@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

การเมืองที่อยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อ

รายละเอียด

การเมือง ตอนนี้ อยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงอะไรๆ อย่างกฏหมายลูกที่จะออกมา เพื่อที่จะได้เลือกตั้ง เพื่อที่จะได้อะไรๆ ที่บริบูรณ์ ตอนนี้ก็ยังจวนๆ ยังคาๆ อยู่นี้  ก็เรียกว่า กำลังใช้วรยุทธกัน มันเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมสงครามการเมือง มันเป็นทุกแห่ง ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม มันเป็นเช่นนั้น มันเป็นธรรมดา ตั้งแต่มหาภารตะยุทธ รามเกียรติ์ ไล่มาจนถึงบัดนี้ คือเรื่องของสรณะ 

สรณะ คือ มีการสู้รบ มันก็เป็นเรื่องของโลก มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ ผู้ใดไม่รู้ทันสรณะ ไม่รู้ทันการรบ เอาตัวเข้าไปเป็นตัวเบี้ยในกระดาน(หมากรุก) คุณก็ถูกเขากิน ถูกเขาฆ่า ถูกเขาใช้ อะไรต่ออะไรเละเทะอยู่ในนั้น คุณจึงต้องเจริญขึ้นมาเป็นตัวโคนให้ได้ เจริญขึ้นมาเป็นตัวม้าเป็นตัวเรือให้ได้ จากตัวม้าจากตัวเรือแล้วขึ้นมา จนกระทั่งเป็นตัวขุน ให้ได้ ไม่ว่าหมากรุกของชนชาติใดก็เหมือนกันหมด เช่น หมาารุกไทย หมากรุกฝรั่ง หมากรุกจีน ก็เหมือนกันหมด มีทั้งตัว ตี่ กือ เบ้ ผ่าย .... อะไร แต่ก่อนอาตมาก็เล่นหมากรุกจีน ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว ส่วนหมากรุกฝรั่ง การเดินการเล่นก็มีกติกาคล้ายๆกัน


เวลาบันทึก 24 พฤษภาคม 2565 ( 09:25:40 )

การเมืองที่อยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อ

รายละเอียด

การเมือง ตอนนี้ อยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงอะไรๆ อย่างกฏหมายลูกที่จะออกมา เพื่อที่จะได้เลือกตั้ง เพื่อที่จะได้อะไรๆ ที่บริบูรณ์ ตอนนี้ก็ยังจวนๆ ยังคาๆ อยู่นี้  ก็เรียกว่า กำลังใช้วรยุทธกัน มันเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมสงครามการเมือง มันเป็นทุกแห่ง ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม มันเป็นเช่นนั้น มันเป็นธรรมดา ตั้งแต่มหาภารตะยุทธ รามเกียรติ์ ไล่มาจนถึงบัดนี้ คือเรื่องของสรณะ 

สรณะ คือ มีการสู้รบ มันก็เป็นเรื่องของโลก มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ ผู้ใดไม่รู้ทันสรณะ ไม่รู้ทันการรบ เอาตัวเข้าไปเป็นตัวเบี้ยในกระดาน(หมากรุก) คุณก็ถูกเขากิน ถูกเขาฆ่า ถูกเขาใช้ อะไรต่ออะไรเละเทะอยู่ในนั้น คุณจึงต้องเจริญขึ้นมาเป็นตัวโคนให้ได้ เจริญขึ้นมาเป็นตัวม้าเป็นตัวเรือให้ได้ จากตัวม้าจากตัวเรือแล้วขึ้นมา จนกระทั่งเป็นตัวขุน ให้ได้ ไม่ว่าหมากรุกของชนชาติใดก็เหมือนกันหมด เช่น หมากรุกไทย หมากรุกฝรั่ง หมากรุกจีน ก็เหมือนกันหมด มีทั้งตัว ตี่ กือ เบ้ ผ่าย .... อะไร แต่ก่อนอาตมาก็เล่นหมากรุกจีน ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว ส่วนหมากรุกฝรั่ง การเดินการเล่นก็มีกติกาคล้ายๆกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ โลก 10 แบบ ที่ไม่ใช่แค่ Imagine ตอนที่ 1 วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤษภาคม 2565 ( 20:49:38 )

การเมืองที่เป็นธรรมะมีแนวทางอย่างไร ทำไมต้องมีพรรคการเมืองด้วย 

รายละเอียด

ขออธิบายคร่าวๆนิดๆหน่อยๆพอสังเขปก็แล้วกันนะ ที่เป็นศาสนาเทวนิยมหรือศาสนาพระเจ้า การเมืองของเขาก็มีคนนั่นแหละที่เป็นนักการเมือง แล้วตัวคนเขาจะมีธรรมะ มีคุณธรรมนั่นเอง มีธรรมะและคุณธรรมอยู่ในตัวของเขาเท่าไหร่ เขาจะขวนขวายพยายามที่จะศึกษาธรรมะ พัฒนาตนเองให้มีคุณธรรมให้มีธรรมะขึ้นมาอีก มันก็อยู่ในตัวบุคคลเขา 

ศาสนาอื่น เขาก็ทำ เขาก็เป็น เขาก็มี ศาสนาพุทธมีแน่นอน เพราะคนต้องมีคุณธรรมหรือต้องมีธรรมะ ธรรมะที่เป็นคุณ ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นโทษ คุณธรรมก็คือ ธรรมะที่เป็นคุณ ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นโทษ ก็ต้องพยายามรู้ว่า ธรรมะที่เป็นโทษมันเป็นอย่างไร ธรรมะที่เป็นคุณมันเป็นอย่างไร ก็ต้องทำทางคุณธรรมไม่ใช่ทำทางโทษธรรม นี่เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องที่ชัดเจน ใช้พยัญชนะประกอบการอธิบายก็จะเข้าใจได้ชัดเจน 

แล้วทำไมต้องเป็นพรรคการเมืองด้วย พรรคการเมืองมันเป็นเรื่องของสมมุติโลกที่เขาจำเป็น จริงๆแล้วพรรคการเมืองมันเป็นธรรมชาติ มันไม่ต้องตั้งหรอก มันมีทิฏฐิหรือมันมีความเห็นร่วมที่ตรงกัน เขาก็ไปรวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่ 

อาตมาว่าดูเหมือนนะ ดูเหมือนจะเคยผ่านๆว่า แม้แต่อเมริกาเขาก็ไม่มีกฎหมายบังคับว่าจะต้องตั้งพรรคการเมืองนะ เขาก็รวมตัวกันขึ้นตั้งชื่อพรรคขึ้นมาแล้วก็เป็นพรรคเฉยๆ โดยไม่ได้มีกฎหมายบังคับให้เป็นพรรคการเมืองอะไร อาตมาไม่รู้นะดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น เป็นพรรคการเมืองใหญ่ๆ 2 พรรค Democrat กับ republican ก็เป็นพรรคโดยธรรมชาติ เหมือนในเมืองไทยก็จะมีพรรคการเมืองใหญ่ๆ 2 พรรคเสมอก็จะเปลี่ยนแปลงไป คือเป็นฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านจะเป็น 2 ใครจะไปเข้าหมู่ไหน จับมือร่วมมือฮั้วกันอะไรกัน หรือจะแยกเดี่ยวไปเข้าฝั่งใด มันเป็นวิธีการหรือเกมการเมืองที่จะเป็นไปตามธรรมชาติของทุกประเทศมันเป็นอย่างนั้นแหละ 

ถ้าคุณไปเป็นนักการเมืองเดี๋ยวคุณก็ไปศึกษาก็รู้ แต่ถ้าไม่ไปเป็นนักการเมืองจะไปจริงจังอะไรกับมัน ก็ดูที่ตัวบุคคล หรือถ้าคุณเห็นว่าอันนี้เป็นพรรคเป็นคณะก็ดูที่พรรคที่คณะปฏิบัติประพฤติกันอย่างไร ดูที่เนื้อหาดูที่พฤติกรรมพฤติการณ์ของเขาทำดีปฏิบัติดีกับประชาชนไหม การเมืองนักการเมืองคือผู้ที่อาสาจะไปทำงานช่วยพลเมือง ช่วยประชาชนในประเทศ ก็เท่านั้นเอง

ที่มา ที่ไป

แสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จอมยุทธ์โลกุตระจบกิจเศรษฐกิจ ด้วย 9 เคล็ดวิชา วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566  ขึ้น 3 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 10:47:59 )

การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ

รายละเอียด

การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ

1. การเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล ต้องเป็นคุณงาม ความดี เป็นความเฉลียวฉลาด(กุศล) เพื่อมวลมนุษยชาติ

2. นักการเมืองต้องรู้จักประชาธิปไตยที่แท้ มีอิสรเสรีภาพที่ นำไปสู่คุณภาพคุณธรรมเพื่อให้อำนาจความเป็นใหญ่เป็นของประชาชน ไม่ใช่อำนาจใหญ่ เป็นของตัวกู

3. นักการเมืองต้องสอนหรือเผยแพร่ประชาธิปไตย ให้กับประชาชน ประชาชนก็ต้องขวนขวายศึกษาความเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ ว่านักการเมืองครอบงำทางความคิดประชาชน แล้วก็ทำให้ประชาชน งมงายหรือว่าโง่ไปเรื่อยๆ แล้วก็จะได้ประชานิยม เอาประชาชน เป็นบริวาร

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตนเองได้แล้ว มีความรู้ความสามารถเลี้ยงตนได้แล้ว

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ต้องเป็นคนจน รู้จักพอ ไม่สะสม ซึ่งเราได้บทเรียนราคาแพง จากคนรวยแล้วไม่โกงมาแล้ว

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน โดยพ้นมิจฉาชีพทั้ง 5 คือ 1.โกง(กุหนา) 2.พูดหลอกลวง (ลปนา) 3.ตลบตะแลง (เนมิตกตา) 4.ยอมมอบตนในทางผิด(นิปเปสิกตา) และ 5.เอาลาภแลกลาภ(ลาเภนะลาภัง นิชิคิงสนตา) เช่น หมูไป ไก่มา จะพ้นจากมิจฉาชีพ ข้อที่ 5 ได้ ก็ต้องทำงานฟรี โดยไม่มีรายได้ เงินเดือนตอบแทน

7. นักการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ อาสาหมายความว่า เราเข้าไปเสนอตัว ขอทำงานนั้น โดยไม่ได้ทำงาน เพื่อที่จะเรียกร้อง เอาอะไรตอบแทน จึงจะเป็นการอาสาเสียสละ

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ คือไม่มีความลำเอียงในใจไม่อคติลำเอียงเข้าข้างตัวเอง ไม่อคติเข้าข้างหมู่ฝูงตัวเอง ไม่อคติ เข้าข้าง ครอบครัวตัวเองแคบๆ ไม่อคติเข้าข้างพรรคพวกตัวเอง

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม

10. การเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา เพื่อครอบครัว เพื่อหมู่พวก เพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชน ทั้งมวล เพื่อผู้อื่น ที่พ้นไปจากตัวเอง พ้นไปจากครอบครัว พ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจากพรรคของตน

ที่มา ที่ไป

 560808


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2563 ( 12:41:33 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 05:04:12 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:49:04 )

การเมืองที่แท้คือธรรมะโลกุตระ

รายละเอียด

การเมืองทุกวันนี้เขาใช้กันมากกว่าคำว่าโลกุตระ ที่จริงคำว่าธรรมะโลกุตระคือการเมืองที่แท้ ยากกว่า เอาคำว่าการเมืองไปอธิบายเอาไปปฎิบัติประพฤติก่อน คำว่าการเมืองจะง่ายกว่า

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะสองของประชาธิปไตย  วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 12:25:07 )

การเมืองทุกวันนี้ก็ดีขึ้น

รายละเอียด

แก้ไขได้ทุกวันนี้ก็ดีขึ้น เทียบกับสมัยทักษิณ โอ้โห…เชื่อว่าทักษิณเป็นคนโกงเอง แต่เอาน้องสาวมาช่วยกันโกงแล้วพากันโกง แต่สมัยนี้ จัดการไปได้มาก เทียบกันอย่างเห็นได้ชัดเจนเลย สมัยโน้นโกงจนกระทั่งพูดกันว่า คงไม่เป็นไร เอามาแบ่งกันกิน โกงแล้วเอามาแบ่งกัน ตอนนี้ไม่ใช้โกงไม่ได้เลย แบ่งกันก็เสร็จเลย การพูดไปเรื่อยๆอย่างคุณชีวิต อยู่ที่การตั้งค่า คุณก็ตั้งค่าตามของคุณ คุณไม่ดูตามสถานะความเป็นจริง status quo เขาไม่ใช่อย่างที่คุณพูดแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พุทธศาสนาตามภูมิ มาฝังชิปโลกุตระใส่จิตวิญญาณตนจนเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565  วันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 ธันวาคม 2565 ( 11:30:57 )

การเมืองบุญนิยมเป็นน้องเล็กที่สุด

รายละเอียด

อาตมาเองอาตมายังไม่อยากจะตาย ก็เพราะคิดว่า คำว่าการเมืองโลกุตระ เป็นหนึ่งใน “บุญญาวุธ 7 ประการ” 

การเมืองนี้ก็เป็นหนึ่ง ที่อาตมาพาทำมาแล้วตั้งแต่ เรื่องมังสวิรัติเรื่องการกิน ตลาดอาริยะ กสิกรรมไร้สารพิษ สุขภาพบุญนิยม การศึกษาบุญนิยม สื่อสารบุญนิยม การเมืองบุญนิยม นี่คือบุญญาวุธ อันเป็นบุญญาวุธของชาวอโศก 7 ระดับที่เราทำอยู่ตอนนี้ การเมืองบุญนิยมเป็นน้องเล็กที่สุด อาหารมังสวิรัติทุกวันนี้ก็ติดตลาดหมดแล้ว ตลาดอาริยะก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วเพราะทำมาถึง 40-50 ปีแล้ว กสิกรรมไร้สารพิษก็เป็นที่ยอมรับแล้ว สุขภาพบุญนิยมก็ได้รับความนิยมพอสมควรขณะนี้ แล้วเราก็จะทำแบบไทยๆรักษาสุขภาพ แพทย์แบบแผนไทย 

การศึกษาเราก็พยายามที่จะให้มันได้ แต่ตอนนี้เราเป็นการศึกษาระดับที่ยังได้พอเป็นรูปเป็นร่างบ้างก็ระดับมัธยม ในขั้นเกินมัธยมเป็นอาชีวะบ้างก็ยังไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ยิ่งเป็นระดับอุดมศึกษา เป็นมหาวิทยาลัย แต่ก็เริ่มไปแล้วล่ะ เพราะว่าหัวหน้าพรรคสัมมาธิปไตยคือ ดร.ใจเพชร กล้าจน ก็ได้เปิด วิทยาลัยที่ดำเนินไปบ้างแล้ว 

เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆเป็นไป สื่อสารเราก็โอ้โห..ต้องใช้ทุนรอน ต้องอะไรต่ออะไรทุกวันนี้ แล้วคนมาทำงานก็ทำงานฟรีด้วย พวกเรานี้ก็พยายามฝึกฝนให้เด็กของเรารู้เรื่องงานการสื่อสาร มีความสามารถแล้วก็บินไปหากินข้างนอกกัน เหลืออยู่ในนี้ก็เป็นคนใจถึง ก็ต้องขอบคุณผู้ที่ยังอยู่ช่วยพวกเราทำสื่อสารอยู่ได้บ้างก็ขอบคุณ ดูช่วยกันอยู่ก็ไม่มากไม่มายแต่ทำกันเต็มที่เป็นเรื่องเป็นราว อย่างน้อยก็มีโทรทัศน์ออก มีวิทยุก็ไปเล็กๆน้อยๆ สื่อสารของเราก็ไปตามประสา 

ที่มา ที่ไป

สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566  เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 17:36:46 )

การเมืองบุญนิยมเป็นเช่นไร

รายละเอียด

การเมืองบุญนิยมหรือการเมืองโลกุตระ ที่อาตมาใช้คำว่า บุญนิยม แทนคำว่า โลกุตระ เพื่อที่จะใช้ภาษาให้มันเทียบเคียงกับคำว่า ทุนนิยม  ทุนนิยมนี้มันโลกียะ 100% ล้านเปอร์เซ็นต์  การเมืองทุนนิยม ง่ายๆก็การเมืองทุนนิยม เขาใช้อำนาจทุนเป็นหลัก และสร้างอำนาจบาตรใหญ่เป็นอำนาจ ทุนเป็นรูปธรรม อำนาจบาตรใหญ่เป็นนามธรรม ที่คนเขาสร้างแล้วก็ใช้กันอยู่ การเมืองที่เป็นทุนนิยมหรือเป็นโลกียะ การเมืองในโลกปัจจุบันนี้ด้วยหรือแม้แต่ในยุคพระพุทธเจ้าก็ตาม ก็เป็นการเมืองแบบโลกียะกับการเมืองแบบโลกุตระ 

แต่การเมืองแบบโลกุตระในยุคพระพุทธเจ้านั้นเป็นยุคที่มีข้อจำกัด เพราะเป็น 1.ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และ 2. เป็นยุคทาส ลึกซึ้งนะเรื่องทาส มันเป็นอำนาจบาตรใหญ่ของสังคมที่คนเป็นทาส slave ภาษาอังกฤษ มันเป็นทาส เป็นยุคทาส เป็นจริงเลย คนทุกคนยอมรับจำนนว่ามีนายทาส มีลูกทาส ยิ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ทุกคนเป็นทาสของท่านหมด มีสิทธิ์จะสั่งฆ่าได้หมดเลย จะขายจะฆ่าจะอะไร เป็นเจ้าของคนทุกคนเลย อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องอำนาจบาตรใหญ่ขนาดนั้น 

ในยุคพระพุทธเจ้าอุบัติ พระพุทธเจ้ามีบารมี ท่านก็สร้างวิธีของท่าน จะเรียกว่ากฎหมายก็เป็นกฎหมายระดับรัฐธรรมนูญ เช่น ศีลของพระพุทธเจ้าคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ยังไม่ระบุโทษ ยังไม่ระบุรายละเอียดนัก บอกแต่เนื้อหาสาระว่าควรกับไม่ควร พอกฎหมายละเอียดออกมาแบ่งเป็นกฎหมายแพ่ง อาญา มันจึงจะมีระบุกำหนดผิดเท่านี้โทษเท่านี้ อะไรต่างๆอย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นของพระพุทธเจ้าท่านก็มีวินัย ท่านแยกเป็นศีล ศีลเป็นเรื่องเหมือนรัฐธรรมนูญ วินัยเป็นเหมือนกฎหมายลูก กำหนดโทษสารพัด ส่วนศีลนั้นตายตัว มี  จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ในยุคพระพุทธเจ้าก็ใช้วงการของท่าน คนที่ไม่เข้าในวงการ ไม่เข้าในจารีต เข้าลัทธิ เขาก็อยู่กันอย่างชีวิตสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นทาส และคนในยุคทาสนั้น ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน สิทธิในตัวเอง สิทธิที่จะแสดงออก ความหมายของสิทธิมันก็ยิ่งใหญ่ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้สิทธิมนุษยชนก็ตั้งเป็นองค์กรควบคุมหรือว่าดูแลโลกเลย เป็นผู้ดูแลสิทธิมนุษยชน ใครไปละเมิดก็ต้องเอาเรื่อง แม้แต่ทั่วโลกเลย ประเทศไหนเขาก็ยึดถือทั่วโลก ยอมรับว่าคนมีสิทธิส่วนบุคคล ใครจะละเมิดสิทธิส่วนบุคคลยาก เขาก็เลยช่วยพวกเสียเปรียบ พวกที่ถูกกดขี่สิทธิ เขาก็ตั้งเป็นองค์กรช่วย ก็มีสมาชิก มีผู้เห็นชอบด้วย ก็สนับสนุนกัน ก็เป็นองค์กรที่เลี้ยงชีพองค์กรหนึ่ง 

ทีนี้เรื่องประชาธิปไตยในยุคพระพุทธเจ้ายังไม่มีภาษา อาตมาเคยอธิบายไว้แล้ว ว่าความเป็นพลังงานที่มนุษย์เอามาใช้แล้วก็ประพฤติกันออกมา เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความรู้ในพลังงานเรียกว่าอธิปไตย เป็นแรง  เป็นพลังงาน เป็นอำนาจ พลังงานมีความรู้ในเรื่องของ ความปรุงแต่งร่วมกับความเกี่ยวข้องในโลก ใครก็ตามในสังคมกลุ่มนี้ปรุงแต่งอยู่ในขอบเขตนี้ออกไปอีก สมัยพระพุทธเจ้าปรุงแต่งแล้วก็ไม่สามารถที่จะแพร่ สื่อสาร ออกไปกว้างไกลกว่าคนในทวีปอินเดีย เพราะสื่อสารยังข้ามออกจากประเทศ ออกจากทวีป ออกจากขอบเขต แม้แต่อยู่ในแคว้น ออกจากแคว้นไปก็ไปตามคน แต่ก่อนยังไม่มีเครื่องมือมาก แต่เดี๋ยวนี้มันไปทางอากาศ ความรู้เจริญขึ้นในยุคสมัยนี้มันก็อยู่ในกรอบขอบเขต 

เพราะฉะนั้น ในการบริหารปกครอง เรียกว่า การเมือง การเมืองบุญนิยมหรือการเมืองโลกุตระ ในยุคพระพุทธเจ้ามีแต่ของพระพุทธเจ้าที่มีความรู้ในอธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ  ธรรมาธิปไตย โลก คือ เกี่ยวข้องกับผู้อื่น เท่าที่ใครจะสามารถเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ อย่างบางประเทศเขานึกว่าเป็นเจ้าโลก เขานึกว่าเขาใหญ่พยายามจะแผ่อำนาจอิทธิพล แม้ในเมืองไทย ส่วนหลายประเทศเขาสามารถแผ่อิทธิพลสำเร็จของเขา คนพวกนั้นก็ตกเป็นทาสของนายอำนาจ เป็นเจ้าอำนาจ มันเป็นเรื่องบังคับ เป็นเรื่องอำนาจบาตรใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องที่จะให้คนยอมรับนับถือ มี 2 ประเด็น 1. อำนาจบาตรใหญ่เอามากดขี่เขา 2.อำนาจที่ไม่ใช่อำนาจบาตรใหญ่ แต่เป็นธรรมาธิปไตย เป็นอำนาจโดยธรรมที่เขาเห็นว่าดี เขาจึงยอมยกให้ 

2 ประเด็นนี้คนละขั้ว ขั้วหนึ่งนี้เป็นคุณธรรมและเป็นอิสรเสรีภาพ ส่วนอีกขั้วหนึ่งเป็นอำนาจบาตรใหญ่เพื่อจะข่มเขาได้ เป็นอำนาจเลวร้าย เป็นอำนาจซาตาน ส่วนอำนาจของทางที่ประชาชนหรือคนอื่นเขายกให้เองนี่ เป็นอำนาจของพระเจ้า เป็นอำนาจของคุณธรรม เป็นอิสรเสรีภาพ ใช้สัจจะของความจริงของคนที่คนอื่นเขายกให้ เป็นอำนาจที่เขายกให้ ไม่ใช่เราไปแย่ง ไม่ใช่เราไปข่มขี่  ไม่ใช่เราไปใช้อำนาจบาตรใหญ่ ใช้อาวุธ ใช้อำนาจความกลัวให้เขากลัว อันนี้ไม่มี อำนาจนี้ไม่มีความกลัว มีแต่อำนาจความยอมรับนับถือ เคารพยกย่อง เชิดชูบูชา ​​มันคนละลักษณะกันเลยอำนาจพระเดชยังเป็นอำนาจเลวร้ายเป็นอำนาจแบบโลกียะ ใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แม้แต่ความสุขก็เอามาล่อ มาสร้างอุปาทานทางความสุขให้เขาอยากได้ความสุขอันนี้ แล้วก็หลอกกัน 

เอาง่ายๆ ตัวอย่างเช่นว่า ถ้าเราเป็นนายก เราจะขึ้นเงินให้เท่านี้คนเกิดมาจะได้เท่านี้ อย่างนี้แหละเป็นสิ่งล่อให้เขาอยากได้ ถ้าเขาได้เขาจะเป็นสุข แค่นี้ก็เป็นอำนาจเถื่อน อำนาจบาตรใหญ่ อำนาจขี้หลอกขี้ล่อ ซึ่งประเทศอย่างเมืองไทยมีตัวอย่างที่เขาใช้อำนาจอย่างนี้มามาก แล้วเมืองไทยไม่ใช้อำนาจแบบนี้เพราะถือว่ายังเป็นคนเถื่อน เป็นคนชั้นต่ำ ไม่ทำ มีแต่รับใช้ประชาชน มีแต่ใจเมตตาเกื้อกูล มีแต่เสียสละ แล้วไม่ล่อหลอก ไม่สร้างประชานิยม อาตมาสรุปอันนี้อยู่ว่า เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่าช่วยเขา คุณไปสัญญิงสัญญาว่าจะช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นแหละคือแบบเถื่อนๆ เรียกคำโก้ๆว่า มีนโยบาย นัยยะ กับ อุบาย คือ ยังไม่จริง มันเป็นเป็นกลยุทธ์อันหนึ่ง อุบาย เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่มีนัยยะนโยบาย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ การเมืองบุญนิยมโลกุตระที่เป็นปรากฏการณ์จริง วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2566 ( 15:46:33 )

การเมืองบุญนิยมโลกุตระที่เป็นปรากฏการณ์จริง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ที่เป็นผู้กำจัดกิเลสได้อย่างแท้จริง จึงเป็นผู้ที่ยิ่งมีประโยชน์ ยิ่งเป็นผู้ช่วยโลก พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อย่างแท้จริงตามบารมีของแต่ละคน เพราะฉะนั้นนักการเมืองอย่างพลเอกประยุทธ์เป็นโพธิสัตว์ จึงมีคุณธรรมที่ว่านี้ อย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ในหลวง ร.9 พลเอกประยุทธ์เป็นสายรูปธรรม ส่วนอาตมาเป็นสายนามธรรม ซึ่งศาสนามันมีความเสื่อมมาก มีโพธิสัตว์มาช่วยเช่นพลเอกประยุทธ์ก็ตาม ในหลวงร. 9 ก็ตาม อาตมาก็ตามหรือผู้อื่นอีก ที่ทำกันอยู่ช่วยกันอยู่เป็นโพธิสัตว์ มีเยอะแยะ

แม้แต่ในพวกเราไม่ได้กล่าวชื่อ เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์ไม่ได้ต้องการชื่อเสียงหรอก อาตมาไม่ได้ออกเสียงชื่อ มีอยู่แต่ระบุไม่ไหว คนนี้มีเท่าไหร่เท่าไหร่ อาตมาก็ไม่เก่งขนาดนั้น คนนี้เป็นโพธิสัตว์ระดับเท่าไหร่ อาตมาก็ยังบอกไม่ได้ถึงขนาดนั้น นี่ก็รู้ตัวอยู่ก็พูดความจริงให้ฟัง บอกได้คนไหนที่ชัด อาตมาก็ระบุ ถ้าระบุไปผู้นี้ไม่ชัด อาตมาหน้าแหกเลย ก็เคยแหกมาหลายทีแล้ว ตั้งแต่ทักษิณมาจนกระทั่งยันตระ อาตมาก็หน้าแหกมาแล้ว เพราะฉะนั้นก็เข็ดแล้วไม่อยากระบุเท่าไหร่ ถ้าไม่มั่นใจ แต่ถ้ามั่นใจก็ไม่มีปัญหา 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าได้มีมรรค มีผล ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ เป็นพหุชนหิตายะ ไม่ใช่ศาสนาที่จะไปหลบไปหลีกไปลี้ หนี ที่เขาเข้าใจผิดว่าอรหันต์คือผู้ที่เอาตัวเองรอดนั้นไม่ใช่ ศาสนาพุทธนั้นยิ่งเป็นอรหันต์ก็จะต้องอย่างน้อยเป็นอรหันต์จริงก็จะต้องเป็นประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ ไม่หนี อยู่เหนือ อุตระไม่ใช่ไปหนี หนี ภาษาบาลีว่าอะไร ไม่ใช่หนีแต่เหนือ ไม่ใช่หลบไม่ใช่หลับ ไม่ใช่ลึกลับมีแต่สว่างมีแต่เปิดเผย มีแต่แจ้งกันได้รู้กันทั่ว อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้น ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ จึงเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ยิ่งเป็นอาริยะสูง เป็นอรหันต์ไปเรื่อยๆ เป็นโพธิสัตว์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งเป็นผู้ที่เป็นประโยชน์คุณค่าต่อสังคม มนุษยชาติยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นๆๆๆๆ จึงเป็นคนเจริญหรือคนประเสริฐของพระพุทธเจ้า ที่ศึกษาสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า เจริญจริงๆ ขยายความเป็นภาษาง่ายๆให้เข้าใจ ไม่ต้องเอาภาษาวิชาการบาลีมามาก อาตมาก็กำกับบาลีบ้างเท่าที่ควรจะใช้ ไม่งั้นก็จะทำเป็นทีว่าเก่ง ไม่ได้เรียนบาลีกับเขาแต่ก็พอรู้ความจริงอยู่จากพยัญชนะเหล่านั้น 

ใหม่ๆแต่ก่อนนี้ อาตมายังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ใช้บาลีผิดๆ เขาก็ท้วงอาตมาหน้าแหกอยู่เรื่อย เดี๋ยวนี้ก็เข็ดแล้ว ระมัดระวังมากแล้วแล้วระมัดระวังมากจนกระทั่งทุกวันนี้อาตมาใช้บาลีอธิบาย ยืนยันว่าอาตมาอธิบายบาลีถูกต้อง อาตมาอธิบายภาษาไทยเป็นภาษาสภาวะถูกต้อง ซึ่งมันจะต่างกันกับผู้ที่ท่านหลงผิดในบาลีที่ท่านแปลออกนอกทางแล้วไปเข้าใจว่าถูก มันจะแย้งไปเรื่อยๆถ้าแย้งอาตมาไม่มีปัญหานะ เพราะมันผิดไงมันก็ต้องไปอย่างนั้น เขาก็จะต้องมาแย้ง แต่ผู้ที่ไม่มีอคติอาตมาตั้งใจฟังดีๆ สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังแล้วจะเข้าใจว่าเราเข้าใจผิด โพธิรักษ์ถูก จะค่อยๆเข้าใจ 

แต่ถ้าใครไม่แง้มใจจะยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ จะยิ่งเพ่งโทษ แต่ความเพ่งโทษเดี๋ยวนี้ลดลงแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมาว่า ถ้าอาตมาอายุไปถึงร้อย ตอนนี้ก็เกือบจะถึงร้อย ถึงร้อยเมื่อไหร่จะไม่มีใครค้านอาตมา รออีกสัก 10 ปี จริง รออีกสัก 10 ปี สังคมไทยจะเปิดเผย สังคมไทยจะเปิดสว่าง สังคมไทยจะมี Switch on ขึ้นมาแล้ว พลังงานจะเกิดแล้ว เมืองไทยจะเป็นตัวอย่างสังคมโลก ที่เป็นตัวอย่างของการเมืองเป็นตัวอย่างของเศรษฐกิจ จะเป็นตัวอย่างของสังคม ตัวอย่างของโลก ไม่ได้พูดเล่น ถ้าอาตมาพูดเล่นเดี๋ยวต้องรีบตายไม่งั้นหน้าแหก พูดจริงนี่ยังไม่ตายหน้าไม่แหก เพราะอาตมาไม่กลัวว่าจะผิด มันจะ เป็นจริง 

และโลกทุกวันนี้ ไอ้ที่เลวก็เลวร้ายยิ่งขึ้น ไอ้ที่เจริญก็พยายามเจริญช่วย มันก็ได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะมีพวกเลวร้ายยิ่งขึ้นก็ตาม แต่พลังงานของโลกุตระมันเข้มข้น มันน้อยแต่มีฤทธิ์จัด มีฤทธิ์สูง พวกที่บ้ามากๆพวกหยาบๆร้ายๆเลวๆเข้ามาทำอะไรไม่ได้ อันนี้ก็อธิบายเป็นภาษาไทยได้แค่นี้ มันมีธรรมฤทธิ์ของมันในตัว เข้ามาใกล้ไม่ได้ มีรังสี มีรัศมีกั้นได้ มีกำแพงไร้สภาพกันพวกนี้เอาไว้ อันนี้เป็นสัจจะเรื่องนี้เรื่องจริง 

เพราะฉะนั้นถ้าคุณธรรมที่เป็นโลกุตระดังกล่าวนี้ มันก็จะมีสภาวะจริง มีปรากฏการณ์จริง มีฟีโนมิน่า ฟีโนมินอลปรากฏการณ์ที่มันเกิดจริง ไม่ใช่เป็นแต่เพียง paradigm ไม่ใช่แค่กระบวนทัศน์เป็นความคิด มันจะมีกระบวนการของมันขึ้นมาและมีผลผลิต มี process มี product ขึ้นมาจนกระทั่ง ได้มาเป็นฟีโนมินอล ปรากฏการณ์จริงขึ้นมาให้เห็นถึงขั้นเป็น status quo ถึงขั้นในปัจจุบันนี้เลย เกิดอันนี้มั่นคงจริงแท้จริง status อย่างชาวอโศกนี่มี status quo อยู่ทุกกาละ จำนวนเท่านี้ ปริมาณเท่านี้ คุณภาพเท่านี้ล่ะ ชาวอโศกมีโลกุตรธรรมมีแกนโลกุตรธรรม เพราะฉะนั้นแกนโลกุตรธรรม ของพระพุทธเจ้านี้จะอ่านได้จากสาราณียธรรม 6 

มวลมนุษย์ที่เขาอยู่ร่วมกันอยู่กันอย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม คนมีเมตตา ที่อยู่ร่วมกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นอย่างไร ก็อธิบายขยายความกันไปอยู่กันอย่างเมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลกันทางกาย ทางวจี ทางมโน อยู่กันอย่าง สุภระ สุโปสะ หรืออยู่กันอย่างมี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  อยู่กันอย่างไม่วิวาทพร้อมเพรียง พวกเรามีเรื่องวิวาทกันน้อย ตำรวจไม่ต้องมี ตำรวจอยู่ที่นี่ให้ไปไถนา ให้ไปเก็บผัก เรื่องจริง อย่างดีเบ่งตำรวจหน่อยก็แอ๊คๆให้มาดูแลพวกเกเรเกตุงบ้าง ซึ่งคนที่เกเรเกตุงมาก็น้อย ไม่ค่อยมา แม้แต่เราจัดงานคนมามากๆก็ไม่ต้องใช้ตำรวจ นี่คือความซ้อน เราจัดงานตลาดอาริยะ เป็นต้น คนมาเป็นหมื่น เป็นแสนหรือเปล่าก็ไม่รู้ หลายวันก็เป็นแสนแน่นอน แต่วันละเป็นหมื่นมากัน ไม่ต้องใช้ตำรวจ ใช้แต่พวกเราใส่เสื้อจราจรหน่อย ก็พอแล้ว นี่เป็นพฤติกรรมจริง เราจัดตลาดอาริยะมา 40 กว่าครั้งแล้ว คนมาเป็นหมื่นเป็นแสน 

นี่เป็นปรากฏการณ์จริงเป็นฟีโนมินอลจริง มีสถานะจริงมีความเป็นจริงที่เราเกิดเราเป็น มี สาราณียธรรม 6 มีการระลึกถึงกัน มีการรักกัน เคารพกัน ช่วยเหลือกัน ไม่วิวาท พร้อมเพรียง เป็นเอกภาพ แน่นแฟ้นเป็นปึกแผ่น แข็งแรง เป็นสังคมที่ พูดง่ายๆว่าอะไรมาตีแตกได้ยาก เพราะมันแน่นเหนียวด้วยคุณธรรม แน่นเหนียวด้วยภูมิปัญญา ทุกคนมีภูมิปัญญา คุณมาอยู่ที่นี่ ถ้าคุณไม่มีปัญญาจริง คุณไม่เกิดความเหนียวจริงทางจิต จิตมันเหนียวเพราะคุณ โอ้โห ยิ่งกว่า เหนียวยิ่งกว่าตัง เหนียวยิ่งกว่าอีพ็อกซี่ ติดเข้าไปแล้วแกะไม่ออกเลย อย่างงั้นจริงๆมันเป็นเรื่องของ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แนบแน่น แน่วแน่ ปักมั่นเลย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆคุณสมบัติที่สูงส่ง เพราะฉะนั้นในสถานะที่เป็นจริงในปัจจุบัน status quo ก็เห็นได้ มีสภาพจริง มีสิ่งที่ยืนยันท้าทายให้พิสูจน์ เอหิปัสสิโก ยืนยันได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ การเมืองบุญนิยมโลกุตระที่เป็นปรากฏการณ์จริง วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2566 ( 19:43:25 )

การเมืองประชาธิปไตยดีที่สุดในโลก

รายละเอียด

คือ  แม้แต่การเมืองก็เป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลกขณะนี้ แต่คนไม่เข้าใจ ถึงความเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดมีฝ่ายค้านก็เข้าใจ ฝ่ายค้านที่เป็นกิจจะลักษณะเขาจะทำ นอกจากพวกหมาเห่าใบตองแห้ง หมาเห่าเครื่องบินก็มีบ้าง มันก็อย่างนั้นเท่านั้นเอง ทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นฝ่ายค้านก็จะค้านเป็นอย่างเป็นประชาธิปไตยโลก หรือสังคมประชาธิปไตยไม่มีฝ่ายค้านไม่ได้เขาก็ทำหน้าที่ของเขาดีแล้ว

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 12:59:32 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 05:05:45 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:53:41 )

การเมืองประชาธิปไตยเป็นเรื่องของมนุษย์ต้องมี 2 ขาทั้งกายและวิญญาณ

รายละเอียด

ขณะนี้บ้านเมืองยังไม่มีการเลือกตั้ง อาตมาว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องเล็กๆของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง เรื่องการเลือกตั้งเป็นของการเมืองแบบขาเดียว เขาไม่มีทางเลือก การเมืองขาเดียวเขาก็เอาเลือกตั้งเป็นประเด็นเอก แต่การเมืองขาเดียว มันเป็นการเมืองขาหักขาเป๋ไม่สมบูรณ์ เป็นการเมืองพิการ การเมืองเป็นเรื่องของมนุษย์จะต้องมีทั้ง 2 ขามีทั้งกายและวิญญาณ แต่การเมืองขาเดียว มันมีแต่กาย ไม่มีจิตวิญญาณ ไหนว่าจะมีจิตมนุษย์ร่วมแต่จิตมนุษย์เขาไม่สมบูรณ์ วิธีการขาเดียวไม่มีกฎมณเฑียรบาล ไม่มีการสืบทอดสันติวงศ์สืบต่อทาง DNA โดยเฉพาะ DNA ทางจิตวิญญาณมันไม่มี ฟังดีๆ เขาเข้าใจหนักไปทางรูป จะเป็นการเมืองขาเดียว คนที่เข้าใจทั้งรูปและนามจะเป็นการเมืองสองขา การเมืองประชาธิปไตยเป็นเรื่องของมนุษย์ มนุษย์ต้องมี 2 ขา หมายถึงมีทั้งรูปและนาม การเมืองขาเดียวมันไม่ใช่มนุษย์ เป็นการเมืองพิการ ศึกษาให้ดี เรื่องธรรมะสองของพระพุทธเจ้า ลึกซึ้งจริงๆ ตอนนี้เราพยายามให้เป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ไม่ใช่แบบเลือกตั้ง อะไรเป็นประชาธิปไตยที่แท้ไปคิดให้ตก ประชาธิปไตยเลือกตั้งแบบผู้แทน กับประชาธิปไตยแบบที่มีส่วนร่วมของประชาชน อันไหนคือประชาธิปไตยกว่ากัน ไปคิดตรงนี้เป็นการบ้าน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:18:10 )

การเมืองประชาธิปไตยแท้จะไม่มีพรรคการเมือง

รายละเอียด

ไม่ได้ทำงานเพื่อต้องการลาภยศสรรเสริญสุขมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป อยู่กับทุกข์ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก

การเมืองประชาธิปไตยที่มีพรรคการเมืองยังไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้ การเมืองประชาธิปไตยแท้จะไม่มีพรรคการเมืองเป็นอิสระสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นคนอย่างพลเอกประยุทธ์จึงมีภูมิธรรมเองไม่เข้าพรรคไหนเลยจนบัดนี้ เห็นไหมนี่แหละคือความจริงนักประชาธิปไตยแท้ๆไม่เข้าพรรคการเมือง หากเข้าพรรคการเมืองจะถูกจำกัด อยู่ในกรอบของการมีสิทธิ์มีอะไรต่างๆนานา ต้องไม่แตกแยกต้องมาเห็นร่วมกับกลุ่มมันเป็นเผด็จการหมู่ คล้ายๆกับคอมมิวนิสต์ พรรคคือหมู่คือคอมมิวนิสต์ เห็นไหมอิสระเสรีภาพปนเปกับการเป็นเผด็จการหมู่ แล้วก็ไม่เข้าใจทำไมกลับไปกลับมา ผู้ที่เป็นนายกจะไปเข้าพรรคการเมืองทำไม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ พระอรหันต์มาตอบปัญหาประชาธิปไตยแท้ วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:40:52 )

การเมืองประชาธิปไตยไทยมีรากมาจากพุทธศาสนา

รายละเอียด

สรุปแล้วเรื่องสังคมการเมืองอาตมาอยากจะเคลียร์ให้เข้าใจบ้างว่า โดยรวมแล้วการเมืองของประเทศไทยเป็นการเมืองประชาธิปไตยที่มี Root มีรากมาจากพุทธศาสนา การเมืองประชาธิปไตยของไทย มีเค้ารากจากอนุสัยเลย มาจากพระพุทธศาสนา เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมาแต่ดั้งเดิมที่มีโลกุตระธรรมมาก่อนมาตั้งแต่ 2,000 กว่าปีแล้ว ก็ค่อยๆเสื่อมมามาถึงพันปีก็เสื่อมมาเรื่อยๆ จนเหลือ 500 ปีก็จะเสื่อมไปเรื่อยๆ 300 ปีก็เสื่อมเรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาที่เลยปัญหาของคนหลงความรู้มาก วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 เมษายน 2564 ( 20:51:56 )

การเมืองยุคนี้ คือสงครามระหว่างความรู้กับการกระทำ

รายละเอียด

สรุปสั้นๆว่า เราเป็นคนเกิดมาแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรารู้ ตรัสรู้ว่าเราเกิดมาทำไม เกิดมาแล้วเราไปเป็นทาสหรือเราไปตกอยู่ในวังวนของอะไร งมงายวนๆวังวนหลงอยู่กับลาภ ยิ่งกว่านั้นไปงมงายอยู่กับอบายมุข งมงายอยู่กับสิ่งไร้สาระ จะมีปฏิภาณรู้ว่าเราโง่หลงมานาน อยู่กับอบายมุข มันมัวเมาอยู่กับอบายมุข เช่น จะแย่งอำนาจอย่างที่เขาไม่รู้ อย่างเทวนิยมหรือฝ่ายโลกที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เขาแย่งอำนาจกัน หรือแม้แต่คนในพุทธศาสนาก็ตาม ยังมัวเมาการแย่งอำนาจอยู่ แสดงว่าเขาไม่รู้ 

ผู้ที่แย่งอำนาจคือผู้แย่ง ผู้ไม่แย่งก็คือผู้ไม่แย่ง ผู้ไม่แย่งที่อยู่ในสังคมที่ดี คนดีจะเอาอำนาจให้เองให้แก่คนดี แต่ถ้าเผื่อว่าเกิดสังคมมีพลังงานแบบสมัยนี้ พลังงานไอโอพลังงาน AI ที่จะเป็นพลังงานที่มอมเมาคน ที่จะหลอกคน ครอบงำให้คนจะต้องมาเห็นดีเห็นงามอะไรก็แล้วแต่ จนกระทั่งได้ผล สั้นๆก็คือครอบงำคนให้มาเชื่อเรา โดยวิธีการโดยการทำ 

1. ทำวิธีการเพื่อให้คนมาเชื่อเรา 

2. คนที่ไม่ทำเลย แต่คนนี้ทำงานให้แก่สังคมมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นคนที่ทำงานให้แก่สังคมมนุษยชาติกับคนที่ทำอะไรก็แล้วแต่ จะเป็น AI หรือ IO ก็แล้วแต่ หรือเครื่องไม้เครื่องมืออะไรก็ตามที่จะสร้าง ที่จะครอบงำให้คนมาเชื่อเราให้เราได้ใช้อำนาจได้ มันมีอยู่ 2 ลักษณะใหญ่ๆอย่างนี้ 

ยกตัวอย่างคนสองคนเป็นตัวอย่างชัดๆเลย พลเอกประยุทธ์ กับพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขออภัยที่ต้องระบุบุคคลเลย เพื่อที่จะให้เข้าใจได้ง่ายๆเพราะเป็นตัวอย่างแท้ เป็นตัวอย่างจริง เป็นคนจริง มีพฤติกรรมจริงมีพฤติการณ์จริงทำงาน ที่คนทุกวันนี้เห็นอยู่ ก็เอามาให้ศึกษา พลเอกประยุทธ์ทำงาน แต่คุณพิธานั้นทำเครื่องมือ ทำวิธีการ ทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้คนมาให้อำนาจ แต่พลเอกประยุทธ์ไม่ต้องการอำนาจ ทำงานตรงๆเลย แล้วประชาชนก็ให้เอง อาตมาพูดความจริงสู่ฟัง วิเคราะห์วิจัยให้ออก ในกิริยาการ พฤติกรรม กาย วาจา ใจ ของคน 2 คนนี้ เห็นชัดที่สุด จะเห็นชัดที่สุดเลย

เพราะฉะนั้นในสัจจะที่คนทำงานแล้วก็รู้จักงาน งานที่เป็นสาระ ขณะนี้ว่าไปแล้ว เรายังไม่รู้เลยว่าคุณพิธาจะทำงานเป็นแค่ไหน แต่แน่นอน ลิงตกต้นไม้ไปหลายตัวแล้ว พูดจนลิงหลับ ลิงตกต้นไม้ครอบงำ กล่อมเสียจนเชื่องเลย แล้วก็ให้คะแนนเขา เขาก็ขึ้นมาได้ อาตมามองเห็นอย่างนี้นะ ขออภัยอาตมาวิจารณ์ตรงๆ 

ขออภัยคุณพิธาด้วย เพราะอาตมาวิจารณ์ด้วยสัจจะ ด้วยใจจริง ถ้าหากเห็นว่ามันเป็นไปอย่างที่อาตมาว่าดีหรือไม่ดี  คุณก็ฟังแล้วคุณก็จะแก้ไขก็แก้ไข ถ้าคุณเห็นว่าไม่แก้ไขแล้วอาตมาเข้าใจผิด แต่คุณเข้าใจและเชื่ออย่างที่คุณทำนั่นแหละถูก แน่นอนคุณก็ทำของคุณไป คุณก็ไม่ฟังอาตมา แต่ฟังเขาคงไม่ฟังหรอกเพราะอาตมามันยิ่งกว่าปากหอยปากปู ไม่ได้มีน้ำหนักน้ำเนื้ออะไร คนอื่นๆใดๆพูดอย่างมีน้ำหนักมาก อาตมาพูดไปทุกวันนี้ยากที่คนจะมาฟังอาตมาว่าที่อาตมาพูดนี้เป็นเนื้อหาเป็นน้ำหนักที่น่าฟัง มันมีน้อยที่คนจะรู้จัก คุณค่าที่อาตมาแสดงธรรมหรือแสดงวาทะ แสดงคำพูด แสดงสิ่งที่สื่อออกไปสู่สัจธรรม น้อยที่จะเข้าใจที่อาตมาเสนออยู่ 

ส่วนคนที่จะไปฟังสิ่งที่คุณพิธาเสนอ เขาจะเข้าใจง่ายเพราะมันเป็นโลกียะ มันเป็นเรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ส่วนอาตมานั้นไปคนละเรื่องเลย มันเป็นเรื่องของการขัดเกลา อันนี้เป็นโลกุตระเลยอันนั้นมันเป็นโลกียะ มันก็เลยยากที่จะเข้าใจ แต่ยิ่งเขาไม่เข้าใจจึงจำเป็นต้องยิ่งพูดกัน อธิบายกันให้เข้าใจ เราดูได้จากพฤติกรรมของคนคือความจริง ที่ชี้บ่งการกระทำนั้นๆว่า สิ่งที่จะใช้ตัดสินคือ เป็นการเสียสละหรือเป็นการเห็นแก่ตัว ใช้ 2 สิ่งนี้ การเสียสละกับการเห็นแก่ตัว ทำเพื่อให้ตัวได้ เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่พรรคพวกของตัว แสดงให้เห็นชัดๆเจนๆว่า ลักษณะของพลเอกประยุทธ์กับคุณพิธา แสดง. พลเอกประยุทธ์พูดแล้วต้องการพวก ต้องการคะแนน หรือคุณพิธาต้องการคะแนนหรือไม่ต้องการคะแนน มันต่างกันอย่างเห็นๆเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่พูดเพื่อที่จะให้ได้คะแนนมาเพื่อให้แก่ตัว แก่พรรคพวกของตัว เพราะฉะนั้นเขาจะเก่งพูด พูดเพื่อจะได้คะแนน 

คะแนนมันยังไม่ใช่ความจริง เป็นคะแนนของคำพูดเท่านั้น ความจริงกว่านั้นของคน มันต้องเอาที่การกระทำครบ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทำแล้วครบมีผลออกมา จะไปว่าคุณพิธาก่อนก็ไม่ได้ เพราะว่าเขายังไม่ได้มีโอกาสทำเหมือนพลเอกประยุทธ์ อันนี้ก็ต้องเข้าใจเห็นใจเขาอยู่ แล้วตามวิสัยทัศน์ของเขาที่เขาพูดออกมามีนโยบาย มีสิ่งที่เขาจะทำอะไรต่างๆนานา เราฟังแล้วมันต่างกันหมดเลยกับพลเอกประยุทธ์ทำมา พลเอกประยุทธ์ไม่ได้พูดก่อนแต่ทำมาตลอด 8ปีแล้ว แต่คุณพิธา ยังไม่ได้ทำสักปี ก็เอามาเทียบกันยังไม่ได้ แต่เราก็พอมองเห็นทิฏฐิ ความเห็นความเข้าใจ หรือแม้แต่จะมองลึกลงไปถึง

ศีลสามัญญตากับศีลสัมปาทา คุณพิธา จับร่องรอยได้มีการโกหก ก็เห็นได้แล้ว มันเทียบกันไม่ได้ แม้ทุกวันนี้ลุงตู่ก็ไม่ได้ดึงดัน ไม่ได้ไปแก่งแย่ง มีแต่พิธาดิ้นรนแย่งอำนาจนายกมาให้ได้ แต่ลุงตู่ก็ไม่มีปัญหา ก็กลางๆ แต่ตอนนี้รักษาการตามหน้าที่ที่ยังไม่หมด อย่างน้อยก็รักษาการนายกฯ แต่ทีนี้อยู่ในวาระที่รักษาการ จะบอกเป็นนายกฯเต็มก็ยังไม่ได้ เพราะมันลดลงมาขั้นรักษาการณ์อยู่ นี่มันเป็นพฤติการณ์สังคมที่เราต้องศึกษาดีๆ อ่านดีๆแล้วจะรู้

คนที่วิจัยวิจารณ์ว่า เป็นพระมาพูดอะไรเรื่องการเมือง อาตมาก็สงสารที่เขามีความเข้าใจ มีความรู้ มีวิสัยทัศน์ตื้นๆ อาตมาพูดก็ต้องได้รับผลสะท้อนต้องรับผิดชอบเอง เพราะ อาตมามีใจบริสุทธ์ไม่ได้ปรารถนาร้าย เป็นความปรารถนาดีที่ต้องการให้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่มวลประชาชน ส่วนผู้ปฏิเสธก็แน่นอนอาตมาไม่สามารถไปบังคับอะไรได้ แล้วแต่ แต่ผู้ไม่ได้ปิดประตูก็มารับ แม้เขาจะเห็นแย้งก็เป็นธรรมชาติ ก็ตัดสินเอา เป็นสิทธิส่วนตัว สิทธิคือสิ่งที่จบ สิ่งที่ สำเร็จในตัว ของใครของมัน ไม่มีใครบังคับได้ เราตัดสินของเราเอง

คนที่จะสามารถหวังดีและแยกแยะสิ่งที่มันต่างกัน วิเคราะห์วิจัย  ยืนยัน อ้างอิง นำเสนอให้เห็นว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรผิด อะไรถูก เพื่อจะได้เข้าใจ ตัดสินได้ถูกดีกว่าไม่เช่นนั้นยึดอยู่ ไม่มีอะไรกระทุ้งกระเทือน ไม่มีอะไรมากระตุ้น ให้รู้ว่าที่เรายืนอยู่มันผิดไม่เข้าท่า ควรเปลี่ยนที่ใหม่ ผสมหน่อย เปลี่ยนแปลงไป มันก็จะได้เจริญขึ้น 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม การเมืองไทยวันนี้คือ สงครามความรู้กับการกระทำ วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2566  ขึ้น 3 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2566 ( 16:23:10 )

การเมืองยุคพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

เรื่องการเมืองของพระพุทธเจ้าอาตมาได้พยายามพูดโยงไปถึงขั้น แม้แต่ยุคพระพุทธเจ้าก็มีประชาธิปไตย สมัยโบราณสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่าประชาธิปไตย เพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นยุคทาส เป็นยุคที่ไม่มีสิทธิมนุษยชน เขายังไม่เข้าใจสิทธิของทาส ไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนที่ควร บริหารปกครองกันทั่วโลกก็ยังไม่เข้าใจ 

แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านผ่านยุคกาลไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ กัปที่เจริญเป็นประชาธิปไตยท่านก็ผ่านมาแล้วแต่ยังไม่มีภาษา ท่านก็เลยไม่ได้ตรัสคำว่า ประชาธิปไตย ท่านตรัสแต่คำว่าธรรมาธิปไตย ซึ่งประกอบด้วยโลกาธิปไตยกับอัตตาธิปไตย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึกครั้งที่ 40 ปี 2564 วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 สิงหาคม 2564 ( 19:48:08 )

การเมืองสองแบบคือ แบบทักษิณกับแบบศาสตร์พระราชา

รายละเอียด

การเมืองสองแบบคือ แบบทักษิณกับแบบพลเอกประยุทธ์ สองอย่างหรืออย่างนี้ก็ได้ เอาอย่างทักษิณกับแบบศาสตร์พระราชา เท่ห์กว่าเนอะ แน่นอนว่า ทักษิณเขาไม่เอาสถาบันหรอก ชัดเจนอยู่แล้ว แม้จะทำ fake news ว่าเขายกย่องสถาบันอยู่ แต่ก็เป็นการโกหกตอแหล แต่แน่นอนไหมว่า ใครจะยกย่องเทิดทูนสถาบันมากกว่ากัน ของทักษิณก็คือทักษิณ ของพลเอกประยุทธ์ก็คือศาสตร์พระราชา ของทักษิณคือโลกีย์ 100% พันเปอร์เซ็นต์ ซับซ้อน หลอกกันเต็มที่ คนละขั้วกับศาสตร์พระราชา พระราชานี้เพื่อมวลประชาชน แต่อาตมาก็ไม่เก่ง ท่านทรงงานเพื่อประชาชนอย่างหนัก ถ้าหากท่านไม่ทรงงานหนักจะอายุยืนกว่านี้ ประชาชนฉลาดไม่พอ ท่านก็เลยสิ้นพระชนม์ไปตามเวลา ถ้าหากประชาชนเข้าใจและฉลาดกว่านี้ ในหลวงจะอายุยืน

ตอนนี้ก็มี 2 แบบที่ตั้งเอาไว้คือพลเอกประยุทธ์กับทักษิณ อย่างทักษิณเป็นแบบโลกียะร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนของแบบศาสตร์พระราชากับพลเอกประยุทธ์ดำเนินอยู่นี้ มันเป็นเรื่องของ โลกุตระ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะสองของประชาธิปไตย  วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 12:28:07 )

การเมืองสำคัญกับชีวิตมนุษยชาติ

รายละเอียด

ถ้าเลือกตั้งครั้งนี้ผลมันออกมาว่า พรรคที่คนเขาเชื่อว่าเป็นพรรคที่ส่ง ขณะนี้นายกฯตู่เป็นเจ้าสาวที่เล่นตัว โก่งราคาอยู่  ลักษณะสิริมหามายาจ ะอธิบายได้อย่างนี้ นายกฯตู่ต้องพิสูจน์ตัวเอง ตอนนี้ก็พูดแล้วว่า ผมนี่ต้องอยู่สู้ตายไปกับการเมือง แสดงให้เห็นว่าเห็นความสำคัญว่าเป็นประเด็นสำคัญกับชีวิตมนุษยชาติ หากทำการเมืองรับใช้ประชาชนได้ดี ให้ประชาชนเขาพอใจ เขาก็พร้อมยอมรับเราได้ เราไม่ได้บังคับเขานะ เราจริงกายจริงใจที่จะทำประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 30 วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยไทยในช่วงใกล้เลือกตั้ง 2561


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 16:26:46 )

การเมืองสุดยอดคือรับใช้อย่างไร้ตัวตน

รายละเอียด

ศาสนาพุทธ ไม่สอนคนให้ทำตนเป็น“เจ้า” หรือ“หลงตน”ว่าเป็น “เจ้า“เป็น“นาย”ใคร  

มีแต่สอนให้เป็น“ผู้รับใช้”หรือเสียสละช่วยผู้อื่น  (อย่าทำตนเป็น“ผู้รับจ้าง”เด็ดขาด) มันเป็นความสุดยอดแห่งความเป็นคุณค่าของความเป็นคน ที่ไม่ถือตัวตน 

ใครจะยกย่องให้ตนยิ่งใหญ่สูงส่งอย่างไรแค่ไหน ก็ไม่“หลงตน” ไม่ถือตนว่าตนเป็นใหญ่ แล้วข่มผู้อื่น หรือเบ่ง 

แม้เราจะใหญ่จริงสูงจริง เราก็แค่ผู้มีประโยชน์ก็ประเสริฐแล้ว ดีแล้ว เราก็เป็นแค่“คนดี”ในโลกที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นจริง สามารถทำงานให้แก่ผู้อื่นได้ เกิดประโยชน์ขึ้นมาแก่คน แก่สังคม แก่โลกตามจริง มันก็ดีแล้ว

คนเราได้แค่ที่อาตมาพูดไปนี้ดีสุดแล้ว เป็นผู้รับใช้โดยไม่มีตัวตนนี้สุดยอดแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2 วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2564 ( 19:09:13 )

การเมืองหรือรัฐศาสตร์ของคนไทยมีรากเหง้ามาจากไหน

รายละเอียด

คนไทยก็มีการเมืองของคนไทยรัฐศาสตร์ของคนไทย ซึ่งเป็นรัฐศาสตร์ที่มี มูล หรือ รากเหง้า มาจากโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งของอันอื่นมันไม่ใช่ แบบประธานาธิบดีนั้นเป็นความรู้ประชาธิปไตยที่เพี้ยนไปจากประชาธิปไตยที่จะต้องมีทั้งพระเจ้าแผ่นดินและประชาชน อย่างเช่นต้นตอของเขาคือประเทศอังกฤษเขาก็ยังมีพระเจ้าแผ่นดิน หรือแม้แต่ในยุโรปหลายประเทศประชาธิปไตยก็มีกษัตริย์เป็น ประมุข กันชนท้ายเมือง หรืออยู่ในเอเชียก็ตาม อย่างทางมาเลเซียเขาเรียกสุลต่านอย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  การเกิดคือชาติ 5 ในปฏิจจสมุปบาท วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:39:26 )

การเมืองหรือรัฐศาสตร์ที่เป็นประชาธิปไตย 2 ขา

รายละเอียด

ก็จะได้ค่อยๆขยายความไป ถ้าจะพูดต่อไป อาตมาถ้าจะพูดต่อไปกำลังเครื่องติดแล้วตอนนี้ มันจะไปเรื่อยยาว คิดว่าชั่วโมงครึ่ง เดี๋ยว ดร.อานนท์ ไม่ได้พูดอะไรเลย ก็ขอเว้นวรรคไว้ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน แล้วก็ค่อยๆเติมค่อยๆต่ออะไรไป ซึ่งอาตมาเจตนาจะพูดอยู่แล้วเรื่องนี้จะขยายความไปเรื่อยๆในงานที่อาตมาจะทำต่อไปกับสังคมนี่แหละ จะขยายการเมืองรัฐศาสตร์ เกี่ยวกับรัฐศาสตร์ที่จะต้องมีประเทศที่มี 2 ขา เป็นวิธีการบริหารประเทศด้วยการเมืองหรือรัฐศาสตร์ที่เป็นประชาธิปไตย 2 ขา อาตมาใช้คำศัพท์นี้ อาตมาว่า อาตมาเป็นคนพูดเองนะ ประชาธิปไตย 2 ขา นี้ 

จะต้อง 2 ขา เพราะจะต้องมีกษัตริย์และจะต้องมีตัวแทนของประชาชน ในประเทศไทยเราหรืออังกฤษก็มีนายก บางประเทศเขาก็เป็นประธานาธิบดี หรืออย่างมาเลเซีย เขาก็จะมีแบบของเขา อาตมาไม่เก่งในความรู้เรื่องเหล่านี้ ก็คงพอพูดได้ตามประสาอาตมา คงไม่ด้อยเท่าไหร่ไม่ขี้เหร่นัก คงพอดูได้ ไปวัดสายๆได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 6 พ่อครูพบ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2565 ( 11:34:04 )

การเมืองเกี่ยวอะไรกับสาธารณโภคี

รายละเอียด

สาธารณโภคีมันเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันเป็นญาติกันทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นน้ำไม่ได้ท่วมประเทศไทยทั้งหมด ที่อื่นไม่ท่วม เขาทำของเขาได้ เขาก็เอามาเผื่อแผ่เกื้อกูลกัน เพราะว่า ความเป็นสาธารณโภคีนั้น มันเป็นพี่น้องกันเผื่อแผ่เกื้อกูลกัน รู้ความทุกข์ยากเดือดร้อน ผู้ที่ไม่เดือดร้อนอุดมสมบูรณ์ ก็เอามาช่วยผู้ที่ขาดแคลนผู้ที่ถูกภัย ทุภิกขภัย วาโยภัย อุทกภัย น้ำท่วมไปหมดปลูกพืชไม่ได้ เขาก็เอามาช่วยมาให้เลย อาจจะเข้าใจยากสำหรับทางการเมืองทางรัฐศาสตร์ว่า มันเกี่ยวอะไรกับสาธารณโภคี การจะมีเศรษฐกิจที่ไม่เป็นตัวตน ไม่เห็นแก่ตัว ช่วยเหลือเกื้อกูลสังคมไปเลย มันได้จริงๆ มันรวมแล้วอันนี้คือการเมือง การเมืองที่ยังเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว เห็นแก่พรรคพวก มันไม่ใช่ประชาธิปไตย มันไม่ใช่เรื่องที่สมบูรณ์แบบ เรานี่สุดยอดประชาธิปไตย พระพุทธเจ้านี่ สุดยอดประชาธิปไตย ที่มีจิตวิญญาณเป็นประธาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 28 จะเป็นสาธารณโภคีต้องไม่มีพญานาค วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:15:07 )

การเมืองเดิมที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ

รายละเอียด

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) 

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ 

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน 

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ 

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4) 

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม

10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2562 ( 14:20:44 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 05:07:22 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:50:04 )

การเมืองเป็นงานของคนเมืองไม่ใช่ของคนเถื่อน

รายละเอียด

ก็จึงเป็นเรื่องของมนุษยชาติ เรื่องของธรรมาธรรมะสงคราม เรื่องของสังคม จะเรียกว่าเรื่องของการเมือง หรือเรื่องของธรรมะ มันก็เป็นธรรมดา ธรรมะสงครามมันเป็นการเมือง เป็นเรื่องของมนุษยชาติ มันเป็นงานของเมืองมันเป็นงานของไม่ใช่คนเถื่อนแต่เป็นคนเมือง เป็นงานของคนเมืองไม่ใช่งานของคนเถื่อน ไม่ใช่อาตมาพูดโมเมนะ แต่พูดเป็นสัจจะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 มีนาคม 2564 ( 04:54:48 )

การเมืองเป็นเรื่องของธรรมะ

รายละเอียด

เป็นความเห็นของคุณ อาตมาก็ไม่เสียเวลาที่จะอธิบายอันนี้มากมายหรอก ว่าการเมืองนั้นเป็นเรื่องของธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นคานธี ไม่ว่าจะเป็นขนาดท่านพุทธทาสก็ยังบอกเลยธรรมะ การเมืองที่ไม่มีธรรมะนั้นไม่ได้ คานธีบอกว่าต้องเอาธรรมะไปสถาปนาลงไปในการเมืองถ้าการเมืองไม่มีธรรมะก็บรรลัย 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 11:43:57 )

การเมืองเป็นเรื่องของสังคมมนุษย์กลุ่มใหญ่

รายละเอียด

ส่วนมนุษย์ที่เจริญแล้วอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ มนุษย์มีพันกว่าล้านคน ประเทศที่มีมากที่สุด มีคนอยู่กันถึงประเทศละพันล้านคน ประเทศอินเดียหรือจีนเป็นต้น

ส่วนที่มาฟังอยู่นี้ก็น้อยนิด มีตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบ มีน้องน้ำมนต์ น้องเพลง 6 ขวบเอง นอกนั้นก็สิบขวบกว่า ยังไม่ถึง 20 ก็เยอะ ก็ตั้งใจฟังดีๆ เรื่องการเมืองเป็นเรื่องของมนุษย์สังคม มนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ มนุษย์ที่หลงผิด ก็หนีไปอยู่กลุ่มเล็ก ปลีกตัวไปอยู่กลุ่มเล็ก กลายเป็นผีตองเหลืองคนป่า อยู่นานเป็นล้านๆชาติ พวกผีตองเหลืองหรือพวกคนป่า อยู่เป็นกลุ่มเล็กเท่านั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะสองของประชาธิปไตย  วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 11:15:44 )

การเมืองเป็นเรื่องดี

รายละเอียด

การเมืองที่โพธิรักษ์ทำเป็นเรื่องดี แต่คนเอาการเมืองไปทำเพื่อล่าโลกธรรม อัตตา ก็เลยทำให้เป็นเรื่องเลว การเมืองโลกียะเป็นเรื่องชั่ว ต้องชัดเจน

1. มีการเมืองชั่ว

2. การเมืองโลกุตระ ไม่ได้เห็นแก่ตัวเพื่ออำนาจลาภยศ แต่ทำเพื่อให้ประชาชนมีสุขจริง รับใช้ประชาชนอย่างจริงใจบริสุทธิ์สะอาด หานักการเมืองอย่างนั้นให้เจอ มีนะ หรือที่โพธิรักษ์รับรองแม้ไม่สะอาดหมดแต่ก็ดีกว่า

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:42:51 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 05:08:40 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:26:16 )

การเมืองเศรษฐกิจสังคมต้องเข้าใจองค์รวม

รายละเอียด

คุณต้องการความสะอาดบริสุทธิ์อย่างที่คุณต้องการ งั้นคุณก็ยังไม่เข้าใจองค์รวม status quo การเมืองเศรษฐกิจสังคมได้แค่นี้อาตมาว่ามันก้าวหน้าไปมากแล้ว

คุณพูดไม่ผิดหรอก แต่พูดไม่ถูก คุณเอาสิ่งประเสริฐเลิศเลอมาให้ แต่มันเป็นได้แค่ไหน เป็นได้ขนาดนี้คุณก็ยังไม่พอใจ จะเอาเลิศเลอมันก็ดี แต่ถ้าคุณไม่ยึดถือรู้ว่ามันได้แค่นี้ก็สบาย ก็ต้องให้โอกาสเขา คุณอยากได้คุณก็ไปร่วมทำกับเขาสิ คุณก็ไม่ได้ร่วมทำสักเท่าไหร่ อาตมาก็ไม่รู้ว่าคุณคนนี้จะเป็นนักบริหาร นักการเมืองหรือไม่ คนที่ร่วมทำหรือไม่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2564 ( 15:38:00 )

การเมืองแบบประชาธิปไตยเป็นการเมืองสูงสุด มี 2 อย่าง

รายละเอียด

การเมืองประชาธิปไตยเป็นการเมืองสูงสุด เผด็จการสู้ไม่ได้ คอมมิวนิสต์สู้ไม่ได้ ยิ่งเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ แบบชาวอโศกนี้จะเป็นประชาธิปไตยที่จะเป็นการเมืองเยี่ยมยอดสุด เรียกว่าประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบที่สุด

ทีนี้ ประชาธิปไตยก็มีผิดเพี้ยน ไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นประชาธิปไตยปลอม ผิดไปจากประชาธิปไตยจริง คือเดี๋ยวนี้เข้าใจกันทั่วโลกเลย ก็แบ่งเป็น 2 อย่างง่ายๆ

1. ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน

2. ประชาธิปไตยแบบส่วนร่วมหรือประชาธิปไตยส่วนรวม

ซึ่งเป็นอิสรเสรีภาพสูงสุด กับแบบมีผู้แทน ต้องมีเลือกตั้งเลือกผู้แทนมีประชุมสภา เป็นเผด็จการทางรัฐสภาได้อย่างที่ทักษิณเขาทำ ซึ่งเลวร้ายที่สุดเลย ทุกวันนี้คนก็ยังเข้าใจไม่ได้ โดยเฉพาะคนมีเลือดโลกีย์ชอบความรวยหรูหราได้มากๆ
เป็นโลกียะตื้นๆ ทุกวันนี้ชาวอโศก ก็ยังไปหลงใหลการเมืองแบบนี้อยู่อีกไม่น้อย ยังพูดกันไม่รู้เรื่องก็มี ซึ่งมันมีอำนาจมาก ขนาดเป็นชาวอโศกแล้วนะ ก็ยังมีมิจฉาทิฏฐิแฝงอยู่ เพราะว่ามีเลือดโลกีย์ ชอบได้บำเรออัตตา บําเรอลาภยศสรรเสริญสุขทางทุนนิยม มีอยู่ไม่น้อย เดี๋ยวนี้ก็ยังแย้ง เป็นธรรมดา เราก็ไม่ไปติดใจมันเป็นธรรมดา

จำไว้ มีการเมือง 2 แบบนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะสองของประชาธิปไตย  วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 11:53:15 )

การเมืองแบบพุทธ

รายละเอียด

สรุปอีกที เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ การเมืองแบบพุทธ เศรษฐศาสตร์พูดไปเยอะพอสมควร การเมืองก็แบบพุทธ

ที่อาตมายืนยันว่าการเมืองคือการบริหารการช่วยเหลือกันด้วยให้เป็นสุข ไม่เป็นทุกข์ ให้อยู่กันอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ เราก็มีความรู้รอบ รู้องค์ประกอบแห่งปัจจัย มีความจริงใจ ไม่มีความปรารถนาร้ายในใจ มีแต่ความปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งหลาย ไม่พยายามไปให้ใครตกร่วง ไม่เคยขาดประโยชน์ไปช่วยเขา แม้เขาจะร้ายกับเราอย่างไร ก็บางทีต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกัน เราก็ช่วยคุณไม่ได้ คุณก็ช่วยเราไม่ได้ แม้เราจะช่วยแต่เขาไม่ให้ช่วยก็แล้วไป ต่างคนต่างอยู่ตามยถากรรม คนที่มีจะให้ช่วยก็มีเต็มไม้เต็มมือแล้ว ก็ช่วยกันไป เมื่อช่วยได้ก็จะมีหมู่มีคณะ รวมตัวกันขึ้นไป เป็นกอบเป็นแกน เป็นกอบเป็นกำเป็นก้อน เป็นมวลที่ขยายไปได้เรื่อยๆ ไปตามเหตุปัจจัยที่แท้จริง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ มาทำแก่นชีพ-เชื้อชาติพุทธให้รุดหน้าเกินพัน วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:17:24 )

การเมืองแบบราษฎรสภาเป็นเช่นใด

รายละเอียด

ทุกวันนี้มันเร็วขึ้นเพราะคนรู้จักมีปัญญามีความรู้ ไม่ใช่เฉโก แม้แต่ในคนไทย ในคนไทยที่เป็นอาริยะ ที่จะทำการเมืองด้วยจะมีขึ้น มวลของผู้ที่ชัดเจนจะมารวมกัน ชาวอโศกต่อไปจะมีคนมาผนึกมาร่วม ที่เราไม่อยากยื่นมือไปร่วมกับการเมืองแบบรัฐสภา เราเป็นราษฎร ไม่เอารัฐสภา เอาราษฎรสภา ซึ่งประชุมกันหมดไม่ได้หรอกก็เอาความเห็นรวม ชาวอโศกที่ทำการศึกษาร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันรวมกันได้ ส่วนอันอื่นที่ไม่ใช่เป็นสมาชิกก็ยังยากอยู่ ก็ไม่เป็นไร ทำความจริงที่เราเข้าใจให้จิตของเราเป็นประชาธิปไตยด้วย ลดอัตตาแล้วมีอิสระเต็มที่ มีจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ มีจิตวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ จิตวิญญาณเป็นอาริยะเต็มที่ สะอาดจากกิเลส แล้วก็มีพรหมวิหาร 4 อัปปมัญญา 4 สมบูรณ์ด้วย เห็นแก่ผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มความสามารถไปได้เรื่อยๆ อาตมาใช้พยัญชนะสื่อแถมไปอีกว่า ให้รู้จักพลังงานที่เราจะใช้ พลังงานที่เราจะมีอำนาจมีแรงมีพลังมีอิทธิพล เรียกว่าอธิปไตย แล้วก็มีการช่วย บริหารปกครองเรียกว่าอภิบาล อธิปไตย อภิบาล แล้วก็อีกอันคือ ปัญญาปัญญานี้เป็นตัวอาริยะนะ เป็นความเฉลียวฉลาดโลกุตระที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 3 ตุลาคม 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 11:36:50 )

การเมืองโลกุตระ อธิบายตามภูมิเป็นสัจธรรม

รายละเอียด

การเมืองของอาตมาไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ ทั้งกว้างทั้งลึก อ้างอิงถึงประเทศอินเดีย ถึงสหรัฐ ถึงคอมมิวนิสต์ดิบโดด เกาหลีเหนือ 

เป็นธรรมะ เป็นสัจธรรมจริงที่อาตมาอ้างอิงตามที่มีภูมิเพราะอธิบายได้ มันจะอธิบายดีขึ้นเรื่อยๆ ติดตามให้ดีๆ เรื่องการเมือง เพราะฉะนั้นคุณพิมพ์ลักษณ์นี่ชอบ เรื่องดีนานๆ อย่างนี้ ฟังดีๆ นับวันอาตมาจะขยายการเมืองโลกุตระไปเรื่อยๆ 

ไม่เป็นไร ใช้อะไรเป็นตัวแกนฟังธรรมะไป แม้จะเอาแกนการเมืองเป็นตัวนำ เป็นอนุสารี หรือจะใช้แกนธรรมะเป็นอนุสารีไปก็ได้ ได้ทั้งคู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ นวนิยายโลกุตระที่เราอย่ารีบตายก่อนได้ดู วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 2 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2565 ( 21:36:35 )

การเมืองโลกุตระต้องมีโพธิปักขิยธรรม 37

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นการเมืองบุญนิยมหรือว่าจะทำประโยชน์ต่อคน จบ ในวรรณะ 9 เป็นเครื่องยืนยันว่าเป็นคนที่มีพลังงาน ถ้าพลังงานสูงถึงขั้นมี 2 ตัวสุดท้าย วิริยารัมภะ กับอปจยะ เป็นนักการเมืองที่มีภูมิธรรมถึงระดับอรหันต์ แล้วอาตมาก็อธิบายซ้อนไม่ได้หรอกวันนี้ อรหันต์ชั้น 1 2 3 4 อรหันต์ชั้นโพธิสัตว์ อรหันต์ชั้นสูงขึ้นไป คือจะมีคุณภาพของอรหันต์ เพราะฉะนั้นอรหันต์ในระดับที่ 1 ที่ 2 ก็จะยังยาก ที่จะทำงานกับสังคมกว้างขึ้นกว้างขึ้น อรหันต์ขั้น 1 ทำงานกับสังคมได้ระดับหนึ่ง ดีไม่มีตัวตนแต่มันก็ยังไม่มีบารมีพอที่จะทำอะไรได้มาก คนที่จะสนับสนุน คนจะช่วยเหลือก็ยังน้อย บารมีมันน้อย 

แต่คนที่มีบารมีมากขึ้นมากขึ้น เป็นอรหันต์ โพธิสัตว์ที่สูงขึ้นสู่ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 เอาตัวอย่างอาตมา อาตมาไม่ต้องสะสมไม่ต้องเรี่ยไร เขามาบริจาคแต่อาตมาไม่ได้เรี่ยไร ขั้น 7 ขึ้นไปไม่เรี่ยไร ขั้น 6 แก่ๆแล้วก็ไม่เรี่ยไรแล้ว จะมีคนมาสนับสนุน ขั้น 5 ก็จะเปรยปราย ชั้น 4 ก็เรี่ยไรอยู่ในที เป็นอนาคามี เป็นสกิทาคามี เป็นโสดาบัน การเรี่ยไรก็จะมากขึ้นแต่ไม่ได้ไปบังคับอะไรใคร นี่ก็พูดเฉลี่ยขยายไปนิดหน่อย ที่นี้เรื่องกระบวนทัศน์ของการเมืองบุญนิยม มันก็ใช้หลักธรรมพระพุทธเจ้า หลักธรรมใหญ่ที่สุดก็คือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมีครบศีลสมาธิ ปัญญา วิมุติอยู่ในนี้เสร็จ ทีนี้เมื่อผู้ที่รู้จักศีลเป็นตัวหลัก เช่น ศีลข้อ 1 เราเอาศีลข้อที่ 1 มาปฏิบัติ มันเป็นหลัก แล้วมันก็มีรายละเอียดของกระบวนทัศน์ของมัน เช่น ศีลข้อ 1 เราก็เอามาปฏิบัติด้วย อปัณณกปฏิปทา 3 ก็จะเกิดคุณธรรม 7 ก็จะเกิด ประสิทธิภาพของพลังงาน ทั้งปัญญา ทั้งเจโต คือฌาน อีก 4 แล้วก็ไปสู่วิมุติ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีศีลเป็นหลักแล้ว เช่น ศีลข้อ 1 ปฏิบัติอะไร ก็ต้องปฏิบัติด้วยโพธิปักขิยธรรม 37 ผู้ที่ปฏิบัติคุณธรรม 37 คือโลกุตระ 37 ข้อ ยกไว้นะ ต้องมีศีลเป็นหลัก 

ศีลข้อที่ 1 ก็ปฏิบัติตามโพธิปักขิยธรรม 37 หรือปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วจะเกิดคุณธรรมสัทธรรม 7 แล้วก็จะเกิด ฌาน คือพลังงานพิเศษ ฌาน มันจะทำลายสิ่งที่ไม่ดีหรือเผาหรือสลายก็จะเกิดปัญญาหรือเกิดสภาพ ฌาน คือสภาพ 2 อย่าง 

1.สภาพที่กำจัดทำลายสิ่งเลวร้ายที่มีในจิต 

2.เกิดความเฉลียวฉลาดรู้จริง มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ รอบรู้และสามารถ ประหารเด็ดขาดกิเลสคือบุญนั่นแหละ ฌานมาเป็นบุญ เคยอธิบายไว้ว่า บุญนั้นคือเพชฌฆาตมือสุดท้าย ถ้าบุญได้ลงมือแล้วหมายความว่ากิเลสนี้ตายไม่มีฟื้น อธิบายพูดมาไม่รู้กี่ทีแล้ว รายละเอียดพวกนี้อาตมามีในตัวเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มี ไม่ได้เอาตำราไหนไม่มี เพราะฉะนั้นใครฟังอาตมาแล้วเอาไปเรียบเรียงเป็นตำราก็จะเกิดตำราขึ้น 2,500 กว่าปี ตำราพวกนี้ไม่มี มีแต่ภาษาในของพระพุทธเจ้าและอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มนี้ของพระมหากัสสปะกับลูกศิษย์ของท่านรวบรวมมา มันไม่มีรายละเอียดเหมือนที่อาตมาอธิบาย เพราะท่านสายเจโต แต่อาตมามาแตกลายงาออกมาจากคำเข้มๆข้นๆในพระไตรปิฎกไว้เป็นหลักเท่านั้นเอง แต่อาตมาขยายความไว้เยอะ เกิน 53 ปี

เพราะฉะนั้นต่อจากโพธิปักขิยธรรม 37 ก็ขออธิบายคร่าวๆ ตั้งแต่สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 นี่คือหลัก 4 เป็นกระบวนการ 4 สติปัฏฐาน 4 มีกาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เป็นเหตุเป็นปัจจัยปฏิสัมพันธ์กันนะ ไม่ได้ตัดขาดกันนะ กาย เวทนา จิต ธรรม ไม่ได้ตัดขาดกัน แล้วการปฏิบัติกาย เวทนา จิต ธรรม ปฏิบัติเมื่อใช้ สัมมัปปทาน 4 มี

อันที่ 1 สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วทำให้เป็นอภิสังขารคือให้เกิดเป็นบุญ ฆ่ากิเลส คือจัดการปรุงแต่งรู้จักกิเลส ฆ่ากิเลส 

อันที่ 2 เป็นการประหาร ปหานปธาน คือการประหารกิเลส เมื่อประหารกิเลสได้แล้วก็เหลือแต่จิตสะอาดจากกิเลส ก็เป็นผล

อันที่ 3 ภาวนาปธาน เมื่อประหารกิเลสได้ก็เป็นผลสำเร็จคือภาวนาปธาน สะสมผลสำเร็จที่จิตสะอาดจากกิเลสได้ ก็อนุรักขณาปธาน นี่คือสัมมัปปธาน 4 

ภาษาที่อธิบายทำอย่างไร สำรวมอินทรีย์คืออย่างไร ประหารคืออย่างไร คุณก็ต้องรู้ว่าสำรวมอินทรีย์นี้ ตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัสๆแล้วเกิดกิเลสแล้วเราก็รู้จักกิเลสและเราก็พยายามพิจารณา ประหารกิเลส ฟังแล้วเหมือนเอามีดไปตัดคอ อธิบายเหมือนเอาใช้ไฟเอาไปเผา คือฌาน ฟังตอนแรกเหมือนเอามีดไปตัดคอ เอาไม้หน้าสามไปตีหัวมันแตกแหลกราญเลย จนกระทั่งมันตาย ก็ต้องแรงหยาบอย่างนั้น เหมือนกับเอาไฟไปเผาสลายไป มันแรงอีกเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่ มันเกิดปัญญาไปเผา ปัญญาคืออะไร ปัญญาคือมันจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไปยึดไว้นั้นมันเป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันตั้งอยู่มันเป็นทุกข์ อย่าให้มันมีเหลือเลย นี่คือความหมายมันยากที่จะเข้าใจ ตื้นๆมันก็เข้าใจว่าไม่เที่ยง ตั้งอยู่ดับไป คุณก็จะต้องทำให้ไม่ตั้งอยู่ โดยเฉพาะกิเลสไม่ให้มันตั้งอยู่ และให้มันดับไป ดับไปโดยปัญญาอันยิ่ง เป็นตัวเผา ฟังแล้วปัญญาเผามันก็ดูยาก 

ปัญญาก็คือ ปุญญะ พยัญชนะเดียวกัน อันหนึ่งคือ อุ อันหนึ่งคืออะ ปัญญาก็อะ ปุญญะก็อุ  อะ อิ อุ ปริญญา ปัญญา ก็คือความรู้ ก็คือธาตุรู้ที่มันฉลาดขึ้น จาก อะ อิ อุ จาก ปะ + อัญญะ แล้วก็เป็น อัน นุ 

ไม่ได้อธิบายอย่าง ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  ที่เขาเรียนปริญญา เปรียญกัน ไม่ใช่อันที่เขาไปปรุงแต่งตาม ไวยากรณ์ เขาก็หลงความลึกซึ้งพวกนี้ไป ซึ่งเป็นอาจาริยวาท เป็นภาษาสมัยใหม่ที่ปรุงแต่งให้ไพเราะ มันไม่เป็นโลกุตระ มันไปหาโลกจินตา มันไปหลงการหลงความรู้ไปเรื่อยๆเลย อันนั้นจึงไม่มีผลและน่าสงสาร หลงความรู้สูงสุดไปเป็นพญาครุฑ ทีนี้มาเข้าถึงขั้นอธิบายไปว่า การเมืองแบบบุญนิยมนี้ มีคุณธรรมของโพธิปักขิยธรรม 37 สำรวม สังวร พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ด้วยสัมมัปปธาน 4 ด้วยอิทธิบาท 4 แล้วก็จะเกิดพลังงานเรียกว่าอธิปไตย หรืออินทรีย์ หรือพละ เป็นพลังงานทั้งนั้น อินทรีย์เป็นกำลังหรือเป็นพลังงาน พละหรือผล พละกับกำลัง

พระพุทธเจ้าอธิบายแยกพลังงานไว้ 5 เป็นอินทรีย์ 5 แล้วก็เป็นปลายผลหรือพละก็ 5 มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา โดยความรู้ทั่วไปก็รู้ว่าเป็นความรู้ เป็นความเชื่อถือ ทีนี้ศรัทธามันไม่มีปัญญาร่วมก็ได้ แต่ศรัทธาของพระพุทธเจ้าต้องมีปัญญา ยิ่งเป็นตัวนำศรัทธาด้วยยิ่งดีใหญ่ เขาแกนศรัทธาก็ต้องมีปัญญาเข้าไปร่วมด้วยอย่างเต็มตัว ต้องมีปัญญาเข้าไปช่วยจริงๆ ศรัทธาไม่มีปัญญาไม่เจริญ นอกจากไม่เจริญแล้ว ศรัทธาไม่มีปัญญามีแต่งมงายงมโง่ไปเลย 

ศรัทธา วิริยะ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ศรัทธาของคุณต้องมีปัญญาเข้าไปร่วม แล้วเมื่อเห็นเมื่อรู้ว่าศรัทธาของเราเข้าทางสัมมาทิฏฐิมีปัญญาร่วม คุณก็วิริยะ แล้วคุณก็จะมีตัวตื่น สภาพจิตวิญญาณที่มันตื่นเรียกว่า ชาคริยาหรือชาคระ หรือชาคโร เป็นกริยา ชาครติ ชาคร ก็จะตื่น กายกรรมก็คือ รู้ความละเอียดของการสัมผัส กายมาปรุงแต่งเป็นเวทนา แล้วก็รู้ในเวทนานั้นก็แยกจิตออกเป็นเจโตปริยญาณ 16 ว่าในเวทนามีกิเลสไหม มีราคะโทสะโมหะแล้วก็รู้วิธีทำให้ราคะ ทำให้โทสะ ทำให้โมหะมันลดลงๆ ลดลงได้ เจโตปริยญาณ 16 ลดลงได้ขั้นหนึ่ง เรียกว่าสภาพ 2 สายศรัทธาจะเป็น สังขิตฺตํจิตตํ สายปัญญาจะเป็น วิกขิตฺตํจิตตํ ลดลงได้ มันก็ยังเป็นก้อนและเป็นความฟุ้งอยู่ ยังยากอยู่ ก็ต้องทำให้มันได้ผลดีขึ้น กระจายก็ลดน้อยลงมา ตีไม่แตกเป็นก้อนสังขตัง ก็ต้องตีให้ได้ แยกให้ออก เอาส่วนเสียออกให้ได้ ทำได้ก็เป็น มห มหัคคะ ใหญ่ขึ้น ดีขึ้น เจริญขึ้น เลิศขึ้น ถ้าไม่ได้ก็เป็น อมหัคคะ มันก็ไม่เจริญ ไม่เพิ่มจากความเจริญ ไอ้ที่มันยังไม่ได้ มันเพิ่มเจริญขึ้นก็เป็น มหัคคะ

เจริญขึ้นจนกระทั่งมันได้ราบรื่น เจริญขึ้นเรื่อยๆเรียกว่า สอุตระ แต่คนเจ้าตัวจะรู้ว่ามันเจริญมันได้ดีแต่มันยังมีดีกว่านี้อีก ยังรู้ว่ามันยังไม่จบ เพราะฉะนั้นถ้าใครตีกรอบที่จะจบไม่เป็น ไม่มีกรอบ ไม่มีคอก เพราะฉะนั้นเรื่องสัตว์เท่านี้เอาให้ได้ในกรอบเท่านี้ก่อนโดยเฉพาะสัตว์คน สัตว์เดรัจฉาน สัตว์ผีนรก อสุรกาย สัตว์เปรต สัตว์จตุมหาราช คุณก็เข้าใจกว้างๆก่อนแล้วก็ทำตามภูมิธรรมของตนเอง 

สรุปคุณสามารถกำจัดสิ่งที่ควรกำจัด ทำให้เจริญในสิ่งที่ควรเจริญได้ จนกระทั่ง สอุตระแล้ว เจริญขึ้นมีกรอบสุดแล้วเป็น อนุตรังจิตตัง โดยกรอบตั้งแต่สัตว์จนถึงเรื่องสิ่งอื่น ทุจริตไม่ทุจริตในศีลข้อที่ 2 ข้อที่ 3 เกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสตีกรอบไปเรื่อยๆ หากทำโดยไม่มีกรอบ ไม่มีรอบไม่มีการจบกิจ มันไม่มีการจบกิจในกรอบแต่ละกรอบ มันก็เลอะเทอะไป ไอ้นู่นก็ทำไอ้นี่ก็ทำ แล้วอะไรมันจะเรียบร้อย มันจะจบบ้าง มันไม่เป็นอันจบ มันจะเละ ผู้ที่สามารถถึงขั้นทำจิตถึง อนุตรังจิตตัง คือผู้นั้นรู้จักกรอบ รู้จักทำให้หมดได้ จิตสะอาดจากกิเลสแล้ว จิตก็สะสม คุณก็หลุดพ้นเป็นวิมุติ วิมุติจากกรอบของคุณ จากโลกน้อย โลกกลาง โลกใหญ่ ไปตามลำดับ จากเรื่องนี้เรื่องนี้เรื่องนี้ แล้วสั่งสมจิตเป็นจิตแข็งแรงตั้งมั่น เพราะฉะนั้น จิตแข็งแรงตั้งมั่นของพระพุทธเจ้ามีเจโตปริยญาณเป็นหลัก ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิต แล้วไม่ได้มีรายละเอียดตั้งแต่รู้สภาวะของจิตเจตสิกต่างๆทั้ง 16 ขั้น ไม่ใช่ ไปโมเมนั่งหลับตา สะกดจิต ไม่มีรายละเอียดพวกนี้เลย กายยังไม่มีสัมผัสที่จะรู้กิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ไม่มีลำดับ 

สรุปตีหัวเข้าบ้าน ตีมาหลายแผลแล้ว นั่งหลับตานั้น เลิก มันไม่ได้ มันเป็นโมฆะ เลิกได้ อาตมายังหวังอยู่อย่างมากว่า ผู้หลับตาจะตื่นๆมาฟังอาตมาแล้วล่ะก็ โอ้โห ตายๆ แล้วเขาจะละอายอย่างแรงกล้า ท่านโพธิรักษ์  เคยไปดูถูกท่านมามากว่าท่านไปตีหลับตาเขาทำไมไปว่าทางสายหลับตาทำไม ถ้าอาตมาได้ผู้ที่มาจากสายหลับตามา อัตราการก้าวหน้าในความเจริญของโลกุตระนี้จะพรวดๆ เลย อัตราการก้าวหน้าจะตัวเลขสูงระดับคูณ ระดับยกกำลังเลย ถ้าเผื่อว่าทางโน้นเขาตื่น เขาชัดเจน แต่นี่ แทงด้วยหอกร้อยเล่มตอนเช้า กลางวัน เย็น ก็เฉย เวียนไปแทง 300 เล่มแต่ละวันก็เฉยอยู่อีก จะกี่วันถึงจะตื่น 

ถ้าไม่ยากไม่ใช่งานโพธิรักษ์ทำหรอก ไม่ยาก มันไม่ได้พิสูจน์ฝีมือ ต้องทำ อาตมาไม่สิ้นความพยายาม ไม่ลดแรงของอุตสาหะ อาตมาทำ จนกว่าจะขาดใจคาเวที ถ้าอาตมาอธิบายธรรมะแล้วขาดใจฟุบลงไปตรงนี้แล้ว โอ้โห..ยอดเลย อาตมาทำได้ขนาดนั้นยอดเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยากจะเป็นอย่างนั้นนะ มันจะโก้เกินไป เหลือเวลาอีกหน่อยแถมให้ว่า โพธิปักขิยธรรม 37 มี สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 สติปัฏฐาน 4 ประพฤติอย่างไร ก็ต้องประพฤติอย่างสัมมัปปธาน 4 แล้วก็ปฏิบัติด้วยอิทธิบาท 4 มันจึงจะเกิดเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 มันจึงเกิดสัทธรรม 7 ฌาน 4 วิมุติ มันจะเกิดตามสัจธรรมอย่างนั้น 

ทีนี้ผู้ปฏิบัติถูกต้องตามธรรมะที่อธิบายไปแล้วก็จะเกิดพลัง จะเรียกพลังนั้นว่าอินทรีย์ จะเรียกพลังงานนั้นว่าพละ มันก็คืออธิปไตย จะเรียกมันว่าเป็นพลังของอินทรีย์หรือพลังไปจบเป็นผลหรือเป็นพละ มันก็คือ อธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ  ธรรมาธิปไตย  ที่ทำประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติ เรียกว่า พหุชนะ ประโยชน์ก็คืออายะ เป็นอายะ 3 พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

แล้วให้มวลชนในโลกได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข ความสุขอันนี้เป็นคำกลางๆอนุโลมว่าอย่างน้อยก็เป็นความสุขโลกีย์อย่างซ้อนนะ ซ้อนโดยที่ว่าให้เขารู้จักสุขอาศัย ไม่ใช่สุขหลงเสพ สุขอาศัยหมายความว่าคุณลดความที่ติดโลกียะลงมาได้แล้วก็อาศัย ถือว่าสุข ใช้ภาษาแทนว่าสบาย ว่ามันสุขไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ อวิปฏิสาร แล้วถึงขั้นเปมะ ตามอธิบายในอานิสงส์ของศีล

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) 

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี) 

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) 

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส) 

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข) 

6. สมาธิ (จิตมั่นคง) 

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) 

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส) 

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)  

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208) 

สรุปอีกทีก็คือ ปฏิบัติอย่างนี้แหละ เอาไปใช้กับประชาชน เรียกว่าการเมือง แล้วเรียกการเมืองชนิดที่มันไม่ใช่ไปสะสมทุน ไปกำจัดกิเลสด้วยก็เรียกว่า บุญ ไม่ใช่ไปแบบทุนนิยม ไม่ใช่สะสมอำนาจ สะสมโลกธรรม สะสมโลกีย์ มีปัญญาเข้าไปรู้สิ่งที่ควร สิ่งที่ไม่ควรกำจัดหมด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ การเมืองบุญนิยมโลกุตระที่เป็นปรากฏการณ์จริง วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2566 ( 16:08:57 )

การเมืองโลกุตระเกิดขึ้นได้ไหมในยุคนี้

รายละเอียด

สงสัยจะได้ทันเห็นไหมนะชีวิต ป้ารัตน์ จะเห็นสัมมาธิปไตยมีบทบาททางการเมือง ตั้งขึ้นมาก็ให้ทำไปเรื่อยๆเราไม่ได้กระดี้กระด๊า ไปเรื่อยๆมาเรียงๆนกบินเฉียงไปทั้งหมู่ 

การเมืองโลกุตระนั้นทุกวันนี้มันก็เกิดอยู่แล้ว ชาวอโศกเราทำการเมืองมาแล้ว มีจำนวนเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ชาวอโศกหรือผู้ที่เห็นสอดคล้อย เห็นด้วยว่าอย่างอโศกที่เราทำนี้ถูกต้อง เขาก็ร่วมด้วยตามที่เขาสามารถแต่ละคน จะร่วมด้วยอย่างไรแค่ไหน 

ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็ขัดแย้งก็ด่า มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัย ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด มันเป็นเรื่องบอกความจริง ทุกอย่างมันรายงานความจริงของมันออกมาให้เรารู้ เราอ่านจากสิ่งที่เป็นผลสะท้อน มีอาการให้เห็น อาการเหล่านั้นมันบอกความจริงเราทั้งนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบคนมืดบอดให้เห็น ผลงาน 8 ปี นายกฯลุงตู่ วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566  แรม 6 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2566 ( 10:23:51 )

การเมืองใหม่

รายละเอียด

เจริญธรรม วันนี้อาตมาคิดว่าจะพูดถึงเรื่อง คนเบื่อการเมือง ทําไมคนเบื่อการเมือง อาตมาได้ยินนะ ได้ยินกันมั้ย ? บ่นๆกัน เบื่อจังเลยการเมืองเนี่ย การเมืองน่าเบื่อ ไม่ได้เรื่องได้ราว ต่างๆนานา สารพัดที่เขาจะว่าไป เรามาพูดถึงเป็นยังไงคนถึงเบื่อการเมือง เรา มาหาเหตุ ค่อยๆ วิเคราะห์กันดู ว่าเหตุอะไร คําว่า การเมืองนี้ คน จึงเบื่อ ทั้งๆ ที่คําว่า การเมือง นั้น มันขาดไปจากมนุษยชาติไม่ได้ ถ้าใครไม่มีความเป็น “การเมืองในใจเลย ผู้นั้นก็คือคนไร้ค่าต่อสังคม อาตมาเคยนิยามมาแล้วว่า คําว่าการเมืองหมายถึงอะไร คํา ว่า การเมือง หมายถึง งานเพื่อบ้านเพื่อเมือง นี่ไม่ได้เล่นคารม เล่นคําอะไรหรอก โดยสัจจะมันเป็นอย่างนั้น งานการเมืองที่ว่านี้ อาตมาเข้าใจโดยภูมิปัญญาของอาตมาเองว่า มันมี มาตั้งแต่ดึกดําบรรพ์ ตั้งแต่คนอยู่เป็นกลุ่มหมู่ มีหัวหน้าเผ่า หัวหน้า เผ่าก็ดูแลคณะหมู่กลุ่ม ผู้ที่ทํางานบริหาร ทํางานจัดการให้หมู่กลุ่มอยู่ เป็นสุขอยู่กันอย่างเหนียวแน่น เป็นปึกแผ่น มีความเป็นอยู่ที่ดี ดําเนิน


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2563 ( 03:48:00 )

การเมืองใหม่ 1

รายละเอียด

 


เจริญธรรม วันนี้อาตมาคิดว่าจะพูดถึงเรื่อง คนเบื่อการเมือง ทําไมคนเบื่อการเมือง อาตมาได้ยินนะ ได้ยินกันมั้ย ? บ่นๆกัน เบื่อจังเลยการเมืองเนี่ย การเมืองน่าเบื่อ ไม่ได้เรื่องได้ราว ต่างๆนานา สารพัดที่เขาจะว่าไป เรามาพูดถึงเป็นยังไงคนถึงเบื่อการเมือง เรา มาหาเหตุ ค่อยๆวิเคราะห์กันดู ว่าเหตุอะไร คําว่า การเมืองนี่ คน จึงเบื่อ ทั้งๆ ที่คําว่า การเมือง นั้น มันขาดไปจากมนุษยชาติไม่ได้ ถ้าใครไม่มีความเป็น “การเมืองในใจเลย ผู้นั้นก็คือ คนไร้ค่าต่อสังคม อาตมาเคยนิยามมาแล้วว่า คําว่าการเมืองหมายถึงอะไร คํา ว่า การเมือง หมายถึง งานเพื่อบ้านเพื่อเมือง นี่ไม่ได้เล่นคารมเล่นคําอะไรหรอก โดยสัจจะมันเป็นอย่างนั้น งานการเมืองที่ว่านี้ อาตมาเข้าใจโดยภูมิปัญญาของอาตมาเองว่า มันมี มาตั้งแต่ดึกดําบรรพ์ ตั้งแต่คนอยู่เป็นกลุ่มหมู่ มีหัวหน้าเผ่า หัวหน้า เผ่าก็ดูแลคณะหมู่กลุ่ม ผู้ที่ทํางานบริหาร ทํางานจัดการให้หมู่กลุ่มอยู่ เป็นสุขอยู่กันอย่างเหนียวแน่น เป็นปึกแผ่น มีความเป็นอยู่ที่ดี ดําเนิน


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2563 ( 04:47:06 )

การเมืองใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ

รายละเอียด

การเมืองใหม่ที่เป็น ประชาธิปไตยแท้ๆ 10 ประการ ที่ก็ยังไม่มีเวลาจะอธิบายมากขึ้นก็แอบไว้ก่อนตามนั้น และต้องสอนหรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน ประชาชนชาวไทยต้องใช้ใจขนขวายเรียนรู้

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล มีปัญญา

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้ 

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น)  

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว 

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ  

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน  

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ 

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4) 

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม(นักการเมืองต้องเป็นอาริยบุคคลหรือเป็นอรหันต์)

10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยไม่ใช่งานเพื่อตัวเราเพื่อครอบครัวเพื่อหมู่พวกเพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมืองเพื่อประชาชนทั้งมวลเพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเองพ้นไปจากครอบครัวพ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจากพรรคของตน

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 13 กันยายน 2563 ( 11:10:58 )

การเมืองไทย

รายละเอียด

นักข่าว ThaiTribune สัมภาษณ์พ่อครูเรื่องน้ำท่วม ,เรื่องการเมืองไทย

 

คุณฝน(กฤตติยา โพธิ์รัศมี Krittiya Porasamee) เป็นผู้สื่อข่าวของนสพ.ออนไลน์ Thai Tribune ) เป็นลูกศิษย์ของอ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เดินทางมากับคุณตุ้ยเจ้าของวังรีกรีน วังรีรีสอร์ท หลานคุณป๋อง พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร มาขอสัมภาษณ์พ่อครู เช้า 9 ธันวาคม 2565

นักข่าว…ฝนอยากมาเรียนสัมภาษณ์พ่อท่านในบรรยากาศทั่วไปหลังน้ำท่วม พ่อท่านห่างจากเมืองหลวงมาอยู่ที่นี่นานใช่ไหมคะ เป็นอย่างไรบ้าง และอยากจะให้พูดไปถึงสถานการณ์บ้านเมืองนิดนึง รัฐบาลนี้ก็มาจากพ่อท่านช่วยทำให้เกิดรัฐบาลนี้มา บริหารงานก็เกือบจะครบเทอมแล้ว แล้วก็กำลังจะมีการเลือกตั้ง ก็อยากจะให้พ่อท่านช่วยประเมิน วิเคราะห์นิดนึงด้วยคะ

พ่อครู…เอาเป็นประเด็นๆนะ

นักข่าว…หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมบ้านราชฯ เราทำอะไรบ้าง ฝนทราบมาว่าเสียหายเยอะ อยากจะให้พ่อครูท่านพูดถึงความเสียหาย และประเมินนิดนึงว่า เราจะต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมเท่าไร อย่างไงคะ

พ่อครู…มันเสียหายปีนี้น้ำท่วมมากและนาน มากคงเป็นความเสียหายพืชพันธ์ธัญญาหาร ต้นหมากรากไม้เสียหาย แน่นอน บ้านช่องเรือนชานเป็นบ้าง ทรุดโทรมเสื่อมไปบ้าง แต่ไม่ก็ไม่ถึงกับตายเหมือนผลหมากรากไม้ ต้นหมากรากไม้ตายเหลือต้นไม้ที่ทนได้ ต้นไม้ที่ทนน้ำได้อย่างเก่งเท่านั้นที่เหลือ สรุปแล้วต้นไม้ที่มีเหลืออย่างเก่งในจำนวน 100% มันตายไปสัก 80%  ต้นไม้ที่เหลืออยู่คือต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้ที่อึดน้ำจริงๆ แม้ต้นไม้เล็กที่เก่งจริงๆ นอกนั้นต้นไม้ใหญ่ที่มันทนน้ำจริงๆอยู่ได้ ซึ่งต้นไม้ใหญ่ที่ทนน้ำได้จริงๆนี่ ก็กินมันไม่ได้เลย อาศัยได้ก็ตัดเอาต้นมาทำไม้เท่านั้นเอง ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำเท่าไร เราก็ไม่ได้ตัดต้นไม้มาทำอะไรเท่าไร นานๆเราจะตัดเอาต้นไม้เอาไม้มาทำอะไรสักที ส่วนไม้เราก็ไปซื้อหามา เราไม่อยากตัดต้นไม้ของเรา เอาไม้มาทำอะไรต่ออะไร ทุกวันนี้เราก็ไม่ค่อยตัดต้นไม้เราเองใช้ เราเลี้ยงให้มันใหญ่เท่าที่สมบูรณ์จริงๆแล้วก็อยู่ในภาวะที่เราเห็นควรจะตัดมันมาใช้ได้ ถ้ามันไม่ต้องตัด มันจะใหญ่ไปเท่าไร เราก็ชอบ ต้นไม้ยิ่งใหญ่ ยิ่งโอ้โห มโหฬารเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะเราไม่อยากตัด เพราะงั้นเราก็ไม่ค่อยตัดต้นไม้ของเราเองออกมาใช้ เราจะใช้ซื้อหาจากที่อื่นมาใช้เท่านั้น สรุปแล้วเราก็

1.เหลือแต่ต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้กิน

2.ต้นไม้มันก็กินได้ด้วย กินดอกกินผลมันหมด สรุปอีกทีมันอดอยาก  มันร่อยหรอสิ่งที่จะกิน กินนะ ใช้เราก็ใช้ไม้นะ เราไม่ค่อยจะตัดหรอก กินนั่นแหละเป็นเรื่องหลัก มันก็หมดเรื่องที่จะกิน

แต่เราอยู่ได้ เราไม่ได้หนี  พวกเรานี่ไม่หนี ที่ไม่หนีเพราะว่าเรา แม้ไม่มีอะไรจะกิน เราก็อยู่ได้ ประเด็นนี้แหละเป็นประเด็นที่ประเสริฐที่สุด เราไม่มีอะไรจะกิน เราก็อยู่ได้ ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สุด ทั้งๆที่เราไม่กินปลา ไม่กินเนื้่อสัตว์ น้ำท่วมมันมีปลา เราก็ไม่กิน ไม่กินเนื้อสัตว์ใดๆ เรากินแต่พืช

เรามีพืชกิน เพราะระบบสาธารณโภคี นี่คือประเด็นที่ยิ่งใหญ่ สาธารณโภคีคืออะไร ยังกระจายความกัน คนเข้าใจยาก เพราะมันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ที่มันเป็นจิตวิญญาณที่เป็นสาธารณะจริงๆ จิตวิญญาณที่ไม่มีตัวกูของกู จิตวิญญาณที่มันเป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ มาเป็นหนึ่งเดียว นี่อธิบายมาป็นหนึ่งเดียวมันแคบ แต่แยกมาขยายผลแล้วมันกว้าง ในความกว้างนี้มหาศาล แต่ในความกว้างมหาศาลมันมีหลากหลายนี่ เป็นหนึ่งเดียว One For All , All For  One นี่มันสุดยอด และเป็นสภาพจริงของจิตวิญญาณของมนุษย์ที่ได้ฝึกฝนตามระบบของพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นไปได้จริงๆเช่นนี้ อันนี้คือจิตเกิดจริงเป็นจริง เป็นความไปได้จริง ความรู้จริง ความรู้สึกจริง ความเป็นจิตวิญญาณทั้งหมดจริง  จิตวิญญาณมีแบ่งแยกออกเป็น 2 อย่างเท่านั้น เป็นรูปกับนาม หรือเป็นสภาพที่ ยึดกับวาง 2 อย่าง มันครบหมดเลย ในสภาวะ 2 ซึ่งในมหาศาลทุกอย่างในโลกนี้ ในความจริงทั้งหมดนี้ ต้องศึกษาความรู้ 2 เท่านั้น แต่เทวะนิยมหรือตะวันตก ในความรู้ของตะวันตกเป็นโลกีย์ทั้งหมด แยก 2 ไม่ออก ไม่รู้ความรู้ 2 เขารู้ความรู้ 1 เท่านั้น

ความรู้ 2 คืออะไร ความรู้ 2 คือ ความมี กับ ความไม่มี  ความรู้ 1 คืออะไร แล้วแต่ผู้ที่เป็นประธานจะเห็นอะไรควรว่าจะเป็นอันนั้น จะเป็นอันศูนย์หรือจะเป็นอันมี เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องยาก

นักข่าว…ถ้าจะให้พูดแบบคนทั่วๆไปเข้าใจง่ายๆ บัญญัติคำศัพท์สาธารณโภคี แบบสั้นๆง่ายๆ ฝนควรจะใช้คำว่าอย่างไงคะ

พ่อครู…ไม่มีตัวตน ทุกอย่างเป็นของกลาง เป็นของส่วนรวม เป็นของหนึ่งเดียว ถ้าเป็นครอบครัวก็เป็นของครอบครัวเดียว คนอีกล้านๆๆคนเป็นพี่น้องกันหมด ถ้าพูดให้ง่ายๆ เป็นพี่น้อง คำนี้ไม่ใช่พี่น้องธรรมดานะ ต้องกระเป๋าเดียวกันจริงๆเลย พี่น้องกงสีจริงๆเลย ถ้าใช้ภาษาจีน ไม่ได้แยกออกไปเลย อยู่ร่วมกัน ใช้ร่วมกัน กินร่วมกัน ได้ร่วมกันอยู่ตรงนี้

นักข่าว…ต้องใช้วิธีการแบบนี้ถึงจะรอดไหมคะ เราจะรอดทุกสถานการณ์ ใช่ไหมคะ

พ่อครู…รอด ใช่ ทุกสถานการณ์

นักข่าว…ซึ่งทางสันติอโศก ทำได้

พ่อครู… ทำได้ เป็นได้ ทดลองมา ฝึกฝนมาแล้วเห็นจริงว่าไม่ใช่แค่ทดลอง เอาจริง เป็นจริงแล้วจึงจบ

นักข่าว…โดยเฉพาะสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา

พ่อครู…สถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาคืออันนี้เลย ท่วมมาก็คือสาธารณโภคีอย่าง ที่พูดไปแล้วเมื่อตะกี้ เราไม่มีอะไรจะกินเลย แล้วเราไม่กินปลา เรามีแต่ปลา เราก็ไม่ได้หนีจากนี่ เราก็อยู่บนน้ำนี่แหละ แต่เราไม่อดอยาก เพราะสาธารณโภคี

พี่น้องของเราอยู่ข้างนอกทั้งหมด ส่งมาให้กิน เพราะเขาน้ำไม่ท่วม เขาสร้างได้ อยู่ อุดมสมบูรณ์อยู่เขาก็ส่งมาให้กิน เพราะในที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าน้ำท่วมตรงนี้

น้ำตรงนู้นก็ไม่มี ถ้าน้ำตรงนี้ไปตรงนู้น มันก็ไปมีตรงนู้น ไม่มีตรงนี้ ก็เท่านั้นเอง

ในโลก มีกับไม่มี แล้วมีกับไม่มีนี่ เกื้อกูลกัน เชื่อมโยงกันเกื้อกูลกันเสมอ ผู้มีช่วย

ผู้ไม่มี ผู้รวยช่วยผู้จน จนกระทั่งผู้จน มาจนเลย แล้วก็สร้างคนจนนี้เป็นคนจน พิเศษ คนจนวิเศษ พิเศษจนวิเศษ คืนจนขยัน แต่ไม่สะสม ในคำสอนของพระพุทธเจ้าในวรรณะ 9 ข้อสูงสุด สุดท้ายคือ อปจยะกับวิริยารัมภะ นี่เป็นคู่ 2 ตัว 2 อย่าง 1.ไม่สะสมเลย 2.ขยันสุดขยัน ขยันตลอดเวลา เพราะฉะนั้นขยันและสร้างสรร แล้วสร้างสรรอย่างคนจริง คนดีด้วย  สร้างสรรสิ่งที่ดี ไม่ใช่สร้างสรรสิ่งที่ไม่ดี เช่น จะสร้างอาวุธฆ่าคน ไม่สร้าง สร้างที่เป็นอบายมุข สร้างที่เละเทะไม่สร้าง สร้างที่เป็นพิษเป็นภัย ไม่สร้าง สร้างแต่สิ่งที่ดีกับขยัน

นี่คือบุคคลที่ 1.ขยัน 2.มีปัญญา สร้างสิ่งที่ดี 2 ตัวนี้สูงสุดในความเป็น

ผู้เจริญ และผู้ที่ไม่สะสม แล้วขยัน เป็นผู้สูงสุดในการมีประโยชน์คุณค่าต่อ มนุษยชาติ ตัวเองศูนย์ ตัวเองไม่สะสม แต่ตัวเองขยันสร้างสรร สร้างแต่สิ่งที่ดี

อย่างที่กล่าวแล้ว มันก็มีแต่แจกให้แก่ผู้อื่น นี่คือเศรษฐศาสตร์สูงสุด จบแล้ว

Absolute Utimate ไม่มีเลิศกว่านี้อีกแล้ว เศรษฐศาสตร์เลิศที่สุด จบมีหนึ่งเดียว

ไม่มีอะไรสูงกว่านี้อีกแล้ว นี่เศรษฐศาสตร์หมดจบ แล้วชาวอโศกทำได้ จึงอยู่รอด

ทุกวันนี้ก็อยู่ รอด  

นักข่าว…รวมเบ็ดเสร็จทั้งหมดกี่ไรคะ

พ่อครู…พันกว่าไร่

นักข่าว…แล้วน้ำท่วมสูงเท่าไรคะ

พ่อครู…สูงประมาณ 5 เมตร บางทีกว่า 5 เมตร แล้วแต่บางที บางที่กว่า 5 เมตร

บางที่ 3 เมตร บางที่ 2 เมตร ค่าเฉลี่ยก็คือ 5 เมตรทั่วไป

 

นักข่าว…ยาวนานไหมคะ

พ่อครู…2-3 เดือน

นักข่าว…ก็คือการใช้เศรษฐศาสตร์แบบที่

พ่อครู…พิสูจน์มาหลายปี หลายนาน อาตมาทำงานมา 50 กว่าปี พิสูจน์มาตลอด

เป็นสาธารณโภคีมาตลอด อาตมาบวชมา ทำงานแบบนี้มาอยู่ในชุมชน สร้างชุมชนตั้งแต่บวช 3 ปีก็เริ่มมีชุมชนแล้ว แล้วมีชุมชนก็มีสาธารณโภคีมา ตลอด เป็นหนึ่งเดียวกันมาตลอด แล้วก็อาศัยระบบสาธารณโภคี สภาพสาธารณโภคีนี้แหละเลี้ยงตน อาตมาจึงได้พิสูจน์จนมาถึง 50 กว่าปีว่า มันเป็นเศรษฐศาสตร์ที่เกิดเศรษฐกิจ ที่มนุษย์พึ่งได้ มนุษย์อยู่กันอย่าง ดีที่สุด อบอุ่นที่สุด สบายที่สุด ขอใช้คำว่า สุขที่สุด

นักข่าว…ท่านคะ 3 เดือนนี่น้ำเอาไปหมดเลย

พ่อครู…เหลือแต่ต้นไม้ใหญ่

นักข่าว…ต้องใช้เวลาอีกเท่าไรที่จะสร้างให้กลับมา

พ่อครู…อันนี้เรากำลังทำอยู่ มันเริ่มตั้งแต่ใช้เวลาพืชที่โตสามารถที่ใช้หรือกินได้ ใช้ประโยชน์คือกินนั่นแหละ อย่างน้อย 10 วัน 5 วันก็เล็กเกินไป พืชประมาณ 10

วันขึ้นไป ที่เหลือก็เก็บกินไปเรื่อยๆ ก็มีพืชที่จะ 15 วัน 20 วัน 1 เดือน 2 เดือน 5 เดือน 8 เดือน ปีนึงอะไรก็แล้วแต่ มีสารพัดเรื่อยไปเรื่อยๆ เพราะตอนนี้ มันอยู่ในสภาพที่เราถูกน้ำท่วมพึ่งจะเสร็จไปจริงๆ กำลังบูรณะ ปฏิสังขร กำลังปลูก กำลังเสริม ก็เก็บกินไปเรื่อยๆไอ้พืชไหนที่เราจะเหลือไว้ให้มันโตให้มันอยู่หลายนานวันนานเดือนหน่อยก็เก็บปลูกรักษาไป อะไรกินได้ก่อนก็กินไป อะไรที่มันขาดมันแคลนคนอื่นก็ส่งมาช่วยทดแทน มันไม่ขาดแคลน เพราะมันมีน้ำใจไหลรินมาเรื่อยๆ มันรู้กัน เราขาดแคลนอันนั้นอันนี้ เขาก็จะสอดส่อง ก็ยิ่งเดี๋ยวนี้สื่อสารมัน globalization มันไม่มีปัญหาอะไรเนี่ย มันฟ้าบ่กั้น มันทะลุ ทะลวง มันเห็นหมดเลย มันรู้หมดเลย ตับไตไส้พุงมันเห็นกันหมดแล้วทุกวันนี้ เพราะงั้นถึงไม่มีปัญหาอะไร พอรู้ว่าอ๋อ คนนี้ขาดแคลนอันนี้ คนนี้ควรช่วย แล้วมันมีน้ำใจที่ช่วยกันจริงๆ แล้วมันมีสิ่งที่จะช่วยด้วย เพราะฉะนั้นมันจึงเลื่อนไหลไปเป็นการสะพัดที่เศรษฐกิจนี่ เรื่องของหลักเศรษฐกิจมันจึงเลื่อนไหลมาสู่ มันสะพัดมาจากที่สูงมาหาที่ต่ำ ตามธรรมชาติไปหมด อย่างไม่ขัดข้อง

นักข่าว…ถ้าอย่างนั้นเราก็ ถ้าจะพูดจริงๆก็เราไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤต เพราะเรามี

ที่อื่นๆ มีเครือข่าย ที่ช่วยเหลือกัน

พ่อครู…พูดถูก เราไม่เกิดการอับจน สาธารณโภคีจะเกิดสภาพในทุกอย่าง ในโลกมันจะมี 2 อย่าง ที่หนึ่งร้าย ที่หนึ่งดี ที่ใดเกิดวิฤติ อีกที่หนึ่งจะไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา ก็มาช่วยที่วิกฤติ ก็จะเป็นอย่างนี้ เพราะว่าจะมาช่วยได้ก็จะต้อง คนนี้ต้องมีน้ำใจ แต่โดยหลักของกิเลส คนรวยไม่ได้มาช่วยคนจน มันขี้เหนียวมันเห็นแก่ได้ แล้วมันจะเอาเปรียบอยู่อีก ตลอดอยู่อีกไม่มีจบ อย่างนี้ต่างหากที่มันเลว คนรวยนี่เลว พูดดังๆด้วย อาตมาพูดหนักๆเน้นๆด้วย ด่าให้แรงๆ คนรวยนี่มันเลว จริง อาตมาพูดไม่กลัว เอาปืนมายิงก็ยิง กฎบ้านกฎเมืองก็มีอยู่แล้ว มายิงก็ต้องต่อสู้กับคดีไป

นักข่าว…อย่างนั้นเรื่องของภาวะน้ำท่วมก็ไม่น่าเป็นห่วง

พ่อครู…ไม่ห่วง เพราะว่าเราไม่กลัวธรรมชาติ ธรรมชาติไม่รู้เรื่องหรอก มันจะท่วมเรา มันจะทำร้ายเรายังไงๆธรรมชาติมันก็ทำไป มันจะมีสึนามิมาตรงนี้ หรือแผ่นดินไหวตรงนี้ เราก็ห้ามมันไม่ได้หรอก ถ้าแผ่นดินไหวอะไรมันหุบเราตายก็ตาย คนเหลือก็เลี้ยงดูกันต่อ ดูแลช่วยเหลือกันไปเท่านั้นเองมันไม่มีอะไร

นักข่าว…ถ้าอย่างนั้น สถานการณ์โดยทั่วไปโอเค วัดไม่น่าห่วงแล้ว สถานการณ์ทั่วไปของสังคมประเทศ พ่อท่านห่วงอะไรบ้างไหมคะ

พ่อครู…ไม่ห่วงอะไร เพราะว่าอาตมาอยู่ 1.ในระบบวิธีเป็นอยู่ 2.จิตวิญญาณเป็นประธานเลย  จิตวิญญาณไม่เห็นแก่ตัว จิตวิญญาณเกื้อกูลกันอื่นๆ ทุกวันนี้พอลงน้ำลด เราก็ปลูกกินปลูกใช้ด้วย  ยังไม่พอเรายังปลูกเผื่อแผ่คนอื่นต่อไปนะ ถนนนี่เราปลูกถนนไม่ใช่ที่ของเราหรอก ยาวไกลไปเท่าไหร่ เราก็ปลูกพืชพันธุ์ที่มนุษย์ย่านนี้เขากินกันปลูกไปปลูกไป มะละกอเขากินกันเป็นหลักเลย มะเขือ พริก ตะไคร้ ข่า อะไรก็แล้วแต่ ปลูกไปได้ก่อน อะไรก่อนก็ปลูกไป นี่เราก็ลงมือปลูกไม่ได้หยุดหย่อน  มีเวลาทำก็ทำกัน ไอ้ที่ปลูกในนี้ เราก็ปลูกกันพอกินพอใช้ ที่อื่นก็ช่วยกันอยู่แล้ว ไอ้นี้เราก็ปลูกต่อไปไม่ได้หยุดหย่อนเหมือนกัน เราช่วยตัวเองก็ช่วย ช่วยผู้อื่นก็ช่วยไปในตัวไม่ได้พักเลย

นักข่าว…ถ้าพูดไปถึงเรื่องทั่วๆไปเรื่องการกินการอยู่ไม่ไม่ค่อยห่วง แล้วพูดไปถึงสถานการณ์การเมืองล่ะคะ

พ่อครู…การเมืองถ้ามาเรียนรู้ธรรมะ มาเข้าใจเรื่องสาธารณโภคี มาเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจแบบคนจนนี่แหละดี คนรวยนี่แหละเก๊ ในหลวงท่านไม่ปากจัดเหมือนอาตมา ท่านก็ว่ามาเป็นคนจน ท่านไม่ว่าคนรวย ท่านว่าเขาไม่ได้ ท่านอยู่ในฐานะของในหลวง แต่อาตมามันอยู่ในฐานะคนพื้นๆคนปกติ คนสามัญไม่มีเกียรติ ไม่มียศ ไม่มีอำนาจไม่มีอะไร อาตมาก็พูดไปได้เต็มที่ตามธรรม พูดไปเต็มที่ ไม่ใช่พูดไปเละๆเทะๆ พูดไปตามธรรม อาตมาก็พูดธรรมะเต็มที่เลย อะไรดีก็ว่าดี อะไรชั่วก็ว่าชั่ว อะไรควรด่าก็ด่า อะไรควรชมก็ชมเต็มที่ เพราะงั้นถ้าเผื่อว่าการเมืองเนี่ย คนที่ทำงานการเมือง  มาเป็นนักธรรมะ ได้มีนักธรรมะที่บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆเลย ที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นพระอรหันต์ว่างั้นเถอะ ก็เรียบร้อยนะสิ สบาย

นักข่าว…ปัญหาก็คือ เขาไม่เป็นนะสิคะ

พ่อครู…เป็น คนไทยอย่าไปดูถูก เมืองไทยจะเป็นก่อน ที่อื่นยังไม่มีรู้เรื่อง ตำราเทวนิยม ตำราตะวันตก ไม่มี ที่ไม่มีศาสนาพุทธและโลกุตระด้วย แม้แต่ในศาสนา พุทธ เถรสมาคมก็ไม่มีโลกุตระ มีในอโศกนี่ นี่พูดดังๆเลย ไม่ได้กลัวเถรสมาคมกลัวมาทำอะไรเลย  ไม่กลัวโกรธด้วย จะโกรธก็เรื่องของคุณ คุณทุกข์เอง คุณโกรธอาตมาคุณทุกข์นะ อาตมาไม่เกี่ยว คุณโง่เอง คุณโกรธคุณก็โง่เอง คุณก็ทุกข์

ไป ถ้าคุณจะมาทำร้าย ทำร้ายคุณผิดกฎหมายด้วย มันผิดกฎหมายแล้วผิดธรรม

มาทำร้ายอาตมามันก็บาปก็มี ไม่ใช่บาปน้อยๆนะ ไม่ได้ขู่นะ ทำร้ายอาตมาบาปนี่มากนะ

เพราะฉะนั้นสรุปแล้วถ้านักการเมืองนี่ มาสนใจ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เมืองไทยนักการเมือง นักบริหารนี่ มันสืบทอดกันมา มันต่อเนื่องกันมา มันไม่ขาดสาย

 กันมา เพราะฉะนั้นเรื่องไทยมีนักบริหารสูงสุดคือ พระเจ้าแผ่นดิน เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ระดับที่ 1  และ 2.รัฏฐาธิปัตย์ของมวลประชาชน มันจะมี 2 อัน เพราะฉะนั้นโลกของความเป็นชีวะของมนุษยชาติมันจะมี 2 เสมอ ขาดอันหนึ่งอันใดไม่ได้ บกพร่องอันหนึ่งไม่ได้ เกื้อกูลกัน 2 จะเกื้อกูลกันเสมอ

เพราะฉะนั้นประชาชนกับกษัตริย์ จะต้องเกื้อกูลกันเสมเลย จึงเรียกว่าราชประชาสมาสัย ราชกับประชานี่ อาศัยกันเกื้อกูลกัน ที่ประชาชนจะช่วยกษัตริย์ ที่กษัตริย์จะช่วยประชาชน ต่างช่วยกันอยู่อย่างนี้แหละ มันก็จะมี ที Who  ที IT อยู่อย่างนี้แหละ มันจะเป็นธรรมชาติอย่างนั้น อันนึงลบอันนึงบวก อันนึงพร่องอันนึงเต็ม อะไรอย่างนี้ อันนึงมีอันนึงไม่มี ย่อสั้นสุดคืออันนึงมีอันนึงไม่มี ไม่มีน้อยที่สุดกับมี ย่อไปอย่างละเอียดก็ไม่มีที่น้อยที่สุด ไม่ใช่ไม่มี มีน้อยที่สุดกับไม่มีเลยเท่านั้นเอง สุดท้ายใช้ภาษาได้เท่านี้ ก็ช่วยกัน คนมีก็ช่วยคนไม่มี แต่คนมีไม่ช่วยคนไม่มีนี่สิ ใจดำ มีมากด้วย แล้วมากแล้วไม่พออีกต่างหาก ดูดีดูดี ไอ้นี่ยังชั่วไม่เสร็จ พวกนี้พวกชั่วไม่เสร็จ บาปไม่จบ พวกนี้ทำบาปจบ แต่เขาไม่รู้ มันไม่รู้จะไปโทษเขายังไง เขาไม่รู้   ได้แต่ด่าอย่างเดียว ด่ามันก็ไม่รู้เรื่อง  เพราะมันโง่ พวกนี้ด่าก็ไม่รู้เรื่อง พวกรวยๆคนด่ารวยๆ 1.คนโกงก็ตาม ด่าไม่รู้เรื่อง 2.คนรวยก็ตาม ด่าไม่รู้เรื่อง 3.คนติดยึด ยึดอะไรก็แล้วแต่ ยึดวัตถุยึดความรู้ ยึดยกย่องสรรเสริญ ยึดสุข พูดกันไม่รู้เรื่องหรอกพวกยึด

สรุปแล้ว ภาษาธรรมะของพระพุทธเจ้าสูงสุดคือการ ยึดมั่นถือมั่น อุปาทานศัพท์ เป็นภาษาวิชาการ อุปาทานยึด เพราะคนไหนรู้จักความยึด โอ้ แล้วเลิกเลยอย่าไปยึดเลย คนนั้นเริ่มเจริญ เมื่อไม่ยึดอะไรหมดเลย คนนั้นเจริญสุดเลยเป็นอรหันต์ เมืองไทยเราเนี่ย คนเข้าใจอรหันต์ยังไม่ได้ อรหันต์มีตั้งแต่อรหันต์โสดาบัน อรหันต์สกิทาคามี อรหันต์อนาคามี อรหันต์ในอรหันต์  และยังมีสูงกว่านั้นคืออรหันต์โพธิสัตว์ ไปสูงกว่านั้นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสูงสุด นี่เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาเรียนรู้และปฏิบัติจริง

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 และพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆไปหา 8 เรื่อยๆ ถ้า 9 ก็เป็นพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นนิยตโพธิสัตว์  โพธิสัตว์ที่เข้าโรงเรียนเป็นพระพุทธเจ้าสำเร็จแล้ว สอบเอ็นทรานซ์เข้าไป 3 ระดับสุดท้าย  นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ และพระพุทธเจ้า อาตมาอยู่ 1 ใน 3 เส้า อยู่ในโรงเรียนนี้ อยู่ใน Cyclic order นี้ อยู่ในวงวน 3 เส้านี้ 3 เส้าชนิดที่ไม่ตกต่ำแล้วเป็นธรรมดา ยังไงยังไงก็ไม่ตกต่ำแล้ว จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนว่างั้นเถอะ แต่เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ เหตุปัจจัย

ถ้าผู้บริหารปกครองหรือนักการเมือง มาเรียนรู้วิชาการของพระพุทธเจ้า ต้องใช้คำว่าวิชาการของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถม มาจนกระทั่งมาถึงมัธยม มาถึงมหาลัยเลย ถ้ามาเรียนธรรมะอย่างนี้จริง ก็จะเป็นจริง แต่ทุกวันนี้ ในคนไทย มีพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 นี่ได้บริหารถ่ายทอดไปโดยรูปธรรม 70 พรรษา เพราะฉะนั้นจึงมีทั้งการศึกษา ทั้งมีการถ่ายทอด มีการซึมซับ  มีการ osmosis ไว้ในมนุษย์ จึงมีมนุษย์พวกนั้นบริหารตาม

อาตมาไม่ไปแย่งนักการเมือง ไม่ทำงานการเมือง อาตมาจะทำงานธรรมะอย่างเดียว จนตายก็ธรรมะอย่างเดียว  ไม่ไปทำงานการบริหารการเมือง อาตมาบริหารแต่พวกนักธรรมะ ที่มาอยู่ในชาวอโศกนี่ เพราะการบริหารของอาตมา เป็นการบริหารที่ไม่เหนื่อยเท่าในหลวง ร.9 อาตมาบริหารโดยไม่ต้องบริหาร พูดอย่างเดียว อธิบายธรรมะอย่างเดียว ไม่ต้องบริหาร อธิบายธรรมะใครเข้าใจก็เอาไปทำ แต่ในหลวงต้องลงมือทำ ต้องคิด ต้องจับมือสร้างต้องพยายามทำ เขียน ทำอะไรต่ออะไร ท่านก็ต้องทำ เพราะท่านอยู่ในฐานะรูปธรรม ท่านก็ทำไปจน 70 ปี แล้วมีของจริง ทำไปแล้วไม่ใช่ว่ามันเสียผล ไม่เสียผล

จึงมีผู้รองรับ จึงมีผู้รองรับได้เรียกว่าดำเนินตามศาสตร์พระราชมาตลอด จึงใช้ศัพท์นี้ เดินตามรอยศาสตร์พระราชามาตลอด เพราะมีความจริงตลอด

นายกฯตอนนี้เป็นผู้ที่ถือว่าสูงสุดในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นายกฯ ไม่ใช่ซ้อนมีประธานาธิบดี และก็มีนายกฯ ไม่ใช่ ไม่อยากอธิบายว่ามีประธานาธิบดี ซ้อนนายกฯ หรือประธานาธิบดีไม่มีนายกฯ ไม่อยากอธิบายต่อแล้วมันจะยาวไป เอาประเทศไทยเท่านั้นก่อน เป็นตัวอย่างแก่โลกเขา เพราะลักษณะของโลกมันจะต้อง 2 คือ มีกษัตริย์กับประชาชน แต่มีแต่กษัตริย์ หรือมีแต่ประชาชน อย่างสหรัฐ เป็นตัวอย่างมีแต่ประชาชน ไม่มีกษัตริย์ เสร็จแล้วเลือกประชาชนนั่นแหละมาเป็นกษัตริย์ เป็นการมุกกันขึ้นมา ตัวตลกสมมุติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน สมมุติเป็นพระราชาขึ้นมาเฉยๆ ใส่เครื่องทรงขึ้นมาเฉยๆ ไม่ได้มีทศพิธราชธรรม ไม่ได้มีกฎมณเฑียรบาลอะไรขึ้นมา เป็นรากฐานอะไรเลย

กฎกฎมณเฑียรบาลหมายความว่าหลักธรรมที่ของประยูรญาติของกษัตริย์นี่ ต้องศึกษา ต้องฝึกฝนเรื่องกฎมณเฑียรบาลทุกคนที่เตรียมพร้อมที่จะต้องมีคุณธรรมที่ศึกษาเล่าเรียนเพื่อมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินทุกองค์ เพราะตลอดในกรอบของกษัตริย์ ภาพยนตร์ระยะทั้งหมดต้องศึกษาตามตำรากฎมณเฑียรบาล หรือจะต้องมีทศพิธราชธรรมให้ได้ น้อยหรือมากก็แล้วแต่ มากสุดก็ดีสุด ต้องทำ ใช้กรอบบังคับเลย ต้องทำ จึงมีผลจริง เป็นกษัตริย์หรือพระประยูรญาติที่มีคุณธรรมนี้จริง จึงเป็นคนจริงของในโลก แต่ในระบบประชาธิปไตยที่ไม่มีกษัตริย์ มัน ไม่มีทศพิธราชธรรม มันไม่มีกฎมณเฑียรบาล มันไม่มีอะไรบังคับให้เขาต้องศึกษาเป็นคนดีคนที่มีคุณธรรม มันไม่มี ง่ายๆมันไม่มีทศพิธราชธรรมได้เลย อยู่ดีๆจะไปคว้า ซื้อเอาตามห้างขายยา ซื้อเอาตาม ร้านค้า มันไม่มี มันต้องฝึกฝนขึ้นมาจากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่เป็นได้จริง

เพราะฉะนั้นระบบของประธานาธิบดีขาเดียว หรือประชาธิปไตยขาเดียว ไม่มีระบบกษัตริย์ ไม่มีระบบทศพิธราชธรรม ไม่มีระบบกฎมณเฑียรบาล ไม่มีระบบที่จะต้องฝึกฝนเรียนรู้มาตลอด สายกษัตริย์จะต้องเรียนรู้ตลอด ฝึกฝนตนเองมาเพื่อเป็นผู้บริหาร เป็นผู้ใหญ่ในประเทศจริงๆ  อันนั้นเขาไม่มี จับใครก็ไม่รู้ เลือกตั้งใช้อำนาจ วิธีการอย่างที่เขาเป็นกันอยู่นั่นนะ มันเป็นตัวปลอม มันไม่ได้เป็นตัวจริง

มันก็เป็นเท่านี้ อธิบายแล้วก็ได้เท่านี้ เพราะฉะนั้นประเทศที่มีความสมบูรณ์พร้อม

2 ขา กษัตริย์กับประชาชน ดังที่ว่านี้ จึงเป็นความสมบูรณ์แบบของมนุษยชาติ ณเป็นความสมบูรณ์แบบของความเป็นวิญญาณของมนุษยชาติ อันนั้นเป็นคนพิการประชาธิปไตยมันเป็นความสมบูรณ์ของคนพิการ มันจึงไปไม่รอด เพราะฉะนั้น

ไม่ต้องพูดมากหรอก ต้องใช้เวลาพิสูจน์ นาน แต่ตอนนี้ก็เห็นผลแล้ว

ประชาธิปไตยเป็นตัวที่เขาเข้าใจว่าเขาเป็นผู้ที่เจริญที่สุดของประชาธิปไตยตาม

ระบบที่เขาเข้า เขาเชื่อถือประชาธิปไตยคืออิสระเสรีภาพ เด็ดเดี่ยว อิสระเสรีภาพของเขามันเลยเถอด สุดโต่งไป อิสระเสรีภาพที่ไม่มีคู่ อิสระเสรีภาพที่ไม่มีตัวช่วย

อิสระเสรีภาพที่โดดเดี่ยวเลย หลุดลอยออกไปไม่มีตัวช่วยเลย  เขาไม่เข้าใจธรรมชาตินี้ ธรรมชาติทุกอย่างถ้าอันเดียวเน่าแล้วสูญสลายเลย มันต้องมีช่วย

ตัว 2 มันต้องมีพลังงานบวกลบ มันต้องมีพลังงานเย็นร้อน มันต้องมีคู่ตลอดเวลาเลย ไม่มีอะไรไม่มีคู่ ตั้งแต่ไอสไตล์ค้นพบพลังงาน MC2 อย่างนี้มาตลอด และในพลังงาน MC2 อย่าง พลังงานของตัว ไดนามิกซ์ ต้องมีพลังงาน 2 ยกกำลัง    ใน 3 เส้า ต้องมี 2 กับ 1  2 กับ 1 ตลอด ต่างเกื้อกูลกัน ถ้า 1 แข็งแรงสุดแข็งแรง

กว่า 2 ก็เกื้อกูลกว่า 2  ถ้า 1 ไม่แข็งแรง 2 ก็มาเกื้อกูล 1 โดยไม่การเห็นแก่ตัวทั้งหมดเลย

สรุปลงไม่มีการเห็นแก่ตัวเลย ไม่มีตัวตนเลย ศัพท์คำว่าไม่มีตัวตน อาตมา

ไม่มีภาษาจะพูดแล้ว ถ้าคุณมีความรู้ มีธาตุรู้ ที่ต้องสัมพันธ์กับคนอื่น สัมผัสกับอะไรคุณก็รู้นี่ คุณจะต้องไม่มีตัวเอง คุณจะต้องมีคนอื่น ต้องเกื้อกูลเขา คุณเกื้อกูล

เขาไม่หมดคุณก็ยังมีตัวเองอยู่ คุณเกื้อกูลเขาหมด แล้วผู้ที่จะช่วยเกื้อกูลเขาหมดนี่

ผู้นี้จะช่วยได้อย่างไม่มีวันหมดนี่ ไม่มีการหมดตัวหมดตนเลย คนที่ช่วยคนอื่นหมดตัวหมดตนได้ และ จะไม่มีการหมดตัวหมดเลย ยิ่งช่วยเขาหมดตัวหมดตนได้มากเท่าไร คุณยิ่งมีมากเท่านั้น ไม่มีภาษาจะพูดอีกแล้ว

นักข่าว…พ่อท่านกำลังจะบอกว่าการที่การเมือง การที่มองที่ตัวตนของเราน้อย ประเทศชาติก็จะเจริญขึ้นใช่ไหมคะ

พ่อครู…ถูกต้อง ใช่ ถ้ามองที่ตัวตนแล้วมาเป็นตัวตนเราเองน้อยลงเท่าใด แล้วเราก็มีพลังงาน มีความขยัน มีสมรรถนะ ความรู้ความสามารถ ก็เอาความขยัน ความรู้ความสามารถช่วยคนอื่น

นักข่าว…แต่ในสภาพความเป็นจริง ที่การปกครองบ้านเมือง

พ่อครู…ของเมืองไทยมี แต่เมืองอื่นมีความเห็นแก่ตัวมากกว่า   เห็นแก่พรรคพวกมากกว่า ที่อื่นนะ พูดอย่างนั้นได้เลย โดยไม่กลัวไม่เกรงอย่างนั้นได้เลย ไม่เกรงใจ

ไม่ไว้หน้า พูดอย่างเหมือนดูถูกดูแคลน ประเทศไทยทุกวันนี้ เป็นได้แล้ว  มีคุณธรรมสาธารณโภคี มีคุณธรรมของความไม่มีตัวตน ถึงแม้จะมีก็มีน้อยกว่าที่อื่นแน่นอน มีความรู้ความสามารถความเป็นจริงแน่นอน ไม่ใช่พูดปากเปล่า และมีของจริงรองรับ

นักข่าว…พ่อทานกำลังบอกว่าภายใต้การบริหารรัฐบาลที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้าเกิดพ่อท่านให้คะแนนเท่าไรคะ

พ่อครู…ให้คะแนน 70 -80% ขึ้นไปตอนนี้

นักข่าว…ถือว่าสูงมาก

พ่อครู…สูงแล้ว ใช้ได้ ถ้าไม่มีพลังถึง 70-80% ขึ้นไป เอื้อคนอื่นไม่ได้ เพราะอื่นมันมากกว่าเรา เราเป็น 1 อันอื่นมัน infinity ต้องถ่วงกันเพราะเราจะไปช่วยคนอื่นจะต้องมีแรงมาก เพื่อจะถ่วง 1 กับ infinity ได้ ถ้า 1 ไปถ่วง Infinity ไม่ได้ ก็ถูก infinity ดึงลงไปหายไปกับเขาเลย เข้าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าพอดี สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าคือ สามเหลี่ยมที่ว่า สามเส้านี่ ที่เป็นที่มืด สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี่ที่  เป็นสามเส้าที่ บวกลบกับประธาน ที่เป็นที่มืดที่ไม่มีใครรู้จักเลย ใครเป็นประธาน

ใครเป็นบวก ใครเป็นลบ นั่นคือสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า นี่ใช้ภาษาศัพท์เรียก

รูปธรรมก็มี ในแดนในที่มืด ไม่สามารถพูดอะไรรู้เรื่องกันได้ เพราะพูดอะไรไม่รู้

เรื่องกันแล้ว สามเหลี่ยนนั้นหรือกลุ่มที่นั่น แห่งนั่นคือที่ๆคนโง่อยู่ด้วยกันทั้งหมด

ทีนี้คนโง่ที่อยู่ด้วยกันทั้งหมดเนี่ย แบ่งออกไปเป็นสามเส้า นี่เป็นการอธิบายโดยความรู้ แต่ถ้าอธิบายโดยความรู้ไม่ได้มันก็จะเป็นสามเส้าที่ ต่างก็สามเส้าซ้อนทะเลาะกันอยู่ในนั้นทั้งหมดเลย ร้อนมากเดือดร้อนมาก

นักข่าว…ถ้าเกิดเปรียบจะเรียกว่าอะไรคะ คือไม่ใช่เปรียบเทียบนะคะ ถ้าพูดถึงสถานการณ์การเรียกร้องทั่วๆไป ที่เห็นอยู่ที่เป็นข่าวทุกวันดี เสียงเรียกร้องพวกนั้น 

ที่ไม่รู้จักจบ ที่ไม่รู้จักความพอดีอยู่ตรงไหน ตรงนี้จะเปรียบเทียบตรงนั้นคือสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าใข่ไหมคะ

พ่อครู…ใช่ แต่มันเป็นสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าที่มีชีวิต มันจึงออกบทบาทมาด้วยความโง่ ความโง่มันจะไปรู้เรื่องอะไรมันก็ทำลายทั้งนั้น ความโง่มันก็ปั่นป่วนเท่านั้น

นักข่าว…แล้วเป็นไปได้ไหมคะว่าไอ้สามเหลี่ยมนี่จะเติบโตมากขึ้น

พ่อครู…มันโตอยู่แล้ว มันพวกที่สามารถหลุดพ้นจากความโง่ที่โตๆนั่นออกมาได้เท่านั้น อย่างประเทศไทยหลุดพ้นออกมาได้ อาตมาพูดตลอดเวลา ไม่ใช่หลายที ตลอดเวลาอยู่ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่หลุดพ้นออกมาได้สุดยอดที่สุดในโลก

ไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าด้านการเมือง ไม่ว่าด้านสังคม  ประเทศไทยเป็นประเทศ

ที่มี 3 เส้า เศรษฐกิจ การเมือง สังคม นี่ 3 เส้าเหมือนกัน ที่หลุดพ้นออกมา รอดตัวออกมาจากวัฏฏสงสารที่เขาลำบาก ที่มันเกี่ยวพันดึงกันไปลำบาก ขณะนี้ถ้าว่าไปแล้วนี่นะ อเมริกาลำบากที่สุด แต่เพราะเขาเป็นคนอยู่ในสามเหลี่ยนเบอร์มิวด้า

เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่รู้ตัวเอง นอกจากไม่รู้ตัวเองแล้ว ยังหลงตัวเองด้วย ว่าตัวเอง

ยังยิ่งใหญ่ ผิด มันซ้อนลงไป มันเลยโง่ซ้อนโง่ มันจึงยากที่จะมีใครช่วยได้

อเมริกาเขาลวง แล้วเขาสร้างอาวุธ เก่ง ดี แล้วเอาเปรียบขายในราคาแพง จึงเกิดมีคนหลงลม ที่นี่ต่อมาคนก็เริ่มสร้างอาวุธขึ้นได้บ้าง ราคาก็ตกลง เขาก็เลยได้น้อย แต่ไม่ลดการผลาญกินใช้ มีชีวิตเสพสุข อเมริกาเขาไม่รู้ตัวหรอก เขาไม่มีความรู้ในด้านเสพ เขาเสพเสมือนบำเรอตัวเองด้วยอบายมุข รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ด้วยอะไรก็แล้วแต่ เขาไม่รู้เรื่องในเรื่องพวกนี้เลย

เพราะฉะนั้นเขาจึงแก้ไขประเทศของเขาไม่ได้ มันมีแต่เสื่อมกับเสื่อม เพราะงั้นมันจึงมีลักษณะของ 2 อย่างคือ ตัวที่เจริญกับตัวที่เสื่อมไง เพื่อให้รู้ตัว ประเทศไหนที่มีปฏิภาณปัญญา พอเห็นพอรู้ ตัวที่เป็นตัวอย่างเอง เป็นตัวเป็นซะเอง ตัวเองเป็นเองจึงเสื่อมเอง เขาเสื่อมเพราะเขาโง่ เขาไม่รู้ตัวว่าเขาเสื่อม เขาหลงผิดของเขาว่าไม่เสื่อม เขาเจริญด้วยเขาไม่รู้ตัวด้วย คุณไปถามไบเด้นก็ได้ เดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ว่าเขาเสื่อม เขาก็ว่าเขาเป็นพระเอกอยู่

ความเสื่อม 2 ชนิด ตัวอย่างในโลกนี้มีอยู่ 2 ชนิด 1.ความเสื่อมอย่างมันเสื่อม มันฟ่าม มันสลายไม่รู้ตัว กับพวกเสื่อมที่กำลังสร้าง สร้างตัวเอง ให้มีในสิ่งที่เขาคิดว่าควรมี แต่เขามีสิ่งที่ไม่ควรมีหรอก เขาก็โง่เหมือนกันกับทางนี้ เอาสิ่งที่ไม่ควรมีไปมี เช่น เกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือทุกวันนี้เขาจะมีสิ่งที่ไม่ควรมีคือ อาวุธอาวุธร้ายที่สุด แล้วเขาอำนาจ เขาเอาอาวุธร้ายที่สุดนี่มาขู่คน เพราะงั้นคนมันก็กลัว อาวุธร้ายเดี๋ยวนี้มันร้ายถึงขนาดที่มันทิ้งตูมเดียว ประเทศเอ็งตายหมดทุกประเทศเลยนะ มันอย่างนั้นเลย อย่างนั้นคนมันก็ต้องกลัว ไม่ตายทั้งประเทศก็ค่อนประเทศ มันก็กลัวแล้ว มันจะหนีรอดหรือทิ้งตูมลงมานี่อยู่ในส่วนครึ่งประเทศขึ้นไปนี่ มันไม่รอดมันกลัวสิคนนะ เขาก็อยู่ได้ด้วยอันนี้

เกาหลีเหนือนี่ อาตมาก็อธิบายไม่ค่อยเก่ง เกาหลีเหนือมันรวมไว้ในตัวเองทั้งหมดเลย 1.เป็นจอมเผด็จการสุดยอด 2.เป็นจอมที่เห็นแก่ตัวอย่างเด็ดเดี่ยว 3.เป็นตัวที่สร้างอำนาจบาตรใหญ่ร้ายแรงข่มขู่ผู้อื่นอย่างยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นเขาจะอาศัยสร้างอาวุธที่ มันมีประสิทธิภาพ คนอื่นเขายอมรับได้ เขาก็รู้ว่ามันแรงนะ เสร็จแล้วเขาก็ทดลองให้ดูใช่ไหม โอโห่ มันวัดได้นี่ พลังงานมันวัดได้หมด ทั้งอำนาจ ไดนามิก หรือ สเตติก มันรู้หมดเลย มันรู้ได้ เพราะงั้นมันก็เอาอำนาจอันนี้มาขู่คนให้กลัว เพราะโลกทุกวันนี้มันอยู่ในสภาพที่อยู่ในอำนาจแห่งความกลัว คนที่ไม่กลัวแล้ว อย่างพระอริยะอรหันต์ขึ้นไปแล้วไม่กลัวแล้ว มันมีแต่  2 อย่าง ไม่ 0 ก็มีเท่านั้นเอง ไม่ตายก็เกิดเท่านั้นเอง มันมี 2 อย่าง พระอรหันต์ท่านไม่มีปัญหาอะไร ท่าน 0 ก็ได้ จะเกิดก็ได้

เพราะงั้นคนที่จิตยังไม่ถึงอรหันต์ จิตไมถึงจะเกิดก็ได้ ตายก็ได้ จึงต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เพราะความกลัว มันค่อนข้างกลัว 0 ไง บางคนก็ตาย 0  แต่อรหันต์ไม่กลัวตาย 0 ดีไม่ดีก็ถึงวาระดีๆ บายบ๊าย จะ 0 แล้วนะ พระอรหันต์ทุกองค์ก็ตาย

0 ก็เลิก เพราะมันเบื่อ ชีวิตก็ซาบซึ้ง มันก็วนเวียนอยู่แค่นี้ มีเช้ากับกลางคืน โผล่

ขึ้นมาก็เช้า กลางวันแล้วกลางคืน กลางวันแล้วกลางคืน มีอยู่ 2 เท่านี้ มีหายใจกับ

ไม่หายใจอยู่เท่านี้ ไม่หายใจก็ตาย หายใจก็อยู่เท่านั้นเอง

นักข่าว…พ่อท่านคะ ขออนุญาติกลับมาเรื่องเล็กๆนิดนึงใกล้ๆตัว เอาการเมือง

ใกล้ๆตัว อีกไม่กี่เดือนการเลือกตั้งต้องมาแน่ๆ ตอนนี้คุณทักษิณ ซึ่งหลายคนก็จับตามองนะคะว่า จะกลับมายิ่งใหญ่ แลนด์สไลด์ไหม พ่อท่านในระหว่างที่นั่ง

analysis ประเมินสถานการณ์

พ่อครู…ตอบได้เลย ตอบได้เลย อาตมาประมวลไว้หมดแล้ว ทักษิณนี่ อำนาจที่เคยมี 100 นี่ ตอนนี่เขาเหลืออยู่ 10 อำนาจของทักษิณ อาตมาประเมินค่าแล้ว

เขาเคยมีอยู่ ตอนนี้เหลือแค่ 10 เท่านั้น แต่เขาหลงตัวว่าเขามีกว่า 100 เขามีกว่า

100 เขามองอะไรว่าเขามีกว่า 100 คือเขามีเงิน เงินที่เขาก็มี เมียเขาก็มี ที่ลูกเขาก็มีตอนนี้ รวมเงินของเขาทั้งหมดแล้วนี่นะ มันมีอำนาจพอที่จะซื้อประเทศไทยได้เลย เขามีจริง เขาเชื่ออย่างนั้นเลย เพราะเขายังหลงในอำนาจเงินนั้นอยู่

นักข่าว…แล้วเขาจะซื้อได้ไหมคะ

พ่อครู…ไม่ได้ ประเทศไทยไม่ได้เป็นคนเห็นแก่เงินอย่างนั้น

นักข่าว…คิดว่าการเลือกครั้งนี้เขาจะชนะ

พ่อครู…มันน่าจะเป็นคำตอบแล้วน่า

นักข่าว…แต่คนทั่วไปยังมองว่าเขาจะชนะนะคะ

พ่อครู…มันเป็นการโฆษณา ไอ้เขาเชื่อมันก็คือโซเชียลนั่นแหละ โซเชียลมีเดียนี่แหละที่มันอย่ขณะนี้ เฮ้ย..เฮ้ย..เฮ้ยๆ ชนะๆ แต่เนื้อแท้มันจะชนะหรือไม่ชนะ มันอยู่ที่คน เพราะฉะนั้นจนถึงวันเลือกตั้งจริงซะก่อน ผลออกมาจะรู้ แต่ก็ไปดูถูกเขาไม่ได้อีก ถ้าเผื่อว่าเขามีทริค กลเม็ดเด็ดพลายที่เยี่ยมยอด ปล่อยหมัดเด็ดที่คนอื่นไม่รู้ทันเลยนะ อาจจะได้ แต่นี่อาตมาก็ไม่ประมาท 

นักข่าว…แล้วความเสื่อมที่เห็นๆอยู่ ไม่ว่าจะข่าวกลุ่มคนจีนสีเทา สีอะไรออกมาพวกนี้ จะทำให้เขาเสื่อมลงไหมคะ

พ่อครู…แน่นอน เสื่อมแน่นอนอันนี้อาตมาเห็นอยู่ ขณะนี้อาตมาเห็นว่า ตำรวจนั้นตื่นตัว มันก็มีภาวะซับซ้อนมากเลย พูดชัดๆก็แล้วกัน ถ้าบิ๊กป้อม ตัดอำนาจออกไป

เพราะบิ๊กป้อม มีน้องชายชื่อพัชรวาท เคยสร้างอะไรเอาไว้อยู่ ในประเทศไทยนี้อยู่

พูดอย่างนั้นเลย สร้างเอาไว้ที่มันเป็นเรื่องไม่ค่อยดีในประเทศไทยไว้อยู่ เพราะฉะนั้น พลเอกป๊อกยอมกันท่าไว้ พลเอกประยุทธ์ก็ตัดขาดยากเพราะว่ามันร่วมหัวจมท้าย ช่วยงานกันมาตลอด  แต่ตอนนี้ดูท่าทีแล้วเนี่ย พลเอกประยุทธ์น่าจะตัดใจละเอาน่าพี่จากกันสักพักนึง อะไรอย่างเนี้ย คล้ายๆอย่างนั้นอาตมาว่า ต้องทำ ถ้าพลเอกประยุทธ์ทำอันนี้สำเร็จ อันนี้เป็นเครื่องตัดสิน  1.สำนึกดีตั้งใจทำงานอยู่

2.ทำเรื่องนี้สำเร็จ ที่อาตมาพูด นี่คือเงื่อนไขที่จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ 

นักข่าว…ถ้าเกิดว่าเงื่อนไขนี้สามารถทำได้ พลเอกประยุทธ์ก็กลับมาเป็นนายกฯอีกรอบนึง

พ่อครู…แน่นอน

นักข่าว…แค่ต้องแยกกัน อาจจะแยกเพื่อกลับมาประสานกันใช่ไหมคะ

พ่อครู…ก็ได้ ถ้าพลเอกป้อม หยุดหรือเลิก ที่จะรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง จะผลประโยชน์ด้วยอะไรก็แล้วแต่  เห็นแก่ตัวเอง ปล่อยให้เป็นไปตามสัจธรรม ยอมตายให้เถอะ สรุปแล้วคือตัดพี่ ตัดน้อง หรือตัดอะไรทุกอย่าง คุณพร้อมจะทำได้ไหมละ บิ๊กป้อมจะทำได้ไหมละ บิ๊กป้อมทำยากเหมือนกัน

นักข่าว…แล้วสายขาวพ่อท่านว่ายังไงคะ

พ่อครู…ไม่มีสายข่าว อาตมาไม่มีสายข่าว อาตมามีแต่อาตมาคนเดียว ถามอย่างนี้อาตมาก็ตอบได้ ไม่ต้องสายข่าวหรอก อาตมาก็สอบอาตมาว่าเมืองไทยไม่ใช่เมืองไทยไม่ใช่เมืองที่จะ พวกเราก็ตอบของตัวเองนั่นแหละได้ อาตมาว่าเมืองไทยไม่ใช่เป็นเมืองที่จะอับจน เมืองไทยอาตมามั่นใจว่าไม่ใช่เป็นเมืองที่จะอับจน

เมืองไทยเป็นเมืองที่จะเป็นตัวอย่างให้แก่โลกด้วยซ้ำ

นักข่าว…เราคงไม่ต้องมีการไปเดินบนถนนอะไรอีกแล้วใช่ไหมคะ

พ่อครู…เชื่อว่าคงจะไม่ต้อง แต่ถ้าต้องออกไปเดินบนถนนอีก อาตมามั่นใจเลยว่า

โอโห่ คราวนี้ยิ่งใหญ่กว่าไอ้คราวที่เคยมีมานะ อย่างน้อยที่สุดอาตมานี้แหละ เอาก่อนเพื่อน

สู่แดนธรรม…อายุ 90 แล้วก็ไปได้

พ่อครู…ฮูย อาตมา 90 อย่านึกว่า 90 นะ อาตมา 19 นะ โธ่ ดูถูกกัน

นักข่าว…พ่อท่านคะเรื่องของฝ่ายประชานิยมที่โยงมาแต่ละอัน ที่มันล่อใจ โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้เท่าทันนะ

พ่อครู…propaganda หมาเห่าเครื่องบิน เห่าดังเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยินถึงเครื่องบินหรอก ไม่เป็นการกระทบอะไรหรอกหมาเห่า เขาต้องเห่าเพราะเขายังมีชีวิตอยู่

ลมหายใจสุดท้ายก็ต้องเห่า มันก็เห่าๆๆๆอยู่นี้แหละ

นักข่าว…แม้จะวนออกมา อาจจะล่อใจ แต่ไม่ได้ผล

พ่อครู…อาตมาว่านะ ตามภูมิของอาตมานะ

นักข่าว…ตามที่เขาหว่านออกมาละคะ

พ่อครู…อาตมาว่าไม่ได้ผลหรอก แต่เขาต้องทำ หมามันต้องเห่า สุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรจะทำ

นักข่าว…พ่อท่านว่าคุณทักษิณจะได้กลับมาเมืองไทยใน 5 ปี 10 ปี ไหมคะ

 

พ่อครู…ไม่ได้มา เขาไม่กล้ามาติดคุก ไม่ได้มา เขาจะทำอย่างไง ไอ้ที่ศาลตัดสินไว้แล้วว่า เขาต้องมาติดคุกอะ แล้วยังมีคดีที่จะต้องตัดสินอีกไม่รู้กี่คดี

นักข่าว…ถ้าเขาส่งคนมานั่งในสภายกมือเปลี่ยนกฎหมาย

พ่อครู…มันเป็นไปได้ไหมละ ขณะนี้อาตมาดูเหตุปัจจัยมันจริงๆแล้วนี่ ส.ส.ของภูมิใจไทย ก็ไม่ใช่น้อย มีพลัง พลังรวมไทยสร้างชาติ ก็กำลังเด่น กำลังอะไรขึ้นมา

แม้ พปชร.ก็ใช่ว่าจะสูญตาย กึ่งๆกลางๆ เพราะฉะนั้นไม่เป็นปัญหา พปชร.ดีไหน

เฮด้วย

นักข่าว…แล้วพ่อครูว่า พปชร.จะมาจับมือกับเพื่อไทย

พ่อครู…ภูมิใจไทยกับรวมไทยรักษาชาติ 2 อันก็ 2:1 แล้ว พปชร.จับมือกับเพื่อไทย ไม่มีปัญหา เพราะภูมิใจไทยกับรวมไทยรักษาชาติ เป็นอีกฝั่งหนึ่งแล้ว หนาแน่น อยู่แล้ว แล้วยังมีจาก พปชร.เข้ามาอยู่รวมไทยรักษาชาติ แล้วไง ขณะนี้มีอยู่แล้ว ตามที่เรากระแส ที่เราเห็นอยู่แล้ว

นักข่าว…ที่จริงพ่อท่านมองแล้วใช่ไหมคะว่า รัฐบาลหน้าจะประกอบด้วยพรรคอะไรบ้าง

พ่อครู…ก็ดูไรๆ เห็นกันอยู่ ที่เห็นตัวก็มีอยู่เท่านี้ ไมมีปัญหาอะไรนี่

นักข่าว…แล้วสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี่ จะทำให้บ้านเมืองเน่าๆเหม็นๆไปฟ้องชาวโลกแล้วจะทำให้

พ่อครู…เขาจะตกไปในสามเหลี่ยนเบอร์มิวด้าเยอะขึ้น ส่วนพวกที่อยู่นอก สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็จะมากขึ้น ชัดเจนว่าพวกนี้จะสูญหาย เข้าไปใน สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเมื่อไรพวกนี้ก็จะสูญหาย หมดฤทธิ์ หมดแรง หมดอำนาจ

ถูกเก็บว่างั้นเถอะ ถูกเก็บตัวเหมือนอยู่ในคุก เป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ขณะนี้จะว่าไปแล้ว ทักษิณคือคนคุกที่ยังไม่เข้ามาติดคุกเท่านั้นเอง เป็นความจริง อาตมาไม่ใช่พูดเฉยๆ เขาเป็นนักโทษคุก แต่เขายังไม่ยอมเข้าคุก

เพราะฉะนั้นเขาจึงมีความผิด 2 อย่าง 1.เขาเป็นนักโทษติดคุก 2.เขาหนีคุก เห็นไหมเขาเป็น 2 อย่าง ถ้าจะว่าไปอีกแล้ว นอกจากเขาเป็นนักโทษติดคุก 2 เขาหนี้คุก 3.เขาใช้พลังอำนาจอื่นๆที่เขานึกว่าเป็นอำนาจได้เอามาดัน เพื่อที่จะให้ตัวเองนี่ เพิ่มเป็น 3 จุด 1.นักโทษ 2.หนีคุก 3.มีอีกอำนาจหนึ่ง เป็น 3 เส้า ถ้าเขาทำ

3 เส้านี่ได้สำเร็จ ก็จะเกิด cyclic order เกิดพลัง 3 เส้าขึ้นมาหมุนมีพลังได้

แต่อาตมาว่าเขาทำไม่ได้หรอก เขาจะทำอยู่ ขณะนี้ก็คือ พยายามที่สุดที่จะให้ แลนด์สไลด์ เขาก็เชื่อว่าระบบของสภานี่ เขาเคยได้ เขาเคยเผด็จการทางสภาได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงหลงมากเลยว่า เขาส่งไฟฟ้าลงเลือกตั้งก็ได้ ก็เขาส่งเสาไฟฟ้าน้องสาวเขาเข้ามาแล้วไง เสาไฟฟ้าคอนกรีตจริงๆอะ แต่ตัวน้องสาวเขาเอง นึกว่าคอนกรีต เขาเองก็เป็นเสาไฟฟ้าคอนกรีตจริงๆ แต่น้องสาวเขานึกว่าเป็นคอ นก รีด เขานึกว่าเขาเป็นนก แต่เขาเป็นซีเมนต์ เขาไม่รู้ตัว คอนกรีต เขาไม่รู้คอนกรีต อย่างนี้เป็นต้น  เขาก็เลยทำ แล้วมันก็เพลี่ยงพล้ำๆๆ ไปเรื่อยๆ มาถึงวันนี้ความเพลี่ยงพล้ำของคุณทักษิณนี่ เพลี่ยงพล้ำไปถึง 10% ที่อาตมาว่าแล้ว แต่เขาหลงว่าเขายังเกิน 100% เขายังโง่อยู่ตลอดเวลา ปรุงแต่งมาหลอกคน นี่ถ้าเขามาบริหารนี่นะ ค่าแรงงานจะขึ้นไป 800 แต่ลูกสาวเขายังบอกว่าเอา 600 นะ แต่ของเขานะ 800 ไม่มีปัญหาหรอก ก็มันพูดอะไรก็พูดได้ แล้ว 800 นี่นายทุนเขาจะยอมให้คุณหรือ 800 นี่นายทุนเขาอยู่หรือ เขาไม่ยอมคุณหรอก คุณก็พูดเล่นไป คุณนึกว่าคุณเป็นนายทุนคนเดียวอยู่ในประเทศไทยหรือ คุณเข้ามาก็เป็นนายทุนประเทศไทยไม่ได้ที่จริงคุณไม่ใช่นายทุน คณปังทุบหุ้น คุณไม่ใช่นายทุน คุณเป็นนักปั่นหุ้นคุณทักษิณ คุณไม่มีฝีมืออะไรเลย คุณเป็นนายทุนไม่ได้ คุณต้องสร้างอะไรขึ้นมานะ

ต้องเป็นสิ่งจับต้องได้ของเขาสร้างได้ แต่ทักษิณมีลมปากอย่างเดียว เขาอาศัย

ลมๆแล้งทุบหุ้นอย่างเดียวทักษิณนี่

นักข่าว…ถ้าจะให้พ่อท่านฝากอะไรสั้นๆถึงบรรดาแฟนๆที่หวงใยสถานการณ์

เกรงว่าจะเกิดแลนด์สไลด์

พ่อครู…อย่าประมาทๆ ถึงอย่างไรอาตมาก็ฝากว่าถึงอย่างไงมันก็ลอยลำ  ไม่ต้องไปประมาท ไม่ได้  อย่าปล่อยปละละเลย สังวรระวังไปด้วยกันเรื่อยๆแล้วจะดี เอา

อย่างนี้ก็แล้วกัน สังวรระวังไปเรื่อย อย่าประมาท แล้จะดี ทำได้

นักข่าว…อย่างนั้น รบกวนพ่อท่านแค่นี้ ได้ประโยชน์เด็นแล้วคะ ขอบคุณมากคะ

พ่อครู…สาธุ

……………………………………………

 

ที่มา ที่ไป

สัมภาษณ์พ่อครู เช้า 9 ธันวาคม 2565


เวลาบันทึก 03 มกราคม 2566 ( 07:14:37 )

การเมืองไทยต้องดูไปจะได้ไม่เครียด

รายละเอียด

ก็น่าจะจริง ดูแล้วมันสับสนวุ่นวายวนเวียน มันจะออกอย่างไรเหมือนลิงแก้แหตอนนี้ เลยยังไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อยยังไง ดูแล้วก็ โถ! พิธาเอ๋ย วิบากจริงๆหนอ โอ้โห อยากเป็นนายก อุตส่าห์มีองค์ประกอบมีเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยเขาทำตามที่เขาสร้างเครือข่ายเอาไว้ แล้วก็รู้สึกว่าเขาได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว เขาจะได้เป็นนายก เพราะเขาได้คะแนนเยอะ ประชาชนเลือกเขามาคะแนนสูงสุด ซึ่งมันมีเหตุปัจจัยเดียวเมื่อไหร่เล่า เขาบอกว่าอย่าขัดแย้งกับเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน เอามาขู่ด้วยต่างๆนานา นี่มันส่อให้เห็นถึงประชาธิปไตยเมืองไทยว่า ประชาธิปไตยเมืองไทยไม่ใช่เอ็งจะเอาอย่างต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอเมริกามา คะแนนประชาชนเลือกตั้ง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่จะเอามายืนยันได้ประเด็นเดียวเลย นี่แหละต้องเป็นข้ายิ่งใหญ่ที่สุด ประชาชนเลือกตั้งแล้ว การเลือกตั้งเป็นสิ่งพิเศษวิเศษยิ่งใหญ่ ในประชาธิปไตย ขี้หมาเลย 

อาตมาก็จะดู มีคนพยากรณ์แล้วว่าพิธาไม่ได้เป็นหรอกนายก อย่างน้อยก็คุณเปลวคนหนึ่ง แล้วก็จตุพรอีกคน แล้วหลายคนก็พยากรณ์ แต่เปลวกับจตุพรพยากรณ์ว่าไม่ได้เป็นหรอก พิธาไม่ได้เป็นนายก เขาบอกว่ามันจะมีตาอยู่ เอาไปกิน หัวหางกลางปลาย ตาอยู่เอาตรงกลางไปกิน ก็ดูไป นี่เป็นการเมืองประเทศไทย มันละเอียดลออ มันเป็นเรื่องที่อาตมาก็บรรยายไม่เก่ง มันเป็นเรื่องที่ก็ดูๆไปก็แล้วกันเพราะเราชาวดูไปไม่ใช่ชาวดูไบ ไม่ต้องไปเครียดหรอก ก็ดูตามเหตุปัจจัยของมันในโลก 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้มีปัญญาผ่าสุขผ่าทุกข์ วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2566 ( 10:39:25 )

การเมืองไทยบริหารโดยคณะคสช.เป็นการเมือง 2 ขา

รายละเอียด

ตอนนี้ สังคมไทยการเมืองไทย เป็นการบริหารประเทศด้วยคณะคสช. คณะคสช.ไม่ได้เลือกผู้แทน แต่คณะคสช.หรือคณะของพลเอกประยุทธ์ เป็นการเมืองแบบมีส่วนร่วม ไม่ใช่การเมืองแบบผู้แทน การเมืองแบบผู้แทนนั้นเป็นการเมืองขาเดียว ไม่ใช่การเมืองสองขา การเมืองที่มีส่วนร่วมนั้นเป็นการเมือง 2 ขา ส่วนการเมืองที่เป็นแบบผู้แทน เป็นการเมืองที่ ไม่มีใจ มีแต่กาย มีแต่ร่างตื้นๆภายนอก ภายในจิตวิญญาณไม่มี ไม่ลึกซึ้ง ภายในจิตวิญญาณไม่สมบูรณ์แบบ การเมืองขาเดียวนี่

อันนี้อาตมาพยายามยืนยันอธิบาย คนก็ยังไม่เข้าใจ แต่ไปบังคับความเข้าใจคนไม่ได้ เขาจะไม่ค่อยเข้าใจ ระหว่างประชาธิปไตย 2 ขากับประชาธิปไตยขาเดียว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะสองของประชาธิปไตย  วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 11:55:48 )

การเมืองไทยปัจจุบันเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุด

รายละเอียด

ขอวิจารณ์ซ้อนที่พูดถึงสภาพูดถึงนักการเมือง อาตมามองตามประสาภูมิของอาตมานะ จริงใจตามภูมิ การเมืองของไทย ณ ปัจจุบันนี้ เท่าที่เป็นอยู่จริง เป็นการเกิดอยู่จริงเป็นฟีโนมีนอน ปรากฏการณ์จริง ณ ปัจจุบันนี้แหละ status quo เป็นการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุด น่าสงสารก็พวกนักการเมืองทั้งนักการเมืองหัวเก่า ตั้งแต่ยุค 6 ตุลาคม 14 ตุลาคมแล้วก็นักการเมืองใหม่ๆขณะนี้ ยกตัวอย่างก็ธนาธร หรือแม้แต่เจ้าเพนกวิน 

ยังไม่โงหัวขึ้นมาดูความเป็นจริงของประเทศไทย ว่าประเทศไทยนั้นพฤติกรรมของจริงของประเทศไทยเลย ซึ่งบริหารประเทศด้วยคณะ คณะรัฐบาล พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา เป็นประชาธิปไตยที่ทำได้เยี่ยมที่สุด เท่าที่เคยมีมาในโลก ที่เป็นประชาธิปไตย เยี่ยมที่สุดแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติปรากฏได้ในยุคโควิด วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:33:18 )

การเมืองไทยราบรื่นง่ายงามดีมาก

รายละเอียด

คือ   บ้านเมืองทุกวันนี้ของไทยสงบดีมาก จะมีเสียงเห่าบ้าง ก็เป็นเสียงธรรมชาติ เป็นเสียงนกเสียงกา ก็เป็นธรรมดา ธรรมชาติที่จะต้องมีเสียงนกเสียงกา  ส่งเสียงร้องทักทายอย่างนี้ มันก็จะมีมันเหมือนเสียงนกเสียงกา แต่ไม่ผลอะไรหรอก และขอยืนยันว่าเขายิ่งเสีย  ที่เขากำลังร้องแทนที่เขาจะได้ผลดี เขาจะได้ผลเสีย ก็เลยเห็นว่ายิ่งน่าสงสาร เมืองไทยการเมืองทุกวันนี้ กำลังเรียบร้อยราบรื่นง่ายงามดีมาก ประชาธิปไตยจะต้องมีฝ่ายค้านทำหน้าที่คัดค้าน ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วยิ่งจะเห็นว่าเขาคัดค้านกันอย่างเป็นเด็กๆ  innocent  ก็ทำไป  แม้ว่าจะเรียนจบด็อกเตอร์ทางกฎหมายมาทางรัฐศาสตร์มาก็รวมหัวกัน แต่หลงในความหมายของคำว่าประชาธิปไตยตามแบบตะวันตก ตามแบบเทวนิยม ตามแบบทุนนิยม เป็นประชาธิปไตยแบบนั้นซึ่งมันไม่ใช่ประชาธิปไตยของไทย ของไทยนี่แหละประชาธิปไตย  คุณธนาธร  ปิยบุตรเข้าบ้าง แล้วเอาไปตรวจสอบให้ดี  จะได้มีภูมิปัญญารู้บ้างว่า ประชาธิปไตย คืออะไรอย่างที่คุณทำนั้น เป็นเผด็จการ ตามใจข้าอย่างร้อยเปอร์เซนต์เลย  มันไม่ใช่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยนั้น จะมีสัดส่วนการค้านแย้งอย่างได้สัดส่วน ทุกวันนี้ฝ่ายค้านเขาก็ชัดเจนอยู่  เขาก็ไม่ได้โวยวาย  เหมือนพวกคุณหรอก  เขาก็ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านกันอย่างเรียบร้อยดี  ดูลีลาเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีให้ได้เรียนรู้ พฤติกรรมของแต่ละกลุ่มแต่ละพรรคการเมืองของความแตกต่าง  มันมีอยู่ในนี้ มีบริบทของมันครบพร้อม รวมอยู่ในนั้น เห็นว่า คดีความกำลังจะถูกตัดสิน ในเดือน พฤศจิกายน  เขาทำการเมืองแต่ฆ่าตัวเองในทางการเมือง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 12:31:12 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 05:11:32 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:23:09 )

การเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยที่ดีเยี่ยมของโลก

รายละเอียด

ในยุคนี้พฤติกรรมการเมืองของไทย เรื่องเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ก็ดี มันเป็นอย่างไร มันจะดีกว่านี้อย่างไร ก็ต้องคิดถึงคำว่าเศรษฐศาสตร์ คำว่ารัฐศาสตร์ก็ตาม รัฐศาสตร์คือการบริหาร การบริหารดูแลปกครอง เพื่อที่จะให้เกิดความสงบ อยู่ดีกินดี ก็มาอยู่ดีกินดีหมายถึงเศรษฐศาสตร์ ประกอบกับของรัฐศาสตร์ก็ทำอยู่ ที่นี้เศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ ประเทศไทยก็ตามรัฐศาสตร์หรือการเมือง อาตมาก็ขอบอก พูดไปไม่รู้กี่ทีว่าลงตัวแล้ว การเมืองไทยทุกวันนี้เป็นประชาธิปไตยที่ดีเยี่ยมของโลก ลงตัวแล้ว ตั้งแต่คนยังไม่เข้าใจ พูดไปแล้วก็เหมือนกับเรารื้อฟื้นเอาดีใส่ตัว เพราะอาตมาไปร่วมเป็นประชาชนทำรัฐประหารประเทศไทย ทำรัฐประหาร ประเทศไทย พูดอย่างชัดเจนดูเหมือนใหญ่จริงๆ ประหารรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยิ่งใหญ่มาก ประหารด้วยความสงบเรียบร้อยไม่ใช้อาวุธ ใช้ความจริง ใช้ความใจเย็น ใช้ความยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ ตามวิธีการประเสริฐของประชาธิปไตย จนชนะมาหมดเลยเรียบร้อย ลงท้ายเอาพลเอกประยุทธ์มารับหน้าที่บริหารปกครองจากประชาชน ประชาชนมาปฏิวัติรัฐประหารเรียบร้อยหมดแล้ว พลเอกประยุทธ์มารับหน้าที่ แล้วคนไม่รู้จักรัฐศาสตร์ไม่รู้จักประชาธิปไตย ไม่รู้จักการปฏิวัติของประชาชน ก็ไม่รู้ว่าประชาชนปฏิวัติแล้ว พลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อ เข้าไปบริหาร ประชาชนก็ไม่ได้ประท้วงพลเอกประยุทธ์ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2563 ( 10:49:43 )

การเมืองไทยเป็นอเทวนิยมที่ไม่เหมือนประเทศใดในโลก

รายละเอียด

ประเด็นที่อาตมาว่าจะตอบก็คือ เรื่องการเมือง เรื่องต่างชาติ คำว่า การเมือง นี้นะ  โดยเฉพาะคำว่าที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกตอนนี้คือคำว่า ประชาธิปไตย ซึ่งมันมีหลายอย่าง การเมืองประชาธิปไตยการเมืองคอมมิวนิสต์ การเมืองสังคมนิยม การเมืองเผด็จการอะไรพวกนี้ เพราะฉะนั้นคำว่า การเมือง และเรียกเจาะจงลงไปว่าประชาธิปไตย มันเป็นการสร้าง Concept ไทยเป็นอเทวนิยม เป็นพุทธ มีโลกุตระ แม้จะเข้าใจโลกุตรธรรมไม่มากเพราะชาวพุทธเสื่อมไปจากโลกุตรธรรมไปเยอะแล้ว แต่มันเป็น Concept ที่เข้าใจประชาธิปไตยแบบนี้แหละ แบบที่มีราก มีมูล มี root ของธาตุจิต ซึ่งมันเกี่ยวกับ DNA เกี่ยวกับความรู้ความเห็น เกี่ยวกับทิฏฐิด้วย ซึ่งมันไม่เหมือนใครหรอก 

พวกที่ไปเรียนประเทศนอก ไปติดแสดประเทศนอก(ติดแสดเป็นภาษาอีสาน) ไปรับเอาอิทธิพลของประเทศนอกเข้ามา อย่างที่เป็นทุกวันนี้ ไปลากเอาความเป็นประชาธิปไตยตาม Concept ของตะวันตก ชัดๆก็คือเป็น Concept ของโลกียะ เป็น Concept ของพระเจ้า ไม่มีเชื้อของโลกุตรธรรมเลย แล้วจะพยายามเอามายัดเยียดใส่ประเทศไทยนานแล้ว ตั้งแต่โน่นแหละ ที่เขาจะเอาให้ได้อย่างเก่งก็คือ จะเอาพระเจ้าแผ่นดินลงไป อย่างน้อย 90 กว่าปีมาแล้ว ตั้งแต่ 2475 ทำไปก็ได้ขนาดนี้ เขาทำมาเรื่อยๆ แต่ละคนแต่ละคนตายไป ถูกประหารชีวิตไป ออกนอกประเทศกันไปเยอะแยะ จนป่านนี้ยังไม่สำเร็จ และจะไม่สำเร็จ นี่คือเรื่องการเมืองของประเทศไทย จะสำเร็จได้ก็เพราะ คุณเปลี่ยนตัวคุณที่จะมาทำการเปลี่ยนแปลงซะ แล้วการเปลี่ยนแปลงตัวคุณไปได้ นั่นสำเร็จ อย่ามาเปลี่ยนแกนของประเทศไทย ให้กลายเป็นประชาธิปไตยแบบที่คุณคิด ให้ไม่เป็นประชาธิปไตยที่เมืองไทยได้อนุโลมแล้วว่าเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นี่ก็ลงตัวดีแล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสขยายความอันนี้ไว้ว่า คือราชประชาสมาสัย หมายความว่า ทั้งราชะ ทั้งประชาชน อาศัยซึ่งกันและกัน ขยายความกันบ้างแล้วว่า

คุณฟังธรรมมีอานิสงส์ 5 ประการ จริง เพราะอาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า ทำอย่างไรก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ไม่นอกทาง ราชประชาสมาสัย เขาขยายความ เป็นว่า ในหลวง พระเจ้าแผ่นดิน ราชะ ก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ มวลประชาชนของประเทศก็เป็นรัฎฐาธิปัตย์ โดยการใช้ระบบแบบสากล เลือกผู้นำของมวลประชาชนที่เรียกว่านายก ให้มีนายกเป็นผู้นำมวลประชาชน นี่เป็นสามัญสากลที่ทำ แต่ทีนี้อาตมาดูแล้วเหมือนเด็กๆทำการเมือง อาตมามองเห็นเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาตมามองเห็นว่าพวกนักการเมือง พวกที่มีความคิดทางการเมือง อย่างอีเดียดหรือยิ่งกว่า innocent อีก ถึงขั้นอีเดียดเลยเหมือนพิธา โดยไปหลงแบบการเมืองขาเดียว คือไม่ประสีประสากันเลยกับการเมืองขาเดียว แล้วจะมาล้างกันอย่างที่เห็นๆว่าเจตนารมณ์คืออย่างไรเจตนารมณ์ของพิธา 

แล้วก็มีแนวคิดคล้ายๆกับพิธามาหลายผู้หลายคน แล้วมันไม่สำเร็จหรอก 91 ปีมาแล้ว อาตมาไม่พยากรณ์หรอก อาตมาว่า ตราบใดที่ศาสนาพุทธยังไม่หมดไป ไม่สิ้นไปในประเทศไทย คุณจะทำอย่างที่ว่านั้นไม่ได้หรอก แต่คนจะยังไม่นึกถึงหรอก เพราะสัจจะที่มันฝังรากลงไปในจิตวิญญาณมนุษย์ คนที่เป็นเทวนิยมเขาไม่เข้าใจ แต่ศาสนาพุทธโลกุตรธรรมนั้น จิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง เพราะฉะนั้นมันฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของคนไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นจิตวิญญาณของมวลประชาชน จะเห็นได้ว่า ในประเทศอื่นเขาไม่เห็นจะมีใครเขามาสรรเสริญ ทรงพระเจริญๆอย่างเมืองไทยซึ่งมันไม่มี อาตมาไม่เห็นประเทศไหนๆเขาก็ไม่มี ประเทศที่มีพระเจ้าแผ่นดินก็มีตั้งเยอะแยะในโลกปัจจุบันนี้ก็ยังมีตั้งเยอะ เป็นประชาธิปไตยหรือแม้จะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เกือบหมดแล้ว ซึ่งมันไปเกิดอยู่ที่เกาหลีเหนือนู่น เกาหลีเหนือนั้นเป็นทั้งพระเจ้าแผ่นดิน เป็นทั้งประธานาธิบดี เป็นทั้งนายกเสร็จหมดเลย เกาหลีเหนือเหมาเข่งหมดเลย 

คล้ายๆกันกับที่เขมรก็ใกล้เข้ามา แต่มาในรูปที่ดูเนียนกว่า เพราะฉะนั้นในเรื่องของการเมืองต่างชาติ กับการเมืองของประเทศไทยนั้น  อาตมาขอยืนยันว่า การเมืองของประเทศไทยเป็นการเมืองของดูไป การเมืองของประเทศไทยจะไม่เป็นการเมืองแบบดูไบ ใช้แสลงๆมาอธิบายธรรมะ ดูไบคืออะไร ศาสนาดูไบ คือศาสนาที่เขาร่ำรวย ศาสนาที่เขามีทรัพยากร อันนี้เป็นเรื่อง อจินไตย เป็นเรื่องที่เขามีทรัพยากรธรรมชาติ และเขาก็ได้ครอบครองทรัพยากรธรรมชาติทองดำ(น้ำมัน)เยอะจริงๆ เขาจะอยู่ในหอคอยงาช้างที่ใช้เงินเป็นหลัก ทำงานอะไรก็ไม่เป็น รู้แต่ว่าจะบริหารให้อำนาจของตนเองสิ่งที่ตัวเองครองบัลลังก์อยู่นี้ดียังไงแค่นั้นเอง แล้วก็เป็นความรู้ทางด้านจิตวิญญาณ พูดกันไม่รู้เรื่อง อย่าไปพูดถึงว่าจะต้องอธิบายเลยอธิบายยังไงก็ไม่ได้หรอก เพราะพูดอย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเขาอยู่ในกรอบความคิดของพระเจ้าเขาเท่านั้น 

ทุกวันนี้ แม้แต่ในศาสนาคริสต์ หลายลัทธิหลายนิกายเขาบอกว่าพระเจ้าตายไปแล้ว เขาพูดอย่างนั้นไม่ใช่อาตมาพูดนะ ถึงอย่างนั้นเลย มันหมายความว่ามันหมดแล้ว ความเป็นพระเจ้าไม่มีกับศาสนาเทวนิยม ศาสนาเทวนิยมมีตั้งเท่าไหร่ในโลก แม้แต่ในศาสนาที่บอกว่าเป็นศาสนาอเทวนิยมก็ตาม ก็ยังมีเทวะอยู่ในนี้ตั้งเท่าไหร่ ที่หลงความเป็นเทวะ หลงที่เป็นวิญญาณล่องลอย วิญญาณที่เอามาจัดการไม่ได้เพราะไม่อยู่ในความเป็นวิญญาณจริง มันเป็นวิญญาณสัมภเวสีอยู่ในภพชาติอะไรก็ไม่รู้ ดีไม่ดีไปนั่งหลับตาให้วิญญาณเป็นสัมภเวสีเอง ทั้งๆที่ธรรมชาติมันก็ให้วิญญาณอยู่กับตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วมีสัมปชัญญะเต็มร้อยควบคุม 

พระพุทธเจ้าจึงมีหลัก สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ อย่าว่าแต่เรื่องกินอาหารอะไรเลย เรื่องอื่นๆก็ต้องมีชาคริยานุโยคะ หรือเรื่องอื่นๆ คุณก็เป็นทาส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมด ไม่ใช่เฉพาะเรื่องอาหาร เรื่องอะไรทั้งหลายแหล่ เรื่องขี้หมาทาสีคุณก็หลงเลอะไปได้หมด แล้วคุณจะเรียนรู้อย่างไร ถ้า อปัณณกปฏิปทา 3 นี้ไม่มีศาสนาพุทธ ไม่มีอย่างที่ท่านตรัสไว้ อปัณกะ ถ้าไม่มีหลัก 3 อย่างนี้ไม่ใช่พุทธ โดยเฉพาะมีหลัก 3 อย่างนี้ต้องมีศีลเป็นหัวข้อหลัก แล้วปฏิบัติ 3 อย่างนี้ไปตามลำดับ ในความเป็นเกี่ยวกับสัตว์ไปตั้งแต่ต้นๆ 

อาตมาพูดตรงนี้หลายทีก็ยังนึกว่าตัวเองไม่เก่งเลย ขยายความความเป็นสัตว์ให้แก่คนในยุคนี้รู้ อย่าว่าแต่สัตว์เลย ความเป็นกายก็สูญ เกือบสูญไปจนสิ้น เพราะฉะนั้นอย่าไปพูดถึงบุญเลย บุญนั้นคือ พลังงานที่คุณมีสัมมาทิฏฐิสามารถสร้างพลังงานตัวนี้มากำจัดกิเลสได้ กายก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิ มันจะไปเป็นบุญขี้หมาได้อย่างไร บุญแค่ขี้หมายังไม่ได้เลย แล้วจะเป็นบุญเนื้อแท้ไม่ใช่ขี้หมาได้อย่างไร อธิบายธรรมะอย่างโพธิรักษ์นะ ฟังแล้วรู้เรื่องไหม เข้าใจดีด้วยนะอาตมาว่าเข้าใจชัดขึ้น เพราะฉะนั้นในสัจธรรมต่างๆที่อาตมาทำงานอยู่ทุกวันนี้ พูดอะไรก็ได้ มันมีผิดอยู่ในนั้นที่จะจี้ลงไปได้หมด พูดถึงขี้หมาขี้หมูอะไรก็มีสิ่งที่ผิด พูดถึงทองคำ พูดถึงเพชรนิลจินดา พูดถึงลาภยศ ยิ่งสะเทือนเลื่อนลั่นเลย ยิ่งพูดถึง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็ยิ่งสะเทือนเลื่อนลั่น

ถ้าลาภก็ดี ไม่มัวเมาซับซ้อนตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองหลงลาภ อย่างมหาบัว ก็ตายไปกับดอลลาร์ ตายไปกับทองคำนะ ได้มาเท่าไหร่ใส่คลังของประเทศชาติเอาไว้ แล้วก็ได้รับความยอมรับ จนกระทั่ง..ขอเถอะ อาตมาไม่พูดยาวกว่านี้ เพราะมันล่อแหลม ผิดกฎหมาย อาตมาก็ไม่พูดต่อ มหาบัวหลงถึงขนาดนั้น แล้วอาตมาก็เห็นว่า สิ่งที่มันมาฉุดศาสนาพุทธ ฉุดธรรมะของพุทธ มันได้ถึงขั้นมหาบัวมาทำอย่างนี้ อาตมาถึงบอกว่ามันยากจริงๆ

คุณอย่าเพิ่งชมอาตมา คุณหามาชมเยอะแล้ว ต่อไปคุณจะหาคำมาชมอาตมาไม่ได้อีก ฟังอาตมาไปเรื่อยๆดีกว่านะ แล้วคุณจะรู้ว่าอาตมาคือใคร อย่าเพิ่งชม เพราะฉะนั้นในเรื่องของการเมืองนี้ เมืองไทยจะเอาไปเปรียบเทียบกับการเมืองประเทศอื่นใด มันเป็น Concept ของแต่ละหมู่ แต่ละกลุ่ม แต่ละประเทศ อาตมาสงสารคนไทย ที่ไปเข้าใจประชาธิปไตยแบบสหรัฐ ประชาธิปไตยขาเก อาตมาสงสารจริงๆ ไม่รู้จะไปบอกเขาได้อย่างไร เพราะเขาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น เขาเห็นว่าประชาธิปไตยแบบสหรัฐฯ เป็นประชาธิปไตยที่อิสรเสรีภาพ โดยไปยกประเด็นเอาความเป็นหนึ่งเหมือนเทวนิยม ยกพระเจ้าเป็นหนึ่ง ประชาธิปไตยก็เป็นนัยยะคล้ายกัน 

เขาไปทำความเป็นหนึ่งในรูปของการเลือกตั้ง ในรูปของประธานาธิบดี เพื่อมายืนยันว่าหนึ่งอันนี้คือประชาชนนะจ๊ะ ไม่ได้มีขั้นชั้นเลยนะ บอกว่านี่คืออิสรเสรีภาพสูงสุดนะ หนึ่งนี้ไม่มีขั้นชั้นเลย คุณไปดูซิ ที่นอนเกลื่อนอยู่ข้างถนน ที่ไม่มีที่อยู่ในอเมริกา คุณไปดูสิ แล้วพวกคุณที่เป็นไฮโซทั้งลาภยศ ลาภก็ตาม ยศก็ตาม อำนาจบาตรใหญ่ก็ตาม คุณไปดูสิความแตกต่างช่องว่างระหว่างอเมริกันด้วยกันเอง คุณไปดูสิ ช่องว่างเขาห่างยิ่งกว่าชาวอินเดีย อินเดียนั้นระบุเลยนะว่าคุณต้องเป็นอย่างนี้แล้วก็ฟิกซ์ไว้ พราหมณ์ กษัตริย์  แพทย์   สูท เขาก็ฟิกซ์หมดแล้ว แต่อันนู้นยังไม่ฟิกซ์เลย ยังจะเลื่อนไปอีกเหยียบกันลงไปอีกได้ตั้งเท่าไหร่ 

ไปศึกษาไม่เสียหายถ้าพวกเราจะเอาความรู้เสริม เหมือนอย่างชาวอโศกให้ไปศึกษาความรู้ทางโลก ปริญญาตรี โท เอกก็ไป แต่เราไม่ได้ไปหลงใหลกับตรี โท เอก ที่จะต้องเอาขั้นตอนอันนี้ไปสัมพันธ์กับทางสังคมข้างนอกเขา เพื่อที่จะไปเอาส่วนที่ควรจะได้เหมือนอย่างโลกเขาได้ นี่ฉันเป็นปริญญาตรีโทเอกนะ ได้แล้วก็เอามาอยู่ในนี้ ก็เหมือนเดิม เหมือนกับคนที่ไม่มีปริญญาตรี โท เอกอะไร แต่มันมีความรู้ไหมมีความสัมพันธ์ไหม นี่พยายามจะให้ผู้ใหญ่บ้านจบปริญญาโท ปริญญาเอกไป แต่ก่อนชาวบ้านราช ผู้ใหญ่บ้านเป็นปริญญาเอกผ่านไป 2 คนแล้วนะ ราชธานีอโศกนี้ผู้ใหญ่บ้านเป็นปริญญาเอก 2 คนผ่านไปแล้ว ใครจะเป็นปริญญาเอกที่เป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 3 หรือ 4 ก็ไม่รู้นะ ตอนนี้ผู้ใหญ่บ้านกำลังทำปริญญาโทอยู่ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #33  ถ้าไม่เรียนรู้สุขทุกข์ ก็สั่งสมบาปอยู่ทุกลมหายใจ วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8(2) ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2566 ( 19:08:15 )

การเมืองไทยในขณะนี้รุ่งเรืองที่สุด

รายละเอียด

เข้าสู่การเมืองในเมืองไทยในขณะนี้ ในเมืองไทย อาตมาเห็นว่ารุ่งเรืองที่สุด อาจจะขัดแย้งกับใสนะ ขออภัย อาตมาขอเรียกด้วยความสนิทสนมก็แล้วกัน ว่า อาตมามองอย่างไรว่า รุ่งเรืองที่สุด ก็ขอบอกความเห็นของอาตมาสู่ฟัง จะขัดแย้งกับคุณก็ได้ แน่นอน เชื่อว่าขัดแย้ง 

อาตมามองเห็นว่า ตอนนี้เป็นเรื่องจริงๆ เป็นเรื่องพฤติกรรมจริงของนายกประยุทธ์ นายกที่เขาเรียก ลุงตู่ กันทั่วบ้านทั่วเมืองไทย มันเป็นความสนิทใจนะเรียก ลุงตู่ เป็นเรื่องลึกซึ้งของจิตวิญญาณ 

ขณะนี้ลุงตู่เอง ได้ประพฤติปฏิบัติมาบริหารประเทศมา 8 ปี เป็นการยืนยันครบเทอมตามกฎหมาย มีอะไรต่างๆนานา แล้วพฤติกรรมก็ยังไม่ได้ลดหย่อน พอมาถึงเอเปค ก็ยิ่งชัดเจนใหญ่เลยว่า ประสบความสำเร็จในการเชื่อมโยง ประเทศมี 21 ประเทศนั่นแหละ 

เชื่อมโยงในวิถีของสังคม วิถีของมนุษยชาติ อาตมาก็เห็นว่า ได้รับความสำเร็จ แม้แต่ยุคของทักษิณก็มีการประชุมเอเปค จัดไปแล้ว คราวนี้ของประยุทธ์นี้ได้ผลมากกว่ากัน ได้ผลที่มีการเชื่อมโยงได้สนิท ที่จะเริ่มต้นมีการทำงานร่วมกัน ประสานกันกับประเทศต่างๆเข้ามา ในกลุ่มเอเปคนี้ 

ซึ่งเมื่อกลุ่มเอเปครวมกัน มันจะเป็นพลังงานสร้างสรรค์ ทางวัฒนธรรมเข้าไปอีก มันจะลึกซึ้งซับซ้อนอย่างนี้ มันจะเริ่มดำเนินขึ้นมา เริ่มตั้งแต่กลุ่ม 20 กว่าประเทศนี้ จะพัฒนาขึ้นมาเกิดปรากฏการณ์ แล้วในยุคนี้เป็นยุคที่เร็วด้วย เพราะสื่อสารสนเทศต่างๆมันเร็วมาก และมันมีประสิทธิภาพไม่ช้าเลย ประสิทธิภาพและมีเนื้อหาด้วย มันจะเกิดผลขึ้นมาทีเดียว 

ฉะนั้นตอนนี้เราจะพูดไปก่อน อาตมาก็ไม่อยากจะพูดไปก่อน แต่อาตมามองเห็น ตามประสาตามภูมิปัญญาอาตมามองเห็นว่า เออ.. มันเริ่มต้นแล้ว คนเขาจริงใจที่มาร่วม ไม่ใช่มาเสแสร้ง 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 3 พ่อครูพบ ดร.สุริยะใส กตะศิลา วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2565 ( 19:20:19 )

การเริ่มต้นของ ฌาน 4

รายละเอียด

คือ ฌานต้องมีวิตก  วิจาร  ฌานต้องมีธรรมวิจัย สัมโพชฌงค์  ต้องมีการรู้จัก  ตักกะ วิตักกะ  มันดำริมาแล้วเกิดกิเลสกาม พยาบาท ร่วมด้วยหรือเปล่า แยกให้ออกต้องวิจารให้ออก  มีธรรมวิจัย สัมโพชฌงค์  วิจัยจับอาการแยกกิเลสให้ได้  แล้วคุณก็ต้องเรียนรู้ วิธีทำลายกิเลส  วิธีทำลายที่ลึกซึ้งสูงส่ง ด้วยไตรลักษณ์นี้  ต้องเห็นความจริงว่า  มันไม่ใช่ของเที่ยง  มันไม่ใช่ของแท้ มันไม่ใช่ของจริง  แต่กิเลสมันเหตุแห่งทุกข์  คือเหตุแห่งทุกข์ก็แล้วแต่  การเห็นความทุกข์เป็นความสุขนั้น เป็นวิปลาส  4  เห็นความไม่มีตัวตนว่าเป็นตัวตน เป็นต้น   ในวิปลาส เห็นความไม่งาม  ว่าเป็นความงาม  ผู้ที่เกิดปัญญาเห็นความไม่เที่ยง  เห็นความทุกข์ และถึงความไม่มีตัวตน เป็นอนัตตา  เป็นสิ่งสูงสุด  ปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าก็จะได้ปัญญา

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 13:50:28 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:31:00 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:23:49 )

การเริ่มต้นคืบคลานมาสู่โลกโลกุตระ

รายละเอียด

ของ หมอสันต์  ใจยอดศิลป์…เป็นคำตอบที่น่าสนใจมากในแง่คิด และมุมมอง ที่ไม่ใช่นักวิชาการตามตำราด้านเศรษศาสตร์…แต่ มาจากการกระเทาะเปลือกจากความจริงที่มีประสบการณ์มาก่อน…อย่างตรงไปตรงมา

  1. โควิด 19 จะจบเมื่อไหร่ การจะวางแผนอนาคต  มันหลีกเลี่ยงไม่ได้  ที่จะต้องเดาปัจจัยบางตัว  ที่ไม่มีใครรู้ความจริงสักคนก่อน นั่นคือ  เรื่องโควิด19 นี้  จะใช้เวลานานเท่าใดจึงจะจบ ทางรัฐบาล พวกนักธุรกิจ คนเล่นหุ้น คนค้าขาย ต่างหวังกันว่าสองสามเดือนมันคงจะจบ แต่ว่าอย่าลืมว่า  เรื่องนี้เป็นเรื่องของ “โรค” นะ แล้วใครละที่รู้เรื่องโรคดี คุณเคยได้ยินหมอคนไหนพูดบ้างไหมว่า  อีกสามเดือนโรคโควิด19 จะจบ ถ้าจะให้หมอสันต์เดา  เรื่องในประเทศอีกไม่กี่เดือนอาจจะจบได้จริง  ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ร่วมมือกัน  แต่เรื่องจะเปิดประเทศให้คนเดินทางเข้าออกได้  ให้คนต่างชาติเดินทางเข้ามาเมืองไทยได้  ผมว่าให้คุณมองไปที่ 18 เดือน ทั้งนี้ ผมเดาเอาจากการ คาดการณ์ของคณะกรรมการพัฒนาวัคซีนร่วม  ของกลุ่มประเทศยุโรป ว่า กว่าจะได้วัคซีน จะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน ที่ต้องรอวัคซีน  ก็เพราะในยุโรปและอเมริกา เชื้อได้ระบาดเกินจุดที่จะไล่ตะครุบได้ทันเสียแล้ว  ต้องรอวัคซีนลูกเดียว

  2. สภาพการทำมาหากินทั่วไปมันจะเป็นอย่างไร คราวนี้เรามาพูดถึงเรื่องการจะทำมาหากิน  ตรงนี้ก็จำเป็นต้องเดาอีก  ไม่งั้นวางแผนอนาคตไม่ได้  คราวนี้ผมต้องเดาเรื่องที่ผมไม่ได้เรียนมา วิธีเดา  ผมก็เดาเอาจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆในอเมริกา ณ วันนี้  ซึ่งไม่ได้เป็นข้อมูลเชิงลึกอะไร  ผมก็แค่อ่านเอาจากนิตยสารไทม์  ที่ผมบอกรับเป็นสมาชิกมาหลายสิบปีแล้วเท่านั้น  สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ  เห็นๆแล้ว มีดังนี้

(1) คนอเมริกันถูกให้ทำงานอยู่ที่บ้าน 70 ล้านคน แปลว่า  คนเหล่านี้ต่อไปส่วนหนึ่ง  จะไม่มีงานทำ  เพราะงานที่ทำที่บ้านได้  ก็รู้ๆก้นอยู่ว่า  มันไม่ใช่งานจำเป็นเสียทั้งหมด

(2) คนอเมริกันสิบกว่าล้านคน  ยื่นขอเงินเดือนคนว่างงาน  แปลว่า  พวกนี้ตกงานไปเรียบร้อยแล้ว

 (3) ตลาดหุ้นได้ตกจากราว 29,000 จุดเหลือราว 20,000 จุด คือ  ตกบ้าเลือด  ยิ่งกว่ายุควิกกฤติแฮมเบอร์เก้อร์เมื่อปี 2008

 (4) รัฐบาลแจกเงินแก้ปัญหาไปแล้ว 2 ล้านล้านเหรียญ  แต่ไม่พอ หนังสือพิมพ์ไทม์  เคาะตัวเลขว่าต้องใช้ราว 6 ล้านล้านเหรียญ  จึงจะกู้เศรษฐกิจได้ ซึ่งรัฐบาล  คงต้องทำอย่างนั้นแหงๆ  อันจะมีผลให้เงินดอลล่าร์  กลายเป็นแบงค์กงเต๊ก

 (5) รัฐบาลออกกฎหมายอุ้มแบงค์  ชนิดที่ว่าไม่ต้องมีเงินสำรองไว้กับธนาคารกลางก็ได้  และ  ธนาคารกลางได้เข้าไปซื้อสินทรัพย์ขี้หมาของแบงค์ไว้หมด  แปลไทยเป็นไทย  ก็คือระบบธนาคารของสหรัฐ  น่าจะเจ๊งกะบ๊งไปแล้วเรียบร้อย  ทั้งระบบ แต่รัฐเอาเงินภาษีไปอุ้มไว้  เพราะกลัวสังคมปั่นป่วน

 (6) ร้านรวงบริษัทห้างร้านในอเมริกาตอนนี้  ปิดเกือบหมด  เพราะไม่มีคนซื้อ เครื่องบินหยุดบิน เรือหยุดออก รถโดยสารส่วนใหญ่หยุดวิ่ง ทั้งหมด ที่เกิดที่อเมริกาวันนี้  คือ สิ่งที่จะเกิดกับเมืองไทย ในวันพรุ่งนี้ รายละเอียด ผมขออนุญาตไม่ล้วงลึก  เพราะมันไม่สร้างสรรค์ ผมพูดได้แต่ว่า ต่อแต่นี้ไป ในโลกใบนี้  ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม บริษัทที่จะเจ๊งไปรอบนี้  จะมีจำนวนมาก  และ ในบรรดาที่เจ๊ง  จะมีจำนวนมาก  ที่จะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว คือไปแล้วไปเลย สวีวี่วี  อาชีพหลายอาชีพจะหายไป อาชีพใหม่ๆแปลกๆจะเกิดขึ้นแทน  สิ่งที่แน่นอนมีอย่างเดียวคือ..ความไม่แน่นอน

  1. คราวนี้มาวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน สมัยหนุ่มๆ ผมเคยตั้งบริษัททำธุรกิจมาสองสามบริษัท กำไรบ้าง เจ๊งบ้าง (ส่วนใหญ่เจ๊ง) และ มีอยู่ช่วงหนึ่ง ต้องดูแลบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องลงหลุม (คือเจ๊ง และ ขอพักการชำระหนี้) หากเอาความรู้เก่ามาสมมุติ สิ่งที่ต้องทำในปัจจุบัน ถ้า 

(1) สินทรัพย์มีพอๆกับหนี้สิน แต่เป็นสินทรัพย์  ที่แปลงเป็นเงินสดยาก ไม่ว่าจะเป็นคอนโด หรือรถยนต์

(2) ขาดสภาพคล่อง มีเงินสด แค่ห้าหมื่นกว่าบาท (แต่ไม่แปลกนะ คนไข้ของผม ที่ทำงานกับตัวเลขพวกนี้บอกผมว่า คนไทย 80% มีเงินสดอยู่ในแบงค์ต่ำกว่าห้าหมื่นบาท)

 (3) รายจ่ายมากกว่ารายได้ พูดแบบบ้านๆก็คือ  ธุรกิจกำลังขาดทุนอยู่ทุกวัน

ถ้าเป็นธุรกิจ แนวทางการแก้ปัญหาก็คงไม่ยาก 

(1) คือรักษาสภาพคล่องสุดชีวิต 

(2) ลดรายจ่ายจนเลือดหยุดไหล 

(3) ประนอมหนี้ 

(4) ชลอการชำระหนี้ 

(5) ขายสินทรัพย์มาเสริมสภาพคล่อง 

(6) แล้วค่อยๆสร้างรายได้ทีละเล็กทีละน้อย แบบค่อยๆคลานขึ้นมาใหม่ 

(7) ถ้าไปไม่รอด ก็ชักดาบหนี้ ลงหลุม รอเทวดามาทำ rehab ถ้าเทวดาไม่มาก็ล้มละลายไป

  1. คำแนะนำคือ..กลับไปตั้งต้นใหม่ แม้จะเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ใช่นักธุรกิจ การแก้ปัญหา ก็ทำแบบเดียวกัน ผมแนะนำคุณว่า

 4.1 เปลี่ยนแนวทางชีวิตใหม่ เอาความสุขสงบของชีวิตครอบครัวที่ได้อยู่กันพร้อมหน้า  เป็นเป้าหมายของชีวิต  ไม่ใช่เอาการร่ำรวยเงินทองเป็นเป้าหมายของชีวิต  เพราะเมื่อเงินกลายเป็นเงินกงเต๊ก  มันก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่แล้ว

4.2 ให้คุณยึดกุมสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิต 4 อย่าง คือ 

(1) มีที่อยู่ของตัวเองที่ไม่ต้องเช่าเขา 

(2) มีอาหารดีกินในรูปแบบที่ไม่ต้องแพง 

(3) มีสุขภาพดี 

(4) ได้ใช้ชีวิตไปทีละขณะอย่างสงบเย็น

4.3 ผมคาดหมายว่า  บริษัทของคุณจะเจ๊งค่อนข้างแน่  เพราะขนาดบริษัทโบอิ้ง อันใหญ่โตอัครฐานยังจะเจ๊งเลย  ถ้ารัฐบาลอเมริกันไม่อุ้ม  ต้องเจ๊งแหงๆ ดังนั้น ให้คุณวางแผนขายสมบัติ ทั้งหุ้น คอนโด รถยนต์ ข้าวของเครื่องใช้อะไรขายได้ขายหมด  รีบขายซะตอนนี้  ก่อนที่ในตลาดจะมีแต่คนเปิดท้ายขายของ ขายทางเน็ทก็ได้  อย่างเช่นรองเท้า มีสิบคู่  ขายถูกๆทิ้งเสียเก้าคู่ แล้วเก็บเงินสดกล้บไปอยู่บ้านนอก  หุ้นก็ขายเสียด้วย  อย่าลืม คุณอย่าไปอาลัยอาวรณ์กับหุ้น  และอย่าไปเชื่อที่คนเขาว่า  มันจะตกเล็กๆแค่เป็นตัว J ไม่ใช่ตัว U หัวกลับคนพูดอย่างนั้น  แสดงว่า  เกิดไม่ทันการเล่นหุ้นยุคซัดดัม (สงครามอเมริกากับอิรัก) แต่ผมว่ามันจะเป็นตัว U หัวกลับ ไม่ใช่ U ธรรมดา แบบท้องช้างด้วย คือเป็นตัว U แบบท้องงูเหลือมเลยทีเดียว ขายทิ้งไปก่อน  วันหน้าพอโควิด19 จบ  คุณอยากซื้อใหม่ก็ซื้อได้  ได้ของดีกว่า และถูกกว่าตอนนี้เสียอีก ตอนนี้ให้สงวนเงินสดสุดชีวิต หนี้ที่ติดผ่อนรถ และคอนโดอยู่  ก็ไม่ต้องชำระเขาตรงเป๊ะๆหรอก  อิดๆออดๆบ้าง กระบิดกระบวนบ้าง  คือ จ่ายให้ช้าลง  หรือบางเดือนขอจ่ายครึ่งเดียว  บางเดือนขาด  แต่อย่าชักดาบ แบบหายหน้าไปเลย แค่ตะแบงก็พอ  ปะจังหวะเหมาะๆ  ก็ขอตั้งโต๊ะเจรจาประนอมหนี้  ไม่แน่นะ  ต่อไปรัฐบาล อาจจะออกซอฟท์โลนมา ให้คุณชำระหนี้ดอกแพง พวกนี้ก็ได้  ตอนนี้ก็เห็นว่า  เริ่มออกซอฟท์โลนดอกต่ำระดับ 0.1%  ผ่านแบงค์ออมสินมาแล้ว  เพียงแต่ว่า  ออกให้แบงค์พานิชย์ไปปล่อยกู้ต่อที่ 2%  เพื่อให้แบงค์พานิชย์อยู่ได้  ไม่พากันเจ๊งไปเสียก่อน ต่อไปอาจจะมีซอฟท์โลน  ให้คนขู่จะทิ้งบ้านก็ได้  ดังนั้น  ถ้าขายคอนโดยังไม่ได้ก็ให้คุณใช้วิธีตะแบงหนี้  รอจังหวะไปก่อน  ส่วนรถยนต์นั้น..ด้วยความเคารพ ขายทิ้งได้เร็วเท่าไหร่  ยิ่งดีเท่านั้น ไปอยู่บ้านนอก  แล้วก็ให้สร้างที่อยู่ง่ายๆ  แบบเพิงพักขึ้นมาในที่ดินที่มีอยู่โดยไม่ต้องเช่าเขา  ปักหลักอยู่แบบพี่งตัวเองให้ได้ก่อน  วางแผนให้เงินที่มีอยู่พอใช้ไปอย่างน้อย 18 เดือน หัดผลิตอาหารเอง เหลือก็แลกเปลี่ยนกับคนอื่น ถ้าโอกาสอำนวย  ก็ขายผลผลิตส่วนที่เหลือ จากที่เรากินและใช้เองไปบ้าง  แต่อย่าไปตั้งต้นว่า  จะผลิตอะไรขายให้คนอื่น  ให้ตั้งต้นว่า  จะอยู่ด้วยตัวเองให้ได้  โดยไม่ต้องไปง้อขายอะไรให้ใครก่อน  อย่าไปหวังรวย เพราะเกษตร  เนื่องจากในชีวิตจริง  ให้งาช้างงอกออกมา จากปากหมา  ยังจะง่ายเสียยิ่งกว่าคนจะรวยเพราะการทำเกษตรกรรม ในการทำเกษตรกรรม  อย่าคิดทำเป็นอาชีพ  เพราะมันยึดเป็นอาชีพไม่ได้ ความจริง  คนเราจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้  ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพดอก แค่พึ่งตัวเองได้  ก็มีความสุขได้แล้ว  ให้คุณทำเกษตรกรรมแบบ “เกษตรเพื่อชีวิตและ เพื่อโลกและสังคม” หมายความว่า  ทำเกษตรแล้ว  ชีวิตคุณมีความสุขมากขึ้น มีอาหารสุขภาพกิน ลูกสามีได้อยู่กันพร้อมหน้า และ  คุณปลูกต้นหมากรากไม้  ให้โลกนี้มันเขียวขึ้น และ ถ้าคุณเอ็นจอย  คุณอาจรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์  หรือกลุ่มเกษตรกร  เพื่อช่วยกันและกัน  ในเรื่องการลดต้นทุนการผลิต  การเลือกใช้เทคโนโลยี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีการสื่อสาร  และการตลาด  สำหรับสินค้าที่ผลิตได้มากเกินการบริโภคของตัวเอง  หากทำได้  นี่ก็จะเป็นการทำงานเพื่อสังคมในรูปแบบหนึ่ง เมื่อได้ไปอยู่บ้านนอกจริง  ให้ถือเป็นโอกาสทอง  ที่จะได้ทำสิ่งที่สำคัญยิ่งในชีวิต  นั่นคือ  การเรียนรู้ที่จะมีความสุขที่แท้จริง  จากการกลับเข้าไปสู่ข้างในตัวเอง  เพราะความสุขที่แท้จริงนั้น  ไม่ใช่จะไปหาได้จากความสำเร็จ  หรือ  การหยิบฉวยอะไร  จากสถานะการณ์ภายนอก  ซึ่งเป็นโลกของความคิด  อย่าไปอาลัยอาวรณ์อะไร  กับ  สิ่งสมมุติในทางโลก  ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน้าที่  การงาน วุฒิการศึกษา  การมีเงิน การได้บลัฟคนอื่น  การได้เป็นที่อิจฉาของคนอื่น เหล่านั้น  คืออัตตา  ซึ่งเป็นเพียงการหลงอยู่ในโลกของความคิด อย่ากลัวอะไร เพราะความกลัว  ก็เป็นเพียงความคิด  แต่ว่ามันมีอำนาจล้นฟ้าที่จะทำให้คุณเป็นทุกข์  ให้คุณเอาชนะความกลัว  ด้วยการยอมรับทุกอย่าง ตามที่มันเป็น ที่สุดของสิ่งที่ยาก จะรับได้คือความตาย  ให้คุณยอมรับทุกอย่างได้  แม้กระทั่งความตาย  ถ้ามันเกิดขึ้น  ก็ยอมรับได้ ทำไมจะยอมรับไม่ได้ละ  ในเมื่อทุกคนเกิดมา  ก็ต้องตายหมด  ไม่มีใครรอดสักคน เมื่อยอมรับความตายได้  อย่างอื่นก็ยอมรับได้หมดแล้ว  คุณจะได้ไม่ต้องกลัวอะไร  อย่าไปคิดคาดการณ์อะไร  อย่าไปลุ้นยอดโควิดในแต่ละวัน  ต่อไปจะเป็นฉันใด  ช่างแม่ม..ม  ให้ใช้ชีวิตแบบอยู่กับเดี๋ยวนี้  อยู่ไปทีละขณะ ทีละขณะ ความสุขที่แท้จริง  หาได้จากการวางความคิดทิ้งไปให้หมด  แล้วกลับเข้าไปสู่ “ความรู้ตัว” ที่ข้างใน  ที่ตรงนั้น  มันเป็นความสงบเย็น  ที่ไม่มีสุขอะไรจะยั่งยืนกว่า  วิธีทำ  ก็เริ่มด้วยการหัดนั่งสมาธิ  อ่านเอาจากบทความเก่าๆในบล็อกนี้ก็ได้ ผมเขียนไว้แล้วเยอะมาก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 03 มิถุนายน 2563 ( 11:38:04 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 08:03:32 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:25:19 )

การเรียนรู้ความเห็นต่างทำให้เกิดความฉลาด

รายละเอียด

ก็เป็นคนมองไปในแง่หนึ่ง จะติเตียนอาตมาก็เท่านั้นเอง อาตมาก็ไม่แย้งไม่วิเคราะห์วิจัยอะไร ตามที่อ่านให้ฟัง สำหรับความเห็นอาตมา อาตมาก็จริงใจ ตามความเห็นความจริงใจของอาตมา ใครที่ได้ประโยชน์จากที่อาตมาอธิบายก็อนุโมทนา หรือใครที่ไม่ได้ประโยชน์ไปวิจัยวิจารณ์ก็เสียประโยชน์บ้างก็ขออภัย จะผิดจะถูกก็เป็นกรรมของอาตมา ถ้าหากจะมาอธิบายผิดก็ได้บาป แน่นอนกรรมเป็นอันทำ ทำผิดบาป ทำถูกก็ได้กุศลไป มันเป็นเรื่องสัจจะ อาตมาเชื่อในกรรมวิบาก อาตมาก็มีความรู้เท่านี้แหละจริงใจ อาตมาไม่ทำความบาปให้แก่ตัวเองไม่ทำวิบากให้แก่ตัวเอง แต่คุณจะมองว่าเป็นบาปก็เป็นได้มันมีความรู้ไม่เท่ากันก็ตามความเห็น ก็ขอบคุณที่วิจัยวิจารณ์มาดี อาตมาก็รู้สึกดี มีผู้ที่เห็นต่างแล้วก็บอกความเห็นที่เขาค้านแย้งมาจะได้เรียนรู้ การเรียนรู้ความเห็นต่างมันทำให้เกิดความฉลาด มันจะได้เปรียบเทียบ ว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าต่างคนต่างรู้แล้วไม่มีอะไรเห็นต่างกันเลยพากันไปก็ไม่ดี นี่ดีแล้วล่ะที่เห็นต่างกัน

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2563 ( 10:04:34 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 10:27:38 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:50:57 )

การเรียนรู้ธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม

รายละเอียด

เรียนรู้ธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมคืออะไร สรุปง่ายๆ โลกุตรธรรมคือธรรมะที่มีปัญญารู้จักกิเลส แล้วก็รู้วิธีกำจัดกิเลส พลังงานที่กำจัดกิเลสคือ พลังงานฌานและบุญ ฌาน โลกุตระ ไม่ใช่ฌานของโลกียะ ไม่ใช่ฌานของพวกนั่งหลับตา แต่เป็นฌานลืมตา ฌานคือไฟ หรือ พลังงานเผา แล้วไม่เผาอื่น เอกังสะ เผากิเลสอย่างเดียว ฌานและบุญ 

บุญคือ เพชฌฆาตมือสุดท้าย ฌานฆ่ามาเป็นดาบ 1 ดาบ 2 ดาบ 3 ไม่รู้ ตายหรือไม่ตายไม่สำคัญ มาถึง ดาบ 4 มาถึงบุญ จะเป็นดาบที่ 4 หรือเป็นเพชฌฆาตดาบที่ 5 ก็ได้ คือสุดท้ายตายแน่ๆ ถ้าถึงมือบุญแล้วเป็นตัวกำจัดกิเลสตัวแท้เลย แล้วกำจัดกิเลสแล้วไม่มีอะไรอีก หายไปเลย “บุญ” จบมีหน้าที่ One way traffic ไม่มีโค้งกลับมาเลย หายไปเลย นิวเคลียร์ฟิชชัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 49 ตอบไทยรัฐทีวีเรื่องสมุนไพรกับการพึ่งพาตนเอง วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 10 กันยายน 2565 ( 15:18:24 )

การเรียนรู้เวทนา

รายละเอียด

เริ่มต้นกันที่“เวทนา 2” แล้วทำเวทนา 2 นี้ให้เป็น“เวทนา 1”ได้ และลึกล้ำสูงขึ้นเป็น“0” ก็จะสามารถรู้“ทุกสิ่งทุกอย่าง”ได้ทั้งหมด

ความสามารถจัดการ“เวทนา” จากที่เป็น “ธรรมะ 2”ให้เป็น“ธรรมะ 1”และ“0”ได้ปานฉะนี้เรียกว่า ความสามารถของ“โลกุตรธรรม”

“ธรรมะ 2”ก็ดี “โลกุตระ”ก็ดี เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อันจะเกิด

อยู่ในวัฏฏสงสารของเอกภพ หรือเกิดอยู่ใน“กรรมกับกาล”นี้เอง ซึ่งรู้ได้ด้วยทฤษฎี“เทฺวธัมมา ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ”[หลักธรรมะ 2 นี้แล หากทำเวทนา 2 ให้เป็นธรรมะ 1 แล้ว จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในธรรมะ 2 ทั้งหลายได้จากต้นถึงที่สุด]

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:32:18 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:33:16 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:51:38 )

การเรียนรู้เวทนาต้องอาศัยผัสสะผ่านทวาร 5 ทวาร 6!

รายละเอียด

ผู้จะ“พ้นทุกข์-พ้นสุข” 

ก็ต้องปฏิบัติเรียนรู้จาก“เวทนา”ที่เป็น“ฐาน”แห่ง“ความ

รู้สึก” 

เวทนานี้แหละ“ที่ทุกข์-ที่สุข”ตัวแท้ 

ถ้าไม่มี“เวทนา” แล้วจะเอา“ความจริงแห่งความรู้สึก”ที่

“เป็นทุกข์-เป็นสุข”กันจากที่ไหนกันเล่า? 

ผู้ไม่เรียนรู้“เวทนาในเวทนา”จึงโมฆะจากการบรรลุจริงๆ

ผู้ไม่มี“ผัสสะ”ของ“ทวาร 5-ทวาร 6”ก็ไม่มี“เวทนา”

ดังนั้น การ“หลับตา”ปฏิบัติจึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่มี“ฐาน”ที่

จะรู้จัก“ฐานความรู้สึกของสุข-ทุกข์”ตัวแท้ตัวจริงเลย

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 144 หน้า 130


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 04:56:10 )

การเรียนรู้แยกกายแยกจิต

รายละเอียด

การเรียนรู้แยกกายแยกจิต คือ การแยกกายแยกจิตนี้จะต้องชัดเจน ด้วยความรู้แล้วทำได้อย่างแท้จริง ถ้าไม่เข้าใจอย่างแท้จริง คุณจะทำได้หรือทำไม่ได้ต้องเช้าใจอย่างแท้จริงจนคุณทำได้  ทำจิตของเราให้เป็นอุตุ จะรู้ได้อย่างไรในโลกที่ยังวนเวียนไปเกี่ยวข้องอยู่  ไปเกี่ยวข้องกับอบายมุข ไปเกี่ยวข้องกับการขี้โกง  เป็นนักการเมืองขี้โกง เราก็รู้ว่ามันขี้โกง ไม่โกงโดยตรงก็โดยอ้อม ด้วยได้เหลี่ยมด้วยการเล่นลิ้นก็คือ การไปแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ผู้มีภูมิปัญญามีความเฉลียวฉลาด พอรู้แล้วอยากไปทำงานชั่วอย่างนี้ เมื่อศรัทธา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในสัทธรรม 7 ศึกษาสัทธรรม มีหิริ โอตตัปปะ หากว่าเราไปแอบแฝง กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คุณจะมีจิตสูงขึ้น  เรายังไม่ดี เราจะอาย หิริ แต่ถ้าคุณนั่งหลับตา สะกดจิตไม่มีสัทธรรม 7 ลืมตาคุณมาก็เป็นคนตาบอดตาใส จะยุ่งกับพวกเรื่องละอายน่ากลัวเหล่านี้ ไม่รู้เรื่องหรอก คุณไม่มีความศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีหิริ โอตตัปปะ ไม่มีอัตตาหิ  พหูสูตรคุณไม่ได้อะไรจากศาสนาเลย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 09 ตุลาคม 2562 ( 09:01:16 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:37:17 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:25:57 )

การเรียนรู้ไปตามลำดับจะปฏิบัติได้ผลเร็ว

รายละเอียด

เป็นปัญหาโลกแตก คนก็คงอยากรู้ ถ้ายังเอาแต่ถามนี่จะนานมาก และจะไม่ได้เข้าใจอย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนอย่างคนคนนึงที่ถูกลูกศรอาบยาพิษยิงมา บาดเจ็บมาอย่างหนักเมื่อมาถึงเพื่อนพี่น้องก็บอกว่าต้องรีบผ่าลูกศรออกจากร่างกาย จะได้รักษาให้หาย แต่คนที่ถูกยิงมานั้นก็บอกว่าไม่ได้ไม่ให้ผ่า จะต้องรู้ก่อนว่าคนยิงชื่ออะไร เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เป็นลูกใครหลานใคร ลูกศรนี้เอามาจากไหน อาบยาพิษอะไร ต้องดูก่อนถึงจะให้ผ่า คนคนนี้จะตายก่อนหรือไม่ ตายก่อน เพราะว่าสิ่งที่อยากรู้มันมีเยอะเหลือเกิน เพราะฉะนั้นให้เขาผ่าลูกศรออกเสียก่อนเถิด แล้วค่อยๆเรียนรู้ไปตามหลัง สมมุติพวกนี้ พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบไว้ เหมือนคนถูกลูกศร อยากรู้จังเลย พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ทำการศึกษาไปตามลำดับ จะปฏิบัติได้ผลเร็วที่สุด สั้นที่สุดอย่างน่าอัศจรรย์ เรียงตามลำดับ ศีล สมาธิ ปัญญา การศึกษาของศาสนาพุทธก็มี ศีล สมาธิ ปัญญา จะไปทรมานร่างกายสะกดจิตอย่างไรไม่มีทางบรรลุหรอก

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2562 ( 20:30:02 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:39:26 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:12:03 )

การเรียนรู้“กาย”ขาด“ภายนอก”ก็ไม่ได้ ขาดภายในก็ยิ่งไม่ได้!

รายละเอียด

และ“กาย”ก็หมายถึง “ธรรมะ 2”ที่มีให้เรียนทั้ง“ภายนอก-

ภายใน” 

ซึ่งต้องเรียนจาก“ภายนอก”เข้าไปหา“ภายใน”เสมอ 

ขาด“ภายนอก”ไม่ได้ มันไม่ครบ“กาย” 

ก็จะไม่สามารถบรรลุอรหันต์

เพราะผู้ได้ชื่อว่า“อรหันต์”ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วย“กาย”

แต่ไม่ใช่ไปจัดการอยู่กับ“ภายนอก”

เฉพาะ“ร่าง(สรีระ)”อันคือ ดิน-น้ำ-ไฟ-ลมนี้เท่านั้น  

เป้าสำคัญต้องจัดการ“กิเลส”ที่อยู่ในใจ

เพียงแต่ว่า ทั้งในขณะปฏิบัติ ทั้งที่บรรลุธรรมแล้ว 

ผู้บรรลุนั้นก็ยังมี“กาย”สัมผัสสัมพันธ์อยู่กับ“ภายนอก-

ภายใน”นั้นอยู่ปกติ 

ไม่ขาด“กาย”ไปแต่ อย่างใด 

ยังรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“กาย”ที่มีทั้ง“ภายนอก-ภายใน”ตามเดิม

อยู่ 

ที่ไม่มีนั้นทำ“กิเลส”ให้หมดไป

ซึ่งแน่นอนว่า “กิเลส”มันคือ“จิตเก๊ๆ

”มันคือ“ภายใน”แท้ๆ

ก็กำจัดเฉพาะ“กิเลส”นี้ให้มัน“ตายสนิทนิรันดร์”ให้จริง

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 147 หน้า 132


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 05:12:31 )

การเรียนรู้ความเป็นสัตว์ทางจิต

รายละเอียด

ผู้ที่เรียนรู้ความเป็นสัตว์ทางจิต สัตว์โอปปาติกะ สรุปง่ายๆว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือสัตว์นรก 

เดรัจฉานคือขวางทางนิพพาน สัตว์นรกก็คือตกนรก ที่ไปเรียนรู้เป็นเดรัจฉานเท่านั้นที่ไปขวางทางนิพพาน แล้วก็ไปตกนรกก็เป็นทั้ง 2 อย่าง เรียนกันไม่ชัดเจนสภาวธรรม 

เมื่อเป็นผู้ชัดเจนในสภาวธรรมแล้ว ไม่ให้ตกนรกแน่นอน และ ไม่ให้เป็นเดรัจฉานด้วย ไม่ขวางทางนิพพาน ต้องพยายามเรียนรู้กิเลส ลดกิเลสไปได้ตามลำดับ ก็เป็นนิพพาน สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นนิพพานไปเรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 38 อัมพัฏฐสูตรและกายในกาย วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 กันยายน 2565 ( 14:11:40 )

การเรียบเรียงกระบวนการของผู้ปฏิบัติธรรมแบบพุทธ

รายละเอียด

คือ คนที่เขียนมาให้อาตมาอ่านเป็นคนติดตามฟังอาตมา  เขาเป็นชาวคริสต์มาก่อน  ฟังให้ดีนะชาวพุทธ  คุณฟังอาตมาแล้วจะเรียบเรียงได้เท่าคนนี้ไหม คนนี้เขาเรียบเรียงกระบวนการของผู้ปฏิบัติได้ดีมาเลย  นี่เป็นชาวคริสต์ที่มาเรียบเรียงให้ชาวพุทธเรา ก็คงจะไม่มีอะไรรกอยู่ในหัวมา ศึกษาดีๆ ก็จะได้พวกนี้มี่อะไรช่วย เหมือนอาตมารู้มาก  พูดออกไปก็มีเยอะแยะ ไม่ได้เรียบเรียง  แต่อันนี้เรียบเรียงได้ดี จนกระทั้งเอาเป็นแบบแพทเทิร์น (ขอเรียบเรียงจาก  ผู้ใช้นามปากกาว่า บ้านเล็กเมืองน้อย)

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 05 ธันวาคม 2562 ( 10:51:03 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:40:33 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:49:31 )

การเรียบเรียงโพธิสัตว์ 9 ระดับเป็นความพยายามเพื่อให้คนได้รับรู้ ความเจริญที่สูงขึ้นไปอีก

รายละเอียด

อาตมาเป็นผู้เรียบเรียงโพธิสัตว์ 9 ระดับขึ้นมา ซึ่งมันเป็นสภาวะที่เป็นสัจจะจริง ที่มีขึ้นมาแล้ว คุณก็พูดถูก อาตมาจะแข่งขันเพื่อไปชิงเอารางวัลอะไรก็แล้วแต่ อาตมาก็คือต้องทำนำหน้าไปให้คนได้รับรู้ความรู้ที่มากขึ้น ความเจริญที่เจริญขึ้น ไปสู่ที่สุดที่สูงให้ได้ สัมโพธิปรายนะ อาตมาไม่ได้ทำผิดคำสอนพระพุทธเจ้าหรอก อาตมาต้องทำ มันยังมีที่สุดที่สูงให้ไปสู่ความจริง แต่คุณจะไปตัดทั้งความจริงที่สูงนั่นแล้วไม่ต่อ ก็เรื่องของคุณ แต่อาตมาต้องต่อให้สุดให้สูง

ขนาดอาตมาก็ยังไม่สุดไม่สูงและยังมีที่สุดที่สูงที่อาตมารู้ แล้วเป็นสัจจะด้วย อาตมานำมาจึงไปอยู่เรื่อย คุณตามความสูงความสุดนี้ไม่ได้ แล้วคุณตามไม่ได้ และคุณคิดจะต้านอาตมาก็ไม่เป็นไร จะเอาอะไรมาหักล้างก็ว่ากันไป คุณเสนอมา คุณเดชา อัมพร มีต่ออีก…เป็นการยอมหรือยกให้อย่างที่คุณว่า การเป็นกษัตริย์ที่ใน อัมพัฏฐสูตร ว่า กษัตริย์กับพราหมณ์นักบวชกับกษัตริย์ อัมพัฏฐะบอกว่า กษัตริย์เป็นแค่คฤหัสถ์ เขาใช้หลักเกณฑ์นี้ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ต้องไหว้พราหมณ์ เพราะว่าพราหมณ์เป็นนักบวช พราหมณ์ต้องสูงกว่า อัมพัฏฐะเขายืนยันอย่างนั้น ถกกันไปถกกันมา สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็บอกว่า ตกลงพราหมณ์สูงกว่ากษัตริย์ กษัตริย์ต้องไหว้พราหมณ์ ตกลง จบพระพุทธเจ้าก็ยอมเป็นผู้แพ้

แต่มันก็ยังมีประเด็นต่างๆที่พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ แต่อัมพัฏฐะไม่ยอม อัมพัฏฐะเข้าใจไม่ได้ ไม่ยอมให้กษัตริย์เหนือกว่าพราหมณ์ สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็ต้องยอมตกลง คุณจะว่า พราหมณ์ ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นแล้ว คฤหัสถ์แม้แต่กษัตริย์ต้องไหว้พระ พระอยู่ในเครื่องแบบ เมืองไทยก็เป็นอยู่ ไม่มีปัญหา มันก็จบ เหมือนกับอาตมายอมเป็นผู้แพ้ ก็จบ ไม่มีปัญหา

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาพ 2 ของกฎหลักเกณฑ์กับพฤติกรรมจริง วันพุธที่ 31 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 29 กันยายน 2565 ( 13:23:28 )

การเรี่ยไรไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

ฉันไม่ได้มีเป็นของตัวเองนะ ฉันไม่ได้จับธนบัตรนะ ใช้ตะเกียบคีบ ใช้บัตรภาวนานะ มันเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เป็นของเรานะ แต่ของเราที่แสดงออกมาอย่างมหาบัวแสดงออกมา โอ้โห… ประเทศไทยนี้ อาตมานะ อุ้มชูไว้ ไม่อย่างนั้นพังเลยนะ คิดดูสิแล้วจะผยองในตัวเองสักเท่าไหร่ ท่านก็รู้สึกว่าท่านภาคภูมิใจในการเรี่ยไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธเลยใน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 กรกฎาคม 2565 ( 08:33:26 )

การเลิกความสุข

รายละเอียด

ให้พยายามเลิกความสุขเลย ลองดู อย่าให้ไปเกี่ยวข้องคลุกคลี เหมือนพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ เอาน้ำมาเลย นี่ก็เป็นคำสอน ของพระพุทธเจ้า หากคุณเสพติดอยู่ก็ยิ่งจม ยิ่งโง่ ยิ่งจน ยิ่งโง่ เหมือนหยั่งลงในที่จม ลงหลง มีแต่หลงๆๆ มันสบายแล้วจะไปทิ้งได้อย่างไร แล้วจะรู้ว่ามันโหยหา มันอยาก สิ่งที่คุณไปติดอยู่ คนที่มีบารมี เอาออกไป ก็ไม่เห็นมีอะไรง่ายๆ สบายๆ แล้วอันอื่นๆ ทดแทนได้เยอะแยะ ไม่ต้องเอาอันนี้เลย อย่างนี้เป็นต้น คุณก็จะไม่รู้ความจริงสักที ถ้าคุณเอาออกแล้ว คุณก็เอาอันอื่นทดแทน ได้สังขาร ร่างกาย ก็ดีเพียงพอ คุณก็ไม่โหยหา แสดงว่าคุณลดละได้จริง  หรือมันโหยหาน้อยนิด ก็ลดลงไปอีก มันยังมี ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาสะอีก

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 16:54:16 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:42:08 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:29:42 )

การเลิกทาสในสมัยพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ก็มีคนพูดเยอะ มีผู้ที่รู้ประวัติศาสตร์ต่างๆ ในพระจริยวัตรของรัชกาลที่ 5 ที่บริหารประเทศมา ต่างประเทศก็ให้สมญานามว่าเป็นพระปิยมหาราช ท่านเลิกทาสนี้เป็นตัวเด่นมาก คือประเทศทุกประเทศ แต่ละประเทศก็เป็นลัทธิทาสมาแต่ไหนแต่ไร แม้แต่โลกยังไม่ออกมาเป็นประชาธิปไตยยังไม่เป็นอิสรเสรีภาพ ยังเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ท่านให้เลิกทาส แต่ในความหมายที่ให้เป็นทาสหรือเป็นนายทาสมันลึกซึ้งมาก คนที่จะหลุดพ้นจริงๆของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้านั้นเลิกทาสมาตั้งแต่ยุคของพระองค์ ในยุคนั้นเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นกันทั่วโลก การบริหารระบบทาสทั้งนั้น ตอนนั้นท่านมีรัฐอิสระ ท่านก็มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ออกเผยแพร่กันในทวีปอินเดีย ก็เอาจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลเป็นธรรมนูญออกไปเผยแพร่ ในแว่นแคว้นที่มีกษัตริย์ กษัตริย์ทุกองค์ก็ยกให้พระพุทธเจ้าหมด โดยที่ประชากรของแต่ละรัฐ ในทวีปอินเดีย ถึงจะเรียกว่าประเทศก็ได้ มีพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของประเทศ พระพุทธเจ้าไปในแคว้นไหนรัฐไหน เจ้าแผ่นดินในแคว้นนั้นก็ยอมให้หมด ประชากรในแคว้นนั้นๆจะยึดถือเข้ารีต ก็ยกให้หมดเลย ไม่มีการปิดกั้นเลย นี่คือบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า จึงเป็นผู้ที่มีรัฐอิสระที่ยิ่งใหญ่ เป็นการเลิกทาสได้จริงๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 09:33:47 )

การเลิกปฏิบัตินั่งหลับตาสมาธิ

รายละเอียด

เมื่อเลิกนั่งหลับตาสมาธิให้มาปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 กว่าจะได้จิตสมาธิของพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิไม่ใช่ของเล่นๆ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 17:12:05 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:43:02 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:30:49 )

การเลียนแบบชุมนุมประท้วงของธนาธรที่ภูมิธรรมไม่มี

รายละเอียด

ดีเหมือนกัน ตอนนี้ธนาธรจะเลียนแบบชาวกองทัพธรรม จะเลียนแบบการชุมนุมประท้วงที่ ประชาชน กองทัพธรรมเข้าไปเป็นตัวหลักทำอาหารเลี้ยงดูช่วยกันดูแลบริการ ปักหลักร่วมประท้วงมา ธนาธร ชิๆ จะเลียนแบบ ภูมิธรรมธนาธรจะเลียนแบบสาราณียธรรม 6 วรรณะ 9 ได้แค่ไหน เชื่อไหมจะเลียนแบบได้ ..เขาได้แต่ทำแบบเขา อยากใหญ่อยากโตอยากได้อำนาจอยากดัง เขาจะได้พลเมืองแบบเขาไป แต่ประชาชนคนไทยเขาลืมตาอ้าปากสมองใสแล้ว ไม่ได้มั่วอยู่กับโลกแคบๆ ความอยากใหญ่อยากโตอยากดังอยากมีอำนาจของธนาธรกำลังแสดง สรุปคืออยากมีอำนาจปกครองประเทศไทย อำนาจบาตรใหญ่ ประเทศไทยไม่โหดร้ายกับธนาธร กับทักษิณ หากโหดร้ายธนาธรก็ต้องออกไปเหมือนทักษิณ หากโหดร้ายกับทักษิณก็จับมาเลย ส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็ได้ ประเทศไทยมีสิทธิ์ เดี๋ยวนี้รู้กันหมดว่าอยู่ที่ไหน  นี่คือความเมตตาของประเทศไทย ญาติโกโยติกาของทักษิณหากเขาเล่นเต็มที่ลูกหลานญาติคุณจะอยู่ไม่ได้ ก็ควรจะรู้ตัวว่าตัวเองมีโทษภัยทำบาปทำเวรไว้แค่ไหน เขาไม่ตามไปยึดเงินทอง ให้นำเงินทองไปเที่ยวอาละวาด ออกดอก หากตามยึดจริงจะเหลือหรือ ชัดเจนแล้วว่าโกงไปเท่าไหร่แล้ว เขาก็หาเสียงเพื่อประคองตัวเองไป ดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ฟางเส้นสุดท้าย ธนาธรเดินสายทักษิณอยากมีอำนาจปกครองประเทศ ทักษิณเขาว่าจะไม่เป็นแค่ปธน. แต่จะสร้างเป็นเจ้ามูลเมืองด้วย อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่า มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างนั้น แต่เขาขณะนี้อายุ 70 กว่าแล้ว ถ้าคุณ 70 เหมือนโพธิรักษ์แข็งแรงก็ว่าไป แต่จะแข็งแรงได้หรือ เพราะกินเที่ยวเสพสุขสำมะเลเทเมา

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2562 ( 22:05:37 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:44:44 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:55:19 )

การเลี้ยงง่าย คือ การบริหารที่ดีที่สุด

รายละเอียด

 เลี้ยงง่าย แล้วทำให้เจริญง่ายด้วย สุโปสะ เพราะอะไร เพราะพวกเรามักน้อย อัปปิจฉะ พวกเราไม่ได้มักมาก เป็นคนไม่ได้ ตะกละตะกลาม โลภโมโทสัน มักน้อย พอ สันโดษ สันตุฏฐี มีเท่าไหร่ก็พอ น้อยๆนี่แหละพอ ก็เกี่ยวพันเป็นพันธมิตรกันว่า มักน้อยแล้วก็พอ ไม่ใช่ไปมักมากแล้วก็พอ อย่างบิลเกต บอกว่า พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ไปแปลสันโดษว่าพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ก็ไปถามบิลเกตส์หรือธนินทร์ดูว่าพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ไหม เขาก็บอกว่าพอใจ แต่มันไม่ใช่ ต้องเป็นพันธกิจกับมักน้อย ไม่ใช่เป็นพันธกิจกับตัวมักมาก

พอ ใจพอ อาตมาแปล สันโดษว่า ใจพอ มีน้อยก็พอ เป็นผู้ที่ขัดเกลาตนเอง สัลเลขะ ขัดเกลากาย วาจา มโน จนสูงสุดจนจิตหมดกิเลส และ กายกรรม วจีกรรม ก็จะพลอยดีขึ้น จากจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง ก็จะถูกขัดเกลาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ มีระบบของพระพุทธเจ้าเรียกว่า ธุดงค์ ไปแปล ธุดงค์ ว่า ออกป่า ออกดง เรียกว่า ลงนรกไปเลยมันผิดไปไกลๆเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 5 พ่อครูพบ อ.ยักษ์​ วิวัฒน์ ศัลยกำธร วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล 


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2565 ( 12:35:15 )

การเลี้ยงสัตว์

รายละเอียด

วิญญาณของคนควรจะเจริญ ไปยินดีกับสัตว์เดรัจฉานทำไม แม้เป็นคนก็ควรยินดีกับคนที่ประเสริฐ คนที่ดี จิตของคนที่ไปรักกับสัตว์เดรัจฉานมันก็อยู่ในฐานของเดรัจฉาน เป็นความรู้ของศาสนาพุทธ ของศาสนาอื่นไม่ได้มีความรู้ลึกซึ้งอย่างนี้หรอก ไม่ได้ตัดรอนเรื่องเลี้ยงสัตว์หรอก สัตว์มันก็มีวิบากของมันไป เราไม่ใช่ไม่เมตตา เราไม่ใช่คนใจดำใจจืด  แต่อาตมาเข้าใจธรรมะมากกว่านั้น เข้าใจถึงเรื่องกรรมวิบาก ไม่อยากให้ไปต่อวิบากเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ คนเข้าใจยาก แต่พ่อครูก็ต้องพูดความจริง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 66  วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 19:18:57 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:46:20 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:30:36 )

การเลือกตั้งของอเมริกาครั้งนี้มีบางส่วนทุจริต

รายละเอียด

คุณก็พูดไปได้ เขาก็ทำไปตามกฎเกณฑ์สังคม เขาไม่ได้นอกกฎหมาย แต่พฤติการณ์ของอเมริกาเขาก็ไม่ได้ทำผิดนอกกฎหมายนอกระเบียบที่ไหน ถ้าต่อไปมีการพิสูจน์ว่าทุจริต โดยเฉพาะโจ ไบเดนหากมีการทุจริตก็ต้องถูกไล่ออกจากการบริหารเองแหละ กฎหมายมันมีลำดับอะไรหมดคุณอย่ามั่วสิ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา
วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:17:46 )

การเลือกตั้งที่กำลังจะมา เป็นสิริมหามายาใช่หรือไม่

รายละเอียด

ห่างไกลมาก เป็นมายาเป้งเลยไม่ได้สิริ ไม่ได้ใหญ่เลยติดลบ ไม่ได้มีสิริเลย สิรินี่คนดี อาตมาเห็นว่า ในสังคมที่ยังไม่พัฒนาการเลือกตั้งเป็นการเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวอย่างหนักหนาสาหัส เลือกตั้งกันไปให้ตาย มันเล่นลิเกละครขี้โกงกันตลอด ในเมืองไทยอาตมาว่านายกตู่ บริหารประเทศในขนาดนี้ใช้ได้ น่าจะได้บริหารกันไปต่อพอสมควร อย่างน้อยสักสองสมัย พล.อ.เปรม 2 สมัย ทำสัก 2 สมัยดูสิ ว่าจะเข้าตาขนาดไหน อย่างพล.อ.เปรมถือว่ายึดอำนาจ แต่ไม่ได้ยึดอำนาจอย่างพล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็บริหารไป

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2564 ( 11:23:12 )

การเลือกตั้งเป็นเรื่องจำนนไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย

รายละเอียด

ที่บอกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คำว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตยขี้หมา เป็นประชาธิปไตยที่จนแต้มไม่มีทางออกเป็นความมักง่ายตื้นๆ ที่บอกว่ามวลประชาชนก็คือคน ให้คนมา เหมือนหุ่นกระบอก ให้คนมาลงคะแนนหย่อนบัตร แต่ในกระบวนการองค์ประกอบการเมืองของการจะให้ลงคะแนน คนจะมาลงคะแนนด้วยความไม่รู้ด้วยความโง่ด้วยการถูกอำนาจเงิน ถูกอำนาจของอำนาจหลักเกณฑ์ครอบงำ กดดันบังคับให้มาลง คนที่มาลงคะแนน มาลงบัตรเลือกตั้ง ที่จะมาด้วยความรู้จริงๆเลย ความมีปัญญาความรู้ที่ว่าจะมาเลือกอะไรเลือกใครและคนนั้นก็เป็นคนที่ถูกต้อง เลือกคนดีคนที่มีคุณภาพเพื่อจะให้เขาทำหน้าที่ ส.ส. หรือเลือกประธานาธิบดีไปทำหน้าที่ บางประเทศก็เลือกนายกรัฐมนตรี นอกนั้นก็มีการเลือกตั้งย่อยอีกเยอะแยะ ก็เป็นวิธีง่ายๆ ให้คนออกกฎหมายเป็นการออกกฎหมายให้คนไปทำ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นในการลงคะแนนเลือกตั้งจากการเลือกตั้งแล้วมาอ้างว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย มันเป็นประชาธิปไตยของคนสุดทางเลือก ไม่มีทางเลือก เป็นประชาธิปไตยที่หมดแล้ว หมดจากการเลือกตั้งเขาจะไม่มีความรู้ในเรื่องความเป็นประชาธิปไตยที่เป็นเนื้อหาเลย พวกที่ได้รับเลือกตั้งก็จะมาบริหารประเทศ อย่างที่เขามีความรู้เขามี อัตตา เป็นอัตตาเป็นผู้เผด็จการ เหมือนอย่างกับสหรัฐอเมริกาเป็นต้น สหรัฐเป็นจอมเผด็จการแท้ๆ แต่มันติดอยู่ที่ให้ประชาชนมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงให้มีอำนาจ แล้วประชาชนมีอำนาจที่ไหน ไม่มีอำนาจหรอก มันมีแทคติกมีกลเม็ด มีกลวิธี

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 11:09:09 )

การเลือกตั้งไม่ใช่เรื่องของสมบูรณ์แบบ

รายละเอียด

ไม่อยากเลือกตั้ง อันนี้อาตมาพูด การเลือกตั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของสมบูรณ์แบบ ที่ต้องมีเลือกตั้งเพราะไปสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตยขาเดียว มันเลยจำเป็นต้องเลือกตั้ง ก็เท่านั้นเอง ทีนี้ ประชาธิปไตย 2 ขา มันไม่จำเป็นที่จะต้องไปเลือกตั้ง ให้ในหลวงตั้งมาก็ได้ ถ้ามันจำเป็นแต่ไม่จำเป็นประชาชนก็เลือกกันเองอย่างประชาชนชาวอโศกไม่ต้องเลือกตั้ง ดูกันเองว่าใครจะทำหน้าที่อะไร เป็นหัวหน้าส่วนนั้นส่วนนี้ไม่เห็นเคยแย่งกัน จะเกี่ยงกันเป็นด้วยซ้ำ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:31:46 )

การเล่นดอกไม้ ไม่ใช่กิจของภิกษุ

รายละเอียด

ก็บอกท่านสิ การเล่นดอกไม้ ไม่ใช่กิจของภิกษุ ถ้าหากคุณจำลองบอกก็จะบอกว่าไม่ให้นำดอกไม้มาจัดเวที อาตมาก็ว่าฆราวาสจัด เพื่อประสานเป็นรอยเชื่อมเท่านั้นเอง แต่อย่าง พวกเรานี้ก็มี คุณจำลองว่า นี่เรื่องของภิกษุให้ทำอย่างนั้นได้อย่างไร เขาก็พยายามเคร่ง ผู้คุมกฎก็จะเคร่งครัดมันไม่เสียหายเป็นเรื่องดีแต่เราก็อนุโลมไปตามควร เพราะฉะนั้นคุณเองก็บอกว่าเอาละเป็นครั้งคราว อย่างไรก็คบหากันมานาน ก็ค่อยๆทำให้ท่านรู้ แล้วค่อยๆใช้แทรกยาทิพย์เข้าขุมขน มีศิลปะในการพูดการแสดงให้ท่านรู้ว่าอย่าไปยุ่งมากไปพระในเรื่องนี้ให้ฆราวาสก็ทำเถอะ ฆราวาสที่ยังหลงใหลอยู่ก็จะทำให้ จริงๆแล้วไม่ต้องให้ผมไปทำหรอกใครก็ทำได้ ที่นี่อาตมาไม่ได้ระบุว่าใครจะทำนะใครจะทำก็ได้เอามา โปะๆๆ อาตมาก็เรียนศิลปะมาด้วย ก็เห็นอยู่เขาทำอยู่ก็เป็นศิลปะของเขาจะเข้ารูปเข้ารอยบ้างไม่เข้ารูปเข้ารอยบ้างก็ให้เป็นของเขา คนในโลกก็เข้าใจอย่างนั้น เพราะฉะนั้นศิลปะคือมงคลอันอุดมเขายังอีกไกล ที่จะไปถึงตรงนั้นเราก็เอาเท่าที่ควร ก็สรุปว่า คุณก็ค่อยๆจะอนุโลมช่วยเขาบ้างเล็กๆน้อยๆ แล้วค่อยๆบอกค่อยๆพูด ค่อยไบรรยาย ทำให้เขาเข้าใจ คุณก็ต้องฉลาดที่จะให้เขาศึกษาสัจธรรมที่ลึกซึ้งเพิ่มขึ้นเรียกว่าแทรกยาทิพย์เข้าขุมขนไปด้วยก็จะเป็นประโยชน์ แต่ถ้าไม่สามารถจริงๆจะตัดได้ก็ตัด มันไม่เสียหลายไม่บาปถ้าพระบอกว่าไม่ไปช่วยจัดดอกไม้ให้พระไม่บาปหรอก ขอยืนยันไม่บาปเลย ฆราวาสถือศีล 8 ก็เลิกแล้ว มาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนัฏฐานะเวรมณี ไม่ต้องไปหักด้ามพร้าด้วยเข่า 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 11:18:14 )

การเล่นลิงลมอมข้าวพอง

รายละเอียด

เป็นการละเล่นของไทย นั่งหลับตานิ่งให้เพื่อนเขามาเขย่าให้เวียนหัว มีเพลงร้องด้วย ลิงลมอมข้าวพอง เขย่าจนเมาได้ที่ ก็จะให้ลิงลมนี้ลุกขึ้นมาวิ่งไล่จับเพื่อน สรุปแล้วเนื้อหาสาระเหมือนคนเมา ไม่เป็นความจริง เป็นคนไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กๆยังไม่มีวุฒิภาวะเต็มที่ก็ยังไม่รู้เรื่อง แม้แต่เด็กเล็กๆก็มีบารมีมา เป็นพรสวรรค์หรือเป็นสิ่งที่มีมาเก่าเป็นความรู้จริงของเขาเก่า แต่มันยังถูกครอบงำ ยังดึงขึ้นมาไม่ได้ ยังไม่เต็มที่มันก็ไม่รู้เอามาใช้ไม่ได้ เมื่อเรามีสภาวะตื่นเต็มร่วมกับโลก ก็จะเข้าใจสิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ในโลกตามบารมีเท่าที่รู้ คนรู้โลกียะมาก็หาทางปรุงแต่งเอาไปหลอกคนอื่นเพื่อจะให้ได้ลาภยศสรรเสริญสุขให้มาก ส่วนถ้าเป็นโลกุตระแล้วก็จะไม่ไปทำอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เกิดปัญญามัชฌิมา  วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 12 ธันวาคม 2562 ( 16:31:26 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:47:56 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:32:15 )

การเล่นหมากรุกหมากฮอสสร้างจิตเช่นไร

รายละเอียด

เมื่อเล่นแล้วมันจะมีความคิดจะเอาชนะเขาก็จะใช้เหลี่ยมการโกง ไม่ควรจะสร้างจิตที่เอาเปรียบหรือเอาชนะคะคานคนอื่น ถ้าไปสร้างจิตแบบนี้ก็จะเล่นหมากรุกหมากฮอส เป็นเกมจะสร้างความฉลาดเหนือคนอื่นเท่านั้นเอง สร้างจิตจะเอาชนะด้วยเกมเหลี่ยมมุม ไม่เห็นจะต้องไปทำทำไม เรามาลดกิเลสดีกว่า มันติด มันมี อัตตา เฉลียวฉลาดโกง เฉกา กิเลสไม่ลด อัตตาโตเท่านั้นเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561

ที่ปฐมอโศก สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ตายแล้วไปตามวิบากกรรม


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:47:18 )

การเวียนตายเวียนเกิดกับเรื่องของกรรมวิบาก

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่ขยายโลกนี้โลกหน้าเท่านั้นแหละเป็น สยังอภิญญา มันดูตื้นๆแต่ลึกนะ 

ผู้เข้าใจชีวิตมีเพียงชาติเดียว หรือเข้าใจว่ามีชีวิตเพียง 2 ชาติแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า หรือว่าชีวิตจะยังวนเวียน เมื่อเข้าสู่กระแสศาสนาพุทธจะรู้จักการเวียนตายเวียนเกิด ค่อยๆรู้กระจ่างขึ้น เวียนตายเวียนเกิดมันเป็นอย่างนี้ ก็จะเข้าใจเรื่องกรรมวิบากเพิ่มขึ้น

ผู้นี้เมื่อรู้ว่าการเวียนตายเวียนเกิดมันนานนับชาติ ก็จะค่อยๆเชื่อกรรมเชื่อวิบากมากขึ้น ก็จะชัดเจนว่า อ๋อ.. เทวะที่ว่า พระเจ้าเป็นเจ้าของคำสั่ง สั่งให้วิญญาณใดๆเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ค่อยๆลดความเชื่อพระเจ้า ว่าเป็นเจ้าของคำสั่ง เป็นเจ้าของวิญญาณลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าใจชัดขึ้น อ๋อ พระเจ้าไม่ใช่เจ้าของคำสั่ง พระเจ้าไม่ใช่เจ้าของวิญญาณเรา ก็เริ่มเข้าใจ กัมมสกตา กรรมของเราต่างๆ เป็นตัวบัญชาการ เราเป็นทายาทของกรรม กรรมพาเราเป็นกรรมพาเราไป กัมมโยนิ เราทำเองเป็นเองทั้งนั้น แล้วก็สั่งสมเป็นเผ่าพันธุ์ของตนเอง ไม่มีพ่อพันธุ์ของพ่อแม่ของใครมาผสมพันธุกรรมของเราได้ DNA ทางรูปธรรมไม่ใช่ อาตมาถึงบอกแปล พันธุกรรมนี่คือ DNA มันไม่ใช่ ที่จริงแล้วมันต้องเป็นกรรม พันธุ์นี้เป็นกรรมของตนเองไม่ใช่ของพ่อของแม่ ของตนเอง ที่เป็นอาริยธรรมกับเป็นซาตาน คุณสะสมซาตานก็เป็นของคุณเองเป็นซาตาน สะสมแบบพระพุทธเจ้าก็ได้แบบพระพุทธเจ้า ก็คือพระบุตร สั่งสมการเลิกบาป เลิกอกุศล เลิกกิเลส

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมในงานพิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2564 วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2564 ( 16:06:58 )

การเวียนตายเวียนเกิดมีจริง

รายละเอียด

คนนี้ตายไป มีคุณธรรมขนาดไหน เสร็จแล้วมาเกิด บอกว่ามาเกิดเป็นเด็กคนนี้ เข้ามาอยู่ในหมู่เรา มันมีการแสดงออกทางกาย ทางวาจา มันก็มาจากจิตเป็นประธาน มันเหมือนกับคนนั้นที่เรารู้จักมาก่อนที่ตายไปแล้วมาแสดงออกคนนี้ มันเหมือน มันคล้าย มันมีลักษณะแสดงออก มันก็เป็นจริง ประเด็นที่บอกว่าจะเชื่ออย่างไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสขนาดนี้คุณยังไม่เข้าใจ ยังไม่เชื่ออีกว่า การเวียนตายเวียนเกิดมีจริง แล้วคุณจะมาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เอาละอาตมาไปบังคับให้คุณเชื่อไม่ได้หรอก แต่ลองคิดดีๆสิ 

ถ้าเผื่อว่า กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กรรมที่คุณทำแล้วมันก็สั่งสมเป็นธรรม สั่งสมเป็นวิบาก มีอย่างนี้คุณทำอย่างนี้ เอาที่จะรู้ง่ายก่อน เช่น คุณมีอาริยธรรม หรือมีโลกุตรธรรม ชาตินี้คุณเกิด คุณมีแล้วในตัว คุณตายไปแล้วมาเกิดต่อ เกิดในร่างเด็กคนนี้ เด็กคนนี้ก็มาเกิดอยู่ในนี้ มันก็จะมีวิบากคนที่ตายที่ติดตัวเด็กคนนี้มา แน่นอนเด็กยังไม่แสดงออกเต็มตัว เพราะมันยังไม่เดียงสา ปฏิภาณปัญญายังไม่มีวุฒิภาวะพอ มันก็จะแสดงเป็นเด็กๆไปก่อน แต่มันจะมีการส่อแสดงบ้าง บางทีมันพูด อันนี้มันพูดได้อย่างไร ภาษาอย่างนี้มันเป็นคนโตคนอาริยะ ภาษา โลกุตระ พูดมาบางทีเรายังไม่พูดถึงขั้นนี้เลย บางทีจะพบ เด็กคนนี้พูดอย่างนี้ได้อย่างไร 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #26 เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2566 ( 19:34:24 )

การเสียคือการได้!(our loss is our gain)

รายละเอียด

“เสียกิเลสออกไป”นั่นคือ เรา“ได้ผลสำเร็จของการปฏิบัติธรรม” 

หรือ“เสียแรงงานของเราออกไปแล้วเกิดประโยชน์แก่การสร้างสรรค์ หรือประโยชน์แก่ผู้อื่น” 

นั่นคือ เรา“ได้เป็นผู้มีคุณค่า” 

ที่แท้นั้น “บุญ”ชำระกิเลสได้ส่วนใด “ส่วนนั้น”คือ“ส่วนบุญ” (ปุญญภาคิยา) 

ซึ่งเป็นกิเลสส่วนที่“เสียไป” ไม่ใช่จะ“ได้อะไรมา”

คนผู้ยังทำ“บุญ”ไม่จบสุด ก็คือ ยังทำหน้าที่ชำระ“กิเลส”อยู่ 

กิเลสยังไม่หมดสิ้นเกลี้ยง ยังไม่จบกิจ 

กิเลสดับได้ไปบางส่วนเท่านั้นยังไม่สิ้นอาสวะ ยังเป็น“เสขบุคคล” 

ก็ยัง“ทำบุญ”ต่อไปอยู่

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 73 หน้า 87


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 05:05:16 )

การเสียสละกับการโดนเอาเปรียบมีนัยต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

ดี การเสียสละกับการเอาเปรียบนี้เป็นคำถามที่พื้นมาก ใครๆก็พูดกัน ได้เปรียบเสียเปรียบ ก็พูดกันรู้กันแต่ก็ทำกันอย่างผิดๆ ทำกันอย่างไม่ดี ทำกันอย่างที่กุศลก็ไม่เป็น ยิ่งเป็นบุญยิ่งไม่เป็นใหญ่ ทำกันโดยไม่เข้าใจ โดยไม่มีภูมิปัญญา 

คนเรานี่เกิดมาก็อวิชชา คือไม่รู้โง่ๆ โง่อะไร โง่เห็นแก่ตัว โง่ยึดตัวตน ภาษาธรรมะเขาก็พูดกันอย่างนั้น ตัวตนคืออะไรคนไม่ประสีประสาก็ไม่รู้เรื่อง ยึดตัวเอง ท่านพุทธทาสท่านใช้คำว่าตัวกูของกู ยึดตัวกูของกู ยึดตัวเอง แล้วก็ตัวเองจะต้องเป็นผู้ได้เปรียบ ชีวิตจึงดำเนินไปด้วยการจะเอาเปรียบให้ได้ พอเอาเปรียบได้ ได้เปรียบมาก็ดีใจ ดีใจที่ทำผิดทำชั่วทำโง่ 

ทุกคนโง่อย่างนี้มาก่อนทั้งนั้น หลวงปู่ก็เคยโง่มาอย่างนี้ มาทั้งนั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นเรื่องที่สุดยอดเลย พระพุทธเจ้าค้นพบจุดสำคัญพวกนี้ 

สรุปง่ายๆนะว่าการศึกษาของพระพุทธเจ้า เรียนรู้เรื่องนี้ที่จริง เรียนรู้เรื่องตัวตนหรือตัวเอง แล้วเราก็เป็นคนที่จะไปเอาเปรียบ ไปได้เปรียบมา ทำตลอดแล้วก็งมงาย ส่งเสริมคนได้เปรียบ หาวิธีการมีเชิงยุทธ์ มีกลยุทธ์ต่างๆนานาซับซ้อนเพื่อเอาเปรียบมาให้ได้ แล้วเรียกว่ารวย รวยจริงๆ ได้มากได้เปรียบมาก ก็ยกย่องยกยอกันขึ้นทำเนียบ ขึ้นบอร์ด คนนี้รวยเท่านี้ คนนี้เก่งอย่างนี้ๆ ยกย่องชมเชยกัน 

แต่คนที่พูดถึงเรื่องต้องมาเสียเปรียบ ชัดๆเลย เสียสละโดยปัญญา ถ้าเสียสละแล้วมีปัญญารู้ว่า ถ้าเสียเปรียบนี้ดีเป็นคนเจริญ เสียเปรียบเป็นคนเจริญ ได้เปรียบเป็นคนเลว เป็นคนโง่ นี่พูดสัจจะ พูดภาษาธรรมะ สัจจะ ซึ่งกว่าจะรู้สึกตัว พอตั้งสติ ตั้งใจฟังดีๆเอาปัญญามาตั้งรับ พูด ก็พอเข้าใจนะ แต่พอเลิกฟังไปแล้ว เอาแล้ว ตอนนี้ผีเข้าแล้ว กลายเป็นตัวตน กลายเป็นตัวเอง กลายเป็นตัวกิเลส อวิชชา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเอื้อไออุ่นกับลูกๆหลานๆ งานมหาปวารณา มหาบิ๊กคลีนนิ่ง วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2565 ( 14:33:06 )

การเสียสละตัวตนและนานาสังวาสในศาสนาพุทธคืออย่างไร

รายละเอียด

การเสียสละตัวตนนี่นะ ตัวตนคืออะไร ภาษาบาลีว่า อัตตา ตัวตน คือ อัตตา คือตัวเรา รวมทั้งหมดเลยคนเราเนี่ย พระพุทธเจ้าสรุปลงที่คำว่า ยึดตัวตน ยึดเป็นตัวเรา ศัพท์ท่านพุทธทาสแปลให้สะใจเลยว่า ตัวกู ตัวตน มันยึดตัวเรา ยึด หลงตัวเอง ไม่เข้าใจมันไม่รู้เรื่องง่ายๆ คนหลงตัวไม่รู้เรื่องง่ายๆ คนยิ่งมีความเก่ง ยิ่งมีความรู้เฉลียวฉลาด สามารถอีก ก็จะหลงตัว หลงตน หลงความเก่ง หลงความรู้ หลงความสามารถของตน มันเป็นสัจจะของมัน กิเลสมันจะซ้อนอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นผู้รู้จริงๆ เก่งจริงๆ สามารถจริงๆแล้วไม่หลงตัวตน ไม่ยึดตัวตน ใครจะเชื่อ ใครจะเคารพ ใครจะนับถือว่าเรานี้ถูก เรานี่ชัดเจนมีความจริง แม้เขาไม่เชื่อ ไม่เคารพ ไม่นับถือ เขาจะด่าจะทอ แม้ที่สุดจะมาต่อต้านทำร้ายอะไรเรา ก็เข้าใจเขา เห็นใจเขา อย่างอาตมานี่ เห็นใจคนที่มาต่อต้านอาตมา มาจัดการอาตมา ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเลย ทำงานศาสนามา เริ่มต้นมา อาตมาก็จะมีคนต่อต้านมาเรื่อยๆ 

พอเริ่มแสดงตัวเองมา มันก็จะขัดแย้งกับเขา เขาจะค่อยๆต่อต้าน จนกระทั่งต่อต้าน หนัก พ.ศ.2532 ต่อต้านมากที่สุด ยกพรรคพวกทั้งนิกายธรรมยุตและมหานิกายมาร่วมกัน รวมกันมาซัดอาตมา เต็มที่เลย ซึ่งมันก็ผ่านมาแล้วเหตุการณ์

จนกระทั่งจบลงที่นานาสังวาสของพระพุทธเจ้า อาตมาก็ประกาศอย่างถูกต้องนานาสังวาสมาเขาก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ทั้งๆมีผู้รู้มีปราชญ์ตั้งเยอะแยะ เข้ามาทำต่างๆนานา ไล่ยาวไปจนกระทั่งสุดท้าย ลงท้ายก็จบด้วยสัจจะของมัน นานาสังวาสแปลว่า  ต่างคนต่างอยู่ เป็นพุทธร่วมกัน สังวาส เรียกว่า ร่วมกัน สังวาสเดียวกัน เห็นพูดร่วมกัน แต่เห็นแตกต่างกัน นานาสังวาส เพราะฉะนั้น ต่างคนต่างเห็นแตกต่างกัน พระพุทธเจ้าก็มีหลักพระธรรมวินัย นานาสังวาส 

1.จะมาฟ้องร้องกันไม่ได้ แต่เขาก็ฟ้องร้องอาตมา ฟ้องขึ้นศาลด้วย ซึ่งเขาอาบัตินะ เขาผิดนะ ฟ้องอาตมา นานาสังวาสนี้ฟ้องไม่ได้ 

อาตมาประกาศนานาสังวาสตั้งแต่ วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2518 ประกาศเป็นทางการเลยต่อหน้าสงฆ์ 180 รูป มีหลักฐาน มีเอกสารตัวหนังสือเขียนประกาศด้วย ส่งให้ไปเลย เอาขึ้นไปถึงเถรสมาคม ถึงเจ้าคณะอำเภอขึ้นไป ถึงเจ้าคณะจังหวัด ส่งไปถึงเถรสมาคม ยืนยันไปอยู่ในเอกสารที่เขาพิมพ์ตำรา หนังสือเกี่ยวกับเรื่องของเรานี่ เขาก็เอาลงไป ยืนยันหลักฐานว่าอาตมาได้ทำทุกอย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทุกอย่าง แต่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลย เหมือนเด็กๆไม่เดียงสา ไม่รู้เรื่อง ไม่ประสีประสา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมให้เกิดปัญญาเพื่อสละตัวตน วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565  แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2565 ( 20:00:47 )

การเสียสละเป็นคุณค่า เป็นความประเสริฐ

รายละเอียด

เพราะว่าเราเรียนเศรษฐศาสตร์ เราเรียนทางที่จะเอาเปรียบหรือเสียสละ พวกเราเป็นชาวเสียสละไม่ใช่ชาวเอาเปรียบ ไม่ได้เห็นการได้เปรียบเป็นคุณค่า แต่เราเห็นการเสียสละเป็นคุณค่า เป็นความประเสริฐ ความเอาเปรียบเป็นความเลว การได้เปรียบเป็นหนี้ การเสียสละเป็นเจ้าหนี้ 

เราพยายามศึกษาและเห็นความจริงแล้วทำความจริงอันนี้ให้ได้เรื่อยๆเลย เพราะฉะนั้นสังคมพวกเราอาตมาพาทำตามที่อาตมาเข้าใจ เข้าใจตามที่ได้เรียนมากับพระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งถึงปางนี้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็เอาความจริงมาเปิดเผย มาพาทำ มาพิสูจน์ให้พวกเราทำ จนกระทั่งพิสูจน์ความจริงนี้ เป็นความจริงที่เจริญ เป็นความจริงที่ประเสริฐ เป็นความจริงที่คนจะต้องมาเป็นมามีมาได้ แล้วจะมีประโยชน์คุณค่าต่อโลกเขาไปอีกเยอะเลย เพราะฉะนั้นผู้ใดฟังดีๆแล้วจะเห็นได้ว่าเราไม่อยากมาเป็นกสิกร เราไม่อยากลงมาเป็นนักปลูก นักคลุกกับดิน แล้วก็สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร เรายังคิดไม่เจริญนะ เรายังไม่รู้จักความเจริญของมนุษยชาติที่แท้จริง ทำความเข้าใจดีๆ แล้วมาให้ได้มาเป็นให้ได้ 

อย่างสมณะไม่ได้ไปเป็น นี่นะ ถ้าเปิดไปเลย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกินคิด เพราะว่าสมณะ จะต้องไม่ไปคลุกแย่งฆราวาสปลูก มันจะยากมันจะไม่ดี มันซับซ้อนที่อธิบายยาก มาเป็นผู้ที่ให้ความรู้ที่ละเอียดละออ ปฏิบัติตนให้บรรลุสูงสุดแล้วก็ปฏิบัติตนให้รู้มีความรู้ความจริงเอามาบรรยายมาบอกมาสอนแบ่งหน้าที่กันเท่านั้นเอง ฆราวาสก็ทำอยู่กับกสิกรรมนั่นแหละ จะเก่งในเรื่องอุตสาหกรรม จะเก่งเรื่องเทคโนโลยีอื่นๆบ้าง ก็เก่งเถอะพอเป็นพอไปพออาศัย มันไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับกสิกรรมหรอก 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #24 ศึกษาความผูกพัน-ความสัมพันธ์ กรณี บี-ประทับใจ วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2566 ( 12:21:16 )

การเสียสละในทศพิธนี่แหละสุดยอด 

รายละเอียด

วันนี้วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 2 ปีขาล กำลังจะปีใหม่ของปี 2566 แล้ว วันนี้ก็เป็นวันที่ ดีมากเลย เรามีแขก สำคัญมา ให้เกียรติมาถึงหมู่บ้าน ราชธานีอโศก คือ คุณสนธิญาณ  ชื่นฤทัยในธรรม เจริญธรรมคุณสนธยา อาตมาก็จะเรียกด้วยความสนิทชิดเชื้อว่าต้อย ก็เรียกกันมา เป็นชื่อเล่นของคุณสนธิญาณเขา อาตมาเคยสนิทชิดเชื้อก็เรียกกันมา โอภาปราศรัยพบพากันมา หลาย 10 ปีมาแล้ว 

วันนี้เป็นวันที่เป็นเกียรติมาก เป็นฤกษ์ดีมากทีเดียว แล้วพวกเราชาวอโศก มารวมตัวกันที่ราชธานีอโศกกันด้วย จะเห็นได้ว่าอุ่นหนาฝาคั่ง ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ รอบเต็มศาลาเลย เพราะว่าจะมาร่วมกันจัดงาน ตลาดอาริยะครั้งที่ 41 คือเราจัดมาแต่ละปี บางปีเราเว้นไม่ได้จัด อาตมาทำงานมา 52 ปีจัดตลาดอาริยะมา 41 ปี 41 ครั้ง ปีละครั้ง ปีนี้ตั้งใจ เขามี budget ให้เลย 10 ล้าน จ่ายไปเลย 10,000,000 ไม่ใช่ค่าสินค้านะ ค่าขาดทุน สินค้านั้นซื้อกว่า 10 ล้าน กองพะเนินแล้วขาดทุนไป หรือเสียสละให้แก่มนุษยชาติ 10 ล้าน เรื่องนัยะ ของการเสียสละในทศพิธนี่แหละสุดยอด คนเราถ้ารู้จักความจริงแล้วก็เป็นความดีที่จริง มันก็เต็มใจที่จะทำความดีนี้ที่จริง ใช่ไหม ถ้าเราทำได้เราไม่ลำบากลำบนเลย พอเป็นไป ไม่ถึงขั้นฝืนมันก็เป็นไปได้ เราก็ทำอย่างสบายใจ อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 8 พ่อครูพบ คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มกราคม 2566 ( 11:13:42 )

การเสียเปรียบกับเสมอภาค

รายละเอียด

คำว่าเสียเปรียบที่สูงส่ง คำว่า เสียสละ นี้คือเราจะต้องให้แก่ผู้อื่น สละให้แก่ผู้อื่น สิ่งที่เราสละมันมีคุณค่า มันเหมาะสมกับกาละเทศะบุคคล หมู่กลุ่ม ตามสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เราดูรายละเอียดก็รวบรวมอย่างได้สัดส่วน ที่จะเสียสละ ยกตัวอย่างเช่น คนจนกับคนรวย เรารวย แล้วเราก็มีพลัง มีความรู้ความสามารถที่จะสร้างได้มาก แต่คนจนนี้สร้างไม่ได้มาก เราทำได้มากกว่าเขา เราก็เสียสละให้แก่เขาได้มาก เช่นแม่ มีอาหารมา 1 ก้อน แม่ให้ลูกกินเราอดทนได้มากกว่า แม่ก็สามารถสละให้ลูกได้มากกว่าที่ควร

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 17:13:00 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:49:29 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:52:11 )

การเห็นกิเลสเป็นตัวปัญญา กิเลสเห็นด้วยปัญญา

รายละเอียด

ต้องมีภูมิปัญญาสัมมาทิฏฐิและสามารถ และพวกเราที่สัมมาทิฏฐิแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะสัมผัสได้ มันต้องมีเหตุปัจจัยครบพร้อม สัมผัสมีรูปมีนามมีสภาพ 2 สัมผัสกัน แล้วเกิดอาการ เกิดอาการขึ้นมาเป็นสภาวะธรรมเรียกว่าอายตนะก็ตาม ลึกเข้าไปในนั้นเป็นเวทนา สามารถที่จะแยกแยะมีตัวธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะกิเลสในปัจจุบันธรรม ออกจากจิต แล้วเห็นกิเลส การเห็นกิเลสนี้เป็นตัวปัญญา เป็นตัวญาณทัศนวิเศษ เป็นปัญญา เป็นความฉลาดเยี่ยมยอดที่มีพลังฤทธิ์ มีธรรมฤทธิ์ เห็นกิเลสแล้วกิเลสจะถอยเลย นอกจากกิเลสมันไม่รู้ตัว ยังไม่รู้ว่า เฮ้ย! ปัญญาเห็นเอ็งแล้วนะ มันก็จะ เด๋อๆอยู่ เมื่อมันรู้ว่าปัญญาเห็นแล้วมันก็จะหายไปเลย อาตมาอธิบายสภาวะธรรมเป็นอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นคนคิดไม่ถึง คิดไม่ออกหรอกว่า บุญนี้เป็นธัมมาวุธเป็นปัญญาวุธ บุญนี้เป็นอาวุธ ประหาร ไม่ใช่เป็นอื่นเลยเป็นอาวุธประหารเป็นพลังงานที่เกิดในปัจจุบันธรรม ปัจจุบันชาติเป็น ทิฏฐธรรม เกิดแล้วก็จัดการ จัดการประหารได้สำเร็จก็สำเร็จ 

แต่ส่วนมากแล้วมันจะสำเร็จเพราะเป็นตัวพลังงานต่อจากฌาน เพราะฉะนั้นคนจะปฏิบัติธรรมะนี้ให้เกิด ฌานของพุทธ ต้องวงเล็บว่า ฌานที่สัมมาทิฏฐิของพุทธ เป็นฌานวิสัยของพุทธ ก็คือพลังงานปัญญาเป็นธรรมฤทธิ์นั่นแหละ มันเห็นกิเลส มันแยกกิเลสจากจิตออก มันเป็นสติ ธัมมวิจัย มันเป็นโพชฌงค์  อย่างน้อยโพชฌงค์ 3 พอมันแยกกิเลสได้แล้วมันก็จะมีตัวปัญญาอยู่ร่วมด้วย กับฌาน พอเจอหน้ากิเลส ทำงานทันที ทำงานแล้วกิเลสก็ถอยไป กิเลสก็จะกลัวปัญญา เพราะฉะนั้นมันก็จะถูกฆ่าโดยกิเลสอย่างที่กล่าวมานี้อย่างแท้จริง 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #26 เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2566 ( 19:00:50 )

การเห็นทุกข์จะเห็นอย่างไร

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าบอกว่าการเห็นทุกข์นั้นเห็นยากเหมือนกับ การจักเส้นผมเป็น 7 แฉกเท่าๆกันเห็นยาก (สู่แดนธรรม) สมณโพธิรักษ์ว่า มันยากที่จะรู้ทุกข์ในอริยสัจ 4  ต้องรู้ความทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้วิธีปฏิบัติที่จะหมดทุกข์ ความสุขคือความทุกข์ นี่แหละ พยัญชนะจะเรียกว่าความสุขหรือความสบาย  ก็เป็นภาษาที่เป็นไวยพจน์ ส่วนผู้ที่เข้าใจอาการที่ มีความสุขตั้งอยู่แล้ว ก็เพราะเสพรสสบาย พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ ก็พูดว่ามีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ที่คุณอาศัยอยู่มันไม่มีอะไรสุขหรอก มันมีแต่ทุกข์เท่านั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เพราะฉะนั้นถ้าคุณทำให้ความทุกข์ดับไปแล้วมันก็หมดก็จบ คุณก็เป็นอรหันต์ คุณรู้ความทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้ความดับทุกข์ และทำให้ทุกข์มันดับ คุณก็เป็นอรหันต์ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องไปรู้สภาวะ คนที่นั่งอยู่บนกองของความสุข นอนอยู่บนกองของความสุข จะรู้จักความทุกข์ได้ยากมาก จึงต้องเลิกความสุขที่คุณเสพ มาพบกับสิ่งที่มันไม่ได้ ตามที่คุณต้องเสพเสวยอยู่มาก ถ้าคุณไม่เลิกไม่ลดมา คุณก็ยังอีกนาน

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 15:45:25 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:50:57 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:33:55 )

การเห็นทุกข์ไวแสดงถึงการมีบารมีชั้นสูง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคนที่พอรู้ ที่จริงมันสลับซับซ้อน คนที่รู้จักทุกข์แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปรวยมากแล้วถึงจะทุกข์ ไม่ต้องมียศศักดิ์มากถึงจะทุกข์ มีแค่นี้ แค่รวยอย่างพวกคุณได้ขนาดนี้เห็นทุกข์แล้ว ก็แย่งชิงกัน มียศศักดิ์ฐานะระดับสังคม ขนาดพวกคุณนี่แหละ เห็นทุกข์แล้วมา 

เพราะฉะนั้นยิ่งกลับกัน พวกคุณนี้เห็นทุกข์ไว แสดงถึงการมีบารมีชั้นสูง พวกที่มีทุกข์อยู่ทาง ลาภก็เยอะ แบกไว้ภาระตำแหน่งยศศักดิ์ไว้เยอะสูง แบกภาระ ไม่รู้ตัว นั่นแหละพวกนั้นยังหยาบหนา พวกคุณนี้บางเบา 

เพราะฉะนั้นสรุปจริงๆโดยสัจจะ ผู้ที่มาอโศกนี้มีบารมีทั้งนั้น ไม่ต้องไป โอ้โห ต้องทรมานอยู่ทางโน้นเยอะแยะ หนักหนามากมาย จึงจะรู้ตัว แค่นั้น บอกว่า ไม่เอาแล้วมา เพราะฉะนั้นคนมีบารมีจึงมีจำนวนน้อย เป็นธรรมดาธรรมชาติ มีจำนวนน้อย ก็ได้ขนาดนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณา ครั้งที่ 39 สร้างอาหารให้กับโลก วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 12 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2564 ( 20:39:10 )

การเห็นสงสารน่าสงสารเป็นอย่างไร

รายละเอียด

นอกจากไม่ได้แล้วเขายังผลักด้วยซ้ำ มันก็ไม่ได้ อาตมารู้แล้วก็ได้แต่สงสาร ที่พูดคำว่าสงสารๆอาตมาไม่ได้พูดเล่น อาตมาพูดจริงใจที่สุดเลย สงสาร สงสารผู้ที่เข้าใจผิด แล้วก็ไปหลงยึดปฏิบัติผิดกันอยู่ แล้วก็ไปได้มรรคผลแบบมิจฉามรรค มิจฉาผล ก็น่าสงสารอาตมาเป็นโพธิสัตว์จะมารื้อขนสัตว์ จะมาช่วยเหลือคน คนที่หลงผิดและนำพาไปผิด ดันทุรังเลย ยึดผิดอย่างดันทุรังเลย ไม่ดูดำดูดีที่อาตมาจะพูดอย่างไร 

คำว่าน่าสงสารหรือสงสาร คือผู้ที่รู้ อย่างอาตมารู้ รู้ว่าเขาจมอยู่ในสงสาร จมอยู่ในสังสารวัฏ เขาไม่งอกไม่เงยออกจากสังสารวัฏเลย จะตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ตกนรกขึ้นสวรรค์ อยู่อย่างนี้ ไม่จบง่ายๆหรอก นั่นคือตัวสงสาร สภาวะสงสาร ที่อาตมามีในตัวที่เขาเป็นเขาเป็นผู้ที่วนเวียนอยู่ในสงสาร ในวัฏสงสาร ไม่ผุดไม่เกิดเลย ไม่เกิดเป็นอาริยะอย่างเขาได้เลย น่าสงสารนี่คือการเห็นสงสาร น่าสงสาร ก็จึงได้ช่วยเขาออกจากสงสารพวกนี้แหละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2565 ( 11:56:08 )

การเห็นและยอมรับแล้วคบหาฟังธรรมจากสัตบุรุษจึงได้ชื่อว่าผู้มีปัญญา

รายละเอียด

คนผู้ใดก็ตาม ถ้าเริ่ม..เห็นคนผู้หนึ่งในโลกปัจจุบันที่เราก็กำลังมีชีวิตร่วมอยู่ด้วยนี้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือสัตตบุรุษ นี่คือ คุณยอมรับ“คนผู้นี้”เป็นพระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษอยู่ในโลกขณะที่คุณมีชีวิตร่วมอยู่นี้ ดังนี้จึงจะนับว่าคุณมี“ปัญญา” หรือเริ่มเกิด “อัญญธาตุ”ในจิตเห็นพระพุทธเจ้าหรือเห็นสัตตบุรุษขึ้นมาได้

และยอมรับว่า “คนผู้นี้”เป็น“ผู้ปฏิบัติถูกต้องโลกุตระ”ตามธรรมพระพุทธเจ้าจริง(สัมมัคคตา) เป็นผู้บรรลุอาริยธรรมแท้จริง(สัมมาปฏิปันนา)” แล้ว“คบหากับสัตบุรุษ(สัปปุริสสังเสวะ)” ฟังธรรมท่าน มันไม่มีใครบังคับใจของคุณนะ ใจของคุณจะยอมรับเอง ใครจะมาเห็นก็เขาเห็นของเขา เขาเห็นแล้วว่าคนผู้นี้เป็นของจริงเลย คนนี้เป็นพระพุทธเจ้า คนนี้เป็นสัตบุรุษอยู่ในโลก ที่คุณทั้งหลายมีชีวิตอยู่ร่วมนี้ ดังนี้แหละจึงจะนับว่า คุณมีปัญญา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระปัญญาต้องได้มาจากสัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 19:09:02 )

การเอา เป็นความเลวของมนุษยชาติ

รายละเอียด

มาพูดถึงการให้ ศาสนาหรือมนุษยชาติทุกศาสนา เข้าใจ รู้เรื่องการให้ว่า เป็นเรื่องดี เรื่องเอาเรื่องแย่งชิง เป็นเรื่องไม่ดี ฆ่ามันเสีย แล้วไปเอาอะไรของมันมา เอาสิ่งที่มันรักมันชอบของมันมาเป็นของเรา มันรักประเทศก็เอาประเทศของมันมา ฆ่ามัน เพื่อเอาสมบัติ เอาอำนาจมันมา มันมีอำนาจก็ฆ่ามันเพื่อเอาอำนาจมันมา ปานนั้นเลยคน 

เพราะฉะนั้นคนที่จะเอา เป็นคนมีตัวตน เป็นคนโหดร้าย เป็นคนจน มันขาดแคลนมากมายหรืออย่างไร ไปแย่งจากเขา แย่งสารพัดจะแย่ง ซับซ้อน จะแย่งด้วยมือเปล่าไม่พอต้องสร้างอาวุธไปทำร้ายเพื่อที่จะไปแย่งของเขา เช่น สร้างอาวุธไปแย่งอาณาจักรไปแย่งประเทศไปแย่งสมบัติจากประเทศนั้นประเทศนี้ ไปครอบครองเป็นเจ้าอาณาจักรมีทรัพยากร ไปแย่งชิงทรัพยากร เช่น ไปแย่งเอาน้ำมัน ไปแย่งเอาทองคำ ไปแย่งเอาอะไรจากถิ่นของเขา อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นการเอานี่เป็นความเลวของมนุษยชาติ การให้ เราไม่มีน้ำมัน คุณก็ไม่มาเอาน้ำมันจากเรา แต่เรามีผักพืช แล้วผักพืชเป็นหนึ่งในโลก อาหาร เราสร้างสิ่งเหล่านี้ เราเห็นว่าเราสร้างได้สร้างดีมากๆ อาตมาถึงบอกว่า พวกเราเป็นเศรษฐีอะไรก็สู้เป็นเศรษฐีพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ได้ 

ฝากไว้ก่อน โอฬาร สำหรับวันนี้ หมดเวลา

ที่มา ที่ไป

 พ่อครูแสดงธรรมรายการ งานอโศกรำลึก 2565 อภิภายตนะ 8 ตอน สังคมสาราณียธรรมที่จริงยิ่งกว่ายูโทเปีย วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2565 ( 14:21:07 )

การเอาภาระกับการเพ่งโทษต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

คนที่ไม่มีหน้าที่ ยังไม่มีภูมิพอ ยังไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปแนะนำเขาได้ก็ดูตัวเอง หรือแม้แต่เราอยู่ในฐานะที่ไม่ถึงกับไปสอนเขาหรอก แต่ก็น่าจะแนะนำเขาบ้าง เจตนาดีอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนก็บอกกันไป ถ้าเห็นดีว่าแนะนำไปแล้วมันยิ่งเพิ่มกิเลสเขาแรงขึ้นเราก็หยุด ถ้าเห็นว่าเขาฟังเราก็ดูดีก็ได้ผลก็ค่อยๆช่วยกัน ก็ไม่เสียหายอะไร ก็ดูท่าทีดูผลสะท้อนตอบที่เราทำไปบ้าง เราก็ต้องทำช่วยกัน ก็ทั้งปล่อยแล้วไม่ปล่อย 

การเพ่งโทษกับการเอาภาระ มันเป็นสภาพได้ทั้ง 2 แง่ เราจะไปวัดไปชี้ตัดสินว่าอะไรควร ไม่ควร อะไรถูก อะไรไม่ถูก ยาก มันเป็นความแตกต่างกัน เอาภาระคือมีกุศลเจตนาเป็นแนวทางดีทางควร ก็พยายามชี้บอกเขาเช่นเราพยายามชี้บอกเรื่องมหาบัวผิด เรามีกุศลเจตนา พยายามบอกสิ่งที่ถูกแล้วสิ่งที่เขาทำมันผิดโมฆะไปเลยไม่เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ก็บอกกันไป หรือแม้แต่ธัมมชโยหรือแม้แต่ท่านมหาประยุทธ์หรือสมเด็จพุทธโฆษาจาร ก็ได้พูดถึงสิ่งที่ควรที่พอจะตำหนิอะไรให้ก็เป็นกุศลเจตนา ไม่ใช่การเพ่งโทษแต่เป็นการเอาภาระในฐานะที่เป็นสังวาสเดียวกัน

ขนาดอสังวาสเลย อย่างสมี ธัมมชโยเราก็แสดงออกเหมือนตีงูให้กากิน ให้คนที่เคยหลงผิดได้ยินก็จะรู้สึกตัวได้ ว่ามีคนเห็นในแง่อย่างนี้ คนที่ฟังด้วยดีก็จะเกิดปัญญารีบถอนตัวไม่อย่างนั้นจะยิ่งจมถลำไปใหญ่ แต่พวกนี้ก็จะถูกหลอกปิดหูปิดตาไม่ให้ไปรับของที่อื่น เขาไม่กล้าพอไม่อิสระพอก็เลยถูกครอบงำทางความคิด ให้ฟังแต่เขาคนเดียวเป็นนักสะกดจิต ให้ฟังอย่างอื่นไม่ได้ เหมือนพวกชอบอำนาจบาตรใหญ่ครอบงำทางมิจฉาทิฏฐิมันจะเป็นอย่างนี้ ทางที่ไปกำหนดบังคับไม่ให้อิสระเสรีภาพแก่ความคิดก็จะตีกรอบกันไว้ไม่ให้ไปรับอย่างอื่น เป็นวิธีการสามัญที่ใครก็เข้าใจได้ มันก็มีผลเพราะเป็นสัจจะไปตามนั้น 

ซึ่งมันไม่เก่งเหมือนของพระพุทธเจ้าที่ให้อิสระเลย คุณเข้ามาจะมาทำยังไงก็ได้จะมาล้างสมองจะมาป่วนมากวนอะไร สัจจะที่มั่นคงแน่นอนทั้งเจโตและปัญญาแล้ว ไม่มีหวั่นไหวไม่มีเคลื่อนคลอนอยู่อย่างมั่นคงเด็ดเดี่ยวไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นการเพ่งโทษก็ดี ในภาษามันก็บอกแล้วว่าไม่ดี ส่วนการเอาภาระมันดี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เศรษฐกิจดี หรือ เศรษฐกิจไม่ดี คืออย่างไร  วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2566  แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มิถุนายน 2566 ( 17:07:16 )

การเอาสัตว์มาเลี้ยงมาใช้แรงงานเป็นวิบากซ้ำซ้อน

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติตามลำดับ ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ และคนก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง นี่แหละให้ระมัดระวังสัมผัสกับสัตว์คน สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องไปสัมผัสกับมัน  ไม่ต้องเอามาเลี้ยงเลย อย่าไปกินแรงสัตว์ เอาสัตว์มาใช้แรงงานก็ไม่ต้อง เป็นวิบากซ้ำซ้อนไปอีกเยอะแยะอีกนานชาติ หรือแม้แต่หลงดีใจ เอาสัตว์มาฝึกให้มันเก่ง มันชำนาญ มันฉลาด มันทำงานได้ทำอะไรได้พิสดารเลย คุณก็อาศัยมันแล้วมันก็มีวิบากต่อกันอยู่นั่นแหละ คุณไปกินแรงมัน คุณจ่ายเงินเดือนให้มันก็มีนะ แล้วใครได้ เจ้าของหมาได้ ไม่ใช่หมา หมามันไม่รู้เรื่องหรอกเรื่องเงิน ตั้งระดับชั้นด้วยนะ เป็นขนาดนายร้อยก็มี หมา มียศให้ มีอัตราเงินเดือนให้ก็ทำไป ก็เป็นเรื่องโลกๆ ต้องอาศัยพวกนี้อยู่กันไป ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่มีฐานอาศัยก็ต้องเข้าใจ เขาก็ต้องวนเวียนอยู่ 

ผู้ที่จะเตือนกันได้ อยู่ในฐานที่ควรจะขยับกันขึ้นมา แคะไค้กันขึ้นมาได้

เหมือนเด็กๆก็อยู่ฐานเด็ก เขายังไม่เดียงสายังไม่โตพอที่จะมาเป็นผู้ใหญ่ ไปบังคับมาก็ไม่ได้ไม่ดี มันเหมือนดอกไม้จะบานก็ต้องมีเวลาบานของมัน เมื่อไม่ถึงเวลาจะไปบังคับบีบบี้ มันผิด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาปฏิบัติเป็นลำดับอย่างไม่กดข่ม วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2565 ( 21:36:06 )

การเอาสัตว์มาเลี้ยงไม่ได้เป็นการเมตตาจริงๆ

รายละเอียด

คุณก็เข้าใจความสัมพันธ์กับสัตว์ การเอาสัตว์มาเลี้ยงมันมีการหมุนรอบเชิงซ้อนปฏิสัมพันธ์มันมีทั้งรักและชังมันไม่ได้เป็นการเมตตาจริงๆ มันเป็นอารมณ์ชั่วคราวที่หมุนไปซับซ้อนไปมา เพราะฉะนั้นวิบากที่คุณทำกับสัตว์ที่คุณรักคุณเลี้ยงนี้ ยังจะเกิดมาทดแทนคุณกันในชาติต่อๆไปอีกหลายชาติ พูดไว้แค่นี้ก็แล้วกันมันเป็นเรื่องซับซ้อนลึกซึ้งมากเลยคนที่เกี่ยวข้องกันเกิดมาร่วมกันกว่าจะใช้วิบากหมดไปจากกัน 500 ชาติน้อยไปท่านจึงใช้คำว่าสัก 500 ชาติอีกเยอะในการเกิดมาใช้หนี้บาปเวรต่อกัน ที่จริงมันมากกว่า 500 ชาติเยอะ แต่คนที่ปฏิบัติธรรมไปศึกษาเลขตัวที่ 5 มันเป็นเลขที่รู้การถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง จาก 9 เป็นอาการเกิด 4 กับ 4 เป็น 2 ข้าง ส่วนเลข 5 เป็นเลขเกิดของ 4 รู้เจริญกว่าเลข 4 เป็นสังขยาเลข เช่น ใน เวทนา 5 มี โสมนัสโทมนัส มีน้ำหนักของเวทนาที่ต่างกัน มีองศาต่างกัน

ที่มา ที่ไป

รายการสมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 11:01:41 )

การเอาโลกีย์ไปดับความทุกข์

รายละเอียด

มันไม่ได้ดับ ไม่ได้ฆ่ากิเลส คนที่หลงอยู่ในโลก แห่งความบันเทิงเริงรมย์ หน้ามืดตามัวเป็นรสเป็นชาติ แล้วได้ทรัพย์สินเงินทองหน้าตา ได้เกียรติยศ อีกที่โลกเขาสมมุติ ถ้าบอกให้เลิกมาเขาก็ไม่เลิก เขาก็ยังไม่เห็นเป็นทุกข์อยู่ตรงนั้น เขาก็จะเจอ ความทุกข์มากไปตามวิบาก เขาก็จะเห็นว่า เอาโลกีย์ไปดับความทุกข์ ซึ่งมันไม่ได้ดับ ไม่ได้ฆ่ากิเลส มันมาหลอกให้หลงหนักซ้ำ เอาเงินมาทำให้ไม่ทุกข์ได้ เอาอำนาจมาทำให้ไม่ทุกข์ได้ เอาอำนาจ สรรเสริญโลกียสุขมาทำให้ไม่ทุกข์ได้ หรือเอาตัวสุขมาดับทุกข์เอาดื้อๆ ตามพยัญชนะ จะสมมติอะไรก็ตามใจ คุณก็มีทำอยู่แค่นี้ แล้วคุณก็ติดจมอยู่ตรงนี้ไปตลอด มันไปไม่รอดไปไม่ออก เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรจะให้รู้จักสภาวะปัจจุบันว่าเป็นทุกข์ คุณต้องเลิกจากสิ่งที่คุณมีความสุข

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 15:54:17 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:52:26 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:34:55 )

การเอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาของพ่อครู

รายละเอียด

อาตมาต้องเอาโลกุตรธรรมมาสถาปนา มาสถาปนา หมายความว่าต้องทั้งรู้ ทั้งสาธยายทั้งทำให้เกิดการบรรลุธรรม จนกระทั่ง เป็นสังคม เป็นวัฒนธรรม เป็นมวลหมู่มนุษยชาติ มีความเป็นอยู่อย่างที่เราเป็นกัน มี สาราณียธรรม 6 ถึงขั้น สาธารณโภคี 

อาตมายังภูมิใจที่ทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ แม้ในยุคที่ใกล้กลียุคนี้ แล้วอาตมาเคยพูดมาหลายทีแล้วว่าอาตมานอนตายตาหลับ เพราะว่าได้พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วว่า อกาลิโก ในยุคนี้ก็ยังมีคนรับได้ มันจะน้อยก็ตาม ยังมีประมาณนี้ก็ตาม แต่มันเป็นของจริง ซึ่งคนไม่ได้รู้เรื่องความจริงอันวิเศษนี้ ที่เรียกว่า อุตตริมนุสสธรรม ความจริงที่เป็นคุณอันวิเศษอันนี้ เขาไม่ได้รู้กันง่ายๆ เขาจะไปรู้ค่าอะไรเขาก็รู้แต่นั่นแหละ ไปต่ออะไรเขาตามโลก เรื่องใจอย่างเราทำไปเถอะ เขาก็มองไปอย่างนั้นแหละ เราเอาไปให้เขาก็ขว้างทิ้งไป อย่างเช่น หนังสือหนังหา พิมพ์ไปเถอะ แจกไป ได้ไปก็เสร็จแล้วไม่ได้เปิดอ่านหรอก  โยนซุกไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ 

บางคนอาจจะมีบารมีบ้าง ได้หนังสือไปก็อ่านแล้วดี แต่อ่านจบแล้วไปซุกไว้อีก ไม่ได้มาทบทวนแล้วเอาไปปฏิบัติจริง น้อยคนที่จะเห็นได้ว่า อย่างนี้น่าศึกษาในชีวิตเรา เพราะได้อ่านหนังสือที่โพธิรักษ์เขียน ใครมาเพราะว่าได้อ่านหนังสือที่โพธิรักษ์เขียนบ้าง ยกมือซิ....ไม่มากนักยกมือแต่จะได้อ่านหนังสืออาตมาเขียนแล้วมาได้ หรือมาได้โดยวิธีผีผลักส่งเข้ามาก็ตาม มันก็ดีทั้งนั้นแหละใช่ไหม จะมาด้วยอะไรก็แล้วแต่ แม้ผีผลักส่งมาก็ตาม อยู่ได้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 31 วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2565 ( 12:06:02 )

การแกล้งมีสองอย่างคืออย่างไร

รายละเอียด

การแกล้งกันมีสองนัย อันแรกคือแกล้งให้ได้รับความทุกข์ทรมานเดือดร้อน แต่ส่วนมาก ธรรมดาเป็นเพื่อนกันอยู่ด้วยกันมันจะมีแกล้ง มีเล่นกัน มันเป็นของดี มันเป็นเรื่องการแสดงออกเป็นมิตรสหาย ยิ่งเด็กมันจะเล่นๆแกล้งๆ มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ ถ้าหากเพื่อนไม่คบกับเราไม่เล่นกับเราไม่แกล้งเราเลย จงรู้ไว้เสียว่าชักไม่ดีแล้วกลายจะเป็นหมาหัวเน่า เพื่อนทำไมไม่เล่นกับเราไม่แกล้งกับเรา คนที่ไม่แปลกใจเพื่อนแกล้ง มันเป็นธรรมดา คนเราก็มีนิสัยที่จะเล่น แม้แต่สัตว์เดรัจฉานตัวเล็กตัวน้อย มันก็เป็นความไม่เดียงสา ก็ต้องมีเป็นธรรมชาติ แม้แต่โตก็มีแกล้งกันเลย เพื่อให้มันไม่นิ่ง ให้เกิดปฏิภานปัญญา 1.การเล่นหัวแสดงออกมาความเป็นมิตรสหาย 2. แกล้งเพื่อให้เกิดประโยชน์คุณค่า เหมือนในหลวงใช้คำคำนี้ ท่านไป “แกล้งดิน” คำว่าแกล้ง เป็นประโยชน์คุณค่าอย่างมาก 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 12:28:52 )

การแก้ความจนไม่ให้จน

รายละเอียด

คือ สมณะโพธิรักษ์บอกว่า  การแก้ความจนไม่ให้จนนี้  โดยวิธีให้ทุกคนไปรวย  เพื่อจะได้พันจาก  ความจน  อันนี้เป็นการแก้แบบหมากรุก ชั้นเดียว สภาพโลกมันก็ไม่เที่ยงกลับไปกลับมาความจน กับความรวย  แก้ปัญหาไปให้จนก็คือให้รวย มันก็สลับไปสลับมาไม่สำเร็จ พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าให้มาจนเสียเลย

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 11:12:42 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:53:46 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:36:41 )

การแก้ปัญหาคนจน ตามทฤษฏีของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

คือ เราเข้าใจเราก็เรียนรู้วัตถุ ไม่มีนี่ อาตมาพามาจน มาไม่มี  ไม่ต้องเพิ่มเติม  ไม่ต้องสะสมอะไร มีอยู่มีกิน  มีกองกลางทำงานไป คนนี้เช็คปัดกวาดถู  อย่างวานา  ก็เช็ดปัดกว่าถูทุกวัน    แล้วก็เป็นศิลปินมาจัดฉาก  จัดเวทีด้วย เอาอะไรมากองไว้ ไม่ต้องเรียนศิลปากร  ไม่ต้องเรียนเพราะช่างเลย เราทำงานอย่างไม่ต้องสุข  ไม่ต้องทุกข์ให้ได้ (ส.เดินดิน พูดแทรก)  การแก้ปัญหาคนจน ที่อาตมาเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้าที่ท่านวางไว้ชัดเจน  วรรณะ 9  มาเป็นจนจน  อัปปิจฉะ  คือมักน้อย  น้อยก็คือจน  อาตมาใช้ศัพท์ว่า  กล้าจน เขาเข้าใจเรื่องความจน  มาจนนี้ดีกว่าไปรวย   เพราะฉะนั้นใจพอ หรือ  สันตุฎฐิ   สันโดษ มีเท่านี้พอพอแล้ว  ก็มีจุดสมบูรณ์ที่สุดก็คือ  0  มี 0 ก็พอ  ไม่ต้องมีของเราเอง แล้วก็มีระบบที่เราเป็นอยู่ คือสาธารณโภคีมีงาน มีผลผลิต  ก็เอาเข้าส่วนกลาง

หนังสืออ้างอิง

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 14:49:34 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:56:50 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:41:03 )

การแก้ปัญหาอย่างงูกินหาง 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าผู้ที่จะมีหน้าที่ทำการช่วยสังคม แม้แต่ตนเองก่อน แก้ปัญหาให้ตัวเองก็ไม่ได้ ตนเองก็ไปหลงเรื่องเงินๆทองๆเรื่องของตัวเลข ว่านี่เป็นตัวชี้บ่งความเป็นเศรษฐกิจ แล้วก็ไปวุ่นวายอยู่กับตัวเลข เงินๆทองๆแม้แต่ของตัวเองก็ตาม แล้วจะไปแก้ปัญหาให้แก่สังคมโลก บางคนที่เข้ามาเสนอหน้าจะมาแก้ปัญหา ตัวเองนั้นรวยแล้วนะ เงินๆทองๆตัวเองมีเยอะ ประสบผลสำเร็จได้เงินๆทองๆแล้ว แล้วก็เห็นว่าตัวเองนี้ พ้นปัญหาเศรษฐกิจ แล้วก็จะมาแก้ปัญหาให้แก่คนไปรวยๆอย่างตนเอง แล้วก็มาครอบงำทางความคิดว่าจะแก้ปัญหาให้หายจน ฉันนี่แก้ปัญหาตัวเองสำเร็จแล้ว เห็นไหมนี่รวย รวย คนก็ต้องพาเชื่อ คนก็ต้องเชื่อว่า เออ..คนนี้จริงๆแล้วมีสิ่งที่เขาได้กระทำมาแล้วของเขาสำเร็จประโยชน์ เขาได้เป็นคนรวย เขาก็จะมาแก้ปัญหาให้แก่เรารวยอย่างเขาได้ 

คนที่จะได้รับการแก้ปัญหานั้นฉลาดแกมโกงเท่าเขาไหม มีแทคติกมีวิธีการที่จะเอาเปรียบเอารัดได้อย่างเก่งเท่าเขาไหม ไม่เก่งเท่าหรอก จะเก่งเท่าเศรษฐาไหม จะเก่งเท่าทักษิณไหม มันแก้ปัญหาไม่ได้หรอกขี้โม้ทั้งนั้น เพราะเขามีวิธีการแทคติกต่างๆ กลเม็ดเด็ดพรายที่จะเอาเปรียบเอารัดในเชิงนั้นเชิงนี้ เขาไม่เก่งเท่าคุณหรอก คนที่เก่งมีวิธีการโลภโมโทสันเอาเปรียบให้ได้มากๆถึงขั้นโกงให้ได้มากๆนั้นดีหรือเลว...​เลว แล้วคุณจะเอาความเลวนั้นมาแจกจ่ายให้คนอื่นเป็นเหมือนอย่างคุณ มันซับซ้อนไหม คุณโง่ไปเถอะ อย่าเอาความโง่ของคุณมาแจกให้คนอื่นที่ยังไม่ได้โง่อย่างคุณ คนจนนะ 

1.จนเพราะจำนน ยังอยากจะเป็นอย่างเขาแต่มันโง่ก็เลยจำนนต้องยอม

2. คนจนอย่างมีปัญญา ไม่ไปเอาหรอกอย่างคุณ เพราะมันแก้ปัญหาไม่สำเร็จแล้วมันก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเลย อย่างสำคัญก็คือ มันไม่ใช่ความดีงาม ถามไปแล้วเมื่อกี้นี้ มันเป็นความชั่วความเลว 

คนที่สามารถเอาความรวยจากสังคมมาได้มากๆ ไม่ใช่คนดีนะเป็นคนชั่วคนเลว ขออภัยอาตมาพูดแล้วก็เกรงใจอยู่นะ แต่มันเป็นความจริง อยากให้ฟังธรรมดีๆแล้วได้ปัญญา แล้วจะได้เข้าใจว่าเราควรรู้จักพอถ้าเราจะเอาแต่รวยมานี้แล้วจะเกิดปัญหาในสังคม เพราะตัวเรานี่แหละ เพราะเรามาทำรวยให้เห็นก่อนแล้วเราทำได้แล้ว เราจะให้คนอื่นเป็นอย่างเราอีก คุณจะโง่ซับซ้อนจะชั่วซับซ้อนไปอีกกี่ชั้น ฟังทันไหมนี่ ไม่สับสนนะ เขารู้ไหมนะความซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนเหล่านี้ ความฉลาดที่มีต่อสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนมี คัมภีราวภาโส อย่างที่อาตมาพูดนี้เขาไม่น่าโง่ที่จะเข้าใจไม่ได้นะ อาตมาอธิบายง่ายแล้วชัดเจนแล้ว 

เพราะฉะนั้นคนที่รวยแล้ว รู้สึกตัว พอได้ฟังธรรมะ เลิก อย่างยุคพระพุทธเจ้าก็มีเศรษฐีต่างๆ เลิก จนกระทั่งมาเป็นอนาถบิณฑิกเศรษฐี กินข้าวก้นบาตรจากพระจากเจ้า นั่นคือคนมีปัญญา คนเปลี่ยนแปลงตัวเอง รวยไม่ใช่เล่นนะ อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือแม้แต่วิสาขา วิสาขานั้นรวยถึงขนาดคนใช้นั้นรวยเป็นอันดับ 6 ของประเทศ คนใช้นะ เป็นเศรษฐีรวยระดับ 6 ของประเทศ แล้วนางวิสาขาจะเป็นเศรษฐีระดับไหน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

เพราะฉะนั้นคนที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างที่อาตมาพูดๆไปแล้ว ไม่มีความรู้ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจจริงๆ แม้เขาจะบอกว่าเขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่สังคมได้ ด้วยวิธีการโลกียะ ด้วยวิธีการสมบัติผลัดกันชม วิธีการโยกย้ายเงินๆทองๆ แล้วก็เอาตัวเลขเป็นเครื่องชี้บ่ง เป็นวัตถุตัวเลขอยู่อย่างนั้น มันก็ได้แต่เกม มันก็เป็นเกม เกมที่จัดการแข่งขันกัน ทำให้สมบัติผลัดกันชมไปชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น คนที่จนลง คนที่สู้ไม่ได้ มันก็จะพยายามหาทางแข่งใหม่ แย่งกันไปแย่งกันมา มันต้องแก้กันอยู่ตลอดกาลนาน ด้วยอวิชชาอยู่ อย่างที่ตำราหรือทฤษฎีของชาวโลกียะเทฺวนิยมมีกันทำกันอยู่ 

เพราะแม้จะ“รู้สึก”กันว่า “แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ได้บ้าง ที่แก้ด้วยวิธีจัดการกันแต่ทาง“วัตถุ”และดูกันที่“ตัว เลข”ของ“รายได้”นั้น มันก็แค่“เกมที่จัดการแข่งขันกัน” ทำให้“สมบัติผลัดกันชม”ไปชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น มันก็ต้องมีคนที่ฉลาดแกมโกงหมุนเวียนขึ้นมาได้ซับซ้อนไม่มีจบหรอก มันเป็นการแก้ปัญหาอย่างงูกินหาง ก็ต้องแก้ปัญหาให้รู้สึกว่าแย่งกันน้อยลง แต่แย่งกันน้อยลงอย่างไร มันก็ไม่พอ จิตมันไม่เคยรู้จักพอ มันก็จะแย่งกันให้ยิ่งๆขึ้น 

เมื่อหาจากในสังคมกลุ่มของตนไม่ได้ ก็ไปแย่งกับกลุ่มสังคมอื่น แย่งจากกลุ่มสังคมอื่นได้เก่ง เก่งจนกระทั่งข้ามไปถึงนอกประเทศ ไปแย่งเอาจากนอกประเทศเขามา ขอแวะตรงนี้นิดหนึ่ง อาตมาเคยอธิบายไปแล้วพูดไปแล้ว เศรษฐศาสตร์โลกุตระที่อาตมาอธิบายนี้ ผู้ที่สำเร็จจบกิจในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่ตัวเองนั้น จะเป็นผู้ที่เหลือกินใช้ ให้แก่ผู้อื่น ขายขาดทุน แจกฟรี ให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย คนในคนไทย หรือถ้ายิ่งเป็นระดับที่มีได้มากๆ อยู่ในระดับทำการเชื่อมโยงกับคนต่างประเทศ ช่วยต่างประเทศ 

เพราะฉะนั้นสมบัติหรือผลผลิตที่เราสร้างได้ Product ที่สร้างได้ของเรานี้ Domestic เราจะขายให้ต่างประเทศนั้นเราจะขายให้ถูกๆ หรือแจกฟรี นั่นคือความเจริญของเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจโลกุตระ ไม่ใช่ว่าไปเอาตัวเลขที่ขายให้แก่ต่างประเทศได้ แล้วได้จำนวนมาก เอาเปรียบได้มากๆ  กำไรได้มากๆแล้วก็เอามาบอกว่า นี่ไง ประเทศไทยในประเทศไทย Domestic ได้กำไรเท่านั้นเท่านี้ โอ้โห ปีนี้เท่านี้เปอร์เซ็นต์ ปีนี้เท่านี้เปอร์เซ็นต์ จิตวิญญาณชั่ว จิตวิญญาณเลวอย่างนั้น ไม่น่ายกย่อง 

อาตมาพูดอธิบายลักษณะพวกนี้ไม่ใช่ว่าอาตมาพูดไปแล้วไม่มีคนทำได้ พูดไปแล้วก็หาว่าเป็นเรื่องสุดโต่ง เป็นเรื่องที่ Impossible เป็นไปไม่ได้ พวกเราว่าเป็นไปได้ไหม เป็นไปได้ แต่ว่าคนไทยชาวอโศกเรานี้ยังไม่ถึงขั้นมี Export ยังไม่ถึงขั้นผลิตสินค้าส่งต่างประเทศ เพราะเรายังกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย แต่ที่จริงเราก็มีเหลืออยู่นะ เหลือไม่น้อย เผื่อแผ่ออกไปแจกจ่ายอยู่ แต่ถ้าได้รับความร่วมมือจากสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเลย มาช่วยสนับสนุนให้พวกเราได้ทำแล้วคนจะเห็นว่าช่วยตรงนี้ดี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #16  ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 พฤษภาคม 2566 ( 20:32:20 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

รายละเอียด

ให้คนเข้าใจสัจธรรม เช่น ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา การแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็จะสำเร็จและเป็นเศรษฐกิจที่ดีจริงๆด้วย เศรษฐกิจจะมีคนจนมากขึ้นในประเทศ แต่เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนที่มหัศจรรย์ เพราะฉะนั้นคำว่าคนจนจึงยิ่งใหญ่มาก ที่จะต้องศึกษาและทำเป็นคนจนที่ยิ่งใหญ่นี้ให้ได้ ชาวอโศกทำได้และยืนยันมั่นคง เพราะฉะนั้นทางลัดจะมางับหัวคนจนของประเทศต้องดูดีๆ เมื่อเจอคนจนที่ร่ำรวยเข้าจะงง คนจนที่อุดมสมบูรณ์คนจนที่พอแล้ว แต่คนที่มีแสนล้านหลายแสนล้านยังจนกระจอกอยู่เลย ยังไม่พอ ไอ้อย่างนั้นสิ ควรจะต้องให้มาเข้าห้องปรับทัศนคติ คนจนที่ไม่รู้จักพอคนนั้นมีกี่แสนล้านก็ไม่พอ นั่นแหละควรจะจับมาอบรมทัศนคติใหม่ เพราะว่า ทัศนคติของคนล้มเหลวมากเป็นภัยเป็นบาป พูดไปก็คงเข้าใจกันดี เราทำอะไรได้ดีได้วิเศษประเสริฐเพิ่มขึ้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 19:07:28 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:58:09 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:42:10 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ต้องมาจนประเสริฐสุด

รายละเอียด

มาสู่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อาตมาพูดต่อ จากที่เขาสร้าง Concept ให้คิดจะมุ่งไปรวยนั้นผิด ต้องมุ่งมาพอ ลดลงให้น้อยลงหรือมาหาความจน มาจน

ความจนเป็นสิ่งที่ยั่งยืนแข็งแรงและประเสริฐสุด ในความเป็นมนุษย์และสังคม ในความจนจึงไม่ใช่จนเฉพาะตัวบุคคล อย่างชาวอโศก เป็นคนจนแน่ เพราะเราไม่สะสม มีแค่บริขารปัจจัยใช้สอยในชีวิต ส่วนเกินก็เอาเข้าส่วนกลาง

ส่วนตัวเรานั้น 0 นอกนั้นเราก็ไปเอาจากส่วนกลางมาใช้ ที่ขาดแคลน ไม่มีก็ให้กรรมการพิจารณาให้ซื้อได้ เขามีปัญญาก็จัดสรรได้ มันก็เจริญมา แต่ส่วนรวมเรามี จะเรียกว่าเราอุดมสมบูรณ์พอตัว ไม่ได้อุดมสมบูรณ์อย่างที่เขาสะสมจนมีเยอะมากเหลือเฟือ แต่ปฏิภาณปัญญา คนจะรู้ว่าการกักตุนเสียเศรษฐกิจ เราก็ไม่ทำ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบอโศก วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 20:43:38 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของโลกต้องเอาแบบคนจน

รายละเอียด

อาตมาก็พยายามหาคำอธิบายความแตกต่าง ระหว่างความยึดถือ อย่างโลกหรือส่วนใหญ่ทางโลกเขายึดถือคำว่าเศรษฐกิจ เขาก็ยึดถือของเขาไปอย่างที่เขายึดถือ แต่ความจริงของสิ่งที่ถูกต้องที่สุดของความหมาย คำว่าเศรษฐกิจ อย่างชาวอโศกเข้าใจเศรษฐกิจไม่เหมือนเขา ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ทรงเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจไม่เหมือนคนทั่วไป เพราะฉะนั้น ต่างประเทศถามว่าจะบริหารประเทศแบบไหน ท่านก็บอกว่าก็เอาแบบคนจน นักบริหารประเทศเกาหลีก็ฟังแล้วก็งง แล้วท่านก็อ่านกิริยาของคนฟังออก เขาฟังเขาแสดงกิริยาก็อยากให้เราพูดอธิบายอีก เราก็พูดอีกก็บอกว่าเอาแบบคนจน ท่านขยายความให้แก่รัฐมนตรีเกาหลี ซึ่งท่านก็ตอบความจริงจากพระทัยของท่านจากความรู้ของท่านเองจริงๆเลย แต่แม้แต่นักบริหารไทย และเศรษฐกิจนักเศรษฐศาสตร์ก็ไม่ได้ get ไม่ได้ซาบซึ้งคำนี้ของในหลวงหรอก เขาก็ยังบริหารเอาตามโลกเศรษฐกิจเอาตามโลก จะต้องรวย จะต้องพยายามทำให้คนทุกคนในประเทศมีฐานะรวยขึ้นมาแล้วมันจะทำได้อย่างไร คุณไม่มีทางทำได้หรอกเพราะจิตของคนไม่มีหยุด ไม่มีความสันโดษไม่มีใจพอ จิตของคุณไม่ได้ชอบความจน จิตของคุณมีแต่อยากจะไปรวย แล้วอยากอย่างแรงด้วยนะต้องรวยให้ไวๆแรงๆด้วย เป็นการแก้ปัญหาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้คุณแก้อย่างไร อาตมาขอพูดตรงๆ คุณจะจูงคนตาบอดหูหนวก ไปดูหนังใบ้ แล้วไม่มีภาพอีกต่างหาก ก็ดูอะไรวะ มันมีแต่ความว่างเปล่าไม่ได้หรอก คนตาบอดกับคนหูหนวกจูงกันไปดูหนังใบ้ หูหนวกก็ไม่ได้เห็นอะไร ตาบอดไม่ได้ยินอะไร อย่างนั้นแหละ เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแต่ของเขา ตาบอดก็ไม่ได้ยินอะไร หูก็ไม่ได้เห็นอะไร มันจะสลับกันหน่อย นี่แหละคือสิริมหามายา วันนี้ต้องยอมรับว่ามีสัญญาวิปลาสบ้าง กลายเป็นคนตาบอดก็ไปจูงคนหูหนวกมาดูหนังที่ไม่มีทั้งเสียงไม่มีทั้งภาพ บอกว่ามาดูหนังกัน เสร็จแล้วคนตาบอดก็ไม่มีเสียงให้ได้ยิน คนหูหนวกก็ไม่ได้มีภาพให้ดู นี่แหละคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของโลก

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 11:21:35 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องแก้แบบคนจน

รายละเอียด

ก่อนจะเข้าสู่อัมพัฏฐสูตร อาตมาก็อยากขอแวะถึงสังคม สังคมทุกวันนี้คนพูดกัน ที่เขาพูดกันถึงคนชังชาติ เขามองว่าประเทศไทยนี้เศรษฐกิจไม่ดี แม้แต่ผู้บริหารก็พลอยเชื่อเขาว่าเศรษฐกิจไม่ดี และนักเศรษฐศาสตร์ก็เอาเครื่องชี้บ่ง ว่า เศรษฐกิจดีหรือเศรษฐกิจไม่ดีตรงตัวเลขของรายได้ที่สะพัดอยู่ในสังคมเป็นหลัก เศรษฐกิจคือเอาตัวเลขของรายได้รายรับ ของการหมุนเวียนของการสะพัดอยู่ในสังคม โดยยึดถือว่า 1 ประเทศไทยนี้เทียบกับข้างนอกเข้าแล้ว เรามีรายรับที่ได้จากข้างนอก มันมากพอหรือว่ามันได้รับตังค์จากข้างนอกน้อย  เราเสียผลผลิตสินค้าให้แก่ต่างประเทศเขาแล้วได้เงินแลกเปลี่ยนกลับคืนมาน้อยไปอย่างนี้ถือว่าเศรษฐกิจตกสะเก็ดไม่เจริญ ฟังให้ดีนะเศรษฐกิจที่อาตมาอธิบายจะตรงกับที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ 2 เศรษฐกิจที่เขาวัดจากข้างนอกมาข้างใน รายได้จากนอกมาหาใน ทีนี้รายได้หมุนเวียนในประเทศ ที่อาตมาแย้ง GDP เป็น domestic คือภาายใน Gross คือรายได้องค์รวม แล้วรวมโดเมสติกภายใน จาก ผลผลิตภายใน เอาไปเกิดการหมุนเวียนแลกเปลี่ยน ได้เงินมาอะไรอย่างนี้ เป็นองค์รวมเรียกว่า Gross แล้วตัวหนังสือก็บอกชัดว่าโดเมสติกเป็นของภายใน แต่ไปเอาของภายนอกเขา สินค้าผลผลิตของคุณ แต่คุณไม่ได้ขายแต่ภายในคุณเอาไปขายภายนอก แล้วไปเอาภายนอกมารวมด้วย ก็เพี้ยนจาก domestic มันควรจะเอาภาษาเรียกเป็นอินเตอร์ ไปโน่น มันไม่ใช่โดเมสติก มันเป็นรายได้ของทุกส่วนทั้งภายนอกภายในเพราะฉะนั้นถ้าเป็นของภายใน เมื่อสะพัดกันแต่ภายใน โดยการขายแลกเปลี่ยนภายในมี Concept แบบโลกโลกีย์ เจ้าของคนผลิตก็ได้เงินมามาก ได้เปรียบมามาก ขายภายในหมุนเวียนกันเองภายในผลผลิตของไทย เช่นทำทุเรียนมาขายทำกล้วยมาขาย หรือว่าแม้แต่จะทำอุตสาหกรรมก็ตามก็ขายกันในภายใน เสร็จแล้วเงินหมุนเวียนภายใน คนที่ทำตัวเลขของรายได้เข้ากระเป๋ามากถือว่าเป็นเศรษฐกิจดี แนวคิดอย่างนี้แหละ มันแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่เสร็จ เพราะทุกคนก็มุ่งหวังจะเอาเปรียบ ทุกคน มุ่งหวังจะต้องเอามากเข้าว่า ไม่มีสุข ไม่เกิดสุขเพราะเศรษฐกิจได้ตลอดนิรันดร เขาจะหลงว่าประเทศนั้นขณะนั้นของเขาขายผลผลิตตัวเองออกต่างประเทศได้เงินเข้ามามาก แล้วเขาก็ใช้จ่ายเงินอย่างมาก อิ่มเอมเปรมปรีดิ์ แล้วตีราคาตัวนี้เป็นเครื่องบ่งบอกว่านี่คือเศรษฐกิจดี อาตมาว่า  ผิวเผินมาก คุณจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่จบ เพราะคุณไม่รู้จักกิเลสไม่มีอิ่มไม่มีพ่อไม่มีจบมีมากกินมากใช่มาก สุรุ่ยสุร่ายมากแล้วสร้างนิสัยเสียสร้างระบบการเงินเลวร้ายลงทุกที ไม่มีประโยชน์ นอกจากจะมีคนขี้เหนียว เศรษฐีขี้เหนียวได้เงินแล้วไม่ค่อยจ่าย ไม่ค่อยใช้ จนตายจากเงินไปเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรครอบครัวไหนก็ตาม มันก็มีลูกหลานมีคนใช้เงิน เจ้าของที่เป็นพ่ออาจจะขี้เหนียวแม่ขี้เหนียวแต่ลูกไม่ขี้เหนียวหรอก มันก็จะสุรุ่ยสุร่ายเหมือนกับสังคมไทย เงินมากก็เอาไปใช้ ซื้อรถมาขี่เล่นชนคนไปแล้วก็เกิดเรื่องทุกวันนี้ปวดหัวปวดหมองอยู่ ซึ่งมันเป็นเรื่องแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยแนวคิดอย่างนี้ไม่มีทางจบ ต้องแก้ปัญหาอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสว่าให้คนมาอยู่แบบคนจน ปฏิบัติแบบคนจน เรียกว่า แก้แบบคนจน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2563 ( 12:17:07 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ถูกต้องทำอย่างไร

รายละเอียด

ประเด็นที่ว่า หัวใจของลูกพระพุทธเจ้าต้องมาจน ใช้คำ Command(คำสั่ง) เลยนะ “ต้อง Have to” ต้องมาจน 

“ต้องมาจน” อันนี้อาตมาก็แหม สงสารมนุษย์โลกชาวโลกทั้งหลายแหล่ เข้าใจยาก คนมาจน จะต้องมาจน จนนี่แหละสุขสำราญ มันก็หูหักนะ มาจนได้สำเร็จนี่แหละสุขสำราญ มันไปยังไงวะ คนมาจน มาทำความเป็นคนจนแล้วจะสุขสำราญยังไง เห็นไหมโลกียะกับโลกุตระนี้มันยากอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าน่าสงสารเขา คนที่เขาเข้าใจไม่ได้ อย่าเพิ่งไปว่าเขาแรง ค่อยๆ นะ สงสารเขา 

เศรษฐศาสตร์บทนี้ เศรษฐศาสตร์ที่จะต้องทำให้คนมาจนนี่เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้คนมาจนให้ได้นี่ มันเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แล้วก็อย่างจบกิจด้วย แก้อย่างเสร็จ ไม่ต้องไปแก้อีกเลย คนที่มาจนด้วยจิตปัญญาที่ตั้งใจจน-เต็มใจจน-แล้วก็พร้อมจนมาจน-จนกระทั่งทำจนได้ จนได้จนเสร็จจนสำเร็จเรียบร้อย แล้วก็มาอยู่รวมกันเป็นสังคมมนุษย์คนจน เป็นสังคมมนุษย์คนจน 

คนยังไม่เข้าใจและคนยังไม่เชื่อว่าคนพอเข้าใจได้ ยังไม่เชื่อว่าชาวอโศกมาจนจริงๆ เพราะว่าโดยไหวพริบปฏิภาณมันเท่นะ มาจนแล้วก็อยู่รอดมันมีนัยสำคัญที่ดูแล้วมันเป็นโวหาร เป็นวาทกรรมที่ดูเท่นะ มันไม่ใช่วาทกรรมแต่มันเป็นสัจธรรม 

เป็นคำพูดที่มีปาฏิหาริย์และเป็นเนื้อแท้เป็นปาฏิหาริย์ มันมาจนแล้วมันสุขสำราญเบิกบานใจจริงๆ เพราะเราทำสำเร็จ มันเป็นสัจธรรมของโลกุตรธรรมที่ลึกซึ้งเกินกว่าคำพูดที่จะขยายความให้ครบ มาเป็นเองมาเข้าถึงบรรลุธรรมนี้แล้วคุณจะรู้ได้ด้วยตนปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ พูดให้ฟังกันยังไงก็เป็นอจินไตย รู้ไม่ได้ด้วยตรรกะ อตักกาวจรา มาเป็นเองให้ได้

เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีนี้ มีในประเทศไทย ที่มีผู้กล่าวคำนี้คือ พระเจ้าแผ่นดินของประเทศไทย ท่านได้ตรัสด้วยพระโอษฐ์เลย มีหลักฐานยืน แต่ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินท่านจะมาทำให้เต็มที่เหมือนอย่างอาตมาไม่ได้ ท่านก็ทำได้ในระดับหนึ่งในฐานะของพระองค์ ส่วนอาตมานั้นทำเต็มที่ได้ เพราะอาตมาเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าโดยตรงที่จะนำสิ่งนี้สถาปนาลงไปในมนุษย์โลก 

มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่านี้อีก มาจนได้จนกระทั่งเป็นมวลคนจริง มารวมกันเป็นชุมชน สาราณียธรรม 6 อย่างที่เป็นนี้ เอาล่ะยังไม่ขยายความต่อ ขยายความหลายทีแล้ว จนมีสาธารณโภคีนี้ 

เพราะฉะนั้นสุดยอดอันนี้ เราจะต้องช่วยกันเป็นตัวอย่าง อย่างที่อาตมาได้ขอบคุณพวกเราไปแล้ว พวกคุณมาเป็นตัวจริงให้อาตมา อาตมาต้องขอบคุณอย่างมากมายจริงๆ แล้วอาตมาก็ต้องการคนจริงอย่างนี้ ไม่ใช่คนมาหลอก แต่มาหลอกมันยาก ในอโศกนี้มาหลอกมาปลอมแปลงมาเสแสร้ง เสแสร้งให้ได้จนตายนะ ตายชาตินี้แล้วชาติหน้ามาเกิดที่นี่อีกมาเสแสร้งอีกนะ อยู่กับหมู่ให้ได้ เราไม่ว่า จะใช้ศัพท์สำนวนภาษาว่าเสแสร้งก็ไม่ว่า แต่คุณอยู่ให้ได้ก็แล้วกัน แต่ที่นี้คนจริงไม่เสแสร้งมันก็อยู่สบาย คนไม่จริงก็จะต้องอดต้องทนต้องเสแสร้งก็ไม่เป็นไร มาเสแสร้งที่ดีไม่ว่า ไปเสแสร้งที่ไม่ดีไปทำไปทำไม เสียเวลา เอาละ ขยายความแค่นั้นก่อนละกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คณะสงฆ์เมืองไทย ใครได้ดอกไม้พลาสติก ใครได้มูลสูตร 10 วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2567 ( 19:34:31 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นไปไม่ได้

รายละเอียด

เมืองไทยนี้เศรษฐกิจดี เศรษฐกิจคืออะไร อาตมาก็ยังไม่รู้จะพูดอย่างไร เมื่อผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจท่านบอกว่า ให้ประเทศไทยรวยหมดไม่มีคนจนเลย การแก้ปัญหาเศรษฐกิจว่าจะให้คนรวย อาตมาว่าพูดแบบนี้มันก็เป็น คอนเซ็ป หรือ paradigm ที่ใช้ไม่ได้แล้ว มันเป็นแนวคิดที่ พูดออกไปเต็มๆว่า เป็นความคิดองค์รวม ที่มันไม่ใช่

ธรรมชาติของคนนั้น ต้องอยากรวยกันทั้งนั้น ตั้งหน้าตั้งตาจะรวยทุกคน แล้วคุณจะไปทำให้คนรวยทุกคนได้ไหมในโลก ...ไม่ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สุดยอดวรรณะกรรมโลกุตระของโลก

วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 12:04:37 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่าไปเน้นวัตถุ แต่ให้เน้นที่จิตวิญญาณมนุษย์

รายละเอียด

ถ้าเน้นทางวัตถุไม่เสถียรไม่ยั่งยืนไม่เที่ยง ต้องแก้ที่คน จนให้จิตมีพุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ ครุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ ลักษณะจิตวิญญาณ 7 ชนิดนี้ได้ก็จะเกิดสาราณียธรรม 6 สัมพันธ์กับวรรณะ 9 ขยายให้เป็นรูปธรรมชัดเจนว่าคนพวกนี้เลี้ยงง่าย อยู่ง่าย เลี้ยงหมูยังยากกว่าเลี้ยงคนพวกนี้เลย ช่วยกันเก็บงำแจกจ่าย ช่วยสั่งสอนอบรมฝึกฝนพาให้เจริญได้ง่าย สุโปสะ แล้วทำให้เป็นคนมักน้อยจนลงได้ง่าย ไม่ใช่พูดเล่นเพ้อเจ้อ แล้วจะเป็นคนจนมหัศจรรย์ เป็นคนจนอุดมสมบูรณ์ แล้วจนยังช่วยเหลือคนรวยได้อีก มันมีลักษณะขัดแย้งอยู่ในตัวแต่ไม่ได้ขัดแย้งกันส่งเสริมกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 10:54:18 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:59:39 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:44:06 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์