจริง

7. เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้ อันนี้อาตมาว่าอุเบกขาเป็นฐานนิพพานของจิต

ผู้ใดทำอุเบกขาจิตได้โดยเฉพาะเนกขัมมสิตอุเบกขามีคุณสมบัติ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา  ถ้าเข้าใจภาษาแล้วนี้ ก็จะรู้ว่าคนๆนี้เข้าใจสภาวะภาษา เอามาอธิบายและพยายามพาคนให้เป็นให้มี อาตมาก็ขอยืนยันว่าอาตมามีแล้ว จึงพาให้พวกคุณทำบ้าง อาตมาก็สบายใจที่อธิบายไปอย่างไม่มีอะไรปิดบังแล้ว พูดเปรี้ยงๆตรงๆหมดเลย

อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน เป็นคุณสมบัติของเวทนา เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา หากอาตมาไม่รู้ความจริงของสภาวะอันนี้ จะไม่สามารถเอามาอธิบายได้ละเอียดตลอดชัดเจนอย่างนี้หรอก แต่อาตมามีและรู้จริง เอามาขยายความตามสภาวะ

ปริสุทธา บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส

ปริโยทาตา แม้จะทำงานร่วมกับภายนอกก็ยังบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส เมื่อไหร่ก็ยังบริสุทธิ์ กระทบสัมผัสต่อคนที่จะมามอมเมาทำร้าย ก็ยังบริสุทธิ์อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

มุทุ อันนี้เป็นสภาวะธรรมที่สุดยอดของวิการรูป ถือเป็นตัวแกนกลาง ของจิตฐานนิพพาน จะเร็วจะช้า อาตมารู้จักสภาวะมุทุธาตุ ที่มีลักษณะของเจโตเป็นอย่างไรลักษณะของปัญญาเป็นอย่างไรเป็นธรรมะ 2 

เป็นสภาพคล่อง กายปาคุญญตา ของเวทนา สัญญา สังขาร ปราดเปรียวเร็วไว มุทุ คุณสมบัติของพระอรหันต์ผู้มีธาตุอุเบกขาจึงแคล่วคล่องว่องไว ไม่ใช่อุเบกขาเป็นฌาน 4 จะต้องอยู่เฉยๆไม่คิดไม่นึก ฟังแล้วน่าสงสารมาก ตรงกันข้ามกับอุเบกขาของพุทธเลย ที่จะต้องคล่องแคล่วว่องไว แต่นี่เขาไม่ให้คิดนึกเลยอีกด้วย เฉยๆนิ่งๆ

จะบอกว่าอย่างนั้นใช่อุเบกขา แต่เป็น เคหสิตอุเบกขา ไม่ใช่ของพุทธ ต้องแยกแยะให้ดี กัมมัญญา ปภัสสรา ไม่ต้องขยายความมาก

8. เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว เพราะเป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ สัพพปาปัสสกรณัง กรรมกิริยาที่เหลืออยู่ของพระอรหันต์ทุกองค์ เป็นพระโพธิสัตว์จะไม่มีบาป ไม่มีโทษ ทำงานเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีแต่เมตตา ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง ทำแต่ประโยชน์ผู้อื่น ถ่ายเดียว

9. เป็นคนทำแต่กุศล

10. เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว  ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว

11. เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก นิพพาน ถูกถ้วน

12. เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสัมบูรณ์

 

อาตมาไม่รู้นะ ในพระไตรปิฎกก็น่าจะมีสิ่งเหล่านี้กระจัดกระจายอยู่ ทั้ง 12 ข้อ มีหมด อาตมาเอามารวมกันจากตัวเองที่มี ลิสต์มา

สวรรค์คืออาการอย่างไร นรกคืออาการอย่างไร นิพพานคืออาการอย่างไร อาการของความไม่มีนรกไม่มีสวรรค์คืออาการนิพพาน จิตจริงของเราไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก มีแต่นิพพาน เป็นอาการอย่างนี้คือนิพพาน

เป็นผู้ที่จะกล้ากล่าวว่ามีนิพพานสัมบูรณ์

อาตมากำลังบอกตัวเองว่าตัวเองไม่ใช่คนธรรมดา เอ้าทำไมไม่ธรรมดา เพราะอาตมาไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่คนที่จะมีโลกีย์ ซึ่งเป็นคนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาสอนให้คนเป็นแบบนี้ ในยุคนี้อาตมาก็ประกาศว่านี่คืออาตมา ผู้อื่นก็มีแต่อาตมาไม่ได้ชี้ไปทั้งหมด  ชี้คนเป็นๆก็คนเดียว นอกนั้นก็ชี้คนที่ตายไปแล้ว ถ้าหากชี้คนที่เป็นไปอีกเยอะคนก็จะไม่เชื่อ

เหมือนอาตมานี้แหละ ที่บอกให้ตายคนเขาก็ไม่เชื่อ Conceptอรหันต์ของเขาก็เป็นอย่างหนึ่ง ต้องสงบเสงี่ยมไม่วุ่นวาย พูดไม่เสียบใครไม่กระดุ๊กกระดิ๊ก ตามที่เขามีข้อมูลว่าอรหันต์ของฉันต้องเป็นอย่างนี้ อาตมาไม่อยู่ใน ข้อมูลของเขาหรอก ไม่อยู่ใน Concept ของเขาหรอก

สมณะมือมั่นว่า...ท่านคิดถูก สงสัยว่าข้อที่ 1 พระอรหันต์ไม่มีทุกข์แล้ว ก็น่าจะเพิ่มว่าไม่มีความสุขด้วย

พ่อครูว่า...ได้ ถูกๆ เพราะว่านิพพานไม่มีทุกข์ไม่มีสุขหรอก จริงๆแล้วพูดถึงสุขก็คือคำว่าสวรรค์ สวรรค์ 6 ชั้นคือของเก๊ สวรรค์

ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง

อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร  ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว มี

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทานํ  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทานํ  เทติ 

4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทานํ เทติ

 

อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี

อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี

อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้

อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ

อันที่ 6  ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ)

อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)

มันเป็นของที่ติดมาแต่โบราณเป็นของเจโตศาสนาอื่น ศาสนาเก่า ก็สร้างเป็นภพชาติ

สวรรค์นั้น ที่จริงแล้วมันมากกว่าสวรรค์ 6 ชั้น สวรรค์ร้อยชั้น ก็แยกได้ มีเป็นร้อยมิติก็ได้

พรหม 16 ชั้นก็เก๊ทั้งนั้นในรูปพรหม

อรูปพหรม ถ้าเป็นโลกีย์ก็ของเก๊ แต่อรูปพรหมที่เป็นฌานแท้จริงเป็นของแท้ที่ต้องรู้ตั้งแต่ฌาน 1 รู้รูปนาม รู้วิตกวิจาร

วิตกคือพฤติกรรมจิต ต้องมีวิจัยรู้อาการจิต เสร็จแล้วคุณต้องรู้จิตที่เริ่มดำริ มันเป็นธรรมสังขาร มีกิเลสร่วมด้วยไหม แยกอันนี้เรียกธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แล้วดูอาการพฤติกรรมของอาการ ว่าเป็นอาการเวทนา 2 เก๊ หรือจิตกับกิเลสเป็นต้น ก็เป็นธรรมะ 2 อ๋อ ธาตุรู้ทำงานรู้ความจริงตามความเป็นจริง หรือว่าอันนี้เป็นเรื่องหลอก เก๊ ก็แยกออก ก็ทำให้อันนี้ดับลง มีแต่เวทนาแท้ จิตก็เป็นจิตแท้ เพราะว่าอกุศลที่มันเป็น ตัวจิตเก๊หมดไป ถ้าเรามีสภาวะอย่างนี้ก็อธิบายได้อย่างที่อาตมาอธิบายไม่ได้สับสน

เพราะฉะนั้นการศึกษาทุกวันนี้มันเฟ้อเกินมากไปจนเลอะเทอะสับสนวุ่นวาย ถ้าใครเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมคืออะไรปฏิบัติธรรมคือเรียนรู้จิตเจตสิกพวกนี้ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท มีนาม 5 ให้เรียนรู้

เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เรียนรู้รูป 28

โดยใช้ นาม 5 แยกแยะวิเคราะห์วิจัยในรูป 28 ก็จะเป็นอรหันต์ได้ ก็จะเรียนรู้ปฏิจจสมุปบาท เป็นสายได้

อาตมามั่นใจว่าได้พูดถูกต้อง เป็นความจริง แต่มันไกลและลึกเกินไปกว่าที่ศาสนาส่วนใหญ่จะเข้าใจ พวกคุณพอเข้าใจใช่ไหม นี่คือสิ่งที่อาตมาทำงานในชาตินี้ มีคนเข้าใจเอาไปปฏิบัติได้ นี่คือสิ่งที่อาตมาทำงานมา

และพวกคุณก็ได้ปฏิบัติไปกระทั่งสมณะทั้งนักบวชชายนักบวชหญิงและฆราวาส เป็นพุทธบริษัท 4 ก็จะปฏิบัติได้มากบ้างน้อยบ้าง ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เหมือนอาตมาทีเดียว

หากฆราวาสกับนักบวช เขาก็อยากจะฟังนักบวชอธิบายมากกว่า ดีไม่ดีฆราวาส อธิบายได้ดีกว่าแต่เขาก็อยากจะฟังสมมติที่เป็นสมณะ สิกขมาตุ นักบวชหญิง อาตมาไม่มีภิกษุณี ไม่ได้บังอาจทำ จึงตั้งชื่อเรียกว่า สิกขมาตุ ตอนแรกเรียกแม่เณร เขาก็ว่า เดี๋ยวก็ต้องมีลูกเณร คนจะว่า

คุณไม้ร่ม...พ่อท่านพูดอย่างนี้ มันดูแล้วเหมือนกับว่า ไม่มีใครฟัง พ่อท่านต้องเหนื่อยมาตลอด วันนั้นที่พ่อท่านบอกว่าคนปัจจุบันนี้เอาหัวเดินต่างตีน แล้วพ่อท่านต้องพูดกับตีนเขา ผมไปคิดต่อว่า สมัยโบราณจะเอาอะไรต้องบอกหัวหน้าเผ่า คือหูกับตาสมองอยู่ที่หัว แต่ตอนนี้เหมือนกับพ่อท่านพูดกับหาง ผมว่านี่แหละที่พ่อท่านว่าจะเอาสัจธรรมมาเผยแพร่เท่าไหร่ก็ไปได้ยาก ผมเข้าใจว่าหากจะให้อโศกเดินหน้าก็ต้องพูดกับหัว

พ่อครูว่า...อาตมาเข้าใจที่คุณพูด แต่อาตมาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอย่างนั้นได้ อาตมามาเก็บตก และไม่จำเป็นต้องไปหาหัวหน้าเผ่า พระพุทธเจ้ามีบารมีครบ ทุกอย่างเกิดมาพร้อมเพื่อจะให้ท่านสร้างศาสนา มันคนละบารมีเลย อาตมาต้องมาพากเพียรเก็บตก คุณคิดตามประสาคุณ ไม่ผิด แต่อาตมาว่าไม่ใช่ คุณจะไปจับตัวภาษาคนละชุดคนละคุณค่าเลย อันหนึ่งฝาหม้อขี้ดินอีกอันฝาหม้อเพชร พระพุทธเจ้าฝาหม้อเพชร อาตมาหม้อดินที่ไปขุดจากข้างส้วม

 

_จริงใจ ตามภูมิพุทธ...ขอรายงานสภาวะปีที่ 7 เข้าใจทุกอย่างตามที่พ่อท่านพูดแต่ปฏิบัติไม่ได้เต็มร้อย

พ่อครูว่า...อย่าไปเอามาก จับประเด็นปฏิบัติของเรา ต้องรู้กรอบปฏิบัติของเรา ไม่ได้หนีจากไตรสิกขาเลย ศีล 26 ข้อ อันไหนที่ทำได้ เอาศีล 5 ก่อน ฟังอาตมาอธิบายศีล 5 ก็บรรลุอรหันต์ได้

_คุณทำธรรม นักรบธรรม...พ่อครูก็ว่าผมสอยดีเหมือนกัน ผมว่าราชธานีแผ่นดินพุทธมีกิจวัตร เช้า-เย็น ผมก็พยายามมาอยู่ที่นี่ก็อยากได้เป็นหมู่มวลแบบ อย่างให้คนที่มาเห็นแบบจริงจังกัน เป็นแบบอย่างที่ดีต่อกัน ผมมาร่วมเสมอประจำ ผมก็ได้รับขุมทรัพย์จากท่านฟ้าไท ว่า..คุณอู๊ด มาพูดอย่างนี้เดี๋ยวก็ถูกเบรก คุณอู๊ดพูดมากอยู่แล้วแกเป็นคนอย่างนั้น ความจริงแกปฏิบัติธรรมไม่เป็น แกอยู่กับเจโตสมถะ ได้แต่นั่งหลับตา แกนึกว่าแกบรรลุธรรม แกออกจากภพนี้ไม่ได้ จะอยู่กับวัฏฏะ ทำผิดซ้ำซากเขาจะเห็นว่าทำผิดซ้ำซากอยู่จนจมกับวัฏฏะไปยาวนาน เป็นคนตกภพ ออกจากวัฏฏะได้ต้องมีอัญญา...ผมยอมรับและผมมีการประพฤติแบบไหนอยากให้พ่อครูวิจัยด้วยครับ การที่ผมปฏิบัติแบบหลับตาผมคงคิดว่าบรรลุแล้ว ก็ผมว่าอย่างนี้ครับ ผมปฏิบัติมา ผมรู้ว่าการบรรลุอรหันต์แบบใด แต่ผมรู้เฉยๆ แต่ไม่ถึงกับเป็นนิพพาน

พ่อครูว่า...อาตมาว่า คุณหยุดนะ คำตอบของอาตมา ก็บอกว่าคุณหยุดแสดงออกอะไรไปเลยได้ คุณอย่าแสดงออกเลย ถ้าคุณไม่แสดงออกเลย เป็นคนอยู่กับหมู่ก็ทำไป ไม่ต้องแสดงความคิดความรู้ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่ต้องแย้ง อะไรเข้าทีก็ทำ อะไรไม่เข้าทีก็ไม่เอาไม่ต้องเสียเวลา ก็ทำประโยชน์ไปพอแล้ว แล้วคุณจะไม่ถูกหมั่นไส้ นี่ 8 นาทีคุณเอาไปเลย แล้วไม่ต้องแสดงอะไร ถ้าคุณทำอย่างนี้ได้คุณจะลดคนหมั่นไส้ถือสาไปเยอะ ก็เป็นความสบายที่คุณจะได้

ตกลง ขณะนี้เวลาหมดแล้ว...จบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:22:40 )

610729

รายละเอียด

610729 จิตวิญญาณเทวนิยมกับอเทวนิยมต่างกันที่กาย

ความเข้าใจของตะวันตกหรือเทวนิยมเกี่ยวกับเรื่องของจิตวิญญาณ กับความเข้าใจจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้า มันต่างกันตรงที่ว่า จิตวิญญาณของพระพุทธเจ้าเป็นกาย แต่จิตวิญญาณของเทวนิยมหรือคนส่วนใหญ่ทั่วไปมันเป็นเรื่องมิราเคิ้ล (miracle) เรื่องลึกลับ เป็นเมจิก(magic)

เพราะงั้นจิตวิญญาณพระเจ้าจึงลึกลับยิ่งใหญ่ แต่ขยายไม่ได้ เอามาใช้ไม่ได้ ที่จริงชีวิตเขาอยู่ก็เหมือนกับเรา แต่เขาไม่จับเอาความเป็นจริงที่คนเรามีธาตุจิควิญญาณแล้วมาพัฒนาธาตุจิตของคนให้ดีที่สุด เท่าที่คอนเส็ปต์ (concept)  ของเรา ที่ปัญญาของเราหรือ ความเฉลียวฉลาดสูงสุดของเรา 

เพราะฉะนั้น ความเฉลียวฉลาดสูงสุดของเทวนิยมจึงออกไปนอกกรอบวังวนของความวนไม่ได้ ส่วนของพระพุทธเจ้านั้นออกมานอกวังวนของความวนมาเป็นโลกุตระ จึงมองวังวนออกว่ามันก็วนอยู่แค่นี้ สูงๆๆแล้วก็ต่ำๆๆแล้วสูงแล้วต่ำอยู่เท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าจึงทรงอยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ ไม่อยู่ในวังวนสุขๆทุกข์ๆอีก หมดสุขหมดทุกข์และรู้ความจริงว่า วนคือวนคือโลก

เราอยู่อีกส่วนหนึ่ง สามารถที่จะจัดการความเหมาะสม ถูกต้องของโลกได้ มันอยู่จุดขั้วโลกเหนืออยู่ขั้วโลกใต้ อยู่ระหว่างกลางศูนย์สูตร อยู่ระหว่างเท่านั้นองศาเท่านี้องศา หรือพิก้ดโน้น พิกัดนี้ ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงหมด  จัดการให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมของความเป็นจริงนั้นๆ  เพราะมีกาย ก็รู้นอกรู้ในพร้อม

คนทุกวันนี้เพี้ยนไป  กายก็มีแต่แยกออกจากจิต จิตก็แยกกับกาย ไปไม่ได้แล้วก็จบ ของพระพุทธเจ้าเอามารวมจึงสืบเนื่องสัมผ้สชัดเจนทุกอย่างอ่านกันออก พยายามฝึกจิตให้เป็นตัวตื่น ตื่นรู้ว่าเราอยู่กับอะไรๆๆ จนจิตกลายเป็นประธานคุมจุดนั้น จุดนี้ได้ สุดท้ายก็เป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ตามพิกัดของจุดนั้นๆ จึงไม่ไปสตาร์วอร์ (Star War)คือไม่พัฒนาวัตถุแบบไร้ขอบเขต มันเป็นจินตนาการ เป็นนิรมานกายมีแต่ความเพ้อฝัน สตาร์วอร์นี่คือความเพ้อฝัน เพราะมันไม่เข้าใจองค์รวมของกาย เป็นไปได้ก็เป็นจริง มันไม่เห็นองค์ประกอบ เพ้อฝันมากไป เพราะจินตนาการความเพ้อฝันมันยิ่งกว่ายูโทเปีย

เขาเลยบอกว่าหนังมาร์เวล หนังพวก ซุปเปอร์แมนเป็น ฮีโร่ แต่หนังไทยเอาฮีโร่มารวมกันหมดเลย

มันข่มกันเองไง  เขาก็เอามารวม ให้มันก็ใหญ่กว่าฮีโร่นี่อีก เขาเอามารวมเพื่อให้ใหญ่กว่าของคนที่บอกว่าใหญ่ที่สุด เหมือนกับที่ในซอยแห่งหนึ่ง  ร้านแรกบอกว่า ร้านนี้ใหญ่ที่สุดในโลก อีกร้านบอกว่าโอ๊ย...ร้านนี้ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกร้านก็บอกว่าร้านนี้ใหญ่ที่สุดในซอยนี้ของประเทศไทย

มันก็หมดแล้วในซอยนี้  ร้านนี้มันจึงใหญ่กว่าเพื่อน (ฮา)

ก็บอกแล้วว่ามีร้านที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ร้านที่มันใหญ่ที่สุดในไทย แต่ร้านสุดท้ายมันว่ามันใหญ่ที่สุดในซอย มันเลยใหญ่ที่สุดในหมู่ร้านที่ใหญ๋ที่สุดที่พูดมาแล้ว ก็มันอยู่ในซอยเดียวกันหมด

เดี๋ยวก็มีว่าร้านนี้ใหญ่กว่าร้านข้างๆอีก (ฮา)

หรือมันไม่ว่าใหญ่กว่า แต่บอกว่าร้านนี้เป็นเจ้าหนี้ของร้านนั้น มันก็แน่กว่าเพื่อนใช่ไหม ให้มันรู้ซะบ้าง ยังไม่ใช้ดอกให้เลย เอาซะมาดีๆ (ฮา)

เดี๋ยวก็มีว่าคนนี้เป็นแม่บ้านของเจ้าหนี้ได้อีก (ฮา)

จบ

 

ถอดความโดย...ปานปั้น


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:23:51 )

610729

รายละเอียด

610729_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ การสวดสรภัญญะคือกล่าวโดยไม่ใส่ทำนอง

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1LjOee7z3vOADg8b1pPAQEERIlyVzeKs-3dO_5qs-pRk/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1BFyyy7X1-BfpEp5VAYcz7gDsGZsJO8Fm

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ทำทานอย่างไม่หวัง

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันเข้าพรรษาคนก็ไปวัดเพื่อไปทำบุญ แต่คำว่าบุญของพ่อครูคือไปเพื่อลดละกิเลส บุญนี้ไม่ได้อะไร คือหมดตัวหมดตน ลดละกิเลสเราได้ ให้ไปแล้วก็ไม่ต้องหวังว่าจะได้

พ่อครูว่า...ที่ว่ามีแต่จะไม่ได้ๆ สุดท้ายจริงๆที่สุดของความต่างระหว่างจุดหมายของศาสนาพุทธคือทำให้เป็นศูนย์ ทำให้ไม่มี พยายามเข้าใจปลายสุดของความเห็น ปลายสุดจุดหมายของศาสนาพุทธ คือไม่ได้ สูญหายหมด จำไว้เท่านี้ เพราะฉะนั้นทำอะไรถ้ามีเศษที่จะต้องมีโค้งงอกลับมาหาตัวเอง ไม่ใช่เลย ของพระพุทธเจ้าศูนย์เลย ตรงนี้แหละสำคัญ

ต้องมีความชัดใจในใจตัวเองให้แม่นและทำให้สอดคล้อง แม้แต่ในระดับนามธรรม ก็ยังมีลักษณะที่ออกจากจิตเราเอง เรายังมีต้องการ ที่งอเข้ามา มันติดมานานไม่รู้กี่กัปป์กี่ล้านๆปี เอาเข้าหาตัวเป็นอัตตา เพราะฉะนั้นจะต้องให้ตรงที่สุดไม่เอาอะไรเลย เช่น Nuclear fission เป็น Isotope ไม่มีองศาโค้งกลับมาเหรอ ถ้ามีองศานิดนึงมันก็คง ไกลเป็น Boomerang เข้ามาหาตัวเรา บางทีอ้อมรอบจักรวาลเลย นานไม่รู้กี่ปีแสง

สมณะฟ้าไทว่า...ศาสนาพุทธ ทำให้เราทำให้ตรงที่สุดไม่มีโค้งมาหาตัวเองเลย ต้องทำให้ไม่มีความหวังเลย

พ่อครูว่า...หากยังมีความหวังก็ยังเหลือตัวตนหวังอะไรหวังเอามาให้แก่อัตตาตัวเองหากเราสูญไปเลยไม่ต้องมีอะไร จึงจะตรงที่สุด

สมณะฟ้าไทว่า...ที่บอกให้ไปนี้เราก็ได้ให้ไปแล้ว สิ่งที่เราให้ไปเป็นสมบัติที่เราได้แล้ว

พ่อครูว่า...กรรมเป็นอันทำ เราคิดเราพูดเราทำก็เป็นกรรมทั้งหมด

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้เราจะตั้งตบะธรรมต้องให้มีสมาธิ ด้วยการคบสัตบุรุษ ฟังสัทธรรมก่อนเป็นเบื้องต้น เย็นนี้ จะมีรายการตั้งตบะธรรมที่ศาลาในรายการพุทธศิลป์ ขอเชิญมาร่วมรายการกัน

พ่อครูว่า..คำว่าเคร่งคือทำได้ โดยที่เราไม่ต้องลำบากเลย แต่คนอื่นเห็นว่าทำอย่างนี้เกินไปเคร่งเครียด แต่เราไม่รู้สึกว่าเคร่งหรือตึงอะไรก็ธรรมดา smooth ลื่นไหล สะดวกเป็นปกติ

สมณะฟ้าไทว่า...เชิญมาร่วมตั้งตบะธรรมร่วมกัน ในโลกเขาไม่มีโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์แล้ว แต่เรายืนยันว่ามี ปฏิบัติธรรมของพุทธมีผลจริงเป็นจริงทำได้จริงยืนยันได้ แม้แต่ในหมู่ฆราวาสก็ตาม

 

พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็ทักทายกับ sms ก่อน

_SMS วันที่ 26 กค. 2561 (สำมะปี๋ซีวิต)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน การตัดเนื้อร้ายออกจากศาสนา

_7680กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่ง / คำโบราณที่ว่านิ้วไหนร้ายให้ตัดนิ้วนั้นทิ้ง ถ้าเอามาใช้กับคนที่สร้างปัญหาให้กับหมู่กลุ่ม จะเป็นการไม่ให้โอกาสคนๆ นั้น ในการพัฒนาปรับปรุงตัวหรือไม่ครับ หรือควรมีหลักการอย่างไรบ้างในการจัดการปัญหาแบบนี้ครับ

พ่อครูว่า...ถ้าสุดท้ายแล้วพระพุทธเจ้าก็มีหลัก ให้เจ้าหน้าที่เขาจัดการ ถ้าเขาไม่ไปก็ต้องให้บ้านเมืองสังคมจัดการ แต่ในศัพท์ของพระพุทธเจ้า ท่านสอนเหมือนกับพูดใน กาสี คนเลี้ยงม้า คนเลี้ยงม้าบอกว่าถ้าสอนม้าไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเราก็ฆ่าทิ้งเหมือนกัน เขาก็ว่าเป็นพระฆ่าได้อย่างไร พระพุทธเจ้าบอกว่าการฆ่าในความหมายของเราคือไม่สอนไม่บอก พรหมทัณฑ์ จะไม่รับรู้คุณจะชั่วจะดีอย่างไรก็เป็นเรื่องของคุณนี่เป็นการลงโทษที่หนักที่สุด ส่วนสิ่งที่หนักกว่านี้ ต่ำกว่านี้ก็คือปาราชิก

ปาราชิกนี่ยิ่งกว่าพรหมทัณฑ์ ขาดจากศาสนาเลย ไม่ให้อยู่ในหมู่กลุ่มเลย ตายไปจากธรรมมาเป็นหนึ่งชาติไม่ต่อสายธรรมะอะไรให้เลย ส่วนพรหมทัณฑ์ เขาจะขวนขวายเอาก็ได้ ส่วนปาราชิกนี้ชาติหนึ่งอย่ามาต่อกันเลย หรือว่าตายไปจากศาสนาหนึ่งชาติ ถือว่าเป็นหลักสำคัญ แต่เดี๋ยวนี้มันได้เพี้ยนไป ซูเอี๋ยกันมากเลย อยู่ร่วมกันอยู่เละเทะ ปาราชิก ไม่ว่าจะข้อไหน ข้อ 3 ก็ยาก เรื่องผู้หญิงยังน้อยกว่าเรื่องเงิน เรื่องเงินนี้ปาราชิกกันมหาศาล อย่างทุกวันนี้ที่เกิดเรื่องกัน ปาราชิกกันนับไม่ถ้วน

เราก็ทำไปตามที่เห็นว่าสมควรตัดนิ้วไหนได้ก็ตัดออกพอสมควร ตัดจนเกินเหตุก็ไม่ไหว

 

_8866 อยู่หน้าจอค่ะ19:11น. 26กค.61 ให้นึกถึงในสุตตัน (จำเล่มไม่ได้ค่ะ) มีว่าพระสารีบุตรพูดว่าท่านไม่ได้เงยหน้าหากิน(เช่นทายดวงจากดาว) ไม่ได้ก้มหน้าหากิน ฯลฯ สวดทำลายธรรมแบบนี้ก็ด้วยค่ะตอนนี้อยู่ลำปาง พรุ่งนี้จะไปใส่บาตรที่ ชมร.ชม.ค่ะ

พ่อครูว่า...นี่คือพูดอย่างการสวด ไม่ได้ก้มหน้าเงยหน้าหากิน เกี่ยวกับเรื่องการสวด

คนที่ยังไม่มีผลก็ต้องสวดสายเทวนิยมก็สวดกันทั้งนั้น แต่สายอเทวนิยมพระพุทธเจ้าไม่ให้สวดเลย ถือว่าการสวดนี้ยังเป็นแค่วณิพกหรือคณิกา การสวดแบบที่ผิดต่อธรรมวินัย ที่ไม่ผิดธรรมวินัยเลยก็มี เอากันให้ชัด มันยากติดยิ่งกว่าเข้าเส้นเลือดมันอยู่ก้นของเส้นเลือดเลย สวดแบบที่เขาทำกัน

 

 

_6956 1.พระโพธิสัตว์เรียกองค์ หรือ รูปครับ

2. เวลาคนโดดตึกตายเอาพระไปเรียกวิญญาน

3. เป็นโรคทำงานไม่ได้บวชหาเงินเลี้ยงควบครัว ก ท ม

พ่อครูว่า...จะเรียกองค์หรือรูปก็ได้ เป็นหน่วยเรียกคนๆนั้น ไม่ผิดอะไร แม้แต่ฆราวาสก็เรียกองค์ได้ ถ้าเรียกรูปก็กลางๆ

กระโดดตึกตายหรือจมน้ำตาย ตีลังกาตาย ดูฟุตบอลแล้วช็อคตาย ตายอย่างไรก็ตาม แล้วจะเอาพระสวดเรียกวิญญาณ นั้นป่วยการสูญเปล่า คุณเรียกวิญญาณไม่ได้หรอก เพราะว่าต้องไปตามกรรมวิบากที่เขามี ไม่มีใครไปบันดาลเขาได้ จะทำพิธีอย่างไรก็เป็นการเล่นลิเกเท่านั้น มันอยู่คนละภพชาติ ไม่เกี่ยวกันเลยมันคนละภพ เหมือนกับคนละประเทศ แต่ละประเทศยังมีเส้นต่อเนื่องกัน แต่คนละภพนี้ไม่มีเส้นต่อเนื่องกันเลย จะรู้ได้อย่างไร ไม่มีอะไรเชื่อมต่อกันเลย คนละประเทศอย่างอเมริกากับไทยก็ยังไปถึงกันได้เลย โทรศัพท์หาวิญญาณก็ไม่ได้ ใครจะตายโดยที่ไหนก็แล้วแต่ จะเอาใครที่เก่งที่สุดก็แล้วแต่เรียกวิญญาณไม่ได้

ข้อที่ 3 การบวชเลี้ยงชีพเป็นอาชีพหาเงินเลี้ยงครอบครัวมีจริงๆในเมืองไทย มีโรค อย่างน้อยก็เป็นโรคขี้เกียจ ก็บวชเอารายได้มาเลี้ยงครอบครัว

การบวชที่จะได้เงินก็คือการสวดมนต์ เป็นประเพณีจารีตที่ติดยึดกันหนักในเมืองไทยก็ตาม นิมนต์ไปสวดมนต์ก็ได้แล้วได้ทุกอย่าง พระไปรับนิมนต์ไปงานบ้านงานวัดงานพิธีการ ถึงขั้นราชพิธี สวดมนต์ลูกเดียว มันน่าสังเวชใจ ศาสนาที่เผยแพร่สวดมนต์

 

_3867 นมัสการพ่อครูฯสมณะสิกขมาตุ!จรธ.ญตธ.บ้านราชฯ กับวงเสวนาธ.พุทธศ.โอภาปราศัยถ้อยธรรมคำพุทธ ด้วยความเป็นกันเองไร้แบ่งแยกหมดฐานันดรสิ้นชั้นวรรณะคงสิทธิเสรีภาพเสมอกันสาธุ

 

_2166แป้งเอ๊ย....โกนหนวดหน่อยเพื่อนจะเข้าพรรษาแล้ว!!!! ฮ้วย! อย่าบอกยากหลาย

พ่อครูว่า...สมัยอาตมาเล่นไสยศาสตร์นำมีดคมๆลับมาเลย มีดเล่มใหญ่มีน้ำหนักเอามาโกนขนร่วงเลยนะ เสร็จแล้วเอามากรีดผิวหนัง เลือดออกซิบๆ ถ้ามีดโกนไม่เจ็บหรอก มันกรีดไม่เข้าเลย สัมผัสผิวเราก็ลื่นไปเลย แต่มีดนี้เขากดมีน้ำหนักทั้งกรีดและคมด้วยนะเอาปลายมากรีดก็เข้าเหมือนกัน เลือดซิบๆเป็นยางบอนออกมาเป็นเส้น เจ็บนะ แต่เหนียวไง ภูมิใจในความเหนียว เดี๋ยวนี้อย่ามาลองนะ เขาฟันแต่ก่อนก็เจ็บด้วยแต่กรีดนี้ยิ่งกว่าฟันนะ

อย่ามาลองนะ มันเป็นเรื่องของใจจริงๆไม่มีอะไรสงสัยคลางแคลง แต่พอหมดพลังนั้น มันก็ไม่คงทนเที่ยงแท้ไม่แน่นอน มันเป็นพลังงานที่มีพลังงานที่ทำได้ อาตมาจึงไม่สงสัย ภาวะเล่นมาทดลองมาทางวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์ แต่ต อนนี้ไม่เอาแล้วมาเอาคำสอนพระพุทธเจ้าเอาดีความชั่วเอาเป็นโลกุตระพอแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ทำใจอย่างไรหากไม่กล้ารื้อศาลพระภูมิ

_สมเกียรติ พรหม · การบวชเล่นๆ เป็นการกระทำของ ปุถุชน คนหลงโลก

พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ แสดงธรรม พุทธแท้ๆ ตามฟัง ตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติ ด้วยศรัทธาและเคารพ กรรมอันทำ ทำให้เกิด คนจนที่ สุขสำราญ เบิกบานใจ สาธุ ครับ

พ่อครูว่า...จริง ก็ขอเคาะกบาลนิดนึง

ปุถุชนทำแล้วแทนที่จะดีกลับเป็นโทษต่อตนเองและศาสนา เป็นโทษต่อมนุษยชาติ การบวชเล่นๆ คุณไม่ได้บวชอย่างเข้าใจโดยสัจธรรมด้วยความจริงเลย มันก็ทำลายศาสนาแล้วจะไม่บาปได้อย่างไร มันเป็นอกุศล การบวชเล่นบวชหัว นึกว่าจะได้อะไรนั้นไม่ได้ เอาคนหนุ่มแน่นมาบวชเป็นพันคน หมื่นคนแสนคน กำลังกลัดมัน ก็มาทำสังฆาทิเสสข้อต้นๆ คือ ข้อ สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ก็เป็นอาบัติสังฆาทิเสสกัน โครมๆ พวกนี้เขาไม่ได้จริงจังกับศาสนามันก็ไม่เปิดเผยหรอก หมักหมมเละกันอย่างนั้น ศาสนาชิปหายวายป่วง แม้แต่วินัยข้ออื่นเขาก็ไม่รู้เรื่อง พระที่บวชมา 50 ปีที่รู้พระวินัยก็ยังละเมิดเลย มันไม่ใช่ของเล่น ถึงซวยมาก กรรมเป็นอันทำ ทำผิดทำชั่วมันก็บันทึกเป็นวิบาก

1.คุณไม่เชื่อกรรมวิบากเป็นเรื่องซวย ศาสนาพุทธยืนยันว่ากรรมเป็นของๆตน ทำแล้วเป็นของเราไม่ใช่ของใครแบ่งให้ใครไม่ได้

2. ทำแล้วกรรมเป็นมรดกของตน ตนเองต้องรับมรดกตัวเอง มรดกชั่วคุณต้องใช้หนี้ ยิ่งมีการสะสมความชั่วให้มาก มันก็หนักหนาสาหัส

3. กรรมเป็นวิบาก เป็นผลสะสมได้

4. ความตรัสรู้ของพุทธเจ้ามีจริงเป็นจริง หากคุณไม่เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หากคุณไม่เชื่อ ก็จะมานับถือกันทำไม ถ้าหากเชื่อก็ยังพูดกันได้เราก็จะได้ชีวิตของเราให้ดีขึ้น

เป็น 4 ความเชื่อนี้แหละ หากไม่มี 4 ความเชื่อนี้ปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธก็สูญเปล่า

 

_มีเรื่องอยากถามหลวงพ่อ คือ หนูดูคำสอนของหลวงพ่อทางโทรศัพท์ ทาง youtube มีหลายเรื่อง คำสอนของพระพุทธเจ้าแถวบ้านหนู สอนแต่ทำบุญ คือ ถ้าเราอยากมีเสบียงอาหารไว้ใช้ในชาติหน้า เราต้องไปทำบุญที่วัด (พ่อครูว่าให้ไปทำบุญที่วัดอีกนะ แล้วบุญของเขาก็คือการทานมันไม่เข้าใจจริง การไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เป็นการทำลายศาสนา แทบจะไม่เหลือแล้ว อาตมาก็ทัก จะว่าหลงตัวหลงตนก็ตาม หากว่าอาตมาไม่เกิดขึ้นมาก็งมไม่ขึ้น รับรองว่าให้ผู้ที่ช่วยกู้ภัยทั่วโลกมากู้ศาสนาก็ไม่ขึ้นต่อให้มาหมดโลก อาตมาเท่านั้นที่กู้ขึ้น)

คนบ้านหนู บอกว่าสวดแล้วคุ้มครองป้องกันภัย แล้วการสวดจะสวดเพื่ออะไรคะ สวดเพื่อหากิน บางคนสวดเพื่อคุ้มครองป้องกันอันตราย (พ่อครูว่า...หากว่าสวดแล้วคุ้มครองภัยอันตรายได้ไม่ต้องไปซื้อหาอะไรเป็นเครื่องกั้นเลย แม้แต่ฝนมาก็สวดเอา ฟ้าผ่า แดดร้อนก็สวดเอา)

สวดมนต์คุ้มครองอันตรายและต่ออายุได้อีก อย่างนี้มีหรือเปล่าหลวงพ่อ  แล้วเครื่องบูชาที่ทำให้รวยขึ้นมีหรือเปล่าหลวงพ่อ

(พ่อครูว่า...มีแต่มันไม่ถูกต้องหลอกกันมาเท่านั้น มันมีนะแต่มันไม่ดี ทำขายหลอกกันแต่ไม่มีผลได้จริงอย่างที่เขาว่า ถ้าได้ก็ไม่ต้องทำอะไรหรอก ก็ซื้อแต่เครื่องรางของขลังให้มันเก่งเท่านั้น จะให้รวยแต่ฉันไหลจะให้แคล้วคลาด ให้มีฤทธิ์อำนาจอะไรก็ได้ หากพวกนี้เป็นเรื่องจริงก็ให้ทหารไม่ต้องใช้ปืนใช้อาวุธ เอาแต่เครื่องรางของขลังไปแล้วเดินไปทิ่มตาข้าศึกเลย สรุปว่าเป็นเรื่องหลอกทั้งนั้นอย่าไปเชื่อ)

แล้วเรื่องพระมีอิทธิฤทธิ์เกิดจากอะไรคะ

(พ่อครูว่า...อำนาจอิทธิฤทธิ์มีจริงแต่เป็นเรื่องไม่เที่ยงไม่คงทนทำได้ยาก พระพุทธเจ้าก็ทำได้ ฤาษีต่างๆก็ทำได้ ในยุคของพระพุทธเจ้ามีฤาษี 2 องค์ มีฤาษีคันธารีกับฤาษีมัลลิกา

ฤาษีคันธารีสอนเรื่องฤทธิ์เดช ฤาษีมัลลิกาสอนเรื่องอาเทสนาปาฏิหาริย์ มันเป็นฤทธิ์เดชทางรูปธรรม ส่วนอาเทศนาปาฏิหาริย์นั้นให้จิตมีฤทธิ์เดช ส่วนพวกรูปธรรมก็ให้อยู่ยงคงกระพันล่องหนหายตัวอะไรพวกนี้ ส่วนเทศนาปาฏิหาริย์ให้จิตมีฤทธิ์ทางจิต ส่งจิตไปบิดไส้เขา ไปทำให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากมากๆและก็ไม่เที่ยง พลังงานที่จะต้องรวบรวมเอามาใช้ เสร็จแล้วมันก็สลายง่ายเสื่อมง่าย ลอดใต้ถุนบ้านก็เสื่อมแล้ว อะไรต่างๆนานาสารพัด ผู้หญิงเดินข้ามก็เสื่อมแล้ว ไปจับผ้าถุงก็เสื่อมแล้ว สารพัดสารเพ เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะต้องไปยึดถือ สรุปแล้วเป็นเรื่องไม่จริงอย่าไปเชื่อ ให้มาเอาอนุสาสนีปาฏิหาริย์พระพุทธเจ้าสอนให้พ้นทุกข์ สอนให้เป็นคนดีมีประโยชน์คุณค่ามาเอาทางนี้)

หนูก็ตัดสินใจเรียนถามหลวงพ่อ หนูอยากให้แฟนหนูรู้ เพราะดูทางโทรศัพท์ ก็ไม่เท่ากับถามหลวงพ่อตรงๆ ถ้าหลวงพ่อตอบกับจดหมาย แฟนหนูก็จะเข้าใจ หนูอยู่ไกลเลยตัดสินใจเขียนถามหลวงพ่อ

พ่อครูว่า...ก็ตอบไปแล้วนะ

 

_อีกเรื่อง ทุกข์ใจ หนูเป็นโรคกลัว เรื่องศาลพระภูมิ หนูอยากจะรื้อทิ้งไม่อยากได้แต่กลัวเทวดาให้โทษ

พ่อครูว่า...สมัยอาตมาเล่นไสยศาสตร์ก็รื้อศาลพระภูมิมาเยอะ ตั้งเองล้มเอง เชิญเทพเจ้ามาสิงสู่ มีชื่อศาลด้วยนะ ก็เป็นวิบากอาตมาที่ไปหลอกเขา ก็เลยมีวิบากตามมาเล่นงานหลายอย่าง ตอนนั้นเป็นลิงลมอมข้าวพอง อาตมาเคยไปตั้งศาลพระภูมิใหญ่ พูดก็เรื่องความหลัง สรุปแล้วหนูรื้อไม่ได้ก็ให้ใครที่มีแรงมีความสามารถรื้อให้ รื้อได้ไม่มีปัญหาหรอกอย่าไปกลัว มันมีอะไรก็เขียนจดหมายมาถามอีก

 

_หนูขอเล่านะ ทำไมไม่อยากไหว้ เพราะถ้าเล่าให้ฟังอาจจะดูว่าหนูเป็นคนงมงาย แล้วถ้าหนูหรือศาลพระภูมิทิ้ง เทวดาให้โทษแล้วหนูจะทำอย่างไรคะ

พ่อครูว่า...ถ้าหากเทวดาให้โทษอาตมาจะปราบเทวดาเอง ให้มาหาอาตมา ทำใจดีๆ ถ้าเชื่ออาตมามากว่าพระภูมิ ว่าพระภูมิไม่มีฤทธิ์กว่าอาตมาหรอก เชื่อไหม ถ้าพระภูมิจะทำอะไรก็บอกว่าเดี๋ยว พระโพธิรักษ์มาหักคอนะ

 

_บ้านเล็กเมืองน้อย...กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง

 

ขอแนะนำลุงกับป้า คู่หูเจ้าเก่า เจ้าประจำที่ทุกคนรู้จักแต่ไม่รู้ใจ

 

คุณลุงเป็นยอดนักขายฝัน ชอบสร้างเรื่องราวไม่สิ้นสุด กระตุ้นให้เกิดความกระตือรือร้น

ซึ่งดูผิวเผินเหมือนจะดี ถ้าไม่ถลำลึกไม่ยึดติดไปกับลุงมาก ก็อาจจะได้พึงพอใจอยู่บ้าง

แต่ถ้าเผลอตัวไปคลุกคลีกับแกมากๆเข้า ลุงแกจะแสดงธาตุแท้ อันบรรเจิดเกินเหตุ ออกมาเสมอ

กลายเป็นคนยึดกำหนดหมาย คิดเอาแต่ได้ มีอันต้องขัดแย้งกับผู้อื่นเป็นประจำ

ทุกคนที่สนิทสนมกับแกแล้ว จิตจะตกยาว จนกว่าแกจะยอมไป

 

ลุงแกก็เหลือเกินจริงๆ ไม่ไปง่ายๆ ยุยงต่อเนื่อง ให้คนทุ่มโถมอย่างลืมตัว

เอาจริงเอาจังดีๆอยู่ กลับเปลี่ยนเป็นเอาเป็นเอาตายขึ้นมา จนพากันเสียผู้เสียคนเพราะแกมานักต่อนัก (พ่อครูว่า...ตัวมานะ อติมานะ มันจะเป็นเหตุอย่างนี้)

ในเรื่องทำทานการกุศลขอให้บอก.... ลุงแกโผล่ทุกงาน จนได้นิกเนมทางบาลีว่า สาเปกโข......

แม่นแล่ว....ลุงหวัง เพื่อนซี้ของนักการกุศล นักติดสินบน และนักแย่งชิงที่ยังเสพโลกธรรมไม่รู้จบ นั่นเอง

 

อยากกำจัดลุงหวังให้พ้นไป ไม่ยาก

สมณะพราหมณาผู้มีสยังอภิญญา สอนไว้ว่า ให้ทำแต่กุศลที่เป็นบุญ... ทำแต่เหตุที่จะนำไปสู่เป้าหมาย... (พ่อครูว่า...ทำดีแล้วตัดกิเลสตัดสันตติ ไม่มีอะไรต่อ ทำกุศลแล้วจบตัด ไม่คิดไม่นึกจะมีอะไรต่อเลย ทำแต่เหตุให้แม่นให้ตรง ให้เต็มที่ จบในตัวเอง เจตนาแต่อย่าอยาก ทำแต่เหตุ แล้วมันจะเดินไปสู่เป้าหมาย)

ให้มีเพียงเจตนาแต่ไร้ซึ่งความอยาก... เป็นแค่กำหนดหมายที่ปราศจากแรงดูดยึด

ทำตามที่ท่านว่านี้ ลุงหวังแกก็จะไปสู่ที่ชอบที่ชอบของแกเอง ตัดหางปล่อยนรกไปเลย ไม่ใช่ตัดหางปล่อยวัดนะ

 

ส่วนคุณป้านั้น ซื่อตรงสุดๆ ใครทำเช่นไร แกก็ตอบกลับเช่นนั้น

แบบมีชั้นมีเชิงด้วย มีหนัก-เบา.... เร็ว-ช้า.... ก่อน-หลัง.... เป็นกรณีไป

ป้าแกจะมี 2 บุคลิก เป็น Bipolar ทั้งดีทั้งร้าย

- แบบดี ใครๆก็ชอบและอยากอยู่ใกล้ จึงเรียกแกว่า ป้ามี

ป้าเป็นนักบริการ อำนวยความสะดวกชั้นยอด แต่ป้าไม่ค่อยยอมปรากฎตัวเพราะคนประกอบกรรมดีมีน้อย ผู้มีบารมีจึงหายาก

- ส่วนแบบร้ายก็คือป้าวิ ที่ชอบหอบความทุกข์มาฝากด้วยเสมอ จึงไม่มีใครชอบแก ไม่อยากให้แกอยู่ใกล้ๆ

แต่เมื่อได้รับประสบการณ์เลวร้ายหรือมีอุปสรรคทีไร ก็จะโทษป้าวิ ทุ้ก.ก.ก.ที

ช่างน่าเห็นใจผู้ที่ผัสสะแล้ว ยังทำใจยอมรับความจริงตามความเป็นจริงไม่ได้ จึงระบายใส่ป้าวิ

โทษวิบากจนเคยชิน ไม่ใช้ ตรรกะ วิตรรกะ สังกัปปะ ตามที่พ่อท่านสั่งสอน จึงไม่รู้ข้อบกพร่อง ผิดพลาดของตน

 

บางครั้งคนป่วยที่ไม่ยอมไปรักษาพยาบาล ไม่หาทางช่วยเหลือตัวเอง ได้แต่โทษวิบากกรรม

แล้วก็ปล่อยไปตามยถากรรม ง่ายดี เลียนแบบเทวนิยม ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า

ถึงขั้นป่วยหนักเข้า เกิดตายขึ้นมา ก็พากันโทษ ป้าวิ อีกนั่นแหละ

 

ยังมีคนยากจนข้นแค้นแบบงอมืองอเท้า ไม่ยอมลุกขึ้นสู้ ฝังตัวเองคู่กับป้าวิ จมอยู่กับความทุกข์ยาก

แล้วยังไปคบกับลุงหวัง ไม่ปฏิบัติตนตามวรรณะ 9

แล้วจะเป็นคนจนที่สุดสำราญเบิกบานใจได้อย่างไร ถ้ายังแยกความเชื่อกับความงมงายไม่ออก

 

ท่านสอนไว้ว่าต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เมื่อผัสสะให้ใช้ธรรมะวิจัย แยกเวทนาแท้กับเทียมให้ออก วิตกวิจารณ์ให้ได้

แล้วโยนิโสมนสิการให้ถึงตาน้ำ ถึงต้นเหตุของปัญหา แล้วแก้ไข ปรับปรุง พัฒนา ให้เหมาะสมดีขึ้น

จะได้ไม่สร้างวิบากกรรมเพิ่มเติม ด้วยการหลับหูหลับตา โทษแต่วิบากเพียงอย่างเดียว

กรรมคือผลของการกระทำ ถ้าไม่ลุกขึ้นประกอบกรรมดีบ้าง ก็จะได้พบเจอแต่ป้าวิ ไม่มีทางได้พบกับป้ามี

เพราะบารมีจะเกิดแก่ผู้ที่เสียสละตน กระทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น โดยไม่หวังผลใดๆตอบแทนเท่านั้น (พ่อครูว่าไม่มีสองคำ คือ ไม่ กับ ไหม้ ซึ่งอาจดูไม่ดีทั้งคู่ แต่คำว่าไหม้นี้ ดีก็ได้คือสลายกิเลส ละลายกิเลสให้หมดไปได้เลย)

 

เลิกคบลุงหวัง หยุดงมงายโทษแต่ป้าวิ หมั่นทำแต่กุศลกรรมที่เป็นบุญอย่างไม่หยุดยั้ง

สักวันหนึ่งป้าวิแกก็อาจจะวิ่งตามมาไม่ทัน แล้วป้ามีก็จะมาเป็นเพื่อนในที่สุด

 

พ่อครูว่า...สักวันหนึ่งป้าวิก็คงจะตามไม่ทัน เป็นหมาไล่เนื้อวิ่งอย่างไรก็ไม่ทัน นี่คือสัจจะที่อาตมาอธิบาย กุศลที่เราทำเป็นกำแพงที่กั้นวิบากบาปไว้ ไกลมากไม่ให้มาถึงได้

บาป ใช้กับสภาวะที่ไม่ดีเหมือนทุจริตอกุศล แต่ตัวดีคือบุญมีถ่ายเดียวไม่กลับไปกลับมา เพราะคุณยังจมกับความไม่ดีไม่หมด 0 ก็เลยต้องไปๆมาๆอยู่ ก็ยังต้องวนอยู่ ถ้าคนที่จบเป็นอรหัตตผลมันไม่มีกลับไปกลับมาเลย ก็มีอย่างเดียว กับ 0 ไม่มีสองแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน การสวดสรภัญญะคือกล่าวโดยไม่ใส่ทำนอง

มาเข้าเรื่องการสวด...ขออภัยก่อนอื่นขออภัยต่อสถาบันศาสนาพุทธ พระวินัยสอนเรื่องการสวด การสวดพระธรรมด้วยทำนอง ในพระวินัยเล่มที่ 7 ตั้งแต่ข้อ 20

เรื่องสวดพระธรรมด้วยทำนอง

[20] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์(พระหกรูปที่เป็นตัว nuisance ตัวรวนมาก ทำผิดๆหลายอย่าง) สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ เหมือนพวกเราขับ ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ...ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้สวดพระธรรม    ด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย   ข่าวว่า ... จริงหรือ

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่ง กะภิกษุทั้งหลายว่า

พ่อครูว่า...พวกเราก็สวด ทั้งฆราวาส นักบวช ก็สวด สวดประณามคาถา ก็สวดพร้อมกันได้ แต่ถ้าสวดธรรมบท ก็ต้องสวดเพื่อจำได้ ก็สวดในหมู่ตัวเอง อย่าเอามาสวดนอกต่อหน้าอนุปสัมบัน เป็นนักร้องหมู่ นักร้อง choir มันพ้องเสียงกับคำว่า ควาย คือหมู่สัตว์ชนิดหนึ่งก็เลยหาว่าอาตมาว่าพระเขาเป็นควายแต่ไม่ใช่ นักร้องหมู่ที่เขาเป็น choir (ไคว-เออร์) เป็นการร้องหมู่กัน จะประสานเสียงหรือไม่ประสานเสียงก็อีกนัยหนึ่ง เขาเรียกว่านักร้องหมู่ ไม่ใช่ Solo singer คือนักร้องเดี่ยว เช่น เสก โซโล (โลโซ) ไปล้อพวกไฮโซอีก

พระพุทธเจ้าท่านตรัสพระวินัยข้อที่ 20 ทุกกฏข้อนี้ชัดเจนว่า ถ้าผู้ร้อง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลง  ขับ มีโทษ 5 ประการนี้ คือ:

1. ตนยินดีในเสียงนั้น

2. คนอื่นก็ยินดีในเสียงนั้น

3. ชาวบ้านติเตียน

4. สมาธิของผู้พอใจการทำเสียงย่อมเสียไป(กิเลสเข้า จิตจะไม่ตั้งมั่นสมาธิเสีย ถ้ากิเลสไม่เข้า สมาธิจะตั้งมั่น ตกผนึกความแข็งแรง คุณสมบัติของจิตที่ได้ นี่จิตตั้งมั่นก็ตั้งมั่นไม่ได้เพราะมีกิเลสเข้าไปทำลาย)

5. ภิกษุชั้นหลังจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง (มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองในตอนนี้ ภิกษุจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะโง่แล้วไม่เข้าใจสวดกันเป็นหมู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษ 5 ประการนี้แล ของภิกษุผู้สวดพระธรรมด้วย    ทำนองยาวคล้ายเพลงขับ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ  รูปใดสวดต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

สวดยาวเกิน ฑีฆสระ (สระเสียงยาว)แต่คุณเอื้อนเกินเสียงยาวไปอีก รัสสสระก็เป็นเสียงสั้น ถ้าเสียงหนักก็คุรุ ถ้าเบาก็ลหุ แต่ถ้าออกเสียงเกินกว่าที่ควรก็ผิด

ลากเสียงยาวก็ผิด ใส่ทำนองก็ผิด ยาวคือ ยาวะ ยามะคือขนาด ที่เขาเอามาเถียงกันในเรื่องอาบัติ สะสมยาว อาบัติยามะหรือยาวะ

ทีนี้ ข้อ 20 ท่านก็จบแค่อาบัติทุกกฏ ถ้าไปขับร้องก็ผิด ทุกวันนี้ใช้พยัญชนะ เรียกว่า สรภัญญะ จบอันที่1 อาบัติทุกกฏในข้อที่ผิด  ไปสวดอย่างนี้ให้เกิด โทษ 5 ประการนี้

 

สวดเป็นภาษาไทย แปลว่ายื่นยาวออกไป เกินออกไปจากขอบเขต มันสวด ภาษาอีสานก็ชัด สวด มันเลยออกมา ปากสวดคือปากยืดยาวออกมา มันเลยมันโปนออกมา เลยเขตที่ควรของมัน

สรุปข้อ 20 เป็นอาบัติทุกกฏ

 

เรื่องการสวดสรภัญญะ

 [21] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจในการสวดสรภัญญะ จึงกราบ ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดเป็น ทำนองสรภัญญะได้ ฯ

 

พ่อครูว่า...ก็มีหมู่ภิกษุไปสวด แล้ว เรียกการสวดแบบนี้วาดสรภัญญะ ข้อที่ 20 เป็นคำห้ามไม่ให้ทำ ส่วนข้อที่ 21 อนุญาตให้ทำ อนุญาตด้วยพยัญชนะว่าเราอนุญาตให้สวด สรภัญญะ แต่คำว่าทำนองนี้เขาเอามาใส่เอง ที่จริงคำบาลีมีแค่สรภัญญะ แต่ผู้แปลใส่คำว่าทำนองสรภัญญะ คำว่าทำนอง คือ คีตะ เขาก็เติมไปอีก ทำนองคือเสียงเพลง ทำนองเพลง เพลงมีทำนอง ถ้าไม่มีทำนองเมโลดี้ ในพระบาลีไม่มีทำนองเลย มีแค่สรภัญญะ

คำว่า สระ กับ ภัญญะ

ถ้าเข้าใจสองคำนี้ก็จบ แต่ถ้าไม่เข้าใจหรือเจตนาไม่เข้าใจจะใช้ก็ตัวใครตัวมัน ก็เป็นกรรม

ที่จริงคำว่า สรภัญญะ ขอตีหัวไว้แต่ตอนต้นว่า สรภัญญะ ไม่ได้หมายความว่าสวดมีทำนองหรือสวดยาวเกินไป การสวดยาวเกินไปก็นอกความหมาย รสสระ ก็สั้น ฑีฆสระก็ยาวแต่ยาวเกินไปก็ผิด

สรภัญญะ แปลเป็นไทยว่าความเป็นแห่งการกล่าว คำที่กล่าวขึ้นมามันเป็นขึ้นมา เป็นคำกล่าว ด้วยเสียงคือ สระ

สรภัญญะ คำว่า ภัญญะแปลว่าคำกล่าวคำพูด มันเป็นขึ้นมาของคำกล่าวคำพูด

สระ เป็นตัวกำหนด สระ มี รัสสะ กับฑีฆะ  รัสสะก็สั้น ฑีฆะก็ยาว จะกล่าวคำโดยสระเป็นตัวกำหนด สระสั้นก็กล่าวสั้น อะ อิ อุ เป็นต้น สระยาวก็กล่าวยาว อา อี อู โอ เป็นต้น

สรภัญญะ แปลว่าการกล่าวไม่ใช่การร้องเพลง มันคนละเรื่อง การกล่าวนี้ยาวหรือสั้นตามที่กำหนด แต่ถ้ากล่าวลากเสียงอันยาวก็อาบัติอีกข้อหนึ่งเหมือนกัน ลากเสียงอันยาวเกินกว่า ฑีฆะ ลากยาวเกินกว่าขอบเขตมากกกกกก….

เน้นก็เน้นแต่อันนี้มันมากกกก...หาขอบเขตไม่ได้ มันเว่อร์จริงๆ คนที่ไม่รู้จักขอบเขตไม่รู้จักที่จบที่หยุด มันพูดกันไม่รู้เรื่องมันดันทุรัง

ความเป็นแห่งการกล่าว หรือคำกล่าว มันทำให้ขึ้นมาเป็น ไม่ใช่มันไม่มี หมายความว่าอะไร หมายความว่าการกล่าว ไม่ใช่การร้อง หรือครวญเพลง การกล่าวนะ เพราะฉะนั้นคำใดที่ต้องการเปล่งเสียงออกมาหรือกำหนดให้เป็นคำภาษาคน ให้รู้เรื่อง ก็ต้องเปล่งกล่าวภาษาคนตามพยัญชนะและสระให้ตรง พยัญชนะก็บอก ก ข ค ฆ ง มีสระกำกับ รัสสะก็สั้น ฑีฆะก็ยาว  ยาวแค่ที่เขากำหนดควร ให้หนักเบา ครุ ลหุ ก็ให้เป็นภาษาที่เหมาะพอดี ไม่ใช่การกล่าวโดยใช้ทำนอง

ทำนองคือ คีตะ การกล่าว การกล่าวใส่ทำนองไม่ใช่ หรือไม่มีเสียงที่ลากจนเกินไป สรภัญญะคือ การกล่าวโดยให้เป็นไปตามเสียงสระที่สั้นหรือยาวเท่านั้น คำว่า สรภัญญะคือการกล่าว ไม่มีทำนองเป็นเพลงแม้แต่นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่ได้ แต่คนก็เอาอนุโลมไปใส่ทำนอง เติมไปเรื่อยๆ ท่านให้เอื้อนเป็นสรภัญญะนิดหน่อยก็ได้อีก เข้าข้างตัวเองอีก เพื่อจะอนุโลมาหาช่อง เช่นเดียวกับการหาช่องกินเนื้อสัตว์นี่แหละ อย่างในชีวกสูตร พระพุทธเจ้าตรัสเป็นเรื่องบาปเป็นอันมากไม่ใช่เรื่องบุญเลย

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

 

เขาเลี่ยงไปว่า อุทิศคือออกชื่อให้คนๆไหนกิน คนนั้นก็เลยกินไม่ได้ ส่วนคนอื่นที่ไม่ได้ออกชื่อว่าฆ่าให้กิน ก็กินได้หมด นี่คือการเลี่ยงบาลี เห็นๆ ไปเบี้ยวว่า ไม่ใช่เจตนาของคนฆ่า เพื่อระบุให้คนๆเดียวกินไม่ได้

เช่น ฆ่าสัตว์ตัวนี้เพื่อให้นายสู่แดนธรรมกิน นายสู่แดนธรรมกินไม่ได้   ส่วนคนอื่นนอกนั้นกินได้หมด นี่คือความฉลาดชิบหาย ฉลาดหาอาบัติใส่ตัว ความจริง มีบาลีว่า สัญจิจจะ ปาณังชีวิตาโมโรเปตุง คือ การเจาะจงทำกรรมนั้น การฆ่า คนฆ่าไม่ใช่สัตว์ฆ่า ถ้าหากสัตว์มันฆ่ากันเองก็เป็นวิบากของมันแล้ว มันก็ทิ้งเนื้อที่กินเหลือไว้เป็นเดนสัตว์กิน กินเนื้อชนิดนี้ไม่มีวิบากอะไร เพราะไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับวิบากที่สัตว์ที่กินมันพอแล้ว

มีเนื้อสัตว์ที่กินได้มี 2 อย่าง(ปวัตตมังสะ 2 อย่าง) 1. สัตว์ตายเองทิ้งร่างไปเอง 2. เดนสัตว์กิน สัตว์มันฆ่ากันเองเป็นวิบากแก่มันเอง มีแค่ 2 อย่างนี้แหละที่กินได้สำหรับเนื้อสัตว์ แล้วมันจะหาได้ง่ายหรือ จะไปหาที่ไหนกิน สัตว์มันตายเองส่วนมากก็ตายด้วยโรค ถ้าหากตายด้วยอุปัทวเหตุ มันก็ไม่ใช่ตายเองมันก็จะผูกพันธ์พยาบาทแก่คนที่ทำมัน ก็ตัดมันตรงนี้ สัตว์มันตายเอง กับเดนสัตว์กิน เท่านี้

ผู้รู้ทั้งหลายท่านอธิบายเรื่องนี้ไว้หมดแล้ว พอ

 

สรภัญญะ ท่านแปลกันว่า ชื่อทำนองสวดอย่างหนึ่ง สร + ภ + ณ ...อธิบายเข้าข้างตัวเองไปอีกเยอะเลย เป็นการสร้างความคิดในโลกนี้ไม่รู้จบเรียกว่า โลกจินตา เจตนาผู้ที่อธิบายยาวยืดไม่รู้จบนี้ ถ้าคุณเชื่อหรือคุณเข้าใจแล้ว ก็จบ ว่า สรภัญญะนี้มันไม่ใช่เพลง

ฟังให้ดี สรภัญญะ ไม่ใช่เพลง ไม่ใช่การขับที่จะใส่ทำนอง เป็นการพูดการกล่าว การกล่าวคือ ภัญญะ ที่กำหนดด้วยสระ แล้ว สระก็มีสองอย่าง รัสสสระ(เสียงสั้น) กับฑีฆสระ(เสียงยาว) ไม่ใช่ให้ใส่ทำนอง เป็นคำกล่าว ภัญญะไม่ใช่คีตะ (เสียงเพลง ทำนอง)

ภัญญะคือคำกล่าว คำกล่าวที่มีสระกำกับ ยาว สั้น แต่ยาวนี้ไม่ให้ลากกยาวเกินไปด้วยมีกำกับไว้อีก แต่นี่ไปใส่ทำนองอีกยิ่งไปใหญ่ สระสั้นก็ อะ อิ อุ ไทยมี เอะ บาลีมี แค่นั้น แต่ไทยมี เอะ เอาะ เอีย  เป็นการกล่าวต้องตรงตามสระ ถ้ายาวก็ อา อี อู ยาวกว่าก็ เอ โอ แต่ไทยมี อัวะ อัว อีก

แม้จะเป็นคำกล่าว ภัญญะ ก็มีพยัญชนะกับสระ แล้วกำกับสระ รัสสสระ(เสียงสั้น) กับฑีฆสระ(เสียงยาว)  ก็ให้มีเสียงประกอบยาวหรือสั้นอย่างพอเหมาะ

คำว่าทำนองมันก็คนละเรื่องแล้ว ใส่ทำนองนิดหนึ่งก็ไม่ใช้คำกล่าวแล้ว นั้นมันเอื้อน ใส่ทำนอง การจัดไปใส่เสียงลากยาวก็ไม่ใช่ ลากยาวเกินก็ไม่ใช่ ใส่ทำนองก็ผิด ยิ่งไปเอาทำนองแล้ว กลายเป็นร้องครวญคราง เอื้อนเอ่ย เป็นการส่วนเกินจากคำกล่าว โด่ เกินไปจากขอบเขต เรียกว่า มัน สวดเกิน สวดคือ พ้นออกมาจากขอบเขต

เมื่อเข้าใจความหมายของคำว่าสรภัญญะผิดเพี้ยนไปเกินกว่าความหมาย

สรภัญญะคือ คำพูดคำกล่าวไม่ใช่การร้องเพลงการครวญคราง ไม่ใช่ลากเสียงยืดยาวด้วย การกล่าวธรรมบท คำสอน ของพระพุทธเจ้ามากล่าวและสาธยาย จึงเป็นการนำธรรมบท หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า มาอธิบายขยายความไม่ใช่เอามาร้อง ไม่ใช่เอามาใส่ทำนองแล้วครวญครางให้กันฟัง อันนั้นมันไม่ใช่ ความเป็นแห่งการกล่าว มันเป็นความเป็นแห่งการร้องเพลง เมื่อย …

ตีหัวเข้าบ้านอีกที สรภัญญะ แปลว่าคำพูดคำกล่าว ไม่ใส่ทำนอง แม้ลากเสียงยาวเกิน ฑีฆสระก็ไม่ใช่ ลากเสียงยาวก็อาบัติ ใส่ทำนองคือความผิดรุ่นน้อง ลากยาวคือความผิดรุ่นพี่

เป็นการลดค่าคําสอนพระพุทธเจ้ามาให้เป็นการร้องเพลงสนุกสนานเล่นๆ หรือมาร้องหากินเป็นวณิพกเป็นคณิกา พวกที่รับรายได้จากการร้อง พวกชายก็เป็นวณิพก พวกหญิงก็เป็นคณิกา คณิกาก็มีการหากินอย่างอื่นอีกขายตัวได้อีก วณิพกก็เป็นชาย คือ คนร้องเพลงหากินเลี้ยงตน คณิกา ทั้งร้องร่ายรำนวดฝั้นด้วย อย่างอื่นไม่พูดต่อ หากินสารพัด

การร้องเพลงแลกอาหารร้องรับจ้าง อย่างที่เป็นอยู่กันนี้ พระไปทำหน้าที่แย่งพวกวณิพกแย่งคณิกาหากิน ไม่อยากพูดเลย มันน่าเศร้า

ศาสนาพุทธทุกวันนี้แทบจะกล่าวได้ว่าลงเหลือแค่ศาสนาสวดมนต์ มนต์คือคำสอนของพุทธเจ้าเหมือนกัน เขาก็สวดกันทั้งโลก ไม่ใช่กล่าวธรรมดาคือการร้องเพลง เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเป็นเนื้อร้องเพลง เพื่อเลี้ยงชีวิต ไม่ได้ให้ประโยชน์แก่ผู้ที่ฟัง แต่ให้เขาติดเนื้อร้องติดทำนองติดอารมณ์ เป็นกิเลสต่อกันไปอีก

เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ไม่ใช่ใส่ร้าย แต่ขออภัย ออกงานศาสนาไหน มีพิธีกรรมใดก็มีแต่การสวดมนต์และสวดมนต์ only สวดมนต์ เท่านั้นแหละ

ทีนี้ก็มาแข่งกันสิ ใครจะทนได้มากได้นาน ใครจะสวดได้แปลก ใครจะสวดได้ไพเราะ ใครจะสวดได้พิลึกกึกกือ แจ้งที่ตัวอย่างเป็นการสวดแบบแร็พ ล้อเลียนกัน เน้นหนัก ไส้จะขาด ทำกันไป นี่เขาเอาคลิป อาตมาไม่อยากจะดูให้คลื่นเหียนเท่าไหร่

มันเป็นการเล่นการปรุงแต่งด้วยท่าทาง สุ่มเสียงสำเนียง วาทิตะ ประดิดประดอยปรุงแต่ง ให้มากไปเรื่อยๆ นักปรุงแต่ง เก่ง ก็ต้องเป็นกะเทย มีความสลับซับซ้อน จากกระเทยกลายเป็นผู้หญิง แล้วชาติไหนก็เป็นกระเทยอีกซับซ้อน กลายเป็นเป็นผู้หญิงที่จัดจ้าน จากนั้นก็ไปเป็นกระเทยอีกซับซ้อน ผู้หญิงจะสลับกับกระเทยไป จัดจ้านในการปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นพวกนี้จะเก่งในการปรุงแต่ง เป็นพวกที่ จะเก่งในการสร้างจริต เข้าใจขึ้นไหม พวกกระเทยกับพวกผู้หญิงไปด้วยกัน ช่วยกันปรุงแต่งให้จัดจ้านหนักหนามากยิ่งขึ้น ยิ่งยากที่จะเกิดเป็นหนึ่งเดียว

สรุปแล้วศาสนา การสวดมนต์ด้วยทำนองหรือลากด้วยเสียงอันยาวเป็นอาบัติที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

1.ลากด้วยเสียงอันยาว 2.ใส่ทำนอง เป็นอาบัติปาจิตตีย์และทุกกฎ ‘

การเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาสวดลากด้วยเสียงอันยาวและใส่ทำนอง มันเหมือนลัทธิศาสนาอื่นที่เขามี ศาสนาเทวนิยมต้องอาศัยอันนี้ เขาไม่รู้โทษภัย มีแต่ศาสนาพุทธรู้โทษภัยอันนี้ และรู้อย่างละเอียด ไม่ได้เผด็จการ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้กล่าวอย่างเผด็จการ ตัวใครตัวมัน คุณจะยังหลงทำอยู่ก็เป็นกรรมวิบาก แต่ใครเชื่อพระพุทธเจ้าทำตามพระพุทธเจ้า ก็คนได้สิ้นวิบาก จบวิบากไม่มีวิบากต่อ

ในพระไตรปิฎกเล่ม 7 จึงมีคำห้ามในพระวินัยไว้ ไม่ว่าจะเป็นอาบัติทุกกฏหรือปาจิตตีย์

ในข้อ 20 ก็มีโทษ  5 ประการ แต่ข้อ 21 ก็ไม่ได้บอกโทษภัยของการสวด สรภัญญะ อาตมาก็ต้องมาอธิบาย

การสวดสรภัญญะนั้นไม่มีการลากเสียงอันยาวหรือการใส่ทำนองด้านข้อห้ามพระพุทธเจ้ามีไว้ ในข้อ 21 พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้พูดเป็นสรภัญญะ แต่เขาเอาคำว่าทำนองมาใส่เองคำว่าทำนองมันคือคีตะ มันคือเพลง คนที่ฉลาดโกง ก็หลงเชื่อไปตาม อาตมาก็เอาหลักฐานพระพุทธเจ้ามาย้ำยืนยัน ว่ามันไม่มี สรภัญญะไม่มีคำว่าทำนอง มันคือคีตะคือทำนอง แต่คนที่ผิดแล้วก็ทำให้คนอื่นผิด แล้วมันมีชาวบ้านมาติเตียนว่าพระอะไรมาร้องเพลง เด็กๆยังบอกว่า แม่ๆ พระร้องเพลง เด็กก็ฟังออก เด็กก็เข้าใจแล้วว่าคำพูดกับทำนองมันต่างกัน ผู้ใหญ่อะไรยังสู้เด็กไม่ได้ เด็กมันยังรู้เลยว่าร้องเพลงกับพูดต่างกัน

ภัญญะคือพูดตาม ฑีฆะ กับ สระ ยาวเกินไปหรือสั้นเกินไปก็จะไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ทัน

เช่นอ.แปลก ...กล่าว ใช่ไหมเล่าๆๆๆ พูดสั้นไป ก็ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าลากยาวเกินก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน

สรุปอีกทีหนึ่ง ทุกวันนี้ไม่เข้าใจเรื่องการสวดร้อง

1.สวดเดี่ยวก็ตาม ผิด 2. สวดมนต์ก็เป็นเรื่องผิด โดยเอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดพร้อมกันต่อหน้าธารกำนัลก็ผิดข้ออาบัติปาจิตตีย์ในมุสาวาทวรรค พูดกันป่านนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจกันสักที หากคุณเข้าใจแล้วแกล้งไม่เข้าใจไม่เชื่อก็กรรมใครกรรมมันเท่านั้น ธรรมะไม่มีปัญหาอาตมามีปัญญาแล้วแต่พูด คือไม่อยากให้คนมีวิบาก สัจธรรมเป็นอันทำ ทำผิดก็เป็นของคุณ อาตมาไม่ได้เป็นด้วย แถมช่วยคุณอีก แต่คุณก็ไม่เอา ก็เป็นวิบากของคุณ คุณอาจจะรู้และเข้าใจด้วยแต่ไม่เชื่อ ก็เรื่องของคุณ ก็ไม่มีปัญหาอะไรอาตมาทำได้แค่นี้ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้จึงเป็นศาสนาที่น่าสงสาร ถ้าไม่มีการสวดเสร็จแล้วไม่เหลือศาสนา แล้วแต่จารีตประเพณีวิธีการ เป็นเพียงการสวดเท่านั้น สวดได้ก็เป็นพระได้แล้ว ถ้าสวดไม่ได้ก็เป็นพระไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็คือเท่ากับพูดว่า ถ้าเอ็งเป็นวณิพกไม่ได้เอ็งก็เป็นพระไม่ได้

อาตมารับรองว่าพูดตรงไม่บิดเบี้ยว ลัดคัดสั้น

สมณะฟ้าไทว่า...ร้องแล้วได้เงินก็คือวณิพก

พ่อครูว่า...ที่จริงก็ไม่ได้เศร้าใจหดหู่ใจอะไรแต่ก็สงสารเวทนา นี่ก็กางตำราเอาพระไตรปิฎกมาอ่านให้ฟังเลยนะ

ย้ำอีกที สรุปอีกทีว่า ศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาลัทธิจมอยู่กับมนต์อย่างหนัก ก็ต้องขออภัยสายทิเบตที่อยู่กับมนต์  สายมหายานอีกสายหนึ่งก็สวดมนต์ ทิเบต สวดมนต์สายเจโต สายมหายาน สวดแบบเฉกาเชิงฉลาด ไม่ใช่ปัญญานะ

ผู้ที่ได้ฟังแล้วเปลี่ยนแปลงก็เกิดกุศล จะเป็นบุญก็ได้ลดกิเลสจัดการกิเลส ก็เป็นความเจริญของตัวเองไป อาตมามีหน้าที่จะสาธยายความจริง อธิบายความจริง เพื่อให้มันถึงซึ่งความจริงอย่างชัด จนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถูกที่สุดชัดที่สุดตรงที่สุด แม่นที่สุด เท่าที่อาตมาจะมีความคมคิด คมคาย ของอาตมา หรือมีแต่ความคมคัด คัดที่คมๆเอามาจริงๆเลย คมคัด ยังไม่ได้ตั้งชื่อใครว่า คมคัด มีแต่คมคิด ส่วนคมคายเป็นเชิงผู้หญิง

อาตมาก็มีเจตนาเพื่อที่จะให้เข้าใจ ใครเห็นว่าควรแก้ไขก็แก้ไข ใครไม่อยากแก้ไขก็แล้วไป

ก็ขอสรุปลงที่ความจริงของอาตมา ว่าอาตมาเป็นคนเช่นนี้ไม่ได้พูดเอาใจเลย ยิ่งไม่เอาใจเลยเพราะไปขัดเกลา สัลเลขธรรม ขัดเกลา คนมีรอยให้ขัด มีปมให้ขัด มีเปื้อนก็ต้องขัดออก อาตมาก็มีหน้าที่เป็นคนรับใช้เป็นคนขัดให้ปมหายไป ทำให้ความเปื้อนนี้สะอาด ขัดแรงคนก็ว่า ขัดเบาก็ไม่ได้ผล เจ้าตัวก็ไม่อยากให้ขัด ขัดน้อยก็ถือว่าแรง ขัดแรงนิดก็ถือว่ามาก อาตมาก็ว่าต้องขัด เห็นอยู่ว่ามันเปื้อนมันโปนก็ต้องขัด ไม่อยากให้เป็นอัลคาโปน จอมโจรของอเมริกา (คุณทำธรรมกล่าวสนับสนุนคำพูดที่พ่อครูกล่าวเกี่ยวกับไสยศาสตร์ว่าไม่เที่ยง)

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้พูดเรื่องสวด


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:24:52 )

610730

รายละเอียด

610730_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาชมและตำหนิตามพระพุทธเจ้า

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1U_UOD8Wtdxg2h5Ifk1GTLa3oTm7FAwrWlb9a4kEUiXk/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1cAIG9GwuGr9PS3TyCH3t5AQS-Cbh5LCT

สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ปีนี้เป็นปี แปดสองแปด มีพวกเราดูสถิติว่า ปีไหน แปดสองแปด จะมีน้ำมาก เราบ้านราชฯก็ไม่ต้องลุ้น ทางต้นทางท่วมมา ถามทางจังหวัดว่า หมู่บ้านเราจะเป็นอย่างไร ก็บอกว่าสบายใจได้ท่วมอยู่แล้ว พวกเราเป็นหมู่บ้านที่รับน้ำ หมู่บ้านคำกลางสูงกว่าเรา 11 เมตร จุดที่เราอยู่เป็นแอ่งกระทะ น้ำจากชีกับมูนก็จะมารวมกันที่นี่ หากน้ำไม่ท่วมก็เสียชื่อบ้านราชฯเมืองเรือ น้ำท่วมหลวงปู่ก็จัดงานฉลองน้ำให้เลย ภาวะน้ำท่วมพวกเราฉลองน้ำ แต่ชาวบ้านทั่วไปไม่ใช่ เขาไม่ได้ทำใจว่าน้ำจะท่วม แต่ของพวกเราทำใจได้ว่าน้ำท่วมแน่ๆ

ปีนี้ดูเหมือนว่าเป็นปีแห่งภัยพิบัติตามธรรมชาติ มนุษย์ไปทำร้ายธรรมชาติไว้มากธรรมชาติก็จะเอาคืน

สมัยพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเตือนใจไว้ว่า  มฤตยูย่อมฉุดคร่านรชน ผู้มีใจติดข้องอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ ผู้มัวแต่เลือกเก็บดอกไม้ (คือกามคุณ) เหมือนห้วงน้ำใหญ่พัดพาเอาชาวบ้านที่หลับไหลไป ฉะนั้น

จึงมีความจำเป็นที่เราต้องเพิ่มภูมิปัญญาเพิ่มความเข้าใจที่จะรับมือกับมฤตยูที่จะมาได้

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 29 กค. 2561 (วิถีอาริยธรรม)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โอวาทปาติโมกข์) ตอน พ่อครูตำหนิอย่างไม่พูดร้ายไม่ว่าร้าย

_พระ ธีรธนัชณฤทธา เมตตธัมโม · คำสอนที่พวกท่านสอนอยู่มันย้อนแย้งตัวเองอยู่นะครับ มีสติรู้สึกตัวเองบ้างรึป่าวไม่พูดร้าย ไม่ว่าร้าย ไม่ให้ร้าย นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพระอริยเจ้า แต่กับโพธิรักษ์ตรงกันข้ามเลย

พ่อครูว่า…มีผู้ตอบแทนอาตมา

_อำภา รื่นใจดี · พระธีรธนัชณฤทธา เมตตธัมโมคำที่พ่อครูกล่าวจะรู้ว่ามั่วหรือไม่ ท่านต้องปฏิบัติศีลให้เคร่งครัดเป็นพื้นฐานเบื้องต้นก่อน แล้วพยายามลด ละ ล้างกิเลสในตนให้เป็นไปตามลำดับ แล้วท่านจะตอบตัวเองได้ว่ามั่วหรือไม่ แต่ถ้าเพียงแค่คิดไม่ฝึกปฏิบัติตนก็จะมีแต่สิ่งสงสัยร่ำไปและไม่พาตนเองสู่ความเจริญด้วยนะ เอวังค่ะ

_อำภา รื่นใจดี · สองคนยลตามช่องคนหนึ่งมองเห็นโคลนตมคนหนึ่งตาแหลมคม

มองเห็นดาวอยู่พราวพรายขอถวายท่านธีรธนัชณฤทธา

พ่อครูว่า…ขอตอบ อีกทีว่า  อาตมาไม่ได้พูดร้ายไม่ได้ว่าร้าย พระเดี๋ยวนี้ไม่ดี ก็พูดดัง และพูดจริง และพูดตรง พูดตรงนี้มันไปกระทบความจริงที่เขาผิดกัน เขาเลยถูกว่าถูกหวด ผู้ที่ทำผิดแล้วถูกท้วงถูกจับดูเหมือนเจอร้าย มันจะรู้สึกเจอร้าย สำหรับผู้ที่เพ่งโทส แต่คนผิดแล้วถูกกล่าวว่า ก็มันเป็นการพูดตรง แต่ดูตื้นๆเหมือนพูดร้าย

แต่พูดก็ไม่ได้ร้ายอะไร มีแต่ตำหนิว่า​ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร ถ้าร้ายก็ต้องอย่างเลวๆ ก็ไม่มีอะไรเลว พูดตำหนิข้อตำหนิความเลว ที่เลวเพราะว่าไปทำผิดคำสอนพระพุทธเจ้า

ถ้าอาตมาพูดไปแล้วมันผิดมันหาเรื่องใส่ความ มันไม่เป็นจริงเลยอย่างที่อาตมาพูด พระเจ้าท่านดีหมด อย่างนั้นคืออาตมาว่าร้ายพูดร้าย

คุณเข้าใจว่าคำว่าว่าร้าย ผู้ร้ายมันเป็นอย่างไร ใช้ปัญญาก็จะรู้ว่าการพูดร้ายว่าร้ายอย่างไร ถ้าเผินๆ การตำหนิ คนก็จะหาว่าพูดร้ายแล้ว ที่จริงการตำหนิเป็นเรื่องปกติ นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง

ท่านบอกพระอานนท์ อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธออย่างทะนุถนอม

เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียก-ยังดิบอยู่

อานนท์! เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด .

อานนท์! เราจักชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด

ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร  ผู้นั้นจักทนอยู่ได้ .

(พุทธพจน์จาก พตปฎ.เล่ม 14  ข้อ 356)

แต่เพราะว่าคนกลัวตำหนิ ก็เลยว่า ถูกว่าร้าย ท่านเขียนมาก็เหมือนเพ่งโทษอาตมา คนไม่เชื่อว่าอาตมาเป็นพระอาริยะก็ท้วงมา เขาก็ได้กรรมตามที่ทำไป

อาตมาก็มีนิสัยอย่างนั้น คือ เหมือนช่างปั้นหม้อ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กถาวัตถุ 10) ตอน กถาวัตถุของพ่อครู

_รักนะ เดอะโซปเมคเกอร์ · ฟังที่นวมินทร์ค่ะ ชัดเจนดี ขณะนี้มีผู้ชม31 คน ธรรมะสดช่องอื่นกำลังถ่ายทอดสดได้เพียงสองนาทีขณะนี้มีผู้ชม 100 คนค่ะ ก็คงจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาเพราะโลกุตระมันยาก แต่ถ้าปฏิบัติ ได้แล้วได้เลย ไม่มีวนกลับ ชอบช่องนี้ค่ะ

พ่อครูว่า…พูดถึงเรื่องการออกอากาศทางโทรทัศน์ เดือนหนึ่งใช้เงินเป็นล้านก็ถือว่าถูกแล้ว ช่องอื่นเขาเสียมากกว่านี้ ค่าทางเทคนิคค่าจ้างคนอีกช่องไหนๆก็ใช้เงินที่จะทำรายการเยอะ แม้แต่ช่องธรรมะของวัด เขาก็ใช้เงินเป็นล้านเหมือนกัน ก็มีคนทำงานฟรีเหมือนกัน แต่ก็ยังต้องจ่ายเยอะ อาตมากล้าพูดได้ว่า ของเราถูกกว่าทุกเจ้า เพราะเราเองมีคนที่มีประสิทธิภาพ คนที่ได้ฝึกมาแล้วเป็นคนมีใจเสียสละ และรู้คุณค่าของการทำงานของเรา

จึงมีน้ำใจเสียสละมาช่วย ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก ตอนนี้ผู้ใหญ่ก็มีน้อย ก็พูดไปเผื่อว่าผู้ใดจะระลึกได้ อยากจะมาช่วยก็ขออนุโมทนา

คนมองว่าเราพูดร้ายว่าร้ายนี้ตาถั่วจริงๆ การตำหนิ เป็นเรื่องดีไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลย คนที่จะกล้าตำหนิ ติ ผู้ควรติ ชมผู้ควรชม

บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการ เป็นบัณฑิตเฉียบแหลม เป็นสัตบุรุษย่อมคุ้มครองตนให้เป็นผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเป็นผู้หาโทษมิได้ อาตมาว่าอาตมาตรงตามคำตรัสนะ ทั้งนักปราชญ์ไม่ติเตียน แต่คนโง่จะติเตียน ผู้ฟังประสพบุญ คือจะมีความรู้เอาไปปฏิบัติตามกำจัดกิเลสได้ ย่อมประสพบุญเป็นอันมาก ยากที่จะได้ฟังสัตบุรุษ เอาไปปฏิบัติลดละกิเลสได้ คนรู้ก็ยาก เอามาแสดงออกก็ยาก เอาไปใช้ประโยชน์ได้จริงก็ยากแต่ก็มีได้

พระพุทธเจ้าตรัสถึงธรรมะ 4 ประการเป็นไฉน

1. ใคร่ครวญแล้วสืบสวนรอบคอบแล้วกล่าวเตือนผู้ควรติเตียน นิคคัณเห นิคคหารหัง

2.ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้วกล่าวสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ ปัคคัณเห ปัคคหารหัง แต่ว่าการสรรเสริญนั้นผู้ที่ควรสรรเสริญ ดันผ่ามาเป็นชาวอโศกอีก เป็นนักบวช ฆราวาสชาวอโศกเสียอีก คนที่เป็นอย่างนี้เพราะว่า ชาวอโศก เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ขัดเกลาลดละกิเลสได้จริง ไม่ได้พูดพล่อยหลงตัว แต่พูดความจริง

ทีนี้จะไปชมผู้อื่น ขออภัย อาตมาไม่เห็นผู้อื่นที่จะลดกิเลสได้อย่างสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติ เห็นแต่มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาปฏิบัติก็เลยต้องตำหนิ พระที่คนเขาเคารพกันนั่นแหละ ปฏิบัติมิจฉาทิฐิมิจฉาปฏิบัติก็เลยยากที่จะเลี่ยงความจริงที่จะต้องตำหนิ อาตมาเลยเป็นผู้ที่ทำงานได้ยาก เพราะถ้าตั้งใจฟังเปิดใจฟัง ฟังธรรมะด้วยดี สุสูสัง ลภเตปัญญัง ฟังด้วยใจเป็นกลางๆดีๆ แต่นี่ไม่ฟังด้วยปัญญาเอาประโยชน์ก็เลยเลอะเทอะ

ตอนที่อาตมากล่าวตำหนินี้เป็นการกล่าวที่มีเมตตาปรารถนาดีต้องการจะชี้สัจธรรม ที่มันผิดเพี้ยนไปอย่างขออภัย มันหมดแล้ว อาตมาก็เลยต้องดึงเอาความถูกต้องคืนมา เหน็ดเหนื่อยหนักหนา อยู่กับอันนี้ก็เลยต้องทำทั้งที่มันยากแสนยาก แต่ก็ต้องทำ เพราะมันไม่มีอะไรดีกว่านี้ คนไม่รู้คุณค่าไม่รู้สิ่งที่ดีที่ควรจะเอา มันเป็นจริงนะไม่ได้แปลว่า เพราะแม้มันจะมีน้อยแต่มันก็เป็นความจริงที่สุด อาตมาเองเลี่ยงอันนี้ไม่ได้

จะเอาสิ่งที่เพี้ยนอ่อนๆเบาๆ มันก็ไม่คุ้มกับแรงงานที่จะทำ เพราะว่าแรงงานเวลาอาตมาก็มีจำกัด ตั้งใจอยู่ 151 ปีก็ดูเหมือนจะไม่พอด้วยซ้ำไป ควรจะอยู่สัก 500 ปีด้วยซ้ำไป แต่ว่าคนอยู่ถึง 500 ปีไม่ได้หรอก อาตมาก็ต้องทำเพื่อให้เกิดการสืบสานต่อ ให้เกิดการรับช่วงที่จะปฏิบัติมีเชื้อนี้ต่อไปอีกๆ มีอัตราการก้าวหน้าที่จะพาให้ถึง 5,000

แล้วจะมีคุณสมบัติคุณธรรมอิทธิฤทธิ์ที่เป็นเนื้อแท้โลกุตระของพระพุทธเจ้า ทำให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ยืนยาว เป็นศาสนาในโลกอีก 2000 กว่าปี แม้ที่อาตมาทำไว้ ให้มากที่สุด ต่อไปมันก็จะเจือจางไปอยู่ดี อาตมาแน่ใจ หากตายไปแล้วก็ต้องเกิดมาอีกรอบ มันไม่พอหรอก แต่ก็ต้องอีกช่วงหนึ่ง ตอนนี้มาเจอแล้วก็ให้รีบศึกษา อาจตายก่อนอาตมา หรือแม้ตายหลังอาตมาก็เกิดมาไม่ทันหรอก ที่สำคัญคือ จะไปเกิดที่นี่อีกได้ไหมหรือจะไปเกิดที่เอธิโอเปีย นิวกินี ที่ลาวหรือเปล่า? วิบากคุณรู้ได้ไง เพราะฉะนั้นอย่าประมาท

อาตมาเองพยายามเอาหลักฐานธรรมะขอพระพุทธเจ้ามาอ้างอิงยืนยันว่าอาตมาเทศน์อย่างไรบรรยายอย่างไร อาตมาก็ยืนยันว่าอาตมาบรรยายตามธรรมะพระพุทธเจ้า เอาวรรณะ 9 เป็นต้น หรือพูดด้วยกถาวัตถุ 10 เป็นต้น หลักการตรงนี้มันตรงหรือหลักตรวจสอบธรรมวินัย 8 ประการของพระพุทธเจ้า ในโคตมีสูตร

พระพุทธเจ้าสอนให้เป็นคนกล้าจนมักน้อยอย่าไปมากๆ มาเป็นคนสันโดษเป็นคนใจพอ เป็นคนรู้จักพอ กิเลสหยุดบ้าง อย่าไปเพิ่มเติมกิเลสให้เพิ่มขึ้น อย่ากระสันให้มันมีอีก จึงต้องพยายามชักจูงกัน พาให้โลก ตนเอง สังคม สงัดสงบ ไม่ใช่ไปอยู่ในที่เงียบๆมืดๆไม่พบกับใคร แต่เป็นผู้ที่สงบ กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก กิเลสมันตายไปจากจิตยังไม่มารวนอีก จิตใจก็สงบจากกิเลส แค่นี้ก็เข้าใจเป้าหมายจุดเนื้อแท้ของความสงบสงัดของพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย

กายวิเวกคือ รูปนามธรรมะ 2 สงบจากกิเลส

จิตวิเวก เอาที่จิตโดยตรง

อุปธิวิเวก คือ สงบจากกิเลส กิเลสสงบหมดไป

แต่เขาเข้าใจกายวิเวกว่าคือความสงบทางร่างกายไม่ต้องกระดุกกระดิก แต่กายวิเวกของพระพุทธเจ้านั้นมีความคล่องแคล่วว่องไว ในกาย คือธรรมะสอง เป็นกายปาคุญญาตา อาตมาเอาพยัญชนะบาลีวิชาการมาขยายความ ถ้าไม่เข้าใจที่อาตมาประพฤติปฏิบัติ คนไม่มีปัญญาจริงก็ไม่รู้เรื่อง และหาว่าไปว่าร้ายพูดร้ายกับเขาอีก เวรจริงๆเลยคนที่ไม่รู้เรื่องอาตมาว่าน่าสงสาร

สันตุฏฐิ ปวิเวกะ

อสังสัคคะ ข้อ 4 พูดอสังสัคคะคือพูดไม่สร้างสวรรค์ แต่ท่านไปแปลว่า ชักนำให้คลุกคลีกับหมู่คณะ ให้ไปปลีกเดี่ยวหนีคนเดียว มันออกนอกรีต เพราะฉะนั้น Concept ความเข้าใจและทิฏฐิของท่านจึงออกไปไกลจากสัจธรรมหมด คณะหรือกลุ่มหมู่ก็คือกิเลส ที่มันโง่ไปสร้างแต่สวรรค์ สวรรค์นี่คือคนโง่สร้าง สวรรค์คืออันเดียวกับนรก นรกกับสวรรค์อันเดียวกันไม่แยกกันเลย เพราะฉะนั้นใครหลงสวรรค์ก็คือคนนั้นยังมีนรก

ไม่มีใครอยากสร้างนรกหรอก แต่นรกมันเกิดเพราะคุณไปหลงสวรรค์ มีสวรรค์ใหญ่ก็คือนรกใหญ่ สร้างสวรรค์มากนรกก็มาก ไม่มีสวรรค์เลย ก็ไม่มีนรกเลยเช่นกัน

ใครที่จะไปสร้างสวรรค์ให้แก่จิตใจตัวเองนรกก็จะมีตามมา นี่คือศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาเทวนิยมที่ยังมีสวรรค์และนรกยังมีอัตตาตัวตนมีตัวเรามีภพชาติ ยังไม่หมดภพชาติ ยังมีตัวเองเป็นชาติเป็นภพ จึงเป็นธรรมะ 2 ด้วย เทวธัมมา

ส่วนของศาสนาพุทธนั้นเป็น อเทวะ เป็นศาสนาที่ทำให้ธรรมะเป็นหนึ่ง หรือไม่เป็นหนึ่งก็เป็น 0 เลยไม่เป็น 2 แล้ว สามารถทำที่มากกว่า 1 ทำให้เป็น 1 หรือ 0ได้ เทวนิยมคือมีพระเจ้า แต่มันไม่เข้าหาแก่นแท้ของศาสนาพุทธ

ผู้ที่ยังมีสวรรค์ สังสัคคะ แต่อสังสัคคะคือไม่มีสวรรค์ ไม่คลุกคลีกับหมู่กิเลส แต่ถ้าแปลแค่ว่าชักนำให้คลุกคลีด้วยหมู่คณะท่านแปลอย่างนั้น

เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร วิริยารัมภะ เป็นธรรมะที่ขยันขยันอยู่เสมอไม่ขี้เกียจขี้คร้าน วันคืนล่วงไปบัดนี้เราทำอะไรอยู่ มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวว่า เรามีเวลามีกำลังก็ควรจะต้องทำงานไม่ควรจะต้องอยู่เปล่าๆ ควรจะเป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าสร้างสรรค์เป็นนักเศรษฐกิจชั้นดี

ข้อ 6. เรื่องชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล

ข้อ 7. เรื่องที่ชักนำให้จิตเป็นสมาธิ

ข้อ 8. เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา ซึ่งปัญญานี้อาตมาก็ไขความว่าไม่ใช่เฉกะหรือเฉโก ที่เป็นความฉลาดที่วนเวียนในนรกสวรรค์ แต่ถ้าปัญญาจะออกจากสวรรค์และนรกออกจากโลกีย์ เป็นฉลาดโลกุตระ แต่ฉลาดเฉโกนั้นวนในโลกีย์ แต่เขาเอาปัญญาไปเรียกทั่วไปหมดเลย ซึ่งผิดหมด ทำลายศาสนาด้วย ผู้ใดเอาปัญญาไปเรียกแทนเฉโก ผู้นั้นทำลายศาสนาเพราะเป็นการกระทำนอกรีต

มันกลับคำว่าบุญที่ไปแปลกันว่าเป็นภพเป็นชาติเป็นสวรรค์วิมาน เป็นฐานะทรัพย์สินทางโลกีย์ แท้จริงแล้วบุญเป็นเครื่องทำลายสมบัติโลกีย์ด้วยซ้ำไป บุญเป็นเครื่องมือวิบัติ ทำลายโลกียะหรือโลก อาตมาบรรยายพูดพยายามให้ชัดเจนไม่ผิดเพี้ยนไม่แฝง ไม่เหลื่อมคมในสัจธรรม ซึ่งไม่ใช่พูดง่ายนะ พูดยาก ถ้าไม่มีความรู้อย่างอาตมาพูดไม่ได้หรอก เขาก็จะพูด เรื่องโลกๆเลอะเทอะ ศาสนาจึงได้เสื่อมเพราะว่าตนเองเข้าใจผิด ทำให้ศาสนาเสื่อมไปเรื่อยๆเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ

แค่คำว่าปัญญาคำเดียวก็ยากแล้ว ที่อาตมาต้องพยายามฟื้นคืนสัจจธรรม

ข้อ 9. เรื่องที่ชักนำให้ลดกิเลสถึงวิมุติ

ข้อ 10. เรื่องชักนำให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส วิมุติญาณทัสนะ

ก็เอาตำรา คําสอนพระพุทธเจ้า เป็นพุทธวจนมาอธิบายให้เข้าใจ จะได้ใช้ได้อย่างถูกต้อง ตลอดเวลา ซึ่งก็ยากแสนยากแต่ก็ควรทำ

พูดไปแล้วเขาก็หาว่าอวดตัวเอง ต้องอาบัติ ปาราชิกเสียอีก ก็คนที่ไม่เข้าใจไม่เห็นคุณค่าไม่เห็นประโยชน์ก็จะไม่ได้ประโยชน์ หาว่าอาตมาทำผิดเป็นโทษภัยก็เป็นภูมิ เป็นความเข้าใจของเขา อาตมาบังคับไม่ได้ ก็เหลือแต่ผู้ที่จะมีปัญญา คนฟังอาตมาต้องมีปัญญา มีแค่เฉโกฟังยาก มีความฉลาดโลกียะฟังได้ยาก แต่ถ้าเขามีภูมิที่จะฟังว่าอย่างนี้ใช่ๆๆ ใช่ของศาสนาพุทธ ไม่ใช่หาได้ง่ายนะเป็นของหายาก อาตมาก็จึงต้องแสดงตลอดเวลาให้คนได้รับรู้มากๆให้คนได้รับรู้ทันทีและเร็ว เพราะเวลามันผ่านไปเรื่อยๆไม่หยุดเลยเวลา ไม่มีการหยุดหมุน อีก 60 กว่าปีอาตมาก็ต้องตายแล้ว อาจจะไม่ถึง ตั้งใจว่าจะอยู่ 151 ก็พยายามไป

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน ทำใจอย่างไรหากรุ่นน้องก้าวร้าว

_ตอบปัญหาเด็กๆ

_ถ้าเตือนรุ่นน้องแล้วไม่ฟัง ต้องทำใจอย่างไรคะ ยกตัวอย่างคือ รุ่นน้องก้าวร้าวใส่รุ่นพี่ค่ะ

พ่อครูว่า...ถ้ารุ่นน้องก้าวร้าว ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ไปบอกผู้ใหญ่พี่ป้าน้าอา บอกคุณครู คุรุ นักบวชชาย นักบวชหญิง สิกขมาตุ สมณะ ต้องอย่างนั้นเลย ไม่มีทางเลือกอื่นเลย ต้องทำอย่างนั้น เราต้องชัดเจนนะว่าเขาก้าวร้าวจริงๆ เราก็มีส่วนให้เขาก้าวร้าวหรือเปล่า ถ้าเราแก้ไขที่ตัวเราก็อาจจะไม่เกิดอาการที่คุณบอกว่าก้าวร้าวก็ได้ แต่ถ้าถึงอย่างไรก็ตามแต่เขาก้าวร้าว คนเขารู้สึกอย่างนี้เพราะว่าเราแสดงออกไปเป็นปฏิกิริยาที่กระทบบอกไปเขาก็ตอบโต้มาอย่าง เป็นเรื่องธรรมดาของ Action reaction การกระทบโต้ตอบก็เกิดขึ้น ก็ต้องพยายามตรวจสอบและแก้ไข หากเราเองแก้ไขไม่ได้ เราก็ต้องไปบอกผู้ใหญ่

 

_วัดพระธรรมกายคือวัด มหาอะไรใช่ไหมคะ ได้ข่าวว่า จ้างคนมาเป็นพระ

พ่อครูว่า...คงจะเขียนว่ามหาประลัย ประลัยกัลป์นะ คือไหม้อย่างมหาประลัย หลวงปู่ก็ได้ข่าวมาอย่างนั้นว่าวัดนี้จ้างคนมาเป็นพระ เขาพยายามให้คนมาเป็นพระ เอามาบวชเล่นบวชหัว บวชชั่วครั้งคราวแล้วทำลายศาสนาฉิบหายวายป่วง เพราะบวชเล่น เห็นการบวชเป็นการเล่นลิเกละคร หากหมู่มีมาก ก็เอาไปเดินโชว์สร้างภาพพจน์เพื่อให้คนหลงใหล คนก็ติดยึดในความใหญ่งามมากหรูหรา เอาเรื่องโลกๆที่จะมอมเมาให้คนตกต่ำมาใช้ ขออภัยที่พูดไม่ได้ด่าว่าแต่พูดสัจธรรมให้ชัดและเร็ว โดยใช้ภาษาที่เลือกมาใช้ ภาษาที่พูดเป็นวาทิตะ เหมาะสมกับสิ่งที่ควรใช้ แม้แต่บาลีที่ควรใช้ อาตมาพูดด้วยวาทิตะเสมอ แต่คนไม่เข้าใจหาว่าพูดร้าย

ได้ข่าวว่าจ้างคนพม่ามาด้วยเพราะเป็นคนงานที่เป็นพม่ามีเยอะ แม้แต่ทำปลอมก็มีอีกเยอะ อาตมามั่นใจว่าเขาบอกว่าพระแสนรูปหมื่นรูปพันรูป ที่พูดนี้เป็นตัวเลขโกหกทั้งนั้น ไปนับเถอะไม่ถึงสักครั้งเดียว ที่จำนวนมากๆนี้ขอยืนยัน แต่โกหกโลก จนหัวไม่เหลือ บาปกินหัวไปหมด คือไม่เกรงบาป กายกรรม วจีกรรม   อย่างไร ไม่เข้าใจสัจธรรม ทำเพื่อให้ได้กิเลสเพิ่มขึ้นอยากใหญ่โตอยากให้ได้บริวารมากๆ ก็มาเจอสิ่งที่น่าสังเวชใจแสนเศร้ากันในสังคมยุคนี้

 

_ในอดีตชาติ ตถาคตได้เป็นนกขมิ้น ใช่ไหมคะ ก็คงอยากจะทราบว่าพระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นนกด้วยหรือ

พ่อครูว่า...เคยได้ยินแต่นกกระจาบ แต่นกขมิ้น เขาบอกว่าเป็นนกที่เร่ร่อน เป็นนกว้าเหว่ พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นสารพัดอย่างอย่าว่าแต่นกเลย แม้แต่สัตว์เลวร้ายก็เกิดมานับไม่ถ้วน ในพระไตรปิฎกมหายาน คนที่ตายแล้วเกิดเกิดแล้วตาย แม้แต่เกิดเป็นสัตว์ต่างๆนานาที่ถูกกิน ไม่กินก็ตาม สารพัดสัตว์ที่จะเกิดมานับไม่ถ้วนที่มีสัตว์เป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านเอานิ้วจิ้มลงไปในดินบอกว่าไม่มีตรงไหนเลยที่เราไม่เคยเกิด เป็นคำเปรียบเทียบที่มากมายท่านเกิดมาเป็นอะไรสารพัด นับชาติไม่ถ้วนเกิดมา ก็จริง แต่เราระลึกชาติไม่ได้เหมือนพระพุทธเจ้าเกิดมาชาตินี้ได้เป็นคนก็ดีแล้ว ได้มาฟังธรรมะโลกุตรธรรมนี้เป็นเรื่องดีจริงๆนะลูกหลานเอ้ย

สู่แดนธรรมว่า.. มีแต่วานรคุยกับนกขมิ้น แต่ไม่ได้บอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นอะไร?

 [582]ดูกรวานร ศีรษะ มือ และเท้าของท่านเหมือนของมนุษย์ เออก็ เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงไม่มีเรือนอยู่?

[583] ดูกรนกขมิ้น ศีรษะ มือ และเท้าของเราเหมือนของมนุษย์ก็จริง แต่ ปัญญาที่บัณฑิตกล่าวว่า ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ของเราไม่มี.

[584] ผู้มีจิตไม่มั่นคง มีจิตกลับกลอก มักประทุษร้ายมิตร มีปกติไม่ยั่งยืนเป็นนิจ ย่อมไม่มีความสุข.

[585] ท่านจงกระทำอานุภาพ เปลี่ยนปกติเดิมเสียเถิด ดูกรวานร ท่านจงกระทำกระท่อมไว้เป็นเครื่องป้องกันความหนาว และลมเถิด.

อาตมานี้ไม่เรียกว่าสุข แต่เป็นยิ่งกว่าสุข ปรมังสุขัง นี่คือสุดยอดแล้ว ปฏิบัติอย่างนี้จะได้สภาวะที่เราเป็นอยู่อาศัย

 

_บาปของการฆ่าพ่อแม่ หนักอย่างไรคะ

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่าเป็นอนันตริยกรรม คือบาปมาก คือไม่มีที่จบ อย่าไปมีดำริ ความคิดเช่นนี้ อย่างไรพ่อแม่เราก็มีคู่เดียว พ่อแม่จะดีหรือไม่ดีอย่างไรก็เป็นพ่อแม่เรา ต้องเคารพบูชาและยกไว้ ต้องเกื้อกูลอุ้มชูต้องช่วยเหลือกัน

 

_ที่วัดข้างนอกเขาบอกว่าใส่ตังค์ ใส่น้อยก็ได้น้อย จริงไหมคะ

พ่อครูว่า...ใช่ ถ้าใส่น้อยพระก็ได้น้อย ใส่มากพระก็ได้มาก พระนี่ก็เลอะเทอะ พูดหน้าไม่อาย เรียกร้องให้เอาเงินมา ดูแล้วน่าเกลียดที่สุด

 

_ถ้าตอนนั้นมหาเถรสมาคมไม่ให้หลวงปู่เรียกตัวเองว่าภิกษุ นักบวช นักพรตใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...ใช่ หลวงปู่จึงต้องมาเรียกตัวเราเองว่าสมณะ ก็เลยสวยเลย สมณะนี่เป็นของพระพุทธเจ้าโดยตรง

สมณะเดินดินว่า...เรื่องลิง ตอนจบ ลิงนี้เป็นผู้เผากุฏินี้ ลิงโกรธนกก็เลยรื้อทำลายบ้านนก ลิงก็มาเกิดเป็นผู้เผากุฏิพระมหากัสสปะ มาเป็นภิกษุดื้อ ส่วนนกขมิ้นในตอนนั้นก็มาเป็นพระตถาคตในตอนนี้ คือ นกสอนให้ลิงสร้างบ้าน ลิงก็เลยโมโห

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน บรรลุโสดาบันจะหมดโลภหมดโกรธหรือไม่

_หลานอยากจะทราบว่า ผู้ที่บรรลุพระโสดาบันจะไม่มีความโกรธ ความโลภและความอยากมีความกรุณาต่อสัตว์โลกใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า..ผู้ที่บรรลุโสดาบันยังไม่หมดความโลภ ความโกรธ ความอยาก ยังมีเหลืออยู่เป็นแต่เพียงลด พูดง่ายๆว่า พระโสดาบันจะลดความโลภ ความโกรธ ความอยากได้ 1 ใน 4 ของที่เคยมี ถ้าที่เคยมีอยู่เป็น 100 ก็ลดไปได้ 25 เปอร์เซ็นต์ นี่พูดให้เข้าใจง่ายๆ ยังไม่หมดหรอก แล้วจะมีความรู้ และจะเป็นคนที่สำนึก รู้จักสัตว์โลกตามศีลข้อที่ 1 มีใจกรุณาไม่ฆ่าสัตว์แน่นอน มีความเอ็นดูมีความกรุณาหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่มีความรู้สึกอย่างนั้นมากขึ้นเป็น25ส่วนร้อย ถ้าเป็นสกิทาคามีก็มากถึงขึ้นครึ่งหนึ่งในร้อย เป็นอนาคามีก็ยิ่งมากขึ้น เป็นพระอรหันต์ก็บริบูรณ์

 

_ทำอย่างไรจะให้คนที่โกรธง่ายชอบถือสาเป็นคนที่เปลี่ยนนิสัยให้เป็นคนไม่ถือสาไม่โกรธง่ายคะ

พ่อครูว่า...ก็จะทำอย่างไรให้เปลี่ยนนิสัย ให้ไม่โกรธง่ายและไม่ถือสา จะทำอย่างไร? ก็มาเรียนรู้ตามที่หลวงปู่พาทำ ที่หลวงปู่พาทำนี้ เป็นคำสอนของพุทธเจ้าปฏิบัติตามนี้นี่แหละ จิตใจก็จะไม่ถือสา จิตใจจะเปลี่ยน เปลี่ยนนิสัยเปลี่ยนอนุสัยให้เป็นคนไม่โกรธง่าย ไม่ถือสาใครได้จริงๆ

 

_และเราจะทำอย่างไรให้คนที่ชอบเอาแต่ใจให้เลิกเอาแต่ใจคะ

พ่อครูว่า...อย่าเพิ่งไปนึกถึงขนาดนั้นเอาตัวเราเสียก่อน ปฏิบัติตนให้ดี แล้วคนอื่นจะศรัทธาเลื่อมใสและนับถือเรา เราถึงจะบอกเขาได้ แนะนำเขาได้ ให้เขาเปลี่ยนไปได้ แต่ถ้าเผื่อเราเองยังไม่ดีพอ ไปบอกไปแนะไปอะไรเขาก็จะยาก ก็ทำตามทีว่าก็แล้วกัน

 

_ถ้าเขาโกรธเราแล้วเราก็ง้อ แต่เมื่อเราโกรธเขาแต่เขาไม่ง้อ สุดท้ายเราก็ต้องไปง้อเขาอีกยอมทุกอย่างเป็นแบบนี้ประจำ มันจะถือว่ายิ่งทำให้เขาเอาแต่ใจไหมคะ

พ่อครูว่า...มองไปในแง่หนึ่งก็เป็นนะ ทำให้เขาได้อะไร มีมานะถือดี เอาแต่ใจตัวเองเพิ่มก็ได้ ก็เอาแบบประมาณให้พอเหมาะ จริงๆแล้วจะไปโกรธเขาทำไม การโกรธนั้นเป็นความทุกข์ การโกรธนั่นเป็นคนไม่เจริญ เป็นคนตกต่ำ เป็นคนไม่ดี คนชั่ว เพราะฉะนั้นอย่าไปทำใจแบบนั้น อย่าทำใจของเราให้ เติมความโกรธ ความโลภ ความหลง ความอยาก เป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้น เป็นเรื่องผิด ต้องมาเรียนรู้ธรรมะพุทธเจ้า แล้วจะควบคุมใจเราได้ แล้วทำให้ใจเราไม่เกิดอาการที่มันมีความโลภ โกรธ หลง มันไม่เกิดอาการนี้ในจิตเลยได้

หลวงปู่นี้ไม่มีอะไรนะ หลวงปู่สบายใจมาก จึงบอกได้ว่าเราเป็นคนอย่างไร เป็นอรหันต์เป็นคนไม่มีกิเลสจึงสบาย อาการโกรธเป็นอย่างไรหลวงปู่ก็รู้ อาการมีความโลภเป็นอย่างไรหลวงปู่ก็รู้ แล้วมันไม่เกิดอีกแล้วตั้งแต่บรรลุธรรมมันก็ไม่เกิดอย่างนั้นตลอด บรรลุสมบูรณ์แบบแล้วมันจะไม่เกิดอีก เป็นอรหัตผลที่สมบูรณ์แบบแล้ว มันจะไม่เกิดจิตแบบนี้อีกเลยตลอดไป สัสสตัง จะไม่เปลี่ยนแปลงแล้วเพราะเป็นความสมบูรณ์แล้ว อสังหิรังไม่มีอะไรมาหักล้างความเป็นแบบนี้ได้ อวิปริณาธัมมัง ไม่มีเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่กลับกำเริบ อสังกุปปัง

ชัดเจนได้ มันอยู่กับเราเราก็หยิบมาพูดได้เลย ไม่อยู่ในตนเองก็เอามาพูดได้ง่าย ดูเหมือนเก่งนะจำได้ ที่จริงไม่ได้เก่งหรอก แต่มันไม่มีอื่นมันอยู่ที่ตัวเรา หยิบมาพูดก็ได้เลย เป็นภาษาไทยหรือเป็นภาษาบาลี ยิ่งภาษาบาลียิ่งกระชับ หลวงปู่มีสภาวะก็เอามาพูดได้ ได้เลยมันอยู่ที่เรามันอยู่ในกระเป๋าเรา ก็หยิบมาพูดได้เลย

 

_ทำไมหนูต้องเกลียดคนอื่นด้วยคะ เช่นเขาโมโหง่าย

พ่อครูว่า...เขาโมโหง่ายเราจะไปเกลียดเขาทำไม คนเขาไม่ดีก็ต้องน่าสังเวชน่าสงสาร หลวงปู่เห็นคนชั่วก็น่าสังเวชน่าสงสาร ก็พยายามบอกเตือนสติให้ความคิด ด้วยความปรารถนาดีไปหรือใครๆก็ตาม พยายามพูดถึงเขา ใครที่หลวงปู่ระลึกถึงบ่อยๆพูดถึงบ่อยๆ ตำหนิบ่อยๆนั่นแหละก็คือเมตตา หลวงปู่พยายามทำ (มีเสียงยางรถจักรยานระเบิด) พ่อครูว่าทดสอบอะไร

 

 

_ถ้าสมมุติว่าเรามีแฟนแล้วเพื่อนจะรู้ไหมคะ ถ้าเพื่อนรู้ที่หลังเพื่อนจะโกรธไหมคะ

พ่อครูว่า...จะไปคิดเรื่องแฟนเลย มาถามทำไมเป็นเรื่องไร้สาระ มันไม่ใช่เรื่องวัย ไม่ใช่เรื่องกาละ ไม่ควรมี ถ้ามีแฟนก็เลิกเสีย ทำใจให้ว่างๆอยู่เป็นคนโสดเป็นคนเดี่ยว ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีๆ เป็นเรื่องกิเลสที่มาหลอกเราให้เมา หลวงปู่อายุมากแล้วผ่านอะไรแบบนี้มาเยอะ วัยเท่าๆพวกเราที่มีแฟน เป็นเรื่องตลกเป็นเรื่องกิเลสที่เรียกว่า puppy love เป็นเรื่องเล่นตลกตุ๊กกะตุ่นตุ๊กตาเฉยๆไม่ใช่เรื่องจริงเลยอย่าไปใส่ใจมัน มันก็เหมือนเอาตุ๊กตามาเล่นมาหาเรา นี่เราก็ในวัยเราส่วนมากทั้งนั้นเลยเป็น puppy love เป็นความรักขี้หมาอะไรมันไม่จริงหรอก ถามคนที่โตมาผ่านมาจะรู้เลย พวกนี้เป็นเรื่องไม่เข้าท่าอะไรหรอก อย่าไปใส่ใจอย่าไปเสียเวลา มันเกิดมาก็เลิกเสียอย่าไปสนใจ เราจะเป็นคนประเสริฐและเจริญในการเป็นอยู่ในการศึกษาเจริญไปหมด ฟังธรรมตรงนี้ให้ดี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน ทำไมต้องเรียกว่าชาวอโศก

_ผมอยากรู้ว่าทำไมต้องเรียกว่าอโศก

พ่อครูว่า...ที่ชาวอโศกต้องเรียกว่าอโศกมันก็คือ หลวงปู่มาทำงานศาสนาเริ่มต้นจุดสำคัญ หลวงปู่ก็ไปบวช บวชที่วัดอโศก วัดอโศการาม เมื่อบวชแล้วเสร็จก็ไปแสดงธรรม ไปแสดงธรรมที่ลานอโศก วัดมหาธาตุ มีต้นอโศกด้วยเขาเรียกว่าลานอโศก เป็นสำนักตักสิลาตอนนั้น สนุกสนานตอบปัญหาธรรมะ หลวงปู่ไปแสดงธรรมจนกระทั่ง คำว่าอโศกเลยมาเกี่ยวข้องกับตัวเราเพิ่มขึ้นๆก็เลย เอ๊ เราจะออกหนังสือ เพื่อจะเป็นหนังสือเผยแพร่ ก็เลยจะตั้งหนังสือว่าชื่ออะไรเป็นนิตยสาร คำว่าอโศกอยู่ติดตัวเรา แสดงธรรมที่อโศก คำว่าอโศกเลยติดขึ้นมาตั้งชื่อหนังสืออโศก ก็เลยทำนิตยสารอโศกขึ้นมา ออกไปได้ 3 เล่มก็หยุด ไม่มีทุนทำต่อไป ตอนเขียนว่าเราก็อย่าไปมีตัวตนเลย ให้ใช้นามปากกาเดียวกันว่าอโศก

คำว่าอโศกเลยเข้ามาเนียนกับชีวิตเราเพิ่มขึ้น ก็เลยติดมาตั้งแต่บัดนั้น คำว่าอโศกมีที่มาที่ไปแบบนั้น แม้แต่สถานที่เราไปบำเพ็ญธรรมแห่งแรกก็เรียกว่า ธรรมสถานแดนอโศก

นี่ก็คือคำว่าอโศกมาเกิดที่เรา

ทีนี้ก็มีคนคิดยาวไป ว่าอโศก ต้องมีที่ไปที่มา มีอะไรพัวพันกับคำว่าอโศก เขาก็คิดไปไกลถึงขนาดนั้น ทำให้คนคิดไปเท่านั้นเองไม่มีอะไร ส่วนจะจริงหรือไม่จริงไม่มีชาติก่อนนี้ จนกระทั่งใครก็ว่า เดาว่า พ่อท่านจะเป็นเจ้าอโศกมหาราชนะ เกี่ยวข้องกับศาสนาอย่างสำคัญเลย เพราะตอนนั้นก็แสดงออกว่าเอาจริงเอาจังในเรื่องกอบกู้ศาสนา ตอนนี้ก็มากอบกู้ศาสนาก็น่าจะเป็นคนๆเดียวกันนะ ก็ว่าไป ก็อย่างนี้แหละคนเราก็คิดได้ยาว คิดเล่นๆไปก็ได้ จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ล่ะก็พูดให้ฟัง เดี๋ยวนี้ก็เลยกลายเป็นชาวอโศก

 

_บ้านราชฯกำเนิดมากี่ปีแล้วครับ

พ่อครูว่า...เกิดในปี 2537 ตอนนี้ก็มาได้ 24 ปีแล้ว

 

_มีคนเคยบอกลูกว่า อาวุธของชาวอโศกมีอยู่ 2 อย่าง คือคำพูดและสายตา สำหรับลูกคิดว่าชาวอโศกพกอาวุธสองอย่างนี้ตัวจริงๆ

พ่อครูว่า...ระมัดระวัง อาวุธนี้อย่าไปทำร้ายใครให้มาก มีไว้สำหรับใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้เอามาตัดกิเลส อย่าเอาไปใช้อย่างอื่น

 

_ธรรมิกราชคืออะไร แล้วใครคือธรรมิกราช ในยุค Social 2018

พ่อครูว่า...เรื่องนี้พูดไปมากก็ไม่ค่อยสวย คนเพ่งโทษเยอะ พระเจ้าธรรมิกราชคือผู้ที่มากอบกู้ธรรมะ มีหลักฐานที่จารึกกันมา ว่าจะมีผู้มากอบกู้ธรรมมะ 2 รูปเป็นธรรมิกราช 2 รูป หลวงปู่ก็บอกไปจริงตามคำที่เปิดเผยว่า คือในหลวงรัชกาลที่ 9 กับหลวงปู่ ก็บอกไปแล้วไม่ได้ปิดบังอะไร ไม่ได้เหนียมอายไม่เก้อยากอะไร

ผู้มีภูมิธรรม ในหลวง มีภูมิธรรมของโพธิสัตว์ เช่น คนที่เข้าใจโลกุตระถึงแก่นสาระว่า

ศาสนาพุทธให้มาเป็นคนจน ไม่มีใครกล่าวหรอก คนอื่นๆไม่มีกล่าวแบบนี้ มีอยู่ 2 องค์เท่านั้นที่พูดให้มาเป็นแบบคนจน ในหลวงก็เน้นอีกว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา หลวงปู่ก็พาทำตรงกัน นี่เป็นเครื่องยืนยันอ้างอิงไม่ได้พูดเล่น การพูดอะไรอย่างไม่มีหลักฐานอ้างอิงมันก็เป็นการพูดเพ้อเจ้อ แต่หลวงปู่ยืนยันได้ว่ามีหลักฐาน อย่างที่เป็นนี้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พระอวโลกิเตศวรคือโพธิสัตว์ระดับไหน

_พระอวโลกิเตศวรมีจริงไหมครับ แล้วเป็นพระโพธิสัตว์ระดับไหนครับ

พ่อครูว่า...พระอวโลกิเตศวรเป็นโพธิสัตว์มีในตำนานเป็นประวัติ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 ระดับ 9 ทีเดียว แต่ท่านเอง เป็นพระโพธิสัตว์ท่านไม่ยอมขึ้นไปโดยท่านมีปณิธานว่า ท่านจะช่วยมนุษย์ในโลก ให้หลุดพ้นให้หมดทุกคน จนคนสุดท้ายแล้ว ท่านถึงจะยอมปรินิพพาน ท่านเป็นโพธิสัตว์ขั้นสูงแล้ว มีจริงไหมก็ไม่มีใครยืนยันได้เป็นเรื่องของตำนานประวัติศาสตร์ที่สืบทอดกันมา กล่าวถึงคุณลักษณะชื่อเสียงเรียงนาม ก็ไม่มีปัญหาอะไร เราเอาเนื้อหา แสดงให้เห็นว่า ท่านเป็นผู้มีปณิธานมั่นคงมาก เป็นผู้ที่เสียสละให้ศาสนาเต็มที่ หลวงปู่เป็นโพธิสัตว์รู้ดีทำให้จริง ท่านก็มีคนลักษณะนี้ เห็นเรื่องที่คนควรเอาอย่างเป็นเรื่องดี

 

_พระไตรปิฎกมีหลายเล่ม มีทั้งฉบับหลวงฉบับสยามรัฐ ฯลฯ ฉบับไหนถูกต้องมากที่สุดครับ

พ่อครูว่า...ฉบับสยามรัฐที่เราใช้กันอยู่นี่แหละ อันเดียวกับฉบับหลวง ที่แปลมาเป็นไทยเรียกว่าฉบับหลวง แปลจากพระไตรปิฎกฉบับบาลีฉบับสยามรัฐ เราก็ใช้ฉบับนี้แหละ หลวงปู่รับรองว่าเอามาเป็นหลักฐานยืนยันได้หมด ปฏิบัติตามได้ดีที่สุดเป็นพระอรหันต์ได้

 

_เมื่อไหร่น้ำจะท่วมคะ

พ่อครูว่า...หลวงปู่ไม่ใช่อธิบดีกรมชลนะ น้ำท่วมเราจะได้ฉลองน้ำกัน สงสัยจะไม่ถึงขั้นนั้น ถ้าเดือนนี้เขาจัดการเรื่องน้ำให้ออกไปได้ดี ทางรัฐบาลจัดการได้ดี

 

_ทำอย่างไรจึงจะเลิกกินจุบจิบเสียทีคะ

พ่อครูว่า...ก็เลิกเองสิ ก็ต้องลดลง ถ้าหากมันกินจุ๊บจิ๊บเจออะไรกิน ให้ตั้งอย่างนี้ เป็นเกณฑ์ของศีลหรือสัจจะ 1 เราจะกินข้าว 3 มื้อเท่านั้นนอกมื้อไม่กิน จะกินน้ำเปรี้ยวน้ำหวานเอามากองในมื้อ เพราะฉะนั้นนอกมื้อเราจะไม่กิน จะอะไรกินนั้นเป็นนิสัยเสีย ทำให้ตนเองตกต่ำเลวลง คิดอ่านอย่างนี้ก็ดีแล้วที่จะทำอย่างนี้ ตั้งอย่างนี้ลองดู

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน บ้านราชฯเมืองเรือและการฉลองน้ำ

_ทำไมที่บ้านราชฯต้องมีเรือคะ

พ่อครูว่า...มันมาจากเรามีน้ำท่วมนี่แหละ เรามีน้ำท่วม ที่เราน้ำท่วม พอดีญาติโยมบางคนมีเรือใหญ่ เรือกระแชง “ลำกกแฮก” บอกว่ายกให้ เราก็ไปเห็นแต่ก่อนเราก็ว่าจะเอามาทำไม เอาไปเอามาก็เอามาจนได้ ขนมาแล้วน้ำก็ท่วม เราได้ปรับปรุงเรือขึ้น ก็ได้ใช้งานมันมีเครื่องเรือ ก็เลยได้ใช้เรือลำนี้วิ่ง เห็นคุณประโยชน์ของเรือลำนี้ ที่นี่เราไปเจอเรืออื่นๆที่ไหน เราก็บอกว่าเราก็น่าจะเอามาใช้ ความคิดนี้เกิดขึ้นก็เลยเก็บตกหล่น ดีไม่ดี ก็ซื้อเลยบางลำที่พอซื้อได้ พวกเราก็ขนเรือพวกนี้มา

เอี้ยมจุ๊น 34 ลำ และมีเรือกระแชงเรืออื่นๆอีกมากมาย จะเป็นเกินร้อยแน่นอน เราก็เลยกลายเป็นบ้านราชเมืองเรือ ซึ่งตอนต้นก็ไม่คิดว่าจะมีเรือมากขนาดนี้

บ้านไม้เมืองหิน ไปขนหินมา จะปลูกต้นไม้ ก็มันแล้งร้อนเราก็เลยจะปลูกต้นไม้ เป็นบ้านไม้ เมืองหิน

หลวงปู่ชอบมีหิน ตั้งแต่เป็นฆราวาสอยู่บ้าน หลวงปู่เป็นคนจน เมื่อทำงานแล้วก็ได้บ้านของรัฐเขาทำขายเป็นบ้านสงเคราะห์ก็ไปซื้อได้ พยายามตกแต่งบ้านนี้ มีรถคันหนึ่งขับมาผ่านหน้าบ้าน เขามาขายหิน ผ่านบ้านไหนก็ไม่มีคนสนใจ มาบ้านเรา เราก็สน เขาก็ว่าหินน้ำสิบกว่าก้อน เขาก็บอกว่าขายเรา ก็ว่าจะเอามาตกแต่งบ้าน เราก็ซื้อเลย จำได้ว่าเขาขาย 1500 บาท ซึ่งแต่ก่อนนี้ ข้าราชการชั้นตรีเงินเดือน 750 นะ ตั้งชื่อว่าบ้านร่ม ต่อมาก็สนใจพวกนี้มาที่ไหนไปที่ไหนก็สร้างน้ำตก เอาหินมา ตอนที่สร้างปฐมอโศกก็ขนหินกันน่าดูเลย มาบ้านราชฯก็เลยติดขนหินมา เป็นแสนๆก้อนเลย นี่ยังขนไม่จบนะนี่ นี่ฝนตกเท่านั้นนะ

ถ้าเรือในน้ำก็เรียกเรือเรือน แต่ถ้าอยู่บนบกก็เรียก เรือนเรือ

เลยกลายเป็นว่าบ้านราชฯเมืองเรือ เป็นเมืองอนุรักษ์เรือไทย ใครอยากจะดูเรือก็มาที่นี่ น่าจะพูดได้ว่ามีแห่งเดียวเท่านั้นที่อนุรักษ์ หมดเงินไปไม่รู้เท่าไหร่แล้วที่ทำไป

 

_งานฉลองน้ำเป็นอย่างไรครับ

พ่อครูว่า...ก็คือ สนุกกับน้ำ มีน้ำมาเราก็สนุกสนานฉลอง อาบน้ำเล่นน้ำ มีการพายเรือแข่งกัน ว่ายน้ำ มีดนตรีมาเล่น มากินข้าว พายเรือขายของ ทำสารพัด มารวมตัวกัน พวกชาวอโศกต่างจังหวัดก็มาฉลองน้ำ แทนที่จะเป็นทุกข์เพราะน้ำเราก็สนุกสนานเบิกบานราช ทางการน่าจะทำแบบนี้ได้ น้ำมาก็ตั้งรับทำให้สนุกเลย ถ้ามันมาแรงก็ตั้งรับ ถ้ามันมายังเบาเราก็สนุกสนาน จนได้รับคำชมจากอธิบดีกรมชลฯ น้ำท่วมแล้วเราไม่เคยเดือดร้อนกับทางการ เขาก็บอกว่าไปดูเขาที่บ้านราชฯ แต่อธิบดีรับมาจากใครนะ ท่านว่าไปดูบ้านราชฯไม่เคยเดือดร้อนกับน้ำท่วม ทางการเขามีสิ่งของบรรเทาทุกข์มาให้เขาก็บอกว่าบ้านราชฯไม่ต้อง บอกว่าเอาไปแจกคนอื่นเถอะที่นี่ไม่ต้อง

ปี 2545 น้ำท่วมจริงๆ ท่วมมาก ท่วมหลังคาเลย เราแก้ไขสถานการณ์ มันไม่รุนแรงจนเกินเหตุ ไม่เหมือนสึนามิมา หรือแผ่นดินไหวก็ยาก ของเขาน้ำท่วมมามันกวาดอะไรไปหมด ซัดพังหมด แต่ของเราไม่เท่าไหร่ เราก็แก้ไขได้ไม่ยากเกินการ สนุกสบายกัน ชุมชนชาวอโศกต่างจังหวัดก็มา รวมกันเพื่อฉลองน้ำแก้ไขกันไปอย่างนี้แหละดี เป็นการบันเทิงโรงรมไปเสีย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ความโกรธมันมาจากไหน

_มีคนเคยบอกว่าถ้าเราโกรธอย่างไม่มีเหตุผล เราจะโกรธไปทำอะไร ใช่แล้วโกรธอย่างไม่มีเหตุผลจะโกรธไปทำไม มันไม่เห็นช่วยอะไรเลย ลูกสงสัยว่าความโกรธมันมาจากไหน ทำไมเวลาโกรธถึงอยากพังข้าวของทุกที ถ้าหากฆ่าได้ก็คงจะฆ่าไปแล้ว

พ่อครูว่า..จริง จะโกรธไปทำไม ตอบว่ามันมาจากโง่ ไปโง่มานานแล้ว ความโกรธจึงอยู่ในจิตเราฝังในอัตภาพของเรา พระพุทธเจ้าจึงให้เรียนรู้เหตุแห่งความโกรธ แก้ไขปรับปรุงไปจนเรา ใช้ปัญญาอย่าโง่เลย ไปสัมผัสอันนี้อีก จะไปมีความโกรธทำไม ก็สบาย แม้แต่ความรักก็ลดลงได้ นี่คือหัวใจของศาสนาพุทธ ลดได้ก็สบาย มันมาจากความโง่ ไม่มีอะไรอื่นหรอก มาเรียนรู้ปฏิบัติธรรมแล้วจะลดความโง่อวิชชา

หากเวลาโกรธแล้วจะทำลายข้าวของ ยิ่งไปทำนิสัยเลวร้าย ไปสั่งสมความเลวเพิ่มขึ้นให้หยุดให้เลิก อย่าชั่วอย่างนั้นเลิกเลย มันเกิดอาการนี้ขึ้นมา รู้ตัวให้ดี อย่าไปทำ ให้มีสติรู้ตัว แล้วก็ใช้ปัญญา

เมื่ออาการเหล่านี้เกิดขึ้นมาก็หยุดเลย อาการหนักเลยนะนี่ ฆ่าเลย เราต้องเรียนรู้อาการของมัน แล้วทำความเข้าใจ หลวงปู่บอกแล้ว จิตโกรธไม่มีอะไรดีเลย อาการอย่างเล็กอย่างน้อยหรืออย่างมากก็ยิ่งไม่ดี เอามันออกไปจากจิตเลยอย่างไม่มีเหตุผลอะไร พวกเอ็งออกไป อย่ามาหลอกเป็นผีหลอก ไม่มีคุณค่าประโยชน์อะไรเลยความโกรธนี้

โลภ ยังพอไปใช้ประโยชน์ โลภในการสร้างสรรค์ผลิตสิ่งที่ดี ก็ยังพอใช้ได้ แต่ไอ้โกรธนี้นะ kick it out ดีด มันออกไปจากจิตอย่าให้มันมีเลย

 

_เวลาน้องดื้อแล้วหมั่นไส้ ควรแก้ไขอย่างไรคะ

พ่อครูว่า..หมั่นไส้เป็นอาการโง่ชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็ต้องแก้ไขอาการโง่เสีย มันมีความหมั่นไส้ มันเป็นความสุขหรือมันอร่อยไหม มันไม่อร่อยหรอก ต้องแก้ไขให้จิตเราอย่าไปมีอาการนี้ในจิต มันไม่ดี มันไม่ควรจะต้องมี อาการหมั่นไส้

_หลวงปู่คิดจะสร้างหนังสือสัจจะชีวิตเล่ม 5 ไหมคะ

พ่อครูว่า...หลวงปู่ไม่เคยคิดสร้าง มีพวกเราคนที่คิดสร้างทำ จะทำเล่ม 5 อีกไหมก็ไม่ได้ถามเขา เห็นว่าจะหยุด ทำแค่นี้ จะทำอย่างอื่น ทำเล่มหนาด้วยนะ และในหนังสือก็มีแต่คำเทศน์คำบรรยาย อิงประวัติ แต่เนื้อหาสาระเป็นธรรมะ หลวงปู่ไม่ได้เป็นคนคิดทำ ผู้ที่คิดเห็นว่ามีประโยชน์ก็เอามารวบรวม ก็ช่างคิดหาเอาเรื่องมารวบรวมนะ ดี อ่านประวัติแต่ได้ธรรมะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทำอย่างไรจะหมดกามและพยาบาท

_กามกับพยาบาทก็เหมือนเหรียญเดียวกัน แต่มีสองหน้าใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...ใช่ จริง มันอยู่ด้วยกัน จริงๆแล้วตัวรัก เป็นตัวต้นทาง ต้องการรักตัวเองตัวตน แล้วก็รักอันอื่น ใครจะมาแย่งสิ่งที่ตนเองรักก็จะเกิดความโกรธไม่ชอบใจ แม้ที่สุดจิตของเราไปมีอำนาจ ไปมีความเป็นตัวตน เราก็ตามใจเราคิด มันจะต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็จะโกรธ โกรธและพยาบาท จะกลายเป็นตัวยาวยืดไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าถึงให้มาล้างตัวโกรธ นี่มันง่ายผิวเผิน แต่ล้างกามนี้สิ ล้างกามหมด พยาบาทก็หมดไปด้วย

_คนที่มีจิต ปฏิฏะ ราคะ อยู่เสมอ คือยังไม่หมดกามใช่ไหมคะ ทำอย่างไรจะหมดกาม

พ่อครูว่า...ทำไปตามลำดับ ทำตามศีลข้อที่ 1 2 3 ไปเรื่อยๆ ศีล 3 ข้อนี้เป็นตัวสำคัญ ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์กับคน เขาที่ 2 เกี่ยวกับวัตถุเกี่ยวกับข้าวของพืชพันธุ์ธัญญาหาร ข้อที่ 3 เกี่ยวกับสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ

ในศีลข้อที่ 3 ทวารนอก เราต้องสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ เราก็เรียนรู้ การปฏิบัติธรรมะพุทธเจ้าไม่มีสัมผัสเป็นปัจจัย ปิดทวาร 5 ซึ่งอยู่ในศีลข้อที่ 3 แล้วสัมผัสกับสัตว์กับข้าวของ ก็สุญโญเลย ไม่มีทางปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ของศาสนาพุทธ

ศีล 3 ข้อนี้ต้องมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทางทวาร 5 ต้องทำงาน โดยมีทวารใจร่วมด้วยเป็นของทวาร และก็จะเกิดกรณีเกิดเรื่องราว สังขารธรรมกับสัตว์กับของที่เราเกี่ยวข้อง ต้องมีสัมผัสทางทวาร ไม่มีสัมผัสทวารนอกไม่มีเหตุปัจจัยให้ปฏิบัติ ถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยปฏิบัติธรรมไม่ได้ ไม่มีฐานการปฏิบัติ

ในมูลสูตร มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการต้องทำใจในใจตนเอง จะทำใจในใจได้ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วจึงจะเกิดเวทนา แล้วก็ปฏิบัติที่เวทนา ต้องพยายามทำเป็นคู่ ทำให้ธรรมะ 2 เป็นธรรมะ 1 ให้เป็นเอกสโมสรณา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ทำแล้วจะเกิด สติ สมาธิ ปัญญา เกิดวิมุติ บรรลุ เหลือแต่ว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสานหรือไม่ จะอยู่เป็นพระอวโลกิเตศวรไม่ยอมปรินิพพานก็เชิญ หลวงปู่เอาแค่เป็นพระพุทธเจ้าก็ไปแล้ว แต่ถ้ายังไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ตั้งใจจะอยู่ต่อไป เป็นคนที่สูงสุดก็คือเป็นพระพุทธเจ้า

อย่างไร หลวงปู่เกิดมาเป็นมนุษย์มาจนถึงป่านนี้ไม่มีถอย แล้วหลวงปู่เป็นนิยตโพธิสัตว์ เดินหน้าประตูเดียว

 

_หนูสงสัยว่า สมมุติว่าถ้าเราโกรธอารมณ์ไม่ดีไม่พอใจ ในสิ่งที่คนอื่นทำ แต่เราก็ไม่กล้าบอก ไม่กล้าท้วง กลัวว่าเขาจะเสียหน้า เราก็เลยไม่พูดอะไรออกไป ทั้งที่จริงแล้วไม่พอใจ แบบนี้ผิดไหมคะ มันเหมือนเราตีสองหน้าไหม? ปล. แต่จริงๆแล้วหนูก็ยังไม่ทราบว่าที่ไม่กล้าบอกเพราะกลัวเขาไม่พอใจ หรือกลัวว่าบอกแล้วเขาไม่เชื่อ สุดท้ายหนูก็ขอถามว่า การที่เราฝืนยิ้มร่าเริงตลอดเวลาให้คนรอบข้างสบายใจเป็นความคิดที่ดีไหมคะ

พ่อครูว่า...การฝืนยิ้มได้แรงไว้เป็นสิ่งที่ดี มีสิ่งที่เป็นกิเลสอะไรก็สังวรระวังไว้ก็ดีแล้ว

 

_หลวงปู่คะ หลวงปู่คิดว่ามีคนอ่านหนังสือที่หลวงปู่เขียนไหมคะ

พ่อครูว่า..ขนาดเด็กๆยังรู้สึกเลยว่าใครจะอ่านหนังสือที่โพธิรักษ์เขียน หลวงปู่ลองถามดูสิคะ ...มี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ถูกเพื่อนหัวเราะเยาะแล้วโกรธจะผิดไหม

_ผมโดนเพื่อนหัวเราะเยาะหรือด่าว่า เลยโกรธ เลยทะเลาะกัน ผมผิดไหมครับ

พ่อครูว่า...ผิด

เขาจะหัวเราะเยาะ หลวงปู่นี้มีคนหัวเราะเยาะเย้ยและมีคนด่าเยอะด้วย กดดูในโซเชียลมีเดียมีเยอะ เขาด่าเขาให้ความเห็นหยาบคายมีเยอะ

สรุปแล้วคนจะว่าเราเราก็ดูที่ตัวเอง หลวงปู่ถูกคนว่าหนักหนาสาหัส หลวงปู่ก็มาดูตัวเองว่าเราพูดเราอธิบายเราแสดงธรรม เราทำอะไร ที่เราทำนี้มันเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ไหม เป็นคุณค่าที่ควรจะทำ เราเสียเวลาแรงงานทุนรอนไป เพื่อทำสิ่งนี้เสนอกับมนุษย์ มันเหมาะควรไหม มันสูญเปล่า หรือมันไม่ได้เรื่องไหม หลวงปู่ก็ตรวจดูแล้วว่ามันเป็นของดี พยายามไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเอง ก็เอาพระไตรปิฎกมาตรวจ เทียบเคียง ว่าเราแสดงธรรมให้พาคนมาเป็นคนมีวรรณะ 9 กถาวัตถุ 10 พุทธพจน์ 7 ตามธรรมวินัยพระพุทธเจ้ามี ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ

หลวงปู่ตรวจสอบแล้ว หลวงปู่ได้ทำงานที่ดีที่สุดแล้วที่มนุษย์ควรทำ จึงหมดปัญหาเลยทุกวันนี้ แม้คนจะฟังน้อยมันก็เป็นยอดแห่งกุศลของมนุษย์ เป็นคุณวิเศษของมนุษย์ด้วย เป็นโลกุตระธรรม หาคนทำได้ยากยิ่ง เป็นแต่เพียงว่าเราระมัดระวังอย่าให้ผิดไปจากคำสอนพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ หลวงปู่พยายามตรวจสอบเสมอ มีผิดพลาดก็แก้ไขให้มันถูก แต่ผิดพลาดไม่ได้หนักหนาอะไร มันก็มีผิดเพี้ยน นัยยะที่เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกัน อิทัปปัจจยตาไม่ตรงกันเป๊ะเท่านั้น ก็พยายามให้มันดีขึ้น แต่หลวงปู่สบายใจที่เราเกิดมาในชาตินี้ ได้ทำงานที่ดีสุดในชีวิตของความเป็นมนุษย์ ยังเสียดายตัวเองไปเสียเวลา 36 ปีเป็นคนไปแย่งลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข กับเขาอยู่ เสียดาย ที่เราไปเสียเวลา เอาชีวิตมาทำอันนี้ประเสริฐสุดแล้ว จึงยังต้องอยู่ต่อ

_ทำอย่างไรผมถึงจะระงับอารมณ์โมโหได้ครับ

พ่อครูว่า...ดี เด็กตัวแค่นี้ก็สามารถรู้ว่าเราเกิดอารมณ์นี้มันควรระงับไม่ควรให้เกิด แล้วก็ถามผู้ใหญ่ว่าทำอย่างไร ก็เรียนรู้ว่าอารมณ์อย่างนี้มันมีอยู่ อย่างน้อยที่สุดก็หยุดจะให้มันเกิด ดื้อๆ ระงับกดข่ม สองพิจารณา อ่านอารมณ์ว่า อารมณ์อย่างนี้เกิดมาแล้วทำให้เราเป็นสุขหรือไม่ ทำให้เราทำกายกรรมวจีกรรมดีหรือ จริงๆแล้วมันพาเราทุกข์ไม่เข้าท่า เห็นด้วยปัญญา มันเกิดที่เรา มันพาเราทำไม่ดี ก็อย่าให้มันเกิดในจิตเรา พยายามให้มันลดลงๆ ในทุกทีที่มันเกิด มันจะจำนนด้วยความรู้จริงด้วยปัญญา เรียนรู้และฝึกอย่างนี้แล้วเราก็จะเลิกจะหยุด หลวงปู่ทำมาแล้วก็เอามาบอก

 

_หลวงปู่ได้ตั้งชื่อเรือ ที่นำมา 4 ลำนี้ หลวงปู่จะตั้งชื่อว่าอะไรหรอครับ

พ่อครูว่า...ก็ยังไม่ได้ตั้งชื่อก็เลยไม่ทราบ ตั้งไว้เยอะแล้ว ก็ไม่ได้ใช้อะไรก็เลยไม่ได้เปลืองสมองไปตั้งอีก ตั้งแต่ ลำกกแฮก แงกเบิ่งแน แกบ่เฒ่า ฯ

 

_ทำไมวิทยาลัยอาชีวะสาขาต่อเรือมีคนเรียนน้อยเหลือเกินเรียนจบแล้วมาทำงานอะไรได้บ้างคะ

พ่อครูว่า...สมัยนี้เรือแบบนี้เขาไม่ได้ต่ออีกแล้ว หลวงปู่ก็พยายามตั้งโรงเรียนเพื่อให้สืบสาน แต่เขาก็ไม่เห็นความสำคัญก็เลยมาเรียนน้อย เหลืออยู่กี่คน เรียนจบแล้วก็มาดูแลเรือหลวงปู่นี่ไง ตอนนี้ก็เอาคนนอกมาซ่อมแซมเสียเงินทอง ก็อย่างนี้แหละ และเราก็ได้ใช้ประโยชน์

ลึกๆหลวงปู่จะพิสูจน์ว่าถนนหนทางดีมีท่าเรือ เราก็จะพยายามปลุกชีพแม่น้ำมูนให้มีการสัญจรคมนาคมเต็ม เพราะทางถนนมันติดมากใช้ยากแล้ว ก็มาใช้เรือให้เกิดความใจเย็น มีอะไรดีหลายอย่าง ซึ่งมันจะเป็นคุณค่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา

 

_เราจะทำอย่างไรถึงเข้าใจผู้ใหญ่และก็รู้ที่นี่เพื่อนพี่น้องที่นี่ คุรุ หนูพยายามอย่างไรอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จะต้องทำอย่างไรคะ

พ่อครูว่า...คำถามนี้ดูจะไม่เข้าใจเลย ก็คือ ถ้าเราไม่เข้าใจแปลว่าเราโง่ ถ้าจะทำความโง่นี้ตลอดไปแล้วก็จะเป็นคนโง่ตลอด ต้องพยายามทำความสะอาดเข้าใจให้ได้ นี่คือคำตอบ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ทำไมเราถึงต้องมาจนกล้าจน

_ทำไมเราถึงต้องมาจนกล้าจน เพราะยังไงเราก็จนอยู่แล้วคะ

พ่อครูว่า.. ตอบ การมาเป็นคนจนแล้วก็รู้ให้จริงเลยว่า เป็นคนจนคืออะไร และเป็นคนจนนี้ดีอย่างไร เราก็ได้ดีสังคมก็ได้ดี สังคมมันเลวร้ายเพราะคนไปเบียดเบียนกัน คนที่แข่งรวยจะเอาแต่รวย สังคมชิบหายสังคมเลยฆ่ากันแย่งกันทะเลาะกัน ไม่มีสมานกันสนิท แต่คนมาจนร่วมกันแล้วกินใช้ร่วมกันอย่างหลวงปู่ทำ มีสาธารณโภคี สมบัติร่วมกันเป็นสาธารณะ ที่นี่เลยเป็นคนจนที่ไม่ทะเลาะกัน เห็นไหม มีการอยู่ร่วมกันสร้างสรรค์ รู้จักมักน้อยสันโดษ เป็นคนเลี้ยงง่ายตามวรรณะ 9 เลยกลายเป็นสังคมสงบสุข สังคมเศรษฐกิจที่ดีที่สุด คนที่เติม 0 นี้เป็นคนรวยที่สุดในโลก คนที่มีเงินเป็นศูนย์นี้ ไม่มีเงินเป็นของตัวเอง แต่อยู่ได้อยู่ดีไม่เดือดร้อน มีกินมีใช้ พอเราได้ฝึกเป็นคนวรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนสันโดษ เป็นคนขัดเกลาตัวเอง เป็นคนมีศีลมีอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นคนที่ไม่สะสม เป็นคนยอดขยัน วิริยารัมภะ เป็นคนที่มีคุณสมบัติ 9 ประการของพระพุทธเจ้านี้ อยู่ร่วมกัน เป็นการบริหารเป็นการอบรมฝึกฝน เป็นการสร้างสังคมที่ดีที่สุดแล้ว หลวงปู่ประสบผลสำเร็จเรื่องนี้มาก

อยากให้รัฐบาลผู้บริหารมาศึกษาแบบที่หลวงปู่พาทำ มันเป็นของพระพุทธเจ้าเป็นของดีเป็นสุดยอดเลย ถ้าหากผู้บริหารผู้ที่เป็นข้าราชการ ต่างเข้ามาศึกษา แม้แต่ฆราวาสเข้ามาศึกษาแล้วพากันทำแบบนี้ให้เกิดขึ้น หลวงปู่เกิดมาก็พาทำให้เกิดสังคมชุมชนสาธารณโภคีแบบอโศก มีได้อยู่พอสมควรในประเทศไทย เท่านี้แหละ แต่ดี เขายืนยันว่าดี

 

สมณะเดินดินว่า...คนหายตัวได้มีฤทธิ์เดชแต่ยังมีความโกรธอยู่ กับคนที่ไม่มีความโกรธแล้ว ความโกรธหายไปแล้วแต่หายตัวไม่ได้ เด็กๆคิดว่า ถ้าเราอยากจะเป็นเราจะเป็นแบบไหน? หายตัวได้หรือหายตัวไม่ได้….


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:25:49 )

610731

รายละเอียด

610731  แหลกมุมหลากมิติของจิตวิญญาณ

พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯ 31 .. 2561

.หนักแน่น : อุปาทา กับอุปทานมันต่างกันยังไงครับ?

พ่อครู        : ฮะ ?

.หนักแน่น : อุปาทา กับอุปทานมันต่างกันยังไงครับ?

พ่อครู        : ก็เป็นพยัญชนะที่อุปาทา กับอุปทาน อุปาทายติ มันเป็น บอก ชี้บอกถึงหน้าที่ของการยึด ยึดนิดนึง ยึดต่อมา ยึดมั่นถือมั่น นี่อุปทานนี่ยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นเหนียวแน่นแข็งแรง อุปทานเต็ม อุปาทายติเป็นกิริยา กำลังยึดมั่น กำลังจะยึดให้มั่น อุปาทา ก็เริ่มต้นลักษณะกิเลส ลักษณะกิเลสขึ้นมา กำลังหาจะยึดอะไรดีวะ จะยึดอะไรดีวะ นี่อธิบายให้ภาษา ให้เข้าใจว่า ไอ้พวกนี้มันเป็นอย่างนี้ เขาก็ใช้พยัญชนะนี้ขึ้นมาตั้ง ให้ตัวนี้เป็นเช่นนี้  มีกิริยาตัวนี้ ไอ้นี่มีกิริยา มาจากอุปาทา เป็นอุปาทายติ แล้วก็เป็นอุปาทาน ยังมีอีก รายละเอียดมากกว่านั้นอีก  อุปาทายังมีมากกว่านั้นอีก อุปปาเทติ อุปา อะไร อุปปาเทติ อุปาอะไร ไม่ได้จำ มันมีรายละเอียด มากน้อยแล้วลักษณะมิติต่างๆที่มันจะมีลักษณะ ละเอียดๆ แต่เราเข้าใจคร่าวๆ แล้ว เราเข้าใจละเอียดได้ว่า เออ ถ้ามันเป็นงี้ๆ มันละเอียด มันก็อย่างนั้น มุมนั้นมุมนี้ เป็นมิติของมันไปเท่านั้นเอง

.แสนดิน       : อย่างนี้ต้องเอาเจตสิก ร้อยกว่าอะไร มันก็ ไม่ละเอียด

พ่อครู         :   เข้าใจได้นะ ถ้าเผื่อจะไปขยายร้อยกว่า เราก็มีปฎิภาณเข้าใจได้ง่าย  เป็นแต่เพียงว่าจะต้องมาจำ  มาจำชื่อ มาจำบัญญัติ ที่เข้า มุมนี้นะ ไอ้นี้เท่านี้องศาเรียกอันนี้  เท่านี้องศาเรียกเท่านี้

. แสนดิน    ในตรรกะของอนุสัยกับอาสวะก็คงจะละเอียด

พ่อครู          : ใช่ เหมือนกัน นอกจากจะองศาแล้วก็ยังมีมิติอีกด้าน สูง ต่ำ ดำ ขาว เป็น dimension เข้าไปอีก เป็นต่างๆ มันมากกว่า  สี่ dimension

. แสนดิน      : อย่างนี้จึงบอกว่าพระอรหันต์เป็นผู้ไกลจากกิเลส เพราะว่ามันมีรายละเอียดของอนุสัยอาสวะที่ แม้แต่เป็นพระโพธิสัตว์ก็มีรายละเอียด

พ่อครู         :  ก็คุมได้รู้หมด รู้หมด

. แสนดิน      : กิเลสของโพธิสัตว์ จริงๆไม่ใช่กิเลสของมนุษย์ทุกคน

พ่อครู          : เพราะนั้นรู้ความเป็นเหลี่ยม รู้ความเป็นเหลี่ยม เป็นสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม four dimension มันเต็มละ ถ้าออกไปจาก four dimension เป็น  five dimension  เป็น six dimension มันก็ไปกันอีก มันก็กลายเป็นลูกโลก ลูกโลกที่ขยายมุมเหลี่ยมออกไป เป็น six เป็น seven เป็น eight เป็น nine อะไรไป มันก็จะยิ่งเป็น dimension องศาของมันก็ยิ่งจะเป็นป้านขึ้นๆๆๆ จนกระทั่งรอบโลกนี่ โอ้โห  มันหักมุมโดยไม่รู้องศา  มันมีองศาเปล่า มันเหมือนเส้นตรงนะ แต่มันไม่ตรงหรอก ทุกๆอย่างมันต่อเนื่องไปเป็นสายเนี่ย มุมมันก็นิดๆๆๆองศา

คุณเจมส์    :  ไม่ตรงครับ เพราะว่ามันมียอดเขา เพราะว่ายอดเขามันอยู่เปลือกโลก มันก็ไม่มีความกลม

พ่อครู  :  เพราะฉะนั้นเลยเกิด ทุกอย่างก็เกิด ไม่ smooth ไม่เป็นเส้นตรง ไม่เป็นเส้นตรงก็เป็นเส้นเลอะ อากาศมันวิ่งตรงไม่ได้ อย่างว่าไปเจอภูเขา ไปเจอเหว ไปเจอโน่นนี่ มันก็ต้อง อากาศมันก็ต้องเคลื่อนขึ้นลงไปตามอะไรต่ออะไรอีก มันก็เลยเอากลมดิ๊กไม่ได้

.แสนดิน    :  พ่อท่านบอกว่าแสงไม่ใช่เดินทางเป็นเส้นตรง

พ่อครู  :  แสงเป็นเส้นตรงไม่ได้เลย แสงเดินทางเป็นเส้นตรงไม่ได้ ถ้าแสงเดินเป็นเส้นตรงเมื่อไหร่ เอกภพหาย

.แสนดิน    :  ไม่มีการหมุนวน

พ่อครู  :  ไม่มีการกลับไง ถ้าแสงเดินทางเป็นเส้นตรงมันก็เป็น nuclear fission ไปหมดเลย แล้วมันอะไรจะกลับมาเป็นก้อนล่ะ เส้นตรงไปไม่มีเส้นโค้งเลย อะไรจะเกิดก้อน 

.แสนดิน    :  อะไรๆที่มันมีขึ้นมาเป็นสมมติขึ้นมาทั้งหมด ก็คือมันจะต้องโค้ง

พ่อครู  :  มันมีตรงไง ไอ้ที่แสงที่มันตรงไปเลยได้ก็หายไปเลย เป็น nuclear  fission ไปเลย ไอ้ที่มันโค้งมันก็คือยังอยู่ไง ไอ้ที่ไม่อยู่มันก็คือไม่มีสิ มันก็หายไป

คุณเจมส์    :  หมายความว่าอย่างนี้รึเปล่าครับ แสงนี่มันเดินทางเป็นเส้นตรงในระดับหนึ่ง พอหมดระยะแรงของแสงมันจะหมดแล้ว

 พ่อครู  :  หมดหายไปเลย

คุณเจมส์    :  หรือว่าจะโค้ง ๆ ออกไป แล้วจะกระจาย

พ่อครู  :  ไม่มีแรง มันไม่มีแรง มันไม่มีอะไรต่อ แรงก็ไม่มี ความเจือจางก็หมด ตัวตนก็หมด หมดหายไปเลย

คุณเจมส์    :  มันจะสะท้อนต่อ

.ดินไท    :  มันกระทบฝุ่นละออง กระทบอะไร

คุณเจมส์    :  สะท้อนกลับได้

พ่อครู  :  ฝุ่นละอองมันไม่มี แสงหรือว่าอากาศมันยิ่งกว่าฝุ่นละออง ฝุ่นละอองมันเป็นธาตุดิน

คุณเจมส์    :  แต่ตัวแสงไปกระทบ

.แสนดิน    :  ในฝุ่นละอองใน ในฝุ่นละออง ในฝุ่นละออง

พ่อครู  :  นั่นแหละ มันก็หายไปกับ

คุณเจมส์    :  มันก็จะหักเหลี่ยม หักมุม

พ่อครู  :  ทุกอย่างเลย หายไปกับ infinity หายไปกับ ไม่มีอะไรแล้ว

คุณเจมส์    :  ชั้นบรรยากาศมันก็สลายไป

พ่อครู  :  ไม่มีอากาศนะ อากาศนี่มันยังมีสภาพ ไอ้นี่ไม่มีแม้แต่อากาศ ไม่มีแม้แต่อะไรเลย อวกาศก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไร หายไปเลย

.แสนดิน    :  อากาศนี่ยังมี ไนโตรเจน ออกซิเจน เป็นโมเลกุล

พ่อครู  :  ไอ้นี่มันไม่เป็นอะไร ไม่มีโมเลกุลอะไร

 

ในสวนดาว ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:31:50 )

610731

รายละเอียด

610731  ฌานจิตคือหนึ่งเดียวกับเอกภพและการต่ออายุไม่สิ้นสุด

พ่อครู         : ชีวิตคนเกิดมาก็ไปตามวิบาก ถ้าไม่มีสติ ไม่มีกำลัง กำลังของจิต ที่มันจะรู้ภพ รู้ชาติ รู้โลกุตรภพ  โลกุตระจะเรียกภพมันก็ไม่ดี ไม่ควร เพราะว่ามันโลกุตระแล้ว มันเป็นผู้รู้จักความเป็นภพ ที่ไม่สร้างภพสร้างชาติ ก็จะเรียกโลกุตรภพ ก็เป็นลำลองเท่านั้นเอง โลกียภพ ถ้าภพ โลกีย์เป็นภพแน่นอน โลกียภพ

.แสนดิน    : เป็นวิภว

พ่อครู         : วน   วิภวภพ

.แสนดิน       : วิภวตัณหา

พ่อครู            : วิภวตัณหา วิภวภพ กามภพ ภวภพ วิภวภพ มันก็มีภพ มี ทีนี้วิภวภพ มันก็ซ้อน วิภว แล้วมันไม่ภพแล้ว  ภวภพ มันก็ยังมีภพ กามภพ แน่นอน กามๆ กิเลส โลกเขา คนไม่รู้จักโลกสาม ไม่รู้จักภพสาม เนี่ย แล้วก็ทำตนให้หลุดออกมาเป็นผู้วิภว หมดภพ วิภว ไม่มีภพแล้ว หลุดออกไปไม่ได้ วน  เพราะงั้นพูด พูดง่ายๆ พูดก็ฟังพอเข้าใจตรรกะกัน แต่ว่าทรรศนะๆ ของคนมันก็เป็นแต่เพียงได้แค่ เก่งที่สุดก็ได้แค่ วิสัยทัศน์ๆ คือทรรศนะ สามารถที่จะไปรู้ได้ เข้าใจได้บ้าง แต่เข้าถึงวิสัยทัศน์ ที่เขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า vision เข้าถึงซึ่ง วิสัยเนี่ย ไม่ได้ง่ายๆ  เพราะงั้นวิสัยของคนจะเข้าไปถึงขั้นนี้ได้ต้องเป็นคนมีฌาน ต้องเป็นคนมีฌาน แล้วความเป็นฌานเนี่ย เข้าใจผิดหมด ความเป็นฌานไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดกัน อย่างที่เขาเข้าใจกันทั่วไปเลยตอนนี้ เขาเข้าใจณาน ฌานคือ อันเดียวกันกับสมาธิ อันเดียวกันกับ meditation อันเดียวกันกับนั่งสะกดจิตเข้าไปหลับตา ดิ่งเข้าไปอยู่กับหนึ่ง ไม่ใช่  ฌานของพุทธนั้นไม่เป็นหนึ่งเลย เป็นหนึ่งก็คือ เอาเอกภพทั้งเอกภพมาเป็นหนึ่ง ไปได้ทั่วเอกภพเลยนี่คือ ฌาน

. แสนดิน    : เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทุกสิ่ง

พ่อครู          : เออ ..ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียว นี่คือฌาน เอกภพทั้งเอกภพนี่แหละ ผู้ใดที่ไปถึงสุดเอกภพ ไปโน่นมานี่ได้เร็วที่สุดเลย มีมุทุภูตธาตุ มีธาตุเร็วที่ไปได้หมดทั่ว อย่างงี้คือฌาน ฌานยิ่งคล่องแคล่ว ยิ่งเป็นกายปาคุญญตา ยิ่งคล่องแคล่ว ยิ่งว่องไว ยิ่งไปได้เร็ว ได้ไว ได้ไกล มีมุทุภูตธาตุที่วิเศษ นั่นคือฌาน แต่ฌานที่เข้าใจกันด้วย ความคิดความเข้าใจ โดยทรรศนะหรือโดยทิฏฐิ ฌานคือยิ่งหยุด ยิ่งนิ่ง ยิ่งไม่ไปไหน ยิ่ง สงบๆ คือ แข็ง หยุด นิ่ง ไม่ใช่เลย  มันไม่มีจิตที่เป็นอกุศล มันไม่มีตัวที่จะทำให้ช้า มีแต่เร็ว

. แสนดิน      : ไม่มี ไม่มีแรงดึงดูดใดดูดมันได้

พ่อครู         : ไม่มีแรงดึงดูดใดอะไร ดูดมันได้ มันไปได้คล่องตัวหมดเลย นั่นคือ ฌาน เข้าใจกันคนละเรื่อง เข้าใจกันกลับกัน เพราะงั้นผู้ที่มีฌานวิสัยเนี่ย จึงไม่ยึดเป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องที่คิดไม่ได้หรอก เหมือนคนที่เข้าใจฌานอยู่ทุกวันนี้ยังไม่รู้จักฌานหรอก ทำฌานผิดหมด ผมนี่ยิ่งคล่องแคล่วขึ้นทุกวัน ยิ่งคล่องตัวขึ้นทุกวัน จิตจะยิ่งมีมุทุภูตธาตุที่ดีขึ้น เร็วขึ้นๆๆ  นั่น คือ coefficient ด้วยที่เป็นมุทุภูตธาตุ  coefficient ยิ่งมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นถ้าจิตของเรานี่ยิ่งเร็ว เร็วกว่าเสียง ชีวิตเราจะเหมือนกับชีวิตถอยหลัง  ไม่ใช่ชีวิตจะเดินหน้า ไม่ใช่จะแก่ไปเรื่อยๆ ยิ่งถอยหลัง ยิ่งจะหนุ่มๆๆๆๆๆ ชีวิตจะยิ่งถอยหลัง  อีกหน่อยก็จะเท่าๆกับเจมส์ อีกหน่อยจะถอยหลังยิ่งกว่าเจมส์ หนุ่มยิ่งกว่าเจมส์

.แสนดิน    :  Back to the future ไม่ต้องขึ้น time machine

พ่อครู         : เออ ... เป็นอย่างนั้นจริงๆ

.หนักแน่น    : เดี๋ยวขอถามครับ มีคำถาม  วันก่อนผมเดินกับพ่อครู พ่อครูบอก พ่อครูอายุ 85 ...เอ๊ย  84 ปี 2 เดือน  แล้วผมก็ถามว่า แล้วจิตพ่อครูเท่าไหร่ ? พ่อครูบอก 25 ใช่ไหมครับ.. แต่ถ้าลงมาได้อีก 20 ยิ่งเร็วขึ้นนะครับ จิต  ถ้าลงมาอีก 10 ลงมาอีก 1  ยิ่งเร็ว

พ่อครู          : เร็ว เป็นลิงเลย

.หนักแน่น    : ถ้าลงมา 0 ปุ๊บ ยิ่งเร็วกว่านั้นอีก

พ่อครู  :  ใช่

.หนักแน่น    : อ๋อ เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณครับ

พ่อครู  : 0  นี่ มันไม่มีอะไรจำกัดไง ถ้าหยุดถึง 0 แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันไม่มีอะไรจำกัด มันเป็นได้หมด ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ใน 0 ไง ศูนย์ นี่คือรวมทุกสิ่งทุกอย่าง ศูนย์กลาง ศูนย์รวม ศูนย์คือทุกสิ่งทุกอย่าง คำว่าศูนย์  ทุกอย่างออกไปจากศูนย์ เพราะนั้นผู้ที่จะมีที่ทั้งปัญญามีทั้งเจโตที่เป็นศูนย์แล้ว ก็คือผู้ที่รู้รอบหมด รู้อะไรทุกอย่างหมด ถ้าแปลว่าสุดยอด  ก็เป็นอะไรได้หมด 

.ดินไท    : เป็นจุดเหรอครับ ?

 พ่อครู  : หา ?

.ดินไท    : เหมือนจุดเล็ก…จุด

พ่อครู  : เออ… พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่าเป็นผู้รู้ เทวดา มาร พรหม รู้จักเทวดา มาร พรหม มันชัดเจน เทวดาก็คือ จิต ที่มันเป็นจิตเทวดาสามอย่าง เพราะงั้นถ้าทำให้เป็นสามอย่าง จิตของเราเป็นวิสุทธิเทพได้ก็จบ เป็นมารเราก็รู้แล้วมาร มารเราก็เคยเป็น

.หนักแน่น    : ถ้าสูตรนี้แสดงว่าสลาย ปริโยสานรึเปล่าครับ?  ถ้า 0 เนี่ย เพราะ 1 นี่มันเร็วแล้วอ่ะ

พ่อครู  :  เรียกว่า สลายปริโยสานก็เป็นภาษาสำนวน  จริงๆแล้วเราจะปริโยสานก็ได้ ไม่ปริโยสานก็ได้  เป็นอมตะบุคคล จะเกิดก็ได้ จะตายก็ได้ จะศูนย์ก็ได้ จะไม่ศูนย์ก็ได้ไง  ไม่ศูนย์เราก็รักษาความยาวไปเรื่อยๆ เพราะงั้นผมถึงพยายามที่จะพิสูจน์  คือตัดเรื่องเวลา ตัดเรื่องวัฏฏะ เราอยากขยาย เราก็ขยายไป ผมเป็นแต่เพียงว่าตั้งเกณฑ์ไว้ว่า 151  แต่จริงๆแล้วเนี่ย ผมทำอายุให้ถึง 151 แต่ผมเอง ผมจะเอาไปเอามาแล้ว โอ๊ย.. ไม่ไหวหรอก ไปดีกว่า131  ก็ ไปดีกว่า หรือว่า 141  ก็ไปดีกว่า ไม่เอาให้ถึง 151  หรอก ไปได้ แต่ว่า ไม่เอา  มันอยู่ที่เรา เหมือนพระพุทธเจ้าท่านบอก ท่านจะอยู่แค่นี้ อีก 3 เดือนเราจะตายแล้วนะอานนท์ ท่านก็ไม่ได้แก่ได้เก่อ ท่านก็ไม่ได้อะไร ท่านก็บอกว่าอานนท์เราจะอยู่ถึงกัลป์กว่ากัลป์ เราก็ไปได้  แต่ท่านก็ไปแค่นั้น คือท่านกำหนดวันเกิดวันตายได้ พระพุทธเจ้า แม้แต่พระอรหันต์หลายองค์ท่านก็กำหนดวันเกิดวันตายได้

.แสนดิน    :  พระโมคคัลลาถ้าจะหนีต่อไป ท่านก็ทำได้

พ่อครู  :  ได้

.แสนดิน    :  แต่ท่านไม่ทำ

พ่อครู  :  อืม กำหนดวันเกิดวันตายได้

.เดินดิน    :  อย่างนี้จริงๆ ถ้าพ่อท่านป่วยหนักๆอาจจะ ยอมแพ้ก็ได้ ก็ไม่แน่เหมือนกัน

พ่อครู  :  เออ.. ป่วยหนักๆ ก็ไม่ไหว ขันธ์มันทรมาน มันไม่ไหว ไปดีกว่า มันก็ต้องถึงวาระนั้นจริง  แต่ตอนนี้เราไม่มีโรคอะไร ไม่ได้เจ็บป่วยหนักที่จะทรมาน ไม่ได้ป่วยเจ็บอะไร ก็ดี ร่างกายขันธ์ทุกวันนี้ มันไม่ปวดไม่เจ็บอะไร มันไม่ทุกข์ทรมาน

.แสนดิน    :  มีแต่ไอ

พ่อครู  :  มีแต่ไออย่างเดียว เป็นวิบากตัวเดียวนั่นแหละ

.หนักแน่น    : แต่คนอื่นเขาจะเห็น อย่างพยาบาล อย่างหมอเขาก็จะเห็นครับ

พ่อครู  :  เห็นอะไร ?

.หนักแน่น    : เห็นร่างของพ่อครูไง ว่า เอ๊ย ..อันนี้มันขาด ขาดอันนี้ละ  เขาจะเติมตัวนี้

พ่อครู  :  ก็เติม มันก็ไม่ขาดอะไร มันก็ยังไปได้ดีไง  มันก็ยังสุคะโตอยู่

.แสนดิน    :   มันเกินออกมาเป็นก้อน

.หนักแน่น    : คือ หมอกับพยาบาล เขาจะเห็นว่า ไอ้ขยะที่เอาออกมา เขาจะมองออกเลยว่า อันนี้มันขาดอะไร

พ่อครู  :  ขาดนิด ขาดหน่อย มันไม่ได้ขาดมาก จนกระทั่งมันไปไม่ออก ไปไม่รอด ไปไม่ได้ มันไปได้อยู่

.แสนดิน    :  เกินนี่ เขาบอกว่าเป็นเครื่องออกกำลังกายของพ่อครู ออกกำลังกายปอด

พ่อครู  :  ออกกำลังกายปอดด้วย จริงนะ

.แสนดิน    :  แข็งแรง ขับออก

 พ่อครู  :  จริงนะ  จริง อย่าไปกวนปอดเราละกัน

.แสนดิน    :  พูดเหมือนกับ ปลอบใจ

พ่อครู  :   อย่าไปกวนปอดเราละกัน อยู่ก็อยู่กันคนละสัดส่วนนะ ปอดก็อยู่ของเขา อย่าไปรบกวนเขา ปล่อยให้เขาอยู่ทำหน้าที่เต็มๆ ปอดก็ยังแข็งแรงดีอยู่นะ

.เดินดิน    :  แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ตัวนี้ที่ท่านมีมันก็เป็นสัญญาณบอกให้ร่างกาย มันโหลด มันจะเตือน ไม่งั้นพ่อครูต้องใช้สมองมากกว่านี้

พ่อครู  :   ก็ไม่ๆๆ  ไม่พยายามจะไปเร่งอะไรมากเกินไป ก็ใช้ตามควร ใช้พอสมควร ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ โ อ้โห.. ร้อนก็ยังเอาผ้าชุบน้ำมาโปะ แล้วก็ทำ  ร้อนแล้วก็ทำ ตอนนั้นอ่ะ ตอนนั้นอายุไม่มาก

.เดินดิน    :  ตอนนั้นไม่มีไอเลย

พ่อครู  :   เออ .. แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว เราก็ไม่ๆ ๆมันเป็นสามัญสำนึกอยู่ในตัวเหมือนกันว่า ควรหรือไม่ควรแค่ไหนมันก็มีอยู่ มันจัดความพอเหมาะของมันอยู่

.เดินดิน    :  ผมรู้สึกว่า พ่อครูมี safety อย่างหนึ่ง พอร่างกายโหลดปั๊บจะสามารถตัดเครื่องดับ พักยาว

พ่อครู  :   ฝึกมาๆ  ไง ก็พอได้

.เดินดิน    :  ซึ่งคนทั่วไปพออย่างนี้ปุ๊บเนี่ยควบคุมจิตใจจะฟุ้งซ่าน

.แสนดิน    :  อย่างน้องสาว สิกขมาตุเนี่ย

.เดินดิน    :  เออ นั่นไม่ได้

.แสนดิน    :  ถ้าไม่ต่อต้านมันจะมี ยาอะไรมันจะช่วยได้

พ่อครู  :   ใช่ๆๆๆ มันไม่ได้ฝึกจิตมา จิตฟุ้งซ่านไปตามแรง  หนึ่ง ฝึกจิต สอง ลดกิเลส แม้ฝึกจิตสงบ ถ้าถึงเวลาหนึ่งมันก็ใช้แรงข่ม คนที่เป็นทำเป็นแบบสมถะ แรงข่ม พอถึงขีดหนึ่งข่มไม่อยู่หรอก จะแรงด้วย ดิ้นแรงด้วย จะต้องการแรงด้วย ระเบิดด้วย

.แสนดิน    :  มันข่มไว้นาน

พ่อครู  :  มันข่มไว้นาน เพราะงั้นมันอยากออกมันแรงมาก มันจะระเบิด แต่ถ้าเผื่อว่าฝึกจิตมาดีแบบพุทธเลย กิเลสมันลด พอกิเลสลดมันไม่เหมือนกัน คนมันมีกิเลสอัด อัดเต็มกระบอกเลยนะ กระบอกระเบิดนะ กระบอกนิวเคลียร์  ระเบิดนิวเคลียร์เลย

.แสนดิน    :  ฟิวชั่น

พ่อครู  :  เออ ถ้ามันระเบิดละก็ โอ้โห บรรลัยจักรเลย นั่น มันก็เป็นธรรมดา พูดภาษาอธิบายชัดๆ ง่ายๆ  เป็นรูปธรรมเป็นนามธรรมในตัว อรูปธรรม ไอ้พวกนี้เป็นอรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม เราเป็นนาม เราเป็นผู้ที่รู้ความจริงของมัน มันไม่รู้ตัวมันหรอก มันเป็นอุตุนิยาม มันไม่รู้ตัวมัน แต่เราเป็นจิตนิยาม เราก็รู้สภาพพวกนี้มันเป็นอย่างนี้

.ดินไท    :  หลวงปู่ ติช นัทฮันห์ อายุ 92

พ่อครู  :  ฮะ ใครนะ?

.ดินไท    :  หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ อายุ 92

พ่อครู  :  ติช นัท ฮันห์ 92  เหรอ

.ดินไท    :  แต่ว่าอัมพาต เส้นโลหิตในสมองแตก

พ่อครู  :  อ๋อ ขนาดไม่ต้องจี๋จ๋า อย่างนั้น ยังแตกเลย

.เดินดิน    :  ไม่ต้องเหมือนพ่อครูเลย สบายๆ สุขาปฏิปทา

.ดินไท    :  นี่ขนาดสบายๆ

.เดินดิน    :  สบายๆ ใช่

.แสนดิน    :  แต่ดูสบาย แต่จริงๆ ชีวิตท่าน เมื่อก่อนท่านถูกต้องออกมาจากเวียดนาม โดยที่ นี่แหละ  มันน่าจะมีความกดดันอะไรอีกตั้งเยอะ กลับก็ไม่ได้นะ กลับเวียดนามก็ไม่ได้

พ่อครู  :  อยู่ต่างประเทศไปเลย ที่ฝรั่งเศส

.แสนดิน    :  ใช้สมถะมาเรื่อยๆ  เหมือนพ่อครูบอกมันไม่สลาย มันก็ต้องมีปฏิกิริยาขึ้นมา

.เดินดิน    :  มันไม่สลาย ใช่

.แสนดิน    :  มันก็ต้องมีปฏิกิริยาขึ้นมา

.ดินไท    :  มีพระที่เผาตัวเอง

.แสนดิน    :  พระอะไรที่เผาตัว เองประท้วง

พ่อครู  :  ทำไม ?

.ดินไท    :  ตอนที่มีสงคราม ที่อเมริกาไป แบ่งแยกเวียดนามเหนือ เวียดนามใต้

.แสนดิน    :  ท่านได้รับยกย่องเป็นพระโพธิสัตว์เลยนะครับ

พ่อครู  :  ใคร?

.แสนดิน    :  เนี่ย ท่านที่เผา เหลือหัวใจ ยังไม่ถูกเผาอยู่

.ดินไท    :  นั่งอยู่อ่ะ ไม่ล้มนะ

.แสนดิน    :  ถูกยกย่องเป็นโพธิสัตว์

.ดินไท    :  แสดงว่าใช้สมถะเก่งมาก

.แสนดิน    :  คงไม่ใช่ธรรมดา ไม่ร้องไม่อะไรนะฮะ หงายหลังไป ไม่แสดงอาการเจ็บปวดอะไรเลย

.ดินไท    :  เมื่อกี้พ่อท่านพูดถึง.. ผมนึกถึงที่พระพุทธเจ้าที่มารมาอาราธนา พระพุทธเจ้าบอกว่าเราจะยังไม่ปรินิพพาน จนกว่าอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี อาจหาญแกล้วกล้า

พ่อครู  :  อืม.. ประเด็นจะถามอะไร ?

.ดินไท    :  ตอนนี้เรา สมณะ สิกขมาตุ ญาติโยม อาจหาญแกล้วกล้า อันนี้คือปณิธานของพระพุทธเจ้าหรือฮะ?

พ่อครู  :  เป็นธรรมดาเพราะว่าเรามีจุดมุ่งหมายตรงนี้ว่า อยากจะให้ผู้สืบสานศาสนาต่อไป แล้วก็ประมาณดูว่า เออ.. เขามีความรู้ มีพลังมีอะไรที่จะเป็นเหตุปัจจัยจะนำพานี้ไปได้ พร้อมได้ยัง ถ้าพร้อมแล้วมันก็ครบได้ ก็มีความรู้ ความสามารถที่จะทำไปอย่างนั้นได้ แต่คนก็รู้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านรู้รอบ ผมก็รู้พอๆกันแต่ว่าไม่เท่าท่าน

.ดินไท    :  ไม่คือ อันนั้นคืออุดมการณ์ของพระพุทธเจ้า แต่ของพ่อท่าน

พ่อครู  :  ผมก็เหมือนกัน แต่ว่ามีแนวๆๆ คล้ายกัน ก็ต้องพยายามให้พวกเราได้ศึกษาตรงนี้กัน

.ดินไท    :  ของพ่อท่านน่าจะเห็นเป็นรูปธรรมได้ ก็คือ สร้างชุมชนเมืองพุทธ แผ่นดินพุทธ  มีองค์ประกอบทุกอย่าง

พ่อครู  :  เอ่อ.. ของพระพุทธเจ้าเอง ท่านก็มีชุมชน แต่ของท่านเก่งกว่าผม ตรงที่ว่าท่านไปถึงตรงไหนก็สร้างชุมชนได้ที่นั่น เมื่อนั่น  แต่ของผมนี่สร้างชุมชนแล้วมันก็เป็นตัว static อยู่ที่ชุมชน เพราะงั้นถึงมีชุมชนชาวอโศกอยู่เป็นแหล่งๆ  พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ไปสร้างแหล่ง แต่ของท่านไปที่ไหนก็ได้หมด กระจายๆๆๆๆ แล้วมันก็ได้ ตั้งหลักเองเลย ท่านไม่ต้องไปดูแล แต่ผมต้องดูแลอยู่ ท่านไปที่นี่เกิดเอง แล้วก็อยู่เลี้ยงตัวเองได้ทันที ของเราต้องคอยช่วยๆกัน ให้หมู่บ้านและให้ชุมชนมันตั้งตัวได้ อยู่ในโลกีย์เขา อยู่ในชาวโลก ๆ เขาไม่ใช่พุทธนี่

.แสนดิน    :  พระพุทธเจ้าท่านเน้นสร้างที่สงฆ์ แบบที่เป็นรูปแบบ แบบภิกษุเลย

พ่อครู  :  เหมือนกันๆ ผมก็ต้องสร้างภิกษุเหมือนกัน สร้างเป็นตัวแก่นแกนเหมือนกัน แล้วก็ต่อไปเป็นที่ประชาชน แล้วก็จะเกิดพุทธบริษัท มีพุทธบริษัทมีอุบาสก อุบาสิกา มีคนที่ชัดเจนในทิฏฐิในทฤษฎีในแนวทางที่จะปฎิบัติ อย่างหมดวิจิกิจฉา หมดสงสัยแล้วก็มีศีลสามัญญตา มีทิฏฐิสามัญญตาอย่างที่เป็นอยู่ก็คือสาราณียธรรม

 

ในสวนดาว ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:27:18 )

610731

รายละเอียด

610731  ทำไมพระพุทธเจ้าฉันเห็ดพิษสูกรมัททวะทั้งๆที่รู้

พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯตอนเช้า 31 ..2561

พ่อครู     : ถ้าให้ พระโพธิสัตว์ของพุทธเนี่ยไปคิดวิทยาศาสตร์เรื่องพวกนี้ พระโพธิสัตว์จะทำลายโลกได้

.ดินไท  :  ทำไมทำลาย  ทำลายทำไม?

พ่อครู     :  ก็มีความรู้ในเรื่องของอุตุนิยามครบหมดกว่า พวกนักวิทยาศาสตร์

คุณเจมส์  : รู้จุดเกิดจุดดับ

พ่อครู      :  รู้จุดเกิดจุดดับ จะทำลายโลกได้ภายในพริบตาเลย แต่ศาสนาพุทธไม่ไปคิดทำลายอะไรถึงขนาดนั้น

.ดินไท    :  มีแต่จะสร้างโลก

พ่อครู     : เออ.. มีแต่จะสร้างโลกในระดับเทวนิยม เขาก็สร้างโลกได้ เพราะงั้นอเทวนิยม จะสร้างหรือจะไม่สร้างก็ได้หมด มีสำนึก มีธาตุรู้ รู้จักอะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ อะไรควร อะไรไม่ควรมากัน เพราะฉะนั้นเป็นพระอรหันต์แล้วก็ถือว่า เราไม่ไปทำลายให้ดับหรอก เราทำดับของเราเท่านั้น จบ เราก็ดับของเราก็ จบ อันอื่นเขาก็เกิดมาตามวิบาก อุตุนิยาม เขาก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็พีชนิยามก็รักษาตัวเอง ก็อยู่ได้ชั่วระยะหนึ่ง จิตนิยามนี่ล่ะ มันวุ่นวายมากก็เอาให้มันชนะ เอาให้มันรู้ตัวว่าตัวเราเป็นจิตนิยาม อัตตภาพแล้ว แล้วก็ทำให้ได้ พอได้ของเราจบ แล้วก็หมดเรื่อง แล้วก็หมดตัวเรา จะอยู่หรือจะไม่อยู่ สูงสุดเท่านั้นแหล่ะ มีอัตตภาพแล้ว เราจะสลายธาตุตัวอัตตภาพของเราเนี่ย หรือไม่สลาย

. หนักแน่น  : จะสันตติหรืออุปจยะ?

พ่อครู       : ใช่ จะสันตติหรืออุปจยะ นะล่ะ จะจบที่สันตติหรืออุปจยะ  จะอุปจยะอยู่ แล้วจะอยู่ทำไม อยู่ก็ต้องมีประโยชน์

. หนักแน่น   : ถ้าไม่อยู่ก็เป็นอนิจจตา

พ่อครู    : ไม่อยู่ก็ปล่อย ปล่อย ถ้าเผื่อว่าปล่อยเป็นชรตา อนิจจตา ก็ปล่อยไปตายอย่างอนาคามีไง แต่ว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องปล่อยให้ตายอย่างอนาคามี พระพุทธเจ้า สมณะโคดมจึงบอกว่า เราไม่เคยไปเกิดหรอก อยู่ในสัตตาวาส 5 เนี่ย อนาคามี ถึงมาอาศัยฐาน สัตตาวาส 5 เราไม่เคยไปเกิด  เกิดตายอยู่ตรงนี้ ตรัสรู้อยู่ตรงนี้ เราไม่ไปเสียเวลา เพราะว่าไปเสียเวลา สัตตาวาส 5 ก็เสียเวลา

. หนักแน่น   : เพราะวันที่ปรินิพพานยังฉันอยู่เลยครับ เพราะว่าจะมีองค์สุดท้ายที่จะมาถามปัญหาไง

พ่อครู    : อืม.. สุภัททะ

. หนักแน่น   : ก็รู้ว่าจะตาย ทำไมต้องไปกิน ทำไมต้องไปฉันอีกอ่ะ?

พ่อครู     : ก็เหมือนคนที่เขาจะประหารชีวิตแล้ว เขาให้กินอาหารมื้อสุดท้าย

.เดินดิน    : ถ้าไม่ฉันจะตายได้ยังไง

. หนักแน่น   : เออ.. นั่นสิ

.ดินไท    :  ใช่ ต้องหาเหตุ

.เดินดิน    : ต้องหาเหตุให้

.ดินไท    :  พ่อท่านอธิบายแล้ว

พ่อครู  :  อธิบายแล้ว เพราะว่าจะต้องให้รู้ทุกอย่างมาแต่เหตุ ถ้าจะตายโดยไม่มีเหตุก็ไม่ได้ ถ้าจะตายให้รู้ว่าท่านกินสารพิษตาย อะไรก็ทำไม่ได้หรอก แต่รู้ว่าสารพิษต้องกิน แต่ว่าเหมือนพูดไปแล้วว่า อ้าว พระพุทธเจ้าฆ่าตัวตายนะหน่ะ

.หนักแน่น     :  แต่องค์อื่นไม่ให้เลย

พ่อครู  : ไม่ให้ ให้ฝังให้เก็บ ให้ตัวเอง ไม่ให้กิน

.ดินไท    :  ไม่ได้แปลว่า ไปโทษ

พ่อครู  : ไม่ให้ไปโทษจุนทะ  ต้องเป็นเหตุเป็นปัจจัย ไม่งั้นก็ไม่จริง ทุกอย่างมาแต่เหตุ ท่านตายเพราะอะไร ถ้าบอกว่าท่านตายเพราะท่านกินเห็ด เห็ดทำให้ท่านตาย แต่ท่านตายโดยไม่กินอะไร ท่านฆ่าตัวตาย ไม่ดี ต้องไปโทษเห็ด ช่างมันเถอะ โทษเห็ด เห็ดมันยิ่งกว่าพีชะ

.ดินไท    :  เป็นการบอกด้วยว่าเห็ดเนี่ย

พ่อครู  : มันเชื้อรา เท่านั้นเอง เห็ดนี่มันเริ่มต้นยิ่งกว่าเชื้อรา

.ดินไท    :  เห็ดเนี่ย มีพิษด้วย พยายามบอกว่า

พ่อครู  : ไม่ให้กิน ไม่ให้ใครกิน บอกว่าเรากินได้คนเดียว คนอื่นห้าม ไปฝังให้หมด

.แสนดิน    :  ต้องเลือกเชื้อรา ไม่เลือกพืช

พ่อครู  : ไม่เลือกพืชด้วย เลือกเชื้อรา

.หนักแน่น     :  เชื้อราที่ตายแล้ว ใช่มั๊ย  ที่พูดถึงเนี่ย

 

ในสวนดาว ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:28:34 )

610731

รายละเอียด

610731  ความรู้สึกของโสดาบันจนกว่าจะถึงอนาคามี

พ่อครู        : เข้าหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าหมดแล้ว แล้วพวกเราอยู่พิสูจน์ได้เลยว่าอยู่กันด้วยเมตตา เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วก็สาธารณโภคีกันได้เต็มที่เลย เพราะมีศีลสามัญญตา มีทิฏฐิสามัญญตา ศีลชัดเจนตรงกัน เข้าใจเรื่องศีลให้มันชัดเจนจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเองยังต้องอธิบายศีลอยู่ แม้แต่พวกเราก็ยังพยายามเติมอยู่ ศีลมันเป็นข้อกำหนดนะ ศีลเป็นข้อเป็นหลักเลย คุณจะเป็นโสดา คุณต้องมีศีลกำหนด อย่างน้อยศีล 5 ของคุณนี่ ถ้าศีล 5 ของคุณเป็นปกติ ไม่ฆ่าสัตว์เป็นปกติ ไม่เอาของใครเป็นปกติ เรื่องกาม เรื่อง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นปกติ อย่างเก่งก็อยู่ข้างใน  ถ้าข้างนอกที่ศีลของพระโสดาบัน ศีลข้อ 3 เนี่ย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มันประมาณอนาคามี ของพระโสดาบันนะจิตจะประมาณอนาคามี

.แสนดิน    : ข้างนอก

พ่อครู         : ก็ปกติ ข้างนอกเขาก็มีไป ข้างในก็ต้องข่มชั่ว ต้องพยายาม แต่ไม่ออกมาอาละวาด

.แสนดิน       :  พยายามไม่นอกใจ

พ่อครู         :  ไม่นอก ไม่นอกใจ อยู่แต่ในใจ

.แสนดิน       : อยู่แต่ในใจ

พ่อครู            : เออ ใช่  ใช้ศัพท์นี้ได้ อยู่แต่ในใจ ไม่นอกใจ

. ดินไท    : ไม่ออกมานอก

พ่อครู          : ไม่แสดง น่าอายไง มีหิริ มีโอตัปปะ มีหิริ มีโอตัปปะแล้ว  รู้แล้ว สิ่งนี้มันน่าละอาย สิ่งนี้มันไม่น่าแสดงออก แต่มันก็ออก แต่มันก็ยอมให้คนอื่นเขาว่าเรา เออ ..มันก็ยังมีกาม ก็มีสิ  ก็ยอมรับเท่าที่เรามี ไม่ได้ละอายอะไร ยอมรับว่าเรามีกิเลส ถ้าเป็นอนาคามีขึ้นไปแล้วเนี่ยจะค่อยๆ ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเรามีกิเลส จนกระทั่งเต๊ะท่า พระอนาคามีเต๊ะท่าเหมือนเป็นพระอรหันต์เก่งมาก ไว้ท่าเก่งมาก ต้องให้รู้สึกว่าไม่มีกิเลส  แต่ตัวเองก็ยังมีอยู่ ส่วนเป็นอรหันต์แล้ว ไม่กลัวใครจะเข้าใจว่ามีกิเลส อ้าว กลับกันแล้ว เพราะงั้นท่านก็ เหมือนคนมีกิเลสเนี่ยพระอรหันต์ ถ้าจำเป็นก็ต้องแสดงไปธรรมดา อย่างผมเนี่ยออกมาแสดง ผมไม่แคร์หรอก  คนไม่เข้าใจว่าผมมีกิเลส ผมไม่แคร์

. แสนดิน      : หมดโลกธรรม

พ่อครู         :  เออ... ผมสุจริตใจไง  ตัวเองสุจริตใจ ไม่ได้กลัว ไม่ได้กลัวคำตำหนิ ไม่ได้กลัวโลกวัชชะ ไม่ได้กลัวคนมาว่ามาอะไร แต่จริง เป็นพระอรหันต์ต้นๆ  อนุโพธิสัตว์ก็จะต้องไว้ท่าบ้าง อย่าให้มันดูน่าเกลียด พอเป็นอนิยตโพธิสัตว์ ก็ชักไม่กลัวแล้ว ยิ่งนิยตโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ยิ่งไม่ต้องห่วงเลย ไปกลัวมันทำไม โลกจะตำหนิ เพราะเราเองเราชัดเจนแล้ว โลกมันไม่รู้เรื่องหรอก เราก็ทำได้ โดยการทำอย่างนี้ มันเป็นการอนุโลมไปถึง ผู้ที่จะกว้างขึ้น เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างได้มากขึ้น

.แสนดิน    พ่อท่านเมื่อวานนี้ที่ยุงกัด พ่อท่านก็บอกว่าอะไรนะ ยังไม่อิ่มเลย...ให้มัน

พ่อครู         : อ๋อ.. ก็มันกิน ดูท้องมันค่อยๆโป่งๆๆๆ

.ดินไท    :  กลัวมันท้องแตก ทรมาน

พ่อครู          : มันไปนะ พอมันอิ่ม มันไปนะ มันไม่เอาท้องโป่งหรอก เออ.. ตัวนี้มัน มันรู้พอ

.แสนดิน    :  ภันเตฟ้าไทบอกว่า  ถ้ามันกินจนท้องเป่งเนี่ย เดี๋ยวมันท้องแตกตาย  ให้มันกินประมาณนึง

พ่อครู  :  ใช่ ก็คิดว่าเหมือนกัน ถ้าเป่งเกินไป  ก็ไปได้แล้ว แต่นี่มันยังไม่เป่งเท่าไหร่นะ

.แสนดิน     :  แต่ผมเนี่ย รู้สึกว่า เดี๋ยวมันมาแพร่เชื้อ

พ่อครู  :  ก็เราดูแล้วมันไม่คัน ไม่มีอะไรมากมายก็ เออ.. เอาเถอะ.. กิน

.หนักแน่น   :  ที่จริงถ้ามันกินท้องเป่ง มันก็อยู่ มันก็อยู่ตรงนั้น มันก็จะสลายจนท้องมันยุบลงมาแล้วก็จะเป็นน้ำสีขาว

พ่อครู  : โห...  คนนี้สังเกต ขนาดนั้น

.หนักแน่น   :  อันนี้มันเป็นวิธีการของเขา เขาต้องสลายมันออกมา เขาต้องเอาออก ถ้าไม่ออกมันบินไม่ได้

พ่อครู  : แต่เจ้าตัวเมื่อวานนี้มันกินแล้ว พอสมควรแล้ว กินแล้วมันก็หนี มันก็บินไปเลย

.แสนดิน     :    ไม่กินเกินไป

พ่อครู  : มันรู้อยู่ เราก็ไม่ได้ไล่อะไรมัน มันก็ไม่กลัวนะ เอามือนี้ชี้ไป มันก็ไม่กลัว มันก็กินของมันเฉย

.ดินไท    :  มันเห็นแก่กินมาก

พ่อครู  : ฮะ ?

.ดินไท    :  มันเห็นแก่กินมากกว่า มันไม่กลัวตาย

พ่อครู  :  เอ้ย.. ไม่ได้หรอก มันรู้ โดยสัญชาตญาณของมัน ถ้าธรรมดา มันต้องเอาก่อน มันรักษาชีวิตของมันก่อน มันไม่เห็นแก่กินหรอก แต่นี่ มันรู้ว่า มันมีจิตวิญญาณของมัน มันรู้นะ มันมี  มันมี sense

.แสนดิน     :  มันก็ไม่รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี มันยังแยกแยะไม่เป็น ดีชั่ว บุญบาป

พ่อครู  :  วิญญาณมันลึก ๆ มันรู้เหมือนกัน ถ้า..อันนี้ เอ้อ .. อันนี้มันไม่ทำลายหรอก เหมือนกับสัตว์อยู่ในป่าด้วยกัน มันมี sense มันรู้ อันนี้ไม่ทำลายกัน อันนี้ทำลาย อันนี้อย่าเชียวนะ อย่าใกล้กัน มันรู้ สัตว์มันอยู่ในป่าด้วยกัน มันรู้ เฮ้ย ชนิดนี้ไม่ได้นะ ชนิดนี้ไม่มีปัญหาหรอก อยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน หากินด้วยกันได้เลย ดีไม่ดีก็ นกเอี้ยงก็อยู่บนหลังควายเลยอะไรเงี้ย ไม่มีปัญหาอะไร

.แสนดิน     :  แต่นกขมิ้นอยู่กับ... เจ้าอะไรนะไม่ได้... เมื่อวานนี้ ?

.เดินดิน     :  ลิง

.แสนดิน     :  ลิง   ลิงไม่ยอม

.ดินไท     :  นกขมิ้น

.แสนดิน     :   นกขมิ้นเลยเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระพุทธเจ้า

 

ถอดความโดย..ในสวนดาว


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:29:40 )

610731

รายละเอียด

610731  พระอรหันต์มีฌานเย็นเหมือนน้ำแข็งแห้ง

พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯ 31 .. 2561

.หนักแน่น : ขอถาม ขอถามนิดนึงครับ ผมไม่เข้าใจคำว่า จักขายตนะแล้วก็กายา?

พ่อครู        : ตา หู จมูก ลิ้น กาย

.แสนดิน    : อายตนะ ทางตา

พ่อครู         : อายตนะทางตา อายตนะทางหู อายตนะทางจมูก มีสะพานที่จะทำงาน อายตนะจะเกิดต่อเมื่อมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะอายตนะมันก็ไม่เกิด อายตนะไม่ตั้งอยู่ นะ ไม่ตั้งอยู่ จะเกิดต่อเมื่อมีเหตุปัจจัย พอมีเหตุปัจจัยปั๊บ มันก็เกิดให้ พอหมดเหตุปัจจัยมันก็หายไป  เหมือนกันกับบุญ ทำงาน แล้วก็จะหายไป พวกนี้ บุญก็ไม่ตั้งอยู่ อายตนะก็ไม่ตั้งอยู่ จริงๆแล้ว แม้แต่ฌานก็ไม่ตั้งอยู่ ฌานก็คือพลังงานที่ ผู้ใดผู้นั้นสามารถสร้างพลังงานนี้ให้เกิด มีพลังงาน มีอุณหธาตุ จนกระทั่งมีฤทธิ์ทำงาน ทำงานสลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ลงไปได้ ตราบที่คุณยังมีไฟราคะ ยังมีราคะ โทสะ โมหะ อยู่ในตัวเองมันก็ต้องสลาย มันหมดแล้ว ทำขึ้นมาเป็นฌานก็เป็นฌานเย็น พระอรหันต์มีฌานเย็น มีพลังงานที่เอาไปใช้เป็นน้ำแข็งแห้ง ก็ถูกเอาอุณหภูมิออกไง แล้วก็หลอมตัวมาเป็นน้ำแข็ง จนกระทั่งเป็นน้ำแข็งแห้ง น้ำแข็งเขาก็เอาอุณหภูมิออกเหมือนกัน  น้ำเอาอุณหภูมิออกเหมือนกัน เป็นน้ำก้อน จนกระทั่งทำให้น้ำก้อนนี่มันสลายตัวธาตุอาโปธาตุ ออกไปอีกจนกระทั่งเป็นน้ำแข็งแห้ง

.ดินไท       :  น้ำแข็งแห้งเนี่ยมันเป็นน้ำไหม เวลาละลาย?

พ่อครู         :   เป็นแก๊สเลย แก๊สเลย เป็นควันเลย

พ่อครู            : ออกไปกับบรรยากาศข้างนอกมันจะเป็นควัน ไม่แปรตัวมาเป็นน้ำละลายเป็นน้ำ

. ดินไท    ใส่ไปในน้ำมันเดือด ปุดๆ

พ่อครู          : เออ อีกระดับหนึ่ง

. ดินไท      : เป็นอากาศ

พ่อครู         :  มันก็เป็นธาตุอาโปนะแหละ ธาตุน้ำ แต่เขาทำให้มันเข้มแข็ง มันก็เลยกลับไปเป็นอีก

.ดินไท    :  กลับไปเป็นน้ำ  ตัวน้ำ

พ่อครู          : โอ๊ย จับติดมือหมับๆ เลยนะ น้ำแข็งแห้ง ดูดเหนียวปึบๆ ปวดเลย

.ดินไท    :  ดูดความร้อน

พ่อครู  :  เออ มันดูดความร้อน

 

ในสวนดาว ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:30:36 )

610801

รายละเอียด

610801_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สวดมนต์ที่ผิดวินัยเป็นการทำลายศาสนา

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/14sTLsl2jk-AQQ7u-1R-px7UEaKiWw4h0pWNsb1D7jws/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1MStNtIQSXpoiiE6MT5NYOKdAVL9MgnJ0

สมณะฟ้าไทว่า... วันนี้เป็นวันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้กระแสสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เราจะเห็นความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของสังคม ฆ่าฟันกันได้ง่ายๆ เพราะคนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เนื่องจากได้ทำตามอารมณ์ตามกิเลสตัวเองมาก ถึงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ภัยต่างๆก็มามากขึ้น ไม่เฉพาะแค่น้ำท่วม

แต่เราอยู่ในสังคมบุญนิยม ภัยต่างๆก็มีน้อย การแสดงออกที่เกิดจากกิเลสของพวกเราก็มีน้อย เป็นสังคมที่พ่อครูสร้างให้พวกเราอยู่อย่างสัปปายะ พ่อครูยินดีอยู่กับพวกเรา พวกเราก็น่าจะยินดีที่จะอยู่กับพ่อครู ถ้าพ่อครูไม่ยินดีจะอยู่ก็ไปได้ ถ้าร่างกายไม่ไหวแล้ว ถ้าเรายังไม่ได้คุณธรรมเพึยงพอ ก็อาจจะต้องเสียใจเหมือนพระอานนท์ ตอนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เราก็น่าจะสำนึกในสิ่งที่พ่อครูได้สร้างได้ทำ

เราฟังพ่อครูเทศน์ต่อหน้า กับฟังทางทีวีนั้นก็ต่างกัน

พ่อครูว่า...อ่าน sms กันก่อน SMS 30 กรกฎาคม 2561 (พ่อครู : บวรสันติอโศก)

 

_7722ชื่นชมท่านที่โพกศีรษะนั่งฟังพ่อครู พอมี sms กล่าวถึงท่านสามารถปลดผ้าออกได้อย่างสบาย

พ่อครูว่า…อาตมาตอนเด็กไม่ได้ตัดที่ร้านตัดผม ยายจับโกนหัว เวลาโกนเสร็จ ก็จะถูกล้อว่าเด็กหัวโปก โกนหัวเสร็จก็โดดลงน้ำเย็นสบาย

 

__3867นมัสการพ่อครูฯสมณะสิกขมาตุ!จรธ.ญตธ.นร.สัมมาฯ ที่หลวงปู่โพธิรักษ์ฝึกจิตฝนใจลูกหลานอโศกอยู่กับทุกข์101เจ็ดย่านน้ำ(ท่วม)แปรเป็นสุขด้วยโลกุตระธ.ทุกฤดูมรสุมฯสาธุ!กบสิ้นโศก

 

_3867ตอนน้ำแห้งฟูมฟักดินเก็บผักบุ้งฟักแฟงแตงไทยดินดีงาม!ตอนน้ำท่วมฟื้นฟูน้ำเก็บ ผักตบชวาน้ำใสสะอาด!จะน้ำขึ้นน้ำลงทั้งคน,ดิน,น้ำล้วนพึ่งพากันและกันร่วมสัจธรรมผ่านทุกข์สุขผ่าน มาได้ทุกฤดูกาล!สู้ๆนะ

พ่อครูว่า…พ่อครูพูดถึงฟักท องที่บอกว่าเป็นพันธุ์ญี่ปุ่น แต่ขึ้นที่สวนอุทยานเราเอง และเกิดจากกองขยะ

อุปสรรคใดๆเราก็แก้ได้ แม้แต่อุปสรรคที่หนักที่สุดคือมหาเถรสมาคมเล่นงานเราก็ผ่านมาได้ เชิงกฏหมายก็พยายามเล่นอาตมาให้งอม พยายามเล่นทางวินัยแต่ไม่รู้ว่าใครงอมกันแน่

 

_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ้งครับ พระที่ว่าท่านสอนผิดนั้น เขาเป็นอเวไนย์สัตว์ครับ เขาฟังพ่อครูแสดงธรรมไม่เข้าใจในธรรมที่ท่านสอนหรอกครับ ถ้าเขาฟังเข้าใจเขาจะไม่คิดอย่างที่เขาตำหนี่ท่านแน้ครับ

 

_จาก...บุญลาภ  แก้วมณี กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพสุดเศรียรสุดเกล้าครับ

สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันคือตั้งใจว่าจะขอเข้าเป็น1ใน1000 ของชุมชนราชธานีฯภายในเดือนพ.ย.นี้ครับ

 

_มนูญ ณ นคร  ชมพ่อท่านอยู่ทางช่อง 240 ครับ

 

_เชวง กิจจะบรรณ์ ผมฟังเทศมากกว่าอ่านหนังสือครับ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ฆราวาสและนักบวชก็เป็นอุปกรณ์การฝึกแก่กัน

_...น้อมกราบนมัสการรบกวน พ่อท่านฯ อธิบายคะ  คำถาม: ว่ากันว่า  ฆราวาส เป็นอุปกรณ์ให้นักบวชฝึก คืออะไร อย่างไร หมายความถึงอย่างไร คะ (มีหลายอา/ป้า  เคยบอกแบบนี้น่ะค่ะ)

พ่อครูว่า…

สมณะฟ้าไทว่า...ก็ฝึกซึ่งกันและกัน เป็นอุปกรณ์กันและกัน ต่างคนเป็นอุปกรณ์ซึ่งกันและกัน

พ่อครูว่า...ฆราวาส อยู่ในฐานะที่เขาไม่มีกฎหลักเกณฑ์ธรรมวินัยบังคับ ก็ต้อง Free form สบายๆ เพราะฉะนั้นเขาจะปฏิบัติอะไรข้อจำกัดก็น้อย เขาทำอะไรต่ออะไรได้ ไปท้วงอะไรเขาก็ได้ยาก แต่เขาท้วงเราได้ นัยยะฆราวาสเป็นอุปกรณ์คือทำให้ดีนะ ฆราวาสเขาส่องกล้องอยู่นะ ฆราวาส จึงเป็นอุปกรณ์ให้นักบวชฝึกตัวเอง แต่ถ้าเกิดว่า เป็นภิกษุหรือนักบวชที่อลัชชี น่าไม่อาย พวกไม่รู้จักอะไรเป็นอะไรบวชแล้วก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองบวชเป็นพระแล้ว มีความต่างกันกับฆราวาสแล้ว     พระพุทธเจ้าอธิบายในอภิณหปัจจเวกขณ์มันก็เหมือนกันเละเทะ ฆราวาสก็คอยดูเราตลอดเวลาต้องระวัง และต้องอยู่ร่วมกันไม่ใช่ไปหลีกหนีไม่พ้นไม่พบสัตว์อะไร หรือแม้แต่พืชก็ไม่พบ หลบเข้ารูเลี้ยว นั่งหลับตาปฏิบัติอีกต่างหากอย่างนั้นไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเป็นพวกขี้กลัวขี้หนี ทิฏฐิวิบัติ เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ อาตมาว่าอาการมันแรงร้ายขนาดนั้น หลงติดไปไม่เข้าเรื่อง นี่ว่าหนักๆนะ

ในสมัยพระพุทธเจ้า คนทั้งหลายก็เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมคือการไปนั่งหลับตาสมาธิ ศาสนาพุทธ ไปตีนั่งหลับตาสมาธิทิ้ง อาตมาฟันขาดเลย แต่ศาสนาพุทธของพวกเราทุกวันนี้ 2500 กว่าปี มันได้ผิดเพี้ยนไปจนไม่เข้าใจ จนไปมีลัทธินั่งหลับตา

พระสูตรแรกเลย พรหมชาลสูตรไม่มีสูตรไหนสอนนั่งหลับตา หลับตามีแต่อดีตกับอนาคต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่มีฐานะที่จะปฏิบัติธรรมได้ สัจจะต้องมีทิฏฐะ ทิฏเฐ  ต้องมีปัจจุบัน หากหลับตาแล้วย่อมไม่มีปัจจุบัน

ปัจจุบันต้องมีแสงสว่าง ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกะ ต้องลืมตาอยู่กับโลกมีแสงสว่างของพระอาทิตย์ จึงจะเกิดญาณปัญญา ปัญญาหลับตาไม่มีปัญญาเกิดได้ในการหลับตาปัญญาเกิดไม่ได้ จะปฏิบัติธรรม ศีล สมาธิ ปัญญาก็ไม่มี มีแต่ศีล สมาธิ สัญญา ไม่หลับตาไม่มีปัญญาเกิด เกิดไม่ได้ ปัญญา ปัญญนิทรีย์ ปัญญาพละ เกิดได้ต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ในการกระทำทุกอย่าง ในการพูดการคิดการกระทำ ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 มรรคมีองค์ 8 ไม่มีข้อไหนนั่งหลับตาเลย แต่ไปเข้าใจว่าสัมมาสมาธิคือการนั่งหลับตา คือหาทางโง่กันได้จัดจริงๆ แล้วเขาก็โง่จัดได้สมใจ จนอาตมาช่วยได้ยาก เหนื่อยก็เหนื่อย สงสารก็สงสาร เพราะว่าเขาดึกดำบรรพ์เขาก็โง่ นี่โง่กว่าดึกดำบรรพ์อีก

 

SMS วันที่ 31 กค. 2561 (สมณะ สิกขมาตุ : สันติอโศก)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่สมาธิทั่วไป

_เรียม พิมประสาน · กราบนมัสการท่านสมณะ.และสิกมาตุทุกรูปค่ะ.ฟังธรรมะมาหลายที่.แต่ไม่เคยเจอที่อธิบายดี และฟังเข้าใจเหมือนที่นี่เลยค่ะ บุญที่ได้มาเจอ จะขอติดตามฟังตลอดไปค่ะ. สาธุๆ

พ่อครูว่า...ก่อนจะได้พูดถึงความผิดเพี้ยนของการสวดมนต์ ที่ได้เขียนในหนังสือคนจนที่มีแบบเขียนไปหลายสิบหน้า ทุกวันนี้อาตมาสงสารมากเลย ศาสนาทุกวันนี้มีแต่เรื่องการสวดมนต์ เป็นศาสนาสวดมนต์เท่านั้น เรื่องสวดมนต์เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง sensitive [อ่อนไหว] sensible [มีเหตุผล] มาก

คนที่เขายกตัวอย่างว่าการสวดมนต์เป็นการสร้างสมาธิชนิดหนึ่ง ก็ใช่ แล้วการสร้างสมาธิชนิดนั้นไม่ใช่ของพุทธ เป็นสมาธิหลับตา

สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นสมาธิแบบวิปัสสนา วิปัสสนาไม่มีหลับตา การหลับตาไม่มีวิปัสสนา เพราะว่าวิปัสสนาแปลว่าเห็น ไอ้หลับตาแล้วมันจะไปเห็นได้อย่างไร หลับตามีแต่มืดในภพ แค่นี้ พยัญชนะ ปัสสะ ปัสสี วิปัสสี คือเห็นยิ่งเลย

ผู้ที่จะสร้างสมาธิโดยเอาภาษาอังกฤษใส่เรียกว่า concentrate ที่แปลว่า เพ่ง แต่ meditation ก็แปลว่าเพ่ง แต่พุทธเป็น supra Concentration 

meditation เป็นการเพ่งใส่จุดให้จิตนิ่ง แต่การรวมของ concentration เป็นการรวมจิตให้เป็นหนึ่ง เพ่งในสิ่งที่ไม่เป็นสมาธิให้หมดไป

เขาอธิบายสมาธิกับฌานก็ไม่ถึง สมาธิต้องเกิดจากฌานก่อน ฌานเผากิเลส เผากิเลสได้จิตก็สะอาดจิตก็ตกผลึกเป็นสมาธิสมถะ ที่เกิดต่อเนื่องจากการลืมตาปฏิบัติ เขาไม่เรียกสมถะที่แปลว่าสงบ แต่ภาษาบาลีของการทำฌานลืมตาไม่เรียกสมถะ เพราะสมถะเป็นผลจาก Meditation จากการหลับตาปฏิบัติ ส่วนการลืมตาแล้วจิตสงบนั้นเรียกว่า ปัสสัทธิ แปลว่าสงบ ไม่ใช่สมถะ แต่เป็นปัสสัทธิ สงบแบบลืมตา เพราะว่าจิตเราไม่มีกิเลสทำให้วุ่นวาย แล้วจิตเป็นอย่างไร จิตยิ่งนิ่งยิ่งคล่อง เป็นกายปาคุญญตา และทำงานได้ดีขึ้น กัมมัญญตา

เวทนา สัญญา สังขารจึงจะทำงานได้คล่องแคล่วแววไว ทั้งเชิงปัญญาและเชิงเจโตปรับได้ง่ายด้วยมี มุทุภูตธาตุ อย่างนี้เป็นต้น

อาตมาอธิบายนี้ มีรากฐานแห่งความรู้ ก็ได้เอาพยัญชนะบาลีมาประกอบอธิบายตลอดเวลา ซึ่งไม่มีใครอธิบายได้อย่างอาตมา ขออภัยที่คุยตัว เพราะอาตมามีภูมิเดิมมาก่อน ไม่ได้อธิบายอย่างในตำรา ไม่มีตำราไหนเขียน เมื่ออาตมาพูดเขาก็บอกว่าไม่มีตำราไม่เคยได้เรียนมันก็ใช่ ไม่ผิดหรอก แต่ว่าอาตมาขอยืนยันว่าที่พูดนี้พูดความจริงและความถูกต้อง

ถ้าใครฟังธรรมะอาตมาโดยไม่เพียงพอ และเชื่อว่าอาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายอย่างนำศาสนาพุทธกลับมา ถ้าคนเชื่อก็จะได้ประโยชน์มาก คนไม่เชื่อก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

อาตมาถึงเรียกสมาธิของพระพุทธเจ้านี้ว่า Supra Concentration เป็นสมาธิที่ไม่สามัญกับคนทั่วไปที่เขาใช้กัน ที่เป็นสมาธิสามัญแบบธรรมชาติ ทุกคนก็มีตามธรรมชาติ Concentrate ของคนเขาก็ทำได้ มีคติตามสามัญ แต่ของพุทธนี้เพ่งเพียรพินิจ แล้วรู้เหตุที่มันทำให้เกิดกายกรรมวจีกรรมที่ไม่ดี มีเหตุจากมโนกรรมที่เป็นตัวร้ายตัวเหตุต้องวิจัย ตรรกะวิตักกะ สังกัปปะ แล้วแยกกิเลสให้ได้ กำจัดกิเลสให้ได้ สั่งสม อัปปนา พยัปปนาเจตโสอภินิโรปนา แล้วออกมาเป็นวจีสังขาร ก่อนจะออกมาเป็นวจีกรรมกายกรรมข้างนอก ผ่านสังกัปปะ 7 ออกมา

ที่อาตมาอธิบายอย่างนี้ก็ไม่มีใครมาอธิบายกระบวนการ solution 7 ตัวนี้ พยัญชนะ 7 ตัวนี้ แล้วทำการปฏิสังขารกันอยู่ข้างใน

 

อธิบายขยายความ Concentration ไปแล้วก็แถมไปเรื่อยๆ

 

มีเด็กๆ มานั่งฟัง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน สีจีวรของชาวอโศก

_หนูอยากถามว่าหลวงปู่จำใจเปลี่ยนสีจีวรใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...หลวงปู่เจตนาเปลี่ยนสีจีวร เริ่มตั้งแต่หลวงปู่บวชมา รู้ว่าการใส่จีวรสีเหลืองมันผิดวินัย ตั้งแต่บวชมาจนถึงวันนี้ แม้ว่าแต่ก่อนยังไม่ได้แยกออกมาก็ตามบวชอยู่ในเถระสมาคม อยู่นิกายธรรมยุต ต่อมาอยู่ในมหานิกาย หลวงปู่ก็เป็นพระทั้งธรรมยุตและมหานิกาย เพราะสวดญัติ 2 อย่าง ไม่ได้ลาสิกขา จึงเป็นพระครบ และก็เป็นพระที่เป็นแบบอโศกด้วย เขาก็พยายามจะแยกอโศกให้เป็นนิกาย ใครไปแยกก็เป็นบาปที่เป็นอนันตริยกรรม หลวงปู่ก็ว่าอโศกไม่ใช่นิกายแต่เป็นนานาสังวาสเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ เราไม่ได้แยก อยู่ในสังวาสเดียวกันกับพุทธ ทั้งธรรมยุตและมหานิกายก็เป็นพุทธด้วยกัน แต่มันเป็นอีกลักษณะหนึ่งต่างไป เรียกว่า นานา เป็นนานาสังวาส อาตมาไม่ได้เป็นอสังวาสไม่ได้ปาราชิก และไม่ใช่สมานสังวาสเท่านั้น

ถามว่าจำใจเปลี่ยนสีจีวรใช่ไหม ถูกเขาบังคับให้เปลี่ยนก็ต้องตามใจเขาไม่ได้จำใจหรอก รู้อยู่ว่า ถ้าไม่เปลี่ยนมันก็ไม่สงบ เขาไม่ให้ใช้ เราก็เปลี่ยนไปใส่จีวรสีขาวเป็นต้น ตอนเกิดเรื่อง มันก็จะทะเลาะกันถ้าไม่เปลี่ยน เราก็ถือว่าห่มจีวรสีขาวถือว่าเป็นจีวรที่โจรลักไปชั่วคราว วันหลังก็กลับมาใส่ใหม่ ใส่สีที่มันเป็นสีที่ถูกต้อง ก็อยู่ในโทนที่ถูกต้องทั้งนั้น

สีจีวรต้องห้าม (พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้ภิกษุใช้)

1.สีครามล้วน 2.สีเหลืองล้วน 3.      สีแดงล้วน 4.สีบานเย็นล้วน 5. สีดำล้วน 6. สีแสดล้วน 7. สีชมพูล้วน  (พตปฎ. เล่ม 5  ข้อ 169)

เขาก็อาบัติกันมาตลอด คนที่ต้องอาบัติแล้วไม่ปลงอาบัติก็เป็นพระที่ไม่ปกติ อปกติ(อปกตัตตะ)อยู่ตลอดเวลา แต่มีพระที่ท่านเปลี่ยนสีไปให้ถูกต้องก็มี แต่มีพระที่อย่างไรก็หน้าแข็งไม่ยอมเปลี่ยนก็มี ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับพวก อลัชชีหน้าแข็ง

 

_ใครเป็นนักบวชที่รองจากหลวงปู่คะ

พ่อครูว่า...ถ้ารองคืออายุน้อยกว่าหลวงปู่ก็มีเยอะ ที่ไม่รองแก่กว่าหลวงปู่ก็มี ก็มีท่านผองไท รูปเดียว

หลวงปู่ไม่เคยคิดว่ามีพระชั้นสูงชั้นใหญ่กว่า เพราะเราก็เอื้อเฟื้อกัน ผู้ที่รู้มากกว่าก็อธิบายให้แก่ผู้ที่รู้น้อยกว่า ไม่ได้ถือว่าใหญ่กว่าเหนือกว่า ส่วนที่คนจะยกให้ว่า เรามีคุณวุฒิ วัยวุฒิก็ได้ทั้งนั้น การคารวะกันด้วยวัยด้วยคุณธรรม สมมุติ ยศศักดิ์ก็มี ก็รู้คารโว ครุกรณะ

 

_หลวงปู่คิดว่านักเรียนสัมมาสิกขาสนใจการฟังธรรมไหมคะ

พ่อครูว่า...มีเด็กบางคนสนใจฟังธรรม คนที่มาเรียนที่นี่ตั้งใจมาฟังธรรมเลย ก็ต้องมีหลุดบ้าง ฟังธรรม จะให้ได้ตลอดเวลา 100% ก็คงไม่ได้ ก็หลุดบ้าง ยิ่งเด็กก็เล่นบ้าง แต่ถึงเวลาเขาก็เอาใจใส่

หลวงปู่อธิบายธรรมะนั้นเป็นเรื่องที่เขาจะเข้าใจได้ยาก แม้แต่เด็กก็ตาม ก็เลยไม่ค่อยอาจจะรู้เรื่อง ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อะไรฟังได้ก็เก็บ

 

_วัดหายโศกเขาขอยืมเรือ ถ้าเป็นหนู หนูจะไม่ให้ แล้วหลวงปู่จะให้หรือไม่คะ

พ่อครูว่า...หลวงปู่ให้เราแบ่งปันกันได้ ไม่ได้หวงแหนอะไร ดีไม่ดีไม่ค่อยมาคืนเราก็ตามไปเอาคืนก็ได้ เพราะเขาไม่มีเครื่องมือที่ขนมา ที่จริงไม่หนักอะไร ใส่รถปิคอัพก็ขนมาได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ปล่อยนกปล่อยปลาได้บาปหรือบุญ

_การปล่อยนกปล่อยปลามันได้บุญ หรอคะ หนูคิดว่าคนขายได้บุญมากกว่าค่ะ

พ่อครูว่า...ใครจับสัตว์มาบาปตั้งแต่ต้นทาง ยิ่งเอามาค้ามาขาย บาปเพิ่มหนักเข้าไปใหญ่เลย เพราะฉะนั้นการค้าขายนกปลาหรือสัตว์อะไรก็แล้วแต่ มันไม่ได้เป็นการทำบุญอะไรหรอก ถามว่าคนซื้อไปปล่อยได้บุญหรือเปล่า ก็มีนัยยะลึก

ลึกคือ คนปล่อยนี้ เขาก็ว่า สัตว์มันจะได้พ้นจากความตายก็ยินดีกับสัตว์ ก็ได้กุศลมีเมตตา ได้ดี ใจดี ดีใจ แต่ถามว่าได้บุญไหม ถ้าคนนี้ปล่อยแล้วลดกิเลสได้ คือ ปล่อยไปแล้วจิตไม่ต้องมีความหวังอะไรเลย ไม่ได้หวังวิมานอะไรเลย เพราะว่าวิมานสวรรค์ 6 ชั้นก็คือนรก 6 ชั้น

ผู้ใดทำทาน ปล่อยสัตว์ไม่ให้ถูกฆ่าทุกครั้งถูกจับ พระพุทธเจ้าตรัสในชีวกสูตร ผู้เข้าใจทำให้ดีอ่านพระสูตรนี้ ท่านตรัสไว้ 5 ข้อ

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

ความอิสระเสรีภาพตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมันก็รักอิสระเสรีภาพ ไม่มีสัตว์ตัวไหนอยากจะให้คนไปจับเอามันมา ผูกคอมันมา

ใน 5 ข้อนี้เห็นอิริยาบถที่อยากขึ้นใช่ไหมในแต่ละข้อ หากอ่านชีวกสูตร 5 ข้อนี้ จะรู้เลยว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ใดเลยตั้งแต่ข้อที่ 1

สัตว์ก็อยู่ตามวิบากของเขา แล้วจะไปจับเขามาทำไม ไปผูกพยาบาทเกี่ยวข้องทำไมอย่าไปสร้างวิบาก วิบากของเราที่เกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลายก็เยอะแล้ว แล้วจะไปเพิ่มมาอีกทำไม สัตว์ก็เป็นสัตว์ เขาก็อยู่ของเขา ต่างคนต่างอยู่ เราก็อยู่ของเรา เราเกี่ยวข้องกับพืชเท่านั้นแหละดีแล้ว ก็กินแหละไม่เป็นไร กับพืชนี้ไม่มีรักไม่มีชังไม่มีพยาบาท กับสัตว์นั้นไม่ต้องเอามากินมาใช้ไม่ต้องเลี้ยงดู เขาก็อยู่ตามวิบากของเขา นี่คือศีลข้อที่ 1 อย่าฆ่าสัตว์ อย่ามีอาวุธ มีความละอายมีความเอ็นดูมีความกรุณาหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือศีลข้อที่ 1

สัตว์มันก็อยู่ของมัน เราก็หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลาย แม้มันเป็นสัตว์เซลล์เดียว มันก็หวังประโยชน์จะพัฒนาตัวเอง สัตว์เซลล์เดียวตัวนี้อาจจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้คุณรู้หรือ เราก็ส่งเสริมให้สัตว์พัฒนาตัวเองต่อไป จะไปตัดตอนเซล์ลนี้ได้หรือ เพราะอาจจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต คุณรู้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงสัตว์ทุกตัวอยู่

คนนี้ไม่ต้องจำเป็นจะไปเกี่ยวกับสัตว์เลย ถ้าเข้าใจที่พระพุทธเจ้าตรัส เราอยู่กับพืชก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเกี่ยวอะไรกับพวกสัตว์ทั้งหลาย เราอยู่กับพืช กับอุตุนิยามเท่านั้นรอด ทั้งอาหารและเครื่องใช้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องยุ่งกับสัตว์เลย แต่คนจะไปเอาเปรียบสัตว์ทั้งหลาย

อธิบาย 5 ข้อนี้ถล่มทลายแล้ว สัตว์เมื่อถูกฆ่ามันก็ย่อมมีทุกข์โทมนัส ตั้งแต่ถูกจับมาเลยแล้วถูกฆ่าอีก บาปก็ต้องสูงขึ้นตามลำดับ ตามรายละเอียดของกรรมที่คุณกระทำ หยาบคายอำมหิตเพิ่มขึ้น

ข้อสุดท้ายนี้ ยังตถาคตและสาวกให้ยินดีกับอาหารเนื้อสัตว์ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก เนื้อสัตว์เป็นอกัปปิยะ คือเป็นของไม่ควร ใครเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้าและสาวกนั้นเป็นบาปข้อที่ 5 บาปสูงที่สุดเลย

เมื่อเขาไม่ชัดเจนในธรรมะพุทธเจ้าที่มีความ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

พูดไปนี้ก็เหนื่อยเห็นใจตัวเองเหมือนกันนะเนี่ย

 

_คะใช้เติมต่อท้ายคำถาม ค่ะ เป็นคำรับเมื่อเอ่ยข้อความ นะคะ พูดเสริมยามบอกกล่าว นะค่ะ ผิดเต็มร้อยอย่าใช้ให้อาย ...จาก fb ของสุเทพ

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน การสวดมนต์แบบผิดๆเป็นการทำลายศาสนา

พ่อครูว่า...ทีนี้มาเข้าสู่เรื่องที่เราจะบรรยายอยู่เรื่องของการสวด ก็ต้องขออภัยจะต้องพูดความจริงตามความเป็น และก็ต้องพูดเพราะมันมีอยู่มากในศาสนา พูดไปแล้วก็ต้องกระทบกับใครก็ต้องขออภัย หากพูดแล้วไม่กระทบใคร มันได้ที่ไหน เข้าหูใครก็กระทบแล้ว ถ้าจะพูดแล้วไม่กระทบใครนั้นจะพูดไปทำไมเสียเวลาพูดทำไม บอกว่าพูดแล้วอย่าไปกระทบกับใคร พูดคำที่ดีก็ต้องกระทบกับคน พูดคำไม่ดีก็ต้องกระทบกับคนทั้งนั้น

ความหมายของการอย่าพูดร้าย อย่าทำร้าย อนูปฆาโต อนูปวาโท

อย่าพูดร้ายไม่ได้หมายความว่าไม่ให้กระทบใคร แต่หมายถึงอย่าพูดคำพูดที่ผิดที่เป็นโทษเป็นภัย แต่ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้มีคำพูดที่เป็นโทษภัย แต่พูดถึงว่าคุณนั้นสวดมนต์อย่างเป็นโทษภัยก็ต้องพูดให้แก้ไข ขอยืนยันว่าต้องอาบัติกัน พ้นจากอาบัติได้ยากมาก

ศาสนาพุทธสวดมนต์คือการกล่าวคำ สรภัญญะ คือความเป็นแห่งการกล่าว

สระ ก็คือ คำว่า สระ มันมี รัสสระกับทีฆะสระ คือสระเสียงสั้นกับสระเสียงยาว

อะ เสียงสั้น อาเสียงยาว อิ อี อุ อู ก็มีเสียงสั้นเสียงยาว ออกเสียงตามสระที่กำหนดพยัญชนะนั้น เท่านั้นเองและไม่ควรลากเสียงยาวเกิน เช่น อา ก็ไม่ใช่อาาาาาา นี่ผิด เรียกว่าลากด้วยเสียงอันยาว เป็น อายามะ ถ้าคีตะคือเสียงเพลง

สวดลากเสียงยาวไม่ได้ ใส่ทำนองไม่ได้ แต่เขาก็โมเมว่า การสวดสรภัญญะคือการสวดใส่ทำนอง นี่คือความเข้าใจผิด ขอยืนยันว่าไม่มีเลย

สรภัญญะ ไม่มีคำบอกเลยว่าให้เป็นทำนอง แม้แต่กล่าวยาวเกินกว่า ทีฆะสระก็ผิดเลย นี่คือ ความไม่เข้าใจที่ไม่คมแม่นชัดพอ

สรภัญญะคือคำกล่าวไม่ได้มีทำนองเลย

ประณามคาถาคือคำกล่าวที่แต่งขึ้นใหม่สำหรับสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

สรภัญญะคือ “คำกล่าว”คือ“คำสอน”ไม่ใช่“เพลง”เด็ดขาดแน่ๆ
      ส่วน“การกล่าว”คำสอนนั้น บาลีว่า “สรภัญญะ”คำพูด
      ไม่ใช่“คีตะ”แน่ๆ “คีตะ”กับ“สังคีติ”ก็มีนัยะแตกต่างกัน 
      ยิ่งคำว่า “สรภัญญะ”ไม่ใช่“เพลง”เลย ใส่ทำนองไม่ได้ แม้เอื้อนด้วยเสียงอันยาว เกิน“ทีฆะสระ” ก็ผิด“วินัย”แล้ว ถ้าเป็นทำนองมันก็ยิ่งผิดกันไปใหญ่แน่นอน ฟังดีๆ กำลังอธิบายชัดๆ
      “คีตะ”นั้นคือ เพลง ที่เป็นเพลงที่มีทำนองหลากหลาย

หากสวด นะโมตัสสะ เป็น นามัวตัสสะ นี้ผิดไปเลย เพราะลากยาว แต่ประณามคาถาก็จะมีคำบาลีแต่งผสมไปด้วย แต่ถ้าเผื่อว่า นะโมตัสสะ แบบคำพระพุทธเจ้านะโมแปลว่าความนอบน้อม นอบน้อมต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภควโต เป็นต้น


      แต่“สังคีติ”นั้น อนุโลมมีทำนองได้นิดหน่อย พอช่วยให้“ท่องจำ”เรียกว่า“ท่องสังคีติ(ท่องจำไว้)”ทำเป็นหมู่พร้อมกันนั้นได้ แต่ในที่ลับตาฆราวาสนะ ไม่ใช่การ“ท่องโชว์”ฆราวาส
      ยิ่งนำมาสวดโชว์ฆราวาส ไม่แค่“ท่อง”แต่“ร้องเป็นเพลงหากิน”นั้นผิดแน่นอน เป็น“วณิพกหรือคณิกา”เลย “การกล่าวคำสอน”ของพระพุทธเจ้าเรียกว่า“กล่าวธรรมบท” จึงนำมา“กล่าวพร้อมกัน 2 คนขึ้นไป”ต่อหน้าสาธารณะ หรือต่อหน้าฆราวาส ก็มี“วินัย”ห้าม”แล้ว ขืนทำ“อาบัติ”ทุกคำกล่าว กล่าวหนึ่งคำ อาบัติหนึ่งตัว กล่าวมากขึ้นไปกี่คำ ก็อาบัติไปตามจริง กล่าวเท่าใด ก็อาบัติเท่านั้น ยิ่งกล่าวมากก็ยิ่งอาบัติมาก 

พ่อครูว่า คนทำผิดอาบัติแล้วไม่รู้ เหมือนม้าตดเสียงดัง แต่ทำหน้าเฉย
      ดังนั้น“การกล่าว” จึงไม่ใช่เพลงเด็ดขาด แม้แต่การกล่าวลากเสียงยาวเกิน‘ทีฆะสระ(สระเสียงยาว)’เป็น‘อายตเกน(เจตนาลากเสียงให้ยาวเกินความเป็น“สระเสียงยาว”นั้น)’ก็ผิดแล้ว “การกล่าว”คือ “สรภัญญะ”นี้เป็นเรื่องที่เป็นทั้ง“กุศล(สิ่งที่เป็นธรรม = สมบัติที่นับว่าเจริญ)” ที่สุดเป็นทั้งอุปกรณ์ที่พาไปสู่“บุญ(พลังงานที่เป็นอธรรม = วิบัติที่ทำให้เจริญสู่นิพพาน)” ยิ่งเป็น“คีตัสสเรนะ”ก็เป็นเพลงแล้ว
      “การกล่าว”ที่เป็น“ศิลปะ”ก็อย่างหนึ่ง คือ “การกล่าว” ที่บาลีว่า “สรภัญญะ” ต่างกันนะกับ“การลากเสียงยาว”บาลีว่า “อายตเกนะ” ส่วน“เพลง”ที่เป็น“ศิลปะ”ก็อีกอย่างหนึ่ง คือ“ภาษาที่มีทำนอง”บาลีว่า “คีตะ”(ซึ่งยังมีนัยะที่แตกต่างจาก“สังคีติ”อีกนะ) 

 

(81) ต้องขออภัยจริงๆที่ต้อง“พูดความจริง”ตามที่จริง    
      ส่วนศาสนาพุทธกระแสหลักนั้นทุกวันนี้ อาตมาขออภัยจริงๆที่“พูดตรงตามสัจจะที่มีที่เป็นอยู่จริง” มันน่าสังเวชจริงๆ
      เห็นมีแต่“ประณามคาถา”นั่นแหละที่แต่งขึ้นมามาก มายปรุงแต่งรูปแบบประเพณีสวดทำมาหากินกันอยู่ทุกวันนี้
      และปรุงแต่งสร้างประดิษฐ์“รูปแบบพิธีการ”ให้วิตถารยิ่งๆขึ้น จนเต็มไปด้วยสารพัดหลากหลาย“วิตถารพิสดารประเพณี” ซึ่งฟูเฟื่องด้วยเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ กระทั่งกลบพฤติการณ์ศาสนาพุทธ กระทั่งเต็มไปด้วยยัญญพิธีเดียรถีย์
      ทุกวันนี้ศาสนาพุทธจึงไม่ใช่กลองหรือตะโพนที่ชื่อ “อานกะ”ใบเดิมที่เป็น“พุทธ”กันแล้ว ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ไว้ใน“อาณิสูตร” พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 672
      มิหนำซ้ำ นำ“ธรรมบท”ของพระพุทธเจ้ามา“สวด” พร้อมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปในที่นอกหมู่สงฆ์ เอาไปสวดต่อหน้าประชาชนฆราวาสที่เป็น“อนุปสัมปัน” มันก็เป็นอาบัติอยู่แท้ ซึ่งเป็น“วินัย”ห้ามไว้ในปาติโมกข์“มุสาวาทวรรค”ข้อ 4 ชนิดที่ไม่รู้สีรู้สากันเลยว่า นั่นมันคือ “ภิกษุต้องอาบัติ” อยู่ทุกคำสวด แต่ไม่เดียงสาจริงๆ ทำอาบัติกันอยู่ได้!
      กลับตาละปัตรไปหลงว่า นี่คือ การกระทำเช่นนี้เป็น การรักษาพระศาสนาไว้ไม่ให้เสื่อม ..ว่าไปโน่นเสียอีก พัฒนาความโง่ให้สิ่งซับซ้อนไปอีก

การสวดพร้อมกันในหมู่สงฆ์มีการสวดสังคีติ คือสวดในหมู่สงฆ์เพื่อให้จดจำคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ แต่เขาก็ทำอาบัติกันแล้วก็ไม่รู้เรื่อง
      ขอให้รู้ไว้เถิดว่า นี่แหละคือ การกระทำที่กระหน่ำย่ำยีวินัย ผิดวินัยแท้ๆ ที่ยิ่งกระทำยิ่งทำลายพุทธศาสนาให้เสื่อมหนักหนาสาหัสอย่างไม่ประสีประสาไร้เดียงสาแท้ๆ
      พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2

เรื่องสวดพระธรรมด้วยทำนอง

[20] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ เหมือนพวกเราขับ ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ...ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายข่าวว่า ... จริงหรือ

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ มีโทษ 5 ประการนี้ คือ:-

1. ตนยินดีในเสียงนั้น

2. คนอื่นก็ยินดีในเสียงนั้น

3. ชาวบ้านติเตียน

4. สมาธิของผู้พอใจการทำเสียงย่อมเสียไป เขาก็บอกว่า การสวดมนต์เป็นการสร้างสมาธิ สิ่งที่คุณจะต้องเพ่งการสวดมนต์ให้มีสติต่อเนื่อง กับการสวดมนต์ ก็ได้สมาธิแบบนั้นแต่ไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ Concentration ไม่ใช่การสงบแบบปัสสัทธิ

เช่น การสวดกันเป็นหมู่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า choir (ควาอี้) แปลว่าการสวดเป็นหมู่ ประสานเสียงบ้างไม่ประสานเสียงบ้าง ก็เป็นคณะ ยิ่งมากเท่าไหร่ก็เป็น choir ที่ใหญ่เท่านั้น พูดไปก็หาว่าอาตมาไปว่า แต่อาตมาไม่ได้มีอกุศลจิตพวกนี้ แต่พูดแล้วไปเฉียดๆ มันมีหลายเรื่องเป็นสิ่งที่เป็นจารีตประเพณีเยอะ

คนที่ไปพอใจเสียงสวด ก็สมาธิเสียไป ลึกซึ้งนะ คือการที่จะได้ความจริงจากสมาธิของพุทธศาสนาคือ เพ่งแยกกิเลสออกจากสิ่งที่เกิดจากกายกรรมวจีกรรมในการทำ อาชีวะ กัมมันตะ การพูดการคิด คุณเริ่มมีตักกะ ก็มีแต่มีอะไรขึ้นมา เริ่มพูดเริ่มทำงานเริ่มมีกัมมันตรังสีทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ เริ่มมีคำกริยา มันมีกิเลสร่วมเข้าไปเป็น สสังขาริกัง ร่วมเข้าไปในจิตตัวนั้นไหม ขณะทำกายกรรมวจีกรรมจนกระทั่งทำอาชีพ ถ้ามี คุณก็ตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ว่าจะเป็น กามหรือพยาบาท ที่เป็นมิจฉาสังกัปปะ 3 อวิหิงสาเป็นตัวที่ 3

คุณก็ต้องกำจัดกิเลสตัวนี้ออก กำจัดได้ออกจิตใจก็เป็นสมาธิมากขึ้น มีความเร็วไวคล่องแคล่วมีประสิทธิภาพสูงขึ้น นั่นคือสมาธิของพระพุทธเจ้า

มันไม่ง่ายนะ ที่จะขยายความพวกนี้ จริงๆ คนที่จะมีภูมิธรรมขยายความให้ละเอียดดังนี้ พูดไปก็เหมือนชมตัวเองไม่รู้จะทำอย่างไร พูดเป็นสัจจะให้ชัด คนรู้จริงจะทำไม่ได้ขนาดนี้ ก็เลยเหมือนอวดตัวอวดตนตลอดเวลา มันเลี่ยงไม่ออก ทำอย่างไรก็เหมือนยกตัวยกตน เพราะตัวตนอาตมามันสูง มันมีความรู้มาก ยิ่งพูดยิ่งน่าหมั่นไส้ เอ้า พอ

 

5. ภิกษุชั้นหลังจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง คนนี้มีอยู่เต็มศาสนาพุทธมีแต่ชาวอโศกที่ไม่ไปหลง ที่ในหมู่ผู้มีความรู้ที่ว่า คือ กลุ่มท่านพุทธทาส แต่ท่านก็ไม่ชัดเท่าที่อาตมาพาทำ ท่านก็ยังสวดมีทำนอง ซึ่งสารภัญญะท่านก็บอกว่ามีทำนองนิดหน่อยได้ ซึ่งไม่ให้มีทำนองเลยจึงจะถูก แม้แต่รากเสียงอันยาวก็ผิด ท่านห้ามนะ ไม่ใช่อนุญาต

ถ้าห้ามนี้ผิด ถ้าอนุญาตพอทำได้ไม่ผิด แม้อนุญาต หากเป็นโทษภัยก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำใดที่ผิดคำใดที่นอกคำสอนพระพุทธเจ้า มันผิดก็ต้องดัด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษ 5 ประการนี้แล ของภิกษุผู้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับรูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

 

เรื่องการสวดสรภัญญะ

[21] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจในการสวดสรภัญญะ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดเป็นทำนองสรภัญญะได้

คำว่าทำนองคือคีตะ แต่ในพระไตรปิฎกพระสูตรนี้ไม่มีคำว่าคีตะ ยืนยันว่าในบาลีไม่มีเลย

[21]  เตน  โข  ปน  สมเยน  ภิกฺขู  สรภฺเ  กุกฺกุจฺจายนฺติ ฯ อถโข   เต   ภิกฺขู   ภควโต   เอตมตฺถ   อาโรเจสุ   ฯ  อนุชานามิ ภิกฺขเว สรภฺนฺติ ฯ

 

แม้ในพระบาลี ก็ไม่มีคำว่า คีตะ ที่แปลว่า ทำนองเลย อนุชานามิ แปลว่าอนุญาต

 

พระพุทธเจ้าทรงป้องกัได้น“ความเสื่อม(หายนะ)”ใน“การสวดมนต์”ประเด็นนี้ไว้แท้ๆ ก็ไม่รู้เท่าทัน ไม่ประสีประสาจึงพากันได้“บาป”มี“นรกติดตัวไป”อย่างไม่รู้เท่าทัน
      ซึ่งเป็น“นรก”โทษฐานทำให้ศาสนาเสื่อมหรือทำลายศาสนานั้น มันจะ“บาป”หนักขนาดไหน นรกใหญ่ อนันตริยกรรม(กรรมที่ไม่มีจุดจบเลย อนันตะ ไม่มีช่วงไหนว่างจากความผิดบาป ต่อเนื่องยิ่งกว่าโดมิโน่) ปานใดก็ลองคำนวณเอาเองเถิด
      แค่ทำให้“สงฆ์แตกกัน”เป็นสังฆเภท ก็อนันตริยกรรมแล้ว นี่ถึงขั้นทำลายศาสนาแล้วมันจะหนักหนาสาหัสมั้ย?

 

(82) “สวดมนต์”ที่ผิดวินัยเป็นการทำลายศาสนาจริงๆ

“การสวดมนต์”ที่ละเมิดวินัยปาติโมกข์ ปาจิตตีย์“มุสาวาทวรรค ข้อ 4”คือ การนำเอา“ธรรมบท(ธรรมะของพระพุทธเจ้าแต่ละบทแต่ละบท)”ที่ท่านตรัสไว้ดีแล้ว มา“สวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปให้อนุปสัมบันฟัง”(อนุปสัมบัน หมายถึง ฆราวาสทั้งหลายที่ยังไม่มีภูมิรู้ในเรื่องโลกุตรธรรม) ผู้สวดต้องอาบัติทุกคำสวด

ทำไมพระพุทธเจ้าจึงบัญญัติวินัยข้อนี้ไว้

เพราะเรื่องเคยมีมาแล้ว ประวัติศาสตร์ตำนานมันมีมากแล้ว ในความเป็นลัทธิศาสนาของโลก พระพุทธเจ้าทรงมี“สัพพัญญู” สามารถหยั่งรู้“โลกในอดีต”เป็น“ปุพเพนิวาสานุสติญาณ”ที่พระองค์ได้ผ่านมา ไม่รู้กี่ชาติ ไม่รู้กี่กัปป์ ที่พระองค์ทรงซับซาบใน“โทษ”ใน“ภัย”ของเรื่อง“การสวดมนต์”นี้ จึงย่อมรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอย่างดียิ่งในวัฏฏจักรของโลกนี้ แต่ ละ“วัฏฏกัปป์”ที่มี“การสวดมนต์”ให้ประโยชน์ หรือเป็นโทษ แก่มนุษย์ในโลก ไฉน? อย่างไร? ชัดเจนยิ่งกว่ายิ่ง

พระองค์จึงทรงมากำหนด“การสวดมนต์”ในศาสนาของพระองค์ ไม่ให้เกิด“โทษ”เกิด“ภัย” ทั้งแก่ตัวผู้สวด ทั้งแก่ศาสนาแน่นอน เพราะมันละเอียด“กินลึก-กว่าลับ-เกินรู้”ยิ่ง

“การสวดมนต์”กันทั้งหลายทั่วไปในโลก แบบเป็น “ทำนอง”มี“เสียงเอื้อนให้เป็นเพลง”(คีตะ) ไม่ว่าจะร้องเดี่ยว(solo singer)หรือร้องหมู่(chorus,choir)ที่เป็น“การสวดมนต์”กันทั้งหลายทั่วไปในโลก ที่พระพุทธเจ้าทรงหมายถึงชนิดนี้แหละตัวแท้ ที่มันเป็น“โทษ”ทำลายศาสนา เป็นข้าศึกแก่กุศล มีประโยชน์น้อย แต่มีโทษมากต่อศาสนา จึงมีทั้ง“ศีล”ทั้ง“วินัย”กำกับไว้อย่างสำคัญมากอยู่ในเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นพระองค์จะทรงมีทั้ง“ศีล”ทั้ง“วินัย” และทั้ง“ห้าม”ทั้ง“อนุญาต”ใน“การสวดมนต์”นี้เป็นต้น ไม่ให้ทำแบบนั้น นี่อย่างหนึ่ง และทั้งที่บัญญัติ“อนุญาต”ก็อีกอย่างหนึ่งแน่นอน ทำไม? จึงมากแง่หลายมุมนัก ตรงนี้แหละสำคัญที่สุดยิ่งที่สุด

 

(83) “มนต์”หรือ“คำสอน”ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เพลง
      เพราะ“ดนตรีเพลงการ”นั้นก็เป็น“ศิลปะ”ที่เป็นมงคลอันอุดม(อุตตมังคลมุตตัมมัง = สิ่งที่นำมาซึ่งความเจริญทั้งที่เป็นโลกียธรรมทั้งที่เป็นธรรมถึงขั้นโลกุตรธรรมได้ทีเดียว)ได้ แต่ก็มีส่วนน้อยสุดน้อย ส่วนที่ไม่ใช่“ศิลปะ”นั้นสิมากสุดแสนมาก นับไม่ถ้วน ทว่าเรื่อง“ศิลปะ”นี้มันไม่ใช่จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกันได้ง่ายๆเลย เป็นเรื่องสูงส่งมาก ลึกล้ำยิ่งยอด ซับซ้อนสุดๆกันจริงๆ ที่คนทั้งโลกยังหยั่งถึงได้ยากมาก โดยเฉพาะ“เพลง”(เนื้อร้องที่มีทำนอง) 
      คำว่า“เพลง”นี้บาลีก็คือ“คีตะ” นี่แหละที่สุดยากยิ่งยอด เพราะแค่ที่ถึงขั้น“สาระ”ก็ยังหายากแล้ว ส่วนมากเป็นได้แค่“ราคะ” แม้แต่“ลามก”ก็ไม่ใช่น้อยเลย ดังนั้นที่จะถึงขั้น“ธรรมะ”แม้จะธรรมะแค่“โลกีย์”ก็น้อยแล้ว ยิ่งขั้น “โลกุตระ”นั้นมีในแต่ในศาสนาพุทธ(อาจมีพ่อครูสมณะโพธิรักษ์เพียงคนเดียวในโลกกระมัง) และมีในเมืองไทยนี้เท่านั้น ที่เป็น“ต้นตอ”ในโลกปัจจุบันนี้ 
      “เพลง”คือภาษาที่มีทำนอง หรือ“การกล่าวที่มีทำนอง” บาลีว่า “คีตะ” ซึ่งเป็นคำเกี้ยวพาราสีหรือแทะโลมเป็นส่วนใหญ่   หรือไม่ก็ใช้“ร้อง”หาเงิน เพื่อเลี้ยงชีพเรียกว่า วณิพก(นักร้องชาย)หรือคายิกา(นักร้องหญิง) หรือถึงขั้น“คณิกา” อย่างนั้นทีเดียว นอกจากร้องเพลงแล้วก็ยังมีอื่นๆที่หากินอีก ส่วนคายิกาคือนักร้อง

เพื่อนฝูงอาตมาในวงการเพลงเขาชังน้ำหน้าอาตมาเรื่อยๆ เพราะเขาว่าไปว่าเขา ที่จริงไม่ได้ว่าเขา แต่พูดในวิชาการ แต่เขาอยู่ในพวงที่ผิดก็เลยแยกไม่ออก ต้องพูดบอกสิ่งดีสิ่งชั่วให้รู้บอกคุณให้รู้ที่จริงน่าจะขอบคุณอาตมานะ
      มียกเว้นเรียกว่า“สังคีติ”ให้ใช้เฉพาะ“ภิกษุท่องร่วมกันมีทำนองเล็กน้อย” เหมือนท่องสูตรคูณ หรือท่องอาขยาน เพื่อให้พอช่วยในการ“ท่องจำไว้” ไม่เอื้อนเสียงไปพิสดารมากกว่านั้น
      และ“สังคีติ”นี้ห้ามนำเอามา“สวดต่อหน้าอนุสัมบันหรือต่อหน้าฆราวาส” และห้ามสวดพร้อมกันต่อหน้าฆราวาสเกินกว่า 2 คนอีกด้วย มี“วินัย”ปรับอาบัติ ทั้งที่เป็นทุกกฏก็อย่างหนึ่ง และทั้งที่เป็นปาจิตตีย์ก็อย่างหนึ่ง ตรวจสอบวินัยกันดีๆ
      แต่ทุกวันนี้ ผิดเพี้ยนเกินเลยไปมากกว่ามาก

(83) “คำกล่าว”คือ“คำสอน”ไม่ใช่“เพลง”เด็ดขาดแน่ๆ
      ส่วน“การกล่าว”คำสอนนั้น บาลีว่า “สรภัญญะ”คำพูด
      ไม่ใช่“คีตะ”แน่ๆ “คีตะ”กับ“สังคีติ”ก็มีนัยะแตกต่างกัน 
      ยิ่งคำว่า “สรภัญญะ”ไม่ใช่“เพลง”เลย ใส่ทำนองไม่ได้ แม้เอื้อนด้วยเสียงอันยาว เกิน“ทีฆะสระ” ก็ผิด“วินัย”แล้ว ถ้าเป็นทำนองมันก็ยิ่งผิดกันไปใหญ่แน่นอน ฟังดีๆ กำลังอธิบายชัดๆ
      “คีตะ”นั้นคือ เพลง ที่เป็นเพลงที่มีทำนองหลากหลาย
      แต่“สังคีติ”นั้น อนุโลมมีทำนองได้นิดหน่อย พอช่วยให้“ท่องจำ”เรียกว่า“ท่องสังคีติ(ท่องจำไว้)”ทำเป็นหมู่พร้อมกันนั้นได้ แต่ในที่ลับตาฆราวาสนะ ไม่ใช่การ“ท่องโชว์”ฆราวาส

สวดสังคายนาคือสวดคนเดียวแล้วสงฆ์รูปอื่นก็คอยตรวจสอบว่าถูกไหม เป็นการสวดรักษาคำสอนไว้สวดเฉพาะในหมู่สงฆ์
      ยิ่งนำมาสวดโชว์ฆราวาส ไม่แค่“ท่อง”แต่“ร้องเป็นเพลงหากิน”นั้นผิดแน่นอน เป็น“วณิพกหรือคณิกา”เลย “การกล่าวคำสอน”ของพระพุทธเจ้าเรียกว่า“กล่าวธรรมบท” จึงนำมา“กล่าวพร้อมกัน 2 คนขึ้นไป”ต่อหน้าสาธารณะ หรือต่อหน้าฆราวาส ก็มี“วินัย”ห้าม”แล้ว ขืนทำ“อาบัติ”ทุกคำกล่าว กล่าวหนึ่งคำ อาบัติหนึ่งตัว กล่าวมากขึ้นไปกี่คำ ก็อาบัติไปตามจริง กล่าวเท่าใด ก็อาบัติเท่านั้น ยิ่งกล่าวมากก็ยิ่งอาบัติมาก 
      ดังนั้น“การกล่าว” จึงไม่ใช่เพลงเด็ดขาด แม้แต่การกล่าวลากเสียงยาวเกิน‘ทีฆะสระ(สระเสียงยาว)’เป็น‘อายตเกน(เจตนาลากเสียงให้ยาวเกินความเป็น“สระเสียงยาว”นั้น)’ก็ผิดแล้ว “การกล่าว”คือ “สรภัญญะ”นี้เป็นเรื่องที่เป็นทั้ง“กุศล(สิ่งที่เป็นธรรม = สมบัติที่นับว่าเจริญ)” ที่สุดเป็นทั้งอุปกรณ์ที่พาไปสู่“บุญ(พลังงานที่เป็นอธรรม = วิบัติที่ทำให้เจริญสู่นิพพาน)” ยิ่งเป็น“คีตัสสเรนะ”ก็เป็นเพลงแล้ว
      “การกล่าว”ที่เป็น“ศิลปะ”ก็อย่างหนึ่ง คือ “การกล่าว” ที่บาลีว่า “สรภัญญะ” ต่างกันนะกับ“การลากเสียงยาว”บาลีว่า “อายตเกนะ” ส่วน“เพลง”ที่เป็น“ศิลปะ”ก็อีกอย่างหนึ่ง คือ“ภาษาที่มีทำนอง”บาลีว่า “คีตะ”(ซึ่งยังมีนัยะที่แตกต่างจาก“สังคีติ”อีกนะ)

 

(84) คำว่า “ศิลปะ”ทุกวันนี้ ทั้งเลอะเทอะทั้งเละเทะสุดๆ

“งาน”ที่หลงกันว่าเป็น“ศิลปะ”นั้น คือ “สิ่งประดิษฐ์ที่หลอกลวงยิ่งกว่ายิ่ง เพราะมันลึกกว่าลึก-ลับกว่าลับ ซับซ้อนกันมากกว่ามากในโลกมนุษย์” ล้วนไม่ใช่“ศิลปะ”เลย แต่หลงกันว่าเป็น“ศิลปะ”กันอยู่มากจริงๆ หลอกขายกันแพงสุดแสนแพงในโลก ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลถึงขั้นเลวร้ายแล้ว แต่มันยากมากๆที่จะแจกแจงอธิบายกันให้ชัดๆ คมๆ แม่นๆ 

ในโลกนี้“งาน”ที่เข้าขั้น“ศิลปะ(สันสกฤต)”หรือ“สิปปะ(บาลี)”นั้นน้อยมากกว่ามาก อาตมาได้แจกแจงไว้ว่ามีถึง “5 ขั้น” คือ 1.ลามก  2.ราคะ  3.สาระ  4.ธรรมะ  5.โลกุตระ

ที่ยังไม่เป็น“ศิลปะ”เลย มี 1.ลามก 2.ราคะ สองลักษณะนี้แหละที่ยังไม่นับว่าเป็น“ศิลปะ” ยังไม่มีคุณค่าเลย

“ลามก กับ ราคะ”นี้คนในโลกยังมี“อวิชชา”กันอยู่มาก จึงต้องลด“ลามก กับ ราคะ”กันอย่างสำคัญมาก ไม่ใช่เพิ่ม

ส่วนข้อ 3 ขั้นเป็น“สาระ” ก็คือ เริ่มมี“สาระ” เป็นประโยชน์กับธรรมชาติก็ได้ เป็นประโยชน์แก่มนุษย์แก่สังคมได้ ซึ่งเรียกว่าเป็น“สาระ” ก็คือ“สารคดี” ยังไม่ใช่“ศิลปะ” เป็น แค่เรื่องของ“ความจริง”เท่านั้น เป็นวิทยาศาสตร์เป็นต้น หรือศาสตร์อื่นๆใดๆที่ให้ประโยชน์แก่ส่วนสรีระของชีวิต แม้จะคำนึงถึงความเจริญหรือเสื่อม“นามธรรม”หรือ“จิตวิญญาณ” ก็ยังแค่ผิวเผิน ยังไม่เอาจริงเอาจังกับด้าน“จิตวิญญาณ”หรือ“นามธรรม”อย่างถึงที่สุด

วิทยาศาสตร์จึงไม่สามารถมี“ความรู้”ที่จะเข้าถึงหรือพูดถึง“จิตวิญญาณ”หรือ“พลังงาน”ก็ดีของจิตวิญญาณ “ตัวตน”ก็ดีของจิตวิญญาณ ที่เป็น“ความจริง”ได้จริงเท่าหมู่พวกที่มี“ความรู้”ทางศาสนา

และข้อ 4 ขั้นที่เรียกว่า “ธรรม” ก็คือ งานนั้นเริ่มมี“ประสิทธิภาพให้คุณค่าในทางชี้บอกความเป็น-ความมี ; ความได้-ความสูญ เป็นต้น คือ เริ่มมี“ความเป็นสองเทฺว)” “ธรรมะ 2” เพื่อเกิดทั้งความรู้ และ“ความจริง”ใน“มิติ”ต่างๆของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกในมหาจักรวาล ที่มีทั้งกว้างทั้งลึก ทั้งรอบทั้งหลาย ทั้งความดี-ความชั่ว ทั้งความงาม-ความไม่งาม ทั้งความสูง-ความต่ำ ทั้งความมาก-ความน้อย ทั้งความหนา-ความบาง ท้ังความเบา-ความหนัก ทั้งความขึ้น-ความลง ทั้งความหายไป-ความมีอยู่ ทั้งความมีสาระ-ความไม่มีสาระ ทั้งความมีคุณค่า-ความไม่มีคุณค่า ทั้งความว่าง-ความไม่ว่าง ทั้งความควร-ความไม่ควร ทั้งความเป็นโลกียะ-ความเป็นโลกุตระ ทั้งความนิยม-ความไม่นิยม ทั้งความต้องการ(มีตัณหาดูด)-ความไม่ต้องการ(มีตัณหาผลัก)

ที่สุด สูงสุดข้อ 5 นี้คือ ภาวะที่เกินสามัญปุถุชนหรือโลกียธรรมในความเป็น“ศิลป์”คือ “มงคลอันอุดม” หมาย ความว่า มีฤทธิ์มีอำนาจในการพาเจริญไปสู่“โลกใหม่”คือ “โลกุตรธรรม”  จะเริ่มนับว่า เป็น“ศิลป์”หรือไม่เป็น ต้องมี“ธรรมะ 2”  เป็นเครื่องชี้บ่งยืนยันทั้ง“ความรู้”และ“ความจริง”

“ศิลป์”ทุกวันนี้“ไร้นิยาม”แล้วสนิทเด็ดขาด ไม่เหลือ “ความเป็น“ศิลปะ”เลยสักนิดสักน้อย มีกันแต่“ความหลอกลวง-ความเป็นเล่ห์ ; ความโกหกมดเท็จ-ความโง่ ; ความหลงละเมอเพ้อพก-ความสูญเปล่าไร้สาระ”ที่เลอะเทอะเละเทะสุดๆในโลกเต็มโลกที่หลงๆกัน

 

ส.ฟ้าไทสรุปจบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:33:24 )

610802

รายละเอียด

610802_พ่อครูพบนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าฯ

พ่อครูว่า….อาตมาเกิดมาทำเรื่องนี้เป็นล้านชาติมาแล้ว ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น  เวลา 100 ปีนี้สั้นนัก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ใครที่เคยผ่านคำสอนที่พระเจ้าตรัสไว้ มีบางช่วงคนอายุถึง 8 หมื่นปี ผ่านมาอีกกี่ล้านปีที่คนอายุลดลงไป มันเกินความคิดแล้วเป็นเรื่องอจินไตย คือเรื่องที่คิดเอาด้วยตรรกะไม่ได้ อาตมาประกาศตัวเองหมดสิ้นแล้ว

อาตมาทำงานศาสนามา 48 ปี ย่างเข้า ตั้งแต่ลาออกจากโลกมาอายุ 36 ปี เลิกทางโลกมาทางนี้อย่างไม่ได้ใยดีทางโลก ชัดเจนที่สุด ไม่ได้มาด้วยการถูกหลอก มาด้วยความเป็นจริงทุกอย่าง ทำงานมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ จนเกินอายุขัย ที่จริงอาตมาอายุขัยแค่ 72 ปี แต่ตอนนี้ก็ผ่านมาแล้ว อาตมากำลังพิสูจน์ให้โลกรู้ว่า พลังงานทางจิต เราสามารถสร้างพลังงานทางจิตของเรา ให้มีสมรรถภาพ ในการที่จะยืดอายุตัวเองได้ยิ่งกว่า ยาอายุวัฒนะ

อาตมาได้ทำมาพิสูจน์ เรียกพลังงานนี้ว่าสัมประสิทธิ์ Coefficient เป็นพลังงานทางจิต ซึ่งอาตมาที่จริงพูดนี้หลายคนเชื่อยาก อาตมารู้ว่าจะต้องตายตอนอายุ 72 แต่ก็ทดลองตั้งใจต่ออายุไป ก็เลยพิสูจน์ได้ว่า อาตมาเลยมา 12 ปีได้ 1 นักษัตร อาตมาก็ตั้งตอบที่สุดต่อไปอีกว่าถ้าอายุ 144 จะไปอีก 12 12 12 ช่วยต่ออายุไปถึง 36 ปี พลังงานสัมประสิทธิ์จะคงที่ สามารถใช้เป็นหลักเกณฑ์ได้ แต่นี่มันยังไม่ถึง ตั้งใจว่าจะอายุ 151 ปีจึงจะตาย

ทางศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าตรัสรู้ความรู้เดียวกัน ยุคนี้มีพระโพธิสัตว์ 2 องค์คือในหลวงกับอาตมา ในหลวงทำทางด้านรูปธรรม อาตมาทำทางด้านธรรมะ เป็นชั้นเรียนของโพธิสัตวภูมิ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จบสูงสุดเป็นพุทธเจ้า ก็คือระดับ 9

ชั้น 7 นี้ยาก ชั้น 8 จะคล่องตัว พิสูจน์ฤทธิ์ของสัจธรรมธรรมะ ขั้น8 เรื่องนี้ก็เอาไว้ก่อน

 

ประเด็นจะให้พูดคือเรื่องการส่งเสริมความสมานฉันท์ในท้องถิ่น อาตมาขอยืนยันว่าเรามีความรู้และความจริง ความรู้ที่ไม่มีความจริงนั้นมีเยอะในโลก แต่มันเป็นความจริงไม่ได้ ความจริงคนที่มีความจริง แต่มีความรู้ที่จะสาธยายอธิบายก็มี มีมากด้วย มากกว่าคนที่รู้ความรู้ แต่ความรู้ที่ไม่จริงนั้นมากกว่า ความรู้ที่ไม่จริงนั้นมากกว่า ความรู้ที่รู้ความจริงนั้นน้อยกว่า ความจริงที่ไม่มีความรู้ ที่ยังเลือกไม่ได้ก็ยังมากกว่าความรู้ที่รู้แล้วทําไม่ได้ คนที่รู้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิ จะทำจริงได้ ก็กลายเป็นคนที่มีทั้งความรู้และความจริง สมบูรณ์ครบพร้อม

ยกตัวอย่างชาวอโศกมีทั้ง 2 อย่างความรู้และความจริงจึงทำได้ และเป็นสังคม คนจน

เข้าเรื่องนี้

ที่เราจะมาเอาความสมานฉัน คือ สามารถรวมกันติด การสมานฉัน คือการรวมกันติดนั้น ขยายความให้เห็นว่า มันเป็นได้ประมาณ 5 แบบ

แบบที่ 1 แบบบังคับ ด้วยอำนาจบาตรใหญ่ ของคนผู้มีอำนาจ ก็ทำได้ สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยมีหัวหน้าเผ่า

แบบที่ 2 แบบบังคับอยู่ภายใต้กฎหมาย อยู่ในวินัยในวัฒนธรรม

แบบที่ 3 อยู่ด้วยใจนิยมชมชอบ มีอิสระเหมือนกัน แต่ยังเป็นรสนิยมของโลกียะ taste ที่เป็นโลกียะรวมตัวกันอยู่ แต่ก็รวมกันได้แม้ทะเลาะกัน ฝ่ายไหนใหญ่ก็อยู่ได้ บางทีฝ่ายเลวแต่ใหญ่ก็อยู่ได้

แบบที่ 4 แบบอิสระที่ตัวเองก็ทำใจ มีอิสรเสรีภาพ เป็นประชาธิปไตย อิสระเสรีภาพเป็นตัวหลัก ที่คนทั้งโลกทั่วไปรู้ ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ มีสามเส้าคือ 1 อิสระเสรีภาพ 2 ไม่มีอัตตาตัวตน 3 ต้องมีความรู้ทางจิตวิญญาณ

ประชาธิปไตยที่ไม่มีจิตวิญญาณนั้นอาตมาเรียกว่าประชาธิปไตยขาเดียว เช่นทางอเมริกา ไม่มีความรู้ทางจิตวิญญาณเป็นหลัก แต่ประชาธิปไตยต้องมีความรู้ทางจิตวิญญาณเป็นหลัก และมีความรู้ที่จะมีอิสระเสรีภาพที่ Absolute จะเข้าใจความไม่มีอัตตาตัวตน คือการไม่เห็นแก่ตัวไม่เหลือตัวตนเลย นี่คือความรู้ทางจิตวิญญาณ มีศาสนาพุทธเท่านั้นที่เป็นได้

ศาสนาพุทธเขาบอกว่าเป็นความรู้ทางปรัชญาตรรกะ ไม่ใช่ความรู้ศาสนา ที่แท้เขานั่นแหละเป็นตัวงมงายไม่รู้จิตวิญญาณ เพราะเขามีจิตวิญญาณพระเจ้าเป็นใหญ่ที่สุด ศาสนาที่มีพระเจ้าเป็นใหญ่ที่สุดนั้นไม่มีอิสระเพราะถูกพระเจ้าควบคุมได้ ศาสนาเทวนิยมศาสนาพระเจ้ายังไม่มีอิสระเสรีภาพบริบูรณ์ เป็นศาสนาที่ยังไม่รู้จักอัตภาพ พระเจ้าเป็นอัตตาใหญ่เรียกว่าปรมาตมันทุกคนเป็นอัตตาย่อย ไม่มีความรู้ทางจิตวิญญาณที่จะล้างอัตตาได้ ศาสนาพุทธเท่านั้นที่รู้จักอัตตาและกำจัดอัตตาจนหมดอัตตาได้

ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ มีสามเส้าคือ 1 อิสระเสรีภาพ 2 ไม่มีอัตตาตัวตน 3 ต้องมีความรู้ทางจิตวิญญาณ

ขออภัยที่ยกตัวอย่างชาวอโศกที่เป็นหลัก มีตัวจริง ฟีโนมีนอล ยืนยันได้ มาสัมผัสได้

อาตมาพาชาวอโศกทำตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าเป็นหลัก มั่นใจว่าทำอย่างสัมมาทิฏฐิ ทำจนเป็นสังคมหมู่ สังคมกลุ่ม และอยู่กันอย่างจริงๆ อย่างไม่ได้หลอกใคร เป็นคนจนที่ไม่สะสมเงินทอง จนขนาดที่ไม่มีสมบัติของตัวเองได้ด้วย มีแต่บริการเครื่องใช้ มีชีวิตร่วมอยู่กับสังคมนี้ ทำงานอย่างเต็มที่ไม่เหลาะแหละไม่อู้ ไม่หลบเลี่ยง

ถ้าใครศึกษาตามพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา ท่านเป็นองค์หนึ่งที่มาช่วยโลก ในฐานะ ปางอาตมานี้ ปางอาภัพบุคคล แต่ในหลวงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มีคนถามว่าทำไมท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินท่านก็บอกว่าท่านบอร์นทูบี ท่านบอกว่าข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เกิดมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

ส่วนอาตมาก็ไม่มีปัญหาหรอกใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็พิสูจน์ตัวเองไป เพื่อสร้างความจริงนี้ไปในโลก คนจะค่อยๆมาศึกษา ก็จะเกิดผล

ตอนนี้อาตมาเร่ิมได้ 1 รอบของที่อาตมาตั้งใจ ยังเหลืออีก 2 รอบนักษัตร อย่างน้อยอีก 62 ปี จากวันนี้ที่จะทดสอบไป ซึ่งสังขารก็แย่แล้ว อาตมาก็ต้องใช้สัมประสิทธิ์ ให้มีอัตราก้าวหน้าที่เป็นตัวแปรของพลังงานจิตที่ มีสมรรถภาพในระดับคูณและยกกำลังไปได้ ถ้าแค่บวกไม่ใช่สัมประสิทธิ์

ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ มีสามเส้าคือ 1 อิสระเสรีภาพ 2 ไม่มีอัตตาตัวตน 3 ต้องมีความรู้ทางจิตวิญญาณ สามเส้านี้ ประชาธิปไตยที่ไม่มีความรู้ทางจิตวิญญาณไปไม่รอด ไปได้ชั่วคราว อาจด้วยอำนาจเงินอำนาจยศศักดิ์อำนาจเล่ห์เหลี่ยม หลักเกณฑ์เท่านั้น เป็นประชาธิปไตยสมบัติผลัดกันชม ต่างคนต่างได้ดีเอาชนะได้ด้วยเล่ห์เหลี่ยม ด้วยอำนาจด้วยยศศักดิ์ ดีไม่ดีใช้อำนาจลูกปืน ใช้อำนาจระเบิด ข่มด้วยอาวุธ ขนาดนั้นก็ค่อยๆรู้กันว่าไม่ดี ก็ต้องใช้คุณงามความดี กระแสของสังคม trend มาใช้คุณงามความดีแทนอำนาจต่างๆ สํานักสัจธรรมคุณค่าความดีงามไม่ได้

ประชาธิปไตยในขั้นที่ 4 ใช้กฎหมายเป็นอํานาจ ยังมีเงินมีกลยุทธ์ มีอำนาจ ก็ว่ากันไปยังมีให้เห็นยังไม่หมดไปได้ง่ายๆ จนกว่าจะมีคุณธรรมมากยิ่งขึ้น มีพลังงานของคุณธรรมในโลก พลังงานคุณธรรมมากพอ มี % ของคุณธรรมสูง เข้าสู่ขั้นที่ 6 จะมีปัญญา

ปัญญานี้ มีแต่ในศาสนาพุทธ ศาสนาไหนไหนก็ไม่ใช่ปัญญา ปัญญาคือความฉลาด เฉโกหรือเฉกตาหรือเฉกะก็คือ ความฉลาดแต่แบบนั้นเป็นความฉลาดของโลกีย์ ไม่ได้วนออกนอกดาวดวงนี้เลย คือดาวโลกียะ ผู้ที่มีปัญญาจึงจะออกมาสู่โลกุตระ ซึ่งเดินสวนทาง opposit เรียกว่า 180องศาเลยกับโลกียะ

ผู้ที่เข้าสู่กระแสแนวโน้มทางโลกุตระ มีธาตุรู้ตัวแรกเรียกว่า อัญญะ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสว่าอัญญาโกณฑัญญะเป็นผู้ที่รู้คนแรก มีอัญญะ คือธาตุจิตตัวอื่นจากความรู้ธาตุรู้เก่าที่เป็นโลกียธาตุ วนออกไม่ได้ เหมือนกับคนวนในโลกนี้ออกจากต่างดาวไม่ได้

จนกว่าคุณจะสามารถทลายกรอบของโลกียะเจาะ protoplasm ออกจากช่องออกไป มี cytoplasm ออกจากช่องเก่า เป็นความรู้ทางBiology  มีความรู้เป็นสภาวะไม่ใช่แค่ความรู้ธรรมดา ความรู้นี้จริงๆมีมานานเก่าแล้ว แต่คนไม่รู้แล้วพอเอามาพูดในปัจจุบันคนก็ไม่เข้าใจเพราะไกลกันมาก

ในปัจจุบันนี้ สังคมกำลังหมดยุค กำลังจะมีน้ำท่วมโลกหรือไฟบรรลัยกัลป์ทำลายโลก สายเทวนิยมก็จะเป็นน้ำท่วมโลก สายอเทวนิยมก็จะเป็นไฟบรรลัยกัลป์ทำลายโลก ก็จะล้างชีวะไป จนต้องเปลี่ยนตระกูลไป จะเปลี่ยนไปเร่ิมต้นที่เซลลสัตว์หรือระดับจิตนิยามที่มาเป็นมนุษย์รู้จักกรรมวิบากได้ ก็เป็นได้

พระพุทธเจ้าตรัสถึง นิยามชีวิต 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม นิยามชีวิต 5 นี้เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าแต่ไม่มีเขียนในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ มีแต่ในอรรถกถาจารย์ อาตมาสัมผัสแล้วก็เห็นว่าเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถนิยามได้

พลังงานที่จะเป็นอื่นเป็นโลกุตระได้ต้องเจริญถึงขั้นออกจากโลกเก่าได้ คือ เรียกว่า อัญญะ หรืออัญญา อัญญาจึงมาเป็นสัญญา ปัญญา ฆัญญา กัญญา...ต่อไปอีก

เป็นความอิสระเสรีภาพ หมดอัตตา จึงเป็นผู้มีสภาพทางจิตวิญญาณสมบูรณ์แบบ ทำให้อัตตาหมดสูญไปได้

ถ้าเราได้อิสระเสรีภาพและไม่มีอัตตาตัวตน ก็ต้องมีความรู้ทางจิตวิญญาณ หากไม่มีความรู้ทางจิตวิญญาณ ล้างกิเลสอัตตาตัวตนได้หมดสูญ และมีอิสรเสรีภาพเมื่อได้สามเส้านี้แล้ว จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่ Absolute ถึงขั้น สูงสุดที่ สามารถสร้างเศรษฐกิจระดับสาธารณโภคี จะสร้างการเมืองในระดับสาธารณโภคี จะสร้างสังคมขั้นสาธารณโภคีได้

เพราะจิตใจจิตวิญญาณมีอิสระจริง และหมดอัตตาไม่มีอัตตาในตัวเองจริง มีความฉลาดขั้นปัญญาที่แท้จริง พ้นความฉลาดที่เป็น เฉโกหรือเฉกะ

ในพจนานุกรม เฉกา หรือเฉโก ก็เป็นความฉลาดแต่คนไม่เรียกกันเพราะว่าเป็นความฉลาดแบบโลกียะก็เอาปัญญามาด้วยความฉลาดทางโลกียะ แล้วเรียกตัวเองว่ามีปัญญา แท้จริงมีความ เฉโก เก่งกาจฉลาดเป็นอัจฉริยะชนะคนอื่นเขาได้อย่างสุจริตด้วยนะ แต่อำนาจนั้นอยู่ในกรอบของลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่โลกุตระนั้นไม่เกี่ยว ทิ้ง ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่โลกียะนั้นติดยึดในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ใครติดลาภมาก็อยู่เป็นทาส ใครติดอำนาจยศก็เป็นทาสยศ ใครติดสรรเสริญก็เป็นทาสสรรเสริญ ใครติดสุขก็เป็นทาสสุข แต่โลกุตระนั้นไม่มีสุขไม่มีทุกข์ไม่มีซ้ายไม่มีขวาไม่มีบนไม่มีล่างกลางสุดเรียกว่าสุญญตา

บัดนี้อาตมาได้ทำสำเร็จแล้ว ไปลงไปในวันนี้ก็ได้ประสบผลสำเร็จแล้ว อาตมาครับจากปากของพระสมณโคดมว่าจะต้องมาสืบต่อศาสนา อันนี้เป็นเรื่องอจินไตย

กลับเข้าสู่การส่งเสริมความจน ว่าการต้องการอยู่อย่างสมานฉัน เป็นภาษาโลกสวน แต่อยู่กันมาตั้งแต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์จนมาอยู่ภายใต้ระเบียบกฎหมายหลักเกณฑ์ จนอยู่ใน อำนาจของลาภยศสรรเสริญโลกียสุข มีคณะใหญ่คณะย่อยร่วมมือกันบริหาร ซึ่งของพุทธนั้นมีลักษณะน้อยไว้หมด ที่คล้ายและยากจะเข้าใจคือ พุทธ เป็นเผด็จการด้วย ฟังให้ดีนะ

เผด็จการคืออำนาจผู้นี้มีสูงสุด แต่อำนาจเผด็จการของพุทธเป็นอำนาจสูงสุดนี้ ท่านมีอำนาจสูงสุดที่จะเผด็จการได้ แต่ท่านไม่เผด็จการเลย เข้าใจนะ

ท่านมีอำนาจสูงสุดที่จะเผด็จการได้ ท่านว่าอย่างไรก็ได้ คนทำตาม แต่ท่านไม่ทำ นี่คือคุณธรรมซ้อนคนยกให้ท่านหมดเลย เคารพบูชาท่าน ให้คนนี้เป็นเจ้าชีวิตจะได้สั่งให้เราตายก็ได้แต่ท่านไม่สั่งให้เราตายเลย แต่เขาจะยิ่งกลับเคารพบูชา มากขึ้นอีกซ้อนอีก

อำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์สูงสุด มันจึงมีจริง เพราะประชาชนยกให้ เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยหรืออำนาจเผด็จการสูงสุด จึงยิ่งสูงที่สุดมีจริง แต่ท่านใดใช้เลยคนอื่นจึง ยิ่งยกให้ด้วย มันกลับไปกลับมาแต่อันเดียวกันนะ

อาตมาอยู่ในขาวอโศกนี้เผด็จการได้สมบูรณ์แต่ต่อมาไม่ใช้ อาตมาปกครองโดยไม่ปกครองให้คนอื่นช่วยกันปกครอง อาตมาทำตามฐานะ มันก็จะมีระดับ Adaptation นี่คือพลังงานจิตที่เรียกว่าจิตวิญญาณ เราเป็นประธานของจิตวิญญาณ เราเอามาสร้างให้จิตวิญญาณเป็นวิญญาณที่เจริญได้ ตามที่คนค้นพบคือพระพุทธเจ้าค้นพบสูงสุด

พระพุทธเจ้าเป็นคนไม่ได้เป็นพระเจ้าไม่ได้เป็นเทวะ ไม่ใช่สิ่งลึกลับ เป็นคน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นอย่างพระพุทธเจ้าได้ อย่างอาตมานี้ บำเพ็ญโพธิสัตว์มาถึงระดับ 7 จะต้องไปเป็นถึงชั้น 9 จึงจะเป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่ถอยยังไม่ท้อ ท้อได้ แต่ถึงขั้นนี้มันยากจะท้อได้แล้ว เพราะวันสอบเข้าได้คะแนนก็ดีด้วยแล้วจะไปท้อทำไม คนจะมารีไทร์เราก็ไม่ได้ เราจะรีไทร์ตัวเองทำไม เราก็ต้องไปต่อ

สิ่งเหล่านี้ ก็มาพิสูจน์ด้วยตัวเองจึงจะรู้ อาตมาพูดไม่เป็นความรู้ ขออภัยไม่ได้ดูถูกพวกคุณหรอก เพราะคุณยังไม่ถึงอย่างที่อาตมาเป็น แต่มันยังมีได้แล้ว ระดับในหลวงร.9 ก็เป็นได้ อาตมาก็ต้องยืนยันพิสูจน์ ซึ่งมันเป็นนามธรรมก็ยากกว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ท่านพิสูจน์ทางรูปธรรม ท่านเกิดมาก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน อาตมาเกิดมาเป็นหมากลางตลาดไม่มีใครเห็นดีเห็นด้วยเลย แม้แต่เรียน อาตมายังไม่จบปริญญาตรีความรู้ทางโลกเลย จบแค่ ปวส. ด้านศิลปะด้วย ไม่ใช่ทางเศรษฐกิจ หรืออะไร ทางศิลปะด้วย แต่เรื่องอาตมาเป็นเรื่องที่อจินไตย แต่ไม่มีปัญหาอาตมาก็ทำงานได้

สมานฉันท์คือการอยู่ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ความสมัครคือคนอยู่ร่วมกันอย่างพอใจ ถ้ายังไม่มาสมัครก็ไม่เข้ามา ต้องพอใจเองแล้วมาสมัคร มาสมัครแล้วจึงอยู่ร่วมกันเป็นสมาน

อิสระเสรีภาพคือสมัคร และต้องอยู่ร่วมกันอย่างศึกษากันเรียกว่าสมัคร ต้องทำการอนุมานรวยกัน อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ตรัส

ในหลวงมาเป็นคนจนคนจะดูได้ยากกว่าอาตมามาเป็นคนจน อาตมาจนได้ยิ่งกว่า ข้าราชบริพารของในหลวงจะจนอย่างไรก็ต้องรวยกว่าพวกอาตมาแน่ เพราะว่าคนละชั้น พวกนี้รถยนต์ส่วนตัวยังหาได้ยาก แต่ยังนอนรถยนต์ส่วนตัว อย่างน้อยต้องระดับหลายล้านขึ้นไป มันคนละชั้น แต่นี่ใช้รถส่วนกลางเสียส่วนใหญ่ เขาก็ไม่เดือดร้อนไม่ต้องมีรถส่วนตัวหรอก ถ้ามีรถส่วนตัวคุณก็จะต้องทำงานหาเงิน ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็ต้องทำงาน อย่างไม่หนีงาน เป็นงานที่ต้องทำ ถ้ามีรถก็ต้องใช้เป็นอุปกรณ์ทำงานไป แม้จะมีรถแล้วก็ยังใช้น้ำมันส่วนกลาง ก็ต้องรับใช้ส่วนกลาง

การสมานฉันที่แยกย่อยคร่าวๆ ยังมีมากกว่านี้อีกที่จะแยกย่อย เราก็ค่อยๆเพิ่มความรู้พวกนี้ไปแล้วเอาไปใช้ ยิ่งพวกคุณ ว.ปอ. ต้องทำงานกับประชาชน อาตมาก็ว่าเป็นความเจริญ ที่มาเอาความรู้ ก็ต้องขอบคุณอย่างยิ่งที่ให้เกียรติมา เห็นว่า บ้านเล็กเมืองน้อยที่นี่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆในชนบทห่างไกล อยู่สุดตะวันออก

ก็ขอบคุณที่ให้เกียรติมาดูงาน อาตมาว่า คุณสัมผัสเองจะได้รู้จริงยิ่งกว่าที่ได้ฟัง เพราะทุกอย่างในนี้ไม่ใช่รูปภาพ แต่มันเป็นภาพเคลื่อนที่มีชีวิต นอกจากมีชีวิตแล้วยังมีจิตวิญญาณ ซ้อนในชีวิต จิตวิญญาณคนที่นี่คือคนโลกุตระ คือ คนที่มีความฉลาดแบบโลกุตระ แล้วก็อยู่ความจริงและความรู้ ไม่ได้หลอกล่อ ไม่ได้อยากให้มีอะไรสงสัยค้างคา อยากให้รู้รอบรู้ครบเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทึ่ง ปาฏิหาริย์ได้ พวกเราเป็นคนจน บอกเป็นคนจน ใครเขาจะเชื่อ มีตึกใหญ่ขนาดนี้ หมู่บ้านข้างเคียงเหมือนกันไม่เห็นเขามีอย่างนี้เลย ไม่มีงานไม่มีบทบาทอย่างนี้เลย ที่นี่ มีคนหมู่บ้านข้างเคียง หมู่บ้านคำกลางหมู่บ้านกุดระงุมหมู่บ้านท่ากกเสียวมาทำงานหากินที่นี่ทุกวัน มาใช้ที่นี่เป็นที่ทำงานรับจ้างเลี้ยงตนเอง ตั้งแต่มีมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ตลอดเวลาไม่ต่ำกว่า 100 คน ที่รับเงินเดือนประจำ หรือรายงานก็แล้วแต่เดือนหนึ่งตั้งหลายล้าน ตลอด

ซึ่งเราก็เป็นพวกที่ทำแบบ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เป็นหลักการที่ต้องทำให้ขาดทุน พิสูจน์ทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วอยู่ได้ หลักการในการคิดทุนก็ต้องเข้าใจเศรษฐศาสตร์ ว่าทุนคืออะไรบ้าง

คำว่าทุน ตัวหลักใหญ่ก็คือค่าแรงงาน เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด นายทุนนั้นตั้งค่าแรงงานของตัวเองไว้สูงว่าฉันเป็นเจ้าของเป็นประธานก็เรียกค่าตัวสูง แต่ผู้ที่เป็นสัจธรรมมีโลกุตระตัวเองไม่เอาเลยค่าแรง อาตมาพูดให้สุดเลยนะ หรือจะเอาก็ต้องเอาให้น้อยกว่า ลูกน้องต้องมีค่าแรงสูงกว่าหัวหน้า นี่คือโลกุตระ ถ้าหากหัวหน้าเอาค่าแรงงานสูงกว่าลูกน้อง อย่างนั้นเป็นโลกียะ

ถ้าหัวหน้าเอาค่าแรงงานตัวเองต่ำกว่าลูกน้องเป็นโลกุตระ ยิ่งหัวหน้าไม่เอาเลยแล้วแต่คุณจะให้ แล้วแต่คุณจะเลี้ยงไว้ ภาษาวิชาการของพระพุทธเจ้าเรียกว่า ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา ถ้าเขาเห็นคุณค่าของคุณมากคุณจะตายแล้วเขายังจะเลี้ยงไว้ให้ไม่ให้ตายอีก เขาไม่อยากให้ตายต้องใส่สาย ใส่หัวใจปลอม ปอดปลอมอีก มันซ้อนวิชาการทางแพทย์เขาเก่ง ไม่ยอมให้ตาย คนนี้มีประโยชน์เหลือเกินเขาก็ไม่ยอมให้ตาย คนเขารู้

สัจจะที่ซับซ้อนพวกนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก การที่เราเป็นคนจนอยู่ด้วยกันจะเห็นใจคนจนด้วยกัน คนที่มีคุณธรรมด้วยกันจะเข้าใจด้วยกัน เพราะฉะนั้นจึงยกย่องคุณธรรมกัน ความสมานฉันมีอยู่ที่การยกย่องคุณธรรมของกันและกัน ต้องเป็นความจริงด้วยนะไม่ใช่พวกหลอกกัน ดูสร้างภาพให้ตัวเองมีคุณธรรม

อาตมาพูดอย่างไม่ไว้หน้าไม่บันยะบันยัง เป็นข้อด้อยของอาตมา แต่จำนนต้องทำให้เหมาะสม ยุคนี้ต้องใช้แบบนี้

เราอยู่กันอย่างสมานฉันท์สมานสามัคคี อยู่กันได้ เพราะมีความจริงที่เป็นปัญญาความฉลาดรู้

 

_มีคำถาม...จาก พระภิกษุ...ถามว่า...ท่านเป็นปัญญาธิกะหรือวิริยาธิกะ ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วหรือไม่?

พ่อครูว่า...ผมเป็นปัญญาธิกะ ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว

ภิกษุว่า….ขณะนี้อยู่ในช่วงได้รับพยากรณ์แล้ว

พ่อครูว่า...ระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์ ยังไม่ขึ้นมาหาโพธิสัตว์

ภิกษุว่า...ขออนุโมทนาด้วยครับ

 

จบ..


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:35:14 )

610803

รายละเอียด

610803  หากเปิดใจฟังก็จะได้พบผู้สยังอภิญญา

พ่อครูสนทนายามเช้ากับปัจฉาฯ ที่บ้านราชฯ 3 .. 2561

พ่อครู     : พวกเขา พวกบริหาร โอกาสจะบอกไม่ใช่ง่ายเพราะเขาไม่มาฟังเราง่ายๆ หรอก วันนี้เจออยู่ตรงนี้ หูอยู่ตรงนี้อ่ะ พูดเข้าไปก็กรอกใส่หูไปเลย ฟังไม่ฟังมันก็เข้าหู

. ดินไท    ติดหูไปวันข้างหน้า

พ่อครู     : ติดหูไปอ่ะ

.แสนดิน       : อ๋อ เพิ่งเคยได้ยินได้ฟัง อย่างนี้

พ่อครู         :   จริงๆ คนเขาบางคนเขา พอไอ้นั่น เขาสะดุดนะ ที่มีคนพยากรณ์เอาไว้ ผู้ที่ไม่ได้มีอคติอะไรมากมาย ก็จะฟัง เพราะว่าเรามีผลงาน ในหลวงท่านก็มีผลงานมีพฤติกรรมมาทั้งชีวิต พฤติกรรมชีวิตมาพอสมควร ก็พอได้ยินข่าวหรือพอรู้เรื่อง ดีไม่ดีอาจจะได้รับทราบๆ ติดตามอะไรพอสมควร มันก็จะชัดเจน ไม่งั้นพูดลอยๆ พูดมาโมเม พูดไม่มีหลักฐาน ไม่มีอะไรยืนยัน อ้างอิงอะไร ไม่ใช่ พูดไปแล้วมันมีเหมือนกัน พอบอกว่า เออ เราเป็นอย่างนี้นะ เหมือนกับคนที่ออกมาเล่นลิเกเนี่ย ออกมาก็รำโป้ แต่งชุดแต่งเครื่องออกมาก็ตาม แต่คนรู้ก็ อ๋อ เห็นชุดเข้าก็รู้แล้วว่าคนนี้เป็นตัวอะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม คนนี้ก็ต้อง ข้าพเจ้าสมมตินามตามเรื่อง ก็บอกตัวเองเป็นธรรมดา

. แสนดิน      : พระอภัยมณี

. ดินไท      : เขาก็เลยนึกว่าเหมือนฟังลิเก

. แสนดิน      : ต้องฟังไปก่อนจะรู้ว่าจริงหรือไม่จริง

พ่อครู          : ต้องฟังไปก่อน ไม่งั้นจะรู้เรื่องอะไรได้ไง มันก็ต้องฟังไปก่อน ก็เหมือนตัวละครของโลกออกมาเล่น แต่ละตัวๆ แต่ละชาติๆ ก็เล่นละครไป

.แสนดิน    :  พระพุทธเจ้าท่านก็ประกาศ แต่...

. ดินไท      : แลบลิ้นเลย

พ่อครู  :  พระพุทธเจ้าประกาศปั๊บคนก็แลบลิ้นรอ

.แสนดิน    :  ครั้งแรกเลย

พ่อครู  :  ประกาศปั๊บคนก็แลบลิ้นให้ คนที่เขาศึกษา เขาจะรู้ว่ามันมีนัยยะอะไรต่ออะไรพอสมควร แต่คนที่เขาถือสาเนี่ย

.แสนดิน    :  ศึกษากับถือสา

พ่อครู  :  คนที่เขาถือสาเขาบอก จบเลยพอเราพูดปั๊บเขาจะจบเลย ไม่ฟัง ไม่ฟังละ ตัด ตัดประโยคที่จะรู้อะไรต่ออะไรต่อ คือเขารับไม่ได้ รับไม่ได้ แต่เขาแสดงออกไม่ได้นะ มันถูกจำกัดด้วยมานั่งอยู่ต่อหน้าตรงนี้  พวกนี้เขาอยู่ในสายบริหาร เขาก็ไม่ค่อยได้พบได้เห็นไง มาเจอหมู่บ้านนี้ เอ๊ หมู่บ้านนี้ ก็มาเดินดู สัมผัสไป หมู่บ้านนี้ไม่เหมือนหมู่บ้านสามัญทั่วไปนะ เพราะว่าหมู่บ้านทั่วไปสามัญก็ แม้แต่การอยู่เป็นหมู่ของคน มันจะบ้านใครบ้านมัน ไม่ออกมาเดินไอ้โน่นไอ้นี่อะไรต่ออะไรให้มันเลอะเทอะ ไม่อ่ะ แต่นี่มาอยู่หมู่บ้านนี้ นิดหน่อยเท่านั้นเอง นิดเดียว เอ๊ะ ทำไมคนพวกนี้มันไม่อยู่กับที่ มันไม่อยู่กับบ้านกับช่อง ใช่ไหม?

.ดินไท    :  เด็กเยอะ

พ่อครู  :  ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่อ่ะ เดินกันวุ่นวายไปหมด

.ดินไท    :  แถมยังยกมือไหว้อีก

พ่อครู  : มันอย่างกับอยู่กันในย่านชุมชนอะไรอย่างเนี้ย เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป มันไม่อยู่กับบ้าน ธรรมดาหมู่บ้านไหนเขาก็บ้านใครบ้านมัน

.ดินไท    :  สะอาดสะอ้าน ไม่มีเศษกระดาษ

พ่อครู  : อะไรอีกเยอะ หลายอย่าง พฤติกรรมของชีวิตเท่านั้นก็เถอะ พฤติกรรมของชีวิต ธรรมดาหมู่บ้านอื่นๆก็บ้านใครบ้านมัน บ้านใครบ้านมัน ทำงานอยู่บ้านใครบ้านมัน ไอ้นี้ เดี๋ยวคนนี้ก็เดินไปทำงานตรงโน้น เดินวุ่น เดินอยู่อย่างนั้นขวักไขว่ มันเหมือนสังคมที่เขามี activity ต่างๆ มันไม่เหมือน มันไม่เหมือนบ้านเมือง หมู่บ้าน ๆ ตรงนี้ ประเด็นนี้แค่นี้ก็มองออกแล้ว โอ้ บ้านนี้มันมีความเคลื่อนไหวที่ต่างกัน

.ดินไท    :  ไม่ได้ทา สีเขียว สีแดง มีแต่สีไม้ธรรมดา

พ่อครู  : ด้วย ๆเออ

 

ในสวนดาว…..ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:36:28 )

610803

รายละเอียด

610803_พ่อครูโฟนอิน วันแก่ ชมร.เชียงใหม่

พ่อครูว่า...ถึงวันที่เราเคยเกิดมันก็เป็นวันแก่แต่เขาเรียกว่าวันเกิด ที่จริงวันเกิดมันมีวันเดียวเกิดวันไหนก็วันนั้น พร้อมกับวันที่เราเคย ซึ่งเป็นวันที่วนเวียนมาตามนักกษัตร มาตกซ้ำวันนักษัตรใหม่ ต่อไปๆก็ยังเรียกว่าวันเกิดอีกนั่นแหละที่จริงมันวันแก่ มันควรจะเรียกว่าฉลองวันแก่อะไรอย่างนี้นะ แต่เขาไม่ยอม คนไม่ยอมแก่เหมือนอาตมาก็เหมือนกันไม่ยอมแก่ ก็เลยขอเรียกวันเกิดอยู่นั่นแหละ

อาตมาว่าพวกเรามีชีวิตมาอย่างนี้ ขนาดมีคนแก่ มานั่งเด็ดผักมานั่งทำอะไรกันทุกวัน มีความสุขสบายไป แต่ละวันๆ สถิติไม่น้อยกว่า 20  30 คน คนแก่นะ ส่วนคนหนุ่มคนสาวคนอื่นอีก แม้ร้านขายอาหาร ที่มีพนักงานเจ้าหน้าที่คนทำงานอยู่ 30 40 50 คนในร้านๆหนึ่ง เฉพาะคนทำงาน ก็ 40 50 คนขึ้นไป มันไม่ใช่ร้านเล็กๆนะ มันร้านใหญ่เบ้อเร่อเท่อ และเราก็ทำได้ยืดยืนยาวมา เป็นการเปิดกิจการโดยไม่มีการจ้างหรือการบังคับกันเลย

มันมีแต่ความอิสรเสรีภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ อิสรเสรีภาพเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ศาสนาพุทธเรานี้ เป็นศาสนาที่มีอิสรเสรีภาพ เมืองพุทธก็ต้องมีประชาธิปไตยที่เป็นอิสรเสรีภาพ จะต้องมีความเข้าใจว่าประชาธิปไตย คือเรื่องของประชาชนที่อยู่รวมกันจะต้องเป็นสังคม มนุษย์ที่มีอิสรเสรีภาพ ยิ่งของพุทธเราก็สอนถึงอัตตาด้วย และเรียนรู้อัตตาและลดความมีอัตตาตัวตนสูงสุดเข้าไปอีก

จึงเป็นสังคมที่ไม่มีอัตตาตัวตนและมีอิสรเสรีภาพได้จริงๆ คุณสมบัติ 2 อย่างนี้ ความเป็นอิสรเสรีภาพและความไม่มีตัวตน เป็นคุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ สังคมที่สามารถทำให้คุณสมบัติหรือคุณธรรม เข้าค่ายอิสรเสรีภาพและไม่มีตัวตนได้อย่างแท้จริง ก็จะต้องมีความรู้ในเรื่องของ การเรียนรู้ปรับปรุงจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นสังคมใดประเทศใด ที่เป็นสังคมประเทศที่เรียนรู้เรื่องจิตวิญญาณกันอย่างจริงจัง แล้วก็ทำตัวเองให้มีจิต ลดตัวตน และก็เป็นคนที่มีอิสรเสรีภาพจริง คนที่ไม่หมดตัวตน ไม่มีอิสรเสรีภาพจริงหรอก ก็ยังเป็นทาส โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา เป็นทาสตัวตน ไม่ได้มีอิสรเสรีภาพที่แท้จริง

ความเป็นอิสรเสรีภาพคนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจกันถ้าไม่ได้ศึกษา อัตตา ในโลกทุกวันนี้ไม่มีความรู้ไม่มีการเรียนรู้ทางจิตวิญญาณในเรื่องความเป็นตัวตน อัตตานี่

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวกล่าวได้อย่างนั้นเลยว่าเป็นศาสนาเดียวที่สามารถ ลดความเป็นอัตตาได้ เป็นศาสนาอเทวนิยม อเทวนิยมคือ ความไม่เป็นสองแล้ว

เทวะ คือความเป็น 2 ศาสนาเทวนิยมทุกศาสนา ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแบบที่มีความเป็นเทวนิยมนั้นยังมีความเป็น 2 ยังไม่มีความเป็นหนึ่ง นั่นคือยังไม่มีอิสระเสรีภาพ อิสระเสรีภาพนั้นมีความเป็นหนึ่งในตัวเอง เพราะเราต้องลดกิเลสในตัวเองได้อย่างสำเร็จแท้จริง

การบริหารปกครองของมวลชนประชาชนก็ตาม ถ้าไม่เรียนรู้เรื่องจิตวิญญาณและก็ปรับจิตวิญญาณเป็นหลัก ประชาธิปไตยก็ไม่จริง ประชาธิปไตยขาเดียว ประชาธิปไตยที่ไม่มีจิตวิญญาณ เป็นองค์รวม จิตวิญญาณเป็นสภาวะรวมของสังคมซึ่งสามารถที่จะมีจุดศูนย์รวม เช่น มีพระมหากษัตริย์เป็นจิตวิญญาณรวมของแต่ละสังคมประเทศ ประเทศที่ไม่มีกษัตริย์ มีประธานาธิบดี ก็เป็นจุดศูนย์กลางองค์รวมของประเทศไม่ได้ กษัตริย์จึงเป็นจุดองค์รวมของประชาชน นอกจากว่ากษัตริย์ไม่มีทศพิธราชธรรม หรือว่ากษัตริย์ที่ไม่เป็นที่นับถือของประชาชนก็แน่นอนก็ไม่เป็นองค์รวม ของประเทศนั้น สังคมนั้นรัฐนั้นแน่นอน

ประเทศที่มีกษัตริย์มีทศพิธราชธรรมอย่างประเทศไทยเรา เป็นสังคมประเทศที่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ ที่เรียกเต็มๆว่าประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประชาธิปไตย 2 ขา ความแตกต่างของประชาธิปไตยขาเดียว กับประชาธิปไตย 2 ขานั้น เป็นความแตกต่างที่สำคัญมากเลย อาตมาก็สงสารประชาธิปไตยขาเดียว เพราะเขาจะเดินแบบ  กระโผลกกระเผลก ไม่เต็มที่ แต่เขาไม่รู้ตัว เอาแต่เลือกตั้งเลือกตั้งใครมาก็ได้ สมบัติผลัดกันชมใครมีอำนาจใครมีเงินทอง ใครมีกลเม็ดเด็ดพรายที่ดี ก็สามารถสร้างอำนาจให้แก่ตัวเองขึ้นไปเป็นใหญ่ไปเป็นผู้ปกครองมีอำนาจได้ ก็เป็นสมบัติผลัดกันชมขึ้นไปครองอำนาจกันอยู่อย่างนั้นวนเวียน ไม่มีหลักแกนของความเป็นองค์รวม ของจุดศูนย์กลางของจิตใจที่ต่อเนื่อง ถาวรและทรงคุณงามความดีเป็นหลักมันไม่เป็น (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

ขออภัยที่โฆษณาตัวเอง การไอเป็นการโฆษณาตัวเองอย่างหนึ่งของอาตมา

พวกเราก็ได้ศึกษาเรียนรู้มาทางศาสนาพุทธ ที่เป็นศาสนาอเทวนิยม เป็นศาสนาที่รู้จัก 2 และทำ 2 ให้เป็นหนึ่งได้ ส่วนศาสนาเทวนิยมหรือประเทศประชาธิปไตยขาเดียวนั้น เขาไม่ได้รู้จักความเป็นสอง และทำให้เกิดความเป็นหนึ่งได้เขาไม่มีความรู้อันนี้และไม่เคยทำ จึงเป็นศาสนาที่ จัดการให้มีความเป็นหนึ่งเป็นเอกภาพเป็นความลงตัวกันอย่างจริงไม่ได้ จะต้องใช้กฎระเบียบใช้อำนาจกดขี่บังคับตลอดเวลา

ประชาธิปไตยขาเดียวนั้นไม่มีการพ้นจากทาส ไม่มีอิสระเสรีภาพจะต้องใช้วิธี กดข่มตลอดเวลา ประเทศชาติที่มีประชาธิปไตย 2 ขาจึงจะสามารถทำให้ เกิดความเป็นสมานฉันท์ที่เป็นความเป็นหนึ่งเดียวได้ ความสมานฉันท์ ก็โปรดติดตามเย็นนี้ อาตมาจะอธิบายความสมานฉันท์ ที่ได้ขยายความจากที่ได้บรรยายไปให้แก่ สถาบันพระปกเกล้าที่เขามาดูงานที่บ้านราชฯ ผู้บริหารมาเกือบร้อยคน อาตมาก็ได้เทศน์บรรยายไป 30 กว่านาที เขาตั้งเป้ามาดูงานในเรื่องความสมานฉันท์ ของท้องถิ่นก็เลยมาดูตัวอย่างของเรา อาตมาก็ได้รวบรวมไว้ ตอนเย็นวันศุกร์นี้ก็จะได้ขยายความเรื่องสมานฉันท์ เรื่องนี้กัน ก็โปรดติดตามอย่ากระพริบตา

สำหรับวันนี้ก็สมควรแก่เวลานะบรรยายเกินไปเกือบ 20 นาทีแล้ว ขอให้บรรยายถึง 10 โมง เอาไหม?

เอาได้ ต่อไปถึง10 โมง ตามผู้กำกับเวทีบอกให้อยู่

ต่อกันด้วยงานที่พวกเราทำนี่แหละ งานที่พวกเราได้มาศึกษาปฏิบัติประพฤติตามแบบพระพุทธเจ้า กันอย่างจริง อาตมาก็เอาความรู้ที่มี ตามพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราได้ศึกษาและปฏิบัติตามจนพวกเรามีจิตวิญญาณ เข้ามาทำงานเสียสละ ทำงานโดยไม่ได้เงินได้ทอง มีความสุขสำราญเบิกบานใจไป เป็นอยู่อย่างที่มีความลึกซึ้ง ทางจิตวิญญาณมาก เราทำมาได้กันอย่างไม่เกิดปัญหามีแต่ความราบรื่นไปเรื่อยๆ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะมีทั้งสภาพที่เป็นธรรมะพระพุทธเจ้า ที่เราได้ปฏิบัติตามมรรค ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ตามพระสูตรต่างๆที่อาตมาได้หยิบเอามาใช้ เช่นการปฏิบัติตามมูลสูตร 10 เป็นต้น

ต้องมีความยินดีเป็นการปฏิบัติที่เป็นต้นทางฉันทะ เป็นมูลกา สามารถปฏิบัติธรรมใจในใจได้ถึงที่เกิด เรียกว่ามีมนสิการ สัมภวะ เป็นการหยั่งลงถึงแดนเกิดได้ เป็นการจัดการจิตใจต้องให้ถึงแดนเกิด หทยรูปได้ และมีผัสสะเป็นปัจจัย เป็นเหตุในการปฏิบัติ

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธได้ผิดเพี้ยนไปนั่งหลับตาจนไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย มันผิดตามมูลสูตร ตั้งแต่เค้าโครง มนสิการก็ทำไม่เป็น ไปยินดีนอกทิศทางพุทธ ยินดีไปในทางมิจฉาทิฐิออกนอกทางพุทธศาสนาจึงไม่ได้อะไรสักอย่าง มีความมีฉันทะเป็นมูลก็ไม่ได้ มีมนสิการเป็นแดนเกิดก็ไม่ได้ ผัสสะก็ไม่มี จึงทำเวทนาให้รวมลงเป็นหนึ่งไม่ได้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 เขาทำไม่ได้จึงไม่เหลือเค้าของศาสนาเลย

มีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นโลกุตระก็ไม่ได้ จะได้เป็นอมตะบุคคลนั้นฝันไปเสียเถิดไม่มีทางที่จะมีความเป็นไปได้เลย อยู่ในความฝันอันเวิ้งว้าง เพราะฉะนั้นจะมีนิพพานเป็นปริโยสานนั้น ตามมูลสูตร 10 อย่างที่อาตมาไล่เรียงมานี้ไม่ได้เป็นต้น

เขานอกรึตหมด แต่อาตมาพาพวกเราทำแล้วเกิดผลมีประโยชน์ตามวรรณะ 9 the classes เป็นคนมีชั้นวรรณะที่ไม่ใช่ ชั้นวรรณะ ข่มเบ่งทางสังคมนะแต่มีความมี  วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  หรือ

มีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ ถูกต้องตามธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นคำสอนที่เป็นสวากขาโต ที่สอนได้ดีแล้ว เป็นคนมีวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 เพราะว่าจิตใจเกิดพุทธพจน์ 7 ตามที่ว่าแล้ว จึงเกิดสังคมกลุ่มอย่างชาวอโศก ที่ทำตามพระพุทธเจ้าได้อย่างเป็นสัมมาทิฏฐิเป็นสัมมาปฏิบัติ จึงเกิดสัมมาปฏิเวธที่เกิดผลได้จริง ที่เป็นชุมชนกลุ่มอยู่ในประเทศไทยทุกวันนี้ เป็นชุมชนชาวอโศกทั้งหมด พวกเราเป็นคนเลี้ยงง่าย สุภระ เป็นคนบำรุงง่าย พัฒนาให้เจริญได้ง่าย จึงเป็นประชากรของประเทศที่ทำให้เจริญได้ง่ายมีความศิวิไลซ์เป็นคนศิวิไลซ์ เป็นคนเจริญทำได้ง่ายอยู่ทุกวันนี้มีแต่ช่วยสังคมประเทศชาติ ไม่ได้เป็นตัวรวน ไม่ได้เป็นคนที่อย่างเขาฉลาด เราไม่เป็น ฉลาดไม่ได้ เขาโง่ไม่เสร็จ ที่จมในรั้วตอนนี้

ทั้งๆที่ประเทศไทยอยู่ในภาวะที่สงบเรียบร้อยเจริญสมบูรณ์แบบเลยนะ อาตมาว่า สมบูรณ์แบบในลักษณะประชาธิปไตย แม้จะไปกล่าวถึงความสมบูรณ์แบบในลักษณะคอมมูน

ชาวอโศกเป็นคอมมูนที่ยิ่งใหญ่เป็นสาธารณโภคีจึงช่วยทางด้านเศรษฐกิจการเมืองสังคมของประเทศกันอย่างจริงจัง ไม่ได้หมายความว่าเราไปพูดตู่เลย แต่มันเป็นความจริงแม้นายกจะชื่อตู่ก็ตาม แต่ชาวอโศกไม่มีการตู่ ที่เราเป็นคนจริงเลยที่ช่วยการเมืองเศรษฐกิจสังคมอยู่อย่างดี มีความประพฤติจริงมีการเป็นอยู่ที่เป็นสุขอย่างสบาย และเป็นคนที่ลงตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสคือคนมีวรรณะ 9 มีชั้นของความเป็นมนุษย์ 9 ชั้น

คือเป็นคนจนได้ อันนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากเลยที่มนุษย์เรามาเป็นคนจนได้ โดยมีปัญญารู้ว่าคนจนคืออะไร แล้วก็ทำตนให้เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนจนที่มหัศจรรย์ เป็นคนจนที่มีคุณค่า มีประโยชน์ ต่อสังคมมนุษยชาติไม่ได้เป็นภาระสังคม แต่เป็นตัวช่วยเป็นประโยชน์ช่วยสังคม เป็นคนจนที่เป็นประโยชน์ช่วยสังคมอยู่ตลอดเวลา เป็นคนจนที่ไม่แย่งชิงแล้ว เป็นความพอเพียง เป็นความยินดีที่จะมีฐานะ จนอย่างนี้แหละ ไม่พยายามจะกอบโกยเอามาเพราะเรารู้จักเศรษฐศาสตร์ดี

ถ้าไปดึงเอาความเป็นสมบัติส่วนกลางของสังคมมาไว้ที่เรามากๆ แล้วเรียกตัวเราว่าคนรวย แล้วก็ลงว่าเป็นผู้ประสบผลสำเร็จ ที่จริงผู้ที่รวยๆนี้ เป็นผู้ประสบความสำเร็จของความเป็นนรก เพราะเขาจะได้สร้างความเลวจริงความเอาเปรียบ ซึ่งเป็นอกุศลกรรมทั้งนั้น แล้วคนรวยเขาก็ได้อกุศลกรรมให้แก่ตัวเอง

ที่พูดนี้เป็นหลักวิชาการอธิบายให้ฟังกันแท้ๆ เป็นการอธิบายสัจธรรมให้ฟังอย่างแท้จริง ตอนนี้ก็มีการถ่ายทอดออกไปสู่ Social Media ออกทางโทรทัศน์ยังไม่ออกในปัจจุบันนี้ แต่ไม่ต้องกลัวออกแน่ เอาไปฉายซ้ำแน่นอน เพราะว่ามันเป็นความรู้ เป็นความจริง ที่ประเสริฐแท้ คนที่ได้เกิดมามีชีวิตแล้วก็ได้เอาชีวิตมาฝึกฝน ศึกษาเล่าเรียน อย่างนี้แหละโดยเฉพาะของพระพุทธเจ้า เหล่านี้ อย่างที่มีปัญญาเข้าใจว่าสุดยอดแล้ว ได้มาอยู่ในชีวิตที่แต่ละวันๆเราก็สังวรระวัง มีสติปัฏฐาน 4 มีสัมมัปทาน 4 มีอิทธิบาท 4 พยายามปฏิบัติกันจนเกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ตามหลักโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ครบโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นโลกุตรธรรม

โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าก็มี 37 นี่แหละ รวมทั้งที่ทำได้ ไปตามลำดับ เป็นโสดาปฏิมรรคโสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรคสกิทาคามีผล อนาคามีมรรคอนาคามีผล อรหัตตมรรคอรหัตตผล ถึงนิพพาน อีก 9 โลกุตระรวมแล้วโลกุตรธรรม 46 ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้เลย

อาตมาจำหลักฐานอ้างอิงในพระไตรปิฎกว่ามีโลกุตระ 46 ล.31 ข.620

ทางโน้นถามได้นะ

...ทางโน้นมีแต่ฟังแล้วก็ยิ้มยังไม่มีคำถามออกมา

_สมณะโพธิสิทธิ์ กราบเรียนพ่อครู ในขณะที่ฟัง ผมก็จดเลคเชอร์ น้ำตาผมก็ไหลอยู่ตลอดเวลาเลยด้วยความปีติ กราบขอบพระคุณพ่อครูครับผม  

เวลาก็หมดแล้ว ก็สรุปว่า...พวกเรานี่เอาชีวิตมา ทำงานมามีชีวิตดำเนินชีวิตอยู่ไม่ได้ทำงานเฉยๆ แแต่ปฏิบัติชีวิตมาดำเนินทั้งกายและจิต เจริญแล้วนะอาตมาทำงานมา 47- 48 ปีประสบผลสำเร็จแล้วพวกเราก็ดำเนินต่อไปก็แล้วกันขออนุโมทนาสาธุ กับผู้ที่เจริญด้วยธรรมยิ่งๆถึงนิพพานเร็ว


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:37:26 )

610803

รายละเอียด

610803_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ความสมานฉันท์ 7 แบบ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1bt7YHGamLOAusZVAXP8-wCkRbHLHyNugaZ2PDfmxWX8/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1bjUYTzhnxl5zYZhFgT1REu2Ylprbyvvd

สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 7 ค่ำ เดือน 8 เป็นปีที่มีเดือน 8 สองหน เขาว่าจะมีน้ำมามากหน่อย ปีนี้คาดการณ์ว่าอย่างนั้น ช่วงเข้าพรรษาชาวอโศกจะมีการตั้งตบะ ซึ่งจะเป็นตบะนรกหรือตบะหรรษาก็ได้ หากตรงกับสักกายะของเราก็จะได้ประโยชน์สูงสุด

ตบะที่ไม่ค่อยมีคนคิดทำคือ การมาฟังธรรมตอนเย็น ซึ่งที่บ้านราชฯรวมตัวกันได้เพราะมีพ่อครูอยู่ แต่เห็นว่าถ้าหากพ่อครูไม่อยู่ก็จะไปตามที่ชอบๆกัน ไม่มารวมกันฟังธรรม แต่ถ้าพ่อครูอยู่ก็ดูประชากรที่ศาลาก็คับคั่ง บางที่เขาทำวัตรกันเต็มศาลา แต่ก็ทำตามที่ตัวเองกำหนด ไม่ได้คิดว่าพ่อครูมาหรือไม่มา สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ถ้าต่างคนในชุมชนอยู่ด้วยกันแต่ไม่ค่อยได้ฟังธรรมหรือฟังก็ตามภพภูมิ รวมทิฏฐิเป็นอันเดียวกันได้ยาก ไม่ได้ฟังวิธีละหน่ายคลายปล่อยวางความยึดอย่างไร

การฟังธรรมทุกวันก็คือการเพิ่มสัมมาทิฏฐิให้ตนเอง พ่อครูเคยมีโศลก ว่าแม้จะมีศรัทธามากสักปานใด มีวิริยะมากเพียรจัดปานใด แต่ถ้าขาดสัมมาทิฏฐิเสียแล้ว ความมีมากอย่างนั้นก็ไม่พาไปสู่ความพ้นทุกข์ได้

สิ่งที่น่าจะขาดและบกพร่องของพวกเราคือรวมตัวกันไม่ติดที่จะมาฟังธรรมกัน ถ้าฟังไปกวาดบ้านไปหรือทำงานไป คนก็จะบอกว่าที่ไม่สามารถฟังธรรมได้เพราะติดงาน ต้องทำงาน ฟังดูเหมือนว่าเราทุ่มเทให้กับธรรมะน้อยไป พ่อครูอยู่กับธรรมะตลอดเวลา แต่พวกเราไม่ได้อยู่กับธรรมะเลย

เล่มที่ 4 บรรทัดที่ 355 - 445. หน้าที่ 15 - 19

การจะได้อานิสงส์จากการฟังธรรมต้องมี วิธีฟังธรรมที่เป็นเหตุวิมุตติ

1.ขณะรับการแสดงธรรมจากพระศาสดาเพื่อนสพรหมจารีก็บรรลุธรรม

2.ขณะภิกษุนั้นเองแสดงธรรมก็บรรลุธรรม

3.ขณะภิกษุย่อมทำการสาธยายธรรมเท่าที่ได้สดับก็ได้บรรลุธรรม

4.ขณะภิกษุย่อมตรึกตรองใคร่ครวญธรรมเท่าที่ได้สดับก็บรรลุธรรม

5.สมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งเธอเล่าเรียนมาด้วยดีทำไว้ในใจด้วยดีทรงไว้ด้วยดีแทงตลอดด้วยดีด้วยปัญญา ก็บรรลุธรรม

 

พ่อครูว่า...ก่อนอื่นต้องขอแจ้งข่าวด่วน...คือเขาถอนหญ้าจังเลย โดยเฉพาะที่ลานสะโพ ขอได้ไหม อาตมาขอ ปล่อยให้มันรกตามธรรมชาติ อะไรมันเกินอาตมาก็จะให้สัญญาณไปเอง สำหรับตรงไหน หญ้ากอไหน ตรงไหน ที่ลานสะโพ ที่อื่นก็ไม่ได้อะไรมาก แต่ตรงนี้เรากำลังพยายามจะทำ อาตมาก็ว่าพอมีความรู้เรียนทางด้านศิลปะมา มีความรู้ว่าศิลปะสวยหรือไม่อย่างไรแค่ไหน อาตมาตั้งชื่อตรงนี้ว่าลานสะโพ ล้อเลียนกับชื่ออาตมา และกับแก้งสะพือด้วย แต่คนร่วมกันในนี้เยอะก็ปรารถนาดีกันทั้งนั้น อาตมาก็ขอไว้ก่อน

sms

_คำถามคนที่ 1 .....5 มิถุนายน นอกจากเป็นวันเกิดของพ่อท่านแล้ว ยังถือเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลกด้วย แต่งานเจที่ผ่านมา สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้พบเห็นบางคน ที่ชาวบ้านราชเลือกใช้ถุงพลาสติกจำนวนมหาศาล บรรจุอาหารขายให้ลูกค้า อย่างสิ้นเปลืองเกินจำเป็น ไม่นับสารพิษที่ออกมาจากถุงพลาสติกเวลาใส่ของร้อนจัด จนถุงเหี่ยวบางลงคามืออย่างเห็นได้ชัด หากสังเกตดีๆ การใช้ถุงพลาสติกไม่อั้น ทำให้แม่ครัวพ่อครัวบางฐาน เกิดความมักง่ายขึ้น คือเลือกที่จะกรอกอาหารและเครื่องดื่มทุกอย่างที่ตนทำเสร็จลงในถุง แล้วไปตั้งขายด้านหน้า เป็นอันหมดภาระของตนที่จะต้องมาเฝ้าและตักเสริฟ คือให้ลูกค้าหยิบไปจ่ายเงินเองได้ จนแม้ลูกค้าที่ต้องการกินอาหารและดื่มน้ำในร้าน ก็ไม่มีทางเลือกแต่ต้องซื้ออาหารและน้ำเป็นถุงไปแกะใส่จานของเรานั่งกินในร้านนี้แหละ ผลคือขยะพลาสติกล้นถังขยะ ถุงพลาสติกและหนังยางเกลื่อนกลาดอุทยาน

 

แม้จะเข้าใจความจำเป็นของการใช้ถุงพลาสติก ว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้ออาหารไปกินที่บ้านด้วย และทางเลือกอื่น เช่น ขายภาชนะชานอ้อย (แบบชมร.สันติ ขายใบละ 5 บาท และชมร.เชียงใหม่ ขายใบละ 2 บาท) หรือขายกระป๋องใส่อาหารพลาสติก เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าเอาภาชนะมาเองจากบ้าน ซึ่งแม้จะสะดวกน้อยกว่า และจะทำให้รายได้ตกจากการซื้อที่ลดลงของลูกค้าในช่วงปรับตัว แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ชาวอโศกเน้นยอดขายแม้จะทำลายสิ่งแวดล้อม

 

ที่ชมร.สันติและเชียงใหม่ก็ใช้นโยบายนี้ จนสำเร็จไม่มีการใช้ถึงพลาสติกเลยมาแล้ว ลูกค้าก็รู้ที่จะพกปิ่นโตและภาชนะมาซื้อ หากลืมจริงๆก็ซื้อกล่องชานอ้อยใส่แทน หากชาวบ้านราชจะเริ่มต้นเพียง ลดการใช้ถุงพลาสติก โดยมีแรงจูงใจให้ใช้ทางเลือกอื่นในช่วงปรับตัว อาทิ กินที่ร้านหรือใส่ปิ่นโตตัวเองราคานึง ใส่ถุงเพิ่ม 1บาท กล่องชานอ้อยเพิ่ม 2-3บาท มีกล่องใส่อาหารขายด้วย น่าจะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติก และลดความง่ายเกินไปของพ่อครัวแม่ครัวบางคนลงได้

 

ตอนนี้ทั่วโลกรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติก ปีนี้ ไม่อยากให้ชาวราชธานีอโศกต้องเป็นอีกหนึ่งองค์กร ที่สร้างขยะถุงพลาสติกจนล้นโลกนี้

พ่อครูว่า...ก็เห็นใจ อาตมาไม่เห็นว่าต้องไปสั่ง เพราะจะเป็นการบังคับใจเปล่าๆ ก็ให้ใช้ปฏิภาณของแต่ละคน ถ้าไม่มีเลยก็ปลอดภัยทุกอย่าง ไม่เกิดโทษภัยกับสิ่งแวดล้อม แต่จะให้มันไม่มี อาตมามั่นใจว่าไม่มีทางทำได้ ที่จะไปให้โลกนี้มีพลาสติกอีกต่อไป ในองค์กรส่วนของเราที่กว้างพอสมควร ถ้าหากชอบจริงๆไม่ใช้ก็ได้ แต่ถ้ากว้างพอสมควร อาตมาว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ใช้พลาสติก ให้ตัวของคุณลองไล่ดูสิ มันไม่มีวันจะขาดหายไป สำหรับพลาสติก มันมีทั้งเล็กน้อยและใหญ่ มันเป็นวัตถุที่เอามาใช้อย่างสะดวกสบายง่ายที่สุด เบาที่สุด เร็วที่สุด แต่มันร้ายตรงที่มันสลายได้ยากที่สุด แต่มันง่ายในการที่จะเอามาใช้ ภัยของมันคือสลายยาก แม้มันจะไม่สลายก็อุดตันเท่านั้น ไม่ได้ออกฤทธิ์มาก สลายช้านานเท่านั้นเอง อันอื่นๆอาตมาก็ว่ามันจะเป็นพิษภัย จะออกฤทธิ์ฆ่าแกง ถ้าหากไปเผาก็เกิดมลพิษเพิ่ม เพราะฉะนั้นก็เลยยาก มาถึงจุดนี้แล้วทั้งโลกเลยต้องใช้พลาสติก ก็ให้ใช้ดุลพินิจของแต่ละคนเท่าที่เราจะทำได้ คนไหนมีจิตอย่างไรก็เอาตามที่ตนเองคิดว่าควรจะเป็น อันนี้ไปบังคับกดข่มไม่ดี ก็รู้ แนวโน้มว่ามีพิษบ้าง แต่มันก็มีประโยชน์ ประโยชน์มันมีไม่ใช่น้อยนะ แต่แน่นอนว่ามีพิษแน่นอน แต่พิษร้ายจริงๆ ก็อย่าไปเผาให้เกิดแก๊สก็แล้วกัน ถ้าหากทิ้งถุงพลาสติกไปตามที่ต่างๆ ก็มีการอุดตันสลายได้ยาก ลองคิดพิจารณาให้ละเอียดดูสิ ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ยังไม่ถึงขั้น ทำขึ้นมาแล้วโลกจะแตกไปไม่รอดเราก็จะตาย มันก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น มันยากและเป็นเรื่องละเอียดละออ

 

_คำถามคนที่ 2 ...ขอเรียนถามพ่อครูว่า กรณีที่เราได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานอย่างหนึ่ง และเรารับปากจะทำแล้ว แต่เมื่อถึงเวลา มีงานด้านอื่นเข้ามา ซึ่งเป็นงานที่สำคัญน้อยกว่า แต่บังเอิญเป็นงานที่ชอบทำมากกว่า เลยเลือกที่จะไปทำงานอีกชิ้นแทนงานที่ได้รับมอบหมายและรับปากไว้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งพยาบาลบ้านราชไม่เข้าเวรดูแลคนไข้ตามที่กำหนด แต่ไปรับหน้าที่ทำครัวหรือทำยาหม่อง ซึ่งแม้จะสำคัญเช่นกัน แต่ย่อมสำคัญน้อยกว่างานดูแลคนป่วย เพราะเกี่ยวข้องชีวิตและจิตวิญญาณของคนทั้งบ้านราช ที่มีความคาดหวังที่จะพึ่งเจ็บพึ่งตาย (ไม่นับเวลามีเหตุฉุกเฉินที่ต้องออกไปดูคนไข้ที่โรงพยาบาลเลยไม่ได้เข้าเวร) ทำให้บางครั้งคนไข้ต้องมารอพยาบาลนานๆ หรืออาจไม่ได้รับการรักษาเลย แบบนี้จะสมควรหรือไม่ ผิดศีลหรือไม่ และการที่ผู้ทำงาน แม้ไปทำกุศลเหมือนกัน แต่จะมีวิบากหรือไม่ที่ทิ้งงานชิ้นแรกที่ต้องรับผิดชอบไป เพราะขโมยเวลาคนไข้ไปทำสิ่งที่ตนเองชอบมากกว่า

พ่อครูว่า...ละเอียดจนถึงละเลียด ก็เป็นเชิงให้คิดพิจารณา ข้อมูลก็คงจะมีมากกว่านั้น เอาล่ะ ในจิตใจ จะไปเหมาเลยว่าใจเขาชอบ อย่างนั้นหรือไม่ อาตมาก็ไม่รู้ข้อมูลละเอียดพอ ก็บกพร่องบ้าง ก็ไม่มีเจตนาที่จะให้ร้ายแรงอะไร คิดว่าอย่างนั้นนะ ก็ฟังไว้ ผู้ที่เป็นจำเลยถูกติงก็พิจารณากัน ทุกคนปรารถนาที่จะทำให้ดีที่สุดสมควรที่สุดเหมาะสมที่สุด จุดหมายก็ตรงกันทั้งนั้นก็ตั้งใจ อาจจะดูว่าอย่างนั้นผิดอย่างนั้นถูก แต่จริงๆอย่างนั้นถูกอย่างนั้นผิด ก็เป็นสองคนยลตามช่องคนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคมเห็นดวงดาวอยู่พราวพราย ก็เป็นได้ อยู่ร่วมกันอาศัยกันก็มีบกพร่องกันบ้าง ก็แก้ไขไปตามลำดับ

การแก้ไขนี้เราจริงใจ เราผิดเราก็ควรพิจารณา ที่จริง ควร แต่เราอยากเอาชนะคะคานแล้วดันทุรังทำ อันนี้ซวย เราก็พิจารณาให้ดีก็แล้วกัน หากเราไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร ก็แล้วแต่ควร พระพุทธเจ้าให้จบที่ความควรหรือไม่ควร ในมหาปเทส 4 ใช้กาละนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามหรืออนุญาต เราก็ใช้ความรู้ความสามารถเราตัดสิน และเราก็จะต้องทำให้ดี อย่าให้ลำเอียงและให้มีปัญญาแหลมคมที่สุด ทำให้ถูกต้องที่สุด แต่อาจจะมีผิดพลาดไปก็เราทำได้เท่านี้ฉลาดเท่านี้ เราโง่มากกว่าฉลาด หากเราฉลาดมากกว่านี้ก็จะทำได้ ใครจะฉลาดสูงสุดที่ไม่โง่เลยเท่านั้นแหละ ก็ค่อยๆเป็นไป

 

_ทีนี้ บ้านเล็กเมืองน้อย...บ้านเล็กเมืองน้อย...กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อท่านได้เทศน์อย่างเป็นห่วงเป็นใยต่อการนั่งหลับตาสมาธิ

จึงขออนุญาตขยายความบางแง่มุมเพื่อจะได้ทำความเข้าใจต่อความต้องการแท้จริงของปุถุชนภายใต้กรอบวิถีแห่งทุนนิยม

ผิดถูกอย่างไรกราบรบกวนชี้แนะด้วยครับ

 

ตอนที่ 1

โลกของทุนที่มีอิทธิพลครอบงำต่อหลักวิธีคิดของปุถุชน ได้ส่งผลต่อรูปแบบการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธหมู่ใหญ่ด้วยการนั่งหลับตาสมาธิ

 

โลกของทุนเป็นโลกแห่งการแย่งชิงที่ถูกออกแบบมาให้เป็นแหล่งบ่มเพาะกิเลสสร้างอัตตาตัวตน เป็นสังเวียนแห่งการชิงแชมป์โลกธรรมที่จัดให้แข่งขันแย่งชิงกันตลอดเวลา

องค์ประกอบทั้งหมดในสังคมทุนได้ถูกจัดวางเงื่อนไขให้มีบรรยากาศเสมือนกับหลุมดำ

มีสนามแม่เหล็กฉุดรั้ง คอยบงการกิเลสไปขับเคลื่อนจิตวิญญาณให้ดำรงสภาพความเป็นทาส เพื่อการันตีความเป็นปุถุชนให้คงอยู่กับมนุษย์ตลอดไป

 

ทุนนิยมได้สร้างความเข้าใจผิดอย่างร้ายกาจ ให้เห็นดีเห็นงามกับการแย่งชิง ให้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แล้วทุ่มโถมอย่างสุดกำลังเพื่อเจริญในทุน ได้ร่ำรวยอยู่บนความล่มสลายของมนุษยชาติ

ตราบใดที่ยังขจัดโมหะในอวิชาไม่ได้ ความมิจฉาที่ทำให้ทรัพยากรโลกกลายเป็นสมบัติที่ผลัดกันชม ก็จะไม่มีวันหมดไป

 

ท่ามกลางการดำเนินชีวิตที่ต้องแย่งชิงกันอย่างบ้าเลือด ทำให้เกิดความทุกข์และความเครียดได้ไม่น้อย

จึงต้องมีวิธีการบำบัดจิตที่สอดคล้องกับวิถีทุน โดยเจตนาให้....เป็นเพียงการคลายทุกข์ไปได้ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้ต้องการ....พ้นทุกข์อย่างถาวร

เพราะการจะพ้นทุกข์อย่างถาวรตามหลักพุทธศาสนาได้นั้น ต้องล้างกิเลสเผาอนุสัย

ซึ่งจะกระทบกระเทือนต่อวิถีชีวิตที่เสพติดความสะดวกสบายจนแทบจะพิการ ทำให้เขี้ยวเล็บในการแย่งชิงโลกธรรมสึกกร่อนไป และส่งผลลบต่อสมรรถภาพในการแย่งชิงของตนในภายภาคหน้า

 

ด้วยเหตุนี้การนั่งหลับตาสมาธิจึงถูก promote ขึ้น เพื่อตอบโจทย์ในการเยียวยา เปิดเป็น course บำบัดทางจิตแก่ปุถุชนโดยเฉพาะ

และมันก็เป็นวิธีที่เห็นผลรวดเร็วทันตา เพราะสามารถผ่อนคลายในบรรยากาศอันสงบ ปราศจากสิ่งรบกวนจากภายนอก

ซึ่งเท่ากับตัดขาดผัสสะจากทวาร 5 จึงมนสิการไม่ได้ สมาธิที่ได้จึงเป็นพวกโลกันตะ

เป็นเพียงแค่การสะกดจิตอดกลั้นใจให้อยู่กับความว่าง ด้วยการพุ่งเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการถ่ายเทลมเข้าลมออก

พยายามขืนใจไม่ให้ฟุ้งซ่านง่วงซึม ข่มจิตไม่ให้ย้อนอดีต ปรุงอนาคต แต่งอุปทาน

นั่งหายใจทิ้งไปเรื่อยๆ จนเป็นฤๅษีที่สงบนิ่งเฉย ไม่รับรู้ไม่ช่วยอะไรใคร ไม่ได้ลดความเห็นแก่ตัวลงแต่อย่างใด

 

ถ้าผู้ปฏิบัติหลับตาสมาธิเพียงหวังผลเท่านี้ แล้วเรียกความสงบนิ่งเฉยเช่นนี้เป็นสมาธิ

มันก็ไม่ใช่สมาธิเดียวกันกับ "ศีล สมาธิ ปัญญา" ที่เป็นไตรสิกขาของพุทธ

ซึ่ง"จิตวิญญาณที่มีศีล" เป็นองค์ประธานของสิ่งทั่งปวง มีผัสสะภายนอกเป็นปัจจัย

ฝึกจิตกระทั่งเกิดสมาธิตั้งมั่นเป็นปกติ จนเกิดปัญญาแยกแยะเอาชนะกิเลสได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

 

การพ้นทุกข์ก็คือการหมดสุข ต้องมีการขัดใจ ไม่ให้สมใจ ต้องขจัดกิเลสที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ออกไปจากจิต

ผู้ปฏิบัติจึงต้องลืมตามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในขณะปฏิบัติ จึงจะเกิดผลลดกิเลสได้จริงเป็นลำดับจากหยาบไปหาละเอียด ไม่ใช่ฝึกวิ่งก่อน ทั้งที่ยังไม่ได้หัดเดิน

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ จะนั่งหลับตาปฏิบัติได้สงบนิ่งจนกระดูกกลายเป็นหินก็ไม่วิมุติได้นิพพานแต่อย่างไร

พ่อครูว่า...ผู้ที่ตายแล้ว กระดูกเป็นพระธาตุก็ไม่ได้หมายถึงว่าเขาเป็นพระอรหันต์อย่างเช่นพวกที่ปฏิบัติสายฤาษีมีพลังงานเย็นมาก  ส่วนพระอรหันต์นั้นสามารถที่จะทำให้กระดูกเป็นพระธาตุได้เวลาถูกเผา มันซ้อนกันอย่างนี้ด้วย

สมาธิวิมุติ ของผู้ที่มีจิตที่สงบ สายเจโตจะสามารถทำให้กระดูกจับตัวกันได้มาก เวลาถูกเผา ก็จะเป็นพระธาตุได้มาก แต่ถ้าเป็นสายปัญญา จะไม่สามารถจับตัวกันได้มากจะเป็นพลังงานNuclear Fissionเสียมาก ก็จะเหมือนกับกระดูกคนธรรมดาเวลาถูกเผา จะไม่เหลืองไม่สวยเลย อย่างเช่นของพระสารีบุตร ก็สีน้ำตาลอ่อนไม่สวย จะไม่เหมือนอย่างของพระโมคคัลลานะที่จะเป็นเม็ดเงางามสวย

 

เนื่องจากปุถุชนยังจมลึกอยู่ในโลกอบาย จิตยังตกเป็นทาสอยู่ภายใต้อิทธิพลในโลกของทุน ที่เป็นกรอบทมิฬคอยบงการวิธีคิดของผู้คนทั้งสังคม

เมื่อยังต้องดำเนินชีวิตต่อไปในโลกทุน จึงหลีกเลี่ยงการแย่งชิงไม่ได้

การจะให้ปลดอาวุธที่เป็น กิเลส ตัณหา อุปทาน ทิ้งไป แล้วจะใช้อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนให้อยู่ได้รอดอย่างสุขสบายในโลกแห่งการแย่งชิง

ดังนั้นต่อให้เครียดอย่างไร ทุกข์เพียงไหน ก็ไม่อาจตัดใจหมดสุขไปได้

ปุถุชนจึงขอเพียงแค่ได้หลับตาผ่อนคลายทำจิตว่างได้ชั่วคราวก็พอ จะได้มีเรี่ยวแรงอาวุธครบมือไปลุยแย่งชิงความร่ำรวยกันได้ต่อไป

พ่อครูว่า...ฤาษีริชชี จากอินเดียไปสอนธรรมะสมาธิที่อเมริกา คนก็นิยมกันมากเพราะคนอเมริกันวุ่นวายฟุ้งซ่าน จนคนนิยมนับถือ ทำให้เขาร่ำรวย ฤาษีริชชี่ ก็เลยร่ำรวยมากมีรถโรลซ์รอยไม่รู้กี่คัน สุดท้ายเขาจับได้ว่าหลอกก็เลยต้องหนีไปตายที่อินเดีย

จะให้พ้นทุกข์ไปเลยคงไม่ไหว เพราะยังอยากมีสุขอยู่ จึงไม่น่าแปลกที่การนั่งหลับตาสมาธิจะเป็นคำตอบที่ถูกจริตของปุถุชน

 

แต่ที่น่าตำหนิอย่างยิ่งคือการสร้างความเข้าใจผิด ทำให้คิดว่านั่งหลับตาเช่นนี้คือการปฏิบัติธรรมให้เกิดสมาธิของพระพุทธเจ้า

การเปิด course บำบัดจิตทำสมาธิด้วยการนั่งหลับตาของพุทธศาสนสถานต่างๆ จึงสร้างความมัวหมองแก่คำสอนของพระพุทธเจ้าและทำให้ศาสนาพุทธแท้ๆต้องเสื่อมเสียไปด้วย

เพราะนี่ไม่ใช่แก่นแท้ของการปฏิบัติธรรมที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

พ่อครูว่า...จริงๆแล้วการนั่งสมาธิหลับตาทำให้ความเห็นแก่ตัว เข้ม แน่นแข็งสร้างความเห็นแก่ตัวเองให้มากขึ้นต่างหาก ให้เป็นแท่งก้อนไม่กระดุกกระดิก อยู่ให้นานแข็งตีไม่แตก อยู่อย่างยาวนานด้วย ไม่ได้เป็นธรรมชาติธรรมดา ที่ต้องรับรู้ Dynamic Static ที่เป็นสาระ มันไป  เล่น Static หลงการสะกดจิต แข็งแน่น หลงไม่รู้ไม่ชี้

จริง ดูไม่วุ่นวายดูสงบแน่นอน แต่ก็จม เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านบริภาษ อาฬารดาบส อุทกดาบสว่า ฉิบหายแล้วหนอ แต่เป็นนักสะกดจิตเป็นฌาน อรูปฌาน ก็ไปไม่ออก

อาจจะสงบเพียงชั่วคราวไปเป็นล้านปีก็ได้ แล้วก็ต้องเปลี่ยนกลับมาใหม่ คุณไม่ได้ระงับ สูญอย่างไม่เกิดอีก เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ลองพิจารณากันดีๆ ดูให้ถ้วนถี่ว่า การนั่งหลับตาสมาธิที่ปฏิบัติกันอยู่นั้น

ได้ลดความเห็นแก่ตัวลงบ้างไหม? ...คลายความยึดติดในการแย่งชิงบ้างหรือเปล่า?...

เกิดความเมตตาต่อผู้อื่นขึ้นบ้างหรือไม่? ...แล้วได้เสียสละทำประโยชน์ให้แก่ผู้ใดบ้าง?...

แม้จะไปหลับตาสมาธิใน จานบินลำไหน หรือหมู่บ้านผลไม้ชนิดใดก็ตาม ก็เพียงทำให้จิตว่าง ใจสงบได้เพียงชั่วคราว

ไม่ช่วยทำให้พ้นทุกข์ได้จริงแท้ถาวร ได้อย่างหมู่บ้านที่เป็นเมืองหลวงแห่งการพ้นทุกข์ ที่เรียกว่าราชธานีอโศก

พ่อครูว่า...ระวังจะไปหลงใหลคลั่งใคล้ราชธานีอโศกนะ เตือนสติไว้ เราก็ต้องให้มีหลักฐานมีปัญญาจริงอย่างถูกต้อง ไม่อยากให้หลง

 

_ร้านค้าดินอุ้มดาว(ในเมือง) สินค้าแพงกว่าตลาดนัดอยากซื้ออุดหนุนเอาเงินเข้าวัดแต่ราคาแพง

พ่อครูว่า...ก็ลดลงเอาใจลูกค้าหน่อยที่จริง คนไปช่วยมีน้อยนะ เป็นสินค้าจากขยะวิทยาของเรา ส่วนสินค้าแปรรูปจะไปอยู่ที่เฮือน บ่ฮ่อนมีแตเย็น

เรือนที่นั่นมีชื่อ เซามีแฮง แพ่งบ่หล่า ท่าหมู่แน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

ก็ช่วยกันคิด คนเดียวตัดสินก็ไม่ดี หลายๆคนช่วยกันตัดสินจะดี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ความสมานฉันท์ 7 แบบ

อาตมาตอนนี้ก็ขอเข้าสู่เรื่องของสมานฉันท์ ที่ขยายความจากเมื่อวานนี้

สมานฉันท์นี้ คือการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน

ส่วนคนไม่ยินดี แต่ต้องถูกจับตัวให้สมานฉันท์ เขาพยายามให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่คิดเห็นไม่สอดคล้องกันกับคนอื่น มันก็ยาก แต่มันก็ต้องพยายาม ไม่อย่างนั้นต้องขจัดออกไปเลย มันสมานไม่ได้ก็ต้องออกไป อย่างเช่น เราให้เขาออกไปเพราะว่าเขาทำผิด แต่จะให้เขากลับมาเพื่อตัดสินความผิด มาจับเข้าคุกอีก ก็เรื่องยุ่งอีก ดูแล้วมันน่างงจริงๆ แล้วจะให้เขาไปหรือจะเอาเขามากันแน่ อย่างนี้มันยึกยักอยู่ แค่นี้ก็ปวดหมองแล้ว ก็ค่อยๆเป็นไป

ขณะนี้ในเรื่องปรองดองในเมืองไทย เรื่องสมานฉันท์ในเมืองไทย ดีที่สุดในโลกแล้ว ที่ร้องเรียกขณะนี้คือพวกเหลือเศษฤทธิ์ ออกเสียงเป็นปากหอยปากปูทั้งนั้นแหละ พวกนี้ไม่มีวันจะสมานฉันท์ได้เป็นอันเด็ดขาด อย่างที่เห็นกันตอนนี้ออกมาเรียกร้อง ยกตัวอย่างพวกเสื้อแดง เศษเหลือพวกนี้ พวกที่อยู่ข้างในประเทศก็ออกมารวนตลอดเวลาไม่เคยหยุดเลยในประเทศไทยขณะนี้ ก็คือพวกทักษิณ

มันมี 2 พวกใหญ่เลยในประเทศไทย นักการเมืองพยายามตั้งหลัก แต่ก็ช้าไปหน่อย ขอบอกเลย นักการเมืองทุกคน อย่าแอ๊คเลย พยายามตั้งพรรค ตั้งคณะขึ้นมา ให้เหนือชั้นกว่า พลเอกประยุทธ์ผู้บริหารอยู่ อย่างทักษิณเขาก็ไม่เอา อย่างพลเอกประยุทธ์เขาก็ไม่เอา บอกว่าไม่ยอมสยบ ก็ช้าไปต๋อย เพราะว่าการที่จะสั่งสมบารมีได้ถึงขนาดนี้ สิ่งแวดล้อมเหมาะสมกับ กาละเป็นอจินไตย อาตมามีอจินไตยหลายอย่างที่อาตมารู้ ก็ความคิดของใครก็ฉลาดของใคร ใครไม่เท่าทันก็จะเป็นเหยื่อแร้งกาให้พวกเราเห็น

เพราะฉะนั้นพวกที่ต้องการจะขึ้นมาเป็นใหญ่ในการเมือง อาตมาก็ขอปรามว่าไม่ง่าย ทั้งๆที่ขณะนี้ จริงๆแล้ว โพลทุกโพล ก็ออกมาหมดแล้ว เห็นสอดคล้องกันหมดแล้ว ประเทศไทยตอนนี้พลเอกประยุทธ์ได้คะแนนนำ พวกคนไม่มีปัญญา ทั้งหลายแหล่ ยังไม่หยุดรวน เพราะว่าเขาไม่มีความยินดีที่จะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเด็ดขาด ไม่มีความยินดีที่มาสมานฉันท์ปรองดอง ซึ่งความจริงก็เพราะว่า คนฝ่ายหนึ่งนั้นโง่ อีกฝ่ายหนึ่งฉลาดจริงๆ

พวกฉลาดจริงๆ มีเป็นส่วนใหญ่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกที่โง่นั้นก็โง่จริงๆ พวกฉลาดก็อยู่ร่วมกันเป็นหมู่ใหญ่ พวกที่โง่จริงๆนี้มันจะโง่ไปอีกนานกว่านาน อีกนานเท่านาน

อย่าหวังเลยว่าคนที่มีความต้องการจะมาเป็นใหญ่จะมาแย่งอำนาจในตอนนี้ พวกที่หลงไหลว่ากูต้องได้ ทั้งๆที่เขาหมดสิทธิ์แล้ว เห็นทางจะแย่งได้ปานใด เขาก็ไม่หยุดรวนไม่หยุดเห่า เขาไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นคนโง่สนิทบอดถาวร คนที่ไม่รู้จักสมานฉันท์จะเป็นอย่างนี้

 

ความสมานฉันท์ 7 แบบ

แบบที่ 1 สมานฉันท์โดยใช้อำนาจบาตรใหญ่ของผู้ที่มีอำนาจ เป็นเผด็จการฟาสซิสต์เต็มที่มีมาแต่โบราณ คนที่ทำได้ก็มาอยู่รวมกันไป อยู่ไหนรักประเทศนั้นเขาไม่มีที่ไป หากไปได้เขาก็จะไป

แบบที่ 2 สมานฉันท์แบบที่บังคับด้วยกฎหมายหรือข้อวินัยบังคับกัน ให้อยู่ร่วมกันไป อันนี้ก็ใช้กันทั่วโลก แบบที่ใช้กฎหมายใช้หลักเกณฑ์ของสังคม มันเป็นสากลด้วย ก็จะใช้ได้ดีพอสมควร ก็อยู่ด้วยกัน กดข่มด้วยหลักเกณฑ์ แม้จะมีซ้อน ตัดสินพิจารณาความด้วยตุลาการ

แบบที่ 3 สมานฉันท์ด้วยใจนิยมชมชอบ มีค่านิยมเดียวกัน มีรสนิยมเดียวกัน จึงอยู่ร่วมกันอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ เช่นพวกที่อยู่ในอบายมุขเขากอดคอกันสนิทสนมเลย ชื่นชมมีรสนิยมเดียวกันค่านิยมเดียวกัน ก็ว่ากันไป อยู่ในโลกของอบายมุขเลย เขาก็หลงใหลของเขา

แบบที่ 4 สมานฉันท์ด้วยอิสระเสรีที่ตนเองสมัครใจ อย่างนี้เริ่มจะเป็นประชาธิปไตย มีอิสระเสรีเป็นเครื่องชี้บ่ง แต่ยังไม่เป็นโลกุตระ ยังเป็นส่วนตัวโลกีย์อยู่ มันก็ตัดสินแบบโลกมีสวรรค์มีนรก มีพวกกูไม่มีพวกกูอยู่อย่างนั้น

แบบที่ 5 สมานฉันท์ที่เริ่มต้นนับว่าเป็นประชาธิปไตย อันเมื่อกี้นี้เริ่มเข้าสู่ประชาธิปไตย อันนี้เริ่มนับเป็นประชาธิปไตยที่แบบที่ใช้ทั้งกฎหมายและอำนาจโลกธรรม ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข หรืออำนาจของกลยุทธ์ในการหาหมู่พวก ยิ่งใหญ่นะ สร้างกลเม็ดเด็ดพราย ค่ายกล หนังจีนนี้ใช้กันเต็มเลย วิธีหาพวก จึงเป็นประชาธิปไตยแบบสมบัติผลัดกันชม มันจะมีอยู่มากเลยข้อที่ 5 นี้ เป็นสมบัติผลัดกันชม สลับกันครองอำนาจอย่างที่มีกันเป็นสามัญแม้ในโลกทุกวันนี้

แบบที่ 6 สมานฉันท์กันจนกว่าจะมีปัญญา ปัญญาคือความฉลาด ฉลาดแบบโลกุตระที่ไม่ใช่มีความฉลาดแบบโลกียะ เพราะว่าโลกียะตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส เป็นความฉลาดแบบเฉโกหรือเฉกตาอยู่เท่านั้น จะต้องหลุดพ้น จากความฉลาดที่สามารถลดกิเลสได้ก่อน มันซ้อนสลับไปสลับมา เป็นความหมุนรอบเชิงซ้อน ฉลาดที่ลดกิเลสได้จึงเป็นความฉลาดโลกุตระเหนือชั้นกว่าความฉลาดแบบโลกียะ เพราะเป็นอาริยบุคคลตามพุทธศาสตร์ จึงจะเรียกว่ามีปัญญา แบบที่ลดกิเลสได้ และตัวตนก็หมดไปด้วย อย่างนี้จึงเรียกว่าปัญญา

ฉะนั้นจะมีการสมานฉันท์ที่ดีได้ ต้องมีปัญญากันจริงๆ ความมีปัญญานี้จิตวิญญาณต้องเข้าข่ายโลกุตระ ซึ่งจะนำพาคนไปสู่ความเป็นอิสระ อย่างแท้จริง และสามารถกำจัดอัตตา

อิสระกับอัตตา นิยามคำสองคำนี้ดีๆ ผู้ที่สู่ความอิสระเสรีภาพและกำจัดอัตตาของตัวเองได้เป็นลำดับ จึงเป็นผู้ไม่เห็นแก่ตนจริงแท้ ถึงจะเป็นประชาธิปไตยบริบูรณ์ขึ้นตามลำดับอย่างแท้จริง ตรงสัจธรรม ถึงจะเป็นการสมานฉันท์ เพราะลดกิเลสได้จริง

สมานฉันท์ด้วยเศรษฐกิจสาธารณโภคี  การเมืองสาธารณโภคี  สังคมสาธารณโภคี

เพราะจิตใจจิตวิญญาณมีความอิสระเสรีภาพหมดอัตตาตัวตนแท้ ไม่ใช่อิสระแบบ Hippy หมดอัตตาตัวตนแท้ที่เป็นความฉลาดขั้นปัญญาที่ไม่ใช่แค่เฉโก วนเวียนสุขทุกข์อยู่แบบปุถุชน

จึงจะเป็นสังคมประเทศที่ศิวิไลซ์แท้จริง ต้องสร้างปัญญา อันเป็นความรู้ของศาสตร์ที่เป็นโลกุตระ สังคมต่างประเทศหรือในหมู่คนไทยก็ตาม ถ้ายังไม่สามารถเข้าใจว่าความฉลาดปัญญาคืออย่างไร แล้วให้คนสร้างปัญญาในสังคมประเทศนั้น ถ้าทำไม่สำเร็จอันนี้ ไม่มีทาง ประเทศนั้นสังคมนั้น ไม่มีทางที่จะเกิดความสมานฉันท์ที่หมดความเดือดร้อน หรือไม่มีความเดือดร้อนได้ยาวนาน จนนานอย่างนิรันดร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

สภาวะนิรันดรของพุทธคือ หมดตัวตนอย่างนิรันดร แต่ไม่นิรันดรอย่างมีตัวตน

ไม่มีนิรันดร และมีนิรันดร มีนิรันดรเพราะว่าไม่มีตัวตนอย่างนิรันดร แต่ไม่มีตัวตนอย่างนิรันดรด้วย

อิสระเสรีภาพเต็มที่ แต่ก็ย้อนไปอีก แล้วรู้จักยอมรู้จักถ่อมตน รู้จักเป็นผู้แพ้ รู้จักเป็นผู้ให้ รู้จักเป็นผู้เสีย ไม่จำเป็นต้องชนะ เป็นผู้แพ้ได้ นี่สุดยอดเลย อาตมาก็ไม่รู้จะใช้พยัญชนะอะไรมาอธิบายอีกแล้ว

การสมานฉันท์จะต้องมีปัญญา หากเฉโก จะไม่สามารถสมานฉันท์กันได้อย่างเจริญแท้จริง ยั่งยืนถาวร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จะยังสลับ วนเวียนอยู่กับการแย่งสมบัติผลัดกันชม จะยังวนอยู่ตรงนั้น จะนานช้าก็แล้วแต่ อาจสลัดเร็ว สลับเร็วก็ตาม

ผู้ที่แย่งอำนาจได้ ก็ได้ไปครอบครองสมบัติผลัดกันชม จะไม่มีการครอบครองนิรันดรเป็นอันเด็ดขาด คุณก็จะเสียและคุณก็จะแย่งอยู่อย่างนั้น อย่างที่เป็นอยู่ในสังคมมนุษย์ปุถุชนที่หลงกันว่าเป็นประชาธิปไตยอยู่ในโลกทุกวันนี้ เขาไม่รู้ความจริงอันนี้

คุณจะแย่งอำนาจความเป็นใหญ่อัตตาตัวตน ก็เชิญ ของเรามีสิ่งพอเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว สบม.ทมด ปกต. หห จจ มชยลร

 

แบบที่ 7 ความสมานฉันท์ที่สูงสุด อยู่ที่การสร้างคน ให้การศึกษา มีวิชาการที่สามารถพากันฝึกฝนจนเกิดปัญญาแท้จริงเป็นโลกุตระ พ้นจากเฉโกที่เป็นโลกียะ เดินทางเข้าสู่ความเป็นคนมีอิสระจริงเต็มสมบูรณ์ และเป็นคนหมดสิ้น อัตตาตัวตน แน่ๆแท้ๆ เนื่องจากมีความรู้ทางจิตวิญญาณ จิตวิญญาณนี่แหละคือตัวตน มีความรู้ทางจิตวิญญาณเป็นอาริยบุคคลทุกระดับ และเป็นอรหันต์

ทุกระดับเริ่มต้นตั้งแต่โสดาปัตติมรรค จนเป็นอรหันต์ จึงมีประชาธิปไตยในประเทศอย่างสมบูรณ์แบบ

การจะสามารถสมานฉันท์ไปได้ก็ต้องศึกษา ให้เข้าถึงความเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ เปลี่ยนแปลงได้สำเร็จแท้ๆ นั่นคือการสมานฉันท์ที่สูงสุดด้วยภูมิปัญญาของอาริยบุคคล ก็จะทำให้เป็น ประชาธิปไตยที่สุดยอดได้ หากการสมานฉันท์นี้ ถึงขั้นสาธารณโภคี นี่คือสุดยอดเลย อย่างชาวอโศกมีการสมานฉันท์อย่างสาธารณโภคี

มีจิตวิญญาณเป็นตัวตั้ง วัตถุเป็นเรื่องย่อย พวกเรานี้ เพราะฉะนั้นก็จะถึงสุดยอด สาธารณโภคีจึงจะจริง ซึ่งจริงแล้ว สาธารณโภคีเป็นสุดยอดของคอมมิวนิสต์ สุดยอดของประชาธิปไตย สุดยอดของเผด็จการ ที่อันติมะ ที่สัมบูรณ์ อันติมะคือ ultimate สัมบูรณ์คือ Absolute สุดๆเลยสาธารณโภคี

คนที่ฟังอาตมาอาจหมั่นไส้ที่ว่ามันหลงสาธารณโภคีเอาสาธารณโภคีมายกย่อง

 

ก็ขอขยายความสาธารณโภคี

สาธารณโภคีนั้นหมายความว่ามีแก่นแกนที่เป็นคนทำงานฟรีพึ่งพาส่วนกลาง เป็นสาธารณโภคีที่ไม่ต้องแย่งเป็นของตน กินใช้ร่วมกัน เราก็เสพน้อยกินน้อยพึ่งน้อย กินใช้แค่นี้แต่สร้างได้มาก สร้างสิ่งที่เป็นสาระ เป็นเหตุปัจจัยที่มนุษย์ต้องอาศัยอย่างดีไม่มีพิษภัย ไม่มีโทษ สร้างสิ่งที่มีประโยชน์ให้แก่สังคมไปเรื่อยๆ

คนส่วนใหญ่ของกลุ่มใดที่เป็นแบบนี้ที่เป็นสาธารณโภคี จึงสร้างสรรค์เป็นประโยชน์คุณค่ามากกว่าที่ตัวเองกินและใช้ ในแต่ละคน มีประโยชน์สูงประหยัดสุด มีปัญญาหรือ หรม.ครน.ได้สมบูรณ์สุด ประโยชน์สูงประหยัดสุดอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นจึงเป็นสังคมที่รวบรวมความประเสริฐสุดของมนุษย์และสังคม ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจง่าย อาตมาเองไม่รีบเร่ง ที่จะบังคับคนให้มาเข้าใจ เพราะมันบังคับกันไม่ได้ คุณจะต้องค่อยๆ มีภูมิปัญญา มีปฏิภาณ มีความรู้ ค่อยๆ เข้าใจเอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ข้อด้อย 10 ข้อ ของพ่อครู

คุณเข้าใจได้เองแล้วมันเป็นตัวคุณ อาตมาไม่ได้ล่อหรอกหว่านล้อมไม่ได้เอาใจ แต่คุณทำความเข้าใจเอง พวกคุณมาเองนี่อาตมาสบายใจ อาตมาไม่ได้ถูกข้อหาเลยว่าไปหลอกล่อ และเล็มเลียบเคียง ใช้กลเม็ดกลยุทธ์อะไร มีแต่ความจริง และความจริงของอาตมาแข็งมาก ไม่ค่อยยืดหยุ่นเลย มีข้อด้อย 10 ประการ แล้วยังจะใช้ข้อด้อย 10 ประกานี้ทำอยู่ เพราะในยุคนี้เป็นอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นอาตมาคัดไม่ได้

อาตมาใช้ข้อด้อย 10 ประการนี้เป็นตัวคัดเลือก คนที่ข้ามพ้นข้อด้อยของอาตมา 10 ข้อนี้ได้ คนนั้นจะเข้ามา แม้จะข้ามไม่พ้นทั้ง 10 ข้อ ก็ข้ามได้พ้นบางข้อได้ก็มา ได้มากข้อ ก็จะมาอย่างเต็มใจมากขึ้น ถ้าได้น้อยข้อก็ไม่เต็มใจเท่าที่จะเป็น ก็ต้องมีส่วนที่พอใจจึงจะมา แม้จะมีส่วนที่ไม่พอใจอยู่บ้าง และก็จะเต็มใจขึ้นเรื่อยๆ

อาตมายังยืนยันในข้อใดนี้ยังไม่เลิก ใครจะเห็นว่าข้อด้อยของอาตมานี้ ใช้ไม่ได้ คุณก็ไม่มา อาตมาก็ไม่มีปัญหา ผู้ใดข้ามพ้นข้อด้อย 10 ข้อของอาตมา คุณจะรู้ว่าอาตมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติได้

 

“ข้อด้อย”ของอาตมาที่ต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆ

     อาตมามี“ข้อด้อย”อยู่มากมายหลายข้อจริงๆ ลองตรวจตนเองแล้วประมวลมาดู มีมากพอสมควร .... เช่น

     1.มีความจริงใจสูง กับการแสดงออก ไม่ค่อยปิดบังอะไร ..ซื่อๆ ตรงๆ ไม่ลดเลี้ยว สุดโต่งตรงเกิน

     2.แสดงออกเต็มที่ ต้องการให้คนรู้ คนเห็นชัดๆ ไม่ออมมือ ไม่เหยาะๆแหยะๆ จึงแรง

     3.ไม่สำรวมกิริยาให้สวย เท่ๆ งามๆ สุภาพๆอะไรทำนองนั้น

     4.ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจริงจัง ไม่อนุโลมเท่าที่คนยุคนี้ ที่อ่อนแอ ล้มเหลวอยากให้อนุโลมเอาใจบ้าง

     5.เป็นคนไม่กลัวเสียหน้า ถ้าจะแสดงอะไรออกมา จะว่ามารยาทไม่ค่อยดีก็ได้ หรือมารยาทไม่มีเลยก็ใช่

     6.เป็นคนไม่กลัวว่า จะไม่มีใครมาเป็นหมู่ เป็นพวก เป็นบริวาร

     7.จึงไม่สร้างภาพ รังเกียจการสร้างภาพเอาด้วย เพราะเห็นการสร้างภาพเป็นการหลอกลวง

     8.ไม่กลัวคนจะไม่ยกย่อง ไม่กลัวคนจะไม่นับถือ

     9.ยึดความจริง ซื่อตรงต่อความจริง ต่อสัจธรรมสูง จนถูกเข้าใจผิดว่า ยึดมั่นถือมั่น ดื้อดึงดัน

     10. เคร่งครัดกับคำตรัสที่ว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง  ปัคคัณเห ปัคคหารหัง เกินไป โดยเฉพาะนิคคัณเห นิคคหารหัง คือตำหนิคนที่ควรติ จนถูกเข้าใจผิดว่าคนอะไรเอาแต่ติเอาแต่ด่า

     และอาตมาก็ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่อาตมาจะต้องมี“ข้อด้อย”เหล่านี้ ไม่แก้ไข และตั้งใจทำตาม“ข้อด้อย”นี้ต่อไปยังไม่เพลา จนกว่าจะถึงเวลาอันควรแก้ไขเปลี่ยนแปลง 

 

อาตมาจะชมบางคน อาตมาเกรงใจนะ ซึ่งอาตมาไม่ทราบใจเขาว่าต้องการให้อาตมาชมออกสาธารณะหรือไม่ เดี๋ยวเขาจะหาว่าอาตมาเอาเขาเข้ามาเป็นพวก หรืออาตมาจะโหนเขา มันเสียใช่ไหม เขาก็เสียอาตมาก็เลยซวยด้วยไม่ก็ไม่ดี บางคนชมไม่ได้เต็มที่หรอก บางคนชมได้เต็มที่ ยกตัวอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 อาตมาชมได้เต็มที่ก็ชม พลเอกประยุทธ์ในขณะนี้อาตมาชมได้เต็มที่ แต่ถ้าเปลี่ยนแปลงไปแบบทักษิณ อาตมาก็ถล่มเหมือนกันนะ จริงไม่ได้พูดเล่น แต่ถ้าอย่างนี้แล้วก็ดีขึ้นๆตามภูมิอาตมาก็ชมส่งไปเลย ตอนนี้ก็ชมมากแล้ว ทำให้ดียิ่งๆขึ้นไปเถอะ ถ้ามีความเห็นตรงกัน มันก็สอดคล้องกันไปได้เรื่อยๆไปด้วยกันมาด้วยกันเลือดราชธานี

อาตมาจึงหนักไปทางติ ไม่ค่อนไปทางชม ก็ขอพูดให้ชัด

คนที่ชื่อประยุทธ์สองคนในเมืองไทยขณะนี้ มีประยุทธ์ทางธรรม และประยุทธ์ทางโลก

ประยุทธ์ทางโลกนี้อาตมาชมได้เต็มที่ แต่ประยุทธ์ทางธรรมนี้ยังชมไม่ได้เต็มที่ เพราะมันลึกซึ้งกว่าทางโลก ทางโลกมันหยาบกว่า คนเห็นได้ง่ายกว่า อาตมาก็ไม่ต้องเสี่ยง

แต่ทีนี้คนไม่รู้ทางธรรมะ คนยังเข้าใจไม่ได้ว่าทำไมต้องไปชมท่านประยุทธ์ คนนับถือท่านประยุทธ์มากกว่าอาตมาในประเทศไทยนะ พูดความจริงนะ แต่อาตมามั่นใจว่าอาตมาไม่ได้ผิด แต่ว่าอาตมาแพ้ได้ คุณจะยกย่องท่านประยุทธ์มากกว่า อาตมามีคนมายกย่องน้อยกว่าก็ไม่มีปัญหา ก็รู้ว่าได้แค่นี้กุศลหัวของอาตมามากแล้วที่ได้ขนาดนี้ จริงนะ อาตมาพูดความจริง

ในการประมาณการตัดสินอะไรต่างๆ อาตมามีดุลพินิจ มีตัวตัดสินมีการใช้การพิจารณา ตามภูมิของอาตมา ซึ่งอาตมามั่นใจว่า ได้ใช้สัปปุริสธรรม 7 ใช้มหาปเทส 4 อย่างเต็มที่ ในการที่จะตัดสินว่าควรจะพูดหรือไม่ควรพูด ยกตัวอย่างท่านประยุทธ์ ที่เป็นพลเอกประยุทธ์ อาตมาชมได้หนักกว่าท่านประยุทธ์ ท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ เพราะว่าคนจะเข้าใจธรรมะที่ลึกได้ยากกว่า คนเข้าใจทางโลกียะ หรือทางวัตถุ ส่วนนั้น มันอย่างนั้นจริงๆ

อาตมาก็ใช้ดุลพินิจของอาตมา อาตมาจะมีความฉลาดเท่าไหร่ก็ใช้ ฉลาดอย่างซื่อสัตย์ฉลาดอย่างไม่มีอัตตาตัวตน ที่ควรจะจะทำควรจะเป็น อาตมาจะไม่เก็บเอาไว้หรอก เพราะว่าใช้แล้วเป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษภัย

 

อาตมาพูดถึงความซับซ้อน ที่อาตมาเอาความด้อยเอามาใช้ ซึ่งอาตมาก็ต้องใช้ หลายคนฟังชัดเจนมีภูมิปัญญาพอ ก็คงไม่มีปัญหา ส่วนคนที่ยังมีปัญหาอยู่ว่า อาตมาไปทำข้อด้อยทำไม ทำไมไม่ทำให้หมดข้อด้อยไป ไม่มีปัญหา คุณเองคุณสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีข้อด้อยเลยคุณก็ทำเถอะ อาตมาก็อนุโมทนาสาธุนะคนที่ไม่มีข้อด้อยเลย ดีจริงๆ นะ ดีตามสัจธรรมไม่มีข้อด้อยเลย อาตมาก็อนุโมทนา อาตมาก็เห็นอยู่

เพราะฉะนั้นอาตมายอมรับสำหรับสิ่งที่อาตมาดูข้อมูลองค์ประกอบต่างๆ  ว่ามันสมเหมาะสมควร ตามสัปปุริสธรรม 7 ประการที่อาตมาใช้

1.ธัมมัญญูตา    (รู้จักทุกองค์ประกอบ) 

2.อัตถัญญูตา    (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย) คือเนื้อแท้

3.อัตตัญญูตา    (รู้จักตนเอง)

4.มัตตัญญูตา    (รู้จักประมาณจัดสรรสัดส่วน)

5.กาลัญญูตา     (รู้จักกาลสมัย)

6.ปริสัญญูตา    (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น)

7.ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น)

(พตปฎ. เล่ม 23  ข้อ 65)

 

คือมีเนื้อแท้เป็นอย่างนี้ มีองค์รวมองค์ประกอบเป็นอย่างนี้เนื้อแท้ท่านเรียกว่าอัตถะ องค์ประกอบรวมทั้งหมดท่านเรียกว่าธัมมะ อัตถัญญูตา กับ ธัมมัญญูตา ธัมมัญญูตาคือองค์รวม อัตถัญญูตาคือแก่น เป้าของมัน เนื้อสุดยอดปลายทางของมัน สองอย่าง อย่างกว้างและอย่างลึก อัตถะก็อย่างลึก ธัมมะก็อย่างกว้าง ก็ใช้เป็นหลักใหญ่จะเรียกว่า Static หรือ Dynamic ก็ได้ หลักใหญ่สองอันซึ่งเป็นตัวที่จะช่วยพิจารณา ขยายความหลักใหญ่ก็ขยายได้หมดรูปกับนาม ตั้งแต่อุตุนิยาม พีชะนิยาม ชีวะนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ซับซ้อน ธรรมะก็วนมาหาอีกทั้ง 5 กรรมนิยามเป็นตัวปัจจุบัน กรรมะอยู่กับกาละ ถ้าไม่มีกาละไม่มีเวลา กรรมะเกิดอยู่ของคุณคนเดียว มโนกรรม ยังไม่ถือว่าเป็นสัจจะ สัจจะต้องออกมาข้างนอกให้คนอื่นเขายืนยันพิสูจน์ตั้งแต่ 2 คนรับรอง ยิ่งล้านคนหลายล้านคนรับรองมันก็ยิ่งถือว่าเป็นสัจจะที่จริงเท่านั้นๆ อย่างนี้เป็นต้น อาตมาต้องใช้สิ่งเหล่านี้ นอกจากอัตถัญญูตา  ธัมมัญญูตาแล้วก็มีอัตตัญญุตา ตัวเราก็เท่านี้ ต้องประมาณเราจะทำเกินนี้มันไม่ได้ผลหรอก แต่ทำขนาดนี้ได้ผล ซึ่งก็ยากอธิบายยากอยู่ตัวเราก็เท่านี้ ถ่อมตนไว้ อย่าไปอวดใหญ่อวดโต เรามีภูมิ 100 ใช้ 80 นี้ก็มากแล้ว 70 ได้ก็เอา ยอม หรือใช้ 60 ก็เอาแค่ 60 ถ้ามันน้อยเกินไปก็ไม่เกิดผลดี ก็ต้องใช้เท่าที่ควรจะทำ อย่างนี้เป็นต้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน กรรมกับกาละอันลึกซึ้ง

กาลัญญุตา ในยุคนี้ขณะนี้ แม้แต่ในวินาทีนี้ ก็ต้องใช้กาลเวลายุคสมัย ในขณะที่เป็นกาละกับกรรม อันนี้ลึกซึ้ง จะทำในกาละนี้สองกาละ อาตมาย่นย่อว่าทุกอย่างมีกรรมกับกาละ

ไอน์สไตน์ค้นพบทางด้านวัตถุ space and time of Continuum

อาตมาสรุปของอาตมาคือ กาละกับกรรม time and Karma of Continuum กาละกับกรรม of Continuum

Space and Time

Space คือความว่างหรือทั้งหมดทั้งมวลหรือเทหะวัตถุแท่งทึบอย่างนี้เป็นต้น สิ่งที่สัมผัสติดSpace สัมผัสยังไม่ได้เลยคุณก็ไม่รู้จะไปทางมืดก็ตามหรือทางสว่างก็ตาม คุณสัมผัสไม่ได้ก็ไม่ชื่อว่า Space 

and Time ก็คือการเคลื่อนอยู่ตลอดของเอกภพของจักรวาลของทุกอย่างที่เคลื่อนอยู่ ส่วนของศาสนาทางจิตวิญญาณเอากิริยาหรือกรรมของสัตว์โลกของใครของมัน ซึ่งพูดได้กับเวไนยสัตว์กับอาริยบุคคล ก็รู้เรื่องดี ไม่เช่นนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องกันได้ กรรมกับอันเดียวกันกาละ นอกกาละไม่มีอะไร

สุดท้ายที่เขาใช้ พระพุทธเจ้าใช้คำว่าผู้ทำกาละ กลางๆ นะ ทำให้มันมีหรือทำให้ไม่มี ผู้ใดดับกาละได้ผู้นั้นจบเลย กรรมก็หาย นิรันดรก็หาย ความมีก็หาย ความไม่มีก็หาย กาละนี่ทำกาละ ความหมายคำว่าทำกาละนี้ยิ่งใหญ่มาก สูงสุด

อาตมาจึงสรุปลงได้ว่า ที่เราจะใช้ทั้งหมดก็คือกรรมกับกาละที่จะอยู่ในปัจจุบัน ละเอียดที่สุด ความละเอียดของจุด continuum เป็นปัจจุบันที่ละเอียดที่สุด และยังมีการเชื่อมต่อ Continuing หรือ Continuum เป็นปัจจุบันที่มีความเชื่อมต่ออยู่ อย่างสั้นอย่างเล็กอย่างละเอียดมากที่สุด อาตมาก็ได้พยายามอธิบายขยายความโดยใช้พยัญชนะเทียบเคียงของไอน์สไตน์ Space and Time ก็คงเคยได้ยินเคยได้ศึกษามา ใช้เป็น Continuum เป็นปัจจุบันธรรม ที่ละเอียดเล็กที่สุด เร็วที่สุด สั้นที่สุด

ของอาตมานี่กรรมกับกาละ ถ้าขยายความไปอีก ของเรามีกรรมกับกาละ

ของทางด้านวิญญาณของเขามี God กับ กาละ แต่ God ของชาวเทวนิยมนั้นมีนิรันดร ของเราไม่มีนิรันดรของ เรามีแต่กรรม ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยธรรมะ 2 กรรมไม่มี กรรมต้องมีธรรมะ 2 ต้องมี 1. ประธาน 2. Object ถ้าไม่มีประธานทำอะไรไม่ได้

นิวเคลียสอันหนึ่ง มีตัว I เป็นประธาน 

S กับ H คือ บวกกับลบ นิวเคลียสอันหนึ่งมีบวกกับลบแล้วก็มีพลังงาน ถ้ายังไม่เป็นชีวมันก็เป็นของมันในตัวของมัน เป็นพลังงานระดับอุตุนิยามก็ตาม แม้เป็นพลังงานระดับพีชะก็ตาม มันก็จะ I S H

เป็นจิตนิยามก็ยิ่งมี I ที่ควบคุม S กับ H สัมพันธ์กับอะไรอีกกว้างขึ้นลึกขึ้นเยอะเลย  

พีชนิยามมี ISH เป็นสามเส้าเหมือนกัน ส่วนอุตุนั้นสิ่งแวดล้อมข้างนอกเป็นประธานด้วยซ้ำไป มันไม่รู้ตัวมันเอง อันอื่นจะทำให้มันเป็นก้อน เป็นน้ำ เป็นอากาศ เป็นอะไร เป็นฤทธิ์แรงจนกระทั่งเป็นอุกาบาต จะมีพลังงานอื่นอันอื่นผลักดันหรือดึงดูดมันไปสู่แรงดึงดูดของ Galaxy ของจักรวาล มันก็จะต้องไปเป็นส่วนที่เป็นมวลของสิ่งอื่นๆ ก็ซ้อนๆๆอย่างนี้มากมาย ตั้งแต่อุตุนิยาม มาเป็นพีชนิยาม มาเป็นจิตนิยาม แล้วจะต้องมาศึกษากรรม กรรมนิยาม

เราเป็นเจ้าของกรรม กรรมเป็นของของเรา เราเป็นทายาทของกรรม กรรมพาเกิดพาเป็น กรรมสะสมเผ่าพันธุ์ กรรมสะสมตระกูล สั่งสม DNA แล้วคุณก็ได้พึ่งพาอาศัยกรรม กัมมปฏิสรโณ อยู่ในวัฏสงสารนี้

1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน) 

2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)

3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด) 

4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร) 

5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ) 

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 581)

กาละขยายยากมาก แต่ก็ขยายอยู่ตามลำดับ มีเหตุปัจจัยของมันก็จะเข้าใจกาละ เพราะกาละนั้นหมดเหตุปัจจัยธรรม 2 แล้วไม่มีแล้วกาละ ทำกาละได้ เลิกเลย ไม่มีอะไรอยู่นั้นเวลานี้ เวลาเขาก็มีไปนิรันดรตราบที่มีเอกภพ หากไม่มีอะไรเลย เวลามันก็ไม่มี ไม่มีก็สูญ ถ้าสูญก็จบ สูญจริงๆ เลย สูญนิรันดรไม่มีอะไรอีก เหมือนกับนิพพานเหมือนกับปรินิพพานปริโยสานของพระพุทธเจ้า สูญแบบไม่มีอะไรเข้ามาสู่อะไรอีกเลย อันนั้นคือจบสนิทเลย แต่ถ้ายังไม่จบมันก็ต้องเวียนวนมามี

เมื่อเวียนวนมามีก็ต้องเริ่มต้นมี 2 แล้วก็มีสามเส้าก็เกิด ISH หรือประธานกับบวกลบ ประธานอยู่ในตัวอื่นไม่ใช่ I อย่างอุตุนิยาม มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย

พีชะนิยามมี I เป็นตัวประธาน มันก็อยู่กับ SH ของมัน มันไปมีอำนาจกับอันอื่นไม่ได้ มันอยู่ได้ก็อยู่รอด อยู่ไม่ได้มันก็สลาย

เป็นจิตนิยาม เป็นสิ่งที่รักษาตัวเองได้เก่งกว่า ดีไม่ดีเอาของคนอื่นมาเป็นของกู ตั้งแต่เซลล์เดียวตั้งแต่ จุลินทรีย์ที่เล็กละเอียดมันกินเม็ดเลือดกัดเม็ดเลือดถ้ามันต้องการที่มันมี I ของมัน มันเอาหมดมันเจาะหมดอะไรๆ ตายเพราะจุลินทรีย์ตายเพราะอ้ายตัวเล็กนี่ สัตว์ใหญ่ขนาดไดโนเสาร์ก็ตายเพราะอ้ายนี่ได้ ช้างหรืออะไรที่ใหญ่กว่านี้ตายเพราะอ้ายตัวเล็กนี่ เพราะฉะนั้นคนก็ต้องมาศึกษาตัวเล็กนี่เหมือนกัน เป็นตัวเล็กพิษเราก็เอาออกได้ ให้มันพอดีให้มันเป็นประโยชน์เพราะมันเป็นพลังงาน

จุลินทรีย์ก็เป็นพลังงานที่เก่งมาก ต้องแบ่งเป็นพวกจุลินทรีย์ แบ่งเป็นจุลินทรีย์แบบขาวกับแบบดำ แบบขาวก็คือแบบเป็นประโยชน์ แบบดำก็คือเป็นโทษ

จากจุลินทรีย์ก็มาเป็นรา จากขาวมาเป็นดำ แยกแยะอันนี้เป็นโทษอันนี้เป็นคุณ หมู่ที่เป็นประโยชน์ก็เป็นขาว เป็นโทษก็เป็นดำ

เมื่อจุลินทรีย์ที่เป็นชีวะในระดับจิตนิยาม จิตนิยามถึงขั้นเป็นเวไนยสัตว์ ก็ไม่ไล่เรียงแต่เซลล์เดียว จนมาเป็นเวไนยสัตว์ที่พูดกันรู้เรื่อง พวกที่พูดกันไม่รู้เรื่องสอนกันไม่ได้จะให้ไปสอนจุลินทรีย์ไม่ได้แน่ แม้ว่ามันจะเป็นจิตนิยามแต่มันไม่รู้เรื่องหรอก ต่อให้มันมีเซลล์มากมายใหญ่โตเท่าปลาวาฬ เท่าช้างก็พูดกันไม่รู้เรื่อง แม้จะรู้เรื่องบ้างอาตมาก็ไม่ไปเสียเวลาสอนช้าง คนเอาช้างมาสอนและใช้ประโยชน์ได้บ้างก็ทำ แต่อาตมาไม่เอาแล้วมาสอนคน

คนนี่ก็ยังเลือกเลย พวกคุณที่เข้ามาให้อาตมาสอนนี้อาตมาเลือกอย่างกับอะไรดี อาตมาไม่ชุ่ยนะ เอาคนชุ่ยๆมา ไม่เอา ไปว่าเขาหรือเปล่า?

เพราะฉะนั้นคนที่มาที่นี่ไม่ใช่คนชุ่ย คนได้รับการคัดเลือกแล้ว แต่วิธีการคัดเลือกของอาตมานั้นเนียนมาก ใช้แม้กระทั่งความด้อย 10 ประการ คัดคนที่จะหลุดพ้นข้าม พ้นความไม่ถือสาความด้อยของอาตมานั้น เพราะความเด่นเหนือกว่าความด้อยของอาตมามี พวกคุณก็เลยยกให้ ในข้อด้อย พวกคุณที่ได้สิ่งที่ดีมากกว่าข้อด้อยก็มา อาตมาไม่ได้ปิดบังในความด้อยนี่ยังไม่หมดนะข้อด้อยยังจะมีมากกว่านี้อีกได้ ถ้ามากกว่านี้ก็ละเอียดเท่านั้นเอง นี่ก็หยาบแล้วนะ ละเอียดกว่านี้ก็ยิ่งเป็นภัยน้อยกว่านี้ อันนี้ก็เป็นภัยที่แรงแล้ว 10 ข้อนี้ แต่ขนาดนั้นคุณยังข้ามพ้นความด้อยของอาตมา คุณก็ได้สิ่งที่พวกคุณได้ แต่ละคนก็ต้องเป็นของตน ปัญญาเป็นของตน ความรู้เป็นของตน คุณทำอะไรก็เป็นของตน เพราะฉะนั้นจึงเป็นทุกอย่างของตน คนคืออะไร คนคือกรรมกับกาละ

ถ้าคุณเป็นตน คุณเองสลายตัวคุณไม่ให้มีกาละเลย ทำกาละก็สูญแล้ว ถ้าคุณยังมีกรรมและก็ต้องอยู่ในกาละ คุณไม่สลายกรรมคุณออกจากกาละคุณก็ยังมี อาตมาเป็นโพธิสัตว์หากจะสลายกรรมของอาตมาออกจากกาละเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ อาตมาทำได้ตั้งแต่เป็นอรหันต์มา จนเป็นโพธิสัตว์ในระดับนี้อาตมาก็ยืนยันว่าทำได้ แต่ใครจะทำหรือไม่ทำ อาตมาเป็นผู้ตัดสินของอาตมาเอง คนอื่นไม่มีสิทธิ์หรอก อาตมาก็ยังอยู่ ยังมีกรรมอยู่กับกาละ ยังไม่ทำกาละ ตายแล้วก็ยังจะมาอีก

การทำกาละนี้ แท้ๆ คือทำกาละในขณะที่ตัวเองเป็นผู้ตัดสินกาละ ตัวเองเป็นผู้ตัดสิน ทำกาละให้แก่ตัวเองว่าจบนะ ไม่มีแล้วนะกาล คุณเป็นคนทำกรรมเอง พอทำแล้วไม่มีกาละแล้วคุณก็ไม่มีสิทธิ์จะมีอะไรอยู่ที่ไหนอีกเลยในมหาจักรวาลนี้ ในมหาจักรวาลนี้ต้องมีกาละ เกิดโลกเกิดจักรวาลเกิดเอกภพมันจะวน มันก็เกิดกาละ ไม่วนแล้วไม่เป็นกาละแล้ว ถ้าคุณบอกว่าจะมีก็มีเป็น Nuclear Fission ไปอย่างไม่เจอใครเลย ไปไกลสุดๆเลยแล้วก็หายไปเลย จนกระทั่งโดดเดี่ยวจนกระทั่งศูนย์เลย เป็น Nuclear Fission ที่ไม่มีจุดจบ ตรงเลย ไม่มีโค้งเลย ตรง เดี่ยวๆๆ คุณก็หมดแรงที่คุณจะเดินทางเมื่อไหร่คุณก็ต้องสูญ นึกออกไหม พอเข้าใจไหม

Nuclear Fission ตรงอย่างไม่มีโค้งเลย ไม่มีองศาแม้แต่จุด 00001 ตรง สูญแน่นอนไม่มีโค้งเลย เพราะฉะนั้นในจักรวาลใดในเอกภพใดๆไม่มีเลยที่จะมีเส้นตรง ตราบที่คุณยังอยู่ในเอกภพ เอกภพจะให้ใหญ่ขนาดไหนก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นคุณหมดเอกภพเลย คุณเป็น  Nuclear Fission ที่ไม่มีองศาโค้งเลย สักนิดเลย นั่นแหละเมื่อนั้นแหละ คุณจะพบ Nuclear Fissionไม่ได้ เพราะมันไม่มาให้คุณพบ เพราะคุณยังอยู่ในโลกตรงนี้ แต่ Nuclear Fission มันวิ่งหนีคุณไปไปไกล คุณไม่เห็นแล้ว มันก็หายไปไกลจนคุณไม่มีสิทธิ์จะรับสัมผัสได้เลย แต่มันมี มันก็ต้องเลิกพูดกันแล้ว

นี่ก็พูดสิ่งที่พอจะเข้าใจรู้เรื่องกัน พอเข้าใจกันได้

 

กัมมัสโกมหิ หรือกัมมัสกตา กรรมเป็นของของตน แล้วตนเองก็ต้องเป็นทายาทของกรรมของตน แบ่งใครไม่ได้เลย จะอยู่กับคุณไปจนกระทั่งปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะดีจะชั่วจะเป็นโลกุตระหรือโลกียะ แบ่งไม่ได้ จะแบ่งเป็นญาติโกโยติกา ทางด้านเป็นนามธรรมของตน พระพุทธเจ้าจึงไม่สามารถแบ่งกรรมให้ใครได้ กรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นของท่านเอง กรรมของเราก็รับได้แต่คำสอนและเอามาทำกรรมของเราเองที่จะเกิดเป็นของเรา แล้วเราก็จะเป็นทายาทของของเรา แบ่งทางสรีระแบ่งทางเชื้อสายทางวัตถุไม่ได้เลย

คุณต้องเป็นทายาทของกรรม คุณต้องรับช่วงกรรมของตัวเอง ไม่เอาไม่ได้ คุณทำความชั่วและจะบอกว่าไม่เอาความชั่วนี้ไม่ได้ แล้วจะได้อย่างไร กรรมเป็นอันทำทั้งนั้นของคุณ แล้วคุณต้องเป็นทายาทไม่เอาไม่ได้ ชั่วก็ต้องเอาดีก็ต้องเอา มันเป็นของคุณ กัมมทายาโท กัมมโยนิ และอันนี้แหละเป็นต้นทางพาให้คุณเกิดเป็นไปในวัฏสงสาร ตราบที่คุณยังมี ตัวกรรมนี้เป็นพลังงานพาเกิด

มันพาไปบนก็พาไปบน คุณทำกรรมขึ้นบนก็พาไปบน คุณทำกรรมไปล่างก็พาไปล่าง คุณทำให้เกิดองศาไปทางไหนมันก็ไปทางนั้น จะทำให้เกิดองศาน้อยอย่างไร มันก็ไปตามนั้น เราทำให้อัตตาของเราสลายไปก่อนได้เลย นั่นคือกุศล เราสลายตัวเราก่อนกุศลก็หมด อกุศลก็หมดที่มันเป็นอดีตแล้ว

แต่คนที่ไม่ทำกรรมชั่วไม่กรรมบาปไม่ทำกรรมอกุศลอีกเลย คนนั้นก็มีแต่กุศลสะสม เพราะฉะนั้นก็ได้อาศัยกุศล

กุศลกับบาปนี้เดาไม่ได้หรอก อาตมาอธิบายไม่ง่ายเลย บุญคือพลังงานที่ทำลายสิ่งที่อกุศลสิ่งที่ไม่ดีอย่างเดียวแล้วจบ คำว่ากุศลกับบุญ จึงเป็นเรื่องที่คุณต้องเข้าใจพยัญชนะกุศลกับบุญให้ได้

ถ้าอาตมาจะลงลึกถึงพยัญชนะแล้วจะยาว

กุสละ กับปุญญะ ปุญญะก็มีตัวตั้งกับตัวรู้

ญ ญ หญิงก็รู้

ส่วนกุสละ มันมีทั้งตัวตั้งที่มันตั้งขึ้น ก แล้วก็ สละ ซึ่งเป็นพยัญชนะของเศษวรรค

แต่อันนั้นเป็นแต่เพียงธาตุรู้กับตัวเดินทางคือ ป ปุญญะ แล้วก็ใช้อาศัยตัวฉลาดตัวรู้ตัวปัญญาเป็นตัวหลัก แต่แกนของ ป เป็นตัวตั้งต้นของการงานสูงสุดแล้ว ก จ ต ฏ ป นี่ 

ก็ค่อยๆพูดไปพาดพิงไปเรื่อยๆ คุณก็สะสมเอาก็แล้วกัน คนชอบพวกนี้ อาตมาก็ยังไม่เก่งพอในพยัญชนะที่จะอธิบายได้ละเอียดจนกระทั่งเข้าใจได้หมด แต่ก็มีมากพอที่จะอธิบายให้พวกคุณเข้าใจแต่ละเอียดหมดเลย อาตมาก็ยังไม่ถึง ยังได้แค่นี้ บอกตรงๆ นี่ไม่ได้พูดอ้อมค้อมไม่พูดถ่อมตนเท่ๆ พูดให้คุณฟัง

 

กัมมพันธุ สั่งสมเป็นเผ่าพันธ์ุ เป็น DNA เป็นเชื้อพันธุ์ทางนามธรรม มันไม่ได้เป็นเชื้อทางรูปธรรม เพราะฉะนั้นเชื้อนี้จะเป็นของๆตน เชื้อของตนเท่านั้น ซึ่งมันมีความละเอียดลออมากเลย เช่นเชื้อที่จะสร้างชีวะของสัตว์ในระดับหนึ่ง เช่นระดับคน

คนเพศหญิงจะมีไข่ พอไข่นี้ถูกทำลายปั๊บ มันจับตัวกัน เป็นตัวตั้งของเชื้อไม่ได้ ก็จะแปรตัวจากไข่ ไข่นี้เป็นธาตุดิน เมื่อไม่ได้รับเชื้อจะสลายเป็นธาตุน้ำ ธาตุน้ำจะออกมากับเลือด

เลือดระดู ที่เกิดจากไข่ของผู้หญิง เมื่อสลายไปกลายเป็นธาตุน้ำ ธาตุน้ำที่เป็นระดู พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นอุตุ ไม่ใช่พีชะหรือจิตนิยาม มันตายจากจิตนิยาม แม้มันเหลือพีชะก็ไม่ใช่

ระดูเลือดของผู้หญิงที่สลายจากไข่มาเป็นธาตุน้ำไหลออกมา จึงชื่อว่าอุตุ ไม่ใช่พีชะแล้ว เป็นพีชะไม่ได้ ทิ้งอย่างเดียว

แต่ธาตุน้ำเป็นพีชะนะ แต่แม้น้ำจะเป็นของเลือดและไข่ของผู้หญิงทางมดลูก จะต้องเป็นอุตุ เป็นพีชะไม่ได้ นี่เป็นความลึกซึ้งของสภาวะจริงของมันที่หลายคนอาจจะพอเข้าใจแต่หลายคนไม่รู้ ยังเข้าใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปติดใจ ศึกษาไปเถอะแล้วจะเข้าใจได้ ธาตุของวัตถุก็มีดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศ

อากาศคือรวมของดินน้ำลมไฟ มันจับตัวเป็น 2 มันจะต้องมีช่องว่างที่มันจะไม่เป็นตัวเดียวกัน แตะกันดูดกันอย่างไรก็ต้องมีที่จะขาดกันอยู่ จึงเรียกว่าอากาศหรือช่องว่าง มันอาจจะเหลื่อมมันอาจจะสานอยู่เหมือนจะสนิทเนียน แต่ถ้าไม่ลงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจริงๆ เลยมันก็ไม่ใช่ตัวเดียวกัน

ปรมาณูที่เล็กที่สุดขนาดไหนก็ตาม ไม่มีอะไรที่จะลงตัวเป็นตัวเดียวกันได้เลย ไม่มี ความเล็กที่สุดของที่สุดไม่ใช่ 2 มีแค่ 1 กับ 0 เท่านั้น ความเล็กที่สุดแห่งที่สุดมี 1 กับ 0 ไม่มี 2

แฝดก็สองแล้ว เพราะฉะนั้นต้องเป็นหนึ่งไม่มีแฝด หากแฝดเมื่อไหร่เป็นสอง แฝดขนาดไหนเหมือนขนาดไหนก็มีสอง เล็กขนาดไหนก็ไม่มีสอง

กัมมปฏิสรโณ...ปฏินี้มี 1. ปฏิสรโณหรือปฏิสรณะ 2. ปฏินิสสัคคะ เอาสองตัวนี้ก่อนซึ่งเป็นตัวอาศัย

ปฏิ แปลว่ายังมี 2 เป็น Action Reaction เดินทางเป็นปฏิกิริยากัน

สรณะ แปลว่ายังรบกันอยู่ แต่ปฏินิสสัคคะ คือ ยังมีสวรรค์ แต่ปฏิเสธสวรรค์ จึงว่านิสสัคคะ

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีสวรรค์แต่ไม่เอาสวรรค์ ไม่ยึดสวรรค์เป็นเราเป็นของเรา แต่รู้ว่าโลกนี้มีสวรรค์มีนรก ขออาศัยสวรรค์แต่ไม่ได้ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา เราก็ใช้อาศัยเพราะมันดีกว่านรก สวรรค์นะ เราใช้ศัพท์ง่ายๆ มันสบายกว่าอบาย นรกมันอบาย ไม่สบาย สวรรค์มันสบาย

อีกคำหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าใช้ก็คือพระอรหันต์จะอาศัย ทรถ

ท คือ แข็งแรง ท.ทหาร

ร คือเศษวรรค ย ร เศษวรรค ตัวที่ 2  ท ก็เป็น Static  ร ก็เป็น Dynamic หรือ Kinetic ที่มันเป็นพลังงานรอบแกน

แกนต้องมี 2 ตัววิ่งต้องมี 1 ตัววิ่งคือ ร ตัวนิ่งคือ ท

ถึงคำว่า ปฏิสรณะกับปฏินิสสัคคะ

สรณะต้องรบ คนอยู่ในฐานของสรณะจะเป็นนักรบ อย่างพลเอกประยุทธ์ก็เป็นนักรบ ท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ก็ยังนักรบ ยังรบอยู่ ส่วนสัคคะนั้นไม่ต้องรบแล้ว สวรรค์ แต่ผู้นี้ไม่เอา นิสสัคคะ ปฏินิสสัคคะกับปฏิสรณะ ในกรรมของพระพุทธเจ้าท่านเอาปฏิสรณะ เพราะปฏินิสสัคคะนั้นเป็นของอรหันต์ ท่านเลือกเอา ท่านจะเอาหรือไม่เอา ท่านจะเอาสวรรค์หรือไม่เอาสวรรค์มันเรื่องของท่าน ท่านดับได้หมดแล้ว นรกสวรรค์ท่านไม่มี แต่ท่านขออาศัยท่านยังมีอยู่ท่านอาศัยสวรรค์เป็นตัวอาศัย แต่ไม่เป็นตัวท่านแล้ว นิสสัคคะ ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกหรอก มันไม่มีพยัญชนะจะเรียกสภาวะนี้แล้ว ก็เอาสภาวะนี้มาตั้งชื่อ อาตมาก็พยายามอธิบาย 

ปฏิฆสัมผัสโส ตัวมันเองเป็นปฏิฆสัมผัสโส ก็มาตั้งอธิวจนะใส่เข้าไป คือคำพูด ใส่เข้าไป บางทีมีปฏิฆสัมผัสโส สัมผัสติดแล้วว่าเป็นอันนี้ ถึงจะมีปฏิมีตัวบวกลบ มีตัว action reaction แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ ยังไม่มีอธิวจนะ คุณก็รู้ของคุณ ใครมีอธิวจนะที่เป็นวจีสังขารอยู่ในปฏิฆสัมผัสโส คุณสัมผัสได้ว่าอันนี้มันเกิดแล้วมันเป็นแล้วมันมีแล้ว แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ ที่จริงเขาตั้งแล้วแต่คุณไม่รู้ คุณก็เอามาพูดสภาวะให้คนอื่นฟัง คนที่ฟังแล้วก็บอกอันนี้เขาเรียกอันนี้ คุณก็เอาอธิวจนะมาเรียกเข้าไป แต่ถ้ามันยังไม่ได้ตั้งชื่อเลย มันหายากน่ะ พระพุทธเจ้าท่านได้ตั้งมาหมดแล้ว มากจนกระทั่งอาตมาเอามาใช้ไม่หมด เป็นอธิวจนะของพระพุทธเจ้ามีมาก

สภาวะใด ปฏิฆสัมผัสโส ตัวใดสัมผัสติด เป็นสังขารในระดับข้างใน เป็นสังขารในระดับวจีสังขารขึ้นมา

ตั้งแต่ 0 จนกระทั่งถึงนิรันดร พระพุทธเจ้าก็ได้ตั้งชื่อไว้หมดแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาชื่อใหม่ตั้งชื่อใหม่หรอก เอาของพระพุทธเจ้าก็เหลือกิน

สมณะเดินดินสรุป...สรุปจบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:38:44 )

610805

รายละเอียด

610805  หยั่งรู้ใจกูเองคือผู้มีเจโตปริยญาณ

พ่อครู     : เรื่องกายกับจิตเนี่ย ที่เป็นรูปนาม  มันเลือน ธรรมะมันเลือน มันได้พังหมดเลย  พวกนี้มันละเอียดจนกระทั่งมันเสื่อมจากความรู้ มันก็เลยเพี้ยนความจริงไปเลย กายกลับมาเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ผิดเลย บุญเหมือนกัน บุญก็กลายเป็น ไม่เป็นเอกังสะ ไม่เป็น ทำหน้าที่เดียวแล้วไม่มีอื่น ต่างจากกุศลพวกนี้ แม้แต่สมาธิ แม้แต่อะไรทั้งนั้น ศีลก็เพี้ยน ศีล สมาธิ ปัญญา เพี้ยนหมด ปัญญาก็เพี้ยน เพราะปัญญาเป็นโลกุตระ ความฉลาดที่ไม่ใช่โลกุตระไม่ใช่ปัญญา เขาฟังผ่านหูนะ พวกนี้เขาฟัง เขาไม่เอา ไม่ get ไม่รู้สึกสะดุดหรอก

.เดินดิน       : เหมือนบางที มันลึก

พ่อครู         :   ใช่.. เพราะงั้นเขาก็เลยไม่กระเตื้องไง เขาไม่มีวันเคลื่อนที่ขึ้นมาหาโลกุตระ พวกนี้มันเป็นภาษาที่จะต้องเข้าไปสู่โลกุตระ แต่เขาไม่แล้ว เขาไม่มีแล้วโลกุตระ โลกียะ เขามีธรรมะอย่างเดียว ธรรมะโลกีย์ อันที่เขาติดอยู่เนี่ย โลกีย์โง่มาก โง่น้อย มีโลกีย์โง่มากเลย ฉลาดน้อยที่สุดก็คือ โง่มากที่สุด หรือว่าโลกีย์ที่วิตถารที่สุด ฉลาดวิตถารที่สุด ฉลาดแกมโกงแหลกเลยขนาดหนัก ทักษิณเงี้ย เป็นพวกโง่มากที่สุด ที่ฉลาดแกมโกงเก่งที่สุดเลย ไปเรียนวิชา

. แสนดิน    อาชญาวิทยา

พ่อครู          : อาชญาวิทยา มาก็เลยใช้ความรู้อาชญาวิทยาขั้น ดอกเตอร์ มาใช้ในการโกง เฉโก เต็มรูปแบบเลย

. แสนดิน      : ก็เลยโง่ในทางธรรมะ

พ่อครู         :  เออ.. เลยโง่หนัก โง่ชนิดดอกเตอร์ จบวิชาอะไรมา.. วิชาโง่ จบอะไร ..จบ  ดอกเตอร์  ดร.วิชาโง่ โอ้โห หนักหนาสาหัสจริงๆ ไอ้นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ นี่พูดสัจจะความจริง มันสุดยอด เดี๋ยวนี้แกก็ยังใช้ความโง่ของแก แกก็ภูมิใจ แกก็นึกว่าแกฉลาด คือ มันกลายไง มันได้ชนะ มันได้โอกาส มันได้ภูมิใจ ที่เราทำความคิดของเรานี่มันสำเร็จ แต่มันยิ่งเสีย มันยิ่งเสื่อม ตัวเองก็ยิ่งโง่หลง โง่หลง โง่ๆๆ 

. แสนดิน      : มันซ้อน

พ่อครู          :   โง่ unlimit เลย

. แสนดิน      : แต่ฉลาด แต่โง่ unlimited

พ่อครู  :  ตกลงโง่ unlimited โง่เป็นบริษัทจำกัดเลย

.แสนดิน    :  infinity

พ่อครู  :  บริษัทไม่จำกัด unlimited ไง  โง่เป็นบริษัทไม่จำกัดเลย

.แสนดิน    : จะแก้ยังไง?

พ่อครู  :  เออ.. มันแก้ไม่ได้เลย  ได้ศัพท์คำหนึ่ง โอ้โห พวกนี้โง่ unlimited เลย โง่เป็นบริษัทไม่จำกัดเลย forever เลย โง่ forever

.แสนดิน    :  บริษัทจำกัดนี่มัน limited นะฮะ อันนี้บริษัทไม่จำกัด

พ่อครู  :  unlimited

.เดินดิน    :  อยู่กับอะไร อยู่กับ ศีล สมาธิ ปัญญา กายๆ คนละ..

พ่อครู  :  ผิดหมดๆ  ไม่เหลือหรอก  บอกว่ามัน พูดไปแล้วก็น่าสงสารก็ แล้วก็มากลายเป็นว่า เราไปข่มเขา ไปโจมตี ไปว่าเขา ไม่ว่าก็ไม่รู้จะทำงานอะไร ก็มาแก้ไขธรรมะให้มันถูกต้อง เราก็ไม่มีหน้าที่ ไม่มีงานอื่น หรือกลายเป็น โอ้ย..

.เดินดิน    :  แต่ก่อนมีครูเปรียญเขาบอกว่า เขาแยกออกว่า ศาสนาทุกวันนี้ มันศาสนาโลกีย์ ในขณะที่พ่อครูมาทำศาสนาโลกุตระ

พ่อครู  :  อันนี้ก็ถูกต้อง

.เดินดิน  : แต่โลกีย์ บุญ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเรื่องโลกีย์

พ่อครู  : หมดเลย กลายเป็นเรื่องผิดเพี้ยน เป็นธรรมดา ไปหมดแล้ว

.เดินดิน    :  ครับ

พ่อครู  : ไม่มีอะไรสูงกว่าแล้ว มันมีสามัญอยู่อย่างเดียว แต่ว่ามันมีสามัญสำนึกว่า ทำดีทำชั่ว   ทำดีทำชั่วนั่นคือโลกีย์ ไม่ใช่โลกุตระเลย โลกุตระต้องรู้จักกิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสลดได้ นี่คือนิยามชัดเจน เงื่อนไขของความถูกต้องของโลกียะ โลกุตระ แน่นอน โลกุตระมันก็ต้องดี ทำดีแล้วก็ทำดีให้ถึงขั้นกิเลสลด แต่โลกียะนั้นทำดีไม่มีประเด็นกิเลสลด เพราะไม่รู้จักเจตสิก รูป นิพพาน ไม่มีความรู้ในเรื่องพวกนี้เลย เพราะนั้นพูดถึงกายก็ไม่รู้จักจิต พูดถึงเวทนาก็ไม่รู้จักจิตเจตสิก พูดถึงเรื่องจิตเองก็ไม่รู้เลย ตกลงไม่รู้แม้กระทั่ง สราคะ สโทสะ สโมหะ มันเป็นยังไง ทำให้มันเป็น วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ จะต้องทำอย่างนี้เหรอ ..ไม่รู้ แล้วทำได้หรือยัง ก็กลายเป็นเริ่มต้นว่าจะทำได้ยัง รู้จักวิธีทำยัง ..ไม่รู้ ถ้ารู้วิธีทำก็ทำให้สาย วีตราคะกับ.. ไม่ใช่วีตะ..

.แสนดิน    : สังขิตตังจิตตัง

พ่อครู  : สังขิตตังจิตตัง กับ วิกขิตตังจิตตัง เปลี่ยนแปลง สายเจโตก็ต้องเปลี่ยน สังขิตตัง เพราะมันจะดับมาทางนี้ สายปัญญาก็ต้องเปลี่ยนวิกขิตตังจิตตัง หรือความเป็นกลาง ฟุ้งก็ให้มันพอดี มันถีนมิทธะก็ให้มันพอดี สังขิตตังจิตตัง กับ วิกขิตตังจิตตัง ทำได้แล้วมากหรือน้อย มหัคคตะ หรือ อมหัคคตะ ทำได้แล้ว ได้ยัง ได้มากหรือได้น้อย มห มห มาก  อมหัคคตะ มันเป็นไป เจริญไม่มาก เจริญน้อย อมหัคคตะ เจริญมากกว่า มหัคคตะ ก็ให้เจริญมากเท่าที่เราจะทำได้ พากเพียรไป มากขึ้น มหัคคตะ ก็จบหรือยัง อุตตระ อนุตตระ อุตตระ อนุตตระ มันก็จะเป็น อุตตระ อนุตตระ ที่จริงน่ะ อนุตตระ ยิ่งกว่าอุตตระ แต่มันเหมือนคำปฏิเสธอันหน้าไม่ ไม่ใช่เหนือ ไม่ใช่โลกุตระ อุตตระ หรือ อนุตตระ ตกลงมัน อุตตระนั่นแหละ  จนกระทั่งมันไม่มีอุตตระจะทำแล้ว ถือว่าอรหันต์ เพราะงั้นก็จบด้วยการตัดสินด้วย สมาหิตัง อสมาหิตัง คือ สมาธิที่ตั้งมั่นแล้ว หรือยังไม่ตั้งมั่น  กับวิมุติหรืออวิมุติ ก็จบ นี่คือเจโตปริยญาณ 16

.แสนดิน    : ตรวจหลายชั้น

พ่อครู  : คือ จิตในจิต รู้จักจิตในจิต  16 ชั้น นี่คือ ผู้รู้จักจิตในจิต แล้วทำสมบูรณ์แบบก็คือ สมาหิตัง วิมุติ เรียกว่า วิชชาและวิมุติ สมบูรณ์

.แสนดิน    :  ตรวจสอบทั้งปริมาณและคุณภาพ ความยาวหนา

พ่อครู  : หมดเลย

.เดินดิน    :  อนุตตระนี่สูงกว่าอุตตระใช่ไหมครับ ?

พ่อครู  : อ๋อ แน่นอน อนุตตริยะ

.เดินดิน    :  แต่ว่าพอ สมาหิตัง

.แสนดิน    :  อสมาหิตัง

.เดินดิน    :   อสมาหิตัง .. อสมาหิตังนี่ต่ำกว่า

พ่อครู  : อสมาหิตังสูงกว่า

.เดินดิน    :   สูงกว่า ?

พ่อครู  : ไม่ใช่ๆ สมาหิตัง สิ.. อสมาหิตัง นั่นหมายความว่ายังไม่ ยังไม่เป็นสมาธิตั้งมั่น

.เดินดิน    :  แต่ว่าๆ มันกลับไปเรียงลำดับ

พ่อครู  : มันเอา อะ ไป  เอา อะไป  อุตตระก็มี อ อะ อุ แต่อนุตตระก็ อะ อนุตตระกลายเป็น อนุตตระนี่สูงกว่า แต่ อสมาหิตัง นี่ อะ ไม่สูง สมาหิตัง สูงกว่า ก็เท่านั้น เรียกว่าเอา อะ ไปเป็นตัวสลับกัน อย่างงี้ล่ะพยัญชนะหรือสภาวะมันจะสลับกัน เพราะงั้นใครสลับ  พวกเรียงพยัญชนะจะบอกเฮ้ย  อสมาหิตัง ทำไมมันไปต่ำกว่า สมาหิตัง

.แสนดิน    :  พวกไม่มีสภาวะ

พ่อครู  : พวกที่ติดสภาวะ พวกที่ติดพยัญชนะ ไม่มีสภาวะ เขาก็จะสรุป แต่ถ้าเผื่อว่าเราเรียนรู้แล้วว่าทุกอย่างมันจำกัด ก็ใช้ธรรมะ 2 ธรรมะมันจะลึกซึ้งตรงที่มันสลับกันไปสลับกันมา จึงเรียกว่าปฏิ สลับกัน ปฏิโสตัง กลับไปกลับมา ปฏิโสตัง เพราะงั้นกลับไปกลับมานี่ ต้องหมุนสมองให้ทันสมัย ระหว่างสภาวะกับ  มันก็จะกลายเป็น เช่น มายามันเป็นเรื่องเลว แต่สิริมหามายา นี่เป็นเรื่องสุดยอดเลย ให้การเกิดสุดยอด ทำการเกิดสุดยอด เหมือนนักเล่นกล เหมือนนักมายา แต่เขาเป็นคนที่สามารถทำให้เกิด ทำให้ดับได้อย่าง สุดยอด มุทุภูตธาตุ จิตเร็ว จิตไว จิตบังคับได้ดีมาก ปฏิภาณดีมาก เปลี่ยนไว เปลี่ยนช้า เปลี่ยนเร็ว ได้หมด เกิดเมื่อไหร่ ตายเมื่อไหร่ได้ เป็นอมตะบุคคล สุดยอด

.เดินดิน    :  เจโตปริยญาณ คนก็เข้าใจคนละแบบกับที่พ่อครูอธิบาย เจโตปริยญาณก็เป็นเดาใจรู้ใจอะไร

พ่อครู  : ไอ้นั่นมัน อาเทสนาปาฏิหาริย์ ไม่ใช่อนุสาสนีปาฎิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ต้องเข้าใจสภาวะธรรม สภาวะธรรมเป็นโลกุตระอย่างที่อธิบายคือไปรู้จักกิเลส รู้จักขั้นตอนเจโตปริยญาณ คือ ขั้นตอนของกิเลสทั้งสิ้น แล้วก็ทำได้ไหม ทำตามนั้น สราคะ  นี่ราคะแท้ๆ นะ ทำให้เป็นวีตราคะ คุณทำได้ไหม ทำยังไง สามารถทำได้ สามารถที่ทำให้มันลดได้ เป็นวีตะได้  ลักษณะของมันก็มีสังขิตตังจิตตัง กับวิกขิตตังจิตตัง ทำได้ไหมล่ะ ทำให้แตกตัว ทำให้สังขิตตังจิตตังก็ทำให้แตกตัว ไปฟุ้งซ่านอยู่เป็น fission เป็น nuclear fission อยู่ เฮ้ย.. รวมให้เป็น fusion ได้บ้าง  ฟุ้งไป กระจายไป ก็ทำให้เป็นสภาพที่สมบูรณ์ตามที่เราต้องการ

.เดินดิน    :  แสดงว่าอุตริมนุสธรรม ที่พ่อครูประกาศ คนไม่ฮือฮาก็เพราะว่า เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ถ้าแสดงอาเทสนา เป็นรูปธรรม คนก็จะฮือฮา

พ่อครู  :  รู้แล้ว  อนุสาสนีปาฏิหาริย์ มันขนาดรุ่นยุค พระพุทธเจ้า ๆ ก็ยังบอกเลย แล้วยุคนี้ล่ะ ใช่ไหม

.ดินไท    : เขาไปเข้าใจ เจโตปริยญาณ ว่าไปรู้ใจคนอื่น

พ่อครู  :   เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์

.เดินดิน   :  เป็นความคิดของคน

พ่อครู  :    ไปเดาใจคน คือมันผิด มันเป็นเรื่องของจิตเหมือนกัน หยั่งรู้ใจคน

.ดินไท    : มโนมยิทธิ

พ่อครู    :  แต่หยั่งรู้ใจคน หยั่งรู้ใจกู กูมีกิเลส หรือ กูไม่มีกิเลส นี่คือประเด็น แล้วก็ทำกิเลสให้ออก นี่ต่างหาก นี่คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ หยั่งรู้ใจคนอื่น  เขาไม่มี บอกว่าหยั่งรู้ใจคนอื่นนี่ผิด หยั่งรู้ใจกู ถึงจะถูก

.แสนดิน    :  เจโตปริยญาณ

พ่อครู    :  แล้วก็บอกว่ามันมี เป็นปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง รู้ใจบุคคลอื่น รู้ใจสัตว์ บุคคลนี่ก็หมายถึงปรมัตถ์ จิตก็หมายถึงจิต  สัตว์ก็หมายถึงปรมัตถ์ บุคคลก็คือบุคคลโลกียะ โลกียะบุคคลกับ ปุถุบุคคล หรือให้เป็นอาริยบุคคล ก็รู้จักการอย่างอื่นแล้ว แต่ก่อนนี้เราเป็นปุถุบุคคล เราทำให้จิตของเราเปลี่ยนเป็นอาริยบุคคลให้ได้ อย่างนี้ต่างหาก สัตว์ก็เหมือนกัน คุณเป็นสัตว์มาร มารสัตว์ ก็ทำให้มาเป็นพรหมสัตว์หรือเทวสัตว์ เทวสัตว์ก็แค่ทำให้เป็นอุบัติเทพ ให้เป็นวิสุทธิเทพให้ได้ หรือให้เป็นพรหมให้ได้ แต่ถ้ายังเป็นเทพที่ยังมัวเมา เทพเป็นเทวนิยมอยู่ เทพเป็นตัวเป็นตน เทพไม่รู้จักภพจักชาติ เทพไม่รู้จักอัตตา คุณก็มีเทพอัตตาอยู่ตลอดกาล เป็นสมมติเทพ คุณไม่สามารถรู้จักอุบัติเทพ  ทำวิสุทธิเทพไม่ได้  เพราะงั้นเทพ 3อย่างคุณก็แยกไม่ออก

.แสนดิน    :  ก็ยังเป็นสมมติเทพไปอย่างนั้น ไปตลอด

พ่อครู     :  สมมติเทพไปตลอดนิรันกาล อย่างดีก็แค่ทำให้เป็นสมมติเทพที่ดี 

.แสนดิน    :  ดีมากเป็นพระเจ้า

พ่อครู     :  สุจริต มีเมตตาอะไรก็กดข่มไว้ สมาธิก็กดข่มไว้ ก็เป็นเรื่องโลกีย์หมด ไม่เข้าหาโลกุตระ แก้ไขตัวจิตให้เปลี่ยนแปลงจริงๆ เปลี่ยนแปลงจากที่มันโง่ แปลงจากที่มันเป็นโลกียะให้มันเป็นโลกุตระ ให้มันสุดฉลาดได้จนสมบูรณ์แบบเป็นอนุตตริยะ

.แสนดิน    :  นี่คือ หยั่งรู้ใจกู เจโตปริยญาณ

.เดินดิน    :  เจโตปริยญาณคือหยั่งรู้ใจกู

พ่อครู     :  ใช่ ปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง  ก็มารู้ใจกูทั้งนั้นแหละ ใจกูเป็นสัตว์อยู่ ใจกูเป็นบุคคลอยู่ สัตว์แบบไหนล่ะ สัตว์แบบสัตตาวาส 9

.แสนดิน    :  ศีลแต่ละข้อ

พ่อครู     :  จนกระทั่งหมดความเป็นสัตว์ทุกอย่าง จะรู้จักความเป็นสัตว์ คุณก็ต้องรู้จักความเป็นกายคืออะไร สัญญาคืออะไร กายอย่างหนึ่ง สัญญาอย่างหนึ่ง  กายต่างกัน สัญญาต่างกัน กายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน กายต่างกัน คุณก็ต้องรู้หมดในเรื่องของสัตตาวาส 9 แล้วคุณก็จะทำมันลดกิเลสได้ เพราะนั้นกายก็คือธรรมะคู่ธรรมะสอง เพราะนั้นธรรมะสองแล้ว มันก็สรุปอยู่ที่พระไตรปิฏกเล่ม 10 ข้อ 60 นี่แหละ  ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ  คุณก็มาทำที่เวทนา เพราะเวทนาที่เป็นกรรมฐานสูงสุด คุณก็ต้องรู้ เวทนา 108 เป้าสำคัญก็คือ มโนปวิจาร 18 สอง 18  อ่านออกเลยว่าเคหสิตเวทนา กับ เนกขัมสิตะ เวทนา แล้วก็ทำเวทนานี่แยกเวทนานี่ออก จนเหลืออุเบกขา เป็นเนกขัมสิตะอุเบกขาสมบูรณ์แบบ จนถาวร นิจจัง ธฺวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง  จบ จิตคุณก็ถาวรด้วย ปริสุทธา ปริโยทาตา  มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ทำอันนี้เป็น อเนญชา ถาวรนิรันดร์ เป็น นิจจัง ธฺวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกฺปปัง  จบ เทศน์เป็นอรหันต์ จนกระทั่งเกินอรหันต์แล้ว เกินโพธิสัตว์แล้ว

.ดินไท    :  เป็นอรหันต์จ้อย

พ่อครู     :  เทศน์จนเกินโพธิสัตว์แล้วนะเนี่ย แต่พวกเราก็ฟังได้แล้ว ทางโลกไปพูดรับรองเขาไม่รู้เรื่องหรอก จบเปรียญ 9 มา เอาไปให้เปิดให้ฟังเลย เปรียญ 9 จบเปรียญด้วยนะ  จบ ดร.ทางพุทธศาสตร์ ฟังนี่ละ ทำวิจารณ์วิจัยมา


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:40:04 )

610805

รายละเอียด

610805_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ศีล 3 ข้อนี้ ที่ทำให้ถึงอรหันต์

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1EBzdGriQVrPS1SFPjYf9VjVld666d0kNORbDje_BeV8/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1h83l_mxLIyH1hssTjrUdPulek6SCm6xC

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ในห้วงเวลานี้ก็คงจะต้องพูดถึงเรื่องน้ำที่จะท่วม และน้ำที่ท่วมไปแล้วหลายพื้นที่ในประเทศไทย ปีนี้ระดับน้ำแม่โขงขึ้นสูงมากเพราะว่าทางเมืองจีนระบายน้ำออกมามาก พวกเราแม้จะน้ำท่วมเราก็อยู่ได้อย่างสบายบางปีจัดงานฉลองน้ำด้วย น้ำท่วมอย่างไรเราก็มีผักบุ้งกิน

เดี๋ยวนี้ที่โรงปุ๋ยมีกล้วยแขวนไว้ให้เด็กกิน แจกน้ำเขียวและกล้วยก่อนทำงาน เพื่อสุขภาพ เด็กไม่ต้องไปกินขนม กินอย่างนี้ก็สุขภาพดี มีให้กินทุกวัน ที่ไหนจะน่าอยู่เท่าที่นี่ แต่คนก็ไม่มาอยู่กันมาก วันนี้ก็มาฟังสิ่งที่ดีเช่นกัน เป็นสิ่งที่ดีที่หาฟังได้ยากในโลกนี้ มีที่นี่แห่งเดียวเพราะมีบุคคลคนเดียวที่จะพูดอย่างนี้ได้

พ่อครูว่า…SMS 3 – 4 ส.ค. 61

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน เรื่องสวดพระธรรมด้วยทำนอง

_3867 พ่อครูสอนนำสวดมนต์วัตรเช้าเย็นทุกงานบุญอโศก!ให้ญตธ.สวดบูชาพระรัตนตรัย ฯไตรสรณคมน์ฯพุทธา-ธัม มา-สังฆานุสสติฯพุทธชัยมงคลฯชัยปริตฯจบที่ภวตุสัพฯเรียกว่าสวดแบบใดถูกตรงธ.ตถาคต?

พ่อครูว่า...สวดแบบอโศกออกเสียงตามพยัญชนะ สระที่เป็นรัสสระ และทีฆสระ ไม่มีอายามะลากเสียงยาว หรือไม่ใส่ทำนอง เป็นคีตะ  นี่คือ การสวดที่ถูกต้องถูกต้องที่สุด ตอบได้อย่างเดียว สวดอย่างชาวอโศกถูกต้อง นอกนั้นที่ได้ยินมา ผิดธรรมวินัยพระพุทธเจ้าอยู่ ขออภัยที่ต้องพูดสัจธรรมความจริงที่ถูกต้อง เพื่อให้แก้ไขปรับปรุงกัน แต่แก้ไขได้ยากเพราะว่าติดเข้าเส้นเลือดเข้าจิตวิญญาณแล้ว ถ้าจะให้สวดนะโมตัสสะภะคะวะโต เห็นที่เขาจะ ดิ้นพราดๆเลย ขาดใจทันที เขาต้อง นามัวตัสสะภะวะโตตตต... ลากเสียงยาวหรือใส่ทำนอง พระทางมหายานต้องมีฉิ่งฉาบด้วย มันยานโตงเตงไปแล้ว

อาตมาขยายความอยู่ลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรปิฎก เล่ม 7 ชัดเจนเลย แล้วมันก็ยากมาก

พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2

เรื่องสวดพระธรรมด้วยทำนอง

[20] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ เหมือนพวกเราขับ ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ...ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายข่าวว่า ... จริงหรือ

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ มีโทษ 5 ประการนี้ คือ:-

1. ตนยินดีในเสียงนั้น

2. คนอื่นก็ยินดีในเสียงนั้น

3. ชาวบ้านติเตียน

4. สมาธิของผู้พอใจการทำเสียงย่อมเสียไป

5. ภิกษุชั้นหลังจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษ 5 ประการนี้แล ของภิกษุผู้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับรูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

 

สมาธิของผู้พอใจการทำเสียงย่อมเสียไป  สิ่งที่ไม่เสียไปคือเสียงที่ตรงกับ รัสสระ และทีฆสระ ส่วนผู้ที่สวดให้ผิดเพี้ยนไป รัสสระ และทีฆสระ  คือทำสมาธิให้เสียไป ความนิ่งไม่ได้หมายถึงอยู่เฉยๆ สมาธิหมายถึงความพอดี คืออธิจิต แล้วอธิจิตของคนมีปัญญา ต้องมีข้อกำหนด ข้อกำหนดนั้นเรียกโดยตัวต้นว่า ศีล

เสียงที่กำหนดด้วยศีล ด้วยวินัย ต้องทำให้ถูกต้อง ตามวินัย เรียกอธิศีล จิตมีปัญญาก็มีเจโต ปัญญาเข้ามาร่วมรู้จักศีล ปัญญารู้จักจิต หรือถึงขั้นสมาธิ

สมาธิมี 2 นัยยะ นัยหนึ่งคือความพอดี อีกนัยหนึ่ง คือความตั้งมั่น

ความพอดีคืออาการของความเคลื่อน Dynamic ความตั้งมั่นคืออาการของ Static ของตัว บวกกับลบ บวกคือ Static ลบ คือ Dynamic

เป็นสองสภาพที่เป็นนิวเคลียสของทุกอย่าง อณู ปรมาณู มี 2 อย่างในนิวเคลียสมีอยู่อย่างสมดุล ถ้ามันสมดุลก็เป็นสมาธิ และมันไม่เปลี่ยนไปจากสมดุลนั้นก็คือสมาธิ ถ้าหากเคลื่อนไปจากสมดุลนี้ก็ทุกอย่างเคลื่อนไป ไม่เป็นสมาธิ

ภิกษุชั้นหลังจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง  ข้อนี้เลวที่สุดเลยเพราะว่าทำผิดๆมาคนข้างหลังก็เอาอย่าง จนกลายเป็นเอาอย่างถาวร ทุกวันนี้สวดมนต์ผิดธรรมวินัย เป็นอาบัติ สวดมนต์อย่างได้นรก เพราะสวดมนต์ผิดสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า มันก็เป็นการทำลายศาสนา ก็เป็นการทำลายศาสนาอยู่ทุกคำสวด บาปเป็นของคนทำนรกทุกคำสวด คนที่ได้ฟังรู้สึกตัวก็แก้ไขเสีย ถ้าไม่แก้ไขก็นรกใครนรกมัน กรรมเป็นอันทำ มันห้ามไม่ได้ ไม่ต้องให้พระเจ้าไปตัดสินว่าคุณจะต้องลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ ไม่ต้องให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน มันเป็นไปโดยธรรม โดยสัจธรรมของมันเอง ทุกวันนี้จึงเสื่อมหมด พระภิกษุชั้นหลัง จะถือเป็นเยี่ยงอย่าง และถือเป็นเยี่ยงอย่าง อย่างที่ไม่เคลื่อนเลย อาตมาพูดเท่าไหร่เขาก็ไม่เปลี่ยน จะพูดอย่างไรก็ให้พูดไป อาตมาก็ยอม อาตมาตำหนิไม่ยาวนะ ยอมปากยาว แต่ไม่ยอมจมูกยาวคือโกหกแบบพินอคคิโอ

พูดแค่เรื่องการสวดมนต์ แค่นี้ก็แก้ไขกันยาก มันยากมากเลยจะไปแก้ไขเนื้อหาสาระอีกมาก แตะเข้าคำไหนสภาวะไหน มันผิดไปหมด อาตมานี่เหมือนคนเพ่งโทษ เหมือนคนมองอะไรในแง่ร้ายไปหมด มองอะไรผิดไปหมด มันเวรจริงๆมันไม่น่ามาเข้าเวรในยุคนี้จริงๆ เพราะเข้าเวรในยุคนี้มันไม่หมดเวลาจะจบสักที ไปเข้าเวรคนไข้ก็มีแต่คนเจ็บมา เตียงนี้ก็ชำระนานตรวจสอบนาน ผู้ป่วยคนนี้ก็อีกนาน ทั้งหนักทั้งนาน วันก็ไม่พอ งานก็ไม่ไหวมันเหนื่อย ทั้งหนักทั้งนานทั้งเหนื่อย มันเป็นงานที่ยากมากเลยทุกวันนี้

แต่ไม่มีงานอะไรที่ดีกว่านี้อีก อาตมาเป็นคนเป็นลูกพระพุทธเจ้า พยายามที่จะหาสัมมาชีพ หางานที่จะเอามาทำ เลือกงานนะอาตมา งานที่อาตมาเลือกทำนี้เป็นงานที่ดีที่สุดมหัศจรรย์ที่สุดประเสริฐที่สุดยากที่สุด แต่ดีที่สุดประเสริฐที่สุดวิเศษที่สุด งานที่อาตมาเลือก

ที่ดีที่สุดก็เพราะถูกต้องตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า การทำงานเลี้ยงชีพ อาตมานั้นพ้นมิจฉาชีพ 5 แล้ว แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้พูดถึงกันมีอยู่เต็มศาสนาไปหมดแล้วที่ผิด

เอาข้อที่แย่ที่สุดก่อน

ข้อที่แย่ที่สุด ยอดที่สุด คือ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา คนทำงานอาชีพที่แย่ที่สุดคือ ทำอยู่แล้วเอาสิ่งแลกเปลี่ยน ชาวอโศกอาตมาพามาเป็นคนพ้นมิจฉาชีพข้อนี้…... ไชโย!    คือทำงานไม่เอาลาภแลกลาภไม่เอายศแลกยศ ทำงานเหนื่อยก็เหนื่อยไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เหนื่อยมากก็พัก ควรเพียรก็เพียรอย่างแท้จริงเลย

ชีวิตคืออะไร ชีวิตคือการงาน อาชีพที่ยอดที่สุดแย่ที่สุดยากที่สุดคือ ทำงานไม่เอาลาภแลกลาภทำงานฟรี ผู้ใดทำได้ พ้นมิจฉาชีพข้อนี้ จึงเป็นคนยอด และไม่ยาก ทำได้แล้วเป็นปกติสามัญไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนเลย สบม ทมด ปกก หห จจ เป็นเรื่องมหัศจรรย์นะ พากันมาทำงานไม่เอารายได้เลย วันๆอยู่ไปอย่างเบิกบานสำราญใจดีไม่ต้องมีรายได้ มีอยู่มีกินอุดมสมบูรณ์

ดูสินี่ สิ่งที่เอามาตกแต่งประดับฉากให้สวยงาม ถ้าเป็นทางอื่นจะเอาเพชรพลอยเงินทองเอาของสวยงามที่มีสีสัน ของเราก็มีสีสัน เอามาตกแต่ง ไม่มีการจัดคอมโพซิชั่น ของเราไม่ต้องใครๆก็จัดได้ นี่เรียกศิลปะเปรอะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษ 5 ประการนี้แล ของภิกษุผู้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับรูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

ทุกวันนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรแก้ไม่ได้เลย มีพระที่ไม่อาบัติมีบ้างคือพระป่า อาตมาบวชกับเขาเถรสมาคม ก็อยู่ไม่ได้เพราะว่าอยู่กับพระเน่า เป็นสัจจะอย่างนั้น ขออภัยที่ต้องพูด พูดไปมันก็ไปโดนความจริงที่เป็นอยู่เขาเป็นอยู่ เราพ้นออกมาแล้วจากกองขยะเน่านั้น

ตอนแรกอาตมาขอแยก ต่อมาไม่ยอมให้แยก สู้กันในศาลด้วยธรรมะธรรมชาติ ทุกวันนี้อาตมาก็หลุดพ้นออกมาโดยธรรม ด้วยสัจจะหลุดพ้นออกมาก็สบายแล้ว อาตมามีสิ่งที่ นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ก็หาคนที่จะชมในมหาเถรสมาคมนั้นมีน้อย คนที่จะชมก็ชมชาวอโศกทำได้ถูกกว่าเถรสมาคมด้วย

อาบัติข้อถูกกฎนี้เขาก็แก้ไม่ได้

เรื่องการสวดสรภัญญะ

[21] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจในการสวดสรภัญญะ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดเป็นทำนองสรภัญญะได้

[21]  เตน  โข  ปน  สมเยน  ภิกฺขู  สรภฺเ  กุกฺกุจฺจายนฺติ ฯ อถโข   เต   ภิกฺขู   ภควโต   เอตมตฺถ   อาโรเจสุ   ฯ  อนุชานามิ ภิกฺขเว สรภฺนฺติ ฯ

แสดงว่า ภิกษุที่รังเกียจสรภัญญะ ต้องเข้าใจว่าสรภัญญะที่เขารังเกียจอย่างไร แล้วสรภัญญะที่ไม่น่ารังเกียจที่ถูกต้องคืออย่างไร

ทุกวันนี้มหาเถรสมาคมเขาบอกว่าเขาสวดสรภัญญะ แล้วเขาก็ไปแปลในพจนานุกรมบาลีว่าสวดสรภัญญะคือสวดอย่างมีทำนอง มันก็จะไปย้อนแย้งกับข้อที่ 20 มันมีได้อย่างไร เพราะข้อที่ 20 ก็เป็นทุกฏแล้ว คนไม่บ้าก็เมาไม่เมาก็โง่ หรือทั้ง 3 อย่างเลย ทั้งบ้าทั้งเมาทั้งโง่ จะแก้ไขได้อย่างไร

ภิกษุที่ท่านรู้ว่ารังเกียจสวดสรภัญญะ ก็ต้องหมายถึงสรภัญญะที่ผิด ผิดอย่างไรก็ผิดอย่างข้อ 20 ลากเสียงอันยาวหรือว่าใส่ทำนอง ท่านไม่ให้ทำ ถ้าใครทำก็เป็นอาบัติอยู่ตลอดเวลา

ทุกฏ คือ ทำ ข้อบัญญัติภาษิตของพระพุทธเจ้าให้เป็นทุภาษิต ให้มันเสื่อมเสียผิดไปให้มันทุกฏ เมื่อทำผิดก็ได้บาปและนรกมันเป็นสัจจะสภาวะ อาตมาก็ต้องอธิบายวนมาวนไปอย่างนี้

ข้อที่ 20 นี้พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ ข้อ 21 นี้พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต แล้วพระพุทธเจ้าก็ตอบว่า เราอนุญาตให้สวดเป็นทำนองสรภัญญะ เขาใส่คำว่าทำนองอยู่หน้าสรภัญญะ แต่ในบาลีไม่มีคำว่าทำนองอยู่ก่อนหน้าสรภัญญะ ไม่มีคำว่าอายามะ ที่แปลว่าลากยาว หรือคีตะเลย มีแต่ว่า อนุญาติสรภัญญะ

ก็ต้องตีความ สรภัญญะคืออะไร

สรภัญญะผิดและถูกคืออย่างไร ต้องตีความตรงนี้

สร คือสระ ส่วน อัญญะ คือ ความเป็นไปแห่งการกล่าว คำกล่าวนั้นกล่าวตรงตาม ทีฆสระ กล่าวตรงกับ รัสสระ

รัสสระ มี อะ อิ อุ โอะ เอะ เมืองไทยมี เอาะ เอียะ เป็นต้น

เราก็มีสระสั้นสระยาว

สระยาว ทีฆสระ อา อี เอ โอ ของไทยมี

ภัญญะคือภาษา คำกล่าว ภยัญชนะคืออักษร

หากจะทำให้เป็นความเป็นแห่งการกล่าว ความเป็นแห่งภาษาที่จะพูดออกไปเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างที่มันต้องตรงตามกำหนด เขากำหนดรัสสระ ทีฆสระอย่างไรก็ออกเสียงตรงตามนั้น พยัญชนะ สามสิบกว่าตัวก็ออกเสียงให้ตรง ก ข ค ฆ ง เป็นต้น ให้มันถูกต้อง

เมื่อไม่รู้จักสระคืออะไร พยัญชนะหรือภัญญะคืออะไร คำกล่าวต้องใช้อักษรและสระอย่างไร เมื่อไม่รู้ก็แก้ไขกันไม่ได้ แต่ผู้ที่รู้เรื่องเข้าใจ สื่อเป็นคำกล่าวเป็นอธิวจนะบอกทุกอย่างเป็นคำสอนด้วย ก็พูดกันรู้เรื่อง เพราะทุกวันนี้เป็นคนกำหนดหมายเอามาใช้งานได้ครบแล้ว คนที่ไม่มีความรู้ก็พูดกันไม่รู้เรื่องก็แล้วไป

พูดถึงเรื่องกล่าวคำเอาธรรมบท พระพุทธเจ้าเอามาอธิบายให้ฟังกันแล้วเอาไปปฏิบัติให้เกิดผล ประโยชน์ จากคำสอนพระศาสดาก็ต้องใช้กันอยู่ ไม่มีอย่างอื่นเลยไม่มีทางอื่นเลย เลี่ยงไม่พ้น ไม่มีทางเลือกอื่นจำเป็นที่สุด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ความมีกับความไม่มีในคำตำหนิของพ่อครู

ผู้ที่เข้าใจได้มีปฏิภาณปัญญารู้เรื่องดีก็พูดกันรู้เรื่องไป ถ้ายังขัดข้อง ยังแย้งและไม่ยอม ถ้าไม่ถูกตามที่ข้าเข้าใจข้ายึดถือไม่ฟังเอ็งก็จบ คนนั้นก็ถูกคัดออก คนไหนพยายามฟังตามเข้าใจเขาจำนนแล้วไม่มีทางเลือกมากกว่านี้ก็ต้องเอาอันนี้แหละ มันก็ต้องทำอย่างนั้นต่อไป เพราะจำนนแล้วไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ อันนี้ดีที่สุด

เหมือนอย่างอาตมา จำนนอะไร จำนนที่จะต้องมีข้อด้อยอย่างน้อยถึง 10 ประการ ข้อด้อย

“ข้อด้อย”ของอาตมาที่ต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆ

     อาตมามี“ข้อด้อย”อยู่มากมายหลายข้อจริงๆ ลองตรวจตนเองแล้วประมวลมาดู มีมากพอสมควร .... เช่น

     1.มีความจริงใจสูง กับการแสดงออก ไม่ค่อยปิดบังอะไร ..ซื่อๆ ตรงๆ ไม่ลดเลี้ยว สุดโต่งตรงเกิน

     2.แสดงออกเต็มที่ ต้องการให้คนรู้ คนเห็นชัดๆ ไม่ออมมือ ไม่เหยาะๆแหยะๆ จึงแรง

     3.ไม่สำรวมกิริยาให้สวย เท่ๆ งามๆ สุภาพๆอะไรทำนองนั้น

     4.ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจริงจัง ไม่อนุโลมเท่าที่คนยุคนี้ ที่อ่อนแอ ล้มเหลวอยากให้อนุโลมเอาใจบ้าง

     5.เป็นคนไม่กลัวเสียหน้า ถ้าจะแสดงอะไรออกมา จะว่ามารยาทไม่ค่อยดีก็ได้ หรือมารยาทไม่มีเลยก็ใช่

     6.เป็นคนไม่กลัวว่า จะไม่มีใครมาเป็นหมู่พวกบริวาร

     7.จึงไม่สร้างภาพ รังเกียจการสร้างภาพเอาด้วย เพราะเห็นการสร้างภาพเป็นการหลอกลวง

     8.ไม่กลัวคนจะไม่ยกย่อง ไม่กลัวคนจะไม่นับถือ

     9.ยึดความจริง ซื่อตรงต่อความจริง ต่อสัจธรรมสูง จนถูกเข้าใจผิดว่า ยึดมั่นถือมั่น ดื้อดึงดัน

     10. เคร่งครัดกับคำตรัสที่ว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง  ปัคคัณเห ปัคคหารหัง เกินไป โดยเฉพาะนิคคัณเห นิคคหารหัง จนถูกเข้าใจผิดว่าคนอะไรเอาแต่ติเอาแต่ด่า

     และอาตมาก็ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่อาตมาจะต้องมี“ข้อด้อย”เหล่านี้ ไม่แก้ไข และตั้งใจทำตาม“ข้อด้อย”นี้ต่อไปยังไม่เพลา จนกว่าจะถึงเวลาอันควรแก้ไขเปลี่ยนแปลง 

 

อาตมาไม่ด่านะ ด่าคือคำที่คุณพูดคำนั้นออกไปแล้ว คุณมีอารมณ์โลภโกรธหลงผสมอยู่ในนั้นเรียกว่าคำด่า มันโลภจัดก็แรง โกรธจัดก็แรง โมหะหลงจัดคุณก็แรง ส่วนมากก็หลงตัวไม่รู้จัก เพราะในหลงมีโลภ มีโกรธ หลงไม่รู้ตัวว่าตัวเองโกรธหรือโลภ ก็เลยแรงเท่านั้นเอง

ตามธรรมดาคนเราจะสงวนท่าที ลหุ มากกว่า ครุ

ลหุแปลว่าเบา ครุแปลว่าแรง เพราะแรงมันกินแคลอรี่ คนเราก็สงวนแคลอรี่ แต่อยากได้ผลต้องใช้แรงเต็มที่ เพราะมันจะได้ชัดเต็มที่ มันจะได้กระแทกเต็มที่ สิ่งนี้จะต้องใช้แรงเท่านี้ มันถึงจะเป็นไปตามที่ต้องการจะให้แยกแตก หรือให้มันพอดีจะเอาอันนี้ไปใช้ร่วมด้วยได้ ก็ต้องประมาณ จะต้องแรง ไม่แรงก็ไปแยกไปแทรกไม่ได้ จะแทรกจะแยกได้ จะอยู่ร่วมด้วยได้ก็ต้องใช้แรง

ทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ ถ้าเผื่อว่าปรมาณูใดปรมาณูหนึ่ง อิสรเสรีภาพ เป็นธาตุเดียวเลย อันนั้นเป็นสุดยอดของผู้ที่กำลังสุดยอด ถ้ามี 2 ขึ้นมา คุณจะมีตัวพ่วงจะช้าลง จะแรงน้อย จะไม่คล่องตัวเท่าเดี่ยวเลย เล็กที่สุดของที่สุด สมบูรณ์ที่สุด ทุกคนต้องการจุดสุดยอด มีทั้งนั้นเลย เรียกว่าอิสระ เรียกว่าหนึ่งเดียว แต่ในสัจจะความเป็นจริงนี้ ไม่มีอะไรอยู่หนึ่งเดียวได้หรอก ไม่มี

หนึ่งเดียวนั้นคือ สูญ

สูญคือ ทั้งหมด

จบ

สูญคือทั้งหมดสูญคือไม่มีเลย และทั้งหมดคือสูญ คือหาที่สุดไม่ได้เลย

 

ทีนี้อาตมาทำไมจะต้องเอาแต่พูดตำหนิและด่า เพราะความจริงมันต้องว่าต้องตำหนิ สิ่งที่จะยกนั้น มันก็มีอยู่น้อย จนเข้ามายกพวกตัวเองคนก็อ้วกแตกกัน ยกทีไรทำไมต้องยกพวกตัวเอง ก็เพราะว่าพวกที่ถูกมีเท่านี้ สัจจะมันจบเท่านี้เลี่ยงไม่ออก

 

ยกตัวอย่างชาวอโศก ยืนหยัดว่า มีชาวอโศกมีอาชีพความจริงสุดยอดแล้ว พ้น ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา บางคนยังไม่ทำงานฟรีก็มียังมีที่พ่วง ก็เลยต้องไปทำงานที่ไม่อยู่กับหมู่กลุ่ม หมู่กลุ่มพรรคพวกเป็นคนบริสุทธิ์ หมู่บ้านราชฯเป็นหมู่คนที่ถูกและบริสุทธิ์ ที่จริงคุณก็อยู่ได้แต่คุณไปทำงานกับคนไม่บริสุทธิ์ก็ถือว่า นิปเปสิกตา คือความจำในทางที่ผิด กับหมู่ที่ผิด หมู่ที่ไม่มีความรู้สัจธรรม หมู่ที่ไม่มีกิเลสมี แต่คุณไปอยู่กับหมู่ที่มีกิเลสก็เรื่องของใครศีรษะใครศีรษะมัน

หมู่นี้สุดยอดที่ทำได้ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา แม้ข้อนี้สูงสุดแล้วไม่เอาลาภแรกลาภแล้วพระพุทธเจ้าก็ยังบอกว่ายังเป็นมิจฉาชีพ ต้องออกจากกรอบ ทำดีแล้วยังมีความหวังสาเปกโข แต่ถ้าทำแล้วไม่มีความหวัง สาเปกโขเลย นี่คืออาชีพที่สูงสุดแล้ว แม้แต่ชาวอโศกทำงานฟรีแล้วยังมีตัวตน ฉันทำงานฟรีแล้วภูมิใจ อย่างน้อยที่สุดภูมิใจว่าตัวเองทำอย่างนี้อย่างนี้ได้ สูงกว่านั้น ตัดไปเลยไม่มีตัวตนเลย นั่นคือสูงสุดกว่ามิจฉาชีพ เห็นไหม

คนที่ทำได้คนนั้นคือไม่ถามว่าใครทำได้อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ เพราะมันยากแล้ว คนทำดีที่ทำงานอย่างไม่เอา ลาภแลกลาภแล้ว อยู่ในนี้ยังมีเรื่องของอัตตายังมีภพชาติ

ภพชาติ อรูปอัตตาอีก รูปอัตตาที่เล็กละเอียดอีก ที่หมดสูญกับเหลือน้อยมากก็แยกได้ยาก คนแยกไม่ออกได้ง่ายๆ มันจะสูญแล้วกับสูญติดกันนี่แยกไม่ออก แยกได้ยาก เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ ต้องกำหนดรู้ เรารู้ เกือบหมดกับสูญนี่ ต่างกัน เกื๊อบบบบ ลากเสียงยาวนะ เป็นเรื่องเน้นคำ ที่สวดสรภัญญะ สวดตามรัสสระ เป็นการยืนยันสื่อบอกให้คนเข้าใจ ไม่ต้องการผล นอกจากให้คนเข้าใจรู้เรื่องอย่างสมบูรณ์ที่สุด เจตนามีเท่านั้น

ทีนี้ต้อง นิคคัณเห ต้องเอาแต่ตำหนิ เพราะมันมีแต่สิ่งที่ผิดหาที่ถูกไม่ได้ การตำหนิสิ่งที่ผิดยังหาเวลาไม่พอเลย ชาตินี้ 151 ปีมันน้อยไป ต้องห้าหมื่นปี เพราะมันยากเหลือเกิน แต่ก็ต้องทำ มีเวลาเท่าไหร่เอามาใช้ทำงานนี้ให้หมด

อาตมารู้ว่าชาตินี้ต้องมาทำงานนี้ ยังรู้สึกว่าตัวเองเผลอไป เผลอไปอยู่ในทางโลกเสีย 36 ปีไปทำงานแย่งลาภสรรเสริญโลกียสุข ไปสร้างวิบากให้แก่ตัวเองอีก ก็เลยเป็นพระโพธิสัตว์ที่ต้องทำต่อไปอีก แย่งได้อย่างสะดวกหรือสุจริตก็ตาม คุณให้เขาดีกว่า ไปแย่งเขาทำไม คุณอยู่เป็น 0 ก็อยู่ได้ ทุกวันนี้อาตมาไม่หาเลี้ยงตัวเองให้คนอื่นเขาเลี้ยงเอาไว้ หากเจ็บป่วยจะตายก็ตายถ้าคนไม่ช่วยรักษา ก็จบด้วยเหตุปัจจัยที่สมบูรณ์ คุณป่วยเขาไม่ดูแลก็ปล่อยให้ตายก็ต้องตาย ยิ่งป่วยช่วยตัวเองไม่ได้ก็ต้องตาย ตายนิ่งๆ ไม่ดิ้นรนด้วย เราสมน้ำหน้าแล้ว ป่วยจนไม่มีใครช่วยก็ตาย อาตมาอย่างนั้นเลยนะ

สมณะฟ้าไทว่า...พระโพธิสัตว์ ถูกลิงลมอมข้าวพอง 36 ปี แต่ว่ามาทำกุศลมากก็น่าจะคุ้มแล้วนะครับ

พ่อครูว่า...คุ้มแล้ว ได้ เกิน 36 ปีมา 1 รอบนักษัตรแล้ว จะเอาต่อไปอีกเพิ่มอีก จนกว่าจะถึง 144 ปีอยู่ชมผลงานอีก 7 ปี

คิดว่า ถ้าทำสำเร็จลากตัวเองไปถึง 151 ปีรับรองเลยว่าทั้งโลกจะต้องมานับถืออาตมา จริง เพราะอาตมาจะมีเวลากระจายความรู้ความจริงสัจธรรมออกไปอีกตั้ง 64 ปี อีก เดี๋ยวนี้สื่อสามวลชนก็ globalization รู้กันหมดแหละ อีกหน่อยกดก็จะมีแต่หน้าโพธิรักษ์ไปหมด

ตักกะเริ่มดำริว่าจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นมาเลย ภาวะการเริ่มดำรินี้ ตัวที่สูงที่สุดคือ ดำริด้วย 0 แต่ คนที่มีอวิชชาดำริขึ้นมาก็จะเป็น กาม พยาบาท เป็นตัวร่วมแสดงไม่มี 1 หรือ 0 มีสองอยู่เสมอมีพระเอกกับผู้ร้ายอยู่เสมอ คนที่ยังอวิชชายังไม่สมบูรณ์ด้วยวิชชา ใช่ไหม จะต้องเป็นเช่นนั้น

เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ใครจะดำริอะไรขึ้นมา ถ้าคุณไม่ทำตัวเองให้ 0 จนไม่มีตัวที่ 2 มีแต่ตัวที่ 1 คนที่ทำ 1 ได้ก็ไม่มีพิษภัยไม่มีโทษมีแต่ประโยชน์กับมนุษยชาติ เป็นจิตนิยามที่มีประโยชน์สูงสุดก็ทำงานไปกับสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า ไม่มีส่วนที่จะเป็นบาปอกุศล มีแต่กุศลท่าเดียวบุญก็ไม่มีแล้วปุญญปาปปริกขีโณ บุญก็ไม่มีบาปก็ไม่มี มีแต่กรรมที่เป็นกุศลอยู่ถ่ายเดียว จิตสะอาดบริสุทธิ์

เมื่อยังมีชีวิตดำเนินอยู่จึงเป็นอย่างนี้ จะอยู่อย่างชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหนอีก ถ้าคุณยังรักษาความเป็นหนึ่ง คุณก็อยู่อย่างความเป็นหนึ่ง โพธิสัตว์อยู่กับความเป็นหนึ่ง 0 เป็นเครื่องอาศัยส่วนตัว ถ้า 0 บริบูรณ์ก็คือแยกธาตุ H2O

เส้นตรง คือ H เส้นโค้งคือ O ธาตุไฮโดรเจนออกซิเจนก็คือเส้นตรงกับเส้นโค้ง รวมตัวกันก็เป็นธาตุน้ำ ไม่รวมตัวก็เป็นธาตุออกซิเจนกับไฮโดรเจน อันนี้ อันหนึ่งตรงอันหนึ่งโค้ง ตรงต้องอาศัยกัน โค้งต้องจับมือกัน ตรงนี้ไม่จับมือกันแต่จับตรงกลาง คือ H

ในโลกก็มีตรงกับโค้งเท่านั้นเอง ความมีคือโค้ง ความตรงคือ Nuclear Fission มันตรงแบบไม่มีโค้งเลย กลายเป็น Isotope ไม่มีเลย แม้ .000001 องศาเลย หายไปกับเอกภพทะลุเอกภพหายไปเลย หรือไม่ทะลุ มันวิ่งของมันไป ในขณะที่มีพลังงาน มันก็หมดพลังงานลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายหมดพลังงานวิ่ง สุดท้ายก็เป็นศูนย์

อาตมามาพูดนี้พูดอย่างที่ตัวเองทำได้แล้วนะ ทำไม่ได้ไม่เอามาพูด

อาตมานักมายาระดับสิริ นักมายาทั้งใหญ่ทั้งดี ยอดเยี่ยมที่สุดให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุดถ้าเป็นบุคคลเรียกว่าพระพุทธเจ้า จึงมีแม่เรียกว่าสิริมหามายา แม่ของพระพุทธเจ้าต้องชื่อสิริมหามายา ต้องใช้คำนี้

มุทุภูเตของอาตมาทำให้เกิดมหามายาได้ มุทุภูเต นั้นมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ดูเหมือนตลบแตลง อยู่ด้วยมีกับไม่มีสองอย่าง

ตามพระไตรปิฎกเล่ม 6 ข้อ 43 มีกับไม่มี พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)

มีคือ โหติ อัตถิ  ไม่มีคือ นโหติ กับ นัตถิ

แล้วคุณยังมีตัวตนอยู่ก็ต้องมาศึกษาความมีกับความไม่มี ก็ต้องทำความไม่มีให้ได้ สูญอะไรที่ควรทำ สูญจากกิเลส คือสิ่งที่ควรทำ ส่วนสูญอย่างอื่น มันก็ย่อมมีตามสภาวะที่มันมีมันก็ยังไม่มีตามสภาวะที่ไม่มี คุณอย่าไปยุ่งของมัน แต่จิตของคุณนี้เอาความไม่มีให้ได้ เน้นมาสู่จุดหมาย ต้องรู้จักว่าจิตที่มันมีกิเลสเป็นอย่างไรมันมีเศษเหลือน้อยเป็นอย่างไร ก็ทำให้จิตหมดกิเลสเศษธุลีละอองให้ไม่มีก็จบ คุณไม่มีจนสุดแล้ว เอาความไม่มีตรงนี้ ตรงนี้เท่านั้น

ผู้ที่ทำความไม่มีของกิเลสให้สุดแล้วแต่คุณยังไม่มี คุณยังไม่ตาย ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นคุณจะยังมีอยู่ยังรักษา คุณเป็นอมตะบุคคลแล้วเป็นพระอรหันต์ จะตายที่ความไม่มี จะตายด้วยการแยก H2O ก็ไม่ต้องใช้ขาที่มี Valence รวมกันแล้ว หากรวมกันก็เป็นตัวตนมี 2 ธาตุ คือธาตุมีแต่ไม่มี ความไม่มีนั้นสูญได้ไม่มีตัวตน คือ 0

ส่วนที่ยังมีที่จริงที่สุดคือ 1 และ 1 อย่างบริสุทธิ์ด้วย ไม่มี 2 หากจะอยู่ต่อก็อยู่ด้วย 1 อาตมามีจิตที่เป็นหนึ่งอยู่เสมอแต่ทางโลกเขาไม่ยอมว่าอาตมามี ทุกคนยอมหรือเปล่า คนโง่ เขาไม่ยอมให้อาตมาเป็นหนึ่งหรอกไม่ยอมง่ายๆ ข่มอาตมา แต่คนที่เขารู้ว่าอาตมาเป็นหนึ่งจริงๆ หนึ่งไม่มีสองด้วยนะ ต้องยกให้เป็นหนึ่ง คนรู้จริงๆก็จะยกให้

และเขาต้องมีภูมิปัญญาจริงๆจึงรู้ว่าจะมาเป็นหนึ่ง ถ้าคนไม่มีปัญญาไม่ต้องพูดเสียให้ยาก

 

_0750 ชมรชม.ทำได้เพราะเป็นร้านเล็กๆขายวันละนิดหน่อยหยุดเป็นอาชีพ

พ่อครูว่า..เขาทำอย่างพอเหมาะพอดี เขาเปิดตั้งแต่ตี 5 ก็ไปอยู่จนถึงบ่าย 2 โมง เขารู้จักเวลาพักเวลาเพียร คนโง่ก็ทำตะพึด ไม่รู้จักพัก เพียร ก็ช่าง แต่เขาก็ทำอย่างนี้มาตลอด เขาบอกว่าหยุดเป็นอาชีพ ทำวันละเล็กวันละน้อย เขาดูเหมาะควรของเขา เขาสบายแล้ว เรื่องกินอยู่ของเขาก็เล็กน้อย ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ทำตั้ง 5 วัน หยุดในวันเสาร์อาทิตย์ ก็เป็นคนฉลาดพออยู่พอกินทำอาทิตย์นึง 5 วัน แล้วทำแค่บ่ายสอง ก็เรื่องของเขา คุณยังไม่รู้จริงๆ คนหลังบ่าย 2 ที่ทำงานต่อ ทำงานที่นั่นพักที่นั่น ตื่นเช้าก็ทำงานตลอดเวลาทำงานอยู่ 24 ชั่วโมงก็มี เขาก็แบ่งงานกัน คุณว่าหยุดเป็นอาชีพ เขาก็ไม่ได้หยุดจนไม่ทำงาน ใส่ความเขา เขารู้จักรักรู้พักรู้จักเพียร ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป

เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท  เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ) คุณทำตามไม่ได้ก็จบศีรษะใครศีรษะมัน

 

_แมนยู เลียม ฟังพ่อท่านบ่อยๆประจำถึงจะย้ำจะซ้ำฟังบ่อยๆพิจารณาธรรม สติปัญญาเกิด เห็นประโยชน์

พ่อครูว่า...ฟังธรรมแล้วเกิดอานิสงส์ 5 ประการของการฟังธรรม

1.   ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง  สุณาติ)

2.   ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ)

3.   ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง  วิหนติ)

4.   ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง  (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) .

5.   จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ  ปสีทติ)

(พตปฎ. เล่ม 22   ข้อ 202)

ไม่ทำอย่างนี้แล้วจะไปทำอะไร คนฉลาดได้อย่างนี้ ฟังธรรมแล้วก็ได้ 5 ข้อนี้ อยู่เสมอๆ แล้วจะไปฟังอะไร(วะ)

ได้รู้ว่าชีวิตมีคุณค่าประโยชน์ได้ฟังสิ่งที่ควรฟังมีแต่เจริญและเจริญไม่มีสูญเปล่า แล้วคุณก็เต็มใจมาฟัง

_นิคม วาณิชสกลพงษ์. พ่อท่านเทศน์ขัดใจ ฟังบ่อยๆ ปฏิบัติตาม ใจสะอาดขึ้น

พ่อครูว่า...ถูกต้องดีแล้ว Go ahead ทำต่อไป

 

_ศิริวัฒน์ โภคยานนท์ /สอนความจริง ชอบๆ

พ่อครูว่า...คนชอบด้วยความจริงคือคนที่มีปัญญาฉลาดจริง คนที่ไปชอบสิ่งที่ไม่จริงคือคนยังไม่ฉลาดจริง

 

_0893867 สิกขมาตุสอนไม่ว่าจะคนดีฤาคนเลวล้วนมีวิบากกรรมเก่า!ไม่มีใครหลีกเลี่ยงหนีพ้นได้!ให้ทำใจยอมรับกรรม โดยปลงมรณัสสติ!คือยึดความตายของเพื่อนมนุษย์เป็นครูเตือนใจ ยังความไม่ประมาททุกการกระทำทุกขณะจิตใช่ไหมหนอ?

พ่อครูว่า...ใช่ ก็มีส่วน ฟังธรรมตามควรก็จะได้รับประโยชน์ความจริงไป

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน คนจะดีต้องมีศีล

_เชวง กิจจะบรรพ์ คนจะดีต้องมีศีลรับทราบครับท่านสิกขมาตุรินฟ้าครับ/

พ่อครูว่า…อันนี้เป๊ะเลย ศีลเป็นเครื่องชี้บ่งถึงความดี เป็นข้อชี้บ่งถึงความดี

ขออธิบายตัวอย่างว่า ศีลเป็นเครื่องชี้บ่งถึงความดี

พระพุทธเจ้าตรัสถึงศีล 3 ข้อนี้สุดยอด ในโลกนี้มีสัตว์ มีของ และมีทวาร 5

ศีลข้อที่ 1 คือสัตว์ ศีลข้อที่ 2 คือของ ศีลข้อที่ 3 คือทวารทั้ง 5 และมีจิตเป็นตัวรับรู้

ถ้ารู้จักจัดการ สามเส้านี้แล้ว จัดการ อยู่กับสัตว์อย่างมีประโยชน์ อย่างไม่มีโทษไม่มีภัยแก่กัน หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ได้

2 มีของ เมื่อไหร่จะเป็นอุตุนิยม หรือพีชนิยาม อย่าเพิ่งพูดถึงจิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม หากเป็นของที่ไม่ใช่ของของเราอย่าไปยึดเอามา ถ้าเป็นของของเรา เรามีสิทธิ์แล้วได้ ไม่มีปัญหา อย่างพวกเราของส่วนกลางทุกคนมีสิทธิ์ใช้ได้ แต่ขนาดนั้นก็ยังพยายามไม่ถือวิสาสะเกินไป ให้รู้เหมาะควร

คนเราเป็นคน มีภูมิปัญญา อยู่ในโลกนี้ต้องร่วมอยู่กับสัตว์ ตั้งแต่จุลินทรีย์สัตว์เซลล์เดียว จุลินทรีย์ก็หลายเซลล์จนนับไม่ถ้วน เต็มไปด้วยเซลล์ที่อวิชชา เซลล์โง่ๆ คนก็ต้องศึกษาแล้วทำให้ตัวเราอยู่กับสัตว์ อย่างมีประโยชน์

ขอสรุปเลย สัตว์ในโลกนี้เขาเกิดมามีวิบาก เขาก็ให้ชีวิตดำเนินไป อย่าไปแตะต้องชีวิตเขา อย่าไปเอาเขามาเป็นส่วนของเรา อย่าเอาสัตว์เนื้อสัตว์ กระดูกสัตว์ ขี้สัตว์มาเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของเรา แม้แต่ขี้สัตว์ก็อย่าเอามา ดีที่สุดเอาไปทำปุ๋ยได้ เพราะขี้สัตว์เป็นบังสุกุลแล้ว สัตว​์มันทิ้งไปแล้ว มันเป็นของที่ทิ้งไปแล้ว เป็นผ้าป่าแล้ว เจ้าของเขาทิ้งแล้ว เราก็ไม่รู้จักตัวเจ้าของด้วยสำหรับผ้าป่า แต่ว่าผ้าป่าทุกวันนี้ ทำกันอย่างผิดวินัยเพราะมีเจ้าของหมด เอาเป็นเงินกี่ล้านกี่แสน เลอะเทอะไปหมด

ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์เราก็อยู่กับสัตว์ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ มีประโยชน์แก่กันและกันสุดยอดจบ คุณอยู่กับสัตว์ในโลกนี้คุณก็มีประโยชน์แก่กันและกัน ไม่เกี่ยวข้องด้วยอะไรก็ไม่เป็น เป็นเรื่องที่เชื่อมกันมาที่จะเป็นภาระในอนาคต ไม่เป็นภาระแก่กัน มีแต่ประโยชน์แก่กัน

ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของ เราไม่ต้องอาศัยสัตว์เอามาใช้ในชีวิต เราใช้แต่ พีชะกับอุตุ กับธาตุสสาร ที่เป็นพีชะเป็นพืช จะอาศัยกินใช้อยู่เป็นปัจจัย 4 อยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย หรือยารักษาโรค อยู่ในนี้หมดแล้ว ไม่ต้องไปรบกวนสัตว์ใดๆเลย

เพราะฉะนั้นผู้รู้ ที่รู้ก็รู้ว่า เรามีสิทธิ์ใช้สิ่งที่เป็นสิทธิ์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นอุตุนิยม พีชนิยาม อะไรที่ไม่ใช่สิทธิ์ของเราอย่าไปละลาบละล้วง จะต้องเข้าใจถึงสาธารณะ ถ้าเป็นของสาธารณะจริงๆ ก็อย่าเอามาเป็นของเราทั้งหมด อย่าไปครอบครองสาธารณะ คุณจะใช้ก็แบ่งกันกินใช้ ให้พอเหมาะพอดีอย่าตะกละ อย่าไปขี้โลภ

สมัยโบราณ ข้าวสาลีมันเกิดมา โดยธรรมชาติของมัน ก็เป็นของสาธารณะ คนที่จะกินก็เอามากิน ไม่โลภมากเอามาเป็นของตัวทั้งหมด แบ่งไว้ให้เรากินคนอื่นก็แบ่งไว้ให้กิน ข้าวสาลีมันก็งอกออกมาทัน เหมือนที่คานธีพูดไว้ว่า สมบัติในโลกนี้มีพอกินใช้สำหรับทุกคนในโลก แต่ไม่พอสำหรับคนโลภเพียงคนเดียว

อาตมาได้ประสบความสำเร็จที่ทำสังคมสาธารณโภคีได้สำเร็จลงตัวแล้ว ลงตัวแม้กระทั่ง ทำวัฒนธรรม พฤติกรรม วินัยกฎระเบียบ คนเข้ามาในนี้ อย่างน้อยคนไม่รู้ ก็อาจจะผิดบ้าง คนที่พอจะรู้ก็มาสังเกตพฤติกรรมว่าเขาเป็นอย่างนี้หรือ เขามีกฎระเบียบอย่างนี้ เขาอยู่ร่วมกันทำอย่างนี้หรือ มีพฤติกรรมอย่างนี้หรือ คนเข้ามาอย่างมีภูมิปัญญาก็ไม่มีปัญหา ทำตามวัฒนธรรมของที่นี่ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม

ในศีลข้อ 2 สรุปว่า ถ้ามันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีสิทธิ์ก็อย่าไปถือเอามาเป็นของเรา ปล่อยให้เป็นของกลาง มันเป็นของสาธารณะแล้วก็แบ่งกันกินใช้ อย่าขี้โลภ มันจะเกิดตามธรรมชาติที่มันเกิด อย่างพอกินพอใช้ และยิ่งคนทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่ธรรมชาติเกิดเองเท่านั้น คนช่วยให้มันเกิด อย่างชาวอโศก พืช เราก็ช่วยให้มันเจริญอุดมสมบูรณ์เป็นพืชที่ดีไร้สารพิษ มีเนื้อหาสาระของมันเก่งขึ้น เนื้อหาสาระดี มีวิตามิน ดีขึ้นก็ช่วยกัน ก็ยิ่งดี เราก็ยังมีเครื่องอาศัย

ศีลข้อที่ 3 มีอัตภาพตัวตน มีตาหูจมูกลิ้นกายยึดเป็นตัวกูของกู อันนี้แล้วไปติดยึดทางตาต้องเอามาให้กู หูก็ต้องยึดเอามาให้กู ทวารทั้ง5 ไม่มีแล้วก็ใจเป็นตัวตั้งตัวเดียวจะเอาเป็นภพชาติ สารพัดร้อยแปดอยู่ในนี้ ที่จะสมมุติขึ้นมาได้ทั้งนั้น อย่างเหนือความจริงเลย

มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ต้องมาพูดกันให้รู้เรื่อง อย่าไปวุ่นวายหลงใหลกับอัตตา ไปยึดมันมาทำไมมาก เอามาแต่พอเหมาะ จึงเรียนรู้ที่คุณไม่ควรจะไปติด ในรสที่ควรพอใจหรืออยากพอใจ รสอย่างนี้ก็เป็นตามจริงของ รูปอย่างนี้ก็เป็นรูปตามจริงของมัน เป็นอย่างนี้ก็เป็นตามจริงของมัน เสียงก็เป็นตามจริงของมัน สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็เป็นอย่างนี้แหละเท่าที่ได้ เราก็รู้ว่าตัวเราควรสร้างสิ่งที่ควร อย่างนี้ควรจะอ่อนหรือแข็งควรจะเย็นหรือร้อน ควรจะเป็นเสียงอย่างนี้เป็นกลิ่นอย่างนี้เป็นรสอย่างนี้ เราก็ทำขึ้นมาถ้าจะช่วยทำ ถ้าเราไม่ทำธรรมชาติก็ทำของมันขึ้นมา แล้วคุณก็เลือกเอา รสที่ชอบ กลิ่นที่ชอบ เย็นร้อนอ่อนแข็งตามที่ชอบ ถ้ามีให้เลือก ถ้าคนอื่นเขาเอาไปแล้วเราก็ไม่แย่งกับใคร

ทุกวันนี้เราสบายเราลอยตัวแล้วไม่ไปแย่งกับใคร เราสร้างเอง ธรรมชาติมันเกิดแต่เราช่วยให้มันเกิดมากขึ้น ให้มันเจริญดีเจริญได้เร็ว เจริญให้มาก เราก็เหลือเฟือ มีกล้วยลูกโตมีวิตามินดีมากด้วย

ก็อยู่ที่ว่าเราอย่าไปหลง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มันมีของมันตามเป็นจริง เอาที่พอเหมาะพอดีควรได้ ซึ่งมันก็ไม่ขาดแคลน มันก็ไม่ลำบากลำบนอะไร มันก็พอมีเลือกนิดเลือกหน่อยก็ได้แล้ว มันก็สบายแล้ว ยิ่งไม่เลือกเลยเอาตามมีตามได้ เราก็เลือกแต่สิ่งที่มีประโยชน์มากินใช้ของเรา สิ่งที่ไม่มีประโยชน์คุณค่าเราไม่เอามาให้เสียแคลอรี่ จบ

อาศัย ศีล 3 ข้อนี้อยู่อย่างสบาย ชาวอโศกอาศัยศีล 3 ข้อนี้ ได้รู้ความจริงถูกต้องแล้วอย่าเอาไปพูดผิดทางวาจาอย่าเอาไปคิดผิดทางศีลข้อที่ 5

3 ข้อนี้สมบูรณ์แบบแล้ว อยู่อย่างสบายสัปปายะ  4 อาหาร บุคคล สถานที่ ธรรมะ

 

_0893867 ขอบคุณบุญนิยมด้วยธ.ไลน์ดอกหญ้าฯวิจารณ์คนอื่นใจต่ำลง!วิจัยตัวเองใจสูงขึ้น!

พ่อครูว่า...ถ้าหากวิจารณ์คนอื่นด้วยใจไม่บริสุทธิ์ไม่ดี วิจารณ์คนอื่นได้แต่ต้องมีใจที่ปรารถนาดีมีใจบริสุทธิ์ ต้องวิจารณ์ตัวเองให้ใจบริสุทธิ์ก่อนค่อยไปวิจารณ์คนอื่นด้วยความเมตตาปรารถนาดี(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไทว่า...การวิจารณ์คนอื่นหากใจไม่บริสุทธิ์ก็จะเกิดเรื่องไม่ดี พระโพธิสัตว์ท่านวิจารณ์คนอื่นด้วยใจปรารถนาดีท่านใจบริสุทธิ์แล้ว แต่เราเองต้องประมาณต้องระวัง ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องขึ้น

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าจงทำคุณอันสมควรก่อน แล้วค่อยสอนหรือวิจารณ์คนอื่นจะไม่มัวหมอง ที่มัวหมองคือ ตนเองยังไม่สูงพอจะไปว่าคนอื่น บางคนได้แต่พยัญชนะบัญญัติภาษาสภาวะยังไม่ได้ บางคนได้แต่สภาวะไม่มีภาษาก็พูดไม่ออกอธิบายไม่เป็น

ก็เลยไม่สมประกอบทั้งคู่ ขาหักคนละขา  

 

_เรียม พิมพ์ประสาน ....น้อมกราบพ่อครูค่ะ ลูกเป็นคนนอกอโศกค่ะ..แต่ชอบฟังพ่อครูมากๆค่ะ จนทำให้ลูกไม่ได้เข้าวัดแถวๆบ้านนานแล้ว..ลูกยอมรับบาปอย่างจริงใจ .เพราะยังทำใจเข้าวัดไม่ได้ค่ะ.ปัจจุบันลูกได้ปฎิบัติศีล 5อยู่ค่ะ.แต่ลูกมีครอบครัวแล้ว.การที่ลูกไม่ไปวัดใส่บาตร.จะบาปมากไหมค่ะ..ก็พระท่านยังเดินทับเส้นทางกันไม่ได้เลย..จะให้ลูกทำอย่างไร.หรือลูกไปเพ่งโทษพระท่านจนเกินไป..ยอมรับบาป.แต่ก็ยังกลัวบาปค่ะ..ขอความเมตตาค่ะ..สาธุ

พ่อครูว่า…เอาให้ดี แม้ศีล 3นี้ก็เอาให้ดี การไม่ไปวัดใส่บาตร อาจได้บุญได้กุศลด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ควรคว่ำบาตร เช่นกรณีเงินทอนวัด ก็ยังจบไม่ได้ ยังมีเรื่องอื่นอีกร้อยแปดพันประการ ยังชำระกันไม่ได้ง่ายๆ ถ้าจะใส่บาตก็ต้องเลือกพระอีก ใส่แล้วไม่ต้องหวังอะไร ทำทานด้วยใจไม่ต้องหวัง ไม่ต้องสร้างอะไรต่อเลย เห็นควรใส่ก็ใส่ พระจะได้อาหารไปเลี้ยงชีพ ท่านไม่มีหม้อข้าวหม้อแกงไม่มีไปหาอาหารกินเอง ท่านปฏิบัติธรรม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน เด็กสัมมาสิกขาควรได้กินไอศกรีมไหม

_จากคุณ ห้าจุด....มีบางพุทธสถานของอโศกห้ามมิให้นักเรียนสัมมาสิกขาทานไอศกรีม หากมีผู้ประสงค์จะนำไอศกรีมเข้ามาแจกเด็กๆ ก็ไม่อนุญาต โดนตำหนิ โดยผู้บริหารให้ความเห็นว่า เพื่อสุขภาพในระยะยาวของเด็กๆ

จึงอยากขอแสดงความเห็นว่า หน้าที่ของสมณะควรให้ปัญญา ไม่ใช่การปิดกั้นเช่นนี้ เพราะเด็กที่เรียนในสัมมาสิกขา โดยเฉพาะในตจว. ไม่ได้รับไอศกรีมแจกบ่อยๆหรอกค่ะ

เด็กไม่ได้อยู่ในฐานอยากจะเป็นอนาคามีหรืออรหันต์ ท่านก็ไม่ต้องเคร่งขนาดนั้นก็ได้ค่ะ 55 เพราะคนเราถ้าถูกปิดกั้นมากๆ แค่กินไอศกรีมก็ไม่ได้ เวลาระเบิดมันระเบิดแรงค่ะ

เอาแค่ให้เค้าทานมังสวิรัติบริสุทธิ์ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับฐานของพวกเขา ไม่อยากให้สุดโต่งมาก เพราะมันจะเกิดผลเสียในระยะยาว และอโศกเราเป็นสายวิปัสสนานะคะ ไม่ใช่สายสมถะ อาหารอะไรมีมาถวายก็ขึ้นศาลาขึ้นโต๊ะไปเถอะค่ะ แล้วให้แต่ละคนใช้สติปัญญาของตัวเองพิจารณา ส่วนพระเถระผู้ใหญ่ก็ให้ปัญญาไป ส่วนใครจะเกิดปัญญาหรือไม่ เมื่อไหร่ ให้อยู่ที่แต่ละบุคคลเถอะค่ะ..พ่อท่านเห็นว่าเช่นไรคะ

คำถามจากคนที่ตอนเป็นเด็กก็ทานไอศกรีม เพราะมันชุ่มชื่นหัวใจ ป.ล. เด็กๆบอกว่า เด็กแค่เป็นโสดาบันได้ก็บุญแล้ว ไม่ได้มาเรียนเพื่อจะเอาอรหันต์ ณ บัดนาว ขอกินไอศกรีมไม่ได้เลยหรือ 555

พ่อครูว่า…เด็กเขาไม่เดียงสา เราต้องจัดให้ คุณก็พูดผิดฐานะของเด็ก เด็กไม่ใช่อยากจะเป็นอนาคามีอรหันต์ก็ใช่ แต่เด็กมันไม่เดียงสาต้องเลือกให้ ต้องให้ถูกประเด็น เอาประเด็นนี้มาอ้างอันนี้จะสลับสับสนกัน

เด็กนั้นเป็นเด็ก เขาไม่สามารถพิจารณาตามสติปัญญาของเด็กที่มีหรอก ผู้ใหญ่ที่ดูดีก็ห้ามปรามได้ จริงๆแล้ว

1.เด็กไม่กินไอศกรีมแล้วตายไหม.. ก็ไม่ตาย

2. มีไอศครีมมาให้กินอยู่บ้างไหม ..ก็มี

เพราะฉะนั้นจะห้ามเป็นบางคราว มันก็มีให้กินในบางคราว

และไม่กินก็ไม่ตาย แค่ 2 เหตุปัจจัยนี้ก็จบแล้ว จะไปซีเรียสอะไรกันเกินไป

อาตมาแต่ก่อนนี้ ยึดอาชีพ ขายไอติม เรียก แข็งหลอด เอาน้ำใส่กะทิใส่น้ำตาล แล้วปั่นให้มันกลายเป็นไอติม พวกคนญวนเป็นคนทำขาย แต่อาตมาเป็นคนไทยและไปอุตริขาย แข็งหลอด เราไปขอแบ่งรายได้จากเขา อาตมาเป็นเด็กไทย แต่ขอทำ เขาก็ยินดีให้ขาย อาตมาเป็นเด็กไทย คนอาจจะรู้จักพ่อแม่ด้วย เป็นลูกของร้านค้าใหญ่ด้วย ร้านรักพงษ์ตราภรณ์ เขาก็ว่า ลูกแม่โฮมมาขาย เขาก็เอ็นดู บอกว่าเด็กคนนี้พ่อแม่สนับสนุนให้ทำมาหากินไม่เป็นเล่นหัว อาตมาก็ร้องขายดี

ตอนเด็ก คุณก็เคยทานไอศครีม

 

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้พ่อครูเน้นเรื่องการสวด


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:41:49 )

610806

รายละเอียด

610806_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ตอนที่ 3

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1JDIWtr1MoRbYjHNbitKFfAKvHD-v7AEvRxual8yEsrs/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1rLVDiSYn6NwasFYUTckbCwoEctaDZjeS

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ สำมะปี๋ซี่วิต หมายความว่า ปนกันเละเลย ก่อนอื่นขอโอภาปราศรัยกับ sms

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน สวดสรภัญญะคือสวดแบบไหน

_MAS Jan มีคนหนึ่งบอกพ่อท่านว่า ตั้งแต่ฟังพ่อท่านแล้ว ไม่ไปวัดแถวบ้านเลย จริงคะ เป็นอย่างนั้นจริงๆๆๆ บ้านอยู่แถวอุดมสุขคะ

พ่อครูว่า…วัดที่แถวอุดมสุขนี้ดังนะ ตอนนั้น ก็ เรื่องที่ไม่ไปวัดนั้นวัดนี้อาตมาพูดตรงๆ ถ้าเราไม่ไปส่งเสริมผู้ที่ทำผิด มันดีหรือมันชั่ว ...ดี เราไม่ไปส่งเสริมอุดหนุนผู้ที่ทำผิดมันเป็นสิ่งดี ถ้าวัดที่เราเห็นว่ามันไม่ถูกต้องตามธรรมวินัย วัดนี้ไม่ได้เรื่องได้ราว เราก็ไม่น่าจะไป เราก็ไปหาวัดที่เข้าท่า วัดที่ทำถูกต้องตามธรรมวินัย เท่าที่หาได้ ที่เรายังมีจารีตประเพณีที่จะได้อาศัย ถ้าจะเอาจริงๆแล้วมาวัดอโศกต่างๆนี่ ชาวอโศกเราไม่ได้เรียกวัดทีเดียว อาตมาก็ที่นี่ ไม่ได้ทำจารีตประเพณีเท่าไหร่

การประกอบจารีตประเพณีเป็นเรื่องบานปลาย คนคิดสร้างขึ้นมาเพื่อหากิน เป็นจารีตประเพณีก็คือพระ พระนั้นตกแต่งปรับปรุงให้เป็นอย่างนั้น ว่าจะได้อะไรต่างๆ ถ้าได้เงินทำบุญวัด เป็นเรื่องของเดียรถีนอกรีตนอกราว ทุกวันนี้ศาสนาพุทธคือศาสนาอาศัยจารีตประเพณีเพื่อหากินเท่านั้น ขอพูดอย่างนี้เลย ไม่ใช่เป็นวัดอาวาสถานที่เผยแพร่ธรรมะ

คนไปวัดทำจารีตประเพณีก็ผิดแล้ว ไปวัดเพื่อทำจารีตประเพณีเสร็จแล้วก็เสร็จ ก็นึกว่าได้ธรรมะได้เรื่องได้ราวได้ศาสนา ได้สิ่งที่ควรได้แล้ว แต่แท้จริงได้เดรัจฉานวิชา ได้สิ่งที่สังคมเบาๆ ติดตัวไป และสำคัญก็คือ ตกเป็นเหยื่อของพระที่อาศัยหากินได้ เป็นเรื่องน่าสังเวชใจ

พูดตรงๆเพื่อจะฉีกหน้า ให้รู้ว่ามันไม่ไหวนะ มันจะต้องรู้และมันจะต้องแก้ไขปรับปรุงกัน ไม่เช่นนั้นไม่กระเตื้องเสียเลยก็ไม่ดี แต่สังคมเป็นแบบนี้ สังคมตาหลิ่วตาเข ไปหมดแล้ว ที่จริงสังคมตามืดตาบอด ก็ไปตามเรื่อง

 

_3867 ตอนพ่อครูสอนธ.ตถาคตทรงอนุญาตให้ภิกษุสวดสรภัญญะ!น่าจะยกตัวอย่างการสวดเชิงปฏิบัติให้ฟังสักท่อน1! ฟังแต่เชิงทฤษฎีไม่เข้าใจ ?

พ่อครูว่า…ก็สวดให้ดูแล้ว คุณฟังไม่ทัน บรรยายด้วยการยกตัวอย่างแต่คุณฟังไม่ทันเอง

พระพุทธเจ้าอนุญาตให้สวดสรภัญญะ แต่ไม่อนุญาตให้สวดอย่างเป็นทำนองหรือว่าลากเสียงยาว(อายามะ) หรือใส่ทำนองเป็นคีตะ

ลากยาว คือนาาาาโมมมมมตัสสสสสสะะะะะ

ถ้าให้ตรงสารภัญญะคือนะโมตัสสะภะคะวะโต ตรงตามสระ ทีฆสระ รัสสระ ถ้าไปลากก็ผิด แต่ยังไม่ใส่ทำนองนะอันนี้ ลากยาวเฉยๆ

แล้วก็ยังมีลากเสียงยาวและใส่ทำนองด้วย นามัวตัสสสสะ ภะคะวะตัววววววว อร่อยไหม พร้อมเลยมะนาวพริกเหยาะน้ำตาลเสร็จ ดีไม่ดีมีแบบแหล่ แบบแรพด้วย จะเอาจังหวะแบบไหน จังหวะแบบบอลรูม จังหวะบีกินหรือ Tango แย่จริงๆเลย

ที่ปฏิบัติสรภัญญะจริงๆคืออย่างไร อย่างอโศกนี้สวดมาตั้งแต่ต้นคืออย่างไร นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ หรือแม้แต่สวดพาหุง สหัส สมะภินิมมิตสาวุทันตัง เป็นต้น สำเนียงบาลีเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ เพราะตอนนี้มาเป็นไทยแล้ว สำเนียงลาวจะเป็นอย่างไร? อย่างภาษาอังกฤษสำเนียงลาว Where are you going? (แว่ อ่าร์ ยู้ โก….)

สวดให้ตรงตามรัสสระ ทีฆสระเท่านั้น ไม่ใส่ทำนอง เป็นความรู้ที่ควรรู้ ขยายความไปเยอะแล้ว วิจารณ์วิจัยว่ามันผิดเป็นอย่างไร ยกอ้างตามหลักฐานพระพุทธเจ้าตรัสไว้มีในพระวินัยในพระสูตรก็ว่ากัน เพื่อที่จะให้ชัดเจน จะได้เป็นข้อความรู้ที่ดีบันทึกไว้ ส่วนใครจะปฏิบัติตามแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นและปฏิบัติตามให้ได้ก็ดีอนุโมทนาสาธุ ใครที่สุดวิสัย ทำไม่ได้ ก็เห็นใจ ก็มันผิดอย่างที่ แก้ไม่ได้แล้ว มีผู้ที่เห็นดีจริงๆแต่ก็สุดวิสัยก็เอา พอถึงวาระนี้แล้ว

 

_สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · กราบนมัสการพ่อครู เป็นบุญยิ่งวันนี้ได้ฟังธรรม จากพ่อครู ได้ความกระจ่างในบางเรื่องที่สงสัยในใจมา.ก็จะบอกในใจตัวเองตลอดว่า ศีลเราคงไม่เสมอเขา เขาจึงไม่เข้าใจในความคิดของเรา เขาคบเรา เราก็เจียมตัวเองตลอด ก็ขอบใจเขามาตลอด ที่เขาลดตัวลงมาคบกับเราดู กราบศรัทธายิ่งพ่อครู สาธุ

 

_อำภา รื่นใจดี · ลูกกราบนมัสการถามเจ้าค่ะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คืออะไร ศาสนาพุทธให้ความหมายคำว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์เราสร้างขึ้นเอง หรือปรากฏเองโดยไม่มีใครสร้าง จากเหตุการณ์หมูป่าติดถ้ำแล้วช่วยออกมาได้จากความรู้ความเพียรของคน และวัสดุอุปกรณ์ การบริหารจัดการงบประมาณ รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์

(แม้แต่ต่างชาติตะวันตกก็คิดเหมือนคนไทย) แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องหมูป่าคืออะไร เจ้าคะ

พ่อครูว่า…สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต่างชาติเขานับถือกันทั่วโลก ไทยเราก็มีเหมือนกันแต่ไม่ได้ลบหลู่ เราก็ไม่ได้หลงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วนะ เราดูในปัจจุบัน ที่จะต้องเข้าใจว่าวันนี้เป็นเอก อันนี้เป็นรอง สิ่งลึกลับพวกนั้นเป็นเรื่องรอง เป็นเช่นนั้น

ก่อนอื่นก็เอาคำว่าศักดิ์สิทธิ์ เขาแปลรวมๆว่า ว่า สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ จะล่วงละเมิดมิได้ อย่าไปแตะต้อง เป็นเรื่องขลัง ศักดิ์สิทธิ์ในความหมายแบบขลังเช่น มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูแลคุ้มครองแผ่นดินนี้อยู่ หรือทำงานนี้เป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอย่าไปลบหลู่ดูถูกนะ เป็นต้น

หรือ ศักดิ์สิทธิ์ก็คือเป็นการกล่าวอย่างประกาศิต คนนี้พูดศักดิ์สิทธิ์ เป็นประกาศิตเลย

เราแยกศัพท์ดู คำว่า ศักดิ์ ก็แปลว่า 1.ยศ  2.อำนาจ  3.ความสามารถ 4.เรี่ยวแรง  5.ความอุตสาหะ 6.ฐานะ (เช่นคนนี้มีฐานะเป็นหลาน คนนี้มีฐานะศักดิ์ต่ำกว่าเรา เป็นต้น) 7.หมายถึงคุณวุฒิ 8.ความเชี่ยวชาญ 9.ความช่วยเหลือ 10. ที่พึ่ง

ที่พึ่งที่เป็นวัตถุเลย เช่น หอก หรือหลาวหรือกระบี่ (เป็นการบอกยศศักดิ์)

สิทธิ์ คือ ความสำเร็จ ความสมปรารถนา การบรรลุมรรคผลจริง ความเจริญ สรุปก็คือความสำเร็จเรื่อง หรือสิทธิ์ หมายถึงอำนาจอันชอบธรรม เช่นเรามีสิทธิ์นะ หรือลิขสิทธิ์

สิทธิ์ทางด้านการเมือง สิทธิ์พื้นฐาน สิทธิ์หน้าที่พลเมือง การได้รับการศึกษา สิทธิ์ ชาวอินเดียเขามีสิทธิ์จะอุจจาระที่ไหนก็ได้เป็นเรื่องของเขา แต่เมืองไทยไม่ได้เป็นมารยาทสังคม

ปู่เถาว์...ถ้าคำว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความหมายของ ไอน์สไตน์ได้กล่าวถึงพลังงานแห่งความรัก พลังงานความรักเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่และครองโลก อย่างนี้ใช้ได้ไหม

พ่อครูว่า...ได้

 

_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูครับ ผมติดตามชมรายการที่พ่อครูแสดงทุกรายการครับ วันไหนลืมดูสดก็จะไปตามดูที่ยูทูปครับ

 

พ่อครูว่า...ที่อาตมาทำงานอยู่ทุกวันนี้ เวลาที่มีควรจะทำอะไรที่มันมีประโยชน์ กรรมกิริยาของเราควรมีประโยชน์ แม้แต่เราหายใจออกหายใจเข้า ก็น่าจะเป็นประโยชน์ ถ้าหายใจออกหายใจเข้าไม่มีประโยชน์ ไม่ดี เพราะฉะนั้นมันจะเสียสุขภาพใช่ไหม ถ้าหายใจออกหายใจเข้าที่ไม่ดี เช่น หายใจออกหายใจเข้าในที่ที่มีแก๊สพิษ ก็ตาย หายใจออกหายใจเข้าในที่ที่ไม่ควรหายใจอย่างนั้น ที่มีเชื้อโรค ก็ไม่ควร จะได้รับเชื้อโรคไปตามอากาศได้

แม้แต่หายใจออกหายใจเข้าก็ต้องสังวรระวัง ว่าเราควรจะหายใจออกหายใจเข้าอย่างไรดี ผู้ที่เรียนรู้ลมหายใจเข้าออก ก็จะมีการมีสติ ใช้การกระทบรู้เพื่อทำให้เกิดสมถะแล้ว การหายใจออกหายใจเข้าที่อยู่ในบรรยากาศในที่ที่ควรจะทำก็เป็นประโยชน์

กรรมทุกกรรมตั้งแต่กระพริบตา บางทีก็กระพริบตาในที่ที่ไม่ควรกระพริบตา ทุกอย่างอะไรที่เคลื่อนไหวในตัวเรา ที่เราจะกระทำ กิริยาต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมกิริยา ที่ดีและไม่ดีได้ทั้งนั้นเลย ถ้าจะว่าไปแล้ว ดีหรือไม่ดีบางอย่างเป็นโทษภัยต่อสุขภาพ เป็นโทษภัยต่อสังคม เป็นโทษภัยต่ออะไรต่างๆนานา เราก็ควรจะต้องศึกษา

 

เข้ามาสู่ สำมะปี๋ซี่วิต…

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน พ่อครูมีศีลกี่ข้อ

_ดญ.แก้วบุญ...หลวงปู่มีศีลกี่ข้อ…

พ่อครูว่า...ถามล้วงความลับเลย หลวงปู่นี้ได้ปฏิบัติธรรมมา หลวงปู่ถือศีล จุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อแล้วก็มหาศีลอีก 7 ข้อ หลวงปู่บวชมาก็มีศีลมาตลอด

มหาศีล 7 ข้อนี้อันสุดท้าย นี้เป็นหมวดใหญ่ มหาแปลว่าใหญ่ มัชฌิมแปลว่ากลาง จุลแปลว่าเล็ก

เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งมหาเถรสมาคมไม่ถือมหาศีลเลย ในมหาศีล เป็นสิ่งที่ให้งด เป็นเดรัจฉานวิชาในศาสนาพระพุทธเจ้าจะไม่มีเลย ถ้าจะถือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ต้องไม่มี แต่เดี๋ยวนี้ศาสนาล้มเหลวเละเทะเสียหายไปหมดแล้วเต็มไปหมด เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ศาสนาพุทธ

ศาสนาพุทธไม่มีเดรัจฉานวิชาไม่มีไสยศาสตร์อย่างเคร่งครัด เพราะว่ามันเป็นเรื่องทำลายศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม คือศาสนาที่ไม่ได้ถือที่พูดเมื่อกี้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่บันดลบันดาลไม่ใช่ถือเอากรรมเป็นเรื่องใหญ่ ที่จะบันดาลเป็นเรื่อง God เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนพุทธนั้นไม่เอา God การนับถือกรรมเป็นเรื่องใหญ่

ในมหาศีล ให้ชัดเจน จะอ่านข้อที่ 1 กับข้อที่ 7

1.พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต(คือทำเครื่องหมาย) ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะพื้นที่ ดูลักษณะที่ไร่นาเป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัดเป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอดูรอยเท้าสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

แต่เดี๋ยวนี้เบี้ยวแล้วว่าอยู่ไหน ก็อยู่ในพระไตรปิฎกนี่ไง ถ้าไม่มีในพระไตรปิฎกอาตมาเสร็จเลย

 

7.พระสมณะโคดมเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด(แปลความว่าให้คนได้ติดยึดขี้หมูขี้หมาเอาขี้หมูขี้หมามาให้คนที่เขาเอาโภชนะเอาข้าวเอาน้ำมาให้กิน)  ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล

อาตมาเคยสะกดจิต ให้คนลืมตาแล้วมองไม่เห็นสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าเราได้ ร่ายมนต์คือมีลักษณะเช่นนี้ จะให้เป็นอย่างไรก็ได้ ไม่ให้ได้ยินเสียงไม่ได้เห็นด้วยตาไม่ได้ยินด้วยหู ไม่ได้รู้ด้วยกลิ่นได้เลย ไม่รู้รสด้วยลิ้น สะกดจิตเสร็จแล้ว เอาพริกให้กินเขาก็กินพริกได้เฉยๆ คำสะกดจิตบอกว่าของนี่แหละหวาน พริกนี่แหละหวาน เขาก็จะหวาน อาตมาได้เคยทำมาแล้ว

การรดน้ำมนต์ไม่มีในศาสนาพุทธนะ มาทำบุญทำทานกันแล้วพระก็จะให้รดน้ำมนต์ ก็ถือว่าได้อะไรกลับไปบ้านแล้ว

เรื่องยาต่างๆ ถ้าในยุคนี้คงจะเขียนชื่อยาเต็มไปหมด...หมดหน้ากระดาษเลย นี่ไปเอายาจากทั่วโลกมาลง แค่นี้ไม่พอหรอกชื่อยา ยาสารพัด อาตมาอยู่ใกล้หมอพยาบาล เดี๋ยวเขาก็พูดว่าอย่างนั้นอย่างนี้เขาก็รู้หมด เขาพูดด้วยกัน มันชื่อฝรั่งทั้งนั้น อาตมาก็ฟัง แล้วเขาจำชื่อยายี่ห้อต่างๆได้ พยาบาลกับหมอรู้กัน ก็จะมีเป็นยุคไป เมื่อเป็นยุคต่อไปมียาใหม่ก็ต้องจำอีก

สมัยนั้นก็มีผ่าตัด ใส่ยาชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

น่าสงสารศาสนาพุทธนั้นเดี๋ยวนี้ไม่มีศีลเลย แล้วจริงที่สุด เดี๋ยวนี้นอกจากมหาศีลมัชฌิมศีล ก็คลุมเครือ มัชฌิมศีลก็คือเดรัจฉานกถา จุลศีล ก็มีซึ่งก็ยังติดมาอยู่บ้าง

1. ไม่ฆ่าสัตว์ 2. ไม่ลักทรัพย์ 3. ไม่เป็นข้าศึกแก่กุศล ก็มีคำความขยาย แต่ทุกวันนี้มาย่นย่อลง ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา

แต่ในจุลศีลมี

1.   พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์วางทัณฑะ วางสาตรา มีละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

2.   พระสมณโคดม  ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์  รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการ  แต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย  เป็นคนสะอาดอยู่.

3.   พระสมณโคดม  ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นจากเมถุน ซึ่งเป็นเรื่องของชาวบ้าน.

4. พระสมณโคดม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จพูดคําจริง ดํารงคําสัตย์ มีถ้อยคํา เป็นหลักฐาน ควรเชื่อ ไม่พูดลวงโลก.

5. พระสมณโคดม ละคําส่อเสียด เว้นขาดจากคําส่อเสียดฟังจากข้างนี้แล้วไม่บอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่บอกข้างนี้  เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกกัน  สมานคนที่แตก กันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนที่พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนที่พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนที่พร้อมเพรียงกันกล่าวแต่คําที่ทําให้คนพร้อมเพรียงกัน.

6.  พระสมณโคดม ละคําหยาบ เว้นขาดจากคําหยาบ กล่าวแต่คําที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นคําของชาวเมือง คนโดยมากรักใคร่ ชอบใจ.

7. พระสมณโคดม  ละคําเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคําเพ้อเจ้อพูดถูกกาล พูดคําจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดคํามีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กําหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร.

8. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม.

9. พระสมณโคดม ฉันอาหารหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดการฉันในเวลาวิกาล.

10. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการฟ้อนรําขับร้องประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึก.

พ่อครูว่า...อาตมาก็แต่งเพลง แต่เพลงของอาตมาเป็นโลกุตระ อาตมาแบ่งเพลงออกเป็น 5 ระดับ

1. ลามก 2. ราคะ 3. สาระ 4. ธรรมะ 5. โลกุตระ

ลามกคนรู้ง่าย แต่ราคะ ถ้าสิ่งใดสื่อออกไปแล้วคนเกิดกามราคะเพิ่มขึ้นอันนั้นไม่ใช่ศิลปะเป็นราคาเป็นลามก แต่ถ้างานใดสื่อไปแล้วทำให้คนรอบแล้วเกิดกิเลสลดลงเรียกว่าเป็นศิลปะ ถ้าทำให้กิเลสเพิ่มเรียกราคะหรือลามก

ถ้าสาระมันก็ไม่ใช่ศิลปะเรียกว่าสารคดี เป็นวิชาการเป็นเรื่องราวสาระ ถ้าศิลปะต้องมีสองอย่าง ต้องมีสุนทรียศิลป์กับสารศิลป์

สุนทรียะศิลป์ประกอบไปด้วยสาระเช่นวรรณกรรม ประติมากรรม Music and Drama ก็ต้องมีสิ่งประกอบในนั้น เหมือนกับยา สาระของมัน คือสิ่งที่เอาไปรักษาโรค แต่บางทีมันกินยาก เขาก็ใส่น้ำตาลเข้าไปนิดหน่อย สิ่งนั้นคือสุนทรี หรือใส่สีบ้าง เป็นต้น ประกอบไป

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นสุนทรีนี่มีนิดหน่อย สิ่งที่ประกอบชี้ชวนให้พอจะได้รับสาระนั้น ถ้ามีแต่สาระเต็ม เขาเรียกว่าเป็นเนื้อแท้แก่นสารของมันเต็มๆไม่ใช่ศิลปะ ศิลปะต้องมี 2 อย่างประกอบกัน

ศิลปะคือสิ่งที่ประกอบด้วยสาระให้เกิดผล เพราะฉะนั้นศิลปะคืองานที่สัมผัสแล้วเกิดสาระขึ้นมา แล้วมันชี้ชวน ถ้าจะไปสุนทรีย์แล้วเป็นสิ่งที่เชิญชวนของเชิญชวน ให้มาสัมผัสไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ทุกวันนี้ไปหลงเรื่องใหญ่ คือสุนทรีย แต่สาระไม่มี ไม่พูดว่างานที่เราทำนี้ต้องการ Interest Point  Essence ของคุณคืออะไรมนุษย์ไปสัมผัสงานของคุณแล้วเกิดประโยชน์อะไรเป็นประโยชน์เป็นเนื้อแท้เป็นสาระ ก็ไม่รู้ เอาแต่ชวนให้ดู ให้รู้สึกถึงให้รู้สึกพิเศษ แล้วก็หลงด้วยเปลือกเทคนิควิธีการสีสัน องค์ประกอบลีลาเท่านั้น ที่เป็นศิลปะ สูญหมดเลย เพราะฉะนั้นก็ฟุ้งซ่านไป

ยุโรปกลางตะวันตกนี่แหละเขาไม่รู้จักศิลปะ แต่ศาสนาพุทธเรารู้จักศิลปะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าศิลปะเป็นมงคลอันอุดม ศิลปะคือสิ่งที่จะนำไปสู่สิ่งสูงสุดคือนิพพาน

ลามก ราคะ สาระ ก็ยังไม่ใช่ศิลปะ

ธรรมะ  ที่จริงก็ยังไม่ใช่ศิลปะ แต่ยังอนุโลมว่าเริ่มมีสาระที่มีองค์ประกอบที่จะทำให้เกิดคุณค่าความดีงาม ประกอบกับสาระขึ้นมา ถ้าเป็นสาระที่เป็นวิทยาศาสตร์สาระที่เป็นคุณธรรมก็เป็นธรรมะขึ้นมา ธรรมะจึงยกขึ้นมาสูงกว่าสาระและวิทยาศาสตร์

อันสุดท้ายคือ โลกุตระ

อาตมาเป็นคนกำหนดเอง ไม่มีใครมาบัญญัติหรอก ว่า อาตมามีความรู้ทางศิลปะและก็พยายามปฏิบัติศิลปะตามที่อาตมาเข้าใจ

อาตมาวิจารณ์ศิลปะหลายอย่าง ที่เอามาหลอกล่อกันขายให้แพงๆ บ้าหลอกขายกัน งมงายติดยึดในเทคนิค ฝีมือวิธีการสร้าง Concept หลอกล่อไว้เป็นวิมาน มีชื่อศิลปะสารพัดเลย ศิลปะที่เกินจริงศิลปะที่เป็นนามธรรมอะไรของเขาเยอะแยะ เขาก็ว่าของเขาไปมหาศาล เป็นชื่อภาษาฝรั่ง อาตมาขี้เกียจจำ

อาตมาใช้ศิลปะในการทำงานการแสดงออก สุ้มเสียงสำเนียงเป็นศิลปะคำพูดภาษา ให้มันได้ประโยชน์ให้มันได้ผลดี นัจจะ คีตะวาทิตะ เป็นศิลปะ คนจะเข้าใจหรือไม่ก็ตามแต่ จะมายืนยันว่าได้เป็นศิลปินดำเนินงานตามศิลปะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน จะลดกิเลสได้อย่างไร

_จะลดกิเลสได้อย่างไรคะ

พ่อครูว่า...ฟังดีๆ ลดกิเลสคือ ต้องพยายามอ่านใจของเรา กิเลสมันจะอยู่ในใจ แล้วมันก็ออกมาทางกายกรรม วจีกรรม กิเลสมันเกิดจากจิตที่เรียกว่าอกุศลจิต อ่านอกุศลจิตที่เกิดให้ดี จิตมันเป็นโทสะเป็นราคะ ต้องเข้าใจให้ได้ว่า อาการที่เป็นราคะ อาการนี้เป็นโทสะมันเป็นอาการอย่างไร นั่นแหละคือตัวกิเลสแล้วอย่าให้มันเกิดในใจเรา

ถ้ามันเกิดมาอย่างน้อยเราก็ข่มมันไว้  2 เรียนรู้กิเลสมันเกิดในใจเรา เราจะต้องเห็นว่ากิเลสมันเป็นตัวผีเป็นตัวหลอก มันไม่มีของจริงมันไม่มีตัวตน แต่คนนี้โง่ ไปติดใจแล้วไปมีมาไม่รู้กี่ชาติติดยึดมา เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวจริง มันเกิดบันดาลราคะ โทสะ เมื่อไหร่เราเรียกด้วยศัพท์ว่ากิเลส เมื่ออ่านอาการนี้ออกเราก็บอกมันว่า มันเป็นผีหลอก อย่ามาหลอกข้า ข้าไม่เชื่อเอ็ง อย่ามามีอำนาจกับข้า ต้องคิดอย่างนี้เห็นอย่างนี้เลย แล้วมันก็ไม่เที่ยง สู้มันปั๊บ มันก็หายไป มีสติรู้ว่ากิเลสเกิดในใจเรา เราก็ชี้หน้ามันเลยอย่ามาหลอกเรา แล้วมันจะไป ใช้ปัญญารู้ว่า หน้าอย่างนี้มาหลอก เราจะเห็นหน้าผีสารพัดลีลาต่างๆ เราก็จะรู้ทัน อาการราคะ อาการโทสะ แล้วมันก็จะไม่เกิดที่เรามันจะหายไปทำอย่างนี้แหละ ทำให้กิเลสหมด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน แพ้เป็นพระคืออย่างไร

_ด.ญ.น้ำผึ้งถาม...คำว่าแพ้เป็นพระชนะไม่เป็นสมณะคืออย่างไรคะ

พ่อครูว่า...ผู้ที่แพ้จะได้เป็นผู้ประเสริฐคือคำว่าพระ รู้จักแพ้ให้ได้ อย่างหลวงปู่นี้เคยแพ้มาหนัก ยอมเป็นผู้แพ้มาตลอด แต่ไม่เป็นผู้ผิด พยายามเรียนรู้ว่าสิ่งไหนผิดอย่าให้ผิด แต่ถ้าแพ้ไม่ได้แพ้เลย ผู้แพ้เป็นผู้ประเสริฐ เพราะคนเราไม่อยากจะแพ้หรอกอยากจะเอาชนะทั้งนั้น เพราะฉะนั้นชนะนี้เป็นตัวผี เรายอมแพ้เสีย ให้ผีมันชนะไปเถิด ผู้แพ้ได้เป็นพระผู้ประเสริฐ

ชนะไม่เป็นสมณะ ผู้ใดที่เอาแต่ชนะเขา ผู้นั้นก็ไม่ใช่พระ ไม่ใช่ผู้ประเสริฐ สมณะก็คือผู้ประเสริฐ สมณะก็คือพระ คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบลดกิเลสเป็นผู้เจริญ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เอาแต่เอาชนะคะคานใคร ก็คล้ายๆกับเป็นผู้แพ้ ไม่เอาชนะนี่แหละคือผู้เป็นสมณะ ผู้ใดที่ไปเอาชนะคะคานเขาอยู่ ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นพระภิกษุ ไม่เป็นผู้เจริญ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ทำใจอย่างไรหากต้องอยู่ใกล้คนที่เราไม่ชอบ

_ถ้าเกิดเราไม่ชอบผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่ชอบแบบสุดๆ แต่มีเหตุจะต้องไปอยู่ใกล้ๆ จะทำอย่างไรคะ

พ่อครูว่า...เราต้องวางใจ ทำอย่างนี้เจอหลายคน ก็จะเป็นอยู่ เราต้องอยู่กับผู้ที่ไม่ชอบสุดๆ เราต้องตั้งใจเลย แล้วเราจะทำใจอย่างไร เราจำเป็นแล้ว เข้ามาอยู่ที่นี่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็ต้องอยู่ ทำอย่างไร ก็หัดวางใจ จะไปห้ามผู้ใหญ่ไม่ให้เขาเป็นอย่างนั้นไม่ได้ แล้วจะไปสอนเขาหรือ เราเป็นเด็ก ก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องจำนนต้องยอม แล้วก็ดู ใช้วิจารณญาณใช้ความคิดความรู้ของเรา ท่านทำอย่างนี้ ถูกหรือไม่ถูกเราก็ตรวจสอบตามตำรา ตรวจสอบกับผู้ที่รู้ ว่าอย่างนี้มันถูกไหม อย่างนี้มันดีไหม ถ้าเผื่อว่าผู้ใหญ่บอกว่าเราเข้าใจผิดผู้ใหญ่ทำถูก เราก็จะได้รู้ว่าเราเข้าใจผิด เพ่งโทษท่าน เราก็จะได้วางใจ

แต่ถ้าไปบอกผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่อธิบายว่าท่านทำถูก ทำอย่างนี้เราไม่ชอบ เราก็รู้ว่าเรานี้ทำผิดผู้ใหญ่ทำถูก ไปหาผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ผู้ใหญ่คนนี้ทำอย่างนี้กับเรา เราก็สงสัยว่ามันถูกหรือผิด ก็ไปถามผู้ใหญ่อีกคน ผู้ใหญ่อีกคนบอกว่าอย่างนั้นน่ะถูก แล้วไม่ตรงกับที่เราเข้าใจ เราก็ผิดเราก็แก้ไขสิ

ถ้าผู้ใหญ่บอกว่าอย่างนั้นมันผิดมันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ใครทำผิดมันก็เป็นกรรมของคนๆนั้น ใครทำก็กรรมของใคร ก็แล้วไป เราไปแก้ไขผู้ใหญ่ไม่ได้ สอนผู้ใหญ่ไม่ได้ ก็ยอม ท่านจะเป็นอย่างนั้นก็ต้องปล่อย เป็นความซวยของผู้ใหญ่

 

_ด.ญ.น้ำผึ้งถามว่า หนังสือสัจจะชีวิตเล่ม 5 จะมีไหมคะ

พ่อครูว่า...เป็นเด็กที่อ่านหนังสือที่มีสาระมีธรรมะ แทนที่จะไปอ่านการ์ตูน เป็นเด็กที่มีบารมี สมัยพระพุทธเจ้ามาบวชตั้งแต่ 7 ขวบก็เป็นพระอรหันต์ได้ก็มีเยอะแยะ มาบวชเอง ดีไม่ดีบางทีพ่อแม่จับมาบวชก็ได้ แต่สมัยนี้ มันไม่มีพระอาริยะจริงแล้ว ก็ขอยืนยันว่า อโศกนี่แหละมีพระอาริยะจริง อโศกสร้างพระอาริยะจริง ให้เข้าใจ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ พูดตรงๆเลย พูดเต็มๆตรงๆ เราต้องพูดความจริงด้วยสัจจะ ไม่อย่างนั้นเสียเวลาพูดไม่ตรง

ที่พูดนี้ไม่ได้หมายใจให้ไปข่มอวดคนนั้นคนนี้ว่าคนนั้นคนนี้ แต่พูดสัจธรรมพูดสิ่งที่จริงเท่านั้นเอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน เด็ก 7 ขวบ เป็นอรหันต์ได้อย่างไร

_ด.ญ. น้ำมนต์  เด็ก 7 ขวบเป็นอรหันต์ในสมัยพุทธกาลได้อย่างไรคะ

พ่อครูว่า...สมัยที่พระพุทธเจ้าสร้างศาสนา คนที่เกิดร่วมกับพุทธเจ้าจะต้องเป็นคนมีบารมี หมายความว่าได้เป็นสิ่งที่สูงส่งสั่งสมใส่ตัวเองมาเยอะ เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในยุคนั้น ก็จะต้องมีคนที่มีบารมีคนที่จะรับธรรมะพระพุทธเจ้าได้เกิดมา เป็นเรื่องอจินไตยและเป็นเรื่องจริงที่จะต้องเกิด เรื่องจริงต้องมีครบมีสิ่งที่เป็นจริงได้ ไม่อย่างนั้นก็สร้างศาสนาไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องมีคนที่มีคุณธรรมที่เป็นพุทธ และพุทธที่ถูกต้องด้วย แต่ยังไม่มีคนมาชี้ว่าอย่างนี้เป็นพุทธอย่างนี้ไม่ใช่ พูดอย่างนี้ภาษาเป็นชาวพุทธ แต่ที่ปฏิบัตินั้นผิดเพี้ยนไปก็ไม่ใช่ ท่านจะได้มาแจกแจง

ผู้ที่มีบารมี แม้แต่เด็ก 7 ขวบเกิดมาก็มีบารมีแล้ว อย่างเช่นพระพุทธเจ้าเมื่อประสูติออกมาคนก็ทำนายว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า จะเป็นเจ้าของศาสนาพุทธ ผู้ที่ทำนายที่ทำมาถูกต้องเลย มีพราหมณ์ 6 คนทำนายสองคติ เป็นพระมหาจักรพรรดิกับเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนโกณฑัญญะนั้นทำนายว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว นั่นแสดงว่า พระพุทธเจ้ามีบารมีตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นคนอื่นจะอายุน้อยหรือมากก็มีบารมีตามความจริงที่ท่านมี ในแต่ละคนๆ เพราะฉะนั้นอายุ 7 ขวบ ก็มีบารมีมาแสดงตัวเป็นอรหันต์เลย เพราะมีบารมีมาเก่า มีได้อย่างไรก็สั่งสมบารมี

อย่างหลวงปู่ สั่งสมมีบารมีเก่า เป็นพระโพธิสัตว์ที่สั่งสมบารมีมาเยอะ มาชาตินี้ก็เอามาประกาศมายืนยันแสดงปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่ผิด หลวงปู่ก็ได้มาจากเก่าก่อน ที่สั่งสมมาแล้วมีของจริง บารมีคือของจริงที่ได้สั่งสมมา

ถ้าสั่งสมสิ่งที่ไม่ดีเรียกว่าสันดาน ถ้าสั่งสมจริงที่ดีเรียกว่าบารมี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำไมคนต้องถือสากันด้วย

_ด.ญ.น้ำมนต์ถาม...ทำไมคนต้องถือสากันด้วยคะ

พ่อครูว่า...พวกเราชอบใช้ภาษาตอบ เพราะเขาไม่ถือศีล

เขาถือสากันเพราะเขาไม่ถือศีล ถ้าถือศีลก็จะไม่ถือสา

เขาไม่มีศีลก็เลยไม่รู้ว่าจะปฏิบัติกันอย่างไร ถ้าเขาถือศีลซะก็จะเข้าใจไม่ถือสา

เช่น ถือศีลข้อที่ 1 กับสัตว์กับคนก็จะไม่ไปทำร้ายกัน

ศีลข้อที่ 2 ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของของเรา อย่าไปแตะต้องของๆเขา

ศีลข้อที่ 3 เรามี ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัส เราก็จะเรียนรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วก็มาปฏิบัติธรรม จะได้ลึกซึ้งขึ้นไป สัมผัสทางรูปแล้วเกิดกิเลส สัมผัสทางเสียงทางกลิ่นทางรส ก็จะรู้จักวิธีลดกิเลส

ศีลข้อ 4 เกี่ยวกับวาจา ศีลข้อที่ 5 เกี่ยวกับจิตใจ

จะเป็น จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ก็ตาม

จุลศีล 26 ข้อ ไม่พรากพืช ฉันหนเดียว ไม่ฟ้อนรำ ไม่นั่งที่นอนใหญ่โตหรูหรา ไม่รับเงินรับทอง ไม่รับธัญญาหารดิบ เช่น ข้าวสารอาหารแห้งใส่บาตรไม่ได้ ผิดศีลข้อนี้ เพราะว่ามันเป็นอาหารดิบ มาบวชแล้วมาปรุงแต่งอะไรไม่ได้ เอามาก็ เด๋ออย่างนั้น ข้าวสารอาหารแห้งกินก็ไม่ได้มันยังไม่สุก แต่เดี๋ยวนี้ผิดไปหมดไม่ได้รู้จักศีลเลย

ไม่รับเนื้อดิบ อันนี้คนก็หยิบไปแง่เชิงว่า ไม่รับแต่เนื้อดิบ

เว้นขาดจากการรับสตรีกุมารี เพราะฉะนั้นอย่ารับมาเพื่อให้เป็นคนที่เราต้องรับผิดชอบมาเป็นลูกศิษย์ มาเป็นผู้ที่จะต้องดูแลรับผิดชอบไม่ได้ ภิกษุเป็นผู้ที่เว้นขาดหมดแล้ว แม้แต่โภคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะ แม้แต่ญาติ พ่อแม่พี่น้องลูกหลานก็ตัดขาด สมบัติก็ตัดขาด เพราะฉะนั้นผู้หญิงผู้ชายหรือสตรี เด็ก ทาส ทาสีทาสา เขาจะมาอย่างไม่ใช่ทาส เขาจะมาก็คือเขาจะมาศึกษา จะเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด กุมารีกุมารา หรือจะเป็นใครก็ตาม เขาก็มาของเขาเอง เราก็ให้ธรรมะ ไม่ผูกพันไม่เป็นญาติ ไม่ไปผูกพันเป็นพี่น้องที่จะต้อง รับผิดชอบ ต่างคนต่างมาศึกษา อย่างพวกคุณมาด้วยอิสระเสรีภาพมาเอง เป็นฆราวาสไม่อยู่ในกฎเกณฑ์นี้ก็เป็นพี่น้องทางธรรมกัน

 

เว้นขาดจากการ

18. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.อันนี้เอามาใช้ส่วนของมันเช่น นม ขน

19. พระสมณโคดม  เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร. อันนี้เอาไว้กินเนื้อมัน

20. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา อันนี้เอามาใช้แรงงานเพื่อประโยชน์ตน

เราต้องไม่เอาสัตว์มาที่เราจะเป็นประโยชน์จากมัน ไปเอากินเนื้อกินหนังหรือเอาแรงงานมันก็ไม่เอาทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นแม้จะมีประโยชน์อย่างนี้ท่านก็ไม่รับ สัตว์ที่ไม่ควรจะเอามาใช้ประโยชน์เลยแต่คนไปรับเลี้ยงมัน เลี้ยงนกเลี้ยงหนู เลี้ยงสิ่งที่เอ็นดู ผิดหมดเลยยิ่งไกลไปใหญ่เลย ขนาดสัตว์ที่เป็นประโยชน์ท่านยังห้าม เพราะฉะนั้นสัตว์ที่ไม่เป็นประโยชน์ได้แก่อะไรก็ไม่รู้เป็นภาระ แล้วก็ไประเริงผูกพันกับสัตว์อีก เลี้ยงสารพัดจิ้งจกตุ๊กแกก็เลี้ยงไปหมด หาสัตว์แปลกๆมาเลี้ยง

สัตว์ทุกสัตว์เกิดมาตามวิบากของมันไปตามวิบากของใครของใคร เราเองเป็นคนผ่านวิบากสัตว์ต่างๆ มีวิบากร่วมกันอย่างไม่รู้มาก เยอะแยะไปหมดเลย เช่นพระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเกิดมากับสัตว์ต่างๆในโลกนี้ ไม่มีสัตว์ตัวใดที่ไม่เคยเกิดมาเป็นพ่อแม่เป็นลูกเป็นหลานของเราเลย เพราะฉะนั้นสัตว์ต่างๆก็คือมันจะวนเวียนมาเป็นลูกมาเป็นสัตว์ อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา พ่อแม่เราตายก็มาเป็นสัตว์ตัวนี้ ปู่ย่าตายาย ก็เป็นสัตว์ตัวนี้ มันสัมผัสสัมพันธ์กันโดยเราไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นยังจะเอามากินเอามาฆ่าก็ไม่ควร พระพุทธเจ้าก็บอกให้เลิกให้เขาไปตามวิบากของเขา

สัตว์เดรัจฉานก็ปล่อยไปตามวิบากเขา แต่ถ้าเป็นวิบากคน เราก็มีวิบากร่วมกันมาทั้งรักทั้งชัง

16 ปีแห่งความหลัง ทั้งรักทั้งชัง

เยอะแยะมาไม่รู้กี่ชาติ แค่นี้คุณก็จัดการวิบากของคุณให้เสร็จเถิด

สรุปแล้วสัตว์ใดๆก็แล้ว โดยเฉพาะคน ศึกษาวิบาก ศึกษาสิ่งที่เราจะอยู่ร่วมกัน ทำประโยชน์แก่กัน บอกแก่กันและกันได้ก็คือคน คนก็ยังมีเวไนยสัตว์ ที่ยังสอนได้ ส่วนที่เป็นอเวไนยสัตว์สอนอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ก็ต้องปล่อยเขา สุดวิสัย เราสอนคนจำนวนหนึ่งที่สอนกันได้

อาตมาเกิดมาชาตินี้ที่จะสอนกันรู้เรื่องพูดกันได้ก็มีเท่านี้ ทั้งๆที่เมืองไทยมีจำนวน 70 ล้านคนแล้ว แต่ละวันแต่ละวัน บางทีก็ไม่ถึง 70

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ทำใจอย่างไรกับความเห็นต่าง

_คุณร้อยร่มบุญ...เกิดมาชาตินี้รู้สึกซาบซึ้งประทับใจที่ได้เป็นลูกหลานหลวงปู่ แต่ก่อนเราเป็นคนไม่มีศาสนา ปฏิเสธศาสนาอย่างรุนแรง แล้วก็เคยรู้สึกตำหนิเล็กๆกว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร ไม่ให้ฆ่าสัตว์แล้วจะให้กินอะไร เป็นคำถาม ตอนเด็ก

พอเป็นสาวขึ้นมา รู้สึกว่าชีวิตแต่งงานเป็นชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทำไมพุทธเจ้าบอกว่าความรักเป็นความทุกข์ไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้มาศึกษาศาสนาก็เลยอยากบอกพี่น้องที่อยู่ทางบ้านว่า ถ้าไม่ผ่านการพิสูจน์ ท่านจะไม่ได้รู้ว่ามรรคผลมีจริง หลักคําสอนของพ่อครูเป็นวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ ดิฉันก็รู้สึกว่า หนูน้ำมนต์มีบุญ รู้สึกว่าคน 7 พันล้านในโลกนี้ รู้สึกอยากจะบอกพี่น้องที่อยู่ไกลแสนไกล วันนั้นฟัง ยิ่งมาฟังในวันนี้ถ้าเราไม่ได้มาอยู่ในดินแดนนี้ที่พ่อครูบอกว่าเป็นชมพูทวีป เราก็เถียงมาตลอดว่าไม่ใช่ แต่พอเราปฏิบัติได้บ้างเล็กๆเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจได้เล็กๆ และถ้ายิ่งคนที่ปฏิบัติได้มากๆนะคะ ดิฉันคิดว่ามันน่าพิสูจน์คำสอนพ่อครู

พ่อครูว่า...ถามหน่อย คนมาอยู่ที่นี่เป็นคนจนแล้วมีอาการสุขสำราญเบิกบานใจยกมือ

แม้แต่เรื่องตลาดอาริยะ พ่อครูพาทำตั้งแต่ปี 2525 ตอนนี้ก็ 37 ปีแล้ว แม้คำสอนของพ่อท่านที่พูดว่า เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธฟังแล้วก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก แต่เราก็ไม่ได้เถียงเพราะว่าเราคิดว่าไม่มีภูมิ เราก็ฝึกมาเรื่อยๆ

คำถามคือ?...วันก่อนที่หนึ่งฟ้าพูด มันก็มีคนเข้าใจกันเป็นสองประเด็น บางคนใกล้ๆ บางคนบอกว่าปลูกบ้านหลังใหญ่ในที่นี้ แม้จะไม่บรรลุอะไรแต่ก็ได้มาอยู่แล้ว บางคนก็บอกว่าเรื่องงมงายไร้สาระ มันเกิดอะไรขึ้นทำไมความคิดของคนจึงเปลี่ยนเป็น 2 กลุ่ม

พ่อครูว่า..ทำไมจึงมีความเห็นต่าง แน่นอนความเห็นต่างกัน อณูหรือปรมาณู ตั้งแต่ 2 อันก็มีความแตกต่างกันแล้ว อณูของความคิดก็แตกต่างกัน 2 อย่างจะเป็นธรรมะ 2 เสมอ พระพุทธเจ้าก็อธิบาย ธรรมะสอง ตั้งแต่คุณสามารถจับสภาพธรรมะอันไหนได้ก็ตามที่เป็น 2 คุณก็สามารถเรียนรู้ความแตกต่างเรียกว่า ลิงคะ อ่านอาการลิงคนิมิตอุเทส

ตามดูเครื่องหมายอะไรที่มันหมายถึงอย่างนี้ ทั้งรูปและนาม แล้วก็เดินดูทั้งรูปและนาม เป็นอย่างไร แล้วอะไรที่เราควรจะใช้ อะไรที่ควรจะได้อาศัย อะไรที่มันเป็นพิษ อะไรควรห่างไปเลยไม่ควรจะใช้ อันไหนควรใช้ตามฐานะตามเวลาตามองค์ประกอบที่จะใช้ จึงเป็นคนที่มีความรู้ จะอยู่กับอะไรหรือใครก็แล้วแต่ ต้องเรียนรู้ 2 สสารและพลังงาน จนถึงรูปและอรูปของจิตเราจะอยู่ทั้งรูปและอรูปของนามธรรมขนาดไหน แล้วเอามาใช้เรียกว่าสังขารปรุงแต่งร่วมกันใช้ เท่าที่รู้ว่าดีที่สุด นี่ละเอียดมาก ธรรมะของพระพุทธเจ้า

จึงเป็นคนที่อยู่กับสิ่งที่มีในโลกนี้ ไม่ว่าสสารพลังงานหรือจิตนิยามที่เป็นธรรมะ 2 ก็เลือกเอามาใช้ให้เหมาะสม จึงเป็นคนที่ฉลาดที่สุด รู้ทางวิทยาศาสตร์รู้ทางธรรมะ ธรรมะเป็นศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมของสัจธรรมซึ่งอยู่ในโลกอย่างสบาย ไม่เหมือนคนอื่นเขา

 

คุณร้อยร่มบุญ...แสดงว่า ไม่มีใครผิดใครถูกใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า..เป็นฐานะของแต่ละคน รู้ว่าถูกหรือผิดคือไม่ทำให้เจริญไปกว่านั้น ถูกที่สุดแล้วคุณก็จบ แต่คนอื่นยังผิดอยู่เพราะเขายังไม่จบ ก็มีสิทธิ์ เขาก็ต้องทำตัวเองให้จบเหมือนกัน มันมีขีดที่จบ มันมีประเด็นหรือมีขีดเครื่องตัดให้รู้ว่า อย่างนี้จบ เป็นพระอรหันต์ถือว่าเป็นผู้สมบูรณ์ สูงกว่าพระอรหันต์เรียกว่าโพธิสัตวภูมิ ทุกคนก็เอาชั้นนี้คือจบอรหันต์ก่อน

 

_คุณร้อยร่มบุญว่า...ในที่ประชุมสันติอโศก หลังจากเลิกประชุมเสร็จ ดิฉันถูกเชิญออกจากห้องประชุม และปลดออกจากผรช.ดิฉันก็ยืนขึ้นและนั่งลง และร่วมประชุมต่อจนครบ 2 ชั่วโมงแสดงความคิดเห็นไปเรื่อยๆเป็นเรื่องปกติ หลังจากประชุมก็มาวิเคราะห์วิจัยกัน ชาวอโศกบอกว่าธรรมเนียมของชาวอโศกไม่มีการเถียงสมณะ ดิฉันก็บอกว่าไม่ได้เถียงแต่แสดงความคิดเห็น แล้วคนเกือบ 20 คนคิดเห็นเหมือนดิฉัน มีคนหนึ่งที่แสดงเห็นต่าง แต่เขาบอกว่าธรรมเนียมของอโศกไม่มีการเถียงสมณะ แต่พ่อครูบอกว่า ประชาธิปไตยครอบจักรวาลการแสดงความคิดเห็นไม่น่าจะผิด

ดิฉันอยากกราบเรียนถามพ่อครูว่า การที่มีความเห็นต่าง แล้วเราแสดงความคิดเห็นกับสมณะ จริงๆวันนั้นดิฉันคิดที่ดีมาก ไม่โกรธอะไร ดิฉันเป็นครูที่สอนเคมี จะขอโทษเด็กเราก็แสดงออกได้ปกติ เราก็แสดงความเห็นกับท่านสมณะไป คนก็ตกใจ เมื่อท่านเชิญดิฉันออกจากห้องประชุมและปลดออกจาก ผรช. ดิฉันก็ลุกขึ้นและนั่งลงประชุมต่อ

ธรรมเนียมของอโศกไม่มีการเถียงสมณะ แต่ดิฉันบอกว่า ไม่ได้เถียงแต่แสดงความคิดเห็น เมื่อวันรุ่งขึ้นดิฉันก็กราบสมณะท่านนั้นอย่างสนิทใจ ทำไมถึงมีการแสดงความคิดเห็นและบอกว่าเถียง

เพราะชาวอโศกญาติโยมไม่มีความคิดเห็นกับสมณะได้ถือว่าเป็นการเถียงไม่อย่างนั้นจะเป็นคนที่ถูกตราหน้า คิดว่าอย่างนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง

เลยอยากถามกลับเป็นว่าธรรมเนียมของอโศก ญาติโยมแสดงความคิดเห็นกับสมณะได้ไหม ถ้าการเถียงเพื่อการใช้อารมณ์ ไม่มีเหตุผลลบหลู่ดูหมิ่น ดิฉันไม่มีตัวนั้นได้อย่างเคารพบูชา จากวันนั้นดิฉันไม่มีตัวไม่เคารพ ตอนท่านป่วยดิฉันก็หาคนไปดูแลท่าน ดิฉันสาบานได้

ถามว่า ญาติโยมเมื่อมีความเห็นต่างจากสมณะมีสิทธิจะถามความเห็นหรือไม่

พ่อครูว่า...ประเด็นที่จะถาม อาตมารู้มาตั้งนานแล้วตั้งแต่คุณยังไม่จบ

คำตอบนั้นคือคุณเองยังคิดว่า คนจะต้องมีความคิดตรงกันหมดทุกคน นั่นแหละคือความผิดของคุณ ถ้าคุณเข้าใจว่าคนเรามีความคิดต่างกันยึดถือต่างกันประพฤติต่างกัน ก็จะจบ พูดแค่นี้ก็คงเข้าใจแล้วครูวิทยาศาสตร์

 

_เรื่องสุดท้าย เมื่อวาน จากการประชุมชุมชน ท่านสมณะฟ้าไทว่า บรรณารักษ์ของชุมชนราชธานีอโศก คนเดิมได้ลาออกไป ตอนนี้ไม่มี บรรณารักษ์ ขอเสนอ อ.ดินดี ณ อุบลฯ ซึ่งเป็นบรรณารักษ์เก่า

คุณดินดี...ยินดีเป็น...สาธุ

พ่อครูว่า...จบทางบรรณารักษ์มาด้วยก็น่าจะเหมาะสม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน ปล่อยวางใจด้วยญาณ 16

_ด.ญ.สุดคำฟ้า...หนูไม่รู้จักวิธีการปล่อยวาง หลวงปู่ช่วยบอกด้วยค่ะ

พ่อครูว่า...ผู้ใหญ่ใครรู้จักวิธีปล่อยวางบ้างยกมืออธิบายให้เด็กคนนี้ฟังหน่อยเร็ว … ผู้ใหญ่ยังไม่ยกมือตอบเลย...แสดงว่ายังไม่มั่นใจ ยังไม่สามารถอธิบายว่าปล่อยวางทำอย่างไร ก็อย่าไปห่วงอย่าไปหนักใจอะไรเลยปล่อยวางคืออะไร ขนาดผู้ใหญ่เรียนมาจนกระทั่งแก่ จวนจะตายแล้ว พูดนี้ไม่ได้แช่งนะ พูดไปตามเนื้อแท้เนื้อหา

เอาตอบบ้าง การปล่อยวางนี้พูดง่ายแต่ทำยาก ปล่อยวางอย่างเป็นวิชาการก่อน เราจะต้องเรียนรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน

เรียนรู้จิตในจิตให้เป็น แยกจิตออกชัด จนกระทั่งสามารถที่จะ วิเคราะห์วิจัยจิตนั้นได้ แยกแยะได้ เรียกด้วยภาษาว่าเป็นวิปัสสนา คือแยกแยะแจกแจงจิตเรา

โดยเฉพาะจะต้องสามารถรู้ตัวประเด็นจิตของเราที่จะปฏิบัติ ก็คือ เวทนา เป็นจุดสำคัญเลย อาการของจิตที่เป็นเวทนาเป็นอาการของความรู้สึก แล้วมันจะมีกิเลสอยู่กับความรู้สึกอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นถ้าจับอาการเวทนาได้ก็จะเรียนรู้ได้

ท่านแจกเป็นเวทนา 108 เรียนรู้ มันมีการปรุงแต่งและเกิดกิเลสอย่างไร แล้วจะวางอย่างไร จะวางอย่างไร ก็ต้องมีปัญญาเป็นตัวทำให้วางได้ ไปกดข่มไม่ใช่วางได้

เมื่อสามารถรู้กิเลสแล้วจะเกิดปัญญาชำระ ปัญญาจะฉลาดรู้ว่า มันเป็นความไม่เที่ยงมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เราจะไปเอามันไว้ทำไม ญาณตัวนี้ท่านเรียกว่ามุลจิตตุกัมมญตาญาณ

เป็นวิปัสสนาญาณที่ท่านรวบรวมมาเป็นญาณ 16

ญาณตัวนี้อยู่ในวิปัสสนาญาณ 9 แต่เป็นตัวที่ 12 ของ ญาณ 16 มุลจิตตุกัมมญตาญาณ  แปลว่าปล่อยวาง เราจะวางได้จริงต้องศึกษาจิตในจิต แล้วจะมีปัญญาตั้งแต่

ภังคญาณ มันเสื่อมไป แล้วมันก็พยายามทำอย่างนี้มากขึ้น

4.   (1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดกิเลส -เห็นความเสื่อมไปของกิเลส  ชาติ ชรา มรณะ สุข-ทุกข์เวทนาต่างๆ ไม่มีอะไรอยู่กับเรานิรันดร คนที่เกิดความฉลาดด้วยปัญญา เพราะเราไปยึดถือสิ่งที่ไม่เที่ยง เราไปยึดของที่เปล่าไม่มีตัวตน ไม่มีใครโง่เท่านี้หรอก คนที่ไปยึดถืออย่างนี้นั้นโง่จริงๆเลย โง่อย่างแท้ๆเลย ไปยึดเอาความไม่เที่ยงแท้ ไม่อยู่กับร่องรอย และมันเป็นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ เมื่อยึดถือเข้าก็เป็นทุกข์ มันไม่มีจริง จริงๆแล้วมันไม่เที่ยง แล้วเราก็อาศัยใช้ในปัจจุบัน ปัจจุบันมันมีนิดเดียว อาศัยแล้วก็พอจบ

5.   (2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย .

6.   (3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร  เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป 

 

7.   (4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ . ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย

8.   (5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส  เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย . .

9.   (6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น .(อตัมมยตา) .

ปัญญานี้เป็นตัววาง เราจะบอกวางๆๆพล่อยๆตื้น ไม่ได้ มันต้องมีจิตตัวปัญญาตัวฉลาดรู้จริงๆ แล้วต้องรู้จริงๆถึงจะวาง จึงจะเป็นรายละเอียดดูว่าวางด้วยปัญญา จะเห็นด้วยวิมุตติญาณทัศนะ มีญาณทัศนะความเฉลียวฉลาด รู้วิมุตติญาณทัสสนะเป็นตัวสำหรับว่าเราทำถูกต้องแล้ว เพราะฉะนั้นทำอย่างนี้ได้ จงทำแต่อย่างนี้ มันก็จะเกิดความสำทับย้ำลงไป แล้วก็จะชำนาญบรรลุสูงสุดเป็นอัตโนมัติเป็นเอง

 

_หลวงปู่คิดอย่างไรครับที่ทำอย่างนี้ แล้วทำอย่างไรครับที่จะไม่ผิดศีล 1 และ 4 ครับ

พ่อครูว่า..สังวรณ์กายกรรมเกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลาย ข้อที่ 4 ก็เกี่ยวกับคำพูด วจีกรรม เราก็ต้องรู้ว่ามันผิดศีลคืออย่างไร ข้อที่ 1 เจอสัตว์ทั้งหลายเกี่ยวข้องกับสัตว์ทั้งหลายเราอย่าไปทำร้ายมัน ก็ปล่อยมันไปตามวิบากตามวิถีของมัน ถ้าเผื่อว่าเห็นว่ามันจะใช้ประโยชน์ได้ก็ช่วยมัน เห็นว่ามันเกินขอบเขตไม่ต้องช่วยก็ปล่อยมันไป

ส่วนพูดก็อย่าให้มันเป็นคำที่โกหก คำที่เป็นคำหยาบ อย่าพูดแล้วก็ทำให้เกิดการทะเลาะกัน ไปว่ากัน

 

_ตอนขนเรือมีผู้ไปตัดต้นมะพร้าวถนนบ้านกุดระงุมเพื่อเตรียมขนเรือ แต่ที่ผ่านมาไม่จำเป็นต้องตัด การสนทนาบางช่วงบอกว่ามะพร้าวเขาขาด เขาบอกว่ามีเจ้าของไปตัดของเขาได้อย่างไร คำตอบก็คือ ใครเป็นคนปลูก ปลูกติดถนนอย่างนี้ได้อย่างไร

พ่อครูว่า..สรุป พวกเราเป็นตำรวจเป็นนักตรวจสอบ เป็นนักจับผิด เป็นนักจะหาข้อมูล ที่ผิดอะไรอีกเยอะแยะ ก็เป็นเรื่องดี แต่ก็อย่าไปเอาอะไรยุบยิบมากนัก เอามาเป็นเรื่องราวอะไรมากมาย มันมีแค่เชิงที่เราไม่ทำแต่คนอื่นทำ จะให้คนอื่นเป็นเหมือนคุณ จะให้คนไปเหมือนคนอื่นเขามันไม่ได้หรอก คนอื่นถ้า 100 คนมันจะมีล้านจริต ร้อยคนก็มีล้านจริต

เพราะฉะนั้นคุณอย่าไปหวังเลยว่าจะทำให้คนอื่นไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าคุณทำอย่างนี้คุณตาย ไม่มีวันเป็นสุข ถ้าทำอย่างนี้สักวันคุณจะหมดพลังงานตายไปเอง เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ จบ

 

_ดิฉันขอถามว่า รู้กายรู้จิต ปัจจุบันธรรม  และ รู้ภายใน ได้คาถาวิปัสสนากรรมฐานรู้เฉยๆไม่คิดนึกปรุงแต่ง

พ่อครูว่า...ถ้าคุณปฏิบัติอย่างที่ว่าได้คือรู้กายรู้จิตเป็นปัจจุบันและรู้ภายใน และใช้วิปัสสนากรรมฐานวิปัสสนาญาณปฏิบัติวิเคราะห์วิจัยรู้จักกิเลสและลดกิเลสได้ ก็ดีกว่าวิปัสสนา คุณทำอย่างนี้จนรู้เฉยๆไม่คิดนึกตามกิเลส แต่พูดความจริงตามความเป็นจริงอย่างนี้ แล้วก็จะเฉยๆไม่คิดปรุงแต่ง ถูกต้องแล้วครับ คะแนนเต็มทำให้ได้อย่างที่พูด

ถ้าประพฤติอย่างนี้ได้เป็นอรหันต์ไม่ผิดหรอก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(มูลสูตร 10) ตอน ทำอย่างไรถึงเป็นคนอมตะ

_อยากรู้ว่าทำไมเกิดมาแล้วต้องแก่เจ็บตายด้วย เป็นอมตะไม่ได้หรือคะ

พ่อครูว่า...ที่เป็นแบบนี้มันเป็นสัจธรรม ไม่ว่าจะเป็นการเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นสัจธรรม ประเด็นที่ถามมา เป็นอมตะไม่ได้หรือ แสดงว่าเข้าใจว่าอมตะคืออะไร

ความเป็นอมตะคือผู้ที่ทำเกิดทำตายได้แล้วจะเกิดก็ได้จะตายก็ได้ เป็นข้อที่ 9 ในมูลสูตร

อมตะนี้ผ่านวิมุติที่เป็นสาระเป็นแก่นสาร เป็นจุดสำคัญที่เราทำให้เกิด เมื่อมีวิมุตก็เป็นผู้บรรลุธรรมในอมตะก็เหลือแต่ว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสานหรือไม่เป็นข้อที่ 10 ในมูลสูตร

ถ้าคุณรู้ 10 ข้อนี้เป็นหลักใหญ่ในการปฏิบัติธรรมก็จะมี

1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .

2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .

3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .

4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .

5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด 

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน. 

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58)

มูลสูตร 10 นี้ เอามาปฏิบัติ 1 คุณจะต้องยินดีในการปฏิบัติ เป็นมูลกาเลย เป็นเค้า อาตมาถึงไม่ได้ไปหลอกล่อหว่านล้อม ไม่ได้ชักจูงใครมา คุณมาด้วยฉันทะเป็นมูล มาด้วยการรู้ว่าที่นี่ หมู่บ้านในชุมชนนี้ เขามีอะไรกัน ถามแม่สุวรรณเขาบอกว่ามีรำวง โอ๊ดีนี่ รำวงแบบนี้ดีนี่ เขามาปฏิบัติธรรมกันแบบนี้เป็นโลกุตระ อาตมาถึงไม่ไปเอาคนสะเปะสะปะมา ใครจะมาก็ด้วยอิสระเสรีภาพ เห็นว่าที่นี่เขามีอะไรกัน เป็นรำวงโลกุตระ เป็นเรื่องอยู่ด้วยกันสังเคราะห์สังขารกันแล้วเรียนรู้จิตในจิตอย่างมีปัญญา

คนที่มาที่นี่มีปัญญาทุกคน อาตมาถือว่าไม่ได้หว่านล้อม ไม่ได้หาพรรคพวก แสดงธรรมออกไปเมื่อคุณสัมผัสแล้วรู้ว่าที่นี่ใช่ ที่นี่ใช่พูดอย่างนี้ใช่ ก็จะมา คนที่มีฉันทะเป็นมูลก็จะมา อาตมาก็จะได้สอน มนสิการ เป็นแดนเกิดคือการทำใจในใจ แล้วทำให้โยนิโส แปลว่าการทำให้ถ่องแท้แยบคายลงให้ถึงที่เกิด (สัมภวะ) ถึงหทยรูป

รู้จักรูป 28 ปฏิบัติจนสามารถทำให้เกิดผลบรรลุธรรมได้

แล้วปฏิบัติต่ออย่างไร ปฏิบัติ ทำใจในใจจะต้องมีผัสสะเป็นเหตุ(สมุทัย) เป็นเหตุของการปฏิบัติ ถ้าเป็นสมุทัยของอริยสัจคือ ตัณหาคือเหตุ แต่สมุทัยของการปฏิบัติคือผัสสะ

การไปหลับตาปฏิบัติเป็นการปฏิบัตินอกเขตเทศบาลศาสนาพุทธ พวกนั่งหลับตาคือพวกโมฆะจากศาสนาพุทธทั้งสิ้น ขาดการมีผัสสะเป็นเหตุในการปฏิบัติจะมนสิการไม่ได้ จะไม่มีเวทนา มาพิจารณาเวทนา 108 เป็นตัวที่จะปฏิบัติทุกข์สุข

หัวใจของศาสนาพุทธคือการดับทุกข์ หากคนไม่รู้จักเวทนา ความทุกข์ความสุขไม่ได้อยู่ที่เจตสิกตัวไหนนอกจากเวทนา หากไม่เรียนรู้เวทนาที่เป็นตัวเกิดสุขทุกข์จะไปดับทุกข์ได้ที่ไหน การไปมีกรรมฐานนั่งหลับตาสะกดจิตมันไม่ได้มีวิจัยวิจารณ์ไม่มีวิปัสสนา ไม่มีการผัสสะ ก็จะไม่รู้ตัวจริงอย่างแม่นชัดว่านี้ตัวจริงตัวเหตุตัวทำให้ทุกข์ เวทนา คุณจึงต้องมาเหตุที่มาผสมปรุงแต่ง แล้วก็ฆ่าตัวเหตุแห่งอริยสัจคือตัณหาอุปาทาน ประหารมันทำให้ตัวนี้มันหมดอาการหมดพฤติกรรมในจิตเราก็เป็นพระอรหันต์

สรุป การเกิดมาต้องแก่เจ็บตายก็เป็นเรื่องธรรมดาของสังขารร่างกาย แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคือจิตที่มันเกิดแก่เจ็บตาย ผู้สามารถเป็นอมตะบุคคลจิตนั้นไม่เกิดแก่เจ็บตาย จิตผ่องใสแข็งแรงถาวรเป็นอุเบกขา 5 เป็นจิตบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา  อยู่ตลอดนิรันดรเลย

ขออภัย อย่างหลวงปู่ จิตเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา  การแสดงธรรมนี้ มุทุภูตธาตุนะ แคล่วคล่องว่องไว เวทนาสัญญาสังขาร เป็น กายปาคุญญตา ไม่ใช่มานั่งอืด

ทุกวันนี้อธิบายศาสนาผิดก็เลยผิดเพี้ยนจากสัจธรรม หลวงปู่นี้เป็นอรหันต์ไม่ใช่ธรรมดา เป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 คนก็เข้าใจสำเนียงภาษาที่อาตมาเอามาพูด หาว่าการแสดงอาการท่าทางอย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์ อรหันต์จะต้องไม่ยุกยิก นี่แหละเป็นคนที่มี กายปาคุญญตา กายกัมมัญญตาแท้ๆ

ผู้ที่มีอุเบกขา 5 มุทุภูตธาตุ มีจิตที่จะให้แรงจะให้เบาจะให้เร็วจะให้ช้าจะให้ไปทางไหนก็ทำได้หมด เป็นสิริมหามายา เป็นผู้ที่ให้กำเนิด เป็นมารดา คือมารดาของพุทธธรรม ถ้าเป็นตัวตนบุคคลก็เป็นแม่ของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นสิริมหามายา ก็เป็นยอดแห่งพุทธธรรม ทำให้เกิดให้ดับ สอนเกิดสอนดับ ให้เป็นคนเรียนรู้และทำให้เกิดและดับได้ มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า

หรือใครเป็นพระพุทธเจ้าเพราะมีแม่ชื่อสิริมหามายา

อาตมาอธิบายธรรมะต่างๆพวกนี้แล้ว อาตมายืนยันว่าไม่ได้มั่ว อธิบายสัจธรรมอย่างละเอียดลออชัดเจน ไม่มีใครไม่มีคนที่จะอธิบายอย่างอาตมา แคล่วคล่องว่องไว เอาภาษามาขยายความอย่างนี้มันมีอัตโนมัติเร็วไวของ มุทุภูตธาตุ

ซึ่งจิตอาตมาอุเบกขา ปริสุทธา คือจิตที่บริสุทธิ์แม้จะกระทบสัมผัส ทำงานอย่างไรก็ยังผุดผ่องอย่างเดิมเรียกว่า ปริโยทาตาเพราะมีแกนจิต มุทุ แปลว่าจิตหัวอ่อน จะให้เป็นศรัทธาในปัญญาก็เร็วไวปรับตัวได้เร็วที่สุด เพราะฉะนั้นจึงทำงานอย่าง กัมมัญญา แสดงกายกรรมวจีกรรมได้อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว มีประโยชน์คุณค่าเหมาะสมกับการงาน ทำเสร็จแล้วจิตก็ยังผ่องแผ้ว ปภัสสรา สะอาดผ่องใสอยู่ตามเดิม

อาตมาไม่เคยมีจิตขุ่นมัว เพราะเรารู้แล้วว่าเราโง่ทำเอง จิตใจที่น้อยใจเว้าใจแหว่งใจไปโง่ทำเองทั้งนั้น ไปทำมาทำไม ก็ทำจิตให้ผ่องใสสะอาดรับรู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วก็แก้ไขทุกอย่างตามที่เราทำได้ตามควร

 

 

_นักเรียนชั้นม.3…

1.กิเลสเพิ่มกับกิเลสลดมันต่างกันอย่างไร

พ่อครูว่า...เราต้องอ่านรู้อาการกิเลส กิเลสคืออาการของจิต มันเพิ่มก็คือมันแรงขึ้นสูงขึ้นมีน้ำหนักมีบทบาทมาก เช่นราคะมันมากขึ้น แสดงว่ามัน สราคะ โทสะมันมากขึ้นเรียก สโทสะ มันไม่รู้โมหะ หากมากขึ้นคือสโมหะ เราก็ต้องทำอาการนี้ให้มันลด เรียกว่าทำกิเลสลดจนให้ไม่มีอาการ มึนเมาราคะโทสะ คำว่ามันต่างอย่างไรต้องเรียนรู้เองฝึกเอง อ่านจิตตัวนี้แล้วแยกแยะให้ได้แล้วจะดูเอาเอง รู้ด้วยตัวเองคนอื่นรู้แทนไม่ได้มันต้องปฏิบัติ

 

_ 2.ทำอย่างไรถึงจะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ได้หมด

พ่อครูว่า..เรียนให้ดีๆศึกษาให้ดี ทำให้ตัวเองเป็นคนดีเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ตอนนี้ไม่ต้องคิดมาก ตอนนี้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยการตั้งใจเรียนอย่าประพฤติชั่ว อยู่ที่นี่แล้วที่นี่ให้ธรรมะ มาที่นี่ให้เป็นนักเรียน เรียนแล้วอย่าประพฤติชั่วทำแต่ดีไป จะได้ธรรมะที่ดีอีก แล้วเอาเท่านี้ก่อน อย่างนี้พ่อแม่ก็จะชื่นใจ ส่วนที่จะไปหาเงินทองดูแลพ่อแม่เอาไว้ก่อนอย่าเพิ่งก้าวหน้าเกินไป

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อย่างไรเข้าข่ายพูดนินทา

_3.การนินทากันของเด็กนักเรียนที่มีพฤติกรรมนินทาคนอื่น ต่างกันกับนินทากันของผู้ใหญ่ ต่างกันมากไหมคะ แล้วบาปเหมือนกัน

พ่อครูว่า...ก็นินทาผิดๆ นินทา ก็หมายความว่า ไปพูดร้าย พูดสิ่งไม่ดีของผู้อื่นกับผู้อื่น ไม่ให้เจ้าตัวเขารู้ เรียกว่านินทาคือการพูดลับหลัง แล้วก็พูดว่าร้าย ที่ไม่จริง ถ้าว่าถูกๆ มันไม่ใช่การนินทา แต่เป็นการวิจารณ์วิจัย เพราะฉะนั้นเรารู้ว่าเราไม่ได้นินทา เราเอาความไม่ดีไม่งามของคนไหนมาพูด ถ้าเจ้าตัวมาถึงเราก็จะบอกว่านี่คือความไม่ดีงาม เราก็บอกเขาตรงๆ ถ้าทำอย่างนี้แสดงว่า คุณไม่ได้นินทา แต่ถ้าเจ้าตัวเขามาแล้วคุณก็ไม่ได้บอกเขาตรงๆ ไม่อยากให้เขาได้ยิน กลัวเขาจะได้ยิน อันนี้จะเข้าข่ายนินทา แต่ถ้าว่าการพูดสิ่งไม่ดีนี้ เราพูดกับคนอื่นเพื่ออะไร เพื่อให้คนอื่นรับรู้จะได้ช่วยกันให้คนๆนี้ที่ไม่ดีให้ได้ระมัดระวังแก้ไขเขา เพราะฉะนั้นเขาเดินมา เจ้าตัวมาได้ยินเราก็บอกว่าไม่มีปัญหา คุณมีปัญหาตรงนี้นะ เพราะธรรมดาก็พูดตรงกับเขาอยู่แล้ว หรือว่าคุณไม่กล้าพูดตรงกับเขาก็บอกกับคนอื่น ตอนนี้ก็ดีกว่า ถ้าคุณมีความปรารถนาดีเป็นตัวตัดสิน ว่านินทาหรือไม่นินทา ถ้ามีความปรารถนาดีไม่มีความต้องการว่าให้เสียหาย หรือว่าเอามาประจานคนอื่น ถ้าไม่มีจิตตัวนี้ ก็คือการไม่นินทา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์ชาติหน้าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ไหม

_4.ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์ชาติหน้าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ไหมครับ

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนที่เกิดมาในชาตินี้ตายไปแล้วจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกน้อยกว่านัก นอกนั้นไปเกิดเป็นสัตว์นรก เพราะว่าวิบากของแต่ละคนมีมาก เพราะฉะนั้นตายจากชาติหนึ่งไปแล้ว มันจะต้องไปนรก แม้แต่เกิดมาในชาตินี้ส่วนมากก็มีนรกแต่ไม่รู้ คนที่หลงสวรรค์และก็ไปแสวงหาสวรรค์ คนนั้นแหละไปตามหานรก

สวรรค์คือนรก เป็นคู่หูกัน เป็นเหรียญ 2 หน้า มันแยกกันไม่ได้ นรกก็ไม่จริง สวรรค์ก็ไม่จริง เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกหรอก จบ ท่านกลางๆ ท่านรู้อาการสวรรค์หรือนรก ท่านก็เฉยๆไม่ดีใจไม่เสียใจไม่มีดูดไม่มีผลัก เห็นความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้นก็จบ

ทำไมต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะว่าเราเองยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คนยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ยังต้องเกิดอีก นอกจากไม่ได้เกิด ก็ไปเป็นสัตว์นรก ก็เป็นสัตว์เดรัจฉานไป ได้เกิดมาเป็นคนดีแล้ว ดีแล้วยิ่งมาพบเจอหลวงปู่ ก็ยิ่งดี

 

ตกลงสำมะปี๋ซี่วิตก็จบลงด้วยเวลาเพียงเท่านี้ เจริญธรรมทุกคน….จบ

 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:43:12 )

610809

รายละเอียด

610809_รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ตอนที่ 4

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1OZtDdNS_mgIlTu0v9MGE05ReTUN2JuVIScS8f9yd4T8/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1cgzQRrKqKoscUhWgE4kjrTEDQGTMHWJf

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก สำมะปี๋ มาเมืองกรุงต้องแปลหน่อยสำมะปี๋แปลว่ายำเละ รายการเราต้องมีวันที่ แต่ก่อนอาตมาละเอียด มีคำความอะไรดีๆก็บันทึกไว้ ซึ่งดีมากเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน แยกเนกขัมมะกับเคหสิตะต่างกันอย่างไร

_ผมอยากทราบว่า เวทนา 108 นี่ ระหว่างเคหสิตะกับเนกขัมมะต่างกันอย่างไร ช่วยอธิบายและยกตัวอย่างด้วยครับ

พ่อครูว่า...ถ้าอาตมาไม่มาเกิด รับรองว่า ความรู้ในเรื่องของศาสนาพุทธ พูดแล้วเหมือนคุยตัว จริงๆก็คุยว่าตัวเองรู้ตัวเองเก่ง ว่าคุยตัว แต่ความจริงมันคือความเป็นจริง ที่อาตมาต้องบอกไว้พูดเอาไว้ เพราะว่าไม่มีคนเชื่อกันง่ายๆหรอก แต่อาตมามั่นใจว่าที่พูดไปนี้ดี เป็นการรับรอง อาตมาพูดตอนนี้นานไปอีก คนไม่เชื่อ 10 ปี พูดไปแล้ว 20 ปีคนก็ยังไม่เชื่อ พูดไปแล้วอีก 50 ปี คนก็ยังไม่เชื่อ ไปอีก 500 ปีคนจะเชื่อ ถ้ามันเป็นความจริง ใช่ไหม?

คนจะเชื่อถ้าเป็นความจริง ถ้ามันไม่เป็นความจริงมันก็จะฟ้องอาตมาก็หน้าแตกเอง มันเป็นไปไม่ได้ แต่อาตมามั่นใจว่าศาสนาพุทธเราจะยังแพร่หลายอยู่ในยุค ปลายพุทธกัปป์แล้วล่ะ

พุทธกัปป์ของพระสมณโคดมยังเหลืออีก 2,000 ปี ก็ไม่น้อยนะ เพราะฉะนั้นอาตมาตอนนี้มาพูดความจริงกับความจริงความรู้เข้าไปอีก เพื่อที่จะให้แก่คนที่แสวงหาความจริงกับคนที่มีบารมี บารมีหมายความว่า ผู้ที่มีคุณธรรมนั้นขึ้นมาแล้ว สิ่งที่สั่งสมในจิต แล้วไปผนึกแน่นเป็นสมบัติของแต่ละคนอยู่ในจิตอยู่ในสัญญาอยู่ในความจำ อยู่ในคลังแห่งอัตภาพ ของแต่ละคนๆ อัตภาพของคน จะมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ 5 นี้แท้ๆประจำ จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน อัตภาพของผู้นี้ จะสูญสลายหายไป ของใครก็ของคนนั้นก็จะหายไป เมื่อปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตราบใดที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่มีสูญ

ผู้ที่จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน อัตตาของเขาก็จะเกลี้ยงไปไม่เหลืออยู่ในเอกภพใด ไม่ได้อยู่ในที่ใดๆอีกเลย ที่เป็นความตรัสรู้ของศาสนาพุทธ ไม่นิรันดร จิตวิญญาณไม่นิรันดร จิตวิญญาณคืออัตภาพสูญสลายได้ เรียนรู้ เป็นพระอรหันต์แล้วจะได้เป็นความรู้ถึงสุดยอดก็คืออรหันต์ จะมีรายละเอียด คือสุดเป็นอรหัตตผลของกิเลสนี้ อันนี้จะไม่เกิดอีกเลยแต่จะอาศัยอยู่กับผู้ที่เป็นเจ้าของอัตตา ใช้ประโยชน์ ก็จะยิ่งแน่นผนึกแข็งมั่นคงยืนยาว ไปอีก เป็นน้ำหนักของ Static ทางด้านขั้วบวกไว้เรื่อยๆ และเป็นฐานให้แก่เจ้าของนี้ ช่วยให้เจ้าของนี้เจริญ

ถ้าศึกษาให้ครบ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม แล้วก็ทรงไว้ ท่านไม่เรียกอัตตา แต่เรียกทรงไว้คือธรรมะ ทรงไว้มีอยู่ ตราบใดที่เจ้าของอัตภาพนี้ทรงธรรม รู้จักธรรมะที่จะให้ไม่เกิดมาทรงไว้ พอเลิกปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว ไม่ทรงไว้ไม่มีอะไรเหลืออยู่

เป็นสิ่งที่อยู่กับเราโดยเราสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมะได้เหมือนกับเล่นกล เรียกว่าสิริมหามายา ปรับให้มีหรือไม่มีก็ได้ เปลี่ยนหน้าเหมือนมายากล ให้มีขึ้นมาก็ได้ให้หายไปเลยก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องความวิเศษความพิเศษ เหมือนนักมายากล เปลี่ยนให้มีก็ได้ไม่มีก็ได้ หายไปเลยก็ได้ มายากลคือความลวง แต่นี่ไม่ลวงคือเรื่องจริง เป็นพลังพิเศษของความสามารถที่เป็นความจริง ไม่มีความลวงซ้อนในนั้น นักมายากลนักเล่นกลเป็นเรื่องไม่จริง มันเร็วจนคนอื่นจับไม่ทัน

แม้แต่การพูดอย่างอาตมาคนก็หาว่าพูดไม่จริงกลับไปกลับมาแต่มันไม่ใช่ มันเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนลึกซึ้ง ก็ขอผ่านตรงนี้ก่อนไม่อธิบายตรงนี้

เคหสิตะคือชาวโลกีย์ เนกขัมมะคือชาวโลกุตระ

เนกขัมมะคือเอากิเลสออกหรือเราออกจากกิเลส เสร็จแล้วเราก็เอามาใช้อีก เอาออกทิ้งไปแล้วก็อนุโลม แต่เราไม่เสวยผลเสพรส แต่เราเอามาอาศัยใช้เพื่อประโยชน์ผู้อื่น เพราะฉะนั้นก็เลยกลายเป็นธรรมะ เอาให้ทรงไว้แต่ธรรมะนั้นไม่มีอกุศลจึงไม่มีอรรถะธรรมะ บางทีเราแปลคำว่าอกุศล แต่ไม่เป็นอกุศลธรรมที่ทรงไว้ในเรา มีแต่กุศลธรรมที่ทรงไว้ในเรา แล้วสามารถสลายธรรมะนี้ได้ จะมีภาษาคำว่าธาตุ คำว่าธรรม มันลึกซึ้งเป็นชั้นๆ คนที่อาศัยชั้นขึ้นก็ต้องอาศัยที่ใช้แทนกันได้ก่อน พอชั้นลึกแล้ว ตัวเองไม่ต้องอาศัยแล้ว ธรรมะนี้ไม่ต้องอาศัย ธาตุนี้ไม่ต้องอาศัย ความเป็นกุศลนี้ไม่ต้องอาศัย อย่างนี้เป็นต้น ถ้าทำก็ทำแต่กุศล

ถ้าจะเรียกโดยภาษาว่าสิ่งที่ดีงาม มันก็เป็นความดีงามที่ยิ่งเพิ่มขึ้นๆ สำหรับผู้ที่ไม่ติดในกุศลแล้ว แต่พรุ่งนี้มีหรือไม่มีก็ไม่มีปัญหาเพราะไม่ได้ ตะกละกุศล แต่เป็นไปตามธรรมที่เรามีกรรมเป็นกุศลมันก็เป็นของเรา เราไม่อยากได้เท่าไหร่มันก็เป็นของเรา เราไม่เอามันก็เป็นของเราแล้วเราก็ไม่ได้ติดใจว่ามันจะมีหรือไม่มี แต่หน้าที่ของสัญญา จะทำหน้าที่ใส่เอาไว้เก็บเอาไว้ เราไม่เอาไม่นึกถึง ลืมไปเลยมันก็เป็นของเรา ลืมไปเลยก็ได้ แต่ถ้าลืมแล้วมันยังมี ถ้าคุณสามารถเก่งดึงขึ้นมาได้ เหมือนคุณมีข้อมูลใน Harddisk เราลืมรหัสเลย ไม่รู้จักค้นออกมาอย่างไรแต่มันอยู่ในนั้น ถ้าเผื่อว่า คุณจะใช้ขึ้นมา เผลอๆไปถูกรหัสได้ มันก็โผล่ขึ้นมาได้ อยู่ในนั้นมันไม่หายไปจาก Harddisk ไม่สูญหายไป เป็นแต่เพียงเราจำรหัสไม่ได้แล้ว มันก็ดึงมาใช้ไม่ได้ แต่ผู้มีรหัสหรือ Hackerที่เก่งก็สามารถหาได้ นี่ก็เทียบเคียงให้ฟัง

ความรู้ของศาสนาพุทธนี้ เคหสิตะคือชาวโลกีย์ เนกขัมมะคือชาวโลกุตระ เป็นความรู้สึกต่างกัน ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นสุดท้าย คนละขั้ว คนละความหมาย คนละสัจจะ คนละความแท้จริง อย่างนั้นเลย

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธเป็นแต่เพียงว่ามีจิตที่ดี ไม่ทำความไม่ดี โดยที่รู้ ไม่ทำ สำหรับตนเองอะไรรู้ว่าดีและไม่ดีแล้วตัวเองไม่ทำสิ่งไม่ดี แต่ต้องอนุโลมสำหรับผู้ที่ยังอาศัยสิ่งที่ดี ตามลำดับ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เขาถือว่าดีแต่เราว่าไม่ดี เราก็ไม่ แต่คนอื่นเขาจะต้องใช้อยู่ เราก็อนุโลมทำให้เขา คนไม่รู้ก็หาว่าเรายังมีอยู่ ว่าเรายังมีกรรมไม่ดีอย่างนี้อยู่ ไหนว่าหมดแล้วล่ะ แต่เราไม่เป็นประโยชน์ต่อเราเราไม่ต้องชัด แต่เราใช้เพื่อคุณเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น มันก็เหมือนกับไปกลับมาว่าเดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี พระพุทธเจ้าตรัสอันนี้เอาไว้ในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกล. 16 ข. (43) [43] คนเราอาศัยความมีกับไม่มีนี่แหละ เรามีความจริงใจหมดตัวตนจริงๆ ทำเพื่อผู้อื่นไม่ใช่ทำเพื่อตัวเองเลยเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ส่วนตนเองนั้นแม้ที่สุด เป็นพระอรหันต์แล้วไม่ต้องมีส่วนตนไม่ต้องสะสมส่วนตัว แต่มันจะมีสิ่งที่เป็นกุศลส่วนตนโดยธรรม โดยสัจจะของมัน ทำในสิ่งที่เป็นกุศลธรรมสะสม เราไม่เอาแล้วไม่สนใจมันก็มีให้มาใช้เป็นธรรมดา

เอาล่ะ นัยละเอียดพวกนี้ จะต้องพูดซ้ำไปซ้ำมาย้ำไปย้ำมา และมันก็จะต้องขยายขึ้นไปให้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มเติมให้แก่ผู้ที่เข้าใจชัดเจน แล้วเวลามันผ่านไปก็ต้องรู้ให้ลึกซึ้งขึ้น ใครยังรู้ไม่ได้ สัจจะนี้ยังไม่เปิดเผยก็ต้องเปิดเผยเท่าที่เรามี ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทิ้งไว้ในโลกนี้

อาตมาเอง อาตมานี่ต้องทำหน้าที่ โดยเฉพาะที่มันเป็นความจำกัดว่า ตัวเองมีหน้าที่รักษาศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าให้อยู่ในยุคให้ครบ ไม่ได้หมายความว่าอาตมาจะทำงานศาสนาพุทธแต่แค่ของ พระพุทธเจ้าสมณโคดมเท่านั้น อาตมาจะต้องทำไปมากกว่านั้น แต่หน้าที่ที่รับผิดชอบและรับสัญญากันมากับพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาก็ต้องทำอันนี้ให้ครบให้ได้ หากไม่ได้ก็ต้องมาเกิดอีก หากไม่มั่นใจว่าจะไปถึง 2000 ปีก็ต้องเกิดอีก แต่มั่นใจว่าถึงแล้ว ถ้าอาตมาจะไม่เกิดก็ไม่เกิด แต่อาตมาอาจจะเกิดมาอย่างไม่แสดงตัวก็ได้ ศาสนาพุทธมีสิทธิเสรีภาพสูงสุด เราไม่มีตัวตน ใครจะว่าเราเป็นบ้าบออะไรเราก็ไม่แสดง แต่เราก็รู้ของเรา อันนี้เป็นประโยชน์กับกระทำอันนี้ไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่ทำ มีแต่ความซื่อสัตย์ มีแต่ความจริงไม่มีความไม่ดีงามอะไร เป็นสุดยอดแห่งความจริง พูดไปแล้วเหมือนมายา จึงต้องมีมายาทั้งภาษาและสภาพ

 

_พ่อครูจะบอกได้หรือไม่ว่า พ่อครูได้รับปากพระพุทธเจ้าองค์ไหน

พ่อครู..พระสมณโคดม ศาสนาของท่าน พระสมณโคดมทำศาสนาขึ้นมาซึ่งศาสนาอายุสั้น คนจะรับก็ยากต้องมีคนช่วย กว่าจะสิ้นสุด เพราะฉะนั้นพวกที่เป็นพระสาวก เป็นโพธิสัตว์ที่ จะต้องรับผิดชอบรองลงมา ก็รับผิดชอบทำ มันก็เป็นเรื่องของสัจจะ เรื่องของปู่ย่ารับผิดชอบของปู่ทวด พ่อก็รับผิดชอบของปู่ย่า ลูกก็รับผิดชอบของพ่อ หลานก็รับผิดชอบของลูก เหลนก็รับผิดชอบของหลาน ถ้าเข้าใจแล้วก็จะไม่มีปัญหา อาตมาไม่ได้มาหลอกลวง อาตมาเป็นคนจริงเป็นสิ่งจริงๆ แต่คนไม่เชื่อก็ห้ามไม่ได้ คนเชื่อก็ได้ประโยชน์ คนไม่เชื่อก็ไม่ได้ก็เท่านั้นแหละ อย่างอื่นไม่ได้กว่านี้แล้วแหละเป็นธรรมะ 2 เชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ไม่ได้ เป็นธรรมะ 2 อาตมาก็ทำไป เพราะว่ายังมีคนที่เข้าใจได้และได้ประโยชน์จริง ก็พัฒนากันไป คนที่เชื่ออย่างมีอัตตามานะ ยังไม่ยอมมา ก็เป็นของเขาทั้งนั้น มันมีละเอียดลออต่างๆนานาสารพัดกิเลส กิเลสแยกย่อยเยอะแยะ ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาไม่มีปัญหามีแต่ปัญญา ปัญหาทุกปัญหาของคนพวกนี้อาตมาไม่มีปัญหา คนโลกีย์เขามีปัญหาแต่อาตมาไม่มีปัญหามีแต่ปัญญา ถ้าปัญหาอะไรที่ไร้สาระ ปัญหาอะไรที่อาตมาไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ เพราะอาตมาไม่มีปัญญารู้ อาตมาก็บอกว่าไม่รู้ ไม่ว่าปัญหานั้นจะไร้สาระ มันก็เป็นของเขา ถ้าเป็นปัญหามีสาระอาตมาก็ไม่ถึงสาระอันนั้น อาตมาก็ตอบไม่ได้ แล้วอาตมาจะไปโกหกทำไม และมันก็ไม่เป็นปัญหากับอาตมามันเป็นปัญหาของคุณ แล้วปัญหาที่มันไม่เป็นของอาตมาส่วนมากก็เป็นปัญหาที่อาตมาไม่ได้สาระแล้ว แต่ยังเป็นสาระสำหรับเขา

ความอร่อยอันนี้ อาตมาว่าไร้สาระแล้ว แต่ความอร่อยอันนี้ก็เป็นสาระของเขา เขาก็ต้องใช้ เขาไม่ใช้เขาขาดใจตาย ยกตัวอย่างเขาจะต้องได้เป็นเจ้าโลก ถ้าไม่ได้เป็นเจ้าโลกเขาตายดีกว่าเขาก็เอาชีวิตเข้าแลกและเขาก็ตาย ถ้าเขาได้มาสมใจก็อร่อยเลย

 

_สมณะกอบชัย...สำมะปี๋แปลว่าอะไรครับ

พ่อครูว่า...แปลว่ายำเละ เป็นภาษาลาว ปนกันไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร ภาษาจีนเรียกว่าจับฉ่าย ดีไม่ดีบางอันบางเรื่องจะขัดแย้งในตัวเองได้

_รายการนี้จะเป็นเหมือนเอื้อไออุ่นตอนแรกไหมครับ

พ่อครูว่า...พยายามจะให้เป็นไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรตามประสาพ่อแม่พี่น้องลูกลูกกัน ยั่วเย้ากันบ้าง

_จุดประสงค์รายการวันนี้พ่อท่านต้องการความเป็นกันเองใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...ใช่

_ขอแสดงความเห็นหน่อยหนึ่งครับ เมื่อวันก่อนผมไปงานศพ ที่นั่นมีการแสดงธรรมเขาเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ เขาจะมีธรรมาสน์ มีญาติโยมนั่งพื้นล้อมวง แล้วท่านก็แสดงธรรมเทศนา ข้างนอกก็พัฒนาการมีการลดรูปแบบ นั่งคุยกันแบบนี้ ได้บรรยากาศด้วยความรู้สึกที่ดี แต่เขาก็แสดงธรรมเป็นปกติคนฟังก็ฟังอย่างเดียวญาติโยมก็พนมมือ ส่วนข้างนอกก็มีลำโพงขยายเสียงโยมที่อยู่เต็นท์ก็ไม่ค่อยฟัง

ผมก็อยากให้พ่อท่านสมเจตนารมย์ ไม่อยากให้เป็นรายการภาคบ่ายตอบปัญหาในงานพุทธาภิเษก แล้วก็อยากบอกญาติโยมว่า ผู้มาร่วมรายการนี้ช่วยกรุณาลดการถามปัญหายากๆลึกซึ้ง

พ่อครูว่า..ลดไม่ได้อยากรู้ อยู่ที่อาตมาไม่พยายามตอบยาวๆ

สมณะกอบชัยว่า...นิมนต์พ่อท่านตอบสั้นๆ ครับ

_เจดีย์บนพระวิหารจะถูกย้ายไปบ้านราชไหมครับ

พ่อครูว่า...บอกได้เลยว่าไม่เอาไป ถ้าเอาไปก็ต้องทุบปูนไปจะทำได้ยากมาก มันเสียของ ถ้าจะทำแบบนี้ก็ถูกสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่จะลอกเลียนแบบอย่างไรก็ไม่เหมือน เจดีย์นี้หุ้มทองคำ Gold Master ด้วยนะ ไม่เหมือนทองคำเปลว แต่พ่นทองเข้าไป มันจะมีช่องว่างอยู่ พูดไปจะไปอธิบายเรื่องของทำไมมันดำอีก ดำแต่แท้จริงเป็นทองคำ เราไม่ไปล้างขัดออก ล้างขัดออกก็ได้จริงๆ แต่ว่าเราไม่ล้างไม่ขัดออก ไม่เจตนาทำ ที่มันดำเพราะไม่เจตนาไปขัดให้ผ่องอะไร เพราะไม่ใช่ทองคำทั้งหมด มันเป็นทองคำหุ้มนิกเกิ้ลอยู่ มีสารเคมีที่ไปทำปฏิกิริยา เป็นเศษสีดำ มาหุ้ม เราก็เลยว่าไม่ไปแก้ไขอะไร มันก็อยู่อย่างนั้นไม่ใช่สนิมจริงๆหรอก เป็นปฏิกิริยาของธาตุ

 

_สมณะลานศิลป์...เมื่อวานได้ฟังธรรม พ่อครูได้พูดถึงพระกัจจายนะ อยากถามว่า พระกัจจายนะ องค์เดียวกับพระสังกัจจายน์ใช่ไหม

พ่อครูว่า...ใช่ องค์เดียวกัน คือ พระสังกัจจายน์มีทั้งรูปร่างความเฉลียวฉลาดมากเหมือนกับพระพุทธเจ้า รูปร่างก็เหมือนคล้ายกันคนเข้าใจผิด มีความแคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียว อธิบายธรรมะได้ดี พระพุทธเจ้ายกย่องว่าอธิบายได้ดีกว่า ท่านก็มีปฏิภาณสาธยายรายละเอียดได้ดี เสร็จแล้วคนก็เลยเข้าใจผิดเพราะคิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยทำรูปร่างให้พิการอ้วนท้วนไม่เหมือนพระพุทธเจ้า ขี้เหร่กว่าพระพุทธเจ้า เลยกลายเป็นพระสังกัจจายน์อ้วน

 

_อยากจะรู้ว่า พระสังกัจจายน์อยู่ในสมัยพุทธกาล อยู่ในกลุ่มของพระสารีบุตรหรือไม่

พ่อครูว่า...เรียกว่าพระมหากัจจายนะ เป็นพระอิสีติสาวก มีองค์พิเศษที่เก่งเรียกมหา ที่ไม่เรียกมหาคือมหาสารีบุตร มีมหาโมคคัลลานะ แต่ไม่มีมหาสารีบุตร อันนี้เป็นอจิณไตยอย่างหนึ่งไม่พูดต่อ

 

ที่ไม่เรียกมหา เพราะสายปัญญาจะถูกบีบไว้หน่อย มหาแปลว่ายิ่งใหญ่ แต่ผู้ที่เป็นปัญญาจะไม่เรียกว่ายิ่งใหญ่เพราะเดี๋ยวจะเหลิง ผู้รู้ตัวก็ไม่เสียใจไม่น้อยใจไม่เรียกมหาก็ไม่เป็นไร ข้ามพ้นมหา ปัญญาจะข้ามพ้นใครจะเรียกเล็กก็ไม่เป็นไร ความจริงเราใหญ่แล้วก็จบ ไม่ต้องมาเติมคำ ไม่ต้องใส่ยศศักดิ์อะไร

 

_แสดงว่า พระสารีบุตรเป็นสายปัญญาไม่มีมหา แต่พระกัจจายนะ ไม่เป็นสายปัญญา

พ่อครูว่า..พระกัจจายนะยังมีบารมีน้อยกว่าพระสารีบุตร แม้จะเข้าใจด้วยพยัญชนะภาษา พระกัจจายนะ เป็นสายปัญญา ถ้าถูกเรียกโดยไม่ใช้มหา ท่านก็จะเท่อีกแบบ ก็เลยเรียกมหา อย่างสิริมหามายา อธิบายยากมากเลย คือไม่ใช่มายา แต่เป็นยอด ดีทั้งสิริ ทั้งมหาเลยนะ

พลังงานเอกนี้เหนือกว่าพลังงานคู่นี่เป็นอจินไตย เราก็ต้องรู้ว่าอันนี้เป็นเอก ไม่ใช่พลังงานคู่แต่มองดูสองมากกว่าหนึ่ง แต่เอกนี้หนึ่งมากกว่าสองนะ สลับไปมาระหว่างสภาวะกับภาษา ผู้รู้ความจริงก็จะไม่มีปัญหา ผู้หมดปัญหาก็มีแต่ปัญญา จบ

 

_สมณะกอบชัย อยากให้พ่อท่านได้บรรยากาศ ในวัตถุประสงค์ของงานนี้จริง พ่อท่านโปรดให้โอกาสกับคนถามสดมากกว่าถามแห้งครับ

 

พ่อครูว่า..พวกเราเป็นคนจริง ก็จะเอาสาระความจริง พูดอย่างไรก็ห้ามยาก

 

_มีเรื่องเล่าสองนาทีค่ะ...ต่อเนื่องจากคำถามของเด็กๆ ถามว่ามีคนอ่านหนังสือของพ่อครูบ้างหรือไม่ มีเสียงตอบจากเจ้าหน้าที่ขายหนังสือ ว่ามีอยู่เยอะทั้งสูงอายุและกลางคน

มีคนถามว่าท่านโพธิรักษ์สอนสมาธิอย่างไร ตัวเราเองก็ตอบว่าถึงสมาธิโดยสำรวมกายวาจาใจมีสติสำรวมในชีวิตประจำวันจะกินจะนอนจะทำงานต่างๆเบื้องต้นด้วยศีล 5 ลูกค้าก็พยักหน้าว่าถูกต้องแล้ว ท่านโพธิรักษ์สายปัญญาชัดเจนจริงๆ

จบรายงานค่ำ

 

พ่อครูว่า...ไม่ถึง 2 นาทีใช้ได้

 

_จุฬา สุดบรรทัด….จากการติดตามประวัติเมืองอุบลที่สืบไปถึงเชื้อสาย เจ้านครเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า สืบจาก พระเจ้ากิงกฤษราชแห่งนครหลวงพระบาง ซึ่งสืบเชื้อสายจากพระเจ้าตาก มีบุตรธิดา 7 คน พระประทุมวรราชสุริยวงศ์คือผู้สืบเชื้อสายคนที่ 2 คือเจ้าคำผงเจ้าเมืองอุบลคนที่ 1 เป็นผู้กอบกู้บ้านเมืองอุบล พ่อครูเป็นรุ่นที่ 7 ผู้สืบสายนี้ ดิฉันมองว่ามากอบกู้บ้านเมือง เพื่อมนุษยชาติเป็นการกอบกู้จิตวิญญาณมนุษย์โดยมีราชธานีอโศกเป็นจุดศูนย์กลาง กล่าวเช่นนี้ จะเป็นการกล่าวที่มีหลักฐานยืนยันเป็นที่ประจักษ์ได้ใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...ก็มีหลักฐานต่างๆอยู่ยืนยันได้อ้างอิงต่างๆนานา เพราะฉะนั้น เราก็พูดตามจริงตามหลักฐานใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็บังคับไม่ได้หรอก

 

_พราวพุทธ...สมัยพุทธกาล มีคนทั้งสายปัญญาและเจโตใช่ไหมคะ ในคนๆเดียวกันไหม มีทั้งชนิดที่เป็นปัญญาและเจโตที่ใกล้เคียงกัน มีเยอะไหม

พ่อครูว่า...มีแต่มีน้อย ผู้ที่เป็นสายเจโตก็ต้องพยายามสร้างปัญญาให้แก่ตัวเอง ให้ใกล้เคียงที่สุด เจโตกับปัญญาหากใกล้เคียงกันมากก็จะดีทั้งสองอย่างก็จะชัด ก็จะรับรู้อะไรมากมาย สภาวะสองคือสภาพมี สภาวะหนึ่งคือสภาพหยุดหรือไม่มี ถ้ามีเป็นสภาพสองคือมีจะช่วยได้ โลกคือความมี ไม่มีโลกคือความหยุดไปหา 1 หรือ 0

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สุขภาพบุญนิยม) ตอน คนเราควรนอนวันละกี่ชั่วโมง

_ข้าพุทธ...พวกเราที่เป็นนักปฏิบัติธรรม ควรนอนวันละกี่ชั่วโมงเพื่อให้ชีวิตยืนยาวที่สุด

พ่อครูว่า...ไปอ่านตามตำราเขาเลย สำหรับผู้ที่พิเศษพระพุทธเจ้านอนวันละ 4 ชั่วโมง คนธรรมดาอย่าไปริอาจทำอย่างนั้นเลย (ไมค์ดับไป)

..จริงๆแล้ว มีสองอย่างเจโตกับปัญญา จะมีคู่กันที่เปลี่ยนไม่ได้ตลอดโลกแตก โลกแตกแล้วในธรรมชาติก็จะมีคู่ 2 เป็นธรรมดาธรรมชาติ แต่จริงๆแล้วนี่ สิ่งที่จะนำพาไปให้เกิดการถึงที่สุด ก็คือปัญญา เพระปัญญาทำให้สลายสูงสุดได้ ถ้าเจโตวสูงสุดก็เป็นนิรันดร เป็นพระเจ้าพระเจ้าก็เป็นเจโต สลายไม่ได้จึงเรียกว่า ผู้ที่ทำสองให้เป็นหนึ่งไม่ได้สลับกัน ผู้ที่ทำ 2 ได้มีเป็นส่วนใหญ่เลย คือเทวะ จะอยู่ครองนิรันดร เจโตก็ครองนิรันดร ถ้าเป็นหนึ่งได้ไปหาศูนย์ ก็เลิกได้ ศาสนาอเทวนิยมจึงมี 0 เทวนิยมไม่มี 0 มีนิรันดร

สายปัญญาสายพระพุทธเจ้าสามารถทำให้เป็นศูนย์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ปัญญาอย่างเดียวทำให้บรรลุธรรมได้ไหม

_ถ้าสายปัญญา มีแต่ปัญญาอย่างเดียวบรรลุธรรมได้ไหมครับ

พ่อครูว่า...ไม่ได้ ต้องมีธรรมะสอง เพราะฉะนั้นข้อบังคับคือ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ธาตุรู้ได้ต้องรู้ธาตุที่อาศัย พระพุทธเจ้าตีกรอบที่ธาตุรู้ที่ดีที่สุด ทุกข์ไม่เอา เอาแต่สุขแล้วสลายสุข ส่วนที่จะไปเป็นธาตุอื่นอีกตามวิทยาศาสตร์ก็ได้ทั้งนั้น แล้วก็ไม่จบเป็นโลกจินตา โลกแปลว่าความวนหมุนไม่จบ เป็นอจินไตยข้อที่ 4 ความคิดของคน คิดไม่จบหรอก แต่ผู้ที่มีปัญญาแล้ว ทำลายโลกจินตาได้ คิดออกแล้วได้ตัวจบ จบตามความคิดได้ก็จบ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ที่นับถือพระเจ้าที่เป็นนิรันดรจะสลายอัตภาพได้ไหม

_ผู้ที่นับถือพระเจ้าที่เป็นนิรันดร จะสลายได้ไหม

พ่อครูว่า...สายเทวนิยม พระเจ้านิรันดร เขาเองเขาเห็นดีว่า สลายได้มันหมดได้เมื่อเขาเข้าใจเพิ่มขึ้นมา แล้วเขาอยากจะสลาย บางทีเขาไม่อยากสลายแต่ก็เห็นว่าอเทวนิยมคุยโม้ ทำนิพพานสูญได้คุยว่าดีกว่า เขาก็มาศึกษาปฏิบัติแล้วเขาก็ถึงจริงๆเขาก็สลายได้ก็จบ แต่ถ้าเขาไม่สลายอีก จะอยู่ไปนิรันดรก็แล้วแต่เขา พระอวโลกิเตศวร ก็เลือกอยู่นิรันดร ท่านมีข้อแม้ว่าจะต้องช่วยคนให้ทุกคนในโลกเป็นอรหันต์จนคนสุดท้าย แล้วท่านจึงจะเลิก ทำก็ทำสิ ฉันก็ไปอยู่ในโลกลูกใด แล้วก็ทำช่วยคนลูกนั้นให้หมด นอกนั้นก็จะเสื่อม จะเหลือ 2 คนท่านกับเขา แล้วท่านก็ช่วยคนนั้นน่ะ คนก็อาจจะตายไปตามธรรมชาติ สุดท้ายเหลือแต่ท่านกับคนคนนี้ ท่านก็สอนคนนี้เป็นอรหันต์แล้วก็จบ ท่านก็ปรินิพพานไป ท่านก็ได้ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อนั้นจะมีเมื่อไหร่

 

_พระอานนท์ อยู่ใกล้พระพุทธเจ้าตลอด พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ภิกษุบรรลุธรรมได้แต่ทำไมพระอานนท์บรรลุธรรมช้ากว่า

พ่อครูว่า...ถามอจินไตยอีกแล้ว พระอานนท์ นี้ท่านตามจิตที่จะรู้ของพระพุทธเจ้าก็เลยรู้มาก คนรู้มากยากนาน พระอานนท์ก็เลยนาน ก็เป็นประโยชน์แก่โลก เพราะท่านเองเป็นคนที่มีความจำเก่งมาก เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์โลกจริงๆท่านก็ไม่ควรตายจริงๆ ไม่ควรตายไว เพราะฉะนั้นท่านก็ไม่ตายไว จนกว่าศาสนาพระพุทธเจ้า จะหมด แม้เป็นอรหันต์ก็ไม่บรรลุเร็ว แต่สุดท้ายท่านจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็อยู่ที่ท่านท่านจะต่อให้เป็นพระพุทธเจ้าก็เรื่องของท่าน จบที่ตัวใครก็ตัวมัน เป็นสิทธิอิสระเสรีภาพส่วนตัวจริงๆ

 

แสดงว่า พระอานนท์ตั้งจิตว่าจะบรรลุธรรมช้าใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...ไม่หรอก แต่เหตุปัจจัยที่ทำให้ยาก ตัวท่านเองก็จะบรรลุให้เร็วแต่มันก็ไม่ได้ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานท่านเลยร้องไห้

 

_อยากให้พ่อท่านอธิบาย ภาพสโลโมชั่นของการเกิดกิเลส

พ่อครูว่า...เอาไว้ก่อนจะอธิบายในตอนอื่น

 

_หากมีความผิดของบุคคลที่เขียนให้แก่สมณะ แต่ท่านไม่เอาเรื่องต่อ พ่อท่านจะลงรายละเอียดหรือไม่ครับ

พ่อครูว่า...อยู่ที่คนจะตามจี้ บางทีผู้ใหญ่เห็นว่าควรจะจบก็ไม่เอาภาระก็เป็นได้ แต่คุณอยากจะรู้ก็ตามไปได้อีก สุดท้ายก็คงจะมีผู้ที่สามารถทำให้คุณหยุดได้ ถ้าคุณหยุดไม่ได้ ก็ตามจี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ

 

_วิหารพันปี สร้างขึ้นมาทำไมครับ

พ่อครูว่า...สร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่อาศัย เป็นที่อยู่เป็นที่เคารพ มีพระบรมสารีริกธาตุ เป็นสถานที่ที่เป็นอาคาร เป็นศาสนวัตถุ ที่ใช้ประกอบในศาสนาพุทธ

 

_เหตุการณ์ที่ถ้ำหลวง...เด็กคนหนึ่ง เข้าไปเที่ยวในถ้ำลึก เข้าไปเที่ยวด้วยความอยากรู้ ปีนเข้าไปในช่องเขา เห็นต้นไม้เขียวสดมองเห็นผู้เฒ่าอยู่ในที่นั้น ผู้เฒ่าใจดี คิดจะชวนเพื่อนๆมารู้จักที่นี่ ลงมาออกจากถ้ำไป วันต่อมาพาทีม พากันเข้าไป แต่มันมืดก่อนมีน้ำเข้าถ้ำ ออกมาไม่ทัน เด็กคิดว่าเป็นเจ้าที่ ที่มาดูแลแน่ๆ พ่อครูคิดเห็นว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่คะ

พ่อครูว่า...อาตมาไม่คิด มันเป็นเช่นนั้นก็เป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้อาตมาไม่มีข้อมูลไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดก็ตอบไม่ได้

 

_พวกเราเคยเกิดมาร่วมกันในสมัยพุทธกาลหรือไม่คะ

พ่อครูว่า...มี ส่วนใหญ่ด้วย เพราะว่าพลังบารมีนี้เป็นความสะสม

 

_พระพุทธเจ้าที่เกิดในโลกอื่น มีไหม ท่านพูดภาษาบาลีไหมคะ

พ่อครูว่า...มันเหมือนกันหรือคล้ายกันก็ได้ใช้อันนี้อยู่เลยก็ได้ ถ้าครบดี ไม่ครบก็เอาขึ้นมาใหม่ เป็นสิ่งที่ใช้แทนไม่ยากหรอก สมมุติรู้ร่วมกันก็ใช้ได้อีก

 

_พ่อท่านแค่พูดว่าคิดหลังตายเหมือนความฝัน แต่ในเวลาปกติเรารู้สึกทุกข์ อดคิดรำคาญต้องทำใจกับ ผัสสะเยอะกว่าในฝัน ถ้าเป็นแบบนี้ตลอดเวลา ตาย จิตใจยังทุกข์ตอนเหมือนปกติหรือไม่อย่างไร

พ่อครูว่า...เป็นได้ทั้งสองอย่าง เป็นได้ทั้งว่าตายไปแล้วก็จะเป็นความไม่ทุกข์เดือดร้อนวุ่นวาย มันอยู่ที่จิตของคุณ ตายแล้วจิตของคุณวาง วางได้สองสาย สายปัญญาก็วางได้อย่างขาดนิรันดร แต่ทางสายเจโตก็กดข่มลืมๆไป จนกว่าพลังงานที่มีมันจะฟื้นขึ้นมาไม่สูญสลายมันก็ขึ้นมาอีก เป็นได้ 2 อย่างอย่างนี้แหละ นาน จนกระทั่งลืมไว้เป็นนิรันดร ไม่รู้เลยว่าเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่จำเวลาไม่ได้ มันก็เป็นไปได้ ใครจะมานั่งหลับตาให้มันยืนยาว สะสมไว้นานๆ ก็ไม่มีตัวเลขจะนับได้ คุณจะเอาไหม แต่สายปัญญาฟังแล้วจะไม่เอา แต่สายเจโตเขาชอบก็ทำ เราจะไปห้ามเขาได้อย่างไร

 

_ทำไมบวร สันติอโศกมีพื้นที่น้อยที่สุด บวร ราชธานีอโศกจึงมีพื้นที่ใหญ่ที่สุด

พ่อครูว่า...ไม่ตอบให้งงเล่นๆ ไม่ยากจะรู้ เมืองหลวงคนโง่เยอะก็เลยแย่งกันจอง เมืองทางโน้นคนมีน้อยก็เลยไม่แย่งกันจอง ที่ๆยิ่งว่านับเจริญแบบโลกีย์คนโลกๆ ก็มาแออัดยัดเยียดเพราะว่าคนมันโง่ มันบอกว่าเจริญแต่มันก็โง่แล้วมันก็ทุกข์แล้วแออัดยัดเยียด ไปมายากเย็นแล้วก็ติดกันอยู่อย่างนี้นี่คือตัวจริง เพราะฉันคนฉลาดก็ ไม่มานั่งแย่งอะไรกับเขาหรอก อยู่กันอย่างสบายดีกว่าเยอะ ก็ปล่อยให้คนโง่เขาแย่งกัน

 

_สุขภาพของพ่อครูเป็นอย่างไรครับ

พ่อครูว่า...กำลังเพิ่มความหนุ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆ ถ้าพิสูจน์ได้แล้วพวกเราก็จะรู้ว่าการสร้างพลังงานของจิต เป็นตัวเสริม แต่ไม่ได้ทิ้งพลังงานวัตถุไม่ให้บกพร่องให้ทำงานไปยังดี ถ้าคนที่เก่งทำวัตถุสู้ทำที่จิตไม่ได้ ทำที่จิตได้ง่ายกว่า แต่คนไม่เก่งทำที่วัตถุได้ง่ายกว่าเพราะมันจะต้องได้ไม่ยาก จิตมันคนอื่นดูได้ยากจะช่วยได้ยากกว่า

 

_ทำไมต้องรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ด้วยผิดบ้างได้ไหมคะ

พ่อครูว่า...ผิดนี่มันคือความเปื้อน บริสุทธิ์มันคือความสะอาด เราอยากได้ความสะอาดหรืออยากได้ความเปื้อน ถ้าเราอยากได้ความเปื้อนก็ผิดบ้าง แต่ถ้าเราอยากได้ความสะอาดไม่ผิดเลยซะบ้าง ไม่มีผิดเลย ผิดครึ่งหนึ่งก็ไม่เอา มันอยู่ที่เรา เราอยากได้ความสะอาดหรือไม่สะอาด

 

_ได้ยินเสียงพ่อท่านไอบ่อย เจ็บคอไหมครับ ทานยาอะไรถึงหาย ลูกเป็นห่วงอยากให้หายไวๆ

พ่อครูว่า...ไม่เจ็บคอนี้ดีมากเลย แต่ก็ไอมาก ถ้ารู้ว่าทานยาอะไรจะหายก็มาทานแล้ว

ก็ขอบคุณเป็นไปตามธรรม ความต้องการตรงกันแต่มันยังเป็นไปไม่ได้ ถ้าอย่างนี้ไปถึง 151 ปีอาตมาไม่มีปัญหา จะๆไปจนถึง 151 ปีก็ไม่มีปัญหา ใช้ทำงานได้ไม่ทรมานอะไร ก็รู้ว่าการไม่ไอดีกว่า อาตมาหยวนให้มันบ้าง

 

_ทำไมต้องตั้งตบะคะ

พ่อครูว่า...ตบะ คือสิ่งที่เราตั้งขึ้นเพื่อจะทำตามมันให้ได้ สิ่งใดที่เราควรจะได้และควรจะเป็น มันดี เราพิจารณาเป็นสิ่งดี เราก็ต้องตั้งตบะ ว่าเราจะทำอันนี้ให้ได้เป็นอันนี้ให้ได้ มันก็เป็นสิ่งดี เราก็ต้องทำให้ได้ก็ตั้ง หากไม่ตั้งก็ไม่ได้ เราเห็นว่าดีควรได้ก็ต้องตั้ง ไม่ว่าจะยากเราก็ควรทำจึงเรียกว่า ตบะ

 

 

_คนที่เกิดมาได้รับวิบากเรื่องของสมองผิดปกติ สมองเหมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน ทื่อๆทึบๆ คิดอะไรไม่ออกคุยกับใครไม่ได้ สิ่งที่แถมคือความซึมเศร้าเจ้าทุกข์ทรมานมาก อยากทราบว่าวิบากชนิดนี้ผิดศีลในข้อใด หรือฤาษีเก่ามาเกิด

พ่อครูว่า...ผสมผเส ทั้งฤาษีเก่า และไม่เข้าใจทิศทางที่จะไม่ดื้อ และมาว่องไวผ่องใสอย่างนี้ อาตมาอธิบายให้ฟัง แต่ไม่ฟังอาตมาก็เลยไปชอบแบบทื่อๆก็จมอีกนาน ชอบแบบนั้นเองก็เป็นแบบนั้น ถ้าเราคิดว่าควรจะเปลี่ยนแปลงก็มาเป็นไป

 

_เคยฟังในยูทูป ว่า ในกลียุค จะไม่มีกุศล หยิบอะไรขึ้นมาก็จะเป็นอาวุธฆ่ากัน ไม่มีความเป็นพี่เป็นน้อง อยากถามว่า มันจะเกิดขึ้นจริง ฟังแล้วก็ดูน่ากลัว ถ้าเราไม่อยากไปเกิดในยุคเช่นนั้นเราต้องปฏิบัติให้ศีลดี เหมือนพ่อครูว่า พ่อครูเป็นคนมีสมาธิดีที่สุด เราสามารถจะไม่เกิดในยุคนั้นได้

พ่อครูว่า...รีบปฏิบัติตน ใช่

 

_ตัวอย่างที่ดีมีค่ายิ่งกว่าคำสอนใช่ไหม ถ้าพี่มาฟังธรรม น้องก็มาฟังธรรม ถ้าผู้ใหญ่มาฟังพระ เด็กก็มาฟังธรรมใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...ใช่ เด็กเข้าใจพูดนะนี่ พูดคือคำว่าผู้ใหญ่ เด็กฉลาดใช้ภาษา ซื่อๆ

 

_ทำไมพ่อครูผิวพรรณดีขึ้นมากจุดฝ้าหายไป

พ่อครูว่า...เพราะอาตมาสร้างพลังงานใหม่ขึ้นมา ช่วยไม่ได้ที่จะสวยขึ้น พูดเป็นเชิงกลางๆ หล่อก็ได้

 

_เมื่อไหร่ท่านยุทธจะลงจากดอยคะ

พ่อครูว่า...ก็ไปถามท่าน บังคับกันไม่ได้

 

_ทำไมเด็กๆต้องรักษาศีล 5 คะ

พ่อครูว่า...อย่าว่าแต่เด็กๆเลย ผู้ใหญ่ก็รักษาศีล 5 เพราะศีล 5 ผู้ใดปฏิบัติได้แล้วชื่อว่าเป็นมนุษย์ ถ้ายังไม่ได้ศีล 5 บริสุทธิ์บริบูรณ์ ท่านถือว่ายังมีความเป็นสัตว์ เอาไหมล่ะ

 

_พ่อครูถูกหิ้วปีกที่ภูผาฟ้าน้ำ ตอนนั้นป่วยเป็นอะไรคะ

พ่อครูว่า...บอกเป็นชื่อโรคไม่ได้ ป่วยเป็นอ่อนแรง ปวดเมื่อยร่างกายจนช่วยตัวเองไม่ได้คนอื่นต้องมาช่วย หิ้วปีก ไม่ได้มีโรคอะไรมากมาย มันเกิดความไม่สมดุล กับพลังงาน ไม่สมดุลกับร่างกายสรีระส่วนกล้ามเนื้อเสื่อมอ่อนแอ ช่วงนั้นก็เลยแก้ด้วยใช้ยา พักผ่อน รักษาได้มันก็กลับคืนขึ้นมา เป็นธรรมดาเกิดแก่เจ็บตาย เจ็บคือเจ็บป่วยแทรกในร่างกาย อธิบายอย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้ เป็นเรื่องอจินไตย คิดอย่างไรทั้งหมดไม่ได้ จะมีข้อสงสัยตลอด ทำไมต้องเกิด ทำไมต้องเจ็บ ทำไมต้องแก่ เป็นเรื่องของธรรมชาติ สรุปแล้วเกิดแก่เจ็บตายมันมีสภาพของคนที่จะเกิดมา แม้แต่วัตถุก็ตาม แต่มันไม่ทุกข์ไม่สุข แต่คนมีความทุกข์ความสุข พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าถ้าอยากไม่ทุกข์ไม่สุข ก็ต้องเลิกมีชีวิตร่างกายที่เป็นตัวตน ที่จะต้องเกิดอีก ก็สลายอัตภาพนี้มันก็ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย

แต่อรหันต์นี้ไม่เกิดแก่เจ็บตายได้คือกิเลส พลังงานกิเลสไม่เกิดแก่เจ็บตายแล้ว สูญอย่างเที่ยง พิสูจน์ได้ตอนเป็นๆพิสูจน์ได้ในอาการจิต อาการทุกข์อาการกิเลสไม่มีแล้ว ตอนเป็นๆนี่แหละ

 

 

_พ่อครูตอบ สุทธิชัย หยุ่น ว่าบรรลุเป้าหมายของงานแล้ว แต่ว่าพ่อครูเห็นความเป็นไปได้ของอรหันต์ 9 รูปใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...อาตมาไม่ได้นึกถึงตรงนี้ ไม่ได้นับทั้งหมดไม่ได้ตรวจสอบทั้งหมด อรหันต์ตอนเป็นๆก็มีตอนนี้แต่ไม่พูด พูดแล้วเขาจะเพ่งเล็ง อรหันต์นี้ จริงๆแล้วอรหันต์ก็ยังมีความบกพร่อง อรหันต์ผิดไม่ได้ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นจึงยังไม่อยากจะบอก แต่จิตที่เป็นอรหันต์คือจิตที่หมดทุกข์หมดกิเลส อันนั้นรู้ได้ด้วยตนเป็นสำคัญ นอกจากเป็นอรหันต์แล้ว อนุโลมคนอื่น คนอื่นเข้าใจท่านไม่ได้ ท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น ด้วยจิต แต่ท่านทำเพื่อช่วยคนอื่น เขาก็หาว่าท่านละเมิด แต่ท่านอนุโลมคนอื่น มันก็ยากจะบอก แต่จริงหรือไม่ก็ สุทธิอสุทธิปัจจัตตัง พระอรหันต์จริงใจกับความบริสุทธิ์ของตัวเอง ถ้าท่านโกหกตัวเอง ท่านก็มีวิบากของตัวเองท่านก็ไม่ใช่อรหันต์ จริง จะไปโกหกคนอื่นว่าอรหันต์ กรรมเป็มอันทำ ท่านก็ซวยอีก อยากจะซวยก็เชิญ อรหันต์หน้าโง่อรหันต์เก๊

ถ้าท่านคิดว่าท่านเป็น ถ้าเป็นจริง ก็เป็น แต่ถ้าไม่เป็นก็มีวิบากซ้อนซ้ำ แล้วที่่หลงอยู่ก็โง่ไง วิบากอกุศลก็มี

 

_เวลาเราเหนื่อยและท้อมีคนมาพูดบั่นทอนกำลังใจจะทำอย่างไรคะ

พ่อครูว่า...สิ่งนั้นเป็นเครื่องทดสอบเรา อย่างน้อยทดสอบให้เราวางอย่าไปถือสา แก้ไขที่เขาก็ไม่ได้ แก้ไขที่เราก็ไม่ได้ ก็วาง เราก็ช่วยตัวเราเองไม่ได้มันยังไม่ถึงเขต แก้ไขเขาก็ยิ่งแก้ไม่ได้ เราเองยังแก้ของเราไม่ได้ ก็แก้ของเราก่อน เราจึงจะสามารถแก้ไขคนอื่นได้ เราเองรอดแล้ว พ้นแล้ววิมุติแล้ว

 

_ทำไมเวลาฟังธรรม ต้องจดประเด็นด้วยคะ

พ่อครูว่า...ถ้าจดไว้ จำไม่ได้ก็จะเอามาใช้ประโยชน์ได้ ถ้าจำไม่ได้ก็ลืม เอามาใช้ไม่ได้

เพราะคุรุให้จด ก็เป็นประโยชน์จะไปขัดแย้งทำไม สิ่งที่ดีทั้งนั้นที่ครูให้จด เราขัดแย้งไม่อยากจดก็เลยเอามาฟ้อง

 

_สมณะอายุเยอะแล้วหลายรูปป่วยก็หลายรูป มรณภาพก็มีแล้ว อนาคตจะมีสมณะเพิ่มไหมคะ

พ่อครูว่า...ปัญหาจะน้อยลงๆ แต่ตอนนี้ยังไม่มีคนนิยมค่านิยมยังไม่ขึ้น สมณะก็เลยยังไม่เพิ่ม แต่เมื่อค่านิยมเพิ่ม คนนิยมเพิ่มสมณะจะเพิ่ม อาตมาเชื่อว่าสมณะเราไม่ตายหมดหรอก และค่านิยมกำลังเพิ่มก็ตอบได้อย่างมั่นใจว่า ค่านิยมโลกกำลังโน้มเอนมาทางนี้ แม้สมณะก็สั่งสมวิชาอายุยืน จะอายุยืนได้กว่าปกติ อาตมาพาทำด้วย อัตราก้าวหน้าจะทำทัน จนกว่าองค์รวมทั้งหมด ถึงวาระที่ไป

ตอบอีกที ศาสนาพุทธที่ถูกต้องแท้จริงจะเจริญไปถึงขีด นับตั้งแต่อาตมาทำงานไปจนถึง 500 ปีถึงที่สุด peakสุด แล้วก็ค่อยลดลง การขึ้นนี้มีพลังงานสูงของคนเจริญ ก็ทำองศาให้สูงระยะทางก็สั้นแต่ได้แล้วจะเสื่อมคนจะรักษามันจะยาวกว่า ตามรูปร่างสามเหลี่ยมที่อาตมาใช้เป็นโลโก้ของบริษัทเดินหน้าฝ่ามหาสมุทร

 

_ตึกขาวอนาคตจะมีลิฟต์ไหมคะ

พ่อครู...อนาคตตอบไม่ได้ เพราะมันคด ยังไม่รู้ อะไรกันอายุแค่นี้ก็ขึ้นไม่ได้แล้วหรือ สามชั้นเอง มันจำเป็นจะต้องใช้ลิฟท์หรือ

 

_สมณะทุกพุทธสถานมีกี่องค์ สิกขมาตุมีกี่องค์

พ่อครูว่า...สมณะ 88 สิกขมาตุ 22 รูป

 

_การนั่งสมาธิที่ถูกต้องเป็นอย่างไรคะ มีประโยชน์อย่างไรปฏิบัติดีหรือไม่

พ่อครูว่า...ไม่ต้องไปสนใจหรอก  ไม่ต้องไปปฏิบัติก็ได้ การนั่งสมาธิ ก็ต้องอธิบายสมาธินั่งว่าเป็นอย่างไร ถ้าถามว่าสมาธิเป็นอย่างไรก็ต้องอธิบายสมาธิที่ไม่ต้องนั่ง

การนั่งสมาธิแล้วก็นิ่งให้ได้ทุกสัดส่วน กายก็ไม่ขยับ ทุกอย่างไม่ขยับจิตก็นิ่งหมดให้นานที่สุด เขาถือว่าดี

ส่วนสมาธิที่ไม่นั่งคือจิตทำธรรมะ 2 ให้เป็นหนึ่งให้ได้ ไม่เกิดการวุ่นวายปรุงแต่ง เรียนรู้ทำเป็น 1แล้วทำให้ 0 ถ้ายังไม่ตายก็ใช้ 1 ทำงานไป ที่เป็นประโยชน์ไป แต่คนนั้นทำให้สูญได้ ถึงเวลาจะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ให้สูญได้ ถ้ายังไม่ทำก็ยังมี 1 ทำงานตลอด

 

_คนเราปัจจุบันมองศาสนาในด้านใด ดีหรือไม่

พ่อครู..ก็ต้องมองสิ มีหลายศาสนามีหลายความเข้าใจเราก็ต้องตัดสินเองเป็นอิสระเสรีภาพ เลือกเอา ตัดสินผิดก็เสียเวลาตัดสินถูกก็ไปได้เร็ว เรารับผิดชอบเอง

 

_การที่เรามีความรู้มากแต่เอาตัวไม่รอด ดีหรือเปล่าคะ

พ่อครูว่า..ไม่ดี รู้มากยากนาน เอาตัวไม่รอดคือทุกข์ทรมานไม่ดี จะไปเป็นทำไม

 

_บอกได้ไหมว่าหลวงปู่เคยเกิดเป็นอะไรบ้าง

พ่อครูว่า...บอกไม่ได้เกิดมาเป็นล้านล้านอย่างแล้ว บางอย่างจำได้ก็บอกไปบ้างแล้ว ติดตามไปจากค่อยๆรู้ไปเอง

 

_พ่อท่านวิดพื้นรู้สึกเหนื่อยไหมคะ ฝืนมากไหมคะ ไม่ฝืนทำได้สบายๆ แอบทำตามอยู่นะคะ

พ่อครูว่า...ตอนนี้ตอนเช้าวิดพื้น 45 ครั้งแล้วก็ยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ รู้สึกว่ามันใช้แรงบ้างเหนื่อยนิดหน่อยแต่ไม่หอบ ก็คิดว่าจะเอา 50 ครั้งเป็นเกณฑ์ แล้วจะเพิ่มส่วนของร่างกายเข้าไปอีก ทำน้ำหนักให้มากขึ้นด้วยตัวเอง แล้วค่อยๆเพิ่มจนได้สัดส่วน ไม่ยาก ทำได้

 

_คนเรานับถือศาสนาได้ทีละกี่ศาสนา

พ่อครูว่า...นับถือได้ทีละศาสนา แต่ละอันก็มีแกนของเขา ถ้าหลายอันก็จะสับสน

 

_ถ้าเราใช้พลังงานมากเกินไป เช่น ทำงานนอกมากเกินไปก็จะไม่มีกำลังตัดกิเลส ถูกไหมคะเราต้องจัดสมดุลระหว่างงานนอกกับงานในใช่ไหมคะให้สมดุล คือถ้าเกิดว่า เราก็ต้องลดงานลงนิดนึงเพื่อให้ดูกิเลสทัน

พ่อครูว่า...ระวัง ตัวขี้เกียจจะออเซาะหลอกว่างานมากไป พระพุทธเจ้าบอกว่าตั้งตนบนความลำบากกุศลธรรมเจริญ

 

_สังคมไทยต่อไปจะเป็นสังคมแห่งผู้สูงอายุ

พ่อครูว่า...เรื่องที่จะต้องมาถ่วงจะน้อยกว่าเรื่องเจริญ เราทำความรู้นำความจริง จะไม่ทำเลอะเทอะ จะได้สัดส่วนดี ความรู้จะรวมความสมดุล ไม่ทุกข์ พอเหมาะพอดี แม้จะเพิ่มขึ้น ตั้งตนบนความลำบากจะไม่เวอร์ เราวัดไม่ได้จะเปลี่ยนไปมาแต่ดูแล้วไม่ต้องห่วงพวกเราช่วยกันดูแลอยู่แล้ว

 

_ถ้าเราเจอคนไม่ดีแล้วต้องอยู่กับเขาจะทำอย่างไรไม่ให้มีปัญหากัน

พ่อครูว่า...ปัญหานี้ถามกันซ้ำซาก เราอยู่ในนี้เราได้คัดเลือกคนที่ดีพอ ในเบื้องต้นมีฐานอยู่แล้ว อยู่ในนี้อย่างไรเราก็อยู่ได้เลยไม่ต้องมีอะไรมาก ผู้ที่ดูแลว่าคนที่ไม่ควรอยู่ในนี้ มีการประพฤติที่ต่ำกว่าเกณฑ์ คนอยู่ในนี้แม้เราจะสูงแล้ว ก็จะมีอัตตามานะ ก็ไม่เป็นไรก็ปล่อยเขา คนที่ต่ำกว่าเราก็อย่าไปอะไรกับเขา เราก็ทำตัวเองให้สูงขึ้นก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าเรามีอัตตามานะ ข่มคนที่แย่กว่าเรา เราเองมีปัญญาแล้วก็ไม่เกิดปัญหา

 

_ชาวอโศกจะอยู่ไปได้นานเท่าไหร่ แล้วอะไรเป็นสิ่งสำคัญให้ชาวอโศกอยู่ต่อไป

พ่อครูว่า...คำถามเหล่านี้ซับซ้อน มีสภาพวนในตัวแต่เจาะลึกในตัว จะอยู่ไปได้นานเท่าไหร่ อยู่ไปได้นานเท่ามันหมดเหตุปัจจัย หมดเหตุปัจจัยก็อยู่ต่อไม่ได้ ความรู้เป็นสิ่งสำคัญให้อยู่ต่อไป เรารู้แล้วก็จะสร้างสภาพให้เจริญต่อไป เช่นหลวงปู่กำลังบอกว่าให้สร้างพลังงานนามธรรมในจิตที่เป็นสัมประสิทธิ์ Coefficient พลังงานจะช่วยนำหน้าแต่มันมีขีดจำกัด มันไปเกินไม่ได้ เมื่อไปเกินไม่ได้มันก็ลดตัวมันเองไม่ต้องไปกลัวมาก ใจเราอยากให้ไปได้มากกว่านั้นแต่หมดเหตุปัจจัยก็ไปได้เท่านั้น จิตคนที่จะต่อไปอีกไม่จบก็มีตลอดไม่จบ มีสัมประสิทธิ์ตลอด หากหมดเหตุปัจจัยแล้วก็จบ

สมมุติว่า เราอยากให้ศาสนาพุทธอยู่เกินกว่า 5,000 แต่มันเป็นไปไม่ได้ถ้าเหตุปัจจัยมันครบก็จบ พลังงานสัมประสิทธิ์นั้นมันหมดก็ต้องจบ อยากให้เกินอย่างไรก็ไม่ได้ มันหมดเหตุปัจจัย

 

_ทำไมคนเราต้องตัดสินคนด้วยภายนอก ทั้งๆที่เขายังไม่รู้จักจิตใจข้างในของเรา

พ่อครูว่า...ก็เพราะเขาไม่รู้ เลยตัดสินอย่างนั้น เราอย่าไปถือสาเขา เรารู้ว่าใจของเราดีจริงหรือไม่

 

_ฟังเพลงพญาแร้งว่า เริ่มชราอ่อนแรง

พ่อครูว่า...อาการเจ็บ คือ ความบกพร่อง จะเป็นอุปัทวเหตุ มันก็ต้องมีในชีวิต อันนั้นมันเป็นอย่างสั้นหรือยาวก็ได้ พญาแร้งก็ตามพระพุทธเจ้าก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านเก่งกว่า ก็ไม่ต้องให้คนมาประคองเหมือนพญาแร้งเท่านั้นเอง

 

_ชาวพุทธที่เรียกตัวเองว่านักปฏิบัติธรรมหรือพระที่หลงยึดตัวตนว่าเป็นพระกรรมฐาน พระปฏิบัติธรรม แต่ล้วนแล้วไม่ได้เห็นความสำคัญของปฏิจจสมุปบาทกันเท่าที่ควร เอาแต่หลับตาทำสมาธิหลงในภพยึดกับสิ่งที่ทำอยู่ ก็ทำแบบนี้ไม่บรรลุธรรมเด็ดขาด

พ่อครูว่า...ถูกต้องตามที่คนนี้เขียนมาพิพากษาเลย ถูกต้อง เพราะคนนี้ไม่มีความรู้ในปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้จักสายแห่งธรรมะพุทธเจ้าคือปฏิจจสมุปบาท สำคัญมาก ไปอยู่ในอวิชชาข้อที่ 8 คือสิ่งที่ควรจะต้องรู้ 8 ข้อแต่เขาไม่รู้ก็เป็นอวิชชา

อวิชชาในอรหันต์ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อดีต อนาคต อดีตและอนาคต ปฏิจจสมุปบาท ถ้าไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท ก็ไม่มีทางเลย สังขารมันก็ปรุงแต่ง จนกระทั่งคุณต้องมีความรู้อภิสังขาร ทำการปรุงแต่งเหมือนกันแต่ปรุงแต่งทำให้มันลดกิเลส จะรู้จักกิเลสได้ต้องรู้จักปฏิจจสมุปบาททั้งสาย ท่านย่อไว้ครบแล้ว หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่ง คุณปฏิบัติธรรมไม่ได้ไม่บรรลุอรหันต์

 

_คนดีไม่มีวันตายจริงไหมคะ

พ่อครูว่า...จริง แม้แต่ คนดีที่จริงที่สุดอย่างพระพุทธเจ้าก็ไม่มีวันตาย นิรันดร พ่อท่านยึดถือความดีแล้วท่านก็มีดีจริงๆไม่มีวันตายนิรันดร แต่อรหันต์นี้มีวันตายสูญเลิกเลย ไม่ยึดดียึดชั่วแล้วจบสูญเลย เลือกเอา ดีไม่มีวันตายหรือจะสูญได้จากดีจากชั่ว คนมีปัญญาก็เลือกเอา ศาสนาพุทธสามารถพิสูจน์ดีที่สุด ในศาสนาพุทธมีเรื่องของจิตวิญญาณ สิ่งที่ดีที่สุดของจิตวิญญาณ คือ

1. อิสระเสรีภาพ 2. ความไม่มีตัวตน สลายอัตภาพได้ นี่คือความดีสูงสุด

ในสายของพระเจ้าไม่เป็นอิสระเสรีภาพที่ยังเป็นทาสของพระเจ้า สายเทวนิยมยังเป็นทาสของพระเจ้า แต่สายของพุทธนี้พึ่งตัวเองไม่พึ่งพระเจ้า ไม่ดูถูกพระเจ้าแต่เราไม่อยู่ในกรอบเทพเจ้าจะมาสั่ง เราบงการตัวเองได้สูงสุด แม้ว่าพระเจ้าจะไม่สลายตัวเองได้แต่เราเองสลายตัวเองได้ พระเจ้าดีที่สุด สำคัญที่สุดดีที่สุดตัวนั้นพิสูจน์ได้กับคนอื่นด้วยนี่คือของศาสนาพุทธ แม้ของพระเจ้าดีที่สุดสูงที่สุดของพระเจ้านั้นไม่สามารถพิสูจน์กับคนที่สองได้ แม้แต่พระบุตรก็ตอบได้เท่านั้น ถ้าใครซักถามเกินกว่านั้นพระบุตรก็ตอบไม่ได้ ได้แต่ฟังพระเจ้ามาบอกคนอื่นเป็นประกาศก พระบุตรนี่

 

_ถ้าโลกนี้ไม่มีผีแล้วคนที่โดนผีเข้าคืออย่างไร ทั้งๆที่ เรารู้ว่าคนคนนั้นนิสัยเป็นอย่างไร แต่พอโดนผีเข้าก็กลายเป็นคนละคน ทั้งหน้าตาเสียงและคำพูดจา

พ่อครูว่า...ตกลงคนที่โดนผีเข้านี้ไม่มีผีเข้าหรอกแต่เป็นจิตของเขาเองเขายึดถือเองเป็นเองไม่รู้เองจิตใจเขาเป็นเองผีนั่นคือตัวเขาเอง ไม่มีผีเข้าตัวเขาหรอกแต่เขาไม่ได้เรียนรู้ว่าจิตใจเขาเป็นอย่างนี้ ก็ต้องศึกษาความเป็นอย่างนี้ให้รู้ตัวให้หมด ถ้าเรารู้ตัวฝึกสติฝึกความรู้ตัว ให้ไม่มีความไม่รู้ตัว อันนี้ก็ต้องได้แก่ตัวเอง อาตมาเคยไปเล่นไสยศาสตร์เข้าทรง คนเขาจะบอกว่าทำได้เก่ง คนเขาเข้าทรงแล้วลืมตัวสนิท เป็นอะไรได้อีกเยอะแยะมีฤทธิ์เดชมากมาย อาตมาก็อยากจะเป็นตอนนั้นที่เล่นไสยศาสตร์ จะพิสูจน์อย่างไรอาตมาก็ไม่เคยลืมตัว ก็ยังรู้ว่ามีตัวเราอยู่ เพราะฉะนั้นก็เลยรู้ดีรู้ชั่ว ถ้าเขาจะให้ทำชั่วจริงๆจึงไม่เอา

คนที่ยังไม่รู้ตัวก็คือยังไม่พ้นอัตตา ไม่รู้ตัว ตัวนี่คืออัตตา หากคุณรู้ตัวถ้วนทั่วตลอดเวลา พระพุทธเจ้าสอน โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ให้ดูให้หมด จะไม่มีเวลาไม่รู้ตัวจะมีสติเป็นอธิปไตยเป็นใหญ่ แล้วเหนือกว่าได้อีกก็จบ

 

_หลวงปู่เคยเป็นพระสารีบุตรเป็นพ่อขุนรามคำแหง และคนสำคัญมาตลอดที่ทำงานในเส้นทางโลกุตระ ส่วนคนที่ทำไม่ดี โกงกินบ้านเมืองเดินเส้นทางโลกีย์ นั้นน่าจะเป็นเดรัจฉานเปรตอสุรกายหรือมนุษย์ ต้องใช้วิบากกรรมนานแค่ไหน

พ่อครูว่า..นับไม่ได้หรอก เขาทำเหตุปัจจัยมากก็ต้องนาน

 

_ก่อนพ่อของตนเสียชีวิต ได้เคยอ่านหนังสือพ่อท่านและเกิดศรัทธา และบอกไว้ก่อนตายว่า มีคนที่ดีที่สุดในประเทศไทย 2 คนคือพ่อท่านกับในหลวง พูดก่อนจะเสียชีวิต 2558 ได้สั่งเสียลูกไว้ให้ปฏิบัติ ลูกได้ปฏิบัติธรรมตามมา แสดงว่าประสบความสำเร็จหรือไม่

พ่อครูว่า...ก็เชื่ออันนี้ทำสำเร็จก็ดีแล้ว

 

_ดูแล...สมมุติว่า พุทธบริษัท 4 ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปจะเกิดอะไรขึ้นคะ

พ่อครูว่า...พุทธบริษัท 4 มี ที่เป็นพระอาริยบุคคลทั้งนั้น มีฆราวาสหญิงฆราวาสชายนักบวชหญิงนักบวชชาย เป็นพุทธบริษัท 4 ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะไม่สมบูรณ์ สมมุติว่าขาดสมณะนักบวช หรือขาดฆราวาส ที่เป็นพระอาริยะชายอาริยะหญิง ขาดอันใดคือความสนิทสนม ความคิดจะชิดใกล้ ความคิดจะเป็นกันเองเป็นหนึ่งเดียว ผู้หญิงกับผู้หญิงผู้ชายกับผู้ชาย มันจะเข้ากันได้สนิทเนียนกว่า เพราะฉะนั้นถ้าขาดอันใดอันหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาสก็จะพร่องไป เพราะฉะนั้นความเสื่อมที่ไม่ครบสมบูรณ์ ในองค์ประกอบ ควรจะเป็น 4 มันก็ต้องแหว่งไปแน่ จะให้บอกว่าอะไรใช้เวลาเท่าไหร่ก็ไม่ได้ต้องตามเหตุปัจจัยที่มันเป็นจริง ที่มันขาดอะไรที่มันควร เหตุปัจจัยที่จะต้องใช้ในองค์ประกอบ ไม่ได้เอาแต่แค่คน คนจะไม่เกี่ยวกับดินน้ำลมไฟสิ่งแวดล้อมไม่ได้ เพราะประกอบกับเหตุปัจจัยที่เอื้อเฟื้อทั้งนั้น แต่อะไรมันบกพร่องเราจะไปรู้รายละเอียดได้อย่างไร ก็ตอบได้คำเดียวว่า ตามเหตุปัจจัย ต้องใช้ตามเหตุปัจจัยในปัจจุบันนั้น เราตอบแทนปัจจุบันนั้นไม่ได้เพราะมันยังมาไม่ถึง ปัจจุบันนั้นยังเป็นอนาคตอยู่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จะจัดการความไม่ชอบคนเสแสร้งได้อย่างไร

_สมมติเจอคนเสแสร้งแกล้งทำเราจะเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ ไม่พอใจ เพราะมันเป็นพฤติกรรมที่จอมปลอมของเขา เราจะจัดการความรู้สึกแบบนี้อย่างไร

พ่อครูว่า...เราก็ยกให้เป็นเรื่องของเขา เรามองว่าเป็นการเสแสร้งเราก็วางใจ วางที่ใจเรา กรรมเป็นของเขา เขาจะเสแสร้ง แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้เสแสร้ง อาจจะอนุโลม หรือสร้างภาพ มันเป็นเรื่องของใครของมัน สรุปแล้ว ถูกก็ได้ผิดก็ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะถูก แล้วเขาเองเสแสร้ง มันก็เป็นการอนุโลม แต่เราเรียกว่าภาษาเสแสร้ง เขาอนุโลมให้ ข้อสำคัญ เขาเสแสร้งสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ถ้าเสแสร้งสิ่งที่ดีก็ทำให้ตลอดนิรันดรเลย สิ่งที่ใครๆก็ยอมรับว่าดีก็ให้เสแสร้งไปเลย แม้จะทำไม่ได้ตามจริง จะทำให้เหมือนกับเสแสร้งก็ทำไปสิ มันไม่เสียหายอะไร เราทำสิ่งที่ดีข้างนอกแล้วก็ทำไป ส่วนใจเรานั้นมันยังไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ขยายความยาก ถ้าเราทำไปมากๆมันก็จะได้ลงตัวมันก็จบ เพราะฉะนั้นถามมานี่มันไม่เป็นตลอดหรอก

คุณเสแสร้งทำดีตลอด อย่างน้อยที่สุดคุณก็ชำนาญเหมือนเป็นอัตโนมัติ ได้เองเลย แต่มันอาจจะยังไม่บริบูรณ์ เวียนกลับได้ เพราะมันไม่เป็นอัตโนมัติ แต่ถ้าทำได้ทั้งปัญญาและเจโต ก็จะได้ครบ

 

_สมณะแด่ธรรม...ย้อนอดีตนิดนึงครับ...ช่วงตีสองที่พ่อครูจะเข้าห้องน้ำตอนนั้นได้บรรลุธรรม อยากทราบอารมณ์บรรยากาศพ่อครูทำอะไร

พ่อครูว่า...อาตมาเป็นนักปฏิบัติธรรมนอนอยู่ในห้องพระ อาตมาปวดปัสสาวะก็ลุกไปปัสสาวะ มันก็เกิดความรู้ขึ้นมา อ๋อก็จบ ก็ตามที่บันทึกไว้นั่นแหละ เป็นอารมณ์อจินไตยของผู้ที่รู้อย่างนั้น จะให้ผมตอบอย่างไร ผมตอบไม่ได้ ผมตอบได้ว่ามันบรรลุ ก็อย่างที่พูดไว้ มันก็สว่างรู้ เหมือนคนไม่มีอะไรที่จะไม่รู้ ชัดเจน ที่ว่าเรารู้สึกอันนั้นจะจริงไหม เป็นความรู้สึกของผู้ที่บรรลุแล้วมันไม่มีอะไรที่จะรู้จบ รู้จบนี้รู้ตลอด ไม่มีอะไรที่จะไม่รู้ มันจะเกิดอาการอย่างนั้นสำหรับคนที่มีอาการอย่างนั้น บางทีความรู้สึกอย่างนั้นเกิดได้ พระโสดาบันก็เกิด พระสกิทาคามีก็เกิดได้ พระอนาคามีก็เกิด พระอรหันต์ก็เกิดได้ แม้แต่เป็นพระโพธิสัตว์แล้วก็จะเผลอเกิดได้ในบางจุดแต่รอบต่างกัน ตอบได้แค่นี้ อยากรู้ ปฏิบัติตามไปจะได้คำตอบ แม้ว่าเรารู้ของเราเองแล้วเราไม่อาจจะบอกคนอื่นได้เหมือนอย่างอาตมาเป็นก็ได้ จึงได้ยากไม่รู้จะตอบอย่างไร ทำให้มันถึงก็แล้วกัน

 

_หนึ่งพุทธว่า...พ่อครูตั้งจิตจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป ท่านคิดอย่างนี้ได้อย่างไร

พ่อครูว่า...ไม่มีใครห้ามก็ตั้งได้ คุณตั้งใจจะเดินไปทางนี้ตั้งได้ไหม ก็ได้ เรื่องง่ายๆแค่นั้น ก็ทำให้มันได้ก็แล้ว เหมือนกับตั้งจิตว่าจะเดินไปในทางนี้ ความตั้งจิตก็เป็นอย่างนั้น แต่จะทำให้ได้อย่างนั้นหรือไม่ก็อีกอย่างนึง เราจะเดินไป 151 ปีหรือไม่ ถ้าได้ก็ได้ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้ มันก็ได้แค่นี้ ตั้งใจจะเดินไปเท่านี้คุณจะไปได้ไหม ถ้าคุณไปไม่ได้ก็ได้แค่ตั้งไว้ ขาเราหักอ่อนแอไป ต้องต่อเนื่องและพยายาม พระพุทธเจ้าถึงจบด้วยความพยายามความสำเร็จอยู่ที่ความพยายาม ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น เอาแรงจูงใจอย่าเอาแรงท้อใจ มันมีตัวอย่างอยู่ มันโชคดีตรงนี้ ถ้าไม่มีตัวอย่างคงตอบไม่ได้ แต่ผู้ที่เกิดมาไม่มีตัวอย่าง ท่านจะมีของตัวเอง ท่านจะไม่ถามคำถามอย่างที่คุณถาม พูดอย่างนี้ทำอย่างนี้เสียเหลี่ยมลูกกำนันหมด ท่านจะไม่พูด ถ้าเราทำได้แล้วเราก็ค่อยพูด ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ค่อยพูด เขาถามมาเราก็บอกว่ายังไม่ได้ เราก็ไม่ผิด

 

_หลวงปู่ สามารถหายจากโรคที่เป็นอยู่ได้ไหมคะ ขอให้หลวงปู่หายไวๆนะคะ

พ่อครูว่า….ได้ นี่ตอบความจริงนะ หายไปจากโลกได้ อรหันต์ทุกองค์ทำตายสูญได้ แต่ถ้าท่านไม่ทำก็อยู่ต่อ พ้นจากไตรลักษณ์ได้

 

_วิหารพันปีอยู่ถึงพันปีได้ไหม

ตอบ...ตอบไม่ได้

จบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:49:19 )

610810

รายละเอียด

610810  สัมโภคกายคือบริโภคอุปาทานร่วมกัน

ที่สันติอโศก พ่อครูสนทนากับปัจฉายามเช้า 10 ..2561

พ่อครู  : วิชาการเขา อธิบายให้ฟัง บอกว่าอธิบายให้ฟัง ไม่ได้ว่าหรอก บอกว่าอันนี้ นี่มันมีผลต่อคนที่ยังมีอุปาทาน  คนที่มีอุปาทานด้วยกันก็ทำแล้วมันก็รับกัน เพราะว่าคนที่ยังมีอุปทาน ยังมีกาย ยังมีนิรมาณกาย สัมโภคกาย ยังมีอทิสสมานกายกันอยู่ทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่ได้อธิบายกาย 3 หรอก  อธิบายแกก็ยังไม่รู้เรื่องหรอก แล้วบอกว่าเขา คนที่มีอุปาทานด้วยกัน มันก็จะตอบรับกัน มีผลต่อกันได้ แต่อาตมาเป็นคนไม่มีอุปาทานแล้ว รู้ชัดเจนหมดแล้ว เพราะนั้นมันไม่ผลอะไรหรอก  แต่อยากให้คุณพิสูจน์ มาทำเถิด ทำ แล้วมันก็ไม่ได้ผลต่อคนที่ไม่ได้ผล แต่คนที่ได้ผล คุณก็มีมาแล้วเนี่ย ได้ผล คนที่ได้ผลก็ได้ผล ก็ไม่มีปัญหาอะไร  คนที่ได้ผลก็ได้ผล

.แสนดิน       : ใช่ เพราะว่าคนที่ได้ผล คือคนที่เชื่อ

พ่อครู         :   ใช่ คนที่เชื่อ คนที่รับต่อกัน นิรมาณกาย คือกายที่มันยังมีอยู่เอง ของแต่ละคนยังมีอัตตา อัตตาตนเอง สร้าง ทีนี้สร้างมาแล้ว ก็สร้างมาตรงกัน รับกันได้ก็มีผลต่อกันเรียกว่า สัมโภคกาย เรียกว่าบริโภคร่วมกัน ก็ได้ผลต่อกัน จริงๆแล้วต่างคนต่างไม่เห็นหรอก เหมือนพระเจ้า ไม่มีตัวตน ไม่มี ไม่เห็น แต่มี แต่ก็มี อทิสสมานกาย ต่างคนต่างไม่เห็นหรอก มันไม่ได้สัมผัสกัน

. ดินไท    ต่างคนเขาเรียกอุปาทานหมู่

พ่อครู          : อุปาทานหมู่ นั่นแหละ อุปาทานหมู่ อุปาทานด้วยกัน แล้วก็อุปาทาน ผู้ที่มีอุปาทาน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกามุปาทาน คุณก็อร่อยด้วยกัน โอ้โฮ.. ต่างคนต่างรสนิยมเดียวกันอะไรเงี้ย โอ้ แหม.. ตำบักหุ่งชามนี้ โอ้โห.. รส ปุบปับๆๆ แหม ..อร่อยไหม ... อร่อยๆ ๆ ด้วยกันเลย

. ดินไท      : แต่มันสามารถช่วยให้รักษาโรค

พ่อครู         :  ได้ อะไรก็ได้ทั้งนั้น รักษาโรคก็ได้ อะไรก็ได้ทั้งนั้น

. ดินไท      : ให้กำลังใจ ให้พลัง

พ่อครู          : เพราะงั้นจะมีกามุปาทานก็ด้วยกัน ทิฎฐุปาทานก็ด้วยกัน สีลพพตุปาทานก็ด้วยกัน อัตตวาทุปาทานก็ด้วยกันหมดแหละ มีอุปาทานด้วยกันหมด ความเห็นอย่างเดียวกัน ทิฎฐุปาทาน ที่ทำโน่นนี่นั่นเหมือนกัน สีลพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน พูดไปด้วยกันเลย อองลองๆ  ไปด้วยกัน

.ดินไท    :  เหมือนลางเนื้อชอบลางยา

พ่อครู  :  เออ.. ใช่ๆ เนี่ยมีครบ 4 อุปาทานเหมือนกันหมดเลย

.แสนดิน    :  อัตตวาทุปาทาน

พ่อครู  :  อืม.. อัตตวาทุปาทานก็คือ มีแต่ภาษาทั้งคู่อ่ะ สภาวะไม่มีทั้งนั้น อทิสสมานกายทั้งคู่ สภาวะมันไม่มีหรอก มันก็มีนิรมาณกาย อทิสสมานกาย มันไม่มี แต่สัมโภคกาย

.แสนดิน    : บริโภค 

พ่อครู  :  บริโภคร่วมกัน มีๆการบริโภคร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อยด้วยกัน มีอัสสาทะด้วยกัน

.แสนดิน    :  คนที่จะหมดอุปาทานคือ ต้องหมดความอร่อย

พ่อครู  :  นี่อร่อยด้วยกัน บริโภค สัมโภคกาย ร่วมกัน โอ้โหๆ.. ชื่นใจ

.ดินไท    :  นึกถึงโรงพยาบาลโรคจิต

พ่อครู  :  เออ .. นั่นแหละ โรงพยาบาลโรคจิต

.ดินไท    :  ไปอยู่ด้วยกันก็คุยกันไปคุยกันมา

พ่อครู  :  คุยกันไป ต่างคนต่างพูด ต่างแปลกัน สนุกกัน .....ยังไม่เสร็จเลยเนี่ย โห แล้วตกหล่นไปได้ยังไง ไม่เจอเลย ไม่มีเลย ของเดือนกันยาเนี่ย

.แสนดิน    :  อ๋อ ในปกเหรอฮะ

พ่อครู  : เออ

.ดินไท    :  เอ๊..  ไม่น่า

พ่อครู  : ว่าเราเขียนแล้วนะ เดือนสิงหา ไม่ใช่กันยา สิงหาเป็นสิงหา 337

.แสนดิน    :  337 เขียนแล้วนะ

พ่อครู  : นั่นหน่ะสิ

.แสนดิน    :  ส่งไปแล้วด้วย

พ่อครู  : นั่น ไม่ใช่

.แสนดิน    :  พ่อท่านไม่เจอเหรอครับ

.ดินไท    :  น่าจะออกแล้ว

พ่อครู  : สิงหาออกแล้ว ไม่ใช่อันนี้กันยา

.แสนดิน    :  กันยา ยังไม่ได้ทำ

พ่อครู  : เออ 38 อันนี้ 38 ใช่

.แสนดิน    :  38 ยังไม่ได้ทำ

พ่อครู  : สิงหาจบไปแล้ว

.ดินไท    :  ถ้าไม่ได้ ก็ต้องโวยวาย

พ่อครู  : ใช่ กันยา...อ่ะ สิงหาอะไรล่ะ

.ดินไท    :  กันยายน

พ่อครู  : ไม่ใช่ สิงหา

.ดินไท    : พ่อท่านเขียน กันยศยน

พ่อครู  : ใช่ ๆๆ..กันยายน..นี่ขึ้นมาแล้วยังไม่ได้เปิดดู

 

ในสวนดาว ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:50:49 )

610810

รายละเอียด

610810_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก สัตบุรุษผู้มาแจกแจงวิชชา 8 ของพุทธ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1X7G1EGUKQpbuK9KqK20Yrn4XX3cFxE394Y_dEi10Tcw/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1a27IJaTPQgy2ppB4hch_52JqxUfyd3sr

สมณะเดินดินว่า...วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก ช่วงเข้าพรรษาพ่อครูมีโอกาสไปที่สันติอโศกและปฐมอโศก ก็เป็นนิมิตหมายที่ดี ทำให้เราเห็นบรรยากาศของแต่ละชุมชนได้มารวมตัวกัน ความจริงพ่อครูมีแสดงธรรมทุกเย็น แต่ถ้าพ่อครูไม่มาก็ไม่มีการรวมตัวกัน ฟังเหตุผลว่า ตอนเย็นเป็นเวลาที่ทุกคนติดงาน ไม่สามารถจะมาฟังธรรมรวมตัวกันได้ รู้สึกเป็นห่วงอีกอย่างว่า ในความเป็นอยู่ร่วมกัน อุดมการณ์สาธารณโภคี จะมีทิฐิเสมอสมานกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีศีลเสมอกัน มีข้อประพฤติปฏิบัติสอดคล้องกัน แต่ความเป็น เอกีภาวะชาวอโศกที่เป็นอย่างเดียวกันเพราะได้รับการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิมาอย่างยาวนาน ก็ไม่รู้ว่าฟังธรรมกันแต่ไหนในปัจจุบัน นานไปก็น่าเป็นห่วง ความเห็นที่จะหลอมรวมกัน ก็จะแตกแยก จะมีความเป็นหนึ่งเดียวกันได้นั้นจะต้องได้รับสัมมาทิฏฐิที่สอดคล้องกันก่อน

แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกับพ่อครู แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีก็ทำให้เราเข้าถึงได้เกือบพร้อมกัน มาครั้งนี้ก็เห็นความรวมกันของสันติอโศก ทางไปปฐมอโศกก็คงจะเป็นภาพที่คล้ายกัน คิดว่าในวาระ 84 ปีของพ่อครู 48 พรรษา ถ้าชาวอโศกสามารถรวมพลังเพิ่มพูนสัมมาทิฏฐิกันให้ได้ทุกเย็นๆ น่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดี

พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้มาเดือนที่แล้วก็ไม่ได้มา ตอนนี้ไม่อยากเดินทางเท่าไหร่มันเมื่อย ก็ไม่อยากเดินทางไปไหน แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ แข็งแรงอยู่ ยังวิดพื้นได้ 46 ทีแล้ววันนี้ เกือบจะห้าสิบ ออกกำลังกายเพราะว่าชีวิต 8 อ.ของอาตมา ใช้ดูแลสังขารร่างกาย เรื่องออกกำลังกายเป็นเรื่องที่จะต้องตามใส่ชีวิต แต่ตอนเด็กๆก็ไม่ต้อง เพราะมันวิ่งมันซนอยู่แล้ว แต่ว่าเมื่อโตขึ้นแล้วอายุมากขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่เติมก็จะไปเร็ว

 

พ่อครูว่า ก็โอภาปราศรัยกับ sms

_จากพี่น้องกลุ่มอโบสถศีล ...พี่น้องชาวอโศกคะในฐานะเป็นคนอิสาน รุ่นเก่าแก่ ขอติงคำว่า สำมะปี๋ซี่วิต  ที่จริงเคยพูดแต่ว่า สัมปะปี๋ ไม่เคยได้ยินคำว่า สำมะปี๋ เปิดดูในพจนานุกรม ไม่มีคำนี้ ฉะนั้นใครรู้จริงกรุณาอธิบายหน่อยค่ะ

พ่อครูว่า...สำพำปิ แปลว่ามากหลาย มาเพี้ยนเป็นไทยก็คือ สำมะปิ ที่อาตมาว่า คนนี้แย้งว่า สำปะปี๋ ไปเปิดพจนานุกรมภาษาไทยไม่มีหรอก ราชบัณฑิตยสถาน

ก็ไม่ได้พูดเพื่อเอาชนะคะคานอะไรกันพูดเพื่อเป็นความรู้นะ

 

_จากปุ้ย ...ในสมัย พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร เป็น พระโพธิสัตว์ระดับไหน และ พระโมคคัลลานะ เป็น พระโพธิสัตว์ระดับไหนคะ

พ่อครูว่า...มันคนละกาละ ระดับไหนก็ช่างท่านเถิด ยุคโน้นมัน 2,000 ปีตอนนี้ก็เอาตอนนี้เถอะ ไม่ชัดเจนเท่าเอาอาตมานี้แหละ โพธิสัตว์ระดับ 7 ก็แล้วกัน อาตมาชาตินี้เกิดมาเป็นนายรัก รักพงษ์ อย่าให้ผิดตัวสิ เอาปัจจุบัน เป็นความจริงหลักที่สำคัญ

 

ทางการบ้านการเมืองตอนนี้ เกี่ยวกับการที่จะส่งผู้ร้ายข้ามแดน คือทักษิณยิ่งลักษณ์ คดีอาญากับคดีการเมืองต่างกัน คดีการเมืองเขาถือว่าเป็นเกียรติด้วยซ้ำไป แต่คดีอาญานั้นเป็นการขี้โกงชัดๆ ถ้าผิดทางการเมืองไม่เสียหายแต่ถ้าผิดอาญา เช่นการโกงมันเสียหาย นี่ทักษิณยิ่งลักษณ์ ก็มีความผิดทางอาญา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ มันตราชีวิตของเขาไว้ มันก็เป็นวิบากของประเทศนะ ได้คนมาบริหารประเทศก็เป็นคนขี้โกงทุจริต อาตมาก็ขอพูดถึงการเมือง

อาตมาเขียน นัยปก หรือว่าเหมือนบทนำของหนังสือพิมพ์เราคิดอะไรทุกเดือน พูดถึงเรื่องการบ้านการเมืองเป็นหลัก แต่ก็อยู่ในทางธรรมะ อาตมาปางนี้อะไรๆก็ต้องมีธรรมะไม่มีธรรมะไม่ได้หรอก ไม่มีธรรมะก็บรรลัย อะไรๆก็ต้องมีธรรมะ

SMS วันที่ 8 สค. 2561 (พ่อครู : บวรสันติอโศก)

 

_Workshops ไพศาล · ระบบภาพคมชัดระดับHD

 

_ไฟธรรม นาวาบุญนิยม · กราบมนัสการค่ะพ่อครู ภาพชัด เสียงแจ๋วมากค่ะ ที่ จ.ร้อยเอ็ด

 

_นางเกดมนี สุขสวรรค์ · ກາບນະມັດສະການພໍ່ທ່ານທີ່ເຄົາລົບຢ່າງສູງຕິດຕາມຊົມພໍ່ທ່ານຕະຫຼອດຂ້ານອ້ຍ กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูง ติดตามชมพ่อท่านตลอด ขะน่อย

 

_บุญชัย ตั้งสำราญจิต · คุ้มค่าที่สุดในชีวิตที่ได้พบและฟังธรรมของพ่อท่าน.

พ่อครูว่า...คนเห็นค่าก็เห็นนะ แต่คนไม่เห็นค่าก็พูดไปบ้าบออีก น่าสงสาร อาตมาก็ขอยืนยันว่า อาตมาเป็นคนมีสติสัมปชัญญะดี ไม่ได้เป็นคนพิการ ไม่ได้เป็นคนหาเรื่องหาราวเป็นคนจริงจังด้วยนะ จริงจังต่อชีวิต จริงจังต่อสิ่งดีงามของความเป็นมนุษยชาติของความเป็นสังคม

อาตมาไม่ได้ทำงานไร้ค่า แต่ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ต่อสังคม อาตมาทำงาน คุณมาได้ฟังคุณบอกว่าคุ้มค่าที่สุดในชีวิตที่ได้ฟังธรรมพ่อท่าน อาตมาก็ว่าถูกแล้ว คนไม่ได้ฟังธรรมะอาตมาก็ไม่เกิดคุณค่า ยิ่งคนดูถูก ก็เป็นคนหาค่าไม่ได้เลย ไร้ค่าเลย นี่อาตมาพูดความจริงนะ อาตมาเป็นคนพูดความตรง ไม่เลียบเคียง พูดอะไรตรงๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อรหันต์สุขวิปัสสโก คืออะไร

_สราวุธ บุญญโก · เขาว่าการบรรลุมี 4 สายด้วยกัน คือ สุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต แบบที่พ่อครูอธิบาย เป็นการปฏิบัติแบบสุขวิปัสสโก "สุขวิปัสสโก"คืออะไรครับ

พ่อครูว่า...เขาว่าใช้วิปัสสนาในปัจจุบันแล้วเป็นสุข ลดละกิเลสได้แล้วก็พบความสุข ซึ่งอาตมาว่า "สุขวิปัสสโก" คำนี้ ในพระไตรปิฎกไม่เคยเห็นเป็นคำในคัมภีร์วิสุทธิมรรคของอรรถกถาจารย์มาพูดเอาเอง ซึ่งมันได้ผิดเพี้ยนไปแล้ว ศาสนาพุทธนั้นวิปัสสนาเพื่อให้หมดโศกหมดทุกข์ ไม่ใช่วิปัสสนาให้เกิดแต่ความสุข "สุขวิปัสสโก" จึงเป็นคำที่วิบัติ

ความหมายก็คือ  วิปัสสนาให้เกิดความสุข ปัสสะแปลว่าเห็นด้วยตาเปิด ไม่ได้หลับตา เรียกว่าวิปัสสะ วิปัสสี วิปัสโก โกคือ ผู้นั้นที่ใช้การสัมผัสเห็น ทางทวาร 6

เตวิชโชแปลว่า วิชชา 3 คือการเข้าไปตรวจสอบจิต จะหลับตาหรือไม่ก็ได้ คือการเพ่ง จะเรียกว่า ใช้สมาธิก็ได้ จะเรียกว่าการทำจิตให้ไปตรวจสอบโดยการนึกคิด ถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกว่ากิเลสอะไรเกิดกิเลสอะไรดับ ดับแล้วหรือยัง ก็คือการตรวจสอบกิเลส ตรวจสอบดูว่ากิเลสเราหมดสิ้นก็เป็น อาสวักขยญาณ อาสวะดับหมดหรือยัง

จะตรวจสอบเมื่อไหร่ หากไม่ตรวจสอบก็ไม่รู้ว่าได้หรือเสีย ทำไปป่วยการ

ฉฬภิญโญแปลว่า เขาตัดหัวหางของวิชชา 8 เอาแค่ 6 ก็คือ ฉฬภิญโญ เป็นความรู้ 6 อธิบายแบบเจโตก็เป็นเรื่องของตัวตนบุคคลเราเขาเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ไปเสีย

เริ่มต้นวิชชา 8 ตั้งแต่ มโนมยิทธิ อธิบายอย่างเจโต ก็จะเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ เทศนาปาฏิหาริย์

ทิพยโสต คือรู้ละเอียดยิ่งขึ้น เจโตปริยญาณก็ยิ่งเก่งทางจิต หยั่งรู้ใจคนได้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะเดินดินว่า..เจโตปริยญาณ หากเราไม่ได้ฟังพระครูก็จะเข้าใจผิดไปมาก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน เอาธรรมบทสวดพร้อมกันตั้งแต่สองรูปต่อหน้าฆราวาสเป็นอาบัติ

_เชวง กิจจะบรรณ์ ..เพื่อนส่งมาว่า.. วันที่ 20นี้ ที่หลักเมืองคับว่างๆเชิญนะคับ,สวดดาวนพพระเคราะห์อีกคับ โดยอาจารย์ สมนึก วัดหรงบนคับ บวงสรวง 9.00น. สวดดาวนพเคราะห์ 13.00น.

ผมตอบเขาว่า.. เพื่อนรักเราศิษอโศกแต่ก็ไม่ได้ต่อต้านความเชื่อของคนอื่นนะเพื่อน

พ่อครูว่า…การสวดมนต์จะลากเสียงยาวไม่ได้ใส่ทำนองไม่ได้ ก็ผิด เป็นคีตะ ทุกวันนี้น่าสงสารศาสนา ไปพูดพยัญชนะ สระ สวดก็คือการแสดงธรรมะเป็นภาษาออกมา ก็ต้องให้มันตรง ไม่เช่นนั้นมันกลายเป็นแบบโลกๆ ไม่เช่นนั้นก็เหมือนกับศาสนาอื่นเขาก็สวดแบบที่มีทำนองทั้งนั้น แต่ศาสนาพุทธไม่ให้ทำแบบร้องเพลงหรือลากเสียงอันยาว

พวกที่พาเพี้ยนตอนแรกคือพระฉัพพังคีย์ ก็พาสวดผิดเพี้ยนไป คำสวดท่านอนุญาตแค่สรภัญญะคือออกเสียงตามสระ พยัญชนะ ไม่ลากยาวหรือใส่ทำนอง ศาสนาพุทธต่างจากเขาอย่างนั้น แต่ทุกวันนี้ไม่เหลือเลย เอาธรรมบทมาสวด

ถ้าหากว่าจะสวดแบบปณามคาถา เป็นคำแต่งขึ้นในภายหลังเพื่อยกย่องเชิดชูพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง ทำแบบนั้นก็เป็นการร้องแบบคนทั่วไป มันไม่ได้อยู่ในแนวของศาสนาพุทธ แต่ศาสนาอื่นเขาก็สวดกันแบบมีทำนองแข่งขันกันด้วยซ้ำ แต่ศาสนาพุทธนั้นห้าม และเป็นอาบัติด้วย

ประเด็นสวดในมุสาวาทวรรค ข้อนี้ ผู้รู้ในศาสนาพุทธตอนนี้ไม่เข้าใจกัน จะเป็นปราชญ์ทางศาสนาขนาดไหนก็ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจแต่ท่านไม่เอาถ่าน

ประเด็นที่พระพุทธเจ้าห้ามคืออย่าเอาธรรมบทมาสวดพร้อมกัน 2 คนต่อหน้าสาธารณะ เพราะจะกลายเป็นกิจที่ใช้เลี้ยงชีพหากิน แต่ทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องหาเงิน ท่านกันเอาไว้อย่างนั้นเลย ให้คุณไม่ต้องมาบวชเป็นพระแล้วอาศัยการท่องบ่นการสวดให้แก่ฆราวาส คุณไม่ต้องกังวลหรอก ปฏิบัติธรรมให้ดีให้บรรลุธรรมให้ได้ ท่องสวดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ถนัดเราก็ไม่ต้องท่อง ทำให้บรรลุธรรมแล้วก็พูดภาษาของเรา พูดและอธิบายให้ฟังเป็นภาษาของเรา เอาที่เราบรรลุนี้พูดได้ ก็ได้ แล้วพวกคนธรรมดา ฟังคนที่ไม่ท่องเป็นภาษาธรรมะมันยิ่งเข้าใจดีด้วยซ้ำไป เอาคำพวกนี้มาทำอย่างยึดถือ โดยไม่เข้าใจเจตนาที่ท่านมุ่งหมาย เอามาใช้เอามาทำ ก็เลยเสียไปหมดเลย จนกระทั่งไม่เข้าใจจริงๆ เอาธรรมบท เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาทำเสียเละเทะ เละจนกระทั่งทุกวันนี้ศาสนาพุทธเหลือแต่การสวด ในราชพิธีก็มีแต่การสวด  งานทางการศาสนาก็มีการสวด พิธีการทางสังคม ถึงขั้นราชพิธี สวดเท่านั้นแหละเป็นใหญ่ และคนฟังก็นั่งประนมมือ นั่งไป มันน่าสงสาร

ถ้าราชพิธีเอาผู้รู้มาสาธยายธรรมะ ก็ติดตามอยู่นะ ถึงราชพิธีก็จะมีมานั่งตามเป็นลำดับ มีกำหนดยศชั้นแต่งเครื่องทรงด้วยนะ พระก็มีหน้าที่มา แต่ก็มีแต่พิธีสวด ถือตาลปัตร ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองไม่ได้เป็นเรื่องของธรรมชาติไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ารู้ ราชพิธี มีใครมานั่งฟังเราติดตามอยู่นะงานท่านเป็นอย่างไร ขอแนะนำหน่อยนะ ในฐานะเราเป็นนักธรรมะให้ประโยชน์แก่ท่านเลยถึงจะเป็นคุณค่าอย่างมาก นี่ไปก็ไปนั่งทำพิธี นั่งสัปหงกเมื่อไหร่จะเสร็จเสียที อาตมาดูแล้วน่าสงสาร มันเป็นเรื่องเลวร้ายเป็นเรื่องเสียหายไม่เกิดประโยชน์อะไร

สรุปอีกที ศาสนาพุทธทุกวันนี้กลายเป็นเหลือแต่การสวดแล้วเลี้ยงชีพหากินด้วยการสวดตั้งแต่ระดับต่ำ ล่อแรพ ล่อแหล่ สวดกันครึกครื้นเลย ญาติโยมเมื่อไหร่จะได้เงินสักที ว่าไปเรื่อย ทุเรศทุรังการ เบื้องบนก็แบบบนเบื้องล่างก็แบบล่าง เรามาบวชแล้ว เราทำอย่างไร ก็ท่อง 12 ตำนาน 7 ตำนาน คุณต้องท่องให้ได้นะ นี่เป็นบทที่ใช้หากินเลยนะ ไม่อย่างนั้นถือว่าไม่ได้บวชพระเพราะไม่มีบทหากิน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เอาเปรียบกับเสียสละอย่างไหนดีกว่า

_หลวงปู่ครับ ผมสงสัยว่า ทำไมคนบางคนถึงชอบเรียกร้องขอความช่วยเหลือพอเราไม่ช่วยเขาก็ชอบอ้างโน่นนี่เพื่อให้เราช่วยเขา  แต่พอเราต้องการขอความช่วยเหลือ เขากลับปล่อยให้เราทำคนเดียว บางทีเขาทำงานเขาเสร็จเราก็กลับ ไม่มาช่วยเหลือกัน แต่พอเราทำเสร็จ เราจะกลับ  เขาก็ขอให้เราช่วย โดยอ้างคำว่า เพื่อนกันจริงหรือเปล่า?... ผมสงสัยจังครับ

พ่อครูว่า…เอาน่า รอได้ทำงานช่วยเพื่อนเขาจะขอร้องทำก็ทำเถอะนะ ยิ่งทำงานยิ่งเป็นคุณค่ามากนะไม่ต้องไปเกี่ยงหรอก เขาจะขี้เกียจเอาเปรียบบ้างก็ให้เขาเอาเปรียบไปเถอะ เราต้องคิดถึงธรรมะให้ดี คนเอาเปรียบเราให้เราทำงาน ถ้าเขาเอาเปรียบให้เราพาเอาไปทำอกุศลกรรมทุจริตก็ว่ากันไปจะไม่ทำ ก็เกี่ยงได้ แต่ถ้าหากเพื่อนชวนทำงานที่มีประโยชน์คุณค่าก็ขยันเข้า ถ้าชวนไปทำไม่ดีก็หาทางเลี่ยง ถ้าพาทำดีก็เป็นบุญกุศล เราทำเสร็จก่อนก็ได้ไปช่วยเพื่อนเราทำงานมากขึ้น ก็ได้เป็นกำไรทั้งนั้นเป็นของดีทั้งนั้น คิดให้ชัดๆถึงๆ มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย

ใครทำงานแลกลาภ มิจฉาอาชีวะข้อที่ 5 อย่าไปคิดถึงการแลกเปลี่ยน ได้ทำงานที่ดีแล้วก็เป็นกุศลประโยชน์ของเราเองได้แล้ว เรามีงานเราก็ทำ งานคนอื่นให้ช่วยก็ไปทำมันก็ดี ถ้ามันไม่มีเวลา กำลัง ก็ว่าไป การได้ทำงานมากๆ แล้วเป็นคุณค่า แต่งานที่เสียหายก็ไม่ควรทำ หรือถ้าเราทำแล้วจะเสียหายเด็กทำแล้วจะเสียหายก็เขาไม่อยากให้ทำ เขาอยากให้เราทำนั้นดีแล้ว คิดให้ถึงๆ

 

SMS วันที่ 9 สค. 2561 (สำมะปี๋ซีวิต)

 

_3867 เห็นพ่อครูอยู่ท่ามกลางญตธ.นร.สัมมาฯสันติอโศกในวงสำมะปี๋ซีวิต เหมือนเห็นพ่อครูอยู่ท่ามกลางธ.สาราณียะ,ปิยะกรณะ,ครุกรณะ,สังคหะ,อวิวาทะ,สามัคคียะ,เอกีภาวะ,ในบวรพอเพียงจริงๆ!

 

_สงคราม  อัฐบูรณ์.. พ่อท่านคับกิเลสของการใช้หนี้หมายถึงอะไรคับ แล้วเราควรทำไง ในเมื่อหนี้นั้นเราไม่ได้ก่อ

พ่อครูว่า...ตอนเป็นฆราวาส อาตมาเป็นลูกหนี้ชั้นดีของธนาคารเลยนะ ใช้หนี้ตรงเวลา จะมาเป็นหนี้ใครก็ไม่มีปัญหา นี่คือชีวิตสมัยเป็นฆราวาส เป็นเรื่องที่พูดไปแล้วเหมือนโก้มาก สมัยโน้น ทำไมเราเจอแต่แบบนี้ คนมาขอเงินใช้คนมาขอเงินคืนหนังสือ แม้แต่คนอิสลามก็มาขอเงินเรียนหนังสือ เราก็ถามว่าทำไมมาขอทั้งที่เป็นอิสลามเราเป็นพุทธ ก็บอกว่าเชื่อว่าท่านต้องให้ เราก็ไม่รู้เป็นไงชีวิตเป็นแบบนั้น

 

_ดาวฝัน · กราบนมัสการท่านพระครูเจ้าค่ะสุขภาพแข็งแรงนะคะให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานชาวอโศกตลอดไปนะคะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน สัตบุรุษผู้มาแจกแจงวิชชา 8 ของพุทธ

_ปุญญะ ธรรมะ...จากกรณีของปะดาวบุญ แม้จะทำกุศลไว้มากแต่วิบากยังตามทัน หรือแม้แต่พระพุทธเจ้า วิบากก็ตามทัน... อยากให้พ่อครูช่วยขยายความ เรื่องที่แม้เราทำดีก็ยังมีวิบาก และถ้าไม่ทำดี วิบากจะมากขนาดไหน เป็นอย่างไรคะ ...

พ่อครูว่า...ปะดาวบุญ ตอนแรกจะแย่ใกล้เป็นมนุษย์พืชแล้วแต่ตอนนี้ก็รับรู้ได้มากขึ้น

มันก็ดี คุณได้ประเด็นนี้ ขนาดพวกเรามาปฏิบัติดี วิบากยังมี หากเราไม่ได้ปฏิบัติ ทางโลกจะได้ขนาดไหนก็ทางใครทางมัน ไม่ขยายความมากกว่านี้หรอก เรื่องกรรมวิบากเป็นเรื่องอจินไตย ก็เอาล่ะ...ไม่พูดมากเรื่อง

อาตมาพูดเกริ่นไว้แล้วจะขอพูดเรื่องวิชชา 8

วิชชา8 ประการต้องศึกษา ต้องใช้ ไม่อย่างนั้น ปฏิบัติธรรมไม่เกิดผลดี ศาสนาพุทธคือ วิชชาจรณสัมปันโน จรณะ 15 วิชชา 8 นี่คือศาสนาพุทธ เป็นพุทธคุณจริงๆ

ถ้าเราไม่รู้เราไม่ได้ประโยชน์จากวิชชา 8 เราก็ไม่ใช่ชาวพุทธ ก็ต้องได้ประโยชน์จริงจัง

1.      วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง) . . 

2.      มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้) .

3.  อิทธิวิธญาณ (จิตมีอานุภาพในการบรรลุขจัดทำลายกิเลส ได้หลากหลายวิธี) . . ดู พตปฎ.9/133

4. ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)

5. เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน) &

6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน  มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)

7. จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์) .

8. อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)

(พตฎ. เล่ม 9  ข้อ 127-138)

 

ฉฬภิญโญ เขาว่า ตัดข้อ 1 กับ 8 ออกไป

แต่ของพระพุทธเจ้านั้นต้องขึ้นต้นวิปัสสนาญาณเป็นหัวต้น คือต้องดูในขณะตาเห็น จมูกรับกลิ่น มีทวารทั้ง 6 เปิดรับมีผัสสะ คำว่าปัสสะ ปัสสิ แปลว่าเห็นการเกิด

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธหลับตาปฏิบัติจึงเป็นการปฏิบัติที่ผิดไปเลย การหลับตาปฏิบัติไม่มีในระบบของศาสนาพุทธเลยขอยืนยัน อธิบายเป็นอานาปานสติ นั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น ไม่มีคำว่าหลับตาอยู่ในอาณาปานสติเลยสักคำ คุณไปหลับเอง คุณจะนั่งตั้งกายตรงคู้บัลลังก์หรือเตวิชโชก็ได้ แต่ การปฏิบัติธรรมะพุทธเจ้านั้นอยู่ในชีวิตประจำวัน

ทำงานอาชีพทำการงานทุกอย่างอยู่ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจาอยู่ในมรรคมีองค์ 8 มีสัมมาวายามะ สัมมาสติ ช่วยในการปฏิบัติ ในขณะทำงานอาชีพในขณะพูดในขณะคิด มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน ก็ทำครบในมรรคมีองค์ 8

ในการเข้าใจผิดไปนั่งหลับตาปฏิบัติ มันถึงทำให้ศาสนาเสื่อมจนกระทั่งหลงผิดไปเลย ว่าการปฏิบัติธรรมนั้นต้องหลับตาต้องนั่งสมาธิ จะทำสมาธิต้องนั่ง ต้องหยุดไปหาสถานที่ต้องหยุดทำงาน แล้วก็สะกดจิตเข้าไป ดีไม่ดีก็หลับตาด้วย แต่นั่งอยู่เฉยๆก็ผิดมรรคมีองค์ 8 แล้วเพราะในมรรคมีองค์ 8 ไม่มีให้บอกนั่งเฉยๆ จะให้ทำการงานด้วย ทำกรรมการงาน ทำวาจา เป็นการงานทางกาย วาจา การขบคิดสมอง ก็ให้รู้ทุก ทั้งอาชีพการงานการกระทำ ให้รู้วิปัสสนาคือ ต้องรู้ธรรมะ 2 แยกแยะธรรมะ 2

สำคัญก็คือตรงสังกัปปะ 7 องค์ธรรม ตักกะวิตักกะสังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา

เดี๋ยวนี้อธิบายกันไม่ออกแล้ว อธิบายสัมมาอาชีวะ 5 อย่างก็ไม่ได้ ศาสนาพุทธก็เลยไม่รู้มิจฉาอาชีวะก็เลยทำมิจฉาเต็มไปหมด มีทั้งมิจฉาชีพ มิจฉากัมมันตะ มิจฉาวาจา มันได้ผิดเพี้ยนไปแล้วพระพุทธเจ้าสอนไว้แต่เขาทิ้งไปหมด แล้วเอาที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัตินั่งหลับตาปฏิบัติ เดินหนอย่างหนอ ยุบหนอพองหนอ ซึ่งมันไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย

เขาบอกว่าเป็นสำนักปฏิบัติ จะสอนพยัญชนะอะไรก็ตาม แล้วจับไม่ติดว่าอะไรคือเนื้อหาของศาสนาพุทธก็ไม่รู้ สอบได้เปรียญเป็นยศชั้นเอาไปหากินเลี้ยงชีพไป ท่องได้เก่งบรรยายได้เก่งจำได้เก่ง ร้อยเรียงเก่ง เก่งพยัญชนะวิชาการ ไม่เข้าหาสภาวะ สภาพธรรมที่จะให้เกิด ศีลขัดเกลากิเลส เพื่อได้อธิจิต ก็ต้องมีปัญญาเป็นตัวร่วมรู้ทั้งศีล ปฏิบัติแล้วจะขัดเกลากิเลสออกจากจิตไหม จนเกิดอธิโมกข์ อธิมุติ ก็อธิบายไม่ได้ก็ไม่รู้เรื่อง ปฏิบัติที่ไหนยังไงเมื่อไหร่ก็ไม่ได้อะไรเลย มันก็เลยไปกันใหญ่

ทั้งวิปัสสนาญาณ คือต้องเปิดทวารตาหูจมูกลิ้นกาย ทวารนอกและมีใจร่วม

เวลาเรียนรู้ก็ต้องเรียนรู้กับสิ่งที่เราสัมผัส เรียกว่ารูป สิ่งที่ถูกรู้ทั้งรูปและนาม ก็จะต้องใช้สัญญากำหนดรู้ ทั้งภายนอกจนถึงภายใน เกี่ยวข้องกันเป็นธรรมะ 2 ทั้งนอกและในไม่แยกกัน รูปจะต้องรู้ทั้งหมดท่านก็แจกไว้ 28

ตั้งแต่ดินน้ำไฟลม เป็นอุตุธาตุ เราก็สัมผัสโดยมีทวารภายนอกทั้ง 5 เมื่อมันเริ่มโคจระ ดำเนิน เอาปสาทรูป 5 กับโคจรรูป 5 สัมผัสกับสาลี่ ขาวผ่อง รูปงาม ถ้าคนที่ยังมีอะไรอยู่ก็บอกว่าน่ากิน มองทะลุไปถึงเนื้อว่าสงสัยคงกรอบ คงหวาน เราก็อ่านว่าเฮ่ย จิตของเราไปแล้วนะสัมผัสกับลูกสาลี่ ไปถึงน่ากิน อยากได้อยากกิน เราก็อ่านอาการอยากกิน คือกิเลส

แล้วคุณมีสิทธิ์ไหมในศีลข้อที่ 2 เรามีสิทธิ์ในของนี้หรือไม่ หากไม่มีสิทธิ์ คุณอยากก็อยากไปเปล่า ไม่มีสิทธิ์ซื้อเขาก็ไม่ขาย แต่คุณก็ต้องรู้ สำคัญคืออ่านเมื่อเราสัมผัสและจิตเกิดความอยาก มันมาหลอกเรา ต้องเรียนรู้อาหาร

อาหาร 4 มี กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณหาร

ก็อ่านรู้ด้วยนาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

ปฏิบัติด้วยนาม 5 ในการรู้รูป 28 “ผัสสะ” กับ “สัมผัส” เป็นคำไวพจน์กันเป็น synonym

แต่มันมีนัยละเอียดเพิ่มขึ้นเหมือนกันในผัสสะกับสัมผัส จะใช้คำตรงคือผัสสะ

เมื่อเราผัสสะแล้ว วิปัสสนาญาณต้องรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ถ้าเข้าใจตรงนี้ วิชชาต่อไปถึงวิชชา 8 ก็จะต่อเนื่องกันหมดเลย

เอาศีลข้อ 2 สัมผัสกับพืชหรือดินน้ำลมไฟ เราไม่พูดถึงสัตว์ อาตมาแยกศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของดินน้ำไฟลม พืช สัมผัสแล้วจิตของเราอยากได้อยากมีอยากเป็น เมื่อมันไม่ได้ของเป็นของเรา เราอยากเราก็สร้างขึ้นผลิตขึ้น หรือจะเอาเงินซื้อก็ว่ากันไป แต่กิเลสความอยากนี่เราควรจะรู้ อยากอย่างพอเหมาะพอดี อยากเป็นอาหารไว้กินสำหรับอันนี้ เป็นเครื่องนุ่งห่มเป็นที่อยู่อาศัยเป็นยารักษาโรค การบริขารที่จะใช้ นอกกว่านั้นที่มันเกินที่เขาสร้างหลอกมีเยอะมาก ผู้ที่เรียนธรรมะแล้วจะเห็นได้ว่า ของที่มันเกินความจำเป็นของชีวิตมีมากจริงๆ แต่คนก็ไม่รู้

คนก็สร้างมาเพื่อหลอกออกไปอีกไม่หยุดหย่อน โลกก็เลยไม่จบสิ้น ในการปรุงแต่งสร้างอะไรขึ้นมา คิดสร้างอะไรขึ้นมาเพื่อเอามาหลอกคน เพื่อให้คนซื้อหาเอาไป ไปดัดแปลงตกแต่ง ให้เป็นอันใหม่ก็แล้วแต่ มีประโยชน์อย่างไรก็แล้วแต่ ประโยชน์จากนั้นมันเป็นสาระหรือไม่ก็ไม่รู้ เป็นของขวัญได้ทั้งนั้น เลอะเทอะไปหมด

สรุปเข้าเป้าก็คือ คนเราตัดสิ่งที่เฟ้อเกินออกไป จนกระทั่งรู้สาระที่แท้จริงที่ควรอาศัย ความจำเป็นของชีวิตมันน้อย มันอยู่ในโลกนี้ถ้าเราไม่หลงบ้าบอมันก็อยู่ง่ายมาก

อาตมาภูมิใจทำงานศาสนามาได้ชาวอโศก ให้มาเห็นดีเห็นงามแล้วก็มาปฏิบัติตาม จนกระทั่งกลายเป็นคนไม่หลงไปกับโลกเขา ที่เขาจะฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยถูกหลอกกัน พวกเราก็ฉลาดไม่ไปหลงตามเขา ไม่ไปบ้าบอตาม อาตมาว่าดีจังเลย จะช่วยคนเหล่านี้ไว้ช่วยประเทศชาติ โดยพวกเขาไม่ต้องไปเป็นตัวแย่งชิงให้ลำบากให้วุ่นวายให้เขามาจัดการ ดูยุ่งยากในการปกครองในการดูแลชีวิต อาตมาก็ได้ช่วยเหลือผู้บริหารประเทศให้คนมาเข้าใจสัจจะของพระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติตัวไม่ไปทำเรื่องวุ่นวายในสังคมประเทศชาติ ก็ได้ช่วยประเทศชาติช่วยสังคมไปสร้างสรรสิ่งที่มีประโยชน์เป็นสัมมาอาชีพทำมาหากินสร้างสรร

อาตมาก็สบายใจ มีชีวิตทำงานที่ได้ช่วยประเทศชาติสังคม แม้แต่ผู้บริหารประเทศ อาตมาก็ว่าได้ช่วยจริงๆ โดยไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่อะไรแต่ก็ช่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จนกระทั่งกลายเป็น หมู่บ้าน กลายเป็นสังคมชุมชนมีวัฒนธรรมมีความเป็นอยู่ ตามระบบของศาสนาพระพุทธเจ้า จนกระทั่งเป็นหมู่บ้านทางนิตินัย มีผู้ใหญ่บ้านตามระบบเขา บริหารกันอย่างที่รัฐบาลน่าจะมาเห็นและเอาเป็นตัวอย่าง

ยกตัวอย่าง ทั้งหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านที่มีศีล ตั้งแต่ไหนแต่ไรตั้งแต่พาทำชุมชนหมู่บ้าน อย่างต่ำที่สุดหมู่บ้านเรามีศีล 5 เป็นอย่างต่ำด้วย อบายมุข ไม่มี สิ่งเสพติดไม่มี เป็นศีล 5 ที่เป็นอธิศีลด้วย ตั้งแต่สร้างมาจนถึงปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ เป็นหมู่บ้านที่สุขสงบ เป็นหมู่บ้านที่รัฐและประเทศต้องการ อย่างเป็นสากลเลยนะ ทำมาหากินไม่ไปละเมิด

ก็ไม่ยาก จริงแล้ว วงการศาสนา สมเด็จช่วง ใครเคยได้ยินบ้างพูดว่า จะทำหมู่บ้านชุมชนที่มีศีล 5 แต่โพธิรักษ์พาทำมาสี่สิบกว่าปีแล้ว สำเร็จด้วย เขาก็เพิ่งดำริและยังไม่ได้ทำ ก็มีแต่ป้ายแต่ไม่มีใครพาทำ

 

อาตมาเองรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีเลย ต้องมาพูดแต่สิ่งไม่ดีสิ่งที่ผิด สิ่งที่ดีทำไมไม่พูดบ้าง เราก็พูด พอพูดสิ่งที่ดี ก็มาถูกชาวอโศก ยกตัวอย่าง การปฏิบัติศีลก็บอกว่าตัวของพวกเขาปฏิบัติศีลถูก พูดเรื่องสมาธิ ก็ว่าทำถูกอีก พูดเรื่องปัญญาก็ว่าของอโศกถูกอีก

ซึ่งปัญญากับเฉโกมันต่างกัน ฉลาดแบบไหนที่เป็นของพุทธ ฉลาดเฉโกไม่พ้นวงวนโลกธรรม ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เป็นสมบัติผลัดกันชมแย่งกันไปแย่งกันมา ชาวอโศกไม่ไปแย่งกับเขา ทำให้สังคมเศรษฐกิจค่อยยังชั่ว ดีไม่ดี สร้างให้อุดมสมบูรณ์ให้เขาด้วยซ้ำไป ลาภไม่แย่ง ยศก็ไม่แย่ง ให้ก็ได้ ไม่ให้ก็ได้ เขาเห็นว่าเราทำดีก็อยากให้ขึ้นไปอีก มันก็ซ้อนอีก

สรุปแล้วพวกเราไม่ได้เป็นตัวต้านหรือตัวแย่งอะไรกับสังคมเลย พวกเราเห็นว่าทำแบบโลกๆเราไม่เอา จึงออกมาทำแบบเรา ถึงได้กลายเป็นชุมชนชาวอโศก อยู่กันอย่างช่วยกันทำมาหากินตามระบบพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นเรื่องของลาภยศสรรเสริญโลกียสุข สบม.ธมด ปกต หห จจ. สบายมากธรรมดาปกติหายห่วงจริงๆ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

อาตมาทำงานมาถึงวันนี้สำเร็จผล จะช่วยสังคมประเทศชาติโดยเฉพาะเอาธรรมะของพระพุทธเจ้า มาให้พวกเราเข้าใจว่าชีวิตคนต้องดำเนินไปอย่างไร เป็นอยู่อย่างไร เข้าใจแล้วก็เอามาปรับใช้ ก็เลยเป็นประชาชนของสังคมของประเทศที่ผู้บริหารไม่ต้องหนักใจการบริหาร เราไม่เคยไปเรียกร้องให้รัฐบาลมาช่วยเหลือเรา ในหมู่บ้านชุมชนชาวอโศก จะมีเงินของรัฐให้หมู่บ้าน เราไม่เคยไปเรียกร้องต่อว่า งบประมาณอะไรเข้ามาในหมู่บ้านนี้ ทางอบต.สบายใจ ที่หมู่บ้านเราอยู่ในตำบลนี้ เขาไม่ต้องคิดถึงเลยเรื่องงบฯให้หมู่บ้านเรา คนไหนขาดแคลนก็เอาไปได้เลย จนเขาเกรงใจว่าอย่าเลย เพราะเอาไปเสร็จแล้ว พวกนั้นก็จะแย่งกัน คุณก็เอาตามสิทธิของคุณนั่นแหละ นี่พูดโก้จัง ไม่ได้พูดโก้ แต่พูดสัจธรรมสู่ฟัง

สมมุติหมู่บ้านมี 10 หมู่บ้านในตำบล หากเป็นอย่างชาวอโศกจะสบายขนาดไหนในตำบลนั้น นี่เห็นผลธรรมะของพระพุทธเจ้าว่าได้ผล เมื่อปฏิบัติถูกต้องตามทฤษฎีได้ผลจริง ใครเขาจะไม่เห็นไม่รู้ก็แล้วแต่ อาตมาก็อธิบายให้ฟังเป็นสาระ

 

อธิบาย มโนมยิทธิคือ ฤทธิ์ทางใจ คือจิตของเรามีกิเลส พอจิตเราลดกิเลสได้ จิตของเรามีฤทธิ์ มโนมยะ แปลว่า สำเร็จด้วยจิต พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่า เหมือนดาบออกจากฝัก เราก็รู้ได้ว่านี่คือดาบนี่คือฝัก ที่ถอดออกคือกิเลส เหมือนงูลอกคราบ เหลือแต่สิ่งที่ดี หรือดาบ จริงๆแล้วดาบไม่ใช้ฝักหรอก ต้องถอดฝักออกจากดาบก่อนสู้ งูก็ต้องลอกคราบ เป็นเรื่องที่เราเข้าใจว่าที่ต้องลอกออก ฤทธิ์ของจิตจะมีฤทธิ์ ก็ต่อเมื่อทำให้จิตของเรานั้นมีประสิทธิภาพ ความมีฤทธิ์คือมีประสิทธิภาพ พลังงานจิตที่ถูกกิเลสถ่วงไว้ มันไม่เต็ม จะให้ทำการงานที่ดี กัมมัญญตา เป็นการงานที่ประเสริฐ หากเอากิเลสออกไปแล้วจิตก็จะ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

มโนมยิทธิคือจิตมโนมันมีฤทธิ์มีอำนาจที่ให้เป็น กัมมัญญตาอย่างนั้น ไม่ใช่ไปมีฤทธิ์เดช เขาแยกกันว่ามโนมยิทธิ คือทำจิตได้ปาฏิหาริย์

ส่วนอิทธิวิธีคือหยั่งรู้ใจคนได้ มันไม่ใช่ อิทธิวิธีคือ เป็นเรื่องที่หลากหลายออกไปจากมโนมยิทธิอีก

โสตทิพย์ก็คือ อธิบายเหมือนตีกลองที่ไกล ก็ได้ยินแล้วแยกได้ว่านี่คือกลองตะโพน บัณเฑาะว์ เปิงมาง สามารถแยกแยะได้ รู้ได้ไกลและลึก และแยกแยะออกว่าอันไหนคืออันใด อันนี้คือกิเลส อันนี้คือเนื้อแท้อย่างนี้เป็นต้น เมื่อมีอะไรปนผสมมาก็แยกออกได้ ก็มีจิตที่เก่ง มีจิตที่แยบคาย

เจโตปริยญาณ

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ

เจโตปริยญาณคือตัวกลาง วิชชาตอนนี้ เป็นตัวที่คุณต้องรู้ ถ้าคุณไม่รู้ก็จัดการกับจิตคุณไม่ได้ รู้รอบในความเป็นจิตคือเจโตปริยญาณ มี 16

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.

          1.      สราคจิต  (จิตมีราคะ)

          2.      วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

          3.      สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

แยกแยะราคะโทสะโมหะได้ สัมผัสอะไรแล้วจับได้ว่ามีอาการราคะโทสะหรือโมหะ มันเป็นแล้วเราก็จับเข้าหลักพยัญชนะว่ามันเป็นอะไร แล้วทำอย่างไรให้มันลดความเป็นราคะโทสะโมหะ จนไม่มี เรียกว่า

          4.      วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

          5.      สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

          6.      วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

คุณไม่ต้องท่องเลย ทำตามสภาวะก็ได้ ไม่ต้องจำเลย จากนั้นก็ต้องรู้ต่อไป

คุณรู้แล้วก็ต้องทำให้มันได้ มันมีลักษณะสองอย่าง

 

7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) เป็นก้อนแน่น เหมือนสังกะตังที่ผมเป็นก้อนๆ เป็นก้อนตีไม่แตก

          8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)เป็่นฟองๆ กระจายรวมไม่ติด

กิเลสคุณนี่แหละที่เป็นได้สองแบบนี้ มันจะกระจายก็ต้องจับตัวให้แน่น มันจะเป็นก้อนก็ต้องแยกแยะออก จับได้แล้วก็จัดการให้มันดี

9. มหัคคตจิต. (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)  ทำให้เจริญได้ดีขึ้น

10. อมหัคคตจิต. (จิตไม่เจริญขึ้น) ทำให้เจริญไม่ได้

 

11. สอุตตรจิต. (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)

12. อนุตตรจิต. (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)

คือให้จิตเราล้างกิเลสออก สอุตระไม่เหนือ อนุตตระคือเหนือกว่ากิเลส เหนือคือตัวจบ

 

13. สมาหิตจิต. (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)

14. อสมาหิตจิต. (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

คือทำให้ตั้งมั่น

 

15. วิมุตตจิต. (จิตหลุดพ้น) . . .

16. อวิมุตตจิต. (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ135)

 

หากเรามีภาวะจะไม่สับสนอะไร เรียงมาได้ดี

 

คุณต้องรู้สภาวะมันไม่ใช่รู้แต่ภาษา คุณต้องทำให้ ราคะลดลงเป็นวีตราคะ หากทำไม่ได้ไม่รู้สภาวะราคะ จับตัวราคะตัวเองได้หรือไม่ แล้วทำให้ลดได้หรือไม่ ไม่รู้ไม่ได้ทำเลยเสร็จแล้วไปทำอะไรก็ไปนั่งหลับตา ไม่รู้จัก สราคะ สโทสะ สโมหะ พยัญชนะไม่รู้ แต่ว่าสภาวะคุณรู้ไหม ถ้ารู้เป็นระบบอย่างนี้มันดี ไม่เรียนเลยแล้วคุณทำได้รู้หรือไม่ รู้ในราคะโทสะหรือไม่ แล้วทำได้ในระดับไหนจนกระทั่งอาสวักขยญาณ คุณก็ไม่รู้จนถึงวิมุติ อวิมุติ เป็นอย่างไร

การเรียนรู้ธรรมะเดี๋ยวนี้เขาไม่มีสภาวะจริงไม่บรรลุธรรมจริง มันก็เลยเลอะเทอะไปหมด คนไม่รู้แล้วอวดรู้ อธิบายก็ทำให้สับสนเข้าไปอีกเสียหมด อาตมาก็ต้อง ในยุคนี้มา ต้องจับฝาจับตัวให้ลงกันชัดเจน มันเละไปหมด มันเลยยาก พูดไปแล้วก็เหมือนชวนให้เขาหมั่นไส้

บอกกระซิบเลยว่า อาตมาอวดหรือแสดงยังไม่หมดเลยนะ เดี๋ยวจะหาว่าอวดอีก พูดอย่างซื่อๆไม่ได้เล่นลิ้นเล่นเล่ห์นะ

 

ขนาดนี้คนยังหาว่าอาตมาสุดโต่ง แต่อาตมาก็พูดถึง ศีลสมาธิปัญญาไม่ได้หนีไปจากพื้นนี้เลย เดี๋ยวก็พูดถึงศีล 5 นี่ก็พูดถึง 1. เสียมาก 2. ก็ไม่ได้ถึงไหน ศีล 5 นี่แหละครบแล้ว ถ้ารู้กันอย่างแตกลายงาเลยนะ เหมือนพระสมเด็จแตกลายงาราคา 100 ล้านขึ้น

เราเอาศีลเป็นตัวตั้ง คุณจะเอาวิชชา 8 มาใช้

ศีลข้อ 1 คุณรู้วิปัสสนา สัมผัสต่อสัตว์ ศีลข้อ 2 ต่อของ ต่อสมบัติ ต่อตาหูจมูกลิ้นกาย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แล้วคุณก็ต้องวิจัยวิจาร จับตัวกิเลสที่ได้ มันอยู่ในจิตนี่แหละแยกแยะให้ออก คุณแยกออกแล้ว คุณจะมีตัวแสดงทำฤทธิ์ ที่จะมีอุณหธาตุ ธาตุไฟที่ชื่อว่าฌาน

ฌานไม่ใช่ธาตุเย็น ไปนั่งหลับตาแล้วจะทำจิตให้เย็น พอเป็นฌานก็จะร้อนเลย โหมไหม้ ธาตุไฟที่มีฤทธิ์เหนือกว่าไฟราคะโทสะโมหะ

ถ้าคุณสร้างจิตให้เป็นพลังงานไฟที่เรียกว่าฌาน มีอุณหธาตุ ร้อน ถ้าไม่สามารถสลายไฟราคะโทสะโมหะได้คุณก็ไม่สำเร็จ

มโนมยิทธิคือ สร้างธาตุไฟให้ได้ ไม่ใช่ไปนั่งแช่ให้เย็น คนละเรื่อง อาตมาอธิบายเข้าไปถึงภาวะสัจจะ ให้เห็นว่าอันนั้นมันปฏิบัติผิด ถูกมันต้องสอดคล้องทั้งสภาวะและพยัญชนะ ทั้งเนื้อแท้เนื้อหา

วิปัสสนาต้องมีผัสสะ แล้วต้องอ่านกิเลส ต้องสร้างฌาน ไฟ ให้เป็นฤทธิ์ทำลายให้สำเร็จ

มโนมยิทธิ หมายถึงการสร้างพลังงานใช้พลังงานไฟ ไปสลายไฟราคะโทสะโมหะได้

คุณสร้างได้ หนึ่ง มันก็จะมีอื่นอีกหลากหลาย เรียกว่า อิทธะ หรืออิทธิวิธญาณ คือมโนมยิทธิที่หลากหลาย ฆ่ากิเลสได้มากขึ้นจิตคุณจะเก่ง

ศีลข้อที่1 คุณไม่ฆ่า ละการฆ่า วางทัณฑะ วางศาสตรา  คุณก็ต้องอ่านใจของคุณ คุณว่างแล้วภายนอกไม่มีพฤติกรรมการฆ่า วางอาวุธวางเครื่องมือฆ่า ไม่ได้เอามือเป็นอาวุธแล้ว แม้ไม่มีอาวุธแต่มีมือเป็นกังฟูทำให้คอหักได้ ก็ไม่เอา มีความเอ็นดูมีความกรุณาหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือรายละเอียดของวิชชา เพิ่มเจโตปริยญาณ 16 ไปเรื่อยๆและมีเตวิชโช 3 อย่างนี้เป็นความรู้ที่ทำการทบทวน ว่าที่คุณทำเจโตปริยญาณได้ทำไหม คุณได้เจริญในเจโตปริยญาณ 16 ไหม ถึงวิมุติอวิมุติ สมาหิตัง อสมาหิตังไหม

ไม่ใช่แค่ท่องพยัญชนะแต่ให้มีสภาวะ ทำสภาวะให้ได้ 16 ข้อนี้ไหม เราได้ใช้งานจนเกิดผลในการปฏิบัติทั้งหมดเลย เรียกว่าได้ทำ

ตอบครูสิ ว่า พวกเราได้มีสภาวะที่เป็นอย่างนี้หรือไม่ 1 ข้อ 8 กันเลย อาสวักขยญาณ

ถึงบางเรื่องของอาสวะได้

อาสวักขยญาณ ในเรื่องของศีลข้อที่ 1 เรื่องของสัตว์ คุณสามารถที่จะไม่ฆ่าสัตว์และจิตใจของคนไม่มีอาสวะจะไปฆ่าสัตว์แล้ว อาสวะคือจิตลึกๆของเรา ถ้าสัตว์มันจะฆ่าเรา เราจะฆ่ามันไหม หากสัตว์เล็กเราก็รู้ว่ากัดเจ็บ เป็นพิษก็หลีกเลี่ยงเอาได้ แต่คุณมีจิตโกรธเคืองอยากฆ่าอาฆาตพยาบาทไหม ก็คือ วิชชาของคุณแล้ว มีสภาวะแล้วถ้าคุณได้ปฏิบัติ

จุตูปปาตญาณ คือเห็นกิเลสเกิดกิเลสดับ จุตูแปลว่าตาย เคลื่อน ปปาตะ แปลว่าเกิด อุบัติ หรืออุปัติ

มันมีความเกิดความดับ ก็ได้ จุติแปลว่าดับหรือเคลื่อนออกจากเรา มันมีอีกไหมจิตเราที่สะอาดขึ้นมันเปลี่ยนแปลงจากใจเราได้

พยัญชนะอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าก็เอามาใช้ได้ทั้งหมด แม้กระทั่งวิชชา 8

อธิบายขยายความยกตัวอย่างแล้ว อาตมาได้สอนมา ทวนถามพวกเรา ฟังแล้วและเข้าใจเอาไปใช้ประโยชน์และปฏิบัติตามไหม ได้ผลด้วย อาตมาก็ประสบความสำเร็จในการเป็นครู เป็นผลสำเร็จในการสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าที่เอาธรรมะนี้มา ไม่ใช่เราไปท่องสอบได้เปรียญเป็นดอกเตอร์ได้รับยศสรรเสริญ โดยไม่ได้ปฏิบัติเลย ดีไม่ดีเปรียญ 9 แต่กินเหล้าหัวราน้ำ โกงสะบัดช่อเลย มีคดีเงินทอนวัด

เราเกิดมาแล้วเราเองเราได้ชีวิต หากไม่ได้ธรรมะเลยนี่ ถ้าคุณหลงไปหาเงินหาทองอยู่ทางโน้นเลย โดยเฉพาะทางสำนักไหนสอนโลกุตระคนไม่รู้เรื่องเลย คุณไปวัดป่าก็ได้ทอดกฐิน จนกระทั่งตายเปล่าจะเสียดายชีวิตไหม แต่ว่าของมันยังมีดีมีคนพูดรู้เรื่องอยู่นะ หากมันไม่มีสัตบุรุษมาสอน แล้วเราเองก็ไม่ได้เป็นสัตบุรุษ ก็ว่าไปอีกอย่าง แต่นี่สัตบุรุษยังมีอยู่ อาตมาก็ว่าสัตบุรุษผู้อื่น น่าจะยังมี แล้วทำไมไม่แสดงตัว เขาอาจจะสุภาพกว่าอาตมาไม่แสดงออกโจ่งแจ้ง แล้วอธิบาย คำว่าสัตบุรุษคืออย่างไรก็ไม่รู้

สัตบุรุษคือบุคคลในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิที่ 10

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

สัตบุรุษต้องอธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 ประการได้

ทุกวันนี้การทำทานไม่มีผล ถ้าคุณทำทานแล้วไม่รู้จักจิตใจ ทำทานแล้วขอให้ได้สวรรค์ 6 ชั้น ได้สวรรค์ 8 ชั้น สวรรค์มี 6 ชั้นแต่ขอไป 8 ชั้น สวรรค์บ้าบอคอแตก 6 ชั้น เป็นสวรรค์เก๊ ตอนนี้ยังมีสวรรค์ 8 ชั้นสวรรค์เฟส 2 เฟส 3 อีก สวรรค์ของเขาเป็นคอนโดมิเนียม

ฟังแล้วอย่าหัวเราะเยาะเขาเลย มันน่าหัวร่อ เป็นสัจจะอันหนึ่ง เหมือนเห็นคนไม่รู้เดียงสาก็น่าเอ็นดูไม่ได้โกรธแค้นโกรธเคืองอะไรนะ ก็เลยมันหัวเราะเยาะ ในความไม่ประสีประสาไม่ถูกต้องของเขา เหมือนเด็กเล่นขายขนมครก ที่จริงเยี่ยวใส่นะแล้วบอกว่าเป็นขนมครก

ก็น่าเอ็นดู

 

ถ้าเราเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเรียน มารู้แล้วทำสร้างให้ลดกิเลสได้ เรียกว่าทำงานสำเร็จ คุณก็สำเร็จผู้สอนก็สำเร็จศาสนาพระพุทธเจ้าก็มีผู้สืบทอดใช้ได้

 

แทนที่จะสอนทานก็สอนแบบผิด ทานแล้วได้วิมานเลอะเทอะ แทนที่จะเรียนธรรมะพระพุทธเจ้าให้ดีก่อนแล้วเป็นอัตถิทินนัง ทานแล้วกิเลสลดได้ มีผลอัตถิทินนัง

หรือถือศีลแล้วลดกิเลสได้ เรียกว่าอัตถิยิตถัง คือ วิธีปฏิบัติต่างๆที่ทำให้กิเลสลดได้ อย่างนี้ก็สัมมาทิฏฐิ

 

สัมมาทิฏฐิ ที่ เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).

 

1.      ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ ทินนัง)

2.      ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.      สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.      ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่ (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) 

5.      โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ คือดาวดวงเก่า กิเลสติดใจโลกธรรม

6.      โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ คือดาวดวงใหม่ ความรู้ความเข้าใจทวนกระแสกับอันเก่า ทำให้กิเลสติดในโลกธรรมลดลงได้ ก็เป็นโลกอื่นโลกใหม่ ศาสนาพุทธทุกวันนี้อยู่ในโลกีย์ไม่ได้มีทางออก แม้แต่พาไปนั่งหลับตาก็ไม่ได้พาออกจากโลกีย์นี้ ยิ่งจมไปกับความไม่รู้จัก ไม่มีการพิจารณากายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรม ไม่รู้จักกายว่าคือรูปนามคือธรรมะ 2 ไปสัมผัสกับสัตว์สัมผัสกับข้าวของสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายก็วิจัยจิตออก ดูรู้จักเวทนาในเวทนา เข้าใจเวทนาร้อยแปด อย่าหลอกว่าเป็นเวทนาสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ ทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์แบบเนกขัมมสิตอุเบกขา เดิมมันเป็นเคหสิตะ แม้จะทำอุเบกขาได้ ไปนั่งหลับตาสมาธิมันก็ไม่ได้ออกจากกิเลสไม่ได้แยก แก้กิเลสออกที่จะสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วเกิดกิเลสกามพยาบาท คุณก็จับกิเลสแล้วฆ่ามันออกไป เป็นเนกขัมมะ แยก เนกขัมมะเคหสิตะ มโนปวิจาร 18 จับเหตุแห่งกิเลสทำกิเลสออกได้ก็เป็นเนกขัมมะ

ยกตัวอย่างสัมผัสกับสาลี่รูปนี้ น่ากินจังเลยอยากได้อยากกิน มันเป็นของเราหรือไม่ หากไม่ใช่ของเราอยากมาก ไม่มีคนอยู่ก็ลักขโมยไปอย่างนี้หรือเปล่า หรือวิสาสะเลย ควรไหม ก็จะรู้จักกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

ศีลข้อที่ 1 สัมผัสกับสัตว์ไม่เอ็นดูสัตว์ยังอยากจะฆ่าแกงสัตว์ จิตใจยังโหดร้ายยังไม่ดีเลย ยังไม่มีเมตตาไม่มีความเอ็นดู ต้องทำให้เป็นกลาง (มีเสียงแมวดังขึ้นมา ที่จริงแล้วเป็นโทรศัพท์มีเสียงแมวดัง )

_ทองแก้วถามว่า...ไฟฌานกับเนกขัมมสิตอุเบกขาอันเดียวกันไหม

พ่อครูว่า..มันคนละจังหวะเวลากัน สภาวะฌานคือ คนสร้างพลังงานจิตให้เกิด เป็นพลังงานที่เรียกเป็นภาษาไทยว่าธาตุไฟ จะมีพลังงานเพื่อจะเอาไปใช้กำจัดไฟราคะโทสะโมหะ เมื่อคุณทำได้ก็เป็นฌาน คุณก็ใช้พลังงานนี้ไปดับกิเลส กำจัดกิเลส เนกขัมมะ คือการทำให้กิเลสออก(มีเสียงของหล่น) พ่อครูว่า ไม่เป็นเสียงโทรศัพท์อีกแบบหรือไม่?

เนกขัมมะคือต้องมีวิธีทำให้กิเลสลดเอากิเลสออก มีอุบายวิธี

พลังงานฌาน ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาจะเกิดไปกับฌาน ฌานเกิดกับปัญญา

ปัญญาของศาสนาพุทธต้องเป็นปัญญาที่คุณจะสร้าง ฌานได้ จึงเป็นปุญญะ

ฌานเป็นเครื่องมือของบุญอีกที พลังงานเดียวกัน ฌานก็คือบุญ

ที่เจ้าตัวทำสำเร็จในปัจจุบัน ฌาน ก็มีในปัจจุบันนั้น นอกปัจจุบันใดไม่มี ฌาน

ฌานดับกิเลสได้ ก็เกิดบุญเต็มตัว เพราะฌานกับบุญ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแต่แยก กาละ กำลังทำอยู่เรียกว่าฌาน ฌานแสดงฤทธิ์ฆ่ากิเลส ก็เป็นบุญ

_ยกตัวอย่างตบะหรรษา ปีก่อนๆ แต่ปีนี้ต้องได้ไม่ล้มเลยเป็นฌานได้ไหม

พ่อครูว่า...ได้ กดข่มเฉยไม่ได้ ไฟไม่เกิด ตบะแปลว่าเผาไม่ใช่กดข่มหรือเย็น ตบะก็แปลว่าเอาจริงเอาจัง ทำฌานจริงจังเป็นตบะ

_ต้องได้ คือเป็นฌานหรือไม่ และทำได้วันละ 1 ครั้งได้ไหม

พ่อครูว่า..ต้องได้เป็นการบังคับสิ คุณต้องทำได้ผล ทำได้ทุกวินาที วันหนึ่งทำได้หนเดียวไม่ไหวหรอก เอาวินาทีเลย

เนกขัมมะ อุเบกขา คุณสามารถทำให้เกิด ลดกิเลส เนกขัมมะ ถึงเนกขัมมสิตอุเบกขา

เกิดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจทวาร 6 แล้วทำให้เกิดความสุขความทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ แจกแล้ว ทวาร6 ทำได้ทั้ง 3 อาการก็เลยเป็น 18 อย่าง

มันสุขก็ดีมันทุกข์ก็ดี ก็ต้องวิจัยวิจารณ์ที่เวทนา อาการของเวทนาเป็นสุข การปฏิบัติธรรมของพุทธ ถ้าไม่มีเวทนา คุณไม่รู้จักอาการเจตสิกเวทนา จะไปทำอย่างไรจะไปนั่งหลับตาไม่มีสัมผัสเลยเวทนาไม่เกิดเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า พรหมชาลสูตร ไม่มีผัสสะไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายกระทบสัมผัสเลยปฏิบัติธรรมของพุทธไม่ได้

แม้แต่มูลสูตร 10 คุณจะมนสิการได้ต้องมีผัสสะเป็นสมุทัยแล้วต้องมีเวทนารวมลงเป็นอาการ แล้วปฏิบัติที่เวทนา เวทนาเป็นตัวปฏิบัติของศาสนาพุทธ ถ้าไม่มีตัวเวทนาปฏิบัติไม่ได้

กายในกาย ก็ต้องจับที่เวทนาเป็นหลัก กายเริ่มต้น มีธรรมะ 2 ที่เป็นรูปนาม ต้องมีธาตุปัญญาที่สัมผัสรู้ มีสภาวะแยกแยะได้ เมื่อสัมผัสแล้วเวทนามันเป็นสุขทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ แล้วมันเป็นสุขเป็นทุกข์ ที่จริงมันเป็นอันเดียวกัน มันโง่ไปโง่มาเท่านั้น ไปยึดถือว่าอย่างนั้นเป็นทุกข์อย่างนั้นเป็นสุข

คนฐานสูงอนาคามีแล้ว สัมผัสแล้วรู้สึกว่าเรายังชอบมัน จิตจะเป็นทุกข์แล้ว เราทำไมไปชอบ มันจะรู้สึกโทมนัส เรายังไปโสมนัสไปชอบอยู่ได้ไง มันต้องกลางๆ หากยังชอบชังผลักดูดอยู่ ถ้าเรายังชอบเละเลย อยากได้ ก็ไม่ไปไหนหรอก

เราปฏิบัติรู้จักสภาวะ รู้จักฐานจิตเรา อ่านเวทนาในเวทนานี่แหละ การปฏิบัติธรรมถ้าไม่รู้จักมโนปวิจาร วิจารแปลว่าอาการ อาการของมโน ป เป็นตัวตั้ง อ่านให้ออกแยะให้ออกว่าเป็นแบบโลกีย์ อยังโลโก เราทำให้เป็นแบบอื่นได้ ปโรโลโก เป็นจิตของคนต่างดาวได้ โดยจิตคุณจะต้องมี

7.      มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)  จิตที่ทำให้เกิดเรียกว่าแม่

8.      บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) จิตที่ทำหน้าที่ร่วมกันทำให้เกิดเรียกว่าพ่อ

แยกจิตที่ช่วยทำให้เกิดสองอย่างนี้ได้ เช่นเราสมมุติว่าศีลเป็นพ่อปัญญาเป็นแม่ หรือสมมุติว่า ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อก็ได้ แล้ว 2 ตัวนี้มันช่วยกันทำให้เกิด สัตว์ โอปปาติกะ มันต้องประหารจิตที่เป็นอกุศลและจิตเป็นกิเลส ทำให้เป็นจิตเจริญขึ้น เป็นอย่างไร ก็ต้องแยกกิเลสออกให้ได้

สัมผัสแล้วแยกให้ออก แล้วทำให้กิเลสลด อาจจะกดข่มไปก่อน วิกขัมภนปหาน

หากใช้วิธีพิจารณาว่าเอ็งเป็นของหลอก อาการนี้มันไม่ใช่ของจริงไม่ใช่ตัวจริงมันเป็นอนัตตามันพาเราทุกข์ มันหลอกว่าให้เราชอบ ที่จริงๆซ่อนตัว เอาสวรรค์มาออกหน้า แต่ข้างหลังมันเป็นนรกเป็นความทุกข์ หน้ากับหลังเอ็งอยู่ด้วยกัน อย่ามาหลอกเสียให้ยาก

แล้วเอ็งไม่อยู่นานหรอก สัมผัสแล้วหายไปความสุขความทุกข์ก็หายไป ดีไม่ดีกินจนพอเต็มท้องแล้ว ก็อึดอัดแล้วไม่อร่อยหรอกไม่สุขหรอก มันไม่เที่ยงเลยไม่อยู่กับร่องกับรอยเลย

9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

10 สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) .

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

จบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:53:49 )

610812

รายละเอียด

610812_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก คอร์สสอนความเป็นแม่ผู้สืบเชื้ออาริยธรรม

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Bixa49heYBgFQw3bj7uhFaRe9a1mAmgv6m0fPnPdsUA/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1aiAh4xHHM17QfRoAQ1LyB7GUKXxDKHy-

สมณะเพาะพุทธว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก วันนี้เป็นวันแม่

ลักษณะเอกลักษณ์ของพุทธศาสนาคือโลกุตระ เป็นไปเพื่อความเหนือโลก หลุดพ้นจากโลกเป็นนิพพาน เป็นอาริยธรรม

อาริยธรรม จริงๆแล้วเป็นคำในอนาคต เพราะคำว่าอริยะนั้นได้ผิดเพี้ยนไปแล้ว คำว่าอริยะนั้นคนจะหมายถึงผู้วิเศษต่างๆนานา เป็นความหมายที่ผิดเพี้ยนไปจากความหมายแท้จริงของอริยะ เข้าใจว่าอริยะคือพวกเอาตัวรอดปลีกตัวเข้าป่า อรหันต์คือพระอริยะระดับสูงสุดที่จะต้องอยู่ป่า ทำให้ความหมายคำว่าอริยะเสียไป และอารยะที่หมายถึงการช่วยเหลือผู้อื่นแต่ก็ขาดการบำเพ็ญตน เป็นอารยะ

พ่อครูจึงใช้คำว่าอาริยะเพื่อทำตนให้พ้นทุกข์และช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ตาม เป็นคำที่รวมคำว่าอริยะกับอาริยะเข้าด้วยกัน

วันนี้รายการวิถีอาริยธรรม วันนี้พ่อท่านตั้งใจอธิบายคำว่าสิริมหามายา

พ่อครูว่า...วันนี้มีแม่ที่นอนมาฟังธรรมด้วย(ป่วยนอนติดเตียงแต่ก็มาฟังธรรม) ใส่สายยางด้วย มีรุ่นลูกคอยมาดูแล

ความเป็นแม่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้หญิง แต่หมายถึงภาวะที่เป็นหญิงผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณโลกุตระ อเทวนิยม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สิริมหามายาคือทำเวทนาสองให้เป็นหนึ่งได้อย่างชำนาญ

พ่อครูว่า...มาพูดกันถึงเรื่องแม่ในวันแม่ มีผู้ส่งไลน์มา บอกว่า วันแม่แห่งชาติปีนี้ สมเด็จพระสังฆราชได้อัญเชิญพุทธภาษิตมาเป็นกถาว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร แปลความอย่างนั้น กราบรบกวนพ่อครู อธิบายความหมายในพุทธภาษิตนี้ในแง่มุมของศาสนาพุทธ ที่มีสัมมาทิฏฐิด้วยค่ะ นิมนต์พ่อครูให้โอวาทผู้มีแม่ด้วยค่ะ

ฟังต่อไปก็จะพูดอยู่ดีๆแล้วมีคนอาราธนามาด้วย ก็อ่านของsms ก่อน

ที่ท่านเพาะพุทธเกริ่นถึง พระพุทธเจ้าไปเทศน์โปรดพุทธมารดา คนฟังแล้วก็เข้าใจเป็นตัวเป็นตนเป็นรูปเป็นร่างว่าหายตัวไปอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วก็ไปเทศน์ให้แม่ฟังที่ดาวดึงส์ การเทศน์นี้ก็มีเรื่องราวมีพลความต่อว่า พระพุทธเจ้าเทศน์ให้แม่ฟัง เสร็จแล้วก็มีพระสารีบุตรนั่งอยู่ที่ตีนภูเขาสิเนรุ พระสารีบุตรแอบฟังคำสอนที่พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดพุทธมารดา แล้วการที่เทศน์หรือคำเทศน์ทั้งหลายคือพระอภิธรรม เทศน์พระอภิธรรมคือธรรมะอันยิ่ง การเทศน์ธรรมะอันลึกซึ้ง จิต เจตสิก รูป นิพพาน เหมาหมดเลย ก็เทศน์ถึงเรื่องของจิต เรื่องของเจตสิก เรื่องของรูปทั้งหลาย จนกระทั่งขยายความหรือว่าอธิบายสาธยายให้ถึงขั้นนิพพาน เป็นเรื่องของจิต เจตสิก รูป นิพพาน เทศน์ตั้งแต่เรื่องของจิตไปจนกระทั่งถึงนิพพานให้ฟัง

ธรรมะของพุทธก็มีเท่านี้แหละมีจิต เจตสิก รูป นิพพานเท่านี้แหละ แล้วก็เรียนรู้ปฏิบัติให้ถึงนิพพาน นิพพานก็ต้องทำที่จิต จะทำจิตให้เป็นนิพพานได้ต้องรู้จักรูป

เช่น รูป 28 เป็นต้น แล้วก็ต้องมีจิตหรือนามของเราสามารถไปสัมผัสรูปต่างๆเหล่านั้น รู้ความเป็นสภาวะของรูปต่างๆ ดินน้ำไฟลมเป็นมหาภูตรูป จนมาเป็นพีชะ ก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกตัวเราทั้งนั้น เสร็จแล้วคนที่เป็นเจ้าของจิต ก็จะมีจิต ที่มีปสาทรูป มีโคจรรูป

ปสาทรูปคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จะทำงานก็คือโคจระดำเนินไป จะไปสัมผัสอะไรก็แล้วแต่ ที่ตากระทบสัมผัส สัมผัสแล้วก็เกิดเป็น ภาวรูปให้เห็น ภาวรูปที่สัมผัสแล้วจะมีลักษณะ 2 เรียกว่า เทวฺธัมมา เทวฺ แปลว่า 2 หรือเรียกอย่างไทยว่า เท-วะ

เทวฺธัมมาแปลว่าสอง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ทำให้ความเป็นสองเปลี่ยนไปให้เป็นหนึ่งได้ จึงเรียกว่าไม่เป็นธรรมะที่อยู่แค่ 2 ศาสนาเทวก็คือศาสนาที่มี 2  แล้ว 2 ให้เป็นหนึ่งไม่เป็น โดยเฉพาะทำ 2 ให้เป็น 0 ไม่ได้

ศาสนาเทวนิยมคือศาสนาที่ทำให้ธรรมะเป็นหนึ่งไม่ได้ เป็น 0 ไม่ได้ อเทวะ ไม่มีแล้ว 2 ไม่มีแล้ว 1 ก็ 0 ได้เลยสูงสุด 0 เลย หรือยังไม่ถึง 0 ก็เป็น 1 เป็นเอกธรรม หรือเอกัคคตา หรือเอกัคคตาจิต จิตเป็นหนึ่งได้

ศาสนาพุทธทำเอกัคคตาจิตให้เป็นหนึ่งได้อย่างอัคคะ อัคคะคือเลิศ เยี่ยมยอด ประเสริฐสุดเลย ทำให้เกิดสภาพนั้นได้สำเร็จจริง จนกระทั่งเป็นศูนย์ไม่มีนิรันดร

ส่วนเทวนิยมนั้นไม่รู้จักจิต ทำให้จิตเป็นหนึ่งไม่ได้ หรือ 0 ไม่ได้ ก็เลยเป็นจิตอยู่อย่างนั้นนิรันดร ศาสนาเทวนิยมก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่ก็จะมีจิตนิรันดร ส่วนของพุทธนั้นแยกหรือแจกรายละเอียดออกไปจนกระทั่งถึงอาการของจิต ทำอาการของจิตให้พ้นธรรมะ 2 มีสุขมีทุกข์เป็นต้นนี่เป็นธรรมะ 2 ทำให้ไม่มีทุกข์เหลือแต่สุข แล้วก็เป็นสุขอย่างเนกขัมมะ เรียกโสมนัสเนกขัมมสิตโสมนัสเวทนา จนเป็น เนกขัมมสิตอุเบกขาได้ คือทำให้เป็นเนกขัมมะได้ พระพุทธเจ้าจึงให้มาเรียนรู้ที่เวทนา 108

เวทนาตรงที่จะปฏิบัติจริงๆ ก็คือ มโนปวิจาร 18 แยกแยะอันนี้ได้ แยกเป็นจิตโลกียะ แล้วทำจิตโลกียะให้ดับให้ลดให้หายไป เรียกว่าเนกขัมมะ จนหายไปหมด หมดเลย ไอ้ที่หายไปนั่นคือจิตที่ไม่ดี เรียกว่า กายกลิ

กาลีหรือกลิ มันคือความเป็นโทษที่อยู่ในองค์ประชุมธรรมะ ธรรมะนี่แปลว่า 2 ความเป็น 2 เป็นรูปเป็นนาม ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็จะสามารถ รู้จิต แยกจิต ที่เป็นกิเลส กับ จิตที่เป็นจริง แยกออกได้จริงๆ นี่คือความสามารถในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเรา

ผู้ที่ทำให้ดับได้ จิตอกุศลดับได้ ก็คือ ผู้ที่ทำให้เกิดได้ ฟังให้ดีๆนะ กำลังจะไขความสิริมหามายา ทำเกิดได้ ทำดับได้

ผู้ที่สามารถทำให้จิตของเรา จิตเราดวงนี้ลักษณะนี้ จิตของเรา 1 นี่ แต่แยกเป็น2 แล้วทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ จิตเป็นสองหายไป ไปเป็นหนึ่ง แล้วก็ทำจิตให้กลายเป็นสองได้อีก จึงกลายเป็นนักเล่นกลนักมายากล ทำให้เป็นสองก็ได้ ทำให้เป็นหนึ่งก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ทำให้มีอยู่ก็ได้ เคยเห็นนักแสดงกลไหม ควักนกพิราบมา หรือทำให้หายไป ควักไพ่ออกมาทำให้ไพ่หายไป ควักไข่มีขึ้นมา ควักไข่หายไป มายาแปลว่านักเล่นกลความลวง

ทำไมต้องเอาคำว่ามายามาใส่ในชื่อแม่ของพระพุทธเจ้าเลยนะ พระมารดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมเป็นแม่ของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ต้องชื่อมายา

คำว่ามายานี้เป็นความหมายที่ค่อนข้างไม่ดี เป็นความหลอกลวง ส่วน สิริมหานี้ดี ดีใหญ่เลย มหาใหญ่ สิริ ดี ดีที่ยิ่งใหญ่เลย ไม่ใช่ดีน้อยๆ ใหญ่เลยไม่ใช่น้อยไม่ใช่เล็กเลย

ที่บอกว่าเป็นมายาเพราะว่า ต้องเป็นผู้ที่ให้ความเกิด ศาสนาพุทธนั้น เน้นนิพพาน นิพพานคือความดับ ศาสนาพุทธเน้นนิพพานนิโรธคือความดับ แต่มีความเกิด เราทำจิตของเราให้อกุศลจิตดับ จิตเราก็เกิดใหม่ไม่หายไป นี่มันซ้อนเป็นธรรมะ 2 ซับซ้อน จิตที่เหลือเป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ คือวิสุทธิเทพ เรียกเป็นภาษาไทยว่า วิสุทธิเทวะ 

เทวะ แปลว่าความเป็นสอง สองที่วิสุทธิ์

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องเทพเทวนี้มี 3 อย่าง สมมุติเทพ อุปัติเทพ วิสุทธิเทพ

ผู้สามารถทำให้จิตเป็นวิสุทธิเทพได้ สะอาดบริสุทธิ์ได้ จะใช้คำว่า ดับ มันก็ดับไปอันหนึ่งเหลืออันหนึ่ง ใช้คำว่าวิสุทธิ์คือ จิตที่มันดับไป จิตที่ต้องการให้ดับคือจิตที่เป็นกิเลส จิตที่เป็นอกุศลจิตดับไป ก็เหลือแต่จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ จิตที่สะอาดบริสุทธิ์นี้ อธิบายกันไปลึกซึ้งเลยว่า จริงๆแล้วจิตก็ไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้นจิตที่สะอาดคือจิตที่ไม่มีตัวตน จิตที่สะอาดบริสุทธิ์แล้วเป็นจิตวิสุทธิเทพเป็นจิตที่ไม่มีตัวตน

ใช้ภาษามาแทนว่าไม่มีตัวตน ตัวตนเป็นภาษาบาลีเรียกว่าอัตตา

จะเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องเรียนรู้คำว่าตัวตนความเป็นตัวตนคืออัตตา พระพุทธเจ้าก็สอนให้กำจัดความเป็นอัตตาในจิตของเรา ความเป็นอัตตาก็เป็นลำดับ ท่านให้เรียนตั้งแต่

ลำดับแรกเรียกว่าหยาบ เรียกโอฬาริกะ ความหยาบความใหญ่ จะจับสภาวะได้ง่าย เป็นเบื้องต้น เป็นลำดับ ต้องเรียนรู้ โอฬาริกอัตตา เกิดจากการผัสสะ สัมผัสแล้ว เช่น เราสัมผัสกับลูกสาลี่นี้ เมื่อสัมผัสแล้ว โอฬาริกอัตตา  หยาบภายนอก สัมผัสแล้ว มันก็คืออันนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แต่ที่เราจะต้องเรียนรู้เมื่อสัมผัสแล้วคือสภาวะจิตที่รับรู้ มันรับรู้เรียกว่าเวทนาเป็นความรู้สึกเป็นอารมณ์ แล้วมันปรุงแต่งเร็ว ว่า ชอบ หรือ ไม่ชอบ หรือ มันแปลงร่างไปเรียกว่าสุข ไม่ชอบหรอกเรียกว่าทุกข์ มันเร็วแป๊บๆ เร็วยิ่งกว่านักมายากลอีก

แล้วคนที่อวิชชาก็จะยึดว่ามันเป็นสุข ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ก็จะทำลาย โยนเข้ากองไฟให้มันละลายไปเลย หรือทำลายทุบทิ้ง อะไรก็แล้วแต่ คนก็มีพฤติกรรมจากอารมณ์ที่ชอบหรือไม่ชอบอยู่อย่างนี้ อธิบายแค่วัตถุแค่พีชะ วัตถุตัวอย่าง หยิบมาอธิบาย ไม่ชอบ ก็คือเป็นดินน้ำไฟลม เป็นพืชพรรณธัญญาหาร เป็นตัวสัตว์บุคคล สัมผัสแล้วชอบหรือไม่ชอบ ชอบก็เอามาเลยไม่ชอบก็ทำลาย ตัดหัวฆ่าทิ้ง ไปอย่างนั้น นี่คือพฤติกรรมต่างๆของความเป็นมนุษย์ที่อวิชชา ไม่รู้ว่ามีความต้องทำเช่นนั้น ทำโดยมีตัวต้องการ ชอบหรือไม่ชอบ บงการเราเอง แล้วก็ทำ ทำให้ดับหรือทำให้เกิด ทำให้มันพ้นไปไม่มีกับทำให้มี

คำว่ามีหรือไม่มีเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก

เมื่อคุณเกิดมาเป็นคน มีอัตภาพเรียกว่าตัวตน ตัวตนที่ปราศจากความโง่อวิชชา ปราศจากความหลงผิด โมหะ มีแต่ความรู้ วิชชา มีแต่ความรู้ ปัญญา สามารถอ่านอาการของจิตได้ แล้วเราก็แยก ตัวที่มันไม่เป็นปัญญา มันไม่เป็นวิชชาไม่เป็นความรู้ที่ถูกต้อง มันโง่ แยกว่าโง่ไปได้สารพัด เป็นอกุศลเจตสิก เมื่อไปสัมผัสอะไรก็แล้วแต่พระพุทธเจ้าให้เริ่มต้นตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา สัมผัสแล้วก็ แยกให้ออก กิเลสหยาบ กำจัดกิเลสนี้ได้ จนโอฬาริกอัตตา ที่สัมผัสภายนอกนี้หมดไป สัมผัสอะไรก็ไม่เกิดแล้ว กิเลสชอบหรือไม่ชอบ เป็นพระอนาคามี สัมผัสอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นดินน้ำไฟลม พืชพรรณธัญญาหาร สัตว์บุคคล สัมผัสแล้วพระอนาคามีจะไม่เกิดอาการ ชอบหรือไม่ชอบ จนถึงกระทั่งโกรธหรือรัก รักก็ไม่มี โกรธก็ไม่เกิดในจิตของอนาคามี สำหรับการสัมผัสภายนอก แต่อาการรักหรือชอบอยู่บ้าง มันยังมีระริกระรี้ในจิต เรียกว่ารูปราคะ อรูปราคะ อรูปราคะละเอียดกว่ารูปราคะ มันก็มีระริกระรี้ในจิต

คนอื่นไม่รู้กับเราด้วย พระอนาคามีจะเหลืออยู่อย่างนี้ เราก็เรียนรู้อันใน เป็นภวตัณหาล้างกำจัดไปเป็นขั้นๆ เป็นขั้นรูปหมดไป เหลืออรูปก็ดับให้หมดอีก ก็เป็นอรหันต์

พยัญชนะที่หยิบเอามาอธิบายนี้ ผู้ที่เรียนรู้แล้วพูดถึงพยัญชนะตัวไหน สภาวะในจิตของตัวเองก็รู้เลย ขานชื่อคนนี้ อ๋อ นี่รูปราคะ อยู่ข้างในเป็นอรูปราคะ อันนี้กามราคะที่เกิดอยู่ภายนอก ขานชื่อตัวไหนก็รู้สภาวะจิตเจตสิกตัวนั้นๆได้ อย่างน้อยขานชื่อมาแล้วเราก็เอาสัญญาไปกำหนดความจำได้ว่าจิตตัวที่เป็นกามราคะเราเคยมี แม้คุณจะเคยเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังเคยมีพอพูดถึงก็เคยจำได้ ตอนนี้ไม่มีในตัวเรา ปัจจุบันใดก็ไม่เกิด อดีตมันก็เคยเกิดเราเรียนรู้กำจัดมันได้แล้ว มันไม่เกิดอีก

อนาคามีกามราคะไม่เกิด สัมผัสอะไรกามก็ไม่เกิด เหลือระริกระรี้ อยู่ภายในเป็นรูปราคะอรูปราคะเท่านั้นเอง พยัญชนะที่อาตมาเอาไปประกอบกับสภาวะจิตเจตสิกต่างๆ

คนเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วพูดถึงตัวพยัญชนะแล้วก็เรียนรู้วิธีปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ง๊ายง่าย พิจารณาให้เห็นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ จริงๆ มันไม่เป็นตัวตน เท่าเนี๊ยะ สามคำเท่านี้ ง่ายจะตายธรรมะพระพุทธเจ้า

พิจารณาเห็นว่ามันไม่เที่ยงมันเกิดได้เดี๋ยวมันก็ดับได้ บางทีมันอยู่กับเรานานๆได้ เราโง่ให้มันอยู่นานก็ทุกข์นาน ถ้าอาการอกุศลจิตเหล่านี้มันไม่มี ไม่เกิดในจิตเราแล้ว อย่างกามก็ไม่มีพยาบาทก็ไม่มี ละเอียดไปกว่านั้น เป็นรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาก็หมด

พระอรหันต์ไม่มีจิตเหล่านี้ จิตจะเป็นอุเบกขากลางๆ ไม่มีไม่เกิดในจิตอีกเลย จิตเป็นอุเบกขามีคุณสมบัติ 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

ปริสุทธาก็บริสุทธิ์ ปริโยทาตาก็คือยังบริสุทธิ์ ยังสะอาดบริสุทธิ์อยู่แม้จะกระทบสัมผัสกับอะไรต่างๆอย่างแรงอย่างเบา มาลีลาต่างๆอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ไม่เปื้อน ไม่มีมลทินเกิดอีก สะอาดบริสุทธิ์อยู่อย่างเก่า ทำได้อย่างเร็วก็คือ มุทุ ทำได้อย่างแคล่วคล่อง ทำได้อย่างแววไว รู้ก็ไว เชิงปัญญา ทำได้ก็ไว เรียกมุทุภูตธาตุ กระทบสัมผัสกับอะไรอีกในโลกก็มีจิตไว นอกจากไวแล้ว เป็นนักมายากลด้วย นี่แหละคือสิริมหามายา ทำให้มีขึ้นมาก็ได้ รับว่ามีอยู่ก็ได้ แต่มีนี้ร่วมกับผู้อื่น ผู้เป็นอรหันต์แล้ว ตนเองมีร่วมอยู่กับผู้อื่นโดยคำว่ามี นี้ไม่ได้เป็นตัวเราของเรา มีร่วมที่จะทำงานกับคนอื่น เช่น พูดกับคนอื่น มี พูดเหมือนกับพ่อแม่เล่นกับลูกๆ เล่นหม้อข้าวหม้อแกง อันนี้ขนมครกเยี่ยวใส่ทรายก็ตักมาเป็นขนมครก ใครเคยเล่นบ้าง อาตมาเคยเล่น มันเป็นเรื่องเล่นๆแต่พ่อแม่เล่นกับลูกอย่างสนุก ลูกก็เป็นจริงเป็นจัง คือร่วมมีเป็นสัมโภคกาย เหมือนสนุกสนานแต่จิตท่านบริสุทธิ์ พระอรหันต์แล้วท่านไม่มีหรอกแต่ท่านก็มีได้ ถ้าเรายังเป็นคนเรายังไม่ตายเรายังมีชีวิตเราก็ร่วมกับคนอื่น อนุโลมเล่นกับเด็กก็เล่นหม้อข้าวหม้อแกง เล่นขนมครกเยี่ยวใส่ทรายแล้วตักมาเป็นต้น มันชัดดี ก็เหมือนเรามีกับโลกเขา อนุโลมตัวนี้ แล้วค่อยๆแทรกซึม เรียกว่าแทรกโอสถเข้ารูขุมขน แทรกยาทิพย์เข้ารูขุมขน ค่อยๆให้ความรู้ แต่อาตมาให้ยาแรง แต่ท่านบอกว่าแทรกยาทิพย์เข้าขุมขน ค่อยๆซึมซับเข้าไป

แต่อาตมาว่าทุกวันนี้หนังคนไม่มีรูแล้ว หนังมันด้านหมดแล้ว เพราะฉะนั้นจะไปใช้วิธีเบาๆแทรกโอสถเข้าขุมขน มันไม่มีขุมขนที่จะให้เข้า ก็ต้องแทงเข้าไปจิ้มเข้าไปให้เกิดรูหยดโอสถเข้าไปมันถึงจะเข้าได้ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆในยุคนี้เป็นยุคหนังด้าน ด้านทั้งหมดหน้า ตัวตนก็ไม่มีขุมขนเลย หน้าไม่มีเลย แต่ก่อนนี้ก็ยังมีขุนขนหน้าบาง ตัวขุมขนหยาบ แต่เดี๋ยวนี้หน้าแข็งไม่มีขุมขนเลย ก็เลยต้องจิ้ม จิ้มด้วยเข็มก็ยังไม่เข้า ต้องหอก พูดให้มันถูกสภาวะความเป็นจริงเพราะหน้ามันแข็งมากเข็มหักหมด ต้องหอก แหลมๆใหญ่ๆทิ่มเข้าไปๆ จึงจะแทรกยาเข้าไปได้บ้าง ต้องใช้นัยยะเปรียบเทียบ พูดอะไรน่าเกลียด แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงในยุคสมัยนี้

อาตมายกตัวอย่างเช่น อาตมาพูดถึง การทำฌาน ทำสมาธิ

ศาสนาอื่นใดเขาทำฌานและสมาธิจะต้องนั่งเพ่งทำการสะกดจิต เพ่งอย่างไรก็แล้วแต่เพ่งข้างนอกหรือเพ่งข้างใน เพ่งนอกแล้วค่อยเข้าไปข้างใน ทำให้นิ่งอยู่เฉยๆหยุด อย่างนั้นเป็นวิธีที่ตื้นและง่าย ทั่วโลกเขาทำกันอย่างนี้ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ทำอย่างนี้ วิธีการทำฌานและสมาธิอย่างนี้ทั่วโลก แต่ฌานของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ ไม่ใช่มานั่งเพ่งอย่างนี้ ฌานของพระพุทธเจ้าต้องทำงานทำการให้เกิดฌาน ฌานนี้คือไฟ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะเพาะพุทธว่า..พ่อท่านอธิบายสิริมหามายา เป็นวิธีการทำให้เกิดจิตวิญญาณใหม่  โดยปกติลักษณะของพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เน้นนิพพานคือความดับ แต่สิริมหามายานี้ทำให้เกิด ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องสวนทางกัน แต่จริงๆแล้วเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะในการทำความดับก็เป็นการทำความเกิด ดับกิเลสในจิต จึงเกิดความเป็นเทพจนถึงวิสุทธิเทพ ก่อนจะถึงวิสุทธิเทพก็เป็น สมมุติเทพ พัฒนามาเป็น อุปัติเทพ กระทั่งถึงวิสุทธิเทพ

สิริมหามายา พ่อท่าน พยายามเชื่อมโยงให้พวกเรารับรู้ว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้าเน้นความดับ แต่ความดับที่ว่านี้ไม่ใช่การดับที่เรียกว่าไม่ดูดำดูดี แต่เป็นความดับที่ก่อให้เกิดความเกิดจนถึงขั้นวิสุทธิเทพ พ่อท่าน อธิบายว่าจิตที่สะอาดบริสุทธิ์คือจิตที่ไม่มีตัวตน นั่นแปลว่า ความไม่มีนั่นแหละเป็นความมี เป็นความไม่มีตัวตน ให้ถึงจิตสะอาดบริสุทธิ์

การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาคือการปฏิบัติธรรมให้เห็นไตรลักษณ์ พ่อท่านพูดให้เห็น ความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ความไม่มีตัวตน จนเข้าถึงจิตอุเบกขา โดยยกตัวอย่าง กรณีพ่อแม่เล่นกับลูก

นักปฏิบัติธรรมอนุโลมเพื่อโลกไม่ได้อนุโลมเพื่อเรา เป็นสิริมหามายาเป็นการแทรกโอสถทิพย์เข้าในรูขุมขน ตอนแรกพ่อท่านว่าทุกวันนี้คนไม่มีขุมขน หมอเอายาเข้าก็ใช้ขุมเข็ม แต่พ่อท่านก็ว่าแม้แต่เข็มก็แทงไม่เข้าต้องใช้หอก

คนจะมีความสามารถใช้หอกใช้ทวน ต้องฝีมือระดับกวนอูนะครับพ่อท่าน ใครที่ยังไม่มีความสามารถในการใช้อาวุธ ให้ระมัดระวังรายการใช้อาวุธจนถึงขั้นอย่าพึ่งใช้อาวุธ รอให้มีคู่มีกระบวนท่าอาวุธใช้ก่อน ก็ปล่อยให้ผู้นั้นเป็นผู้ทำหน้าที่ไป ผมก็ฟังพ่อท่านมาประมาณนี้ พ่อท่านให้อ่านมโนปวิจาร 18 จัดการกับกายกลิ คือองค์ประชุมของจิตที่ไม่ดีให้หายไป การหายตัวคือทำให้กายกลิหายไป เป็นวิธีการหายตัว แบบอิทธิปาฏิหาริย์ในเชิงพุทธแบบหนึ่งเหมือนกัน

พ่อครูว่า...อาตมาอธิบายไปก็เป็นธรรมะไป อาตมาได้พูดเรื่องแม่ก็อธิบายว่าแม่เรามีจะต้องตอบแทนบุญคุณ ต้องเคารพยกย่องเชิดชูอะไรก็แล้วแต่ ที่มีคำบอกว่า ช่วยขยายความว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร เป็นพุทธภาษิต

พรหม คือความบริสุทธิ์สะอาด เป็นวิสุทธิเทพ คำว่าแม่นี้ ที่ท่านเรียกสิริมหา มหาแปลว่าใหญ่ เป็นแม่ที่ดีเป็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ เพราะว่าคำว่าแม่คำนี้ หมายได้ถึงเป็นตัวตนบุคคลธรรมดา เป็นแม่ที่ดี เป็นแม่โดยโลกีย์ธรรมดา เป็นผู้ที่เลี้ยงดูบุตรหลานให้เป็นคนดี ถ้าแม่ไม่เป็นคนดีไม่เลี้ยงลูกปล่อยปละละเลยทิ้ง อย่างที่เคยได้ยินได้ฟัง คลอดลูกออกมาเอาไปทิ้งถังผงเป็นต้น เอาไปทิ้งตรงนั้นตรงนี้ ปล่อยทิ้ง มันไม่ไหวแล้ว แม่จะต้องมีน้ำใจ

สัตว์เดรัจฉาน เมื่อคลอดออกมาแล้วมันรักลูกของมันทุกตัว อย่าให้ใครมาทำร้ายเลยมันเอาตายนะ แม่ที่มันมีลูกอ่อนอย่าเข้าไปใกล้มันนะสำหรับสัตว์ มันสู้ตายเลย มันระวัง กลัวลูกของมันถูกทำร้าย มันมีสัญชาตญาณด้วย แม้แต่คน นอกจากคนมันวิปริตแล้วมันไม่รักลูก ไม่ดูแลลูก ลูกของสัตว์นี้คลอดออกมาแล้ว สัตว์หลายอย่างคลอดแล้ว พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงเลย มันโตของมันเองด้วยตัวของมันเองเลี้ยงตัวมันเองได้เลย แต่สำหรับลูกคน คลอดออกมาแล้วแม่ไม่เลี้ยงก็ตายลูกเดียว คนนี่ ถ้าแม่ไม่เลี้ยง ซึ่งเป็นสัญชาตญาณที่มีมา สัตว์ที่มันต้องเลี้ยงมันก็เป็นสัตว์ที่ดี หรือสัตว์ที่คลอดลูกแล้วมันไม่ต้องเลี้ยง เอาเถอะ มันเป็นไปตามลำดับ

สรุปแล้วแม่ มาถึงธรรมะพระพุทธเจ้า การเกิดมันมีการเกิดอยู่ 4 อย่าง

1. ชลาพุชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์)

2. อัณฑชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ - ทิชาชาติ)

3. สังเสทชโยนิ  (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว) เช่นแบคทีเรีย 

4.โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที เกิดนิโรธ ไม่มีอะไรมาคั่น  เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก)  

(พตปฎ.เล่ม 11   ข้อ 263)

 

โอปปาติกะคือจิตวิญญาณ คนจะเรียนรู้การเกิดทางจิตวิทยานี่แหละสำคัญ ถ้าผู้ใดไม่มีความรู้เรื่องความเป็นสัตว์ ที่เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ เรียกว่าสัตว์โอปปาติกะ โอปปาติกะคือทางวิญญาณ สัตว์ พระพุทธเจ้าท่านสอน สัตตาวาส 9 ต้องเรียนรู้กายเรียนรู้สัญญา กำหนดรู้กายต่างๆ แล้วรู้ว่ากายมันปรุงกันเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นสัตว์อันนี้ตั้ง 9 อย่าง

ผู้ที่สามารถรู้สัตว์ทั้ง 9 แล้วดับความเป็นสัตว์ของสัตว์ทั้ง 9 ได้ จนไม่เหลือความเป็นสัตว์เป็นวิสุทธิเทพ ก็คือ วิสุทธิเทวะ เทวะแปลว่าสอง ไม่เหลือ 2 เลย วิสุทธิสะอาดบริสุทธิ์เหลือ 1 หรือ 0

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวในโลกที่รู้จัก ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ที่สามารถทำให้สอง เทฺว ธมฺมา  ให้เป็นหนึ่ง เป็นเอกสโมสรณา ทำให้เป็นหนึ่งสำเร็จได้ ภวันติ

จุดประเด็นสำคัญก็คือเวทนาของคน ศาสนาพุทธสอนให้รู้ทุกข์ ความทุกข์ความสุขอยู่ที่อารมณ์ของจิต เพราะฉะนั้นต้องเรียนที่อารมณ์ของจิตเรียกว่าเวทนา ไม่ต้องไปสเปะสปะเรียนอื่น มันไม่จบหรอกมันมีเยอะแยะ จะแยกเป็น 2 ตั้งแต่นิวเคลียสก็ต้องมีบวกมีลบ จะโตขึ้นมาก็จับคู่เป็น 2 หลากหลายไม่รู้กี่คู่ นับคู่ไม่ถ้วน เยอะ ทางดินน้ำไฟลม พืชพรรณธัญญาหาร สัตว์ มนุษย์ เป้าสำคัญคือจิตของมนุษย์

เป้าสำคัญอีกก็คือ เวทนาของมนุษย์ คืออารมณ์ แล้วก็สอนเรื่องทุกข์เรื่องสุข ศาสนาพุทธสอนเรื่องทุกข์เรื่องสุข ถ้าแก้ปัญหาเรื่องทุกข์เรื่องสุขหมดไป ไม่มีทุกข์มีสุขแล้ว เป็นอรหันต์แล้ว อยู่กับโลก ก็รู้ธรรมะ 2 ทั้งหลายแหล่ ทำให้เป็นศูนย์ได้ ทำให้เป็นหนึ่งได้ จึงอยู่กับทุกอย่างเลย ทั้งสัตว์ บุคคล พืชพรรณธัญญาหาร ดินน้ำไฟลมได้หมด แม้แต่ดินน้ำไฟลม ธาตุสสารพลังงาน มันก็มี Nuclear Fusion กับ Nuclear Fission หรือมีบวกกับลบ เป็นธรรมะ 2

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้นี้ก็จะรู้แจ้งจนกระทั่งถึง อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม แล้วก็ทำได้ด้วยกรรมนิยาม ของพระพุทธเจ้าจึงรู้ครอบโลกเลย นักวิทยาศาสตร์ใหญ่ขนาดไหนก็สู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ วิทยาศาสตร์ก็เรียนรู้แค่อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม นิดหน่อย

มีแต่พุทธที่เรียนจิตศาสตร์ทะลุทะลวงหมดเลย จนกระทั่งทำให้เป็นหนึ่งได้ จึงไม่ทุกข์ไม่สุขอยู่กับโลกและไม่เป็นภัยอะไรกับโลกเลย คนที่บรรลุธรรมแล้วชัดเจนในเรื่องจิต เป็นหนึ่ง ไม่ต้องเป็น 2 ไม่ต้องไปรบไปราอะไรกับใคร จิตหนึ่งนี้เป็นจิตธาตุรู้ ทำจิตให้ไม่มีผลักไม่มีดูดไม่มีโกรธไม่มีโลภ มันรู้ความจริงตามความเป็นจริง กระทบอะไรก็ไม่โกรธไม่โลภ นิดหนึ่งก็ไม่มี รู้ความจริงตามความเป็นจริง คนอื่นยังมีก็รู้ว่าเขามีก็ช่วยให้เขาไม่มี เราไม่มีแล้วความโลภความโกรธความหลงทำได้แล้วชัดเจนทุกอย่างแล้ว ทำให้จิตเป็นอรหันต์ได้แล้ว เราจึงเป็นผู้ช่วยโลกอยู่ทั้งหมด ไปช่วย ดินน้ำไฟลม ทำพืชพรรณธัญญาหารมากิน รู้จักพลังงานสสาร ก็ทำให้พลังงานสสารที่เป็นเครื่องใช้ไม้สอยที่ดี อย่าเอาไปทำปืนระเบิดไม่เข้าท่า มันส่อความเหี้ยมโหดต้องไปทำร้ายไปฆ่า เพราะว่าอาวุธทำขึ้นมาเพื่อฆ่าคนทั้งนั้น มันเลวร้าย

ผู้รู้ก็เอาแต่ความรู้ไปสร้างสิ่งที่ดีมีประโยชน์ คนที่ถูกฟอกกิเลสร้ายออกไปหมดแล้วมีแต่จิตที่ดีมีธาตุรู้ที่ดี คนนั้นปลอดภัย คนนั้นมีประโยชน์คุณค่าอยู่ในโลก พระพุทธเจ้ามีหน้าที่สอนเรื่องนี้ ทำคนให้เป็นคนอย่างนี้ เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าหากอาตมาไปเป็นคน ชาติอื่นชาติไหนก็ตามก็จะมาสอน แน่นอนอยู่ชาติไหนก็ต้องใช้ภาษาชาตินั้น ชาตินี้แม้ว่าอาตมาไม่ได้เป็นคนชาติลาว แต่รู้จักภาษาลาวเกิดใกล้ประเทศลาวก็สอนลาวได้ พูดภาษาอะไรก็ไปสอนชาตินั้นได้ สอนให้คนเป็นคนประเสริฐเป็นคนไม่มีพิษภัย เป็นคนมีแต่ประโยชน์คุณค่าในโลก เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่มีงานใดเทียบเท่า อาตมาจึงเลือกงานนี้ ทำจนตาย จนกระทั่งมาเห็นว่าคนน่าสงสาร จะพยายาม อีลากอีเลือไป ภาษาอีสานแปลว่ากระเสือกกระสน ไม่ยอมตายง่ายๆ เพราะเห็นว่าคนไม่รู้เยอะคนเป็นโทษเป็นภัยกันเยอะ

คนเป็นโทษในการสร้างอาวุธ เป็นโทษหนัก คนที่มันรวยไม่จบ ก็เป็นโทษยิ่งกว่าผู้ที่สร้างอาวุธอีก

เพราะฉะนั้นคนที่รวยนี้ มันเกิดอยู่มากคน คนที่ไปสร้างอาวุธแล้วใช้อาวุธมีจำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่คนโลภรวยๆนี้มันใช้เกือบทุกคน มีพระอรหันต์นี้ไม่ใช้ หรือผู้ที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะไม่ใช้เพื่อไปแย่งโลก นอกนั้นมันโลภแย่งหมด ถึงร้ายกว่าพวกสร้างอาวุธ

สร้างอาวุธมันก็มีพักยก แต่คนที่จะเอามาให้รวยนี้ไม่พักยกเลยนะ จะกินจะนอนจะเดินจะหลับมันก็จะเอาตลอด จึงร้ายยิ่งกว่าพวกอาวุธ ก็คนมีโทษทั้งนั้น อาวุธก็โทษ ไปแย่งชิงลาภยศสรรเสริญโลกียสุขจากมนุษย์ จากผู้อื่นเขามันก็เป็นทุกข์โทษภัย เพราะฉะนั้นจึงช่วยคนพวกนี้

นี่เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ที่มนุษย์ ควรรู้และควรทำ อาตมารู้ก็เลยทำ เลิกงานหาเงินทองลาภยศกับเขาอยู่ อาตมาก็ยังเผลอไปตั้ง 36 ปี เสียดายชีวิต 36 ปี มาทำทางนี้ทำมาได้ 36 ปี จึงพยายามจะกระเสือกกระสนไปให้ได้อีกหลาย 36 ปี นี่ก็ได้มา 36 ปีหนึ่งแล้ว อายุถึง 72 ปี ยังไม่อยากหยุดเพราะเห็นหน้าตา ตาดำๆแป๋วๆน่าสงสารทั้งนั้นเลย ที่ยังไม่มาไม่รู้ตัวเอง ว่าจะชวนมาศึกษาอันนี้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ให้เขามาเอาเถอะก็ไม่มาก็ช่างเถอะ คนไม่มีฉันทะไม่อยากได้ไม่อยากมี จะให้มันก็ไม่เอา ขนาดสนใจยังเอายากเลย จะไปเสียเวลาคนที่ไม่สนใจ คนสนใจก็พยายามให้เขา เพื่อจะได้สืบสานสิ่งประเสริฐที่สุดในความเป็นมนุษย์

พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่สุดยอด มีสิ่งที่ประเสริฐในความเป็นมนุษย์และเอามาให้คนไว้ เพื่อช่วยตนและช่วยโลก เป็นงานที่ดีที่สุดเป็นงานหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อาตมาเห็นอย่างนั้นจริงๆที่พูดไป งานอื่น ช่างศีรษะเถอะ เราทำงานนี้ อาตมาพูดไพเราะสุภาพนะ ก็ช่างศีรษะมันเถอะ ไปว่าหัวมันจะหยาบ

ทุกวันนี้อาตมายังชีพอยู่ได้เป็นไปได้ เพราะความสงสารเพราะความเมตตา เห็นความทุกข์เห็นความลำบาก เห็นความไม่รู้ของคน เต็มไปหมด ผู้ใดที่สามารถมีความรู้ รู้เพิ่มขึ้นว่าชีวิตเราไม่น่าจะต้องมาเป็นปุถุชนเต็มตัวอย่างนี้ น่าจะลดการเป็นตัวแย่งเป็นตัวโทษภัย เรานี่เป็นตัวลดโทษภัยในสังคมซะ นอกจากไม่เป็นตัวแย่งไม่เป็นตัวทำร้าย ไม่เป็นโทษภัยแก่ผู้อื่นแล้วยังมาช่วยสร้าง สิ่งที่เป็นประโยชน์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ชาวอโศกเป็นสังคมอนาคามีภูมิ

มาถึงวันนี้อาตมาว่าได้ประสบผลสำเร็จที่ได้ทำงานมา ถึงวันนี้ พวกเราชาวอโศกเป็นพวกหนึ่งที่ได้ศึกษาเข้าใจและก็เป็นคนไม่เห็นแก่ตัวจัดจ้านมากมายอะไร จนกระทั่งเอาชีวิตมารวมกัน แล้วก็ช่วยกันทำงาน งานที่ควรทำ จะร่ำรวย จะไม่ร่ำรวยก็ไม่คำนึงถึงมากแล้ว ว่ามนุษย์อย่างเราจะต้องรวยๆๆ อาตมาก็หลอกให้ไปซื้อหวยสิจะได้รวยโลกก็เป็นอย่างนั้น แต่เราไม่เอาแล้ว รัฐบาลจะหลอกให้ซื้อให้รวยเราก็ไม่เอา ไม่แยแสหรอก รัฐบาลไม่ได้เงินจากเราในการซื้อหวยหรอก ชาวอโศกที่ตื่นรู้แล้วไม่เสียเวลา มาเป็นคนสร้างสรร

แม้แต่ที่สุดมาเป็นคนที่สร้างสรรแล้วก็ไม่ยึดถือเป็นตัวเราเป็นของเรา อาตมาทำได้ ในชาวอโศกนี้มีคนอย่างนั้นเลย ทำแล้วก็เอาเข้าส่วนกลาง เศรษฐกิจสาธารณโภคี อาตมาเรียกชื่อเต็มๆ ของพระพุทธเจ้านี่แหละ สาธารณโภคีอยู่ในสาราณียธรรม 6

ลาภธัมมิกา คือ ลาภที่ได้มาโดยธรรมคืออย่างสุจริต แล้วก็เป็นผู้ลงมือสร้างสรรโดยสุจริต ไม่ได้เป็นผู้บุกรุกที่ดิน ไปเอาวัตถุของคนอื่นมาสร้าง สร้างด้วยความสะอาดบริสุทธิ์เกิดผลผลิตขึ้นมา แล้วก็เอามาแจกคนอื่น หรือรวมเข้ากองกลางแล้วช่วยกันบริหาร กินใช้อาศัย มีเหลือเฟือก็เอาไปแจกจ่ายแก่ผู้อื่นไป สาธารณโภคีนี่คือสุดยอดแห่งเศรษฐกิจชั้น 1 ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นพบ และอาตมาก็นำเอามาใช้ พระพุทธเจ้าทำให้ฆราวาสมาทำสาธารณโภคีไม่ได้ เพราะเป็นยุคของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคทาส คนทุกคนเป็นสิทธิของนายทาส จะเอามาให้เขาทำไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์ สิทธิก็จำเพาะอยู่กับนายทาสและพระเจ้าแผ่นดิน นายทาสรองลงมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นนายของคนทั้งหมด นายทาสรองลงมาก็มีลูกทาสรองลงมา คนยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เหมือนวัว ควาย หมู หมา ม้า แมว แล้วแต่นายจะใช้ทำอะไร ที่สุดสามารถฆ่าได้ ฆ่าทิ้งได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ยุคนี้ไม่ใช่แล้ว ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเต็ม ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ นายทาสหมดไป มนุษย์มีสิทธิเสรีภาพสมบูรณ์แบบ

เพราะฉะนั้นจึงสามารถทำให้ประชาชน พลเมือง ฆราวาส มาประพฤติรวมกันเป็นสาธารณโภคีได้สำเร็จ ไม่ใช่ว่าอาตมาเก่งกว่าพระพุทธเจ้าจึงได้ทำสาธารณโภคีให้เกิดกับฆาราวาสได้ ไม่ใช่อาตมาเก่งหรอก แต่ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าอยู่ในยุคของพระพุทธเจ้า ท่านก็ทำของท่านนะ ในยุคนั้นท่านกระทำเฉพาะคนที่มาเข้ารีต อยู่ในธรรมนูญของท่านพุทธธรรมนูญของท่าน อยู่ในธรรมวินัยของพระองค์ แล้วท่านก็ยิ่งใหญ่มาก ท่านไปที่แคว้นไหน ไปทุกประเทศ ประเทศใหญ่ประเทศเล็กก็ยอมให้ท่านหมดเลย จะประกาศธรรมนูญของพระพุทธเจ้าท่านประกาศเอง มีศีลมีธรรมวินัย เข้ามาอยู่ในนี้แล้วก็ต้องมีวินัย ถ้าไม่มีวินัยก็ใช้ศีล เพราะวินัยเอาไปใช้กับฆราวาสไม่ได้ คนทั่วไปไม่ได้ วินัยใช้กับภิกษุที่มาบวชแล้ว จึงมามีศีล ซ้อนในวินัย แต่ทุกวันนี้ภิกษุไม่พูดเรื่องศีลกันแล้ว ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล พอถามว่ามีศีลกี่ข้อก็บอกว่ามี 227 ข้อ อันนั้นมันเป็นพระวินัยไม่ใช่ศีล

แต่ศีลเขาก็ยังเหลือศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 นิดหน่อย

ผู้ใดมีศีล ตั้งแต่ศีล 5 เป็นต้นไป ชาวอโศก ในชุมชนชาวอโศกทุกคนต้องมีศีล 5 เป็นอย่างต่ำ ใครผิดศีลมากก็อยู่ไม่ได้ อาตมาภาคภูมิใจที่ทำได้สำเร็จ ทำให้คนเกิดมีศีลมีธรรมได้ จนชำระจิต จนถึงขั้นสาธารณโภคีได้ หลายคนอยู่ในหมู่กลุ่มชาวอโศก อยู่กันอย่างสบายๆ ไม่ใช่อยู่กันอย่างซังกะตาย อยู่กันอย่างทำงานทำการ รู้จักมีสติสัมปชัญญะ รู้ว่ากาละนี่ควรจะทำอะไร สร้างสรรอะไรแล้วไม่ถือเป็นสมบัติส่วนตัว ผลผลิตทุกอย่างเอาเข้ากองกลางบริหารร่วมกัน ได้มาก็กินใช้ร่วมกัน เหลือเฟือก็แจกจ่ายคนอื่น มันเป็นการจบหน้าที่ของมนุษย์ที่อยู่ในสังคม ไม่เป็นพิษเป็นภัยไม่เป็นโทษอยู่ในสังคม มีแต่ประโยชน์ต่อสังคม

อาตมาว่า ได้ทำงานสำเร็จ แม้จะมีคนหมู่นี้เท่านั้นมาทำเท่านี้ สำเร็จก็สำเร็จแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลงด้วย อาตมามั่นใจในชาวอโศกที่เป็นเลือดอโศกตั้งจิตวิญญาณ ทั้งกายวิญญาณ ไม่ได้เปลี่ยนเป็นอื่นหรอก อยู่อย่างนี้จนตาย ที่นี่ก็พึ่งตายได้ พึ่งพาการเกิดแก่เจ็บตายกันได้อย่างแท้จริง นี่เป็นเรื่องจริงใจที่อาตมาภูมิใจว่าเกิดมาในชาตินี้ เอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาสอนและให้พวกเราทำ พวกเราเข้าใจแล้วมาเป็นได้สำเร็จ ทุกวันนี้ ผู้ที่รู้เข้าใจดีแล้วก็ช่วยกันถ่ายทอดช่วยกันทำให้เป็น ไปหาจุดสำคัญจุดยอดที่ถึงวิมุติถึงนิพพานได้สำเร็จสมบูรณ์ ให้ได้

ชาวอโศกเป็นอนาคามีเยอะ เหลือเศษละเอียดที่ยังไม่ได้เก็บละเอียดให้ถึงอรหันต์ ซึ่งละเอียดมันยาก แต่สบายแล้วเป็นอนาคามี อยู่กับหมู่กลุ่มมันมีกองกลาง คนบางคนนะ มาอยู่ในหมู่อโศก มาแฝงตัวอยู่แล้วก็เลี่ยงไปเลี่ยงมา จับนั่นนิดนี่หน่อยแต่อาศัยอยู่กินได้ตลอดชีวิต คนแบบนี้ก็เรียกว่า เป็นปลิงเป็นทากอยู่ในสังคมชาวอโศกก็มี เกาะกินไป ไม่ได้ช่วยเหลือหมู่กลุ่มสังคม ทำกิจการงานที่ควรเป็นไปสร้างสรรกันไป ชีวิตคนที่ทำก็เป็นคนดีเป็นงานเป็นการชำนาญสร้างสรรได้ มีคุณค่า ผู้ได้ทำก็เป็นกุศล เป็นกุศลวิบากของผู้ที่ทำนั้น ทำแล้วก็ได้กินได้อาศัย อาศัยกินใช้ไม่มากมาย นอกนั้นที่เหลือมีคุณภาพดี ให้ส่วนกลางเอาไปแบ่งกันกินใช้อาศัย จึงเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่วิเศษประเสริฐ เป็นผู้สร้างสรร เป็นลูกพระพุทธเจ้าที่แท้จริง เป็นคนสร้างสรรเสียสละ ไม่มีของตัวของตน ไม่เอามาเป็นของตัวของตนสร้างสรรแล้วอาศัยกินใช้ร่วมกันด้วย นอกนั้นก็เอาไปแบ่งแจกเผื่อแผ่

คนที่มีคุณสมบัติแบบนี้ มีคุณธรรมแบบนี้ อยู่ในกลุ่มไหนก็อุดมสมบูรณ์ แต่เป็นความอุดมสมบูรณ์ที่ไม่สะสมกักตุนกอบโกย อุดมสมบูรณ์มีแต่การสะพัด เป็นเศรษฐศาสตร์บทใหญ่เหลือคงคลังไว้เป็นให้พอกินนิดหน่อย ไม่ขาดตอน หมุนเวียนได้อาศัยใช้สอย เราก็รู้พลเมืองของเรา สะพัดออกไปได้มากแค่ไหน เหลือไว้คงคลังนิดหน่อย เป็นทุนรอนเผื่อขาดเหลือเผื่อเจ็บป่วยไม่พอ เป็นสุดยอดแห่งเศรษฐศาสตร์

อาตมาพาพวกเราทำได้ถึงสาธารณโภคีและปรับกรรมกิริยาการงานความเป็นอยู่ได้ดีมากแล้ว สุดยอด มีสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ  อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ เป็นพุทธพจน์ 7 ที่สุดยอด นี่คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ค้นพบแล้วเอามาให้มนุษย์ได้พึงเป็นพึงได้ มาได้เป็นได้สังคมก็ดี อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าเอาความรู้อันนี้มาถ่ายทอดมาสืบทอด มาพยายามให้ปฏิบัติประพฤติแล้วก็ได้ อาตมาได้อย่างพอใจ อาตมาไม่ตะกละตะกลาม แต่ไม่หยุดยั่งได้แล้วก็ทำต่อไปอีกไม่ได้หยุด

คืออาตมาหมดความไปเที่ยว คนที่ยังไปเที่ยวนี้ เข้าใจคำว่าเที่ยว คือ เป็นคนที่ยังไม่จบ ยังมีการไปเที่ยวคือคนยังไม่จบ แต่ถ้าคนที่ชัดเจนแล้ว จะเสียเวลาแรงงานไปทำไม เที่ยวคือคนที่อยากจะสัมผัสสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วรู้สึกว่าสบายอร่อยสนุกเพลิดเพลิน มันก็ดินน้ำไฟลม พืชพรรณธัญญาหาร สัตว์ต่างๆสารพัดสัตว์ จนกระทั่งถึงมนุษย์ มีเท่านี้ อาตมาไม่เห็นจะสงสัยอะไรเลย

สัตว์บางตัวก็ดุร้ายบ้าง แต่คนหลายตัวก็ดุร้าย ขอเรียกเป็นตัวๆก็แล้วกัน ดุร้ายแล้วเสแสร้ง ทำดีให้คนอื่นรู้ว่าเป็นคนไม่อำมหิตโหดร้าย แต่ลึกๆแล้วเป็นคนอำมหิตโหดร้ายมาก หลอกคนอื่นว่าตัวเองไม่โหดร้าย จะสร้างอาวุธที่ร้ายที่สุด เอ็งอย่าขัดใจข้านะ ถ้าหากขัดใจข้าเองจะโดนอาวุธนี้เลยนะ นี่คือคนสะสมหมักหมมก็อำมหิต มีไหมคนอย่างนี้ แล้วเขานึกว่าเขาเป็นเจ้าโลกนะ แล้วเขาไม่รู้ตัวเองนะว่าเขาทำอะไร เขาหลงตัวด้วยซ้ำไป ว่าข้านี้ยิ่งใหญ่ ไปถามคิมจองอึนหรือโดนัลด์ทรัมป์ก็ได้ หรือแม้แต่จะไปถาม วลาดิเมียร์ ปูติน เขาก็ยังคิดแบบนี้อยู่ เขาไม่รู้อย่างที่เรารู้

เพราะฉะนั้นในยุคนี้ไม่ใช่ยุคที่จะเอาหอกดาบไปเข่นฆ่ากัน มันรู้กันแล้วนะ ยุคหมูป่า 13 ตัวแล้ว หมูป่า 13 ตัวได้สร้างคุณธรรม สร้างรูปคุณธรรมกระจายเผยแพร่ไป favor ไปทั่วโลก ระบาดไปทั่วโลก มีจิตลักษณะนี้ เขาเป็นอย่างนี้แล้ว จะตกเทรนด์ไปถึงไหนในยุคนี้ โดนัลด์ทรัมป์ไปตกเทรนด์อยู่ที่ไหน ยิ่งคิมจองอึนก็คงไม่รู้เรื่อง เขาก็ชื่นชมกับทรงผมเขาอยู่ พูดให้มันสนุกบ้างเท่านั้นเอง ไม่ได้มีจิตไปโกรธเคืองอะไร เอาสภาวะจริงไปประกอบการพูดด้วยศิลปะชนิดหนึ่ง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอนสิริมหามายาที่เป็นคุณวิเศษเป็นอจินไตย

เข้ามาสู่ สิริมหามายาที่เป็นคุณวิเศษเป็นอจินไตย

สิริมหามายานั้นเป็นคุณวิเศษเป็นอจินไตย ไม่ได้ถึงตัวตนบุคคลเราเขา แต่หมายถึงความเป็นนามธรรม เป็นโอปปาติกะสัตว์ ที่อยู่ในสัมมาทิฏฐิ 10 อยู่ในข้อที่ 9 โอปปาติกะ พระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 257

อาตมามีความรู้ถึงสาธยายแยกแยะให้ฟัง อาการของจิตที่เป็นสัตว์โอปปาติกะ เรารู้ กายอย่างนี้เป็นมาร กายอย่างนี้เป็นเทวดา กายอย่างนี้เป็นพรหม ประกอบด้วยรูปนามอย่างนี้เป็นมาร มารคือผีคือซาตานคือตัวร้าย เทวดาคือสามารถควบคุม ไม่สามารถควบคุมก็คือเทวดาโลกีย์ก็ไปเสพสุขเสพทุกข์ มาเป็นโลกุตระเป็นอุบัติเทพ เป็นเทวดาที่รู้จักธรรมะ 2  เแล้วลดเหตุที่ไปหลงโลกีย์เป็นสุขเป็นทุกข์ก็อุบัติก็เกิดใหม่ เป็นเทพที่ดี เป็นเทพที่เจริญ เขาเรียกว่าเป็นพระพรหม

แจกเป็นพรหม16 ชั้น ก็ไปอธิบายเป็นแสงไปหมดเลย แสงเล็กแสงใหญ่แสงน้อยแสงมาก แสงยิ่งใหญ่อะไรเขา จนแสงเป็นลำ อธิบายเป็นภาษาวัตถุหมด เราก็ตัดทิ้ง ไม่ต้องไปพูดถึง

พูดถึงนามธรรม สิริมหามายา ผู้ใดที่ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิจะเข้าใจสภาวะที่เป็น สิริมหามายาที่ว่านี้ไม่ได้ ผู้จะรู้ได้ต้องมีประธานคือธาตุรู้ แล้วเข้าไปรู้รูป

เมื่อมีการกระทบแล้วก็ทำความเกิด เรียกว่าเป็นผู้เป็นแม่ ทำความเกิดทางนามธรรม ทางจิตวิญญาณ ผู้จะทำความเกิดเป็นแม่หรือมารดา ต้องมีความฉลาด ฉลาดแบบโลกุตระ ฉลาดแบบอเทวนิยม สามารถที่จะเปลี่ยนจิตให้เป็นจิตโลกุตระได้

สามัญปกติก็เป็นจิตของคนในโลกโลกียะ ธรรมดาปุถุชนที่จิตยังเป็นสุขเป็นทุกข์วนเวียนอยู่ในโลก เปลี่ยนเป็นจิตโลกุตระคือรู้จักจิตที่เป็นสุขเป็นทุกข์และออกจากจิตที่มันจะสุขจะทุกข์ เป็นจิตชนิดอื่นเป็นจิตของคนต่างด่าว ดาวดวงนี้นี้คนโลกนี้ไม่มีความรู้ที่จะออกจากโลกนี้ไป เขาจะอยู่กับสุขกับทุกข์ ส่วนพระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้เป็นดาวดวงใหม่เป็นคนต่างดาว ที่ออกจากความสุขความทุกข์ ไม่ให้มีความสุขความทุกข์เลย พระอรหันต์ก็คือคนหมดสุขหมดทุกข์

เริ่มต้นสุขกับของหยาบ สุขที่ไปได้ทรัพย์สินเงินทองก็เป็นสุข บรรดาวัตถุอะไรอื่นๆ แม้แต่ได้บุคคลก็เป็นความสุข ก็รู้ทันหมด เราก็ลดเหตุในจิตที่ไปยึดติดจนเป็นความสุขความทุกข์เหล่านี้ ให้จิตเป็นโอปปาติกะสัตว์ ลดได้เรื่อยๆ จนหมดภายนอก จนสัมผัสกับภายนอกดินน้ำไฟลมพืชพรรณธัญญาหารกับสัตว์ จนกระทั่งสัมผัสกับคน ก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เลย

จิตที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขเลยเป็นปัญญาเป็นอัญญธาตุ ของคนในโลกดาวดวงใหม่ เป็นต่างดาว ดาวดวงที่เป็นโลกุตระ ดาวที่เป็นปรโลก ที่เป็นโลกใหม่โลกอื่น เราทำจิตให้เป็นเช่นนั้นได้จริง โดยมีวิธีการเรียนรู้ แล้วก็ปฏิบัติให้ดับตัวโง่ ตัวเหตุ ที่มันไม่รู้เท่าทัน จนมันฉลาดแบบปัญญา ไม่ใช่ฉลาดเฉโก เฉกาหรือเฉกตา ฉลาดอย่างโลกที่หมุนวนในโลก โลกลูกเก่านี่ ฉลาดอยู่ในสุขทุกข์แบบโลก สามารถออกไปจากโลกนี้เป็นความฉลาดที่แตกต่างไปเป็นดาวดวงใหม่ต่างดาว ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ สร้างคนดาวดวงใหม่ โลกลูกใหม่ เป็นคนจิตใจใหม่ ค่อยๆออกมา จากดาว เป็นสกิทา อนาคา อรหันต์​ ก็เป็นคนโลกใหม่เต็มตัวเลย

แต่การเกิดของคนที่อยู่ดาวดวงใหม่ สามารถคุมดาวดวงเก่าได้ โลกที่เป็นโลกียะอรหันต์นี้คุมได้เลย สามารถที่จะจัดการ เชื้อโรคที่เป็นโลกีย์ เชื้อโรคที่จะอยากได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เป็นนามธรรมขั้นอรูปก็ตาม ก็ไม่สามารถเข้ามาในจิตของพระอรหันต์ได้ หรือคนดาวดวงใหม่นี้ได้เลย เพราะฉะนั้นจึงยังอยู่ในโลกนี้ หรือควบคุมโลกนี้ ที่พูดนี้ก็ไม่ได้ออกจากโลกนี้ไปไหน ผู้ที่เป็นอาริยะจนถึงอรหันต์ก็ยังอยู่ในโลกนี้ จนกระทั่งเป็นมนุษย์ต่างดาวสำเร็จสูงสุดและก็อยู่ในโลกลูกนี้ จึงช่วยคนโลกนี้ เป็นพระโสดาบันก็เริ่มช่วยคนอื่นบ้าง เท่าที่ตัวเองมีอาริยทรัพย์ สกิทาคามีก็มีมากขึ้น อนาคามีก็มีมากขึ้น อรหันต์ก็มีมากขึ้น ตัวเองไม่ต้องมีทรัพย์อะไรอีกแล้ว ให้คนอื่นมาเป็นอย่างที่เราเป็น ให้โลกุตระทรัพย์แทนหมดเลย เอาโลกุตระทรัพย์มาแจก

คนที่มีดวงตาปัญญา คนที่รู้จักคุณค่าของทรัพย์ที่เป็นโลกุตระ จึงมาเอาก็มีฉันทะ เป็นมูลกา ต้นเค้า แล้วก็จะมาเข้าคอร์สนี้ เข้าคอร์สนี้ อาตมาหรือพวกเรา ท่านเพาะพุทธ ใครต่อใครที่เป็นครูรองลงจากอาตมาก็ช่วยสอน ให้คนที่มีฉันทะที่มานี้ ให้เปลี่ยนแปลงใจเรียกว่า มนสิการ ให้ทำใจในใจ ให้มีจิตใจเป็นคนดาวดวงใหม่ เป็นโลกลูกใหม่เป็นคนในโลกดาวดวงใหม่เป็นโลกุตระ

โดยวิธีที่จะทำได้ จะต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย หากไม่มีผัสสะเป็นสมุทัยไม่มีทางจะทำได้ ตามพหรมชาลสูตร เล่ม 9 ข้อ87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

พวกนั่งหลับตานั้นออกนอกรีตไปไกลไม่มีทางปฏิบัติให้บรรลุธรรม เอาพระสูตรไหนๆมาอธิบายก็ตามนี้ เช่นมหาจัตตารีสกสูตร เป็นต้น แม้แต่อานาปานสติสูตรก็เช่นกัน ไม่มีการไปนั่งหลับตา ต้องมาทำฌานแบบลืมตา ฌานของพุทธ สมาธิของพุทธเป็นแบบลืมตาอยู่ในขณะทำงานเลี้ยงชีพทำสัมมาอาชีพ ทำกรรมการงานกัมมันตะ ในขณะพูดจา อยู่ในขณะนึกคิด ไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ ไม่ได้ไปหาที่ว่าง ไปหาที่ทำสมาธิ ทำฌาน จะต้องปลีกจากเวลาโอกาส ไม่ต้องเลยอยู่ในนี้เลยทันที เป็นฌานสมาธิอยู่ในอิริยาบถเดียวกันกับทุกคน ไม่เสียงานการ ไม่เสียการเลี้ยงชีพ ไม่เสียการงานทุกอย่าง เข้าใจแล้วทำได้ตลอดเวลา นี่คือศาสนาพุทธ

ทำได้แล้วก็เกิดใหม่เป็นตัวใหม่ อยู่ในโลกเก่าอยู่กับหมู่คนเก่าๆ แต่เป็นคนหมดโทษภัย เป็นคนมีแต่คุณค่าประโยชน์ สุดยอดคนแล้ว ถ้าทำสำเร็จหมด หากไม่หมด เป็นอนาคาฯก็ดีมากแล้ว สกิทาคามีก็ดีมาก โสดาบันก็เริ่มเข้าเป็นคนโลกใหม่ มาตามลำดับ

ใครยังไม่มีจิตเข้ากระแสเป็นโสดาบัน โสดาบันแปลว่าจิตเข้ากระแส ก็ยังเป็นปุถุชนพวกนี้มีโทษภัย เป็นคนที่เป็นศัตรูกับสังคมต่อมวลมนุษย์ทุกคน เบาแรงมากน้อยแล้วแต่ ก็ยังเป็นโทษอยู่ทั้งนั้น

เป็นอรหันต์จึงรับประกันได้ว่าไม่มีโทษมีภัยอยู่ในโลกนี้ อนาคามีก็เกือบจะหมดภัยหมดโทษ สกิทาคามีก็ลดความเป็นโทษภัยไปพอสมควร โสดาบันก็ลดความเป็นโทษภัยลงไปตามลำดับ นี่เป็นวิชชาความรู้ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ศึกษาเรื่องมนุษย์และสังคมมนุษยชาติและเอาวิชานี้มาสอน

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลก รู้ตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็เลิกเลยงานทางโลกอื่นๆ ทั้งที่ทำได้เก่งนะ จะไปแย่งชิงลาภยศสรรเสริญโลกียสุข อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลยอาตมาก็ยังเลิกมาแล้ว ถ้าอาตมาอยู่นี่ RS แกรมมี่ ไม่ได้เกิดหรอก อาตมากำลังตั้งสำนักงานหัวใจสีชมพูตอนนั้น แล้วเอาหมดเลยนะ ทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งเพราะอาตมาชอบสื่อสาร เอาหมดเลย ทั้งศิลปะทุกด้าน แต่เสร็จแล้วมันก็ไม่แล้วเพราะว่าอาตมาอยู่ในปางนี้ หน้าที่นั้นมันลิงลมอมข้าวพองอาตมาเลยอยู่กับโลก 12 ปี เรียนจบทำงานกับโลก 12 ปี ไปหลงกับโลกเขา นักษัตรหนึ่งเสียเวลา เมื่อรู้ตัวแล้วก็ไม่เอาแล้วตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ก็ยังทำงานอยู่ เพราะงานนี้เป็นงานที่ดีที่สุด ใครไม่เชื่อมีไหม ดีที่สุดงานนี้ ไม่มีงานใดดีเท่า จริงมาช่วยกันมาศึกษาเป็นครูน้อย อาตมาจะเป็นครูใหญ่ ไม่มีใครตั้งอาตมาตั้งเอง ครูน้อยครูใหญ่นี่แหละ คือมารดาที่สอนโลกอยู่

มารดาคือสิริมหา มารดานี่แหละคือผู้ที่กำลังเล่นกลอยู่กับมนุษย์ ให้รู้จักการเกิดดับเหมือนเล่นกลคือการเกิดการดับ นี่คือสิริมหามายา คุณรู้ไหมว่าอาตมาเกิดหรือดับ กำลังทำนี่ทำเกิดหรือทำดับ ทำทั้งสองอย่างเลย เห็นไหม? แล้ว 2 อย่างนี้คืออะไร

2 อย่างนี้คือ ให้หายสุขหายทุกข์ แต่ยังตัดทิ้งพยัญชนะไม่ได้จึงเรียก ผู้มีปรมังสุขัง คืออะไร? ปรมังสุขังคือ ยิ่งกว่าสุข แปลว่าสุขอย่างยิ่งไม่ได้ พระศาสนาพุทธนั้นไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ปรมังสุขังคือ ยิ่งกว่าสุข อยู่เหนือสุขเหนือทุกข์

แล้วคุณผู้อยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ คุณรู้จักสภาวะจริงของตัวเองไหมว่า จิตของคุณนี้อยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ได้แล้ว คือจิตของคุณไม่เป็นสุข จิตของคุณไม่มีอาการสุขอาการทุกข์ คุณทำได้ไหม อาตมาว่า ชาวอโศกทำได้ แต่ยังไม่ถาวร ยังไม่ “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” เท่านั้นแหละ ใช่ไหม

ถ้าคุณฟังอย่างที่อาตมาพูด ก็ตรองตามตรวจสอบตามอาการจิตของเรา ตามอาตมาตามที่เข้าใจ ว่าใช่ ทำได้อยู่บ้าง แต่บอกว่าทำไม่ได้อย่างขั้น “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”ก็ใช่ เพราะฉะนั้นก็ทำจนกระทั่งมัน “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” ให้ได้ คุณก็เป็นอรหันต์ถาวร ซึ่งอาตมาขออภัยนะ อาตมาอวดตัวอวดตนจนหมดเนื้อหมดตัวแล้ว เพราะอาตมาทำได้เอามาจากของจริง ไม่มีในตำราไหนหรอก เป็นความรู้ของอาตมาเอง โวหารของอาตมาเอง เรียบเรียงของอาตมาเอง ที่เอามาพูดนี้ ไม่ได้เอามาจากอรรถกถาจารย์หรือคนไหนพูด อาตมาไม่ค่อยไปอ่านด้วย ที่พูดนี้เป็นของตนเองหมด อรรถกถาจารย์อาตมาไม่ค่อยไปอ่าน อ่านแต่พระไตรปิฎก แล้วก็เอามาใช้อยู่ทุกวันนี้เป็นหลัก ก็คือพระไตรปิฎก อาตมาก็ได้พระไตรปิฎกนี้เป็นสิ่งอ้างอิง อาตมาถึงได้รอดตัว หากไม่มีพระไตรปิฎกอ้างอิงอาตมาตายอย่างฝุ่นเลย ไม่ใช่ตายอย่างเขียดนะ

ทำงานได้อยู่ทุกวันนี้เพราะมีพระไตรปิฎก เสร็จแล้วก็เห็นใจศาสนา สงสารศาสนาที่ไม่กระเตื้อง อาตมาได้นำเอาคำสอนมาอธิบายขยายใหม่ มาเผยแพร่ให้มันถูกต้อง แต่ก็ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงกัน ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็ดีขึ้นบ้าง

ตอนนี้ก็พยายามตรวจสอบกัน พยายามตั้งใจทำ อย่างน้อยก็ดีที่จะจัดการพวกเงินทอน ตอนนี้ก็เอาเข้าแล้ว จีวรปลิวออกนอกประเทศหายไป ไปหลบอยู่ที่ไหนบ้าง ก็เป็นเรื่องที่ดีมากเลยในยุคนี้ ทำไปเถอะ ขอให้ทำกันอย่างจริง ทำกันอย่างยุคพระเจ้าอโศกมหาราชกันหน่อยเถอะุ ไม่ต้องถึงกับฆ่า อย่างพระเจ้าอโศกมหาราชฆ่าทิ้งเลย โอ้โห แต่ยุคนี้จัดการเลย

อาตมากล้าพูดว่าปาราชิกกันมาก โดยเฉพาะปาราชิกเรื่องเงิน ทุจริตแค่ 5 มาสก  ก็ปาราชิกแล้ว น่าจะเป็น 300 บาทสำหรับ 5 มาสก ในยุคนี้ ทุจริตเงินเกิน 300 บาทก็ถือว่าปาราชิกแล้ว จะเหลือไหมนี่ พระทั้งหลาย เหลือพระที่ยากจน พระที่ไม่มีใครไปทำทานด้วย พระที่ไม่มีใครไปบริจาคเงินด้วยก็รอดตัว นอกนั้นก็ไม่เหลือ เช่น เอาเงินมาติดกัณฑ์เทศน์ก็เอาไปใช้ของตัวเอง อันนี้ก็ปาราชิกแล้ว เขาให้เอามาทำงานศาสนา อาตมานี่ขอยืนยัน คนเอาเงินมาบริจาคกับอาตมา หลายคนบอกว่า “แล้วแต่ท่าน” แล้วแต่อาตมาใช้ตามอัธยาศัยส่วนตัว บอกอย่างนี้ด้วย อาตมาก็ไม่เอา ไม่ใช้เป็นส่วนตัว ใครเอาเงินมาบริจาคอาตมา คุณจะบอกว่าใช้เฉพาะตัวไม่ใช่งานศาสนาก็เข้าใจ แต่อาตมาก็เอามาไว้ซื้อข้าวน้ำกินเองอยากได้ของใช้ส่วนตัว อยากไปเที่ยวก็ใช้เงินพวกนี้ไป บำเรอตน อาตมาไม่ทำ

อาตมาเคยพูดไปแล้ว แม้จะเจ็บป่วยแล้วก็ต้องใช้เงินเพื่อที่เขาบริจาค ใช้เงินก้อนนั้นเพื่อรักษาตัวก็จะไม่ทำ ญาติโยมที่เห็นอาตมาป่วย ก็หาเงินส่วนตัวมารักษาอาตมาหรือใครไม่อยากรักษาก็ปล่อยให้อาตมาตาย อาตมาไม่มีอาหารกินไม่มีข้าวกินเลย คุณก็หามาสิของคุณ โดยที่คุณมีสิทธิ์มีส่วนก็หามาโดยสุจริต เอามาทำให้อาตมากินได้ อาตมาถึงกิน ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา ชีวิตเราเนื่องด้วยผู้อื่นให้คนอื่นเลี้ยงไว้ อาตมาทำงานหากจะต้องใช้เงินคนอื่นเขาก็ช่วยส่งเสริมเท่านั้น ส่วนตัวไม่เอามาเป็นอันขาด เด็ดขาดเลย อาตมาตั้งปณิธานไว้อย่างนี้ แล้วทำได้ด้วย อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาทำได้จนทุกวันนี้

แล้วอาตมาก็ให้นักบวชของพวกเรา สมณะของพวกเราก็ประพฤติอย่างนี้ ไม่เอาเงินไปใช้ส่วนตัวอย่างนี้ สมณะนักบวช แม้แต่สิกขมาตุของพวกเรา จึงเป็นสมณะเป็นสิกขมาตุที่บริสุทธิ์สะอาด เรื่องเงินทองสมบัติที่เขาวุ่นวายกันอยู่ในสังคมศาสนาพุทธ แต่ของชาวอโศกเรา โอ้โห ไม่ต้องมาตรวจสอบ หรือจะมาตรวจสอบได้ก็ยินดีอย่างยิ่งเลย เพราะเราทำถูกต้องตามธรรมวินัยของผู้พระพุทธเจ้า เป๊ะเลย

เขาก็บอกกันว่าในยุคนี้เป็นพระไม่มีเงินไม่มีทองอยู่ได้อย่างไร ไปไหนมาไหนก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น เราก็เป็นพระในยุคนี้ไม่เห็นจะใช้เงินอย่างที่เขาโวยวาย ก็ไปไหนมาไหนได้ องค์นี้เหาะไปต่างประเทศโน่น  อาตมา ใครอยากให้ไปต่างประเทศก็ไม่ไป มันเมื่อย ตั้งแต่ไหนแต่ไร อาตมาพูดภาษาไทยบรรยายภาษาไทยก็ยังเมื่อยแล้ว แล้วหากไม่รู้เรื่องภาษาเขา อาตมาจะไปทำไม เมื่อยก็เมื่อย เดินทางเสียเงินเสียทอง เสียเวลา เสียแรงงานต่างๆ ไม่คุ้ม อาตมาไม่ไป ใครอยากจะฟังธรรมะอาตมา เป็นคนต่างชาติต่างภาษาก็ต้องมาหัดฟังภาษาไทย อาตมาไม่มีล่ามแปล ฟังเอง แปลเอง หาล่ามเอง อาตมาพูดแต่ภาษาไทย ไม่พูดภาษาอื่น

สรุปเข้าสู่สิริมหามายา มันเป็นเรื่องของนามธรรม ที่ยากจะเข้าใจ เหมือนนักมายากล ประเด็นที่ว่า จะทำให้เกิดหรือทำให้ตาย จริงๆแล้วอาตมานี่ตายแล้ว แต่อาตมายังเป็นๆ ยังไม่ยอมตาย (คนว่ากิเลสตาย)ใช่ อาตมากิเลสตายแล้วแต่อาตมายังไม่ยอมตาย เหมือนกับคนตอแหลพูดตลบแตลง ไหนว่าตายแล้วดับแล้ว

พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ มารก็มาอาราธนาให้ท่านตายได้แล้ว บอกว่าตรัสรู้แล้วก็ควรจะตายได้แล้ว จะยังเกิดอยู่ทำไม พระพุทธเจ้าก็บอกว่าไม่ได้หรอกมาร เราต้องอยู่ให้มนุษย์เขารับรู้ธรรมะที่เราตรัสรู้ให้ได้เสียก่อน ตราบใดที่ยังไม่ได้เผยแพร่ให้คนรับรู้จนกระทั่งเอาไปเผยแพร่ เอาไปบอกไปจำแนกแจกจ่าย และปรับวาทะกับศาสนาเดียรถีย์ กับผู้อื่นที่เขาไม่รู้เรื่อง ให้รู้เรื่องได้เสียก่อน ถึงขั้นปล่อยมือได้เราถึงจะตาย มาร ท่านก็ตรัสกับมารอย่างนี้

เพราะฉะนั้นคำว่าการเกิดการตาย จึงลึกซึ้งมาก จะใช้คำว่ามีกับไม่มีก็ได้ พระพุทธเจ้าก็ตรัส พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ (43) [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี  1  ความไม่มี 1  ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)

มีคือโลกสมุทัย ไม่มีคือโลกนิโรธ โลกคือความวน ยังมีสมุทัย ยังมีเหตุให้วนเวียน เมื่อดับเหตุได้ก็เป็นโลกของความดับคือนิโรธ โลกที่ไม่มีความวนเวียน พระอรหันต์มีนิโรธแต่ว่าลืมตาสัมผัสทำประโยชน์แก่โลก

ผู้ที่มีนิโรธคือต้องมี  ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ผู้ที่มีจิตนิโรธวิมุติหลุดพ้นเป็นอุเบกขาฐาน มีฐานจิตเป็นอุเบกขาแล้วสมบูรณ์แบบ จิตผ่องใสปภัสรา ทำงานอยู่ กัมมัญญา แคล่วคล่องว่องไว เป็นกายกัมมัญญตา เวทนาก็คล่อง สัญญาก็คล่อง สังขารก็คล่องทำงานอยู่ปุ๊บปั๊บๆ เล่นกลตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอยู่นี่เห็นไหม เหมือนเอานกพิราบมาให้คุณดูแล้วก็หายไป เหมือนกับคนหายตัว นักเล่นกล หายตัวได้มีก็ได้ เอาตัวใส่กล่องเอามีดแทงไม่ถูกหายตัวไปได้ เขาตัดทั้งตัวเลยนะตอนแสดงมายากล ตัดแยกออก แล้วเอามาต่อกันได้อีก เหมือนกับตายได้ แล้วก็เกิดได้อีกเหมือนกัน เล่นกล เกิดตายตายเกิด จึงเป็นนักมายากลอย่างสิริมหามากเลย

พูดไปพูดมานี้พอรู้เรื่องกันนะ เป็นเรื่องอจินไตยที่รู้ได้ยากเอามาขยายความ มันเป็นคุณวิเศษ ทำให้เกิดทำให้ตาย ทำความเกิดให้แก่จิตของตนที่เป็นโลกุตระ เป็นสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติจนกระทั่งเกิดสัมมาปฏิเวธโดยการเอามาทำตามลำดับ

วิธีทำก็คือเรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิที่พระพุทธเจ้าสอนตาม ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับสัมผัสเข้าของ

สัมผัสกับสัตว์แล้วทำใจอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร ก็อาศัยธรรมะพระพุทธเจ้า มาเรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิแล้วก็มาปฏิบัติ เมื่อสัมผัสกับสัตว์แล้ว สัตว์เขาก็เกิดของเขา อยู่กับวิบากของเขา เราอย่าไปเกี่ยวข้องกับเขา อย่าไปทำวิบากร่วมกับเขา ไม่ทำร้ายเขา ไปฆ่าเขามันก็เป็นวิบาก ไปแตะต้องตัวเขาก็เป็นวิบากแล้ว ต่างคนก็ต่างอยู่ ช่วยกันได้ก็ช่วย สรุปแล้ว หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่

ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของที่ไม่ใช่ของของเรา ถ้าเป็นของๆเราๆมีสิทธิ์ที่จะสร้างขึ้นมาเอง ไม่ใช่ของๆเราอย่าไปอยากได้มา ของจะเป็นดินน้ำไฟลมจะเป็นพืชพรรณธัญญาหาร แม้แต่มนุษย์ ในยุคทาสก็ตาม ไม่ใช่ทาสของเราไม่ใช่คนของเรา ไม่ใช่ของๆเรา อย่าว่าแต่ทาสเลย แม้แต่ไม่ใช่ภรรยาสามีของเรา แม้แต่ที่สุด ไม่ต้องยึดถือเป็นลูกของเรา พ่อของเราแม่ของเรา แต่รู้ มีคาราโว มีความเคารพกัน มีความรักกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน มีความสามัคคีกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไปทุกมุมเลย

 เมื่ออาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็ปฏิบัติประพฤติก็สั่งสมเป็นนิสัย สัยหรือสยนี้แปลว่าตัวตน อาศัยไปทำให้เกิดก่อน แล้วก็เป็นนิสัยจนกระทั่งเป็นวิสัย

วิสัยคือสิ่งที่เป็นไปได้อย่างแน่น ถาวร อย่างเป็นไปได้เอง วิสัย การประพฤติปฏิบัติก็เป็นอย่างนี้ ตนเองจะสุดยอดเป็น วิ หรือเป็น นิ มาตามลำดับ  นิคืออะไร สยะคืออะไร

นิ คือ พยายามทำตนเรียนรู้กิเลส แล้วก็ นิ เอามันออก คือ ปฏินิสรณะ สรณะแปลว่าการกระทำสงคราม กิเลสมันเป็นศัตรูตัวร้ายที่จะรบกับมัน มันไม่ค่อยออกหรอก เราเป็นนักรบ คนเกิดมามีสรณะมีการรบเป็นที่พึ่ง ต้องรบอะไร รบกับกิเลสตัวเอง เกิดมามีชีวิต ถ้ารู้ว่าตัวเองเกิดมาเป็นคนแล้ว แล้วก็เรียนรู้ลดกิเลสรบกับกิเลส ฆ่ากิเลสให้ตายให้ได้ นี่คืองานที่ยิ่งใหญ่

ทีนี้ คนไม่รู้จัก เกิดมาแล้วเอาอะไรเป็นที่พึ่ง ก็เอากิเลสเป็นที่พึ่ง แทนที่จะรบ จะจัดการมัน มันก็สั่งบงการเราเลย ตกลงสรณะของคนคืออะไร คือกิเลส เป็นอย่างนั้นจริงๆไม่ได้ใส่ความนะ

เพราะฉะนั้นพยัญชนะที่พูดนี้ไม่ได้พูดอย่างโมเมเล่นลิ้น ตลกฮานะ แต่เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องสัจจะ เอามาอธิบายเป็นสาระ เป็นเนื้อแท้

เพราะฉะนั้นวันแม่วันนี้เราก็ต้องเรียนรู้ ฟังอาตมาเทศน์นี้ เท่ากับ อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาสอนพวกคุณ เป็นแม่

พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระโมคคัลลานะเป็นแม่นม พระสารีบุตรเป็นแม่เลี้ยง แล้วท่านก็มาสอนแม่ ภิกษุทุกองค์ก็เป็นแม่  ที่จะไปให้เกิดทางจิตวิญญาณแก่คนทั้งหลายต่อ โดยทำตนให้เป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์

แล้วเอาความรู้โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไปก่อเกิดลูก ให้เป็นลูกที่มีคุณธรรมเป็นอาริยธรรม โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปเรื่อยๆ

จึงเกิดการสืบทอดสร้างแม่ไปเรื่อยๆ สร้างความเกิดไปเรื่อยๆ อย่าให้ขาดสาย เพราะฉะนั้นแม่นี้จะเป็นแม่ที่ให้เกิดอาริยธรรม ความเกิดที่ยิ่งใหญ่ของสิริมหามายาคืออาริยธรรม แล้วทุกคนมาเข้าคอร์สที่จะเรียนรู้ วิชาความรู้ในการที่จะ ให้เกิดลูกที่เป็นอาริยะชนทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นทำตนให้เป็นแม่จริงๆให้ได้ แม่ที่มีคุณธรรมที่เป็นอาริยธรรม แล้วลูกที่เราจะไปให้เกิดต่อๆ เพื่อสืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้า สืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าได้ ก็ต้องเป็นเชื้อโลกุตรธรรม เชื้ออาริยธรรม ในยุคนี้มันหมดแล้วอาริยธรรม โลกุตรธรรม มันเหลือแต่โลกียธรรม เดรัจฉานวิชชา ความรู้นอกรีตปนเปเยอะแยะ ที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ วิชารัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เรียนแล้วก็ได้ด็อกเตอร์มา แต่วิชาที่อาตมาพูดอย่างนี้เขาไม่รู้เรื่อง เชื่อไหมว่าอาตมาพูดกับคนที่เป็นดอกเตอร์ทางศาสนา พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง จริง พวกคุณจะรู้เรื่องกว่าเขา

พวกคุณเป็นลูกมีเชื้อของพุทธธรรม มีเชื้อทางพุทธศาสนา มีเชื้อของพระพุทธเจ้า ศาสนาจึงจะสืบทอดต่อไป

สมณะเพาะพุทธ...สรุป ดร.สมภาร พรหมทา ว่า ในพระไตรปิฎกไม่มีคำว่านั่งหลับตาปฏิบัติเลย

สรุปเป็นบทกวีดังนี้…. เกิดตาย-ตายเกิดประเสริฐสุด

เป็นแม่พุทธพริ้งเพริศประเสริฐศรี

สร้างสิริมหามายาเอื้ออารี

ล้นหลามความไม่มีได้เกิดมา


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:56:22 )

610813

รายละเอียด

610813 คำว่าคำด่าเป็นเพียงสิ่งสมมุติไม่มีถูกไม่มีผิดใช่หรือไม่

นายอั่งเปา...เหมือนเป็นสถานที่ที่หนึ่งเป็นเหมือนสถานที่ฝึกสอน ผมรู้สึกว่าคำสอนของเขานำมาจากพระพุทธศาสนาครับ ที่เขาบอกว่า ให้บอกว่า สิ่งที่คำว่า คำด่าเป็นเพียงแค่ภาษา แล้วก็บอกว่า  ไม่มีถูกไม่มีผิดใช่ เป็นแค่สิ่งที่เรากำหนดมันขึ้นมาเอง มันใช่ไหมครับ

พ่อครู...ไม่ใช่ เป็นคนโง่ ไม่รู้ว่าอันนี้เป็นคำไม่ดี อันนี้เป็นคำดี รู้จักเป็นสมมติสัจจะ ต้องมีสิ่งต่ำสิ่งสูง ต้องมี 2 สิ่ง ไปบอกให้ไม่รู้เลยอะไรดีชั่วก็ไม่รู้อะไรดีชั่ว แล้วทำใจเฉยๆ มันเป็นเรื่องลัทธิดีรัจถี ที่ทำใจให้ว่าง ทำใจให้เฉย แล้วก็สบายตัวเอง  แต่โง่  ไม่รู้ความจริงว่าอะไรผิด ไม่มีอะไรถูกผิดมาก ถูกผิดน้อย แล้วเราจะเลิก แล้วเราจะไม่ทำอย่างนั้น ไม่ประพฤติอย่างที่มันผิดอย่างนั้นๆ จนกระทั่งเรา ไม่ประพฤติ เราถึงกลางๆ เราถึงจะไม่ทำอย่างนั้น  เพราะงั้น การสอนแบบนั้นไม่ใช่การสอนอย่างที่พระพุทธเจ้าพาสอน

 

ถอดข้อความโดย อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:15:18 )

610813

รายละเอียด

610813สิ่งที่ทำได้ยากที่สุดของชาวอโศกคืออะไร

_ชาวจีนถาม...สิ่งที่ยากที่สุดและสิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นหัวใจในการปฏิบัติธรรมของที่นี่คืออะไร

พ่อครูว่า...สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การลดกิเลส ถ้าทำแล้วความยากลดลงผลที่ได้ก็เกิดเป็นสังคมแบบนี้ การลดกิเลสนี่แหละคือเป็นสิ่งที่ยาก เมื่อลดกิเลสได้ มันเป็นความสำคัญ และถ้าลดกิเลสได้ ผลของการลดกิเลสได้ผลของการทำสิ่งที่ยากนี่แหละจึงเกิดอย่างที่ได้มาสัมผัสนี้

 

สังคมที่ทำได้อย่างนี้มันไม่ง่ายมันยากแต่มันดีที่สุดแล้ว อาตมาประสบความสําเร็จในชีวิตที่ทำให้คนลดกิเลสได้และมารวมตัวกันเป็นพฤติกรรมสังคมมีชีวิตอย่างสุขสบายได้ขนาดนี้ อาตมาว่าอาตมาได้ประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องที่ดีเป็นสากลไม่มีอะไรหักล้างได้ถ้าเข้าใจ แม้แต่แค่ในประเทศไทย ถ้าหากผู้บริหารพยายามเอาทฤษฎีนี้ไปปฏิบัติให้เกิดอย่างนี้ เกิดหมู่บ้านแบบนี้ มากขึ้นๆเป็นหมู่บ้านแบบนี้ ประเทศทั้งประเทศก็คือพฤติกรรมสังคมมนุษย์มันจะเป็นอย่างนี้ขึ้นมา มันจะปรากฏให้โลกเห็นเลย

 

คัดลอกการถอดข้อความของท่าน สมณะแสนดิน


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:16:54 )

610813

รายละเอียด

610813_รายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 5 ที่ ปฐมอโศก

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1YiU7wKZY5MlsX325NdHW2wLND1BFte4hLP6K-LjLSzg/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1B6P7rYVyw5Db8vcd-fp80ptdlHQVddQb

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม 2561 ที่บวรปฐมอโศก

_ดญ.ว่านน้ำถาม หลวงปู่สบายดีมั้ย

พ่อครูว่า … สบายดีเพราะหลวงปู่ไม่ซน คนซนๆไม่สบายหรอก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน พระอานนท์ดื้อหรือไม่

_ทิดคู่ฟ้า...สมัยที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ก็ไป 2 คนกับพระอานนท์ เพื่อจะไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ระหว่างทางพระพุทธเจ้าเกิดกระหายน้ำ ก็เลยบอกพระอานนท์ว่า อานนท์เรากระหายน้ำ เธอไปตักน้ำให้เราดื่มหน่อย พระอานนท์ไปที่ลำธาร แล้วกลับมาบอกพระพุทธเจ้าว่า เกวียน 500 เล่มเพิ่งผ่านไป น้ำจึงขุ่น พระอานนท์จึงกลับมา พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้ไปอีก พระอานนท์ก็บอกว่า เกวียน 500 เล่มเพิ่งผ่านไป น้ำจึงขุ่น เป็นครั้งที่ 2 และเป็นครั้งที่ 3 พระพุทธเจ้าก็ตรัสคำเดิม ว่าเรากระหายน้ำจริงๆเธอไปตักน้ำมาเถอะ ผมจะหยุดเรื่องนี้ไว้ก่อน

ผมจะเล่าเรื่อง พระพุทธเจ้าไปหาพระนางพิมพาไปโปรด แต่ก็ไม่ได้ไปสักที แต่พระพุทธเจ้าก็ได้ไป ก่อนจะไปบอกให้พระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตรเป็นปัจฉา องค์อื่นไม่ไป พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ให้เธอคือพระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตรไม่ต้องยุ่งอะไร เมื่อไปแล้วก็เกิดเหตุการณ์ ต้องปล่อยให้พระนางพิมพาทำอะไรก็ปล่อยให้ทำ พอมาแล้วก็เกินคาดคิด คือมากอดเท้าพระพุทธเจ้าแล้วร้องไห้ พระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตร เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและขวา จะเข้าใจได้

ย้อนกลับมา ที่พระอานนท์ พระพุทธเจ้าให้ไปตักน้ำถึง 3 ครั้ง พระอานนท์ก็เลยไป แล้วก็ตักน้ำกลับมาได้

คำถามของผม...ถามพวกเราทุกคนว่า..นิทานเรื่องนี้มีแง่มุมไหนเราจะได้ประโยชน์ ระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ใครดื้อกว่ากัน

...มีคนตอบว่า พอๆกัน กราบนิมนต์ พ่อท่านเลยครับ เราจะได้ประโยชน์อะไรจากนิทานนี้

พ่อครูว่า...คำถามนี้แทบจะจนแต้ม หาบาปมาให้เรา ให้เราว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอานนท์ดื้ออีก ใครจะไปตอบได้ว่า ใครดื้อกว่าใคร คุณอยากจะว่าพระพุทธเจ้าดื้อก็บาปไปเอง คุณจะบอกว่าพระอานนท์ดื้อก็บาปไปเอง จบ เป็นคำถามที่หาแง่มุมในสิ่งที่ขัดแย้ง แล้วก็จับมาเป็นประเด็นปัญหาหมด จะถามไปหมด แล้วจะตอบหมดที่อย่างไร มันเป็นเหตุที่จะต้องเป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างต่อ เช่น เรื่องน้ำ ที่ดื่มไม่ได้สักทีเพราะเกวียนผ่าน พระพุทธเจ้าก็อธิบายเป็นเรื่องอจินไตย อย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านจะแสดงอะไรออกมาเพื่อจะให้เกิดประเด็น เมื่อประพฤติขึ้นก็จะมีประเด็นมาอธิบาย อธิบายเป็นธรรมะได้หมด เหมือนอาตมาอธิบายได้หมด แต่มันไม่ได้ดีเท่าพระพุทธเจ้าหรอก ยิ่งมาเป็นประเด็นที่จะมาตอบรายละเอียดของธรรมะที่ควรจะสาธยายออกไป เพราะทุกอย่างมันอะไรอันนึง คำพูดคำหนึ่งเกิดขึ้นมา มันก็จะมีอะไรที่มีความหมาย พ่วงไปหานั้นแล้วอธิบายไปมันก็ได้หมดแล้ว

เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นเป็นกรรมกิริยา ที่เราพูดนี้ก็คือวาจา แล้วก็ใช้กรรมกิริยาทางวาจาเป็นตัวนำ ในการที่จะเรียนรู้ ในการที่จะศึกษา เพื่อที่จะได้เกิดการพัฒนาชีวิต เพราะฉะนั้นการแสดงออกเป็นสามัญชีวิตธรรมดาก็ตาม เจตนาอธิบายเป็นธรรมะก็ตาม ก็เป็นประโยชน์ในการพัฒนาชีวิต ถ้าเราเป็นผู้ฉลาด ทุกอิริยาบถสัมผัสอะไรแล้วเราก็กำหนดพิจารณาทำความเข้าใจ เอามาเป็นครูเราก็ได้ประโยชน์ไปทั้งนั้นในชีวิต อะไรๆก็เป็นบทเรียน

 

_คุณอำนาจ ขอให้พ่อครูช่วยอธิบาย สำมะปี๋ซีวิต คืออะไรครับ

พ่อครูว่า..สำมะปิ คืออะไรต่างๆนานา สำมะปี๋ซี่วิตก็คือชีวิตอะไรต่างๆนานา ทุกเรื่องราวบทบาท ปนกันมากมายก่ายกอง

 

_ใจกลั่น ตอนใจกลั่นเข้าวัดปี 2534 ปี 2536 เกิดวิกฤต ตนเองสอนเด็กจนเกิดความเครียดขึ้นมาทางปฐมอโศก ตอนที่พ่อครูมาใจกลั่นก็กราบพ่อครูว่า..ไม่มีใครเข้าใจดิฉันเลย พ่อครูเลยบอกว่า คุณนั่นแหละฟังเพื่อนๆบ้าง เราก็ตั้งสติ

บางทีใจกลั่นมีเพื่อนว่าผอม พ่อครูก็ว่า ไม่ผอมหรอกหุ่นนางแบบ แต่พออ้วนขึ้นมา พ่อครูก็ว่า ไม่อ้วนหรอก แข็งแรงบึกบึน

ที่จะถามคือ คุณต้องฟังเพื่อนๆบ้าง สมัยนั้นก็จะมีหินกลั่น กลั่นฟ้า กลั่นกรอง ใจกลั่น มี 4 กลั่น วันหนึ่งพ่อครูก็บอกว่า พวกกลั่นๆนี้มีแต่ดันทุรังทั้งนั้นเลย คือดื้อ

อยากถามพ่อครูว่า...ที่ตั้งชื่อ ว่าใจกลั่นและพวกกลั่นๆ ต้องการให้กรรมฐานอะไร แล้วพ่อครูทราบได้อย่างไรว่า ...เพื่อนฝูงบอกอะไรให้ฟังบ้าง ให้ฟังที่ประชุมบ้าง

พ่อครูว่า...ที่คุณสงสัยว่าอาตมารู้ แล้วอาตมารู้อะไร…

_ใจกลั่นว่า...พ่อครูแสดงธรรมแล้วมันตรงพอดีค่ะ

พ่อครูว่า...อาตมาไม่รู้อะไรแต่แสดงออกไป มันก็ตรงพอดี ก็แสดงว่า อาตมาไปแสดงทั้งๆที่ไม่รู้นี้เป็นสารพัด มันไปตรง ก็คือคุณมีสารพัดนั้น ทั้งที่อาตมาไม่รู้เลย แสดงออกไปก็ไปทุกอันนี้ แสดงว่าคุณก็มีอันนี้ ก็แสดงว่าสารพัด

_ใจกลั่นว่า...ดีไหมคะ

พ่อครูว่า...ถ้ามันตรงก็ได้ประโยชน์ก็ดีไหมล่ะ

_ใจกลั่นว่า.. มีครั้งไหนที่พ่อครู เจตนาจะเทศน์ให้คนนี้

พ่อครูว่า...มีหลายที ตั้งใจจะมาเทศน์ให้คนนี้ แต่บังเอิญคนนี้ไม่มาฟังอีก ก็หลายที คนที่เราจะอธิบายจะสอนให้ดันไม่มาอีก

_ใจกลั่นว่า..แล้วเขาไม่มาแล้วพ่อครูทำไงคะ

พ่อครูว่า...ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว บางทีก็เทศน์ไปเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น บางทีก็รอให้คนนั้นมาก่อน

 

_กำชับ....อยากจะถามเรื่องผู้ใหญ่ที่ว่ายากสอนยาก และเด็กที่ว่ายากสอนยาก พ่อครูเหนื่อยกับเด็กมากกว่าหรือเหนื่อยกับผู้ใหญ่มากกว่าครับ

พ่อครูว่า..ตอบ มันเหนื่อยกว่ากันทั้งคู่ ผู้ใหญ่ก็เหนื่อยกว่าเด็ก เด็กมันก็เหนื่อยกว่าผู้ใหญ่มันก็เลย กันทั้งคู่ ถ้าลงมันไม่ค่อยจะฟังก็เหนื่อยทั้งนั้น มันต้องจ้ำจี้จ้ำไช บางทีก็ต้องปรุงแรงหน่อย อะไรต่ออะไรก็หนัก เท่านั้นเอง ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ

 

_ปลูกขวัญ..เรามีบรรพชนที่เคยเป็น ผอ.โรงเรียนสัมมาสิกขา ณ บัดนี้มีบ้านอยู่ข้างทาวน์เฮ้าส์ที่วัด ตอนนี้อาจารย์อายุมากขึ้น เดิน 3 ขา เวลากลับบ้านก็อยู่คนเดียว ศิษย์เก่าทั้งหลายก็อยากให้อาจารย์ท่านนี้ มาอยู่ที่นี่แล้วก็ดูแลกัน แต่ทีนี้ อาจารย์จะเป็นคนเกรงใจมาก อยากจะกลับบ้าน เราจะทำอย่างไรให้อาจารย์ได้คลายใจตรงนี้ อาจารย์เคยสอนลูกหลานมา ทำอย่างไรจะให้ลูกหลานได้ตอบแทนบุญคุณบ้าง

พ่อครูว่า...อาจารย์ไม่ออกมาให้เราได้ดูแล เราก็เข้าไปสิ ไปบ่อยๆเดี๋ยวอาจารย์ก็จะเกรงใจว่าคนมาหาบ่อยๆเราก็เลยต้องออกมา เป็นการแก้เคล็ด

_ปลูกขวัญว่า...ตอนนี้อาจารย์ยืนยันว่าจะกลับบ้าน

พ่อครูว่า..ต้องกลับบ้าน แต่เราก็ไปให้มากๆบ่อยๆ จนท่านคิดว่าเราทำให้คนต้องมากันเยอะ เดี๋ยวท่านเกรงใจท่านก็ออกมาเอง นี่คือคำตอบ คำตอบนี้ไม่ได้ปิดบัง ท่านจะได้ยินเองหรือไม่ได้ยินเองก็ไม่เสียหาย

 

_ปลูกขวัญว่า...อาจารย์บอกว่าจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ

พ่อครูว่า...ก็ตามไปดูที่กรุงเทพฯเลย ต้องพูดถึงธรรมะอันนี้ อันลึกอันนี้ ความเกรงใจนี้ดี แต่ถ้าเกินขอบเขตก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าจะเป็นประโยชน์ มันไม่ใช่เรื่องแกล้ง ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เราก็ควรจะต้องทำให้เกิดความพอดี ถ้าเราออกมาแล้วเกิดประโยชน์อย่างนี้ ลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นลูกหลาน ให้เขาได้มาเป็นคนกตัญญูกตเวที มันก็เป็นกรรมกิริยาที่เป็นประโยชน์มีคุณค่า ถ้าคนใดแสดงออกความกตัญญูกตเวทีก็จะเป็นกิริยาเป็นอาการเป็นพฤติกรรม คนก็จะเห็นก็จะเกิดประโยชน์ ที่นี่เขาดีนะ มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ใหญ่ ดูแลช่วยเหลือเป็นพฤติกรรมมนุษย์ซึ่งมันจะสวยงามเสมอ ว่าชาวอโศกเรามีพฤติกรรมที่สวยงามอย่างนี้เยอะ พฤติกรรมที่ดี เพราะฉะนั้นถ้ามีพฤติกรรมจริง ถ้าไม่เกิดพฤติกรรมจริงมันก็จะเงียบหาย มันก็จะไม่เกิดผลประโยชน์อะไร ถ้ามีพฤติกรรมสิ่งที่เป็นพฤติกรรมดี ก็แสดงพฤติกรรมดีต่อสังคมขึ้นไป ก็เป็นประโยชน์ให้คนได้รู้ได้เห็น

อย่างเช่นพฤติกรรมของคนที่ช่วย 13 หมู่ป่า ก็เลยเกิดเป็นคุณค่าในโลกขึ้นยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ พฤติกรรมของคนแม้จะเล็กน้อย มีความละเอียดลึกซึ้งก็เป็นธรรมชาติของความละเอียดลึกซึ้ง ก็ดี

 

_อาจารย์อุทิน...ดิฉันรู้สึกสุดแสนซาบซึ้งกับจิตวิญญาณทุกท่าน ไม่มีอะไรจะเหนือกว่านี้แล้ว แต่ที่ดิฉันจำเป็นต้องออกไปข้างนอกเพราะมีวิบากกรรมที่ต้องใช้หนี้ จนตอนนี้ 2-3 เดือนนี้ อยู่ดีๆจะไปไหนก็ยกขาไม่ขึ้นเลย ก็เลยต้องเดินสามขาสี่ขา เหมือนมีเชือกรัดเอาไว้ พยายามรักษาตัวที่โรงพยาบาล ลูกก็ทำงานที่โรงพยาบาล ไปหาหมอเขาก็ให้แต่วิตามินบีคอมเพล็กซ์เสมอ ผลสุดท้ายหมอนัดอีกทีวันที่ 6 ก็เลยบอกว่าจะไม่ไป มาที่นี่ดีกว่า ดิฉันเตรียมตัวแล้วว่ามันคงถึงเวลาแล้ว กำลังเขียนหนังสือหนังหา เรามีเต็มบ้านหลายพันเล่ม เราจะรักแค่ไหนก็ไม่มีโอกาสนั้นก็ต้องหาวิธีระบาย ที่ดิฉันไปก็ไปรักษาตัว จิตวิญญาณของเรา อย่างไรเราก็หวังจะถึงขั้นนิพพานไม่อยากจะมาเกิดอีก แต่เวลามันน้อยเหลือเกิน ทำได้นิดเดียวก็ใกล้เวลาเข้ากองฟอน ตายเมื่อไหร่ก็ไม่มีปัญหา ขอว่าเท่าที่จะมีแรงมาที่นี่ ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งมาก รู้สึกเป็นภาระแก่ผู้อื่นเขา

พ่อครูว่า...ให้เขามีภาระบ้าง ถ้าไม่มีภาระก็จะไม่มีกรรมกิริยาการกตัญญู ให้คนได้เห็นได้รู้ได้เป็นพฤติกรรมให้เขาศึกษา เป็นครูก็ต้องทำอะไรให้คนเห็นคนเข้าใจ คนได้รับรู้ว่าอันนี้เป็นของดี เป็นพฤติกรรมที่ดี ไม่อย่างนั้นไม่เกิดปฏิกิริยาอะไร มันก็ไม่เกิดอาการอะไรที่จะเห็น เพราะฉะนั้นต้องมีเหตุปัจจัยมีรูปนาม เป็นพฤติกรรมธรรมะ 2 ถึงจะเกิด ไม่อย่างนั้นมันก็มีพฤติกรรม 2 มันก็ไม่เกิด เป็นครูวิทยาศาสตร์ก็คงจะเข้าใจนะที่พูดนี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน วิบากกรรมเรื่องดื่มน้ำของพระพุทธเจ้า

_อาจารย์อุทินว่า..เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่กระหายน้ำ พระพุทธเจ้าตอนที่ทำวิบากไว้ ก็ยังหวังดีที่จะทำ แต่เป็นเพราะจิตวิญญาณของ ผูกไว้หรือ ทำไมผูกไว้นานเหลือเกินจนเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังตามมาอีก ก็ไม่เข้าใจตรงนี้เหมือนกันต้องทรมาน

พ่อครูว่า...ก็เพราะอย่างนี้แหละ จิตวิญญาณของสิ่งที่เป็นวัว กับจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้า เป็นกรรมวิบากที่ท่านได้สร้างไว้ จึงเป็นเรื่องกรรมวิบากที่แก้แค้นกันด้วยอวิชชา วัวมันก็มีอวิชชา ตอนยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ยังมีอวิชชา แม้แต่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ตาม วิบากนั้นก็เดินบทบาทอยู่ มันก็มีเป็นธรรมดา แม้พระพุทธเจ้าจะมีวิบากไม่ดีนี้ ไม่เป็นไปตามที่ควรเพราะน้ำมันขุ่นไม่ได้กินน้ำ กรรมวิบากก็ต้องออกผลจริงๆ จะไปห้ามได้อย่างไร

พระพุทธเจ้าแม้ว่ากรรมวิบากมาถึงท่าน แต่มันไม่หนักหนาใหญ่โต เป็นเศษวิบากเบาๆ ขนาด พระพุทธเจ้าก็ยังมีวิบากตามมา เพราะฉะนั้นอย่าประมาทในวิบากต่างๆ อย่าไปสะสม ยิ่งสะสมก็เป็นวิบากหนัก

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อกุศลกรรม แม้นิดแม้น้อยอย่าทำเสียเลย ไปสงสัยว่าทำไม ก็มันต้องมีถ้ามันไม่มี กรรมจะเป็นอันทำได้อย่างไร มันต้องเกิด Action Reaction เมื่อถึงเวลาวาระ เป็นแต่เพียงว่ายังไม่ถึงเวลา กาละ Action Reaction ก็ยังไม่ปรากฏ เมื่อถึงเวลาวาระ Action Reaction นั้นก็ต้องปรากฏ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน สัมประสิทธิ์ด้านบุญและกุศล

_ปะฝนฟ้า...1.การเพิ่ม coefficient ให้แก่ตัวเองมีทั้งด้านกุศลบุญใช่ไหมคะ (พ่อครูว่า..ใช่) การจะเพิ่ม พ่อครูว่า.. ถ้าแค่ระดับ + ยังไม่ใช่ ต้องเป็นระดับคูณจนถึงยกกำลัง

...อยากให้พ่อครูยกตัวอย่างบุญกับกุศล

พ่อครูว่า...คุณยกตัวอย่างไกลไป เอาบุญต้องคู่กับบาป กุศลต้องคู่กับอกุศล

บุญยังเป็นโลกุตระเป็นการลดกิเลส ส่วนกุศลนั้นเป็นเรื่องโลกียะ เป็นเรื่องความดี เป็นเรื่องกุศลกับเรื่องไม่ดีคืออกุศล ดีคือสิ่งควร ดีกับไม่ดีจะวนเวียนกลับไปกลับมาไม่สูญหาย นอกจากไม่สูญหายแล้วยังสะสมอีกด้วย คุณสะสมแต่ดี เวลากรรมของคุณก็ต้องมีหนึ่งหน่วย คุณทำกุศลก็ไม่ได้ทำอกุศล กาละทุกกาละ จุดหนึ่งของ กาละเร็วกว่าวินาที จุดหนึ่งคุณทำกุศลก็ไม่ได้ทำให้อกุศล

กุศลอกุศลก็ออกฤทธิ์เป็นผลกรรม ก้อนของกรรมไม่หายไป จะสะสม แล้วมีอยู่ว่าความดีจะออกฤทธิ์ได้ช้าและไม่แรงเท่าอกุศล อกุศลจะวิ่งมาเล่นงานเร็วแรงกว่ากุศล กุศลไม่แรงเท่าไหร่ อกุศลเหมือนผู้ร้ายที่คิดจะทำงานตลอดเวลา แต่ผู้ดีคือกุศลจะเฉื่อย

ส่วนบุญคือพลังงาน ความรู้นี้มีเรียนแต่ในอโศกเท่านั้น อาตมาเป็นคนอธิบาย บุญเป็นพลังงานของจิตนิยาม ไม่ใช่พลังงานอุตุ พีชนิยามไม่มีเวทนา แต่จิตนิยามมีเวทนามีวิญญาณ แล้วมันก็สะสม รัก ดูด กับ ชัง ผลัก

คนที่มีวิชชา จึงแก้ไขไม่ให้แรงผลักแรงดูดทำงาน แม้ที่สุดเป็นพระอรหันต์ก็อยู่เหนือแรงผลักแรงดูด ทำให้พลังงานบวกกับลบนี้เป็น Neutron เป็นพลังงานกลางไม่ผลักไม่ดูดได้ นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ทำให้พลังงานจิตนิยามให้เป็น Neutron ได้

โดยเฉพาะตัว ผลัก ดูด ที่เป็นเหตุให้ผลักหรือดูดก็สลายตัวนี้ไปได้ แม้มันเกิดก็ห้ามได้ อนาคามีก็ได้  แรงจากภายนอกไม่ทำอะไรได้ จะเกิดแต่ในใจ มันก็จะค่อยๆ ผู้ที่ศึกษาเป็นเจ้าของพลังงานจะจัดการได้ อภิสังขารจัดการได้

_แล้วที่เป็นยกกำลังสอง จะยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมอย่างไร

พ่อครูว่า...ยกกำลังคือคูณมากทับทวีเป็นชั้นๆ เป็นอัตราทางวิทยาศาสตร์ นามธรรมแม้จะเป็นพลังงานทางจิตก็วัดหน่วยได้ จะจับหน่วยอย่างไรก็นับเอาจากทับทวียกกำลัง

_คือเราต้องทำกุศลให้มากขึ้นๆ

พ่อครูว่า...พลังงานบุญไม่ใช่กู พลังงานบุญต้องจับกิเลสได้ 2. ต้องทำให้กิเลสลดได้ ทำกิเลสลดได้ หน้าที่บุญก็เลิกไป อันนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ไม่เช่นนั้นไม่มีนิพพาน จะเกิด Action Reaction ตลอดเวลา กุศลอกุศลเกิดตลอดเวลา แก้ไม่ตก แต่บุญไม่ใช่กุศลอกุศล บุญทำลายกิเลสไม่เหลือที่จะออกมาทำ Action reaction เป็นวิบากต่อกันไม่มี มันหมดวิบากเลยนะ บุญ ดับบาปได้ อกุศลก็ได้ คือจิตไม่ดีหมดไป ล้างตัวเหตุแห่งอกุศลแห่งวิบากได้มันก็จบ มันก็ไม่มีอะไรเป็น Action Reaction เป็น Neutral เป็นศูนย์

ถ้าจัดการบุญได้แค่หยุด มันก็ไม่ได้นิพพานสิ มันต้องถอนอาสวะอนุสัยหมด พลังงานมันสูญจริง ก็นิพพาน ไม่มี Action Reaction อีกแล้ว ถ้ายังไม่หมดไม่สูญ เมื่อไหร่จะหมด Action reaction บุญเป็นพลังงานที่รู้จักกิเลสแล้วทำกิเลสให้หมด หมดกิเลสให้ทำแล้วบุญก็หมด บุญเกิดในปัจจุบันเท่านั้น

ผู้ที่สร้างพลังงานนี้ พลังงานบุญก็ต้องมีเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยนี้เป็นเรื่องนี้ ไม่ใช่อยู่ๆก็หาเรื่องให้เกิดบุญแล้วก็ฆ่าอะไรไม่รู้ มันไม่เกิดโดยไม่มีเหตุ ต้องมีผัสสะ เรามีกิเลสกับตัวนี้ ถ้าหากผัสสะแล้วเราไม่มีกิเลส บุญก็ไม่โผล่ บุญก็ไม่มา มันชัดเจน บุญก็ไม่เกิด 

บุญมันดับกิเลสสูญได้จริง มันหมดหน้าที่แล้ว มัน สูญสนิทไม่เกิดอีก พลังงานนี้ไม่เกิดอีกในมหาจักรวาล แล้วบุญจะเกิดอีกทำไม มันก็เป็นเศษขยะเท่านั้นเอง

 

_สืบเนื่องจาก ท่านเดินดินท่านเทศน์เมื่อเช้านี้ มีคนถามว่า มีคนพยากรณ์พ่อท่านหรือยังว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แล้วพ่อท่านตอบว่ามี แล้วเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อจากสมณโคดมหรือไม่คะ

พ่อครูว่า...ไม่ใช่หรอก จะไปถามเรื่องอจินไตยพวกนี้เดี๋ยวจะเป็นบ้า

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อักขรนิทัสสน์) ตอน ความหมายอักขระยโสธราพิมพา

_สมณะเสียงศีล...เมื่อวันแม่ ได้ยินพ่อครูพูดถึงเรื่องของพระนางสิริมหามายา ทำให้รู้สึกเข้าใจที่ดีขึ้น อยากให้พ่อท่านอธิบายชื่ออื่นๆบ้าง อย่างเช่น พระเจ้าสุทโธทนะหมายถึงอะไร เจ้าชายสิทธัตถะหมายถึงอะไร พระนางยโสธราพิมพาหมายถึงอะไร พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระเทวทัต พระอานนท์ ถ้าชื่อเป็นภาษาธรรมะจะทำให้เข้าใจธรรมะได้ดีขึ้น

พ่อครูว่า...ชื่อของเจ้าชายสิทธัตถะ สิทธะ แปลว่า สำเร็จ อัตถะ แปลว่าเนื้อหา สิทธัตถะคือผู้มีเนื้อหาแท้ อัตถะคือ essence แก่นเนื้อหา เป็นผู้ที่เกิดมาจะต้องสำเร็จเนื้อหา ในแก่น เป็นเจ้าของเนื้อหาเลย ทำให้เกิดอันนั้นได้

ยโส คือยศ ธร คือทรงไว้ ทรงไว้ซึ่งยศ ยโสธรา

ยโส สูงสุดแล้ว มีสระที่พลังงานสูงสุดแล้ว โอ ธรา คือทรงไว้ (พหูพจน์)

พิมพา คือลักษณะของ พ.พาน หรือพฤติ พ.พานคือตัวบทบาท ป ผ พ ภ ม เป็นตัวจิตการงานตั้งแต่เริ่มต้น ป ลงท้าย ม คือจิตทำงาน พฤติกรรม พ คือทำ แล้วทำขึ้นมา พิม คืออะ อา อิ คือสามเส้าทำงานเป็นวงวนแล้ว ถ้ามีแค่ 2 ก็เป็นแนวระนาบ พอ 3 ก็เกิดวงวน เกิดปฏิกิริยาพลังงานหมุนที่ครบรอบทั่วถึง สามเส้า

อะ อา อิ นี้ พิม คือ จิต ม.ม้า แล้วพออีก คือ พา คือพหูพจน์ เกิดมาเป็นบทบาทโดยพลังงานของผู้หญิงผู้ชาย พลังงานผู้หญิงคือพลังงานไดนามิค ผู้ชายคือพลังงาน Static

เพราะฉะนั้น ตัวพลังงานคือตัวพิมพา เป็นคู่ที่พาไม่ให้หยุด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเกิดพิมพาก็ต้องเกิดเพราะจะให้ทำงาน ถ้าไม่มีพิมพาก็จะไม่มีตัว ผู้ที่จะให้เกิดทำไง

พวกคุณพอรู้เรื่องบ้างที่อาตมาพูดไปให้คุณเรียนรู้ สามเส้า ในวัฏสงสารนี้มันมี 3

1. สัตว์ 2. ของ 3. รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

ข้อที่ 1 กระทบกับสัตว​์ที่เป็นจิตนิยาม

ข้อที่ 2 เกี่ยวกับของที่เป็นอุตุนิยามพีชนิยาม

เกี่ยวกับสัตว์แต่ละตัว คนละอัตภาพ ก็คือตัวของเขา เราก็คือเรา ทุกคนก็มีวิบากของตัวเอง สัตว์แต่ละสัตว์ ก็มีวิบากของมัน พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า เราอย่าไปเนื่องต่อ ที่เราสัมพันธ์กันมาในอดีตก็เยอะแล้ว สัตว์มันก็อยู่ของสัตว์ ถ้าจะมีอะไรสัมพันธ์กัน เราก็ทำการเกื้อกูลกันเราหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง ช่วยมันเพราะเหตุปัจจัยอาจจะช่วย ถ้าอยู่ดีๆเราอย่าไปเกี่ยวข้อง ถ้าเกี่ยวข้องก็จะเกิดสัมพันธภาพ เกิด Relation เกิดติด ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ต้องทดแทนคุณ ชั่วก็จะมาทำร้ายกัน ดีก็จะมาสนับสนุนกัน เกิดกาละยาวยืดไปอีก คุณก็จะต้องยาวยืดไปอีก

เพราะฉะนั้นสัตว์ทุกตัวเกิดมาคุณก็อย่าไปยุ่งกับมัน คุณก็ตัดวัฏฏสงสารของคุณส่วนหนึ่ง จะได้ไม่ไปนัวนังกับมันอีก ไม่ว่าจะเชื่อมทางดีหรือชั่ว ก็ทำภาระให้แก่ตัวเองลดลง อันนี้คือละเอียดมากเลยนะ

เราเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เรื่องที่จะไปทำร้ายต่อกัน ฆ่ากัน ให้ละเว้น ในศีลข้อที่ 1 ไม่ใช้อาวุธไม่ใช้อะไรจะไปทำร้าย มีจิตเอื้อเอ็นดูกรุณาหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง

แม้แต่ศัตรูคู่อาฆาตนานเท่าไรก็ตาม ก็ต้องหวังประโยชน์แก่เขาอยู่ เป็นจบเลย สูงสุด  เป็นต้น

อย่างของนี่ ก็ต้องอาศัยใช้สอย เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม หากไม่ใช่ของๆเราก็อย่าไปเอามามันจะเป็นหนี้ เราก็ใช้แต่ของเรานี้ให้พอ ไม่พอก็สร้างขึ้นใหม่ จะได้ไม่เป็นวิบากอีก ไม่เป็นหนี้ ถ้ายิ่งไปทุจริต ไม่ใช่ของๆเราก็ไปปล้นเอามาแย่งเอามา ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ก็เลยแย่ใหญ่ เป็นวิบากหนักหนาสาหัส

วิบากร้าย จะไปทำมันทำไม คุณเชื่อว่ากรรมมีผลจริง มันก็จะอยู่อย่างนั้น หากเป็นพระอรหันต์สลายอัตภาพได้ แต่ตราบที่ไม่สลายอัตภาพ แสดงว่า ท่านไม่ทำชั่วก็ไม่เพิ่มอกุศลกรรม มีแต่กุศลก้าวหน้า ตัวร้ายที่จะวิ่งตามทันก็จะห่างไปไม่ได้

กรรมแต่ละกรรมนั้นมีวิบาก ให้ทำแต่กรรมดีแล้วจะได้หนีกรรมวิบากที่ไม่ดี แล้วมันก็ตามเล่นงานเราไม่หยุดหรอก กรรมไม่ดีนี้ กรรมไม่ดีนั้นอย่าทำเสียเลย เป็นสุดยอดพระพุทธเจ้าห้ามไปแล้ว

พวกเรานี้ดี ไม่ทำกรรมชั่ว หรือทำกรรมไม่ดีให้น้อยลงจนบาง ในหมู่ของเราสบาย สังคมของเราเป็นสังคมที่สงบสบาย ไม่เกิดความรุนแรงแม้แต่ ปากหอก พวกเราก็ไม่รุนแรงเหมือนข้างนอกเขา เรื่องกรรมกิริยาทางกายเราไม่มีตบตีทำร้ายทำลายกัน สังคมของเรา ยืนยันได้ สังคมชาวอโศกไม่มีหยาบแรงอย่างนั้น กรรมสุจริตที่จะเอาของๆเขามาเป็นของเราก็จะน้อย

อาตมาว่า อาตมาเกิดมาในชาตินี้ดี เพราะอาตมาได้สร้างพฤติกรรมกิริยาของคนดี แล้วก็เกิดรวมกันอยู่เป็นรูปธรรม เป็นแบบอย่างให้แก่โลก คนตาดี ก็จะรู้ว่า สังคมที่ดีที่สุดในแกนโลกมีอยู่ เมืองอื่นเขาไม่ได้มีความรู้แบบนี้ ไม่ได้มารวมกลุ่มรวมกันแบบนี้ในถึงขั้นสาธารณโภคี ประเทศไหนก็ทำไม่ได้ มีทำได้ประเทศไทย แล้วประเทศไทยทำได้ในกลุ่มคนชาวอโศก คนอื่นเอาแบบให้ได้ จ้างก็เสียเงินเปล่าทำไม่ได้ มีเงินก็ทำไม่ได้ สุดยอดทั้งนั้นจริงๆ พวกเราทำสิ่งที่เป็นสุดที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ เป็นที่สุดแห่งที่สุดแล้ว มันได้อย่างนี้ก็ดีที่สุดแล้ว

 

_กรักเพียงแก้ว...เรียนถามว่า ถ้าเรารู้สึกผิด  เราไม่อยากจะรู้สึกผิดไปนานๆ เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันเกิดมีความสนใจที่จะปั่นน้ำผัก แล้วเครื่องปั่นจะต้องมีคุณภาพมีแรงม้าสูง ราคาแพง ดิฉันปรารภ ก็มีน้องที่อยู่ในนี้ซื้อให้มาตั้ง 7000 บาท ก็ยังไม่ได้ปั่นคุ้มค่าราคาเลย ก็เลยรู้สึกว่ามันผิด ความรู้สึกนี้จะล้างอย่างไรดีคะ

พ่อครูว่า...ก็หาคนที่จะทำมันมีอยู่เยอะไป ให้เขาไปทำ แต่คุณหวงของก็ไม่ได้ทำ

 

_ดิฉันต้องซักผ้าขี้ริ้ว ทำไมต้องเอาไปใช้เช็ดของสกปรก

พ่อครูว่า...มันถูกแล้วผ้าขี้ริ้วต้องใช้เช็ดของสกปรก คุณก็ต้องซักให้สะอาดเพื่อจะเอาไปใช้เช็ดอีก คุณไปติดใจอะไร ต้องการให้ผ้าขี้ริ้วไม่เปื้อนอีกเลยก็ต้องใส่หิ้งบูชาไว้ มันก็ไม่ใช่ผ้าขี้ริ้ว มันเป็นผ้าบูชา

 

_วรรณะ 9 พระพุทธเจ้าทรงสอนใคร พวกเรามีโอกาสได้เรียนและปฏิบัติไปสู่วรรณะ 9 ยังไม่ได้ยากเย็นเลย ท่านสอนใคร ที่มาที่ไป

พ่อครูว่า...อาตมาแค่ฌานวิสัย อย่าให้พูดถึงพุทธวิสัยเลย สรุปได้ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่ไม่มีใครรู้เท่าถึงท่าน ท่านรู้สิ่งที่สุดยอดจริงๆ แล้วท่านก็เอามาเปิดเผยมาไขให้คนเรียนรู้แล้วทำตาม พระพุทธเจ้าท่านตรัสห้ามหรืออนุญาตสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ก็จะได้สิ่งที่ดีเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นคุณจะไปสงสัยไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าจะต้องเป็นผู้รู้สิ่งนี้ ถ้าไม่รู้สิ่งนี้ก็ไม่รู้สิ่งที่เป็นที่สุดแห่งความเป็นคน ในความเป็นคน ท่านรู้ที่สุดแห่งที่สุดถึงได้เป็นผู้นี้จริงๆ ท่านไม่ใช่ของปลอม แล้วท่านก็มาบอกคน จนคนสามารถเป็นอรหันต์ได้ หรือจะต่อไปถึงที่สุดเป็นพระโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้าได้อีก พระพุทธเจ้าสอนที่จบให้แล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว จะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ แยกธาตุ ตัวตนก็หายไป หมด H2O เหลือแต่ธาตุน้ำด้วยไฮโดรเจน ไม่มีอัตตานั้นแล้ว กลายเป็นอุตุนิยามไม่เป็นแม้แต่ พีชนิยาม อรหันต์ที่เลิกจบแล้วสลายธาตุเดิมได้เลย กลายเป็นอาโปธาตุที่สลายตัวไป

 

_ดิฉันติดใจมานานแล้วว่า...ในเมื่อพระพุทธเจ้าหิวน้ำขนาดนั้น ดิฉันเคยกินน้ำรอยเท้าควาย ทีนี้ ก็ในเมื่อพุทธเจ้าหิวขนาดนั้น สมมุติว่าพระอานนท์เอาน้ำขุ่นมาถวายพระพุทธเจ้าจะบาปหรือไม่

พ่อครูว่า...ก็บาปสิ เอาน้ำขุ่นมาถวายพระพุทธเจ้าได้อย่างไร คนขี้สงสัยก็เป็นอวิชชาของเรา คนที่อวิชชาก็ต้องถามด้วยความสงสัยต่อไป

 

_ทิดคู่ฟ้า...สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าเล่าให้ภิกษุฟังว่า ก่อนจะเป็นพระพุทธเจ้าท่านพบพระพุทธเจ้ามาเยอะ ในสัมภาระวิบากก็บอกว่า คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าก็จะพบพระพุทธเจ้ามาหลายแสนพระองค์ พ่อครูก็มาไกลมาก จะไปเป็นพระพุทธเจ้าแล้วบอกได้ไหมว่าพระพุทธเจ้ามาแล้วกี่พระองค์

พ่อครูว่า...ไม่รู้

 

_ในบรรดาพระพุทธเจ้าที่เกิดมา พ่อท่านก็คงทราบบ้าง ถามว่า จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าที่มาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า มีสายเจโตกี่ %

พ่อครูว่า...ตอบไม่ได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน แรงจูงใจกับแรงพอใจ

_มีคำที่ท่านจันทร์สรุปจากพ่อครูเทศน์ว่า อย่าใช้แรงพอใจในการดำเนินชีวิต แต่จงใช้แรงจูงใจในการดำเนินชีวิต

พ่อครูว่า..คำว่าพอใจกับจูงใจ ก็มีน้ำหนักต่างกัน จูงนี้ลากกันไปเลย พอ นั้นเป็นพลังงานทางจิตเท่านั้น พอใจ คำว่าพอนี้ มีความหมายสองนัย หากพอใจ หมายถึงลักษณะที่ดูดดึง ถ้าพอตัวเดียว มันกลางแล้ว พอ หยุด พอ

เพราะฉะนั้นคำว่าพอใจ จะต่างกับคำว่าใจพอ อาตมาพยายามแปลสันตุฏฐิว่าใจพอ ไม่ได้แปลว่าพอใจ ถ้าใจพอนี้จะหยุดแต่ถ้าพอใจนี้ยังจะต่ออยู่ ภาษาจะเชื่อมเป็นความหมายสภาวะอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพอใจกับจูงใจ พอยังมีการหยุดได้ แม้จะยังผูกต่อไปอีกก็ยังไม่แรงเท่ากับ จูง จูงนี้มันจะต้อง ถ้าเป็นรูปวัตถุก็จูงกันเลยนะ จูงควายจะต้องมีเชือกผูกและจูงไปเลยนะ หรือว่าจูงใครก็ต้องไปลากมือมาเท่านั้นเอง ภาษามันคือสภาวะ ก็รู้ความหยาบและละเอียดต่างกัน มากน้อยต่างกัน แล้วก็ใช้ให้มันถูกต้อง ก็เท่านั้นเอง ในทางดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ดีแล้วเราพิจารณาว่าไม่ดีก็ไม่ต้อง จูงใจเป็นทางดีก็ได้ จูงใจในทางไม่ดีก็ได้ เราก็วิจัยเอาเอง ทำสิ่งที่พยัญชนะว่าควรทำอย่างนี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อจินไตย) ตอน สมัยพระพุทธเจ้าต้องใช้ลำโพงฟังธรรมกันไหม

_สมัยพระพุทธเจ้ามีลำโพงไหมคะ แล้วทำไมฟังธรรมแล้วรู้เรื่องกันเยอะ

พ่อครูว่า...เป็นเรื่องของบรรยากาศ ในอากาศสมัยนี้มีทั้งคลื่นต่างๆวิทยุต่างๆ หนักหนามากมาย คลื่นวิทยุก็ยังทำงานได้ยากเลย ในยุคพระพุทธเจ้ามันบางเบา มันเร็ว ก็อธิบายตามประสาอาตมานะ นาซ่าเขาอาจจะคำนวณได้ดี แม้แต่ตอนนั้น เสียงเบาๆก็ไปได้ไกลและกว้าง จะใช้ลำโพงก็ยังดังสู้เสียงพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะว่าทุกอย่างมันอยู่ในยุคนั้น ในกาละนั้น องค์ประกอบของอุตุนิยาม จิตนิยามลงตัวกัน สิ่งที่เกิดในองค์ประกอบจะต้องลงตัวกันจะต้องลงกัน เช่นพระพุทธเจ้าจะต้องเกิดวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 6 ต้องประสูติปรินิพพานตรัสรู้ในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พระพุทธเจ้าประสูติตรัสรู้ปรินิพพานแผ่นดินจะต้องไหว ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์อิทธิเดช แต่เป็นเรื่องที่จะต้องลงตัว ท่านจะต้องชื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ต้องชื่อนี้ อย่าว่าแต่เจ้าชายสิทธัตถะเลย พระพุทธเจ้าพยากรณ์องค์นี้ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย เป็นแต่เพียงโพธิสัตว์ ต่อไปจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าพระนามชื่อนั้นมีอัครสาวกชื่ออะไร ท่านรู้เลยแล้วก็เป็นอย่างนั้นทุกพระองค์ มันจะต้องลงตัวถึงขนาด คุณสร้างอันนี้เป็นอันนี้ได้แล้ว มันจะต้องเป็น อย่างอาตมานี้ พยายามพากเพียรให้เป็นพระพุทธเจ้าจะต้องลงตัวเท่าที่ประมาณนี้ ระดับ 7 ระดับ 8 ระดับ 9 ขนาดอาตมาระดับ 7 ก็มีอะไรลงตัวพอใช้ได้ คนนั้นชื่อนั้นชื่อนี้ก็พอลงตัวได้ แต่ก็ไม่พูดไปหรอกเดี๋ยวจะมาถาม ตอบไม่ไหว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สุขภาพบุญนิยม) ตอน แรงจูงใจในการออกกำลังกายของพ่อครู

_ชูบุญ...คือจะถาม ทำเพื่อเป็นแรงจูงใจ ตอนนี้ไม่ได้ออกกำลังกายแค่ตอนเช้า อยากถามเพื่อให้เป็นแรงจูงใจในการออกกำลังกายแก่ตัวเอง มันจะทำงานอย่างเดียวไม่วางแผนออกกำลังกาย จึงอยากให้พ่อครูเล่าประโยชน์ในการออกกำลังกาย แล้วปัจจุบันพ่อครูออกกำลังกายวันละกี่เวลา

พ่อครูว่า...อาตมาก่อนนอนกับตื่นนอนก็ออกกำลังกายนิดหน่อย มีท่าออกกำลังกายสองสามท่า นอกนั้นก็มีออกกำลังกายเวลาอื่นๆ เดินเร็ว ถีบจักรยาน โยคะ สลับกันไป

_ถามแทรกว่า อุปสรรคในช่วงออกกำลังกายมีไหมครับ เช่นลูกๆก็เบื่อเซ็ง พ่อครูมีตัวอุปสรรค รายการออกกำลังกายไหม

พ่อครูว่า...เกี่ยวอะไรกับลูกๆ อาตมาก็ออกของอาตมา คุณจะเบื่อทำไมกัน มันมีแต่ว่ากำลังทำงานอันนี้สนุกกำลังเขียนหนังสือออกดี เดี๋ยวเขาก็บอกว่ามีเวรจะต้องทำออกกำลังกาย คนก็จะมาคอยเตือน บางทีก็ไม่ได้ออกเพราะว่าวุ่นอยู่กับการเขียนเขาก็ไม่กล้า วันนั้นก็ผ่านไป ก็มีออกกำลังกายอยู่ก่อนนอนตื่นนอน มีท่าประจำ ก็ดัดหน้าหลังเป็น Superman แอ่นหน้าแอ่นหลัง ดัดกลับกัน แล้วก็ยกขา ยกเท้าขึ้น สามครั้ง อาตมานับถึง 20 แล้วก็ยกลง 3 ครั้ง เป็นท่าประจำก่อนนอน และตื่นนอนก็ทำประจำ นอกนั้นก็ออกกำลังกายธรรมดา ก่อนนอนตื่นนอนนี้ทำเป็นประจำไม่ขาด

_ต้องใช้อิทธิบาทไหมครับ

ต้องทำเหมือนกันต้องใช้ที่บ้างมันรู้ว่ายินดีก็ต้องทำ ถ้าเราต้องรู้ว่า 8 อ.นี้จะต้องทำให้ครบดี เป็นลักษณะจะเกิดสัมประสิทธิ์ Coefficient ทำให้เรายืดกาละชีวิตไปได้อีก อาตมาเชื่อ เป็นความจริงก็พยายามทำ เขาไม่เชื่อก็ไม่ทำ คนจะเชื่อแต่ไม่มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาก็ไม่ได้ทำ แต่อาตมารู้ว่าต้องทำต้องยินดี ถ้าเรายินดีจะให้มีชีวิตต่อ เราก็ต้องยินดีต่อการสร้างเหตุให้เกิดผล อยู่ดีๆไม่สร้างเหตุ ที่จะให้เกิดผล แล้วจะให้ผลมันเกิดเองไปซื้อเอาตามร้านขายยาได้อย่างไรไม่ได้หรอก มันต้องสร้างเอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จงรักธรรมะให้ยิ่งกว่ารักสัตว์

คุณพลังเย็น_ฟังพ่อท่านก็ชัดในวิบากกรรม เฝ้าทบทวน ดิฉันอยากไปอยู่บ้านป้าตอนนั้น แต่มีวิบากอยู่ตรงนี้ ดิฉันสามารถทำใจได้ว่า อยู่ที่นี่ก็เป็นบ้านเหมือนกัน เราเห็นพี่เข่งเห็นคนอื่นก็ไปบ้านราช แต่เราก็ทำตรงนี้ก็ได้ตามเหตุปัจจัย จำคำพ่อท่านว่า อยู่ที่บ้านราชมีแต่คนเอาใจ แต่อยู่ที่นี่มีคนขัดใจ ยิ่งอยู่หน้าร้านกับคนรอบข้างก็ต้องปรับตัวเอง หากเราไม่มีอธิศีล เราก็จะกลายเป็นคนไม่ได้เรื่อง คำสอนก็ไม่ได้เอามาปฏิบัติ ก็เลยเป็นเหตุปัจจัยให้เราวางใจได้ ส่วนเรื่องสุขภาพที่ว่า เจ๊เล็กว่า คงขี้เกียจ ดิฉันก็เป็นมาก ก็เลยตัดรอบแก่ตัวเองว่า งานทำไปเท่าไหร่ก็ไม่จบ หากเราอยากมีชีวิตยืนยาวอยู่ฟังธรรมพ่อท่านให้นานๆก็น่าจะตัดรอบ คือได้ปลอบใจตัวเองไปด้วย

เกี่ยวกับสัตว์เราอยู่ที่ร้านค้าเราหวังประโยชน์ให้แมวจับหนู จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร จำเป็นจะต้องเลี้ยงเขา เราไม่ได้ผูกพันกัน แต่ฟังพ่อท่านรู้สึกว่า มันน่าจะเลิกหรืออย่างไร

พ่อครูว่า...อาตมาว่า แม้จะไม่มีแมว ก็ต้องทำให้เราขวนขวายมากขึ้น จะต้องทำความสะอาดไม่ให้เป็นเชื้อที่หนูมันจะเข้ามาได้ คุณจะเก่งอย่างไรคุณก็เป็นคน จะเก่งหาทางป้องกันไม่ให้หนูมันเข้ามา หาทางได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้สัตว์มันมาจับกินกันในนี้ให้ได้ เก่งขึ้น หากไม่ได้ก็ต้องอาศัยแมว

_เขาแนะนำต่างๆ แต่ก็สู้แมวไม่ได้

_ดิฉันกลับไปบ้านคราวนี้แมวมันไม่ขี้ตรงที่เรานั่ง มันฉลาดด้วย ก็เลยจับแมวใส่กระสอบแล้วเอาไปปล่อย แต่เดี๋ยวนี้มันกลับมาบ้านได้ ฉันไม่สบายใจเลย

พ่อครูว่า...เรื่องพวกนี้มันเป็นวิบากมากมาย มันจะต้องเกี่ยวข้องไม่เกี่ยวข้องกัน ถ้าจะพูดจริงๆแล้วแมวมันเป็นสัตว์ป่านะที่จริง เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับพวกเสือ คนเอามาเลี้ยงจนมันกลายมาเป็นสัตว์บ้านไม่รู้กี่ล้านปี จนกระทั่งมันอยู่กับคน จริงๆแล้วมันไม่อยู่กับคนมันเป็นสัตว์ป่า เพราะฉะนั้นคนเลี้ยงมันนี่แหละ มันก็เลยอยู่กับคนจะไปโทษมันได้อย่างไรถ้าไม่เลี้ยงมันอีกสักล้านล้านๆๆๆปี แมวก็จะไม่เข้า เพราะมันจะกลายเป็นสัตว์ป่า แต่นี่มันมาเคล้าเคลียอยู่กับคน เพราะคนนั่นแหละเอามันมาเลี้ยง พระพุทธเจ้าไม่ให้เลี้ยงสัตว์สักอย่าง แต่มันมีวิบาก ไปๆมาๆจะไปห้ามอย่างไร ชีวิตอาตมาไม่วุ่นวาย เกิดมาในชาตินี้ อยู่ที่บ้านก็ไม่วุ่นวายเรื่องแมวเรื่องหมา เคยมีหมาตัวหนึ่ง มาอยู่ข้างรั้วแล้วมาเกาะรั้ว ตัวเดียวครั้งเดียว นอกนั้นอาตมาจะพยายามซื้อหมามาเลี้ยง มันไม่ให้เลี้ยง ต้องให้คนอื่นไป แล้วมันก็อยู่กับคนอื่น หมาตัวนี้มันคลอดลูกแล้วมันก็ตาย คลอดลูกโทน อาตมาก็เลยเอาไปให้ห้องภาพสุวรรณเลี้ยงเจ้าโทนจนมันถูกรถทับตาย ก็มีเท่านั้นแหละที่เกี่ยวข้องกับหมาในชีวิตนี้ นอกนั้นไม่มีมาวุ่นวาย เราอย่าไปสร้างวิบาก ปล่อยให้มันอยู่ของมัน คุณชอบไปฝึกเลี้ยงมัน ผูกพันมัน มันจะไปจบอย่างไร ก็ต้องหยุดตั้งแต่วันนี้จนกระทั่งอีกหลายล้านปี ถึงจะหมดวิบากไป

อาตมาพูดถึงเรื่องสัตว์แล้ว อาตมามีคำถามหนึ่งถามคน คุณทำไมไม่มาวัด เขาตอบว่าไม่มีใครเลี้ยงหมา อาตมาก็เลยบอกว่า คุณรักหมายิ่งกว่ารักธรรมะ คุณก็ต้องไปอยู่กับหมาก็แล้วกัน จบ เห็นหมามีค่ากว่าธรรมะก็จบ

 

_ผมดูคลิปพ่อท่านออกกำลังกาย ตอนนี้วิดกี่ครั้ง

พ่อครูว่า...เมื่อเช้าไม่สำเร็จ ล้มเหลว วันนี้จะต้อง 49 ครั้ง วิดไปได้ 42 ครั้งก็พังพาบเลย ที่สันติอโศก

 

_ตัวผมอายุ 57 ผมจะวิ่งวันละ 6 กิโล ฝึกโยคะวันละ 30 นาที ผมวิดพื้น 20 ทีก็เกือบไม่ขึ้น ผมก็เลยงึดว่าท่านวิดได้อย่างไร ผมก็เลยว่า 151 ปีน่าเป็นไปได้ จะมีอานิสงส์เหมือนเราประพฤติศีล จะมีศักยภาพความคล่องตัว

 

_วันก่อนปั่นจักรยานมาฟังพ่อท่านไม่ทัน แต่พวกเราไม่ค่อยมาฟังธรรมตอนเย็น วันหนึ่งที่พ่อท่านเทศน์ว่า พวกคุณนี่ไม่ค่อยมาฟังเทศน์อาตมา อยากให้พ่อท่านขยายความต่อพวกเราจะให้ความสำคัญต่องานเยอะกว่าการฟังธรรม

พ่อครูว่า...จำไม่ได้ว่าอย่างไรที่ตอบไปแล้ว อันนี้เป็นความโง่ชนิดหนึ่ง เห็นงานสำคัญกว่าการฟังธรรม การฟังธรรมก็มีช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น งานนั้นทำได้ทั้งวัน ขนาดอาตมาเทศน์ก็ยังไม่มาฟังธรรม แต่ถ้าคุณเข้าใจแล้วว่า ธรรมะ สำคัญกว่างาน นี่ยิ่งนานๆทียังไม่มาเอาก็โง่ต่อไป เวลาตอนเย็น ก็ต้องรู้ว่าเวลานี้ อาตมาจะเทศน์ หรือเวลาไหนก็แล้วแต่ ถ้าคุณเห็นความสำคัญก็มา งานก็วรรคได้ ชาวอโศกงานก็วรรคได้เสมอ ปิดไว้ก่อนได้ แล้วค่อยมาทำต่ออันนี้ต้องรีบเอาเพราะนานๆที ต้องดูความสำคัญในความสำคัญ แต่คนไม่รู้ความสำคัญในความสำคัญก็ไปเรื่อยๆ ไม่เกิดประโยชน์

 

_ช่วงนี้ได้ไปดูแลพ่อที่บ้าน พ่อพูดเหมือนกับหลายคนว่าไม่มาเพราะห่วงหมาห่วงเป็ด

พ่อครูว่า...ไปบอกพ่อสิว่า หมามันก็เป็นหมา รักธรรมะน่าจะได้ประโยชน์กว่ารักหมา ถ้าเห็นว่ารักหมาได้ประโยชน์กว่ารักธรรมะก็ไม่ฉลาดนะ เราไม่ได้ว่าพ่อโง่นะแต่พ่อไม่ฉลาดนะ ใช้ภาษาที่ดีแล้วนะนี่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน นักปฏิบัติธรรมควรช่วยเหลือรับใช้เขาได้แม้ถูกเอาเปรียบ

_เรามาอยู่ทางนี้ก็ห่วงทางบ้าน เราไปที่บ้านก็ห่วงทางนี้เหมือนเหยียบเรือสองแคม วางใจไม่ได้ แล้วพอเราไป พ่อเขาก็เรียกร้อง เมื่อน้องๆโทรไป พ่อก็จะว่า เราดูแลดีที่สุด เขาไม่เอาคนอื่น

พ่อครูว่า...ก็แบ่งส่วนให้ได้ดี มันเป็นสัจจะอย่างนั้นเรามีคุณธรรมมันก็จะมีความดี เราก็เลยต้องรับภาระในสิ่งที่ดี มันเป็นสัจจะจะต้องเป็นอย่างนั้นไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมต้องเป็นเรา ก็เป็นเหตุปัจจัยที่มันมาลงตรงนี้มันจึงได้ เขาบอกว่าเธอนี่ปฏิบัติธรรมว่าง คนอื่นจะต้องทำมาหากิน อย่างนี้เป็นต้น ก็เลยบอกว่าดีนะ กลายเป็นว่าเขาชมหรือเขาว่าเรา เขาชมนะ เราเองไม่ต้องทำมาหากินก็มีอยู่มีกิน แต่คนทำมาหากินไม่มีเวลาว่างเว้น ยังไม่พออยู่พอกิน ใครมันแย่กว่ากัน เราไม่แย่กว่านะ เขาก็น่าจะดูว่าทำไมไม่ทำมาหากินแต่มีอยู่มีกิน เพราะเราเป็นระบบสาธารณโภคี 1.มีอยู่มีกินกับกองกลาง 2.เราไม่ได้กินเปลืองผลาญอะไรเรากินแต่สมควรนิดหน่อยๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก

เขาไม่รู้ตัวมาเกี่ยงให้เราทำเพราะเราดี เขาไม่เกี่ยงให้เราไปทำชั่วหรอก สังเกตสิ แล้วคนพวกนี้เขาอวิชชา เขาก็จมอยู่กับสิ่งที่ชั่ว ก็เลยให้สิ่งที่ดีเราทำ เราก็ยิ่งทำดี เขาก็ยิ่งไปทำชั่ว คนก็ยิ่งน่าสงสาร ถ้ามีปฏิภาณปัญญาให้เขารู้ตัวเอาใจใส่ธรรมะบ้าง จะได้เป็นคนพัฒนามาเป็นคนดีขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จะชั่วลงไปๆ คนดูถูกธรรมะก็โง่ตั้งแต่ต้น มีแต่ทำมาหากิน

คนรวยนี้อย่านึกว่าเขาไม่ต่ำ คนยิ่งรวยยิ่งต่ำ จึงเป็นคนตะกละขี้โลภยิ่งหาทางที่จะพอกพูนสิ่งที่ได้เปรียบ เอาเปรียบเขาเรื่อยๆ ก็ยิ่งแย่ จิตใจก็จะยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งกอบโกย เขาก็ต่ำลงๆ คนที่รวยนี่คือคนต่ำลงๆ ไม่ได้เจริญขึ้นเลยคนรวย พวกเราจะทำมาหากินเราก็ไม่สะสม มาทำให้เป็นประโยชน์แล้วกระจายกันไปอย่างระบบสาธารณโภคีให้สมบูรณ์ เราทำแล้วก็ให้ส่วนกลางหน้าที่แต่ละหน้าที่ทำไปแจกจ่ายสะพัดไป พวกเราก็ไม่กักตุน พวกเราก็สะพัดได้เร็วพวกเราจึงไม่รวย อย่างไรก็ไม่รู้ว่า สภาวะรวย แต่ถึงอย่างไรคนก็จะมามองว่ามันจนอะไรของมัน มันอุดมสมบูรณ์ คนอื่นเขาไม่เห็นมีเลย

หมู่บ้านราชธานีอโศก เป็นหมู่บ้านที่เกิดทีหลังหมู่บ้านอื่นในย่านนั้น ทำไมหมู่บ้านอื่นไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนราชธานีอโศก มันมีเอาๆ แล้วบอกว่าเป็นหมู่บ้านจน หมู่บ้านคนอื่นเขายังไม่มีอะไรขนาดนี้เลย นี่เป็นเรื่องจริงที่เขามองไม่ออกเป็นเรื่องซับซ้อน พวกเรานี้คือคนจนที่รวย ไม่มีภาษาจะพูดแล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคนไม่เอามาเป็นของตัว แต่ละคนก็ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรก็เกิดผลผลิต ก็ยิ่งมารวมตัวเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น ก็เลยเห็นว่ามีเยอะ

แต่ว่าของเขานั้นแต่ละคนก็จะเก็บเป็นของส่วนตัวปิดบัง ใส่กุญแจไม่ให้ใครเห็น มันก็เลยแยกไป คนก็เลยไม่เห็นก้อนกอบ ไม่มีมากอะไร แต่ที่จริงแล้วแต่ละคน กอบกองไว้ของแต่ละคนเยอะแยะ ถ้าเอามากองรวมกันก็จะเหมือนกับชาวอโศก แล้วส่วนตัวของแต่ละคนเราไม่มีอะไรหรอก

พูดไปนี้ คนมันยังไม่ฉลาดพอ ในโลกนี้ ที่เราทำนี้เป็นเรื่องฉลาดดีที่สุดสูงที่สุดแล้ว ในพฤติกรรมชีวิตของมนุษย์ แต่ละคนจนรวมเป็นสังคมหมู่กลุ่ม เป็นหมู่บ้านเป็นสังคมประชาชน สุดยอดแล้ว แต่ผู้บริหารประเทศก็ไม่รู้ คนข้างนอกก็ไม่รู้ ขนาดคนไทยเป็นเมืองพุทธ เป็นพุทธธรรมของพระพุทธเจ้าเอามาทำให้เห็น คนชาวพุทธพวกเราก็ไม่รู้ไม่ค่อยเข้าใจ นักบริหารก็ไม่แยแส ไม่เห็นว่าน่าจะมาบอกให้เอาตัวอย่าง พวกเราเป็นผู้เผยแพร่ทฤษฎีนี้พฤติกรรมนี้ให้คนอื่นๆต่อไป อาตมาพาทำอยู่

แล้วอะไรก็ไม่อะไร เถรสมาคมต่อต้าน ซึ่งเขาไม่มีความรู้อันนี้เลยเขาทำออกนอกรีต ของพระพุทธเจ้า แต่คนก็นับถือเถรสมาคมยิ่งกว่าอโศก นี่คือความซวยของประเทศ หนึ่ง

สอง กรรมวิธีพิธีกรรมจารีตประเพณีต่างๆ ไปยึดเอาตามเถรสมาคมหมดแล้ว ก็เลยมาทำตามนี้ไม่ได้ ก็เลยได้ยึดถือแต่พฤติกรรมจะได้สวรรค์วิมานอะไรต่างๆที่เขาหลอกไว้

เป็นสัจจะ คนเข้าใจจะรู้ว่าศาสนาพุทธเป็นอิสระเสรีภาพไม่หลอกล่อพูดแต่ความจริง คนที่แสวงหาพบเจอว่าอันนี้ใช่ก็จะมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนที่มาก็ได้ประมาณนี้ นอกนั้นคนเหล่านั้น ก็โง่ไม่เสร็จก็เลยโง่ต่อไปไม่เข้ามา คนที่เขาโง่เสร็จแล้วไม่โง่ต่อไปก็จะทยอยมา เพราะฉะนั้นจะมีจำนวนจำกัดเหมือนกัน สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้น คือ อเวไนยสัตว์ สอนเท่าไหร่ก็สอนไม่ได้ ไม่มีปัญญารู้เลย ไม่สามารถพัฒนาความรู้เลยกรอบนี้ได้เลย คนเหล่านั้นก็ปล่อยให้เต่าปลากินไป

แต่ก็จะมีผู้แสวงหาพากเพียรเพิ่มอิทธิบาทเพิ่มพลังงานที่จะต้องฉลาด ก็จะค่อยๆเจริญขึ้นมาจนเชื่อมติดกับพวกเรา ก็รู้เขาก็จะมา มันจะช้าลงๆ อาตมาทำมาจะ 50 ปีแล้วก็ได้เท่านี้ นอกนั้นจะเร็วขึ้น พวกเราก็ต้องช่วยกันสร้างให้เป็นพลังงานที่จะรวมกลุ่มกัน มีประสิทธิภาพสูงขึ้นๆก็จะมีฤทธิ์ ทำให้ได้ขึ้นมาเพิ่ม

อาตมาจึงไม่หยุดที่จะต้องสร้างสัมประสิทธิ์ให้มีอัตราเร่งอัตราก้าวหน้า มากขึ้นเรื่อยๆไม่เช่นนั้นมันจะไม่เพิ่ม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ทำใจอย่างไรในการขาย 0 บาทก็ทานได้

ยายยิ้มเย็น_จะทำใจอย่างไรที่เราขายอาหารอยู่ เมื่อก่อน เจ๊เตียงว่า...มาดูสิ ดิฉันทำใจยาก เมื่อมาเจอกับตัวเองรู้สึกว่าทำใจได้ยาก ที่รู้สึกว่าคนร่ำรวยเขามัก กิน 0 บาท แล้วเขาก็เอาหม้อเล็กๆมาใส่ซื้อ 20 บาท แล้วตักอีกจานใหญ่ แล้วทำไมต้องให้เขา 0 บาท คิดว่าเขาก็รวยมาก ทำไมเขาไม่ยอมเสียสละ เราเห็นแต่ละคนมากิน 0 บาทมีแต่คนมีสตางค์ทั้งนั้น

พ่อครูว่า...คุณไปเพ่งคนที่เขารวย ซึ่งมีไม่กี่คนหรอกที่เขาทำ คนที่ไม่รวยแต่เขามารับบริการ 0 บาทก็มีไม่น้อยหรอก คุณไปเพ่งเขา ก็เขาโง่ไม่เสร็จ เขาคิดเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ก็เป็นวิบากเขา คุณจะฉลาดอย่างไรให้เขาเข้าใจให้เขารู้ สามารถบอกเขาได้ก็บอก สามารถจะมีเคล็ดวิชาอย่างไรให้เขารู้ตัวว่า เราไม่น่าจะเป็นคนขี้โลภมากขนาดนั้น ได้แล้วก็ทำ ทำไม่ได้เราก็ต้องอย่างนั้น จะบอกว่าให้คนจนมากินเท่านั้นคนรวยมากินไม่ได้ก็ไม่ได้ ก็ต้องจำนน

_มีคู่หนึ่ง สองคนผัวเมียเป็นเซลแมน เขามีเงินมากมายแต่ก็มานั่งทานฟรีแล้วก็ซื้อน้ำขวดนึง มากันบ่อยมาก มาทีไรก็มากิน คนที่มากินก็ตัก พูนมาก แล้วก็มาตักอีก บางคนก็บอกว่าเก็บเงินเขาเลย แต่เขาตักอย่างเดียวนะก็ 0 บาท ทำอย่างไรจะวางใจได้

พ่อครูว่า...เขาเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เขาเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ก็เถอะ ก็ไม่เป็นไร คือ มันเป็นการสอน ถ้าเขาเอาสองอย่างก็ต้องจ่ายเงิน ถ้าเขาเองเห็นว่าเราน่าจะจ่ายเงินเขาก็ทำ มันเป็นการสอนในที ถ้าเขาไม่ทำก็ปล่อยให้เขาโง่ให้เสร็จ

แล้วเขาเป็นลูกคุณหรือไง เขาไม่ใช่ลูกคุณเขาก็จะทำของเขายึดถือของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา บางทีคนจะเห็นมาด้วยกัน คนรวย 2 คนประพฤติต่างกัน คนนี้มันน่าเกลียดเขาแล้วก็จะสะดุด แต่ถ้าบอกว่าคนนี้ทำได้กูก็ทำได้ คนนั้นโง่ไม่เสร็จก็ต้องปล่อยเขา คนที่ขี้โลภไม่เสร็จเราจะต้องไปขี้โลภมากกว่าเขา มันก็ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้

ใจกลั่นว่า...นึกว่าเทวดามาทดสอบได้ไหมคะ (พ่อครูว่า...ได้)

 

_สีดินว่า ตอนนี้ฉันออกกำลังกายประมาณ 1 เดือนแล้ว ยึดหลักของไอน์สไตน์บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ไม่ทราบว่าที่พ่อครูออกกำลังกายคิดท่าเองหรือมีผู้แนะนำ

พ่อครูว่า...ตอนแรกๆมีคนแนะนำให้ทำได้ก็จำได้ แล้วก็มีคิดเองประสมมาบ้างก็เลยเป็นชุด จำได้มีท่านหนักแน่นทำด้วยกันบางทีลืมท่านก็บอกให้

 

_วันนี้ดิฉันรู้สึกว่าได้ทำผิดกับพ่อครูเรื่องอาหารที่ทำอาหารรสจัดไป จะมีวิบากไหมคะ

พ่อครูว่า...เราไม่ได้เจตนา อภัยไม่ได้ถือสาอะไรหรอก เป็นแต่เพียงรู้แล้วก็อย่าทำอีก กรรมเป็นอันทำ จำได้แล้วก็อย่าไปทำอีก สรีระของอาตมามันรับความเผ็ดไม่ได้เลย

 

_วันนี้รายการสำมะปิ รู้สึกอบอุ่น นั่งดูพ่อท่านว่าเดี๋ยวนี้หน้าตาเกลี้ยงเกลาขึ้นไฝฝ้าลดลง หนุ่มขึ้นนะคะ

พ่อครูว่า...เดี๋ยวนี้กระลดลง ตาดี เห็นความจริงนี้ตาดี ก็ไม่ต้องใส่พริกเลย แม้แต่กลิ่นของพริกที่ไม่เผ็ด มันมีแค่กลิ่นของพริก แต่ไม่เผ็ดเลยก็มี ถ้าจะให้กินพริกก็เอาพริกแบบนี้ แต่ถ้าพริกที่เผ็ดก็เลิกแล้วอย่าเอามา

 

_ปลูกขวัญ...วันนี้เป็นวันที่มีความอบอุ่นที่สุดเลย ในพวกเราชาวปฐมอโศกยกเว้นนักเรียนปิดเทอมเด็กนักเรียนช่วงปิดเทอมไปเมื่อวานนี้ ต้อยกลับมาจากสนามหลวง ขาแย่เลย เดินได้ไม่ดี มีวิบาก แต่มาถึงชุมชนเรา พี่น้องก็บอกว่าให้เราเปลี่ยน อาหารที่ชอบเช่นข้าวกับเส้นให้ลดลง แล้วดื่มน้ำให้ได้วันละ 3 ลิตร อันนี้เป็นจริง พี่ฝ่ายการเงิน มีทิดสองทิด ดื่มน้ำเกินวันละ 3 ลิตร ถึงเวลาจะมีนาฬิกาบอกว่าดื่มน้ำหรือยัง แล้วไปอยู่ในห้องการเงินด้วย ก็เลยได้ทำด้วยกัน ปรากฏว่าทุกเช้าจะมี ท่านดินไท ไลน์มาในกลุ่ม เห็นว่าพ่อท่านออกกำลังกายหลายท่า ก็เลยตั้งแต่บ่ายๆ เราน่าจะวิดพื้น วันแรกวิดพื้นแบบทหาร เกือบตาย 20 ครั้ง ปรากฏว่า อีกไม่กี่วันเห็นพ่อท่านวิดพื้นแบบขาชิดพื้น ออกกําลังกายหัวไหล่ ก็เลยลองทำบ้าง ทำทีละเซ็ตๆละ 10 ครั้ง 2 เซ็ตเป็น 20 ครั้ง แกว่งแขน 100-500 ครั้ง ปรากฏว่าดื่มน้ำลดการกินข้าวและแป้ง กินผักผลไม้มากขึ้น น้ำหนักลดลงไป 1 กิโล 8 ขีด ในเวลา 1 เดือน ก็คิดว่า มาถูกทางแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน สิ่งท่ียากที่สุดของชาวอโศกคืออะไร

_ชาวจีนถาม...สิ่งที่ยากที่สุดและสิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นหัวใจในการปฏิบัติธรรมของที่นี่คืออะไร

พ่อครูว่า...สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การลดกิเลส ถ้าทำแล้วความยากลดลงผลที่ได้ก็เกิดเป็นสังคมแบบนี้ การลดกิเลสนี่แหละคือเป็นสิ่งที่ยาก เมื่อลดกิเลสได้ มันเป็นความสำคัญ และถ้าลดกิเลสได้ ผลของการลดกิเลสได้ผลของการทำสิ่งที่ยากนี่แหละจึงเกิดอย่างที่ได้มาสัมผัสนี้

 

สังคมที่ทำได้อย่างนี้มันไม่ง่ายมันยากแต่มันดีที่สุดแล้ว อาตมาประสบความสําเร็จในชีวิตที่ทำให้คนลดกิเลสได้และมารวมตัวกันเป็นพฤติกรรมสังคมมีชีวิตอย่างสุขสบายได้ขนาดนี้ อาตมาว่าอาตมาได้ประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องที่ดีเป็นสากลไม่มีอะไรหักล้างได้ถ้าเข้าใจ แม้แต่แค่ในประเทศไทย ถ้าหากผู้บริหารพยายามเอาทฤษฎีนี้ไปปฏิบัติให้เกิดอย่างนี้ เกิดหมู่บ้านแบบนี้ มากขึ้นๆเป็นหมู่บ้านแบบนี้ ประเทศทั้งประเทศก็คือพฤติกรรมสังคมมนุษย์มันจะเป็นอย่างนี้ขึ้นมา มันจะปรากฏให้โลกเห็นเลย แต่นี่เขาฟังไม่ขึ้น

ยกตัวอย่างง่ายๆ อาตมาทำอย่าง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่จริงพระพุทธเจ้าก็ทำมาก่อน ต้องมาขาดทุนของเราคือกำไร ทำแบบคนจน เป็นคำที่ง่ายและสั้น พูดอย่างเข้าใจแต่ทำได้ยาก อาตมาก็พาทำอย่างมีทฤษฎีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ก็เลยทำได้ แต่ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ทำอีกลักษณะหนึ่งเพราะเป็นสังคมใหญ่มีหลายศาสนาสำหรับท่าน มาเน้นอย่างอาตมาไม่ได้ อาตมาก็ทำได้เป็นผลสำเร็จซึ่งได้สอดคล้องกับในหลวง ตรงกัน ท่านเป็นโพธิสัตว์ด้วย อาตมาไม่ได้โมเมพูดเล่น ท่านมาทำงานในระดับของท่านสำเร็จ

เพราะฉะนั้นองค์รวมของคนที่เกิดแล้ว ลึกๆของคนไทย รู้ว่านี่คือโลกุตรธรรมจึงเกิด Bomb of love คนก็เสียใจกันใหญ่ ข้อเสียดายอันนี้ ให้มาศึกษากับชาวอโศกแล้วจะได้สิ่งที่คุณเสียใจว่าในหลวงสิ้นพระชนม์นี่แหละ

 

_เพราะเหตุใดคนยังตกอยู่ในวงวนของกรรม และกาละอยู่

พ่อครูว่า...เพราะโง่

 

_มีวิธีใดที่เราจะอยู่เหนือได้ หลุดออกจากกรรม และกาละ ยกตัวอย่างด้วย

พ่อครูว่า...มาทำอย่างชาวอโศกนี่แหละ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ชาวอโศกต้องไปประท้วงทางการเมืองอีกหรือไม่

_ในอนาคตอีกหนึ่งหรือสองปีนี้ พวกเราชาวอโศกจะต้องมีเหตุให้ออกไปชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่ได้รับจากการเลือกตั้งได้อีกหรือไม่ครับ เชื่อแน่ว่ารัฐบาลที่ได้รับจากการเลือกตั้งมาบริหารประเทศ ต้องเป็นประเภทที่คอรัปชั่นอีกแน่นอน ตราบใดที่คนในประเทศไทยยังเห็นเงินเป็นใหญ่

พ่อครูว่า...มันต้องทำตามระบบโลก ต้องมีเลือกตั้งและคุณห่วงว่ามันจะเกิดอันนี้มันหนีไม่พ้นหรอกมันต้องเกิด ดี เมื่อไปเลือกตั้งแล้วจะได้รัฐบาลโกงมา ก็จะได้เปรียบเทียบกับรัฐบาลลุงตู่ จะได้ชัดเจนว่าการเลือกตั้งเป็นการเลือกขี้หมา ประชาธิปไตยไม่ใช่เลือกตั้ง ให้เลือกตั้งจะต้องใช้อำนาจเงิน ใช้เล่ห์เหลี่ยมแล้วก็หาพรรคพวกมา มันเป็นวิธีการของคน เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยการเลือกตั้งไม่ใช่การสร้างประชาธิปไตยแบบโดยตรง Direct การสร้างประชาธิปไตยโดยตรงต้องให้รู้

อย่างพลเอกประยุทธ์ทำมีความละเอียด และทำได้เยอะ มีการวางแผนและทำอยู่ทุกวัน มีโครงการมีหมู่กลุ่มมีการแจกงาน แล้วก็ทำอยู่เป็นความเจริญที่เจริญมาก ระบบประชาธิปไตยที่นายกประยุทธ์ทำ ที่พูดนี้ไม่ได้แกล้งป้อยอ มันสู้ประเทศไทยไม่ได้เลย คุณประยุทธ์นี้ ทำถูกต้องมากเลย ถ้าหากมันจะต้องเลือกตั้งและได้อย่างที่เป็น มันจะได้ฟ้องว่า เห็นไหมว่าสู้รัฐบาลลุงตู่ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นเมื่อยังมีแล้ว ทีหลัง การจะไปหลงแต่เลือกตั้งก็จะลดลง ก็จะเข้าใจว่าลุงตู่เขาทำอย่างไร คนจะมีปฏิภาณศึกษา จะได้เข้าใจว่าประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องการเลือกตั้งเป็นหลัก เป็นเรื่องการประพฤติที่ถูกต้อง หัวใจของประชาธิปไตยคือ

1. ให้อิสระเสรีภาพ เขาก็บอกว่าลุงตู่เป็นเผด็จการ เอามาตรา 44 มาไว้ กด ไม่กดจะได้ที่ไหนเพราะขนาดนี้ก็ยังเห่าขนาดนี้ จับติดคุกไม่รู้กี่คน ก็ต้องใช้ไม้กำราบ เพื่อควบคุมพวกที่บ้าบอรุนแรง พวกที่ไม่มีปัญหาก็ไม่มีปัญหา จึงไม่เกิดความวุ่นวาย ในสังคมขณะนี้สงบเรียบร้อยมาก แล้วทำงานได้อย่างดี มันมีคนปากมากที่บอกว่าเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น อะไรก็ไม่ได้ดีขึ้น คนนั้นโง่เพราะอะไรดีขึ้นทุกด้าน แต่พวกนี้มานั่งใส่ความ พวกหาเรื่อง เอาเรื่องที่ไม่จริงเอาความไม่จริงมาประกาศ เดี๋ยวนี้พวกสื่อสาร Social Media มันก็จะไปเร็วอย่างนี้ มันห้ามไม่ได้มันก็ทำกันไป แต่ความจริงแล้วมันดีทุกอย่าง เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยที่สวยที่สุดในโลกตั้งแต่เราไปทำประชาธิปไตย

พวกเรานี้ไปทำประชาธิปไตยให้แก่ประเทศไทย ขออภัยที่ คุยตัว ตั้งแต่เราเริ่มต้นทำ พวกที่มาบริหารประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย รัฐบาลที่ 1 2 3 4 เราไล่ไปหมดเลย ด้วยการไล่อย่างถูกระบบสากล 1. ไปไล่อย่างสงบ 2. ไม่มีอาวุธ 3. สาธยายความผิดความชั่วของเขาออกมาให้หมด ประชาชนจะได้รู้แล้วออกมาร่วมมือกันเป็นพลังประชาชน ช่วยกันไล่ไม่ได้ใช้ลูกปืนไล่ ที่ยิงกันนั้นเป็นพวกมันยิงออกมา พวกประชาชนคนไทยไม่มีใครเขาทำร้าย ไม่ได้ยิงไม่ได้ทำร้ายอะไร ที่ยิงออกมาแล้วเกิดการตายคือพวกนั้น อย่าสับสน ประเทศไทยสร้างประชาธิปไตยที่สวยที่สุดถึงขนาดประชาชนปฏิวัติสำเร็จแล้ว รัฐบาล 3-4 รัฐบาล สำเร็จ พลเอกประยุทธ์ก็มาบอกว่าผมขอยึดอำนาจ คนสุดท้ายก็เป็นเพียงรักษาการเท่านั้นด้วย หัวหน้ารัฐบาลก็หมดท่า มีแต่คนรักษาการ ก็เลยบอกว่ายึดอำนาจ นี่คือผลของประชาธิปไตยโดยประชาชนปฏิวัติรัฐประหารสำเร็จเรียบร้อยด้วยความสงบไม่มีอาวุธ โดยสิ่งที่ยืนยันความถูกต้อง คือความผิดของคนพูดออกไป เอาคนใหม่เข้ามา จนสมบูรณ์แบบ แล้วพลเอกประยุทธ์เข้ามารับอำนาจต่อ แล้วพลเอกประยุทธ์ก็เป็นคนที่เหมาะควรที่สุดที่จะมาบริหาร ทำมา 4 ปีกว่าแล้ว อยากจะให้ทำต่อไปอีกสัก 20 ปีแล้วจะดีขึ้น

พลเอกประยุทธ์ตอนนี้ไม่เข้าพรรคใด เชื่อไหมว่า ถ้าหากพลเอกประยุทธ์เข้าพรรคไหนถล่มทลาย เพื่อไทยไม่ได้ขึ้น แต่พลเอกประยุทธ์ไม่ทำ อาจเมื่อย หากรับหน้าที่เต็มก็จะเมื่อยกว่านี้ พลเอกประยุทธ์เป็นคนพอ ไม่ตะกละอำนาจมากกว่านั้น คนก็มาใส่ความว่าหวงอำนาจไม่ปล่อย จริงๆแล้วอาตมาพูดตรงๆ เชื่อว่าพลเอกประยุทธ์ จะบ่นกับอาจารย์เมียแกว่า อยากหยุดแล้ว จริงๆ เพราะว่าเป็นเรื่องที่ยากและจำเป็นมาก พลเอกประยุทธ์ก็ต้องทำ แล้วที่ทำแล้วก็ทำได้ เพราะว่ามีคนขัดขาน้อยทำได้สะดวกดีพอสมควรทีเดียว เพราะคนไทยเข้าใจประชาธิปไตย

การที่เราไปประท้วงจนสงบเรียบร้อยปฏิวัติสำเร็จ พวกเราปฏิวัติกันสองสามปี กันอย่างระบบสากล จนเรียบร้อยหมดแล้ว เมืองไทยได้แสดงความจริงออกมาปฏิวัติอยู่ได้เป็นปี ก็ทนอยู่ได้ยังไม่เกิดกลียุค จะมีบ้างก็เพราะว่าพวกนั้นมาทำ ไม่เกิดสงคราม ไม่อย่างนั้นตายเป็นเบือมันไม่เกิด มันก็มีที่เจ็บบ้างตบมือข้างเดียวเท่านั้นเอง พูดไปแล้วไม่ใช่ชม ประชาธิปไตยไทยที่ดีที่สุดในโลกสูงสุดในโลกแล้ว

จบ...


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:19:19 )

610815

รายละเอียด

610815 พ่อครูเป็นสายปรุง ไม่ใช่สายปรี๊ด

      พ่อท่าน...ตอนนี้อายุ 50 แล้ว หมอบอก 50 เครื่องชั่งมันบอกเลย เครื่องชั่งมันรู้ได้ยังไง มันดูจาก  circulation ของอาการ 32 ของเราคำนวณแล้วเสร็จ อย่างนี้มันต้องอายุ 50

      สมณะดินไท...อย่างพ่อท่านคงไม่เป็นเส้นเลือดตีบแน่นอน

พ่อท่าน...ไม่รู้ ไม่รู้เลย

สมณะดินไท...เพราะหัวใจสูบฉีด

สมณะเดินดิน...อะไรที่มันใช้มากๆ มีผลต่ออวัยวะ

สมณะดินไท...น่าจะเสี่ยงแตกมากกว่า

สมณะแสนดิน...พ่อท่านไม่ปรี๊ดขนาดนั้นหรอก  พ่อท่านไม่ได้ใช้อารมณ์ แต่ที่ปรุงเพราะว่า

จะให้คนอื่น  จึงต้องปรุง

พ่อท่าน...แค่ปรุง ไม่ใช่ปรี๊ด

สมณะแสนดิน...มันไม่ปรุงเกินขีดที่ตัวเองรู้หรอก

พ่อท่าน...มีแต่ปรุง ไม่ขึ้นถึงปรี๊ด  คนปรี๊ดก็เรื่องของเขา  เราไม่ได้เป็นอารมณ์ปรี๊ด  อารมณ์ปรี๊ดเราไม่มีแล้ว  อุพเพงคาปีติไม่มีแล้ว  

สมณะดินไทย...นึกถึงสายหลวงปู่ติชนัทฮันห์  ท่านจะแบบนิ่มนิ่มๆ  ตอบคำถาม  โอ้วหยุด

สมณะแสนดิน...ท่านตีบ

พ่อท่าน...แล้วทำไมเป็น เกิดอัมพฤตเหมือนกันรึ

สมณแสนดิน...ท่านสายเย็น  มันดับแล้วเป็นก้อนแข็ง

พ่อท่าน...เย็นเกินหรือ

สมณะแสนดิน..สายปรุงร้อนก็จะแตก

สมณะเดินดิน...ไม่ตีบก็แตก ความไม่สมดุล

สมณะแสนดิน...หลวงปู่นี้เย็น

สมณะดินไท...ตอบคำถามนี้  ดูลมหายใจก่อน  ก่อนจะตอบ  คนถามมาก็อ่านหยุด

ทั้งเทศมณะแสนดิน...ท่านพุทธทาสน่าจะแตกนะ แกปรุง

สมณะเดินดิน…stroke เหมือนกัน  ท่านปรุงเยอะเหมือนกัน

พ่อท่าน...ท่านพุทธทาสอายุ 85

สมณะเดินดิน...ท่านทำหนังสือเยอะ ปรุงอยู่แล้ว  พ่อท่านไปปฐมใช้พลังงานมากกว่าอยู่บ้านราช

อานิ่ม...อาวิชชาญบอกว่า พ่อท่านมาปฐมจะได้พักมากกว่าอยู่บ้านราชนะครับ นอนทั้งวันเลย เพราะเท่าที่เห็นพ่อท่านไม่ได้เปิดเครื่องนะ

พ่อท่าน...ไม่ได้เอาไปให้ทำ  คีย์ก็ไม่มี  มีแต่จอเฉยๆ  ท่านประยุกต์โอ่โฮดีนะ  ท่านก็อ่อนแอ มาแต่ไหนแต่ไร  ท่านก็ยังอยู่ได้ รักษาตัวมาได้  ยังเห็นหน้าตายังยิ้มแย้มแจ่มใส  ที่จริงเรานี่โรคน้อยที่สุด

สมณะเดินดิน...พ่อท่านจริงๆต้องถือว่า  ทำงานหนักขนาดนี้ ไม่มีอะไรมานั้นเลย ต้องถือว่าเป็นซุปเปอร์

พ่อท่าน...85 แล้ว โรคน้อยที่สุดแล้ว

อานิ่ม...เมื่อก่อนท่านน้ำมูกไหล ไหล แล้วท่านเทศน์ เทศน์แล้วไอ

พ่อท่าน...ธรรมดาคนอายุขนาดนี้ ก็ต้องปวดนั่นปวดนี่ ปวดหลังปวดเอว นี่ไม่มีเลย หรือเพราะว่ามีการนวดบ้างก็ไม่รู้ 

สมณะเดินดิน...ครับพ่อท่านอยู่แบบสุขนิยมแล้วไม่เป็นอะไรมันก็ไม่แปลก  ถ้าพ่อฉันใช้แบบสมบุกสมบัน ใช้จนหัวร้อน ใช้เขียนหนังสือ อะไรต่างๆนานา โอ้โห ใช้เหยียบคันเร่งเต็มที่ ขั้นเทศน์ ทั้งเขียนอะไรมาตลอด ไม่มีโรคอะไรมาเลยเนี่ย

พ่อท่าน...อย่างวันละ 10 กว่าชั่วโมง

สมณะเดินดิน...ครับ ชีวิตไม่สมดุลเลย แต่ว่าโอ้โห

สมณะดินไท...หลวงปู่ติชนัทฮันห์ ไม่ได้แตก บอกว่า อาการเลือดออกในสมอง มันคงแตก

พ่อท่าน...แตกนะแล่ะ เลือดออกในสมองมันแตก

สมณะดินไท...ผู้ป่วย ยังมีการตอบสนองที่ดี แสดงให้เห็นถึงการรับรู้ ทุกคนรอบข้างรอบตัวได้

 

สมณะดินไท...มีอาการตั้งแต่ปี 57 ตั้ง 7 ปีมาแล้ว

สมณะเดินดิน...อย่างนี้จะไปรู้จะวางใจยังไง  รากยาวเลย ไม่มีอะไรยึดมั่น

พ่อท่าน...เขาบอกผมว่าน้ำไม่สมดุล  กินน้ำน้อย  นี่หมอนิ่มเนี่ย  อัดน้ำอย่างเดียว 

อานิ่ม...แต่สอดคล้องนะครับพ่อท่าน งวดนี้หมอโตเขาบอกว่า ผลค่าของไตมันขึ้นหน่อยนึง

ต่อไปจะลดเรื่องหวานกับเรื่องแป้ง 

พ่อท่าน...นั่นอ้างหมอโตมาเลยนะ  เอาๆตามสบายตามสบาย แล้วแต่จะตกลงก็แล้วกัน อาตมาก็ฉลองไห้ ไม่มีปัญหาเท่าไหร่หรอก

สมณะเดินดิน...อย่างอาตมานี่คือก็ดื่มน้ำมากเนี่ย  แต่ดูเท้าก็บวมขึ้นเรื่อยๆ มันไม่สอดคล้อง เพราะว่าเราดื่มน้ำมาก แต่เราไม่มีที่ให้เหงื่อออก ก็เราไม่ได้ทำงานที่ทำให้เหงื่อออก เนี่ยขนาดอาตมาไม่ได้อยู่ในห้องแอร์นะ  แต่พ่อท่านอยู่ในห้องแอร์ยิ่ง มันไม่สอดคล้องกัน เคยถามหมอโชติว่าทำยังไงถึงจะดื่มน้ำให้ได้มาก ปัจจัยของพ่อท่านมันอยู่ในห้องแอร์ ไม่ใช่ภาวะที่จะเอาน้ำเข้า ร่างกายมันไม่ได้

อานิ่ม..ของท่านน่าจะมีภาวะของระบบปัสสาวะด้วย

สมณะเดินดิน...ใช่ ก็คือมันไม่สมดุลนั่นแหละ ฉันพยายามเอาน้ำเข้าไปมันก็ไม่สมดุลนั่นแหละ

พ่อท่าน...พยายามวันละ 2 ลิตรนะ น่าจะดี  คือรู้เหมือนกัน ถ้าเผื่อว่ามันจะสดชื่นขึ้น ถ้าเผื่อได้วันละ 2 ลิตร ก็จะกระชับชึ้นมา

สมณะเดินดิน...อาตมาคิดว่ามันไม่ควรคิดแต่เรื่องเอาเข้า มันควรคิดเรื่องเอาออกด้วย  ถ้าพยายามเอาเข้าแต่ไม่มีที่ออกเลยมันก็จะไม่สมดุล

 

 

ถอดข้อความโดย อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:21:08 )

610815

รายละเอียด

610815_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เทวนิยมคือมีเวทนาสองอเทวนิยมคือมีเวทนาเดียว

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1BshxQOovr8TV5buhLlH9AuRsPQJQVmcSMPpj7Kk5Nm4/edit?usp=sharing 

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1sZB2TY2za444CmLdzfWVO3OMNcXllc6U

สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 15 สิงหาคม 2561 พ่อครูเพิ่งกลับมาจาก สัตตาหะไปที่สันติอโศกและปฐมอโศก และได้ไปตรวจสุขภาพด้วย ดูเหมือนต้องใช้คำว่าเฝ้าระวัง สำหรับสุขภาพของพ่อครู เฝ้าระวังเรื่องตา เรื่องของตายังปกติ แต่มีข้อแม้ให้ใช้แสงสว่างอย่างพอเพียง ในการทำหนังสือกับคอมพิวเตอร์ และใช้วิธีพักสายตาทุก 15 นาที เป็นการมองไปไกลๆ สบายๆ เท่าที่พวกเราเวลาไปหาหมอตาก็บอกว่าตาแห้ง เพราะว่าอาจจะไม่ค่อยได้กระพริบตา ดูอะไรยาวๆ

ส่วนที่ได้เพิ่มเติมมาคือทางด้านกล่องสายเสียง พบว่า เส้นเสียงทั้งสองข้างมีความหนาตัวขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนท่านปัญญานี่ถึงกับต้องผ่าตัดเลย แสดงว่ามีการใช้เสียงมากเกินไป แนะนำให้จิบน้ำมากขึ้นเวลาเทศน์ เป็นระยะทุก 15 นาที ถ้าเป็นไปได้ควรลดระยะเวลา และความถี่ของการเทศน์ลง ควรจะเทศน์ด้วยเสียงที่ไม่ต้องตะเบ็งหรือหนักเกินไป รูปแบบของการจัดสำมะปี๋ซี่วิตดีมาก เป็นที่พอใจของหมอ ว่าพ่อครูได้พักเป็นระยะๆ

ผลการ x-ray คอมพิวเตอร์ สิ่งที่หมอเฝ้าระวังอีกตัวคือกระเปาะที่มันโตขึ้น มีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับหลอดลมใหญ่ และเบียดหลอดลมมากขึ้น หมอว่าเป็นต้นเหตุแห่งการไอ แนะนำให้ดื่มน้ำเพิ่มขึ้น ใช้เครื่องพ่นละอองน้ำวันละ 2 ครั้ง งดอาหารชิ้นใหญ่ระคายเคือง ลดการพูดคุยเวลาฉันอาหาร ก็กรุณาห้ามมาเป็นมารคอ...ของพระโพธิสัตว์ ถ้าหากพูดคุยไปด้วยจะมีปัญหาทำให้อาหารตกลงไปในหลอดลมจะอันตราย เคยได้ฟังข่าวคนดังๆเคี้ยวอาหารแล้วพูดไปก็อาหารตกไปในหลอดลมหายใจไม่ออก เป็นเรื่องที่เฝ้าระวัง

เพื่อให้ความถี่ในการไอลดลง เอาเสมหะออกง่ายขึ้น อย่างพ่อครูนี้ไอไม่ใช่น้อย แต่พ่อครูไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาๆอย่างนี้คงไม่ไหว เสียพลังงานมาก แต่พลังงานพ่อครูไม่อยู่กับการไอเท่าไหร่ แต่อยู่ที่ทำอย่างไรสิ่งที่ท่านรู้เยอะแยะจะมาบอกกับพวกเราให้รู้ได้มากขึ้น พอไออย่างไรก็ไอไป แต่ก็อย่างไรก็เสียพลังงาน แล้วก็ต้องกระทบกระเทือนร่างกายส่วนอื่น จะมีวิธีอย่างไรทำให้ไอน้อยลง นี่ก็คือข้อเสนอของหมอ

ส่วนการไปตรวจหัวใจเป็นปกติดี หมอให้ทดลองวิ่งสายพานดู หัวใจปกติ ส่วนอายุร่างกายเท่ากับคนอายุ 50 ปีเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นอายุไปอีก 100 ปีคงเป็นไปได้

เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอของหมอ ที่จะให้ดูแลเรื่องสายเสียงและกระเปาะ ก็อยากให้พ่อครูพักเป็นช่วงๆ ก็อยากจะแบ่งเวลาเทศน์ของพ่อครูออกเป็นสามช่วง ช่วงละ 30 นาที จะมีสมณะสิกขมาตุมาช่วยย่อยให้ผู้ฟัง นิมนต์พ่อครูดื่มน้ำสัก 10 นาที พักเส้นเสียง

ก็เรียนพ่อครูว่า ตอนนี้เทศน์อย่างไร ผู้ฟังก็มีเท่านี้ แต่ถ้าเทศน์ตอน 90 ปี ผู้ฟังก็จะมีมากกว่านี้ พ่อครูว่าอีกแค่ 6 ปีเอง หนังจีนว่า 10 ปีไม่สาย

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 13-14 สค. 2561

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ศิลปินคือมายา แล้วสิริมหามายาคืออะไร

_1614 ศิลปิน คือมายา /สิริมหามายา คือ อะไรคะ

พ่อครูว่า...อาตมาเขียนในหนังสือ คนจนที่มีแบบนี้มีเรื่องใหม่ๆเยอะ ไขเรื่องราวประเด็นต่างๆที่ชาวพุทธหรือนักศึกษาติดข้องไม่ทะลุ คิดว่าจะได้ไขอีกเยอะ เล่ม 1 พิมพ์ออกมาแล้ว 100 กว่าหน้า ตอนนี้มาแก้ไขใหม่ ตอนนี้ 500 กว่าหน้าแล้ว เล่ม 2 อาจถึง 2000 หน้า

ศิลปินคือมายา อาตมาไม่อยากจะไปวิจารณ์ศิลปินเขา เพราะเป็นพวกคนฟุ้งซ่านคนไม่รู้เรื่องคนเพ้อเจ้อ ขออภัยที่พูดความจริง ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม นี่คือนิยามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ศิลปินก็มีความสำคัญมากที่จะสร้างศิลปะ งานศิลปะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นมงคลอันอุดม เป็นสิ่งที่จะนำพาไปสู่อรหันต์ เป็นคุณค่า ศิลปะเป็นคุณค่าไม่ใช่เรื่องมอมเมา

ถ้ามอมเมาให้หลงในภพชาติ อัตตาฟุ้งซ่าน วิมานสวยหรูแปลก ความคิดแตกกระจายไม่ใช่ ต้องรวมความคิดให้คมแม่น แตกฉานทะลุจบ นี่คือศิลปะ

ทุกวันนี้เพ้อเจ้อกัน โดยเฉพาะตักกสิลามหาวิทยาลัยใหญ่ในยุโรป มีแต่ความเพ้อฝันสร้างวิมานเป็นศิลปะบ้าบอ อะไรก็ศิลปะหมด เขาหลงเอาเองเป็น นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย เป็นเรื่องการที่เขาไม่รู้เรื่อง แล้วก็นิรมานกายมา ใครหัวไม่ถึงไม่รู้ บอกว่าเป็นศิลปะชั้นสูง Abstract เขียนเอาไว้เยอะ ก็สารพัดจะคิดอ่านอะไรก็ได้ เพื่อมายืนยันว่าเป็นศิลปะตลอดทั้งโลก แล้วหลอกขายกัน มีอุปาทานว่าสุดยอดๆ พวกเมาๆ ไม่มีเงินก็ไปหาเงินมาซื้อ มันเหลงเลอะเทอะ

ถ้าเข้าใจคำว่าศิลปะคือมงคลอันอุดม คือนำไปสู่อรหันต์ คือสิ่งสูงสุด ศิลปะไม่ใช่เรื่องความเพ้อเจ้อ สร้างอัตตา สร้างวิมาน ภพชาติ นามธรรม อรูปธรรมอะไร ก็แล้วแต่สัมโภคกายคืออะไร บอกว่าใช่ๆๆ ต่างคนต่างนิรมาณกายไป พูดกันเป็นตุเป็นตะด้วย แต่ต่างคนต่างไม่รู้ว่าคืออะไรเป็นอาทิสมานกาย

นิรมาณคือสิ่งที่เนรมิต แล้วบริโภคร่วมกัน สัมโภคกาย แต่ทั้งสองคนคือคนตาบอดกับคนหูหนวกจูงมือกันไปดูหนังใบ้ เหมือนกับชาวเทวนิยม ไม่เคยเห็นพระเจ้าเลย สักคนเดียว ก็หลงว่าเป็นสิ่งงามที่ดีที่สุด คือพระเจ้า ทีนี้สิ่งที่งามที่ดีของแต่ละคนก็ตรงกันบ้างไม่ตรงกันบ้าง ความคิดของใครก็ของใคร ศาสนาพุทธนั้นพระพุทธเจ้าไม่เอาแล้ว นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย ก็มาเอาที่รู้ร่วมกันได้ ตาเปิดๆ

สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือสิ่งที่มี จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง (อาโลกสัญญา) แจ้งๆ มีพระอาทิตย์มีแสงสว่างกระทบสิ่งนั้นสิ่งนี้รู้ พูดกันรู้เรื่อง เราเห็นคนอื่นก็สัมผัสเห็นร่วมกันได้ อันนี้ดีหรือไม่ดี จริงหรือไม่จริงใช้ได้หรือไม่ได้ อันนี้ควรมีหรือไม่ควรมี ก็รู้แล้วใช้ประโยชน์กันได้ ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน เป็นอรูปธรรมนามธรรมวิมานเพ้อเจ้อ ซึ่งอันนี้ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

อาตมาเรียนศิลปะมา อาตมาก็ยังงงว่า ทำไมต้องไปเรียนศิลปะ เราน่าจะไปเรียนธรรมะ แต่ก็เป็นศิลปะตั้ง 5 ปี แล้วก็จบออกมา เรียนแล้วไม่ได้ใช้ แต่มาศึกษาธรรมะก็ได้ใช้ ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม ทุกวันนี้อาตมาทำงานเป็นศิลปิน อาตมาไม่มีสิทธิ์เป็นศิลปินแห่งชาติ เพราะเขาไม่รู้ว่าอาตมาเป็นศิลปิน ไม่ใช่เป็น นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย เดียวกันกับเขา

ขออภัยที่พูดไปเป็นวิชาการไม่ได้ด่าใครพูดสัจจะให้ฟัง

 

แล้วสิริมหามายาคืออะไร เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก สรุปสั้นๆว่า

มายาคือ ความหลอกลวง สิริคือดี มหาคือยิ่งใหญ่ โดยพยัญชนะสิริมหามายาแปลว่าความหลอกลวงที่ดี ยิ่งใหญ่มาก แล้วสิริมหามายาคือใคร คือผู้ให้กำเนิด ให้กำเนิดอะไร ให้กำเนิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในความเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์ก็คือพระพุทธเจ้า เป็นตัวตนบุคคล ถ้าเป็นนามธรรมคือเป็นสิ่งที่ให้กำเนิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ดีมากที่สุด ศาสนา เทวนิยมเรียกว่าพระเจ้า แต่ว่าพระเจ้าเป็นความลึกลับ พระเจ้าไม่มีใครสัมผัสเห็น พระเจ้าจึงเป็น รโห รหัสสะ คือ เป็นความลึกลับ เดี๋ยวนี้ก็ยังลึกลับไม่มีใครรู้จักพระเจ้า ถ้าสมมุติตรงกันว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่สูงสุดประเสริฐสุด คือพระเจ้า เพราะฉะนั้นก็มีหลักการโดยมีคนจริงๆคือ ปกาศก หรือ ผู้เป็นพระบุตร ให้พระบุตรมานำคำสอนนำความรู้และความจริง ของพระเจ้ามาประกาศ โดยคนก็ไม่กล้าพูดว่า นี่เป็นความรู้ของเรา บอกได้แค่ว่าเป็นความรู้ลึกลับของพระเจ้า พระเจ้าให้ประกาศก็ต้องประกาศตามนี้

ศาสนาพระพุทธเจ้าให้กำเนิดคนที่มีสูงสุดประเสริฐสูงสุดที่คนเป็นได้ จึงเป็นเรื่องไม่ลึกลับเป็นตัวตนจริงๆ ทีนี้คำว่า สิริมหามายา ตัวตนบุคคลคือผู้ให้กำเนิดคือแม่ เป็นมารดาของสิ่งที่ดีที่สุดคือคนประเสริฐสุด ถ้าเป็นนามธรรม ก็คือสิ่งที่ให้กำเนิดสิ่งที่ดีที่สุดประเสริฐสุด ไม่มีอะไรยอดสุด ผู้ที่จะทำให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุดสูงที่สุด ให้เกิดคือให้เกิดได้ แล้วก็ให้ดับได้

ตกลง สิริมหามายาคือนิพพาน นิพพานก็คือความดับ ดับแล้วก็เกิดอีก ก็ไหนว่าดับแล้วทำไมยังอยู่อีก? มันก็เลยกลายเป็นคน เหมือนตลบแตลงกลับกลอกหรือเปล่าก็เหมือนคนเล่นมายากล ปั๊บไม่มี ควักนกพิราบมาแล้วหายไป วับไข่มา วับไข่หายไป ทำให้เกิดก็ได้ทำให้หายไปก็ได้ ในอิทธิวิธีมโนมยิทธิก็มี พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าทำให้มีก็ได้ทำให้หายไปก็ได้ เหมือนนักมายากลที่เก่ง ทำให้เกิดและดับก็ได้ เร็วไว เป็นมุทุภูตธาตุ

คนที่เก่งที่สุดคือคนที่สามารถทำให้ดับได้และเกิดอยู่ ซึ่งเป็นนัยสำคัญของความเกิดดับ ศาสนาพุทธมีความสำคัญอยู่ที่การเกิดดับ ผู้ที่ดับได้เป็นนิพพานเป็นนิโรธ ผู้ที่บรรลุนิพพานนิโรธคือผู้ที่เป็นอรหันต์ คือผู้หมดความลึกลับสูงสุด อรหะคือไม่ลึกลับ อันตะคือถึงขั้นที่สุด เป็นผู้ทำความไม่ลึกลับได้สูงสุด ความไม่ลึกลับอันนั้นก็คือความเกิดความตาย ทำได้อย่างพิสดาร เป็นอมตบุคคล จะให้เกิดก็ได้ดับก็ได้

ที่สุดแห่งที่สุด ให้ดับจนกระทั่งสูญไปตลอดกาลเลยไม่มีอย่างนิรันดร ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่

1.ไม่มีนิรันดร  2.ไม่มีอัตตา 3.อิสระที่สุด

ศาสนาเทวนิยมมีพระเจ้า ยังไม่อิสระยังเป็นทาสของพระเจ้า พระเจ้ายิ่งเป็นใหญ่กว่าคน เพราะฉะนั้นคนทุกคนยังไม่อิสระสมบูรณ์ ยังตกอยู่ในอำนาจของพระเจ้าอยู่ ศาสนาเทวนิยมไม่มีสิทธิ์เป็นอิสระ และไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นศูนย์ เพราะว่า นิรันดรไม่มีสิทธิ์จะรู้จักอัตตา แม้ที่สุดปรมาตมันหรือปรมอัตตา ศาสนาพุทธทั้งหมดและทำให้หายไปนิรันดรได้ สุญญตา สลายทุกสิ่งทุกอย่างอัตภาพไม่เหลือ ทำได้เองอิสระเสรี นี่คือศาสนาพุทธ เลิกอัตตาเป็นอิสระสมบูรณ์

ขออภัยที่พูดนี้ไม่ได้ข่มดูถูกศาสนาใดๆ สาธยายธรรมวิชาการด้วยความจริงใจ ขออภัยจริงๆ ถ้ามีผู้ฟังแล้วรู้สึกไม่ดี โดยเฉพาะผู้นับถือศาสนาอื่นอยู่ อาตมาก็เคารพ เพราะสิ่งที่เป็นอาตมัน ปรมาตมัน หมายถึงสิ่งที่ดีที่สุด คุณก็เป็นได้ตามคำสอนของพระเจ้าก็แล้วกัน ก็จะมีอยู่อย่างนั้นนิรันดร แน่นอนคุณก็ต้องเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยตายแล้วก็ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้า ก็ไปอย่างนั้น ปรมาตมันก็ยังอยู่

 

สิริมหามายา คือผู้ที่รู้ความเกิดความดับแล้วทำความเกิดความดับได้ ลึกซึ้งมาก อาตมาเป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์ เปิดเผยจนไม่เหลืออะไรแล้ว

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ได้ดับแล้วแต่ยังเกิดอยู่ คือสิริมหามายายังไม่ยอมตาย ยังจะเกิดอีก เพื่อไปศึกษาสิ่งที่สูงที่สุดในการเกิดมาเป็นคน หรือเป็นสัตว์โลกที่ชื่อว่ามนุษย์สูงได้ ก็คือพระพุทธเจ้าได้สูงสุด พากเพียรศึกษามีความรู้ในเรื่องของมนุษย์และสังคมจนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้ว ความรู้ที่เอามาศึกษาเป็นความรู้ของโพธิสัตว์ทั้งนั้น ถ้าไม่มีก็โมเม แต่ที่กล่าวนี้มันเป็นความจริงมันเป็นความรู้ของมนุษยชาติ เป็นประโยชน์หรือเปล่า ผู้ที่ปฏิเสธไม่ศรัทธา แน่นอนเขาก็ไม่เชื่อ แต่คนที่ไม่ถึงขนาดนั้น ก็จะรู้ว่าอาตมาพอมีความจริงอะไรบ้าง

อาตมาอธิบาย เดี๋ยวก็เกิดเดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็มีเดี๋ยวก็ไม่มี เดี๋ยวว่าตัวเองสูงเดี๋ยวว่าตัวเองต่ำ ก็คล้ายๆกัน จริงแล้ว ผู้ติดตามตั้งใจจับพยัญชนะและสภาวะ

ถ้าเราศึกษาให้ดีแล้วจับสภาวะธรรม จับพยัญชนะตามก็จะไม่สับสน พยัญชนะก็บ่งถึงสภาวะก็อย่างหนึ่ง ถามว่าสิริมหามายาหมายถึงอะไร คือผู้รู้จักความเกิดความดับได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเป็นผู้สามารถทำความเกิดความดับได้ ถ้าเป็นความเกิดความดับสูงสุดที่เป็นแม่ ก็เป็นผู้ที่ให้กำเนิดพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นนามธรรมก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอรหันต์ ทำให้เกิดนิพพานเป็นความจริงความรู้สูงสุดได้ นั่นแหละคือสิริมหามายา

 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝันช่วยสรุป...ย่อยว่า ให้อยู่กับคนที่เป็นสิริมหามายา คือคนสุดยอด แต่เราเองก็อย่าเชื่อตัวเองมาก เพราะเรายังไม่ใช่คนสุดยอด (คนที่ยังไม่ดับได้สนิท ก็ต้องระวัง ว่าจะหลอกตัวเองว่า ไม่มีแล้ว จึงอนุโลม…

สมณะฟ้าไทว่า...ได้ฟังเรื่องศิลปะ...

พ่อครูว่า...เหมือนนิทานเรื่องพระสองรูปเดินไปเจอผู้หญิงจมน้ำ พระรูปหนึ่งไปอุ้มผู้หญิงข้ามน้ำแล้วก็วางลงพระอีกรูปถือสา แต่พระรูปนั้นบอกว่า ผมวางผู้หญิงไปตั้งนานแล้ว แต่ท่านยังไม่วางอีกหรือ?เป็นต้น

สมณะแสนดินสรุป...พ่อครูสายปรุงไม่ปรี๊ด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน พระสมณโคดมไม่นิยมเลี้ยงสัตว์

_มนูญ ณ นคร : ฟังพ่อท่านเรื่องเลี้ยงสัตว์แล้วสะท้อนใจจริง ผมเองก็ติดอยู่กับเรื่องแมวหมา จนไม่สามารถเข้าวัดไปพบปะหมู่กลุ่มได้ แต่ถึงยังไงก็พยายามแก้ไขอยู่ครับ

พ่อครูว่า…สัตว์ที่ไม่น่าเอามาเลี้ยงในจุลศีล

18. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ. เลี้ยงเพื่อใช้ส่วนของมัน

19. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร. เลี้ยงมันเพื่อกินเนื้อ

20. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา เลี้ยงเพื่อใช้แรงงานของมัน

พระพุทธเจ้าเอาตัวอย่างมาให้ศึกษา 3 ชนิดนี้ อยากจะเอามันมาใช้เพื่อใช้ขนมันใช้ส่วนของมันใช้เนื้อของมันใช้แรงงานของมัน ถึงอย่างนี้ท่านก็บอกว่าอย่าทำ ท่านแบ่งไว้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ การเอาประโยชน์จากสัตว์มี 3 อย่างใหญ่ๆ ส่วนสัตว์อื่นๆไม่มีประโยชน์ก็ยิ่งอย่าไปเอามันมา ท่านห้ามเฉพาะภิกษุ แต่ไม่ได้ห้ามฆราวาสนะ

นัยละเอียดต่างๆพวกนี้ พระพุทธเจ้าบัญญัติเพื่อให้คนปลอดภัย จากวิบาก ยิ่งถ้าไปเอาสัตว์ที่ไม่เป็นประโยชน์อย่างที่ว่านี้ จะเป็นภาระหนักหนาสาหัส ก็ยิ่งแย่

อาตมาอธิบายมามากมาย ว่าเรื่องสัตว์ต่างๆนี้ปล่อยไปเถิดปล่อยมันไปตามวิบาก แม้ถ้าเป็นสัตว์เซลล์เดียวก็ตาม กับคนก็เป็นวิบาก ต้องปฏิบัติร่วมกันทำงานร่วมกันกับคน มันก็หนักหนาสาหัส แค่นี้ก็เหลือแล้ว สัตว์ก็ปล่อยมันไปอยู่ตามสัตว์ อย่าเอามาใช้งาน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฆ่าการกิน แม้แค่อาศัยแรงงานให้มันมารับใช้เรา

มีม้าที่ลากรถ ม้าลำปาง ใส่ที่บังตามัน เอามันมายืนตากแดด จนกระทั่งมีคนมาขึ้นรถก็ขับ แล้วปล่อยให้ยืนตากแดดไป ทรมานทรกรรม คนเอาประโยชน์ใส่ตัวเอง และไม่สงสารสัตว์ ตัวเองเห็นแก่ได้กินแรงงานสัตว์อาศัยสัตว์ เห็นแล้วสงสาร

แต่ก่อนอาตมาที่วารินฯ แม่ก็มีรถม้า อาตมาเคยขับรถม้ารับจ้าง ขึ้นสะพานสูง บางทีมันเดินไม่ไหวต้องช่วยดันมัน แต่ยิ่งพูดอาตมายิ่งเห็นภาพม้าลำปาง ที่อื่นก็มีบ้าง ก็สงสารม้า ปล่อยให้มันยืนทั้งวัน สรุปแล้วเรื่องสัตว์ เป็นคนก็เป็นสัตว์ วิบากร่วมกับคนนี้มากมายยิ่งนักหนักหนาสาหัส สัตว์อื่นใดๆก็อย่าเอาไปเพิ่มมาให้แก่ตนอีกเลย เขาก็อยู่ของเขา ปล่อยเขาเลย แม้แต่ที่สุด เขียดมันจะถูกงูกินคุณก็อย่าไปยุ่งกับมัน หากไปสงสารเขียดจับออกจากงู ดีไม่ดีฆ่างูเลยแล้วก็ให้เขียดรอด คิดดูสิ แล้วจะให้งูมันกินขี้หรืออย่างไร งูมันก็ต้องกินสัตว์ งูมันไม่กินพืชพรรณธัญญาหารอื่น ดีไม่ดีมันกินสัตว์ใหญ่เลยนะ มันไม่กินท่อนไม้หรอก

เป็นเรื่องที่อจินไตย อย่าไปยุ่งเลยแม้แต่ฆราวาสก็ตาม แม้จุลศีลก็ตาม ฆราวาสก็ควรถือศีล 5 คือ อย่าฆ่าสัตว์ ส่วนศีลข้ออื่นๆก็ปฏิบัติไปตามลำดับ เพราะฉะนั้นแม้แต่ให้ฆราวาสที่ไม่ใช่นักบวช ก็ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ให้มีจิต ปรารถนาประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ซึ่งเป็นความหมายที่ลึกซึ้งมาก เอามันไปปล่อยเสีย อย่าไปเผลอเอามาเลี้ยง อย่าไปต่อ ให้จบ รู้แล้วว่าเป็นภาระเป็นวิบาก พยายามแก้ไขอยู่ก็ขอให้สิ้นสุดได้ง่าย

 

_สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ใฝ่ฝัน อยากจะมาสัมผัส ต่อสถานที่ปฐมอโศกสักครั้งหากยังมีกุศลดี หลงเหลืออยู่บ้าง คงได้มา ในฐานะญาติธรรมค่ะ

พ่อครูว่า…เชิญพยายามหาโอกาสเวลามา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐศาสตร์บทใหญ่ที่ช่วยโลกได้

_พรชัย จันทรสอน · ชอบใจพ่อท่านถามคนว่าทำไมไม่มาวัด เพราะติดที่เลี้ยงหมา

เจ้าสัวที่รวยอันดับหนึ่งใต้หล้าฟ้าไทยก็มิจฉาวณิชชาอย่างน้อย 3ข้อ แล้ว ขายยาพิษ,เนื้อสัตว์และสัตว์เป็น(ยังไม่นับพืชจีเอ็มโอ)

นโยบาย 0 บาท ชมร.เขียงใหม่มีมานานแล้ว เจตนาสร้างบุญเต็มๆแต่ยังไม่กล้าใช้บริการ

พ่อครูว่า…ที่อาตมาพาทำให้รู้ว่าเสียสละได้ แบ่งกันกินใช้ได้ มีคนตักพูนๆ ก็เป็นเรื่องของคนมีจิตขี้โลภเป็นไปได้ก็เป็นตัวอย่างให้คนอื่นเห็น ว่าคนนี้ทำน่าเกลียด ก็ว่ากันไป เขาเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีก็เป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่งเหมือนกันไม่เสียหายอะไรหรอก หากมองดีๆ

ที่ทำ 0 บาทก็ตาม แม้ที่สุดอาตมาพามาเสียสละ ทุกวันนี้ก็มีความชัดเจนที่ทำได้ มีหน้าที่ผลิตก็ทำมีหน้าที่แจกจ่ายก็ทำตามควร อาตมาว่า ชาวอโศกลงตัวแล้ว เป็นตัวอย่างของผู้ที่ทำเศรษฐกิจ เป็นความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ของพุทธเจ้า อาตมาทำได้สมบูรณ์แบบแล้วขนาดนี้ ใครเก่งกว่าอาตมาก็ทำเลย อนุโมทนาถ้าทำได้ ดีกว่าอาตมาได้มากดีกว่าอาตมาได้

เพราะว่ามันเป็นเศรษฐศาสตร์ยิ่งใหญ่บทใหญ่ของโลกเลย เป็นเรื่องยากแต่ทำได้ในประเทศไทยนี้สุดยอด แต่คนไทยอาภัพ ผู้บริหารเศรษฐกิจของประเทศ ก็น่าจะมายกตัวอย่างพวกเรา จะได้ไปเป็นน้ำหนักตัวอย่าง พูดไป ใครก็พูดได้ว่าทำงานฟรี ไม่เอา ลาภแลกลาภ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ก็สุดยอดแล้ว เป็นเรื่องสูงสุดเป็นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ของพระพุทธเจ้า ทำงานอย่างไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนทำงานฟรีก็ทำได้ ยืนยันได้ และทำงานอย่างสบาย ไม่ได้เดือดร้อนวุ่นวาย มีอยู่มีกิน แม้ไม่เอารายได้ก็มีอยู่มีกินไม่ได้งอมืองอเท้าสร้างสรรให้เหลือใช้ แล้วเอาไปแจกจ่าย เป็นการพิสูจน์ความจริงเศรษฐศาสตร์สุดยอดว่าให้มาเป็นคนจน

การจะพัฒนาเศรษฐกิจแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การจะแก้ปัญหาด้วยการพาให้คนมารวย กันทั้งประเทศนี้ พูดโกหก พูดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้พูดสิ่งที่ไม่จริง ขนาดให้มาจนทั้งประเทศยังไม่ได้เลย จนทำง่ายจะตายยังพาให้จนทั้งประเทศไม่ได้ จะพาไปรวยทั้งประเทศ จะไปหอบเอาเงินที่ไหนมาให้คนรวยทั้งประเทศ พูดแล้วเป็นเรื่องสุดยอดอีเดียด

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นโพธิสัตว์ ท่านตรัสชัดว่า ให้มาขาดทุนให้มาแบบคนจน มันน่าจะเป็นตัวอย่างของโลกเลยนะประเทศไทย ถ้ามาถามผู้บริหารเศรษฐกิจของประเทศ ก็บอกว่าเราพาให้ประเทศจน เท่เสียไม่มีเลยนะ เชื่อไหม ในหลวงท่านตรัส เท่มากเลยนะ แต่ไม่มีคนกล้าวิจารณ์ท่านเท่านั้นแหละ แต่ผู้ที่มองเห็นความสุดยอด อาตมานี้มองเห็นความสุดยอดของในหลวง คนถามก็ไม่ใช่คนธรรมดาเป็นรัฐมนตรีเกาหลี เพื่อนที่เป็นประธานาธิบดีฝากมาถาม ว่าจะบริหารเศรษฐกิจแบบไหนดี ในหลวงท่านก็ตรัสว่าบริหารแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ท่านอธิบายไปแบบพระองค์ พูดไปแล้วเขาก็เฉยต้องการคำอธิบาย เราก็พูดอีก เขาก็ต้องการฟังอีก ก็อธิบาย สุดท้ายว่าเราเสียคือเราได้ จบอย่างนี้ อาตมาว่า รัฐมนตรีเกาหลีคงเกาหัว ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ ไม่ได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เขาคงนึกอยู่ในใจว่าในหลวงพูดอะไรมันเป็นไปได้อย่างไร เพราะคนเราจะคิดได้อย่างไร การบริหารเศรษฐกิจให้พาคนมาจน เขาจะคิดออกหรือ พาคนมาขาดทุน แล้วให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ขาดทุนแก่ผู้อื่นได้ นี่คือเศรษฐกิจสุดยอด อย่างเช่นชาวอโศกขาดทุนให้แก่คนอื่นได้แล้วเราอยู่ได้ ไม่ใช่พูดเพ้อเจ้อ ลอยลม เป็นไปไม่ได้

แต่เราเป็นได้ เป็นอย่างสุขสำราญ เพราะเราไม่ได้เบียดเบียนใคร เราเป็นไปได้เรามีแรงงานมีความรู้ กินน้อยใช้น้อยไม่ถูกหลอก ที่จะต้องให้ไปซื้อกินใช้เลอะเทอะ ไปกินสิ่งฟุ่มเฟือยที่เขาเรียกว่าอร่อยหรูหราเท่ เรากินเท่านี้ก็ได้วิตามินได้สารอาหารไปเลี้ยงร่างกายแล้ว ถูกต้องตามโภชนาการไม่ต้องถูกหลอกเลย อย่างนี้ต่างหากคือคนเจริญ คนมีปัญญาจริงๆ ไม่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของคนที่มาหลอกเราเลย ไปเห่อตามแฟชั่นเขาก็ถูกหลอกหมด อย่างนี้ต่างหากคือสุดยอดคน แล้วก็เป็นคนที่ช่วยเศรษฐกิจประเทศชาติ พวกเรานี้ช่วยเศรษฐกิจประเทศ ไม่ไปถูกหลอก แม้แต่ต่างประเทศจะหลอกในประเทศจะหลอกเราก็ไม่ถูกหลอก เรารู้จักสาระ แน่นอนคนเราก็ต้องกิน เรื่องกินเรื่องใช้ที่ฟุ่มเฟือย พวกเรามีประโยชน์สูงประหยัดสุด มัธยัสถ์ ไม่เปลืองผลาญนี่คือเศรษฐกิจสุดยอด

ประเทศไทยนั้นอาภัพ อาตมาถูก กาหัวกระโหลกไขว้ไว้แล้ว โดยเถรสมาคม เขาก็ต้องเกรงใจมหาเถรสมาคม แต่แม้บัดนี้เขาก็ไม่กล้ามา ก็เลยซวยประเทศไทย ถ้าหากนักบริหารนักเศรษฐกิจมาเอาตามอโศกเรา ในประเทศไทยทำได้ มีหมู่บ้านแบบนี้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทยนะ เป็นหมู่บ้านคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจแล้ว เป็นหมู่บ้านคนจนที่อุดมสมบูรณ์เป็นคนจนที่มหัศจรรย์ ที่เรียกว่าหมดปัญหาเรื่อง เศรษฐกิจแล้วอย่างนี้ เพิ่มขึ้นอีกกี่หมู่บ้านในประเทศไทย จะทำให้ประเทศไทยแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจออก

มันเกิดได้ที่ไหนต้องมีจิตใจที่มีปัญญา ว่าคนเราจะจบภาระ ที่เราจะต้องไปยื้อแย่งแข่งขัน กอบโกยเอาเปรียบเอารัดไม่เอาแล้ว มาอยู่อย่างนี้เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย

วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

เป็นคนอย่างนี้ได้จริง พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ววิชาการเหล่านี้ เอาหลักวิชาของพุทธเจ้าไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจการเมือง ไปแก้ปัญหาสังคม ของพระพุทธเจ้าสุดยอดแล้ว แต่ไม่เข้าใจความรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเถรสมาคมไม่รู้คำสอนพระพุทธเจ้า คนอื่นก็เลยพลอยไม่รู้ไปด้วย ซวยจริงประเทศไทย

อาตมาพาทำสำเร็จได้ผลตามคําสอนพระพุทธเจ้า ที่สร้างวัตถุต่างๆเช่นพระพุทธรูปใหญ่ก็ไม่ได้อยากจะสร้างแต่เป็นความเหมาะสมที่จะต้องมี

อาตมาสร้างพระพุทธรูปองค์นี้สำเร็จ ตรงที่ไม่มีใครมากราบพระพุทธรูปอย่างเดรัจฉานวิชา ไม่มีเลย ไม่มีดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาไม่มีการขอหวย แล้วพระพุทธรูปองค์มีพรมน้ำมนต์ตลอดเวลา น้ำมนต์เยอะมาก แต่ไม่มีใครหลงน้ำมนต์บ้าบอแบบนั้น นี่สุดยอดเลย เพราะฉะนั้นพระพุทธรูปของเรา ไม่พาใครงมงาย สำเร็จอย่างนี้เป็นต้น สุดยอดจริงๆ

 

_รายการสำมะปี๋ซี่วิตค่ำนี่รัศมีเมตตาของพ่อท่านแผ่ไปโดยรอบ ดูอบอุ่นและเป็นกันเองกับลูกๆ ดูจากจอทางบ้านยังปลาบปลื้มตาม สาธุ

 

_วันชัย สหมโนธรรม · คุณผู้ชายที่ใส่หมวก..ทำไมไม่ถอดหมวกออกก่อนถามคำถามครับ..ดูแล้วไม่สุภาพเลยครับ

พ่อครูว่า…ผ่านไปแล้วไม่ใช่กาละแล้วตอนนี้

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมทำเวทนาให้เป็นหนึ่งได้

_พิศมัย ชำนาญคิด · โยมจะเอาหลักคิดที่ท่านพูดวันนี้ไปปรับใช้กับเรื่องราวของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องการอ่านเวทนา อ่านจิต อ่านใจตนเอง ล่าสุด อาหารที่เคยชอบโยมก็ไม่ตามใจกิเลสนะ โยมรับแจกตามที่เขาแจกให้ มีขัดเคืองใจนิดๆ และไม่ขอเพิ่ม ได้แค่ไหนก็พอใจแค่นั้นนะคะ และจะพยายามทำนะคะ กราบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า…สาธุ อนุโมทนา ฟังธรรมะเข้าใจแล้วเอาไปทำ อ่านเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม

จิตก็คือ ที่พระพุทธเจ้าสอนในสติปัฏฐาน 4 กายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิต ธรรมในธรรม จบแล้วศึกษาธรรมะพุทธเจ้า 4 อันนี้แหละ กายคือรูปนามคือธรรมะ 2 ธรรมะหนึ่งคือจิตของคนคือปัญญาคือสัญญา เป็นต้น สองสิ่งที่ถูกรู้คือรูป คุณก็เรียนรู้ธรรมะ 2 แล้วทำให้ธรรมะ 2 นี้เป็นหนึ่งหรือเป็น 0 นี่คือ อเทวะ Adheism

ศาสนาอเทวนิยมทำให้ 2 กลายเป็น 1 หรือ 0 ได้ แต่ศาสนาเทวนิยมทำความเป็นหนึ่งไม่ได้ ยังเป็น 2 เสมอ เป็นความมีปรมาตมันเป็นพระเจ้าตลอดนิรันดร แต่ศาสนาพุทธนั้นทำให้วิญญาณหายไปได้ ทำให้ไม่ต้องทุกข์ เมื่อมีหนึ่งแล้วก็ไม่ทุกข์ไม่เป็นคู่ไม่มีเมถุน ไม่ปรุงไม่สังขาร มีเดี่ยวก็ไม่สังขาร เพราะมีหนึ่งเดียวไม่ต้องสังขารกับอะไร ไม่ต้องสัมผัสสัมพันธ์ปรุงแต่งกับอะไร 1 แล้วยิ่งถ้าทำ 0 ได้ก็คือปรินิพพานเป็นปริโยสาน นี่คืออเทวนิยม

แม้แต่คำว่าเทวก็ไม่เข้าใจแล้วไปเข้าใจเป็นเทวดา ที่ปั้นเป็นวิมาน เนรมิตเป็นวิมาน เทวดาของไทยก็ เหาะลอยยกขาสองขาลอย ใส่สังวาลย์ ทั้งผู้ชายผู้หญิงเทวดาไทย

เทวดาฝรั่งก็มีไม้ กายสิทธิ์

เทวะ อเทวะ เป็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา

ศาสนาพุทธที่จะเข้าใจเทวดา เทวดาคือรู้จักธรรมะ 2 ทเวธัมมา แล้วทำให้ธรรมะ 2 โดยเฉพาะทำให้ธรรมะ 2 ให้เป็นหนึ่งเสมอได้สำเร็จ นี่คือเป้าหมายของศาสนาพุทธ หมดทุกข์ ศาสนาพุทธคืออะไร คือหมดทุกข์ หมดความเป็นพิษภัยแก่อะไรทุกอย่างจะมีแต่ประโยชน์อย่างเดียว เมื่อเกิดมาเป็นคนได้อัตภาพเป็นคน แล้วเป็นคนที่ไม่มีพิษภัยแก่อะไรเลยนั่นคือสุดยอดแล้ว มีแต่ประโยชน์ให้แก่โลก จะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ก็มีสิทธิ์ แล้วสามารถที่จะเป็น 0 ได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ด้วย นี่คือสุดยอด

เพราะฉะนั้นคุณจะสูญ ไม่มีนิรันดร ไม่มี อัตตา แล้วสูงสุดไม่มีพระเจ้าอยู่เหนือเราเลยเราเป็นศาสนาที่อิสระเสรีภาพที่สุด ศาสนาเทวนิยมไม่มีอิสระเสรีภาพสูงสุดได้เพราะอยู่ใต้พระเจ้า คนไม่มีสิทธิ์จะมีอิสระเสรีภาพสมบูรณ์ก็ไปอยู่กับศาสนาพระเจ้า ส่วนศาสนาพุทธนั้นมีสิทธิ์เลือกได้ แล้วไม่อยู่นิรันดร

อาตมาสรุปเป้าสำคัญสามอย่างนี้ยิ่งใหญ่ ธรรมะทั้งหลายรู้จักนิรันดรทำให้หมดความนิรันดรได้ ศาสนาพุทธมีปรินิพพานเป็นปริโยสาน หมดอัตภาพสูงสุดได้ แล้วทำได้เองเป็นอิสระเสรีภาพไม่ต้องให้พระเจ้าทำให้ ไม่ต้องมีใคร ช่วยตนเองทำให้ตัวเองได้เป็นอิสระสูงสุด จะอยู่ก็ได้ นี่คือสิริมหามายา ผู้ที่ กล่าวว่าจะอยู่จะช่วยคนให้เป็นอรหันต์จนหมดเป็นคนสุดท้ายจึงจะปรินิพพาน คือพระอวโลกิเตศวร อาตมาก็ซึ้งในน้ำใจท่านสุดยอด ก็ท่านว่า แต่จะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ไม่รู้ มันจะเป็นไปได้เลย ก็เท่ากับท่านจะอยู่นิรันดรใช่ไหม

นิรันดรแปลว่าอะไร แปลว่าไม่มีในระหว่าง ระหว่างนั้นไม่มี เพราะฉะนั้นใน กาละที่โลก ถ้าพระอาทิตย์ เราก็เป็นมนุษย์ มีชีวะรับรู้ สัตว์มันก็ไม่รับรู้ว่าโลกมันหมุน แต่คนมันรู้เรื่อง เพราะฉะนั้นคนก็รู้ ว่าในกาละ ในโลกมีหมุนเวียนมีกาละ

ศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ กรรมกับกาละ Karma and Time of Continuum.

นี่คือของพระพุทธเจ้า ส่วนของไอน์สไตน์นั้น Space and Time of Continuum

ของพุทธเจ้าคือ Karma and Time of Continuum. คือสัมพันธภาพ ของกรรมกับกาละ

กรรมมีในชีวะ ส่วน space ไม่มีชีวะ ของไอน์สไตน์ไม่มีชีวะ เป็นเคหะวัตถุแท่งทึบ ไอน์สไตน์ก็ว่าตามไอน์สไตน์ โพธิรักษ์ก็ว่าตามโพธิรักษ์

_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...คนเลี้ยงสัตว์ก็เลยมาวัดไม่ได้ เราก็หลงโอปปาติกสัตว์ เลี้ยงสัตว์ในใจอยู่ก็เลยไม่ง่ายตามฐาน เลี้ยงเวทนาเคหสิตะอยู่ เราก็เลี้ยงความทุกข์ในใจ ทั้งที่ว่ามันพบแต่ก็ให้อาหารมันอยู่เรื่อย

 

_สมณะฟ้าไท...ต้องขอบคุณพ่อครูที่ทำให้รู้ว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์

พ่อครูว่า...หากในหลวงไม่ใช่โพธิสัตว์ท่านจะไม่ตรัสว่าให้ประเทศมาบริหารแบบคนจน มีพระเจ้าแผ่นดินของไทยองค์เดียวที่ตรัสแบบนี้

สมณะฟ้าไทว่า...คนที่เข้าใจมากที่สุดก็คือพ่อครู…

พ่อครูว่า...พวกคุณมาเป็นคนจนคุณก็ไม่ได้เป็นคนตกต่ำอะไรนะ

สรุปอีกทีหนึ่งว่าศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า เราจะจับหัวใจศาสนาได้ หัวใจของศาสนาพุทธอยู่ที่ พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

คือจะต้องรู้จักสภาวะสอง เทวฺ ถ้ารู้จักธรรมะ 2 ทำให้ธรรมะ 2 เป็น 1ได้ ในโลกนี้มีศาสนาเทวนิยมกับอเทวนิยม คุณรู้เทวะ คุณรู้อเทวะ ก็ทำเทวะ ให้เป็นอเทวะได้ จบแล้วศาสนาในโลกสุดยอด จะบอกว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงอริยสัจ 4 เป็นหัวใจศาสนา

อริยสัจ 4 ก็คือการอธิบายธรรมะ 2 ในเวทนา ทุกข์สุขไม่ได้อยู่ในอย่างอื่นได้เลยมันอยู่ในเวทนา เพราะฉะนั้นจับอาการของทุกข์ของสุขให้ได้ แล้วก็แยกตัวทุกข์หรือสุขก็ตาม

สุขเพราะไปหลงคบหากับกาม พยาบาท โมหะมันวุ่นหลงเลอะ แต่กามกับพยาบาทก็ไปคบกับเหตุปัจจัยแห่งกามและพยาบาท ปรุงแต่งให้สมใจก็เป็นสวรรค์ สมใจในพยาบาทก็ยังเป็นสวรรค์เลยแต่เป็นเชิงร้าย ปรุงแต่งหนักหนาสาหัสดีไม่ดีซ้อนแย่งกาม

ศาสนาพุทธย่อมาถึงตัวสำคัญ แล้วคนที่หมดกิเลสของศาสนาพุทธ ไม่ใช่คนที่เรียกว่า มันไม่มีกิเลสเกิดในจิตก็จริงแต่ไม่รู้จักโลก เขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่

ศาสนาพุทธเจ้ามีโลกวิทู รู้จักโลก รู้จักโลกแต่ละระดับด้วย แล้วไปอยู่กับเขาอย่างอนุโลมปฏิโลม กับสังคมประเทศชาติ จึงอยู่กันอย่างที่ในหลวงท่านว่า อะลุ่มอล่วยกัน ช่วยเหลือกันได้ ถ้าเขาให้ช่วยเราก็ช่วย ถ้าเขาไม่ให้ช่วยเราก็ช่วยไม่ได้หรอก ขนาดนั้นคนที่มาให้ช่วยยังล้นมือเลย คนที่ไม่ศรัทธาไม่ให้ช่วยไม่ต้องไปช่วยเขาหรอก เขาก็ไปตามทางที่ชอบที่ชอบ เราทำแค่นี้ก็เหลือเกินแล้ว

เราก็ทำประโยชน์ให้แก่โลก อาตมาภูมิใจที่ทำงาน เพื่อให้คนพ้นทุกข์ให้คนเป็นสุขให้คนมีประโยชน์ต่อสังคม พยายามสร้างคนมาช่วยประเทศชาติช่วยโลก ไม่ให้เป็นภาระของประเทศชาติ ไม่เป็นเรื่องก่อความวุ่นวายแย่งเศรษฐศาสตร์ของโลก ไปแย่งการเมืองตำแหน่งหน้าที่ในสังคมก็ไม่ใช่ มีแต่เสริมสร้าง สิ่งที่ควรเสริมสร้างให้แก่เขา ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งด้านสังคมเศรษฐกิจ ทางด้านการเมืองก็เสริมสร้างให้เขา

เป็นเรื่องอิสระเสรีภาพเราเห็นควรก็ทำไม่เห็นควรก็ไม่ต้องทำ

ศาสนาพุทธลดละกิเลสความเห็นแก่ตัวส่วนตัว และทั้งเรียนรู้โลก เป็นจิตวิญญาณที่ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์แก่โลกได้ ให้อุดมสมบูรณ์ เราไม่ไปสร้างอะไรที่หนักหนาสาหัส เอาความรู้วิศวกรรมมาใช้ก็ประมาณหนึ่ง ไม่ต้องไปสร้างลูกระเบิด ที่ยิ่งใหญ่เกินการ เราใช้เครื่องยนต์เท่าที่ทำได้ใช้ได้ เราก็ทำกันไปในทางวิศวกรรม โดยเฉพาะในทางกสิกรรม ก็เห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม เราควรทำอันนี้ให้มาก

ถ้าหากประเทศไทยเข้าใจระดมกันทำกสิกรรม ให้ดี ให้เป็นเลิศในโลกเลยนะโอ้โห อุตสาหกรรมเป็นเรื่องรอง ให้เกษตรกรของไทยลืมตาอ้าปากอยู่ดีกินดี แต่ทุกวันนี้ฐานะของพวกอุตสาหกรรมดีกว่าฐานะกสิกรรม ควรมาทำให้ฐานะกสิกรรมมีกินมีใช้ ที่สำคัญคือสอนให้กสิกรอย่าไปรวย เพราะอะไร

เพราะถ้าหากกสิกรอยากไปรวยเหมือนอุตสาหกรรม โลกเดือดร้อน ถ้าหาก คุณสร้างข้าวผลิตข้าว คุณจะขายข้าวราคาแพง ถ้าขายราคาถูกได้มากเท่าไหร่ นั่นแหละคือการเจริญ นั่นแหละคือความประเสริฐ ทำให้ราคาข้าวถูกลงแล้วเราก็อยู่รอด มีเงื่อนไขตรงนี้ด้วย ถ้าหากข้าวราคาแพงคนตายก็คือคนจน ถ้าหากข้าวราคาถูก คนจนก็รอด

อาตมาถึงว่า ข้าวไม่ใช่สินค้า แต่คืออาหารที่ต้องแบ่งปันกันกิน

อันอื่น ไม่สำคัญเท่ากับข้าว คุณมีข้าวก็อยู่รอดแล้วนอกนั้นพืชผักก็หากินได้ไม่หนักหนา ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อาหารเป็นหนึ่งในโลก

ธรรมะต้องรู้จักเวทนาในเวทนาเป็นหลัก ศึกษาตรงนี้ ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า แม้จะลดกิเลสเพื่อให้หมดทุกข์ หมดสุข ทฤษฎีของท่าน ล้อหมดเลย ต้องเป็นผู้ที่อยู่กับโลกมีความชำนาญมีความสามารถทำงานเพื่อผู้อื่นได้ด้วย ไม่ใช่งอมืองอเท้า ได้แต่เราอย่างเดียว เราทำกสิกรรมเป็นหลักอย่างอื่นเป็นรอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ตัดกิเลสเรื่องกินก๋วยเตี๋ยว

_ผาหิน....กราบนมัสการครับ...ขอถาม... จากหนังสือคนคืออะไร?ฯ หน้า150...เมื่อเริ่มได้ฌานจิตขั้นต้นนี้ อันเรียกว่า"ปฐมฌาน"ก็คือ ผู้นั้นตัดโลกภายนอกออกไปส่วนหนึ่งแล้ว ปล่อยวางเรื่องภายนอก ส่วนที่เกิดจาก"สังขารธรรม"....

1.คำว่า"สังขารธรรม"คืออะไรครับ...ผมไม่แน่ใจหรือจะคือวัตถุหรือสิ่งที่เราคิดว่าเป็นสิ่งยั่วยุให้เราเกิดกิเลสที่อยู่ภายนอก....

2.สมมุติว่าเราติดก๋วยเตี๋ยว....คำว่า"ตัดโลกภายนอกออกไปส่วนหนึ่งแล้ว"...หมายความว่าเราจะเลิกกินก๋วยเตี๋ยว...แต่ในใจเราอยากกินอยู่..ใช่ไหมครับ?..เราก็ทำใจในใจจนรู้ตามความเป็นจริง"สักแต่ว่ารู้"ลักษณะนี้จะเรียกว่า"ฌาน ขั้นที่ 1"(กายวิเวก)ได้ไหมครับ

3.จากข้อ 2.ใจอยากกินก๋วยเตี๋ยวยังมีอยู่...แต่ก็อยากทำให้ความอยากหมดไปจากใจ...ความอยากนี้จะเรียก"ภวตัณหา"ได้ไหมครับ?

พ่อครูว่า...ตอบจากข้อ 3 ก่อน ความอยากกินมีอยู่ในใจ แล้วอยากให้ความอยากนี้หมดไปความอยากนี้ ความอยากนี้เรียกว่า ภวตัณหา ใช่ แต่ทุกวันนี้เขาไม่ได้ทำตั้งแต่ภายนอกเบื้องต้นทำภายในเลย พวกนั่งหลับตาเป็นพวกที่ทำผิดตั้งแต่ต้น ผิดมาจนถึงตรงกลางและตอนปลาย นั่งหลับตาปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธนี้ผิดหมด ศาสนาพุทธไม่มีหลับตาเลย ปฏิบัติตอนแรกลืมตา เป็นกามตัณหาก็ล้างกามให้ได้ ล้างจิตที่เป็นกามราคะ กามตัณหา

ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส กิเลสมันไม่เกิดเลยกับภายนอกมันยังระริกระรี้ภายใน ข้างนอกไม่ออกมาทางกายเลย

บอกว่ากายวิเวกนั้น กายต้องมีทั้งภายนอกภายใน กายเป็นโอฬาริกอัตตา ก็รู้ แล้วมันก็ทำอะไรไม่ได้ ในพระอนาคามีเหนือมันได้ เหลือแต่ภาวะในเป็นภวตัณหา

คุณก็ต้องทำให้หมดในระดับ ภว ในรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ก็ล้างอาการสภาวะที่ตามพยัญชนะ ล้างหมดก็เป็นอรหันต์

อยากให้เกิดความอยากมีหมดไปในใจเรียกว่า วิภวตัณหาได้

 

ข้อ 2 สมมุติว่าเราติดก๋วยเตี๋ยว....คำว่า"ตัดโลกภายนอกออกไปส่วนหนึ่งแล้ว"...หมายความว่าเราจะเลิกกินก๋วยเตี๋ยว...แต่ในใจเราอยากกินอยู่..ใช่ไหมครับ?..เราก็ทำใจในใจจนรู้ตามความเป็นจริง"สักแต่ว่ารู้"ลักษณะนี้จะเรียกว่า"ฌาน ขั้นที่ 1"(กายวิเวก)ได้ไหมครับ

พ่อครูว่า...การตัดกิเลสได้ไม่ใช่ว่าเลิกกินก๋วยเตี๋ยว กินก๋วยเตี๋ยวได้แต่ไม่มีกิเลสกับก๋วยเตี๋ยว ถ้าตัดภายนอกนี่หมายความว่ารสอร่อยหยาบไม่มีแล้ว แต่ก่อนต้องได้กินๆ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว มันไม่ได้ตามต้องการอย่างนั้นก็ได้ แต่ก็ยังติดอยู่ในรสที่มีอยู่บ้างเบาบางลง อยู่ในใจเรียกภวตัณหา

แต่ว่าทำสักแต่ว่ารู้ก็ใช่ ถ้าจิตเราเฉยกับมันก็เรียกว่าสักแต่ว่ารู้ แต่ว่าความจริงแล้วจิตใจเรามันมีความเหนือกว่ามัน อาการที่อยากได้เพิ่มเติมได้ความอร่อยนั้นไม่มีแล้ว

ฌาน 1 ไม่ได้ตัดขอบเขตขนาดนั้นหรอก จริงๆฌาน 1 2 3 4มันซ้อน เป็นอจินไตย อธิบายได้ยาก จะบอกว่าภายนอกหยาบไม่มีก็ใช่ แต่ภายในมีอยู่ ก็ไม่ได้ตัดขาดจากภายนอก ไม่ใช่ไปหลับตาให้หมดจากภายนอก ไม่ใช่หรอกคุณลืมตานี่แหละ วันหนึ่งคุณจะเหนือภายนอกได้ แต่นี่คุณไม่ได้ปฏิบัติเลยไปปฏิบัติในภายใน ปฏิบัติแต่ภายในไม่ใช่ปฏิบัติธรรม คนปฏิบัติภายนอกแล้ว เหลือส่วนที่ยังมีภายใน กระทบสัมผัสอันนี้แล้ว มีส่วนเหลือที่ภายใน เป็นภวตัณหาหรือรูป อรูปแล้ว ถ้าวิภวคือหมดภพแล้ว คุณก็ล้างอรูปให้หมดไปแล้วก็ยังสัมผัสกับภายนอกอยู่นั่นเอง ศาสนาพุทธไม่มีการปฏิบัติหลับตาเลย การหลับตาปฏิบัติเป็นโมฆะจากศาสนาพุทธเลย มันหลงผิดไปไกลเป็นเดียรถีย์ชัดๆ มันไม่มีเลยศาสนาพุทธ แล้วทำไมมันหลงผิดกันจนกระทั่งทุกวันนี้นั่งสมาธิ นั่งฌาน ใครไม่มานั่งหลับตาปฏิบัติไม่ใช่การปฏิบัติของศาสนาพุทธ เข้าใจอย่างนั้นอีก เอาหัวมาเป็นหาง เอาเหตุมาเป็นผล เอาขี้มาเป็นข้าว แล้วก็กิน แล้วเอาอะไรมาเป็นข้าวแทน อยู่อย่างนั้น ยกตัวอย่างอย่างนี้จะได้รู้สึกบ้าง

รู้สึกบ้างไหมว่าคนนั้นผิด อย่าเอาขี้มาแทนข้าวสิ รู้ตัวเสียบ้าง หลับตาไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย ศึกษาให้ดี ศาสนาพุทธในพระสูตรแรกคือ พรหมชาลสูตรบอกไว้

เล่ม 9 ข้อ 87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

เวทนาเป็นกรรมฐานเดียวของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธ ไม่ปฏิบัติที่อื่นนอกจากเวทนา กายคือรูปกับนาม ก็มาอ่านที่เวทนา แยกอกุศลจิตที่เป็นเหตุให้เกิดเวทนาสอง ฆ่าเวทนาเก๊ให้เหลือเวทนาเดียว ก็สามารถเรียนรู้ดับเวทนาให้เป็น 0 ได้ นปุงสกลิงค์ ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้

ผู้ที่ฟังอาตมาเข้าใจจะประโยชน์ ผู้ที่ไม่เชื่อก็ซวยไป บาปไม่ใช่ของอาตมา บาป สำหรับคนที่ไม่ให้มาฟังอาตมา ไม่ได้ใส่ความนะ

มันไม่ได้ตัดจากภายนอกไปไหน ศาสนาพุทธภายนอกภายในสัมผัสอยู่ ระวังกิเลสออกตั้งแต่ สักกายะ แล้วดับตั้งแต่สักกายะ ไม่ใช่ดับอย่างอื่น จะตัดเล็บก็ตัดแต่เล็บ ไม่ใช่ตัดหนังด้วย นิ้วด้วย ให้แยกกายแยกจิตให้ออกอันไหนกายอันไหนจิต หากแยกกายแยกจิตไม่ออก คุณดับกิเลสไม่ได้ ฆ่าสัตว์โอปปาติกะไม่ได้

สัตว์โอปปาติกะมี 9 สัตตาวาส 9 มีสัญญาที่สัมมาทิฏฐิกำหนดรู้กาย แล้วทำให้สัตตาวาส 9 หมดก็เป็นพระอรหันต์ เวลาเรียนจะต้องเรียนวิโมกข์ 8 สัมผัสกายด้วยวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงถึงวิมุตติ วิโมกข์ แล้วไปนั่งหลับตาจะเห็นรูปที่ไหน

วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 รูปีรูปานิปัสสติ ผู้มีรูปจึงเห็นรูป แล้วไปนั่งหลับตาจะเห็นรูปที่ไหน

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ) . (*พ่อท.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

พตปฎ. เล่ม 10 ข้อ 66 / เล่ม 23 ข้อ 163

 

_นักรบธรรม...ที่ว่า หลับตาไม่ใช่ศาสนาพุทธ ผมก็ระลึกอยู่ว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น ผมก็เห็นพ่อครู และสมณะ มีการสอนเรื่องศาสนาพุทธไม่หลับตาปฏิบัติ เมื่อมีการสอนอย่างนี้มันก็เป็นอุปการะ

พ่อครูว่า...เขาเอาเป็นตัวเมนหลักเลย เป็นตัวจริง อุปการะไม่ใช่ตัวจริงตัวหลัก ให้ชั่วคราว มีประโยชน์ 4 อย่างคือ

1. ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก

2.  ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน  ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์

3.  เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .

4.  สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ  (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง  ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)

 

จบหมดเวลา


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:23:15 )

610816

รายละเอียด

610816_รายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 6 บ้านราชฯ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1XfAeyhiiKtL_9sTECb-MrfWCJG4UTnHKjyPMdXN0lyw/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1aVBK921Am8x_t6sQloQez40QmtnbSWEk

พ่อครูว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก มีอะไรก็ว่ากันมาได้เลย

_คุณใจแก้ว...วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดิฉันแขนหัก ก็เลยไม่ได้มาที่ห้องปอกผลไม้ ก่อนนั้นดิฉันไปเหยียบหอย ก็นึกถึงคำพ่อครูว่า แม้แต่สัตว์เซลล์เดียวก็อย่าไปทำร้าย ใจก็ตกวูบเลย แต่ต่อมาก็ เหยียบอีก เป็นสองตัว นึกในใจว่า ขอโทษจริงๆแล้วไม่อยากเหยียบเลย แต่เมื่อมาทำงาน มันมีสละ 2 ลัง เทลังสุดท้ายออกมา มีตะขาบตัวใหญ่สีเลือดหมูยาว 5 เซนติเมตร เราหนี เราก็เลยสะดุดล้ม เอามือยันพื้นมีเสียงดังแป๊ก แล้วมือห้อยเลย ออกมาเห็นบอกมือพี่เข่งหักแล้ว ต่อไปจะไม่ได้ทำงานอีก ก็นึกเสียดาย ติ๋วบอกว่า ไปโฮ่งปัว ให้พยาบาลดู มันหลุดไม่ได้หัก มันไม่เคยเป็นมาเลย ตอนแรกไม่ปวดเลย เข่งก็ดึงไว้ พอสักพักมันดังกรึ๊บเลย ไม่ห้อยเหมือนเมื่อกี้แล้ว ไปโฮ่งปัว สุลี คุณนิตก็ช่วยกันดูแล มีน้ำใจมาก

จากนั้นไปโรงพยาบาล หมอเอ๊กซเรย์ดูบอกว่าหลุดแล้ว แล้วทำไมมันเข้าไปได้แต่มันเบี้ยวหน่อย บอกว่าดึงเอง หมอก็บอกว่าเก่งจัง มันเข้าแต่เบี้ยวไปหน่อย หมอก็ช่วยต่อ จากนั้นก็ใส่เฝือก แต่ก็ทำงานได้อยู่ หมอว่าถ้าหัก 6 เดือน แต่ถ้าหลุดจัดเข้าที่ก็ 6 อาทิตย์ ตอนนี้ได้ 5 อาทิตย์แล้ว

แต่ก่อนอยู่สันติฯ พ่อท่านบอกว่าพึ่งเกิดแก่เจ็บตายได้ ดิฉันก็ไม่ได้ซาบซึ้งเท่าไหร่ พึ่งตายได้ แต่พึ่งเจ็บพึ่งแก่ไม่แน่ใจ แต่พ่อท่านหมอว่า อายุรวมแล้วตอนนี้ 50 ปี

พ่อครูว่า...เครื่องมันรู้ได้ไงนะ เขาคงวัดองค์รวมของร่างกาย เดี๋ยวนี้การแพทย์เขาเก่งก็รวมค่าเฉลี่ยมา อายุเท่าไหร่ เหมือนกับ การวัดฟอสซิล หาค่าของมันได้ ว่าอันนี้อายุกี่ปีๆ ล้านปีเขาวัดได้ คนนี้อายุแค่ 100-200 ปีก็วัดได้

_คุณใจแก้วว่า..แต่ก่อนอยู่สันติฯก็ยังไม่ได้รู้สึกซาบซึ้ง เขาบอกว่าอยู่สันติฯก็ดูแลกันดี ศีลสนิทก็ว่า จะมาช่วยดูแลจะช่วยซักผ้าให้นะ เห็นน้ำใจการพึ่งแก่เจ็บตายกันได้แน่นอน เราพิสูจน์แล้วพึ่งได้แน่นอนที่พ่อท่านพูดไม่เสียเวลาเปล่า จิตวิญญาณคนถึงเวลาแสดงออกได้ ล้มครั้งนี้ แขนมันห้อยแต่ใจมันปกติ รู้อย่างเดียวว่าอย่าหักก็แล้วกันงานรออีกเยอะแยะ ใจมันก็ไม่ทุกข์เบิกบานตลอด พี่สาวก็รู้แล้วว่าเดี๋ยวก็ล้มจักรยานเดี๋ยวก็แขนหัก เดี๋ยวก็ตะขาบไล่กัด เขาบอกว่าอยู่ไม่ได้ถ้าเจ้าที่ที่นี่แรงแล้ว เขาบอกว่า ให้ไปซื้อของไปเซ่นไหว้เสียบ้าง ดิฉันว่า เจ้าที่ที่นี่แรงอยู่แล้ว คือพ่อท่านพระโพธิรักษ์ แต่เขาคงคิดว่าเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ก็รู้ว่าพี่สาวเป็นเทวนิยมเชื่อทางเจ้าแม่กวนอิม เราก็คิดว่าเป็นวิบากของเรา กรรมของเราอาจถึงเจ็บ แม้ไม่ถูกตะขาบกัด ก็แขนหลุด เคราะห์นี้ดี ทำให้เราได้ตรวจสภาวะว่าเราแยกกายแยกร่างแยกจิตได้ แล้วเราได้ทบทวนที่เราปฏิบัติ 7 วันนี้ มันทำไม่ได้แล้ว ต้องมาหัดกินข้าวมือข้างที่ไม่ถนัดคือด้านซ้าย มันก็ทำงานได้เหมือนกัน คิดว่าที่พ่อท่านสอน แม้ไม่ถึงเวลาอย่านึกว่าไม่มี พอถึงเวลาจะได้รับสิ่งที่เราทำ พ่อท่านสอนถูกทางทุกอย่าง เกิดเรื่องนี้ทำให้เราเห็นอสุภะในตัวเอง แขนเราข้างนี้ดำข้างนี้ขาว เราต้องดูอสุภะก่อนที่เราจะตาย เนื้อนี้ก็เหมือนเราตอนตายนี่แหละ ประทับใจคุณหมูและอีกหลายคนที่ช่วยดูแล

 

_คุณน้อมยอดธรรม..ในอดีตที่ผ่านมา ความทุกข์ความสุขไม่รู้เรื่องไปตามเขา ก็ไปแสวงหาหลายสำนัก มีเยอะแยะที่จะบอก แต่กลับมาก็เหมือนเดิม ชอบกินอะไรก็ตามใจ แต่นี่ถามดีกว่าว่า..จิต กายของเราที่เราไปดังนั้น มันเหมือนเด็กอนุบาลไปเรียนอนุบาลใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...ใช่ ก็แสวงหา ความรู้ไม่พอ ตัดสินไม่ได้ก็แกว่งหาไป จนกระทั่งค่อยๆปฏิบัติมาค่อยๆสะสมสิ่งที่เป็นปฏิภาณปัญญาฉลาดขึ้น แล้วก็รู้จักเลือกตัดสิน รู้จักสรุปข้อมูล ก็ค่อยๆเข้าร่องเข้ารอย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน อินทรีย์กับพละต่างกันอย่างไร

_น้อมยอดธรรม ปัจจุบันนี้มาโรงเรียนแห่งนี้ การศึกษาในโรงเรียนนี้ได้ 16 ปีแล้ว ยังไม่มีความลังเลสงสัย 10 ปีแล้วยังไม่เคยกลับบ้าน ลูกตามมาก็ไปสบายแล้ว ที่เหลือก็อิสระแก่เขา เราก็มาเรียนศึกษาในคำสอนแล้วก็ศึกษา รูปนาม ก็เข้าใจพอไปได้

ถามว่า อินทรีย์ 5 เรากินอะไรเราก็ผ่านได้ แล้วพละ 5 นี้มันมากกว่ามันเข้าไปถึงจิต

พ่อครูว่า...พละเป็นพลังงานที่สูงกว่าอินทรีย์ จบเรียกว่า พละ หรือผลสุดท้าย แต่ละคนมีประสบการณ์ของตัวเองก็มีเรื่องเยอะ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย นิทานคือเรื่องราว Story มันมีเยอะ สะสมมาแล้ว จึงพิจารณาเห็นข้อด้อยข้อดีของชีวิต กรรมกิริยาของเรา แค่ของเรามันก็เหลือที่จะศึกษาแล้ว ของคนอื่นอีกเราก็เห็นคนนั้นคนนี้ มันก็ยิ่งมีข้อมูลต่างๆทำให้เราได้เปรียบเทียบศึกษา แล้วก็มันสำคัญอยู่ที่สลับไปสลับมา เราคิดว่าอันนี้มันดี อันนั้นมันด้อยแล้ว แต่เมื่อผ่านไปมันก็อาจจะมีดีอีกมุมเหลี่ยม มันเป็นสภาพเชิงซ้อน หมุนรอบเชิงซ้อน ทำไมวนกลับไปมา ซ้ายขวาเหมือนเดิม แต่มันไม่เหมือนเดิมที่มันสูงขึ้นเหมือนก้นหอยที่วนสูงขึ้น นี่แค่ไม่มากมิติเท่าไร มันมีความซับซ้อน มีความวนอยู่ สอดในอีก

เรายิ่งรู้เป็นรอบๆอีก ที่เรารู้เป็นรอบๆจะเป็นแกนหลักให้แก่เราเป็นตัวตั้ง แล้วจะมีความเจริญที่เป็นความเคลื่อนที่ ที่พูดนี้อาตมาก็ยังไม่เก่งใช้ภาษาสู่ฟัง แต่พวกเราพอใช้ได้ อธิบายให้ฟังก็พอรู้เรื่อง แต่ถ้าอธิบายเก่งกว่านี้ คนที่ฟังไม่รู้เรื่องก็อ๋อเลย แต่พวกเราสะสมความเก่งในการฟังนำหน้าอาตมาก็เลยค่อยยังชั่ว

 

_ด.ญ.น้ำมนต์...โลกีย์กับโลกุตระแตกต่างกันตรงไหนคะ

พ่อครูว่า..น้ำมนต์ต้องฟังอย่างนี้ก่อน แต่ก่อนนี้สอนดูดี ระหว่างโลกียะกับโลกุตระ ยายก็สอนมา

ขั้นแรกโลกีย์กับโลกุตระคือ ดื้อซนกับไม่ดื้อไม่ซน โลกียะก็เถียงผู้ใหญ่ไม่เคารพผู้ใหญ่ โลกุตระก็เคารพผู้ใหญ่ไม่เถียงผู้ใหญ่ เข้าใจไหม

แล้วต่อมาใจเรานี่ เราก็จะเอาดั่งใจเรา ใจเราก็จะเอาให้ได้ดังใจเราอย่างนี้เป็นโลกีย์ เราก็อย่าไปเอาตามใจเรา ใจเราต้องการทำใจให้ได้ดั่งใจมันเห็นแก่ตัว มันจะเอาแต่ใจตัว ความรู้นี้เป็นโลกุตระ ความเข้าใจนี้เป็นโลกุตระ เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน

 

พ่อครูว่า… SMS วันที่ 15 สค. 2561 (พุทธศาสนาตามภูมิ)

 

_8498..25นาทีตีระฆัง1ทีอีก5นาทีตี2ทีให้พ่อได้พักครับ

 

_3867 ถึงข้อความประจำของคนโลกเงียบจะหายไป!แต่ตัว ยังทำงานศิลป์หน้าจอบุญนิยมฟังธ.พ่อครูทุกวัน!เก็บเงินซื้อเครื่องช่วยฟังฯใหม่ได้เมื่อไร?จะกลับมาส่งคำ ธ.เช่นเดิม!มนุษย์หูเทียมน้ำพักน้ำแรงตัวเอง!

 

_แหม่ม สวิส · ติดตามผ่านมือถือก็ฟังผ่านบราวส์เซอร์ และสามารถฟังแบบพื้นหลัง ไม่ต้องแสดงบนหน้าจอให้เปลืองแบต เสียงชัดเจนดีค่ะ http://54.169.159.131:8000/;?type=http&nocache=75 

 

_ฝากฟ้า นาวาบุญนิยม · จัดรายการแบบนี้สุดยอดเลยค่ะ

 

_สีดิน ลี· กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ชอบรายการแบบนี้มากๆ ขอให้มีรายการแบบนี้นานๆ คิดถึงสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน วันนี้ท่านมาแล้วมาร่วมรายการด้วย ดีใจจังวันนี้พ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุได้ร่วมรายการ ยอดเยี่ยมมากๆ

ดับสักกายะออก คือดับกิเลส ฆ่าสัตว์โอปาปาติกะ(การเกิดกิเลส)ออก

ท่านติกขวีโรท่านสรุปได้ถูกใจมากๆ ดิฉันสรุปว่าเมืองไทยคือมหาอำนาจทางอาหารค่ะ

พ่อครูว่า…ลึกไปกว่านั้นอาหารมี 4 อย่าง กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว คนต้องกินตลอดชีวิต มีกิเลสผสมอยู่ในนั้นเยอะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้การปฏิบัติที่ไม่ผิด อปัณกปฏิปทา เป็นข้อกลางเลย โภชเนมัตตัญญุตา มีทั้งอุปโภคและบริโภค การบริโภคถาวรเพื่อต้องอาศัยมากกว่าอุปโภค เรื่องกินนี้ตัวการใหญ่ที่จะปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหันต์ จนเป็นพระโพธิสัตว์จนเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องกิน เป็นผัสสะ

คนที่ไม่มีผัสสะไม่มาพิจารณาอาหารตามที่ท่านสอน จะเป็นอุปโภคหรือบริโภคก็ตามโดยเฉพาะการบริโภค ผู้ใดเข้าใจได้ ปฏิบัติการสภาวะเกิดจากตาหูจมูกลิ้นกาย ใจเองก็ตาม แยกได้ชัดเจน แล้วลดกิเลสที่มันมาทาง ตาหูจมูกลิ้นกายใจ รู้กิเลสมันเกิดอาการ หยาบ กลาง ละเอียด ลดละด้วยวิปัสสนาญาณอย่างไม่กดข่ม กิเลสจะลดหรือดับได้ ยิ่งทำได้สมบูรณ์แบบก็ดับสนิท คนปฏิบัติได้ผลจะมีสภาวะในตัวเอง เป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่างสีสันแต่เป็นอาการที่เราจับได้รู้ชัด จะรู้ว่าอาการอย่างนี้คืออันนี้

 

_สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · ดีใจที่ได้รับทราบ พ่อครูพูดถึงข้อความที่ได้กล่าวในทำนองรำพึงกับตัวเอง เมื่อวันที่ได้รับฟังคำเทศนาในวันที่พ่อครูเทศน์ที่ปฐมอโศกค่ะ เป็นปลื้มสุดๆที่พ่อครูเห็นและกล่าวถึง สาธุ ๆ ๆ

 

_เล็ก มณีรัตน์ · ถ้าประเทศชาติ มีผู้บริหารที่มีใจพอ เอาอย่างอโศก ประชาชนคงสุขสำราญถ้วนหน้าเหมือนกันนะเจ้าคะ

 

_บุญชัย ตั้งสำราญจิต · ติดตามเสมอๆทุกโอกาสครับ

 

_ນາງ ເກດມະນີ ສຸກສະຫວັນ · ກາບນະມັດສະກາບພໍ່ທ່ານຂ້ານອ້ຍສັດທາພໍ່ທ່ານຢ່າງສູງ

(นางเกจมณี สุขสวรรค์ กราบนมัสการพ่อท่าน ข้าน้อยศรัทธาพ่อท่านอย่างสูง)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำไมคนเราต้องทะเลาะกันด้วย

_ด.ญ.น้ำมนต์ ทำไมคนต้องทะเลาะกันคะ

พ่อครูว่า...ก็เพราะว่าคนก็ยังฉลาดไม่พอ ยังโง่อยู่ ไม่รู้ว่าการทะเลาะกันมันไม่ดี น้ำมนต์ว่าการทะเลาะกันมันดีไหม ...ไม่ดีค่ะ

พ่อครูว่า ที่เขายังทะเลาะกันอยู่เพราะ

1. เขายังไม่ฉลาด 2. เขารู้แล้วว่าการทะเลาะกันไม่ดี แต่กิเลสเขามี จึงห้ามไม่ได้กิเลสมันแรง เราก็เรียนรู้ว่ากิเลสมันเป็นตัวชั่ว มันมีเนื้อเราก็ยังชั่ว มันพาให้เราทำไม่ดี

ต้องมาเรียนรู้ทำให้เกิดพลังงานเป็นยาพลังงานสะอาด พลังงานจิตจะมีปัญญา พลังงานที่มันเกิดสิ่งนี้ พยายามฝึก ศึกษาปฏิบัติ พลังงานฉลาดเป็นปัญญาที่เกิดจริงมีอำนาจทำให้พลังงานกิเลส กิเลสก็เป็นพลังงาน กิเลสก็สู้ไม่ได้พลังงานปัญญามันเหนือกว่า เราจะรู้ว่าเรามีพลังงานปัญญา จำไว้เลย พลังงานปัญญาเกิด ปั๊บ พลังงานกิเลสตัวนั้นมันลดเลยทันที ไม่ต้องไปทำอะไร อย่างรู้ๆไม่ได้กดข่มนะ มันเห็นอาการกิเลสลดเลย อ่านให้ดี พลังปัญญาเป็นเช่นนี้ พลังกิเลสจะลดถอยเลยไม่ต้องกดข่ม

ต้องแยกกดข่มกับรู้ด้วยปัญญาด้วยความรู้ จะมีฤทธิ์ต่างกัน กดข่มทำให้มันลดได้แต่มันไม่สู้ปัญญา ปัญญาฉลาดอันนี้มันดับหายไปเลย พยายาม นี่ใช้ภาษาไทยอธิบายง่ายๆละเอียดๆนะ เราจะได้ฉลาดว่านี่พลังปัญญานี่พลังเจโตกดข่มไว้ พลังสะกดจิต พลังที่ใช้แรงดันไว้เฉยๆ ไม่ใช่พลังที่เฉลียวฉลาดรู้ทัน พลังงานชั่วพลังงานกิเลส แล้วพลังงานกิเลสมันก็ลดทันทีเลยไม่ต้องทำอะไรมันกลัว หงอ จางคลายไปเลย

ยิ่งพลังปัญญาเรายังมีฤทธิ์แรง กิเลสยิ่งหายไปเลย

ปัญญาท่านใช้คำว่าอุตระ มันเหนือโลกีย์เหนือความชั่วเลย ปัญญาจะคู่กับสติ สติปัญญา คู่กันเหมือนคู่หู สติ คือความตื่นรู้สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายรู้

สติแค่ภายในก็แคบ แต่สติตื่นรู้ทั้งทวารนอกทวารในก็ครบกว่า คนเก่งสติแต่หลับตาภายใน แต่พลังสติ ออกมารับสัมผัสภายนอกรู้ๆอย่างลืมตาเหมือนพระพุทธเจ้า อาตมาก็พอมีบ้าง เรียกว่า ชาคริยะ แปลว่าตื่น ในอปัณกปกิปทา 3

สํารวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เป็นสามเส้า ของการปฏิบัติที่ไม่ผิด ต้องมีสัมผัสทางทวารทั้ง 6 ถ้าไม่มีสัมผัสก็ผิด ก็มีสัมผัสหกแล้วก็เกิดการปรุงแต่งในเครื่องอุปโภคบริโภค ก็แยกแยะธรรมะวิจัยให้ออก แล้วก็ทำให้จิตตื่นขึ้นเรื่อยๆ หมายความว่ามีพลังงานที่ทำให้กิเลสมันลดลงแล้วก็รู้ตื่น แทนที่จะดับหรือจม ดิ่งไม่รู้ แต่เป็นผู้รู้ตื่นเบิกบาน ชาคริยะ เป็นตัวกิริยาของพุทธ

ชาคริยะคือมรรค พุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นผล

เกร็ดดินว่า...เขาใช้คำว่าสติสัมปชัญญะปัญญา

พ่อครูว่า..ยังมีภาษาอีกเยอะ อาตมาค่อยอธิบายแทรกค่อยๆไป ตัวเองมีปฏิภาณของจริงมีธาตุรู้ที่เจริญ เข้าใจแล้วเหมือนเรามีเนื้อยา เมื่อเอาชื่อยามา แปะ ก็รู้เลยไม่ต้องท่อง มันจะจำได้ทันที

_ปลา...เห็นเด็กๆวิ่งเล่นไปมา พ่อท่านว่า ให้เขามาเถอะมันจะได้ติดชิปไว้ มันอยู่ในสัญญาใช่ไหมคะ จะถามว่าวันแม่ก็ผ่านมาแล้ว ก็ระลึกถึงพระคุณของแม่ที่เป็นผู้ที่ชี้นำทางให้เข้ามา อยู่ในหมู่กลุ่มของชาวอโศก ตัวเราเองไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทางวัตถุทำให้แม่ ถามว่าเราจะมีวิธีกตัญญูกตเวทีต่อแม่อย่างไร

พ่อครูว่า...เราไม่มีสมบัติวัตถุก็ให้ความรู้ความถูกต้องทางทิฏฐิ ความเห็นเข้าใจทุกทางสัมมาทิฏฐิแล้วก็จนกระทั่งที่สามารถปฏิบัติตนให้มีสมาธิสัมมาปฏิเวธ นี่คือทรัพย์ที่แท้ เราจะไปบังคับไม่ได้

1 เรื่องของบารมีของคน ศาสนาพุทธไม่บังคับมีอิสระเสรีภาพ ถ้าไม่ดีไม่พอใจก็ปล่อยไปก่อน ถ้าผู้ที่เราเป็นพ่อแม่ ต้องสัมพันธ์ให้ดีก็ต้องพยายามบ้าง เป็นธรรมชาติ แต่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเลยจะไปพยายามเข็นเขาอย่างไร คนบางคนไม่มีประโยชน์ต่อกันหรือบางทีเป็นโทษด้วยไปเข็นก็เสีย ต้องคนที่มีความสัมพันธ์กันที่พอจะศรัทธาต่อกัน ให้กันได้

เรื่องสามัญสำนึกเป็นสามัญ ง่ายๆจะโน้มไปทางเจริญดีอยู่พอสมควร จึงต้องส่งเสริมให้ลดละให้ทวนกระแส น้อมไปในทางที่ดีก็ดีอยู่แล้ว ให้ทวนกลับ ให้ความรู้ที่บางทีมันมีมุมไม่ดีนะ แต่ไม่ดีนี้สูงกว่าเก่านะ จะมีลักษณะอย่างนี้

_คุณสาธิตว่า...แต่เดิมเราถูกกิเลสขี่ แต่ต่อมาเรามาขี่กิเลส ก็ไม่ไปทำร้ายมัน มันก็อยู่ของมันไป

พ่อครูว่า...เข้าใจสภาวะก็สื่อความชัดเจน ผู้รู้จะเห็นว่ามีสภาวะชั้นนั้นชั้นนี้

 

_ใบฟ้าฝากถาม..มวลพุทธบริษัท 4 สมัยพระพุทธเจ้า กับสมัยของพระโพธิสัตว์ ทำอย่างไร ที่จะกู้ศาสนาให้ถึงห้าพันปีได้ มีความแตกต่างกันอย่างไร

พ่อครูว่า...คำถามนี้ก็ถามย้อนกลับไปว่า ใครที่รู้ว่าจะทำอย่างไรก็บอกอาตมา อาตมาจะได้ทำอย่างนั้นให้สำเร็จ

อาตมาพยายามใช้ความรู้ของตัวเองอย่างสุดไม่ออมมือ ให้ศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดมไปถึง 5,000 ไม่ได้ออมมือ เท่าที่มีภูมิปัญญาปฏิภาณ ก็ตอบเข้าเป้าว่าทำอย่างอาตมา

ทำเต็มที่เป็นแต่เพียงว่าอย่าให้มันเสีย จนเราทรุดเสื่อมตายก่อนควร หรือว่าเจ็บป่วย ทำงานไม่ได้ เป็นปฏิปักษ์ต่อการทำงานหรือตายเร็ว

อาตมาดูว่าอาตมายังไม่ควรตาย ร่างกายยังแข็งแรง ยังไม่ถึงกับเป็นภาระใคร ช่วยตัวเองได้ดีมากแล้วก็ยังไม่ควรตาย เมื่อใดที่อาตมารู้ว่าตอนนี้ไม่ไหวแล้วมันไม่คุ้มกัน เราอยู่ก็เป็นภาระคนอื่นมากเกินไป ไม่ว่าจะต้องทำต่อก็ต้องมาเกิดใหม่ ตายก่อนแล้วมาเกิดใหม่ จะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ทำไมต้องตายก่อนมาเกิดใหม่ เกิดใหม่ต้องใช้เวลามาก จนกระทั่งอวัยวะอาการ 32 เราโตพอจะใช้ได้ มันก็เสียเวลา ต้องคิดครม.หรน.ให้ดีที่สุด ไม่ได้แกล้งไม่ได้ออมมือในความเก่งและไม่ได้ทำเกินเลย ก็ให้ไม่ over ให้พอเหมาะพอดี

 

_คุณต้องตาย...ตอนเด็กๆดิฉันมีความกลัวในใจ คิดว่าผีไม่มีความกลัวก็หายไป แต่พออายุมากขึ้นอายุ 50 กว่า ความกลัวมันมาอีก แล้วมันก็นอนไม่ได้มา 5-6 คืนเป็นสัปดาห์กว่าจะนอนหลับ ร่างกายเรามันอ่อนแอ เมื่อไม่สบายก็คิดถึงผีอีก แต่พอฟังธรรมะพ่อครูบอกว่าผีไม่มีความกลัวนั้นก็หายไป

พ่อครูว่า...ผีอย่างที่ว่ามีคืออะไร ผีที่ว่าไม่มีคืออะไร

_ต้องตาย...เมื่อความกลัวหายไปดิฉันเห็นคนที่แก่มากเขาจะกลัวลูกหลานทิ้ง กลัวโน่นนี่ ถามว่า ดิฉันแก่ไปจะเป็นอย่างนี้

พ่อครูว่า...รับรองแทนคุณไม่ได้หรอกจะต้องชัดเจนในปัญญาความรู้ความเข้าใจของตัวเอง ให้อาตมาตอบแทนไม่ได้หรอก ตราบใดที่คุณยังเรียนอยู่ในหมู่ พวกเราให้สัมมาทิฏฐิที่ถูกต้องอยู่อย่างนี้ คุณไม่ต้องกังวลหรอก

แม้คุณจะกลัวผีอีกพวกเราก็จะรุมบอกคุณ การกลัวผีมันชัดเจนในพวกเรา แม้แต่พวกเด็กเล็กก็ไม่กลัวศพกลัวผีอะไร ศพในศาลาตั้งไว้พวกเราก็ไปมาๆ ไม่มีกลัว ไม่เกิดมโนมยอัตตาเห็นผีหลอก ชัดเจนว่าพวกเราไม่มีใครเห็นผี ไม่เกิดปรากฏการณ์นั้นเลยแสดงว่า อุปาทานมันไม่มีจริงๆ คนที่มีที่เห็นก็คืออุปาทานมันยังมี คือมโนมยอัตตา มันยังมีตัวมีตนยังมีจริงๆ

คนที่เห็นว่าผีมันไม่มีจริงๆ ชัดเจนจริงๆ หมดแล้วเพราะว่าผีแบบนั้น จริงๆแล้วมันไม่มี มันมีแต่สภาพกิเลสของเรานี่แหละคือผี หยาบ กลาง ละเอียดนี่มีแน่ ชัดเจน

คุณต้องตายว่า...มีคนบอกว่าแก่แล้วจะกลับมาเป็นอีก ตอนนี้ดิฉันชัดเจนว่าไม่กลัว

พ่อครูว่า..หลงอย่างไร อยู่ในหมู่อโศกก็ไม่ต้องกลัวหรอก

 

_แก้วบุญ...ถ้าเกิดว่าทำงานแล้วแลกกับของจะได้กุศลไหมคะ

พ่อครูว่า...ทำงานแลกเอาของไม่ได้กุศลหรอก สั้นๆชัดๆ เพราะฉะนั้นทำงานแล้วอย่าไปอยากได้อะไรตอบแทน

 

_คุณเทียนดิน...เมื่อวันแม่ บ้านโยมมีต่อรังใหญ่ แต่ไม่รู้มีใครมาบอกให้มีคนมาเอาไป โยมก็ห้ามไม่ให้เขาเอา แต่เขาว่าไม่ได้ มันจะไปต่อยเด็ก โยมก็ว่า มันอยู่มาตั้งนานไม่เห็นมีอะไรเลย เขาก็ว่าปิดไฟๆ แล้วต่อมามันก็ตายทั้งรังเลย โยมทำใจไม่ได้โยมจะมีส่วนบาปกับเขาไหม ที่ไม่ช่วยปกป้องเขา โยมกลัวบาป

พ่อครูว่า...อย่าไปทะเลาะกันจะเป็นวิบากทั่วไป เหมือนงูกินเขียด เราเอาเขียดออกจากปากมัน วิบากงูมันซัดมันอีก เขาจะปองร้าย เราก็อย่าไปเพิ่มวิบาก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ความหลากหลายของเจโตกับปัญญา

_หนึ่งฟ้า..ดิฉันมีคำถามสองข้อ ว่าจะเกี่ยวพันกันหรือไม่

1 คำว่าเจโตกับปัญญา ความเข้าใจของคนมีหลากหลาย ดิฉันเข้าใจคำว่าเจโต แปลว่าความสามารถในการรับมือกับ ผัสสะได้ดี ไม่เกี่ยวกับร่างกายทำงานแข็งแรงดีหรือไม่ เข้าใจถูกหรือไม่

พ่อครูว่า...ได้ พลังงานจิตเหนือกว่า รูป

_คุณหนึ่งฟ้า..ที่ใดมีปัญญาที่นั่นมีศีล ที่ใดมีศีลที่นั่นมีปัญญา ที่ใดมีศรัทธาที่นั่นมีปัญญา ที่ใดมีปัญญาที่นั่นมีศีล แล้วที่ใดมีฌานที่นั่นมีปัญญา

พ่อครูว่า… ศรัทธามีลักษณะ สเตตัส ส่วนปัญญามีลักษณะ static เป็นพลังงานบวกกับลบ

_คุณหนึ่งฟ้า..การฟังพ่อครูพูด ความเข้าใจในการรับรู้ก็จะแตกต่างกัน นี่คือความปกติ แต่คือความปกติที่เกิดขึ้นที่ตามมา คนที่เป็นสายเจโต หรือสายปัญญา ส่วนใหญ่จริงๆเขาแยกแยะไม่ออกว่าตัวเองใช่หรือไม่ใช่ บางคนมีปัญญาเยอะ ก็นึกว่าตัวเองเป็นสายปัญญา ดิฉัน เข้าใจว่ามันเป็นความเข้าใจผิด ปัญญาที่จะมีได้คือปัญญาในทางธรรมะที่เป็นสัมมาทิฏฐิ จนสามารถเข้าใจเรื่องราวชัดเจนว่า ตัวปัญญาเกิดอย่างไร เช่นสัมมาทิฏฐิใน อนาสวะ 6 เกิดจาก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากการฟุ้งซ่าน ดีแต่หาเรื่อง ทำให้เกิดการวินิจฉัยผู้คนที่เกี่ยวข้องเป็นคนละแบบ

พ่อครูว่า..เอาลักษณะตัวเองที่สมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นเจโตหรือปัญญา คือมันมีอยู่ รู้ด้วยปัญญาก็หยุด รู้ด้วยเจโตก็หยุด ดูนัยยะที่หยุดว่าเราหยุดอย่างนิ่งหรือรู้ครบทั้งตาหูจมูกลิ้นกายรู้รอบถ้วน ส่วนเจโตหยุดแต่ไม่กว้างขวางไม่ออก มีแต่เข้า แต่ปัญญาจะมีกว้างออก มากขึ้น

_คุณหนึ่งฟ้า...การฟังธรรมพ่อครูไม่ได้เหมือนกัน ก็เลยทำให้เกิดการไม่เข้าใจกัน ดิฉัน เข้าใจถือว่า สัจจะ 3 อย่าง

คนส่วนน้อยที่ เข้าใจไม่ตรงกับหมู่ใหญ่ก็ไม่จำเป็นที่เขาจะเป็นผู้ผิด หากเข้าใจสัจจะ 3 อย่างก็น่าจะไม่เพ่งโทษกัน กลุ่มใหญ่เห็นเป็นส่วนใหญ่ ก็ถือว่าเป็นสมมติสัจจะที่ร่วมรับรู้กัน แต่ส่วนน้อยก็ไม่ได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด

พ่อครูว่า..เจโตกับศรัทธามันอยู่ในกลุ่มเดียวกันแต่มีสองหน่วย ปัญญา=เจโต+ศรัทธา สองต่อหนึ่งปัญญาสู้ได้ ปัญญาเป็นอุตระ

ปัญญากับเจโต เป็นสภาวะคู่ คู่นี้ยังอ่อนแอ หากเดี่ยวจะแข็งแรงกว่า เจโตกับศรัทธาต้องกอดคอกันถึงดี แต่ปัญญาเดี่ยวถึงอยู่ได้ ชัดเจนไหม

 

_คุณฝากฝัง...เราก็มีศรัทธามาก่อน ฟังธรรมแล้วใช้พลังเจโต ฝึกฟังธรรมบ่อยๆ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็พยายามระลึกสิ่งที่ทำมา ทำให้เห็นว่า ใครมองเราว่าสายเจโต ตัวเองไม่ค่อยพูดและทำอย่างเดียวก็เห็นพลังที่เราสะสมมาก็พลัง เราไม่ทิ้งสิ่งที่เราฟังธรรมะแล้วเอามาปฏิบัติ ฟังบ่อยๆแล้วจะเกิดปัญญาใช่ไหม

พ่อครูว่า...ใช่ ก็จะสะสมข้อมูลเพิ่มขึ้นและมีพลังงานในจิต เพ่งหลุดได้เร็ว เจโตต้องใช้พลังงานในการหยุด ปัญญานี้ไม่ต้องออกแรง แต่มีพลังงานที่จะหยุดได้

 

_คุณฝากฝัง...เรื่องผีดิฉันก็พิสูจน์มานานแล้วว่าไม่มี ฝึกตื่นเช้าก่อนเพื่อนก็มาศาลาแต่เช้ามืด บางทีก็มีโลงตั้งอยู่ ไม่เคยเห็นผีเลย

พ่อครูว่า...อุปาทานที่ยึดว่าเห็นผีมันมีจริง แม้เราไม่เชื่อแต่จิตใจลึกๆที่เป็นอนุสัยมันออกมาทำงาน เรานึกว่าข้างนอกเราไม่กลัวแต่มันเห็นได้ ก็แปลว่าปัญญายังไม่ถึง

สายศรัทธาข่มเก่งก็ไม่เห็น แต่สายปัญญาชัดเจนก็ไม่มีไม่เห็นได้ รู้ว่า มันเป็นอุปาทานเป็นมโนมยอัตตา ด้วยจิตใจที่มันปรุงแต่งขึ้นมาเองซึ่งแท้ๆมันไม่มี อาตมาเรียนทางสะกดจิตมา สั่งว่าไม่ให้เห็นมันก็ไม่เห็น แต่สั่งให้เห็นทั้งที่ไม่มีมันก็เห็น เราก็เลยรู้ว่าอุปาทาน

ที่มีให้ไม่เห็น ที่ไม่มีให้เห็นได้ก็ทำได้ จิตมันสร้างนิรมาณกาย ปรุงแต่งระหว่างธาตุรู้กับอีกสภาวะหนึ่ง เกิดมาเป็น 2 ปั้นในจิตเป็นตัวตนรูปร่าง นางพรายสมสู่กับผีนางพราย มีจริงๆเลย อย่างอาตมารักษา เด็กผู้หญิงคนหนึ่งสมสู่อยู่กับพรหมก็รักษาได้

 

 

คุณสาธิตว่า...การอ่านอาการสภาวะปัจจุบันนั้นสำคัญมาก

พ่อครูว่า....ใช่

_คุณฝากฝัง...เมื่อก่อน เห็นกามพยาบาทเรามาก แต่ตอนนี้มันเฉยๆ ทุกวันนี้จะใช้ การทำงานในการเพิ่มสัมประสิทธิ์ตัวเอง ใช้นาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

พ่อครูว่า...หากชัดเจนในนาม 5 นี้ ต้องมีผัสสะ แล้วทำ เวทนา สัญญา เจตนา

_คุณฝากฝังว่า...เรามุ่งหมายทำงานให้สำเร็จก็สำเร็จ รู้ความเป็นจริง

 

_คุณสุวิดา … วันนี้ อยากจะบอกพ่อครูว่าหนูชอบรายการสำมะปี๋ซี่วิต เพราะว่าปกติฟังรายการปกติ ถีนมิทธะจะแรงมาก

พ่อครูว่า….มันไม่มุ่งหมายอยู่ตรงนั้นแรง มันมีชีวิตชีวา

_คุณสุวิดา...เห็นเด็กจับไมค์แล้วพูดได้ คำถามมีเยอะ วันนี้ถามว่า...เวลาเจอปัญหาแม่ก็จะบอกว่าช่างมันเถอะลูก พอเราอยู่ไปเหมือนแม่ฝังชิปให้เรา เมื่อเกิดอะไรก็ช่างหัวมัน พอหนูเข้ามาอยู่ที่บ้านราชฯ ก็บังเอิญว่าไปทำงานกับสิกขมาตุเป็นหญิง แตนมันต่อยหนู คำแรกที่หนูอุทานคือ ยอมแล่ว… โดนสามจุด คงทำให้หนูจะมาอยู่บ้านราชฯต้องยอม

 

_คุณรุ้งเริงธรรม... จะเป็นคนหนึ่งที่จะย้อนไปฟังธรรมะพ่อท่านเทปเก่าๆ พบว่าเมื่อปี 2535 พ่อท่านได้กล่าวถึงเห็นกายในกายธรรมะ 2 แล้ว แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกขนาดนี้ จะได้กล่าวอย่างกระชับตรงนั้นไปแล้ว

_คุณรุ้งเริงธรรม เป็นคนหนึ่งที่ดูหนังมหาภารตะ ไม่นับตอน พอๆกับฟังธรรมะของพ่อท่านเลย เหตุที่ดู เพราะจะเก็บเกี่ยวศิลปะจากเรื่องนี้ เป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียดอ่อนหลายชั้น ที่เป็นหัวใจสำคัญก็คือ มหาภารตยุทธ มีพระกฤษณะ ดูเมื่อไหร่ก็จะเห็นหน้าพ่อท่านลอยมาทุกครั้ง พระกฤษณะบอกว่าหากจะลงโทษคนชั่วต้องให้อภัยเขาก่อนต้องเสียสละให้ได้เพื่อให้โลกกลับมาอยู่อย่างสมดุล ดูเรื่องนี้เหมือนฟังเทศน์ของพ่อท่าน

พระกฤษณะจะมีการชี้นิ้วตลอด จะมีจักษุราจันทร์มาจากฟากฟ้าอาวุธใดในโลกนี้ก็สู้ไม่ได้จะมาเพื่อลงโทษเพื่อฆ่าคนชั่ว แต่อีกนัยหนึ่งเพื่อไม่ให้เขาทำบาป ถ้าปล่อยให้เขาพูดและทำในพฤติกรรมนั้นต่อไป ได้เตือนแล้วให้สำนึกแล้ว

รุ้งฟังเทศน์พ่อท่านได้ฟังคำว่า บรรลัยจักร รู้สึกว่าคำนี้เป็นคำพูด อยากให้พ่อท่านอธิบายคำนี้ว่ามีความหมาย ที่แตกต่างหรือเหมือนจักษุราจันทร์

พ่อครูว่า..ที่พูดมานี้อาตมาไม่เคยดูเป็นเรื่องเป็นราวเลยสักตอนเดียว

บรรลัยจักร ความหมายที่ชัดง่ายๆก็คือ มันฉิบหายใหญ่ อาตมากำหนดหมายคำว่าบรรลัยจักร บรรลัยคือมันแหลกราญ จักรคือพลังงานที่ทำให้มันแหลกลาญ บรรลัยแล้วจักรยังอยู่ย้ำซ้ำไม่เหลือซากเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส

อาตมาใช้คำว่า บรรลัยจักรนี้กับใครคนนั้นหนักมาก

 

_คุณไม้ร่มว่า...มีคืนหนึ่งมีญาติธรรม มาจากที่อื่นขับรถมากัน 2 คน เมื่อถึงหน้าบ้านก็โวยวายร้องไห้ให้ผมออกมารับหน้าบ้าน ผมก็เอาไปใช้ออกมารับ เขาตัวสั่นงันงกบอกว่าเดินไม่ไหว บอกว่าเขาเจอผี ตอนขับรถผ่านเฮือนสุดชีวิต เขาบอกว่าเจอผีจริงๆ เดินเปลือยกายอยู่กลางถนนแล้วไม่หนีรถด้วย ...ผมก็ปลอบ และวันรุ่งขึ้นก็พาไปบอกคนนี้ที่เขาว่าเป็นผี คือลุงเอี๋ยว ว่าใช่ นี่ก็ผีตัวจริง เขาไม่กล้าลงจากรถเลย

พ่อครูว่า..เจ็กเอี๋ยว เขาก็นอนอยู่ป่าช้าที่เมรุนั่นแหละ แก้ผ้าด้วย ก็เห็นจริง เขานึกว่าคนจริงๆไม่เป็นอย่างนี้หรอกแต่เป็นของจริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(วิปลาส) ตอน ผีถ้วยแก้วคืออะไร

_ปรีชา..เมื่อสมัยตอนนายเบ็นอยู่ปีหนึ่ง มีเด็กมาล้อมรอบผมและขอให้ทำกับผีถ้วยแก้วให้ดู ผมว่าผมเขียนหนังสือไม่ได้ เขาก็ว่าจะเขียนให้ ผมก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ที่ห้องสมุดนั้น ตกลงเขาก็เดินผีถ้วยแก้วกัน เด็กม. 1 ผู้ชายประมาณ 10 กว่าคนได้ แล้วมีคนหนึ่งที่เป็น ม. 3 อยู่ในเหตุการณ์ด้วยคนเดียว ก็เดินไปสักพักหนึ่ง เด็กสี่คนเอามือแตะแก้วแล้วเดินถามไป ผมรู้สึกปวดฉี่ก็ขอตัวเอามือออกแล้วไปเข้าห้องน้ำให้เขาเดินกันเองได้ แต่ก็อยากจะออกก็ออกไม่ได้เชิญออกไม่เป็น ผมก็เชิญออกให้ได้เพราะเคยทำมา

ผมโดนขอร้องแกมบังคับให้เดิน มันเป็นความผิดไหม

พ่อครูว่า...ถ้าจะว่าผิดก็ผิดที่ว่าไปผสมโรง ให้เขาเข้าใจผิดว่าผีถ้วยแก้วมันมีจริง

สรุปว่าผีถ้วยแก้วคือพลังงานอุปาทานของคนหลายคนรวมกัน มันก็เกิดการเคลื่อนก็แล้วแต่ว่าพลังงานของเรามันจะมากจะน้อยมันจะเป็นไปตามนั้น สุดท้ายมันก็จะรู้ที่จบเพราะคนแต่ละคนก็จะรู้ว่ามันจะลงตรงไหน เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่า ตอบให้รู้ มันผสมคำก็ให้คำตอบมา

คนที่พลังงานสูงกว่าคนอื่นมันก็จะเป็นคนชนะ จะทำให้เกิดคำตอบของคนนั้น เท่านั้นเอง หรือว่าพลังงานของแต่ละคนมันใกล้เคียงมันก็จะลงตัวของพลังงานนั้นไปสู่คำตอบสุดท้าย สรุปแล้วเป็นอุปาทานทั้งนั้น แต่มันเป็นรายละเอียดที่ไม่รู้กัน แม้แต่อาตมารู้ก็ยังอธิบายไม่ได้ง่ายๆ พอเข้าใจกันใช่ไหม

ถ้าหากผีถ้วยแก้วมีจริงก็เลี้ยงมันเลย ให้นายกประยุทธใช้ หากอะไรไม่เข้าใจก็ใช้ผีถ้วยแก้วตัดสินถามผีถ้วยแก้วตอบมาว่า ใช่หรือไม่ใช่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ไอน์สไตน์) ตอน พลังความรักพลังพระสยามเทวาธิราช

_คุณแก่งธรรม...พลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือพลังงานของความรักผมก็เลยมีความคิดว่า พลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่กล่าวนี้ไอน์สไตน์ บอกว่าเป็นพลังงานความรักความเมตตาของมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ในโลกนี้ ที่ยังไม่ได้ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อันนี้ไม่ทราบว่าจะถูกต้องหรือไม่

พ่อครูว่า...ถูกต้อง หากตายแล้วร่างกายสลายแล้วจะออกฤทธิ์เดชได้อย่างไร

คนที่ตายโดยเฉพาะพระอรหันต์ขึ้นไป ตายโดยแยกธาตุสูญไปหมดแล้วพลังงานที่จะออกไปมันไม่มีหรอก เพราะฉะนั้นอย่าไปฝันว่าพลังงานพระพุทธเจ้าจะยังอยู่ ไม่มีหรอก พลังงานอรหันต์ก็ไม่มีแล้ว ยิ่งเป็นพระพุทธเจ้าท่านวางสนิท เพราะท่านสลายไปหมดแล้ว ท่านเป็นผู้สลายเองตัวท่านเองยังไม่มีเลยคนอื่นจะได้อย่างไร ตัวเจ้าของเองยังสลายไปหมดแล้วคนอื่นจะเอามาจากไหน มันไม่มี คุณเองปั้นเองสร้างเองเอามาเอง

พูดถึงประเด็นของไอน์สไตน์ พลังงานความรัก Bomb of love ไอน์สไตน์พูด ไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์ที่ยังไม่ชัดเจนในนามธรรม แต่รู้มีปัญญา สัมมาทิฏฐิ พลังงานที่ลึกลับพวกนี้ ไอน์สไตน์ยังรวมไม่ได้

ไอน์สไตน์นี้ศรัทธาเรื่องจินตนาการ เรื่องจินตนาการเป็นเรื่องไม่มีจริง แต่ไอน์สไตน์เชื่อ ที่ไอน์สไตน์เชื่อจินตนาการคือเชื่อภูมิของตนที่เอามาใช้ได้เท่านั้นเอง แต่ไอน์สไตน์เอาชื่อนั้นใส่สภาวะที่มี ความจริงก็คือสัญญาของไอน์สไตน์ ไม่ใช่จินตนาการ จินตนาการเป็น Dynamic สัญญาเป็น Static

ไอน์สไตน์ เจอ Static ของตัวเองเอามาใช้ นึกว่าเป็นจินตนาการ แท้จริงแล้วเป็นสัญญา ไอน์สไตน์ยังสับสนอยู่

_คุณแก่งธรรมว่า...นัยเดียวกับที่ว่า เมืองไทยเรามีพระสยามเทวาธิราช

พ่อครูว่า...มันไม่มีจริงแต่มันมีจริง พระสยามเทวาธิราชมีจริง แต่ไม่มีอย่างเป็นรูปร่างตัวตนแต่เป็นพลังงานของทุกคนเป็นห่วง ของคนไทยประเทศไทยเป็นพลังงานที่ดีที่สุด ที่ทำงานอยู่แต่ไม่ใช่ของใครเลย

_คุณแก่งธรรม...หากคนที่ยังไม่เข้าสู่โลกุตระเป็นโลกียะแต่ก็มีพลังงานปรารถนาดีมีความรักเหมือนไอน์สไตน์ได้ไหม เขาก็อยากให้โลกนี้ดี พลังงานเหล่านั้นออกผลหรือไม่

พ่อครูว่า...เขามารักษาอาตมาพลังงานโยเร โดยพลังงานจักรวาล จะมาก็อธิบายให้เขาว่าคนรักษาคนอื่นที่มีอุปาทานร่วมกันนั้นได้ผล อุปาทานร่วมกันตอบรับจึงเกิดผลนั้นได้ ไม่ใช่ไม่มีผล แต่คุณมาทำกับอาตมา อาตมาไม่ใช้อุปาทานพวกนี้เลย คุณรักษาอาตมาไม่ได้ผลหรอก เราก็ให้ความรู้เขา คนที่รักษาอาตมานี้ ก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะฟังอาตมาเข้าใจหรือเชื่อถือไหม หรือจะเกิดความไม่ชอบใจว่าไปดูถูกพลังงานเขา อาตมาก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เขาหยุดไป เขาไม่มารักษาอาตมาแล้ว หรือเขาจะยังไม่หยุดก็ไม่ทราบ เขาเคยมาที่บ้านราชฯมาเป็นคณะด้วย อันนี้เป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง

ถ้าอาตมาเองจะใช้อุปาทาน ให้เขารักษาหายอาตมาก็จะหาย แต่อาตมาจะทำให้เขาโง่ต่อ อาตมาก็ไม่ทำ อาตมาให้เขาโง่ต่อแล้วอาตมาจะหาย อาตมาก็ว่า อย่าให้เขาโง่ต่อไปเลย แล้วไม่โง่คนเดียวจะโง่เป็นคณะจะมีความยึดมั่นถือมั่น มันก็ยากมากเลย คนที่มีอุปาทานรับส่งกัน จะมี Action Reaction

คนที่ไม่มี Action Reaction มีทิศเดียว พลังงานจะเป็น Nuclear Fission ไม่มีกลับมาเลย ไม่มีบูมเมอแรงแม้แต่ 0.0001 องศา มันก็ไม่มี มันจะตรงหายไป ไม่มีอะไรโค้งกลับมาเลย คนที่มีพลังงานสูญจริง จะไม่มีอุปาทาน อุปาทานเกิดจากการโค้ง วนกลับมาอีกจนได้แม้จะองศาน้อยมาก กว่าจะโค้งกับมาก็เป็นล้านปี คุณไม่รู้หรอกเป็นล้านปี คุณก็เกิดตายไปอีกกี่ชาติ มีวิบากอะไรต่อเนื่องไปแล้ว เป็นเรื่องอจินไตยที่ยากที่จะทำความเข้าใจ

สรุปแล้ว การศึกษาคำว่าอุปาทานให้ดี อุปาทานเป็น Static ของตัณหาที่เป็น Dynamic คู่กันไป ก็ต้องแก้ที่อุปาทานหรือตัณหาก็ได้ สุดท้ายก็สรุปที่ตัณหาอุปทาน ตัณหามี 3 อุปาทานมี 4 อุปาทานไม่จบ แต่ตัณหามีจบที่วิภวตัณหา หมดภพหมดกามแล้ว สุดท้ายสลายพลังงานสามนี้ได้ สลายเป็น1 ก็ไม่ทุกข์ สลายเป็น 0 ทุกอย่างก็หมดสิ้นเกลี้ยงไม่มีอะไรทำงานต่อ ไม่ว่าจะเป็นอุตุธาตุ หรือพีชธาตุหรือจิตธาตุ สูญหมด

นี่มีพวกเราพูดธรรมนิยาม 5 เข้าใจที่อื่นไม่เข้าใจหรอกเพราะธรรมะนิยามในพระไตรปิฎกฉบับนี้ไม่มี มีอยู่ในพระไตรปิฎกของอรรถกถาจารย์ ของมหายานอาจมี แต่ของเถรวาทอยู่ไหนของพระพุทธโฆษาจารย์วิสุทธิมรรค

สู่แดนธรรมว่า...ในพระไตรปิฎกมีแต่ธรรมนิยามอย่างเดียว

พ่อครูว่า...อาตมาสัมผัสแล้วสุดยอดเลย ไม่มีใครแยกแยะยังไม่ได้หรอก คนธรรมดาไม่มีใครคิดได้อาตมาคิดเองก็ไม่ได้ หากไม่มีพื้นความรู้ของพระพุทธเจ้าจะไม่รู้อันนี้ และอาตมาก็ชัดเจนของอาตมา ไม่ได้คิดเองรู้เองอันนี้เป็นของพระพุทธเจ้า

คนจะรู้อันนี้ได้ไม่ถึงขั้นพระพุทธเจ้าไม่มีทางบัญญัติอันนี้ขึ้นมาได้

 

_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน..นิยาม 5 นี้ตอนต้น ฟังแล้วเฉยๆ แต่พอไปสัมผัสดินหินบางทีเรามีชอบชัง เราก็จะมองว่ามันแค่อุตุ เราหลงอุตุ อุตุสวยไม่สวยก็แค่อุตุ พอเจาะลงไปบ่อยๆ เห็นอาหารเป็นพีชะ กลายเป็นอุตุ ทำบ่อยๆ รู้สึกว่า นิยาม 5 ทำให้เราชัดเจนในอริยสัจวิปัสสนาได้เข้าถึงของจริง นั่งบนเสื่อนั่งบนอุตุ ไม่ใช่สวยหรือไม่สวยมันก็เป็นของมันตามธรรมชาติ นิยาม 5 นี้ตอนแรก เราก็เหมือนฟังแล้วไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อเอาไปวิจัยกับเรื่องเราสัมผัสและอ่านความรู้สึก มันจะเจาะได้เร็วและชัด กับสวนกับอะไร บางทีเราก็คิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง มันก็เป็นพีชะ ที่เราไปปรุงแต่งร่วม นิยาม 5 ทำให้เราเข้าถึง จิต เจตสิก รูป นิพพานเร็ว

 

_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...วันนี้อยากจะไปร่วมกับอ.หญิง แต่โชเฟอร์ขับมาไม่ทัน..พูดถึงหนังสือเล่มไหน เจอที่สขจ.ก็จะเก็บ หากดีๆ แต่สรุปหนังสือของพ่อท่าน รู้สึกว่าตนเองได้ประโยชน์กับคอลัมน์ในหนังสือเราคิดอะไรของพ่อท่าน เราก็จะอ่านหนังสือของพ่อท่าน ทางเอกก็มี เราเก็บไว้ในตู้ แต่เราเห็นใจของเราว่าจะอ่าน คอลัมน์ 2 คอลัมน์ของพ่อท่านในหนังสือเราคิดอะไร อ่านซ้ำไปซ้ำมาด้วย เดี๋ยวนี้อ่านหนังสือคนคืออะไร ก็ไม่เหมือนกับอ่านหนังสือเราคิดอะไร

บางคอลัมน์อ่านหลายรอบมาก เราก็จะเก็บไว้ เราไม่อ่านอย่างอื่นมาก แต่มันตื่นรู้นะ ไม่ได้แคบเหมือนแคบนะ จะว่ามีภพก็ไม่ใช่ แต่มีรสมีพลัง ไม่เบื่อนะ อ่านเมื่อไหร่ก็ไม่เบื่อ ได้มาก็อ่าน ตอนนี้ได้ข่าวว่าจะมีการรวมเล่มก็ดีใจที่ไม่ต้องพกหลายเล่ม แม้พ่อท่านจากไปดิฉันก็จะตามตำราเหล่านี้

เมื่อก่อนดิฉันก็ชอบอ่านคนคืออะไร? ตอนนี้พอมีเรื่องนี้แล้ว คนคืออะไรก็ไม่ค่อยอ่าน อ่านเพื่อเรียนรู้จะเปลี่ยนแปลงตัวเองมันก็มีอะไรแปลกใหม่ในนั้น มีแปลกใหม่ตลอด พออ่านใหม่ก็แปลกใหม่อีก เพราะว่าอารมณ์เราก็เปลี่ยนแปลงไป

พ่อครูว่า...ในความหมายของสัจธรรมมันซับซ้อนหลาย เรื่องใช้ภาษาว่าหมุนรอบเชิงซ้อน ภาษาบาลีก็มี 2 คำ หมุนรอบเชิงซ้อนคือ คัมภีราวภาโส คือแสงที่ไม่ใช่นิ่งแต่สับสนไม่รู้กี่ชั้น แต่กับคำว่าปฏินิสสัคคะ สัคคะคือสวรรค์ นิคือไม่ แล้ว ความไม่มีสวรรค์นี่มันซับซ้อน ปฏิคือ Action Reaction กลับไปกลับมา ไม่รู้กี่ชั้น

เข้าสู่สิ่งที่ดีที่สูงที่เจริญ สวรรค์ไม่มีแต่ก็ต้องมีสวรรค์ให้ศึกษา ปฏินิสสัคคะ กับปฏินิสสรณะ ปฏินี่มีอีกหลายคำ ปฏิคือธรรมะสอง จะเกิดปฏิกิริยาตลอดเวลา ปฏิสังเวที มากมาย เปิดพจนานุกรม ปฏินี้มีมากไม่จบง่ายๆ

เราศึกษาอะไรต่ออะไรไปพวกนี้ อาตมาว่าพวกเรา พูดไปแล้วอาตมาเห็นใจคนอื่นคนที่ไม่ศรัทธา เขาจะอาเจียนเป็นเลือด อะไรของมัน เขาไม่รู้เรื่องเลยที่เราพูดนี้ ถ้าคนที่เขาไม่ติดอาตมาเลย สัมผัสอาตมาแล้วเขาโยนทิ้งเลย คนนี้อีกนาน แต่หากเขาสัมผัสแล้วเกิดปฏิกิริยาไม่ชอบจะอย่างแรงก็ยังค่อยยังชั่ว คนนี้สักวันหนึ่งเธอคงคิดถึงฉัน แต่แล้ววันนั้นเธอต้องร้องไห้...เพลงนี้มีความหมายนะ ของป.ชื่นประโยชน์

 

อาตมาว่า สรุปแล้ว จะทำให้คนหมั่นไส้เพราะว่าชมตัวเอง อาตมาก็ว่าดีนะเกิดมาชาตินี้ยังมีพวกคุณ พวกคุณสามารถรับรู้รับสภาวะต่างๆ จนกระทั่งเอาไปปฏิบัติได้ตนเองเกิดผลจริงๆเอาชีวิตมาทิ้งอย่างนี้เลย เอาชีวิตมาทำอย่างนี้ ตายก็อาตมาเผาหรือพวกเราช่วยกันเผาก็จบ ไม่มีความคิดแยกอีกแล้วสัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้นไม่มีสอง ทั้งๆที่มันขัดแย้งกับโลกเขา ให้ต้องมาจนให้มามอซอ ทำงานขยันหมั่นเพียรเหน็ดเหนื่อย ดีไม่ดีทำงานมากคิดมากโดนด่าอีกสารพัดอะไรก็ไม่ได้ ยังมีแงบๆๆอีก ซึ่งมันย้อนแย้งมาทางสูญทั้งนั้นเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ฟังธรรมเป็นพยัญชนะให้บรรลุถึงสภาวะ

_สมณะมือมั่น...ผมอาจจะต่างจากหลายคน ผมฟังธรรมจากพ่อครูก็มามาก หนังสือก็มีเยอะ มีคนถามผมว่าผมประทับใจภิกษุสงฆ์สมัยพุทธกาลรูปไหน ผมจะประทับใจพระพาหิยะ มากเลย ฟังไม่กี่ประโยคก็บรรลุ แต่นี่เราฟังธรรมพ่อครูไม่รู้กี่กัณฑ์ อ่านก็หลายเล่มแต่บางทีกิเลสเราก็จัดการไม่ได้ ตัวผมเองพยายามบอกอยู่เสมอว่า เราน่าจะมีมโนมยิทธิมีอำนาจในกิเลสพยายามหาทางเพิ่มสัมประสิทธิ์ให้แก่ตัวเอง ถามว่าจะมีมโนมยิทธิอำนาจทางใจได้อย่างไร

พ่อครูว่า...ก็ต้องฝึกไปจะได้มีมโนมยิทธิอิทธิวิธี หากอธิบายแบบเจโตเทวนิยมมีฤทธิ์เดชอำนาจ ต้องการให้เป็นอย่างไรก็ใช้พลังงานนี้ไปทำให้เกิดหรือให้ดับ สุดท้ายก็มีฤทธิ์ทำให้เกิดให้ดับได้ก็เท่านั้นเอง แต่เขาอธิบายไม่ได้ พลังทางเจโตอธิบายไม่ได้สายศรัทธา มันก็ต้องมาทำความรู้พิสูจน์ไปทีละเรื่องทีละอย่าง สะสมจนกระทั่งมันมีข้อมูลมีหลักฐานมีอะไรบ้าง จนพยากรณ์ไป ทำให้ชัดเจนเชื่อมั่นทำให้บรรลุ โดยมันมีภาษาที่อธิบายพลังงานโดยละเอียดลึกซึ้ง เราก็จำนนว่ามันจริงแต่ภาษาพยัญชนะจะมาเรียกมันไม่มีแล้ว จนกว่าเราจะศึกษาต่อไปอีกว่ามีพยัญชนะที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตั้งไว้ ซึ่งมีเยอะ อย่างผมก็รู้ว่ามีพยัญชนะของพุทธเจ้าอีกเยอะที่อธิบายยังไม่ไหว

ปัญญาหรือความฉลาด ของพระพุทธเจ้าอธิบายแยกแยะความฉลาดหมายถึง 67 อย่าง ของพระพุทธเจ้าอีก 6 อย่างก็รวมเป็น 73

เอามาใช้จริงๆนี่ 10 กว่า 20 เท่านั้นเอง ในมาติกา อาตมาก็รู้หลายสิบอย่าง เช่นโสฬสญาณ 16 นี้รู้หมดก็มากกว่า หลายสิบอยู่ที่จะเอามาใช้แต่อีกหลายอย่างก็อธิบายไม่ได้

ศึกษาไปแล้วเราจะรู้ว่า แล้วเราจะเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง เพราะว่าถ้าไม่มีคนจริงๆมาคิดจะเอามาจากตำราไหน จะไปบอกว่าตำราคนนั้นคนนี้ไม่ได้ คนไหนจะไปเขียนลึกซึ้งดิ่งไปหาสูญอย่างนี้ไม่ได้ เป็นความรู้เฉพาะตน ถ้าไม่ใช่ขนาดพระพุทธเจ้าจริง อาตมาเป็นโพธิสัตว์ขนาดนี้ คุณยังคิดว่าทำไมไม่ได้ อาตมาลึกซึ้งกว่า คุณก็ยังยอมจำนน ถ้าเป็นของพระพุทธเจ้าอาตมาก็จำนนท่านเหมือนกันและมันจะเท่าไหร่ เพราะว่ามันมาปลอมไม่ได้ ใครจะมานั่งปลอมได้อย่างไร ต้องมีภูมิธรรมที่เราขึ้นถึง พุทธวิสัย ที่อาตมาอธิบายเป็นอจินไตยระดับ ฌานวิสัยเสียมาก ฌานต้องมีปัญญาอยู่คู่กัน ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น

คำว่าฌาน ก็เข้าใจกันไม่ได้ ฌาน คือพลังงานเผากิเลส แต่มันต้องมีพลังงานปัญญาด้วย ไม่ใช่พลังงานเจโต อาตมาก็สรุปที่ตัวเองว่า

ตอนแรก อาตมาก็สงสัยว่า เราเป็นคนนั้นคนนี้จริงหรือเราทำไมเก่งอย่างนี้ มันก็งงตัวเองเหมือนกันบางครั้ง แล้วคุณว่าอาตมาเก่งไหม ...เก่ง...อาตมาก็ยอมรับว่าเก่งจริงๆ

อาตมาก็พยายามวินิจฉัยตัวเองว่าหลอกไหมโกหกไหม แอบแฝง เลียบเคียงและเล็ม มีอะไรที่แฝง เชื่อว่าตัวเองเก่งดียอด อาตมาไม่ได้คิดว่า ตัวเองเก่งตัวเองดีอะไรเลย มีข้อบกพร่องด้วยที่อาตมาก็พูดบ่อย อาตมาต้องแก้ไขอันนั้น ส่วนที่ดีจะไปสงสัยทำไม ส่วนที่เก่งที่ดีจะมีจริง ช่างศีรษะมันเถอะ มันก็อยู่ในอาตมานี่แหละเอามาใช้ได้ก็ใช้ มันมีตัวจริงจะใช้แล้วไม่ไปวุ่นวาย แต่ที่ยังไม่ดีนี่สิ ที่ยังไม่เก่งไม่สมบูรณ์แบบต้องทำตรงนี้ให้สมบูรณ์ไป สมบูรณ์จริงจนกระทั่งปล่อยได้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)อาตมาก็ปล่อยเลย

แม้แต่พยัญชนะว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ยังมีอีกอันนึงก็คือนัตถิอุปมา ไม่มีอะไรจะยกมาเปรียบเทียบได้ เลิกเปรียบเทียบ เต็มแล้วพอแล้ว เต็ม 6 แล้ว ตัว 7 นี้ครอบรู้ 6 ตัวแรกเลย ตัว 7 เป็นตัวสมบูรณ์แบบที่พอแล้ว อาตมาก็ใช้อย่างนี้ตลอดเวลา จนกระทั่งพิสูจน์ตัวเองแล้วจะพิสูจน์ไปอีก

แล้วที่ว่าเราหลงตัวเอง อาตมาก็ยืนยันว่าไม่หลงตัวเอง ใครจะเหยียดหยามอาตมาไม่มีปัญหา ยิ่งกว่าขี้เละๆ เหยียดหยามเราหนักเขาไม่เอาเลยนะ อาตมานี่เขาว่าใช้ไม่ได้ อาตมาเห็นใจเขานะ พูดจริงๆแล้วจะมาสงสารเขา ไม่รู้จะทำอย่างไรบังคับเขาก็ไม่ได้เขาไม่ศรัทธาเลื่อมใส ก็ให้เขาพัฒนาตัวเองขึ้นมา เพราะเราเองก็ผ่านสภาพนั้นมา เราจะไปโง่อย่างนั้นอีกนานไปทำไม เราต้องรออีกนานกว่าจะมาศรัทธาพระพุทธเจ้าอย่างนี้ เราโง่มานานอีกหน่อยก็ไม่ได้ศรัทธาพระพุทธเจ้า ก็โง่ดักดาน อาตมาก็ว่าอาตมาระลึกได้ว่าไม่ได้ศรัทธาพระพุทธเจ้าอย่างได้ง่ายๆ ไม่ใช่เหมือนพระเทวทัตแข่งดีแข่งเด่น จนเราศรัทธาแล้วตามท่าน

พยัญชนะสิ่งที่ท่านแสดงออกมา พระสมณโคดมท่านไม่ได้เก็บหรือบันทึกอะไรไว้เลยนะ พระสมณโคดมองค์นี้ พูดจริงๆ ถ้าจะให้อาตมาติ ท่านก็ไม่เก็บไว้ให้คนอื่นเลยกระจัดกระจายไปหมด มีพระอานนท์เก็บไว้หรือคนอื่นเก็บไว้ แต่ถ้าบอกว่าพระอานนท์เก็บ ก็เก็บ พระสารีบุตรก็แอบเก็บไว้ ไม่ต้องห่วงหรอกสิ่งที่ดีๆเขาไม่ปล่อยให้สูญหายไปง่ายๆหรอก หากยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ต้องเอามาต่อเชื้อไว้ สุดท้ายมันก็หมดยุค สุดท้ายมันมีหนึ่งเดียวกัน ของพระพุทธเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอาจจะใช้ภาษาต่างกัน พระพุทธเจ้าองค์นี้อาจไม่ได้ใช้รากฐานภาษาบาลีเลย อาจจะใช้ภาษาอื่นก็มี แต่อาตมาไม่สามารถจะระลึกได้อันนี้ ตอบไม่ได้ อาตมาอยู่ในสายบาลีนี้เท่านั้น

แม้แต่อาตมาจะให้บอกว่าบาลีกับสันสกฤตอันไหนเกิดก่อน บาลีนั้นเกิดก่อน แต่คนเชื่อถือสันสกฤตเพราะว่าสันสกฤตนั้นเหนือกว่าบาลี ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่เพิ่มเติมแยกออกมาขยายอีกได้ แต่บาลีไม่สามารถแยกขยายได้อีกแล้ว แต่ใครเกิดก่อน บาลีเกิดก่อน บาลีเป็นหลัก

ภาษาสันสกฤตเกิดที่หลังเพราะว่ามันมีพยัญชนะมากกว่า 2 มันสู้หนึ่งไม่ได้ หนึ่งมันก็สู้ 0 ไม่ได้สุดท้ายมันก็มีมาก ดี ขยายให้คนรู้ได้ใช้งาน แต่จุดสูงสุดก็คือ 0

เราต้องดูที่จบ มีกับไม่มี โลกนิโรธกับโลกสมุทัย จะชัดเจน

สรุป...รายการสำมะปี๋นี่ก็เบาแต่ก็ลึกนะ นี่ก็คือซับซ้อน พวกเราก็จะชัดเจนว่าอย่างนี้ดี สมาชิกก็น่าจะเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น เอาล่ะ สำหรับวันนี้ สมควรแก่เวลาเอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:25:13 )

610817

รายละเอียด

610817 สิริมหามายาคือความเกิดความดับที่สมบูรณ์แบบ

_คุณหายโง่ หากคำว่ามโนมยะ แปลว่าสำเร็จด้วยใจ คำว่าอิทธิวิธีแปลว่าสำเร็จด้วยใจ ดังนั้นคำว่า มยะ แปลว่าสำเร็จ คำว่า มยะ เกี่ยวข้องกับคำว่ามายา ดังนั้นคำว่า สิริมหามายา จะแปลว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เป็นศีล เป็นความดียิ่ง นั่นหมายถึงความเป็นผู้สำเร็จ กู้ ความเกิดความดับที่สมบูรณ์แบบ และทำความเกิดความดับสมบูรณ์ได้ ทำให้เกิดได้สำเร็จทำให้ดับก็สำเร็จ ได้ไหมคะ

พ่อครูว่า...ได้ ถูกต้อง

คำว่า มยะ มาจากมายา ที่จริง มายา ไปจาก มยะ

มยะ ก็คือ ะ ส่วน มายา า มยะต้องเกิดก่อนมายา

มยะ คือ ต้องรู้จัก มะ กับ ยะ

มะ นี่คือจิต ยะ คือพลังงาน ยะ คือเศษวรรตัวแรง ย ร ล ว ส ห ล อํ

ม คือ ตัวท้ายของวรรค อีกตัวหนึ่งตัวต้นของเศษวรรค

ซึ่งหมายถึง หัว กับท้าย หมายถึงหัวใหญ่กับปลายเล็กสุดเลย เอามาใช้ร่วมกัน คือ บริบูรณ์ทั้งหมดด้วยพยัญชนะ นอกนั้นก็มีสระมาร่วมขยายออกไปเรื่อยๆ อะ อา อิ อี อุ อู ซึ่งจะเป็นการเสริม พวกสระ เป็นตัวพยายามเพิ่มเติมความก้าวหน้าไปเรื่อยๆ

ไม่เช่นนั้น ถ้าเป๊ะๆเลยพยัญชนะ มันกลับไปกลับมาจึงต้องใช้ด้วยไม่เช่นนั้นพยัญชนะจะมีเยอะมากถ้าใช้แบบ เป๊ะๆเลย มันจะมีนับไม่ถ้วนไม่ไหวแน่

ที่จริง มายา นี้ มยะ นี้ก็สำเร็จ เป็นความลงตัว มายาเป็นความเพิ่ม มายาเป็นความเพิ่มเชิงหลอกลวง เชิงไม่ดี แต่ความเพิ่มในการเพิ่ม ซ้อนลงไป การเพิ่มคือการเกิด การเกิดนี้ศาสนาพุทธจุดสำคัญเกิดหรือตาย ...ตาย ใช่ไหม มันกลับย้อนแย้ง

การเกิดนี้ถือว่าไม่ค่อยดี จึงเรียกว่ามายา มันมีเชิงการเกิดมันไม่ดี เพราะจุดสูงสุดของศาสนาพุทธคือดับสนิทมากเลยแยกธาตุปรินิพพานเป็นปริโยสาน นี่คือจุดสุดยอดของศาสนาพุทธ ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่านิรันดร

มี 2 อย่างในโลกคือนิรันดรกับสูญ

อเทวะคือไม่เป็นสองแล้ว ย่นย่อจากมากมายแล้วคือ 2 แม้ 2 ก็แยกเป็นหนึ่งได้กับ 0 ได้ นี่คือความสำเร็จของศาสนาพุทธ ถ้าเป็นหนึ่งก็คือยังเกิดอยู่ ถ้า 0 แล้วก็ไม่เกิดอีก ไม่มีคำพูด นัตถิอุปมา

อธิบายขั้น 1 ก็ไม่มีทุกข์ ไม่มีการเป็น 2 ไม่มีการกระทบกระทั่งอีกแล้ว หนึ่งไม่กระทบกับอะไรอีกแล้ว จะดิ้นอย่างไรก็ดิ้นคนเดียว ฉิ่งมีสองชิ้นใช่ไหม วืดๆๆ ดังไหมล่ะ ต้องกระทบต้องตีในอวกาศ ในที่ๆไม่มีอากาศ อวกาศที่ว่าง ถึงจะวืดๆ ถ้าตีในอากาศก็ดังวืดๆ

สมณะฟ้าไทว่า...1. อยู่ในสุญญตาก็เกิด 1. มีการกระทบก็เกิด

พ่อครูว่า..มีรายละเอียดซ้อนไปว่าอยู่ในความซ้อน Space and Time

 

 

คัดลอกการถอดข้อความของท่าน สมณะแสนดิน


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:26:14 )

610817

รายละเอียด

610817_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ  อิสระ อัตตา นิรันดร คือธรรมะสองของศาสนา

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1dR3-dJEQc6HIRli7lgN3hfo5OIumxAjfKD9HBu6_aAg/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1z3jZaajDh7qMyVGSQ8NBf-7CsZ0lCNTP

สมณะฟ้าไทว่า....วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก วันนี้เราจะยังรักษานโยบายรักษาอายุของพ่อครูให้ยืนยาว 151 ปีโดยแบ่งการเทศนาเป็น 3 ช่วง จะช่วยผ่อนการใช้เสียงพ่อครูไม่ให้พูดยาวนาน หมอก็เห็นควรอย่างนั้น

ทุกวันนี้ พ่อครูก็อยากให้เรา ทำเกษตรอินทรีย์มากเพิ่มขึ้น อาตมาได้ไปที่จังหวัดอำนาจเจริญ ให้กลุ่มคนทำเกษตรอินทรีย์มีความเข้มแข็งขึ้น มีศิษย์เก่าที่จะร่วมทำเพิ่มขึ้นอีก ในการทำเกษตรอินทรีย์ วันนี้ก็มีกลุ่ม earth safe ของคุณไก่มาร่วมด้วย ทำให้เด็กๆที่ทำมีช่องทางนำไปกระจายขายได้ ให้ผู้บริโภคได้บริโภค

ทุกวันนี้พืชผักที่จะบริโภคเองที่บ้านมีแล้ว อย่างมะกอกนี้ ชาวอีสานมีเยอะมากแต่ก็ทิ้งขว้างกัน ไม่ว่าจะเป็นกล้วยหรือมะขาม เป็นของที่คนต้องการบริโภคเพราะเป็นของ ไร้สารพิษ

คนที่มาดูงานที่บ้านศิษย์เก่าคือบ้านของ คุณแตน คนมาดูงานเขาบอกว่า เขาต้องการกินอาหารในสวนเท่านั้นไม่ต้องการของข้างนอก เพราะคนทุกวันนี้ป่วยกันมากมาย นโยบายของพ่อครูที่บอกถึงสามอาชีพกู้ชาติ กำลังจะขึ้นมาเป็นจริง ผักอินทรีย์ที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าจะเป็นที่ต้องการแก่คน คนที่ทำนั้นจะต้องเป็นคนที่มีศีลถึงจะไปรอด ก็มีคุณธรรมอย่างที่พวกเราเป็นในทุกวันนี้ จึงจะไปรอดและเชื่อถือได้ ไม่อย่างนั้นเชื่อถือไม่ได้เป็นการหลอกลวงประชาชน คนจะมานิยมมากขึ้นต้องมีคุณธรรมมากขึ้น ยิ่งจะต้องขายถูกมากขึ้นเป็นนโยบายที่ดีมาก ถ้าคนนิยมมากขึ้นขายแพงคนก็จะต้องซื้อของแพงก็จะไปไม่รอด แม้แต่ข้าวอินทรีย์ยิ่งขายยิ่งให้ถูกลงถึงจะดี

คณะกรรมการชุมชนปฐมอโศก ไปขอคำแนะนำจากพ่อครู พ่อครูว่า ทำอย่างไรเราจะจนลงอีก ไม่ใช่รวยขึ้น จนลงเพื่อจะช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น เรายิ่งขยันยิ่งทำให้แก่ผู้อื่นมากขึ้นและยิ่งจะจนลงมากขึ้น สุดท้ายเป็นผู้ที่ยอดขยันที่มีแต่ให้ ไม่เอามาให้แก่ตัวเองเลย ในวรรณะ 9 ข้อที่ 9 คือระดมความเพียร

เป็นผู้ที่มีแต่การให้การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่มีอัตตาตัวตน ความเป็นประชาธิปไตยนั้นต้องมีอิสระเสรีภาพมีความไม่มีตัวตน เป็นอเทวนิยม สลายสองให้เป็นหนึ่งได้และทำให้เป็น 0 ได้ กลับไปกลับมาได้ เป็นสิริมหามายาทำให้เกิดก็ได้ตายก็ได้ มีอิสรเสรีไม่ผูกพันไม่พัวพันไปทำงานอื่นต่อ

 

พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็ขอ โอภาปราศรัย กับ sms

SMS 16 สิงหาคม 2561 (สำมะปี๋ ซีวิต)

 

_พรชัย จันทรศร · เลื่อมใสวิธีการอธิบายแง่มุมธรรมะของสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน บรรยายสวาวะได้ดูเป็นธรรมชาติน่าสนใจฟัง สาธุ

 

_สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · กราบพ่อครู เป็นชาวกระบี่ค่ะ ในฐานะเป็นญาติธรรมแห่งชาวอโศกคนหนึ่ง ไม่เข้าใจคำว่า " สำมะปี๋ชีวิต "อยากให้พ่อครู อธิบายให้ทราบด้วยค่ะ

พ่อครูว่า...สำมะปี๋ คือทุกอย่างรวมทั้งหมดเลยอะไรต่างๆนานาปนกันไปหมด ชีวิตของคนเรา ซี่วิต คือชีวิต ชีวิตคนเรานี้คนที่ไม่ได้เรียนรู้ธรรมะ ก็ปนกันเละไปหมด จับอะไรไม่ติดแยกอะไรไม่ได้ ก็ทุกข์ ไม่มีวันจบสิ้นได้ก็ต้องมาเรียนรู้ เรียบเรียงธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมะ 2 อย่าคิดว่ามันจะช้ามันไม่ช้าเลย เรียบเรียงทีละ 2 นึกว่ามันเมื่อไหร่จะหมดแต่ก็หมด ทำให้สองจนเป็นหนึ่งและทำให้เป็นศูนย์ได้ ทำซ้อนไปอีก เป็นสภาพรู้หมุนรอบเชิงซ้อนซับซ้อนไป เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ เป็นเรื่องเหลือเชื่อ

ตกลงสำมะปี๋ คือเรื่องที่ปนกันเละเลย ไม่เป็นระบบระเบียบไม่เป็นส่ำ อธิบายไม่ออก บอกไม่ถูก อะไรก็รู้แต่จัดการไม่ได้สักอย่าง สำมะปี๋ ซีวิต เราก็มาเรียบเรียง สำมะปี๋ ให้สำเร็จเป็นระบบให้เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ทำอย่างไรหากกลัวตายก่อนได้มาอยู่อโศก

_บุญเลียบ · ลูกก็มีความกลัวว่าจะตายก่อนที่จะได้ไปอยู่บวรราชธานีค่ะ

พ่อครูว่า...ก็รีบมาสิ กลัวตายก่อน มันจะช้าอะไรนักหนา ศีล 5 ไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์เท่านั้นแหละ หลักเกณฑ์ขั้นต่ำของที่นี่ บวร ที่ไหนก็แล้วแต่ ศีล 5 ไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ แม้ว่าพอไหว ละเมิดบ้างเล็กๆน้อยๆก็มาได้ เพราะที่นี่มีพลังงานควบแน่นจะช่วยกัน คุณอยู่คนเดียวนั้นยากไม่มีตัวช่วย ไม่มีพลังงานรอบตัว จะมีพลังงานช่วยควบแน่นสู่แกนกลาง เราอยู่ข้างนอกก็เละไปหมด แต่ในนี้ มีสนามแม่เหล็กที่ถูกต้องไม่กบฏ เราก็ถูกกระแสสนามแม่เหล็กจับเข้าสู่ระบบ คุณมาในสนามแม่เหล็กจะถูกสนามแม่เหล็กจัดไปในทิศทางนั้น เขาไม่ปล่อยให้คุณมา ขวางรีขวางลำหรอก

 

_ดาวตะวัน · ได้ประโยชน์จากคำถามของพี่หนึ่งฟ้ามากค่ะ

 

_ยิ่ง ช่างศิลป์...

พระที่ถูกขับออกจากวัดสายปฎิบัติ สาเหตุเพราะปฎิบัติตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรง สอนใว้คือ พระธรรมวินัย ไม่ได้ ส่วนพระแนวนี้มีมากทางธิเบต เนปาล คือสายมหายาน ชึ่งยังติดอยู่ทางโลกไม่สอนให้ปฎิบัติหลุดพ้นจากกรรมผิดพระธรรมวินัยอยู่หลายอย่าง อยู่ในสมถะมากกว่าวิปัสนา

พระต่างชาติสายหลวงปู่ชาที่ไปปฎิบัติสายมหายานในต่างประเทศต่างๆ เมื่อเห็นแล้วว่าอยากปฎิบัติให้มากกว่านี้จึงต้องมาปฎิบัติทางสายเถรวาท ยึดถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก นิกายต่างๆนั้นสอนแตกต่างกันอย่างเช่นพระปานขาวก็เช่นกันอาจหลงทางได้ไม่แปลกที่ท่านถูกขับออกจากวัดหนองป่าพง ดั่งเช่นพระคึกฤทธิ์ที่ไม่ปฎิบัติถือศีลไม่ครบตามพระธรรมวินัย ถือแค่ 150 ข้อ พระต่างชาติที่เข้ามาพบก็เพราะทำอะไรที่ผิดพระธรรมวินัยเขาอยากปฎิบัติตามความคิดที่เขาว่าถูกแต่ ส่วนใหญ่เขาไม่ทำกัน

ดั่งเช่นตอนนี้ อโศกธานี ที่ จ.อุบลฯ จากที่ไปรู้จักและวนเวียนอยู่สังเกตุดูเละเทะมากๆ จนชาวบ้านบริเวรรอบๆเขาเอือมระอามากๆจนพาเข้าไปดูความไม่ถูกมั่วสุมผิดศีลมากมาย อย่างพูดว่าขุดดินจอบเสียมตัดต้นไม้เขาก็ไม่ทำนั่นเพราะเขาไม่ทราบพระวินัยสงฆ์ว่าทำแล้วจะเกิดกรรมอะไรขึ้น เมื่อผิดศีลเกิดกรรมไม่ดีทางที่จะปฎิบัติให้หลุดพ้นก็เป็นไปไม่ได้ ปิดทางไปนิพพานไปทางโลกมากกว่า เล่นสมถะดั่งในอดีตที่ศาสนาพรามณ์เคยทำมาก่อนพระพุทธเจ้าตั้งนาน แม้เล่นฤทธิ์เล่นฌานเก่ง เหอะหายตัว ต่างๆนาๆก็ยังไปเกิดเป็นสัตว์เดรฉานได้ตกนรกได้ยังหลุดพ้นไม่ได้ดั่งสายพุทธแท้ๆ

พ่อครูว่า...สมณะเราอย่างมากก็ไปขนช่วย ไม่ได้ไปขุดไม่ได้ไปตัดช่วย แต่เขาอาจไม่ละเอียด ปนๆกันไป ก็มอง ตัวเขาเองอาจจะเป็นฆราวาสที่เคร่งครัดไม่ทำแล้ว ไม่ขุดดินฟันหญ้า ไม่ทำกสิกรรมแล้ว อย่างนี้เป็นต้น ก็ว่ากันไปต่างคนต่างมองต่างคนต่างสังเกต ก็ดี พวกเรายังบกพร่องหากผิดดังที่เขาว่าก็แก้ไข

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน สิริมหามายาคือทำเกิดทำดับได้สมบูรณ์

_คุณหายโง่ หากคำว่ามโนมยะ แปลว่าสำเร็จด้วยใจ คำว่าอิทธิวิธีแปลว่าสำเร็จด้วยใจ ดังนั้นคำว่า มยะ แปลว่าสำเร็จ คำว่า มยะ เกี่ยวข้องกับคำว่ามายา ดังนั้นคำว่า สิริมหามายา จะแปลว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เป็นศีล เป็นความดียิ่ง นั่นหมายถึงความเป็นผู้สำเร็จ กู้ ความเกิดความดับที่สมบูรณ์แบบ และทำความเกิดความดับสมบูรณ์ได้ ทำให้เกิดได้สำเร็จทำให้ดับก็สำเร็จ ได้ไหมคะ

พ่อครูว่า...ได้ ถูกต้อง

คำว่า มยะ มาจากมายา ที่จริง มายา ไปจาก มยะ

มยะ ก็คือ ะ ส่วน มายา า มยะต้องเกิดก่อนมายา

มยะ คือ ต้องรู้จัก มะ กับ ยะ

มะ นี่คือจิต ยะ คือพลังงาน ยะ คือเศษวรรตัวแรง ย ร ล ว ส ห ล อํ

ม คือ ตัวท้ายของวรรค อีกตัวหนึ่งตัวต้นของเศษวรรค

ซึ่งหมายถึง หัว กับท้าย หมายถึงหัวใหญ่กับปลายเล็กสุดเลย เอามาใช้ร่วมกัน คือ บริบูรณ์ทั้งหมดด้วยพยัญชนะ นอกนั้นก็มีสระมาร่วมขยายออกไปเรื่อยๆ อะ อา อิ อี อุ อู ซึ่งจะเป็นการเสริม พวกสระ เป็นตัวพยายามเพิ่มเติมความก้าวหน้าไปเรื่อยๆ

ไม่เช่นนั้น ถ้าเป๊ะๆเลยพยัญชนะ มันกลับไปกลับมาจึงต้องใช้ด้วยไม่เช่นนั้นพยัญชนะจะมีเยอะมากถ้าใช้แบบ เป๊ะๆเลย มันจะมีนับไม่ถ้วนไม่ไหวแน่

ที่จริง มายา นี้ มยะ นี้ก็สำเร็จ เป็นความลงตัว มายาเป็นความเพิ่ม มายาเป็นความเพิ่มเชิงหลอกลวง เชิงไม่ดี แต่ความเพิ่มในการเพิ่ม ซ้อนลงไป การเพิ่มคือการเกิด การเกิดนี้ศาสนาพุทธจุดสำคัญเกิดหรือตาย ...ตาย ใช่ไหม มันกลับย้อนแย้ง

การเกิดนี้ถือว่าไม่ค่อยดี จึงเรียกว่ามายา มันมีเชิงการเกิดมันไม่ดี เพราะจุดสูงสุดของศาสนาพุทธคือดับสนิทมากเลยแยกธาตุปรินิพพานเป็นปริโยสาน นี่คือจุดสุดยอดของศาสนาพุทธ ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่านิรันดร

มี 2 อย่างในโลกคือนิรันดรกับสูญ

อเทวะคือไม่เป็นสองแล้ว ย่นย่อจากมากมายแล้วคือ 2 แม้ 2 ก็แยกเป็นหนึ่งได้กับ 0 ได้ นี่คือความสำเร็จของศาสนาพุทธ ถ้าเป็นหนึ่งก็คือยังเกิดอยู่ ถ้า 0 แล้วก็ไม่เกิดอีก ไม่มีคำพูด นัตถิอุปมา

อธิบายขั้น 1 ก็ไม่มีทุกข์ ไม่มีการเป็น 2 ไม่มีการกระทบกระทั่งอีกแล้ว หนึ่งไม่กระทบกับอะไรอีกแล้ว จะดิ้นอย่างไรก็ดิ้นคนเดียว ฉิ่งมีสองชิ้นใช่ไหม วืดๆๆ ดังไหมล่ะ ต้องกระทบต้องตีในอวกาศ ในที่ๆไม่มีอากาศ อวกาศที่ว่าง ถึงจะวืดๆ ถ้าตีในอากาศก็ดังวืดๆ

สมณะฟ้าไทว่า...1. อยู่ในสุญญตาก็เกิด 1. มีการกระทบก็เกิด

พ่อครูว่า..มีรายละเอียดซ้อนไปว่าอยู่ในความซ้อน Space and Time

 

_นักมายากล ใช้เทคนิคหลากหลายหลอกตาหลอกใจผู้ชมได้น่าทึ่ง เขาจึงเอาใช้คำว่ามายากล ทั้งที่มายารากศัพท์เดิมไม่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงแต่อย่างใด คำว่าสิริมหามายาจึงไม่เกี่ยวข้องกับความหลอกลวงได้เลย ตีความอย่างนี้ได้ไหม

พ่อครูว่า..คุณเข้าใจอาตมาเข้าใจก็ตีความได้คนไม่เข้าใจก็ยากหน่อย เพราะคำว่ามายาน้ำหนักของมันเป็นความลวง แต่คุณพยายามดึงว่ามายาเป็นความจริงไม่หลอก อาตมาก็เข้าใจอย่างคุณก็ได้อย่างโลกก็ได้ ทำ 2 ให้เป็นหนึ่งได้ ถ้าคุณจะเอาแต่หนึ่งของข้าอย่างเดียว ก็สัญญายนิจจานิ ยึดมั่นถือมั่นของคุณคนเดียว

 

_ดิฉันเข้าใจว่าสิริมหามายาคือปฏินิสสัคโคและสัจจานุโลมญาณใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...ใช่ ปฏินิสสัคโคคือมีก็ได้ไม่มีก็ได้ สัจจานุโลมญาณคือเราไม่มีแล้วอนุโลมไปกับเขาได้ เข้าใจสัจจะช่วยเขาแล้วก็จบ เมื่อจะทำงานก็เป็นหนึ่ง

 

_สภาวอรูป มีสภาพคล้ายอุทธัจจะที่พริ้วแผ่วบางเบาแล้วสงบลงดูรวดเร็วใช่หรือไม่ (พ่อครูเคยเปรียบเทียบเหมือนหม้อแบตเตอรี่ที่อ่อนแรงสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด)

พ่อครูว่า...ใช่

 

_ระยะหลังดิฉันรู้สึกว่าพ่อครูมีนิรุตติปฏิภาณปัญญาแสดงธรรมมากขึ้น ได้ดีขึ้นละเอียดลึกซึ้งมากขึ้นเข้าใจมากขึ้น แสดงว่าได้พัฒนาภูมิไปสู่โพธิสัตว์ระดับ 8 เพิ่มขึ้นใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า..คุณก็เจริญขึ้นมีปฏิภาณปัญญารับฟังมากขึ้น ไม่ใช่แค่อาตมา ดีขึ้นทั้งคู่ อาตมาอธิบายได้ดีขึ้นคุณก็ฟังได้ดีขึ้น หรืออาตมา อธิบายได้ดีเท่าเดิมแต่คุณก็ดีมากขึ้น หรือคุณเข้าใจเท่าเดิมแต่อาตมาทำให้คุณมีปัญญาเพิ่มขึ้นได้ 

ใช่แล้ว หากทำงานไปแล้ว ไม่มีการพัฒนาขึ้นไปก็มีชีวิตเสริมไปเรื่อยๆไม่เอา จะมีชีวิตที่เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน หากสงฆ์มีสาธารณโภคีก็ไม่ต้องใช้เงินได้

_ดิฉันเคยถามพระสงฆ์เถรสมาคม ท่านหนึ่งว่า สมเด็จพระสังฆราชตรัสว่า อยากให้พระลดการใช้เงินลง ท่านจะทำได้ไหมคะ

พ่อครูว่า...ไม่ตอบ

 

_แต่ท่านตอบว่า มันไม่ได้หรอกโยม คนเรามันมีบารมีไม่เท่ากัน ขนาดพระพุทธเจ้าเองก็เคยบำเพ็ญบารมีมาหลายชาติ กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ พระภิกษุรูปนั้นกล่าวให้เหตุผลดีกว่า วัดบางวัดไม่มีเงินทองมาก แม้จะจ่ายค่าน้ำค่าไฟก็ยังไม่มี อีกอย่างจะเดินไปไหนมาไหน ก็ต้องจ่ายค่ารถ เวลาเจ็บป่วยต้องมีค่ารักษาอีก ญาติโยมจะคอยติดตามก็ไม่ค่อยมี จะหาคนมาอยู่วัด ก็ยากมาก คำถามเรื่องนี้พ่อครูจะกล่าวแก้อย่างไร

พ่อครูว่า..ก็ไม่แก้ เขาทำได้เท่านี้ก็อยู่ที่กรรมวิบากของใคร ทำได้เท่านั้นก็เท่านั้นมันแข่งใครไม่ได้ แข่งบุญบารมีแข่งกันไม่ได้ คล้ายๆอย่างนั้นมันจริง มันได้แค่นั้นก็ต้องแค่นั้นบังคับกันไม่ได้ ทุกอย่างไม่เท่ากัน มันเป็นจริง

แม้แต่ปรมาณูสองปรมาณู มันก็ไม่เท่ากันแล้วแต่เรามองไม่เห็น แม้แต่ฝาแฝดที่เหมือนกันที่สุดมันก็ยังมีที่ต่างกัน คุณมองจากจุดที่มันมีความต่าง ในรูป ในอรูปของเขา ในมวลทั้งหมดหากเล็กก็มองยากแต่หยาบก็มองง่ายกว่า

 

วันนี้อาตมาคิดว่ายังไม่อยากพูดเข้าไปถึง ปรมัตถ์เท่าไหร่ อยากจะพูดถึงสังคมโดยรวมขณะนี้ในประเทศไทย

อาตมาโดยภูมิธรรมเห็นว่าประเทศไทยทุกวันนี้ก้าวหน้า กำลังมีภาวะการเดินพัฒนาไป การดำเนินไปได้อย่างดียิ่ง การเป็นการไป มันดีมากเลย ไม่ว่าทางด้านเศรษฐกิจไม่ว่าทางด้านการเมืองทางสังคม คนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆว่าเศรษฐกิจคืออะไร ที่ดีที่สุด ซึ่งเราก็ยืนยันว่าอย่างชาวอโศกนี้ดีที่สุดแล้วที่เท่าที่ทำได้ในโลก พูดนี้ไม่เกินความจริง เขาก็หาว่าเพ้อเจ้อหลงตัวเอง เศรษฐกิจที่พวกเราทำสำเร็จจนมีองค์รวมเป็นสาธารณโภคี ดีที่สุดแล้ว

พระพุทธเจ้าค้นพบและทำก่อนตั้งแต่ในวงของหมู่สงฆ์ สมัยพระพุทธเจ้าในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุคทาส ทาสจริงๆเลยนะ นายทาสสั่งฆ่าคนได้เหมือนสัตว์เลี้ยง มีสิทธิ์ทุกอย่าง

ชาวอโศกเราสามารถพิสูจน์เศรษฐกิจในระดับสาธารณโภคีได้จึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เมืองไทยมีในกลุ่มคนไทย ชาวอโศกสังคมหมู่กลุ่มอโศก จะมีกี่กลุ่มในประเทศไทยก็ตามก็ทำสาธารณโภคี สาธารณโภคีไม่ได้หมายความว่ามีจุดเดียว คือไม่รับอะไรตอบแทน 0 หมด ไม่ใช่ มีรับเล็กน้อย มากขึ้นๆ เชื่อมโยงกัน แต่มั่นใจว่าจะเดินทางไปสู่จุดศูนย์ ไม่มีตัวตนได้ เพราะฉะนั้นมั่นใจ แต่ละคนก็ยังมีกิเลสตามลำดับ ก็ต้องพัฒนาขึ้นมา แต่ความเชื่อมั่นนั้นมีจุดสูงสุด นี่คือ เครือแหของสาธารณโภคี

สาธารณโภคีไม่ได้หมายถึงจุดสุดยอดทีเดียวไม่ใช่ นั่งอยู่ตรงนี้มีใคร ห่อพกมาด้วยเท่าไหร่ อาตมาไม่อยากจะกล่าว ดร.ต้อม ให้ชื่อ ปรารถนาจน ก็ยังไม่ยอมรับ ยังไม่กล้า ก็จริงใจไม่มีปัญหาดี แต่ก็พยายามอยู่ ที่จริงก็ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอก ต้อมก็ดึงตัวเองออกมาเลย ยกให้เขาหมดเลย เขาจะแบ่งให้บ้างก็แล้วแต่ แต่จิตใจก็ยังไม่ถึงก็เลยต้องอยู่อย่างนั้นก่อน

 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…

สิกขมาตุรินฟ้า...

สมณะเดินดิน…

สมณะแสนดิน…

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน สามเส้าของศาสนาอเทวนิยม

พ่อครูอธิบายต่อ….จะอธิบายถึงสภาวะ สามเส้า

สามเส้าที่ว่า คือ อิสระ ความไม่มีตัวตน และ  นิรันดร

อิสระ มีสระ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ สระ

อิ ก็คือสระสามเส้า อะ อา อิ สามเส้า เพราะฉะนั้นอิสระคือสุดแล้ว ในสิ่งที่มี สามเส้าคือวงวน ถ้าสองไม่เกิดวงวน เป็นแค่ปฏิ คือทวน Action Reaction ไปๆมาๆ สองทิศไม่ได้ควบคุมทิศด้านอื่นมิตินี้ หากจะเอามิติเดียวก็สามแยก สี่แยกจะวนก็ได้แต่ยากกว่าสามแยก ยิ่งห้าแยก หกแยกยิ่งยากใหญ่ เพราะมันจะเยอะเกินไปจัดสรรยาก สามเหลี่ยมนี่แหละจัดสรรได้ง่ายที่สุด

สระก็มีสั้นกับยาว น้อยที่สุดก็ อะ อา ยาวขึ้นไปก็เป็น อิ อี ยาวไป อุอู สามคู่ อะอาอิอีอุอู ไทยมี อึอือ อีก ยังไม่มากกว่านั้นอีก ขยายถึงโลกจินตา มันไม่จบตามไม่ไหวหรอก โลกจินตา ก็เอาถึงขนาดหนึ่งรู้จบได้ ไม่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ คนนี้ยาวไม่จบ ก็วนไม่จบ ลากไป แล้วก็จำไม่ได้ว่าตัวเองวนแล้ว มันสุดท้ายมันจะเป็นอย่างนั้น มันจะไปเอา Nuclear Fission มาพูดไม่ได้หรอก เพราะมันไม่มีที่จบ คุณจะตามที่จบของ Nuclear Fission ไม่ได้ มันเกินได้เกินดี คุณจะเก่งแค่ไหน คุณจะเก่งเท่า Nuclear Fission มันวิ่งไปแล้วคุณทำมันได้อย่างไร มันไม่ได้ มันหายไปจนไม่มีอะไรจะไปตามรู้ได้ คุณก็จะต้องทำตัวไม่รู้นี่แหละ ถึงจะเล็กที่สุดถึงจะตามมันได้แล้วไม่รู้แล้วมันจะรู้ได้อย่างไร อุตุมันไม่รู้ พีชะก็รู้เพิ่มขึ้นได้ แล้ว จิตนิยามก็รู้ได้ในกรรมในธรรมะ กรรมเป็นDynamic ธรรมะเป็น Static ก็เรียนรู้ 2 อย่างนี้

สามเส้า อะ อา อิ สระเสียงสั้นสองตัว อะ กับ อิ

สระเสียงสั้นคือเอกพจน์ สระเสียงยาวคือพหูพจน์

มิติ มีสองกับสาม ให้เข้าใจได้ สระก็มีแค่นี้

อิ ก็สระ สระมี อะ อา อิ จบที่ อะ อา อิ คือ หนึ่งจุด จุดเล็กที่สุดก็คือจุดที่วน นิคหิต เล็กที่สุดคือยอดสุดยอดแห่ง สุญญาณู นี่ยอดกว่าปรมาณูนะ ปรมาณูคือวันยิ่งใหญ่ ส่วนสุญญาณูคืออะไรก็คิดดู อาตมาเคยเขียนในหนังสือ เอาคึกฤทธิ์ ปราโมทย์มาวิจารณ์ก็เลยเกิดภาษาคำว่า สุญญาณู

สรุปคำว่าอิสระ เข้าไปเป็นธรรมะ 2 เทวนิยมกับอเทวนิยม ธรรมะ 2 ขั้ว ในโลกนี้มีธรรมะสองขั้วเทวนิยมกับอเทวนิยม

เทวนิยมก็คือ 2 อเทวะคือไม่ 2 แล้ว เป็นหนึ่งได้และเป็น 0 ได้ด้วย สรุปสั้นก็คือทำให้สองเป็นหนึ่งและทำให้ 0ได้ เป็นเอกธรรม เป็นหนึ่งแล้วไม่มีการทุกข์ไม่มีการเกิด

1 จะเป็นการทรงที่ยั่งยืน จะมียังไม่มีวันจบ นิรันดรก็ตามใจ

 

อิสระ มาเทียบ เทวนิยมกับอเทวนิยม พุทธมีอิสระเต็มที่ พระเจ้าไม่มีอิสระเต็มที่ เพราะคนไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้ สายเทวนิยมไม่มีใครสามารถสัมผัสพระเจ้าได้เลย

ทุกคน ในศาสนาเทวนิยมต้องอยู่ใต้ บงการบัญชาของพระเจ้า เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอิสระเสรีภาพ จึงยังเป็นทาสพระเจ้าอยู่ นี่คืออิสระจบ

ศาสนาพุทธ พระเจ้า ไม่ต้องมาบงการเราเองหรอก เราเลิกพระเจ้าเลยไม่ต้องอยู่กับพระเจ้า หายไปเลย ไม่มีสวรรค์นรกไม่มีอะไรมาบงการ หมดธรรมะคู่ ถ้ามีพระเจ้าก็เป็นธรรมะคู่ที่ชื่อว่าเทวะ ยอดเทวะสูงสุดก็คือพระเจ้า แต่เขาไม่รู้จักพอ

แต่ศาสนาพุทธรู้จักยอดนี้ มาศึกษารู้ ในสิ่งที่มีกับไม่มี จนสิ่งที่มีนี้มีเป็นหนึ่งและเป็นศูนย์ ก็จบ นี่คือ อิสระเสรีภาพ พระเจ้าศาสนาเทวนิยมจึงไม่มีการจบ หมดอิสระ และไม่มีการหมดอิสระนิรันดรด้วย

ศาสนาเทวนิยมไม่มีอิสระ และไม่มีอิสระอย่างบริบูรณ์ นิรันดรด้วย นอกจาก นิรันดรแล้ว ด้วยกาละจบไม่ได้ สูญไม่ได้ จะต้องมีอยู่นิรันดร แม้ว่ามีแล้ว คุณยังไม่เคยพบเลย เหมือนกับไม่มี แล้วเขาก็เชื่อว่ามี อยู่อย่างนั้นแหละ เป็นนิรมาณกาย กายที่เขาเชื่อว่ามี แต่คุณก็ไม่เคย อาทิสมาณกาย แต่คุณก็บริโภคร่วมกันนั่นแหละว่ามันจริงมีความจริงร่วมกัน คนนั้นก็จริงคนนี้ก็จริงเรียกว่า สัมโภคกาย

กายะคือสอง กลับไปกลับมาก็ยังมีสองอยู่อย่างนั้นเองยังมีกาย ศาสนาเทวนิยมยังมีสองยังมีกาย ศาสนาพุทธแยกเป็น 2 นิกายกับรูปนามมีธาตุรู้ ถ้าคุณเองเป็นอุตุนิยามไม่เกิดธาตุรู้ คุณมี พีชนิยามแล้ว เกิดธาตุรู้ในสิ่งที่เป็นคู่คุณก็มีคู่มีเพศ พีชนิยามมีเพศ ผสมพันธุ์เกิดแตกตัวไป พอมาเป็นจิตนิยามก็ยิ่งเข้าใจเลย จัดการพีชะได้ รู้จักการเกิดของอุตุนิยาม ว่ามันไม่ได้เกิด เพราะตัวมันเองมันเกิดเพราะอันอื่นมารวมตัวกัน มันไม่มีสิทธิ์ที่เป็นตัวมันเองเลย ส่วนที่มีสิทธิ์ในตัวเองมันมีตระกูลของมันมีพ่อพันธุ์มีสปีชีส์ของมัน

เราก็อาศัยมันได้ มันมีสังขารกับสัญญา มีการกำหนดรู้มีการปรุงแต่ง พืช มันไม่มีเวทนา ไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์จองเวรจองกรรมรักชังได้ มันมีแต่ตัวมันเองอันอื่นไม่เกี่ยว เพราะฉะนั้นอันนี้จึงเป็นยอดของศาสนาพุทธ ที่รู้ว่าพืชมันไม่ทำร้ายใคร มันมีแต่ทำตัวเองให้มันอยู่รอด อยู่ได้ก็อยู่ไปอยู่ไม่ได้ก็สลาย มันช่วยตัวมันเองยังไม่ได้ อันอื่นมันก็สลายจนหมดตระกูลพืชก็สูญพันธุ์ไปเยอะแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็อาศัยอันนี้ ศาสนาพุทธจึงอาศัยระดับพืชที่ไม่ทุกข์ไม่สุข ในฐานของอริยสัจ นอกนั้นก็คือสิ่งที่ดีและไม่ดี ความทุกข์ความสุขหมดแล้วก็ยังเหลือสิ่งที่มีและไม่มี ดีและไม่ดี

โดยเฉพาะคน คนก็ยึดดีถือดีต่างกัน อเมริกายึดถือนี้พอดี เมืองไทยก็เยอะ ถืออันนี้ว่าดี เขาก็ยึดถือของเขา เราก็ยึดถือของเรา ต่างกันได้ ก็ไม่ทะเลาะกัน ต่างคนก็ใช้ของต่างคนไป เราไปใช้ตามคุณ คุณก็เหยียบเอาเองเท่านั้น ไปเอาตามเขาเขาว่าไม่ใช่พวกก็ตื๊บเอาสิ หากคุณจะอยู่กับหมู่ของตัวเองก็ยึดถือกับหมู่ของตัวเอง

อิสระก็จบตรงที่ว่าเป็นเทวนิยมกับอเทวนิยม อเทวนิยมอย่างพวกเรา หมดความเป็นทาส อิสระเสรีภาพสมบูรณ์ได้เลย เราเป็นอิสระแล้วก็ไม่ขึ้นกับคุณ เราไม่ขึ้นอยู่กับอำนาจคุณ และคุณก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรเราได้เลย ที่จะทำอะไรเราไม่ได้เพราะว่าสูงสุดเลย เราไม่มีตัวตน ยิ่งกว่า Invisible Man คุณทำอะไรเราตัวเราไม่ได้ เพราะตัวเราๆไม่ยึดถือว่ามีตัวเรา คุณจะทำอย่างไรก็ทำไปสิ

ถ้าคุณมาทำเราโดยรูป คุณมาฆ่าเรา คนอื่นเขาก็รู้เขาก็เห็นเอง ก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะ ยิ่งถ้าเราไม่ผิดอะไรเลยคุณมาทำร้ายเรามาฆ่าเรา แล้วเราก็แน่ใจว่าเราไม่ได้ทำร้ายใคร เมื่อเราไม่ทำร้ายใคร ใครมาทำร้ายเรา จบ ใครชั่วใครดี จบแล้ว เรารู้แล้วว่าใครชั่วใครดี คุณที่ไม่ไปทำร้ายเขา กับเขามาทำร้ายเรา ก็จบ

เทวนิยมนั้นไม่สูญมีอัตตามันต้องมี ไม่มีไม่ได้ ใครจะไม่มีก็ไม่ได้คุณจะต้องไปอยู่กับอัตตา ตายไปแล้วต้องอยู่กับพระเจ้าหมด พระเจ้าจะสั่งให้ลงนรกขึ้นสวรรค์ก็ได้ จะให้เป็นอะไรพระเจ้าก็สั่งทั้งนั้น พระเจ้าบัญชาหมด ตายก็ได้อยู่ก็ได้ ตายแล้วไม่สูญ เพราะว่า 0 ไม่เป็น 1 ยังทำไม่ไหวเลยอย่าพูดถึง 0

นี่คือรายละเอียด เพราะฉะนั้นเขา 0 ไม่ได้ คุณก็จึงต้องมีนิรันดร คุณเป็น 0 ไม่ได้จึงต้องมีนิรันดร นี่คืออิสระอัตตานิรันดร

ศาสนาพุทธนั้นทั้งเป็นอิสระทั้งทำลายอัตตาทำลายนิรันดรได้ด้วย สูญ เลิกทุกอย่างได้ แล้วทำเองได้ด้วย เป็นอิสระ ไม่มีใครมาเป็นใจต่อเรา พระเจ้าก็ห้ามเราไม่ให้สูญไม่ได้ เราทำให้ 0 ได้ เราไม่ได้นิรันดรตามคุณได้

ขออภัยที่พูดนี้ไม่ได้ดูถูกเทวนิยม พุทธทำได้แบบ Nuclear Fission นั้นแบบที่ตรงไปเลยไม่มีการโค้ง แต่เอกภพนั้นมีการโค้ง จะน้อยนิดเท่าไหร่ก็ตาม

เขาบอกว่าแสงเดินทางตรง ไอนสไตน์ก็บอกว่าไม่ใช่ อาตมาก็รู้ของอาตมาเหมือนกันว่า แสงไม่มีเดินทางตรง โค้ง แสงเดินทางตรงไม่ได้ ถ้าแสงเดินทางตรงคุณก็ไม่เห็นแสง เพราะมันจะไม่มากระทบกับอะไรเลย แสงมันเดินทางตรงของมัน แล้วคุณก็อยู่ที่นี่ จะเห็นแสงได้อย่างไรแสงมันไม่มีตัวตน แสงมันคือแสง ในขณะที่มันยังมีค่าของแสง ที่หยาบ คุณก็สัมผัสอยู่ตามประสาทของคุณรับได้ เมื่อประสาทของคุณหมดฤทธิ์จะสัมผัสแสงคุณไม่รู้แล้ว ตาคุณไม่ยาวเท่ากับสัตว์บางชนิด ตาของสัตว์บางชนิดเห็นได้ยาวกว่า แสงแม้น้อย มีความเข้มข้นของแสงน้อยสัตว์มันก็ยังเห็นแต่คนไม่เห็น คนเห็นสู้มันไม่ได้

ศาสนาอเทวนิยมจบที่สูงสุดทำให้อัตตา 0ได้ทำให้นิรันดร 0 ได้ เป็นตัวเองมีอิสระเสรีภาพ

เพราะฉะนั้นสรุปแล้วปรมาตมันหรือพระเจ้า อธิบายตัวเองไม่ได้ แสดงตัวเองไม่ได้ พระเจ้าแสดงตัวเองกับอันอื่นไม่ได้เลย บอกว่าแสดงกับใคร แสดงกับประกาศก แสดงกับพระบุตร แล้วพระบุตร จริงๆแล้วได้สัมผัสกับพระเจ้ามั้ย..ก็ไม่ใช่ ได้แต่รับคำสอนมา

พระบุตรคือประกาศ คือผู้เอาคำสั่งสอนพระเจ้ามาประกาศ Prophet ของเขาก็มีเท่านี้ รออธิบายได้รู้ได้ พระเจ้าของคุณไม่มีตัวตนหรอก ถ้าไม่มีจิตนิยาม สิ่งเหล่านี้อธิบายไม่ได้เลย

คนจะอธิบายสิ่งที่มีให้รู้ได้ ศาสนาพุทธอธิบายได้สูงสุด ศาสนาพุทธอธิบายได้สูงสุดอธิบายแม้แต่พระเจ้าได้ แต่คุณอธิบายพระเจ้าของคุณไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร พระเจ้าของศาสนาพุทธนั้นคือมีหัวมีแขนมีปัญจสาขา 2 ขา 2 แขน 1 หัว รวมตัวละเอียดเป็นปัญจสาขา

เล่ม 15 [803] "รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะจากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา)

กลละ

ก หากไม่รู้ว่าคืออะไรคุณก็จบ คุณต้องรู้ว่า กะ คืออะไร ลล คือเศษวรรค เศษวรรคตัวที่ 3 ย ล ร ว

ก คือ  Static  กลล สามเส้าเกิดจุดที่เล็กที่สุด จุดที่เล็กที่สุดสามเส้าคือ จุดแห่งอาโปธาตุ

คือ ปรมาณูแห่งปรมาณู จุดเล็กที่สุดแห่งปรมาณูคืออาโป

อาโป คือพยัญชนะของ อะ กับปะ มาใช้ อาคือ พหูพจน์ โอคือ ตัวที่ 8 ของสระ  อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ

คือมันเริ่มมี อะ ก็เริ่มมี อา ก็มีมากขึ้น หากเป็น สาม สี่ ห้า เป็นหก เป็น เจ็ด เพิ่มไป เป็นสามเส้า ก็นับเป็น 0 หรือ 10 จะต่อไปอีกนิรันดรก็ได้

สรุปสั้นๆก็เอามาพูดได้แต่ที่ยาวไปไม่ต้องพูดกัน เราเก่งฉิบหายแต่พูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่องเลยจะได้อย่างไร ต่อให้ถูกด้วย แล้วก็พูดกับใครไม่รู้เรื่องเลย

 

กลละ ก่อนจะ กลละ เอา กมม ก่อน

กมม เป็นตัววรรค ไม่ใช่เศษวรรคอย่าง กลละ

กมมคือ กรรม คือตัวต้น ของพยัญชนะ กับตัวท้ายของพยัญชนะ แล้วเอาพยัญชนะตัวท้ายมา

มีดร.รินธรรม ปริญญาเอกทางด้านบาลี แล้วก็เรียน ป.โท อีกหลายใบ รวมแล้วมีปริญญาถึง 6 ใบ

 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…

สิกขมาตุรินฟ้า...

สมณะเดินดิน…

สมณะแสนดิน…

 

พ่อครูว่า...ต้องขออภัยทางเทวนิยม ที่พูดถึง

อิสระ นี้เป็นจุดสำคัญ เป็นพยัญชนะ สระที่สื่อถึงสภาวะ

คำว่าอัตตาคือตัวตน เทวนิยม ไม่หมดอัตตาไปได้เพราะว่าอัตตาเขาใหญ่ ถึงขนาดปรมาตมัน เขาไม่สูญ สูญไม่ได้ ใหญ่ยิ่งด้วย เป็นผู้กำหนดทุกอย่างเป็นผู้เป็นผู้มีแต่ผู้เดียว จะให้เป็นอะไรไม่เป็นอะไร แต่จริงๆแล้วเขาไม่กล้าให้เป็น 0 เพราะตัวเขาเองยัง 0 ไม่ได้ พระเจ้ายังศูนย์ไม่ได้ พระเจ้าคือตัวตนที่เป็นอัตตา แล้วเป็นอัตตาที่ไปกับกาละ

อัตตานี้เป็นกรรม นิรันดรคือกาละ ระยะเวลา แล้วมีสิ่งหนึ่งไปในเวลานั้นก็คือ อัตตา

อัตตาก็เป็น Static กรรมคือ Dynamic เป็นพลังงานสอง พลังงานบวกก็คือ อัตตา พลังงานลบคือกรรม

ศาสนาพุทธรวมชัดเจนหมดทุกอย่าง ทั้ง อุตุ พีชะ กรรม

กรรมกับธรรมะ กรรมเป็น  Dynamic ส่วนธรรมะคือ Static คือแกนคือตัวทรงไว้ ส่วน กรรมคือแรงเคลื่อน เป็นแรงเคลื่อน กระแสสลับกับกระแสตรงก็ได้ กระแสสลับคือ Nuclear Fission กระแสตรงคือ Nuclear Fusion

จะเอาแค่กระแสคลื่นก็ยังไม่รวมตัวเป็นวงวนไม่เกิดมวล ยังไม่เกิดสิ่งที่เป็นตัวตนขึ้นมา อย่างอธิบายแค่กระแส กับแรงเคลื่อน หรือ Proton กับ Quantum ภาษาวิทยาศาสตร์เขา เขาก็เถียงกันว่าตัวตนกับควันตัมอันไหนคือคลื่น อันไหนคือ สสาร

ถ้าเราเข้าใจสามเส้าชัดเจน อิสระ อัตตา นิรันดร

นิรันดร คือกาละ อัตตา คือ ตัว กรรม ศาสนาพุทธมีกรรม กับ กาละ แล้ว ก็เกิดปฏิกิริยาร่วมกันขึ้นมาในปัจจุบันเรียกว่า Continuum เกิดปฏิกิริยาร่วมกันเป็น 3 เส้า

สามเส้านี้ กรรมกับกาละ Continuum คือตัวที่จัดการเป็นประธาน ประธานก็คือตัวหลักเป็นอิสระเสรีภาพ นัยยะหนึ่งอิสระก็คืออัตตา อัตตาก็คืออิสระ

อัตตาจะเป็นอาตมันหรือปรมาตมัน ใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ก็เป็นอิสระ

อิสระนี้สามารถ มีสิ่งที่เอามาพูดมาสัมผัสได้ เอามารู้กับคนอื่นได้ คนอื่นร่วมรู้ได้ด้วย เป็นประโยชน์ได้ด้วย พระพุทธเจ้าท่านสรุปลงที่ว่า

หนึ่ง ดีและชั่ว เป็นสมมุติสัจจะ, คุณและโทษ เป็นปรมัตถสัจจะ ละเอียดขึ้นหน่อย

สรุปอยู่ 4 คำว่า  ดีและชั่ว คุณและโทษ คนที่รู้แล้ว ถ้าเอา 2 ตัวมารวมกันก็เป็นคู่ ดีหรือชั่ว คุณและโทษ เพราะฉะนั้นเรารู้แล้วสิ่งที่มีก็พอพูดได้ ดีและชั่วก็สลับกัน ตามที่จะกำหนด ขึ้นกับเหตุปัจจัยขึ้นกับ กาละ ขึ้นกับสังคม อย่างนี้เป็นต้น

สังคมกลุ่มนี้ยึดถืออันนี้ว่าดี สังคมอันนี้บอกว่าอันนี้ชั่ว สังคมอโศกบอกว่าดี สังคมอื่นบอกว่าอันนี้ไม่ดี เราก็เข้าใจคุณก็ยึดถือของคุณ พระพุทธเจ้าจึงจบที่ว่าความเห็นของเธอกับความเห็นของเรา มันคนละอย่างก็จบ เราก็รู้แล้วว่ามีสอง ต่างคนต่างแยกกันอยู่เป็นนานาสังวาส ไม่มีปัญหาอะไรควรจะทำของคุณก็ทำไป ร่วมกันก็รวมกันได้ คุณจะมากับเราจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ไม่ขัดแย้งกับเรา ถ้าจะเอากับคุณเราก็อนุโลมกับคุณ ถ้าไม่เอากับคุณ เราก็ไม่เอาด้วยเลย ต่างคนต่างทำเท่านั้นเอง การอนุโลมให้คุณท่านจะอนุโลมได้ ก็เคยยอมแพ้ แต่จะเอาชนะ ไม่ยอม

เพราะว่าการจะเอาชนะคนอื่นอยู่คืออัตตา จบแล้ว

อัตตาคือสภาพนิรันดร อิสระก็อีกสภาพหนึ่ง เทวนิยมหมดไม่ได้ทั้งสามอย่าง

เทวนิยม อิสระ หมดไม่ได้ กลายเป็นพระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่รู้มาเป็นนายของเรา แล้วนายอยู่นิรันดรด้วย นายเป็นปรมาตมัน ยอดอัตตา ไม่มีสูญนิรันดรด้วย แต่พุทธสลายหมด ด้วยตัวเองด้วย หมดทั้งกรรมกับกาละ กาลคือนิรันดร กรรมคืออัตตา จบแล้ว

พิสูจน์ได้ อย่างทุกวันนี้อาตมาก็ไม่มี อัตตา แล้วอาตมาก็ไม่นิรันดรกับคุณ แล้วอาตมาเป็นอิสระอย่ามายุ่งกับอาตมา

สมณะฟ้าไทว่า...สรุปแล้วจะมีอัตตาก็เหมือนไม่มีอัตตา

 

พ่อครูว่า...สรุปแล้วคุณจะทำก็ทำของคุณไป เราก็ไม่ทำกับคุณเท่านั้นเอง แต่เราเองเราทนได้ ถ้าคุณจะมายุ่งกับเรา เราทนได้ อนุโลมให้คุณได้ เราทนได้ ทนไม่ได้สูงสุดก็คือตาย หรือไม่ก็เจ็บ ปวด ทนความเจ็บปวดไม่ไหว ทนพิษบาดแผลไม่ได้ก็ตาย ไม่เห็นมีอะไรเลย ก็มีแต่ตายหรืออยู่ แล้วเราก็ไม่สงสัยว่า ตายเราก็ตายได้ ทนพิษบาดแผลทนพิษความเจ็บปวดไม่ได้ก็ตาย ทนความไม่สมดุล เราก็ต้องตายต้องหยุด แต่จิตของเราเป็นประธานตายก็ตาย แต่ถ้าเรายังไม่ยอมตายเราจะอยู่ต่อไป เพราะเราเป็นนายอัตตา เราอาศัยอัตตาอยู่ ยังไม่สลายอัตตาเป็นปริโยสาน เรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานเราก็ต้องมีต่อไปเป็นเรื่องของเรา อย่ามายุ่งกับเรา

สมณะฟ้าไทว่า...ผู้มีอิสระเสรีภาพสูงสุดไม่มีใครมาจัดการได้

พ่อครูว่า...ศาสนาสูงสุดเขาบอกว่ามีอัตตาเราก็ยอมรับ เรายังไม่ทำลายอัตตานี้เราก็ยอมรับ อัตตาเราเราเอาตามสมมุติ เราเองมีอัตตา แต่เราเองมีอัตตาอย่างไม่เคยมีความเป็นโทษไม่เคยมีความเป็นชั่ว เราอยู่ในโลกเขาว่าชั่วเราก็ไม่เอา เขาว่าอย่างนี้ดีถ้าเราจะอยู่เราก็ทำไปด้วย ถ้าเราไม่ทำก็อยู่เฉยๆ ถ้าเขาจะบังคับเราให้ทำ ก็ได้ ถ้าจำนน เราก็ทำ จำนนก็ทำ ทำได้สูงสุดเราก็จำนน ถ้ามันไม่ถึงก็ตาย

อย่างเก่ง เราจะถูกบังคับให้ทำเช่นให้กินยาพิษตายเราจำนนสู้ไม่ได้ ให้กินเราก็ต้องกิน แล้วเราก็ต้องตาย ก็ไม่เป็นไร ตายแล้วเราก็ยังไม่หยุดจะมาเกิดอีกทำไม

แล้วมันซ้อนอีกว่า เราเข้าใจกรรมวิบากไม่ได้ทำ ภัยทำชั่วทำอกุศลเลย แม้เขาจะทำให้เราตายก็เป็นอกุศลของเขา เพราะฉะนั้นเราตายไปแล้วมาเกิดอีก เราก็ไม่ดีมีอกุศลอะไรเกิดเหตุมีแต่กุศล คู่สุดท้ายที่ยังมีคือกุศลกับอกุศล

คู่สุดท้ายอีกคู่คือบุญกับบาป บุญจบหน้าที่ก็เป็น 0 เท่านั้นเองในสิ่งที่มี ปุญญะคือ 0 ปุญ คือกิริยา ปะคือกิริยา ปัญญาก็เป็นกิริยา เปลี่ยนพลังงาน

ก คือ ตัวสภาวะ  กะ คือรูป ปะ คือนาม

สิ่งเหล่านี้เราจะต้องเข้าใจแล้วค่อยๆรู้ พยัญชนะต่างๆเหล่านี้ ใช้แทนสภาวะอย่างนี้ค่อยๆละเอียดขึ้นมากขึ้นๆ เราก็ใช้สิ่งที่เรารู้นี้มาใช้อยู่กับมนุษย์โลก ให้มันเป็นประโยชน์ให้มันเป็นคุณ อย่าให้เป็นโทษ ให้เป็นประโยชน์อย่าให้เสียประโยชน์ ก็เท่านั้นเอง

ประโยชน์คืออะไร ประโยชน์คือสิ่งที่ยังอยู่ ยังควรทำอะไรขึ้นไป

ป โย ชนะ คือ ปะ ยะ ชนะ

ชนะ คือยอดความรู้กับไม่รู้ ช.ช้าง นี้รู้ จ ฉ ช คือตัวรู้กลาง  นะ คือไม่มี มีความรู้สุดท้ายก็ไม่มี ชนะ

ปยะ ปโย ป คือตัวกิริยา ย คือเศษวรรค ป คือตัวต้น ย คือเศษวรรค  กเป็น Static ป คือ Dynamic

ย คือเริ่มต้นของพลังงานที่เป็นเศษวรรค เริ่มต้น อะ ยะ

อะ ยะ คืออะไร? หยาบแล้ว ถ้าเป็นเรา อยัง อยะ คือหยาบแล้ว อยะ ที่เป็นรูปธรรมยังไม่เป็นจุดเลย อะยะคือพลังงานแม่เหล็ก

อะยะ คือแรงดูด คู่มีอะกับยะ คือพลังงานแม่เหล็ก

พอเริ่มต้นมีแรงดูด อะยะ ก็เริ่มต้นขยายเละเลย อะยะรั่วก็พัวก็พัน เกิดขึ้นเลย

 

นิรันดร ในระหว่างของกาลเวลาไม่มี กาละต้องมีระยะทาง

นิระ แปลว่าไม่มี ไม่มีคือพยัญชนะบอก 0 ถ้าหนึ่งจุดสองจุดไม่มีคือ 0 ตัว 0 คือวงกลม

วงกลมก็คือจุดเริ่มต้นกับจุดปลาย มาชนกัน สุดท้ายซ้อนกันคือจุด จุดเดินมาปั๊บ มันก็มาทับกัน วงกลมต้องได้องศา ถ้าไม่กลมก็เป็นอุกาบาต ที่นี้พูดกันไม่รู้เรื่องเลย เละเลย มันต้องเป็นระเบียบ ผู้ที่ไม่เป็นระเบียบนี้ต่อไม่ได้เป็นอุกกาบาตจะไปอยู่วงโคจรไหน จะไปเส้นวงโคจรไหนจะไปอยู่ในดาวดวงไหน คุณก็เป็นอุกกาบาตชนิดหนึ่ง ในดาวดวงนั้น แต่ถ้าคุณไม่ยอมอยู่ในดาวดวงไหน คุณก็แกว่งไปแกว่งมา กระทบไปกระทบมา ก็ต้องถูกดีดออกทั้งนั้น ถูกดาวเตะออกไปตรงนั้นตรงนี้ อยากเป็นอุกกาบาตก็เชิญ อิสระไหม อิสระที่ถูกเตะ ไม่เช่นนั้นคุณก็อยู่ไม่ได้ เพราะอยู่ในมหาเอกภพนี้ก็ต้องอยู่แบบนี้ คุณไม่อยู่กับดาวดวงใดก็ถูกเตะไปเตะมา คุณต้องมายอมอยู่กับดาวดวงใดดวงหนึ่ง หากอยู่กับเขาไม่ได้ก็ถูกเตะออกมา ไปรวมกับเขาไม่ได้ ดาวดวงนี้ก็เตะออกมา ดาวดวงนี้ก็เตะออกมา มันยิ่งกว่าลูกฟุตบอล เตะไปเตะมาก็เอา

ลูกฟุตบอลต้องเอาลูกที่กลม ถึงได้เตะแล้วมันจะได้กลิ้งไปในทิศทางที่ควบคุมได้ ถ้าเป็นลูกที่บิดเบี้ยว เป็นตะปุ่มตะป่ำ ไม่ได้เหลี่ยมมุมด้วย รับรองว่านักฟุตบอลเล่นไม่ได้ คุมทิศทางไม่ได้ จริง

ลูกฟุตบอลอย่างดีเลยไม่มีมนเลย มีแต่เหลี่ยมเต็มไปหมดเขาไม่ซื้อมาใช้หรอกลูกฟุตบอลนั้น

ก็ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้น นิระ กับ อันตระ

เส้นวงกลมคือ จุดเริ่มต้นกับจุดปลาย วงกลมที่เล็กที่สุดคือจุดที่ซ้อนระหว่างต้นกับปลาย เป็น 2 แต่ถ้าคุณไม่เป็นสองเป็นหนึ่งเลยคุณก็ศูนย์ ไม่มีต้นไม่มีปลายก็เป็นศูนย์ หาที่ต้นที่ปลายไม่เจอ คุณก็สูญ

นิระ ไม่มีระหว่างอะไรเลยก็ 0 แต่นิรันดรคุณไม่รู้จักจบไม่สูญเลยตรงกันข้ามกัน

นี่คือ สมมุติกับปรมัตถ์ ปรมัตถ์จะรู้ศูนย์ ก็จบ แต่คุณรู้แต่สมมุติไม่รู้จักปรมัตถ์ก็ไม่มีวันจบ นิรันดร คืออัตตา

อัตตาคือตัวตั้ง ต้องเอาเศษวรรคตัวต้นเลย คือ ตต คือ ตด คือลม คือจบ

 

สมณะฟ้าไทว่า...แสดงว่าใครมีอัตตาแปลว่ามีลมตดเยอะ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:26:54 )

610819

รายละเอียด

610819_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทยแบบพุทธนั้นสุดยอด

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1rz2MakyabV2dG5zuhk5FVZKqO7vi38ElrO10Z0ARWeo/edit?usp=sharing 

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1scy6lwhGblQHGbTfR8Yl3P4hMQRXMt5Z

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก พระพุทธเจ้าตรัสกับพระเจ้าอชาตศัตรูไว้ในพระไตรปิฎก เกี่ยวกับเรื่องความสันโดษไว้ว่า  [322] ดูกรมาณพ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ? ดูกรมาณพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในการฉันการดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืนการนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ดูกรมาณพ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ.

[323] ดูกรมาณพ อย่างไรภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ? ดูกรมาณพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรมาณพ นกมีปีก จะบินไปทางทิศาภาคใดๆ ก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไปฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรมาณพ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ

ชาวอโศกได้อยู่ในระบบสาธารณโภคีทำงานเสียสละเพื่อส่วนกลาง ไม่ว่ากิจกรรมใดๆก็เป็นการเสียสละเหมือนสายน้ำเล็กๆที่รวมกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่ เขาจะไม่เห็นได้ง่ายๆว่าต้นน้ำอยู่ที่ใด การกระทำใดๆที่เป็นการเสียสละงานเล็กงานน้อยหรืองานใหญ่ๆ อย่างงานเทศกาลกินเจงานตลาดอาริยะ ก็มีสายน้ำอยู่ตลอดเวลา เป็นการปิดทองลำไส้พระ พวกเราเกิดมาในชาตินี้ต้องสลายตัวตนให้เป็นศูนย์จริงๆ ชาวอโศกที่เป็นแกนจะสลายโลกธรรม

งานศาสนาแนวหน้าคือฆราวาส ส่วนนักบวชเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะเป็นผู้ที่ไม่เอาโลกธรรม หากรับโลกธรรมแล้วไม่มีตัวตนก็เป็นเรื่องดี

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 17 - 18 สค. 2561

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ผลงานกับผลการปฏิบัติธรรม

_1614 ผลงาน หมายถึงผลการปฏิบัติธรรมหรือเปล่าคะ

พ่อครูว่า...ใช่ เพราะการปฏิบัติธรรมของพุทธเจ้าทำให้เกิดผลของงาน ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วอยู่เฉยๆนั่งหลับตาผ่านวันผ่านคืนไปเฉยๆ ไม่มีอะไรที่เกิดคุณค่าเกิดผลประโยชน์อะไรเลย สงบ เป็นสุขสงบ เป็นผู้หยุดแล้ว เป็นผู้ที่ไม่มีอะไรแล้ว คนอย่างนี้ก็น่าจะสลายหายไปเป็นผุยผง เป็นอากาศไปเลย ซึ่งพาซื่อกันเสียจนสุดโต่ง ไม่รู้จะพูดได้ภาษาอะไร

ผลงานนั้นหมายถึงผลของการปฏิบัติธรรมแท้ๆเลย ยกตัวอย่างได้เลย อย่างชาวอโศกนี่ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมและเกิดผลสำเร็จ ใช้คำนี้เลยนะ เป็นผลงานได้นี่คือสุดยอดเป็นเศรษฐกิจที่สุดยอด การเมืองที่สุดยอด สังคมสุดยอด พูดไปแล้วน่าหมั่นไส้ตัวเองมากมาย คุยตัวน่าอ้วก มันอย่างนั้นจริงๆ แต่อาตมาก็มั่นใจว่ามันจริง พวกชาวอโศกเรานี่สบาย สงบสุข เบิกบานสำราญใจ เป็นคนที่ไม่เบียดเบียนสังคมไม่เบียดเบียนใคร ไม่มีโทษไม่มีภัยแก่ใคร เป็นคนที่มีแต่การสร้างคุณค่าประโยชน์เท่าที่เราจะเป็นคนดีขยันหมั่นเพียรอุตสาหะสร้างสรร โดยไม่รับอะไรแลกเปลี่ยนเลย คือสุดยอดแล้ว ทำงานฟรีไม่ต้องมีอะไรตอบแทน วันๆก็มีอยู่มีกินอุดมสมบูรณ์มีญาติมิตรสหาย พึ่งพาอาศัยกันพึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ สมบูรณ์แบบทุกอย่างแล้ว อาตมาว่า อาตมาประสบผลสำเร็จแล้วในชาวอโศกในการเกิดมาเป็นคนแล้วก็ทำให้เกิดลัทธินี้ วัฒนธรรมมีพฤติกรรมสังคมอย่างนี้ จะเรียกว่าการเมืองอย่างนี้เศรษฐศาสตร์อย่างนี้สังคมอย่างนี้ ก็ทั้งนั้นเลย เป็นได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ชาตินี้อาตมาพอใจแล้ว ใครทำได้อย่างนี้ก็ทำได้เลย มาประพฤติปฏิบัติ ยังเป็นผลสำเร็จอย่างนี้เลย

ยังมีคนเห็นว่าดีควรจะศึกษาปฏิบัติตามก็มีอยู่ แต่อาตมาเป็นคนอาภัพ เขาไม่เชื่อว่าอาตมานี้สามารถจะทำให้เกิดความดีงามได้ถึงขนาดนี้ เขาพยายามที่จะดิสเครดิตอาตมาทุกอย่าง กดข่มอาตมาให้ไม่มีค่าเลย แต่อาตมานี้ข่มอย่างไรก็ไม่ลง อาตมามีสิทธิ์ทำงานจนเกิดผลอย่างนี้ ก็ยังทำต่อไปจนกว่าไม่ยอมจะตายง่ายๆเลยนะ ยังจะทำอย่างนี้ต่อไปจะทำไม?

เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของคนแล้ว ก็อยากจะทำให้ได้มากกว่านี้

 

- สิ่งที่เห็นในการปฏิบัติงานเป็นจุดเสียที่เราตระหนักรับผิดชอบต่อผู้บริโภค มันเป็นศีลข้อแรกด้วย ใช่หรือไม่คะ

พ่อครูว่า...ใช่

- พ่อครูแซวเล็กๆ ไม่อยากแข่งขัน เพราะกลัวแพ้อายเขา เพราะเรามันฟอร์มอยู่แล้ว ข้อความนี้มีนัยยะ เพราะเรามีฟอร์ม อยู่แล้ว ฟอร์ม คือ แบบแผนที่เป็น standard แบบ อโศก ใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า…(เหตุการณ์นี้พ่อครูพูดเป็นมุขเท่านั้น) ถูกต้องอีก ถ้าจะหมายความว่าแบบฟอร์มคือแบบแผนแบบอโศก Standard เป็นมาตรฐานเลย

 

-อาวุธใด จะเป็น ประโยชน์ ทั้งใน ปัจจุบัน & ต่อไป ในภายภาคหน้า คะ

พ่อครูว่า…บุญญาวุธหมายเลข 1 คืออาหารมังสวิรัติ หมายเลข 2 คือ ตลาดอาริยะ หมายเลข 3 คือกสิกรรมไร้สารพิษ หมายเลข 4 คือสุขภาพบุญนิยม หมายเลข 5 คือการศึกษาบุญนิยม หมายเลข 6 คือการสื่อสารบุญนิยม หมายเลข 7 คือการเมืองบุญนิยม หมายเลข 8 คือ การเมืองแบบธรรมนิยม หมายเลข 9 การเมืองแบบโลกุตรนิยม

เราก็ใช้ความรู้เวลาและการกระทำ เรียกว่ากรรมกับกาละ กระทำกรรมต่างๆให้มันเกิดบุญ บุญญาวุธ นั้นใช้กำจัดสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ หรือสิ่งภายนอกที่ไม่เป็นผลดีก็ขจัดสิ่งนั้นออกไปให้เกิดผลดี อะไรดีที่สุดเราก็ทำต่อไปดำเนินไป

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน คนไทยหัวร้อนขี้หงุดหงิดง่ายจะแก้อย่างไร

-คนไทยนี่หัวร้อนไวใจร้อน ขี้ โมโห หงุดหงิดง่ายมาก โดยเฉพาะเรื่องของคนอื่น ช่วย วิสัชชนา ว่าด้วย เรื่องของคนอื่น

พ่อครูว่า…ต้องฝึกหัดธรรมะของพระพุทธเจ้าอาตมาว่าศาสนาอื่นก็ไม่เหมือนศาสนาพุทธนี้ให้เรียนรู้เท่าทันอารมณ์เท่าทันเวทนา แล้วก็ควบคุมเวทนาได้ สามารถที่จะกลับจัดการกับเวทนาของเรา โดยมีสัญญาควบคู่แล้วก็ทำให้เกิดผลเรียกว่าสังขาร ก็ปรุงแต่งออกมา โดยการมีเวทนากับสัญญา สัญญาเวทยิตนิโรธ เวทนาและสัญญา สัญญาจะไปควบคุมเวทนา เวทนาคืออารมณ์คือความรู้สึก เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีความรู้สึกหมดความรู้สึกเลยคือคนที่วิสัญญี อสัญญี เวทนานี่แหละ แต่เขาใช้สัญญาสัญญีให้ไม่ทำงาน

สุดท้ายก็มีเวทนากับสัญญาเป็นตัวทำงานจริง การกำหนดรู้เรียกว่าสัญญา กำหนดอะไร กำหนดรู้เวทนา แล้วจัดการกับเวทนาให้เป็นเนกขัมมะให้ได้ เนกขัมมะได้สูงสุดก็เป็นอุเบกขา 5

ปริสุทธา คือความบริสุทธิ์ ปริโยทาตา บริสุทธิ์อยู่เสมอแม้จะกระทบกระแทกกระเทือนจะสัมผัสกับอะไรก็ตาม เพราะมีจิตเป็น มุทุภูตธาตุ คือจิตวิญญาณที่มีสภาพเป็นความอ่อนไว จัดการควบคุมได้เร็วได้ดีมากเลยเป็นสุดยอดแห่งสิริมหามายา จะเกิดจะดับก็เร็วมากจึงสามารถที่จะ กัมมัญญา ทำกรรมต่างๆได้ดีที่สุดเหมาะควรที่สุดเป็นประโยชน์คุณค่าสูงที่สุดไม่มีข้อบกพร่องที่สุด กัมมัญญา แล้วจิตก็คงความปภัสสราอยู่ตลอดเวลา ผ่องแผ้วผุดผ่องขาวสะอาด สุขสำราญเบิกบานใจ ใสสดสว่างอยู่ตลอดกาล นี่คือ คุณสมบัติสุดยอดของศาสนาพุทธ ผู้มีชีวิตอยู่จะมีเวทนานี่แหละเป็นตัวสุดยอด

 

- คนสะอาด คือ ผู้มีศีลอันพระพุทธเจ้าสอนไว้ คนสะอาด คนดี คนมีศีล ความหมายเดียวกัน ใช่หรือเปล่า

พ่อครูว่า... ใช่

 

- จะรู้ เท่าทัน อารมณ์ และความเปลี่ยนแปลง ที่เกิด ขึ้น ได้ อย่างไรคะ

พ่อครูว่า...ต้องฝึกต้องเรียนศาสนาพุทธนี่แหละ

 

- เมื่อเรานับถือ ศาสนาพุทธ รู้ธรรมเนียมประเพณี เกี่ยวกับ พระกับ เจ้า แล้วจำเป็น ไหม ต้องรู้จัก ธรรมวินัย ของสงฆ์

พ่อครูว่า...ควรจะทำอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นก็ปล่อยให้ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ ธรรมวินัยของพระพุธธเจ้านี้เป็นสิ่งประเสริฐแล้วสุดยอดแล้ว

 

-ถ้าไม่มีที่ดินส่วนตัว ไม่มีบ้านส่วนตัว ไม่มีรถส่วนตัว ไม่มีรายได้ประจำ แต่ทำงานด้วยความจริงใจ ไม่หวังผลตอบแทน เราจะอยู่ได้ไหม?

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ในความคิดมีเวทนาด้วยหรือไม่

-ความคิด ก็คือ ความคิด แล้ว ในความคิด มีเวทนา เกิดได้หรือเปล่าคะ

พ่อครูว่า...การปรุงแต่งเรียกว่าสังขาร เรียกแจกไว้ เรียก สังกัปปะ 7 ความคิดคือสังกัปปะ 7 ผู้ที่รู้เท่าทันเจตสิกต่างๆ ตักกะ วิตักกะ แยกแยะให้ออกว่ามีกิเลสผสมก็กำจัดกิเลสให้ได้

ตักกะ เริ่มดำริคิดอะไรขึ้นมาก็จับตัวกิเลสแล้วก็แยกวิจัยจิตของตัวเอง อยากจะอารมณ์กิเลสออกมาได้แล้วก็กำจัดกิเลสได้สำเร็จเป็นตัววิเศษ เป็นตัวจิตที่เป็นความคิด

ตักกะ คือความคิด แล้ว ในความคิดก็มีเวทนาสำหรับผู้ไม่รู้เรื่องก็ทำอย่างอวิชชา ผู้ที่มีวิชชาก็จะทำให้เป็นอุเบกขา 5

ความเป็นอุเบกขา 5 คือฐานนิพพาน คือฐานสูงสุด คือพระอรหันต์ อรหันต์ยืนอยู่บนจิตที่มีอุเบกขา 5 เป็นความรู้สึก ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เวทนา 5 อย่าง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ปฏิบัติแบบนั่งหลับตานั้นทำลายศาสนา

-ในความสงบ 16 อย่าง ของ พระอ. มั่น ภูริทัตโต มีข้อ ที่ว่า ควรวางตัวเป็นกลาง มีลักษณะ อย่างไร ขอคำอธิบายเพิ่มด้วยค่ะ

พ่อครูว่า...อาตมากำลังจะบอกว่าจะมาไม่ใช่ลูกศิษย์อาจารย์มั่น และไม่ได้นับถืออาจารย์มั่นเป็นอาจารย์ด้วย อายุท่านผ่านไปเป็นร้อยปีแล้วอาตมายังอยู่ ไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็เลยไม่มีอะไรกัน  คนจะนับถือก็นับถือไป ส่วนอาตมานั้น มองเห็นว่า พระอาจารย์มั่นนี่แหละทำให้ศาสนาพุทธในเมืองไทยฉิบหายไปเยอะ เพราะอะไร

1.เพราะพาไปออกป่านี่ก็ผิดแล้ว ในอัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่าเป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ

2. พาไปนั่งหลับตาเป็นเทวนิยมกันอย่างเต็มรูปเลย ก็เลยบรรลัยจักรเลยศาสนาพุทธ ขออภัยที่ต้องพูดความจริงอย่างไม่ไว้หน้า ไม่มีมารยาทเลย อาตมาพูดเต็มๆตรงๆอย่างนั้นจริงๆ พูดไปก็แรงขึ้นจนวันนี้แรงสุดแล้ว ก็ยังดูเหมือนไม่ตรงกันเลยยังยึดถือแบบอาจารย์มั่นกันอยู่นั่นแหละ อาตมาก็ว่ามันจะไปถึงไหนกันหนอ พวกที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ลืมหูลืมตามันจะโง่ไม่เสร็จไปถึงไหน แบบอาจารย์มั่นเป็นของเดียรถีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย

ค่อยๆมาพูดตามลำดับมาวันนี้พูดแรงสุดแล้ว ขออภัยที่พูดความจริงจังไม่ไว้หน้าขออภัย อาตมารักความจริงมากกว่าที่จะต้องมาไว้หน้ากัน

อาตมาก็ไว้หน้ามาเรื่อยๆแล้ว วันนี้อาตมาได้พูดแรงพูดเต็ม พูดอย่างไม่ไว้หน้าขนาดหนักแล้วแต่ก็พูดอย่างจริงใจ ใครจะไม่เชื่อถือจะชังน้ำหน้าก็ไม่มีปัญหาหรอก เพราะว่าอาตมาไม่มีหน้ามีตาอะไรอยู่แล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน พุทธคืออเทวนิยมที่สลายอัตตาได้จนมีอิสระแท้จริง

_สีดิน ลี · พ่อครูเทศน์เรื่องศาสนาอื่นและศาสนาพุทธ ทำให้เข้าใจถึงความแตกต่างที่แท้จริง ศาสนาอื่นเป็นเทวนิยม ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่คนปฎิบัติแล้ว เป็นอิสระอย่างแท้จริง อัตตาสลาย และหมดอัตตาหรือกิเลสหมดได้อย่างแท้จริง ส่วนศาสนาอืนไม่มีการสอนให้ลดละล้างกิเลส เลยยังมีอัตตา สอนให้ทำดีก็คือกุศลเป็นหลักใหญ่ของคำสอนศาสนา จากจุดนี้เลยทำให้เข้าใจได้ว่า ศาสนาที่เป็นเทวนิยมคนจึงเข้าถึงได้มากกว่าศาสนาพุทธ เพราะสร้างแต่กุศล แต่ไม่ได้ลดละล้างกิเลส ขนาดคนที่บอกว่านับถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ เขาก็ยังปฎิบัติแบบเทวนิยมเลย หรือเป็นพุทธแบบหลับตา เพราะฉะนั้นคนที่เข้าถึงคำสอนและปฎิบัติเป็นชาวพุทธได้อย่างแท้จริงหาได้ยากมากๆๆ คนแบบชาวพุทธที่เข้าถึงพุทธอย่างจริงๆคือชาวอโศกนี่แหล่ะคือคนพุทธ(ตื่นแล้ว)อย่างแท้จริง เป็นบุญแล้วที่ฟังธรรมพ่อครูแล้วมีความเข้าใจและจิตมีความยินดีในการฟัง

พ่อครูว่า… ศาสนาพุทธนั้น 1. อิสระอย่างแท้จริง 2. อัตตาสลายหมดกิเลสได้อย่างแท้จริง ส่วนศาสนาอื่นนั้นไม่ได้สอนให้ลบล้างกิเลส สอนให้มีอัตตาแบบนิรันดรด้วยเป็นปรมาตมันเป็นบรมอัตตาด้วย

อาตมาพูดเปิดไปทั้งหมดแล้วว่าอาตมาเกิดมาในชาตินี้เป็นใคร เป็นคนเขาหาว่าออกนอกรีตนอกรอยไปหมดแล้ว ไม่เป็นไรอาตมาก็มีหน้าที่ขยายความจริงด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ผู้ที่มีปัญญามีภูมิธรรมที่จะรับได้ก็จะรับได้ไป อาตมาทำงานมานานจะ 50 ปีแล้ว ยังไม่ยอมปลดเกษียณตัวเอง ยังจะทำต่อไปอีก พยายามจะรักษาชีวิตให้แข็งแรงทำต่อไปอีก ทำไปจนกว่าจะหมดพลังงาน สุดแรงที่สุด ที่จะยื้อ ยืนยาว ให้มันยาวไปได้นานเท่านานเพราะเป็นสิ่งที่ดีที่ประเสริฐที่สุด

อาตมาว่า อาตมาทำงานได้ผลพอสมควร ได้ผลขนาดนี้เป็นโลกุตรธรรมในยุคนี้ที่มีความเสื่อมขนาดหนัก ได้ขนาดนี้อาตมาก็พอใจแล้ว พอใจจริงๆอาตมาไม่ได้ตะกละอะไร ได้มากกว่านี้ก็ดี แต่ได้ขนาดนี้ก็ดีนักหนาแล้ว อาตมาจึงมีกำลังใจที่จะทำอะไรต่ออะไรต่อไป นี่คือเรื่องของศาสนาเรื่องธรรมะ แล้วก็เป็นเรื่องของมนุษย์ มนุษย์ต้องมีธรรมะต้องมีศาสนาต้องมีสิ่งที่ยึดถือ ดี เพราะ

ศาสดาแต่ละพระองค์ บำเพ็ญมาเพื่อที่จะรู้ว่ามนุษย์ควรดีอย่างไรได้สูงสุดพระศาสดาก็มาประกาศว่าควรจะให้ดีอย่างนี้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจทุกศาสนาเท่าที่ความรู้ของท่านเท่าที่ท่านมีภูมิธรรมท่านก็ทำ   อาตมาไม่ได้เป็นศาสดา เป็นแค่ครูบาอาจารย์ธรรมดา อาตมาก็ยังรู้ว่าทำมาจริงใจที่จะให้คนดี เพราะฉะนั้นยิ่งเป็นศาสนาที่สูงกว่าอาตมาที่สร้างศาสนาได้เป็นของตัวเอง แต่ละศาสนาท่านก็ยิ่งใหญ่ก็จริงใจทั้งนั้นแหละไม่มีศาสดาองค์ใดท่านไม่จริงใจท่านทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น อย่างอาตมานี้ บอกว่าพระพุทธเจ้าทำได้อย่างเหนือชั้นจริงๆอาตมาก็สะสมบารมีด้านนี้มา ก็เห็นอันนี้มาตั้งนานแล้วจึงมาเป็นพระโพธิสัตว์อย่างนี้ ไม่อย่างนั้นอาตมาก็เป็นบริษัทในศาสนาลัทธิอื่นหมดแล้ว แต่ทำไมยังเห็นว่าของพระพุทธเจ้าดีกว่ามาเป็นผู้ที่สืบทอดเป็นประกาศก อาตมาเป็นประกาศกของศาสนาพุทธเป็น prophet ของศาสนาพุทธ

ศาสนาอื่นก็มีประกาศกของศาสนาเขา ศาสนาพุทธนี้ไม่ได้ยกพระเจ้าที่เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนไม่เห็นหน้าสัมผัสไม่ได้ ทำเป็นเบ่งเอาไว้ว่ายอดที่สุดเท่านั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าที่ยอดที่สุดนั้นเป็นอย่างไร เราก็เอามาพิสูจน์ มนุษย์เป็นตัวสัตว์โลกที่สามารถรู้สิ่งที่ดีที่สุดประเสริฐที่สุดสูงที่สุดในความเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์จัดการทุกอย่างในโลก มนุษย์จะทำให้โลกลูกนี้แตก ก็คือมนุษย์นี้ทำได้ ไม่มีใครทำให้โลกนี้แตกได้หรอกนอกจากมนุษย์ ขนาดว่าอาร์คีมิดิส ถ้าหาที่ยืนอยู่นอกโลกสามารถงัดโลกนี้ได้เลย ก็จริงสามารถทำได้แต่หาให้แกได้อยู่ไหม

อาตมาไม่ออกไปนอกโลกหรอก เขาแยกธรรมะกับการเมือง การเมืองก็คือสังคมหมู่กลุ่มชนรวมตัวเป็นประเทศจนรวมตัวกันทั้งโลก Globalization เดี๋ยวนี้มันเชื่อมโยงถ่ายทอดกันทั้งโลกเลย ต่อเนื่องกันทั้งโลกรู้กันหมดเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นทั้งโลก อาตมานี่เขาก็รู้กันทั้งโลก เขาลงไปใน Google ใน YouTube หมดแล้วล่ะ แต่มันไม่สนใจ มันไม่ติดใจ เขาไม่รู้จริงๆ แต่ไม่รู้หมดแล้ว ทุกวันนี้ globalization Search หาได้หมด แต่จะเอาหรือไม่เอา

คนที่จะเอาอย่างที่อาตมานำมาให้ มันมีคนจำนวนน้อยที่จะมีปัญญา ปัญญาคืออะไร ปัญญาเป็นบัญญัติภาษาของพระพุทธเจ้า มีในศาสนาพุทธศาสนาเดียวในโลก ความรู้อย่างชนิดปัญญานี้ ปัญญามาจากรากฐานของสภาวะธรรมที่เรียกว่า อัญญะ เป็นพลังงานจิตชนิดหนึ่ง ที่อัญญาโกณฑัญญะสัมผัส สัมผัสคำพูดคำสอนพระพุทธเจ้าที่ตรัสขึ้น สัมผัสแล้วเข้าใจได้รู้ได้

ในโลกนี้พระพุทธเจ้าประกาศ อัญญธาตุขึ้นมา อัญญธาตุ เมื่อเป็นพหูพจน์ก็คือปัญญา อัญญธาตุ คือความรู้ที่พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของตรัสรู้เองโดยชอบเพียงผู้เดียว ศาสนาอื่นไม่มีความรู้อันนี้ ศาสนาพุทธคือความรู้อันนี้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีคำสอนที่สามารถทำให้คนเป็นสมณะ สมณะที่ 1  2  3  4 ได้ เป็นคนอาริยะประเสริฐไปตามลำดับเลย เป็นคนไม่มีโทษภัยมีแต่คุณค่าประโยชน์จริงๆ พระพุทธเจ้าทำการศึกษาความรู้อันนี้มาเป็นล้านๆชาติกว่าจะได้สูตรนี่มา รู้ไว้เสียด้วย ทำมาหลายล้านชาติหลายช่วงชีวิต อาตมาพยายามมาเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่จบ ยังไม่จบวิชานี้ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ยังเหลือระดับ 8 ระดับ 9 กว่าจะจบ

อาตมาเกิดมาเป็นอัตภาพของโลกเกิดมาเป็นจิตนิยามของโลก

พลังงานจับตัวกันตั้งแต่อุตุนิยาม ที่ถูกแรงอื่นๆกระทำเป็นวัตถุดินน้ำไฟลม เป็นอากาศเป็นพลังงานความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า อุตุนิยาม จนจับตัวเป็นพีชะ มาเป็นพืช ที่มีพลังงานในตัวเองที่รักษาตระกูลตัวเองได้ ตระกูลของกล้วยน้ำว้า ตระกูลของลูกท้อ ตระกูลของมะเขือ มันเป็นธรรมชาติเป็นสิ่งที่มันเกิดอยู่ในโลกมหาจักรวาลนี้ แล้วก็มาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เก่งจนกระทั่งมันเป็นไปได้โดยอัตโนมัติ ลูกท้อมันก็เป็นลูกท้อ กล้วยน้ำว้าก็เป็นกล้วยน้ำว้า จนกระทั่งเชื้อมันไม่สามารถเป็นกล้วยน้ำว้าได้ก็เป็นอย่างอื่นไป ถ้ามันยังเป็นอยู่มันก็เป็นของมัน จนพัฒนามาเป็นคน ก็สุดยอดแล้ว สัตว์ที่อยู่สุดยอดแล้ว เก่งที่สุดแล้วคน เสียดาย เพราะว่ายุคนี้ ไดโนเสาร์ตายเสียก่อน ถ้าไดโนเสาร์ยังไม่ตายคนก็จะเอาไดโนเสาร์มาขี่ หรือเอามาชนกันแข่งกัน สู้สงคราม กัดไดโนเสาร์ อะไรอย่างนี้ หรือ เอาไดโนเสาร์มาใช้งาน ป่านนี้ อาตมา ไม่ต้องให้เขาซื้อเทลเลอร์มาหรอก เอาไดโนเสาร์มาลากเลย พูดไปให้มันหมดๆไง

ธรรมะพุทธเจ้าที่ตรัสรู้นี้หมด อาตมาว่าหมด อาตมาก็เอามาขยายความให้พวกเราเข้าใจที่พอเข้าใจได้ อะไรที่ใช้ได้ก็เอามาใช้อะไรใช้ไม่ได้ก็ไม่เอามาใช้เพราะคนละยุคสมัยอาตมาแน่ใจว่า ให้พวกเราทันสมัย ไปอะไรที่มันตกขอบแล้วก็ไม่เอา มีเยอะเลยพวกที่โอเวอร์เกินไปแล้ว เราจะไปเอามาทำไม ก็พาทำสิ่งที่เป็นไปด้วยดี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยที่เจริญแท้

เอาล่ะเรื่องธรรมะ อาตมาก็คิดว่าเอาพอสมควร ตอนนี้ก็ตั้งใจจะพูดเรื่องการเมือง การเมืองที่จะพูดกันก็เป็นเรื่องของประชาธิปไตยเผด็จการไม่ต้องพูดเลยมันก็เหลือเชื่อเผด็จการตลอด กาลนาน พยายามจะล้มอำนาจเผด็จการ อำนาจหมู่คอมมิวนิสต์ ก็ซ้อนในนี้ จะยึดอำนาจได้คนเดียวหรือว่าเป็นหมู่กลุ่มเป็นเผด็จการฟาสซิสต์ จนกระทั่งต่อมาให้มีอำนาจโดยธรรม

ประชาธิปไตยคือ สามารถมีปัญญาจัดการกับจิตวิญญาณตัวเองได้อย่างซื่อสัตย์บริสุทธิ์ที่สุด นั่นคือประชาธิปไตยสุดยอด เนื้อแท้ของประชาธิปไตย

ทีนี้ก็ มาดูความจริงที่ประพฤติได้นั่นคือทฤษฎีใหญ่ ประชาธิปไตยคือความเป็นอิสระเสรีภาพสุดยอด ประชาธิปไตยคือความไม่มีอัตตาตัวตนสุดยอด ประชาธิปไตยคือความมีปัญญาที่รู้จักจิตวิญญาณ และจัดการกับจิตวิญญาณให้เป็นอิสระ ให้ไม่มีอัตตา นี่คือประชาธิปไตย

ประชาธิปไตยขาเดียวที่ไม่มีจิตวิญญาณเป็นประชาธิปไตยเกเร หาทางให้มีอำนาจมากที่สุด ด้วยการใช้วิธีการซับซ้อนวิธีการเลือกตั้ง แล้วก็หาวิธีที่จะควบคุมการเลือกตั้งได้สูงสุด จนกระทั่งเก่ง คนที่เก่งที่เห็นฝีมือในเมืองไทยก็คือทักษิณ เก่งสามารถทำได้ เก่งในการฐานประชาธิปไตยทำลายความเป็นประชาธิปไตย ยึดอำนาจมาให้แก่ตัวเป็นเผด็จการฟาสซิสต์ตัวเอง ให้คนไม่มีอิสระ ขนาด ทุกวันนี้คนที่เป็นลูกกโล่ก็ยังถูกจูงจมูก สามารถชักใยอยู่เบื้องหลังหุ่นชักฟอกนี้ เป็นความไร้ประชาธิปไตยสูงสุด เก่งในทางเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้หลงอำนาจสูงสุด เป็นบุคคลตัวตนจริงๆที่ยกตัวอย่างมาอธิบาย มายืนยันได้ ทักษิณนี้ เก่งจริงๆ ไปขุดผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เอามาชุบตัว 49 วันแล้วก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้ แล้วก็เด๋อหมดเลย ไม่รู้เรื่องหมดเลย ขนาดภาษายังไม่รู้เลย Thank You สามครั้ง เรียนภาษาอังกฤษมาจบปริญญาโทขนาดนี้ยังอ่าน คอ นก รีด ได้ นายกรัฐมนตรีประเทศไทยนะนี่ พูดไปแล้วมันหนำใจจริงๆคนไทย มันจะว่าตลกก็ยิ่งกว่าตลก ก็เหมือนกับเสื้อ แบ บน อก คือแบบนอก นิยมแบบนอก จังหวัดหาดใหญ่ประเทศซิดนีย์เลย ก็แกพูดอย่างนั้นจริงๆ

 

มาอ่านบทความของคุณ สุทิน วรรณบวร แกรวบรวมเรียบเรียงข้อมูลมาเป็นรอบๆดีจัง

 

ทวนกระแสข่าว

สุทิน วรรณบวร

วันพฤหัสบดี ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 02.00 น.

ผลการเลือกตั้งกัมพูชา สะท้อนปัญหาพลเมืองอาเซียน

วันอาทิตย์ที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา พรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี)(Cambodian People’s Party) ของ นายฮุนเซ็น ชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย สะท้อนให้เห็นว่า พลเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดถึงคนไทย ฝักใฝ่การปกครองอำนาจนิยมประชาธิปไตย

(พ่อครูว่า...ประชาธิปไตยที่แท้จริงจะไม่ใช่อำนาจนิยม ประชาชนเขาจะยกให้เอง หากเราเป็นคนที่บริสุทธิ์และดีพอ อาตมานี้ก็เป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง ในหมู่ชาวอโศกนี้)

 ถ้าไม่นับรวมเวียดนาม กับ สปป.ลาว ที่ปกครองแบบคอมมิวนิสต์พรรคเดียว ในอาเซียนไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา และ ประเทศไทย คนส่วนใหญ่ศรัทธาอำนาจนิยมประชาธิปไตย

สิงคโปร์ ได้รับยกย่องว่าประสบความสำเร็จในการพัฒนา ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้ามองลึกลงไปพบว่าสิงคโปร์ปกครองแบบอำนาจนิยมประชาธิปไตย เพราะพรรคกิจประชาคม (พีเอพี) ผูกขาดการบริหารประเทศมากว่า 50 ปี นายลี กวน ยู เป็นนายกรัฐมนตรีที่ใช้อำนาจนิยมประชาธิปไตย ตั้งแต่พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2533

กว่า 32 ปีที่นายลี กวน ยู ควบคุมสื่อ จำกัดเสรีภาพประชาชนด้วยกม.ความมั่นคงภายใน ผู้ละเมิดกม.ถูกจับยัดคุกฟาดก้นด้วยหวาย การเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลทำไม่ได้ โทษประหารชีวิตยังมีผลบังคับใช้หลังจากนายลี กวน ยู ลงจากอำนาจพรรคพีเอพี ยังเป็นที่นิยมศรัทธาชนะเลือกตั้งทุกครั้งแบบถล่มทลายได้ สส. เกิน 80 คน จาก 89 ที่นั่งในสภา พรรคฝ่ายค้านไม่เคยได้รับเลือกเป็นสส. ถึง 10 คน กว่า 50 ปีที่ผ่านมา สิงคโปร์มีนายกฯเพียงสามคน คือนายลี กวน ยู นายโก๊ะ จ๊ก ตง และนายลี เซียน ลุง ในสิงคโปร์ภาคประชาสังคมต่อต้านไม่ได้ แม้แต่คนในตระกูลลี ที่ขัดแย้งกันเรื่องพินัยกรรมของบิดา บางคนอยู่ในประเทศไม่ได้ลี้ภัยไปอยู่อเมริกา

ประเทศมาเลเซีย พรรคมลายูสามัคคีแห่งชาติ(อัมโน) ผูกขาดเป็นรัฐบาลมากว่า 50 ปี ดร.มหาเธร์โมฮัมหมัด เคยเป็นนายกฯในนามพรรคอัมโนตั้งแต่ 2524 ถึงปี 2546 ตลอดเวลา 22 ปี ดร.มหาเธร์ บริหารประเทศแบบอำนาจนิยมประชาธิปไตย ไม่ต่างจากลี กวน ยู และในวัย 92 ปี ดร.มหาเธร์ ชนะเลือกตั้งครั้งใหม่ในนามพรรคพันธมิตรฝ่ายค้าน โค่นล้มนายราจิบ นาซัค จากพรรคอัมโนลงได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ดร.มหาเธร์ กลับมาใหม่ แต่อำนาจนิยมประชาธิปไตยถูกนำมาใช้เหมือนเดิม ตั้งแต่วันแรกที่มีอำนาจ ดร.มหาเธร์ ออกคำสั่งห้ามนายราจิบ และภรรยาเดินทางออกนอกประเทศ จัดการปัญหาค้างคาเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ข้าราชการ อัยการที่สงสัยว่าเกียร์ว่างหรือสมคบกับนายราจิบ ถูกไล่ออกปลดออกทันที ออกคำสั่งลดเงินเดือนนักการเมืองเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินชาติ ข้อตกลงที่รัฐบาลนายราจิบ ทำไว้ อาทิ รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสิงคโปร์กับมาเลเซีย และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมูลค่านับแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ทำสัญญาไว้กับจีนถูกยกเลิกหรือไม่ก็ทวนใหม่ อดีตนายกฯ ที่ถูกข้อกล่าวหาคอร์รัปชั่นถูกจับดำเนินคดี นี้แหละที่เรียกว่าอำนาจนิยมประชาธิปไตยที่คนส่วนใหญ่ศรัทธา

 

พ่อครูว่า...อำนาจนิยมก็เป็นประชาธิปไตยได้ถ้าหากทำเพื่อประชาชนอย่างมีความรู้ ไม่ได้ทำเพื่อตัวตนเองหรือหมู่กลุ่มตัวเองเลย ไม่ทุจริตไม่โกงไม่เข้าข้างใคร ทำเพื่อประชาชนจริงๆ อย่างนายกฯตู่ทำนี่ดี มีที่ติอยู่ที่ทำเพื่อ Seniorty จุดเดียวเลย เขาก็ทำงานพอได้นะ พลเอกประวิตร ทำงานพอได้อยู่ เดินกระย่องกระแย่ง น่าสงสาร ทำได้ไม่เลว แต่คนที่แย่งอำนาจก็ว่า ที่จริงทำได้อย่างดีแล้ว ประเทศไทยขณะนี้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ การเลือกตั้งนั้นไม่ควรเลือกตั้งเลย เพราะอะไร เพราะว่าเลือกตั้งทีไรก็แพ้คนและค่ายกลที่เขาสร้างเวลาทุกที จนหวั่นใจว่า ถ้าเลือกตั้งเมื่อไหร่แล้วรับรองว่าเพื่อไทยได้แน่ แล้วก็มีท่าทีว่าจะได้อย่างนั้นอยู่ อาตมาว่า ไม่ควรจะเสี่ยงเลือกตั้งเลย โพลทุกโพลก็ยกให้นายกฯตู่หมด การเลือกตั้งมีแทกติกขี้โกงเยอะ โพลที่มี เป็นการวัดความจริงในสังคม ถ้ามันมีเหตุขัดข้องจะเลื่อนการเลือกตั้งไปอีกสัก 20 ปีก็ดี ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างหัวมันปะไร เราทำเพื่อประชาชนของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจและมันก็ดีก้าวหน้า จนกระทั่งคนที่เขายึดติดในการเลือกตั้งทั่วโลก ประเทศนั้นประเทศนี้ก็หาว่าเป็นเผด็จการรัฐประหารไม่ใช่ประชาธิปไตย เอาความรู้ขี้หมามาใช้ ทุกวันนี้ลุงตู่ไปได้ทุกประเทศยอมรับทั่วโลก นี่คือทำเพื่อประชาชน นี่คือทำเพื่อประชาธิปไตย

จะไปเอานิยายกับพวกที่อยากยึดอำนาจมาให้แก่ตัวเองแล้วต้องเอาสัจจะความจริงที่ประชาธิปไตยคืออะไร ทำเพื่อประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุขอยู่ดีสงบเรียบร้อย นี่คือประชาธิปไตยต่างหาก หาเรื่องบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี แล้วเอ็งรู้ได้อย่างไรว่าเศรษฐกิจไม่ดี โมเมว่ากัน เศรษฐกิจที่ดีที่สุดคือชาวอโศก สอดคล้องกับในหลวงที่เป็นพระโพธิสัตว์เป็นปราชญ์เอก หากว่าทำได้แบบนี้ทั่วประเทศไทยอย่างชาวอโศก ประเทศไทยจะมีเหลือกินเหลือใช้ เอาไปแจกจ่ายคนอื่นได้เลย

ต้องเรียนให้สัมมาทิฏฐิมาเป็นคนวรรณะ 9 พวกดร.ทางศาสนาน่ามาศึกษาแบบนี้ แต่ทุกวันนี้เรียนสิ่งที่ไม่ได้เรื่อง เป็นเดรัจฉานวิชชา เป็นตรรกะ ผิดเพี้ยนไปจากของพระพุทธเจ้าหมดแล้ว

 

อ่านบทความต่อ...สิงคโปร์กับมาเลเซีย เป็นประชาธิปไตยอำนาจนิยม ที่คนในประเทศและชาวโลกยกย่องศรัทธา ต่อไปหันมาดูอำนาจนิยมประชาธิปไตยในประเทศไทยและกัมพูชา ว่าทำไมจึงถูกวิจารณ์จากคนในชาติและตะวันตกตราหน้าว่าเป็นเผด็จการ ในกัมพูชา นายฮุนเซ็น อดีตนักรบเขมรแดงผ่านสงครามกลางเมืองตั้งแต่อายุสิบห้าปี ฮุนเซ็นได้เป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตั้งแต่สงครามยังไม่สงบในปี 2528 และหลังจากลงนามสันติภาพ สหประชาชาติจัดการเลือกตั้งให้ในปี 2532 นายฮุนเซ็น ได้เป็นนายกรัฐมนตรีร่วมกับสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์

การเมืองในกัมพูชาที่ผ่านสงครามกลางเมือง การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มานานกว่าครึ่งศตวรรษ ประเทศที่เต็มไปด้วยความความขัดแย้ง คนที่รอบจัดเด็ดขาดเท่านั้นที่อยู่รอดได้ ความขัดแย้งในรัฐบาลผสมนำไปสู่การปฏิวัติยึดอำนาจในปี 2536 และตั้งแต่นั้นมา อำนาจเด็ดขาดในกัมพูชาอยู่ในมือนายฮุนเซ็นเพียงผู้เดียว นายฮุนเซ็นถูกกล่าวหาทุจริตคอร์รัปชั่น ใช้อำนาจเผด็จการ แต่งตั้งบริวารลูกหลานเป็นใหญ่ รวบอำนาจในกัมพูชา แต่ประหลาดใจการเลือกตั้งที่มีคนมาใช้สิทธิ์กว่า 82 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ซีพีพี ชนะถล่มทลายน่าจะได้สส.เกิน 100 ในจำนวน 125 ที่นั่งในสภา

ผลการเลือกตั้งกัมพูชาน่าจะเป็นกรณีศึกษา ว่านายฮุนเซ็น ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นทรราช ทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นเผด็จการที่ตะวันตกต่อต้าน แต่ทำไมชาวบ้านลงคะแนนให้เขามืดฟ้ามัวดิน ผู้มาใช้สิทธิ์กว่า 82 เปอร์เซ็นต์ เป็นสถิติใหม่ที่ไม่ค่อยมีประเทศไหนทำได้ หรือว่าชาวกัมพูชาศรัทธาอำนาจนิยมประชาธิปไตย เหมือนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในประเทศไทย ที่ตลอดเวลากว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งไทยส่วนใหญ่ เทคะแนนให้ “กลุ่มการเมืองประชาธิปไตยอำนาจนิยมทุนสามานย์ปล้นชาติ” ที่ลุอำนาจบริหารเป็นรัฐบาลเผด็จการในคราบประชาธิปไตย

ตั้งแต่ทศวรรษ 2540 เมื่อกลุ่มทุนสามานย์ปล้นชาติ ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม เข้ามามีอำนาจบริหารประเทศ กลุ่มธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ ใช้เงินที่ได้มาโดยไม่สุจริตเพราะรู้ข้อมูลภายในล่วงหน้า ว่ารัฐบาลที่ตัวเองร่วมอยู่ลดค่าเงินบาท ซื้อนักการเมืองชั่วเข้าสภา มาเป็นฐานอำนาจบริหารตามแผนการทุจริตทางนโยบาย ทำให้ประเทศชาติเสียหายนับล้านล้านบาท และเมื่อถูกประชาชนจับได้ว่าทุจริตครั้งมโหฬารจึงร่วมกันขับไล่ กลุ่มการเมืองทุนสามานย์ก็จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาเข่นฆ่าประชาชน จนเป็นที่มาของคำว่าแก้วสามประการ คือ แก้วพรรคการเมือง แก้วมวลชน และ แก้วกองกำลังติดอาวุธ เป็นสามกลุ่มสามประสาน ค้ำจุนทุนสามานย์ปล้นชาติ

แก้วพรรคการเมือง ทำหน้าที่ปล้นชาติผ่านสภา อาทิ ออก กม.แปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมและมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต ทำให้รัฐเสียหายหลายหมื่นล้านบาท แก้กฎหมายการลงทุนต่างชาติเพื่อให้เจ้าของพรรคได้ขายบริษัทต่างชาติได้ หัวหน้ารัฐบาลซึ่งเป็นเจ้าของพรรค สั่งธนาคารกรุงไทยปล่อยเงินกู้ให้บริษัทของพวกพ้องที่มีประวัติการเงินไม่ดี สั่งธนาคารเพื่อการส่งออก ปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลพม่าสี่พันล้านบาท เพื่อให้พม่านำเงินมาซื้ออุปกรณ์จากบริษัทเจ้าของพรรค ฯลฯ เมื่อเจ้าของพรรคถูกประชาชนขับไล่ มวลชน กับกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งเป็นแก้วประการที่สองที่สามก็ออกมาทำร้ายเข่นฆ่าประชาชน จนถูกยึดอำนาจ

หลังถูกยึดอำนาจ ทั้งพรรค ทั้งกองกำลังติดอาวุธ และ มวลชน ออกมาสร้างความวุ่นวาย เข่นฆ่าประชาชนเผาบ้านเผาเมือง แต่ประหลาดใจที่ประเทศผ่านมิคสัญญีได้ไม่นาน พรรคทุนสามานย์ก็ชนะการเลือกตั้งเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เจ้าของพรรคถูกตัดสินจำคุก 2 ปี สมุนบริวารทั้งนายธนาคาร นายพลรัฐมนตรีถูกศาลตัดสินจำคุกในความผิดร่วมกับทุนสามานย์ปล้นชาติอย่างน้อย 12 ราย แต่พอมีการเลือกตั้งครั้งใหม่พรรคทุนสามานย์ชนะเลือกตั้งถล่มทลายอีก

ประเทศไทยผ่านวิกฤติการเผาบ้านเผาเมือง ผ่านการถล่มทำลายการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนไม่นาน ก็มีการเลือกตั้ง ทั่วไปในเดือน ก.ค. 2554 พรรคทุนสามานย์ฯชนะเลือกตั้ง ถล่มทลายได้สส. เกินครึ่งหนึ่งของที่นั่งรวมในสภา หุ่นเชิดเจ้าของพรรคขึ้นเป็นหัวหน้ารัฐบาล ที่บริหารงานราชการตามคำบัญชาสัมภเวสี ที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท จากการทุจริตจำนำข้าว หุ่นเชิดเจ้าของพรรคหนีออกนอกประเทศก่อนศาลตัดสินจำคุก 5 ปี สมุนบริวารที่สมคบกันปล้นชาติทั้งรัฐมนตรี พ่อค้าและ ข้าราชการถูกศาลตัดสินจำคุก 48 ราย แกนนำมวลชน แกนนำกองกำลังติดคุกติดตะรางหลายราย แต่น่าประหลาดใจเมื่อกำหนดวันเลือกตั้งครั้งใหม่ใกล้เข้ามา ทั้งสัมภเวสีเจ้าของพรรค และสมุนบริวารมั่นอกมั่นใจว่าพรรคทุนสามานย์ฯ จะชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์อีก

พรรคทุนสามานย์ปล้นชาติจะชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ หรือ ล้มคว่ำจมขี้ควาย ย่อมเป็นไปตามกรรม เพราะ คสช. อยู่ในอำนาจมาสี่ปีย่างเข้าปีที่ 5 ทั้งกลยุทธ์และเวลา ได้ทำให้กองกำลังติดอาวุธล่มสลาย แกนนำติดคุกบางคนหนีตายไปต่างประเทศ หัวขบวนฝ่ายมวลชนบางคนติดคุกที่เหลือรวมกันไม่ได้บางกลุ่มดิ้นรนหนีตายวิ่งหานายคนใหม่ ฝ่ายพรรคการเมืองก็ขัดแย้งวุ่นวายหาหัวยังไม่ได้ ท่อน้ำเลี้ยงแห้งเหือดหาย จุดนี้จึงเป็นนาทีทองที่ คสช. จะย่อยสลายผู้ฝักใฝ่ประชาธิปไตยอำนาจนิยมทุนสามานย์ เป็นโอกาสดีที่จะแยกย่อยเป็นหลายฝ่าย เพื่อง่ายต่อการปกครองและทำลายเมื่อถึงเวลา เฉกเช่นผักตบชวาเมื่อแยกย่อยจากกอใหญ่ก็นำมาทำเครื่องจักสานหรือทำปุ๋ยได้ง่าย

 

พ่อครูว่า...ประชาธิปไตยนั้นจะเป็นจริง ก็ต่อเมื่อประชาชนเจริญจริง เป็นอาริยชนแท้ (มีคนคอมเมนท์ว่า ประเทศเราไม่ได้เป็นประเทศมหาอำนาจ แต่เป็นประเทศมหาภิบาล) ถูกต้องเลย เก่งกว่าอาตมาอีก อาตมาจะใช้อภิบาล แต่เขาใช้มหาภิบาลเลย สู่แดนธรรมนี้มีความสามารถหลายอย่าง อย่างแต่งเพลงก็ดี เช่นเพลงป่าต้นโพธิ์ เขาจับอะไรได้หลายอย่างดี แต่ว่า เก่งหลายอย่างเป็นเป็ดน่ะ ก็หายากคนอย่างนี้ เอาโซ่ล่ามไว้หน่อยนะ

ประชาธิปไตยนั้นจะเป็นจริง ก็ต่อเมื่อประชาชนเจริญจริง เป็นอาริยชนแท้ นั่นก็คือต้องมีปัญญาเป็นเครื่องมือ คำว่าปัญญาเป็นของศาสนาพุทธ ที่รู้กันทั่วโลกไม่ใช่ปัญญาทั้งนั้น ปัญญานั้นเป็นโลกุตระ ปัญญาในโลกีย์หาไม่ได้หรอก อันนี้ยากที่จะอธิบายมากเลย ประชาชนมีปัญญาจริงก็ต้องศึกษาพุทธธรรมอย่างสัมมาทิฏฐิ

แล้วก็ปฏิบัติตนลดละอัตตาและเป็นเรื่องของอิสระเสรีภาพสูงสุด เรื่องของประชาธิปไตยนี้มี 3 คำ

1. ปัญญา 2. อัตตา 3. อิสระ

จะต้องลดอัตตาให้หมดอัตตาให้ได้ เป็นผู้บริหารทั้งประชาชน และจะต้องมีอิสระเสรีภาพทั้งผู้บริหารและประชาชน จะทำได้ต้องมีปัญญา ไม่ใช่ความฉลาดเฉลียวที่เป็น เฉกาหรือเฉโก ที่เป็นความฉลาดแบบโลกีย์ สังคมประชาธิปไตยนั้นต้องไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ส่วนรวมอย่างจริงใจบริสุทธิ์ใจไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนก็คือไม่มีอัตตา เห็นแก่ประเทศชาติ แล้วต้องเป็นปัญญาจริงๆ ต้องเป็นความฉลาดที่จริง (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไทว่า...เขากำลังจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า แต่วันนี้พ่อครูเทศนาบอกว่าไม่ต้องเลือกแล้ว เลือกไปแล้วก็เละเหมือนเดิม จะต้องไปประท้วงอีกเสียเวลา เพราะว่าประชาชนยังไม่เปลี่ยนแปลง พวกแดงก็ยังต้าน ประชาชนก็ยังไม่เข้าใจ ข้าราชการปล่อยเกียร์ว่างมีเยอะแยะ สั่งไปแล้วข้าราชการไม่ทำก็เมื่อยมากเลย เหมือนกับการทำเกษตรอินทรีย์ จะต้องทำให้จริงเป็นหน่วยเล็กๆไปก่อน ที่อำเภอวาริน สาธารณสุขอำเภอก็ได้อันดับ 1 ของประเทศ ก็ได้เอาน้ำปั่นผักของชาวราชธานีอโศกไปร่วมด้วย

พ่อครูว่า...สรุปว่าประชาธิปไตยต้องไม่เห็นแก่ตัวต้องเห็นแก่ประเทศชาตินั่นก็คือการต้องลดอัตตา แล้วต้องมีปัญญาจริง แล้วต้องมีอิสระเสรีภาพจึงจะดีที่สุด ไม่ต้องมีเศรษฐกิจแบบสาธารณโภคี การเมืองก็มีการอภิบาลกันเอง อย่างที่ผู้บริหารสูงสุดไม่ต้องมาดูแลเลย

จะว่าอาตมาหลงตนก็แล้วแต่ อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาพัฒนาให้ประชาชนเกิดเป็นจริงได้สำเร็จเอาไปโชว์ในโลกได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสหประชาชาติหรือจุดศูนย์กลางของโลก ตอนนี้ชาวโลกยังไม่รู้จักประชาธิปไตยจริง ยังไม่รู้จักเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ เศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ของชาวอโศกเป็นอย่างไร

เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์อยู่อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ มีอยู่มีกินมีใช้อยู่กับสังคมที่สงบสุข อยู่กันอย่างเป็น อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ เป็นสุนทรียภาพ เป็น สูญภาพ Voidness

มีประเทศไทยประเทศเดียวที่พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าต้องมาเอาแบบคนจน ต้องอยู่อย่างสังคมที่ขาดทุนให้แก่ผู้อื่นได้ นั่นแหละกำไรของเรา ต้องทำให้เป็นประเทศที่ขาดทุนได้ตลอดเวลา นั่นมันแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ เราขาดทุนแต่เราอยู่ได้มีกินมีใช้อิ่มหมีพีมัน สุขสำราญเบิกบานใจ แล้วมันก็ขาดทุนให้แก่ประเทศอื่น นี่คือประเทศเจริญ

ถ้าเป็นนโยบายซับซ้อนประเทศตัวเองเจริญเอาไปขายแล้วก็ขึ้นราคาเอาให้แพงให้มาก บอกว่าตัวเองเป็นคนดีอะไร ไม่ใช่เลยทั้งที่เป็นคนใจดำ มีกินเหลือแล้วเอาไปขูดรีดกับผู้อื่นอีก เป็นเศรษฐีใหญ่ของโลกครอบงำโลก สร้างอาวุธสร้างอำนาจกันใหญ่ที่สุด บ้าไม่จบ

ไม่รู้จักเอาแบบตำราพระพุทธเจ้ามาใช้ เพราะพระพุทธเจ้าเป็นประชาธิปไตย ในยุคของท่านที่ยิ่งใหญ่มาก พระเจ้าแผ่นดินองค์ไหนก็ยกให้หมดเลย ใครมาเข้ารีตของท่านก็เป็นคนในประเทศของท่านเลย

มีคนบอกมาว่า “เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เชิญตั้งนี่แหละคือประชาธิปไตยแท้”

มีบทกวี นัยปกเราคิดอะไรที่อาตมาเขียนไว้

 

ประชาธิปไตยที่เจริญแท้ (ฉบับ 250)

 

(1) ผู้แทนที่เลือกตั้ง    เข้าสภา

มีอำนาจแทนประชา   เท่านั้น

ขืนใครเบ่งเกินฐา-            นานุศักดิ์

นั้นผิดจากขีดขั้น       จักต้องเข้าคุก

                             

(2) หลงสนุกว่าอำนาจข้า        เต็มตัว

ใช้สิทธิ์จนเมามัว             ชั่วช้า                                 

ละเมิดมั่วมิเกรงกลัว          ถูกผิด ใดเลย

นั่นประชาธิปไตยบ้า         บ่งชี้ทรชน

 

(3) คนที่เลือกตั้งไม่          บริสุทธิ์

กลวิธีก็ทุจ-                     ริตซ้ำ

การเมืองจึ่งถูกฉุด            ใช่ประ ชาธิปไตย                 

ขืนตกต่ำย่ำย้ำ                 อยู่ฉะนี้บรรลัย

 

(4) ใครใคร่นำชาติพ้น           วิปริต

ไม่ย่ำการเมืองผิด             เข็ดบ้าง

ต้องรู้ครบทั้งสิทธิ์             หน้าที่ ตนแล

หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงสร้าง          อำนาจชี้อธิปไตย

                       

(5) เป็นไทยอิสระใช้        สิทธิ์เสียง

ใช่ออกสิทธิ์ได้เพียง         เลือกตั้ง

แต่สิทธิ์ถกและเถียง          ได้ทุก เวลาแล

ยิ่งประท้วงปรับทั้ง                  รัฐเปลี้ยเปลี่ยนสภา

 

(6) มาชุมนุมประท้วง        เป็นสิทธิ์

สิทธิ์ใหญ่กว่าใดฤทธิ์        วิเศษล้ำ

หากล้วนเปี่ยมธรรมจิต            สงบสุด อหิงสา

เอาสัจจะชนะค้ำ               ประเทศไว้เจริญจริง. 

 

สไมย์ จำปาแพง

                           30 มี.ค. 2554

 

     ประชาภิวัฒน์ที่เป็นประชาธิปไตย (ฉบับ 249)

 

            (1) หากคนใช้สิทธิ์แท้ ตนมี

            หนึ่งสิทธิ์ร่วมทุกที            ที่ประท้วง

            เมื่อเราต่างเห็นดี        ตามหมู่ นั้นแฮ

            อธิปไตยก็โชติฉ้วง           ประเสริฐได้ดังหวัง    

                 

            (2) การเมืองยังน้ำเน่า อีกนาน       

            หากไม่ร่วมประสาน          สิทธิ์สู้   

            ประท้วงนี่แหละการ-   เมืองยิ่ง แท้แล                

            หน้าที่ชนทุกผู้           พรั่งพร้อมชุมนุม 

                 

            (3) มุมหนึ่งแค่เลือกตั้ง      ใช่ประชา ธิปไตย

            แม้นไม่ปาริสุทธา       เล่ห์ล้วน

            แต่ถ้าร่วมประท้วงมา   ให้มาก 

            หน้าที่อธิปไตยถ้วน          ถูกต้องครองธรรม

     

            (4) ได้แต่ย้ำเลือกตั้ง   คือประชา ธิปไตย

            แต่ทุจริตเล่ห์พา         หลอกซ้ำ

            เผด็จการพรรคสภา          กุมอำนาจ

            อธิปไตยชนช้ำ          ใช่ชี้การเมือง     

                       

            (5) เรื่องชัดยิ่งกว่านั้น คือเสียง ประชาชน

            ร่วมประท้วงพอเพียง  เพื่อชี้    

            อำนาจแห่งชนเผดียง  แก่รัฐ บาลแฮ

            อธิปไตยชนเช่นนี้      ที่แท้การเมือง           

     

            (6) ใช่เรื่องแค่เลือกตั้ง คือประชา ธิปไตย

            หากหมู่ชนออกมา            ผนึกแท้

            ชุมนุมประท้วงปรา-          กฏแก่ โลกเลย

            เห็นหลัดหลัดชัดแล้    อำนาจแท้ของประชา

 

สไมย์ จำปาแพง  24 ก.พ. 2554

 

พุทธที่สัมมา  คือประชาธิปไตยสุดยอด-252

 

            (1) เจ็ดสิบเก้าย่างแล้ว เมืองไทย เอ๋ยฮา

            อธิปไตยอยู่ที่ใคร       วะเว้ย                                                          ยกให้รัฐบาลไป         เผด็จเสร็จ กระนั้นฤา

            แล้วประชาชนละเฮ้ย         หมดสิ้นสิทธิ์เสียง

            (2) เพียงแค่ชื่อใช้ว่า        ประชาธิป_ ไตยโว้ย

            แต่พฤติรัฐริบ            อำนาจไว้  

            ชนท้วงรัฐยากชิบ_           เป๋งสุด สุดเลย

            รัฐบ่ส่งเสริมให้                สิทธิ์แท้แก่ประชา

            (3) แสดงว่าอำนาจนั้น      m

            รัฐกำจัดอธิปไตย       ไป่สร้าง

            ท้วงคือสิทธิ์ชนไฉน          รัฐสกัด กระนี้เล่า      

            ควรส่งเสริมเกิดกว้าง        ก่อก้าวโดยธรรม

            (4) ที่สำคัญยิ่งแท้            คือไทย

            ต่างนับถือพุทธไป      ทั่วแคว้น

            ประชาธิปไตยใน       พุทธยิ่ง สุดแล

            คำตรัสศาสดาแม้น           สดับแล้วพึงเห็น 

            (5) เป็นธรรมสูงสุดล้ำ ปรมัตถ์

            หากประลุปฏิบัติ         จักแท้                                 

            ทรงอธิปไตยชัด         แจ้งยิ่ง

            ประเสริฐกว่าใดแม้           แต่ขั้นโสดาฯ            

            (6) ยิ่งกว่าเอกราชทั้ง ทั่วไผท

            ยิ่งกว่าสวรรคาลัย      เลิศแล้

            ยิ่งกว่าอธิปไตยใด            ในโลก ทั้งปวง

            คือประชาธิปไตยแท้         กว่าอ้างอิสรา.    

     

                                    สไมย์ จำปาแพง            

                                          7 มิ.ย. 2554

            [นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 252 ประจำเดือน กรกฎาคม 2554]

 

 

 

สัจจะแห่งการเมือง-266

 

(1) การเมืองเรื่องมนุษย์แท้      ทั่วคน

คือกิจเกี่ยวกับตน             ทุกผู้

ใครคิดผิดไม่สน-             ใจสุด ซวยเลย

ทุกเรื่องการเมืองกู้                  ทุกข์ให้สังคม                       

      (2) แต่ไทยซมทุกข์ด้วย    การเมือง

แปดสิบปีหมดเปลือง                เปล่าปลี้

ซ้ำกระหน่ำหนักเคือง              แค้นใส่ กันแล

ล้วนก่อเรื่องชั่ัวชี้              บ่งให้ไทยเหลว                     

      (3) คนเลวเป็นเหตุให้       ทุรยุค

เมืองเสื่อมคนซานซุก              ซับซ้อน

การเมืองมากเรื่องทุกข์                  โถมถั่ง

เหตุมนุษย์สุดปลิ้นปล้อน          ดะด้านทานทน         

      (4) เป็นค่ายกลเล่ห์ร้าย     สลายยาก

ผนึกชั่วผชุมราก              ลึกแล้

แก้ยากกว่ายากมาก                ไทยยุค นี้เอย

เหตุเพราะแก้บ่แท้             บ่ถ้วนถูกทาง

      (5) ต่างหลงกันแก้ที่         ธรรมนูญ

ทุกอย่างจักบริบูรณ์                ว่างั้น

โถเชื่อเถิดนั่นสูญ             เสียเปล่า

คนชั่วแต่ฉลาดนั้น                  บ่หยั้นดอกคุณ                

      (6) ธรรมนุญดีสุดด้าว       ปานใด

คนชั่วนั้นชั่วไป                      ทุกด้าน

แม้แก้กฎอะไรไฉน                 มิจบ เชื่อเถอะ

คนนี่แหละจักต้าน            ต่อสู้สารพัน

      (7) ต้องหันมาแก้ที่          ตัวคน

การศึกษาจักดล               มนุษย์ได้ 

ต้องเป็นสุจริตชน             แท้แน่

แก้มนุษย์สำเร็จไซร้                วิเศษแท้การเมือง.     

 

สไมย์ จำปาแพง          5 ส.ค. 2555

 

                 

ไม่มีบาปชั่วใด ๆที่บุคคลผู้มีปกติกล่าวคำเท็จจะทำไม่ได้-255

      (1) พุทธพจน์บทหนึ่งก้อ   ควรสำนึก
หากขบถบ่รู้สึก                      สักน้อย
เป็นพุทธไพล่ไกลลึก               เป็นไพร่                              
ฉลาดพูดแต่ละถ้อย                 ไพล่เพี้ยนโง่ไฉน           
            (2) เพราะเห็นใครก็ล้วน         โง่หมด
จึงกล่าวกล้าโป้ปด            โจ่งแจ้ง
ยิ่งกว่านู้ดตอหลด             เปลือยอวด โลกแล
พูดไม่อายเสแสร้ง            เก่งข้าจริงใจ
            (3) คำใดใครพูดด้วย       คำสัตย์
พระศาสดาย้ำตรัส                  อมตะแท้
ใครอสัตย์ตระบัด             ตกนรก แน่เลย
คนชั่วบ่เชื่อแม้                       เท็จแล้วยังผยอง                               
(4) บาปของคนเท็จพร้อง  ทุกขณะ
เป็นปกติแห่งชีวะ              ปดโป้         
ไม่มีบาปใดจะ                              ทำมิ- ได้แฮ                   
ฟังประหนึ่งเว่อร์โม้                 แต่แท้คือจริง              
            (5)  จริงยิ่งจริงกว่าผู้        มองเผิน
เพราะมิเห็นโทษเกิน               กว่ารู้
จึ่งฟังคำตรัสเมิน              เพียงผ่าน
สุดสลดพุทธพจน์กู้                 ชาติแล้งแรงธรรม
            (6) ขอสำทับว่าบ้าน          เมืองไทย
ต้องกลับทุ่มโถมใน                 เรื่องนี้
ระดมศาสน์ทุกศาสตร์ไป          ให้ทั่ว ไทยเลย
หากรัฐไหวทันชี้                    ชาติฟื้นคืนสวรรค์.

สไมย์ จำปาแพง           16 ก.ย. 2554


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:28:49 )

610820

รายละเอียด

610820_รายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 7 ณ บ้านราชฯ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1TfZ5zjNhCYnb2IXQJlqyaowBAOQFZXZjvtSKq2h5Dmg/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1SMvWtv79x_XTqMXO-T5KtEzjK9ryrUd2

พ่อครูว่า..วันนี้วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

.SMS วันที่ 19 สค. 2561 (วิถีอาริยธรรม)

 

_3867กราบอนุโมทนาพ่อครูกับธรรมะ2อย่างรวมเป็นอันเดียวกับเวทนาฯเพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนาฯเพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะฯสาธุ!คนโลกเงียบฟังธรรมพ่อครูดูบุญนิยมอยู่เสมอ!

พ่อครูว่า…ตรงนี้นี่นะ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 อาตมาเจอมาตั้งหลายปีแล้ว ก็น่าจะได้ขยายความให้ชัดเจนตั้งนานแล้วแต่มันมาคลายความออกปีนี้

นี่แหละคือหัวใจศาสนาขอยืนยัน หัวใจที่บอกสูตรรวมของอริยสัจ 4 เหตุของทุกข์ อยู่ที่ทุกข์ แล้วก็เจอเหตุ ก็เวทนานั่นเอง ไม่มีเวทนาก็ไม่มีทางปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ ไม่บรรลุอรหันต์ พวกที่ไปนั่งหลับตาไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา ถึงน่าสงสารมาก เป็นการปิดประตูที่จะไปนิพพานอย่างสมบูรณ์แบบ ทำไมหนอ มีครูบาอาจารย์เฉลียวฉลาดเกิดก่อนเราตั้งเยอะ ก็ไปกับเดียรถีย์หมดเลยอันนี้ก็น่าเห็นใจ อันนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งที่ยิ่งใหญ่มาก

คนที่ไม่มีภูมิรู้อย่างชัดเจนจะไม่สะดุดตรงนี้และไม่มาแก้ไขตรงนี้ อาตมาก็พูดไปนี่เท่ากับชมตัวเอง และเห็นว่าศาสนาพุทธจะไปไม่รอด เราก็มากอบกู้กันได้ขนาดนี้ ก็พอได้ทันการ เป็นหน้าที่อาตมาไม่ได้สงสัยอะไร พูดขนาดนี้ก็เบ่งหนักหนาแล้ว

 

_พร พรพิมล · กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ดิฉันทราบมาว่า ท่านอาจารย์ ยุทธวโร มีโรคร้ายในร่างกายของท่าน ถ้าร่างกายอ่อนแอเมื่อใด โรคร้ายนั้นก็จะกำเริบขึ้นมา ดิฉันคิดว่า ด้วยเหตุนี้ท่านอาจใช้สถานที่และสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ในการบำบัดรักษาตัวก็ได้นะคะถ้าความคิดเห็นนี้ผิดพลาดประการใด ดิฉันกราบขออภัยด้วยค่ะ กราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า…เป็นโรคร้ายก็ต้องให้หมอดูแลจัดการไม่ใช่ไปหมกตัวอยู่อย่างนั้น ได้เท่าไหร่ก็ช่วยกันเท่านั้น

 

_ธนวรรณ · ท่านมีจิตกิเลส มั้ยค่ะ ท่าน มีความโลภความหลงมั้ยค่ะ ท่านต้องการเป็นผู้ชนะมั้ยค่ะ

พ่อครูว่า…ตอบรวบเลย ไม่สักอย่าง ตอบง่ายดี

ด้วยความจริงนะที่ต่อไปนี้ ใครจะเข้าใจแค่ไหนก็เอาแค่นั้น อาตมาพูดเปิดเผยตัวเองไปจนพวกเขาหมั่นไส้ อาตมาก็สงสาร คนเรานี่หมั่นไส้คือการผันผวนชนิดหนึ่ง เขาต้องเกิดเพราะมีกิเลสชนิดนั้นจริง อาตมาก็ไม่สามารถไปห้ามเขาได้ อาตมาก็ไม่สามารถที่จะไม่พูดความจริงได้พูดมากจนไม่เหลือ

 

นี่ก็เลยสองเดือนมาอีก 15 วันที่เลยวันเคยเกิดของอาตมา อายุยาวขึ้นเท่านั้นไม่ได้แก่ด้วยนะ พยายามจะหนุ่มกว่าเก่าด้วย พากเพียรอยู่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน จะมีผู้บรรลุอรหันต์เท่าไหร่ในยุคนี้

_ใบฟ้า...มวล ของพุทธบริษัท 4 ที่บรรลุอรหันต์ ใน ยุคกอบกู้ศาสนาให้ครบ 5000 ปีของพระนิยตโพธิสัตว์ จะแตกต่างจากครั้งพุทธกาลมากน้อยเพียงใด ชั่วระยะเวลาของการสืบสานศาสนาคือ 2500 ปีเท่ากันโดยประมาณ

พ่อครูว่า...อาตมาตอบไม่ได้ว่าจะมีผู้บรรลุอรหันต์เท่าไหร่ คนเข้าใจไม่ได้ว่าผู้บรรลุอรหันต์ จริงบรรลุยากแต่ยุคนี้ ผู้มาฟังธรรมที่มีบารมีก็มี ขนาดธรรมเทศนาแสดงทุกวันนี้เป็นธรรมะโลกุตระเป็นธรรมะที่ยากลึกซึ้ง พวกเราฟังธรรมก็สามารถบรรลุเป็นอรหันต์ อนาคามี สกิทาคามี โสดาบัน ก็มีจริง แต่บอกไม่ได้ว่ามีอรหันต์เท่าไหร่

อรหันต์จริงๆมีสองระดับ จะเรียก อรหัตตมรรคกับอรหัตตผล

จะเรียกระดับอาสวะกับอนุสัยก็ได้ เป็น ปัญญาวิมุติ กับอุภโตภาควิมุติ

แต่พูดไปไม่ดีเลย พวกเราบรรลุอรหันต์ในระดับปัญญาวิมุติ แต่ยังเหลือจิตที่มันยังมีอนุสัย มาเล่นงานบ้างเล็กน้อยแวบบ้าง บางเบา ก็มีอยู่จริง

ส่วนผู้อรหันต์หมดเลยไม่เกิดเลยก็มีอยู่ แต่ตัวเองไม่เก่ง ในการที่จะดูตัวเองได้ ไม่กล้าจะปฏิญาณตน แต่ท่านก็สบายๆ เพราะว่ามันนาน สัญญาก็เรื้อสัญญาสับสนนิดหน่อยเรียกว่าวิปลาส 3 วิปลาส 4 สับสนในพยัญชนะบ้างเล็กน้อย เมื่อมันนึกถึงสภาวะ พยัญชนะเป็นอย่างนี้ สับสนเท่านั้นเอง แต่ที่จริงลงตัวแล้วสภาวะแท้หรือความจริงแท้ลงตัว แต่มาฟังพยัญชนะที่อาตมาเอามาเปิดเผยอธิบาย ก็ไปจับพยัญชนะมาใช้ มันก็เลยทำให้สับสน ก็เป็นได้

เอาล่ะ ความจริงของผู้ที่มีจิต ได้มาเรียนรู้และปฏิบัติก็ได้ของตัวเองเป็นอย่างนั้น แม้จะเป็นสภาวะธรรมะ 2 คือ สภาวะกับพยัญนะ มันจะไม่ลงตัวทีเดียวก็ไม่เป็นไร ศึกษาไปก็จะสนิทแน่นดี

ทุกวันนี้มันไม่ลงตัว เพี้ยนไป จนกระทั่งจะจับสัจจะมาใช้แทบไม่ได้ เพราะมันถูกต้องถูกทำลายถูกทำให้เสียหายไปเยอะ ที่จริงผู้อยากรู้ไม่ควรจะอยากรู้เกินไป จะรู้ไปทำไมว่ามีอรหันต์เท่าไหร่ จะเอาไปซื้อหวยหรืออย่างไร เอาไปทำสถิติอะไร ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกหรืออย่างไร มันก็ไม่จำเป็นถึงขนาดนั้น แต่เอาล่ะคนเรานี้ความอยากรู้มันมีมาก จนสิ่งที่ไม่น่าจะอยากรู้ เพราะว่าผู้ที่จะรู้ก็ยังไม่สามารถจะตอบได้ง่าย ต้องไปถามคนอื่นอย่าไปกวนเขามากนัก

 

_เกร็ดดิน...เกี่ยวกับเรื่องเจโตกับปัญญา สัมมาทิฏฐิก็คือตัวปัญญา สัมมาทิฏฐิที่จะต้องมีทาน ศีล ภาวนา ก็คือหมายถึงว่าเราจะต้องแม่นว่าจะต้องเสียสละ ในฐานเป็นเบื้องต้นและบั้นปลาย

สัมมาทิฏฐิ คือเราได้พบสัตบุรุษ ได้ฟังสัทธรรม แล้วก็เกิดศรัทธา อันนี้เป็นปัญญาในระดับหนึ่ง เราถึงเกิดความเชื่อถือ แล้วเอาไปปฏิบัติ เพราะปัญญามีตั้งแต่ สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา

ถ้าพูดแบบปัญญามันก็จะสับสน เพราะปัญญานี้จะมีปัญญา ญาณ วิชา มันก็เป็นเรื่องของความรู้ทั้งนั้น แต่ดิฉันมาจับในองค์มรรคสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นประธานก็คือเป็นปัญญาในองค์ธรรมของสัมมาทิฏฐิ เมื่อเราได้ฟังแล้ว เราก็เอามาลองปฏิบัติ ครั้งแรกที่ดิฉันพบท่าน ดิฉันก็บอกว่าดิฉันบวชศีล 8 พ่อท่านเลยบอกว่า แล้วถือศีลแล้วได้อะไรบ้าง ก็เลยตัดสินใจว่าไม่สึกแล้วอยู่ต่อ(พ่อครูว่า..เขาบวชตั้งแต่ 20 กว่าตอนนี้ 70 เท่านั้นเอง) คือพอพ่อท่านให้อันนี้คือนี้ ดิฉันก็เอาไปตรวจทบทวน เราก็พบว่า ศีลเราบกพร่อง กินมื้อเดียวแต่นั่งซะนาน ชุดแม่ชีตัดมา 2 ชุดต่อมาก็มีเพิ่มหลายชุด (พ่อครูว่า..ขนาดบวชที่วัดอโศการามถือศีลเคร่งกินมื้อเดียวนะก็ยังอยู่ไม่ได้)

สัมมาทิฏฐิที่จะต้องมีความเพียรและสติห้อมล้อม ในการพูดการกระทำในชีวิตของเรา ใน กาย วาจา ใจ ศีล 5 นี้สุดยอดแล้ว ตอนหลังศีล 1 2 3 อยู่ในสัมมากัมมันตะ วาจาก็เป็นตัวเชื่อมแต่ข้อ 5 นี้สำคัญ โมหะอยู่ที่ศีลข้อ 5 เพราะมันเมาหลง พ่อท่านก็แบ่ง สุรา(อบาย) เมรยะ(กามคุณ โลกธรรม) ใช้ศีล 8 มัชชะ(อรูปอัตตา)

ในศีล 5 ตอนนี้มาแยกต้องจับคู่ให้ได้ มีวาจาเป็นตัวเชื่อม แต่สังกัปปะนี้จะยาก แล้วสังกัปปะนี้ อะไรไม่รู้ ไปจำอะไรมามากนัก แต่พ่อท่านว่าสัญญาตัวสุดท้ายคือสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นวิโมกข์ข้อ 8 แต่ปัญญาจะเกิดอย่างไร ทั้งนอกและใน เป็นลำดับ

ปัญญา เป็น  สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา  กว่าจะถึงภาวนาก็จับที่ศีลมาแต่ต้น ศีล 5 ครบหมดแล้วแต่เราแทงไม่เป็น

พ่อท่านให้ใช้อปัณกธรรม ลืมตาปฏิบัติ เราก็ต้องทานให้หมดด้วย สติปัฏฐาน 4 คู่กับอานาปานสติ 16 ตอนนี้เข้าใจแล้ว ก็มาดูว่าลมหายใจคือชีวิตของเรา อานาอาปานะคือเยื่อใยในชีวิตของเรา พอบอกเดินลมปราณ ดิฉันหายใจสั้น เราก็พยายามตามลมหายใจ เขาว่าให้นับร้อยก็พยายามต่อเนื่อง ทำให้สติแววไว แต่ดิฉันนี่พูดเร็ว คิดเร็ว ดิฉันเลยไม่ค่อยอยากพูด เพราะว่าอารมณ์สติไม่ค่อยทัน

การจะตามลมหายใจได้ต้องคู่กัน รูปนาม อานาปานสติกับสติปัฏฐาน 4 ไปจับลมหายใจก็ยาก แต่ก็ได้ผลเร็วและต่อเนื่องได้ เวลาผัสสะอะไรก็แววไว สติก็เต็มที่ เพราะเดินองค์มรรค ปัญญากับเจโตก็ทำงานพร้อมกันตลอดเวลาใช่ไหมคะ

 

พ่อครูว่า...ใครที่ฟังเกร็ดดินฟัง แล้ว ฟังรู้เรื่องดีตามที่เขาพูดมีไหม ...ที่พูดนี้อาตมาก็พอใจที่อาตมา อธิบายธรรมะสอนธรรมะทุกวันนี้ แล้วเขาก็เก็บธรรมะไป เอาไปทางบัญญัติภาษาที่บอกอธิบาย ก็ต้องไปเทียบกับสภาวะตัวเอง ไม่งั้นมันจะสับสนกันมากเลย พูดก็สับสน แต่ทีนี้คนที่เอาไปได้ก็จะรู้ว่าเขาสับสนหรือไม่สับสนอะไร เรียบเรียงได้ขนาดนี้ก็ดีมากแล้วใช้ได้

 

_หนึ่งฟ้า…(พ่อครูว่า...คนนั้นเกร็ดดิน เดิมชื่อทิพย์เทวี คนนี้หนึ่งฟ้า เดิมชื่อทิพย์วิมล )

ขอถามเรื่องสายเจโตกับปัญญา เจโตจะต้องมีศรัทธาเป็นตัวคู่ปัญญาเป็นเดี่ยวได้

ศรัทธามันมี 3 ตัวคือความเชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น

คำถามคือศรัทธาตัวนี้มีความสำคัญในการ ส่งผลต่อการพัฒนาการของโพธิสัตว์ในระดับต่างๆจนถึงพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ วิริยาธิกะหรือไม่

พ่อครูว่า...มีสิไปด้วยกัน

เป็นการส่งผลต่อเนื่องให้ถึงการแบ่งแยกสายใช่ไหม

ต้องไปด้วยกัน การแบ่งแยกสายเป็นจริตของแต่ละบุคคล เท่านั้นเอง ต้องใช้ทั้งคู่ศรัทธาและปัญญา เป็นธรรมะ 2 ที่แยกกันไม่ได้ช่วยกันไป เหมือนกับบวกกับลบของนิวเคลียส เป็น Static และ Dynamic

 

คำถามคือ ดิฉันตั้งข้อสังเกตระหว่างการปฏิบัติธรรมในส่วนของที่เรียกว่าจรณะ 15 วิชชา 8 กับโพธิปักขิยธรรม 37 ในจรณะ 15 วิชชา 8 จะมีตัวศรัทธา ขนาดที่โพธิปักขิยธรรม 37 ไม่มีคำว่าศรัทธาอยู่ในนั้นเลย

พ่อครูว่า...มีสิ สัทธินทรีย์ ไง

_คำถามคือว่า...ระดับของการปฏิบัติธรรม ทันทีที่เราฟังธรรม มาด้วยกันนี้ คนที่ มีความเข้าใจในส่วนของสัมมาทิฏฐิ 10 ที่เป็นตัวศรัทธาในสัตบุรุษ เชื่อมั่นในสัตบุรุษ 100% เส้นทางเดินระหว่าง ทาน ศีล ภาวนา จนถึงสัตตาโอปปาติกะ มันก็จะมี ทำให้เห็นการพัฒนาการของคนในการปฏิบัติธรรมว่า ถ้าเราเดิน ถามเส้นทางศีล สมาธิ ปัญญา แล้วลงรายละเอียดในจรณะ 15 โพธิปักขิยธรรม 37 จนถึงปัญญาเป็นตัวสุดท้าย ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่ถือว่าจบในการปฏิบัติธรรม ด้วยเหตุนี้ในระหว่างการเดินทาง เราก็จะรู้ว่า เราแค่ได้มาเล็กน้อยก็จะรู้ว่ากว่าเราจะได้ขนาดนี้ต้องลงทุนขนาดไหน

สำหรับพระโพธิสัตว์ที่เดินทางมาจนถึงระดับสูง จนถึงระดับ 7 สยังอภิญญา จนถึงพระพุทธเจ้ายิ่งจะรู้มากทบเท่าทวีจนเรารู้ไม่ได้เลย

ในจรณะ 15 มีเรื่องของ โภชเนมัตตัญญุตา และสัมมัตตะ 10 ก็จะมีการประมาณ พ่อครู พูดถึงเรื่องการที่แปลว่ารูปกับนาม และพัฒนาการจากมูลสูตร 10 ที่สุดแล้วสามารถกำหนดการเกิดการตายได้ แปลว่าการกำหนด อสัญญีสัตตายตนะ และสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นอายตนะคู่สุดท้าย จะต้องมีฝีมือระดับเซียนเหยียบเมฆ ต้องรู้กลไกของรูปนาม รูปรูป อรูปอรูปและนามรูปที่เป็นอุปาทายรูป 24 มันชัดเจนอยู่แล้ว จะส่งผลให้เกิดสัมประสิทธิ์ Coefficient ตลอดเวลา

Coefficient ของนิยตโพธิสัตว์จะทำให้เกิด Fission ระดับที่ควบคุมได้ อรหันต์ธรรมดาควบคุมไม่ได้ต้องมีแต่ระดับ นิยตโพธิสัตว์ ที่จะควบคุมFissionได้ดี จนไปถึงพระพุทธเจ้า นั่นแปลว่ากระบวนการที่พ่อท่านกำลังเดินทาง กำลังจะเข้าสู่จุดสูงสุดในการควบคุมปฏิกิริยา Fissionซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

 

พ่อครูว่า..แต่ Nuclear Fission เก็บมาไม่ได้หมดหรอก แต่มันได้มากที่สุดก็คือพระพุทธเจ้า

หนึ่งฟ้าว่า...สามารถควบคุมได้มากที่สุด

พ่อครูว่านี่คือ mc2+ A ที่เก็บให้เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ

หนึ่งฟ้าว่า...นั่นแปลว่าทุกวินาทีเศษเสี้ยวของวินาที พ่อท่าน สามารถคอนโทรลตัวเองได้ทุกระบบ ควบคุมตัวเองได้ทั้งกายขันธ์

พ่อครูว่า...ไม่สามารถดูอาการ 32 ทั้งหมดหรอก ทวัตติงสาการ ถ้าหากควบคุมได้มันไม่ไอหรอก

และจะชดเชยในอาหาร 4

หนึ่งฟ้า...จะต้องดูสภาพในร่างกายพอสมควร ที่จะลดการสูญเสียเนื่องจากเวทนาได้เบ็ดเสร็จ 100%

พ่อครูว่า...คุณเข้าใจว่าอาตมาเก่งเกินไป มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก

หนึ่งฟ้าว่า...ดิฉันเข้าใจถูกมั้ย

พ่อครูว่า...ก็ใช่ แต่คุณประเมินสูงไปเท่านั้นเอง

มันไม่ใช่ชาติเดียวมันเป็นล้านชาติ

หนึ่งฟ้าว่า...ทั้งหมดที่ดิฉันพูดขณะนี้คือว่าความเป็นโพธิสัตว์ในการเดินทางแปลว่ากลไกในการควบคุมนี้ มันมีตั้งแต่วันแรกที่ฝึกปฏิบัติธรรม แล้วก็มีพัฒนาการที่แข็งแรง ช่ำชองเชี่ยวชาญ จนทุกวินาทีที่เดินทางผ่านไป ดิฉันเลยนำมาทดลองเทียบเคียงว่า สำหรับลูกศิษย์ เรารู้ว่าพระอาจารย์ดำเนินมาอย่างช่ำชอง บางเรื่องเราไม่มีสภาวะ แต่เราต้องดูว่ามันต้องมีความจริงเกินร้อยที่จะใช่ ทุกวันนี้เราไม่เข้าใจเรายกไว้ได้ แต่จะมีบางคนที่ว่า อันนี้เป็นประโยชน์ที่ดิฉันจะได้ยินบ่อยๆว่า อย่างพ่อท่านปฏิบัติธรรมจะรู้เรื่องธรรมะแต่เรื่องอื่นเพราะท่านไม่รู้หรอกไม่มีประสบการณ์ เช่น ไม่มีประสบการณ์เรื่องการเมือง หรือเรื่องอื่นๆ ดิฉันว่าไม่น่าจะใช่

สิ่งที่พ่อท่านพยายามจะบอกคือความสำคัญของโลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ

ความสามารถของพระโพธิสัตว์จึงขึ้นอยู่กับโลกวิทู ตรงนี้พระโพธิสัตว์ที่เดินทางมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏ และจะไปถึงปลายสุดท้าย ความเชี่ยวชาญการหยั่งรู้จึงมากมายมหาศาลเกินกว่าที่เรา จะสามารถหยั่งรู้ ตรงนี้แหละ อย่างนั้นดิฉันเข้าใจถูกไหม

พ่อครูว่า...ตกลง อันสุดท้ายนี้คุณเท่ากับพูดว่าอาตมารู้เรื่องการเมืองหรือไม่?

จริงๆแล้วอาตมารู้ทุกอย่าง

หนึ่งฟ้าว่า...ดิฉันฟังธรรมพ่อครู มาอย่างยาวนานพอสมควร ก็ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ จนสามารถสรุปความว่า ถ้าแม้นเส้นทางเดินเป็นอย่างที่พ่อท่านพูดจริงในทุกเส้นทาง มันจึงเป็นความยิ่งใหญ่ที่เกินคาดที่มนุษย์สามัญจะเข้าใจได้ แม้กระทั่งที่เราเดินทางมาเล็กน้อยเป็นสะเก็ด ก็พอเห็นร่องรอยว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน พ่อท่านพูดมาจึงยืนยันว่าพ่อท่านรู้ทุกอย่าง สามารถกำหนดการเกิดการตายอย่างไม่มีเงื่อนไข นอกเหนือจากมัตตัญญุตา ปโหติ และสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 คือความพอเหมาะพอดีในการเดินทาง ทั้งหมดคือบทสรุปที่ว่า

รอยต่อระหว่างการเดินทาง สายเจโตที่ต้องบวกด้วยศรัทธา กับ ปัญญาที่ต้องเดินเดี่ยวๆ

พ่อครูว่า...สายศรัทธากับปัญญาต้องเดินไปด้วยกัน

หนึ่งฟ้าว่า...อันนี้คือ จุดที่ดิฉันอยากจะรู้ คนที่เรียนรู้ร่วมกันจะสามารถพัฒนาการได้ในการที่จะเจอพระโพธิสัตว์สายปัญญาธิกะ

 

พ่อครูว่า...รู้มากคนตอบก็จะยากหน่อย

สมณะเดินดินว่า..เมื่อกี้พ่อครูว่า การที่จะได้เลื่อนจากโพธิสัตว์ระดับ 7 ไปเป็นระดับ 8 ระดับ 9 ต้องใช้เวลาเป็น ล้านๆชาติ คือ สิ่งนี้ก็เป็นพุทธพิสัย ที่พ่อครูพูดวันนี้ แต่สิ่งที่อยากให้พวกเรากำหนดหมายคือ พวกนี้เป็นอจินไตยพุทธวิสัย ฌานวิสัย เกรงว่าพวกเราจะไปอธิบายกันเล่นๆบ้างระดับ 7 ระดับ 8 แล้วจะบรรลุแล้ว อันนี้เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถรู้ในตัวเอง

ขนาดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ายังไม่คิดจะตั้งศาสนา หากเราคิดว่าเราอีกนิดเดียวจะบรรลุ มันก็จะเป็นเรื่องที่ผิดไป อยากให้พวกเรากำหนดหมาย ว่าคงเป็นพุทธพิสัยที่ยากที่เราจะไปคำนวณคำนึงได้ หรือไปพูดกันเล่นๆ คิดว่าจะเป็นผลเสียกลับมาสู่พ่อครูมากกว่า

พ่อครูว่า...อาตมาว่าแม้แต่ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัยก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอก ขออภัย เขาก็หาว่าฟุ้งซ่านบ้าบอ มันจะเป็นอย่างนั้น

แต่คนที่พอมีภูมิปัญญาอยู่บ้างก็จะรู้ว่ามันไปไกล แต่พวกเขาที่อยู่ในนั้นก็ไม่กล้าแสดงอะไรออกมา จะไปยอมรับพระโพธิรักษ์ว่ารู้ต่อหน้าไม่ได้ เขาจะรับเฉพาะตัวอาตมาก็อาภัพ ก็ไม่เป็นไร มันเป็นยุคกาล

อาตมาต้องเอามาเปิดเผย เมื่อเวลาอาตมาตายไปสิ่งเหล่านี้มันจะบันทึกไว้ ต่อไปในอนาคต คนที่เขาไม่ได้ติดใจในตัวอาตมาแล้ว เขาจะเอาไปใช้ เขาก็จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ว่าทำไมเคยมี คนก็จะไม่ติดใจว่าโพธิรักษ์เป็นอย่างไร เขาจะรู้แต่ว่าเป็นอรรถกถาจารย์รูปหนึ่ง ที่ผ่านมาในศาสนาพุทธ ที่มีภาษาพวกนี้ไว้ ทั้งที่เขียนเองและคนอื่นรวบรวมไว้ เขาก็จะเอาไปขยายผลในอนาคต เพราะสิ่งเหล่านี้จะมีคนบันทึกไว้ สิ่งนั้นมันสูญ อาตมาจะต้องพูดไหมว่าคนอื่นจะไม่รู้ก็ตาม พูดทิ้งไว้ แล้ว บันทึกไว้อยู่ใน harddisk ของโลกนี่แหละ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน การปล่อยวางกับการเอาภาระต่างกันอย่างไร

_คุณอุ่นดิน … ขอถามพ่อท่านว่า...การที่บุคคลเอาภาระกับการปล่อยวาง มันมีลักษณะอย่างไร

พ่อครูว่า...การจะปล่อยวางกับการเอาภาระ มันเหมือนกับขัดแย้งกัน ปล่อยวางก็เบาภาระเหมือนกับขัดแย้งกัน ถ้าเผื่อว่าได้ฝึกฝนได้ศึกษา สภาพความปล่อยวางนั้น จริงๆมันสูงมาก มันอยู่ใน โสฬสญาณข้อที่ 9 มูลจิตตุกัมมยตาญาณ เป็นการเปลื้องปล่อย ต้องเกิดญาณปัญญาจึงจะปล่อยวาง แต่มาพูดกันเล่นๆว่า ปล่อยวางๆ วางนี่มันเป็นภาษาที่จะให้

ที่เขาพูดกัน ว่าวาง แบกไว้ทำไมมันหนัก วางลง มันก็ถูกภาษา คำว่าวางก็คืออย่างนั้น เป็นรูปธรรมที่ง่าย แต่ในจิตที่จะวางไม่ง่าย วางคือ ความไม่ยึดไว้ ความไม่ยึดถือ

คนที่จะไม่ยึดถือก็ต้องมีปัญญาอย่างชัดเจนเลยว่า อ้อ อันนี้ มันมีจุดจบ จุดลงตัว มันมีจุดที่พอแล้ว พูดต่อไปอีกก็ไม่มีประโยชน์ คนอื่นก็ไม่รู้ หรือคนอื่นก็เสียเวลา เรารู้แล้วก็วางมันรู้ด้วยตัวเองก็ต้องวาง

เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสว่า พระพุทธเจ้าท่านวางเป็นอัตโนมัติเร็วยิ่งกว่า การเดินทางของแสงหลายล้านเท่า ท่านก็วางท่านรู้แล้ว สุดท้ายท่านก็สรุปตรงที่ว่า ความเห็นของเธอกับความเห็นของเรามันคนละอย่างก็จบ เป็นการตัดสินว่า วาง ไม่ควรจะต่อไปแล้ว เพราะมันจบที่ความเห็นของคุณที่ยึดถือ ความเห็นของเราก็วางได้มันคนละพวก มันก็ชัดเจนในการวางการปล่อย โดยรูปธรรม โดยภาษาบอก วาง ความเห็นของเธอกับความเห็นของเราคนละอย่าง กระทั่งเป็นคนละศาสนาคนละลัทธิคนbbbmละความเห็น

จะมาพูดกับเราต้องพยายามเข้าใจความเห็นของเรา จะให้พระพุทธเจ้าไปเอาตามคุณท่านไม่เอาแน่ เพราะอันนั้นท่านรู้แล้วเลิกมาแล้ว ที่ไปยึดถือนั้นมันไม่สมบูรณ์แบบ

 

ความหยาบ งานการไม่เอาภาระนี้คือคนชั่ว พูดชัดๆ ยิ่งอยู่กับหมู่เขา หมู่ก็ไม่เป็นระบบบังคับให้อิสระเสรีภาพให้เกียรติมาก คนมาอยู่ที่นี่ให้เกียรติ ทุกคนมีอิสระเสรีภาพ อยู่ที่นี่ทุกคนทำงานด้วยสำนึกของตนเอง ทำเท่าที่เราจะเห็นว่าควรทำอะไร ถนัดอะไร บางอย่างเราไม่ถนัดก็ไม่ทำ บางอย่างเราก็ใช้ทำได้ดี แม้จะไม่ถนัดก็ว่ากันไป เราก็ควรจะไปดูแล หยิบจับได้ช่วยกันนิดๆหน่อยๆ เหมือนเด็กช่วยงานพ่อแม่ อะไรไม่ได้ก็นั่งดูพ่อแม่ทำงานไป ช่วยอันนั้นช่วยนี้ ดีไม่ดีบางงานก็ แม่วานลูกช่วยงานบ้านแม่หน่อย นี่แม้แค่นี้ สรุปง่ายๆก่อน

คนถามมานี่ อาตมารู้ว่า เป็นจุดบอดจุดไม่ดีของบางคน ไม่เอาภาระการงานในนี้เป็นคนชั่ว พูดอย่างหนักและแรงกระแทก อยู่ที่นี่ อิสระเสรีภาพไม่เอาการงานอยู่ไปวันๆ เลี่ยงๆจับๆเล็กๆน้อยๆ เอาแต่ตามอารมณ์ไม่เอาภาระคนนี้ชั่วตลอดกาล

ทีนี้คนปล่อยวาง อยู่ที่จิต มูลจิตกัมมญตาญาณ ต้องเรียนรู้ตั้งแต่ หยาบ เราปล่อยวางไม่เอาการงานเลย นี่ชั่วมาก เดรัจฉานก็ยังเอาการงานเหมือนคนไม่ได้ เดรัจฉานไม่สะสมกินได้ก็เลิก แล้วก็ทำงานใหม่เพื่อกินเพื่อรักษาชีวิต คนที่จะเบียดเบียนผู้อื่นตนเองไม่ทำงานเลยแต่กินอยู่เบียดเบียนกินแรงผู้อื่น คนนี้ชั่วมากๆเลย แล้วจะบอกว่าปล่อยวางทั้งที่ไม่เอาภาระ

ปล่อยวางที่ใจ ไม่ใช่วางการงานอย่างตื้นๆ จะต้องศึกษาให้ดีว่า การปล่อยวาง มันเป็น ญาณที่จะไม่ติดยึด เพราะฉะนั้นในขณะที่เราทำงานนี้ เราก็ทำงานแต่เราไม่ยึดว่า งานนี้หนัก งานนี้ยาก งานนี้เราไม่ชอบ ไม่ใช่ เราต้องมีปฏิภาณปัญญาว่าเราอยู่ร่วมในนี้ มันมีงานที่เราต้องอาศัยต้องกินต้องใช้ ระหว่างที่เราทำงานกันนี้ เราไม่ได้อาศัยใช้กินในงาน เราไม่ทำหรอกเช่นงานไปเต้นแร้งเต้นกา

พวกเราไม่ได้ยึดถือเป็นรสอร่อย จะมีบ้างแต่ก็เล็กน้อย จะเห็นได้ว่าพวกเราไม่จมอยู่ในการกีฬาการบันเทิงเริงรมย์อะไร ที่จะต้องใช้เวลาไปกับสิ่งเหล่านี้สูญเปล่ามากกว่าชีวิตที่ควรจะเป็น พวกเราชัดเจนในพฤติกรรมไม่เช่นนั้นอยู่ในที่นี้ไม่ได้ หากไปติดกีฬาบันเทิงเริงรมย์มากอยู่ที่นี่ไม่มีให้เท่าไหร่หรอก ก็มีประมาณอย่างนี้ มันไม่พอหรอกถ้าเขาติดมาก อยู่ที่นี่ไม่พอให้เสพ ไม่สมกับที่เขาจะต้องบำรุงตัวเอง

สรุป คนก็ต้องเอาภาระต้องทำงานอยู่กับสังคมต้องช่วยกัน จะบอกว่าไม่รู้จักปล่อยวาง ใช่ ถ้าคนติดงานเป็นกัมมารามตา ติดงาน จนกระทั่งสุขภาพร่างกายเสียวุ่นวาย มันก็ไม่ดี หากไม่รู้พักรู้เพียร ก็ไม่เกิดผลดี

อาตมาก็ไม่เห็นว่าพวกเราจะทำงานจนเสียมากมาย มันอยู่ในความเอาภาระกับการปล่อยวางได้อย่างสมดุลอยู่ ส่วนจะเป็นมุลจิตตุกัมมญตาญาณ ก็ต้องอธิบายกันยาว ในโสฬสญาณ กว่าจะเกิด มุลจิตตุกัมมญตาญาณ จนเกิดปัจจเวกขณญาณ จากโคตรภูญาณ มัคคญาณ จนมุลจิตตุกัมมญตาญาณ

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน อ่านเวทนาแบบอัตโนมัติกับแบบช้า

_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน... มีความตั้งใจจะอ่านเวทนา 2 ทำให้เหลือ 1 ดิฉันสังเกตจากภาวะตัวเอง เวลาทำพฤติกรรม ถึงเวลาฟังธรรมพ่อครู เวลาบิณฑบาต เวลา นั่งฉันอาหาร ก็จะอ่านเวทนาสองต่อเนื่อง แต่ถ้าอยู่กับกุศลกับมิตรที่ถูกคอ จะไม่ได้อ่านเวทนา เมื่อเช้านี้ 2 ชั่วโมง ไปกับ ว.นบ. เก็บเกี่ยวผลผลิต ทำไมเราไม่ได้อ่านเวทนาเลย กุศลกับมิตรดีสหายดี มันกลับไปกับกุศลต่อเนื่องสุขาปฏิปทา แต่มานั่งทบทวนเราไม่ได้อ่านเวทนาเลย แต่การบิณฑบาต นั่งฉันข้าว ก็อ่านได้ตลอด

ทำไมเราลืมอ่านหากเจอสวรรค์ เจอกุศล เมื่อเช้านึกได้

พ่อครูว่า...มันก็เป็นบ้าง ในระดับหยาบ ไม่ชัดเจน แต่คุณได้รับความรู้แล้วลึกๆละเอียดคุณจะมีอยู่บ้างในการที่จะอ่านสิ่งเหล่านั้น เพราะว่าอาตมาเอาธรรมะพุทธเจ้ามาสอนมันจะเกิดกลไกปฏิกิริยา ซับซ้อน ปฏิกิริยาที่จะมีภาวะสามเส้า รูป นามและประธาน

ประธานคือตัวเรา รูป นาม หรือ บวก ลบ กับ 0

เพราะเราสนใจในการปฏิบัติศึกษา เราไม่ใช่ศึกษาเฉพาะความรู้ภาษาบัญญัติเอาไปสอบได้เปรียญได้ Doctor อะไร ไม่ใช่ เราเรียนเพื่อปฏิบัติ เพราะฉะนั้นทุกคนจะเรียนรู้บัญญัติภาษาแล้วก็จะเอาไปพยายามที่จะ เทียบเคียงกับสภาวะ เพื่อปฏิบัติให้เป็นสภาวะอยู่ได้เป็นธรรมชาติเป็นสามัญสำนึก แต่เราไม่ค่อยชัด จับฝาจับตัวมากับความเป็นจริงพฤติกรรมข้างนอก กรรมกิริยากายวาจา มันไม่ใช่เรื่องละเอียด แต่จิตใจที่ละเอียดมันพยายามเข้าไปกระทำ ให้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ก็พยายามอยู่ แต่ใจนั้นมันยังไม่ชัดเจน ยังไม่มีสติความพยายามจนกระทั่งทำให้เห็นว่า จิตของเราทำอยู่มาก มากจนกระทั่งสามารถให้คะแนนตัวเองได้สอบผ่าน เท่านั้นเอง

_สิกขมาตุกล้าข้ามฝันว่า...หรือมันเป็นเชิงสมถะ ตอนไปบิณฑบาตรู้ตอนไปทำงานไม่ค่อยรู้

พ่อครูว่า...คุณอาจนึกเตวิชโช ชั่วโมงที่แล้วไม่ได้นึกถึงตัวเองเลยทำงานไป แต่ซ้อนลึกในงานคุณมีผัสสะ มีเพื่อนมีหมู่ทั้งของและคนเป็นผัสสะแล้ว คุณก็ใช้กลไกในการปฏิบัติสังเคราะห์ บวกลบคูณหาร คุณมี

_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...เวลาเราทำงานกับคนเราพูดเราทำก็รู้ว่าอันนี้เป็นกุศลอกุศล แต่เราไม่ใช้คำว่าอ่านเวทนา มันติดภาษา

พ่อครูว่า...องค์รวมสามเส้าทำงานเป็นกลไกอัตโนมัติ บางอย่างมันก็รู้เป็นแบบสโลโมชั่นเท่านั้นเอง มันมีอยู่แล้วอย่างเร็ว

 

_คุณพึ่งบุญ...เมื่อวานพ่อครูเทศน์ ก็ทบทวนตนเองว่า ตอนชุมนุมทำไมเราต้องไป ตอนนี้พ่อท่านก็ว่าฤาษีเป็นสมถะหลับตา เราก็รู้ว่าตัวเองเป็นมาก่อนเราชอบนั่งหลับตาอาจจะเป็นฤาษีมาหลายชาติ ทีนี้ก็เลยมาคิดว่า ทำไมเราชอบออกไปชุมนุมเพราะว่าสงสารตัวเอง ล้างฤาษีออกยาก แต่เราไปนิพพาน การชุมนุมไล่ทักษิณ ทุกคนแสวงหานิพพานในการปฏิบัติธรรม เราไปได้นิพพานตอนชุมนุม เราทำสมาธิลืมตาเรื่องราวทำให้เราตื่น ตอนนั้นรู้สึกจิตสงบตายก็ตาย มันได้ไม่ยาก ในฌานทั้ง 4 ตอนนั้นรู้สึกว่ารู้ได้ถึงฌาน 4 แต่อาการมันจะได้ทุกทีเลย ตอนที่ระเบิดลง เปรียบเทียบ อาการตอนเราไล่นายกฯยิ่งลักษณ์ พอพ.ศ. 49-50 เราไปผ่าตัดเนื้องอกมดลูก หมอบอกว่าต้องให้ยาฆ่าเชื้อ เราไปไล่นายกยิ่งลักษณ์ มันเป็นรูปภายนอกที่ต่างกัน เรารู้ว่าจิตเราสงบไม่ด่าตำรวจ มาย่ำเลย คิดในใจ แต่ตำรวจไม่มาเขาไปย่ำขวดน้ำแทน เรารู้ว่าจุดนี้คือ ประโยชน์ตนที่เราได้แต่เราก็ยังไม่ค่อยมีปัญญาที่เรา ไล่ฤาษีออกจากตัวเอง

เมื่อมีการชุมนุมทุกครั้งเราจะต้องไป การปฏิบัติธรรม ต้องการทำจิตที่มีความสงบสุขที่สุด

พ่อครูว่า...ต้องใช้แรงกระแทกขนาดนั้นฤาษีหนัก ต้องใช้ลูกระเบิด

พึ่งบุญ...พอมาไล่ยิ่งลักษณ์ สถานการณ์ต่างกัน เราไปตัดมดลูกมาแล้ว ตอนนี้ไม่ค่อยมีฌานทั้ง 4 เลย มีแต่อิตถีภาวะ เราเห็นปืนมาซีกซ้ายเยอะเลย ระเบิดลงซีกขวา ปืนกลเยอะเลย พอระเบิดดัง จิตใจเราก็กลัว อยากได้ฌาน 4 อย่างครั้งก่อน เราก็เป็นประชาชนทั่วไปวิ่งเหมือนกับเขาเลย ไปถึงบ้านนายห้างเกรย์ ก็บอกว่าไปข้างในก่อน เราก็บอกว่าช่วยพ่อครูด้วย ได้ยินเสียงพ่อท่านว่าช่วยคนเจ็บ เราก็บอกว่า เรามาชุมนุมด้วยความสงบไม่ต้องการอะไรเลย ไม่ต้องมาทำร้ายกันหรอกเราเก็บเองเวที ตอนนี้โทรทัศน์ก็ดับไป ตอนนี้ได้ยินแต่เสียงปืนดังมาก ตอนนี้เราก็มีจินตนาการว่า ที่นอนเราคงราบหมด

เราไปเห็นเวที ตอนนั้นเห็นแต่มีนำ้เลอะๆ ไม่ได้เสียหายหมด เราก็มีกำลังใจอยู่ต่อ แต่ก็รู้ว่าพ่อท่านเป็นผู้แพ้ได้เสมอไม่ต้องการอะไร

สรุปคือต้องการจะถามว่า..ดิฉันเมื่อแก่ตัวมันไม่มีมดลูก ที่เคยบอกว่านิพพานได้แล้วได้เลยตอนนี้ทำไมมันมี อิตถีภาวะอยู่ มันหงุดหงิดเราแก่ก็แก่ ทำอย่างไรบอกว่านิพพานได้แล้วได้เลย ไอ้มดลูกนี้สำคัญเหมือนกันใช่ไหม คนเขาบอกว่าต้องมีอาการ 32 ครบ ถ้าหากอาการ 32 ไม่ครบ เราก็ไม่ต้องวางความสุขแบบอนาคามี ตอนนั้นเราปฏิบัติแบบอนาคามีอยู่ข้างถนน ถือศีล 8 มันก็ต้องได้แน่นอน อาการที่ลืมตาปฏิบัติ

ถามว่า...แก่ตัวแล้วมันจะปฏิบัติธรรมได้หรือไม่เป็นฤาษีมานาน

พ่อครูว่า...คำถามคุณมากจนอาตมาสับสนตอบอะไรไม่ได้เลย นี่คือคำตอบ อย่าไปฟุ้งซ่านอะไรเลยสงบๆนี่แหละ

 

_คุณศีลสมนึก...ผมไม่ได้ตั้งคำถาม แต่ผมเดินทางมาสู่ที่นี้ ก็โดยที่ผมต้องการจะได้สิ่งที่ผมต้องการ ทีนี้ผมมาตรงนี้ พ่อครูให้อะไรผม ผมได้อะไรจากพ่อครู ผมต้องกล่าวถึงอดีต ผมเริ่มต้น ลาออกจากราชการตั้งแต่ปี 40 อยู่ตรัง 8 ปีกว่าจะมาเจอพ่อครูอายุ 80 ปีตอนนั้นผมหลงทาง 4 ปีแรกเลี้ยงนกเขาชวา เสียเงินไป 2 แสน จากนั้นเขาก็เชิญไปเป็นไวยาวัจกรที่วัด เพื่อแก้ปัญหาเรื่องเงิน แล้วผมก็ได้ไปอินเดียแต่ปี 51 โดยงบประมาณของสำนักงานพัฒนา กลับมาจากอินเดียได้ฟังพ่อท่านแล้วเกิดความทุกข์ เป็นไวยาวัจกร ผมก็ได้ไปสร้างศาสนวัตถุต่างๆ ปี 2553 ผมก็ลาออกจากไวยาวัจกร มาอยู่ที่ทะเลธรรม ปี 55 ไปนาแรงรัก ออกจากนาแรงรัก ก็มาอยู่วังจันท์พฤกษา แล้วมาอยู่เมืองหลวง คนมาถามว่ามาอยู่กับพระไม่โกนคิ้วจะได้อะไร? แต่ผมก็บอกว่าผมต้องได้ ที่ผมเข้ามาตรงนี้ผมได้อะไรพ่อท่านให้อะไรแก่ผม

ผมมาเพราะทุกข์ก่อนจะลาออกผมมีทุกข์ เอากุญแจไปคืน เจ้าคณะไม่ยอมให้ออก ผมก็พูดว่าผมรู้ทุกข์แล้วครับท่าน แล้วผมรู้สมุทัยด้วย ทุกข์เกิดจากจิตผมเอง จิตผมร้อนรุ่ม ทำบัญชีก็ผิด แล้วรู้สมุทัยสิ่งที่ทำให้ผมทุกข์คือกิเลส ผมต้องการหานิโรธ ตัวต้องการนี้ผมต้องการถูกต้องหรือไม่ จุดมุ่งหมายผมอยู่ตรงนี้ เมื่อมาอยู่ตรงนี้ผมได้อะไร พ่อท่านก็อธิบายอาริยสัจ 4 ผมก็เอามาคิดว่าอาริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธผมรู้แล้ว แล้วมรรค พ่อท่านอธิบายขยาย เมื่อก่อนผมไม่รู้ทุกข์ และตอนนี้รู้มรรคมีองค์ 8 ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ จนถึง ข้อสุดท้าย ก็สะดุดใจเราจะเอานัตถิหรืออัตถิดี...ผมจึงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมคือโพธิสัตว์ กระผมได้คือโพธิปักขิยธรรม 37

 

พ่อครูว่า...ถูกต้อง สรุปว่าได้โพธิปักขิยธรรม 37 คือโลกุตระ ถ้าเข้าใจอันนี้แล้ว แล้วปฏิบัติได้รู้จักกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มันไม่แยกกันทั้ง 4 อย่างนี้ กาย คือ 2 เวทนาคือ 108 จิตคือ เจโตปริยญาณ 16 ธรรมะคือธรรมะ 2 โลกียะกับโลกุตระ กุศลกับอกุศล เป็นต้น เราก็ จะเข้าใจสภาวะธรรมที่เป็นบัญญัติ แม้แค่สั้นๆแค่นี้ เราก็ปฏิบัติได้ผลกับตัวเราก็ได้โลกุตระ แม้แต่บอกว่าสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 ก็คือ สติปัฏฐาน 4 จะต้องปฏิบัติ ตลอดเวลาในสัมมัปทาน 4 ขณะที่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 มีการสัมผัสอะไรก็ต้องรู้ตลอดเวลาแล้วก็ ปหานกิเลสให้ได้ ตรวจผลที่เป็นภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน รักษาผลไว เป็นตัวชี้บ่ง ว่าได้ผล มีอิทธิบาทเสริม สั่งสมเป็น อินทรีย์ 5 พละ 5  โดยมีฐานของโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 เป็นการเดินและเป็นหลักเกณฑ์ที่จะเอาเนื้อหาของมรรคมีองค์ 8 ให้เกิดผลสมบูรณ์

แต่ละคนอธิบายของตัวเองมาได้ขนาดนี้ หลายคนอาจจะมีจิตรำคาญ ก็น่าเห็นใจ เพราะว่ามันได้อะไรมาก็อยากจะบอก ไม่ว่าจะเป็น พึ่งบุญ หนึ่งฟ้า ศีลสมนึก

 

_ด.ญ.น้ำมนต์...คนเกิดมาได้อย่างไรคะ และทำไมคนต้องลดกิเลส

พ่อครูว่า..เกิดมาได้เพราะว่าเราเองยังมีวิบาก ต้องเกิด คนที่จะไม่เกิดนั้นต้องปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า แล้วสุดท้ายก็จะไม่ต้องเกิดได้เลย เพราะฉะนั้นคนจะต้องเกิดมาจะต้องเรียนรู้ ว่า ให้หมดวิบากที่จะทำให้เกิด

แล้วทำไมต้องมีกิเลส ตอบง่าย ว่า เพราะมันโง่ จึงต้องมาเรียนรู้ให้ฉลาด น้ำมนต์ว่า..ดื้อนี้เป็นกิเลสไหม เราก็ต้องมาล้างกิเลสดื้อ อย่าเป็นคนดื้อ เป็นต้น ที่จริงแกไม่ค่อยดื้อ แต่ไม่ค่อยนิ่ง ดื้อคือคนบอกยากสอนยาก

 

_คุณเอื้อมบุญ กองอุดม ...ในชีวิตของดิฉันรู้สึกว่านอนอิ่มแค่คืนเดียว อิ่มเต็มเลยค่ะ คือ เริ่มนอนตั้งแต่สองทุ่มตื่นหกโมงรวดเดียว อยากถามว่าการนอนหลับสนิทคือการเข้าภวังค์ใช่ไหม แล้วก็ มีโอกาสที่จะไปเลยหรือเปล่า ไม่ตื่นขึ้นมาเลย

พ่อครูว่า...ใช่มีสิทธิ์ ไม่ต้องกลัวหรอกไปเลยก็สบาย จะไม่ตายเลยหรือไง นอนหลับสนิทอย่างนี้ดี เริ่มต้นนอนแล้วรุ่งเช้ารวดเดียวเลย เจ๋ง แต่อาตมาไม่ได้ฝึกอย่างนั้นฝึกตื่นทุกชั่วโมงตีระฆัง จนทุกวันนี้จะนอนให้มันต่อเนื่องก็ยังไม่ต่อ ก็ทำมานานมันเป็น 10 ๆปี หลายสิบปี ก็พยายามแต่ก็ได้ต่อเนื่องพอสมควรแต่หลับไวไม่ยาก แม้จะลุกไปตีระฆังทุกชั่วโมงก็ไม่ลำบาก จะนอนก็ไม่กี่วินาทีก็หลับไม่ยาก หลับง่ายตื่นง่าย

 

_คุณดาวเพ็ญ นาวาบุญนิยม...จะมาบอกความในใจ เรื่องกระบวนการกลุ่ม โดยเฉพาะวันจันทร์ ขบวนการบ้านวัดโรงเรียน ว.นบ. ชุมชน โรงเรียนร่วมกัน มันมีอานิสงส์มาก เพราะว่ามันทำให้ได้เรียนรู้ผัสสะชัดและครบ เพราะว่าเพื่อนในกลุ่มมีหลากหลายจริต มีสำมะปี๋ ก็รู้สึกว่ามันสนุก แล้วก็นี่คือบทเรียนที่แท้จริง การได้ออกจากภพมาพบเพื่อน

พอดี มีน้องที่อยู่ร่วมกันมา 10 ถึง 20 ปีที่เขาขยันทำงานอย่างหัวปักหัวปำมีผลงานดีด้วย แต่วันหนึ่งเขาก็ป่วย ทีนี้เขาก็มาเรียนรู้ทุกข์จากการป่วย มาอยู่บ้านหลังเดียวกับดิฉัน ก็ถามเธอว่า ทำไมเธอถึงป่วยทำไมไม่มีคนไปช่วยงาน ข้อสรุปได้ว่าเพราะเราอยู่ในภพ หากเราออกจากภพ เพื่อนจะไปช่วย วันนี้เพื่อนไปช่วยทั้ง 2 กลุ่มเลย เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้รับความสุขในการออกจากภพ แล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง สำหรับตัวเองก็ดีใจกับน้อง วันหนึ่งดิฉันตั้งใจจะไปช่วย เนียนใจล้างภาชนะ ก็ทำการบริการเรื่องน้ำธัญพืชก็ล้างหางยาวมาก ดิฉันว่าจะไปช่วยเขาก็พาดิฉันขึ้นรถไปเลย ก็เลยได้เห็นอานิสงส์ได้เห็นความลำบากของเพื่อน จะเห็นว่าเพื่อนดีอย่างไร มีอะไรจะแลกเปลี่ยนกันได้คุยกันสำมะปี๋ และอานิสงส์อีกอย่างคือ การได้เป็นนักบริการ ตอนแรกทำให้แต่แม่ แต่ต่อมาก็รู้ว่าคนอื่นก็น่าจะได้ด้วย แต่ทีนี้แม่ไม่อยู่ ก็มีเงิน 0 บาท แต่ไม่รู้ว่าน้ำใจมาจากไหน คุณยายคนนั้นคนนี้ก็เอาเงินมาให้ทำน้ำปั่น แม้แต่หม้อใส่ ก็มีคนเอามาให้ ซื้อหม้อมาให้ คนนั้นคนนี้เก็บผักมาให้ ดร.ต้อม ปรารถนาจนก็หาขวดมาให้ ให้คุณแม่ที่สันติอโศกประกาศว่าใครมีขวดเปล่าเอามาบริจาค คุณแม่ก็เอาขวดมาให้เอาเครื่องปั่นมาให้ สำมะปี๋ ออกจากภพก็จะได้เพื่อน คนไหนที่มีความทุกข์ไม่มีความสุขก็ออกมาจากภพมาพบเพื่อน คนไหนไม่มีงานจะทำก็ไปหา แอ๊ด ปลุกดิน ขาดคนช่วยปลูก เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ ถ้าใครมีเวลา เข้ามาช่วยกันทำ ชาวกสิกรรมสวนทำกิน มีปลูกไม่มีการรู้จักเก็บ แต่มีคนเก็บเอาไปค้าขายได้เงินเป็นหมื่นเลย

พ่อครูว่า...ออกไปช่วยกันหน่อย

 

_คุณปลา...ลูกมีความสงสัยเรื่อง นาม 5 เริ่มต้นที่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

เวทนา สัญญา เจตนาเป็น Static ส่วน ผัสสะ มนสิการเป็น Dynamic ใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...ใช้ได้ ค้นหาเจตนา เจตนานี้ เป็นตัวสมุทัยเป็นตัวสำคัญ มีกาม ภว ก็เริ่มแต่กามไปก่อน

พอเรามีตัณหา 3 มีผัสสะ หากเราตั้งเจตนาไว้ไม่ทันก็เป็นมิจฉาฯ

พ่อครูว่า...หากปฏิบัติธรรมไม่ถึงนาม5 ก็ปฏิบัติธรรมไม่ถึงธรรมะพระพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะ เป็นหนึ่งในนาม 5 ก็ปฏิบัติธรรมนอกรีตศาสนาพุทธ ไปนั่งหลับตาไม่มีผัสสะก็ไม่มีนาม 5 ไม่ถึงกามตัณหา ไปนั่งหลับตามันไม่ถูกไม่มีผัสสะ ไม่รู้พระสูตรกี่อัน พรหมชาลสูตร มูลสูตร ปฏิจจสมุปบาท 16 เป็นต้น

 

_ขอตอบปัญหาแห้ง…

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน เจโตสมถะฝึกอย่างไร

_ขออธิบาย อานาปานสติว่าฝึกอย่างไร อยู่ที่ลมหายใจหรือไม่

สายเจโตปัญญาคืออะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นสายไหน

เจโตสมถะฝึกอย่างไร

พ่อครูว่า..เจโตสมถะ หรือเจโตสมาธิก็เรียก แล้วก็เป็นลักษณะสมถะทั้งนั้น 1.สมถะลืมตา 2.สมถะหลับตา แต่ในพรหมชาลสูตรไม่ได้อธิบายแยก แต่เป็นสมถะทั้งนั้น ซึ่งจะมีแต่อดีตและอนาคต เพราะว่าการหลับตาไม่มีปัจจุบัน มีแต่อดีตกับอนาคต ซึ่งถ้าปฏิบัติธรรมะพุทธเจ้าต้องปฏิบัติธรรมในปัจจุบัน ปฏิบัติอดีตกับอนาคตเป็นมิจฉาทิฏฐิ 62

คนที่ไปหลับตาอย่างเดียว ทิ้งศาสนาพุทธไปทั้งหมด นอกนั้นก็จะได้แต่โลกียธรรม ดีกับชั่ว โลกุตระไม่มีเลยสำหรับผู้นั่งหลับตาปฏิบัติ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระ ส่วนศาสนาอื่นก็มีดีกับชั่วเป็นโลกียะ บางศาสนาปฏิบัติละเอียดกว่าด้วยซ้ำไปแต่ก็ไม่มีโลกุตระ

สรุปแล้วเจโตสมถะฝึกอย่างไร ความจริงก็เข้าใจอยู่แล้วนั่งหลับตา รวมจิตให้มันสงบ สะกดจิตให้สงบอย่างเดียวนั่นคือเจโตสมถะ นั่งสะกดจิตไป ก็มีความชำนาญทำได้เร็วทำได้ชำนาญ การฝึกด้วยการนั่งสะกดจิต ตอบง่าย จะนั่งวิธีไหนก็แล้วแต่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน จะรู้ได้อย่างไรว่าเราสายเจโตหรือสายปัญญา

สายเจโตกับสายปัญญาคืออะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นสายไหน?

สายเจโตกับสายปัญญามีสองจริต คือ ศรัทธาจริตกับพุทธิจริต

การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะแยกเป็นสองสาย

สัทธานุสารี กับธัมมานุสารี ท่านไม่เรียกพุทธิสารี ท่านเรียกธัมมานุสารี ตามหาความรู้ ก็มีสองสาย

สรุปง่ายๆว่าก็คือจริตของคน ถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเราคือเจโตหรือปัญญา

จะรู้ได้คือเราเองมันถนัดอย่างไร มันชอบอย่างไร ถ้าคนที่ถนัดทางเจโต จะไม่ค่อยคิดฟุ้งอะไรมาก จะหาทางทำสงบง่ายๆ ส่วนปัญญาก็จะฟุ้งสงบไม่ค่อยได้ แต่ก็พยายามจะหาทางสงบ

ความสงบของศาสนาพุทธ นั้น เป็นความสงบที่ลึกซึ้งมาก สันตา เป็นความสงบที่วิเศษ เพราะว่าความสงบนี้คือกิเลสมันไม่มีบทบาท พลังงานกิเลสในจิตมันหยุดลงๆ ค่อยๆเบาบางลงๆ แล้วดับสนิทไม่มีในจิตอีกเลย กิเลสไม่มีในจิตอีกเลย อาการสงบของพุทธนั้นยิ่งจะแคล่วคล่องยิ่งจะชำนาญมีสติตื่นมีปัญญาคล่อง ยิ่งทำอะไรได้เร็วขึ้นๆ

คนจะดูได้ยากมากว่าคนนั้นเป็นคนสงบ อย่างอาตมานี้คนสงบ คนเรียนมาตื้นๆจะไม่รู้เลยว่าอาตมาสงบ แต่นี่ละสงบจริงมีกายกัมมัญญตา กายมุทุตา สมบูรณ์แบบ มี ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

จิตสงบของพุทธเป็นอุเบกขาไม่ใช่จิตไม่คิดไม่นึกอยู่เฉยๆ ไม่ใช่ แต่กลับจะแคล่วคล่องว่องไวมาก ปราดเปรียวมาก จิตสงบของพุทธ ยิ่งจะปราดเปรียวแคล่วคล่องเร็วไว นี่คือความที่รู้ได้ยากของศาสนาพุทธ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

ศาสนาพุทธที่เขาพาทำกันอยู่ทุกวันนี้ผิดไปหมด อาตมาเอาของศาสนาพุทธมาประกาศแม้แต่ความสงบก็เข้าใจไม่ได้แล้ว ว่า สงบของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งจิตใจสงบยิ่งกิเลสหมดไปจากจิต หรือลดน้อยลงๆก็คือสงบ ปฏิบัติอย่างไร คือการปฏิบัติลืมตาตามมรรคมีองค์8 โพธิปักขิยธรรม 37 จิตใจลดกิเลสได้จริงก็จะมีจิตใจที่แคล่วคล่องว่องไวได้จริง นี่คือสงบ

สายเจโต กับสายปัญญาก็แยกแยะให้ฟังแล้วคือจริตของแต่ละคนเท่านั้น จะรู้ได้อย่างไรก็สังเกตเอาว่าเราเองมันมักจะไปหาพวกที่หยุดนิ่งไม่ค่อยสังสรร พวกสายปัญญาก็ไม่หยุดเลย ไฮเปอร์ไป แค่นั้นก็รู้แล้วใครสายไหน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน อานาปานสติคืออะไร อยู่ที่ลมหายใจหรือไม่

อานาปานสติคืออะไรอย่างไร อยู่ที่ลมหายใจหรือไม่

จะต้องพูดถึงเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ตามหลักของ System Analysis มี input output outcome impact

อานาปานสติ มีอานากับอาปานะ คือ ลมหายใจเข้ากับลมหายใจออก

ปฏิบัติอานาปานสติ คือคนปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ตลอดที่คุณยังมีลมหายใจเข้าออก คือยังไม่ตาย ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา นั่งหลับตานั่นมันผิดเลย ไม่ใช่อานาปานสติเลย

แม้แต่ในอานาปานสติสูตร ก็ไม่มีคำว่านั่งหลับตาเลย มีแต่นั่ง คู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น นั่นคือในยุคพระพุทธเจ้า ออกปฏิบัติธรรมก็เห็นคนนั่งสมาธิแล้วก็หลับตาด้วยลืมตาก็มี แต่ก็นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น มีแต่พวกฤาษีที่สอนว่าให้รู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกยาวหรือสั้น มันเป็นการบรรยายของพวกฤาษี แล้วก็เอามาบันทึกไว้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าสอน ขอสรุปอีกที

อานาปานสติสูตรของพระพุทธเจ้านั้น ลืมตาปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ตลอดทุกเวลา ให้จิตใจนั้นเกิดผล

1. รู้จักความเป็นอนิจจัง 2. รู้จักความลดลงจางคลายของกิเลส 3. ความหมดกิเลส และ 4. การทบทวนปฏินิสสัคคะ

1. รู้ความไม่เที่ยง อนิจจานุปัสสี ตามเห็นความไม่เที่ยงของสภาวะธรรม ของทุกอย่างตั้งแต่ภายนอกถึงภายในไม่เที่ยงทั้งนั้น และ

2. ความจางคลายของกิเลส ถ้าเกิดว่าไม่สามารถเห็นความจางคลายของกิเลส ก็ปฏิบัติธรรมอานาปานสติของพระพุทธเจ้าไม่รู้เรื่อง

ทีนี้ กิเลสมันจะเกิดนั้นเกิดกิเลสในปัจจุบันสัมผัสอยู่ ถ้าไม่สัมผัสคุณนั่งหลับตา กิเลสไม่มีเกิดหรอก มีแต่ความจำ คุณก็ระลึกถึงว่าจิตใจมันฟุ้งซ่านไป ว่าเราเคยเกิดกิเลส แม้แต่คุณอยากจะอะไรก็แล้วแต่ในขณะนั่งหลับตา อยากจะบรรลุธรรม ก็คือการฝัน เพ้อต้องการ มันไม่มีความจริงเลย นั่งหลับตาปฏิบัติมีแต่อนาคต มาก 44 อย่าง อดีต 18 รวมแล้วก็คือ มิจฉาทิฏฐิ 62 อย่าง

ถ้าอ่านพรหมชาลสูตรก็จะไม่เอาแล้วการนั่งหลับตา เพราะท่านตีทิ้งแล้วอดีตกับอนาคต ศาสนาพุทธนั้นเป็นปัจจุบันเป็นทิฏฐิธรรมนิพพานทิฏฐิ ต้องมีสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายใจเปิดตลอดเวลาในการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นการบรรลุธรรมที่มีดวงตาเปิด จักขุมาปรินิพพุโพติ ปฏิบัติธรรมด้วยการหลับตานั้นเป็นการระลึกได้เท่านั้นเอง

การปฏิบัติจึงต้องมีสัมผัสจริงมีทุกอย่างครบ บริบูรณ์

ทีนี้อานาปานสติ ที่บอกแล้วว่า ของพุทธเจ้าเป็นแบบนั้น ในยุคของพระพุทธเจ้านั้น มันผิดไปหมดไม่มีของพระพุทธเจ้าแล้วแต่ทุกวันนี้ก็กลับไปเอาของเดียรถีย์มาใช้อีก จนเป็นอย่างเก่า อาตมาจึงต้องมากระตุกให้ตื่นให้เลิก เปลี่ยนใหม่เลยการไปปฏิบัติธรรม ก้าวหนอย่างหนอมันไม่ใช่ มันเสียเวลา มัวแต่ก้าวอย่างนั้นมันอีกหลายๆชาติ ยิ่งไปฝังใจเชื่อแบบนั้นอีก เชื่อไหมว่าคนฟังอาตมารู้เรื่องแต่จะไม่เปลี่ยนแปลง จนไม่เอาอย่างนั้นเลย

ก็จะมีคนที่มานี้ไม่ได้จมอยู่อย่างนั้น คนที่จมอยู่อย่างนั้นแล้ว เยอะด้วย มานี่ไม่มากหรอก น้อยเดียวแต่มีน้ำหนัก มีน้ำหนักมากตรงที่ว่า เป็นสัจจะที่ถูกต้องแล้วมันก็จะมีเชื้ออันนี้ ไปอีก 2,000 กว่าปี แม้ว่าเชื้อที่ได้นี้จะยังไม่เต็ม อาตมาก็คงจะต้องกลับมาเกิดอีกเพื่อที่จะต้อง ซ้ำย้ำอีก ขันธ์หมดแล้วก็ต้องเกิดมาใหม่อีกก็ต้องเสียเวลาน้อยกว่าจะโตกว่าจะรู้ธรรมะ

ชาตินี้ เกิดมาก็เสียเวลาไป 36 ปี เพราะเกิดทีหนึ่ง ลิงลมอมข้าวพองทุกที แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เสียเวลาไป 29 ปี แล้วไปเสียเวลาลิงลมอมข้าวพอง ให้เขาไปหลอกนั่งหลับตาอีกตั้ง 6 ปี ท่านถึงว่าผิดไปหมด อย่าไปพูดถึง 29 ปี เขามอมเมาให้ไม่ให้ออกมาแต่ก็อยู่ไม่ได้หรอก เสียเวลาอีก 6 ปี ขนาด พระพุทธเจ้ายังถูก ลิงลมอมข้าวพอง เสียเวลาอีกตั้ง 29 ปี อาตมาก็ไม่อยากเสียเวลามากเกิน ก็เลยยังไม่อยากตายตอนนี้ ถ้าตายไปแล้วก็ต่อคิวยากอีก ไม่รู้ว่าจะแตกกระจายไปอีกเท่าไหร่ กว่าจะรวบรวมกองทัพธรรมได้

 

ประเด็นที่ถูกต้องฝึกอย่างไร ก็ให้ฝึกโพธิปักขิยธรรม 37 นี่แหละคืออานาปานสติ หรือจะพูดว่าสติปัฏฐานสูตรก็ได้ นั่นแหละไปอ่าน สติปัฏฐานสูตร ทุกลมหายใจเข้าออกทุกกรรมกิริยา ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ

เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องไปดูลมหายใจเข้าออกหรอก พอดี ทำอะไรไม่ถูกเลยเอามือไปต้มน้ำก็เอามือไปโดนน้ำ มัวแต่ดูลมหายใจเข้าออกตายพอดี ดีไม่ดี แหมดูนิ่งเลยสมถะมาก เอามือไปจุ่มน้ำร้อนก็ยังไม่รู้สึกร้อนเลยยกขึ้นมาก็มือเปื่อยเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สัญญาเวทยิตนิโรธคือธรรมะ 0 ใช่หรือไม่

_จากศีรษะอโศกฝากถาม

1. ตามความเข้าใจของลูกคำว่าธรรมะ 2 หมายถึง ฌาน 1 ใช่หรือไม่คะ? และ ธรรมะ 2 ทำให้เป็น 1 การที่เป็น 1 แล้วก็ ฌาน 4 เป็นอุเบกขาใช่หรือไม่

พ่อครูว่า...จะสรุปง่ายๆก็ใช่ ที่จริง มันมีหนึ่งในสอง มันลึกซึ้ง

2. และในธรรมะ 1 ให้เป็น 0 คือสัญญาเวทยิตนิโรธ

พ่อครูว่า...ใช่ ถามมาถูกหมด เป็น 0 คือ

สัญญาเวทยิตนิโรธ ก็คืออุเบกขา

ปริสุทธา คือ 0 ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรแม้จะกระทบกระแทกสัมผัส เคยเกิดกิเลสตอนนี้มันก็ไม่เกิดเป็น ปริโยทาตา ก็ยังสะอาด บริสุทธิ์ ผุดผ่องอยู่อย่างเดิม จิตยิ่งแคล่วคล่อง มุทุ อันที่สามของอุเบกขา เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความบริสุทธิ์แล้วก็อยู่กับการกระทบสัมผัสอีกเท่าไหร่ก็ตาม  จิตก็ยังแคล่วคล่องว่องไว กัมมัญญา  การงานจึงไม่บกพร่อง จึงได้อย่างเหมาะควรและดี ยิ่งจะเก่งและเจริญ จิตก็จะยิ่งปภัสสรา ยิ่งใสยิ่งสะอาดยิ่งคล่องแคล่ว ยิ่งวิลิศมาหรา ปภัสสร นี่คือลักษณะ

ทีนี้ไปถึงคำว่าฌาน ฌานของ พระพุทธเจ้าไม่ได้หมายความว่าให้คนไปนั่งเพ่งหลับตา ไม่ใช่ ฌาน จริงๆ

ฌาน แปลว่าไฟ เป็นพลังงานอุณหธาตุ คุณจะต้องทำให้จิตของคุณเกิดพลังงานไฟเป็น อุณหธาตุ เป็นไฟที่เรียกว่าฌาน เขาอธิบายกันไม่เป็นแล้ว มีแต่อาตมาอธิบาย ที่อาตมา อธิบายนี้ไม่ผิดหรอก ไปเปิดพจนานุกรมของไทยเลย เขาแปล ฌาน แปลว่าไฟ แต่เขาไปอธิบายยังผิดเพี้ยนว่าการเพ่ง แต่รากแท้มันแปลว่าไฟ รากศัพท์แท้ๆแปลว่าไฟ เป็นภาษาไทย เป็น อุณหธาตุ เป็นธาตุพลังงานจิตที่จะมีพลังงานชนิดที่มันจะสามารถ แบบเดียวกับราคะ โทสะ โมหะ แต่มันเหนือกว่ามีฤทธิ์สามารถสลายราคะ โทสะ โมหะได้ จึงเรียกว่า ฌาน

จะสร้างพลังงานอย่างนี้ หากไปหลับตาให้มันเย็น มันไม่ใช่ไฟ มันคนละเรื่องเลย มันยิ่งจะเย็นลงๆ ลงเละเทะเยือกเย็นเลย เข้าป่าหาเสือเลย ไม่ได้เรื่องเลยผิดไปเลย

ยิ่ง อธิบายจะยิ่งเห็นว่า ชี้ทิศทางความหลงทิศทางของการนั่งหลับตายิ่งมากขึ้นใช่ไหม ยิ่งบอกถึงแง่ประเด็น ยิ่งหยิบสาระสัจจะจากพระพุทธเจ้ามาอธิบายยิ่งเห็นว่าน่าสงสาร

 

_วิปลาสนี้ไม่ถึงกับเป็นบ้าหรอกแต่มันกำหนดผิดเท่านั้น วิปลาส 3 วิปลาส 4

หมดเวลา...จบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:29:40 )

610822

รายละเอียด

610822_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ญาณ 7 พระโสดาบันและประชาธิปไตย 3 เส้า

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1GnLWxSrWamY_ZWWXz8ycYcLGncEvTyMqi5KzdJ4F85A/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่..  https://drive.google.com/open?id=1jzN7JxAoUzP3PEkaSq7rOH2rFeeVubiT

สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ที่บ้านราชฯอีกไม่กี่วัน ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า “รินน้ำใจกลางสายฝน”

ครั้งที่ 31 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก

ศุกร์ที่ 24 - อาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม 2561

รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)

สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ

โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865

รายการพุทธศาสนาตามภูมิวันนี้ พ่อครูเทศน์ตอนนี้มีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นสำมะปี๋ และเวอร์ชั่นแบ่งเบาพ่อครู ที่บ้านราชฯคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าพูดกันเยอะ วันอาทิตย์พ่อครูก็วิ่งยาว ส่วนวันพุธกับวันศุกร์พ่อครูจะมีพักยก 30 นาทีพัก 1 ครั้ง มีสมณะ สิกขมาตุขมวดประเด็น เพื่อให้พ่อครูไม่วิ่งยาวเกินไป

 

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 21 สค. 2561 (สมณะ สิกขมาตุ : พุทธศาสนาตามภูมิ)

_3867ขอเป็นกำลังใจให้นร.สัมมาสิกขายุวชนกองทัพธรรมตัวเล็กตัวน้อยผู้มีพลังศีลสมาธิปัญญาเป็นลูกไม้ลูกมืออาริยชนเสริมแรงกายแรงใจญตธ.จนท.จิตอาสาฯรวมน้ำใจกู้วิฤกติภัยฯปลอดภัยทุกชีวิตทุกถิ่นที่สาธุ!จรธ.

 

_สม.ใจขวัญ

1. สติตัวต้นคือความรู้ตัว หรือความรู้เท่าทัน ความรู้ตัวหรือความรู้เท่าทันต่อสิ่งใด ในสิ่งที่มากระทบ คือ รู้ทั้งข้างนอกและข้างในกายของเรา เมื่อเกิดภาวะรูปก็สามารถทำเวทนา2 ให้เป็นเวทนา1 ได้ เรียกว่า ชาคริยา จนเมื่อสามารถทำชาคริยาได้ครบบริบูรณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็เรียกว่ามีความเป็นพุทธะในเรื่องนั้นๆ ถูกต้องหรือไม่

พ่อครูว่า…แต่ก่อนไม่ตื่นเต็ม ถ้าเป็นพุทธะนี้ตื่นเต็มเลยนะ ถูกต้องแล้ว สติเป็นองค์รวมของการรู้แล้วเกิดการสังเคราะห์สังขารขึ้นมา สติเป็นตัวรู้ตลอดเวลาแล้วสูงขึ้นเป็นชาคริยา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน นิยาม 5 กับศีล 5

2. วทย.ทางโลกมีความรู้แต่เพียงว่า โลกนี้ประกอบด้วยสสารและพลังงานเท่านั้น ส่วนวิทยาศาสตร์ทางนามธรรมของพุทธนั้น พระพุทธองค์ทรงสอนถึงเรื่องนิยาม5 คือตั้งแต่สสารกับพลังงาน หรือที่ทรงเรียกว่า อุตุนิยาม รวมไปถึงพีชนิยามจิตนิยามกรรมนิยามและธรรมนิยามด้วย ถูกต้องหรือไม่

พ่อครูว่า…ใช่ เขาจะแยกพืชออกจากจิตได้ยาก เขามีร้องเพลงให้พืชฟัง ก็ว่าไป มันมีนัยยะละเอียดที่พยายามแยกอยู่นะ ธรรมนิยาม ทรงไว้ ก่อนจะทรงไว้ก็จะสะสมเรียกว่าธรรมนิยาม หากดีมากก็เป็นธรรมนิยามเต็ม

หากไม่มีพระพุทธเจ้า นิยาม 5 นี้ ไม่มีใครจะบัญญัติได้ บางคนบอกว่าไม่มีในพระไตรปิฎกก็ไม่ยอมรับ ก็ไม่เป็นไร แต่อาตมาขอยืนยันว่าอรรถกถาจารย์ไม่สามารถมีใครรู้รายละเอียดถึง นิยาม 5 นี้ได้ ตามภูมิอาตมา อาตมาคิดว่าพอรู้ รายละเอียดของนิยาม 5 นี้ได้

พวกเราพอรู้ไหม...ได้ ไม่สับสน แม้แต่ อุตุนิยามเราก็หลุดพ้น พีชนิยามก็หลุดพ้นมาได้ มาถึงจิตนิยาม เราก็หลุดพ้นมาได้ตามลำดับตั้งแต่หยาบ มากลาง ละเอียดก็พ้นได้ อุตุนิยามวางได้ พีชนิยามก็วางได้ใกล้กันมันเป็นของ

ของคือ อุตุกับพีชะ ส่วนสัตว์มันมีจิตนิยามร่วม ไม่ใช่พืช ที่ไม่มีเวทนาไม่มีพยาบาท ไม่มีรักไม่มีชังก็ใกล้ๆกับอุตุนิยาม ก็จะมีบทบาทของมัน

ที่อาตมา พยายามแยกแยะในศีล 3 ข้อ

ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์

ข้อที่ 2 เกี่ยวกับของ คือ อุตุนิยามกับพีชนิยาม

ข้อที่ 3 เกี่ยวข้องกับตัวเราทวารทั้ง 5 ตาหูจมูกลิ้นกายที่เราจะไปเกี่ยวข้อง ซ้อนไปในสัตว์ในของอีกทีหนึ่ง

มีความรู้แล้วเราก็สามารถหลุดพ้น ละวาง ไม่ติดยึด หลุดพ้นมาได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยืนยันว่าชาวอโศกมีผู้หลุดพ้นจริง มีผู้เป็นอาริยะจริง ตั้งแต่พระโสดาบันสกทาคามีอนาคามีอรหันต์จริง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาหรอก ชาวพุทธที่สนใจจริงๆก็พยายามติดตาม

คุณรู้กว่าอาตมา ก็ต้องอธิบายได้เก่งกว่าจะมานำเสนอได้ดีกว่าจะมาแน่ๆ แต่ถ้าคุณยังทำไม่ได้ดีก็ลองติดตามมาตามมาดูบ้าง ถ้ายังไม่ได้ดีพอ อาตมาว่า

อาตมา ทุกวันนี้ขออภัย ทำงานมา 40 เกือบ 50 ปีแล้ว ได้มากระจุกขนาดนี้ จนกระทั่งสามารถที่จะมีพฤติกรรมทางสังคม มีความเป็นอยู่ เป็นหมู่กลุ่มเป็นคณะ มีวัฒนธรรม มีความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจการเมืองสังคม อยู่กันอย่าง มันมีทฤษฎีของตัวเอง ซึ่งหลายๆคนก็ยืนยันทฤษฎีของพระพุทธเจ้า แต่ของอโศก ก็มีทฤษฎีของตัวเองที่ยืนยันว่าเป็นของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ต่างคนต่างยึดถือว่าเป็นของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่ของพระพุทธเจ้าอันไหน ที่เราคิดว่ามันจะครอบคลุม และสามารถที่จะ หยั่งลึกหยั่งกว้าง ได้ประโยชน์ทั้งลึกทั้งกว้างที่สมบูรณ์มากกว่ากัน

สมณะเดินดินว่า...พระพุทธเจ้าให้เรามีตัวตัดสินหลายอย่าง ตั้งแต่หลักตัดสินธรรมวินัย 8 ประการ เพื่อความมักน้อยสันโดษ กถาวัตถุ 10 เป็นต้น วรรณะ 9 เป็นต้น พ่อครูก็นำมาอธิบายให้พวกเราเข้าใจ ทำอย่างไรจะเกิดความมักน้อยสันโดษ สิ่งเหล่านี้ พ่อครูอธิบายให้พวกเราเข้าใจ

พ่อครูว่า...สิกขมาตุใจขวัญถามมา ญาณ 7 กับญาณ 6 พระโสดาบัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ญาณ 7 พระโสดาบัน

3. ขอทราบความหมาย ญาณ7 ของโสดาบันข้อ6 และข้อ7

นมัสการขอบพระคุณ 22 ส.ค.61

พ่อครูว่า...ผู้ติดตามให้ดีจะมีหลักเกณฑ์ของศีลสมาธิปัญญา และก็มีวิมุติหลุดพ้น หลักศีล เป็นตัวตั้งตัวกำหนดแท้ๆ ตั้งแต่ศีล 5 เป็นพื้นฐาน แล้วศีล 8 ศีล 10 จุลศีล

จะมีความรู้ว่าเราเจริญขึ้นสูงขึ้นตามหลักเกณฑ์ของศีล เป็นตัวชัดเจนเลยว่าเราต่ำหรือสูงจริง เรายึดจริงหรือเราปล่อยวางได้จริง ศีลเป็นข้อกำหนดได้เลย

หากไม่มีศีลมากำหนดเลย ไม่มีหลักบอก ศีล มี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10

หากเราไม่รู้เลข 1 2 3 ก็ไม่รู้ขั้นตอน ถ้าโลกนี้ไม่มีเลข 1 2 3 4 5 ที่รู้กันทั่วโลก เราจะไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรมันไม่มีลำดับ มันจะพูดกันไม่รู้เรื่องเลย มั่วกันหมดเลย ต่ำสูงสูงต่ำ ฉันเดียวกัน ศีล 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10  หากไม่มีศีลเป็นตัวกำหนดจะไม่รู้เลยว่าอะไรมากหรือน้อยกว่ากันอะไรต่ำหรือสูงกว่ากันจะไม่รู้ ในคุณธรรม

เพราะฉะนั้นศีลจึงเป็นตัวกำหนดที่สำคัญมากคนที่ไม่มีศีลเลย ยาก ศาสนาอื่นที่ไม่มีศีลเป็นตัวกำหนดจะรู้รายละเอียดอย่างชัดเจนอย่างนี้ไม่ได้ เพราะศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ มันเอาจิตเป็นเกณฑ์

จิตต่อจากศีลเป็นตัววัดจริงๆ

อย่างศีลข้อ 1 เอาจิตใจเมตตากรุณาเป็นตัววัดเลย เห็นสัตว์ด้วยกันนี่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ สัตว์เล็กสัตว์น้อยจนถึงคน คนก็มีเหตุปัจจัยจะชี้ว่าคนนี้สูงหรือต่ำ ตามรูปธรรมหรือนามธรรม มันซับซ้อนลึกซึ้งละเอียดมากเลย ศึกษาจริงๆเราจะรู้ได้ ตัวจิตนี่แหละเป็นหลัก

 

ไล่ตั้งแต่ข้อ 1 เลยดีกว่า ทวนปัญญา 7

ญาณข้อที่ 1 คือ ปัญญาต้องรู้ว่าเราหลุดพ้นกิเลส ทีนี้กิเลสของแต่ละคนไม่เหมือนกัน กิเลสของใครก็แล้วแต่ คุณกำหนดของตัวเองเลย เราต้องทำตัวนี้เป็นกิเลสหยาบของเรา มันร้าย เราเองเราต้องเอาก่อนเพื่อนเลย มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย มันทำทุกข์ให้เรา มันไปทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย เบียดเบียนผู้อื่นด้วย มันอยู่กับเรา ทำให้ผู้อื่นไม่ดีด้วย เอาตัวนี้แหละของใครก็ของตัวเอง

เสร็จแล้วเราก็พยายาม ลดละ ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้านี่แหละ อ่านจิตให้ออก มีสังกัปปะ 7 มันเกิดกระทบเมื่อใดกิเลสตัวนี้ จะเป็นการกระทบกับสัตว์ กระทบกับของ กระทบด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เป็น กามคุณ 5 คุณก็เข้าใจให้ได้เลยว่านี่คือกิเลส สามหลักใหญ่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ 2 เกี่ยวกับของ 3 เกี่ยวกับทวารทั้ง 5 มันเป็นกิเลส มันหยาบของเรา เราก็จัดการ ละล้างมันให้ได้

โดยตัวที่จะมาละล้างได้อย่างสมบูรณ์คือด้วยปัญญาญาณว่า ภพนี้มันของเก๊ มันไม่จริงไม่เที่ยงแท้แน่นอนมันไม่มีจริง แต่มันทำให้เราเป็นทุกข์เป็นภาระ ทำให้เราติดยึดอยู่อย่างนี้ อยากล้างมันนี่แหละ มันเป็นตัวโทษภัยที่เราสรุปแล้วว่าตัวนี้

คุณก็พยายามที่จะเห็นว่า เอ็ง ไม่ใช่ตัวจริงมาหลอกทั้งนั้นแหละ ไม่มีตัวจริงแต่มันเกิดในจิตข้ามันเป็นภาระ ภาระนี่แหละตัวทุกข์มันยังต่องแต่งๆ เอ็ง ไม่มาเกิดในจิตข้าได้อีกเลยไหม ต้องไม่ให้มันเกิดในจิตเราได้อีกเลยโดยต้องไปใช้การกดข่ม

การกดข่ม ต่างกันกับรู้ด้วยปัญญาฉลาด แยกธาตุปัญญาญาณกับธาตุกดข่มออก คุณต้องแยกลักษณะสองอย่างนี้ออก ถ้ายังกดข่มอยู่ ยังไม่สมบูรณ์ไม่ใช่ ต้องเป็นปัญญาที่รู้ ไม่ได้กดข่มอะไรเลย ฤทธิ์ของปัญญาธาตุรู้ ทำให้กิเลสไม่เกิดในจิตเราเลย

มันจะกดดูบ้างแล้วมันเบาลง มันไม่เกิดได้ยาวนาน นึกว่าหมดแล้ว มาแวบอีก เป็นต้น เราก็เฮ่ย นึกว่าขาดเด็ดแล้ว เอ็งแวบอีกหรือ เราก็ต้องดูด้วยญาณปัญญาอีก อย่ามาทำหน้าแสลน เอ็งไม่มีตัวจริงหรอกมันเป็นอนัตตาเราก็ต้องเล่นกับมันอย่างนี้

เราต้องชัดเจนสัมผัสกับมันตลอดเวลาเลย จึงเป็นสงคราม เรื้อรัง สงครามกับกิเลสของคนนี้เป็นสงครามเรื้อรัง เรียกว่าสรณะ นึกว่าเป็นที่พึ่งแต่ที่จริง เป็นตัวที่จะทำร้ายเราและคนอื่นด้วย เราต้องเอาออกให้ได้จริงๆ

สรุปญาณข้อ 1 ละได้แล้วเป็นวิติกมกิเลส แปลว่าล่วงพ้นหลุดพ้นไปแล้วผ่านมาแล้ว ทีนี้ มีกิเลสปัจจุบันเรียกปริยุฏฐานกิเลส กิเลสที่เกิดในปัจจุบัน อันโน้นที่หลุดพ้นไปแล้วเรียกว่าระดับที่ 1 อันต่อมาคือที่กลุ้มรุมอยู่กับเรานี่แหละตัวนี้ แล้วมันจะรู้ว่า ผู้ที่ได้แล้วคืออย่างไร ตัวที่ยังไม่ได้ มันต่างกันนะ ถ้าใครที่ยังแยกไม่ได้ว่าตัวที่กลุ้มรุมกับตัวที่เราผ่านมาแล้ว แยกความต่างนี้ไม่ออก อาตมาก็คงจะสอนไม่ได้

ถ้าญาณปัญญา คุณก็ยังแยก 2 อย่างนี้ไม่ออกแล้วก็ยังทำไม่ได้ให้คำตอบตัวเองไม่ได้ว่าที่ได้แล้วกับที่กำลังเป็นอยู่ 1 กับ 2 ถ้าหากข้อที่ 1 คุณได้แล้วผ่านแล้ว แต่ถ้าคุณยังไม่ได้ก็พูดกันยังไม่รู้เรื่อง คุณยังทำไม่ได้ก็ค่อยๆเรียนไป เรียนแล้วทำออก ค่อยมีญาณ 1 เพราะว่ามีตัวที่ทำได้และกำลังทำอยู่ เป็นลิงค มีความแตกต่างกัน

อาการก็ต่างกัน อาการ ลิงค นิมิต เราใช้ใจกำหนดเครื่องหมาย เพราะมันไม่มีสีสันเส้นสายให้รู้ นามธรรม บางเบายิ่งกว่าลมยิ่งกว่าอากาศ คุณก็ต้องรู้อาการของมัน จะใช้ภาษาอะไร อาการ ลิงค นิมิต ที่กำหนดหมายเอาเอง อันนี้ไม่มีใครสามารถกำหนดนิมิตให้แก่ใครได้ ได้โดยภาษาพูด คุณก็เอาภาษาไปใช้กับสภาวะให้รู้นิมิตชัดเจน

ยิ่งรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส

อุเทส คือ คำอธิบายที่อาตมาอธิบาย อุเทสคือการฟังไปจากผู้รู้ก่อน ความรู้อันนี้ คุณเองถ้าไม่ได้ฟังจากสัตบุรุษ จ้าง คุณก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ ความรู้อันนี้ละเอียด ขนาดที่พูดกันแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ต้องได้มาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนที่ถ่ายทอดกันมา อาตมาก็รับถ่ายทอดจากพระพุทธเจ้า

ตั้งแต่ศาสนาเทวนิยมอยู่ไหนก็ไม่รู้ พระเจ้าอยู่ไหน แต่ศาสนาอเทวนิยม พระพุทธเจ้าเป็นตัวตน ไม่ใช่พระเจ้าเป็นตัวตน พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์สัมผัสได้อย่างเป็นตัวจริง ส่วนเทวนิยมนั้น พระเจ้าตัวตนอยู่ที่ไหน พระบุตรมาก็เป็นมนุษย์ ถ่ายทอดมาเป็นมนุษย์ แม้แต่พระบุตรเองก็ไม่เคยสัมผัสพระเจ้า เอามาโชว์ก็ไม่ได้พระเจ้า นามธรรมก็ไม่รู้อย่างนี้

 

พุทธไม่มีวันจะมีพลเมืองมากกว่า หรือมีประชากร บริวาร ผู้รู้มากว่าทางศาสนาเทวนิยม ไม่มีทางที่จะไปมากกว่าได้ เพราะจำนวนผู้ไม่รู้มันมาตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว จนกระทั่งไม่รู้กี่ล้านเซลล์ เป็นอเวไนยสัตว์ สัตว์ที่สอนไม่ได้ มวลเขาจะเยอะกว่า

คุณไม่มีวันจะเป็น 1 ของสัตว์โลกได้หรอก 1 ของสัตว์โลกคือรู้ยิ่งกว่าเท่านั้นเอง คุณจะเอามวลเป็นใหญ่ไม่มีทางชนะเขาหรอกเพราะเขาจะมีมวลมากกว่า เพราะฉะนั้น พุทธ จึงเป็นผู้ที่แพ้ได้ ไม่ต้องไปชนะเขาหรอก ได้นามธรรมที่ลึกซึ้งสูงสุดแล้วก็สบาย อาตมาจึงเป็นผู้สบาย

เพราะฉะนั้นน่าสงสารทักษิณมาก เพราะว่าแพ้ไม่เป็น เขาแพ้ไม่เป็น น่าสงสารมาก เขาจะทุกข์ ไม่ใช่แค่ในชาตินี้ เขาจะทุกข์ข้ามชาติ ทักษิณ แม้เขาจะยอมแพ้ตอนนี้นะ เขาดีขึ้นนิดนึงนะ ดีขึ้นนิดนึง ตรงที่เขาบอกว่า เขาจะแพ้ก็แพ้เอง กับตาย

แพ้ก็แพ้เองนั่นแหละ แล้วเอ็งจะแพ้เมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเขาจะไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆหรอก ก็แสดงว่าเขาก้าวหน้าขึ้นนิดนึง แต่ก่อนว่าแพ้ไม่มี นิดนึงก็ไม่ยอม แต่ตอนนี้มีนิดนึง ลดลงไป นั่นคือจิตของเขาแต่โดยรูปธรรมแล้ว ทักษิณหรือคณะเพื่อไทย แพ้หูรูดหมดแล้ว แต่อัตตาของทักษิณ ที่ยังไม่ยอมแพ้ กับลิ่วล้อยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ยังนึกว่าหัวหน้ายังยิ่งใหญ่ ที่จริงมันยิ่งกว่าดูบอลโลก ลุ้นกันว่า เมื่อไหร่จะเลือกตั้ง จะออกหัวออกก้อยหรือก็ไม่รู้

แม้ว่าเลือกตั้งแล้วก็ยังจะตัดสินไม่ได้หรอกเพราะว่าแทคติกของคนมีเยอะ คนเขามีกลวิธี แม้แต่อาตมาก็ยอมรับว่าไม่เก่ง ในเรื่องของกลลวงของคน มันเอาชนะด้วยกลโกง เก่งมากคนนี่ ไม่มีใครเก่งกว่าคนหรอกในเรื่องชั่วในเรื่องขี้โกง คนมันเก่งที่สุด ยกให้ แต่เราไม่แข่งหรอกไม่เก่งอย่างนั้นหรอก ถึงบอกว่าก็ค่อยๆดูไป

แต่อาตมาบอกได้เลยว่าผู้จะเอาชนะไปห้ามอย่างไรก็ไม่หยุดหรอก อาตมาบอกได้เลยว่า แม้เขาจะดูทีว่าเขาจะชนะ แต่ขอยืนยันว่าในประเทศไทยเอาชนะไม่ได้ ในยุคนี้ปัจจุบันนี้ต่อจากนี้ไป ตอนนี้ช่วงนี้ แม้เขาจะดูทีว่าจะชนะ จะได้แต้มอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ชนะไม่ได้ อาตมาบอกนี้พอเข้าใจไหม

แต่อย่าชะล่าใจไปเท่านั้นเอง แม้แต่ลุงตู่ ก็อย่าไปประมาทดูถูกดูแคลนเขา แต่ที่พูดนี่พูดให้ฟัง ทุกอย่างก็เป็นไปตามพระพุทธเจ้าว่าอย่าประมาทเป็นตัวสุดท้าย

ท่านถึงรวมลงที่รอยเท้าช้างไปทั้งหมดว่า คือตัวไม่ประมาท รวมรอยเท้าของสัตว์ทั้งปวงไว้ที่รอยเท้าช้าง

 

สม.กล้าฯ...

สม.รินฟ้า…

ส.ฟ้าไท….

ส.แสนดิน

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระอานนท์ว่า เราจะอยู่ถึงร้อยปีจะเกินกว่าหนึ่งกลับก็ได้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่อยู่ต่อแล้ว ทำไมท่านไม่มีน้ำใจอยู่ต่อ จะเรียกว่าท่านท้อหรือไม่ท้อก็แล้วแต่ เรียกว่าท่านมีความขวนขวายน้อย แต่ท่านไม่ขวยขวาย จะเรียกว่าท่านสาเหตุปัจจัยเช่นนี้ ก่อนจะปรินิพพานท่านให้นิมิตไปถึง 16 ครับ เพื่อให้อาราธนา เพราะอาราธนาท่านก็จะอยู่ต่อ แต่อานนท์ก็ถือว่า เป็นคนฉลาดรู้สารพัดแล้ว ทำไมไม่สะดุดในนิมิตถึง 16 ครั้ง ท่านก็เตือนด้วยนิมิตของท่านว่า ขนาดพระอานนท์ ก็ยังขนาดนี้ ก็เหนื่อยพอแล้ว ถ้าขืนอยู่อีก ท่านก็ใช้อันนี้เป็นเครื่องตัดสิน ทำอย่างนี้ไปตั้ง 16 ครั้ง ให้อาราธนา ดันไม่อาราธนาจนได้ ท่านก็ใช้อันนี้ เป็นเครื่องตัดสิน

พระอานนท์เป็นคนจำเก่งยืนยัน ก็ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้อาราธนา ท่านจะไปก็ให้ท่านไปได้แล้ว ตั้ง 16 ครั้ง ยังไม่อาราธนาท่านเลย คือว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้

เพราะฉะนั้นอาตมาก็ใช้ ขออภัย ไม่ขนาดพระพุทธเจ้าก็ใช้ นิมิตอันนี้ก็ได้ นิมิตอันนี้ไม่พอก็ไม่ใช่ แต่ลอกเลียนแบบไม่ได้นะ หรือบางคนก็อาจจะใช้ได้เรียกว่ามีนิมิตหรือมี ลางสังหรณ์ แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่น มันไม่ได้เดี๋ยวจะเสียผลไปอีก

อาตมาถึงบอกว่า ถ้าไม่แน่ใจถึง 80 เปอร์เซ็นต์เป็นต้นไปก็ไม่ยอมเสี่ยง แต่ถ้า 80% ขึ้นไปก็จะทำ ไม่อย่างนั้นเสียผล ถ้าคนที่คิดว่า ไม่จำเป็นต้องอวดดีหรอก ใครจะบอกว่าเราไม่เก่งนี่หว่า ที่จริงเราเก่งได้ แต่เราทำเอาแค่ 80 เขาจะว่าเรา ไม่เก่งก็ไม่เป็นไร เราทำแค่ 80 หากเราพลาดท่าเสียที 80 ได้ถือว่าสวยยิ่งกว่านี้ไม่เอา

เพราะฉะนั้นคำว่าอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่อยากอวดดี มันมีจริงด้วยประการฉะนี้

 

ญาณที่ 1 จงรับรู้ว่าสิ่งที่คุณล่วงพ้นไปแล้ว วิติกมกิเลส แล้วมีกิเลสที่กำลังกลุ้มรุมอยู่ ปริยุฏฐาน อาตมาก็พยายามอธิบายให้ฟัง

1 กิเลสที่ได้แล้วผ่านมา มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาคนจะรู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดได้ อันนี้ เป็นกิเลสที่ 2 อันนี้เป็นญาณข้อที่ 1

อันที่ 2 ชัดเจนในตัวเองบ้าง มันชัดเจนตั้งแต่อันที่ 1 แล้วอันนี้ก็ไม่ประมาท ว่าเราทำ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำซ้ำ ไม่ประมาท อย่าประมาทว่าเราได้แล้วจะได้เลย ต้องทำซ้ำทำให้มันแน่นหนามั่นคง อาเสวนาทำซ้ำ ภาวนาแปลว่าการเกิดผลอย่างนั้น ทำอย่างใด ที่ได้นั้นได้อย่างใด อย่างนั้นแหละ มรรค วิธีทำ ทำได้อย่างนี้แล้วอันนี้ก็ใช้ ทำทั้งมรรคและผล ทำซ้ำภาวนา ทำให้มากพหุลีกัมมังจนเกินเฟ้อเหลือเฟือ ทำอย่าประมาท

ญาณที่ 2 จึงเป็นญาณที่เกิดความไม่ประมาท ทำให้เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จึงเติมอเนญชาภิสังขาร

 

อภิสังขารมี 3 ปุญญาภิสังขารทำเสร็จเป็นอปุญญาภิสังขาร ไม่ช่วยแล้ว บุญไม่ช่วยแล้วเราต้องช่วยตัวเองจึงต้องสัมผัสอันที่ 3 คือ ญาณที่ 2 ไม่ได้แล้วนะ ต้องทำด้วยตัวเอง บุญนี้เหมือนพระเจ้าไม่ช่วยแล้วนะ นี่คือ ญาณที่ 2 อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ต้องทำ แล้วจะได้เป็นเราเป็นของเรา อันที่ 2 นี่คืออาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง

 

ญาณ ที่ 3 ...ไม่ทั่วไปกับสาธารณปุถุชน มันเป็นสิ่งพิเศษ จะมีปฏิภาณปัญญา รู้เลยว่าเป็นอริยะเป็นโลกุตระไม่ทั่วไปกับปุถุชน ปุถุชนชนหรือสาธารณะทั่วไป จะไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ได้เลย โสดาบันด้วยกันจึงพูดกันรู้เรื่อง ปุถุชนนั้นจะพูดไม่รู้เรื่อง แม้แต่พูดแต่ว่าด้วยพยัญชนะ ที่จริงแล้วยังไม่ได้ บางทีพูดโก้ๆด้วย บางทีต้องยอมให้คนขี้โกงหลอกได้ แต่ก็ซวยนะคนโกหก เขาไม่ได้จริง แต่เขามาโกหกว่าได้ วิบากก็เป็นของเขาก็เท่านั้นเอง เราจะไปช่วยเขาได้ยังไงเพราะเขาเองยังอยากจะชั่วอยู่ เขาโกหกเรา แต่พระพุทธเจ้ายกเว้นว่า เว้นแต่ว่าผู้นั้นหลงตัวเองจริงๆ เขาก็ไม่รู้ของเขาเหมือนกันเขาก็หลงนึกว่าเขาได้ บอกว่าเขาได้ ๆคนนี้ก็วิบากของคนที่เขาหลงว่าได้ พระพุทธเจ้าถึงไม่เอาผิด เขาไม่มีเจตนา เขาไม่เจตนาจะหลอก เขาเชื่อว่าเขาได้จริง

แต่ถ้าคุณเองรู้ตัวเองว่าไม่ได้แล้วโกหก อันนี้แหละคนจะยิ่งโกหกซ้ำซ้อน จะซวยหนักเข้าไปอีก อย่าทำเสียเลยนะ เน่าเหม็นแตกตัวไปใหญ่เลย อย่าทำเชียว

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า คนที่โกหกทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองโกหกไม่มีชั่วอะไรที่เขาจะทำไม่ได้คนนี้อย่าไปคบเป็นอันขาด คนนี้ทั้งที่รู้ว่าตัวเองโกหก เขาหลงจริงๆ เขาไม่รู้เขาว่าเขาได้จริงๆก็ยอม เพราะเขาไม่มีตัวเจตนา พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าเจตนาเป็นกรรม เจตนาที่ไม่เป็นกรรมไม่มีวิบากเพราะเขาไม่รู้จริงๆ เขานึกว่าเขาใช่เขาได้เขาถูก เขานึกว่าเขาได้แต่เขาไม่ได้เขาหลงผิดอันนี้ก็ยกประโยชน์ให้แก่จำเลยไป อย่างนี้เป็นต้น

อันที่ 3 นี้ ไม่ทั่วไปของปุถุชนไม่สาธารณะกับปุถุชน ต้องคนอาริยะด้วยกันเท่านั้นถึงจะรู้ร่วมกันได้พูดกันรู้เรื่องอย่างลงตัว คุณก็ใช่เราก็ใช่ มันจะตรงกันหมดได้เลยอย่างนี้เป็นต้น

ไม่ทั่วไปนี้เข้าใจยากนะ ได้เฉพาะผู้ที่เป็นอาริยะด้วยกัน

สมณะเดินดินว่า..นักปฏิบัติธรรมทั่วไปจะให้เขาเลิกกินเนื้อสัตว์พูดถึงกิเลสที่หยาบๆเขาไม่พูดกัน แล้วจะไปรู้ วิติกมกิเลส ปริยุฏฐานกิเลสไม่มีทางรู้ได้ เพราะฉะนั้นไม่ทั่วไปกับสาธารณะต้องรู้ด้วยกันกับพระอริยะเท่านั้น ปุถุชนเป็นอันหนึ่ง อาริยะเป็นอันหนึ่ง นี่คือ อันที่ 3 ญาณปัญญาที่ 3

 

ญาณปัญญาอันที่ 4 เหมือนเด็กจับไฟร้อน อันที่4 เป็นเครื่องยืนยันพระโสดาบันจริงๆ ถ้าจริงๆแล้วทำผิดแล้วจะต้องรีบแก้ไขทันใดเลย แล้วจะไม่ทำผิดอีก นั่นเป็นตัวตัดสินเลยว่า โสดาบันหรือไม่โสดาบัน คุณยังผิดอยู่ๆก็ยังไม่ใช่ รู้ทั้งรู้ว่ายังผิดอีกก็ไม่ได้ ถ้าผิดแล้วแก้กลับ จะไม่ให้เป็นอีกอันเด็ดขาดอันนี้คือธาตุตัดสิน ผู้ที่กลับจริงกับไม่กลับจริง ถ้าขืนชะล่าใจ เดี๋ยวไปเลยประมาท

โสดาบันนี้แม้ผิดอันมีประมาณน้อย อย่าทำเสียเลย จะเตือนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา อันที่ 4 นี้ อันนี้ก็ไม่ทั่วไปกับสาธารณปุถุชนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเหมือนเด็กถูกไฟจะให้ไปจับไปอีกก็ไม่เอาอีกเพราะมันรู้ว่าร้อนแล้วเป็นไฟ เผลอไปถูกแล้ว เข็ดเลย จำไว้ว่าไฟคืออันนี้ไม่เอาแล้วไม่ใกล้แล้ว ใครจะบอกว่าไฟไม่ร้อนก็ไม่มีไม่เอา นี่คือญาณที่ 4 หมายความว่าคนนี้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา

 

ญาณที่ 5 เป็นประโยชน์ผู้อื่นเหมือนโคแม่ลูกอ่อน เล็มหญ้าไปเลี้ยงลูกไป เป็นคนไม่ยึดถือตัวตนตัวเอง เห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นอย่างชัดเจน อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งถ้ายิ่งจริงแล้ว ตัวตนเราน้อยลงก็จะเห็นแก่ผู้อื่นมากขึ้น ยิ่งชัด แต่จะเห็นประโยชน์ตัวเองกว่านั้นไม่ทำ

 

คือตัวตนลดเกินครึ่งแล้ว เห็นประโยชน์ตนเองสำคัญน้อยกว่าผู้อื่น

จะบอกว่าไม่ทำร้ายจิตผู้อื่นเลยคงไม่ถึงขนาดนั้นโสดาบันไม่เก่งขนาดนั้น

สรุปแล้วก็คือ ตัวตนนี้ลดลงไปเกินกว่าครึ่ง เห็นประโยชน์ผู้อื่นมากกว่าตัวตน เพราะฉะนั้นอย่างไรๆก็ เราต้องการเจริญ ก็เพื่อผู้อื่น

 

ญาณที่ 6 ประเด็นสำคัญก็คือ ทำให้มีประโยชน์ ทำไว้ในใจ กำหนดจิตทั้งปวง เงี่ยโสตสดับฟังธรรม อันที่ 6 ต่างจากอันที่ 7 อันที่ 6 กำลังทำให้เกิดประโยชน์ (บาลี)  ธมฺมวินเย

เทสิยมาเน  อฏฺิกตฺวา  1  มนสิกตฺวา  สพฺพเจตโส  2 สมนฺนาหริตฺวา โอหิตโสโต   ธมฺม   สุณาติ

 

 

ญาณที่ 7 ย่อมได้อรรถธรรม ความรู้ธรรมแล้วจิตก็มีปราโมทย์ประกอบด้วยธรรม เป็นตัวที่ได้แล้วรู้ทั้งอรรถะ และธรรมแล้วตนเองได้อรรถะธรรมะจริง

ปๆ

สรุปว่าอันที่ 6 กำลังทำประโยชน์นี้อยู่ อันที่ 7 นี้ได้ทั้ง อรรถะทั้งธรรม อันที่ 6 คือมรรค อันที่ 7 คือผล

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า

ตอนนี้การเมืองกำลังเข้าไคล เขาสรุปว่าประชาธิปไตยไทยนี่แหละดีที่สุด เป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ของศาสนาพุทธ

 

ประชาธิปไตยนั้น 1 ความอิสระเสรีภาพ 2 ความไม่มีตัวตน 3 ความรู้เรื่องจิตวิญญาณ

ประชาธิปไตยขาเดียวไม่รู้เรื่องจิตวิญญาณนี้ไม่ได้เรื่องได้ราวหรอกมันชั่วคราว ไม่ได้ศึกษาสัจธรรมธรรมะที่ลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ ไม่รู้ถึงจิตวิญญาณสำคัญมันไปไม่ได้เท่าไหร่หรอก อเมริกา ตอนนี้กำลังเก่ง ปล่อยให้เก่งมาพักหนึ่งแล้ว ตอนนี้ประชาธิปไตยไทยจะขึ้น

ประชาธิปไตยแบบอเมริกาขึ้นมา 200 กว่าปีแล้ว พูดกันถึงเรื่องประชาธิปไตย ของ จอร์จ วอชิงตัน

ตอนนี้ประชาธิปไตยของไทยของพระพุทธเจ้ากำลังจะขึ้นมาเป็นประชาธิปไตย 2 เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการสืบสาน สันตติวงค์ ส่วนประชาธิปไตยขาเดียวไม่ได้สืบสานสันตติวงศ์ ใช้ภายนอก เพราะฉะนั้นจึงใช้อำนาจเงินอำนาจทางอำนาจ อำนาจทางกลยุทธ์ อำนาจที่เป็นอิทธิพลลาภยศต่างๆ อำนาจที่มีการเชื่อถือกัน มันเป็นความซับซ้อนทางจิตวิญญาณ แต่ก็จะสร้างไม่ได้ลึกซึ้งหรอกทางโลกอำนาจทางจิตปัญญา เขาไม่ได้ลึก

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยขาเดียว จะต้องใช้เงินเป็นหลัก การใช้เงินเป็นหลักจะเห็นได้ว่า ประชาธิปไตยของอเมริกา ใช้เงินมหาศาล แต่ก็ซับซ้อนไม่ให้คนรู้ แต่คนก็ต้องรู้ อาตมาไม่ได้เป็นนักลึกซึ้งอะไรก็ยังรู้เลย มันใช้เงินกันโอ้โห เลือกตั้งที่ 1 เป็นหมื่นล้านแสนล้าน มันมีคณะรวมหัวกัน เพราะมันซ้อน พวกนายทุนทั้งหลาย ทั้งนายทุนและนายอำนาจเล่นการเมืองมันก็ฮั๊วกัน เงินกับอำนาจมันฮั๊วกัน

สมณะเดินดินว่า..อเมริกาควบคุมปืนไม่ได้ เด็กพกปืนกันเกลื่อน เพราะว่านักการเมืองได้ผลประโยชน์

พ่อครูว่า...มันเป็นความซับซ้อนที่เป็นหอกข้างแคร่ มันเป็นภัยย้อนหาตัวตลอด ไม่เด็ดขาดสมบูรณ์

อาตมาก็กล้าพูดได้ว่า ประชาธิปไตยแบบอเมริกาแบบขาเดียวนั้น นับวันจะร่วงโรยไป อย่าง ฝรั่งเศสตอนนี้บอกว่าอยากจะได้พระเจ้าแผ่นดินคืน จริง คนที่มีปัญญารู้แล้วว่ามันไม่บริบูรณ์หรอก เพราะฉะนั้นฝรั่งเศสให้สัญญาณดีขึ้นมา อังกฤษรู้ตัวให้ดีนะ ต้องพยายามทำให้ บัลลังก์ทั้งด้านกษัตริย์ให้ดี ถ้าเป็นต้นรากต้นแบบประชาธิปไตย เอาให้ดี ฝรั่งเศสนั้นกษัตริย์หมดไปแล้ว ส่วนอันอื่นก็ยัง ไม่ต้องไปเทียบเคียงมากเอาแค่นี้ก่อน

ส่วนไทยนั้น ขอยืนยันว่า เป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า เป็นรากฐานเดิมของศาสนา เป็นรากฐานเดิมของจิตวิญญาณ ของไทยนี่ แล้วก็ขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นยอดประชาธิปไตยสูงสุดไปศึกษาให้ดีเถอะ นักรัฐศาสตร์ทั้งหลายไปศึกษาให้ดี พระพุทธเจ้าท่านประกาศประชาธิปไตยมาตั้งแต่ยุคของท่าน แม้ว่ามันยากที่จะรู้ แต่ว่าท่านมีบารมีสูง จนกระทั่งกษัตริย์ในยุคนั้นยอมท่านหมด พุทธเจ้าไม่ได้ใช้อาวุธเลยไม่ได้ใช้อำนาจเบ่งใหญ่แต่ท่านใช้ธรรมะ ใช้ธรรมนูญใช้ศีลสมาธิปัญญา

จะว่าไปแล้วคนอินเดียก็ตาม คนเอเชียก็ตามไม่ใช่ยุโรป ยุโรป เป็นแกนเทวนิยม อินเดียเป็นเทวนิยมหนัก แต่แค่นี้ก็ปรับตัวมาเป็นเข้าหาไทย ไทยก็เป็นปัญญาเต็มๆ อเทวนิยมเต็มๆ เพราะฉะนั้นอินเดียซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างเทวนิยมกับอเทวนิยม ส่วนทางยุโรปตะวันตกนั้นเทวนิยม 100% ซึ่งก็ยังยากที่จะค่อยๆได้ อเทวนิยม เพราะลงรายละเอียดของจิตวิญญาณไม่ได้

ระบบความรู้ที่จะไปละตัวตน อาตมันที่เป็นพระเจ้าของเขายังไม่ได้ ยังยาก เพราะฉะนั้น ทางด้านนี้จะพิสูจน์ เพราะว่ากระแสของโลกมาถึงปลายของกลียุค มันจะต้องดีขึ้นด้วยคุณธรรม จะไปฆ่ากันแบบเดรัจฉาน คนนั้นไม่มีเขี้ยวมีงาก็เลยใช้อาวุธฆ่ากัน แต่การฆ่าเขาด้วยอาวุธมันเก่าแล้วตกยุคแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่เขายังไม่รู้ก็ใช้เขี้ยวและงาอาวุธ กันอยู่ แต่ผู้ที่เป็นประเทศลึกซึ้งสูงส่งแล้วรู้จักจิตวิญญาณเสียสละยอมแพ้ที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เห็นแก่ผู้อื่นไม่เห็นแก่ตัวแล้วไม่ทำด้วยอำนาจบาตรใหญ่ อันนี้มีความสูงส่งกว่า

ตอนนี้ก็เห็นได้ว่าผู้เป็นใหญ่ที่สุดของประเทศ ของสหรัฐอเมริกา ก็ยังไม่สะดุดเลยว่าตัวเองได้พูดไปว่า American First นั่นแหละยังจะเป็นเจ้าโลกอยู่นั่นแหละ แล้วคุณก็จะมั่นใจในอาวุธของคุณนั่นแหละ หรืออำนาจบาตรใหญ่ บริวารต่างๆที่จะมาสยบ ทุกวันนี้คุณกำลัง ขับบริวารออกเยอะนะ คุณกำลังต้อนรับขับแขกนะอเมริกา กำลังมีกำแพงกั้นระหว่างเม็กซิโกกับอเมริกา มันเป็นความจริงฟีโนมีนอนยืนยันความจริงเป็นตัวบุคคล นี่เป็นประธานาธิบดีของเขา แล้วเขาก็บริหารเต็มรูป แม้ว่าจะสั้นด้วยคำว่าประชาธิปไตยก็ตาม แต่ลึกๆนั้น มีอำนาจบาตรใหญ่ ซ้อนในนั้น เพราะว่าตัวเองร่ำรวยมามีมิตรสหายเยอะ

ตอนนี้ยังแฝงทรัพย์ศฤงคารอีกเท่าไหร่นายโดนัลด์ทรัมป์ คุณลองเอาทรัพย์สินของคุณออกไปสิ รับรองว่าโดนัลด์ทรัมป์ไม่อยู่ จะเอาคนอื่นขึ้นมา แต่ตอนนี้โดนัลทรัมป์มีทรัพย์สินเป็นเครื่องต่อรอง ก็เท่านั้นแหละ ถ้าคุณ โละทุนนี้ออกไปรับรองรูดมหาราชเลย

 

สม.กล้าฯ

สม.รินฟ้า

ส.ฟ้าไท

ส.แสนดิน

 

ผู้จะตามมาต้องรู้ว่าอย่างน้อยต้องรู้ว่าที่นี่ใช่ แม้จะมาอย่างทำได้ยากหน้านองน้ำตา แต่ก็จะอดทนปฏิบัติไป ถ้ากิเลสลดลงก็จะสบายขึ้น

 

ประชาธิปไตย ก็ขอย้อนไปทางต้น อาตมาพยายามย้ำว่า ประชาธิปไตยนั้น เป็นประชาธิปไตย 2 ขา จะต้องมี กษัตริย์ เพราะว่ากษัตริย์นั้นสืบทอดกันมาเป็นสันตติวงศ์ มีกฎมณเฑียรบาลอยู่ในแวดวงถึง DNA ถึงเชื้อชาติสัญชาติ สืบทอดกันมาตั้งแต่ตระกูล และได้อบรมกันมาจึงเกี่ยวกับจิตวิญญาณ

ประชาธิปไตยสามัญ ง่ายๆ ถ้าประชาธิปไตยขาเดียวก็จะมีประชาชน แล้วจิตวิญญาณก็แน่นอน ประชาชนต้องมีจิตวิญญาณ จิตวิญญาณจะไม่มีการสืบทอด เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นประธานของประเทศหรือผู้ที่จะเป็นใหญ่ของประเทศนั้น ไม่มีอีกขาหนึ่งทางจิตวิญญาณ ต่อเชื้อเลย ประชาชนใครก็ได้มาเป็นก็ได้ เขาก็เห็นว่าเป็นอิสระเสรีภาพทุกคนเป็นได้ แต่เป็นได้แล้วผลที่เกิดเป็นอย่างไร ผลที่เกิดก็มีแต่ความเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นพวกนี้ก็ต้องพยายามหาสิ่งแวดล้อมหาพวกหาเงินหาทองหาโลกธรรมภายนอกไปเลย ไม่เป็นภายใน

ประชาธิปไตยที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินไม่มีการสืบทอดทางดีเอ็นเอจิตวิญญาณเลย ถึงไม่มีอะไรรับประกันได้ มันเป็นอำนาจของวัตถุเป็นอำนาจภายนอกไปเลย เพราะฉะนั้นคนก็เอาของภายนอกมาเป็นอำนาจ ก็ต้องสะสมแย่งชิงต้องสร้างอำนาจปัจจัยภายนอกเท่านั้นเลย และภายนอกนั้นไม่ยั่งยืน ถ้าทางจิตนั้นจะยั่งยืนยาวนาน ประชาธิปไตยที่มีจิตวิญญาณเป็นตัวตั้งจะยืนยาวนานกว่าประชาธิปไตยที่เอาแต่วัตถุเป็นตัวตั้ง

เป็นสมบัติผลัดกันชมเท่านั้นเอง ประชาธิปไตยที่เอาวัตถุเป็นตัวตั้ง แต่ถ้าประชาธิปไตยที่เอาจิตวิญญาณเป็นตัวตั้งจะยืนนาน เพราะฉะนั้นหลักเกณฑ์ความถาวรยืนนาน ก็ต้องการกันอยู่ทั้งนั้น ต้องการความเป็นสุขเย็น ไม่ต้องฆ่ากันแย่งชิงกัน นานๆ จิตวิญญาณเป็นหลัก ถ้าเอาแต่ทางวัตถุ มันไม่ยืนนานเป็นสมบัติผลัดกันชม เดี๋ยวก็ฆ่ากัน อยู่เรื่อย แย่งกันอยู่ด้วยแล้วมันจะสงบได้อย่างไร

 

สรุป ประชาธิปไตยแบบสามเส้า มี กษัตริย์ ประชาชน และจิตวิญญาณ เป็นประชาธิปไตยสามเส้า

ประชาธิปไตย 2 ขาคือมีกษัตริย์กับประชาชน ผูกด้วยจิตวิญญาณ เป็นเส้าที่สาม

ของพระพุทธเจ้าเอาจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง จิตวิญญาณเป็นตัวตั้งที่ต้องสร้างด้วยจิต ให้หมดความเห็นแก่ตัวจริงๆ และอิสระเสรีภาพที่ลึกซึ้งสุด จึงเกิดประชาธิปไตยอีก 6 หลัก

จิตวิญญาณ อิสระเสรีภาพ และไม่มีตัวตน นี่คือสามเส้า

แต่ สามเส้านี้ สัมพันธ์กันด้วยจิตวิญญาณ

สามเส้าอันแรก ประชาชนกับกษัตริย์และจิตวิญญาณ

สามเส้าหลังคือ อิสระเสรีภาพ และไม่มีตัวตนไร้ตัวตน จิตวิญญาณเป็นประธานของทั้งสองเส้า สองขานี้ สองกลุ่มนี้

สามเส้าแรก กษัตริย์กับจิตวิญญาณ

กลุ่มหลัง อิสระเสรีภาพกับจิตวิญญาณ

จิตวิญญาณนี้แหละ ถ้าถึงขั้นไม่มีอัตตาตัวตน แล้วก็เป็นผู้มีอิสระเสรีภาพ ซึ่งอันนี้ลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้นถ้าไม่มาเรียนรู้สัจธรรมที่เป็นปรมัตถ์ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ความรู้ทางจิต เจตสิก รูป นิพพาน จะไม่ล้างอัตตาตัวตนได้เลย เทวนิยม อัตตา ปรมาตมัน จะสลาย ปรมาตมันไม่ได้ กูนี่แหละใหญ่ พระพรหมว่ากูนี่แหละใหญ่ ไม่ได้

ต้องลดอัตตา เมื่อลดอัตตาไม่ได้ มันลึกซึ้งซับซ้อนคือคุณเองแพ้ใครไม่ได้เหมือนอย่างตัวอย่างที่เห็น แต่อาตมาอธิบายไปแล้ว ทักษิณได้มานิดนึง ยังบอกว่าต้องขอยอมแพ้เองก็ยังเป็น อัตตาอยู่นี่แหละ แต่ก่อนนี้ไม่มีทาง ทุกอย่างต้องชนะหมด เดี๋ยวนี้ก็ได้ขึ้นมานิดนึง เพราะว่าเห็นท่าทีแล้ว เขาก็มีปฏิภาณรู้ เขาก็เรียนรู้กรรมวิบาก เรื่องเหล่านี้คนที่ศึกษาอย่างโพธิสัตว์จะศึกษาจากของจริงศึกษาจากเหตุการณ์จริง ศึกษาจาก Sorry ที่เราได้ร่วมเหตุนิทานสมุทัยปัจจัย ไม่รู้กี่ชาติ เรื่องนี้เป็นอจินไตย อาตมาผ่านมาแล้วการเมืองการบริหารประเทศ อาตมาก็บริหารประเทศมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว อย่างนี้เป็นต้น พูดไปแล้ว ก็ขออภัย อวดดิบอวดดีไปไม่พูดต่อ

ที่อาตมาคำว่าพูดต่างๆนี้ไม่ใช่แค่บัญญัติ แต่อาตมาเอามาพูดจากสิ่งที่อาตมาเคยผ่านชีวิตจริงมา ไม่ว่าจะเป็นการเมืองไม่ว่าจะเป็นนายทุน อย่านึกว่าอาตมาไม่เคยผ่านการเป็นนายทุนนะ แต่ทุกวันนี้ไม่เอาเด็ดขาดการเป็นนายทุน ถึงแม้ว่าจะไปเป็นเรื่องของการบริหารการเมืองเป็นผู้บริหารก็ตาม อาตมา 1 นายทุนนั้นอาตมาไม่เอาก่อน 2 การบริหาร ไม่รู้ชาตินี้ชาติหน้าแต่ก็พยายามลดแล้ว จะเป็นโพธิสัตว์ อย่างเก่งก็เป็นปุโรหิต และสุดท้ายก็จะเป็นปุโรหิตจริงๆ เพราะฉะนั้นตอนนี้อาตมา ถ้าจะให้ไปบริหารเองก็น้อยแล้ว 2 จะเป็นที่ปรึกษาของผู้บริหาร แล้วก็จะไปเป็นที่ปรึกษาเป็นผู้ที่ สอน เป็นผู้แนะนำเท่านั้น แล้วมันก็จะเสริมกับการเป็นผู้สอนหรือผู้แนะนำให้ยิ่งขึ้นต่อไป สำหรับอาตมานะ มันจะเป็นเช่นนั้น เท่านั้นเอง อัฐมาเกิดมาชาติหน้าก็จะเป็นปุโรหิต เป็นที่ยอมรับ ของนักการเมืองมากขึ้น กว่าในยุคนี้ ในปางนี้ ในปางนี้นักการเมืองยอมรับแค่นี้ยังไม่มากมายเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีนักการเมืองมายอมรับบ้าง ไม่สิ้นไร้ไม้ตอกเสียทีเดียว ในครั้งหน้าจะยิ่งมีมากขึ้น ไม่ใช่อย่ารีบตาย หรือตายแล้วรีบเกิดมาให้ทันอาตมา

 

ประชาธิปไตยขาเดียวคือประธานาธิบดี

ประชาธิปไตย 3 เส้าคือ ประชาชนกษัตริย์และจิตวิญญาณ

ประชาธิปไตย สามเส้าที่สอง คือมีอิสระเสรีภาพไม่มีตัวตนและมีจิตวิญญาณ

รวมแล้วประชาธิปไตยของพุทธนั้นครบทั้ง 2 กลุ่มนี้

จะขึ้นกลุ่มที่ 3นี้ยังไม่ขึ้นมาเอาแค่ 2 นี้ก่อน สัมพันธ์กันพลังงานบวกด้านลบ ในนิวเคลียสมีบวกลบเท่านั้นอย่าไปพูดถึงประธาน

ประธานค่อยว่ากันทีหลัง เพราะฉะนั้นเอาบวกกับลบก่อน

 

มาพูดถึงไม่มีอัตราไร้อัตตา กับความเป็นอิสระเสรีภาพต้องมีจิตวิญญาณเป็นหลัก

คุณไม่ได้เล่าเรียนเรื่อง อัตตาในจิต เราใช้บัญญัติว่าอัตตาก็คืออาตมัน จะเรียก mentalก็แล้วแต่ ก็แยกแยะเอาเอง

สรุปแล้วต้องศึกษาจิตวิญญาณ ตัวตนก็เป็นจิตวิญญาณ อิสระก็เป็นจิตวิญญาณ ได้อธิบายไปเริ่มต้นแล้วว่า ศาสนาเทวนิยมนั้นพระเจ้าเป็นนายไม่ยอมแพ้และไม่ยอมเป็นรองเลย และผู้ที่เป็นทาสพระเจ้า ก็ไม่ยอมที่จะขึ้นไปดึงพระเจ้าลงมา เพราะพระเจ้านั้นลึกลับ พระเจ้ามีความลึกลับ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะรู้ตัวตนของพระเจ้า แต่ว่าศาสนาพุทธ เอาตัวตนของจิตวิญญาณมา เรียนรู้ตั้งแต่ตัวตน ที่เป็นลิ่วล้อตัวเล็ก จนกระทั่งตัวใหญ่ขึ้น จนกระทั่งใหญ่สุดที่พูดกันรู้เรื่อง ยืนยันกันได้ว่าพิสูจน์กันได้ว่า ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเป็นมนุษย์สองคน เพราะฉะนั้นในความละเอียดลึกซึ้งของจิตวิญญาณนี้

ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงมีลำดับของจิตวิญญาณ โสดาบันสกทาคามีอนาคามีอรหันต์ แล้วยังมีพระโพธิสัตว์ไปอีก

โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถอดเป็น สาม เส้าได้ แล้วก็ ประชาธิปไตย สามเส้า ก็มาศึกษาอันนี้

อัตตาตัวตนคือ อาการ ลิงค นิมิต ตัวที่ 4 คือ ต้องฟังจากสัตบุรุษเป็น อุเทส

ถ้าคุณนึกว่าคุณเก่งไม่ฟังจากสัตบุรุษเลย ไม่มีทางที่จะสามารถรู้จักจิตวิญญาณที่ละเอียดก็ไปได้ คุณจะแยกโลกิยะโลกุตตระไม่ออก

โลกุตระคืออะไร คืออ่านกิเลสให้ออก แล้วมีอาวุธปุญญะ ชำระกิเลสได้ ปุญญะคือ พลังงานของจิต คุณจะต้องรู้จักสร้างพลังงานของจิตจริงๆ คุณจะสร้างพลังงานของจิตได้คุณจะต้องรู้รูปนาม คือวิญญาณต้องรู้รูปนาม

แล้วรูปนามนี้ วิญญาณนี้ไม่ใช่วิญญาณที่ลึกลับ วิญญาณที่จะพิสูจน์ได้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าคุณไม่รู้ว่าตาคุณต้องใช้วิญญาณร่วมทวารทั้ง 5 ต้องใช้วิญญาณร่วมเป็นธรรมะ 2

เร่ิมต้น วิญญาณจะรู้ต้องมีทางตาหูจมูกลิ้นกาย แต่ถ้าวิญญาณของคุณไม่รู้เลยไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายอยู่ไหนก็ไม่รู้แล้วไม่มีแขนไม่มีขาไม่มีตัวตน เป็นพระเจ้า นี่พูดเป็นรูปธรรมให้ฟัง จึงลึกลับมากเลยขยายไม่ออก ของพระพุทธเจ้าขยายออก

วิญญาณท่านแจกแจงเป็นความรู้สึกเวทนา เป็นตัวหลักเลย ความรู้สึกหรือเวทนาเป็นตัวหลัก เพราะฉะนั้นเอาความรู้สึก เป็นตัวศึกษา เป็นตัวหลัก มันเกิดจากภาวะแรงดูดกับแรงผลัก คือลบและบวก เป็นวิทยาศาสตร์ ก็มาศึกษา กับประธานคือคุณจะต้องทำให้เป็นกลาง

ประธานของบวกลบนี้คือกลาง คือ นิวตรอน ประธานของนิวเคลียสคือ นิวตรอนหรือวงกลมหรือศูนย์ที่ลงตัวคือสภาพที่หมุนอย่างได้สมดุล ถ้าแรงเคลื่อนก็คือวิ่งอยู่อย่างสมดุล ถ้าเป็นความstatic คือหยุดเฉยๆ ก็มีแต่ความเสื่อม

มันต้องเกิดแรงขึ้นเริ่มตั้งแต่ทศนิยม จนมีมากขึ้นทศนิยมมากขึ้นจนเป็นเลขเต็มหลัก 1 2 3 แล้วก็ 4 แล้วก็ 5 6 7 8 9

พลังงานก็จะต้องมีปฏิพากย์ทวีซับซ้อน ใครสามารถจะควบคุมพลังงานนี้ได้ ตั้งแต่พลังงานทางสสาร คุณควบคุมได้ก็ไปทำบวกลบแล้วก็เป็นประธานของบวกลบ คุณก็ไปทำระเบิดนิวเคลียร์ แล้วก็พลังงานที่จะใช้มากๆได้เยอะ แม้แต่เอาไปเป็นตัวรวม เป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่น หรือ รวมตัวไม่ติดเป็นนิวเคลียร์ฟิชชันก็ได้ มันก็มี 2 ทิศทาง ผู้มาศึกษาทางจิตวิญญาณสามารถที่จะรวมลงเป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่นของจิตได้ ก็จะเป็นพลังงานอัตรารวม แล้วคุณสามารถทำพลังงานรวมและสลายอัตตาได้ คุณก็อยู่เหนือนิวเคลียส

คุณรวมและสลายอัตตาได้ ด้วยตัวคุณเองก็เป็นนายของนิวเคลียส เป็นนายของพลังงานบวกลบ เป็นนามธรรมในจิตของคุณ คืออมตบุคคล

เพราะฉะนั้นควรจะเป็นอมตะบุคคลได้สามารถที่จะเป็นได้เกิดได้ตายได้ เกิดเองตายเอง ก่อนจะทำให้ร่างกายตายได้เวลานั้นเวลานี้ วันพระอรหันต์บางองค์ จะตายในก้าวที่ 7 ที่เดินไปก็ได้ สั่งได้ พระพุทธเจ้าสั่งได้พระโมคคัลลานะก็สั่งได้ อย่างนี้เป็นต้น

แต่อาตมายังไม่สั่ง เพราะอาตมายังไม่คิดจะตายยังจะเกิดอีก ยังไม่สั่งให้ตัวเองตาย เพราะฉะนั้นจะใช้ coefficient ที่เกิดมากกว่าสั่งตาย อาตมาทำได้ มีอัตราการก้าวหน้า Coefficient ที่จะเกิดอีก ตอนนี้ก็ยังตั้งใจยังไม่ถอดที่จะไม่อยู่ถึง 151 ปียัง

ถ้าอาตมาไปได้ถึง 144 ปีเมื่อนั้นจะถอด ถ้าหากสังขารไม่ไหวจริงๆ แต่ถ้ายังไปไหวก็จะไปอยู่ 151 ปี ตามพิสูจน์ก็แล้ว

 

อิสระเสรีภาพของพุทธเจ้านั้นแม้แต่เป็นพระโสดาบันก็เป็น independent ขั้นที่ 1 แล้ว เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน เช่นคุณมีจิตอยู่ในอบายมุข แต่ก่อนคุณติดการเล่นไพ่การพนัน โอ้โห การพนันนี้ จะเล่นอะไรก็เก่งทุกอย่าง ชอบติด คุณก็หลุดพ้นเรื่องการพนัน อบายมุขนั้นเป็นเรื่องต่ำที่สุดแล้วพระโสดาบันก็หลุดพ้นมา จึงเป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน เพราะฉะนั้น บ่อนในประเทศไทย คุณไปได้ทุกบ่อนก็อยู่เหนือมัน ไปทางเขมร ชายขอบประเทศไทยก็อยู่เหนือมันได้ ถ้าไปที่มาเก๊า คุณก็อยู่เหนือมัน ไปที่ลาสเวกัสไปที่โมนาโกคุณก็เหนือมันเพราะคุณอยู่เหนือมันแล้วไปที่ไหนก็เหนือมันได้ ทั่วทั้งแผ่นดิน

 

คุณไม่ฆ่าสัตว์ คุณอยู่เหนือการฆ่าสัตว์ไม่ฆ่าสัตว์เด็ดขาดอยู่ที่นี่ก็มีฆ่า ไปอยู่ประเทศไหนก็มีฆ่า ออกไปนอกโลกก็ไม่ฆ่า อาจจะเป็นสตาร์วอในอวกาศเราก็ไม่ฆ่าเขา เพราะเราไม่ฆ่าสัตว์ไม่ฆ่าคน คนนั้นยิ่งไปฆ่าเพราะจะมีวิบากต่อกัน สัตว์มันมีวิบากของมันเราก็หลีกเลี่ยงได้ มันจึงมาถึงเราช้า แต่คนที่มาได้เร็วกว่า มันมีทั้งรักและชัง

เพราะฉะนั้นเรารู้แล้วเราไม่ฆ่าสัตว์ เราไปแผ่นดินไหนเราก็ไม่ฆ่า เราไม่ติดแล้วในเพชรพลอย อยู่เหนือเพชรพลอย เราไม่ใช้เงิน คนที่ไม่ใช่เงินจะลดการท่องเที่ยวลง ไม่ได้ท่องเที่ยวเราก็ไม่ตาย ก็ไม่มีเงินนี่ แต่ถ้ามีคนพาไปคุณก็ไป อย่างท่านจันทร์ ท่านมีคนพาไปก็ไม่หยุดเสียที มันก็ไม่จบ

เที่ยวนี่ เรื่องติดเที่ยว ทุกวันนี้มันเมื่อยแล้ว อาตมาไม่ไป อาตมาไม่สงสัยหรอก ไปท่องเที่ยวก็เจอดินน้ำไฟลมพืชพรรณธัญญาหาร สัตว์ก็อย่างนั้นคนก็อย่างนั้น อาตมาไม่เห็นจะสงสัย จะไปทำไม อยู่ที่นี่เขามาหาให้ดูก็เหลือแหล่แล้ว

 

สมณะเดินดินว่า...พ่อครูได้ขมวดตอนท้ายว่า ความเป็นพระโสดาบันนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ญาณ 7 นี้ ต้องเห็นถึงความพิเศษ 3 ข้อ

ข้อใดคือเห็นกิเลสในตัวเอง ปุถุชนก็ยังทำไม่ได้ แม้แต่นักปฏิบัติธรรมบางคนก็อ่านไม่ได้ว่า กิเลส หยาบ กลางละเอียดของตนคืออะไร ก็เพราะไม่ค่อยได้หัดอ่าน


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:30:37 )

610824

รายละเอียด

610824_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เข้าถึงความสงบแบบพุทธอันลึกซึ้ง

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1__Ze5W1aZPFwd_XkW4BjJ-UrDIfmhLkbHC2_Z_Kzq8g/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1KWp1-RVtFxB5rxR2M90COyvFnJTL47ev

https://www.youtube.com/watch?v=GGc-qaYYsW0

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ที่ บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันที่มีการเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า “รินน้ำใจกลางสายฝน”

ครั้งที่ 31 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก

ศุกร์ที่ 24 - อาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม 2561

รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้) และที่สุดจะได้ความเป็นอิสระเสรีความเป็นคนฟรีให้แก่ตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ให้ทำได้ใน 3 วันนี้ทำได้ก็ถือว่าสุดยอด ถือว่าคุ้มค่าในการเข้าค่าย แต่ก่อนชาวอโศกไปอบรมครู ในร้อยคนสามารถเลิกอบายมุขได้หนึ่งคนก็ถือว่าประสบความสำเร็จ

ปัญหาเรื่องเงินในวัด ของคนข้างนอกเขาตอนนี้มีปัญหา จับเรื่องการโกงได้เต็มไปหมด ในชาวอโศกไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เราอยู่ในระบบสาธารณโภคี นโยบายของชาวอโศกคือพามาจน ถ้ามาจนก็คือไม่มีสตางค์ ปัญหาเรื่องสตางค์มันก็ไม่มีมันก็ง่ายมาก ในสังคมโลกมีปัญหาสารพัดเกี่ยวกับเรื่องสตางค์ ทำให้ปวดหัวต่างๆนานา

เราอยู่ในกลุ่มชาวอโศก พ่อครูอยากให้เรามาอยู่รวมกัน เป็นวิสัยทัศน์ของพระโพธิสัตว์ ตอนนี้แค่คุณเดินผ่านบริเวณที่เขาฉีดเคมีก็อาจต้องเข้าโรงพยาบาลแล้ว จะกล่าวไปใยกับการเอาตัวเข้าไปสัมผัสจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ในชาวอโศกมีความปลอดภัย แน่ๆคือภัยจากโลกีย์ย่างกรายเข้ามายาก พวกเราเป็นสนามแม่เหล็กที่เข้มข้น ขนาดถามเกษตรกรที่เขาได้เลิกอบายมุข แต่ก่อนเป็นคนขี้เมา ทุกวันนี้เริ่มถือศีลปฏิบัติธรรม คนเมาไม่กล้าเดินเข้ามาในบ้าน เหมือนมีพลังงานอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาเข้ามาไม่ได้

ในบ้านราชฯนี้ มีคนที่เป็นพระอริยะตั้งแต่โสดาบันจนถึงพระโพธิสัตว์ระดับ 7 จึงมีพลังงานแห่งสนามแม่เหล็กเข้มข้น เราโชคดีที่สุดในชีวิต ที่ได้มาพบกับพระโพธิสัตว์รู้จักพระโพธิสัตว์ คนอีกหลายพันล้านคนไม่รู้จักทั้งที่ได้เกิดมาแล้ว แต่เราได้รู้จักจึงเป็นสิ่งประเสริฐสุดในชีวิต และได้รับการนำพาปฏิบัติธรรมลดละกิเลสจนเป็นอารยชน มารวมกลุ่มกันได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งโลก ที่คนเขายังไม่เห็น แต่ถ้าเขารู้ขึ้นมาจะไม่ธรรมดา อาจแห่กันมาก็หลบกันดีๆ

คนที่มาเป็นอริยบุคคลเป็นคนที่ใจดีมาก เป็นคนที่ไม่คิดจะโกรธใคร ไม่ขี้โลภ ทำเพื่อให้อย่างเดียว เรามีแต่ได้ประโยชน์เพียงอย่างเดียวจากคนเหล่านี้ ถ้าเราเป็นคนเลวเขาก็ทำให้เราเป็นคนดี เป็นสิ่งประเสริฐในชีวิตมากที่ได้มาอยู่ในดินแดนแห่งนี้ มีความผาสุกแสนสบาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ปัจจุบันมีแต่ตอนลืมตาสัมผัสไม่หลับไหล

พ่อครูว่า...SMS 23 สิงหาคม 2561 (สำมะปี๋ ซีวิต)

_3867อดีตกับอนาคตทำอะไรกับมันไม่ได้!อดีตกับอนาคตเป็นประโยชน์แค่ใช้ระลึกมาประกอบประโยชน์เท่านั้น ถ้าฉลาดใช้มันเป็น!ถ้าไม่ฉลาดก็เป็นโทษต่อตน!..

พ่อครูว่า...ที่จริงแล้ว ศาสนาพุทธสอนให้รู้อดีตกับอนาคต และกำชับเลยว่า จริงๆแล้วความจริงมันอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาฟังแล้วก็น่าจะเข้าใจ อดีตมันผ่านไปแล้ว แน่นอน มันไม่ใช่ความจริงที่จริงแท้เท่าปัจจุบัน ปัจจุบันเราสัมผัสอะไรอยู่ เราอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันนี่คือสิ่งที่จริงที่สุด ส่วนอนาคตมันยังมาไม่ถึงมันก็ไม่มีความจริงนั้นเกิด

เพราะฉะนั้นถ้าเราจะปฏิบัติธรรม ใน 3 กาละ ปัจจุบันก็เป็นตัวสำคัญ พระพุทธเจ้าท่าน ย้ำเน้น นิพพาน ต้องเป็นปัจจุบันจึงชื่อว่า ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ

ผู้ใดมีความเห็น ทิฏฐิ ความรู้ความเข้าใจ ที่ชัดเจนว่า นิพพานนี่ มันอยู่ที่ปัจจุบัน ทิฏฐธรรมนิพพาน ไม่มีนิพพานอยู่ในที่อื่นเลย ในอดีตก็ไม่มีนิพพาน ในอนาคตก็ไม่มีนิพพาน และปัจจุบันนี่แหละคือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณจริงๆความรู้สึกจริงๆ อารมณ์จริงๆมีความทุกข์ความสุขจริงๆ สิ่งที่จะจัดการกับมันจริงๆ ก็ประกอบอยู่ในปัจจุบันที่มีตาหูจมูกลิ้นกายของเราสัมผัสกับอะไรเกิดขึ้นมา แล้วก็จัดการมัน

จัดการได้แล้วมันเป็นของจริง ถ้าไปจัดการกับอดีตหรือจัดการกับอนาคตมันจัดการไม่ได้ด้วย อดีตไปจัดการมันไม่ได้ ใช้เพียงแค่ระลึกเป็นส่วนประกอบในการทำประโยชน์ที่เป็นความจริงตอนนี้ก็ได้ หรืออนาคต ก็จินตนาการเอาคิดเอาก็ได้ เอามาประกอบก็ได้ แต่จริงๆมันคือปัจจุบันในกรรมกิริยาของเรา ในปัจจุบัน ทำแล้วมันได้ผลเป็นความจริง

คุณรู้จักกิเลสคุณรู้ในปัจจุบันนี้เป็นกิเลสจริงๆ ส่วนในอดีตที่เราเคยมีกิเลส เราไปจัดการมันไม่ได้ หากสัมผัสกับมันและมันเกิดตอนนี้ก็จัดการมันได้ อนาคตมันก็ยังไม่มาไม่ถึงคุณไปจัดการมันไม่ได้ ถ้าเข้าใจอันนี้ให้ดีแล้ว คนเราจะเห็นความจริงว่า ธรรมะที่เราจะปฏิบัติประพฤติจริงๆโดยเฉพาะจัดการกับกิเลสนี้อยู่ในปัจจุบัน

คนที่ไปหลับตาปฏิบัติธรรม คุณก็จะได้แต่การระลึกถึงอดีต หรือ คุณก็จะนึกถึงแต่อนาคต ปัจจุบันของคุณ คุณนึกว่าคุณเป็นปัจจุบันในขณะนั่งหลับตา คุณก็อยู่ในภพชาติไหนก็ไม่รู้ ซึ่งมันไม่ได้เป็นความจริงของชีวิตจริงของมนุษย์สามัญ เหมือนคุณนอนหลับนี่ คุณมีความเจริญไหม ยิ่งนอนหลับอย่างไม่ได้มีสติควบคุมเลย ก็ฉันเดียวกัน แต่ถ้านอนหลับมีสติดีก็รู้อยู่กับอดีตและอนาคต ก็เหมือนกับนอนหลับก็ตกอยู่ในภพเหมือนกัน นอนหลับก็คือหลับตา ตกในภพเหมือนกัน เป็นแต่เพียงรู้สึกได้อยู่ แต่นอนหลับมันไม่มี มีแต่ความฟุ้งซ่านยิ่งชัดเจนว่าเป็นความจำเท่านั้น เยอะแยะเลอะเทอะ ต่ออะไรไม่ติดไม่เป็นรูปร่างในฝัน ก็จะไม่ชัดเจนเหมือนเราลืมตา ตอนเป็นๆเปรี้ยงๆนี่เลย

 

_ปาลิตา ทองสุขนอก · ฉากรายการสัมปี๋ เป็นเรือทองคำงามมากเจ้าคะ เห็นพ่อครูแข็งแรงมีความสุขจังเจ้าคะ น้อมกราบนมัสการคะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บทพิสูจน์สัจธรรมของพระพุทธเจ้า

_เกือบตาย.. นมัสการท่านครับจะขอถามพ่อครูสักเรื่องหนึ่งครับเราเป็นผู้ถือศีลปฎิบัติธรรมเราไม่กินสัตว์และไม่ฆ่าสัตว์แล้วอย่างเมื่อเราจะกินข้าวมีข้าวกล้องกับข้าวขาวแล้วเราชาวอโศกจะกินข้าวอะไรที่มีประโยชน์กับมีแต่กากที่ไม่มีประโยชน์ครับ

ต่อไปถ้ามีคนจะให้สีข้าวสารขาวผมจะ ปฏิเสธ ผมจะทำเช่นนี้ได้มั้ยครับ

พ่อครูว่า...เอา ถ้าสีให้เขาได้ก็สีไปเถอะ ข้าวขาวก็มีคาร์โบไฮเดรตมีแป้งมีวิตามิน อยู่ทั้งนั้นแหละ เป็นแต่เพียงว่ามันไม่มีมาก ถ้าเผลอว่าไปสี สิ่งที่หุ้มข้าวสารอยู่ มันก็วิตามินลดลง ไม่ใช่หมายความว่าข้าวขาวข้าวสาร มันจะไม่มีสารอาหารเลย คนกินข้าวขาวมีสัก 90 เปอร์เซ็นต์กระมัง คนกินข้าวกล้องคงมีสัก 10 เปอร์เซ็นต์ ก็เห็นใจเขาหน่อยเถอะ

เฮี๊ยบกับเรื่องธรรมะสัจธรรม จัดเกินไป มันอยู่กับโลกเขาไม่ดีหรอก เราก็ต้องอยู่กับชาวโลกเขา ชาวอโศกมีชีวิตอยู่กับโลกของเรา เอียงโต่งมาทางธรรมะนี้มากมาทางโลกุตระนี้มาก ทางโลกเขาน่าสงสาร เขาไม่รู้ แล้วเขาไม่เข้าใจกรรมวิบากไม่เชื่อกรรมวิบาก

แม้ไม่เชื่อกรรมวิบาก แต่เขาไม่รู้จักเวทนา เขาไม่รู้จักความรู้สึก เขางมงายอยู่แต่กับความสุข มันเกิดอารมณ์ทุกข์  เขาก็ว่ากันไปตามทุกข์หยาบจัดจ้าน ทำไม่ดีไม่งามก็ทำไปคืองมงายอยู่กับอารมณ์ อารมณ์นี่มันมีกิเลสตัณหา มันก็บงการเราอยู่กับอารมณ์

ใครเจ้าอารมณ์นี้นะ ยิ่งเรามาปฏิบัติธรรมแล้วจะอยู่ด้วยยากมาก พวกเจ้าอารมณ์ จะอยู่กับคนที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรมมันก็ยากทั้งนั้นสำหรับคนเจ้าอารมณ์ อยู่กับใครก็ยาก คนที่มาเข้าใจเวทนา เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกแล้ว แล้วก็ทำให้กิเลสมันออกจางคลายไป โดยไม่ใช่เป็นนั่งสะกดจิต

การตั้งสะกดจิตก็สามารถสะกดอารมณ์ได้เหมือนกัน พวกนักสะกดจิตเขาก็ รู้สึกว่าอารมณ์มันเกิดกิริยาไม่ดี เขาก็ชำนาญในการกดข่ม เขาก็กดอารมณ์ไว้ ไอ้กดอารมณ์ตัวเองแล้ว กดพฤติกรรมทางกายวาจามันมีอยู่ทุกคนเกิดมาในสัญชาตญาณ ใครก็เคยระมัดระวังกายวาจาของเรามันเป็นธรรมดาธรรมชาติ มากหรือน้อยเท่านั้น

ถ้าไปนั่งสะกดจิตมันจะกดข่มได้เก่งขึ้น ชำนาญมากขึ้นสะกดได้มากขึ้นก็เป็นประโยชน์อยู่บ้าง ที่ไม่แสดงอารมณ์ออกมาตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้ล้างกิเลส ศาสนาพุทธนั้นล้างกิเลส รู้จักกิเลสที่มันเกิดพร้อมกับอารมณ์

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ พระพุทธเจ้าให้เรียนตัวสังกัปปะ แยกให้ฟังเป็น 7

แล้วจัดการกับสังกัปปะ 7

จิตสัมผัส แล้วเกิดภาวะรูป จะมีธรรมะสองเป็นอิตถีภาวะ กับ ปุริสภาวะ ปรุงแต่งกันอยู่ เราก็พยายามแยก อิตถีภาวะ หรือ ไอ้ตัวที่มันเป็นตัวการดีดดิ้น

อิตถีภาวะก็เป็นสภาพรูปนามปรุงแต่งกันอยู่

นามหรือกิเลสที่เป็นตัวเหตุ ตัณหา แยกตัวนั้นให้ได้แล้วกำจัด เมื่อกำจัดได้ อิตถีภาวะก็หายไป กำจัดกิเลสตัวเหตุสำคัญ อิตถีภาวะหายไปเหลือแต่ปุริสภาวะเป็นธรรมะหนึ่ง

เมื่อมันปรุงแต่งเป็นเวทนา 2 อารมณ์เก๊ สุขหรือทุกข์ กับอารมณ์ที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสกับอะไรก็แล้วแต่ ก็เกิดสภาพเวทนา 2 เพราะฉะนั้นจึงกำจัดเวทนา 1 ได้ ก็ทำให้เป็นเวทนาเดียว

ผู้กำจัดเหตุหรือกิเลสที่มันทำให้เกิดเวทนาเก๊นี้ได้ตลอดกาล เป็นพระอรหันต์ กำจัดได้ตลอดกาล เมื่อสัมผัสก็มีแต่เวทนาแท้ตลอดกาล เป็นปุริสภาวะ เป็นผู้หญิงก็เป็นปุริสภาวะ เป็นผู้ชายก็เป็น ปุริสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชายก็เป็นอรหันต์ได้ภิกษุภิกษุณีก็เป็นอรหันต์ได้เป็นปุริสสภาวะ

ปุริสภาวะคืออารมณ์ของ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

อาตมาประกาศตัวว่าเป็นพระอรหันต์ไม่ได้พูดเล่นทั้งที่รู้ว่าเมืองไทยถ้ามีใครมาประกาศอรหันต์ เขาให้กากบาทกระดูกไขว้เลย ไม่มีใครกล้ามาประกาศอรหันต์หรอกในโลก ถ้าใครบอกว่ามีใครกล้าประกาศอรหันต์ ถ้าได้ยินพระโพธิรักษ์ประกาศ ก็นี่ไง ใคร ไม่มีใครกล้าประกาศอรหันต์ก็นี่ไง นี่คนนะ ไม่ใช่ช้างม้าวัวควายนะ เขาบอกว่าไม่มีใครแล้วก็นี่ไง

แต่เขาได้รับการศึกษาได้รับการ กรอกหูมา จนกระทั่งผู้ที่มีคนนับถือกันทั่วประเทศว่าเป็นปราชญ์ทางศาสนา มาได้ยินการประกาศอย่างที่อาตมาประกาศ ถึงกับขนาดต่อต้าน ใช้คำพูด ต้านออกมาว่า คนที่ประกาศตัวว่าเป็นอาริยะนั่นแหละไม่ใช่อาริยะ พูดขึ้นมาดื้อๆนี่แหละ

ในพระไตรปิฎกมีพระอริยะประกาศอรหันต์เยอะแยะ บอกว่าตนเป็นอรหันต์เยอะแยะ ท่านก็เป็นผู้ที่ศึกษาอ่านพระไตรปิฎกมาเยอะ แล้วพูดชื่อนี้แสดงว่าท่านจำไม่ได้เชียวหรือ อ่านมาก็มี แล้วมาบอกว่า ประกาศไม่ได้ ด้วยความคิด คิดว่าจะต้านจะว่า เอาล่ะตรงๆว่าอาตมานี่แหละ ว่านี่คนบ้าคนนอกรีต นอกธรรมะ บ้าเกินทฤษฎีพระพุทธเจ้าเกินความจริง เกินความถูกต้องด้วย มันไม่ถูกต้องหรืออย่างที่พูดนี้ มันเกินความถูกต้อง มันเกินไป จะด้วยอารมณ์ใดก็ตาม แต่เชื่อว่าถ้าท่านตั้งสติจริงๆท่านก็จะรู้ตัวว่าท่านกล่าวผิดพลาดไป เพราะท่านก็ได้ศึกษามามาก นี่ก็ขออภัยที่พูดพาดพิงสัจจะ

ในยุคนี้เป็นยุคที่น่าสงสารอย่างมากเลย ในความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะในวงการศาสนาพุทธน่าสงสารมาก เพราะว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้ ที่เป็นกันอยู่และก็ประพฤติกันอยู่ในวงการ เรียกว่าวงการธรรมะหรือวงการศาสนาพุทธ ก็ได้ประพฤติปฏิบัติกันอยู่แต่ กาก เศษ ของสิ่งที่ไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่กากเศษของพุทธด้วยนะ เช่น

ไปนั่งหลับตา ไปเดินหนอย่างหนอ มันไม่ใช่วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้า วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้านั้น ท่านก็ได้ตรัสไว้ชัดเจนว่าให้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 แล้วท่านก็บอกว่าการปฏิบัติตามหลักมรรคมีองค์ 8 นี่แหละ เป็นทางเดียว เอเสวมัคโค นัตถัญโญ เป็นทางเดียวไม่มีทางอื่น คนก็มาบอกว่าจะไปเชียงใหม่ไปได้หลายทาง อย่างนี้เป็นต้น ไปทางเครื่องบินไปทางรถ ไปทางรถจักรยาน

คนเราเกิดมามันไม่มีความสำคัญอะไรมากมายเลยในเรื่องของทรัพย์สินเงินทองบ้านช่องเรือนชาน อะไรต่างๆนานา มันไม่สำคัญ มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องเป็นเราเป็นของเรา ในชาวอโศกหรือในบ้านราชฯหรือที่ไหนก็แล้วแต่ เราไม่ได้สำคัญมั่นหมายในบ้านช่องเรือนชานที่นาว่าเป็นเราเป็นของเรา ใครจะมายึดถือ เกิดมันพังไป มีคนมาเอาไปก็จะไม่เดือดเนื้อร้อนใจเหมือนกับคนภายนอก

ทรัพย์สินเงินทองมันสูญเสียไปก็จะไม่เดือดร้อนเหมือนคนข้างนอก แม้แต่เราจะไปกอบโกย ไปสะสมไปหามามากๆ สะสมให้เป็นของตนมากๆไม่พอ ที่สะสมไว้ เอาไปลงทุนไปออกดอก ใส่กิจการนั้นนี้ ที่ได้เงินปันผลได้ดอกเบี้ยมาก ก็จะทำให้งอกเงยเพิ่ม ไม่รู้เขาจะตะกละไปถึงไหน

ทุกวันนี้คนที่รวยๆ ก็ไม่เห็นจะถึงร้อยปีก็ตาย ตายจากไปบางทีเกิดปัญหามาก ยิ่งยิงกัน คนที่สะสมไว้ให้คนทีหลังแย่งกันฆ่ากันด้วย ถ้าคนไหนสักคน ตายไปแล้วไม่มีสมบัติให้เขาแย่งกันฆ่ากัน กับคนที่มีสมบัติแล้วตายแล้วทำให้เขาฆ่ากันแย่งกัน อะไรมันดูดีกว่ากัน

สมณะฟ้าไทว่า...คนที่ตายแล้วทำให้คนไม่แย่งกันเป็นอิสระเสรีมีความสงบสุข

พ่อครูว่า...ประเด็นต่างๆที่ได้พูดไปนี้ มันเป็นแง่ที่จะฉลาดรู้ว่า จะไปทำเป็นพฤติกรรมทำคนให้เป็นคนที่จะเกิดปัญหา เกิดความยุ่งยาก ไปสะสมความรู้ ตายแล้วก็จะยุ่งยาก แย่งกัน

เพราะฉะนั้นชาวอโศกปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า พวกเรามีสมบัติน้อยจนถึงขั้น ไม่มีสมบัติ มีบ้างติดตัว พวกเราที่อยู่ในเป็นสมาชิก บ้านราชฯเอาอย่างนี้

อาตมาจะถาม คนบ้านราชฯ ใครมีเงินเป็นสมบัติในตัวตอนนี้ ไม่ถึง 1,000 บาทยกมือขึ้น …

เอาอย่างนี้เลย อย่าว่าแต่ติดตัวเลย แม้แต่ในแบงค์ มีเงินรวมแล้วไม่ถึง 1,000 มีกี่คน อย่างพวกเรานี่ เป็นฆราวาสมีบ้าง แต่นักบวชเรานี่ไม่มี นักบวชเราสามารถที่จะปฏิบัติประพฤติได้ แม้แต่สิกขมาตุของเรา นับถือศีล 10 ก็ไม่มีเงินไม่มีทอง ฝากแบงค์ไว้หรือฝากที่ไหนไว้เป็นของตัวของตนเลยบวชมา 30 40 ปีไม่มีเงินมีทองเลยก็ไม่เห็นจะเหี่ยวเฉา หรือว่าผอมแห้งแรงน้อย ไม่เห็นหมดเรี่ยวหมดแรง ก็เห็นว่าแข็งแรงสันทัดคน ไม่อ้วนไปไม่ผอมไปนี่แหละดีมากเลย ปราดเปรียวทำงานได้ดี อาตมาประสบผลสำเร็จในการพามาปฏิบัติธรรม

ที่สำคัญคืออาตมาเองมั่นใจว่าจิตใจอยากจะสึกกันไหมสิกขมาตุ...หรือว่าสึกไม่ไหวแล้ว แก่แล้ว

แล้วไม่สึกนี่ผาสุกไหม?...เป็นอยู่ผาสุก

ตายยิ่งไม่ต้องห่วงเลย ตายแล้ว พวกเราก็ช่วยกันเผาแน่ไม่ปล่อยให้เหม็นเน่าอยู่อย่างนี้หรอก เด็ดขาด สบายมากเลย เป็นใจที่วางใจได้ มีชีวิตที่เหลืออยู่ขนาดนี้ ไม่ต้องเอาใครถามขวัญรักก็ได้ อายุ 75 ปี รู้สึกกังวลไหม อยู่ได้จะตายหรือจะเจ็บป่วย ก็มาตั้งแต่เป็นสาวเป็นแส้ มาตั้งแต่อายุเท่าไหร่ 34 ปี ตอนนี้ก็ 75 แล้ว ตั้ง 41 ปีแล้ว ก็เป็นอยู่ผาสุก พออายุแก่แล้ว ไม่ต้องห่วงลูกเต้าไม่มี ไม่ต้องกังวลเลย บ้านช่องเขาก็มีฐานะเป็นไปได้แต่ไม่เห็นจะไป ก็อยู่กันมาตั้ง 41 ปีแล้ว คนอื่นๆก็เยอะแยะ พวกเราชาวอโศก

อาตมาพาปฏิบัติธรรม พิสูจน์ธรรมพระพุทธเจ้าได้จริงๆว่าเราพึ่งพาธรรมะ เป็นธรรมะที่เราได้ เราไม่ได้พึ่งพากองเงิน ชีวิตนี้ต้องหากองเงินไว้ แก่แล้วจะอยู่อย่างไรไม่มีกองเงินพึ่งหรือต้องพึ่งพาคนไหน แต่นี่ไม่ต้องเห็นพึ่งพาคนอื่น พึ่งพาหมู่กลุ่มนี่แหละ มันเป็นสังคมเป็นวัฒนธรรม พึ่งพฤติกรรมสังคม พึ่งพฤติบทของสังคม สังคมเรามีบทบาทตรงนี้เราก็อยู่ที่นี่พึ่งพฤติบทของสังคม เราก็พึ่งอันนี้ ไว้ใจบทบาทของชาวอโศกก็มีพฤติบทอย่างนี้เราก็พึ่งอันนี้

ไม่มีใครจะหมายว่า อยู่ไปนี่พึ่งคนนี้ พึ่งคนนั้น อาตมาคิดชื่อไม่ทัน จำชื่อไม่ค่อยได้ อาตมาคิดว่าพวกเรานี่คงไม่คิดอย่างนั้น อยู่ในนี้ พึ่งพฤติบทของคน อยู่ในบ้านราชฯก็พึ่งพฤติบทของชาวบ้านราชฯ

สมณะฟ้าไทว่า...ขนาดคิดพึ่งพ่อครูก็ไม่คิด

พ่อครูว่า...อันนี้ละเอียด จะพึ่งผมคือจะได้ฟังธรรมชีวิตจะได้สาระอันนี้ พึ่งอันนี้ ถ้าสำหรับผมนะ

 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน

สิกขมาตุรินฟ้า

สมณะเดินดิน

สมณะแสนดิน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน เข้าถึงความสงบแบบพุทธอันลึกซึ้ง

พ่อครูว่า....พูดถึงความสงบ บาลีว่า สันตา เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมากเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะของท่านมีอยู่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

ธรรมะของท่านนั้นลึกซึ้ง คัมภีรา ทุททสา เห็นตามได้ยาก จริงๆที่สุดเลย อาตมาเหนื่อย ในการเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาขยายความ คนไม่เปลี่ยนตาม แม้ทุกวันนี้อาตมาอธิบายธรรมะมาเกือบจะ 50 ปีแล้ว ยังไม่ค่อย.. ทั้งๆที่เขาแสวงหากัน มีผู้เรียนมีผู้รู้ มีเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น จบปริญญาเอก จบเปรียญ 9 จบการศึกษา เรียนศึกษาฝึกฝน 30 40 50 ปีก็มีเยอะ แต่ก็ไม่เห็นอย่างที่อาตมาอธิบาย ไม่เห็นตามไม่เข้าใจตาม มันยากจริงๆ อาจไม่เป๊ะเหมือนกับพระพุทธเจ้า แต่ก็เอาคำของพระพุทธเจ้ามาสื่อ

ทุรนุโพธา เห็น หมายความว่ามีสัมผัส ทุรนุโพธาคือรู้เข้าไปในจิต มีความสงบที่เป็น สันตา หรือสันติ สันตินี้จะรู้ง่ายกว่าสันตา

สันตะ สันตา สันติ อะ อา อิ หากเข้าใจในประเด็นชนะแล้ว สันตะนี่ก็สงบ สันตาที่พระพุทธเจ้าใช้คำกลางๆเป็นพหูพจน์ ความสงบนี้มันสงบอย่างเจี๊ยวจ๊าวครื้นเครง

สงบอย่างครื้นเครง สงบอย่างสนุกสนาน สงบอย่างรื่นเริงเบิกบาน แต่มันไม่เป็นแบบฮาร์ดร็อค ไม่เป็นแบบแร็พ เท่านั้น อาตมาว่าอาตมามีจิต สันตา มีจิตสงบ ร่าเริงเบิกบาน ไม่เหี่ยวเฉาสดใน ประภัสสร ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุตา เป็นตัวกลางเลย เป็นตัวคล่องแคล่วว่องไง จะทำการงานอะไรก็เบิกบาน เป็นประโยชน์ที่เหมาะควรกัมมัญญา เพราะมีปัญญากำกับอยู่ตลอดความสงบของพระพุทธเจ้ามีความมีปัญญากำกับหมด ไม่ไปในอกุศลที่ไม่สมควร จึงแปลว่าการงานอันเหมาะควร กรรมทุกกรรมที่ทำ กรรมไม่เหมาะควรไม่ทำ ทำแล้วก็สบาย  ปภัสสรา เป็นผลประโยชน์ต่อตนต่อผู้อื่น เป็นคุณวิเศษของคนที่ประพฤติได้

พวกเราไม่ถึงขั้นอย่างที่อาตมาเป็นก็ตาม แต่ก็อยู่ในทางเดียวกัน อยู่ในคุณลักษณะ คุณธรรม คุณวิเศษ มาอันเดียวกัน แม้จะไม่ถึงขั้นอาตมา ไม่ได้ยกตัวยกตนแต่เป็นเช่นนั้นนะ

มันก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอารมณ์ของอาตมากับอารมณ์ของพวกเรา อาตมาว่ามันไม่ได้ต่างกัน อารมณ์ที่อาศัยชีวิตใช้อาศัย อาตมาว่าพวกเรานี้ ที่อยู่กันมาแล้ว 30 40 ปี วันๆผ่านไปเรื่อยๆ มันไม่ห่วงไม่กังวล มันไม่กระดี๊กระด๊า ไม่กระสันอยากจะแย่งกับคนนั้นคนนี้อยากจะไปได้อย่างนั้นอย่างนี้มา มันเป็นอย่างอาตมาว่าไหม มันสงบ สันตา เดี๋ยวก็ตื่นมาอีกแล้วมีอะไรก็ว่ากัน พอถึงเวลาก็นอนพักอีกแล้ว แต่คนที่ไม่ติดนอน อาตมาก็เดี๋ยวก็ต้องนอนอีกแล้ว นอนไปพอสมควรเมื่อไหร่มันจะสว่างสักที คือมันพักพอแล้ว จะลุกขึ้นมาก็เดี๋ยวเขาว่า

ก็ต้องหกโมงนะ อาตมาจะออกมาจากมุ้งหกโมงทุกวัน มันก็ไม่เมื่อย แต่พอเป็นไป ทำไมต้องเมื่อย นอนเฉยๆหาเรื่องอะไร ไม่ได้ออกแรงอะไรมันก็

ชีวิตก็สบายสบาย ประมาณ 6 โมงก็ตื่นขึ้นมา ผู้ที่จะมาโอภาปราศรัยมาสังสรรค์ก็มาแล้ว เหมือนกันนัดกันเป็นรูทีนทุกเช้า 6 โมงก็มามาเจอหน้าเจมส์ เจอหน้าในน้ำคำ เจอหน้าท่านเดินดิน นอกนั้นก็อยู่ข้างๆ ท่านดินไท ท่านหนักแน่น ทานแสนดิน อยู่ข้างๆอยู่แล้ว ท่านเดินดินก็อยู่ห้องห่างไปหน่อย เดี๋ยวคนนั้นคนนี้ก็มา กว่าจะออกจากที่นั่น ทุกคนก็อยากจะคุย อาตมารู้สึกว่าก็มีประโยชน์นะ ถ้าเราพูดก็มีประโยชน์ อัดไว้หมดอาตมาพูดอะไร จะมีพูดที่ไหนจะต้องติดเครื่องที่ อัดเสียงไว้ เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปเอาอันใหม่มาจนกว่าจะนอนก็เก็บ ถ้าจะนอนก็ได้เสียงกรนก็ไม่เอา ตลอดเลย ซึ่งก็รู้สึกว่าดีนะ มีค่านะ เรานี่พูดอะไรก็มีค่า พูดอะไรเขาก็อยากจะเอาไปฟังได้ประโยชน์ ให้ได้คิดอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็มีค่า

มีสองนัย จริงๆแล้วเขาจับผิด อยากจะพูดอะไรที่ไม่ดีนะเดี๋ยวความลับเปิดเผยเขาจะจับผิดก็ไม่เป็นไร อาตมายอมอนุญาตให้จับผิด ก็นานมาแล้วกี่ปี รู้สึกตัวเมื่อไหร่ก็อัดไว้ข้างๆแล้ว ถ้ามีเครื่องดับจับความคิดก็คงให้แล้ว ให้ใส่ไว้ ดักความคิด คิดอะไร

ก็ดีนะ รู้สึกว่าดี จริงๆอาตมาก็ไม่ได้หนักใจอะไร ก็สบายใจ ก็เห็นว่าเรามีค่า อิริยาบถก็พยายามถ่ายไว้ กายกรรมก็ถ่ายวิดีโอไว้ ก็รู้สึกว่า เราเองมีชีวิตให้คนเขาเห็นว่ามีค่า แม้แต่จะไปนั่นมานี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งออกมาจากห้องของตัวเอง นอกจากจะมานั่งทำงานเลย นั่งเก้าอี้ทำงาน เดี๋ยวบางทีเขาก็ถ่ายไว้ เดี๋ยวก็ถ่าย ถ่ายอิริยาบถที่อาตมานั่งทำงาน บางทีก็เหมือนกับพูดอยู่คนเดียว คือ พยายามสรรหาคำความ อะไรที่ดีเอามาให้ มันเหมือนคนบ้า บางทีก็มีเสียงออกมานิดๆหน่อยๆ ท่านก็ถ่ายเอาไว้ก็เหมือนคนบ้า แต่ไม่ใช่หรอก เราทำงาน เรามีสติรู้ว่าทำอะไร ไตร่ตรองตรวจตราเลือกเฟ้น คืออาตมารู้สึกว่า เขียนธรรมะ มัน ละเอียดลึกซึ้งมาก มีการแก้ไขอยู่ตลอดเวลา

อย่าง หนังสือคนจนที่มีแบบ เขียนไว้แล้ว พิมพ์ออกมาแล้วก็เอามาแก้ ตอนนี้แก้ไปแล้ว แต่ก่อนนี้ 190 กว่าหน้า ตอนนี้ก็ 300 400 หน้าแล้ว ก็คงจะไม่ได้พิมพ์เล่ม 2 จะพิมพ์เล่ม 1 ออกในงานมหาปวารณาเดือนพฤศจิกายนนี้ เพราะว่าเล่ม 1 ก็มี 200 กว่าหน้าแล้ว ก็คิดว่าสมควร

ขอพูดถึงหนังสือเล่มนี้ อาตมาว่ามันจะเป็นหนังสือที่เปิดศักราช เปิดอะไรที่อยู่ในวงการศาสนา ถ้าคนไม่มีอคติอะไรกับอาตมา ก็จะได้รับประโยชน์มากทีเดียว เพราะไขความละเอียดลออในประเด็นที่อาตมาข้องใจ แต่ตอนนี้อาตมาเป็นคนไขข้อข้องใจเอง แต่ก่อนก็เคยสงสัย เช่นคำว่า บุญ คำว่า กาย คำว่า สิริมหามายา คำว่าคนจน

อาตมาก็ แหม ได้ไข ประเด็นต่างๆเหล่านั้นออกมาขยายความเยอะ ไม่ใช่ขยายความแต่น้อย ขยายแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่จุใจเลย ขยายแล้วมาอ่านทวนอีกแก้อีกเพิ่มอีก แม้แต่ที่สุดขณะนี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน สรภัญญะคืออะไรกันแน่

พูดถึงเรื่อง สวดมนต์ อาตมาก็สะดุดๆ เรื่องวงการศาสนามีการสวดมนต์กัน ขอพูดด้วยใจจริง ศาสนาพุทธ ไม่มีการสวดทำนอง ไม่มีการสวดแล้วใส่ทำนอง อย่างชาวอโศกสวดไม่ได้มีทำนอง ไม่ได้ใส่ทำนอง พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง เรียกว่า สวดสรภัญญะ

คำว่า สรภัญญะ อาตมาแจกแจงไว้ไม่รู้กี่หน้า สะ คืออะไร ระ คืออะไร ภัญญะ คืออะไร แล้วเอามาอ้างอิงประกอบกับที่พระพุทธเจ้าท่าน

หนึ่งท่านห้าม สองท่านอนุญาต สองนัยยะ สิ่งที่ท่านอนุญาตนี้ พุทธเจ้าท่านอนุญาตสรภัญญะ ท่านห้ามการสวดที่มีทำนอง หรือห้ามการสวดที่ลากเสียงอันยาว

สระ นี่ก็คือ สระ สระท่านก็กำกับเอาไว้ สระมันมีสองนัย หนึ่งรัสสระ อีกอันทีฆสระ

สระสั้น อะ อิ อุ ส่วน ทีฆสระคือ อา อี โอ เป็นต้น

ทีฆสระคือเสียงยาวแล้ว ท่านก็สวด นาโม….ผิดทั้งทำนองและลากยาว หากนามัวก็ผิดทำนองอีก ถ้านะโมะ ก็รัสสระ

ภควโต เป็นสรภัญญะ แต่ถ้า นะโมมตัสสสะ ภะคะวะโตตตต หรือรัสสะก็สั้น น้า โม ตัดดด สะ มันไม่ใช่แล้วมันลากยาว มันเป็นรัสสระที่ลากยาวหรือ ทีฆสระที่ลากยาว

อาตมาอยู่ในยุคพระพุทธเจ้าไม่เคยสวดอย่างที่เป็นแบบนี้ ที่เขาสวดกันไม่ใช่อย่างชาวอโศก ชาวอโศกอาตมาพาสวดอย่างสรภัญญะคือ นะโมตัสสะภะคะวะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ มันเป็นแบบสรภัญญะที่ถูกต้อง มีรัสสระกับทีฆสระที่ถูกต้อง

หากไม่เข้าใจก็จะลากเสียงอันยาวและใส่ทำนอง ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ให้ทำเช่นนั้น ที่ไม่ให้ทำแบบนั้นเพราะว่า 1. มันผิดภาษา มันออกนอกกรอบของกำหนดที่มันถูกต้อง

2. โทษของการลากเสียงยาวหรือการใส่ทำนองก็มีห้าข้อ

พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2

เรื่องสวดพระธรรมด้วยทำนอง

[20] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ เหมือนพวกเราขับ ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ...ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายข่าวว่า ... จริงหรือ

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ มีโทษ 5 ประการนี้ คือ:-

1. ตนยินดีในเสียงนั้น

2. คนอื่นก็ยินดีในเสียงนั้น

3. ชาวบ้านติเตียน

4. สมาธิของผู้พอใจการทำเสียงย่อมเสียไป

5. ภิกษุชั้นหลังจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษ 5 ประการนี้แล ของภิกษุผู้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับรูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

เดี๋ยวนี้เอามาแต่งเป็นแรพเป็นแหล่ ขออภัย แม้แต่เอาเป็นรัฐพิธี ก็สวดส่งแต่งกันออกนอกไป เป็นรูปแบบวิธีการอาตมาว่ามันไปกันใหญ่ ไม่ได้รู้สึกรู้สาว่าพระพุทธเจ้าสอนในพระวินัยเลย มันเสื่อมเพราะสิ่งเหล่านี้ มันไม่ได้ประโยชน์ ที่อาตมาพูดนี้ขออภัยเหมือนดูถูกตีทิ้ง

อาตมาว่าทุกวันนี้ไม่ต้องสวดหรอก เครื่องมือมันบันทึกไว้แล้วไม่ต้องใช้สมองจำ อาศัยตรงนี้ก็ไม่สูญหายไปแล้ว สมัยพระพุทธเจ้าต้องรักษาไว้ในความจำจะไม่ได้สูญหาย สมัยนี้มันไม่ต้องแล้ว จะเก็บไว้ไม่ให้สูญหาย ใส่ฮาร์ดดิส เดี๋ยวนี้มีที่เก็บเยอะแยะ คุณภาพก็ดีขึ้นเยอะ

การที่จะจำธรรมบทของพระพุทธเจ้าไว้ดี เดี๋ยวนี้เขาบันทึกไว้เยอะแล้วกดดูใน google ก็ได้ กดเมื่อไหร่ก็เยอะแยะ เดี๋ยวนี้สะดวกมากไม่ต้องกลัวว่าจะหายไป ไม่หาย ถึงวันนี้พูดได้เลยว่าไม่หาย

ยุคโน้นจะต้องท่องจำไว้ มันมีรายละเอียดของการท่องบทมนต์หรือธรรมบท อาตมาติดอยู่อันหนึ่ง พระพุทธเจ้าถือว่าวินัยเป็นอาบัติคือสวดตั้งแต่ 2 คนเป็นต้นไป ในมุสาวาทวรรค ข้อที่ 4 ที่ลงปาติโมกข์ ทุก 15 วันของพระภิกษุ มุสาวาทวรรคข้อที่ 4 ว่าอย่าเอามาสวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนเป็นต้องไปกับอนุปสัมบัน กับฆราวาส ไม่เข้าใจเจตนารมย์ของพระพุทธเจ้า ที่สวดสองคนพร้อมกันขึ้นไป มันกลายเป็นพวกนักร้อง ควาอี้ choir มันกลายเป็นการแสดงเป็นอบายมุข แล้วก็ถือว่านี่คือได้แสดง จนเดี๋ยวนี้ก็คือได้แสดง สวดเป็นหมู่ สามคนสี่คน ถือว่าสี่คนขึ้นไปถือว่าครบองค์สงฆ์ จนธรรมกายก็เกณฑ์มาให้สวดกันเป็นล้านคน เป็นอาบัติข้อนี้

คิดดูสิพระพุทธเจ้าออกพระวินัยว่าเป็นอาบัติ แต่เขาไม่ได้รู้ว่าเป็นอาบัติก็ไม่ปลง ถือว่าเป็นพระ ปกตัตตะ คือไม่ปกติ ก็มีอาบัติข้อนี้ มุสาวาทวรรคข้อที่ 4 โดยเจตนารมณ์ของพุทธเจ้าไม่ให้ทำเพราะมันจะกลายเป็นการสวดหากินนักร้อง ควาอี้ ขออภัย พูดเดี๋ยวหาว่าเขาเป็น ควาย แต่อาตมามีสำเนียงพูดว่า choir นะ มันหมายถึงนักร้องหมู่ที่ประสานเสียงกัน สวดพร้อมกันเป็นการแสดง เป็นการแสดงของนักร้อง พวกนักร้องหมู่ ซ้อมกันดีๆ เพื่อเอาไปอวดทั้งนั้น ท่านก็กันเอาไว้ ไม่อยากให้พวกเราเป็นนักแสดงเป็นดาราแล้วเอาไปหากินนี่เป็นตัวร้ายที่สุดแล้วก็ทำกันไหม ทำกันทุกระดับเลยตั้งแต่สวด ในวงย่อย จนถึงวงราชพิธี รัฐพิธี นี่แหละสวด ควาอี้ นี่แหละ choir แล้วก็บอกว่าได้ทำงานแล้ว

งานสรภัญญะคือให้สวดคนเดียว คือมากล่าวคำกล่าว สรภัญญะคือ มากล่าวคำกล่าวโดยไม่ให้ใส่ทำนองคือ สาธยายธรรมด้วยภาษาที่กำหนดด้วย รัสสระ ทีฆสระ

พระพุทธเจ้าท่านเคยชมพระรูปหนึ่ง ว่าเป็นคนกล่าวได้ไพเราะ ในพระไตรปิฎกเล่ม 5 ข้อ 408 ถึง 423 พระพุทธเจ้าชม ชื่อว่าพระโสณกุฏิกัณณะ ท่านให้มากล่าวให้ฟังเป็นสรภัญญะ เป็นคำกล่าว ท่านก็กล่าวตั้งยาว ข้อ 408 ถึง 423

ท่านก็กล่าว แต่ภาษาไทยใช้คำว่าสวด พระโสณะ ขอสวดพระสูตรต่างๆให้ฟังเป็น สรภัญญะ คือกล่าวสรภัญญะ แต่ภาษาไทยแปลว่าสวดสรภัญญะ ในพระสูตรต่างๆ ก็มีแค่นั้น สระสั้นกับยาว พระพุทธเจ้าทรงว่ามีวาจาไพเราะ เพราะพริ้ง อันไม่มีโทษ ทำให้เข้าใจดี รู้ความได้แจ่มชัด ประเด็นคำว่ารู้ความได้แจ่มชัด นี่แหละ

ถ้าไม่ใส่ทำนองกับการใส่ทำนองอันไหนจะรู้ความได้แจ่มชัดกว่ากัน ก็ต้องการไม่ใส่ทำนองจะรู้ความได้ชัดกว่ากัน ใช้ รัสสระกับทีฆสระให้ถูก พระพุทธเจ้าก็ชมว่าเป็นถ้อยคำไพเราะ แล้วพระโสณะ เป็นเอตทัคคะในการกล่าวถ้อยคำอันไพเราะ นี่เขาก็พยายามติดตามคนมาให้ดู มีตั้งแต่ข้อ 480 423 เล่ม 5

ที่อาตมากล่าวคำนี้ เพราะทุกวันนี้พูดกันไม่เป็นภาษาคนแล้ว มันพูดกันเป็นทำนอง พูดกันเยอะ ออกเสียงยาวเกินกว่า ทีฆสระ ที่อาตมาพูดไปนี้ ก็ให้รู้เรื่องก็เป็นคำไพเราะดี เข้าใจดีชัดเจน ดี บางคำอาจเน้นยาวนิดนึง ก็ต้องดูเจตนารมย์ คำนี้ยาวไปนิดนึงก็ไม่ได้เกินอะไรนักหนาก็รู้จักเจตนารมณ์ ไม่ได้เจตนาให้เกิดการไพเราะ ที่ให้มีความพิสดารใส่เข้าไปแทนที่จะพูด มีแต่สรภัญญะ

อาตมาอ่านในเล่ม 7 ข้อ 20-21 ในพระวินัย อาตมาไม่ได้หยิบเล่มมา เรื่องการสวดสรภัญญะ

 [21] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจในการสวดสรภัญญะ จึงกราบ ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดเป็น ทำนองสรภัญญะได้ ฯ

[21]  เตน  โข  ปน  สมเยน  ภิกฺขู  สรภฺเ  กุกฺกุจฺจายนฺติ ฯ อถโข   เต   ภิกฺขู   ภควโต   เอตมตฺถ   อาโรเจสุ   ฯ  อนุชานามิ  ภิกฺขเว สรภฺนฺติ ฯ

 

พ่อครูว่า...ในพระบาลีไม่มีคำว่าทำนองเลย นี่แหละคือการแปลด้วยอัตโนมัติ ที่เราเองเข้าใจแล้วก็ทำให้ภาษาพระไตรปิฎกผิดออกไปจากสัจธรรม โดยเฉพาะพระวินัย พระวินัยต้องชัดเจนคมแม่น ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปด้วยกันพระวินัยและพระธรรมมันก็ผิดก็ต้องเสื่อม

เพราะฉะนั้นผู้แปลมีความซื่อบื้อ พาซื่อก็ต้องสวดทำนอง สรภัญญะท่านอนุโลมให้ใส่ทำนอง คุณเข้าใจไปเองขออภัยอาตมาอยู่ในยุคพระพุทธเจ้าไม่เห็นมีเลยขึ้นมาพูดเอาเอง พูดอย่างนี้ยอมรับ อาตมาเปิดเผยทุกอย่างหมดแล้ว อาตมาจะอมพะนำไปทำไม?

 

สม.กล้าข้ามฝัน...

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ความสงบของพุทธมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง

อาตมาว่าอาตมาชีวิตนี้ เกิดมาได้ทำสิ่งที่มีค่าตลอดเวลาแต่ละวันแต่ละวันทำมา 40 กว่าปีแล้วชีวิตมีค่า ไม่เหมือนเมื่อตอนที่อาตมาทำงานอยู่ 36 ปี ชีวิตไร้ค่า นอกจากไร้ค่าแล้ว เพียงเป็นชีวิตที่มีโทษมีภัยแก่ผู้อื่นไปแย่งชิงลาภยศสรรเสริญ แย่งความสุข แบบโลกๆเขามา พอเลิกแย่งแล้ว เราไม่ได้เป็นตัวแย่งในสังคม เป็นนักเศรษฐกิจชั้น 1 เราเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 ไม่ได้ไปแย่งสมบัติของใคร แย่งลาภยศสรรเสริญ เรื่องความสุขของคนที่โลกเขาต้องการแล้วเขาตะกรุมตะกรามแสวงหา เราก็ไม่ได้เป็นคนไปแย่ง เราเป็นคนช่วยเศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจของชาติ เราไม่ได้เป็นตัวแย่ง ก็เท่ากับเราช่วยผู้บริหารประเทศ เราไม่ได้เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจเลย ซึ่งชีวิตอาตมาว่า ชีวิตเรานอกจากจะได้เป็นคนมีค่าตรงที่ว่าเรามาทำงานมาพูด เรามาแสดงตัวแสดงตนแสดงคำกิริยาต่างๆ ก็เป็นประโยชน์แก่คน คนที่ติดตามศึกษาอย่าง สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน อย่างใครต่อใครที่พยายามมาเอา อาตมาก็ยังรู้สึก(พ่อครูไอตัดออกด้วย) รู้สึกสบายใจเพราะธรรมะของอาตมาที่แสดงนี้เป็นสิ่งที่ยาก ยากที่จะแสดงและยากจะมีคนฟัง  แต่ยากขนาดนี้ก็ยังมีคนมานั่งฟังขนาดนี้ ถือว่าเต็มก็ได้นะ เก้าอี้เต็มนั่งข้างล่างด้วย บนเก้าอี้ทุกตัวเต็ม แสดงว่านักเรียนเต็มห้อง นักเรียนดีมีการศึกษา นักเรียนไม่มีชั่วโมงสอน เมื่อถึงเวลาชั่วโมงสอนก็มาเต็มห้องใช้ได้ ทั้งๆที่ธรรมะยาก ยากแน่นอนสูงลึกซึ้ง ไม่ใช่ธรรมสามัญทั่วไป อาตมาจึงเห็นว่าชีวิตมีค่าไม่สูญเปล่า ทำงานก็ยังมีผู้มารับ ไม่ใช่ว่าเราทำงานจะให้แล้วไม่มีใครมาเอาเลย อะไรต่างๆนานา

อย่างพวกเรารู้ค่าก็มาเอา คนข้างนอกอย่าว่าแต่มาเอาของอาตมาที่บรรยายเลย แม้แต่จัดค่าย ประกาศแล้วประกาศอีก 10 คน 20 คนยาก 30 คนก็โอ้โหถือว่า เฮงมาก ไม่เหมือนทางโลกเขาบอกว่า วัดไหนก็แล้วแต่ โยม จะจัดงานนะ จะมีการชุมนุมปฏิบัติธรรมเขาก็ไปกันเป็นฝูง นุ่งขาวห่มขาวกันไปเป็นฝูง ถือตะกร้าหมากพลูกันไปเต็มไปนั่ง คนก็ไปกันเยอะ อาตมาดูแล้วคนเขาก็ยังนิยมศาสนาอยู่นะ แต่น่าสงสารจังเลย โอ้โหคุณได้ศาสนาขี้หมาอะไร ขออภัยดูถูกดูแคลนเขา พากันไปนั่งสงบเหมือนฤาษีชีไพรต่างๆนานา เขาพาให้หาวิธีหยุดพักทำงาน พักทั้งกายวาจาหยุดการคิด นี่คือองค์รวมเลย ก็เท่านั้นเอง หยุดเองก็ได้ ไม่เห็นจะต้องมาวัดให้เมื่อยทำไมใช่ไหม แต่นี่แหละได้มาปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธมีอยู่แค่นี้แหละ

ทีนี้จะเข้าถึงเป้าลึก ศาสนาพุทธหลักปฏิบัติธรรมคือจะต้องเข้าสู่ตัวสงบ สันตา สันตานี้ความสงบจบด้วยพยัญชนะ 5 ตัวคือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นี่คือความสงบที่สูงสุดของศาสนาพุทธผู้ทำจิตได้เป็นอุเบกขา 5 เป็นคุณสมบัติสุดยอด อาตมาว่าอาตมามีอุเบกขา 5 นี้อยู่เป็นปกติ อย่าว่าแต่ตอนทำงานเลยทั้งการพูดการออกกายกรรม มีนัจจะ คีตะ วาทิตะ มีสำเนียงสุ้มเสียง คีตะ วาทิตะ สรรหาคำมากล่าวกับพวกคุณ ภาษาบางคำอาจจะสนุก ก็เป็นส่วนประกอบที่ทำให้คุณเข้าใจธรรมะได้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าจะมาตลกจ๊กมก นะ คำที่จะให้รู้สึกสนุกบ้างประกอบคำบรรยาย

อาตมาว่าจะมาเป็นผู้ที่มีความสงบมากเลยแต่คนไม่เข้าใจ สงบอะไร แสดงธรรมะก็มึงมาพาโวยแสดงเสียงดัง แสดงเสียงดุเสียงแรง อาตมาก็บอกไปหมดแล้ว ว่าอาตมามีข้อด้อย 10 ข้อ

“ข้อด้อย”ของอาตมาที่ต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆ

      อาตมามี“ข้อด้อย”อยู่มากมายหลายข้อจริงๆ ลองตรวจตนเองแล้วประมวลมาดู มีมากพอสมควร .... เช่น

      1.มีความจริงใจสูง กับการแสดงออก ไม่ค่อยปิดบังอะไร ..ซื่อๆ ตรงๆ ไม่ลดเลี้ยว สุดโต่งตรงเกิน

      2.แสดงออกเต็มที่ ต้องการให้คนรู้ คนเห็นชัดๆ ไม่ออมมือ ไม่เหยาะๆแหยะๆ จึงแรง

      3.ไม่สำรวมกิริยาให้สวย เท่ๆ งามๆ สุภาพๆอะไรทำนองนั้น

      4.ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจริงจัง ไม่อนุโลมเท่าที่คนยุคนี้ ที่อ่อนแอ ล้มเหลวอยากให้อนุโลมเอาใจบ้าง

      5.เป็นคนไม่กลัวเสียหน้า ถ้าจะแสดงอะไรออกมา จะว่ามารยาทไม่ค่อยดีก็ได้ หรือมารยาทไม่มีเลยก็ใช่

      6.เป็นคนไม่กลัวว่า จะไม่มีใครมาเป็นหมู่พวกบริวาร

      7.จึงไม่สร้างภาพ รังเกียจการสร้างภาพเอาด้วย เพราะเห็นการสร้างภาพเป็นการหลอกลวง

      8.ไม่กลัวคนจะไม่ยกย่อง ไม่กลัวคนจะไม่นับถือ

      9.ยึด(ที่จริงอาตมายืนหยัด)ความจริง ซื่อตรงต่อความจริง ต่อสัจธรรมสูง จนถูกเข้าใจผิดว่า ยึดมั่นถือมั่น ดื้อดึงดัน

      10. เคร่งครัดกับคำตรัสที่ว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง  ปัคคัณเห ปัคคหารหัง เกินไป โดยเฉพาะนิคคัณเห นิคคหารหัง จนถูกเข้าใจผิดว่าคนอะไรเอาแต่ติเอาแต่ด่า

เวลาจะชมก็เหมือนกับชมแต่พวกตัวเองเวลาด่าว่าก็เหมือนกับไปว่าแต่คนอื่น เพราะจริงๆแล้วเขาก็ผิดจริง พวกเราก็ถูกจริง อาตมาพูดตรงๆนะ

ใครจะว่าอาตมามองโลกในแง่ร้าย เที่ยวไปพูดดูถูกเขาไปหมดแล้ว ตัวเองถูกอยู่คนเดียว ขออภัยเพราะว่าศาสนามันได้ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว ที่ผิดคือไม่มีโลกุตระ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระเป็นอเทวนิยม ซึ่งต้องเผยแพร่อันนี้ให้แก่ มนุษยชาติ ศาสนาอื่นก็มีถึงขั้นเป็นศาสนามีเป็นศาสนา มันเป็นศาสนาโลกีย์ เขาก็สอนไม่รู้กี่สิบศาสนาเป็นโลกีย์ทั้งนั้น มันมีโลกุตระเพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นมันมีเวลาเท่ากัน

ทางโลกก็เผยแพร่ศาสนาโลกีย์ไม่ได้วรรคเว้น เราโลกุตระนั้นไม่ควรจะวรรคเว้น ต้องทำให้ยิ่งกว่าเขา มันยังไม่ค่อยทันเท่าเขาเลย

มันน้อย และมันก็ดีด้วยนะ ไม่ใช่ว่าหลงตัวหลงตนมันเป็นธรรมะที่กอบกู้มนุษยชาติกอบกู้สังคมกอบกู้โลก เพราะถ้าได้ธรรมะแล้วจะไม่เกิดสงครามไม่เกิดการแย่งชิงฆ่าแกงกัน มันจะไม่เกิดโทษภัยแก่กันและกัน มันจะมีแต่ประโยชน์เกื้อกูลกัน มันจะเป็นเอกีภาวะ มันจะเป็นสังคมสามัคคี มันจะไม่มีการวิวาทกัน มันจะมีแต่การสงเคราะห์กัน สังคหะ เกื้อกูลช่วยเหลือกันทั้งนั้น จะมีแต่การเคารพกัน จะมีแต่การรักกัน จะมีแต่การระลึกถึงกัน เอาของพระพุทธเจ้ามาอธิบาย สวยๆเท่เสียไม่มี ใครไม่รู้ก็อาจจะหาว่าจะมาพูดเอาเองแต่เป็นของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น

เป็น

  1. สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)
  2. ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .
  3. ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
  4. สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .
  5. อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .
  6. สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .
  7. เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

 

เป็นจิตวิญญาณที่มีการระลึกถึงกัน แม้แต่ธัมมชโยอาตมายังระลึกถึง อยากให้เขาเลิกและหยุดสิ่งที่มันชั่วมันเลว แล้วมันหลอกจนกระทั่งคนหลงผิด เห็นความไม่ดีไม่งามของคุณที่มาหลอกมาโกหกเขา ว่ามันถูก เช่นคุณโกหกเขาว่า มันมีสวรรค์ คุณรู้ว่าสวรรค์ไม่มีอย่างนั้นคุณพูดเอาเอง เช่น คุณบอกว่าตายแล้วจะไปอยู่สวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ แต่พอเขามาถามว่า มาทำบุญที่ธรรมกายและพ่อเขาไปอยู่ที่สวรรค์ชั้นไหน แล้ว ธัมมชโยก็บอกว่าไปอยู่สวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ แต่คนนี้เขาบอกว่าพ่อเขายังไม่ตาย ก็เลยรู้ว่าธัมมชโยนี้โกหก

คุณเชื่อไหมว่าธัมมชโยมีจิตล่วงรู้สวรรค์ท่านนั้นท่านนี้เชื่อไหม ...ไม่เชื่อ

ถ้าเผื่อว่าพระสายหลับตา สายอ.มั่นอาจปั้นนิรมาณกายว่ามีนะ อย่างอ.มั่นว่า เมื่อคืนนี้เทวดามาจากเยอรมัน เป็นตัวตนเป็นรูปร่างในฝัน เป็นตุเป็นตะ อาจารย์มั่นถือว่าเป็นนิมิตในฝัน คือฝันมีเทวดาเยอรมัน มาเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง มหาบัว บันทึกในประวัติอาจารย์มั่น ซึ่งไม่ได้รู้เลยว่าวิญญาณไม่ได้เป็นเช่นนั้นวิญญาณไม่มีรูปมีร่าง

 

เข้าสู่สาระเลย...คือจิตวิญญาณ เป็นลักษณะของรูปนาม วิญญาณอยู่ในอาหาร 4 วิญญาณคือรูปนาม ถ้าเรียนรู้ก็จะรู้ว่ามันมีธรรมะ 2 ปรุงแต่งกันอยู่ คือเป็นธาตุรู้ กับสิ่งที่ถูกรู้

ถ้าปรินิพพานไปไม่มีธาตุรู้ ก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว เขาก็ไม่มีวิญญาณ เพราะฉะนั้นวิญญาณจึงอยู่กับสภาพที่เป็นธรรมะ 2 เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นอรหันต์แล้วก็จะมีสิ่งนี้เป็น 2 แต่เขาไม่มีเวทนาเก๊ เขาเห็นความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสด้วยตาก็เห็นเป็นรูป รูปฟักข้าว ลูกมะนาวใหญ่(หมากเหว่อ) เพราะฉะนั้นวิญญาณคือรูปธาตุกับนามธาตุทำงานร่วมกันอยู่ ยังไม่ปรินิพพานแม้พระอรหันต์ก็ยังมีอยู่ ยังมีธรรมะที่เป็นหนึ่งไม่เป็นธรรมะ 2 แล้ว

ทีนี้ วิญญาณที่ไม่เข้าใจที่มิจฉาทิฐิ หากยังไม่ตาย จิตวิญญาณก็อยู่ที่เรายังไม่ตาย คนที่ตายไปแล้ว วิญญาณของคนตาย คนตายที่หลงว่ามีภพของสวรรค์ ก็เหมือนฝันเป็นภพเป็นชาติ แต่จะไม่นาน เพราะว่าคนเรามีอกุศลเยอะกว่ากุศล ก็จะมีคุณสมบัติของพลังงานนรกมากกว่าพลังงานสวรรค์ มันจึงออกฤทธิ์มาก เพราะฉะนั้นคนที่ตายแล้ว จะไปสวรรค์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าน้อยกว่าน้อยนัก ส่วนมากลงนรก เพราะฉะนั้นส่วนมากตายไปแล้วจิตวิญญาณเป็นนรก จิตวิญญาณเป็นนรกเป็นอย่างไร ในอัตภาพของคุณคือ

คุณฝันว่าคุณทุกข์ร้อน เหมือนนรก เหมือนเรื่องที่มันฝันร้าย คุณตายแล้ว ยังไงก็อย่างนั้น แต่จริงกว่านั้น คุณไม่มีรูปธรรมตา หู จมูก ลิ้น กายหน่วงไว้เลย มีแต่จิตสดๆของนรก แล้วมันอยู่ที่คุณคนเดียว ไม่มีใครไปร่วมนรกด้วยไม่มี คุณก็จมอยู่อย่างนั้น เพราะไม่มีอะไรช่วยเลย เป็นวิบากของคุณไม่มีอะไรจะช่วย …

สมณะฟ้าไท...สรุป คนทางโลกน่าสงสาร เขาอยู่กับกากเศษที่ไม่ใช่พุทธ ไปอยู่กับการนั่งหลับตาและประเพณีเนื้องอกอีกเยอะเลย ...


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:33:04 )

610825

รายละเอียด

610825 พฤติบทของอโศกและปิรามิดแห่งสุญญาณู

พ่อครูสนทากับปัจฉาฯ เช้า 25 ส.ค. 2561

      พ่อครู : คุยกับเทวดาเรื่องนี้แล้ว อัตลักษณ์ อัตนิยม พฤติบทที่มีอัตลักษณ์ ที่มีเอกลักษณ์เป็นพฤติบท เช่น ชาวอโศกมันมีพฤติบทของชาวอโศก ไม่เหมือนใครเลย เป็นบทบาทที่เป็นพฤติออกมา เลียนแบบไม่ได้ โลกอยากได้ เราก็ไม่เคยรังเกียจ ขอให้มาทำให้ได้ก็แล้วกัน มามีพฤติให้ได้ก็แล้วกัน พฤติบทนี้นี่ กลั่นออกมาแล้ว มันเป็นตัวกลั่นแล้ว เป็นตัวกลั่นพฤติ กลั่นมาถึงขนาดนี้ สุดยอดแล้ว ว่าจริงๆสุดยอด คนมาศูนย์ คนมาพฤติให้ คนพาจิตพอ สบาย เป็นสุข อะไรเนี่ย มันเป็นสุดแล้ว แล้วก็มีองค์รวมที่มันอยู่ไม่แตก เป็นเอกภาพ แล้วมันก็มีองค์รวม แน่น

      สมณะแสนดิน : มันมีจุดยอดที่มีพลังแล้วก็มีจุดย่อย

      พ่อครู : ปิรามิดเลย

      สมณะแสนดิน : มันไม่ใช่เป็นหนึ่งเดียวแบบเป็นก้อนเดียว

      พ่อครู : ไม่ใช่ มันเป็นแบบปิรามิดเลย เป็นปิรามิดที่ตัน เป็นแท่งเลย เป็นแบบถาวร

      คุณนิ่ม : อย่างทฤษฎีตะวันตกนี่ กว่าจะมาเป็นพฤตินี่ เขาจะมีความเชื่อ ความคิด

เขาจะมี concept มี belive 

          พ่อครู : แล้วต้องมีปฏิบัติ มีฝึกฝน อบรม สั่งสม อย่างปิรามิดที่มันแน่น    เพราะมันใช้สัดส่วนสมดุล เรียงกันขึ้นมา แล้วเรียงขึ้นมาให้จุดกลางของจุดศูนย์ถ่วงโลก เพราะงั้นจุดศูนย์ถ่วงโลกหนึ่งมันดึงลงไปดิ่ง

สมณะแสนดิน : มันเลยแน่น

พ่อครู : มันเลยแน่น มันดึงลงไปดิ่ง แล้วพวกนี้ก็สร้างสมดุลขึ้นมา มันก็เลยดึงรวมกันเอาไว้หมด

สมณะดินไท : เรียกอย่างนี้ได้ไหมครับ จุดศูนย์ถ่วง

พ่อครู : ก็รวมจุดศูนย์ถ่วงไว้ในปิรามิดนี้

สมณะแสนดิน : อย่างที่พ่อท่านถาม คนเมื่อวานนี้ว่าใครไม่มีตังบ้าง ก็จะมีคนที่เป็นจุดศูนย์ถ่วงที่แน่นอยู่คือคนที่จริงๆใจเขาจริง ส่วนคนที่กำลังพยายามพากเพียร เขาก็เขาหาจุดศูนย์ถ่วงเหมือนกัน เพียงแต่ยังทำไม่ได้

พ่อครู :ใช่เข้าหา เพราะว่ามันชัดเจนแล้วละ มันหมดสงสัยแล้วว่ามันต้องมานี่แหละดีที่สุด  แต่มันยังไม่ได้

สมณะแสนดิน : เพียงแต่ว่ากิเลสส่วนเหลือที่มันพยายามจะทำมันเข้ามาอยู่

พ่อครู : มันเป็นแม่เหล็ก Magnetic ที่ดูด Magnitude ที่เข้าถึงเข้ามาหาจุดกลาง

      สมณะแสนดิน : เพราะฉะนั้น เม็ดสุญญาณูจึงมีประสิทธิภาพอย่างสูง

      พ่อครู :  เม็ดสุญญาณูถึงมีพลังงาน

      สมณะแสนดิน :  เม็ดสุญญาณูเป็นพลังงานสูงที่สุด

      คุณเจมส์ : รู้วิธีแต่ยังตัดไม่ขาด ค่อยๆลดไปเรื่อยๆ

      พ่อครู : คำตอบนี้เมื่อวานนี้ใครถามว่าทำไม่ได้สักที มันก็ยังไม่ได้ทำยังไง คุณก็ต้องพากเพียร ก็ไม่รู้จะตอบว่าไง

 

ถอดข้อความโดย อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:33:58 )

610826

รายละเอียด

610826 ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมที่เป็นอิสระ

พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯ 26 ส.ค. 2561

      พระครู :  ผมอธิบายเห็นเรื่องมุมของการสวดมนต์ สุดท้ายจริงๆ ของศาสนาเทวนิยม เขาต้องติดสวดมนต์  มีศาสนาพุทธเท่านั้น ที่เป็นอเทวนิยม ที่หลุดออกมาจาก การติดสวดมนต์ได้  โดยรู้ว่าการสวดนั้น แยกได้ว่าสังคีติหรือสังคายนา และก็สังสาธยาย

      สังคีติ ก็สวด เพื่อจำ  สังคีติสวดตรวจสอบ สังสาธยายสวดคนเดียวสาธยาย

ไม่ได้หมายความว่าให้สวดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป  มีศาสนาพุทธเท่านั้นที่ชัดเจน แล้วก็ทำกันมา

ยุคนี้  มันน้อยไง มันมีแต่ศาสนาพุทธที่จะเข้าใจรายละเอียดอย่างนี้ ศาสนาอื่นไม่เข้าใจ ศาสนาอื่นติดหมดต้องอย่างนี้ เพราะเขายังมีวิญญาณ เขายังมีการสวดอยู่ อันนั้นน่ะเป็นสำคัญ ยังนึกว่าสวดแล้วจะไปถึงอะไรอันหนึ่ง นี่แหละมันสำคัญ ความไม่รู้ของเทวนิยม เป็นเทวะ เป็น 2 ยังมี 2 ยังไม่เป็น 1 ไม่ได้เป็น 0 แท้จริง ยังมี 2 ยังมีส่วนมีอะไรอันหนึ่งที่รับอยู่  Action reaction เขาหยุด Action reaction  ยังไม่ได้ เขาเป็น 1 ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องมีเพื่อน เขาต้องมีเพื่อน 2 ก็ต้องมีเพื่อน 2  เขาเป็นหนึ่งไม่ได้ นี่คือจุดสำคัญ เขาไม่รู้เลยเขาไม่เชื่อว่ามี 1  1 ได้อย่างไร 1 ก็มีแต่พระเจ้า พระเจ้าก็ต้องมีลูกศิษย์ ไม่มีลูกศิษย์ก็เป็นพระเจ้าไม่ได้ เขาไม่มีอิสระสมบูรณ์แบบ

อิสระสมบูรณ์แบบไม่ได้ อิสะระไม่ได้ อิเองเลย อิสระไม่ได้ เป็นหนึ่ง อิสะระ 3 เส้าตัวเองเลย อินี้คือ 3

สมณะดินไท : อะอาอิ อิ เป็น 3

พระครู : อิสระ อิ คือ 3

สะระก็คือพลังงาน พลังงานของเศษวรรค ระก็ 2 สะก็ 4 เป็นพลังงานเลขคู่ เลขคู่ของ 2 กับ 4 เอามาทำงาน ก็ให้อนุโลมให้แค่นี้  2 กับ 4 ทำงานอยู่ เป็น 3 เส้า เป็นวงวนมี 2 กับ 4 ทำงานกันแค่นี้แหละ มีเศษวรรคพลังงานสุดท้ายแล้ว ทำงานเป็น 3 เส้า เป็นวงวนได้ มี สะ กับ ระ อิสระ

สมณะแสนดิน : ไปได้ทั่วทำงานได้ทุกอย่าง

พ่อครู : เป็นอิสระ เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีขึ้นกับใคร

สมณะแสนดิน : หมดทุกข์หมดสุข

พ่อครู : เป็นวงสุดท้าย  เป็นทัสสะ เป็นสิทธิ์เลย เป็นทะ แข็งแรงที่สุด ทหาร เป็นทะ

สะ สะ เป็นพลังงาน 4 ออกมาจาก 3 เส้า 1 2 3 ยะ ระ วะ สะ ออกมาคุมวงวน เป็น อาคีมีดิส งัดโลก 

      สมณแสนดิน : ต้องหาที่ยื่นให้ได้นะครับ

พ่อครู  :  อาคีมีดิส งัดโลก ออกมาเป็น 4 กลุ่ม 3 เท่านี้เอง ความหมายสูงสุด อิสระ

สมณะดินไท : แปลว่าแก้มโม้อย่างฉลาด ที่สามารถจะงัดโลกได้ ถ้าหาที่ยื่นได้เฉพาะ

พ่อครู : สูงสุด อิสระ เพราะฉะนั้นเมื่อ ศาสนาไหนๆก็แล้วแต่ ไม่มีศาสนาไหนที่จะทำตนให้เป็นอิสระที่สมบูรณ์แบบที่สุดเหมือนศาสนาพุทธ นี่คือสรุปความหมายที่ชัดเจน ศาสนาพุทธทำให้ธรรมะ 2 เป็น 1 ทำให้เป็น 0 ได้จบ นอกนั้น 2 ขึ้นไปทางนั้น เทวขึ้นไปทางนั้น 3 4 5 6 7 8 Infinity

คุณเจมส์ : พ่อครูพูดเรื่องนี้มันเลยจะชัดเจนเรื่อง  การที่ไม่สวดมนต์ เพราะว่าต้องการให้ทุกคนอิสระ คือสวดแค่ 2 แบบ คือ สวดแบบตรวจสอบ กับ สวดแบบท่องจำ และไม่ต้องไปหาหมู่ เพราะว่าอิสระในการที่จะทำ

พ่อครู : ชัดเจน อันนี้ก็ชัดเจน

คุณเจมส์ :  เพราะถ้าไปสวด ต้องเรียกร้องหมู่ เพราะถ้าไปสวดอีกก็ยังไม่ปรับตัวเองว่าตัวเองชัดเจนได้

พ่อครู :  อาศัยหมู่ 1 อาศัยหมู่ที่พร้อมเป็นหนึ่งเดียว เรียกว่าสังคีติ สวดพร้อมกัน แล้วรักษาไว้ให้ได้หมด กับ สวด 1 คน อาศัยหมู่ตรวจสอบ สังคายนา เท่านั้นเอง นอกนั้นต่างคนต่างสาธยาย สรภัญญะ

สมณะดินไท : เจตนารมณ์ของการสวดสังคีติ เพื่อสืบทอด

พ่อครู  :  ใช่ เพื่อสืบทอด

สมณะดินไท : ยุคนี้มันมี google แล้ว มีหนังสือบันทึกไว้อยู่แล้ว  ก็ไม่จำเป็น

พ่อครู  :  สวดก็ไม่จำเป็น แต่ต้องรวมความรู้เอาไว้อยู่ google  มีไว้แทน ก็เท่ากับสมองจำ ก็เหลือแต่สมองจำ สมองจำมีแล้ว เป็นแต่เพียงเอามาใช้ คุณก็ต้องอาศัยสมองจำ

ทีนี้แทนที่สมองจำจะเป็นคน สมองจำเป็น google เป็นหนังสือ จะทิ้งไม่ได้ ทิ้งสองจำไม่ได้   สังคีติ คือ สมองจำ

      สมณะแสนดิน : ถึงจะมีสมองกลอย่างไง แต่ว่าความคนถูกผิด อย่างไงนี่ มันก็ต้องมีการตรวจสอบอยู่ดี

      สมณะดินไท : จะตรวจสอบได้ก็ต้องแบบพ่อครูอย่างนี้ ดูว่าเอะอย่างนี้ไม่ใช่

      พ่อครู : หรือไม่ก็ เครื่องก็เทียบกันในรหัส ตั้งรหัสให้มันก็ได้

      สมณะแสนดิน : แต่ถึงจะมีเครื่องมากมาย แต่ไม่มีใครไปรู้  ตัวจิตวิญญาณไปรู้ คนไปรู้

มันก็ทิ้งไว้เปล่าๆ

      พ่อครู : มันก็ไม่ได้ มันก็ทิ้งเลย หมดคนรู้ก็จบ

สมณะแสนดิน : คนรู้ดันเอาความรู้ เพื่อจะเพี้ยนอีก จิตวิญญาณที่เพี้ยนๆ ไปรู้หมด

พ่อครู : เพราะฉะนั้น ถ้ามันเกิดพลังงานที่จะอุตุ มันก็ไม่มีใครตัดสินหรอก มาเป็นพีชะขึ้นมา ก็ไม่มีใครจะตัดสินอีก  ต้องจิตนิยามจึงจะมีตัวตัดสินขึ้นมา ถึงจะสามารถรู้ได้ว่า อะไรคืออะไร แตกต่าง อะไรคือแตกต่าง ถึงจะเกิดลิงคขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีตัวที่ 3 ไม่นิ่ง ตัวที่ 3 ที่เป็นจิตนิยาม เพราะฉะนั้นจาก 3 แล้วนี่ มันก็เป็นกรรม อิสระ 

กรรม อิสระ ก็ต่างกรรม ต่างวาระ ต่างบุคคล ไป อิสระ ก็จัดการตรวจกันได้ 

สมณะดินไท : นี้อย่างไปท่องสวดตามกันมานี่ อย่างเมื่อนางจิญจมารวิกาเอาผ้าห่อไม้เขียนไปเขียนมา ห่อไม้หรือแปลผิด เป็นไม้วงกลมมา ตอนหลังเหมือนผู้รู้มาบอกว่าไม่ใช่ไม้วงกลม ไม้วงกลมมีที่ไหน  ต้องไม้ทรงกลม  มันต้องมีผู้รู้ ทีนี้ถ้าผู้รู้แล้วยุคสมัยนี้ จะบันทึกเอาไว้ รู้จริงสุดยอดแล้วนี่คืออันนี้ ต่อไปคนก็ไม่ต้องสวดตามตามกันมา ก็ดูจากที่รู้จริงอันนี้ เป็นหลักฐานยืนยัน มันก็เป็นตำรา

สมณะแสนดิน : มันก็จะเพี้ยนไปเหมือนเดินนี่แหละ คนมีกิเลสก็จะเอาไปเพี้ยนอีก

คุณเจมส์ : พระพุทธเจ้าจึงให้ตรวจทานกัน ไม่ให้บอกต่อ เพราะเราเคยเล่นกันแล้ว พูดคำหนึ่งใส่หูเพื่อน แล้วก็พูดกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายมาหาเรา ไม่ใช่คำพูดที่เราพูดคนแรก ก็คล้ายลักษณะเดียวกัน

พ่อครู : กาเซดซบ(ภาษาอีสาน คืออีกกาเช็ดศพ) พอพูดกันไปเรื่อย มันแค่กาเซดซบ สุดท้ายมันพิลึกเลย เป็นกาเจ็ดศพ กาเซดซบ มันธรรมดา  กาเขาเช็ดปากเขาธรรมดา กามันกินอะไรแล้วมันเช็ด เฮ้ย ได้ยินเป็น กาเจ็ดศพ ก็ประหลาดหู ก็เอาไปพูดกันต่อ มีคนเจอกาเจ็ดศพ กลายเป็นกาเจ็ดปาก

สมณะดินไท : หนักเข้าๆ

พ่อครู : ไปกันใหญ่

คุณนิ่ม : ถ้าอย่างพิธีกรรม ถ้าไม่มีการมารวมกันเพื่อที่จะมาทำอะไรสักอย่างหนึ่งร่วมกัน แล้วจะเอาอะไรดี

พ่อครู : ก็นั่นแหละ ไม่ได้ไง มันบังคับว่าคุณต้องรวม มนุษย์มันอยู่แยกกันไม่ได้หรอก ต้องมารวม เราทำความเข้าใจทุกอย่าง ก็ต้องมาปรองดอง มาสมานฉันท์ นี่เราแยกสมานท์

คุณนิ่ม : เขามีการศึกษาวิจัยว่าการสวดมนต์ช่วยรักษาโรค

สมณะดินไท : ก็เหมือนสมาธิไง

พ่อครู : นั่นแหละสมถะ ให้เกิดจิตสมถะ

สมณะดินไท : พระธาตุก็จะออกมาสวยไง

พ่อครู : ยกเว้นพุทธ พุทธก็ไม่ทิ้งสวด สวดก็ได้ แต่สวดอย่างชัดเจน โสดเป็นประโยชน์ของมัน ส่วนอันนี้ประโยชน์อย่างนี้ สวดอย่างนั้นประโยชน์อย่างนั้น แล้วที่ไม่เป็นประโยชน์ เป็นภัย อย่าไปทำเท่านั้นก็จบ

 แต่ทีนี้  คนไม่รู้เห็นไป สรุปว่ายังติดวิญญาณ

คุณนิ่ม : อยากให้พ่อครูขมวประเด็นนี้ด้วย เพราะมันเหมือนเราไปตีทิ้ง อันนี้ผิด อันนั้นผิด หมายความว่าผิดไปทั้งนั้น 

พ่อครู : ก็พูด แต่มันก็พูดเหมือนจะพูดไม่ใช่น้อย มันละเอียด หล่นนั้นหล่นนี้ จริงพูดไปหมดแล้ว เสร็จแล้วคนก็คนหนึ่งก็จำได้อันนั้น คนนี้ก็จำได้อันนี้

สมณะแสนดิน : ภันเตสิริถามว่าพ่อครูจะเติมเข้าไปอีกไหม เกี่ยวกับเรื่องสวดมนต์ในหนังสือคนจนที่มีแบบ

พ่อครู : ไม่แล้วๆ ไม่ได้เติมแล้วสวดมนต์

 

ถอดข้อความโดย อุทัย 

พ่อครู : เป็นตัวกลมอันเดียว 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:36:05 )

610826

รายละเอียด

610826_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ทำไมต้องตำหนิสมาธิหลับตา

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1DhMM9oUhmEC5z6Aw8bh1y-8Px92Xuhww80hzyoMw9Pc/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1q_zL9pHIbx7-F2x8vs5AlW182ztLroF6

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม 2561 เข้าพรรษามาได้ 1 เดือน ชีวิตเราได้เจอพระโพธิสัตว์ 2 องค์ถือเป็นโชคมาก พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งก็ได้จากพวกเราไปแล้ว เราก็ยังอยู่กับพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่ง ที่ทำให้คนพัฒนาตนเองเป็นพระอาริยะตั้งแต่พระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามีจนเป็นอรหันต์ได้ ท่านบอกว่า สามารถทำได้ในกาละนี้ แล้วมาอยู่รวมกันเป็นชุมชน เป็นชุมชนที่รู้จักพอ รวมกลุ่มกันขาดทุนเพื่อสังคม ได้ทุกวันทุกเวลา ทำงานเอาเข้าหาตัวเองน้อย เอาเข้าส่วนตัวนะ ตามลำดับ ถ้าเขาได้รู้ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ว่าหายไปแล้ว เขาจะรู้สึกเสียดายมากเลยถ้ารู้ความจริงว่าดีขนาดนี้หรือ ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ได้ขนาดนี้หรือ ยิ่งเขารู้สัจจะความจริง ก็จะเสียดายที่ไม่ได้มา

ตอนพระพุทธเจ้าปรินิพพานคนก็เสียดายเสียใจกันมาก เสียดายอย่างไรก็ไม่คืนมา ไม่สามารถเอาพระพุทธเจ้าคืนมาได้ เช่นเดียวกัน หากพ่อครูตายไป คนจะเสียดายกันมาก ชาวอโศกที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมจริงจังจะเสียดายมาก คนที่ไม่ได้มาก็จะเสียดายมาก ตอนยังอยู่เรียกไปเถอะ ตอนตายทำเป็นร้องไห้ แค่เพชรแค่ทองเราหายไปก็ยังมีคนเสียดาย แต่นี่ยิ่งกว่ายอดเพชรยอดทองด้วย

พ่อครูว่า...จะมีอย่างคุณว่าหรือ ลองตายดูดีไหม?

สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าพ่อครูตายแล้วฟื้นได้ก็น่าจะลองดูแต่ว่าฟื้นไม่ได้นี่ไม่เอาครับ

พ่อครูว่า…SMS วันที่ 24 - 25 สค.

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน กินมื้อเดียวเป็นสมาธิจิตอย่างไร

_4208มีคำถามถึงพ่อครูค่ะ ถ้าเราปฏิบัติศีลเคร่งขึ้น โดยเฉพาะกินมังสวิรัติและกินมื้อเดียวได้ เท่ากับเราได้เพิ่มอธิจิตเช่นกันใช่ไหมคะ จนจิตเรายิ่งสงบ ยิ่งหมดกิเลสเพราะการปฏิบัติศีลเคร่ง จนจิตเป็นสมาธิ นิ่ง สงบมากขึ้น หมายถึงสงบจากกิเลสค่ะ จิตจะคล่องแคล่ว ว่องไว รู้จักอนิจจัง รู้ความจางคลายของกิเลส จิตตัวนี้คือตัวปัญญาใช่หรือไม่ค่ะ

พ่อครูว่า...นั่นแหละคือจิตคุณแข็งแรงขึ้น จิตยิ่งสงบ คือ ในขณะที่กินมังสวิรัติกินมื้อเดียว จิตก็ดิ้นไม่อยากกินเนื้อสัตว์ กินมื้อเดียวก็ไม่พอใจอยากจะกินมื้ออื่นอีกมันดิ้น จนกระทั่งมันไม่ดิ้นคือจิตเราสงบ จิตเรากินมังสวิรัติก็สบายไม่ดิ้น กินมื้อเดียวก็สบายไม่ดิ้น ยิ่งหมดกิเลส ทีนี้ รู้เลยว่า เราสามารถที่จะหยุดกินเนื้อสัตว์ กินมังสวิรัติได้ ไม่กินเนื้อสัตว์อีกแล้ว กินมื้อเดียวก็ไม่ได้กิน 2 มื้อ 3 มืออีกแล้ว ดูเลยว่าหมดกิเลสเพราะปฏิบัติศีลเคร่ง จนจิตเป็นสมาธิ จนจิตตั้งมั่น

สมาธิแปลว่าจิตตั้งมั่นจิตเป็นเช่นนั้นอยู่ถาวรนิรันดร จิตมันไม่ดิ้นอย่างนั้น สงบอยู่อย่างนั้น มันอยู่กับโลกที่เขามีเนื้อสัตว์ เกี่ยวกับเนื้อสัตว์สัมผัสกับเนื้อสัตว์ ใครจะเอาเนื้อสัตว์มาโฆษณายั่วยุอย่างไร นิ่งสงบ ตั้งมั่นสงบ ใครจะกินกี่มื้อไม่กี่มื้อก็ช่างเขาเราจะกินมื้อเดียว คนอื่นกินหลายมื้อเห็นยั่วยวนหลอกล่อ เราก็สงบตั้งมั่น นิ่งสงบมากขึ้น หมายถึงสงบจากกิเลส ก็ใช่

ถ้าเรารู้จักกิเลสแล้วก็ทำให้กิเลสมันลดลงถาวรได้ไปเลยกิเลสมันดับสนิท อย่างยั่งยืนถาวรนิรันดรไปเลย นั่นแหละจิตจะคล่องแคล่วว่องไว แน่นอน จิตไม่มีกิเลสเข้ามากวนจิตจะเข้าคล่องว่องไวเร็ว มุทุภูตธาตุ ยิ่งคล่องแคล่วว่องไว สมาธิจิตของคุณ ไม่ใช่จิตที่หยุดนิ่งไม่ทำอะไร จิตที่ไม่คิดอะไรไม่ทำอะไร นั่นก็ถือว่าเป็นสมาธินั้นไม่ใช่ จิตเป็นสมาธิจะยิ่งแคล่วคล่อง เพราะจิตที่มันมีกิเลสเป็นอกุศลจิตมันหายไป มันไม่มีอำนาจในจิต จิตก็ยังเป็นอิสระเสรีแคล่วคล่องว่องไว

รู้ความจางคลายของกิเลส จิตตัวนี้เป็นตัวปัญญา ใช่ไหม ถ้าเรามีจิตที่รู้ได้ว่ากิเลสที่มันขึ้นมานั้นเราทำให้มันไม่เที่ยงได้ มันเป็นตัวทำให้เราทุกข์ กิเลสมันหมดไปได้ไม่มีตัวตนมันเป็นอนัตตา มันหมดไปแล้ว หมดไปอย่างยั่งยืนถาวรด้วยคุณก็จะมีปัญญา จิตตัวนี้เป็นปัญญาเห็นสิ่งนั้นมันหมดไป

 

_3867วันนี้มีปาฐกถาลุงตู่ฯกบเข็ดกลียุคฯขออย่าคืนความทุกข์ให้ปชช.ในชาติด้วยความประมาทอำนาจนายใหญ่ ลี้ภัย?บทเรียนการเมืองข้ามชาตินำรัฐบาลนอมินีระบอบซุก หุ้นฯล้ม ..เผากรุงฯชาวนา แขวนคอฯชนวนไฟใต้ฯชนะทุกเกมมาหลายยุคคงไม่ทำให้คสช.มวลชนทุกสมัย ลืม?

พ่อครูว่า...ใครจะลืมก็ลืมไปคนไม่ลืมก็ไม่ลืม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน เมื่อทำความดีเราต้องลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมดหรือไม่

_1614เมื่อทำความดี เราต้องลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมด คือ ไม่เห็นแก่อะไรหมด นอกจากเห็นแก่ความดี #หอจดหมายเหตุพุทธทาส #BIA นอกจากเห็นแก่ความดี นี้ถ้าถูกตรง ควร เป็นอย่างไร

พ่อครูว่า...ลืมไปหมดก็โง่สิ มันจะไม่มีอะไรเปรียบเทียบ จริงๆแล้วเรื่องความดีเป็นสมมติสัจจะความดีความชั่ว ความดีความชั่วเป็นเรื่องความไม่เที่ยงไม่แน่นอนอะไร เปลี่ยนกันไปเปลี่ยนกันมาเดี๋ยวก็ว่าอย่างนั้นดีเดี๋ยวว่าอย่างนั้นไม่ดีเปลี่ยนไปไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นถ้าสังคมมนุษย์มีความดี เราก็ทำไปสังคมเป็นแบบนี้ สังคมในยุคนี้เกิดมาใหม่ สังคมมันปรับเปลี่ยนอันนี้ไม่ดีมันเป็นชั่วก็ได้ ก็กลับไปกลับมาได้เป็นสมมติสัจจะ มันไม่เที่ยง

แต่ไม่เที่ยงคือทำให้จิตที่เป็นอวิชชามันโง่ คือทำจิตของเราให้ไม่มีกิเลส นี่เป็นเป้าหมายหลักสำคัญที่เป็นความจริงปรมัตถ์สัจจะ กิเลสมันคืออกุศลจิต คนทุกคนมีทุกคน ศาสนาไหนเขาไม่เรียนก็เรื่องของเขา แต่ศาสนาพุทธนั้นเรียนเลย อาการของจิตที่มีกิเลส แล้วเรียนรู้วิธีกำจัดกิเลสนี้ให้ได้จริงๆ แล้วทำได้จริงๆด้วยศาสนาพุทธยืนยันได้อย่างถาวรยั่งยืน นี่คือพระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ แล้วทำสำเร็จ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้า ถือเป็นเรื่องใหญ่ แล้วก็สอนเรื่องนี้ คือเรื่องทุกข์

เหตุของความทุกข์นี่แหละมันเกิดอกุศลเกิดความไม่ดีก็ดับเหตุแห่งทุกข์ มันก็ไม่ทำให้เกิดความเป็นอกุศลอีกแล้ว มันจึงปลอดภัย พระพุทธเจ้าท่านจับหัวใจของมนุษยชาติได้ มนุษยชาติดับกิเลสได้แล้ว ดับกิเลสได้แล้วปัญญาจะเกิดไปรู้โลกรู้อัตตา รู้โลก คือโลกวิทู รู้โลกที่ปรุงแต่งกันเป็นธรรมะ 2 หยาบ กลาง ละเอียด แล้วก็รู้ตัวตน ดูของเราและของคนอื่นที่เขาจะมีกิเลสก็จะรู้ตามบารมี หรือว่ามีกิเลสไม่มีกิเลส เราก็ไม่ควรจะไปวุ่นวายอะไรกับมัน หรือเราเห็นว่าเราควรจะวุ่นกับเขา เพราะเห็นว่าจะช่วยเขาได้ก็ช่วย เราช่วยเขาไม่ได้ ก็แล้วไป เรามีโอกาสเราจะว่าอย่างนี้ดีก็ว่าไป มันไม่ดีมันมีอย่างอื่นอีก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ อาตมาพูดก็พูดด้วยเจตนาดี ไม่ได้มีเจตนาชั่ว

เจตนาดีคือไม่ได้หวังร้ายต่อผู้ใด แม้จะกล่าวจะพูดที่ไม่ดีที่ผิด ก็ไม่ได้หวังร้ายต่อผู้ที่ไม่ดีไม่ได้หวังร้ายต่อผู้ที่ผิด ปรารถนาจะให้เขารู้ตัวคนที่ไปนับถือเป็นลูกศิษย์ลูกหาของคนที่ทำผิด เขาจะได้แก้ไข ถ้าไม่บอกเขาก็ยึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครกระตุกเขา ไม่มีใครไปเตือนเขาเลยไม่มีใครไปบอกเขาเลย มันก็ไม่รู้

ขนาดบอกแล้ว ก็ยังยึดมั่นถือมั่นก็ต้องบอกนะ เพราะว่าคนที่ยึดมั่นถือมั่นพระอาจารย์เขาเชื่อมั่น มันก็เลยต้องว่าแรงๆเป็นเรื่องจริง

พระพุทธเจ้าต้องชื่อสิทธัตถะอาจารย์คนนี้ตั้งชื่อมั่น เพราะว่าจะมีคนที่หลงยึดมั่นถือมั่นเยอะ โดยเฉพาะตนเองยึดมั่นถือมั่นอย่างที่ผิดนั้น อาตมาก็กระตุก ตอนนี้อ.มั่นตายไปแล้วเตือนไม่ได้ แต่คนก็นับถือกันเยอะ อาตมาไม่มีสถิติว่าการยึดมั่นถือมั่นอาจารย์มั่นจะหายได้ไหม มีคนบอกอาตมาว่าอย่าไปติดอาจารย์มั่น พวกนี้ใครเป็นคนอโศกด้วย แม้จะอยู่ในหมู่บ้านอโศก ก็ยังไปติดอ.มั่น ทำไมอาตมาจะติไม่ได้

นอกจากกฎหมายห้ามไม่ให้ตำหนิแล้วต้องติดคุกก็ไม่ตำหนิ แต่อันนี้อาตมาตำหนิด้วยเจตนาดีก็ต้องทำ ก็เท่านั้นเอง สิ่งใดติไม่ได้ห้ามด้วยกฏหมายก็จำนน แต่ไม่ได้ห้ามด้วยกฏหมายก็อย่ามาห้ามเสียให้ยาก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐกิจดีอย่างชาวอโศก

_ประสิทธิ์ โอวาทวงษ์ · ชาวอโศกเศรษฐกิจดี เพราะชาวชุมชนไม่มีสตางค์

พ่อครูว่า…ถ้าพูดแค่นั้นมันก็ไม่เต็ม คิดตื้นๆง่ายว่า ไม่มีสตางค์แล้วจะกินอะไร คำตอบก็คือกินสิ่งที่เราทำ ในแผ่นดินถิ่นฐานนี้เราก็ปลูกพืชพรรณธัญญาหาร เราไม่ต้องกินสัตว์เรากินแต่พืช เราก็สบายไม่ต้องไปหาสัตว์มากิน เรารู้มากกว่านั้นว่ากินสัตว์ไม่ดีเราก็เลิก ยังสบายๆ กินพืชก็พอแล้วชีวิตนี้ชัดเจนเราไม่มีปัญหา เราก็กินพืชปลูกพืชมากิน จนทุกวันนี้พืชพันธุ์ธัญญาหารของเราเหลือเฟือ มีมากเกิน แล้วชีวิตของเราก็อาศัยพืชพรรณธัญญาหารอยู่กันได้ตลอดตายแล้ว ถ่ายมาอีกเกิดมาอีกก็ยังมีกินได้อีก สบม.ธมด.ปกต.หห.จจ.มชยลล

เราปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วรู้จุดสำคัญของชีวิต จุดสำคัญที่ท่านสอนเราคือให้เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย หรือกล้าจน เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนสันโดษ อยู่กับหมู่ฝูงมีอยู่มีกินพอ จิตของเราสันโดษ ไม่ได้หมายความว่าอยู่คนเดียว แต่คุณสมบัติของสันโดษยิ่งจะมีหมู่กลุ่มที่แน่นหนา อาจจะเป็นหมู่กลุ่มที่ไม่โต เพราะคนไม่สันโดษก็ไม่มา แต่รวมกันอย่างผูกพันแน่นหนา เอกีภาวะ เป็นการพิสูจน์คำตรัสพระพุทธเจ้า ว่า วรรณะ The Classes เป็นคุณสมบัติชั้นสูงของมนุษย์เป็นวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

เอาศีลของพระพุทธเจ้ามาจับก็เคร่งครัด มีศีลเหล่านั้นได้เป็นปกติ วันๆก็ขยันรู้จักพักรู้จักเพียรทำไม่เสียสุขภาพร่างกาย สุดยอดของคนเลย

อาตมาภูมิใจ ที่ได้นำธรรมะพุทธเจ้ามาให้พวกเราปฏิบัติได้ผลจนเกิดกลุ่มชุมชนชาวอโศกในประเทศไทยอยู่หลายแห่ง เป็นคนมีวัฒนธรรม คนประพฤติอย่างนี้เป็นคนทำให้เศรษฐกิจดีไม่ทำให้สังคมเศรษฐกิจของประเทศแม้แต่เศรษฐกิจของโลกเสีย

เพราะของเรายืนหยัดเป็นอย่างนี้แล้วก็แสดงว่า พวกเราก็เป็นสุขสบาย มาเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ มีอยู่มีกิน ไม่ต้องแย่งชิงใคร ไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย สร้างสรรค์เผื่อแผ่ออกไป อะไรที่ควรทำออกไปก็สร้างไป ให้คนอื่นได้อาศัย ให้คนอื่นได้มาพักพิง อย่างที่เป็นนี่ คนอื่นได้มาอาศัยมากิน มาพักพิงพักผ่อน สุขสำราญเบิกบานใจ ตัวเองไม่ต้องไปเบียดเบียนใคร อาตมายิ่งเห็นพวกเรามาจนนะ แต่เราก็เหลือ เราจนแต่เหลือ เราก็สามารถทำได้ อาตมาก็ยังไม่รู้เลย ของราชการเขาทำสาธารณูปโภค เช่นการสร้างถนน ก็บอกว่าเราสร้างให้นะ ก็ประมาณป่านนี้ก็ยังไม่มา เราก็บอกว่าเรามีเงินจะสร้างเองได้ไหม เขาก็บอกว่าสร้างก่อนเลย เราก็สร้าง ก็ไม่ได้ข่าวเลยว่า ของรัฐบาลจะมาหรือยัง

เราก็สร้างไปได้พอสมควร ที่อาตมาให้งบฯไว้ก้อนหนึ่งสามล้าน ก็ทำได้ต่อ หากเขายังไม่มาอีกเราก็จะสร้างต่อไปเอง สร้างแถวนี้เสร็จก็จะไปสร้างที่อื่นต่ออีก เพราะว่ามันดี คนจีนเขาบอกว่าถ้ามาบริจาคสร้างถนนจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เขาถือว่าเป็นบุญเป็นกุศลสูง เป็นสิ่งต้องใช้อาศัยในมนุษยชาติ เมื่อสร้างถนนเป็นคอนกรีตก็เดินขึ้นสบาย หน้าฝนถนนเละเทะมากหากเป็นดิน เราก็ทำให้ดีเป็นที่อาศัย อย่าว่าแต่ถนนเลย อะไรอื่นก็แล้วแต่ ใจเรานี่อาตมาว่าอาตมาใจใหญ่แต่เงินไม่อำนวย หากเงินมากกว่านี้ก็จะสร้าง

เราเองเรามีน้ำใช้ ทุกวันนี้อโศกเราสุดยอดเลย น้ำที่ใช้อยู่ในเป็นน้ำธรรมชาติ กินได้อาบได้ น้ำในก๊อกเปิดออกมา จากบ่อน้ำซับ ที่ใช้กันอยู่ทั่วหมู่บ้าน เป็นน้ำแร่นะ ล้างส้วมก็เป็นน้ำแร่นะ อาตมาเคยคิดว่า อยากจะต่อท่อให้กุดระงุม เขาก็ไม่เอา

เราเอาแรงงานมาสร้างสรรค์ ไม่ไปเต้นไปดีด ไปเสียพลังงานเสียแคลอรี่ เราใช้หมดแล้วไม่มีเสีย เราก็กินเท่านี้ใช้เท่านี้ ร่างกายเราก็มีแคลอรี่เท่านี้ มันก็ใช้ทำงาน สังขารร่างกาย อวัยวะต่างๆ ก็อยู่สมดุลสบายไม่อ้วนเกิน สังเกตชาวอโศกไม่มีใครอ้วนฉุ ไม่มีหรอก สันทัดคน หล่อทั้งนั้น ไม่มีอ้วนฉุฉะ ไม่มีผอมกระหร่อง ไม่มีอ้วนเป็นหมูตอนไก่ตอนไม่มี มันได้สัดส่วน ที่พูดนี้ เป็นเรื่องจริงไม่ใช่พูดเล่น เดี๋ยวนี้เป็นโรคสารพัดทั้งโรคอ้วนโรคผอม แต่ของเราไม่อ้วนไม่ผอมได้สันทัดคน นี่เป็นเรื่องจริง

เราสร้างโฮ่งปัว เป็นโรงเรือนสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ใหญ่กว่าทุกหมู่บ้านที่ของรัฐบาลสร้างให้ เท่ากับโรงพยาบาลเล็กๆ แต่ยังไม่มีหมอ พวกเรายังไม่มีปัญญาจ้างหมอมา ถ้ามีหมอมาฟรีก็เอา เราก็มีพยาบาลอยู่บ้าง พยาบาลสมัครใจ ไม่เดือดร้อนเรื่องหมอ เราก็พยายามขอร้องหมอบ้าง หรือเอาคนไข้ไปหาหมอ แล้วเราก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย ไม่ได้ป่วยไข้อะไรเกินการ หากเป็นมากก็ไปโรงพยาบาลไม่เป็นมากก็อยู่ที่นี่ พวกเราไม่ค่อยป่วยไข้อะไรเท่าไหร่ ไปตรวจสอบเลยกับสังคมหมู่บ้านอื่น สุขภาพร่างกายของชาวหมู่บ้านเราดีกว่า

 

_หลำ มงคลอินทร์ · เป็นความสุขที่หายาก...ขอขอบคุณพ่อที่ทำบุญโปรดมวลมนุษย์ชาติ

 

_พรชัย จันทรสอน · สิกขมาตุหลายรูปพูดได้น่าฟัง เช่นท่านสิกขมาตุสัจฉิกตา,ท่านสิกขมาตุรินฟ้าและท่านสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน,กราบนมัสการ สาธุ

 

 

_สีดิน ลี · นักเรียนเรียนวิชาโลกุตระเต็มห้องที่ราชธานีอโศก หากเชคแต่ละพุทธสถานทั่วประเทศไทย ส่วนใหญ่ก็กำลังฟังพ่อครูตามหน้าจอกันเยอะมาก และหากเชคตามบ้านญาติธรรมที่มีทั่วโลกก็มีมากเช่นกัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ถวายอาหารเนื้อสัตว์ให้พระเป็นบาปมิใช่บุญ

_พันธุ์ พอเพียง · ก่อนละสังขาร อ.มั่น บอกว่า จะไม่ตายที่อุดร(บ้านผือ)ขอไปตายที่สกลฯ เหตุผลคือถ้าสิ้นที่อุดรสัตว์ที่เลี้ยงไว้จะถูกฆ่าในระหว่างงานศพ ส่วนที่สกลนั้น เขามีตลาดมีขายเนื้อเป็นปกติทุกวันอยู่แล้ว ท่านมหาบัวเล่าไว้ครับ

ที่กระผมเล่าเรื่อง อ.มั่น ก็ไว้เป็นข้อมูลถวายพ่อครูไดัรู้จักภูมิของ อ.มั่น อีกมุมหนึ่ง ผมไม่วิเคราะห์น้ะครับ คิดลึกๆในใจเรื่อง ดีมานด์ ซัพพลาย์ การค้าขายเนื้อสัตว์ในช่วงจัดงานหนะครับ นมัสการครับ

พ่อครูว่า…อ.มั่นที่สอนมา อ.มั่นมีความรู้ทางพระธรรมวินัย หมายความว่าอาจารย์มั่นให้กินเนื้อสัตว์ที่ไปซื้อตามตลาดได้ อย่าไปฆ่า อ.มั่นก็ยังกินเนื้อสัตว์ แต่ก็พูดว่าอย่าไปผิดกฎระเบียบพระวินัยที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ไม่ได้มีความรู้มากกว่านี้ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์มั่นไม่ให้กินเนื้อสัตว์ ให้รู้ภูมิของอาจารย์มั่น อาจารย์มั่นซื่อตรงต่อพระธรรมวินัยตีความพระธรรมวินัยอย่างนี้ข้อนั้นว่า

พูดถึงข้อที่ว่า เนื้อสัตว์ที่เอามาจากตลาดมากินมันบาปทั้งนั้น ทวนอีกเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในชีวกสูตร ฟังให้ดีนะ ท่านตรัสไว้ว่า เรื่องบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย ห้าข้อ ทั้ง 5 ข้อนี้เป็นบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย เริ่มตั้งแต่ข้อที่

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13  ข.60

การนำเนื้อสัตว์มาถวายตถาคตและสาวกตถาคต มันเป็น อกัปปิยะ เป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่งเลย ใครก็ตามไม่ควรเลย จะเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้าและสาวกพระพุทธเจ้า นี่แหละสุดยอด ถ้าเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้า

คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระพุทธเจ้าและสาวกพุทธเจ้านั้น บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย เป็นชั้นๆไป รู้เสียบ้าง อย่าปึกหลาย โง่ไม่คืบคลาน โง่ไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่โง่หนักยิ่งขึ้น จะไปไหวหรือ นี่คืออาตมาพยายามย้ำ ทำไมพูดเช่นนี้

การที่เราจะยังชีพด้วยพืช พอแล้ว ไม่เป็นพิษภัยไม่เป็นโรคไม่เป็นบาปอกุศลด้วย โดยรูปธรรมไม่มีอะไรขาดแคลนแล้ว คนอวิชชา หลงผิด กินเนื้อสัตว์กันทั่วโลก

เมืองไทยเป็นเมืองที่มีพืชพรรณธัญญาหารบริบูรณ์มากกว่า ไม่จำเป็นจะต้องไปรบกวนให้มีบาป เป็นวิบากบาปอีกเลย กินแต่พืชพันธุ์ธัญญาหารก็สบายเพราะว่าเป็นแดนที่ดี

ทีนี้ดินแดนตะวันตกปลูกพืชพรรณธัญญาหารไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าเมืองไทย เมืองไทยเป็นเมืองที่มีดินน้ำไฟลมแสงแดด อะไรต่างๆครบบริบูรณ์ตลอดเวลาเลย มีหน้าฝน ทำได้แม้แต่หน้าฝน หน้าฝนจะมากไปหน่อย แต่พอสมควรปานกลาง ร้อนจัดเกินไปไม่ดี หากเป็นหิมะจะปลูกอะไรไม่ได้เลย เป็นความจำนนของภูมิประเทศเขา ยิ่งไปขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ ไปหาพืชที่จะกินมันไม่มีก็ต้องกินเนื้อสัตว์ ใครจะไปอยู่ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ก็ช่างศีรษะเขา คนที่มาเกิดในถิ่นที่ดีอุดมสมบูรณ์แล้วต้องฉลาดจะได้มีชีวิตที่ดี

 

_1614   ที่บอกว่าเผาบ้านเผาเมืองลืมๆซ่ะ มันลืมกันไม่ได้นะ ประวัติศาสตร์มันถูกบันทึกลงไปแล้วพร้อมๆกับซากปรักหักพังทางจิตวิญญาณของคนไทยผู้พบเห็นภาพหายนะนั้นๆบนแผ่นดินนี้ ที่ติดตาติดใจไปนานแสนนานชั่วกัลปาวสานเลยเชียวหละ

 

 

 

_1614  การ คบ เพื่อน ควรศีลเสมอกัน ไหมคะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ปฏิบัติธรรมต้องตั้งเป้าหมายหรือไม่

_1614 การปฎิบัติไม่ควรตั้งเป้าหมายว่าจะได้ อะไร ระดับ ไหน จริงแล้ว ควรมี Goal ถูกไหมคะ

พ่อครูว่า..แน่นอนต้องมี goal จุดหมายเป้าหมาย แน่นอนต้องมี คุณไม่มีจุดหมายไม่มี Goal หากไม่มีก็สะเปะสะปะ ชาวอโศกมีจุดหมายมามีชีวิต ให้เป็นชีวิตที่ดีที่สุด ให้ชีวิตไม่มีกิเลส จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ ถิ่นฐาน หลักปฏิบัติสังคมองค์รวมที่มี พฤติบท ปฏิบัติกัน พฤติบทคือมีการประพฤติ มีบทการศึกษา มีข้อจำกัด อย่างชาวอโศกมีข้อจำกัด เข้ามาอยู่ในชาวอโศกมีบทปฏิบัติ ที่เป็นพื้นฐานหลักคือ 1. มีศีล 5  2. ไม่มีอบายมุข 3. ไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นต้น

การปฏิบัติ มันค้านแย้งกัน ควรมีเป้าหมาย มี goal แต่ถ้าไม่ตั้งก็ไม่สะเปะสะปะ คำถามย้อนแย้งกันในตัว ตั้งเป้าหมายก็ต้องมีสิ แล้วควรตั้งสิ ไม่ใช่ไม่ควรตั้ง จะมาย้อนแย้งกันในตัว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน การคบเพื่อน ควรศีลเสมอกันหรือไม่

_1614  การ คบ เพื่อน ควรศีลเสมอกัน ไหมคะ

พ่อครูว่า..ศีลไม่เสมอกันหรอกแต่ท่านให้สมานกัน คนมีภูมิศีล 5 ก็อยู่ คนมีศีลสูงกว่าก็ถือศีล 5 ได้ คนไม่ไหวกดข่มก็ถือศีล 5 ก็ไม่สบาย แต่ถ้าถือศีล 8 ก็อยู่ได้สบาย ก็เคารพกัน คนนี้ถือศีล 5 8 10 จนเป็นนักบวช เป็นภิกษุภิกษุณีก็สามารถอยู่ร่วมกันเป็นศีลเสมอสมานกัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สมาธิของพระพุทธเจ้าคือจิตอย่างไร

_1614  อยากจะทำสมาธิ แต่ไม่เข้าใจสมาธิ วิกฤตพระพุทธศาสนา

พ่อครูว่า...ถูกต้อง พุทธศาสนานั้นมีวิกฤตปั่นป่วนแลอะเทอะไม่เข้าเรื่องเข้าราว แต่เขาว่าไม่วุ่นวายเพราะกำหราบไว้ กำหราบ 1.ด้วยวิธีบังคับ 2. ด้วยวิธีการตั้งคณะ ก็มีมากมายวิธี ก็พออยู่ได้เป็นไป แต่ที่จริงมันไม่สงบ ไม่ค่อยอยู่อย่างสบาย

ต้องอยู่กันอย่างไม่มีกิเลสมากและไม่ต้องใช้แคลอรี่ไปบังคับควบคุมมัน อาจกดข่มบ้างหรือต้องศึกษาลดกิเลสนั้น ชาวอโศกอยู่ได้อย่างสบายเพราะมีกิเลสน้อย คนมีกิเลสมากจะอยู่ไม่ได้นานหรอกต้องดิ้นรนออกไป

และไม่ง่ายที่จะเข้าใจสมาธิ สมาธินั้นมันสูงกว่าฌาน สมาธิ แปลว่าจิตตั้งมั่น จิตอะไรตั้งมั่น จิตที่ไม่มีกิเลสจิตที่ได้ทำลายกิเลสแล้วกลายเป็นจิตสะอาด จิตที่สะอาดก็ตกผลึกตั้งมั่น ขึ้นเป็นสมาธิ จะทำให้จิตไม่มีกิเลสก็ต้องทำ ฌาน

ฌาน แปลว่าไฟ เป็นอุณหธาตุ มีฤทธิ์เดชเรียกด้วยศัพท์ว่า ไฟไปสลายราคะโทสะโมหะได้ ราคะโทสะโมหะ ก็เป็นพลังงานไฟ แต่ฌานเป็นพลังงานทำลายกิเลส

ต้องสร้าง พลังงานที่เหนือกว่าราคะโทสะโมหะเรียกว่าพลังงาน ฌาน ให้มาเผาให้มาจัดการกับราคะโทสะโมหะได้ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าสามารถทำอันนี้ได้ทำความเป็นฌาน

ทีนี้มันนานๆมา ฌานแปลว่าเพ่งให้สงบ สมาธิแปลว่าเพ่งให้สงบ ก็เป็นความรู้แค่สะกดจิต สะกดจิตให้หยุดอยู่กับอะไรสักอย่าง บังคับให้มันหยุดๆๆๆ คำว่าสมาธิ คำว่าฌาน แปลว่าเพ่ง คนก็เลยยึดคำว่าฌานไปใช้ในภาษาอังกฤษว่า เพ่ง

การเพ่ง ในภาษาของเขา สามัญคือ Concentrate เขาก็ศึกษาพวกนี้ ก็เป็นชาวอโศก แต่ไปอยู่ที่โน่นมีครอบครัว เขาก็รู้ภาษาอังกฤษภาษาไทย เขาเรียนทางนี้มามี talent ทางนี้ด้วย เขาก็ท้วงด้วยว่า ฌาน นี่นะ ไปแปลว่า meditation ก็เพ่ง แต่ของพุทธมี concentrate ไม่ใช่ meditation ที่แปลว่าการสะกดจิต แต่ Concentration ไม่ใช่การสะกดจิต

คุณดูฟักข้าวสีแดงก็เพ่งแล้ว เป็นธรรมชาติก็เป็น Concentration เป็นแต่เพียงว่าผนึกให้มันมีพลังรวม แน่วแน่แน่นดี แล้วก็ปล่อยได้ง่าย ก็เสร็จกิจของมันก็สนใจอันอื่นต่อ ก็คือการรู้จัก เรียนให้จิตมันมี Concentration เรียกจิตที่เพ่งดีไม่สัดส่ายไม่มีอะไรกวนได้ดีมาก จิตอันนี้เป็นสมาธิที่ดี เป็น Concentration ที่ดี สามัญก็พูดกันเป็นปกติ ถ้าเอาใจใส่ ก็สามารถฝึกได้ดีขึ้น หากไม่จดจ่อมาก Concentration เขาก็ไม่เจริญไปตามประสา เขาก็ได้แค่นั้น Concentration ของเขา

จะเอามาเป็นเรื่องราวให้มี Concentration ก็เลยมาเพ่งอยู่กับสิ่งเดียวไม่คิดอันอื่นให้เป็นชำนาญ กลายเป็นการศึกษาที่เขาเรียกว่าเป็นสมาธิ การเพ่งให้จิตสงบ ทีนี้คนอยู่ในโลกมันกวน ทำมาหากินแย่งชิงกันปรุงแต่ง คนก็เลยวุ่นวายมาก เพราะตนเองอยากได้ทำมาหากินมากเป็นลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมาก เต็มหูเต็มหัวไปหมด มันก็เลยวุ่นวายสงบไม่ได้ หยุดจิตฟุ้งซ่านไม่ได้

เพราะฉะนั้นในสังคมที่ไม่มีการศึกษา ก็มีแต่การปรุงแต่งเพื่อให้ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข จัดจ้าน จัดการกับจิตไม่ได้จิตมันก็สะเปะสะปะไปมาก

ที่ไหนก็แล้วแต่สงสารในโลกธรรม จิตจึงไม่สงบจิตจึงเมื่อย ก็เลยหาวิธีการทำให้จิตสงบ คนก็สามารถทำให้จิตพักจิตสงบ โดยไปจดจ้องกับอะไร เป็นการสะกดจิต hypnotize

อาตมาตอนเป็นหนุ่มก็ไปผสมโรงกับเขา เราไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่เป็นแพทย์ เขามีสมาคมค้นคว้าทางจิต แพทย์เป็นส่วนใหญ่ เขาก็ไปศึกษาค้นคว้าว่า ของเขาเป็นวิทยาศาสตร์ การนั่งสมาธิเป็นการสะกดจิตหรือเปล่า ตอนนั้นอาตมาไม่ประสีประสาเท่าไหร่แต่ทุกวันนี้ชัดเจนว่าการนั่งหลับตาทำสมาธิเป็นการสะกดจิต 100% ไปจดจ้องอะไรให้มันหยุด เท่านั้นเอง ทำได้ก็สำเร็จ เป็นสมาธิ ทำได้เก่งไม่ต้องฟุ้งซ่าน จิตใจไม่ออกไปเลยนี่คือถือว่าเก่งก็ได้สงบอย่างนั้น แต่ทีนี้สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นไม่เป็นเช่นนั้น

อันนี้เป็นอจินไตย เป็นเรื่องรู้อย่าง ฌานวิสัย สมาธิวิสัย

สมาธิของพระพุทธเจ้าคือจิตตั้งมั่น สามารถที่จะไม่ให้จิต สัดส่าย มีธาตุจิต สำเร็จรวมเป็นจิตที่เป็นจุดจัดการ เจ้าของกิจการกับจิตได้อย่างเป็น มุทุภูตธาตุ เป็นธาตุที่ควบคุมได้อย่างไรไว้ให้เป็นหนึ่ง

เป็นหนึ่งได้อย่างเล็กละเอียดอย่างสนิทเลย จนกระทั่ง 1 ที่ว่านี้คือ สะอาดจากจิตที่ไม่ต้องการ เรียกมันว่ากิเลส กิเลสเล็กกิเลสน้อยกิเลสใหญ่ไม่มี จึงเป็นจิตสะอาด จิตไม่มีกิเลสเลย นี่แหละเป็นหนึ่ง ปริสุทธา

แม้แต่จิตที่สะอาดนี้จะไปเกี่ยวข้องกระทบกระแทกกระเทือนไปร่วมกับอะไรต่างๆนานาก็ยัง ปริโยทาตา เท่าไหร่ๆ จิตนี้ก็เป็นหนึ่งอยู่ เข้าไปร่วมทำด้วยคิดด้วยทำงานด้วยก็จัดการได้ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่ง ฌานทั้ง 4 จัดการได้หมดเลยและรวมจิต มุทุ

จิตมุทุภูตธาตุ จึงเป็นจิตที่ เร็วไวมีประสิทธิภาพสูง แล้วไปทำกรรมการงานก็ยังเป็น กัมมัญญา เข้าไปจัดการควบคุมกับกรรมที่ทำ จึงเป็นการกระทำที่มี อัญญธาตุหรืออัญญา ยอดปัญญานี่ ควบคุมกรรมการงาน

การงานที่ทำนี้เป็นการงานที่ดีเหมาะควรวิเศษประเสริฐ เพราะไม่มีกิเลสมาปรุงแต่งร่วมไม่มีอกุศลจิตมาร่วมเลย แม้ทำงานแล้วจิตก็ยังประภัสสร ยังสะอาดผ่องแผ้วอยู่ตลอดกาลนาน นี่คือผลสำเร็จของพระพุทธเจ้าด้วยจิต ไม่จำเป็นต้องจดจ่อจดจ้อง แต่ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8

ปฏิบัติไปตามลำดับ ปฏิบัติสมาธิของพระพุทธเจ้านั้น ต้องมีศีลเป็นข้อกำหนด

1. เกี่ยวข้องกับสัตว์ คุณอยู่ในโลก คุณมีชีวิตอยู่กับสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ที่เป็นคนด้วยกัน สัตว์ทั้งหลายมันก็อยู่ของมัน คุณไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับมันได้เลย ไม่ต้องเอามันมาใช้งาน ไม่ต้องเอามันมากิน ไม่ต้องเอามันมาเลี้ยง สัตว์มันก็อยู่ของมันไป นี่คือศาสนาพุทธ สัตว์มันอยู่อิสระเสรีของมันแล้ว มันเป็นไปตามธรรมชาติ มันจะจัดการของมัน เราไม่ต้องไปเกี่ยวข้อง ไม่ต้องไปฆ่าแกง ไม่ต้องไปเลี้ยง ไม่ต้องกลัวมันจะเต็มโลก มันจะจัดการของมันเอง ไม่ต้องไปเก่งกว่าธรรมชาติเขาหรอก ธรรมชาติเขาจัดการกันเอง เพราะฉะนั้นชีวิตของคน พระพุทธเจ้าจึงไม่ต้องไปยุ่งกับสัตว์ ยุ่งแต่กับของ ดิน น้ำ ไฟ ลม กับพืชก็พอ ชีวิตนี้เราต้องเกี่ยวข้องกับพืช ดิน น้ำ ไฟ ลม สัตว์ไม่ต้องเกี่ยวเลย

โดยเฉพาะอยู่กับคนนี่ มีพฤติกรรมมีพฤติบทให้อยู่กับมนุษย์ได้อย่างดีก็แล้วกัน อยู่กันอย่างสมัครสามัคคี อยู่อย่างมีประโยชน์แก่กันและกัน ไม่ก่อโทษภัย อะไรให้แก่กันและกันเลย โดยเฉพาะกับคน สัตว์เราไม่เกี่ยวข้อง พืชเราก็จัดการสร้างสรร ดิน น้ำ ไฟ ลมเราจัดการได้บางส่วน เอามาใช้ได้ ก็เท่านั้นเอง จึงอยู่ร่วมกับทุกอย่างในโลก อย่างเป็นผู้รู้

จึงรู้ว่าของคือดินน้ำไฟลมพืช สมควรที่จะสร้าง สมควรที่จะใช้ สมควรที่จะร่วมประโยชน์กันอยู่เท่าใดๆ ก็ทำ ก็ใช้ ชีวิตก็ง่ายขึ้นเยอะเลย ชีวิตไม่ต้องยุ่งกับสัตว์

มีคนที่ทำเรื่องสัตว์อยู่แล้ว เพราะแต่ละคนมีจิตวิญญาณที่มีกิเลสที่จะไปจัดการตามประสา ยิ่งเราอยู่กับโลกเขา เราเป็นผู้ที่ขาดทุน เป็นผู้ที่เป็นผู้ให้ เป็นผู้ไม่เอา เป็นผู้ไม่เอาเปรียบ เป็นผู้ที่ไม่อยากได้เปรียบ ก็สงบ ทำไมเราอยู่อย่างไม่เอาเปรียบ ไม่ได้เปรียบเราอยู่สงบ เพราะเรามีกินมีใช้อาศัยในชีวิต เราสบายอุดมสมบูรณ์มีกินมีใช้เหลือเฟือ ถ้าไม่มีก็ทำขึ้นมาสร้างสรรขึ้นมา

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของสัตว์โขลง ไม่ใช่สัตว์เดี่ยว ศาสนาพุทธไม่ใช่ปลีกเดียวออกป่าเขาถ้ำ ไปนั่งสะกดจิตแล้วจะบรรลุธรรม อย่างนั้นเป็นโมฆะบุรุษ ศาสนาเดียรถีย์ พุทธอยู่กับหมู่ ทำงาน สัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ แล้วจัดสรรให้เหมาะสมตั้งแต่การงานอาชีพการกระทำทุกอย่าง การพูดจาการคิดนึก ก็พยายามดูแลให้มีสติ มีสัมมาวายามะ อย่าให้มันไม่ปกติ อย่าให้จิตของเรามันมีกิเลส เข้าไปทำอาชีพก็เป็นอาชีพที่อยากให้เป็นมิจฉา อาชีพขี้โกง อาชีพหลอกลวง หรืออาชีพที่มีกิเลส เข้าไปทำให้เรามีกรรมกิริยาไม่ดี ก็เรียนรู้ตรงนี้เรียก เนมิตกตา

กุหนา หยาบคาย ลปนา ก็โกง เนมิตกตามาปฏิบัติธรรมเรียนรู้กิเลส ล้างกิเลสไปตามลำดับ แล้วจะเจริญไป เจริญแล้วก็อย่าไปมอบตัวในทางที่ผิด เรียก นิปเปสิกตา เพราะฉะนั้นชีวิตของเรา แม้เราบริสุทธิ์แล้วแต่ยังร่วมมือร่วมไม้ กับพวกที่ไม่ดีอยู่ มอบตัวในทางชั่ว ไปอยู่กับคนกับหมู่คณะที่ทำงานไม่ดีเป็นบาปก็อย่าไปทำ อยู่กับหมู่

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหมู่สัตว์โขลง มากเป็นประเทศเลย หรือร่วมกันทั้งโลก คือมนุษย์ คนที่รวมกัน

มิจฉาชีพข้อที่ 5 สุดยอด ในความคิดของคน คือเป็นคนทำงานฟรีทำงานไม่ใช้แลกเปลี่ยนอะไรกับมาเลย อาตมาพูดถึงตรงนี้แล้วภูมิใจที่เอามิจฉาชีพข้อที่ 5 นี้มาให้คนปฏิบัติในยุคนี้ ที่ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ใช่ยุคทาส เป็นยุคที่ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพสมบูรณ์แล้ว จึงมาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าได้อย่างพ้นมิจฉาชีพทั้ง 5 ข้อ อยู่ร่วมกันทำงานอย่างไม่ต้องเอาอะไรแลกเปลี่ยนเลย แล้วมาอยู่กับกองกลาง กินใช้ร่วมกันสุขสำราญเบิกบานใจ สุดยอดของนักการเมือง สุดยอดของการบริหารประเทศ เป็นเศรษฐกิจที่สูงสุด สาธารณโภคี ทำงานแล้วก็เอามาไว้กองกลางที่ใช้ร่วมกันทุกคนก็ได้ปฏิบัติเป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนมีวรรณะ 9 จึงอยู่กันอย่างสงบสบายมากเลย สังคมสาธารณโภคีสังคมที่มีวรรณะ 9 อย่างที่ชาวอโศกเป็น

อาตมาเอามาให้ทำ จนเป็นชุมชนชาวอโศกกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทุกแห่งมีวรรณะ 9 มีสาธารณโภคีทั้งนั้น เรียกว่าเราสามารถทำให้ประชาชนคนไทยนั้น มาเป็นคนมีเศรษฐกิจอย่างนี้ มาเป็นคนมีการเมืองสังคมแบบนี้ อาตมาได้ช่วยประเทศชาติสำเร็จ ช่วยทำให้เกิดสังคมที่มีเศรษฐกิจที่ดีเยี่ยม การเมืองที่ดีเยี่ยม สังคมที่ดีเยี่ยม ผู้บริหารประเทศไม่ต้องเป็นภาระอะไรมากมาย อาตมาช่วยทำส่วนนี้แล้ว ถ้ายิ่งมาเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้านี้ ทำได้เหมือนอาตมาทำได้ นักบริหารประเทศก็ทำให้เกิดกลุ่มสาธารณโภคีได้ เป็นชุมชนเหมือนอย่างที่อาตมาและชาวอโศกทำได้ ประเทศไทยก็เจริญ

มีสาธารณโภคีมากเพราะว่ารัฐบาลส่งเสริมผู้คนผู้บริหารเข้าใจ เมืองไทยก็เป็นเมืองพุทธ 95% ด้วย ก็เอาตามรัฐธรรมนูญไทย เอาตามพระพุทธเจ้าท่านคิดไว้ก่อนแล้ว ก็จะกลายเป็นหมู่บ้านสาธารณโภคี

จะต้องมีศีลจะต้องไม่มีอบายมุข ถ้ายิ่งไม่กินเนื้อสัตว์ อย่างที่ชาวอโศกทำได้เกี่ยวกับสัตว์ ถ้าหากประเทศเป็นประเทศมังสวิรัติทั้งประเทศ คิดดูสิว่าจะเป็นอย่างไร

ประเทศที่ใหญ่ อินเดียหรือจีน เขาต้องพยายามที่จะไม่ให้กินเนื้อสัตว์ อินเดียเขาทำได้ อินเดียก็สงบกว่าจีน จีนก็พยายามไม่ให้กินเนื้อสัตว์ กินเจกันก็ได้แค่นั้น แต่ประเทศจีนมีประชากรมากที่สุดในโลก แต่เป็นประเทศที่ไม่กินเนื้อสัตว์มากก็คืออินเดีย เขาจึงสงบกว่าเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนยืนยันได้เลย บางทีเขาก็มองว่าอินเดียสงบยังไม่เจริญเท่าจีน

ความเจริญของคุณคืออะไร สังคมมนุษยชาติที่สงบคือเจริญไหม

เอาอย่างนี้ อาตมาเองอาตมาไม่มีความรู้ว่า อินเดียกับจีนนี้ใครจะเป็นหนี้มากกว่ากัน จีนพยายามกอบกู้ประเทศ เพราะฉะนั้นดูในเงินสะพัดปัจจุบัน ที่หมุนเวียนเงินเข้าเงินออกทุกวันนี้ อาตมาไม่รู้รายละเอียดและไม่เก่ง ทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่เขาจะคิดกันลึกซึ้งอะไรมากมาย อาตมาเอาเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ พูดตามประสาความรู้แบบไส้เดือนกิ้งกือ ยังไม่งูๆปลาๆนะ

มีเงินออกเงินเข้า หรือ แต่ละประเทศสังคมพุทธชาวอโศกก็มี เงินออกเงินเข้า แต่เราอาศัยเงินออกเงินเข้าน้อยมาก เงินออกเงินเข้าน้อยแต่อยู่ดีกินดีมีความสงบ มีความสุข ไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทไม่มีเรื่องแย่งชิง ไม่มีเรื่องที่จะเดือดร้อนอะไรมากมาย จนค่อนข้างจะกลายเป็นเมืองขี้เกียจชุมชนขี้เกียจ เพราะอะไรก็มีกินใช้แล้วใจมันก็เลยพอ

ในหลวงร.9 เอาคำว่า พอเพียงมาใช้ ไปร่วมกับ คำว่าเศรษฐกิจก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจคือความเป็นอยู่ของมนุษย์ เสฏฐะ คือ ความเจริญความประเสริฐ เศรษฐศาสตร์คือความรู้ที่ทำให้เกิดความเจริญ มีพออยู่พอกิน

อโศกพออยู่พอกินเพราะจิตมีสันโดษมีความพอเพียง มีความสำเร็จ ทฤษฎีเหล่านี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้า เป็นทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ไม่มีใครสามารถจะทำขึ้นมาได้ เป็นทฤษฎีที่มนุษย์จะต้องพึ่งพาอาศัย เรียนรู้ให้แตกฉานในทฤษฎีของท่าน แล้วเอาทฤษฎีแตกฉานนี้ ไปประพฤติที่เป็นจริงได้

อาตมาก็จะพูดแล้วพูดอีก ภูมิใจที่อาตมาได้เอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาให้มนุษย์ได้ปฏิบัติได้จำนวนหนึ่ง ในสังคม ในประเทศ ก็ช่วยคนได้แล้ว จำนวนหนึ่งที่ไปเห็นดีเห็นงามกับเราก็มาศึกษาแบบนี้ตาม ก็เชิญเลย มีตำราให้ดู ถ้าเป็นได้ก็จะดีมาก ผู้ใดที่เห็นดีเห็นงาม ว่าสังคมมนุษย์จะอยู่กันอย่างมี พฤติบท อย่างนี้ ถ้าใช้ บถ แปลว่าลงตัวแล้ว แต่บท คือ เป็นตัวปฏิบัติอยู่ continuing อยู่ เป็นพฤติของคน มีอย่างนี้เห็นได้ชัดเจน ว่าชาวอโศก มาดูได้สัมผัสได้ แล้วเขาสงบไหม สงบ มีอยู่มีกินไม่เดือดร้อน มีความสุขสำราญเบิกบานใจ สุดยอด

พูดแล้วก็อบอุ่นใจ เพราะฉะนั้นในการเกิดมาเป็นชีวิต อาตมาว่าอาตมาได้ทำตนให้เป็นผู้สบายสงบ อยู่คนเดียว อาตมาเคยคิด ถ้าอาตมาพูดกันกับใครไม่รู้เรื่องแล้วก็จำเป็นต้องอยู่คนเดียว อาตมาก็ว่าอาตมาสบาย จะสร้างบ้านหลังนิดหน่อย ถ้าหากบ้านหลังโตก็จะถูเมื่อย อยู่แค่สบายนอนพักนั่งพัก ข้าวของไม่มีมาก เสร็จแล้วก็ปลูกเผือกปลูกผักอะไรอยู่ที่บ้าน กินเผือกกินมัน วันนี้ก็ขุดตรงนี้กิน แล้วก็ขุดไป ปลูกต่อไป ขุดไปปลูกต่อไป กว่าจะรอบมาถึงตรงนี้ ก็ได้กินต่ออีก สบาย ชีวิตนี้สบาย ชีวิตนี้ง่าย

ถ้าอาตมาสอนใครไม่ได้ ทำงานกับสังคมไม่ได้ก็จะอยู่อย่างนี้ แต่นี่ มันยังสอนคนให้รู้ได้ ก็แบ่งกันทำ แทนที่เราจะทำคนเดียวก็ช่วยกันทำทำให้เหลือกินเหลือใช้แล้วแพร่สะพัดให้คนใช้ด้วย ขายให้ถูก ไล่แจกด้วย

อาตมาเดินอยู่ในราชธานีอโศก มันมีความอุดมสมบูรณ์ มีอยู่มีกิน พืชกินได้ทั้งนั้นเลย กล้วยอ้อยสร้อยปีบักหุ่ง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิวรณ์ 5) ตอน นิวรณ์ 5 คือจิตอย่างไร

_นิวรณ์ 5 รูปฌาน อรูปฌาน ในวิโมกข์ 8 จะเกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้นหรือไม่

พ่อครูว่า...รูปฌาน อรูปฌาน จะเกิดในวิโมกข์ 8 ปัจจุบันเท่านั้น ฌาน เกิดในปัจจุบัน ฌาน ไม่มีนอกปัจจุบัน

ฌานคือพลังงาน ปัจจุบันนั้น ฌานคือพลังงานจิต ทำพลังงานนั้น คุณต้องสร้างพลังงานจิต ให้เป็นพลังงานขึ้นมา จนสามารถทำลาย ไฟ ราคะ โทสะ โมหะให้ได้เรียกว่าฌาน อันหยาบเรียกรูปฌาน กำจัดกิเลสที่หยาบได้แล้วก็หมด แล้วกิเลสที่ละเอียดก็เรียกว่าอรูปฌาน เรียกกระบวนการว่าเป็นวิโมกข์ 8 เกิดขึ้นได้ในปัจจุบันเท่านั้นก็ใช่

 

นิวรณ์ 5 คือกิเลสที่จะต้องเผาไหม้ แต่มันแจกราคะโทสะโมหะออกไปก็เป็นนิวรณ์ 5 เป็นกาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะ แล้วไม่ชัดเจนก็วิจิกิจฉา ก็ต้องให้ชัดเจน อาการจิตที่ไม่ชัดเจนก็ต้องทำให้ชัดๆ

หนึ่งมันต้องเป็นกาม พยาบาท ต้องให้ชัดเจน พ้นความไม่ชัดเจน แล้วก็มาอันที่เป็น ถีนมิทธะ อุทธัจจะ

กามก็ฟุ้งซ่านไปในทวารทั้ง 5 ไปติดรสชาติ

พยาบาทไปทำลาย ก็สองทิศทางเท่านั้นเอง

ถ้าเราไม่สามารถรู้สภาวะนี้ชัด

1 สติสัมปชัญญะไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็เลยเกาะตัวกันคือถีนมิทธะ หรือสติฟุ้งซ่านไปไม่มีสัดส่วนที่ดีก็ได้ว่าฟุ้งซ่าน อุทธัจจะ กับถีนมิทธะ

 อุทธัจจะ กับถีนมิทธะ คนที่รู้สภาวะมันแล้วก็อย่าให้มันตก พระพุทธเจ้าตรัสในสำนวนว่า สังขิตตังจิตตัง กับวิกขิตตังจิตตัง ฟุ้งซ่านกับเป็นก้อนตีไม่แตก

สังขิตตังก็เป็นก้อนหรือถีนนังมิทธัง ฟุ้งซ่านเป็นวิกขิตตังจิตตัง

ก็ดูให้ชัดเจน หากไม่รู้หรือรู้ไม่เต็มมันก็ไม่ชัดเจนไม่มีสติมันตกมากไป ไม่ให้มันฟุ้งมาก แล้วก็ใช้งานมันทำงาน เรียนรู้ตัวกิเลสให้ชัด แล้วก็กำจัดให้ชัดด้วยปัญญา

การกำจัดที่ดีที่จะชัดเจน ด้วยธาตุรู้ด้วยปัญญา ที่รู้ว่า พวกนี้ ซ้ำซากวนเวียน มันไม่ใช่พลังงานที่เที่ยง มันเป็นพลังงานที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วก็ไปติดยึดมัน  มันเป็นธรรมชาติของมัน

เรียกมันว่ากาม เราก็อย่าให้มันมีอาการกาม อาการพยาบาท ก็อย่าให้มันมีอาการพยาบาท ยากอะไร

ไม่ทำก็ไม่ได้คนมันมีตัวโง่ ให้มันเกิดอยู่ในจิต เกาะเกี่ยวอยู่ในจิต จนเป็นอนุสัยอาสวะ มันไม่ออกไป เราต้องทำให้เกิดปัญญา ล้างมันออกไปไม่ให้มันเกิด ซึ่งเป็นงานที่เรียกว่า ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าพาทำนะ ไม่มีใครมาพาทำหรอก แต่พระพุทธเจ้าค้นพบว่านี่เป็นเหตุแห่งความไม่ดีของมนุษย์ ถ้าหากลดความไม่ดีที่เป็นตัวเหตุนี้หมดไปได้ มนุษยจะเป็นคนดีอยู่ในโลกแล้วโลกจะสุขสบายมากทั้งโลกเลย

เพราะฉะนั้นสังคมใดที่มนุษย์ทำให้พวกนี้ลดลง ก็จะเป็นสุขสงบเย็นอย่างเช่นชาวอโศก

พูดไปแล้วน่าหมั่นไส้ยกตัว อวดดี มาดูตัวอย่างแล้วทำให้ได้ตามนี้ หากชุมชนในโลก ในประเทศไทย ได้ตัวอย่างชุมชนนี้ หมู่บ้านกุดระงุม หมู่บ้านคำกลาง ก็เหมือนกับหมู่บ้านนี้ หมู่บ้านท่ากกเสียว ก็เป็นอย่างนี้ได้เป็นต้น

ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ประเทศไทยจะสบายมาก จะเจริญ เจริญอย่างไร เจริญเพราะว่ามีเศรษฐกิจเหมือนกับชาวอโศก คือมีวรรณะ 9 เป็นสังคมคนจน

สังคมคนจนคือสุดยอดสังคมเศรษฐกิจที่ดีที่สุด พูดไปแล้ว จบดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์มา 100 ใบ ฟังแล้วหูหัก สังคมอะไรเป็นสังคมคนจนและเจริญทางเศรษฐกิจ มันเป็นความลึกซึ้งมากเลยนะ

เพราะฉะนั้นอาตมาว่า ไม่รู้จะทำยังไงที่จะบอก ดร.สมคิดก็ดี ตอนนี้ที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ในประเทศ ทำอย่างไรจะเข้าใจทฤษฎีสำคัญของพระพุทธเจ้า แล้วก็เอามาวิจัยเอามาใช้ให้มันเหมาะสมกับสังคมในประเทศไทย มีเป้าหมายมี goal ที่ว่านี้ทำให้เป็นคนจนอย่างนี้ แล้วจะสุขสำราญเบิกบานใจ เป็นประโยชน์ต่อโลกต่อสังคม ประเทศไหนๆก็เอา

จริงๆแล้วประเทศไทยอาตมาทำงานมา 40 กว่าปี มันเกิดอันนี้แล้ว แล้วก็มีคนพอรู้พอเข้าใจ แล้วมาเอาอย่างชาวอโศกบ้าง มีไม่มากมีน้อยก็ไม่เป็นไร ไม่มากก็น้อย แต่มี จึงเกิดความจริงขึ้นมาในสังคมประเทศชาติ ผลนี้ เกิดจริงแล้วไม่ใช่ไม่เกิด

ประเทศไทยเราอยู่กันอย่างสุขสบายพอสมควร จริงๆแล้วไม่ใช่อาตมามีอิทธิพล ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีอิทธิพลเพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 อันเดียวกับของอาตมา เพราะมันอันเดียวกับของพระพุทธเจ้า ให้คนมามีทิฏฐิ อย่ากลัวความจนเกลียดความจน จงยินดีในความจน และมีเงื่อนไขว่าจนอย่างอุดมสมบูรณ์ จนอย่างมีวรรณะ 9 ให้ถูกต้องก็แล้วกัน ถ้าเป็นได้จริงๆแล้วมันก็จะยืนยัน ไม่ต้องเป็นอื่น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”

เปลี่ยนเศรษฐกิจอย่างชาวอโศก ถามว่าใครอยากจะไปเป็นเศรษฐกิจแบบอื่นบ้างยกมือขึ้น ...ไม่มี

_นักรบธรรมว่า...สังคมที่ พ่อครูพาทำอย่างนี้ ไม่ใช่แค่กุดระงุม คำกลาง วังกางฮุงนะ แต่มันครอบคลุมไปทั้งโลก เขาไม่มาได้ แต่คนจะมาต้องเป็นคนที่มีวาสนาปัญญาบารมีจึงจะมาเป็นอย่างนี้ได้

พ่อครูว่า...อาตมาก็ว่า คนงานที่มาทำงานในราชธานีอโศก ให้ผู้ที่ควบคุมดูแลช่วยเอาภาระหน่อยจะได้ไม่มาอู้งานในที่นี้ มันก็ซับซ้อน จะให้เขาเจริญมันก็ไม่เจริญ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้อาศัยทำมาหากิน เราเองเป็นหมู่บ้านสังคมที่ หาเงิน เราก็หาบ้าง ไม่ได้มากหรอกแต่พอกินพอใช้เพราะว่าพวกเราใช้น้อย เหลือก็เอามาเผื่อแผ่ให้คนรอบข้าง ให้คนมีสัมมาอาชีพ เขาจะอู้งานนิสัยเสียบ้างก็มี เข้ามาทำงานในนี้เป็น 5 ปี 10 ปี อย่างช่างจากอยุธยามาทำเรือบางคนก็เป็นอิสลามก็มี พวกเราทำงานมีพอกินพอใช้ เขามาทำงานช่วยกัน เราก็ต้องอาศัยเขาทำบ้างเพราะเราไม่เก่งเหมือนเขา ช่างจากอยุธยาบ้าง ก็มาช่วยกันทำ เราก็มีภาระเดือน 1 เดือน 1 จ่ายค่าแรงงานมาก เรือมันก็ต้องบูรณเพราะมันเสื่อมไป ตามเวลา ก็ไม่เป็นไร เพราะได้ชื่อว่าบ้านราชเมืองเรือ มีทั้งเรือที่อยู่บนบกที่อยู่ในน้ำ ว่ากันไป ก็ไม่เป็นไรชีวิตเราก็อาศัยสิ่งเหล่านี้ทำมาหากินเลี้ยงดูกันไปช่วยเหลือกันไปมีสังคหะ มีการเกื้อกูลกัน ร่วมกันกินร่วมกันใช้ไป

 

_หากเขาว่าเราผิด แต่เราไม่ได้ทำผิดเราก็ไม่เป็นไร เราก็บอกเขาว่าเราไม่ผิด หากเขาว่าผิดก็ต้องเอาเข้ากลุ่มคณะกรรมการ ถ้ากรรมการบอกผิด ตามที่เขาว่าผิด เราก็เปลี่ยนแปลงมาทำอันนี้ ตามที่กรรมการเขาว่า เราเข้าใจผิด กรรมการหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวแน่นอน จะไปถือดีว่าเราถูก จนกระทั่งกรรมการก็ยังไม่ยอมเชื่อ ความถูกผิด เป็นสมมติสัจจะคุณเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม เป็นสัจจะในโลกจะไปทำเกินกว่านี้ไม่ได้หรอก

 

_จะทราบได้อย่างไรว่าการปฏิบัติธรรมที่เราทำไปเป็นสัมมาทิฏฐิ

พ่อครูว่า...ก็สอนแล้วสอนอีกจนปากจะฉีก ก็เรียนเอาบ้างเอาแต่ถาม เมื่อไหร่มันจะรู้ ขอโทษที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งนั้น ปฏิบัติให้เป็นสัมมาทิฏฐิ แม้แต่เอาของพระพุทธเจ้ามาเปิดตำราสอนว่า สัมมาทิฏฐิที่ต้องรู้ 1. มีทาน 2.ศีล 3. ผลของทานของศีลก็มีเท่านี้ 3 ข้อนี้แหละ ข้อที่ 4 ก็คือกรรมกิริยามันเข้าหลักเกณฑ์ในทานศีลหรือไม่ สุกตทุกฏานังกัมมานังผลังวิปาโก

คุณก็เปลี่ยนจากความที่อยู่โลกโลกียมาอยู่โลกโลกุตระ เป็นโลกใหม่ปรโลกจากโลกเก่า คุณก็ต้องเข้าใจให้ได้ แล้วเลื่อนเปลี่ยนอัตตาตัวตนมาอยู่โลกใหม่ให้ได้ นี่แหละคือ สัมมาทิฏฐิ จะทำได้ต้องมีศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ มาตาปิตา ทำให้โลกคือโอปปาติกะจิต มาเปลี่ยนจากโลกเก่ามาเป็นโลกใหม่ปรโลก ทำได้คุณก็มีสัมมาทิฏฐิ คุณจะทำได้ต้องฟังสมณพราหมณ์ กำลังพูดอยู่นี่ ใครจะย้ายมาอยู่โลกใหม่ไหมนี่ยกมือ ยกมือกันอย่างไม่สงสัยลังเลยเลย

 

_การจัดการกับทุกข์ให้ถึงต้นเหตุต้องทำอย่างไร

พ่อครูว่า...ถามที่อาตมาพูดจนปากเปียกปากแฉะนี่แหละให้ฟังบ้าง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(วิปลาส) ตอน วิธีขจัดความกลัว

_เราจะสามารถขจัดความกลัวได้อย่างไร

พ่อครูว่า…

หนึ่งคุณจะขจัดความกลัวได้คือคุณต้องรู้สิ่งนั้น ว่ามันคืออะไรแท้ แล้วคุณจะไม่กลัว คุณรู้ว่าเสือ รู้จักสันดานเสือ รู้จักท่าทีของเสือ รู้จักหัวใจเสือด้วย คุณจะอยู่กับเสือได้ เสือมันก็อยู่กับคุณ คุณจะอยู่กับอะไรก็แล้วแต่ คุณจะไม่กลัวหากว่าคุณเองกลัวความมืด เพราะว่าคุณไม่รู้ว่าในความมืดมีอะไร แต่ถ้าคุณรู้ว่าในความมืดไม่มีอะไรมันปลอดภัยคุณก็ไม่กลัวความมืดนั้น คุณกลัวเพราะว่าคุณไม่รู้ว่าอะไรมันปลอดภัยไหม จะอยู่กันยังไงกับตรงนั้นอยู่กับอันนั้น นั่นแหละ คุณก็เลยกลัว เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องทำความแจ่มแจ้งชัดเจนให้ได้ว่า ชาวอโศกนี้อยู่ได้ปลอดภัยไหม คุณก็มาศึกษาดูว่ามันปลอดภัยดี คุณไปอยู่กับกลุ่มไหนที่ไม่ปลอดภัยคุณก็กลัว คุณยังไม่รู้

ทีนี้ คุณไม่รู้นึกว่ามันไม่เป็นภัย คุณก็นึกว่ามันไม่ปลอดภัย ถ้าคุณมีปัญญา คุณไปอยู่กับคนข้างนอก แล้วคุณก็มาอยู่กับคนข้างในอโศก คุณจะรู้เลยว่า ข้างนอกน่ากลัวกว่า หมู่นี้ไม่น่ากลัวเลยหมู่นี้อบอุ่นกว่า

ถ้าคุณศึกษาเสือให้รู้เสือคุณก็จะอยู่กับเสือได้อย่างสบาย จนกระทั่งเสือมันดมกลิ่นของคุณได้กลิ่นของคุณแล้วก็รู้ว่าเป็นพวกของมันเลย

 

_เช่น กลัวว่าคนอื่นทำงานได้ไม่ดีเท่าเรา เลยไม่ค่อยชอบ เลยไม่ค่อยชอบขอความช่วยเหลือจากใคร จนบางครั้งงานก็ล้นมือ

พ่อครูว่า...อย่าหลงตัวเองเลย งานล้นมือสมน้ำหน้า ดูถูกคนอื่น คุณก็ทำคนเดียวไป ไม่ว่าคนอื่นเขาจะทำไม่ได้ดี เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง คุณไม่ต้องกลัวมันเสีย ก็ค่อยๆสอนแนะนำเขา ถ้าเขาทำเสียก็บอกว่ามันเสียแล้วนะ มันไม่ดีแล้วอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ค่อยๆใจเย็นๆบอกเขาไป เขาจะรู้ว่าเราปรารถนาดีกับเขาให้เขาแก้ไข แต่ถ้าเขาทำดีแล้วคุณก็จะได้ช่วยกันทำ เขาก็ทำดีแล้วคุณก็ต้องการให้เขาช่วย ก็ช่วยกันไปก็ดีมันก็เท่านั้นเอง

 

_กลัวจิ้งจกตุ๊กแก

พ่อครูว่า...คุณไปยุ่งอะไรกับมัน มันก็อยู่ของมัน อย่าไปยุ่งกับมัน มันก็ไม่ทำอะไรคุณ มันก็อยู่ของมันจิ้งจกตุ๊กแก คุณไม่อยากให้มันอยู่เท่านั่นแหละ ก็มันจะไปรู้อย่างไร มันเห็นว่าเป็นที่ควรไปของมัน คุณไม่อยากเจอมันก็ไปอยู่ในอวกาศสิ มันไม่ไป แต่มันรู้ว่าที่นี่มันอยู่ได้มันก็มา ก็เป็นธรรมดา มันเป็นสัตว์โลกร่วมกัน อยู่ด้วยกันได้ก็อยู่ ไม่รู้ทำไม ที่อาตมาอยู่ ท่านดินไทก็เช็ดขี้มันทุกวัน แล้วมันขี้อยู่ที่เดิมด้วยนะทุกวัน มันก็ต้องขี้ ตุ๊กแกมันก็ต้องขี้ จิ้งจกมันไม่ขี้เป็นที่เท่ากับตุ๊กแก คือเรื่องพวกนี้ เราจะไปจุกจิกกับมันก็ทุกข์ตาย มันก็เป็นเช่นนั้นของมันเราก็อยู่ร่วมกันมันไป หากไม่ต้องการอยู่ร่วมมันก็ต้องไปหาที่ใหม่ บอกแล้วไปอยู่อวกาศ

 

_เราจะสามารถขจัดความขี้เกียจได้อย่างไร

พ่อครูว่า..อยู่กับชาวอโศก ชาวอโศกจะไม่พยายามให้คุณขี้เกียจหรอก ก็จะค่อยๆพากันทำ ก็จะไม่ขี้เกียจอะไรมากมายหรอกมาอยู่ที่นี่ อยู่ไปคุณจะค่อยๆดีขึ้นเอง คุณดีแล้วจะรู้สึกว่าจะทำอย่างไรให้ขจัดความขี้เกียจ รู้สึกอย่างนี้แล้วก็พยายามช่วยเหลือตัวเอง

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ตัวเคลื่อนที่เร็วที่สุดของจิตคือมุทุภูตธาตุ

_เรียนถามเรื่องพลังงาน E=mc2+A

กรณีที่ผม มีความศรัทธาในตัวพ่อครูและคำสอนพระครู

1. ตัวสัมประสิทธิ์ C จะมีส่วนช่วยส่งเสริมหรือไม่

2. พลังงาน A จะช่วยอย่างไร

พ่อครูตอบว่า...อาตมาไม่พูดต่ออีกแล้ว เรื่องของสัมประสิทธิ์ มันไปไกลมากไป เก็บม้วนลงลิ้นชัก เรื่องนี้ไม่ขอพูดต่อ มันเป็นพลังงานที่ละเอียดซับซ้อน ทางโลก ไอนสไตน์คิดได้แค่ mc2 พลังงานสอง คือพลังงานบวกลบ รูปนาม

หากเป็นจิตวิญญาณก็คือรูปนาม ธรรมะ 2 ธรรมะ 2 นั้นเป็นนิวเคลียสเป็นบวกกับลบ แล้วเขาก็ใช้พลังงาน จัดการ mc2 อาตมาเอามาขยายจนถึงนามธรรม

จริงๆแล้ว C เป็นตัวผลของ E=mc2+A

A คือพลังงานของ ศีล  สมาธิ ปัญญา วิมุติ เป็นผล ก่อนจะได้มัน ต้องดูค่าของสิ่งที่เป็นตัวเหตุปัจจัยที่จะทำงานร่วมกัน แล้วก็เกิดความไม่สมดุล เกิดผลที่ไม่ได้เป็นผลดี เราก็ทำให้เป็นผลดีเกิดขึ้น m กับ c ต้องมีตัวนิ่งกับตัวเคลื่อนไหว

ความเคลื่อนไหวนั้นจะใช้ความเคลื่อนไหวของจิต ถ้าเป็นวัตถุก็เอาความเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ของวัตถุ

แสง ถือว่าเป็นวัตถุที่เคลื่อนที่เร็วที่สุด จิต คุณก็ต้องหาจิตตัวที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดของจิต หรือทำจิตให้เคลื่อนที่เร็วที่สุดได้มุทุภูตธาตุ สรุปแล้วคือตัวที่อาตมาพูดถึง

มุทุภูตธาตุ คือ C ตัวเคลื่อนที่เคลื่อนไหวทั้งทางตรงและทางโค้งของพระพุทธเจ้า

ไอน์สไตน์เอาแค่ทางตรงทางเดียว แต่ของพระพุทธเจ้านี้ตรงก็เอาโค้งก็เอา จึงใช้ได้ทั้งทางตรงและโค้งพร้อมกัน ตรงคือ Static โค้งคือ Dynamic

จบ กลับไปจะสอนแต่ของพระเจ้าเท่านั้นอันนี้เป็นของวิทยาศาสตร์ร่วมด้วยมันมากไป เอาแต่ของพระพุทธเจ้านี้ก็เหลือแหล่แล้วคนฟังก็ยุ่งตายแล้ว อาตมาก็เลยรู้ความโง่ของตัว มีความรู้วิทยาศาสตร์แค่ไส้เดือนกิ้งกือ ได้คะแนนเคมี 10 ส่วน 100 นะ ฟิสิกส์ไม่ต้องพูดเลย ไม่รู้เรื่อง จึงได้สอบตกเอา ไม่มีการสอบได้

 

เรื่องอ.มั่น ทำไมต้องพูดเรื่องอ.มั่น อาตมาก็พูดไปแล้ว เพราะว่าอาจารย์มั่นนั้นอยู่ในวงการศาสนาพุทธ แล้วก็ได้ปลูกฝังประกาศเผยแพร่ จนกลายเป็นติดยึด เป็นการฝังรากเข้าไปในประเทศไทยลงไปในศาสนาพุทธของประเทศไทย อาตมาก็มาทำงานศาสนาพุทธ อาตมาเห็นในความจริงใจของอาตมาความบริสุทธิ์ใจของอาตมาว่ามันผิด มันผิดถึงขั้นทำลายศาสนา อาตมาพูดถึงขนาดนั้น เพราะว่าการนั่งหลับตาสะกดจิตนั้นมันก็จะกลายเป็นจิตแล้วก็บอกว่ามีปัญญามีความสูงส่งของฌาน สามารถเห็นวิญญาณเทวดาเยอรมัน วิญญาณเทวดาอะไรลอยมา นี่คือของอาจารย์มั่น ซึ่งมันพาออกนอกรีตหมดเลย อย่างนี้แหละ

อาตมาก็ต้องแก้กลับดึงกลับ ทำไมต้องพูดถึง จะไม่พูดถึงได้อย่างไรเพราะว่าอาจารย์มั่งปลูกฝังไว้ในคนไทย ในจิตคนไทยฝังรากลึก มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ

ที่อาตมาพูดนี้ไม่มีใครรู้ด้วยเลย ไม่มีลูกศิษย์ลูกหาอาจารย์คนไหนสอนไว้เลย อาตมาจะไปบ้าพูดทำไม พูดกับใครเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็พูดกับคนที่เขาไม่ยึดติดสิ พูดกับเขาคนที่ยึดติดทำไม อาตมาก็ไม่มีเวลา

สมณะฟ้าไท...พ่อครู พูดในสิ่งที่ไม่มีใครในโลกเขาจะพูดกัน

พ่อครูว่า...คุณไม่กล้าก็ถอยไปอาตมากล้าพูด

สมณะฟ้าไทว่า...เขาไม่มีความสามารถความรู้เพียงพอก็น่าเห็นใจ เป็นประเด็นที่ต้องแก้ศาสนาพุทธให้ถูก ไปอีกสองพันห้าร้อยกว่าปีให้ได้ ถ้าไม่ได้แก้มันก็จมอยู่ที่เดิมจะไปได้อย่างไร


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:37:06 )

610827

รายละเอียด

610827_รายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 9 บ้านราชฯ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1A4ok1fGrIX8mG2-AKGicOhYwEtoN-k29B7idNI7D7PY/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=18gt5RQGm4PNfdZ-xI84-R0JtKRUFFJYY

 

พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

มีคนเขียนsms มาว่า SMS 26 สิงหาคม 2561 (พ่อครู : วิถีอาริยธรรม)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ชาวอโศกจนแต่จิตใจดีมีสติเพราะไม่มีสตางค์

_3867ขออนุญาติเสริมคำชาวอโศกศก.ดีเพราะไม่มีสตางค์!ชาวอโศกจึงจิตใจดีเพราะมีสติมากกว่าสตังค์!ขอบคุณญตธ.หน้าจอบุญนิยม!

พ่อครูว่า...คำนี้เป็นThe great word เลยนะ จะว่าอวดดิบอวดดีก็แล้วแต่นะ

 

_ลิมล ศรีนามะ · กราบนมัสการพ่อครูรับชมรับฟังเพื่อชำระล้างจิตใจตนเองทุกวันเจ้าค่ะ

มีบทความของอ.ไสว บุญมา …

ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีสัมมาทิฏฐิตรงกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาก็มีทิฏฐิตรงกับพระองค์และพระพุทธเจ้า

Sawai Boonma
25 สิงหาคม เวลา 00:05 น. ·
      จีดีพี - เราได้ยินนักเศรษฐศาสตร์ (ทั้งจริงและจอมปลอม) และกลุ่มผู้นำด้านการบริหารประเทศพูดถึงกันไม่ขาด ขอถือโอกาสนี้ชี้แจงอีกครั้งเพื่อจะได้รู้ทันว่ามันคืออะไร (ในหลาย ๆ กรณี คนพูดเองก็มิได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกใน "กรุงเทพธุรกิจ" เมื่อ 30 พฤษภาคม 2551
---------------------------
      "การสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์"

      ในยุคนี้คำว่า “จีดีพี” มีมนต์ขลัง ใคร ๆ ก็มักอ้างถึงคำนี้เมื่อต้องการจะชี้ให้เห็นถึงสภาวะทางเศรษฐกิจ การขยายตัวในอัตราสูงของจีดีพีถูกตีความหมายว่าเป็นสภาวะที่น่าลิงโลดใจ การขยายตัวในอัตราต่ำอาจทำให้รัฐบาลของประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยถูกไล่ออก แต่จีดีพีคืออะไรคนส่วนใหญ่มักไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งนักและไม่รู้ด้วยว่าการขยายตัวของจีดีพีใช่ว่าจะดีเสมอไป
      จีดีพีในที่นี้คือ GDP ซึ่งย่อมาจาก Gross Domestic Product นักเศรษฐศาสตร์ใช้จีดีพีวัดค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นในประเทศใดประเทศหนึ่ง ที่ว่าการขยายตัวของจีดีพีใช่ว่าจะดีเสมอไปนั้นเพราะการคำนวณจีดีพีมีข้อน่าท้วงติงมากมาย หากไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วนถึงส่วนประกอบของมันอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิด ตัวอย่างง่าย ๆ ได้แก่การสูบบุหรี่ ทั้งที่การสูบบุหรี่มีโทษมหันต์และสร้างความรำคาญให้ผู้อยู่ใกล้ ๆ ที่ไม่สูบ แต่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการจำหน่ายบุหรี่ถูกตีค่าให้เป็นบวกในการคำนวณจีดีพี ร้ายยิ่งกว่านั้นเมื่อผู้สูบบุหรี่มีปัญหาสุขภาพ เช่น เป็นมะเร็งในปอด ค่ารักษาพยาบาลที่เขาหรือผู้อื่นต้องจ่ายมีผลทำให้จีดีพีขยายตัวด้วย รัฐบาลของบางประเทศผูกขาดการผลิตบุหรี่ การทำเช่นนี้เป็นการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์ถึงสองกระทงคือ การผลิตและขายสินค้าที่เป็นอันตรายและการใช้วิธีผูกขาดซึ่งผิดหลักตลาดเสรี
      กิจกรรมที่ให้โทษเช่นการสูบบุหรี่ถูกรวมไว้ในจีดีพีเพราะมันถูกกฎหมาย ฉะนั้นถ้าเมื่อไรมีกฎหมายรองรับกัญชาและยาบ้า เมื่อนั้นกัญชาและยาบ้าก็จะมีค่าเป็นบวกในการคำนวณจีดีพี ในปัจจุบันนี้หลายประเทศห้ามเล่นการพนันรวมทั้งการออกหวยรัฐบาลด้วยเพราะการพนันให้โทษเช่นเดียวกับกัญชา ยาบ้าและบุหรี่ ในประเทศเหล่านั้นมักมีการลักลอบเล่นการพนัน การลักลอบนั้นไม่นับเป็นจีดีพี แต่เมื่อไรรัฐบาลออกกฎหมายอนุญาตให้มีบ่อน เมื่อนั้นกิจการเกี่ยวกับบ่อนการพนันจะถูกนับเป็นจีดีพี คอลัมน์นี้ประจำวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมาพูดถึงการวิจัยที่ชี้ให้เห็นผลร้ายของบ่อนการพนันซึ่งเท่ากับเป็นการยืนยันถึงการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์เมื่อรัฐบาลทำให้มันถูกกฎหมาย เนื่องจากหวยเป็นการพนันอย่างหนึ่ง การทำหวยให้ถูกกฎหมายเป็นการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์ด้วย ความสามานย์นี้มีความร้ายแรงสูงขึ้นไปอีกหากมีการสร้างแรงจูงใจด้วยการให้รางวัลสูงพิเศษ หรือ “แจ็กพอต” และผู้เล่นเป็นคนจนเพราะการเล่นนั้นเป็นการแย่งรายได้ซึ่งควรจะใช้ซื้อหาสิ่งที่มีค่าสูง เช่น อาหารโดยเฉพาะอาหารของเด็ก
      ในปัจจุบันนี้ยังมีบางประเทศห้ามผลิตและซื้อขายเหล้าเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2463-2476 แม้ในประเทศเหล่านั้นจะมีการผลิตเหล้าเถื่อนและซื้อขายเหล้าเช่นเดียวกับในสหรัฐฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่กิจกรรมเหล่านั้นไม่นับเป็นจีดีพี เมื่อรัฐบาลทำให้มันถูกกฎหมาย การผลิตและจำหน่ายเหล้านับรวมในจีดีพีทันที เหล้าต่างกับบุหรี่ในแง่ที่เหล้าบางชนิดมีประโยชน์หากดื่มเพียงวันละแก้ว เช่น เหล้าองุ่น แต่การผลิตและจำหน่ายเหล้าเป็นการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์หากมีการกระตุ้นให้เกิดการดื่มเหล้าที่ไม่มีประโยชน์และในปริมาณมากเกินที่การวิจัยได้พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ และด้วยวิธีผูกขาดซึ่งขัดกับหลักตลาดเสรี ยิ่งถ้าการผูกขาดทำโดยพวกมหาเศรษฐีที่ให้แรงจูงใจแก่นักการเมืองเพื่อบิดเบือนนโยบายไปในทางเอื้อประโยชน์แก่ตนด้วยแล้ว ความสามานย์นั้นยิ่งร้ายแรงเพิ่มขึ้น
    การตัดต้นไม้และทำลายป่าเพื่อเอาไม้และที่ดินมาใช้ทำอย่างอื่นก็สร้างจีดีพี เนื่องจากการทำลายป่าอาจสร้างปัญหาสารพัด จากปัญหาน้ำท่วมและดินพังทลายในท้องถิ่นไปจนถึงปัญหาการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพและบรรยากาศของโลกหากไม่ทำตามหลักวิชา มันอาจเป็นการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์ด้วย
      การสร้างอนุสาวรีย์ก็สร้างจีดีพีเช่นกัน การสร้างจีดีพีโดยวิธีนี้อาจมีผลถึงกับทำให้สังคมล่มสลายไปจากผิวโลกเลยทีเดียว อาณาจักรเขมรสร้างอนุสาวรีย์ที่ใหญ่โตซึ่งในปัจจุบันนี้ยังมีเหลืออยู่ให้เห็น เช่น นครวัด อาณาจักรพุกามสร้างเจดีย์น้อยใหญ่ซึ่งยังมีเหลือให้เห็นอีกหลายพันองค์ อาณาจักรมายาและอาณาจักรอียิปต์สร้างพีระมิดซึ่งอยู่มาได้หลายพันปี เกาะเล็ก ๆ ในทะเลใต้ชื่ออีสเตอร์ยังมีอนุสาวรีย์หินขนาดยักษ์ยืนตระหง่านอยู่ทั่วไป สังคมที่สร้างอนุสาวรีย์เหล่านั้นล่มสลายเพราะใช้ทรัพยากรไปในทางที่ไม่มีประโยชน์มากเกินไปจนทำลายความสมดุลกับธรรมชาติอย่างร้ายแรง สังคมปัจจุบันยังแข่งขันกันสร้างอนุสาวรีย์ เช่น โบสถ์และพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในบางประเทศผู้นำเผด็จการถึงกับสร้างรูปปั้นขนาดยักษ์ของตัวเองขึ้นมาเพื่อบูชาตัวเอง สิ่งเหล่านี้สร้างจีดีพีแต่เป็นการสร้างด้วยวิธีสามานย์เช่นเดียวกันกับสังคมที่กล่าวถึง
      แน่ละ การทำนาเป็นการสร้างจีดีพี แต่การทำนาแบบไทยนอกจากจะไม่เป็นการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์แล้ว ยังมีข้อดีที่มักไม่ค่อยมีใครนึกถึงอีกด้วย เช่น เมื่อคราวเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 แรงงานตกงานกันระนาว แต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่อดอยากแสนสาหัสเพราะสามารถกลับไปอาศัยญาติพี่น้องที่เป็นชาวนาได้เนื่องจากการทำนาของไทยเป็นกิจการในครอบครัว แม้จะไม่มีรายได้ในระดับมั่งคั่ง แต่ก็ยังมีข้าวพอประทังความหิวโหยของญาติพี่น้องในยามเข้าตาจน การสร้างจีดีพีแบบวิถีไทยเป็นการให้ประกันสังคมชั้นดี จนมีผู้ยกย่องรวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์ชั้นรางวัลโนเบลโจเซฟ สติกลิตซ์ ด้วย (ในหนังสือ Globalization and Its Discontents ซึ่งมีบทคัดย่ออยู่ใน “เนชั่นสุดสัปดาห์” ฉบับ 23 กันยายน – 4 ตุลาคม 2545)
      เนื่องจากชาวนาไทยสร้างจีดีพีได้ไม่ค่อยสูงนัก จึงมีผู้มองว่าถ้านำมหาเศรษฐีอาหรับมาร่วมลงทุนในรูปบริษัทขนาดใหญ่แล้วใช้ชาวนาไทยเป็นลูกจ้าง เมืองไทยจะสร้างจีดีพีได้สูงขึ้น ทั้งที่การกระทำเช่นนั้นจะเป็นการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์เพราะมันจะทำลายวิถีไทยที่ได้รับการยกย่องดังกล่าว แต่พวกเขาไม่แยแส ทั้งนี้เพราะพวกเขามีวิธีคิดแบบสามานย์ นั่นคือ จะสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองได้อย่างไรโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมและจริยธรรม แม้แต่การทำลายวิถีไทยซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายชาติของตนเองพวกเขาก็ทำได้ถ้ามันทำให้พวกเขาร่ำรวยเพิ่มขึ้น จะว่าคนพวกนี้มีความสามานย์เป็นสันดานก็คงไม่ผิดนักและความยุ่งยากในสังคมไทยในขณะนี้มีต้นเหตุมาจากคนไทยส่วนใหญ่ตามพวกเขาไม่ทันจึงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ การสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์ยังมีอีกมาก แต่ขอพักไว้เท่านี้ก่อน หวังว่าที่เขียนมาจะเป็นอุทาหรณ์เตือนใจเมื่อได้ยินคำว่า “จีดีพี”

 

พ่อครูว่า...ข้อมูลผู้เขียน คือ ไสว บุญมา หรือ ดร.ไสว บุญมา เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ที่ตำบลพิกุลออก อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดแหลมไม้ย้อย จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนบ้านนา "นายกพิทยากร" จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นเข้าศึกษาในวิทยาลัยครูเทพสตรี โดยระหว่างที่ศึกษาอยู่ได้ทุนอเมริกันฟิลด์เซอร์วิส (American Field Service Scholarship : AFS) เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 1 ปี จากนั้นจึงกลับมาศึกษาต่อที่วิทยาลัยครูเทพสตรีต่อจนจบชั้นประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ.สูง) แล้วจึงเข้าเรียนที่วิทยาลัยวิชาการศึกษา (ประสานมิตร) ศึกษาอยู่เพียง 4 ภาคเรียนก็ได้รับทุน Frank Bell Appleby ไปศึกษาต่อที่ วิทยาลัยชายแคลร์มอนท์ (Claremont Men's College ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น Claremont McKenna College) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จนจบปริญญาตรีด้วยคะแนนระดับสูงสุด (Summa Cum Laude) จึงได้ทุนจาก Earhart Foundation ศึกษาต่อที่ บัณฑิตวิทยาลัยแคลร์มอนท์ (Claremont Graduate University) จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2517

 

พ่อครูว่า...อาตมาบอกว่าอาตมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์มือหนึ่ง ไม่ใช่พูดเล่น อาตมาไม่ใช่นักบริหารของประเทศ แต่ถ้าอาตมาบริหารจะบริหารแบบนี้ แล้วทำให้เกิดเศรษฐกิจแบบนี้ คือเศรษฐกิจแบบคนจน แบบในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส มั่นใจว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสว่าต้องบริหารแบบคนจน ท่านก็ตรัสว่า พูดแบบนี้นักเศรษฐศาสตร์ได้ยินก็จะบอกว่าไม่ใช่พูดอย่างนั้นได้อย่างไร จะเป็นดอกเตอร์ทางเศรษฐกิจขนาดใดมาบอกว่า จะต้องพยายามมาเป็นคนจนบริหารเศรษฐกิจให้ดีที่สุดต้องแบบคนจนเขาคิดไม่ออก ในโลกนี้เขาคิดไม่ออก มันเป็นเรื่องที่อจินไตย เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงง่ายๆ

เขาคิดว่าพูดไปเป็นการพูดเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องสุดวิสัยเป็นไปไม่ได้ พวกคุณว่าเป็นไปได้ไหม ...ได้ ชาวอโศกเราเป็นไปได้ เป็นคนจนจริงๆนะ ไม่ใช่พูดเล่น Schumacher ไม่ได้คิดถึงขนาดนี้ แต่ก็มีแนวโน้มมาทาง เศรษฐกิจพอเพียง Small is beautiful ของ Schumacher  ทำเล็กๆได้ยิ่งสวยงาม ยิ่ง smallยิ่ง beautiful

เมื่อพูดถึงเรื่องเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ที่ คนมีปัญญา เข้าใจแล้วว่าอ๋อ เราเป็นคนจนแล้วมีความพร้อม จิตพอ ไม่ต้องอยากร่ำรวยมากกว่านี้หรอก อยู่กันอย่างขนาดนี้หรือว่าจะจนยิ่งกว่านี้ จริงๆใจลึกๆ ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิสัมมาปัญญาแล้ว จนจริงๆจนกระทั่งจนสูงสุดคือ อยู่ในสังคมนี้แหละ มันต้องมีสังคมนะ เศรษฐศาสตร์แบบนี้ต้องมีสังคม มีส่วนกลาง

จริงๆแล้วใครก็ตามส่วนตัวนี่แหละ ไม่ต้องอยู่ในสังคมหมู่นี้ มีชีวิตอยู่โดดเดี่ยว จะไปไหนก็ได้ แล้วก็มากินกับส่วนกลาง สังคมที่เป็นรูปผลสำเร็จในเรื่องของ เศรษฐศาสตร์คนจน เศรษฐกิจทำให้สังคมเป็นคนจนได้สำเร็จอย่างชาวอโศก ก็มีโรงเรือนมีร้านมีขายอาหาร แจกอาหาร วิธีทำอาหารให้กินฟรีทุกวัน เข้ามาอาศัยกินตรงนี้ก็ไม่ได้เกิดอะไร ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรที่มีประโยชน์แก่ประเทศชาติอะไรเลย โดยที่เราไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบการกินการเลี้ยงชีวิตเรา แต่เราอาศัยที่เขาเข้าใจแล้ว อาศัยได้ มนุษย์ในโลกนี้ เราก็เอาแรงงานความสามารถของเราไปทำงานที่มีประโยชน์ และอื่นๆ โดยที่เรื่องนี้ไม่ต้องเอาเป็นภาระตัวเองไปทำงานอื่นให้เต็มที่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร

เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ซับซ้อนลึกซึ้ง อาตมาเกิดมาในชาตินี้ก็ไม่ได้คิดถึงเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจถึงขนาดนี้ก่อนมาทำงานศาสนา แต่เมื่อมาทำงานศาสนาแล้วก็บอกว่าเราเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ตั้งแต่แรกที่อาตมา พาพวกเรา สร้างชุมชนเกิดชุมชน ตั้งแต่ชุมชนแรกปฐมอโศก ก็เริ่มต้นเศรษฐกิจ สาธารณโภคี เศรษฐกิจส่วนกลาง ตั้งแต่เริ่ม ชุมชนแรก จนกระทั่งทุกวันนี้ชุมชนทุกชุมชนของชาวอโศกเป็นสาธารณโภคี แล้วสำเร็จ

เพราะพวกเราไม่ได้เป็นปัญหา ที่ไม่เป็นปัญหาคือ

1. สังคมนี้ไม่เป็นหนี้ ทั้งหมู่บ้านไม่เป็นหนี้ จะมีไหมที่ชุมชนในประเทศไทยจะอยู่เป็นสิบคนร้อยคนที่ทำอย่างนี้ ที่ไม่เป็นนี่มีไหม ไม่มี มีแต่ชาวอโศก

2.ไม่เบียดเบียนใคร ทำกินทำใช้เลี้ยงตนเองรอดพึ่งพาตนเองได้ ไม่เดือดร้อนใครไม่เดือดร้อนรัฐบาล

3. ทำกินทำใช้ปัจจัยที่จำเป็นชีวิตไม่ได้สร้างสิ่งมอมเมาไม่ใช่สิ่งที่เป็นอบายมุข ไม่ได้เอาแรงงานสร้างสิ่งไร้ค่าไร้สาระ สร้างให้เกินกินเกินใช้ด้วย

4.สะพัด ตั้งแต่ขายในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ขายเท่าทุนขายต่ำกว่าทุนจนแจกฟรี

 

ก็มีระบบของเราจนทุกวันนี้แจกฟรีได้สบาย แจกเป็นประจำด้วยทุกวันเลยก็มี แจกเป็นครั้งคราวก็ได้ แล้วเราไม่ได้แจกเอาหน้าเอาตา ไม่ได้แจกเพื่ออวดอ้าง แจกเพื่อมีนัยแฝงในจิตใจอะไรที่จะเป็นเครื่องเสริมอัตตา บวกอัตตา บำเรออัตตาตัวเอง ด้วยความจริงใจเรามีเหลือเผื่อแผ่ก็จะกลายสภาพไป ว่างๆก็นัดกันซื้อสินค้ามา แล้วมาขายในราคาต่ำกว่าทุน ให้คนเขาดื้อๆนี่แหละ มีแต่ชาวอโศกนี่แหละทำ ทำเมื่อไหร่ก็เบิกบานสำราญใจ ซึ่งมันเป็นเรื่องของจิตจริง เป็นจิตจริงที่เราจะได้เสียสละได้ให้ผู้อื่นมันเป็นความประเสริฐของคน

ความประเสริฐแปลว่า เสฏฐะ จึงเป็นศาสตร์ของคนประเสริฐ คือเสฏฐบุคคล เป็นคนเจริญคนประเสริฐ เศรษฐีคือผู้มีพฤติบท ของเสฏฐะ ที่แปลว่าการเจริญ การประเสริฐ

เรื่องเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจที่เป็นไปได้คือ

1. สาธารณโภคี อาตมาพูดมาหลายปีแล้วพระพุทธเจ้าทำไม่ได้ในวงฆราวาส แต่ทำได้ในวงสงฆ์ เพราะว่าเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคของทาส ประชาชนในยุคนั้นไม่มีความรู้ในสิทธิของตัวเอง สิทธิของมนุษยชาติต่างๆ สิทธิในทางวัตถุ สิทธิในการแสดงออก ในความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ยังไม่มีความรู้ เพราะว่ามันเป็นยุคทาส ไม่มีสิทธิ์อะไรมีแต่กดขี่ข่มเหงอะไรเป็นเจ้าเป็นนาย เป็นทาส เป็นนายทาส มันก็เลยทำไม่ได้

แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทำในกรอบของท่าน ธรรมนูญของท่าน หลักเกณฑ์ของท่าน แล้วท่านก็พาลัทธิของท่าน ศาสนาของท่านไปที่ไหนได้ทุกแคว้น ก็คือทุกประเทศนี่แหละในแคว้นอินเดีย ปกครองแผ่นดินในแต่ละประเทศยกให้ทั้งหมดเลยเป็นรัฐอิสระ ที่พระเจ้าแผ่นดินทุกแคว้นยกให้ท่านเลย ซึ่งเขาเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ท่านอนุญาตให้พระพุทธเจ้าประกาศลัทธินี้อยู่ในประเทศของเขา เอาคนของประเทศเขา มาเป็นคน เข้ารีต เป็นลัทธิของพระพุทธเจ้าได้ ซึ่ง เป็นความยิ่งใหญ่มาก ที่ทำได้ในยุคนั้น

ยุคนี้จริงๆได้ อย่างเรานี่อิสระเสรีภาพ ใครที่เห็นดีเห็นงามจะมาเป็นอย่างนี้จะเป็นชาวต่างประเทศก็มาได้ ถ้าถูกกฎหมาย พูดกับใครกัน (มีเดวิด ชาวอิงแลนด์มาในศาลา พ่อครูจึงทักทายว่า พูดกับเขาหน่อย)

พูดถึงเรื่องนี้แล้วอาตมาว่าเมืองไหนก็ตามเมืองไทยก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์นักเศรษฐกิจผู้ที่บริหารประเทศ อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะฟังในหลวงท่านตรัส ว่าต้องบริหารประเทศทำให้สังคมนี้เป็นเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจแบบคนจน แบบให้คนในสังคมนี้มาขาดทุน แล้วการขาดทุนของเรานั่นแหละคือกำไร ขาดทุนเราได้ขาดทุนคือกำไร

ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา Our loss is Our gain. ท่านตรัสจริงๆนะ จริงพระทัยเลย อย่างอยากจะให้สังคมเป็นอย่างนี้

คำตรัส พลความ ไปอยู่ในเศรษฐกิจพอเพียงไปอยู่ในอื่นๆเยอะเลยถ้าเข้าใจ เพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ อย่างอาตมานี่ ไม่ได้ปิดบังอะไร ในเมืองไทยมีพระโพธิสัตว์ 2 องค์ คนเขาทำนายไปแล้ว ถูกที่สุด แล้วก็มาทำอันนี้ จะมีพระธรรมิกราช 2 องค์ประกอบกู้วิบัติ ในหลวงกอบกู้ภัยจนสิ้นพระชนม์เลย แล้วอาตมากอบกู้หรือเปล่า? คนเขาไม่รู้แต่คนที่มีดวงตาปัญญาจะรู้ว่า อ๋อ โพธิรักษ์ทำงานเพื่อสังคมประเทศชาติ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญคือเรื่องเศรษฐกิจ จะรู้จริงๆ

เพราะฉะนั้นผู้รู้ก็คือผู้รู้ผู้ไม่รู้ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมามีหน้าที่ทำงาน ช่วยมนุษยชาติ ช่วยได้ 2 คน 5 คนร้อยคนพันคนมากขึ้นก็แล้วแต่เป็นหลายหมื่นคน หรือจะให้ช่วยระดับประเทศก็ยินดี แต่อาตมาก็ต้องมีวิธีการของอาตมาบ้างนะ

 

_แก้วบุญ...ทำอย่างไรหนูจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อกับผู้ใหญ่

พ่อครูว่า...โอ้โห เป็นความสำนึกที่ดีมาก เป็นคำถามที่ดี ทำอย่างไร หนูก็เชื่อฟังผู้ใหญ่ ต้องฟังคำสอนผู้ใหญ่ แล้วก็ทำตามที่ผู้ใหญ่สอนให้ได้ทำให้ได้ แล้วจะเป็นคนดี จะเป็นคนเจริญไม่ดื้อ เข้าใจไหม ถามดีมาก แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ทำอย่างที่ว่านี้ ให้เด็กถาม (ลมมาแรงพัดในศาลาจนของปลิว)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน โลกยุคนี้เข้าสู่กลียุคแล้วหรือไม่

_โลกยุคนี้เข้าสู่กลียุคหรือไม่

พ่อครูว่า...มันก็เริ่มเข้าสู่กลียุคไปเรื่อยๆ ที่จริงต่างประเทศเขาเป็นกลียุคแน่ๆ เป็นกลียุคที่ยุ่งยากเดือดร้อนวุ่นวายกว่าประเทศไทยเยอะ ประเทศไทยนี่แสนดี แต่คนที่อยู่ในประเทศไทยนี้ไม่รู้ตัว คนต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยยังมีปัญญารู้เลย มันมีเลือดหลงชาติตัวเองนะ แต่ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ ต่างชาติเขาลำบากหลายอย่าง แล้วมันจะหนักหน้าไปตามลำดับ

 

_คำกล่าวที่ว่า หยิบหญ้าขึ้นมาก็เป็นอาวุธเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทยหรือไม่

พ่อครูว่า..ที่ว่า หยิบหญ้าขึ้นมาก็เป็นอาวุธ เป็นคำพังเพยคำเปรียบเทียบไม่ได้หมายถึงบอกว่าเอาใบหญ้าขึ้นมาแล้วเนรมิตเป็นอาวุธ เป็นดาบเป็นหอกเลยไม่ใช่ เปลี่ยนแต่เพียงว่ามีอาวุธประจำตัวมีความโหดร้าย ปากคนก็เป็นหอก มือก็เป็นดาบ เป็นระเบิดปรมาณู มีความร้ายในตัวคนจะหยิบจับอะไรได้ก็มาเป็นอาวุธฆ่ากันเลย ซึ่งเป็นความเลวร้ายในสังคม แต่ต้องพยายามให้เป็นสังคมประเทศที่ดีนะ แสนดี

มันมีความซับซ้อนอยู่อย่างนี้ เมืองไทย พยายามที่จะทำตามประเทศที่เขาบอกว่าเจริญเช่นสร้างอาวุธฆ่าคนได้ประสิทธิภาพสูง เขาถือว่าเป็นประเทศเจริญ เมืองไทยก็เลยมีแนวโน้มจะทำแบบนั้น แต่ก็ทำไม่ขึ้น แอ๊คไม่ขึ้น สร้างอาวุธไม่เก่งเท่าเขา อย่าไปน้อยใจเป็นอันขาดเราทำชั่วทำบาปไม่ขึ้นนะดีแล้ว ประเทศไหนสร้างอาวุธได้ร้ายแรงก็เป็นบาปเท่านั้นสร้างมาขายแพงๆด้วย แล้วเป็นเครื่องมือ เบ่งอำนาจกูมีอาวุธร้ายนะโว้ย เกิดสงครามเมื่อไหร่เสร็จกู เป็นความโหดร้ายเลวร้ายเหมือนสัตว์ที่มีเขี้ยวงา พยายามใช้อาวุธของตัวเองที่เป็นร้ายแรงเป็นพิษสามารถปราบสัตว์อื่นๆได้ ฉันเดียวกัน ความคิดไม่ได้เกินกว่าเดรัจฉานเลย

โดยเป็นอจินไตยแล้ว ประเทศไทย อย่าว่าแต่สร้างอาวุธเลยเทคโนโลยีก็สู้เขาไม่ได้ ไม่ต้องห่วงหรอกคนทำนาให้เก่งๆทำพืชให้เก่งๆ ทำนาให้เก่งๆกว่าเขา เอาจุดเด่นของเราสิ ทำให้เต็มที่เลย แม้แต่ที่สุดเขาจะบอกว่า เมืองไทยไม่เจริญเพราะว่าสร้างเทคโนโลยี ไม่เก่งเลยไม่ได้เรื่องเลย แต่สิ่งเหล่านี้เรามี ดี จนกระทั่งว่า คุณภาพดี มีมากเหลือ ไล่แจกคนทั้งโลก นี่แหละ GDP สูงสุด

GDP สูงสุดคือ ไม่ต้องไปเอาตัวเลข ถ้าจะเอาตัวเลขนั้น ตัวเลขที่สามารถ เสียสละหรือขาดทุน GDP ขาดทุนได้มากเท่าไหร่นั่นแหละคือ GDP เจริญ เห็นไหมนั่นคือเอาหัวเดินต่างตีนแล้ว เราขาดทุนให้แก่โลกเสียสละให้แก่ผู้อื่นได้มากขึ้นนั่นแหละคือ GDP แท้

GDP ที่บอกว่า เป็นเรื่อง domestic เป็นเรื่องภายใน แต่ทำไมเอารายได้จากภายนอกที่คุณได้เปรียบมาคิดเป็นรายได้สูงได้เปรียบ แล้วก็ได้มากคิดเปอร์เซ็นต์ นี่คือเอาเปรียบจากต่างประเทศว่าได้มากด้วย มาบวกรวมไปเลย แล้วบอกว่า GDP โตอีก คุณไม่ได้มีประโยชน์กับใครเลย ถ้าคุณเจริญจริง คุณต้องสร้างได้เองไม่ใช่เอาเปรียบเขา ประเทศไทยไล่แจกอเมริกาไล่แจกรัสเซีย ฝรั่งเศสอังกฤษไปเลยถ้าเรามีเหลือเฟือ ให้เป็นที่ลือลั่นไปเลยว่าประเทศนี้ไม่ได้ร่ำรวย แต่มีพฤติกรรมอย่างนี้ มีวิถีชีวิตของประเทศอย่างนี้ สามารถที่จะขายถูก แจกให้แก่คนที่ต้องการ ใครมาติดต่อซื้อสินค้า โดยเฉพาะสินค้าไทยที่เป็นกสิกรรม เรามีพอ สร้างให้เหลือกินเหลือใช้ แล้วสะพัดให้แก่คนอื่น ต่างประเทศมาติดต่อ ประเทศไหนที่เขาอยู่ดีกินดีแล้วร่ำรวย จะมาซื้อก็แพงหน่อย ประเทศไหนที่มีความจนลำบากลำบนเดือดร้อน เราก็ให้เอาไปเลยแจกให้เลย อย่างนี้สิ เป็นการแสดงของผู้ที่มี GDP ที่เป็นประเทศเจริญ แม้มันไม่ร่ำรวยอะไร แล้วเราก็พออยู่พอกิน

อย่างที่ให้หลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส เราไม่ร่ำรวยอย่างเขา เราไม่อยากก้าวหน้าอย่างนั้น เพราะว่าก้าวหน้าอย่างนั้นมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว คำตรัสของในหลวงนี้ลึกซึ้งมาก

 

_เมื่อวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา พ่อท่านถามว่าใครมีเงินเก็บไม่ถึง 1,000 บาทบ้าง ดิฉันรีบยกมืออย่างเร็วอยู่ในใจค่ะ ไม่ได้ยกจริง โดยความสัจจริงเป็นอย่างนั้นแต่ที่ไม่ได้ยกมือเพราะว่าตัวเลขในบัญชีมีอยู่ เพื่อครองสิทธิการเงินในการจัดการให้คุ้มค่าเงินบาทสำหรับลูกกับพ่อ ตัวเองไม่ถือว่าเป็นของตน

ส่วนของตนเองที่มีและได้มอบให้แก่ส่วนกลางตั้งแต่ปีแรกที่เข้าวัด เป็นคนส่วนกลางในพุทธสถาน อีกส่วนหนึ่งแบ่งฝาก บัญชีไว้ให้ญาติดูแลลูกๆ ปัจจุบันมีเงินเฉพาะส่วนที่พี่ๆให้ไว้ เป็นค่าเดินทางไปหาพี่น้องและลูก ในเวลาที่ควรไปค่ะ ในบางกาละ ค่าเดินทางทั้งขากลับไม่พอ ก็ต้องขอส่วนกลางติดตัวไปก่อน ถ้าพี่ๆให้มาอีก ก็จะเอามาคืนส่วนกลาง ถ้าไม่มีใครให้ก็ไม่มีคืนค่ะ

กับอีกส่วนหนึ่งคือเงินส่วนกลางที่เอาไว้เป็นค่าซ่อมอุปกรณ์การทำงานเท่านั้นค่ะ เงินที่ผ่านเข้ามาไม่ได้นำมาบำเรอตนเอง ตามคำสอนของพ่อท่านค่ะ เรียนรายงานมาเพื่อแสดงผลเพื่อหนึ่งเป็นการฉลองธรรมะของพ่อท่านค่ะ

พ่อครูว่า...อนุโมทนาสาธุใครที่ประพฤติเช่นนี้ มีพฤติบทของตัวเองก็ดีมาก เป็นการประพฤติตัวเองในส่วนที่เราทำได้ดี เป็นการประสบผลสำเร็จที่อาตมาได้พยายามสอนแนะนำให้คนเจริญ

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน เอกพีชีกับสกิทาคามี

_เกร็ดดิน...ดิฉันสงสัย สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน มีเหลือสังโยชน์ 7 ข้อ โกลังโกละ เหลือ 2-6 ข้อ เอกพีชี คืออีกชาติเดียว 1

พ่อครูว่า...มันจะมีประเด็นที่คนสงสัยว่า เอกพีชี้นี้ เชื้อพีชะ เอกคือหนึ่ง มันจะซ้ำกับคำว่า อนาคามี

อนาคามี หมายความว่าเกิดมาอีกชาติเดียว มันมีพยัญชนะสภาวธรรมที่ต่างกัน

อนาคามี เกิดมาในชาตินี้ ทั้งชาติ แต่เอกพีชีนั้น อาจจะเป็นใครก็ได้ ชาตินี้ปฏิบัติธรรมไป เช่น คุณเป็นโกลังโกละแล้ว ปฏิบัติตนในชาตินี้จนบรรลุ แทนที่จะใช้เวลา 3 ชาติ สองชาติ คุณกระทำเพียงหนึ่งชาติ นั่นคือเอกพีชี วันนี้ได้ในชาตินี้ คุณอาจเป็นโกลังโกละ แทนที่จะหลายชาติก็ทำ เพลงหนึ่งชาติก็บรรลุเป็นอรหันต์

คุณเป็นเอกพีชี สกิทาคามี คุณมีภูมิฐาน แม้จะอีกหลายชาติจะบรรลุ พอดีมาเจอกับโพธิรักษ์ เจอสัตบุรุษด้วย คุณก็เลยเกิดบรรลุธรรม อาจจะอีกสามชาติบรรลุ แต่ว่า มาเจอกับสมณะโพธิรักษ์กับกลุ่มก็บรรลุในหนึ่งชาติได้

 

เกร็ดดิน ..แต่พระโสดาบันมีญาณ 7 แต่ในสกิทาคามี ไม่มีคำว่าญาณ 7

พ่อครูว่า...ปุถุชน เป็นเครื่องชี้อันหนึ่งว่า จะเป็นพระโสดาบันได้จะต้องมี โลกุตรธรรมหรือปัญญา 7 ปัญญาโลกุตระหรือญาณ ในคนนั้น ถ้าหากเต็มรูปเลย คุณต้องมีหลักอันนี้

 

เกร็ดดินว่า..พระโสดาบันเป็นฐานรวมแห่งความรู้ที่จะต่อขึ้นไปจนถึงอรหันต์

พ่อครูว่า...เป็นอัญญาธาตุ เป็นโลกุตระไม่ใช่ธาตุรู้ของโลกียะ

ความรู้โลกียะคือเฉกา หรือเฉโก แปลว่าความรู้ความเฉลียวฉลาด แต่คนเขาไม่พูดกันไม่เรียกกันเพราะว่าเป็นเรื่องต่ำ ก็เลยเอาคำว่าปัญญาที่เป็นความรู้โลกุตระมาใช้แทนคำว่า เฉกา ทั้งที่ตัวเองไม่มีความรู้ปัญญา อาจรู้ไปหมด คำว่าปัญญาจึงเสียไป ค่าของปัญญาเลยเละเทะ ที่จริงแล้วปัญญาของคุณไม่ได้มีง่ายๆหรอก ปัญญาต้องมีญาณ 7

เกร็ดดิน...พระโสดาบันยังแบ่งออกเป็น 4 อย่าง โสตาปันนะ…

พ่อครูว่า...จะบอกว่าเป็นคุณสมบัติก็ได้ เข้ากระแสแล้ว โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ

 

_ช่วงก่อน พ่อท่านพูดถึงพระโพธิสัตว์ ผมสงสัยว่าพระโพธิสัตว์ที่เกิดมาบำเพ็ญต่อจะรู้ตัวเองหรือไม่อย่างไร

พ่อครูว่า..ไม่รู้ได้ง่ายๆ ผู้จะรู้ว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์ต้องระดับ 7 ขึ้นไป ยังไม่ถึงระดับ 7 ยาก

อย่างในหลวงท่านรู้พระองค์ไหมว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์

พ่อครูว่า...ไม่อยากให้ถามเลย ตอบได้ว่าท่านยังไม่รู้ตัว แต่ท่านมีพฤติกรรมเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านจะไม่รู้เหมือนอย่างที่อาตมารู้ พอแล้วอย่าเอาในหลวงมาพูดต้องยกไว้อีกหลายอย่าง แต่รู้แล้วว่าในหลวงไม่ใช่คนธรรมดา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน เรื่องของสายศรัทธากับสายปัญญา

_หนึ่งฟ้า..สองวันก่อน มีญาติธรรมมาถามดิฉันว่า ครั้งที่แล้วถามเรื่องเจโตกับปัญญาบอกว่า นึกว่าจะรู้เรื่องกลับไม่รู้เรื่อง ให้ดิฉันช่วยอธิบายตอบ

สายปัญญา สายศรัทธา เป็นมาแต่กำเนิด

พ่อครูว่า...ใช่ ท่านแบ่งเป็นสาม ปัญญาธิกะ วิริยาธิกะ สัทธาธิกะ แต่ขั้วจริงๆมีสองอย่าง มีปัญญานุสารีกับธัมมานุสารี

หนึ่งฟ้าว่า...ดิฉันเดาเอาว่า คราวที่แล้วพ่อท่านตอบว่า สายปัญญาเดี่ยวๆได้แต่สายเจโตต้องประกบคู่กับศรัทธา

ดิฉันเดาว่า วิริยาธิกะ สัทธาธิกะน่าจะมาจากแต่กำเนิด

 

พ่อครูว่า...มันมีสายของมัน ศาสนาเทวนิยมเป็นเชิงเจโต ศรัทธา

หนึ่งฟ้าว่า...เชื่อมเจโตกับปัญญาที่ว่า สายปัญญาเดี่ยวๆได้แต่สายเจโตต้องประกบคู่กับศรัทธา

 

พ่อครูว่า...สายเจโต ต้องมีปัญญาร่วม หากไม่มีความเฉลียวฉลาด
เท่ากับปัญญา ก็จะเป็นได้มากเป็นแค่ศาสดา เทวนิยม ต้องเป็นสองขั้วตลอดการทำให้เป็นหนึ่งไม่ได้ ทำให้เป็นหนึ่งไม่เป็น จึงทำให้เป็น 0 ไม่ได้ จึงไม่มีนิพพาน จะต้องเป็น 2 นิรันดรด้วย ถ้าไม่สามารถทำให้เป็นหนึ่งเป็นศูนย์ได้

 

_หนึ่งฟ้าว่า...ความศรัทธามีการเชื่อถือเชื่อมั่นเชื่อฟังมีความสัมพันธ์กับ วิริยาธิกะ สัทธาธิกะหรือไม่

พ่อครูว่า..คุณไปจับภาษามาใส่กันเฉยๆ มันไม่ใช่ ไปใส่กันทีเดียวไม่ได้ มันบอกนัยยะคนละมิติ คนละ Dimension เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งจับใส่อะไรมากมาย เอาแต่ที่พอเข้าใจ หลายอย่างอาตมายังอธิบายไม่ได้

วิริยาธิกะคือคนกระเทย จะเป็นปัญญาก็ไม่ใช่เป็นศรัทธาก็ไม่เชิง จึงเป็นเรื่องยาวนานช้านาน จะเป็นศรัทธาก็ไม่จริงมีปัญญาก็ไม่จริง เหมือนกับคนจะเดินทางไปอเมริกา อเมริกาอยู่ตรงกันข้ามกับของไทย

ศรัทธา จะอยู่ประเทศไหนก็แล้วแต่ จะไปอเมริกาเลย เขาไม่อยู่จุดกลางก็ตาม เขาก็เดินทางไปเลยก็จะถึง คนที่เริ่มต้นด้วยทางที่ใกล้เข้าไปถึงแล้ว ไม่คนที่ไกลเกินไปก็จะถึง

แต่วิริยาธิกะ เดินทางไปตรงนี้บอกว่าไม่ถูกอีก ก็ต้องไปทางอื่นอีกวนไปวนมาเลยไม่ถูกสักที

เกร็ดดินว่า...มันมี สัทธา สัทธินทรีย์ สัทธาพละ

พ่อครูว่า...คุณสมบัติของจิตที่พระพุทธเจ้าท่านให้สร้างเป็นอินทรีย์พละ สายศรัทธา สัทธานุสารีกับ ธรรมานุสารี ก็จะเป็นขั้ว ก็ต้องมาสร้าง อินทรีย์ 5 พละ 5

สายปัญญาเป็นสายตรงจึงสร้างง่าย ใช้เวลาบรรลุแค่ 20 อสงไขยกับเศษแสนกัป ส่วนสายศรัทธานั้น 40 ส่วนสายวิริยาธิกะนั้น 80

 

_แสงแก้ว..สายปัญญาธัมมานุสารี ….สายเจโตจะดิ่งๆ พ่อท่านเทศน์ว่า เนื้อสัตว์ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอาหารของคน สายศรัทธาเขาก็ไม่กินได้เลย แต่แสงแก้วไม่ใช่สายเจโต เราก็ปฏิบัติกับการ ผัสสะ เรานั่งดูเพื่อนกินเนื้อสัตว์อยู่กับเพื่อน เราก็จับอาการเวทนาของเราขึ้นว่ามันเกิดความอยากเกิดขึ้นแล้ว แสงแก้วรู้นะว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ขนาดนั้นต้องเป็นวินาทีนั้นที่เราพิจารณาคำว่า การกินนี่มันเป็นเหตุแห่งการฆ่า เรากำลังเกิดความอยาก เราก็กระหนาบมัน เรายังไม่เก่ง ตอนแรกเราก็จับ แล้วใช้สมถะนิดเดียวแต่ก็ใช้ปัญญาเลย แสงแก้วพิจารณาว่าเมื่อกี้นี้มันแรงอยากกินแต่ปัญญาทำให้อาการมันลด วันต่อไปก็นั่งกินอีก คราวนี้มันไม่แรงเหมือนเมื่อวาน มันลดลง ทำมันอีก มันกระดิกอีก เราก็ปหานมันอย่างนั้นจนกระทั่งมันเฉยมันว่างจากเนื้อสัตว์ เราผัสสะอีก จิตเราไม่เอาแล้ว ขั้นแรกเราเห็นอาการมันลดก็ โสตาปันนะ ต่อมาก็อวินิปาตธรรม จนนิยตะ สัมโพธิปรายนะ

 

_ หายโง่...ดิฉันเคยทำอาชีพประกันชีวิต ในบริษัทที่ใหญ่และกำลังจะร่ำรวย กำลังจะได้เงินเยอะ แต่มีความคลางแคลงใจว่าอาชีพนี้มันถูกหรือเปล่ามันเป็นมิจฉาหรือไม่ ตอนนั้นเดินผ่านพ่อครู จึงถามท่านว่าเป็นมิจฉาหรือไม่ พ่อท่านบอกว่า ให้ไปลาออกเสีย ตอนนั้นก็เลยไปลาออกเลย ตอนนั้นมีความศรัทธายังไม่มีปัญญาเท่าไหร่ ตอนหลังมาคิดได้ว่าถ้ามีปัญญาก่อนคงไม่ลาออก

พ่อครูว่า..ความศรัทธานั้นเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าหากศรัทธาคนที่พูดก็จะทำเลย หากสายปัญญาจะยึกยักๆ อย่างแสงแก้วนี่

 

_นักรบธรรม..อรหันต์นี่นะครับ ศรัทธากับปัญญา ผมไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรหรอก แม้เขาจะบอกว่า พวกสายศรัทธาเจโตจะช้าไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว แต่ผมก็มาดูที่พ่อครูสอน ที่เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์ทั้งหลาย ผมก็ดำเนินตามพ่อครู พระโพธิสัตว์ก่อน พ่อครูประกาศอรหันต์ทีหลัง ผมก็ดำเนินตาม ทุกผัสสะ เราจะใช้ในการบำเพ็ญบารมีให้ถึงอรหันต์ได้ โดยไม่ต้องเจอแต่ปัญญาและศรัทธา ถึงอรหันต์นั่นแหละคือปัญญาที่พระพุทธเจ้าหมาย

พ่อครูว่า...คุณเข้าใจกลับหัวกลับหางก่อน ที่จริง อรหันต์ต้องเกิดก่อนโพธิสัตว์ หากไม่มีพระอรหันต์ก็เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน จะทำใจจากที่เราแคร์คนอื่นมากเกินไปอย่างไร

_คุณเกื้อกูล...เมื่อ 20 กว่าปีก่อน พ่อครูเคยบอกว่า อยากให้พวกเรารู้สึกเหมือนภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก แคร์ความรู้สึกคนอื่น แต่ที่ฉันแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากจนเศร้าใจทำอย่างไรจึงจะลดความแคร์คนอื่นให้น้อยลง เพื่อนร่วมงานเราเจริญธรรมเขาทุกวัน แต่เขาก็ยังโกรธเรา

พ่อครูว่า..คุณเองจะไปถือสาเขาทำไม เขาจะมีความโกรธอยู่ประจำไม่ทิ้งความโกรธก็ให้เขาอยู่อย่างนั้นเป็นร้อยชาติพันชาติก็ไม่เป็นไร เราก็ทำดีแล้ว มั่นใจว่าเราทำดีแล้วเราก็ทำไป คนอื่นเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง ไปทำดีขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา คุณจะไปเอาให้ได้ดั่งใจอยากที่เขาเป็นให้อย่างที่คุณต้องการ มันเป็นไปได้อย่างไรคุณเป็นใครจึงบังคับให้เขาทำสิ่งต่างๆที่คุณต้องการได้ คุณยิ่งกว่าพระเจ้าไหม

 

_คนที่ตกภพ อยู่วัดมา 20 ปีแต่ไม่เลื่อนผ่านเพราะเขาโง่ สมณะสิกขมาตุ รู้ว่าเขาบกพร่องอะไรช่วยบอกเขาด้วย ที่เขายังไม่พัฒนาเพราะว่ายังไม่รู้ข้อบกพร่องตัวเองก็ได้

พ่อครูว่า...ก็ตกภพ หมายความว่า คุณไม่ค่อยจะมารับรู้ภายนอกที่สัมผัสกับภายนอก คุณสัมผัสอะไรก็ดูไม่ค่อยมีความรู้สึกตอบรับกับคนอื่นเท่าไหร่ คุณกลายเป็นเฉยเมย อยู่กับตัวเองมากเกินไป ก็อยากให้มารับฟังโอภาปราศรัยมีความยิ้มแย้มมีความรู้ คนอื่นก็จะ เจริญธรรม คุณก็เฉย เขาจะทักอะไรคุณก็เฉย ก็อยากให้ออกมามีความตอบรับ ต่อกันและกันเกิด responding ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรเลย

 

_คุณเกื้อดิน...ดิฉันเคยอ่าน 54 พระอรหันต์ แล้วก็สังเกตว่า อรหันต์ชายท่านจะพบกับพระพุทธเจ้าไม่มากพระองค์ อยากถามว่าเราเป็นผู้หญิง ถ้าเจอพระพุทธเจ้าตั้งหลายองค์ กว่าจะเป็นอรหันต์ได้ มันจะไม่นานหรือ

พ่อครูว่า..จริงๆแล้วมีนัยซับซ้อน หญิงนี่เชิงสายปัญญา เขาถือว่าเป็นสาย Dynamic สายปัญญา ส่วนชาย สาย Static เจโต โดยค่ารวมใหญ่ๆ แต่จริงๆแล้วมันซับซ้อน

สายปัญญา มันไม่ใช่ปัญญาแต่เป็นความฟุ้งซ่าน มันเป็นการวุ่นวายมาก ก็เลยลงยากเพราะฉะนั้นพระสารีบุตร 15 วันจึงได้เป็นพระอรหันต์ ส่วนพระโมคคัลลานะ 7 วันก็บรรลุ รู้มากยากนาน มันสรุปไม่ค่อยลง

นี่ก็ว่าจะจบหนังสือคนจนที่มีแบบ เดี๋ยวก็มาแก้อีกแล้วมันละเอียดดี จะตัดรอบก็เมื่อย รู้มากยากนาน

 

_พระโพธิสัตว์กวนอิมใช่พระอวโลกิเตศวรหรือเปล่าครับ แล้วท่านเป็นพระโพธิสัตว์ระดับใด

พ่อครูว่า...ไม่รู้ ก็ต้องไปถามพระโพธิสัตว์ คือมันตรงกับประวัติเล่ามา อาตมาก็ไม่สามารถจะไประบุอะไรได้ จะบอกว่าเป็นพระอวโลกิเตศวรก็ใช่ เป็นปางหนึ่งปางผู้หญิง เป็นเรื่องเล่าที่จะได้เกิดความเข้าใจ จริงๆแล้วจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ไม่รู้ตำนานนี้มันนานมามาก ก็เอาประโยคที่ว่าเรารู้ว่าควรรู้ลักษณะความหมาย คุณธรรมแบบนี้มีอยู่ในตัวเอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน จะรู้กรรมฐานอ่านเวทนาตนได้อย่างไร

_ทำอย่างไรเราจะรู้เท่าทันความรู้สึกที่เป็นกิเลสของตัวเองครับ

พ่อครูว่า...ก็ต้องมาเรียนดูอาการอารมณ์ความรู้สึก อ่านเวทนาให้รู้ ก็คือความรู้สึก อ่านรู้ คุณอยากรู้ความรู้สึกมันง่ายหรือ ฝึกไปเถอะ มาฝึกอย่างที่อาตมาพาทำ ทำอย่างไรก็ทำอย่างที่อาตมาสอนแนะนำ ไปที่อื่นช้ากว่านี้ ยิ่งไปย่างหนอก้าวหนอจะช้า แทนที่จะฝึกให้รู้ได้เร็วแต่ก็ไปฝึกย่างหนอก้าวหนอมันก็ไม่ทันกิน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบนี้ ไม่รู้อาจารย์คนไหนมาฝึกวิธีนี้ขึ้นมา สอนกันเต็มแล้วก็รับรองกันด้วยว่า เป็นวิธีการที่ถูกต้อง มันเป็นสายเจโตมันถูกต้องกับความรู้สึกตัวเอง แค่นั่งหลับตาหยุดสะกดจิต เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเป็นเรื่องของวิธีการ

 

_กรรมฐานคืออย่างไร

พ่อครูว่า...กรรมฐานคือจุดที่เราจะปฏิบัติ ฐานที่เราจะปฏิบัติ ตำแหน่งแห่งที่ที่เราใช้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นกรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนาเท่านั้น ความรู้สึกเท่านั้น อันอื่นไม่ใช่เลย อันอื่น จะเรียกว่าเป็นกสิณ แต่กรรมฐานกว้างกว่ากสิณ ว่าจะมาปฏิบัติก็ต้องใช้กสิณ สายไหน เมื่อมีสัมมาทิฏฐิก็จะปฏิบัติถูก เท่านั้นเอง

สรุปแล้วกรรมฐานคือจุดที่เราจะปฏิบัติ ให้อ่านเวทนา แม้ว่า กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ก็เป็นเวทนาที่เป็นตัวหลัก เพราะว่าเวทนาเป็นฐานของการปฏิบัติในพระไตรปิฎก พรหมชาลสูตร ข้อ 50-60 ไปข้อหลังๆ

ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

แม้ในมูลสูตรก็ตาม ก็ต้องมี เวทนาเป็นที่ประชุมลง ผัสสะเป็นเหตุ(สมุทัย)

แต่ไม่รู้ไปเรียนอย่างไรไปนั่งหลับตากันเต็มไปหมด ในประเทศไทยอาตมาถึงได้เหนื่อยจริงๆ เพราะเขาไปยึดมั่นถือมั่นกัน พระอาจารย์ใหญ่ชื่อว่าอาจารย์มั่นก็ไม่รู้ ไม่กระดิกเลย ไม่ฉุกคิดเลยว่า อยู่ด้วยกันนั่งหลับตา มันไม่มีในหลักการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า เป็นของเดียรถีย์

อ่านพระไตรปิฎกไม่แตก พระพุทธเจ้าเกิดมาก็มีแต่เดียรถีย์ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็มาสร้างสมาธิของท่าน ในมหาจัตตารีสกสูตร ก็มีว่าไว้ ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ก็มีสัมมาสมาธิ หากไม่มีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ก็ไม่มีสัมมาสมาธิ

มรรค 7 องค์คือ ในการทำอาชีพ การกระทำ การพูด การคิด มีทิฏฐิ แล้วมีสติกับความเพียร  แล้วก็จะตกผลึกเป็นสัมมาสมาธิ สมาธิของพุทธเจ้านั้นไม่ใช่จิตที่นิ่ง แต่เป็นจิตที่แววไว แข็งแรงตั้งมั่น มีมุทุภูตธาตุ รวมให้เป็นหนึ่งได้เร็ว นั่นคือสมาธิ คือแข็งแรง คือสมาธิตั้งมั่นทำได้เร็ว ไม่ใช่การนั่งหลับตาและหยุด อย่างนั้นมันเป็นสมถะไม่ใช่สมาธิ

การไปนั่งหลับตาปฏิบัติได้เป็นสมถะ สมาธิต้องปฏิบัติแบบลืมตาตลอด แล้วสะสมเป็น อินทรีย์ 5 พละ 5 ปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติอย่างนี้ไม่มีทางเป็นไปได้

ธรรมะของพุทธนั้นผิดไปไกล ทั่วไปยึดมั่นถือมั่น อาตมามาในปางนี้ยุคนี้มาแก้ความผิดก็เหนื่อยหน่อย แต่ไม่รู้ทำไง เรามาทางนี้ซะแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน จะมีศิลปะในการชี้ขุมทรัพย์ได้อย่างไร

_การจะใช้ศิลปะในการชี้ขุมทรัพย์เพื่อนเราจะมีวิธีอย่างไร นอกจากเราใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เราจะมีศิลปะเช่นไร

พ่อครูว่า...ต้องเข้าใจว่าศิลปะหมายถึงเช่นไร ศิลปะหมายถึงความรู้ แต่ทุกวันนี้ศิลปะหมายถึงความเพ้อเจ้อเลอะเทอะ คิดอะไรขึ้นมาได้ก็เป็นศิลปะ แท้จริงแล้วศิลปะเป็นมงคลอันอุดม ศิลปะแปลว่าความรู้ที่จะนำไปสู่โลกุตระ เป็นสิ่งที่จะนำพาไปสู่ความเจริญ

หากเอามาใช้ประกอบอันนี้ สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 แล้วจะเกิดพฤติบทของศิลปะขึ้นมา เช่น สัปปุริสธรรม 7ต้องรู้

1.   ธัมมัญญูตา   (รู้จักทุกองค์ประกอบ) 

2.   อัตถัญญูตา   (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย)

3.   อัตตัญญูตา   (รู้จักตนเอง)

4.   มัตตัญญูตา   (รู้จักประมาณจัดสรรสัดส่วน)

5.   กาลัญญูตา   (รู้จักกาลสมัย)

6.   ปริสัญญูตา   (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น) .

7.   ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น)

(พตปฎ. เล่ม 23  ข้อ 65)

 

เวลาคนจะไปบอกไปเตือนเขาต้องรู้จักกาละ มีกาลัญญุตา ต้องรู้ว่า โอกาสนี้บอกไม่ได้ เดี๋ยวโดนหางเลข แล้วต้องรู้ปริสัญญุตา อยู่ในหมู่ชาวอโศก จะใช้ศิลปะอย่างไรคุณง่าย แต่ในบางวงคุณโดนแน่ ในบริษัทไหนท้วงได้ดี

สุดท้ายอันที่ 7 มัตตัญญุตา จะต้องประมาณทั้ง 6 ด้านให้ได้ดี นี่คือศิลปะ มันง่ายที่ไหน ยิ่งมหาปเทส 4 ต้องใช้ความรู้ของตัวเอง ท่านไม่ได้บัญญัติ เอาของพระพุทธเจ้ามาใช้ไม่ได้เพราะไม่มี จึงต้องเอาของตัวเองมาใช้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ปัญญากับสัญญาอันไหนมาก่อน

_คุณเทียนดิน...ปัญญา สัญญา อันไหนมาก่อนอันไหนมาหลัง และ สัญญาเป็นโลกียะใช่ไหม ปัญญาเป็นโลกุตระใช่ไหม

พ่อครูว่า…ปัญญากับสัญญา ...สัญญาเป็นได้ทั้งโลกียะและโลกุตระ ส่วนปัญญาเป็นโลกุตระถ่ายเดียวไม่เป็นโลกียะ แต่ทุกวันนี้มันได้ผิดเพี้ยนไปแล้ว สัญญาเป็นธาตุรู้ที่กำหนดรู้แล้วเรียนประพฤติ กำหนดรู้โดยโลกียะ คุณก็มีธาตุรู้กำหนดรู้ แต่กำหนดรู้มันไม่ได้เข้าใจโลกุตระ มันก็มีแต่โลกียะ เป็นความดีความชั่วเท่านั้น ปัญญานั้นมันต่างจากสัญญาตรงที่ว่ามันเป็นความรู้ที่เข้าไปดูกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดได้ เป็นปุญญาหรือบุญ

ถ้าปัญญาไม่เกิดรู้กิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสลดก็ไม่เกิดปุญญา แต่คุณเป็นพระโสดาบันจับตัวกิเลสได้แล้ว พ้นวิจิกิจฉา แต่ไม่กำจัดเสียที เป็นสีลัพพตปรามาส ไม่ได้เป็นโสดาบัน หากกำจัดกิเลสได้เป็นปุญญะ รู้จิตเจตสิกได้เป็นอภิธรรม

สัญญาเป็นตัวกลางๆ เป็นโลกียะก็ได้ แต่ถ้าเป็นตัวรู้กิเลส กำจัดกิเลสได้เป็นโลกุตระไปตามลำดับ

_คุณเทียนดินผู้ปฏิบัติธรรมสกิทาคามี อนาคามีและอรหันต์ หมดเวทนาหรือยัง

พ่อครูว่า...หากจะหมดเวทนาต้องดับความรู้สึกเป็น อสัญญีสัตว์ ภาษาที่ถามคือ จะสำเร็จเวทนาเป็นอุเบกขาเวทนา แต่ถ้าบอกว่าหมดเวทนาเป็นไปได้อย่างไร

 

 

_แก่งธรรม...ผมเคยถามสิกขมาตุผุสดี ..ว่าพ่อท่านมี ปกติอุเบกขา 5 แต่ท่านรวดเร็วมาก ผมก็เลยสงสัยว่า พ่อท่านเคยพูดผิดได้ สิกขมาตุตอบผมว่าพ่อท่านวางแล้ว

พ่อครูว่า...สัญญาวิปลาสได้ ก็ใช่อาตมาไม่ได้ติดอะไรก็เลยเป็นอุเบกขาสมบูรณ์แบบ ทำแต่ในปัจจุบันอดีตกับอนาคตไม่ยึดถือ

แก่งธรรมว่า...ผมว่าอุเบกขา 5 มันเร็วมาก

พ่อครูว่า..มุทุภูตะธาตุอาตมาไม่เร็วพอ และสอง สัญญาอาตมาไม่ดีพอ ยังกำหนดพลาดสภาวะอย่างนี้จะใช้พยัญชนะอย่างนี้ก็พลาด

 

_คุณชญาดา...หนูเป็นคนขี้ขำ เห็นอะไรผ่านออกมาในวงจรชีวิต ก็เห็นเป็นเรื่องขำและสนุก เลยกลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ จะทำตัวอย่างไร มันก็เกิดปัญหาชีวิต พ่อครูเทศน์คราวที่แล้วบอกว่าเห็นอะไรชอบใจก็ยิ้มได้แต่อย่าไปหัวเราะคนเดียว เลยถามพ่อครูว่า...มีแนวทางที่จะปฏิบัติตัวเองอย่างไรให้ขำน้อยลง

พ่อครูว่า..ไม่เป็นไรหรอกเราเป็นคนร่าเริงเบิกบานสนุก ขี้ขำ ขี้เล่น อาตมาว่าคุณไม่ได้ขำเวอร์มากมายเกินไป ไม่เป็นไร คนขำนี่ เรียกว่า humorist

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ศรัทธากับปัญญาต้องใช้คู่กัน

_คุณกิ่งธรรม...สงสัยเรื่องที่ พี่หายโง่ถาม ว่าโสดาฯที่เชื่อพ่อท่านเป็นสายศรัทธาแต่เขามีปัญญารู้ว่าควรเชื่อใคร แสดงว่าเขาต้องมีปัญญารู้ว่า ใครเป็นคนที่ควรเชื่อ จะตัดสินว่าเขาเป็นสายปัญญาหรือศรัทธา ก็ยังสงสัยว่า หากเขาสายศรัทธาจะตัดไม่ได้ทันที แต่การที่เขาตัดได้เลยน่าจะเป็นปัญญา

พ่อครูว่า..มันก็คู่กันคุณแยกไม่ง่ายหรอก ต้องใช้ร่วมกันเสมอ พ่อครูว่า...ศรัทธารู้ได้เร็วตัดได้เร็วกว่าปัญญา พระโมคคัลลานะ 7 วันพระสารีบุตร 15 วัน มันมีความซับซ้อนที่จะกลับไปมา อาตมาอธิบายไม่เก่งในเรื่องความซับซ้อนเหล่านี้เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน กลับไปกลับมา อาตมาอธิบายว่าเป็นเรื่องเต็มๆว่า สิริมหามายา เป็นเรื่องเหมือนนักเล่นกล จึงเป็นคนเหมือนมีหรือไม่มีกันแน่เหมือนคนขี้หลอก กลับไปกลับมาอยู่เรื่อย แท้จริงผู้ที่มีปัญญาเป็นความจริงใจเป็นพระอริยะแล้วจะไม่มีความหลอก แต่มันเร็ว อาตมาใช้คำ ว่าหมุนสมองให้ทันสมัย อโสโกก็ใช้คำนี้ หากไม่หมุนสมองให้ทันสมัยจะงง ปัญญากับศรัทธานี้จะกลับไปกลับมา

ที่ถามมา ไม่น่าจะไปถามเป็นเรื่องธรรมชาติ พวกสายพวกนี้ จะไปบังคับไม่ได้ แม้อัครสาวกจะต้องมีสายปัญญากับศรัทธา

 

_จากศีรษะอโศก ลูกพิจารณาตัวเองด้วยเนื้อสัตว์ด้วยหลักธรรมะ 2

พ่อครูว่า..ธรรมะ 2 นี้จะต้องใช้ตลอดเพื่อตัดสิน เป็นสุดยอดแห่งหัวใจศาสนาเลย ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ทำให้ธรรมะ 2 เป็นหนึ่งได้แต่ยังไม่เป็นสองทั้งหมดเพราะยังเหลือเนื้อเทียม

พ่อครูว่า...คุณก็ผ่านในสิ่งที่คุณผ่าน สิ่งที่คุณไม่ผ่านก็ยังถามอยู่ คุณยังเหลือเนื้อเจอยู่ ยังเหลือเนื้อเทียมอยู่ จะไปหลงรูปมันทำไม อาตมาว่า มันไม่น่าจะหมายความว่า คุณต้องไปซื้อ ที่เขาปั้นเป็นรูปเป็ดไก่มากิน  มันมีรสชาติที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์

เขาปลอมเป็นรส คุณก็ค่อยๆลดลง คุณก็กินสิ่งที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์แล้ว มันมาเป็นรูปเป็นรสอย่างนี้ สัมผัสแล้วเป็นเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างนี้ ก็หัดวางใจอย่างนี้ รสอย่างเนื้อวัว เนื้อไก่ รสแบบไหนก็แล้วแต่

 

_น้อมยอดธรรม..ขอบอกว่า ศรัทธาเชื่อมั่นตั้งมั่น คงจะมีปัญญาบ้าง ดิฉันก็มีอาการ ในร่างกายนอก เจ็บซึ่โครงมาหลายวันแล้วแต่ไปทำงานไม่เคยเรียกร้องว่า ต้องให้ใครมารักษา แต่ดิฉันก็ทำงานอะไรที่พอทำได้ กระดูกไม่ได้กระแทกอะไร ถามใจตนเองว่า เหมือนกายนอกเจ็บปวดแต่กายในเราทำงานเราก็ไม่ได้เป็นทุกข์เป็นสุขอะไรกับมัน เพราะว่ากายในกายเราช่วยกายนอกได้ใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...มันทำได้แต่ว่ามันไม่ควร คุณเป็นที่สรีระของคุณ มันไม่บริบูรณ์ไม่สมดุล คุณก็ต้องไปให้เขาตรวจ เขารักษาได้ หรือคุณรักษาเอง อย่าไปปล่อยให้เรื้อรังจะเป็นปัญหา

 

_น้อมยอดธรรม...มันเป็นวิบาก

พ่อครูว่า...ศัพท์ไทยว่าเจียมสังขาร อย่าถือว่าเราหนุ่มแน่นนะ หัวขาวแล้วนะ

 

_สส.ธ.เพชรแสงธรรม...วันนี้ผมขอโอกาสถามคำถาม..ตอนนี้ผมก็ปิดเทอมอยู่ที่วัด ตั้งจิตกับตัวเองไม่จริงจังมาก ว่าจะอยู่เข้าพรรษาที่บ้านราช แต่อยู่ไปอยู่มาก็อยากจะปิดเทอม มีคนมาถามว่าไม่เหงาหรือไม่กลับบ้าน ก็เกิดความรู้สึกเดือดร้อนขึ้นมาอยากกลับไปเฮฮา คิดถึงมากเลยครับ ก็ขอถามว่า เราจะต่อสู้ เอาชนะความรู้สึกนี้อย่างไร แล้วการที่เราปิดเทอมแล้ว อยู่วัด มีประโยชน์มากกว่าการอยู่บ้านไหม

พ่อครูว่า...ตอบเองแล้ว เรารู้ว่าอยู่วัดมันจะได้ประโยชน์มากกว่าอยู่บ้าน เราก็อยู่เอาประโยชน์ดีกว่า อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์เราจะไปทำไปทำไม จะไปรื่นเริงสนุกสนานเสร็จแล้วก็ตกต่ำไม่ได้ประโยชน์ เราก็รู้อยู่แล้วว่ากลับบ้านไปจะเจออะไรบ้าง อยู่ที่นี่เราจะเจออะไรบ้าง

_สส.ธ.เพชรแสงธรรมว่า..บางทีก็ถามตัวเองว่ากลับไปทำไม กลับไปก็จะถือศีลได้ยากขึ้น

พ่อครูว่า...เอาคุณค่าประโยชน์เป็นตัวตัดสิน

 

_ผมไม่เคยเห็นพ่อท่านหาว

พ่อครูว่า..ถ้าหากร่างกายต้องการพักผ่อนจะเกิดอาการหาว ที่มันหาวมากคือคนไปติดนอน คนติดนอนมากๆ ก็อยากจะนอนมากๆ ก็หาว คนที่หาวก็เลยฟ้องว่าติดนอน แต่อาตมาไม่ติดนอน ร่างกายพักไม่พอก็หาวบ้าง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน ตอนอยู่ในห้องน้ำพ่อครูคิดปรุงอะไรบ้าง

_คนนั่งในห้องน้ำมักจะปล่อยให้จิตใจฟุ้งซ่าน เวลาพ่อท่านนั่งห้องน้ำคิดปรุงอะไรบ้างครับ

พ่อครูว่า...อาตมาเองยิ่งไม่มีข้างนอก อยู่คนเดียวหรือนอน หรือในห้องน้ำ แน่นอนก็ขบคิดอะไรของเรา เพราะว่า หนึ่งเราจะพักไม่คิดอะไรเลยอาตมาก็ทำได้ ให้จิตมันเป็นกลางอาตมาก็ทำได้ คนที่จะต้องฝึกฝนก็ต้องฝึกให้จิตแข็งแรงตั้งมั่น หมายความว่า สมาธิชนิดหนึ่ง ให้จิตเป็นอุเบกขา เฉยว่าง สายสมถะ ก็พยายามศึกษาฝึกฝน มันจะได้ต้องกดข่มเอาไม่งั้นไม่ได้ แต่อย่างพระพุทธเจ้าพาทำนี้ได้เป็นความว่างอุเบกขา ที่ไม่ต้องกดข่มอะไร อยู่ก็สบาย จะคิดก็คิด ไม่คิดก็ไม่คิด จะไม่คิดอะไรเลยอยู่เฉยๆก็ได้ แต่จะอยู่เฉยๆเพราะว่าเราต้องการพักผ่อนไม่ใช้แคลอรี่อะไร ก็ได้ แต่ถ้าเผื่อว่าเราพอก็อยู่ว่างๆ ถามว่าในห้องน้ำคิดอะไรก็คิดธรรมะ เยอะเรื่องที่ได้จากห้องน้ำ เพราะว่าไม่มีอะไรสัมผัสเรา อยู่ข้างนอก คนก็จะถามเราต้องพูดกับเขาแต่อยู่ในนั้นเราก็คิด ทำว่างได้ก็ทำ แต่เราพักพอแล้วไม่ต้องว่างหรอกก็คิด อะไรควรคิด

ถ้าคนที่ยังไม่บริสุทธิ์ไม่เป็นอรหันต์หรือไม่เป็นอนาคามีเป็นต้นไป จะมีกาม พยาบาทฟุ้งแรง อนาคามีจะฟุ้งเท่าที่เขาเหลือรูปราคะ อรูปราคะ

อนาคามีสัมผัสภายอก ไม่มีพฤติกรรมโต้ตอบ ไม่มี Action Reaction กับรูปภายนอก มันสงบแล้ว อนาคามี

อนาคามี ไม่ได้หมายความว่าหลับตาอยู่ในภพ อนาคามีลืมตาสัมผัสแตะต้องแล้วไม่เกิดกิเลส ข้างนอกดูแล้วเหมือนพระอรหันต์แต่ดูได้ยาก จะไม่โกรธไม่โลภ เพราะว่า ข้างนอกไม่แสดงออกทางพฤติกรรมภายนอก แต่ข้างในมันมีเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้นคนที่กดข่มไว้ แต่มีสภาพรูปธรรมอนาคามีก็กดไว้ แต่กดไม่ได้ก็ออกมา แต่กดได้ก็ไม่เป็นอนาคามี อนาคามีแท้ สัมผัสแล้วภายนอกมันก็ไม่เกิดอาการ กาม พยาบาทภายนอกเลย จะมีแต่ภายในไม่ออกภายนอก อนาคามีต้องรู้ภายนอกตัวเอง เวทนาอารมณ์ของเรามีกิเลสปรุงอยู่นะมีตัวร่วม เรียกสสังขาริกัง ตัวร่วมตัวปรุงเป็นกาม พยาบาท เราก็ทำการพิจารณา มันมีตัวจริงเป็นผีหลอก อนัตตา เหลือทุกข์ของอนาคามี

 

_นักรบธรรม...เราจิตว่างแต่ไม่ว่างในความคิด

พ่อครูว่า...ได้ ว่างจากกิเลสต้องไปอ่านมหาสุญญตสูตรหรือจูฬสุญญตสูตร คุณต้องแยกกิเลสออกจากจิตให้ได้ กิเลส หยาบ กลาง ปลาย ต้องแยกกิเลสออก จิตคุณว่างจากกิเลสนั้นคือจิตว่าง แต่ไม่ได้ว่างจากความคิดความรู้ความเข้าใจ เป็นคนเต็มมีความรู้ที่เต็มสัมผัสอะไรก็รู้เต็ม แต่ไม่มีกิเลสเข้ามาร่วม ปรุงแต่ง เรียกจิตว่างก็ได้ กิเลสหมดไปแล้วจิตของคุณก็ว่างเองไม่ต้องทำ สัมผัสอะไรในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ คุณก็ไม่ได้มีกิเลสโลภ อาฆาตพยาบาทอยากได้หรืออยากทำลายก็ไม่มี ไม่ต้องกดข่ม

ปฏิบัติของพระพุทธเจ้านั้นปฏิบัติที่เดียว กิเลสหมดแล้วก็หมดเลย แต่ทำกดข่มอย่างที่ทำอย่างเขา ทำแล้วต้องทำใหม่ ยิ่งไปหลับตา ทั้ง 5 ทวารไม่ปฏิบัติประพฤติลดกิเลสแล้วไปหลับตา กิเลสที่อยู่ในสัญญาไม่ใช่ปัญญาด้วย แล้วไม่มีวันจะพ้นทุกข์ไม่มีวันเป็นอรหันต์ พวกนั่งหลับตาปฏิบัติ กาหน้าเลย ไม่มีทางได้เป็นอรหันต์ และไปหลงคิดว่าการนั่งหลับตาจะได้เป็นอรหันต์ ซวยมหาซวยเลย พระพุทธเจ้าต้องมาแก้ไข

แบบพวกฤาษีนั้นง่าย แต่ของพระพุทธเจ้านั้นมันก็อาจจะยากหน่อย แต่ว่าถ้าเข้าใจดี เป็นสัมมาทิฏฐิก็จะไม่ยาก

 

สรุป...รายการสำมะปี๋กลายเป็นการมาถามปัญหาถามประเด็น แทนที่จะมาคุยเรื่องชีวิต ปรึกษาเรื่องนั้นเรื่องนี้เลยมีแต่ประเด็นถามปัญหาธรรมะทั้งนั้น แสดงว่าความเป็นอยู่ของชีวิตมันไม่มีปัญหามาก บางคนก็มี เปรยบ้างแต่น้อย นอกนั้นถามปรมัตถ์ อจินไตยอยากรู้จัง ธรรมะลึกๆนี่ หรือว่าอยากแสดงภูมิว่าฉันมีธรรมะลึกมาโต้ ก็ดูตัวเองบ้างบางทีเราอย่างโสดาบันยังไม่ได้ว่าไปถึงอรหันต์เลย เกินภูมิไป ดูตัวเองบ้าง ดูตัวเองบ้างอัตตัญญุตา ตัวเราเท่าใด ไม่ต้องถามเผื่อคนอื่นหรอก ถามเผื่อตัวเองก็พอ ก็ดีทุกคนวันๆอย่างนี้ นี่ยังดีนะ มากหน้าหลายตา อาตมาคุ้มค่าในการแสดงธรรม ...จบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:40:50 )

610827 

รายละเอียด

610827  อาริยสัจ 4 ปริวัติ 3 อาการ 12 คืออย่างไร  

. ดินไท    :  กราบเรียนถามพ่อท่านที่ว่าการกำหนดรู้ทุกข์ในปริวัติ 32 กตญาณ กิจญาณ  สัจจญาณ แล้วก็มีอะไร

พ่อครู  :  ก็แค่นั้น 3 กับ 4 เป็น 12  4 ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ มรรค กำหนดรู้ทั้ง หนึ่ง สัจจะ สอง จิต สาม กต

. ดินไท      : วิธีปฎิบัติ

พ่อครู   : สัจจะ คือ ความจริง แต่อันที่หนึ่ง คือ รู้ทุกข์ ก็รู้ต้องรู้ความเป็นทุกข์อย่างจริง  แล้วก็กิจ ก็ทำกิจ เมื่อรู้ทุกข์ก็จะทำยังไง ก็ต้องทำกิจ เอามันออก  รู้ทุกข์ก็ต้องมีกิจเอามันออก แล้วก็กต ทำแล้ว นั่นคือสาม สามรอบสุดท้าย กว่าจะสามรอบสุดท้ายก็ต้องมี พลังวัตร พลวัตรก่อน ก็ต้องมีการ dynamic ต้องมีการทำงาน ต่อมาก็มารู้เหตุ รู้เหตุ ต้องพยายามเหตุคือนี่เป็นสัจจะหรือเปล่า เหตุเป็นสัจจะ เหตุต้องฆ่า เหตุต้องกำจัด โดยกิจโดยการกระทำ โดยกิจก็จะต้องฆ่า ถ้าฆ่าแล้วก็คือกต ก็ต้องมีพลวัตรเหมือนกัน สาม นิโรธ ตอนนี้ จะเสร็จละ ก็ต้องรู้ว่านี่คือนิโรธละนะ นี่เราดับได้ละนะ  เริ่มดับได้ 1ครั้ง ดับได้ 2 ครั้ง ดับได้ 5 ครั้ง ดับได้ 36 ครั้ง ลดได้ 72 ครั้ง ลดได้ 108 ครั้ง 36 36 36 อะไรก็แล้วแต่

.แสนดิน : ทำทุกปัจจุบัน

.ดินไท : จะต้องรู้ลึกเข้าไปเรื่อยๆ เพราะว่า

พ่อครู         :  ใช่ นิโรธก็ต้องสี่   สี่เหมือนกัน ไม่ใช่นิโรธก็ต้องสาม สัจจะ ต้องเป็นสัจจะแล้วก็ต้องทำ

.ดินไท    :  กิจจะ

พ่อครู          : ต้องรู้ว่ามันใช่นะ อย่างนี้นะนิโรธ สัจจะ นิโรธอย่างนี้นะ ใช่นะ ถูกนะ เป็นจริงนะ แล้วก็ทำต่อ ทำอนุรักขนา ได้แล้วก็อนุรักขนา จนกระทั่ง กต  จนกระทั่งจบแน่นะ จบแน่นะ นิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง

.แสนดิน    :  อสังหิรัง อสังกุปปัง

พ่อครู  : อีกเป็นอันสุดท้าย กต เพราะฉะนั้นเราก็ทวน รู้นะทุกข์ เนี่ยนะ จำได้นะ ตอนนี้ไม่มีแล้วนะ หมดแล้วนะ ทุกข์นะ ทวน หาเหตุ เหตุ จำได้นะ เหตุมัน ได้ลด ได้ละ ได้คลาย กำจัดแล้วนะ  จนนิโรธ นิโรธตั้งแต่เริ่มนิโรธแรก นิโรธสุดท้ายนะ ต้องทวนตรวจสอบด้วยวิธีนี้นะ คามินีปฏิปทา ด้วยวิธีนี้นะ

.ดินไท    :  ต้องรู้รอบ

พ่อครู  :  รู้รอบหมดเลย วิธีนี้นะ ทวนอีกทั้ง 3 กิจ

.แสนดิน    :  12

พ่อครู  :  สัจจะ  กิจ กต ทวน ทั้ง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็เป็น 12 ครบ

.ดินไท  :ที่เขาไปอธิบายว่า เวลามีทุกข์เกิดขึ้น อย่าไปฟุ้งซ่าน อย่าไปอะไร

พ่อครู  : ก็เป็นแต่เพียงบรรเทา

.ดินไท    :  กำหนดรู้ว่ามันทุกข์

พ่อครู  : นั่นแหละวิธีปฏิบัติของเขา

.ดินไท    :  แล้วมันก็จะหายไปเอง

พ่อครู  : เขาไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีลำดับ เขาไม่มีลำดับ เป็นแต่เพียงว่าเอาความเป็นลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย  เอาศีลข้อ 1 มาเป็นข้อกำหนด เหตุอันนี้คุณก็ลองทำแล้วจากเรื่องสัตว์ เหตุอันที่สองเรื่องของกับเรื่องพืช เป็นสิ่งของ เหตุของ ตา หู  จมูก ลิ้น กาย คุณก็ไม่ได้รู้เรื่องเลย ไม่ได้เอาศีลมาเกี่ยวข้องเลยที่พูด ไม่ได้เป็นไตรสิกขาเลย ไม่ได้เป็นจรณะ15 เลย ไม่มีไตรสิกขา ไม่มีจรณะ 15 ไม่มีสำรวมอินทรีย์ ไม่มีโภชเนมัตตัญญุตา  ไม่มีชาคริยานุโยคะ ไม่มีเลย สำรวมอินทรีย์

.แสนดิน    :  จะไปบอกให้จิตไม่ฟุ้งซ่านไม่มีทางทำได้หรอก

พ่อครู  : ไม่มี เพราะนั้นเอาอปัณณกปฏิปทา 3  มาจับ คุณไม่มีสำรวมอินทรีย์ คุณไม่มีเลย ตาหูจมูกลิ้นกายใจ คุณไม่เคยสำรวม คุณไม่เคยสัมผัสเกี่ยวข้อง ไม่เคยรู้เรื่อง พอคุณไปสัมผัสกับอะไรในโภชนะ สิ่งที่กิน สิ่งที่ใช้ มีเครื่องบริโภค เครื่องอุปโภค  คุณสัมผัสกับเครื่องอุปโภคก็ตาม คุณสัมผัสกับเครื่องบริโภคก็ตาม มันก็จะเกิดให้คุณได้เรียนรู้กิเลสในจิต  ภาวะสองในจิตทั้งนั้นแหละ แต่คุณไม่ได้สำรวมระวัง จนกระทั่งคุณตื่น แต่ก่อนนี้จมอยู่กับมัน ตอนนี้ตื่นๆๆ ชาคริยา จนกระทั่งสมบูรณ์แบบเป็นพุทธะเลย จบ อปัณณกปฏิปทา 3 คุณไม่มี เพราะงั้นผลอื่นที่จะไล่เรียงเป็น สัทธรรม 7 คุณจะเกิดศรัทธา ศรัทอินทรีย์ ศรัทธาพละ ไปตามลำดับ ไม่มีเลย ไม่มีลำดับของ ศรัทธา ศรัทอินทรีย์ ศรัทธาพละ ไม่มี เพราะฉะนั้นคุณก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากหิริ โอตัปปะ ไม่มี เพราะฉะนั้นวิริยะในพหูสูจ ผลที่ได้ เป็นพหูสูจเป็นความจริง  พหุสัจจะหรือ พาหุสัจจะ หรือพหูสูจ พาหุสัจจะ ความจริงที่คุณได้มากขึ้นๆๆ พาหุสัจจะ คุณไม่มีพาหุสัจจะเลย เพราะฉะนั้น วิริยะ สติ ปัญญา คุณก็เอาไปใช้เป็นโลกีย์หมด

.แสนดิน    :  เพียรมากเหมือนกัน

พ่อครู  : คุณก็เพียร บอกวิระยะไม่มี  สติมีไหม มี ปัญญามีไหม มี

.ดินไท    : เขาบอกปัญญามันเกิดเอง วิธีปฏิบิตก็คือ ดูที่จิตอย่างเดียว

พ่อครู  : พวกเกิดเองยิ่งพูดไปเถอะ เอาเถอะ นั่นแหละพวกนั้นไปอยู่กับอาจารย์บูรพาเลย

.แสนดิน    : ฟุ้งซ่าน

.ดินไท    : คือมันเป็นอย่างนี้นะคล้ายๆกัน ก็ดูจิตอย่างเดียว มันจะมาจากเหตุอะไรก็แล้วแต่

พ่อครู  : นั่นแหละๆ อาจารย์บูรพา ผดุงไทย

.แสนดิน    : มันดูไม่ได้หรอก จิตมันทำไม่ได้

.ดินไท    : บอกว่าตากระทบรูปแล้วก็ เขาก็ดูเวทนาอย่างเดียว

พ่อครู  : เพราะงั้นการศึกษาถึงบอกว่ามันชัดเจน ยืนยันชัดเจนว่า มันไม่ได้เป็นไปตามอนุสาสนีย์ ไม่ได้เป็นมีการศึกษา 3 ไม่ได้มีจรณะ15 ไม่ได้มีโพธิปักขิยธรรม 37 รวมแล้วโพธิปักขิยธรรม 37 ครบ ทั้งหลักมรรคองค์ 8 ทั้งโพชฌงค์ 7 อธิบายไม่ได้เลย

.ดินไท    : พอรู้ว่าอารมณ์เนี่ย น้อยใจ ก็ให้ดูว่าน้อยใจ แล้วเดี๋ยวมันก็หายไป

พ่อครู  : มันเป็นสมถะทั้งนั้น สมถะลืมตา

.แสนดิน    : เหตุจากไหนก็ไม่รู้น้อยใจ

พ่อครู  : ได้ สมถะลืมตา ผมก็บรรยายไว้หมดแล้วพวกนี้ อธิบายไว้หมดแล้ว

.ดินไท    : ให้มีเมตตา

พ่อครู  : ทวนไปสิ เก่าๆ อธิบายไว้หมด บอกว่ามันเป็นสมถะลืมตา อันนี้สมถะลืมตา ตั้งแต่บอกว่า อะไร รู้ ว่าง เฉย รู้ ว่าง เฉย หลวงอรรถ รู้ ว่าง เฉย  รู้ วางๆ เฉย  รู้ ว่าง เฉย  รู้ วาง เฉย  หลวงอรรถ แกก็บ่นของแกอยู่เต็ม

.แสนดิน    : ใช้ภาษา

พ่อครู  : แกก็รู้ของแกอยู่ แต่ก่อนนี้อยู่วัดมหาธาตุ ตักศิลา รู้ ว่าง เฉย

.แสนดิน    : คนฟังก็พยายามทำตามนะ 

พ่อครู  : มันก็เป็นพื้นฐาน

.แสนดิน    :  แต่ถ้าเจอปัญหาจริงๆ มันก็ไม่รู้วางเฉยหรอก สู้ปัญหาไม่ได้หรอก

พ่อครู  : พลังงานจิตที่จะเป็น ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทะ กัมมัญญา ปภัสสรา ถึงจะเป็นแกนของอุเบกขา ไม่มีๆ ของเราเนี่ยครบ เอาคำของพระพุทธเจ้า พวกนี้เราไม่ได้เอาคำของเรามาพูดใส่ ของพระพุทธเจ้าสอนไว้ทั้งนั้นแหละ เขาทิ้งหมด

.แสนดิน    : ก็ฝรั่งที่มาเนี่ยฮะ เดวิท ออกจากบ้าน เดินเท้า 5 ปีไปอยู่กับธิเบตไปอะไรเนี่ย บอกว่าให้นั่งสมาธิ เพราะคนก็มานั่งกันเยอะ บอกว่าพอออกจากสมาธิ  พอกลับบ้านไปเจอปัญหาเก่าก็เหมือนเดิม เขาก็เลยสงสัยว่า มันถูกหรือเปล่า เขาก็เลยบอกว่า เออ มันน่าจะมีสมาธิที่อยู่กับตัวเองตลอดเวลาคือมันไม่แก้ปัญหาไอ้สมาธิแบบนั้น

พ่อครู  : ก็ถ้าเผื่อว่าเขาเอง ดูๆเป็นซัมเหมา แต่มันมีปัญญา แสดงว่าเขาเองเป็นผู้แสวงหาคนหนึ่ง เป็นผู้แสวงหาเดวิทเนี่ย

.ดินไท    : ไป เดินเท้า ไปหา

พ่อครู  : มี มีความอุตสาหะ มีความเพียร

.ดินไท    : ยังหนุ่ม

พ่อครู  :  ได้ ใช้ได้ ไม่แน่หรอก อาจจะเป็นฝรั่งคนแรกที่

.แสนดิน    : เป็นธรรมทูต

พ่อครู  : เป็นธรรมทูตเลยก็ได้ เป็นชาวอังกฤษด้วย

.แสนดิน    : เขามาเขาขยันทำงานเหมือนกันนะฮะ ให้ไปทำงานอะไรเขาก็ทำ ใช้ได้อยู่ ก็พวกเราก็ช่วยกันแปล

พ่อครู  : ผมสังเกตแต่ก่อนเขาไม่เอาถ่าน เขาไม่มีศาสนา เออ แต่เวลาเราพาสวดมนต์ เขาก็สวดมนต์ตามได้ เขาก็สวด เราดูริมฝีปากเขา

.ดินไท    : นะโมตัสสะ คำนี้สากล ทั่วโลกรู้ คำว่านะโมตัสสะ 

พ่อครู  : มันทั้งหมดเมื่อไหร่เล่า 

.แสนดิน    : เรามีสวดเยอะ

พ่อครู  : เรามี พุทธัง สรณัง คัจฉามิ  อันนี้มันได้หมด ก็แสดงว่าเขาเองมีพื้นฐาน

คุณอี๊ด    : นอบน้อมด้วยนะคะ เขาไหว้พวกเราก่อน สำรวม คุยด้วยเขาก็ยิ้ม ถามเขาว่า ตอนนี้เขาไปนั่งกินข้าวด้วย ถามเขาว่า” กินข้าวยัง” เขาไม่รู้เรื่อง เขาก็ยิ้ม

.แสนดิน    : เขาบอกเลยนะว่า เขาไปมาหลายที่ แล้วก็แสวงหา เขาบอกว่าที่นี่  ใช่ ใช่แบบที่เขากำลังหานี่แหละ สมาธิ แบบที่ว่า อยู่กับตัว

.ดินไท    : ไปเจอที่อื่นมารู้สึกว่ามันไม่ใช่ แสดงว่าเขามีของเก่า 

พ่อครู  : มี มีของเก่า ไม่มีของเก่ามาไม่รู้เรื่องทันทีหรอก กว่าจะรู้เรื่องอย่างนี้มันไม่ใช่ธรรมดาหรอก รู้เรื่องอย่างนี้แสดงว่าเขามีภูมิเก่า

.แสนดิน    : เขาบอกว่าสมาธิไม่มีศีลไม่ได้

พ่อครู  : ไม่ได้  นี่ยิ่งชัดเลย ยิ่งชัดเลย

.แสนดิน    : เขาฟัง เขาก็พอได้นะเนี่ย

พ่อครู  : ยิ่งพูดงี้ ยิ่งใช่เลย ยิ่งชัดกว่าอาจารย์มั่นอีก

.แสนดิน    : เมื่อวานนี้หายโง่มาช่วยแปล พอดีเขามาร่วมค่าย แล้วก็มาสรุป มาพูดแล้วสิริมาก็มาช่วยแปล เออ เขาก็ดีนะพูดจา ใช้ได้ 

 

ในสวนดาว ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:38:53 )

610828

รายละเอียด

610828 เตรียมจัดมหาปวารณา ฉลอง 48 ปีแห่งโพธิกิจ 84 พรรษา

 

  สมณะแสนดิน : ต้อนรับวันดินโลก และโรงพยาบาลสัมประสิทธิ์ 2 น้ำตกผาแหงน ปีนี้

สมณะเดินดิน : อาจารย์อยากจะจัดงานใหญ่ที่ปทุม ที่พิพิทธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ

สมณะแสนดิน : เขาบอกให้แต่ละทีก็จัดไป ของเราจะจัดไหม เราจะเพื่อฟ้าดิน มันจะ

ติดกับโพชฌังคา เราก็จัดวันดินโลกไปเลยไหมครับ

สมณะเดินดิน : วันดินโลกมัน 5 ธันวา นะ ทีนี้วันที่ 31 เราต้องจัดงานโพชฌังคา ปีใหม่

เพื่อฟ้าดิน 

สมณะเดินดิน : เราจัดงานเพื่อฟ้าดินมันติดกันเกินไปเราก็จัดวันดินโลกเฉพาะเลย

สมณะเดินดิน : เฉพาะวันที่ 5 หรึ

  สมณะแสนดิน : ครับ

พ่อครู : งานเพื่อฟ้าดินมารวมกันได้

  สมณะแสนดิน : ไม่งั้นปีใหม่มันก็ เพื่อฟ้าดินอีก มันแค่เดือนเดียว

  สมณะเดินดิน : พ่อท่านจะเอางานปีใหม่มาไว้วันที่ 5 หรึ

  พ่อครู : ไม่ใช่ปีใหม่ ปีใหม่ก็ปีใหม่ไปสิ โพชฌังคาไป      

  สมณะเดินดิน : เอาเพื่อฟ้าดินมาไว้วันที่ 5 ด้วย เป็น 2 งานเลย

      สมณะแสนดิน : เป็นแบบแผนเลย เราก็ได้งานเพิ่ม ดีนะฮะ เพราะโพชฌังคาเรานี่ มัน

เหลือน้อยวันลง

พ่อครู : ตกลงเพื่อฟ้าดินวันที่เท่าไร

สมณะแสนดิน : เพื่อฟ้าดินเราจะมี  4 ครั้งต่อปี เรานัดไว้ จะมี ปีใหม่ตลาดอาริยะ

      พ่อครู :


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:42:16 )

610829

รายละเอียด

610829_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ความสมานฉันท์ 8 แบบ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1sKyUynkKyb7UBhQA-2KRV17uifTenO0sHJ-p3nIBosQ/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1GaVUL7zqR55J4io_4WERn3fH3EYXbHNC

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พ่อครูอาพาธอาหารเป็นพิษ

สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เมื่อวานเป็นวันบรมมหาอนิจจังของชาวอโศก ขณะนั่งฉันก็มีข่าวมรณานุสติของคุณบุญหลาย ที่อยู่วัดป่าติ้ว เขาเป็นคนที่จัดหาไม้ไผ่หรือพืชผักมาช่วยเหลือพวกเราตลอด เขาอายุ 49 ปี ร่างกายแข็งแรง อยู่ดีๆนอนไป แล้วมันไม่ตื่นเลย หัวใจล้มเหลว แต่ท่านสุภัทโทบอกว่า คนในตระกูลของเขาไปอย่างนี้หลายคน

อีกหนึ่งความไม่เที่ยงคือ พ่อครูเกือบไป วันนี้พ่อครูเลยมาปรากฏตัว เมื่อวานดูจะหนักกว่าเพื่อนเลย วูบไป แต่อาตมารู้สึกว่า พ่อครูต้องรีบกลับมา เพราะจะช่วยพวกเราต่อ เมื่อวานเจออาหารเป็นพิษทั้งอาเจียนและถ่าย ทำให้ช็อคและวูบได้ ผู้สูงอายุจะใช้เวลาฟื้นตัวหลายอาทิตย์ แต่เมื่อวานพ่อครูเกือบไป แล้วก็ตอนเช้าก็สามารถสปริงกลับมาเดินตรวจตราดูบ้านราชฯต่างๆ ตอนเย็นก็มายืนยันข่าวว่าเกือบไป แต่จริงๆยังอยู่ได้  ก็ยังไม่แน่ใจว่า เครื่องที่ลงไปสุดนี้ ก็จะเป็นอย่างไร เมื่อวานพ่อครูรู้สึกอย่างไรครับ

พ่อครูว่า...มันเหนื่อยไม่มีแรง เหมือนจะขาดใจ มันจะตายก็ไม่รู้จะตายอย่างไร มันก็ไม่มีแรงมันเหมือนจะสิ้นท่า ก็ปล่อย มันยกแขนขาไม่ขึ้น จนต้องหามมาจากส้วมหามมานอนแผ่ เขาเรียกรถ Ambulance จนไปถึงโรงพยาบาล จากที่พวกเราให้น้ำเกลือ พยาบาลไปด้วย ไปที่โรงพยาบาลหมอก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย ก็นอนให้น้ำเกลือ รุ่งเช้าก็มาแล้ว มันเหมือนไม่มีอะไร แต่มันเหมือนกำลังจะตาย

สมณะเดินดินว่า..ตอนประคองไปห้องน้ำผมรู้สึกพ่อครูหายใจกระท่อนกระแท่นเหมือนจะหมดลม เหมือนใจจะขาด

พ่อครูว่า... เหมือนจะหมดลม ไม่ไหว มันเพราะอาหาร หรือจะเป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้ จะบอกว่าอาหารก็ไม่รู้ ก็อาจเป็นได้ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร

สมณะเดินดินว่า...มันเหมือนกับการขาดเกลือแร่อย่างเฉียบพลัน ออกทั้งสองทาง เลยขาดอย่างฉับพลัน

พ่อครูว่า...สิ่งที่สำคัญในร่างกายต้องใช้มันขาดช่วง ก็ว่ากันไป ก็เป็นไป คนเราก็ธรรมดาเกิดแก่เจ็บตาย ยังไม่ตายก็ทำไป ตั้งใจว่าจะไม่ตายง่ายๆก็ไม่รู้มันจะตายก่อนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่ตายก็ทำไป

สมณะเดินดิน...พ่อครูตั้งใจว่าจะไม่ยอมไป ก็ดึงมา

พ่อครูว่า...คือมันไม่รู้ตัวหรอกมันอ่อนแรงลงไป พอนั่งโถ แล้วก็รูดลงไปกับพื้นเลย กับพื้นก็ไปชนกับผนังประตูข้างหน้า นั่น ค่อยรู้สึกตัวว่า ทำไมเราลงไปอย่างนี้ได้อย่างไร ก็ไม่ธรรมดานะนี่ มันจะตายนะ ได้แต่นึกว่า ยังตายไม่ได้นะ เรายังตายไม่ได้นะ ยังต้องทำงานต่อไปอีก

ก็ขอพูดต่อไปอีก อาตมาตั้งจิตทำงานธรรมะพระพุทธเจ้า ชีวิตอาตมาไม่มีอะไรเลยอยู่กับธรรมะพระพุทธเจ้า กับความจริงที่เป็นความถูกต้องของสัจธรรมของพระพุทธเจ้า อาตมามั่นใจว่าอาตมามีอันนี้ชัดเจน อาตมาก็เรียกว่าความจริง จะเรียกว่าเป็นความรู้ก็เป็นความรู้ในความจริง ที่แสดงอยู่ก็เป็นความรู้กับความจริง แสดงกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมออกไป มีแต่ความจริงทั้งนั้นเลย อาตมาว่าอาตมาอยู่บนพื้นฐานของอันนี้ ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความจริงตัวนี้ตัวเดียว และความจริงตัวนี้ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร อาตมาก็เรียกว่าความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ ที่เป็นความจริงที่อาตมาว่าได้ความจริงสุดยอด ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ อาตมาว่าความจริงของพระพุทธเจ้านี้สุดยอด เป็นตัวแทนของสัจธรรมของพระพุทธเจ้า

แสดงอิทธิพลกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของชีวิต อาตมาก็ล้วนแล้วแต่จริงใจ ใจเราก็จริง ใครจะเห็นว่า อาตมาผิด อาตมาไม่สวยไม่งาม อาตมาไม่มีมารยาทสังคมก็แล้วแต่ อาตมาไม่ได้ติดใจในสิ่งเหล่านั้นเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(บุญญาวุธ) ตอน สื่อสารบุญนิยมเป็นงานที่ควรช่วยกัน

อาตมามีแต่รู้สึกตัวว่าตัวเองมีความจริง มีความจริงใจอย่างเดียว สิ่งที่อาตมาทำนี้ มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงที่สุด เป็นคุณค่าที่สูงที่สุดใกล้จะเห็นคุณค่าในงานที่อาตมาทำนี้ ก็เป็นการช่วย คนที่เห็นว่าเป็นงานที่มีคุณค่าก็เต็มใจมาช่วยไม่ได้จ้างด้วย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็มาช่วย เราอาศัยแรงงานเด็กนักเรียนอย่างมาก ผู้ใหญ่เองก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร จะมาช่วย ก็ไม่มา เขาก็คงจะไปทำมาหากินเลี้ยงชีวิต ที่พูดนี้ เรื่องจำเป็นก็คือเรื่องของการถ่ายทอด โทรทัศน์ เพราะว่าเราถ่ายทอดโทรทัศน์ 24 ชั่วโมง แล้วมันจะมีรายการสด รายการสดประจำ ผู้ที่อยู่เป็นผู้ใหญ่แล้วหรือเป็นนักเรียนก็ตามที่มีจิตใจจะมาช่วย..

อาตมาเป็นคนไม่ขอร้องเป็นคนไม่บังคับ ใครจะมาก็มา ไม่มาพวกเราก็ทำกันไป แหม อาตมาก็ต้องขอบคุณหลายคนเอาใจใส่ ถึงเวลาก็มาประจำหน้าที่ไม่ได้จ้างวานไม่ได้กำกับไม่ได้ตั้งตำแหน่งหน้าที่เลย แต่เขาก็รู้ว่าหน้าที่นี้อันควรจะต้องทำ ช่วยงานที่ดีอันนี้ อย่างนายม่อนนี่ เรียนจบแล้วก็อยู่นี่ แม่จะให้เรียนต่อข้างนอกก็ไม่ไป เรียนอาชีวะต่อ จบอาชีวะแล้วไม่รู้จะมีอะไรไปอ้างกับแม่ ก็อยู่ช่วยทำงานวันนี้ วิ่งทำซอกๆๆ นักเรียนอื่นก็ไม่เห็นมีน้ำใจเท่าไหร่ ขออภัยที่พูดความจริง แล้วที่มีอยู่ในนี้ก็ไม่ค่อยมาช่วย นักเรียนใหม่จะมาฝึกก็ยินดีมาฝึก ไม่ว่าจะเป็นที่ราชธานีอโศก สันติอโศก ปฐมอโศก ที่เรามีสถานีโทรทัศน์ถ่ายทอด อาตมาก็พูดอันนี้อันเดียวเป็นเหมือนกับทุกแห่ง

สรุปแล้วคือไม่ค่อยมีน้ำใจ ก็พูดอย่างนี้เลย ที่จะมาช่วย เพราะรู้อยู่เราไม่ได้จ้างวานใคร อาศัยแรงพวกเรา อาตมาถ้าไม่มีแรงงานพวกเราก็ต้องปิดสถานี ดีไม่ดีมีกล้องก็ไม่มีคน เขาก็ตั้งกล้องเอาไว้แล้วก็สวิทชิ่งเอา เปิดเผยความจริงไปคนฟังจะสมเพชเวทนาก็แล้วแต่ หรือจะสงสารก็ตามใจ มันเป็นเช่นนั้น

พูดกันเพื่อผู้ฟังที่ได้ยินได้ฟังจะมีน้ำใจสักเล็กสักน้อย หรือยิ่งมาก ก็ยิ่งอนุโมทนาสาธุเผื่อแผ่กันได้ งานอื่นอาตมาก็ไม่กระไร เพราะงานอื่นมันไม่ใช่สาธารณะทีเดียว มันเป็นของพวกเราที่จะยังชีพ งานไม่ยังชีพ อาตมาก็ไม่เอามาทำอยู่แล้ว แต่งานโทรทัศน์เป็นงานเพื่อสังคมเพื่อสาธารณะ เพราะช่องเราเป็นช่องสาธารณะ ถ่ายทอดออกไปคือถ่ายทอดธรรมะถ่ายทอดความรู้ถ่ายทอดการศึกษา ทุกอันเป็นการศึกษาทั้งนั้น เป็นการถ่ายทอดความจริงด้วย ทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง ไม่มีอะไรอย่างอื่นนอกจากความจริง คำว่าความจริงนี้สุดยอดทุกอย่างแล้ว เป็น Axiom อาตมามีแต่เสนอ Axiom เสนอความจริงที่อาตมามี อย่างหมดคำอธิบาย ขยายความแล้ว ขยายความยากแล้ว เหมือนอย่างคุณบ้านเล็กเมืองน้อยที่เขียนมา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน พ่อครูมีสูตรเดียวคือประกาศความจริง

ขอเรียนถามคำถามเกี่ยวกับ….ธุรกิจ..นะครับ…………….

เป็นเรื่องของ ร้านปาท่องโก๋ ที่ใช้สูตรเก่าแก่ดั้งเดิม ของยอดคนที่เป็นต้นตำรับ

เริ่มแรกก็ไปได้ดีสร้างความฮือฮาพอสมควร  ต่อมาก็เกิดปัญหากับ อ ย (ที่แปลว่าอันตรายทุกอย่าง)

เนื่องจากต้องดำเนินกิจการโดยไม่ผ่าน อ ย แถมถูกประกาศเครื่องหมาย กะโหลกไขว้

จึงกลายเป็นร้านต้องห้าม ทำให้ลูกค้าหนีเกือบหมด เหลือเพียงขาประจำที่ยังเหนียวแน่นกันอยู่ไม่มาก

เจ้าของร้านก็ใจสู้ ลุยต่อ ด้วยนโยบายที่ไม่หวังผลกำไรเช่นเดิม ขอเพียงอยู่ได้ เลี้ยงตัวเองได้เป็นพอ

จนเวลาผ่านมาหลายสิบปี ลูกค้าขาประจำกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของร้าน ช่วยกันบริหารกิจการ จนเกิดเป็นวัฒนธรรมของร้านต้นแบบ  อยู่กันอย่างญาติพี่น้อง เหลือกินก็แจกจ่ายตามสภาพ

มาถึงปัจจุบัน เริ่มได้รับการตอบรับจากลูกค้าขาจรที่แสวงหาใน สูตรต้นตำรับ มีแวะเวียนเข้ามาบ้างประปราย

เนื่องด้วยเจ้าของร้านมีปณิธาน ที่ต้องการ

จะสืบทอดสูตรต้นตำรับให้คงอยู่ไปอีกนาน ๆ

ต้องการจะเผยแพร่วัฒนธรรมเฉพาะของทางร้านออกไปสู่วงกว้างด้วย เพื่อช่วยสร้างความสมดุลแก่ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้เกิดสันติสุขแก่สังคม

 

 

แต่โลกย่อมหมุนเปลี่ยนไปตามกาล ปาท่องโก๋ไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป ผู้บริโภคพากันเปลี่ยนไปนิยม โดนัท

เพื่อคงไว้ซึ่งปณิธานของเจ้าของร้านทั้ง 2 ประการ…..การที่ทางร้านจะปรับตัวตามยุคสมัย  ตามลูกค้ามากไป

ก็ไม่ได้ เพราะจะไม่คงไว้ซึ่งสูตรต้นตำรับ….. แต่ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีนำเสนอ หรือออกสินค้าใหม่ๆ ก็จะไม่ได้ลูกค้าเพิ่ม ไม่มีแนวร่วมมากพอ และจะไม่สามารถสร้างสมดุลแก่สังคมได้

ค่านิยมของยุคสมัยทำให้ปณิธานทั้ง 2 เกิดข้อจำกัดที่สวนทางกันอยู่…..

ถ้าไม่มีการออกแบบที่เหมาะสม จะทำไปพร้อม ๆกันได้ยากมาก

 

โดยเฉพาะในยุคที่สังคมตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนายทุนโดนัท

เพื่อให้กิจการร้านปาท่องโก๋เล็ก ๆแห่งนี้  ที่เจ้าของร้านเริ่มมีอายุยาวขึ้น (แต่ยังไม่แก่)

จะได้มีแนวทางไว้ให้ลูกหลานได้สืบทอด และบรรลุปณิธาน   ทั้ง 2

คือคงไว้ซึ่งสูตรต้นตำรับ และการปรับกลยุทธ์ในการเผยแพร่ เพื่อสร้างความสมดุลให้แก่สังคมไปได้พร้อม ๆกัน

กราบรบกวนขอคำชี้แนะจากพ่อท่านด้วยครับ

 

พ่อครูว่า...อาตมาทำข้อ 1 ข้อเดียว

อาตมาก็บอกแล้วตอบไปแล้วรายทางถ้าเข้าใจรู้แจ้งรู้จริง มันจะเป็นอื่นไปไม่ได้จากความจริงเพราะความจริงมันมีหนึ่งเดียวเพราะฉะนั้น ผู้ที่มีปัญญาว่า เห็นความจริง ว่าความจริงคือความจริง ก็จะไม่เห็นอะไรที่จะสมมุติขึ้นมาถาม ถามมาคือมีแนวทางเดียวคือ สืบทอดตามข้อ 1 ตามปณิธานเดิม แต่ข้อที่ 2 นี้ไม่เคยคิดเลยคุณตั้งมาเอง เพราะ

ความจริงขึ้นอยู่กับต้นตำรับที่เป็นความจริง ถึงไม่เคยมีกลยุทธ์ในการเผยแพร่ มีแต่สูตรต้นตำรับที่แน่ใจว่าตรงกับความจริงเสมอเท่านั้น ที่เผยแพร่อยู่ตลอดทุกอิริยาบถของชีวิต ทุกลมหายใจเข้าหายใจออก และเห็นความจริงที่มันเกิดผลสันติสุขที่มีจริงในมวลมนุษย์อย่างน่าพอใจแล้ว สำเร็จแล้ว

จนอาตมาได้เคยพูดออกไปแก่สังคมว่า อาตมาทำงานของตน คือ ประกาศความจริงตามต้นตำรับ ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งแล้ว อาตมาจบได้แล้วตายได้แล้วด้วย สำเร็จแล้ว เป็นปรากฏการณ์จริงในโลก จึงไม่มีคำตอบต่อข้อที่ 2 นี้ จบ

 

ทีนี้ก็มา  SMS 27 – 29 ส.ค. 61

_วันชัย สหมโนธรรม · ได้ข่าวว่า พ่อท่าน ท้องเสียพ่อท่าน ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมครับ

 

_3867 ขอถวายกำลังใจเยี่ยมพ่อครูฯหายป่วยฯสุขภาพดีวันดีคืนฯแข็งแรงปกติในเร็ววันสาธุ!มนุษย์หูเทียม(สื่อฟ้าศิลป์)

พ่อครูว่า...คุณจะไปย้ำกับตัวเองมากสิ คนพิการหลายคนเขาก็ไม่ได้เห็นจะไปย้ำอะไรกับตัวเองพรุ่งนี้ อย่างนส.ฝ้าย พิการก็แต่งหน้าตัวเองไปทุกวัน ยิ้ม เขาก็ไม่ถือว่าตัวเองจะเป็นพิการมากมายอะไร คุณจะไปเที่ยวติดใจว่าตนเองพิการ มันเป็นของเราแล้วก็ยินดีอยู่กับมันไม่ต้องไปติดใจกับมัน สบายๆ เอาแคลอรี่มาใช้ประโยชน์กับเรื่องที่ดีดีกว่า ดูแลมันให้มันอยู่กับสังขารเราไปได้ก็พอแล้ว

 

_สรายุทธ บุญญโก · สาธุครับ ไม่เห็นที่ไหนสอนชนะความโกรธอย่างนี้ เมื่อไม่มีสิ่งที่ชอบก็จงชอบสิ่งที่มี

 

_สุวรรณี สุริยะ · กราบนมัสการเจ้าค่ะพรรษานี้ตั้งจิตไม่แสดงอาการโกรธค่ะ

พ่อครูว่า...สาธุทำให้ได้ขอเอาใจช่วย

 

_8647 ขอถามค่ะ ทำไมตอนนี้คนอโศกตัวตนเย่อะจัง กลัวคนรุ่นไหม่จะเข้าไปอยู่ด้วยหรือค่ะ เห็นหวงที่หลับที่นอนจัง คนข้างวัดกระเด็นออกไม่กล้าเข้า

พ่อครูว่า...ใครหวงที่นอนกัน พระพุทธเจ้าสอนให้นอนง่ายนอนรุกขมูลโคนไม้ หรือคุณจะไปนอนแทนที่ที่เขานอนประจำหรือ

 

_0629 ทวี สุทารส กราบนมัสการพ่อครูอย่างสูงยิ่งครับ

_0851614xxx    การทำความเข้าใจแจ้งนั้นยากที่สุดกว่ายุคใดๆเพราะต่างยึดในตำราของตนเอง ทั้งๆที่สัจธรรมไม่สามารถสื่อสอนได้หมดด้วยพระศาสดาเพียงพระองค์เดียวจำกัดด้วยอายุขัยและภาระกิจที่ต้องทำ. ครับ/เฉลิมชัย ล้อลีลา

     

_0851614xxx เงื่อนไขที่ทำผิดพลาดในอดีตจะถูกกระตุ้นได้ง่ายต้องเผชิญกับสถานการณ์จริงๆจากคนที่แสดงบทละครหลากหลายให้กระทบกับเงื่อนไขในสัญญาเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องเป็นกลางทางไฟฟ้าถือว่าได้สะสางอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ. ครับ / เฉลิมชัย ล้อลีลา

พ่อครูว่า…คุณก็แสดงความรู้ความเห็นตามที่คุณเข้าใจ ก็ไม่ผิดหรอก

 

_จาก "ชานติ" กิเลสมี 3 ระดับ คือ

กิเลสในกามภพ เรียกว่า วีติกกมกิเลส ส่วนปริยุฏฐานกิเลส คือ กิเลสในภวภพตัวต้น และอรูปภพก็คือกิเลสของภวภพตัวปลาย หรืออนุสัยกิเลสนั่นเอง ใช่มั้ย

พ่อครูว่า…ใช่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาสวะ อนุสัย) ตอน ตรวจตัวเองด้วยสังโยชน์ 10

_จากศีรษะอโศก..ลูกตั้งใจตรวจตัวเองด้วยสังโยชน์ 10 เฉพาะเรื่องเนื้อสัตว์ และไข่

1. สักกายทิฏฐิ สัตว์ใหญ่สัตว์เล็กจนถึงไข่ไม่กินแล้ว แต่มีอยู่วันหนึ่งลูกเดินไปเจอไข่เจียว ตากระทบรูปจมูกได้กลิ่น ทันใดนั้น น้ำลายแตกออกมา ลูกเสียใจมาก ทำไมเรายังมีเหลืออยู่หรือ

2. ลูกตรวจสังโยชน์ข้อ 2 ความสงสัยในโทษภัยของเนื้อสัตว์หรือไข่ก็ไม่มีแล้ว

3. สีลัพพตปรามาส ก็ไม่มีเพราะไม่กินมา 20 ปีแล้ว

4. กามฉันทะในการอยากเสพอยากกินเนื้อสัตว์ก็ไม่มี

5. พยาบาท กินข้าวร่วมโต๊ะกับพี่น้องที่กินเนื้อสัตว์โดยจะรังเกียจก็ไม่มี

6. รูปราคะ ความชอบและติดใจเนื้อสัตว์ไม่มี (แต่ยังเหลือรูปที่เป็นเนื้อเทียม หมู ไก่ เจเทียม) แต่ความชอบน้อยมากๆ อ่านใจตัวเองก็ชอบแต่น้อย

7. อรูปราคะ ความชอบการติดใจกลิ่นและรสชาติยังมีอยู่ค่ะ แต่น้อยมาก

8. มานะ ความอยากให้ตัวเองพ้นจากกลิ่นและรสชาติ เนื้อปลอมไม่มีแล้วแต่เนื้อจริงไม่แล้ว

9.อุทธัจจะ หากไม่กระทบเนื้อปลอมทั้งรูปรสกลิ่น รสก็ไม่มีกิเลส ยกเว้น กระทบปัจจุบัน มีความชอบในจิตแต่ก็น้อยมาก จับอารมณ์ได้ เผลอๆเบาๆ เกิด 10 ครั้งชนะ 8 ครั้ง

10. อวิชชา ลูกเรียนรู้โทษภัยพิบัติที่เกิดจากเนื้อสัตว์พอได้

ถามว่าตรวจสอบตัวเองอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่

พ่อครูว่า...ถูกต้องละเอียดลออดีมาก ทีนี้ มันเหลือคำตอบที่ว่า น้ำลายแตกออกมา กระทบแล้วน้ำลายแตก มันเกิดจากความจำของตัวเอง มันเกิดความจำขึ้นมาได้ จำแล้วก็เลยมีอรูปที่คุณมีน้อยๆนี้ออกมาก็เป็นได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายในความลึกซึ้งของภาวะจิตอนุสัย

อนุสัย มีหลายระดับ อนุสัย อาสวะ อนุสัยที่ยังไม่หมดเหลือได้

อาตมาก็จะอธิบายอาสวะ 10 คนพ้นอาสวะ 10 ถือว่าเป็นอรหันต์ได้แล้ว แต่ถ้าดับอนุสัยได้อีก ถือว่าอุภโตภาควิมุติ ไม่มีอะไรที่จะต้องล้างอีกเลยละเอียดลออ

อนุสัย อย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์จะเรียกว่ามีอนุสัยอยู่ ก็มี อนุสัย โดยเจตนา ด้วยความตั้งใจจะอยู่กับมัน อนุสัยนี้ก็เลยกลายเป็นสิริมหามายา คือ อาตมาจะให้มันมีก็ให้มีได้ จะให้ไม่มีก็ไม่มีได้ มีขึ้นมาก็ไม่เพื่อเราจะเสพ แต่มีขึ้นมาเพื่อเราจะเป็นรูปธรรม ทั้งนามธรรม เอามาพูด เอามาขยาย เอามาใช้ อาตมาพูดเหมือนอย่างคนมีกิเลสก็ได้ละเอียดดี คนไม่มีกิเลสก็ได้ละเอียดดีด้วย ใครฟังชัด อาตมาพูดหมด จึงได้อาศัยเอามาเป็นสื่อ ในการที่จะทำงาน อธิบาย

ความจริงเหล่านี้จึงเหมือนมี เหมือนอาตมาว่ายังมีอย่างนั้นจริงๆเลย พวกเราจะเห็นได้ คนข้างนอกก็มอง เหมือนกับมีกิเลส เหมือนมีอารมณ์ เขายังมองไม่ออกหรอก เพราะเราเองเป็นสิริมหามายาจะให้เกิดก็ได้ไม่เกิดก็ได้จะให้มีก็ได้ไม่มีก็ได้เป็นปาฏิหาริย์ในการจะทำให้เกิดหรือมีก็ได้ไม่มีก็ได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่อาตมาอธิบายธรรมะ

มาชาตินี้อาตมาต้องอธิบายธรรมะที่วนเวียนมาก หมดเกลี้ยง ขยายความ โดยเอาเงาหรือแสงสะท้อนของความจริงมาเป็นตัวตั้งอธิบาย วนไปอีกที หมุนอยู่อย่างนั้น จนอาตมาจะต้องทำอย่างนั้นไปอีกนาน เอาล่ะ เรื่องธรรมะ

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน สรุป …

สิกขมาตุรินฟ้า สรุป...

สมณะฟ้าไทสรุป...

สมณะแสนดิน…

สื่อธรรมะพ่อครู(อาสวะ อนุสัย) ตอน ตรวจสภาวะให้ตรงกับพยัญชนะ

พ่อครูว่า...อนุสัยเป็นพลังงานขั้นสุดท้ายของจิตมนุษยชาติ ผู้ที่ยังเห็นอาหารแล้วก็ยังมี อนุสยะ ไม่ได้เป็นกิเลสไม่ใช่อาสวะ ไม่ได้เป็นอนุสัยส่วนปลายในอนุสัย 7

อาสวะมี 10 มันไม่เหมือนกันนะ กามราคะ ปฏิฆะ ของอนุสัย มันละเอียดกว่ากามราคะ ของอาสวะ หรือปฏิฆะของอาสวะ เป็นต้น หรือแม้แต่มานะ อะไรต่างๆนานา

อนุสัย 7 กับอาสวะ 10 มันมีซ้ำกัน

สามอันต้นที่อาสวะมี กับอีก 7 นั้นซ้ำกับอนุสัย

สามอันต้นนี้แน่นอน ของผู้ที่เริ่มต้นแล้วจะต้องมีสามข้อต้นที่เป็นอาสวะ

ข้อ 1 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

สามข้อนี้ คนที่สามารถปฏิบัติลดกิเลสได้จึงจะเหลืออีก 7 ข้อ ที่เป็นอนุสัย

 7 ข้อที่เป็นอนุสัยจึงไม่ใช่อาสวะ 7 ข้อที่เหลือ

อาสวะ 7ข้อที่เหลือหยาบกว่า อนุสัย 7 แต่ชื่ออย่างเดียวลักษณะอย่างเดียวกัน

1. กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)

2. ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)

3. ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)

4. วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า)

5. มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)

6. ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)

7. อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)

(พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 11)

 

เวลาเรียนกัน เรียนภาษาบัญญัติให้นึกถึงสภาวะด้วย ทุกวันนี้เขาเรียนกันเก่งเป็นมหาเปรียญ 9 เก่งภาษา แต่ไม่ค่อยสัมผัสสภาวะ ก็เลยไม่เข้าสู่สภาวะ

ส่วนนักปฏิบัติที่มีแต่สภาวะก็ไม่รู้บัญญัติของพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ ละเอียดมากเลย

พวกนั่งหลับตาสายอาจารย์มั่นไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย เข้าใจผิดหมดว่าเป็นอะไรกัน ซึ่งมันน่าสงสารมาก เป็นสิ่งที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเลย แล้วไปเข้าใจผิดว่าเป็นอรหันต์ เป็นอาริยะ

ถ้าไม่เป็นพระป่าปฏิบัติในถ้ำ เป็นพระบ้านพระในเมือง ต้องนั่งหลับตา ถึงจะพอรับได้ว่าเป็นพระนักปฏิบัติ หากมีแต่ภาษาไม่ใช่เลย

แต่ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นลืมตาปฏิบัติตลอดกาลนาน หลับตาไม่ใช่เลย หลับตาเป็นแต่เพียงพรหมชาลสูตร ในทิฏฐิ 62 นั่งเจโตสมาธิ จะหลับตาหรือไม่หลับตาก็ตาม ท่านไม่ได้กล่าวคำว่าหลับตาในพรหมชาลสูตร แต่อยู่ในภพหมดเลย จึงมีแต่อดีตกับอนาคต ถ้าอยู่ในปัจจุบันก็เป็นภพปัจจุบันเป็นแดนเกิด ไม่มีเหตุปัจจัย ในการปฏิบัติ

ศาสนาพุทธถ้าไม่มีสัมผัส 6 นี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย ใครรังเกียจว่าอาตมาตีทิ้งเขาทำไม แม้แต่พวกเราเองก็ยังมาเตือนอาตมาเองว่าไปตีเขาทำไม ไม่อยากให้อาตมาได้รับการต่อต้านจากเขา แต่อาตมายอมให้คนชิงชัง แต่ยอมให้คนทำลายความถูกต้องไม่ได้ อาตมาไม่ยอมให้ความผิดเกิดในความถูกเกิดไม่ได้ จะต้องสร้างความถูกต้องมีไว้ จะต้องสร้างความจริงนี้ให้ได้ จะให้อาตมาเปลี่ยนแปลงไปจากความจริงนี้ก็ยอมตาย จะตายกับความจริงนี่แหละ จะมาห้ามไม่มีทางหรอก ขอยืนยันเลย เพราะฉะนั้นอย่าเสียเวลา

อาตมาก็สรุป ความจริงใจที่เป็นสาระของวันนี้ ที่พูดถึงเรื่องธรรมะ คนเข้าใจว่า ธรรมะ ร้อยเปอร์เซ็นต์คือการเมือง เพราะธรรมะนั้นพ้นไปจากคนเมืองไม่ได้ ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ทำกับคนเมือง ไม่ใช่คนป่า

ขอแวะกับคนป่าอีก คนไม่ใช่ศาสนาพุทธไปหลับตาออกมามันไม่ใช่ศาสนาพุทธแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่สอน ตีทิ้ง แต่อาตมานี่ก็ต้องบอกให้รู้ว่า คุณน่ะฟังแล้วก็เปลี่ยนแปลงเสียบ้าง หรือคิดตามธรรมะอาตมาให้มากๆ แต่จะติก็ฟังไปเรื่อยๆ อย่ารังเกียจอาตมาเลย ขอร้องว่าอย่ารังเกียจอาตมา

เพราะอาตมาเปิดเผยความจริงไปหมดแล้วว่าจะมาเป็นตัวแทนมากอบกู้ศาสนาพุทธ ของพระพุทธเจ้า ถ้าอยู่ในสายเทวนิยมถือว่าเป็น Prophet ของพระพุทธเจ้า เป็นปกาศก

อาตมานี่รู้จักพระเจ้า คนเดียว คือปกาศก คือตัวแทนของพระเจ้านำคำสอนคำกล่าวของพุทธเจ้าความจริงความรู้ของพระพุทธเจ้ามาประกาศ

สมณะเดินดินว่า...ศาสนาคริสต์มีพระเจ้าและมีโมเสส เป็นผู้รับบัญชาจากพระเจ้าอีกทีหนึ่ง ในบัญญัติ 10 ประการ โมเสส ขึ้นเขาไปได้รับ ten commandments

พ่อครูก็คือ ผู้ที่รับของพระพุทธเจ้ามาประกาศ แต่พ่อครูโชคดีที่มีในพระไตรปิฎกแล้ว

พ่อครูว่า...อาตมาประกาศ โพธิปักขิยธรรม 37

สมณะเดินดินว่า...วันนี้ท่านจันทร์มากราบพ่อครู เล่าว่า ไปเจอมุสลิม มีนิกายที่ยึดคัมภีร์เป็นหลัก และกินมังสวิรัติด้วย ก็เลยเข้าใจกัน เขาก็เอาคัมภีร์เป็นหลัก เขาบอกว่าอยากจะเจอพ่อครูจังเลย เพราะว่าตรงมากที่สุดเลย

 

อาตมาเจอนี่ ข่าวลงซ้ำซาก ตั้งแต่ 29 ของแนวหน้า ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนกรณีรายงานการเงินแผ่นดิน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558 และ 2557 ซึ่งตรวจสอบรับรองโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แล้ว ไม่ปรากฏผลขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าว ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 จำนวน 536,908.30 ล้านบาท ทั้งที่ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีแดงที่ อม.211/2560 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2560 หรือคดีโครงการรับจำนำข้าว ได้ระบุถึงผลขาดทุนจำนวน 536,908.30 ล้านบาท ไว้ด้วย จึงมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า หากผลขาดทุนดังกล่าวมีจริงก็ควรปรากฏอยู่ในรายงานการเงินแผ่นดิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 ด้วยเช่นกันนั้น

พ่อครูว่า...คนที่บอกว่าตอนนี้ เศรษฐกิจไม่ดี อาตมาไม่ได้จะพูดประเด็นนี้เป็นหลัก ประเด็นที่จะพูดเป็นหลักคือ หมอวรงค์ ยื่นฟ้องเรืองไกร ฐานผิดละเมิดอำนาจศาล อ้างคดีจำนำข้าวไม่ขาดทุน

ศาลก็ตัดสินว่ายิ่งลักษณ์ผิดไปแล้วจำคุก 5 ปี ถึงขั้นทำให้ประเทศชาติฉิบหายไป 500,000 ล้านเสร็จจบ แต่มาบอกว่ายิ่งลักษณ์ไม่ได้ทำให้ขาดทุนเลย ทั้งที่ตัดสินความไปแล้วยิ่งลักษณ์ก็หนีไป อย่างนี้ เท่ากับเรืองไกรลบหลู่คำตัดสินของศาล ว่าศาลตัดสิน แสดงว่าคุณเก่งกว่าคณะศาล หากประกาศต่อบุคคลก็ไม่เป็นไร แต่นี่เอามาประกาศต่อสาธารณะเลย ทำไมไม่มีคนสะดุด แต่หมอวรงค์สะดุด มันไม่ใช่เรื่องเล็กนะเป็นเรื่องใหญ่

อาตมาว่าเรืองไกรแกนิสัยควรเข้าคุกนานแล้ว แต่อาตมาก็ยังเห็นว่าทำไมยังรอดปลอดภัยอยู่ได้ ข่าวนี้ถ้าไม่ได้เข้าคุกเพราะเหตุนี้ อาตมาว่า ประเทศไทยคงแย่จริงๆ เขาตัดสินโดยศาลแล้วก็เอามาพูดอย่างอวดดีว่าไม่ผิด

ขอร้องว่าศาลอย่าปล่อยปละละเลย ไม่เช่นนั้นจะย่ามใจ อาตมาว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ที่มันห่ามมากไปอวดดีมากไปผยองมากไปคือเลวร้ายเกินไป ไม่ควรทำ ต่างประเทศวงการยุติธรรมจะรู้สึกอย่างไร เขาจะว่าเมืองไทยนี่ระบบยุติธรรม ระบบกฏหมายมันเป็นอย่างไร อาตมาว่างั้นนะ

พูดพาดพิงว่า รัฐบาลชุดนี้น่าสงสารมาก ต้องมานั่งเช็ดขี้ ใช้ศัพท์หยาบๆนะ ก็มาทำแล้วก็ทำงานใช้หนี้ลำบากเพื่อให้พัฒนาขึ้น กับพวกหาเรื่อง ขี้ตู่ก็พูดไป ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันกูจะพูดอย่างนี้หาเรื่องใส่มันแม้จะผิดก็ช่าง อาตมาก็ว่าสังคมประเทศไทย ถ้าไม่จัดการพวกที่ปากมาก จับเข้าคุกจับปรับเสียให้เข็ด เชือดไก่ให้ลิงดูบ้าง ไม่อย่างนั้นมันย่ามใจเกินไป จะหาว่าไม่มีเมตตาก็ช่าง เพราะมันรวนไม่เข้าเรื่องไม่เข้าท่า

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ความสมานฉันท์ 8 แบบ

อาตมาเขียนความสมานฉันท์เอาไว้และแยกแยะเรื่องความสมานฉันท์เอาไว้หลายประเด็นมาก

การจะอยู่อย่างสามัคคีไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็ลองวิจัยดูตามประสาอาตมา

 

1. สมานฉันท์แบบบังคับ ด้วยอำนาจบาตรใหญ่ของคนที่ใช้อำนาจได้สำเร็จ ก็อยู่รวมกันไปเหมือนสงบ ซึ่งเป็นเผด็จการแท้ๆร้อยเปอร์เซ็นต์ ในยุคเก่าก่อนที่มนุษย์ได้เริ่มเป็นสัตว์ของ เป็นสังคมคนโลก แต่เก่าก่อน ก็ใช้กันมา โดยพยายามใช้เรี่ยวแรง อำนาจบาตรใหญ่ มีเขี้ยวเล็บ วัตถุอาวุธ คล้ายกับสัตว์เดรัจฉานที่ทำกัน จนสัตว์อื่นกลัว จนค่อยๆพัฒนาขึ้น โดยมีภูมิธรรมซ้อนเข้าไปเรื่อยๆ

2. สมานฉันท์แบบบังคับด้วยหลักเกณฑ์กฎหมายวินัย ตอนนี้ไม่แสดงตัวตน เอาไปให้กฎหมายหลักเกณฑ์วินัยข้อบังคับต่างๆ ให้ไปอยู่อ้างกฏหมายธรรมนูญ หลักเกณฑ์วินัยข้อบังคับแล้วอยู่รวมกันไป อันนี้ก็ไม่แรงเหมือนเผด็จการ 100% มันก็จะมีการละเมิดกันบ้างเป็นธรรมดา คนที่มีอำนาจกิเลส อยากเป็นอิสระจะทำให้เต็มที่ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามีกฎเกณฑ์ก็จะละเมิด เช่นไปปล้ำข่มขืนฆ่า ใครไม่รู้บ้างว่าผิดกฎหมายจะติดคุก มันทำไปแล้วต้องติดคุก ก็หลายคนปล้ำข่มขืนฆ่า โทษประหารชีวิตตายตกตามไป หรือติดคุกตลอดชีวิตก็เยอะไป มันก็รู้ทั้งนั้นแหละ แต่ก็ใช้ได้บ้างกับคนที่กลัว

3. สมานฉันท์ด้วยจิตใจนิยมชมชอบในค่านิยมเดียวกัน อันนี้เป็นกลุ่มไป ชอบค่านิยมเดียวกัน จึงอยู่ร่วมกันสุขสำราญกว่ากันอย่างนี้ จะทำอย่างไรให้มีค่านิยมรสนิยมเดียวกัน ก็จะได้อยู่รวมกันดี อันนี้ สำราญเบิกบานใจอย่างชาวอโศก ค่านิยมที่จะมาจน ทำมาหากิน เลี้ยงดูกันไป สบาย จะอยู่กันอย่างนี้ แต่ข้างนอกเขาหายาก

4. สมานฉันท์ที่เริ่มกันนับว่าเป็นประชาธิปไตย แบบที่จะใช้ทางกฎหมายทางอำนาจ อำนาจก็อำนาจโลกีย์ ลาภ เงินทองยศศักดิ์ กลยุทธหาพวก อำนาจที่ใช้กันทุกวันนี้มากคือกลยุทธ์หาพวก ตัวนี้แหละทั้งโลก ตั้งแต่ระดับประเทศเลย มีประเทศที่เป็นพวก รองลงมาในประเทศก็หาพวกหากลุ่ม ตลอดไปไม่มีหาย เป็นประชาธิปไตยแบบสมบัติผลัดกันชม ใครสามารถจะมีพวกมากได้ก็จะเป็นผู้ครองอำนาจ เป็นสมบัติที่แย่งอำนาจกันมาได้ ผลัดกันชมสลับกันครองอำนาจ เป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดกาลนาน ทุกวันนี้ ทั่วโลกก็สมานฉันอย่างนี้ มีกฎหลักเกณฑ์ที่เรียกว่าประชาธิปไตย แต่ก็คือประชาธิปไตยสมบัติผลัดกันชม

5. สมานฉันท์โดยอิสระเสรีกฎเกณฑ์สมัครใจ อันประกอบด้วยปัญญา อันนี้แหละอย่างนี้ เริ่มเป็นประชาธิปไตยที่แท้ตามลำดับ อย่างเดวิดนี้เขาแสวงหาอยู่ เขาจะรู้ของเขาเองว่ากลุ่มไหนที่เขาไปมาแล้วรู้สึกดีกว่าอะไร เพราะฉะนั้นสมานฉันอย่างอิสระเสรีนี้ ประกอบด้วยความเข้าใจของตัวเอง เลือกเองอย่างนี้ เขาก็ตัดสินเองนี่คือประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคือความอิสระ ประชาธิปไตยนี้มีหัวใจคือ 1. อิสระเสรีภาพ 2. ไม่มีอัตตาตัวตน 3. มีจิตวิญญาณ จะเรียกว่าปัญญาก็ได้ คนไม่เรียนรู้เรื่องจิตวิญญาณไม่มีปัญญา ความรู้ปัญญาเป็นความรู้โลกุตระ ผู้สูงสุดก็คืออรหันต์ ถ้าไม่มีปัญญาไม่มีทางเป็นอรหันต์ มีในศาสนาพุทธศาสนาเดียวคือปัญญา นอกนั้นเป็นเฉโก ก็เป็นความเฉลียวฉลาด ยอดขนาดไหนก็ได้แค่ศาสดา ศาสนาเทวนิยมศาสนาใดก็มีความรู้แค่โลกียะไม่มีความรู้โลกุตระ ก็สมานฉันท์โดยอิสระของแต่ละคน

6. สมานฉันท์จนกว่าจะมีปัญญา ประเทศไทยมีปัญญา ประเทศยังสมานฉันท์อยู่ ทุกวันนี้ประเทศไทยก็เป็นประเทศที่สามัคคีมีความสงบ มีความสมานฉันท์ดีกว่าชาติใด ทุกวันนี้อยู่อย่างดีมากเลยประเทศไทย โลกียะตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสตกใต้อำนาจเฉโก จะต้องหลุดพ้นจากความฉลาดที่จะต้องลดกิเลสได้ต่อจึงจะเป็นความฉลาดที่เหนือชั้นกว่าความฉลาดแบบโลกียะ เพราะว่าเป็นอริยบุคคลของศาสนาพุทธ จึงจะเรียกว่ามีปัญญา จึงมีการสมานฉันท์ที่ดีได้ สมานฉันท์ที่ดีได้ต้องมีปัญญา

7. สมานฉันท์ที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ คือ ชาวอโศก เพราะคนมีอิสระเสรีภาพเต็มที่ ชาวอโศกมีอิสระเสรี ใครจะมา ก็มีอิสระ คนที่มีอิสระ คือคนที่ไม่มีอัตตาอย่างแท้จริง หรือลดกิเลสจนไม่มีอัตตาอย่างแท้จริง แล้วเป็นผู้ที่มีปัญญาโลกุตระอย่างสัมมาทิฏฐิ ที่ได้ความอิสระและลดอัตตาเองได้ไปเป็นลำดับๆ เป็นคนอาริยะสี่ขั้น ตามคำตรัสพระพุทธเจ้าก็เป็นอิสระสมบูรณ์เป็นคนที่หมดอัตตาไปตามลำดับ ก็ได้ เป็นพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์

อย่างชาวอโศก มีขั้นต่ำโสดาบัน คนที่ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตาอยู่ในชาวอโศกเท่านั้นจึงไม่เป็นโสดาบัน ถ้าชาวอโศกจริงจะไม่น้ำตานองหน้า จะปฏิบัติธรรมได้ดี

เป็นประชาธิปไตยที่แท้แม้โลกียะจะเก่งแสนฉลาดอย่างไรก็ตาม ความเป็นปัญญานี้จิตวิญญาณต้องเข้าข่ายโลกุตระ ปัญญา ปัญญาจะนำไปสู่ความเป็นอิสระอย่างแท้จริง และสามารถกำจัด อัตตาของตนลงไปได้อย่างแท้จริงตามลำดับเป็นคนไม่เห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง จึงจะเป็นประชาธิปไตยบริบูรณ์ได้ที่แท้จริง ตรงสัจธรรม

ใครอยากดูคนที่เป็นประชาธิปไตยมาดูชาวอโศก ใครไม่เข้าใจความเป็นประชาธิปไตยมาทำวิทยานิพนธ์ศึกษาจากที่นี่เลย สัก 5 ​ปี จะเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นเลยว่า ประชาธิปไตยคืออะไร

 

อาตมาบอกพวกเรา พวกเราก็กลับไม่ได้หรอกแต่ว่ารู้ว่าพวกเราเป็นนักประชาธิปไตย พวกคนไม่รู้ตัวอย่างที่จะมาบอกว่าเราเป็นนักประชาธิปไตยอย่างไร แต่นี่แหละใช่ เพราะฉะนั้นจึงเป็นการสมานฉันท์ ต้องทำอย่างนี้จึงเป็นการสมานฉันท์ด้วยเศรษฐกิจแบบพุทธ เล่นการเมืองแบบพุทธด้วยสังคมแบบพุทธ เพราะจิตใจจิตวิญญาณมีอิสระจริง หมดอัตตาหรือลดอัตตา คืนความฉลาดขั้นปัญญาที่ไม่ใช่ความฉลาดแค่เฉโก วนเวียน ไม่มีทางออกแบบโลกีย เขาจะเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดกาลเป็นปุถุชน ใครที่ไม่เข้ามาในอโศก ขอบอกเลย ประเทศไทยที่บริหารด้วยระบบประชาธิปไตย ถ้าไม่ชำแลชำเลืองมาทางอโศก หรือไม่ตรงกับที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพาทำ

ไม่ต้องอ้างอาตมาเลย ไม่ต้องอ้างอโศก อ้างในหลวงก็ได้ ถ้าหากทำตามศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็จะเป็นประชาธิปไตย ประชาชนจึงมีความสมานฉันท์ได้อย่างดีแท้จึงเป็นประชาธิปไตย เป็นสังคมประเทศศิวิไลซ์อย่างแท้จริง ผู้สร้างปัญญาให้เป็นความรู้เป็นศาสตร์ที่เป็นโลกุตระ หากประชาชนยังฉลาดแค่ เฉโก ที่เป็นโลกียะ จะไม่สามารถสมานฉันท์ได้อย่างเจริญแท้จริงยั่งยืน ถาวร มีเสถียรภาพเด็ดขาด

ของพวกเราพูดได้ว่ามีความเสถียร เพราะฉะนั้นทางโลกเขายังไม่เป็นอิสระต้องวนเวียนไปมา แย่งสมบัติผลัดกันชม แย่งอำนาจได้ อยู่อย่างนั้นตลอดกาล อย่างที่เป็นกันอยู่ในโลก ผู้ที่เป็นเผด็จการจนกระทั่งอยู่ได้ 40 50 ปี ก็ถ่ายทอดให้ลูกต่อ เขาทำได้เพราะมีเผด็จการที่มีประสิทธิภาพเก่งมาก แต่ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เขามีความเฉลียวฉลาด ในการบริหาร จริงๆแล้วพวกนักประชาธิปไตยก็รู้ว่า พวกที่พัฒนาบ้านเมืองให้คนมาอยู่พอดีพอกิน GDP ได้เปรียบชาวโลกมากมาย เขามีความสามารถมีกลเม็ดกลยุทธ์ ที่สามารถที่จะทำมาหากิน สถานที่ที่จะปลูกสร้าง ผลิตอะไรก็มีน้อย แต่วิธีการเขาสอนให้คนเอาเปรียบโลก GDP เขาได้จากข้างนอกเป็นหลัก แล้วบอกว่าเป็น domestic ตัวเองก็ไปแย่งคนอื่นเขามา บอกว่ารายได้องค์รวม ของภายในประเทศ ก็เป็นการโกหกกันทั่วโลกโดยไม่สำเหนียก แล้วไปคิดเป็นเลข GDP อาตมาว่านักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายมาฟังอาตมา สะดุดหูบ้างไหม มันไม่ควรจะเรียกว่า GDP มันควรจะเป็นรายได้จากภายนอกด้วยซ้ำไป แล้วยิ่งเอามาจากภายนอกนั้นเป็นรายได้ส่วนใหญ่ จะเรียกว่า domesticได้อย่างไร ต้องเป็นคนผลิตเองสิ ภายในของคุณก็ผลิตของคุณเอง แล้วคุณก็ได้อันนี้เป็นกอบเป็นกำมาก จนคุณสะพัดให้แก่ภายนอกเขาได้ นั่นต่างหากคือGDPของตน แต่ไปเอาของคนอื่นมามากแล้วนะเป็นตัวเลขของตนนั้นมันขี้โกง

นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกระดับประเทศ ก็ยังงุ่มง่าม ใช้อันนี้กันอยู่ทั่วโลกประเทศไหนก็แล้วแต่ นับรวมรายได้ที่ export เอาเงินมาจากข้างนอกเขา เอาแพงๆแล้วก็เอารายได้เข้ามามากๆ กว่าทุนที่ใช้

สรุปด้วยเนื้อหาของมันก็คือ คนจะมีรายได้องค์รวม คุณมีรายได้ที่เหลือที่เกินแล้วส่งออกไปข้างนอกเผื่อแผ่ข้างนอกเขาได้ อันนั้นต่างหากคือความเจริญ แต่คุณเองรายได้ของคุณทำมาไม่ค่อยพอกิน ต้องไปเอาของข้างนอกมากินอย่างนี้ต่างหากคุณไม่มีการจะนำออกไป คุณยังต้องอาศัยคนอื่นเขามาเลี้ยงตัวเรา คุณยังไม่มีประโยชน์คุณค่า คุณยังกินของคนอื่นเอาของคนอื่นมาเลี้ยงตัวเองยังเป็นคนติดยึดคนอื่น

คนที่สามารถพึ่งพาตัวเองทำอยู่ทำกินให้เพียงพอตนเอง ไม่เป็นหนี้ ไม่ไปเอาของใครมา ไม่เบียดเบียน จะขายก็ขายอย่างราคาต่ำกว่าราคาตลาดเท่าทุน ต่ำกว่าทุน ดีไม่ดีก็ไปแจก อย่างนี้ต่างหากคือคนที่ Gross ดีที่สุด รายได้ดีที่สุด รายได้องค์รวมดีที่สุด

 

8. สมานฉันท์ที่สูงสุด (ข้อ 7 นี้เป็นประชาธิปไตยแล้ว) สมานฉันท์ปรองดองสามัคคีกันอยู่อย่างเป็นสุข สมานฉันท์ได้สูงสุดก็คือ การสร้างคนให้การศึกษาให้มีวิชาการ สามารถพากันฝึกฝนจนเกิดปัญญาแท้จริงเป็นโลกุตระ พ้นจากเฉโกที่เป็นโลกียะ

ไปสู่ความเป็นอิสระอย่างแท้จริง และเป็นคนหมดสิ้นอัตตาตัวตนได้ ไม่เป็นอรหันต์แต่เป็นอนาคามีก็ยอดแล้ว ไม่มีทรัพย์สินเงินทองส่วนตัวแต่ทำมาหากินให้แก่ส่วนกลาง ตัวเองไม่สะสมอะไรเลย การศึกษาอย่างชาวอโศก เป็นอนาคามีโดยพฤติบท หรือเป็นพฤติกรรมที่เป็นบทบาทลีลา มีการเป็นอยู่ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเรา คุณจะกดข่มก็ตามแต่มีพฤติบทชัดเจนอ่านได้ ว่าเข้ามาในชุมชนชาวอโศกทุกคนทำงานฟรี ไม่มีใครแบ่งเอารายได้จากนี้ไป จะอยู่จนแก่ตายก็เผาให้ได้ ไม่มีปัญหา

อยู่ได้ ขอให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์พื้นฐาน ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอบายมุข มีศีล 5 คุณอย่าละเมิดศีล 5 ถ้าหากละเมิดศีล 5 ก็ต้องออก ไม่ละเมิดก็แก้ไข ปรับปรุงตามคณะกรรมการจะได้ดูตามความหนักเบา

ผู้ที่ ลดอัตตา เนื่องจาก มีความรู้ทางจิตวิญญาณเป็นอาริยบุคคลตามลำดับที่สุดเป็นพระอรหันต์อย่างนิรันดร โดยที่ตนเองไม่ติดยึดในความเป็นนิรันดรอยู่ด้วยซ้ำไป พูดอย่างนี้เป็นความสลับซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อน เป็นอาริยบุคคลในระดับอรหันต์ เป็นคนที่ไม่มีตัวตนระดับนิรันดรเลยนะ โดยที่แม้ตัวเองก็ไม่ติดในนิรันดรด้วยซ้ำ มีนิรันดรหรือไม่ติดนิรันดร จึงเป็นสังคมประเทศที่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบเลย บริบูรณ์สัมบูรณ์เลย การจะสามารถสมานฉันท์ไปได้ จะต้องศึกษาและปฏิบัติจิตใจของตน ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณได้สำเร็จแท้ นั่นก็คือการสมานฉันท์ที่สูงสุดด้วยภูมิปัญญาของอาริยบุคคล ที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยที่สุดยอดได้

ถ้าเมืองไทยไม่สามารถทำประชาธิปไตยได้อยู่แล้ว ไม่มีประเทศไหนในโลก อเมริกาก็ดี มีประเทศอังกฤษก็ดี ประเทศไหนที่บอกว่า เป็นประชาธิปไตยต้นแบบของโลกขณะนี้ ไม่มีที่ไหนดีเท่ากับเมืองไทยหรอก เมืองไทยนี่แหละเป็นเมืองที่ สมานฉันท์ได้แบบสูงสุดด้วยภูมิปัญญาของอาริยบุคคล ทำให้เป็นประชาธิปไตยสุดยอด ถึงขั้นสาธารณโภคี เป็นหัวขั้วเลย

สังคมหมู่บ้านชุมชนเป็นยอดพีระมิด สาธารณโภคี สมานฉันท์กันอยู่ มีอิสระเสรีภาพเต็มที่ ไม่มีตัวตน ลดตัวตนได้สูงสุด แล้วรองลงมาตามลำดับ รู้จักตัวตนรู้จักอิสระเสรีภาพ แล้วเอาจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเป็นตัวหลักสามารถมีปัญญาสามารถทำให้กิเลสลดได้จริง เจโตวิมุติปัญญาวิมุติได้จริง เป็นสุดยอดประชาธิปไตยสุดยอดคอมมิวนิสต์ หรือจะเรียกว่าเผด็จการก็ได้ เพราะว่าที่นี่เผด็จการอย่างไม่เผด็จการ อาตมาเป็นจอมเผด็จการในอโศก แต่อาตมาไม่ทำเผด็จการ

สาธารณโภคีเป็นสุดยอดของทั้งประชาธิปไตยและของทั้งคอมมิวนิสต์ที่สุดยอดด้วย ซึ่งข้ามพ้นความเป็นเผด็จการเต็มขั้น Ultimate สมบูรณ์สุดๆ จนกระทั่งหาที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว คันอันติเมท Absolute สมบูรณ์สูงสุด หาที่สุดกันไม่ได้อีกแล้ว forever

ในโลกยุคนี้ มนุษย์ปัจจุบันนี้ มีปรากฏการณ์จริง มีสาธารณโภคี เป็นสุดยอดของเผด็จการสุดยอดของประชาธิปไตย สุดยอดของคอมมิวนิสต์ มีจริงมีปรากฏการณ์จริงมี Phenomenal จริง ดังที่ว่านี้ คือชาวอโศกหรือเชาชอบเรียกว่าชาวสันติอโศก

สำเร็จความจริงอันนี้ ดำเนินชีวิตจริงอยู่ในประเทศไทยทุกวันนี้ กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ กลุ่มใหญ่บ้าง กลางบ้าง เล็กบ้าง ทั่วประเทศ ยังไม่มากหรอก แต่มีจริงเป็นปรากฏการณ์จริงของโลก เหมือนกับปรากฏการณ์จริงของหมูป่า การแสดงของประชาชนที่จะช่วยกันของมนุษยชาติในโลก รู้กันทั่วโลกเลย ใครมาก็แสดงออก ใครไม่ได้มาร่วมแจมด้วยตกยุคเลย แต่ของเราคนไม่เคยรู้ว่าคืออะไร ถ้าเขารู้ว่านี่แหละคือสุดยอดหลักเกณฑ์ของสังคมมนุษย์แล้ว เขาจะมายิ่งกว่าหมูป่า แต่เขาไม่รู้ เขาไม่รู้ว่านี่คือสุดยอดจริง ดีไม่ดีเขาจะเข้าใจว่าเป็นคนบ้า คือระหว่างอัจฉริยะกับคนบ้า หรือว่าเขาจะบอกว่าพวกนี้เป็นพวก Untouchable พวกอย่าไปแตะต้องหรือแตะต้องไม่ได้ เขาเข้าใจว่าพวกนี้อย่าไปยุ่งกับมัน แต่เขาไม่รู้ว่านี่แหละคือสุดยอดอัจฉริยะ สุดยอดของคนชั้นสูงมีวรรณะ 9 คือคนสุดยอดวรรณะ

เพราะฉะนั้นผู้ที่เขามีการแสดงตัวจริงเป็น Phenomenal เป็นปรากฏการณ์มีหลักฐานมีวัตถุสถานที่ ตำนานวัฒนธรรม มีพระไตรปิฎกบ้าง คือ คำสอน ที่เอามายืนยันหลักฐานจำกันมาถ่ายทอดกันมา ที่ผิดบ้างถูกบ้างก็มี ก็เอาไปตรวจสอบพิสูจน์กันเอา ใครอยากจะใช้ภูมิปัญญาตัวเองก็เอาเข้ามา ใช้สัปปุริสธรรม 7มหาปเทส 4

โลก ณ ลมหายใจเฮือกนี้ยังมีพระไตรปิฎกนะ แม้จะมีแค่ฉบับสยามรัฐแม้จะมีผิดเพี้ยนบ้างแต่ว่าอาตมายืนยันกว่า 90 เปอร์เซ็นต์พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐสามารถพิสูจน์โลกุตระได้จริงๆ ถ้าใครมีภูมิธรรมของโลกุตระก็มาพิสูจน์ให้บรรลุเป็น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติของตัวเองได้

ผู้เข้าใจจะมีฌานวิสัย สามารถเข้าถึงได้ แต่พุทธวิสัยละไว้นอกนั้นเข้าใจกรรมวิบากไปตามลำดับ โลกจินตา จะเข้าใจไปตามลำดับ จะรู้จักรู้แจ้งละเอียดเข้าไปในธรรมนิยาม

ที่อื่นเขาไม่ได้เอามาพูดกันหรอก อธิบายกันไม่เป็น เอามาใช้ประโยชน์จริงๆไม่ได้ แต่ชาวอโศก สามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้ ธรรมนิยาม 5 แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เอามาแยกแยะแบบนี้ไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์อย่างไอน์สไตน์ ยังแยกธรรมนิยาม 5 ไม่ได้แยกไม่ออก

 

สมณะเดินดินว่า...พวกเราคงจะบอกว่า จะมีวันไหนไหมที่คนจะเข้าใจหลักเกณฑ์สูงสุดของมนุษย์ที่พวกเราเข้าใจ แต่ว่า ถึงไม่มีคนเข้าใจ เราก็ต้องเข้าใจและทำให้ได้ก่อน พ่อครูบอกว่าจริงๆไม่อยากให้พวกเราได้แต่หลักเกณฑ์ภาษา แต่ต้องทำสภาวะของเราให้ถึงสภาวะที่มีนั้นด้วย เมื่อถึงจุดนั้นแล้วใครจะเกลียดใครจะไม่ชอบ หรือแม้จะต้องยืนหยัดยืนยันไหมว่าเขาไม่ชอบ พ่อครูบอกว่า วันนี้ ทิศทางของพระโพธิสัตว์จะยอมให้คนชิงชังได้ แต่ต้องยืนยันความถูกต้องเอาไว้ ที่เราไปชุมนุมนั้นพ่อครูยืนหยัดยืนยันมาเป็นสิบปีจนเขาเข้าใจว่าพระต้องไปชุมนุมการเมืองได้ จนเรากลับมาอุบลฯ ไปบิณฑบาต เขาก็ไล่เราเหมือนหมูเหมือนหมา เขามีอุปาทานว่าพระไม่ควรไปยุ่งกับการเมือง เราทำมาเป็น 10 ปีคนเขาก็เริ่มเข้าใจได้ เป็นปณิธานของพระโพธิสัตว์อย่างหนึ่ง วันนี้พ่อครูยืนยันว่าพ่อครูยังไปได้เพราะว่าพวกเราก็ยังไปได้อยู่ ...


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:43:39 )

610830

รายละเอียด

610830_เศรษฐกิจดี คืออย่างไรกันแน่

สมณะเดินดิน...ตอนนี้คนมารวมกันมากขึ้นมากขึ้น หมู่บ้านที่จะเป็นตัวอย่างของโลก ตั้งใจจะเป็นหมู่บ้านตัวอย่างของโลก

พ่อครู...พวกเราเป็นแล้ว มันมีระบบแล้ว มีวัฒนธรรมแล้ว พวกเรานี้เป็นแล้ว เป็นวัฒนธรรม วิถีชีวิตเป็นแบบนี้ การดำเนินชีวิตเป็นแบบสาธารณโภคี เราก็ไม่ได้ เพิ่งจะทำปี 1 หรือ 2 ปี เราได้ทำมา 20 30 ปีแล้ว จนเข้าฝักแล้ว ไม่เห็นจะต้องพูดอะไรกันแล้วเรื่องสาธารณโภคี จนกระทั่งมันอยู่รอด ไม่ได้ขาดแคลนอะไร มันมีความเป็นอยู่ที่ไปรอด มีอยู่มีกินมีใช้ เหลือมีอะไรต่ออะไรได้ ได้พัฒนาได้

สมณะเดินดิน...คำว่าเศรษฐกิจดี รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่โลกยังไม่เข้าใจตรงนี้เลย

พ่อครู...ไม่เข้าใจง่าย เศรษฐกิจดีคืออะไร เศรษฐกิจดีของเขาเอาง่ายๆตื่นๆจะต้อง รวย จะต้องมีวัตถุมาก ซึ่งมันไม่ใช่ เศรษฐกิจดีคือแชร์ แบ่งปันให้คนอื่น คนเดือดร้อน คนที่ไม่ค่อยมี กระจาย ไม่ใช่ตัวเองมากักเก็บ เศรษฐกิจดีจริงๆแล้วคือ ผู้ไม่รวย เศรษฐกิจดีจะต้องเป็นผู้พออยู่พอกิน อย่างที่ในหลวงตรัสไว้ทุกอย่างเลย ทุกคำพูด เศรษฐกิจดีคือเราอยู่ได้เลี้ยงตัวได้ พออยู่พอกิน คนอื่นอาศัยได้ สามัคคีกัน มีน้ำใจมีเมตตา อยู่รอด เท่านั้นแหละคือเศรษฐกิจดี ไม่ใช่ไปรวย เราไม่อยากรวย ก้าวหน้าแบบความเข้าใจของคน คอนเซ็ปของคนทั่วไป ก้าวหน้าแบบคนทั่วไปๆ ไม่เอา ก้าวหน้าแบบนั้น  แบบนั้นถอยหลัง ถอยหลังอย่างน่ากลัว ซึ่งคนไม่เข้าใจ เพราะมันเกิดปัญหา เกิดการแย่งชิง ทะเลาะวิวาทกันเพราะ จริงๆก็คือ ใจไม่พอ ใจไม่หยุด ใจไม่รู้จักความพอ คนเราจะต้องรู้หน้าที่ ขยันทำงานสร้างสิ่งที่กินที่ใช้ ให้อยู่เพียงพอ เหลือ สะพัด แจกจ่ายคนอื่นบ้าง ถ้าคนทำหน้าที่นี้อยู่ทุกคนทุกคนทุกคน

ในโลกนี้ โอ้โฮ โลกนี้จะเต็มไปด้วยสมบัติหมดเลย หว่านออกนอกโลกกันไม่หวาดไม่ไหว

      สมณแสนดิน...แค่พวกเราช่วยกันขนาดนี้ก็ยังเหลือขนาดนี้ละ

พ่อครู...ใช่ ยังเหลือขนาดนี้ เพราะงั้นถ้าคนเข้าใจอย่างนี้ในมวลของประเทศ มันก็อุดมสมบูรณ์ GDP ของคุณ แทนที่จะเอาของของคนอื่นมา GDP แท้เลย คุณสะพัดไปให้คนอื่นเขาเลย เพราะที่นี่คนเข้ามาคบ ติดต่อการค้าเลย ที่นี่มีของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ เบื่อทวง ปวดท้อง สบายเลย

สมณแสนดิน...นโยบายพาณิชย์ของประเทศ คือขายสด งดเชื่อ โอย

พ่อครู...มันเป็นภาระนะ สินเชื่อนี่ จะให้ก็ให้ ขาย ขายไม่ได้ก็เอาไว้ หรือมันเน่าก็ทิ้ง

เผาทิ้งไป เราไม่รู้จักหนีคืออะไร ในพจนานุกรมเราตัดคำนี้ออกไป

      คุณเจมส์...การที่คนเอาเม็ดเงินมาระดมทุนมาลงถือว่าเศรษฐกิจดี สร้างกลไกให้มีหนี้

      พ่อครู...นี่แหละ คนเขาถึงอยากมาลงทุน เพราะที่นี่มันถูก แล้วคุณก็ทำผลผลิตได้ คุณก็ขนออกไป ไปขายแพง เอาไปเลี้ยงบ้านช่องคุณเอง ก็มาสิ เราก็มีอยู่ มีที่ให้ลงทุน มีที่ให้ทำ คุณจะทำก็ทำ ถูกด้วย ดีด้วย ได้ผลผลิตดีด้วย  เขาก็ต้องมาทำ เป็นธรรมชาติธรรมดาของสามัญสํานึก ความรู้สามัญ เขาก็ต้องมาทำ สงบดีด้วย

      สมณะดินไท...เมื่อวานพ่อท่านบอกว่า เศรษฐกิจดีคือ หมูป่า

      พ่อครู...องค์รวมไง องค์รวมว่าจะต้องมีการช่วยเหลือกัน นั่นแหละเศรษฐกิจดี มีแต่คนช่วยเหลือกันนั่นแหละเศรษฐกิจดี มีแต่คนแย่งกันนั่นเศรษฐกิจร้าย เท่านั้นเองง่ายๆ

ถอดข้อความโดย  อุทัย  


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:45:01 )

610830

รายละเอียด

610830_สำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 10

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1PvpKHfy6WFB0d4qw9KW0FXZZy9UenGjy21P14MTOQvk/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1PMSs0Ox_oAhECe_ROLKWbZGm_waZBL-L

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

SMS 29 สิงหาคม 2561

 

_3867พ่อครูป่วยอาหารเป็นพิษมีหมอสมณะฯพยาบาลกทธ.ดูแลฯวิบากเหมือนพระพุทธเจ้าตอนเจ็บป่วยด้วยพระโรคโหิตปักขันทิกาพาสจากอาหารสุกรมัทวะเป็นพิษ มีหมอชีวกโกมารภัจจ์ดูแลฯ ทำให้เห็นสัจธ.โรคภัยเวร กรรมวิบากเก่าฯไม่ว่าจะเป็นปุถุชน,สามัญชน,อาริยชนฤาอรหันต์ทุกระดับก็ไม่มีใครหลีกเลี่ยงหนีพ้นไปได้เลย!กบปลงตก!

พ่อครูว่า…คนที่แสดงความเห็นใจที่อาตมาล้มครั้งนี้ก็เยอะก็ขอบคุณทุกคน แต่เขาไม่เอามาหมดมันเยอะ ก็ขอบคุณไปพร้อมๆกันก็แล้วกัน

 

_4208ดาวพิมพ์ฟ้า ขอให้พ่อครูมีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่กับลูกๆไปนานๆค่ะ

 

_3867ตอนพ่อครูป่วยตนสวดโพชฌังคปริตรบท 3 แปลว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงประชวรเป็นไข้หนัก!รับสั่งให้พระจุนทะเถระกล่าวโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพฯ ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัยหายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน!ด้วยการกล่าวคำสัตย์ฯนี้ขอความสวัสดีมีชัยจงมีแด่พ่อครูฯสาธุ!กบสิ้นโศก

 

_เอื้อมเอื้อ · ท่านแสนดินให้ข้อมูลเรื่องอาหารดีค่ะ เพราะโยเกริต์ไม่ควรกินท้องว่างหรือก่อนอาหารเช่นเดียวกับน้ำมะพร้าว กินตอนท้องว่างยิ่งก่อนอาหารเช้าจู๊ดๆแน่นอน ต่อไปก็ต้องระวังเรื่องการกินให้มากขึ้นค่ะ

 

_มาลินี จุ๋ม · ดีใจ มากที่เห็นพ่อครูดูแข็งแรงสดชื่นมากจริงๆค่ะ ขออาราธนาให้พ่อครูมีอายุที่ยืนยาวต่อๆไปค่ะ

 

_กิ่งฟ้า ขันหล้า · ดีใจมากวันนี้เห็นพ่อท่านค่ะ..เมื่อวานต้องอ่านตัววิ่งใต้จอค่ะด้วยใจเศร้าค่ะ

 

_อำภา รื่นใจดี · ดีใจและหายกังวลที่เห็นท่านพ่อครูกลับมามีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็ว แต่ขอนิมนต์ให้พักผ่อนมากขึ้นอีกนิดนะเจ้าคะ เพื่อความสบายใจของลูก ๆ

 

_พรชัย จันทรศร · พ่อท่านยังดูสดใสแข็งแรงตามปรกติ ไม่มีอ่อนระโหยโรยแรงปรากฎให้เห็น คงเป็นเพราะพลังงานสัมประสิทธิ์มีเหลือล้น กราบนมัสการด้วยปิติครับ สาธุ

 

_บุญเลียบ · เห็นข่าวพ่อคูรเข้ารพ.ให้รู้สึกเศร้าๆใจยิ่งนักแต่ได้เห็นพ่อมาเทศน์ยิ้มได้หน้าสดชื่นเสียงใสก็ให้รู้สึกดีใจค่ะ

 

_อำภา รื่นใจดี .อีกเรื่องที่จะขอนิมนต์ท่านพ่อครู ตอนเข้าห้องน้ำพ่อครูอย่าล๊อคกลอนประตู เพราะท่านปัจฉาคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ แล้วเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…ธรรมดาไม่ได้ล็อคนะ แต่มีบ้าง ประตูไม่ล็อคไม่ได้มันเปิดเอง บานพับไม่อยู่จะโป๊ไปก็เลยต้องล็อคบ้าง ธรรมดาจะไม่ล็อค

 

_พิศมัย ชำนาญคิด · ขอให้พ่อครูแข็งแรงอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกๆทุกคนตราบนานเท่านานนะคะ กราบนมัสการสูงสุดคะ สัญญานชัดเจนทั้งภาพและเสียงนะคะ จากคลองหลวง ปทุมธานีคะ ขอบคุณค่ะ

 

_สรายุทธ บุญญโก · ฟังธรรมพ่อครูมา 7-8 ปีแล้ว จะติดตามฟังต่อไป

 

_น้ำมนต์..หนูชอบรายการสำมะปี๋ซี่วิต หนูอยากให้มันมีสี่วันค่ะ

พ่อครูว่า...แล้วคนอื่นเขาจะมีรายการไหมนี่ คนอื่นๆมันน้อยไปนี่ ทุกวันนี้สองวันต่อสัปดาห์เอาน่า เดี๋ยวถ้ามันดีจะเพิ่ม

 

_หนูตั้งตบะอะไร สิ่งนั้นก็มา

พ่อครูว่า...ดีจัง การตั้งตบะ เท่ากับเรามาโฟกัสตรงนี้ ธรรมดาเราไม่ตั้งใจจะทำ มันผ่านมาแล้วก็ไม่สนใจ เมื่อเราตั้งตบะเราจะเล่นงานมัน เราจะทำกับมันให้ดีที่สุด พอตั้งใจแล้วมันจะยากทุกคน ก็จะทำให้มันดีสำเร็จ พอตั้งตบะแล้ว แต่ก่อนเผินๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไรมัน แต่ตอนตั้งตบะแล้วมันจะมา ใช่ เจอเข้าให้แล้ว ตั้งตบะอะไรบ้างล่ะน้ำมนต์

น้ำมนต์ว่า...จะไม่กินขนมกับไม่แกล้งเพื่อน

พ่อครูว่า..เก่งจัง ดีมาก ตั้งตบะอย่างนี้

 

_แม่เพิ่มพร...ดิฉันเป็นโรคกลัวไมค์ จับไมค์จะลืมหมดตอนนี้พยายามสู้สักกายะ จะพยายามไม่ลืม มีเหตุการณ์แปลกมาเล่าค่ะ

ที่ขอนแก่นช่วงนั้นฤดูหนาว มีวันหนึ่งแมวก็เข้ามา มาคลอดลูกใส่ข้างๆ คลอดได้ สิบกว่าวัน มีแมวตัวดำวิ่งออกมา ไปดูลูกแมวตายเรียบสามตัว ก็นอนไมหลับทั้งคืน เศร้าใจ พอดึๆ แม่มันมา ก็มานอน พอสว่างก็เอาลูกมันไปทิ้ง มันคาบไปไหนก็ไม่รู้ แม่มันร้องอยู่สามวัน

เมื่อฤดูฝน มันก็ตั้งท้องอีก แต่ไปคลอดอีกที่หนึ่ง ดิฉันไปเห็นแมวคลอดลูกอยู่ในลิ้นชัก ไม่ได้นับว่ามีกี่ตัว คิดว่ามันคงปลอดภัย ทีนี้ พอได้สองสามวันก็ไปเดินดูอีก ไปเห็นแม่แมวตายอยู่ข้างนอก ไปดูลูกก็ตายเรียบ คล้ายๆมันต่อสู้กับแมวตัวที่มันมาฆ่า ดิฉันก็เศร้าใจและสงสาร ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยถามว่า สมัยเป็นคนมันคงจะฆ่ากันมาแล้ว แต่พอมาเป็นแมวคงจะอาฆาตพยาบาทกัน

พ่อครูว่า...คิดไปได้ อาตมาจะไปพยากรณ์ได้อย่างไร อาตมาไม่สามารถระลึกหยั่งรู้ได้ เหมือนพระพุทธเจ้า อาตมาไม่ถึงขั้นนั้น ตอบไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ แต่ก็พอรู้ว่ามันจะมีการแก้แค้นกันไป มีรักมีชัง มาร่วมกันกับทำร้ายกัน นัยใหญ่ๆสัตว์ทั้งหลาย แม้แต่คนก็เช่นกัน มาร่วมสร้างสิ่งที่ดีหรือไม่ดีกัน

แม่เพิ่มพร ...ตัวที่ฆ่าคือตัวลายๆดำๆมันคงอาฆาตพยาบาทหลายชาติ ไม่ใช่พ่อมันมาฆ่านะ

พ่อครูว่า...มันก็ทำอย่างนี้แหละ

 

_สุวิดา...อยากแสดงความรู้สึกว่า ท่านฟ้าไท เคยเทศน์กับพ่อครูว่า พ่อครูลองตายดูไหม พ่อครูอย่าทำนะคะลูกตกใจ

สมณะฟ้าไทว่า พ่อครูพูดเองว่าลองตายดูไหม อาตมาก็ว่าหากตายแล้วฟื้นก็ลองได้ หากไม่ได้ก็ไม่ทำ

สุวิดา...เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ไม่ประมาท ใครจะรีบมาก็รีบมานะ

 

พ่อครูว่า...อาตมาตั้งใจจะอยู่ไปอีก แต่มันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง มันยาก แต่ได้เท่าไหร่ก็เอา

 

_บุญยิ่งแก้ว...วันที่พ่อครูไม่สบาย หนูไปงานที่กทม. ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะรีบกลับมาแล้ว แต่งงานข้างหน้าก็มี แต่วางใจอีกใจก็เป็นห่วง เชื่อมือปัจฉาฯ นอนก็ไม่ค่อยหลับ เมื่อเสร็จงานก็รีบกลับมา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จิตว่าง) ตอน ความมีกับความไม่มี

_1025ที่พ่อครูบอกว่า ให้มีก็ได้ไม่ให้มีก็ได้ ให้มีหรือไม่ให้มีอะไรค่ะ ขอความชัดเจนด้วยค่ะ

พ่อครูว่า..สิ่งที่จะอนุโลมมา เหมือนสิ่งนั้นเป็นสิ่งต่ำ อาตมาผ่านมาแล้วแต่ต้องอนุโลมให้กับผู้ที่อาตมาต้องโอภาปราศรัยด้วย เหมือนกับพ่อแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงไปกับลูก ทั้งที่เป็นของเล่นแต่ก็ทำเป็นสนุกสนานไปกับลูก จริงจังเต็มที่ แต่ใจจริงลึกๆมันหลุดพ้นไม่ได้ติดหรอก แต่เวลาที่เราอนุโลมกับเขา เราก็ต้องจริงใจจริงจัง แต่เราหลุดพ้นเราไม่ติดเหมือนกับแม่ครัว เขาก็รู้รส ทำให้คนนี้คนนั้นกิน ทำให้เขาติดฝีมือเลย จริงใจจริงจังแต่ตัวเองไม่ได้ติดเลย รสตรงนั้นอย่างนี้เป็นต้น ก็เปรียบเทียบได้แค่นี้

คุณสู่แดนธรรมว่า...ของจริงก็เหมือนกับพ่อท่านแต่งเพลงหรือไม่ครับ

พ่อครูว่า...ก็ใช่อันนั้นก็ได้ ใช้อารมณ์อันนี้อร่อยอันนี้สนุกแต่อาตมาไม่ได้ติด แต่ก่อนที่ยังติดคือ เรื่องเพลงอาตมาทิ้งเป็นอันสุดท้ายเลย ที่จริงทิ้งจนคิดว่าเพลงนี้เราติดเยอะ เราจะไม่กลับไปอีกแล้ว พยายามทิ้งจนกระทั่ง จำโน้ตก็เขียนไม่ได้ กว่าจะกลับมาอีกที ยาก ตอนมาบวชแล้ว ก็โอ้โห ต้องฟื้น โน้ตเกือบจำไม่ได้เลย ต้องค่อยๆฟื้นคืนใหม่ ลืมไปเยอะเลย ต่อไม่ติด แต่ก็ฟื้นมาได้พอสมควรก็ทำไปบ้าง เพราะเห็นประโยชน์ เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้แล้ว มันไม่ขั้นปรุงไม่ขึ้นแล้ว ทำมาได้ตั้ง 9-10 อัลบัม เยอะพอได้ ก็ เห็นว่าเป็นประโยชน์เป็นเพลงหรือศิลปะขั้นโลกุตระ ทั้งเนื้อหาและทำนอง ทำนองของอาตมาก็จะยากหน่อย ตามตัวเองทำได้ ก็ได้อย่างนี้แหละ ก็ผ่านไป จะตอบที่มีก็ได้ไม่มีก็ได้ ก็คืออนุโลมตนเองจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้

 

_1057ปักเพาะชำถึงแล้วครับ กราบนมัสการพ่อครูโพธิรักษ์ ครับ

พ่อครูว่า…

 

_พ่อครูตอนวูบไปในห้องน้ำ มีนิมิตอะไรไหม?

พ่อครูว่า...ก็ฟื้นขึ้นมาก็ไม่ถึงขั้นจะไปเลย ไม่ถึงขั้นขาด คือพลังงานจิตวิญญาณไม่ได้ขาดตอนเลยทีเดียว ถ้าเผื่อว่าพลังงานมันเป็นอย่างที่ฟื้นมาแล้ว เป็นพลังงานที่ไม่เต็ม บางคนฟื้นขึ้นมาก็เป็นพืช ก็มี หรือฟื้นมาแล้วไม่เต็ม อัมพาตบางส่วนได้ การหมุนเวียนของดินน้ำไฟลมไม่สมดุล สะดุด สูบฉีดเลือดไม่ครบ บางทีหัวใจบางส่วนเสียไป สมองบางส่วนเสียก็ได้ มันต้องพึ่งพากันระหว่างอวัยวะกับจิตวิญญาณ แต่อาตมาไม่ถึงขั้นนั้น

พอรู้สึกตัว ทำไมมันฟุบอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร ก็นั่งโถส้วมอยู่ดีๆ ตัวก็โค้งๆอยู่อย่างนั้น แต่หน้ากับตัวไปติดซอกประตูข้างล่าง ดันก้นติดกับโถนั่งไม่หลุดออกไป พอรู้สึกตัวก็ว่าเราเป็นได้ถึงขนาดนี้หรือมันจะตายแล้วหรือ เราก็บอกกับตัวเองว่ายังตายไม่ได้นะ ก็พยายามมีสติขึ้นมา ก็ดี ข้างนอกได้ยินเข้า อาตมาปิดประตูด้วย ท่านได้ยินก็ปีนมาดู อาตมาก็พยายามถอดกลอน พอถอดกลอนได้ก็หิ้วปีกกันสองคน หิ้วไปสองปีก คือท่านก็ลากกันมาเลย มันไม่มีแรง มีแต่บอกว่าไม่ไหวๆ มันจะขาดใจ ประคองมา ก็มาถึงอาสนะสงฆ์ก็นอนลงไป มันจะไม่ไหวจริงๆ ทางนี้ก็ว่ากันไป นวดนั่นนวดนี่ อาตมาก็จำไม่ได้บ้างหรือจำได้บ้าง ก็เรียก รถ ambulance มา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ขันธ์ 5) ตอน สัญญา เวทนา สังขาร ต่างกันอย่างไร

_น้อมยอดธรรม ...วันอังคาร ที่ดิฉันไปนอนที่อุทยาน เพื่อนเปิดให้ดูว่า พ่อท่านอยู่รพ. พ่อท่านพูดที่รพ. ดิฉันก็อ่านเวทนาว่าไม่ทุกข์ไม่สุข เฉยๆ สัญญาความจำคำสอนที่มีของท่าน ให้เราลดกิเลสมากมาย เจตนาก็ไม่วิตก เสร็จแล้วก็มีผัสสะจิตก็ไม่ฟุ้งซ่านก็มนสิการ คือทำใจในใจ ก็สงบ อุเบกขา ฉันไม่เสียใจ มีเจตนาดี พ่อครูไม่ตายแน่ อาทิตย์ที่แล้ว พ่อครูเทศน์เรื่องอจินไตย พระพุทธเจ้าอายุ 80 ก็ปรินิพพาน จิตท่านจะอยู่ต่อ แต่ปัจฉาฯของท่านไม่ได้นิมนต์ให้อยู่ต่อ ท่านก็เลยต้องไป แต่ดิฉันคิดว่าพ่อท่านมีปัจฉาฯนิมนต์ให้อยู่ต่อ แล้วดิฉันก็นิมนต์ให้อยู่ต่อ ดิฉันยังรู้น้อย

ขอถามพ่อครูว่า...ดิฉันเกิดจิตโลกุตระ ตามพ่อสอน มีเวทนาที่เป็นหนึ่งจนเหลือศูนย์ใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...คุณก็พัฒนาไปตามลำดับ

อาตมาพยายามย้ำ ภาษาก็เป็นความรู้ความเข้าใจ เราเข้าใจความหมายของภาษา เราก็พยายามที่จะเอาภาษานี้ ไปเข้ากันกับสภาวจิต เจตสิก อาการจิตของเรา มันเป็นการเคลื่อนไหวเป็น นามธรรม ลักษณะการเคลื่อนไหวแต่ละอัน เวทนาก็คือความรู้สึก

สัญญาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง มากขึ้น ทำหน้าที่ได้มากขึ้นจากเวทนา เวทนา เป็นความรู้สึกที่เป็นตัวรับ ตัวตั้งตัวเป็น มันทำอะไรไม่ได้มากเป็นตัวรองรับที่จะเป็นเช่นนั้น เมื่อสูงขึ้นมาเป็นสัญญาเป็นตัวที่สองมันทำหน้าที่กำหนดรู้ ซ้อนลงไป กำหนดหมาย เข้าใจอะไร โดยเฉพาะเข้าใจเวทนาด้วยกัน แล้วมันก็ เข้าใจสังขารก็ได้ เข้าใจวิญญาณก็ได้ เข้าใจเจตสิกอื่นอีกได้ มันเป็นตัวกำหนดรู้ได้อีกมากมาย สัญญาก็มีความสามารถมาก

สัญญานี้ทำงานหนักทำงานมาก ทำงานเป็นตัวต้นเลย ทำงานในกระบวนการของขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตัวสัญญาทำงานมากที่สุด ในกระบวนการของนามธรรม มันกำหนดรู้เวทนา กำหนดรู้สังขาร ถ้าสามเส้ามีเวทนา สัญญา สังขาร

สังขารคือการปรุงแต่งกัน สสังขาริกัง คือมีตัวอะไรร่วมปรุงเป็นตัวที่ 3 คือกิเลส มันเป็นอะไรขึ้นมาอีกรูปหนึ่งเป็นสังขตธรรม เหมือนกับนิวเคลียส มันก็มีบวกและลบทำงานกัน เรียกว่าพลังงานอะตอม พลังงานของสองสภาพ

สสังขารคือมีตัวร่วมอีกอัน คือกิเลส อสังขาร คือไม่มีตัวร่วมปรุง ถ้าเผื่อว่ามีมาร่วมก็เป็นกิเลสไม่มีกิเลสร่วมคืออสังขาร เราจัดการสังขารนี้ได้คืออภิสังขาร ถ้าทำไม่สำเร็จก็เป็นสสังขาร คือปรุงไปเลย แต่ตัวสสังขารนี้มันสสังขารด้วยอวิชชา ถ้าวิชชาก็สังขารกำจัดกิเลสได้เป็นปุญญาภิสังขาร มีตัวกำหนดรู้กิเลสแล้วสร้าง พลังงานบุญขึ้นมาทำลายกิเลส บุญก็คือกำจัดพลังงานกิเลส พลังงานกิเลสก็หมดไป มันได้ไปบางส่วนเรียกว่า ปุญญภาคิยา ได้เป็นส่วนๆเรียกว่า ยังไม่ได้หมดตัวตนของกิเลส ตัวตนมันมีร้อย ก็ทำลายไปได้ 20 30 40 ก็ได้เป็นส่วนๆ ถ้าจะครบก็นึกว่าหมด ถ้าได้บางส่วนก็เรียกว่าเป็น เสขบุคคล ถ้าได้ครบก็เรียกอเสขบุคคล

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สายปัญญาจะกล้าขัดใจคน

_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...อันนี้จะอยู่ในพระไตรปิฎก สาวัตถีนิทาน…

อานนท์เธอชอบพระสารีบุตรหรือไม่

อานนท์ว่า ใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาลคนมุทะลุคนงมงายคนวิปลาส จะไม่ชอบพระสารีบุตร เพราะท่านเป็นบัณฑิตมีปัญญามาก เป็นเจ้าปัญญา มีปัญญาชนให้ร่าเริง มีปัญญาแล่นมีปัญญาหลักแหลมแทงตลอด มีความปรารถนาน้อยสันโดษ เป็นผู้สงบกายวาจาใจ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียรเป็นผู้เข้าใจพูดอดทนต่อถ้อยคำ เป็นผู้โจษท้วงคนผิด การพูดตำหนิคนผิดคนชั่ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แล้วใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาล คนมุทะลุ คนงมงาย คนวิปลาส จะไม่ชอบพระสารีบุตร

ข้อ 303 พระพุทธเจ้ากล่าวย้ำกับพระอานนท์ทุกคำอย่างนี้อีก คิดว่าในสมัยพุทธกาล พระอานนท์กับพระพุทธเจ้าต้องทำทั้งสองพระองค์แบบนี้ เพราะท่านเป็นผู้มีปัญญามาก เป็นผู้แทงตลอด แต่ถ้าสายสมถะ ก็ไม่ต้องมาทำงานแบบนี้ ไม่ต้องติคนชั่วมาก แต่ผู้มีหลักแล้วท่านต้องทำงานแบบนี้ได้ งานที่พ่อครูทำตอนนี้ถึงไม่มีใครทำได้

พ่อครูว่า...ใช่สายเจโตศรัทธาจะไม่ค่อยทำหน้าที่ที่จะเป็นประโยชน์กับคนอื่นให้มาก เป็นประโยชน์เหมือนกันแต่เป็นประโยชน์อีกอย่าง เป็นคนมักน้อยสันโดษ ผู้สงบมีจิตใจเมตตาดี เป็นกายกรรม ไม่ละเอียดเหมือนวจีกรรม

การแสดงออกกายกรรมก็เป็นเรื่องหยาบ วจีกรรมก็เป็นเรื่องละเอียดกว่า พฤติกรรมเป็นเรื่องรู้ภาษาแยกแยะความแตกต่าง ลิงคะ สายเจโต จะแยกแยะความแตกต่างไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้นก็ได้ ได้เต็มรูป แต่ตัวเองแยกไม่ออก ยิ่งไปแยกละเอียดละออ มีภาษามิติมุมเหลี่ยมต่างๆก็ยิ่งน้อยสายเจโตสายศรัทธา เป็นสัจจะอย่างนั้น

ท่านเป็นตัวอย่างให้คนสัมผัสเอาเองรู้เอาเอง ท่านจะเป็นได้อย่างแข็งแรงสายศรัทธา เป็นได้เต็ม ถ้าจะอธิบายด้วยภาษาก็ยาก สายเจโต จะเป็นอรหันต์ได้เต็มกว่าสายปัญญา

สายปัญญาจะเป็นอรหันต์ได้ไม่เต็มเท่าสายเจโต

_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...สายปัญญาอย่างพระสารีบุตรจะมีคนไม่ชอบมากพอสมควร พระพุทธเจ้าถึงถามว่าอานนท์เธอชอบพระสารีบุตรหรือไม่

พ่อครูว่า...ปราชญ์จะชอบเพราะได้รับความรู้และประโยชน์ ส่วนเจโตจะได้ประโยชน์น้อยเพราะอ่านเอาเองอ่านไม่ออกมันเป็นก้อน แต่ของสายปัญญานี่ นึกว่าครบแล้ว สายปัญญายังมีแยกแยะให้รู้มุมเหลี่ยมละเอียดอีกเยอะแยะเลย มันต่างกัน เพราะฉะนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายเจโต จะชอบสายปัญญามาก เพราะเจโตมีสภาวะ แต่ไม่รู้ชื่อ ความจริงนั้นเต็มแต่ความรู้มีไม่มาก สายปัญญาความรู้มาก บางทีความเป็นจริงก็ยังไม่ได้ ยังไม่เต็ม เต็มก็ไม่แน่นเท่าเจโต เด่นกันคนละมุม

 

_เกร็ดดิน..ดิฉันอยากจะถามถึง 2 ทำให้เป็น 1 หรือ 0 มันต้องรู้ 3 ใช่ไหม ยกตัวอย่างดิฉัน เจอขนมชั้นก็ชอบมาก ก็ลองดู หาอะไรต่ออะไรทำมันก็ไม่ใช่

พ่อครูว่า...ต้องอ่านคนคืออะไรยกตัวอย่างขนมชั้น

เกร็ดดินว่า... ต้องพิจารณาลงให้ถึงที่เกิด ต้องไปหาสมุทัย ที่เกิด มันเกิดตั้งแต่เพราะว่า ตอนไม่สบายเป็นเด็ก คุณแม่เอาขนมชั้น เป็นถาดเล็กให้กิน กินก็ติดใจชอบใจ มันไม่ใช่แค่ขนมชั้นแต่เป็นความรักแม่ ความรักแม่ล้างลำบาก ก็ค่อยๆพิจารณาไปเพราะว่ามันยิ่งใหญ่ ก็ค่อยๆทำมาเรื่อยๆ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่หมด แม้ความรักคู่ เราเคยทำแบบพระเจ้าก็มีความภาคภูมิใจมีความสำเร็จ แต่อัตตานี่เราล้างกิเลสได้ตัวหนึ่ง แล้วก็จะมีปีติ

พ่อท่านเคยบอกว่าถ้าปีติแล้ว หากแช่ในปีติก็กลายเป็นปิตะ เป็นพ่อใหญ่ บรมอัตตา ก็เลยกลายเป็นเปรต ก็เลยว่าตายแล้วใหญ่มาก พระเจ้านี่

พ่อครูว่า...บาลีคือเปตัง

เกร็ดดินว่า... ก็ต้องระวังหากจะล้างภายนอกได้ต้องล้างภายในด้วยไม่งั้นมันจะค้าง

พ่อครูว่า...จากปิตะมาเป็นปีติ มาเป็นเปโต

 

ปัญหาแห้งไม่ค่อยมี…

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน การแก้ปมพลังงานที่ยุ่งยาก

_คน คือ สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการจากอุตุนิยาม พีชนิยาม จนเป็นจิตนิยาม ระหว่างการวนในวัฏฏะต่างๆล้านชาติก็สั่งสมกิเลสมากมาย จนล้นไปด้วยทุกข์ก็ดิ้นรนแสวงหาทางออก เมื่อจะทำการชำระออกทำไมแสนยาก การมีชีวิต เป็นการรวมตัวของมหาภูตรูป 4 และบวกกับวิญญาณ เป็นสิ่งที่ไม่ควรครอบครอง

พ่อครูว่า...คนไปสั่งสมมากมาย เรารู้ได้ด้วยภาษาบัญญัติ แล้วเราก็เอาไปแก้ไขว่าอันนี้ควรจะสลายควรจะต้องทำออก คุณจะต้องมีพลังงานแห่งธาติรู้ที่เรียกว่าปัญญา พลังงานอันนี้คุณจะต้องมีการสร้าง สร้างจนกระทั่งพลังงานธาตุรู้นี้มันมีจริงๆ มันมีประสิทธิภาพ มันมีความพร้อมพลังงานที่ได้จนสามารถที่จะมีฤทธิ์มีอำนาจมีพลัง เข้าไปสลายพลังที่ยึดอกุศลจิตอันนั้น พลังเดียวกันแต่มันคนละขั้ว พลังนี้ก็จะไปสลาย

พลังงานบวกลบก็จะผนึกกันด้วยการดูดหรือผลัก จะเป็นปฏิกิริยาอีกนานเท่านานเป็นธรรมะ 2 ต้องมี 3 ประธานที่ 3 ขึ้นมาใหม่ มันกับนิวเคลียสมันมีบวกลบจับกันแน่น ไฟฟ้าสามารถแยกพลังงานบวกลบให้มันระเบิดหายไป พลังงานนิวเคลียร์ที่มันเกิดจากนิวเคลียสที่มี 2 ตัว จับตัวกันแน่น ไอน์สไตน์สามารถให้คนเอามาใช้ แตกระเบิดออกไป บวกลบหายไปกระจายกลายเป็นอย่างอื่นหมดเลยจบ มันก็มีเท่านั้น อุตุนิยาม

ส่วนจิตนิยามนี่ มันมีประธานที่ถูกอยู่ 2 อย่างคือบวกกับลบ ถ้าเฉพาะลบมันก็เป็นตัวที่จะสลายและแยก ถ้าเฉพาะบวกมันก็จะบวก เข้าหากัน พอมารวมตัวกันเข้ามันก็แตกตัว คู่นี้ก็เป็นแกน บวกลบเป็นตัวแกน เป็น Static เกิด Dynamic เป็นแกนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆควบแน่นเข้าจนเป็นล้านๆชาติ มันจึงคลี่คลายออกได้ยากมาก

ฟังก็ดูเข้าใจสองหน่วยสามหน่วย แต่มันซับซ้อนเข้าไปเป็นล้านหน่วย ที่ทำมาก็เข้าใจแต่ทำไมออกยาก เพราะไม่ใช่มีน้อย มันย่อยก็ดูมีน้อย แต่มันมีมากมุมเหลี่ยม อย่างที่มีคนเขียนภาพ หมุนซับซ้อนมากมายจนตามไม่ไหวทำเป็นรูปเห็นไม่ได้ สานกันแน่น ที่จริงมันเป็นระบบนะ แต่เป็นระบบที่แต่ละปมมันเละเทะ แต่พลังงานแต่ละพลังงาน มันจะออกไปเสือกไปเกี่ยวกับอันอื่น ที่จริงไม่มีหน้าที่ของมัน มันก็เป็นตัวเล็กตัวน้อยยุ่งยาก มันก็เลยยากที่จะแก้เป็นเหมือนปมไหมที่พันกัน มุ่นไปหมด แต่ที่จริง มันมี 1 2 3 มันมีเล็กน้อยเยอะอีก ก็เลยดูเหมือนมีอะไรผูกพัน แต่เราไม่รู้ ถ้าเรามีพลังงาน ที่เพียงพอมันจะเป็นพลังงานใหญ่ที่ไปสลายเป็นอัตโนมัติช่วยได้ พลังงานใหญ่จะสลายพลังงานน้อยที่กระปิดกระปอยนี้ได้โดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องไปทำหมด ทำให้หมดไม่ได้หรอก ไม่ใช่ไม่หมด มันมีวิธีของพระพุทธเจ้าที่จะสลายตัวตนได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ ลู่ทางและรู้วิธีที่จะทำ ผู้ที่จะเป็นอรหันต์ใช้เวลาน้อยกว่าโพธิสัตว์ต่างๆ ปุถุชนใช้เวลามากกว่าจะมาเป็นอรหันต์

 

_คุณตามตะวัน...ครั้งก่อนถามพ่อครูเรื่อง ศิลปะในการชี้ขุมทรัพย์ วันพรุ่งนี้วันสุดท้ายของเดือนสิงหาคม นึกถึงตัวเองที่มีความรักแม่มาก เมื่อมาปฏิบัติธรรม ก็เลยรู้ว่าไม่จริงหรอกที่เรารักแม่มากที่สุด เรารักใน อัตตาตัวเองมากกว่า เพราะเหตุการณ์ต่างๆที่ประสบมา ตัวเองก็อยากให้แม่ได้ไม่ผิดศีล ทีนี้ พอเข้ามาอยู่ทางธรรม เราก็มาเจอมิตรดี ที่เหมือนพ่อท่านบอกว่าเป็นสนามแม่เหล็ก มันเป็นเรื่องจริงค่ะ มันเป็นแรงดึงดูด อย่างเช่นแม่ปุยที่อยู่ด้วยกันก็ได้เช็คข้อบกพร่องตัวเองได้ ตัวเองก็อยากจะทำอย่างนั้นด้วย ได้จากแรงกระตุ้นที่พ่อท่านเกิดวิกฤตครั้งนี้ทางสุขภาพ ตัวเองก็เลยจะให้เพื่อนๆที่รู้จักนิสัย รู้จักว่า การใกล้ชิด สามารถชี้ข้อบกพร่องได้ ก็เลยเอาตัวนี้ไปก็แล้วกัน เป็นการตอบแทนหมู่กลุ่ม แล้วก็มาได้ยินที่อาดินดอนบอกวันอาทิตย์ว่า ระหว่างกิเลสกับวิบากอะไรน่ากลัวกว่ากัน ดิฉันบอกว่ากิเลส อาดินดอนว่า กิเลสเรายังได้ผลัดกันแพ้ชนะ แต่ตัวเองได้รับวิบากมาเยอะ มันก็น่ากลัวทั้งคู่ เรามีบาปเราต้องกำจัดกิเลสมันก็น่ากลัวที่เรายังมี จะมีวิบากที่ร้ายมาให้เราอีก ก็พยายามจะสู้ต่อไป กับกิเลส รายงานให้พี่น้องได้รับทราบแค่นี้ค่ะ

พ่อครูว่า...ใช้ได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน มหายานเข้าใจเข้าถึงโพธิสัตว์ง่ายกว่าเถรวาท

สมณะมือมั่น..คราวก่อนพ่อครูพูดถึงความเป็นพระโพธิสัตว์ ตัวเองจะรู้ได้ยากมากว่าเราเป็นหรือเปล่า อันนี้คงเป็นเพราะว่า สังคมไทยเราเป็นเถรวาท

พ่อครูว่า...เพราะทางไทยนี้เป็นเถรวาทมากเป็นหลัก ก็เลยรู้ตัวเองยากมากว่าเป็นโพธิสัตว์ ส่วนมหายานก็รู้ยากเหมือนกันเพราะอะไรก็เป็นโพธิสัตว์หมด มันก็เลยเลอะเทอะไปหมด นึกว่าเป็นแต่ไม่ถูกไม่ตรง แต่รวมแล้ว มหายานจะรู้จักโพธิสัตว์ได้ดีกว่า

สมณะมือมั่นว่า..ผมเคยไปดินแดนที่เป็นมหายาน แต่ละตำบลจะมีโพธิสัตว์มากมาย คือเขาเองคิดว่า ตัวเองสามารถมีสัพพัญญูตรัสรู้ได้เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สังคมมหายานคือมีประวัติของพระโพธิสัตว์มากกว่าพระพุทธเจ้า เขาดูเหมือนว่าเขารู้ตัวเอง สามารถพัฒนาตัวเองเทียบเท่าพระพุทธเจ้าจนเป็นพระพุทธเจ้าได้ แต่ไทยไม่มีแบบนี้คนละอย่าง

พ่อครูว่า..เพราะเหตุนี้แหละโพธิรักษ์ถึงได้ยากมาก เพราะเขาไม่มีความรู้เรื่องโพธิสัตว์ อาตมาก็จึงยากมากเลย ที่จะให้เขาเข้าใจเรื่องโพธิสัตว์หรือให้เขาเชื่อว่าอาตมานี้เป็นโพธิสัตว์ แล้วก็อธิบายว่าโพธิสัตว์นั้นจะต้องมีอรหัตตผลก่อน แม้เริ่มต้นเป็นโพธิสัตว์โสดาบันก็ต้องมี อรหัตตผลของโสดาบันก่อน แล้วจึงได้ชื่อว่าเป็นโพธิสัตว์

โพธิสัตว์ไม่ใช่ผู้ที่ต้องคิดว่าจะไปเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็เลยเป็นโพธิสัตว์ได้เลย มันเป็นเพียงความคิดเท่านั้นเลยเป็นความปรารถนาเท่านั้นเอง ถ้ายิ่งตั้งจิตแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องบรรลุธรรมให้ได้ก่อนตั้งแต่พระโสดาบันถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ ถ้าคุณอยากจะเป็นแล้วไม่รู้จักวิธีเลย ขออภัยยกตัวอย่างบุคคล พระพุทธะอิสระ ตั้งจิตจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่ยังไม่รู้ระบบความเป็นพระเจ้าเลย เขาใช้คำว่าฉัน เขายึดติดว่าใช้คำว่าอาตมาก็เป็นตัวตนสิ เขาจะไม่ใช้ก็ใช้ศัพท์กลางๆว่าฉัน อย่างนี้

เขาก็เคยพูด อาตมาก็เคยฟัง ทิฏฐิโพธิสัตว์ของพุทธอิสระเป็นอย่างนี้เอง ก็เห็นได้ว่าซวยแล้ว อย่างนี้ได้แต่เป็นผู้ที่สร้างสิ่งที่ดี มันเป็นโลกียะยังไม่เป็นโลกุตระ

โลกุตระ ต้องเข้าใจจิตเจตสิกต่างๆ อ่านจิตเจตสิกให้ได้ บอกว่าฉันไม่เรียนธรรมะ ฉันจะทำแต่ความดีเพื่อไปเป็นพระเจ้า ความดีที่เขามุ่งหมายก็คือ จะช่วยคน จะช่วยผิดช่วยถูกก็ไม่ฟังเสียงทั้งนั้น ก็เลยสับสนหน่อย ก็น่าสงสาร แต่ก็มีจิตดี เป็นผู้มีปณิธานสูง

สมณะมือมั่น...ผู้ที่ตั้งจิตจะช่วยผู้อื่นย่อมต้องมีคุณธรรมระดับหนึ่งต้องเสียสละพอสมควร ผมว่า มันก็เลยดูเหมือนว่า มหายานจะเจริญกว่า เพราะจิตที่เป็นโพธิสัตว์ต้องลดละความเห็นแก่ตัวระดับหนึ่ง อย่างเช่นฉื่อจี้ ก็จะมีจิตโพธิสัตว์ช่วยเหลือผู้อื่น เขาก็ได้ในระดับของเขา

พ่อครูว่า...สรุปตรงแกนเลย การช่วยผู้อื่นคือไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เป็นตัวจบที่จะทำเพื่อผู้อื่นอย่างเสแสร้ง ที่จริงก็เอามาเพื่อให้แก่ตัวเองมากเลยเช่น ธนินท์ เจียรวนนท์ ทำเพื่อผู้อื่นสังคมประเทศชาติแต่ตัวเองก็ยิ่งรวย นั่นแหละแกหลอกโลก โดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองหลอก เป็นอวิชชา เพราะฉะนั้นวิบากที่ไปเอาเปรียบเขาก็ยิ่งมากขึ้น ก็ทวียกกำลังหนาขึ้น ก็ไม่รู้ตัวเป็นหนี้ซับซ้อนน่าสงสารมาก โดยที่หลงว่าทำเพื่อช่วยผู้อื่น โดยวิธีการเชิงซับซ้อนฉลาด ให้แกรวยเร็ว ภายในชาตินี้จึงได้มาตรฐาน

สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูเป็นพระโพธิสัตว์แต่มาเกิดในเมืองไทยแกนเถรวาท

พ่อครูว่า...แกนพุทธแม้มันมากเลยสับสน แต่แกนเถรวาทมีน้อยก็ไม่สับสน จะเข้าใจง่ายสำหรับผู้ที่ได้ แต่คนที่วุ่นวายสับสนอยู่มีเยอะ เพราะฉะนั้น ต้องทำให้ได้สัดส่วนที่เป็นมรรคผลช้ากว่า เถรวาทได้จริง แล้วก็จะได้ไปเรื่อยๆ เป็นแกน

 

สมณะฟ้าไทว่า...เราไม่คิดจะเป็นโพธิสัตว์อย่างเขา แต่เมื่อเราลดกิเลสก็รู้ว่าจะทำอย่างไร

พ่อครูว่า..เถรวาทได้จุดสำคัญเป็นวิธีการสมาธิที่จะไปถึงอรหัตตผล มันก็จะตรง ไม่ต้องไปทำอีกซับซ้อน มหายานจะทำซับซ้อนกว่าเยอะ

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ฆ่าตัวตายด้วยสุดวิสัยเป็นบาปหรือไม่

_คุณละอองบุญ..หลายปีได้ฟังสิกขมาตุองค์หนึ่งเล่าให้ฟัง ท่านไปเยี่ยมคนป่วยที่อายุมากแล้ว ถ้าคนป่วยที่อาการหนักมากมีแต่ทรงกับทรุดไม่มีหายทำประโยชน์อะไรไม่ได้ มีแต่เป็นภาระให้คนอื่นก็มีทางออกให้ชีวิตกับผู้ป่วยคนนั้น หาทางออกว่า เมื่อเขาป้อนข้าวป้อนน้ำ ก็จะกินอาหารให้น้อยลง ไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ไม่กินอาหาร ได้แต่ดื่มน้ำ และดื่มให้น้อยลงไปเรื่อยๆจนหมดก็จะตายอีกไม่นาน ดิฉันก็เห็นคล้อยด้วย มีสติก็จะทำเช่นนี้

แต่เมื่อมาเล่าให้เพื่อนอีกคนฟังก็ถูกเพื่อนบอกว่ามันเป็นบาป ดิฉันก็อยากทราบว่าเป็นอย่างไร

พ่อครูว่า...ที่เขาท้วงว่าเป็นวิธีการฆ่าตัวตายอีกอย่างหนึ่งก็ใช่ เวลาละเอียดอย่างนี้มันแยกได้ยากจะเป็นเจตนาดีก็ใช่ จะว่าเป็นเจตนาเสียก็เชิงนั้นอยู่ เพราะฉะนั้นบางทีเราก็จะไปจัดการเจ้ากี้เจ้าการกับเขาไม่ได้หรอกในรายละเอียดมากๆ

ต้องเป็นชีวิตเรา ชีวิตคนอื่นเราไปจัดการไม่ได้ บางทีเขาก็เห็นว่าอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ เขา เป็นภาระคนอื่นก็เป็นหนี้ ก็จบๆเสียดีกว่า ก็ไม่เสียหายอะไรมันก็ถูก แต่ว่าเขาพูดนี่ มันก็มีเชิงอยู่ว่า ถ้าเขายังไม่สิ้นไป เขาก็เป็นคนดี ทุกคนก็ห่วงใย บางทีก็ยังช่วยกันพูดบ้าง ถ้ามันพูดก็ไม่ได้อะไรก็ไม่ได้เลย ไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆคนนี้ก็ไปเสียเลยดีกว่า

ถามว่าไม่มีวิบากหรือ ก็สร้างวิบากให้แก่ตัวเองและผู้อื่นด้วยซ้ำไปมันเป็นเรื่องซับซ้อน เพราะถ้าเรายังอยู่คนที่อยู่ก็ได้กุศลวิบาก เราก็ต้องผูกพันกับกุศลวิบากไปอีก เราก็ตัดเสียก็ไม่ได้รุนแรงหยาบคาย ตัวเองก็สงบไปเฉยๆ ไม่ได้ไปฆ่าตัวตาย

 

_มีคนถามดิฉันว่า ลูกให้เงินใช้เดือนละเท่าไหร่ ก็ตอบไปว่าไม่ได้รับส่วนตัว เคยบอกลูกว่า หวังเพียงให้ลูกเป็นคนดีก็พอ มีคนบอกว่าอย่างนั้น ก็ล้มเหลวในการดูแลลุกให้ลูกไม่กตัญญู รู้คุณ แต่ดิฉันเห็นว่าเงินไม่ใช่สาระสำคัญที่ตัดสิน อีกประการคือ การอยู่ในชุมชนอโศกไม่จำเป็นต้องใช้เงิน การลดกิเลสต่างหากสำคัญ

พ่อครูว่า...ถูกแล้วจบเราไม่รับ ความกตัญญูต่อผู้อื่นไม่ใช่ความเลวร้ายเสียทีเดียว เราก็ไม่ได้ต่อวิบากเท่านั้นเอง ก็เป็นความดีของเขาที่เขาจะกตัญญูกตเวที เราไม่ให้ทำเขาก็ไม่ได้ทำ ก็ไม่ได้ยุ่งยาก ก็ตัดวิบากแม้วิบากดี แต่ของเราเองหากเป็นวิบากที่ต้องพัวพันกันอีก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จัดลำดับสัดส่วนของไตรสิกขา

_คุณปุยดิน...ปีพศ.46 ตัวเองอายุ 60 พอดี  พอดีฟังธรรมะก็ยังไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ไม่เข้าใจวิบาก มีวันหนึ่งขี่จักรยานมา มาถึงเนินสูง มองดูแล้วรู้สึกว่าเหมือนจะพ้นไม่มีอะไร แต่พอลงมาจริงมันเร็วขึ้นๆ ก็คิดว่าอย่างไรก็คงจะหยุดไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลยปล่อยวาง ไม่คิดอะไรมันคงจะสลบไป ไม่มีสติแล้ว ล้มไป เราก็ตัดรอบปล่อยวาง คิดว่าสลบไปไม่รู้นานเท่าไหร่ รู้สึกตัวได้ยินคนพูดใกล้ๆ เป็นหนึ่งผา เขาก็ไม่ได้ช่วยยก กลับมาบ้านราชฯก็มีหมอเพชรตะวันยกไปรพ.ค่าย คือวิบากรอบแรก แขนหักข้างขวา

รอบสองปี 50 คนเป็นห่วง เตือนเราก็ไม่ฟัง ศีลก็ไม่ปฏิบัติ ได้รถมอเตอร์ไซค์มา ทีนี้แขนหักข้างซ้าย ผ่าตัดขาอีก 2-3 ครั้ง เอาเหล็กออก แขนก็ใส่เหล็กขาก็ใส่เหล็ก ก็เลยมารอบนี้ ก็ไม่มีอะไรสงสัยว่าวิบากกรรมมีจริง มันชินแล้วกับที่ต้องประคองร่างกายไป จะให้หมดก็ไม่หมด

พ่อครูว่า...ฟังไว้นะปล่อยวางอย่างนี้ มาถึงตรงนี้อาตมาอยากอธิบายศีล

ศีล สมาธิ ปัญญา ไตรสิกขาของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ถัาสองเส้า ก็จะทำงานด้วยอวิชชาไม่รู้เรื่อง เมื่อมาเป็นตัวที่ 3 มีประธานรู้เรื่องได้ เป็นจิตนิยาม

จิตนิยามขั้นอาริยะ ของโลกุตระ ก็จะเข้าควบคุมพลังงานสอง ธรรมะสองให้เป็นทีละคู่ๆ แล้วพลังงานทีละคู่นี้แหละ เราก็ทำให้สำเร็จผลเป็นหนึ่ง และก็ทำต่อให้เป็น 0 จะทำต่อให้เป็น 0 ก็ได้หรือจะทยอยทำไป มันจะมีพลังงานซ้อนหากเราใส่ใจทำ 0 ให้สำเร็จก็จะได้ 0 ก่อนได้ 1 อันต่อไป

ถ้าเราทำ 1 แล้วไม่ทำ 0 ค่อยทยอยตกผลึกเป็น 0 ได้เองก็จะได้ 1 มากขึ้น ไปหาตัวที่ 2 ตัวที่ 3 ก็จะทยอย ช้า แต่ถ้าเผื่อว่าเอาให้เร็ว

ความเร็วของการทำแกนให้แน่น สายเจโตจะเก่งกว่า สายเจโต เพราะฉะนั้นสายปัญญา สายปัญญาจะมัวแต่แก้ปัญหาสนุกกับการแก้ปัญหา สายเจโตจะไม่ชอบสนุก จริตสองอย่างนี้ก็เป็นธรรมดา

ศีลแต่ละข้อ มันเป็นข้อกำหนด ถึงขั้นบรรลุสูงสุด ศีล จะเกิดสมาธิเกิดปัญญาเกิดนิมิต

ถ้าศีล ทำไม่ถึงวิมุติ ศีลทำแค่เกิดอธิจิต อธิปัญญา แล้วจะซับซ้อนมาก จะเป็นผู้มีวิมุติได้น้อย สัดส่วนที่ได้จึงยากมาก อาตมาอธิบายก็ยังไม่เก่ง ก็มีเพิ่มอีกนิดหนึ่ง

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าธรรมะพระพุทธเจ้าจะมีลำดับเป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องจริงใจไม่ใช่เรื่องเล่น ศีล แต่ละข้อจะมีความซับซ้อน ค่อยๆเนียนสูงสุดได้ จะมัวแต่มาทำ 1 2 3 4 แล้วค่อยๆตกผลึกมันก็ช้า อันที่ 2 3 4 ก็จะมาเล่นงานเรามากขึ้นอีก

การจัดให้ได้สัดส่วนอันพอเหมาะ ปโหติ ได้สัดส่วนอันพอเหมาะ สุดยอดยาก ท่านพูดถึงสัมมัตติ ที่ได้มรรค 8 ผล 2 นี่ ได้ทีละสัดส่วนมันไม่ง่ายเลย

 

ที่อาตมาขยายศีล 3 ตั้งแต่ตัวเราเองเป็นคนเกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับของ สามเส้ามีสัตว์ ของ และการจัดการอภิสังขารในการจัดการสัตว์กับของ ที่เกี่ยวกับการอุปโภคและบริโภคในชีวิตของคนไม่เป็นอันเดียว ก็ต้องทำกับสัตว์และของ เราก็จะมีความสามารถ ได้สัดส่วนที่มาช่วยกัน

ของเป็นอุตุนิยามสัตว์มันก็จะมีชีวะในตัวของมันเองมาช่วยเราได้แม้พีชะก็มีส่วนช่วย แต่ยิ่งเป็นพลังงานสัตว์ก็มาช่วยเราได้มากขึ้น พลังงานอุตุมาช่วยระดับหนึ่ง แต่พลังงานสัตว์มาช่วยได้สามส่วนเลย จะมากกว่ากัน

เพราะฉะนั้นสัตว์จึงเป็นตัวสำคัญที่คุณจะต้องเลิกวิบากให้ได้ก่อน ส่วนของนั้นระดับสอง มันจะทำลายหรือช่วยเราก็ตามมันช้ากว่าสัตว์ แล้วมันก็ไม่มีตัวบังคับที่จะมาเล่นงานเรา สัตว์มันมีความคิดของมันเป็นตัวเจ้าของมันเอาก่อนเลย อุตุหรือของมันไม่เร็วเท่าสัตว์ สัตว์มาก่อน จะรักหรือชังก็ตาม

สัตว์เป็นตัวตนมากเลยที่คุณต้องจัดการก่อน สำคัญกว่าของ ทั้งๆที่ ของนี่ไม่เป็นตัวร้ายอะไรมากมาย สัตว์มันเป็นตัวร้ายกว่า ของดูเหมือนไม่ร้ายแต่ของนั้นนานกว่าสัตว์ ของจะสองสัตว์จะหนึ่ง หนึ่งก็จะแรง สองจะเบาแต่นานกว่า สองเป็นเจโตแต่หนึ่งเป็นปัญญา แต่เวลาทำงาน สองเป็นปัญญา หนึ่งเป็นเจโต แต่หนึ่งแน่นในตัวแข็งแรงในตัว

_คุณอัมพร..รู้สึกว่าตัวเองจะวนเป็นลักษณะว่าทำไม่ถูกฐานตัวเอง ต้องวนมาทำใหม่ เหมือนว่าทำได้แต่ไม่ได้ พอไม่ได้เสร็จ ก็จะเกิดกำลังใจถดถอย เมื่อเริ่มต้นทำใหม่ทำไมมันรู้สึกว่า ทำไมกลับไปกลับมา

แต่มันเริ่มตั้งแต่พอรู้จัก อ่านหนังสืออโศก ก็เริ่มฝึกกินข้าวกับสะเดาอย่างไม่รู้ว่าต้องถือศีลอย่างไร เขาว่ากินมื้อเดียวดีก็ลองดู แม้ทุกวันนี้ก็รู้สึกว่ากระโดดข้ามไปมาอยู่

ที่จะเรียนถามคือว่า การจะให้ตกผลึกเป็นลำดับ ให้แน่นเป็นช่วงทำอย่างไร

ถ้าเรารู้สึกว่าเราทำได้แต่ทำไมตีกลับได้ทำไม?

พ่อครูว่า...ทำได้แต่ไม่ถ้วนเต็ม เต็มแล้วไม่ตีกลับ

ให้อาตมาตอบ ตอบคุณไม่ได้ คุณจะต้องมีประสบการณ์ของคุณเอง อยู่กับหมู่กลุ่มไปนี่แหละ ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าวิตักกะ มันจับความกำหนดรู้ไม่แม่น มันสับสน จริตของแต่ละคน มีจริตวิตักกะก็ยาก ของใครก็แล้วแต่ เราก็จะต้อง คุณอย่าไปจับอะไรมาก อย่าไปสนใจอะไรมาก อันหนึ่งที่จะบอกกับคุณคือ เรื่อง Coefficient หยุดเลย อาตมาก็จะหยุดมันน่ารู้อยากรู้ เข้ามาจับตัวสำคัญอันนี้ให้จบไม่กลับไปกลับมาให้ได้ แล้วคุณก็เอาตัวอย่างที่ทำให้แน่นไม่กลับไปกลับมาอันนี้ มาเป็นตัวอย่าง เป็นโมเดลให้แก่ตัวเอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำกุศลนั้นดี แต่ต้องมีโลกุตระก่อน

_คุณพัชรี ตุลาบดี...พอดี ในชีวิตของเราก็เจอแต่เรื่องของมนุษยสัมพันธ์ และธรรมะจัดสรร บางอย่างที่ผ่านมาเราไม่คิดว่ามีโครงการจะทำ แต่เป็นธรรมะจัดสรรให้เราทำเราก็จะทำ ตั้งเป้าหมายแปลว่าสิ่งดีๆที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นกุศลก็จะพยายามทำ ถามพ่อว่า เหมือนเราจะมีชาติที่แล้วมาก่อนหรือไม่

พ่อครูว่า..มีแน่นอน แต่คุณอย่าไปทิ้งโลกุตระ กุศลก็ดี เป็นทรัพย์สมบัติให้เราอาศัยได้ดีก็จริง แต่คุณจะต้องรู้โลกุตระ คือว่าจะต้องอ่านจิต จะต้องกำจัดกิเลส อย่าให้เสียผลกำจัดกิเลส จะทำกุศลมากจนเร็วจนจิตไม่ทัน จับกิเลสไม่ทันมันมีงานเยอะ อย่างนี้ก็ต้องลดเสียบ้าง ลดกุศล อย่าไปเห็นแก่กุศลหลงกุศลมาก เอาให้เหมาะกับตัวเอง ขนาดนี้เราทำขนาดนี้ เราอ่านทัน ต้องเข้าใจโลกุตระแยกแยะกิเลสให้ออก แล้วก็จัดการกับกิเลสให้ได้ อ่านอาการกิเลส ราคะโทสะ อ่านให้ออก ทำให้ลดให้ได้ ถ้าคุณอ่านตัวนี้ไม่ได้

โลกุตระคือ 1. แยกแยะกิเลสได้ ราคะโทสะสองแกนใหญ่ หากแยกได้ ก็ทำอย่างนี้ แยกเป็นสองคือกดข่มเฉยๆ กับปัญญา ความเฉลียวฉลาด กิเลสมันลดด้วยความเฉลียวฉลาดกับการลดด้วยการกดข่ม กดข่มได้ชั่วคราวเวียนกลับก็ต้องเห็นให้ได้ว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นภาระวุ่นวายเป็นทุกข์ จริงๆแล้วมันไม่ใช่ตัวตน หากเราดับมันก็เป็นอนัตตาทั้งนั้น มันไม่มีตัวตนหรอกกิเลส แต่เราก็ต้องมีปัญญามีพลังงานอันนี้เข้าไปล้างมัน หากไม่มีปัญญาเข้าไปล้าง มันก็ได้แต่ตรรกะ ต้องล้างให้มันไม่มี เมื่อสัมผัสแล้วมันยังมีอยู่ก็ต้องล้างตัวนี้แหละ คุณทำให้ชัดหากไม่เข้าใจโลกุตระ จะไปทำได้อย่างไร

โลกุตระ 1 ต้องแยกแยะอาการจิตให้ออก เป็นอาการจิตที่ต้องรับรู้โดยตรง มันเป็นจิตที่ปลอมมา เป็นเวทนา 2 ให้ได้ แล้วเหตุที่มันเกิดพัฒนา 2 ลงไปอีก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความสุขความทุกข์ เมื่อมันมีเหตุก็จับเหตุให้มันแน่นนั่นแหละคือ พ้นสักกายทิฏฐิ ก็กำจัดตัวนี้ให้ชัด สร้างพลังงาน เอ็งมันไม่เที่ยงเอ็งมันไม่ใช่ตัวตนเองมันให้เกิดภาระ ทำให้ทุกข์ จะเรียกว่าทุกข์เล็กน้อยใหญ่ เอ็งทำให้ข้าเกิดกายสังขารปรุงแต่งอยู่ มันต้องหยุดสังขารไม่ปรุงอะไรในจิตถือว่าสงบ ก็จะต้องชัดตัวนี้ พลังงานอาการจิตตัวนี้ จึงจะถือว่าโลกุตรธรรม

ถ้าไม่เริ่มต้นรู้จิตเจตสิกละเอียด เราก็ยังไม่รู้เราควรจะทำให้เป็นตัวตนถึงศูนย์ได้ คือใช้พยัญชนะตัวต้นตัว 0 นิพพาน ตัวจบ เอาพยัญชนะมาเรียกว่า 0 เท่านั้น สภาวะไม่มีแล้วก็จบ ต้องใช้บัญญัติเรียกสภาวะอย่าไปติดใจพยัญชนะนัก ให้เอาตัวสภาวะให้ชัดสภาวะต้วสำคัญที่เป็นหนึ่งที่เป็นศูนย์คืออะไร

_คุณพัชรีว่า...เรื่องการชี้ขุมทรัยพ์การบอกแก่พี่น้อง เราจะได้รับขุมทรัพย์ว่าเป็นคนชี้อย่างตรงและแรง เราก็ถือว่าเป็นสัจจะ และถือว่าหากเราเห็นอะไรแล้วไม่บอกเขา เราจะเป็นคนใจดำ เราก็ประมาณว่าคนนี้เหมาะควรอย่างไรที่จะบอก แต่ถ้าไม่บอกเราก็คิดว่าเราใจดำ

พ่อครูว่า..ก็คล้ายๆกับที่อาตมาทำ

คุณพัชรีว่า...ในชาตินี้ถ้าทำกรรมอะไรไม่ดีไว้ก็จะแก้ในชาตินี้เลยไม่อยากต่อไปในชาติหน้าไม่อยากจะให้มันต่อไป สัมผัสเรื่องกรรมวิบากมาก็เลยซาบซึ้ง

พ่อครูว่า...ถ้ามันแรง แล้วมันไม่หยุดมันจะแรงมากยิ่งขึ้น อันนี้ควรหยุด ถ้ามันเล่นกลับไปกลับมา แทนที่มันกลับมานิดหน่อยแล้วจะหยุด หรือเราก็หยุดเขาก็หยุด แต่ถ้าแรงมากขึ้น เราจะเป็นผู้แพ้มากขึ้น เราก็ต้องหยุด ถอย เพราะเขาไม่หยุด เหมือนทักษิณ เขาแพ้ก็แพ้ล้มละลายแพ้อย่างสิ้นท่า เป็นการล้มละลายทางความคิดและการกระทำ

 

_พูนไท...สืบเนื่องจากที่เรื่องของศีล ความเข้าใจของผม ศีล คือข้อกำหนดที่เราตั้งขึ้นมาเพื่อจะได้ปฏิบัติให้เกิดปัญญา ศีลข้อ1 อานิสงส์ก็คือเกิดเมตตา ข้อที่สองก็คือ ลด ความตระหนี่จนเกิดจิตที่คิดจะให้เสียสละ คิดว่าตัวเองในศีล 5 ข้อ คงจะปฏิบัติไม่ถึง อธิศีลทุกข้อ เพราะว่าดูในการปฏิบัติตัวเอง ก็เลยอยากเรียนถามพ่อครูว่า อธิศีล แต่ละข้อ 5 ข้อ จะไปสู่จิตเป็นอย่างไร

พ่อครูว่า...ก็ไปสู่ความสูญ หรือเป็นปัญญารู้จบ ไม่ทุกข์ไม่สุขอีกแล้วมันเป็นกลางๆ ไม่มีอะไรเกิดปฏิกิริยาให้เกิดทุกข์ หรือเรื่องยาว ให้ก่อเรื่องต่อไป

เรื่องสัตว์เราก็ไม่เกิดความสุขความทุกข์ เฉยได้แล้วไม่รักไม่ชัง ก็หยุด ก็เฉยๆกลางๆ

 

ข้อที่ 4 ไม่ต้องกังวล มันจะเกิดจากการที่ทำได้ 3 ข้อ มันจะเป็นฐานให้คุณพูด คือแกนของคุณมีแล้วจะพูดออกจากแกน ข้อ 4 เกิดจาก 3 ฐานใหญ่ ข้อ 4 เกิดจากสามข้อ มโนทำได้กับแกนกายกับวจีก็ทำได้ไม่ต้องกังวล

 

_คุณเกื้อดิน...เคยฟังเทศน์ว่า วิญญาณไม่เป็นชีวิตถูกหรือผิด ท่านพูดจากพระไตรปิฎกเลยนะ

พ่อครูว่า...วิญญาณไม่ใช่ชีวิต ความคิดนี้เป็นความผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ เอามาจากโมเมสูตร วิญญาณเป็นชีวะชีวิตที่ปรุงแต่งขึ้นมา

อธิบายคำว่า จิต วิญญาณ มโน

รูปเวทนาสัญญาสังขารก็คือวิญญาณ เมื่อมาทำงาน ก็ไปเอาที่จิต ดูวิญญาณก็เป็นตัวรวมหมด ตัวใหญ่ แต่ให้ไปทำงานวิญญาณก็กลายเป็นรูป จิตก็เป็นตัวนามเป็นบทบาท ทำงานละเอียดลงไป สุดปลายของธาตุรู้จะเป็นมโน

วิญญาณเป็นตัวใหญ่หยาบ จิตจะแตกเป็นเจตสิกอีกเยอะ ก็จะละเอียดลงไป มโน เป็นตัวที่ละเอียดอยู่ปลาย

 

_คุณแสงแก้ว...เมื่อสักครู่อาดั้นเมฆพูดว่าวนไปวนมา ดิฉันมีประสบการณ์ ที่ว่าไปเอาปลายมาปฏิบัติ เรื่องอาหาร เคยกินมื้อเดียวอาหารธรรมชาติ แต่มันตีกลับกินทุกอย่างที่มันชอบ ไม่สามารถหาทางออกได้ จนที่แสงแก้วบอกว่า ปฏิบัติต่อ เรื่องสัตว์ เมื่อมีโมเดลเรื่องสัตว์ก็มาปฏิบัติเรื่องของ แล้วมาเรื่องกามภพ ขนมจีนน้ำยาเคยติด แสงแก้วจะปฏิบัติกับพวกนี้ หมายความว่าถ้าเรายังไม่ได้ดับความเป็นทาสของก๋วยเตี๋ยว ก็คือ คุณยังอยู่ในกามภพ จะมาปฏิบัติแบบอนาคามี มันจะทำไม่ได้เลย แล้วจะลักลั่นแล้วเวียนกลับ

อย่างมันเลื่อนในศาลา บอกว่าพิจารณาแล้วแต่ทำไมตักมาใส่ชามตัวเอง ถ้ามันอยากมากควรจะไม่ให้มันกิน ไม่ใช่ไม่ให้มันกินเฉยๆ เราก็ต้องอ่านความอยาก แล้วเราก็พิจารณาว่ามันมาจากอะไรเราคุยกับตัวเอง เส้นมันก็มาจากแป้งมาจากข้าวเจ้า คุยกับมันว่าอยากกินหรือมันมาจากอะไร ไม่ใช่ตั้งตบะไม่กินเส้น แล้วก็ไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่กิน แต่เมื่อออกจากเข้าพรรษาก็กินไม่บันยะบันยัง เป็นการกดข่ม แสงแก้วไม่ใช้แบบนี้ แต่ใช้วิปัสสนา แล้วมันไม่กินได้แต่ว่าเมื่อทำได้แล้ว เราเอาก๋วยเตี๋ยวมากินอีก ขณะมากินก็ต้องพิจารณาว่ามาจากแป้ง เราไปหลงมันทำไม คุยกับตัวเองขณะเกิดกิเลส เป็นปัญญาวิปัสสนา แล้วมันก็จะจางลงเรื่อยๆ เป็นกามภพ นี่จึงไม่เวียนกลับ มันสำเร็จเพราะเราทำต้นก่อน

 

_คุณกิ่งธรรม...ถ้าเราทำงาน ผัสสะที่เกิดกับงาน หรืออุตุ พีชะ แสดงว่า งานที่ต้องสัมผัสกับจิตวิญญาณจะได้ปฏิบัติธรรมมากกว่า

ถ้าเราทำงานที่สัมผัสกับจิตวิญญาณและได้พลังงานมากกว่า มันจะทำให้เราบรรลุธรรมได้เร็วกว่าไหมคะ แต่ถ้าจัดการมันไม่ได้ก็จะช้ากว่าใช่ไหม เราต้องจัดการมันให้ได้ถึงจะเร็ว

พ่อครูว่า...เร็วกว่าใช่

 

_นักรบธรรม..ชาวอโศก ที่สุดก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ไม่ได้พูดกันเล่นๆ ต้องอย่างนี้เสียด้วย ถึงจะทำให้เราพ้นทุกข์ โรค โศกเศร้าเสียใจทุกอย่าง เมื่อได้มาเจอชาวอโศกแล้วคิดว่าไม่เอาหรอกอสงไขย เอาปัจจุบันนี้ให้มันเป็นให้ได้ เพราะว่ามีทางนี้ทางเดียว ที่จะทำให้เราแก้ไขสถานการณ์ที่เลวร้าย สามารถเป็นไปได้ด้วยดี ด้วยความสุขสำราญเบิกบานใจ

พ่อครูว่า...ตกลง

 

_คุณเหลา...จากเหตุการณ์ของบ้านราชฯในรอบไม่กี่เดือน เคส อาบุญธรรม แม้จะป่วยก็เสียชีวิตเร็ว อย่างอาหน่อย อยู่ๆก็โคม่า เข้ารพ.หรืออาปะดาวบุญ ล่าสุดก็พ่อท่าน เป็นภาวะที่ไม่น่าเกิด จะส่งเสียงตามสายถึงพี่น้องแต่ละพุทธสถาน ให้รู้ว่า ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้กับทุกๆคนทุกท่านตลอดเวลา ขอให้เร่งด่วนเข้ามาบ้านราชฯ ท่านจะติดความสุขอยู่ทำไม

พ่อครูว่า...เขามีภาระเหมือนกัน แต่ก็อยู่ข้างนอกให้รีบเข้ามา แต่ถ้าอยู่ในพุทธสถานไหนก็อย่าเร่งเข้ามา เดี๋ยวเขาขาด

_คุณเหลา...สภาวะส่วนตัว โลภโกรธหลงน้อยมาก เคยมีครั้งหนึ่ง เกิดผัสสะรุนแรง พอรู้ว่าโกรธมันก็หายไปสลายไปเอง

พ่อครูว่า...ยังไม่หมดก็ต้องออกมาไม่มีผัสสะไม่รู้ จะหลงง่าย ไม่มีผัสสะ อย่าไปหลง อยู่กับหมู่นี่แหละ คุณเรียกคนอื่นให้มาก็ดีแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน ปัญหาเรื่องภูผาฟ้าน้ำ

พ่อครูว่า...ตอนนี้อาตมามีปัญหากับภูผาฟ้าน้ำ ตอนนี้มันไม่มีคนแล้ว ยังเหลือตอนนี้ เขามี 2 คน ก็นี่ก็เมื่อเช้าก็ยังพูดกันว่าก็อยากจะมาที่นี่แล้ว แต่ยังคงพระรูปหนึ่งคือท่านยุทธวโร ท่านก็ว่าไม่ต้องห่วงท่าน อาตมาก็เลยว่าคุณก็มาก็แล้วกัน เราจะวางมือจากภูผาฟ้าน้ำ เพราะเราไม่มีคนเพียงพอ เรารู้สึกว่างานยังมีอีกเยอะ งานที่มีความเคลื่อนไหวมีเยอะ ที่ภูผาฟ้าน้ำความเคลื่อนไหวมันน้อย คนก็มีน้อยและมันอยู่ไกลด้วย อยู่ถึงภูเขา ก็เลยคิดว่า มีประโยชน์น้อยมากจริงๆ คนก็อยากมาที่นี่แหละ ที่บ้านก็มีอยู่แล้วที่บ้านราชฯก็มีสองคน กับใจ แน่นอน ถ้ามาก็ต้องมาด้วยกันสองคน หมดแล้ว

อันนี้เราก็ให้หมอเขียวไปแล้ว ยกทรัพย์สมบัติให้หมอเขียวไปแล้ว หมอเขียวมีประชากรที่จะเข้าไปจัดกิจกรรม พวกเราก็ มันน้อยแล้ว

มารวมกันที่ขณะนี้บ้านราชฯก็มีมากสุด สันติอโศกก็ไม่น้อย สีมาอโศกตอนนี้ก็กำลังขึ้น ตอนนี้ที่ไหนที่จะน้อยก็ชะลอลงไป ตัวอย่างเช่น ภูผาฟ้าน้ำ เป็นตัวอย่างสุดท้ายเราก็วางมือปล่อยให้คนอื่นเทคโอเวอร์ไป เราก็มาทำสิ่งที่สำคัญกว่า นี่ก็พูดเจตนาพูด ถึงผู้ที่ฟังอยู่แต่ละที่จะได้รู้ตัว เพราะฉะนั้นที่ไหนๆ ที่เป็นที่ของอโศกชุมชนอโศกขณะนี้ บางที่ มันไม่ได้ผล หรี่ลงๆ ก็จะต้องปิดตัวเหมือน ภูผาฟ้าน้ำ ถ้าไม่มีอะไรพอก็จะต้องปิด จะต้องเปลี่ยนให้ผู้อื่นไปที่เขาทำประโยชน์ได้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นเราจะเสียผล สถานที่คนอื่นก็ไม่ได้ แม้ที่สุดไม่มีใครมาทำอะไรก็ต้องให้ทางโลกเขาไป ขายอย่างถูกก็ขายไป ขายไม่ไหวก็ให้เขาไปเลย

มันจะไม่ไหวแล้ว อาตมามองว่า พวกเราทำได้ชั้นสูงขึ้นเยอะ แล้วกระแสสังคมใหญ่ก็รับรู้เรามาก จึงได้อันนี้มากเราก็ต้องสูญเสียสิ่งน้อยเพื่อจะได้ส่วนใหญ่ อาตมาก็พูดไม่ครบ ส่วนใหญ่คือรู้นะพวกเรา สัดส่วนสำคัญของประเทศที่จะมาประสานกัน ต้องยอมเสียส่วนน้อยเพื่อให้เกิดส่วนใหญ่ ไม่เช่นนั้นผลมันก็ไม่พอ เราต้องเก็บพลังงานเก็บผู้คนเข้ามารวมกัน ในกลุ่มใหญ่ที่มันจะเกิดพลังงานมาก เพราะที่นี่เรายังขาดแคลน

มาได้อีกนะอาตมาพยายามให้บ้านราชฯมีถึงพัน ป่านนี้ ยังไม่ถึงเลย 20 กว่าปีแล้ว ยังไม่ถึงพัน อาตมาว่า ตอนนี้ห้าร้อยยังไม่เต็มเต็งเลย ไม่จัดงานไม่ถึง

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...ว่าอีกปีหนึ่ง ที่นี่จะครบ 25 ปี

พ่อครูว่า...ถ้าบ้านราชฯครบ 1000 เมื่อไหร่จะเป็นรูปธรรมมากเลยเพราะว่ามีเสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ มันเป็นสัปปายะ 4 มันเป็นความเจริญ 4 อย่างที่ได้สัดส่วนจะไปได้เรื่อยๆแต่มันตอนนี้ไม่ได้ปริมาณ คุณภาพเราไปได้ แต่ว่าปริมาณยังไม่ได้ ขาด คุณภาพได้ แต่แน่นอนเราจะไปเก็บปริมาณมามากเป็นสวะก็ไม่ได้ ต้องเอาเนื้อแท้เนื้อธรรมก่อน อย่างน้อยก็เป็น โสดาบัน สกทาคามีก็ยังดี อนาคามีเข้ามาเลย ถ้าเป็นผู้ที่ข้างนอกมาจะเป็นพระโสดาบันอย่างน้อย ถ้าไม่เป็นพระโสดาบันไม่เอา

โสดาบันโดยรูปคือ 1. กินมังสวิรัติ ไม่กินเนื้อสัตว์ 2.มีศีล 5 แม้จะไม่บรรลุก็ตามก็ทำอย่างหน้านองน้ำตา อบายมุขไม่ยาก ที่นี่ไม่พาไปทำ นอกจากคุณแอบไป เขารู้คุณก็จะอยู่ไม่ได้ ถ้าคุณยังติดก็ต้องแอบไปหาอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นหลักเกณฑ์คัดเลือกผู้ที่จะเข้ามา

 

_คุณเย็นยิ่ง...เคยได้ยินสำนวนว่า ตกบันไดพลอยโจน ก็เหมือนกันว่า คนเป็นนักมวย การตกบันไดพลอยโจน มันจะดีกว่า คือเรากระโดดลงไปเลย ตอนนี้งานมันเยอะขึ้น ปานรุ้งไม่อยู่ผมก็ต้องไปทำน้ำปั่นผักแต่จิตผมก็ต้องทำอย่างยินดี การกระทำอย่างนี้เราได้ทำทั้งบุญและกุศลได้ตัดกิเลสที่ไม่อยากไป แต่เมื่อไปแล้วก็ทำเต็มที่ในสิ่งที่เราทำน่าจะใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...ใช่แล้วเป็นการเช็คการปฏิบัติ

 

_คุณป๋อง ตะกายภู...พ่อท่านเคยบอกว่าอาสวะเป็นแม่ อนุสัยเป็นพ่อ อยากฟังต่อครับ

พ่อครูว่า...มันก็สลับกันได้ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนกลับไปกลับมา ช่วยกัน มันจะไปยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ บางทีเป็นแม่ก็เป็นพ่อบางทีเป็นพ่อบางทีเป็นแม่ เรารู้แต่เพียงว่าถ้าเป็นแม่มีลักษณะอย่างไรเป็นพ่อมีลักษณะอย่างไร เอาที่ธรรมะเนื้อหาอาการ อาการของแม่ ดิ้นมากกว่า อาการของพ่อ นิ่งมากกว่า แข็งแรงมากกว่า เป็นตัวตั้งมากกว่า แม่เป็นตัวดิ้นมากกว่า นี่คือ ความหมายตัวต้นง่ายๆก่อน ก็จะกลับไปกลับมาช่วยกัน เดี๋ยวตอนนี้เป็นแม่แล้ว ทำให้เป็นหนึ่งได้ เป็นหนึ่งแน่นแล้วก็มาเป็นสองก็มาเป็นแม่ใหม่ เป็นแม่ได้แล้วก็มาเป็นพ่อ เมื่อเป็นพ่อแล้วก็มาเป็นแม่ใหม่ กลับมาเป็นแม่ใหม่อีกก็ได้เพิ่มขึ้น ก็จะอย่างนี้ตลอดกาล

ตัวควบแน่น เป็นพ่อก็จะเพิ่ม สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด...ไปได้เรื่อยๆเติมเข้าไปอีก

 

_สมณะเดินดิน...ปีนี้ครบ 48 พรรษา 84 ปี ก็มีคนคิดว่าจะมีงาน ฉลอง 48 ปีโพธิกิจ

 

พ่อครูว่า..ใครอยากให้งานใหญ่ก็มารวมกัน คนไม่มามันก็ใหญ่เอง ถ้าอยากใหญ่แต่คนไม่มามันก็ไม่ใหญ่ หากมหาปวารณามา 5,000 เป็นงานใหญ่แน่นอน หัวคิดจะมาแล้วลงมือทำจะใหญ่เอง แล้วหารายการทำ ใครมีวัตถุอะไรก็ติดมือมาเราจะมาทำอันนี้ ก็มาทำ เท่านั้นเอง เป็นไปตามธรรม ก็คิดว่าหลายคนก็คิด เรารู้สึกว่า ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย อย่างน้อยที่สุดก็ฉลอง ศาลาบวรเรานี่ อาคาร บวร กว้างยาว มีสองชั้น พื้นที่ตั้ง 11 ไร่ มาลองใช้ให้เต็มที่ หากมี5,000 มาใช้ แล้วจะเรียกคนนอกเข้ามาอีกได้อีกเยอะเลย มันจะมีความครึกครื้น เป็นไปตามสัจจะจะมี เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้...ขอปลงอาบัติ ลากเสียงยาวก็ล้อเลียนเขาแค่นั้นนะ ….


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:45:52 )

610831

รายละเอียด

610831_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พ้นความวนในโลกนี้สู่พ้นทุกข์พ้นสุขในโลกหน้า

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/11oIjT1wrMI1DoNkO2CL9airzRgoVRagdhBG_JOQdhvM/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1jOj43RBRoDk9UTcFrCCmtC3r326q9EID

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เราก็ยังยืนหยัดจัดรายการเช่นเดิม ก่อนมาได้เห็นข่าวหนึ่ง มีเจ้าควายเผือกเขาจะเอาไปฆ่า พระเจ้าอาวาสก็เลยไปไถ่ตัวมาราคา 8000 มาถึงวัดมันเดินรอบโบสถ์ 3 รอบ ก็เลยให้ชื่อว่าบุญค้ำนำโชค มันก็ตื่นมาทำวัตรเช้า อาตมาดูแล้วสลดใจ มันมาวัดมันดีใจมาก เราควรดีใจตั้งแต่เป็นๆ เป็นควายได้ประโยชน์ไม่มาก มาเป็นคนอโศกนี่ดีกว่า

มาปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องซ้ำซาก นั่งเก้าอี้ตัวเดิม คนแสดงธรรมก็เป็นคนเดิม เราควรจะทำให้เป็นนิสัยเลยเป็นชีวิตของเราเลยในการฟังธรรม มีความตั้งมั่นชัดเจนว่าอันนี้คือสิ่งที่ดีในชีวิต แล้วก็มาใช้ชีวิตแบบเป็นคน เป็นปกติ เกิดชาติหน้าชาติไหนก็ให้ไม่มีทรัพย์สมบัติมาก เป็นคนไม่มีอะไรเลยนั้นแสนสบาย แล้วเราก็เป็นผู้ให้อยู่เสมอ เกิดมาชาติไหนก็ตามก็จะมาเป็นผู้ให้

มีดาบตำรวจจินตวีย์ แกจะดูว่าคนไหนทุกข์ยากจะไปช่วย แบกของไปให้ถึงมือด้วยตัวเองเลย แกไม่เลิกเพราะมันเป็นชีวิตของแก แกมีชีวิตที่จะให้จนเป็นชีวิตปกติ เห็นแล้วไม่ได้ มันต้องให้ เอาเงินเอาของไปให้ แกไปด้วยตัวเองนะ เห็นจิตวิญญาณของคนที่ให้จนเป็นชีวิตปกติ ถ้าหากเรามีศีลธรรมโลกุตระ มีชีวิตเป็นปกติ พ่อครูเกิดมาแล้วไม่รู้จักความเครียด เราไม่เคยได้ยินว่าคนเกิดมาไม่รู้จักความเครียดเป็นอย่างไร ถ้าเราเป็นแบบนี้ได้นี่แหละคือชีวิตที่ดีที่เราควรดำเนินตาม ทำให้ได้อย่างซ้ำซากจนเป็นปกติของชีวิต เราเรียกว่าอเนญชาภิสังขาร

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน การไปแย่งความรวยเป็นความโง่

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมานั่งบนโต๊ะก็สะดุดตาที่หัวปลีกล้วย ใหญ่เบ้อเร่อเท่อ ต้นมันล้มแล้วหรือตัดมาหรือตัดมาตอนที่ต้นไม่ล้ม หัวปลีหากมันออกเป็นกล้วยไปเรื่อยๆ ในหัวปลีจะมีลูกกล้วยในนั้น กำลังทยอยออกเป็นลูกออกผล ยังไม่สุด อาตมาว่า ตัดมากินก็จะได้กินกล้วยน้อยในปลี มันน่ากินหรือ ลูกใหญ่ แล้วเอามากิน ปลีหัวนี้ กล้วยมันล้มก็เลยต้องตัดหรือ ตัดมาก่อน …(โยมว่า จะนำไปจัดเป็นผักสดขึ้นศาลา) หัวปลีหากมันไม่มีลูกแล้วก​็นำมากินได้ดี แสดงว่าหัวปลีนี้สุดแล้วยังใหญ่ขนาดนี้ ออกลูกไปสิบกว่าหวีแล้วนะ ลองเทียบลูกกล้วยข้างๆที่เห็น ปลีที่สุดเครือกล้วยแล้ว เอากำปั้นไปเทียบ (โยมว่า เป็นกล้วยพันธุ์พระราชทานต้นเตี้ย)

ได้ทักทายพืชพันธุ์ธัญญาหารไปบ้าง นี่อาตมาต้องชื่นชมกับพวกเรา ชื่นชมว่าพวกเราเป็นนักเศรษฐกิจที่ชัดเจน เป็นนักเศรษฐกิจที่มีภูมิปัญญา เป็นนักเศรษฐกิจที่ประสบผลสำเร็จ มายึดสัมมาอาชีพ ที่เป็นหนึ่งในโลก อาชีพกสิกรรมทำอาหาร อาหารเป็นหนึ่งในโลก แล้วก็มาปลูกข้าว เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สำคัญแล้วมีผลหมากรากไม้ และเป็นผลไม้ไร้สารพิษ เรามีพออยู่พอกินพอใช้แล้ว เราก็พอ เรามีความสันโดษอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ได้อยากรวยกว่านี้ เพราะว่า การไปแย่งความรวยเป็นความโง่ คนที่ไปแย่งความรวยมาให้แก่ตัวเองเป็นความโง่

แม้ว่าคนนั้นพออยู่พอกินแล้วไม่ต้องการรวยแล้ว แต่ขี้เกียจ อันนี้ก็ยิ่งโง่ใหญ่เลย คนที่พออยู่พอกินแล้วก็ขยันหมั่นเพียรสร้างในสิ่งที่ควรทำสัมมาอาชีพสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ยังเป็นคนที่มีชีวิตอยู่อย่างดี ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์แล้วก็แบ่งให้คนอื่นกินใช้ตนเองอยู่สุขสบาย เป็นประโยชน์ต่อโลก อย่างนี้เดี๋ยวจะได้ขยายความ

การเศรษฐศาสตร์นั้นเขาจะรวยมากๆ เป็น maximize profit นักเศรษฐศาสตร์จะเป็นเช่นนั้นตลอด ไม่ว่านักเศรษฐศาสตร์ที่ไหน ทำไมเขาคิดไม่ได้ ว่าเศรษฐกิจดีที่สุดไม่ใช่หมายความว่าจะต้องรวย นั่นจึงจะเป็นความสุขที่พิเศษไม่ใช่เลย คนที่เพียงพอ รู้จักพอ แล้วก็ขยันหมั่นเพียรสร้างสรร มีส่วนเหลือส่วนเกินให้มากที่สุด ที่ตัวเองกินใช้ ตัวเองก็แจกฟรีและขายบ้าง วนเวียนให้ชีวิตเราไม่มีขาดแคลน เศรษฐกิจดีเป็นคนเช่นนั้น ถ้าคนมีความเข้าใจเช่นนี้มีความสำนึกที่มีปฏิบัติเช่นนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แก่สังคม ก็มีที่จบ แล้วเป็นการจบอย่างยั่งยืนถาวรด้วย อย่างชาวอโศก สร้างเศรษฐกิจได้จบยั่งยืนถาวร แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อสังคมอื่นตลอดกาล ตัวเองก็เป็นสุขสงบเบิกบานสำราญใจไม่เดือดร้อนอย่างนี้ไปตลอดกาลเลยยั่งยืนจริงๆ การจะแก้ไขเศรษฐกิจให้ยั่งยืนมันต้องเป็นอย่างนี้

แต่ว่านักเศรษฐศาสตร์ไม่ว่าสำนักตักสิลาใดมหาวิทยาลัยใดในโลก ไม่เคยคิดตรงนี้ อาตมาว่าอย่างนั้นนะไม่เคยมีความรู้ตรงนี้และก็ไม่เคยมาบริหารประเทศแบบนี้ มีในหลวงรัชกาลที่ 9 เราเท่าที่อาตมาได้ฟัง ผู้ที่อยู่ในฐานะบริหารประเทศในระดับนี้มีภูมิธรรม ทำงานมีหน้าที่ก็มีในหลวงรัชกาลที่ 9 แม้แต่ด๊อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ในเมืองไทยที่เป็นคนทั่วไปก็ไม่ได้เห็นอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่ได้เห็นอย่างที่อาตมาพูด เขาไม่กล้าพูดไม่กล้าแสดงไม่กล้าคิดเช่นนี้ แปลกนะ

 

SMS 30 สิงหาคม 2561 (สำมะปี๋ ซีวิต)

 

_3867 พ่อครูฯให้บทเรียนเตือนใจคนชราเข้าห้องน้ำอย่าล็อคประตู!เกิดเหตุฉุกเฉินลูกหลานจะได้ช่วยชีวิตได้ทัน!ไม่ประมาท!ปลอดภัยไว้ก่อน ดีที่สุด!

 

__สราวุธ บุญญโก คุณแสงแก้วอธิบายเป็นแบบอย่างดีมากครับ จับสภาวะแทบไม่ทัน

 

_วันชัย สหมโนธรรม · ชาวอโศก..มีหลายระดับจริงๆ สาธุ สาธุ สาธุ

 

_บุญเลียบ · เสียงขาดๆหายๆค่ะ

 

_แหม่ม สวิส · เสียง ภาพชัดเจนดีค่ะ รับชมรับฟังจากสวิส

 

_ถาวร ทิพย์โชติ · ควรมีทีมจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมสับเปลี่ยนหมุนเวียนเฝ้าระวังสุขภาพพ่อท่าน ด้วยอีกทางหนึ่ง จะดีไหมครับ

 

_เดิมแท้ · ใครอยู่ใกล้เวที .ช่วยเสนอพ่อท่าน..ไม่ต้องอ่านคำถามเอง.หาคนช่วยคัดกรองคำถามให้พ่อท่าน ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระคอ_เสียงของพ่อท่านได้ระดับด้วยนะครับ เสนอให้พิจารณา..แบ่งเวลาให้พ่อท่าน(วัย 84แล้ว) ตอบคำถาม.เป็น 4 ยก ต่อ ชั่วโมง.(พักแต่ละยก 5 นาที)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน บรรลุแล้วบอกคนอื่นไม่ได้เป็นอรหันต์เดาเอา

_รามเทพ อิสระพงษ์ · พี่อัมพร(ดั้นเมฆ)ยิ้มรู้สึกเบิกบานในธรรมนะครับหรือพี่บรรลุธรรมแล้วเหรอครับ

พ่อครูว่า...อาตมาขอยืนยันว่าพวกเราบรรลุธรรมเป็นอาริยะชนไม่ใช่ปุถุชน แต่เขาไม่เข้าใจว่าคืออะไรและเขาไม่เข้าใจว่าเป็นอริยบุคคลด้วย พระอริยะเขาก็บอกว่าเป็นพระป่าไปโน่น

ผู้ที่เข้าป่าแม้แต่สังโยชน์ข้อที่ 1 ก็ไม่รู้ หากซัก สักกายทิฏฐิ รับรอง ผู้ที่นั่งหลับตาที่บอกว่าเป็นอรหันต์ อาตมาซักเข้ารับรองว่าไปไม่ถูกหรอก ท่านจะหลอกตัวเองก็ตาม เพราะในเมืองไทยก็มีแต่อรหันต์เดาเอาเพราะว่า บอกไม่ได้ หรือมีบางองค์บอกว่าตนเป็นหรือไม่ก็บอกเป็นนัย เพราะเข้าใจว่าเป็นอรหันต์แล้วบอกคนอื่นไม่ได้

อรหันต์นี้มีสติวินัย ในข้อที่ 10 อภิณหปัจจเวกขณ์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้บอกได้ อย่างไม่ได้สะดุดเลย เป็นธรรมดาธรรมชาติ เป็นแต่เพียงว่าจิตวิญญาณ มีอกุศลจิตเป็นกิเลส อย่าอยากบอก หากอยากบอกก็อาบัติ ใครอยากแล้วบอกก็ให้ปลงอาบัติเสีย ใครที่ไม่มีจิตอยากจะบอกแล้วต้องบอกก็ทำได้ แต่คนโกหกก็ตามก็ต้องปลงอาบัติ แต่คนที่รู้แล้วชัดเจนก็ไม่มีปัญหาบอกได้สบาย ๆ อย่างพระอรหันต์จริงจะรู้ตัวเอง บอกไป มันไม่มีกิเลสที่อยากจะบอก อนาคามีท่านก็รู้แล้ว อันนี้เป็นกิเลสที่ไม่ควรละเมิด ท่านก็ระวังแล้วท่านไม่ได้อยากจะบอก สกิทาคามีก็อาจเผลออยากอวด แต่โสดาบันก็อยากอวดบ้าง แต่ถ้ามีจริงก็ไม่เป็นอะไร ไม่ควรจะไปบอกเลอะเทอะกับใครต่อใครไปเรื่อย ท่านก็ปรับอาบัติเอา อันนี้ไม่ใช่ง่ายที่จะรู้ในเจตนา

 

_บุญลาภ แก้วมณี : ลูกไม่มีสิ่งใดเป็นการแทนคุณอันยิ่งใหญ่นอกเสียจากเอาชีวิตที่เหลือ

ในชาตินี้ไปถวายและรบกวนให้หมู่กลุ่มฯช่วยขัดเกลาตามที่ได้ตั้งใจไว้ กราบขอบพระคุณพ่อครูฯด้วยความเครพสุดเศียรสุดเกล้าครับ

กราบเรียนพ่อท่านฯและพี่น้องชาวอโศกทราบว่ามะเขือเทศพันธุ์โบราณที่ผมนำจากสวนบุญฯรังสิตคลองสิบสามมาปลูกที่บ้านติดผลแล้วเก็บมากินดิบตอนท้องว่างกินแล้วเวียนหัว 3 คนอาเจียน 2 คนมีคนเดียวที่ปกติครับ

 

_สราวุธ บุญญโก · ต้องถึงขั้นระดับพระพุทธเจ้ารึเปล่าครับ ถึงจะสามารถกำหนดอายุขัยตนเองได้

พ่อครูว่า...ใช่ แต่อรหันต์ที่ท่านมีความสามารถพิเศษ talent ของท่าน อรหันต์บางองค์ ท่านก็กำหนดอายุขัยวันตายวันเกิดของท่านได้

 

_มีชาวอังกฤษมาศึกษาอยู่ที่นี่ David เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนไม่มีศาสนา

มิสเตอร์เดวิด สรุปงานเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรคมาดังนี้ว่า แรงจูงใจในการมาเข้าค่ายก็เพื่อเรียนรู้ที่จะใช้ธรรมะในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

ประโยชน์ที่ได้ ทั้งชีวิตของผมคิดถึงแต่ตัวเองทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จเพิ่มสถานะวางแผน แต่มาที่นี่สอนให้รู้ว่า สิ่งที่ผมเชื่อมันเป็นไปได้ มันมีอีกวิถีการดำเนินชีวิตที่เติมเต็ม สมบูรณ์ ในขณะที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนด้วยและเติมเต็มในส่วนของตน

กิจกรรมที่ชอบ การสรุปงานเข้าค่าย

สาเหตุที่ชอบ จะพบว่ามันเป็นการคิดบวก สิ่งที่ประทับใจ ประทับใจในความท้าทายในการเอาธรรมะมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน แต่ทุกคนได้รับการสนับสนุนกระตุ้นตลอดทาง  ผมคิดว่าเป็นวิธีใช้ชีวิตที่ดีที่สุด

 

สิ่งที่จะนำไปฝึก จะฝึกทุกอย่างต้องอ่านรู้จิต

เพราะเหตุใด เห็นวิธีทำความเข้าใจว่าโลกุตระ กับ ฌาน คืออะไร

ข้อเสนอแนะ อยากให้ค่ายนี้มีวันนานกว่านี้ 

 

พ่อครูว่า...เขาได้ แม้แต่ชาวพุทธรู้ปริยัติรู้บัญญัติเยอะ รู้เหตุผลภาษาอันนี้เป็นอย่างนี้เพราะอันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ เข้าใจภาษา แต่ไม่อ่านจิต ไม่รู้สภาวะของตัวเองที่อยู่ต่อหน้า เช่น จะบรรยายธรรมะภาษาก็เก่ง ใครถามมาก็ตอบได้หมด แต่ไม่เคยอ่านจิตตัวเองเลยว่าตัวเองอยากอวดโอ่ อยากโชว์ เกิดกาม ราคะ โทสะ โมหะ ไม่ชอบใจอะไรก็ไม่เคยอ่าน อันนี้สามารถระงับได้ก็ กดข่ม อันไหนกดข่มไม่ได้ ก็ออกมาเป็นอย่างนั้นส่วนใหญ่เยอะ

ก็ให้อยู่เดือนหน้าสิ จะมีเข้าค่ายอีก

 

สม.กล้าข้ามฝัน สม.รินฟ้า ส.แสนดิน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พรหมวิหาร 4) ตอน เมตตากับอุเบกขาของพุทธ

_ชานติ ขอคำอธิบายเชื่อมโยงระหว่างคำว่า "อิตถีลิงค์ - ปุงลิงค์ - นปุงสกลิงค์ - อุเบกขา - เมตตา และสิริมหามายา"

พ่อครูว่า...ถ้าตอบอันนี้แล้วจะได้อธิบายถึงเศรษฐกิจไหมนี่ อยากให้อาตมาอธิบาย

อิตถีลิงค์ เพศหญิง- ปุงลิงค์ เพศชาย- นปุงสกลิงค์ ไม่มีเพศ - อุเบกขา คือจิตกลางๆเฉยๆโดยเฉพาะในศาสนาพุทธอุเบกขาเป็นฐานของนิพพาน ถ้าใครสามารถทำจิตให้เกิดอุเบกขาโดยสายปัญญา ถ้าอุเบกขาโดยสายเจโตสายเทวนิยม เขาก็ทำอุเบกขาได้ นั่งหลับตาสมาธิและก็วางเฉย ลืมตาเขาก็ฝึกว่างรู้นิ่งเฉย อย่างเช่นสายท่านพุทธทาสเป็นต้นรู้นิ่งเฉย เป็นการทำอุเบกขาแบบลืมตาสมถะเท่านั้น มันไม่เป็นวิปัสสนา ไม่สามารถรู้จักเวทนา 108 โดยเฉพาะมโนปวิจาร 18 ที่เป็นแกนเวทนาในเวทนาจะต้องแยกออกว่าเวทนา 18 เป็นโลกีย์อาการอย่างนี้โลกีย์ จะต้องเปลี่ยนให้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขา หากดีใจอย่างนี้โลกีย์ต้องเปลี่ยน มันไม่ได้เกิดจากกิเลสลดเลยเป็นตัวดีใจที่ได้เกิดจากลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหรือเกิดจากอัตตาตัวเอง จิตคุณสงบคุณก็ดีใจเพราะว่าจิตของคุณสงบ อันนี้ก็ยังเป็นเคหสิตอุเบกขา สายหลับตาตีทิ้งเลย ไม่มีเนกขัมสิตอุเบกขา

ปฏิบัติธรรมต้องลืมตามีผัสสะทางทวารทั้ง 6 เวทนา 108 เกิดจาก เวทนาสุขทุกข์อุเบกขา ในทางทวารทั้ง 6 แล้วอยากเป็นเนกขัมมะ กับเคหสิตะอีก เป็นมโนปวิจาร 18 หากไม่ลืมตาจะไม่สามารถรู้เวทนาเหล่านี้ได้เลย สัมผัสแล้วแยกอ่านอาการเวทนา อ่านอาการกิเลสได้ เอาจิตที่มันอยากมันชอบนี่แหละให้ลดลงๆ ต้องลดตัวกิเลสถูกด้วยนะ เรียก สักกายทิฏฐิ เป็นตัวแรกของสังโยชน์ 10 หากทำไม่ถูกจะไปบรรลุธรรมได้อย่างไร มันเป็นบทที่ 1 โดยการวิปัสสนาในการทำกิเลสออกเป็นเนกขัมมะ จะดีใจหรือเสียใจก็แล้วแต่ จะทุกข์หรือสุข โสมนัสโทมนัส คนเกิดอาการโสมนัส คุณก็รู้ว่าอันนี้มันเกิดจาก กาม พยาบาท คุณก็ต้องลด กาม พยาบาท แต่คุณไม่ได้วิจัยเวทนาในเวทนาเหล่านี้เลย สายหลับตานั่งสมาธิจึงตีทิ้งได้เลย ไม่มีทางเป็นอรหันต์ของพุทธ มีแต่มิจฉาอรหันต์ มิจฉาสมาธิ มิจฉาฌาน มิจฉาวิมุติ วิโมกข์ มิจฉาหมด ขออภัย ไม่ได้ดูแคลนกดข่ม แต่สงสารจริงๆ ถ้าหากท่านฟังธรรมะด้วยดีแล้วเปลี่ยนมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า วิปัสสนาแบบพระพุทธเจ้าจะได้ทำฌาน แบบพุทธ จะได้เกิดสมาธิแบบพุทธ จะได้วิโมกข์วิมุติแบบพุทธ ซึ่งไม่ได้ผิดเพี้ยนมานาน ก็ขอยืนยันว่ามันไม่ถูกเลยเป็นสิ่งที่ผิด

นั่งหลับตานั้น ถ้าไม่สัมมาทิฏฐินั่งหลับตาไม่เป็นอุปการะมากเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า นั่งหลับตาทำสมาธิเป็นอุปการะมาก หากคุณสัมมาทิฏฐิ จะรู้ว่านั่งหลับตาไม่ได้ปฏิบัติธรรมของพุทธ จะได้รู้ว่านั่งหลับตาได้นั่งสงบพักผ่อน

1.  ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก

2.  ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน  ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์

3.  เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .

4.  สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ  (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง  ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)

พยัญชนะที่พูดนี้ คนที่เข้าใจสภาวะอย่างนี้ก็จะตรวจสอบได้ไปตลอดเลย ไปนั่งหลับตาก็ได้พวกนี้ คนที่ทำไม่ถูก ไปนั่งหลับตาจะทำสมาธิ ทำฌาน จึงเป็นมิจฉาทิฐิไปหมดเลย ถ้าหากนั่งสมาธิที่ไม่รู้ว่านั่งหลับตาไปทำไม ดี ไม่ดี ไปนั่งหลับตาแล้วจะเห็นเทวดา มหาบัวเขียนว่าอ.มั่นสอนเทวดาเยอรมัน ก็สอนภาษาทางธรรม ก็เก่งเนาะ สอนโดยไม่ใช้ภาษา เป็นเรื่องพิลึก อาตมาเห็นชัดว่า มิจฉาทิฏฐิไปไกล เรื่องมิจฉาสมาธิ แล้วก็บอกว่าบรรลุอรหันต์อีก ก็ต้องขอคารวะเคารพจริงๆในสิ่งที่ต้องพาดพิงถึงภันเต คนที่เขาเคารพกันเยอะแยะ อาตมาก็พูดทางวิชาการเป็นความรู้ทางธรรม ไม่ได้ตั้งใจข่มละเมิดอะไร

ถ้าเผื่อว่า ไม่เข้าใจอุเบกขา อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน ถ้าเข้าใจทำได้จะรู้ว่ามีองค์ธรรม 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เราก็จะรู้ว่า

ปริสุทธา กิเลสไม่เกิดอีกถาวรยั่งยืน

ปริโยทาตา มันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ที่แม้จะกระทบกระแทกอย่างไรจะมีสัมผัสแตะต้องอย่างไร กับสามัญที่เรามีชีวิต กระทบกระเทือนยั่วยุอย่างไรจิตก็ยังสะอาดบริสุทธิ์ ปริโยทาตา

มุทุ ความแววไวคล่องของธาตุจิต ก็จะแคล่วคล่องทั้งเจโตและปัญญา ทำได้ยังไม่แปรเปลี่ยน หรือจะอนุโลมร่วมรับรู้ เออออห่อหมกกับเขา ก็สามารถอนุโลมกับเขาได้โดยจิตเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร อันนี้แหละคือสิริมหามายา

อาตมา อธิบายด้วยนัจจะวาทิตะ นี่แหละคือสิริมหามายา ดุเหมือนดูเหมือนโกรธไม่ชอบใจแต่อาตมาไม่มีจิตอย่างนั้นเลยอาตมาจิตว่างแต่อนุโลมแสดงท่าที ท่าทีนี้เหมือนไม่ชอบใจ ท่าทีนี้เหมือนแรง เหมือนมีอารมณ์ จะให้มีก็ได้ไม่มีก็ได้ทั้งภูมิปัญญาก็รู้เร็วไว ปรับเปลี่ยนก็ได้เร็วไว มันจะมีปัญญาแทรกว่าเราอนุโลมแล้วมีกิเลสมาแทรกไหม อนุโลมแล้วกิเลสเราไม่แทรก ก็จะรู้ซ้อนอยู่ในนั้น คือมุทุภูตธาตุ ผู้ที่ทำอย่างนี้ได้ ทุกกรรมก็ปโหติ ทำได้อย่างเหมาะควรพอดี เพราะว่ามีสัปปุริสธรรม 7 มีมหาปเทส 4 สามารถควบคุมกายกรรมวจีกรรมกับข้างนอก เหมาะสม ทั้งในการกาลัญญุตา ทั้งในสัปปุริสธรรม 7 อุเบกขาจะเจริญขึ้น ทำกรรมการงานได้เหมาะควร กัมมัญญตา

สุดท้ายก็มีชีวิตอยู่อย่างสะอาดหมดจดผ่องใสตลอดกาลนาน คือปภัสสรา

นี่คือสุดยอดของอุเบกขา 5

แล้วก็มาหาเมตตา

เมตตาเป็นองค์ธรรมรวมของผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ เป็นพรหม จิตสะอาดบริสุทธิ์แล้วทำงานอยู่กับโลก ก็มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นพรหมสี่หน้า เป็นพรหมสี่ลักษณะ เมตตาคือจิตที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ หรือแม้แต่ผู้อื่นที่มีสุขก็น่าสงสาร เพราะคนติดความสุขนี้มันไม่อยากออก แต่คนติดในความทุกข์นี้จะไม่อยากจะอยากได้อยากจะเอาออก แต่คนที่มิจฉาทิฏฐิจมอยู่กับความสุขนี้มันจมอยู่อย่างแนบเนียน ลึก ไม่ค่อยรู้ตัวได้มากนัก คนติดสุขจึงหนัก คนติดทุกข์ก็มาโซคิส หรือพวกซาดิสม์ เป็นสายชอบทรมาน ชอบเจ็บชอบรุนแรง ตนเองถูกกระทบกระแทกกระเทือนเจ็บยิ่งดีใจ ยิ่งจะไปกันใหญ่เลย มาโซคิสม์

การติดสุข เป็นสิ่งน่ากลัวมากเพราะมันเพลิดเพลิน แต่การติดในความทุกข์นี้ใครบอกก็เข้าใจได้ง่าย จะเป็นซาดิสก์หรือมาโซคิสก็ตาม ชอบดูมวยชอบดูเกมรบราฆ่าฟันเลือดสาดหนังบู๊ พวกนี้ไม่รู้ตัวเลย ว่าสั่งสมความอำมหิตใส่ตัวหนักเข้าไปเลย พวกบันเทิงโรแมนติกอิซึ่ม ปรุงแต่งเยิ้มไปหมด มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอกในทาง ปฏิฆะหรือกามราคะ คนไม่รู้จักกำจัดขอบเขตในอารมณ์ของตัวเองก็ไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รู้จะสอนกันอย่างไร

เมตตา อยากให้เขาพ้นทุกข์ กรุณา อยากให้เขาเป็นสุข โลกีย์ก็จะเข้าใจอย่างนั้น

มุทิตา ก็คือ เขาแปลว่ายินดี ที่เขาพ้นทุกข์ ยินดีที่เขามีสุข คือไม่ได้หลุดพ้นอะไร ไม่มีอุเบกขาเลย ทางโลกีย์ ไม่ติดสุขก็ทุกข์ อยู่อย่างนี้ ไม่ได้ออกจากโลกีย์เลย เพราะฉะนั้นอุเบกขาเขาก็ยิ่งแย่ใหญ่เลย

เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นความบริสุทธิ์ 4 ขั้น

หนึ่งเมตตา เห็นเขาเป็นทุกข์ หรือเห็นเขาติดในความสุข ปรารถนาที่จะให้รู้ว่าเขาติดในความทุกข์มันก็ไม่ดี ติดในความสุขก็ยิ่งแย่ใหญ่เพราะว่ามัน เนียน ก็อยากจะให้เขาหมดทุกข์หมดสุข

สอง กรุณาคือลงมือช่วย กรณะเลย

สาม ช่วยเขาได้สำเร็จ ก็มุทิตา ยินดีที่เขาพ้นทุกข์พ้นสุข

สี่ จบเรื่อง อุเบกขา ไม่ได้ยึดติดในผลงานของฉัน คุณจะต้องมีกตัญญูกตเวทีทวงบุญคุณ ฉันเป็นเจ้าหนี้บุญคุณ อุเบกขาของโลกุตระไม่มี ทำแล้วก็จบ ไม่ได้มีภพชาติไม่ได้มีดีมีชั่ว ไม่มีบุญคุณ ไม่มีทุกข์ภัยอะไร เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้นเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่เข้าใจยังไม่เป็นโลกุตระ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ก็เป็นเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาแบบโลกียะวนอยู่ในนี้ อธิบายแบบเละเทะปนเป อาตมาก็ตามไม่ไหว แล้วแต่อาจารย์คนไหนจะอธิบายกันไปไม่อยู่ในร่องรอย ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน การตายการเกิดอย่างสิริมหามายา

สิริมหามายาเป็นคำที่ โดยรูปธรรม ชื่อพระมารดาของสัมมาสัมพุทธเจ้า

เจ้าชายสิทธัตถะ จะต้องเป็นผู้ที่มี สิทธัตถะ สิทธะ แปลว่าผลสำเร็จ อัตถะ แปลว่าแก่นแท้ ท่านชื่อว่าสิทธัตถะคือผู้ที่มีแก่นแท้แห่งผลสำเร็จ ตั้งแต่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ก็มีพระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าท่านจะต้องเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์นั้นองค์นี้ เมื่อนั้นเมื่อนี่ จะชื่อว่าสิทธัตถะมีอัครสาวกชื่อว่าสารีบุตรกับโมคคัลลานะ เป็นเรื่องอจินไตย จะต้องมี ปัญญา จะต้องมีแม่ชื่อสิริมหามายา ก็คือ มีมายาที่ดี สิริ คือ ดี มหา คือยิ่งใหญ่ มายา แปลว่าความหลอกลวง

อะไรกัน จะตั้งชื่อแม่ของพระพุทธเจ้าทั้งที ต้องตั้งชื่อว่าหลอกลวง มายา แม้จะนำหน้าว่าสิริมหามายา แต่เอาชื่อคำว่าหลอกลวงมาใส่ทำไมคำดีๆมีตั้งเยอะ

เพราะฉะนั้นจะต้องชื่อนี้ เพราะว่าสิริมหามายาหมายความว่า ความหมายของสภาวะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สิริมหามายา อาตมานี้ กำลังแสดงสิริมหามายากำลังแสดงเป็นนักเล่นกล กำลังเล่นกลถึงความเกิดความดับ เดี๋ยวก็เกิดเดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็ว่าฉันเป็นเดี๋ยวก็ว่าฉันไม่เป็น จริงๆอาตมาเองไม่ได้แสดงอะไรทีเดียวหรอก เหมือนกับคนพูดกลับไปกลับมา แต่เมื่ออธิบายถึงสภาวะอันนั้นเป็นอันนี้ มันก็ต้องอธิบายเป็นอันนี้มันเป็นโลกีย์ ก็กลับมาอธิบาย โลกีย์ อย่างอุเบกขาแบบโลกีย์ เดี๋ยวก็ไปแบบโลกุตระ โดยไม่ได้ขานชื่อว่าอันนี้โลกียะอันนี้โลกุตระ เดี๋ยวก็ไปโลกียะอันนี้เดี๋ยวก็ไปโลกุตตระอันนี้ คนที่ไม่เข้าใจสภาวะก็บอกว่าเดี๋ยวก็พูดอันนี้อันนั้นกลับไปกลับมา อาตมาไม่ได้บอกชื่อว่า อันนี้เป็นโลกียะอันนี้เป็นโลกุตระ คนที่เข้าใจไม่ได้ก็หาว่าอาตมาพูดกลับไปกลับมา

คนที่หมุนสมองได้ทันสมัย อาตมาอันนี้พูดโลกียะนะ อันนี้พูดโลกุตระนะ โดยไม่ได้พูดกำกับทุกคำคุณก็จับสภาวะทัน ก็เลยเป็นเหมือนสิริมหามายา คนดูไม่ได้ง่ายๆ ก็จะสับสน กลับไปกลับมา

เพราะฉะนั้น การเกิดในโลกสมมุติ คือการเกิด ศาสนาพุทธนั้น ยุคปลาย พระพุทธเจ้าเมื่อท่านบรรลุธรรม ก็ว่า ก็มีอธิบายกันแบบ นามธรรม ว่า ก็มีมาร มาเลย นั่งอยู่หน้าพระองค์ แต่สหัมบดีพรหมเป็นคนทักท้วง แต่ที่จริงอาการเดียวกัน มารก็ว่าบรรลุแล้วตายได้แล้ว

พระพุทธเจ้าก็บอกว่าการบรรลุ คือการตาย คือการนิพพาน นิพพานแปลว่าตาย ศาสนาพุทธนิพพานแปลว่าตาย จุดสุดยอดของศาสนาแปลว่าตายไม่ใช่การเกิด แล้วยังเกิดอยู่ทำไม ก็ตายเสียสิ มารก็บอก คือมารมันโง่น่ะ เพราะจุดสุดยอดของศาสนาพุทธนั้น ตายแล้วผู้บรรลุแล้วตายแล้วต้องไม่เกิดอีก มารก็โง่ก็บอกว่า บรรลุแล้วจะเกิดอยู่ทำไม มันก็ไม่จริงสิแบบนี้ ก็เลยกลายเป็นว่ามันตายหรือมันเกิดกันนี่ เห็นไหม ตายไม่เกิด

พระพุทธเจ้าก็บอกว่าตายยังไม่ได้ เรายังไม่ได้สอน เถรวาทบอกว่าอรหันต์ตายแล้วสูญจึงเป็นมิจฉาทิฐิในเมืองไทย อาตมาบอกว่าอรหันต์ตายแล้วเกิดได้ เขาตีทิ้งเลย มีที่ไหนอรหันต์ตายแล้วเกิด เกิดได้อย่างไร อรหันต์ตายแล้วต้องสูญสิ นี่คือมิจฉาทิฏฐิของชาวพุทธในเมืองไทยน่าสงสารมาก

ไม่เข้าใจ โพธิสัตว์ที่อาตมาเอามาอธิบาย ถึง 9 ระดับ เขาไม่ฟังหรอก ก็บอกว่าตายแล้วเกิดไม่ใช่ อรหันต์ตายแล้วเกิดไม่ใช่ เพราะฉะนั้นจึงน่าสงสารซ้ำซ้อนในเถรวาท คือมันสับสนไปหมดเลย จนเขาจะเข้าใจว่า อรหันต์ ถ้าใครบรรลุอรหันต์แล้ว คุณตายแล้วต้องสูญ เกิดอีกไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ จะต้องไม่บรรลุอรหันต์ ไม่บรรลุพระอริยะด้วย เพราะอะไร

ถ้าหากบรรลุอริยเป็นโสดาบันจะเกิดอีกได้แค่เจ็ดชาติ คุณต้องบรรลุอรหันต์ เพราะว่าโสดาบันเกิดได้อีก 7 ชาติ ก็เลยเข้าใจเป็นตัวตนเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ 7 ชาติ แล้วเป็นอะไรมันก็ต้องตาย 0 เมื่อคุณเป็นอรหันต์ก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วจะบำเพ็ญแค่ 7 ชาติและจะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้นผู้ที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญแบบพระพุทธะอิสระ จะไม่เป็นพระโสดาบันสกทาคามีอนาคามี อรหันต์ นี่แหละพวกเถรวาทสอนไว้เหมือนอย่างพระพุทธะอิสระ ท่านไม่เกี่ยวหรอกจะเอาพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ท่านจะทำพระพุทธเจ้าอย่างเดียวจะมาป้องกันศาสนา ท่านไม่เกี่ยวกับพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ หากท่านพุทธอิสระได้ฟังก็น่าจะเอาไปไตร่ตรอง ไม่อย่างนั้นผิดหมด

ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ไม่มีพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ อย่างนี้ผิดเพี้ยนนะ

โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขั้นที่ 10 ไม่มี เป็นกัลกิริยาวตารแล้ว ของพวกฮินดูก็เหมือนกันมีอยู่ 9 ไม่มีปางที่ 10 คือปางที่ไม่มีตัวตน เป็น 0

เพราะฉะนั้นจึงวนไปหมด เป็นพระอริยะก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็ไม่ได้ ก็เลยสับสนไปหมดน่าสงสารมาก เมื่ออาตมาประกาศว่าเป็นโพธิสัตว์เขาก็ตีทิ้ง ก็น่าสงสาร แม้อาตมาไม่พูดไม่บอกก็ยิ่งจะไม่เข้าใจ มันก็จะไม่เป็นปรากฏการณ์แท้ มันจะกลายเป็น ตรรกะ ไม่มีตัวตนพฤติกรรมจริงไม่มีการแสดงออกจริง ก็ยิ่งไม่ละเอียด ก็จะไม่ครบ เป็นความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปไม่รู้กี่ขั้นตอน เป็นพระโพธิสัตว์ก็บรรลุธรรมไม่ได้ บรรลุรวดเดียวเป็นพระพุทธเจ้าเลย ไม่เกี่ยวกับ พระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปหาราทสูตร เรื่องความเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์

ข้อที่ 1 เลยความเป็นลำดับ ลาดหลุมลึกเป็นน่าอัศจรรย์ ไม่โต่งเหมือนเหว ในพระธรรมวินัยก็เป็นเช่นนั้นมีการศึกษาไปตามลำดับปฏิบัติไปตามลำดับ บรรลุไปตามลำดับ ไม่ใช่จะไปบรรลุอรหัตตผลโดยตรง ต้องมีโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์

หากโสดาบัน ไม่สามารถอธิบายสังโยชน์ 3 ได้ คนนี้ไม่ใช่อรหันต์แน่ ขยายความไปเลอะเทอะก็เป็นโมฆะ หรือเริ่มต้นปฏิบัติสัมมาสมาธิ

 

สมณะฟ้าไทว่า...พักครึ่งก่อนครับ

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน

สมณะแสนดิน

สมณะเดินดิน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สัมมาทิฏฐิ 10 อันมีผลบรรลุ

พ่อครูว่า...เรื่องของธรรมะ อาตมาพูดถึงเรื่องสิริมหามายายังไม่เก่ง พยายามอธิบายให้ฟังในสิ่งลึกซึ้ง ในหนังสือคนจนที่มีแบบ ก็ได้เขียนขยายความสิริมหามายาไว้ หลากหลายเหมือนกัน หนังสือคนจนที่มีแบบ จะเป็นหนังสือที่ ไขอะไรอีกเยอะ พิมพ์ไปแล้วเล่ม 1 มาแก้ไข จนป่านนี้ยังแก้ไขไม่เสร็จ จะให้ทันมหาปวารณา ก็เลยเห็นว่าเวลามันไม่มีนะ ก็เลยจะจบเล่ม 1 ก่อน มีอะไรค่อยขยายในเล่มที่ 2 ต่อ ฉบับแก้แล้วไขอีก

ก็ต้องพิมพ์ซ้ำอีก ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ครบ มันก็ไม่มีในเล่ม 2 ใช่ไหม อันนี้เติมเข้าไปอีกเท่าตัว ก็เท่ากับเล่ม 1 ที่ขยายไปอีกเท่าตัว มันก็มีความละเอียดเป็นสิ่งละเอียดที่หาได้ยาก จะตกหล่นก็เลยทำใส่เสีย

สัมมาสมาธิ

อาตมามีความเข้าใจในเรื่องของ สัมมา ต่างๆ ที่น่าสงสารก็เพราะว่า ฌาน สมาธิ ก็ไม่ใช่ของพุทธ อาตมาอธิบายสิริมหามายา เขาก็ตีทิ้ง ต้องอย่างเขายึดถือ

ก็ขอบอกว่า มรรคมีองค์ 8 จะต้องเจตนาทำให้จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิที่สำคัญ สมาธิทุกวันนี้ สมาธิเขาแปลว่าการเพ่งก็ใช่ต้องเพ่งพิจารณาไม่ใช่เพ่งดับ เพ่งพิจารณาแล้วจะเกิดปัญญา เพ่งเกิดปัญญา ก็จะเป็นพลังงานใหม่ พลังงานใหม่นี่คือ อัญญา ปัญญา จะเริ่มสัมมาทิฏฐิไปตามลำดับๆ

สัมมาทิฏฐิตามลำดับแล้วจะเกิดกระบวนการของสัมมาทิฏฐิ 10 กระบวนการ

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).

 

1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . .

2. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) ก็คือศีลนี่แหละ ปฏิบัติตามพิธี มาแปลว่า วิธีการที่ปฏิบัติแล้ว วิธีปฏิบัติที่ทำให้เกิดผลที่ได้บูชาแล้ว บูชาคือปฏิบัติบูชา คือทานศีลภาวนา คุณได้ปฏิบัติบูชาและมีผลหรือไม่  นัตถิก็ไม่มีผล อัตถิก็มีผล

3. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) สำนวนก็เข้าใจยาก ปฏิบัติทาน ศีล แล้ว มันเกิดผลสำเร็จบรรลุเป็นความจริงไหม คุณได้มีผลนั้นถูกต้องแล้วได้เสวยผลนั่นไหม คือ หุตัง

หุตัง รากศัพท์คือ ฐานความจริง หุตัง มีความจริงที่บรรลุได้ผลไหม จากทานจากศีลนี้ไหม นี่คือ สัมมาทิฏฐิ 3 ข้อแรก

สัมมาทิฏฐิ มี 10 ข้อ สามข้อแรก สามข้อที่สอง สามข้อที่สามเป็นเก้า

ส่วนข้อที่ 10 คืออาตมา เป็นสมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง เป็นสยังอภิญญา ประกาศโลกนี้โลกหน้าให้รู้อย่างแจ่มแจ้ง สัจฉิกัตวา ด้วยสยังอภิญญาของตนเอง ขยายความโลกนี้โลกหน้าหรือโลกต่างๆ โลกโลกียะ โลกโลกุตระ เป็นธรรมะ 2 ในโลกต่างๆ

คุณลดความวนได้ก็เป็นอีกโลกใหม่โลกหนึ่ง โสดาบันลดโลกอบาย ไม่มีความวนในโลกอบาย แต่สุดท้ายคุณก็ต้องเดินไปอีก ก็ดับโลกกาแฟได้ ซดกาแฟเป็นอบายมุข เหมือนคุณลึกลึก ก็เดินไปกินกาแฟ

การที่จะหยุดไม่ต้องไปไม่ต้องวนอีกแล้วในเรื่องนี้

พูดถึงเรื่องนี้ก็ระลึกถึงน้องเขยติดบุหรี่ บุหรี่หมด บ้านเขาอยู่ในซอยลึก ไปติดบุหรี่ จนอยากจะสูบมากจะต้องเดินออกมาซื้อ จะเดินออกมาก็เกรงใจเมีย ก็ออกมา เมียก็บอกว่าจะเดินไปไหนพี่ ก็เลยบอกว่าจะเดินไปซื้อบุหรี่ ก็ว่ากันไปตามประสา น้องเขยก็เสียไปแล้ว เหลือแต่น้องสาว มันเป็นเรื่องจริงก็เลยเอามาประกอบอธิบาย คือคนติดก็ต้องวนเวียนอยู่ในโลก จะให้เดินออกมาซื้อแล้วจะขับรถออกมาก็กลัวเมียจะรู้ แต่เมียก็รู้ได้

การที่มันไม่จบ โลกนี้ อยังโลโก หรืออิมัญจโลกัง ปรัญจโลกัง แปลว่าโลกอื่น คำว่าอื่น พยัญชนะ ประ อัญญะ

อัญญะก็แปลว่าอื่น แต่ว่าอื่นที่ลึกซึ้งกว่า ประ คือทั้งรูปและนาม ส่วนอัญญะคือธาตุจิต สำคัญมากเป็นธาตุรู้โลกุตระตัวแรกที่ต่างจากธาตุโลกียะ เป็นธาตุใหม่ที่ต่างจากโลกียธาตุ เป็นธาตุรู้ตัวใหม่ที่ไม่เหมือนเก่า มันคนละขั้วเลย เริ่มต้นธาตุก็เรียกว่า อัญญะ อัญญะแปลว่าอื่น ไม่ได้แปลว่ารู้นะแต่ก็เป็นธาตุรู้ อัญญะเกิดมาเป็นหนึ่ง เป็นอัญญะ เป็นเอกพจน์ยังไม่เรียกว่าธาตุรู้ เป็นธาตุอื่น ตื่นจากอะไร จากโลกโลกียะ เป็นความรู้ที่ไม่ใช่โลกียะแล้ว

มันจะเกิดไม่ได้จากศาสนาใดๆเลยนอกจากศาสนาพุทธเท่านั้น

พระพุทธเจ้าท่านมาประกาศศาสนา ปุ๊บ พอเทศน์เรื่องอนุปุพพิกถา เทศ อนัตตลักขณสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โกณฑัญญะเกิด อัญญะ เอามารวมกัน อนุปุพพิกถา มีอนัตตลักขณสูตร กับธัมมจักกัปปวัตตนสูตร สองสูตรนี้

เพราะฉะนั้นพราหมณ์ 5 คนนี้ ฟังธรรมะพระพุทธเจ้า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรคืออันนี้ คืออนุปุพพิกถากับอนัตตลักขณสูตร เป็นธรรมะ 2 โกณฑัญญะก็เกิดธาตุใหม่ อัญญธาตุ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า อัญญาสิ

อัญญา แปลว่าความรู้เป็นพหูพจน์ อัญญะ แปลว่าธาตุอื่น ตัวใหม่ของโลกุตระ ยังไม่เป็นตัวรู้ แต่ธาตุรู้อันใหม่ ได้เกิดในจิตของอัญญาโกณฑัญญะได้แล้ว มีผู้รู้ได้แล้ว ธาตุรู้นี้มีผู้รับรู้ได้

ท่านมีญาณหยั่งรู้บุคคล เกิดปั๊บรู้ปุ๊บ เร็วมาก อาตมานี่พอรู้แล้วว่า เมื่อเวลาพูดอธิบายธรรมะ คนนี้อ๋อ เข้าใจธรรมะลึกซึ้งได้ก็เหมือนกัน แต่ไม่ได้รู้รายละเอียดเท่าอย่างนั้นยังไม่เก่ง แต่ก็พอรู้ คุณจะพอรู้ไหมว่าอธิบายไปแล้วเขารับได้ ของพระพุทธเจ้าท่านมี มุทุภูตธาตุรู้เร็วไว ยิ่งกว่า C1000

อัญญาสิ วตโพโกณฑัญโญ รู้แล้วหนอ อาตมาเอาโลกุตรธรรมมาประกาศพวกเราก็รู้ตาม ได้คนที่มีความรู้ครบถ้วนแต่ละคนทำขึ้นมาจนปรากฏการณ์จริงเกิด มีสังคมคนอาริยะคนโลกุตระ ได้จริง ทางเถรวาทยึดมั่นถือมั่นเขาไม่ฟังด้วยซ้ำ จะมีคนที่แอบฟังคือพระสารีบุตรนั่งฟังพระพุทธเจ้า เทศน์ให้พระพุทธมารดา อยู่ที่ตีนเขาสิเนรุ เป็นบุคลาธิษฐาน ใครก็ตามที่แอบฟังอยู่นี่ หรือฟังอยู่ พวกเราฟังเต็มๆแอบ แต่มีคนแอบฟังเปิดโทรทัศน์ฟัง แอบฟัง นั่นแหละเป็นสารีบุตรที่ฟังอยู่ตีนเขาสิเนรุ อาตมาก็เทศน์ให้มารดาฟัง พวกคุณนี่คือมารดา พวกคุณคือมาตาในสัมมาทิฏฐิ 10 คือแม่ที่จะไปแพร่ลูกเกิดลูกออกต่อไป เป็นแม่เลี้ยงกับแม่นม ใครเจโตก็เป็นแม่นม ใครเป็นปัญญาก็เป็นแม่เลี้ยง นี่แหละใครสายเจโตใครสายปัญญา

อาตมาก็ฟัง บรรดาแม่ทั้งหลายที่จะไปเกิดลูกเป็นสัตว์โอปปาติกะ กันต่อไป นี่คือ สัมมาทิฏฐิที่อธิบาย ข้ามไปหา มาตา ปิตา สัตว์โอปปาติกะ

ผู้ที่เข้าใจโลกนี้โลกหน้าเข้าใจโลกียะโลกุตระ อกุศลกับกุศลก็เป็นโลก

โลกที่มันวนอยู่ในความสุขกับทุกข์ก็เป็นโลก คนที่หมดโลกดับโลกได้คือคนที่เหนือโลก และหมดโรค ราคะโทสะ โมหะ ก็หมดโลก ดับโลกได้ ไม่หมุนเวียนไม่ไปไม่มา ไม่ สูญ นิวตรอน กลางไม่เคลื่อน เฉยๆ ไม่อยากไม่มี ไม่ไม่อยากไม่มี

ผู้ที่สามารถแยกโลกียแยกโลกุตระออกก็คือผู้ที่สามารถ รู้ ข้อ 5  6 โลกนี้โลกหน้า

5.   โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

6.   โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

จนเป็นผู้ที่มีโลกหน้าสมบูรณ์ คนที่จะรู้โลกหน้า ต้องรู้โลกนี้ก่อน เอาแต่รู้โลกหน้าอย่างเดียวไม่รู้โลกนี้ จะไปออกจากโลกนี้ได้อย่างไร คุณก็ต้องรู้จักโลกนี้ รู้จักอาการของจิตที่ติดยึดในโลกนี้ รสเอร็ดอร่อยมีตัวตนในโลกนี้ จนกระทั่งคุณรู้ลดละแล้วในความเอร็ดอร่อยในความทุกข์ความสุข ลดอาการกิเลส จนมันไม่สุขไม่ทุกข์ อร่อยก็ไม่มีไม่อร่อยก็ไม่มี ไม่มีทั้งอร่อยและไม่อร่อย กลางๆ กินระกำมันก็มีรสอย่างนี้เปรี้ยวหวานอย่างนี้ ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง จิตจะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่มี รู้ความจริงตามความเป็นจริง ถ้ามีชอบหรือไม่ชอบแม้แต่มีอาการนิดน้อย 1 ก็จะรู้จักความต่าง โสดาบันก็จะหยาบ สกิทาคามีก็ละเอียดขึ้น อนาคามีอรหันต์ก็ละเอียดมากขึ้น แม้ความต่างนิดหน่อยก็อ่านสภาวะจิตได้

ผู้จะรู้จักเวทนาในเวทนา 108 จึงสามารถที่จะแยก เคหสิตะกับเนกขัมมะได้จริง ผู้ปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา ไปนั่งหลับตาไม่มีเวทนา ก็ไม่รู้จัก มโนปวิจาร 18 ก็สุญโญ ไม่มีทางที่จะเป็นอรหันต์ ไม่มีทางลดละกิเลสเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ได้เป็นโมฆะบุรุษ  ขอย้ำแล้วย้ำอีก

คนนั่งหลับตาปฏิบัติเป็นโมฆะบุรุษจากศาสนาพุทธ

เอาแรงงาน แรงความคิด ทุนรอน สามอย่างนี้คืนมาได้ สรุปแล้ว นี่แหละคือความสูญเสียของมนุษยชาติ น่าเสียดายมาก เอาเวลามาศึกษาสิ่งที่เป็นสัมมา เอาแรงงานมาปฏิบัติที่เป็นสัมมา แรงงานคุณมีเท่าไรคุณไม่ต้องไปนั่งหลับตาไม่ต้องไปหาสถานที่ ไม่ต้องไปเสียเวลาอะไร ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าให้ชัดเจน ยืนเดินนั่งนอนปฏิบัติธรรมหมด ทำงานอาชีพทุกคำกิริยาเรียกว่า กัมมันตะ พูดอยู่คิดอยู่ก็ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าตลอด ไม่ได้ไปแยกเวลาไม่ได้แยกสถานที่ไม่ได้เปลืองเวลาสถานที่ ไปเสียเวลาที่ไหนเลย ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนี้ทั้งนั้นเลย รู้จักผัสสะ อ่านจิตให้ออกแยกจิตให้เร็วขึ้น มันไม่รู้ก็เอาทีละอย่าง สัมผัสกับสัตว์ก่อนเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง สัมผัสกับสัตว์โดยเฉพาะกับคน สัตว์ต่างๆไม่ต้องไปยุ่งกับมัน มันเกิดมันเป็นอะไรก็อย่าไปยุ่ง อย่าไปจับมันกินมากิน ยิ่งเอามาเลี้ยงก็บ้าใหญ่ จะไปผูกพันมันทำไม สัตว์มันก็มีวิบากของมันให้มันไปของมัน มันมาอยู่ใกล้ถ้าเห็นแล้วช่วยมันได้ก็ช่วย เช่นมันตกในถังส้วมก็ช่วยมันขึ้นมาบ้างเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้นเราวิบากก็มากแล้ว ไม่ต้องไปเชื่อมโยงวิบากดีกับมันหรือชั่วกับมัน ขนาดนี้ก็เอาเวลา ทุนรอนปฏิบัติธรรมที่เป็นมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติธรรมสัมมาสมาธินั้นปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ไม่ได้บอกให้ไปนั่งหลับตา โว้ย

มันพูดมามากแล้วออกเสียงมากแล้ว โว้ยนี้ ไม่มีเสียงดังจะออกอย่างนั้นแล้วนะ โว้ย คือคำอุทานที่ดังออกมาแรง แต่อาตมาออกเสียงสรภัญญะธรรมดาไม่ได้ออกสำเนียง

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้พ่อครู อธิบายธรรมะปรมัตถ์ 2 ชั่วโมง ความจริงอยากจะฟังตอน อีกอย่างหนึ่งก็อยากให้พ่อครูพัก ก็ต้องตัดใจอยากฟัง มันก็เป็นสิ่งที่ กาละนี้ พ่อครูอายุมากแล้ว แม้ยังไม่มาก แต่วันนี้เรามาดับความวน ความวนของโลกกิเลส พ่อท่านยกตัวอย่างกาแฟ หลายคนสะดุ้งเฮือกเลย ใครไปคำกลางบ่อยๆ ดับโลกนี้ที่เป็นปัจจุบันไปสู่โลกอื่น อธิบายอัญญะ คือธาตุใหม่ ยังไม่เป็นธาตุรู้นะ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:47:04 )

610902

รายละเอียด

610902_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ  เศรษฐกิจสุดวิเศษแบบพุทธกับเพลงความซ้ำซาก

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1sAjrUMuYAVOp86pkZC89ZD-pWddNK_lLMo23RR1aLUo/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=10UTAE_HNAdibiH2BnS8vHSbYEE6bAQpq

https://www.youtube.com/watch?v=9WQ9VyUb7sw&t=1293s

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก เศรษฐกิจทั่วไปเขาก็แข่งขันกันเต็มที่ CP ทุ่มทุนจะสร้างsmart city CP วางแผนทุ่มงบหลายแสนล้านบาท สร้างโครงเมืองใหม่ (New City) แปดริ้ว ให้กลายเป็น Smart City โดยวางผังเมือง สาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ที่เดียวใจกลางเมืองอย่างครบครัน พร้อมหานักธุรกิจทั้ง ไทย และต่างประเทศ ร่วมลงทุน

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า CP กับแผนการลงทุนครั้งใหญ่สร้างเมืองใหม่ แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา ใช้งบประมาณหลายแสนล้านบาท บนพื้นที่ 10,000 ไร่ ด้วยคอนเซปต์ “Smart City” โดยเหตุผลที่เลือก แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา เป็นแห่งแรก เพื่อเป็นการทดลองโครงการเชื่อมต่อกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ซึ่ง แปดริ้ว อยู่ไม่ห่างจาก กทม. มากนัก โดยจะมีการวางผังเมือง และระบบสาธารณูปโภคอย่างครบถ้วน รวมถึงบริการอื่นๆ ของเมืองให้รวมอยู่ในจุดเดียว อาทิ โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย ศูนย์การค้า ไว้ใจกลางเมือง อีกทั้ง รถไฟฟ้าในระบบรางเชื่อมต่อเข้ามายังสถานีมักกะสัน โดยให้การเดินทางเข้าออกเมืองภายใน 20 นาที รถไฟจะออกทุก 1 หรือ 2 นาที ถนนในเมืองจะสร้างเป็น 3 ชั้น ชั้นบนสุดเป็นสวนสาธารณะ ชั้นกลางเป็นถนนและทางรถไฟ ชั้นล่างเป็นส่วนของการให้บริการ เช่น ขยะ ท่อน้ำเสีย ท่อระบบ ไฟฟ้า – ประปา นอกจากนี้ภายในเมืองจะใช้ระบบ ZERO WASTE หรือการรีไซเคิลขยะให้เป็นศูนย์ เช่น การรีไซเคิล การผลิตไฟฟ้า แปรรูป

แนวคิดของการสร้างเมืองใหม่ รถจะต้องไม่ติด หรือผู้คนสามารถเดินไปทำงานได้ จำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองจะต้องไม่ต่ำกว่า 300,000 คน เพื่อให้ธุรกิจ – บริการคุ้มทุน อีกทั้งเมืองยิ่งใหญ่ยิ่งดีถึงจะคุ้มค่าในการลงทุนสาธารณูปโภค

แต่ของเรามี smile city มีน้ำตกนกร้อง อยู่แบบคนจน พึ่งพาอาศัยกัน เป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ จะได้มีการเปรียบเทียบกันระหว่าง ทุนนิยมจ๋า กับบุญนิยมจ๋า ดูซิว่าอันไหนจะมีความสุขมากกว่ากัน เขาจะต้องเสียสตางค์เยอะแน่ แต่ของเราไม่มีเงินก็มาอยู่ได้ เศรษฐกิจที่พ่อครูนำพาเอาศาสตร์พระพุทธเจ้ามาทำ ทำให้อยู่แสนสบายไม่เดือดร้อนชีวิต มีระบบการคัดเลือกคนมาอยู่อย่างเป็นผู้ให้ ถ้าทำได้รัฐบาล ก็เอาโมเดลของเราไปทำได้เช่นกัน ดูว่ารัฐบาลจะเลือกโมเดลไหนกัน

 

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 31 สค. 2561 (พ่อครู : พุทธศาสนาตามภูมิ)

 

_3867คำธรรมะสิกขมาตุกล้าข้ามฝันเทศน์สมญานามพาอาริยะชนก้าวข้ามความฝันละเมอเพ้อพกฯเข้าถึงสัจธรรมความเป็นจริงได้เหมือนพ่อครูสอนเป๊ะ!กบบ่ฉงน!

 

_แมนยู เลียม · ฟังพ่อท่านแบบตั้งใจฟังมีสติ ปัญญาเกิดในทางทีดีแน่นอนครับ

 

_บุญเลียบ · เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะว่าชาวอโศกบรรลุธรรมเป็นพระอาริยะมีทุกระดับชั้นโดยเฉพาะท่านสณ.ท่านสม.น่าเลื่อมใสเป็นอย่ามากฆราวาสก็ด้วยค่ะ

พ่อครูว่า…อาตมาก็รับรองนะพวกเราเป็นพระอาริยะเป็นคนประเสริฐตามทิศทางที่พาเป็นเป็นสมณะที่ 1 สมณะที่ 2 3 4 แต่ทางศาสนากระแสหลักเพี้ยนไปแล้ว เขาไม่รู้ว่าพระอาริยคืออย่างไร ไม่เข้าใจ เตลิดเปิดเปิง อาตมาก็ยืนหยัด ด้วยความจริงใจว่าเป็นไปตามพระพุทธเจ้าสอนได้ เขาจะว่าเราอย่างไรก็ได้  แต่ขอบอกความจริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน เวทนาสอง เวทนาหนึ่ง เวทนาศูนย์ คืออะไร

_เวทนาสอง คือสุข ทุกข์คะ

เวทนาหนึ่ง สุขคะ

เวทนาศูนย์. อุเบกขาคะ

ตรงตามพ่อครูสอนมั้ยคะ สาธุคะ จาก... ปนิรัตน์

พ่อครูว่า...ท่านฟ้าไทให้คะแนนเท่าไหร่ (ส.ฟ้าไทว่าให้ 70%)

เวทนาสองคือ สุข ทุกข์ใช่แน่ ที่จริงถ้าเป็นปรมัตถ์เป็นโลกุตระนี่ เวทนาสองคือ 1.เวทนาแท้ กับ 2.เวทนาเก๊ ถ้าเวทนาหนึ่งก็จะเป็นสุขก็ได้หรือทุกข์ก็ได้ ส่วนเวทนา 0 นั้นคืออุเบกขาถูกต้อง

เวทนา2 คือ เวทนาแท้กับเวทนาเก๊เวทนาปลอมเวทนามิจฉาทิฏฐิ

ส่วนเวทนาหนึ่งนั้นจะรู้ว่าสุขก็ได้หรือทุกข์ก็ได้ 1 เพราะเวทนานี่ขณะที่มันเป็นสุขมันไม่เป็นทุกข์ ขณะทุกข์มันก็ไม่สุข ส่วนเวทนา 0 แน่นอนคืออุเบกขา จะเป็นอุเบกขาแบบเนกขัมมะหรือเคหสิตะก็คือ 0 เช่นกัน

แต่มีนัยสำคัญว่า 0 อย่างเคหสิตอุเบกขาเป็น 0 อย่างไม่มีปัญญา 0 อย่างทำได้แต่ไม่รู้ว่ามัน 0 นั้นถาวรหรือไม่ เหตุที่มัน 0 ก็เพราะว่าเราได้ดับเหตุหรือไม่ก็ไม่รู้ ส่วนเนกขัมมสิตอุเบกขานั้นคือ เรารู้ชัดเจนมัน 0 เพราะเราได้กำจัดเหตุออกไปได้จนเวทนาเป็น 0 แม้จะทำได้ชั่วคราวก็ตาม ก็รู้ว่าเราได้ทำเหตุนั้นออก แต่ยิ่งทำได้ลงตัวถูกต้องตั้งมั่นก็เป็นอุเบกขาถาวรยั่งยืน

การศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ศึกษาที่เวทนานี่แหละ เพราะว่าความทุกข์ความสุขมันอยู่ที่เวทนา คือความรู้สึกหรือเวทนาหรือเรียกว่าอารมณ์ มันอยู่ที่นี่แหละทุกข์สุข

เพราะฉะนั้นหัวใจของศาสนาพุทธคือการดับทุกข์ แล้วทุกข์มันอยู่ที่ไหนล่ะ ก็อยู่ที่อารมณ์ที่ความรู้สึก เพราะฉะนั้นเรารู้อารมณ์นี้แล้วก็ตามหาเหตุ ค้นหาเหตุมันว่า เหตุอย่างไรที่มันทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกนี้ ตามแยกแยะ วิเคราะห์วิจัยอาการที่มันเกิดเป็นของจริง ในขณะที่เราจะทำงานปฏิบัติธรรม แต่ถ้าไม่มีของจริงยืนยันอยู่ขณะนี้ให้เราได้เรียนรู้ แล้วก็วิจัยของจริง เราก็วิจัยเปล่าๆลมๆแล้งๆ ไม่มีความรู้สึกสุขความรู้สึกทุกข์ มันไม่ได้อยู่ให้เราได้เห็น ให้เราได้มีความจริง แล้วก็หาเหตุที่มันเกิดจริงๆในขณะนั้นมันเป็นอย่างไร มันไม่ได้ปฏิบัติจริง อันนี้แหละที่อาตมาว่า ศาสนาพุทธน่าจะฉลาดตรงนี้  

ผู้ปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ไม่ได้คิดอย่างนี้แล้ว ทิ้งเลยไม่มีผัสสะไปนั่งหลับตาเข้าไป แล้วพยายามปฏิบัติให้มันนิ่งให้มันอยู่เฉยๆเป็นอุเบกขา วิธีหนึ่งคือตัดภพ ภพข้างนอก ตา หู จมูก ลิ้นกาย เข้าไปอยู่ในภพในก็ดับภพในอีกให้หยุดนิ่ง ไม่คิดไม่นึกดับความรู้สึกได้ก็ยิ่งดี ไปโน่นเลย เขาก็ได้อุเบกขาเหมือนกัน แต่มันไกลจากศาสนาพุทธ เพราะว่าศาสนาแบบนั้นใครๆก็รู้ได้ง่ายมันไม่ได้ยากอะไร เพราะศาสนาแบบนั้นใครก็รู้ได้ง่าย ใครก็รู้ใครก็เข้าใจไม่ยากอะไรมันเป็นของสามัญปกติ

แต่ของพระพุทธเจ้านั้นในขณะสัมผัสกับอย่างอื่นก็รู้อารมณ์ด้วย มันก็มีอารมณ์ 2 สุข หรือทุกข์ที่เก๊ มันเก๊ ตัวนี้แหละที่ว่าสุขหรือทุกข์มันก็ตัวเดียวกัน อุปาทานทำให้เกิดเท่านั้นเอง จริงแล้วมันมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่คุณไปไม่เข้าใจว่า ทุกข์นี่แหละคือตัวที่คุณต้องอยู่กับมันไปจนตาย

คุณต้องรู้เลยว่าไม่มีอะไรในโลกที่คุณต้องอยู่กับมัน นอกจากทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่คุณต้องอยู่กับทุกข์อย่างรู้แจ้งรู้จริงว่า

ทุกข์คือความทนได้ยาก ทุกข์คือความมี ทุกข์คือความไม่เที่ยง มันเที่ยงที่ไหนล่ะ มันทุกเศษแห่งวินาที วินาทีมันเป็นเวลาระดับหนึ่งแต่นี่มันเร็วกว่าวินาที มันสั้นกว่าวินาทีอีก มันก็เกิดขึ้นอยู่ แต่มันสั้นกว่าวินาทีอีก เราก็อยู่กับมันอย่างไร จะอยู่กับมันอย่างรู้ทัน รู้เลยว่ามันเกิดขึ้น เราก็อยู่กับมัน เป็นภาระ มันทุกข์นี่เป็นภาระของมนุษยชาติของชีวิต

เราจะอยู่กับมันอย่างให้ภาระนี้มันบรรเทา บรรเทาทุกข์ให้มันอยู่ไปด้วยดีสบายๆ เพราะมันหนีไม่ออกหรอกทิ้งไม่ได้ ในร่างกายของเรานี่แหละเป็นตัวภาระทั้งสิ้นเลย หายใจเข้าหายใจออกก็ทุกข์ ที่จริง แต่เรารู้จักอนุโลม ปฏิโลม มันมีก็ให้อยู่กับมันมี หายใจเข้า หายใจออก หากมันขลุกขลักนิดหน่อยชักไม่ดี อาตมาเป็นไม่กี่วันนี้ หายใจเข้าหายใจออกชักจะขาดใจชักจะไม่ดีแล้วนี่ ไม่ไหว ๆๆ มีแต่บ่นอย่างนี้เลย หายใจเข้าไม่หายใจออกระยะหนึ่งถ้าไม่นานนัก ถ้านานเกินก็ตาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน วางใจในสาราณียธรรม

_การฝึกวางใจกับข้อบกพร่องผู้อื่น (วจีสังขารอาตมาว่า มันเสือก เขาคือเขา เราคือเรา คุณไปเสือกยุ่งกับเขาทำไม ข้อบกพร่องของเขาก็เป็นของเขาคุณไปยุ่งกับเขาทำไม คุณรู้ว่าเขาบกพร่อง คุณก็ฝึกวางใจ ทำให้มันวางซะ) แล้วย้อนกลับมาดูตัวเอง ใช้สาราณียธรรม 6

พ่อครูว่า...สาราณียธรรม 6 เป็นองค์รวมที่เป็นความลงตัวของผู้ปฏิบัติธรรม สังคมที่ปฏิบัติธรรม ลงตัวแล้ว มันจะได้ลักษณะ 6 นี้

1. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

2. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

3. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

4. แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) เป็นสิ่งที่เกิดเป็นผลผลิตที่เราทำร่วมกันได้ สร้างขึ้นมาแล้วก็ไม่เอามาเป็นตัวเราเป็นของเราไม่เป็นของใครถือว่าเป็นของส่วนกลาง มีสิทธิ์ได้มีสิทธิ์เป็น เอามารวมกันกินใช้ร่วมกัน สังคมที่มีสาธารณโภคีเป็นสังคมที่สูงที่สุดในโลก อาตมาภูมิใจมากที่ทำให้เกิด สังคม ชุมชนชาวอโศกทุกชุมชนมีวัฒนธรรมสาธารณโภคีอยู่ร่วมกันทำกินทำใช้ร่วมกันไม่มีของตัวของตน ไม่ใช่เพิ่งจะเป็นแต่เป็นมา 40 กว่าปีแล้ว แต่ทางการ รัฐบาล ทางผู้บริหาร แม้แต่สังคมศาสนาพุทธยังไม่ค่อยเห็นคุณค่า ยังไม่เห็นความจริงอันนี้ ยังไม่เห็นความประเสริฐสุดของศาสนาพุทธที่พวกเราทำ

5. มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (สีลสามัญญตา) ผู้มีศีล 5 ก็เสมอสมานกับศีล 5 ผู้มีศีล 8 ก็เสมอสมานกับศีล 8 ก็อยู่ร่วมกันไป

6. มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ทิฏฐิสามัญญตา)(ล.22 ข. 282-283) มีความเข้าใจมีทฤษฎีอันเดียวกันมีความรู้อันเดียวกันมีเป้าหมายสำคัญของชีวิต ตรงกัน

ที่เกิดสาราณียธรรม 6 ได้เพราะปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วจิตจะเกิดองค์ธรรม 7 อย่าง

1. สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2. ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) 

3. ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4. สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน)

5. อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) ชาวอโศกเราไม่ทะเลาะกันไม่มีคดีความกัน ตำรวจบ้านเราส่งไปอบรมได้ใบรับรองก็ มีหน้าที่ดูแลสัตว์ที่มากินพืชผักของเรา ไล่ควาย นี่เป็นจริงนะไม่ได้พูดเล่น ไม่วิวาทกัน ไม่มีเรื่องมีราว

6. สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่)

7. เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

พระพุทธเจ้าท่านตรัสลักษณะธรรม 7 ประการนี้เกิดจริงเป็นจริงในบุคคลที่ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีสัมมาปฏิบัติก็จะมีสัมมาปฏิเวธ เกิดพุทธพจน์ 7 นี้ เป็นของจริง เอหิปัสสิโกเชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ได้ มาดูได้เลยเห็นได้เลย นี่คือธรรมะที่เราพูดขยายความติดต่อกันจาก sms

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐกิจสุดวิเศษแบบพุทธ

วันนี้ตั้งใจจะพูดเรื่องเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์

เศรษฐกิจสุดวิเศษแบบพุทธ  

 

(1) “เศรษฐกิจ”คิดแต่ตื้น    โลกีย์

ล้วนอยากรวยมั่งมี            หลากล้น

แข่งเด่นแย่งกันทวี           วัตถุ  

ได้มากมาท่วมท้น       “สุข”แล้วปุถุชน

 

(2) คนนับเป็นเครื่องชี้ ชีวิต       

จมอยู่กับ“เศรษฐกิจ”   แบบนี้             

“สุข”ก็ยึดผูกจิต          ผนึกแน่น กันเลย                       

“ติดสุข”หลงลับลี้        นรกเพ้อเป็นสวรรค์

 

(3) หันมาสร้าง“เศรษฐกิจ”ให้  “คนจน”

นี่แหละสังคมคน        เลิศแท้

“จน”ทรัพย์แต่“สุข”สน-      ใจฉลาด ขึ้นเฮย

“อาริยะปัญญา”แก้            ประลุด้วย“สัมมา”

 

(4) พาทั้ง“สี่กิจ”ย้อม   ความดี

“ตัดกิเลส”ด้วยแสนศรี สุดแล้ว

“อาชีพ-การงาน”มี            “คุณวิเศษ” ช่วยแล

“พูด-คิด”พุทธเพริศแพร้ว   โลกได้เห็นวิถี

 

(5) ว่ามี“ทิฏฐิ”แก้       “เศรษฐกิจ”             

ที่เกิดผลสัมฤทธิ์         เด็ดแท้

แบบนี้แหละวิศิษฏ์            สุดยอด เชียวพ่อ 

เพราะยั่งยืนวิสุทธิ์แม้  ปราศพ้นโพยภัย

 

(6) คนไทยมีพุทธชี้    วิชชา

สูงสุดศาสตร์ที่พา       สำเร็จได้

ซึ่งยอดวิธีหา       ใดเทียบ เท่าแฮ

อย่างอื่นนั้นแม้ใช้      จบแล้วเวียนคืน

 

(7) ยั่งยืน“เศรษฐกิจ”นี้     ครบหมด

มี“อิสระ”สุดใสสด       ฟ่องฟ้า

“อัตตา”ก็หมดจด        ดับสนิท ได้เด็ด

“จิต”ประธานกาจกล้า  แกร่งด้วย“อุตตระ”     

 

            “สไมย์ จำปาแพง”       

             31 ส.ค. 2561

      [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 339 ประจำเดือนตุลาคม 2561]

 

 

พวกเราได้เศรษฐกิจแบบชนิดนี้ดีแล้วใครจะเปลี่ยนเป็นเศรษฐกิจชนิดอื่นยกมือ ...ไม่มี

รู้จักโลกีย์แล้วเราก็ลอยตัว อุทธังโสโต โลกียะก็วนเวียนวุ่นวายแต่เราก็อยู่กับเขาได้แต่ไม่ได้เป็นเหมือนกับเขาเลย สบม.ปกต.หห.จจ.มชยลล.

นี่คือเศรษฐกิจสุดพิเศษแบบพุทธ อาตมาพูดนี้ไม่ได้เพ้อเจ้อ เล่นๆ แต่พูดความจริง เป็นทฤษฎีของพุทธเจ้าที่จริง แล้วเอามาปฏิบัติได้พิสูจน์ได้ไหมปัจจุบันนี้ ก็สามารถที่จะปฏิบัติที่สุดตามธรรมะพระพุทธเจ้าได้สำเร็จผล มีจริงเกิดจริง เป็นปรากฏการณ์จริงให้มาพิสูจน์ ให้มาสัมผัสพิสูจน์ได้เลย

อาตมาพูดนี่ พูดอย่างภาคภูมิใจเต็มใจ พูดอย่างไม่มีจิตสาเฐยจิต ไม่มีจิตอยากอวดโอ่เลย ฟังดีๆนะ อาตมาพูดนี้เอาดีมาประกาศ เอาความดีงามของสังคมกลุ่มมนุษย์ของวินัย ของวัฒนธรรมอย่างนี้ เอามาพูดให้คนฟัง จิตใจไม่ดีมีอยากอวดโอ่อะไร มีแต่จะบอกความจริงให้คนเข้าใจ ให้คนเข้าใจว่าใช่หรือ แล้วเขาจะได้มาอยู่ มาได้สนใจ แต่คนที่เขาฟังอย่างมีอคติ คือไม่เชื่อไม่เอา ไม่จริง มีลำเอียงไม่ชอบชัง โมหะไม่รู้เรื่อง ดีไม่ดีกลัวด้วย คนมีอคติก็ไม่ต้องพูดกันหรอก คนเขาเกิดอคติในจิตแล้ว เขาไม่มาตะแคงหูฟัง เงี่ยหูฟังหรอก ก็เหลือแต่คนที่แสวงหา ว่ามีอยู่หรือ อย่างเดวิดนี้ แสวงหาโดยไม่รู้จุดหมายเลย เขาแสวงหามาตลอดชีวิต เขาก็ไม่มีศาสนาไม่เห็นว่าศาสนาเป็นสิ่งที่น่าจะได้ แต่เมื่อมาศึกษานี้ มันมีที่สูงกว่า เขาเชื่อว่าเขาสบาย ชีวิตนี้ก็ล่องลอยไปทั่วโลก จากอังกฤษตอนนี้ก็มาตกที่ราชธานี เขาเก่งนะไม่รู้เอาสตังค์จากไหนมา แต่เขาก็ว่าเขาพอใจ คือคนเราไม่หลงอบายมุขไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย อย่างน้อยสูบบุหรี่ก็ไม่พอแล้ว แต่นี่เขาไม่ได้มีอย่างนั้นแค่อาหารใส่ท้องเสื้อผ้าคลุมกาย นอกนั้นก็ไม่ได้ติดอะไรก็ไม่เปลืองอะไร

เพราะฉะนั้นคนที่สามารถรู้จักความเป็นจริงของชีวิต ที่จริงชีวิตนี้มันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลยมันเท่ากับต้นหญ้า ชีวิตเรียบๆง่ายๆ เท่ากับต้นหญ้า ชีวิตเหมือนดอกหญ้า แต่มันใหญ่ยิ่งเป็นมหาพลังเย็นโอบอุ้มโลก

อาตมาหอบพจนานุกรมเล่มใหญ่

เศรษฐกิจ เขาแปลว่างานอันเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจก และการบริโภคใช้สอยสิ่งต่างๆของชุมชน เพราะฉะนั้นพวกเรานี้ก็จะมีรูปแบบของเศรษฐกิจ ของเราเป็นชุมชน จะมีรูปแบบของเศรษฐกิจ แล้วก็ถอยหลังไป

เศรษฐกิจคืองานอันเกี่ยวกับการผลิต 1. ผลิต 2. จำหน่ายจ่ายแจก 3. บริโภคใช้สอย

จะบอกว่าเศรษฐกิจดีเป็นอย่างไร เศรษฐกิจดีก็คือเกิดการสะพัดผลผลิต จ่ายแจกหรือจำหน่าย แล้วต่างก็ได้ บริโภคใช้สอยกันได้อย่างทั่วถึง ไม่เกิดการยื้อแย่ง ไม่เกิดการเบียดเบียน มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายอิ่มหนำสำราญ  ไม่แย่งชิง ผลผลิตหากไม่พอกินพอใช้ก็สร้างขึ้นมาให้พอกินพอใช้ ดีไม่ดีก็มีเหลือเกิน เราก็เอาไปแบ่งแจกผู้อื่นอีก เพราะพวกเราพอกินพอใช้แล้ว เหลือก็แบ่ง ก็เป็นชุมชนที่มีประโยชน์มีเศรษฐกิจดี สะพัดให้ผู้อื่นได้ แจกฟรี ขายก็ถูกๆ ไม่ขายอย่างขูดรีดเอากำไร นี่คือผู้ที่บรรลุเศรษฐกิจสูงสุด พวกเราปฏิบัติได้

คือ เราพึ่งตนเองได้ ทำกินทำใช้ พอกินพอใช้ สิ่งที่เราทำไม่เป็นทำไม่ได้ทำเองไม่ได้แต่เรากินเราใช้เราก็ซื้อเขา เราก็ต้องมีสตางค์ จึงต้องขายบ้างเอาสตางค์มาไว้เพื่อจะซื้อสิ่งที่เรายังผลิตไม่เป็นผลิตไม่ได้ ผลิตไม่พอเพียง ไฟฟ้าเป็นต้น น้ำมันเป็นต้น หรือเครื่องใช้อื่นๆใดๆที่เราผลิตเองไม่ได้ เราก็ซื้อเขาใช้แล้วเอามาทำงานกันอยู่ในสังคมเรา ให้มันเป็นงานที่เป็นประโยชน์ต่อตน ตนเองก็ได้อาศัย ท่านก็ได้อาศัย

เช่นเรามีโทรทัศน์มีสถานีโทรทัศน์ ก็มีวัฒนธรรมอันประเสริฐ ค่าใช้จ่ายเรามีน้อยที่สุดในกระบวนการโทรทัศน์ที่มีทุกช่องในโลก เป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีค่าใช้จ่ายถูกที่สุด เพราะทุกคนทำงานในโทรทัศน์ทุกแห่ง ของเรานี่มีสาขา มี substation สี่แห่งที่ถ่ายทอดสดได้ ทุกคนทำงานฟรีหมดไม่ได้จ้าง กินอาหารส่วนกลาง อยู่กันกับส่วนกลาง อย่างนี้เป็นต้น

นอกนั้นก็พยายามทำเอง แม้แต่การซ่อมสร้าง การที่จะดูแลรักษา ทำงานถ่ายทอดปัจจุบัน 24 ชั่วโมงตลอดมาหลายสิบปีแล้ว ก็อยู่ได้ ถูกที่สุด ไม่มีที่ไหนเป็นได้ ไม่เรี่ยไร คนจะเอาเงินมาให้ยังไม่รับง่ายๆเลย คุณต้องเป็นสมาชิกชาวอโศกจึงจะรับ ถ้ายังไม่เป็นสมาชิกชาวอโศก แม้จะดูโทรทัศน์ของเรา จะมาช่วยเงินก็ไม่มีสิทธิ์ ต้องดูโทรทัศน์ของเราอย่างน้อย 7 เดือนขึ้นไป ถึงจะมีสิทธิ์ที่จะมาบริจาค คุณต้องรู้ว่าโทรทัศน์คุณถ่ายทอดอะไรสื่อสารอะไรให้แก่ประชาชน หากคุณเห็นว่าอันนี้จะต้องช่วยเพราะอันนี้เป็นประโยชน์กับประชาชนจะต้องเอาเงินมาช่วยเหลือ คุณต้องแน่ใจว่า คุณมาบริจาค support ให้ที่นี่ ที่นี่เป็นประโยชน์เป็นของดีนะ ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าให้ไปอะไรก็ไม่รู้ นอกจากเป็นประโยชน์แล้วที่นี่คอรัปชั่นไหม ที่สำคัญนะ มาบริจาคให้แล้วที่นี่คอรัปชั่นไหม คุณต้องมาตรวจสอบว่าที่นี่ไม่มีคอรัปชั่นและเป็นคุณค่าประโยชน์ต่อมนุษยชาติดีด้วย สองข้อนี้ก็พอ มีข้ออื่นๆก็ว่าไปแล้วแต่ อย่างนี้เป็นต้น

อาตมาพาพวกเราทำงานแบบนี้ ทุกวันนี้อาตมาทำงานมาทั้งด้านนี้เกือบจะ 50 ปีแล้ว อาตมาสบายใจ พึงพอใจ เพราะว่าอาตมาทำมาถึงขนาดนี้ มีคนเข้าใจเต็มใจตั้งใจที่จะมาเป็นคนชนิดนี้ โดยไม่มีวิจิกิจฉา ไม่มีความสงสัยลังเลหลายคนเอาชีวิตมาทุ่มเทอยู่กับหมู่กลุ่มสังคมนี้ สังคมกลุ่มนี้มีสถานที่อยู่มีบุคคลมีอาหารมีธรรมะมีสัปปายะ 4 เรียบร้อย ทั้งแหล่งที่มีนิตินัยอย่าง บ้านราชฯหมู่ที่ 10 ตำบลบุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ มีผู้ใหญ่บ้านที่รับรองจากทางการมีตำแหน่งมีเงินเดือนถูกต้อง เราจะอยู่ไปอย่างนี้ อาตมาตายไปจะตั้งอยู่ได้ไหมนี่ คุณจะดูแลต่อใช่ไหม?

สมณะฟ้าไทว่า... ก็ดูแลเท่าที่สามารถกับหมู่กลุ่ม

พ่อครูว่า...อาตมาเป็นผู้นำก็จริง แต่ทุกวันนี้พยายามไม่ต้องเอาอาตมาเป็นหลัก อาตมาจะปลดเกษียณแล้ว คุณจะประชุมก็ประชุมกันเอง ใครจะเป็นผู้รับใช้ เราเรียกผู้เป็นประธานผู้เป็นหัวหน้าว่าผู้รับใช้ ก็ว่ากัน จะเป็นผู้ช่วยด้านไหนตำแหน่งกรรมการอย่างนั้นอย่างนี้ก็ช่วยกันแบ่งงานกันทำ มันมีระบบระเบียบของโลก ก็เอามาใช้ด้วยก็เป็นอยู่กันไปอย่างอยู่ดีมีสุข 

เป็นตัวอย่างสังคมของโลกนะ ไม่ใช่ของแค่ประเทศไทย เป็นตัวอย่างของสังคมของโลกที่โลกเขาต้องการแม้คุณเองไม่มีสามัญสำนึกจะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องการ  แต่ใต้สำนึกไร้สำนึกของคุณก็ต้องการอย่างนี้ สำนึกของคุณไม่ต้องเป็น conscious ก็ตาม แต่ subconscious unconscious คุณต้องการอย่างนี้เพราะมันลงตัวสูงสุดแล้ว

ที่อาตมาสรุป มันมีความอิสระเสรีภาพสูงสุด มันมีการล้างความเห็นแก่ตัว ล้างอัตตาตัวตนไปตามลำดับจนหมดอัตตาตัวตนได้เลยสูงสุด เป็นอรหันต์ได้

แล้วมีประธานคืออัตตาตัวเองที่หมดความเห็นแก่ตัวอยู่กับหมู่กลุ่ม มีชีวิตอยู่รับใช้ผู้อื่นไปเท่าที่เราสามารถทำอันนี้ได้ดี เราก็มีปัญญาอยู่ในนี้ด้วย

อรหันต์ของพระพุทธเจ้ามีปัญญารู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีตามสมมติสัจจะปรมัตถสัจจะ สัจจะสองอย่าง สมมติตามโลกนั้นไม่เที่ยง เช่นตอนนี้กฎหมายออกมาอย่างนี้แน่นอนคุณต้องปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ที่ต้องใช้ปฏิบัติ ถ้าหากเขาร่างกฎหมายมาใหม่ เปลี่ยนแปลงไปจากอันนี้ ดีไม่ดีเปลี่ยนแปลงไปคนละขั้ว คนก็ต้องไปปฏิบัติตามกฎหมายใหม่มันเที่ยงที่ไหนสมมติสัจจะ อย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องอยู่กับสมมติของโลก พระพุทธเจ้าให้มีชีวิตปฏิวัติไปตาม ราชูนังอนุวัตติตุง สมัยโบราณเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชก็เลยเอาราชา เอาอนุวัติตามพระราชา เราต้องคล้อยตามพระเจ้าแผ่นดินอนุญาตให้คล้อยตามพระเจ้าแผ่นดิน สมัยนี้ก็จะต้องเอาตามรัฐธรรมนูญ

 

อาตมาจับความสำคัญของมนุษยชาติ ถ้าชื่อว่าระบบคอมมิวนิสต์เขาชื่อว่าการบังคับ ยอมรับการบังคับ คอมมิวนิสต์จึงไม่ใช่ระบอบที่จะมีอิสระเสรีภาพ เขามีกฎระเบียบ เขายืนยันว่าเขาจะต้องมีคณะที่จะต้องมั่นใจว่า กฎระเบียบนี้เป็นข้อบังคับ

ประชาธิปไตยนั้นต้องมีอิสระเสรีภาพ และประชาธิปไตยของพุทธเจ้า ของพุทธเจ้าคือประชาธิปไตยที่สุดยอด Absolute มีทั้งอิสรเสรีภาพ เป็นทั้งไม่มีอัตตา ไม่มีตัวเห็นแก่ตัวเลย จึงอยู่เพื่อเห็นแก่ผู้อื่น รับใช้ผู้อื่น

ทีนี้สำคัญที่สุดก็อยู่ที่จิตเป็นประธาน ของแต่ละคน อาตมาสรุปบทกวีนี้ว่า “จิต”ประธานกาจกล้า แกร่งด้วย“อุตตระ” จิตของผู้บริหารสูงสุดแล้วจะกาจกล้าแกร่ง ด้วยอุตระ อุตตระคือปัญญา สติเป็นอธิปไตย  ตามมูลสูตร 10

มีบทกวี ที่อาตมาเรียบเรียงไว้

 

สิ่งที่เราต้องการนั้น

มันไม่ใหญ่โตอัครฐาน อะไรดอก !

 

ชีวิตง่ายๆ ถูกๆ ขยันๆ

รู้จักพอดี

มีความซื่อสัตย์ มีเมตตา

เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเสมอๆ

 

ชีวิตเหมือนดอกหญ้า

แต่มันใหญ่ยิ่ง

เป็นมหาพลังเย็นโอบอุ้มโลก

และคือการเข้าถึง

โลกใหม่ (ปรโลก) ได้แล้ว

 

นี่คือชีวิตของมนุษย์ อาตมาเขียนออกมาจากใจของตัวเอง มันไม่ใช่ของเพ้อเจ้อ แต่มันเป็นสัจจะที่คิดว่าอาตมาซาบซึ้ง ชีวิตไม่อัครฐานอะไรที่เราต้องการ ชีวิตถูกๆ นี่ทั้งถูกต้องด้วย และชีวิตที่ไม่แพงก็ได้ ขยันๆ รู้จักพอดี มีความซื่อสัตย์มีเมตตา เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเสมอๆ ตนเองไม่เป็นภาระไม่เบียดเบียนใคร แต่เราก็ต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เหมือนดอกหญ้า ใครเห็นประโยชน์เอาไปเด็ดแซมผมหรือทำยาทำอาหาร ก็มีต้นมีดอกมีผล พีชนิยาม ตามสัจจะของมันเป็นพืช ก็ต้องเกิดหมุนเวียนอย่างนั้น เป็นตัวตน ISH แล้ว มีบวกมีลบกับประธาน ประธานก็ดูแลบวกลบ ดูแล นิวเคลียส เป็นธรรมะ 2 และปรับปรุงให้เป็นตัวเอง ISH ปรับปรุงตัวเองให้เป็นตัวเองเป็นตระกูลอันนี้ กล้วยก็ยังเป็นกล้วยนิรันดร ถ้ายังไม่สูญพันธ์ไป ใครมี breed มันใหม่เอาธาตุอื่นมาผสมก็เพี้ยนไปได้ คนนี่เก่งไปเติมมัน มีความรู้ผสมมัน เปลี่ยน DNA ของมัน ก็ทำไป คนมันมีความรู้อวดดีอวดเก่งไปเที่ยวได้เปลี่ยนแปลงเขา เขามีตระกูลของเขาก็เปลี่ยนแปลงตระกูลของเขาเสีย

 

มาพูดถึงเศรษฐกิจให้ดีๆ คำว่าเศรษฐกิจในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตคืองานอันเกี่ยวกับการผลิตการจำหน่ายจ่ายแจกและการอุปโภคบริโภคใช้สอยผลผลิตชุมชน

ก็สรุปว่า เป็นของชุมชนด้วยเพราะจะเป็นรูปแบบที่ลงตัว ชุมชนใดก็ตามที่เขามีวัฒนธรรมแล้ว

อย่างชุมชนข้างเคียงของเราหมู่บ้านกุดระงุม คำกลาง ท่ากกเสียว วังกางฮุง เขาก็มีความลงตัวของเขา ลองวิเคราะห์วิจัยเล่นๆ มีความแตกต่างกัน

ชุมชนราชธานีอโศกกับชุมชนกุดระงุมต่างกันไหม ต่างกันอย่างไร

1. ต่างคนต่างอยู่บ้านใครบ้านมันครอบครัวใครครอบครัวมัน ทรัพย์สินเงินทองบ้านใครบ้านมันครอบครัวใครครอบครัวมัน จะมีการเฉลี่ยออกมาส่วนกลางบ้าง ก็ยาก ส่วนกลางก็จะอาศัยของรัฐบาล ของส่วนกลางส่วนรวมของประเทศ ส่วนของส่วนตัวก็มีของตัว

เทียบกับของราชธานีอโศกไม่มีส่วนตัว ไม่ต่างคนต่างอยู่ อยู่รวมกัน ตื่นเช้าขึ้นมาก็มารวมกันมีหน้าที่อะไรจะทำก็ทำขึ้นมารวมกันอาศัยใช้สอยกินอยู่ ก็มาทำ ทำงานต่างๆ เป็นกิจส่วนกลาง งานส่วนตัวก็มีบ้างเล็กน้อย ก็จะเห็นได้ว่าจริงๆแล้วคนเราส่วนตัวมันไม่มีอะไรมาก เพราะฉะนั้นใครจะมาดูงานมาดูสังคมชาวอโศก จะเห็นได้ว่าส่วนตัวเขามีบ้าง เขาก็อยู่บ้าน บางบ้านไม่ติดคิดว่าเป็นบ้านเรา เขาก็ไม่ให้มันรกรุงรัง สะอาดไม่มีเชื้อโรค ก็พอแล้ว เสร็จแล้วก็มาอยู่ส่วนกลาง ตอนเย็นก็กลับบ้านปัดกวาดเช็ดถูแล้วก็มาทำงานส่วนกลางเป็นที่อาศัยหลับนอนพักผ่อน สบายไม่ต้องห่วงหาอาวรณ์อะไรมากมาย มีจิตใจที่พอเพียงไม่โลภโมโทสันมากกว่านี้ไม่ต้องการเพิ่มมากกว่านี้ มีเท่านี้ก็ดีแล้ว อยู่กับหมู่ร่วมสร้างสรรวัตถุส่วนกลาง เราจะมีปุ๋ยออกไปจำหน่ายจ่ายแจกมีพืชพันธุ์ธัญญาหารออกไปจำหน่ายจ่ายแจก เราจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ออกไปเผื่อแผ่คนอื่นข้างนอกเขา ที่เขายังกินยังใช้อาศัย สิ่งที่เป็นพิษภัยเป็นโทษเราไม่สร้างเราไม่เสียเวลาแรงงานทุนรอนเอาไปสร้าง เราสร้างแต่สิ่งที่มีประโยชน์ สิ่งที่เป็นอบายมุขเป็นสิ่งที่เป็นพิษเป็นสิ่งที่มอมเมาเราไม่สร้าง เราสร้างในสิ่งที่เรามีความรู้แล้ว เราไม่เสียเวลาแรงงานทุนรอนไปสร้างสิ่งที่ไม่เข้าท่า เช่นเอาเวลาไปเต้นแรงเต้นกามากมายไม่เอา แต่เราก็มีบันเทิง amateur นิดๆหน่อยๆ เป็นอดิเรก เล็กๆน้อยๆ relax ผ่อนคลายนิดๆหน่อยๆ ไม่ได้เป็นอาชีพไม่ได้เป็นงานหลัก

ใครเอางานพักผ่อนถ้าไปเอางานพักผ่อนนิดๆหน่อยๆ เอามาเป็นงานอาชีพสังคมนั้นเป็นสังคมเสื่อม สังคมใดประเทศใดไปยกย่องอาชีพการละเล่นการพักผ่อน เป็นงานหลัก เป็นอาชีพ สังคมนั้นฉลาดน้อย แปลเป็นไทยว่าโง่หนัก โง่มาก เป็นคนฉลาดน้อย เขาไม่รู้ความจริงเอาหัวต่างตีน เอาข้างบนลงล่าง เอาล่างขึ้นบน

โลกไม่ได้ศึกษาสิ่งเหล่านี้จึงไม่เข้าใจ พระพุทธเจ้าเข้าใจจุดนี้ ถึงไม่เหมือนโลกเขาเป็นความเห็นของคนส่วนน้อย แต่เป็นความเห็นที่ดีงาม เป็นความเห็นที่ไม่เสียหายเป็นความเห็นที่ไม่เป็นภาระ เป็นความเห็นที่เรียกว่าเศรษฐกิจนี่แหละ ดีที่สุด เพราะฉะนั้นชาวอโศกเรา อาตมาขออภัยที่ต้องพูดความจริงมันจะเป็นการยกตัวยกตน คุยโม้ว่า ชาวอโศกเป็นผู้ที่มีเศรษฐกิจดีที่สุดในโลกเป็นเศรษฐกิจในระดับสาธารณโภคี

สาธารณโภคีสรุปง่ายๆ คือเป็นเศรษฐกิจที่

1. พอกิน สร้างสรรอย่างไม่เบียดเบียนใครไม่เป็นนี่

2. พึ่งพาตัวเองรอด

3. มีเหลือเฟือเกินกินเกินใช้

4. แจกจ่ายแก่ผู้อื่น

อาตมาพูดซ้ำซาก เพราะเป็นความสำเร็จที่จบสุดแล้ว axiom สุดยอดแล้ว

อันนี้จึงเป็นเรื่องที่ยั่งยืนเป็นเศรษฐกิจยั่งยืน เป็นสังคมมนุษย์ที่มีสุขยั่งยืนสงบยังยืน เจริญยั่งยืน อาริยะยั่งยืน Civilization ที่ยั่งยืน Forever

อาตมาพูดแล้วเหมือนคุยตัวอวดอ้างแต่มันจริง คนมาตรวจสอบได้เลยเป็นPhenomenon  Status quo ตอนนี้เลย มาทำวิจัยมาศึกษาทำวิทยานิพนธ์ได้เลย มันเป็นความรู้ที่อาตมาเรียบเรียงไว้ว่า

ความรู้ของคนมันมีแบบPhilosophy ขึ้นมาก็เป็น Epistemology เป็นความรู้แค่ปรัชญาคือ Philosophy แล้วมันก็สูงขึ้นมาได้ เอาให้มันเกิดผลจริงบ้างเป็นธรรมชาติเป็นความเป็นไปได้ Epistemology เรียกเป็นภาษาไทยว่า ญาณวิทยา แต่อันนี้สูงกว่า Epistemology เป็น Phenomenology เป็นปรากฏการณ์วิทยา

ถ้าใครเข้าใจความรู้ หรือวิชาการที่เขาแบ่งกลุ่มกัน อันนี้คือ Phenomenology เป็นปรากฏการณ์วิทยาทำได้เป็นจริงพิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้ถึงขั้นนามธรรม มีความสุข

ความสุขมี 2 แบบ ความสุขที่ต้องได้ทรัพย์สินเงินทองลาภยศสรรเสริญมามากๆและเป็นสุขไม่ใช่ แต่ที่นี่เป็นความสุขที่ไม่ต้องบำเรอ สุขมีของกินของใช้เพราะความขยันหมั่นเพียร เพราะทุกคนรู้ว่าเราควรเป็นคนมีประโยชน์มีคุณค่า ไม่ควรไปเบียดเบียนเป็นปลิงเป็นทากของสังคม ดูดเลือดผู้อื่นเบียดเบียนผู้อื่นไม่ใช่ เราก็เป็นผู้สร้างสรรเป็นแรงเป็นพลังงานหลักของการสร้างสรรสิ่งที่จะอาศัยใช้กินให้มันอุดมสมบูรณ์ มีเหลือก็สะพัดแก่ผู้อื่น

 

มี GDP ที่สุดยอด

Gross Domestic Product รายได้องค์รวม แล้วก็กำกับด้วย Domestic หมายความว่าของกลุ่มเราภายในไม่เกี่ยวกับคนอื่น เพราะฉะนั้นรายได้องค์รวม ของเรามี Product มีกระบวนการสร้างสรรขึ้นมา ทำขึ้นมาได้แล้ว มันเป็นผลผลิตมีรายได้รวมแล้ว ได้เท่าไหร่

1. พอกินพอใช้ส่วนตัวไหม

2. เหลือกินเหลือใช้ส่วนตัวไหม

3. ไปเอาของคนอื่นเข้ามาไหม

เอาสามช็อยส์นี้ของเราสำเร็จ

หนึ่งของเราพอกินพอใช้ สองเราเหลือเฟือ สามเราไม่ได้เอาของคนอื่นเขามา เราก็ไม่เบียดเบียใคร เหลือเฟือแล้วเราก็แจก หรือขายบ้าง ขายอย่างไม่รีดนาทาเร้น เราไม่ตะกละว่าสังคมเราจะต้องรวย

พูดทีไรก็คิดถึงพระราชดำรัสของในหลวง

ก็แปลว่า ขาดทุน คือ เป็นการได้กำไรของเรา หรือการขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา ท่านนักเศรษฐกิจคงร้องว่า ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นไปอย่างนั้น ก็เห็นว่านักเศรษฐกิจก็ยิ้้ม ยิ้ม ๆ ว่า อะไร ? พูดอย่างนี้ "การขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา" หรือเราได้กำไร แต่พูดภาษาอังกฤษมันสั้นกว่า งั้นก็ต้องขยายว่าภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ? ภาษาอังกฤษ Our หมายความว่า ของเรา Our Loss .. Loss ก็การเสียหาย, การขาดทุน  Our Loss Is .. Is ก็เป็น Our Loss Is Our .. Our ก็คือของเรา "Our Loss Is Our Gain" ..Gain ก็คือกำไรหรือที่ได้ ส่วนที่เป็นรายรับ ก็ตกลงบอกกับเขาว่า "Our Loss Is Our Gain" ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือว่า เราขาดทุน เราก็ ได้กำไร เวลาพูดไปแล้วเขาก็บอกว่า "ขอย้ำ ขอซ้ำอีกที" ก็พูดซ้ำอีกที เขาก็นั่งเฉยไปอีก ก็หมายความว่าต้องการ การอธิบาย เราก็อธิบาย อธิบายว่า ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำแล้วก็เราเสีย แต่ในที่สุดก็ ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็น "การได้"..

"แบบที่เรียกว่า ทำ "แบบคนจน"  คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคตยังมี" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ "ถอยหลังเข้าคลอง"แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ"

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534

พ่อครูว่า...ฟังในหลวงก็รู้สึกเห็นใจผู้อื่นเขาที่เขาฟังแล้วไม่ซาบซึ้ง แต่ถ้ามาฟังแล้วซาบซึ้งมันสุดยอดแล้ว เมื่อไหร่หนอคนจะเข้าใจว่าชีวิตอย่างนี้เป็นชีวิตประเสริฐ เป็นชีวิตความเจริญของจิตใจของภูมิปัญญา เพราะคนเรา ไม่ต้องไปมีชีวิตที่จะไปยื้อแย่ง จะต้องรวยจะต้องมีมากๆสะสมเอาไว้ ถ้าในโลกนี้มีอะไรต่างๆ คุณก็เอามาไว้เป็นของตัวเอง เช่นเรามีที่ดินมากๆ ซื้อเอาไว้สะสม คนอื่นจะมีที่ดินขาดแคลนขึ้น เพราะคุณเอามาไว้เป็นของตนเองคนอื่นก็ขาดแคลน

จะเป็นเพชรนิลจินดามันก็มีจำนวนหนึ่งจำกัดคุณก็เอามาสะสมไว้มากๆ คนอื่นเขาก็อยากได้มากเขาก็ขาดแคลน แม้แต่ที่สุด มีข้าวมีอาหารการกิน คุณก็เอามาไว้เป็นของคุณมากๆ คนอื่นก็ขาดแคลน เพราะฉะนั้นในประเด็นแรกถ้าเราสะสม คนอื่นก็จะต้องขาดแคลน ง่ายๆไม่ได้ยากอะไรเลย

ทีนี้เอาประเด็นกลับกันอีก ถ้าเราไม่สะสม เราจะขาดแคลนไหม ไม่ เราจะเดือดร้อนไหม ไม่เดือดร้อน

ถ้าเราไม่สะสม เราก็ต้องมีของตัวเอง แล้วของมันจะมีขึ้นมาได้จากอะไรหากไม่สะสมมันเกิดขึ้นแล้ว เช่น กล้วย คุณจะมีกล้วยอีกก็ต้องปลูกขึ้นมาใหม่ เราไม่สะสมก็ต้องปลูก เราก็ต้องมีความฉลาด กล้วยแล้วก็ต้องปลูกไป ตอนนี้มันก็โตตอนนี้มันก็ออกลูกออกปลีเอามาทำกินได้ เรามีกล้วยตั้งหลายขนาดเก็บกินหมุนเวียนทัน คนก็ต้องมีปัญญาอย่างนี้ เราจะกินอะไรใช้อะไร กินกล้วยกินส้มโอกินมะละกอกินลองกองกินแก้วมังกร พืชผักอะไรเราก็ทำขึ้นมา

เสื้อผ้าหน้าแพรมันก็ไม่ได้ขาดง่ายๆเลย ชุด 1 ใช้ได้ประมาณ 10 ปี เลย 10 ปีก็ยังได้เลย ถ้าคุณไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่เป็นคนที่ใช้อย่างเปลือง มันก็ใช้ได้อย่างสบายๆ เครื่องผ้าในปัจจัย 4 นี้ อาหารเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัยยารักษาโรค ท่านสรุปปัจจัยอันจำเป็นที่สุดของชีวิตไว้แล้ว

อาหารเป็นหนึ่ง ขาดแคลนไม่ได้ต้องกินทุกวัน เครื่องนุ่งห่มมันก็มีเล็กน้อย พระพุทธเจ้าให้มาประหยัดที่สุด เป็นภิกษุเป็นสมณะมีผ้าแค่ 3 ผืนก็พอใช้นุ่ง ใช้ครองอีกอันก็เปลี่ยนผลัดเอา มันหนาวก็สองผืนซ้อน อย่างนี้เป็นต้น ท่านก็สรุปผลเอาไว้

ที่อยู่ นอนรุกขมูลโคนไม้ก็ได้ ในยุคนี้ไม่ได้ รุกขมูลโคนไม้ มีเจ้าของหมด แม้แต่ของสาธารณะก็มีคนดูแลอีก มีพิษด้วย ที่อยู่ก็พอมีบ้างเล็กน้อย

ยารักษาโรค คนเป็นโรคทุกวันหรือ นานๆทีจะใช้ยา แต่เราก็มี ยิ่งเราเรียนรู้ยารักษาสมุนไพร พืชพันธุ์ธัญญาหาร ทุกวันนี้เรากินอาหารเป็นยา ตอนนี้ก็เลย แม้แต่ยาปฏิชีวนะเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้อะไรมาก ใช้ยาธรรมชาติยาสมุนไพร ความรู้เก่าแก่โบราณมีก็ศึกษาไว้สบาย สมุนไพรปลูกเอาไว้ใช้

ราชธานีอโศก อาตมาว่า จะมีเเหล่งที่เป็นพืชพรรณธัญญาหารใช้เป็นยา ชีวกโกมารภัจจ์เกิดมาก็เอามารักษาได้หมดเลย รักษาได้ถ้ามีความรู้

สรุปแล้วชีวิตมันไม่ยากอะไรเลย ถ้าเข้าใจปัจจัยชีวิต พวกเราศึกษาตามธรรมะพุทธเจ้าแล้วตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าแล้วจึงง่ายสบาย ก็เลยไม่ต้องเสียเวลาไม่ต้องไปเต้นแร้งเต้นกา แข่งกัน เดี๋ยวก็เสนอกีฬาอันนั้นอันนี้ กีฬาเป็นเรื่องของเด็กมันก็ไม่โตสักทีเล่นอยู่อย่างนั้น เอามาเป็นเรื่องเป็นราวเป็นใหญ่โต ทั้งที่มันเป็นเรื่องเล่นเป็นเรื่องเด็กก็ไม่โตสักที แล้วยกเลิกของเล่นเด็กมาเป็นกีฬาโอลิมปิกกีฬาอาเซียน กีฬาเหรียญทองเหรียญเงิน หลอกกันมุขกันไป แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย  ชนะได้ก็ดีใจ สักวันเส้นสมองแตก จริงๆนะ มันผลักดันความตื่นเต้นดีใจมากเกินไป มันเป็นอุพเพงคาปีติที่เกินเขต เดี๋ยวก็ตาย

สรุปลงที่เศรษฐกิจ เสฏฐะ ภาษาอังกฤษ Economic แปลว่าประหยัด ของไทยเราเอาภาษาสันสกฤตมาใช้ ของบาลีคือเสฏฐะ มันแปลว่า ความเจริญความประเสริฐ เสฏฐะเสฏโฐ ไม่ได้แปลว่าความประหยัด ดีไม่ดี เจริญแล้วก็ไปหลงโลกีย์ว่า ผู้เจริญด้วยทรัพย์สินเงินทองคือเศรษฐี ความจริงไม่ใช่ คนที่มีเงินทองมากเขาเรียกกระฎุมพี ศัพท์บาลีนะ

เศรษฐีนั่นคืออริยบุคคล เสฏโฐ ผู้เจริญผู้ประเสริฐผู้เป็นอาริยบุคคล ส่วนคนมีเงินทองมากเขาเรียกกระฎุมพี แล้วคำว่ากระฎุมพีนี้เขาไม่ค่อยใช้เพราะรู้ว่ามันไม่ค่อยดี เหมือนกับคำว่าฉลาด ฉลาดเอาเปรียบเอารัดขี้โกงแย่งชิง แม้จะเป็นอัจฉริยะก็ตาม คนที่มีความฉลาดในการแย่งลาภยศสรรเสริญไม่ได้มีความรู้ทางโลกุตระ มีแต่เฉโกทั้งนั้น ไม่ได้มีความฉลาดแบบปัญญาเลยแต่เอาคำว่า ปัญญา ไปใช้เรียกความหมายที่เป็น เฉโกโลกีย์ไปหมด คำว่าปัญญาที่เขาใช้ในปัจจุบันจึงไม่ได้มีความหมายอย่างที่ควรจะเป็น

ปัญญานี้เป็นโลกุตรธรรม เกิดจากรากศัพท์ของ อัญญะ มาเป็นอัญญา แปลว่าอื่น พอเป็นพหูพจน์คือความรู้นึกคิดที่แปลกไปจากเดิม เป็นความฉลาดที่แปลกไปจากเดิม แตกต่างกันจากที่เดิมที่เขารู้คือเฉกะหรือเฉโกหรือเฉกตา (คำนาม)

ส่วนคนเริ่มมีอัญญธาตุ ธาตุฉลาดแบบใหม่ไม่แย่งชิงแล้ว อยู่อย่างมีประโยชน์เป็นคนอาริยะเป็นคนเจริญเป็นคนประเสริฐแท้ คนนี้เป็นเศรษฐี เสฏโฐแต่สับสนหมดแล้วเอาคำว่ากระฎุมพีมาเรียกเศรษฐี เหมือนกับคำว่า เฉโกเขาทิ้งหมดแล้วเอาแต่คำว่าปัญญามาใช้ แม้ว่าพฤติกรรมเป็นการแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขก็เลยใช้เรียกว่าปัญญาอีก

เมื่อเข้าใจผิดไปแล้วสับสนกันไปก็เสียหาย คนก็ปฏิบัติไม่ถูก แต่พวกเราเข้าใจชัดเจนแล้วจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ ปัญญานี้จะเกิดได้ มันมีนิยามชัดๆว่า ปัญญาต้องเกิดด้วยมีครบพร้อมทั้งทวาร 6 ปัญญาจะเกิดจากทวารเดียวมีความฉลาดรับรู้แม้จะฉลาดมากขนาดไหนก็แล้วแต่ ฉลาดแบบนั้นไม่เรียกว่าปัญญาเลย เพราะว่าฉลาดแบบนั้นไม่ถือว่าเป็นความจริง ความจริงจะต้องเป็นปัจจุบันธรรม ความจริงไม่ใช่อดีต

ในสามกาละ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ความจริงคือปัจจุบัน อดีตมันจบไปแล้วไม่เป็นความจริงปัจจุบันแล้ว มาไม่ถึงเลยแล้วจะมีความจริงได้อย่างไร ความจริงมันอยู่ที่ปัจจุบันนี้ต่างหาก นี่ความจริง ถ้าใครจับความจริงไม่ถูกก็หลงอยู่กับอดีตและอนาคต คนๆนี้ก็ยาว ยืดยาด ยุ่มย่าม เยอะแยะ ก็วุ่นวาย

ใครที่อยู่กับปัจจุบันสร้างปัจจุบันให้ดี เข้าใจให้ได้ว่าอดีตก็ตามเป็นสิ่งที่เราเอามาใช้เรียนรู้ศึกษาเปรียบเทียบได้ แม้จะคิดล่วงหน้าไปในอนาคต ถ้าหากอนาคตนั้นคิดเปรียบเทียบได้ว่าอนาคตควรจะดีอย่างนี้ ดีกว่าอดีต โดยมาทำที่ปัจจุบันให้ได้ตามที่เราคิดว่าจะดีกว่าอดีตจะต้องเป็นอย่างนี้ คุณก็ทำปัจจุบัน มันก็จะเจริญ ก็คืออนาคตก็จะได้ สำเร็จมันก็เป็นผล เกิดๆๆ จริงๆแล้วอนาคตคุณไม่ต้องควรคำนึงถึงเลย คำนึงถึงอดีตเอาไว้เปรียบเทียบ แต่อย่าไปหลงจมอยู่กับอดีตว่ามันจะต้องเป็นเราเป็นของเรามันไม่ใช่ อดีตมันเหมือนอุจจาระออกจากก้นเราไปแล้วก็ยังบอกว่าของเรา เอาอุจจาระมาไว้ที่เรา โง่อะไรหนักนา อุจจาระออกไปจากตัวแล้วยังบอกว่าเป็นของเรานี่แหละคือคนโง่ ใครคือคนที่ทำอย่างนี้คือคนเล่นขี้ เอาขี้มากอบโกยไว้ที่ตน

หากเข้าใจชีวิตแล้วชีวิตมันเหมือนกับอยู่ปลายเข็มในปัจจุบัน แล้วปัจจุบันเราควรทำอะไร ปัจจุบันนี้เราควรจะเป็นประโยชน์ ปัจจุบันนี้เราควรจะขยันพากเพียรในสิ่งที่ดี เรามีอัปปติฏฐัง อนายูหัง เรารู้ว่าควรพักหรือควรเพียร

หากเราทำงานมานานแล้ว โอเวอร์โหลดแล้ว ก็ควรจะพักหรือเราเจ็บป่วยก็ควรพัก ดูถึงเวลาจะต้องนอนพักก็ต้องนอนพัก เราก็รู้ความควร ควรพักควรเพียร

พุทธเจ้าท่านตอบเทวดา ผู้ที่ข้ามโอฆสงสารได้แล้วเป็นคนอย่างไร

เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป

เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท

เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ)

 

เมื่อใดเรายังพักอยู่ (สันติฏฺฐามิ) เมื่อนั้นเรายังจมอยู่โดยแท้

เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ (อายูหามิ) เมื่อนั้นเรายังลอยอยู่โดยแท้

เราไม่พัก เราไม่เพียร  ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แล ฯ 

(พตปฎ. เล่ม 15  ข้อ 2)

 

เวลากำลังล่วงไป บัดนี้เธอทำอะไรอยู่ จะอยู่เฉยๆทำไม ควรจะไปทำสิ่งที่ควรทำ คนที่มีความสำนึกสำเหนียกสังวรณ์ตนอยู่อย่างนี้เสมอ เวลากำลังจะล่วงไป แต่ละวินาทีกรรมกิริยาของคุณทำอะไรอยู่ สิ่งที่ควรทำมีประโยชน์มีเยอะแยะ  สิ่งที่เป็นโทษเราก็ศึกษา อันนี้ไม่ควรทำ เราก็เลิกมา จนมาอยู่กับสังคมที่เขาทำแต่กรรมกิริยาที่มีประโยชน์ เราคิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร  ทำไปกับพรรคพวกเลย ไม่ต้องคิดเองเลยอยู่กับพวกเรา พวกเราไม่พาทำสิ่งที่เป็นโทษ ก็มีปัญญาว่าอย่างนี้ไม่ควรทำ พวกเราปากโป้งจะตาย รีบเข้าไปห้าม หรือว่าไม่ให้ทำแล้วจะช่วยรักษาป้องกันไม่ให้พวกเราทำสิ่งที่ไม่ดี มันเป็นสังคมที่ครบพร้อมเลย ช่วยกันระมัดระวังในสิ่งที่ดีๆ ช่วยกันทำสิ่งที่ดีให้มากยิ่งขึ้นมาเป็นสังคมที่เจริญ

พูดไปแล้วคนที่เขาไม่ศรัทธาเลื่อมใสก็ต้องขออภัยอย่างยิ่ง เขาจะอ้วกแตกตาย คุยโม้ว่าดี แต่ที่พูดนี้มันดีจริง เอามาพูดสู่ฟัง คนที่ไม่มีอคติในใจเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีจริง มาตรวจสอบมาตรวจตรา ดูได้เลยว่าที่พูดไปนี้เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องเล่นหัว ได้แต่คิดเอาทำไม่ได้ ไม่เป็นจริงหรือไม่ ขอรับรองว่าเป็นจริงได้ สำเร็จแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน เพลงความซ้ำซากหมายเลข 1-7

เพราะฉะนั้นทุกวันนี้อาตมาสบายเกิดมาในชาตินี้แล้วยังไม่ตายได้ทำงานกุศลสำเร็จแล้ว มีแต่ทำเพิ่มทำเติม ก็เลยมีแต่ซ้ำซากเยอะ อาตมาก็เลยมีเวลาจะขยายความเพลงซ้ำซากให้พวกเราฟัง

อาตมาเขียนเพลงความซ้ำซากไว้ 10 บท

ความซ้ำซาก หมายเลข 1

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย (เซ็ง) หรอก!

แต่แท้จริงเป็นการสร้าง “ความปกติ”

และความถาวร มั่นคง สถิตเสถียร

ให้เกิด ให้เป็นขึ้นมา ต่างหาก

ดังนั้น . . . . .

ผู้ไม่พยายามเพียรกระทำความซ้ำซาก

ในสิ่งในเรื่องที่ควรกระทำอย่างยิ่ง

จึงคือ . . . . .

ผู้จะไม่ถึงความสำเร็จกิจนั้นๆ ได้เลย

แล้ว “ความยากลำบาก” ใดๆ

ก็จะเป็น “ความง่าย” สบายเบา

ไม่ได้เป็นอันขาด.

10 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 11/2525 : กีฬาเอ๋ย)

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 2

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย (สุดเซ็ง) ดอก !

ไม่เช่นนั้นเราจะยิ่งนอน ก็ยิ่งจะเบื่อการนอน

ยิ่งได้ทรัพย์ ยิ่งจะเบื่อการได้ทรัพย์

ยิ่งได้ยศ ยิ่งจะเบื่อการได้ยศ

ยิ่งได้สรรเสริญ ยิ่งจะเบื่อการได้สรรเสริญ

ยิ่งได้สุข ก็ยิ่งจะเบื่อการได้สุข เป็นแน่แท้

ซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

แต่ “ความมีอารมณ์เบื่อหน่าย”

ในสิ่งที่ “ยิ่งซ้ำซาก ก็ยิ่งทำให้ได้ดี ได้มั่นคง ให้ง่ายเบา” นั้น

มันคือตัว “หน้าโง่” ร้อยเปอร์เซ็นต์ ของเราเองต่างหาก

หรือ ที่แน่แท้จริงก็คือ กิเลสสดๆ

ที่มันกำลังจะมีชัยชนะอย่างกระหยิ่ม นั่นเอง.

10 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 12/2526 : คุณครูเอ๋ย)

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 3

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย (แสนเซ็ง) ดอก!

แต่แท้จริงแล้ว . . . .

ยิ่งซ้ำซากเรายิ่งจะกลายเป็นเคยในกิจนั้น

ง่ายในกิจนั้นเป็นที่สุดนั่นต่างหาก

รู้เถิดว่า . . . . . . . .

ถ้าเจ้ากิเลสตัวที่ชื่อว่า “ความเบื่อหน่าย” นี้

มันเข้ามาเยี่ยมกราย ในอารมณ์คุณเมื่อไร

เมื่อนั้นแหละ คือ

คุณกำลังประจัญต่ออุปสรรคตัวเลวร้าย และฤทธิ์มาก

แต่เยียบเย็นและแสนแสบที่สุด

ที่จะทำให้คุณล้มเหลวในกิจนั้นๆ เอาง่ายๆ

กว่าอุปสรรคร้อยแปดอื่นใดทีเดียว !

แท้จริงมันคือ มารลวง

หรือความหน้าโง่ชั่วแวบของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ แท้ๆ จริงๆ

ซึ่งคุณอย่าเผลอให้มันอยู่กับเราหลายแวบ เป็นอันขาด

มิฉะนั้น มันจะเกิดเป็นความหน้าโง่ตัวถาวร

อยู่กับเรา พร้อมกับความล้มเหลวอย่างสมบูรณ์

ถ้าคุณแน่ใจว่า กิจนั้นดีแน่แล้ว

เป็นกิจที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น อย่างยิ่งแล้ว

อย่าโง่เสียเวลามีอารมณ์เบื่อหน่ายเลย

แม้แต่เสี้ยววินาทีเป็นอันขาด.

10 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 13/2526 : อาหารเอ๋ย 1)

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 4

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายเลย จริงๆ

ไม่เช่นนั้น กลางวันแล้วก็กลางคืนที่ซ้ำซากนี้

จะมีอยู่แล้วๆ เล่าๆ ไม่ได้เป็นอันขาด

ดังนั้น ถ้าคุณแน่ใจว่ากิจนี้ดีแน่แล้ว

เป็นกิจที่น่าได้น่ามีน่าเป็นอย่างที่สุดแล้ว

คุณจงรู้เถิดว่า อารมณ์เบื่อหน่ายที่เกิดขึ้น กับคุณเมื่อใด

นั่นคือ ความล้มเหลวในกิจนั้นของคุณ

กำลังโผล่หน้ามาเยี่ยมกรายคุณ อย่างถึงหน้าบ้าน แล้วทีเดียว

หากคุณไม่ไล่เจ้าตัวอารมณ์นี้ ออกไปจากหน้าบ้าน

อย่างเร็วด่วนให้ได้แล้วละก้อ

ไม่นานเลย

คุณก็จะอยู่กับความล้มเหลว

และ แต่งงานกับเจ้าความเบื่อหน่าย ในกิจนั้น

อย่างสุดรักสุดบูชา

10 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 14/2526 : อาหารเอ๋ย 2)

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 5

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายเลย จริงๆ

ไม่เช่นนั้น คุณจะต้องเป็นทุกข์และ ทรมานมาก

ที่คุณจะต้อง เดิน-ยืน-นั่ง-นอน

หรือต้องกิน ต้องอุจจาระอยู่อย่างซ้ำซากแท้ๆ เหมือนกัน

คุณจะหัดซ้ำซากในอะไร ก็จะได้

คุณจะเลิกไม่ซ้ำซากในอะไร ก็จะได้ เป็นที่สุด

ดังนั้น ถ้ากิจใดคุณแน่ใจว่ากิจนั้นดีแน่แล้ว

เป็นกิจที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น

หรือกิจนั้นต้องเป็น ต้องอยู่ ต้องอาศัย อย่างที่สุดแล้ว

คุณอย่าให้มี “ความเบื่อหน่าย”

เกิดมาแทรกคั่นในกิจนั้นๆ เป็นอันขาด

แต่จงมีความร่าเริง “ฉันทะ” กับกิจนั้นๆ เสียเลย

“วิริยะ” พากเพียรเต็มที่ บากบั่น มั่นสู้ไม่ถอย

“จิตตะ” คือเปิดใจ ปล่อยใจ วางใจ ยกหัวใจ

ให้กับกิจนั้นๆ ไปเลย

แล้วก็ “วิมังสา” คือ ลงมือฝึกปรือ ใช้ปัญญา ทำกับกิจนั้น

ให้ดีที่สุดขึ้นเรื่อยๆ ให้ได้เสมอ

ฉะนี้แล คือ ทฤษฎีแห่งความสำเร็จ

ที่จะพ้นทุกข์แท้

และจะสร้างสรรความประเสริฐสุดได้จริง.

11 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 15/2526 : อาหารเอ๋ย 3)

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 6

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายเลยจริงๆ

แต่ตัว “ความเบื่อหน่าย” นั้นแหละ

คือตัว “ทุกข์” แท้ๆ

และคือ ตัวที่จะทำให้ผลักเบนจาก “ความดี”

หรือจาก “ความไม่ดี” กันอย่างสำคัญเลยทีเดียว

ดังนั้น ถ้าใครใช้ปัญญาวิเคราะห์ จนรู้แน่ใจแล้ว

ว่า นี้คือ “ความไม่ดี”

ก็จงตัดขาดหลีกเร้น อย่า “ซ้ำซาก” อยู่

ว่า นี้คือ “ความดี”

ก็จงตัดขาด “ความเบื่อหน่าย” ออกไปให้เด็ดขาด

แล้วจงซ้ำซากอยู่เถิด

จนกว่าเราจะหมดสิ้นเหตุปัจจัย

ผู้ถึงธรรม คือ ผู้ทำกุศลกรรมนั้นๆ

ซ้ำๆ ซากๆ ได้แล้ว สบายๆ ไม่มีเบื่อ

ผู้ยังไม่ถึงธรรม คือ ผู้ทำกุศลกรรมแท้ๆ

ซ้ำซากมากไป ก็จะเบื่อ.

ผู้ยังไม่ถึงธรรม คือ ผู้ทำอกุศลกรรมแท้ๆ

ซ้ำซากมากไป ก็จะไม่เบื่อ.

11 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 16/2527 : การศึกษาเอ๋ย )

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 7

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายเลย

แท้จริงนั้น “ความซ้ำซาก” คือ

ความอมตะ คือความนิรันดร์

ข้อสำคัญคือ เราจะซ้ำซากกิจนี้อยู่

เพราะมันยังชื่อว่าดี

ว่าสมควรแล้วอยู่จริง

หรือจะไม่ซ้ำซากกิจนี้ต่อไปแล้ว

เพราะมันชื่อว่า ไม่ดี

ว่าไม่สมควรแล้ว

โดยใช้ปัญญาอันยิ่งแท้

อย่างปราศจากความลำเอียง

และหรือ อย่างไม่มีความเห็นแก่ตัวเลย

ด้วยสัปปุริสธรรม 7 กันจริง เท่านั้น

ดังนั้น ผู้ถึงธรรมแล้ว

จึงไม่มี “ความเบื่อหน่าย” ในอะไรเลย

และจะไม่ติดแม้ในสิ่งส่วนที่ชื่อว่า

ดียิ่งยอดใดๆ ด้วย

แต่ท่านรู้เป็น-รู้ตาย รู้เกิด-รู้ดับ รู้พัก-รู้เพียร

และท่านตัด-ท่านต่อของท่านได้แน่แท้

เด็ดขาดถึงที่สุดแล้วจริงๆ.

15 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 17/2527 : อาชีพเอ๋ย 2 )

 

ยังเหลือหมายเลข 8 9 10 โปรดติดตามฉบับหน้า

 

สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูประกาศว่าเศรษฐกิจสาธารณโภคีเป็นเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลก (พ่อครูเติมว่า ในมหาจักรวาล)


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:47:50 )

610903

รายละเอียด

610903_สำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 11

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1U_w2Cp8viG-5lAcrG5rjSoAsj6mqONADOUHreZzZd7Q/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1QZWqWFnf4pJiPXNdwp32dekFnJIu7GUp

พ่อครูว่า...SMS 2 กันยายน 2561 (วิถีอาริยธรรม)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน วัดกับการหาเสียงทางการเมือง

_อำภา รื่นใจดี · ท่านพ่อครูมีความคิดเห็นอย่างไร กรณีเถรสมาคมห้ามวัดจัดให้มีกิจกรรมทางการเมืองภายในวัด ซึ่งสวนทางกับอโศกที่ท่านพ่อครู เอาศาสนาไปเชื่อมโยงกับการเมือง

พ่อครูว่า...มีความเห็นจริงตามที่ว่านั้นหนึ่ง  สอง อาตมาเอง อาตมาเห็นสมควรว่า เขาห้าม ไม่ให้การเมืองมายุ่งกับพระภิกษุ ดีแล้ว เพราะอินทรีย์พละของเขาแย่ เขาไม่มีความเป็นธรรมะ เป็นคุณธรรมในทางปัญญา ในทางความรู้เพียงพอที่จะอยู่กับกระแสของพวกเขี้ยวลากดิน การเมืองคือพวกกระแสเขี้ยวลากดิน ซึ่งเขาจะเอาพระการศาสนาเป็นเครื่องมือหาเสียง เอาประโยชน์ในทางการเมือง นักการเมืองจึงชอบวัดเพราะเป็นจุดรวมของความศรัทธาคนนับถือ วัดนั้นวัดนี้มีพระรูปนั้นรูปนี้ มันเป็นต้นทุนที่มีโดยธรรมชาติของสังคม แล้วศรัทธาพวกนี้เชื่อถือกันถ้าเผื่อว่าพระอาจารย์เชื่อถือเอาด้วยก็จะได้มวลประชากรกลุ่มหนึ่งเลย มันง่ายมันสะดวก ในการที่จะไปใช้อย่างนั้น เขาก็เลยจำเป็นจะต้องทำอย่างนั้นดีแล้วถูกแล้ว

แต่ของอโศกเรา นักการเมืองใดๆจะมาครอบงำไม่ได้ จะมาหาเสียงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เราไม่เปิดโอกาส เพราะว่าเราเองก็รู้ทัน ที่สำคัญคือเราไม่ตกเป็นเหยื่อของลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เขาไม่ประสีประสาตกอยู่ใต้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข นักการเมืองก็ใช้พวกนี้เป็นเครื่องล่อพระต่างๆ แต่อโศกเราไม่มีปัญหาไม่เป็นอย่างนั้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน คนรวยกับคนจนอย่างไหนรู้ทุกข์อาริยสัจได้ง่ายกว่า

_ฮวก พรชัย · กราบเรียนถามพ่อท่าน เราจะรู้จักทุกข์อริยสัจได้อย่างไร ถ้าเราเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างสุขสบาย เราจะรู้จักมันยากขึ้นหรือไม่ครับ

พ่อครูว่า…คนจะเป็นคนจนหรือคนรวยก็ตาม รู้จักทุกข์อาริยสัจยากทั้งนั้น ภาษาอื่นๆว่า คนรวยเขาคงมีสุขไม่มีทุกข์ เขาก็คงมีสุขโลกีย์ เขาก็ไม่รู้จักทุกข์อริยสัจอยู่ดี เพราะฉะนั้นสุขที่เป็นอริยสัจไม่มี สุขที่เขาเป็นสุขอย่างนั้นไม่ใช่อริยสัจ เป็นสุขขัลลิกะ เป็นสุขเท็จ แต่เขามีสุขเท็จนี่แหละ มันจะมองเห็นทุกข์อริยสัจได้จริงมันยาก เพราะฉะนั้นคนที่ครอบครัวค่อนข้างสุขสบายมีเงินมีทอง เพราะฉะนั้นก็บอกได้เลยว่า อย่าไปมีเงินมีทองมากเลยมันหนัก มันถูกสุขขัลลิกะ สุขเท็จนี้หลอก ก็เลยไม่รู้จักทุกข์อริยสัจได้ง่าย

ที่นี่พวกจน จนนี่จะไม่เดือดร้อนแม้จะจน ก็ไม่มีทุกข์อะไร ทุกข์อาริยสัจ รู้แล้วว่าการยึดมั่นถือมั่นที่อยากจะรวยมีเงินมีทองมีข้าวของ ถ้าหากไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วชีวิตเราก็ดี ไม่ต้องรวยนี่แหละสบาย เพราะไม่ต้องป้องกันทรัพย์สิน ไม่ต้องรักษาทรัพย์สิน ไม่ต้องกลัวโจรมาปล้น ไม่ต้องกลัวถูกทำลายที่เขาจะมาแย่งทรัพย์สิน แม้แต่รักษาไว้ก็ทุกข์ กลัวมันจะหาย สารพัด เพราะฉะนั้นไม่ดี

อย่างพวกเราไม่ต้องดูแลเงินทองข้าวของอยู่กับส่วนกลางจะกินจะใช้ คนที่จะต้องใช้เงินใช้ทองก็ต้องใช้กับส่วนกลาง ส่วนตัวเรานั้นสบายดีแล้ว หรือว่าเรื่องเดือดร้อนส่วนตัวจะเจ็บป่วยจะต้องใช้อย่างสมเหมาะสมควรก็ใช้กับส่วนกลางได้สบาย

เรื่องของคนจนที่เข้าใจแล้วมาอยู่กับระบบคนจน มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่จัดสรรให้เกิดสภาพนี้ได้ยาก อาตมาทำได้สำเร็จก็เลยภาคภูมิใจ แม้ในยุคทุนสามานย์ คนไม่เข้าใจในทุกข์อริยสัจ

คนที่ไม่ต้องติดยึดเรื่องเงินทองข้าวของอะไร ก็เป็นคนที่รู้จักทุกข์อริยสัจ แล้วเป็นคนที่ไม่ต้องติดในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แล้วชีวิตมาเจริญ มาเป็นคนที่ดีมากเป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่มีโลภโกรธหลง ความโลภเราน้อย มีวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับหมู่กลุ่มทำให้กิเลสเราน้อยลงด้วย มันเป็นเรื่องของคนมีปัญญาแท้ๆ รู้จักทุกข์อริยสัจ รู้จักความจริงอันประเสริฐ แล้วพวกเราก็อยู่กับความจน อย่างมีความสุขสำราญเบิกบานใจ ใช้ภาษาเรียกว่าสุขสำราญเบิกบานใจ ที่จริงมันไม่ได้สุขอย่างโลกีย์ที่  สุขที่มีลาภยศสรรเสริญ มีความสุขภาวะเสพในกามคุณ 5 มีความต้องการใดๆมาบำบัดบำเรอใจเราถึงมีความสุข บำเรอกิเลสไม่ว่าจะเป็นกิเลสกาม กิเลสอัตตา บำเรอแล้วสุข แต่เราไม่ได้บำเรอกิเลสของเราแต่เราก็อยู่อย่างสุขสบาย

เราก็อยู่กันอย่างมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกับปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็ขอย้ำว่าคนที่มาอยู่กับพวกเราแล้ว เพราะมีงานสัมมาอาชีพ มีงานค้าขายเราก็ไปช่วยกันทำร้านขายของสดร้านขายอาหารก็มี มีร้านปันกันขายของ มีร้านขายอาหาร พวกเราไปทำกันบ้าง ออกร้านขาย บางคนก็ทำขายแล้วใส่กระเป๋าตัวเอง ไม่ให้กองกลางเลยก็แล้วแต่ บางคนก็แบ่งให้กองกลางบ้าง อาตมาว่า พวกเรามีจิตใจที่มีหิริโอตัปปะ มีผักพืชอะไรก็เอาไปขาย เอาไปใส่กระเป๋าเราคนเดียวจะมีความละอายหรือเปล่าก็ไม่รู้ คนมีความละอายก็จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ของเราเป็นคนชั้นสูงแล้วให้อิสระ ถ้าชั้นต่ำก็ต้องมีคนบังคับ

แม้แต่โรงเรือนบวรเรา ข้างนอกเขาจะใช้สถานที่ขายสินค้า โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าอะไรเลย ขอประกาศใครจะมาอาศัยที่นี่ขายของ อาตมาสร้างอาคารเอาไว้ อาณาบริเวณ11 ไร่ คุณมาใช้ขายของแห้งของสด ก็มาเถอะ อาตมาเจตนาอย่างนั้น ทำเพื่อเป็นตลาดประชาราษฎร์ ให้ราษฎร มาขายของได้ ก็บอกไปทั่ว บอกได้ คนมันไม่มากเท่านั้นแหละ ไม่พลุกพล่าน ลูกค้าไม่มาก แต่ถ้าคุณเต็มใจก็มา เรายินดีให้ขาย ต่อไปในอนาคต ลูกค้ามีมาก พื้นที่เต็มจะมาร้องไม่ได้นะ

จริงๆอาตมาอยากจะทำงานเพื่อสังคม เพื่อช่วยคนที่เขาเดือดร้อน เราก็มีแรงพอทำขึ้นมาให้ ยิ่งชาวบ้านแถวนี้ จะมีตลาดที่ขายถูกขายฟรีมีได้ยาก อย่างน้อยพวกเราก็ได้พึ่งพาอาศัย เป็นการเกื้อกูล โดยเฉพาะพวกเราไม่ขายขูดรีด เราดูแลกันอยู่ อย่าไปอย่างชาวโลกเขา ขายต่ำกว่าราคาตลาด ราคาเท่าทุน ราคาต่ำกว่าทุน แจกฟรี ก๋วยเตี๋ยวเราชามละ 20 บาท ข้างนอกราคาอย่างต่ำ 30 บาท แต่เป็นอาหารมังสวิรัติทั้งนั้นนะไม่มีอาหารเนื้อสัตว์นะ มังสวิรัติเป็นอาหารชั้นดีนะไม่ใช่อาหารของพวกซีกุ้ย เป็นอาหารเซียนนะ ซีกุ้ยคือผีนรก แม้แต่จีนทางเจเขาก็ว่าอย่างนั้นนะ

พวกคนรวยรู้จักทุกข์อาริยสัจ ยากหน่อย ทุกข์เพราะไม่มีลาภยศสรรเสริญมาบำเรอตัวเองมันขาดแคลนมันก็เห็นทุกข์ง่ายกว่า

พวกเราเป็นคนที่มีเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง นอกจากไม่แย่งชิงแล้วยังสร้างสรรค์เผื่อแผ่ก็กดอีกด้วย เราไม่ทำให้ก่อเกิดสงครามแย่งชิงเรื่องวุ่นวาย ด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียสุข มันจึงเป็นเรื่องประเสริฐ

 

_เกษม พาหุงมหากา  แม้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครบอกเลย ผมเองก็ไม่ได้เคยศึกษาตรงนี้ด้วย ก็เลยไม่รู้ วันนี้รู้เพราะพ่อครู สาธุครับ

พ่อครูว่า...อาตมาพูดถึงเรื่องที่อาจารย์ทางศาสนาพุทธไม่เคยบอก อาตมาบอกในสิ่งที่คุณไม่เคยได้ยินได้รับรู้ไม่เคยมีใครบอก ต่างกันกับที่เขาพูดเขาบอกเยอะ มากมายเลย เช่น คนไปแสวงหาสวรรค์ก็คือแสวงหาทุกข์ ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก อย่างนี้เป็นต้น

หรืออย่างอื่นที่อาตมาพูดอธิบายนี้ต่างกับเขาเยอะ เช่น มาเป็นคนจนนี้ดีกว่าคนรวย ใครจะไปบอก นอกจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรงกันกับที่อาตมาบอก เพราะท่านเป็นโพธิสัตว์เหมือนกันกับอาตมา ก็เลยท่านก็ตรัสอาตมาก็พูด ตรงกัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน การเดินจงกรม พระพุทธเจ้าสอนไหมมีประโยชน์อย่างไร

_มนูญ ณ นคร : การเดินจงกรม พระพุทธเจ้าสอนไหม และมีประโยชน์อย่างไรครับ

พ่อครูว่า พระพุทธเจ้าสอนการเดินจงกรม เพราะว่าสมณะ จะต้องอาศัยการเดิน ที่จริงการเดินนั้น จงกรม หรือจังกัมมะ แปลว่าการเดินธรรมดา ไม่ได้เอามาประดิดประดอยอย่างที่เขาทำทุกวันนี้ ก้าวหนอ ย่างหนอ แตะหนอ ยกหนอ เขาก็เอามาประยุกต์เพื่อให้สติสมถะก็ทำกันไป มีประโยชน์หลายอย่าง สมัยอาตมาอยู่ที่วัดอโศการามยังไม่ได้บวชก็มีทางเดินไปเข้าหากุฏิยาวๆ ห้าสิบเมตร จากถนนทางหน้า เข้าไปด้วยสะพาน อาตมาก็ใช้สะพานไม้เดินจงกรม 

พระไตรปิฎก เล่มที่ 22 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 14

อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

9. จังกมสูตร

[29] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการจงกรม 5 ประการนี้

5 ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุผู้เดินจงกรมย่อมเป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล 1

ย่อมเป็นผู้อดทนต่อการบำเพ็ญเพียร 1 ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย 1 อาหารที่กิน

ดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมย่อยไปโดยดี 1 สมาธิที่ได้เพราะการเดินจงกรมย่อมตั้ง

อยู่ได้นาน 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการเดินจงกรม 5  ประการนี้แล ฯ

 

คนเขาไลน์เรื่องของคนญี่ปุ่น เมื่อไม่นานมานี้ ในประเทศญี่ปุ่น ได้มีการประกาศนโยบายใหม่ที่น่าสนใจออกมา นั่นคือ สังคม 5.0 หรือ ญี่ปุ่น 5.0

การเดินไปสู่ ญี่ปุ่น 5.0 นั้น เป็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ต้องการนำประเทศเข้าสู่ “ยุคหลังนวัตกรรม” ที่ทุกสิ่งทุกอย่างขับเคลื่อนไปด้วยทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดของชาวญี่ปุ่น โดยมีหลังพิงคือเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมที่ล้ำหน้า (พ่อครูว่า..พวกเราจะเอาหลังพิงกสิกรรม ของเรามีนวัตกรรมล้ำหน้าทางกสิกรรมคือทำกสิกรรมไร้สารพิษ ข้างนอกเขาฟังว่าพวกเราทำอินทรีย์ ของเขาใช้ว่าของเขาปลอดสารพิษ แต่ของเรานี้ไร้สารพิษ ปลอดสารพิษคือใช้สารพิษแต่ว่าตามหลักเกณฑ์ที่จะไม่เป็นโทษต่อร่างกาย แต่ของเรานี้ไร้สารพิษคือไม่ใช้สารพิษสารเคมีเลย)

 

ที่สำคัญก็คือ ทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นเป็นผู้สรรค์สร้างและประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเองทั้งสิ้นโดนคำว่า สังคม 5.0 หรือ Japan 5.0 นั้นเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นชุดปัจจุบันมองว่า เป้าหมายที่แท้จริงของการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21 คือการแก้ปัญหาทางสังคม โดยมองข้ามประเด็นการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีไปแล้ว เพราะสำหรับญี่ปุ่นยุคใหม่ ความท้าทายใหญ่ๆ ก็คือจำนวนประชากรที่ลดลง บวกกับผู้สูงวัยที่เพิ่มจำนวนขึ้นถึง 10 ล้านคน

เมื่อประชากรลดลง ญี่ปุ่นจึงมองไปที่เทคโนโลยี Robotics และ IoT มาทดแทนกำลังคนในวัยทำงาน ประกอบกับการก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยสมบูรณ์แบบ 100% อีกทั้งสัดส่วนของประชากรเพศหญิงในระบบเศรษฐกิจที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้น การสร้างงานและสร้างอาชีพใหม่ๆ ให้ ส.ว.และกลุ่มสุภาพสตรีรุ่นใหม่จึงมีความสำคัญในสายตารัฐบาลญี่ปุ่น

อีกประเด็นหนึ่งซึ่งเป็น Indicator ที่สำคัญสำหรับ ญี่ปุ่น 5.0 ก็คือภัยธรรมชาติและการก่อการร้ายทาง Cyber แต่ที่สำคัญมากกว่าก็คือ

 

กำแพง 5 ชั้น ที่เป็นอุปสรรคของญี่ปุ่นยุคใหม่ ซึ่งได้แก่

กำแพงชั้นที่ 1 คือปัญหาของระบบราชการ ที่ต่อไปนี้ ทุกกระทรวง ทบวง กรม ต้องเกิดการปฏิรูปการบริหารหน่วยงานของรัฐทั้งหมด ด้วยการเชื่อมต่อกระบวนการทำงานด้วย IoT

กำแพงชั้นที่ 2 คือปัญหาทางข้อกฎหมาย การเร่งปรับปรุงข้อกฎหมายทุกระดับ รวมถึงการส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะการแก้ไขประเด็นทางกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติหรือรถยนต์ไร้คนขับ รถยนต์ไฟฟ้า Drone Robotics 3D Printer ฯลฯ

กำแพงชั้นที่ 3 คืออุปสรรครายทางของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม อาทิ เทคโนโลยี A.I. ปรับปรุงภาษีวิจัย ด้วยการผลักดันงบวิจัย 1% ของ GDP ถูกเอาไปใช้กับการวิจัยจริงๆ

กำแพงชั้นที่ 4 คือประเด็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตามปรัชญาใหม่ของ Japan 5.0 ที่ระบุว่า ต้องทำให้ประชาชนทุกคนเป็น “มนุษย์ผู้มีความคิดอิสระ และร่วมมือกันสร้างสิ่งใหม่ๆ ด้วยการเชื่อมโยงความรู้แขนงต่างๆ เข้าด้วยกัน” โดยการสร้างความรู้และสมรรถนะให้กับเยาวชน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถม และมัธยม รวมถึงส่งเสริมให้คนพร้อมเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะการสร้างแรงงานมีฝีมือ พร้อมกับสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ ให้เกิดเสน่ห์ดึงดูดมันสมองของตนเอาไว้ ไม่ให้ไหลออกไปยังต่างแดน

(พ่อครูว่า... มนุษย์ผู้มีอิสระนี้ okเห็นด้วย แต่ถ้าอิสระแล้วตะเลิดเปิดเปิง ไม่เห็นหมู่กลุ่มอยู่ในสายตาเลย ระวังเป็นอิสระที่เลยเถิด มนุษย์ควรมีสระเห็นด้วยเป็นแต่เพียงควรมีหลักเกณฑ์พื้นฐาน มาที่นี่ควรจะประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างน้อยมีศีล 5 1. ไม่ฆ่าสัตว์ 2. ไม่เอาทรัพย์ของคนอื่น 3. เรื่องของกามอย่าละเมิดวัฒนธรรม ไม่ได้ เรื่องพูดปดเรื่องอบายมุขไม่มีในนี้ไม่กินเนื้อสัตว์ไม่มีอบายมุขถือศีล 5 เท่านี้เป็นพื้นฐาน

ซึ่งตอนนี้อาตมาเห็นว่ามนุษย์ไม่ต้องสร้างสิ่งใหม่ๆแล้วมันเยอะเกินไปแล้ว สิ่งที่มีอยู่นี้ใช้ให้มันดีใช้มันรู้จักพอ รู้จักสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่แล้วทุกวันนี้มันเกินไปแล้ว ไม่ต้องไปเสียแคลอรี่เสียเวลาแรงงานคิดเพิ่มเติมอีกแล้ว มาจัดการคนนี่ ให้รู้จักพอ ให้รู้จักใช้สิ่งที่มี กันอยู่แล้วให้เพียงพอ อโศกเราใช้แบบดิจิตอลน้อย ใช้เทคโนโลยีเก่าๆ เราก็ใช้ของเราไปอย่างสบาย ไม่เห็นจะต้องไปแย่ง แล้วก็ไปคิดใหม่ มันเป็นการแข่งขันกันบ้า แข่งขันข่มกันอวดดี แล้วกลายเป็นเหยื่อของเศรษฐกิจของนายทุน คิดอะไรออกใหม่ๆแพงๆ แข่งกันเป็นอย่างนี้ตลอดกาล

สรุปแล้วคือจิตใจที่เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวตะกละตะกลามโลภโมโทสัน ทำให้เขาคิดเช่นนี้ เขาไม่พัฒนาคนให้รู้จักพอ ให้รู้จักความคิดที่ควรพอ ก็ต้องทำอย่างนี้ มันก็ถูกของเขา ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้บำเรอกิเลสเขา กิเลสของเขาก็ยิ่งเตลิดเปิดเปิงไม่มีที่จบสิ้น น่าสงสารมันเหนื่อยหมาหอบแดดไม่รู้จักจบ สร้างนิสัยหมาหอบแดดใส่ให้เด็กตั้งแต่อนุบาลเลย หมาหอบแดดตลอดชาติ

แต่การแข่งขันแรงงานฝีมืออาตมาส่งเสริม ส่วนเรื่องเทคโนโลยีนั้นลดลงได้แล้ว ทุกอย่างรอบด้าน ดินน้ำลมไฟเทคโนโลยีเป็นผู้ทำลายทั้งนั้น จนกระทั่งเอาเศษขยะมาทิ้งในเมืองไทยคิดได้ไงกัน ขนขยะต่างประเทศมาทิ้งเมืองไทยแล้วเมืองไทยก็ใจดีเนอะ เห็นโวยวายกันอยู่)

กำแพงชั้นที่ 5 คือสร้างการยอมรับทางสังคมที่ให้คนญี่ปุ่นทุกรุ่นตระหนักถึงยุค Robotics นี่เป็นประเด็นละเอียดอ่อน ที่แม้คนภายนอกจะมองว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศเจ้าแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งคนส่วนใหญ่ในโลกต่างคิดเอาเองว่า คนญี่ปุ่นมีความคุ้นเคย และดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม คือเครื่องจักรยนต์กลไกอย่าง  A.I. ได้เป็นอย่างดี ทว่า ในความเป็นจริง อย่าว่าแต่หุ่นยนต์ เอาแค่ลูกครึ่งต่างชาติที่มีสายเลือดญี่ปุ่น เช่น ลูกครึ่งเกาหลี-ญี่ปุ่น ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับในสังคม

ดังนั้น กำแพงชั้นสุดท้ายคือความสำคัญขั้นสูงสุด ที่รัฐบาลยุคใหม่ของญี่ปุ่นต้องเร่งทำการศึกษาในประเด็นความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเครื่องจักรหรือ A.I. ให้ลึกซึ้งลงไปถึงระดับปรัชญา ไม่ว่าจะเป็นคำถามที่ว่า อะไรคือคำจำกัดความของความสุข, มนุษย์, ความคิด, จิตวิญญาณ?

(พ่อครูถามว่า ถามหุ่นยนต์มันจะไปรู้หรือ ก็มีคนออกความเห็นว่าคนที่สัมพันธ์กับคนจนมีความสุขอย่างไร สรุปว่า เขาก็จะเป็นปัญหาในชีวิตมาก หากขาดหุ่นยนต์ไปแล้วเขาจะยุ่งยากมากเลย ต่อไปคนจะตกงานไร้ความสามารถแม้แต่จะเอาอาหารใส่ปากจะเคี้ยวอาหารก็ไม่มีแล้ว ความคิดนี้ตรงกันข้ามกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เป็นโพธิสัตว์

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(บุญญาวุธ) ตอน บุญนิยมทีวีคืองานศาสนาโดยตรง

เพราะชาวอโศกนี่เป็นพุทธแท้ เข้าใจแก่นแท้ Essence ของศาสนาพุทธอย่างในหลวงก็ดี อาตมาก็ดี เข้าใจอันนี้มาก ชาวอโศกเราทุกวันนี้ เราอยู่ดีกินดี มีกินมีใช้ แต่เราก็พยายามช่วยงานกัน จะได้แบ่งเบากัน จะมีขัดเขินบ้างก็พอถูไถ

ยกตัวอย่างงานสื่อ แค่คนจะมาเป็นช่างกล้องก็ยังไม่ค่อยมีสมบูรณ์ มีกล้องอยู่ 4-5 ตัวก็มีช่างกล้องสองคน นี่คือขาดน้ำใจ รู้อยู่ว่านี่เราต้องออกอากาศ เราเป็นคนโตแล้วก็เป็นช่างกล้องได้ หรือจะเป็นนักเรียน แต่ขาดน้ำใจกันทั้งนั้นทั้งนักเรียนและคนโต ที่สามารถจัดถ่ายเป็นช่างกล้องได้ ถึงเวลาก็ชัดเจน โดยเฉพาะ 6 โมงเย็นเป็นรายการสดทุกวัน รายการสดอื่นก็มีอีกหากใส่ใจก็จะรู้ ก็จะไม่ขาดแคลน จะต้องขนต้องย้ายเรื่องของอะไรต่างๆในการสื่อสาร เราทำมานานกว่า 20 ปีแล้ว เรามีสถานีโทรทัศน์ช่องของเราตั้งแต่มีชื่อหลายชื่อ For the Earth TV ทีวีเพื่อแผ่นดิน ก็ไปตรงกับที่พรรคเขา แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น for mankind Television  FMTV จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นบุญนิยมทีวี

ที่จริงแล้ว โทรทัศน์เป็นสิ่งสำคัญของยุคนี้ อย่างที่ญี่ปุ่นเขาคิดจะใช้เครื่องจักรกล IoT ของเขา ชาวอโศกไม่ได้ตกยุคเราก็ใช้เป็นสิ่งอาศัยเผยแพร่ธรรมะ ก็เห็นว่าชีวิตมนุษยชาตินั้นมีธรรมะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราจึงลงทุนลงแรง มันจะใช้จ่ายสูง เราก็จำเป็น เดือนหนึ่งเป็นล้าน เราก็ต้องหามาจ่าย ก็ทำกันแต่ค่าดาวเทียมเดือนนึงก็หลายแสนแล้ว เราไม่ได้มีดาวเทียมเอง เราก็เช่าเขา คนที่เขาให้เราเช่าก็ลดราคาให้เราอยู่เรื่อย เพราะรู้ว่าเราไม่ได้ทำการค้าอะไร ไม่ได้ทำเพื่อหาเงินหาทอง แต่ทำประโยชน์เพื่อมวลมนุษยชาติ ต่อไปถ้าออกไปเป็นธรรมะทั้งนั้น ไม่มีโฆษณาไม่มีการเรี่ยไร เป็นสื่อสารเป็นเผยแพร่ธรรมะ แม้แต่การละเล่นrelax ก็เป็นสิ่งประเสริฐที่จะถ่ายทอดไป ไม่ใช่ว่าเราจะเอาแต่สาระเอาแต่ทำงาน เอาแต่เคร่ง เราก็มีการพักผ่อนหย่อนใจอะไรบ้างพอสมควร ไม่ได้เป็นคนสุดโต่ง แต่ของเขานั้นมันอ่อนแอในความเคร่งครัดทางสาระ มันตกเป็นทาสของความสนุกสนานรื่นเริงการละเล่นเป็นอบายมุข เอาไปใช้หาเงินทอง มอมเมาครอบงำคนอื่นๆ เป็นทางอบาย ทำให้สังคมมนุษยชาติยิ่งจะจมลงไปในเรื่องไร้สาระ ทำให้เสพติดเยอะมาก เสริมความโลภ เสริมราคะ

จะบอกว่าเสริมโทสะก็ไม่ชัดแต่เสริมโลภะราคะโมหะนี่ชัด แต่ละวันๆ โทรทัศน์จึงกลายเป็นเครื่อง เสริมราคะโลภะให้กับคนอย่างชัดๆแล้วมีไม่รู้กี่ช่อง ส่วนโทสะก็ซ้อนในนั้นทำร้ายแข่งกันฆ่าแกง แก้แค้นแก่กันโดยวิธีนั้นวิธีนี้

พวกเราเอามาใช้ ไม่ได้เป็นการส่งเสริมราคะ โทสะ โมหะ มีแต่ให้ลดละราคะ โทสะโมหะ จริงๆเลยนะเปรียบเทียบโทรทัศน์ช่องของเรากับของวัด

ช่องของเขามันซ้อนที่มีเรี่ยไร และเชิงชั้นเล่ห์กลในการเรี่ยไร่ แต่ของเราซื่อๆเลย ไม่ได้มีที่จะเอาจากใครเลย ซื่อตรงธรรมดาไม่เรี่ยไร อย่าว่าแต่เรี่ยไรเลย คนที่จะมาเป็นสมาชิก มีสิทธิ์อยู่ในสังคมชาวอโศก คนที่ไม่มีสิทธิ์คือ ยังไม่มีศีล 5 ยังกินเนื้อสัตว์ยังมีอบายมุขมาอยู่กับเป็นสมาชิกชาวอโศกไม่ได้ หากมาแล้วปฏิบัติศีล 5 ไม่ได้ก็โดนแน่ผู้พิพากษาแน่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน การตั้งตบะจะได้บุญอย่างไร

_ด.ญ.แก้วบุญ การตั้งตบะจะได้บุญไหมคะ

พ่อครูว่า..เราตั้งตบะแล้ว หากเราก็ไม่รู้จักว่าเราอ่านจิตเป็นไหม จิตของเรานี่ เมื่อเวลาเกิดกิเลสขึ้นมา เช่นเราเองเราจะไม่กินเนื้อสัตว์ ซึ่งมันง่ายนะ เสร็จแล้วเราจะได้บุญไหม ถ้าเราตั้งตบะว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว เราจะปฏิบัติอย่างไร ชีวิตเราก็ต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว์ที่มันผ่านไปผ่านมา เห็นเนื้อสัตว์ ที่เขาไปปิ้งย่าง ยำต้มล่อใจให้กินล่อใจท่านผู้ใหญ่กุมารีกุมารา เพื่อจะให้กินเนื้อสัตว์นั้น เราได้อ่านจิตใจหรือว่าเราได้แต่ ข่ม ตั้งตบะไม่กินแล้วอดทนเอาๆ ได้แต่อดทนเอานี้ไม่ได้บุญแต่ได้หยุดได้กุศล ได้ความเคยชินเป็นสมถะ ผลได้ดีขึ้นดีขึ้นเรียกว่าได้บุญ

ได้บุญ บุญคืออะไร บุญคือรู้จักกิเลส ต้องมีปัญญารู้จักแยกจิตในจิต เวทนาในเวทนา กายในกายออกว่า อาการอย่างนี้แหละคือกิเลส แล้วก็ไม่ต้องไปลดรสอาหาร เช่นอาหารนี้เค็มก็ลดเค็มหรือว่าอาหารอร่อยเกินไปก็ให้ลดรสอร่อยไม่ใช่ แต่ให้ลดกิเลสของคุณ ไม่ใช่เป็นลดวัตถุหรือคุณภาพของๆ ให้ลดกิเลสทำกิเลสให้ลดด้วยปัญญา สะกดจิต กดข่ม มันไม่ได้ลดแต่มันหยุดพักชั่วคราว  กดข่มมันมากๆ เช่นคนอดเหล้าเข้าพรรษา พอออกพรรษาทีนี้เมาทั้งวันเลย อดอยากมาตั้งสามเดือน พอออกพรรษาซัดใหญ่เลย หรือว่าอดไม่กินเนื้อสัตว์วันเข้าพรรษา แต่เมื่อออกพรรษาก็ ซื้อกินๆบำเรอ หน้าเจ อดสิบวัน พอออกจากเจสิบวันก็กินสารพัดสัตว์เลย มันก็ไม่ถูก มันก็มีปัญญารู้ว่าเราไม่กินเนื้อสัตว์อย่างไม่ได้กดข่ม

ถ้าแค่เราไม่กินเนื้อสัตว์เพราะมันบาป ประเด็นเดียวก็ไม่ได้ แต่เพราะว่าเราติดยึดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนี้เป็นหลักใหญ่ เป็นหลักสำคัญ เพราะเราติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสในเนื้อสัตว์ แต่คนไม่ค่อยจะนึกไม่ค่อยเข้าใจนึกไม่ค่อยออก ว่าเราติดในรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสอย่างไร แต่คุณศึกษาให้ดีเถอะ

เนื้อสัตว์นี่มันมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอยู่ครบเลย เพราะฉะนั้นเราสามารถลดอันนี้ได้คือลดละกามคุณ 5 กามคุณ 5 เป็นตัวสำคัญเลยเป็นเรื่อง หยาบ

อาหาร 4 มี

  1. กวฬิงการาหาร
  2. ผัสสาหาร
  3. มโนสัญเจตนาหาร
  4. วิญญาณหาร

วิญญาณาหาร คุณต้องรู้จักรูปนาม

มโนสัญเจตนาหาร ต้องรู้ ตัณหา 3

ผัสสาหารต้องรู้เวทนา3

กวฬิงการาหารต้องรู้กามคุณ 5

เมื่อจะกินอาหารมันครบ กามคุณ 5 คุณติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไรของมันทางตาหูจมูกลิ้นกาย เมื่อรู้แล้วก็ต้องรู้ถึงเวทนา 3

คือสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ คุณได้อันนี้มาใส่ปาก มันต้องกับความต้องการก็สุข มันไม่ต้องกับความต้องการก็เป็นทุกข์ หรือมันกลางๆเฉย แต่มันไม่ใช่มีปัญญารู้ เนกขัมมะลดกิเลส คุณกดข่มได้ก็เฉย ไม่สุขไม่ทุกข์อะไรหรอก แต่คุณไม่ได้แยกกิเลส ขณะนี้กำลังสัมผัสแล้วเกิดรส เกิดสุขเวทนา คุณผัสสะอันนี้แล้วคุณก็อ่านรูปนาม แล้วคุณก็รู้ มโนสัญเจตนา 3 มันมี

1กาม 2ภว 3วิภวะ มีตัณหา 3 ตัณหาในกาม ถ้าคนปฏิบัติแล้วในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็อยู่เหนือมัน ไม่ติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นพระอนาคามี อย่างนี้เป็นต้นก็เป็นเรื่องละเอียดละออของการปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า

มีเวทนา 3 ตัณหา 3 อารมณ์ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะตัณหาทำให้เป็นสุขเป็นทุกข์ ก็ต้องอ่านเจตนา ธรรมะพุทธเจ้าปฏิบัติธรรมะทางจิตวิญญาณเรียกว่าอภิธรรม

อภิธรรมเรียนจิต ใน 5 นามธรรม เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

นี่คือการปฏิบัติอภิธรรม แต่ทางโลกเรียนอภิธรรมไปไล่เจตสิก โสภณจิตต่างๆ ไปเล่นพยัญชนะแทนที่จะทำนาม 5 รูป 28 ล.26 ข้อ 1 เลย

ท่านก็ไล่ ปฏิจจสมุปบาทไปหมดเลย ตั้งแต่อวิชชา แล้วสังขาร 3 แล้วก็วิญญาณ 6 นามรูป อายตนะ 6 ผัสสะ 6 ตัณหา 6 อุปาทาน 4  ชาติ 5(ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตติ)

การศึกษาที่ผิดเพี้ยนไป แต่ นาม5 นี่ครบแล้ว ก็เอาไปเรียน รูป 28 ต้องรู้ เวทนาเป็นอาการอย่างไร เป็นความรู้สึกอย่างไร ต้องพิจารณาอย่างเป็นกรรมฐาน พระพุทธเจ้าแจกแจงเวทนา 108 หากเข้าใจทั้งร้อยแปดโดยเฉพาะแยกเคหสิตะกับเนกขัมมะ แล้วทำกิเลสของเคหสิตะโลกีย์ออก รู้จักกิเลสอ่านออก ลดได้ เป็นเนกขัมมะ 18

เรียนอภิธรรมมีอาจารย์คนหนึ่งพูดว่า ต้องพูดแต่ธรรมะนะหากไม่ใช่ธรรมะก็อย่าเอามาพูด แล้วอ.คนนี้ถือว่าอันไหนเป็นธรรมะเพราะธรรมะหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งทรงไว้ แต่ก็แล้วแต่คนไปจับเส้นว่า อาจารย์คนนี้หมายว่าอะไรคืออะไรคือธรรมะ แล้วที่จริงเรื่องโลกๆก็คือธรรมะคือสิ่งที่คนติด แต่ก็สอนให้คนพ้นโลกๆไง เขาสอนอย่างไม่มีขั้นตอนกันเลย แล้วก็หาว่าอันนั้นอันนี้ไม่ใช่ธรรมะ แต่ที่จริงธรรมะก็คือทุกอย่าง

 

คนท้วงว่าไม่ใช่สำมะปี๋แล้ว

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ยอมให้ยุงกัดทำได้หรือไม่

_ด.ญ.น้ำมนต์...ทำไมหลวงปู่ยอมให้ยุงกัดคะ

พ่อครูว่า...คือ หลวงปู่ไม่ได้ให้ยุงมันมากัดแต่ยุงมันมากัดหลวงปู่เอง เพราะว่ายุงมันหาอาหารกิน มันจะเจอใครก็กัดกิน คนมีเลือด ยุงมันก็จะหาเลือด ที่นี้ทำไมยุงมันมากัด ไม่ใช่ให้มันหรอก แต่ทีนี้หลวงปู่ไม่ได้ไปตบมัน เพราะรู้ว่ายุ่งมันก็หาอาหารของมันตามธรรมชาติมันก็ต้องกินเลือด หลวงปู่ก็จะต้อง ดูยุงนี่มันกิน ถ้ามันเห็นว่าไม่ใช่ยุงลาย หรือยุงที่จะเป็นพิษ เราก็ค่อยๆไล่มันไปก็เคยทำอย่างนั้น ถ้ายุงนี่เห็นว่า อาตมาสังเกตว่า 1 มันคัน ถ้ายุงมันกัดแล้วมันคัน 2 เห็นว่าเป็นยุงลาย แต่ถ้าไม่ค่อยคันหรือยังไม่ใช่ยุงลายหรือยุงเป็นพิษ ก็ยังเคยชมว่าปากนิ่มดีนะ รู้สึกตอนท้องบวมเป่งก็ไปได้แล้ว มันเคยท้องแตกเลย ตอนวัดอโศการาม ยุงทะเล  นั่งชายทะเลย มันมาเป็นก้อนๆมืดมาเลย แต่ก่อนกุฏิไม่มีมุ้งลวดนั่งสมาธิยุงก็มา เต็มเลย ตอนนั้นก็พาซื่อ ลองดู จะทนได้ไหม ก็พาซื่ออวดเก่ง ให้มันกัด ทน แต่ก็ทนได้ยากเพราะมันกัดไม่น้อยนะเต็มหมดเลย สุดท้ายทนไหวเหมือนกัน เราดับไม่รับรู้ภายนอก ยุงก็กินสบาย พอตื่นมา ลายไปหมด รู้สึกว่าตัวเองทำได้ แต่ทีหลังก็ไม่ทำแล้วมันเป็นพิษภัย ถ้าหากยุงเป็นพิษก็ตายได้เลยเกิดเป็นมาลาเรีย หรือไข้เลือดออกได้

 

_เกร็ดดินว่า..ดิฉันรู้สึกว่าชีวิตตัวเองตั้งแต่เด็กสามารถบงการชีวิตตัวเองไม่ใช่พระเจ้ามาบงการ แต่อีกอย่าง ดิฉันคิดว่าจะเลิกกินไข่ ปกติก็ไม่ได้ทานเนื้อสัตว์ทานผลไม้กับขนมเป็นหลัก เมื่อตั้งใจจะเลิกกินไข่ โอ้โห ครั้งที่ 1 แพ้ พอทานเข้าไปก็เลยรีบกินยาถ่ายเข้าไป เมื่อครั้งที่ 2 กินเข้าไป ก็เอายาถ่ายกินตามอีก เมื่อครั้งที่ 3 ก็บอกว่าไม่ได้ เดี๋ยวก็ตายพอดีต้องล้างท้องอย่างนี้ก็เลยฉงนว่า ทำไมมันมีอะไรที่เหนือกว่าเรามาบงการเราได้อีก ตั้งแต่นั้นก็เลยพยายามหาว่า เราไม่ใหญ่จริงนะ มันใหญ่กว่าเราอีกที่มาบงการชีวิตเรา

ถามว่า ตอนนั้นเราทำโกลังโกละไหม เราทำ 6 ชาติ

พ่อครูว่า...อาตมาตอบคำถามคุณไม่ได้เลย คุณถามเก่งกว่าคนตอบ แต่อาตมาเข้าใจว่าคนจะถาม เอาภาษารายละเอียดมามากมายอาตมาตอบไม่ได้ เป็นแต่เพียงว่า คุณอยากละเอียดลออกับภาษา จับได้ชัด ตัวนั้นตัวนี้ อาตมาว่ามันจะไม่ต้องละเอียดขนาดนั้นก็ได้ กี่ชาติคุณจะได้ คนที่ฟังยาก เพราะว่าชาตินั้นไม่ได้เกิดจากชาติท้องพ่อท้องแม่ แต่เป็นเรื่องของจิตเจตสิก ภพชาติลึกซึ้งซ้อน จนไม่สามารถอธิบายให้ฟังได้

เพราะอาตมาอธิบายไม่ได้ว่า โกลังโกละ ติดชิปในขั้นที่ 1 2 3 4 5 6 อย่างไรอาตมาไม่มีปัญญาพอจะอธิบายได้ขนาดนั้น คุณอยากรู้แต่อาตมาก็ตอบไม่ได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไข่ลมนำมาใช้ทำจุลินทรีย์ได้หรือไม่

_ปีกแก้ว...ดิฉันรับงานทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง มีจิตยินดีที่จะทำมาก มันเป็นงานมีประโยชน์คุณค่า แต่มันก็มีตัวสะดุด การทําจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง มันต้องใช้ไข่ ก็สะดุดใจว่า เราลงทุนจะคุ้มไหม ก็บอกตัวเองนะ ตอนแรกเพื่อนหลายคนก็บอกว่าเป็นไข่ลม แต่ได้ยินพ่อท่านตอบเด็กสัมมาฯว่า แม่ไก่มันไม่รู้หรอกว่าเป็นไข่ลม แต่ดิฉันก็ว่าถ้าเราไม่ทำจะให้สมณะทำหรืออย่างไร ก็เลยคิดว่าเราจะลงทุนทำให้น้อยที่สุดและคิดว่าจะหาวิธีอื่นทดแทนให้ได้ ตอนนี้ก็เหมือนเทวนิยม ว่าแม่ไก่ ช่วยฉันสร้างบารมีหน่อยนะ ดิฉันก็เลือกที่จะแลก ถ้าจะมีโทษ ถามว่าดิฉันแลกคุ้มไหมคะ

พ่อครูว่า...สรุปได้ว่าคุ้ม เพราะว่า อาจจะต้องเห็นประโยชน์มากกว่าโทษ ยอมเป็นบ้าง คุณจะเลือกหาไข่ที่เป็นไข่ลมไม่เป็นตัวก็ได้แล้ว ก็อาศัยธาตุในไข่นั้น ก็ เราต้องหาจากอันอื่นไม่ได้ก็สุดทาง จำนน หากเราเห็นประโยชน์มันน้อยก็ไม่ทำแต่นี่มันมีประโยชน์มาก เลือดโพธิสัตว์นี้ต้องมีอีกอย่าง เสียสละส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ เราก็ยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่

_ปีกแก้ว..ขอบคุณทิดเย็นยิ่งว่า ภรรยาเขาต้องใช้ไข่ขาว แล้วก็ขอไข่แดงของเขาเอามาให้ใช้ได้

_ รัสสระ เป็นเอกพจน์ ทีฆสระเป็นพหูพจน์ อะ อิ อุ ที่มีจะต่างจากอะ อา อิ อย่างไร

พ่อครูว่า...ไม่ตอบดีกว่า อย่าละเลียดไป จะตอบก็คงพอได้ แต่มันมากไป ต้องรู้ว่าอะไรที่เกี่ยวกับกิเลส คุณต้องรู้จักตรรกะที่เกี่ยวกับภาษาและพยัญชนะ ความหมายต่างๆของสระและพยัญชนะมากขึ้น มันละเอียดมากเกินไปแล้ว เพราะฉะนั้นขออนุญาตไม่ตอบ ไม่งั้นจะเป็นพวกที่หาที่สุดไม่ได้ จะไม่มีทางบรรลุธรรมเลย ไม่มีทางจะจบอะไรได้ ต้องรู้จักที่สุดบ้าง

 

_สิกขมาตุเป็นหญิง... เรื่องจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงหากใช้ถั่วเหลืองหมักสัก 3 เดือนใส่ก็จะแดงยิ่งกว่าใส่ไข่อีก ต้องเป็นถั่วเหลืองหมักไม่ใช่กากนะ

พ่อครูว่า...นอกจากไม่เอาไข่ เอาถั่วเหลืองใช้ก็ดี ก็เป็นทางออก เอ้า ดี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน การสวดมนต์มีประโยชน์อย่างไร

_การสวดมนต์นี้มีประโยชน์อย่างไร

พ่อครูว่า...คำว่าสวดนี้ไม่มีในบาลี แต่ภาษาไทย สวดแปลว่าต้องร้องทำนอง มันไม่มีในศาสนาพุทธ ของพุทธเจ้ามีแต่สรภัญญะ สรภัญญะแปลว่าคำพูด คำพูดก็มีความสั้นยาวเป็น รัสสระกับทีฆสระ

ทีฆสระคือเสียงยาว รัสสระคือเสียงนั้น อะ อา นี่ยาวแล้ว นอกจากบางวาระจะเน้น เพื่อเน้นในวาระควรเน้นก็ขอใช้ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่คนจะมานั่งลากมันเล่น สวดด้วยความไพเราะหรือสวดด้วยเสียงอันยาว นะโมตัสสะ ภควโตตตตต ไม่ได้ เราต้องเปล่งกล่าวให้ตรงรัสสระกับทีฆสระ

พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าสวดด้วยเสียงอันยาว คือถือว่าอาบัติ ถ้ารู้ตัวนี้แล้วจบเลย สวดไม่ต้องสวดด้วยเสียงอันยาวยิ่งไปสวดใส่ทำนองนี้ผิดไปเลย

ในพระวินัยพระไตรปิฎกเล่ม 7 ข้อ 20-21 ไปเปิดดูเลย

ข้อ 21 เราอนุญาตสรภัญญะ แต่ข้อ20 นี้อย่าสวดด้วยเสียงอันยาว อย่าใส่ทำนองด้วยนะ ทั้งลากเสียงยาวและใส่ทำนองมีโทษ 5 ประการ

ตนเองหลงเสียง คนอื่นหลงเสียง ชาวบ้านติเตียน สมาธิเคลื่อน คนรุ่นหลังทำตาม เป็นโทษ 5 ประการ แต่เขาทำกันเป็นปกติจนติดนิสัยแล้ว ก็เลยกลายเป็นสวดทำนองทั้งนั้นไม่สดเป็นสารภัญญะ

สร คือสระ ภัญญะคือคำกล่าว ก็เลยแปลว่าการกล่าวตามสระ

ต้องพูดเพราะว่าเดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธมีแต่สวดมนต์อย่างเดียว หากไม่มีสวดมนต์แล้วทำให้อะไรไม่เป็น คุณได้นิมนต์พระไปที่บ้าน ได้ประเคนอาหารถือว่าเป็นกุศล ดีไม่ดีถือว่าเป็นบุญ แต่ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นบุญ เป็นแต่กิเลสเป็นสวรรค์วิมานอะไรก็แล้วแต่ แทนที่จะนิมนต์พระไปฉันอาหารที่บ้านเพื่อให้ท่านมีกิน

อาตมาอธิบายนิพพานไม่ใช่แค่กุศลอกุศลแต่ถึงนิพพาน พวกเราฟังได้เข้าใจและปฏิบัติได้ก็เลยไม่ได้ทำแบบเขา ทำดีเรียกกุศลก็ทำดีอย่างไม่ติดยึด ทำดีเป็นนิพพานทำทานก็นิพพานทั้งนั้นเลย

แล้วบอกว่ามีประโยชน์อย่างไร มนต์นั้นไม่ได้มีการสวด

หนึ่ง พระพุทธเจ้า ให้กล่าวธรรมบทคือคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มากล่าวกับสาธารณะเพียงทีละคน อย่างอาตมากล่าวนี้คือการเผยแพร่เอาคำสอนมากล่าว แต่ถ้าสวดคือกล่าวพร้อมกันตั้งแต่สองคนต่อหน้าฆราวาส ก็ผิด อาบัติมุสาวาทวรรค ข้อ 4 ทั้งนั้น อาบัติกันตลอดเวลา ที่เขาทำกัน แต่นี่ไม่เข้าถึงประโยชน์นะ

เรื่องการสวดเล่นเป็นทำนองเป็นเสียงยาวไม่มี แต่พระพุทธเจ้าอนุญาตสรภัญญะ แล้วมีห้ามไว้ไม่ให้ลากเสียงยาวกับใส่ทำนอง

 

_หากบังสุกลยังอยู่ยั้งยืนยง พระก็คงชีพด้วย

ถ้าเลิกให้สวดอย่างที่อาตมาพูด เขาก็เลิกเลยศาสนาพุทธ หากไม่มีสวดพระอยู่ไม่รอด บางทีอธิบายสาธยายไม่เป็นก็เลยต้องสวด อธิบายเป็นคือเทศน์ก็คืออธิบายธรรมะ คือพูดคนเดียว แต่สองคนพร้อมกันเอาธรรมบทมาสวดก็ไม่ได้เป็นอาบัติ สวดพร้อมกันเป็นล้านคนยิ่งอาบัติมาก

พวกชาวอโศกสวดกันเป็นประณามคาถาพร้อมกันไม่ผิดอาบัติ แต่ธรรมบทเราไม่ได้เอามาสวดพร้อมกันแต่เอามาอธิบายก็อธิบายทีละคน

ที่ผิดกันก็ผิดกันทั้งน้น ทีนี้มีประโยชน์อย่างไร ในยุค พระพุทธเจ้าอาศัยท่องจำคือสังคีติ เหมือนท่องสูตรคูณไม่ได้ท่องอวดให้คนฟัง สองคือสังคายนะ คือสวดคนเดียวคนอื่นนั่งฟังแล้วท้วงว่าผิดหรือไม่ เป็นประโยชน์ในการรักษาธรรมบทไว้ เพราะว่าต้องจำไว้แต่สมัยนี้มีเครื่องมือบันทึกไว้มากมายไม่ต้องเสียวเวลาสวด แต่ใครอยากสวดก็เชิญ เคยได้ยินว่ามีพระพม่าท่องจำพระไตรปิฎกได้หมดเลย

_บทยถาสัพพี มีอยู่ในหนังสือสวดมนต์ชาวอโศกทำไมไม่สวดกันครับ

พ่อครูว่า...คนเขาหาว่า สมณะชาวอโศกมาบวชทำไมแค่สวดยะถาสัพพีก็สวดไม่ได้ ก็เลยเหมือนกับใครที่หน้าเขาเนาะ ยะถา สัพพี มีทั้งธรรมบทของพระพุทธเจ้ากับปรณามคาถาที่แต่งกันเอง

ตั้งแต่ ยะถาวรีวหา...ไปจนจบ ก็สวดคนเดียว เพราะเป็นธรรมบท โบราณาจารย์ทำไว้ถูกต้องตามธรรมวินัย แต่ถ้าถึงสัพพีติโย วิวัชชันตุ อันนี้เป็นประณามคาถาแล้ว พระท่านก็สวดเป็น choir แล้ว

แต่ชาวอโศกท่องไว้กันหมากัดเท่านั้น

 

_ภาวนาแปลว่าอะไรครับ

พ่อครูว่า...ภาวนาแปลว่าการเกิดผล การเกิดผลต้องรู้จัก กาละ อดีตปัจจุบันอนาคต

ภาวนาคือ การปฏิบัติแล้วเกิดผลด้วยความภาวนาหรือกำลังเกิดผล หรือเกิดผลแล้ว ถ้ายังไม่ได้ก็คือยังไม่มีอนาคต ภาวนาไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบันกับอดีตว่าได้ผลแล้ว ภวันตุ คือได้ผลแล้ว เป็นช่องสาม

 

_มีคนพูดว่า ในช่วงทำงาน  50 ปีแรกของพ่อครูลูกๆทุกคนเป็นผู้บุกเบิกของศาสนาใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...ก็ใช่ พระพุทธเจ้าประกาศศาสนา 45 ปีและท่านก็ไป อาตมาทำงานมาเกินกว่าที่พระเจ้าทำในระยะเวลาแล้ว ขอยืนยันว่าเอาธรรมะพุทธเจ้ามาฟื้นคืนกลับ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน นาม 5 รูป 28 สำคัญอย่างไร

_แสงแก้ว...รูป เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เป็นนาม 5 …..

พ่อครูว่า..นาม 5 เป็นส่วนที่จะเอาไปใช้ปฏิบัติ รูป 28 คุณต้องปฏิบัติอันนี้ถ้าไม่ปฏิบัติตามนี้ไม่เป็นอรหันต์ได้ ต้องอธิบายเป็นวันเลย ก็เท่านี้แหละ ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องมีรูป 28

กับนาม

นาม 5 มี เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ

1. คุณจะต้องทํามนสิการ เป็นนักปฏิบัติธรรมต้องทำใจในใจของคุณ หากไม่ปฏิบัติทำใจในใจก็ไม่ใช่ศาสนาพระพุทธเจ้า ศาสนาอื่นใดก็มีแต่กุศลกับอกุศล เทวนิยม แต่ของศาสนาพุทธจะต้องทำเวทนา 2 ให้เป็นหนึ่งคือการทำใจในใจ

มีเวทนาสองคือ เวทนาแท้กับไม่แท้ แล้วมันมีเหตุอะไรให้เกิดเวทนาไม่แท้ก็กำจัดที่เหตุไม่ใช่กำจัดเวทนา หากไปกำจัดไม่ให้มีความรู้สึกแล้วนิ่งเฉย กดข่ม ไม่ใช่ คุณจะต้องวิจัยเวทนาให้ได้เป็นธรรมะ 2 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

เวทนามีสอง คือเวทนาแท้ กับเวทนาเท็จ ต้องกำจัดเหตุของเวทนาเท็จให้เหลือแต่เวทนาแท้เท่านั้นเป็นเวทนาเดียว คือ เวทนาที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง เห็นสีแดงก็คือสีแดง ไม่มีความชอบหรือไม่ชอบ ความชอบหรือไม่ชอบมันมีเวทนา 2 แล้ว

คุณจะต้องเรียนรู้พัฒนาแล้วต้องมีสัญญากำหนดรู้นี่คือการทำใจในใจ มนสิการ ต้องดูว่าเวทนาคืออะไร ต้องวิจัยแยก กาย เวทนา จิต ธรรม รู้ตัวสัมผัส เมื่อสัมผัสแล้วก็เกิดเวทนา คุณก็แยกแยะเวทนาได้ จนไปจับตัวเจตนา ตัวที่ 3 เจตนามี

หนึ่ง กาม คุณก็ล้างกิเลสกามก่อน กาม พยาบาท เป็นเบื้องต้นของมิจฉา 3 ของสังกัปปะ มีกาม พยาบาท เป็นคู่ของตัวผลักตัวดูด เป็นกิเลสทั้งคู่ คุณก็ลดกิเลสตัวนี้ เมื่อเกิดอาการนี้เป็นกิเลสคุณก็ได้ทำใจในใจด้วย มี ผัสสะ มันเกิดในขณะนี้ แต่ถ้าคุณไปนั่งหลับตาสะกดจิตมันไม่เกิดหรอกไม่มีของจริงมันมีแต่จำแล้วเอามาคิดเอา ดีไม่ดีก็ทำนอกเป็นสมาธินั่งหลับตาสะกดจิต

พวกนั่งหลับตาสะกดจิตนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เป็นเรื่องนอกศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่ได้ทำอย่างนั้น ศาสนาพุทธต้องมีผัสสะ 6 หากไม่มีผัสสะ 6 ไม่ได้ปฏิบัติธรรมศาสนาพุทธ พวกนั่งหลับตาสะกดจิตเป็นพวกนอกรีตศาสนาพุทธ ไม่เท่านั้น เป็นพวกทำลายศาสนาพุทธด้วย

พวกนั่งหลับตาสะกดจิตและสอนกันเป็นหลักเป็นฐาน เอาคำสอนเดียรถีย์มายัดใส่ศาสนาพุทธจนเขาเชื่อว่าศาสนาพุทธต้องหลับตาสะกดจิต ชอบนั่งสะกดจิตหลับตาเก่งๆเข้าถือว่าเป็นอรหันต์ อย่างนี้ศาสนาพุทธไม่เหลืออะไรเลย ปลอมให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียรถีย์ไปหมด

_แสงแก้วว่า..หากทำปุญญาภิสังขารได้สำเร็จเราได้เรียนรู้เวทนา ทำอภิสังขารท้ายที่สุดเวทนาเราจะสะอาดจากกิเลส ยกตัวอย่าง ตื่นมาเราลืมตา เจอแก้วมังกรแล้วอุทานว่าน่ากินจังเลย เราไม่สามารถดักวจีสังขาร ก็จะออกมาเป็นวจีกรรม แล้วเดินไปหยิบมากิน คือยังไม่รู้วจีสังขาร เป็นกามภพ แต่ตอนแรกเราไม่ได้ปฏิบัติก็เห็นแก้วมังกรสวยจังเลย พอเอามาผ่ากินเฉย ไม่เรียนรู้กิเลสหากเราไม่รู้ว่าที่เราอุทานออกไป เป็นกามคุณ ฉะนั้นต้องมาสังวร วจี กรรม ทวาร 6 ก่อน เราถึงรู้กิเลสกามภพ แต่เมื่อเราดับกามภพไม่ได้ ไปนั่งหลับตานึกว่าตัดกิเลสในภพก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้ดับกามภพก่อน

พ่อครูว่า...ต้องปฏิบัติเป็นลำดับก่อน หากเราอยากกินแก้วมังกรแล้วไม่กิน แต่ใจคุณอยากกินก็ลดละในใจได้ จนภายนอกทำอะไรเราไม่ได้ก็เป็นอนาคามี ก็ล้างต่ออีก

 

_แม่ชีนันมนัส ...เวลาเราจับไมค์ แล้วมีเสียงกระทบหูก็จะบอกใจเราว่าได้ยินหนอๆ อดีตเราเคยทำมา แต่ตอนนี้เราก็มาจับที่ชอบใจไม่ชอบใจ เราก็ว่าสักแต่ว่าได้ยินหนอได้ไหม

พ่อครูว่า...อย่างนี้เป็นวิธีสมถะที่ทำกันทั่วไป เราต้องเห็นอาการกิเลสที่เรายินดีชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ต้องอ่านเพื่อพวกนี้ให้ออก แล้วจัดการลดละตัวพวกนี้ ไม่ใช่ได้แต่ด้วยว่าได้ยินหนอได้ยินหนอไม่ได้ยินหนอไม่ได้ยินหนอ ก็ได้แต่สะกดจิต สำนักหนอนี้มีอาจารย์ใหญ่นะ

ต้องพิจารณาถึงไตรลักษณ์กิเลสมันเป็นอาการเกิดขึ้นมามันไม่เที่ยงมันพาให้เราเป็นภาระ มันพาให้เราทุกข์จริงๆแล้วมันไม่มีตัวตน เราก็ต้องพิจารณาให้ได้ว่าเอาปัญญาให้มันชัดเจนในไตรลักษณ์ มันจะมีฤทธิ์ ต้องมีสติรู้ตัวทัน กิเลสมันจะลดลง เราก็ทำให้มันเป็นอุเบกขา กลาง เฉย ได้เร็วขึ้น

 

พ่อครูว่า...อาตมาพูดธรรมะลึกซึ้งแต่พวกเราก็สามารถตั้งใจฟังได้อาตมาก็เลยตายไม่ลงอย่างนี้ ...จบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:49:21 )

610905

รายละเอียด

610905 องค์คุณ 4 ของพระโสดาบัน

พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯ 5 ส.ค. 2561

สมณแสนดิน : สั่งสมสติให้เต็มร้อยตลอด

พ่อครู : สะสมหน่วยกิต

สมณะแสนดิน : แต่มันก็ไม่ค่อยเต็ม มันจะตก

พ่อครู : ก็ยังไม่นิยตะ มันจะตก อวินิปาตธรรมมันยังยึกยักๆๆๆนาน ไม่ค่อยจะนิ่ง ก็จะยึกยักๆ

แล้วจะขึ้นมา

สมณะแสนดิน : เป็นรอบๆ

พ่อครู : มันไปทางบน มันจะดึงจนกระทั่งมันไม่ยึกยัก แล้วมันจะไปสัมโพธิปรายานะ สัมโพธิปรายานะมันซ้อน

จากอวินิปาตธรรม มาหา นิยตะ จนกว่าจะนิ่ง เป็นนิยตะ นิยตะแสดงว่าไม่ยึกยักแล้ว ก็จะไปทีนี้ก็จะไป ยึกยักระหว่างนั้น สัมโพธิปรายนะ ไม่ลงมาข้างล่าง

สมณะแสนดิน : ตั้งแต่โสตาปันนะจริงๆก็มีเข้ากระแสแล้ว  แต่ว่า มันไม่เที่ยง

พ่อครู : ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เขาถึงแปลอวินิปาตธรรม ว่าไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา  จะยึกยัก

พ่อครูว่า...ยังไงก็ไม่หลุดจากกระแส

สมณะแสนดิน : อย่างนี้พวกเราที่ต้องหลุดออกไปอยู่ ผิดศีลบ้าง ออกไปบ้าง

พ่อครู : อย่างมาก 7 ครั้ง

สมณะแสนดิน : อย่างมาก 7 ครั้ง ถ้า 7 ครั้งเข้าไม่ได้ คุณไปเลย คุณเข้ามาไม่ไหวหรอกเรี่ยวแรงคุณไม่มีทาง

พ่อครูว่า...เข้ามาได้อีก ถ้าไป 7 ครั้งแล้วคุณก็เข้าไม่ได้อีก เสร็จ  เสร็จอีด่าง อีด่างคาบไปแดก

สมณแสนดิน : ตายกับโลกีย์ไปเลย

พ่อครู : อีด่างคาบไปแดก

สมณะแสนดิน : แต่พวกที่มาได้ก็ไม่มาแบบอะไร พวกทิดทั้งหลาย แต่ทิดที่มาก็เยอะนะฮะ 

พ่อครู : ค่อยๆเป็นไป

สมณะแสนดิน : ดี เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเลย

พ่อครู : 1.คนก็ต้องรู้ทุกข์เพิ่ม ห็นความควรมากเพิ่มเพิ่ม 2.เราเป็นตัวชี้ชวน เห็นความสวยงาม ทำให้เขา

พ่อครูว่า...เห็นแล้วว่าอย่างนี้มันน่าชื่นชม

สมณะแสนดิน :  สุภันเตว อธิมุตโต

พ่อครู : สุภันเตว อธิมุตโต โหติ  มันต้องงามกว่า

สมณะแสนดิน : งามกว่าโลกีย์

พ่อครู : งามกว่าโลกีย์ มาเอาอันนี้ดีกว่า ไปเสียเวลากับอย่างอื่นไปทำไม มันต้องมีทั้งสองด้าน

สมณะแสนดิน  : พวกเราก็ต้อนรับขับแขก

พ่อครู : ทางนี้ก็ก็ถีบส่งทางโน้นยั่วยวนได้มาก ชวนได้มาก มันก็ได้ดี  ของเราก็ยังไม่งามเท่าไหร่เลย

สมณะแสนดิน : เราถีบส่งอยู่เรื่อย

พ่อครู : เราก็ถีบส่งเฉยๆ อีก

สมณะดินไท : ของเราก็หนักอยู่แล้ว แต่ละคนเขาก็หนักอยู่ จะมาทำไม

สมณะแสนดิน : หวงที่ ชาวอโศกอะไรเนี่ยหวงที่

พ่อครู : มันซ้อนมันซ้อนเป็นการคัดเลือกคน ไม่ให้ผลีผลาม  ไม่งั้นกรูเกรียวกันมา มันก็เป็นไปไม่ได้อีก

สมณะแสนดิน : โสตาปันนะนี่มัน โสตะ

พ่อครู : โสตะ แปลว่า รู้

สมณะแสนดิน :ปันนะแปลว่า เข้าถึง ความรู้

พ่อครู : เข้าถึง เรียกว่าเข้ากระแส

สมณะแสนดิน : วินิปาตะแปลว่า ตก ปาตะ แปลว่า ตก บิณฑปาตะ

พ่อครู : ใช่ ปาตะ แปลว่า ตก

สมณะแสนดิน : อวิ ก็คือ ไม่ตก  

พ่อครู : อะกับวิ อะ ก็แปลว่า ไม่ วิ ก็แปลว่า ไม่  แต่ วิ มันมีไม่กึ่งหนึ่งของวิเศษ

สมณะแสนดิน : มันไปทางดีก็ได้

พ่อครู : อวิ นิ ปฏิเสธอีก  อวินิ ปาตะ ก็ตกล่วงมาทางนี้

สมณะแสนดิน : ทำไมเขาไม่ใช้คำว่า อปาตะธรรม

พ่อครู : อวินิปาตะธรรม

สมณะแสนดิน : ต้องมี วิ มาคั่น เพราะว่ามันต้องมีความซับซ้อน

พ่อครู : ใช่ มันต้องมีความซับซ้อน ต้องทบทวน เพราะทุกอย่างจะเกิดได้ต้องมีพลังเคลื่อน  อยู่ดีๆนิ่งๆมัน ไม่มีพลังเคลื่อน มันเพิ่มได้ตกผลึกตกผลึกมันจะไม่มีแรง มีแต่แข็งไม่มีแรง ไม่มีลบมีแต่บวก บวกๆๆ

 

สมณะแสนดิน : บวกๆๆ ก็ลงบวกไปเลย

พ่อครู : ก็ลงบวกยิ่งหนัก บวกก็ต้องจมปลัก บวกก็ยิ่งจมปลัก

 

 

ถอดข้อความโดย   อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:50:39 )

610905

รายละเอียด

610905_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ นั่งหลับตาปฏิบัติหมดสิทธิ์บรรลุธรรม

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1wkcrjfoUfUXfbkOePOiSSjfpUrcrgh42VTUD_U6DNdI/edit?usp=sharing 

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1DiZgy3GK80z-YMCIgz-KbAKnzf13P3HH

https://youtu.be/5tcxykSLWfg

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 5 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ผู้สนใจรายการนี้ก็คือผู้ที่สนใจธรรมะโลกุตระ ที่แตกต่างจากจอโทรทัศน์อื่น จอนี้ไม่พานั่งหลับตามีแต่วิจัยวิจารณ์ตัดกิเลสอย่างไร ศาสนาที่ถูกต้องควรเป็นทิศทางไหน ตอนนี้พูดเรื่องอรหันต์กันได้หากเราปฏิบัติธรรมโลกุตระ ตามที่พ่อครูพาทำ

มีเกษตรกรจากอำเภอเดชอุดม มาอบรมที่นี่ เขาทำเกษตรอินทรีย์ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีไม่ใช้ยาฆ่าแมลงแต่ขายพืชผักไม่ได้ แต่เขายังมีอบายมุขยังไม่ถือศีล ยังเล่นหวย ทำให้คนไม่เชื่อถือ หากคนมีคุณธรรมคนจะเชื่อถือ ชาวอโศกคนเชื่อถือในคุณธรรม เมื่อคนเชื่อถือได้ผลผลิตที่ออกมาก็มีคนเชื่อถือไปด้วย เราไม่ได้ขายแค่ผัก ขายของ แต่เราขายคุณภาพของคน หากคนมีคุณธรรมแล้ว สิ่งที่เป็นผลผลิตก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดีเพราะเขาเชื่อในบาปกรรม และลดละกิเลสจึงเป็นผู้ให้ได้มากขึ้น เอาให้แก่ตัวเองน้อยลง สังคมเราจึงเป็นสังคมที่ทำเพื่อคนอื่นมาก เอาให้แก่ตัวเองน้อย

พ่อครูว่า...SMS 3 - 4 กันยายน 2561

 

_1614 เราไม่มีทางรู้เลยว่าเผลอทำให้คนอื่นเสียความรู้สึกหรือเปล่า เหมือนกับที่คนอื่นไม่มีทางรู้เลยว่าทำให้เราเสียความรู้สึกไหม จะพูดตรง ๆ แบบไหนดีคะ

พ่อครูว่า..ตอบ...คุณจริงใจก็แล้วกัน หากไม่พูดรุนแรงกระโชกโฮกฮากเกินไปไม่เป็นไรหรอก

 

_3867 เคยดูรก.สารคดีโลกเรื่องผู้สูงวัยญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น!แต่ประชากรลดลงเพราะคนรุ่นใหม่มัวแต่งกับงานไซเบอร์ผลิตหุ่นยนต์จนไม่มีเวลาแต่งงานมีครอบครัวผลิตลูกหลาน!

พ่อครูว่า…แก้ไขไม่ยากหรอกเรื่องไม่มีลูก

 

_3867 ขณะที่เวเนฯอาเจนฯเผชิญวิกฤติศก.!ตะวันออกกลางเผชิญสงครามก่อการร้าย!ยุโรปเผชิญผู้อพยพลี้ภัยทะลัก!มหาอำนาจเผชิญภัยธรรมชาติ!พลังหุ่นยนต์ไร้หัวใจฤาจะกู้วิฤติภัยได้ดีกว่า พลังคนสามัคคีรวมน้ำใจ?

พ่อครูว่า…หุ่นยนต์คืออุตุนิยาม เขาได้พยายามทำให้มันละเอียดลออในวงจรต่างๆ จนเหมือนคน แต่พีชนิยาม ไม่มีเวทนา แต่มีตัวตนของมันเอง มันก็ปรุงแต่งของมันเอง ส่วนหุ่นยนต์ไม่ได้ปรุงแต่งตัวเอง คนอื่นป้อนรหัสใส่รหัสให้มัน แล้วรหัสมันจะไปเพิ่มได้บ้าง มีการพัฒนาการที่เกินกว่าคนสร้างได้อีกนิดหน่อย มันเป็นพลังงาน รังสีเติมเต็มไปบ้างแต่ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันอะไรหรอก พลังงานมันไม่เคลื่อนที่ก็ไม่เกิดอะไรแล้ว มันเป็นสสารและพลังงานโดยตรงไม่ใช่ชีวะ ไม่ใช่ชีวิต ไม่ใช่ ISH ไม่มีความเป็นประธานในตัวมันเอง มันเป็นพลังงานกับ circuit ต่างๆเป็นตัวสั่งตัวทำงาน ถ้าเขาเรียนรู้ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามแบบพุทธ เขาจะไม่ทำต่อเพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ก็ให้เขาลองทำกันไป จะทำได้ละเอียดยิ่งขึ้น มันเป็นแค่พลังงานและสสารไม่ใช่ถึงชีวะ

 

_พระพุทธธรรมโม พุทธธรรมะ ·สาธุ...กราบพ่อครู...ผู้เป็นสยังอภิญญาในยุคมืดขอรับ..ขอแสงสว่างแห่งธรรมจงแผ่ขยาย...เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่ออนุเคราะห์มวลมนุษย์สืบต่อไปครับ

 

_แหม่ม สวิส รายการสำมะปี๋ซีวิตครั้งต่อไป....ขออนุญาตกราบเรียนฝากคำถามค่ะ

“มโนมยิทธิ”คืออะไร มีกี่แบบ ใช่หนทางดับทุกข์หรือไม่คะ

พ่อครูว่า…ก็โปรดติดตามพรุ่งนี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน กินไข่ลมทำไมบาป

_พุทธพิมพ์ไพร....เรียนพ่อครู ลูกได้ฟังรายการสัมมะปี๋ชีวิตเมื่อวานนี้ ได้ประโยชน์มากเลยค่ะโดยเฉพาะกับคำถามของอาปีกแก้ว ที่ถามมาเรื่องไข่ลมในการทําจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคำถามคือ

1. นักปฏิบัติธรรมที่ไม่หยุดอยู่ จะขวานขวายทำศีลของตนเองให้บริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้นเหมือนอาปีกแก้วที่รู้สึกว่า มีตัวไม่สบายใจเรื่องไข่ลม

2. เมื่อเกิดความไม่สบายใจหรือติดขัดในการปฏิบัติธรรมก็ให้เข้าหาสัตบุรุษ ซึ่งอาปีกแก้วก็มาถามคำถามพ่อครู ผู้เป็นสัตบุรุษที่สุดในโลกนี้

3. ความกระจ่างเกิดขึ้นทันทีเมื่อได้ฟังสัตบุรุษและที่สำคัญได้ใช้กระบวนการกลุ่มแก้ปัญหาด้วยคือ สิกขมาตุก็สามารถหาสิ่งทดแทนไข่คือถั่วเหลือง

หมายเหตุ ถ้าเราไม่ยอมแพ้หรือจนมุมในปัญหา โดยมีศีลเป็นกรอบ เราก็จะได้ปัญญาอันเกิดจากการแก้ปัญหาภายใต้กรอบของศีล เหมือนได้ถั่วเหลืองมาใช้ทดแทนไข่ค่ะ

พ่อครูว่า…ถูกต้อง ชัดเจน สิกขมาตุเป็นหญิง เป็นคนค้นพบว่าเอาถั่วเหลืองไปหมัก 3 เดือน อาตมาสรุปได้ หมักกับน้ำซาวข้าว สามเดือนแล้วก็จะได้คุณสมบัติของโปรตีนที่มาแทนไข่ได้เลย เอามาทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงได้เลย ก็จบเรื่องที่เราต้องไปเกี่ยวข้องกับไข่

เหมือนมีคนถามว่ากินไข่ลมก็บาปไหม ไข่ลมไม่มีเชื้อของชีวิตนะ อาตมาก็ตอบไปว่า แล้วแม่มันจะรู้ไหมว่าไข่นี้ เป็นไข่ลม หรือไม่ใช่ไข่ลม มันเป็นสัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่รู้มันก็หวงแหน

ข้อสำคัญคือ ไปติดใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในความเป็นไข่ แม้แต่สมมุติว่านี่คือไข่กับสมมุติว่านี่คือถั่วเหลือง แม้ว่า จะทำให้ถั่วเหลืองมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเหมือนใครอย่างไรก็ตามคนก็จะกินไข่ อย่างนี้เป็นต้นจะรู้รายละเอียดของเราว่าติดขั้นไหน ขั้นหน้ามืดที่เป็นไข่ จนเอาอะไรมาแทนไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น

 

_ลูกศีรษะอโศก...อาสวะ สาสวะ อนาสวะ สามคำนี้แตกต่างอย่างไร

 

พ่อครูว่า...อาสวะ คือกิเลสเต็มๆ สาสวะคือเริ่มปฏิบัติ เสขบุคคล เริ่มรู้จักกิเลส ทำให้กิเลสลดลงได้เป็นส่วนแห่งบุญ เรียกสาสวะ

อนาสวะ แปลว่ากิเลสดับสิ้นเกลี้ยง สามขั้นตอน

1.กิเลสเต็ม 2. ทำให้กิเลสลดได้ 3. ทำให้กิเลสหมดไปได้ ไม่ยากเลยแต่ที่ยากคือรู้จริงและทำได้หรือไม่ หมดจริงอนาสวะ การที่เหลือนิดน้อยหนึ่งกับหมดเกลี้ยงนั้นรู้ได้ยาก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน นั่งหลับตาหมดสิทธิ์บรรลุธรรม

มาถึงวาระสำคัญมาก ก่อนอื่นก็ขอคารวะภิกษุที่มีความพากเพียรแต่ไม่สัมมาทิฏฐิเท่านั้นเอง จึงไม่บรรลุธรรม

วันนี้จะพูดอย่างแตกหักว่า นั่งหลับตาไม่มีทางบรรลุธรรม อาตมาพูดมา 40 กว่าปีแล้ว ท่านอาจจะเคยได้ยินได้ฟัง แต่ก็ไม่สนใจ ท่านตีทิ้ง ก็จะจมลงไปหนัก แต่ผู้ที่ท่านยังพอฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อาบน้ำกลัวเปียก ก็ไม่ได้อาบน้ำจริงสักที วันนี้อย่างไรก็ขอพูดกันให้ชัดเจนว่า

ผู้ที่นั่งหลับตาทำสมาธินั้นไม่มีสิทธิ์บรรลุธรรม เพราะปฏิบัติไม่ครบทวารทั้ง 6 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ล. 31 ข้อ 620 โลกุตรธรรม 46 มีโลกุตรธรรม 9 โสดาปัตติมรรค ...ไปจนถึงอรหัตตผล และนิพพานอีก 1 รวมเป็น 9 และโลกุตรธรรม 37 หรือโพธิปักขิยธรรม 37 รวมเป็น 46

ทีนี้ไปนั่งหลับตา พอฟังคำว่า กายในกาย เป็นโลกุตระ ข้อที่ 1 ใน โพธิปักขิยธรรม 37 คนนั่งหลับตาไม่มี กาย 5 อยู่ภายนอก กายมันมี 6 กาย

กายคือ ธรรมะ 2 คือธรรมะ 2 ของข้างนอกก็ 5 ธรรมะ 2 ของภายในอีก 1 ก็เป็น 6

คุณมีธรรมะ 1 คือกายหนึ่งเท่านั้นไม่รู้อีก 5 แล้วบรรลุธรรมได้อย่างไร ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย มันก็ต้องทำจากข้างนอกไปหาข้างในจากความหยาบไปหาความละเอียด นี่ก็เป็นเรื่องที่ผิดพลาดแล้ว สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา การหลับตาปฏิบัติไม่มีธรรมะ 2 ไม่มีรูปกับนาม

มันมีกามรูป กามภพ ภายนอก แต่กามของคุณไม่มีกาย เพราะหลับตาปฏิบัติ หลับตาก็ไม่มีกาม ไม่มีการสัมผัสเลยแล้วก็ตีกลุ่มว่าไม่มีแล้วกาม โมเมชั่นสูตร มันไม่ใช่ ไปไม่ได้ นี่ก็อธิบายไปตามลำดับ อธิบายไปเรื่อยๆ

แม้แต่มูลสูตร 10 มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) ทำได้ด้วยตัวเองไม่ใช่พระเจ้าบันดาลให้ พระเจ้ากับคนเป็นวิญญาณเดียวกันก็ทำให้สูงสุดได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกคนพิสูจน์ได้ในชีวิตจริง ส่วนพระเจ้าของเทวนิยมไม่มีใครสัมผัสได้ไม่มีใครรู้จริงว่าอยู่ที่ไหนมีแต่ปกาศกมาประกาศ แม้แต่ปกาศกก็ไม่เห็นพระเจ้า โมเสส ไปขึ้นเขาแล้วเห็นแสงได้รับมาจากพระเจ้าแล้วก็มาประกาศมันไม่สามารถพิสูจน์ได้ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นสาวะกะสังโฆ ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ที่เป็นสิ่งพิสูจน์ได้ การที่พระเจ้าตรัสแล้ว พิสูจน์ไม่ได้พระเจ้าเป็นตัวอย่างไรอยู่ตรงไหน แต่พระพุทธเจ้ามีตัวตนมีคนจริง มีมนุษยชาติจริงๆ แล้วทุกคน สามารถที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ แต่พระเจ้า ไม่มีใครจะเป็นพระเจ้าได้ แต่มีตัวตนใหญ่โตมโหฬาร เจ้าของพระพุทธเจ้ามีสละเสรีภาพไม่มีอัตตา ตัวตนสมบูรณ์แบบ ทุกคนสามารถพากเพียรไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งได้ แต่ของทางโน้นหมดสิทธิ์ไปเป็นพระเจ้า ไม่มีใครมองเห็นสัมผัสไม่ได้ด้วย เป็นเรื่องลึกลับ แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องบทความลึกลับเด็ดขาดอรโห

ก็มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้าได้ในศาสนาอเทวนิยม แต่ศาสนาเทวนิยมไม่มีใครเป็นพระเจ้าได้แม้แต่จะเป็นพระบุตรก็ไม่ได้ พระบุตรก็คือผู้ที่พระเจ้าส่งมา ถ้าไม่มีพระเจ้าทรงมาก็ไม่มีพระบุตรไม่มีประกาศก ประกาศกต้องเป็นผู้เชื่อมโยงกับพระเจ้าได้เท่านั้นคนอื่นไม่มีสิทธิ์ มีพระบุตรเท่านั้น เล่นตีกิน สงวนอัตตาไว้เยอะแยะเลย

นั่งหลับตาสะกดจิตจะไม่มีความจริง ความจริงคือ ทิฏเฐ หรือปัจจุบัน บาลีก็คือ ปัจจุปัน ทุกคนร่วมรู้กันได้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เรียกมาดูได้เอหิปัสสิโกจึงถือว่านี่คือความจริง ความจริงที่ต้องมีมนุษย์ร่วมพิสูจน์กันได้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป อย่างน้อยเป็นสาม แต่ของเทวนิยม มีมากที่สุดอย่างมากสุดเป็น 2 คือ พระเจ้ากับพระบุตร แล้วก็จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ของอเทวนิยมนี้ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ถึงความจริงนี้ร่วมกันได้หมดเลย

เพราะฉะนั้นความแคบของเทวนิยม กับความกว้างของอเทวนิยมที่มีความกว้างไม่มีที่สิ้นสุดจึงต่างกัน

นักรบธรรมว่า...พุทธศาสนาเป็นสากลพิสูจน์ได้ทุกๆสมัย

พ่อครูว่า...แล้วแต่คนพิสูจน์ที่มีภูมิรู้จึงจะพิสูจน์ได้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์

เกร็ดดิน...พระเจ้ามีพระบิดาพระบุตรพระจิต

พ่อครูว่า...ยังแวดวงความรักมิติที่ 3 เขาคลี่ไม่ออก คลี่ความเป็นพระบิดา พระบุตร พระจิตไม่ออก พุทธนั้นแม้แต่พระมาตา เป็นแม่เป็นพ่อ เป็นผู้กำเนิดสัตว์โอปปาติกา เป็นนามธรรมเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ สัตว์โอปปาติกะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ มีพ่อมีแม่ แม้แต่เป็นชีวะก็เป็นเพศผู้เพศเมีย ได้กำเนิด ทันสมัย ล้ำยุคสมัย พิสูจน์ได้ทุกยุค

ผู้ที่นั่งหลับตาจึงหมดสิทธิ์บรรลุธรรมพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เพราะปฏิบัติ มูลสูตร

มีผัสสะเป็นสมุทัยไม่ได้

มูลสูตร 10

1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) ถึงที่เกิด หทยรูป ที่ไม่ได้อยู่ที่หัวใจช่องที่4 มีเลือดสีฟ้า เขาก็ว่ากันไปตามอภิธรรมบรรยาย ไม่ใช่ มันเป็นนามธรรม อยู่ในคูหาสยัง อยู่ในร่างกายอันเป็น protoplasm แล้วมี cytoplasm ที่เป็นนามธรรมในนี้ ขออาศัยวิทยาศาสตร์มาธิบายหน่อย

เรื่องที่ต้องรู้คือ รูป 28 นาม 5

3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) เป็นสมุทัยภาคมรรค ปฏิบัติ ส่วนสมุทัยภาคจิตนิยาม ภาคนาม อาริยสัจ 4 มีตัณหาเป็นสมุทัย แต่ผัสสะเป็นสมุทัยในมูลสูตร เป็นการสัมผัสนอกใน แต่ตัณหาเป็นสภาวะภายในจิต ถ้าแค่นี้ เข้าใจไม่ได้ มีสัญญากำหนดหมายไม่ถูกต้องกัน ก็แน่นอน คุณก็ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมได้ แต่สมุทัยของมรรค คือผัสสะ กับตัณหาเป็นสมุทัยแค่นี้ก็แยกไม่ออกแล้ว ถ้าแยกอย่างนี้ไม่ได้ไม่มีทางบรรลุธรรม

เพราะฉะนั้นไปนั่งหลับตาคุณไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ผัสสะ 6 ไม่มี ก็ปิดประตูที่จะบรรลุธรรม จะไปปฏิบัติเวทนาจากผัสสะ แล้วไล่เวทนารวมลงเป็นหนึ่งได้ เอกสโมสรณาได้ โดยรู้จักเวทนา 108 หากปิดทวาร 5 ภายนอกเหลือแต่ภายในจะมีมโนปวิจาร 18 ได้อย่างไร ที่เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย 6 ทวาร แล้วสัมผัสกับภายนอก เกิดกิเลส จะรู้ได้อย่างไร

หยาบ มาหาละเอียด ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา หยาบ ภายนอก มาถึง มโนมยอัตตา หมดมโนมยอัตตาก็ลืมตาสัมผัส หมดกามภพ ก็ไม่ได้หลับตาปิดทวารทั้ง 5 แต่คุณก็อยู่กับกาม แต่อยู่เหนือกามภพ แต่จิตคุณ 0 ไม่เกิดกิเลสเลย ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ จะกระทบกระเทือนกระแทกอย่างไรก็แข็งแรงตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในโลกกระทำใดๆเลย นี่ทั้ง 5 ทวารนะ แต่ว่า ถ้าอยู่แต่ในทวารภายในอย่างเดียว ก็ เนรมิตเอาปั้นเอา คุณจะ 0 ก็ 0 ของคุณคนเดียว แต่ว่าไม่มีการกระทบสัมผัสอะไรกับใครเลย บอกใครก็ไม่ได้ มันมีสิทธิ์ทำความหลุดพ้นเลยได้เลย ของพระพุทธเจ้ารับรองกันมากคนด้วย ยิ่งรับรองกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจริงเท่านั้น แต่คุณสัญญายนิจจานิ กำหนดสัญญาคนเดียว อย่างนี้ไม่ใช่สัจจะ

ในจูฬวิยูหสูตร สัจจะมีหนึ่งเดียว แล้วสัจจะเป็นอย่างไร ละเอียดลออมาก

จูฬวิยูหสูตรที่ 12

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

[419] สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฐิของตนๆ ถือมั่นทิฐิแล้ว ปฏิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าวต่างๆ กันว่า ผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรมคือทิฐิ ผู้นั้นคัดค้านธรรมคือ ทิฐินี้อยู่ ชื่อว่าเป็นผู้เลวทราม สมณพราหมณ์ทั้งหลายถือมั่นทิฐิแม้ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมโต้เถียงกัน และกล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด วาทะของสมณพราหมณ์สองพวกนี้ วาทะไหนเป็นวาทะจริงหนอ เพราะว่าสมณพราหมณ์ทั้งหมด นี้ ต่างก็กล่าวกันว่าเป็นคนฉลาด ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

หากว่าผู้ใดไม่ยินยอมตามธรรม คือ ความเห็นของผู้อื่น ผู้นั้นเป็นคนพาล คนเขลา เป็นคนมีปัญญาทราม ชนเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นคนพาล เป็นคนมีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าชนเหล่านี้ทั้งหมดถือมั่นอยู่ในทิฐิ ก็หากว่าชนเหล่านั้นเป็นคนผ่องใสอยู่ในทิฐิของตนๆ จัดว่าเป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์ เป็นคนฉลาด มีความคิดไซร้ บรรดาคนเจ้าทิฐิเหล่านั้น ก็จะ ไม่มีใครๆ เป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าทิฐิของชนแม้เหล่านั้น ล้วนเป็นทิฐิเสมอกัน เหมือนทิฐิของพวกชนนอกนี้

อนึ่ง ชนทั้งสองพวกได้กล่าวกันและกันว่าเป็นผู้เขลา เพราะความเห็นใด เราไม่กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้ เพราะเหตุที่ชน เหล่านั้น ได้กระทำความเห็นของตนๆ ว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง

(สิ่งอื่นเปล่า) ฉะนั้นแล ชนเหล่านั้น จึงตั้งคนอื่นว่าเป็นผู้เขลา ฯ

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

สมณพราหมณ์แต่ละพวก กล่าวทิฐิใดว่าเป็นความจริงแท้แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นก็กล่าวทิฐินั้นว่า เป็นความเท็จไม่จริง สมณพราหมณ์ทั้งหลายมาถือมั่น (ความจริงต่างๆกัน) แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว ก็วิวาทกันเพราะเหตุไรสมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมาทราบชัดอยู่ จะต้องวิวาทกันเพราะสัจจะอะไรเล่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมกล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไปด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า เพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลายกล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะมากหลายต่างๆ กัน จะเป็นอันใครๆ ได้สดับมา หรือว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

             สัจจะมากหลายต่างๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มี

ในโลกเลย ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมากำหนดความคาดคะเนในทิฐิทั้งหลาย (ของตน) แล้ว จึงกล่าวทิฐิธรรมอัน เป็นคู่กันว่า จริงๆ เท็จๆ ก็บุคคลเจ้าทิฐิ อาศัยทิฐิธรรม                          เหล่านี้ คือ รูปที่ได้เห็นบ้าง เสียงที่ได้ฟังบ้าง อารมณ์ที่ได้ทราบบ้าง ศีลและพรตบ้าง จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ และตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้วร่าเริงอยู่ กล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคน                          เขลาไม่ฉลาด บุคคลเจ้าทิฐิย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลาด้วยทิฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียนผู้อื่นกล่าวทิฐินั้นเอง บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาด ด้วยทิฐินั้น ชื่อว่าเจ้าทิฐินั้นเต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่ง และมัวเมาเพราะมานะ มีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วยใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฐินั้น ของเขาบริบูรณ์แล้ว

             อย่างนั้น ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทราม                          ด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทรามไปด้วยกัน อนึ่ง หากว่าบุคคลจะเป็นผู้ถึงเวท เป็นนักปราชญ์ด้วยลำพังตนเองไซร้ สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่มีใครเป็น                          ผู้เขลา ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฐิอื่นจากนี้ไปชนเหล่านั้นผิดพลาด และไม่บริบูรณ์ด้วยความหมดจด

             เดียรถีย์ทั้งหลายย่อมกล่าวแม้อย่างนี้โดยมาก เพราะว่า                     เดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนักด้วยความยินดีในทิฐิของตน เดียรถีย์ทั้งหลาย กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือทิฐินี้เท่านั้น หากล่าวความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่ เดียรถีย์ทั้งหลาย โดยมาก

เชื่อมั่นแม้ด้วยอาการอย่างนี้ เดียรถีย์ทั้งหลาย รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนนั้น อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตน จะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลาในลัทธินี้เล่า

              เดียรถีย์นั้น เมื่อกล่าวผู้อื่นว่าเป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่                      บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตนฝ่ายเดียว เดียรถีย์นั้น ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว นิรมิตศาสดาเป็นต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป บุคคลละการวินิจฉัยทิฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาทในโลก ฉะนี้แล ฯ

         จบจูฬวิยูหสูตรที่ 12

 

สัจจะแท้ต้องมีคนรับรองร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ยิ่งมากคนก็ยิ่งจริง นิพพานอย่างเดียวที่เที่ยงที่ 0 คือจิต นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” นี่คือเที่ยงแท้อย่างเดียวจิตที่ไม่มีกิเลส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา  แม้จะกระทบกระแทกกระเทือนอย่างไรก็ ไม่หวั่นไหวไม่เคลื่อน ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ แต่ถ้าคุณไม่ได้กระทบกระแทกสัมผัสอะไรเลย จะรู้ได้ยังไงว่าไม่หวั่นไหว

เรื่องหลับตาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าระบุว่าการเจริญอินทรีย์ภาวนาของพระอริยะ ในล.14 ข้อ 854  10.  อินทริยภาวนาสูตร  (152)

[853]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่  ในนิคมชื่อกัชชังคลา  ครั้งนั้นแล

อุตตรมาณพ  ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่  ประทับ  แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค  ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้  ระลึกถึงกันไปแล้ว  จึงนั่ง  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ฯ

[845]  พอนั่งเรียบร้อยแล้ว  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า  ดูกร  อุตตระ  ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า  ฯ

อุ.  แสดง  พระโคดมผู้เจริญ  ฯ

พ.  ดูกรอุตตระ  แสดงอย่างใด  ด้วยประการใด  ฯ

อุ.  ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  ในเรื่องนี้  ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ  เจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า  อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ  อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต  ฯ

พ.  ดูกรอุตตระ  เมื่อเป็นเช่นนี้  คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์

ต้องเป็นคนตาบอด  ต้องเป็นคนหูหนวก  เพราะคนตาบอด  ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ  คนหูหนวก

ไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต  เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้  อุตตรมาณพ  ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์นั่งนิ่ง  เก้อเขิน  คอตกก้มหน้า  ซบเซา  หมดปฏิภาณ  ฯ

[855]  ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า  อุตตรมาณพศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์

 นิ่ง  คอตก  ก้มหน้า  ซบเซา  หมดปฏิภาณ  จึงรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า  ดูกรอานนท์

ปาราสิริยพราหมณ์  ย่อมแสดงการเจริญอินทรีย์  แก่สาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง  ส่วนการเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่ง  ฯ

ท่านพระอานนท์ทูลว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต  เป็นการสมควรแล้ว  ที่พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงการเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่า  ในวินัยของพระอริยะ  ภิกษุทั้งหลายฟังต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว  จักทรงจำไว้  ฯ

พ.  ดูกรอานนท์  ถ้าเช่นนั้น  เธอจงฟัง  จงใส่ใจให้ดี  เราจักกล่าวต่อไป  ท่านพระอานนท์ ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า  ชอบแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ

 

พ่อครูว่า..หลับตาก็เหมือนคนตาบอด ลัทธิของพุทธจึงไม่ปิดตาปิดหู อาตมาจำได้ว่ามีสูตรอื่นอีก ว่า ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปทำลายตาให้ตาบอดสิ จำไม่ได้ว่าอยู่พระสูตรไหน แทงตาให้บอดจะได้บรรลุธรรม

ขออภัยวันนี้ต้องแตกหัก ขอตีทิ้งจริงๆเลย หลับตาปิดหูปฏิบัติอยู่ในภพเดียวนี่ โดยเฉพาะอ.บูรพา ผดุงไทย เขียนบรรยาย ยังไม่สำเหนียกว่า ตัวเองควรจะตื่นได้แล้ว อาตมาก็เลยขี้เกียจเอามาอ่าน มันเมื่อยแล้ว ดำอยู่อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ผู้ใดดื้อด้าน อาตมา ขอปรับอาบัติสังฆาทิเสสข้อที่ 13

สม.กล้าฯข้ามฝัน...สม.รินฟ้า...ส.แสนดิน

 

พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็ขออภัย สังฆาทิเสสข้อที่ 13 ไม่ใช่แต่เป็นข้อ 12 ภิกษุเป็นคนหัวดื้อ ก็ปรับอาบัติสังฆาทิเสสข้อที่ 12 นะ ว่ายากสอนยากสอนเท่าไหร่ก็ดื้อดึง สอนอย่างไรก็ดึงการยึดมั่นถือมั่นจนพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัย แรงนะ สังฆาทิเสสเป็นอาบัติที่หนักรองจากปาราชิก  สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ 12 ภิกษุเป็นผู้มีสัญชาติแห่งคนว่ายาก

เป็นคนที่ยึดมั่นถือ มาลองดูอย่างที่อาตมาท้าทายให้มาพิสูจน์ เอหิปัสสิโก อยู่ที่นี่สัก 5 ปีพิสูจน์ดู

เอาอานาปานสติ สูตร มาอธิบาย

[282] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกาวิสาขา

มิคารมารดา ในพระวิหารบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี พร้อมด้วยพระสาวก

ผู้เถระมีชื่อเสียงเด่นมากรูปด้วยกัน เช่น ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหา-

*โมคคัลลานะ ท่านพระมหากัสสป ท่านพระมหากัจจายนะ ท่านพระมหาโกฏฐิตะ

ท่านพระมหากปิณะ ท่านพระมหาจุนทะ ท่านพระเรวตะ ท่านพระอานนท์ และ

พระสาวกผู้เถระมีชื่อเสียงเด่นอื่นๆ ก็สมัยนั้นแล พระเถระทั้งหลายพากันโอวาท

พร่ำสอนพวกภิกษุอยู่ คือ พระเถระบางพวกโอวาทพร่ำสอนภิกษุ 10 รูปบ้าง

บางพวกโอวาทพร่ำสอน 20 รูปบ้าง บางพวกโอวาทพร่ำสอน 30 รูปบ้าง บางพวก

โอวาทพร่ำสอน 40 รูปบ้าง ฝ่ายภิกษุนวกะเหล่านั้น อันภิกษุผู้เถระโอวาทพร่ำ

สอนอยู่ ย่อมรู้ชัดธรรมวิเศษอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าที่ตนรู้มาก่อน ฯ

             [283] ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคมีภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมประทับนั่ง

กลางแจ้ง ในราตรีมีจันทร์เพ็ญ วันนั้นเป็นวันอุโบสถ 15 ค่ำ ทั้งเป็นวัน

ปวารณาด้วย ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเหลียวดูภิกษุสงฆ์ ซึ่งนิ่งเงียบอยู่โดย

ลำดับ จึงตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราปรารภในปฏิปทานี้

เรามีจิตยินดีในปฏิปทานี้ เพราะฉะนั้นแล พวกเธอจงปรารภความเพียร เพื่อถึง

คุณที่ตนยังไม่ถึง เพื่อบรรลุคุณที่ตนยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งคุณที่ตนยังไม่ทำ

ให้แจ้ง โดยยิ่งกว่าประมาณเถิด เราจักรออยู่ในเมืองสาวัตถีนี้แล จนถึงวันครบ

4 เดือนแห่งฤดูฝน เป็นที่บานแห่งดอกโกมุท 1- พวกภิกษุชาวชนบททราบข่าว

ว่า พระผู้มีพระภาคจักรออยู่ในเมืองสาวัตถีนั้น จนถึงวันครบ 4 เดือนแห่ง

ฤดูฝน เป็นที่บานแห่งดอกโกมุท จึงพากันหลั่งไหลมายังพระนครสาวัตถี เพื่อ

เฝ้าพระผู้มีพระภาค ฝ่ายภิกษุผู้เถระเหล่านั้นก็พากันโอวาทพร่ำสอนภิกษุนวกะ

@1. คือวันเพ็ญเดือนสิบสองเพิ่มประมาณขึ้น คือ ภิกษุผู้เถระบางพวกโอวาทพร่ำสอนภิกษุ 10 รูปบ้าง บาง-*พวกโอวาทพร่ำสอน 20 รูปบ้าง บางพวกโอวาทพร่ำสอน 30 รูปบ้าง บางพวกโอวาทพร่ำสอน 40 รูปบ้าง และภิกษุนวกะเหล่านั้น อันภิกษุผู้เถระโอวาทพร่ำสอนอยู่ ย่อมรู้ชัดธรรมวิเศษอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าที่ตนรู้มาก่อน ฯ

             [284] ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคมีภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมประทับนั่ง

กลางแจ้ง ในราตรีมีจันทร์เพ็ญ เป็นวันครบ 4 เดือนแห่งฤดูฝน เป็นที่บาน

แห่งดอกโกมุท วันนั้นเป็นวันอุโบสถ 15 ค่ำ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรง

เหลียวดูภิกษุสงฆ์ ซึ่งนิ่งเงียบอยู่โดยลำดับ จึงตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร-

*ภิกษุทั้งหลาย บริษัทนี้ไม่คุยกัน บริษัทนี้เงียบเสียงคุย ดำรงอยู่ในสารธรรม

อันบริสุทธิ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสงฆ์นี้ บริษัทนี้เป็นเช่นเดียวกันกับ

บริษัทที่ควรแก่การคำนับ ควรแก่การต้อนรับ ควรแก่ทักษิณาทาน ควรแก่การ

กระทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลกอย่างหาที่อื่นยิ่งกว่ามิได้ ภิกษุสงฆ์นี้

บริษัทนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัทที่เขาถวายของน้อย มีผลมาก และถวายของมาก

มีผลมากยิ่งขึ้น ภิกษุสงฆ์นี้ บริษัทนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัท อันชาวโลก

ยากที่จะได้พบเห็น ภิกษุสงฆ์นี้ บริษัทนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัทอันสมควร

ที่แม้คนผู้เอาเสบียงคล้องบ่าเดินทางไปชมนับเป็นโยชน์ๆ ฯ

             [285] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็น

พระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระ

ได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษ

แล้วเพราะรู้ชอบ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็นอุปปาติกะ เพราะ

สิ้นสัญโญชน์ส่วนเบื้องต่ำทั้ง 5 จะได้ปรินิพพานในโลกนั้นๆ มีอันไม่กลับ

มาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯพ่อครูว่า..เราก็พูดอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าในหมู่อโศกก็มีพระอาริยะอย่างนี้อยู่

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็นพระสกทาคามี

เพราะสิ้นสัญโญชน์ 3 อย่าง และเพราะทำราคะ โทสะ โมหะให้เบาบาง

มายังโลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น ก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่

ภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีอยู่ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็นพระโสดาบัน เพราะ

สิ้นสัญโญชน์ 3 อย่าง มีอันไม่ตกอบายเป็นธรรมดา แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้ใน

เบื้องหน้า แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

พ่อครูว่า..แม้แต่ปฏิบัติลืมตาย่างหนอก้าวหนอ ยกหนอ เคลื่อนไหวหนอ ก็เป็นเพียงวิธีสมถะ ทั้งนั้นเลยไม่ได้เข้าไปถึงเวทนาความรู้สึกสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่เข้าไปหาเวทนาเลยสักครั้งเดียว เพราะฉะนั้น เวทนา 108 จึงไม่ได้ปฏิบัติ จมกับกายที่ไม่เต็มเต็ง คุณไม่ได้เคลื่อนถึงความรู้สึกอารมณ์เลย

เวทนามีที่ กายิกธรรม สัมผัสร่างกายภายนอก คุณไม่มีเวทนาที่เป็นเจตสิกตั้งแต่เริ่มต้นเลย คุณก็ให้หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นสงบเท่านั้นเอง ไม่ได้เคลื่อนจากสมถะไปถึงไหน แล้วไปเรียกว่าวิปัสสนา มันเป็นเพียงสมถะเคลื่อนไหว มันไม่ใช่วิปัสสนาเลยไม่ได้วิจัย ในเวทนา 108

เวทนา 108 หากไม่ดูตั้งแต่ เวทนา 2 กายิกเวทนา เจตสิกเวทนา

แล้วมันก็รู้สึกสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้มีอีก 3 แล้วมันเกิดจากทวารไหน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 6 ทวาร มีภาวรูป 9 ก็เพราะใจมันไปร่วมกับอีก 5 ทวารแล้ว โดยที่เรียกว่ารวมกับกาย เอาสภาวะในใจร่วมกับกายด้วยก็เลยลบออก 1 ก็เลยกลายเป็นภาวรูป 9 แทนที่จะเป็น 10 กายมันรวมกับใจด้วยก็เลยต้องหักออก 1 กายมันควบทั้งกายและใจ ก็เลยหักออก 1เพราะมันสองในหนึ่ง หนึ่งในสอง เพราะ ตา หู จมูก ลิ้น ถือว่า กาย แล้วใจก็ถือว่ากาย

เพราะฉะนั้นใจ ถ้าใจไม่ไปอยู่กับตา หู จมูก ลิ้น สี่ นั้นก็ไม่ได้ ก็ไม่รู้สึกอะไรเป็นแท่งเฉยๆตา หู จมูก ลิ้น คุณก็ต้องมีใจไปร่วมทั้งนั้น ใจไปร่วมกับทั้ง 4 แล้วถือว่าคือกายภายนอก เพราะฉะนั้นใจก็เลยไปร่วมกับนอก 4 แล้วใจอีก 1 รวมกับอีก 4 ก็เลยได้ครึ่งหนึ่ง ได้กาย 4 ใจ 1 รวมกันเข้าก็เป็น 9 อาตมาก็อธิบายไม่เก่ง ไปอ่านอภิธรรมดีๆ

กายมันร่วมกัน เป็น 1 มี 4 นี่แหละที่มีคู่เป็น 9 แต่กายมีอันเดียว ก็เลยเป็น 9 พอไหวไหม อันนี้น่าเห็นใจ ก็เหลือ 9

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียร

ในอันเจริญสติปัฏฐาน 4 อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

พ่อครูว่า..สติปัฏฐาน 4 จะอยู่ต้น อานาปานสติจะอยู่ปลาย หากเอาอานาปานสติขั้นก่อนก็เลยไม่เป็นลำดับถูต้อง

             [286] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบ

ความเพียรในอันเจริญสัมมัปปธาน 4 อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

พ่อครูว่า..

1.   สังวรปธาน (เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น)

2.   ปหานปธาน (เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว)

3.   ภาวนาปธาน (เพียรสรรสร้างให้กุศลเกิดขึ้น)

4.   อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว  ให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ให้เสื่อมลง)

(พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 14)

 

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความ

เพียรในอันเจริญอิทธิบาท 4 อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

1.   ฉันทะ    (พอใจรักใคร่ในธรรม  ในเป้าหมาย)

2.   วิริยะ     (พากเพียรลดละกิเลส  เพียรเอาชนะกิเลส)

3.   จิตตะ     (เอาใจทุ่มเทโถมเข้าใส่ ฝักใฝ่ไม่ท้อถอย)

4.   วิมังสา (หมั่นตริตรองพิจารณาทบทวนธรรมเสมอๆ) 

(พตปฎ.เล่ม 35   ข้อ 505)

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความ

เพียรในอันเจริญอินทรีย์ 5 อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

1.   สัทธา (ความเชื่อที่ปักมั่นยิ่งขึ้น เป็นสัทธินทรีย์ ฯ)

2.   วิริยะ (ความเพียรที่มีพลังขึ้น เป็นวิริยินทรีย์ ฯ)

3.   สติ (ความระลึกรู้ตัวแววไวขึ้น เป็นสตินทรีย์ ฯ) .

4.   สมาธิ (ความมีจิตตั้งมั่นแข็งแรงเป็นฌานยิ่งขึ้น ฯ)

5.   ปัญญา (ความรู้จริงในความจริงแห่งธรรม ฯ)

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความ

เพียรในอันเจริญพละ 5 อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

พ่อครูว่า...พละคือผล คือพลังสูงสุด ก็เรียกว่า จบ สูงสุดมีผลสำเร็จ ในศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็เป็นพละ เป็นผล

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความ

เพียรในอันเจริญโพชฌงค์ 7 อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

1.   สติ (ความระลึกได้) เปรียบเหมือนจักรแก้ว

2.   ธัมมวิจยะ (ความเฟ้นธรรม) เปรียบเหมือนช้างแก้ว

3.   วิริยะ (ความเพียร) เปรียบเหมือนม้าแก้ว

4.   ปีติ (ความอิ่มใจ) เปรียบเหมือนมณีแก้ว

5.   ปัสสัทธิ (สงบจากกิเลส) เปรียบเหมือนนางแก้ว .

6.   สมาธิ (ความมีใจตั้งมั่น) เปรียบเหมือนคหบดีแก้ว

7.   อุเบกขา (ความมีใจเป็นกลาง) เปรียบด้วยปรินายกแก้ว

(พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 81)

คุณต้องมีสติ เป็นตัวตั้งของโพชฌงค์ ขององค์แห่งการบรรลุธรรม โพธิ โพธะ คือความรู้ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วเอามาสอนคนให้รู้ตาม คำตรัสรู้คือ พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ท่านได้บรรลุแล้วรู้เสร็จ ได้ความรู้แล้ว ถ้าท่านไม่เอามาตรัสหรือประกาศ ท่านก็เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป ท่านก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ความตรัสรู้ก็ไม่มี มีแต่ความรู้ของปัจเจกพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ได้ตรัสให้คนใดคนหนึ่งได้ยิน ในโลกรู้เลย จึงไม่ได้ตรัสรู้ ไม่มีการตรัสการพูดออกมาให้คนได้ยิน

ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณของท่านแล้ว แล้วก็มีคนอธิบายว่าท่านสอนคนไม่เป็น ไม่ใช่หรอก แม้แต่ยังไม่พระโสดาบันก็สอนคน จ้อยๆเลย แต่โสดาบันบางคนก็พูดจังเลย อย่าอยากพูดมากนัก เป็นกัมมารามตา ยินดีหลงงานมาก คือ กัมมารามตา ยินดีในภัสสารามตา พูดอยู่นั่นแหละ พักหน่อย ไอ้หนู

อธิบายบรรเทาหน่อย แถมเชิงตลกนิดหน่อย

คุณทำได้ผลก็ยินดีปีติ ยินดีปีติมากไปก็เสียผล ท่านก็ให้ลดลง

1.   ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)

2.   ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ)

3.   โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)

4.   อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)

5.   ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)

(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)

 

พ่อครูว่า ปีติก็ให้มันแผ่ซ่านบางเบา อย่าให้มันแรงจนหยุดยั้งไม่ได้ สมองแตกตายได้ พวกที่ชนะในเกมกีฬา ดีใจจนเส้นประสาทเส้นสมองแตกตาย ดีใจนี่ตายเลยได้ ประสาทเสียกลายเป็นมนุษย์พืชได้ มันได้ผลก็รู้ยินดีได้ ได้ยินดีอย่าให้มัน แค่ยินดีเราก็รู้ว่าได้ผลแล้ว เป็นมุทิตาจิต เบาบาง

มาถึงปีติสัมโพชฌงค์แล้วให้ลดลงไปเป็นปัสสัทธิ อย่าเป็นปีติแรง เมื่อปีติปัสสัทธิจิตก็ตกผลึก ปัสสัทธิไม่ใช่สมถะ วิเวกเป็นองค์รวม

ปัสสัทธิคือ การปฏิบัติเกิดผลสำเร็จ ส่วนสมถะซื่อบื้อ สะกดจิตเข้าไปนิ่งๆ ความต่างของความสงบ ปัสสัทธิกับสมถะต่างกัน

สมถะ เป็นความสงบที่ยังมิจฉาทิฐิ หรือเทวนิยม ส่วนปัสสัทธิ เป็นความสงบของวิปัสสนาของอเทวนิยม ได้ผลครบก็เป็นวิเวก 3 กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก

ตัวสุดท้ายของโพชฌงค์ ไม่หวั่นไหว อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนาน แน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่นเป็นอุเบกขาอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”จำทำงานปรุงแต่งร่วมกับสังคมก็ไม่มีสมาธิเคลื่อน บริสุทธิ์ไม่เปื้อน เพราะมีมุทุภูตธาตุ จิตแววไว แคล่วคล่อง จะให้เกิดให้ดับก็เร็ว เป็นสิริมหามายา คือตัวมุทุภูตธาตุ ให้เกิดหรือตายก็ได้มีมากก็ได้ มีน้อยก็ได้จะให้มีก็ได้ จะให้เป็นศูนย์ก็ได้ นี่คือความสำเร็จ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไท...วันนี้พ่อครูยกมือท่วมหัวขออภัยต่อ ครูบาอาจารย์สายหลับตา เอาหลักฐานในพระไตรปิฎกให้เห็นเลยว่าคนหลับตาปฏิบัติไม่รู้ในกามจะปฏิบัติให้ลดละกามได้อย่างไร อย่างฤาษีตาไฟ ก็ยอมรับแล้วว่าได้ทำอะไรกับเด็ก ที่บ้านอาตมามีพวกฤาษีเต็มเลย มีธูปเทียนเต็มไปหมด วันหนึ่งฤๅษีตาไฟก็ทำให้ไฟไหม้บ้านวอดเลย

พ่อครูว่า...เขาพูดแดกดันฤาษีตาไฟว่า ห้ามลืมตาไม่งั้นไหม้หมดเลย

 

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความ

เพียรในอันเจริญมรรคมีองค์ 8 อันประเสริฐอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้

ก็มีอยู่ ฯ

พ่อครูว่า...โพชฌงค์ 7 เปรียบเสมือนการก้าว ส่วนมรรคทั้ง 8 องค์ เปรียบเสมือนทางเดิน แต่เขาว่าพาซื่อ พระพุทธเจ้าประสูติมาก็มีโพชฌงค์ 7 หมายถึงพระพุทธเจ้าเดิน 7 ก้าว อาตมาก็ว่าต่อว่าหลังจากก้าวที่ 7 และพระพุทธเจ้าเดินหรือนั่งหรือถอยหลังหรือไปข้างหน้าหรือนอน ที่จริงแล้ว หมายถึงโพชฌงค์ 7 สติ ธัมมวิจัย วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา

มีทางเดินมีการเดิน เราอยากเดินหากเราไม่รู้จักทางเดินก็ลงนรก ก็ต้องมีสัตบุรุษมาชี้ทางเดินให้

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความ

เพียรในอันเจริญเมตตาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความ

เพียรในอันเจริญกรุณาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความ

เพียรในอันเจริญมุทิตาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียร

ในอันเจริญอุเบกขาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

พ่อครูว่า...อุเบกขาเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่อุเบกขาสะกดจิต อาจจะทำได้นานเป็นชาติเลย หลายชาติก็ได้ แต่ไม่ใช่ ไม่ได้เรียนรู้กิเลสแล้วทำให้กิเลสจางคลายเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสว่ามันเกิดก็ได้ดับก็ได้ทำให้ไม่มีก็ได้ ทำให้มันลดลงไปตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ลดไปจนไม่มีเลย ดับแล้วไม่เกิดอีกๆๆ จนกระทั่งดับสนิท นิโรธ เห็นความจางคลาย วิราคานุปัสสี ทำให้หมดได้นิโรธานุปัสสี ทำให้สงบแบบนี้นิโรธแบบนี้ ปฏิปัสสัทธิ เป็นการทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ใช่สงบแบบสมถะ อย่างนี้แหละทำซ้ำเลย อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำอย่างที่เคยได้นี่แหละอย่าให้ผิด ทำให้มาก พหุลีกัมมังก็สั่งสมผลเป็นอนุรักขณาปธานไปได้เรื่อยๆ มีเมตตา เห็นเขาเป็นทุกข์ก็อยากให้เขาพ้นทุกข์ หรือแม้แต่เห็นเขาหลงสุขก็อยากให้เขาพ้นสุข ของพุทธพ้นทุกข์พ้นสุข ไม่ใช่ให้พ้นทุกข์แล้วมามีสุขก็เลยยินดีกับเขาแล้ววางเฉยไม่ใช้เมตตาอยากให้เขาพ้นทุกข์ แม้แต่ว่าอยากให้เขาพ้นจากความหลงสุขด้วย ให้มามี วูปสโมสุข สุขสงบจากกิเลส ขออาศัยภาษาสุข คือสุขจากจิตว่างจากกิเลสไม่ใช่สุขบำเรออารมณ์โลกีย์

ผู้ใดสามารถที่ทำให้ได้มีการช่วยคน เห็นคนเป็นทุกข์ เห็นคนหลงสุขก็ช่วยเขาให้พ้นทุกข์พ้นสุข ช่วยได้เพราะเราลงมือช่วย ไม่ใช่อยากให้เขาพ้นทุกข์แต่ไม่ได้ลงมือทำเลย แล้วก็บอกมุทิตา ยินดีกับเขาโดยไม่ได้ทำเลยไม่ช่วยเขาสักทีเลย เขาอธิบายผิด

เมตตาคืออยากให้เขาพ้นทุกข์พ้นสุข แล้วกรุณาคือลงมือช่วยเขา แล้วก็ยินดีที่เขาพ้นทุกข์พ้นสุขได้ แล้วก็วางได้อุเบกขา

อุเบกขาอย่างเคหสิตะ เป็นโลกียธรรม ก็ต้องรู้ว่าต่างจาก เนกขัมสิตอุเบกขา

มุทิตา เขาบรรลุผลก็ยินดีด้วย จิตยินดีก็ชั่วแวบ เหมือนเหยียดแขนคู้แขน เหมือนหายใจออกหายใจเข้าก็จบ ก็รู้ว่าจบกิจยินดีด้วยก็จบ แล้วก็วางเป็นอุเบกขา เป็นฐาน

เพราะฉะนั้น ในบารมี 10 ทัศ จึงจบด้วย เมตตากับอุเบกขา

เมตตากับอุเบกขาเป็นฐานอาศัยของพระอรหันต์ พระอรหันต์จบกิจแล้ว

พระอรหันต์มีอยู่ สามเส้า

บารมี 10 ทัศ คือ 1.การให้ทาน 2.ศีล 3.เนกขัมมะ 4.ปัญญา 5.วิริยะ 6. ขันติ 7. สัจจะ 8.อธิษฐาน 9.เมตตา 10. อุเบกขา

ปฏิบัติทาน ศีลให้เนกขัมมะ แล้วจะเกิดปัญญาตามรู้ว่าการปฏิบัติทานการปฏิบัติศีลของเราเป็นเนกขัมมะ เกิดปัญญารู้ผลอย่างไร

ในสัมมาทิฏฐิ 10 ทินนัง ยิตถัง หุตัง ทำทาน ทินนังสัมมา ศีลหรือยิตถังสัมมา ก็ได้ผลหุตังจิตลดกิเลสได้

บารมี 4 1.การให้ทาน 2.ศีล 3.เนกขัมมะ 4.ปัญญา  ข้อแรกทำได้แล้วก็เพียรต่อไป ขันติ บารมี แล้วจะรู้สัจจะ สมมติสัจจะปรมัตถสัจจะ ก็รู้ความจริงจนกระทั่งทำ สัจญาณ กิจญาณ จนตั้งใจ อธิษฐานทำเพิ่ม มันยังไม่จบก็ตั้งจิตทำต่อไป มีวิริยะ ขันติ สัจจะ อย่างที่มันได้ผลตามเนกขัมมะตามปัญญาได้ก็คือจบ

อรหันต์จะอาศัยสามเส้าคือ ทาน เมตตา อุเบกขา เป็นกตญาณรู้ความจบเราจบแล้ว ก็มาทำงานต่อเป็นโพธิสัตว์สั่งสมเป็นอเนญชาสังขาร มุทุภูตธาตุก็ยิ่งดี กัมมัญญาก็ยิ่งเจริญ ปภัสสราก็ยิ่งใสแจ๋วๆ ไม่มีแก่ อาภัสราเขายังแก่ นี่คนนะ แต่อาภัสราของธรรมะไม่มีแก่ ยิ่งจะใสแจ๋วมากยิ่งขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด ปภัสสรา

เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นพรหมวิหาร 4 หรือเรียกว่า อัปปมัญญา ครบ 4 ก็เจริญขึ้นมาๆ จากหัวข้อข้างต้น สติปัฏฐาน 4

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียร

ในอันเจริญอสุภสัญญาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียร

ในอันเจริญอนิจจสัญญาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

พ่อครูว่า...การเจริญอานาปานสตินั้นอยู่หลังสติปัฏฐาน 4 และหลังข้อธรรมๆอีกเยอะแยะ จึงจะมาเข้าสู่           

 [287] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบ ความเพียรในอันเจริญอานาปานสติอยู่ ฯ

พ่อครูว่า...อานา อาปานะ แปลว่าลมหายใจเข้าหายใจออก ถ้าหากนักสะกดจิตดูลมหายใจนั่นเป็นของฤาษีสะกดจิต แต่ของพระพุทธเจ้านั้น ให้มีลมหายใจเข้าออกอยู่ในชีวิตประจำวัน คือยังไม่ตาย หายใจเข้าแล้วก็ออกได้ด้วยหากเข้าแล้วไม่ออกก็ตาม ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย คุณยังมีลมหายใจออกหายใจเข้ายังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ปฏิบัติมาได้เรื่อยๆ ไม่ได้แค่มานั่งดูลมหายใจเข้าออก แต่ว่ากระบวนการสติปัฏฐาน 4 และอื่นๆอีกคุณไม่ได้ทำเลย ไม่ใช่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อม

มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อม

บำเพ็ญสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์ได้ ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน 4 แล้ว ทำให้มากแล้ว

ย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ได้ ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ 7 แล้ว ทำให้มาก

แล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ

หมายความว่าทำอยู่ในทุกอิริยาบถก็มีลมหายใจเข้าออกอยู่นั่นแหละ ตลอดไปตามมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติในอาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ แล้วจัดการที่สังกัปปะนั่นแหละเป็นตัวหลัก คุณก็ทำอานาปานสติไป ย่อมบําเพ็ญสติปัฏฐาน 4

สติปัฏฐาน 4 ก็จะบริบูรณ์เจริญได้ แสดงว่าอานาปานสติของคุณ คุณต้องปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ด้วยจึงจะเจริญ หัดทำแต่อานาปานสติ สติปัฏฐาน 4 ไม่ได้ทำกายนอกกาย กายในกายไม่รู้เรื่องเลย สติปัฏฐาน 4 จะเจริญได้อย่างไร

แล้วต้องเจริญโพชฌงค์ 7 อีก

สมณะฟ้าไทสรุป….จบ

 

 

 

 

 

                          [288] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร

ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน

ธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์

ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า เธอย่อมมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า

เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า

หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจ

เข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลม

ทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า สำเหนียก

อยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า

สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้

ปีติ หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออก ว่าเราจัก

เป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร

หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเรา

จักระงับจิตสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า สำเหนียกอยู่

ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจเข้า

สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจ

เข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจออก ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า

สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจออก ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า

สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจออก ว่าเราจักเป็น

ผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณา

ความคลายกำหนัด หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด

หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจออก

ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็น

ผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความ

สละคืนกิเลส หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว

อย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

             [289] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างไร ทำ

ให้มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

สมัยใด เมื่อภิกษุหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้า

ยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น

หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้

กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจ

เข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร

หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย

มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูกร

ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวลมหายใจออก ลมหายใจเข้านี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่ง

ในพวกกาย เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย

มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้

ปีติ หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเรา

จักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจเข้า สำเหนียก

อยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้

จิตสังขาร หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจออก

ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและ

โทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการใส่ใจลมหายใจออก

ลมหายใจเข้าเป็นอย่างดีนี้ ว่าเป็นเวทนาชนิดหนึ่ง ในพวกเวทนา เพราะฉะนั้นแล

ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัว

มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนด

รู้จิต หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจัก

ทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่

ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจออก ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า สำเหนียกอยู่

ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจออก ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าว

อานาปานสติแก่ภิกษุผู้เผลอสติ ไม่รู้สึกตัวอยู่ เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น

ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌา

และโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณา

ความไม่เที่ยง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจเข้า

สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจออก ว่าเราจัก

เป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้

ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส

หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจ

ออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ เธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสด้วย

ปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้วางเฉยได้ดี เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า

พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและ

โทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้ว

อย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์ได้ ฯ

             [290] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน 4 แล้วอย่างไร

ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌา

และโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ในสมัยนั้น สติย่อมเป็นอันเธอผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว

ไม่เผลอเรอ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด สติเป็นอันภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้วไม่เผลอเรอ

ในสมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า

ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความ

บริบูรณ์แก่ภิกษุ เธอเมื่อเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความ

พิจารณาธรรมนั้นได้ด้วยปัญญา ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า

ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ในสมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์

ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์

สมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ เธอ

เมื่อค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมด้วยปัญญาอยู่ ย่อมเป็นอันปรารภ

ความเพียรไม่ย่อหย่อน ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณา

ธรรมนั้นด้วยปัญญา ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ในสมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์

ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์

สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ปีติ-

*ปราศจากอามิสย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ปีติปราศจากอามิสเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภ

ความเพียรแล้ว ในสมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น

ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญ

และความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ย่อมมีทั้งกายทั้งจิตระงับได้ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ทั้งกายทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ระงับได้

ในสมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า

ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญ

และความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข ย่อมมีจิตตั้งมั่น ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข

ย่อมตั้งมั่น ในสมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น

ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความ

เจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้น

ได้เป็นอย่างดี ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้

เป็นอย่างดี ในสมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น

ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมถึง

ความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความ-

*เพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ในสมัยนั้น

สติย่อมเป็นอันเธอผู้เข้าไปตั้งไว้แล้วไม่เผลอเรอ...

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร

รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ในสมัยนั้น สติย่อม

เป็นอันเธอผู้เข้าไปตั้งไว้แล้วไม่เผลอเรอ...

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร

รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ในสมัยนั้น สติย่อม

เป็นอันเธอผู้เข้าไปตั้งไว้แล้วไม่เผลอเรอ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด สติเป็นอันภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้ว ไม่เผลอเรอ

ในสมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า

ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความ

บริบูรณ์แก่ภิกษุ เธอเมื่อเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความ

พิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า

ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ในสมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์

ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์

สมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ เมื่อ

เธอค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญาอยู่ ย่อมเป็นอัน

ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรม

นั้นด้วยปัญญา ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ในสมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ย่อม

เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น

วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ปีติปราศจากอามิส

ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ปีติปราศจากอามิสเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภ

ความเพียรแล้ว ในสมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น

ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญ

และความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ย่อมมีทั้งกายทั้งจิตระงับได้ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ทั้งกายทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ระงับได้

ในสมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุ

ชื่อว่าย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ย่อมถึง

ความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข ย่อมมีจิต

ตั้งมั่น ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข

ย่อมตั้งมั่น ในสมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น

ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความ

เจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้น

ได้เป็นอย่างดี ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้

เป็นอย่างดี ในสมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น

ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมถึง

ความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน 4 แล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้ว

อย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ได้ ฯ

             [291] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ 7 แล้วอย่างไร ทำให้

มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ

ในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัย

นิโรธ อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย ย่อมเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ... ย่อม

เจริญวิริยสัมโพชฌงค์ ... ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ... ย่อมเจริญปัสสัทธิ

สัมโพชฌงค์ ... ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ ... ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์

อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย ฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ 7 แล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้ว

อย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ

             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี

พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ

จบ อานาปานสติสูตร ที่ 8


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:52:15 )

610906

รายละเอียด

610906_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 12

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1gfr7jIrWwWR6Hxxxn8-Gx3vVYUyrUOmAn0M14U7Nf5g/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1ubqknJVLjtDhBKwwQ8p17gmRW5pouiIM

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสที่ 6 กันยายน 2561 ที่ บวรราชธานีอโศก

มีใบที่เขา sms ไลน์มาเมื่อวานก่อน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน มโนมยิทธิ คือหนทางด้บทุกข์

_แหม่ม สวิส รายการสำมะปี๋ซีวิตครั้งต่อไป....ขออนุญาตกราบเรียนฝากคำถามค่ะ

“มโนมยิทธิ”คืออะไร มีกี่แบบ ใช่หนทางดับทุกข์หรือไม่คะ

 

พ่อครูว่า...ในวิชชา 8

1.   วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง) . . 

2.   มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้) .

3.  อิทธิวิธญาณ (จิตมีอานุภาพในการบรรลุขจัดทำลายกิเลส ได้หลากหลายวิธี)

4.   ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)

5. เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน) &

6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน  มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)

7. จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์) .

8. อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)

(พตฎ. เล่ม 9  ข้อ 127 - 138)

 

มโนมยิทธิ ก็ใช่หนทางดับทุกข์ เพราะเป็นวิชชาข้อหนึ่งในแปดข้อ มโนมยิทธิ เป็นตัวสำคัญเลย เป็นตัวที่ทำให้เกิดอำนาจ อิทธิ จิตที่สำเร็จ  

เช่นการสร้างพลังงานจิตให้เกิดผลก็คือเกิดมโนมยิทธินี่แหละ เมื่อทำให้เกิดอภิสังขารในจิต ทำพลังงานจิตให้มีคุณภาพถึงขั้นบุญ

ข้อที่ 1 ทำให้รู้แจ้งเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มันทรงสภาพอยู่ แล้วเราก็อ่าน กายคือ ธรรมะ 2 เป็นองค์ประชุม ท่านกำหนดเป็นจิตและต้องรู้เป็นเวทนา รู้สภาพจิตหรืออารมณ์ แจ้งความเป็นจริงว่าเป็นสภาพที่มีอยู่นะ ถ้าคุณไม่มีจิตก็ตายแล้ว หรือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ในประเด็นที่ว่าเข้าใจคำว่ากาย คือดิน น้ำ ไฟ ลม กายไม่มีจิตร่วมอยู่ด้วย คนนี้ก็สูญเปล่า ปฏิบัติธรรมไม่ได้แล้ว

เพราะว่าพิจารณาดิน น้ำ ไฟ ลมเป็นคนตายแล้ว ไปพิจารณาทำไม มันต้องพิจารณาคนเป็น ความรู้สึกที่มันยังเกิดอยู่ มีชีวะมีการดำเนินไปแล้วมันอยู่กับเรา มีธรรมะ 2 ต้องตรวจสภาพรูปกับนาม คือกาย แล้วกายคือ เทวธัมมา ทวเยน เวทนายะ ก็คือ เวทนาสองทำให้เป็นหนึ่ง เอกสโมสรณา ภวันติ อันนี้คือหัวใจศาสนาพุทธ หากไม่สามารถทำให้เวทนา 2 เป็นเวทนา 1 ไม่ได้ คุณก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมของพุทธ เพราะว่าเวทนาคืออาการอารมณ์ ศาสนาพุทธคือศาสนาที่บำบัดทุกข์ ไม่ใช่ศาสนาบำรุงสุข อย่างที่พูดภาษาการเมืองสังคม

ศาสนาพุทธสูงสุดที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขนั้นคือสุดยอดเป็นนิพพาน เป็นอารมณ์ของคนประเสริฐสูงสุดคือพระอรหันต์ เป็นเรื่องเกินกว่าที่มนุษย์จะคิด เกินกว่าโลกียะสามัญ พวกเราพูดกันสบายๆ แต่คนข้างนอกฟังแล้วจะแปลกหูว่าอยู่ได้อย่างไรไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีทุกข์ก็พอเข้าใจ แล้วอยู่อย่างไรไม่มีสุข มันต้องมีสุข เขาก็หลงโลกียสุข

สุขเพราะว่าได้สัมผัสในวัตถุสมใจ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สมใจ ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สัมผัสทางทวาร 5 อาการสุขต่างๆพวกนี้ก็คือการบำเรอใจบำเรออัตตา ก็เป็นกิเลสติดอย่างนี้ คนก็ต้องเป็นอย่างนี้ แต่โลกุตระนั้นเกินกว่ามนุษย์สามัญของโลก

ศาสดาเทวนิยม ศาสนาพระเจ้าก็มีสุข ทุกข์ ดีชั่ว ปฏิบัติอยู่แค่นั้น แต่ของศาสนาพุทธออกจากความสุขความทุกข์ความดีความชั่วเหนือชั้น จึงไม่มีสภาพอุปาทานใด ไม่ยึดมั่นถือมั่นใด จิตจึงมีปรินิพพาน สามารถตายแล้วสูญไม่เกิดในที่ใดๆได้อีกเลย เพราะตั้งแต่เป็นๆก็ทำได้แล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ แต่ดีชั่วก็รู้ว่าเป็นสมมุติ ความสุขความทุกข์นั้นเป็นปรมัตถสัจจะ เรารู้ทั้ง 2 อย่างแล้วไม่ได้โหยหาในความสุขความทุกข์ความดีความชั่ว รู้สมมุติว่าใครเขาติดอย่างใด ของเขาติด แต่ของเรารู้ว่ามันเกิดอย่างนั้นในใครต่อใคร แต่ก็ไม่ต้องไปเป็นอย่างเขาได้

อย่างกระทบสิ่งนี้พร้อมกัน ทุกคนมองพร้อมกัน แต่ละคนก็มีความรู้สึกไม่เท่ากัน คนที่ฟังอาตมาแล้วเกิดความทุกข์ไม่รู้เรื่องมีความเบื่อมีความชังนักหนา ก็มี คนที่ใส่ใจ ได้ประโยชน์ก็มีความพอใจยินดี ก็เข้าใจว่าดีอย่างไร มีความเข้าใจก็จบด้วยปัญญา

มีกี่แบบ ก็มีแบบมิจฉาทิฐิกับสัมมาทิฏฐิ

มโนมยิทธิ แบบที่มิจฉาทิฐิก็เข้าใจไปว่ามีฤทธิ์เดชทางใจ แบบเดรัจฉานวิชชา

สัมมาทิฏฐิ คือ มีอำนาจมีฤทธิ์มีพลังทางใจที่สามารถทำให้กิเลสลดได้ เป็นความสำเร็จทางจิต มโนมยะ โดยสร้างอำนาจ พลังที่เป็นบุญ เป็นการกำจัดกิเลสได้ กำจัดกิเลสได้เป็นมโนมยิทธิมีความเก่งทางใจอย่างสัมมาทิฏฐิ

มโนมยิทธิก็คือสัมมาทิฏฐิก็ศึกษาแล้วทำใจในใจให้เป็น เป็นมนสิการ

 

SMS 5 กันยายน 2561 (พ่อครู : พุทธศาสนาตามภูมิ)

 

_2166 พ่อท่านเคยพบกับ อ.สุจินต์ บวรวนเขต หรือเปล่าครับ? แนวทางของท่านสัมมาทิฏฐิไหมครับ? ระหว่างสายอ. มั่น-พุทธทาส-อ.สุจินต์ พ่อท่านว่า ใครสัมมากว่าครับ??

พ่อครูว่า...ไม่เคยเจอกันเลย เดินกันคนละทางคนละสาย อาจารย์สุจินต์แก่กว่าอาตมาตอนนี้เขาอายุ 90 แล้ว ทำงานศาสนาเหมือนกันแต่ไม่เคยเจอกันเลยให้อาตมาตอบคือแนวทางของท่านยังไม่สัมมาทิฏฐิเพราะว่าท่านอธิบายเป็นอภิธรรม ปฏิบัติให้รู้ว่าทุกอย่างไม่เที่ยงทุกอย่างเป็นทุกๆอย่างเป็นอนัตตา มาเป็นธรรมะก็สักแต่ว่าเป็นธรรมะเฉยๆ แล้วก็วางก็จบ ก็คือเป็นตักกะ ไม่ได้อ่านเข้าไปถึงเจตสิก โดยเฉพาะเวทนา 108 แล้วเกิดความรู้สึกขึ้นจริงในขณะสัมผัสว่ามันกิเลสเกิดอย่างนี้นะ แล้วมันมีกาม พยาบาท ผสมมาแล้วกำจัด พยาบาท กาม ต้องเห็นของจริงความจริงในความเป็นจริงในขณะสัมผัสปัจจุบัน ไม่ได้สอนเข้าไปที่สภาวะธรรมอย่างนี้ มันก็ได้แต่ตรรกะ ก็ตอบแต่ว่าไม่สัมมาทิฏฐิ

 

พ่อครูว่า...ก็ท่านพุทธทาสสัมมาทิฏฐิกว่าแต่ท่านพุทธทาสก็เอาแต่ที่ตัวเองชอบ ชังอภิธรรม ชังเข้าไส้เลย เรียกว่าอภิธรรมเม็ดมะขาม แล้วบอกว่า พระไตรปิฏกนี้ฉีกทิ้งไป 60% ได้เลย อาตมาว่า พระไตรปิฎกฉบับนี้ อาตมาว่าใช้ได้ทั้งเล่ม อาตมาว่าจะบกพร่องไม่เกิน 5% ก็เป็นธรรมดาที่ถ่ายทอดกันมา มีการผิดเพี้ยนบ้างนิดหน่อย ก็เลยจะให้ตัดสินว่าอะไรที่ผิดเพี้ยนบ้างก็ยังไม่เก่งขนาดนั้น ขออภัยที่ไปพูดจาวิจารณ์อาจารย์ใหญ่ๆทั้งนั้น ถามมาก็ตอบไป

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน มโนมยิทธิเป็นฤทธิ์ในการลดกิเลสตน

_แก่งธรรม..พลังงานมีแต่มโนมยิทธิหรืออย่างอื่นด้วยที่จะสามารถ ปรับปวาทะได้

พ่อครูว่า...หากคุณเองมีสมรรถนะความรู้พอสูงพอที่จะปรับปวาท หมายความว่า ผู้ที่เขามาพูดกับเราแล้วเขาเข้าใจไม่ถูก ผิดเพี้ยนอยู่ก็สามารถพูดคุยทำให้เขาเข้าใจ สามารถปรับวาทะกับผู้ที่มาพูดกับเรา โดยเฉพาะผู้ที่ยังเข้าใจไม่พอสามารถทำให้เขาเข้าใจได้อย่างเพียงพอ เรียกว่าเป็นผู้ที่สามารถ ปรับปวาทะ จะบอกว่า มโนมยิทธินั้น จัดการจิตของเราเอง แต่ปรับปวาทะ คือความสามารถที่จะพูดกับคนอื่น ไม่ใช่ไปเถียงเขานะ

แก่งธรรมว่า... ขณะที่เรากำลังจะทำความเข้าใจกับเขา เรามองว่า เขามีจิตต่อต้านเราอยู่ จากการที่เราได้พูดด้วยพลังงานของจิตที่มีความเมตตา เขาทุกข์มาเราก็พยายามให้เขาเข้าใจ จะเห็นว่าผู้ที่เข้าใจซาบซึ้งก็มี แต่อีกคนหนึ่งเขายังไม่ยอม แต่เรารู้ ผมถึงได้ถามว่า มันจะต้องมีพลังงานวิชชาอื่นๆประกอบในวิชชา 8 หรือไม่

พ่อครูว่า..ก็ต้องมีสิ ปรับปวาทะคือ ทำให้คนอื่นเข้าใจ แต่คุณออกกว้างไปมีสองอย่าง จะสามารถทำให้คนเข้าใจ นี่ถ้ายิ่ง สามคน สี่คน ร้อยคนก็ยิ่งยาก พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า จะต้องสร้างคนให้สามารถปรับปวาทะได้ ท่านจึงจะปรินิพพาน อาตมานี่ไม่ได้คิดถึงขนาดนั้นหรอก ไม่มีปัญญาทำได้ขนาดนั้น หลักของอาตมานั้น พยายามพูดถึงความถูกต้องที่อาตมาเข้าใจ เป็นธรรมะที่สัมมาทิฏฐิถูกต้อง อันอื่นไม่ได้เน้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน มีศีล สมาธิ ปัญญา คือเครื่องคุ้มครอง

_1614 ไม่มีอะไรจะเป็น"เครื่องคุ้มกัน"มากเท่ากับ "สติ"-พุทธทาสภิกขุ ถ้าจะบอกว่าศีลเป็นเครื่องคุ้มกัน ได้ไหมคะ

พ่อครูว่า...มันประกอบกัน ศีล สมาธิ ปัญญา หรือเมื่อมีศีล แล้ว สำรวมอินทรีย์มีสติสัมปชัญญะ แล้วปฏิบัติให้เกิดสันโดษ นี่คือหลักการในสามัญญผลสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 สูตรที่ 3

สูตรที่ 1 ตรัสองค์รวม การนั่งหลับตาสมาธิเรียกว่าเจโตสมาธิเป็นการปฏิบัติมิจฉาทิฏฐิ 64 อย่าง อดีต อนาคต และสูตรที่ 2 ก็พูดถึงการออกป่า ตีทิ้งได้เลย ที่ถูกคือสามัญผล ก็คือสังวรศีล ตั้งแต่ศีล 5 ข้อที่ 1 เกี่ยวข้องกับสัตว์ข้อที่ 2 เกี่ยวข้องกับของข้อที่ 3 เกี่ยวข้องกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส คุณทำสำเร็จได้ผล ได้ผลคือลดกิเลสได้สั่งสมตกผลึกเรียกว่าสมาธิ

ขณะที่คุณจัดการกระบวนการของจิต ขณะสัมผัสของหรืออะไร คุณก็อ่าน จนแยกแยะสังกัปปะ 7 วิจัยกิเลสได้ แล้วมีวิธีการพิจารณาได้เก่งได้แข็งทำให้กิเลสลดได้ วิราคานุปัสสี ก็เท่ากับคุณทำฌานได้สำเร็จ สร้างพลังงานให้มันเผา กำจัดกิเลสเป็นอุณหธาตุให้กิเลสจางคลายดับได้ ฌานคือพลังงานปัจจุบันที่เรียกว่าพลังไฟ ความร้อนที่จะทำลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมูลสูตรว่า

สติ นั้นคืออธิปไตย ปัญญา คืออุตระ การปฏิบัติคนต้องมีสติให้เกิดพลังงาน แล้วต้องบวกความเข้าใจรู้ยิ่งด้วยปัญญา ถึงจะจัดการกับกิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสลดได้ ลดได้แล้ว คุณจะอยู่เหนือกิเลสได้ คุณทำให้ตัวคุณสำเร็จผล สิ่งเหล่านี้ในโลกก็มีความเป็นโลกีย์เขาปรุงแต่ง ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่เราสัมผัสอยู่กับสิ่งเหล่านี้แต่จิตใจของเราลอยตัวพ้นจากอำนาจของสิ่งเหล่านี้ เราก็อยู่กับสิ่งเหล่านี้

นี่คือ ลาภ เราก็ได้ ลาภธัมมิกา ลาภได้โดยธรรม ไม่ทุจริต เราสุจริต เรามีผลงานแรงงาน ก็ได้ตามควร แล้วเราก็ได้ใช้กับสิ่งที่เราทำเราผลิต โดยไม่ได้ถูกหลอกให้ไปกินใช้อบายมุข เท่าไหร่ก็ไม่พอ ฟุ้งเฟ้อไปกับเขา ถูกโลกหลอกโง่ตลอดกาล แต่เราอยู่เหนือมันแล้ว เขามีก็มีไปแต่เราไม่ตกเป็นทาสเราไม่ตกเป็นเหยื่อ นี่คือความหลุดพ้นแล้ว แต่เขาปรุงแต่งจัดขนาดไหน มากกว่าสมัยพระพุทธเจ้ามีการหลอกล่อกันเยอะ มากกว่ากันจนนับไม่ถ้วน แต่ก็สามารถที่จะใช้หลักของพระพุทธเจ้า ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อยู่อย่างชีวิตหลุดพ้นสบาย แล้วเป็นคนมีประโยชน์ได้

ศีล เป็นเครื่องคุ้ม ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธทาสไม่เอาเรื่องศีล ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลาง บั้นปลาย สรุปง่ายๆอย่างเช่น ศีล 3 ข้อแรก ข้อแรกสัมผัสกับสัตว์ โดยเฉพาะตัวคนนี่แหละเป็นหลัก จะเกิดกิเลสเกิดอะไรเราก็เรียนรู้แล้วจัดการ ส่วนของ ดินน้ำไฟลม จิตนิยามพีชนิยาม สัมผัสกับของ ไม่ใช่ของของเราก็อย่าไปละลาบละล้วง ดีไม่ดี คนก่อสร้างวัตถุพืชพรรณธัญญาหารขึ้นมาแล้วอาศัยกินใช้ จะขายตามวิธีของโลกก็ขาย ขายให้ต่ำกว่าทุน ก็ไม่เป็นหนี้ ยิ่งแจกยิ่งไม่เป็นหนี้ใหญ่เลย ขายเท่าทุนก็ยังเจ๊า แต่ไปขายขาดทุนอย่างลัทธิโลกีย์ก็บาป เป็นหนี้

ศีล เป็นต้นทางหมดเลย คุณสามารถปฏิบัติศีลข้อที่ 1 ก็จะอยู่กับโลกกับมนุษย์ อย่างที่มีแต่กุศล และก็ยิ่งศีลข้อ 1 คุณบรรลุเป็นอรหันต์ในศีลข้อ 1 อยู่กับคน กับสัตว์ สัตว์ก็ปล่อยไปตามวิบาก คนนี่แหละที่ต้องอยู่ร่วมกัน ทำประโยชน์ร่วมกันก็ทำร่วมกัน ทำประโยชน์ร่วมกันไม่ได้ก็ต่างคนต่างอยู่ อย่างอาตมาเลือกเอางานที่จะสอน ความจริงของพระพุทธเจ้าเลยว่าทำให้ถูกต้อง คนไหนที่ไม่ถูกต้องจะสอนเขาบ้างก็ทำ อาตมาทำงานนี้โดยเป็นภิกษุเลย ปรปฏิพัทธาเมชีวิกะ ให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้ อาหารการกิน แม้จะให้อยู่ อุปการะไว้ ชีวิตมาทำหน้าที่นี้ ถ้าหากอาตมาทำไม่ดีไม่มีคนอุปถัมภ์ค้ำชูเลี้ยงดู ไม่ให้กินก็ปล่อยให้ตาย ป่วยไข้ก็ไม่รักษา อาตมาก็พึ่งพางานที่อาตมาทำ ถ้าทำได้ดี คนก็อุปถัมภ์ค้ำชูไว้ ป่วยเจ็บคุณก็ไม่ปล่อยให้ตาย เขารู้ว่ามีค่า พระพุทธเจ้าวางหลักไว้สูงสุดแล้ว

เรื่องศีลเป็นเรื่องใหญ่คนเข้าใจไม่ได้ ปฏิบัติในศีลแต่ละข้อแล้วก็มีมรรคผล คุณก็จะไม่รู้ชัดเจน ไม่รู้ในศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ศีลทำให้เกิด สมาธิเกิดปัญญาเกิดวิมุตติ วิมุตติญาณทัศนะ ถ้าหากไม่มีศีลเลยจะไปรู้วิมุติได้อย่างไร

วิมุติเกี่ยวกับสัตว์กับของกับพืช วิมุติ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายที่ไปสัมผัสกับสิ่งต่างๆแล้วเกิดกิเลส ก็ต้องเรียนรู้กิเลสเหล่านี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว ศาสนาพุทธมีเท่านี้แหละ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ใครสุดโต่งไปทางสมาธิไม่เกี่ยวกับศีลไปนั่งหลับตานะน่าสงสาร ยิ่งถ้าไปเอาแต่อภิธรรมแล้วพากันคุยกัน เป็นธรรมะไหม ถ้าไม่ใช่ธรรมะก็ไม่ต้องมาพูดกันก็กลายเป็นอย่างอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ก็ไม่มีเบื้องต้นที่จะเป็นหลัก พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะของพระพุทธองค์นั้นเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์คุณจะเข้าใจอันนี้ไม่ได้

ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์คุณก็สามารถรู้องค์ประกอบชัดเจนกระบวนการของศีลข้อที่ 1 และทำจิตให้เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นวิมุติ เป็นวิมุตติญาณทัสสนะ คุณก็จะไม่มีลำดับสมบูรณ์แบบ ลำดับที่มีความพร่อง ก็เป็นวิตักกะยาวนาน ถ้าเข้าใจชัดเจนมันก็จะเกิดความรู้ Solution ของมัน มันจัดการกันอย่างไร แม้จะเป็นนามธรรม ก็คือคุณอภิสังขารจัดการให้เกิดกระบวนการนี้ กระบวนการนั้นก็คือสังกัปปะ 7 เมื่อคุณไปสัมผัสแล้วจิตคุณก็จะเกิดสภาพพวกนั้นขึ้นมาเป็นภาวะ 2

คุณก็ต้องเรียนรู้สภาวะ 2 เป็นธรรมะ 2 อนึ่งนั้นคือ เวทนาเก๊กับเวทนาจริง แล้วคุณหาตัวเหตุของเวทนา เก๊ แล้ว กำจัดตัวเหตุให้ได้ด้วยปัญญา กดข่มได้บ้างแต่ปัญญาต้องรู้ไตรลักษณ์ มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ตั้งอยู่มันไม่เที่ยงหรอก แล้วมันก็หมดไป ดับไป จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ตัวตนเลยทุกอย่างสัพเพธัมมาอนัตตาติ ทุกอย่างมันไม่มีตัวตน แต่คนเราที่อุปาทานยึดถือไว้แล้วเคยตัวเคยชิน

จะบอกว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตนและจะปฏิบัติทำไม ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่มีอนุสัยอาสวะทิ้งไปหมดแล้วสิ แต่คุณก็ไม่รู้ว่าคุณมีอนุสัยอาสวะเหลือเท่าไหร่ไม่รู้ แม้แต่สัมผัสกับสัตว์ก็ไม่รู้ว่ายึดมั่นถือมั่นเท่าไหร่ คุณก็ต้องเรียนรู้ว่ายังถือสาขนาดนี้ยังชอบยังชังขนาดนี้ หรือว่าคุณไม่แล้วคุณมีบารมี สัมผัสกับสัตว์ก็กลางๆเฉย เขาก็เป็นเขา เราก็เป็นเราสบาย ปฏิบัติอยู่ร่วมกันทำงานร่วมกันได้ก็ทำไป อะไรที่ทำงานร่วมกันไม่ได้ก็ไม่ต่อ ก็เท่านั้นเอง

 

_เกร็ดดิน...นิยาม 5 เอาแต่อุตุกับพีชะ ไม่เอาจิตกับกรรม อุตุ พีชะ คือสรีระร่างกายเรามีอาการ 32 มีดินน้ำไฟลม อากาศธาตุและพีชะ การปฏิบัตินี้ ทำให้รู้ว่าพ่อท่านรู้การแพทย์สรีระด้วย พอเริ่มต้นพ่อท่านบอกว่าต้องกินอาหารเวลานั้นเวลานี้ ตอนอยู่แดนอโศกจะลงตัวเลย เป็นกิจวัตรที่ลงตัว routine การเป็นอยู่ชีวิตประจำวัน ก็เกิดความแข็งแรง อวัยวะทำงานเป็นระบบตรงเวลา อาหารไม่ปรุงแต่งมาก อาหารธรรมชาติ เราก็แข็งแรงกัน พอเข้าไปที่สันติอโศกตอนนี้วุ่นเลย พ่อท่านกว่าจะฉันอาหารก็ตักไว้แต่ก่อนเทศน์ กว่าจะเทศน์เสร็จก็บูดเน่า ก็เลยว่า ต้องทำสำรับพิเศษแยกไว้เลย พ่อท่านรู้การควบคุมดินน้ำไฟลมดี

ถามว่า 8 อ.นี่พ่อท่านทำเพื่อรักษา กาย พ่อท่านบริหารได้ทั้งหมดทั้งการแพทย์ทางกายและจิตวิญญาณ พ่อท่านมีลมปราณดี พิสูจน์ 8 อ.ว่าพ่อท่านบริหารได้ดีหรือไม่

พ่อครูว่า...พอได้ แต่ก็มีส่วนที่เกิน เว่อร์ก็เลยวูบ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สัมมาทิฏฐิ 10 ทำให้พ้นสัตตาวาส

_หนึ่งฟ้า...คำถามสืบเนื่องจากวานนี้ เรื่อง สัมมาทิฏฐิ 10 หากพวกเราชาวอโศกยอมรับสัมมาทิฏฐิในข้อที่ 10 ก็ถือว่าหลุดพ้นมิจฉาฯข้อนี้แล้ว สิ่งที่พ่อท่านว่า ปรับอาบัติสังฆาทิเสส ดิฉันเดาเอาว่า หมายถึงคนไม่ยอมรับว่าสัตบุรุษคือใครที่เขาควรจะฟัง

พ่อครูว่า..เป็นไปตามธรรม พระพุทธเจ้าบัญญัติพระวินัยในสังฆาทิเสสข้อที่ 12 ความดื้อด้านบอกยากสอนยาก มันเข้าข่ายข้อนี้ เราบอกว่า เราเป็นพระอาริยะเป็นสัตบุรุษเอาสัมมาทิฏฐิมาให้ฟัง แต่คุณก็ไม่เชื่อตีทิ้ง เดี๋ยวปรับอาบัติสังฆาทิเสสข้อ 12 เลย พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าคนมันดื้อด้านนะน่าสงสาร มันไม่ได้อะไรหรอก ท่านก็ใช้คำนี้เป็นคำกลางๆ ดื้อด้านไม่เชื่อฟัง มันก็ไม่ได้ประโยชน์ คนที่ไม่ใส่ใจจะได้ใส่ใจขึ้น บอกง่ายขึ้น มาฟังขึ้น ถ้ายิ่งตั้งใจดีก็ยิ่งดี

_หนึ่งฟ้า...คำถามทีนี้สำหรับชาวอโศกที่ถือว่ายอมรับ สัมมาทิฏฐิข้อ 10 แต่ไปหลงสัตตาวาสข้อต่างๆ จะเข้าข่ายข้อนี้ได้หรือไม่

พ่อครูว่า...

สัมมาทิฏฐิ เป็นตัวหลักเลยถ้าคุณไม่มีข้อที่หนึ่งของมรรคมีองค์ 8 คือสัมมาทิฏฐิ คุณก็ไม่สัมมาทิฏฐิ ใน 10 ประเด็นนี้คุณก็ไม่สามารถเป็นพระอรหันต์ได้เลย อาจจะเข้าใจได้ในบางประเด็น แต่ไม่สมบูรณ์ก็ไม่ได้ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) ถ้าไม่ได้มีข้อนี้ก็จะฟังอีก 9 ข้อไม่ได้เพราะอีก 9 ข้อต้องมาจากข้อนี้

 

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).

 

1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) ทานต้องมีผลลดกิเลสได้ จึงสัมมาทิฏฐิ

2. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) เป็นวิธีการปฏิบัติต่างๆที่ต้องให้เกิดการลดกิเลสจึงจะสามารถทิฏฐิ แต่ไปนั่งหลับตานั้นไม่ได้ผลหรอก อาตมาก็อธิบายแล้ว ว่าจะต้องมนสิการอย่างไร ต้องรู้จักจิตว่ามีอาการอย่างไรในขณะสัมผัส อยากได้อยากมีอยากเป็น ไม่อยากได้ไม่อยากมีอยากเป็น ปฏิบัติศีลต้องมีผัสสะ ผู้ที่รู้ก็จะอธิบายให้ฟัง ว่าปฏิบัติทานอย่างไรปฏิบัติ ศีลพรตอย่างไร จึงได้ผล ผลที่ได้คือหุตัง

3. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) ก็คือ การเรียนรู้ปฏิบัติตั้ง ทาน ศีล แล้วจะเกิดผลที่จิต 3 ข้อแรกก็คือทาน ศีล ภาวนา

4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่ เกิดจากกรรมกับกาละ ในมนุษย์นี้ศึกษากรรมกับกาละ เมื่อคุณสมบูรณ์ด้วยกรรมก็จบ เหลือแต่กาละ อรหันต์เหลือแต่กาละ กรรมจบแล้ว จะปรินิพพานเป็นปริโยสานเมื่อไหร่ก็แล้วแต่คุณ แต่ถ้ายังไม่สูญก็ต้องอยู่ในเอกภพนี้อยู่ คุณก็ยังอยู่ในกาละ นี่คือกรรมกับกาละ (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

 

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ .

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) ปัจจัย

8. บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)เหตุที่ทำให้เกิดให้เป็น ถ้าเหตุเป็นโลกุตระก็เกิดโลกุตระได้ ถ้าเหตุไม่ถูกต้องก็ไม่ได้ ต้องรู้โลกนี้โลกหน้า ก็ทำสัตว์โอปปาติกาสำเร็จ

9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ คุณก็จะรู้สัตตาวาส 9 ได้ คุณก็ปฏิบัติสัตให้พ้นความเป็นสัตว์ทั้งหมดเป็นมนุสโส

 

สัตตาวาส 9

1. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่นพวกมนุษย์  พวกเทพบางเหล่า  พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า  กายที่เป็นสัมมากับมิจฉา สัญญาก็ต่างกัน ก็จะเห็นเทวดามารพรหมต่างกันไป

2. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น

ข้อนี้พยายามรวมจิตให้เป็นหนึ่ง ปฐมฌาน ทำให้จิตเป็นธรรมะหนึ่งทางเจโตก็ทำได้แต่เป็นเคหสิตอุเบกขา ทางสัมมาทิฏฐิก็เป็นเวทนาหนึ่งที่ถูกต้องเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา ก็พ้นความเป็นสัตว์ไปตามลำดับ

3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่นพวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) .

4. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) .

5. สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์  เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)

6. สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)

7. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง

8. สัตว์บางพวก ..อากิญจัญญายตนะ (ดับไม่ให้มีอะไร) 

9. สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ)

(ววัตถุสัญญา พตปฎ. ล.23   ข.228)  และ 11/353

 

ทำได้พ้นสัตตาวาส 9 ก็เป็นพรหม วิสุทธิเทพ แต่ทุกวันนี้พรหมเขาก็เข้าใจเป็นตัวตนเป็นพรหม 20 ชั้นเทวดาก็มี 7 ชั้น เป็นภพชาติหมดเลย เป็นวิมานสวรรค์เป็นตัวตนไปหมดแต่ที่จริงแล้วพรหมเป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์สูงสุด

 

_หนึ่งฟ้าว่า...คนอยู่มานานหลายสิบปี มีมรรคผลตามลำดับ แต่ขั้นสุดท้ายไม่สามารถฝ่าด่าน ทิฏฐาสวะ ทิฏฐานุสัย ก็คิดว่าเส้นทางที่ตัวเองทำอยู่น่าจะพาหลุดพ้น แต่ที่พ่อท่านไม่ระบุชื่อ หรือระบุชื่อว่า คนเหล่านั้นเข้าข่ายสังฆาทิเสสหรือไม่

พ่อครูว่า...ก็ดูตัวเองได้ แต่พวกเราไม่ขนาดนั้นหรอก แต่อาตมาพูดถึงคนข้างนอก ประเด็นที่พูดคือพวกนั่งหลับตา หลับตานั้นศาสนาพุทธไม่มีการปฏิบัติหลับตาเลย ใครที่ปฏิบัติหลับตาเป็นโมฆะจากศาสนาพุทธไปเลยล้านเปอร์เซ็นต์ มันไม่ใช่เลย แต่เขาก็ไม่ฟัง เขาไม่เชื่อน้ำหน้าโพธิรักษ์ อะไรอาตมาก็พูดแรง เพื่อกระตุกเส้นบ้าง คนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็อาจจะได้สติบ้างแต่คนที่ยึดมั่นถือมั่นก็ไม่กระเทือนหรอก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน เมตตากับอุเบกขาในการรักษาคนป่วย

_กิ่งธรรม...เมื่อวานพ่อท่านเทศน์เมตตากับอุเบกขา เลยเกิดความสงสัยในใจ เราเป็นพยาบาลก็ต้องใช้ความเมตตา แต่ว่าบางครั้ง เราให้บริการคนไข้ ถ้าคนไข้เชื่อเรา เราก็รู้สึกเมตตาเต็มที่สุด เต็มใจเต็มร้อย แต่เมื่อใดก็ตามที่มีความรู้สึกว่าเขาไม่เชื่อเรา เขาจะทำอย่างที่เขา เขาต้องการ ความคิดของเขา เราก็จะไม่ทำให้ค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งนั้นมันไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น การทำแผล ก็บอกว่าที่เราเรียนมา เป็นร้อยเคสพันเคสทำอย่างนี้แล้วก็หาย แต่อยู่ๆเขาก็จะเอาใบนั่นใบนี่มาให้ เราก็บอกว่าถ้าจะทำอย่างนี้เราไม่ทำให้ เพราะว่าเรารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ถ้าคุณจะทำก็ไปทำเอง แล้วเขาก็ไปทำเอง หรือหาคนอื่นมันทำแล้วก็เกิดผลเสียหาย แบบนี้เราจะถือว่าเรามีอัตตาไหม แล้วเราก็ฟังใจว่าให้เขาทำเองแล้วแต่เขา หากเราจะอธิบายมาก ดิฉันจะไม่อธิบายใครถึง 3 ครั้ง 2 ครั้งก็พอจบแค่นี้ เหลือจากนั้นอยากทำอะไรก็ทำแล้วแต่ ดิฉันจะวางใจว่าแล้วแต่เขา ถ้าพูดแล้วคุณไม่เข้าใจ จะทำอะไรก็ตามใจคุณ ก็ปล่อยให้เขาทำ การที่เราไม่ยอมทำตามที่เขาบอกเราเป็นอัตตาไหม การที่เราวางใจให้เขาทำเองเป็นอุเบกขาหรือเปล่า

พ่อครูว่า...คุณพูดมานี้ครบแล้วไม่เป็นอัตตาหรอก มันเป็นการยืนหยัดยืนยันเหมือนกับอาตมานี้ทำอยู่เขาก็หาว่าดื้อดึงดัน เราพูดแล้วเขาก็ยังไม่ฟัง จะถือว่า อัตตาไหม ที่คุณพูดมาทั้งหมดไม่ได้เป็นอัตตา เรายืนหยัดยืนยัน ศึกษามาเรามีความรู้ เรามีเมตตาเรามีความต้องการที่ดี แต่เขามารักษากับเราเขาก็น่าจะฟัง เออออห่อหมกกับเขาบ้าง แล้วเขาจะรักษาเองคุณก็กลับบ้านไปรักษาเอง จะบอกว่าไป อัตตาไหม ก็ไม่ ถ้าจะว่าจริงๆคนไข้นั่นแหละมีอัตตา เพราะว่าคุณมารักษากับที่นี่คุณก็ต้องเชื่อถือที่นี่ เชื่อถือหมอพยาบาลที่จะช่วย คุณจะรักษาของคุณเองและเสียเวลามาทำไม

_กิ่งธรรมว่า...ต่างคนก็แนะนำว่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ดิฉันก็เลยบอกว่าให้คนนั้นเขาทำให้เถอะ ดิฉันทำแบบนี้ไม่ได้

พ่อครูว่า...ถูกแล้ว เราก็ยืนยันว่าเราทำนี้ถูกต้องจริงไม่ได้มีอัตตา เพื่อให้คนมาเอาสิ่งที่ถูกต้องก็เท่านั้นเอง

_กิ่งธรรมว่า...การที่เราเห็นว่าเขาทำผิด แต่เราก็เฉย เราไม่ว่าหรือบอกแล้ว ถ้าพูดมากก็จะทะเลาะกัน คุณจะทำอย่างไรก็แล้วแต่คุณ

พ่อครูว่า...เราได้ตัดสินใจแล้ว ถ้าเขาไม่อึดอัดขัดเคือง ก็วางใจแล้วเราพูดกับเขาแล้วจะมาทะเลาะกันทำไม คุณไม่ผิดหรอก

 

_พัท ธนภัทร : สงสัยครับ...ถ้าอยากไปอยู่เป็นคนของกองทัพธรรม คือว่าไปอยู่ด้วย ช่วยงาน มีที่พักแบบง่าย ต้องทำยังไงบ้างครับมีหลักเกณฑ์ยังไงบ้างครับ 

พ่อครูว่า...ก็มาได้เลยมาทำงานได้ตอนนี้ เรามีกองใหม่ กองชุบชีพสมบัติ เขาจะพยายามทำให้เกิดความสะอาด มีอะไรทิ้งก็จะเอามาจัดระเบียบ

หลักเกณฑ์นั้นมาเถอะ พวกเราไม่ได้เป็นคนยุ่งยากมากมายอะไร เป็นคนเข้าใจอะไรควรอะไรไม่ควร แล้วก็ทำในสิ่งที่ควร ก็ช่วยกันเท่านั้นเองหากตั้งใจให้ดีไม่เป็นคนดื้อดึงดันอะไร มาที่นี่ก็จะได้ดี ใครที่ยินดีจะมาก็มาเถอะที่พักก็มีให้ ขอให้คุณเป็นคนดีเถอะ

 

_คนจนมหัศจรรย์ แบ่งปันตลอดกาล : ฝากคำถามไปในรายการ สำมะปี๋ ครับ

1. ขอถามเรื่องการดูแลสุขภาพ อยากทราบว่า อ.เอาพิษออก หลวงปู่ใช้วิธีใด   บ้างครับ ได้ทำ detox หรือ สวนล้างลำไส้บ้างไหมครับ? คิดเห็นอย่างไรกับวิธีการนี้ครับ?

พ่อครูว่า...เคยทำมาแล้ว มีทั้งใช้กาแฟใช่น้ำเปล่าใช้น้ำฉี่ ทำแล้วมันก็โล่งท้องดี แต่ของเราท้องไส้เราตัวเราไม่มีอะไรมากก็ไม่กระไร พวกเราได้ทำมาแล้ว พอรู้สึกว่าปวดมวนอะไรก็ทำก็ดีใช้ได้

2. น้ำปัสสาวะที่หลวงปู่ฉันเป็นยาในทุกๆเช้า อยากทราบว่าเป็นส่วนที่เก็บในช่วงเวลาไหนของวัน ช่วงเช้าตื่นนอนหรือระหว่างวันครับ? เพราะเหตุผลใดครับ?

พ่อครูว่า...เขามีเหตุผลเยอะแต่อาตมาไม่จำ อาตมาฉี่ใส่ขวดไว้ตั้งแต่กลางคืน แล้วเขาก็เอาฉี่ใส่จอกมาให้ดื่ม ก็เลยไม่รู้ว่าฉี่นี้มาจากช่วงเวลาไหน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน สูตรตำรับพุทธแท้

_บ้านเล็กเมืองน้อย **คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์บ้าง แต่ถ้าพ่อท่านเห็นว่าไม่เหมาะสม กราบรบกวนไม่ต้องอ่านในรายการ และต้องกราบขออภัยเป็นอย่างสูงด้วยครับ

กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง

หลังจากได้รับการชี้แนะจากพ่อท่าน และทำความเข้าใจกับข้อจำกัดต่างๆแล้ว ทำให้ทราบว่า แท้ที่จริง ทั้งหมดทั้งปวงของร้านปาท่องโก๋ อยู่ที่การสืบทอดสูตรต้นตำรับเท่านั้น ถ้าทำให้คงอยู่ต่อไปได้อีกนานๆ ก็จะเกิดพลังแห่งความสมดุลที่จะสร้างสันติสุขแก่สังคมตามมาเอง ดังนั้นไม่ต้องไปคาดหวังในผล ให้ทำแต่เหตุก็พอ

ถ้าจะเปรียบสูตรต้นตำรับเป็นดวงจันทร์ ในสังคมที่ผู้คนเอาแต่ก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์ คงจะเป็นการยากที่จะให้เงยหน้าขึ้นพิเคราะห์ดวงจันทร์ และรับรู้ได้ถึงพลังดูด-พลังผลักอันมหาศาล ที่ทำให้ 3 ใน 4 ของพื้นผิวบนโลกที่เป็นน้ำ เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลง ส่งผลกระทบต่อทุกสรรพสิ่งบนโลก

จึงต้องสร้าง ปรากฏการณ์ จันทร์ในบ่อ ขึ้น เพื่อสะท้อนแสงจันทร์ เข้าสู่สายตาของผู้ที่กำลังก้มหน้าอยู่ แต่จะเกิดการสืบทอดหรือไม่ขึ้นอยู่กับ แสงสะท้อน ที่ต้องเจิดจ้าแรงกล้า และมุมตกกระทบ ที่ต้องสะท้อนให้ตรงเป้าเข้าตา

พ่อท่านได้สรุปจุดเด่นของชาวอโศก ซึ่งเป็นแสงสะท้อนที่สังคมยอมรับ ไว้คร่าวๆดังนี้

1)   บ้านราชฯ-กสิกรรมไร้สารพิษ 2) สันติ-ดินอุ้มดาว 3) ปฐม-ปุ๋ย 4) ศีรษะ-สุขภาพ

บุญญาวุธ เหล่านี้คือรูปธรรม เป็นของจริงที่จับต้องได้ จากปฏิบัติกรตัวจริง

สามารถถ่ายทอดวิธีการ-ขั้นตอน-ประวัติความเป็นมา ที่กว่าจะมาประสบผลสำเร็จเช่นทุกวันนี้ ว่าได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมฤทธิ์อันใดของพ่อท่าน โดยเชื่อมโยงคำสอนและหนังสือธรรมะของพ่อท่าน อันเป็นนามธรรมที่สร้างแรงบันดาลใจแก่ปฏิบัติกร ให้มีหลักการดำเนินชีวิต และหลักการประกอบสัมมาอาชีวะที่ถูกต้อง จนกลายเป็นอาริยะชนขึ้นมาได้

ส่วนมุมตกกระทบที่ตรงเป้าเข้าตา คือการเติมเต็มในสิ่งอันเป็นที่ต้องการ

หากจะทำให้ผู้ที่ยังต้องก้มหน้าหาเลี้ยงชีพในโลกทุน หันมาสนใจในสูตรต้นตำรับ

ก่อนอื่นต้องหาอาชีพอาริยะให้ทำก่อน (ผู้คนกลัวจะอยู่ไม่รอดถ้าไม่มีรายได้ จึงติดกับ)

โดยการสร้างเครือข่าย เครือแห เพื่อเป็นช่องทางทำมาหากินแบบอาริยะ สร้างสะพานเล็กๆ

เชื่อมโลกโลกียะกับโลกโลกุตระสำหรับผู้ที่จิตใจไม่หนักแน่นพอ ได้อาศัยเป็นฐานพักพิง แม้ยังต้องวนอยู่ในโลกทุนก็ยังสามารถเป็นคนมีวรรณะ 9 ได้

Remarketing ทั้งศิษย์เก่า ญาติธรรม และกัลยาณมิตรที่ยังไม่เข้ากระแสพร้อมจะเข้าวัด ช่วยเขาเหล่านั้นให้ไม่ต้องไปทำอาชีพโลกีย์ ที่ทำให้แปดเปื้อนด้วยวงจรบาปของสังคมทุน จนต้องห่างหายจากสังคมอโศกไป ด้วยการนำเสนอ solution จากของจริงที่ทำสำเร็จแล้วเป็นตัวอย่าง เพื่อสร้างความมั่นใจในการหาเลี้ยงชีพอย่างอาริยะชน เพราะการดำรงชีวิตในโลกทุนย่อมมีรายจ่ายไม่ใช่น้อย

ช่องทางการจัดจำหน่าย ที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืนจึงคือสิ่งอันเป็นที่ต้องการ ถึงจะไม่มากแต่คงช่วยให้พ้นจากการติดกับในโลกทุนได้

โครงการเกษตรอินทรีย์ที่ท่านฟ้าไทยทำร่วมกับ Earth Save คือตัวอย่าง

ซึ่งในที่สุดจะช่วยสร้างผู้สืบสาน ให้มีการสืบทอดสูตรต้นตำรับนี้ต่อไป

ณ status quo นี้ ปรากฏการณ์จันทร์ในบ่อ น่าจะเป็น agenda ที่จำเป็น เพื่อจะสืบทอดสูตรต้นตำรับให้คงอยู่ต่อไปอีกนานๆ

พ่อครูว่า...อาตมาว่า รับรองได้ มาอยู่ที่นี่ นอกจากคุณจะเป็นคนติดหนัก ยึดติดโลกีย์หยาบคายมากติดหนักก็อยู่ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ติดหนักก็อยู่ได้

อาชีพเราก็มีให้ทำ ร่วมกันทำ แต่อาชีพที่เราทำ เป็นสัมมาอาชีพสูงสุด ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ก็ยากหน่อยสำหรับคนต้องการส่วนได้ คนต้องการส่วนได้ มาอยู่ที่นี่ก็มี เขาก็ออกไปหารายได้เอง เช่นบางคนออกไปญี่ปุ่นก็มี แต่ก็ไปแล้วก็มา อย่างกอล์ฟนี่ไปเกาหลีก็มา เดี๋ยวนี้ก็ดูแลร้านสหกรณ์ใหม่ก็ยังไม่ พื้นฐานขั้นต่ำก็คือไม่กินเนื้อสัตว์ไม่มีอบายมุขมีศีล 5 คุณอยู่ที่นี่ได้สบาย ถ้ามีพื้นฐานแค่นี้ คุณภาพไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร ยินดีต้อนรับ บ้านราชฯมีสักพันได้ จะเกิดพลวัตรดีมาก แต่นี่มันน้อยไป มันไม่พอเพียง

วรรณะ 9 เป็นเครื่องตรวจสอบเครื่องวัดเลยหากคุณเป็นคนที่ วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) แม้จะไม่เต็มที่ก็อยู่ได้ ที่นี่ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างทำ

ทุกวันนี้อาตมาทำสำเร็จแล้ว

อาตมาสร้างอาคารบวรเพื่อให้มาช่วยกันทำ มาขายของได้นะ แต่ทุกวันนี้มันแห้งเหี่ยว อาตมาก็ไม่มีทุนจะไปสร้างในตัวเมืองหรอก สร้างอยู่ข้างนอกคนก็เลยมาไม่มาก ทำได้ตามบารมี การจะอาศัยที่ในเมืองกลางเมือง อย่างอุทยานบุญนิยม เราก็เปิดช่องให้เขามาขายของได้นะ เรามีอาคาร ให้คนมาอาศัยขายของได้ เป็นแต่เพียงมีข้อกำหนดว่า สิ่งที่จะนำมาค้านี้จะต้องไร้สารพิษ ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้เก็บเงินเก็บทองอะไร แต่มันน้อยคนที่จะมาทำดีๆ ปลูกพืชผักแล้วจะมาขาย ได้ราคาถูกเราก็ไม่ได้เก็บปันผลเสียค่าเช่านะ เราก็ช่วยเท่าที่เป็นไปก็ไม่เห็นแน่นหนานะ มีวัน พุธ ศุกร์ อาทิตย์ ที่มาขายกัน ที่จริงมาวันไหนก็มาได้ แต่เขาทำไม่ทัน เราก็พยายามเกื้อกูล

และแน่นอน อาตมาไม่ทิ้งหรอกก็ทำอยู่ agenda เท่ากับแทรกยาทิพย์เข้าขุมขน อาตมาก็ทำมาตลอด

 

_กล้าตรง...ฟังเทศน์พ่อครูมาเยอะ แต่รู้หมดแต่อดไม่ได้ ตัวใหญ่ก็จัดการได้ แต่ตัวเล็กละเอียดเรารู้ได้ยาก

พ่อครูว่า..อย่าไปกังวลทำหยาบก่อน มีต้น กลาง ปลาย

 

_กล้าตรง...คือเราจะรู้ตัวอีกทีก็คือเราแพ้มัน

พ่อครูว่า..มันหยาบแรงก็เอามันก่อน อย่าไปเสียเวลากับที่ละเอียดที่รู้ได้ยาก เอาโอฬาริกอัตตาก่อน

_กล้าตรง...เมื่อรู้ตัวว่าแพ้ก็เริ่มจะรู้เท่าทัน หลายครั้งที่มันรู้ จนมันทำให้เราทุกข์เราเจ็บ เมื่อเรารู้ว่าทุกข์ เราถึงว่ามันเป็นกิเลส ตัวเล็กนี่เราไม่รู้ว่าเป็นทุกข์

พ่อครูว่า...มันหลอกเรา สมกิเลสก็สุข บำเรอกิเลสก็สุข

_กล้าตรงว่า...จะรู้อีกทีก็คือผลมันออกแล้ว ถึงต้องมาทำอย่างที่ พ่อครูว่า มีศีลไปตามลำดับ รู้ให้ถึงจิต ตัวเกิดดำริตัวแรก แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะรู้ตัวปลายมัน ก็เลยส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นแบบนี้

พ่อครูว่า...อย่าไปกังวลตัวที่ละเอียดให้เอาตัวหยาบก่อน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน มาอยู่วัดได้ต้องมีกุศลเก่าด้วย

_คิด แบบนี้ถูกไหมคะ การที่เราต้องมาอยู่ในวัด ในเขตบุญนี้ เป็นทางกุศลเก่า

พ่อครูว่า..ตอบถูก คนไม่มีกุศลเก่าเข้ามาที่นี่ไม่ได้หรอกมันร้อน ชัดๆก็คือ คนที่บารมียังไม่ถึงเข้ามาในอโศก มันอยู่ไม่ได้หรอก ไม่มีภูมิเก่าพอสมควรมาอยู่ในนี้ไม่ได้ เพราะที่นี่มันเป็นสนามแม่เหล็กแห่งกุศล แห่งโลกุตระ มันจะมีฤทธิ์มีอำนาจ คุณเป็นสิ่งที่นอกกระบวนการ หย่อนเข้ามาในนี้ โยนเข้ามา ที่นี่จะจัดคุณเข้าระบบ หากคุณเองนอกระบบ สนามแม่เหล็กนี้ก็จะผลักคุณกระเด็น แต่ถ้าที่นี่ปรับคุณเข้าสนามแม่เหล็กนี้ได้ เช่นไม่มีทิศเลย เขาจับคุณเข้าทิศทาง แน่นอน ที่นี่เป็นสนามแม่เหล็ก คนมาอยู่ที่นี่ๆได้แล้วไม่กระเด็นออกคือผู้ที่มีบารมีเก่า

 

_วัดวานี้ มาเป็นผู้รับใช้จะได้ไม่เป็นหนี้วัด

พ่อครูว่า...ถูกต้อง เรื่องนี้ก็ไม่อยากพูดมาก พูดไปแล้วจะเหมือนกับใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือเป็นการบังคับ จริงๆแล้วที่นี่เป็นแดนกุศลโลกุตระ สิ่งสูง คนที่มาทำสิ่งที่ต่ำเลอะเทอะต่ำในที่นี้มันเป็นบาปสูง ที่นี่สะอาดเอาขี้หมามาละเลงก็บาปหนัก เปื้อนน้อยก็บาปแล้ว ยิ่งเอาเปื้อนเยอะมาก็ยิ่งบาปหนัก ผู้รู้สึกก็ดีแล้วแต่ไม่อยากสำทับมากเกิน รู้ตัวก็ดีแล้วเดี๋ยวจะเกร็งเกินไปก็อยู่สบายๆมีสำนึกอย่างนี้ก็ใช้ได้

 

_คุณกนกนาฏ สยรักษ์ ดิฉัน จะพูดถึงสิ่งแวดล้อม เรื่องหน้าเฮือน 0 เมื่อไม่ได้ไปอุทยานก็จะมากวาดเอง วันไหนไปก็จะขอร้องให้คนอื่นทำแทนแต่ไม่มีใครทำ ดิฉันก็มากกว่า พอดีมีแม่อายุ 80 มาคุยด้วย บอกว่าหนูทำตรงนี้ดีแล้ว แกก็เลยเล่าว่า เคยมีคนไม่ทราบมาหาพ่อท่าน หรือใครบนตึก เขาลงมา เขาก็เดินดูรอบๆ เขาก็พูด ว่า นี่หรืออโศก เขาตินั่นแหละค่ะ พ่อท่านมีความคิดเห็นอย่างไร

พ่อครูว่า...คนจะติก็ติ บางคนมาดูบอกว่าเละเทะ ก็มีก็ไม่เป็นไร เขาติก็ดีแล้ว เขาว่าอย่างนี้หรืออโศก เราก็ถามว่ามีอะไรจะชี้แนะก็กรุณาด้วย ก็เป็นอย่างนี้แหละ ขอคำชี้แนะจากเขาสิ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จะล้างความคิดยึดได้อย่างไร

_จะรู้ความติดยึดได้อย่างไร จะล้างความติดยึดได้อย่างไร ความติดยึดของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

พ่อครูว่า...ไม่น่าจะยาก ก็ลองพรากดู(สู่แดนธรรมว่า) คุณห่างมัน เช่นคุณติดอาหารอันนี้ แล้วคุณก็บอกพราก ไม่ต้องพรากไปไหนหรอก ลองไม่กินมันดูมันผ่านหน้าคุณ คุณก็ไม่กินแล้วคุณก็จะเห็นจิตของคุณ อยากกิน มันมาอีกแล้ว มันติด บางทีก็หลับตาเลยไม่อยากมอง ตั้งตบะ เราจะพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ

ก็ต้องทำตามลำดับ อย่าเพิ่งพรากกระชากแรงจะเกิดภาวะบาดเจ็บ มีเพื่อนฝูงเยอะแยะคุยกันสิ มีกลวิธีแต่ละวิธีแต่ละอย่างมันมี ย่อยๆ แต่ละคนมีวิธีของตัวเอง อย่างนี้มันเข้ากับเราทำอย่างนี้เข้าท่า อย่างนี้มันจะยาก อย่างนี้มันจะไม่ดีคุณก็ปรึกษากัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน อยู่ส่วนกลางแต่หารายได้ส่วนตนด้วยได้ไหม

_ผู้มาอยู่ส่วนกลางอาศัยในสาธารณโภคีเช่นปัจจัย 4 แต่ยังหารายได้อยู่บ้าง ยังรับจ๊อบทำรายได้อยู่ ควรจะอนุโลมให้ไหม

พ่อครูว่า...มันก็มีอยู่เป็นธรรมดา เราค่อนข้างจะบอกว่าเคร่ง ทุกคนอยู่ที่นี่ก็ทำงานฟรี เราก็ไม่ได้ไปจู้จี้จุกจิกกับใครมากเกินไปหรอก เขาทำงานอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องทำฟรี แต่บางคนเขาจะแวะไปทำที่ญี่ปุ่นก็ยังมีเลย ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ที่นี่เป็นอิสระเสรีภาพ เป็นแต่เพียงอย่ามาทำประเจิดประเจ้อเกินไป เข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ก็โอ้โห

จริงๆแล้วเราอย่างนี้ มีคนต่อว่าอาตมา สร้างโรงเรือนค้าขาย เราก็ให้เขามาค้าขายโดยไม่ได้เก็บเงินจากเขา แล้วพวกเราจะค้าขายบ้างมันเป็นอย่างไร เราก็จะเอาบ้าง ดีไม่ดี จะเก็บของในนี้ไปขายเอาเงินใส่กระเป๋าก็มี ดีไม่ดีถึงขั้นว่าไม่ร่วมปลูกด้วยนะ บางทีปลูกด้วยแล้วก็เอาไปเข้ากระเป๋าก็ไม่ได้เคร่งครัด ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเกินไป เราก็ไม่ได้ขาดแคลน เดือดร้อนอะไรมากมาย

อาตมาพาพวกเราปฏิบัติเป็นชุมชนจนถึงบัดนี้บรรลุผลสำเร็จสุดยอดแล้ว พวกเราอุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลนอะไร ก็มีคนอย่างที่ว่า แทรกแทรง ก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่เขาก็มีสำนึก คนที่มีสำนึกก็ดีแล้ว ก็ทำให้ดีขึ้นสิอย่าให้เสื่อมลง ควรจะทำอย่างนี้ เป็นคนสาธารณโภคี ทำงานแล้วเอาเข้าส่วนกลางหมด อาศัย กินใช้ในนี้หมด ทำสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ เรียนรู้กิเลส ใน ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขาร

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน นั่งคู้บัลลังก์ แต่ไม่ได้หลับตาปฏิบัติ

_ใบฟ้า...ขอบคุณอย่างสูงสุดค่ะ การเทศน์กัณฑ์แตกหัก เมื่อวานนี้ กับสมาธิฤาษี ทำให้ดิฉันมีความกระจ่างขึ้นมาหลายประเด็น โดยเฉพาะเกี่ยวกับอานาปานสติ กราบขอพ่อครูอธิบายอานาปานสติ 16 ในธรรมพุทธสุดลึก คำว่า นั่งคู้บัลลังก์ ควรปรับปรุงให้ถูกอย่างไร

พ่อครูว่า...ก็มีประวัติว่า พระพุทธเจ้าออกบวชก็เอาเห็นแต่คนว่า นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น ก็คือนั่งหลับตาสะกดจิตไปอย่างนี้ คนเหล่านั้นไม่ใช่พุทธ เขาปฏิบัติกันผิดหมด ศาสนาพุทธยังไม่มีพระพุทธเจ้าก่อนมาตรัสรู้ก็มาเจอ พระพุทธเจ้าออกมาในวงการปฏิบัติธรรม ก็มีพวกนักปฏิบัติธรรมปฏิบัติเช่นนี้ นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าให้นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง แล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า พวกที่ปฏิบัตินั่งหลับตา

คุณจะนั่งหลับตา คู่บัลลังก์นั่งหลับตา อยู่ในที่แจ้งก็ดี อยู่ในร่มไม้ก็ดี อยู่ไหนเรือนว่างก็ดี อยู่ในป่าช้าป่าชัฏก็ดี คำว่ากรณีนี้ภาษาบาลีบอกว่า วา

จะว่า ป่าคืออะไร ข้างกองฟาง ที่ว่าง ที่โคนไม้ ก็แล้วแต่ก็ วา หมายความว่า คุณปฏิบัตินั่งหลับตาจะอยู่ในอิริยาบถสถานที่อย่างไรก็ช่างเถอะก็ดี ก็แล้วแต่ทั้งนั้น แล้วท่านก็อธิบายอานาปานสติ

คุณจะทำอย่างนี้หรือคุณไม่ทำอย่างนี้ ตลอดเวลาที่คุณมีลมหายใจเข้าลมหายใจออก คุณทําอาชีพอยู่ก็ดี คุณทำกัมมันตะอยู่ก็ดี คุณจะพูดอยู่ก็ดี คุณจะคิดอยู่ก็ดี เหมือนกัน ภาษาบาลีว่า วา ทั้งนั้น คุณก็ต้องทำอย่างนี้ 16 ขั้น อานาปานสติ 16 ขั้น

คำว่า นั่งคู้บัลลังก์ คือเขาติดคิดว่าจะต้องมีสถานที่ จะต้องมานั่งคู้บัลลังก์แล้วจะต้องมาหลับตาปฏิบัติ ต้องเสียเวลาหาสถานที่ แต่ศาสนาพุทธไม่ต้องเสียเวลาสถานที่อย่างนั้น ทำสมาธิสร้างฌานได้ตลอดเวลา กำลังทำงานทำกรรมใดๆก็สร้างสัมมาสมาธิได้ ในมหาจัตตารีสกสูตร ท่านเรียกอาริโยสัมมาสมาธิด้วย แบบพุทธ ถ้าปฏิบัติแบบอย่างทางโน้นมันเป็นมิจฉาสมาธิ อันนี้เป็นสัมมาสมาธิขั้นอาริยะด้วย จะทำให้บรรลุอาริยธรรมบรรลุโลกุตรธรรม ท่านตรัสไว้ครบใน มหาจัตตารีสกสูตร

หากอ่านพระไตรปิฎกแตก ในสูตร อานาปานสติ ท่านก็ตรัสท้าวความ คนจะมาปฏิบัติธรรมในที่นี้บรรลุอรหันต์ก็มี

สรุปว่าจะนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติ หรือจะทำสัมมาอาชีพ จะพูดจะคิดจะทำอะไร สังกัปปะ ก็ทำ 16 ขั้นนี้ แต่เขาปฏิบัติมานั่งแล้วเป็นเดียรถีย์ ศาสนาพุทธนั้นปฏิบัติอยู่ตลอดได้ทุกเวลา แต่คนจะไปจำกัดที่เสียเวลาหาที่นั่งหลับตาสะกดจิต เป็นการออกนอกรีตด้วย อาตมาตีทิ้ง

แม้ว่าจะหายใจเข้าหายใจออกก็รู้ได้มีสติรู้ แล้วทำจิตให้สงบจากกิเลส กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร รู้จักกิเลสทำให้กิเลสดับไปจิตก็สงบเป็นปัสสัทธิ

เมื่อจิตสงบไป คุณก็ทำจิตให้ อภิปโมทยังจิตตัง อาศัยอยู่

ถ้าไม่เข้าใจธรรมะพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ชัดเจนท่านท้วงว่าอย่างนี้มันผิดแล้วก็มาบอกวิธีของท่าน

ไล่มาตั้งแต่ พระอรหันต์ อนาคามี สกิทาคามี โสดาบัน บรรลุได้ก็อยู่ในการทำการงานอาชีพการกระทำการพูดการคิดทั้งนั้น ในสติปัฏฐาน 4 เจริญพรหมวิหาร 4 เจริญอสุภสัญญา อนิจจสัญญา แล้วไล่อานาปานสติ

การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าอยู่ในโพธิปักขิยธรรม 37

มีสติปัฏฐาน 4 ดำเนินโพธิปักขิยธรรม ทั้งในการยืนเดินนั่งนอนปฏิบัติสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ

ท่านก็ตรัสอย่างนี้ แล้วเขาก็ไปติดเปลือกยึดเอาเปลือกมาเป็นสิ่งถูก เพราะว่าในยุคนี้โลกุตรธรรมมันสูญไปแล้ว ไปยึดถือ กลองอานกะ ชื่อว่าพุทธแต่กลองนี้ไม่มีเนื้อเหลือเชื้อของกลองเก่าเลย พุทธแต่เดิมเลย เป็นเนื้อใหม่ไปทั้งหมดแต่ชื่อเก่า

 

_ธรรมทำ … ได้ติดตามฟังเทศน์ธรรมของพ่อครูท่าน มาถูกจิตถึงใจกับคำว่าอรหันต์จ้อย รู้สึกว่า ช่างตรงกับสภาวะที่ได้ฝึกปฏิบัติ โดยไม่คิดจดจำภาษาวิชาการ ซึ่งมักจะเป็นบาลี แต่คิดว่า แม้นักวิทยาศาสตร์ปราชญ์เอกทุกสาขาในโลก ก็ไม่สามารถเข้าใจ สาระสัจจะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท้าทายมนุษย์ทั้งโลก มาอย่างน้อย 5 พันปี ผมคิดว่าน่าจะทั้งจักรวาลล้านปีก็ไม่สามารถล้มล้างธรรมพุทธได้เลย

ประกอบกันแล้ว เหนือกิเลสกับอยู่ใต้กิเลส ให้คนรวยล้นเหลือ คนจนคนพอเพียงคนจนข้นแค้น ทุกระดับฐานะ ผมคิดว่า ด้วยเหตุผล เราอยู่เหนือความโลภโกรธหลง ผลลัพธ์จะออกมาเป็นความสุขสำราญเบิกบานใจ อบอุ่น สำราญสมัครสมานสามัคคีแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ แบ่งกันได้ ช่วยกันทำงาน ง่ายงามในความคิด ตรงกันข้ามกับอยู่ใต้อำนาจกิเลสความวุ่นวายเสียหายเดือดเนื้อร้อนใจ ความแตกแยกเหน็ดเหนื่อย ทะเลาะเบาะแว้งชิงดีชิงเด่น

พ่อครูว่า...คนบันทึกมาก็ดีแล้วแต่คุณอ่านไม่เก่งให้คนอื่นอ่านดีกว่า คุณสอบตกการอ่าน เขาลุ้นคุณไปจนใจจะขาดแล้ว

 

_ อาตมาตอบของคุณใบฟ้า เสนอแนะมาว่า ควรตัดคำว่า นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง เราจะไปตัดของใครได้อย่างไร พระพุทธเจ้าอธิบายเหตุการณ์ในยุคนั้น แล้วจะไปตัดทิ้งก็ไม่ได้ ต้องเรียนรู้ให้ถูกเท่านั้นเอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน น้ำใจเป็นโลกียะหรือโลกุตระ

_น้ำใจเป็นอริยทรัพย์เป็นโลกุตระทรัพย์หรือไม่

พ่อครูว่า...น้ำใจ ภาษาอังกฤษของไม่มีนะ เราก็ตั้ง water heart น้ำใจไม่มีในภาษาอังกฤษ น้ำใจนี่นะ จะบอกว่าเป็นโลกุตระ มันก็โมเมไม่ได้ จะบอกว่าเป็นโลกียะ ก็คนไทยก็รู้จัก แหม น้ำใจ คือ จิตใจที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีจิตใจที่จะเอื้อเฟื้อเห็นคนทุกข์ก็อยากจะช่วย เห็นคนสุขก็อยากช่วย กรุณาก็ลงมือช่วย ช่วยสำเร็จแล้วก็ยินดีด้วยที่คุณได้ผล ดีแล้วก็วางใจเป็นอุเบกขา นี่คือการอธิบาย อัปปมัญญา 4 พรหมวิหาร 4 ของอาตมา แต่ทางโลกส่วนใหญ่เขาอธิบาย ว่าเห็นคนพ้นทุกข์ ก็คือเมตตา อยากให้เขาพ้นทุกข์ ก็เลยกรุณา อยากให้เขามีสุข ก็มีแต่อยากให้เขาพ้นทุกข์ แล้วกรุณาก็คืออยากให้เขามี แต่ไม่ได้ลงมือช่วยเหลือ แล้วก็ยินดีที่เขาพ้นทุกข์แล้วก็วางเฉยคืออุเบกขา อาตมายืนยันว่าไม่ใช่

กรุณา มาจากรากศัพท์ว่า กรณ คือการกระทำ เห็นเขามีความทุกข์เห็นเขาติดในความสุขโลกีย์ มันก็สุขขัลลิกะ สุข มันเป็นของหลอก มันไม่มีหรอกความสุข ความทุกข์ความสุขมันไม่มีหรอก คนพ้นแล้วก็ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขเป็นสุดยอด นี่คือของศาสนาพุทธ

คุณเอาความสุขโลกียะมาทดแทนมันก็พ้นทุกข์โลกีย์ แต่มันก็ไปติดความสุขเข้าไปเพิ่มอีก ก็คือเพิ่มกิเลสหนาเข้าไปอีก โลกียะ ไม่เข้าใจจุดนี้ก็เลยแก้ไขปัญหาทุกข์อริยสัจไม่ได้ ไม่เข้าใจองค์รวม ไม่เข้าใจกระบวนการสูงสุดของศาสนาพระพุทธเจ้า

 

ถามว่า น้ำใจเป็นอริยทรัพย์เป็นโลกุตระไหม น้ำใจของผู้ที่อยากจะให้พบโลกุตระ ก็เป็นน้ำใจทางโลกุตระ ต้องมีภูมิรู้โลกุตระแล้วก็มีน้ำใจช่วยเขาให้ได้รับโลกุตระ อย่างอาตมานี้มีน้ำใจ พยายามช่วยให้เขามีโลกุตระ คนไม่มีโลกุตระจะวน ดีไม่ดี ซ้ำเติมให้เขาบำเรอกิเลสหนาขึ้น แล้วมันก็เป็นอวิชชา คนที่บำเรอกิเลสแล้วพ้นทุกข์ แล้วเข้าใจว่าตนเองพ้นทุกข์ ไม่ได้เงิน ก็สอนให้หาเงิน แล้วเขาก็พ้นทุกข์ อย่างนี้กิเลสเขาก็ยิ่งจะหนาขึ้น เหมือนอย่างการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เขาจนก็เอาเงินไป เขาก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ไม่ต้องทำอะไรก็แบมือนั่งขอเงิน มันก็จบอย่างนี้ซวยตาย

แก้ปัญหาทุกวันนี้แก้ปัญหาให้คนจนจึงจะสำเร็จ ไปแก้ปัญหาให้คนรวยไม่มีทางสำเร็จ เป็นวัวกินหาง เป็นวัวพันหลักตลอดเวลา จะหาเงินให้คนมีเงิน ไม่ใช่ ต้องให้คนจนและคนรวยรู้ว่าเป็นเรื่องขี้ผงในความจนหรือรวย ต้องมาเป็นคนจนนี่แหละดี เป็นคนรวยเป็นคนซวย

หากเป็นคนจนแล้วเป็นคนมีความสงบสุขสบาย อย่างพวกเราปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าสำเร็จ มาเป็นคนจนได้สำเร็จสุขสบายสำเร็จ

1. ไม่มีหนี้ 2. เลี้ยงตัวเองรอด 3. ทำให้เหลือกินเหลือใช้ 4. เอาไปแจกจ่าย

นี่คือคนจนผู้ยิ่งใหญ่ พวกเรามาทำอย่างนี้ได้จึงกลายเป็นคนจนที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจของตัวเองแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชุมชน หมู่กลุ่มของชาวอโศก ได้สำเร็จ ถึงขั้นสุดยอด เป็นเศรษฐกิจในระดับสาธารณโภคีที่ยิ่งใหญ่กว่าคอมมิวนิสต์ ยิ่งใหญ่กว่าประชาธิปไตย

เพราะว่าเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์เสียภาษี เข้ากองกลาง แต่ว่าในระบบสาธารณโภคีนี้เขาเต็มใจเสียสละให้กองกลาง 100% เสียภาษีให้กองกลาง 100% อันนี้เป็นสุดยอดเลย แก้ปัญหาเศรษฐกิจคือสอนให้คนรู้จักความจนให้จนให้เป็น จะเริ่มมีความสุขมีคุณภาพ จนแต่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างชาวเรา จนอย่างนี้จึงจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จ อาจจะไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยให้คนต้องรวยนั้นเป็นแก้ปัญหาที่ผิด มันเป็นสมบัติผลัดกันชมก็คือดึงกันไปดึงกันมา คนจนกับคนรวยดึงกันไปดึงกันมา คนรวยได้ไปคนจนก็ดึงไป คืนกันไปคืนกัน

โลกไม่มีปัญญารู้เรื่องนี้จบดอกเตอร์มาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แล้วไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยที่มาให้รวย เขาไม่กล้าพูด ว่าจะสอนให้คนจน และเป็นคนจนที่มีเศรษฐกิจสูงสุด สบาย อุดมสมบูรณ์ อย่างที่เรามีตัวอย่างแล้ว ชาวอโศก มีปรากฏการณ์เป็นตัวอย่าง มาเรียนรู้ศึกษา มีทุกอย่างให้ศึกษาเลย เป็นตัวอย่างอย่างดีเลย มาศึกษาได้

อาตมาถึงกล้าพูดได้ว่า ชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจเสร็จจบ ท่านผู้บริหารประเทศ ขออภัยที่พูดใหญ่มาก เชิญมาศึกษาสิเอาวิธีพระพุทธเจ้าขอยืนยันว่าไม่ใช่วิธีของอาตมา เป็นวิธีของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติอย่างนี้ได้อย่างไรก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา (นักรบธรรมว่า โดยมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี )พ่อครูว่า...นั่นเป็นผลแล้ว

หากประเทศไทยเอาวิธีการนี้ไปปฏิบัติ แต่ผู้บริหารต้องทำให้ได้ก่อน อย่างน้อยผู้บริหารมีศีล 5 อย่างน้อยทุกคนเลยประเทศไทยรับรองว่าไปลิ่วเลย แต่นี่ ตำราพระพุทธเจ้าหลักสูตรทฤษฎีพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เขาไม่เอาเลย เมืองไทยเป็นเมืองพุทธแต่ไปเอาตำราจากไหนก็ไม่รู้ไปปฏิบัติเละเทะ สมบัติผลัดกันชม มันไม่เสร็จหรอก เอาของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติจึงจะสำเร็จเหมือนอย่างที่อาตมา พาคนกลุ่มหนึ่งคือคนอโศกมาปฏิบัติสำเร็จแล้วไง เอหิปัสสิโกเชิญมาดูได้ หรือจะใช้คำว่าท้าทายให้มาพิสูจน์ได้

ตอบแล้วนะ น้ำใจ เป็นทั้งโลกียะหรือโลกุตระก็ได้

 

_เคยได้ยินพ่อครูว่า การบริหารด้วยการไม่บริหาร การปกครองด้วยการไม่ปกครอง

พ่อครูว่า...นี่แหละสมบูรณ์แบบ การบริหารโดยไม่ต้องบริหารเพราะทุกคนมีน้ำใจ แล้วก็รู้จักหน้าที่รู้จักสิทธิ รู้จักว่าอยู่ที่นี่มีน้ำใจ พวกเรามีน้ำใจทั้งนั้น เพราะฉะนั้นสิทธิหน้าที่สิ่งที่ควรจะเป็นจะทำมันเห็นใจกันเข้าใจกัน คนนี้ป่วยเจ็บ คนนี้อายุมากแล้ว ให้เราทำแทนเถอะมันมีน้ำใจ มันมีครบเลย มีสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ตรงตามพระพุทธเจ้าสอนหมดจึงเกิด  เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา มันได้หมดทุกอย่างแล้วอาตมาพิสูจน์ธรรมะพุทธเจ้าสมบูรณ์แบบ

 

 

พ่อครูว่า..ทุกคนรู้หน้าที่มีน้ำใจมีพุทธพจน์ 7 อย่ามโนว่า สังคมชาวอโศกบริหารได้อย่างไรไม่ต้องมีอะไรมาก พวกเราก็บริหาร อาตมาก็เป็นหัวหน้าหมู่ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรอาตมาก็ทำ อาตมาอายุมากเข้า เราก็เห็นว่า ให้พ่อท่านพัก มาเอางานไปทำก็ดีแล้ว นี่แหละลงตัวไม่ต้องจำจี้จ้ำไชบังคับกันมากเลยทุกคนก็ทำอย่างพอดี แต่ละวันๆก็สบาย

_โลกุตระได้แล้วได้เลย ใช่ไหมครับ (การลดกิเลสได้) เป็นเครื่องยืนยันว่าเราจะไม่ตกต่ำใช่ไหม

พ่อครูว่า..ใช่แน่นอน ยิ่งโสดาบันแล้ว เป็นสกิทาคามีก็ยิ่งดี ยิ่งกว่าอธิปไตยใด ยิ่งกว่าการยกย่องสรรเสริญใดๆใช่ไหมคะ

จบ….


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:53:23 )

610907

รายละเอียด

610907 คงคลังอยู่ที่สมรรถนะกับความขยัน

พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯ 7 ก.ย. 2561

สมณะเดินดิน :เมื่อกี้พูดถึงสุขภาพพ่อครูเนี่ย อยากตั้งข้อสังเกตว่า อย่างคนสูงอายุนี่ แค่เขาท้องเสีย ผมรู้สึกว่า ในวัดเราเนี่ย ต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ กว่าจะฟื้นกำลังขึ้น แต่พ่อครูช็อกวิกฤตขนาดนี้ ไม่มีเวลา ที่จะฟื้นตัวเองเลย เพราะภาวะท่านป็นผู้นำ ท่านจึงจะต้องเหมือนจะต้องเดินหน้า

พ่อครู : มันเป็นไร มันก็สบายๆไม่ได้ฝืนอะไรนี่

สมณะเดินดิน : แต่ผมรู้สึกว่า ความรู้สึกของพ่อท่าน พ่อท่านยังอยู่กับใจของพ่อท่านอยู่กับความคิดที่จะช่วย มนุษยชาติ แต่พวกเราปัจฉารู้ว่าพ่อท่านเพลีย แต่พ่อท่านบอกว่าเฮ้ย มาดูถูกอาตมายังไงเนี่ยแล้วพ่อท่านก็สามารถทำอย่างงั้นได้จริงๆเนี่ยตอนพ่อท่านเทศน์ ตอนยังไม่ขึ้นเวทีก็รู้ว่าเพลียแต่พอพ่อท่านขึ้นเวทีปุ๊บ ทุกอย่างที่เราคาดการณ์ไว้ ไปคนละเรื่องเลย

คุณนิ่ม : พ่อท่านรักษาด้วยวิธีการ

พ่อครู : พระพุทธเจ้าเข้าทรง

สมณะเดินดิน : ภาวะตรงนี้หมอเขาเป็นห่วง หมอเป็นห่วงว่าพ่อท่านไม่มีตัวสำรอง เพราะว่าไม่มีอะไรสำรอง  งั้นพอมัน  Accident อะไรขึ้นมาปุ๊บ มันวิกฤติทันที ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เวลาวิกฤต

พ่อครู : ก็เอาตัวสำราญมาสำรอง

คุณเจมส์ : เพราะครูยังเป็นลักษณะสำรองด้วยนามธรรม ร่างกายไม่มีสำรอง

สมณะเดินดิน : เอ่อ ร่างกายไม่มีสำรอง

คุณเจมส์ : แต่นามธรรมนี่แข็งแรง

คุณนิ่ม : มีหมออยู่คนนึงที่บอกว่า พ่อท่านใช้พลังงานสำรองล่วงหน้า

พ่อครู : มันมีสำรองนี่ ก็เอาสำราญมาสำรอง สำราญมันคือ เอ็นโดรฟิน ไง มัน fresh up มันไม่ใช่ อดรีนาลีน เอ็นโดรฟิน สำราญ มันไม่ใช่ อดรีนาลีน  มันก็เป็นได้จริงๆ มันก็ fresh up

คุณเจมส์ : เวลาพ่อครูเดินตรวจงาน  ถ้างานไหนมีการเคลื่อน ปุ๊บปั๊บ ๆ รู้สึกมีพลังมาก สลัดได้ตลอด ถ้าวันไหนเงียบๆหงอยๆ ไม่มีก็ดี พ่อครูจะมีแรงเดิน

สมณะเดินดิน : กรณีคนที่มองแง่สุขภาพ เป็นห่วงว่ามันไม่มีสำรองเลย

พ่อครู : บอกแล้วว่ามีสำราญเป็นสำรอง 

คุณนิ่ม : พ่อท่านใช้หลักเศรษฐศาสตร์แม้แต่ทุกเรื่อง มันทำให้ไม่มีสำรอง

พ่อครู : มันซ้อนกัน มันทำให้เนียนสนิท ซ้อนๆ ๆ ๆ ๆ กัน

คุณนิ่ม : สะพัดหมด

สมณะเดินดิน : ใช่ สะพัดหมด

พ่อครู : นี่แหละ  เศรษฐกิจที่เยี่ยมยอดที่สุด  ไม่ต้องมีคงคลังอะไรหรอก  คงคลังเราอยู่ที่ไหน อยู่ที่สมรรถนะและความสามารถ อยู่ที่ความขยันและสมรรถนะ พอหมดปั๊บ ลุยมา ปึบๆๆๆ ความขยันกับสมรรถนะสร้างขึ้นมาทันกิน

คุณนิ่ม : งั้นต้องแบ่งน้ำกับเกลือไปทุกที

สมณะดินไท : แล้วสูตรที่บอกว่า เรามี 100  ให้เราใช้  70

สมณะแสนดิน : สำหรับเสขบุคคล

พ่อครู : มุทุภูตธาตุไม่พอ มุทุภูตธาตุเร็ว เร็วกว่าแสงเยอะ มุทุภูตธาตุเร็ว เพราะฉะนั้น ปุ๊บๆๆๆๆๆ mcกำลัง 2 ผั๊วๆ ๆ ๆ เลย

 

ถอดข้อความโดย  อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:54:30 )

610907

รายละเอียด

610907_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ฉลอง 4 รอบนักษัตรโพธิกิจ  7 รอบนักษัตรสมณะโพธิรักษ์

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1WVz3b9avdppQiSGmNFYj2-8nQ3MArbGiXIoyH5l_uug/edit?usp=sharing 

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1FEtrlncV7iLHcoEsxhLVkCGOQ0H4xbDc

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก การเมืองยุค คสช.สงบเรียบร้อยดี แต่เมื่อใกล้เลือกตั้ง พวกที่กดข่มไว้ก็แสดงตัวออกมา แต่ก็มีรัฐมนตรีคนหนึ่ง อยากจะช่วยให้เมืองไทยปลอดจากสารพิษ ประกันด้วยชีวิตเลย ก็เลยมีข่าวว่าเขาจะถูกปลดหรือเปล่าหนอ

สังคมชาวอโศกเป็น สังคมที่ดีที่สุดในโลกในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจสังคมการเมือง อยู่กันอย่างเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน ประกาศงานฉลอง 4 รอบนักษัตรโพธิกิจ 7 รอบนักษัตรสมณะโพธิรักษ์

พ่อครูว่า...มาเริ่มกันที่โฆษณางานของชาวอโศกก่อน

งานฉลอง 4 รอบนักษัตรโพธิกิจ 7 รอบนักษัตรสมณะโพธิรักษ์ เลข 4 กับเลข 7 เป็นเลขแห่ง Coefficient

เลข 4 เป็นเลขที่ต้องแหวกวัฏฏะวงวนของ 1 2 3 เป็นสมดุลของวัฏฏะ แม้แต่อยู่ในนิวเคลียส มันก็มีบวกมีลบ แล้วก็มีความสมดุลของบวกลบ สำหรับอุตุนิยามที่ไม่มีประธาน แต่ถ้าเผื่อว่าเป็น พีชนิยาม เป็นประธาน แต่ เป็นประธานที่ยังไม่ดิ้นรนที่จะเพิ่ม Coefficient ของมันเองออกมาได้ มันจะออกมาได้เองตามธรรมชาติ คือมันจะออกได้ต่อเมื่อมันเพิ่มๆๆ พลังงานจนกว่าพลังงานมันจะเต็ม เหมือนลักษณะของ protoplasm แล้วมี cytoplasm ตัวที่ cytoplasm แตกตัวเพิ่มจน protoplasm ทนไม่ได้ก็จะแตก cytoplasm ก็จะแยกออกมาจาก protoplasm อันนี้ ไบโอโลจี เขาก็พอรู้แต่ไม่ชัดเจนเหมือนศาสนาพุทธ

ศาสนาพุทธสามารถสร้าง Coefficient เองได้แต่ธรรมชาติไม่สามารถสร้างCoefficient  เองได้ ต้องเป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติ แต่ของพุทธ สามารถเพิ่มพลังงานได้ทับทวี ปฏิภาคทวีได้ จึงก้าวหน้าได้เพิ่มกว่าธรรมชาติ นอกจากก้าวหน้าได้แล้วจะมีหรือไม่มีก็ยังได้อีก เหนือกว่าธรรมชาติอย่างนี้ แต่ว่าธรรมชาติสามารถไม่มีได้ สุดท้ายเกิดขึ้นตั้งอยู่และเสื่อมไปได้ แต่ยกเว้น จิตนิยามเสื่อมไม่ได้ เสื่อมได้แต่ตีไม่แตก วนอยู่อย่างนั้น มีที่สุด 0 ไม่ได้ จบสิ้นเลิกจิตนิยามยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นสายเทวนิยม ถึงได้จำนวนอยู่ที่นิรันดร

พระเจ้าเป็นจิตวิญญาณนิรันดรเขาไม่มีทางเป็นปรินิพพานจบได้ เขาจะไม่สามารถทำให้จิตรวมลงเป็นหนึ่ง เป็นเอกธรรมแท้จริงได้ จะต้องเป็น 2 แต่เขาก็ไม่รู้ว่า 2 คืออะไร จนฝั้นเฝือใช้พยัญชนะ เทวะ เป็นคำนาม เทวตา เทวดา เป็นพยัญชนะขึ้นมา เขาก็เป็นเทวะนิรันดร ปรมาตมันสูงสุด แต่ไม่มีสูญ ศาสนาเทวนิยมไม่มีปรินิพพาน ศาสนาพุทธมีปรินิพพาน แม้ที่สุดปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้เลย

  1. นิพพาน
  2. ปรินิพพาน
  3. ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

พวกเราชาวอโศกฟังเข้าใจ พวกเรามีสภาวะรองรับ แม้แต่อบายมุข พวกเราก็นิพพานได้ ปรินิพพานได้ จะปรินิพพานเป็นปริโยสานคุณก็จะรู้เอง จะเวียนกลับหรือไม่? บางคน ผ่านไปตั้ง 10 ปี 20 ปี แว๊บมาได้ คุณก็จะรู้ แต่คนที่แน่ชัดอยู่แล้ว แวบๆนี่อย่ามาหลอกเลย พวกนี้ไม่กลัวผีหลอกแล้ว พวกที่เที่ยงแท้แน่นอนไม่กลัวผีหลอก ผีไปหลอกคนอื่นได้อย่ามาหลอกเราเลย หลอกพุทธ อเทวนิยมไม่ได้ หลอกไม่ได้

 

ก่อนจะได้ต่อถึงธรรมะ มันขึ้นธรรมะทีไร เป็นโลกุตระติดลมบนเลย ถ้าเป็นนักเล่นว่าวก็ขึ้นติดลมอย่างรวดเร็วลงไม่ค่อยได้ง่ายๆ

 

อังคารเป็นวันเกิดอาตมาวันที่ 5

วันอังคารพุธพฤหัสศุกร์เสาร์ ฉลอง 5 วัน ที่บันทึกไว้ในปฏิทิน เร่ิมวันที่ 5 และไม่ถึงห้าวัน ที่ศาลีอโศกด้วย แต่ตอนนี้แก้ปฏิทิน ประจำปีนะ งานนี้ขอแก้ ว่า

เป็นวันที่ 6 พฤศจิกายนถึง 10 พฤศจิกายน 2561

ฉลอง 48 ปีโพธิกิจ ฉลอง 84 ปีสมณะโพธิรักษ์

ฉลอง 4 รอบนักษัตรโพธิกิจ  7 รอบนักษัตรสมณะโพธิรักษ์

4 เป็น Coefficient ของ 3 ส่วน 7 เป็น Coefficient ของ 6

เป็นเลขที่แตกจากเส้าต่างๆ ตรีสดมภ์

ณ อาคารบวร คราวนี้พิสูจน์สิว่าชาวอโศกจะมากี่หน้ากี่ตา ถ้าหน้าหนึ่งจะมาหนึ่งตัวมัวหนึ่งตา  มาสองตัวมัวสองตา จะมาสักกี่หน้าจะเห็นสักกี่ตา คนไหนมาหนึ่งหน้าก็ตาสองตา ดูสิว่าจะมากี่หน้าจะได้กี่ตา

ณ บวร ราชธานีอโศก เราถือว่าเมืองหลวง ก็ใกล้เบญจเพศ ใกล้ 25 ปีที่สร้างมา พ.ศ. 2562 ก็ครบ 25 ปี สร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2537 + 25 =62

ก็มาฉลองรับปี 62 จากพฤศจิกายนอีกสองเดือนก็ 62

อาตมาสมณะโพธิรักษ์

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ศูนย์รวมดวงใจ ศูนย์รวมศรัทธาของชาวของผู้ไม่เคยหยุดอยู่ผู้นำที่กำชัย พาหมู่มวลสะสมชัยชนะเหนือกิเลสรายทาง ด้วยอาวุธ คือปัญญา ด้วยทางแห่งศีล ที่เป็นกุศโลบาย ขัดเกลาตนเป็นหมู่เป็นมวลทั้งในรูปแบบของบวรที่มาอยู่รวมกัน หรือมีกิจกรรมร่วมกัน ภายใต้ร่มแห่งบุญนิยม ทั้ง 12 ด้าน

บวร ราชธานีอโศกเป็นเจ้าของสถานที่จัดงานมหาปวารณาครั้งนี้เป็นครั้งสำคัญ ก็ขอเรียนแจ้งทุกท่านทราบว่า สถานที่จัดงาน คือเฮือน บวร หรืออาคาร บวร ทุกตารางนิ้วทั้ง 11 ไร่ ใช้จัดนิทรรศการ เรียกว่า นิทรรศการวิถีชีวิตจริง ไม่ใช่นิทรรศการอยู่กับที่ เป็นนิทรรศการเคลื่อนไหวได้มีลมหายใจมีชีวิต เป็นนิทรรศการชีวิตจริงของทุกบวร ทั้งสังฆสถาน อาวาสถานด้วย ตลอดจน ข่ายแห หรือเครือแห ต่างๆ ของเรา ที่ยังไม่ได้เป็นบวร ทีเดียว แม้แต่ส่วนบุคคล ก็เชิญ

วันที่ 6-10 พฤศจิกายนนี้ เอาหน้ามา คนที่แม้ว่าตาบอดข้างเดียวก็มา ส่วนใหญ่ก็มีสองตา เอาหน้ามาเลย แต่ละคนจะได้คนละสองตา

เป้าหมายคือการสะท้อนผลงานมีชีวิต ของคนของมนุษยชาติ ศิลปะทุกชิ้น ทุกดวงวิญญาณ ที่พ่อครูสร้างสรร ขึ้นมาเป็นศิลปิน พวกเราคือศิลปินตัวจริง เพราะพวกเราทำงานสร้างงานขึ้นมาเป็นมงคลอันอุดม ไม่ได้เป็นข้าศึกแก่กุศล งานที่เราทำขึ้นมาแต่ละคนเป็นงานศิลปะ เพราะงานของพวกเรานี้ นำพาไปสู่อุตมะหรืออุตระ หรือโลกุตรธรรม พวกเรา จึงเป็นศิลปินที่ ทางด้านทุนนิยมก็เป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นศิลปินของพวกเราเอง พวกเราถือว่าเป็นศิลปะโลกุตระ

พ่อครู เป็นผู้สร้างสรรยอดศิลปินต่างๆ ศิลปินตัวจ้อยหรือต่างๆ ตลอด 48 พรรษาแห่งโพธิกิจ ทั้งบนเวทีแสดง ก็มีเวลาจำกัดให้เจ้าละ 20 นาที การแสดงบนเวที อย่าลืมนะว่าเวทีที่นี่กว้างใหญ่มาก หากคนแสดง 3 คน 5 คนรับรอง จ๋อย วิ่งกันตับแลบเลยเวทีกว้างใหญ่ก็เอาพอสมควร บนเวทีมีการแสดงวิถีชีวิต การแสดงนี้จะแสดงถึงวิถีชีวิตต่างๆ คุณเป็นศิลปินก็ create ออกมา สร้างออกมา ปรุงแต่งออกมา จะให้ออกมาอย่างไรสื่อออกมาอย่างไร จะสื่อในเชิงอะไร การแสดงละคร ลีลาต่างๆแล้วแต่ ก็เท่าที่กำหนดให้ เป็นวิถีชีวิตอยู่ร่วมกัน

ที่นี่เราก็มีนิทรรศการของแห้งก็มี แต่ของเราจะเอาอะไรมาผสม สิ่งที่ไม่ใช่ชีวิตจริง แต่เป็นของที่เป็นหลักฐาน เป็นของเก่าเป็นอะไรที่เป็นหลักฐานอ้างอิงเสริมให้คนชัดเจนว่ามีสิ่งแสดงอ้างอิงได้ เกี่ยวกับโลกุตรธรรม ก็เอามารวบรวมกันได้

ส่วนตัวบุคคลก็มีพฤติกรรมพฤติบทจริง 5 วัน 4 คืน หาตัวตนของชาวอโศกที่มีเรามาให้พ่อครูดู ขณะที่ยังมีชีวิต ยังมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มา มื้อนี้แล้วมื่อใด๋จะมาหนอ

ทีนี้ก็มาเขาสู่ sms ก่อน

 

SMS 6 กันยายน 2561 (สำมะปี๋ ซีวิต)

 

_3867 พ่อครูเคยสอนพลังทางจิตแต่ไม่ทิ้งกายเป็นพลังงานอัตราก้าวหน้าระดับคูณยกกำลังเป็นพลังธ.สัมประสิทธิ์?กบสิ้นโศก

 

_1025 จากหนังสือคนคืออะไร หน้า 350 พระพุทธองค์ท่านสร้างทางเดินไว้ให้เราแล้ว เป็นทางเอก ทางเดียวที่จะขึ้นที่สูงคือต้องละกาม หน่ายกามให้ได้นั่นเอง เป็นลำดับๆไปจนหมดได้เด็ดขาดเมื่อใด ท่านก็ได้ชื่อว่าผู้อยู่สูงพ้นธุลีทุกข์(จากกาม)ได้ทันที จากเหตุแห่งกามสารพัดไปแต่ละเรื่องแต่ละสาเหตุ เป็นนิพพานย่อยๆไปเรื่อยๆกระทั่งพ้นสังโยชน์ 5 เบื้องต้น ถือว่าหมดกามราคะสังโยชน์ หมดโลภะ โทสะ โมหะ เบื้องต้น สิ้นอาสวะเบื้องต้น ยังเหลือสังโยชน์ 5 เบื้องสูง ซึ่งเจ้านี่แหละที่เป็นกิเลสรากฐานใหญ่ของคน คือ อัตตา- มานะ-ทิฏฐิ-อุทธัจจะ กิเลสพวกนี้มีในคนตั้งแต่คนตั้งแต่ยังไม่ได้ละกามเบื้องต่ำมาด้วยซ้ำ อยากถามพ่อท่านว่าจะทราบได้อย่างไรว่าการปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ตามลำดับของแต่ละคน

พ่อครูว่า…อะไรเป็นรากกันแน่? นี่คือสภาวะเราจะฟังแล้วคนมีจะเข้าใจไม่สับสน แต่คนไม่มีสภาวะจะสับสน อะไรเป็นหัวเป็นท้ายกันแน่?

คุณถามมาอธิบายพยัญชนะนี้ดี แล้วคุณจะรู้ว่าเบื้องต้นหรือที่สูงที่คุณยังไม่ได้ล้างมันคือที่เตี้ยต่ำติดลึกของคุณนั่นเอง กลับไปกลับมา สิริมหามายา เดี๋ยวต่ำเดี๋ยวสูง พยัญชนะกลับไปกลับมาได้แต่สภาวะจะไม่สับสนถูกต้อง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน หลวงปู่สายนั่งหลับตาบรรลุธรรมขั้นไหน

_8130 หลวงปูทุกรูปที่ดังๆฝึกนั่งเจโตสมาธิหลับตาท่านได้บรรลุธรรมถึงขั้นไหนคะใน 4 ขั้น(โสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์)

พ่อครูว่า…ตอบ ตั้งหลักดีๆนะ หลวงปู่ทั้งหลายแหล่นั้น มีที่อาตมาพอรู้ได้ มีบรรลุโสดาบันบ้างไม่กี่รูป นอกนั้น ยังไม่บรรลุ แม้แต่โสดาบัน แต่เขายกเป็นอรหันต์เก๊กันเต็มไปหมด ตามที่บันทึกกันมา มีบ้างสายสมถะลืมตากับสายสมถะหลับตา ที่ยังมีสัมมาทิฏฐิบ้าง ตามภูมิปัญญาของตัวเองที่ได้รู้ว่า ท่านเข้ากระแส ไม่ออกจากพุทธแล้ว แต่ท่านก็ได้เพียงแค่โสดาปฏิมรรคเพียงส่วนใหญ่ โสดาปัตติผลก็ยังไม่เต็ม ไม่ว่าจะเป็นสายหลับตาแท้ หลับตาแท้ยังมีหลับอย่างอภัสสรากับสุภกิณหา ดับสว่างคือธรรมกาย ดับดำคือสายอาจารย์มั่น

ท่านพุทธทาสเอาทั้งหลับตาหรือลืมตา แต่เอาลืมตามากกว่าหลับตา เป็นสายธัมมานุสารีไม่ใช่สัทธานุสารีทีเดียว

ตอบอีกที หลวงปู่นั้นไม่เคยมีใครเจริญกว่าโสดาบันสมบูรณ์แบบ จะมี overlap ไปบ้างแต่ พระโสดาบันต้องมีปัญญาจิตต้องรู้จักจิตเจตสิกแล้ว ต้องไล่ขั้นได้ อย่างน้อยก็หมดสังโยชน์ 3 หรือไม่ก็สังโยชน์ 5 เบื้องสูง โสดาบันยังไม่บังอาจแน่นอน จะรู้ได้ก็ โอรัมภาคียะสังโยชน์ 3 หรือ 5 บ้าง แต่ต้องรู้ 3ให้เป็น

คำว่า สักกายทิฏฐิ คำว่ากาย สัมมาทิฏฐิหรือยัง ไปคุยกันดู กายยังไม่เกิดสัมมาทิฏฐิแล้วจะไปเกิดเป็นโสดาบันได้อย่างไร ไม่ต้องถามถึงวิจิกิจฉา เพราะเจ้าตัวต้องพ้นวิจิกิจฉา กายนี่ชัดเจนรับรองถูกต้อง ตรวจสอบกับสัตบุรุษผู้รู้ตรวจให้ จึงจะสามารถเป็นไปได้

สมณะฟ้าไทว่า...ตัวท่านจะรู้หรือไม่

พ่อครูว่า..ตัวท่านต้องรู้สิ ต้องรู้ของตัวเองจึงจะเป็นพระโสดาบัน ถ้ายังไม่รู้ปัญญาจะไม่เกิด หากยังไม่เต็มโสดาปัตติผลก็ไม่รู้ จะไล่เลียงเวทนา 108 ไม่ได้ ไม่รู้ในโลกียกับโลกุตระ

ขออภัยท่านเป็นภันเต ก็ต้องกราบขอคารวะที่ไปวิจัยวิจารณ์ท่าน เป็นวิชาการไม่ได้ไปพูดเบ่งข่มยกตนข่มท่าน อาตมาไม่มีกิเลสจะไปยกตนข่มท่าน เพราะเข้าใจเรื่องของคารวะ คุรุกรณะดี อาตมาก็มีสัมมาคารวะ ไม่มีอัตตาดื้อด้านดึงดัน ถ้ายังไม่ตายก็แบกตำรามาพูดกันได้เลย ขออภัยพูดใหญ่เหมือนน่าหมั่นไส้

 

_รักนะ เดอะโซปเมคเกอร์ · วิธีรับลูกสายโลภะที่มาจากโทสะที่ดีที่สุดคือยังไงคะแบบลืมตาโพลงๆนะคะไม่แบบหนีปัญหา

พ่อครูว่า…สายโลภะแสดงออกโลภะ แต่ก้นบึ้งโทสะ จะรับลูกคนๆนี้ คนตระกูลโทสะ แต่แสดงออกโลภะ จะรับลูกให้ดีอย่างไรแบบลืมตาไม่มีปัญหาด้วย มีเงื่อนไขน่าดูเหมือนกัน มีคนตอบแทนอาตมาคือพาไปหาสมณะ ผู้ที่คุณเชื่อว่าจะช่วยได้ หรือแม้แต่ฆราวาสคนนี้ปราบอยู่ก็ได้ ตอบได้แล้ว เมื่อยเลย

 

_ถนอม · ชมอยู่ต่างประเทศไต้หวันเดี๋ยวนี้ทีวีไลน์สดกำลังฮิต ทางบุญนิยมทีวีไม่ธรรมดาจริงๆๆ ครับน่าชื่นชม เหมือนได้อยู่ใกล้พ่อครูเลย

 

_ฌาน ชริสา ...ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านยังตกเป็นทาสของอาหารระดับกามภพ? ง่ายมาก เขาตอบเองมาให้อาตมาตรวจแก้ เวลามีเทศกาลโรงบุญตลาดอาริยะ มันขายถูกด้วยชามละ 1 บาท โพสต์นี้เป็นธรรมทานสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมอโศกวงใน หากท่านที่เป็นเพื่อน Facebook ของฌาน ชริสา ก็ขออนุโมทนาสาธุอย่างยิ่ง

ถ้าท่านเดินเที่ยวหาอาหารอร่อยเส้นก๋วยเตี๋ยว ข้าวคลุกกะปิ ราดหน้า น้ำแข็งน้ำหวาน ฯลฯ ถ้าท่านไม่เดินหากิน แต่ว่า ช่วง เทศกาลเหล่านี้อาหารจะถูกนำมาถวายบนศาลา เป็นจำนวนมาก อาหารเลื่อนผ่านท่านไป แล้วท่านปฏิบัติอย่างไรกับอาหารนั้น นั่นคือสิ่งที่ท่านจะต้องอ่านรู้เวทนาตัวเอง ว่าท่านอยู่ในระดับใด

หากว่าท่านอยู่ในระดับกามภพก็จะไม่พ้นไปจะต้องนำสิ่งเหล่านั้นมาบริโภคแล้วๆเล่าๆ ท่านเองเป็นผู้เรียนรู้ความอยากกินในอาหารอันประณีตเหล่านั้น อาหารที่โลกรับรู้กันว่าเป็นอาหารเลิศรส รสอร่อย ว่าท่านอยู่ในระดับกามภพหรือไม่ ท่านจึงจะปฏิบัติตนอย่างไรให้พ้นจากเรื่องกามภพคืออาหาร ท่านเคยฉุกคิดบ้านหรือไม่ว่าทำไมท่านต้องแสวงอาหารเหล่านั้นกิน โดยที่ท่านกินข้าวกับ ต้ม ผัดผักเรียบง่ายก็ได้แล้ว ที่ทางโรงครัวเขาจัดไว้ ฌาน ไปเที่ยวหาอาหารเหล่านี้มาเพื่อสามีกับลูกเท่านั้น ถ้าเป็นอาหารอร่อยปรุงแต่งรสชาติจัดจ้านที่โลกเขาสมมุติว่าเป็นของอร่อย หรือแม้กระทั่ง ถ้าฌานเลื่อนอาหารบนศาลาเจออาหารอะไรก็จะตักอาหารไปเผื่อสามีหรือลูก ถ้าหากไม่ได้อยู่บ้าน ทำอาหารธรรมชาติทานเองขึ้นศาลา เลื่อนอาหารร่วมกับเพื่อนๆ ฌานจะเลือกเฟ้น สิ่งที่ปรุงแต่งน้อยที่สุดมาบริโภค

หากฌานทำเอง ก็จะใช้วัตถุดิบปรุงแต่งเพียง 3 อย่างคือ เกลือ... ไม่ใช้ซีอิ๊วขาวผงปรุงรสอื่นๆเลย หากท่านยังมีพฤติกรรมแบบนี้ท่านยังตกอยู่ในกิเลสระดับกามภพ ท่านยังไม่พ้นกามภพ ระดับอาหารเลย ท่านจึงต้องมาหยุดบริโภคอาหารเหล่านั้นในขณะที่ท่าน สัมผัสในโรงบุญ ตลาดอาริยะ ท่านต้องมีสติ ควบคุมอินทรีย์ 6 ในทันทีที่ท่านผัสสะ กับอาหารในโลกที่มีมากมายที่โลกเขาสมมุติว่าอร่อย ท่านต้องอ่านรู้เวทนา (เกิดจากความรู้สึกชอบ )เกิดขึ้นในจิตท่านหรือไม่ อันดับแรกท่านก็กดข่มไม่ให้เกิดอาการเหล่านั้น จากนั้นก็พิจารณา ถึงโทษภัยของอาหารเหล่านั้น ทำลายสุขภาพเรา ท่านต้องพิจารณาในขณะปัจจุบัน ขณะผัสสะเกิด ท่านก็ต้องเกิดกิเลสความชอบ ด้วยวิธีสมถะและวิปัสสนาร่วมกันไป ท่านทำได้ 1 ครั้งก็สำเร็จ 1 ครั้ง หากกิเลสมีร้อยส่วน อาจปหานมันได้สัก 10 ส่วน การปฏิบัติพุทธวิธี จึงเป็นการปฏิบัติในขณะกิเลสเกิดในปัจจุบันเท่านั้น หากดับกิเลสระดับกามภพไม่ได้ จะปฏิบัติรูปภพ อรูปภพ ไม่ได้เลย มันจะลักลั่นข้ามขั้น สุดท้ายท่านก็จะเวียนกลับมาเสพอาหารอร่อยเช่นเดิม เรื่องของอาหารเป็นเรื่องการปฏิบัติที่ไม่ผิด เป็นการปฏิบัติที่ยากที่สุด จึงต้องปฏิบัติไปตามลำดับตั้งแต่เบื้องแรกเลย คือระดับกามภพ จากนั้นจึงดับ รูปภพ อรูปภพ อีก ปฏิบัติได้แล้วจึงจะไม่เวียนกลับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย หากข้ามขั้นมันจะตีกลับไปแรงกว่าเดิม การกดข่ม ถึงไม่ถาวรเที่ยงแท้หากวิปัสสนารู้เห็นความจริงตามความเป็นจริงในขณะมีกิเลสเป็นปัจจุบันทำลายกิเลสได้จึงจะเป็นการปฏิบัติวิปัสสนาแบบพุทธวิธี ตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าและพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ผู้กินอร่อยตามใจปากจึงไม่สามารถปฏิบัติข้ามกามภพได้เลย ...ฌาน ชริศรา แสงแก้ว รัตนวีนา 7 ก.ย. 2561

พ่อครูว่า...ก็ดี มีรายละเอียด

 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…

สิกขมาตุรินฟ้า…

สมณะเดินดิน...

สมณะแสนดิน…

พ่อครูว่า...ในหลวงท่านมีสัปปุริสลักษณะที่เด่น ใครเขียนอย่างไรก็รู้ว่าเป็นในหลวง แต่ของโพธิรักษ์นี้ ใครเขียนอย่างไรก็ไม่เห็นว่าเป็นโพธิรักษ์ อันนี้อาตมาสังเกตจริง คนที่พยายามเขียนรูปอาตมาปั้นรูปอาตมาจนกระทั่งบัดนี้ ทำไม่เหมือนไม่เก่ง อย่างที่ภูฟ้าผาธรรม พยายามที่สุด แต่ไม่เหมือน เอาล่ะพอ

 

ทีนี้ ขยายความ งานมหาปวารณาอีกหน่อย

กิจกรรมการแสดงในงานมหาปวารณา ครั้งที่ 36 ปี 2561 ฉลอง 48 ปีโพธิกิจ 84 พรรษา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์

 

ส่วนของการแสดงของแต่ละชุมชนหรือแต่ละหมู่กลุ่มชาวอโศก

 

1. Reality show บนเวที

โดยให้แต่ละชุมชน มาร่วมกันระดมสมองในชุมชนของตน ว่าแต่ละที่ของเรามีจุดเด่นจุดด้อยในเรื่องอะไร แล้วจะมีการแก้ปัญหาหรือว่ามีพัฒนาการในเรื่องอะไร แล้วให้มีข้อปฏิบัติร่วมกันนับตั้งแต่วันที่ได้ข้อยุติกันแล้วเป็นต้นไป เพื่อจะได้มานำเสนอเป็น Reality show คือการแสดงที่มีเนื้อหาเป็นเรื่องจริง เพื่อที่จะได้มานำเสนอหรือนำแสดงในงาน

ชาวอโศกเราทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง เอาพฤติกรรมจริงของมาแสดง แต่คนเขาหาว่าอวดตัวตน แต่เราไม่มีตัวตนหรือว่าตัวตน น้อยคนมีบ้างก็ลดละไป แต่อาตมาเป็นคนไม่มีตัวตน สิ่งที่จริงใจสะอาดบริสุทธิ์ก็เอามาแสดง

โดยปีนี้เราจะลดการแสดงทั่วๆไป แต่จะให้เป็น Reality show เป็นวิถีชีวิตจริงๆ ของเราที่น่าจะได้มานำเสนอให้กับหมู่กลุ่มได้รับรู้กัน วิธีการนำเสนอก็แล้วแต่จะนำเสนอ เช่นเป็นเพลงฉ่อย เป็นละคร ก็แล้วแต่แต่ละชุมชนแต่ละกลุ่มจะนำเสนอ ให้เวลา ชุมชนละ 20 นาที บนเวที

ให้แจ้งมาที่ผู้จัดงานก่อนมาแสดง

 

      2. นิทรรศการมีชีวิต

โดยให้แต่ละชุมชนช่วยกันมองว่า แต่ละชุมชนมีเรื่องเด่นอะไรที่น่าจะได้มานำเสนอ เป็นต้นว่า จุดเด่นของบ้านราชฯก็คือกสิกรรม จุดเด่นของสันติอโศกก็คือ สขจ. จุดเด่นของปฐมอโศกก็คือโรงปุ๋ยและพาณิชย์ เป็นต้น หรืออาจจะไม่ใช่ตามนี้ก็ได้

ให้แต่ละที่ไประดมสมองกันมาแสดงในอาคารบวร 11 ไร่ มารวมกันอยู่ในอาคาร บวรให้ได้มากที่สุด (ต้องมีองค์ประกอบของวิถีชีวิตจริงของแต่ละชุมชนมาแสดง ถ้าเป็นของแห้ง ก็จะไม่มีใครมาดู) ซึ่งพ่อครูอยากจะรู้ว่า งานมหาปวารณาครั้งนี้ ญาติธรรมจะมากันเต็มอาคารบวรหรือไม่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐกิจสุดยอดของพุทธ

พ่อครูว่า...มาดูบทความ..ของคุณสิริอัญญา

เรื่อง ยุทธศาสตร์เกษตรอุตสาหกรรม

ยุทธศาสตร์เกษตรอุตสาหกรรมก็คือยุทธศาสตร์การผลิตภาคเกษตรให้เป็นแบบอุตสาหกรรมและการแปรรูปผลิตผลภาคเกษตรให้เป็นแบบอุตสาหกรรม รวมถึงการจัดกระบวนการทางการตลาดที่มีการจำหน่ายอย่างทั่วถึง ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะกระบวนการพัฒนาหีบห่อ หรือแพ็กเกจจิ้ง และเครือข่ายการจัดส่งด้วย

 

ก็ต้องกล่าวว่า ยุทธศาสตร์เกษตรอุตสาหกรรมนี้ถูกทอดทิ้งไร้การเหลียวแลตลอดมาตั้งแต่สิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

 

ยุทธศาสตร์เกษตรอุตสาหกรรมเป็น 1 ใน 2 ยุทธศาสตร์หลัก ในสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้เริ่มต้น และริเริ่มให้มีอุตสาหกรรมการเกษตรในขณะที่ยุคนั้นประเทศไทยยังอยู่ในยุคเกษตรกรรมตามธรรมชาติ

 

ทำให้ประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้ายิ่งกว่าประเทศใดๆ ในภูมิภาคนี้ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองมีความมั่งคั่ง มีงบประมาณเหลือใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ โดยไม่มีหนี้สาธารณะ และไม่เป็นหนี้สินต่อชาติอื่น

 

จึงไม่มีชาติใดอาศัยฐานะเจ้าหนี้มากดขี่ข่มเหงบังคับ หรือวางข้อกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้กับประเทศไทยหรือใช้บังคับกับคนไทย

 

ความเจริญรุ่งเรืองแห่งยุคสมัยทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าขายกับหลายประเทศ รวมทั้งจีน ญี่ปุ่น และยุโรปค่าเงินบาทแข็งแกร่ง ธนบัตรไทยมีความเป็นสากล

 

ค่าเงินบาท 1 บาท เท่ากับ 2 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือ 12 เหรียญสิงคโปร์

 

ธนบัตรไทยได้ใช้กันทั่วไปตลอดทั้งสุวรรณภูมิ รวมทั้งบางประเทศในตะวันออกกลางโดยเฉพาะเปอร์เซีย แม้กระทั้งจีนและญี่ปุ่นด้วย

 

ดังนั้นธนบัตรไทยจึงมีข้อความเป็นหลายภาษา เพื่อความเป็นสากลและเพื่อความสะดวกแก่ชนชาวต่างชาติทั้งหลายที่ทำมาค้าขายติดต่อท่องเที่ยวกับประเทศไทย จะได้รู้จักว่าเป็นเงินบาทของราชอาณาจักรไทย และมีมูลค่าเป็นเงินเท่าใด โดยไม่ต้องนึกเดาสุ่มกันเอาเอง

 

น่าเสียดายที่หลังสิ้นรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 แล้ว ยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าวนี้ ได้ชะงักกันไป ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 มาถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่ง มีการเริ่มทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ในสมัยรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์

 

จัดทำขึ้นโดยนักเรียนนอกคณะหนึ่ง ซึ่งไม่รู้จักประเทศไทย และอาศัยจากตำราของฝรั่งมาทำการจึงเปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติไปเป็นแบบอุตสาหกรรม ถือเอาความเติบโตของอุตสาหกรรมของต่างชาติเป็นผลประโยชน์ของชาติ แล้วหลอกลวงคนไทยว่าเป็นตัวเลข GDP หรือรายได้เฉลี่ยของคนไทย ทั้งๆ ที่ไม่มีใครได้รับส่วนแบ่งหรือผลประโยชน์เลย

 

นับแต่บัดนั้น ประเทศไทยก็เดินลงเหว มีภาระหนี้สินเพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง การดำรงอยู่ของเศรษฐกิจของประเทศ ต้องอาศัยจมูกต่างชาติหายใจ เพียงแค่เขาอุดจมูกนิดหนึ่งก็จะเป็นจะตายกันทั้งประเทศ รายจ่ายของประเทศจากการนำเข้าน้ำมันเพื่อให้อุตสาหกรรมรถยนต์ล้างผลาญเป็นรายจ่ายอันดับหนึ่งของประเทศ โดยที่ไม่มีรายได้จากภาคใดมาทดแทนอย่างเพียงพอค่าเงินบาทอยู่ในเงื้อมมือของชาวต่างชาติ (พ่อครูเสริมว่า ถ้าชาวอโศกมีรถกันทุกบ้าน ก็ต้องเป็นทาสของนายทุนน้ำมันแน่นอน) ราวกับตกเป็นทาสสกุลเงินอื่น จะแข็งจะอ่อนจะขึ้นจะลง ล้วนขึ้นกับการกำหนดของต่างชาติ เขาหมั่นไส้ขึ้นมาก็ปล้นค่าเงินบาทจนเกือบสิ้นชาติให้เห็นมาแล้ว ก็หามีใครสำนึกไม่

 

รายได้จากภาคเกษตรรวมกันมีอัตราส่วนเพียง 18% และเป็น18% ของรายได้ของประเทศที่ต่อหล่อเลี้ยงประชากรร่วม 50 ล้านคน เทียบไม่ได้กับรายได้ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติ ที่มีคนแค่หยิบมือเดียวเป็นเจ้าของและรับประโยชน์ ดังนั้นนับวันความเหลื่อมล้ำจึงขยายตัวรุนแรงจนแก้ไม่ตก สักวันหนึ่งอาจจะนำไปสู่การปฏิวัติใหญ่แบบที่เคยเกิดขึ้นในรัสเซียและจีนมาแล้ว

 

เพราะเหตุที่ภาคเกษตรของประเทศไทย ยังเป็นแบบเกษตรกรรมโดยธรรมชาติที่ต้องพึ่งฟ้าพึ่งฝน จะได้ผลผลิตประการใดก็ขึ้นกับธรรมชาติ ยิ่งนานวันเข้าทั้งดินและน้ำก็เสื่อมสภาพจนต้องอาศัยปุ๋ยเคมีและสารพิษนานาชนิด และส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของคนไทยอย่างย่อยยับ

 

ดังนั้น ความรุ่งเรืองไพบูลย์ของประเทศชาติ และความอยู่ดีกินดีของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศชาติ รวมทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำที่แสนสาหัสอันก่อให้เกิดความยากจน ความขาดแคลน และล้าหลัง แผ่เป็นวงกว้าง จึงไม่มีทางจะแก้ไขได้ ไม่ว่าจะให้เงินกู้หรือเพิ่มหนี้ หรือปรับโครงการหนี้ หรือวิธีการทำนองนี้ไม่ว่าในรูปแบบใด ซึ่งมีแต่จะเพิ่มหนี้และขยายความยากจน ขยายความเหลื่อมล้ำสถานเดียวเท่านั้น

 

หนทางรอดของประเทศไทยและคนไทย จึงต้องกอบกู้ฟื้นฟูภาคเกษตร ซึ่งก็คือฟื้นฟูประชากรในภาคเกษตรกว่าครึ่งประเทศ ฟื้นฟูรายได้และสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ภาคเกษตร ให้สมคุณค่าที่ควรเป็น นั้นคือ การอัญเชิญยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยอุตสาหกรรมการเกษตร ที่เคยใช้ได้ผลในสมัยรัชกาลที่ 5 กลับมาดำเนินการใหม่อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้งหนึ่ง

 

จะต้องกำหนดแนวทางในการผลิตภาคเกษตรเสียใหม่ ให้เป็นแบบทันสมัยไร้มลภาวะที่เป็นพิษ และมีคุณภาพ คุณค่า ที่คุ้มค่าเพราะเป็นเรื่องน่าอนาถนักหนาที่เนื้อวัวไทย ราคากิโลกรัมไม่กี่ร้อยบาทในขณะที่เนื้อวัวต่างชาติกิโลกรัมละหลายพันบาท กระทั่งกิโลกรัมละหลายหมื่นบาท หรือปูทะเลไทยกิโลกรัมแค่พันกว่าบาท ในขณะที่ปูต่างชาติชนิดที่เนื้อแข็งแทบเคี้ยวไม่ลงกลับมีราคาเกือบหมื่นบาท เรื่องเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขและปรับปรุงทั้งสิ้น

 

จะต้องกำหนดแนวทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตผลทางการเกษตรเสียใหม่ ให้คุ้มค่าและสมประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ ดังเช่น ยางพารา แทนที่จะคิดทำกันแค่ล้อรถยนต์ หรือถุงยางอนามัย เพียงปรับปรุงแก้ไขเป็น เพียงผลิตยางล้อรถยนต์ หรือหลอดเลือดเทียมก็จะมีมูลค่าเพิ่มนับร้อยเท่า

 

จะต้องกำหนดแนวทางผลิตและจำหน่ายที่ทำให้ประเทศไทยถือดุลการผลิตผลภาคเกษตรทั้งมวล ก็แค่น้ำมันที่กินไม่ได้ยังทำให้ประเทศในตะวันออกกลางมั่งคั่งและเป็นเศรษฐีมีดุลอำนาจในโลกได้ ผลิตผลภาคเกษตรก็ย่อมเป็นได้และเหนือกว่ามากมายนัก

 

พ่อครูว่า...ที่คุณสิริอัญญา มีจุดที่ซับซ้อนคือ ยังมุ่งหมายกอบโกยเงินทองเข้ามา แต่ของเรานี่ ถ้าคุณต้องการกอบโกยเงินทองแล้ว เรามาเน้นจุดที่ทำกสิกรรมให้ดีให้วิเศษทั้งคุณภาพและความปลอดภัยไร้สารพิษต่างๆ ของดีราคาถูกซื่อสัตย์มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อเบื่อทวง ไปทวงมากๆปวดท้อง

เพราะฉะนั้นเรามาเน้นตรงที่กสิกรรม อาตมามั่นใจว่าประเทศไทยอยู่ในโซนที่จะทำเกษตรกรรมได้ดีที่สุด แน่นอนเราพึ่งพาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเขาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันก็เป็นส่วนย่อย หลักการใหญ่ของการทางธรรมชาติ พวกคนไทยมีอยู่แล้ว ดิน น้ำ ไฟ ลม แสงแดดมันพร้อมหมดแล้ว พื้นดินก็มีไม่ใช่น้อยที่จะทำได้ ของพวกเราชาวไทยชาวอโศก พยายามสนใจในเรื่องกสิกรรมให้มากกว่าอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมจริงๆแล้วพวกเราก็ไม่ด้อย ไม่ได้ต่ำไปเท่าไหร่หรอก เราพอที่จะเอามาใช้เป็นตัวช่วย สร้างสรรค์อย่างพอเพียง

เราจึงต้องพยายามสร้างจุดเด่นของเราให้เจริญมากๆ และหลักการของพวกเรา อาตมาว่าพวกเราข้ามพวกทุนนิยมสามานย์เขาไปไกลลิ่ว ตรงที่ว่าเราไม่เจตนาเอาเปรียบเขาเลย ของเราดีเราก็ไม่ขึ้นราคา และยิ่งจะขายอย่างถูก แจกอย่างซับซ้อน คนที่นิสัยไม่ดีไม่ควรได้ก็ดัดสันดานเขาบ้าง แต่คนที่มีจิตใจดีนิสัยดีควรจะให้น่าสงสารน่าเมตตา เราก็ช่วยกันไปมันซับซ้อนอยู่ ใช้คุณธรรมเป็นหลักอย่างแท้จริง

หลักเศรษฐกิจที่อาตมาพยายามอธิบายว่า สาธารณโภคีของชาวอโศก ที่ทางโลกเขาทำได้ยากแล้ว ซ้อนกว่านั้น เราจะเอาผลผลิตไปจำหน่ายจ่ายแจกก็ให้ขายในราคาต่ำกว่าทุน ขอยืนยันว่าเราขายต่ำกว่าทุนจริง เพราะราคาทุนคือราคาที่เขาคิดเป็นสากล คือราคาที่บวกค่าแรงงานเรา ถ้าอาตมาเป็นผู้ชำนาญการทางกสิกรรม ค่าตัวอาตมาแพง แต่อาตมาลดราคาค่าตัวแล้วหักอยู่ในต้นทุนตามราคาสากล ขอยืนยันว่าพวกเราขายต่ำกว่าราคาทุนจริง แต่แม้แต่พวกเราก็ยังไม่เข้าใจว่าเราได้ขายต่ำกว่าทุนจริง

อย่างอาตมา ค่าตัวในการแสดงธรรมแพงมาก ชั่วโมงนึงหลายล้านบาทนะ เพราะว่าเป็นโลกุตระด้วย แล้วหายากมากเลย ขนาดอาตมานี่ การเศรษฐกิจที่เขาจะจ้างมา 2 ชั่วโมงก็เสียไปเป็น 10 ล้าน อย่างอาตมานี้ สองชั่วโมงเท่าไหร่? ขออภัย ไม่ได้พูดยกตัวตนแต่คิดตามสากลเขา ความซับซ้อนเหล่านี้จึงไม่ง่ายที่จะเข้าใจกัน

อาตมามั่นใจว่าพวกเราตั้งใจทำค่อยๆพัฒนาไป ให้เราไปทุกทิศทาง อะไรไม่ถูกที่ฟังอาตมาก็จะ ติงเตือน อาตมาดูแลอยู่ พวกเราทำงาน ช่วยชาติช่วยประเทศช่วยโลก ตัวเราเองมักน้อยสันโดษได้ดีจริงๆมีวรรณะ 9 กัน เจริญไปตามลำดับ เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่ายทำให้เจริญได้ง่าย เป็นคนมักน้อยเป็นคนจน อย่างถาวรยั่งยืน เป็นคนใจพอใช้ไม่ได้มักมากกว่านี้

คำว่าใจพอนี้ลึกซึ้ง เรากินอิ่มแล้วมันก็พอ แต่บางคนมีกิเลสตะกละตะกลาม มีของถูกหรือของดีก็แล้วแต่ มันก็กินเพิ่มเข้าไปอีกทั้งๆที่มันพอแล้ว แต่มันก็กินจนกระทั่งไม่สบาย บางทีกินจนท้องแตกตาย เหมือนกับมีคนญี่ปุ่นที่ซื้อกล้วยหอมไปกินที่ห้องจนตายคาเตียง กินอย่างไม่บันยะบันยัง เพราะมันราคาถูกมันอร่อยสดใหม่ด้วย อย่างนี้เป็นต้น

ใจพอจึงต้องอ่านจิตใจเป็นเรื่องของจิตวิญญาณสุดยอดของพระพุทธเจ้า เราจะรู้จักสันโดษที่แปลว่าใจพอ แค่นี้เขาก็ยังเข้าใจได้ยาก ไปแปลว่าปลีกเดี่ยวเข้าป่าเขา ซึ่งผิดหมด สันโดษคือใจพอ สันตุฏฐี มันรู้ความพอของใจคน

ในหลวงถึงเอาคำว่าพอมาตั้งเป็นเศรษฐกิจพอเพียง ทุกวันนี้คนก็ยังเข้าใจกันไม่ได้เท่าไหร่พวกนักรู้นักวิชาการเป็นดอกเตอร์เป็นผู้บริหาร ยังเข้าใจเรื่องนี้ไม่ถึงเลย จนกระทั่งอาตมาบอกว่าต้องมามักน้อยมาจน จนของเรา ขาดทุนของเราคือกำไร ผู้ที่มีจิตวิญญาณอย่างรู้แท้จริง จึงต้องมาเสียสละ เลือดสดๆของเราเลยให้เสียสละไป อันนี้เป็นเรื่องที่เราได้เสียสละเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อคนอื่นอย่างไร เราไม่มีปัญหาเลยจะต้องเสียสละ แม้เราจะถูกขี้โกงเอาเปรียบเอารัด เขาก็ชัดเจนไม่อยากให้เขาโกง แต่เอาเถอะ เราก็ยึกยักบ้าง ไม่สนับสนุนคนโกง มีภาวะย้อนแย้ง เป็นภาวะเรียนรู้ยาก สิริมหามายา ไหนว่าจะให้หมดไง แต่คนนี้ไม่ดีเราก็เลยไม่อยากจะให้เอาไปให้คนอื่นดีกว่าเป็นเรื่องซับซ้อน

ชาวพุทธอโศก อาตมาว่า ได้รับความรู้อันนี้ไปพอสมควร จึงมาสร้างเศรษฐกิจแบบที่พระพุทธเจ้าพาทำ เป็นเศรษฐกิจสาธารณโภคี กินใช้ร่วมกันกับส่วนกลางเป็นปรากฏการณ์จริงยืนยันในสังคมโลกไม่ท้าแต่เชิญมาดูได้ กวีบทใหม่ จบด้วยคำว่า ไม่ท้า แต่เชิญมาดูได้

กวีของเดือน ต.ค.นี้  “เศรษฐกิจสุดวิเศษแบบพุทธ” (339 ต.ค. 61)  ของเดือน พ.ย. นี้  “เศรษฐกิจสุดยอดของพุทธ” ชื่อใกล้เคียงกันมาก

เอาของพ.ย.นี้ก่อน

เศรษฐกิจสุดยอดของพุทธ

               

                      (1)   ใบเสร็จก็รับแล้ว       งานจบ

                      เงินจ่ายก็นับครบ              ถูกถ้วน

                      แต่“เศรษฐกิจ”ก็ยังรบ        กันต่อ มิหยุดเลย

                      เพราะ“แย่งรวย”กันล้วน          บ่รู้“พอเพียง”

 

                      (2)  เศรษฐกิจเยี่ยงนรกแท้      โลกีย์

                      “เห็นแก่ตัว”เกินวจี                  แจกแจ้ง

                      สามานย์จัดกว่าผี             เหี้ยนโขมด โฉดชั่ว

                      “เศรษฐศาสตร์”เก่านี้แล้ง         ขอดแห้งน้ำใจ

 

                      (3)  ในโลกส่วนใหญ่ล้วน โลกีย์ อยู่พ่อ

                      “เศรษฐกิจ”ไม่วิมุต..“มี-           ทุกข์”แท้

                      “เศรษฐศาสตร์”วิเศษศรี           ยังไป่ รู้รา 

                      “วน”อยู่แค่“ชนะ-แพ้”        “ชั่ว”แล้วกลับ“ดี”

 

                      (4)  คือมี“แบบเก่า”ถ้วน           เต็มจิต

                      ยังไป่มี“ธาตุ”ชนิด            “ใหม่”ใช้

                      “อัญญธาตุ”ยังผลิต                 ใส่จิต มิได้เฮย

                      บ่เริ่ม“ศีล”กำหนดให้         “จิต”ก้าวพัฒนา

 

                      (5)  “ศีล”พา“จิต”เกิดแท้          เป็นระดับ

                      “จิต”จึ่งเดินเจริญนับ         ครบขั้น

                      ตาม“ลำดับ”ไม่สลับ                 ไม่วก วนเลย

                      อัศจรรย์จริงยิ่งนั้น                 นี่แล้“อจินไตย”

 

                      (6)  ใครบ่เกิด“จิต”นี้         ปัจจัตตัง

                      หมดสิทธิ์สิ้นความหวัง      ประลุได้

                      หากหลงผิดยืนยัง            ยึด“หลับ- ตา”เฮย

                      จม“มิจฉา”แล้วไซร้                 แน่แท้คงเดิม

 

                      (7)  หยุดเติมเพิ่มผิดซ้ำ          เถิดพุทธ ไทยเอย

                      โลกตื่นแล้ว“เศรษฐกุด”            เก่าล้า

                      ชาวพุทธวิมุติสุด              “ศาสตร์วิเศษ” เฮยแฮ

                      เศรษฐกิจพุทธยอดฟ้า       ไม่ท้าเชิญมาดู                                      

พ่อครูว่า..นี่คือ เศรษฐกิจสุดยอดของพุทธ อาตมาก็จะต้องเอาเศรษฐกิจสุดยอดของพุทธซึ่งเป็นของเดือนตุลาคมที่จะออก มาขยายความควบคู่กับเศรษฐกิจสุดยอดของพุทธ กับเศรษฐกิจสุดพิเศษของพุทธมาอธิบายคู่กันไป

เพราะเศรษฐกิจสุดพิเศษของพุทธ เน้นรายละเอียดลงไปให้มาเป็นคนจน แล้วมีหลักใจของเศรษฐกิจแบบพุทธคืออะไร คือมีความเป็นอิสระ ไม่มีอัตตา แล้วมีจิตวิญญาณ เป็นประธานต้องศึกษาจิตวิญญาณเป็นประธานนี่คือตัวสรุปแกนหลัก

ที่อาตมากำลังพยายามเผยแพร่เรื่องของเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ไม่ได้พูดเล่น อาตมามั่นใจว่าอาตมามีเป็นนักเศรษฐศาสตร์ผู้ไม่เล็ก แล้วอาตมาก็ไม่ได้พูดเล่น อาตมาพาพวกเราทำ เศรษฐกิจอย่างชาวอโศกเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นอจินไตยเป็นเรื่องซับซ้อน แค่อาตมามาทำให้เกิดสาธารณโภคีระดับฆราวาส ซึ่งในสมัยพระพุทธเจ้าทำไม่ได้

เพราะฉะนั้นยุคนี้เป็นยุคที่โลกทั้งโลก มีความเข้าใจกว้างขวางและลึกซึ้ง และความเป็นทาส ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ความเป็นสิทธิต่างๆ สิทธิในทรัพย์สินการแสดงออกในชุมชนต่างๆ การพูดการกระทำ มันได้มีกันแล้วจึงได้ทำสำเร็จจริง อย่างยั่งยืนในระบบสาธารณโภคี ที่นั่งอยู่ตรงนี้ใครคิดจะออกจากชาวอโศกบ้าง...ยกมือ?...ไม่มีใครยกเลย

เขาชัดเจนแล้วว่าจะออกไปทำไมจากที่นี่เพราะว่าที่นี่เพิ่งเกิดแก่เจ็บตายได้ เราก็มีที่กินอย่างนี้นอนอย่างนี้พักอย่างนี้เกื้อกูลกันช่วยกันทำงานอย่างนี้มันลงตัวหมดแล้ว ก็ใช้ศัพท์คำว่าลงตัว เข้าฝัก มัน Axiom ไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบแล้ว มันเป็นความแท้จริงที่จบในตัวมันเองแล้ว แล้วจะถาวรไหม เอาล่ะ พูดไปเขาก็ยังไม่เชื่อ แต่อาตมามั่นใจว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” เป็นคำสอนเป็นพระอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าเป็นคำกำกับชัดๆเลยว่ามันจะเที่ยงแท้ ทั้งยั่งยืน ทั้งตลอดกาล นิรันดร ไม่เปลี่ยนแปลง อยู่อย่างนี้ไม่เปลี่ยนเลย ใครมาทำลายให้เปลี่ยนแปลงก็จะไม่ จนเขาหาว่าดื้อด้าน แต่แท้จริงเรายืนหยัด ตายแล้วตายเลยไม่มีฟื้น จบ ถ่ายเดียว

สมณะฟ้าไทว่า...สรุปจบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:55:17 )

610909

รายละเอียด

610909_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เศรษฐกิจสุดวิเศษแบบพุทธอยู่ที่ไทอโศก

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1UYcRVOgp4Mm1ViPwBdmeFR_XXxwhyuzx4P1Ejqw-MVE/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1-PJzs1KSl-6LVEQT94QXGKucoIFjFonU

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้ชาวอโศกต้องหันมาเพิ่ม พลังงาน Coefficient เนื่องจากใกล้วาระที่ครบ 48 ปีแห่งโพธิกิจ 84 ปีพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ในงานมหาปวารณาครั้งที่ 36 แต่ละชุมชน ก็ควรหันมาทบทวน จุดเด่นจุดด้อยของตนเอง ที่ควรแก้ไขพัฒนา ที่เราควรตรวจสอบประเด็นแรกคือการศึกษาโลกุตระ การฟังธรรมพ่อครู เราได้ตั้งใจศึกษากันมาน้อยแค่ไหน รวมหมู่กลุ่มกันมากน้อยแค่ไหน หากศึกษาคนเดียวก็ไม่สู้ศึกษาเป็นหมู่กลุ่ม แม้แต่การออกกำลังกายเช่นเดียวกัน การทำ 5 ส.จัดการขยะในชุมชน กิจการที่เป็นการช่วยเหลือสังคมต่างๆ อีกประเด็นคืออาคาร บวร พ่อครูเสนอให้คนมาค้าขายกัน แต่ก็ไม่ค่อยมีคนมาทำ แต่มีผู้เสนอว่า จะทำได้ก็เริ่มจากมาขายของราคาเท่าทุนกัน แต่ไม่คิดค่ารถ ค่าแรงก็จะราคาต่ำกว่าทุนไปอีก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ธรรมะสองของโลกียะโลกุตระ

พ่อครูว่า...เริ่มต้นด้วยคำว่าโลกุตระ สามัญเขาก็ใช้โลกียะ หรือโลกๆ ธรรมดาๆ ทั่วไปปุถุชน พอมามีอีกอันหนึ่งขึ้นใหม่แล้วมันทวนกระแส ปฏิโสตัง ทวนกระแสโลก ที่ คนจะต้องยินดีในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ที่บำบัดบำเรอเวทนา ตัณหา ที่ต้องการ อุปาทานที่ยึดไว้ แล้วเราก็ยึดอยู่อย่างนั้นก็ได้ตามตัณหา ก็เกิดอาการจิตชอบใจ พอใจ บำเรอตัวที่ตั้ง ที่อุปาทานยึดไว้อย่างนี้ มันจะมีตัวตั้งของจิตที่เป็นตัวเรา เป็นเราอย่างนี้ อันนี้ สัญญา ย นิจจานิ ยึดไว้กำหนดไว้อย่างนี้ๆ พอได้มาตรงเป๊ะ หรือไม่ตรงก็อนุโลมไม่ได้ร้อยก็เอา 90 80 ก็ยังดี แล้วมันก็พอใจ

เมื่อมีสิ่งสอง ธรรมะสองสัมผัสกันกระทบกัน แตะกันก็จะเสียดสี แตะกันก็ระดับหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไร แตะเลย หนึ่งเดียว คือไม่เกิดการปรุงแต่งอะไรเกิดขึ้น 1.ไม่เคลื่อนไหว 2.ไม่มีอะไรไปแตะเลย อย่างนี้ สูญ เริ่มต้นตั้งแต่ สภาพเป็น1ก็จะเป็น 0 และ 1 มันไม่มี 2 ศูนย์มันก็ไม่มี 2 มันคือสภาวะที่เกิดขึ้นที่เราจะต้องกำหนดรู้ ตามที่เราใช้สังขยาเลข แทนสภาวะต่างๆ สภาวะ 1 สภาวะ 2 เกิดขึ้นมีอะไรแตกมากขึ้นหรือมีอะไร อีกอันหนึ่งมาเกี่ยวข้องกับเรา ก็มีแค่นี้สภาวะ แล้วปรุงแต่งผสมผเส ก่อเรื่องราวตามเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย แตกลูกแตกหน่อ แตกกอ นับเป็น ล้านๆๆ

พระพุทธเจ้าค้นพบสิ่งนี้ขึ้นมาจึงเป็นสุดยอด โลกุตระ แล้วท่านก็อธิบายละเอียดจนกระทั่งธาตุรู้ ที่จะจำกัดกำหนดหมายชัดเจน มันรู้อยู่อย่างนี้อย่างเดิม (พ่อครูไอตัดออกด้วย) แม้จะขยายมากขึ้นมันก็อย่างนี้ มันมีอันใหม่จากอันที่ยังไม่มี มีอยู่อย่างนี้ แล้วไม่มีนี้มีตัวซ้อนในนี้ มีมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้นแล้วก็จะเสื่อมลงเสื่อมลงเสื่อมลง แล้วก็จะมีมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้นแล้วก็เสื่อมลงเสื่อมลงเสื่อมลง ถ้ามีระนาบแค่นี้ มีไปแล้วก็มา มีเฉียงได้อีก สอดแทรกประสานกันได้อีกมากมาย พูดก็เมื่อยเลย

สิ่งที่มีอยู่มี 1 จุด กับ การเคลื่อนไหว แค่นี้แหละ

 

SMS วันที่ 8 กย. 2561 (พ่อครู : พุทธศาสนาตามภูมิ)

 

_1025กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง สืบเนื่องที่พ่อครูตอบคำถามเมื่อวานนี้ ทำให้เข้าใจสิริมหามายา ต้องล้างกิเลสตัวร้าย เบื้องต้นให้ได้ก่อน ตามลำดับทีละเรื่อง เพื่อเพิ่มพละอินทรีย์ของตัวเอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ยุคป๋าเปรมกับยุคลุงตู่เหมือนและต่าง

_3867พ่อครูว่าลุงตู่จะลงสู่โลกการเมืองเต็ม100ไหม?ถ้าลง อยากให้ท่านทำการเมืองเหมือนรัฐสมัยป๋าเปรมเพราะทั้งศตวรรษมียุคป๋าเปรมยุคเดียวที่ปลอดกลียุค!บ้านเมืองสุขสงบกว่ารบ.ใดๆ!กบสิ้นโศก

ถ้าลุงตู่ทำการเมืองพาบ้านเมืองสุขสงบสันติเหมือนยุคป๋าเปรมฯพ่อครูว่าบั้นปลายลุงตู่เขียวจะเป็นรัฐบุรุษฯตามรอยป๋าเปรมไหม?กบฉงน?

พ่อครูว่า....เอาที่ปัจจุบันตอนนี้ ลุงตู่บอกว่าผมเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหารมา 1 ไม่ลง 2 ประพฤติตนเป็นนักการเมือง 3 มีหน้าที่ตำแหน่งก็ทำหน้าที่เต็มที่แล้ว อาตมาว่าก็ใช้ได้ดี อาตมาว่าอยากให้ต่อ

อาตมาว่าทำอย่างป๋าเปรมนี้เก่าแล้ว จะว่าตกยุคก็ตก มีแกนของป๋าเปรมที่ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ทำจริง อันนี้แหละใช้ได้ แต่ทำอย่างลีลาอย่างป๋าเปรมไม่ได้ ไม่พูด นิ่ง ไม่ได้ ยุคนี้ไม่ได้ ต้องอย่างลุงตู่นี่ ถ้าใครเข้าใจความต่างของลุงตู่กับป๋าเปรมได้ ยุคนั้นป๋าเปรมทำอย่างนั้นใช้ได้เลย เพราะในยุคนั้นไม่ต้องใช้ปัญญามาก ใช้ลักษณะเจโตเท่านั้น เพราะปัญญาคนยังไม่มี จึงไม่ต้องสู้กันด้วยปัญญา แล้วก็เอาสภาวะเจโตคือนิ่งๆๆนั่นแหละสู้ ใช้ได้เลยในยุคนั้นประเทศไทยป๋าเปรมกอบกู้มาตั้งแปดปีเป็นรากฐานที่ดีเลย แต่มาถูกทักษิณกวนเละใหญ่เลย ตู่ก็มาจัดการ ก็กำลังเจริญก้าวหน้าไปตามลำดับ แต่ก็ใช้หนี้ไปได้เท่าไหร่แล้ว

กลียุคไม่เกิดในยุคที่ Static แต่ยุคนี้ มันเกิดได้แต่ทำได้ไม่ให้เกิดกลียุค ทำให้พวกกาลีทำอะไรไม่ได้ บ้านเมืองยุคป๋าเปรมสงบๆ แต่ยุคนี้วุ่นวายแล้วสงบ ยุคป๋าเปรมรากฐานสงบ เอาอย่างต่างประเทศมาไม่ได้มาก ทุนก็ไม่สามานย์เท่านี้ ขณะนี้ทุนสามานย์ตัวอย่างที่ฉิบหายมากสุดคือทักษิณ ทำแบบทุนนิยมสามานย์ได้เลวร้ายที่สุด พูดนี้ไม่ได้ลงโทษใส่ความทักษิณ แต่เป็นกรรมที่เขาทำให้เห็น ก็เลยเรียกลักษณะตามภาษาว่าเป็นอย่างนี้ 

ป๋าเปรม ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นผู้ตั้งให้เป็นรัฐบุรุษ แต่อย่าง ปรีดี พนมยงค์ ก็มีประชาชนจำนวนหนึ่งยอมรับกันว่าเป็นรัฐบุรุษ แต่ก็ยังมีคนจำนวนน้อยยอมรับ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ลำดับของสมุจเฉทปหานกับนิสรณปหาน

_1614ฝากถามสำมะปี๋หน่อยค่ะ เมื่อประมาณปี 2541 พ่อครูอธิบายปหาน 5 นั้น สมุจเฉทปหานจะเป็นข้อสุดท้าย ต่อมาหลังปี 2555 สมุทเฉทปหานอยู่ข้อ 3 และนิสรณปหานเป็นข้อ 5 นั้นมันแตกต่างกันอย่างไรคะ และแบบไหนถูกกว่ากัน หรือถูกทั้ง 2 แบบแล้วแต่สภาวะธรรมหรือเปล่าคะ?

พ่อครูว่า…ตอนที่อาตมาใช้คำว่าสมุจเฉทะ อาตมาเอาที่พยัญชนะว่า ตัดขาด แตกหักเลย ตัดขาดอย่างยิ่งใหญ่ ก็เลยเอาไปใช้เป็นอันแรก ต่อมาผู้รู้โบราณาจารย์เอาเรียงไว้ที่ตัวที่ 3 อาตมาก็มาดูทั้งพยัญชนะและสภาวะ ถ้าสมุจเฉทะก็แตกหักแต่ นิสรณะ บอกสภาวะ  ที่ไม่ต้องพึ่งไม่ต้องรบ สรณะคือประกอบการรบ ทำการรบ คนปุถุชนจะสรณะตลอดเวลา ตราบใดคุณมีกิเลสต้องพึ่งพาการรบจนชนะจนจบ สรณะ ก็คือไม่ต้องรบ เป็นอรณะ เป็นอรหันต์ แล้วคุณต้องพึ่งสภาวะที่จบแล้วเป็นอรหันต์มาเป็นปฏินิสรณะอีกทีหนึ่ง ไม่รบแล้ว แต่เหมือนรบ

เหมือนรบนี่คือ สิริมหามายา แต่เราไม่ได้รบกับเรา จะบอกว่าเรารบกับคุณก็ใช้อาวุธคือปัญญากับความสงบ ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ใช้อย่างอนุโลมปฏิโลม ช่วยให้เกิดปฏิกิริยา รบคือทำให้เกิดปฏิกิริยาสังเคราะห์สังขารกัน จนจบลงอย่างสะอาด

สรุป อาตมาก็ เห็นด้วย ว่า จะทำให้มันแตกหักได้เป็นรอบๆสามเส้า

ตทังคปหาน วิกขัมภนปหาน สมุจเฉทปหาน ปฏิปัสสัทธิปหาน คือทำซ้ำทำที่สำเร็จนี่ทำซ้ำๆๆ จนจบที่ นิสรณปหาน จบได้

ภาษากับสภาวะ ผู้จบสมบูรณ์ สภาวะเป็นปัจจัตตังของตัวเองแล้ว แล้วจะมีเวทิตัพโพวิญญูหิติ จบ คุณมีทั้งตัวเป็นได้และมีทั้งความรู้ เวทิตัพโพ วิญญูหิติ

วิญญูคือรู้ครบ คือ อัญญะที่ทำให้เกิดรู้วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิษฐ์ เป็นปัจจัตตัง อาตมาก็เลยเห็นว่า สมุจเฉทปหาน อยู่ที่ 3 นิสรณปหานอยู่ที่ 5

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน เครื่องรับกับเครื่องส่งของธาตุรู้ในจิต

_สุดชดา ยังมีหนึ่งคำถามที่สงสัยมานานแล้วดังนี้ค่ะ พ่อครูคะสมัยเรียนชั้นมัธยมมีพระอโศก เดินผ่านหน้าโรงเรียนตอนนั้นรู้แต่ว่าเป็นพระแต่ไม่รู้ว่าพระอะไรเพราะไม่ได้สนใจ แต่หลังจากนั้นก็กินไข่ไม่ได้ เหม็นคาว ต่อมาดิฉันไปเรียน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และไปหาซื้ออาหารซึ่งมีเนื้อสัตว์ตามปกติห่างจากพ่อครูไปเทศน์ราว 100 เมตรอยู่ๆก็เบื่อเนื้อสัตว์กินไม่ได้ เขี่ยให้เพื่อนซ้าย-ขวาทั้งๆที่ไม่ได้สนใจไปฟังธรรมแต่อย่างใด 2 เหตุการณ์พ่อครูเทศน์ พ่อครูสะกดจิตคนฟังหรือเปล่าคะ? ทำไมดิฉันถึงเหมือนถูกสะกดจิตและไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือพ่อครูมีฤทธิแห่งธรรมมากจนเหนี่ยวนำให้ดิฉันเป็นแม่เหล็กตามเพราะถูกจัดอณูขั้วเหนือขั้วใต้แบบชั่วคราวใช่หรือเปล่าคะ?/

พ่อครูว่า…อาตมาตอบคุณไม่ได้จะมีส่วนหรือไม่มีส่วนแต่คุณมีสภาวะของคุณเองมาและมันก็เกิดไปตามธรรมดา ธรรมชาติที่คุณมี ไม่เหมือนกระแสวิทยุ แล้วมีเครื่องรับได้ ถ้าหากคลื่นตรงกันก็เข้า ถ้าหากคลื่นไม่ตรงกันก็ไม่ เป็นสภาวะธรรมดาธรรมชาติทุกอย่าง เป็นแต่เพียงว่าถ้าเป็นจิตนิยามมันมีตัว ธาตุประธานหรือแม้แต่พีชะก็เริ่มมีแล้ว พอเริ่มมีพีชนิยามก็จะมีตัวกำหนดรู้ อันไหน เอาอันไหนไม่เอา แต่ไม่ไปทำร้ายไปแย่งใคร  หากแย่งได้ก็เอาแต่แย่งไม่ได้ สู้แรงไม่ได้ก็เอาไม่ได้ เท่าที่ตัวเองมีแรง ตัวเองรู้ว่าจะเอาอะไรมีแต่สัญญา อะไรเอาอะไรไม่เอา ไม่ใช่ไม่เอา เอาแต่ที่ใช่ มันมีตัวตนของตนขนาดหนึ่ง

พอเป็นสัตว์จิตนิยามแม้ไม่ใช่ของกูก็เอามาก่อน อันไหนไม่เข้าก็เขี่ยทิ้งไป ส่วนมากสัตว์ตะกละเอาแล้วคายทิ้งๆเยอะเลย สัตว์ตั้งแต่เซลล์ชั้นต่ำ จะเป็นอย่างนั้น จนกระทั่งสามารถเลือกเอา กรองได้อย่างถี่มากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถมีพลังงานที่เร็วเอาหรือไม่เอาจนคนรู้ไม่ทัน ยิ่งกว่านักเล่นกล เป็นสิริมหามายา รู้ไม่ทันอะไรเป็นอะไร อะไรมากบอกตามนั้น ดำนะ ขาวนะ ก็จิตเร็วกว่าคนที่จะรับซับซาบจากคนนี้ พลังงานที่เขาทำนี่เร็วกว่า ความเร็วของจิตที่คุณจะมารับสัมผัสรู้ เร็วกว่าแสงที่กระทบแล้วเข้าไปหาอันนั้น มุทุธาตุเร็วกว่าการเดินทางของแสง เหมือนนักมายากล เรากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อันนี้เร็วกว่า เพราะฉะนั้นถือว่านี่แหละคือ อุตระ นี่แหละคือการอยู่เหนือกว่า

คนที่อยู่เหนือกว่าอย่างใจบริสุทธิ์ จะไม่เอาความได้เปรียบความเก่งกว่านี้ไปเอาอะไรจากใคร มีแต่เอาความเหนือกว่านี้ไปช่วยเขาให้เจริญขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์สะอาด ทำลายสิ่งที่ควรทำลายอันเป็นโทษ นี่คือความซับซ้อนของคุณสมบัติคุณธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านค้นพบ อาตมาก็ปฏิบัติตามก็ได้มา แล้วก็เอามาทำอย่างนี้ เป็นผลทำงานมาจนถึงทุกวันนี้

อาตมาบอกไม่ได้ว่าเป็นอย่างที่ว่าหรือไม่ หากคุณมีบารมี แต่ถ้าคุณไม่มีบารมี ก็เป็นได้ว่าจากสนามแม่เหล็กที่อาตมาสร้างขึ้นไป แล้วคุณเป็นแม่เหล็กอ่อนที่รับได้

สรุปอีกที คนเราก็สร้างสภาวะ ธาตุ อันนี้เรียกธาตุรู้ อันมี ธาตุอีกอันหนึ่ง เรียกเป็นภาษาว่าความรู้กับความจริง ธาตุรู้กับธาตุจริง เป็นธรรมะ 2 ใครจะมีอันไหน คุณมีหรือว่าอาตมามี ถ้าคุณมีแล้วคุณได้ คุณมีพลังพอก็ได้ หรือว่าคุณพลังไม่มากแต่อาตมามี คุณก็ได้จากที่อาตมาแสดงอยู่ ออกไป ถ้าคุณฟังอยู่ใกล้ๆ 100 เมตร

 

_ปางตะวัน · เกษตรอุตสาหกรรมลุงยักษ์มานำประสานเครือข่ายจะศิวิไลซ์แน่นอนค่ะ  

พ่อครูว่า...เกษตรรวมทั้ง การกสิกรรมปศุสัตว์และประมง แต่ของเรามีแต่กสิกรรมอย่างเดียว อุตสาหกรรมหมายถึงทำกันอย่างเป็นเรื่องใหญ่ เรียกว่าอุตสาหะพากเพียรทำเลย อย่างชาวอโศกมีกสิกรรมเป็นอุตสาหกรรม ไม่ใช่เกษตรอุตสาหกรรม ไม่มีปศุสัตว์อุตสาหกรรม หรือประมงอุตสาหกรรม

เราเอากสิกรรมสิ เราทำอยู่แล้วด้วย

 

_8647 เรี่องตัวตนและหวงที่หลับที่นอน(กราบนมัสการพ่อครูคะกราบขอบพระคุณค่ะที่ตอบคำถามทำให้ลูกไดัรู้กิเลสตัวเองมากขึ้น ลูกไปเข้าค่ายกดจุดปฐมเหตุที่สันติไปขอพักค้างทีตึกนวล เข้าไปนอนชั้นสอง ลูกเห็นปูเสื่อจองเต็มแล้ว เลยไปชั้น3-4 เห็นชั้น4มีคนนอนอยู่ 4คนเป็นที่มาอบรมด้วยกัน ก็เลยนอนด้วยกัน ที่ติงมาเพราะกลัวไม่มีคนเข้ามาสานต่องานพ่อครูค่ะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีล 3 ข้อ แยกย่อยได้อีกเพื่อง่ายต่อการปฏิบัติ

_8784 วันนี้ได้ข้อคิด "สมาธิ ในศีล 5" กราบขอบพระคุณ ท่านเดินดิน ติกขวีโร

พ่อครูว่า…อาตมาพยายามเน้นอธิบายขยายความสมาธิในศีล 5 โดยเฉพาะสมาธิในศีล 3 ด้วยซ้ำไป ข้อ 4 เป็นเรื่องของวจี ข้อ 5 เป็นเรื่องของมโน ถ้าเกิดว่าแกนของศีล 3 สัตว์ข้าวของและพืช และตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าคุณเข้าใจศีลสมาธิปัญญาวิมุติในศีล 5 ในศีล 3 ได้ดี คุณก็จะรู้ว่าสมาธิ ของศีล 5 เป็นตัวกำหนด

เพราะฉะนั้นสมาธิต้องมีศีลเป็นตัวกำหนด สมาธิในศีลข้อที่ 1 เรื่องของสัตว์เท่านั้นนะ ดีไม่ดีซอยลึกในสัตว์แต่ละตัวด้วย สัตว์มีหลายล้านตัวเราไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกันมันก็มีวิบากของมันเราก็อยู่ของเรา แม้ว่ามันจะผ่านไปผ่านมาเราก็ไม่เกี่ยวแล้ว มันก็ไม่เกี่ยวกับเรา คือแม้ว่ามันจะมาเกี่ยวกับเราแต่เราหนีมันให้พ้นก็แล้วกัน มันก็ไม่เกี่ยวกัน เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจที่อาตมาพยายามอธิบายให้ชัดเจนและง่ายกระชับ ไม่รุ่มร่ามเยอะแยะ มั่วไปหมด ก็จะมีปมประเด็นที่น้อยเสร็จไปทีละอย่าง

สมมุติว่าคนเกี่ยวกับสัตว์ ฉันจะกินแต่ปลา เนื้ออื่นฉันไม่กินแล้ว คุณก็ต้องรู้สัมผัสที่ปลา สัมผัสเมื่อไหร่คุณก็อ่านความจริง อันอื่นคุณไม่เกี่ยวแล้วคุณไม่ยุ่งคุณไม่ปรุงแต่งด้วยมันจะเป็นอย่างไรคุณก็ไม่เกี่ยว เนื้อวัวเนื้อควายเนื้อช้างเนื้อวัวเนื้อไก่เนื้อเป็ด ฉันก็เฉย ฉันไม่เกี่ยว หรือแม้ว่าคุณยังไม่ทำก็ยังไม่ได้ แม่เขาจะกินติดเนื้อปลาเนื้อไก่เนื้อกุ้งกับคุณไม่แล้ว คุณจะเอาแต่เนื้อปลานี่แหละที่จะปฏิบัติแต่เนื้อปลา สัมผัสกับปลานี่แหละ อ่านกิเลสตัวเอง ทำอันนี้ได้ก็เป็นฐาน เป็นสมาธิเป็นจิตที่ตั้งมั่น เผากิเลสก็คือฌาน เผาได้ก็ตกผลึก ลงเป็นสมาธิ จิตก็สะอาดเป็นบริสุทธา ปริโยทาตา ปภัสสรา ขึ้นไปเรื่อยๆสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ

 

_1929 เบิกฟ้า ท้าจน..น้อมกราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะและสิกขมาตุ เจริญธรรมญาติธรรมทุกท่าน...สาธุครับ

 

_3863 จะพากันไปทั้งครอบครัว ตั้งใจไว้แล้วค้ะ

 

พ่อครูว่า…ขอเข้ามาหาเศรษฐกิจบ้าง

 

โดยพยัญชนะคำว่า เศรษฐะ ภาษาเป็นสันสกฤต ของบาลี เสฏฐะ เป็นสภาวะอันเดียวกัน อ่านกวีบทนี้  เศรษฐกิจสุดวิเศษแบบพุทธ   

 

(1) “เศรษฐกิจ”คิดแต่ตื้น          โลกีย์

ล้วนอยากรวยมั่งมี                  หลากล้น

แข่งเด่นแย่งกันทวี                 วัตถุ  

ได้มากมาท่วมท้น             “สุข”แล้วปุถุชน

 

(2) คนนับเป็นเครื่องชี้      ชีวิต       

จมอยู่กับ“เศรษฐกิจ”         แบบนี้             

“สุข”ก็ยึดผูกจิต             ผนึกแน่น กันเลย                        

“ติดสุข”หลงลับลี้           นรกเพ้อเป็นสวรรค์

 

(3) หันมาสร้าง“เศรษฐกิจ”ให้  “คนจน”

นี่แหละสังคมคน              เลิศแท้

“จน”ทรัพย์แต่“สุข”สน-            ใจฉลาด ขึ้นเฮย

“อาริยะปัญญา”แก้                  ประลุด้วย“สัมมา”

 

(4) พาทั้ง“สี่กิจ”ย้อม         ความดี

“ตัดกิเลส”ด้วยแสนศรี       สุดแล้ว

“อาชีพ-การงาน”มี                  “คุณวิเศษ” ช่วยแล

“พูด-คิด”พุทธเพริศแพร้ว         โลกได้เห็นวิถี

 

(5) ว่ามี“ทิฏฐิ”แก้             “เศรษฐกิจ”             

ที่เกิดผลสัมฤทธิ์               เด็ดแท้

แบบนี้แหละวิศิษฏ์ สุดยอด เชียวพ่อ

เพราะยั่งยืนวิสุทธิ์แม้        ปราศพ้นโพยภัย

 

(6) คนไทยมีพุทธชี้          วิชชา

สูงสุดศาสตร์ที่พา             สำเร็จได้

ซึ่งยอดวิธีหา             ใดเทียบ เท่าแฮ

อย่างอื่นนั้นแม้ใช้            จบแล้วเวียนคืน

 

(7) ยั่งยืน“เศรษฐกิจ”นี้           ครบหมด

มี“อิสระ”สุดใสสด             ฟ่องฟ้า

“อัตตา”ก็หมดจด              ดับสนิท ได้เด็ด

“จิต”ประธานกาจกล้า        แกร่งด้วย“อุตตระ”     

 

 “สไมย์ จำปาแพง”           31 ส.ค. 2561

[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 339 ประจำเดือนตุลาคม 2561]

 

พ่อครูว่า...เรารู้ว่า  สุขชนิดนี้ วูปสโมสุข หรือจะเรียกเต็มๆว่าปรมังสุขัง แปลว่าสุขยิ่งกว่าสุขที่โลกเขาเข้าใจ ยิ่งกว่าสุขทางโลก ยืมพยัญชนะคำว่าสุขมาใช้เท่านั้น ใจเราไม่ได้เดือดร้อน อยากจะมีอย่างเขา ริษยาอยากจะมีอย่างเขา ไม่มีก็ไม่เป็นไร ถ้ามีมาก็ใช้ตามเหตุปัจจัยตามความจำเป็นที่จะต้องทำก็เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น อธิบายเหตุปัจจัยต่างๆความรอบต่างๆ ผู้ที่จะมีสภาวะหรือมีแล้ว ก็จบในตัว ตรงกับที่เราเข้าใจ เป๊ะ ไม่มีวิจิกิจฉาไม่สงสัยลังเลหมดสงสัย หมดวิจิกิจฉา หมดกังขา

 

อีกอันหนึ่ง

เศรษฐกิจสุดยอดของพุทธ

                 

                      (1)   ใบเสร็จก็รับแล้ว       งานจบ

                      เงินจ่ายก็นับครบ              ถูกถ้วน

                      แต่“เศรษฐกิจ”ก็ยังรบ        กันต่อ มิหยุดเลย

                      เพราะ“แย่งรวย”กันล้วน          บ่รู้“พอเพียง”

 

                      (2)  เศรษฐกิจเยี่ยงนรกแท้      โลกีย์

                      “เห็นแก่ตัว”เกินวจี                  แจกแจ้ง

                      สามานย์จัดกว่าผี             เหี้ยนโขมด โฉดชั่ว

                      “เศรษฐศาสตร์”เก่านี้แล้ง         ขอดแห้งน้ำใจ

 

                      (3)  ในโลกส่วนใหญ่ล้วน โลกีย์ อยู่พ่อ

                      “เศรษฐกิจ”ไม่วิมุต..“มี-           ทุกข์”แท้

                      “เศรษฐศาสตร์”วิเศษศรี           ยังไป่ รู้รา 

                      “วน”อยู่แค่“ชนะ-แพ้”        “ชั่ว”แล้วกลับ“ดี”

 

                      (4)  คือมี“แบบเก่า”ถ้วน           เต็มจิต

                      ยังไป่มี“ธาตุ”ชนิด            “ใหม่”ใช้

                      “อัญญธาตุ”ยังผลิต                 ใส่จิต มิได้เฮย

                      บ่เริ่ม“ศีล”กำหนดให้         “จิต”ก้าวพัฒนา

 

                      (5)  “ศีล”พา“จิต”เกิดแท้          เป็นระดับ

                      “จิต”จึ่งเดินเจริญนับ         ครบขั้น

                      ตาม“ลำดับ”ไม่สลับ                 ไม่วก วนเลย

                      อัศจรรย์จริงยิ่งนั้น                 นี่แล้“อจินไตย”

 

                      (6)  ใครบ่เกิด“จิต”นี้         ปัจจัตตัง

                      หมดสิทธิ์สิ้นความหวัง      ประลุได้

                      หากหลงผิดยืนยัง            ยึด“หลับ- ตา”เฮย

                      จม“มิจฉา”แล้วไซร้                 แน่แท้คงเดิม

 

                      (7)  หยุดเติมเพิ่มผิดซ้ำ          เถิดพุทธ ไทยเอย

                      โลกตื่นแล้ว“เศรษฐกุด”            เก่าล้า

                      ชาวพุทธวิมุติสุด              “ศาสตร์วิเศษ” เฮยแฮ

                      เศรษฐกิจพุทธยอดฟ้า       ไม่ท้าเชิญมาดู

 

 

พ่อครูว่า... เราไม่ขึ้นต่ออำนาจโลกไม่ขึ้นต่ออำนาจอัตตา ตัวเองด้วย

โลกคือ สิ่งที่เราเกี่ยวข้องอยู่กับภายนอกตัวเราเอง ชิดอยู่กับตัวเราตั้งแต่ผิวหนังภายนอก

ผิวหนังคือสิ่งที่ชิดอยู่กับประสาท ผมขนเล็บฟันหนัง หนัง อยู่ชิดกับเส้นประสาท ของอาการ 32 มากที่สุด ใครเรียนรู้ผัสสะ สัมผัสเสียดสี เรียนรู้กระทบ แล้วเกิดความรู้สึกนั่นแหละคือกาย

ถ้ากระทบในสรีระเรา ตั้งแต่ผิวหนังภายนอก กระทบแล้วไม่รู้สึกผิวหนังนั้นขูดทิ้งได้ ตัดออกได้ เรียกว่าหนังด้าน ผิวหนังไม่เป็นกายเราแล้ว ไม่ใช่กายเราแล้ว ผิวหนังส่วนนั้นไม่มีธาตุรู้ ร่วมรู้สึกอยู่ด้วย ไม่มีเวทนาส่วนนั้นเลย ตัดออกไปก็เฉย ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร นั่นคือไม่ใช่กายเรา กายคือสิ่งที่ไม่มีจิตเข้าไปร่วม

ภาษาคำหนึ่ง มิจฉาทิฏฐิถือว่ากายคือธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีจิตร่วมเลย อันนี้แหละยากมากเลย พระพุทธเจ้า ถือว่า กายหากไม่มีจิตร่วมเลยถือว่ามิจฉาทิฏฐิ พวกเราจะศึกษากายให้ได้ ฝรั่งลูกนี้คือกายของคุณใช่ไหม...ไม่ใช่ กระดาษแผ่นนี้คือกายของคุณใช่ไหม (เอามาถูกับผิวหนัง) แม้ผิวหนังที่ห่ออยู่ข้างนอกที่ไม่รู้สึกแล้วก็ไม่ใช่กาย

กายต้องมีความรู้สึก เรารับรู้สึกได้จึงเรียกว่ากาย เพราะฉะนั้นเมื่อขาดความจริงขาดความรู้อันนี้ นั่งหลับตาสมาธิ มันตัดกายไปหมด ทั้งที่กายมีความรู้สึกคุณก็ยังรู้สึกได้แต่ไปตัดความรับรู้ หลบเข้าไปอยู่ในจิตอย่าออกมารับรู้อะไร สะกดจิตไว้ได้อย่างเก่งหนัก ขนาดเอาไฟจี้คุณยังไม่รู้สึกตัวเลยเก่งชิบหาย เก่งอย่างเรือหาย เก่งอย่างนั้นใช้ไม่ได้ศึกษาไม่ได้ พูดนี้ไม่ได้ด่าทอหยาบคาย แต่เป็นคำภาษา ที่เรียกสภาวะและก็ขานสภาวะด้วยภาษาเหล่านี้ ไม่ได้หยาบ อาตมาไม่ได้มีจิตโกรธเคืองหรืออยากใหญ่โตอะไรมีแต่จิตอยากขยายความรู้เท่านั้น แม้ขยายไปก็ไม่ได้อยากได้คำขอบคุณหรือความนับถือจากคุณ

ทุกวันนี้คนที่เคารพนับถืออาตมา รักอาตมาต้องการให้อาตมามีชีวิตอยู่พร้อมที่จะช่วยดูแลยามเจ็บป่วย ไม่ยอมให้ตายง่ายๆ อาตมาก็ต้องทรมานตอนนี้ ก็ต้องสั่งไว้ว่า ถ้าถึงต้องใส่สายระโยงระยางก็อย่าเลย มันสมควรจะตายก็ปล่อยให้ตาย สัญญาไว้ ไม่ไปแล้วก็จะมาเกิดอีกจะโตไวๆด้วย แม้ไม่โตไว้ก็จะแก่แดดคือถูกแดดแล้วโตไวๆ แม้อายุน้อยก็รู้มากกว่าผู้ใหญ่ธรรมดาได้ด้วย อาตมาตั้งใจจะเป็นจริงอย่างนั้น

 

_มีของใหม่มานำเสนออีก

นายกฯ สุดปลื้ม เมืองไทยได้รางวัลจาการโหวตเป็น ประเทศดีที่สุดสำหรับผู้คน อันดับ1 ของโลก และเป็นประเทศที่ดีที่สุด อันดับ 3 ยิ้ม! เกาะสมุย ติดอันดับ 9 เกาะ ที่ดีที่สุดในโลก

 

นายกฯ ยินดี / เมื่อวันที่ 7 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. กล่าวรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ว่า นิตยสารท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศสหรัฐฯ ได้รายงานผลการจัดอันดับต่างๆ ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งก็เป็นผลมาจากการโหวต ของผู้อ่านนิตยสารดังกล่าวทั่วโลก

 

– น่ายินดี ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับผู้คน อันดับ 1 ของโลก!

 

ในปีนี้ก็เป็นที่น่ายินดีที่ประเทศไทยได้รับการโหวตให้เป็น ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับผู้คน อันดับ 1 ของโลกและเป็นประเทศที่ดีที่สุด อันดับ 3 รองจากอิตาลี และกรีซ นอกจากนี้ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ยังติดอันดับที่ 9 ของเกาะที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย และขอแสดงความยินดีกับ โรงแรม Mandarin Oriental กรุงเทพมหานคร และโรงแรม Six Senses เกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา ที่ได้รับความนิยม เป็นอันดับที่ 4 และ 5 ตามลำดับ ประเภทโรงแรมที่ดีที่สุดในทวีปเอเชีย และ อินเดียด้วย

 

นอกจากนี้ ก็ยังมีการโหวตในเรื่องอื่นๆ อาทิ สายการบิน สนามบิน และสถาปัตยกรรมที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย ก็คงเป็น การดู การสัมผัสได้ จากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ที่เขาประทับใจ ด้วยประสบการณ์ตรง หรือผ่านคำบอกเล่า บอกต่อ เกี่ยวกับความเป็นไทย ด้วยรอยยิ้ม อัธยาศัย ความสุภาพอ่อนน้อม ของคนไทยในภาพรวม รวมทั้งการให้บริการต่างๆ

 

นับตั้งแต่การเดินทางด้วยสายการบิน ความสะดวกในการสัญจรไปยังแหล่งท่องเที่ยว ทั้งใกล้และไกล การสืบค้นข้อมูลร้านอาหาร สินค้า ไปจนถึงการไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ขูดรีด ความสะอาดของที่พัก โรงแรม โฮมสเตย์ และ การใช้ชีวิตในเมืองไทย ด้วยความอบอุ่นใจ เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เราจึงได้รับเกียรติให้เป็นประเทศที่ดีที่สุดสำหรับผู้คนอันดับ 1 ของโลก ในครั้งนี้ (พ่อครูว่า..มันบอกปัญญาความเฉลียวฉลาดของคนต่างชาติที่มาให้คะแนนมารวมกันให้ค่า และสรุปผลคำตอบเอาไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่น รวมแล้วเราได้คะแนนสูงกว่าก็เลยเป็นที่หนึ่ง ชนะอย่างนี้สิดี หากไปชนะชกปากเขาแตก หรือสร้างอาวุธได้เหี้ยมโหด ชนะอย่างนั้นไม่ต้องไปทำแข่งเขาหรอก ขนะเต้นเก่งร้องเก่งรำเก่งก็ไม่ต้องไปแข่งเขาหรอก)

 

– ระเบียบการบริหารบ้านเมือง เป็นที่ยอมรับของชาวโลก

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับภาพลักษณ์ของความเป็นไทย ความรู้รักสามัคคี ที่แสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจากเหตุการณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทีมหมูป่า ณ ถ้ำหลวง จังหวัดเชียงราย ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ติดตาม และได้รับข่าวสารเชิงบวกอีกมากมาย เกี่ยวกับ เรื่องของ จิตอาสา จิตสาธารณะของคนไทย ในยามที่เกิดวิกฤต ที่ชาวโลกได้ประจักษ์ ไปจนถึงการบริหารจัดการกับสถานการณ์เหล่านั้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของ ทรัพยากรมนุษย์ และ ระบบ ระเบียบ ของการบริหารบ้านเมืองจนเป็นที่ยอมรับของชาวโลก การได้รับเกียรติจากการโหวต และ สิ่งต่างๆ ที่ผมกล่าวมานี้ ย่อมเป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของคนไทยทั้งชาติ

(พ่อครูว่า...ไม่ได้เด่นที่ตัวหมู่ป่า แต่เด่นที่พฤติกรรมของคนไปช่วย ตั้งแต่นาวาตรีสมาน กุนัน ต้องสละชีวิต นักประดาน้ำ ผู้ว่าฯ คนซักรีด คนทำอาหาร คนเก็บกวาด แสดง ถึงความมีน้ำใจที่ออกมาช่วยกันไม่ถือตัวไม่ถือสา ใครจะสละอะไรได้ก็ออกมารวมกัน เป็นเรื่องใหญ่ที่จะช่วยชีวิตของคน 13 คน แสดงออกพฤติบทที่ยิ่งใหญ่มากในกาละปัจจุบัน status quo สุดยอดเลย)

ไม่ง่ายนักกว่าที่เราจะมาถึงจุดๆ นี้ แต่ที่ยากยิ่งกว่าคือ การรักษาภาพลักษณ์ และ คุณงามความดี ทั้งหลายเหล่านี้ ให้คงอยู่คู่สังคมไทย อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน ที่จะร่วมแรง ร่วมใจ สร้างเมืองไทยของเราให้สดใส งดงาม

(พ่อครูว่า...พวกเราจะช่วยกันไหม ช่วย)

– ระวัง “ปลาเน่าตัวเดียว จะตายทั้งข้อง”

 

“ขอให้คนไทยทุกคน พึงระลึกอยู่เสมอว่า สุภาษิตกล่าวว่า ปลาเน่าตัวเดียว เหม็นทั้งข้องโดยเฉพาะในยุคดิจิทัลแล้ว ความผิดพลาดใดๆ เพียงเล็กน้อยของใคร คนใดคนหนึ่ง เท่านั้น อาจถูกขยายเป็นเรื่องใหญ่ เกินการควบคุมในสื่อออนไลน์ ที่ไปไกลทั่วโลก เพียงการกดปุ่มคลิกเดียวเท่านั้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

 

พ่อครูว่า...โดยวัตถุอื่นเราสู้เขาไม่ได้ แต่ว่า เราจะสู้ได้ในเรื่องของธรรมชาติ นี่ดูต้นหญ้าหน้าลานสะโพ ก็ตัดไม่ลงเลย มีหญ้าเขียวสวยงาม

ตอนนี้ธรรมชาติก็แสดงความโหดมาหลายพื้นที่ เมืองไทยมีบารมี ธรรมชาติไม่รุกรานเท่าไหร่ ธรรมชาติจริงๆเป็นอุตุนิยาม เกิดจากเหตุปัจจัยได้สัดส่วนตามธรรมชาติ พระพุทธเจ้าแยกแยะ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยามไว้สุดยอดแล้ว

อาตมาพยายามแจกแจกไว้

กรรมนิยามคือพฤติกรรม พีชะไม่ถือว่ามีกรรม มันไม่ยึดมั่นถือมั่น เขาทำร้ายมัน มันก็ไม่พยาบาทใครทำให้มันดีมันก็ไม่รัก มันเอาแต่ธาตุมาให้มันที่มันใช้ เป็นสังขารธรรมที่มีแต่ รูป สัญญา สังขาร

รูปคือ วัตถุเหตุปัจจัย กับนาม จะเรียกนามก็เป็นธาตุรู้ในระดับสัญญา ไม่ใช่ปัญญา มีสังขารปรุงแต่งตัวมันเอง มะเขือก็เป็นมะเขือ ฟักข้าวก็เป็นฟักข้าว ส้มโอก็ปรุงแต่งเป็นส้มโอ

ทีนี้ กรรม เป็น บทบาทของการกระทำ อาการเคลื่อนไหว มีประธานควบคุม ISH พลังงานบวก ลบ she he เพศหญิงเพศชาย สังเคราะห์การเกิดผล พีชะไม่กว้างไม่เกิดอะไรวุ่นวายกับอันอื่นมาก แต่มาเป็นจิตนิยามเป็นบทบาทสามเส้าออกมานอกกรอบเยอะ แล้วไปมีฤทธิ์อาละวาด กระทบกระเทือนอันอื่นเยอะ

บางทีรุนแรงถึงเป็นพิษภัยต่ออันอื่นมาก ดีไม่ดีพลังงานในจิตมันเองมีประธานเป็นตัวตั้ง ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ถ้าเป็นประเทศก็เป็นประธานาธิบดี บุกลุยยิง เหมือนเขาไปสั่งยิงอิรัก แล้วไปยิงเขาทำไม ก็ว่าเขาซ่อนสร้างระเบิดนิวเคลียร์ เมื่อยิงเรียบร้อยก็ไปตรวจหาแหล่งสร้างนิวเคลียร์ปรากฏว่าไม่มี ก็ทำเป็นเงียบเลย แล้วยิงเขาฟรี ฆ่าเขาฟรี อำนาจบาตรใหญ่นี้ในโลกเขาก็รู้ก็เห็น ก็เสียคะแนนไป ยุคนี้ไม่ใช่ยุคโบราณ แต่เป็น Globalization ฟ้าบ่กั้นแล้ว ตดที่นี่เหม็นไปทำเนียบขาวได้สักวันหนึ่ง แต่ได้ยินเสียงแน่

สรุปเข้าเป้า เรากำลังพูดถึง เรื่องเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ การเจริญของมนุษยชาติและสังคม ความซับซ้อนอันนี้ อาตมามั่นใจว่า อาตมาจะต้องพูด ใครจะหาว่าอวดเก่งเรื่อง เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ก็ช่างเถอะ อาตมาไม่มีหลักฐานว่าเรียนจบที่ไหนมา แต่มีหลักฐานในชาติก่อนๆเคยทำมา ก็ไม่อยากจะพูดมาก ไม่มีอะไรอ้างอิงยืนยันอาตมารู้คนเดียว คนอื่นพอจะรู้บ้างเชื่อบ้าง อาตมาก็ไม่อยากพูดมาก

เอาสิ่งที่เป็นปัจจุบันยืนยันได้ เป็นต้นว่า อาตมาสามารถทราบ

1. สถานที่

2. บุคคล

3. อาหารคือเครื่องอาศัย

4. ธรรมะ

สัปปายะ 4 อาตมาสร้างเป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่ปรากฏจริงได้ เจตนาและมั่นใจ ใครจะมาร่วมสร้างก็มา มันไม่ง่ายไม่ได้ไปบังคับใคร อยากได้มวลชนสัก 1,000 คน จนป่านนี้ 20 กว่าปีแล้ว บ้านราชฯ 24 ปีแล้ว สองนักษัตร กำลังขึ้น 25

ถ้า 3 นักษัตรเกิดสามเส้าแล้ว 36 อีก 12 ปี จะมีอะไรยืนยันได้ไหม อาตมาจะตั้งหลักปักหลักที่ราชธานีอโศกให้ถึง 36 ปี แล้วค่อยๆไปทบทวนตอนนั้นว่าอะไรเกิดขึ้นเท่าไหร่แล้ว ในเรื่องของสถาน ที่นี้แหละ เป็นที่จะยืนยันอธิบาย ตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว แล้วก็จะมีบุคคลตัวจริง แต่ก็จะเป็นอิสระเสรีภาพของตัวเอง มีอัตตาน้อย มาก ก็สอนให้ลดอัตตาอยู่แล้ว แล้วก็เป็นผู้ที่มีพฤติกรรมการงานแสดงออก คุณก็มาตรวจสอบเอาเองแล้วก็มีผลงาน มีผลผลิตมีสิ่งที่มันเกิดจากความรู้และแรงงานของเรา ให้คนอื่นได้อาศัย หรือ เราอยู่ในระบบ แลกเปลี่ยนซื้อขายไม่เอาเปรียบเขา ขอยืนยันว่าเราไม่ได้ซื้อขายอย่างนั้นไม่ได้ทำเศรษฐกิจอย่างนั้น เราประพฤติเศรษฐกิจแบบขายก็ขายยังขาดทุนเป็นหลัก

สมณะฟ้าไทว่า...สรุปจบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:56:11 )

610910

รายละเอียด

610910_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 13

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1g4S_c2SxNeloivnXz593tYacx-QXng_cc_IybGicyCo/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1ATAhjDCpNIDijFMas7vTpTwCvmntj3C-

 

พ่อครูว่า...ทุกคนเป็นไงสบายดีบ่ วันนี้ วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ก็ขอโอภาปราศรัยกับ sms

SMS 9 กันยายน 2561 (วิถีอาริยธรรม)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน คำสอนพ่อครูตามจรณะ 15

_3867 ครายว่าพ่อครูเทศน์สะกดจิต?พ่อครูสอนธ.ในตถาคตฯ สะกดกิเลส!ปราบผีโลภโกรธหลงฯออกไปจากใจให้หมดสิ้นต่างหาก!กบกินผัก!

พ่อครูว่า...อันนี้จริง ใครเขาว่าอาตมาเทศน์สะกดจิต มันไม่ใช่วิธีสะกดจิต แต่เป็นวิธีที่ทำให้คนเข้าใจ ทำให้คนเห็นคุณค่า คนที่เขาเข้าใจและเห็นคุณค่าก็ใส่ใจ เวลาเขาใส่ใจก็เลยเกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ไม่ใช่สะกดจิต แต่ทำให้เกิดปัญญาในอินทรีย์ 5 พละ 5 มันเต็มศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ เต็มปัญญา

ไม่ใช่วิธีการสะกดจิต อาตมาบรรยายธรรมะ ผู้ที่มีปัญญาเข้าใจ เพราะอธิบายสัทธรรมเมื่อคนเข้าใจสัจธรรมก็เต็มใจพอใจตั้งใจ อ่านจิตของตนอย่างมุ่งมั่น ไม่ใช่การสะกดจิตแต่เป็นการตื่นเต็ม มีสัทธินทรีย์ ตื่นเต็มมีปัญญา ต่างกับการสะกดจิต

การสะกดจิตเป็นการทำให้คนอยู่ในอาณัติ จิตของเขาถูกคนสะกดควบคุม เพราะฉะนั้นการนั่งหลับตานี่แหละคือการสะกดจิต แต่เป็นการสะกดจิตตัวเอง นั่นคือการไม่ได้เกิดปัญญาไม่เกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ไม่ได้เกิดคุณธรรมต่างๆ

ศรัทธาจะเกิดได้ก็เพราะปฏิบัติศีล ปฏิบัติศีลแล้วก็เริ่มต้น สํารวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เสร็จแล้วก็จะเกิดศรัทธา แล้วจะรู้สึกตัวจะเกิดการสัมผัสเกี่ยวข้องกับอะไร เมื่อไปสัมผัสกับสิ่งที่เราเกิดกิเลสในจิต เมื่อกิเลสเกิดมันจะมีหิริโอตัปปปะจะละอาย จิตเรายังมี ฟังให้ดีผู้ที่ปฏิบัติธรรมจะใช่เลย ละอายมีหิริโอตตัปปะ ปฏิบัติธรรมจะเกิดพหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา สัทธรรม 7 ก็จะเกิดตาม

ลักษณะทั้งหมดตั้งแต่ศีล สำรวมอินทรีย์ โภชนามัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ แล้วเกิดสัทธรรมมี 7 ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา นี่แหละคือ การเกิดของฌาน 1 2 3 4 เรียกเต็มๆว่า จรณะ 15

พร้อมกับมีปัญญา ทั้งหมดนี้ ศีล ทำให้เกิดกระบวนการทั้งหมดเลย ปฏิบัติถูกเรียกว่าสัมมัปปธาน 4 สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน ในการสำรวมอินทรีย์จะเกิดสิ่งเหล่านี้ เมื่อปฏิบัติถูกมีการสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ ก็จะเกิดการประหารได้ ประหารกิเลสก็เกิดภาวนามัย มีการเกิดผลแล้วก็รักษาผลต่อไป

ปัญญาจะเกิดรู้ตามกระบวนการของจรณะ 15 ความเจริญของปัญญาก็เป็นวิชชา 8

ส่วน สะกดจิตนั้นไม่มีกระบวนการเหล่านี้เลย แม้แต่การสะกดจิตนั่งหลับตา ศีลไม่มี สำรวมอินทรีย์ไม่มี โภชเนมัตตัญญุตาไม่มี หลับตาเหมือนตาบอด ตาไม่เห็นรูปอะไร บ่เห็นหุ่ง เรียกเป็นไทยว่าไม่เห็นรุ่งอะไรเลย

 

_1701 ถ้าบ้านราชก่อตั้งปี 2537 ก็ปีเดียวกับที่หนูบรรจุราชการเลยค่ะ ปีนี้อายุราชการครบ 24 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 25 ตั้งจิตไว้เคลียร์ภาระหนี้สินหมดเมื่อไหร่ไปอยู่บ้านราชเมื่อนั้นค่ะ

 

_1614.. คนเราเมื่ออายุมากๆ มักเป็นบ้าหอบฟาง ตัวไม่หอบแต่ใจมันหอบ แบกไปหมด อะไรต่อมิอะไรเก็บมาคิดมานึกหมด สะสมอยู่คนเดียวนั่นแหละ ใครไม่ทุกข์เราก็เก็บมาทุกข์คนเดียว บ้าหอบฟางมันไม่มีอะไร ขอโปรด แก้ โรคหอบฟางด้วยค่ะ

 

_1614 ถ้าแผ่นดินไทย ไม่มีพระมหากษัตริย์โพธิสัตว์พระองค์นี้ คอยเป็นปัญญาให้แผ่นดินไทย ป่านนี้เมืองไทยคงลุกเป็นไฟไปทุกหย่อมหญ้า เพราะว่ามีแต่คนบ้ามาแย่งชิงอำนาจการบริหารบ้านเมือง แล้วก็สร้างแต่เรื่องวิบัติทิ้งไว้มากมาย จากนั้นมันก็สะบัดก้นหนีไปลอยนวลอยู่ต่างเมือง เฮ้อ! ใครทำอกุศลกรรมอะไรไว้ อย่างไรๆมันก็หนี "อกุศลกรรมวิบาก" ไม่พ้นหรอกครับ... สุนทร วงศ์วรเสถียร

พ่อครูว่า...เชื่อไหมว่าทักษิณจะก่อเรื่องอีก มีหลักฐานยืนยันเช่นปฏิญญาฟินแลนด์เป็นต้น ผู้เขียนมาก็มีข้อมูล แต่ในหลวงมีบารมีมาก ทักษิณจึงแพ้ภัยตัวเอง แพ้หมดรูปแล้วแต่ยังแอ็คอยู่ โง่จนไม่รู้ว่าความแพ้ชนะคืออะไร เขาว่าเขาแพ้ไม่เป็น ซึ่งเป็นคนที่โง่งมงายจนกระทั่งแพ้ชนะไม่รู้เรื่อง หากเขาฉลาดกว่านี้ วางมือเสีย ความเกลียดชังจะไม่ได้เพิ่มขึ้นกว่านี้ เขาคอรัปชั่นไปได้มากมายกินอยู่สบาย ดีไม่ดีคนไทยใจดีให้เข้ามาในประเทศใด แต่ถ้าทำอย่างนี้ไม่มีทางเข้ามาได้ เพราะเขาทำของเขาเอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความรัก 10 มิติ) ตอน รักอย่างไรไม่เป็นบาป

_1614 รักอย่างไร ไม่ให้เป็น บาป คะ

พ่อครูว่า..รักอย่างไม่ให้เป็นบาปต้องรักตามความรัก 10 มิติ รักมิติที่ 8 9 10 รักอย่างที่เรียกว่า ต้องมีปัญญาเรียนรู้กิเลสแล้วลดกิเลสได้ ก็เรียกวาไม่บาป หรือล้างบาปออกไป ถ้าไม่เช่นนั้นบาปทั้งนั้น แม้แต่รักมิติที่ 7 ก็ยังบาป เพราะว่ายังไม่เกิดบุญเลย รักมากรักทุกคนในโลกหมดเลย พระพุทธเจ้าบอกว่ารักร้อยทุกข์ร้อย นี่รักเป็นล้านเลย เป็นพระเจ้ารักหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ความรักเป็นความทุกข์ รักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง ไม่รักเลยก็ไม่ทุกข์เลย นี่คือคำสอนของศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเรียนรู้ความรัก ศาสนาพุทธเหนือชั้นที่สุด คำว่าความรักนี้ เป็นเรื่องที่เหนือกว่าสามัญ ที่เขาจะเข้าใจได้

คนที่ไม่มีรักก็มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่ต้องรักผูกพันใครเลย มีแต่การช่วยเหลือผู้อื่น นี่สุดยอด

 

_1614 ไม่อยากเเต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนไร้วาสนา เเต่เพราะได้อธิฐานที่จะสร้าง เนกขัมะบารมี ใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า..ดี ถูกต้อง

 

_1614 คนที่ด่า ว่าคนอื่นได้ด้วยอารมณ์โกรธไม่ใช่ความเก่ง แต่คนที่ฟังคำด่าว่าได้ โดยไม่มีอารมณ์โกรธนั่นต่างหาก คือความเก่งที่แท้จริง ใช้การกดข่ม จนเคยชิน ได้ไหม

พ่อครูว่า..ถูกต้อง หากใช้กดข่มเคยชินก็เก่งขึ้นเหมือนกัน แต่ถ้าเรียนรู้ด้วยปัญญา ก็ไม่ได้ยากอะไร ถ้าใครเขาด่าเรา เราก็ต้องรู้สิว่าเขาด่า การด่าก็อยู่ที่เขา การด่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็อยู่ที่เขา ไม่ใช่เราเสียหน่อย เราก็ฟังคนนี้ด่าได้แรง ด่าได้หยาบ ด่าได้พิสดารดี คนนี้ด่าได้สุภาพ คนนี้ด่าได้ใช้วาทกรรมแจ๋วเลย เราก็ฟังสิ เขาจะด่าเราแบบไหน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ฌานเป็นไฟร้อนยิ่งกว่าไฟกิเลส

_1614การก่อเกิดให้ไฟฌาน ทำอย่างไร ทำให้ได้ แบบ static

พ่อครูว่า..ไฟฌาน เป็น      Dynamic แล้วคุณก็จะบังคับให้เป็น Static

คำว่า static ก็คือการตั้งมั่น Dynamic เป็นการเคลื่อน ของพุทธ มีทั้ง Static และ Dynamic การปฏิบัติให้เกิด ฌาน สัมมาทิฏฐิ ที่อาตมาอธิบายทุกวันนี้เป็นการลืมตาปฏิบัติแล้วสร้างพลังงานจิตให้เป็น อุณหธาตุ ธาตุความร้อนธาตุไฟ จะสลายไฟราคะโทสะโมหะได้

การทำฌาน ไม่ใช่ทำให้เกิดความเย็น แต่เรียกร้อนก็ไม่ร้อนฉ่าอะไร แต่มันเป็นพลังงานทางจิตที่มีอำนาจมีฤทธิ์มาก สามารถจะสลายไฟ มันยิ่งกว่าราคะ โทสะ โมหะอีก มันจะมีฤทธิ์กำจัดทำลายพลังงานอุณหธาตุได้ คือไฟราคะ โทสะ โมหะได้

ทำอย่างไรก็ทำอย่างที่อาตมาอธิบายอย่างสัมมาทิฏฐิ ถามมานี้แปลว่าคุณเข้าใจแต่ยังสรุปไม่ลง คุณเข้าใจไฟฌานแล้ว ทำอย่างไรแต่คุณสรุปไม่ลง ก็ทำอย่างที่อาตมาอธิบาย ถ้าคุณเข้าใจว่าต้อง มีการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วแยกแยะกิเลสจากการสัมผัส อ่านกิเลสในเวทนาแล้วทำให้มันลดลงให้ได้ เอ็งไม่เที่ยงแท้ เอ็งมันเป็นเหตุ มันเป็นตัวทำให้เกิดทุกข์ เอ็งไม่มีตัวตนจะมาหลอกข้า ถ้าคุณเกิดภูมิปัญญาที่ชัดเจนว่ามันเป็นของหลอกไม่ใช่ของคุณไม่ใช่มีตัวตนมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วเราไปโง่รับมันมาในจิตทำไม ให้มันมาทำงานอยู่ในจิตของเรานะ เราก็อย่าให้มันเข้ามาในจิตของเรา คุณก็จะค่อยๆเกิดภูมิปัญญา แล้ว พิจารณาไปเรื่อย ถ้าเข้าใจถูกแล้วอย่างที่อาตมาอธิบายทำอย่างนั้นแหละตลอดไป สักวันหนึ่งเป็นอรหันต์แล้วมาบอก

 

_ใฝ่ธรรม · ภาพและเสียงคมชัดมากที่ จ.สตูล

 

_สุดชดา... วันนี้ขอฝากถามคำถามในรายการสำมะปี๋ด้วยค่ะดังนี้

พ่อครูคะสมัยที่พ่อครูเป็นรัก รักพงษ์

มีละครเรื่องเจ้าหญิงแสนหวีมี อารี นักดนตรี กับกำธร สุวรรณปิยะศิริ แสดงนำ ดิฉันชอบเรื่องนี้มากค่ะ ขอถามว่าเค้าโครงเรื่องเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งคะ พ่อครูเป็นผู้กำกับเรื่องนี้หรือเปล่าคะ?

อนึ่งตอนเด็กๆคุณแม่ดิฉันจะอ่านสตรีสารทุกเดือน แม่อ่านนิยายแต่ดิฉันชอบอ่านเรื่องสั้นค่ะ เพราะจะมีมุมแปลกๆมุกแปลกๆสนุกสนานดีค่ะแต่ก็ไม่รู้พ่อครูแต่งเรื่องไหนค่ะ

ตอนนั้นมีนักเขียนเรื่องสั้นหลายคนไหมคะ?

พ่อครูว่า..ก็เรื่องแต่ง อาจจะมีเค้าโครงจากเรื่องประวัติศาสตร์บ้างแล้วเอามาผูกเรื่องให้มีพระเอกนางเอก ให้มี Story อาตมาไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโตจนเขาให้กำกับโทรทัศน์ละครหรอก อาตมาได้แต่กรรมกับเรื่องย่อยๆเล็กๆน้อย ไม่ได้กำกับละครเรื่องใหญ่ เขาไม่เชื่อถืออาตมาหรอก มีแต่ตอนเป็นนักเรียน นักศึกษา อาตมากำกับมานัก อาตมาเคยทำถึงขั้นสร้างเองเลยนะ เป็น Operetta มีแต่เพลงทั้งหมดในละคร ไม่มีการพูดธรรมดาเลย แต่เป็นเล็กๆไม่เรื่องใหญ่เหมือน Opera ก็ออกงานที่เขารวมนักเรียนทั่วประเทศมารวมกัน เพาะช่าง เสาวภา สวนกุหลาบ เรียกว่างานอะไร?...

 

_น้ำมนต์...ทำยังไงหนูจะ ลดอัตตาได้คะหลวงปู่

พ่อครูว่า...อัตตาเป็นอย่างไร หนูรู้ว่าอัตตาเป็นอย่างไร? (อัตตาคือกิเลสค่ะ มันทำให้เราโมโห) ก็เรียนรู้ที่หลวงปู่สอน ก็ขอบอกแค่นี้ก่อน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ทำรัฐประหาร

พ่อครูว่า...ขออ่านบทความของคุณสารส้ม คอลัมน์กวนน้ำให้ใส ข่าวร้ายของประเทศชาติ คือข่าวดีสำหรับใคร?

 

ประเด็นที่ถูกนำมากล่าวหากันแบบผิดๆ หนักๆ ก็คือ เรื่องเศรษฐกิจ

 

โดยฝ่ายที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเป็นตุเป็นตะ เหลือเชื่อว่า คือ พวกเดียวกับที่เคยคุยโอ่โกหกเรื่องเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นเอง

 

บางคน เคยหาเสียงด้วยนโยบายจำนำข้าว ว่าจะไม่ขาดทุน แถมจะมีกำไร

 

บางคน เคยคุยโวจะเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ

 

เหลือเชื่อกว่านั้น คือ คนในสังคมบางส่วนยังคงหลงเชื่อ ให้ราคากับคนพวกนี้ ด้วยการแชร์ข้อมูลต่อๆ ไป เพียงเพราะได้รับความรู้สึกสะใจที่ได้ตำหนิรัฐบาล คสช. หรือได้ต่อว่าเผด็จการทหาร

 

พล็อตเรื่องซ้ำซากที่พยายามกล่าวหา คือ การชี้หน้าว่าเผด็จการทหารให้น้ำหนักจัดสรรงบประมาณไปใช้กับการซื้ออาวุธ การทหาร แทนที่จะให้น้ำหนักกับการศึกษา การสาธารณสุข การเกษตร การช่วยเหลือคนจน ฯลฯ

(พ่อครูว่า..ขอแทรก...อาตมาขอยืนยันว่าเมืองไทยไม่มีรัฐประหาร ขณะนี้นายกฯตู่ที่มาทำงานขณะนี้ไม่ใช่การรัฐประหาร ไม่ใช่การรัฐประหารโดยทหาร แต่เป็นรัฐประหารโดยประชาชน พลเอกประยุทธ์เป็นตัวแทนประชาชน เข้ามาขอทำหน้าที่ โดยใช้ภาษาตามรูปแบบของสังคม ใช้ภาษาตามรูปแบบของการเมืองว่า ถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ แต่ที่จริงประชาชนได้ยึดอำนาจเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลทำเก๊ๆไปแล้ว ประชาชนทำสำเร็จแล้ว ใครที่ไม่เข้าใจรัฐศาสตร์ ให้เข้าใจเสียว่า นายกฯประยุทธ์ไม่ได้ทำรัฐประหาร แต่เป็นผู้มารับหน้าที่แทนประชาชน เป็นผู้แทนประชาชนโดยชอบ เพราะฉะนั้นประเทศไทยไม่ได้มีทหารมารัฐประหาร มีแต่ประชาชนมารัฐประหาร นี่คือเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยที่สวยที่สุด ทำการเมืองได้สวยที่สุด พลเอกประยุทธ์เจ้าหน้าที่ทำงานก็ทำได้ดี ประชาชนไม่ได้ขัดข้อง โพลกี่โพลก็ว่าทำต่อไป นี่เป็นประชาธิปไตยแล้วบริบูรณ์ อย่าเข้าใจว่าประชาธิปไตยต้องมีเลือกตั้งถ้าไม่มีเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย ขี้หมาเถอะ

นักรัฐศาสตร์อย่าไปคล้อยตามพวกไม่มีปัญญาไม่มีความรู้ประชาธิปไตย อย่าไปโง่เง่านักหนา เพราะฉะนั้นขณะนี้ อาตมาว่า Road Map จะไปเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 62 ถ้าจะทำตามนั้นก็ทำ แต่ถ้าไม่ทำเห็นว่ามันยุ่งยากนัก ไม่ควรจะต้องยุ่งยาก หรือว่าอะไรที่ไม่เรียบร้อยก็ทำต่อไปเลย อย่าไปฟังปากหอยปากปูของพวก โง่เง่า คือ ไม่มีความรู้อะไรในเรื่องรัฐศาสตร์คนที่จบดอกเตอร์รัฐศาสตร์มา ไม่รู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก

เพราะอะไร เพราะเกิดประชาชนอย่างชาวอโศกนี่แหละ เราไปประท้วง ตามกฎหมายสากลนิยมด้วยความสงบ ประท้วงอยู่เป็นปีจนเรียบร้อย รัฐประหารรัฐบาลไปได้ตั้ง 3 รัฐบาล นี่เป็นหลักฐานยืนยัน พลเอกประยุทธ์มาทำหน้าที่ได้ถูกต้องแล้วจึงเป็นประชาธิปไตย ตอนแรกต่างประเทศบอกว่าเป็นรัฐประหาร ถ้าหากพลเอกประยุทธ์ไม่ใช่ทหาร เขาจะเข้าใจอย่างถูกต้องเลย แต่นี่มันไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าประเทศชาติต้องมีผู้ดูแลความมั่นคงของชาติ แล้วเบอร์ 1 มาอยู่ที่เขา

ตอนนี้พลเอกประยุทธ์บอกแล้วว่าผมไม่ใช่ทหารแล้วผมเป็นนักการเมือง แต่ก่อนนี้บอกว่าเป็นทหาร ตอนนี้เกษียณจากทหารแล้วก็มาทำงานตรงนี้เป็นนักการเมือง เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เข้าใจอย่างชัดเจนเรื่องรัฐศาสตร์ของประชาธิปไตยที่แท้จริง เขาก็จะคิดอย่างนี้ ที่พูดอยู่นี้คิดว่าพอเข้าใจ แต่เขาต้องการที่จะได้อำนาจ เขาต้องการที่จะเอาพลเอกประยุทธ์ลง แล้วเขาจะได้มาเป็นผู้บริหาร มีการเลือกตั้งและเขาก็จะได้มีส่วน ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีสิทธิ์มีส่วน แล้วก็จะต้องแห้งตายๆๆ เพราะอาชีพของเขาอยู่ตรงนี้

เมื่อพลเอกประยุทธ์ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ ซึ่งเผินๆ มันจะเป็นรัฐประหาร แต่เมื่อทำงานเสร็จแล้วผู้มีความรู้ทางรัฐศาสตร์การเมือง แม้แต่ต่างประเทศก็รู้ว่าอย่างนี้ใช่ ตกลงประเทศที่ไหนก็แล้วแต่ ที่บอกว่านี่เป็นเผด็จการรัฐประหาร นายกฯไม่ถูกต้องตามประชาธิปไตย ที่เคยไม่ต้อนรับหรือที่ไม่คบด้วยก็หมดแล้ว ไม่เห็นมีประเทศไหนที่มีความคิดอย่างนี้

พลเอกประยุทธ์สามารถไปเชื่อมโยงทำงานประชาธิปไตยของประเทศไทย ก็อย่างธรรมดา ประเทศไหนก็ไม่ขัดข้องสักอย่าง ไปร่วมประชุมตามแนวคิดประชาธิปไตยทั่วโลกก็สบายไม่เห็นมีอะไรขัดข้อง พวกที่ตะโกนออกมาตอนนี้ ว่าเป็นเผด็จการไม่ใช่ประชาธิปไตย แสดงขี้เท่อความโง่ของตัวเองทั้งนั้น ผู้ใดยังมีความคิดอยู่ว่า เมืองไทยตอนนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย คนนั้นยังเข้าใจประชาธิปไตยไม่ได้ ต้องศึกษาอีกหลายชาติถ้าอย่างนี้

ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยมานานแล้ว เรื่องของพระพุทธเจ้าก็มีประชาธิปไตย พระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยสุดยอดเบอร์ 1 ของจักรวาล เป็นนักบริหารให้มีอิสระเสรีภาพสูงสุดถึงขั้นไม่มี อัตตา เอาจิตวิญญาณเป็นหลักแล้วให้ศึกษาเป็นลำดับ

ประชาธิปไตยขาเดียวไม่ใช่ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบเป็นประชาธิปไตยขาเก ประชาธิปไตยต้องมี 2 ต้องมีพระเจ้าแผ่นดิน มีนายกฯ มีรัฐบาล และมีประชาชน ต้องเป็นธรรมะ 2 เสมอ ประชาธิปไตยต้องมีรัฐบาลและฝ่ายค้าน สองเสมอ ไม่มี 2 ไม่ใช่ประชาธิปไตย ถ้าเข้าใจว่าจะต้องมีแต่รัฐบาลหรือฝ่ายค้านนั่นคือสภา ถ้าหากว่าประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยขาเดียวไปไม่รอด ไม่ได้ ฝ่ายค้านทำตามกฎเกณฑ์เฉยๆแต่ไม่ได้ทำหน้าที่จริง อย่างนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย ฝ่ายค้านต้องทำงานจริงไม่ใช่ทำตามตัวหนังสือหลักเกณฑ์

ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ ดวงเหมือนจะเป็นฝ่ายค้าน แต่ตัวเองมีเลือดอยากจะเป็นรัฐบาลตลอดเวลา ไม่ได้ปฏิบัติตัวเองเป็นฝ่ายค้านเต็มรูปเลย กูอยากเป็นรัฐบาลๆๆๆ(พ่อครูไอตัดออกด้วย) เพราะฉะนั้นจึงไม่จริงจัง หากว่าประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านที่จริงจังก็จะเท่เลย แล้วจะได้เป็นรัฐบาล เพราะว่าไม่เป็นฝ่ายค้านที่จริง มีแต่อยากจะเป็นรัฐบาล มันก็เลยเป็นกระเทย (พ่อครูไอตัดออกด้วย)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ทำอย่างไรจะตั้งสติได้

_แก้วบุญ ทำอย่างไรจะตั้งสติได้

พ่อครูว่า...ก็เรียนรู้ว่าสติคืออะไร (หนูไม่รู้) ถ้าเรารู้ว่าสติคืออย่างไรเราก็จับมันตั้ง

สติคือเราจะต้องรู้ตัวเราตลอดเวลา รู้ว่าตอนนี้ ตากระทบรูป เห็นอันโน้นอันนี้เราก็รู้ เรากำลังเห็นหน้านะ เรากำลังได้ยินอันนี้ กำลังได้กินอันนี้ กำลังได้รสอันนี้ถูกสัมผัสอันนี้ เราก็มีจิตใจร่วมรู้ด้วยนั่นคือเรากำลังมีสติ แล้วเราก็อ่านต่อ เมื่อมีสติแล้วก็จะอ่านรู้เวทนา ในใจเรา

หากว่าเรารู้สึกโมโห เราก็ต้องอ่านว่าโมโหนี้เป็นอย่างไร มันไม่ดี ต้องปรับแก้อย่าให้จิตโมโห ให้มันหายโมโหได้ไวเลย ก็ดีแล้วอย่างหนี่งแต่ยิ่งมีปัญญารู้ว่า โมโหไปทำไมมันก็เลอะเทอะคิดอ่านไม่เต็ม มีความสุขอีก เราเข้าใจด้วยปัญญาว่าอาการที่ไม่ต้องโมโห เรื่องนี้เรากระทบแล้วก็พูดกับเขาดีๆใจไม่ได้ร้อนอะไรก็พูดไปด้วยดีด้วยเหตุปัจจัย ที่มันถูกต้อง เราก็ไม่ร้อนใจ โมโหนี่ร้อนใจนะ หรืออาการโกรธนั่นเอง

 

(อ่านต่อ)

1.ไม่น่าเชื่อว่า สื่อกระแสหลักบางสำนัก ก็ละเลงข่าวเท็จไปด้วย ทำนองว่ายุครัฐบาล คสช.มีการจัดสรรงบให้กระทรวงกลาโหมมากที่สุด

 

แล้วก็เป็นฐานอ้างอิงให้ผู้ที่ไม่ชอบรัฐบาล ได้เอาข้อมูลไปละเลงกันต่ออย่างผิดๆ

 

นักการเมืองบางพวก ก็ต่อยอดความบิดเบือนด้วยการประกาศว่าจะขายเรือดำน้ำ

 

ความจริงแล้ว งบประมาณแผ่นดินทุกรัฐบาล ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ล้วนจัดสรรให้กระทรวงศึกษาธิการมากที่สุด อันดับหนึ่ง ตามมาด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ ลำดับจะอยู่ประมาณนี้ เปลี่ยนแปลงไม่มาก ไม่ว่ายุครัฐบาลทหารหรือเลือกตั้ง เพราะทุกกระทรวงมีรายจ่ายประจำเป็นส่วนใหญ่

 

2.นักการเมืองบางพรรค พยายามตีกินเรื่องงบโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปัจจุบัน โดยพยายามขยายความเท็จว่า ยุคเผด็จการ คสช.จัดสรรงบให้น้อยลงกว่าทุกสมัย

 

ลองดูง่ายๆ ที่ ตัวเลขงบเหมาจ่ายรายหัว ในยุคเผด็จการทหาร คสช. จัดสรรเพิ่มขึ้นทุกปี

 

ตรงกันข้าม กลับเป็นยุคทักษิณให้งบเหมาจ่ายรายหัวเท่าเดิม หลังชนะเลือกตั้ง นั่นคือปีงบประมาณ 2545 กับ 2546 และในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็แช่แข็งงบเหมาจ่ายรายหัวเท่าเดิม คือ ปีงบประมาณ 2555 กับ 2556

 

ข้อเท็จจริงปรากฏว่า

 

งบประมาณที่จัดทำยุคทักษิณ ปีงบประมาณ 2545 ให้งบเหมาจ่ายรายหัว 1,202 บาทต่อหัว

 

งบปี 2546 ให้เท่าเดิม 1,202 บาทต่อหัว

 

งบประมาณที่จัดทำยุคยิ่งลักษณ์ ปีงบประมาณ 2555 ให้งบเหมาจ่ายรายหัว 2,755 บาทต่อหัว

 

งบปี 2556 ให้เท่าเดิม 2,755 บาทต่อหัว

 

งบปี 2557 เพิ่มเป็น 2,895 บาทต่อหัว

 

งบปี 2558 ให้เท่าเดิม 2,895 บาทต่อหัว

 

งบประมาณที่จัดทำยุค คสช. ปีงบประมาณ ปี 2559 ให้งบเหมาจ่ายรายหัว 3,028 บาทต่อหัว

 

งบปี 2560 เพิ่มเป็น 3,109 บาทต่อหัว

 

งบปี 2561 เพิ่มเป็น 3,283 บาทต่อหัว

 

งบปี 2562 เพิ่มเป็น 3,462 บาทต่อหัว

 

จะเห็นได้ว่า ยุครัฐบาล คสช. เพิ่มงบเหมาจ่ายรายหัวทุกปีงบประมาณ สิทธิประโยชน์ต่างๆ เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมากมาย

 

แถมหัวหน้า คสช. ยังใช้อำนาจตัดเอางบกลางมาช่วยอุ้มโรงพยาบาลที่ขาดทุนหนักอีกต่างหาก

 

พ่อครูว่า...นักข่าวควรจะทราบว่าอันไหนเป็นข่าวเท็จไม่ควรนำมาออกก็ต้องรู้

เป็นข่าวร้ายของประเทศชาติจะเป็นข่าวดีของความถูกต้อง ข่าวดีของรัฐบาลที่บริหารอยู่ขณะนี้ เขายิ่งหาเรื่องโกหก มดเท็จ มันยิ่งขายขี้หน้าตัวเองมันยิ่งเสริมความถูกต้องของผู้บริหารที่ถูกต้อง ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งในโลก

 

_อาเหลา...ลูกเขาจะสนใจแต่วิทยาศาสตร์กับวิชาการทำอย่างไรจะโน้มน้าวให้เขามาสนใจธรรมะได้

พ่อครูว่า...บีบคอมาสิ จะไปทำทำไม ก็บอกให้เขาฟังว่ามาสนใจฟังธรรมะบ้างเพื่อชีวิต เรื่องอย่างอื่นเป็นเรื่องหาเงิน วิชาการความรู้ทางโลกเป็นวิชาการจะต้องอาศัยเลี้ยงชีพ แต่ธรรมะนี้เป็นเครื่องอาศัยของจิตวิญญาณของเรา เป็นเรื่องอัตตาอัตภาพของเรา ที่จะไปอีกยาวนานนิรันดร ถ้าเป็นเทวนิยม ถ้าไม่เป็นเทวนิยมก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้

ถ้าคนไม่ใส่ใจก็จะจมอยู่ในทุกข์ในสุขในเรื่องของโลก กุศลและอกุศลวิบากเวียนอยู่อย่างนี้ ก็ต้องพยายามหา มีศิลปะใช้ถ้อยคำที่น่าจะรู้ใจลูกบ้างว่าพูดอย่างนี้ประเด็นอย่างนี้ ลูกจะได้ความสะดุดใจ

 

_สมัยไปประท้วง สนธิ ลิ้มทองกุล ว่ามีเดรัจฉานวิชา ขอถามว่า เดรัจฉานวิชามีจริงเราจะทำอย่างไรให้ถูกต้องและรักษาผลที่เกิดจากเดรัจฉานวิชาพวกนี้ หมายถึงพวกคุณไสย

พ่อครูว่า..เดรัจฉานวิชามันไม่มีจริง คุณก็อย่าไปรับวิชาที่เดรัจฉาน เอาอย่างนี้ เดรัจฉานวิชาเช่นบอกว่า  เสกหนังเข้าท้องคน หรือจะทำพิธีอะไร คนก็หัวเราะเยาะว่ามันไม่มีจริง มันไม่เป็นจริงมันก็ไม่เป็น มันก็ไม่มี คุณก็ไม่ได้รับผลอะไรจากที่เขาทำ ให้เขาทำบ้าอยู่คนเดียวไม่กระทบกับเราเลย แต่ถ้าคนไปเชื่อว่าเขาทำนี่มันจะเข้าเรา อันนี้เข้าจริงๆด้วย ฟังให้ดีนะถ้าเข้าใจแล้ว เดรัจฉานวิชาทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเราไปรับว่าเดรัจฉานมันมีคุณก็มีด้วยตามเขา เสกหนังเข้าท้อง หนังก็เข้าท้องคุณเลย ถ้าคุณบอกว่ามันไม่มีจริงหรอกมันไม่เกิดจริงหรอกมันเป็นอุปาทาน อุปาทานเป็นเรื่องที่ร้ายที่สุด สิ่งไม่มีก็มีจริงได้

ทุกวันนี้เช่น รสอร่อยมีจริงไหม...ไม่มีจริง คุณก็หลงว่ามันมีจริงไม่รู้กี่ชาติแล้วจนมาชาตินี้โพธิรักษ์สอน ก็ปัดโธ่เอ๋ย คุณก็มาล้างมันออกไป แม้ล้างมันออกไปก็ยังไม่หมดได้ง่ายๆ ถ้าหมดแล้วก็จะรู้ว่ามันไม่มีหรอก รสอร่อยมันเป็นเรื่องสมมุติ รสของน้ำตาลมันก็หวาน เกลือมันก็เค็ม รสชาติอะไรก็เป็นอันนั้น เป็นรสแท้ อันนี้หวาน อันนี้เค็ม อันนี้อร่อยอันนี้พอดี ความอร่อยนี้เป็นของเก๊ทั้งนั้น เป็นเวทนาเก๊ ไม่ใช่ความรู้สึกจริง ถ้าคุณชัดเจนนะนี้แล้วปัดโธ่เอ๋ย มันก็เป็นของจริงตามความเป็นจริงคุณกระทบอะไร ก็ดูอันนั้นเท่านั้นเองเป็นธรรมะเดียว

ธรรมะ 2 คือ ของเก๊อันหนึ่งของจริงอันหนึ่ง เรียนรู้ธรรมะสองของพระพุทธเจ้าให้ได้

 

_คุณเหลาว่า...ที่ภาคใต้งานเจเขาแทงทะลุกันนั่นจริงไหม

พ่อครูว่า...เป็นอุปาทาน ไม่มี ตอนนั้นอาตมาหนังเหนียว

จะเหนียวไปทำไม? รถยนต์ชนอัดที่ขา แต่ไม่มีหนังแตกภายนอกแต่ภายในแหลกนะ กล้ามเนื้อภายในแตก รักษาอยู่นานเลย หมอไม่ผ่าด้วย

 

_หลวงปู่คิดว่า เด็กนักเรียนสัมมาฯ คิดว่าเขารู้ชีวิตที่หลวงปู่ทำละครหรือเปล่า

พ่อครูว่า…

 

_มีคนที่ไม่ใช่คนวัดบอกว่าทำบุญอะไรจะได้อย่างนั้น แบบว่าทำกับข้าว ก็จะได้ไปกินในนรก ถ้าไม่มีช้อนไปด้วยก็ไม่ได้กิน

พ่อครูว่า...มันไม่จริงหรอก คนใช้ภาษาโลกๆมาถามก็ตอบอย่างโลกก่อนแล้วค่อย อธิบายไปหาโลกุตระ

 

_โสดาบันขั้นต้นกับขั้นสูงแตกต่างกันอย่างไรคะ

พ่อครูว่า...ก็ต้นกับสูงน่ะ ก็ตอบง่ายๆก่อน

เริ่มต้น ก็ต้องรู้จัก สักกายทิกฐิ อ่านจิตที่เป็นสักกายะเราก็รู้ตัวตนเรา เราจับกิเลสได้

ข้อที่สามก็มีหลักเกณฑ์ศีลพรต ปฏิบัติลดละกิเลสไป

เป็นต้น

 

_คนอยากให้ปิดน้ำตกและขัดตะไคร่น้ำออกค่ะ พระพุทธโตด้วยค่ะ

พ่อครูว่า...ก็ดี ขัดก็ได้ เคยขัด ก็ดี

 

_หลวงปู่รู้ไหมว่าธัมมชโยจะโดนจับตอนไหน

พ่อครูว่า...ไม่รู้

 

_โพธิรักขิโต เป็นฉายาที่หลวงปู่ตั้งเองหรือไม่ครับ

พ่อครูว่า...ฉายาอาตมาเป็นภาษาเต็มๆคือ โพธิรักขิโต ภาษาไทยคือ โพธิรักษ์ ทางศาสนาของไทย ใช้ภาษาบาลีไม่ได้ใช้สันสกฤตก็เลยใช้ โพธิรักขิโต อาตมาตั้งเอง ก็เล่าประวัตินิดนึง

พออาตมาจะบวช อุปัชฌาย์ก็ตั้งฉายาให้อาตมา อาตมาก็คุยกับอุปัชฌาย์ไว้ก่อน ต้องท่องไว้ก่อนตอนขานนาค อาตมาก็บอกว่าอาตมาใช้นามว่าโพธิรักษ์ทำงานศาสนา

อุปัชฌาย์ก็ท้วงว่า โพธิรักขิโต มีตัวอักษรเป็นกาลกิณีอยู่นะ อาตมาก็บอกอุปัชฌาย์ว่าผมไม่ถือหรอก อุปัชฌาย์บอกว่าจะเอาก็ได้ ก็ใช้ โพธิรักขิโต มา คือ โพธิรักษ์นี่แหละ

 

_ข้อวัตรปฏิบัติของชาวอโศกสมัยแดนอโศกนั้น เคร่งมาก เท่าเดี๋ยวนี้ไหมครับ แล้วกิจวัตรสมัยนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

พ่อครูว่า..เคร่งกว่ามาก อยู่มีคนน้อย สำรวมระวัง ไม่มีเรื่องอะไรนอกจากธรรมะ ตอนนี้ที่นี่ก็มีประกาศขอแรงงานกันที่นั่นที่นี่เยอะแยะ ที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะเรามีแกนหลัก จิตของเรามีธรรมะ มี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นแกนหลัก เรารู้ตั้งแต่เบื้องต้นมา ผู้เข้ามาทีหลัง ผู้ที่มีแกนหลักก็อยู่แล้วมันก็มีความเนียนที่ยากจะเข้าใจ หมู่กลุ่มของผู้มีแกนแล้วเหมือนเป็นสนามแม่เหล็กให้ผู้ที่มาใหม่เข้ามาได้ง่าย ก็เลยคลายเป็น ถึงอย่างไรคุณจะมาหยาบคายก็ไม่ได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน วิธีตั้งนาฬิกาใจ

_วิธีตั้งนาฬิกาใจทำอย่างไรครับ

พ่อครูว่า...อาตมาตั้งนาฬิกาใจ ฝึกนอนแล้วก็ตื่นมามาก กว่า 10 ปี 20 ปี ทำมาตลอด เวลาจะนอนเวลาจะตื่น ทุกชั่วโมง หากพลาดไป 10 นาที อาตมาก็จะเอา 10 นาทีไปตั้ง จะนอนอีกกี่นาทีก็แล้วแต่อาตมาจะตีระฆังทุกชั่วโมงจะต้องตื่นมาตรงทุกชั่วโมง ถ้ามันก่อนหรือหลังชั่วโมง แค่ 5 นาทีก็จะตี แต่ถ้าไม่ถึงจะนอนต่อ นอนให้ถึงเวลาที่จะตีได้ เช่น ตื่นมา เหลือ 7 นาที ก็จะต้องนอนต่ออีก 2 นาที 3 นาทีอย่าเกิน 7 นาทีตื่นมาตีระฆัง ก็ฝึกมาได้

การฝึกเรื่องนอน อาตมาให้เคล็ดฝึกได้อย่างที่อาตมากำหนดเวลา ไม่ให้มันติดนอน การติดนอนคือกิเลส ตื่นนอนนี่ มันยากเพราะอยากจะนอน หากมันไม่มีกิเลสอร่อยในการนอน อร่อยคือลักษณะที่มัน งัวเงีย มลังเมลือง มันจะหลับหรือไม่หลับ ไม่อยากให้งัวเงียหายไป อย่าให้ตื่นนะ นั่นแหละมันเป็นรสอร่อย ถ้าตื่นงัวเงียก็ต้องรักษาอย่าให้มันหายไม่งั้นจะตื่นแล้วหลับยากก็เสียดาย คุณอย่าไปยอมมัน มันงัวเงียเมื่อไหร่ก็ตื่นๆ รับรองไม่นานก็หายอย่าไปตามใจรสอร่อยงัวเงีย ไปฝึกเถอะ คุณตื่นมางัวเงียไม่เอาก็ต้องให้สว่างใสให้สว่างใสมันก็จะหาย

 

_กาย คือ ทำให้เราสุขทุกข์ใช่ไหมคะเราจะทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์ได้อย่างไร ทานอาหารอร่อยคือเรามีกายใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...ใช่ ถามว่าจะทำอย่างไรก็ติดตามพระโพธิรักษ์ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป

เรียนรู้กายในกาย กายนอกกาย กาย 2 กาย 1 คืออะไร ตัวที่จะไปเรียนรู้คือเวทนาเป็นหลัก ศึกที่เวทนา 108 ให้ได้เป็นกรรมฐานเป็นฐานที่แท้ในการปฏิบัติแล้วควรจะจบ ทุกข์อาริยสัจ เพราะทุกข์สุขอยู่ที่เวทนา เมื่อดับทุกข์สุขได้หมดก็เป็นอรหันต์แล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิตจริงหรือไม่

_ตามตะวัน..คำพูดที่ว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิตหรือธรรมะจัดสรรจะเกิดกับนักปฏิบัติธรรมเท่านั้นหรือว่าคนทั่วไปก็เกิดได้

พ่อครูว่า...ที่บอกว่า คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต หมายความว่าเราคิดจะให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้แล้วมันเป็นไปไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นลิขิตฟ้าแล้วคุณจะต้องเป็นไปตามลิขิตฟ้า ศาสนาพุทธ ไม่เชื่อ ถ้าคุณไปจมอยู่กับอันนั้นอาตมาไม่มีคำตอบไม่มีคำอธิบายเพราะพระพุทธเจ้าไม่สอนแบบนั้น พระพุทธเจ้าสอนเรื่องปัจจุบันธรรม ไม่มีอะไรมาลิขิตเราไม่มีพระเจ้ามาลิขิตเราไม่มีเทวดามาลิขิตเรา ให้ปฏิบัติธรรมให้ทำธรรมะ 2

ธรรมะสองภาษาบาลีคือ เทวดา คำว่า เทวะแปลว่า 2 เพราะฉะนั้นก็เรียนรู้ 2 นี้ให้ได้ แล้วคุณทำให้เป็นหนึ่ง เทวะก็หายไปเรียกว่าอเทวะ ไม่เป็นสอง ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมเป็นหนึ่งแล้วก็เป็นศูนย์ เมื่อสามารถทำให้ธรรมะเป็นหนึ่งได้ เทวดาก็ตายหมดไม่มี เพราะฉะนั้นเทวดาจะมากำหนดเราไม่ได้ ศาสนาพุทธไม่มีเทวดามากำหนด เรากำหนดตัวเราเองแล้วเราก็ สั่งเราเอง อยู่ที่กรรมกิริยาเท่านั้นเกิดจาก กรรมทุกกรรมที่เราบงการตัวเอง ศาสนาพุทธมีแต่กำกับกาละไม่มี God มีแต่กรรมกับกาละ

คุณไปเอาของศาสนาอื่นมาทำ อาตมาไม่ตอบ อันโน้นทิ้งไปเลยอย่าไปเชื่อ ทำให้ธรรมะ 2 ให้กลายเป็น 1 แล้วค่อยทำให้เป็น 0

ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมไม่เอาเทวะ ที่ว่ามีเทวดาอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเพราะว่าเขากำหนดเองหมด เป็นนิรมาณกาย ที่ปั้นเอาเอง แล้วก็ร่วมกันบริโภคเป็นสัมโภคกาย ทั้งที่มันไม่มีจริงเลยเป็นอาทิสมานกาย อย่างพระบุตรก็ยังไม่เคยเห็นพระเจ้าเลย จนป่านนี้ไม่เคยสัมผัสพระเจ้า แต่ของพุทธนี้ ยืนยันชัดเจนร่วมกันได้มีหลักฐานร่วมกัน เขาบอกว่าศาสนาพุทธเป็นแค่ปรัชญาไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เขาบอกว่าปฏิบัติไม่มีจิตวิญญาณ ทั้งที่จริงแล้วเขาเป็นจิตวิญญาณงมงาย แต่นี่แหละเรารู้จิตวิญญาณแท้ๆเป็นสภาวะจิตอธิบายได้ และก็สามารถพิสูจน์จนหมด ทำไมจิตวิญญาณเป็นพระพรหม เทวดาหรือ God ให้เป็นจิตปัญญาสะอาดบริสุทธิ์มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ได้หมดเลย

 

_สสธ.ม.4 ถ้าเราเจอคนขี้บ่น บ่นได้ทุกเมื่อ บ่นพร่ำเพรื่อ บ่นใส่เด็ก ทำให้เด็กไม่ชอบใจ การที่หนูทำเจโตสมาธิไว้ กดข่มไว้ก่อน แล้วก็วิปัสสนาเอาความไม่ชอบออก (โกรธ โมโห เบื่อ )ทีหลังถือว่าทำถูกต้องไหม

พ่อครูว่า...ถูกต้อง

 

_พึ่งบุญ...ดิฉันมีอาการที่ว่า ไม่ยอมนอนหลับเวลามีฟ้าแลบ จิตจะตื่น แล้วสังขารว่าเปรี้ยงทันที จะวางได้อย่างไร

พ่อครูว่า...คุณต้องฝึก คุณก็สัมผัสแล้วก็วาง ก็ต้องฝึก หากคุณไม่ฝึกก็ต้องมาถามอยู่นั่นแหละ ถ้าฝึกวางตามสัจธรรมของพุทธเจ้าก็จะไม่มีปัญหา แต่จะไปฝึกแบบ สมถะโลกีย์ก็ได้ ตาไม่กระทบรูป หูไม่ได้ยินเสียง แต่ก็ปิดหูไม่ได้ มันแวบๆคุณหลับตาได้ ก็ต้องฝึกตัวเองไม่มีทางอื่นฝึกว่าจะไปเอาใจใส่มันจริงๆเป็นสมถะ ถ้าคุณเข้าใจมันด้วยปัญญารู้จักปล่อยวาง ก็ทำได้ ฝึก จะฝึกแบบวิปัสสนาหรือสมถะก็แล้วแต่

 

_เลือกในสิ่งที่เรารัก รักในสิ่งที่เราเลือก

พ่อครูว่า...คุณก็ไปทำสิ่งที่เรารักเราชอบก็ทำแต่สิ่งที่เรารักเราชอบ มันก็ไม่เข้าท่าอะไร นี่แหละตัวสำคัญ มันชอบหรือไม่ชอบนี่แหละตัวสำคัญ อ่านสภาวะจริง อย่าไปชอบหรือไม่ชอบ กระทบสัมผัสแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสกับ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส รูปอย่างนี้สีแดงสีเขียว เป็นรูปเป็นร่างเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นคนเป็นวัตถุเป็นแท่งก้อน พืชพรรณธัญญาหารอะไรก็แล้วแต่ ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง อย่าไปรักหรือไปชอบหรือไม่รักไม่ชอบ ที่ถามมานี้จะเอาแต่สิ่งที่รัก คุณก็เอาแต่สิ่งที่คุณรักคุณชอบคุณก็ทิ้งสิ่งที่ไม่ชอบไปดื้อๆ ทิ้งไปเฉยๆมันก็ไม่ได้ฝึกตามรู้ความเป็นจริงว่ามันจะต้องมีสิ่งที่ทั้งที่เรารักและสิ่งที่เราไม่ชอบได้ เราก็ต้องรู้ว่าสิ่งที่เรารักเราชอบ เราทำไมต้องรักเราทำไมต้องไม่ชอบทำไมต้องชัง อ่านจิตของเราว่านี่มันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีควรหรือไม่ควร ถ้าคุณก็ต้องรับถ้าไม่ควรก็ไม่รับ ควรจะศึกษาอย่างนั้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิวรณ์ 5) ตอน ทำอย่างไรจะนอนหลับได้ดี

_หลวงปู่คะ ถ้าเราง่วงนอนมากๆ แต่ก็ไม่หลับทำอย่างไรดีคะ ทำอย่างไรจึงจะข่มตานอนหลับได้

พ่อครูว่า...เรื่องนอนนี้ก็ยากเหมือนกัน มันต้องฝึกจริงๆก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ต้องหัดฝึก ฝึกหลับลึกตื่นอย่าไปติดนอน นอนก็คือนอน เวลานอนก็ต้องตั้งใจหลับ เวลาอาตมาจะนอนก็เข้าสู่ภวังค์ จิตตัดจากภายนอกอยู่ในภพภายในประเดี๋ยวก็หลับ ก็ต้องฝึก

สังเกตนะถ้าเวลาจะนอนหลับ ถ้าหลับแล้วมันจะมี 2 ชั้น ชั้นที่ 1 คุณจะนอนคุณก็หลับตา แต่สติของคุณยังอยู่ข้างนอก คุณก็พยายามอย่าเอาสติมารับรู้ภายนอก ฝึกให้เอาสติไปอยู่ภายใน มันก็เป็นชั้น 1 หลับได้ชั้น 1 แล้ว เมื่อยังไม่ตัดข้างนอกจริงมันก็จะได้ยิน มันก็จะได้กลิ่น ตาเราไม่เห็นแล้ว คุณก็จะต้องทำให้สติข้างในมันหลับ เมื่อหลับมันก็ตัดเข้าไป จะนอนให้หลับทำอย่างไร หัดฝึกชั้นต้นก่อน หลับตา ให้จิตอยู่ภายใน ภายนอกก็อย่าไปเอาใจใส่ เป็นวิธีสมถะธรรมดา เพราะฉะนั้นเวลาจะหลับก็คือปิดทวาร ก็เป็นสมถะโดยตรง แต่จะตื่น คนฝึกตื่นแล้วรู้ได้ดี แล้วก็ฝึกหลับด้วย แต่ถ้าคุณฝึกแต่การตื่นไม่ฝึกการหลับคุณก็จะหลับยาก ก็ต้องฝึก

 

_ปรีชา...เคยถามพ่อครูปี 55 ​แต่ได้คำตอบไม่เต็มที่เท่าไหร่ ถามว่า...คือผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำสมาธิ เมื่อตอนผมอุปสมบท ได้ 1 พรรษา มีหลวงตาองค์นึงอายุ 126 ปี บอกผมให้ พระใหม่ช่วยไปเอาน้ำร้อนที่ศาลามาให้ที พอกลับมาถึงท่านก็บอกว่าจะสอนกรรมฐาน 5 ผมก็เคยรู้กรรมฐานของหลวงพ่อจำเนียรวัดถ้ำเสือ แต่ก็ลองดู ท่านบอกมา ท่านบอกว่า ให้หายใจเข้าลมกระทบจมูก ภาวนาว่าอนิจจัง เมื่อลมกระทบเนื้อสดีก็ภาวนาว่าทุกขัง เมื่อหายใจออกจนหมดก็ภาวนาว่าอนัตตา ท่านบอกเท่านี้ผมก็ไปทำตา แต่ในใจก็คิดว่ามันเป็นสมถะหรือวิปัสสนารวมกัน ก็ลองดู เมื่อทำไปแล้วผมก็นั่งหลับตา แล้วก็ลืมตา ดูว่าความรู้สึกอันไหนดูได้ชัดกว่า ก็จะเอาอันนั้น หลับตารู้สึกจะชัดกว่า แต่มันก็ใกล้กัน ทั้งหลับตาและลืมตาจนกระทั่งตอนเช้า ตื่นนอนเดินไป ทำไปตลอด ตอนไปบิณฑบาตก็ทำ แต่ว่าทำไปๆ อาการมันเริ่มเปลี่ยน ทำทั้งวัน

พ่อครูว่า...ตอบ โยนทิ้งไปเลย อันนั้นมิจฉาทิฐิทั้งนั้น ให้มาปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาที่เป็นของพระพุทธเจ้า ทำไปตามศีลแต่ละข้อ ศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ที่คุณศึกษามานั้นมิจฉาทิฐิทั้งนั้น ขอยืนยันอาตมาพูดอย่างหนักมากแรงมาก เถรสมาคมศาสนาพุทธทุกวันนี้มิจฉาทั้งนั้น หลับตาปฏิบัตินี้โยนทิ้งเข้าป่าไปเลยไม่ใช่พุทธ ต้องลืมตาปฏิบัติศีลสมาธิปัญญา ศีลข้อที่หนึ่งสัมผัสกับสัตว์ทั้งหลายโดยเฉพาะกับคน สัตว์ทั้งหลายมันก็มีวิบากของมัน อย่าไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ปล่อยไปตามประสา อย่าไปเลี้ยงสัตว์อย่าไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ เอาสัตว์มากิน คุณก็ปฏิบัติกับคนนี่แหละเป็นสัตว์ที่จะต้องศึกษา เพราะฉะนั้นปฏิบัติแล้วมันเกิดจิต มีกิเลสมีเวทนาคุณก็ทำกับมัน ลดกิเลสให้ได้ จิตเป็นอธิจิต จะเป็นสมาธิก็เอาปัญญาเข้าร่วมรู้เสมอ มันก็เป็นวิมุติ หลักธรรมพระพุทธเจ้ามีแค่นี้ นอกนั้นเป็นเรื่องนอกรีตทั้งหมดเลย ที่ไปนั่งไปยืนไปเดิน ย่างหนอยุบหนออย่างนั้นไม่มีในพระไตรปิฎกเลย เป็นเรื่องสมถะทั้งนั้น ไม่ใช่วิปัสสนาเลย โม้กันไปทั้งนั้น

อาตมาพูดตอนนี้ตีทิ้งเขาเลย เมื่อยแล้วแต่ก็ต้องพูดอย่างนี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ขั้นตอนที่ 10 ของอานาปานสติ

_ในขั้นตอนที่10 ของอานาปานสติ 16 ขั้น การทำจิตให้ร่าเริง อภิปโมทยังจิตตัง ในขณะนั่งคู่บัลลังก์มีสติหายใจเข้าออกทำอย่างไรคะ

พ่อครูว่า..คุณไม่ต้องไปนั่งหลับตาหรอก คุณค่อยๆทำไป ปฏิบัติในขณะลืมตา เรื่องของศีล แล้วคุณสัมผัสกับอะไร สัมผัสกับสัตว์ พูดไปละเอียดหมดแล้วก็เป็นคน สัตว์เดรัจฉานอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เมื่อกระทบกับคนแล้วคุณก็อ่านกิเลสที่มันเกิด คุณจับกิเลสอ่านกิเลสให้ออกและลดกิเลสนี่คือสิ่งที่ต้องทำ

ศีลข้อที่ 2 มีข้าวของกับพืช ใจของเราจะเอาหรือไม่เอาจะยึดถือหรือไม่ยึดถือ ถ้าหากสุจริตคุณก็ทำไป แต่หากไม่สุจริตจะเป็นพืชเป็นของ เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นวัตถุที่ไม่ใช่พืช เราจะเอาไปใช้อุปโภคบริโภคก็อยู่ที่ความสุจริตหรือไม่สุจริตเท่านั้นในศีลข้อที่ 2

ถ้าเกี่ยวข้องกับคนก็มีลีลาอีกเยอะ

ศีลข้อที่ 3 ตอนนี้แหละ ดูที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกี่ยวข้องกับการสัมผัสสัมพันธ์ สัมผัสกับสัตว์ กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสกับข้าวของกับพืชก็ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจะเกิดเวทนาเป็นกรรมฐานกลาง มันก็จะชอบหรือไม่ชอบจะมีความชังหรือไม่ชังอร่อยหรือไม่อร่อยก็อยู่ที่เวทนา คุณก็เรียนตรงนี้ทำตรงนี้ ให้ออกไป อย่าไปเอาการนั่งอะไรเลย นั่งคู้บัลลังก์อะไรเนี่ย

พระพุทธเจ้าออกบวชก็มีฤาษีอยู่เต็มป่า จะไปเข้าแกนนั่งหลับตาแบบฤาษีทั้งนั้น พระพุทธเจ้าก็ต้องมาแก้ไข ไม่เอา ท่านจะมาประกาศศาสนาไปในวงการศาสนาก็มีแต่นั่งหลับตา เห็นคนนั่งหลับตาขัดสมาธิ เอามาพูดทำไม ท่านก็ถึงบอกว่าอนุโลม ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้าเขาทำแบบนั้นกันทั้งนั้น ท่านให้อนุโลมว่าจะอยู่ที่แจ้งลอมฟาง ไม่ได้อยู่ในป่านะ ที่แจ้ง หรือจะอยู่ในป่าช้าป่าชัฏ ท่านก็ใช้คำว่า วา

จะทำอะไรก็ตามให้เรียนรู้สัมผัสแล้วคุณจะต้องทำจิตออก เนกขัมมะ คือทำกิเลสให้ออก หรือออกจากกิเลส ด้วยการพิจารณา สัมผัสแล้วกิเลสมันไม่เที่ยงมันเป็นตัวเหตุแห่งทุกข์มันไม่ใช่ตัวตน คุณพิจารณาอย่างนี้ ทุกเวลา อย่าว่าแต่มานั่งขัดสมาธิเลย มันไม่ไปไหน คุณทำอาชีพตามหลักมรรคมีองค์ 8 คุณก็พิจารณาในขณะกระทบสัมผัสแล้วคุณก็อ่าน ให้มันเข้าใจในไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์ จริงๆแล้วพิจารณาอะไรแวบหนึ่งมันไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งนั้นมันไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นคุณทำอาชีพอาชีวะ ปฏิบัติกรรมการงานกัมมันตะ พูดอยู่ก็ตาม จะคิดจะนึกจะเป็นสังกัปปะก็ตาม คุณก็ต้องลดกิเลสทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นโละทิ้งที่ไปนั่งขัดสมาธิ ลมหายใจเข้าหายใจออก ไม่ได้หมายความว่าให้ไปนั่งดูลมหายใจเข้าออก คนมีลมหายใจเข้าออกอยู่ทุกเวลา คุณก็ปฏิบัติอานาปานสติได้ทุกเวลาในขณะทำงานอาชีพในขณะทำกรรมการงานและขณะพูดในขณะคิด พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้นั่งขัดสมาธินั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นคืออานาปานสติ ไม่ใช่ ให้ไปปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 แล้วก็ลึกเข้าไปหาอานาอาปานะ

จนกระทั่งข้อ 4 ข้อสุดท้ายคือ 1 เห็นความไม่เที่ยง 2 เห็นวิราคะกิเลสมันจางคลาย 3 เห็นกิเลสมันดับไปได้ 4 ทำทบทวนทำซ้ำทำให้ตั้งมั่น

คุณลืมตาก็เห็นไตรลักษณ์ได้ ไม่ต้องเสียเวลานั่งหลับตา คุณทำกรรมงาน ทำอาชีพพูดอยู่คิดอยู่ก็เรียนรู้กระทบสัมผัสได้ อันนี้ต่างหากคือของพุทธ ของอย่างนั้นโล๊ะทิ้งเลย แต่มันได้ผิดเพี้ยนไปมากแล้ว ความรู้ของพุทธนั้นมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)  ก็เลยทำไม่ได้ก็เลยอนุโลม ผิดพลาดมาเรื่อยๆจนกระทั่งไปยึดถือสิ่งที่ผิดมาเรื่อยๆนี้กลายเป็นสิ่งที่ถูก สิ่งที่ถูกนั้นหายไปเลย อาตมาเอาความถูกต้องมาพูดขึ้นพวกนั้นก็บอกว่ามาจากโลกไหนวะ เราก็ว่ามาจากโลกโลกุตระ คุณยังงงอยู่ในโลกีย์ยังมืดอยู่ มืดไม่หยุด

ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรท่านบรรลุในขณะมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง(อาโลกา) มีพระอาทิตย์มีกลางวันกลางคืน

ขนาดพระพุทธเจ้ายังบรรลุด้วยจักษุ ขนาดพระพุทธเจ้ายังต้องบรรลุด้วยขณะมีดวงตามีปัญญามีแสงสว่างในโลกสว่างไสว ไม่ใช่ไปมืดดำดับ หากคุณเก่งกว่าพุทธเจ้าก็ไปเถอะ ไปสอนหลับตามืดๆนี้ออกนอกคุณธรรม 5 นี้ มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง(อาโลกา)

การหลับตาปฏิบัตินั้นโยนทิ้งได้เลย ถ้าหากสำนักไหนเลิกหลับตาปฏิบัติแล้วมาเรียนรู้ตามมรรคมีองค์ 8 เป็นสัมมาทิฏฐิ เรียนศีล สมาธิ ปัญญาให้ดี เรียน จรณะ 15 วิชชา 8 ให้ดี ทำอย่างลืมตา

ฌานในจรณะ เกิดในขณะลืมตาปฏิบัติ มีปฏิบัติศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เรียนรู้เรื่องอาหาร ดูกิเลสรู้ทันกิเลสได้ ลดกิเลสได้ก็จะเกิดศรัทธา หิริโอตตัปปะ วิริยะ สติ ปัญญา เป็นฌานลืมตา

หลับตาไม่มีเลยในศาสนาพุทธ เลิกหลับตาปฏิบัติได้เลย หากไม่เลิกก็โง่เง่านิรันดรเลย

 

_ส.มือมั่น ช่วงลงปาฏิโมกข์ที่ผ่านมา พ่อครูได้เกริ่นกล่าวว่าได้ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แล้ว จะดับขันธ์เมื่อไหร่ก็ได้ ทำให้ผมนึกถึงพ่อครูเทศน์ถึง พระนางสิริมหามายา หลังจากให้กำเนิดเจ้าชายสิทธัตถะแล้วแค่ 7 วันก็ได้จากไป คนที่ทำหน้าที่สิริมหามายานี้จะต้องอายุสั้นใช่ไหม พระสารีบุตรก็ตามพระโมคคัลลานะก็ตาม พ่อครูก็เช่นกันหรือไม่? อยู่ที่ลูกๆแล้ว ว่าจะต้องทำอย่างไร อันนี้แสดงว่า พ่อครูพร้อมจะไปได้ทุกขณะใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...สรุปง่ายๆว่าอาตมาจะตายก็ตายได้ใช่ไหม คืออันนี้นี่นะ จริงๆแล้ว พระอริยะ สายที่มีคุณวิเศษเรื่องนี้ จะตายเมื่อไหร่ก็ตายได้ เดินไปตอนก้าว ที่ 7 ก็จะตายก็ได้ แต่อาตมาไม่ได้เป็นคนที่ฝึกเรื่องนี้มาเลยเพราะฉะนั้นก็ไม่เก่งทำไม่ได้ แต่ก็เข้าใจ ทีนี้ตัวเองในขณะนี้ปางนี้ รู้อยู่ว่าทำงานยังไม่บริบูรณ์ ก็เลยไม่คิดว่าตัวเองจะตาย เป็นแต่เพียงว่าสรีระของเราไปไม่ได้ จริงๆแล้วจิตมันเลยอายุขัย ก็บอกแล้ว ว่า อายุขัยอาตมา 72 อาตมาก็ต่อมาจน 84 แล้วจะถูไถไปอีก

อาตมาไม่ค่อยเป็นที่พอใจ ก็จะต่อไปอีก 2 เพื่อพิสูจน์อายุขัย ก็จะทำอีกหลายนักษัตร ถ้า 72 + ไปอีกหนึ่งนักกษัตริย์ก็เป็น 84 หากอยู่ต่ออีก 1 นักษัตรก็เป็น 96 ถ้าอีก1 นักษัตรก็เป็น108 หากสรีระต่างๆมันไม่ไหว มันเสื่อมจนบำรุงไม่ขึ้นแล้ว แม้การแพทย์ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อนั้นก็ควรยอมแพ้ แต่ทุกวันนี้ก็คิดว่าเสื่อมมากเหมือนกัน แต่ว่าอวัยวะส่วนสำคัญ เป็นต้นว่าหัวใจสมอง ตับไต ลำไส้ ทุกวันนี้อาตมายังไม่มีโรคพวกนี้เลย นี่ย่าง 85 แล้ว

ถ้าไปถึง 108 อาตมาสามารถพิสูจน์ได้ว่า พลังงานที่สามารถทำให้สรีระทำให้อวัยวะของเรา มันฟื้น มันกลับแข็งแรงขึ้นได้จริง อาตมาจะไปได้ฉลุยเลย 151 แต่ถ้านักษัตรที่ 2 ครบ96 แล้วไปอีกเป็น 108 ไป 120 ไปอีกเป็น132 ไปเป็น 144 ถ้าสรีระไม่ไหวทุกข์ทรมาน คนป่วยที่ป่วยมากทนต่อสังขารไม่ได้จึงตาย คนที่ตายคือทนต่อสังขารไม่ได้จึงตาย นอกจากคนที่สังขารไม่ไหวแล้ว กูก็ไม่ยอมตาย ก็ลำบากลำบนทนอยู่ ตัวเองก็ลำบากนะ มีความทุกข์เจ็บปวด ลำบากลำบนแต่ตัวเองยึดมั่นถือมั่นยังไม่อยากตาย ทั้งๆที่สรีระมันไม่ไหว ขนาดลูกเต้าเหล่าหลานบอกว่าไปเสียเถอะแต่ก็พูดไม่ได้ ก็มันสงสารก็เห็นใจมันแย่ แต่กลายเป็นว่าตัวเองไม่ยอมตาย

อาตมาจึงใช้ศัพท์ว่ารู้จักตายรู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตายเลี้ยงลูกให้รู้จักโต ตั้งชื่อลูกโตจนต้องมาดูแลแม่แล้ว ลูกเป็นอธิบดีแล้วก็มี แต่แม่ก็ยังห่วงลูกอยู่

 

_เย็นยิ่ง...ใบอโศกให้ถามว่า...เป็นคนจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ อยากให้พ่อครูต่อโศลกนี้อีกได้ไหม

พ่อครูว่า...ปีที่แล้วก็ต่อ เป็นปีที่สองแล้ว จะต่อไปอีกก็ไม่มีปัญหาอะไร

 

ขอเข้าเรื่องคนจนสุขสำราญเบิกบาน คุณพอจะรู้จักสภาวะความสุขสำราญเบิกบานใจคืออะไร รู้ใช่ไหม แล้วเราเองเรามีคุณสมบัตินั้นไหม เรามีอารมณ์อย่างนั้นไหม มีความรู้สึกอย่างนั้นไหม มีความสุขสำราญเบิกบานใจแล้วเราจนไหม...จน

นี่คือเรามีความจริง ความจนสุขสำราญเบิกบานใจนี้ มันมีเงื่อนไข มันมีมิติหลายอย่าง หนึ่ง คนที่มาเป็นคนจนแล้วอย่างที่เราพากันเป็น มันจะมีองค์ประกอบ มีเสนาสนะ มีสถานที่ ที่ประกอบไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร ที่นั่งที่นอนที่อยู่ และมีบุคคลคือสมาชิกพวกเรา และมีเครื่องอาศัยคืออาหาร สิ่งที่อาศัยอุปโภคบริโภคเครื่องกินเครื่องใช้ หรืออาหาร 4 กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร มีผัสสะ กระทบกับภายในภายนอก คนในคนนอก ดีไม่ดีไปสัมผัสกับเสียงปืนระเบิดในการชุมนุม แล้วคุณก็รู้มโนสัญเจตนาหาร รู้จักตัณหา 3

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ให้ลดกามตัณหา ภวตัณหา จนหมดกามหมดภพ คุณก็ศึกษาอย่างนี้ อาศัยอย่างนี้ โดยอาศัยวิญญาณมีนามรูป แล้วก็ปฏิบัติธรรม ตามที่อาตมาเอามาพูดอธิบายจนหมดเกลี้ยงแล้ว วนไปวนมาอย่างนี้

 

สมณะหนักแน่น...เมื่อคืนพ่อครูตื่นมาบอกว่า ตี 1: 40 นาที พ่อครูตื่นมาไปห้องน้ำคนเดียว ก็เลยแจ้งให้ทราบว่า แจ้งความผิดของอาตมาให้ทราบว่าบางครั้งอาตมาก็ตามไม่ทัน

พ่อครูว่า...อาตมามีปัจฉาฯสมณะ 5 รูป จะไม่คลาดสายตาจากใครๆเลย แม้แต่วินาที ท่านหนักแน่นมาสารภาพว่า มีไม่ได้อยู่ด้วย คืออาตมาปวดขี้ จะไปปลุกใครก็ตนเองไปได้ ตี1:40ก็เท่านี้

สมณะหนักแน่นว่า ขอให้เสียงดังแตรมาอยู่ที่พ่อครูบีบแตรจะได้ตื่นมาทัน

พ่อครูว่า...อาตมาก็ไม่อยากจะไปรบกวนใครหรอกไปอุจจาระปัสสาวะนิดหน่อย ถึงเวลา 6 โมงก็ตื่น ตื่นก่อนก็ไม่ได้


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:57:32 )

610912

รายละเอียด

610912_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สัจจะของความจริงและการทำกาละ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1jTz-rCnrg5wT1j8AHQAAsUabLaajUgmHQ85VyDHnnyY/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1j7wJyST45NW2IgmaDkqSIYtJGxPupMFI

 

สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 12 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ในเดือนพฤศจิกายนก็จะเป็นงานมหาปวารณา เราย้ายจากศาลีอโศกมาจัดที่ราชธานีอโศก ถือว่าเป็นปีสำคัญเป็นปี 48 ปีโพธิกิจ 84 ปีพ่อครู

รายการภาคค่ำ เราพยายามติดตามหาแฟนพันธุ์แท้ของพ่อครู คิดว่า จะนำเสนอ 3 เรื่อง

1. แฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามฟังธรรม

2. แฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามอ่านหนังสือ

3. แฟนพันธุ์แท้ที่ฟังเพลงพ่อครู

เราพอประเมินกำลังกันได้ว่า ใครชอบอ่านใครชอบฟัง แต่ก็น่าจะมีพวกเราที่เป็นช้างป่า อยู่ไกล แม้อยู่ไกลพ่อไม่ได้อยู่วัดทีเดียว แต่ก็หาประโยชน์ได้จากการอ่านการฟังการฟังเพลง แต่รู้สึกว่ากลุ่มเพลงก็มีอยู่แล้ว อยากจะได้ได้พบเจอได้รู้ว่ามีใครเป็นแฟนพันธุ์แท้บ้าง

พ่อครูทุ่มเทให้กับการเขียนหนังสือมาก

ส่งข่าวว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้มาทางรายการนี้ได้

พ่อครูว่า..SMS 10 – 11 กันยายน 2561

 

_0629 ทวี สุทารส วจีบาลีธรรมของพ่อครูทำให้เข้าใจชัดเจน เช่น ศีล อธิศีล ธาตุ ญานธาตุ นิ่งกับเปลี่ยนแปลงฯลฯ กราบขอบพระคุณพ่อครูอย่างสูงยิ่งครับ

 

_1614 คนอยากมาอยู่บ้านราช คือศรัทธาคำสอนพ่อครู เราคนหนึ่งแหละอยากมามาก

_1614 ชาวอโศก บูชาพ่อครูอย่างทีหาเปรียบเทียบมิได้ เรายังคิดในใจเลยว่า เมื่อเทียบกับวัดอื่น การให้ข้อธรรมะไม่มีใครเหมือนพ่อครูเลยค่ะ. (ดูจากพ่อครูแสดงธรรม น่ะค่ะ /แปลงสาร)

พ่อครูว่า..ก็ดีแล้ว อนุโมทนาสาธุขอให้มีกำลังใจปฏิบัติธรรมจะมาอยู่บ้านราชให้ครบพัน ถ้าเต็มพันแล้วไม่ได้ชื่อว่าหนึ่งในพันนะให้รีบมา

 

_3867 ใครว่าคสช.เป็นรัฐประหารฯเผด็จการเลวร้ายคุกคามสิทธิเสรีภาพปชช.ฤา?ทั้งที่ทุกวันที่ปชช.ประสบภัย พิบัติใดก็มี4เหล่าทัพท.ตร.จนท.จิตอาสาฯช่วยเหลือทุกที่!

พ่อครูว่า..คนไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยกันแม้เป็นนักรัฐศาสตร์ พระพุทธเจ้าประกาศประชาธิปไตยในยุคนั้น ทำให้พระเจ้าแผ่นดินในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยอมยกให้เลย พระพุทธเจ้าจะไปในประเทศใดแคว้นใดในอินเดีย เท่าที่การคมนาคมไปได้ แคว้นไหนก็ตาม พระเจ้าแผ่นดินทุกแคว้น แคว้นใหญ่ที่สุดแม้โกศลแคว้นมคธก็ยอมยกให้ พระพุทธเจ้าปลดแอก ทาส ปลดแอกทางวรรณะ ให้เป็นอิสระเสรีภาพอย่างแท้จริงเป็นสิ่งที่ยืนยันอ้างอิงได้ชัดเจน คนที่ยังไม่เข้าใจประชาธิปไตยยังมีอีกเยอะในโลก

ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้ามี 1. มีอิสระเสรีภาพ 2. ไม่มีอัตตาตัวตน 3. มีความรู้ทางจิตวิญญาณ หากไม่มีความรู้ทางจิตวิญญาณจะไม่เอากษัตริย์ จะเป็นประชาธิปไตยขาเดียว กษัตริย์เป็นผู้เชื่อมโยงทางจิตวิญญาณเป็นการสืบสันตติวงศ์ข้ามชาติ

เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจจิตวิญญาณไม่เข้าใจกัน Rebirth เกิดแล้วเกิดอีกสืบทอด DNA ของตนเองไปเรื่อย ถ้าไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ชัดเจน เป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องเข้าใจยาก อาตมาจึงไม่ได้ตายง่ายๆ เหนื่อยนะ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรมันต้องทำต้องพากเพียร

ผู้ที่ยังไม่เชื่อความเป็นจริงที่อาตมายืนยันว่ารัฐบาลไทยขณะนี้ โดยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาบริหารขณะนี้เป็นประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุดในโลกเท่าที่โลกมีมาได้ในยุคนี้ ประมาณกว่าพันปี สองพันปี ตั้งแต่ในยุคพระพุทธเจ้ามา ตอนนี้ก็งามที่สุดเท่าที่มีได้ในสังคมมนุษยชาติ ไม่ใช่ของปลอมแปลง โมเม เป็นเรื่องจริง

การแสดงออกในเหตุการณ์ในประเทศไทยเป็นเรื่องของจิตอาสาอย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องการบังคับหรือทำเพราะหน้าที่ ไม่มีใครไปบังคับเขา ไม่มีใครจะสร้างให้มันเกิดได้มันเกิดตามเหตุปัจจัยที่ครบ

 

_แหม่ม สวิส · ภาพและเสียงชัดเจนดี ดูอยู่บนภูสูงหนึ่งพันหกร้อยกว่าเมตร เทือกเขาแอลป์สวิสทางตอนใต้ค่ะ

 

_เอื้อมพร เดนมาร์ก กราบนมัสการท่านสมณะค่ะ ขอส่งข่าวค่ะ โยมยังติดตามข่าวพ่อครู และหมู่กลุ่มตามปกติค่ะ พยายามอ่านใจตัวเองให้ลึกเข้าไป อ่านเข้าไปให้ถึงที่เกิดของกิเลส พยายามแยก เวทนาแท้/เวทนาเทียม พยายามอ่านตัวเอง จับตัวกิเลส มีเยอะเหลือเกินที่ต้องทำค่ะ ก็พยายามบอกตัวเองว่า หากล้างกิเลสไม่ได้ในชาตินี้ มันจะติดตามเราไปถึงชาติหน้า เกิดอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าจะได้เกิดเป็นคน ได้เจอชาวอโศก ได้เจอพ่อครูอีกหรือเปล่า หรือว่าจะถูกโลกลากลงไปในอเวจี ค่ะโยมยังตั้งหน้าปฏิบัติธรรม พยายามหาทางที่จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นในทางธรรมค่ะ

...วันนี้ ตื่นมาฟังธรรม ปลื้มใจที่ตังเองได้เตรียมตัว ซื้อตั๋ว และลางาน เพื่อจะไปร่วมงานมหาปาวรณาค่ะ จะเป็นคนหนึ่งในอาคาร 11ไร่ของพ่อครูค่ะ _/\_

 

 

_ใจแก้ว อโศกตระกูล เข่งอยากบอกกับพี่น้องบ้านราชว่าเข่งหายหน้าไปนานเพราะเรื่องน้องชายเสียชีวิตไป พี่น้องบอกให้เข่งอยู่เป็นเพื่อนกันอีกหน่อยน่ะ พอดีก็เรื่องแขนก็ยังทำอะไรยังไม่ได้ค่ะ เข่งจะกลับบ้านราชในวันที่ 27กันยานี้ค่ะท่านช่วยแจ้งให้พี่น้องทราบด้วยในรายการสำมะปี๋ชีวิต กราบนมัสการพ่อท่านด้วยว่าเข่งได้เปิดดูรายการพ่อท่านอยู่ทีปาดังเบซาร์ เข่งคิดถึงพ่อท่านและสมณะสิกขมาตุและพีทุกๆคน พี่น้องทุกคนด้วยค่ะ

 

 

_3867จำแม่นบ่แม่นว่า ตอนพ่อครูสอนธ.นร.สัมมาฯปฐมอโศกมีคำนี้ไหม?

...พระโสดาบันจะเห็นว่ากิเลสตนเองมีมาก?

...กิเลสหยาบเห็นง่ายในสามัญสำนึก!กิเลสขั้นกลางผุดเกิดในจิตใต้สำนึก!กิเลสละเอียดแตกตัวลึกๆในจิตไร้สำนึก!

พ่อครูว่า..ถูกต้องแล้วพระโสดาบันจะมีตาที่เห็นกิเลสตัวเองได้ ก็จะเห็นกิเลสตัวเองมาก แต่ไม่ต้องกังวล กิเลสมากเราก็ต้องเอาตัวที่จะจัดการได้ง่ายก่อน เป็นตัวที่ชัดเจน เอาไปตามลำดับอย่าไปเอาหมด ไม่อย่างนั้นหมดแรง ทำไปตามลำดับจับคู่ทีละคู่เป็นธรรมะ 2

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน อย่าไปห่วงจิตวิญญาณนอกตัวเลย

_3867เพราะการฆ่าตัวตายทั่วโลกปีละหลายแสนคนฤาเปล่า?สณ.สม.จิตวิญญาณสัมภเวสีจึงติดวิบากกรรมวนเวียนไปทั่วผุดเกิดไม่ได้!คนใดป่วยจิตตกอ่อนแอขวัญหายจึงถูกสัมเภสีเหล่านี้แทรกแซงแฝงร่างทำลายสุขภาพอ่อนแอได้อันนี้จริงไหม?

พ่อครูว่า..พอทีเถอะ คุณอย่าไปห่วงจิตวิญญาณต่างๆเหล่านั้นแหละ คุณจะพยายามทำทีเข้าใจว่าจะเป็นยานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้โดยเฉพาะจิตวิญญาณอย่างอื่น จิตวิญญาณล่องลอยจิตวิญญาณใดๆ คุณอย่าไปนึกคิดถึงจิตวิญญาณเหล่านั้น มันมิจฉาทิฐิๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้คิดถึงเรื่องอย่างนั้น ให้มาเรียนรู้จิตวิญญาณเป็นปัจจุบันที่มี ผัสสะ เกิดของเรานี่ คิดอย่างนั้นอย่าไปคิดถึง เพราะมันไม่ง่าย และมันก็ไม่จำเป็นจะไปคิดถึงสิ่งเหล่านั้น เราจะปฏิบัติธรรมให้ลึกซึ้งเราจะรู้เรื่องจริง แล้วคุณจะรู้เองว่า แม้เรารู้เราเข้าใจลึกซึ้ง เราก็เอามาบอกคนอื่นไม่ง่าย และยิ่งสูงขึ้นคุณจะเห็นว่าไม่ควรเอาสิ่งเหล่านั้นมาพูดกับคนในระดับที่เราอย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่อง อย่างเก่งก็ โม้ว่าตนเองรู้เท่านั้น ถ้าอยากอวดอยู่ก็อยากอธิบาย แต่ถ้าลดกิเลสสาเฐยจิต ก็จะไม่อยากอวด คนที่อยากอวดอยู่ก็ทำให้คนอื่นเข้าใจได้ยากไม่เหมาะสม อย่าไปห่วงเรื่องเหล่านั้นเลย ลดสิ่งที่ฟุ่มเฟือยเกินเลย คุณ 3867 คุณนั้นจะออกไปทางมาก ต้องหัดตัดเสียบ้าง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน ทำอย่างไรจะรู้ก่อนผีเข้า

_เจน ฮู เชอร์ · ถาม เจ้าค่ะ ผีเกิดขึ้นแล้วมาจับได้ทีหลัง ทำงัยจะรู้ก่อนผีเข้าเจ้าค่ะ?

พ่อครูว่า..ไม่ง่าย จะรู้ก่อนผีเข้าต้องฝึกฝนตนเองให้มีสติ เก่ง เร็วไว การรู้ตัวทั่วพร้อมในวัยและจะรู้ทัน ถึงอย่างนั้นผีเกิดมันก็ต้องเกิดก่อนในจิตเรา มันไม่เกิดก่อนเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นผี ก็ต้องดูตัวจริงของจริงว่าเป็นผีเกิด คุณจะรู้มันได้ สติคุณต้องเร็วๆ เมื่อไหร่คุณก็จะรู้ว่ามันเกิดขึ้น มันเกิดมาตั้งนานแล้วค่อยรู้ นี่พวกเราจะชัดเจนว่าเราปล่อยให้มันเกิด จะรู้ทันมันได้

แต่จะรู้ก่อนมันเกิดไม่ได้ ถ้ารู้ก่อนมันเกิดผีล่องลอยมันไม่ได้ มันต้องสัมผัสแล้วมันเกิดกิเลสที่จิตเรา ก็ต้องอ่านว่ามันเป็นผี มันผสมมาหลอกลวงเป็นเวทนาก่อน เป็นอารมณ์สวรรค์ ปลอมตัวเป็นเทวดา มันจะปลอมตัวเป็นเทวดาก่อนทั้งนั้น ผี มันไม่บอกคุณว่าเป็นผีหรอก มันไม่ทำตัวเป็นผีหรอก พอคุณจับตัวเทวดานี้ได้ เทวดาก็คือตัวผีของคุณ

อาตมาขอบอกความจริงให้ฟัง เทวดาทุกตัวก็เป็นผีทุกตัว เทวดาคือจิต ผีจริงๆแล้วคือสัตว์นรกแฝง

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าสัตว์นรกมี 2 อย่าง

มโนปโทสิกะ กับขิฑฑาปโทสิกะ แล้วมาหลอกว่าเป็นเทวดา มโนปโทสิกะเทวดา กับขิฑฑาปโทสิกะเทวดา แปลงตัวว่าฉันนี่แหละทำให้คุณเป็นสุขแต่ที่จริงแล้วมันเป็นโทษ หลอกว่าไม่เป็นโทษ มันเป็นเรื่องทุกข์ไม่ใช่เรื่องสุข ขิฑฑา แต่ว่าเรื่องสนุกรื่นเริงบันเทิงใจที่จริงมันเป็นทุกข์ไม่ใช่สุข นี่คือมันหลอก จึงเรียกว่าเป็นผี ภาษาไทยว่า ผีหลอก เพราะมันเป็นผีมันจึงหลอก ถ้าเป็นเทวดาจริง เรียกอุปัติเทพ ไม่มีหลอก อุปัติเทพ คือเทพที่รู้จักกิเลสลดกิเลสได้จึงเกิดอุบัติเกิด เป็นผู้ที่มีสมาธิที่สัมมาปฏิบัติ จิตก็เกิดใหม่เป็น อุปัติเทพ

จิตคนทั่วไปคือสมมุติเทพ ส่วนอุปัติเทพคือเทพที่มีส่วนลดกิเลสได้ จนจิตละกิเลสได้เต็ม เป็นวิสุทธิเทพเป็นเทวดาขั้นพรหม สะอาดมีจิตที่บริสุทธิ์ เป็นเทวดามีจิตระดับสูงสุด ก็ต้องทำวิสุทธิเทพให้ถาวร

ผู้อ่านสภาวะจิตที่อาตมาพูดถึง อุปัติเทพ สมมุติเทพ วิสุทธิเทพนี้ได้ คนปฏิบัติได้อย่างมีสภาวะจะเข้าใกล้อรหันต์แน่นอน ศึกษาดีๆทำให้ดีๆก็แล้วกัน

สรุปแล้วจะทำอย่างไรจะรู้ก่อนผีเกิด เป็นไปไม่ได้มันต้องรู้ทีหลัง แต่มันทำให้เร็วได้จนกิเลสมันโตขึ้นไม่ทัน ดูจนกระทั่งสัมผัสแล้วเกิดคุณก็รู้ทันทันที แล้วคุณก็แยกกิเลสออก คือแยกกิเลสเหตุแห่งผีได้ คุณก็กำจัดได้จะมีประสิทธิภาพอย่างไรก็แล้วแต่ แล้วจะจัดการกิเลสได้จริง ขอยืนยันว่านี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อไม่ใช่เรื่องหลงใหลอย่างแท้จริง อาตมานำธรรมะพุทธเจ้ามาเปิดเผยในยุคนี้ อาตมาพูดเหมือนดูถูกคนอื่นว่าไม่มีใครรู้เท่าเรา เราใหญ่ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะว่าพูดความจริง ก็พยายามประกาศหาพี่อาตมา ผู้ที่รู้ว่า ที่เป็นพี่ ก็ยังไม่เห็นมีใครประกาศ มีคนแสดงตัวทำทีว่าเป็นพี่ แต่ไล่ไปไล่มาก็ไม่กล้าสู้ ขออภัยพูดแล้วเหมือนนักเลงโต

 

_บุญธรรม ดวงยุพา รายการธรรมที่แท้จริงคนดูน้อยเพราะคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธผิดทาง

พ่อครูว่า..ตอนนี้มีอัตราก้าวหน้า คนกำลังแสวงหาโลกุตระมากขึ้น ถ้าเป็นทางเคมีฟิสิกส์ก็ยังไม่ถึงจุดสันดาป ไม่ถึงจุดหลอมละลาย ยังไม่ถึงจุดที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพ ธาตุเดิมให้เป็นธาตุอื่น จุดสำคัญยังไม่ถึง Critical Point

 

 

_chana kanc ศาสนาพุทธ มีแต่กรรม กับกาล เท่านั้นที่เป็นจริง เรียนรู้กระทบสัมผัสในกิจกรรมการงาน ในขณะ พูด ทำ คิด แล้วพิจารณาจนเห็นกิเลส และ ลดกิเลสได้ นี่ดีจริงๆค่ะ

พ่อครูว่า..

 

 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน

สิกขมาตุรินฟ้า

สมณะแสนดิน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน สัจจะของโลกุตรธรรม

พ่อครูว่า...ที่อาตมาทำงานมาย่าง 48 ปี ที่จะจัดงานกันในมหาปวารณา ก็เพื่อให้เกิด

1. ตรวจสอบความจริงขึ้นบ้าง ว่าผู้ที่เข้าใจเห็นคุณค่าของธรรมะโลกุตรธรรม จริงแค่ไหนมากแค่ไหน เพราะฉะนั้น ก็เช็คผล ดู จึงจัดงานขึ้นมาเพื่อรวมตัวกันดูซิ แล้วก็มาสัมภาษณ์อะไรกันในสิ่งที่ควรสำหรับให้มันสำคัญยิ่งขึ้น เท่าที่เราสามารถแจกแจง ในสิ่งที่เรารู้ พยายามทำมามีหลักฐานอะไรมาแสดง และมีความกล้า ในคนที่จะแสดงออก เพราะว่ามันมี ซ้อนๆ

คนที่พอรู้พอเข้าใจในเรื่องของอโศก มีไม่น้อย แต่ยังไม่กล้าแสดงตัว มีอีกไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ที่ติดชนักในลาภยศสรรเสริญโลกีย์ เขาไม่กล้าแสดงออก ในหมู่นั้น เขาจะไม่เจริญในทางโลกในหมู่นั้น แต่ถ้าผู้ที่มั่นใจว่าทางโลกที่จะได้ลาภยศสรรเสริญ เขาไม่กลัว คนเรานั้นจะกล้าแสดงตัว แต่คนที่ยังติดยังกลัวเสื่อมในลาภยศสรรเสริญความสุขโลกีย์ ก็จะไม่กล้าแสดงตัวก็จะอยู่กับมวลหมู่นั้น เสียก่อน เสร็จแล้วก็ตายไป ในขณะที่ยังไม่กล้า

แต่คนที่มีภูมิธรรมทางโลกุตระเป็นคนกล้าหาญ เป็นคนไม่แคร์ในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ผู้ที่จะมีจิตระดับนี้ขึ้นไปก็ต้องเป็นอนาคามีขึ้นไป ถ้าหากระดับโสดาบันก็ยังไกล เขายังไม่กล้าเพราะยังมีโลกธรรมไม่ใช่น้อย เขาก็ยังอาศัยศึกษาเอาเพิ่มไป พวกนี้ก็ดำเนินไป แน่นอนก็ช้า แต่ถ้ามาอยู่กับหมู่มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีอะไรๆที่พร้อม มันก็จะเร็ว มันก็จะเจริญเร็ว แต่ก็มันก็ส่วนบุคคลนะ ใครจะกล้าตัดสินใจอย่างไร มีบารมีอย่างไรมันก็ต้องเป็นไปตามจริง

เพราะฉะนั้นในงานนี้ก็จะเป็นงานที่มีอีกหลายอย่าง บอกไปว่างานนี้ดี รู้ตัวรู้ทัน เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องบอก มาก็จะได้รับสิ่งเหล่านั้นได้เองโดยตัวบุคคลผู้ที่มาเองก็จะได้เอง บอกไปแล้วมันก็ไม่ใช่ของจริง มารับเองแล้วจะเป็นของจริง มันเป็นเรื่องอจินไตยหลายอย่าง ในกรรมกับกาล เป็นเรื่องของกรรมและปฏิกิริยาในเรื่องของปัจจุบัน

อาตมาเคยย้ำสำทับว่า ความจริงของพุทธเจ้านั้นคำว่าความจริง คำนี้ใครๆก็เอาไปพูด แต่ความจริงที่จริงที่สุด ในความหมายของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว ใครก็กล่าวคำว่าสัจจะ ถ้าไปอ่านใน จูฬวิยูหสูตร สัจจะมีหนึ่งเดียว ใครก็อ้างว่าของตนเองเป็นสัจจะ

ผู้ที่รู้ความจริงแล้วก็ไม่ไปทะเลาะกับใคร เป็นแต่เพียงว่าจะมุ่งมั่นในการขยายความจริงนี้เท่านั้น จะขยายความจริงนี้

จูฬวิยูหสูตรที่ 12

             พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

             [419]   สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฐิของตนๆ ถือมั่นทิฐิ

                          แล้ว ปฏิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าวต่างๆ กันว่า

                          ผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรมคือทิฐิ ผู้นั้นคัดค้านธรรมคือ

                          ทิฐินี้อยู่ ชื่อว่าเป็นผู้เลวทราม สมณพราหมณ์ทั้งหลายถือมั่น

                          ทิฐิแม้ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมโต้เถียงกัน และกล่าวว่า ผู้อื่น

                          เป็นคนเขลา ไม่ฉลาด วาทะของสมณพราหมณ์สองพวกนี้

                          วาทะไหนเป็นวาทะจริงหนอ เพราะว่าสมณพราหมณ์ทั้งหมด

                          นี้ ต่างก็กล่าวกันว่าเป็นคนฉลาด ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

                          หากว่าผู้ใดไม่ยินยอมตามธรรม คือ ความเห็นของผู้อื่น ผู้นั้น

                          เป็นคนพาล คนเขลา เป็นคนมีปัญญาทราม ชนเหล่านี้

                          ทั้งหมดก็เป็นคนพาล เป็นคนมีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าชน

                          เหล่านี้ทั้งหมดถือมั่นอยู่ในทิฐิ ก็หากว่าชนเหล่านั้นเป็นคน

                          ผ่องใสอยู่ในทิฐิของตนๆ จัดว่าเป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์

                          เป็นคนฉลาด มีความคิดไซร้ บรรดาคนเจ้าทิฐิเหล่านั้น ก็จะ

                          ไม่มีใครๆ เป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าทิฐิของชนแม้

                          เหล่านั้น ล้วนเป็นทิฐิเสมอกัน เหมือนทิฐิของพวกชนนอกนี้

                          อนึ่ง ชนทั้งสองพวกได้กล่าวกันและกันว่าเป็นผู้เขลา เพราะ

                          ความเห็นใด เราไม่กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้ เพราะเหตุที่ชน

                          เหล่านั้น ได้กระทำความเห็นของตนๆ ว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง

                          (สิ่งอื่นเปล่า) ฉะนั้นแล ชนเหล่านั้น จึงตั้งคนอื่นว่า

                          เป็นผู้เขลา ฯ

             พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

                          สมณพราหมณ์แต่ละพวก กล่าวทิฐิใดว่าเป็นความจริงแท้

                          แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นก็กล่าวทิฐินั้นว่า เป็นความเท็จ

                          ไม่จริง สมณพราหมณ์ทั้งหลายมาถือมั่น (ความจริงต่างๆ

                          กัน) แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว ก็วิวาทกันเพราะเหตุไร

                          สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลง

                          ไปได้ ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

                          สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมา

                          ทราบชัดอยู่ จะต้องวิวาทกันเพราะสัจจะอะไรเล่า สมณ-

                          พราหมณ์เหล่านั้น ย่อมกล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไป

                          ด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่

                          กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

             พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

                          เพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลาย

                          กล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะ

                          มากหลายต่างๆ กัน จะเป็นอันใครๆ ได้สดับมา หรือว่า

                          สมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

                          สัจจะมากหลายต่างๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มี

                          ในโลกเลย ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมากำหนดความคาด

                          คะเนในทิฐิทั้งหลาย (ของตน) แล้ว จึงกล่าวทิฐิธรรมอัน

                          เป็นคู่กันว่า จริงๆ เท็จๆ ก็บุคคลเจ้าทิฐิ อาศัยทิฐิธรรม

                          เหล่านี้ คือ รูปที่ได้เห็นบ้าง เสียงที่ได้ฟังบ้าง อารมณ์ที่ได้

                          ทราบบ้าง ศีลและพรตบ้าง จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ และ

                          ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้วร่าเริงอยู่ กล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคน

                          เขลาไม่ฉลาด บุคคลเจ้าทิฐิย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลา

                          ด้วยทิฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียน

                          ผู้อื่นกล่าวทิฐินั้นเอง บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาด ด้วยทิฐิ

                          นั้น ชื่อว่าเจ้าทิฐินั้นเต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่ง

                          และมัวเมาเพราะมานะ มีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วย

                          ใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฐินั้น ของเขาบริบูรณ์แล้ว

                          อย่างนั้น ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทราม

                          ด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม

                          ไปด้วยกัน อนึ่ง หากว่าบุคคลจะเป็นผู้ถึงเวท เป็นนักปราชญ์

                          ด้วยลำพังตนเองไซร้ สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่มีใครเป็น

                          ผู้เขลา ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฐิอื่นจากนี้ไป

                          ชนเหล่านั้นผิดพลาด และไม่บริบูรณ์ด้วยความหมดจด

                          เดียรถีย์ทั้งหลายย่อมกล่าวแม้อย่างนี้โดยมาก เพราะว่า

                          เดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนักด้วยความยินดีในทิฐิของตน เดียรถีย์

                          ทั้งหลาย กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือทิฐินี้เท่านั้น หากล่าว

                          ความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่ เดียรถีย์ทั้งหลาย โดยมาก

                          เชื่อมั่นแม้ด้วยอาการอย่างนี้ เดียรถีย์ทั้งหลาย รับรองอย่าง

                          หนักแน่นในลัทธิของตนนั้น อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนัก-

                          แน่นในลัทธิของตน จะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลาในลัทธินี้เล่า

                          เดียรถีย์นั้น เมื่อกล่าวผู้อื่นว่าเป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่

                          บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตนฝ่ายเดียว

                          เดียรถีย์นั้น ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว นิรมิตศาสดาเป็น

                          ต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป

 

บุคคลละ การวินิจฉัยทิฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาทในโลก

 

ฉะนี้แล ฯ

จบจูฬวิยูหสูตรที่ 12

 

พ่อครูว่า...องคุลีมาลบอกว่า หยุดก่อนสมณะหยุดก่อน แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าเราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด คงไม่ได้หมายถึงว่าพระพุทธเจ้าเดินอยู่ แต่เป็นเรื่องสะดุดใจองคุลีมาล ก็บอกว่าหยุด แต่หยุดอย่างไรก็ยังเดินอยู่ นี่คือ สิริมหามายาเป็นความลึกซึ้งซับซ้อน คนยุคพระพุทธเจ้ามีบารมีเยอะสอนก็ได้ตรัสรู้เร็ว แต่ยุคนี้สอนไปเถอะเมื่อยไปเถอะ เมื่อยจนตายไม่ลง จะตายก็ตายไม่ได้ จะทรมานทรกรรมไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่เอาเถอะอาตมาเต็มใจทรมานเต็มใจจะทำสิ่งนี้ก็พยายามเอา ถือว่าอาตมาแลก ถ้าอาตมาทำงานนี้อาตมาเป็นคนเจริญไม่ได้เป็นคนสูญเสีย อาตมาเหนื่อย แต่ก็เจริญ มันมีภูมิธรรมมันมีบารมี ที่เราจะได้ดูเพิ่มเติม ได้เยอะขึ้น ความจริงที่มันยังไม่ตรงมันก็จะตรงขึ้นอีก มันเป็นอานิสงส์ 5 ประการของการฟังธรรมอย่างแท้จริง อาตมาก็เลยเต็มใจทำ ก็เลยไม่คิด แล้วว่าจะตายหรือไม่ตายกลายเป็นว่าจะพยายามรักษาขันธ์ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เมื่อยก็เมื่อยว่ะ เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร

อย่าให้เมื่อยมันตัดรอนอายุเรา อย่าให้เมื่อยฆ่าเราตายในร่างนี้ชาตินี้ ก็พยายามเรียนรู้ลึกซึ้งส่วนนี้อยู่ ผู้ที่จะช่วยกันก็พยายามช่วย นี่ก็มีคิดสูตรใหม่ พยายามจะทำพีระมิดให้อยู่ เป็นสิ่งที่ยุคอียิปต์โบราณทำขึ้นมาใช้ทำให้ศพไม่เน่า เพราะฉะนั้น พวกเราก็เลยจะพิสูจน์ทำพีระมิด เอาผลไม้มาใส่ไว้ในพีระมิดกับอยู่ข้างนอก ผลไม้ที่อยู่ในพีระมิดสดได้นานกว่าอยู่ข้างนอก อาตมาพอมีความรู้อันนี้ก็กำลังให้เขาสร้าง

พูดไปตรงนี้ เราเอาพีระมิตรมาใช้ โดยเราเรียกเครือแหของพวกเราว่า Pyramidal web เป็นข่ายแห คนฟังแห ก็ว่านึกไม่ออกแต่ ตาข่ายมันระนาบเดียวมิติเดียวแต่ พีระมิดมันมีเนื้อในด้วยเหมือนกับจอมแห แล้วเป็นสี่เหลี่ยมด้านเท่า แล้วมีเนื้อในแน่นด้วย อาตมาเลยเห็นว่า แห ภาษาไทย ไปใช้ภาษาฝรั่งว่า pyramid จึงใช้คำว่า Pyramidal web จนมาเป็นสภาวะอีก ก็พิสูจน์กันดู ถ้าพิสูจน์ได้ก็จะเป็นประโยชน์มาก ต่อไปเมืองไทยจะได้สร้างพีระมิดกันอีกเยอะ ก็ลองดู ไม่น่าจะเสียหายอะไร แล้วเราก็มีที่ทำได้ อาตมาก็เห็นว่าจะให้ทำ มันมีเหตุผลหลักฐานอยู่ ถ้าเป็นเรื่องจริงเป็นไปได้จริงก็จะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ในอนาคต

 

_มีคนให้อาตมาเสนอความหมายของความจริง อาตมาได้นิยามความหมายของความจริงหรือสัจจะไว้ 10 ประการ ว่า

1.เป็นความดี

2.มีความถูกต้อง 

3.มีคุณค่าเป็นประโยชน์

4.ต้องพ้นทุกข์อริยสัจ

5.ต้องเป็นไปได้จริง

6.รู้ได้จากสัมผัสปัจจุบัน แม้ที่สุด..รู้กระทั่งนามธรรมในระดับสุญญตา หรืออนัตตาอย่างแจ้งใจ

7. เข้าถึงความจริงนั้น  หรือตนเองเป็นได้ ตามความรู้นั้นๆ แล้ว  อย่างเต็มใจ

8. ผู้ฉลาดแท้หรือปราชญ์แท้ก็จะจำนนยอมรับ ต่อผลของความจริง ที่เป็นแล้ว ที่มีแล้วนั้น

9. ไม่แปรเป็นอื่นอีกแล้ว (อวิปริณามธัมมัง)

10.ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ (เอหิปัสสิโก)

 

พ่อครูว่า..อาตมาจำได้ว่าได้ขยายความไปมากกว่านี้แล้ว ตอนนี้ยังรวบรวมไม่ได้ มันเป็นความจริงโลกุตรธรรม คนที่ได้โลกุตรธรรมก็เป็นอาริยบุคคล เป็นเรื่อง supra mundane เป็นเรื่องเหนือกว่าโลกียะสามัญทั่วไป mundane

แต่ของทางโลกุตระนี้ supra อาตมาชอบใช้คำว่า supra มากกว่า super ซึ่งเป็นเรื่องเหนือชั้นกว่าโลกุตระ

ทางยุโรป เป็นเทวนิยมจึงไม่มีภาษาของโลกุตระ แต่ภาษาบาลีพระพุทธเจ้านั้นแต่งเองจึงเป็นภาษาโลกุตระที่เอามาพูดกันได้ ทางโน้นแม้จะเป็นชาวยุโรป เขาก็ต้องมาเรียนภาษาบาลี ถึงจะรู้จักสภาวะสัจจะที่แท้จริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ปัจเจก ปัจจัตตัง สยังอภิญญา

ขอขยายความต่อ ว่า กรรมกับ กาละ

กรรมคือการกระทำ กรรมคือกิริยาอาการของคนทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กรรมก็มี 3 นี้แหละ สรุปย่อยที่สุดกรรมมี 3 กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

กายกรรมนี่แหละ เป็นเรื่องรู้กันที่เห็นง่ายแสดงออกข้างนอกเห็นชัดเจน แต่คำว่ากรรมนี้มันไม่มีชีวะโดยชีวะของคนด้วย กรรมนี้ถือว่าเป็นชีวะของจิตนิยาม แม้เดรัจฉานก็เป็นจิตนิยามเป็นกรรม ส่วนพีชะยังไม่ถือเป็นกรรม ไม่ใช่จิตนิยามเป็นแค่พีชะนิยาม ไม่ถือว่าเป็นกรรมไม่มีวิบากสั่งสม แต่จิตนิยามแม้เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มีกรรมสะสมแล้ว มีเวทนามีวิญญาณ  วิญญาณสะสม เพราะฉะนั้นกรรมดีกรรมชั่วสะสมมาและคนมันชั่วมาก่อน มันไม่รู้อวิชชามาก่อน สัตว์เดรัจฉานตั้งแต่เซลล์เดียวก็มีอวิชชามาตั้งแต่เท่าไร สะสมไปอีกเยอะ ยิ่งหลงตัวไปทางโลกียะ ได้ลาภยศสรรเสริญเป็นสมบัติผลัดกันชม หลงเอร็ดอร่อยกับความสุขใน ลาภ ยศ สูง สรรเสริญเยินยอ สุขโลกีย์ วนซ้ำซากอยู่นั่นมากนาน

ใครที่ได้มีกุศล มีธาตุดี ได้มาเจอศาสนาพุทธ แล้วก็ได้สะดุด สามารถที่จะเกิดภูมิปัญญา ภูมิปัญญาจะเกิดได้สองนัย จะมาเป็นโลกุตระได้

นัยหนึ่ง คุณเป็นธรรมชาติสะสมไปจนมันเต็มไม่รู้จะเต็มอย่างไรแล้ว มันจึงจะเกิดตัวธาตุรู้ที่สามารถรู้โลกุตระได้ อันนี้มันนานมากเสียเวลาจริงๆ เพราะฉะนั้นมีทางลัดทางเดียวที่พระพุทธเจ้าสอน ต้องได้รับถ่ายทอดจากสัตบุรุษ ผู้รู้จริง เช่น พระพุทธเจ้าแน่นอนได้รับจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้านี่ คุณจะรวดเร็ว หรือผู้ที่เป็นสัตบุรุษผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธจริง เป็นผู้ที่ถูกต้องจริงตามพระพุทธเจ้ามาเป็นผู้ถ่ายทอด จะรุ่นไหนก็แล้วแต่ที่คุณเชื่อได้ว่าจริงหรือรุ่นที่มีของจริง

เพราะฉะนั้นคนจะเชื่อได้อย่างแท้จริงว่าเป็นสัตบุรุษ ก็คือคนในระดับสยังอภิญญา

มีคำว่า 1. ปัจจัตตัง 2.ปัจเจก 3. สยังอภิญญา 4. ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า 5. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้ที่มีพระสัพพัญญูเท่ากันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ท่านไม่ประกาศตนเองว่าเป็นพระพุทธเจ้าในโลก แล้วท่านก็ปรินิพพานของท่านไปเอง

อันนี้ไม่ใช่จะมีผู้เข้าใจได้ง่ายๆ แต่คนไปเดาว่าพระปัจเจกพระพุทธเจ้าคือคนที่สอนคนอื่นไม่ได้ รู้ได้แต่ตนเอง รู้ได้แต่ตอนเองสอนไม่ได้ นี่คือเดา ไม่รู้จักสภาวะธรรม อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้จึงรู้ความจริงอันนี้ ถ้าอาตมาไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับนี้อาตมาก็ไม่รู้ แล้วไม่มีใครพูดหรอก อาตมานี้แหละเป็นคนประกาศในยุคนี้อันนี้ ไม่มีใครพูดหรอกเรื่องนี้ เรื่องที่อาตมาอธิบายเรื่องปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร คือผู้ที่มีสัมมาสัมโพธิญาณ พระสัพพัญญู สัมมาสัมพุทโธเท่ากันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แค่คำว่า พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง

พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ประกาศตัวเองในโลก คนในโลกก็เลยไม่รู้ว่านี่คือพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เอาเข้าทำเนียบไปไล่ลำดับ องค์นี้ไม่ได้ประกาศตัวเองก็เลยไม่ได้เข้าทำเนียบกับเขา ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลก เพราะคนไม่รู้จัก ท่านอาจจะมาเกิดร่วมกับเรานี่ แล้วท่านก็ปรินิพพานของท่านไปเป็นปริโยสาน เลิก โดยท่านไม่ประกาศตัวเองเลยเป็นอิสระเสรีภาพของท่าน กว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ กว่าจะเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็ตาม ไม่ใช่มันไม่เมื่อยนะนะมันเมื่อยมาหนักหนานะ อาตมานี้ก็เมื่อย อาตมาถึงว่าอาตมาขอเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น อาตมาเชื่อแน่ว่าอาตมาคงไม่ไปแค่จบที่ปัจเจก คนที่จบที่ปัจเจกเพราะว่าคนนั้นทำอนันตริยกรรม เพราะฉะนั้นคนไปทำอนันตริยกรรมแล้ว ไม่สามารถที่จะไป อันนี้ก็ซ้อนอีก อนันตริยกรรมก็มีหลายขนาดหลายอย่างที่ โดยเฉพาะอย่างสูงสุด ไปทำให้พระบาทพระพุทธเจ้าห้อโลหิต อนันตริยกรรมที่จะไปละเมิดพุทธวิสัยอะไรอันนี้ยังไม่กล้าพูดเพราะยังไม่มั่นใจ เอาหละ พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน

ผู้ที่เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้ไม่ประกาศต่อโลก จึงไม่ได้เข้าทำเนียบพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งของโลกเท่านั้นเอง แต่ท่านเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่ากันกับพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเรื่องสูงสุดที่เดาเอาไม่ได้ ถ้าอาตมาไม่พูดนี้ รับรองว่าคนที่จะมาพูด พูดไม่ได้หรอก จะพูดอย่างนี้ได้อย่างไร

ได้มหาปุริสลักษณะเหมือนกัน แต่คนจะไม่เข้าใจเรื่องมหาปุริสลักษณะได้ทั้งหมดหรอก อย่างอัมพัฏฐสูตรก็ตาม ก็บอกว่ามีครบแต่อัมพัฏฐะก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นพุทธเจ้าอีก คนที่มีปุริสลักษณะครบและท่านก็ประกาศตนเองด้วยจะไม่เชื่อได้อย่างไร ก็แสดงว่า อัมพัฏฐะโง่ มันตรงกับตำราที่ตัวเองเรียนมาทุกอย่าง แล้วตัวเองไปแวะไปโง่เอง มีตำราว่าเป็นคนเก่งรู้ตำราทุกอย่างเลย แต่เสร็จแล้วตัวเองยังโง่ อย่างนี้เป็นต้น

 

สยังอภิญญา แล้วก็มาปัจเจกแล้วมาปัจจัตตัง ปัจจัตตังเป็นได้เฉพาะตน เป็นเรื่องๆไปเป็นอัตตา ทีละเรื่องอัตตาๆ จนได้ระดับหนึ่งเรียกว่าปัจเจกบุคคล เป็นปัจเจกเพิ่มของตนเอง ปัจเจกแปลว่าของตนเอง จากปัจจัตตังเป็นของตนเองแต่ยังไม่ถึงเป็นสยังอภิญญา ปัจเจกกับสยังอภิญญา หรือกับปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปัจเจกมีขั้นต่ำแล้วก็ขั้นสูง สยังอภิญญาอยู่ขั้นกลางระหว่างปัจเจกในขั้นต่ำขั้นสูง ปัจเจกในขั้นต่ำ ต่ำกว่าสยังอภิญญา สยังอภิญญานั้นรู้เอง คำว่ารู้เองไม่มีใครเกิดมาในยุคไหนก็แล้วแต่คนในยุคนี้ไม่มีใครรู้อาจารย์คุณได้ ไม่ได้ฟังจากใคร เอาของตนเองมาแต่ชาติก่อน เป็นปัจเจกของตนเองมาแต่ชาติก่อน ซึ่งสูงขั้นสยังอภิญญา แต่สยังอภิญญษยังไม่ใช่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า

อย่างเช่นระดับ 7 อันดับ 8 ก็ยังไม่ใช่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็เป็นปัจเจกไปเรื่อยๆ เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะไปตามลำดับ เป็นลำดับที่ 8 ขึ้นไปหาระดับที่ 9

ขั้น 9 ก็มีสองขั้น ขั้นเต็มกับขั้นไม่เต็ม สัมมาสัมพุทธเจ้า 2 ขั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นขั้นที่เต็มก็เท่ากับสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ

สัมมาสัมพุทธะสัมมาสัมพุทโธคือผู้ตรัสรู้ได้เองเป็นธรรมะสามี เป็นเจ้าของธรรมะแล้ว ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะก็เป็นเจ้าของธรรมะ แต่ไม่ได้ประกาศกับใครในโลก ชัดเจนขึ้นไหม แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

พวกเราจะเข้าใจปรินิพพานเป็นปริโยสาน ที่เป็นข้อที่ 10 ของมูลสูตร

มูลสูตร แม้ใน ระดับที่ 7 ระดับที่ 8

1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .

2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .

3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .

4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .

5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .

6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .

7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด 

8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน. 

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)

 

พ่อครูว่า...วิมุติเป็น Static ปัญญาเป็น Dynamic พอเป็นอมตะแล้วก็จะครบปัญญา ปัญญาของอมตบุคคลจะเก่งกว่าวิมุติจะเหนือกว่าวิมุติ มันจะกลับกัน อมตะก็คือผู้ที่เป็นอุภโตภาควิมุติ ปัญญาในข้อ 7 เป็นปัญญาวิมุติได้ แต่ปัญญาวิมตินั้นยังไม่ได้สั่งสมจนกระทั่งเกิด Static ของตนเองให้เต็ม ต้องเติมวิมุติของตนเองให้เต็ม จนเป็น Static ของตนเองอย่างแข็งแรงมั่นคงให้เต็ม เป็นอมตบุคคลถึงจะมีปัญญาที่เหนือกว่าวิมุต หรือเจโตวิมุติ ฝ่ายเจโตหรือสัทธานุสารี ธรรมานุสารีสายปัญญา

อมตะ จึงเป็นผู้ที่เป็นสายปัญญา อมตะบุคคลจะเป็นผู้ที่เกิดก็ได้จะตายก็ได้เป็นยอดสิริมหามายา เป็นผู้ที่ตายได้เองเกิดได้เอง เมื่อยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ตายเกิดตายเกิด ตายแล้วก็มาเกิดใหม่อีก เป็นชาติใหม่ชื่อใหม่ไปเรื่อยๆ เป็นโพธิสัตว์เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ อาตมามีอันนี้ มีตายแล้วเกิดมาไม่รู้กี่ชาติจึงพูดเรื่องนี้ได้อธิบายเรื่องนี้ได้ อาตมาก็เหลือแต่จะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ทำได้แล้ว แต่อาตมาจะยังไม่ยอมตาย อาตมาจะเป็นอมตะไปถึงขั้นพระพุทธเจ้า ไม่แน่ อาตมาอาจจะถึงขั้นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ปรินิพพานก็ได้ ไม่แน่ อาตมาถึงวาระนั้นจริงอาจเมื่อยไม่ไหวแล้วก็พอ แต่ตั้งใจอยู่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งให้ได้ อันนี้เป็นปณิธานของอาตมา แต่ตรงโน้นเป็นเรื่องส่วนตัวของอาตมาอย่ามายุ่งยากกับอาตมา อาตมาไปถึงขั้นนั้นแล้วไม่เอาแล้วพอแล้ว อาตมาก็ปรินิพพานไปเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ประกาศชื่อในโลกว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้

สหัมบดีพรหม มาอาราธนา คือ สหบดีพรหมหมายถึง สหรวม บดีสูงสุด  พรหมเป็นผู้ที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาสูงสุด รวมเอาความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมสุดเลยอาราธนา พูดเป็นบุคคลาธิษฐานคือสหัมบดีพรหมอาราธนาพระพุทธเจ้า นามธรรมก็คือเมตตาของพระเจ้าเองนั่นแหละ เกิดขึ้นมาชั่วแวบเดียว เรานี่มันคงลำบากในการสอนคน จะไหวหรือ? ก็มีพระเมตตาอย่างสูงสุด สหัมบดีพรหมบอกว่าไม่ได้นะชิบหายใหญ่เลยนะ ถ้าขืนไม่สอนแล้ว ชั่วเหยียดแขนออกคู่แขนเข้าเท่านั้นเองที่ท่านปริวิตก พอท่านรู้ตัวก็รู้แล้วว่า ท่านเป็นผู้ที่มีเหตุปัจจัยที่จะต้องได้อันนี้

เหมือนอาตมาก็เหมือนกัน ต้องมีเหตุปัจจัยที่ต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องทำอะไรซ้ำซ้อนด่าซ้ำซ้อน เราจะไปถือสาเรื่องนี้ไม่ได้ อาตมาก็ไม่ได้ติดใจอะไรไม่ได้ถือสาคน เพราะว่าเข้าใจอยู่ว่าเขาเป็นเช่นนั้น

 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน

สมณะฟ้าไท

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน กรรมกับกาละของผู้ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

พ่อครูว่า...มาต่อคำว่ากรรม ที่อาตมาสรุป กรรมกับกาละ โดยล้อเลียนของ อัลเบิร์ตไอน์สไตน์ Space and Time of Continuum อาตมาก็เอากรรมกับกาละ ทางโน้นเขาเอาวัตถุ

Space คือเทววัตถุแท่งทึบ ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ทุกอย่างทั้งหมดวัตถุที่มีรูปร่าง ตั้งแต่เล็กนิดนึง ไปถึงขั้นปรมาณู วัตถุที่มีรูปร่างเล็กที่สุดจนกระทั่งใหญ่ที่สุดหนึ่งจักรวาล นั่นเป็นของไอน์สไตน์ Space and Time คือกาละเวลา

ส่วนของพุทธคือกรรมกับกาละ Karma and Time of Continuum มันเกิดปัจจุบัน แล้วก็ มีความเกี่ยวข้องกันอยู่เป็นปัจจุบัน Continuum ไม่ใช่แค่ Relative เป็นความเกี่ยวข้อง แต่มันเป็นสัจจะอีกตัวหนึ่งที่เป็น Continue หรือ Continuing  Continuum เป็นสภาพปฏิสัมพันธ์ Relative และเป็นทั้งปัจจุบันนี้ ความจริงยิ่งกว่าจุดเล็กที่สุดที่จุดลงไปแล้วก็เล็กที่สุด เห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า และไวที่สุด แล้วนี่คือความจริงที่คุณจะต้องตามรู้ให้เร็วที่สุดเท่าใด เร็วกว่าแสง เล็กกว่าปรมาณู เป็นสุญญาณู เร็ว เล็กกว่า ปรมาณู เร็วกว่าแสงแน่นอน

ก็ขอสรุปกรรมกับกาละไว้แค่นี้

คนที่จะทำกาละ กายสเภทาปรัมมรณา คนที่ตายเพราะกายแตก เพราะรูปนามแตก ธรรมะ 2 มันแยกกันแล้ว ต่างคนต่างเป็นอิสระ ไม่ใช่แยกกันแล้วจะมารวมกันอีก ไม่ใช่ แยกอย่างแตกหัก เภทะ แปลว่าแตก แยกอย่างแตกหักต่อไม่ติดอีก ธรรมะตั้งแต่ 2 หรือสลายลง เกิดเป็นตัวอัตตาขึ้นใหม่ไม่ได้แล้ว นั่นคือตัวทำกาละ คำว่า ทำกาละ ภาษาบาลีว่า กายสเภทา

คนที่เป็นอรหันต์ตาย  ปรัมมรณา แปลว่าหลังจากตายไป คือ ไม่มีอะไรปรากฏอีกเป็นการตายอย่างยิ่ง ปรัมมรณา เป็นการตายอย่างที่เรียกว่า มรณะอย่างสุด

 

เรื่องของผู้ที่จะทำอย่างนี้ได้ จะทำการปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะเป็นการตายอย่างไม่มีการรวมตัวกันอีกในอัตภาพของตน ตั้งแต่พระอรหันต์ที่สมบูรณ์แบบ

พระอรหันต์สมบูรณ์แบบพระพุทธเจ้านับตั้งแต่ปัญญาวิมุติจะปรินิพพานไปได้ แม้แต่เหลือเศษที่เหลืออยู่ อธิบายซ้อนให้ฟังลึกซึ้งที่สุด

พระอรหันต์ขั้นปัญญาวิมุติ จะปรินิพพานเป็นปริโยสานจะไม่สูญไปในทันที จะเหลือ แต่ส่วนเหลือนั้นมันจะเป็นชรตา มันจะเป็นส่วนเหลือที่สูญหายไปเอง ไม่มีพลังงานที่จะมาปลุกให้เป็นอนิจจตา ไม่กลับกำเริบอีก ไม่มี จะเหลือแค่นั้น ชรตา แล้วก็หมดไป

แต่ถ้าเป็นอุภโตภาควิมุติ เป็นผู้ครบทั้งสองอย่าง ตายแล้วสูญเลย ขนาดพระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบการตายของพระองค์ ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ข้อสุดท้ายท่านเปรียบเหมือนท่านพวงมะม่วง ถ้าท่านเองปรินิพพานสุดท้ายแล้ว เหมือนพวงมะม่วง ที่หล่นจากขั้วแล้ว พวงทั้งปวง มีลูกเต็มมหาศาลเป็นล้านๆลูก ตกลงมากระจายแตกไปหมด ไม่สามารถจะรวมกันติดได้อีกแล้ว อาจจะเหลืออยู่ติดขั้วบ้าง 2 ลูก 5 ลูก 10 ลูก แต่ไม่มีทางจะเป็นพวงมะม่วงเหมือนเดิมไม่มีทางแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้วผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัสว่าควรจะเห็นร่างกายท่านได้จะเห็นรูปนามของท่านได้ ก็ต่อเมื่อท่านเองท่านยังอยู่ ดำรงอยู่ วิหารติ เมื่อท่านยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เมื่อท่านทำกายสเภทา สลายรูปนามแล้วเสร็จ สลายธรรมะสองให้เหลือ 0 เลย แน่นอนพระพุทธเจ้าไม่เหลือ 1 หรอกเหลือ 0 เลย ถ้ายังเหลือเศษคือพระอนาคามี พระอรหันต์บางองค์ ก็เหลือเศษ แต่เสร็จนั้นเป็นส่วนชรตา ไม่มีโมเมนตัมของพลังงานที่จะฟื้นขึ้นมาได้เลย ไม่มีพลังงานที่จะฟื้นได้อีก โดยเฉพาะตัณหาสิ้นแล้ว ตัณหาขาดจากขั้วเลย ไม่มีแรงที่จะขึ้นมาอีกได้เลย ไม่มีการต่อติดไม่มีการฟื้นขึ้นมา ตายแล้วไม่กลับกำเริบ ตายหมดทุกอย่าง 

นักรบธรรมว่า...คนธรรมดาก็เหมือนพวงมะม่วงได้ไหม

พ่อครูว่า...ไม่ได้ คนธรรมดาทำไม่ได้ ขนาดระดับปัญญาวิมุติก็เหลือเศษ ต้องอุภโตภาควิมุตก็ 0 เลยไม่มีอะไรเหลือเศษ ไม่เกิดมามีรูปร่างอีกเลย ถ้ายังมีตัวตนมีวิมานก็คือเป็นเทวนิยมอยู่ ปัญญายังไม่เข้าถึง ดีแล้วล่ะ เป็นตัวอย่างให้อาตมาได้ยก คุณก็ไม่ถือสาก็ดีแล้ว อันนี้ก็ต้องขอบคุณที่ไม่ถือสา อาตมาว่าคุณขนาดนี้ คุณก็สบายๆดีนี่เป็นตัวอย่างชัดเจน คนนั้นบังคับไม่ได้ให้เข้าใจหรือไม่เข้าใจที่จะรู้หรือไม่รู้ เป็นสุดยอด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จิตว่าง) ตอน ธรรมะ 1 คือจิตว่างระดับหนึ่ง

ธรรมะ 2 ทำให้เหลือธรรมะ 1 ถือว่าเป็นจิตว่างในระดับหนึ่งแล้ว คือไม่มีเมถุนไม่มีคู่ เพราะฉะนั้นจะไม่เกิดปฏิกิริยาของสังขาร ไม่ปรุงแต่งกันอีกแล้ว ไม่ปรุงแต่งกับใครอีกแล้ว เป็นโดดเดี่ยวเดียวแด เพราะฉะนั้นคนนี้พ้นทุกข์แล้ว ทุกข์ที่จะมีคู่ คือผู้ยังมีสังขาร แต่สังขารกับวัตถุ สังขารกับกรรมกิริยา ยังมีทุกข์นะ สังขารเรื่องของที่จะไปมีคู่ เลิกเลย ไม่มีแล้ว ที่จะไปมีคนเกิดร่วมกับเรา จะไม่ หรือแม้แต่จิตสูงสุดเป็นถึงขั้นอนาคามีภูมิ คนนี้จะไม่แต่งงานไม่มีคู่อีก มันมีนัยลึกสำคัญไปอีกถึงขั้นของอจินไตยเป็นวิบากไม่ขออธิบาย ซึ่งจะเหลือเศษวิบาก ชาตินี้จะต้องมามี ชาตินี้อาตมามี 3 คู่แต่ไม่ได้แต่งงาน ก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรไม่ได้ก่อเรื่องราวว่า นี่คือแฟนฉันนี่คือเป็นเจ้าเข้าเจ้าของไม่ใช่ ทุกคนสบายๆจากกันไปด้วยดีทุกคน ยินดีให้อาตมามาบวช เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่นะแฟนทั้ง 3 คน ยังไม่ตาย คนแรกอายุเท่าๆกัน อยู่วารินฯนี้แหละ คนที่ 2 ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ไหน ส่วนคนที่ 3 นี้ อยู่อังกฤษอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นวิบาก เราไม่มีเรื่องราวอะไรมากมาย

เหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็มีหลายคนแต่เขาไม่เล่าในตำนาน ก็มีตำนานพระยโสธราพิมพา เป็นคู่คนเดียวคนที่สุดแห่งที่สุดท่านก็เล่ามา จนสุดท้าย พระนางยโสธรา จนพระพุทธเจ้าบอกว่า พระอานนท์ปล่อยให้นางยโสธราเขา ก็ร้องไห้เคล้าเคลียกอดพระบาท เป็นเรื่องที่ถ้าใจไม่แข็งนะ พระพุทธเจ้า หรือแม้แต่เป็นพระเวสสันดร เรื่องลูก หากใจไม่แข็ง ชูชกไม่เหลือหรอก ซึ่งมันเป็นอจินไตยที่เดาไม่ได้ คนก็ว่าพ่ออะไรคนเขามาทำร้ายลูกก็ยังใจดำ ทิ้งเมียทิ้งลูกอีก เป็นภาวะสิริมหามายาเป็นภาวะหมุนรอบเชิงซ้อน เดาเอาไม่ได้ เป็นเรื่องเกินที่จะคิด ไม่ใช่สามัญของปุถุชน เป็นเรื่องวิสามัญของอาริยะ ที่จะต้องชัดเจน

 

ธรรมะ 2 ที่ท่านบอกว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ประโยคนี้เป็นสิ่งที่อาตมาถือว่าเป็นหัวใจของศาสนาพุทธ เป็นหัวใจยิ่งกว่าทุกข์อริยสัจ เพราะทุกข์อริยสัจนั้นเป็นหัวใจองค์รวมทั้งหมด แต่นี่เป็นหัวใจปรมัตถธรรม เป็นหัวใจของผู้ปฏิบัติที่จะเป็นอริยะเท่านั้นถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แต่ทุกข์อาริยสัจนั้น ก็เข้าใจกันได้ทั่วไป แต่ถ้าไปถึงขั้น เทฺว ธมฺมา แล้วก็เป็น เอกสโมสรณา ความเป็นหนึ่งในสอง สองไม่ได้หายไปแต่ทำความเป็นหนึ่งได้สำเร็จ สำเร็จแล้วจะเกิด 2 สรุปเป็นภาษาไทยง่ายๆได้แค่นี้

2 นี้ทำให้เป็น1ได้ หรือ จริงๆแล้วเป็น 0 ได้เลย เป็นปุงลิงค์จนเป็นนปุงสกลิงค์ เป็นศูนย์นั้นต่างกับ 1 ต่างจาก 2 แน่นอน ผู้เข้าใจว่าเป็นหนึ่งหรือเป็นศูนย์ ก็จะไม่มีการเป็น 2 ที่จะเกิดการปรุงแต่งขึ้นอีกเลย แม้แต่เป็นหนึ่ง ไม่ไปศูนย์แล้ว มาทรงอยู่ในสภาพ 1 แต่ทำงานกับอีกหนึ่งอื่นๆได้ ทำงานกับอีก 2 อีก 3 อีกล้านชีวิตได้ โดยไม่มีกิเลสเกิดอีกเลย ถือว่าเป็นอรหันต์

อรหันต์จะประมาณตนว่าอันนี้ พระพุทธเจ้าถึงเตือนไว้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้แต่พระอรหันต์ขีณาสพ แม้แต่ผู้หมดสิ้นอาสวะ แต่ขอเติมได้ว่า จะไม่เกิดกับผู้ที่ อุภโตภาควิมุติซึ่งหมดอนุสัย แต่หมดอาสวะนั้นไม่แน่ จึงเรียกว่าขีณาสพ ขณาสพคือผู้ที่สิ้นอาสวะ แต่ว่าอนุสัยของคุณยังมีอยู่ ผู้ที่จะพูดว่าอนุสัยหมด คุณจะต้องมั่นใจถึงขั้น ขีณาสพ ผู้อนาคามีนั้นจะรู้แล้ว จะไม่ประมาทหรอกอาสวะกับอนุสัยท่านจะเริ่มรู้แล้ว ยิ่งเป็นพระอรหันต์แล้วจะรู้เลยว่าอนุสัยกับอาสวะต่างกัน  แต่คนธรรมดานั้นจะไปแยกอาสวะอนุสัยนั้นอย่าเลย อย่าไปแยกเลย พูดไม่รู้เรื่องหรอก ยังไม่ละเอียดได้ขนาดนั้นมันยังหยาบอยู่ เพราะฉะนั้นจึงในระดับที่ต้องประมาณต้องพูดอย่างประมาณว่าเราจะพูดกับอนุปสัมบัน พูดกับคนนี้ๆขนาดไหน แต่ที่อาตมาพูดนี้เป็นกลางๆ และคนก็ตู่อาตมาเหมือนกันว่า ตู่ว่าอาตมาพูดออกโทรทัศน์คนที่เป็นอนุปสัมบันก็ฟังอยู่นะ ก็จะปรับอาบัตินะ อาตมาก็บอกว่า นัยละเอียด คนที่เป็นอุปสัมบัน ฟังอาตมามากกว่า อนุปสัมบัน คนที่จะกดดูอาตมาแค่ 10 วิว อาตมาก็ไม่แปลก  แต่คนจะดูเป็นล้านวิวนั้นไม่เป็นไปได้หรอก เพราะคนมันไม่ดู มันจะดูไปทำไมมันไม่มันไม่สนุกอะไรเลย ดีไม่ดีถูกด่าด้วย เขาจะมาดูเขาถูกด่าทำไม

คุณอู๊ด นักรบธรรมถามว่า...คำตรัสที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ความหมายของพระพุทธเจ้าต้องเป็นอรหันต์หรือไหมครับ

พ่อครูว่า...ไม่ใช่ ไม่ใช่แต่เฉพาะอรหันต์ เริ่มต้นรู้จักธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรมอันแรกก็เริ่มต้นมีธรรมกายแล้ว ตั้งแต่โสดาบันอรหัตตมรรคมีอัญญธาตุนี่ก็ได้ถ้าจะว่าไป อัญญธาตุที่เป็นธาตุต่างจากโลกียะแล้ว เริ่มเป็นส่วนสูญญาณูของพระพุทธเจ้าสูญญาณูของธรรมกายแล้ว

คุณอู๊ด นักรบธรรมว่า...อย่างน้อยต้องเป็นพระโสดาบันใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...ยัง ยังไม่เป็นโสดาเต็มผล นี่พูดถึงอัญญะธาตุมันไกลกว่านั้นอีก

พ่อครูพูดถึงคุณอู๊ด นักรบธรรมว่า...คุณดีคุณเอง คุณมีแกนของ Static แข็งแรง แกนของศรัทธาแข็งแรง และก็มีปัญญาพอที่จะรู้ว่าอาตมาเป็นใครอย่างชัดเจนจึงมั่นคง ถ้าไม่อย่างนั้นไม่เหลือหรอก โดนคนดีดเอาๆ ทนมากเลยอู๊ดนี่ 

สมณะเดินดินว่า... เป็นผู้ที่บริจาคที่ให้กับเชียงรายอโศก แต่ตอนนี้ทางเชียงรายอโศกไม่ให้เขาเข้าไปในพื้นที่นั้น

คุณอู๊ดว่า...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ

พ่อครูว่า… ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เอาเถอะคุณก็จะไปบงการที่นั่นไม่ได้ เขาไม่ให้บงการแล้วเพราะมันเป็นของกลางไปแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรอู๊ดเขาก็ไม่ติดใจอะไร เขามาอยู่นี่ก็สบายอยู่แล้วเพราะที่นี่เขาไม่ถือสาอะไร อยู่ได้คนที่พอประมาณมันอยู่ร่วมกันได้ คุณไม่มีความหยาบต่ำกว่าพื้นฐาน มันไม่มีปัญหาหรอก เอาล่ะอาตมาขอสรุปอีกที ก็คือธรรมะ 2 นี่แหละเป็นเรื่องที่อาตมาเอามาพูดย้ำซ้ำซากอีกมาก ถึงบอกว่าอันนี้เป็นหัวใจศาสนาพุทธอย่างสำคัญยิ่งกว่าอริยสัจ 4

ทุกขอริยสัจ มันก็ยังหยาบกว่า คล้ายๆกับบอกว่าสมุทัยของอริยสัจ คือตัณหา แต่สมุทัยของการปฏิบัติธรรมนี้คือสัมผัส ผัสสะ ต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัยจึงจะมีสมุทัย ถ้าคุณไม่มีสัมผัสเป็นสมุทัย คุณปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้ นี่ขอย้ำเลยนะ เพราะฉะนั้นคนไปนั่งหลับตา โมฆะบุรุษไปจากศาสนาพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะไม่มีผัสสะในสมุทัย

ในมูลสูตร ยืนยันหลักฐานอันนี้

คุณมีความยินดีเป็นฉันทะเป็นมูลกา เป็นเบื้องต้นเลย ถ้าคุณไม่ยินดีมาไม่ได้หรอกศาสนาพุทธ คุณต้องพอใจยินดี ต้องเอาอย่างนี้ ยินดีพอใจชอบใจอย่างนี้ต้องเอา อย่างนี้ใช่ เสร็จแล้วคุณก็จะต้องมาเรียนรู้มนสิการเป็นแดนเกิด คุณจะเกิดจะตายคุณจะทำให้ดับได้ คุณจะต้องทำมนสิการเป็น คุณจะต้องมาเรียนรู้จนกระทั่งจัดการกับใจของตนเองได้ จัดการกับใจของตนเองเป็น นั่นคือคุณจะต้องรู้สักกายะ คุณจะต้องรู้สักกายะอย่างจริงจนกระทั่งคุณไม่มีข้อข้องใจสงสัย แล้วคุณก็ต้องมีหลักเกณฑ์ อุบายเครื่องออกศีลพรตวิธีปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างพิจารณา พิจารณาความไม่เที่ยง พิจารณาว่ามันเป็นเหตุแห่งทุกข์  มันไม่มีตัวตน สรุปคือไตรลักษณ์ ซึ่งยากมากไม่ใช่ง่ายๆ ที่คุณจะมีปัญญาธาตุ เข้าใจถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีตัวตนนี้ จนมันมีพลังงานที่เป็นปัญญาลึกพอที่จะทำลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ ภาษาก็พูดสู่ฟังได้แค่นี้ แต่คุณต้องมาพิสูจน์ว่า เราทำพลังงานบุญหรือพลังงานที่ ทำลายราคะได้จางคลายได้ ทำให้มันลดลงชั่วคราวก็ตามมันไม่เที่ยง แต่ถ้ามันไม่เที่ยงของมันเอง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป นั้นไม่ใช่นะ คุณต้องทำด้วยสามารถ ด้วยความสามารถของเราเลยเป็นการกระทำนั้นให้มันลดลงได้ แล้วมันก็ไม่เที่ยงเพราะเราลดลงได้ จึงเกิดอนิจจานุปัสสี เห็นแล้วว่ามันไม่เที่ยงเพราะฝีมือเรา มันไม่เท่าเก่าคุณก็ต้องเทียบได้  แต่ก่อนมันแรงขนาดนี้นะกิเลสของเรา ตอนนี้สัมผัสตัวเหตุนี้ ตัวเหตุนี้มายั่วยวนเรา หนักกว่าเก่าแรงกว่าเก่าด้วย เราก็ไม่เกิดกิเลสอีก มันไม่เท่าเก่า คุณต้องเทียบ อัตถิอุปมา ต้องเทียบเคียงได้เลย ว่ามันไม่เท่าเก่าแล้ว จนไม่เท่าเก่า คุณยืนยันได้ว่ามันไม่เท่าเก่า เรียกว่าวิราคานุปัสสี แปลว่าไม่เท่าเดิม จางคลาย ลดลงกว่าเก่าแล้ว ลดลงไปมากกว่าครึ่ง เริ่มลงไปอีกเหลือน้อยจนมันดับ เห็นตัวดับแม้แต่ดับชั่วคราว มันมาอีกก็ทำออกไปอีก ภาวนามัย ทำอย่างนี้ล่ะ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำอย่างนี้ ทำให้มากๆๆๆ ทำให้บ่อย จนนิโรธแข็งแรง นิโรธถาวรเป็นสมาธิ นิโรธเป็นสมาธิ ความดับมันตั้งมั่น หรือความหลุดพ้น วิมุติความไม่มีอันนี้มันตั้งมั่น สมาธินี่สูงกว่าวิมุติ สูงกว่านิโรธ จิตตั้งมั่นสูงกว่าวิมุติ สูงกว่านิโรธ สมาธินี่

เพราะฉะนั้นอย่างพึงเข้าใจว่าแค่ไปนั่งหลับตาสมาธิแล้วก็บอกว่าฉันได้สมาธิ ยังห่างไกลมากพวกนี้

สมณะเดินดินว่า...สรุป

พ่อครูว่า..ส.ถนอมคูณสติดีจริงๆ ถามว่าจะวางอย่างไรดี

สมณะเดินดินว่า...ธาตุจะแตกแล้วก็ยังสติดีอยู่


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:58:39 )

610913

รายละเอียด

610913_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 14

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1XDVpoSpa3toXXlcvrcudxQRXwKJJ3_isLN8m4sdvt4U/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Bb2h7zDrH1KY2eUZ7kCBGP3uI1SApKvW

 

พ่อครูว่า...SMS 12 กันยายน 2561 (พ่อครู : พุทธศาสนาตามภูมิ)

 

_1614ทำอย่างไร ถึงจะ เปิดใจ นำไปสู่ ผู้เป็นสยังอภิญญา ทำแบบ เติม น้ำให้ พร่อง เข้าไว้ ใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...เหมือนอาตมาใช้สำนวนว่าอาบน้ำกลัวเปียก แล้วมันจะได้อาบน้ำไหมนี่ นี่ก็ว่าเติมน้ำให้พร่อง ก็เป็นภาวะชนิดหนึ่ง คือทำใจว่า เติมเข้าไปรับเข้าไป แต่ก็ทำเป็นกลัวน้ำเต็มจอก น้ำชาล้นจอก จะได้รับได้ๆๆ ก็เข้าใจสำนวนนี้จะทำก็ทำ

 . จากการฟังวิทยุ online พ่อครูว่า " อาตมาไม่ใช่ตุ่มสะสมน้ำ " ขอ คำอธิบายเพิ่ม ด้วยค่ะ

พ่อครูว่า...อันนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความหมายธรรมดา คือว่าเขาจะให้อาตมาดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร แต่คำว่ากระหายอาหาร น้ำ อยากดื่ม อาตมาไม่รู้ว่ามันหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ความรู้สึกอันนี้ แม้เหนื่อยมาก เหงื่อไหลย้อย มันน่าจะกระหายน้ำก็ไม่เคยรู้สึกกระหายเลย หิวข้าว ก็ไม่เคยคิดไม่เคยรู้สึกกระหายข้าว ถึงเวลากินก็กินแม้จะอดวันสองวันก็ไม่รู้สึกหิวอะไร แต่หลายวันอดเข้าก็โหยได้ ก็อธิบายความจริงที่เป็นความรู้สึกให้ฟัง

อาตมาไม่ใช่ตุ่มสะสมน้ำ คือร่างกายอาตมานี่เขาว่ามันขาดน้ำ ตามหลักหมอพยาบาล เขาก็เรียนมาทั้งนั้น จะต้องดื่มน้ำเท่านั้นเท่านี้ เขาก็จะให้อาตมาดื่มน้ำตามมาตรฐานที่เขาเรียนมา แต่อาตมาดื่มแล้วก็รู้สึกอึดอัดก็เลยว่า อาตมาไม่ใช่ตุ่มน้ำนะ เป็นภาษาตรงๆไม่ใช่นัยยะธรรมะอะไร เป็นภาวะรูปธรรมสามัญธรรมดา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน สิริมหามายาและอุปาทาน

. พ่อครู พูดในคลิป พลัง แห่ง อุปาทาน นำไปใช้ ในทางกุศล เช่น เชื่อว่าต้องหาย อุปาทานตัวนี้ มีการเปลี่ยนได้ ใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า…ได้ อุปาทานจริงๆคือตัวเก๊ อุปาทานคือสมมุติสัจจะ คำว่าอุปาทานทุกตัว กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน ต้องล้างอุปาทาน4 ตั้งแต่หยาบ กลาง จะละเอียดสุดให้หมดไป

คุณจะสร้างอุปาทานไปใช้สร้างในทางกุศล แต่มันก็จะเคยตัว ทั้งทางกุศล อกุศลก็ตาม กุศลอกุศล เป็นสมมติสัจจะ บางทีมันก็ดีบางทีก็ไม่ดี บางทีมันกลับตัว สิ่งที่มันไม่ดีของผู้ที่อยู่ชั้นสูงแล้ว มันก็คือความดีของคนชั้นต่ำ เป็นลำดับไป สิ่งที่ต้องอาศัย อาศัยบางอย่างสิ่งนี้เราถือว่าดีก่อน เป็นกุศล เมื่อถึงฐานที่เราไม่ต้องไปติดมันแล้ว เราก็ต้องไม่เห็นว่ามันดี ถือว่าเป็นอกุศล พยัญชนะก็ทดแทนไปเรื่อยๆ อันนี้คือภาวะสิริมหามายา อันนี้บางทีบอกว่าดีอันนี้บอกว่าไม่ดีก็ได้

. สมณะด่วนดี ว่า...ยกตัวอย่างเช่นปีติได้ไหม

พ่อครูว่า..ปีติคืออาการดีใจ ใช่ เช่นว่าอาการดีใจอย่างนี้ ไม่ต้องดีใจก็ได้แล้ว บางทีก็ใช้ปีติให้เป็นกุศล หากไม่มีปีติก็ไม่มีกำลังที่จะขวนขวาย มันก็รู้สึกจืดชืด ถ้าหากต้องใช้อันนี้เป็นกำลังจะต้องช่วย จนกว่าคุณจะเข้าใจแล้วด้วยปัญญา ไม่ต้องอาศัยปิติ คุณก็รู้ว่าอันนี้ต้องทำโดยไม่ต้องอาศัยตัวกระตุ้นไม่ต้องอาศัยตัวช่วย ก็ไม่ต้องแล้วเพราะว่าปัญญามันขึ้นไปถึงที่แล้ว ก็ทำด้วยความขวนขวายที่จะได้อันนี้ ก็เป็นไปตามลำดับ

อันนี้สำคัญนะ การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของธรรมะอันนี้ที่เป็นกุศลและเป็นอกุศล บางทีเป็นอกุศลบางทีเป็นกุศลเหมือนสิริมหามายากลับไปกลับมาเหมือนคนพูดกลับกลอก เหมือนคนพูดไม่อยู่ในร่องในรอย ต้องกำหนดหมายสภาวะธรรมกับภาษาให้ดี อันนี้บางทีหมายถึงสภาวะอันนี้หมายถึงภาษานะ อันนี้หมายถึงว่าอันนี้ดีภาษานี่ดี อันนี้ภาษาไม่ดีแล้วก็เป็นสภาวะ สภาวะนี้ดี เดี๋ยวก็สภาวะนี้ไม่ดีแล้ว เป็นขั้นๆสลับไปสลับมา มันยากตรงนี้แหละ ธรรมะพระพุทธเจ้ามันอยู่ที่ความไม่เที่ยง ไปยึดมั่นถือมั่นไม่ได้

ยึดมาศึกษาเป็นผู้รู้จบได้แล้วว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ คุณหรือโทษ เป็นกุศลหรืออกุศล ท่านสรุปที่คุณกับโทษ กุศลกับอกุศล สุดท้าย ควรหรือไม่ควร อรหันต์ก็ใช้ ควรหรือไม่ควร กุศล อกุศล ดีหรือชั่ว ถ้ามันดีก็เอาตอนนี้ต้องถือว่ามันไม่ดีแล้วต้องทิ้งต้องวางปล่อยอย่ายึดมั่นถือมั่นก็เรียนรู้อาการจิตที่เราไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ปล่อย จนเราสามารถอยู่กับมันได้ไม่มีก็ได้มีก็ได้ไม่มีปัญหาอะไร

 

สื่อธรรมะพ่อครู(มูลสูตร 10) ตอน นิพพาน 3 อย่าง

. ดีหมด หมดดี นำไป สู่ สิริมหามายา อย่างไร หมดสูญ กับหมดศูนย์ ใช้อย่างไรถูกคะ สูญหมด ใช้ กับ พระอรหันต์ ได้หรือ ไม่ อย่างไร?

พ่อครูว่า…ถ้าสูญนี้เป็นบาลี ไทยเราเอามาใช้ก็เลยมาใช้ว่า สูญก็มีความหมายหนึ่ง สูญคนไทยหมายถึงสภาวะอันหนึ่ง สูญหมายถึงไม่มีอะไรเลย ส่วน ศูนย์ก็ใช้ความหมายเป็นศูนย์กลางที่เป็นรูปธรรม ถ้าสูญเป็นนามธรรมเป็นความรู้สึกว่าง แต่ศูนย์ ไปใช้เป็นสถานที่เป็นสภาวะ ที่มันหมายถึงกำหนดหมายตรงนั้น เป็นศูนย์กลางศูนย์รวม เป็นจุดกึ่งกลางของที่มาบรรจบกัน ของสภาวะที่เป็นรูปธรรม ส่วนสูญที่เป็นความว่าง เป็นอาการของจิต จิตมันว่าง ไม่มีอาการทุกข์หรือสุข ว่างจากอาการอันนี้ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มหาสุญญตสูตรหรือจูฬสุญญตสูตร คือว่างจากอันหยาบก็มีละเอียดอยู่ จนเราอยู่กับ ศูนย์ แต่เรายังไม่ตายไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็จะต้องมีธรรมะ 2 เสมอ นอกจากคุณจะทำการดับเป็นนิโรธชั่วคราว ดับจิตมาให้ทำงานเป็นอสัญญี หรือวิสัญญี ไม่กำหนด สัญญาไม่ทำงาน ก็ไม่มีสองมันสูญดับไม่ทำงานเลยหรือจะทำงานโดยกำหนดหนึ่ง ไม่ให้ไปปรุงแต่งไม่มีสังขารใดๆ ก็จะรู้ความจริงตามความเป็นจริง อย่างอาตมาทำได้ ทำจิตเฉยว่างก็ไม่ต้องมีอะไร

เช่นที่ชัดที่สุดก็คือ หากอาตมาหลับตามันก็มืดไปหมด ไม่มีแสงไม่มีอะไรเลย แต่จะให้กำหนดแสงขึ้นมาในขณะนั้นก็ทำได้ อย่างนี้เป็นต้น เราก็รู้ว่านี่เป็นอุปาทานเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้น เป็น นิรมาณกาย มโนมยาอัตตา เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิตที่เราสร้างขึ้น เราก็ไม่ได้สงสัยเพราะอันนี้เราสร้างขึ้นมาชั่วคราว ไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนเที่ยงแท้นิรันดรไม่ได้ ไม่ใช่ มันเอามาใช้ชั่วคราวชั่วระยะนี้

จึงเข้าใจสิ่งที่มี คือมี จะไม่ให้ไม่มีก็คือไม่มี ไม่มีไปจนถึงสูญแยกธาตุไม่มีชาติ ไม่มีภพอีกเลย เป็น ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ จะปรินิพพานในชาตินี้เกิดมาอีกเป็นโพธิสัตว์ก็ได้ อาตมาก็ทำได้

หากตายแล้วนิพพาน 3

1. ตายอย่างอัปปนิหิตตังจิตตัง

2. ตายอย่าง นิมิตตัง

3. ตายอย่างสุญญตา

ตายแล้วไม่ตั้งจิตต่ออีก อัปปนิหิตตังจิตตัง เช่น พระพุทธเจ้าตายแล้ว หลังกายแตกตาย ก็จะไม่มีใครเห็นตถาคตอีกทั้งรูปและนาม เป็นผู้ทำกาละหมดไปจากกาละในโลก โลกมันมีพระอาทิตย์ จักรวาลจะมีกาละไปตลอดกาล เคลื่อนที่อยู่นี่เป็นกาละทั้งนั้น ในจักรวาลนี้จะมีพระอาทิตย์มีการเคลื่อนไหวของโลก ต่างๆ ผู้ที่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ทำกาละแล้วก็จะไม่มีอัตภาพในกาละใดอีกเลย กายสเภทา ทำกายให้แตกสูญไปเลย แปลซ้อนเป็นไทยในบาลีว่า ผู้ทำกาละ

ผู้ทำกาละได้นี้ หมายถึงพระอรหันต์เป็นต้นไปเท่านั้น คนธรรมดานั้นก็ต้องกลับมาสู่ กาละใหม่เพราะคุณทำลายกายแตกตายไปแบบไม่มีกลับมามีกาละอีก สูญไปเลยไม่ได้ คุณต้องมาเกิดมามีกาละในมหาจักรวาลนี้อีก

การทำกาละ จึงทำได้แต่เป็นพระอรหันต์เป็นต้นไปเท่านั้น กายสเภทา ปรัมมรณา คือการตายที่ยิ่งที่สุดยอด ปรมะ คือผู้นั้นทำการตายอย่างยิ่งยอดได้ หลังตายหมดอัตภาพไม่เหลือกาละใดๆ จึงเรียกว่า คนนี้คือผู้ทำกายสเภทา ปรัมมรณา  กาละ สูญ แต่ถ้าทำไม่ได้ คุณก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่จะต้องเวียนวนมาเกิดอีก

คำว่า สิริมหามายานี่ จะเข้าใจมากขึ้นเดี๋ยวก็พูดว่ามีเดี๋ยวก็พูดว่าไม่มี เดี๋ยวก็บอกว่าอันนั้นเป็นอันนี้เดี๋ยวอันนี้เป็นอันนั้น สุดยอดนักเล่นกลยอดนักมายากลจริงๆเลย

ใครเห็นว่านักมายากลนี้สามารถแสดงอะไรดีๆให้เราคนก็จะชอบดูนักมายากลคนนี้มากทีเดียว เช่นฮูดินี่ เล่นมายากลเก่งมากเลย ชาวฮังการี่

แต่อาตมาไม่เอาวิชาแบบเดรัจฉานแบบนั้น อาตมาก็เคยครั้งหนึ่งจะแสดงการหายตัวที่วัดนรนาถแต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่า ก็เลยเลิก จริงๆนะ จะแสดงจริงๆ ในยุคโน้น ตอนนั้นเป็นฆราวาสอยู่ แต่คิดได้ไม่เอาแล้วก็เลย ประเดี๋ยวทำจริงๆได้จริงเป็นจริงคือคนที่เขาจะเห็นก็เห็น แต่คนที่ไม่เห็นก็จะไม่เห็นคือจิตถูกสะกดจิตไม่ให้เห็นก็ไม่เห็นคนที่ไม่ถูกสะกดจิตก็จะเห็น ต้องแน่ใจว่า ในห้องประชุมนี้เราสะกดจิตคนได้จำนวนมากหรือสะกดได้หมดเลยต้องมั่นใจว่าสะกดได้หมดนะ อาตมาศึกษาทางสะกดจิต

เอาง่ายๆมีตะกร้าตรงนี้ เราก็ทำการสะกดจิตคน สะกดได้แล้วก็บอกว่าโต๊ะนี้ว่างนะไม่ทีอะไรเลย หนึ่ง สอง สาม ลืมตามา เขาก็ถูกสะกดจิตไว้แล้วว่าบนโต๊ะไม่มีอะไรแต่ที่จริงมันมีอะไร เราพิสูจน์กันมาเล่นกันมาในสภาค้นคว้าทางจิต มีหมอเฉก หมออื่นๆ ในวัด

หมดสูญหรือศูนย์หมด ก็ใช้ได้ทั้ง 2 อย่าง ใช้กับอรหันต์ได้ คือสูญคือว่างจากกิเลส ส่วน ศูนย์คือสถานที่ กำหนดว่าเป็นจุดศูนย์กลางศูนย์รวม เป็นภาวะก็คือจุดรวม หมายความว่า มีศูนย์ แต่เป็นศูนย์กลางศูนย์รวมตรงนี้ ส่วนสูญคือว่างจากกิเลส หรือเอามาใช้ทางโลกีย์คือมันไม่มีแล้วก็ได้ เป็นกลางๆคือศูนย์ ส่วนสูญ คือไม่มี มันว่าง อันหนึ่งมันมี อันหนึ่งมันไม่มีนะ นี่ก็เฮือนศูนย์สูญ อาคารนี้ใช้ทั้งสองคำเลย ตึก ศูนย์สูญ แต่ก่อนนี้ บนหลังคาเขียนไว้ ศูนย์สูญกับประโยชน์สูงประหยัดสุด ตอนนี้ก็รื้อออกหมดแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ลักษณะสองในอินทรีย์ 5 พละ 5

. จากคลิป กราฟฟิก อินทรีย์ 5 พละ 5 การปรับสมดุล คนจะเก่ง เกิด สามเหลี่ยมด้านเท่าได้ไม่พร้อมกัน คือ ศรัทธากับ ปัญญา อธิบาย เพิ่มด้วยค่ะ

พ่อครูว่า…คุณเองเป็นเจ้าของจิต เป็นตัวประธานแล้วคุณก็ศึกษาศรัทธากับปัญญาที่เป็นตัวปลายของอินทรีย์ 5 พละ 5 ศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญา

พลังงานของจิตที่จะเป็นมิติในความศรัทธาเชื่อถือคืออะไร มิติของวิริยะ คืออย่างไร ศรัทธาคือ ความเชื่อถือเชื่อมั่นเชื่อฟัง ส่วนวิริยะ ก็มีกำลังของวิริยะมากมาย พากเพียรเท่าไหร่หรือน้อย พลังงานของสติ จิตของคุณมีสติอย่างไรสติมีมาก หนาแน่น ดีกรีสูง หรือไม่สูง

สมาธิ ก็เป็นต้องการที่ตั้งมันตกผลึก สติเป็น Dynamic สมาธิ Static

สมาธิเป็นรูป สติเป็นนาม เป็นตัวรู้ก็เป็นธรรมะสอง จับคู่อะไรคือรูป อะไรคือนาม อะไรมีมาเราก็จับคู่ อะไรเป็นรูปหรือนามก็ได้หรือเป็นรูปด้วยกัน เป็นนามด้วยกันก็ได้

ต้องศึกษาธรรมะสอง ที่เป็นหัวใจศาสนาพุทธเลย ต้องเรียบเรียงให้ดีระหว่างสภาวะกับภาษาและระหว่างรูปกับนาม

เวทนากับเวทนาก็มีธรรมะสอง เวทนาสองทำให้เป็นเวทนาหนึ่ง คุณก็ต้องรู้ ความเป็นเวทนา ทำให้เวทนา เก๊ หมดไปเหลือแต่เวทนาแท้ได้อย่างไร

อาตมาระลึกถึง ท่านเจ้าคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านประยุทธ์ ปยุตโต ท่านเคยว่าอาตมา ไม่รู้แม้แต่ อัตถะ ธรรมะ พยัญชนะ ก็สับสน ตอนนั้นท่านก็กำหนดตามที่ท่านอ่านหนังสือทางเอกสมาธิพุทธของอาตมา ตอนนั้นก็ยอมรับว่าอาตมายังไม่เก่ง ยังไม่ได้ไปทบทวน ก็ยอมรับได้ไม่มีปัญหาอะไรตอนนั้นยังไม่เก่ง ต่อมาอาตมาก็มาแก้ไข อันนี้มันไม่ถูกก็มีเยอะ แต่ตอนนั้น เข้าใจขนาดนั้นก็สื่อสารมาอย่างนั้น เพราะหลายอย่างมันเพี้ยนไม่ตรงทีเดียว ก็ตอนนั้นมีภูมิอย่างนั้น ก็สื่อออกมาอย่างจริงใจ ทีหลังก็มาทบทวนว่ามันไม่ถูกซะทีเดียวสื่อไม่ตรงกับที่ควรเป็น

 

_น้ำมนต์...เมื่อไหร่หนูจะเลิกเอาแต่ใจตัวเอง

พ่อครูว่า..หนูรู้ไหมว่าตอนเราเอาแต่ใจตัวเองมันเป็นอย่างไร มันดื้อมันจะเอา เราก็ต้องยอมอย่าเอาเลย ก็หัดอย่าเอาเลย ตอนที่เราจะเอาตามใจเรา เราบอกว่าเราไม่เอาก็ได้เราก็ยอมให้คนอื่นไปเลย ให้แม่ พี่ป้า น้าอาเอาไปเลย แล้วรับรองว่าหนูก็ยังไม่ตาย ให้ก็ไม่ตายหัดเลยหัดอย่างนี้ อย่าไปยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ให้เขาไปเลย  รับรองไม่ตาย จะเก่งขึ้น เราจะลดได้ ว่าเมื่อไหร่ เราจะไม่เอาแต่ใจตัว

_แก้วบุญ...ทำไมเราถึงมีกิเลส

ที่มีกิเลสเพราะไม่ได้เรียนรู้กับหลวงปู่ หากใครมาเรียนรู้กับหลวงปู่แล้วผู้นั้นจะลดกิเลสได้เรื่อยๆ สุดท้ายเป็นพระอรหันต์ก็จะไม่มีกิเลส

 

_สุวิดา..ตอนหนูเป็นเด็ก พ่อบอกว่าร้อน หนูเลยเอาน้ำมาสาดและพ่อสลบไป มันมีคำถามว่า ถ้าเกิดว่าพ่อหนูตายไม่ฟื้นขึ้นมา เราจะมีบาปไหม เป็นอนันตริยกรรม พ่อหนูนี่ตายแล้วฟื้นมาได้

พ่อครูว่า...พิจารณาที่เจตนา เจตนาของเราไม่ต้องการให้ตายหรอก อย่าไปทำอย่างนั้น แก้ไขเท่านั้นเอง ไม่เจตนาให้ตาย มันก็ไม่เป็นกรรมหนักหนาอะไรหรอก เจตนา เป็นกุศลด้วยซ้ำอยากให้เลิกในสิ่งไม่ดี

ลักษณะนี้อาตมาเข้าใจ คือคนเราเกิดความร้อนเยอะ หากเอาความเย็นไปกระทบมันก็จะน็อคได้ชั่วคราวแล้วฟื้น ไม่เป็นไรหรอก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน อย่าหลงทางกับปาฏิหาริย์นอกพุทธ

_สภาวะที่หนูนั่งสมาธิเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็ยังสงสัย ตอนนั้น เมื่อนั่งสมาธิไปมันก็จะนิ่งแล้วก็เกิดสภาวะว่า ร่างกายนี้เป็นแค่ที่อาศัย ตอนนั้น ถ้าสมมุติมีคนมาตัดคอเรา แต่เรายังไม่ตายมันก็โล่งสบาย หากมีคนมาฆ่าเรา เราก็ไม่เสียดายชีวิต ถามว่าสภาวะภพตอนนั้นคืออะไร

พ่อครูว่า...ก็เป็นความเชื่อความเข้าใจของเราว่าเป็นสภาวะสูงส่งว่าเราไม่มีตัวตน เราไม่ยึดถือความเป็นความตาย ถ้าเผื่อว่าเราได้ ภพนี้ อาการนี้ จิตเป็นอย่างนี้ มันสบาย ไม่มีตัวตน มันเป็นความเข้าใจ เป็นภาษาความหมาย สบาย ตายก็ได้ไม่ตายก็ได้ร่างกายก็แค่เครื่องอาศัย เป็นความหมายที่สูงส่ง แต่ความจริงแล้ว

ใครจะมาตัดคอคุณตายตอนนั้นมันสมควรไหม มันไม่มีเหตุอะไรจะมาตัดคอเราตาย หากใครมาตัดคอเราก็ต้องรับวิบากแน่นอน ในสมมุติที่เราเองยึดสมมุติ เพราะความจริงเรายังไม่ตาย เรายังมีทิฏฐิความเข้าใจ แล้วไปยึดถือความเข้าใจนั้นว่ามันถึงแล้ว ถึงความว่างแล้วถึงความไม่มีตัวตนแล้ว ที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ความว่างคือคุณว่างจากกิเลส ไม่ได้ว่างจากร่างกายนี้คุณไม่ได้คิดจะตาย แต่คุณหลงไปว่า ถ้าใครมาฆ่าเราก็สบาย คุณก็จะจมอยู่ตรงนั้น หลงนานเลย อีกนานกว่าจะได้ไปเกิด ยึดที่ดีใจภูมิใจว่า เรานี้สูงมากทีเดียว เหมือนอาฬารดาบสอุทกดาบสแต่เป็นแบบดับ ก็เป็นรูปธรรมที่มี แต่คุณยึดสภาวะนั้นว่าสูงสุด คุณยึดในนาม

 

_ดุลเพชร ..ผมอยากถามว่าพ่อท่านมีอนาคตังสญาณไหมว่าต้องมาอยู่ที่นี่ สมัยปี 27 ที่ปฐมอโศก พ่อท่านเอาหนังเรือโนอาห์มา ตอนนั้นเราบูมนาวาบุญนิยม ช่วงที่พ่อท่านลงไปเทศน์สงขลา เชียงใหม่ โคราชฯ พ่อท่านว่า ผมไม่อยากมาเท่าไหร่ ปี 2524 แล้วก็มาเกี่ยวกับโนอาห์นาวาบุญนิยม พ่อท่านพอรู้ล่วงหน้าไหมว่าจะต้องมาอยู่ที่นี่

พ่อครูว่า...ไม่รู้ ไม่รู้แม้แต่ว่า ทำไมจะต้องมาสร้างที่นี่ ทุกวันนี้เหมือนกับว่าที่นี่เป็นเมืองหลวงของชาวอโศก ไม่ได้คิดไม่ได้วางไว้ก่อนทำไปตามเหตุปัจจัย อาตมาเคยพูดว่า อาตมาเป็นคน no project no planning ไม่มีพิมพ์เขียวไม่มีแบบแปลนอะไรทั้งนั้น ทำไปตามเหตุปัจจัย แม้แต่ทุกวันนี้ เหตุปัจจัยที่มีก็ทำอย่างเมื่อยพอแล้ว อย่าไปคิดว่าจะต้องสร้างอันนั้นอันนี้ กับสิ่งที่เป็นปัจจุบันนะทำขนาดนี้ ให้มันเกิดขึ้นมาอีกก็ค่อยๆทำแค่นี้ มันมีเหตุปัจจัยประมาณหนึ่ง ไม่ได้คิดไกลให้มีเยอะแยะ ทำตามเหตุปัจจัยปัจจุบันที่ทำร่วมอยู่ด้วย มันจะต้องทำอันนี้ มันก็เยอะแล้ว

ดุลเพชร..สำหรับผมเหมือนรู้ล่วงหน้า

พ่อครูว่า..เป็นได้แต่อย่าไปหลงมัน พวกเรามีเยอะ แต่อย่าไปติด หากไปติดก็อีกนาน ก็วาง เอาที่ปัจจุบันที่คุณเห็นว่ามีประโยชน์จะทำ ไม่ฉะนั้นคุณจะติด เดี๋ยวก็จะนึกว่า เป็นสิ่งที่ดีสิ่งที่วิเศษระลึกชาติได้มันเป็นสิ่งที่ทำได้ พวกเราไม่ใช่คนธรรมดาทั้งนั้นจะบอกให้ มีอะไรพิเศษอยู่ อาตมาไม่อยากย้ำ หากย้ำ ก็จะบ้าไปอีก เรามีสิ่งพิเศษอะไรต่างๆ อาตมาเคยพูดหลายทีแล้วว่า คนที่อยู่ร่วมกับพวกเรานี้เป็นคนมีบารมีทั้งนั้น คนที่มารวมกับพระพุทธเจ้าก็มีบารมี มีพระอรหันต์ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ปึ๊ดๆๆ เราก็อยากจะทำได้อย่างนั้นแต่มันไม่มีบารมีต้องได้อย่างเราเท่านั้นพยายามไปเถอะ ไม่ใช่หืดขึ้นคอนะ มะเร็งขึ้นคอเลยไม่ง่าย ก็เพียรพยายามไปตามเหตุปัจจัย ไม่อย่างนั้นมันจะไปหลงตัว อาตมามีเยอะเลยอย่างที่คุณว่า อย่าไปหัวซามันเลย(อย่าไปสนใจ)

 

_เกื้อดิน พลังงานจิตกับพลังงานไฟฟ้ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันไหม

พ่อครูว่า...จริงๆแล้ว ลึกซึ้งที่สุดคุณจะต้องเข้าใจพลังงานคืออะไร คุณจะเรียกว่าพลังงานแม่เหล็กพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานแสงเสียง คุณก็ต้องแยกออกว่าพลังงานแสงคืออะไรพลังงานเสียงคืออะไร พลังงานแม่เหล็กคืออะไร พลังงานไฟฟ้าคืออะไร คุณว่าแม่เหล็กกับไฟฟ้าต่างกันไหม ก็แตกต่าง

พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นอุตุนิยาม แต่จิตใจมีลักษณะของอุตุนิยามไหมก็มี เช่นไฟฟ้านี่เป็นลักษณะที่มีฤทธิ์แรง ดูดก็ได้เยอะ สลายก็ได้เยอะ เอาไว้ดูดหรือสลายก็ได้แต่ถ้าแม่เหล็กนี้ดูดอย่างเดียว คุณก็เห็นความต่าง ลิงคะ ของมัน ทีนี้จิต ถ้าทำให้พลังงานได้สัดส่วนเหือนไฟฟ้าทำให้สลายก็ได้ จึงไปสลายพลังไฟฟ้าของราคะโทสะโมหะได้

อาตมาพูดว่า จิตเป็นพลังงานพวกอภิธรรมจะเอาอาตมาตาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำอย่างไรกับคนชอบเถียงและไร้เหตุผล

_เราเจอผัสสะ แต่ถ้าเรารู้ และเราได้ยินมา แล้วก็เห็นว่า คนคนนี้เป็นคนชอบเถียงไม่รู้เรื่องไม่มีเหตุผล สมมุติ แล้วพอเราดูเราเห็นก็พยายามไม่ไปยุ่งกับคนๆนั้น พยายามหลบหลีก ไม่พบได้เป็นไม่พบ ไม่พูดได้เป็นไม่พูด อย่างนี้ถือว่าเรามีอคติไหม และถือว่าเรานี่ หนีผัสสะหรือเปล่า?

พ่อครูว่า..มันก็ จะว่ามันมีส่วนดีก็เป็นได้ คือเราประมาณตนเองว่าคนๆนี้มันแรง เราไม่สามารถให้ประโยชน์อะไร ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเขา ดีไม่ดีเราจะแย่ด้วย พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า คนพาลให้อยู่ห่าง บัณฑิตให้อยู่ใกล้ ส่วนคนพาลให้ห่าง เราก็ต้องประมาณดูว่า เราจะสามารถสัมพันธ์กับเขามีประโยชน์อะไรได้ หลายอย่างเราก็ต้องกลุ่มสัมพันธ์กันเพื่อประโยชน์ในทางการงาน หลายอย่างเราก็ถึงขั้นสัมพันธ์ จะช่วยถึงขั้นช่วยจิตใจกันได้ เรื่องวัตถุนั้นหยาบกว่า เราถึงทำเป็นขั้นๆ ขั้นวัตถุ ถ้าหยาบ วัตถุอย่างนี้ก็ไม่ต้องไปเกี่ยวข้อง แต่ถ้าจิต แล้วจะช่วยเขาได้บ้างเป็นครั้งเป็นคราว ทางวัตถุเราช่วยเขาไม่ได้ แม้วัตถุก็ไม่ได้ คนอย่างนี้ ทางจิตก็อย่าไปทำเลย จนกว่าคุณจะค่อยๆ กลับมาทางวัตถุเรากับเขาก็ช่วยได้แต่ทางจิตช่วยไม่ได้ จนกว่าทางจิตจะช่วยได้ก็ค่อยช่วยทางวัตถุหยาบกว่า ก็ง่ายกว่า หากเป็นประโยชน์ก็ร่วมกัน หากไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่เอา ไม่เป็นประโยชน์ทางรูปได้แล้ว ก็ยังเหลือนาม หากไม่มีประโยชน์ทางรูปแล้ว นามก็ไม่มีสิทธิ์ เราก็เข้าใจว่าเราช่วยอะไรเขาไม่ได้แล้ว

_ถ้าเราประมาณตัวเราว่าเราไม่สามารถยุ่งให้เกิดประโยชน์ได้ ก็เหมือนเราใช้สัปปุริสธรรมใช่ไหม

พ่อครูว่า...ใช่ ด้วยเรารู้ตัวเราว่าเราก็เท่านี้ อัตตัญญุตา เราจะเมตตาก็คือเรารู้ประเด็นที่เขาเ

ป็นที่ควรจะแก้ไข เราก็เอาประเด็นนี้ไปให้ผู้ที่คิดว่าจะช่วยเขาได้ ฝากผู้ที่ คนเขานับถือหรือเขาเอง ผู้นี้ เป็นสัตบุรุษเป็นครูอาจารย์จะช่วยเขาได้ เราก็เอาอันนี้ไปรายงานข้อมูลให้แก่ผู้นั้นให้ช่วยเขาด้วย เท่านั้นเอง ได้สุดก็แค่นี้

 

 

_อาเหลา พ่อท่านเคยเทศน์เรื่องรหัส ทีนี้รหัสของคนนี้จะเปิดเมื่อมีวิกฤติ เช่นรถจะตกเหว ก็รอดมาได้ทั้งแม่และลูก รถก็ร้องขึ้นเองจนเราตื่น ก็ไม่ได้ตกใจ ก็ตื่นมาแล้วก็กลับมาได้ มีหลายโอกาส

พ่อครูว่า..อันนี้ไม่เรียกรหัส แต่เป็น ลางสังหรณ์

_ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับ อุบัติเหตุ เคยวิ่งรถเส้นทางนี้ประจำบางที 40 นาทีแต่คราวนี้ 10 นาทีก็ถึง หรือทางออกจากในวัดผ่านไปกุดระงุมมันเต้นมาก มีอยู่วันหนึ่งมันเป็นความเรียบร้อยมากเลย ใครมาเทถนน ขากลับมาก็เต้นเหมือนเดิม

พ่อครูว่า..เป็นความรู้สึกของคุณกระมัง หรือคุณก็ต้องกำหนดรู้ว่าเหตุเพราะว่าอะไร อันนี้เป็นเพราะเหตุถนนอันนี้เป็นเพราะว่าความรู้สึกของเรา เป็นอุปาทานเป็นได้หมด เจ็บมันก็ไม่เจ็บปวดก็ไม่ปวด มันพวกเอาอะไรแทงปาก ก็ค่อยๆเรียนไป พวกนี้เป็นเรื่องของอุปทานที่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรอุปาทานมันเป็นได้มีได้ มันชั่วขณะนี่คุณยึดมั่นถือมั่นหากคุณไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วมันก็ไม่เป็น เช่นอาตมาเล่นไสยศาสตร์ให้หนังเหนียว แต่มันไม่เที่ยงแท้มันของมันเสื่อมง่าย อย่างเช่นอธิบายพวกฤาษีที่เหาะได้ เสร็จแล้วไปเห็นนางใน โป๊เปลือย กามเข้าก็ตกเลยทีนี้เหาะไม่ได้ต้องเดินกลับกุฏิ อย่างนี้เป็นต้น มันไม่เที่ยงไม่มันของมันต้องยึดถือถึงต้องใช้พลังงาน มันเปลืองพลังงานมันเสียเวลา ทำได้มันก็เก่งตามโลกโลกีย์ ได้คำชมเชยได้การยกย่องว่าเก่ง บางทีก็ไม่เป็นประโยชน์บางทีก็เป็นประโยชน์บ้าง ไม่คุ้ม ถ้าทางปรมัตถ์ไม่คุ้ม พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้โยนทิ้ง อายุของพระพุทธเจ้ามีคนที่เก่งฤาษีคันธารีฤาษีมัลลิกา ฤาษีคันธารีเก่งทางอิทธิปาฏิหาริย์ ฤาษีมัลลิกาเก่งทางด้านเทศนาปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าถ้าอยากเรียนพวกนี้ก็ไปเรียนกับพวกฤาษี อิทธิปาฏิหาริย์อาเทศนาปาฏิหาริย์ แต่เราไม่สอนเรื่องนี้เราสอนแต่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ในเกวัฏฏสูตร

_ปีกแก้ว...จะเรียนถามพ่อท่านว่า ดิฉันมีโอกาสดูแลทั้งพ่อและแม่ เมื่อปี 2542 ดิฉันเข้าวัดตอนใหม่ๆ ธรรมะก็คงจะมีน้อย ดิฉันเลี้ยงดูพ่อ 2 ปีจนสิ้นชีวิต แต่ทำไมจิตใจของดิฉันจะวนเวียน เวลาเขาตายแล้ว ฉันก็วนเวียนว่าดูแลเขาน้อยไป เอามาฝันถึง 2 ปี พอมาอยู่กับพ่อท่าน ก็ได้ทำความเข้าใจได้มากขึ้น ดิฉันก็มีโอกาสได้ดูแลแม่เมื่อ 16 ปีต่อมา ก็เป็นลักษณะเดิม ดิฉันเป็นคนโสดพี่น้องก็ให้โอกาสได้ดูแลแม่ ก็ตั้งใจเต็มที่ แต่ครั้งนี้เมื่อดูแลแล้ว แม้ว่าเขาสิ้นชีวิตไปแล้วจิตใจมันไม่วนเวียนเท่าไหร่ไม่ฝันถึง ไม่ฝันเหมือนตอนพ่อเสียชีวิต อันนี้เป็นธรรมะที่เราเข้าใจขึ้นใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...ถูกต้อง เลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย ตายไปแล้วก็ไปตามวิบากของท่าน เราจะระลึกถึงพ่อแม่ที่เราเคารพ ก็ระลึกถึงสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีก็มีแต่เราไม่เอามาเป็นตัวอย่างไม่เอามาศึกษาไม่เอามาทำตาม ก็จะทำตามสิ่งที่ดีโดยเฉพาะสิ่งที่ดีนี้ ท่านมีแต่เราไม่มี เราจะต้องระลึกจะเอาตามอย่างท่าน เราต้องพยายามศึกษา

 

_อาเหลา...พ่อท่านเคยเทศน์ว่าพ่อท่านไปสแกนลายนิ้วมือว่าเป็นพาสปอร์ตแต่ไม่มีลายนิ้วมือก็เป็นพระอรหันต์ ทางนี้ ไม่มีลายนิ้วมือเหมือนกัน

พ่อครูว่า...อาตมาเคยปั๊มนิ้วมือ มันมีลายนิ้วมือ แต่ตอนหลังไม่ไปสังเกต แต่ว่าทุกวันนี้ทำไมลายมือเราหายไปหมด มีแต่ลายเส้นอะไร ลายมือก็จะมีลายต่างๆ แต่อาตมานี่ไม่มีแล้ว มันเป็นเส้นยับยู่ยี่ เราเอง อาตมากดนิ้วมือสแกนเข้าลิฟต์มันไม่ได้เลย

สมณะแสนดินว่า... ไม่ได้หมายความว่าการไม่มีลายนิ้วมือหมายถึงการเป็นอรหันต์

พ่อครูว่า..ก็เหมือนอย่างกับพระธาตุ พวกฤาษี พระธาตุจะสวยมากเลยเพราะมีธาตุของความเย็น จะไปเอาตรงนั้นมาพิจารณาว่าเป็นพระอริยะไม่ได้ สายเจโตนี้พระธาตุจะสวย แต่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ไม่ได้เป็นแม้แต่พระโสดาบัน เรื่องนี้ อาตมาเป็นผู้ไขความ เรื่องพระธาตุนี้

 

_ขวัญรัก..เหตุอย่างนี้เกิดกับดิฉันมามา 36 ปีตอนที่ไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล ก็มีพยาบาลพิเศษ มีดิฉันและเตี่ยนอนอยู่ ต่อมาทุ่มหนึ่ง เพื่อน ที่เป็นหัวหน้าวอร์ดก็ออกไปดิฉันก็อยู่กับพ่อและนั่งถอดเทป แต่สงสัยว่า พยาบาลปิดประตูไม่สนิทประตูมันเปิด พลั๊ว แล้วก็มีวัตถุสีดำๆออกมา ดิฉันก็บอกว่าเป็นอะไร ลุกขึ้นไปดูก็ไม่มีอะไร แต่แล้ว พอเช้าขึ้นมาเตี่ยเสียชีวิต ดิฉันก็ไปถามอดีตสิกขมาตุ ท่านก็บอกว่าคุณอุปาทานไปเอง ก็เลยคาใจ ว่านั่นคืออะไร

พ่อครูว่า...อุปาทานคือคุณยึดว่าสิ่งนี้มีมันก็มี คุณไม่ได้คิดไม่ได้นึก แต่มันก็อยู่ในอนุสัยของคุณ โดยสามัญสำนึกคุณไม่รู้ แต่ใน unconscious ของคุณมี

_ขวัญรัก...ตั้งแต่เด็กมาแล้วถ้ามีเหตุอะไรจะเกิดมันก็จะมีอะไรบอกให้รู้ เคยป่วยตอนเป็นมาลาเรีย

พ่อครูว่า..คุณต้องเลิกละวางเรื่องเหล่านี้ให้มาก แม้จะไม่ได้คิดเลย ลึกๆคุณไม่รู้หรอกว่าเรามีความเก่งมีลางสังหรณ์รู้ล่วงหน้า คนอื่นเขาไม่รู้เหมือนเรานะมันพิเศษ คนไม่พูดออกมาเป็นภาษา แต่จิตใจของคุณอย่าไปยินดีกับมัน อย่าไป ถ้ามันมีก็ตัดทิ้งอย่าให้มันมีเรื่องอะไรกับเรามันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน แล้วคุณจะคลาย

 

_ภูหิน...หลวงปู่เทศน์เอาวิทยาศาสตร์มาเทศน์ แต่หลวงปู่ไม่จบวิทยาศาสตร์มา

พ่อครูว่า...ก็ใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์ด้วยเหมือนกัน แต่ ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ที่ลึกซึ้งกว่าวิทยาศาสตร์สามัญทางโลกเพราะเป็นทางนามธรรม แต่คนอื่นรู้ไม่ถึง รู้ได้ยาก จิตนิยามมีทั้งอุตุและพีชะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สีลัพพตุปาทาน และอุปาทาน 4

_ปรีชา..ขอต่อภาค 2 ... คือว่า หลังจากที่รับคำสอนว่า ให้ภาวนาอนิจจังทุกขังอนัตตา ต่อจากนั้นมานั่งทำเอง โดยจับความรู้สึก ลมหายใจเข้าจมูก อนิจจังทุกขัง หายใจออกอนัตตา เร็วขึ้นด้วยเรื่อย เร็วจนจิตมันคิดไม่ทันตามไม่ทัน การภาวนานั้นก็หายไป เปลี่ยนเป็นการเกิดและดับขึ้นมา กลายเป็นว่าการภาวนาหายไป ที่ลมหายใจก็หายไป พอถึงตอนนั้นก็รู้สึกว่า…มันเกิดปีติ

พ่อครูว่า...มันผิดทาง เลิกไปเลยที่เคยทำมา แล้วมาทำตามที่อาตมาอธิบายศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติให้ได้ ที่คุณไปเป็นอะไรพวกนั้นเป็นนามธรรมที่ไม่ได้เรื่อง เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นอุปาทาน หากคุณไปวุ่นอยู่ คุณก็จะถามอาตมาจนอาตมาตายไปแล้ว คุณก็จะไปถามคนอื่นต่อ มันไม่ใช่ทาง ทุกวันนี้อาตมาตีทิ้งระบบนั่งหลับตาไปสร้างสีแสงอะไรพวกนี้แล้ว

ถ้าคุณเข้าใจ อาตมาว่าทำทาน ตามที่พระพุทธเจ้าสอนคุณอย่าไปมี สาเปกโข จิตของคุณทานแล้วก็คือจบ ไม่ต้องมีอะไรต่ออีกตัดเลยไม่ต้องสร้างความหวัง สาเปกโขคือความหวัง หากหวังอะไรอีกนิดหน่อยมันก็จะเป็นสภาพที่ต่อเนื่องต่อไป ทานแล้วตัดเลย ให้เขาไปแล้วก็จบ ถ้าคุณยังมีอะไรต่อ มันมีภพทันที มันมีภพมีชาติทันที เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องสามัญ ยิ่งคุณไปติดเรื่องพวกนี้ คุณฟังแล้วเข้าใจยากยิ่งจะมาฝึกก็ยากเพราะฉะนั้นตัดเรื่องเหล่านี้ทิ้ง คุณไปเอาที่อาตมาอธิบายเบื้องต้นศีล สมาธิ ปัญญาให้ชัด

เอาที่ศีลข้อ 1 2 ศีลข้อ3 ยังไม่ถึงก็ไม่เป็นไร เอาข้อที่ 1 และ 2 เกี่ยวข้องกับสัตว์กับคนคุณชอบใจหรือไม่ชอบใจ กับ ศีลข้อที่ 2 เท่าของวัตถุต่างๆกับพืชพรรณธัญญาหาร ที่เราร่วมใช้ร่วมทำอยู่นี้ เรากระทบพวกนี้ เรายังยึดถือจะเอาเป็นเราเป็นของเรา โดยทุจริต และแม้ไม่ทุจริต มันก็ยังอยากได้เป็นเราเป็นของเรา ยังอยากไปแย่งอันนั้นอันนี้ พวกนี้มาทางนี้ อ่านจิตทางนี้

อาตมาขอตีทิ้งที่อาจารย์คุณสอนมาเก่า เลิกเลย มาทำอย่างที่อาตมาพูดนี้ มันไปตีสิ่งที่คุณยึดถืออยู่ เป็นสีลัพพตุปาทาน มันครบหมดเลยเป็นอุปาทานทั้ง 4

กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน

คุณไม่ปล่อยสิ่งที่คุณยึด กามุปาทาน คุณก็ยึดถือสิ่งที่คุณยังติดใจ ไม่มาเอาอย่างที่อาตมาสอน

ทิฏฐุปาทาน คุณก็ยึดถือสิ่งที่คุณจะถือว่าดีกว่าสิ่งที่อาตมาสอน คุณก็ไปยึดถือทฤษฎีเก่า คือศีลพรต คุณยึดถือสิ่งที่คุณยึดว่าเข้าใจๆ แต่คุณยังไม่เข้าใจเลย กามก็ไม่เข้าใจ ทิฏฐิก็ไม่เข้าใจ ศีลก็ไม่เข้าใจ จึงได้แปลภาษาว่าเอาแบบพ่อท่านนี่แหละ เป็นโพธิสัตว์เป็นผู้ที่สอนได้แต่คุณไม่เอาตามที่สอนเลย ยังดีที่คุณยังอยู่กับหมู่กลุ่มแต่คุณไม่ได้ใส่ใจที่อาตมาสอนเป็นขั้นตอนเลย

คนเราไปติดยึดสิ่งที่สูง แต่ขั้นต้นไม่สนใจไม่เอา เราคิดว่าเราสูงแล้ว ตัวเราเข้าใจแล้วแต่ที่จริงคุณไม่เข้าใจหรอก คุณยังไม่ได้ด้วยตัวเองตัวตน เหมือนกับคนทั่วไปที่เรียนมาเยอะ ฟังอาตมาพอจะเข้าใจ แต่เขาก็ยังยึดถือว่านี่แหละถูก เพราะฉะนั้น จบที่อัตวาทุปาทาน เขาได้แต่ตําราบัญญัติความเข้าใจที่เขาคิดถึงอยู่ เขาไม่ได้เข้ามาหาตั้งแต่เริ่มต้น

กามุปาทาน สัมผัสเป็นปัจจัยในปัจจุบันในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  สัมผัสกับสัตว์สัมผัสกับของ สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มาเรียน 3 ข้อของศีลนี้ให้ดีก่อน

คุณก็ยังไม่ได้ปฏิบัติตามที่อาตมาพูดเลย เอ้าใจดีๆ มันยังไม่ถึงขั้นจะเข้าใจก็อย่าไปคิดมากอยู่กับหมู่กลุ่มไป ให้คุณวางของเก่าก็แล้วกัน เลิกของเก่าให้หมดก็แล้วกัน

 

_รอยใบไม้...อย่างเรื่องอุปาทาน การกำหนดจิตฟังแล้วก็ยังสงสัยอยู่ เราจะใช้อุปาทานในทางเป็นประโยชน์ได้ไหม เช่นสมมุติว่าเขามีการแทงปาก เข้าทรง

พ่อครูว่า...ได้ แต่ใช้ให้เป็นประโยชน์แต่มันก็ไม่เที่ยง อาตมาก็ใช้ในการทำงาน มีกับคุณด้วยกับใครๆด้วยแต่แท้จริงอาตมาไม่มี

_รอยใบไม้..คนไม่สบายเจ็บป่วยแล้วเชื่อว่าเราจะต้องหายได้ เป็นการสร้างอุปทานใช่ไหมแล้ว

พ่อครูว่า..ใช่ มันก็ช่วยได้

_รอยใบไม้...เราจะทำให้อุปาทานนี้มีฤทธิ์แรงมากขึ้นได้อย่างไร

พ่อครูว่า..เราก็ต้องมั่นใจว่าอันนี้ใช่มันต้องได้ แต่มันก็จะเคยตัว มันจะเคยชิน เพราะฉะนั้นมันก็จะเป็นดาบสองคม คุณได้ประโยชน์แต่คุณก็มีตัวติดอีก คุณเอาไปใช้มันจะต้องมีพลังงานที่จับตัว ที่จะปล่อยวางอีกทีมันก็ยาก อันนี้มันเป็นพลังรวมของพลังงานจิตแล้ว จึงอย่าไปกังวลมันอย่าไปใช้อุปาทาน ล้างอุปาทาน ตั้งแต่ตัวหยาบ กลาง ละเอียดไปเรื่อยๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ไตรลักษณ์) ตอน ละอุปาทานขันธ์ 5 ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์

 _สิกขมาตุรินฟ้า...ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราจะล้างอุปทานขันธ์ 5 ได้อย่างไร

พ่อครูว่า...นี่ถามศาสนาทั้งศาสนาเลยนะ

ก็ที่สอนมาแล้วนี่แหละ ที่ทำอยู่แล้ว คุณก็ทำได้อยู่บ้างแล้วก็คือรูปกับนาม

รูป เป็นตัวตั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพราะฉะนั้นก็เรียนรู้ตั้งแต่รูปกับนามที่เป็นตัวหยาบตั้งแต่ธรรมะ 2 เป็นต้นไป

ตั้งแต่อุตุนิยาม พีชนิยาม จนกระทั่งเข้าไปหาจิต ก็จะมีเจตสิกที่เป็นเวทนา คุณก็ล้างธรรมะ 2 ของเวทนาอีก ตัวเหตุในเวทนา คุณล้างแล้วจิตในจิตก็ได้ด้วย เวทนาคือเจตสิกของจิต จิตก็จะได้ด้วย กรรมฐานของศาสนาจึงมีกรรมฐานที่เวทนา จะได้ทั้งกายจิตธรรม

สิ่งสำคัญอยู่ที่เวทนา 108 ให้ชัดเจน ที่มามันครบหมดแล้วทั้งร้อยแปด เวทนา 2 คือส่วนนอกกับส่วนใน กายิก กับ เจตสิก นอกในสองสภาพต้องสัมพันธ์ต้องร่วมกันตลอดกาล

เมื่อมันกระทบสัมผัสกันแล้วเป็นเวทนา มีตัวกายและจิตมันคืออันเดียวกันจะต้องอยู่ร่วมกัน เมื่อทำงานร่วมกันก็เกิดเวทนา เวทนาก็เป็นประชุมกันเข้าก็เป็นได้ 3

สุขทุกข์แล้วไม่สุขไม่ทุกข์

ก็เอาที่ปัจจุบันอย่าเพิ่งเอามา เอาที่ปัจจุบันนี้มันจะครบกว่า เอาเวทนา 2 ด้วยเหตุที่มันเกิดสุขเกิดทุกข์ มันเป็นตัวอันเดียวกัน เหตุที่มันพาให้สุขมันให้ทุกข์ รู้เหตุก็พิจารณาว่า มันไม่ใช่ตัวตน มันไม่เที่ยง มันพาให้สุขให้ทุกข์ พิจารณาให้จิตมันเกิดปัญญาเห็นจริง ไม่ใช่ว่าแค่เข้าใจและยอมความหมายนี้ไปสวมมันเท่านั้น เอาความหมายไปสวม มันไม่ใช่ตัวตนว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่เอาความหมายไปสวม แต่ให้จิตของเราเห็นจริงๆว่ามันไม่อยู่กับเรานานหรอก มันไม่เป็นตัวจริงไม่ถาวร วางเดี๋ยวนี้คุณก็ปล่อยเดี๋ยวนี้ถ้าคุณเร็วได้ มันจะไปสักระยะหนึ่ง แล้วมันก็ไม่อยู่กับเราแล้ว คุณก็ไปคิดเรื่องใหม่ปรุงเรื่องใหม่อีก แล้วมันก็เหตุแห่งทุกข์ คือ เขาแปล โบราณอาจารย์เขาแปลว่ามันมาถึงสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้ คือทุกข์

มันเป็นตัวลำบากลำบน ก็เลยบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้ อย่างนี้มันไม่ตั้งอยู่ตั้งอยู่ไม่ได้ เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป ทุกข์นี่ มันเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้นาน เราก็พยายามพิจารณามัน เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน เดี๋ยวมันก็มีอันใหม่มาแทน มันก็จะต้องมีอาศัยอยู่ทั้งนั้น อันนี้องค์ประกอบมันเป็นสุขหรือทุกข์มันผ่านไปแล้ว อันใหม่มาแล้วมันก็เป็นสุขเป็นทุกข์ใหม่ มันไม่ใช่อันเก่าแล้วเป็นเหตุปัจจัยใหม่ แล้วมันก็ไม่ใช่ตัวตนมันหายไปแล้วมันก็มา มาอีกเพราะคุณยังไม่ตาย ยังมีตา หู จมูก ลิ้น กายของคุณยังรับรู้หมดทุกอย่าง แต่พวกฤาษีที่จะพาให้ดับ มันก็เลยเก่งแต่เห็นรูปก็ไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นก็ยังไม่ได้กลิ่นได้เองเลย ก็เลยไม่ต้องพูดกันเพราะคุณดับไปหมดไม่ต้องพิจารณาอะไรเลยทั้งที่มันมีอยู่ รูปมันก็เห็นรูปแต่คุณก็ไม่เห็นแล้วมันจะพูดกันรู้เรื่องอย่างไร คนอื่นเขาเห็นหมดเลยแต่คุณไม่เห็น มันเป็นอย่างนั้น

คุณก็ต้องเห็นตามผู้อื่นมันเป็นสมมติสัจจะร่วมกัน เหมือนกันหมดเลยสัจจะมีหนึ่งเดียว

_สิกขมาตุรินฟ้า...คือล้างรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสในรูป ล้างเวทนาอีก สัญญานี่ก็ช่วยทำ

พ่อครูว่า สัญญาเป็นตัวช่วยทำร่วมทำเสมอ เอาเป็นตัวกำหนดรู้เจตสิกต่างๆ กำหนดอาการลิงค นิมิต สัญญา เป็นตัวกำหนดรู้เสมอ แม้แต่สัญญาเองก็ต้องกำหนดรู้ว่า นี่เรากำลังใช้สัญญาเป็น เป็นอาการของจิตที่มันกำลังทำงานกำหนดรู้กำหนดหมาย อันนี้คืออันนี้ อันนี้คืออันนี้ สัญญานี่แหละเป็นตัวยิ่งใหญ่ที่สุดเลย

_สิกขมาตุรินฟ้าว่า..เราก็รู้ว่าจิตใจเราสำคัญอะไรขึ้นมาแล้วก็ดับ

พ่อครูว่า..เราก็ดับเหตุมัน วิญญาณไม่ต้องคำนึง ทำ 3 อย่างเสร็จมันก็กลายเป็นวิญญาณสะอาดเท่านั้นเอง ต้องไปอ่าน คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก

 

_นักรบธรรม...ดินจริง นี่เป็นชื่อที่ผมชอบ ที่พ่อครูได้ตั้งให้ หมายถึงศรัทธาที่หนักแน่นเหมือนดิน ด้วยความมีปัญญาน้อย เอาง่ายๆ ธรรมทำนี่แหละจึงแม่นเป้า ถือว่าวิกฤตเป็นโอกาส ผัสสะเป็นปัจจัยผู้ทนอยู่ได้ย่อมเป็นมรรคผล ยังติดใจอรหันต์จ้อย

พ่อครูว่า...ให้พยายามหยุดไม่ใช่พยายามต่อ ถ้าคุณเชื่ออาตมาก็หยุดแล้วแต่นี่คุณไม่เชื่อถ้ามานี่มันเป็นดันทุรัง ไม่ใช่ดันสุรังเลย

 

_ปลา...อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพ่อครูทำให้หนูได้มาอยู่ตรงนี้ จากการที่แม่ได้มาคบคุ้นกับชาวอโศกที่ชุมนุม ก็ได้เห็นรูปรอยการปฏิบัติธรรม ทำให้แม่เกิดความเลื่อมใสศรัทธาแล้วอยากให้ลูกหลานมาอยู่ข้างในนี้ ทีนี้ก็พยายามจะเข้ามาอยู่ได้จริง มีตัวหนู และลูกอีก 2 คน ก็รู้สึกว่า ตัวเองมีวาสนามีบุญบารมีที่สามารถจะอยู่ตรงนี้ได้

อีกเรื่องคือปีติ คือ เคยมีอุพเพงคาปีติตอนปี 59 เคยไปเข้าค่ายหมอเขียว หมอเขียวอธิบายคำว่า กาย ที่เราเคยเข้าใจผิดว่ามันเป็นรูป แต่เมื่อกายเป็นนามมันก็โล่งโปร่ง เคยปฏิบัติสมาธิ พอรู้ว่าการเป็นจิตมันก็สว่างวาบเลย เคยไปเข้าค่ายหมอเขียวมีพื้นฐานมา

พ่อครูว่า..ดี แสดงว่าคุณเข้าใจ

 

_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...เมื่อก่อนพ่อท่านเคยเทศน์ เรื่อง ลางบรรลัย ดิฉันก็อยากจะถามพ่อท่านว่า เงาลางบรรลัย ยังเหลืออะไรเป็นลางบรรลัย อีกหรือไม่

1. เด็กกับคนแก่งอแง 2. มีคนป่วยเพิ่มขึ้น 3. คนในชุมชนน้อยลง 4. บ้านรก  5. ไม่มีผักกิน

คนก็ชอบว่าบ้านราชฯอุ๊ยุ๊อ๊ะย๊ะ คือยังเป็นสังคมให้เจริญไม่เหมือนสันติอโศก ปฐมอโศกหรือพุทธสถานอื่นที่เขาลงตัว แต่ที่นี่ อุ๊ยุ๊อ๊ะย๊ะ มันเป็นลางบรรลัยหรือไม่

พ่อครูว่า...ตอนนี้ก็ยังมีกลุ่มชุพชีพสมบัติเกิดขึ้นแล้ว ก็ลางที่เคยมีก็แก้ไข

 

_หนึ่งฟ้า…

ประเด็นแรกตอนช่วงทำวิทยานิพนธ์ได้อ่านพระไตรปิฎกเคยมีข้อสังเกตถามพ่อท่านว่า ประโยคของพระพุทธเจ้าจะพูดซ้ำ จะมีความต่างในประโยคบางทีก็มีแค่คำเดียว เคยถามพ่อท่านว่า ทำไมพระพุทธเจ้าถึงเทศน์อย่างนั้น พ่อท่านว่า ในยุคนั้นเป็นคนมีปัญญาน้อย ดิฉันก็เลยบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นสายปัญญาธิกะมันน่าเสียดาย พ่อท่านว่าเพราะทึบมากจึงต้องใช้พระโพธิสัตว์สายปัญญา

พ่อท่านก็เป็นโพธิสัตว์สายปัญญา มีเนื้อหาเยอะแยะซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งกว่า ดิฉันเลยเรียนถามพ่อท่านว่า อย่างนี้คนในยุคนี้น่าจะฉลาดกว่าไหม พ่อท่านว่าโง่กว่า

เรื่องที่ 3 ดิฉันนั่งสังเกตว่า ยุคของพระสมณโคดมเป็นปลายภัทรกัปป์ แล้วจะเป็นกลียุค หมายความว่าพ่อท่านมาหอบลูกที่เหลือ แล้วอีกนานเท่าไหร่จึงจะจบสิ้น พ่อท่านว่าบอกไม่ได้ บุคลากรที่จะต่อไปน่าจะเพิ่มศักยภาพมากขึ้น ดิฉันเดาว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อท่านต้องขยายอายุขัย

ทั้ง 3 เรื่องราวดิฉันจะเรียนถามว่า คำสอนของพ่อท่านเมื่อเทียบกับในยุคพุทธกาล ในยุคนั้นพระพุทธเจ้าจะพูดเรื่องอานาปานสติสูตร ยาวเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่คนในสังคมตกในกับดักนั้น และการนั่งเจโตสมถะที่พ่อท่านตีทิ้งหมด พอพ่อท่านไล่เรียงอีกที พ่อท่านว่าเป็นเรื่องพระพุทธเจ้าอนุโลมไว้ ทั้งหมดเหลือแค่ธรรมะ 2 เวทนา 2 สุดท้ายเหลือแค่ รูป 28 นาม 5 ถ้าพวกเราเข้าใจได้จริง แปลว่าพ่อท่านประสบความสำเร็จทำให้คนที่โง่มากกว่าเข้าใจได้

พ่อครูว่า...ค่อยๆฉลาดขึ้น อาตมาก็พยายามสอนให้คนได้รับประโยชน์ที่มากขึ้น ไม่ใช่ทำให้คนสับสนหรือโง่มากขึ้น อาตมาก็ตายดีกว่าเท่านั้นเอง

 

_แสงแก้ว...สิ่งที่พ่อท่านสอนมา เท่าที่แสงแก้วรู้มา ในรายการสำมะปี๋ ขนาดคนข้างนอกไม่ต้องพูดถึงว่าจะเข้าใจได้หรือไม่ แต่ชาวอโศกเรายังไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อท่านสอน แสงแก้วว่า สิ่งที่ปฏิบัตินี้มีผลในการที่เราจะดับทุกข์ได้ อย่างเช้าตื่นขึ้นมาแสงแก้วมีสติตื่นเต็ม เดินไปในครัว กำลังจะผัดอาหาร ตะหลิวหล่นที่พื้นก็โมโห แต่ต่อมาปฏิบัติเดินมรรคเป็น ตะหลิวก็ตกอีก แต่เราวิปัสสนาเป็น มันเป็นที่เราไม่ใช่ที่ตะหลิว แต่ก่อนเราด่าตะหลิวเลย

อย่างตาเรากระทบดอกบัว ดอกบัวมันสวยแต่เราไม่รู้เราก็ไปชื่นชมมันสิ่งที่พ่อท่านสอนคือสิ่งของ ต้องจับวจีสังขารให้ทัน

พ่อครูว่า...สรุปที่สังกัปปะ 7 อ่านวจีสังขาร ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เมื่อเริ่มจิตมันเกิดอะไรอาการอะไรก็ต้องพยายามจับ แล้วสาเหตุที่มันทำให้สุขให้ทุกข์ มันพาให้โกรธ ชังหรือรัก แล้วก็จับที่ตัวเหตุที่มันพาให้สุขหรือทุกข์ เราพิจารณาไตรลักษณ์ เอ็งมันเป็นตัวพาให้เราทุกข์ ก็ดับกิเลสของคุณให้ยอมสลายคลายตัวไปได้ มันก็จะเกิดว่าทำอย่างนี้พิจารณาแบบนี้มันได้ผล ของใครก็ของใครอาจจะไม่ตรงกันทีเดียวแต่หลักเดียวกันอย่างนั้นแหละคือหลักที่จะต้องพิจารณา สามเส้า ไตรลักษณ์มันไม่จริงไม่เที่ยงหรอก มันเป็นเหตุที่หากมันยังเหลืออยู่ก็เป็นเหตุที่เรามันไม่ใช่ตัวตน มันไม่มีอะไรหรอก

เพราะฉะนั้น ความคมชัดหรือประสิทธิภาพสูงของปัญญาธาตุรู้พวกนี้ มันจะเกิดกับคนที่พิจารณาได้ ก็จะสร้างพลังงานปัญญาได้ แล้วมันจะมีประสิทธิภาพทำให้กิเลส ลดละจางคลายหรือดับ เร็วขึ้นดีขึ้นสนิทขึ้น กาลครั้งสุดท้ายสั่งสมเป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา มีแกน Static และ Dynamic บวกกับลบตลอดกาล พวกเราบางทีก็ถามไม่ถูกถามไม่ออกเรียบเรียงไม่ถูกเท่านั้นเอง

 

_มด... ทำไม เราไม่สามารถอ่านเวทนาได้ต่อเนื่อง เพราะว่าอวิชชาหรือเป็นเพราะสิ่งที่เราปฏิบัติ หรือเป็นเพราะว่าสิ่งที่เรายังมีวิบาก

พ่อครูว่า...คุณยังไม่ได้ปฏิบัติได้ผลตามลำดับที่มันจะเก่งขึ้นมา ถามว่าทำไมไม่ต่อเนื่องมันจะต่อเนื่องได้ง่ายอย่างไรล่ะมันต้องทำตามลำดับ ความเร็วมากขึ้นหรือด้วยคือความต่อ มันเร็วมากก็เป็นเรื่องต่อ จะให้มันต่อเนื่องทันทีต่อไปมากๆ ก็เอาให้มันต่อตัวที่เรากำลังทำต่อไปได้เรื่อยๆ พวกนี้จะเป็นพลังงานซ้อนที่ทำให้เราต่อได้เร็วขึ้นดีขึ้นไวขึ้น มากขึ้นมากขึ้น เป็นไปตามลำดับ อยากได้เร็วหรือ มันไม่ต่อเนื่องก็อย่าไปคิดมัน

 

ขออ่าน sms

_8784 ผมกำลังลดมื้อ และลดรสอร่อยในอาหาร ครับ (ใกล้พระ) ชำนิ จันทสุข

 

_2166 ที่ไอ้อู๊ดมันทนอยู่เพราะมันไม่มีที่ไป???

พ่อครูว่า..รับไปเต็มๆไม่รู้ใครว่ามา เขาเจตนาดีจึงต่อว่ามาคุณอย่าไปทะเลาะกันนะ

 

_1057สงสัยเหล่ามารจะมีมาก เรื่องกางเกงที่ถวายให้พ่อครู มีทั้งผู้ผิดศีล ผิดกฏหมาย สิ่งที่ผมคิดออกมา ผมจะบาปหรือเปล่าครับ กราบเรียนสมณะพ่อครูโพธิรักษ์

พ่อครูว่า...อาตมานุ่งกางเกง เพื่อทำประโยชน์หรือทำงาน เช่นเวลาจะออกกำลังกาย เราจะต้องยกแข้งยกขา โป๊ตายเลย หากไม่นุ่งกางเกง หรือเวลาวาระสำคัญจะมีคนมานวด อย่างนี้เป็นต้น ก็เลยมีคนซื้อกางเกงมาให้ ทีนี้ก็สงสัย เหล่ามารมาท้วง  มีทั้งผู้ผิดศีล ผิดกฏหมาย (พรบ.สงฆ์ห้ามแต่งกายเลียนแบบคฤหัสถ์) เราไม่ได้เลียนแบบ อาตมาไม่ได้มีอกุศลจิตที่จะไปนุ่งกางเกง

 

_พระพิมพ์พระยา · ผลไม้โชว์ น่ากินจัง· ดูข่าว เบื่อๆเรื่องการเมืองเลย มาเปิดดูพ่อจ้าาา 555

 

_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · ติดตามการฟังธรรมและอ่านหนังสือหลวงปู่ พร้อมปฏิบัติตามศีลและพยามยามอ่านเวทนา เพื่อทำเวทนา2ให้เป็น1ได้แค่ตามภูมิที่ได้ครับ

 

 

_จุ๋ม มาลินี · ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ตั้งใจจะไปงานมหาปวารณาที่บ้านราชแน่นอนค่ะและจะตั้งใจประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในศีลธรรมจะลดละกิเลสให้ได้อย่างน้อยคอยจับจิตตัวเองไม่ไห้หลงผิดให้ได้ค่ะ

 

_แหม่ม สวิส ·


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 19:59:50 )

610914

รายละเอียด

610914 คนไม่อยู่กับปัจจุบันจะไม่มีวันจบได้

พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯ 14 ก.ย. 2561

สมณะแสนดิน : อู๊ดดี้เขาสนใจพลังงานปีรมิด แต่ก่อนเขาก็ติดตามเหมือนกัน เขาเขียนมาถามเรื่องการจัดการกับภวตัณหา แต่พอพ่อครูพูดยืนยันอย่างนี้ แต่ผมนี่ต้องพยายามล้างภวตัณหา คือการปั้นเรื่องราวขึ้นมาสังขาร แล้วเสพโดยบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่ความจริง มึงอย่าโง่นักเลย ไปจากกูได้แล้ว กูไม่เอากับมึงแล้ว ฟุ้งขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะพูดในใจทำนองนี้ทุกครั้ง เขาว่าผมว่าทำอย่างนี้ถูกไหม

พ่อครู : ถูกแล้ว มันมีมโนสัญเจตนาหารชัดๆ เราไม่ต้องการมัน อยากให้ ละหน่ายคลาย เราไม่ต้องการยึดมั่นถือมั่นเองอยู่แล้ว ไปซะไปซะ

สมณะแสนดิน : เวลาทำงานอยู่มันฟุ้งขึ้นมา เราไม่สังขารต่อ ไม่ปล่อยให้มันฟุ้ง สัญญามันไม่หายไปไหน ขอให้เรา มีสติอยู่กับปัจจุบันให้ได้ตลอด รู้ความจริงตามความเป็นจริงเสมอใช่ไหมครับ

พ่อครู : สัญญามันก็ไม่ให้เกิดพวกนี้ได้ นั่นแหละมันก็จะชนะ จนกระทั่งมันแข็งแรง แข็งแรงก็สัญญามาเป็นสติ สัญญามาร่วมเป็นสติ ก็มาเป็นสติคือรู้ตัวทั่วพร้อม เกิดอะไรปั๊บมาเป็นสติเร็วเข้า  สติก็เป็นอธิปไตย สติก็เป็นแรง ชัดเจนที่จะกั้นให้อันนี้เกิดได้

สมณะดินไท : คล้ายๆอาการของคุณปรีชาเมื่อวานนี้ ที่ละลึกถึงภพหลัง ที่เขาเคยมีประสบการณ์อย่างนี้ๆ แล้วก็ มันอุปทานที่กลางๆว่า อันนั้นจริง เราก็ให้มาอธิบายใหม่ เขานึกว่าเขาได้สภาวะอย่างนั้น

สมณะแสนดิน : ผู้ที่ไม่เคยอยู่กับสัญญา พ่อมันพุ่งขึ้นมา มันเป็นสัญญาเก่า มันก็ไปสู้กับสัญญา  แทนที่จะอยู่กับ ปัจจุบันที่พ่อท่านสอน ศีลสมาธิปัญญา นะ ตอนนี้กำลังคุยกับพ่อท่านอยู่นะ เขาก็ไปอยู่กับภพเก่ากำลังนึกอยู่ว่าจะพูดอย่างไงดี แต่พวกสายนี้เขาก็อธิบายไม่ค่อยออก แล้วก็พยายามนึก ขนาดนิ่งไปนานคนเขาลุ้น  แต่เมื่อวานพ่อท่านทั้งอู๊ดทั้งปรีชาพ่อท่านก็พูดไป

พ่อครู : ตีทิ้ง ไม่เอา เลิก ไม่งั้นมันก็มัวอยู่อย่างนั้นแหละ  เดี๋ยวก็จมอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่รู้จักจบ

สมณะแสนดิน : ประนีประนอมมาหลายยกแล้ว หลายทีแล้ว ก็ไม่เปลี่ยน

พ่อครู : คนที่มันติดมันติดจริงนะ ไม่ง่ายเลย เขาต้องไปได้คิดเหมือนอู๊ดดี้ไง เองมาอยู่กับข้ามาอยู่กับข้า มันก็มาอยู่

สมณะดินไท : งั้นต้องเอาตัวอย่างอย่างนี้ มาให้พยายาม

พ่อครู : รู้ตัวเมื่อไหร่ไอ้นี่มาเลิก ไม่งั้นมันปล่อยวางไม่ได้ วนเวียนวนเวียนอยู่นั่นแหล  ก็มันแล้วไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว ความจริงมันอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น  เพราะฉะนั้นใครวางอื่นๆ วางในสัญญา วางอะไรไม่ได้ มาอยู่กับปัจจุบันไม่ได้ ก็คือจบไม่ลง

สมณะแสนดิน : แต่เขาก็เบาลงนะครับ เพราะพ่อท่านบอกเขา เขาก็เบาลง

พ่อครู : ฝึกไปก็เบาลงเบาลง ค่อยๆไป

สมณะแสนดิน : เขาพยายามหยุด  แต่ตอนท้ายยังขอพาดพิง ขอเอาหน่อย มีคนไปสะกิด sms มาต่อ พวก sms เอาหนักเลย ซัดตูมๆเลย

พ่อครู : อู๊ดไม่มีทีไป

 

ถอดข้อความโดย   อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:01:27 )

610914

รายละเอียด

610914_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยสู่สามอาชีพกู้ชาติ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1hSjAzBLXoISvcTtA0Z0ux03WPDlMRj1Wlzi21hBUbBg/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Svjo-HM_eufu0WPxqwri-yUCuJFOxIyV

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เมื่อวานนี้อาตมาไปที่บ้านหนองเม็ก เพื่อไปพบเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษที่นั่น เขาให้ไปพบคนงาน เขาก็ตั้งตาไปพบเพื่อจะขอเลขเด็ด เราก็พูดโทษภัยของการเล่นหวยให้ฟัง คือคนที่เขายังไม่คิดจะศึกษาธรรมะอบายมุขเขาก็ยังไม่รู้เรื่อง ส่วนพวกชาวอโศกพูดธรรมะไปไกลจากเขามาก

เด็กตัวเล็กของเราถามว่าจะลดอัตตาได้อย่างไร คนที่นี่ถามเรื่องปรมัตถธรรมลึกๆ เพื่อเดินทางไปสู่นิพพานเสมอ ไม่ว่าจะรายการไหนก็แล้วแต่

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องของความ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) ภาษาบางทีกลับไปกลับมาได้ แต่สภาวะนั้นไม่กลับไปกลับมา หากใครมีสภาวะแล้วจะใช้ภาษามาอย่างไรก็เข้าใจได้

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 13 กย. 2561 (สำมะปี๋ซีวิต)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กิเลสเหลือน้อยกับหมดแล้วอ่านอย่างไร

_8325ลูกเลิกกินกาแฟได้จากที่เคยชอบมากยากรู้ว่าระหว่างเหลือน้อยกับหมดจะรู้ได้อย่างไรคะ

พ่อครูว่า..ประเด็นนี้อาตมาได้พูดและย้ำหลายทีว่ามันต้องรู้ได้ด้วยตนเองจริงๆเลย ที่บอกว่าเหลือน้อยกับหมด มันยากจริงๆ เหลือน้อยกับหมด มันต้องดูเองจริงๆเลยแล้วเราก็จะต้องละเอียดพอที่จะรู้ เพราะฉะนั้นคนที่มีรายละเอียดไม่สามารถที่จะแยกความละเอียดนี้ได้แล้ว คุณก็จะเห็นเป็นตัวตน คุณจะจบได้ด้วยการที่จะไม่รู้ว่า แล้วที่มีตัวตนกับที่ไม่มีแล้ว หมดหรือเราไม่หมด มันจะกลายเป็นอันเดียวกันเหมือนกันหมด แต่ที่จริงมันมีเหลือน้อยจนคนไม่สามารถรู้ในความเล็กได้ ไม่รู้ความละเอียดได้ เพราะมันเหลือน้อยมาก คุณนึกว่าไม่มีแล้วแต่มันยังมีอยู่อย่างนี้เป็นต้น

อาการเคลื่อนไหวกับอาการที่หยุดนิ่งแล้ว ต้องดูที่อาการที่การเคลื่อนไหว เพราะความนิ่งนั้นมันดูง่าย มันนิ่งอยู่ก็หมดสิ มันต้องดูความไหว มันไหวแล้วมันไม่ไหวแล้ว มันไม่ไหวนะ มันไม่ไหวนะๆๆๆๆ จนไม่ไหวนะ คุณก็จบเอาที่ความไม่ไหว มันไม่ไหว คือมันไม่เคลื่อนไหวไม่ใช่ว่ามันทำไม่ไหว ภาษาไทย มันเคลื่อนกับไม่เคลื่อน ไม่ไหวติงแล้ว

มันว่างโล่งหมดบางเบาใสสะอาดแล้ว ก็ตอบได้ประมาณนี้

_1614 เรื่องที่เราชอบ กับ เรื่องที่ทำได้ดี บางที ก็เป็นคนละเรื่อง แล้วจะเลือก อย่างไรคะ

พ่อครูว่า..เอาเรื่องที่ทำได้ดีก่อน เรื่องที่ชอบนั้นอะไรก็ได้ เอาเรื่องที่ทำได้ดีก่อนอันนี้ไม่ยาก

 

_ขวัญ... อาท่านหนึ่งได้สอนธรรมะ (ญาติธรรมบ้านราช)ความว่า องค์ความรู้ของคุณหมอเขียวไม่ใช่โลกุตรธรรม เป็นองค์ความรู้ด้านโลกียะสมบัติ ไม่เกี่ยวกับโลกุตรธรรม ลูกศิษย์หมอเขียวทุกคนพอเจอเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องร้ายในชีวิต เขาจะสอนว่า ให้รับมาแล้วจะได้หมดไป นั่นคือไม่ใช่การออกจากทุกข์อริยสัจ ด้วยบทปฏิบัติวิปัสสนาแบบพุทธตามแบบที่พ่อครูสอน ใช้คำพูดแปลกๆ มาสะกดจิตสะกดกิเลส ลูกศิษย์หมอเขียวมักพูดแบบนั้นหมด ... ให้เลิกทิฏฐินั้นเสีย อย่างคำว่า กูทำมา รับแล้วก็หมดไป มันไม่สัมมาทิฏฐิ

พ่อครูว่า..มันก็มีนัยยะอย่างนั้นเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าเราตัดกาละเวลา เราตัดเรื่อง เรื่องที่เขาโยนมา เราก็รับมาเสียแล้วก็ตัดไป มันไม่ใช่เรื่องของเราก็วางไปเท่านั้นเอง ส่วนตัวเราเองนั้น ถ้ามันเป็นเรื่องที่เป็นของเรา แล้วเราก็ได้ไขความอันนั้น จนมันยึดเกาะเป็นตัวตนหรือมันดับไปแล้วให้ชัดเจนอันนี้ต่างหากที่เราเอง เราต้องเข้าใจแล้วทำให้สะอาดบริสุทธิ์

ส่วนเรื่องของใครจะโยนมาแล้วเรารับมาแล้วก็จบไปก็เป็นได้ เป็นการช่วยคนนั้นให้เขาหยุดจบ เรารับมาแล้ว จะได้ช่วยให้เขาคลายใจบรรเทาก็เป็นการช่วยคนอื่น แต่ว่าเป็นโลกุตระก็ไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องระหว่างเรากับเขา

แต่เรื่องโลกุตระนั้นเป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่ของเขา เขาเป็นเพียงมากระทบสัมผัส เมื่อเรื่องที่มากระทบสัมผัสแล้วเขาอยากให้เราช่วย ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ดี เป็นเรื่องที่เลว เรื่องที่เขากระทบกระแทกเราเลย กระแทกมาเท่าไหร่เราก็รับไปแล้วก็วางเลย รับมาแล้วก็หยุดไปอย่างนี้ที่ว่า อันนี้ใช่ ไม่ต้องไปจัดการอะไรเพราะเขาไม่ต้องการอะไรตอบแทนไม่ต้องการคำตอบ ไม่ต้องการผลอะไร

แต่ถ้าเขาโยนมาแล้วเขาต้องการจะให้รับส่วนที่ตอบรับกลับไปเป็นความรู้เป็นส่วนที่จะได้รับประโยชน์จากเรา เราไม่ได้ให้เขา ถ้าเขาไม่เอาก็แล้วไปเถอะ เราไม่ให้เขาไม่เอาก็จบ แต่ถ้าเขาจะเอา เราก็ต้องรู้ตรงนี้ เขาจะเอาอะไร เขาจะเอาโลกีย์ เราก็ไม่ส่งเสริม แต่ถ้าเขาจะเอาโลกุตระเราก็หาโลกุตระให้เขาไป

สรุปแล้วเป็นความเข้าใจยังไม่ครบกัน ซึ่งเราก็ไม่รู้ได้ว่าหมอเขียวนั้น รับไปนั้น แล้วไปตีความว่าหมอเขียวรับไปแล้ว แล้วก็ไม่ได้ตอบหรือตอบก็ไม่รู้ ถ้ารับมาแล้วให้เขาหยุดแล้วหยุด แล้วเขาจะเอาอะไรจากเราอีก? หากเขาจะเอาโลกีย์ก็ไม่ให้ แต่เขาจะเอาโลกุตระก็ให้ได้ก็ให้

ถ้าจะช่วยด้วยการให้เขารู้ตัวแล้วเขาไปปฏิบัติตัวเองให้เขาเข้าใจแล้วเกิดความเฉลียวฉลาดมีปฏิภาณรับรู้ ส่วนเขาจะไปทำให้เกิดปัญญาเอง เกิดความบรรลุธรรม เขาก็ทำของเขาเอง อันนี้ก็ยังไม่ชัดเจนในรายละเอียด

 

_มนูญ ณ นคร...ฟังคำพูดของคุณแสงแก้วในทำนองที่ว่า คนในบ้านราชอยู่ใกล้พ่อครูยังบรรลุธรรมได้น้อย แล้วคนที่ชมทางบ้านจะเหลืออะไร ผมจะแจ้งให้ทราบอย่างนี้ครับ ผมเป็นคนวัดแต่อยู่นอกวัด ฟังพ่อท่านเทศน์เสมอ ผมปฏิบัติธรรม เจริญมรรค อ่านเวทนา ได้ผลจริงครับ ดังนั้นคำพูดของคุณแสงแก้วปรามาสคนทางบ้านไม่ถูกต้องครับ

พ่อครูว่า..อยากไปดูถูกเขา เขาก็ว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่คุณแสงแก้วว่าก็ประมาณกันไปพูดกันไปมีอะไรพาดพิงบ้าง บางทีมันก็ตรง จนคนอื่นรับไม่ได้ก็ค่อยๆแก้ไขกันไป

 

_บุญเลียบ · ท่านสิกขมาตุท่านเข้าใจ เพียงแต่ท่านต้องการความกระจ่างชัดละอียดไม่ให้ผิดพลาดแม้น้อยนิดตามความเข้าใจของลูกค่ะ

พ่อครูว่า..อันนี้อาตมาก็ว่าถูกต้อง สิกขมาตุเข้าใจเป็นแต่เพียงเขาต้องการความกระจ่างให้ชัดละเอียดไม่ให้ผิดพลาดแม้น้อยนิด บางทีไม่เอาเนื้อความเก่าให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจเลย มันกับรู้กันนะ

 

_ติดลบ... ผมฟังแสงแก้วพูดเมื่อคืนนี้...55.ภาษาที่พูดนั้นไม่ผิดหรอก!(ใครเขาก้อเรียนรู้ลดละแบบเดียวกัน.แต่นานช้า..ชัดชัวร์แค่ไหน?ของใครก็ของใคร) แต่ที่คิดว่าผิด(จากสมมุติที่ควรเป็น)คือที่เขาพูดแบบโอ้อวดและพาดพิงสิกขมาตุรินฟ้า"

ตรงนี้ผมเห็นว่าขาดสัปปุริสธรรม7..(ไม่ประมาณตน/ไม่ประมาณท่าน.)

ท่านสิกขมาตุถามเพื่อเอา"คำอธิบายชัดๆจากพ่อครู" เพื่อไปทำประโยชน์ตน/ประโยชน์ท่านให้มากขึ้นเท่านั้น!ส่วนสภาวะ...ผมว่าท่านเป็น/ท่านได้หลายขั้นแล้วนะครับ!

การพูดออกอากาศ..แม้จะออกตัวว่า.."ที่พูดนี้ไม่ได้สอนสิกมาตุนะค่ะ" แต่ก็กระทำไปแล้ว(เหมือนเผลอพูดว่าไปแล้วก็กลบเกลื่อนว่า ไม่ได้เจตนา) แต่..นั้นแหละเต็มไปด้วยอวดว่ารู้มากกว่าท่านแล้ว!แบบคนฉลาดเฉโกนะครับ

เวทนาที่กำลังพูดนั้น!(ปัจจุบันขณะ)"คิดว่าไม่ได้ตามรู้เลย.."ว่าเกิดกิเลส(มานะสังโยค)โอ้อวด..ว่าเราเก่งเรารู้ดีกว่าหรือไม่??? ที่ผมพูดนี้อาจจะไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง"มีกิเลสความไม่ชอบ!

ด้วยเหตุ..ไม่อยากให้พวกเราหลงตนลามปามครับผม55.."!!!

พ่อครูว่า..เอาไปตีความลามปามเอาเอง แล้วแก้ไข อย่าลามปาม คือต้องมีคุรุกรณะ ในฐานะที่มีสมมุติ เราเป็นสมมุติฆราวาส ท่านเป็นสมมุตินักบวชสิกขมาตุแล้ว ต้องรู้จักฐานะรู้จักสมมุติ แม้แต่สมมุติที่บวชก่อนเป็นพระสามัญ แต่ผู้เป็นสมมติ แม้แต่จะบวชที่หลังแต่เป็นอรหันต์ก็ต้องกราบ พระที่สมมุติผู้นั้น อย่างนี้เป็นต้น เราก็ต้องรู้ คุรุกรณะ อย่างแท้จริง

 

_แก้วลา · คำถามของน้องอุ๋มเป็นประโยชน์มากเลยเข้าใจคำว่าเอามาใช้แล้วปล่อยวาง ได้ง่ายขึ้น

พ่อครูว่า..อันนี้ไม่มีพลความเลยไม่รู้ว่าคำถามเป็นประโยชน์อย่างไร (เอาอุปาทานมาใช้)

 

_ขวัญชวนไพร ...กราบนมัสการค่ะ หนูมีคำถาม เวลาเราทำงานจะมีหัวหน้าบริหารเรา ทีนี้ เราก็ทำตาม แต่ในบางเรื่องมันก็ไมถูกต้องเพราะเขาทำไปตามโลกีย์ การยอมกับการโง่ ใกล้กัน ถ้าดูภายนอก แต่ภายในต่างกันมาก ทีนี้พอเขาจัดการเรามากๆ เขาก็ได้รับวิบาก เราก็รู้ว่านั่นคือวิบากเราที่เราทำมา เราจึงยอม แต่ในบางเรื่องที่เราต้องมีโต้แย้งบ้าง พอแย้งไป เขาก็เจ็บหนักทุกที เราก็ยอมวิบากเราเรื่อยไป หากมีเหตุการณ์หนึ่งที่เราจำเป็นต้องโต้แย้ง ตามเหตุเพื่อไม่ให้เขาชั่วมากขึ้น ถ้าเราทำเช่นนั้น เขาก็เพ่งเราหนักอีก เราต้องยอมให้เขาเพ่ง แต่ที่ทำ ขวัญตรวจใจตลอดมันโปร่งโล่งเบิกบานดีไหม มันมีทุกข์ไหม ทุกข์กับการแก้ไขเหตุการณ์ แต่ใจไม่ทุกข์ เล่าซะยาวเลยค่ะ หนูประมาณพอใช้ได้ไหมคะ

...เหมือนใน 0 มี 1 ใน 1 มีทั้งสุขและทุกข์ ที่พ่อครูเทศน์เรื่องเวทนาวันก่อน สุขก็คือเหตุการณ์ หรือร่างกายมันโปร่งโล่งสบาย สัปปายะ แต่ทุกข์คือคือร่างกายและเหตุการณ์ไม่โปร่ง ติดๆขัด ต้องแก้ปัญหา ต้องดูแล แต่พอเราทำเสร็จเราก็วางแบบสบายๆ แบบนี้หนูเข้าใจถูกไหมคะ

พ่อครูว่า..ได้ เอาเถอะประมาณอย่างที่ทำอันนี้ใช้ได้มันมีปฏิกิริยา มันมี Action Reaction มีสะท้อนกลับอยู่เรื่อย ก็อ่านมันอยู่เรื่อยมันจะเบาลงหรือแรงขึ้น ถ้ามันเบาลงก็ใช้ได้ถ้ามันแรงขึ้นก็ใช้ไม่ได้ ถ้ามันเบาลงหรือตอบกลับมา 0 ได้ก็ยิ่งจบ

เข้าใจได้ถูก พวกเรานี่ละเอียดละออดี

 

_ใบฟ้า...ทางเดียวที่จะเกิดสัมมาทิฏฐิคือ ต้องผัสสะ ให้เราได้คิดพูดและลงมือปฏิบัติอย่างมีสติ มีความเพียร บนเส้นทางที่ถูกต้องถูกต้อง(จากสัตบุรุษ) พร้อมกันนั้นต้องอาศัยศีล ที่สมาทานช่วยเจียรกิเลสโลภ โกรธ หลง ในตนให้ลดลงๆ ส่งผลให้จิตตั้งมั่น แข็งแรงขึ้นเป็นลำดับสรุปอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่คะ

พ่อครูว่า...ถูกต้อง

 

_ขยันอย่างโลกีย์ หมายความว่ามีโลกธรรมครอบงำ เห็นแก่ตัว ติดยึด แถมอบายมุขอีกเต็มเวลาชีวิต แล้วอย่างนี้จะบินพาตนเองสู่สูงได้อย่างไร

ประโยชน์ตนขึ้นอยู่กับการลดกิเลส ส่วนประโยชน์ท่าน ขึ้นอยู่กับการมีน้ำใจซึ่งเป็น ศีล ของตนเองประมาณนี้ เราไม่มีสิทธิ์โกรธโจทย์

พ่อครูว่า...ถูกต้อง โจทย์แม้จะร้ายแรงอย่างไรเราก็ต้องอโหสิทั้งนั้น เราต้องมีความสามารถที่จะทำให้โจทย์ไม่กล้าทำกับเราแรง จนเขาไม่กล้าทำกับเราเลย คนที่ยังเป็นโจทย์ที่ทำกับเราแรง แสดงว่าเขาไม่กลัวเกรงไม่นับถือเราเลยดีไม่ดีจะห้ำหั่นให้เราตายเลย หากเรามีบารมีสูงขึ้นๆโจทย์จะไม่กล้า โจทย์จะทำไม่ถึงเรา จะไม่มาทำกับเราง่ายๆ อันนี้เป็นเรื่องพิสูจน์ได้

อย่างอาตมาปางนี้ โจทย์ได้ประมาณนี้ อาตมาเคยถามพวกเรา อาตมานี้จอมยียวนเลยนะ แต่ก็ได้รับโจทย์นะ นี่ไม่ได้ท้าทายนะ ขออภัยพูดสัจธรรม อาตมาทำแรงและยียวน เพื่อให้คนมา เป็นลักษณะเรียกร้องลูกค้าเหมือนกัน อย่างเช่นพวกราคะก็เรียกร้องลูกค้ามาเหมือนกัน

 

_ทรัพย์โลกีย์ คนอื่นปล้นจี้ขี้โกงเอาได้ ส่วนทรัพย์โลกุตระนั้นไม่มีใครโกงปล้นที่เอาของเราได้จริงไหม

พ่อครูว่า...จริง อย่าว่าแต่ปล้นจี้เลยยัดเยียดให้มันยังไม่เอาเลย วิ่งหนีเลย ดีไม่ดีโกรธแล้วด้วยเอาอะไรมาให้กู แล้วมันจะตอบโต้ดีไม่ดีเอาไม้หน้าสามมาให้เรา

 

ทีนี้เรื่องที่จะพูดวันนี้ก็น่าจะพูดถึงเรื่องธรรมะหรือการเมืองดี

สมณะฟ้าไทว่า...ผมว่าเรื่องการเมือง

พ่อครูว่า...ถูกต้องแล้วครับ อาตมาก็ยัง Fresh up อยู่ ก็เลยตายไม่ลง พยายามฝืนไปอีกได้

 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน..

สิกขมาตุรินฟ้า..

สมณะเดินดิน..

สมณะแสนดิน..

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน เปรียบเทียบนายกฯไทยใน 75 ปีที่ผ่านมา

พ่อครูว่า...การที่จะเห็นใจนายกฯตู่ มันไม่ง่ายเสียทีเดียว เพราะมันเป็นเรื่องซับซ้อนเข้าใจยากมาก การจะมองว่าคนใด เขามีอัตตา มีตัวตน ตัวตนเพื่อตนเพื่อหมู่ของตนหมู่แคบๆหมู่กว้างขึ้น แล้วมีนัยยะมากขึ้นว่าหมู่ที่มากขึ้นเป็นหมู่ที่ไม่ค่อยเจริญ

ยกตัวอย่างเป็นหมู่ที่ทำลายประเทศขึ้นแต่มีมากขึ้น คนที่จะได้ประโยชน์นี้ล้วนแต่เป็นคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศแต่มันมีมากขึ้นๆ คนที่ไปมองว่าคนนี้มีมวลมากบอกว่าใช่ๆๆๆนี่ เช่นเขาสามารถที่จะทำให้เลือกสส.ได้มาก โอ้โห เกือบเต็มรัฐสภาเลย คนก็เข้าใจตื้นๆ ประชาชนเลือก แต่ที่จริงแล้วมีแทคติกที่จะให้สส.มาก มีสารพัดเลยนี่กลเม็ดกลยุทธ์ต่างๆซ่อนเชิง ได้มาด้วยการโกงด้วย โกงทั้ง วิธีใช้เงินซื้อมา ใช้อำนาจบาตรใหญ่เบ่งข่ม โกงด้วยวิธีการตลาดสารพัดสารเพ  พวกโลกีย์ก็ต้องใช้วิธีแบบโลกีย์

(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไทว่า...ด้านการเมือง เป็นเรื่องที่อาตมาไม่มีความสามารถเพราะเรื่องมันเยอะ คนไม่ดีมีเยอะ คนดีที่เข้าไปทำต้องต่อสู้มาก เอาง่ายๆพ่อครูเอาพวกเรามาอยู่บ้านราชฯจะขอสักพันคน เท่านั้นเอง ขอมาไม่รู้กี่ปีแล้วก็ยังไม่ได้ เมื่อวานไปบ้านหนองเม็กเขาก็บ่นว่าสั่งแล้วไม่ทำตาม

พ่อครูว่า...ขณะนี้มันกำลังใกล้เลือกตั้ง เพราะฉะนั้นแต่ละคนๆก็ยังชอบที่จะต้องเข้าสู่การเมือง คนที่มีนิสัยเดิมนิสัยเป็นนักการเมืองน้ำเน่าเก่าๆ เขาก็ยังเป็นอยู่ มันยังไม่หมดไปจากประเทศ แต่รู้นะขณะนี้ประชาชนก็ดี หรือแม้แต่นักการเมืองเขาก็ต้องปรับตัวเอง ก็ดีขึ้นนะ มีพัฒนาการ ดูแล้ว มันก็ต้องได้คนที่เขาจะแก้ไขตัวเองขึ้นมาหรือมีคนใหม่ที่เข้าไปสู่วงการใหม่ มันก็เพิ่มขึ้น

อาตมาดูโดยรวมๆแล้ว การเมืองไทยที่อาตมา เคยพูดด้วยความจริงใจตามภูมิ ที่อาตมารู้ว่าการเมืองที่เรียกว่าประชาธิปไตยคืออะไรโดยเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก คนไม่เข้าใจก็บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นประชาธิปไตยที่ไหน มันยากเพราะว่าในยุคนั้นเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็เลยไม่ได้พูดถึงภาษาที่เป็นประชาธิปไตยเลย ท่านพูดคำว่าอธิปไตยเท่านั้นเอง

แล้วก็มีนัยยะที่พอจะตีความ ขยายความว่าเป็นโลกาธิปไตย ที่เป็นประชาธิปไตยได้ เพราะว่าท่านตรัสถึงอธิปไตยมีสาม โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธัมมาธิปไตย

โลกาธิปไตย พอ จะใช้แบบ synonym เป็นคำไวพจน์แทนกันว่า โลกาธิปไตยหรือประชาธิปไตยก็คืออันเดียวกันก็ได้ เพราะว่าคนในโลกก็คือมวลใหญ่ ประชาธิปไตยของประเทศไทยก็คือมวลของประชาชนไทย ประชาธิปไตยของโลกก็เอามวลชนชาวโลก ประชาธิปไตยของประเทศ แล้วก็ประชาธิปไตยของจังหวัด ก็เอามวลของคนในจังหวัด ประชาธิปไตยของอำเภอก็เอาคนในอำเภอ ประชาธิปไตยของตำบล ก็เอาคนในตำบล ประชาธิปไตยในหมู่บ้านก็เอาคนในหมู่บ้าน ก็มาขยายความตรงที่ประชาธิปไตยในหมู่บ้าน ให้เป็นตุ๊กตา เป็นโมเดล เป็นตัวอย่าง specimen ที่จะอธิบายซะก่อน

 

ขออภัยยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม ประชาธิปไตยของชาวอโศก ยืนยันว่าเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า อาตมาก็ยืนยัน เมื่อกี้นี้พูดแล้ว ประชาธิปไตยก็อนุโลมใช้คำว่าโลกาธิปไตย เพราะในสมัยพุทธเจ้าใช้คำว่าอธิปไตยเท่านั้น คำว่าอธิปไตยนี้เอาตัวสติเป็นหลักซึ่งยาก ขอวรรคไว้ก่อน

ประชาธิปไตยของชาวอโศกคืออย่างไร

1. เป็นพวกที่เรียนรู้ในความมีอิสระเสรีภาพ

2. เรียนรู้เรื่อง อัตตา

3. เรียนรู้เรื่องจิตวิญญาณแล้วทำให้จิตวิญญาณเป็นตัวสำคัญ เพราะในความเป็นจิตวิญญาณนี้มีความเป็นอิสระ อิสระเสรีภาพอยู่ในจิตวิญญาณ มีทั้งความไม่มี อัตตาหรือไร้อัตตาหมดอัตตาตัวตน ก็อยู่ในจิตวิญญาณทั้งสิ้น

สรุปประเด็นแรกประชาธิปไตยที่ไม่มีจิตวิญญาณเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตยที่เจริญได้ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุดประเสริฐที่สุด เป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีจิตวิญญาณเข้าเป็นตัวร่วมเป็นหลักการคู่กันเสมอ เป็นราชประชาสมาสัย ถือว่าประชาธิปไตยนั้นเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ประชาธิปไตยเอาแต่รูปธรรมแล้ว เอาแต่จำนวนคนปริมาณไม่เอาถึงคุณภาพไม่เจาะไปถึงจิตวิญญาณ ไม่เอาความสืบเนื่องของจิตวิญญาณ

แต่ว่าประชาธิปไตยของศาสนาพุทธเอาจิตวิญญาณเป็นใหญ่ เอาวัตถุเป็นเรื่องรอง มีคนที่มีกายและจิตและวัตถุ คนส่วนมากจะรู้จักกายและเรื่องวัตถุได้ก่อน ได้หยาบได้เร็วได้มาก และจิตไปยึดวัตถุได้ เอาวัตถุเป็นหลัก ในปุถุชน คนทั่วไป เขาก็ใช้วัตถุเป็นอำนาจเขาไม่เอาจิตวิญญาณ จึงเรียกว่า วัตถุนิยมวิภาษณ์ โดยเอาวัตถุเป็นตัวหลักในการวินิจฉัย ไม่เอาจิตวิญญาณ

พวกจิตนิยมกับวัตถุนิยม

พวกวัตถุนิยม จึงเอาวัตถุเป็นตัววินิจฉัย

แต่พวกจิตนิยมเอาจิตวิญญาณเป็นตัววินิจฉัยนี่คือความแตกต่าง

ประชาธิปไตยของพุทธที่เป็นประชาธิปไตยขาเดียว ที่ไม่ใช่ของพุทธ ยกตัวอย่างรูปธรรม ขาเดียว มีประธานาธิบดี ประเทศอเมริกาเป็นต้น เป็นประชาธิปไตยขาเดียว เป็นพวกวัตถุนิยมไม่ใช่จิตนิยม

ถ้าของพุทธแล้วเอียงมาทางจิตนิยม คนคิดเห็นย้อนแย้งกันว่าประชาธิปไตยต้องเป็นวัตถุนิยมและเป็นจิตนิยม อาตมาเห็นแย้งว่าคุณเองเป็นพวกไบโพล่า เพื่อที่จะเอาทั้งจิตนิยมและพวกวัตถุนิยม คุณมีโอกาสเอาข้างไหนก็เอาข้างนั้นคุณไม่แน่ไม่นอนหรอก เมื่อคุณอยากจะเสพทางไหนคุณก็เอาทางนั้น พวกไม่แน่ไม่นอนเป็นไบโพล่า ทุกวันนี้เป็นกันเยอะ ด้วยคำว่าปรองดองคือประเภทไบโพล่าเยอะ ตรงที่ได้เปรียบตรงไหนก็เอาตรงนั้น เวลาไหนก็เอา ไม่เที่ยงไม่แท้ เป็นพวกไม่มั่นคงเลย

สรุปแล้วเอาตัว อัตตา เป็นหลัก ตัวอัตตา เป็นหลักคือตัวที่ไม่เห็นแก่ตัว ตัวที่เห็นแก่ผู้อื่น ประชาธิปไตยที่ไม่มีอัตตาเป็นหลักจะเห็นแก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง อัตตาน้อยก็เห็นแก่ผู้อื่นมาก ไม่มีอัตตาเลยก็เห็นผู้อื่นทั้งหมด

คนเป็นได้ไหม คนจะไม่มีความเห็นแก่ตัวเลยเป็นได้ แต่คนไม่เชื่อง่ายๆ ว่าคนจะไม่เห็นแก่ตัวเลย นอกจากไม่เห็นแก่ตัวแล้วไม่เห็นแก่พรรคพวกอีก

ขออธิบาย คนไม่เห็นแก่พรรคพวก แต่พรรคพวกเห็นแก่ส่วนรวมส่วนหนึ่ง พรรคพวกที่เป็นทิฏฐิเดียวกันศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตาจะเห็นเป็นอย่างเดียวกันเป็น เอกธรรม เอกคตา ของหมู่นี้จะมีจุดรวมที่แน่วแน่ ตามทฤษฎีนี้ตามหลักนี้ ตามศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา

คนที่มี ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ใช้เป็นหลักในการอยู่ร่วมกัน จนเกิดเป็นกลุ่มหมู่ที่มีสาธารณโภคี

สาธารณโภคีเป็นคำศัพท์ที่สำคัญ คือคำว่าส่วนกลางนี้ ส่วนกลางของชุมชน ส่วนกลางของตำบล ส่วนกลางของอำเภอ กลางของจังหวัด กลางของประเทศ กลางของสากล มันจะค่อยกางออกไป กลางแล้วจะค่อยเอื้อมเอื้อเกื้อกว้าง ตามความเป็นจริงของตัวเราที่เรารู้ว่าตัวเราก็เท่านี้จะไปช่วยเขาได้เท่าไหร่ เกี่ยวข้องได้เท่าไหร่ ยอมแพ้ก็ต้องแพ้ ถ้าเกี่ยวข้องได้แล้วเราก็ทำประโยชน์ให้เขาไป ถ้าเราทำประโยชน์ให้เขาไม่ได้แล้วยังทำโทษให้เขา เราก็ไม่ทำ แต่ถ้าเขาจะทำโทษแก่เรา เราก็ยอม เขาจะทำชั่วแก่เรา เราก็ยอม เขาทำชั่วกับเราแก่เรา อันนี้เราเข้าใจไม่สับสนแล้ว คนไม่มีปัญหาก็จบนะ แต่คนที่ไม่เข้าใจสับสนอยู่ก็ยาก

 

เพราะฉะนั้นหลักเกณฑ์ของประชาธิปไตยพยายามอธิบายขณะนี้ ว่า

1 ต้องไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีตัวตนหรือลดตัวตนให้เหลือน้อยลงอย่างแท้จริง  เพราะฉะนั้นคนจะต้องมาศึกษาความเป็นตัวตนความเป็นอัตตา คนที่ศึกษาความเป็นอัตตาที่แท้จริงแล้วก็รู้หลักเกณฑ์ในทฤษฎี ของพระพุทธเจ้ามีทฤษฎีแน่นอน อัตตาถึงอนัตตาแน่นอน เป็นทฤษฎีที่แน่ ขอยืนยันว่าเป็นจริง ให้มาพิสูจน์ได้

เพราะฉะนั้นเราจึงมั่นใจ พวกเราจริงใจมั่นใจ ในยุคนี้เป็นยุคของประชาธิปไตย เฟื่องจริงๆ จึงขอร้องให้พวกเรา 1.พากเพียรให้เจริญสูงขึ้น 2.อย่าเพิ่งรีบตาย

1 พากเพียรลดตัวตนให้สูงขึ้น ถ้าสูงขึ้นมันก็ครบแล้ว สูงขึ้นหมายความว่าเราละตัวตนได้ เรามีทิฏฐิสมบูรณ์ตรงขึ้นๆ มันไม่ได้ตรงเป๊ะทีเดียวหรอก มันค่อยๆตรงขึ้นสมบูรณ์ขึ้น มันไม่ตรงเป๊ะทีเดียว นึกว่าตรงแล้วแต่มันไม่ค่อยตรงโดยความจริงของความรู้ มันไม่ใช่อย่างนั้นที่เดียว

ความเป็นประชาธิปไตยตอนนี้เฟื่องฟูทั่วโลก เราจึงมั่นใจว่าประชาธิปไตยของประเทศไทยเป็นที่หนึ่งโดยเราไม่ใช่ว่าเรา อวดเบ่งใหญ่ แต่มันเป็นจริง นายกฯตู่ก็จริง โพธิรักษ์ก็จริง ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นตัวอย่างของประชาธิปไตยที่จริงที่สุดจนกระทั่ง สหประชาชาติยอมรับ มาในรูปของเศรษฐกิจพอเพียง โดยเอาส่วนเกี่ยวข้องเป็นอีกรูปหนึ่งคือเศรษฐกิจ แต่ก็คือประชาธิปไตย

เอาลักษณะของเศรษฐกิจมาเป็นตัวร่วม แล้วก็สังขารร่วมกัน ช่วยกันประพฤติ ช่วยกันให้เกิดประโยชน์เกื้อกูลกันไปเรื่อย

 

เพราะฉะนั้นอาตมามั่นใจอย่างความบริสุทธิ์ใจจริงใจว่าไม่ได้มีตัวตนไม่ได้มี เบ่งข่ม อวดดี ไม่ได้มีอัตตามานะ ไม่ได้อยากอวดโอ่ แต่ยังไม่ใช่จำเป็นหรือจำใจ แต่เต็มใจจำนน จะต้องทำเช่นนี้จะต้องพูดเช่นนี้จะต้องยืนยันเช่นนี้ มันจำนน มันเป็นสัจจะมันเลี่ยงไม่ออก มันต้องพูดอย่างนี้ยืนยันอย่างนี้ มันต้องเล่นอย่างนี้เพราะมันจริงๆ จึงต้องเน้นอย่างจัง พูดจริงๆเลย แสดงจริงๆเลยมันต้องอย่างนั้น มันจะต้องลงตัวอย่างนั้นมันไม่เป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่ มันเป็นความจริง

ขยายความต่อว่า ตัวตนนี้ ถ้าไม่มาเรียนสัจธรรมจนกระทั่งรู้ความเป็นตัวตนจริง ลักษณะตัวเราเอง เห็นแก่ตัวเห็นแก่พวก ลักษณะพวกนี้ ไม่มาเรียนรู้ความยึดมั่นถือมั่นใน กรอบของ ความรัก 10 มิติ มันยึดมั่น มันแคบ และก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมาก จนกระทั่งเราลดตัวตนลง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากขึ้นเพราะตัวตนเราลดลงๆ เหลือน้อยลง สัจจะมันเป็นเหรียญสองด้าน ถ้าตัวตนเราน้อยลงประโยชน์ผู้อื่นก็ยิ่งมีมาก ประโยชน์ผู้อื่นยิ่งมีมากตัวเราเองก็ยิ่งลดลงจนเหลือ 0 เลย

สูญเท่ากับล้านๆๆเท่ากับนับไม่ถ้วนเลยนะ อาตมาจึงพิสูจน์พีชคณิต

0 =  นับไม่ถ้วน Infinity

มันเป็นอย่างนั้นจริงๆถ้าเข้าใจแล้วเป็นจริงแล้ว มันเป็นเช่นนั้น

ความไม่มีตัวตนมันพูดเหมือนกลับกลอก เหมือนมีตัวตนเบ้อเร่อแต่ที่จริง 0

0 นั่นคือความไม่มี แต่มีนั้นคือมีมาก เพราะผู้ที่มี0นั่นแหละจึงทำให้ผู้อื่นได้มากตามแต่กำลังของเราจะให้ได้ ซึ่งอาตมาทำอย่างนั้นอยู่

เพราะฉะนั้นคนที่มีจริง มีความจริงใจมีคุณธรรมคุณวิเศษอย่างนั้น จิตเขามีจริง เขาทำอย่างบริสุทธิ์จริงใจ อาตมามีภูมิรู้ ตรงใจ ตรงกาย ตรงข้างนอก ตรงข้างใน ข้างนอกกับข้างในมันตรงกันเป็นสัจจะที่เป็นหนึ่งเดียว นอกกับใน มันมีตัวสมมติสัจจะภายนอก มันมี 2 กับภายในแต่เนื้อแท้มันมีหนึ่งเดียว มันตรงกันเป๊ะเลย มันเพื่อคนอื่นอย่างสะอาด มันไม่เพื่อตัวเองเลย ใช้พยัญชนะว่าตัวเรา มันไม่มีตัวเรา เพื่อผู้อื่น มันมีแต่ผู้อื่นเต็มๆ อย่างนี้

ภาษาก็ได้เท่านี้ ถ้าสัจจะมันเป็นสภาวะจะพูดอย่างไรสัจจะเราก็ไม่เปลี่ยนแปลง คุณพูดกลับไปกลับมาวนเวียนไปมา หมุนเร็วแต่สัจจะก็มีหนึ่งเดียว มันจะไม่งงไม่สับสนมันจะไม่วุ่นวาย มันนิ่ง มันแน่ มันเร็ว มันทัน อย่างนี้เป็นต้น

ขณะนี้พวกเรา ผู้ที่มีญาณหยั่งรู้ อาตมาก็มั่นใจว่าสิ่งนี้ อาตมา จริงใจด้วยไม่ได้เข้าข้างลำเอียงเข้าข้างใคร แม้แต่อาตมาจะทำให้ประเทศไทยเจริญขึ้นก็ไม่ได้ไปข่มประเทศอื่น แต่ขอทำประเทศไทยก่อนให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน แล้วจะทำเพื่อผู้อื่นเท่านั้นเอง ด้วยสัจจะของมันเอง

 

แถมอุปกิเลส 16 หากคนไม่มีความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณจะเข้าใจอุปกิเลส 16 นี้ไม่ได้

ตัวอภิชฌาวิสมโลภะนี้ท่านสรุปเป็นความโลภตัวเดียว เป็นอันเดียว เป็นความอยากได้แต่ จากตัวที่ 2 ไปจนถึง 16 เป็นสายพยาบาททั้งนั้นเลย เป็นสายเศร้าหมอง คือโศกะ

สายโลภะขอยกไว้ก่อน เอาสายพยาปาทะก่อน

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา) เพราะฉะนั้นในขณะนี้ขออภัยอย่างยิ่งต่อคุณทักษิณ คุณทักษิณปองร้ายต่อประเทศไทย คุณทักษิณเห็นแก่ตัวปองร้ายประเทศไทย ประเทศไทยจะฉิบหายวายป่วงอย่างไรเขาเองก็ปล้นไปเยอะแล้ว เขาไม่กลัวหรอก ว่าประเทศไทยจะตั้งอยู่ได้หรือไม่ได้ เขาอยู่ก็ปู้บี่ปู้ยำมากแล้ว เอาน้องสาวเอาคนอื่นมาช่วยปล้นอีก เอาสมัครเอาสมชายมาอีก ยังไม่พอเอาน้องสาวมาปล้นอีก ยังไม่พอทุกวันนี้จะเอาตระกูลมาอีก ตระกูลก็เลือกจนเลือดตาแทบกระเด็นแล้ว จะหมดเนื้อหมดตัวหมดโคตรแล้วก็ยังไม่รู้ตัวเองอีก ขุดโคตรตัวเองมาใช้จนจะสิ้นโคตรแล้ว

จะเห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่รู้เรื่องในเรื่องสัจธรรมเลย เขาไม่ยอมหยุด ถ้าหากทักษิณเขาหยุดเสีย อาตมาก็ว่า มันก็เลือดหรือว่าเชื้อที่ติดตัวบุคคลอยู่บ้างก็ไม่กระไร หากทักษิณหยุดเลยนายกฯตู่จะทำงานได้ดีขึ้น คล่องแคล่วขึ้น ทุกวันนี้คนเพ่งโทษนายกฯตู่ ถึงไม่เห็นตัวดีของนายกฯตู่ เพราะเพ่งแต่สายโทสะ ไม่หาสายคุณประโยชน์ ไม่มองทางคุณ มันก็เลยเห็นแต่ทางเดียว มองแต่แง่ร้าย หากมองสองแง่ ทั้งแง่ร้ายแง่ดี แล้วก็อย่าอคติ คำนวณให้แม่นๆ เก็บข้อมูลให้ครบแล้วจะเห็นจะเข้าใจ

อาตมาเอง ขอพูดนัยยะของตัวเองนิดหนึ่ง อาตมา เป็นนักประชาธิปไตยมาตั้งแต่รุ่นพระพุทธเจ้า ประชาธิปไตยไม่ได้ออกไปไหน ความไม่มีตัวตนคือประชาธิปไตยของพุทธ

พุทธนั้นไม่ใช่ว่าไม่มีตัวตนแล้วจะไม่ทำประโยชน์อะไรให้กับใคร ตัวเองก็อยู่กับตัวของตัวเอง คนอื่นเราก็ไม่รู้กับเขาด้วยไม่เป็นธรรมะ 2 พวกนี้ไม่เป็นธรรมะ 2 เป็นธรรมะ 0 อย่างเดียว

มาเป็นธรรมะ 0 อย่างเดียวคนนี้ก็เป็นคนที่มีตัวตนเต็มบ้องเลย มันไม่มีสองเลย แล้วคนมีตัวตนเต็มบ้อง ไม่มีทางจะได้นิพพานตัวต้นเลย โสดาบันก็ยังไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็พักไว้ก่อน คนๆนี้เป็นอเวไนยสัตว์ เขาจะสั่งสมวิบากก็ปล่อยเขา เพราะมันสุดวิสัยที่เราจะไปช่วยเขาได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าความเห็นของเธอก็อย่างหนึ่งความเห็นของเราก็อย่างหนึ่งต่างคนต่างอยู่กันนะอย่าทะเลาะกัน พูดให้ชัดก็คืออย่ากัดกัน คุณอาจจะกัดเราได้แต่เราไม่กัดคุณหรอก เพราะเราเลิกกัดใคร เราไม่ใช่สัตว์ที่จะไปกัดใครแล้ว เราทิ้งเขี้ยว เราเลิกเขี้ยวแล้วอย่างเก่งก็ได้แต่พูดเป็นหอก อาจจะทิ่มแทงหน่อย ขอยืนยันว่า พยายามจะใช้หอกที่เล็กที่สุดแล้วยิ่งกว่าเข็ม อาตมานี่ พยายามใช้หอกที่แหลมที่สุดเล็กที่สุด เข็มของพวกฝังเข็มนี่จะเล็กกว่าใครเพื่อนแต่เข็มของอาตมาเล็กกว่าอีก

เพราะฉะนั้นการเมืองทุกวันนี้กำลังจะมีรูปมีร่าง ของคนที่เห็นแก่ตัวน้อยหรือไม่เห็นแก่ตน เพราะไม่เอาตัวตนเป็นหลัก 2 มีอิสระเสรีภาพ อาตมาเห็นใจนายกฯตู่ที่ต้องใช้มาตรา 44 เพราะหากไม่ใช้พวกนี้มันหยาบ ต้องใช้โซ่เบอร์ใหญ่ โซ่เรือเดินมหาสมุทรจึงจะผูกพวกนี้อยู่ ไม่อย่างนั้นมันไม่กลัวไม่เกรง เพราะมันไม่ไหวหรอก มันได้แต่ทำร้าย จึงต้องใช้อาณา อาชญาบังคับไว้ก่อน เขาก็ต้องทำ พวกนี้ถึงเอาอันนี้มาพูด

แต่จริงๆแล้ว นายกฯตู่ใช้มาตรา 44 ได้ดีมากกว่ามาตรา 17 ของนายกฯสฤษดิ์มหาศาล

ม.17 ของ นายกฯสฤษดิ์จัดจ้าน เร็ว สั่งการไม่ฟังเสียง มันก็ได้ผลขนาดหนึ่งในยุคนั้น ในยุคนี้เอาอย่าง จอมพลสฤษดิ์เอามาใช้ไม่ได้ ผู้ที่จะเอาอย่างเป็นจอมพลถนอม จอมพลประภาส จะใช้อย่างจอมพลสฤษดิ์ก็ใช้ไม่ได้ผล คนไทยนั้นเจริญกว่า เพราะฉะนั้นจึงไปไม่ถึงฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นจอมพลประภาส จอมพลถนอม จนกระทั่งคนอื่นตามมาที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งมาถึงยุค อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ จนได้ฉายาว่ามะเขือเผา โอ้ มันตรงกันข้ามกับจอมพลสฤษดิ์ มันเป็นการเปรียบเทียบที่ดีให้ศึกษา มันก็ไม่ดีอ่อนแอเกินไปปวกเปียกเกินไปก็ไม่ดี แข็งเกินไปมากเกินไปเอาแต่ตัวเองเกินไปก็ไม่ดี จนกระทั่งมาถึงนายกฯชวน

คนชวนก็พยายามใช้ลักษณะผสมผสาน ก็ดูดีขึ้น งามขึ้นส่วนหนึ่ง ระหว่างคุณชวนมีตัวแทรกก็คือ อานันท์ ปัญญารชุน มาเป็นผู้ที่เปรียบเทียบได้ คุณชวนก็เป็น 2 สมัย คุณอานันท์ก็เป็น 2 สมัย มาถึงคุณบรรหาร ศิลปอาชา ก็เป็นพวกเราโลกีย์ทุนนิยมจัดจ้าน เมื่อเทียบคุณบรรหารกับคุณชวน เห็นได้ชัดเจนว่า คุณชวนยังไม่ทุนนิยมเหมือนคุณบรรหาร

มาอีกคนหนึ่งเข้าใจยากที่สุดคือคุณชวลิต คนนี้พวกไบโพล่า ขออภัยคุณชวลิตยังไม่สิ้นชีวิต คุณชวนก็ยังไม่สิ้นชีวิต จะไม่อธิบายคุณชวนไปมาก ขอพาดพิงไปนิดนึงว่าคุณอภิสิทธิ์ถอดแบบคุณชวนมาทำ คุณชวนล้าสมัยแล้วขอพูดคำนี้ก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นคุณชวนรู้ตัวว่า เขาจะเชิดหุ่นขึ้นมา คุณชวนรู้ตัวแล้วไม่เอาก็ดีแล้ว รู้ตัวถูกต้อง ดีแล้วล่ะ รักษาอันนั้นเอาไว้ดีแล้ว เป็นแบบเท่านั้นก็ดีกว่า ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นผลลบ คุณชวนรู้ตัว

แต่ผู้ที่จะไปอยากจะฟื้นก็คือคุณชวลิต อาตมาว่าไปอยู่ที่ชอบที่ชอบเถอะ ให้เป็นที่เคารพนับถือก็แล้วกัน คนที่นับถือก็นับถือไป คนที่ยังไม่เคารพก็บังคับกันไม่ได้ ขนาดนี้ก็ดีแล้วล่ะรักษาอันนี้ไว้ให้ดี  อย่าให้มันแย่กว่านี้เลย

อาตมาขออภัยที่พาดพิง ไปถึงคุณอภิสิทธิ์ อาตมานี่ ขออภัย มันมีคำว่า อภิอยู่หลายอภิ ที่เกี่ยวข้องกับอาตมาเป็นตัวตนบุคคล

มีอภิ ใกล้ตัวที่สุดก็คืออภิสิน สิน  นี้คือทรัพย์สิน

แล้วมี อภิชัย นี่ก็รู้สึกว่า มาทางความรู้มาทางเศรษฐกิจพอเพียงมาทางศาสนา มาบ้าง

แล้วก็มี อภิชาติ ซึ่ง ดร.อภิชาตินี้ไม่มีปัญหาเลยไม่ได้เล่นการเมืองที่เดียวแต่เป็นนักวิชาการนักทำงาน ทำงานกว้าง ไปถึงต่างประเทศตอนนี้ปลดเกษียณแล้ว อันนี้ก็ตัดไป คุณอภิชาติไม่มีปัญหา

ดร.อภิชัย ตอนแรก อาตมาเข้าใจไม่ได้ว่าอะไรหนอ ก็มารู้ว่าเข้ามาเสริมสาน ส่งให้อภิต่างๆขึ้นมาคืออภิสินจบโดย อาจารย์ดร.อภิชัย เป็นที่ปรึกษา ช่วยให้ อภิสิน เป็นด็อกเตอร์ มีพวกหนึ่งฟ้าด้วย ดร.อภิชัยก็เป็นคณบดี นี่ก็เกี่ยวโยง ขอพูดทั้งรูปและนาม

อาตมาก็ได้คนมาทำงาน มาถึงขณะนี้

คุณอภิสิทธิ์ ก็เป็นผู้ที่ยังมีบทบาททางสังคมประเทศชาติ อาตมาตอนนี้ก็เห็นว่าก็เป็นผู้ที่ประสบผลสำเร็จ อาตมาก็ว่า คุณอภิสิทธิ์ เราได้ไปประท้วงคุณอภิสิทธิ์ในยุคนั้น เป็นผู้บริหารเป็นประชาธิปัตย์ เราก็ไปประท้วง

ส่วนคุณสมัครนั้นก็ตายไปแล้วหายไปจากโลกแล้ว กายสเภทปรัมมรณาแล้ว

ก็เหลือแต่คุณสมชาย เป็นเดนที่คุณทักษิณพยายามจะยกตัวขึ้นมา กำลังชุบไข่ทอดกัน ให้คนไทยรับประทาน แต่อาตมาว่ามันไม่ใช่ไข่เยี่ยวม้าแล้วมันเป็นไข่เน่า อาตมาว่า มันจะเป็นพิษนะ กินเข้าไปไม่ดี คนกินท้องเฟ้อตายพอดี ก็อย่าชุบทอดขึ้นมาเลย แต่ก็พยายามหาตัวแทนคนอื่นอยู่เหมือนกัน ตอนนี้มันจะหมดโคตรแล้ว เขาจะขุดโคตรมาใช้ เขาไม่รู้เลย ใช้ภาษานี้ลึกและชัดจริงๆ ขุดโคตรตัวเองหากิน

หากเขาหยุดวิบากเขาจะลดลง จะช่วยให้คนไทยได้ทำประชาธิปไตยให้ดีขึ้นมากเลย แต่ถ้าเขาอยู่ คุณประยุทธ์ พลเอกประยุทธ์ก็จะดีขึ้น จะเจริญขึ้นจะมีองค์ประกอบ มันเป็นตัวกระดาษทราย มันจะขัดให้คุณประยุทธนี้ ละเอียดขึ้นเนียนขึ้นเรียบร้อยขึ้นผ่องใส

มันยังมีกัมมันตภาพรังสีของทักษิณ อยู่ในประเทศไทยยังมีอยู่ นอกประเทศก็ยังมีอยู่ตอนนี้ มันยังออกฤทธิ์อยู่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงคุณประยุทธ์ เพราะยังมีกัมมันตภาพรังสีพวกนี้อยู่ ทำเป็นไม่มีไม่ได้ จะต้องตั้งใจให้ดีสังวรระวัง พยายามพากเพียรให้ดีขึ้นไป

อาตมาเป็นคนเอาใจช่วยตลอดเวลา เพราะรู้ว่านายกฯ 29 คนนายกฯคนนี้ทำสมกับยุค ในยุคนี้มี 2 ประยุทธ์ เป็นจอมยุทธ ชัดเจนมาก ทำไปเถอะ

เพราะฉะนั้นในโครงการหรืออะไรที่ทำไปตอนนี้อย่าเพิ่งรีบร้อน คนเขาจะหาว่าเศรษฐกิจยังไม่ดี ปากโฮ่งๆ ช่างเขาเถอะ เขาว่าเศรษฐกิจไม่ดี มันเป็นเรื่องโม้เป็นเรื่อง fake news

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สามอาชีพกู้ชาติ) ตอน สามอาชีพกู้ชาติของชาวอโศก

เศรษฐกิจจะหมายถึงทรัพย์สินรายได้ที่เอามาสะพัดในประเทศเพื่อช่วยประชาชนก็ตาม อาตมาว่าไม่ได้อยู่ลักษณะติดขัด ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ยากลำบากอะไร อยู่ในลักษณะที่ใช้ได้ คล่องตัวพอสมควรใช้ได้ไม่มีปัญหา เพราะว่าอัตราการใช้หนี้ ที่ทักษิณกับน้องสาวและคณะ ทำขี้ไว้กองโต ก็ยังพอเป็นไป เพราะฉะนั้น ใน Cyclic Order  ที่เกิดตอนนี้ก็พอใช้ได้วงการหมุนเวียนพอใช้ได้อย่าประมาทเท่านั้นเอง

กำลังที่จะเสริมหนุนเรื่องกสิกรรมนี้ ดีมาก อันนี้เข้าเป้าเข้าจุดอาตมาว่า จุดเด่น ของประเทศไทยกสิกรรมจะนำประเทศ ถ้าเข้าใจมากกว่านั้น อาตมาได้พูดมาตั้งแต่ยังไม่ประสีประสาว่า สามอาชีพกู้ชาติ

1. กสิกรรมธรรมชาติ ตอนหลังเปลี่ยนเป็นกสิกรรมอินทรีย์ เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อันนี้อยู่ โดยใช้ธรรมชาติ โดยไม่ใช้สารเคมี สารเคมีคืออุตุนิยาม ธรรมชาติคือพีชนิยาม จิตนิยาม

ธรรมชาติมันเป็นชีวะ ส่วนเคมีเป็นอุตุนิยาม เป็นวัตถุไม่มีชีวะอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ารู้จักอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม จนถึงกรรมนิยาม ธรรมนิยาม อาตมาไม่ได้ขยายกรรมนิยาม ธรรมนิยามมาก ต้องสร้างแกนของ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ที่จะเป็นแกน Static เป็น falcrum ที่เป็นแกนหลักให้แก่แรงเกินที่จะต้องอาศัยแรงนี้ เช่น

อาร์คีมีดีส ใครสร้าง ลิ่มไว้นอกโลก ก็จะใช้คานงัดโลกไปได้ ด้วยคานดีดคานงัด อันนี้จริงที่สุด

2.ขยะวิทยา ตอนแรกเรียกขยะเอ๋ย มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ตอนนี้ต่างประเทศเอาขยะที่เป็นกัมมันตภาพรังสีมาทิ้งในประเทศไทย ตอนนั้นไม่รู้ตอนนี้รู้แล้วก็พยายามจัดการ แต่พวกเลือดเข้าตาก็สร้างพลังงานที่มีกัมมันตภาพรังสีต่อไปอีก

เรื่องพวกนี้ไม่ได้สำคัญกับชีวิตมากเท่ากับพวกชีวะ วัตถุอุตุนิยามไม่ช่วยมนุษย์เท่ากับชีวะ ชีวะคือพืชกับมนุษยชาติกับสัตว์โลก สัตว์โลกก็เป็นชีวะแต่เราช่วยมนุษย์ก่อน เรื่องสัตว์ก็ปัดเป่าไปตามวิบาก ใครจะไปสร้างวิบากกรรมสัตว์ก็แล้วแต่เขา แต่เราไม่มีเวลาไม่มีแรงงานพอจะไปทำหรอก

สรุปแล้วสร้างกสิกรรมธรรมชาติมาเป็นพระเอกใน สามเส้าของสามอาชีพกู้ชาติ

 

3. ปุ๋ยสะอาด ขยะนี้ก็เป็นขยะเปียกขยะแห้ง แม้ขยะแห้งก็มาทำปุ๋ยได้แต่ขยะเปียกมาทำปุ๋ยได้เร็วกว่า มันก็มีชีวะอยู่ในปุ๋ยตากแห้งมันมีเชื้อรา ถ้าหมดเชื้อราหมดชีวะมันเป็นปุ๋ยไม่ได้ มันเป็นเคมีเป็นวัตถุเป็นอุตุนิยามมันใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น กึ่งๆ จะหมดเชื้อรา ที่เป็นพีชะระดับต้นๆ

 

เราอยู่ในประเทศโซนร้อนไม่ถึงกับร้อนมากทำพืชพรรณธัญญาหารได้ดีมากที่สุดแล้ว เป็นสถานที่เป็นเสนาสนะสัปปายะที่ใครมาแย่งก็เอาตายเลยนะ ขออาศัยพื้นที่เหล่านี้แหละทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น เพื่อสร้างอาหาร กวฬิงการาหาร ไปเลี้ยงโลกเป็นประโยชน์ต่อโลกโดยวิธีของพระพุทธเจ้าสร้างให้เยอะ ขายให้ถูกหรือแจกฟรีไล่แจกเลย เพราะถ้าไม่แจกมันจะเน่า ต้องสร้างให้มันเหลือมันจะเน่าก็แจก แจกไม่ทันมันจะเน่า ขายราคาถูกจนกระทั่งไม่ซื้อก็แจกเลย แล้วก็ทำขึ้นมาใหม่อีก จนทำไม่ทัน หากว่าทำทันทำได้ตลอดเวลา เรามีความรู้พยายามใช้วิชาการ ทางด้านพืชพรรณธัญญาหาร จนเราทำได้สวย ใครจะมาเรียนก็เชิญ เป็นกสิกรรมอินทรีย์ ที่อาศัยปุ๋ย

ปุ๋ย มันต้องเป็นชีวะ ขาดเชื้อชีวะจะเป็นปุ๋ยไม่ได้จุลินทรีย์ไปถึงเชื้อรา มันก็มีอีกไม่รู้กี่พวก พวกที่ดินชีววิทยาก็ ซ้อนอยู่ เราส่งเสริมชีววิทยากสิกร ทางโภชนาการกับทางสุขภาพก็อยู่ช่วยกัน

ส่วนที่คนไม่ค่อยชอบกันคือการทำปุ๋ยกับการทำขยะ เพราะมันสกปรก แต่อย่าไปดูถูกไม่เชื่อก็ไปคุยกับคุณสมไทย ที่เป็นเศรษฐีทางขยะ เป็นคนไทยนำไปแล้ว มีเครือแหอยู่ที่ต่างประเทศเป็นร้อยๆเลยแห แล้วแกเห็นทุกอย่างที่ทิ้งเป็นขยะก็เป็นเงินทั้งนั้น ขยายผลทางขยะกับปุ๋ย เรื่องกสิกรรมคนเข้าใจแล้วพยายามเชื่อมต่อแล้ว แต่คนยังทำปุ๋ยยังไม่พอ แม้แต่ชาวอโศกเราก็ยังไม่เก่ง ยังไม่พอต้องเพิ่ม กสิกรรมเราก็พอจะทำได้แต่ขาดเรื่องของปุ๋ย

ปุ๋ยกับขยะ อาตมาจะย้ายโรงขยะที่นี่ไปที่โน่น คิดว่าจะต้องได้ที่โน่นแหละ ไม่ต้องถามรายละเอียดมันมีที่แล้ว จะได้บูรณะทางนี้

ตอนนี้ก็มีสมณะหินจริงเป็นตัวหลักธรรมขยะ ใครจะเข้าเป็นสมาชิกของคณะขยะวิทยาของที่นี่ ของที่สันติอโศกก็ได้ดีพอสมควร ที่นั่นก็มี นัยยะ สำคัญที่ต่างกันพอสมควร

สรุปแล้วก็ ขยะที่จะเป็นตัวประโยชน์ จะเป็นตัวที่จะสร้างประโยชน์ ประโยชน์ทั้งที่เราจะต้องรีบนำมา ขยะนี้มีอยู่ 4 จุดง่ายๆ 1. Reuse 2. Repair 3. Recycle 4. Reject

Reuse คือนำมาใช้ได้อีก มันยังไม่เก่าเลยมันอาจจะชำรุดบ้าง เราก็รีแพร์ทำการซ่อม ทำการซ่อมแซมปะชุน ตกแต่งแก้ไขให้ใช้ได้

Recycle วนเวียนมาเปลี่ยนรูป ให้มาใช้ได้

อันสุดท้าย Reject หาที่ทิ้งไปเลยจะเหลือน้อยมาก สิ่งที่ถูก Reject จะเหลือน้อยมากเพราะมันมีกระบวนการอีก 3 อย่างทำไปแล้ว นี่คือขยะ

โรงงานขยะเราทุกวันนี้เราจะจัดการโรงงานขยะ ก็อาศัยโรงขยะมาพอสมควร แล้วก็ดีขึ้นเรื่อยๆเราก็มีความรู้แล้วก็มีคนเข้าใจที่จะไปร่วมเป็นสมาชิก เป็นพนักงานเป็นเจ้าหน้าที่เข้าไปทำงานพวกนี้ด้วย ก็เชิญสมัคร เชิญมาทำ ของที่นี่ คนต้องใจถึงต้องคัดคนชั้นหนึ่งขึ้นมาทำจริง เป็นข้าราษฏรการ ของที่นี่ เงินเดือน 0 แล้วก็ถูกตำรวจเยอะ ปากหอกเยอะ ที่นี่จะมีสัลเลขธรรม เยอะ  คุณจะได้รับการขัดเกลาให้เจริญจริงๆที่นี่ จะมีครูกระดาษทรายเยอะ ครูกระดาษทรายเบอร์ร้อย หยาบมากประมาณท้องบุ้ง ยังไม่ถึงตะไบนะ มันจะเป็นไปตามธรรม

เพราะฉะนั้นเราเร่งการวิวัฒน์พัฒนากสิกรรมของไทย รู้จักการคมนาคมรู้จักการแพ็คกิ้งให้ดี ที่จะส่งไปได้ ทำการสื่อสารการขนส่ง มันได้ทำกาล

เพราะฉะนั้นเร่งรัดกสิกรรมไร้สารพิษ ขึ้นอยู่กับบุคคลต้องพยายามให้บุคคลมีสมรรถนะมีความรู้

เศรษฐกิจที่วิเศษสุดที่ประเสริฐสุด จากการเมืองมาหาเศรษฐกิจมันเป็นของคู่กัน การเมืองไม่มีเศรษฐกิจไม่ได้หรอก เศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด

อาตมาก็พูดถึง จากจุดที่สูงสุดก่อน

เศรษฐกิจสาธารณโภคีคือมาเป็นคนจน จนมาเป็น 0 ทำให้พ้นมิจฉาอาชีวะ 5 รายได้ 0 อยู่กับส่วนกลางพึ่งพาส่วนกลาง เป็นเศรษฐกิจที่ยอดที่สุด แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ที่จบด็อกเตอร์โพสต์ด็อกเตอร์ ทำงานเศรษฐกิจมากขนาดไหนก็ตาม ขอยืนยันว่าท่านยังยากที่จะเข้าใจ ถึงเข้าใจก็ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ มาทำเศรษฐกิจในระดับสูงนี้ แต่ถ้าเข้าใจก็จะร่วมมือกัน

อาตมาความรู้ทางเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจของพระพุทธเจ้า ของในหลวงรัชกาลที่ 9 อาตมาทำได้ชัดมากขึ้นๆ ถ้าเราจริงใจ ใจเราไม่มีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง จิตเรามาหา 0 แล้วเป็น 0 ได้อยางแท้จริง ตกผลึกเป็นสมาธิแข็งแรง เป็นตัวตั้งตัวบวกที่แข็งแรงอย่างที่เราจะมีแรงเหวี่ยง มีตัวพลังงานเคลื่อนไหวที่จะเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นวิเศษขึ้น เพื่อที่จะสร้างสรร เป็นพลังงานนิวเคลียส ตัวสำคัญ พลังงานที่สูง พลังงานชั้นสูง

แล้วก็จะสร้างกสิกรรมผลิต พอจัดการกับขยะและปุ๋ยเสริมหนุนกันไป เราก่อหวอดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้ของเรา อาตมาว่ากสิกรรม ปุ๋ย และขยะ อะไรเด่นกว่าเพื่อน

กสิกรรมเด่นกว่าเพื่อน แต่ก็ต้องขยายผลทำให้ดียิ่งกว่านี้ขี้นเรื่อยๆ มีอัตราสูงกว่าเพื่อน เป็นประธาน ขยะกับปุ๋ย ก็มาตาม ยังชี้ชัดว่าปุ๋ยกับขยะอันไหนจะพุ่ง

ตอนนี้ปุ๋ยกำลังจะเป็นรูปร่างเพราะว่าคนเห็นได้ง่ายกว่าขยะ ขยะทำให้เป็นสินทรัพย์มันยากกว่าทำปุ๋ยเป็นสินทรัพย์ เพราะว่าคนเอาไปใช้งานง่ายและอยู่ใกล้กับกสิกรรม

ส่วนขยะต้องมาแปรรูป ต้องมาคัดเฟ้น อะไรอีกตั้งเยอะอย่างเก่งก็ไปหาปุ๋ย แล้วก็ถึงจะไปถึงพืช ส่วนปุ๋ยถึงพืชก่อนขยะ แต่ขยะส่วนแปรไปทางโลกก็มีนัยยะอีกเยอะหรือขยะทำเงินได้มากกว่าปุ๋ยได้ เพราะว่าขยะนั้น ทำให้ได้จำนวนมากขึ้น ไม่เป็นไรก็ไม่มีผลกระทบไม่มีพิษภัยแฝง ขยะทำให้เป็นเงินไปได้เรื่อยๆไม่มีเภทภัยแฝง ส่วนปุ๋ยนั้น ทำให้เป็นเงินมากไม่ได้จะเป็นพิษภัยแฝง มีภัยทางจิตวิญญาณด้วย

เพราะกสิกรนี้เป็นคนจน กสิกรเป็นผู้ใช้แรงงานมาก เพราะฉะนั้นปุ๋ยจึงต้องคำนึงถึงมาก ปุ๋ยถึงจะขายแพงเกินไปไม่ได้ แต่ขยะนี้ทำให้ขายแพงได้ เพราะว่าขยะที่เราทำจะไม่ได้สร้างขยะที่เป็นพิษด้วย ไม่ใช่เราทำขยะไม่รับผิดชอบ ขยะพิษต้องหาทางขจัดให้อย่าไปกระทบต่อคนนี่สำคัญ ผู้ที่ทำงานขยะจึงระมัดระวังอย่าให้ก่อเป็นพิษภัยเป็นโทษ แต่จะแปรเป็นเงินอีกเท่าไหร่ก็เชิญ ไม่เป็นไร เขาเต็มใจซื้อ อย่างสันติอโศก วันพุธกับวันเสาร์เขาก็จะนัดส่วนวันธรรมดาเขาขายอยู่ทุกวัน แต่วันพุธวันเสาร์เป็นวันที่คนขายปลีกมาซื้อวันเสาร์วันเหมามาซื้อ ก็เจริญขึ้นๆ จนขาดคนไปช่วย หากมีคนไปช่วย วัตถุก็จะได้มาก เพราะว่าทางกรุงเทพฯเศษขยะเศษวัสดุมันมากกว่าต่างจังหวัด ต่างจังหวัดส่วนมากเป็นพวกเศษวัสดุพืชพรรณธัญญาหาร ส่วนที่กรุงเทพฯนั้นแม้แต่อุตสาหกรรมก็ไปอยู่ทางกรุงเทพเสียเยอะ หรืออยู่รอบรอบกรุงเทพฯ ออกมาจากแกนกลางของประเทศก็จะเป็นกสิกรรม เพราะฉะนั้นกสิกรรมเป็นมวลใหญ่ของประเทศจึงไม่มีปัญหาอะไรมาก ทำไปตามลำดับๆ เร่งรัดพัฒนาไปตามลำดับ

ส่วนทางด้านวัตถุประเทศไทยแม้จะไม่เก่งอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เรามีสิ่งที่ทำได้ดีคือกสิกรรมเราก็ทำอันนี้ เพราะฉะนั้นเปอร์เซ็นต์ของกสิกรรมจึงสูงกว่าเปอร์เซ็นต์ของอุตสาหกรรม ในหลวงของเราได้ตรัสไว้ว่าเราไม่เอาก้าวหน้าอย่างที่เขาก้าวหน้า ท่านจะตรัสอะไรให้ชัดให้มากก็ไม่ได้ ท่านว่าเอาอย่างพวกเรานี่แหละ

เพราะฉะนั้นเรามารู้จักจุดสำคัญที่อาตมาได้สรุปมาเรื่อย

ขยะหรือปุ๋ยพวกเราก็จะเห็นความสำคัญขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างน้อยก็คงจะเข้าใจด้วยขยะได้เพิ่มขึ้น ปุ๋ยก็ไม่ยากนัก หากปุ๋ยเราทำได้ดีมากขึ้น ราคาถูกลง กสิกรของเราก็จะเจริญขึ้น

สมณะฟ้าไท...สรุป


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:04:37 )

610916

รายละเอียด

 610916 ความมีอันนิรันดรกับความไม่มีอันนิรันดร

พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯยามเช้า

 

สมณะดินไท : วันนี้ก็มีวิถีอาริยธรรม นี่ขนาดยังไม่ถึงงานมหาปวารณาก็เริ่มทยอยมากันแล้ว

 

สมณะแสนดิน : เดี๋ยวมาอีกรอบนึง

 

พ่อครู : ดี มันควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่มันมาปุ๊บ ๆ หายไปปั๊บ ปึ่บๆหายไปปั๊บ นั่นมันตัวจบแล้ว  มันต้องมีตัวเริ่มต้น ตัวท่ามกลาง บ้าง

 

สมณะดินไท : เป็นความไม่เสื่อม ความไม่เสื่อมของชาวพุทธ มาวัด มาแล้วฟังธรรม

 

พ่อครู : มาวัด  ฟังธรรม

 

สมณะดินไท : ให้เพิ่มอธิศีล 

 

พ่อครู : และมีศีล เพิ่มอธิศีล ความเสื่อมก็เพ่งโทษ

 

สมณะดินไท : ครับ  ไม่เพ่งโทษ แล้วก็ฟังได้หมดทั้งพระผู้เก่า ผู้ใหม่ ผู้ปานกลาง พูดเทศน์แล้ว และสงสัยที่ว่าแสวงบุญนอกเขตพูทธ และทำสักการะก่อน

 

พ่อครู : แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ เป็นตัวสุดท้าย เป็นตัวที่ 7

 

สมณะดินไท : คือพอได้ฟังธรรม ได้เพิ่มอธิศีล เราก็เจริญขึ้น ดีขึ้น  เกิดปัญญา พ้นอวิชามากขึ้น  มันก็จะมั่นใจ ไม่ไปทิศทางอื่น

 

สมณะแสนดิน : อู๊ดดี้เขาบอกว่า คำว่าภวตัณหา รูปภพ รูปราคะ เป็นคำเรียกการสร้างมโนมยอัตตา ภวตัณหาเป็นชื่อที่เรียกอาการความอยาก ที่อยากจะล้างกิเลสภายในด้วยใช่ไหมครับ

 

พ่อครู : อึ่ม

 

สมณะแสนดิน : ภวตัญหานะครับ เรื่องที่ผมปั้นเป็นผัสสะปัจจุบันด้วย หมายถึงปั้นในจิต เมื่อเจอรูปตามความเป็นจริง แต่รูปปั้นไม่ได้เป็นไปตามที่เราปั้น เมื่อก่อนปั้นไปเสพย์ก็มีอารมณ์สุข เหตุเกิดจากความโลภเพ่งเล็งอยากได้สนใจตน เมื่อรู้ความจริงตามความเป็นจริงของสิ่งปั้นนั้น เมื่อสัญญาฟุ้งขึ้นมาอีกเราก็จับอารมณ์ได้ว่าผมเกิดทุกข์ เพราะไม่เป็นความจริง และไม่อยากจะเสพย์อีกแล้ว จึงเกิดแรงผลัก  แต่วันนี้ผมมีอารมณ์สุข และนิ่งเฉยได้แม้นอยู่กับรูปปัจจุบันนั้นแม้นมันจะพุ่งขึ้นมาอีก เพราะเราได้ทำการลดละเลิกจางคลาย ทำใจในใจรู้เห็นความจริงตามความเป็นจริง นี่เขากำลังสู้กับมโนมยอัตตา

 

พ่อครู : ก็ใช่ กำลังกลับไปกลับมา ออกจากภาวะภพมาเป็นกามภพ ก็มาอยู่กับกามภพ สุดท้ายกามภพก็เป็นปัจจุบัน จริงที่สุดความจริงที่สุดกามภพก็เป็นปัจจุบัน ทำกามภพให้เป็นปัจจุบันให้ได้  ไล่เบื้องต้นข้างนอกแล้วก็ไปข้างใน แล้วก็ไปสุดท้าย  สุดท้ายจบอย่างแข็งแรงถาวร หมดอรูปภพ จบอย่างแข็งแรงถาวร ออกมากามภพรูป รูปภพ อรูปภพ ก็ไม่มีอะไรแล้ว ทุกอย่างสูญหมด มันก็ถาวร ไปกลับไปกลับมาอยู่ข้างนอกก็ไปข้างในแล้วก็ไปข้างนอก ข้างในสุกข้างนอกไม่สุข หรือข้างนอกสุขข้างในไม่สุข วนไปวนมามันก็เป็นโลกีย์

 

สมณะแสนดิน : เมื่อก่อนเขาพยายามจัดการแต่ข้างใน มันก็ทุกข์มันก็พยายามผลักออก มันก็ไม่ออกมันก็มาอีก แต่ตอนนี้เขามาอยู่กับรูปปัจจุบันดีกว่า แล้วก็ต่อสู้กับรูปปัจจุบัน

 

พ่อครู : ดีแล้วล่ะ จะได้ออกจากภพ ตอนนี้เขาจะได้เปลี่ยนแล้วไง คนที่ภูผาฟ้าน้ำ เขาเปลี่ยนคนแล้ว อยู่ตั้งนานแล้วนะอู๊ดดี้เนี่ย อยู่ตรงนั้นดูแล

 

สมณะแสนดิน : อาจจะชอบปีรมิตก็ได้ เพราะตรงนั้นเป็นจุดสูงสุด

 

พ่อครู : ก็ปล่อยให้ทิวพาไปตอนนี้ เหลือทิวผากับอัญชลี

 

สมณะเดินดิน : เมื่อคืนคุณปรีชาบอกว่าผมสว่างโล่งแล้ว

 

พ่อครู : สว่างแล้วเหรอ

 

สมณะเดินดิน : สว่างแล้วครับ หลุดออกเลย

 

พ่อครู : มันบังคับใครไม่ได้ ช่วยยากกระทั่งตนเอง ปัจจัตตัง ถ้าหากของตนเองไม่เกิด ก็ไม่เกิด ต้องปัจจัตตังจริงๆ

 

สมณะหนักแน่น : ก็เหมือนนาฬิกาครับ ไม่มีใครตั้งให้มันก็เดินไปเรื่อยๆ กูถูก กูถูก กูรู้ เหมือนนาฬิกาทุกเรือนละครับ

 

พ่อครู : นาฬิกาทุกเรือนมันถูกของมันทุกเรื่อง นาฬิกาก็เหมือนวัฏสงสาร ถ้าเครื่องไม่ดับกลางทาง เครื่องมันไม่เสียไม่รวน อยู่ตลอดเวลาเหมือนกันนะ เหมือนวัฏสงสารนาฬิกา มันจะมีค่าของความต่าง น้อยมากก็แล้วแต่เรือน แต่ละเรือนแต่ละเรือน  นาฬิกาเรือนใดที่ค่าของมัน ตรงกันกับความเร็วของวัฏสงสาร ความเสี่อมและความเกิดของวัฏสงสาร เพราะแม้แต่ในจักรวาล ความเกิดของ Nebula ความเกิดของดวงดาว ความเกิดของจักรวาลน้อย จักรวาลใหญ่  มันก็มีค่าของมันทุกจักรวาล มีความต่างของมันแล้วมันก็มีค่าของความต่างที่มันก็ต้องจัดการกันเอง มันต้องมีค่าของความดัน ของความดูด มันต้องได้สัดส่วนมันถึงจะอยู่กันได้ ถ้าไม่ได้สัดส่วนมันก็ชน ชนกันมันก็เปะปะไป ตัวไหนที่ไม่ลงตัว เข้าวงโคจรอะไรไม่ได้ มันก็เหมือนอุกาบาต ก็ดิ้นไปดิ้นมามันเป็นอะไรไม่ได้ มันต้องเป็นตัววงโคจรที่จะมีอำนาจของแต่ละอำนาจ และมีวงโคจรของแต่ละอัน เล็กจนกระทั่งซ้อนใหญ่สุด ทุกคนก็ต้องมี cyclic order ของตัวเองกัน ถ้าไม่มีcyclic order  ตัวเองก็เป็นอุกาบาตอยู่ทั้งนั้น

 

เพราะสุดท้ายอุกาบาตก็ต้องไปเป็นอณูของจักรวาลใดจักรวาลหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วจะทิ้งไม่มีอุกาบาตก็ไม่ได้  ก็ต้องเกิดอุกาบาตกระเด็นออกมา แตกออกไป ต้องมี Nebula แตกตัว Big Bang อะไรอย่างนี้  อยู่ตลอดกาลนาน เราเข้าใจแล้วในความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเท่านั้นเอง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แล้วไอ้ตัวที่จะดับ ก็คือเสื่อม ตัวจะไม่ดับก็คือเกิด เกิดจนกระทั่งสุดที่มันก็ต้องลดลงหรือเสื่อม  ผู้รู้ก็กำหนดเอง อาเราพอแล้วนะตัวนี้เราก็ลดลงหายไป ผู้ไม่รู้ก็จนระเบิด แตกละก็กระเด็นกระดอน แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผู้รู้ก็กำหนดเอง จะเกิดเมื่อนั้น จะตายเมื่อนี้ จะเกิดเมื่อนั้น จะตายเมื่อนี้ ตายเลิกแล้ว 0 ได้เอง

 

สมณะแสนดิน : สายพวกเทวนิยม เขาก็คิดว่า มันจะต้องนิจจัง

 

พ่อครู : ใช่

 

สมณะแสนดิน : กุศลต้องนิจจัง นิจจัง เสื่อมไม่ได้ แต่ว่ามันต้องเสื่อมใช่ไหมครับ

 

พ่อครู : ใช่

 

อุทัย ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:06:55 )

610916

รายละเอียด

610916_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ต้องทำสติปัฏฐาน 4 ก่อนอานาปานสติ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1KKnrJQpi7G430OGeBXEcRXhF6d31fg4Am0b-w8CSZjM/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1XuKi1EDYRU6GWnXtjmJVDOHqF17Wh34I

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก รายการนี้ เป็นรายการโลกุตระ ที่หาฟังจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

 

พ่อครูว่า..ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมยินดีกับ Camera Women มีช่างกล้องหญิง เรียก ยายกล้อง ไม่ใช่ตากล้อง ได้ยายกล้องเริ่มต้นขึ้นมา ก็รู้สึกจะเป็นมิติใหม่ ฤกษ์ใหม่ของชาวอโศก ผู้ชายก็ไม่ค่อยจะมาทำ เราเห็นว่าเป็นการทำงานที่เป็นสาระวิเศษสุดยอด ผู้ที่มีภูมิปัญญาก็จะมาทำแน่นอน เพราะชีวิตของคนไม่มีอะไร สุดท้ายเข้าไปหาสูงสุดเป็นอรหันต์ เป็นความสุดยอด ถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ก็ อรหก อรเหินไป บ้าๆบอๆ ไปเหนือล่องใต้ ลงนรกขึ้นสวรรค์ วนเวียนไม่รู้แล้วไม่รู้กี่ชาติเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่รู้ตัวยังไม่รู้สึกยังไม่เบื่อ ก็เป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติ คนที่เบื่อแล้วรู้แล้วก็มา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน อินทริยภาวนาสูตร

คนที่มาติดยึดนั่งหลับตา ประเภทเจโตกับปัญญาสองทิศ ก็น่าเห็นใจ

พวก เจโต จะเอาแต่นั่งแต่หลับได้หยุด เหมือนก้อนดินก้อนหินต่างๆนานา อาตมาก็ต้องปลุกอย่างนี้ตลอดเวลา ยุคไหนก็ปลุก เพราะว่าสายหยุด ไม่ใช่หยุดยามสายนะ แต่สายพวกหยุดนิ่งหยุดกับที่ แล้วจะไม่ทำงาน เสียประโยชน์เสียคุณค่าความก้าวหน้าของตัวเองก็ไม่มี มีแต่จมๆๆ จมดักดาน ก็ยิ่งแย่ ตัวเองหนักหนาสาหัสเสียเวลา ดีไม่ดีก็จมอย่าง อาฬารดาบส อุทกดาบส ติดหนักเป็นกัปป์ พระพุทธเจ้าจึงอุทานว่าฉิบหายแล้วหนอ ก็ปลุกกันอย่างนี้แหละ พวกนั่งไม่หยุดง่ายหรอก มันติด มันสบายแบบไม่เข้าท่าไม่เจริญ​กินๆนอนๆไป ทำอะไรนิดๆหน่อยๆ คนที่จริงแล้วทำได้มากกว่านั้น อาตมาเวลายังไม่พอใช้เลย เวลาเดี๋ยวหมดๆ เวลาไม่พอใช้ทำงานไม่ทัน

อาตมาเปิดพระไตรปิฎกเล่ม 14 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ โบราณอาจารย์ก็เรียบเรียงไว้ตั้งแต่ สูตรแรก เทวทหสูตร จนถึงสูตรสุดท้าย อินทริยภาวนาสูตร

เทวทหสูตร มีเขียนไว้ว่า ตั้งตนบนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง ผู้ตั้งตนบนความสบายอกุศลธรรมเจริญยิ่ง

“เมื่อเราอยู่ตามสบาย (ยถาสุขัง โข เม วิหรโต) อกุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง กุศลธรรมย่อมเสื่อม แต่เมื่อเราเริ่มตั้งตนเพื่อความลำบาก (ทุกขายะ ปนะ เม อัตตานัง ปทหโต) อกุศลธรรมย่อมเสื่อมลง กุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง”

(เทวทหสูตรจากพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 15)

สรุปว่าอยู่เฉยๆเอาแต่ขี้เกียจ ลอยไปลอยมา อกุศลธรรมเจริญยิ่ง กุศลธรรมเสื่อม ผู้ที่ขวนขวายอุตสาหะ พากเพียรวิริยะ ขยันหมั่นเพียร อย่างนั้นกุศลธรรมเจริญยิ่ง อกุศลธรรมเสื่อม ในเทวทหสูตรชัดเจน มีนัยต่างๆไล่เรียงไป

ทีนี้สูตรจบ

10.  อินทริยภาวนาสูตร  (152)

[853]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่  ในนิคมชื่อกัชชังคลา  ครั้งนั้นแล

อุตตรมาณพ  ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่  ประทับ  แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค  ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้  ระลึกถึงกันไปแล้ว  จึงนั่ง  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ฯ

[854]  พอนั่งเรียบร้อยแล้ว  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า  ดูกร  อุตตระ  ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า  ฯ

อุ.  แสดง  พระโคดมผู้เจริญ  ฯ

พ.  ดูกรอุตตระ  แสดงอย่างใด  ด้วยประการใด  ฯ

อุ.  ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  ในเรื่องนี้  ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ  เจริญอินทรีย์ แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า  อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ  อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต  ฯ

พ.  ดูกรอุตตระ  เมื่อเป็นเช่นนี้  คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์

ต้องเป็นคนตาบอด  ต้องเป็นคนหูหนวก  เพราะคนตาบอด  ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ  คนหูหนวก

ไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต  เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้  อุตตรมาณพ  ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์นั่งนิ่ง  เก้อเขิน  คอตกก้มหน้า  ซบเซา  หมดปฏิภาณ  ฯ

พ่อครูว่า..พวกเทวนิยม ทำให้เวทนาเป็น 1 เป็น 0 ไม่ได้ แต่ของอเทวนิยมของพุทธนี้ ทำให้เกิดให้ตายได้ ทำให้เป็น 0 เป็น 1 ก็ได้  จะทำให้เกิดนิรันดรหรือตายนิรันดรก็ได้ พระพุทธเจ้าทำได้ แล้วท่านก็ทำแล้ว หรือว่าคุณสมัครใจจะอยู่นิรันดรก็อยู่อย่างดีด้วยนะ อยู่อย่างไม่เป็นโทษภัย ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นโทษ สูงสุดก็คือพระพุทธเจ้า คุณจะเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านก็สร้างศาสนา 1 ศาสนา สมัยเดียว ท่านก็เหน็ดเหนื่อยหนักหนา สอน เป็นพระโพธิสัตว์ก็สอนมาจนเหนื่อยแล้ว ท่านก็ทำอยู่อย่างนี้แหละกับมนุษย์โลก จะไปสงสัยอะไร

สุดท้ายเอาล่ะพอที เราไปก็สลายสูญ อัตภาพก็หมดไป ไม่เหลืออะไรที่จะมาเกาะกุม กำเนิดอีก มันก็ชัดเจนอย่างนี้ คุณยังไม่ถึงก็อยากจะเป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัย 3 สมัยก็เอาสิ ถ้าคุณคิดว่าเป็นพุทธเจ้านี่ไม่ฉลาดเท่าไหร่เลย เป็นพระพุทธเจ้าแท้ๆอยู่ได้หลายสมัยคนก็กราบทุกชาติ เป็นพุทธเจ้าสุดยอดแล้วเรื่องอะไรจะรีบตายเสียดายของ เห็นไหมมันมี อัตตามานะซ้อน ก็คุณพูดอย่างคุณก็มีอัตตาแน่นอน แต่ท่านไม่มีอัตตาอะไรก็จบได้สูญได้

จะเป็นอะไรก็ศาสนาพุทธสอนให้เป็นพุทธเจ้าได้ที่สุดยอดแล้ว แล้วสุดยอดก็มีหนึ่งเท่านั้น เป็นหนึ่งเสร็จสุดยอดแล้วก็ศูนย์เท่านั้นเอง สลายไป ถ้าคุณยังไม่สุดยอดจริง ก็แน่นอนคุณต้องคิดว่ามันต้องมีต่อ แต่ถ้าคนสุดยอดจริงๆแล้วต่อจากนั้นก็สูญไปเลย ถ้าคุณสุดยอดแล้วก็ยังไม่สูญ จะถอยลงมา 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0 แล้วก็ยังมา 10 9 8 7 6 5 4 3 2 ก็ไม่รู้จักจบ มันยอดแล้วก็มาหาต้นอีก สุดหัวแล้วมาหาตีนใหม่ มันไม่แน่มันไม่จริง

ท่านบอกว่าให้มาเรียนรู้ 3 ชอบ ไม่ชอบ ทั้งไม่ชอบหรือชอบ และเรียนรู้ความดับ ถ้ามันยังมีอยู่คือ สังขตะ คือ Static หรือ สังขาร คือ Dynamic

เมื่อเรียนรู้ก็เรียนรู้ขณะสังขาร เคลื่อนที่ สังขตะ มันไม่เคลื่อนที่จะไปเรียนรู้อะไรได้ ต้องอาศัยการเกิดจึงมีการเคลื่อน มีตัวตนมีเรื่องราวอะไรออกไปยืดยาด ก็เรียนรู้แต่หยาบ ละเอียดสุดท้าย ละเอียดที่สุดมันก็จะละเอียดถึงขั้นอุเบกขาเป็นอันสุดท้าย เรียกว่าเป็นฐานนิพพาน เพราะฉะนั้นเมื่อถึงอุเบกขาก็คือดับความชอบความไม่ชอบ ทั้งความชอบหรือความไม่ชอบทั้ง 3 อันเกิดขึ้นนั้นแล้วเสีย อุเบกขาจึงดำรงมั่น

 

[855]  ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า  อุตตรมาณพศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นิ่ง  คอตก  ก้มหน้า  ซบเซา  หมดปฏิภาณ  จึงรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า  ดูกรอานนท์ ปาราสิริยพราหมณ์  ย่อมแสดงการเจริญอินทรีย์  แก่สาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง  ส่วนการเจริญอินทรีย์ อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่ง  ฯ

ท่านพระอานนท์ทูลว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต  เป็นการสมควรแล้ว  ที่พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงการเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่า  ในวินัยของพระอริยะ  ภิกษุทั้งหลายฟังต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว  จักทรงจำไว้  ฯ

พ.  ดูกรอานนท์  ถ้าเช่นนั้น  เธอจงฟัง  จงใส่ใจให้ดี  เราจักกล่าวต่อไป  ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า  ชอบแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ

[856]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  ก็การเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  เป็นอย่างไร  ดูกรอานนท์  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  เกิดความชอบใจความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น  เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ   เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้  ก็สิ่งนั้นแล  เป็นสังขตะ  หยาบอาศัยกันเกิดขึ้น  ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคือ อุเบกขา  เธอจึงดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย  อุเบกขาจึงดำรงมั่น  ดูกรอานนท์  ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที  โดยไม่ลำบากเหมือนอย่างบุรุษมีตาดีกระพริบตา  ฉะนั้น  อุเบกขาย่อมดำรงมั่น  ดูกรอานนท์  นี้เราเรียกว่า  การเจริญอินทรีย์ในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ  อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ฯ

[857]  ดูกรอานนท์  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น  เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต  เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า  เราเกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  ขึ้นแล้วเช่นนี้  ก็สิ่งนั้นแล  เป็นสังขตะหยาบ  อาศัยการเกิดขึ้น  ยังมีสิ่งที่ละเอียด  ประณีต  นั่นคืออุเบกขา  เธอจึงดับความชอบใจความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย  อุเบกขาจึงดำรงมั่น

ดูกรอานนท์  ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที  โดยไม่ลำบาก  เหมือนอย่างบุรุษมีกำลัง  ดีดนิ้วมือโดยไม่ลำบาก  ฉะนั้น  ดูกรอานนท์  นี้เราเรียกว่า  การเจริญอินทรีย์ในเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต  อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ฯ

      พ.  ดูกรอานนท์  ถ้าเช่นนั้น  เธอจงฟัง  จงใส่ใจให้ดี  เราจักกล่าวต่อไป  ท่านพระอานนท์

ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า  ชอบแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ

      [856]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  ก็การเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  เป็นอย่างไร  ดูกรอานนท์  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  เกิดความชอบใจความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น  เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ   เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า

 เราเกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้  ก็สิ่งนั้นแล  เป็นสังขตะ  หยาบอาศัยกันเกิดขึ้น  ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคือ อุเบกขา  เธอจึงดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย  อุเบกขาจึงดำรงมั่น  ดูกรอานนท์  ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที  โดยไม่ลำบากเหมือนอย่างบุรุษมีตาดีกระพริบตา  ฉะนั้น  อุเบกขาย่อมดำรงมั่น  ดูกรอานนท์  นี้เราเรียกว่า  การเจริญอินทรีย์ในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ  อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ฯ

      [857]  ดูกรอานนท์  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น  เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต  เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า  เราเกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  ขึ้นแล้วเช่นนี้  ก็สิ่งนั้นแล  เป็นสังขตะ หยาบ  อาศัยการเกิดขึ้น  ยังมีสิ่งที่ละเอียด  ประณีต  นั่นคืออุเบกขา  เธอจึงดับความชอบใจความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย  อุเบกขาจึงดำรงมั่น

 ดูกรอานนท์  ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที  โดยไม่ลำบาก  เหมือนอย่างบุรุษมีกำลัง  ดีดนิ้วมือโดยไม่ลำบาก  ฉะนั้น  ดูกรอานนท์  นี้เราเรียกว่า  การเจริญอินทรีย์ในเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต  อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ฯ

ไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย  อุเบกขาจึงดำรงมั่น  ดูกรอานนท์

ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจอันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที  โดยไม่ลำบาก  เหมือนอย่างหยาดน้ำกลิ้งไปบนใบบัว  ย่อมไม่ติดในที่ที่กลิ้งไปสักน้อยหนึ่ง  ฉะนั้น  ดูกรอานนท์  นี้เราเรียกว่า  การเจริญอินทรีย์ในกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ  อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ฯ

      [859]  ดูกรอานนท์  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา  เธอรู้ชัดอย่าง  นี้ว่า  เราเกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้  ก็สิ่งนั้นแล  เป็นสังขตะ  หยาบ  อาศัยกันเกิดขึ้น  ยังมีสิ่งที่ละเอียด  ประณีต  นั่นคืออุเบกขา  เธอจึงดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย  อุเบกขาจึงดำรงมั่น

ดูกรอานนท์  ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที  โดยไม่ลำบาก  เหมือนอย่างบุรุษมีกำลังตล่อมก้อนเขฬะ ไว้ตรงปลายลิ้น  แล้วถ่มไปโดยไม่ลำบาก  ฉะนั้น  ดูกรอานนท์นี้เราเรียกว่า  การเจริญอินทรีย์ ในรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา  อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ฯ

      [860]  ดูกรอานนท์  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ

ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย  เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า  เราเกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้  ก็สิ่งนั้นแล  เป็นสังขตะ  หยาบ  อาศัยกันเกิดขึ้น  ยังมีสิ่งที่ละเอียด  ประณีต  นั่นคืออุเบกขา  เธอจึงดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย  อุเบกขา จึงดำรงมั่น  ดูกรอานนท์  ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้โดยเร็วพลันทันที  โดยไม่ลำบาก  เหมือน อย่างบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้  หรือคู้แขนที่เหยียดโดยไม่ลำบาก  ฉะนั้น  ดูกรอานนท์  นี้เราเรียกว่า  การเจริญอินทรีย์ในโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย  อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ฯ

[861]  ดูกรอานนท์  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน  เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า  เราเกิดความชอบใจ  เกิดความไม่ชอบใจ  เกิดทั้งความชอบใจและไม่  ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้  ก็สิ่งนั้นแลเป็นสังขตะ  หยาบ  อาศัยกันเกิดขึ้น  ยังมีสิ่งละเอียด  ประณีต  นั่นคืออุเบกขา  เธอจึงดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย  อุเบกขาจึงดำรงมั่น  ดูกรอานนท์  ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วได้เร็วพลันทันที  โดยไม่ลำบากอย่างนี้  เหมือนบุรุษมีกำลังหยดหยาดน้ำสองหรือสามหยาดลงในกะทะเหล็กที่ร้อนจัดตลอดวัน  ความหยดลงแห่งหยาดน้ำยังช้า  ทันทีนั้น  หยาดน้ำนั้นจะถึงความสิ้นไป  แห้งไปเร็ว  ทีเดียว  ฉะนั้น  ดูกรอานนท์  นี้เราเรียกว่า  การเจริญอินทรีย์ในธรรมารมณ์ที่รู้ได้  ด้วยมโนอย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ฯ

ดูกรอานนท์  อย่างนี้แลเป็นการเจริญอินทรีย์อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ฯ

[862]  ดูกรอานนท์  ก็พระเสขะผู้ยังปฏิบัติอยู่เป็นอย่างไร  ดูกรอานนท์  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  เกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ  เธอย่อมอึดอัด  เบื่อหน่าย  เกลียดชังความชอบ  ใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วนั้น  เกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต  ...  เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ  ...  เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา  ...เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย  ...  เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน  ...  เธอย่อมอึดอัด  เบื่อหน่ายเกลียดชังความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  อันเกิดขึ้นแล้วนั้น

ดูกรอานนท์  อย่างนี้แล  ชื่อว่าพระเสขะผู้ยังปฏิบัติอยู่  ฯ

[863]  ดูกรอานนท์  ก็พระอริยะผู้เจริญอินทรีย์แล้ว  เป็นอย่างไร  ดูกรอานนท์  ภิกษุ

ในธรรมวินัยนี้  เกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น  เพราะ

เห็นรูปด้วยจักษุ  เธอถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในสิ่ง  ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่  ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งนั้นๆ  ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้  ถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่  ก็ ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งนั้นๆ  ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้  ถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่  ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งนั้นๆว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้  ถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในสิ่งทั้ง  ไม่ปฏิกูลและปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่  ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งนั้นๆ  ว่า  เป็นของปฏิกูลอยู่ได้  ถ้าหวังว่าจะวางเฉยเว้นเสียซึ่งสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น  อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะ  ก็ย่อมเป็นผู้วางเฉยในสิ่งนั้นๆ  อยู่

อย่างมีสติสัมปชัญญะได้  ฯ

 

พ่อครูว่า...เน่าก็เน่าไม่เน่าก็ไม่เน่า ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ดีมันก็ดี ไม่ดีก็ไม่ดีไม่ได้ติดใจอะไรถ้ายังอยู่ในโลกก็ต้องมี 2 อย่างนี่แหละ อย่างนี้แหละพระอริยที่เจริญอินทรีย์แล้ว

มาข้อสุดท้ายนี่แหละ คนชอบเอาอันนี้ไปตีกินนัก

[864]  ดูกรอานนท์  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเกิดความชอบใจ  ความไม่ชอบใจ  ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ  เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต  ...  เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ  ...  เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา  ...  เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย  ...เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน  เธอ  ถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่  ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งนั้นๆว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้ถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่  ก็ย่อมเป็นผู้มีความ  สำคัญในสิ่งนั้นๆ  ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้  ถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่  ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งนั้นๆ  ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้  ถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในสิ่งทั้งไม่ปฏิกูลและปฏิกูล  ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่  ก็ย่อมมีความสำคัญในสิ่งนั้นๆ  ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้ถ้าหวังว่าจะวางเฉยเว้นเสียซึ่งสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น  อยู่อย่างมีสติ  สัมปชัญญะ  ก็ย่อมเป็นผู้วางเฉยในสิ่งนั้นๆ  อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะได้  ดูกรอานนท์  อย่างนี้แล  ชื่อว่าพระอริยะผู้เจริญอินทรีย์แล้ว  ฯ

      [865]  ดูกรอานนท์  เราแสดงการเจริญอินทรีย์อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  แสดงพระเสขะผู้ยังปฏิบัติอยู่  แสดงพระอริยะผู้เจริญอินทรีย์แล้ว  ด้วยประการฉะนี้แล  ดูกรอานนท์  กิจใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล  ผู้อนุเคราะห์  อาศัยความอนุเคราะห์ พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย  กิจนั้น  เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ  ดูกรอานนท์  นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง  เธอทั้งหลาย  จงเพ่งฌาน  อย่าได้ประมาท  อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลัง  นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่พวกเธอ  ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว  ท่านพระอานนท์จึงชื่นชมยินดี  พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคฉะนี้แล  ฯ

                              จบ  อินทรียภาวนาสูตร  ที่  10

                             

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัสกับพระที่ใกล้ถึงเสขบุคคลแล้ว ให้ไปอยู่โคนไม้เรือนว่างท่านตรัสกับสาวกผู้ที่มีอินทรีย์พละแล้ว จนจะจบแล้ว จะได้ทบทวนระลึกชาติเอาความหลังที่ผ่านมา สะสมมาเท่าไหร่คุณจะได้แน่นจะได้มีความเป็นครูอาจารย์ที่สมบูรณ์แบบ ท่านสอนเอาอันสุดท้ายแล้วคนก็ชอบเอาเบื้องต้นมาตีกินนั่งหลับตาแค่นี้ ก็จบแล้ว เห็นไหมพวกมักง่ายมักได้ด่วนได้ จะเอาด่วนๆลัดเฉพาะเลย ต้องรู้บริบท ยุคกาลสมัย ท่านตรัสกับผู้ที่อบรมสั่งสอนอยู่ขณะนั้น ท่านสอนกับพระอรหันต์พระอาริยะที่จะต้องแข็งแรงมั่นคงออกไปเผยแพร่ถ่ายทอดสืบทอดศาสนาต่อไป สรุปแล้วผู้ปฏิบัติธรรมเหล่านี้มามีบารมี

แต่พวกเราไม่มีบารมีเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง ก้นแตกตายกันพอดี เห็นขี้ช้าง แล้วคุณตัวเล็กแค่แมว จะขี้ออกมาเท่าขี้ช้าง เอาตัวทั้งตัวก็ไม่เท่าขี้ช้างเลย

สรุปแล้ว เราต้องรู้ทุกๆบริบท ทุกขณะวาระปริเฉทที่หมายถึงอะไร ไม่เช่นนั้นจะหลงทางตีกินคนเรามันชอบลัด ตีกิน ก็เลยหลวม ไม่ครบ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความเป็นลำดับต้องครบเป็นลำดับ อย่าข้ามขั้น ความเป็นลำดับที่น่าอัศจรรย์ มันไม่ใช่แค่ 1 2 3 4 5 6 แต่มันมีหมุนรอบเชิงซ้อน หมุนรอบ 3 3 3 แล้ว 9 9 9 แล้ว 81 81 81 อีก ไปต่ออีก

 

วันนี้จะตีหัวเข้าบ้าน สรุปแล้ว เรื่องหลับตาปฏิบัติแล้วเพ่งฌาน

คำว่าเพ่งฌาน… แต่ก็ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ไม่ได้ทำฌานแบบที่พระพุทธเจ้าสอนเลย

ขอสรุปจริงๆว่า ต้องกำหนดหมายให้แม่นชัดใน กาละไหน วาระไหน บุคคลอย่างไร เหตุการณ์อะไร เรื่องราวเหตุการณ์อะไรเอาให้ชัด อย่าไปปนเปเอามา

อินทริยภาวนาสูตร ผู้ฉวยเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาตีกินอ้างอิงเพื่อที่จะมาเป็นอันนี้มาเป็นคนที่ได้ระงับ แล้วก็พวกที่ได้เจโตสมถะ สายปัญญาเขาทำได้แล้วตีกินเลยไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางไม่ได้ เขาก็จะได้อย่างนี้ สะกดจิต เทวนิยมเป็นแบบนี้

อาตมาขอรื้อทิ้งแตกหัก เลิก ใครไม่เลิกก็ไปที่ชอบที่ชอบของใครก็ของใครเท่านั้นเอง

 

จบอินทริยภาวนาสูตร อาตมาบริภาษ ตีทิ้งแล้วนะ มาศึกษาอีกที อานาปานสติสูตร ก็คือคุณจะเอาแต่นั่งเอาแต่ดูลมหายใจเข้าออก ไปโคนไม้เรือนว่าง ไปทำแบบนี้ เป็นอาจารย์ใหญ่ให้ลูกศิษย์ลูกหากินๆนอนๆ คนโง่ก็มีเยอะคนฉลาดมีน้อยเขาก็มีลูกศิษย์เยอะ ในยุคคนโง่เยอะมันก็เป็นแบบนั้นในยุคนี้ก็มีคนโง่เยอะอยู่ ก็เริ่มต้นแต่ต่อไปในอนาคตอีก 400 ถึง 500 ปีคนฉลาดก็จะมีเยอะขึ้นคนโง่ก็จะน้อยลง ตอนนี้คนฉลาดมีน้อยคนโง่มีเยอะก็ทนเอา ใครพยายามรักษาชีวิตให้ยืนยาวต่อไป ใครไปเร็วก็ต้องรีบมาต่อ เราก็ต้องสร้างต่อไป

แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ  สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน ต้องทำสติปัฏฐาน 4 ก่อนอานาปานสติ

อาเสบียงคล้องบ่าเดินทางไปชมนับเป็นโยชน์ๆ  ฯ

[285]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็น  พระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นอุปปาติกะ  เพราะสิ้นสัญโญชน์ส่วนเบื้องต่ำทั้ง  5  จะได้ปรินิพพานในโลกนั้นๆ  มีอันไม่กลับ  มาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดาแม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นพระสกคาทามีเพราะสิ้นสัญโญชน์

3  อย่าง  และเพราะทำราคะ  โทสะ  โมหะให้เบาบางมายังโลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น  ก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุสงฆ์นี้  ก็มีอยู่  ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นพระโสดาบัน  เพราะสิ้นสัญโญชน์

3  อย่าง  มีอันไม่ตกอบายเป็นธรรมดา  แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้ใน  เบื้องหน้า  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญสติปัฏฐาน  4  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

พ่อครูว่า..แสดงว่า ธรรมะที่เจริญสูงสุดคือสติปัฏฐาน 4 ผู้รู้จักสติปัฏฐาน 4 พิจารณากายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรมได้ผล ผู้นี้แหละเป็นผู้ที่เจริญจริง ถ้ากายในกายก็ยังเป็นมิจฉาทิฐิไม่ได้ผ8.  อานาปานสติสูตร  (118)

[282]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกาวิสาขา   มิคารมารดา  ในพระวิหารบุพพาราม  เขตพระนครสาวัตถี  พร้อมด้วยพระสาวกผู้เถระมีชื่อเสียงเด่นมากรูปด้วยกัน เช่น  ท่านพระสารีบุตร  ท่านพระมหาโมคคัลลานะ  ท่านพระมหากัสสป  ท่านพระมหากัจจายนะท่านพระมหาโกฏฐิตะท่านพระมหากปิณะ  ท่านพระมหาจุนทะ  ท่านพระเรวตะ  ท่านพระอานนท์และ  พระสาวกผู้เถระมีชื่อเสียงเด่นอื่นๆ  ก็สมัยนั้นแล  พระเถระทั้งหลายพากันโอวาทพร่ำสอนพวกภิกษุอยู่  คือ  พระเถระบางพวกโอวาทพร่ำสอนภิกษุ 10 รูปบ้างบางพวกโอวาทพร่ำสอน 20  รูปบ้าง  บางพวกโอวาทพร่ำสอน  30  รูปบ้าง  บางพวกโอวาทพร่ำสอน  40  รูปบ้าง  ฝ่ายภิกษุนวกะเหล่านั้น  อันภิกษุผู้เถระโอวาทพร่ำสอนอยู่  ย่อมรู้ชัดธรรมวิเศษอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าที่ตนรู้มาก่อน  ฯ

[283]  ก็สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคมีภิกษุสง ฆ์ห้อมล้อมประทับนั่งกลางแจ้ง  ในราตรีมีจันทร์เพ็ญ  วันนั้นเป็นวันอุโบสถ  15  ค่ำ  ทั้งเป็นวันปวารณาด้วย  ขณะนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงเหลียวดูภิกษุสงฆ์  ซึ่งนิ่งเงียบอยู่โดยลำดับ  จึงตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราปรารภในปฏิปทานี้  เรามีจิตยินดีในปฏิปทานี้  เพราะฉะนั้นแล  พวกเธอจงปรารภความเพียร  เพื่อถึง  คุณที่ตนยังไม่ถึง  เพื่อบรรลุคุณที่ตนยังไม่บรรลุ  เพื่อทำให้แจ้งคุณที่ตนยังไม่ทำ  ให้แจ้ง  โดยยิ่งกว่าประมาณเถิด  เราจักรออยู่ในเมืองสาวัตถีนี้แล  จนถึงวันครบ 4  เดือนแห่งฤดูฝน  เป็นที่บานแห่งดอกโกมุท  พวกภิกษุชาวชนบททราบข่าวว่า  พระผู้มีพระภาคจักรออยู่ในเมืองสาวัตถีนั้น  จนถึงวันครบ  4  เดือนแห่ง  ฤดูฝน  เป็นที่บานแห่งดอกโกมุท  จึงพากันหลั่งไหลมายังพระนครสาวัตถี  เพื่อ  เฝ้าพระผู้มีพระภาค  ฝ่ายภิกษุผู้เถระเหล่านั้นก็พากันโอวาทพร่ำสอนภิกษุนวกะเพิ่มประมาณขึ้น  คือ  ภิกษุผู้เถระบางพวกโอวาทพร่ำสอนภิกษุ  10  รูปบ้าง

บางพวกโอวาทพร่ำสอน  20  รูปบ้าง บางพวกโอวาทพร่ำสอน  30  รูปบ้าง  บางพวกโอวาทพร่ำสอน 40 รูปบ้าง  และภิกษุนวกะเหล่านั้น  อันภิกษุผู้เถระโอวาทพร่ำสอนอยู่  ย่อมรู้ชัดธรรมวิเศษอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าที่ตนรู้มาก่อน  ฯ

[284]  ก็สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคมีภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมประทับนั่งกลางแจ้ง  ในราตรีมีจันทร์เพ็ญ  เป็นวันครบ  4  เดือนแห่งฤดูฝน  เป็นที่บานแห่งดอกโกมุท  วันนั้นเป็นวันอุโบสถ  15  ค่ำ  ขณะนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงเหลียวดูภิกษุสงฆ์  ซึ่งนิ่งเงียบอยู่โดยลำดับ  จึงตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บริษัทนี้ไม่คุยกัน  บริษัทนี้เงียบเสียงคุย  ดำรงอยู่ในสารธรรมอันบริสุทธิ์  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุสงฆ์นี้  บริษัทนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัทที่ควรแก่การคำนับ  ควรแก่การต้อนรับ  ควรแก่ทักษิณาทาน  ควรแก่การกระทำอัญชลี  เป็นเนื้อนาบุญของโลกอย่างหาที่อื่นยิ่งกว่ามิได้  ภิกษุสงฆ์นี้บริษัทนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัทที่เขาถวายของน้อย  มีผลมาก  และถวายของมากมีผลมากยิ่งขึ้น  ภิกษุสงฆ์นี้  บริษัทนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัท  อันชาวโลกยากที่จะได้พบเห็น  ภิกษุสงฆ์นี้  บริษัทนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัทอันสมควรที่แม้คนผู้เล เวทนาในเวทนาก็ยังมิจฉาทิฐิไม่ได้ผล ได้ผลที่ผิดด้วยแล้วหลงผลที่ผิดนั้นน่าสงสาร ก็ช่วยยาก แต่ถ้าเผื่อว่า ผู้ที่ถูก

      [286]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรใน

อันเจริญสัมมัปปธาน  4  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

อิทธิบาท  4  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

อินทรีย์  5  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

พละ  5  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

โพชฌงค์  7  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

มรรคมีองค์  8  อันประเสริฐอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ก็มีอยู่  ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

เมตตาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

กรุณาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญ

มุทิตาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญ

อุเบกขาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญ

อสุภสัญญาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญ

อนิจจสัญญาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

[287]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอานาปานสติอยู่  ฯ

พ่อครูว่า...อานาปานสติ แปลว่าลมหายใจเข้าออกเป็นเพียงสิ่งอาศัย ไม่ใช่ธรรมะ คุณทำเพื่อให้ได้มีปัญญาในสติปัฏฐาน 4 อานาปานสติแปลว่าลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่ปัญญา ปัญญาอยู่ที่สติปัฏฐาน 4 คุณต้องเจริญสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์ได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อานาปานสติ  อันภิกษุเจริญแล้ว  ทำให้มากแล้ว  ย่อม  มีผลมากมีอานิสงส์มาก  ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว  ทำให้มากแล้ว  ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน  4  ให้บริบูรณ์ได้  ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน 4 แล้ว  ทำให้มากแล้วย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ได้  ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ 7 แล้ว  ทำให้มากแล้ว  ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้  ฯ

พ่อครูว่า...หากมัวเมาอยู่ที่อานาอาปานะ คือ ลมหายใจเข้าออกก็ยังงมงายอยู่อย่างนั้นปัญญาไม่เกิด

 

[288]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็อานาปานสติ  อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร  ทำให้มากแล้วอย่างไร  จึงมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุใน  ธรรมวินัยนี้  อยู่ในป่าก็ดีอยู่ที่โคนไม้ก็ดี  อยู่ในเรือนว่างก็ดี  นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง  ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า  เธอย่อมมีสติหายใจออก  มีสติหายใจเข้าเมื่อหายใจออกยาว  ก็รู้ชัดว่า  หายใจออกยาว  หรือเมื่อหายใจเข้ายาว  ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว  เมื่อหายใจออกสั้น  ก็รู้ชัดว่า  หายใจออกสั้น  หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น  ก็รู้ชัดว่า  หายใจเข้าสั้น  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลม  ทั้งปวง  หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง  หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักระงับกายสังขาร  หายใจออก  ว่าเราจักระงับกายสังขาร  หายใจเข้าสำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ  หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ  หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข  หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข  หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขารหายใจออกว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร  หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักระงับจิตสังขาร  หายใจออกว่าเราจักระงับจิตสังขาร  หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต  หายใจเข้าสำเหนียกอยู่  ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง  หายใจออก  ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง  หายใจ  เข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักตั้งจิตมั่น  หายใจออก  ว่าเราจักตั้งจิตมั่นหายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเปลื้องจิต  หายใจออก  ว่าเราจักเปลื้องจิต  หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยงหายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัดหายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส  หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส  หายใจเข้า

พ่อครูว่า...อยู่ป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี คำว่า ก็ดี ภาษาบาลีว่า วา

จะหายใจอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องทำกายสังขารให้รำงับ กายสังขารคืออะไร หากไม่สัมมาทิฏฐิก็เข้าป่าอีก กายเขาก็ว่าคืออยู่ที่ร่างกายไม่กระดุกกระดิกนั้นผิด กายไม่ได้หมายถึงแค่ดินน้ำไฟลมภายนอกแต่กายหมายถึงมโนจิตวิญญาณ หมายถึงองค์รวมทั้งภายนอกและภายใน กายหมายถึงจิตวิญญาณแต่เอาภายนอกก่อน ละเอียดอย่างนี้ก่อน

กาย กับ อัตตา กายมันเนื่องจากนอกก็ทำที่ภายนอกก่อน

กายข้างนอกคือ โอฬาริกอัตตา พยัญชนะ โอฬาริกอัตตากับกายคืออันเดียวกัน มโนมยอัตตา อันที่สองก็มาเป็นรูป อันในลึกเข้าไปอีกเป็นอรูปก็ไล่เข้าไป

เมื่อทำได้ผล ได้เกิดปีติตามลำดับ ท่านก็พ่วงด้วยภาษาว่าทำได้ทุกทีก็ยังหายใจเข้าออก สั้นยาวอยู่ จนคุณเกิดปีติก็จะเกิดสุขต่อมา

คุณก็พิจารณาว่าสุขนี่แหละมันเป็นอาการของจิตสังขารแล้ว ความสุขนี่แหละเป็นเรื่องของจิตสังขาร คุณก็พยายามพิจารณาจิตสังขารต่อจากกายสังขาร ของคุณทั้งนั้น แล้วก็ไม่ได้ขาดหายไปไหน ก็ยังลืมตาสัมผัส แต่จิตต้องมีมุทุภูตธาตุเร็วไว แสงกระทบรูปมันช้า จิตมันเดินเร็วกว่า เดินทางไปร้อยรอบห้าร้อยรอบแล้วเดินทางได้เร็วกว่าแสงวิ่ง

มันก็อยู่กับภายนอก คุณสัมผัสกับระกำ สัมผัสกับกล้วย สัมผัสกับส้มโอ คุณก็เห็นอยู่นั่นแหละ สำหรับภายนอก ตอนแรกก็ดูว่ากิเลสเราภายนอกมันมีความ ใคร่อยากอะไรหรือเปล่าแต่ถ้าคุณดูแล้วไม่มีความอยากอะไรกับภายนอก กระทบอย่างไรยั่วอย่างไร ผลไม้ระกำนี่ชั้น 1 นะ แต่เราก็มีแต่กลางๆ มีรสก็รู้ว่าระกำ แต่หากใจเราเหลือภายในระริกระรี้เหลือรูปราคะ เราก็รู้ว่า ใจยังหวั่นไหวกับสิ่งภายนอกอยู่ หรือมันไม่มี รูปราคะก็ไม่มี อรูปมีไหม?

ถ้าคุณเองก็ไม่มี หรือมีอยู่แต่มีมานะซ้อนมีความยึดถือ ว่าข้ารู้ดี ไม่มีหรอก มีมานะจิตถือดีซ้อนไปอีกเราก็อ่านอีก

ต่อมาระงับจิตสังขารได้ก็มีปีติ ได้เป็น ปีติที่ได้แล้ว ได้นาน ได้เป็นขณะๆ

1. ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)

2. ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ)

3. โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)

4. อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)

5. ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)

(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)

 

พ่อครูว่า...หากมันแรงมากก็ลอยมากสูงเป็นร้อยโยชน์ตกมามันก็หนักไม่ไหว ต้องลดลงมาให้เบาบางเป็นพื้นฐาน แผ่เป็นแผ่นใหญ่เบาบางไม่ต้องให้กระโดดโลดเต้นอะไรเป็นฐาน ได้แล้วแข็งแรงเป็นภาวะที่ให้คุณ ช่วยคุณอย่างเป็นประโยชน์สูงสุดเลย

สรุปแล้วให้มันแข็งแรงยังยืนเป็นไปได้มีปีติเลี้ยงอยู่ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีปิติเลย อธิบายว่าเหมือนกับแช่อยู่ในน้ำที่มีเอาจุนสีใส่เข้าไป จุนสีก็จะซึมเข้าไปในทุกขุมขนทุกจุดในเอกเทศในๆที่ไม่มีจุนสีอยู่เลย แล้วคุณก็ไม่เห็นจุนสีเหล่านั้น แต่มันมีทั่วไปเลย เบาบาง ละเอียดอยู่ในจิตของคุณไปหมดเลย คุณก็บอกได้ว่ามีมากแต่ไม่มีแรง ทำจิตอย่างนี้อยู่

เพราะฉะนั้นจะเอามาใช้แค่ อภิปโมทยังจิตตัง คือมีจิตยินดียิ่ง อภิ ปโมท ก็คือปราโมทย์ มีจิตยินดีน้อยๆ ที่ควบคุมได้ไม่ให้ร่าซ่าจนน่าเกลียด

อาตมาทำขนาดร่าเริงมาก ขนาดนี้คุณยังกลัวเลย บางคนตีกลับว่านี่ร่าเริงมากไป เขาก็ยึดกันไปคนละอย่าง อาตมาว่าคนละเอียดเกินอาตมาก็ว่าไม่ไหว เอาแค่นี้พอดี คนจะมาปฏิบัติกับอาตมาก็เอาขนาดนี้ก่อน ขนาดนี้ยังบรรลุอรหันต์ไม่ได้ง่ายเลย อาตมาต้องการให้เร็วแต่ก็ยังไม่ได้ สอบให้ได้เสียทีสิ

 ทำให้ได้อย่างนี้เรียกว่า อานาปานสติ ทำได้มากเท่าไหร่สติปัฏฐาน 4 ก็เป็นตัวตั้ง เพราะฉะนั้นอานาปานสตินั้น หมายถึงการ ไล่เรียงเอาลมหายใจเข้าออกมาเป็นองค์ประกอบในการอธิบายธรรมะ แต่แท้จริงนั้นเบื้องต้นคือ สติปัฏฐาน 4

คุณต้องรู้กายในกายตัวแรกของโลกุตรธรรม ถ้าคุณรู้กายยังไม่ชัด ปฏิบัติรูปธรรมกับนามธรรมเรียกว่ากายหรือธรรมะ 2 ที่ต้องมีรูปมีนามตลอดเวลา คุณก็ยังเข้าใจกายไม่ได้แยกกายแยกจิตยังไม่ออก อาตมาอธิบายถึงกาย พระพุทธเจ้าได้สอนกรรมฐาน 5 กับสิ่งที่คุณต้องรู้ว่าอันไหนคือกาย

กายเอากรรมฐาน 5 ที่เป็นมูลกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าสอนภิกษุ อุปัชฌาย์ทุกองค์จะต้องสอนกรรมฐาน 5 ให้ภิกษุบวชใหม่ทุกองค์ให้แยกกายแยกจิตได้ ให้รู้จักกายคืออะไร

กายคือสภาพที่เอาเล็บเป็นเครื่องอธิบายอีกที เรื่องผมก็เล็กไป เรื่องฟันก็ยาก

เล็บเราเป็นลักษณะธรรมนิยาม 5 ประกอบด้วยวัตถุกับจิต ยาวออกมา ยาวแล้วมันก็ยังติดกับร่างกายเรานะ แต่ส่วนที่ไม่ถือว่าคือกายแล้วคือส่วนที่ไม่มีส่วนรับรู้ทางประสาทแล้ว ตัดทิ้งไปก็รู้สึกเฉยๆไม่เจ็บไม่ปวด แต่ถ้ามันเป็นชีวะอยู่ ปล่อยมันโดยให้อาหารเลี้ยงไว้มันก็ยังดำเนินต่อไปเป็น ชีวะ ที่มีแต่สังขารกับสัญญาไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ มันก็ไม่ใช่กายของเรา

แต่ก็อยู่กับกายของเราหากคุณไม่ตัดมันออก กายนี่มันไม่มีจิตเป็นหลัก ขออภัย กายนี่ถ้าไม่มีจิตเป็นหลักไม่เรียกว่ากาย

คนที่เข้าใจอย่างที่อาตมาพูด กายหากหมายถึงไม่มีจิตร่วมอยู่เลยเป็นมิจฉาทิฏฐิ หากไม่รู้จักกายตั้งแต่ต้นก็ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับความรู้สึก กาย ความรู้สึก ต้องสัมพันธ์กัน

หากพิจารณาที่กายแต่ไม่มีความรู้สึกก็ผิดแล้ว ส่วนที่มีความรู้สึกคือกาย ส่วนที่ไม่มีความรู้สึกไม่ใช่กาย คุณก็เลยเถิดเป็นมิจฉาทิฐิว่าทุกวันนี้ กายคุณไม่มีความรู้สึก กายคือสิ่งที่ไม่มีความรู้สึก

จากพีชะรวมตัวเป็นตัวตน เป็นชีวะที่เป็นพืข มีพลังงานดูดเอามาเป็นตัว ISH สามเส้า พลังงานบวกลบกับประธาน

เมื่อเข้าใจกายทุกอานาปานสติก็จะรู้จักสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่ ปรุงแต่งกันเป็นเวทนา ตัวที่กระทบสัมผัสกับจิตของเรา กายกับจิต ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นสังขตธรรม

ผู้รู้สังขารธรรมนี้จึงเป็นผู้บรรลุธรรมตัวตน อวิชชา จึงไม่รู้จักสังขาร ผู้รู้จักสังขารแยกสังขารได้จึงรู้ว่าการปรุงแต่งเป็นอย่างนี้ปรุงแต่งเป็นทุกข์ ขออภัยเริ่มแรกต้องเป็นกาย เป็นจิต เป็นวจีสังขาร ในสังขาร 3 มันปรุงเป็นรูปอยู่นะ กายกับวจีแล้ว จนกว่าคุณจะเรียนรู้ กายสังขารวจีสังขาร ที่มันเป็นตัวรูป โดยมี มโน มโนคืออะไร

มโนกับจิตต่างกันอย่างไร มโนคือตัวก้นบึ้งของจิตเลย สั่งให้จิตไปทำงาน จิตก็ไปทำงาน แล้วจิตกับเจตสิก จิตเป็นตัวตั้ง เจตสิก เป็นตัวเคลื่อนไหวเป็นตัวงาน เจตสิกเป็นตัวนำเป็นตัว Dynamic เป็นตัวสั่งการ

เจตสิก เป็นอาการของจิตที่ไปทำงาน ทำงานเป็นเวทนาสังขาร ปรุงแต่งอะไรก็แล้วแต่ วิญญาณ ถ้ารวมหมดเลย เป็นเจ้าของจิตเจตสิกอีกทีหนึ่ง จิตเจตสิกแยกเป็นเวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณเป็นตัวคุมพวกนี้ ตัวใหญ่เลยวิญญาณ เราก็แยกแยะให้ละเอียดจนกระทั่งแยกแยะเป็นเจตสิกกับกิเลส

เจตสิกคืออาการของจิต แล้วอาการตัวนี้เรียกว่าอกุศลหรือเรียกว่าบาป นี่แหละตัวนี้แหละ ให้ชัดว่ามันเป็นตัวกิเลส มันเป็นตัวปลอม มันไม่ใช่ตัวจริง มันเป็นตัวทุกข์ตัวแท้ของเหตุแห่งทุกข์ จับตัวนี้ให้แม่นๆ จะไปดับทั้งจิตเจตสิกไปดับทั้งหมด ถ้าดับทั้งหมดก็เหมือนคนตาบอดหูหนวด คุณทำอะไรไม่ได้

คุณกระทบแล้วต้องแยกจิตเจตสิกมันยังเป็นชีวอยู่ ก็ต้องมีความรู้สึกรู้ จนกระทั่งรู้ว่าอันนี้เป็นความรู้สึกปลอม ความรู้สึกสุขหรือทุกข์ก็ดี หรือเป็นกิเลสอยากได้อยากมีอยากเป็น มันยิ่งจะเป็นตัวปลอมใหญ่เลย เป็นอาคันตุกะเลย หรือมาเป็นเจ้าของเรือนเลย เป็นอุปาทาน เราเป็นเจ้าของตัวจริงรู้ทันก็บอกว่า นั่นแน่ GET OUT! อย่ามายึด เอ็งไม่ใช่ตัวจริง ต้องชัดเจนแล้วฆ่าเฉพาะตัวนี้

ผู้ที่ปฏิบัติผิดนั้นต้องการฆ่าตัวนี้แต่ไปฆ่าหมดเลยทั้งจิตเจตสิก จะจับโจรในบ้านนี้ก็เผาบ้านทั้งบ้านเลย ในบ้านนั้นอาจจะมีคนมีสัตว์อยู่ คุณจะเผาโจรแต่เผาบ้านหมดเลย เป็นการทำแบบขี่ช้างจับตั๊กแตนเกินไป มันเสียของมากมาย แล้วคุณก็จะเอาตัวนี้ ทำร้ายหมดเลย บางทีมีพ่อคุณอยู่ในบ้านคุณก็เผาพ่อคุณด้วย คุณต้องไปตรวจตราในบ้านให้ละเอียดก่อนว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้นเป็นสิ่งที่ดี ดีมากดีน้อยอะไรมันก็มีอีก ให้จัดการแต่โจรแต่สิ่งไม่ดีอย่างเดียวสิ อย่าให้สิ่งที่ดีมันเสียไปด้วย อย่าให้มันสูญเสียไปด้วย ไม่เสียของต่างๆ คุณก็ต้องเอาแต่เฉพาะของไม่ดีที่มันเสีย นี่คือความละเอียดลออของศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น สักกายะ คุณต้องรู้ชัดว่ามันเป็นกิเลสๆนะ วิจัยจนชัดเจน อย่าให้มันเสียของ เนื้อแท้ๆ คุณจะเอาเนื้อแท้ๆ หรือไม่ใช่เนื้อ ที่ไม่ใช่เนื้อทั้งหมดก็เลาะออกไปเรื่อยๆจากนอกถึงใน คุณจะเหลือแต่เนื้อก็ต้องเอาสิ่งที่ไม่ใช่เนื้อเป็นเนื้อปลอมออกอยู่ข้างนอกเยอะ มาอาศัยมาหลอก ทั้งที่เป็นเนื้อปลอม

ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงละเอียดลออชัดเจนอย่างนี้ คุณต้องตรวจตัวแท้ของ สักกายะ

สักกะคือตัวเรา กาย คือรูปนาม ปรุงแต่งกันอยู่ เป็นตัวตนตัวเรา ตรวจให้ได้ว่าตัวตนไหนที่ไม่ใช่ตัวตนเรา มันไม่ใช่เรา ตัวนี้เป็นตัวปลอม แล้วกำจัดตัวนี้เอาให้พ้นวิจิกิจฉา แล้วต้องมีเครื่องมือ

เครื่องมือคือปัญญาเครื่องมือ คือพลังงานที่มีคุณลักษณะเหมือนกับไฟราคะ ไฟโทสะไฟโมหะ เป็นพลังงานเหมือนกันแต่มันเป็นพลังงานที่พิเศษยิ่งกว่าเรียกว่า ฌาน

การทำฌาน ของพระพุทธเจ้าจึงพยายามทำกับพลังงานของเราพลังงานรู้ พลังงานธาตุรู้ แบบที่พระพุทธเจ้าสอนสั่งสมมาตั้งแต่หยาบกลางละเอียดได้ทุกอัน แล้วมีปัญญา  เป็นพลังงานตัวรู้ที่มีพลังทำลาย พลังงานปัญญาเป็นเครื่องมือของบุญ แท้ๆ สลายกิเลสได้

ความรู้ที่เป็นปัญญาจึงเป็นความรู้ของศาสนาพุทธศาสนาเดียวในโลก แต่คำว่าปัญญานี้คนเขาดึงไปใช้กันทั่วเลย โดยเฉพาะเอาไปใช้ในภาษาไทยทุกวันนี้ จริงๆมันเป็นบาลี คนที่เรียนบาลีเรียนความหมายอันนี้ความรู้อันนี้ใช้ปัญญาเป็นตัวภาษาที่ใช้ ก็เลยลำบากไปกับความผิดเพี้ยนไปหมดแม้แต่ภาษาอื่นๆภาษาอังกฤษภาษาฝรั่งเศสก็แปลไปเป็นความรู้ปัญญาแบบโน้นซึ่งไปกันใหญ่ ทางยุโรปนั้นเป็นเทวนิยมจะมาทำแบบความรู้อเทวนิยมของทางเอเชียนี้ไม่ได้

ธาตุปัญญา ก็จะต้องสะสมตั้งแต่หน่วยแรกที่เรียกว่าเป็นธาตุจิต ธาตุรู้อันแรกที่แตกต่างจากความรู้ที่เราเคยรู้เป็นความรู้โลกีย์ ต้องมีความรู้เริ่มต้นจุดแรกของคนต่างดาว เป็นความแตกต่างเรียกว่า อัญญธาตุ

อัญญะ เป็นธาตุรู้ตัวใหม่ แตกตัว หลุดออกมาจากตระกูลเดิมเป็นของพระพุทธเจ้านี่แหละ เริ่มต้นมาใช้มันเป็นธาตุรู้มันจะทำให้เป็น อัญญา

อัญญา แปลว่าความรู้ อัญญะ แปลว่าธาตุรู้ตัวแรกที่แตกมาจากพลังงาน พีชะ พัฒนาจากความเป็นจิตตัวแรก

จากหนึ่งอัญญะ เริ่มต้นเป็น 2 เป็นอัญญาต้องมีต้นรากเป็น อัญญาคือธาตุรู้

อัญญาอันนี้ จึงเป็นต้นรากของปัญญาหรือแม้แต่สัญญาก็เป็นสัญญาโลกุตระ สัญญาจึงเป็น 2 เป็นโลกียะก็ได้เป็นโลกุตระก็ได้ แต่ถ้าเป็นปัญญาแล้วจึงเป็นโลกุตระอย่างเดียว

สัญญาอย่างเดียว แม้แต่พีชะก็มีสัญญา สังขาร ตัวกำหนดรู้

สัญญาจึงพัฒนาเป็นโลกุตระได้ต่อมา สัญญาที่พัฒนาเป็นโลกุตระมีบาลีกำกับแต่ขอผ่านไปตอนนี้นึกไม่ออก

คุณต้องปฏิบัติให้เกิดถ้าจิตที่มันรับรู้รับเป็น จนกระทั่งคุณสามารถขอสรุปคร่าวๆว่าเป็นอุเบกขา ของอานาปานสติ กิเลสคุณลดลงๆ จากเห็นว่ามันไม่เที่ยงมันอาจนานแต่มันหลอกเรา จริงๆแล้วมันไม่นานมันไม่เป็นตัวแท้ มันไม่เที่ยงมันพาให้ทุกข์ด้วย สุดท้ายต้องเอาออกไปจากจิต มันเป็นอนัตตามันไม่ใช่ตัวตนมันไม่มีจริงหรอก บรรจงแต่งเป็นสังขารเป็นตัวหลอกเราเป็นผีหลอก จิตเราเองโง่แล้วปรุงของเรา แล้วเราหลงเป็นภพเป็นตัวเรา จนคุณรู้ตัวนี้จริงก็เอาออกได้ จางลง จากความไม่เที่ยงเกิดมีน้อยลง ความเที่ยงนี้ไม่มีตัวนี้แล้ว ความเที่ยงตัวนี้ของเราได้ในตัวที่ไม่เที่ยงแล้ว เอาออกอีกให้มั่นคงๆ ตั้งแต่เริ่มต้นคู่นี้ก่อน จนแข็งแรงเป็นความเที่ยง ความเที่ยงกับความไม่เที่ยงอธิบายได้ยากมากเป็นความเที่ยงของความสูญ

ศาลานี้ว่างจากช้าง สูญจากช้าง แต่ก็ยังมีคนมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยจิ้งจกตุ๊กแก ในศาลานี้แต่ช้างไม่มีแล้วมันใหญ่จนจะเท่าศาลานี้ ก็ทำให้ศาลามันเล็กลง ช้างไม่มี ตัวคนเราน้อยลงตัวเราน้อยลง ช้างอยู่ไม่ได้ แต่ช้างก็อยู่ของช้างไป เราก็รู้นิสัยของช้าง เอาช้างมาใช้เป็นตัวงานได้ พูดไปจะหาว่าไปจับช้างมาใช้งานอีก อาตมาไม่ต่อแล้ว

คุณสามารถทำได้ให้ตัวไม่เที่ยงเป็นตัวเที่ยง กิเลสลดลงได้อย่างเที่ยงไปเรื่อย ลดมากยิ่งขึ้น เรียกว่า วิราคานุปัสสี กิเลสจางคลายไปเป็นลำดับ จนกิเลส หยาบ กลาง ละเอียดหมดไป คุณก็อ่านบทบาทว่ามันไม่มีแล้วไม่เหลือแล้วไม่มีอาการ เมื่อกระทบสัมผัสกับเหตุปัจจัยอย่างไรๆ ก็รู้ตัว แน่นอน หากไม่รู้ตัวมาทีเผลอมันก็ไม่มีกิเลสอย่างเป็นอัตโนมัติ เป็นตัวที่หลุดพ้นอย่างมีฤทธิ์มีอำนาจ อะไรมาแตะ มีพลังงานกัมมันตรังสีช่วย ไม่มีภาษา ไม่มีชีวะมากั้นได้ เป็นอธิปไตยเป็นบารมีเป็นรังสี อะไรเข้าใกล้ไม่ได้ แค่ราศรีรังสีเหล่านี้ พวกคุณเข้ามาก็แตะไม่ได้สัมผัสไม่ได้ เข้ามาหาตัวเราไม่ได้ แม้จะมาใกล้ก็มีสิ่งที่กั้นไว้ มีสิ่งที่ไม่มีชีวิตสิ่งที่มีชีวิตล้อมรอบ เรียกว่าพลังงานล้อมรอบนี้ พูดเป็นพยัญชนะก็คือ วัลลภ คือผู้รับใช้ พลังงาน ว คือธาตุ ย ร บ ว ส ห ฬ อํ วัลลภ คือผู้รักษาผู้รับใช้

ผู้ที่ปฏิบัติศึกษาอานาปานสติสูตรไล่มาตั้งแต่สติปัฏฐาน 4 เพราะฉะนั้นอานาปานสติไม่ใช่ไปนั่งดูลมหายใจเข้าออก แต่คุณต้องปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เป็นข้อต้นด้วย ข้อต้นที่ 1 ของสติปัฏฐาน 4 ก็คือกายด้วย คุณต้องรู้ทั้งรูปธรรมนามธรรม แล้วจะต่อมาถึงเวทนา

เวทนาก็มี 2 เวทนาเป็นแกนหลักของกรรมฐาน คุณทิ้งเวทนาไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะแล้วเกิดเวทนา ก็ยกทิ้งเลย อาตมาแตกหักเรื่องนี้ไม่รู้กี่ทีแล้วไม่ยอมแตกหักอีก ทำไมมันแข็งและด้าน ตีเท่าไหร่ไม่แตก เพราะฉะนั้นปิดประตูเลยไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่มีเวทนา ประกอบรูปนามไม่ได้ไม่รู้จักเวทนา คุณต้องสัมผัสแล้วต้องยอมรับ สัมผัสแล้วมันเกิดเวทนา พระพุทธเจ้าก็สอนว่าเป็นเหตุปัจจัย หากคุณหลับตาแล้วก็หนีผัสสะ ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลยไม่ได้ศึกษา มันไม่มีตัวจริงให้คุณศึกษา คุณก็ต้องไปนั่งเทียนสร้างเอาเอง มันไม่ใช่ของจริงของจริงต้องมี อาโลกะ มีดวงดาวมีพระอาทิตย์ส่องแสง สัมผัสร่วมรู้กับคนอื่นได้มีข้างนอกข้างในครบ ถ้าหากรู้อยู่แต่ข้างในปั้นพระอาทิตย์เองมีแสงเองสีอะไรต่างๆของคุณเอง อันนั้นมันเป็นแสง ไม่ใช่อาโลกสัญญาที่ต้องมีแสงสว่างจริง พูดกับคนอื่นรู้เรื่องต้องมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง(อาโลกะ) พระพุทธเจ้าตรัสรู้ต้องมีจักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างนี้เป็นต้น

สรุปเข้าไป สติปัฏฐาน 4 เมื่อคุณปฏิบัติธรรมให้เกิดกาย แล้วก็เกิดจิตที่หลัง กายก็ระงับ ระงับอะไร ระงับอภิชฌา และโทมนัสเสียได้

เรากล่าว ลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็คือกายชนิดหนึ่ง มันระงับ กายในกาย ให้มีความรู้สึกรู้ตัวทั่วพร้อมมีสติกำจัดอภิชฌา ที่ในกาย หรือกำจัดโทมนัส

อภิชฌาคือสิ่งที่พึ่งมาให้แก่ตน โทมนัสคือตระกูลพวกเศษใจตระกูลโทสะ

ระงับ บวกกับลบ ในคู่ที่มันมีกิเลสผลักกับดูดที่มันเป็นกิเลส อภิชฌาดูด โทมนัสผลัก

เอาอันนี้ออกได้เป็นลำดับๆไป กำจัด อภิชฌาวิสมโลภะ และกำจัดโทมนัสได้อยู่ วิหารติ เรากล่าว ว่า ลมหายใจเข้าออกว่าเป็นเวทนาชนิดหนึ่งในพวกเวทนา ที่ได้สงบกำจัดพวกนี้ไปแล้วว่าดับเย็น ปัสสัมภยังสงบได้แล้ว แล้วคุณก็ต้องทำจิตให้เป็นอภิปปโมทยังจิตตัง แล้วทำจิตร่าเริงพออาศัยหากมันเหี่ยวเฉาไม่มีกำลัง ถ้าหากมันร่าเริงก็จะมีกำลังดีใช้ได้ ก็ทำไป สั่งสมให้อยู่ในสัดส่วนที่สมดุลพอดีให้แข็งแรงตั้งมั่น ว่าเราจะตั้งจิตมั่น ไม่ใช่ที่เราว่าเป็นผลจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

ที่ว่าเราจะตั้งจิตมั่น หายใจ  เข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักตั้งจิตมั่น  หายใจออก  ว่าเราจักตั้งจิตมั่นหายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเปลื้องจิต  หายใจออก  ว่าเราจักเปลื้องจิต  หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยงหายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัดหายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส  หายใจเข้า  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส  หายใจเข้า

ทำอย่างนี้เปลื้องจิตได้แคล่วคล่องว่องไว มันต้องนิพพิทาก่อนก็มีความเบื่อหน่ายกิเลสก่อน คือเห็นโทษมันก่อน ภังคานุปัสสนาก่อน เห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับ มันสลายไปไม่มีตัวตนในที่สุดแล้ว แต่คุณก็ไปยึดถืออันนี้แหละความโง่ คือ ภยตูปฐานญาณ เป็นเรื่องของความดักดานน่ากลัว ที่ไม่เข้าใจชัดในเรื่องนี้ ก็ต้องเห็นโทษที่คุณยังติดยึด ยังอาลัยอาวรณ์มันอยู่

ต้องมีอาทีนวะ คือ มันเป็นโทษไม่ใช่คุณ คุณชัดเจนด้วยตัวอย่างปัญญาว่ามันเป็นโทษเป็นภัยก็เห็น ภังคญาณคือให้มันพังไปหายไป เป็นภยตูปฐานญาณเป็นภัย เป็นโทษ อาทีนวญาณ เป็นความเป็นภัยเป็นโทษ

มันเป็นภัยคือสิ่งที่ไม่น่าเข้าใกล้ ไปเข้าใกล้มันก็เป็นโทษต่อเรา โทษนี้ใกล้กว่าภัย ภัยนี่ห่างกว่าโทษ มันเป็นภัยก็อย่าไปใกล้ หลีกห่างเป็นโยชน์เลยนะ มันไม่ดีนะ เสร็จแล้วคุณชัดเจนภัยโทษนี้ คุณก็ไม่เอาแล้ว นิพพิทา ปัญญาหรือความฉลาดคนรู้จริงเห็นจริงเหมือนเด็กน้อยที่รู้ว่าไฟมันร้อน แตะเข้าก็ร้อน คุณรีบเร่งเอาออกเลย นี่เป็นญาณข้อที่ 4 ของพระโสดาบัน แตะไฟร้อนรีบหดมือเลย ไม่เกี่ยวข้อง อสังคณิกา คนละพวกกับเราเลย

เมื่อประสิทธิภาพของ นิพพิทามากขึ้น คุณก็เปลื้องปล่อย เอามันออกไปเรื่อยๆลดมันออกไปเรื่อยๆคุณก็ทำอย่างนี้อย่างเป็น ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ทำทวนไปทวนมา ทำอย่างนี้แหละให้เกิดศึกษาอย่างนี้จนเป็นสังขารุปเปกขาญาณ ปรุงแต่งซ้ำซ้อนอย่างนี้จนเป็นอุเบกขาที่สังขาร มันปรุงแต่งกันอยู่แต่มันมีอุเบกขา ปรุงแต่งสังขารกันอยู่แต่มันมีอุเบกขา มันเฉยๆกลางๆว่างๆ มันกลางว่างเฉย ไม่บวกไม่ลบ ไม่ทุกข์ไม่สุขเกิดเป็น อุเบกขา มั่นคงแข็งแรง เกิดอุเบกขาอย่างรอบถ้วนเรียกว่า ปริสุทธะ ปริคือรอบ สุทธะคือเก่ง คือเก่งรอบ

เอา พลังงาน ส มาเป็น static แล้วตัวความเก่ง อิทธิ อุทธิ เป็นสุทธิ (พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้ฟัง อภิธรรมอานาปานสติ ที่ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาดูลมหายใจเข้าออก แต่จะต้องทำสติปัฏฐาน 4 เป็นเบื้องต้น มีโพธิปักขิยธรรม 37 ไล่เรียงมา มีสัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 แล้วก็มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา จนขนาดเจริญอสุภสัญญา อนิจจสัญญา ทำให้สติปัฏฐาน 4 เจริญโพชฌงค์ 7 เจริญจนเกิดวิชชาและวิมุตติจึงจะทำได้อย่างนี้ พ่อครูก็ไล่ว่า มีปีติ จะทำการปล่อยอย่างไร

 

พ่อครูว่า...เราทำสังขารุเปกขาญาณได้ เป็นอุเบกขาที่เจริญขึ้น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุจะเร็วในการปรับการรู้ ยิ่งเก่งมุทุจะมีกรรมการงานที่ดีมากขึ้น จะเป็นกัมมัญญาที่เก่งขึ้นๆ สามารถทำกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์คุณค่าดีมากขึ้นเรื่อยๆไม่มีการเปื้อนไม่มีการเลอะ มีแต่สะอาดผ่องแผ้วเป็น ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ผ่องแผ้ว ผุดผ่องสะอาดบริสุทธิ์ตลอดเวลา ตัวที่ 5 เป็นตัวฐานที่ชื่อว่าสะอาดบริสุทธิ์ แม้ว่าจะต้องทำงานจะต้องเปื้อน จะต้องเกี่ยวข้องกับสัตว์นรก จะคลุกคลีกับสัตว์นรกอย่างไร สัตว์นรกก็ทำอะไรคุณไม่ได้

ห้าองค์ธรรมของอุเบกขาเจริญ สั่งสมเป็นมุทุภูตธาตุ ธาตุตัวกลาง​ ฐานจิตตัวสำคัญ ตัวมุทุภูตธาตุนี้ ซึ่งจะต้องรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ของธาตุจิตตัวนี้ให้สำคัญเวลาปฏิบัติกับรูป 28 นาม 5 เป็นตัวทำงานถึงขั้น

ในวิการรูป 5 วิการคือวิเศษ วิสุทธิ์ วิมุติ วิชชาก็ได้ วิการรูป 5 ก็ยิ่งเกิด ลหุตา มุทุตา กัมมัญญา มุทุกับกัมมัญญะจะเป็นคู่กันไปเรื่อย

เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ เป็นวิการรูป 5 มี ลหุตา มุทุตา กัมมัญญา กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ออกมาข้างนอกเป็นกายกรรมวจีกรรม ถ้าอยู่ภายในเป็น วิญญัติ เรียกว่านี่เป็นกาย วาจา วจี อยู่ภายใน ถ้าวิญญัติ เป็นตัวกายนอกก็ได้ในก็ได้ ออกมาข้างนอกเป็นกายกรรมวจีกรรม กายวิญญัติวจีวิญญัติ จะเป็นวจีสังขารก็ได้ยังไม่ออกมาเป็นลีลาอะไรออกมา จะออกมาเป็นคำพูดง่ายกว่า ก็จึงเรียกอันนี้ว่า เป็นตัวสภาพจริงๆของมัน เป็น เป็นปฏิฆสัมผัสโส เป็น ปฏิ คือ Action Reaction พลังงานบวกลบดำเนินอยู่เคลื่อนไหวได้ เป็นก้อน ฆ เป็นแกน Static ส่วน ปฏิ คือ Dynamic คุณสัมผัสสามเส้านี้ได้เป็นวจีสังขาร แต่ยังไม่มีภาษานะ จนคุณจะตั้งภาษาขึ้นมาเป็น อธิวจนสัมผัสโส

หากไม่ได้ตั้งชื่อเลยก็เรียกไม่ได้ ก็เป็นแต่จิตสังขารที่เป็น ปฏิฆสัมผัสโส ก็ไม่เป็นอธิวจนสัมผัสโส จนกว่าจะตั้งชื่อเรียกชื่อได้แม้จะมีสภาวะแล้ว

สภาวะนี้คุณจะทำให้มันคลอดออกมาภายนอกหรือยังไม่คลอดออกมาภายนอก หากยังไม่คลอดออกมาภายนอกมันก็ยังอยู่ในครรภ์อาจจะฝ่อตายหรือแท้งไป ถ้าไม่ฝ่อตายก็เอาออกมาจากครรภ์ ครรโภทร อันนี้ อธิบายในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 หยั่งในครรภ์ แล้วจะคลอดออกมา คลอดแล้วจะเลี้ยงจนตายหรือจะโต วิญญาณจะเข้ามาหยั่งลง แล้วจะคลอดออกมาหรือไม่คลอดออกมาแล้วจะเลี้ยงโตขึ้นไปได้หรือไม่อีก อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 นี่แหละมีทั้ง อาการ ลิงค นิมิต อุเทส มีทั้ง เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ในพระไตรปิฎกเล่มนี้

ที่อาตมาอธิบายไปต่างๆนานาพวกนี้ บัญญัติมีให้อาตมา ค่อยยังชั่วที่ได้ใช้บัญญัติตอนนี้ เพราะเขายอมรับตำราคัมภีร์นี้ด้วย หากไม่ยอมรับนับถือพระไตรปิฎก เราก็พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ยอมรับแล้ว พูดกันก็ยังรู้เรื่องก็ยังค่อยยังชั่ว เอาไปปฏิบัติก็จะได้เป็นเองมีเองจนพ้นทุกข์เอง เป็นสุขเอง มาเป็นคนจนเอง เป็นคนจนที่รู้จักพอ มีอย่างนี้สบาย ชีวิตมีอย่างนี้พอ ใช้แรงงานเท่านี้มีความสามารถเท่านี้ ก็เป็นประโยชน์เป็นคุณค่าเป็นผู้ที่เจริญ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ชัดเจนทุกอย่าง ผู้ที่มาอยู่อย่างนี้จึงเป็นความอิสระเสรี คุณตัดสินเองไม่มีใครบังคับเป็นเรื่องของคุณทั้งนั้น จริงๆแล้วคุณมาอยู่พัฒนาไปก็จะได้อาศัยพวกนี้ จิตใจของคุณก็มีพัฒนาการเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน

ประโยชน์ตน หากเป็นพระป่าดีนะ นี่มันไม่ใช่ ของพระพุทธเจ้ามีประโยชน์ตนประโยชน์ท่านตลอดเวลา แม้ที่สุดตายก็เป็นธรรมะ 2 เป็นประโยชน์ ท่านสมณโคดมก่อนจะตายก็ยังมีคนจะเข้ามาฟังธรรมะอีก คนก็บอกว่าปล่อยให้ท่านตายอย่างสงบหน่อย ท่านก็ว่าปล่อยให้เขามาเถอะ สุภัททะเป็นคนสุดท้าย มันจะต้องเป็นเรื่องเป็นรูปอย่างนี้เราก็ไม่ได้ขัดแย้ง อาตมาจะต้องเป็นนายรัก รักพงษ์ จะต้องมาเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้มันไม่ใช่

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้ต้องไปฟังทบทวน พ่อครูอธิบายรายละเอียด

พ่อครูว่า..สรุปว่าพวกนั่งหลับตาก็เหมือนพวกไปทำลายตาให้ตาบอดหูหนวกจึงจะบรรลุธรรม แบบนั้นมันเป็นเรื่องที่ผิด


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:07:49 )

610917

รายละเอียด

610917 เดินทางไกลข้ามทางทุรกันดารต้องอ่านเวทนา 108

พ่อครู : พ่อแม่ลูกเดินทางในทางทุรกันดาร แสวงหาที่หมาย เสบียงหมด ฆ่าลูกกิน

 

สมณะดินไท : ต้องจำใจขนาดไหน

 

พ่อครู :  ฆ่าลูกกิน ทำเป็นเนื้อแห้งเนื้อย่างไป  กินไป ฆ่าลูกตัวเองกินแล้วยังบ่น โอ๊ยลูกเราไปไหนหนอ ลูกเราไปไหน      หนอ อย่างนี้เป็นต้น นิทานของท่าน

 

สมณะดินไท : อันนี้คือกินด้วยความมัวเมา 

 

พ่อครู : ซับซ้อน

 

สมณะดินไท : มัวเมาหรือว่ากินไปร้องไห้ไป

 

พ่อครู : คือไม่รู้ตัวไม่รู้เรื่อง ไม่รู้อะไรเลย รู้แต่ว่าจะไป อวิชชาทั้งนั้น ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำอะไรแล้วก็ไม่รู้ว่าทำอะไร  คือเลอะเทอะไปหมด คิดเห็นแก่ตัวอย่างเดียว อย่างอื่นไม่คำนึงเลย เป็นความรักมิติที่ 1  อย่างเดียว เพราะว่าเอาแต่สามีกับตัวเอง แม้แต่ลูกก็ฆ่า

 

สมณะดินไท : ไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่า  สามีหรือว่าภรรยาเป็นคนฆ่า ใครจะเกี่ยงกันหรือเปล่า

 

พ่อครู : ฆ่าด้วยอะไรมันไม่บอก บอกไว้กลางๆ ว่า ฆ่าลูกถึง 2 คน ร่วมกันฆ่าลูก ด้วยความหมาย ฆ่าลูกตัวเองทั้งสองคน เพื่อผลที่ตัวเองจะมีชีวิตอยู่ เพื่อเดินทางไปสู่จุดหมายที่เราต้องการ แม้ทางทุรกันดาร แต่เขาไม่ได้บอก ด้วยซ้ำไปว่าหมายที่จะไปนิพพาน  ไม่ได้บอกด้วยว่าจะไปไหน

 

สมณะดินไท : จริงๆเขาน่าจะหมายไปนิพพาน

 

พ่อครู : ไม่ ไม่มีทุกทิศทาง ไม่รู้ว่าจะไปไหน เดินทางในทุรกันดาร ไปตะพึดตะพือ ไปโดยไม่มีจุดหมาย แต่ก็เดินลำบากลำบนไป ไปจนกระทั่งไม่มีอะไรจะกินหมดสัมภาระ ไปไม่มีจุดหมายทางทุรกันดาร ต่อสู้ชีวิตของคนเราต้องมีจุดหมาย จุดหมายของเขาก็คือโลกธรรม ไอ้ที่ไม่มีสาระอะไร มีแต่ความหลอกลวง นั่นคือการดิ้นรน

 

สมณะดินไท :  เปรียบเทียบกับพวกเรามาปฏิบัติธรรม แต่บางทีเราเหมือนกับไม่รู้เหมือนกันนะ รู้ในภาษา ที่พ่อครูว่ามุ่งไปสู่นิพพาน

 

พ่อครู : เรารู้จุดมุ่งหมาย  เรารู้จุดหมาย  เรารู้เหตุผล เรารู้วิธีปฏิบัติ นี่ไม่รู้อะไรเลย รู้แต่ชีวิตมี ชีวิตอยู่ ชีวิตไปไปๆๆ  ทำร้ายลูก เอาลูกมาฆ่า ฆ่าลูกกิน แล้วยังไม่รู้ว่าฆ่าลูกกิน แล้วยังมาห่วงว่าลูกไปไหนหนอ ลูกที่น่ารักของเราไปไหนหนอ มันไม่รู้อะไรซะเลย งมงายซะจนไม่รู้ ทำอะไรไปก็ไม่รู้ตัว ไม่รู้เรื่องต่างๆ  นี่มันขยายความได้ทั้งนั้นสารพัด

 

สมณะดินไท : ทำยังไงเราจะรู้ถึงหมายของตัวเอง บางทีที่เป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้เพราะว่า ไม่รู้ว่าเป้าหมายของเราไปสู่นิพพาน ทำงานอยู่กับหมู่กลุ่ม ทำไปจะได้ไม่โดนเขาว่า ว่าเราขี้เกียจ ทำไปเพราะรู้ว่าผลงานนี้มันดี มุ่งไปอย่างนี้มากกว่า

 

พ่อครู : ไม่ ก็สอนแล้วว่าจะต้องมีการปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมอยู่ในตัว พิจารณาต่อสัมผัสต่างๆ แล้วรู้เวทนา แล้วก็พิจารณา แล้วก็ปฏิบัติ รู้จักการปล่อยวาง รู้จักการเชิงเกิดให้เกิดปัญญา ให้เกิดรู้อะไรคืออะไร กิเลสเป็นยังไง อย่าให้เกิดอาการของกิเลสอาการของเวทนา อาการของตัณหาอุปทาน แล้วก็สร้างพลังงานจุล หรือพลังงานฌานในการกำจัดกิเลส จนกิเลสมมันลดก็เห็นกิเลสมันลด ก็เป็นบุญ บุญคือภาวะที่ทำให้กิเลสก็ได้ ได้ทีละน้อยก็คือได้ที่ละส่วนบุญ บุญภาพไปตามลำดับ ปุญญภาคิยาไปตามลำดับ หมดเลยกิเลสดับ อาการดับก็รู้ว่าอาการกิเลสมันไม่มีอาการเลย

แม้จะเป็นตทังคปหาน เป็นการปหานแต่ละครั้ง กิเลสมันเกิดมามีอาการเต็มที เสร็จแล้วอาการกิเลสมันก็จางคลายจากการช่วยกันดับ ดับแล้ว ก็นิสสรณปหานต่อไป ทำไปเรื่อยๆ ก็เป็นจุดสำคัญในการปฏิบัติ หรือธรรมะ 2 ทำให้เป็นธรรมะ 1 ให้มันเหลือแต่เวทนาที่มันไม่มีกิเลส เวทนาแท้ ตาเห็นรูปอาการเกิดในจิตก็มีแต่รู้ ไม่ได้มีความชอบหรือไม่ชอบ ความสุขความทุกข์ อยากได้ไม่อยากได้ รู้แต่กาลอันควร ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัสอะไรก็ปฏิบัติเป็น จัดการเวทนาในเวทนา  เป็นผู้รู้ในเวทนา 108 ทำเคหะสิตให้เป็นเนกขัมมะจนถึงอุเบกขาฐาน ฐานนิพพาน แล้วทำอันนี้ทำซ้ำทำไป จนสั่งสมเป็นอดีต ทุกปัจจุบันจนกระทั่งเก่ง อนาคตจะมาอีกมาเลย มาขนาดไหนเวลาไหนยังไง ยังไงก็สูญ อาตมาว่าอาตมาได้อธิบายหมดแล้วนะ จนกระทั่งอาตมาเก๊งเก๋งทุกวันนี้ จำได้หมด

 

สมณะแสนดิน : อธิบายหมด แต่พวกเรายังไม่เก่งตาม

 

พ่อครู : อธิบายซ้ำซากจน

 

สมณะแสนดิน : แต่มันก็มีมุมที่เพิ่มขึ้น รายละเอียดที่บางคนไม่เคยได้รู้

 

พ่อครู : มันเกิดการสัมพัทธ์ เอาอันนั้นมาช่วย เอาหมู่นี้มาช่วย จับนั้นมาช่วย จับนี้มาช่วยขยายกัน

 

สมณะแสนดิน : แม้แต่พลังปิระมิดยังช่วย master kaisen ภาษาอะไรที่คนเขาถูกจริต วันนี้แฟนพันธุ์แท้  คอยติดตาม

 

 

ถอดข้อความโดย  อุทัย    


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:08:53 )

610917

รายละเอียด

610917 อรหันต์คือบุคคลทวนกระแสโลกคนจึงรู้ได้ยากมาก (ทุกข์คือแกนของความเลว)

กลุ่มอุโบสถศีล สันติอโศก มาสนทนากับพ่อครูยามเช้า 17 ก.ย. 2561

คุณเล็ก : ขอโอกาสครับ พวกเราจัดค่ายอุโบสถศีลครับพ่อท่าน แล้วมันก็ได้อยู่ประมาณ 30 คน 30 คน

พ่อครู     : โอ๊ย ยังดี 30 อ่ะ ที่นี่ได้ 10 คน 20 คน 30 ก็เฮงมากเลย ได้ถึง 30 เฮงมาก

คุณเล็ก  : ก็จะมีเพื่อนที่อยู่ค่ายสุขภาพเขาเดินผ่าน เขาก็แซว เขาก็บอกว่า สงสารๆ ดูซินี่อุโบสถศีลได้ 30 คน ของเขาแบบ ได้ 500   700 อะไรอย่างเนี้ย

พ่อครู  :   เป็นธรรมดาธรรมชาติ เพราะว่าพวกเราเนี่ยปฏิบัติธรรมมันเข้าขั้นโลกุตระ ถ้าพูดกัน อธิบายกัน มันก็ๆ เขาเข้า      ไม่ถึงกันอ่ะ มันเป็นธรรมดา ธรรมชาติที่เขาเอง ไม่มีภูมิ ไม่อยู่ในฐานะ มันฝืน แล้วเขาก็ไม่เอา

. แสนดิน    :  อันนี้มันฝืนกว่าค่ายสุขภาพนี่หน่า  มากินมื้อเดียว ตื่นตีสาม  อันนั้นก็กินหลายมื้อได้ ก็ต่างกันเยอะกว่าเป็นธรรมดา

พ่อครู          : แล้วมันเห็นทุกข์ชัดกว่าไง มันทุกข์ของสรีระ ทุกข์ของความเจ็บป่วย

. แสนดิน      : ใช่

พ่อครู   : มันก็เลยอยากหาย ไอ้นี่มันทุกข์อริยสัจ มันลึกกว่ากัน มันก็ไม่เห็น มันก็ไม่รู้ว่าทุกข์อริยสัจคืออะไร แต่ทุกข์ไอ้นี่ มันเป็นทุกข์โลกีย์ มันทุกข์สรีระป่วย เจ็บป่วย มันก็เลย มันก็ต้องมารักษา ไอ้นั่นมันๆ ก็รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรมาก

. แสนดิน      : มันก็ทุกข์ แต่ว่า ไม่เหมือนกัน

พ่อครู         :  ไม่เหมือนกัน ถึงเรียกทุกข์อริยสัจ เป็นทุกข์ที่ลึกซึ้ง เพราะว่าทุกข์อันนี้เนี่ย ถ้าแก้ได้แล้วเนี่ย มันเป็นคนประเสริฐเลย ทุกข์ตัวนี้คำเดียวของพระพุทธเจ้าเนี่ย ยิ่งใหญ่มาก ทุกข์ตัวนี้เกิดจากทุกข์นี่แหละ ความไม่ดี ทุกข์ อกข แกนของความเลว  อกข แปลว่าแกน ทุ นี่คือ กิเลส ความไม่ดี ทุกข์สุข สุขทุกข์

.แสนดิน    :  อกข  อ-ก-ข นี่เหรอฮะ ?

พ่อครู          : อืม  อกข แปลว่าแกน อกข

.แสนดิน    :  ทุ บวก อกข

พ่อครู  : เออ ทุกข์

.แสนดิน    : แกนของความเลว

พ่อครู  :  นี่คือความรู้ของผม ถ้าไปพูดกับทางบาลี เขาบอกว่าบาลีบ้าอะไร ไม่เคยได้ยินแบบนี้ ไม่เคยเห็น เขาไม่มีทาง แต่ไม่รู้นะ เขาอาจจะมีบางคน บางนั่น แจกวิภัตติแบบนี้ก็แล้วแต่ ว่าใหญ่เลย ทำเป็นรู้  แหม..แจกแยกวิภัตติ.. sea season นะ มาจากน้ำทะเลกับพระอาทิตย์กับลูก  เขาไม่ใช่ ไปแยกงั้นได้ไง season ก็แปลว่าฤดูกาล จะไปบอกว่าลูกน้ำทะเลได้ไง ก็จริงของท่าน

.แสนดิน    :  แต่ถ้าเป็นๆ ความหมายจริงๆก็น้ำทะเลมันระเหยขึ้นไป กลายเป็นไอ เป็นเมฆฝนหล่นลงมามันก็ทำให้เกิดการหมุนเวียนของฤดูกาลเป็นฝน ก็แปลได้

พ่อครู  :  มันเกิดการหมุนเวียน season มันเกิดการหมุนเวียนของระหว่าง น้ำและเกิดจากมีแม่มีพ่อทำให้เกิดน้ำ น้ำอันนี้ก็เดินทาง

.แสนดิน    :  ได้เหมือนกัน

พ่อครู  :  ท่านไม่เข้าถึงสภาวะท่านประยุทธ์ ท่านเรียนมากท่านควรจะเป็นอรหันต์นานแล้ว อะไรอย่างเนี้ย ถ้าอย่างที่ท่านเรียนมันควรเป็นอรหันต์นานแล้ว เพราะท่านเรียนรู้มาก รู้หมด แต่ไม่รู้เลย

.แสนดิน    :  ท่านก็ไม่ได้มีท่าทางจะประกาศ พ่อท่านก็ประกาศ ท่านรู้มากแต่ท่าน

พ่อครู  : ก็ถ้าท่านไม่ประกาศสิ  ถ้าท่านจะประกาศๆ ได้ไง ไม่ได้ โสดาท่านก็ไม่รู้ ขนาดที่จะเป็นตัวดาบแท้ๆ ปุญ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร ท่านยังรู้ไม่ถูกเลย ท่านยังบอกว่าอปุญญาภิสังขาร นี่คือบาป  อ้าว.. ปุญญาภิสังขาร ท่านก็ไม่รู้สภาวะจริงว่า มันๆ คือดาบ คือการฟัน คือการฆ่า นักรบออกสนามรบแล้วก็รบได้ รบจนกระทั่งสำเร็จผล หมดอาวุธ หมดตัวตน อปุญญา ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่นักรบก็หาย ดาบก็หายไป อาวุธก็หายไป ข้าศึกก็หมดไป หายไปหมดเลย ศูนย์ อปุญญาภิสังขาร ท่านไม่เข้าใจสภาวธรรมถึงเป็นเช่นนั้น

.แสนดิน    :  คำพูดที่บอกว่าอรหันต์เป็นอรหันต์แล้ว ใครบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์คนนั้นไม่ใช่อรหันต์ มันทำให้คนติดอย่างนี้มา

พ่อครู  : ใช่ เพราะนั้นคนก็เลยเป็นอรหันต์เดา

.แสนดิน    :  ก็ดู comment ที่เขามา comment ที่พ่อท่านประกาศอรหันต์เนี่ย จะมี comment ประเภทความคิดแบบนี้เข้ามา

พ่อครู  : นั่นแหละ ก็สอนกันมาแบบนี้ ก็เชื่อกันนับถือกันมาแบบนี้ ก็เลยกลายเป็นอรหันต์เดา ใครเป็นอรหันต์ก็บอกตัวเองเป็นอรหันต์ไม่ได้ ต้องเดาเอา เดาเอา ก็กลายเป็นความที่ไม่รู้ มันเป็นคลุมเครือ ไม่ชัดเจนอะไรต่างๆ อรหันต์บอกอรหันต์นี่มันไม่ได้ผิดอะไรเลย ปาจิตตีย์ก็ไม่ผิด เพราะว่าอรหันต์ท่านบอก ท่านก็ต้องบอกที่ควรบอก ผู้ที่ควรบอก ก็บอกไปแล้ว ก็บอกไปโดยที่ไม่ต้องขอก็ได้ ควรบอกก็จะได้ชัดเจน หรือว่าท่านเอง ท่านยกสติวินัยแล้วท่านจะมีอาบัติอะไรล่ะ ก็ท่านเป็นผู้ที่ไม่ผิด ท่านจะทำอะไรก็ไม่ผิดแล้วสติวินัย ท่านมีสติสัมปชัญญะปัญญาที่จะทำอะไร ยกให้ว่าท่านรู้ความเหมาะควรทุกอย่างแล้ว คนที่ยังไม่เป็นอรหันต์จะไปจับผิดท่านได้ยังไง จะไปจับอาบัติท่าน อ้าว... ก็ท่านเป็นอรหันต์แล้วอ่ะ คุณยังไม่เป็นอรหันต์อย่าไปจับอาบัติท่าน แม้คุณจะมีมวลตั้งเป็นล้านคนก็จะไปจับ มันจะไปจับได้ยังไง  ส่วนอรหันต์ท่านก็ไม่มีปัญหาอะไร พูดกันท่านก็พูดกันธรรมดา ปัจจเวกขณะข้อที่ 10 ก็บอกอยู่แล้วว่า บอกได้ ไม่บอกสิผิด ถามแล้วไม่บอก มังกุ เก้อๆ เขินๆ อ่ะ ผิด แสดงว่า ไม่ใช่ ถ้าใช่ มันๆไม่เห็นจะยากอะไร เป็นแต่เพียงว่ารู้กาละอันควร อย่างผมๆก็พูดในพวกในเรา พูดต่อสาธารณะก็ พ.ศ. อะไรนะ 38 ใช่ไหม? ที่พูด 37 หรือ 38 ที่...

.แสนดิน    :  ที่ศาลีอโศกเหรอฮะ ?  น่าจะไม่นานมานี้นะฮะ ประมาณ 58

คุณเจมส์    :  58 คสช.

พ่อครู  : 58

.แสนดิน    :  58 คสช.

คุณเจมส์    :  วันที่ 1

พ่อครู  :  58 อ๋อ .. วันที่ 1  58  วันที่ 1 มี.ค. เหรอ?

คุณเจมส์    :   1 มีนา

พ่อครู  :  ก็ไม่ได้ไป ก็รู้จักกาละอันควรอยู่ พวกเราก็ว่ากันไป อย่างย่อยๆ ก็พูดกันไป กว้างๆก็พูด แต่ว่ามัน มันก็ไม่ได้เพราะว่าออกอากาศแล้ว เราก็ไม่เคยพูดออกอากาศ ก็ไปพูดเอาวันที่ 1 มีนา 2558 อะไรเงี้ย ก็ไม่ได้ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่รู้จักกาละอันควรอะไร ก็รู้ แต่คนจะใส่ความคนจะว่าก็ว่าไป

.ดินไท    :  ที่ว่ายกสติวินัยเนี่ยคือ ไม่ปรับอาบัติ แต่ว่าไปทำงานทำการอะไรนี่ก็ผิดได้พลาดได้

พ่อครู  : แน่นอน พระอรหันต์ไม่ใช่ว่า ผิดไม่เป็น

.ดินไท    : ใช่ ผิดพลาดได้ แต่ว่าไม่ผิดวินัย

 

ในสวนดาว ถอดความ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:09:45 )

610919

รายละเอียด

610919_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิบัติธรรมะ 2 ส่องให้ทะลุอนุสัย

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1l2u6zG6HuHI3R6TMd33NbJjbF9z_YxyqCjGAZlPp_00/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1YNIIdI2_Ri9oEA2ojXO1WHrQ9Mm5brJm

 

สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 19 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ไม่กี่วันที่ผ่านมาเราได้ประชุมกันเรื่องจัดงานมหาปวารณา 48 พรรษาโพธิกิจ 84 ปีพ่อครู และจะมีงานวันดินโลก 5 ธันวาฯ และมีงานเพื่อฟ้าดินปีใหม่อีก เราก็เลยว่า เราจะจัดฉลองกันไปจนถึงปีใหม่เลย

กิจกรรมหลักก็มีเรื่องของชุมชน 5 วัน 6 -10 พ.ย. 2561 งานนี้พ่อครูว่ามีการแสดงออกที่หลักๆคือ 1.ผลงานของโพธิกิจของพ่อครู 48 พรรษา หลังงานเราจะมีตลาดเท่าทุนต่อไป จริงๆแล้วจะว่าขาดทุนก็ได้ เพราะว่าเราซื้อมาเท่าไหร่ขายเท่านั้นโดยไม่รวมแรงงานและค่าขนส่ง มีร้านสินค้าชุมชน ชุมชนไหนมีสินค้าที่เป็นตัวเด่น ได้รับความนิยมมากกว่าสินค้าตลาดก็นำมาเปิดกิจการอยู่ที่บ้านราชฯ และจะมีร้านสินค้าที่เป็นสินค้าโดนใจชาวบ้าน อีกส่วนหนึ่ง ทั้งหมดจัดถึง 7 ห้องของอาคาร บวร ห้องละ 120 ตรม. รวม 840 ตรม. ใหญ่กว่าอาคารเฮือนศูนย์สูญ ได้แค่ไหนก็มาดูกันก็แล้วกัน

ในช่วงงานจะมีแค่ชาวบ้านราชฯอย่างเดียวคงไม่พอ จะมีพี่น้องชุมชนใหญ่ๆมาหมุนเวียนกันมาอยู่ร้าน จนกว่าจะสิ้นปี เป็นเหตุการณ์คร่าวๆ ผู้ใดคิดว่าจะมาสมทบแรงกายแรงใจก็มาร่วมกัน เราเคยบำเพ็ญกันเฉพาะช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ตอนนี้เราขยายเวลาการบำเพ็ญอีก (พ่อครูว่า... สองเดือนเอง) ทำให้ความหวังของพ่อครู ที่จะเห็นคนมาเป็นพันก็คงจะใกล้เคียง (พ่อครูว่า... ถ้ามีคนเป็นพันอยู่ในชุมชนนี้ 2 เดือนจะเข้าใจรู้สึกดีกัน)

 

พ่อครูว่า…มาโอภาปราศรัยกับ sms

_จาก ประกายทราย ค่ะ ก่อนหน้านี้ ได้เข้าคอร์สปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิมาบ้าง พบว่า ทำให้สงบได้บ้างแบบกดข่ม ไม่ค่อยได้วิปัสสนา และวิปัสสนาไม่เป็นเลย ทำให้เป็นคนใจร้อน และเชื่อเรื่องผีอยู่

หลังจากได้ฟังธรรมะพ่อครู ประมาณเกือบ 2 ปี แรกๆฟังไม่รู้เรื่องเลยค่ะ ณ ตอนนั้น ไม่เคยรู้จักชาวอโศกเลย ฟังไม่รู้เรื่องถึงขนาดคิดว่า พ่อครูพูดมั่วหรือเปล่า แต่ดูจากหน้าตาผู้ฟังในทีวี ดูตั้งใจ การถามคำถามดูเข้าใจ ท่านสมณะรูปอื่นๆเทศน์ก็เข้าใจง่ายดีมากค่ะ ฟังไปเรื่อยๆโดยไม่เข้าใจบ้าง เข้าใจบ้าง พบว่า มีอุเบกขาเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการปฏิบัติแบบนั่งสมาธิค่ะ และเริ่มเข้าใจแล้วค่ะ

ตอนนี้ มีแต่ความอยากจะให้คนอื่นมาเข้าใจพ่อครูบ้าง จะได้เป็นประโยชน์ต่อโลกนี้มากๆ

พ่อครูว่า…คนที่มีอาการอย่างนี้ไม่ได้ประหลาดอะไรเป็นเรื่องธรรมดา มันจะเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าไม่ได้ตัดขาดจากอาตมาง่ายๆตอนแรกๆ หาว่าอาตมามั่วหรือบ้าๆบอๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเลยตามมาเรื่อยๆก็จะได้

 

_รักนะ เดอะโซปเมคเกอร์ ...ขออนุญาติถามว่า อาการที่เราลดสักกายะได้ แล้วเราพอใจเรียกว่า เนกขัมมะสิตโสมนัสเวทนา กับอาการที่เราพอใจเพราะเราสมใจในกิเลสเรียกว่าเคหะสิตเวทนา ใช่มั๊ยคะ ถ้าใช่ อาการทั้งสองแบบนี้เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ต้องการคำตอบเพื่อกำหนดนิมิตให้ถูกตัวค่ะ น้อมกราบขอบพระคุณมาด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า…ก็ต่างกันอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ เคหสิตโสมนัสเป็นโลกีย์ หากยิ่งไปเติมให้พอใจชอบใจกิเลสก็ยิ่งหนาและแข็งไปเรื่อย แต่ถ้าคุณเข้าใจว่ามันเป็นสักกายะ แล้วลดละให้มันเป็น เนกขัมมะ คุณก็จะดีขึ้นดีขึ้นเจริญทางโลกุตระ แล้วโสมนัสก็ต้องระมัดระวัง ดีใจ พอใจ อย่าให้มันแรงๆๆขึ้น เป็นปีติสูงขึ้นมากเกิน เดี๋ยวจะสั่งสมแล้วอยากจะควบคุมตัวปีติที่เป็น อุพเพงคาปีติ

สมณะเดินดินว่า...คนที่เป็นเนกขัมมะคงเหมือนคุณประกายทรายที่ว่า ค่อยๆเพิ่มอุเบกขามากขึ้น

พ่อครูว่า...จะมีปฏิภาณรู้ว่าอันหนึ่งมันวุ่นไม่เสร็จไม่จบ อีกอันหนึ่งมันค่อยๆเสร็จแล้วจบไปเรื่อย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สายเจโตหรือปัญญาเปลี่ยนแปลงได้ไหม

_จาก โยคี กราบนมัสการครับท่าน..ฝากถามปัญหาในรายการสัมมะปี๋ชีวิด...ถามว่า..ผมเป็นสายวิตรรกะจริตต้องการเปลื่ยนเป็น..สายปัญญาต้องทำยังไงและถ้าจะเปลื่ยนเป็นเจโตต้องทำยังไง

พ่อครูว่า…จะเปลี่ยนจากวิตักกะเป็นปัญญาได้ยากเพราะว่าวิตักกะจริงๆมันเป็นตระกูลของปัญญา แต่มันเป็นปัญญาฟุ้งซ่านหนักจึงต้องลดด้วย เจโต ลดด้วยศรัทธา สมถะก่อน ไม่อย่างนั้นหยุดได้ยาก ถ้าเรียนให้สมาธิที่จะหยุดได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิจะไปกันใหญ่

 

สายปัญญาจะทำอย่างไรจะเปลี่ยนเป็นเจโต

สายเจโตกับปัญญา ที่พระพุทธเจ้ายังแยกออกเป็นสัทธานุสารี กับ ธัมมานุสารี พระพุทธเจ้าจึงให้มาเอาตามลำดับ วิตักกะจึงต้องใช้เจโตศรัทธาเป็นตัวต้น กดข่มมันไว้ มันดิ้นมากก็ทำไม่ได้ ต้องทำไปตามลำดับ หากจับธรรมะตามลำดับได้ เป็นธรรมะ 2 ทีละคู่ไปตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา คุณจะเริ่มต้นถูกทาง แต่ถ้าเอาจะให้ได้เลยโดยไม่มีลำดับศีลสมาธิปัญญา โดยไม่รู้ว่าเราจะได้ทีละน้อย

หากบอกว่า ปฏิบัติศีลแล้วจะไม่ฆ่าสัตว์จะสังวรการฆ่าสัตว์ มันต่ำเตี้ย เราสูงแล้วขั้นปัญญา คนๆนี้ยากที่จะสำเร็จ เอาตามสูตรพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน

 

_จาก ผู้ชมทางบุญนิยมทีวี นาม เสียงน้ำไหลในสายธาร

#นางดี พูดนัดแนะกับ#นางอ่อนว่า “ทำอาหารที่บูดยากไว้ให้นางดี 1 อย่าง เผื่อไว้ถ้าอาหารครัวกลางไม่พอจะได้เอาไปเสริม  ถ้ามีเกินพอก็เก็บไว้มื้อต่อไปได้”

ต่อมา#นางอ่อนมาบอก#นางดีว่า “#นางสีได้เอาอาหารนั้นไปเก็บไว้ที่ตัวเอง แบบเป็นเจ้าของ”

#นางดีไปขออาหารคืนจาก#นางสี

แต่นางสีก็มีอาการโกรธเคือง  และบอกว่าเขามีสิทธิ์เก็บไว้เพราะเขาก็ทำงานอยู่ที่ฐานเดียวกัน

กราบเรียนถามว่า กรณีนี้ถือว่านางสีผิดศีลหรือเปล่า?

พ่อครูว่า…ก็ถือว่าผิดเพราะนางสีอยู่ในสาธารณโภคีแต่ไปยึดเป็นของตัวเอง โกรธก็ซวยแล้ว ยึดเป็นของตนก็ซวยอีก ทั้งโลภะ และโทสะ สรุปนางสียังแยกไม่ออกเลยในการกระทำว่าอะไรเป็นอะไร

 

_คุณ จุดจุดจุด...กราบเรียนถามพ่อครูว่า...โดยนิสัยของหนู หนูเป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบวุ่นวายเรื่องหึงๆหวงๆ ไม่อยากผูกพันกับชาวบ้าน ขี้รำคาญ และคิดว่าคงไม่ทนสามีแน่นอน ขี้เกียจมีภาระมากมายที่จะมีตามมาจากการมีคู่ ยังไม่รวมถึงมีแล้วจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีของสังคมหรือไม่ นอกจากนี้ อยากทุ่มเทให้อย่างอื่นที่คงจะทำลำบากหากมีลูกมีสามี .... มีคนบอกว่านิสัยอย่างนี้ควรจะไปมีครอบครัว จะได้ขัดเกลาความรักสบาย จิตวิญญานจะได้สูงขึ้น

พ่อครูมีความเห็นว่าอย่างไรคะ แต่สำหรับหนูๆขอไม่แลกความสบายที่มีจากการเป็นโสด กราบขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า...ดีมาก เอาเองนั้นดีแล้วอย่าไปเชื่อเขาเลย ตัวเขาเองคงมีทุกข์แล้วจะให้คนอื่นทุกข์บ้าง หาพวกสิแบบนี้ อาจจะเจตนาดีแต่ไม่เข้าใจก็ได้

ซ้อนๆลึกๆ คนที่พูดแบบนี้คล้ายๆกับริษยา คนนี้มันสบายไม่เหมือนกับเรา มาเป็นอย่างเราบ้างสิ จะได้รู้รสชาติ แต่อาจจะไม่ใช่อย่างนี้ก็ได้อาจจะมองไปแง่ดีว่าเป็นการขัดเกลา

 

_SMS 17 กันยายน 2561 (สำมะปี๋ ซีวิต)

 

_0789กราบนมัสการค่ะ อยากสอบถามค่ะ ทำไมถึงบอกว่าหลวงปู่พุทธทาสเป็นอริยโสดาบันคะ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์เหรอคะ

พ่อครูว่า...อาตมาก็พูดไปตามวิชาการตามที่จริงใจเพราะว่าเขาพูดกันในสังคมอยู่ เคยได้อ่านเคยรับรู้เคยสัมผัสสัมพันธ์กัน

ท่านพุทธทาส อาตมาก็เคยบอกว่าท่านนี้เป็นอาริยะแต่ท่านเข้ากระแสเบื้องต้น เป็นแค่โสดาบัน ที่ยังมีภูมิรู้ในอภิธรรมในธรรมะจิต เจตสิก รูป นิพพานยังไม่ลึก ยังไม่มากพอ ท่านแสดงออกชัดเจน ยังมีภูมิรู้ในเรื่องอภิธรรมไม่พอยังตีทิ้งอภิธรรมที่เขาสอนกัน บอกว่าฉีกทิ้งไป 60 เปอร์เซ็นต์เลยในพระไตรปิฎก โอ้โห หากฉีกทิ้งไป 60% นี้กว่าครึ่งเลย อาตมาว่า พระอภิธรรมแม้จะบกพร่องบ้างก็มีนิดหน่อย อาตมาไม่ได้ตีทิ้ง แล้วยังเอาไปทำแล้วดี ไม่ตีทิ้งดีกว่าเพราะตีทิ้งแล้วจะซวย ท่านว่าอภิธรรมเม็ดมะขาม ท่านกวาดทิ้งเลย

สู่แดนธรรมว่า..ท่านบอกว่า จะฉีกทิ้งมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ แปลว่าท่านไปเจอคำว่าอภินิเวสายะ

พ่อครูว่า...คนที่ยิ่งรู้ 1 จะยิ่งรู้ 2 ยิ่งรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมเข้าหลักธรรมะ 2 ใน 1 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 แล้วเรียนรู้ 1 ใน 2 อีก

แม้แต่สักกายทิฏฐิ ตัวแรกของสังโยชน์ ท่านยังแยกกายในกายไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงเวทนา 2 เวทนา 108 ได้เลย ท่านถึงไม่ไปถึงไหน อาตมายังพูดว่าท่านได้โสดาปัตติมรรคด้วยซ้ำ ท่านยังไม่ได้สรุปผลที่ได้เท่านั้น ขออภัยที่วิจารณ์ท่าน ท่านมีคนเคารพนับถือเยอะ ท่านทำงานมาก่อนอาตมาท่านเป็นผู้ที่เปิดโลกโลกุตระแล้ว ล้างอบายมุข อาตมาต้องขอบคุณท่านอย่างมากอาตมาก็เบาขึ้นท่านตีทิ้งอบายมุขให้ก่อนแล้วก็เป็นคนเปิดโลกโลกุตระ

 

_1614 อนุบาลอยากเป็นหมอ ประถมอยากเป็นนักเขียน ปัจจุบันเพื่อนบอก เป็นคนให้ได้ก่อน ..

ถ้าควรบอกว่า มีศีล 5 ให้ได้ก่อน ถูกต้องไหมคะ

พ่อครูว่า...ถูกต้อง

 

_1614 ทำไมเด็กรุ่นใหม่ที่ดูเหมือนจะไม่นับถืออะไร ความเชื่อ พิธีกรรม แม้แต่ศาสนาดูเป็นเรื่องสมมุติไปซะหมด ถึงดูเดือดร้อนกับการรับปริญญากันจัง หรือมันมีเหตุผลอื่นที่เราไม่รู้ วานบอก โลกใกล้ กลียุคคนจะไม่มีศาสนา ตอนนั้น อะไร จะเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวคะ

พ่อครูว่า…ที่บอกว่าคนรุ่นใหม่ทิ้งศาสนา แม้แต่ความเชื่อพิธีกรรมก็เห็นเป็นเรื่องสมมติไปหมด จริงๆแล้วความเชื่อก็ดีพิธีกรรมก็ดีเป็นเรื่องสมมุติ มันก็ถูกต้องแล้ว เชื่อก็ต้องมาศึกษาให้มันลงไปถึงความจริงที่เป็นความเชื่อที่เราเรียนมา ความเชื่อนั้นยังแยกได้บอกว่า เชื่อถือเชื่อฟังเชื่อมั่น

เชื่อถือคือเชื่ออย่างหลวมๆ เชื่อฟังก็ปฏิบัติตาม เชื่อมั่นก็คือได้ผลตามที่ปฏิบัติ

สมมุติก็ต้องอาศัยบ้าง แต่สัจจะที่เป็นปรมัตถ์สัจจะที่ไม่ใช่แค่สมมตินั้นเข้าถึงความดับสนิทแห่งกิเลส

ประเด็นที่ว่าโลกใกล้กลียุค คนไม่มีศาสนาตอนนั้นอะไรจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ก็บอกว่าธรรมะพุทธเจ้านี่แหละเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ยิ่งถ้าโลกใกล้กลียุคก็ยิ่งต้องเอาธรรมะพระพุทธเจ้าให้เป็นที่พึ่งให้ได้ แล้วคุณจะมีเครื่องยึดเหนี่ยว ถ้าคุณไม่มีเลย หยุดยากเลย คุณจะลอยเคว้งคว้างเป็นอุกกาบาตไปในอวกาศ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าหากปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าจะเป็นตัวของตัวเองไปเรื่อยๆเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำเป็นเครื่องยึดถือ

 

_1614 ใจเราทำไม่ได้ดั่งใจ ใครคนไหนจะทำให้ ๆ ได้ ตรงนี้ จะดูแลอารมณ์ใจดั่งไฟเผา ได้ อย่างไร ใช้เจโต ดีไหม

 

_1614จากข้อความ แหม่ม สวิส ว่า.. “สาธุ ดูคลิปนี้แล้วมีความประทับใจในความละเอียดความเมตตาที่พ่อครูมี พ่อครูไปเยี่ยมร้านสหกรณ์ที่จะเปิดใหม่ ชั้นบนมีอิฐก่อขึ้นสูงประมาณเอว หักมุมเป็นเหลี่ยม พ่อครูก็เกรงว่าคนจะเดินชน มีเมตตาแนะนำเจียขอบให้มน” ...

เมื่อนึกถึงความเมตตากรุณา พ่อครู นำไปเจริญกัมมมฐานคุ้มจิตเวลากลัวภัยได้ไหมคะ

พ่อครูว่า…ได้ เอาเลยๆ

 

18 กันยายน 2561

 

_6956 ระบบเสียงปฐมอโศกใช้ไม่ได้เลย กทมฯ

พ่อครูว่า ปฐมอโศกรับขุมทรัพย์ไประเบิดลงแล้วอะไรมันพังก็ซ่อมเอา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ลาภยศสรรเสริญเป็นอันตรายอันแสบเผ็ด

_1614 พระแท้ เป็นอย่างไรคะและและพระที่โอนอ่อนปล่อยให้ผู้หญิงมาเกี่ยวข้อง หรือเงินมาข้องเกี่ยวก็ยากที่จะรักษาจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วอยู่ได้ ขอถามว่า พระที่ไม่มีจิตเป็นพระจะมีสภาพเดินยืน นั่งนอนจะร้อนรุ่มดั่งไฟที่เผาไหม้จิตลอดไหมคะ

เมื่ออายุเข้าวัยเบญจเพสก็เข้าบวช ก็ยังมีคนกังวลใจเรื่องนี้มาก พ่อครูมีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไรคะ

พ่อครูว่า…มันก็มีหลายชั้น พระที่ท่านทำงานอยู่กับสังคม เงินมาเกี่ยวข้องก็ตาม ผู้หญิงมาเกี่ยวข้องก็ตาม ผู้ที่ยังไม่อยู่เหนือ กาม เหนือผู้หญิงอย่างแข็งแรง แน่นอนก็พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางก่อน เมื่อสามารถสัมผัสได้ก็สัมผัสแต่อย่าไปใกล้ชิดมาก เงินก็ตามผู้หญิงก็ตาม จนกระทั่งแข็งแรงเข้ากันได้บ้างเข้มข้นมากขึ้น จนแข็งแรงเป็นโพธิสัตว์มากขึ้นก็จะ เรียกว่า สบาย เป็นโพธิสัตว์มากขึ้นตามฐานะก็จะรับสัมผัสได้แรงขึ้น เป็นผู้ที่ช่วยงาน แม้แต่ผู้ที่มีจิตไม่ดี เงินก็ตาม มันไม่มีจิตแต่มันก็มีฤทธิ์ ผู้หญิงจะมีจิตก็ตาม ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์อยู่เหนือกว่าได้ก็จะประมาณตนเอง ถ้าไม่ประมาณตนเอง นี่แหละ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้แต่พระขีณาสพ พระโพธิสัตว์ถือเป็นขีณาสพแล้ว เวลาทำงานจะมีอันตรายอันแสบเผ็ดนะ ระมัดระวังให้ดีอย่าประมาท พระพุทธเจ้าท่านเตือนสอนอย่างนี้ ก็ต้องประมาณตน อย่าไปอวดเก่งอวดดีไม่ได้ ตายมานักแล้วพวกที่ประมาท

อีกอันหนึ่งที่ว่า เมื่ออายุเข้าวัยเบญจเพสก็เข้าบวช มีคนกังวลอีกมาก คนนี้ถามเยอะ ยังจะวุ่นวายอะไรอีกเยอะคนนี้ เอาทีละเรื่องๆไปดีกว่า เรื่องต่างๆนานาพวกนี้มันห่างตัวเราหรือตัวเราก็ตัดเข้ามาหา ศีล สมาธิ ปัญญา ตามที่อาตมาสอน ไปตามลำดับ ไม่เช่นนั้นคุณจะถามสารพัดอยากรู้เหมือนกับคนที่ถูกลูกศร เสียบแทง คนจะมาผ่าตัดเอาลูกศรให้ก็ไม่ยอมให้ตัด ไม่ได้ต้องรู้ก่อนว่าลูกศรใครยิงคนยิงชื่ออะไร ลูกศรมันมาจากไม้อะไรมาจากป่าไหน อาบยาพิษอะไร จะต้องรู้ให้หมดก่อนถึงจะผ่า ตายก่อกว่าจะได้อยากจะรู้อะไรที่ไม่ใช่เบื้องต้นให้รู้ก่อนจบ แล้วต่อไปค่อยไปตามลำดับ

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ภาวนาไม่ได้แปลว่าท่องบ่น

_1614 ภาวนา ไม่ใช่การนั่งหลับตาทำสมาธิ แต่คือ การทำทานและการปฎิบัติศีลจนเกิดผลพาให้จิตวิญญาณก้าวข้ามจากโลกียะมาสู่โลกุตระ ...คำภาวนา ใช้อย่างไร เหมาะสม

พ่อครูว่า…วนอยู่ตลอดเลยคุณ 1614 บอกว่าภาวนาไม่ใช่นั่งหลับตา แต่เป็นคำภาวนาอีก ภาวนาคือการเกิดผลบรรลุผลไม่ใช่การทำการรักษาไม่ใช่แค่บัญญัติ ภาวนาคือการเกิดผล และการเกิดผลก็ไม่ใช่การไปในภาคปฏิบัติที่ไปนั่งหลับตาหรือไปนั่งวิปัสสนาอยู่ หรือว่าวิปัสสนายืนเดินนั่งนอนแต่มันไม่เกิดผลก็ยังไม่ใช่วิปัสสนา ภาวนาคือการเกิดผลภาษาไทยนะ ภาวนาไม่ใช่มรรค ภาวนาเป็นผล อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง อาเสวนาแปลว่าทำซ้ำ ทำซ้ำในสิ่งที่เราได้ปฏิบัติเป็นผลตามมรรค ทำซ้ำให้มาก เรียกว่าพหุลีกัมมัง

สรุปอีกที ภาวนาแปลว่าการเกิดผล ไม่ใช่คำภาวนา แล้วฝั่นเฝือไปหมดทั้งการยืน เดินนั่ง นอน ภาวนาแปลว่าการเกิดผล เอาให้ชัด

จะก้าวข้ามโลกียะ ต้องทำทาน ศีล แล้วอ่านรู้เวทนาสอง แล้วแยกให้รู้ว่าอะไรเป็นของเทียม อะไรเป็นของแท้ ทำของเทียมให้หมดไปกลายเป็นแต่ของแท้ให้ได้ ให้ถึงความบรรลุ

 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน

สิกขมาตุรินฟ้า

สมณะแสนดิน...

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ทักขิเณยบุคคล 7 วิโมกข์ 8 อนุสัยอาสวะ

พ่อครูว่า...วันนี้อธิบายทักขิเณยบุคคล 7 ไปตามลำดับบ้างดีไหม

1. สัทธานุสารี  ผู้แล่นตามไปด้วยศรัทธา  คือ  ผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล  มีสัทธินทรีย์แก่กล้า  อบรมอริยมรรคโดยมีศรัทธาเป็นตัวนำ  (ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วจะกลาย เป็นสัทธาวิมุติ)

2. ธัมมานุสารี  ผู้แล่นไปตามธรรม  คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีปัญญาเป็นตัวนำ (ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วจะกลายเป็น ทิฏฐิปัตตะ) 

พระพุทธเจ้าไม่ใช้คำว่าปัญญานุสารี แต่ใช้คำว่าธัมมานุสารี อันนี้ในธรรมะมันยังเป็นธรรมะ 2 มันจะค่อยๆได้ไปตามลำดับ

ธรรมะนี้รวมไว้หมดท่านจึงบอกว่า เริ่มแรกไม่เอาคำว่าปัญญานุสารี ท่านเอาคำว่าธัมมานุสารี บางทีบางคนนึกว่าเป็นปัญญา แต่ตัวเองแท้จริงกลายเป็นเจโตทีหลังก็ได้ นึกว่าตัวเองเป็นสายปัญญา นี่อย่างพวกเรา เราเป็นปัญญาหรือเจโตกันแน่ ศรัทธาหรือปัญญากันแน่ มันไม่ง่าย เพราะฉะนั้นศรัทธานี้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าปัญญานี้ มันเข้าใจไม่ง่ายที่จะได้ปัญญา จึงเรียกว่าธัมมานุสารี

เมื่อมาติดตามแล้วสามารถที่จะเรียนไปได้ตามลำดับ อันที่ 3 คนจะได้ก่อนได้เร็วคือศรัทธาจะได้สัทธาวิมุต วิมุติมันก็เป็นโลกีย์วิมุติก็ได้ โลกุตระวิมุติก็ได้ วิมุติ ที่ใหม่ สมาธิหรือสัมมาทิฏฐิก็ได้ ก็ต้องค่อยๆปฏิบัติธรรมไป

สัทธาวิมุติ จะได้ก่อนก็ไม่ว่ากันส่วนปัญญานั้นจะเรียกตัวที่ได้เริ่มต้นว่าเป็น

ทิฏฐิปปัตตะ

3. สัทธาวิมุติ  ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา คือ  ท่านที่เข้าใจอริยสัจถูกต้องแล้ว และอาสวะบางส่วนก็สิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญาแต่มีศรัทธาเป็นตัวนำหน้า  หมายเอาพระผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ .

4. ทิฏฐิปปัตตะ  ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ คือ  ท่านที่เข้าใจอริยสัจถูกต้องแล้ว และอาสวะบางส่วนก็สิ้นไป เพราะ เห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระผู้บรรลุโสดาปัตติผลขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีปัญญาและปัญญินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติจนเกิดปัญญาพละ

ทิฏฐินี้จะเรียกว่าความเชื่อหรือลัทธิก็ได้ ก็ให้ปฏิบัติให้เกิด ปัตตะ หรือการเข้าถึง การบรรลุ จากปัตตะมาเป็นปันนะ ก็ปฏิบัติให้เข้าถึงผล ปัตตะนี้เข้าถึงผล

คุณมีทิฏฐิ เริ่มต้นมีความรู้แบบนี้จะสัมมาหรือมิจฉาไม่รู้ ถ้าคุณสามารถบรรลุขึ้นมาเรื่อย เป็นปัตตะ เป็นการบรรลุผลที่พยายามที่จะศึกษาสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ

ซึ่งจะต้องเรียนสัมมาทิฏฐิตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า สัมมาทิฏฐิ 10 เป็นต้น ในการปฏิบัติทานกับศีล อันหนึ่ง เป็นการแสดงออกกับคนอื่นอีกอันหนึ่งเป็นการแสดงออกกับตัวเอง แล้วก็อ่านจิตทั้งคู่ ฝึกฝนจนกระทั่ง ทิฏฐิปปัตตะหรือสัทธาวิมุติ

สัทธาวิมุติ จะได้ผลก่อนเป็นกายสักขี เป็นรูปธรรมเหมือนกับเป็นอรหันต์เลยตามที่เข้าใจ โดยที่มีทิฐิไม่ได้เป็น ปัตตะแท้ ด้วยเข้าใจว่าเราบรรลุมีกายสักขี คนไม่รู้ด้วยก็จะเห็นว่าคนนี้ใช่ องค์นี้เป็นอรหันต์ อย่างอรหันต์เก๊ต่างๆ ที่เป็นสายหลับตาหรือลืมตาที่เป็นสมถะก็ตาม

5. กายสักขี   ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือผู้ประจักษ์กับตัวคือ ท่านที่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย  อาสวะบางส่วนก็สิ้นไป  เพราะเห็นด้วยปัญญา  หมายเอาพระอาริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป  จนถึงเป็นผู้ยังปฏิบัติเพื่ออรหัต  ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ

อย่างสายมหาบัว ก็จะเกิดองค์ประชุมเป็นรูปนามแต่ไม่มีปัญญา รูปกายนี้ชัดว่าคนนี้เป็นอรหันต์เป็นหลักฐาน คนเข้าใจที่ไม่สัมมาทิฏฐิก็อาจเข้าใจอย่างนั้นได้ จึงจะต้องปฏิบัติไปตามที่พระพุทธเจ้าให้เริ่มต้นเรียนรู้วิโมกข์ 8 ต้องเรียนรู้รูปนาม

ต้องเรียนรู้โลกภายนอกก่อน พหิทา แล้วค่อยๆเรียนรู้ลึกเข้าไปหาในใจเป็น อัชฌัตตัง พหิทาก่อนแล้วค่อยเป็นอัชฌัตตัง

คำว่า พหิทา เป็น พหูพจน์ ส่วนอัชฌัตตัง เข้าไปหาตัวไหนมันไม่ใช่พหูพจน์ทีเดียวแต่มีส่วนเลื่อนชั้นไปหาข้างในลึกสุดจนถึงขั้นอรูป เข้าไปหารูปก่อนแล้วไปหาอรูป

วิโมกข์ 8 ไม่ใช่เรื่องเดา เขาเดากัน หากศึกษาวิโมกข์ 8 ไม่ชัดเจนก็เลอะเทอะ

 

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) คำว่าเห็นรูปทั้งหลายคือมากกว่าหนึ่งตั้งแต่สองเป็นต้นไป คนไม่มีรูปแล้วจะไปเห็นอะไร คุณนั่งเฉยๆแล้วหลับตาก็ไม่มีรูป

รูปนี้ ขอยืนยันก่อนอื่น เบื้องต้นคือรูปที่ตาคุณเห็นภายนอกตาไปกระทบ เสียงไปกระทบหูก็เรียกว่ารูป กลิ่นไปกระทบจมูกก็เรียกว่ารูป รสกระทบลิ้นก็ดีกว่ารูป กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งเสียดสีก็เรียกว่ารูปข้างนอก คือโผฏฐัพพะ 5 คือรูป ส่วนอรูปอยู่ภายใน

กามรูปอยู่ภายนอกก่อน แล้วค่อยเรียนรู้ภายใน

หากภายนอกเราอยู่เหนือแล้วก็จะไม่เป็นพิษภัยกับใครไม่ถูกกับสิ่งภายนอกแล้วเหลือแต่ภายในที่เป็นกิเลสของเรา ผู้มีรูปแล้วต้องเห็นรูปรู้รูปเข้าใจรูป เป็นข้อแรก รูปี  รูปานิ  ปัสสติ

 

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น  รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ) (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

อัชฌัตตังคือภายใน อรูปสัญญี พหิทา คำสามคำนี้ ท่านผู้ที่ไม่เข้าใจก็ไปแปลเอา อรูปไปใส่อสัญญี มันก็เสียหมด อสัญญี แปลว่าผู้ไม่กำหนดรู้ ผู้มีความสำคัญมั่นหมายเป็นผู้ไม่กำหนดรู้ในรูปภายใน ท่านไปแปลปนกันเลย เอา อ ไปเกี่ยวข้องกับสัญญี คือ ผู้ไม่มีสัญญาก็เลยแปลว่า พวกไม่มีความสำคัญมั่นหมาย ในรูป ท่านเอา อ ไปเกี่ยวกับสัญญี ก็เลยกลายเป็นผู้ไม่มีสัญญาไปกำหนดรู้อะไรเลย กลายเป็นคนบอดใบ้หนวกหมดเลย ถ้าอย่างนี้แล้วก็เลิกเลยไม่ต้องอธิบายต่อถ้าไปแปลความอย่างนี้ จริงๆมันไม่ใช่

อรูปสัญญี คือ ผู้ที่ได้กำหนดรู้ตั้งแต่แรกตั้งแต่ รูปี รูปานิปัสสติ ต้งแต่ภายนอก พหิทารูปานิ แล้วลดรูปภายนอก ความติดยึดในกามภพภายนอกให้ได้ก่อน เมื่อได้แล้วก็ค่อยเลื่อนเข้ามาข้างในข้างในก็เป็นแค่รูป จากกามภพก็มาเป็นรูปภพ อรูปภพก่อน

อัชฌัตตังก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าต้องเป็นรูปภพก่อนแล้วค่อยมาเป็นอรูปภพ

สรุปแล้ว กามภพ กามรูปก่อนเอาให้หมด แล้วค่อยมาทำภายในขั้น รูป ก่อน หมดกิเลสรูปภพก็มาทำกิเลส อรูปภพต่อ อย่าเอาอสัญญาไปใส่ อสัญญีสัตว์นั้นอย่างหนึ่ง อรูปสัญญีไม่ใช่อสัญญีรูป อสัญญีรูปก็ซวยเลย

 

อสัญญี เป็นอายตนะ 2 สุดท้าย

อสัญญีสัตว์กับเนวสัญญานาสัญญายตนะสัตว์

คนที่ปฏิบัติผิดด้วยดับสัญญามาเรื่อยๆก็จะเป็นอสัญญีสัตว์ แต่ว่าผู้ที่เป็นพุทธปฏิบัติอย่างลืมตามาเรื่อยๆตั้งแต่รูปฌานอรูปฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ สัญญาเวทยิตนิโรธ

อสัญญีคือพวกไม่กำหนดรู้เลยเป็นพวกศรัทธาเจโตพวกดับไม่กำหนดรู้จนทะลุ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นจะไล่มาตามลำดับเลย ในอรูปฌาน 4

เนวะ คือกึ่งรู้กึ่งไม่รู้ คือใกล้จะหมดแล้ว แต่ถ้าจิตใจตัวเองไม่ได้ใกล้จะหมดเลยแต่คิดว่าตัวเองจะหมดคนนี้ก็ซวยเลย จึงจะต้องมาเรียนรู้เป็นลำดับๆไป เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ จนผู้ที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ พ้นอันนี้สุดก็เป็นสุดยอดแล้ว เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธเป็นผู้ที่มีสัญญากำหนดรู้สมบูรณ์แบบกำหนดรู้รอบในเวทยิตังนิโรธังโหติ มีความดับที่มีเวทนา เคล้าเคลียอารมณ์ ตรวจสอบภายนอกภายในทั้งละเอียดและหยาบ จนหมดครบไม่เหลือเลย สัญญา กำหนดรู้เวทนาเกลี้ยงภายนอกข้างนอกข้างในทั้งละเอียดทั้งกลางทั้งหยาบจนไม่เหลือเลยสัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ เรียนรู้เวทนา 108 ทะลุปรุโปร่งตามลำดับ ปฏิบัติตามนั้นได้ครบ สุดท้ายเป็นขั้นอดีตปัจจุบันอนาคต

ทำ 36 ปัจจุบันให้ได้เป็นฐานอดีต แม้จะมาในอนาคตอีกเท่าไหร่ฐานของอดีตกับฐานของปัจจุบันเป็น 2 ฐานกับหนึ่งที่เป็นอนาคตจะมา อนาคตก็สู้ไม่ได้ เป็นธาตุรู้ที่เป็น Dynamic และ Static ตัวฐานตั้งและตัวเครื่องหมุนรู้หมดในประธานเป็นผู้ที่เป็นเจ้าของรู้หมด เป็นผู้จัดการใหญ่

เมื่อมาถึงเป็นทิฏฐิปปัตตะ กับสัทธาวิมุติ

สัทธาวิมุตยังไม่แน่เพราะเป็นสายเจโต แต่ทิฏฐิปปัตตะ ถูกต้องกว่ามีความเป็นปัญญามากกว่า ชัดก็ยังไม่ชัดเพราะพวกศรัทธาเจโตก็เข้าถึงกายสักขี คือ ถ้าเป็นกายสักขีของสายปัญญาก็จะชัดเจนเพราะมีทั้งรูปและนาม จากกายสักขีมาเป็น ปัญญาวิมุติพระพุทธเจ้าก็ตัดรอบให้เป็นอรหันต์ หมดอาสวะทั้งหมด กายสักขีนี้อาสวะบางอย่างถูกบ้างไม่ถูกบ้าง อาจจะไปฟลุ๊ค ตัวใดตัวหนึ่งดับแต่คนยังไม่มีปัญญามั่นๆ ไม่ถูกฝาทุกตัวชัดเจนยังคลุมเครือ

เพราะฉะนั้นท่านถึงกำชับว่าต้องปฏิบัติสัมผัสกาย ด้วย วิโมกข์ 8 ต้องมีภายนอกและภายในเป็นลำดับตาหูจมูกลิ้นกาย ครบๆ แล้วก็จะมีสภาวธรรมที่ทำให้คนบรรลุได้ครบมันจะได้ไม่ตกหล่นวนไปวนมา นึกว่าได้แล้วแต่ก็ยังตกหล่นเป็นเศษเล็กเศษน้อยไม่ใช่ต้องได้ไปตามลำดับได้อย่างเป็นสัดส่วน เป็น cyclic order เป็นลำดับไม่ต้องมาเก็บตกหล่นที่หลังอีกมันเสียเวลา ตกหล่นมากก็เป็น วิตักกจริต มันมากก็เลยต้องกลับมาเก็บอีก แต่อย่าท้อ เข้าคบหาสัตบุรุษจึงพยายามปฏิบัติตามฐานะเป็นลำดับให้ได้

 

ผู้มีกายสักขีอยู่ในระดับคู่กับปัญญาวิมุติ มีอาสวะบางอย่างดับได้ เอาให้ชัด มีสัมผัสเป็นปัจจัย ต่างๆนานา แท้ๆไปเรื่อยๆจนคุณสามารถสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย กายสักขี นี้ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องเรียนรู้วิโมกข์ 8 ไปตามลำดับโดยเฉพาะ 3 ข้อ รูป กับอรูป กับตัวเรา เป็นขั้นๆ ตั้งแต่กามภพ รูปภพ อรูปภพ แล้วจึงจะได้เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์

ส่วนผู้ที่เป็นปัญญาแท้ เมื่อดับอาสวะได้สิ้นก็เป็นปัญญาวิมุต อาสวะนี้หยาบกว่าอนุสัย

ในสังโยชน์ 10 ดับอาสวะสิ้น เพราะเหลือเศษอนุสัยของอรหันต์เป็นอจินไตย

อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย

สย คือตัวเรา อาศัย คือเป็นตัวที่สั่งสม เป็นนิ นิสัย สั่งสมเก่งจนเป็น วิสัย

คุณก็ทบทวนวิสัยนี้ที่เก่งที่ได้ ที่ได้อาศัยก็อาศัย จึงได้อาศัยนิสัย วิสัย มารวมที่อาศัยแล้วก็ทำงานไปสั่งสมเป็น สยะ แล้ว คุณก็ควบคุม สยะ ตัวเองมิได้เรียกว่า อนุสัย ตัวที่อยู่ลึกเข้าไปอยู่ในก้นบึ้งของจิตสะสมไว้อยู่ ที่จริงไม่ได้สะสมแต่มันตกตะกอนเป็นฐาน ในฐาน status ของเรา มันก็อยู่ตรงนั้น มันเป็นฐานตั้งที่เป็นสมบัติของเรา แต่เราไม่ยึดถือเป็นเรา เราอาศัยมันทำงาน เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ก็จะมีทั้งอาศัยและอนุสัย นิสัยกับวิสัยเป็นตัวปฏิบัติเพิ่มกำลังบารมีขึ้นสู่อนุสัย

นิสัย เป็นระดับหนึ่งเมื่อถึง วิสัยนั้นลึกกว่า เพราะฉะนั้นใน

สยะ 4 อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย

อนุสัย อาตมาไม่เคยเห็นใครมาอธิบายขยายความ แม้แต่ อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย  ก็ไม่เห็นมีใครอธิบายขยายความแต่พวกเราฟังอ่านออกและมีสภาวะไหม สามเส้านี้ อย่างนี้เป็นต้น นี่คือซ้อนในบุคคล7

อาสวะกับอนุสัย ผู้ที่จบ อุภโตภาควิมุติ จบทั้งอาสวะ อนุสัย หมดเลย เป็นอุภโตภาควิมุติสุดยอดแล้ว เป็นพระอรหันต์เต็มรูปยิ่งใหญ่เป็นพระโพธิสัตว์ คือพระอรหันต์ที่สมบูรณ์แบบขึ้นเรื่อยๆ

 

มาเริ่มต้นตั้งแต่ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ

ทิฏฐิปปัตตะข้ามไปหาเป็นปัญญาวิมุติเป็นอรหันต์เลย แต่สายศรัทธาจะเป็นกายสักขี เสียเวลาต้องไปสัมผัสวิโมกข์ 8 อะไรอีก ทวนกัน ก็เป็นจริงตามสกุลศรัทธาเจโต กับสกุลของปัญญา ปัญญานั้นแววไว พอลึกละเอียดก็จะสั้นเข้าเร็วขึ้น แต่ในระดับแรกนั้นสายเจโต จะบรรลุเร็วกว่าสายปัญญาในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเผื่อว่า ทำถูกต้องตามลำดับ ปัญญาวิมุตินี้จะเร็วกว่าสัทธาวิมุติ

เมื่อไปถึงขั้น กายสักขี กับขั้น ปัญญาวิมุติ คู่ปลาย สองตัวสุดท้าย เป็นอุภโตภาควิมุติ

สายศรัทธาจะไปสู่อสัญญีสัตว์ แม้แต่เนวสัญญานาสัญญายตนะก็เป็นสายปัญญา สายอสัญญีสัตว์จะเป็นสายศรัทธามานั่งดับสัญญาอยู่นั่นแหละ แต่ผู้ที่เป็นปัญญาแล้วจะเหลือเศษเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะเหลือเศษสุดท้าย

อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ

อากาสานัญจายตนะแปลว่าสภาพว่างวิญญานัญจายตนะแปลว่าธาตุรู้ ทำงานจนกระทั่งเหลือสุดท้ายตั้งแต่หยาบถึงละเอียด จนกระทั่งนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มีอากิญจัญญายตนะ นิดนึงน้อยหนึ่งก็ไม่มีแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ประมาทว่าจริงหรือเปล่า ให้ตรวจดูใหม่สัมผัสดูอีก สัมผัสได้เก่งขึ้น อันนี้ สัมผัสเคยแรงกว่าที่เคยมี ก็แวบมาแฮะ ยังมีอยู่ หรือคุณจะต้องสัมผัสกับที่แรงขึ้น คุณก็เก่งขึ้น มันยิ่งแรงขึ้นหนักขึ้นตัวใหญ่ขึ้นคุณก็ยิ่งก้าวหน้าขึ้นเพราะว่าคุณชนะได้ นั่นแหละคุณจะต้องมีอย่างประมาทไม่ได้ จนกว่าคุณจะบอกว่าแรงกว่านี้ไม่มีอีกแล้วหนักกว่านี้ไม่มีอีกแล้วเจอมานักต่อนักแล้ว มันเจอหนักเจอสิ่งที่แรงกว่า

เมื่อเจอหนักแล้วมันจะง่ายเข้า หนักๆนี้หยาบก็ง่าย แต่ยากละเอียดนี่ ไปแพ้ละเอียด หยาบนี่ มันคนชั้นต่ำ แน่ะ ปัญญามันขึ้นไปอย่างนั้นความฉลาดมันเลยยาก นั่นชั้นต่ำ แต่คุณไม่รู้ตัวหรอกว่ามันชั้นต่ำ ขึ้นไปหลงตัวละเอียด หลงมาก ไอ้ละเอียดนี่เลยกลายเป็นหยาบของคุณ

พูดอย่างนี้เหมือนสิริมหามายา กลับไปกลับมา เดี๋ยวหยาบเดี๋ยวละเอียด เดี๋ยวละเอียดเดี๋ยวหยาบ ไม่สับสนนะ อาตมาว่า อธิบายยังไม่เก่งแต่พวกคุณเข้าใจได้ ช่วยอาตมาได้เยอะ

เมื่อเป็นผู้ที่ จิตจริงๆ จากทิฏฐิปปัตตะ มาเป็น ปัญญาวิมุติจะเข้าใจอาสวะเข้าใจกิเลสในระดับอาสวะ แล้วแจกอาสวะ 4 ก็จะเข้าใจด้วยลำดับของอาสวะ ซึ่งจะไม่เหมือนกับอนุสัย

อนุสัยกับอาสวะ 3 ตัวแรกเหมือนกัน สักกายยะ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

เมื่อมีตัวนี้เป็นต้นทุนแล้ว อาสวะก็มาไล่เรียงต่อมาสิ

อาสวะ 4 ตั้งแต่

1. กามาสวะ
      2. ภวาสวะ
      3. ทิฏฐาสวะ
      4. อวิชชาสวะ  (พตปฎ. เล่ม 35   ข้อ 961)\


       จนมาถึงอนุสัย 7

1. กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)

2. ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด) จนหมดกาม หมดปฏิฆะ

3. ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)

4. วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า) ต้องแม่นไม่สงสัยมีความรู้ชัดเจนเลยว่า กามราคะ ปฏิฆะ เป็นคู่

ภวราคะก็เป็นคู่ เป็นภพ เพราะฉะนั้นก็คือ กามกับปฏิฆะ อยู่ในภวราคานุสัย

5. มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)

6. ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)คือกามกับปฏิฆะไปเป็นรูปราคะ อรูปราคะ เป็นธรรมะสองของสภาะผลักกับดูด ราคะกับปฏิฆะ ธรรมะสองตัวสุดท้าย มันไม่เป็นกามโลกีย์แล้ว ไม่แสดงตัวอย่างหยาบแล้ว จะดุ๊กดิ๊กอยู่ภายในเป็นความผลักและดูดอยู่ภายในคุณก็ลดอีก ลดผลักกับดูด กามดูดปฏิฆะผลัก ดับจนหมดทั้งสองจึงเป็นภวราคานุสัยสุดท้ายหมดอีก เป็นตัวละเอียดลออเหลือกำลัง หากจะเข้าใจอย่างนี้ได้ต้องปฏิบัติธรรม ฟังไปก็ได้พยัญชนะภาษาเป็นความเข้าใจ ต้องไปปฏิบัติจนเกิดสภาวะต่างๆจริง จึงจะถอน สันตานะ(สันดาน) ของคุณได้หมด

ที่จริง สันตานะ

7. อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)

(พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 11)

สันตะ คือสันติ สันตะคือ สะ กับ อันตะ อันตะ คือปลายที่สุดที่ยอด ส คือพลังงานตัวที่ 4 ในวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ พยัญชนะตัวที่ 5 นี้อ่อนเล็กกว่าพยัญชนะเพราะว่าเป็นเศษวรรค

จึงเหลือตัวที่ 5 นี้ ของ เศษวรรค

ย ร ล ว  หาก ว นี้ หากเอาสามเส้า ว ส ห ถ้า ว เต็มก็มาเป็น พ แล้วมันจะไปเจริญเป็น ภ โตขึ้น มาเป็น ม.ม้าก็เต็มรูปของจิตเลย ป ผ พ ภ ม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทานกับ เวทนา 2 

อาตมา พยายามอธิบายก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ทุกคนต้องเรียนรู้และเก่งเข้าใจได้ด้วย บางคนจะยังไม่เข้าใจได้ทีเดียวแต่ก็ต้องเรียนอย่างนี้แหละ ต้องใช้พยัญชนะกับสภาวะ แล้วมันจะสลับไปสลับมา สุดท้ายมันก็คือตัวรวมพยัญชนะหรือสภาวะ หรือเรียกว่าอัตถะกับธรรมะ

บัญญัติกับสภาวะก็จะเป็น 2 อันเป็นธรรมะ 2 เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมะ 2 นี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนาพุทธ อาตมาถึงได้มาชัดเจนว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ตัวอื่นใดก็ไม่ชัดเจนเท่าเวทนาเพราะพระพุทธเจ้าให้จับเป้าที่เวทนานี่แหละเป็นตัวที่คุณจะเรียนรู้สุขทุกข์ก็อยู่ที่นี่ ความสุขความทุกข์ในขันธ์ 5 อยู่ที่เวทนา อยู่ที่อื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องจับให้มั่นคั้นให้ตายที่เวทนา หากไปหลับตาไม่มีเวทนาไม่มีผัสสะ คุณก็เอาแต่เวทนาที่เป็นความจำที่เป็นสัญญาไม่เป็นเวทนาที่เป็นปัญญา ปัญญาต้องมีภายนอก สัญญาเป็นภายในปัญญาเป็นภายนอก ไม่มีภายนอกก็ไม่ครบ

พลังงาน ปัญญานี้เป็น วรรคเต็ม แต่สัญญา เป็นแค่พลังงานของเศษวรรค

ไม่ง่ายจะแยกสัญญากับปัญญา ปัญญามันดูมีภายนอกด้วยมันจะดูหยาบแต่มันใหญ่กว่าสัญญา ใช่ มันดูเหมือนหยาบกว่า เอาทั้งภายนอกและภายใน สัญญามันเล็กกว่าเอาแต่ภายใน แต่ปัญญามันใช่กว่าใหญ่กว่าแต่มันต้องมีภายนอก

ถ้าเผื่อว่าคุณไม่แม่น สลับปัญญากับสัญญาก็เป็นนักเล่นกล แต่ถ้าคุณจับถูกแสดงถูกก็กลายเป็นสิริมหามายานักเล่นกลชั้นยอด สิริ มหา เป็นนักเล่นกลผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีความจริงที่มีสัจจะที่มีปัญญา สามารถทำสิ่งที่ได้สมบูรณ์ แต่ดูเหมือนคนที่ไม่มีภูมิเท่ากันจะดูว่าเป็นคนกลับกลอกไม่อยู่กับร่องกับรอยหมุนไปหมุนมาสลับไปสลับมา

หากสภาวะนั้น พยัญชนะนั้น มันง่ายๆก็ไม่ต้องมาวุ่นวายอธิบายอย่างนี้หรอก เอาของพระพุทธเจ้ามาให้ทำเลย ดิ้นไม่ได้ก็จบ แต่เพราะมันดิ้นได้จึงยาก แล้วจะต้องทำจนกว่ามันจะดิ้นไม่ได้จึงเป็นตัวชนะ คุณทำให้ตัวดิ้นนี้มันหยุดดิ้นเลย มันเป็น 1 และเป็น 0 เลยจนดิ้นไม่ได้อยู่ในอาณัติ ตกลงคุณเป็นประธานและคุณก็มี 1 กับ 0 ได้ จะให้เป็นหนึ่งเมื่อไหร่ก็ให้มีให้เป็นศูนย์ก็คือไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43

พระไตรปิฎกล. 16 ข. [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)

สองคู่นี่ นโหติ กับโหติ ไม่มีกับมี อัตถิมี นัตถิไม่มี พระพุทธเจ้าสรุปไว้ใน 2 คำนี้มีกับไม่มี

ตั้งแต่ทาน อัตถิทินนัง นัตถิทินนัง ทานที่อาศัยแล้วทานที่ทำแล้ว แล้วจิตของคุณเป็นอย่างไร จิตคุณเป็นภพหรือไม่ ทานแล้วให้แล้ว ก็จบ ให้ก็คือ ไม่ใช่ของเราแล้ว ให้แล้วก็จบ ให้แล้วหากยังยึกยักอยู่ วัตถุรูปก็หายไปหมดแล้ว แต่คุณก็ยังมียึดมั่นถือมั่นว่า นี่ของเราๆๆ จนกระทั่ง ที่ให้นี่เขากินเป็นขี้ไปแล้ว คุณก็ไปตามเอาขี้นี้มาเป็นของเรา ฟังดูเหมือนหยาบนะ

เราให้ไปแล้วก็คือไม่ใช่ของเรา ถ้ายังมีจิตแค่ สาเปกโข

อุ คือ อะ อิ อุ พลังงานที่ผันจักร หมุนพยัญชนะสระ พยัญชนะหมุน

 

เมื่อคุณสามารถอ่านจิตตัวเอง อย่าให้จิตมันเกิดภพชาติที่เป็นตัวไม่ง่าย เพราะฉะนั้นทานสูตรนี้ก็สำคัญมากเลย พระพุทธเจ้าตรัสทานสูตร ถ้าทานไปแล้วให้ไปแล้ว คุณก็ยังมีจิตต่อเป็นเราของเราก็ไม่จบ เพราะฉะนั้นให้ตัดไปเลย ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ไม่มีเราไม่มีเขา ให้ออกไปแล้วก็ผ่านจากเราไปแล้วไม่ใช่ของเราแล้ว คุณก็ยังไปต่อในจิตอยู่ ในจิตต้องไม่ต่อจริง ให้แล้วจิตก็ไม่ต้องต่อให้วัตถุให้อะไรก็แล้วแต่ ให้แรงงาน ให้ความรู้ก็ตาม ไม่ต้องผูกพัน

มีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันก็ไม่ต้องมี ทำให้แล้วไม่มีจิตผูกพัน คนที่มีสาเปกโข ยึดเป็นภพชาติ เป็นแดน พอยึดเข้าคุณก็ จากสาเปกโข ก็ปฏิพัทจิตโต พัวพัน หนักเข้าสั่งสม สันนิธิเปกโข แปลว่าสั่งสมลงไป หยาบใหญ่ไปเรื่อย ตั้งแต่สาเปกโข โง่มาเรื่อย ๆ ผูกพันนัวเนียจนสั่งสมเป็นคลัง นิธิเลย มูลนิธิ คือคลังขี้ เพราะฉะนั้นเงินทองทั้งหลายแหล่ พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นอสรพิษ อาตมาบอกว่าเป็นขี้ อสรพิษขบกัดเจ็บปวดแต่ขี้นี้เหม็น

สั่งสมตกผลึกไปอยู่นั่นแหละ ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย นอกจากสั่งสมแล้ว ตายไปแล้ว ก็จะเป็นภพชาติเป็นวิมานเป็นสวรรค์ เป็นแดน เป็นตัวบุคคลเป็นเทวดา แล้วก็เป็นอะไรอีกเป็น 2 ส่วนอยู่กันไป เป็นวงวนเป็นภพเป็นภูมิ เป็นวิมาน จนสุดท้ายอยู่ในพุทธเกษตร สั่งสมเป็นพุทธเจ้าแล้วก็ได้เลย พวกนี้ยึดพระพุทธเจ้าไม่ให้ไปนิพพานเป็นปริโยสานเสียที

อาตมาว่า เป็นปัจเจกพุทธเจ้าหรือสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเป็นสมัยเดียวก็พอ หากเป็นหลายสมัยก็ไปสร้างพุทธเกษตร ตายไปอยู่ในพุทธเกษตร พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานเป็นปริโยสานจะไปเลยไม่มีภพชาติอีก คุณก็ยังไปบอกว่ามีพุทธเกษตรอีก คุณก็เริ่มเป็นพุทธเจ้าองค์หนึ่งอยู่ในแดนพุทธเกษตร มีคนหนึ่งก็จะมีคนที่สองเพราะคิดเหมือนกัน มันก็ไม่รู้จักจบ คนที่จะจบก็รู้จักจบเถอะ เมื่อคุณมีสภาวะอย่างนี้จึงตั้งแต่เป็นอรหันต์จนถึงปัจเจก ปัจจัตตัง สั่งสมจนเป็นสยังอภิญญา ก็จะไปเป็น ปัจเจกสัมพุทธะอีกที เงื่อนไข ของปัจเจกสัมพุทธะกับสัมมาสัมพุทธะก็ต่างกัน อาตมายังไปไม่ถึงแต่เข้าใจไม่ผิดหรอก อาตมาจะไปติดใจเป็นปัจเจกสัมพุทธะหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทุกวันนี้เมื่อยนะ แต่ก็ปรารถนาจะเป็น ภพที่ 9 เป็นสัมมาสัมพุทธะหรือปัจเจกสัมพุทธะ จากมหาโพธิสัตว์เป็นขั้นที่ 8 ตอนนี้อาตมาเป็น นิยตโพธิสัตว์เป็นระดับที่ 7 จนกว่าจะไปเป็นปัจเจกสัมพุทธะ เพราะฉะนั้นสัมมาสัมพุทธะกับปัจเจกสัมพุทธะ ต่างกันแค่ปัจเจกสัมพุทธะนั้นไม่ประกาศศาสนาเท่านั้น แต่ท่านมีภูมิรู้อย่างเดียวกับพุทธเจ้า แม้จะเกิดมาในโลกท่านก็ไม่ประกาศศาสนา คนก็ไม่รู้ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ท่านก็ไม่ปรากฏประกาศศาสนา ไม่มีใครรู้จักท่านเลยแล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานหายไปเลย คนไม่รู้ก็เดาส่ง ว่าปัจเจกสัมพุทธะคือรู้แต่ตัวเองสอนใครไม่เป็น ตั้งแต่เป็นพระโสดาบันก็ยังสอนคนเป็นเลยคนที่สอนอย่างนี้ว่าปัจเจกสัมพุทธะนั้นสอนคนอื่นไม่เป็นนั้นไม่ถูก

ยุคนัทธวรรค โลกุตรกถา ล. 31

[620] ธรรมเหล่าไหนเป็นโลกุตระ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อริยมรรค 4 สามัญผล 4 และนิพพานธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตระ ฯ

ชื่อว่าโลกุตระ ในคำว่า โลกุตฺตรา นี้ เพราะอรรถว่ากระไร ฯ

ชื่อว่าโลกุตระ เพราะอรรถว่า ข้ามพ้นโลก ข้ามพ้นแต่โลก ข้ามไปจากโลก ล่วงพ้นโลก ล่วงพ้นโลกอยู่ เป็นอดิเรกในโลก สลัดออกแต่โลกสลัดออกจากโลก สลัดไปจากโลก สลัดออกไปจากโลก สละออกแต่โลกสละออกจากโลก สละออกไปจากโลก ไม่ตั้งอยู่ในโลก ไม่ดำรงอยู่ในโลกไม่ติดอยู่ในโลก ไม่เปื้อนในโลก ไม่ไล้ในโลก ไม่ไล้ด้วยโลกไม่ฉาบในโลกไม่ฉาบด้วยโลก หลุดไปในโลก หลุดไปจากโลก พ้นไปจากโลก หลุดพ้นไปแต่โลก ไม่เกี่ยวข้องในโลก ไม่เกี่ยวข้องด้วยโลก พรากออกแต่โลก พรากออกจากโลก พรากออกไปแต่โลก หมดจดแต่โลก หมดจดกว่าโลก หมดจดจากโลก สะอาดแต่โลก สะอาดกว่าโลก สะอาดจากโลก ออกแต่โลก ออกจากโลก ออกไปจากโลก เว้นแต่โลก เว้นจากโลก เว้นไปจากโลก ไม่ข้องในโลก ไม่ยึดในโลก ไม่พัวพันในโลก ตัดโลกขาดอยู่ ตัดโลกขาดแล้วให้โลกระงับอยู่ ให้โลกระงับแล้ว ไม่กลับมาสู่โลก ไม่เป็นคติของโลก ไม่เป็นวิสัยของโลก ไม่เป็นสาธารณะแก่โลก สำรอกโลก ไม่เวียนมาสู่โลกละโลก ไม่ยังโลกให้เกิด ไม่ลดโลกนำโลก กำจัดโลก ไม่อบโลกให้งามล่วงโลก ครอบงำโลกตั้งอยู่ ฉะนี้แล ฯ

                  จบโลกุตรกถา

 

พ่อครูว่า...นับถือเลยคนที่แปลจากบาลีมาเป็นไทยคนนี้

 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน เล่าถึง แม่ชีที่รับใช้อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย คือหวังว่าจะได้เป็นเจ้าของวัดนี้ในชาติหน้า

สมณะฟ้าไทว่า...อสัญญีสัตว์คือ

 

พ่อครูว่า...อสัญญีสัตว์มีสองนัย นัยหนึ่งไม่ต้องสัญญาแล้ว อีกนัยหนึ่งคือดับสัญญาไปเลย นี่แย่ ส่วนผู้ที่อสัญญี นี้คือ ผู้นี้จบแล้วไม่ต้องทำสัญญานี้อีก

อสัญญี ถ้าไม่ต้องทำอีกแล้ว คือผู้พ้นจาก เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือผู้ไม่ต้องสัญญาอีกแล้ว ถ้าอย่างหนึ่งคือผู้ไม่ได้เรื่องเลย อีกอย่างคือไม่ต้องสัญญาอีกแล้ว เพราะพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะสุดจบ เป็นผู้นิโรธบริบูรณ์ พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะไปได้เลย คืออายตนะสองสุดท้าย

เมื่อกลับมาเป็นอสัญญีคือผู้สมบูรณ์แบบไม่ต้องสัญญาอีก จบ เหมือนกับปุญญาภิสังขาร กำจัดกิเลสได้สุดจบก็ไม่ต้องใช้บุญอีก อปุญญาภิสังขาร จนทำได้ชำนาญเป็นอเนญชาภิสังขาร เห็นใจคนไม่มีสภาวะก็แปลไปแบบไม่รู้

เอาล่ะ เหลือเวลาอีก ก็ขอสรุปอีก

อายตนะ 2. (เครื่องอาศัย) ของพระอรหันต์

      1.   เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ .  .

      2.   สัญญาเวทยิตนิโรธ  (สัญญาที่เคล้าเคลียอารมณ์)

      ผู้ที่รู้แจ้งนิโรธย่อมอาศัยความฉลาดในการเข้าแล้ว ออกแล้วซึ่งสมาบัติ (สัญญาสมาบัติมีเท่าใด สัญญาปฏิเวธก็มีเท่านั้น อายตนะ 2 เป็นสิ่งอาศัยซึ่งกันและกัน)

 . . . ฌานสูตร  เล่ม 23   ข้อ 240

 

สมาปัตติคือผู้อยู่เหนืออุบัติแล้ว อุบัติยังเกิดอยู่ แต่สมาปัติคือผู้เป็นสมณะแล้ว อาบัติคือ ผู้ไม่หลุดพ้น ไม่เหนือความเป็นอาปัตติ ปัตติคือการเกิดการเข้าถึง​ จะให้เกิดก็ได้ไม่เกิดก็ได้จึงมี นัยยะสองนัย

ภิกษุผู้อาบัติออกจากอาบัติคืออาบัติอยู่ ภาษาว่าเข้าว่าออก ที่จริงเข้าคืออยู่ แต่ออกคือไม่อยู่แล้ว นี่คือสภาวะที่อาตมาเข้าใจ

สมณะเดินดินว่า...สรุป


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:11:43 )

610920

รายละเอียด

610920 จิตสงบยิ่งแคล่วคล่องยิ่งทำงานได้ดี

พ่อครูสนทนากับปัจฉาก่อนเข้านอน

 

พ่อครู : สมถะคืออะไร สมถะคือจิตสงบ จิตสงบเราก็ทำงานได้แคล่วคล่อง งานยิ่งดีใหญ่    จิตไม่สงบเรายิ่งทำงานได้ไม่ค่อยได้เรื่อง ทำงานได้น้อย มันวุ่น ทำงานได้ดีเป็นกัมมันยตางานดีเหมาะควร ปราดเปรียวเร็วไว  ทำงานได้มากด้วย คือทุกวันนี้เขาเข้าใจผิดหมดเลย

ไม่รู้จะว่ายังไง เพราะงั้นเขาว่าสมถะ ต้องหมายความตามเขา เขาว่าสมถะคือจิตที่สงบสงบไม่เกี่ยวกับใคร ไม่ยุ่งกับใคร ไม่ทำงานทำการมานั่งหลับตาสมาธิ เขาไปหมายอย่างนั้น

ธรรมะมันเพี้ยนๆ ไปหมดเลย ทั้งสภาวะที่เขากำหนด ทั้งพยัญชนะที่พูดผิดเพี้ยน มันเลย

เมื่อยจริงๆเลย 

 

อาดินดอน : วันนี้เขาส่งลูกน้องมาเชื่อมกับเรา แล้วให้เราไป present ที่ ศาลากลาง ว่า

ว่ามีของดีอะไร คือสินค้าอะไรนี่ เขาพูดคำว่า เขาจะพูดเอง

 

พ่อครู : ขนไปสิ กล้วย มะละกอ ลูกละบาท ลูกละ 2 บาท

 

อาดินดอน : เขาว่าเขาจะ present เอง ก็ประดับประเดื่อ เพราะว่าไม่เคยได้มาสัมพันธ์

 

พ่อครู : เอาไปเลยๆ ขายถูกๆ

 

อาดินดอน : อีกอันหนึ่งก็คือสถานีโทรทัศน์ อันนี้เป็นของศูนย์ดำรงธรรม ส่งเจ้าหน้าที่มา

เชื่อมกับเรา มาขอเลยขอให้ถ่ายทอดได้ไหม ผมก็เลยขอให้เขาทำเป็นหนังสือเล็กๆได้ไหม

อยากจะเก็บเป็นหลักฐานฝ่ายข้อมูล เขาว่าให้ผู้ว่าเซ็นต์ ผมว่าไม่ต้องให้ถึงผู้ว่าเซ็นต์

ต้องการให้แค่ทีมงานของศูนย์ดำรงธรรม มีผอ.ศนย์ดำรงธรรม ก็พอแล้ว เขาบอกว่ามีน

เป็นสายงานบังคับบัญชา ไม่คิดว่าผู้ว่าต้องเซ็นต์ให้เราหรอก

 

 

 

ถอดข้อความโดย  อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:12:30 )

610920

รายละเอียด

610920 ระวัง หากมีแต่ภาษาความเฉกาจะเฟือง

พ่อครู : ไม่มีที่ไหนเขาเรียนกันและไม่มีที่ไหนที่เขาใช้เป็น มีพวกเรานี่ จนกระทั่งทุกวันนี้พวกเราชักเก่งภาษา สภาวะก็ได้ สภาวะก็ได้บ้าง มาเรื่อยๆ ก็อยากจะสำทับพวกเราพยายามเข้าไปหาสภาวะให้มาก ภาษานี่พวกเรานี่รู้เยอะ  มันจะเยอะๆจนดูจะเยอะเกินไป แล้วมันจะเฟื่อง กลายเป็นพวกปัญญาเฟื่อง เป็นความรู้เฟื่อง ที่จริงมันไม่ใช่ปัญญาเอาปัญญามาเรียก

ไม่ถูก เป็นเฉโกเฟื่อง เป็นความรู้ความฉลาดโลกๆเฟื่อง

 

ทุกวันนี้ปัญญาเป็นคำเสียหมดแล้ว ปัญญานี่ เพราะปัญญาเป็นภาษาของศาสนาพุทธเท่านั้นหมายความว่า เป็นความฉลาด โลกุตรธรรม คนไม่มีหรอกปัญญา แต่เอาคำว่าปัญญามาใช้จนเสียหมดเลย เสียความเป็นปัญญาหมดเลย เหมือนกับมงกุฎ​ ปัญญาเหมือนกับมงกุฎ  ทุกวันนี้เอามาใส่เป็นเกือกหมดเลย ปัญญามาใช้ มงกุฎกลายเป็นเกือกหมดเลยทุกวันนี้ 

 

พูดให้มันชัดขึ้นไป เป็นรองเท้าก็ได้ เอาหัวมาเป็นปลายเอาปลายมาเป็นหัว วุ่นไปหมดเลย เพราะฉะนั้นถึงบอกยากมากเลยธรรมะทุกวันนี้ แม้แต่สามัญที่เขาเพี้ยนภาษาคำ ถึงเอามาจากบาลี เขาเอามาใช้ในภาษาไทย ก็เป็นภาษาไทยไปแล้ว เอาภาษาบาลีมาบวชเป็นไทยเยอะมาก อาตมายกตัวอย่างเช่น คำสมาธิ คำว่าบุญ คำว่ากาย คำว่าเฉกากับปัญญา ยากมากที่ดึงทั้งภาษาทั้งสภาวะกลับเข้าไปสู่จุดที่ดีที่ถูกต้อง อาตมาโอ๊ย ยุคนี้ปรางค์นี้อาตมาเกิดมานี่เหนือยเหนื่อย แต่ก็ไม่รู้ทำยังไงเราตั้งใจที่จะทำงานนี้

 

 

ถอดข้อความโดย  อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:13:19 )

610920

รายละเอียด

610920_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ​ ครั้งที่ 16

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1JEA9wk5HZyh3Itv9Z-RUMtNOyoWu4V8W72cX2CFvCWQ/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1jSZ9UgsX0cAO2d4hvldo-A3aAA4x0OW-

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เขาให้ประกาศค่ายสัมมาอาริยมรรค

ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า

“ศีลกับปัญญาชำระใจ”

ครั้งที่ 32 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก

ศุกร์ที่ 21 - อาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2561

รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)

สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ

โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865

 

##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู

 

พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ

 

พ่อครูว่า...SMS 19 กันยายน 2561 (พุทธศาสนาตามภูมิ)

 

_3867 ความไม่ถูกกิเลสรบกวนแต่ประการใดเลยนั่นแหละคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์!ซึ่งสมมุติเรียกกันอีกอย่าง1 ว่าความดับเป็นสุขที่สุด!ธ.พุทธทาสฯ

พ่อครูว่า...ความดับของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีสุขไม่มีทุกข์ก็ได้ ความไม่มีสุขไม่มีทุกข์นี้ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไหนๆจะเข้าถึงกันได้ ส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงกัน ศาสนาพุทธไม่มีทุกข์ไม่มีสุขเป็นฐานอุเบกขาเป็นนิพพาน ผู้สามารถปฏิบัติธรรมธรรมะ 2 ให้เป็นหนึ่งได้เป็น 0 ได้เป็นอุเบกขา เป็นนิพพานได้ หากทำเนกขัมสิตอุเบกขาไม่ได้ ก็ไม่มีทางไปนิพพาน ศาสนาทุกวันนี้ไม่ว่าสำนักไหนก็แล้วแต่ออกนอกทางไปหมดแล้ว

 

_พันธุ์ พอเพียง · วิโมกข์8 เป็นความงามลาดลุ่ม รูปี รูปานิ นั้น เริ่มเดินเครื่องได้แล้ว ทำไมพอข้อ2 อรูปสัญญี เครื่องกลับดับ พอข้อ3 เหมือนจะพอใจความติดๆดับๆของเครื่อง พ่อครูอธิบายแล้วเข้าใจครับ เป็นแบบเครื่องติด เครื่องเดิน และถึงเป้าหมาย กราบนมัสการครับ

พ่อครูว่า...คุณคนนี้เอาอันอื่นมาสรุปให้อาตมานะ อาตมาไม่ได้เข้าใจแบบนั้น

 

_บุญเลียบ · พ่อคูรค่ะวันไหนที่ลูกอยู่ที่บ้านจะเห็นทุกข์เนกขัมม วันไหนได้ไปช่วยงานที่อุทยานจะเห็นสุขโลกุตระเห็นอาการของจิตขึ้นนรกตกสวรรค์เสมอๆค่ะ ก็พยายามทำให้เป็นเวทนาหนึ่งไปหาสูญค่ะ กราบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า..ใช้ภาษาพวกนี้พูดกับอาตมา อาตมาเข้าใจ ก็ดีแล้ว คุณพูดมาสำนวนคุณที่เขียนมาถูกต้องดี

 

_วันชัย สหมโนธรรม · กราบนมัสการครับ..ท่าน สิกขมาตุข้ามฝัน อโศกตระกูล ท่านแสดงธรรม ได้ดีมากครับฟังง่ายๆสบายๆ เข้าใจดีครับ กราบสาธุ

 

_ลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ

การย้อมผมเป็นอบายมุขหรือไม่ เพราะการเป็นผู้หญิงมันยากมากๆที่จะยอมรับความแก่ของตัวเอง เมื่อตอนสาวดูกระจกก็หลงตัวเอง ชื่นใจตัวเองว่ายังสาวอยู่ แต่ตอนนี้ความชราเข้ามา ไม่อยากมองตัวเองในกระจก ใจอยากจะย้อมผมให้ดูสวย แต่ก็ไม่อยากหลอกตัวเองและคนอื่น ใจมันไรๆรอนๆคิดอยากจะย้อมทุกครั้ง แต่ก็เอาชนะทุกครั้งที่มีอาการอยากย้อมผม จะทำอย่างไรดีกับอาการ ผีอยากสวย ขอความเมตตาด้วยค่ะ

พ่อครูว่า..เป็นอบายมุขแน่นอน มันเป็นนรก ทำไมผู้ชายรับได้ผู้หญิงรับไม่ได้ ผู้หญิงไม่แก่หรือไง เขาว่าผู้หญิงแก่ง่ายตายช้า ผู้ชายแก่ช้าตายง่าย เผลอๆไม่นานตายก่อนผู้หญิงแล้ว

พูดกับถามกันก็สนุกดีนะ

สู่แดนธรรมว่า...ขนาดอาจารย์สอนอภิธรรมก็ยังย้อมผม

พ่อครูว่า...เขาก็ไม่รู้หรอกเขายังรักสวยรักงามยังติดอยู่อายุ 90 กว่าแล้ว ต่อให้เป็นอาจารย์อภิธรรมเป็นนักธรรมะขนาดไหนก็ยังมีอีก

ทำอย่างไรกับผีอยากสวย...ก็ย้อมให้มันเข็ดก็แล้วกัน เมื่อยก็เข็ดเอง ย้อมให้สมน้ำหน้าไป ก็รู้อยู่ พิจารณาสิ ทุกอย่างก็เกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมไปเป็นธรรมดาสามัญ จะไปฝืนมันทำไม สิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าคุณยังอยากสวยอยู่ก็ทำไป เงินของคุณ คุณจ่ายเอง อาตมาไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับคุณ คุณกลัวว่าคนที่ย้อมผมจะจนก็ช่วยเขาไป หรือว่าทำเอง ก็ทำยาย้อมผมขายเลยสิ ทำเองเป็น

_เกร็ดดินว่า..กินงาเยอะก็ผมดำเอง คนอโศกที่ผมขาวเพราะขาดงา

 

พ่อครูว่า...มีคนมีความรู้ว่ากินงาแล้วผมจะดำเองไม่ต้องไปย้อมผม

 

_เจโตสมถะ มีวิกขัมภนปหาน เป็นขั้นแรกของเจโตวิมุติถูกต้องไหม

พ่อครูว่า...จะต้องพยายามตกลงกันว่า เจโตวิมุติหมายถึงอะไร ถ้าเจโตวิมุติ หมายถึงโลกุตระนั้นยังไม่ใช่ แต่ถ้าหมายถึงโลกีย์ ก็มันก็ไม่ถึงวิมุติ สมถะก็ไม่ถึงวิมุติ

ถ้าคำว่าวิมุติคือ ความหลุดพ้นจริง หากคุณไปโมเมเอาว่าหลุดพ้นก็ได้ทั้งนั้น ก็พยายามอย่าไปเอามันสิแบบนั้น พยัญชนะก็มี ทำความเข้าใจให้ได้ อาตมาพยายามอธิบายให้ละเอียดและสรุปเข้ามาหาหลักที่จะปฏิบัติคือธรรมะ 2

ธรรมะ 2 เป็นหลักเกณฑ์เป็นขั้นตอน เรียกว่าปฏิบัติธรรมะสอง เรื่องไหนที่เราจะปฏิบัติเรียนรู้ เอาเรื่องจริงที่ตัวเราเองเป็นตั้งแต่คุณเกี่ยวข้องกับสัตว์ ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวข้องกับผู้คนเกี่ยวข้องกับสัตว์ การเอาสัตว์มาเลี้ยงหรือเกี่ยวข้องกับสัตว์นั้นมันเป็นวิบากเพิ่มอีกจะทำไปทำไม คนที่พูดกันรู้เรื่องยังมีวิบากทุกข์ร้อนกัน แล้วสัตว์มันเริ่มต้นมาจะมาเป็นคู่วิบากเพิ่มขึ้นๆ มันเรื่องอะไรมันไม่รู้เรื่องต่างหากพวกที่ทำ ขอยืนยันว่าที่พระพุทธเจ้าสอนมาอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ จะเป็นสัตว์เลี้ยง ยิ่งเลี้ยงเพื่อฆ่ายิ่งไม่ได้เรื่องใหญ่ พยายาม ศึกษาแล้วอย่าไปอยู่ในวงจรแห่งบาปเลย คุณก็ได้ชีวิตนี้กับวงจรนี้ที่จะเกี่ยวข้องเกี่ยวกับบาปเกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 1 สรุปได้อย่างนี้ เอาเนื้อหานะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(วิโมกข์ 8 สัตตาวาส 9) ตอน รูปฌาน อรูปฌาน เชื่อมต่อกันอย่างไร

_ขอรบกวนทบทวนเรื่องฌานวิสัย รูปฌาน อรูปฌาน เชื่อมต่อกันอย่างไร

พ่อครูว่า...เรื่องฌานนี้ไม่มีสำนักไหนเขาสอนกันเรื่องนี้

ฌานคือ ลักษณะสร้างพลังงานจิตให้มี อุณหธาตุ ให้เป็นธาตุไฟ การไปนั่งสมาธินั้นไม่ใช่ธาตุไฟเป็นธาตุเย็น แต่จริงๆแล้ว ฌานนี่คือไฟ ฌาน

ฌาน แปลว่า ไฟ แต่เขาไปแปลว่าเพ่ง ฌานคือการเพ่งจิต จะพูดว่าไม่ผิดก็ได้แต่ไม่ถูก เพ่งคือ จะต้องตั้งใจทำจิต ก็ต้องเพ่ง พินิจ ก็ต้องรู้ รูปธาตุ นามธาตุ แล้วเกี่ยวข้องกับการสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หกทวาร แล้วคุณก็อ่าน​ความรู้สึก เรียกว่าเวทนา

ความรู้สึกของคุณเกิดคุณก็วิจัย ถ้าความรู้สึกของคุณเริ่ม ตักกะ คุณก็แยกตักกะนี้ออกได้ว่า อาการของจิต เป็นธรรมะสอง อันหนึ่งเป็นอาการของจิต อีกอันเป็นอาการของตัวหลอก เป็นอกุศลจิต เป็นกาม พยาบาท ที่เป็น​ มิจฉาสังกัปปะ 3

อ่านให้เห็นว่า อันนี้เป็นเจ้าราคะ อันนี้เป็นพยาบาทปนมา ร่วมมา ก็ให้กำจัดอันนี้ ด้วยการสร้างพลังงานจิตให้เป็นพลังงานปัญญา ปัญญาที่สูง จะมีพลังงานไฟ อุณหธาตุ สามารถล้างไฟราคะโทสะโมหะได้ มันจะสลายกันได้ นี่คือการสร้างฌานใส่จิต

การไปนั่งหลับตาสะกดจิตให้จิตมันเย็นมันสบาย มันไม่ใช่ฌานเลย ฌานกับสมาธิต่างกันอย่างไร สมาธิคือจิตที่ได้ปฏิบัติฌาน ชำระกิเลสได้ ฌานก็ตกผลึก จิตที่ล้างกิเลสได้จะตกผลึกลงไปสั่งสมลงไปเป็นสมาธิ คือจิตที่ตั้งมั่น

สมาธิ นี่มันเป็นเรื่องที่ ไม่ต้องเอามาพูดก็ได้ เป็นผลของการปฏิบัติจิต ที่ถูกต้องก็จะเกิดสัมมาสมาธิ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าสัมมาสมาธิจะเกิดได้อย่างไรให้ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์

ไม่ต้องไปห่วงหรอกสัมมาสมาธิ ปฏิบัติมรรคเป็นสอุปนิโส สปริขาโร เป็นเหตุ เป็นองค์ประกอบที่มันจะปฏิบัติแล้วจะได้ผลให้จิตสะอาดปราศจากกิเลสแล้ว ตกผลึกเป็นสมาธิตั้งมั่น แล้ว จะเป็นกำลังแข็งแรงปราดเปรียวคล่องแคล่ว ไม่ใช่ยิ่งช้ายิ่งเฉื่อยเดินช้าๆ ไม่ใช่ ปฏิบัติ สมาธิที่ถูกต้องจะกลายเป็นคนคล่องแคล่วปราดเปรียว คนที่บรรลุ ฌาน สมาธิ ยิ่งเป็นคนคล่องแคล่วปราดเปรียว ไม่ใช่คนเฉยชาเป็นคนนิ่ง แล้วปฏิบัติให้มันเร็วจะให้มันช้าอีกอย่างนั้นมันเป็นสมถะ สมถะมันถ่วง ไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้าเลยอย่างนั้นมันของฤาษีเดียรถีย์เขาปฏิบัติกัน เขาปฏิบัติกันอยู่ทุกสำนัก พูดได้เลย ไม่ว่าสำนักไหน จะเป็นสำนักเชิงท่านพุทธทาสก็เป็นสมถะลืมตา ไม่ใช่วิปัสสนา ขอวิจัยวิจารณ์แค่นี้ก็แล้วกัน

 

รูปฌาน อรูปฌาน เชื่อมต่อกันอย่างไร

ผู้สามารถปฏิบัติ รูปฌานได้คือต้องลืมตาปฏิบัติ แล้วล้างกิเลสกามได้ แต่ก็ต้องสัมผัสทางทวารทั้ง 6 แต่ใจเป็นฌาน ฌานที่ได้ไม่ต้องไปนั่งหลับตาหรือหาสถานที่ปฏิบัติ มันได้เสร็จแล้วก็จะแข็งแรงขึ้นเป็นอนาคามี หมดกาม เหลือรูปฌานอรูปฌาน อนาคามีก็เหลือรูปฌาน ก่อนถึงอรูปฌานที่เป็นอากาสาฯ วิญญานัญจา อากิจจัญยา

รูปฌานก็มีรูปราคะ เป็นกิเลสกาม ขั้นกลางเรียกว่ารูป ขั้นปลายคืออรูป

เราต้องกำหนดอาการกามเราหมดแล้ว อาการกามราคะของเราไม่มี สัมผัสรูป รส กลิ่นเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญต่างๆพวกนี้ก็ไม่มี นั่นคือจิตของคุณเป็น ฌาน จิตมีฌานแล้ว ตั้งแต่กามาวจร ก็เหลือรูปาจวร แล้วไปหาอรูปาจวร

อวจรหมายถึงพฤติการณ์ มันก็จะมีอาการจิตพวกนี้ ปรุงแต่งกันอยู่ มันหยุดปรุงแต่งคุณก็มีฌานสำเร็จ ฌานสำเร็จ จะตกผลึกเป็นสมาธิก็หมดหน้าที่ของฌาน

อนาคามีไม่ต้องเสียพลังงานไปล้างกิเลสกาม เหลือเป็นแต่กิเลสที่เป็นรูปราคะ อรูปราคะ แล้วหากล้างรูปราคะอรูปราคะได้อีก เป็นอนาคามีมรรค อนาคามีผล ตามลำดับ ก็เข้าสู่อรหัตตมรรค จนหมดรูปราคะ อรูปราคะมานะอย่างหยาบก็เข้าสู่สภาพของอรหัตตมรรค

รูปฌานหากปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิก็จะอ่านได้ออก

 

_คนทำงานทำเพื่อลดกิเลส ไม่ใช่ทำเพื่อเอาโลกธรรมข่มผู้อื่น ได้รับตำแหน่งแล้วยังลดกิเลสไม่ทันระวังบาดเจ็บ (อุบัติเหตุทางธรรม)

พ่อครูว่า...ใครฟังก็จะได้รู้ เขาก็ปรามมาไม่ได้ถามอะไร ปรามเพื่อน

 

_แก้วบุญ...ผีอยากสวยแปลว่าอะไรคะ

พ่อครูว่า...เออ ให้อายุสัก 12-13 แล้วจะรู้ แล้วจะรู้ว่าผีอยากสวยเป็นยังไง ตัวเองนี่แหละจะเป็นผีอยากสวยผู้หญิงนี่ อ้าวฟังหลวงปู่จะอธิบาย

ผีอยากสวยคือจิตใจของเรา จะเป็นผู้ชายก็มีผี แต่ผู้หญิงนี่ตัวเก่งอยากสวยมีเยอะในผู้หญิง รักความสวยความงามผู้หญิง ผู้ชายเขาก็รักเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เขาแข่งกับผู้หญิง จิตใจของเรานี่มันอยากจะได้ความงามอยากจะได้มันหลงติดความงาม ก็จะพยายามไปแต่งตัวให้สวย ข้าวของอะไรก็ต้องเอาอย่างสวยๆ เรียกว่าผีอยากสวย

ผีนี่ไม่ใช่ใคร แต่เป็นคนนี่แหละ จิตใจของคนนี่แหละเป็นผี คนที่ตายไปแล้วไปเป็นผีไม่มี ผีก็คือจิตวิญญาณคือจิตใจ คนตายแล้วในร่างกายคุณมีจิตใจไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นคนตายแล้วไม่ใช่ผี ไม่มีผีแล้วเพราะผีออกไปแล้วจากร่างกาย คนตายทุกคนไม่เป็นผี มีแต่ซากศพ ผีไม่มี ผีก็คือจิตใจของคนเป็นๆนี่แหละสำคัญ คนตายบอกแล้วว่าไม่มีผี ที่อยู่ที่จิตใจคนที่ยังเป็นๆอยู่นี่แหละอ่านให้ได้ ถ้ามันยังจะอยากสวยจะแต่งตัวสวย อยากจะไปหาแต่ความสวย อันนั้นก็จะเอาอยากจะสวยมาประดับประดาชื่นใจ แล้วก็ได้สวยชื่นใจ ไม่ได้สวยก็เศร้าใจนั่นแหละผี

เข้าใจไหม แล้วโตขึ้นฟังคำของหลวงปู่ไว้ อย่าไปอยากสวย จะเป็นผี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(วิโมกข์ 8 สัตตาวาส 9) ตอน สัญญีสัตตายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ

_หนึ่งฟ้า...ดิฉันมีสองคำถามสั้นๆ

คำถามแรก จากรายการครั้งที่แล้วที่พูดถึงอายตนะ 2 สุดท้าย ในยุคแรก พ่อครูจะใช้สองคำนี้คือสัญญาเวทยิตนิโรธไม่ได้ลงท้ายด้วยอายตนะ ต่อมาพ่อท่านอธิบายว่ามันคือ อสัญญีสัตตายตนะ คือ ไม่ต้องกำหนดสัญญาอีกแล้ว ช่วงหลังพ่อท่านอธิบายอายตนะ 2 คือ อสัญญีสัตตายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ

พ่อครูว่า...ใช่ เป็นธรรมะ 2 ของเราเอง ถ้าใครไปปฏิบัติผิด อสัญญีสัตว์ กับอสัญญีสัตว์อายตนะ ก็จะเป็นการดับสัญญา เป็นการทำแบบผิดจะไม่มีอายตนะเป็นอสัญญีสัตว์ ก็จะดับจิตตัวเอง จนไม่มีสัญญาเป็นผู้ไม่มีสัญญาไม่กำหนดจิตตัวเอง สัญญาก็ไม่มีเวทนาก็ไม่มีไม่มีความรู้สึก ถ้าเป็นมิจฉาทิฐิอย่างนี้ก็ไม่ได้เรียนรู้

แต่ถ้าผู้ปฏิบัติสมาธิที่จะเกิดเป็นธรรมะ 2 อสัญญีสัตว์อายตนะคือผู้กำหนดรู้อายตนะ อสัญญีที่เป็นอสัญญีแล้ว หมายความว่าผู้นั้น จบการสัญญา ไม่ต้องกำหนดรู้แล้วมีอายตนะอ่านจิตของตัวเองได้แล้วเหลือแต่เนวสัญญานาสัญญายตนะ

เมื่อเหลือแต่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็กำหนดสัญญาตัวนี้แหละ กำหนดตัวเนวสัญญา ที่แปลว่าการกำหนดรู้ตัวที่มัน เนวะ กับ นานัตตสัญญา สัญญาต่างๆที่คุณเคยเรียนรู้มาแล้ว มันจะเป็นสัญญาที่คุณทำได้ นาสัญญาคือสัญญาต่างๆ คุณเคยทำได้จิตธรรมดาหนึ่งที่เคยทำได้ จิตอีกตัวที่คุณยังไม่หมดกิเลส คุณก็จะเทียบเคียงธรรมะ 2 ตัวที่เป็นธรรมะที่ยังมีกิเลสมันก็ต่างกันกับตัวที่ไม่มีกิเลสแน่นอน เพราะฉะนั้นก็ทำตัวนี้แหละ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 ให้มันตายก่อนแล้วล้างกิเลสตัวนี้จิตของคุณก็จะเป็นจิตสะอาด เป็นธรรมะ 1 ใน 2

ในขณะที่คุณเองคุณทำให้กิเลส ดับไปได้จริงก็เป็น 0 กับธรรมะ 1 ก็เป็นธรรมะ 2 สองอัน คือทำให้กิเลสดับมันเป็นเหตุให้เกิดอกุศลจิต เมื่อทำให้เป็นธรรมะที่ไม่มีอกุศลจิตแล้ว เป็นธรรมะสะอาดจากกิเลสทั้งหมดได้แล้วคุณก็เหลือธรรมะ 1

เรียนรู้ย่อมาคือ กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา

เวทนา จะเกิดให้เรียนรู้ได้ต้องมีสัมผัสเป็นของจริง การไม่ปฏิบัติกับสัมผัสของจริงจะเป็นคนเพ้อเจ้องมงายอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ของจริง เป็นแค่เพียงสัญญากับความจำ เป็นอดีตกับอนาคต แล้วอดีตกับอนาคต มันจะเป็นสัจจะที่ไหน มันเกิดในปัจจุบัน คุณเองรู้ตัวกิเลสก็ฆ่ากิเลสได้ แต่ถ้าในอนาคตมันไม่มีกิเลสเกิดจริงเลย ถ้าคุณไปฆ่าก็ลมๆแล้งๆนั่งสะกดจิตลงไปจิตของคุณก็นิ่งเฉยๆ มันไม่เกิดอาการของเวทนา ไม่เกิดอาการของตัณหา ไม่เกิดอาการของอุปาทาน ไม่เกิดภพชาติ ไม่เคุณมีแต่ลมๆแล้งๆ การหลับตาปฏิบัติธรรมนี้เลิกเลยได้ไหมท่านทั้งหลาย ขอยืนยันว่ามันผิด มันไม่ใช่วิธีปฏิบัติธรรมเลยของศาสนาพุทธ มันไม่อยู่ใน ปฏิจจสมุปบาท 12 ข้อเลย

เมื่อไม่ใช่ปฏิจจสมุปบาทคุณจะไปปฏิบัติธรรมได้อย่างไรเพราะไม่มีสังขารไม่มีวิญญาณไม่มีนามรูปไม่มีเวทนา สรุปแล้วกรรมฐานคือเวทนา ไม่มีเวทนาก็สุญโญ

อสัญญีสัตว์ คือผู้ที่สำเร็จแล้ว กำหนดรู้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ทำอันนี้ให้เป็นสัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ ได้นิโรธแล้ว เพราะคุณทำเวทนาทั้งหลาย 108 ได้สำเร็จ โดยมีตัวสัญญากำหนดรู้ตลอดเวลา แล้วสัญญานี้ มันจะเป็นตัวปัญญา สัญญากำหนดรู้ทั้งภายนอกและภายใน

ถ้าเป็นอย่างหลับตานั้นไม่มีภายนอกจะไม่มีผลเกิดเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นผู้ที่นั่งหลับตาสมาธิไม่มีทางที่ปัญญาจะเกิด เขาแยกแยะปัญญากับสัญญาก็ไม่ออก จะมีแต่สัญญาภายในเท่านั้นไม่มีแต่ภายนอก ภายนอกนั้น ของพระเจ้าถ้าเข้าใจองค์ธรรม 6 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 258 จะมีปัญญา ปัญญนิทรีย์ ปัญญาพละเกิดได้ต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์และก็มีสมาธิดี ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มัคคังคะ

คุณปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์วิจัยธรรมต่างๆ โดยคุณมีความรู้เป็นสัมมาที่เป็นประธาน เมื่อสัมมาทิฏฐิเป็นประธานปฏิบัติในขณะทำงานอาชีพในขณะทำกระทำการงานต่างๆในขณะที่พูด ก็มีสังกัปปะ

สังกัปปะ เป็นตัวแท้ที่คุณจะเอาไปปฏิบัติธรรม แล้วอ่าน ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ แล้วจัดการสังกัปปะ 7 โดยรู้กามพยาบาท ก็ทำได้

_หนึ่งฟ้า..อายตนะ 2 ตัวสุดท้าย เป็นเรื่องใหญ่มาก นำไปสู่ความสับสนในการฟังคำอธิบายเกี่ยวกับสัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วิญญาณฐิติ 7

ประเด็นที่ 2 สืบเนื่องจากคำถามของ พี่เกร็ดดิน เรื่อง 3 2 1 0 ดิฉันไม่รู้เรื่อง แต่ทำใจไม่ไหวก็เลยขออธิบาย...คำว่า 3 คือ ISH ตัว I คือประธาน S คือ ตัวแทนอิตถีภาวะ H คือ ตัวแทนปุริสภาวะ ก็คือรูปกับนาม ต่อมาพ่อครูอธิบายธรรมะสองค่อยๆจับตัวมาทำทีละคู่ แล้วนำมาอธิบายธรรมะสอง ต้องมาผ่าน เวทนา2  ทำเวทนาเทียมให้เป็นเวทนาแท้

แล้วถ้าจัดการดับได้ก็เป็น 0 ในมูลสูตร 10 คือ อมตบุคคล จะเกิดจะดับก็ได้ ก็จะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ เป็นสิริมหามายา

พ่อครูว่าถือว่า ถูกต้อง

 

_ซึ้งดิน ...อยู่ที่อุทยาน มีสำมะปี๋มาก มีคนบอกว่า... คนอโศกอัตตาหลาย เขาไม่กล้าเข้ามาในอโศก เมื่อดิฉันเข้ามาปฏิบัติธรรมตอนแรกๆอ่านเวทนาไม่เป็น ก็ตนเองกินมังสวิรัติได้ พ่อเลยบอกว่า จะตั้งชื่อให้แม่ ว่าฟ้าร่ำไร ก็เลยทะเลาะกัน พ่อเลยตั้งชื่อให้เองว่า พวกกะละมังแตก ไม่ใช่พวกมังสิวิรัติ ดิฉันไม่รู้ว่าการลดกิเลสคืออะไรรู้แต่ว่าการเข้าอโศกคือการไม่ติดวัตถุ นี่นั่น เองกิเลสผสมกับงาน จริงจังกับงานก็เลย ทะเลาะกับหมู่ เพราะแยกไม่ออกว่าบุญกับกุศลเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้แยกออก บุญคือชำระกิเลส กุศลคืองานดี แม้งานดีแต่กิเลสหนาขึ้นก็ผิดทาง เดี๋ยวนี้งานจะบกพร่องบ้างไม่ครบบ้างแต่ก็อย่า โมโห (หวื่อ)

เขาว่ารายการสำมะปิ เป็นรายการของอีสานต้องพูดภาษาอีสาน รู้สึกว่าการที่เราลดอัตตามานะ ทำให้สิ่งแวดล้อมฐานงานสงบ แต่ว่าก็ได้เรียนรู้แต่ละอย่าง จนมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นอันไหนเป็นภาระก็ตัดออกไป พยายามปฏิบัติ ไม่ให้พ่อท่านและสมณศักดิ์อาม่าปวดหัว

 

พ่อครูว่า...คนอยู่ภาคไหนฟังภาษานั้นของภาคนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจ เป็นธรรมดาธรรมชาติ

 

_เกร็ดดิน..ชื่อเก่าดิฉัน คือทิพย์เทวี ฟังเรื่อง เทวเป็นธรรมะ 2 ก็รู้สึกสะดุ้งทุกที ดิฉันมีพ่อแม่ 2 คู่ก็ไม่ผูกพัน มีพี่น้อง 6 คนก็ไม่ยอมผูกพันกับใคร กลัว แต่พอธรรมะสองต้องมาจาก 3 ก่อน พอมานักษัตรที่ 4 พอปี 60

พ่อครูว่า...คุณก็เอาภาษาพวกนี้เอาเรื่องเก่าสิ่งที่ผ่านมามาร้อยเรียงเป็นนิทาน จะได้ไม่กลัวเรื่องคู่

นั่นคือตรรกะต่างๆที่เราเห็นควรรู้ภาษาจับคู่เอามาทีละสองเรานั้นไม่ต้องพูดมากหรอกเพราะเรารู้แล้วก็ดีแล้ว เอาล่ะ พูดให้ฟังก็ร้อยเรียงใช้ได้ แต่เวลาปฏิบัติคนอื่นฟังของคุณก็จะยาก อย่าเอาเรื่องยากมาให้คนอื่นเขาฟังมากนัก คุณอยากจะอยู่กับเรื่องยากก็อยู่คนเดียวก็ได้ ปฏิบัติธรรมะที่เป็นธรรมะ 2 ตามลำดับและจะได้ประโยชน์ อย่าไปติดใจในพยัญชนะหรือว่าเรื่องของตรรกะภาษาพวกนั้นมาก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ระวังหากมีแต่ภาษาความเฉกาจะเฟื่อง

_พ่อครูบอกว่า มูลนิธิ คือคลังเก็บขี้ แต่แม่น้ำมูลคงไม่ได้หมายถึงสิ่งสกปรกนะคะ

พ่อครูว่า..อาตมาไม่ได้หยาบคายนะ แต่พูดตามภาษา

แม่น้ำมูลนั้นแต่เดิมเขียนว่า แม่น้ำมูนแต่ภาษามันก็ผิดเพี้ยนไปกลายเป็นแม่น้ำมูล

มูล แปลว่า ต้นเค้า รากเหง้า มูลนิธิ แต่ไปอย่างไรมา ทุกวันนี้แปลว่าขี้ได้

สู่แดนธรรมว่า มูล แปลว่าสมบัติก็ได้รากเหง้าก็ได้ ต้นตอของสิ่งที่เป็นแกนของชีวิตแกนของจิตวิญญาณก็ได้

พ่อครูว่า...อย่างมูลสูตร มีครบเลย ตั้งแต่ ฉันทะเป็นมูล มนสิการเป็นแดนเกิด ผัสสะเป็นสมุทย เวทนาเป็นที่ประชุมลง สติเป็นใหญ่อธิปไตย ปัญญาเป็นอุตตระ วิมุติเป็นแก่น อมตะเป็นที่หยั่งลง(โอคทา) สุดท้ายนิพพานเป็นปริโยสาน ครบบริบูรณ์แล้ว

อาตมาเก็บเอาคำสอนพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะพระสูตรต่างๆ ไม่มีที่ไหนเขาเดินและใช้เป็นกันหรอก จนกระทั่งพวกเราทุกวันนี้ชักจะเก่งภาษา แต่สภาวะก็ได้บ้างมาเรื่อยๆ

ก็อยากสำทับพวกเรา พยายาม เข้าไปหาสภาวะให้มาก ภาษานั้นรู้เยอะ มันก็จะเยอะเกินไป แล้วมันก็จะเฟื่อง กลายเป็นพวกปัญญาเฟื่อง ความรู้เฟื่อง ความจริงไม่ใช่ปัญญาหรอกแต่มันเป็น เฉโกเฟื่อง ความรู้ทางโลกเฟื่อง ทุกวันนี้คำว่าปัญญาเป็นคำเสียไปแล้ว

ปัญญาเป็นภาษาของศาสนาพุทธเท่านั้นเป็นความฉลาดทางโลกุตรธรรม แต่คนทั่วไปไม่มีหรอก แต่เอาคำว่าปัญญาไปใช้ในทางเสียความเป็นปัญญาไปหมด

ทุกวันนี้เอาคำว่าปัญญาไปใช้จากมุงกุฏกลายเป็นเกือกเลย เป็นรองเท้าไปเลย เอาหัวมาเป็นปลายเอาปลายมาเป็นหัววุ่นไปหมดเลย ถึงได้ยากมากเลย ในการอธิบายธรรมะทุกวันนี้ ภาษาที่เอามาจากบาลีมาใช้เป็นภาษาไทย ซึ่งเกิดการผิดเพี้ยนไปเยอะเลยยกตัวอย่างคำว่า

บุญ กาย ปัญญา ยากมากที่จะดึงทั้งภาษาและสภาวะเข้าไปสู่จุดที่ดีจุดที่ถูกต้อง ยุคนี้อาตมาเกิดมาทำงานจึงเหนื่อย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรเราทำงานในปางนี้

 

_น้อมยอดธรรม..ดิฉันอยู่ที่อุทยานนานมาก มีคนมาสมัครเข้าค่าย เขาก็ถามรายละเอียด เขาอายุประมาณ 40 ปี เขาก็ว่าจะชวนคนที่บ้านไปด้วย ดิฉันก็พูดธรรมะกับเขา ดิฉัน อยู่เจอผัสสะ จนมันซื่อบื้อ เฉยไปเลยไม่เพ่งโทสถือสา แต่บางครั้งมันก็มีอยู่

พ่อครูว่า...แต่อ่านตัวเองไหม สัมผัสมันเกิดก็รู้สึกเป็นธรรมดา

_น้อมยอดธรรมว่า.. จิตเราก็ไม่ได้นิ่งแบบปัญญาอ่อน ฟังธรรมะทุกวันก็เข้าใจแต่พูดไม่เป็น พูดแบบบ้านนอกได้

 

พ่อครูว่า...อาตมา อธิบายแก่พวกเราพวกเราปฏิบัติได้ ที่พูดมานั้นพอเข้าใจได้

 

_บุญยิ่งแก้ว...ต้องขอบคุณพี่น้องชาวอุทยาน ทำโบรชัวร์ค่ายไปวางแล้วแจก พี่น้องก็ได้อธิบายให้คนอื่นฟังได้เข้าใจ ตัวเองมีจุดอ่อนคือ ทำหลายอย่าง ก็ไม่ได้ทำหน้าที่อธิบาย อยากถามพ่อครูว่า ตัวเองเหมือนคนฟุ้งซ่าน พอเห็นงานที่สันติฯ คนน้อยงานมากก็อยากช่วย แต่พอมาที่นี่สหกรณ์บุญนิยมก็ต้องการคนก็อยากช่วย ตอนบ่ายก็ไปทำงานกับฐานแชมพู ตนเองเหมือนคนไม่อยู่กับร่องกับรอยไปโน่นไปนี่ มีคำแนะนำไหมคะ

พ่อครูว่า...ก็ไม่ต้องกังวลอยู่ในแวดวงนี้มีงานจะไปช่วยที่นั่นที่นี่ก็ไปได้ เราก็สังเกตดูว่าตรงไหนมัน เราเหมาะสมที่จะช่วยได้เป็นประโยชน์มากหน่อย เราอาจจะถนัดอย่างนี้ทำอย่างนี้ได้ดี ทำแล้วก็ได้ปฏิบัติธรรมเราด้วย อยู่ตรงนี้เราได้ปฏิบัติธรรมจะรู้กิเลสได้เยอะ มีผัสสะเป็นปัจจัยได้ดีรู้กิเลส ได้ประโยชน์จากมิตรสหายดีตรงนั้นตรงนี้ งานของเราก็ดูว่างานแต่ละแห่งเราก็ไปได้ แต่ที่นี้คุณก็เลือกว่าตรงไหนที่ได้ประโยชน์ที่เราจะเหมาะสมในการปฏิบัติธรรม เราไปช่วยได้ทั้งนั้นแหละ ไปช่วยงานหนึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยอีกงานหนึ่งก็เอางานใดงานหนึ่งที่คิดว่ามันได้ประโยชน์ แล้วก็ไม่ต้องไปวิ่งมากหรือจะไปบ้างก็น้อยลง อะไรที่คิดว่าเราไม่ถนัดเท่าไหร่ไม่ค่อยอยากจะทำเลยได้ประโยชน์น้อย ก็เอาที่ประโยชน์มากเลือกไว้สักที่ 2 ที่ 3 ที่ก็พอแล้ว 3 ที่หมุนเวียนกันก็เหลือแล้ว

 

_คนที่ติดใจในการย้อมผมเป็นพระโสดาบันได้ไหมคะ

พ่อครูว่า...ไม่ได้ มันเกินปกติไป จะไปกำหนดไม่ได้ทีเดียวหรอก เอาพาซื่อจริงๆไม่ได้ พยายามให้เข้าหลักของพระพุทธเจ้า สมัยพุทธเจ้าไม่มีการย้อมผม ทุกวันนี้มันเกิน อาตมาก็ว่ามันมากอยู่แล้วธรรมดาคนที่จะย้อมผม มันก็อยู่ในเกณฑ์ที่ว่า มันรักสวยรักงามพอสมควรอยู่นะ เอาล่ะ ไม่ต้องขยายความมากเท่านี้พอ

 

_กล้าตรง...เมื่อก่อนตอนที่รู้จักชาวอโศกใหม่ๆ ผมไปโปรดให้พ่อแม่ที่วัดป่าที่บ้าน แต่แสดงต้องการมาอยู่กับชาวอโศกก็เลยให้น้องชายซื้อหนังสือมาให้ พอเห็นหนังสือรู้สึกดีใจมากขณะหยิบหนังสือมาอ่าน เราก็รู้สึกวูบลงไป หงายท้องหมดสติไป พอหลังแตะพื้นก็รู้สึกตัว เลยรีบลุกมาให้ทัน เพราะเกรงว่าน้องชายจะจับอาการผิดปกติได้ อาการแบบนี้เป็น อุพเพงคาปีติใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า..เป็นได้ เป็นความตื่นเต้นดีใจ พลังงานหมุนเวียนในร่างกายไม่ทัน

 

_เวลาที่เราเปิดใจหรือว่าพยายามที่จะดึง ความรู้สึกเราออกมามันจะมีอาการเสียงสั่นเครือ เหมือนกับจะร้องไห้ แล้วก็อีกมุมหนึ่ง เห็นคนอื่นที่รู้สึกว่าเขามีมานะ มีอาการน้อยใจ ก็เกิดอาการสั่นเครือเหมือนกัน เป็นอุพเพงคาปีติไหม

พ่อครูว่า..ที่คุณถามมามันละเอียด คือมันเป็นปกติก็แล้วกัน ก็พยายามให้มัน ให้เห็นว่า เป็นเหตุผลเรื่องราวตามเรื่องที่เป็นอาการของจิตอย่าให้วูบวาบอะไรมาก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน คนกินง่ายหรือคนตะกละ

_กิ่งธรรม...การที่เราเป็นคนที่รับประทานอาหารง่ายๆอะไรก็อร่อยแต่เราไม่ได้ตั้งจิตไว้ว่าจะกินอะไร มาถึงโรงครัวก็ตักไปกิน กินทุกครั้งก็อร่อยทุกครั้ง เราก็เลยสงสัยว่าอาการของเรานี้มันเป็นอาการของคนเลี้ยงง่ายหรือว่าเป็นคนอาการของคนที่ตะกละ หรือว่าเป็นคนที่มีกามในอาหารมากอะไรก็กินได้อร่อยไปหมด จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนเราเห็นเรากินอร่อย เขาก็บอกว่าทำไมเธอกินอร่อย เมื่อเขาไปกินแล้วบอกว่าไม่เห็นอร่อยเลย ก็เลยรู้สึกว่าเราเป็นคนติดอาหารหรือว่าเป็นคนมีกามในอาหารมากหรือเป็นคนเลี้ยงง่ายบางทีก็แยกไม่ออก

พ่อครูว่า...เป็นคนเลี้ยงง่ายไม่ได้จำเพราะว่าติดรสอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นรสชาติอย่างไรก็ได้ขอให้เป็นอาหาร ที่เราต้องกินเพื่อเลี้ยงขันธ์

_กิ่งธรรมว่า...แต่ถ้าเป็นอาหารที่รสจัดเราก็จะกินไม่ได้ก็จะทิ้งไปเลย

พ่อครูว่า..นั่นเป็นคนเลี้ยงง่ายยิ่งชัดเลย

_กิ่งธรรมว่า...บางคนทิ้งของให้มดไว้ตอม เราก็ไปกวาด ก็อยากถามว่า..ไม่คิดว่าเขาเจตนาแต่การเราไปทำความสะอาดก็เบียดเบียนมด อยากจะถามว่าคนที่เขาทิ้งของแล้วเขาจะมีวิบากกับเราร่วมกันบ้างไหม  หากเขาไม่ทิ้งของลงไป มดมันก็ไม่มา เราก็ไม่ต้องไปมีวิบาก

พ่อครูว่า...มันมากมายเกินไป กรรมวิบาก เอาเจตนาเป็นตัวตั้งเขาไม่ได้เจตนาให้มดมัน แต่มันก็เกิดภาระจนมดมาก็ควรจะต้องแก้ไขอย่าให้มีอย่างนี้ ก็ไม่เป็นวิบากต่อกันหรอก คุณก็ได้ทำกุศล เขาก็ไม่เป็นคนระมัดระวัง ก่อภาระ ก่อเรื่องราวเป็นวิบากของเขาบ้าง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน บารมีกับวาสนาต่างกันอย่างไร

_ดุลเพชร...พ่อท่านอธิบาย บารมีกับวาสนาต่างกันอย่างไร

พ่อครูว่า..วาสนาแปลว่าที่มันอยู่กว้างๆ รวมทั้งกุศลอกุศล ส่วนบารมีนั้น โคตรจะไปกำหนดว่าบารมีคู่กับสันดาน คนสั่งสมอกุศล กิเลสก็เป็นสันดานต้องชำระ

ส่วนคนสั่งสมบารมี ก็คือผู้ที่สร้างฐานจิตตัวเองให้ก้าวหน้าในโลกุตรธรรม ก็สั่งสมบารมีสั่งสมจิตตัวเอง

ส่วนคำว่าวาสนาคือสิ่งที่ทำเป็นประจำ อยู่ในจิตกลายเป็นวิสัยนิสัยอยู่ประจำ ยิ่งเรียกว่าสันดานเลยก็ได้ แต่ว่าบางที วาสนาไปทางดีก็มีอยู่ แต่เขาก็หมายถึงความติดยึดมาก ผู้ที่สั่งสมจนตกเป็นวาสนานี่ แม้แต่เป็นพระอรหันต์แล้ว วาสนาคนนี้ ก็เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี

เช่น มีคนหนึ่งติดเป็นวาสนา ชอบเรียกคนเป็นคำหยาบ ไอ้ถ่อยๆๆ เหมือนอย่างอาตมานี่ ยังสะดุดใจอยู่ว่าพวกเรา คนไทยก็แล้วแต่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่แต่ชอบเรียกว่า แกๆๆ แต่เขาไม่รู้ว่า คำว่าแก นี้เป็นคำข่ม หยาบ ไม่น่าใช้คำว่าแก ไปเรียกคนไม่สนิทสนมกัน แม้คนสนิทก็ไม่น่าใช้คำว่าแก อาตมาเห็นว่าคำว่าแก นี้ไม่น่าจะใช้เรียกกัน มันเหมือนนายกับบ่าว นายกับทาส เป็นคำข่ม อาตมาไม่ชอบใช้ ไม่เคยใช้

คนที่มีวาสนาก็คือบางทีเรียกแก เสียติดปาก ก็เลยเรียก คนอื่นที่เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 บุรุษที่ 3 ว่าแก ไปหมด นั่นแหละเรียกว่าวาสนาติดตัว แม้แต่เป็นพระอรหันต์แล้วยังบอกว่าคนอื่นเป็นคนถ่อยได้ ไอ้ถ่อยได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน อำนาจหมายถึงอะไร

_อำนาจหมายถึงอะไร?

พ่อครูว่า...บารมีไปเชิงดี สันดานไปทางชั่ว วาสนานี้เป็นสิ่งที่ฝังประจำตัวแก้ยาก พระพุทธเจ้าใช้คำนี้สำหรับคนมีนิสัยติดมาทางกาย วาจา เป็นสิ่งหยาบของเขา เช่นพระสารีบุตร เคยติดเป็นลิงมาห้าร้อยชาติก็ไม่ค่อยสุภาพ เป็นวาสนา

อำนาจ พระพุทธเจ้าใช้ภาษาวิชาการว่ามันเกิดจากสติ ซึ่งเป็นธรรมะเป็นวิชาการ เดี๋ยวนี้มันผิดเพี้ยนไปจากบาลีมาเรื่อย ผู้ที่มีสติเต็ม ก็จะมีพลังงานชนิดหนึ่งที่เรียกว่าอำนาจหรือพลัง พลังที่ตัวเองจะได้อาศัย ดี คนมีสติดี จะมีอำนาจกว่าคนอื่น จะสามารถมีสติ สัมปชัญญะปัญญาอะไรง่ายก็จะเป็นคนมีปฏิภาณมีคุณธรรม ก็จะเข้าใจคนได้เร็ว จะรู้ทันคนได้ง่าย ถ้ามีสติสัมปชัญญะปัญญาได้ดีธัมมวิจัยก็จะดี เข้าใจคนอื่นได้ง่าย ยิ่งมีคุณธรรมมากมีสติมีอำนาจในตัวมาก

ส่วนคนมิจฉาทิฏฐิ อำนาจนี้ไม่ใช่จากคุณธรรมแต่เป็นอำนาจบาตรใหญ่เป็นพลังงานอัตตาไม่ใช่พลังงานสติ ข้ามคำว่าสติไปไกล มีอัตตาถือดีถือตัวเป็นใหญ่ เอาอำนาจไปเบ่งข่มคนอื่นก็ดีกว่าอำนาจ แต่คนที่มีอำนาจจริงคือคนที่มีคุณธรรมสูง เช่น อธิบายกว้างถึงคำว่าอธิปไตย

อธิปไตยหมายถึงอำนาจ ประชาธิปไตยคืออำนาจเป็นของประชาชน คนที่มีอำนาจ นี่คือ คนที่ประชาชนเขายกความนับถือยกความยอมรับ ยกให้ เพราะเขาเป็นคนดี เขาเป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าเป็นคนมีคุณธรรมสูงก็ยกให้เลย คนนั้นแหละเป็นผู้เจริญด้วยสติสัมปชัญญะปัญญา เป็นคนที่เจริญด้วยองค์ประกอบต่างๆ เพราะถ้าเขามีสติ มันจะเดินผลต่อเนื่องเป็น เมื่อมีสติก็จะมีธรรมะวิจัย มีอิทธิบาท มีวิริยะ แล้วจะปฏิบัติธรรม เป็นปีติ เป็นปัสสัทธิ สั่งสมเป็น สมาธิเป็นอุเบกขา

สติเป็นตัวหลักของโพชฌงค์ 7 ถ้าขยายเป็นสติปัฏฐาน 4 ยิ่ง มีความวิจิตรพิสดารในการปฏิบัติธรรมพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ยิ่งเป็นคนเจริญเป็นคนมีสติดีสติแข็งแรงสติบริบูรณ์จึงเป็นคนที่มีอำนาจ

จะเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงไม่ เบ่ง ไม่ข่มผู้อื่น ผู้อื่นจะยกอำนาจให้ ขออภัยยกตัวอย่างตนเอง พยายามรู้ตัว ที่จะไม่ไปข่มใคร และคิดว่าไม่ไปเบ่งข่มใคร แม้จะใช้คน ก็ไม่ใช้ มีแต่คนมาช่วยมาบริการ ทุกวันนี้อาตมาได้รับการบริการจากคนช่วยมาก จนมากไป แต่เขาก็เต็มใจ ที่จะทำ อย่างนี้ เราเป็นคนที่ได้รับอำนาจ เป็นคนมีสติสัมโพชฌงค์ มีโพชฌงค์ 7 ขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37

คนที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะเป็นคนที่มีอำนาจ เพราะเป็นคนที่เก่งในการปฏิบัติธรรมเพราะมีสติเป็นตัวตั้ง แล้วก็ทำให้เกิดโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นคนได้มรรคผลเจริญสูงสุดมีคุณธรรม อาตมาถึงได้อำนาจจากพวกเราให้มา ยกให้ จนกลายเป็นอาตมาจะเผด็จการ ปกาศิตอะไรก็ทำได้จริงๆ แต่พวกเราได้รับการสอนไม่ยอมให้เผด็จการ เพราะฉะนั้นก็จะมีภาวะอีกอย่าง ถ้าอาตมาไปใช้เผด็จการก็จะมีการต้าน เพราะพวกเรามีภูมิรู้ที่จะไม่อยากให้เกิดสิ่งที่ไม่ดี หากอาตมาใช้เผด็จการมากกว่าก็จะเจอเลย เพราะอยู่ในวงของผู้ที่มีปัญญา แต่ที่อื่นซับซ้อน

ยกตัวอย่าง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่เลย ท่านสามารถทำได้ทุกอย่าง ท่านเป็นในหลวง แต่อาตมาอาภัพ พวกเราก็ให้เหมือนกัน นี่เป็นสัจจะ

ผู้ที่จะเป็นนักประชาธิปไตย อธิปไตยที่เป็นประชาชนก็ต้องทำตนให้ประชาชนเขายกอำนาจให้ นั่นแหละผู้นั้นคือนักประชาธิปไตยคืออย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นนักประชาธิปไตย เพราะไม่เบ่งอำนาจ อย่างทักษิณ ไม่มีวันได้เป็นประชาธิปไตยไม่มีวันได้อำนาจ ที่บริสุทธิ์ อำนาจที่ประชาชนเขาให้เป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นจะได้อำนาจ โดยวิธี เฉโก อำนาจปัจจัยที่จะใช้หมู่นักเลงเป็นหัวหน้านักเลง เป็นหัวหน้าคนพาล จะไม่ได้อำนาจที่สูงส่ง

อย่างทุกวันนี้ อย่างพล.อ.ประยุทธ์ ทำได้จะได้อำนาจเหล่านี้ อาตมาว่า ถ้าเผื่อว่า ผู้ต้านลดลงๆ แล้วนายกฯตู่ ขยันพากเพียรทำงานต่อไป แล้วนายกฯตู่ จะได้อำนาจโดยธรรมสูงขึ้น เพราะว่าทำงานอย่างมีตำแหน่งมีหน้าที่ ทำงานอย่างขยัน ทำงานอย่างเอาใจใส่ อย่างนี้ จะได้มากเลย ซึ่งอาตมาว่า เป็นยุคที่ดีของประชาชนคนไทยประเทศไทยที่มีบุคคลที่ดีๆมาแสดงสิ่งที่ดี

ทุกวันนี้ทางด้านกระแสต้าน อาศัยสื่อฯ สร้างพลังงานมาดิสเครดิตนายกฯตู่ จนเกิดเป็นอะไรมากมายในสังคม ความจริงแล้วมันมีภาวะซับซ้อน พวกนี้ยิ่งทำก็ยิ่งเข้าตัวเองมากขึ้นมากขึ้น จะเห็นได้ว่ากดดูในไลน์ต่างๆ มันจะมีคนด่ากันเองคนต่อต้านนายกตู่คนที่ชมนายกตู่ จะเป็นสงครามทางโซเชียลมีเดียเยอะ จะเห็นได้มันจะเกิดการสังเคราะห์ของมันเอง ยังหวังอยู่ว่านายกตู่จะไม่ท้อถอยง่ายๆจะทำงานต่อไป

ก็วิธีการพิสูจน์ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ซึ่งมันไม่เป็นแบบโลกเขาหลอก แต่ประชาธิปไตยแบบไทยๆคือประชาธิปไตยแท้ ประชาธิปไตยในรูปแบบอย่างอเมริกา อังกฤษก็ตามเป็นประชาธิปไตยแต่เพียงรูปแบบเป็นประเพณีเป็นจารีต แต่ว่าประชาธิปไตยของไทยนี้เป็นจารีตประเพณีที่มีฝ่ายค้านและฝ่ายสนับสนุน หรือฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านอยู่ตลอดเวลาและมีบทบาทอย่างนี้ตลอดเวลา เป็นพฤติบทที่มีประจำอยู่ในประเทศไทย แล้วดีมากที่ค้านแล้วสงบ อย่างทุกวันนี้สงบ ค้านก็ค้านไป ผู้บริหารก็ปล่อยให้คัดค้านพอสมควรแต่ไม่มาก แม้แต่มาตรา 44

สรุปแล้วทุกวันนี้อาตมาพอใจประเทศไทยมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐศาสตร์การเมืองไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐศาสตร์ด้านสังคม ดีขึ้น แม้แต่ทางด้านศาสนาทุกวันนี้ก็รู้สึกว่าพยายามกันช่วยกันขึ้นมามาก ก็ดีขึ้น ก็สรุปแล้วประเทศไทยกำลังดำเนินไปดีพยายามประคองให้เป็นอย่างนี้ไปได้สงบได้อย่างนี้ทุกหน่วยทุกองค์กรทุกมิติของสังคม เจริญไปตามลำดับ

 

_สุวิดา..เราเป็นลูกอีสาน เกิดมาก็เรากินมาแต่เกิด เมื่อมาปฏิบัติธรรมก็เลยสรุปว่าเราไม่ได้ติดข้าวเหนียว แต่ความสุขที่เราได้ปั้นข้าวเหนียว อาการนี้ ถือว่าเราติดข้าวเหนียวไหมคะ

พ่อครูว่า..มันเป็นองค์ประกอบของข้าวเหนียวที่ต้องปั้นอาตมากินข้าวเหนียวก็ไม่เห็นต้องปั้น หยิบออกมามันก็เป็นก้อนของมันพอสมควรไปปั้นให้มันเหนียวแน่นทำไมประเดี๋ยวก็เคี้ยวอีก มันเป็นนิสัย

_หนูทบทวนว่า เราไม่ได้กินก็ไม่ได้โหยหาแต่เราติดอย่างอื่น อย่างข้าวต้มมัดมาก็ยังผ่านไม่ได้ก็ยังเรายังติดอยู่ใช่ไหม

พ่อครูว่า..พยายามลดลง กินอย่างอื่นแทน ที่แทนกันได้ดีไม่ดี ดีกว่าด้วยซ้ำ กินข้าวจ้าวแทนก็ได้

 

_ผมอยากถามเป็นผญา..ไม้ลำเดียวล้อมฮั้วบ่ไขว่ ไพร่บ่พร้อมแปงบ้านบ่เฮือง

พ่อครูว่า...ผญาคือปรัชญา ปรัชญาคือผญา เขาเอามาเป็นคำคล้องจอง เอาไปใช้ในทางที่ผิดเป็นคําจีบสาว ที่จริงมันเป็นปรัชญา

 

_ปรีชา...ผมลงสนามบินได้แล้ว กำลังจะขึ้นสายการบินอโศก สายการบินอโศกบอกหมดเลยว่าจะต้องไปจุดใดที่จะไปเมืองที่ผมต้องการได้

ผมเคยไปทำกรรมฐานจากที่อื่นหลายแห่งจนมาถึงอโศก

พ่อครูว่า...รู้กรรมฐานของอโศกคืออะไรหรือยัง

_ปรีชาว่า กินอยู่หลับนอนและเวทนาเป็นกรรมฐาน แต่ที่ผมได้มาจากที่อื่น...

พ่อครูว่า...ทิ้งอันอื่นไปหมดเลยเอาที่คุณพูดเมื่อกี้ทำให้เต็ม

_ปรีชาว่า...ติดที่ว่า สิ่งที่ผมได้มาจากที่อื่นเป็นเหตุให้มาที่นี่ได้

พ่อครูว่า...ผิดหมด ฌานของพุทธ ไม่ใช่อย่างที่เขาทำกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ฌานคือปกติ ในชีวิตประจำวันแล้วทำพลังงานที่ทำให้เกิดการลดไฟราคะโทสะโมหะได้ ฌานไม่ได้เป็นตัวตนรูปร่างสถานที่อะไร

ปรีชาว่า...ปีติเราต้องสร้างไว้ไหม

พ่อครูว่า...ปีติเป็นผลจากที่เราทำการลดกิเลส ไม่ต้องสร้างไป

 

_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน..พูดถึงสัปปายะ 4 ตั้งแต่อยู่บ้านราชฯมา ปีนี้ดูจะสัปปายะที่สุด ปีนี้ฝนตกมากฟ้าไม่แรงน้ำไม่ท่วม ฝนตกบ่อยเหมือนอยู่ภาคใต้ มันเหมือนอากาศใสๆเหมือนภาคเหนือ ฝนตนเหมือนภาคใต้ พืชพรรณธัญญาหารก็งดงามมาก ตั้งแต่อยู่มาไม่เคยมีอะไรอุดมสมบูรณ์ทั้งปีนี้เลย จนกระทั่งมองไปตรงไหน แม่แต่ลูกหม่อนก็ออกดอกดกมากกว่าทุกปี บักหุ่งดกทุกสวน

แม้แต่คน ปีนี้ งานก็เยอะแต่ราบรื่น ดำริ อะไรมาร่วมกันทำไมง่าย วันจันทร์ ปีก่อนไม่กล้าคิดไปเลยเพราะฝนตกมากแต่เวลาไปแล้วสนุก แต่รู้สึกสัปปายะจริง ไม่รู้ว่า ร้านใหม่ที่จะเกิด ชื่อ พิสูจน์จิตอาสา ก็ดูว่าจะลงตัวไหม

พ่อครูว่า...เก็บกินเยอะไปหมด โดยเฉพาะกล้วยกับบักหุ่ง ร้านพิสูจน์จิตอาสา จะดูว่ามีคนเป็นจิตอาสามาช่วยกี่คน มีเจ็ดล็อค มันใหญ่นะ แค่กวาดก็เหนื่อยแล้ว

 

_ธงไท...ผมเป็นคนอีสาน ผญา..

ถ้าไม่เคยผ่านก็ไปให้ถึงที่สุดอย่าถอย

พ่อครูว่า...ท่านฉันนี่ พูดผญาได้คล่องมาก จำได้มากกว่าชาวอีสานอีก พูดเหมือนด้วย แปลความได้ทุกบทเลยด้วย

 

_พี่สาวผมเพิ่งเสียชียิต เป็นพยาบาลอายุแค่ 42 ปี เขานอนหลับแล้วก็เสียชีวิตไปเลย ศพเขาเหมือนไม่ได้ดิ้นรนอะไรหลับแล้วตายไปเฉย ผมอยากรู้ว่าจิตเขา แบบนี้มันจะไปเกิดหรือเขาจะเป็นสภาวะอย่างไร

พ่อครูว่า...ถามอจินไตย จิตไปเกิดนี่อาตมาไม่บังอาจไปหยั่งรู้ได้หรอก จิตคนนี่นะ จากตายแล้ว เขาก็เรียกภาษาวิชาการ คือออกจากร่างก็ต้องไปเกิดไปเกิดที่ไหนก็แล้วแต่ จะไปเข้าในร่าง ปฏิสนธิอะไรก็ได้ แต่ถ้าไม่ปฏิสนธิทันทีก็ไปตกกับวิบากของเรา วิบากของเราเป็นนรกหรือสวรรค์ก็จะเป็นแบบนั้นส่วนมากเป็นนรก ส่วนมากตกนรกเป็นส่วนใหญ่นี่ไม่ได้พูดไปเท่านั้นนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคนตายไปแล้วส่วนมากตกนรก ยิ่งผ่านมา 2,000 กว่าปีนรกยิ่งเยอะ ไม่ว่านรกขิฑฑาปโทสิกะ กับมโนปโทสิกะ

มโนปโทสิกะ คือนรกของพวกปฏิบัติธรรมไม่มีความรู้เรื่องจิตหรือมโนแล้วก็เลยเป็นโทษให้เกิดทุกข์

ส่วนขิฑฑาปโทสิกะคือ เอาแต่ความรื่นเริงจะเสพสุขหาแต่โลกีย์ คือนรกสองพวกใหญ่

เรื่องของนรกสวรรค์ ศาสนาพุทธนั้นสอนเรื่องนรกสวรรค์ที่ไม่มีนรกสวรรค์ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้เลย คำสอนพระพุทธเจ้านั้นคือนิพพาน นิพพานคือการปิดนรกปิดสวรรค์เข้าใจสิ่งที่ไม่ดีกับสิ่งที่ดี หรือสิ่งที่เป็นคุณกับเป็นโทษ ท่านสรุปลงไปสิ่งที่ดีกับไม่ดี กุศลกับอกุศล คุณกับโทษ อัสสาทะกับอาทีนวะ ก็มีเท่านี้ ในสังคมมนุษยชาติเป็นธรรมะ 2

ผู้ปฏิบัติธรรมชาวอโศกย่นย่อเข้าแก่นแกนก็ได้ประโยชน์กับธรรมะ จนทุกวันนี้ง่าย ลงตัว อย่างสม.กล้าข้ามฝันว่ามันสัปปายะ คนเข้ามาใหม่ในยุคนี้จะสบายเพราะทุกอย่างลงตัว แต่คนเข้ามานั่นแหละจะอยู่ยาก

สิกขมาตุกล้าข้ามฝันว่า...คนถามว่าปลูกโสนอย่างไรได้เยอะขนาดนี้

พ่อครูว่า...มันขึ้นเองเลย เก็บไปขายก็ยังได้ ทำไมมันดกมันมากอย่างนี้นะ ถ้าเก็บไปขายได้ก็ขายได้เยอะนะ(พ่อครูไอตัดออกด้วย)

กล้วยมะละกอมีทั่วไป

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน อัพยากฤติหมายถึงจิตอย่างไร

_นันท์มนัส...สงสัยว่าอัพยากฤติ มี ผัสโสเจตนา เป็นต้น

พ่อครูว่า..คำว่าอัพยากฤติ มีแบบที่อวิชชา แบบ คนที่ไม่มีปัญญารู้ก็เมื่อมีผัสสะแล้ว

มันผัสสะ แต่ไม่มีเจตนา ผัสสะแล้วเป็นกลางๆ ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นสุข อัพยากฤติ มี

แต่คนจะสามารถรู้เป็นสัมมาทิฏฐิว่าเราสัมผัสและเป็นกลาง เป็นกลางนั้นมีทั้ง 2 แบบ

กลางคืออุเบกขา แบบโลกีย์ก็มี หากเราเจตนาและทำรู้จักเอากิเลสออก จนจิตเราเป็นกลางแม้โสมนัสหรือโทมนัส ก็ไม่มีอาการนั้นแล้วเป็นอาการของอุเบกขาได้ อันนี้จึงเป็น อัพยากฤติ เป็นกลางที่มีปัญญารู้ แต่ส่วนมากคนไม่ได้เข้าใจถึงขั้น มโนปวิจาร หรือสามารถทำให้เกิดเนกขัมมสิตอุเบกขาได้ จึงไม่เป็นอัพยากฤติได้เลย ไม่เช่นนั้นก็อย่างเก่งก็แค่สมถะเป็นกลางอย่างไม่เจตนา การทำจิตให้ว่างสมถะ คือ อัพยากฤติ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน พระอภิธรรมคืออะไร

_พระไตรปิฎกกับพระอภิธรรมมีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

พ่อ ครูว่า...พระไตรปิฎกก็คือสามตะกร้า ตะกร้า 1 ใส่พระวินัยตะกร้า อีกอันนึงใส่พระสูตร อีกตระกร้าหนึ่งใส่พระอภิธรรม

ถามว่าพระไตรปิฎกกับพระอภิธรรม (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

ก็ตอบครบแล้วไง พระไตรปิฎกคือ 3 ตะกร้า พระอภิธรรมก็คือตะกร้าหนึ่งของพระไตรปิฎกก็จบแล้วไง นี่ก็พูดเป็นรูปธรรม ธรรมดา เนื้อหาสาระคือ คําสอนพระพุทธเจ้าที่รวบรวมเรียบเรียงไว้แล้วใช้เป็นคัมภีร์หลักฐานก็มีสามตะกร้านี้เท่านั้นเรียกว่าพระไตรปิฎก นอกนั้น ไม่ใช่ พระไตรปิฎกคือข้อเขียนคำร้อยเรียงของพวกอาจารย์ต่างๆ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าที่รวบรวมมาตั้งแต่เดิมที่เรียกว่าพระไตรปิฎก อาตมาไม่อ่านคำสอนของคนต่างๆแต่เอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก

อภิธรรมคือ ธรรมะชั้นสูงที่เข้าถึงจิตเจตสิกรูปนิพพานผู้ที่อธิบายธรรมะถึงขั้นอภิธรรมแล้วทำให้ผู้ที่ฟังแล้วปฏิบัติธรรมะถึงจิตเจตสิกได้ พวกเราปฏิบัติไปถึงเวทนาเจตสิกถึงขั้นธรรมะ 2 กำจัดอกุศลเวทนาให้เป็นกุศลเวทนาได้ ทำให้เป็นเนกขัมมสิตเวทนาได้ เป็นอภิธรรมล้วนๆ พวกเราก็ได้ประโยชน์ไปตามลำดับ จนสังคมพวกเราทุกวันนี้เป็นสัปปายะ 4

เพราะว่าพวกเราได้ฟังธรรมะแล้วปฏิบัติตามจนมีมรรคผลสมควรแก่ธรรมจริง แล้วก็เป็นผลให้เราได้อาศัยสบายเป็นสัปปายะ 4 อยู่อย่างนี้คือสถานที่ที่ดี  สถานที่นี้คนพาลไม่เข้ามาคนชั่วไม่เข้ามาเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะมีธรรมะสัปปายะ มีนักปฏิบัติธรรมอยู่อาศัยมีเครื่องอาศัยเป็นอาหาร 4

กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร รู้เจตนาของตน

ผู้ใดปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรมะ 2 คือรูปกับนาม แล้วก็นามนี่แหละ รูป 28 นาม 5 เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ

ต้องเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ทํามนสิการปฏิบัติต้องทำใจในใจให้เป็นถ้าคนที่ทำใจในใจไม่เป็นหรือมิจฉาทิฏฐิก็จะไม่ได้ผลเลย

ยกตัวอย่าง พวกนั่งหลับตา เขาทำใจในใจ มนสิการ แต่เขาทำแบบมิจฉาทิฏฐิทำไม่เข้าร่องรอยของพุทธเจ้า เพราะว่าปฏิบัติธรรมแบบไม่มีเวทนา นาม 5 ขาดเวทนา ขาดผัสสะ ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็เลยไม่มีทั้งเวทนาไม่มีผัสสะ จะเอาสัญญาไปกำหนดก็เป็นการกำหนดที่วิปลาสกำหนดผิด สัญญาไปกำหนดอดีตหรืออนาคต ไม่มีตัวจริงที่เป็นเวทนาเกิดในปัจจุบันนี้

เวทนา ในปัจจุบันมันเกิดทุกข์หรือสุขหรือเป็นเวทนาที่มีกิเลสประกอบ แล้วคุณก็ต้องวิจัยแยกแยะกิเลสให้ได้ แล้วกำจัดกิเลสตัวนี้ มันจึงเป็นปัจจุบันธรรม เป็นทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ไปหานิพพานปัจจุบัน

ผัสสะไม่มีเวทนาไม่มี นี่คือนาม 5 เขาตกไปหมด

สัญญา กับเจตนา เจตนาคือ คุณจะต้องรู้มโนสัญเจตนาที่เป็นเจตนา 3 กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

คุณต้องรู้กามก่อน ปฏิบัติกิเลสกามก่อน จนหมดกามก็เหลือภวตัณหา ทำที่ภวตัณหาอีก รูปภพ เป็นภวตัณหาขั้นกลาง มาดับอรูปภพก็เป็นภวตัณหาข้นปลายหมดก็เป็นวิภวภพ

ดับกามภพ รูปภพ อรูปภพ หมด ตัณหา คุณก็เป็นเจตนาที่สมบูรณ์แบบบริบูรณ์ มีผัสสะต้องทำใจเป็นมนสิการเป็น แต่ว่ามนสิการทุกวันนี้แปลว่าเป็นพิจารณาเฉยๆ มันไม่ใช่ แต่แปลว่าทำ

มนสิการ ไม่ได้แปลว่าพิจารณาแต่แปลว่าทำ ทำที่ใจ ก็ไปแปลว่า พิจารณา เพราะว่ากำหนดไม่ถึงสภาวะธรรม นักบาลีเปรียญ 9 ก็แปลว่า ให้ถ่องแท้แยบคายเท่านั้นไม่ได้ไปถึงที่เกิด เขาก็ว่าพิจารณาแยบคายอะไรไม่รู้ แต่ที่จริงให้มนสิการ แยกแยะกิเลสในจิต แล้วทำเวทนา ระหว่าง เคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตเวทนา หากทำธรรมะสองนี้ได้ จับให้เข้าเป้า ทั้งมโนปวิจาร 18 แล้วทำให้เป็นเนกขัมมะให้ได้ นี่คือหัวใจศาสนาพุทธ

ไปนั่งหลับตาจะเกิดมโนปวิจาร 18 ได้อย่างไร?

มโนปวิจาร  ต้องเกิดทางทวาร 6 แล้วมีสุข ทุกข์ อุเบกขา แล้วแยก เนกขัมมะกับเคหสิตะให้ได้

 

พวกเราหากไปนั่งฟังอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์เข้าไปซักถามน่าจะสนุกนะ

_สู่แดนธรรมว่าไม่สนุก...เขามีอีกแบบแล้วยึดมั่นถือมั่นแบบเขา

_ดุลเพชรว่า...หากเราพูดนอกกรอบเขาแย้งเขาไม่ได้ก็จะถูกกันออก

_สู่แดนธรรมว่า..มันเป็นธรรมะไหม?

พ่อครูว่า..เขาว่าคำนี้เลย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:14:45 )

610921

รายละเอียด

610921 ฌานคือผลของบุญที่ไม่ต้องเข้าต้องออกฌาน

พ่อครูสนทนากับปัจฉายามเช้า

 

สมณะแสนดิน : อู๊ดดี้เขาบอกว่า กราบนมัสการครับ ผมเข้าใจว่าการเข้าออกฌานเป็นความเข้าใจของฤาษีเดียรถี

 

พ่อครู : ใช่

 

สมณะแสนดิน : แต่ของพุทธไม่ต้องเข้าต้องออก เพราะมีศีลในการเผากิเลส

 

พ่อครู : ใช่

 

สมณะแสนดิน : แต่มาเห็นข้อความในหนังสือคนคืออะไร หน้า 541 ที่พระพุทธเจ้าทรง

เข้าออกในรูปฌานและอรูปฌาน ก่อนปรินิพพาน ซึ่งมาตรงกับท่านอาจารย์ยุทธบอกว่า

ก่อนจะเข้าฌานต้องดับวจีสังขารก่อน แล้วดับมโนสังขาร และกายสังขารตามลำดับ

(น่าจะเป็นจิตตสังขารนะครับ) เมื่อจะออกจากฌานให้เข้าสู่กายสังขารก่อน เป็นสิ่งที่เข้าใจยากยิ่งนะครับ  คือ อาจารย์ยุทธบอกว่า เข้าฌานจะต้องดับวจีสังขารก่อน แล้วดับมโนสังขารกายสังขาร ตามลำดับ ส่วนออกฌานให้เข้าสู่กายสังขารก่อน ถูกหรือเปล่าครับ เขาก็ใช้ภาษาอนุโลม ใช่ไหมครับ ท่านภิกษุณีธัมมทินนาคุยกับอุบาสกวิสาขา ว่าเข้าออกฌานเป็นอย่างไร

 

สมณะดินไท : จริงๆพ่อท่านบอกภาษาจะยังไงก็ได้

 

สมณะแสนดิน : ท่านธัมมทินนาคงจะอนุโลมให้

 

พ่อครู : เปล่าตอนแรกที่อุบาสกวิสาขากับท่านธัมมทินนาจะคุยกันนี่ ก็พูดกันแล้วว่า เข้าฌาน

ออกฌานเป็นอย่างไง แล้วทีนี้ท่านธัมมทินนาก็บอกว่า ของพุทธเราไม่ได้เข้าไม่ได้ออก

พระสารีบุตรก็เคยพูดว่า ไม่มีหรอกนิโรธก็ตามไม่มีเข้าไม่ออก นิโรธเขาไม่ได้เข้าไม่ได้ออก

ไม่ใช่ลัทธิเข้าหรือออก อันนี้เป็นประเด็นเล็กน้อย  คนไม่ค่อยสะดุด พูดผ่านๆเล็กๆน้อย

แต่เป็นเรื่องใหญ่นะ เป็นเรื่องใหญ่ เข้าออกนี้มันคือฌานคุณจะต้อง เข้าภวังค์ ออกภวังค์

จะเข้าออกของพระพุทธเจ้านี้

        คำว่าออกจากฌานก็คือ วุฒิฐาน วุฒิฐาน เข้าก็คือ อุปัชฌะ  ออก คือ วุฒิฐานะ

ท่านก็บอกว่าไม่มีออกไม่มีเข้า  ของพุทธไม่มีออกไม่มีเข้า มีแต่ปฏิบัติไปแล้วมันก็ผ่านไป

ถ้าเข้าใจนี้ จะเข้าบุญ เข้าฌานออกฌานจะไม่มี

สมณะดินไท : อันเดียวกันใช่ไหมครับ 

 

พ่อครู : อันเดียวกัน ถ้าเข้าใจอันนี้จะเข้าใจบุญ บุญคือสร้างพลังงานจิตให้มันเผากิเลส

สร้างพลังงานให้เกิดฌาน

 

สมณะดินไท : เป็นอาวุธ

 

พ่อครู : เอ่อ เอาพลังงานให้เกิดฌาน สร้างพลังงานจิต คืออภิสังขาร ไง เป็นปุญญาภิสังขาร

อภิสังขารให้เกิดบุญ พอเกิดบุญแล้วจะเกิดฌาน พอเกิดฌาน ก็เป็นผลสำเร็จของบุญ มันละเอียดมากเลยตรงนี้

 

สมณะดินไท : แปลว่าเข้านี้เหมือนเข้าภพ

 

พ่อครู : ใช่ มันเข้าภวังค์ เข้าสู่ภพ เข้าไปในภพ  ข้างนอกไม่มี  ก็ไม่มีกาย เพราะฉะนั้นอธิบายเหมือนท่านยุทธว่า ก็ต้องดับกายสังขารก่อน  ก็หมายความว่า

 

สมณะแสนดิน : วจีสังขาร ถ้าจะเข้าฌานต้องดับวจีสังขารก่อน

 

พ่อครู  : ดับวจีสังขารก่อน

 

สมณะแสนดิน :  แล้วค่อยดับที่กายสังขาร จิตสังขาร

 

พ่อครู : ก็ได้ ก็ถูกซิ วจีสังขารมันง่ายกว่ากายสังขาร วจีสังขารมันพล่อยกว่ากายสังขาร

กายสังขารมันหนักกว่า วจีก็คือคำพูดไง

 

สมณะแสนดิน : ไม่ใช่ครับ ท่านหมายถึง วจีสังขารคือข้างใน ตัวสังขารใน

 

พ่อครู : ข้างใน หมายถึงข้างใน  ดับวจีสังขารทั้งในก่อน

 

คุณเจมส์ : ไม่มีดำริ

 

พ่อครู : ถ้าอย่างนั้นยิ่งลึก ถ้าอย่างนั้นยิ่งต้องใช้สังกัปปะ

 

สมณะแสนดิน : นั่นอย่างไรละครับ อาจารย์ยุทธคิดว่าทำอย่างนั้น ตรงกับที่พ่อท่าน

อธิบาย

 

พ่อครู : ต้องใช้สังกัปปะเลย

 

สมณะแสนดิน : เพียงแต่อู๊ดดี้เขาไปติดภาษาในคนคือะไร

 

พ่อครู : คนคืออะไรเขียนตั้งแต่นู้น ไม่ได้เก่งอะไร ใช้ภาษายังซับสนอยู่เลย เป็นเล่มแรกที่

เขียนหนังสือ

 

สมณะแสนดิน : เป็นเล่มแรกที่พ่อท่านเขียน และเขียนใน 7 วัน ตอนนี้ 7 เดือน

 

 

สมณะดินไท : ภาษาคำว่า บุญ กาย ก็ยังไม่ได้อธิบายเลย

 

พ่อครู : ยังเลย คำว่า บุญ กาย ยังไม่ได้อธิบาย จะพูดบ้างเรื่องสมาธิบ้าง ตอนนั้นมีแต่เรื่อง

สมาธิ

 

 

ถอดข้อความโดย  อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:15:42 )

610921

รายละเอียด

610921 ทำไมไม่มาเป็นหนึ่งในพันที่แผ่นดินพุทธ

พ่อครู : แล้วพระพุทธเจ้ามีพระบารมีมาก มาจนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินในยุคโน้นทั้งหลาย

 ศ่รัทธาเลื่อมใส่หมด อันนี้ก็เป็นอจินไตยที่เป็นเรื่องจริง พระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ พระเจ้าแผ่นดินในยุคนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ในทวีปอินเดียยุคนั้น ก็อยู่ในกรอบของทวีปอินเดีย

ยังไปนอกไม่ได้ แต่ก็ยิ่งใหญ่  เพราะแคว้นโกศลยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่าประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป

อเมริกา แคว้นต่างๆยังหลายรัฐ ยังไม่กว้างเท่าแคว้นโกศล แคว้นมคธ อะไรอย่างนี้เป็นต้น

ใหญ่ใหญ่มากพลเมืองเยอะ แต่ก็พระเจ้าแผ่นดินของแต่ละแคว้นเหล่านั้น แต่ละรัฐแต่ละประเทศเหล่านั้น  ยอมให้พระพุทธเจ้าหมด พระพุทธเจ้าจึงสะดวกสบาย แล้วก็เป็นผู้ที่เข้ารีด

 ผู้ที่เข้ารีดของพระพุทธเจ้าแล้ว ปลดแอกจากวรรณะ จากความเป็นทาส  จากพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ มาเป็นคนของพุทธเจ้าเลย ที่นี้สมัยโน้นจะมาปฏิบัติ จึงต้องออกมาจาก

ข่ายแอกของพระเจ้าแผ่นดิน แอกของพระเจ้าแผ่นดิน  แอกของทาศ ต้องปลดแอกนั้นมาอยู่ในของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถึงจะมีสิทธิ์ทำได้เต็มที่ ไม่เช่นนั้นทำไม่ได้ นี่เป็นข้อจำกัด

ในยุคนู้น แต่ยุคนี้เป็นประชาธิปไตย ไม่ต้องแล้วไม่มีแล้ว ประเทศที่จะงมงายอยู่กับความ

เป็นทาส ความเป็นสมบูรณ์ญาสิทธิราช มีสมบูรณ์นายาสิทธิราชอยู่บ้าง แต่ความเป็นทาสไม่มีแล้ว หรือเรื่องเข้าใจสิทธิมนุษยชนนี้สมบูรณ์แบบทั่วโลกแล้วทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นจึง

ประกาศได้กว้าง เพราะพระพุทธเจ้าท่านมีบารมีมาก ท่านได้

 

      อย่างพระโพธิรักษ์อย่างนี้ ได้เท่านี้บารมี อยู่ในกรอบ แต่ออกมาได้นะ  ทุกวันนี้คนอิสระเสรีภาพมากกว่าในยุคพระเจ้ามากเลย ไม่ใช่ยุคทาส ไม่ใช่ยุคสมบูรณายาสิทธิราข

จะมามาได้นะ  แต่ติดกิเลส กิเลสผูกไว้แน่นเลย ล่ามโซ่ด้วย ล่ามโซ่ใส่กุญแจ ลูกเบ้อเร่อ

เลย ไม่มา มาไม่ได้ถูกทางโลกดึงไว้หมด เอาก็ไม่ว่ากัน ส่วนใครไม่ได้ถูกอะไรผูกไว้เลย

ไม่มา ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วหนอ ไม่มีอะไรผูกก็ยังไม่มา ไม่มาเพราะติดอะไร  ติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ติดลาภยศสรรเสริญ ติดหมูติดหมาติดปูติดปลา ติดอะไรก็ไม่รู้ เอาจริงๆอะ

โอ้โฮมาวัดไม่ได้ ไม่มีผู้ดูแลเลี้ยงหมา เอ่อเอา คนจริงๆนะที่พูดกับอาตมานี้คนจริงนะ มาไม่ได้หมาไม่มีคนดู เอ่อ เอาเถอะคอยเลี้ยงไปเหอะอยู่กับหมานั่นแหละ ตัวเองไม่ต้องไปไหนหรอก

ชาตินี้ก็เลย พูดแล้วมันจะแรง อาตมาก็ไม่ขยายความละ ยุคพระพุทธเจ้าจึงจำเป็นต้องออกมาบวช  ไม่เช่นนั้นไม่ได้ สมัยนี้ไม่บวชก็ได้ ไม่มาบวชก็ได้ ไปมาคล่องแคล่วทุกอย่าง คมนาคม

อะไรต่างๆ แล้วก็อิสระเสรีภาพทุกอย่างเลยได้ ถ้าเห็นควรคุณจะตัดสินเองควรจะมาอยู่ก็มา

ขณะนั้นยังไม่มีเท่าไหร่เลย จะเอาสักพันคน โอ้โห  แต่อาตมาคิดว่า มันต้องเอาให้ได้พันคน

ก่อนหน้าถึงจะตาย ยังไม่ถึงพันไม่ยอมตายง่ายๆจะรอดหรือไม่รอดยังไม่รู้นะ จะเอาให้ถึงพัน

ถ้าถึงพันจะดูปาฏิหาริย์ของสังคมกลุ่มที่มีคุณสมบัติเป็นโลกุตระค่ะ คนตั้งพันนึง จะมีฤทธิ์เท่าไหร่ จะมีปาฏิหาริย์เท่าไหร่ จะมีราศรีรังสีเท่าไหร่ จะมีอำนาจสนามแม่เหล็กแห่งโลกุตระแรง

แค่ไหน เดี๋ยวนี้มันมีแค่นี้ 200 300 คน 500 ยังไม่ถึงที่ แม้เพราะงั้นก็ ผู้ที่พอจะมาได้ จะติดกันไปถึงไหน จะรอให้พระโพธิรักษ์ตายก่อนหรือไง ไม่ตายมาช่วยไม่ได้หรือไง มาช่วยตอนที่

อายุ 85 แล้วนะ

 

 

ถอดข้อความโดย   อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:16:48 )

610921

รายละเอียด

610921_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เตวิชชสูตร

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Vc9XIewELxbvJXtWBl7SREBlVpcNVmCcaaJorDq1Mds/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1NQOkan3acC5CjaocWyltzWQSfV5L0aOp

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ประกาศค่ายสัมมาอาริยมรรค

ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า

“ศีลกับปัญญาชำระใจ”

ครั้งที่ 32 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก

ศุกร์ที่ 21 - อาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2561

รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)

สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ

โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865

 

##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู

 

พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ

ที่อื่นเขาพานั่งหลับตาเดินจงกรมปฏิบัติ แต่ที่นี่ทำแบบมรรคมีองค์ 8 พ่อครูพูดแตกหักกับพวกนั่งหลับตาหลายครั้งแล้ว ยกอินทริยภาวนาสูตรมา

10.  อินทริยภาวนาสูตร  (152)

[853]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่  ในนิคมชื่อกัชชังคลา  ครั้งนั้นแล

อุตตรมาณพ  ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่  ประทับ  แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค  ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้  ระลึกถึงกันไปแล้ว  จึงนั่ง  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ฯ

[854]  พอนั่งเรียบร้อยแล้ว  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า  ดูกร  อุตตระ  ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า  ฯ

อุ.  แสดง  พระโคดมผู้เจริญ  ฯ

พ.  ดูกรอุตตระ  แสดงอย่างใด  ด้วยประการใด  ฯ

อุ.  ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  ในเรื่องนี้  ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ  เจริญอินทรีย์ แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า  อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ  อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต  ฯ

พ.  ดูกรอุตตระ  เมื่อเป็นเช่นนี้  คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์

ต้องเป็นคนตาบอด  ต้องเป็นคนหูหนวก  เพราะคนตาบอด  ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ  คนหูหนวก

ไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต  เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้  อุตตรมาณพ  ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์นั่งนิ่ง  เก้อเขิน  คอตกก้มหน้า  ซบเซา  หมดปฏิภาณ  ฯ

คนสมัยก่อนแพ้ก็คือแพ้ ยอมรับโดยดีแต่คนสมัยนี้หน้าด้าน

หากนั่งหลับตาแต่ไม่สัมมาทิฏฐิก็จะหลงใหลในฌานโลกีย์แต่หากสัมมาทิฏฐิการนั่งหลับตาปฏิบัติก็เป็นอุปการะมากเช่นกัน

 

พ่อครูว่า...วันนี้รับไลน์จากคุณใจฟ้า ก็วิบากใครก็ต้องใช้เอาศึกษาไป

_จาก ใจฟ้า กราบนมัสการพ่อครู ลูกคิดถึงพ่อครูเหลือเกิน

ฟ้งทำวัตรเช้า พ่อพูดถึงความอบอุ่น ในสังคมอโศก โลกจะเป็นเช่นไรก็ช่าง แต่เราจะเป็นคนบูรณาการ เป็นสังคมบูรณาการ

10 มกราคม 2520 ได้ฟังธรรมพ่อครูเป็นครั้งแรก2ชม. จำได้อย่างเดียว

ว่าชืวิตใคร-ใครก็รัก กลับบ้านก็กินมังสวิรัติ มาจนถึงทุกวันนี้ 42ปี

ลูกปักมั่นกับการลดพื้นที่ในกระเพาะคนให้กินเนื้อสัตว์น้อยลง

มาจนถึงวันนี้ก็พบทางสว่างว่า พ่อครูให้รวมกำลังเป็นหนึ่งที่บ้านราช เห็นจริงอย่างยิ่งว่า อาศัยหมู่กลุ่มจะทำให้ลด-ละ-เลิก กิเลสได้มากกว่า และได้พลังมากกว่า พอคิดได้ วิบากก็ทำให้ไปไม่ได้

-พบพ่อ พ่อประกาศว่า "อาตมาไม่เคยพาพวกคุณถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว ไม่เคยลงใต้ดินแม้แต่ครึ่งเมล็ดงา"จริงที่สุดค่ะ !

-พบพ่อไม่ต้องทำบาปเพิ่มถ้ารู้ทัน

-พบพ่อได้ลดละสิ่งที่ต้องให้ร้ายตัวเอง-ผู้อื่น ถ้ารู้ทัน

-พบพ่อไม่ต้องหลงไปในวัฎฎะสงสารกับชืวิตคู่ ที่พัวพันไม่รู้ทุกข์

-พบพ่อได้ทำงานบุญทุกรูปแบบ

-พบพ่อ ใจได้รับปิติสุขของคนโลกใหม่

-พบพ่อ ได้สร้างกุศลมหาศาล วิบากมาก็มีคนช่วยมากมาย

-พบพ่อ รู้แล้วว่าจักรวาลนี้เราเป็นผู้สร้าง(กายยาววา หนาคืบกว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ)

-พบพ่อ ค่อยเข้าใจว่ากราบเหนือเศียรเกล้า แปลว่าอะไร

-พบพ่อ อะไรที่เรียกว่าบุญ อะไรเรียกว่ากุศล ซาบซึ้ง-ชัดเจนเหลือเกิน

-พบพ่อ มั่นใจได้ว่าชีวิตนี้ไม่มีทางหันกลับไปทำชั่วอีก (วิบากชัด)

-พบพ่อ ชีวิตนี้ถวายกับศีลได้เลย

-พบพ่อ เขื่อว่าตัวเองมีที่ไปถาวร มั่นคง มีแต่เจริญถ่ายเดียว

-พบพ่อ รู้จักวางสุข (แม้จะโหยหา)ละทุกข์

-พบพ่อ พึ่งรู้ว่าติดการพนัน หวังในลาภ-ยศ-สรรเสริญ ก็คือการพนัน

ใจสงบทันทีที่คิดได้ ความสุขที่เรียกว่าอบอุ่นบรมสุข(!)

กราบพ่อครู สุดหัวใจ (สุดเกล้า สุดเศียร ไปให้ถึงที่สุด)

 

SMS 20 กันยายน 2561 (สำมะปี๋ซีวิต)

 

6601 น้อมกราบนมัสการบูชาพ่อครูค่ะ มักหลายค่ะเพิ่นเหว้าอีสานม่วนคัก จังซีค่ะถึงซิเอิ้นสำมะปี๋

ฟังธรรมะมาหลายปีแต่พึ่งเข้าใจขึ้นบ้างและอยากทราบว่าทำยังไงเราจะมีสมาธิดูจิตต่อเนื่องตลอดเวลาค่ะ เมตตาพ่อครูช่วยแนะสอนลูกด้วยค่ะ

 

พ่อครูว่า...เราจะสามารถมีจิตเป็นสมาธิดูจิตได้อย่างต่อเนื่อง มันต้องปฏิบัติตามลำดับศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของ ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายใจ ปฏิบัติตามลำดับอย่าไปรีบร้อนอย่าตะกละ ให้ชัดเจนว่าเราควรเลื่อนฐาน อันนี้เลื่อนเร็วไปเราจะรู้ หรือช้าไปก็รู้

 

_0015"การคิด" กับ "การมีสติสัมปชัญญะ" เหมือนและแตกต่างกันอย่างไรครับ

 

_0015พ่อท่านฯใช้ธรรมะใดปกครองลูกๆชาวอโศกครับ เหมือนการปกครองสมัยพ่อขุนรามฯแบบ "พ่อปกครองลูก"บ้างหรือเปล่าครับ

พ่อครูว่า...อาตมาใช้ธรรมะข้อปกครองโดยไม่ปกครอง คนมารวมอยู่ที่อาตมาเป็นคนที่มาตามลำดับ ระดับที่ดีแน่น ระดับที่หลวงห่างไปหน่อย ระดับที่ห่างไปมากนานทีมาเป็นต้น

ผู้มีภูมิธรรมมาใกล้ก็จะถูกขัดเกลามากหน่อย คนที่ห่างไปคือคนที่ถูกขัดเกลาไม่ได้มาก อาตมาเอาคุณภาพก่อน ไม่เอาปริมาณก่อน

 

_หินไท ชาวหินฟ้า · เห็นใจคนนั่งฟังสำมะปี๋ชีวิตตั้งสองชั่วโมงคงเมื่อยพอได้ พวกเราอายุมากๆกันแล้วจัดเวทีลักษณะพุทธตามภูมิดีไหมครับคนฟังสมณะ สิกขมาตุ ผู้สูงอายุจะได้นั่งเก้าอี้

พ่อครูว่า..เก้าอี้เขาก็มี เขาก็ไปนั่งได้ พวกเราเข้าใจ จัดสรรตัวเองได้ไม่มีปัญหา

 

_ນາງ ເກດມະນີ ສຸກສະຫວັນ · ກາບນະມັດສະການພໍ່ທ່ານຢ່າງສູງຂ້ານອ້ຍຈະຂໍ້ໄປເຂົ້າຄ້າຍນໍ້າດວ້ຍຈະໄປວັນເສົາຖ້າຮອດອຸດທິຍານປະມານ-3ໂມງຈະມີລົດໄປທີ່ວັດບໍ?

( นางเกดมนี สุขสวรรค์ กราบนมัสการพ่อท่านอย่างสูง ข้าน้อยจะขอไปเข้าค่ายด้วย จะไปวันเสาร์ ถ้าฮอดอุทยานประมาณบ่าย 3 โมง จะมีรถไปที่วัดบ่?)

พ่อครูว่า..มี อย่าให้เลย 3 โมงนะ

 

_จากคุณ จุดจุดจุด...หนูอยากทราบว่า ทำไมพระอาริยะเจ้าบางรูปที่มีภูมิเดิมมาก่อน ทำไมถึงมีปัญญาอาริยะมาตั้งแต่เด็ก เช่น เอาในยุคนี้ก็ได้ ท่านอนุตตโร ท่านหน้าตาดี แต่ที่ไม่มีคู่ก็เพราะใครเข้ามาท่านก็ไม่เล่นด้วย ท่านหันหลังให้เลย ตั้งแต่ท่านเป็นเด็กหนุ่ม (เคยฟัง) ซึ่งหนูก็คล้ายๆกับท่านค่ะ (แต่ไม่ได้หมายความว่าหนูเป็นพระอาริยะเจ้าใดๆนะคะ) คือใครเข้ามาก็ไม่เล่นด้วย และไม่ทอดสะพาน ไม่ว่าจะเป็นใคร น่าชอบขนาดไหนก็ตาม ตัดไม่ให้ใครมาใกล้ชิดมาผูกพันได้ ..... และคิดว่าต่อให้มีคู่วิบากมันไม่น่าจะมีผลหากบุคคลนั้นมีปัญญาในเรื่องนั้นแล้ว (รู้ว่าการมีคนมารักจะก่อให้เกิดปัญหาและทุกข์ตามมานานัปการ) น่าจะมีผลเฉพาะตอนบุคคลดังกล่าวยังเป็นลิงลมฯมากกว่า เลยสงสัยค่ะว่าทำไมบางคนเกิดมาก็มีปัญญาในเรื่องนั้นๆเลย เป็นเพราะการตั้งจิต หรือเป็นเพราะฝึกฝนมาในเรื่องนั้นๆมาก

พ่อครูว่า...อย่างอาตมาก็มีลักษณะลิงลมอมข้าวพองมาก่อนด้วย ใช่ ผู้ที่มีปัญญาในเรื่องนั้นมาทันทีเลยเพราะว่ามีการพากเพียรฝึกฝนมามากจนเข้ากรอบหลุดพ้นแล้ว เพราะฉะนั้น มันก็ไม่ยาก

 

_พิมพ์เพชรรุ้ง อโศกตระกูล   วันที่  21 กันยายน 2561 กราบนมัสการพ่อท่าน

1. ลูกชอบรายการ สัมมะปี๋ซี่วิต ทำให้ได้รู้จักพี่น้องสหธรรมิกมากขึ้น และได้ศึกษา ธรรมะจากที่พ่อท่านฯ ตอบปัญหาต่างๆ ด้วย อยากให้มีรายการนี้ต่อไปค่ะ               

2. ระหว่างชมรายการสัมมะปี๋ฯ ลูกได้แต่งโคลงสี่สุภาพ ขึ้นมาบทหนึ่ง จากสภาวะจิตตนเอง  อาจไม่ตรงฉันทลักษณ์ที่ถูกต้อง และได้พยายามฝึกใช้ภาษาอีสาน   จึงส่งมาถวายพ่อท่านฯ หากผิดพลาดประการใด ต้องกราบขออภัยทุกท่านด้วยค่ะ กราบขอพ่อท่านฯ กรุณาชี้แนะด้วยค่ะ

        สัมมะปี๋มีม่วนค้ำ     ซี่วิต            

ซุมแซ่วเบิ่งภูมิจิต           พี่น้อง            

ทุนธรรมเพิ่นย้อนคิด       เจ้าของ นำแน            

สำมะแจ๋จักเทื่อต้อง        ย่านแท้ กิเลสโต๋

3. ครั้งหนึ่ง ในรายการแสดงธรรมะ พ่อท่านฯ เคยถามว่า ใครมั่นใจว่ามีภูมิโสดาบัน ให้ยกมือยืนยัน ลูกก็ได้ยกมือด้วย   ....แต่เมื่อคืนวันพฤหัสฯที่ 20 กันยายน 61 ในรายการสัมมะปี๋ ฯ

พ่อท่านฯตอบคำถาม ที่ถามว่าคนย้อมผมเป็นโสดาบันได้หรือไม่ พ่อท่านฯตอบว่าไม่ได้

ลูกต้องขอ สารภาพว่า ลูกได้ใช้แชมพูที่สระผมแล้วผมหงอกกลายเป็นดำ.....

ลูกจึงขอเอามือลงจากการยืนยันเป็นโสดาบันก่อนนะคะ ต่อไปลูกจะไม่ใช้แชมพูเช่นนั้นอีก

ลูกยังไม่ได้เป็นโสดาบันจนกว่าจะทำให้ผีชอบสวยในตัวเองหายไปก่อน ใช่มั้ยคะ

                กราบขอบพระคุณพ่อท่านฯ เป็นอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า...ดี ผีชอบสวย ก็ใช้ได้ผล ทำให้คนเลิกย้อมผมสีดำ จริงๆแล้วการย้อมผมสีดำนี้จะไปตีความว่าเป็นโสดาบันหรือไม่ก็ไม่ชัดนัก ถ้าไม่ย้อมเลยก็ชัดนัก แต่ถ้าย้อมบ้างไม่ย้อมบ้าง จะเอาอันนี้เป็นเครื่องตัดสินความเป็นโสดาบัน มันก็ไม่อย่างนั้นทีเดียว บางคนทำเพราะมีความจำเป็นในประโยชน์สูงก็ต้องรักษาสถานะรูปลักษณ์เอาไว้บ้าง เป็นรายละเอียดมันก็ยากนะ ศึกษาเถอะเรื่องพวกนี้ไม่ได้สูงส่งอะไรมากมาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน เตวิชชสูตร

วันนี้อาตมาจะเอา เตวิชชสูตร สูตรที่ 13 ของล.9

13. เตวิชชสูตร

                  ___________________

[365] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบทพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงพราหมณคามของชาวโกศลชื่อว่ามนสากตะ ได้ยินว่า ในเวลานั้น

พระผู้มีพระภาคประทับ ณ อัมพวันใกล้ฝั่งแม่น้ำอจิรวดี ทิศเหนือแห่งมนสากตคาม เขตพราหมณคามชื่อว่ามนสากตะ.

พ่อครูว่า...เหมือนในยุคนี้ที่มีอาจารย์สำนักต่างๆเหมือนกัน มีภาษาอันเดียวกันกับของพระพุทธเจ้าแต่เดินกันคนละแบบคนละแม่น้ำคนละสาย ภาษาอันเดียวกันท่องจำมาบ่นมาเก่งกว่าอาตมาเยอะ พราหมณ์ต่างๆพวกนี้ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าต่างคนต่างบอกว่านี่เป็นทางตรงทางเอก

วาเสฏฐะและภารทวาชมาณพเข้าเฝ้า

[366] สมัยนั้น พราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียงอาศัยอยู่ในมนสากตคามมากด้วยกันคือ วังกีพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ ชาณุโสณีพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์และพราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียงอื่นๆ อีก.

ครั้งนั้น วาเสฏฐมาณพกับภารทวาชมาณพเดินเที่ยวเล่นตามกันไป ได้พูดกันขึ้นถึงเรื่องทางและมิใช่ทาง วาเสฏฐมาณพพูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านโปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้.

ฝ่ายภารทวาชมาณพพูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้วาเสฏฐมาณพไม่อาจให้ภารทวาชมาณพยินยอมได้ ฝ่ายภารทวาชมาณพก็ไม่อาจให้วาเสฏฐมาณพยินยอมได้.

[367] ครั้งนั้น เวเสฏฐมาณพบอกภารทวาชมาณพว่า ดูกรภารทวาชะ ก็พระสมณโคดมนี้แล เป็นโอรสของเจ้าศากยะ ทรงผนวชจากศากยสกุล ประทับอยู่ ณ อัมพวันใกล้ฝั่งแม่น้ำอจิรวดีเขตพราหมณคามชื่อมนสากตะทางทิศเหนือ และเกียรติศัพท์อันงามของท่านสมณโคดมนั้นขจรไปอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้วเป็นผู้จำแนกพระธรรม มาไปกันเถิดภารทวาชะ เราจักเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับครั้นแล้วจักกราบทูลถามความข้อนี้กะพระสมณโคดม พระสมณโคดมจักทรงพยากรณ์แก่เราทั้งสองอย่างใด เราจักทรงจำข้อความนั้นไว้อย่างนั้น ภารทวาชมาณพรับคำวาเสฏฐมาณพแล้วพากันไป.

[368] ครั้งนั้น วาเสฏฐมาณพกับภารทวาชมาณพ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอเป็นที่ให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. เวเสฏฐมาณพได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ขอประทานโอกาสเมื่อข้าพระองค์ทั้งสองเดินเล่นตามกันไป ได้พูดกันขึ้นถึงเรื่องทางและมิใช่ทาง ข้าพระองค์พูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านโปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ ภารทวาชมาณพพูดอย่างนี้ว่าหนทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออกนำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องทางและมิใช่ทางนี้ ยังมีการถือผิดกันอยู่หรือ ยังมีการกล่าวผิดกันอยู่หรือ ยังมีการพูดต่างกันอยู่หรือ. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะ ได้ยินว่าท่านพูดว่า หนทางที่ท่านโปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น  เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรงเป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ ภารทวาชมาณพพูดว่าหนทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออกนำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ ดูกรวาเสฏฐะ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกท่านจะถือผิดกันในข้อไหน จะกล่าวผิดกันในข้อไหน จะพูดต่างกันในข้อไหน.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องทางและมิใช่ทาง พราหมณ์ทั้งหลาย คือ พราหมณ์พวกอัทธริยะ พราหมณ์พวกติตติริยะ พราหมณ์พวกฉันโทกะ พราหมณ์พวกพัวหริธ ย่อมบัญญัติหนทางต่างๆ กันก็จริง ถึงอย่างนั้น ทางเหล่านั้นทั้งมวล เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ เปรียบเหมือนในที่ใกล้บ้านหรือนิคม แม้หากจะมีทางต่างกันมากสาย ที่แท้ทางเหล่านั้นทั้งมวลล้วนมารวมลงในบ้าน ฉะนั้น.

พ. ดูกรวาเสฏฐะ เธอพูดว่า ทางเหล่านั้นนำออกหรือ?

ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์พูด.

ดูกรวาเสฏฐะ เธอพูดว่า ทางเหล่านั้นนำออกหรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์พูด.

ดูกรวาเสฏฐะ เธอพูดว่า ทางเหล่านั้นนำออกหรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์พูด.

      ทรงซักวาเสฏฐมานพ

[369] ดูกรวาเสฏฐะ บรรดาพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา พราหมณ์แม้คนหนึ่งที่เห็นพรหมมีเป็นพะยานอยู่หรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.

ดูกรวาเสฏฐะ อาจารย์แม้คนหนึ่งของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาที่เห็นพรหม มีเป็นพะยานอยู่หรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.

ดูกรวาเสฏฐะ ปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาที่เห็นพรหม มีเป็นพะยานอยู่หรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.

ดูกรวาเสฏฐะ อาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาที่เห็นพรหมมีเป็นพะยานอยู่หรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.

ดูกรวาเสฏฐะ พวกฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา คือ ฤาษีอัฏฐกะฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ที่ในปัจจุบันนี้พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์เก่านี้ที่ท่านขับมาแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้วกล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้องตามที่ได้กล่าวไว้ บอกไว้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเรารู้ พวกเราเห็นพรหมนั้นว่า พรหมอยู่ในที่ใด อยู่โดยที่ใด หรืออยู่ในภพใด ดังนี้ มีอยู่หรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.

[370] ดูกรวาเสฏฐะ ได้ยินว่า บรรดาพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา แม้พราหมณ์สักคนหนึ่งที่เห็นพรหมเป็นพะยาน ไม่มีเลยหรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.

ดูกรวาเสฏฐะ แม้อาจารย์สักคนหนึ่งของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ที่เห็นพรหมเป็นพะยานไม่มีเลยหรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.

ดูกรวาเสฏฐะ แม้ปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ที่เห็นพรหมเป็นพะยาน ไม่มีเลยหรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.

ดูกรวาเสฏฐะ อาจารย์ที่สืบมาแต่เจ็ดชั่วอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ที่เห็นพรหมเป็นพะยาน ไม่มีเลยหรือ?(พ่อครูว่า... ข้อสังเกตุว่า พระพุทธเจ้าใช้เลข 7 เลข 7 ก็เป็นเลขที่สำคัญอันหนึ่งยังจะไม่พูดในวันนี้ )

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.

ดูกรวาเสฏฐะ ได้ยินว่า พวกฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา คือฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ที่ในปัจจุบันนี้พวกพราหมณ์ที่ได้ไตรวิชชา ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์เก่านี้ที่ท่านขับมาแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้วกล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้องตามที่ได้กล่าวไว้ บอกไว้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเรารู้พวกเราเห็นพรหมนั้นว่า พรหมอยู่ในที่ใด อยู่โดยที่ใด หรืออยู่ในภพใด ดังนี้ มีอยู่หรือ?

พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่เห็น แต่พวกเราแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมนั้นว่า หนทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรงเป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้.

[371] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์มิใช่หรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์แน่นอน.

ดีละ วาเสฏฐะ พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ไม่รู้จักพรหม ไม่เห็นพรหม จักแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมว่า หนทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

ดูกรวาเสฏฐะ เหมือนแถวคนตาบอดเกาะหลังกันและกัน คนต้นก็ไม่เห็น คนกลางก็ไม่เห็น แม้คนท้ายก็ไม่เห็น ฉันใด ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา มีอุปมาเหมือนแถวคนตาบอด ฉันนั้นหมือนกัน คนต้นก็ไม่เห็น คนกลางก็ไม่เห็น แม้คนท้ายก็ไม่เห็น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ถึงความเป็นคำน่าหัวเราะทีเดียว ถึงความเป็นคำต่ำช้าอย่างเดียว ถึงความเป็นคำเปล่า ถึงความเป็นคำเหลวไหลแท้ๆ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ แม้ชนอื่นเป็นอันมากก็เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นไปเมื่อใด ตกไปเมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลายย่อมอ้อนวอน ชมเชย ประนมมือนอบน้อม เดินเวียนรอบ.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เป็นอย่างนั้น.

[372] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ แม้ชนอื่นเป็นอันมากก็เห็น ก็พระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นไปเมื่อใด ตกไปเมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมอ้อนวอน ชมเชย ประนมมือ  นอบน้อมเวียนรอบ พราหมณ์ได้ไตรวิชชา สามารถแสดงทางเพื่อไปอยู่ร่วมกับพระจันทร์และพระอาทิตย์แม้เหล่านั้นว่า ทางนี้แหละเป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ ดังนี้ ได้หรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.

      ดูกรวาเสฏฐะ ได้ยินว่า พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ แม้ชนอื่นเป็นอันมากก็เห็น พระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นไปเมื่อใด ตกไปเมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลายย่อมอ้อนวอน ชมเชย ประนมมือ นอบน้อม เดินเวียนรอบ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ไม่สามารถแสดงทางเพื่อไปอยู่ร่วมกับพระจันทร์และพระอาทิตย์แม้เหล่านั้นว่า หนทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ ก็จะกล่าวกันทำไม พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชามิได้เห็นพรหมเป็นพะยาน แม้พวกอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาก็มิได้เห็น

แม้พวกปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาก็มิได้เห็น แม้พวกอาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ก็มิได้เห็น แม้พวกฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร  ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์  บอกมนต์ ที่ในปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์เก่านี้ ที่ท่านขับมาแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้องตามที่ได้กล่าวไว้ บอกไว้ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า

พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่เห็นว่าพรหมอยู่ในที่ใด อยู่โดยที่ใด หรืออยู่ในภพใด พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นแหละพากันกล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมที่พวกเราไม่รู้ ที่พวกเราไม่เห็นนั้นว่า  หนทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรงเป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้.

[373] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์ แน่นอน.

ดีละ วาเสฏฐะ ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ไม่รู้จักพรหม ไม่เห็นพรหม จักแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมนั้นว่า ทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหม ข้อนี้ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

อุปมาด้วยนางงามในชนบท

[374] ดูกรวาเสฏฐะ เหมือนอย่างว่า บุรุษพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราปรารถนารักใคร่นางชนปทกัลยาณีในชนบทนี้ ชนทั้งหลายพึงถามเขาอย่างนี้ว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ นางชนปทกัลยาณีที่ท่านปรารถนารักใคร่นั้น ท่านรู้จักหรือว่าเป็นนางกษัตริย์ นางพราหมณี นางแพทย์ หรือนางศูทร์ เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า หามิได้ ชนทั้งหลายพึงถามเขาว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญนางชนปทกัลยาณีที่ท่านปรารถนารักใคร่นั้น ท่านรู้จักหรือว่านางมีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ สูงต่ำ หรือพอสันทัด ดำ คล้ำ หรือมีผิวสีทอง อยู่ในบ้าน นิคม หรือนครโน้น เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า หามิได้ ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาว่า ท่านปรารถนารักใคร่หญิงที่ท่านไม่รู้จักไม่เคยเห็นนั้นหรือ เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า ถูกแล้ว ดูกรวาเสฏฐะท่านจักสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้น ย่อมถึงความเป็นคำไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้น ย่อมถึงความเป็นคำไม่มีปาฏิหาริย์.

ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน ได้ยินว่า พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาก็ดี อาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี ปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์พวกนั้นก็ดี อาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี เหล่าฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี ต่างก็มิได้เห็นพรหมเป็นพยาน …

 

อุปมาด้วยพะองขึ้นปราสาท

[375] ดูกรวาเสฏฐะ เหมือนอย่างว่า บุรุษพึงทำพะองขึ้นปราสาทในหนทางใหญ่สี่แพร่ง ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ ท่านทำพะองขึ้นปราสาทใดท่านรู้จักปราสาทนั้นหรือ ว่าอยู่ในทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก หรือทิศเหนือ สูง ต่ำหรือพอปานกลาง เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า หามิได้ ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาว่าท่านจะทำพะองขึ้นปราสาทที่ท่านไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหรือ เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่าถูกแล้ว ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้นย่อมถึงความเป็นคำไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้นย่อมถึงความเป็นคำไม่มีปาฏิหาริย์.

ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน ได้ยินว่า พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาก็ดี อาจารย์ของพวกพราหมณ์นั้นก็ดี ปาจารย์ของอาจารย์แห่งพวกพราหมณ์นั้นก็ดี อาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี เหล่าฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี ต่างก็มิได้เห็นพรหมเป็นพะยาน เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์แน่นอน.

ดีละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ไม่รู้จักพรหม ไม่เห็นพรหม จักแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมนั้นว่า ทางนี้แหละเป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

 อุปมาด้วยแม่น้ำอจิรวดี

[376] ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดีนี้ น้ำเต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง กาดื่มกินได้ครั้งนั้น บุรุษผู้ต้องการฝั่ง แสวงหาฝั่ง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามฝั่งไป เขายืนที่ฝั่งนี้ ร้องเรียกฝั่งโน้นว่า ฝั่งโน้นจงมาฝั่งนี้ ฝั่งโน้นจงมาฝั่งนี้ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนฝั่งโน้นของแม่น้ำอจิรวดีจะพึงมาสู่ฝั่งนี้ เพราะเหตุร้องเรียก เพราะเหตุอ้อนวอน เพราะเหตุปรารถนา หรือเพราะเหตุยินดีของบุรุษนั้นหรือหนอ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.

ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่

กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราร้องเรียกพระอินทร์ พระจันทร์ พระวรุณ พระอีศวร พระประชาบดี พระพรหม พระมหินทร์ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาอย่างนั้น ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม เพราะเหตุร้องเรียก เพราะเหตุอ้อนวอน เพราะเหตุปรารถนา หรือเพราะยินดี ข้อนี้ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

(พ่อครูว่า... อยากจะยกตัวอย่างพวกเทวนิยมไม่รู้ไม่เห็นพระเจ้าแต่ก็อ้อนวอนร้องขอจากพระเจ้า)

[377] ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดี น้ำเต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง กาดื่มกินได้ครั้ง

นั้น บุรุษผู้ต้องการฝั่ง แสวงหาฝั่ง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามฝั่งไป เขามัดแขนไพร่หลังอย่างแน่น ด้วยเชือกอย่างเหนียวที่ริมฝั่งนี้ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนบุรุษนั้นพึงไปสู่ฝั่งโน้นจากฝั่งนี้แห่งแม่น้ำอจิรวดีได้แลหรือ?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.

ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน กามคุณ 5 (พ่อครูไอตัดออกด้วย)

 

สมณะฟ้าไทว่า…สูตรนี้ เหมือนพวกเทวนิยมหรือพวกนั่งหลับตาทำ

 

พ่อครูว่า...

ฉันนั้นเหมือนกัน กามคุณ 5 เหล่านี้ ในวินัยของพระอริยเจ้า เรียกว่าขื่อคาบ้าง เรียกว่าเครื่องจองจำบ้าง กามคุณ 5 เป็นไฉน? คือ

รูปที่พึงรู้ด้วยจักษุ เสียงที่พึงรู้ด้วยโสต กลิ่นที่พึงรู้ด้วยฆานะ รสที่พึงรู้ด้วยชิวหา โผฏฐัพพะที่พึงรู้ด้วยกาย น่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก เกี่ยวด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด

กามคุณ 5 เหล่านี้ ในวินัยของพระอริยเจ้า เรียกว่าขื่อคาบ้าง เรียกว่าเครื่องจองจำบ้าง พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา กำหนัดสยบ หมกมุ่น ไม่แลเห็นโทษ ไม่มีปัญญาคิดสลัดออก บริโภคกามคุณ 5 เหล่านี้อยู่ ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่ กำหนัด สยบ หมกมุ่น ไม่แลเห็นโทษ ไม่มีปัญญาคิดสลัดออก บริโภคกามคุณ 5 พัวพันในกามฉันท์อยู่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

(พ่อครูว่า...ขออภัยคิดประหวัดไปถึงมหาบัว สอนนิพพานจ้อยๆ เป็นมหาด้วย บางที่พูดบาลี แต่ปากนี้แดง เคี้ยวหมาก ไม่รู้ว่า เป็นสิ่งเสพติดขั้นที่หยาบ หมากพลูมันง่ายที่จะรู้ว่าเป็นเครื่องติด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองติด มันซ้อนบังน่าสงสาร ขออภัยที่กล่าวพาดพิง เพราะสงสารคนที่ยังหลงใหลใฝ่นับถือ ก็ไม่ใช่ว่าจะไปลบหลู่เพราะว่าท่านก็ปฏิบัติฝึกฝนอย่างสมถะวิธีเอาจริงเอาจังมุ่งมั่น แต่ยังมิจฉาทิฐิอยู่ แม้แต่แค่อบายมุขเครื่องเสพติด เรื่องนี้เรื่องง่ายๆไม่ใช่เรื่องลึกลับเลย ทุกวันนี้พวกชาวฆราวาสที่ไม่เป็นพระอาริยะก็ยังเลิกบุหรี่หมากพลูได้ แม้แต่ประเทศต่างๆเขาก็เลิกกัน จะมีพวกคนหลังเขายังเสพติดอยู่ ไม่ใช่คนหลังเขาออกจากเมืองมาแล้วก็เลิกเสพกันแล้ว)

 

[378] ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดี น้ำเต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง กาดื่มกินได้

ครั้งนั้น บุรุษผู้ต้องการฝั่ง แสวงหาฝั่ง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามฝั่งไป เขากลับนอนคลุมตลอดศีรษะเสียที่ฝั่ง ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นพึงไปสู่ฝั่งโน้นจากฝั่งนี้แห่งแม่น้ำอจิรวดีได้หรือหนอ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.

ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน นิวรณ์ 5 อย่างเหล่านี้ ในวินัยของพระอริยเจ้าเรียกว่า เครื่องหน่วงเหนี่ยวบ้าง เครื่องกางกั้นบ้าง เครื่องรัดรึงบ้าง เครื่องตรึงตราบ้าง นิวรณ์ 5 เป็นไฉน? คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาปาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ นิวรณ์ 5 เหล่านี้แล ในวินัยของพระอริยเจ้า เรียกว่าเครื่องหน่วงเหนี่ยวบ้าง เครื่องกางกั้นบ้าง เครื่องรัดรึงบ้าง เครื่องตรึงตราบ้าง.

[379] ดูกรวาเสฏฐะ พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ถูกนิวรณ์ 5 เหล่านี้ ปกคลุมหุ้มห่อ รัดรึง ตรึงตราแล้ว ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่ ถูกนิวรณ์ 5 ปกคลุม หุ้มห่อรัดรึง ตรึงตราแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

      [380] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเคยได้ยินพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวว่ากระไรบ้าง พรหมมีเครื่องเกาะคือสตรีหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.

      มีจิตจองเวรหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.

      มีจิตเบียดเบียนหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.

      มีจิตเศร้าหมองหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.

      ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้หรือไม่ได้?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ได้.

ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา มีเครื่องเกาะคือสตรีหรือไม่มี.

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.

      มีจิตจองเวรหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.

      มีจิตเบียดเบียนหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.

      มีจิตเศร้าหมองหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.

      ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้หรือไม่ได้?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.

[381] ดูกรวาเสฏฐะ ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันว่า พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นยังมีเครื่องเกาะคือสตรี แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีเครื่องเกาะคือสตรี กับพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ได้แลหรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.

ดีละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีเครื่องเกาะคือสตรี เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตจองเวร แต่พรหมไม่มีจะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาซึ่งยังมีจิตจองเวรกับพรหมผู้ไม่มีจิตจองเวรได้แลหรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.

ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเบียดเบียน แต่พรหมไม่มีจะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเบียดเบียนกับพรหมผู้ไม่มีจิตเบียดเบียนได้แลหรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.

ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเศร้าหมอง แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเศร้าหมอง กับพรหมผู้ไม่มีจิตเศร้าหมองได้แลหรือ?

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้.

ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ แต่พรหมยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ กับพรหมผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ได้แลหรือ?

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้.

ถูกละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหมผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นในโลกนี้จมลงแล้ว ยังจมอยู่ ครั้นจมลงแล้วย่อมถึงความย่อยยับ สำคัญว่าข้ามได้ง่าย เพราะฉะนั้น ไตรวิชชานี้เราเรียกว่า ป่าใหญ่คือไตรวิชชาบ้าง ว่าดงกันดารคือไตรวิชชาบ้าง ว่าความพินาศคือไตรวิชชาบ้าง ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา.

[382] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า พระสมณโคดมทรงทราบทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหม.

ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน มนสากตคามอยู่ในที่ใกล้แค่นี้ ไม่ไกลจากนี้มิใช่หรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มนสากตคามอยู่ในที่ใกล้แค่นี้ ไม่ไกลจากนี้ พระเจ้าข้า.

ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษผู้เกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคามนี้ ออกไปจากมนสากตคามในทันใด พึงถูกถามหนทางแห่งมนสากตคาม ดูกรวาเสฏฐะ จะพึงมีหรือที่บุรุษนั้นผู้เกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคาม ถูกถามถึงหนทางแห่งมนสากตคามแล้ว จะชักช้าหรืออ้ำอึ้ง?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะบุรุษนั้นเกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคาม เขาต้องทราบหนทางแห่งมนสากตคามทั้งหมดได้เป็นอย่างดี.

ดูกรวาเสฏฐะ เมื่อบุรุษนั้นเกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคาม ถูกถามถึงทางแห่งมนสากตคาม จะพึงมีความชักช้าหรืออ้ำอึ้งบ้าง ตถาคตถูกถามถึงพรหมโลก หรือปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงพรหมโลก ไม่มีความชักช้าหรืออ้ำอึ้งเลย เรารู้จักพรหม รู้จักพรหมโลก รู้ปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงพรหมโลก และรู้ถึงว่าพรหมปฏิบัติอย่างไร จึงเข้าถึงพรหมโลกด้วย.

[383] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า พระสมณโคดมย่อมแสดงทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระองค์จงแสดงทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหม ขอพระองค์จงอุ้มชูพราหมณประชา.

ดูกรวาเสฏฐะ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าววาเสฏฐมาณพทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.

      ทางไปพรหมโลก

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรวาเสฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้

เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้วอยู่ ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง

คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย (พ่อครูว่า...ยุคโน้น ในยุคพระพุทธเจ้า ประชาชนจะมาปฏิบัติตามท่านจะต้องมาเข้ารีต เข้าธรรมนูญตามข้อกำหนดกฏเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าได้จะต้องมาบวช ถ้าไม่บวช พระพุทธเจ้าก็ไปละลาบละล้วงกฎหมายหรืออำนาจพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ ต้องมาด้วยวิธีการ ด้วยธรรมนูญ มาด้วยกันแสดงตัวจริงๆ แล้วพระพุทธเจ้ามีพระบารมีมาก มากจนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินในยุคโน้นทั้งหลาย ศรัทธาเลื่อมใส อันนี้เป็นเรื่องอจินไตยที่เป็นเรื่องจริง พระเจ้าแผ่นดินในยุคนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ในทวีปอินเดีย แต่ก็ยิ่งใหญ่ แคว้นอย่างโกศลนี้ใหญ่มาก แต่พระเจ้าแผ่นดินของแต่ละประเทศก็ยอมให้พระพุทธเจ้า และเมื่อเข้ารีตแล้วก็ปลดแอกจากวรรณะจากความเป็นทาส ของพระเจ้าแผ่นดินทุกองค์มาเป็นคนของพระพุทธเจ้าเลย สมัยโน้นจะออกมาปฏิบัติต้องออกมาจาก แอกของทาสต้องปลดแอกนั้นมาอยู่กับ พระพุทธเจ้าท่านจึงจะมีสิทธิ์ทำได้เต็มที่ไม่อย่างนั้นไม่ได้เป็นข้อจำกัดในยุคโน้น แต่ในยุคนี้เป็นประชาธิปไตย ประเทศที่แต่จะงมงายอยู่กับความเป็นทาส สมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่บ้าง แต่ความเป็นทาสนั้นไม่มีแล้วความเข้าใจในสิทธิมนุษยชนมีเต็มที่แล้วจึงประกาศได้กว้าง

พระพุทธเจ้ามีบารมีมาก แต่โพธิรักษ์มีบารมีแค่นี้ออกมาได้นะ ทุกวันนี้คนมีอิสระเสรีภาพมากกว่าสมัยพระพุทธเจ้าเลย จะมาก็มาได้แต่ติดที่มีกิเลส กิเลสผูกไว้แน่นเลย ล่ามโซ่เลย ใส่กุญแจลูกเบ้อเร่อเลย มาไม่ได้ ถูกทางโลกดึงไว้หมด ส่วนใครที่ไม่มีอะไรผูกไว้เลยแต่ก็ไม่มาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ไม่มาเพราะติดอะไร รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ ติดหมูติดหมาติดปูปลา มาไม่ได้ ไม่มีผู้ดูแลเลี้ยงหมา

อาตมาว่ามีจริงนะ เขามาไม่ได้ หมาไม่มีคนเลี้ยง ชาตินี้ก็อยู่กับหมาไปเถอะพูดไปแล้วมันจะแรงก็ไม่อยากขยายความมาก

ในยุคพระพุทธเจ้าคนที่จะออกมาอยู่กับพระพุทธเจ้าจึงจะต้องบวช สมัยนี้ไม่ต้องบวชก็ได้มีความคล่องแคล่วคมนาคมดี มีอิสระเสรีภาพทุกอย่างได้ ถ้าเห็นควร ตัดสินใจจะมาอยู่ก็มา ขนาดนั้นจะเอาสักพันคนก็ยังโอ้โห แต่อาตมาคิดว่า มันต้องให้ได้สัก 1,000 ถึงจะตาย ยังไม่ได้ ไม่ถึงพันไม่ยอมตายง่ายๆ จะรอดหรือไม่รอดก็ไม่รู้ จะเอาให้ถึงพัน ถ้าถึงพันนี้จะดูปาฏิหาริย์ของสังคมกลุ่มที่มีคุณสมบัติเป็นโลกุตรธรรม คนถึง 1,000 จะมีราศี ราศีจะมีอำนาจของสนามแม่เหล็กแห่งโลกุตระ แรงแค่ไหน เดี๋ยวนี้มันมีแค่นี้ 200 300 500 เพราะฉะนั้นผู้ที่จะพอมาได้ จะติดกันไปถึงไหนจะรอให้พระโพธิรักษ์นี้ตายก่อนหรือไง ไม่ตายมาช่วยไม่ได้หรือยังไง มาช่วยตอนนี้ อายุ 85 แล้วนะ

สู่แดนธรรมว่า.. อายุ 95 ถึงจะมา

อาตมาเห็นหน้ากันหลัดๆ ก็ตายปุ๊บเลย พรุ่งนี้ โยมเกียวที่ปฐมอโศกก็จะเผาแล้ว ทำกาละแล้ว กายแตกตาย ทำกาละนี้ ต้องเป็นผู้ที่บรรลุนะหากไม่บรรลุก็ยังเป็นผู้อยู่ในกาละ

อาตมาก่อนจะออกมาบวชก็สั่งเสียน้องๆไว้หมดแล้ว ดูแลให้เขาช่วยตัวเองได้หมดทุกคนแล้วก็ตัวใครก็ตัวใคร น้องนุ่งหากเขามาได้ก็อนุโมทนา รู้ดีกันทั้งนั้น

ไม่ได้ลำเอียงว่าเป็นน้อง แต่ก็มีนัยสำคัญที่เป็นน้องเป็นญาติสนิทก็มีลำดับก่อน อาตมาก็ทำตามพระพุทธเจ้าว่าไป

สรุปคือผู้เห็นจริงก็มาออกบวช…ต้องสำคัญใน 4 อย่างนี้

ศีล  สำรวมอินทรีย์ สติสัมปชัญญะ สันโดษ

 

ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิตเมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม ที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.

                       จุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ

ศีลของพระพุทธเจ้านั้น จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

มหาแปลว่าใหญ่กว้าง มัชฌิมศีลก็อย่างกลาง จุลนี่แปลว่าสูงสุดก็ได้ เล็กสุดก็ได้ มหานี้ใหญ่ แต่มหาศีลไม่ได้แข็งแต่กว้างในมหาศีล เดรัจฉานวิชาเป็นตัวตั้ง

ศาสนาพุทธที่ถูกต้องแล้วกรอบไหนวงไหนก็แล้วแต่ไม่มีเดรัจฉานวิชชา หากมีเดรัจฉานวิชาอยู่ก็ไม่เข้าข่ายศาสนาพุทธเลย

เดรัจฉานวิชาคือวิชาที่ไม่พาไปสู่นิพพาน เป็นคำสอนที่ยังวนเวียนอยู่ในเดรัจฉาน ยังเป็นสัตว์โลกสามัญ สัตว์โลกอย่างสัตตาวาส 9 เป็นต้น

มหาศีล เอาที่เดรัจฉานวิชชา เป็นต้นว่า

มหาศีล

1. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก(พ่อครูว่า...เป็นพราหมณ์ผู้มีตำแหน่งยศศักดิ์ทรัพย์สินเงินทองมีบริวารเยอะเหมือนกับพระภิกษุสมัยที่เป็นพระมหาศาล มีบริวารมากมียศศักดิ์เยอะมีทรัพย์สินเยอะโพธิรักษ์เทียบไม่ได้เลย มีแม่ยกพ่อยกรวยๆก็ไม่มี เพราะฉะนั้นโพธิรักษ์ไม่ใช่สมณะผู้เจริญ พราหมณ์ผู้เจริญ ไม่ใช่พราหมณ์มหาศาล แต่พระมหาศาลในสมัยนี้ก็คือ พราหมณ์มหาศาลในสมัยพระพุทธเจ้า พระมหาศาโลในสมัยนี้ก็ได้ทั้งยศตำแหน่งอำนาจแต่มีเดรัจฉานวิชาอยู่)

 ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้าทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสกเป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน  เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...เป็นการติดต่อกับเทวดา ต้องมีอะไรเป็นสิ่งนำพา ธูปเทียนเป็นต้น สร้างไฟ สร้างควันเป็นต้น ทำพิธีต่างก็ใช้ควันหรือไฟ(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไทว่า...เหมือนสมัยนี้ทำอะไรสารพัด ที่ผิดไปจากพระธรรมวินัยมีข่าวว่าพระไปข่มขืนผู้หญิงด้วย

พ่อครูว่า...เติมเนยหรือน้ำมันก็ตาม ก็แบ่งเป็นไฟกับเปลวกับควันเท่านั้นเอง ใช้ไฟเป็นสื่อ ใช้น้ำเป็นสื่อ

7. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธา แล้วยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือนทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบนปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

ดูกรวาเสฏฐะ ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เลย เพราะศีลสังวรนั้น เปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษก กำจัดราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรวาเสฏฐะ ภิกษุก็ฉันนั้น สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้นภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน ดูกรวาเสฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล.

   จบมหาศีล.


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:18:57 )

610923

รายละเอียด

610923 วางใจได้นั้นไม่ตายหรอกแต่จะสบาย

พ่อครู : คุณพูดอาตมารู้ มันเรื่องของจิตใจของคุณยึด ยึดตามใจคุณ  คุณจะเอาตามใจคุณเท่านั้นเอง คุณคิดว่าอย่างนั้นดี อาตมาจะบอกให้ว่า แม้แต่ดี หรือจะฉิบหาย มันเป็นสมมติทั้งนั้น ดีหรือจะฉิบหาย มันเป็นสมมติทั้งนั้น  เพราะฉะนั้นถ้าจะยึดแต่ดีดีๆ แน่นอนมันไม่ได้ดั่งใจเราหรอก ไม่ได้ดั่งใจเราหรอก อาตมานี้เสียดายนะ

ถ้าเผื่อว่าคุณเองคุณก็ยังจะยึดตามที่คุณเห็น คุณก็เหนื่อย และดีไม่ดีก็จะรู้สึกเจ็บปวด ทั้งๆที่เจ็บปวดมันคือสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่คุณก็มีกัน นี่และคือกิเลสที่อาตมาอยากได้ตัวนี้มากกว่า แต่มันก็อย่างว่าไม่ได้ดั่งใจ มันก็ค่อยๆเป็นไป ที่นี้พวกคุณยึด ยึดคุณก็เจ็บ  คุณก็ทุกข์ ถ้าคุณเองคุณรู้สึกว่า เอ่อเอาน่าคุณวาง มันคงไม่ตายหรอก

แล้วมันก็ไม่ตายหรอก ขอยืนยันว่ามันไม่ตาย แล้วคุณก็จะสบาย คุณก็จะโล่งจริง ผมว่านั้นคือโลกของจิตที่เป็นกิเลสตัวนี้ แม้ถ้าคุณปล่อยวางนะได้คุณจะสบายขึ้นเยอะ และอะไรทุกอย่างก็จะดีขึ้น สบาย มันจะไม่เกิด ต้องประชุมกันแล้วประชุม ประชุมกันแล้วก็ไม่เสร็จสักที มันจะเกิดอยู่อย่างนี้ อาตมาก็ไม่รู้จะว่ายังไง อาตมาก็เก่งเท่านี้ ที่พูดความจริง พูดภาษา ให้คุณฟังได้ ถ้าคุณเข้าใจว่าคุณจะไปยึดเลย มันจะฉิบหายยังไง มันจะดี

 

อย่างไร ดีก็สมมุติ ดีก็ดี ถ้ามันดีก็ดีแหละ แต่มันไม่ดีได้ จะฉิบหาย ก็ฉิบหาย อย่างมากก็ศูนย์ก็เรียนกันมานักแล้ว อย่างมากก็ศูนย์ ฉิบหาย อย่างมากก็ศูนย์ เราไม่ไปทำร้ายใครหรอก ฉิบหายตัวเอง เราเองฉิบหาย จริงๆก็คืออาตมานี่แหละฉิบหายใช่ไหม ไม่เห็นจะเป็นไร

อาตมาก็ไม่ได้ว่าอะไร  ฉิบหาย ก็ฉิบหายหมด ไม่เห็นจะเป็นอะไร เพราะอาตมารู้ พวกเราไม่มีใครที่จะทำให้มัน เสียหายอยู่แล้ว ก็มันศูนย์อยู่แล้ว ไม่มีหรอก ไอ้ความนึกคิดอย่างนั้น เป็น

ความนึกคิดที่พิสดาร พวกเราไม่ใช่ พวกเราผ่านจุดนั้นมาหมดแล้ว จริงๆมันเป็นวิบาก

มันจะต้องค่อยๆ บางคนก็เจอแรง  บางคนก็เจอเบา  มันเป็นจริง ทุกอย่างมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นยังไง

      อันที่บอกตถตา มันต้องเป็นเช่นนั้น ต้องเป็นเช่นนั้น ลึกซึ้งจริงๆเลย ไม่เป็นเช่นนั้นมันมันก็ไม่ใช่ ไอ้นี้มันต้องเจ็บ ไม่เจ็บก็ไม่ใช่ ไอ้นี่มันสบาย มันเบา มันดี มันโล่ง มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เป็นสัจจธรรม มันสุดยอด นี่ยังไม่ได้ไปฝืนมันก็ยังไม่ได้ อันที่ไม่ได้เลยก็ต้องไม่ได้ ทำอย่างไงก็ไม่ได้ มันก็มันไม่ได้

ถอดข้อความโดย  อุทัย


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:20:57 )

610923

รายละเอียด

610923_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ รูป 28 นาม 5 อันน่าอัศจรรย์เป็นลำดับ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/14gUIggj_1lmzozMWxDKUxQX30BT9sVYtA_FUVkU3vsM/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1aJIWj33Or-FaYaT9mY5_RQHYhiPgjbyM

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้จะถึงช่วงเทศกาลถือศีลกินเจกันแล้วเรามีสถานที่ขายอาหารเจ 2 แห่งคืออุทยานบุญนิยมและสหกรณ์บุญนิยม ปีนี้เราจะใช้วัตถุดิบไร้สารพิษให้มากที่สุดในการทำอาหาร

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 21 กย. 2561 (พุทธศาสนาตามภูมิ)

 

_3867คนผู้เกิดมาเพื่อแสวงหาการกินดีอยู่ดี(เกินพอ)ผู้นั้นคือ ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยบาปด้วยความฉิบหาย..แต่คนผู้เกิดมาเพื่อแสวงหาการทำดี(กุศลกรรม)อันได้ แก่สร้างสรรฯเสียสละฯชำ ระจิตฯผู้นั้นคือผู้มีชีวิตอยู่ด้วยบุญด้วยความเจริญรุ่งเรือง!ธ.สมณะโพธิรักษ์

-1ในพันแผ่นดินพุทธโลกุตระแดนแห่งคนไร้อำนาจลาภยศสักการะสรรเสริญโลกียะสุขฯ เบื่อเกิดแก่เจ็บตายฯหน่ายวัฎฎสงสารใครๆก็อยากมาเป็น1ใน1000นั้น!

- กราบอนุโมทนากับธ.ปัจจุบันขณะ สอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับตบะที่เคยตั้งสัจจะไว้กับพ่อครูฯสณ.สม.ว่าจะทานมังสวิรัติตลอดชีวิต!สำรวมกายวาจาใจตลอดไป!ประหยัดพอเพียงตลอดกาลสาธุ!

_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · ขอยกย่องในความตรงของคุณ พิมเพชรรุ้งครับ

 

พ่อครูว่า...ขอเพิ่มเติมให้ คนที่เป็นโสดาบัน ต้องฟังจากสัตบุตรที่ท่านรู้กว่าแล้วท่านจะชี้บอกไป ไม่ต้องไปท้อแท้ ที่จริงคนที่รู้ขนาดนี้แล้วไม่ถอยแล้วขนาดนี้แล้วนี่ ก็เข้าข่าย ไม่ท้อไม่ถอย แม้จะยากลำบากปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตา จิตไม่บรรลุสักอย่าง โสดาปัตติมรรคก็ไม่เข้า พระพุทธเจ้าก็ยังยกย่องเทิดทูน ยิ่งเข้ากระแสแล้ว ไม่ถึงต้องลำบากลำบน แค่ศีล 5 ไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ เราก็อยู่ได้โดยไม่ต้องหน้านองน้ำตาอะไร ไม่ได้ฝืนอะไรเกิน ดีไม่ดีเราก็ยังสบาย ดูที่จิตใจเราจริง เราได้ศีล 5 โดยไม่ยากไม่ลำบาก ในฌานทั้ง 4

หมายความว่าจิตเรามีพลังงานอุณหธาตุสลายกิเลส ถือศีล 5 ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากไม่กินเนื้อสัตว์ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ไม่มีอบายมุข ขนาดนี้สนุกสนานบันเทิงเริงรมย์ จิตเราได้พอแล้ว จิตใจเราพอ ไม่ลำบากอะไรที่ จะต้องไปแสวงหา

คุณพิมพ์เพชรรุ้งนี่ ไม่มีปัญหาหรอก โสดาปัตติมรรคมาแล้วก็ตรวจสอบโสดาปัตติผลไปเอาเอง

 

_จากลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูงสุดค่ะ

ขออนุญาตกราบเรียนผลการฟังธรรมดังนี้ ลูกได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เช่นเมื่อก่อนฟังธรรมพ่อท่านไม่รู้เรื่อง  และไม่ชอบฟังพ่อท่าน ชอบฟังสมณะและสิกขมาตุมากกว่า(เพราะฟังเข้าใจ)แต่ปัจจุบันนี้ชอบฟังพ่อท่าน แต่ต้องฟังสมณะและสิกขมาตุด้วยจึงจะเข้าใจบ้าง ปัจจุบันนี้ไม่เบื่อในการฟังธรรม(ติดตามทุกครั้ง) แต่ก่อนเป็นคนใจร้อนทำอะไรก็ให้ได้ดังใจเดี๋ยวนั้น ตอนนี้เบาลงแล้วค่ะ  รู้จักรอคอย ฟังคนอื่นและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น เพ่งโทษผู้อื่นน้อยลง โทสะราคะโลภ ที่เป็นสักกายะลดลง(ทุกข์ลดลงพอทนได้) เรื่องของกายกรรมวจีกรรมก็เบาลง ไม่น่าเกลียดเหมือนแต่ก่อน รู้จักข่มใจตัวเองได้บ้าง รู้จักประมาณเขาประมาณเราได้บ้าง รู้เท่าทันกิเลสได้บ้างเล็กน้อย (แต่ก็ฆ่ายังไม่ได้สักตัวเลยค่ะ) กราบขอบพระคุณที่เมตตาอ่านให้

พ่อครูว่า...คนอื่นเขาติดกัน แต่ใจเราไม่ติด อ่านใจที่เราไม่ติดได้นี่แหละ เขาต้องต่อสู้แต่เราสบาย รู้อยู่เห็นอยู่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราประสาทไม่เสีย รับรู้ได้ปกติ ก็ค่อยตรวจสอบไป อาตมาฟังแล้วก็คิดว่าไม่น่าจะจริงที่คุณไม่ได้ลดกิเลสสักตัว อาตมาว่าดูดีๆ ให้แม่นชัด

 

_ทำใจให้ว่าง จิตสงบ ภาวนาไปเรื่อยๆไม่วอกแวกก็ผ่านรูปสวย เสียงบ่นได้ คือจิตสงบค่ะ

พ่อครูว่า...ใช่ อ่านให้มันชัดอาการจิตมันมีลีลาเคลื่อนไหว รู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อุเทสคือคำอธิบายขยายความ เราฟังแล้วก็ไปฝึกอ่านอาการจิต ไม่มีรูปร่างสีสันแบบใด แต่อ่านได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน สรุปเตวิชชสูตร

มาสู่บทเรียนที่เราได้

สำทับไว้ เตวิชชสูตร เป็นสูตรสุดท้ายที่ ท่านได้เรียบเรียงเอาไว้ พระไตรปิฎกฉบับนี้เป็นของพระมหากัสสปะเป็นผู้เป็นประธาน กับพระอรหันต์อีก 500 รูป หลังจากพระพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์แค่ 2 เดือน ก็ได้เรียบเรียงทำพระไตรปิฎกเล่มนี้แล้ว จึงเป็นเรื่องที่ใหม่สดเป็นเรื่องที่มันจะหลุดไปบ้างผิดเพี้ยนไปบ้างก็แล้วแต่ ผ่านมาสองพันกว่าปี อาตมาก็จริงใจตามที่มีภูมิว่า กำลังบอกประเด็นที่ว่านี้เป็นสูตรที่ 13 ไม่ใช่พรหมชาลสูตรที่เป็นสูตรเริ่มต้นที่ท่านตีทิ้งสมาธินั่งหลับตาที่จะได้แต่อดีตกับอนาคตในสัญญา

ปัญญามันจะมีในปัจจุบัน ลืมตาครบสัมผัสภายนอกภายในมีธรรมะ 2 ในพรหมชาลสูตรมีอันตคาหิกทิฏฐิ ก็ค่อยขยายความไป

จากพรหมชาลสูตรแล้ว ที่ตีทิ้งผู้ไปปฏิบัติกับอดีตกับอนาคตไม่มีทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นิพพานจะป็นธรรมะในปัจจุบันลืมตาอยู่กับอาโลก มีแสงสว่าง ตากระทบแสง ตาไม่บอดหูไม่หนวก รู้จักตาหนวกหูบอดไหม มันหนักกว่าตาบอดหูหนวกอีกนะ

อินทริยภาวนาสูตร พระพุทธเจ้าบอก อุตตรมาณพ ว่า หากอาจารย์เธอสอนแบบให้ปิดหูปิดตาอย่างนั้น คนที่ตาบอดหูหนวกก็ต้องบรรลุหมดสิ

พรหม เป็นพยัญชนะ พ นี่เป็นพฤติกรรม ร คือพลังงาน ห คือแท้จริง จริงๆ เป็นตัวเศษวรรคตัวสุดท้ายเลย ห คือตัวมีตัวเป็นตัวจริงครบ  ม คือจิตวิญญาณ

พรหม ตัว พ.นี้เอาครึ่งเดียว จะเป็น ว ก็ได้  ว คือเศษวรรค พ กับ ว.​จึงใช้แทนกันได้ เป็นพฤติกรรม พฤติบท กิริยาอาการที่ใช้งานแท้ๆ

9 คือภาวะปัจจุบันที่พลังงานเต็มสุด ปางของพระพุทธเจ้าคือ ปาง 9 ส่วน 0 นี้ พระพุทธเจ้าก็ไม่มี หรือคนมัวเมาก็ 0 ได้ ซึ่งเราไม่เอา เอา 0 อย่างมีปัญญา

ในเตวิชโชสูตร พระพุทธเจ้าสอน วาเสฏฐะว่า ประเด็นสะอาดบริสุทธิ์ของเทวะ คือพรหมที่เป็นวิสุทธิเทพ พระพุทธเจ้าแยกเทวดาไว้สามอย่างคือ สมมุติเทพ อุปัติเทพ วิสุทธิเทพ

1.  สมมติเทพ  (คนที่มีสภาวะจิตเสพโลกียสุขได้สมใจ). .

2.  อุปปัตติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเกิดความเป็นอาริยะ) .

3.  วิสุทธิเทพ  (คนที่มีสภาวะจิตบริสุทธิ์ขั้นอรหัตตผล)

(พตปฎ. เล่ม 30   ข้อ 654)

ผู้ที่ยืนยันได้มีสภาวะจริงเป็นปัจจัตตัง ก็จะชัดเจน

สมมุติเทพคือโลกียะ จะมีความสุขทุกข์ในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ซึ่งมันไม่มีจริง คนเราหากล้างกิเลสที่ติดใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในโลกธรรม ในตัวตนกิเลส ลดละจางคลายได้จริง ต้องศึกษาเอง สัมผัสเอง อ่านออกเองรู้เองด้วยตน เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ก็ไม่รู้จะบอกอย่างไร อาตมาก็สื่อตามสภาวะ ผู้ที่รู้ตรงชัดกับอาตมาก็ยิ่งตรงชัด ยิ่งมีมากคนตรงกันมากคนเข้าก็ยิ่งยืนยันพิสูจน์แท้จริง เป็นของจริงพิสูจน์ได้ มีธาตุรู้โลกุตระที่หลุดจากโลกีย์ แต่ก่อนต้องได้มีเป็นอย่างแรก เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว วาง จางคลาย ทีละเรื่องทีละส่วน ทีละจุดทีละรูปธรรม นามธรรม มันไม่ง่าย

คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

กิเลสมันตายสนิทอย่างไม่เกิดอีกเลย แต่ก่อนมันมีในจิตเรา แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีในจิตเราเลย ตัวอื่นๆก็เช่นกัน เราก็ต้องทำต่อๆๆ จะยิ่งมีตัวอย่างของจริงที่เราปหานออกไป ยิ่งปหานออกไปเรายิ่งโล่งว่าง พลังงานดีเรายิ่งจะมีมากขึ้น เอาไปทำประโยชน์คุณค่าให้แก่ผู้อื่นได้อีก เราก็ยิ่งน้อยลงอาศัยน้อยลง มันย้อนแย้ง หมุนรอบเชิงซ้อนสลับไปมา เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ปณีตา คือประณีตละเอียดซับซ้อน

ไม่ได้ด้วยการขบคิดผกผัน เรียนรู้แต่เหตุผล ขบคิดกัน สัมพันธ์ด้วยพยัญชนะไม่ใช่แต่ต้องมีจิตที่เป็นตัวเป็น แม้ที่สุดเป็นแล้ว จะไม่เป็นก็ได้ เพราะสั่งสมเป็นแกนที่จิตแน่นแล้ว เหมือนไม่มี แต่มีเป็นฐานให้เรา

ตัวมีตัวนี้คือตัวปัญญาที่แท้มันเป็นตัว ฐ

ตัว ฐ. มีทั้งสระอี สระอุ สระอู

มันมีตัว จ. เป็นตัวรู้ แต่ สระอี อยู่เหนือ จะมีปัญญาอยู่เหนือ เรียกวาปัญญาเป็นอุตระแท้จริง สภาวะที่ปัญญาอยู่เหนืออย่างไร มันเป็น จ ที่ สละ เอาสระอี สระอุ สลัดทิ้งไปแล้ว จ.จานเป็นตัวแจ้งตัวจริง นี่ ถ้าเรามีสภาวะตามอักษรหรือพยัญชนะ เป็นเรื่องจริงที่สุด พวกที่เรียนตำราบาลีมา มาเจออาตมาที่เป็นนักสภาวะแท้ เขาตีทิ้งเลยไม่เข้าหลักไวยากรณ์เขา เขาเรียนกันแต่บัญญัติไม่มีสภาวะรองรับ แต่อาตมาเอาสภาวะเป็นหลักแล้วดึงเอาพยัญชนะมาเข้า ก็ยังสับสนอยู่ แต่ถ้าครบกว่านี้จะชัดกว่านี้ อาตมาจึงพยายามไม่ตายให้ไว

สู่แดนธรรมว่า...ที่เขาไม่เชื่อเพราะสภาวะของพ่อครูไม่ตรงกับบัญญัติเขา

พ่อครูว่า...ใช่สภาวะของอาตมาไม่ตรงบัญญัติเขา เขาก็มีสภาวะแต่ไม่ลึกละเอียดเท่ากับอาตมา อาตมาอยู่แกนสภาวะ อาตมาถือว่าสภาวะเหนือชั้นกว่าบัญญัติ คนที่จะเอาบัญญัติเหนือสภาวะก็เรื่องของคุณ อาตมาเอาสภาวะเป็นหลักเอาภาษาเป็นรอง อาตมาจึงเข้าใจอัตวาทุปาทาน อุปาทานตัวที่ 4 เขาได้แต่วาทะ วาทะแปลว่าคำพูดลัทธิเรื่องราวก็ได้

คุณก็ได้แต่ปลีกๆเปลือกๆ ไม่เข้าถึงแก่น ขออภัยพูดเป็นวิชาการไม่ได้ข่มเบ่ง แม้อัตตวาทุปาทานเขาก็ไม่ไปถึงไหน

 

มาเข้าสู่เตวิชโช มาเอาตรงที่ความสะอาด พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องเทพไว้ 3 อย่าง

1.  สมมติเทพ  (คนที่มีสภาวะจิตเสพโลกียสุขได้สมใจ). .

2.  อุปปัตติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเกิดความเป็นอาริยะ) .

3.  วิสุทธิเทพ  (คนที่มีสภาวะจิตบริสุทธิ์ขั้นอรหัตตผล)

(พตปฎ. เล่ม 30   ข้อ 654)

สมมุติเทพทำเอกธรรมไม่ได้ ทำให้เป็นหนึ่งไม่ได้ ต้องเป็นสองไปตลอดกาล เทวะ แปลว่า 2 สภาวะก็เป็น 2 เป็นเมถุน ภาวะคู่ที่ปรุงแต่งกันอยู่ มีอิตถีภาวะ ปุริสภาวะผสมปนกันอยู่ แยกออกจากกันไม่ได้ แยกธรรมะสองไม่ได้ อีกอันเป็นเอกอีกอันเป็นรองแยกไม่ได้ คุณทำให้เป็นเอกธรรม ทำสภาวะที่เป็นอิตถีภาะวออกไม่ได้ก็มีสองไปเรื่อยๆ ทำเป็นหนึ่งไม่ได้ เพราะคุณไม่เรียนสัมผัสจริงวิญญาณที่เกิดจริงในขณะสัมผัส แล้วจับกิเลสออกจากจิต ทีละภาวะๆ สองก็มี อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ แล้วทำให้เป็นปุริสะได้ จนจิตสะอาดไปเป็นลำดับ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน รูป 28 นาม 5 พิสดาร

รูป 28 กับ นาม 5

ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวิภังคสูตร

ท่านแยกแยะว่า ในปฏิจจสมุปบาทพอถึงข้อที่14 ท่านก็บอกว่า รูป ก็อย่างหนึ่ง นามก็อย่างหนึ่ง รูปท่านแยกไว้ 28

ปสาทรูป วิสยรูป ตาหูจมูกลิ้นกายเริ่มสัมผัสก็เกิดสภาวะปรุงแต่ง คุณก็แยกเป็น 2 ให้ได้ แยกตัวที่สะอาดบริสุทธิ์ กับตัวที่มันไม่ใช่ ตัวเป็นเหตุที่ทำให้เราเกิด 2 ก็แยกตัวเหตุที่ทำให้เกิด 2 ก็ปหานออกก็เหลือ 1 สะอาดๆ ภาวะ 2 จึงต่อจากปสาทรูป โคจรรูป หรือวิสยรูป ที่ไปสัมผัสกับอะไรขึ้นมาเกิดสภาวะสังขารปรุงแต่ง คุณมีจิตตนเป็นประธาน ระหว่าง อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ ก็ต้องรู้ว่าอะไรเป็นหลักก็ต้องเปลี่ยนจาก อิตถีภาวะ มาเป็น ปุริสภาวะ

พลังงานอิตถีภาวะเป็นปุริสะหมดเลย ก็เลยเป็นพลังงานเพิ่มซ้อนมาอีก ไม่ใช่ไปตัดทิ้งไป จึงจะได้พลังงานเพิ่มทบทวี ทำที่หทยรูป

เป็นพลังงานที่เข้ามาร่วมกับความจริงอย่างเต็มรูป  ห ท ย สามเส้าเต็มรูป ตัว ห กับ ท สลับกัน ในการเป็นรูปกับนามเป็นสิริมหามายา จะไม่สงสัยการสลับ โดยเกิด  ย คือพลังงาน เศษวรรค ย ร ว ส ห ฬ อํ  ตัว ท คือพลังงานแรงที่ทำได้ใช้งานในโลกในวัฏฏะตัวเรา ในกาย ในนิวเคลียส จะเป็นลักษณะเป็นหรือลักษณะตายเรียกว่า ชีวิตินทรีย์ อาการของชีวะ เรียกว่าอินทรีย์ ชีวิตินทรีย์อ่านอาการที่มันเคลื่อนได้แล้วไปเกี่ยวข้องกันสิ่งที่อาศัยคืออาหาร

อาหารรูป ที่พระพุทธเจ้าแยกไว้ 4 ตอนนี้จะเข้าสู่นาม 5

1.   กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) ทุกสิ่งมีชีวิตต้องอาศัยอาหารชนิดนี้ แม้แต่อุตุก็สลายไปหากไม่มีการสังเคราะห์กัน สลายไปได้ง่ายๆ

2.   ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3.   มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

4.   วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) .

(ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16   ข้อ 241-244) .

จากนั้นมีชีวิตรูป อาศัยรูปนาม คือธรรมะสอง เอามาทีละสองเป็นกายวิญญาณ เอาภายนอกก่อนมีลำดับ นอกหมด ไปใน ในหมด มานอก อย่างนี้เป็นต้น

ในชีวิตรูป มันเกิดที่ปรุงแต่งเป็นอะไรอยู่ เราก็ปฏิบัติกับอาหาร อาหารการกินนี่ แม้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังอยู่กับอาหาร แม้แต่พระโพธิสัตว์อาหารพวกนี้ก็ยังต้องกินอยู่ แม้จะเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องยืนยันคุณจะเป็นคนสามัญปุถุชนก็กินอาหาร เริ่มเป็นอาริบุคคลก็กินอาหาร ถ้าคุณยังมีชีวิต ชีวิตินทรีย์ ยังมีอยู่ไม่ได้สูญสลายแยกธาตุ คุณก็ต้องอ่านสิ่งเหล่านั้น

คำว่าชีวิตคือมันยังไม่จบ ยังมีชีวะ ยังเป็นชีพ ยังมีสามเส้าแล้วก็ปฏิบัติยืนยันกับอาหารต่างๆ ก็แบ่งมาทีละปริเฉท เอามาแต่ละหน่วย แต่ละกรอบแต่ละสามเส้า สองมาเป็นสาม สามมาเป็นสี่ จะรู้ว่า คืออะไร หกเป็นสองเส้า เจ็ดมีแง่งของเส้าที่สาม กว่าจะเป็น 9 ได้ เป็นสามเส้า สามอันเต็ม ถ้าคุณไม่ต่อก็รักษาพลังงานให้สมดุลไป แต่ถ้าก้าวหน้าเป็น 11 ก็ต้องให้ได้สมดุล ต้องให้รู้ว่าพลังงานนี้ไม่เป็นทศนิยมให้สมดุล

ถ้าเผื่อไว้หากมันจะหดหาย เหมือนคนรักษาคลัง รักษาสถานะการเงินมาพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นมูลนิธิ กองคลัง คงคลัง อยู่ในคลังคงที่เป็นตัวเสถียร status เวลาจะใช้ก็ต้องใช้ออกไปอย่าให้ run shot ถ้าทำให้คงคลังเพิ่มขึ้น คุณจะแข็งแรงมากขึ้นแต่ถ้าเพิ่มอย่างมากมายคนอื่นก็ทุกข์ร้อนลำบากเอามากองไว้กับตัวเอง ก็ต้องมีจิตใจที่ดีอย่าไปรักษาเงินคงคลังไว้มาก ชาวอโศกคงคลังน้อยแต่พยายามไม่ให้ขาด พอหมุนดีได้ มีวิธีการใช้สอยอย่างหมุนเวียนอย่างได้สมดุลครบครัน โดยที่เราประมาณในความรู้สมรรถนะภาพของเรา อยู่ที่ความบริสุทธิ์ใจ ไม่ตะกละเอาไว้เป็นของตัว เอาไว้เป็นกองกลาง แม้ดูจะเข้าใจยากแต่หากจิตเร็วรู้ ครน.หรม.ได้ มีครบสิ่งที่คูณร่วมน้อย หารร่วมมาก

ตอนนี้อธิบายรูป 28 ใช้อาหารเป็นเครื่องปฏิบัติ มีกวฬิงการาหาร ต้องมีผัสสะ เจตนา มีธรรมะสองทิ้งไม่ได้ ในอาหาร 4 ทิ้งอะไรไม่ได้เลย

ต่อมาก็รู้ หยาบ ละเอียด ในกายวิญญัติ วจีวิญญัติ

วิญญัติคือการเคลื่อนไหว เป็นกาย วจีเป็นภายนอก

ถ้าสองเรียกมโนกับวจี หรือมโนกับกาย ขาดมโนไม่ได้ หากขาดมโนก็เป็นอุตุนิยามไป ไม่ใช่กายเราแล้ว แม้พีชะเราก็ไม่อยู่แค่นั้น จะต้องให้ครบ 3 เป็นจิตนิยาม เราก็ต้องรู้ฐานะของเรา เป็นจิตวิญญาณสัตว์ไม่ใช่แค่พืชนะ เราอยู่ในฐานะใดแท้ ไม่ใช่แค่พืชที่ไม่มีดูดหรือผลัก ไม่มีเวทนา เราก็ค่อยรู้ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ มโนวิญญัติ

มโนวิญญัติไม่เคลื่อนออกมาภายนอกเลย

กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เป็นพลังงานที่ต้องออกมาภายนอก ถ้าตัดไปอยู่แต่ภาวะใน แล้วคุณควบคุมได้ส่งออกมาภายนอกได้ ก็มาเรียนรู้อีก 3 ลหุตา มุทุตา กัมมัญญา

คุณควบคุมกรรมได้ รู้จักกรรมนิยามดี คุณเป็นพระเจ้าของกรรม GOD พยายามบอกว่าเป็นพระเจ้าที่สั่งทุกอย่าง พระเจ้าเอาแต่สั่งมนุษย์ แต่พระเจ้าไม่รู้จักกรรม เพราะฉะนั้นในศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธไม่รู้จักกรรม 4 ไม่รู้จักกรรม 5 เพราะไม่ได้ศึกษากรรม เพราะฉะนั้น

1 ไม่รู้จักกรรม 4 ไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อวิบาก ไม่รู้ว่ากรรมวิบากเป็นของตน ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พวกนี้เป็นเทวนิยมไม่เชื่อ

พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบทฤษฎีหลักที่ทำให้สองเป็นหนึ่งอยู่ร่วมกันได้ธรรมะ 1 กับธรรมะ 2 ไม่ได้แยกกันทำให้เป็น 0 ไปเลยไม่เหลือเชื้อเลยในเอกภพในวัฏสงสารอีกเลยเป็น 0 แล้ว ก็สามารถทำได้ แต่เทวะ 1ก็ยังทำไม่ได้ไม่ต้องพูดถึง 0 เทวนิยมไม่มีนิพพาน ถ้าหากไม่ได้เรียนรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ได้อ่านแยกแยะอาการของวิญญาณ เชื่อพระเจ้าอย่างเดียวพระเจ้านั่นแหละสั่ง ไม่ได้อยากจะสัมผัสจริงกับชีวิตจริง พลังงานจริง แก้พลังงานอาการต่างๆ ไม่ได้ศึกษาละเอียดเราอย่างนี้จริง ทำให้ทรงไว้เป็นธรรมนิยาม แตกเป็นสองกุศลธรรมกับอกุศลธรรม โลกุตรธรรมโลกียธรรม หรือว่าทำกรรมให้เป็นโลกุตระ หรือทำได้แค่โลกียเป็นอย่างไร คุณไม่ได้เรียนเลยพยัญชนะเหล่านี้ คุณก็ไม่มีสภาวะด้วยก็แยกแยะไม่ได้ จบแล้วคุณทำกิจของคุณให้เกิดมุทุธาตุ

มุทุ นี่แหละ คือ ตัวยอดของพลังงานพระเจ้าแล้วก็จะรู้

1 ทำให้นิ่มนวลที่สุดเรียกว่า ลหุตา  ล ห อุ เอา พลังงานสั้นๆ อา อี อูไม่เอาตัดออก เหลือ อะ อิ อุ สั้นๆ ย ล ว เอาตัว ลหุ เอาตัวแท้เต็มๆ สาม มาใช้กับวงจรเคลื่อน ลหุเป็นวงจรเคลื่อน หุ เป็น static ล เป็น dynamic เอา ล กับ หุ มาใช้ เอามาใช้เป็น

กัมมัญญตา บาลี กมม คือกรรม กัมมัญญะ อัญญะคือธาตุอื่นที่เป็นธาตุรู้โลกุตระ พอมาเป็นพหูพจน์คืออัญญา อัญญะเป็นธาตุเดียวที่แตกออกมาจากโลกีย์เป็นอัญญธาตุ

เมื่ออัญญธาตุมาใชังาน ประธานก็ใช้มัน มาเป็นปัญญา

ป ผ พ ภ ม กับตัว ญญ ก็เป็นปัญญา

สรุปแล้ว กัมมัญญา จึงเป็นตัว ก คือตัว static ตัว ม

สรุปแล้วมันมีตัวบทบาทกับกิริยา อย่างมีธาตุ อัญญา หรือปัญญาเป็นตัวจบ กัมมัญญา

การกระทำที่มีตัวนายคือปัญญาเป็นตัวควบคุมกำกับ ก็คือ พระเจ้ากับสัตว์โลกคือทุกอย่าง พระเจ้าเป็นตัวสั่ง กัมมัญญา คือตัว God แท้ๆ พระเจ้าแท้ๆ บัญชาเองหมด ไม่ใช่เรื่องลึกลับ ไม่ใช่เรื่องที่อธิบายไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีสิ่งรองรับยืนยันอยู่ มีสิ่งยืนยันรองรับอยู่ คุณมีธาตุจิตที่อาตมาพูดนี้ไหมก็จึงยืนยันตรงกัน เช็คกันเลย ตั้งแต่บอกว่า ไม่กินเนื้อสัตว์นี่เป็นศูนย์ ไม่มีอบายมุขคือศีล 5 ไม่เดือดร้อน เป็นเองในตัว ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ติดในกามหยาบ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสระดับเบื้องต้นไม่มีแล้ว สบม.ทมด.ปกต.หห.

เราก็สามารถควบคุม ลหุตา ควบคุม กัมมัญญตาได้ โดยมุทุเป็นตัวพระเจ้าใหญ่เลย จะให้เกิดจะให้ตายก็ได้เป็นสิริมหามายา ถ้ายังไม่ได้เลิกเกิดเลิกตาย เลิกไปเป็นปรินิพพานเป็นประโยชน์สาน ยังทำงานอยู่ และงานที่ทำ เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นทั้งนั้น

วิการรูป 5 แยกย่อยลงไปจึงชัดเจน

สุดท้าย วิการรูป 5 ก็คล่องแคล่วเป็นมุทุ ไม่ใช่เฉื่อย เป็นฌานสมาธิแข็งทื่อ ไม่ใช่ แต่ใช้พลังงานรูปนามได้เต็มที่เท่าที่เราเจตนาปรารถนา

การทำใจในใจมนสิการจึงทำได้อย่างเป็นผู้ที่ควบคุมใจได้ จะให้เป็นอะไรก็ได้เป็นสิริมหามายา จะให้มีหรือไม่มีก็ได้จะให้แข็งแรงไม่แข็งแรงใจเอาเท่านี้เท่านี้ได้สัดส่วน แม้จะยังไม่ได้หมดก็ได้มากขึ้นตามบารมีของแต่ละคน ไปตามลำดับ สามารถทํามนสิการโดยมีผัสสะเสมอ ไม่ใช่ลอยลมเคว้งคว้างพูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง คุยกับคนอื่นไม่ได้ ผกผันคิดอยู่คนเดียวเป็นสัญญายนิจจานิคนเดียวว่า ข้านี่แหละใหญ่คนอื่นไม่รู้เรื่องด้วย ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่

ที่ท่านใช้คำว่าไม่มีเพื่อน 2 นี่ก็เป็นภาษาที่ลึกซึ้งมาก ท่านมีเพื่อนแต่ท่านไม่ติดเพื่อนท่านเป็นเอกคตาหรือเอกธรรม แต่ท่านอยู่กับเพื่อนที่เป็นมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีแล้วตัวเองก็ไม่มีตัวเอง มีเหมือนไม่มี มีแต่ช่วยเหลือเขาเป็นประโยชน์ต่อเขา ตัวเองอาศัยเพียงมักน้อยก็สบาย เป็นผู้ขัดเกลา มีศีลสูงมาจับได้ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์

ตามลำดับ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

มีขั้นตอนชัดเจนมีสภาวะรองรับพูดกันได้ เป็นปัจจัตตังจนถึงขั้นเป็นปัจเจกเป็นเองได้เลย ปัจจัตตังคือเริ่มต้นเป็นตัวเองมีในตัวเอง ปัจเจกนี้เริ่มจะมากขึ้นเป็นใหญ่ขึ้น มากขึ้นก็เป็นสยังอภิญญา

สยังอภิญญานี้แหละที่ยาวนานเป็นอนิยตะ กับ นิยตะ

จนเพิ่มใหญ่ขึ้นเป็นมหาโพธิสัตว์จนเป็นมหาโพธิสัตว์มาก จนสุดท้ายพ้นนิยตะเต็มตัวมหาโพธิสัตว์จะเพิ่มภูมิตนเองจนเป็นปัจเจกพุทธเจ้าหรือสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเป็นพุทธะ ถ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ต้องมาประกาศกับโลก เป็นสัมมาสัมพุทธะเต็มเท่ากับปัจเจกพุทธเจ้า ท่านรู้ตนเองคนเดียวแต่ไม่ประกาศกับโลก จึงไม่ได้ขึ้นทำเนียบสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่ท่านมีภูมิเต็มเท่ากัน

คนที่ไม่มีภูมิก็เดาไม่ได้ ไม่รู้ปัจเจกพุทธเจ้า ก็รู้แต่ปัจเจก

พวกสัทธานุสารีก็มีแต่ปัจเจกของตัวเอง ไม่รู้จักบัญญัติภาษาของโลก รู้แต่ตัวกูของกู จริงหรือไม่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ ไม่มีใครตัดสินด้วยได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าคุณต้องมาสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องมาร่วมให้มีธรรมะ 2 หากมีแต่คนเดียวนั้นไม่เอา ต้องมีสัมผัสมี 2 ต้องมีรูปมีนาม ตัวเรากับตัวเขาก็เป็นของคู่เป็นรูปนาม คุณรู้เขา เขารู้เรา เราไปรู้เขา เขาก็เป็นรูป เราก็เป็นนาม เขามารู้เรา เราก็เป็นรูป เขาก็เป็นนาม มันก็สลับกันไปมาแล้วก็ยืนยัน จะมีบัญญัติภาษาละเอียดอย่างไรก็เอามาพูดกัน เข้าใจกันตกลง แต่เมื่อพูดกันแล้วพูดกันไปพูดกันมามันไม่รู้เรื่องของเขาไม่ใช่ ของคุณก็ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้าพูดกันรู้เรื่องว่าตรงกันเหมือนกันหมด หนึ่งเดียวกันเป็นสัจจะที่เป็นหนึ่งเดียวในโลก

วิการรูปนี้ กายวิญญัติ วจีวิญญัติก็เอามาใช้ได้ ส่วนแกน ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา

กำหนด ลหุนี่ แรงที่สุดก็ได้ ทำให้เบาก็ได้ ยากกว่า ทำแรงไม่ยาก แต่ทำเบาอย่างนิ่มนวลได้สัดส่วน มีผลสูงสุดทำได้ยาก แต่แรงที่มีผลสูงสุดนี่ทำง่าย แต่ถ้าทำนิ่มนวลเบาบางแต่มีผลสูงสุดนี่ยากกว่า เบาบางมาก เบาและบาง เก็บก็ง่ายไม่หนักไม่กินที่ หยาบและหนาแน่นเยอะ ไม่ใช่สิ่งที่ควรเอาไว้ หนักเมื่อยกินที่เทอะทะไม่ไหว จะจับไปทำงานไม่คล่องแคล่วยาก

แต่นี่มันต่างกันเลย

สมณะฟ้าไทว่า...ลมเบาแต่ดันน้ำตกไปได้

พ่อครูว่า..ยิ่งเล็กยิ่งแรง ยิ่งเบายิ่งเบ้อเร่อ ยิ่งเบายิ่งเบ้อเลย

ในตัววิการรูป 3 จึงเป็นแกนของ dymanic สามเส้า แต่ถ้าไป static เป็นลักษณะ 4

มีเกิด สองจุดธรรมดา ถ้ามีชีวะก็คุมสันตติ

สันตะ ติ นี่คือ 3 สันตะคือ ย ร ล ว ส กับอันตะคือที่สุด มีสูญกับไม่มีประมาณเลยได้ ก็ที่อันตะ ควบคุมได้หมด ควบคุม 0 ก็ได้ ควบคุม ไม่มีที่สุดก็ได้ Infinity ตัว 0 กับ Infinity ก็เท่ากัน จะตัดหรือจะต่อก็ได้เรามีอำนาจเต็ม

หากไม่ต่อ ตัด อย่างเก่งก็เหลือ momentumที่มันจะชรตา 0 ไป เพราะคุณตัดเด็ดขาดไม่ให้ทศนิยมต่อไปอีกเลย พลังงานไม่ต่อก็เสื่อมไปตามสภาพ แล้วแต่ความแน่นหนาของพลังงาน แต่ซ่อนอีกว่าถ้าจะฮึดอีกก็ได้ เป็นสิริมหามายา เป็นอนิจจตา เป็นยอดนักมายากลที่จะให้เกิดให้ตายเป็นอมตะบุคคล เป็นผู้ควบคุมสุดยอด

ตัว ต คือ static ตัว  ม คือ dynamic ส่วน ต ฐ ท ธ น ตั้งแต่ตั้งต้นจนศูนย์

ม กับ น หรือ น กับ ม เป็นตัวนาม นมะหรือนโม หรือมนัส ก็คือจิตวิญญาณ พยัญชนะมันแทนสภาวะไม่สับสนนะ

(ด.ช.ธรรมโมกับ ด.ญ. บัวพ้นน้ำ จูงกันมาหน้าเวที ยืนดูพ่อครู)

พ่อครูว่าเป็นตัวแทนอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ พ่อครูว่า เขาฟังไม่รู้เรื่องแต่เก็บข้อมูลไว้ในฮาร์ดดิสก์ของเขาแล้วสักวันหนึ่งโตขึ้นก็อาจจะดึงมาใช้ได้ เรื่องพอดีบรรจบเป็นนิมิตนี้เป็นเรื่องจริงอาตมาพูดหลายทีแต่อย่าเอาไปใช้ว่าเรามีอย่างนั้นอย่างนี้

พระพุทธเจ้าจะต้องประสูติตรัสรู้ปรินิพพาน  มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญในวันเดียวกันนี้ มันต้องมีมันต้องลงตัวอย่างนั้น ถ้าไม่มีมันก็ไม่ใช่แล้ว พระพุทธเจ้าเกิดก็ต้องมีสหชาติที่เกิดร่วมกัน มันเป็นอจินไตยที่รูปกับนามต้องลงตัว อาตมาบอกให้พวกเราดู แต่อย่าไปนึกว่าเรามีภูมินี้แล้วเดี๋ยวจะเละ บอกไว้ก่อนเละเลอะเลยตายอย่างเขียดเลยนะหลงผิด แต่ถึงเวลาจะรู้ว่าเราพอมี เรามีอันนี้พออาศัย จนอาศัยได้มาก อย่างอาตมาก็มีบ้าง จนเรารู้ว่าอาศัยได้ถาวร มันเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าสถิติพยากรณ์หมอดูสิ่งที่เป็นที่เกิด มันต้องลงตัวอย่างนี้ ถึงขีดแล้วมันจะใช้ได้ ถ้าไม่ถึงขีดก็จะไม่เข้าร่องรอย chaos อยู่ พอพ้นจาก chaos ก็ จะเข้าระบบระเบียบ แต่ระแบบนี้ยังห่าง แต่ก่อนพยากรณ์ยันตระก็ไม่แม่น แต่ว่าตอนหลังก็แม่นขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่อยากเป็นนักพยากรณ์  อาตมาไม่ไปพยากรณ์พวกคุณว่าเป็นขั้นไหนๆ แม้เจ้าตัวจะมั่นใจขนาดไหนก็เอาไว้ก่อน จนกว่าคนอื่นรับรองมากขึ้นร่วมกันก็เป็นอย่างนั้น

มาจบที่ ลักษณรูปที่เป็น static ส่วนวิการรูปเป็น dynamic

อนิจจตาเป็นเศษส่วนที่ ผู้ที่เป็นอมตะบุคคลจะเก็บเอามาใช้งานได้ แต่ถ้าไม่มีการต่อแล้วก็จะเสื่อม หากช่วยมันๆก็สลายเร็ว แม้จะสลายทันทีก็ได้ หากมีประสิทธิภาพนั้นแท้

คำว่าสลายไปเลย นี่เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน สลายเลยแยกธาตุทุกยอ่างไม่มาเป็นชีวะอีกเลย ไม่กลับกำเริบ อสังกุปปังแน่นอน ทิศเดียวเลย สูญทิศเดียว

สมณะฟ้าไท.ว่า...พ่อครูทำเกิดเร็วสลายได้เร็ว

พ่อครูว่า..ตั้งฐานไว้จะเป็นสัมมาสัมพุทธะ และถ้าเป็นคนจริงก็เป็นของจริงแต่ถ้าคนที่ตั้งจิตเป็นพุทธเจ้าแต่ไม่มีแกน ก็จะมีแต่ความฝันอยากจะเป็นคุณยังไม่มีแกน มันก็ไม่เป็นอย่างที่คุณตั้งใจได้ ต้องสร้างแกนถึงนิยตะถึงเที่ยง จะเห็นได้ว่ามั่นใจแล้วจึงจะเป็นอย่างนี้ได้ เป็นสังขยาเลข จนเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นเลข 9

เลข 7 จะเป็นพลังงานอย่างไรคุณจะเข้าใจ ความอันสูงกว่า 5 แน่นอนสูงกว่า 6 และแน่นอนต่ำกว่า 8​

 

รูป 28 คุณต้องเข้าใจมีสภาวะและใช้เป็นได้ ถ้าทำรูปอย่างที่ว่านี้ไม่ได้ อย่าไปฝันถึงนิพพาน พยัญชนะที่เอามากำกับภาวะอธิบายให้ฟัง ขยายจากพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 14

หากไม่รู้ก็ศึกษาอย่างไม่รู้เรื่องไม่มีสภาวะรองรับ

อิตถีภาวะกับปุริสภาวะอย่างไรก็ต้องมีสภาวะ หทยรูปอยู่ไหน? อยู่ในคูหาสยังนี่แหละ และมันมีชีวิตินทรีย์ที่ต้องแยกระหว่างของกิเลสกับอัตภาพนี้นะ ก็ต้องล้างในสิ่งที่จะกำจัด ล้างได้จริงก็ต้องรู้ยืนยันพิสูจน์ทางทวารทั้ง 5 และ 6 พิสูจน์ตามเหตุปัจจัยอันใดไล่ไปทีละอัน ตั้งแต่สัตว์ตั้งแต่ของ หรือเอาของก่อนสัตว์ก็ได้ แต่สัตว์นี่มีวิบากเอาก่อน ของ พืชก็ไม่มีวิบาก จะละเมิดไปบ้าง ในของในพืชมันก็ไม่มีวิบาก แต่สัตว์มันมีวิบากก็ต้องเห็นความสำคัญก่อน สัตว์มันจึงสำคัญกว่าของและวัตถุ ยิ่งคนสำคัญกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะมัน ดูด ผลัก ได้สูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานอาจจะแรงแต่ไม่ละเอียดเท่ากับคน คนซอกแซก พยาบาทหรือรัก ได้สูงและวิจิตรพิสดารกว่าสัตว์

เพราะฉะนั้นจึงทำกับคนนี้แหละไม่ต้องยาก สัตว์ก็ปล่อยเขาไปเลย แม้แต่คู่บารมีของคุณจะเป็นสัตว์ตัวใดมานัวเนียคุณ คุณก็ต้องปล่อยเขาไป ตัดๆๆ มันจะจางจะลดลง ไม่ต้องไปต่อ ยิ่งเป็นคู่บารมีคุณจะไปต่อทำไม ไม่ใช่มีแค่คู่เดียวนะ เราก็ตัดไป เป็นสัตว์อื่นสัตว์ใด มาเอาเรื่องสำคัญที่เราควรจะทำ เราควรจะเลิกละล้างไปตามลำดับ

เมื่อสามารถทำ status รู้จักอุปจยะ สันตติ แล้วเหลือ อนิจจตา ชรตา ก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป คุณก็ว่ามันไม่เที่ยงเป็นอนิจจตา คนตัดสุดท้ายยังได้แน่นอนไม่มีอย่างกับกำเริบ อสังกุปปัง จบ คุณจริงไหม? ถ้าจริงก็จบจริง ถ้าไม่จริงก็ไม่จบอยู่นั่นแหละ เป็นเรื่องสัจจะ ถ้าคุณมีกรรมกิริยาแต่บอกว่าไม่ใช่ไม่เอา คุณไปพูดกับพระเจ้าเลยอาตมาไม่เอา พูดกันไม่รู้เรื่อง ไปพูดกับพระเจ้าเอง พระเจ้าจะหยวนให้คุณหรือไม่ก็แล้วแต่ อาตมาพูดกับคนที่รู้เรื่อง คนลึกลับพูดกันไม่รู้เรื่อง อาตมาพูดกับคนไม่ลึกลับรู้เรื่อง คนลึกลับไม่ใช่คนรู้เรื่อง คนรู้เรื่องก็ไม่ใช่คนลึกลับ

 

รูปทั้ง 28 หากไม่รู้ คุณก็ทำไม่เป็นลำดับ ทำไม่ครบ ไม่เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ จะทำหยาบมาหาละเอียด เป็นสภาวะหมุนรอบเชิงซ้อนเป็นชั้นๆแล้วก็มีนาม 5 เสมอๆ

ถ้าไม่มีนามทั้ง 5 โดยเฉพาะเวทนาเป็นตัวตนของนาม 5 ไม่มีผัสสะก็ไปเถิดไป ไม่มีบรรลุหรอก ไปเลยออกไปสู่โลกเลย

เพราะว่า เวทนาเป็นหลักเป็นแกน แล้วต้องมีผัสสะเป็นคู่ ซึ่งจะมีการปรุงแต่งเป็นสามเส้า สองก็เป็นอุตุ สามเส้าเริ่มต้นเป็นพีชะ ก็มีแต่ตัวมันเองไม่เกี่ยวกับใคร มันไม่ไปทำอะไรกับอันอื่น อันอื่นมาทำอะไรมัน มันสู้ไม่ได้ก็สูญมันไม่สู้กับใครด้วย โดยเฉพาะพีชะนี้สู้สัตว์ไม่ได้ สัตว์เหนือชั้นกว่าพีชะ

คู่ระหว่างวิการรูป ลักษรูป ก็เป็นคู่สุดท้ายเป็นธรรมะ 2 ลักษณะเป็น static วิการะ เป็น dynamic พูดกันรู้เรื่องก็ยังไม่เป็นเรื่องลึกลับ สภาพลึกลับเราไม่เอามันเมื่อย เรามาเอาแบบรู้และเห็น จึงจะได้เรื่อง ถ้ามันลึกลับไม่ได้เรื่อง เอาอะไรมาพูดก็ไม่ได้เรื่องเพราะมันลึกลับรู้อะไรก็ไม่ได้ เอามาพูดด้วยกันก็เละเลย เละยิ่งกว่า โจ๊ก ขี้อหิวาตกโรค

นาม 5

เวทนา สัญญา เจตนา สามเส้าแรก

ผัสสะ มนสิการเป็นนอกเส้า สี่ ห้า แต่ทำงานร่วมกัน

คุณจะทำใจในใจมนสิการก็ทำ 3 อันแรก แล้ว 3 ต้องมีผัสสะจึงมีเวทนาให้จัดการ คุณต้องกำหนดรู้ให้ได้มันปรุงแต่งอย่างอวิชชา มันก็แยกแยะไม่ได้แก้ไขไม่ได้ต้องปรุงแต่งอย่างมีวิชชา มีกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารก็จัดการ วจีสังขาร

วจีสังขาร มีอธิวจนสัมผัสโสคือ มีรูปที่มีภาษาเรียกแล้ว แต่ถ้าไม่มีพยัญชนะภาษาเรียกก็เป็น ปฏิฆสัมผัสโส ฆ หากว่ามีประธานก็จัดการได้ แต่ถ้าไม่มีประธานมันก็ขี่หัวคุณ ฆ ตัวนี้เป็นอุตุนิยามหรือพีชนิยามก็มีได้

สรุปแล้ว เวทนา สัญญา เจตนา

เวลาคุณจะทำงาน ปรุงขึ้นมาคุณต้องมีตัวเจตนา เจตนาแต่อย่าอยาก ลึกกว่าลึกเลย

เจตนาให้เป็นเช่นนั้น มีเช่นนั้นหรือไม่มีเช่นนั้น มีเช่นนั้นก็ทำเหตุให้ครบ มันก็มีก็เป็นได้ คำว่าเจตนาแต่อย่าอยาก ควรรู้ให้ได้ว่าผลจะเป็นอย่างนี้ก็ทำที่เหตุ ทำที่เหตุนี้เท่านั้น

หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง ก็ต้องทำที่ 1 บวกกับ1 มันก็เป็น 2 จริง เป็นสัจจะแห่งคณิตศาสตร์ มันชัดๆจริงๆ

ถ้าเราสามารถรู้จักเวทนา สัญญา เจตนาแล้ว คุณก็จัดการได้ตามเจตนา จะให้มีหรือไม่ให้มีจะให้ดับหรือให้เกิด จะให้เหลือ หรือจะให้ไม่เหลือเลย ให้เหลืออยู่เท่าไหร่ แล้วคุณควบคุมได้ คุณอยู่ในอาณัติที่คุณควบคุมได้ มันอยู่ในอาณัติของคุณ จึงเรียกว่าจิตมีอำนาจ

พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามถึง วาเสฏฐะ ว่า อาจารย์ของเธอมีจิตที่มีอำนาจ

หากคุณสามารถสร้างจิตที่มีอำนาจ

[380] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเคยได้ยินพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวว่ากระไรบ้าง พรหมมีเครื่องเกาะคือสตรีหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.

      มีจิตจองเวรหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.

      มีจิตเบียดเบียนหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.

      มีจิตเศร้าหมองหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.

      ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้หรือไม่ได้?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ได้.

ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา มีเครื่องเกาะคือสตรีหรือไม่มี.

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.

      มีจิตจองเวรหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.

      มีจิตเบียดเบียนหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.

      มีจิตเศร้าหมองหรือไม่มี?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.

      ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้หรือไม่ได้?

      ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.

[381] ดูกรวาเสฏฐะ ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันว่า พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นยังมีเครื่องเกาะคือสตรี แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีเครื่องเกาะคือสตรี กับพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ได้แลหรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.

ดีละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีเครื่องเกาะคือสตรี เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตจองเวร แต่พรหมไม่มีจะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาซึ่งยังมีจิตจองเวรกับพรหมผู้ไม่มีจิตจองเวรได้แลหรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.

ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเบียดเบียน แต่พรหมไม่มีจะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเบียดเบียนกับพรหมผู้ไม่มีจิตเบียดเบียนได้แลหรือ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.

ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเศร้าหมอง แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเศร้าหมอง กับพรหมผู้ไม่มีจิตเศร้าหมองได้แลหรือ?

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้.

สมณะฟ้าไทว่า...สรุป


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:23:01 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์