@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

570204

รายละเอียด

570204_พ่อครูที่เวทีพระราม 8 เรื่อง อำนาจที่เกิดจากพลังงานสุดลึกซึ้ง

       วันนี้มาเทศน์ที่เวทีพระราม 8 ก็อยู่กับ อภิมหาปรมานิจจัง เราได้เห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนมากหน่อย แม้ที่นี่เป็นยุทธภูมิที่ดีมากในการทำงานปิดประเทศ แต่ว่ามันก็ต้องรู้ประมาณการ เราก็ต้องยอมรับว่า อะไรจะดีกว่าเราก็ทำ เปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้เราก็จะถอนจากสะพานพระรา 8 ไปอยู่ที่สะพานผ่านฟ้าฯ

       ทำอย่างให้ได้ประสิทธิภาพ ขอเชิญ วันนี้เป็นวันส่งท้ายของสะพานพระราม 8 จุดที่เราทำการ Shut down กรุงเทพฯ เรามาอยู่ที่นี่ยังไม่ถึงเดือนดี เราเปลี่ยนมาหลายจุดแล้ว เมื่อวานกปปส.ก็ย้ายจาก ลาดพร้าว อนุสาวรีย์ชัยฯมาอยู่ที่สีลมกัน

       อาตมามานี่ ธงชาติไม่ได้พริ้วไหวเท่าไหร่ แต่ตอนที่หรั่งเขาร้องธงปลิวอย่างแรงเลย ธรรมชาติก็ลงตัวกับวิญญาณของพวกเราเลย แม้แต่คณะเสธ.มาก็ยังพริ้วไหว แต่พอถึงอาตมาขึ้นมาก็สงบ

       ก็คงจะต้องทบทวนสิ่งที่เกิดในปัจจุบัน แต่ขยายความลึกและกว้างให้เห็นความเป็นจริงประกอบกันอยู่ อาตมาก็พยายามจะชี้ตามภูมิรู้ ผิดถูกอย่างไรพวกเราก็วินิจฉัยตัดสินเอง

       คำว่าอำนาจ ...ภาษาอังกฤษว่า Power หรืออย่างอื่น คำว่าอำนาจนี้เป็นพลังงาน มีแรง เคลื่อนไหวขึ้นมาเป็นพลังงาน ตามภาษาอังกฤษมีหลายคำ Dynamic energy และ Kinetic energy

       ไดนามิค เป็นพลังงานเคลื่อน ส่วน ไคเนติคเป็นพลังงานนิ่ง ทางฟิสิกส์ค้นพบอะตอม พบนิวเคลียส ที่มีพลังแฝงนิ่ง สามารถแตกตัวเกิดพลังเรียก นิวเคลียร์ เกิดพลังมหาศาล ดังไอสไตน์สรุปมา เอามาใช้งาน จนเป็นพลังงานที่เอาไปใช้เพื่อสันติภาพก็ดีมาก แต่ว่าถ้าเอาไปใช้ทางเสียหายเลวร้าย ก็มีพลังแรง แต่ในแรงถ้าเรากำหนดใช้ก็ใช้ได้

       ถ้านิวเคลียร์เรามาใช้เป็นกุศลได้ก็สุดยอด และมีทั้งพลังงานที่สั่งสมในวัตถุ ในดินน้ำไฟลม ก็มีพลังงาน แต่ในจิตวิญญาณก็มีพลังงานที่สะสม และรู้ได้ยาก ยิ่งกว่าพลังงานในวัตถุ และในจิตวิญญาณจะมีพลังงานเชิงปัญญาด้วย แต่ในวัตถุไม่มีพลังงานทางปัญญา วัตถุมันเลือกที่จะเอาและไม่เอาให้แก่ตัวมันเอง

       พระพุทธเจ้าแยกพลังงานเอาไว้สูงสุดมาก ทางฟิสิกส์เขาค้นพบแค่ 2 อย่าง คืออุตุ และพีชะ นิยาม ส่วนอันที่ 3 คือจิต เขาก็พอรู้ แต่ไม่ลึกละเอียดเท่าพระพุทธเจ้าค้นพบ พระพุทธเจ้าค้นพบจิตวิญญาณได้ละเอียดมาก

       รู้ว่าพลังงานจิตมี พลังงานของกรรม และพลังงานแห่งธรรมะ

       อุตุนิยาม กำหนดให้แก่ตัวเองไม่ได้ มีอะไรก็ใช้อันนั้น เช่นความร้อน แสง เสียง แม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น ยังไม่มีอัตโนมัติแก่ตัวเอง มีพลังงานที่จะดูดให้แก่ตัวเองก็มีบ้าง เช่นพลังแม่เหล็ก ส่วนไฟฟ้า และความร้อนนั้นไม่ค่อยมีพลังงานดูดให้แก่ตัวเอง มันไม่มีสัญญา

       แต่พอเป็นพีชะ ก็ยังไม่เรียกอัตตา แต่มันกำหนดรู้แก่ตัวมันเองบ้าง มันก็ซื่อสัตย์ตามแต่ละตระกูลของมัน ว่าจะเอาธาตุนี้ ธาตุนี้ไม่เอา เช่นมะม่วงก็มีหลายพันธุ์ แยกย่อยไปอีก แล้วมันก็เลือกเอาและไม่เอาของมัน ซื่อสัตย์ มีสัญญาและมีสังขารปรุงแต่ง แต่ไม่มีอารมณ์ ไม่มีสุขไม่ทุกข์ ไม่โกรธไม่รัก เป็นพลังงานระดับไม่มีบาปไม่มีบุญ ในระดับพืชจึงไม่มีบาปไม่มีบุญ ที่เขาว่า ทำร้ายพืชจะบาปที่จริงไม่บาป เพราะมันไม่มีจองเวรจองภัยต่อใคร มันทำตัวมันเอง จบก็จบไป ไม่เชื่อมโยงสืบต่อ ไม่สันตติ ไม่มี Relation ที่ต่อไปในอนาคต

       พอมาถึงจิต นิยาม...อิสระในตนเอง ไม่อยู่กับที่ คือเริ่มเป็นสัตว์ ร่อนเร่แล้วมีสมรรถภาพ มีเวทนา ที่มากกว่าพืช ที่มีแค่ รูป สัญญา สังขาร แต่จิตนั้นมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังนั้นจึงมีรัก มีชัง มีตัวตน เคลื่อนที่ไปไกลกว้างกว่าพืช จึงมีรักมีชัง มีดูดมีผลัก ตั้งแต่เซลล์เดียว จนมาเห็นมากเซลล์ มาเป็นสัตว์ มาเป็นเสือสิงห์อะไร ยิ่งมีเวทนาซับซ้อนขึ้น มีรัก ชัง สุข ทุกข์เพิ่มขึ้น มีบาป มีบุญเพิ่มขึ้น จะเกิดกรรมก็สั่งสมเป็น อัตตา หรืออัตตภาพ สั่งสมเป็นพลังงานอยู่นานแสนนาน นับเวลาไม่ได้ นานกว่าโลกลูกหนึ่งด้วย อายุของอัตภาพแต่ละคนนานกว่าโลกลูกหนึ่ง นานกว่า 2 ลูก 5 ลูกโลกด้วย ถ้าหาทางออกไม่ได้ วนเวียนนานนับชาติเลย จะงมงายอยู่อย่างนี้

       พระพุทธเจ้าตรัสรู้พลังงานจิตมีกรรมด้วย และมีวิบาก ทรงไว้เรียกว่าธรรมะ สั่งสมไว้ สิ่งที่สั่งสมไว้นี่เปลี่ยนแปลงได้ ที่สั่งสมเป็นอัตภาพ มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีตัวตน แต่สามารถสลายตัวตนได้ เป็นอเทวนิยม

       ส่วนศาสนาหลายสายเป็นเทวนิยม แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นอเทวนิยม ในทุกศาสนา มีพุทธเป็นศาสนาเดียวที่สลายอัตภาพได้ เช่นอาตมาเคยสมมุติ ธาตุที่เป็นธาตุน้ำ ผู้ศึกษาวิทยาศาสตร์สามารถแยกธาตุน้ำได้ ซึ่งมันประกอบด้วยแก๊ส ออกซิเจนกับ ไฮโดรเจน มันจับตัวกัน หากไม่มีพลังงานอะไรมาแตกตัวแยกมัน มันก็เป็นน้ำไป แต่ถ้ามีพลังงานมาแยกธาตุได้ มันก็แยกเป็นแก๊ส ธาตุน้ำก็หายไป อัตภาพของคนก็สูญหายได้ นิพพานคือทำให้อัตภาพหายไปได้ สลายไปได้ เช่นเดียวกับการแยกสลายน้ำออกเป็นแก๊ส ซึ่งไม่ง่ายหากทำได้เป็นสัดส่วนที่ดีก็ทำได้ แต่ไม่ง่าย

       การจะสร้างอัตภาพทางธรรมชาติก็ไม่ง่าย การสลายก็ยาก พลังงานทั้ง 5 อย่างนี้ ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าจะรู้เองไม่ได้ ต้องสืบทอดมาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน รู้เองไม่ได้ ผู้รู้เองก็คือพระพุทธเจ้าเป็นสยัมภู แต่ถ้าบอกว่ารู้เอง ในธาตุที่จะปรินิพพานนี้พระพุทธเจ้าเป็นยอดผู้ที่ทำได้ องค์ไหนไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่เจ้าของ

       เรียงลำดับจาก ปัจจัตตัง ปัจเจก และเป็นสยังอภิญญา ก่อนมาเป็นสยัมภู

       กรรมมาจากไหน?...กรรมของคนนี่แหละที่เป็นมวลของแต่ละชาติประเทศที่ทำตามวัฒนธรรมกฎเกณฑ์ หลายคนก็ทำไม่ผิดตามกฎหมาย จารีต ประเพณี วัฒนธรรม ที่มนุษย์ในสังคมนั้นกำหนดว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ

       พลังงานระดับมโนหรือจิต ถ้าไม่มีญาณปัญญาไปหยั่งเข้ารู้พลังงานเหล่านี้ก็ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทางจิต คือนักปฏิบัติธรรม ที่จะมีกล้องจุลทรรศน์ทางจิตวิญญาณมาหยั่งรู้จิต นักปฏิบัติธรรมสามารถรู้จิตวิญญาณตนเองได้ แต่ว่าจะไปรู้จิตคนอื่นนั้นยาก แต่เป็นได้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านรู้ได้หรือผู้มีบารมีเพียงพอก็รู้ได้ เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ อาตมาก็พอมี ไปหลงเล่นหลงฝึกอยู่ก่อนมาบวช มีทั้งอาเทสนาปาฏิหาริย์และอานุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม

       พลังงานของมนุษย์เกิดจากกรรมที่สั่งสม กรรมเป็นกำเนิด เป็นเผ่าพันธ์ เป็นสรณะ แล้วเราเป็นทายาท เป็นเจ้าของอำนาจกรรมที่เราทำ อำนาจนี้เป็นของตน แล้วมันจะออกผล ถ้าไม่สามารถจะกำหราบไว้มันก็ออกฤทธิ์กับเรา ห้ามไม่ได้ เป็นพลังชั่วก็ออกมาทำงาน โดยตนเองไม่รู้ว่าชั่ว แต่ว่าบางทีรู้ทั้งรู้ว่าชั่ว แต่ถ้าถึงขั้นหน้ามืดแล้วหยุดไม่ได้ อาจหลงว่ามันดีด้วย ยกตัวอย่างคนฆ่าคน ได้แม่น ยิ่งแม่นฆ่าได้ กลับดีใจ ปลาบปลื้ม ยินดีในการทำชั่ว ยินดีในการเอาชนะคะคาน ได้อำนาจ สิ่งที่ตนต้องการ แต่เป็นพิษภัยต่อคนอื่น

       ฝ่ายที่ต่อสู้ทางการเมืองแล้วทำรุนแรง เขารู้ว่าผิดหรือรู้ว่าชั่ว แต่อำนาจกิเลสที่เขามีก็ทำให้เขาทำ เขาตกเป็นทาสอำนาจโลก เช่นลาภ ยศ สรรเสิรญ กามและอัตตา มันยึดว่ากูจะต้องเอาต้องเป็น นี่คือผู้อวิชชา ไม่รู้ตัว แม้ฟังภาษาไปก็ไม่รู้ ยกตัวอย่างคุณทักษิณก็รู้ภาษาเก่ง แต่่ว่าเขาไม่มีญาณทัศนะในการหยั่งรู้จิต เขาเห็นคนอื่นฉิบหาย ทรมาน ก็ไม่รู้ ยกตัวอย่างนายกฯคนปัจจุบันรู้ว่าเลือกตั้งก็เสียหาย ฉิบหาย 3800 ล้าน ก็จะทำ ไม่ใช่เงินของนายกฯเป็นเงินของประชาชนทั้งชาติ

       นี่คือสิ่งที่คนชั่วทำชั่วทั้งๆที่รู้ เมื่อเลือกตั้งแล้วฉิบหายไป 3800 ล้าน ก็ทำสำเร็จแล้วตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไปแล้ว แล้วก็ยังต้องเสียเพิ่มทำซ้ำซ้อน เสียหายเพิ่มอีก นี่คืออวิชชา โง่เง่า เขาเรียกว่าโง่

       คำว่าโง่นี้เป็นลักษณะจริงของจิตวิญญาณ รู้กันทั่ว ดูในกูเกิ้ลได้เลย มันลงตัวระหว่างรูปกับนาม

       การเลือกตั้งครั้งนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

       เกิดความสูญเสียมากมาย และส่อให้เห็นอะไรอีกมาก ทำให้เรารู้ทั้งแนวกว้างและลึก เลือกตั้งไปแล้ว มีคนมาเลือกตั้งแต่ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่คนไม่มาเลือกตั้งมีกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าแพ้หมดตูดเลย หรือมีคนได้เป็นสส.ด้วยคะแนน 1 คะแนน ถ้าได้เป็นนะ น่าจะลงกินเนสบุ๊ค มันชอบกลนะ พิศดารวิตถารแปลกมาก ที่ไม่เคยเกิดก็เกิดในประเทศไทย

       เรื่องของอำนาจนี้ อาตมาได้อธิบายไปหลายนัยแล้ว คืออำนาจที่เกิดจากมโนหรือวิญญาณมนุษย์ มีพลังงานดีและไม่ดี พลังงานไม่ดีเป็นพลังงานเบียดเบียนตนและท่าน ส่วนพลังงานดีเป็นความไม่เบียดเบียนตนและท่าน แต่มีประโยชน์ต่อตนและท่าน

       Authority เป็นพลังงานดี ส่วน Force เป็นพลังงานไม่ดี

       ในโลกก็ทำอำนาจ คนมีอัตตาก็สร้างตัวตน ด้วยอำนาจไม่ดี อำนาจนี้เสริมด้วย ยศ ลาภ ตำแหน่ง คนก็เลยชอบแสวงหาแย่งชิงโลกธรรม ด้วยอวิชชา นึกว่าเป็นของน่ามีน่าเป็น แต่เดรัจฉานมันไม่แย่งสรรเสริญเยินยอ แต่มันมีแย่งลาภ กักตุนบ้างในสัตว์หลายชนิด

       แต่มนุษย์ ก็สะสมโลกธรรม แล้วเรียกว่าเป็นความเจริญหรืออาริยะ โลกทั้่งโลกไม่รู้อาริยะแท้หรือทางบาลีเรียกว่า อริยะ กับ โลกียะ

       อริยะนั้นทวนกระแส เข้าใจว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นโลกีย์ ไม่มีประโยชน์เป็นโทษ แต่อาศัยใช้สอย ตามสมมุติของโลก เรารู้แล้วก็ไม่ต้องไปสะสม ทั้งลาภ ยศ สรรเสริญมาเป็นอำนาจ มาแจกมาให้เขาแล้วให้เขาเป็นทาส ไม่ต้องทำ

       ยศ ตำแหน่งหน้าที่คือการกำหนดงานให้ผู้น้ำทำ ผู้นั้นมีความสามารถก็มียศเอง ไม่มีใครกำหนด ยิ่งเป็นงานกุศล ก็ทำได้เลย ทำแล้วไม่ต้องไปยึดถือ แต่คนโลกีย์ก็มีตัวตน จะเอาอำนาจที่สร้างนี้มาต่อรอง สั่งสมกอบโกย เพื่อได้เปรียบมากขึ้นๆ ก็เลยสะสมแย่งชิง ทำร้าย เกิดทุกข์ร้อนในสังคม ก็เลยหลงสร้างForce ที่เบียดเบียนตน เขาโง่ที่ไม่รู้ ส่วนผู้รู้แล้วก็ไม่ทำเบียดเบียนตนและท่าน ไม่ต้องเอามาเป็นของตัวตน

       แต่มีความซ้อน สิ่งที่เราไม่เอา เราให้เขานั้นแหละเป็นของเราจริงๆ ให้ด้วยไม่ต้องการมาเป็นของเราจริงๆ มีจิตที่คิดจะให้จริงๆทำได้ก็เกิดจริง เป็นสัจจะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทำได้

       ตนจะพึ่งตนได้ไม่เบียดเบียนใคร มีประโยชน์ต่อผู้อื่นมาก เป็นคนเจริญมีสมรรถนะ ความรู้ สามารถ เกื้อกูลคนอื่น ตนเองทำมาก แต่ไม่เอามาบำเรอตน ก็เหลือมากไปเผื่อคนอื่น

       พลังงานที่สร้างมาเพื่อคนอื่น คือ Authority ส่วนอำนาจที่เอามาแก่ตนมากๆ คือForce

       ทั้งแรงงาน ความรู้ เป็นองค์ประกอบ คนก็อาศัยแรงงาน ความรู้ กรรมกิริยามาเป็นประโยชน์ หรือเอาไปทำร้ายทำลายคนอื่นได้ สั่งให้ทำต่อไปเป็นทอดๆ ไปจัดการคนอื่น โดยต้นทางไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นใคร ซับซ้อนหลายชั้นมากเลย

       อำนาจ ในทางการเมือง เช่น อำนาจที่ใช้ในประชาธิปไตย (อธิปไตยแปลว่าอำนาจ) ในระบอบประชาธิปไตยอำนาจเป็นของประชาชน ทุกคนมีอำนาจ 1 คน 1อำนาจ เกิดมาก็ได้ทุกคน แต่สุดท้ายไม่ได้จริง ถูกเขาริบ เอาไปใช้ ถูกหลอก ถูกบังคับสารพัดวิธี ที่จริงอำนาจเป็นของประชาชนรู้กันทั่วโลก ในรธน.บัญญัติไว้เลย

       มาตรา 1 (รูปแบบรัฐ)ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

       มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

       มาตรา 4 (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค)ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง

       แต่ละคนมาประท้วงนี่ในรธน.มีบอกไว้ให้เรามีสิทธิ์ประท้วงได้ มาช่วยดูแล ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่เขาว่านักบวชไม่ควรยุ่งเกียวการเมือง แล้วนักบวชไม่อยู่ใน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์หรืออย่างไร?

       อำนาจเป็นของประชาชน ที่เขาแย่งชิงกัน ก็คือประชาชน กับรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลนั้นเป็นอำนาจลำดับที่ 7 ซึ่งประชาชนเป็นคนสร้างรัฐบาล ก็เปลี่ยนกันไปเป็นรัฐบาล ให้ไปทำงานแทนประชาชน แต่หลงตัวยึดว่าเป็นอำนาจตน ไม่เห็นหัวประชาชน อย่างเลือกตั้งกับปฏิรูป สองคำนี้ในสังคมก็รู้กัน ประชาชนต้องการปฏิรูปก่อน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือรัฐบาลนึกว่าตนมีอำนาจ ก็จะเลือกตั้งก่อนปฏิรูป ประชาชนก็ยืนยันว่าไม่ได้ รัฐบาลไปสร้างโลกธรรม เป็นค่ายกล เอาโลกธรรมไปผูกคนไว้เป็นค่ายกล เลือกตั้งทีไรก็เข้าในค่ายกล เหมือนในหนังจีนใครเข้าไปก็เรียบร้อยเขา คนไหนเป็นบริวาร ถูกเขาซื้อไว้ ก็เป็นตัวจักรกลในรัฐบาลนี้ เขาได้สร้างมาตั้งแต่พศ. 2544​ เขาพูดอย่างโอหังเลยว่า ส่งเสาไฟฟ้าลงก็ได้ แล้วก็ทำได้ด้วย เป็นค่ายกลที่ทุเรศมาก ต่างชาติเขางงว่าเลือกตั้งทำไมไม่ดี เขาว่าเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตย แต่เขาไม่รู้ว่าของไทยเรามันโกงมากมายเลวร้ายกว่าต่างประเทศมาก เขางงว่าประชาชนมาประท้วงว่าไม่เอาเลือกตั้ง พวกเราก็อธิบายได้ลำบาก

       เมื่อแย่งชิงระหว่างเลือกตั้งกับปฏิรูป แต่อำนาจประชาชนเป็นอำนาจลำดับ 1 จะแสดงตัวอย่างไร ก็ออกมาประท้วง เป็นAuthority มารวมกันมีมวล (Quantity) และมีคุณสมบัติ คุณภาพแท้(Quality) ก็มาระดมพลกัน พวกแดงเขาก็รวมไม่ได้มากเท่า ก็เลยเปลี่ยนสีไปใส่สีขาว

       เมื่อเกิดการเปรียบเทียบวัดกัน แล้วใครดีงามกว่ากัน ต่างคนต่างแย้งว่าตนดี ก็ต้องอาศัยตุลาการ ที่เป็นสถาบันหลัก และในสถาบันศาลหรือตุลาการ เป็นอำนาจที่มาจากพระปรมาภิไธย ส่วนอำนาจ นิติบัญญัติและบริหารมาจากประชาชน

       ที่จริงอำนาจรธน.นั้นต้องมาจากประชาชนหรือที่จริง รธน.ไม่มีก็ได้ ถ้าประชาชนเข้าใจประชาธิปไตยแล้ว อย่างอังกฤษเขาไม่มีรธน. แต่มีประชาธิปไตยแบบจารีตประเพณี แต่ว่าประเทศอื่นก็ต้องมีอยู่ เมื่อสร้างรธน.แล้วประชาชนก็กลับมาอยู่ใต้รธน. แต่เมื่อฉีกรธน.ก็ประชาชนมาเป็นใหญ่ แล้วก็ถ้าไม่ร่างรธน.นั้นประชาชนก็มีอำนาจ อย่างมากอส เมื่อได้อำนาจก็ร่างรธน.ให้ตนมีอำนาจก็เป็นได้

       สรุปว่า อำนาจที่ 1 เป็นของประชาชน

       อำนาจที่ 2 เป็น รธน.

       อำนาจที่ 3 เป็นอำนาจตามรธน. ที่ว่าไปตามบัญญัติ เรียกว่านิติรัฐหรือนิติธรรม ประชาชนต้องปฏิบัติตามรธน. ตามกำหนดไว้ แยกเป็นอำนาจของกระทรวง แต่ละบุคคล แต่ละกรมกองอีกมากมาย แม้อำนาจเลือกคนมาร่างรธน.ก็กำหนดอีก

       อำนาจที่ 4 อำนาจเลือกตั้งตัวแทนไปเป็นตัวแทนประชาชน เป็นกฎหมายเลือกตั้ง

       อำนาจที่ 5 เป็นอำนาจตามกฎหมาย ประชาชนก็ไปทำตามกฎหมายเลือกตั้ง ได้ตัวแทนไปเป็นสส.ในสภา ที่จะออกกฎหมายเป็นอำนาจที่ 5 คนที่หลงว่าอำนาจเป็นของตนทั้งที่ตนเป็นตัวแทน

       อำนาจที่ 6 นายกฯ ที่เกิดจากอำนาจที่ 5 เลือกนายกฯมาอีกที

 

       การที่ประชาชนที่เป็นอำนาจที่ 1 มารวมกันประท้วงเป็น ล้านคน แล้วนายกฯก็ไม่รู้ หาว่าตนมีอำนาจที่ 1 แต่ที่จริงเป็นอำนาจในกระจกเงา ประชาชนนั้นเลือกคนไปทำงานในกระจกเงา ประชาชนยืนมองกระจกก็ว่านายกฯคือฉันๆทั้งนั้น แต่ว่านายกฯอยู่ในกระจกเงามองอย่างไรก็คือคือประชาชน 1 คน เท่านั้นเอง

       ประชาชนบอกว่าจะปฏิรูปก่อน แต่ว่านายกฯบอกว่าจะเลือกตั้งก่อน ประชาชนบอกว่าทำไม่สำเร็จหรอก ฉิบหายด้วย แล้วนายกฯก็ไม่รู้อีกก็ดันทำอีก ประชาชนก็ต้องเอานางแม่มด เหมือนในเรื่องสโนไวท์ ออกไปจากกระจก ที่ประชาชนเคยเห็นว่าเป็นนางงามเอาเข้าไปในกระจกไปทำงาน แต่ที่จริงเป็นนางแม่มดร้ายกาจ ดึงดันทำเสียหายต่อไป

       อำนาจของตนที่หลงตนว่าตนเป็นเจ้าของอำนาจ เขาใช้Force ตลอดเวลาเลยไม่ใช่อำนาจถูกหลักธรรมAuthority เสื่อมมากในไทย แต่ดีที่ความเลวนั้นอยู่ที่นักการเมืองที่ทำ ตั้งแต่นายกฯและลิ่วล้อ แม้ข้าราชการประจำที่กินเงินเดือนประชาชน ที่ประชาชนจ้างมาเป็นผู้รับใช้ แม้นายกฯก็เป็นผู้รับใช้ประชาชน ประชาชนเป็นนายจ้าง แต่พวกนี้หลงตัวหมดเลย

       นายจ้างบอกว่าผิดก็ไม่ฟังเสียง จนประชาชนเอาอำนาจมวลประชาชนมามากมาย มาเป็นหมู่คณะ เขาก็เอาฝ่ายแดงมาเป็นกำแพงเหล็กให้แก่ตนเอง แต่สร้างเท่าไหร่ก็ไม่ได้ เขาไปพูดอยู่มุมหนึ่งว่าเลือกตั้งได้คะแนน 15 ล้าน ที่จริงเกิดจากการเลือกตั้งโดยค่ายกลทางการเมืองเป็นเรื่องเลวร้ายทุจริตสารพัดวิธี และก็เป็นแค่อำนาจเลือกตั้ง เป็นอำนาจแห้ง แต่ประชาชนมานี่เป็นอำนาจสดๆเลย เขาก็มาอ้างว่า ฉันเป็นรัฐบาลนะถูกเลือกจากอำนาจ 15 ล้านคนนะ โมเมเถียงข้างๆคูๆ พวกนี้โง่ไม่เสร็จ พูดอีกเมื่อไหร่

       เมื่อสิ่งที่เป็นไปมีความจริงปรากฏว่า ถูกต้องหรือไม่ เสียหายหรือไม่ ถูกหรือผิด คนก็มีปฏิภาณปัญญารู้ได้ แต่เขาดึงดันไปจนเลือกตั้ง ทั้งที่กกต.มีอำนาจมากกว่านายกฯ ยิ่งเป็นนายกฯรักษาการ ที่ยุบสภาแล้ว ได้แต่แบกหัวโขนเท่านั้น รำไม่ได้นะ ถือหัวโขนไว้เฉยๆ กกต.มีหน้าที่เลือกนายกฯใหม่ แต่กกต.ก็มีมารยาท ถือว่าเขายังรักตำแหน่งอยู่ ที่จริงกกต.เลื่อนวันเลือกตั้งได้ ตามพระบรมราชโองการ แต่นายกฯมาแสดงอำนาจอันไม่มีอำนาจ บอกว่าต้องวันนี้แหละ วันที่ 2 นี้แหละเลื่อนไม่ได้ กกต.ก็ไม่อยากหักด้ามพร้าด้วเข่า บอกไว้ก่อนว่าจะเกิดปัญหานะ แต่ก็ทำจนได้ ประชาชนก็มาประท้วงมากมาย     

       เกิดเหตุที่สุดจะหน้าด้านหน้าทน มันทั้งโง่เซ่อ ดันทุรังเอาชนะคะคาน ฉิบหายชั่งหัวมัน คือมันเกินรู้ทั้งรู้ว่าฉิบหาย เห็นชัดเจนว่ามันเป็นไปไม่ได้ คาราคาซังกันทุกอย่าง แล้วโมฆะด้วย ผู้รู้รู้กันหมด เหลือแต่ให้ศาลพิพากษาเท่านั้น เสียเวลา แรงงาน เงินทองข้าวของ ที่จะเสียหน้านั้นไม่เสียเพราะเขาไม่มีหน้าให้เสียแล้ว

       เป็นอำนาจงมงายหลง ในประเทศไทย นี้การแสดงออกในอำนาจที่ผิด แม้ประชาชนที่ไม่ค่อยฉลาดไม่รู้ประชาธิปไตยการเมืองมากก็ยังรู้ เด็กๆก็รู้ เป็นการสูญเสียที่น่าอายไปทั่วโลก แต่ก็เกิดประโยชน์บ้างว่า ผู้ใหญ่ขี้กองใหญ่ให้เด็กเห็น คือทำความสกปรกเลอะเทอะ เด็กก็ไม่ประสีประสา ก็ยังเห็น ว่านีคือของเหม็น ของสกปรก ขี้คืออย่างนี้

       คือทำชั่วจนคนตาบอดเห็นได้ ก็เลยเกิดการตื่นรู้ ประชาชนตื่นรู้เป็นจริง ถือว่าดีที่ได้รู้จักประชาธิปไตย รู้ว่าอันนี้ผิดธรรมนองคลองธรรม

       ถ้าผู้ใดศึกษาตามหลักวิชา เกิดการพูดการบอก มีสารสนเทศน์ มีการแชร์กัน กระจายในยุคเทคโนโลยี เกิดความสมบูรณ์ความได้แรงงานมารวมกัน จึงเกิดปาฏิหาริย์ เรียกชุมนุมมาได้เป็นจำนวนล้านคนยังไม่เคยเกิดในไทยเลยที่มาเป็นล้านคน มาอย่างลำบากลำบนด้วย และต่อเนื่องหลายครั้ง เชื่อว่าประชาชนตื่นรู้แล้ว เรียกเมื่อไหร่รับรองได้สองล้าน 10 ล้านได้ ถ้ามีเหตุเพียงพอ เช่นมาไล่ตัวไม่ดีอันนี้ก็มาแน่

       ไม่ใช่บังเอิญ ไม่ฟลุ๊ก และไม่หลอกด้วย สมมุติว่า สุเทพมีพลังพิเศษมาหลอก ถ้าเขาทำงานขณะนี้มีพลังแฝง มีเงินทอง แรงงาน ความสามารถ ทำเสร็จแล้วไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ เลิกแล้วพอแล้ว ถือว่าสุดยอดที่ได้ทำดีมาแล้ว งานนี้ดีจริงๆ คุณทำตามที่พูดเถอะ ถ้าสำเร็จเอาไปเลยรัฐบุรุษของประเทศ ใครไม่ให้อาตมาให้เลย เป็นนักรัฐศาสตร์ได้ทำรัฐกิจ ทำให้เกิดประชาธิปไตย ประชาชนออกมาทวงคืนอำนาจชนะอย่าง สงบ ไม่ฆ่าแกงรุนแรง แต่ที่รุนแรงตอนนี้คือ

       1.อีกฝ่ายหนึ่งทำรุนแรง จนคนเจ็บตายหลายคน เหมือนรุนแรงแต่เบา เขาอยากฆ่ามากเลยแต่ทำไม่ได้ ในเหตุการณ์การต่อสู้ในปัจจุบัน จึงเป็นคุณสุเทพและแกนนำมาช่วยกันทำ กปปส. มีคุณสุเทพเป็นเลขาธิการ กปปส. ทำได้ดีมาก ไม่บังเอิญ แต่เตรียมตัวมา ถ้าทำได้สำเร็จ สงบ

       2.การตอบโต้ไปของฝ่ายเราบ้าง มีอดไม่ได้ที่จะป้องกันตัว จิตวิญญาณกลัวตาย โกรธบ้าง แต่ส่วนใหญ่ของหมู่สงบ ให้คะแนนถึง 95% เป็นความสงบ เศษอีก 5% ที่เกิดนี้คนมากและยาวนาน ถือว่าได้ผลแล้ว ความรุนแรงนั้นมวลมหาประชาชนไม่ได้เป็นคนก่อ เป็นการประท้วงตามรธน.อย่างสมบูรณ์

       ถ้าปฏิวัติสำเร็จ ประชาชนได้อำนาจ แล้วเอามาทำตามครรลองคลองธรรม ให้สร้างสภาประชาชน เลือกอย่างได้สัจจะ มีผู้มีปัญญาความรู้มาทำ มีคณะก่อการ แล้วมีเลือกคณะถาวรมาบริหารชั่วคราว แล้วก็ตราบัญญัติสิ่งที่จะเป็นหลักฐานเช่น รธน.ทำให้เป็นรธน.โดยประชาชน ของประชาชน เพื่อประชาชน แล้วจะได้มีคณะทำงานถาวร คณะก่อการก็เลิกไป ถ้าทำได้นี่ถูกครรลองคลองธรรม  ถ้าสุเทพทำสำเร็จอาตมาตั้งเป็นรัฐบุรุษเลย

       แต่คนอาจคิดว่าสุเทพอาจมีกิเลส ต่อไปเขาก็จะเปลี่ยน หรือว่าถ้าสำเร็จแล้ว ประชาชนยกให้เขาทำเลย ให้เขาช่วยร่าง ถ้าประชาชนยกให้หมดเลย ก็ต้องให้เขาทำ แต่ถ้าสุเทพจะว่าคนอาจระแวงก็ให้คนอื่นทำเป็นคณะก่อการไป มาร่างรธน.และกฏหมาย แล้วได้มาก็ปฏิบัติ ได้สส. ได้นิติบัญญัติ บริหาร มาใหม่ เป็นคณะถาวร ถ้าได้คนดี หลักเกณฑ์ก็ดี มันก็จะยืนนาน อย่างน้อยก็ได้คนที่มาตอนนี้เป็นฐาน แล้วอยู่ที่การศึกษาต่อไปให้คนมีศีลธรรม มีธรรมะ

       เพราะกิเลสเป็นตัวก่อกวน เป็นตัวร้ายเลย ถ้าความรู้ใดที่ไม่มีความรู้ลดกิเลส ความรู้นั้นเป็นความรู้ที่เป็นพิษภัยเป็นโทษทั้งสิ้น คานธีก็ว่าการเมืองใดไม่มีธรรมะเข้าไปในการเมืองการเมืองนั้นไม่ใช่การเมือง

       ที่ไทยเรากำลังทำ เป็นงานการเมืองให้ประชาชนมาปฏิวัติ เพื่อปฏิรูปประเทศ ให้ไปสู่การเมืองใหม่ ค่ายกลเก่ารื้อทิ้งไปหมดเลย คุณสุเทพก็พูดทุกวัน ให้เอาระบอบทักษิณออกไป  จบ …โปรดติดตามตอนต่อไป


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:48:30 )

570206

รายละเอียด

570206_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่องประชาชนปฏิวัติจะชนะไฉน

       พ่อครูว่า....ถึงวาระของอาตมา ใครที่ยังไม่ได้มาก็มา ได้เวลาฟังธรรมแล้ว ก่อนจะได้เทศน์บรรยาย เรื่องต่างๆ ก็ขอแจ้งให้ทราบถึงเรื่องสำคัญ วันที่ 9 ถึง 15 ก.พ. 57 เป็นวันตามกำหนด ประเพณีของชาวอโศกเรา คือเป็นวันงานสำคัญคือ งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 38 แล้ว เราเคยจัดทุกปี แม้แต่จัดบนถนนราชดำเนิน ข้างทำเนียบรัฐบาล เราก็เคยจัดมาแล้ว ตอนที่เราไปชุมนุมประท้วงกันที่นั่น เราเป็นคนที่เลี้ยงง่ายบำรุงง่าย สามารถจัดได้ แต่บางอย่างก็จัดไม่ได้ เช่นงาน ว.บบบ. เราก็ไม่ได้จัด

       ปีนี้งานวันที่ 9 ถึง 15 เราเอามาฆบูชาเป็นวันหลัก ปีนี้วันมาฆบูชาตรงกับวันวาเลนไทน์เลย เราก็ตีกินเลย ให้คนตื่นตัวเป็นมาฆบูชาเลย เดี๋ยวนี้วันวาเลนไทน์คนไปหลงกันมากแล้ว ปีนี้ก็ตรงกันพอดี

       เป็นงานภายในเรา ชาวอโศก เมื่อเรามาอยู่ภายนอก คนสนใจเป็นคนภายนอกก็มาร่วมได้ถ้าสนใจ ร่วมได้หลายระดับ มาดู มาร่วมเล็กน้อยหรือร่วมอย่างเคร่งเลยก็ได้ แต่อโศกเราจะตั้งใจเคร่งครัด หลักใหญ่เราก็มาปฏิบัติธรรม ถือศีล 8 ตีสามครึ่ง ก็ตื่นทำวัตรเช้า หกโมงเช้าก็บิณฑบาต จากนั้น เก้าโมงเช้ามีเทศน์ก่อนฉัน ไปถึง 10 ถึง 11  โมง ก็ฉันอาหารกัน ทานอาหารกัน ซึ่งก็จะทานอาหารเป็นระเบียบ เข้าแถวกัน สงบเรียบร้อยมีวินัย หลังฉันไปพักผ่อน แล้วแยกย้ายไป มีพระเกจิ(ที่ไม่ได้ปลุกเสกฯพระเครื่อง แต่ปลุกเสกฯคน คือไปพูดคุยสนทนาธรรม) หรือบางเกจิก็จะไปจัดรายการธรรมะ ให้ซักถามได้ จนถึงบ่ายสองโมงเป็นรายการภาคบ่าย มีหลากหลาย ถ้ามีงานนี้ เป็นงานการเมือง ถ้าไม่ธรรมะก็เป็นการเมืองผสมผสานกันไป

       ส่วนภาคเย็นเป็นการสัมภาษณ์ผู้มาปฏิบัติธรรม แล้วได้มรรคผลอย่างไร มีการเกิดปรากฎการณ์อย่างไร เรานำมายืนยันชี้ให้เห็น เป็นคนเก่า หรือคนใหม่ก็ตาม มีหลายรุ่น มีสิ่งพิเศษ ประสบการณ์ได้ทำแบบนี้แล้ว ผลเป็นอย่างไร เอามาเล่าขยายสู่กันฟัง ในภาคเย็น จบสองทุ่มก็หมด แต่ในงานนี้มีข้อจำกัด พอถึงจบแต่ละวัน รายการเราจบประมาณ สองทุ่ม ทุกวัน นอกจากวันมาฆบูชาก็จะมีเทศน์พิเศษ ส่วนรายการทั่วไปในภาคค่ำก็เป็นการสัมภาษณ์ปฏิบัติกร ส่วนวันมาฆบูชาก็เป็นเทศน์พิเศษวันมาฆบูชา

       ทั้งหมด 7 วัน 6 คืน แต่วันแรกจะไม่มีทำวัตรเช้า แต่เริ่มตอนเก้าโมง มีการเปิดงาน ปฏิญาณศีล 8 จนถึงวันสุดท้ายวันที่ 15 หลังทำวัตรเช้า ก็รับประทานอาหาร จบก็เสร็จ พากันกลับเลิกแล้ว ก็จะไม่ครบ 7 วันดีเท่าไหร่ แต่ 6 คืนแน่

       หนังสือที่จะใช้ในงานนี้คือ หนังสือ “รู้คน ขังสุข รู้คุก ขังสัตว์” ให้นำมาด้วย

       มาเข้าเรื่องของธรรมะ วันนี้ตั้งใจจะอธิบายรัฐศาสตร์การเมือง ชาตินี้อาตมาไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์ได้ปริญญาเลย แต่ก็รู้รัฐศาสตร์การเมืองจากการเรียนพุทธธรรม ซึ่งพุทธศาสตร์นี่แหละขอยืนยันว่า เป็นเศรษฐศาสตร์แท้ เป็นการเมืองแท้ เป็นรัฐศาสตร์แท้ รู้ได้ทั้งประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ เหนือชั้นยอดเยี่ยมกว่าคอมมิวนิสต์ที่เขาทำ แม้ประชาธิปไตยก็สุดยอด มีคุณธรรมด้วย แม้เผด็จการก็อย่างวิเศษเลย เป็นความรู้สามารถที่มีพลังอำนาจ ระดับสูงสุด ระดับSupreme เลย เป็น Authority power เป็น sovereign power

       เรามาทำงานประท้วง เป็นปฏิวัติ ต่อเนื่องกันหลายเดือนแล้ว โดยเฉพาะกปท. ตั้งแต่ 4 สิงหาคม 56 แล้ว วันนี้ก็ปาเข้าไป หกเดือนกับสองวันแล้วนับเป็น 186 วันแล้ว ใกล้ 183  วันแล้ว อีกกี่วัน อีก 7 วันก็ไม่น่าเสร็จนะ ถ้าไปอีก 8 วันก็ทำลายสถิติเดิมเลย เป็น 194 วันเลย แล้วจะเลยไปอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ จะลงเอยอย่างไร

       การปฏิวัติของไทย ณ ลมหายใจเฮือกนี้

1.จะลงเอยอย่างไร ?

2.ใครจะชนะ?

3.เครืองตัดสินว่าใครจะชนะที่เป็นสัจจะแท้คืออะไร?

4.อย่างไรจึงจะชื่อว่าประเทศไทยชนะ?

       ถ้าจะให้รัฐบาลเก่าชนะแล้วมาบริหารแบบเก่าๆ มาแดงทั้งแผ่นดิน บริหารมา 81 ปีแล้ว อย่างนี้จึงชื่อว่าประเทศไทยชนะหรือว่าจะให้คณะประชาชนที่มาปฏิวัติมาทำการเมืองใหม่ขึ้นมา เพราะประชาชนที่ตื่นรู้เป็นมวลมหาประชาชนสามัคคีทุกสีทุกเหล่าออกมากว่า 10ล้านคน ประชาชนที่ยังไม่ออกมาก็มีอีก มาปฏิเสธการเมืองเก่าที่เน่าเฟะ นี่ก็อีกคณะหนึ่ง แล้วจะให้คณะประชาชนหรือให้คณะรัฐบาลเก่า แบบน้ำเน่าที่แสนเละเทะชนะ แบบไหนถึงชื่อว่า “ประเทศไทยชนะ?”

       ควรให้รัฐบาลเก่าหรือให้คณะประชาชนพวกเราชนะ? ….

       ก็กำลังแข่งขันกันว่า ใครจะตั้งรัฐบาลใหม่ได้สำเร็จ? ระหว่างมหาประชาชนกับรัฐบาล

1.จะลงเอยอย่างไร ?

       ตอนนี้ผลลงเอยจะเป็นอย่างไร ...ก็อาจเป็น....

       จะลงเอยได้สองอย่าง?

       1.รุนแรง เขาลุแก่อำนาจบาตรใหญ่ จะมีล้มตายสูญเสียยับเยินเลย ซึ่งคิดว่าไม่มีใครอยากให้เกิดแน่

       2.จะลงเอยด้วยการจำนน ฝ่ายโน้นก็ต้องจำนนต่อความดีงาม สงบ ไม่รุนแรง

       คำตอบคือ จะลงเอาด้วยฉิบหายวายป่วงหรือลงเอยด้วยชนะอย่างสวยงามสง่าผ่าเผย เท่านั้นเอง       

2.ใครจะชนะ?...

       มันก็อยู่ที่ว่าใครจะตั้งรัฐบาลใหม่ได้สำเร็จ ตอนนี้รัฐบาลเก่าก็ไม่ลาออก แต่ยุบสภาฯ ความเป็นรัฐบาลเก่าหมดแล้ว แต่รักษาการอยู่ ครม.ก็รักษาหน้าที่เป็น การถือหัวโขนอยู่ แต่รำไม่ได้ เป็นยักษ์ก็รำไม่ได้ เป็นพระเป็นนางก็รำไม่ได้ แต่ละเมิด ทำรำ ออกท่าทางด้วย ทั้งที่ไม่มีอำนาจ นี่ล่ะจะได้ชำระกัน

       ตอนนี้ก็แย่งกันใครจะตั้งรัฐบาลใหม่ได้ จะเป็นรัฐบาลเก่าหรือประชาชนที่มาปฏิวัติจะตั้งรัฐบาลได้ ก็ตรงนี้แหละ?

       ที่จริงแล้ว พอฟังแล้วคนก็คงพอรู้ ถ้าเผื่อว่าทำงานอยู่ ดูกระแสที่เป็นอยู่ก็คงพอรู้ แต่เจาะลงไปที่ประเด็นที่ 3

3.เครืองตัดสินว่าใครจะชนะที่เป็นสัจจะแท้คืออะไร?       

       ผู้ใดทำได้ถูกต้องสงบเรียบร้อยดีงามกว่าก็คือผู้ชนะ ทั้งสองฝ่ายก็พยายามทำให้ถูกรธน. ตามธรรมะ ชอบธรรม พยายามให้มนุษมนาเขารู้ แต่เป็นการปฏิบัติที่เล่นเลห์แฝงอะไร ดีไม่ดีทำละเมิดโต้งๆ พวกนี้จะเป็นผู้ตัดสิน ยุคนี้มีเครื่องไม้เครื่องมือไว้บันทึกเยอะ ดังนั้นผู้ถูกต้องชอบธรรมกว่าก็คือผู้ชนะ แต่จะเป็นไปได้อย่างถูกต้องชอบธรรมสวยงามหรือไม่?       

4.อย่างไรจึงจะชื่อว่าประเทศไทยชนะ?

       อย่างไรก็ตองประชาชนชนะถึงชื่อว่าประเทศไทยชนะ จะให้รัฐบาลแดงทั้งแผ่นดิน แล้วไม่เอาพระเจ้าแผ่นดินชนะจึงจะชื่อว่าประเทศไทยชนะอย่างนั้นหรือ? ...อาตมาว่า ไม่อยากเอาชื่อประเทศไทยมาเรียกเลย มันควรเป็นอย่างไรจึงจะชื่อว่าประเทสไทยชนะ มวลประชาชนคนไทยก็ช่วยกันตัดสินก็แล้วกันว่า อะไรควรอะไรไม่ควร

       

        คณะรัฐบาลที่ยุบสภาไปแล้วมีแต่หัวโขน รำไม่ได้ ขืนรำก็ผิด แล้วพวกที่คบค้าก็เป็นพวกข้าราชการประจำที่เป็นลิ่วล้อ หน้ามืดช่วยกันรำอยู่ เขาก็เก่งจริงๆ พวกลิ่วล้อ เป็นพวกหัวแถวๆ ก็มีอำนาจทางราชการช่วย เขาเก่งที่ซื้อหามาเป็นบริวารลิ่วล้อก็ทำอยู่

       เป็นเรื่องยืนยันว่าไทยจะเป็นประเทศที่ล้มเหลวหรือเจริญ ล้มเหลวคือ พวกที่ผิดพวกไม่ควรไม่ชอบธรรมมาเป็นผู้ชนะ นั่นคือความล้มเหลวของประเทศไทย แต่ถ้าความถูกต้องชอบธรรมเป็นผู้ชนะนี่คือความเจริญของประเทศไทย

       คนไม่ฉลาดก็จะรู้ว่าที่พูดนี้ถูกต้อง เถียงไม่ได้ แต่ว่าความถูกต้องชอบธรรมนี้ ต่างคนต่างยึดว่าฝ่ายตนถูกต้องชอบธรรม ก็ต้องมาไขความกันเรื่องสัจจะธรรมะ

       

       แล้วความชอบธรรมที่ต่างคนต่างว่าตนชอบธรรมก็ต้องว่ากันตรงพฤติกรรมจริง

       การเลือกตั้งครั้งนี้ แล้วมีการประพฤติกัน มีองค์ประกอบ เป็นกรณีว่า ผู้ที่เอาการเลือกตั้งให้ได้ เพื่อจะได้แต้ม เขาถือว่าถ้าได้เลือกตั้งนี้ได้แต้ม ส่วนพวกเราไม่เอาการเลือกตั้ง  เพราะการเลือกตั้งที่ได้เกิดนี้ เป็นโครงสร้างเก่า เป็นค่ายกลขี้โกงทางการเมืองที่เขาได้สร้างมานานแล้ว เหมือนหนังจีนที่ใครเดินเข้าไปในค่ายกลนี้ตาย มีพิษภัยมากมาย มีหอก หลาวแหลน หลุม สมัยใหม่มีกับระเบิด

       เขาว่างไว้หมด เขาจะชนะแน่ถ้าเลือกกี่ครั้งก็ตาม แต่เรามาประท้วงไม่ให้ทำแบบเก่า อีกไม่เอาค่ายกลนี้ เราจะยอมให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ มันเกิดมา 81 ปีผ่านมาแล้วไม่เรียกวิวัฒน์พัฒนา แต่นี่ปรุงแต่งให้เลวร้ายเพิ่มขึ้น ประชาชนออกมาพิสูจน์ให้รู้มามากเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เคยมีอย่างนี้

       ออกมาแสดงตัวตั้งแต่ 24 พ.ย.56 มาเป็น 9 ธ.ค. 56 จนมาเป็น 22 ธ.ค. 56 แล้วก็มา Shut Down BKK วันที่ 13 ม.ค. 57 ก็พิสูจน์มาแล้ว

       เราจะมาพิสูจน์ความถูกต้อง

       1.เป็นเรื่องของประชาชนเป็นประชาภิวัฒน์ …

       2.ประชาภิวัฒน์

       3.กรรมาภิวัฒน์ ...ให้รู้ว่ากรรมกุศลที่ถูกต้องดีงามเป็นอย่างไร ก็ชอบธรรม ส่วนใครทำอกุศลก็ไม่ชอบธรรม   

       การเลือกตั้งก็มีผลออกมาระดับหนึ่ง วัดค่าแล้วยืนยันความจริงหลายอย่าง? สรุปแล้วคำตอบคือ ค่านิยมของพรรคการเมืองเก่าทรุดลงเลย หลายแง่หลายเชิง แล้วเขาพยายามหยิบประเด็นมาหลอกคนปัญญาน้อย ให้หลงเชื่อถือ คนก็หลงดีใจว่าเพื่อไทยยังเจริญรุ่งเรืองอยู่ เช่นรวมครั้งนี้พรรคเพื่อไทยได้ ที่ 1 ได้มาตั้ง 300 กว่าที่นั่ง ก็แน่สิ เพราะว่ามีแต่พวกเอ็งไปลง....แต่เขาก็แยกให้รู้ว่า คนไม่ไปลงตั้ง 75 % แต่ที่ไปลงคะแนนไปเลือกตั้งไม่กี่%

       มันส่อสื่อให้เห็นความล้มเหลวย่อยยับของรัฐบาลเก่า อาตมายังนึกว่าเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้า...อาตมาพูดนี่ไม่ใช่พวกปชป.นะ แต่ที่พูดนี้พูดด้วยเนื้อผ้า...ถ้าพรรคปชป.ไม่บอยคอต ไปลงเลือกตั้ง ไม่แน่นะปชป.อาจชนะก็ได้ เพราะความเสื่อมของพรรคนี้ลดลงมากเลย คิดดูสิว่าบัตรเสียมากเลย เขียนด่ามากมาย มันส่ออะไรยับเยินเลย เป็นการพ่ายแพ้ที่ไม่เคยเกิดในประวัติศาสตร์

       คนที่ไม่มีหิริโอตตัปปะเลย ทำไมดื้อดึงดันไม่ละอายเลย แต่นี่ไม่มีเลยนิดหนึ่งก็ไม่เลยที่จะพาเขาลาออก ยังดันทุรังไปหน้าเฉย ไม่มีอะไร แต่หนีจุดตูดเลย หาคนมาป้องกันเต็มเลย ทั้งที่เราบอกว่าไม่ทำอะไร เราไม่รุนแรง

       มันมีความซับซ้อนให้เห็นว่า...มันแพ้ยับเยิน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ….แพ้อย่างไม่มีอะไรบ่งบอกว่าจะมีความชนะได้เลย แต่เขาก็ไม่ยอม แต่จะลงเอยที่เขาอาจทำชั่วทำรุนแรงได้ เพราะคนชั่วทำชั่วได้ เมื่อเลือดเข้าตาก็ลุแก่อำนาจบาทใหญ่ พวกเราก็ไม่ไปตอบโต้ทำร้าย ก็ไม่แน่ว่า ถ้าจะเกิดความรุนแรงในคนที่จะทำร้าย แล้วจะมีผู้ที่มีอาวุธ พลังอำนาจพอจะห้ามกั้นก็ไม่อยากพูดจึงไม่ตั้งประเด็นนี้ขึ้น เอาแต่ว่าคนทำรุนแรงไม่ว่าใครก็ผิด พวกเราทำก็ผิด นี่คืออย่างที่ 1

 

       อย่างที่ 2 คือไม่รุนแรงเลย ใช้ความถูกต้องสัจจะความจริง หลักฐานมายืนยันกัน ทั้งกฎหมาย ทั้งจารีตประเพณีสังคม คนที่จะทำสิ่งถูกต้องดีงามได้ ต้องเกิดจากจิตวิญญาณเป็นประธาน เป็นอำนาจใหญ่ของชีวิต กาย วาจา มาจากมโน มโนบุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา

       มโนจะมีกำลังอำนาจ ต้องศึกษาฝึกฝน สร้างให้มีคุณธรรม ไปซื้อหาตามแผงลอยไม่ได้ ไปตามศูนย์การค้า ที่ใหญ่โตอย่างไรก็ซื้อหาไม่ได้ ซื้อความสงบ รำงับไม่รุนแรงทำไม่ได้

       ต้องรู้ว่าความถูกต้องดีงามคืออย่างไร แล้วทำอย่างไร โดยจิตเป็นตัวเป็นเอง เป็นการสั่งเองเป็นตถตา จิตเป็นเช่นนั้นเอง กาย วาจาก็ออกมาจากจิต ส่วนอกุศลนั้นเราล้างเชื้อออกจากจิต พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วสร้างจิตเช่นนี้ได้ พุทธทำได้ จะเกิดคุณงามความดีที่จริง แม้ความยอมตายเพื่อสร้างสิ่งดีงามก็เป็นไปได้ เพราะเป็นผู้ที่เกิดจิตมีพลัง 4 สมบูรณ์

       มีปัญญารู้ว่า ทำกรรมชนิดนี้มีปัญญารู้ก็ทำ จนเป็นกำลังของความขยัน พากเพียรทำมาจนขยันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นตถตา ส่วนความชั่วก็รู้ เคยทำมา แต่ตอนนี้ไม่ทำ เพราะพลังชั่วไม่มีแล้ว มีปัญญาและมีวิริยะ ทีเป็นตถตา มีความวิริยะที่เป็นเอง โดยอัตโนมัติ มันทำจริงๆ จึงมี อนวัชชะ คืองานที่ดีที่ควรทำ ดังนั้นการทำงานใดต้องดี ต้องชอบและควร มีพลังปัญญาที่ถูกต้อง ฉลาดแท้ลึกซึ้่งไม่ฉลาดขี้โกง โดยแยกสำคัญตรงที่ รู้ว่านี่ฉลาดเห็นแก่ตนเพื่อตนหรือรู้ว่านี่ฉลาดเพื่อผู้อื่น เพื่อคนหมู่มาก

       นี่คือหลักตัดสินสำคัญว่านี่เพื่อตัวเองหรือเพื่อส่วนรวมหมู่มาก ถ้าเพื่อส่วนรวมย่อมถูกต้องมากกว่าส่วนตน จึงเป็นความจริงที่ทรงไว้ ผู้ใดสั่งสมสิ่งจริงนี้ในจิต จึงมีกรรมจริง      

       ผู้ใดศึกษาแล้วทำสั่งสมเป็นวิบากแก่ตน เป็นอริยทรัพย์ เกิดจากกรรม การกระทำฝึกฝนอบรมแล้วสั่งสมตกผลึกเป็นของผู้นั้นๆ เรียก กรรมสกตา (กรรมเป็นของๆตน) ตนได้อาศัย กรรมปฏิสรโณ กรรมพากเกิด กรรมโยนิ

       คนฝึกมาโดยตรงก็ได้ตรง แต่คนฝึกโดยอ้อมก็ได้ผลสำหรับคนมีบารมี คนที่มารวมกันจึงมีกรรมเป็นอันหนึ่งเดียวกัน เช่นเป็นคนเสียสละ เห็นแก่ส่วนรวม จริงใจ สำคัญที่จิต ล้างความหลงติดในลาภแก่ตน หลงติดใน ยศ ในสรรเสริญหรือเสพสุขเพราะกามเพราะอัตตา เมื่อรู้แล้วก็ลดละ มาเป็นคนจริง

       ที่หลงในโลกธรรม กามและอัตตา คนทีหลงอยู่ก็คือพวกตนในอำนาจ โลกธรรม ผู้ใดมาเรียนรู้จริง พุทธนี่ชัดเจน เหตุที่ไปหลงในกามและอัตตา ก็ดับเหตุ หาเหตุมันได้เลย สามารถอ่านได้รู้ได้โดยสติปัฏฐาน 4

       ประชุมเป็นกาย  ตากระทบรูป เกิดวิญญาณ​แล้วเกิดอาการในกาย เป็นหทัยรูป กายนี่คือหทัยรูป เป็นองค์ประชุมที่พร้อมด้วยผัสสะ 3 ทั้งทางทวารทั้ง 5 แต่ละทวารเป็นผัสสะ 3 แม้ในใจก็เป็นผัสสะ 3 แต่ท่านไม่เรียกผัสสะ เพราะมันอยู่ด้วยกันเรียกธรรมารมณ์ มันทรงอยู่แล้ว อารมณ์นั้นไม่ต้องไปทำอไร เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นไม่ต้องหาสิ่งอื่นมาสัมผัส มันอยู่ด้วยกันแล้ว มนายตนะกับธรรมายตนะ

       แต่ถ้าข้างนอกต้องสัมผัส แต่ถ้าใจไม่ไปรับรู้ แม้กระทบทางตาก็ไม่รู้จักรูปนี้ ถ้าเอาใจมารับมันก็เห็น ทั้งกลิ่นเสียง สัมผัสก็เช่นกัน ถ้าไม่เอาจิตมารับรู้ก็ไม่เกิดวิญญาณ

       ถ้ารู้จัก เวทนา สัญญา สังขาร ก็จะสามารถปฏิบัติธรรม ให้บรรลุได้ รู้องค์ประชุมคือ กาโย มีข้างนอก มากระทบทวาร

       รูปคือ สิ่งที่ถูกรู้ ส่วน นาม คือตัวรู้

       พุทธเรียนคำว่า กายผิด ไปเข้าใจว่า กายคือร่างภายนอก แต่ที่จริง  กายนั้นมีทั้ง โครงร่างและจิต และกายนี้เน้นไปที่จิตด้วย

       ถ้ามีคำว่ากายไปร่วม ต้องมีนามธรรมร่วมด้วย แต่เขาเรียนกันเผินว่า กายคือรูปธรรม ไม่เอานามธรรมเลย เมื่อไปพิจารณากายในกาย ก็นึกว่าเป็นข้างนอกอีก ไม่มีความรู้สึก เช่นวิโมกข์ 8 ต้องด้วยกายทั้งหมดเลย ในองค์ประชุมทั้งหมด กายที่ว่าต้องมีทั้งปัจจุบันที่มีข้างนอกด้วย

       1. รูปี รูปานิ ปัสสติ คือต้องสัมผัสรูปนอกและในด้วย

       2. อัชฌัตตัง อรุป สัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ ….หมายถึงกำหนดรู้ทั้งภายใน จนไปถึงขั้นอรูป รวมทั้งนอกและใน ทั้งสัญญาด้วย แต่เขาเข้าใจผิดไปไม่สำคัญมั่นหมายในสัญญา ก็เลยเพี้ยนไป ส่วนเอโกเขาก็ไปแปลเป็นตัวตนบุคคลเราเขา เป็นแค่ส่วนตน

       3. สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ ...เป็นผลที่ได้ดีจากนิโรธ เป็นโชคลาภสิ่งที่น่าภูมิใจ เจริญแต่ต้นจนถึงที่สุด อธิศีล อธิิจิต อธิปัญญา เป็นอธิโมข จนเป็นอธิมุตโต หรืออธิวิมุติ  ยิ่งสูงขึ้นๆ แต่ท่านไปแปลว่า เจริญไปถึงที่สุดนั้นก็ไม่ผิด ด้วยการปฏิบัติ ไตรสิกขานี่แหละ เจริญ ฌาน สมาธิ นิโรธ ไปตามลำดับ

       ก็จบในข้อ 3 เป็นนิโรธ เป็นวิมุติ แต่ท่านไปแปลว่า จิตโน้นน้อมไปว่างาม ก็เท่ากับว่าไปให้จิตเห็นว่าคนอื่นงาม แต่นี่ไม่ควรแปลเช่นนี้ เพราะนี่เป็นขั้นปรมัตถุ พาหลุดพ้นเลยนะ

       

       4.    ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา  เพราะดับปฏิฆสัญญา  เพราะ(ละ)ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา  โดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ   ด้วยมนสิการว่า...  อากาศหาที่สุดมิได้ (สัพพโส  รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ ปฏิฆสัญญานัง    อัตถังคมา  นานัตตสัญญานัง  อมนสิการา  อนันโต  อากาโสติ   อากาสานัญจายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ)#  ถ้าเรียนรู้ผิดๆจะไปดับหมดเลย ทั้งสัญญาทั้งเวทนา จะไม่รู้แม้แต่สักกาย

       สักกะ แปลว่าตัวเราเอง ส่วน กาย คือองค์ประชุม อย่างวิโมกข์ 8 คือองค์ประชุมของนามธรรม ทั้งนามทั้งรูปอยู่ในนั้นหมด ถ้าเข้าใจคำว่า กายผิด ก็ปฏิบัติผิดหมด เมื่อไปเรียนวิโมข์ 8 ที่มีคำว่า กาย อยู่ ก็ลงทะเลยะเยือกเย็นเลย

       สัญญเวทยิตนิโรธ นั้นคือการเคล้าเคลียอารมณ์ ตรวจสอบในสัญญาและเวทนา ตรวจสอบด้วยอรูปฌาน

       5.    ผู้ที่ล่วงพ้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุวิญญาณัญจายตนะ  ด้วยมนสิการว่า  วิญญาณ หาที่สุดมิได้   (สัพพโส   อากาสานัญจายตนัง  สมติกกัมมะ   อนันตัง   วิญญาณันติ   วิญญาณัญจายตนัง   อุปสัมปัชชะ       วิหรติ ฯ)

 

       6.    ผู้ที่ล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงจึงบรรลุอากิญจัญญายตนะ  ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร  (สัพพโส  วิญญาณัญจายตนัง  สมติกกัมมะ   นัตถิ  กิญจีติ         อากิญจัญญายตนัง  อุปสัมปัชชะ   วิหรติ)

 

#     แม้กระทบผัสสะอยู่ มีการปรุงแต่งอยู่ เป็นสสังขาริกัง หรืออสังขาริกัง มีตัวกิเลสไปจูงนำหรือไม่ ก็ต้องอ่านแจกรู้ในสังขาร เรารู้ว่าสังขารเราไม่มีกิเลสเกิด วิญญาณเราสะอาด มันสังขารอยู่ แต่สังขารตามธรรมชาติ เห็นแดงก็แดง เขียวก็เขียว เห็นเงินก็รู้ว่ากี่เท่าไหร่ นี่คืองบประมาณที่เสียไปกับเรื่องนำ เรื่องข้าว หลายแสนล้านแล้ว แล้วจะมากู้อีก 2.2ล้านๆ ประชาชนเขาจะไว้ใจให้ทำก็บ้าแล้ว ยิ่งเต็มใจให้ทำยิ่งบ้าแล้ว ใครจะไปไว้ใจให้ทำ

       เราจะทำกับงบ 2.2ล้านๆ เรารู้ว่าใจเรามีกิเลสมาปรุงร่วมไหม นิดหนึ่งน้อยหนึ่งมีไหม อากิญจัญญา หรือแม้นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี ให้รู้หมด ไม่ใช่ไม่รู้บ้างไม่รู้บ้างไม่ใช่ ต้องพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ใช่หนูไม่รู้ ต้องรู้หมด แม้นิดแม้น้อย พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็พ้นอาสวะ พ้นอวิชชา แม้เศษธุลีน้อยนิดเท่าไหร่ก็ไม่เหลือ แม้ มานสังโยชน์ อุทธัจจสังโยชน์ หรือ อากิญจัญญายตนะ(รูปธรรม)หรือเนวสัญญานาสัญญายตนะ(นามธรรม) ต้องพ้น ผู้พ้นเนวสัญญาฯ ก็คือผู้พ้นอนุสัย พ้นอวิชชาสังโยชน์​ เป็นตัวสัญญาเวทนยิตนิโรธคือตัวรู้อย่างที่สุด ไม่ใช่ว่าไม่รู้

 

       ถ้าจะบอกว่าดับสัญญาหรือดับเวทนาก็มีส่วน ในพระไตรฯล.24 ข้อ 7  พระสารีบุตรพูดไว้ว่า...

       สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไป สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น นี่แหละคือสภาวะของนิพพาน

       คนไม่เชื่อก็ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าที่พระสารีบุตรพูดถูกไหม? พระพุทธเจ้าก็ว่าถูกต้อง...

         สาริปุตตสูตร

     

       [7] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ได้ปราศรัยกับ

ท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น

แล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรท่านสารีบุตรผู้มีอายุ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็น

ปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ ... ไม่พึงมีความ

สำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้สมาธิเห็นปานนั้น

พึงมีแก่ภิกษุหรือหนอ ฯ

    

       ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านอานนท์ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็น

ปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่า

พึงเป็นผู้มีสัญญา การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุ ฯ

    

       อา. ดูกรท่านสารีบุตร ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ฯลฯ

ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ก็การได้

สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างไร ฯ

    

       สา. ดูกรท่านอานนท์ สมัยหนึ่ง ผมอยู่ ณ ป่าอันธวัน ใกล้พระนครสาวัตถีนี้แหละ

ณ ที่นั้น ผมเข้าสมาธิ โดยประการที่ผมมิได้มีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์

เลย มิได้มีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในเตโชธาตุว่า

เป็นเตโชธาตุเป็นอารมณ์มิได้มีความสำคัญในวาโยธาตุว่าเป็นวาโยธาตุเป็นอารมณ์ มิได้มีความ

สำคัญในอากาสานัญจายตนฌานว่าเป็นอากาสานัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญใน

วิญญาณัญจายตนฌานว่าเป็นวิญญาณัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในอากิญจัญ

ญายตนฌานว่าเป็นอากิญจัญญายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญาย

ตนฌานว่าเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในโลกนี้ว่าเป็นโลกนี้

เป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าผมเป็นผู้มีสัญญา ฯ

     

        อา. ก็ในสมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรเป็นผู้มีสัญญาอย่างไร ฯ

    

       สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นแก่ผมว่า การดับภพเป็นนิพพาน

การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้แล สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อไฟมีเชื้อกำลังไหม้อยู่เปลวอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น เปลวอย่างหนึ่งย่อมดับไป แม้ฉันใด ดูกรท่านผู้มีอายุ

สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นแก่ผมว่า การดับภพเป็นนิพพาน การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้ สัญญา

อย่างหนึ่งย่อมดับไป ฉันนั้นเหมือนกันแล ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็แลในสมัยนั้น ผมได้มีสัญญาว่า

การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้ ฯ

                          จบสูตรที่ 7

       

       พ่อครูว่า...สัญญาคือการกำหนดรู้ ให้ดับภพเป็นนิพพาน ก็คือสัญญาอย่างหนึ่งที่ดับไป

 

       อากาสาฯ คือหลุดพ้นจากสภาพที่ว่างโล่งเหมือนอากาศ ก็มาตรวจสอบที่ วิญญาณ คือตัวรู้ว่าตนมีอะไรไม่สะอาดอีกไหม?....แล้วก็ต้องตรวจสอบอีกแม้สิ่งเล็กสิ่งน้อยนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่ให้มี เป็นอากิญจัญฯ....นี่คือเข้าไปใช้งานสัญญาขั้นสุดท้าย โดยกำชัดว่า เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา คือต้องให้สัญญากำหนดรู้ให้หมด ที่ไม่รู้ต้องไม่ให้มี โดยตรวจสอบเคล้าเคลียสัญญาให้หมด หมดความไม่รู้ เหมือนอย่างหมอชีวกะ อาจารย์ให้ไปในป่า แล้วไปหาต้นไม้ที่ไม่ใช่ยา ที่สุดก็หาต้นไม่ใดๆในป่าที่ไม่ใช่ยา หมอชีวกะหาไม่ได้ ทุกต้นเป็นยาหมด

       สัญญาเวทยิตนิโรธ คือนิโรธอย่างสัญญาทำงานเคล้าเคลียอารมณ์ พ้นจากความไม่รู้ พ้นเนวสัญญาฯ ไปสู่สัญญาที่บริสุทธิ์สะอาดทำงานเต็มที่เลย ตรงกันข้ามกับที่ให้ดับสัญญาไปหมด อย่างกับก้นเหวกับท้องฟ้าเลย

       พูดแล้วนึกถึงคุณไสว แก้วสม เขาว่าไฟกำลังไหม้ แล้วเมื่อไฟกำลังไหม้ เปลวไฟอย่างหนึ่งดับ เปลวอีกอย่างหนึ่งก็เกิด แกเอามาเถียง ตอนนั้นอาตมาไม่รู้พยัญชนะอันนี้ เขาว่าต้องดับ ก็ถกกันน่าดู

       สรุปแล้ว เวทนาเป็นตัวที่ต้องกำหนดรู้ สัญญาต้องอ่าน เวทนา 108 รู้จิตในจิต คือเวทนา 16 ว่ามี สราคะ สโทสะ สโมหะ แล้วทำให้จางคลายเป็น วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ

       ผู้ปฏิบัติธรรมจะรู้จิตว่าตนมีราคะโทสะ โมหะไหม แล้วทำให้มันลด เมื่อลดได้ก็เป็นฌาน 1 ทำให้กิเลสไม่มีได้ แต่ยังยาก ยังเคร่งคุม มีวิตกวิจาร ปีติ สุข เป็นเอกัคคตา เหมือนขี่จักรยานเป็นใหม่ๆ มีปีติดีใจ ล้มแล้วล้มอีก ถ้าเก่งก็ไปได้....จบไว้ก่อนแค่นี้...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:51:33 )

570209

รายละเอียด

570209_พ่อครู เปิดงานพุทธาฯพาปฏิญาณศีล 8 ณ ผ่านฟ้าฯเลือกตั้งครั้งนี้ส่อสื่ออะไร และความเสื่อมชาวพุทธ

       พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 9 ก.พ. 57 เป็นวันเริ่มต้นทำพิธีพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ 38 เริ่มขึ้นอย่างไว เพราะอาตมาระลึกขึ้นได้ว่า เราขาดการทำวัตร การฟังธรรม จะเป็นความเสื่อม อันเป็นความเสื่อม 7 ประการ

1. ไม่มาวัด มาพบสมณะพระ

2. แม้มาวัด ก็ละเลยการฟังธรรม

3. ไม่ศึกษาธรรมะ ในศีล เพื่อจะได้เกิดสมาธิ เกิดปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนา

       เป็นความเสื่อมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เร่ิมแต่ข้อแรกที่เราขาดการพบสมณะ ห่างเหินภิกษุ(คือภิกษุที่สัมาปฏิบัติ สัมมาทิฏฐิ ที่จัดเป็นทักขิเณยยบุคคล คือผู้ที่ต้องลุกรับ ควรให้ของทาน อาจไม่บรรลุธรรม แต่ตั้งใจศึกษาปฏิบัติ ใส่ใจในธรรม มักน้อยสันโดษ แม้จะนอกศาสนาเรา แต่เป็นผู้ตั้งใจลดละไม่เบียดเบียน คนเช่นนั้นเป็นทักขิเณยยบุคคล ส่วนคนที่เป็นอาริยบุคคลก็แน่นอนอยู่แล้ว ต้องเคารพ) นอกนั้นเป็นพวก

       กล่าวคำว่าศีล นั้น ต้องสมบูรณ์ด้วย สมาธิ และปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสนะ

4. ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุ .#ทั้งที่เป็นเถระ  ผู้ใหม่และปานกลาง 

 แต่กลับเข้ามาแล้วกร่าง ไม่เคารพเลื่อมใสในภิกษุ อย่างนี้มาวัดแล้วได้บาป

5. เพ่งโทษฟังธรรม  (ธัมมัง  สุณาติรันธคเวสี)

แม้ฟังธรรม แต่ตั้งใจเพ่งโทส จับผิด ผู้เพ่งโทสผู้อื่นคือผู้อาวะเจริญยิ่ง หาแต่ข้อผิดพลาดข้อเป็นโทส เรามาวัดเราจะมาเอาสิ่งดี สิ่งไม่ดี พระจะไม่พาทำชั่ว เพราะฉะนั้นส่ิงชั่วพักไว้ สิ่งดีเราต้องตั้งใจเลือกเฟ้นเอาสิ่งดี อันไหนชั่วรู้แล้ววาง แต่ดีต้องเพ่งดี ถ้าใครมาตั้งจิตคอยเพ่งโทสฟังธรรมอันนี้หนัก

6. แสวงบุญนอกเขตศาสนานี้ (พหิทธา  ทักขิเณยยัง  คเวสติ)

พวกนี้หลุดแล้ว ไปใส่ใจคำสอนอื่นไปแล้ว

7. ทำสักการะก่อนในเขตบุญนอกศาสนานี้ (ตัตถะ  จ   ปุพพการัง  กโรติ)  เช่นเราเป็นพุทธแต่เราไปสักการะอื่นก่อนเลย เราเป็นพุทธแท้ ถ้าเจอสองอย่าง ที่เป็นลัทธิพุทธของตนจะใส่ใจน้อย  (พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 27)

       เรามาทำงานนี้ ทำงานการเมือง งานสังคม เราน่าจะทำประโยชน์ตน-ท่านไปในตัว มีผัสสะที่ใดมีที่ได้ปฏิบัติธรรมที่นั่น ส่วนของลัทธินอกพุทธจะไม่เกี่ยวข้องกับอันอื่น จิตหลบอยู่ภายในเป็นการสร้างภพ ส่วนของพระพุทธเจ้านี้ล้างภพ รู้องค์รวม คือกาย ที่มาจาก กาย วาจา และใจ

       กายวิญญัติ และวจีวิญญัติ นั้นมาจากมโนหรือใจเป็นที่มา พระอนาคามี เหนือกามภพแล้ว แต่ไม่หนีกามภพ ยังสัมผัสเกี่ยวข้องกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่จิตใจไม่กระเพื่อมไหวออกมาภายนอกเลย มีแต่กระเพื่อมอยู่ภาย ซึ่งตรงกันข้ามกับลัทธิฤาษีที่จะไม่สู้ผัสสะภายนอก แต่ว่าของพุทธนี้ อยู่ได้อย่างสบายมาก สู้ได้สบายมาก ไม่หวั่นไหว

       แต่ไปเข้าใจผิดว่า ปฏิบัติธรรมพุทธต้องหนีไปอยู่ในรู ในป่า เขาถ้ำ ไม่ใช่โลกุตระจิต แต่เป็นโลกันตะ หนีโลก ส่วนพุทธนั้นอยู่เหนือโลกไม่ใช่หนีโลก พระอนาคามีก็เรียนรู้มาตั้งแต่หยาบ กลาง ส่วนละเอียดที่เหลือก็มีอยู่ แต่รู้ แล้วเพียรละรูปราคะและอรูปราคะที่เหลืออยู่ ไม่ใช่หลับตาทำ แต่ลืมตาปฏิบัติ ได้รายละเอียดครบ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่อยู่กับสังคม และเมื่อดับรูปภพ อรูปภพได้หมดก็เป็นอรหันต์ รู้หมดชัดเจนทั้งภายนอกและภายใน เป็นผู้มีพลังแข็งแรงทางจิตวิญญาณ สามารถช่วยเหลือป้องกัน ช่วยเหลือโลกมนุษย์ เป็น  พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       เมื่ออาตมาได้สำนึกว่า พวกเราออกมานานแล้ว และพวกเราที่ฝึกฝนก็ได้อยู่ แต่คนที่ขาดการฟังธรรม ขาดการพบสัตบุรุษก็มี แต่โอกาสนี้ ที่ได้ฝึกฝนท่ามกลางผัสสะ ท่ามกลางสนามรบ ก็เลยบอกพวกเรา แต่วันนี้สังเกตไหม ว่าธรรมดาพวกเราจะฉุกละหุกมาก แต่ว่าวันนี้เราทำได้ก่อนเร่ิมต้นอีก ตั้งแต่ก่อน เก้าโมงก็เร่ิมต้นได้ นี่คือนานๆทีจะได้เร่ิมก่อนเวลาได้  แสดงว่าเป็นลางให้เห็นว่าเราจะปราบศัตรูได้ก่อนเวลา ถ้าอยู่ไปจนถึงวันที่ 14 ก.พ. 57 เป็นวันมาฆบูชา และวันวาเลนไทน์ เป็นวันแห่งความรักของทั้งเทวนิยม และอเทวนิยม ลงตัวได้ แต่อาจยังไม่จบ แต่ถ้าจบก่อน เราก็ขอเวลาทำงานพุทธาฯต่ออีกก็คงได้นะ เหมือนกับงานสัมพุทธชยันตีที่ลานพระรูปฯ จัดตลาดอาริยะซ้ำเข้าไปอีก เหตุการณ์ยังไม่เคยเป็นไปได้ก็ทำมาแล้ว

       เรื่องของศาสนา เรื่องธรรมะเป็นเรื่องใหญ่ในความสำคัญของการเป็นมนุษย์ ยำ้เป็น 2 ล้านๆครั้ง คนเกิดมาไม่ได้ธรรมะแก่จิตวิญญาณไปนั้น เป็นโมฆบุรุษ

       การเมืองที่ไม่มีธรรมะและคุณธรรมสถาปนาเข้าไปนั้นไม่ใช่การเมือง การเมืองไม่เป็นกุศลไม่มีคุณธรรม ไม่ใช่การเมือง เรียกว่าการเลว เรามาทำงานการเมืองครั้งนี้เราเอาธรรมะมาหยั่งลงในการเมืองแล้วเกิดผลดีไปตามลำดับ อาตมาก็มีมิเตอร์วัดค่าของอาตมาเอง ว่ามีผลดีผลเสียอะไร เราต้องตรวจตราการกระทำของเราว่าเราทำกรรมทุกกรรม มันเจริญหรือเสื่อม ถ้าไม่ตรวจเราก็งมงายไปเรื่อย หลงผิดว่าดี ที่แท้ได้ชั่ว เช่นเราทำงานเราได้เงินเพ่ิมนึกว่าเงินคือบุญ แต่ดีไม่ดีได้ชั่ว ได้ทุจริตเพ่ิม เราก็ผิด

       เรามาทำงานการเมือง เราเอาธรรมะมาหยั่งลง แล้วเห็นผล ว่าเอาธรรมะมาหยั่งลงแล้วทำให้การเมืองดีขึ้น อาตมาตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น อย่างน้อยก็เกิดในหมู่กลุ่มอโศกเรา เราได้รับใช้ทางกายวิญญัติ วจวิญญัติ โดยได้ผลทางมโนเราด้วย ดับกิเลสให้ได้ ประหารกิเลสไปตามลำดับ ใครทำได้จริงก็แล้วแต่ตัวใครๆ

       ไม่ใช่ว่าเราเป็นตัวการใหญ่ทำให้การเมืองดีขึ้น แต่เป็นเมืองไทยเราสั่งสมความดีงาม ธรรมะ จนสามารถสู้กับผีร้ายการเมืองที่เขาก็บ่มเพาะมานาน จนถึงยุคทักษิโณมิกส์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เห็นความแข็งของเขา แต่แข็ง แอ นะ ไม่ใช่แข็งแรง แต่ถูกลดน้ำหนักลดฤทธิ์เสื่อมลงไปมากแล้ว มาถึงวันนี้ระบอบการเมืองแบบนี้ ก็ยังมีคนที่ไม่เชื่อว่าทักษิณเป็นตัวเลวร้าย เขายังไม่ชัด ก็น่าสงสาร ส่วนต่างประเทศก็ยังมีกระแสสนับสนุนส่งเสริมช่วยเหลือผีร้ายของประชาธิปไตยอยู่ แต่เอาเถอะตอนนี้ก็ยังเจริญขึ้นมาก

 

 การเลือกตั้ง 2 กพ. 57 ส่อและสื่ออะไร?

       

       เอาแค่"การเลือกตั้ง" ครั้งคราที่รัฐบาลดื้อด้านดันทุรังกระทั่งทำให้เกิดปรากฏการณ์สังคมทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม นี่ก็เห็น"ความจริง"ได้มากมาย

       ปรากฏการณ์สถิติบุคคล ง่ายๆ เช่น คนที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง 43 ล้านคน แต่ออกมาเลือกตั้งจริงแค่ 20.5 ล้าน เท่านั้น

       ฝ่ายที่มีความรักเอียงข้างรัฐบาลรักษาการ ก็มองว่า  20.5 ล้านคนนี้แหละนับว่าเป็นจำนวนมากทีเดียวที่แสดง

ว่า ประชาชนอยากแก้ปัญหาบ้านเมืองไปตามระบบ

       แต่แท้จริงนั้น มันส่อความจริงเบื้องต้นชัดเจนยิ่ง ว่า คนมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง 43 ล้านคน ทว่าออกมาแสดงตัวจริงสดๆมาทำการเลือกตั้งนั้น แค่ 20.5 ล้านคนเท่านั้น มันก็คือ จำนวนน้อยแน่นอน ที่อยากแก้ปัญหาบ้านเมืองไปตามระบบ

       ยังมีรายละเอียด ส่อความจริงในเบื้องต้นต่อไปอีกว่า ในจำนวนผู้ไปเลือกตั้งนั้น ส่อให้เห็นชัดอีกว่า เขาไปเลือกตั้ง ไม่ใช่เพราะเห็นด้วย ว่า การเลือกตั้งตามระบบ คือทางออก หรือเป็นทางแก้ปัญหาบ้านเมือง

       แต่เพราะไปรักษาสิทธิการเลือกตั้งของตนไว้ ตามกฎหมายบังคับ นี่ (1)

       เพราะตั้งใจรักษาครรลองครองธรรมของโลก ไม่อยากผิดตามสมมุติสัจจะ นี่ (2)

       เพราะไปแสดงออกชัดๆว่า ไม่เห็นด้วยใน"การเลือกตั้ง"คราครั้งนี้ ที่ยังอยู่ในกติกาและการเมืองแบบนี้ แล้วก็เข้าไป กา No vote และ Vote no นี่ (3)

       เพราะอยากย้ำซ้ำเติมให้สะใจ เป็นพวกอารมณ์ค้าง แทนที่จะกาเบอร์ตามระเบียบ ก็เขียนด่าประจานหยาบๆคายๆต่างๆนานาสารพัด ซึ่งส่อชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วย ไม่เอาด้วยในวิธีนี้ รวมทั้งไม่เอาเลือกครั้งนี้หรือการเมืองแบบนี้ อย่างที่ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย นี่ (4)

       แม้แต่ไปฉีกบัตรเลือกตั้งกันโต้งๆ ก็มี (5)

       หรือแกล้งทำบัตรเสีย กาผิดอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อให้เป็นบัตรเสียเท่านั้น ก็มีเยอะแยะสารพัด ซึ่งส่อให้เห็นถึงการไม่เห็นด้วยในการเลือกตั้ง ไม่เอาการเลือกตั้ง (6)

        เพราะรัฐบาลและบริวาร มี...

       (1) มีความหลงตัวเอง

       (2) มีความไม่กล้ารับความจริง

       (3) มีความไม่ฉลาดที่จะรู้ความจริงตามที่เป็นจริงได้ถูกต้อง ว่า "ตนผิด"

       (4) หรือ"รู้" ว่า "ตนผิด" แต่ต้องสื่อสารออกมาให้คะแนนฝ่ายตนเองเช่นนั้น ก็เพื่อครอบงำทางความคิดของคนทั้งหลาย ให้หลงเชื่อตาม หรือหลอกคนอื่นแท้ๆ

       เอาแค่(4)ข้อก่อนแล้วกัน ถ้าจะเก็บเอาเหตุปัจจัยอื่นอีก ก็ยังมีอีก แต่แค่หลักฐานเท่านี้ ก็ชี้ชัดโต้งๆแล้วว่า

       "การเลือกตั้ง"ที่อ้างเป็นหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยแท้ๆนี้

       มันแสดงถึงความล้มเหลวของรัฐบาลอย่างสิ้นเชิง

       ยังไม่นับเอาข้อผิดพลาดบกพร่องของการเลือกตั้ง

ครั้งนี้ ที่จะต้องจัดการ ตามล้าง ตามเช็ด ตามซ่อม ตามแก้ ตามประคอง พยายาช่วยที่มันผิด มันไม่ใช่ เพื่อให้มันดูเหมือนถูกอยู่บ้าง ซึ่งแท้ๆนั้นมันล้มเหลวแล้ว ให้มันดูเหมือนยังไม่ล้มอย่างหลอกกัน พรางกันอยู่โต้งๆ

       แล้วผู้หลงตัวเอง ผู้รู้ตัวเอง ก็ยังทุจริตกรรมใส่สังคมไทยให้เลวร้ายหนักยิ่งด้วยความดื้อด้านดึงดันงมโข่งอยู่กับ"สัญชาตญาณการเมืองเดิม"ที่เป็นอยู่นี้ว่า เป็นประชาธิปไตยที่ยังดี ยังดำเนินไปได้ ยังจะทำการแก้ไขส่วนที่บกพร่องบ้างอยู่ได้ ไม่หนักหนาอะไร จะดันทุรังเอาความเป็น"สัญชาติประชาธิปไตยเน่าๆเฟะๆ"ที่เป็นมาอย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้ นี่แหละ ... ต่อไป

       ไม่มีความรู้ลึก ชัดลึกแท้เพียงพอว่า ประชาธิปไตยนั้น มี"ประชาชน"เป็นแกนหลักของหลักประกันระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ใช่"รัฐบาล"เป็นแกนหลักของหลักประกันระบอบประชาธิปไตย

        ดังนั้น "รัฐบาล"จึงหลงตนอย่างมาก ใครมาขัดขวาง"สัญชาติประชาธิปไตยตาม DNA ที่ตนมี"นี้ ไม่ได้ ถือว่า ผิด เพราะหลงยึดว่า"ประชาธิปไตยที่มีสัญชาติ"ที่ตนยึดถือนี้เป็นประชาธิปไตยแน่แท้แล้ว ใครจะมาเปลี่ยน DNA นี้หรือเปลี่ยนสัญชาตความเป็นประชาธิปไตยที่ไทยถืออยู่นี้ ที่ไทยได้พัฒนามาถึงปัจจุบันนี้แล้วขั้นนี้ ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง ผิดความควรจะเป็น ใครอย่ามาบังอาจเปลี่ยนแปลง หรือนำพาไปเป็นอื่น อย่ามาบังอาจแก้ไข อย่ามาหาความเป็น"ประชาธิปไตย"อื่นใด"ใหม่"กว่านี้ แปลกไปกว่านี้ ขึ้นมาอีก

       ใครขืนประท้วง เป็นการผิด ต้องจับเข้าคุก

       ถือว่า กบฏ

       จะต้องปราบอย่างรุนแรง อย่างไม่ยั้งมือ อย่างหาเรื่องทุกรายละเอียด ต้องจัดการล้มผู้ประท้วงให้ได้

       ขืนยังชวนมวลประชาชนมาประท้วงอย่างสงบ ไม่มีอาวุธต่อไปอีก ก็ต้องหาทางจับผิดในจุดบกพร่อง จะเล็กน้อยก็รีบตีไข่ใส่ข่าวให้เป็นเรื่องใหญ่ รุนแรงให้ได้

       โดยเฉพาะไม่มีความเข้าใจว่า ประชาชนปฏิวัติอย่างชอบธรรมถูกกฎหมาย หรือประท้วงตมรัฐธรรมนูญนี่แหละ คือหลักประกันใหญ่ยิ่งของประชาธิปไตย แสดงถึงความเป็นประชาธิปไตยของประชาชนแท้ๆที่หน้าภาคภูมิ

เรามาประท้วงอย่างสันติวิธี เป็นสิ่งไม่ผิดรธน.เลย แถมในรธน.ยังบอกให้ทำหน้าที่ด้วย

มาตรา 70  “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา 71 บอกว่าบุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ชาติตามกฎหมาย

       แต่ด้วยความไม่มีปัญญาพอที่จะรู้ว่า ประชาธิปไตยที่ถูกที่แท้นั้นคืออย่างไร ก็เลยรังเกียจการประท้วง และ

เหยียดหยันการประท้วง จึงมุ่งมั่นจะปราบปรามการประท้วง แทนที่จะสนับสนุนการประท้วง หรือคุ้มครองรักษาส่งเสริมการประท้วงของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ หรือตามครรลองครองธรรมของประชาธิปไตย ก็กลับจะยิ่งเห็นความเอาจริงเอาจัง ความเร่งรัด จัดจ้านของเจ้าหน้าที่ที่ช่วยรัฐบาลทำงานสำคัญ คือ คิดอ่านปราบปรามการประท้วง เร่งจัดการเป็นคดีสำคัญ ปราบปรามอย่างสำคัญ ป้องกันตัวฝ่ายรัฐบาลอย่างสำคัญ ลุกลี้ลุกลนสำคัญ เรื่องเล็กน้อยใดๆก็สำคัญหมดถ้าเอี่ยวกับการประท้วง

       ยกตัวอย่างเช่นคุณสาธิต เซกัล ที่เขารักประเทศไทย มาแสดงออกอย่างจริงใจ  แต่มาช่วยการประท้วง ก็ถูกเขาเอาผิด จะเนรเทศ เพราะมาเอี่ยวกับการประท้วง

       เรื่องไม่น่าจะเป็นเรื่อง ก็จะเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องไม่เข้าท่าก็จะเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องถูกก็จะสำคัญว่าผิดไปยิ่งๆขึ้น ด้วยประการฉะนี้

       อาการเช่นนี้ ภาษาไทยเรียกว่า "หาเรื่อง" "ไม่เข้าเรื่อง"

       และ"เป็นเรื่อง" จนได้

       ฉะนี้คือ "เรื่องเลวร้าย"พึงมีพึงเกิด จาก"คนดีส่วนใหญ่ดีขึ้น สังคมตื่นรู้ขึ้น"

       แต่"ผู้มีอำนาจน้อยลง" จะแย่ และแย่เป็นปฏิภาคทวี 

       นั่นคือ จะเบ่งอำนาจฝ่ายตนเองให้มากขึ้นๆ เป็น อึ่งอ่างพองลม จะพองลมให้ใหญ่ขึ้นสู้ สู้ สู้ สู้ พองขึ้นๆ มากเข้าๆ สักขีดหนึ่ง ก็ท้องแตกตาย

       ขอให้มวลมหาประชาชนยืนหยัดอยู่กับความถูกต้องความสงบสามัคคี ไม่มีอาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรงให้ได้ตลอดไปเถิด และออกมารวมตัวกันให้เห็นมวลความเป็นกลุ่มเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นเถิด ...ชนะใส งดงามยิ่ง บังเกิดแน่               

       คนตอนนี้ยังไม่ค่อยกล้าฝ่ากระแสโลกธรรมออกมาร่วมกันทำสิ่งดี แต่ก็ค่อยๆกล้าออกมามากแล้ว แต่ว่าตอนนี้ ที่กำนันสุเทพเขาเดินหาเงินช่วยคนจนช่วยชาวนา แล้วประชาชนก็กล้าออกมาช่วยกัน เอาเงินแม้เล็กแม้น้อยก็ออกมาช่วยกัน วันแรกก็ได้ เก้าล้านกว่าแล้ว อาตมามั่นใจว่าวันจันทร์นี้น่าจะได้ถึง 10 ล้านบาทนะ กำนันสุเทพว่า ตอนนี้ชาวนามีเงินสำหรับฟ้องร้องแล้ว เป็นองค์ประกอบที่จะทำให้รัฐบาลนี้เป็นอึ่งอ่างพองลงเบ่งขี้แตกตายเลย

       นี่คือสัจธรรม ความถูกต้องกับความผิดของมนุษยชาติ

       งานนี้เป็นงาน พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ คำว่า พระหรือวร แปลว่าผู้ประเสริฐ ทางสัจธรรมแท้ พระแท้ๆคืออาริยบุคคลคือ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ แต่ทุกวันนี้มิจฉาทิฏฐิ หลอกว่า คนไม่ใช่อาริยะก็หลงว่าเป็นอาริยะ

       พุทธบริษัท มี 4 คือ อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี แม้อาตมาไม่มีภิกษุณี แต่มีสิกขมาตุ เป็นพยัญชนะที่เรียกว่าสิกขมาตุ คือนักศึกษาผู้หญิง คุณธรรมนั้นก็แล้วแต่เขามี อาตมาไม่ดึงดันให้เกิดภิกษุณี มันยาก อาตมาไม่ดันทำส่ิงเปลือก แล้วผู้ที่เข้าใจก็มาเข้าคิวรอเป็นสิกขมาตุ ตายไปก็หลายคน หนีไปแต่งงานก็หลายคน

       ผู้ลงทะเบียนเช้านี้มีเพียงแค่ 289 คน แต่ว่าทุกทีเราทำมาก็มีคนเป็นจำนวนพัน มาเข้าร่วม ถึง สองพันกว่าเป็นตัวเลขสูงสุด

       เราเคยทำมาท่ามกลางสนามรบได้ เราทำอย่างมีญาณปัญญา มีวิชชา มีความรู้ หรือจิตใจเราที่มีตัวรู้ และอาจมีตัวโง่ คืออวิชชาก็ได้ แต่ที่ควรคือต้องรู้ว่าส่ิงดีงาม กับสิ่งไม่ดีงามคืออะไร ศาสนาพุทธต้องมีญาณรู้นามธรรม

       นามธรรมที่เรียกว่านามกาย คำว่า กาย คำนี้เป็นคำสำคัญ

       รูปคือ ส่ิงที่ถูกรู้โดยญาณของเรา ตากระทบรูป หูกระทบเสียง...แต่ละคนก็รู้เหมือนกันหมด ส่ิงที่ถูกรู้อย่างนี้เป็นสามัญ แต่คนที่วิสามัญ สามารถรู้ภายในได้ เพราะสิ่งภายนอกที่เรารู้กันได้ คนก็รู้กันได้เหมือนกัน แต่พุทธให้ตามรู้การกระทบสัมผัสภายนอก แล้วตามเข้าไปรู้ภายใน ซึ่งพระพุทธเจ้าแบ่งภายนอกเป็นดินน้ำไฟลม เป็นธาตุ 4 ทีเป็นอุตุนิยาม ไม่มีธาตุวิญญาณในนั้น เป็นฟิสิกส์ เป็นสสารและพลังงาน ไม่มีวิญญาณ

       พอเรากระทบภายนอกแล้วก็เกิดเป็นเวทนาภายใน เราต้องตามรู้อันนี้ ตามรู้อย่างมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวแรกคือกาย จากสัมผัสนอกไปสู่ใน ย้ำอีกทีว่า กายต้องมีนามธรรม ถ้ามีแต่มหาภูตรูปก็คือ รูปรูป ไม่มีการรู้ตัวของมันเอง ไม่มีการกำหนด

       ในรูป 28 นั้นมี มหาภูตรูป 4 แล้วมีอุปาทายรูปอีก 24 ที่ต่อเนื่องจากมหาภูตรูป เรียกว่า นามกาย หรือ

นามรูป ซึ่งจะรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ

อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป 24
. ปสาทรูป 5 (รูปที่เป็นประสาทสำหรับรับอารมณ์)
1.
จักขุ (ตา - the eye)
2.
โสต (หู - the ear)
3.
ฆาน (จมูก - the nose)
4.
ชิวหา (ลิ้น - the tongue)
5.
กาย (กาย - the body)
. โคจรรูป หรือ วิสัยรูป 5 (รูปที่เป็นอารมณ์หรือแดนรับรู้ของอินทรีย์ )
6.
รูปะ (รูป - form)
7.
สัททะ (เสียง - sound)
8.
คันธะ (กลิ่น - smell)
9.
รสะ (รส - taste)
0.
โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย - ) ข้อนี้ไม่นับ

. ภาวรูป 2 (รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ )
10.
อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ (ความเป็นหญิง)
11.
ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ (ความเป็นชาย)
. หทยรูป 1 )

. ชีวิตรูป 1 (รูปที่เป็นชีวิต )
13.
ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์คือชีวิต )

. อาหารรูป 1 (รูปคืออาหาร - material quality of nutrition)
14.
กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าว, อาหารที่กิน : edible food; nutriment)
. ปริจเฉทรูป 1
15. อากาสธาตุ
. วิญญัติรูป 2 (รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย)
16.
กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย : bodily intimation; gesture)
17.
วจีวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา : verbal intimation; speech)
. วิการรูป 5 (รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลกให้พิเศษได้ )
18. (
รูปัสส) ลหุตา (ความเบา - lightness; agility)
19. (
รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนสลวย : elasticity; malleability)
20. (
รูปัสส) กัมมัญญตา (ความควรแก่การงาน, ใช้การได้ : adaptability; wilderness)
0.
วิญญัติรูป 2 ไม่นับเพราะซ้ำในข้อ ญ.
. ลักขณรูป 4 (รูปคือลักษณะหรืออาการเป็นเครื่องกำหนด)
21. (
รูปัสส) อุปจย (ความก่อตัวหรือเติบขึ้น : growth; integration) คือเจริญ
22. (รูปัสส) สันตติ (ความสืบต่อ : continuum ) ถ้าขาดสันตติคือตาย
23. (รูปัสส) ชรตา (ความทรุดโทรม : decay) ความเสื่อม
24. (รูปัสส) อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย : impermanence)

            เราใช้ญาณในการอ่านรู้ลักษณะของอุปาทายรูป ส่ิงที่มีอยู่คือสิ่งไม่เที่ยงทั้งสิ้น ส่วนสิ่งที่ไม่มีคือมีสิ่งเดียวเท่านั้น คือนิพพาน วิทยาศาสตร์ว่า สสารและพลังงานไม่มีสูญหาย แต่มีเปลี่ยนสถานะและเปลี่ยนที่อยู่ นี่คือสสาร แต่พลังงานจิตนั้นมีความสูญความไ่ม่่มีได้ ในจักรวาลนี้ มีแต่นิพพานเท่านั้นที่จะมีความไม่มีได้สูงสุด เพราะมีปรินิพพานที่เป็นความสูญเด็ดขาด นิรันดร แต่พลังงานและสสารนั้นไม่นิรันดร มีแต่นามธรรมเท่านั้นที่มีนิพพาน และปรินิพพานได้

 

            จากนั้นพ่อครูได้พาปฏิญาณ ศีล 8

            คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล

             [พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ  3 จบ ก่อน]

        ณ บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์นี้ เป็นครั้งที่ 38         ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญธรรม ประพฤติตนอยู่ในศีล 8 อันได้แก่

ปาณาติปาตา เวรมณี จะขอตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายรุนแรง  เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม

อทินาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เชิงเอาเปรียบ  จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ความเห็นแก่ตัว

อพรหมจริยา เวรมณี จะขอตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม

มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ

เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะ เป็นธรรม

สุราเมรยมัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา

มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม 8 อีก และจะเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพทั้งปวง

วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ  เว้นขาดจากอาหารและเครื่องใช้ที่

ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายามเป็นผู้มักน้อยและสันโดษ

นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้ของหอม เครื่องตกแต่งพอกทาเครื่องประดับ เว้นจากฐานะแห่งการแต่งงามประดิษฐ์ประดอย

อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรักของใหญ่ เว้นขาดจาการสะสมของใหญ่ ที่สุดเว้นขาดการหลงติดความใหญ่

 

ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล  ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ตามธรรมสมควรแก่ธรรม             ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ ได้นำพาช่วยเหลือ เกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ

        ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ตามนี้. สาธุ!


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:04:40 )

570210

รายละเอียด

570210_ทำวัตรเช้าพุทธาฯที่ผ่านฟ้า โดยพ่อครู เรื่อง ปฏิสัมพัทธ์ในวิชชาจรณสัมปันโน

       พ่อครูได้นำ หนังสือรู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ มาอธิบาย

       และได้กล่าวถึง จรณะ 15

1.    ถึงพร้อมด้วยศีล. .          09. ปรารภความเพียร   

2.   คุ้มครองทวารอินทรีย์            10. สติอันเป็นอาริยะ

3.   ประมาณในโภชนา        11. ปัญญา   .

4.    ประกอบความตื่น           12. ปฐมฌาน .

5.    ศรัทธา (เชื่อมั่น) . .        13. ทุติยฌาน

6.    หิริ (ละอายต่อบาป) .            14. ตติยฌาน

7.   โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป).  15. จตุตถฌาน

8.   แทงตลอดในพหูสูต .     (ล.13/34)

 

สัมมาทิฏฐิ 6 ที่เป็นอนาสวะ .  ของ พระอาริยะ  (ทิฐิรอบในที่พัฒนามีกำลังเข้าโลกุตระมากแล้ว) 

1.    ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา) .

2.   ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง)

3.   ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง) . . เป็นพลังงาน static แฝง

4.    ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค) .

5.    ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น .

6.    องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) เป็นพลังงาน Dynamic แฝง

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 258)

 ซึ่งการปฏิบัติต้องมีสติปัฏฐาน 4 และมี อิทธิบาท 4

1.    ฉันทะ     (พอใจรักใคร่ในธรรม  ในเป้าหมาย)

2.   วิริยะ       (พากเพียรลดละกิเลส  เพียรเอาชนะกิเลส)

3.   จิตตะ      (เอาใจทุ่มเทโถมเข้าใส่ ฝักใฝ่ไม่ท้อถอย)

4.    วิมังสา     (หมั่นตริตรองพิจารณาทบทวนธรรมเสมอๆ) 

 

       จะเกิดจากความเชื่อ และกระทำด้วยความเพียร วิริยะ และจะเจริญสติ สัมปชัญญะ สัมปชานะต่างๆ

1.    ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา) .

2.   ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง)

3.   ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง) .  เป็นพลังงาน static แฝง

4.    ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค) .

5.    ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น .

6.    องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) เป็นพลังงาน Dynamic แฝง

 

องค์แห่งฌาน

1.    ปฐมฌาน  (มีวิตก  มีวิจาร. มีปีติ มีสุข มีเอกัคตารมณ์) . . .

2.   ทุติยฌาน  (ไม่มีวิตก-ไม่มีวิจาร  มีแต่ปีติและสุขอัน เกิดจากจิตคลายกิเลสลง จนตั้งมั่นมีสมาธิ)

3.   ตติยฌาน  (มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย.. เพราะปีติสิ้นไป)

4.    จตุตถฌาน (ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข  เพราะละสุข  ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้   มีอุเบกขาเป็นฐานให้สติบริสุทธิ์ จิตเป็นมัชฌิมา เป็นกลางอยู่)

 

       อุเบกขานั้นไม่ได้เกิดเพราะธรรมชาติ แต่เราทำด้วย ปหาน

1.    วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า)

2.   ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.   สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.    ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.    นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

(พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

 

       ไม่ใช่ด้วยการกดข่ม แต่ด้วยปัญญา ทำอย่างมีองค์มรรค

1.    สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็นประธานไปทุกมรรค

2.   สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) . เป็นประธานปฏิบัติ

3.   สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ .

4.    สัมมากัมมันตะ (ทำการงานชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ

5.    สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ .

6.    สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) เป็นตัวเร่งห้อมล้อม

7.   สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) เป็นดวงตาห้อมล้อม .

8.   สัมมาสมาธิ (สะสมลงเป็นจิตใจที่ตั้งมั่น) เป็นผล

 

เราลดมิจฉาอาชีวะ 5

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง .

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยงทายไม่ตรงแท้

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา)

 

เราเลือกเฟ้น มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ จัดการกับจิตที่เป็นตัวเหตุใหญ่ เป็นต้นตอของทุกอย่างของชีวะ

ทำอย่างมี สัมมาทิฏฐิ 10

1.    ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . .

2.   ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) คือการปฏิบัติทำให้จิตเจริญ ส่วนเทวนิยม อธิบายจิตวิญญาณไปบูชาพระเจ้า เป็นวิธีการปฏิบัติ เราทำที่จิตของเราเจริญไปเป็นพระเจ้า เจริญเป็นเทวดา อุบัติเทพ เป็นเทวะที่ไม่ใช้เสวยสุขเป็นสมมุติเทพ

3.   สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.    ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  . 

(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) . .

5.    โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

6.    โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ .

 

เราทำจิตใจให้เกิดเทวดาที่เป็นอุบัติเทพ กิเลสลดละจางคลาย ต่างกับเทวดาสมมุติเทพที่เป็นเทวดาที่เกิดจากการลำเรอกิเลส ปฏิบัติฌานพุทธ ไม่ใช้ไปนั่งหลับตาทำ แต่ทำอย่างลืมตา ตาม มหาจัตตารีสกสูตร

 

เราปฏิบัติจรณะ 15 พอเกิดการรู้จิตเราจะ มีหิริโอตตัปปะ

หิริคือละอายต่อบาป ส่วนโอตัปปะ คือมีกำลังขึ้น เป็นความกลัวต่อปาป มันไม่เอาในส่ิงไม่ดีไม่งาม เพราะมีกำลังของปัญญาสูง ไม่ทำสิ่งชั่วเลว มันรู้กิเลสตัวชั่วก็ไม่เอา เป็นธรรมชาติที่ถูกต้อง จะเกิดเป็นพหูสูตร ซึ่งมีอยู่ในสัทธาสูตร

1.    ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.   ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง 15)

3.   พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น) .

4.    เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง) ที่บรรยายได้เพราะปฏิบัติมาก่อน ทำได้แล้ว

5.    เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น) .

6.    แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7.   ทรงวินัย

8.   อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา) . .

9.   ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10.  ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

       เมื่อเป็นพหูสูตร ก็เกิดเป็น ตามจรณะ.....

1.    วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง) . 

2.   มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้) .

3.  อิทธิวิธญาณ (ความเก่งหลายอย่างในการที่จิตมีอานุภาพ เพราะปราศจากกิเลสแล้ว)  ดูรายละเอียดใน พตปฎ.

4.    ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)

 

จะเรียนรู้วิธีกำจัดกิเลส ตามหปาน 5

1.    วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า)

2.   ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.   สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.    ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.    นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

       กิเลสอยู่กับเรา เราสัมผัสมันก็ตายไปต่อหน้าเลย โลกียะ โลกเป็นกิเลสทั้งนั้น ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่เขาหลงเป็นกิเลสทั้งนั้น หนูไม่รู้อยู่ เต๊ะท่าหลงในโลกธรรมอยู่นี่เป็นส่ิงแย่ทั้งนั้น เราก็มาห้ามเขาไม่ให้ทำชั่ว ให้เขารู้ตัว รู้ทุจริตอกุศล ให้เขามาสนใจปฏิบัติในส่ิงที่อธิบายไป ก็จะเจริญอย่างที่พวกเราทำ

 

       ก่อนตายอาตมาต้องมีอรหันต์เกิด 9 องค์ให้ได้ ตอนนี้มีผู้หญิงก่อน จริงๆพวกเรามีเจโตแล้ว คือจิตเป็นแล้ว แต่เรายังไม่มีปัญญารู้ พระพุทธเจ้าว่า คนที่ไม่สามารถมีปัญญารู้แจ้งอย่างปัญญานุสารีย์เก่งในการรู้พยัญชนะ ส่วนสายเจโต หรือศรัทธาจะไม่ค่อยรู้ตัวไม่เก่งรู้พยัญชนะแต่ทำได้

       มีสองสาย สาย Prophecy คือสายศรัทธา แต่สายปัญญาคือ Philosophy เจโตจะช้ากว่าปัญญา จิตจะเกิดเจโตวิมุติก่อน ปัญญาวิมุติจะเกิดทีหลัง แต่สายปัญญาจะเกิดปัญญาวิมุติ รู้แจ้งได้เร็ว 

กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย) วจีวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา)

รู้ในวิการรูป และลักขณรูปอีก 8

 

เมื่อปฏิบัติจรณะ 15 จะเกิด วิชชา 9

1.วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง) . 

2.มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้) .

3. อิทธิวิธญาณ (ความเก่งหลายอย่างในการที่จิตมีอานุภาพ เพราะปราศจากกิเลสแล้ว)

4. ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)

5. เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน) &

6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน  มารู้อาริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)

7. จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรือสัตว์อริยะ) .

8. อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)

 

ทำได้อย่างมีสภาวะจริงในวิโมกข์ 8

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ)

2. *ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) . (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อท่านแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

พตปฎ. ล.10  ข.66 /  ล.23  ข.163

 

       รูปรูป คือหมาภูตรูปภายนอก เรารับรู้ทางทวาร แล้วเข้าไปภายใน เป็นอารมณ์ แยกแยะในเจโตปริยญาณ 16 คือการกำหนดรู้ในจิตสัตว์อื่น(รู้สัตว์ชั้นสูงหรือต่ำในจิตตน (ปรสัตตานัง) เป็นปรมัตถ์) เรารู้ในสัตว์ที่แต่ก่อนหลงในสัตว์ที่เป็นสมมุติเทพ แต่ตอนนี้เราจะทำให้เกิดเป็นอุบัติเทพ มีความเก่งในการทำให้เกิดโอปปาติกโยนิ เกิดเป็นอุบัติเทพ เกิดเป็นเทวดาโดยการลดกิเลส การเป็นเทวดาโดยเสพกามคุณ เป็นความสุขแบบถูกต้มมาก่อนทั้งนั้น

       1.    สราคจิต  (จิตมีราคะ)

       2.   วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

       3.   สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

       4.    วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

       5.    สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

       6.    วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

       7.   สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) สายเจโต ทำได้แต่ยังคลี่ไม่ออก รู้ไม่ละเอียด แยกไม่ออก

       8.   วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) สายปัญญา จับได้แล้วฆ่าได้ แต่มันหลุดแล้วก็ว่ิง กระจาย ปัญญารู้ได้ แต่จับไม่ทัน

        ฌานของฤาษี เหมือนแก้วน้ำมีฝุ่นในน้ำ ส่วนพุทธจะกวนน้ำให้ฝุ่นกระจายไป ส่วนทางนั่งสมาธิจะกดลงไปเป็นก้อนๆ กดข่มไว้ นึกว่าตนจิตใส แต่ที่จริงนอนก้้นอยู่ ส่วนพุทธนั้นกวนตั้งแต่ศีล 5 ให้ฟุ้งขึ้นมาแล้วจับฝุ่นออก แล้วเพ่ิมเป็นศีล 8 ก็จับออกอีก จนมาศีล 10 ก็จับออกอีก เป็นศีล 43 ก็จับออกอีก จนไม่มีฝุ่น จากนั้นกวนให้ตายก็ไม่มีฝุ่น แต่ว่าของสายฤาษีจะไม่ได้เอาฝุ่นออก

 

ปฏิบัติในสังกัปปะ 7 ในฝ่ายปัญญา ฝ่ายไตร่ตรอง-ริเริ่มเคลื่อนไหว (dynamic ขั้วลบ). . ที่สัมปทาแล้ว

 

1.ความตรึก-แรกเริ่มนึกคิด (ตักกะ) .

2.ความตรอง-คิดวิตกยิ่งขึ้น  (วิตักกะ) .

3. ความดำริ-มีความคิดหวัง  (สังกัปปะ)

 

ส่วนพลังงานทาง เจโต มีฝ่ายตั้งมั่น (static ขั้ว+ ที่สมบูรณ์) เป็นแกนกำลังให้ขับเคลื่อน

4. ความแน่วแน่     (อัปปนา) . .

5. ความแนบแน่น   (พยัปปนา)

6. ความปักใจมั่น    (เจตโส อภินิโรปนา) .

 

7. วจีสังขารเตรียมจะพูด (วจีสังขาโร)

 

วิ คือทำส่ิงที่มีให้วิเศษ ทำส่ิงไม่มีให้ไม่มีได้อย่างวิเศษด้วย ไปดูในพระไตรฯ ล.16 ข้อ 47 เราเอาอภิธรรมมาปฏิบัติให้เข้าถึงสภาวะได้ไม่ตีทิ้ง

 

คนที่ไม่ประสีประสาคือพวก อีเดียด จะไม่รู้ในพวกที่ Genius อย่าไปดูถูกคน ใครที่สามารถเอาความรู้จากคนบ้า คนโง่ เด็กได้ คนนั้นได้กำไร อย่าไปดูถูกคนบ้า คนโง่ เด็ก เราต้องเอาประโยชน์จากสิ่งนี้ เราคิดว่า คนบ้าก็มีอะไรน่าคิด คนโง่ก็มีอะไรน่าศึกษา เราไม่มีจริตไปดูถูก คนบ้า คนโง่ เด็ก คนนี้ไม่ถือดีถือตัวเป็นอัตตามานะ จะเป็นประโยชน์แก่ตน

 

       วันนี้พูดหลากหลาย ผสมผสาน อธิบายไปแล้ว พวกเราที่ฟังอยู่ที่นี่หรืออยู่ทางบ้านก็มีปัญญา ก็อาจพอเข้าใจได้หรือเข้าใจดีก็เป็นได้ ที่อยู่ที่นี่เช็คแล้วว่าพอฟังได้มีเยอะ รู้ดีมีน้อยกว่า ตอบอย่างจริงใจตนเอง เวลาอาตมาแนะนำ เป็นเรื่องวิชาการ เราไม่ได้มานั่งอวดดี ผู้รู้จริงก็สอนจริง เราก็ตอบจริงไม่เสียหาย เราก็ดูตัวเราว่าอยากอวดดีเกินไปไหม เขาจะหมั่นไส้ ถึงเวลาวาระก็ตอบตามจริง ครูบาอาจารย์ถาม แล้วเราตอบจริงก็ทำให้ครูรู้ว่าได้ผลไหม ก็ดี

 

       เราได้ปฏิบัติธรรมกันมาก็ได้ผลจิรง จนมาทำประโยชน์ต่อมหาชน และเราก็ทำประโยชน์ตนเป็นอุพยถะ เป็นอุภโตภาค เราต้องรู้จักประโยชน์ตนว่าได้หรือไม่ ส่วนประโยชน์ท่านไม่ต้องไปจำไปทำบัญชี แล้วไปทวงบุญคุณ อย่าทำอย่าคิด

       อาตมาพูดถึงหลักสูตร ในพระไตรฯล.9 ท่านสอนในจรณะ 15

1.    ถึงพร้อมด้วยศีล. .   09. ปรารภความเพียร                (อารัทธวิริโย)

2.   คุ้มครองทวารอินทรีย์     10. สติอันเป็นอาริยะ . .

3.   ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา   .

4.    ประกอบความตื่น    12. ปฐมฌาน .

5.    ศรัทธา (เชื่อมั่น) . . 13. ทุติยฌาน

6.    หิริ (ละอายต่อบาป) .      14. ตติยฌาน

7.   โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป).  15. จตุตถฌาน

8.   แทงตลอดในพหูสูต .     (ล.13/34)

 

       ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นสัมพันธ์กันอย่างไร ไม่ใช่ไปตัดทำเป็นส่วนๆ หรือแม้แต่ ทาน ศีล ภาวนา เราก็จะรู้ว่ามันต่างกันอย่างไร เกี่ยวข้องกันอย่างไร ก็จะใช้พยัญชนะมาอธิบายสภาวธรรม

 

       ขออภัยผู้ฟังอาจหมั่นไส้ที่ต้องพูดถึงชาวอโศกที่ได้มรรคผลมา ที่พูดนี้ไม่ได้มังกุ ไม่มีสาเฐยจิต แต่พูดตรง จริงให้ฟัง เราปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอานุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ เรามาสู้ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข สุขในกามในอัตตา เราก็ลดได้จริง เราทำงานอย่างสัมมากัมมันตะ มาช่วยเหลือสังคมเราก็มีอาชีพนี้ด้วย อาชีพไม่ใช่แค่เลี้ยงตนอย่างเดียว เรามีคุณธรรมมีสาระ มีกตัญญูกตวเที รู้จักกตัญญูต่อสังคม มวลมหาชน มารับใช้ คนไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เชื่ออาตมาก็พาทำ หลายคนบอกว่า พามายากลำบากทรมาน เมื่อไหร่จะหยุด ใหม่ๆตอนแรกเราอาจรู้สึก แต่พอทำไปๆก็จะมีปัญญา ว่าเราก็มีคุณค่า ประโยชน์ ไม่ใช่ประโยชน์บำเรอตนที่เราบ้ามานาน แต่ตอนนี้เราไม่บ้า เราเอาแรงงาน แรงสมอง ทุนรอน มาช่วยกัน อาตมาก็ขอบคุณพวกเรามาก หลายคนทำหน้าที่รับผิดชอบ ยิ่งงานนี้เป็นงานสื่อสาร เด็กก็ทำงานในมุมนั้นมุมนี้ในสื่อสาร อีกหน่อยพวกเราฟังธรรม แล้วต่อไปก็ไปทำอาหารทำหลายอ่าง ไม่ได้จ้าง แต่มีคุณค่าต่อสังคม ไปรับใช้สังคม โดยเราไม่คิดค่าขอคืน เราทำโดยสุจริต ทำไปเพื่อเกื้อกูลสังคม ช่วยกันบอก อันไหนไม่ควรก็บอก ส่ิงเหล่านี้ แม้มีจำนวนเท่านี้เราได้ร่วมกับคนอื่น ก็ได้สาต่อเป็นลูกโซ่ เราเชื่อมกับ กปท. กปปส. ที่มาต่อต้าน เปลี่ยนรัฐบาล ปฏิวัติให้ได้ เรามีหน้าที่ของเรา ส่วนกำนันสุเทพก็ทำอีกหน้าที่ เขาเป็นหมู่ใหญ่ คนชอบจริตอย่างนั้นเยอะ จริตอย่างคปท.ก็อย่างหนึ่ง จริตอย่างกำนันสุเทพก็เยอะ รวมทั้่งดารา ทั้งชาวนา ทั้งอื่นๆ เป็นมวลใหญ่เราก็ตีกลองเชียร์ ส่วนคปท.ก็เป็นตัวปฏิกิริยา เสริมกันไป เป็นสามเส้า ทำงานไป ส่วนหลวงปู่พุทธอิสระก็ลักษณะเดียวกับคปท. มันมีสามเส้าทำงานร่วมกันอยู่เป็นพลังที่ดี

       งานนี้ก็อดทนกันหน่อย ตรวจตามปัญญาอาตมาก็ว่าได้ผลสูง ไม่ได้เกิดได้ง่าย ที่จะมีคนมารวมกันทั้งประเทศ มวลมีเป็นล้าน เราทำอย่างสบายใจ คนจะดูถูกหรือมองไม่เห็นก็ไม่เป็นไร พวกเราปิดทองลำไส้พระ ใครจะปิดทองส่วนไหนก็ช่วยกันทำไป

       ส่ิงเกิดสิ่งเป็นนี้ยากที่จะเข้าใจ อาตมาใช้ มหาปเทส 4 และสัปปุริสธรรม 7 เป็นส่ิงประมาณ ตอนนี้ก็รู้สึกว่าด่าอาตมาน้อยลง มีคนกล้าวิจารณ์อาตมาน้อยลง ส่วนค่ามีคนกล้าวิจัยอาตมามีมากขึ้น ก็เพราะพวกเราทำแสดงความจริงให้คนเห็นเป็นปรากฎการณ์ อ้างอิงได้ยืนยันได้ เป็นของจริงที่มีจริงในโลก

       อาริยบุคคลแบบพวกเราเป็นแบบนี้ ส่วนสำนักไหนก็ผลิตอาริยบุคคลตามแบบเขา ผลิตโสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ของเขา ในความรู้ที่ไม่เหมือนกันก็เลือกเอา ให้ฟังความสองข้าง แล้วเลือกเอา อันไหนเป็นธรรมวาทีก็เลือกเอา อันไหนอธรรมวาทีก็ไม่เลือก ผู้เลือกถูกมีปัญญาแหลมลึกก็ได้ แต่สิ่งนี้ในประเทศไทยเกิดแล้วอาตมามั่นใจว่า พวกเราจะมี สุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส แน่แท้ เป็นชมพูทวีปที่แท้จริง

       ผู้จะเป็นอาริยบุคคลมีจริง พวกเราอย่าหลงตน หยิ่งผยอง ทำได้ในสิ่งที่เรามั่นใจ ไม่ต้องไปกร่าง ทำอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ งานเรามีมากลูกรัก ตัวเราเล็กนักสุดเอ่ย งานเราล้นมืออย่างเคย เจ้าจักเฉย แชเชือนได้อย่างไร?

       อาตมาก็อายุปานนี้แล้ว ใช้อิทธิบาทรักษาร่างกายได้ ตอนนี้อายุ 80 แล้วสุขภาพก็พอใช้ได้ พอไป ก็อายุไม่น้อย แต่รู้สึกว่ายังแข็งแรง ติดตามละกัน

       ชีวิตไม่มีอะไรดีกว่าธรรม โดยเฉพาะอาริยะรรม อย่าเป็นโมฆบุรุษ อย่าไปหลงภาพ อย่างที่เขาหลง ไปคอรัปชั่น ใครจะลำบากอย่างไรไม่สน ก็จะเอามาให้แก่ตัว หลงตัวจะสร้างประเทศชาติให้เจริญ ซึ่งตัวเองก็ยังเอาไม่รอด ทำเดือดร้อนแก่สังคม เอาชั่วเอาบาปใส่ครอบครัว ใส่สังคมก็ไม่รู้ตัว เบียดเบียนมนุษยชาติก็ไม่รู้ ไม่รู้จะหอบหวงไปอีกเท่าไหร่ ยังไม่รู้ว่าลูก 3​คนนี้ ถูกพ่อครอบงำความคิด แล้วจะเป็นอย่างไร ยังไม่เห็นลีลาจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม เท่าที่พฤติกรรมเขาแสดงออกมากายวิญญัติ วจีวิญญัติ ยังไม่งอกเงย น่าสงสาร ถูกครอบงำ น่าสงสาร แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็ต้องทำให้เขาหยุด ตนเองหยุด แม้ถูกต้านกั้นก็ยังมีทรัพย์มาก ถ้าใช้เป็นก็พาเจริญได้ ถ้าใช้ไม่เป็นก็เสื่อม พาเสื่อม....


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:07:53 )

570211

รายละเอียด

570211_ทวช.พุทธาฯที่ผ่านฟ้าฯ โดยพ่อครู เรื่อง สัญญาที่สัมมาต้องรู้ฌาน รู้ภพ

       เรามาต่อกันด้วยธรรมะ ...ชีวิตของทุกคน ถ้าไม่สำนึกจริงว่า เรื่องธรรมะเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าความรับรู้สำนึกไม่ชัดเจน ถ้าชีวิตเกิดมาไม่ได้โลกุตรธรรม ...หมายความว่า จิตเราไม่เกิด ไม่หยั่งลงกระแส ไม่โสตาปันนะ จิตยังเป็นโลกียะ ซึ่งคนละเรื่องเลย

       ชีวิตโลกียะ หลงสุข หลงลาภ ยศ สรรเสริญ จริงๆก็หลงสุข ที่หยิบมาพูดคือ หนังสือรู้คนขังสุข ไปหลงว่า ได้อารมณ์สุข ที่จะได้มาจาก เสพกาม พพจ.ให้เรียนรู้ส่ิงอาศัย 4 อย่าง

1.   กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2.   ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3.   มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

4.   วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ  คือ   กำหนดรู้จักแยกแยะนาม-รูป   แล้วกำจัดเฉพาะอาสวะให้จบสิ้น) .

 

สิ่งที่ให้วิญญาณอาศัยสำคัญคือ อาหาร

       คนโมหะหลงก็คิดว่านี้น่ามีน่าเป็น ตั้งแต่เป็นเดรัจฉาน เซลล์เดียว ก็ไม่ยึดมาก แต่พอมีหลายเซลล์ก็ปรุงแต่งว่า อันนี้น่าได้น่ามีน่าเป็น จนมาเป็นคนนี่ก็ติดยึดมากเลย

       คนไปได้สิ่งใด เป็นวัตถุ ถ้าได้ ดม ได้สัมผัส ก็รู้สึกเป็นอารมณ์สุข ชื่นชอบ มีอัสสาทะ เพลิดเพลิน มีอิฏฐารมย์ และหลงว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น เป็นสุขโลกีย์ เราต้องพิจารณาให้เห็นว่า เป็นสุขขัลลิกะ เป็นความเท็จ เป็นประเด็นที่ต้องเข้าใจให้สำคัญเลย เช่น ไปหลงติดยึดว่า สิ่งนั้นน่าได้สัมผัส เมื่อจิตต้องการ แล้วได้สัมผัสจริง

       เราได้ของสิ่งหนึ่ง แล้วเราได้สัมผัส ได้แตะต้อง ได้รับรส เสียดสี เย็น ร้อน อ่อนแข็ง จะเกิดอารมณ์ชื่นใจ ที่ได้สัมผัส เหมือนคนหลงรูป ก็จะมองสัมผัส แล้วก็ชื่นใจ เป็นอารมณ์สุข ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชาย ชอบผู้หญิงที่เห็นแล้ว จะชอบส่วนนั้นส่วนนี้อย่างไร แล้วมีอาการใคร่อยาก เป็นสุขที่ได้สัมผัสทางตา ทางหู ได้กลิ่น ได้รับรส ได้สัมผัสโผฏฐัพพะ เป็นสิ่งที่ติดยึด ตั้งแต่เดรัจฉาน จนถึงคน ที่จริงไม่น่าติดยึด แต่ก็หลอกกันจนติด เป็นความจัดจ้านในอบายมุข

       ยกตัวอย่าง ผู้หญิงผู้ชาย เมื่อเทิดทูลก็รักมากชื่นชมมาก ฝ่าตีนก็จูบได้ เกิดอิฏฐารมย์ เป็นจริง พอดีมีคนค้นในพระไตร[3] ถ้าท่านพลาดโสดาปัตติมรรค คือ ความแน่นอนแห่งสัทธรรมในศาสนานี้ ท่านจะต้องเดือดร้อนใจในภายหลังสิ้นกาลนาน ดุจพาณิชชื่อเสรีวะผู้นี้

              เมื่อไม่ได้เรียนรู้วิชชา มีอวิชชา ก็หลงใหลสิ่งไม่ควรติดยึดมายึดติดในอัตตภาพ

       สิ่งที่ล้างยากที่สุดคือ ความติดยึดในสัญญา ทั้งที่ควรปล่อยได้ไม่ยึด คือความจำ การสัมผัสเกิดเวทนา ส่วนมันเกิดสัญญานั้นไม่ใช่ผัสสะ เป็นธรรมารมย์ เป็นมนายตนะ กับธรรมายตนะ ผู้หมดกาม คือหมดผัสสะทางภายนอก ผัสสะแล้วอารมณ์ โสมนัสหรือโทมนัสไม่มี สัมผัสอยู่ก็มีไตรลักษณ์ธรรมดา ส่วนปัจจัตลักษณ์มีของตน เป็นปัตจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ

       สามัญลักษณ์คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ก็เป็นสามัญ แต่ไม่เกิด รู้จนเป็นวิญญูชน ที่มีความรู้ยิ่ง อย่างเป็นโสดาปัตติมรรค เรายังมีอัสสาทะ เป็นเราเป็นของเราอยู่

       อย่างเงินของเรา ที่ดิน คนของเรา สัตว์ของเรา เป็นวัตถุ มันเป็นตัวข้างนอก เป็นสภาพเท่านั้น เวทนาเป็นเรา เราก็ยังเสพติด มีอัสสาทะ อย่างเวทนาต้องมีผัสสะ แล้วเกิดเวทนา เมื่อไม่ได้ผัสสะทางทวาร 5 แล้วคุณระลึกถึงสิ่งนั้นแล้วเป็นสุข นั่นคือ สัญญา เป็นเรา เป็นของเรา ใช้สัญญามาปรุงแต่งในใจ อันนี้พพจ.ว่า ถ้าเราไม่มีสุขทุกข์ในทวารนอกทั้ง 5 ที่สัมผัสแล้ว ก็จะเหลือแต่ในใจ เป็นภูมิอนาคามี มีวิปัสสนาญาณ 9

4.    (1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิด- ความเสื่อมไปของกิเลส ของชาติ เวทนาสุขทุกข์ต่างๆ

5.    (2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย .

6.    (3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร  เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป 

7.   (4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ . ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย

8.   (5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส  เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย . .

9.   (6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น .(อตัมมยตา)

10.  (7)ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึง .  การปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้  ก็ทำซ้ำอีกจนสำเร็จยิ่งขึ้น .

11.  (8)สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย . . .

12. (9)สัจจานุโลมิกญาณ  หรืออนุโลมญาณ ญาณอันเป็น ไปโดยอนุโลมต่อชาวโลก  ต่อสมมุติสัจจะทั้งหลาย   โดยใช้ สัปปุริสธรรม 7.  ที่รู้จักประมาณสัดส่วนต่างๆ

       

       จะอ่านเวทนาที่เป็นเคหสิตะหรือเนกขัมมะออก

ได้แก่ มโนปวิจาร 18  (หรือเวทนา3 ผสมกับอายตนะ6)

สุขเวทนาแบบโสมนัสสูปวิจาร  (6ทวาร+โสมนัส)

ทุกขเวทนาแบบโทมนัสสูปวิจาร  (6ทวาร+โทมนัส)

เฉยๆ ที่เป็นอุเบกขูปวิจาร   (6ทวาร+อุเบกขา)

เวทนา 5 ,เวทนา 6 ,เวทนา 18,เวทนา 36,แล้วเป็นเวทนา 108

ครบ 108 เวทนา โดยกาละทั้งสาม ได้แก่ . . .

เวทนามโนปวิจาร  ที่เป็นอดีตทั้ง 36 ก็สูญแล้ว

เวทนามโนปวิจาร  ที่เป็นปัจจุบัน 36 ก็สูญอยู่

เวทนามโนปวิจาร  ที่เป็นอนาคต 36 ก็สูญอีก  .

(ปัญจกังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 18   ข้อ 412-424)

       มันเหมือนไม่มีแต่มีอยู่ไม่แสดงออก เหมือนไวรัส มีชีวิตอยู่ได้เป็นล้านๆปี จะเป็นสัตว์หรือพีชะ ที่เซลล์ไม่ใหญ่ แต่อยู่ได้เป็นล้านปี แล้วจิตวิญญาณที่ละเอียดกว่าไวรัส ก็มีอยู่เป็นนานกว่านั้น จะออกมาทำงานได้เป็นอาสวะอนุสัย เมื่อออกฤทธิ์ก็เป็น ตัณหา ได้สัมผัสก็เป็นเวทนา

       เมื่อมีปัญญารู้จักโลกุตรธรรม ก็เรียนตั้งแต่โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ แต่ไปเรียนลัดไปนั่งสมาธิ ซึ่งต้องเรียนรู้ตั้งแต่สกิทาฯ อนาคาฯ จึงมีผล ที่จะไปนั่งสมาธิแล้วได้ลดละกิเลส จะนั่งสมาธิแล้วบรรลุธรรมได้ ต้องเป็นอนาคามีแล้วเท่านั้น อย่าว่าแต่นั่งสมาธิเลย ให้ฟังธรรมไม่เท่าไหร่ก็บรรลุได้ อย่างพระยสะ พระพาหิยะทารุจริยะเป็นต้น มีบารมีแล้ว

       ต้องเรียนรู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย จะเป็นลำดับ

       ที่จะต้องแยกออก เป็นวิตก วิจาร คือมโนปวิจาร 18

       เริ่มปฏิบัติที่ ตักกะ วิตักกะ เริ่มทำวิปัสสนา จนแยกได้ว่าอะไรเป็นโลกีย์​อะไรเป็นโลกุตระ อะไรเป็นอัตตา อะไรเป็นอนัตตา ตั้งแต่อัตตาหยาบ ไปจนอัตตาละเอียด แม้เป็นอนาคามีก็มีกิเลสรูปภูมิ อรูปภูมิิอยู่ ก็ล้างจนหมดอวิชชาก็เป็นอรหันต์

       อธิบายเวทนา 5 ต่อ คือความอ่อนความแรงของเวทนา เช่นรู้สึกรสอร่อยมากจังหรือเหลือน้อยจัง เป็นดีกรีของอารมณ์​

(รู้กำลังของเวทนาทั้ง 5 ได้แก่)

สุขินทรีย์ (ภายนอก)

ทุกขินทรีย์ (ภายนอก)

โสมนัสสินทรีย์ (ภายใน)

โทมนัสสินทรีย์  (ภายใน)

อุเบกขินทรีย์  (ภายใน)

       ต้องอ่านโดยใช้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส  อ่านว่า ความแรง หยาบ กลาง เบา ได้ ไม่มีรูปร่างสรีระ แต่รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส นี่คือลักษณะ 5 ของความแรงความเบาของอินทรีย์

        มโนปวิจาร 18  (หรือเวทนา3 ผสมกับอายตนะ6)

สุขเวทนาแบบโสมนัสสูปวิจาร  (6ทวาร+โสมนัส)

ทุกขเวทนาแบบโทมนัสสูปวิจาร  (6ทวาร+โทมนัส)

เฉยๆ ที่เป็นอุเบกขูปวิจาร   (6ทวาร+อุเบกขา)

 

       กำจัดสัตว์นรกจนไม่มีสัตว์นรกในใจ รู้สัตตาวาส 9 ต้องเรียนรู้สัญญาที่สัมมา กับไม่สัมมา คนเรียนรู้ไม่สัมมาทิฏฐิก็กำหนดผิด สัญญาผิด ไปทำเป็นเทวนิยม สัญญาคนละอย่าง องค์ประชุมแต่ละสัตว์ก็ไม่เหมือนกันใน สัตตาวาส 9 อธิบายนิโรธ นิพพาน และความเป็นสัตว์ต่างกันไป

       เราต้องอ่านเนกขัมมะกับเคหสิตะต่างกันอย่างไร ถ้ากำหนด ผิด สัญญาผิด

       เราเป็นโสดาบันจะมีเทวดาโลกีย์กับเทวดาโลกุตระปนกัน ต้องเรียนรู้ที่จะล้างสัตว์ในสัตตาวาส 9 เราเรียนรู้กาย ที่พ่อท่านสอน เราทำได้เหมือนที่พ่อท่านย้ำไหม กายนี่ไม่ใช่สรีระ ต้องมีนามธรรมประกอบเสมอ ไม่ใช่แค่โครงร่างไร้วิญญาณ ต้องมีนามไปรับรู้เสมอ อย่างดอกไม้นี่ มันไม่รู้เรื่อง ศึกษาไม่ได้ กว่าจะเข้าใจเรียนรู้ได้ไม่ใช่เล่นๆ

       เมื่อเรียนรู้ว่า กายคือองค์ประกอบของรูปและนาม ก็วิเคราะห์สติปัฏฐาน 4 เจาะไปถึง เจโตปริยญาณ

        1.   สราคจิต  (จิตมีราคะ)

      2.   วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

      3.   สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

      4.   วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

      5.   สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

      6.   วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

      7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .

      8.   วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)

       

       รู้วิตกวิจาร แล้วจารคือเจาะต่อไปว่านี่คือสัตว์นรก นี่คือสัตว์เทวดา นี่คือกลางๆ การแยกองค์ประชุมนี่คือกาย ใช้สัญญากำหนดรู้ ต้องใช้สัญญาเป็น เมื่อแตะต้องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แล้วมีวิตกวิจาร รู้ปรุงแต่งกันไปเป็นวิจาร คุณรู้จักวิจาร จากมโนปวิจาร นี่คือสัตว์นรกหรือสัตว์โลกีย์ ทำให้หายไปเป็นเนกขัมมะ เรียกว่ามีวิตก วิจาร ได้มีฌาน 1 การตักกะ วิตักกะสมบูรณ์เข้าสู่วิจาร ที่เป็นเนกขัมมะ

       ฝึกกำหนดรู้ใช้สัญญากำหนด เมื่อกำหนดได้เก่ง สัญญาก็เป็นสัญญาที่ยอดเยี่ยม เป็นญาณปัญญาแยกแยะ และดับ จนจารของเราเป็นเนกขัมมะ เป็นพรหมจรรย์ เป็นอาการของผู้เป็นพรหม เป็นรูปพรหมเป็นอรูปพรหม เมื่อกำหนดกายได้ ก็แยกแยะวิญญาณฐิติ ได้ แยกแยะความเป็นสัตว์ออก

       สัตว์อบาย คุณต้องรู้ก่อนเลย ถ้าไม่รู้อันนี้จะไปดับไปล้างกาม และรูป อรูปได้อย่างไร เมื่อดับอบายสัตว์ได้ก็มาดับ กามสัตว์และรูป อรูปต่อไปอีก

       เมื่อกำหนดรู้สัตตาวาส 9

1.   สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า (ข้อนี้คือสัตว์ทั่วไป ที่ไม่รู้ว่าขังคุกอยู่ น่ากลัว สัตว์ในร่างกาย ในวิญญาณเรา เราขังมันมาไม่รู้กี่ล้านชาติแล้ว แล้วมารู้คนขังสุข สุขนี่ละเอียดกว่าความเป็นสัตว์ ก็จะรู้ว่าเราติดสุข ขังสุขไว้

2.   สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น . ทำฌานให้ลดราคะ โทสะ โมหะได้ ในฌาน 1 ก็ยังยากอยู่ ในวิตกวิจาร จนสามารถทำได้ลดกิเลสได้ เป็นจาร ที่เป็นพรหมขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็มาล้าง รูปพรหม อรูปพรหมอีก เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ คุณก็จะรู้ วิตก วิจาร

       จะรู้ลักษณะของ สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)  ลักษณะเหมือนหยิบ ฝุ่นออกจากน้ำที่ถูกกวน ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึงอรูปฌาน หยิบออกมาทำลายได้

       ข้อนี้จะเริ่มรู้ความเป็นสัตว์ เมื่อสัมผัสเมื่อไหร่มีอิฏฐารมย์มีอนิฏฐารมย์ก็ยังเป็นสัตว์อยู่ หากไม่สุขไม่ทุกข์ได้ก็หมดความเป็นสัตว์จะชั่วคราวหรือถาวรก็แล้วแต่ เมื่อได้ล้างกิเลสออกไปๆ พฤติกรรมของคุณก็เป็นพรหมมากขึ้นๆ มีจิตที่ทำ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ นี้ได้ ก็สั่งสมเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา (ตัวแกน ไม่เคลื่อนๆ Static) จะเกิดพลังงานปรุงแต่งโดยไม่มีกิเลสไปร่วม เป็นอสังขาริกัง ถ้ายังมีเศษกิเลสก็เป็นสสังขาริกัง พาลงนรก สวรรค์

3.   สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) สายธรรมกาย อภัสราพรหมเขาจะใสๆ สว่าง เขาเป็นโลกีย์ ส่วนของโลกุตระ เมื่อล้างกิเลสแล้วจิตจะใสสะอาดสว่างอย่างแท้จริง กายจะสว่างเหมือนกัน ใสเหมือนกัน แต่สัญญาต่างกัน ธรรมกายกับอโศกนั้นคนละอาภัสรา คนละใส คนละสะอาดสว่าง  แม้แต่ของสวนโมกข์ก็ยังสัญญาต่างกันกับของอโศก

       ข้อนี้กำหนดสว่างเหมือนกัน แต่สัญญาจะต่างกัน สัญญาของธรรมกาย ยังมิจฉาทิฏฐิ 100 % ส่วนของสวนโมกข์ยังมีส่วนถูกอยู่ เป็นอารมณ์ เป็นสัญญาที่เป็นปัญญา เป็นญาณ ที่มีพลังเพียงพอ ​ถ้ากำหนดได้ถูกต้องก็กำหนดได้ชัดเจนละเอียดต่างกัน ถ้ารู้ได้ มีปัญญามากพอก็รู้ได้ หากไม่มีปัญญาพอก็รู้ไม่ได้

       อาตมาเคารพท่านพุทธทาสที่ท่านเป็นอาริยบุคคล ต่างกับธรรมกายที่ท่านมิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้โกรธเกลียด เอามาศึกษากัน พูดด้วยเมตตา สัจจะความจริง

       แม้สายสวนโมกข์ก็มีสัญญาต่างกับอาตมา การกำหนดรูปฌาน อรูปฌานก็ต่างกับอาตมาแน่นอน

 

4.   สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) ถ้าคุณยังสุภันเตวอธิมุตโตโหติ คุณยังเห็นมันสวยงามอยู่คุณก็ต้องมีมันต่อไป

       สัญญาเหมือนกันว่า ได้นิโรธ พวกมิจฉาทิฏฐิก็ได้มืดดับ หลงนิโรธมืด นั่งหลับตาดับ เวทนา ดับสัญญา ซึ่งสัญญามาผิด นิโรธของเขาดับหลับตาไม่รับรู้ มืด แต่ว่าของอาตมานั้นลืมตาทำ รู้ความดำความดับ จาก จักษุ ญาณ​ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เป็นอากาสาฯ

       พวกที่มิจฉาทิฏฐิจะไปกำหนดรู้ได้ความดับเวทนา สัญญา เป็นสายดับ เช่นสายอ.มั่น

       สายอ.มั่น มีนิโรธตรงกันข้ามกับธรรมกาย สายธรรมกายจะมีความใส โสดาฯก็ใสระดับหนึ่ง สกิทาฯอนาคาฯก็ใสกว่าอีก ใสเพิ่มขึ้นๆ

       อ.มั่นถือเป็นทักขิเนยบุคคล มีภูมิโสดาบันอยู่บ้าง แต่เป็นสายดับ ไม่รู้เท่าท่านพุทธทาสที่เป็นสายสว่าง

       ที่พูดนี้อาตมาพูดด้วยความเคารพ

       มีอีกคนคือเจ้าคุณนอฯ ที่อาตมายกให้เป็นอนาคามีภูมิ อาตมาเคารพนับถือในแต่ละท่านที่พูดมานี้ ท่านมุ่งมั่นเคร่งศีล วินัย เป็นทักขิเนยยบุคคล แต่ไม่เป็นอาริยบุคคล อาบัติเบาแก้ไข แต่ไม่มีอาบัติหยาบ เสียดายไม่มีสัมมาทิฏฐิก็เลยได้เท่าที่ท่านได้ ไม่ได้วิจารณ์อย่างอคติ แต่อธิบายธรรมะ เป็นการศึกษา กายหรือนิโรธของ อ.มั่น ต่างกับกายกับนิโรธของอาตมา

       

5.   สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์  เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)

6.   สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา) สายสว่างจะได้อันนี้ ไปอยู่ในภพสว่าง ไปสร้างภพสว่างใสๆๆ ธรรมกายเป็นต้น ตั้งแต่อาจาย์ใหญ่ท่านทำมา

7. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง)สายสว่างจะได้อันนี้

8.   สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..อากิญจัญญายตนะ (ดับดิ่งไม่มีอะไร)  สายดับจะได้อันนี้ เช่นอุทกดาบส และอาฬารดาบส นั่งสมาธิไปดับ มืดไม่รู้อะไร แล้วไม่มีปฏิภาณว่าจะดับอย่างไรมันก็ต้องขึ้นมารับรู้อีกจนได้ไม่ว่ากี่ล้านชาติ แม้ตายไปก็ไปจมในภพนั้นอีกไม่รู้กี่ล้านปี เป็นอากิญจัญยายตนภพ

9.   สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ) คนไปหลงข้อนี้คือหลงภูมิสูงสุดของการสร้าง “ชาติ” คือการสัญญาอย่างคลุมเคลือ ไม่แม่น รู้หรือไม่รู้ รู้ก็ไม่ใช่ ไม่รู้ก็ไม่ใช้ ไม่สมบูรณ์ไม่คมลึก ไม่แจ้งสุดยอด

 

       การนั่งหลับตาทำสมาธิ เมื่อทำจิตให้สะอาดจากนิวรณ์ 4 (กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ ) อย่างไม่สงสัย ไม่วิจิกิจฉาเลย นั่นคือภูมิภพของรูปฌานในจิต ในขณะที่คุณเข้าไปสว่าง เป็นอาภัสสราจะรู้ชัดในวิญญาณอยู่ในอากาศ แต่ได้เรียนรู้ว่าสว่างก็ยังไม่ดับไม่จบ ก็เลยดับต่อ ดับสว่างก็เป็นอสัญญี เพราะไปเรียนรู้ผิดๆ เมื่อเชื่อว่าดับคือนิโรธ ตัวอากิญจัญฯ จึงดับ เป็นอาฬารดาบส จิตดับเป็นนิโรธ นั่งได้ทั้งวันทั้งคืน ได้7 วันหรือมากกว่า แต่ความดับนั้นก็จะมีความรู้อยู่ เมื่อใดเมื่อนัน แต่อุทกดาบส ระลึกได้ว่ามันยังแวบรู้ ก็เลยไปดับมันอีก ก็เลยได้เนวสัญญานาสัญญายตนภพ โดยการสัญญาผิด ได้ฌานหลับตา

       เก่งที่สุดของการดับภพในการนั่งหลับตา คือเนวสัญญานาสัญญายตนะ  พพจ.ยังว่านี่คือสัตว์ เป็นสัตตาวาส ขั้นที่  9 เป็นสัตว์อยู่นะ   สูงสุดได้แค่นี้ ยังมีอรูปภพอยู่ นี่คือการไม่รู้องค์ประกอบของรูปและนาม

       ถ้าญาณปัญญาไม่สัมมา คุณสัญญาไปก็ไม่สัมมา ไปกำหนดรู้ในปัจจุบันทุกปัจจุบัน แม้ตายไป สัญญาก็กำหนดในภพภูมิของตน ถ้ามิจฉาก็เป็นความลวง อย่างสูงสุดก็ได้เนวสัญญาฯ พอรู้ตัวก็ดับ แล้วไม่มีร่างกายด้วยก็จมไปนานไม่รู้เท่าไหร่

       ตอนคุณนั่งสมาธิ ถ้าเข้าอุเบกขาจะไม่อยากออก มันสบาย นอกจากคุณจะกำหนดเอง ให้ออกมา ถ้าสามารถอยู่ได้นานก็อยู่ไป ได้เป็นวัน เป็นสัปดาห์ ถ้ากำหนดเป็นใส หลงสุภกิณหะ ก็ไปดับมืดนานไปเท่าไหรก็ทำไป ไม่อยากออก ตายไปคุณไม่มีรูปนานขันธ์5 เลย คุณจะจมอยู่นานนนนนนนน.....เท่าไหร? มันไม่อะไรกวนเลยไม่มี ทวาร 5

       ถ้าคุณหลงผิดก็ไปนั่งหลับตาทำ แม้ได้ฌาน 1 มีวิตก วิจาร แต่กำหนดนิวรณ์ เป็น ไม่มีนิวรณ์ 5 ถ้าคุณกำหนดได้ แล้วเข้าไปสู่ อุเบกขา แล้วอยากออกจากความว่าง อุเบกขา ก็จะไปสร้างความว่าง แล้วเหมือนคุณหลุดไปจากโลก ไปนอกโลก เหมือนอย่างภาษาของท่านมหาบัวพูด ไปอยู่ในภพของอากาสาฯ เบาว่างกว่าอุเบกขาจริง แล้วคุณจะไม่อยากออก ซึ่งได้ครั้งแรกแล้วจะทำอีกครั้งยาก กว่าจะเก่งอากาสาฯก็จมอยู่ตรงนั้น ธรรมกายเขาอาจได้อากาสาฯ อย่างท่านมหาบัว ท่านได้อากาสาฯแล้วท่านจะทำได้เก่งเท่าไหร่ไม่รู้ เพราะถ้าท่านเก่งจะมีภูมิรู้กว่านี้ไม่ติดหมาก อย่าง อ.เทสก์จะมีภูมิกว่า มหาบัว

       เรามาทำธรรมะให้เป็นธรรมกายที่ถูกต้อง รู้จักธรรมกายที่เป็นฌาน เป็นรูปฌานที่ถูกต้อง ถ้าเข้าใจถูกคุณจะไปนั่งสมาธิหลับตาอย่างสัมมาทิฏฐิ เป็นบุคคลที่มีทั้งเจโตสมถะและโลกุตระ

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ     แต่ไม่ได้โลกุตระ

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ        แต่ไม่ได้เจโตสมถะ

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ     และได้ทั้งโลกุตระ พวกสุขวิปัสสโก (ไม่ต้องไปหลงเจโตสมถะ)

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ  และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

       วันนี้ได้รู้คนขังสุข คุณเป็นคนโลกๆก็หลงสุข แม้เป็นโลกุตระก็ยังหลงเหลือสุขในภพภูมิใดก็ต้องรู้  อย่าง อ.มั่น อ.ชา ท่านพุทธทาส อย่างอ.ชา ก็มาสู่สัมาทิฏฐิบ้าง แต่สายอ.มั่นไปทางสมถะมากหลงฤทธิ์เดช มาก ส่วนหลวงปู่เทศน์ก็ยกให้ดีกว่าอาจารย์อื่นๆที่ไปหลับตาทำเป็นฤทธิ์เป็นเดชโลกีย์ หรือหลวงปู่แหวน อาตมาวิจารณ์ท่านว่า ล่อขี้โย จะอรหันต์ได้อย่างไร หรืออรหันต์ที่เคี้ยวหมากจะไปเป็นอรหันต์ได้อย่างไร ...วิจารณ์ด้วยเคารพในท่านเป็นทักขิเนยยบุคคล ก็ขอจบรายการนี้เพียงเท่านี้ ….


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:10:47 )

570212

รายละเอียด

570212_ทวช.งานพุทธาฯที่ผ่านฟ้า โดยพ่อครู เรื่อง อุปาทายรูป 24 โดยปฏิมพัทธ์

       เราก็มาพุทธาภิเษก คือประกอบ เพื่อสร้างทำให้เกิด ด้วยวิธีที่พิเศษ ที่ทำให้เกิดให้เป็นขึ้นมา ช่วยกันคนละไม้คนละมือ สิ่งที่จะให้เกิดคือความเป็นพระ ในภาษาไทย ใช้คำว่า พระ มาจากภาษาบาลีว่า วระ หรือ แปลว่าภาวะประเสริฐ ความประเสริฐ ที่เป็น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

       โดยเฉพาะมโน หรือจิตใจเราได้เกิด หรือ ชาติ

       การเกิดคือการก่อสภาพขึ้นมา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปหรือสลายไป ดังนี้เราก็จะรู้นัย แม้วัตถุ ก็เป็นเช่นนี้ อาจช้าหรือเร็ว ก็แล้วแต่ การเกิด การดับ ก็ต่างกัน และในวาะที่ตั้งอยู่ ก็ยังมีความเกิด ความดับ ซ้อนอยู่

       อารมณ์​เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา อาการพฤติกรรม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นสามัญลักษณ์

       กิเลส ถ้าเรามีจิตเจตสิก เราอ่านรู้ ว่า นี่คือ โลภ นี่คือโกรธ อย่างการหลง ไปหลงติดยึด คลั่งใคร้ หลงว่า การได้มาอย่างทุจริต อกุศล ได้มาอย่างเลวร้ายรุนแรง แล้วเราหลงดีใจ ภาคภูมิใจว่าเราเก่งโกง เก่งหลอก เราทำร้ายเขาได้ เราชนะก็ได้มา ส่ิงเหล่านี้เป็นอาการสภาวะที่เกิด เราทำมันจึงมี เราไม่ทำมันก็ไม่มี

       โดยเฉพาะ กายวิญญัติ มีการเคลื่อนไหวประกอบ ทั้งสุ้มเสียงสำเนียง เป็นรูปธรรม เรียก กายวิญญัติ คนอื่นทำ หรือเราทำ เราก็เรียนรู้ศึกษา โดยเราเป็นผู้รู้ในวิญญัตินั้น เป็นอาการเคลื่อนไหว แล้วเราสัมผัสเห็น

       การทำสมาธิ หากเราไม่มีกาย กับวจี เคลื่อน เราก็อ่านภายใน ที่มีองค์ประชุมของจิต เรียกว่า นามกาย เป็นกายในกาย แต่หากเราตื่นรู้รับวิถี ทวาร 5 กระทบสัมผัส และจิตเราร่วมประกอบทำงานอยู่ เป็นกาย เรียกว่า รูปกาย ถูกรู้ได้ด้วยจิตเรา เช่น ตากระทบรูป ก็รู้ เสียงกระทบหูก็รู้ เราเอาจิตของเราเรียกว่า หทยรูป คือตัวจิตที่ตั้งอยู่ตรงไหน? เช่นขณะนี้ตากระทบรูป แล้วเรารู้ได้ ตรงที่รู้ได้นั่นแหละคือ หทยรูป มันอยู่ที่เรากำหนดรู้

       เช่นเราน้อยใจ เราเสียใจ ไม่ได้หมายถึงหัวใจที่เป็นอวัยวะทีสูบฉีดโลหิต ทุกข์ไม่ได้เกิดที่หัวที่มือที่เท้า แต่เกิดที่ใจ เป็นเวทนา ซึ่งเกิดเมื่อใดเราก็กำหนดรู้ สัมผัสสิ่งใดก็รู้ทันที เช่นสัมผัสอันนี้แล้วชอบ ชื่นใจ อร่อย สัมผัสเสียดสีแล้วชื่นใจ เป็นอิฏฐารมย์

       เราก็รู้เราก็เข้าใจตามประสาทที่กระทบรับรู้ เป็นปสาทรูป แล้วมันทำงานเรียก โคจรรูป ตากระทบรูป หูกระทบเสียง หรือ

       ภิกษุสาติ  มีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า "เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”

ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น  จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า  ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้  ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค  การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย  ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี.  (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12  ข.440)

       ซึ่ง ภาวะรูป มีสองอย่าง

ภาวรูป 2 (รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ )

        10. อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ (ความเป็นหญิง)

  1.   ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ (ความเป็นชาย)

 

       อาการของอิตถี กับปุริสภาวะ การต่างกันเรียกว่า ลิงค หรือความต่างกัน เราต้องเรียน เป็นภาคบังคับ หากไม่เรียนเราอิตถี คือความไม่จบ และปุริสะคือปัญญาที่รู้ย่ิงรู้จริง รู้ถึงที่สุด ถ้ารู้ในระดับรองลงมาเรียกว่า อิตถีภาวะ ถ้าระดับอินทรีย์เรียก อิตถี แต่ลักษณะพละเรียก ปุริสภาวะ

       ทั้งสองอย่างเป็นพ่อและแม่ ทำให้เกิด หรือศีลกับปัญญาทำให้เกิดจิต หรืออธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

ศีลเป็นข้อกำหนด ให้เราศึกษาจิต

       เช่นเราไปทำกรรมชั่ว ได้ตีคน แล้วเราได้ยินดี หรือเราไปเล่น ที่มันหยาบคาย สูญเสีย เป็นการพนัน การบันเทิง เสียสุขภาพ เสียเงินทอง แล้วเราไปหลงว่ามันมันส์ เป็นรสอร่อยสุข เสียเวลาทุนรอน แรงงาน แล้วเราก็หลงว่าการได้ทำอย่างนั้น เกี่ยวข้องเป็นสังสัคคะ ปรุงแต่งเป็นสวรรค์ หรือแม้แต่ในมโน ปรุงแต่งคิดจินตนาการหวาน เป็นสุขทุกข์ คือการประกอบสังขาร ปรุงแต่งในจิต ในวาจา ได้ออกเสียง ได้ทำท่าทางก็ชอบอร่อยเป็นสุข

       สัมผัสแล้วมีกายวิญญัติ วจีวิญญัติ แต่ให้เราจับที่มโนหรือใจ เป็นหลัก กำหนดรู้วิญญาณหรือจิตเราที่เป็นองค์ประชุมเรียกว่ากาย

       อย่างเห็นมะม่วงนี้ลูกโตดี มันน่าหม่ำไหมนี่ ใจที่อยากนี่คือที่เราตั้งสมมุติไว้ว่าเนื้ออย่างนี้ รสอย่างนี้ ได้ใจเลย ปรุงแต่งเป็นเทวดา ถ้าไม่ชอบก็เป็นอาการผลัก มีสองอย่างหลักๆคือ ดูด กับผลัก

       ถ้าได้สมใจตามชอบก็ฝังใจเป็นอุปาทาน เมื่อสัมผัสก็อ่านเข้าไปจากกายในกาย ถ้าตาเรากระทบอยู่เราก็อ่านเข้าไปในกาย ตาเรากระทบเราเห็นรูป หรือเราหลับตา เราก็กำหนดเห็นอยู่ในใจ แม้เราหลับตา แต่เรากำหนดที่หทยรูปที่เสียง แต่ตาเรากระทบอยู่ แสงก็ทำงานของมัน สะท้อนมาที่ตาเรา แต่ปสาทรูปของเราไม่ได้กำหนดที่ตา หทยรูปเราไม่ได้อยู่ที่ตา แต่อยู่ที่เสียง แม้ตาเรากระทบแสง แต่ใจเราไม่ได้กำหนดที่ตา แต่เราไปกำหนดที่เสียงที่หู ตาเราไม่มีหทยรูป ไม่มีรูปที่ใจ

       เราทำงานอยู่มีองค์ประกอบ เช่นเราทำเหล้า แต่เราเห็นว่ามันทำให้คนเสีย ใช้ประโยชน์ได้น้อย เอามาสร้างให้คนกินตะพึด ฉิบหายวายป่วง กินเมื่อไหร่ก็เสียหาย ทำลายสุขภาพ ทำลายจิตใจ เราก็รู้ว่าเราทำเหล้าให้คนกินนี่บาป ทำให้เสียหายเลวร้าย อาชีพทำเหล้าขาย ถ้าเราจะทำเราก็เอามาทำยา ทำประโยชน์บ้าง คนมีปัญญาจะพิจารณาว่าอาชีพบาป อาชีพบุญ อันไหนกุศล อกุศล

       บาปก็เกิดจากกิเลส กรรมกิริยาที่เกิดจากกิเลส ส่วนบุญคือการชำระกิเลสได้ เกิดกิเลสก็คืออกุศล ส่วนคำว่า ตัณหาบางทีก็มีประโยชน์เป็นความต้องการ เป็นกุศลที่ดี เช่นวิภวตัณหา เป็นตัณหาเรียนรู้ภพ เข้าใจภพ รู้เหตุแล้ว เกิดจาก กามภพก่อน คนเราสามารถมีปัญญารู้ได้ว่า อันไหนเป็น กรรม เป็นกัมมันตะ ที่เป็นงานเป็นการขึ้นมา ทำประจำเป็นชีวิต ก็คือ อาชีวะ บางอย่างไม่ได้เลี้ยงชีวิตด้วยซ้ำ ทำให้ชีวิตเสียด้วย เช่น เอาแต่เล่นเตร่ เล่นกีฬาที่หลอกกันจนเสียหาย เช่นปรุงแต่งให้ดูกีฬาจนเสียทุนรอนแรงงานเวลา แต่เขานึกว่าได้เกิดการหมุนเงิน คนจิตเสื่อมไปติดอบายมุข เช่นกีฬา ไปเสพรส ปรุงแต่ง เลวร้าย หาเงินจากเรื่องนี้ ปรุงแต่มาเป็นอาชีพ หมุนเงิน แม้เงินหมุนดี แต่คนซับซาบอารมณ์ เสพอารมณ์ ซึ่งเป็นสุขขัลลิกะ เป็นสุขไร้สาระ เป็นพิษด้วย เสียเวลา แรงงานทุนรอน

       ถ้าเอาเวลาทุนรอนแรงงานมาทำสิ่งมีประโยชน์ต่อชีวิตจะดีกว่า แต่ไปหลงรสที่ไม่จริง เป็นสุขขัลลิกะ ถ้าไม่ได้สัมผัสจริงจะไม่เกิดรสจริง ต้องบินไปดู เช่นแข่งบอลนัดชิงต้องบินไปดู ไปเสพรสอันนั้น หลงว่าดี

       ไปแล้วก็เสพตอนนั้น พอกลับมาแล้วก็นึกถึงเอามาเสพในภพ เหมือนควายเคี้ยวเอื้อง ระลึกถึง เป็นเทวดาหลอกให้เสพรส ความเกิด (ชาติ)   ความบังเกิด (สัญชาติ)  เป็นอัตตาที่เสพ ไม่ใช่อาหารที่เป็นกวฬิงการาหาร ไม่ใช่ผัสสาหาร แต่เป็นมโนสัญเจตนาหารที่นึกจากสัญญาเอามาเป็นจริงเป็นสุขทุกข์ได้ เป็นรูปที่สร้างในจิต เป็นสวรรค์สมมุติ ซึ่งสวรรค์นั้น เป็นสุขตอนสัมผัสทันทีนั้นๆ พอหมดสัมผัสก็หมดสุข

ชาติ  คือการเกิดทางกาย เกิดชาติพันธุ์  ประชาชาติ

ชาติ  คือการเกิดทางจิตโอปปาติกโยนิ ที่เป็นอเทวนิยม ได้แก่

ความเกิด (ชาติ)   ความบังเกิด (สัญชาติ) 

เกิด (โอกันติ)   ความหยั่งลงเกิด (นิพพัตติ) 

เกิดจำเพาะ (อภินิพพัตติ)

 

       เมื่อสัมผัสแล้วเกิดเป็นอารมณ์ วิจัยเวทนาเข้าไปถึงเหตุ ว่ามีสราคะ เป็นเหตุ คือได้สัมผัสเดี๋ยวนี้ก็รู้ ว่าเกิดผีหรือเทวดา เมื่อเราสามารถเรียนรู้หทยรูป เรียนรู้ ชีวิตินทรีย์

       เรียนรู้ภาวะรูป ที่เป็นอิตถีภาวะและปุริสภาวะ ที่ไม่ใช่การดูถูกชนชั้นวรรณะ หาว่าไม่ส่งเสริมผู้หญิง ก็ไม่ควรคิดเช่นนั้น แต่เป็นการกำหนดสภาวธรรม เป็นความไม่เจริญเรียกอิตถีภาวะ ส่วนส่ิงเจริญสิ่งจบ เรียกปุริสภาวะ ส่ิงที่ยังต่องแต่งยังไม่จบคืออิตถีภาวะ แต่ส่ิงที่่จบสมบูรณ์คือ ปุริสภาวะ

       เช่นเรามานั่งชุมนุมนี่เกิดคุณค่า แยกไปตามที่ต่างๆ เช่น ที่สีลม ที่อโศก ที่ราชประสงค์ ก็เกิดองค์ประกอบคุณค่าต่างๆ พวกเรามาอยู่ที่นี่ ที่ผ่านฟ้า เราก็ทำไปจะนานเท่าไหร่ไม่รู้ มีประโยชน์อย่างไร ต่อสังคมประเทศชาติ เราได้ทำส่ิงดี แม้เหน็ดเหนื่อยหนักหนา เมื่อยเราก็ทำส่ิงมีประโยชน์ สร้างสรรไป แต่ถ้าไม่มีประโยชน์เราก็หยุดไป เช่นเดี๋ยวเกิดระเบิด คนก็อยากให้ย้ายไปที่อนุสาวรีย์ปชต. แต่มาคิดดูก็ว่าตรงนี้ เป็นอย่างไร บางคนก็ว่าที่นี่มานอนมานั่งฟังธรรมกันอย่างไร ก็ไม่ครื้นเครง แต่ก็อยู่ที่รสนิยมของคน แต่เมื่อมีถ่ายทอดกำนันสุเทพ หรือมีรายการดีเราก็ตัดถ่ายทอดให้ เพราะเราอิสระไม่ได้มานั่งหาเงิน ไม่มีสปอนเซอร์บังคับ เราทำอย่างสร้างประโยชน์ เราทำได้เพราะมีคนที่เสียสละมาช่วยกันทำ

       แต่ที่จะอยู่ที่นี่ อาตมาก็ว่าที่นี่ดูซึ้งกว่านะ ส่ิงเหล่านี้เป็นเรื่องของมนุษยชาติ ที่เราได้เรียนรู้กัน ตอนนี้ได้อธิบายถึงรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ทั้งนอกและใน

       รู้ ภาวรูป 2 เป็นอิตถัตสะ หรือปุริสัตถะ (สัตถะคือประโยชน์ ) เป็นการสื่อให้รู้สภาวธรรม อย่างแรงอย่างกลาง อย่างละเอียด เป็นปุริสภาวะได้มาก ก็มีอิตถีภาวะน้อยลงได้

       เราก็เรียนรู้ชีวิตรูป คือยังมีชีวิตอยู่นะ ถ้าเราจะทำให้ชีวิตของอกุศลเจตสิกตายไป เราทำให้ชีวิตของความเป็นสัตว์อบายตายไป จากสมมุติเทพ ก็เป็นอุบัติเทพ จนเป็นวิสุทธิเทพ จนเป็นพรหม สูงขึ้นไปเราจะรู้ว่าเราจะเป็นพรหมนิรันดร์หรือไม่ อย่างอนาคามีก็เป็นอรูปพรหม ตรวจสอบตนเองในสิ่งเหลือด้วยอรูปฌาน เป็นสมบัติของตนที่ต้องล้าง ให้วิบัติหมดไป คุณจะรู้ว่าอันไหนเกิดอันไหนดับ ทำให้ถึงที่เกิด ตรงหทยรูป

       เรารู้ว่า ชีวิตของสัตว์นรกตาย ชีวิตของอุบัติเทพเกิด ซึ่งมีตายแบบชั่วคราว และตายแบบถาวร ตายอีหลีอีหลอ เรียกว่าดับเชื้อ

       รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ เรารู้นามธรรม เวทนาในเวทนา รู้อารมณ์ผี อารมณ์เทวดา เมื่อล้างอารมณ์ผีตายลง อุบัติเทพก็เกิด

       ชีวิตรูปที่ยังอยู่ ที่แท้คือ อาหารรูป แม้องค์ประกอบปัจจัย 4 ที่จะทำองค์ประกอบเป็นกัมมันตะ ประกอบด้วยวิตกวิจาร ปรุงแต่งนึกคิด เป็นอาการ กิริยา เราก็แยกแยะเรียนรู้วิตก วิจาร เรียนรู้ การงานอาชีพ

       เราเรียนรู้ในอาหาร 4 ต้องกำหนดรู้ใน รูป นาม แยกให้ออก รู้ไปถึงมโนสัญเจตนาการที่มีหรือไม่มีกิเลสไปร่วมปรุงแต่งด้วย ถ้ามีกิเลสเรียกสสังขาริกัง ถ้าไม่มีกิเลสร่วมเรียก อสังขาริกัง คุณจะรู้ว่านี่มีเพื่อตัวเรามาปนปรุง หรือเพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม

       ชีวิตคนเราไม่ต้องเอามาให้แก่ตนเองมากหรอก ถ้าเป็นคนไปยาก มายาก กินยาก อยู่ยากก็ไม่ดี แต่ถ้าเราเป็นคนที่กินง่ายอยู่ง่าย ไม่เรื่องมาก คนก็จะสนับสนุนส่งเสริม เราก็มีประโยชน์ต่อสังคมได้มาก ชีวิตของคุณเนื่องด้วยผู้อื่น การเลี้ยงชีพของเราเนื่องด้วยผู้อื่น (ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา) ยกตัวอย่าง นส.ดาวเพ็ญ เขาก็ว่าชีวิตของเขาไม่ต้องใช้เงิน ก็อยู่กับหมู่กลุ่มไป อาตมาก็ว่าให้ไปเรียนป.โท เขาก็ไปเรียน ใช้เวลาตั้ง 6 ปี กินอยู่เนื่องด้วยผู้อื่น หลายคนเราก็เรียน คนไหนช่วยตนเองได้ก็ช่วยตนเอง หรือหมู่กลุ่มก็ช่วย

       คนที่ไม่เห็นแก่ได้ ไม่บำเรอตน เป็นคนมีวรรณะ 9

1.   เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.   บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.   มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.   ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.   ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.   เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  

8.   ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.   ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .

 

       อะไรที่ควรอาศัยให้พอเหมาะ อย่าไปเปลืองผลาญ​ ให้พอเหมาะพอดี แล้วเรียนรู้จากผัสสะ

       ในผัสสะมีเวทนา 3 เราเรียนรู้เทวดาปลอม กับผี ที่เป็นสมมุติเทพ เรียนรู้ที่จะปฏิรูป จนปฏิวัติคือทำได้ทันที ในปหาน 5 เป็นนิสรณปหาน คือทำจนเป็นที่พึ่งได้

1.   วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า)

2.   ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.   สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.   ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.   นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

 

       เมื่อเรารู้โอกกันติ สามารถทำให้หยั่งลงเป็นโลกุตระ เป็นอาริยะ รู้จักทิศทางกระแสโลกีย์กับกระแสโลกุตระ ใหม่ๆอาจได้แค่เข้ากระแสไม่มากนัก แต่พอได้ แต่พอเราได้มากขึ้นๆ ไปสู่โลกุตระมากขึ้นก็ ก็แข็งแรงขึ้นๆ ส่วนทางโลกีย์ก็ทวนกระแสกับโลกุตระเลย เหมือนเดินหันหลังให้กันเดินไปคนละทางเลย อย่างที่เขากำลังทำกันอยู่ในปัจจุบันนี่แหละ เราต้องรู้อยังโลโก ปโรโลโก รู้โลกนี้ โลกหน้า

       เราเรียนรู้มูลสูตร

1.   มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .

2.   มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . .

3.   มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .

4.   มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) . ให้ทรงได้ซึ่งธรรมะที่เป็นนิโรธ เป็นนิพพาน เราจัดการการเกิดดับที่เวทนา แยกจิตเจตสิกได้

5.   มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันยิ่ง ทะลุถึงปัญญินทรีญ์ ปัญญาพละ

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . สุดยอดที่จะรู้ยิ่ง เป็นการดับกิเลสได้ ตายสนิท แม้เป็นพรหมสัตว์ก็อาศัย ไม่ยึดติด อาศัยวิญญาณพรหมเป็นเครื่องมือ  เมื่อผ่านวิมุติเป็นแก่น

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) ทำจิตให้เกิดเป็นอมตบุคคล มีอมตจิต ทำโอกันติ ทำนิพพัตติ (อุบัตเทพ) ทำอภินิพพัตติ(วิสุทธิเทพ) ในการเกิด 5 อมตะคือเกิดก็ได้ตายก็ได้ ถ้าทำผู้ได้ก็ไม่ตาย คำว่า ผู้ ในภาษาไทยคือผู้ชาย เป็นอมตะ จะอนุโลมเป็นผู้หญิงก็ได้ อาตมาปางนี้เป็นนักรบแม่ลูกอ่อน ดูแล้วเหมือนกระเทยชอบกลๆ บางทีก็อนุโลม บางทีก็เป็นเด็ดขาด เป็นผู้เป็นคนแล้ว ภาษาไทยนั้นลึกซึ้ง ถ้าเป็นผู้เป็นเมียอยู่นี่เป็นอิตถีภาวะ

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) ถ้าไม่ปรินิพพานก็อยู่ไป อย่างพระอวโลกิเตศวรจะอยู่ไปจนช่วยคนสุดท้ายในโลกให้ปรินิพพาน แล้วเราค่อยปรินิพพาน ก็เอา แต่อาตมาไม่เอาอย่างนั้น

(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58)

 

        ในอาหาร 4

1.   กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม)

2.   ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) เรียนรู้ของจริง ว่าเกิดกิเลสอย่างนี้ หยาบอย่างนี้ สูงขึ้นอย่างนี้ รู้ผัสสะนอกและใน รู้เจตนา

3.   มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .วิภวตัณหา เป็นตัณหาเป็นตัณหาล้างตัณหา

4.   วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ  คือ   กำหนดรู้จักแยกแยะนาม-รูป   แล้วกำจัดเฉพาะอาสวะให้จบสิ้น) วิญญาณจะเจริญ จากวิญญาณผี เป็นเทวดา แล้วมาเป็นพรหม 

(ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16   ข้อ 241-244) .

       เรียนรู้ในปริเฉทรูป คือการตัดช่องว่าง จนถึงขั้นจิตว่างจากกิเลส ถึงอากาสธาตุ เป็นอากาสาฯ ในอรูปฌาน เป็นวิญญานัญจาฯ เป็น อากิญจัญฯ  จน สัญญาเวทยิตนิโรธ

       เรียนรู้จิตในวิการรูป 5 ลหุตา คือบางเบา ละเอียด, มุทุตา แววไว จึงทำ กัมมัญญตา ทำอย่างมีปัญญาอันควรได้

       เรียนรู้ในลักขณรูป 4

        1.อุปจย(ความเจริญขึ้น)  2. สันตติ(ความแก่หรือเสื่อมอยู่ไปหาทางตาย) 3.ชรตา(ความพาเคลื่อนไปเสื่อม) 4.อนิจจตา( ความเคลื่อน ที่คุณคุมเองได้ด้วย) คุณจะรู้ว่าทุกอย่างอนิจจตา แม้ทำให้เกิดได้ระยะเวลาหนึ่ง แม้อุตาหะทำให้มันนาน โดยเฉพาะพลังทางจิต เจตนาเอง แต่ทุกอย่างก็ต้องสูญนะ เราประสงค์ให้อยู่ได้นานแค่ไหน เช่นอาตมาประสงค์อยู่นาน 151 ปี จะได้หรือไม่ก็แล้วแต่ปัจจัย ถ้าทำได้ 151 ปีก็ไม่เอานานกว่านั้นอีก แต่ไม่บังอาจว่าเราจะเก่งขนาดนั้น แต่ก็ต้องลองดู เราอยู่เพื่อสร้างสรร ไม่ได้ทำลาย  ...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:13:32 )

570212

รายละเอียด

570212_รายการตอบปัญหาประชาปฏิวัติ ตอน 1 ที่ผ่านฟ้า โดยพ่อครูและคุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์

       มีบทความในมติชนของ อ.สุรพจน์ ทวีศักดิ์ เรื่อง คำถามต่อบทบาทของพระพุทธอิสระและสมณะโพธิรักษ์ เขาเป็นนักคิด ก็คิดมาหาเหตุผล เป็นตรรกะ คิดได้ อาตมาเห็นได้จะอามาพูดให้ฟัง ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ …..

       เมื่อเปิดดูวินัย มีวินัยห้ามพระสงฆ์ชุมนุมทางการเมือง....ซึ่งอาตมาก็ให้เขาเปิดดูว่ามีไหมในวินัย ก็ไม่มี แล้วอ.สุรพจน์ได้ยกเอาเรื่องพระเทวฑัตได้ยุยงพระเจ้าอชาติศัตรูให้ปฏิวัติยึดอำนาจจากพระราชบิดา แล้วเจ้าชายอชาตศัตรูได้อำนาจ ส่วนพระเทวฑัตก็จะมายึดหมู่สงฆ์ปกครองสงฆ์ ซึ่งเป็นเรื่องการเมืองคนละแบบกับอาตมา อาตมามาทำงานการเมืองแต่ไม่ได้ยึดอำนาจใคร ไม่ได้ทำอย่างพระเทวฑัต

       แล้วเขายังอ้างอิงคำตรัสพระพุทธเจ้าว่าท่านตำหนิว่า ไม่ใช่กิจที่สงฆ์พึงกระทำ ซึ่งอาตมาเองก็ดูในวินัย ที่เป็นคำประกาศของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าให้สาวกประกาศแก่ชาวเมืองราชคฤห์ ในเรื่องยึดอำนาจของพระเข้าอชาตศัตรูต่อพระราชบิดาได้สำเร็จ คุณสุรพจน์ว่า ไม่เกี่ยวกับสงฆ์ แต่แท้จริงเป็นคำประกาศนียกรรม ของพระพุทธเจ้าต่อพระเทวฑัต คือพระพุทธเจ้าประกาศให้พระเทวฑัตเป็นานาสังวาสกับสงฆ์ เหมือนอย่างอโศกประกาศนานาสังวาสกับหมาเถรสมาคม ต่างกันที่อาตมาเป็นคณะเล็กแยกจากหมู่ใหญ่ ส่วนของพระพุทธเจ้าหมู่ใหญ่แยกหมู่น้อย ก็ทำได้ทั้งสองแบบ

       ที่คุณสุรพจน์หยิบมาอ้างอิงว่า เป็นเรื่องการเมืองโดยตรง แล้วบอกว่าพระพุทธเจ้าว่าเรื่องนี้ไม่ควรทำเลย ซึ่งความจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เป็นเรื่องประกาศนียกรรม ในพระไตรฯล. 7 ข้อ 362

ปกาสนียกรรม
        [362] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ    ทั้งหลาย เพราะ
เหตุนั้นแล สงฆ์จงลงปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์แก่เทวทัตว่า ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็น
อย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเทวทัตทำ  อย่างใด ด้วยกาย วาจา ไม่พึงเห็นว่า
พระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ เป็น    อย่างนั้น พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง

       

       หมายความว่า นอกจากพระพุทธเจ้าจะประกาศต่อสงฆ์ แล้วยังให้พระสารีบุตรไปประกาศต่อทุกคนในราชคฤห์ อีก

       คุณสุรพจน์สรุปเอาเองว่า พระสงฆ์ไม่ควรไปเกี่ยวเนื่องกับการเมือง กับการแย่งชิงอำนาจรัฐ ซึ่งก็จริง เรามาทำงานไม่ได้ไปแย่งชิงอำนาจรัฐ เรามาประท้วงเราไม่ได้เป็นตัวการเอง อย่างยุคพธม.เราก็ไปทีหลัง คราวนี้ กปท.เป็นทีมคณะเดิม ก็ออกมาก่อน เรามาร่วมทีหลัง แต่เรามาส่งเสริมเราเห็นด้วยว่างานเช่นนี้เป็นงานที่เป็นประโยชน์ ต่อมวลมหาชนเราก็มาช่วย โดยมีจุดสำคัญที่เน้นว่าจะทำให้เกิดสันติ อหิงสา ขอเน้นว่าได้ผล ตั้งแต่ ทำมา

       ใครเข้าใจผิดก็ให้ขอกล่าวแก้นะ ในพระไตรฯล. 9 ว่าไว้ว่าใครกล่าวว่าเราถ้าเราผิดเราก็รับ เราไม่ผิดเราก็กล่าวแก้ได้

       คุณสุรพจน์ ยังบอกว่าการมาต่อต้านระบอบทักษิณ เป็นการได้อำนาจที่เป็นวิถีทางนอกระบบ เป็นการทำให้เกิดความรุนแรงในตัวมันเอง ไม่ว่าจะยึดอำนาจรัฐโดยกองทัพหรือโดยอำนาจของมวลมหาประชาชนย่อมเป็นความรุนแรงในการละเมิดสิทธิ์ของประชาชนทั้งประเทศ

       พ่อครูว่า...นี่คือโมเมชั่นคนนี้ตีขลุมเลยว่า เราไปละเมิด ไปทำลาย อำนาจประชาชน ทั้งประเทศ เราก็ว่าเราไม่ได้ไปทำลาย อำนาจประชาชนแต่เรามาทำตามสิทธิิหน้าที่ เราไม่ได้มีอำนาจอย่างรัฐบาล เรามาไล่รัฐบาล เราไม่ได้มาไล่อำนาจรัฐประเทศ อันนี้อาตมาพยายามพูดให้ละเอียด เราคิดอะไรฉบับใหม่อาตมาก็เขียนบรรยายหน้าปก ว่า อำนาจรัฐบาลมิใช่อำนาจรัฐประเทศ มันต่างกันอย่างไร จะได้อธิบายความ

               

                      อำนาจรัฐบาล มิใช่อำนาจรัฐประเทศ

 

                  (1) มหัศจรรย์ลั่นฟ้า          ปฏิวัติ   

                  ขนบใหม่ไทยโชว์ชัด         ฉีกหล้า

                  สันติภิวัฒน์ขจัด          อำนาจเก่า

                  มวลมหาชนกล้า         แกร่งด้วยอธิปไตย      

                  (2) คนไทยได้ตื่นรู้            สิทธิ์ตน             

                  อำนาจอธิปัตย์คน       ทุกผู้                             

                  เป็นของประชาชน      เหนือรัฐ- บาลแฮ

                  แต่รัฐบาลด้านสู้          บ่รู้สึกตัว

                  (3) ตนชั่วทุจริตก้อ           ดันทุรัง  

                  หน้าที่รัฐบาลพัง         หมดแล้ว

                  เพราะทำผิดถึงฝัง        ตายหมด สิทธิ์เฮย

                  ขืนอยู่ป่นไป่แคล้ว       ถูกต้านไล่กระเจิง

                  (4) แต่เหลิงหลงยึดบ้า อาเพศ 

                  เพราะโง่ไป่รู้เลศ         ลึกแล้    

                  รัฐบาลรัฐประเทศ        เทียมเท่า กันฤา 

                  อำนาจแค่ใดแท้          บ่รู้แม่นคม

                  (5) ยึดงมงายอำนาจข้า      ล้นเหลือ

                  เพี้ยนอธิปไตยเฝือ-            ฟั่นเพ้อ

                  หลงเลอะเทอะคลุมเครือ      บาล-ประเทศ        

                  จึ่งผิดพาเพ้อเจ้อ         เหนี่ยวฟ้าลงบาดาล

                  (6) "รัฐบาล"มีหน้าที่    งานรัฐ       

                  ตามกฎหมายกำหนดชัด      ระบุไว้   

                  มิใช่รัฐาธิปัตย์                  เทียบอำนาจ ประชาเลย

                  แค่รับใช้ประชาให้      สงบได้สุขดี

                  (7) "รัฐ"นี้"ประเทศ"แท้      ใช่รัฐบาล

                  มีอำนาจเกินกว่าการ          รับใช้

                  "รัฐชาติ"ใช่แค่งาน            กุลีรัฐ

                  แต่ยิ่งกว่าอย่าได้         ผิดเพี้ยนเผยอผยอง.

 

                                    "สไมย์ จำปาแพง"               

                                                11 ก.พ. 2557

              [นัยปก "เราคิดอะไร" ฉบับ 284 ประจำเดือน มีนาคม 2557]

 

       อ.ไชยวัฒน์ว่า...ตอนนี้รัฐได้สรุปว่า กปปส.ที่ได้บริหารจัดการมวลมหาประชาชน กับรัฐบาล นี้ไม่สามารถทำให้เรื่องจบได้ เราพึงพิจารณาอย่างไรว่าท่ามกลางความสับสนของประชาชน ก็น่าจะโยงกับมิติจิตวิญญาณอย่างไร เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจได้เร็วขึ้น ช่อง 13 สยามไทยก็เลยให้ผมมาสัมภาษณ์พ่อท่าน

 

       พ่อครูว่า...อันนี้เจ๋งกว่านายกฯยิ่งลักษณ์นะ ที่ใครมาถามแก แกก็ว่าทำไมไม่ถามให้ตรงคำตอบ...?

       อ.ไชยวัฒน์ว่า..ที่พ่อท่านได้เปิดไว้ก็ตรงกับที่ผมจะถาม ว่าคนไทยเชื่ออะไรไม่เชื่ออะไร แล้วอะไรเป็น

       สอง คำว่าการเมือง จะมีสองมิติ คือที่ทั่วโลกเป็นกันคือการแย่งอำนาจและความรุนแรง และอีกมิติที่พ่อครูได้ชี้แจงมานานคือการเมืองคือการเสียสละภายใต้สันติอหิงสา แล้วโยงเรื่องอำนาจกับรัฐบาล กับประชาชน ก็ขอกราบนิมนต์พ่อท่านตอบคำว่าประชาชนกับการตื่นรู้ ก็ร้อยกับชื่องานนี้ คืองานพุทธาฯ เป็นการจัดที่ผ่านฟ้าฯเป็นครั้งแรก

       เมื่อเช้าก่อนนี้ จะตั้งคำถาม ก็ตามข่าวดู ทุกช่องเลย เราต้องยอมรับว่าข่าวที่ออกมาจะกระทบต่ออารมณ์ของพี่น้องประชาชน เป็นความทุกข์ เรื่องจำนำข้าว มีชาวนาผูกคอตายไปอีกราย และเรื่องจับคุณสนธิญาณ กับค้นบ้าน ซึ่งเรื่องจำนำข้าว แล้วชาวนาผูกคอตาย ก็เป็นเรื่องที่ชาวโลกให้ความสนใจ

       มีผู้ใหญ่คนหนึ่ง คืออดีตนายกฯปัญญา  สรุปปัญญาบ้านเมืองว่า คนที่เชื่ออย่างนี้หรือไม่เชื่ออย่างนี้ก็อาจเป็นจำนวนคนที่ใกล้เคียงกัน แต่ผมว่าเลยเถิดไปแล้วว่าใครผิดหรือถูก เป็นปชต.หรือไม่? แล้วยังมีความเจ็บใจจากเรื่องนำเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นเรื่องทำคนเจ็บใจอย่างมาก? แล้วที่ผ่านมาต่างคนต่างบอกว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่ว่า ปัญญาไม่อยู่ที่นั่น ต่างคนต่างมองเป็นเรื่องปัญหาของพวกพอง คนเชื่ออย่างนั้นเขาก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เชื่ออย่างนั้น?

       และที่พ่อครูพูดเรื่องทิฏฐิ ที่เป็นความเชื่อ ความเห็น ความเชื่อมั่น จะแยกเป็นสองตัวคือ สัมมาทิฏฐิ ที่เป็นสาสวะที่มี 10 ตัว กับสัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะมี 6 ตัว ซึ่งในไทยเขาขยายความเรื่องนี้น้อย พ่อครูเคยพูดว่าปัญหาในประเทศเกิดจากการสะสมทิฏฐิที่ผิดมานาน ขอถามพ่อครูว่าความเชื่อจะแก้ปัญหาสังคมไทยได้หรือไม่?.

       

       พ่อครูว่า...ตอบประเด็นสั้น ว่าความเชื่อจะแก้ปัญหาสังคมไทยได้หรือไม่?....คุณสมบัติจิตวิญญาณที่จะเป็นตัวเชื่อหรือไม่เชื่อ มันเชื่ออะไร และเชื่อมีหลายระดับ

       ความเชื่อมี เชื่อถือ ...เชื่อฟัง...เชื่อมั่น ตามลำดับ มี 3 ลำดับใหญ่ๆ

       เชื่อถือ เรียกว่าศรัทธา  เป็นความเชื่อ ที่ถ้าเพิ่มขึ้นก็เป็นอินทรีย์ เป็นพละ ศรัทธาพละ เป็นความเชื่อมั่น เมื่อมีความเชื่อผิด ทฤษฎีผิดก็จะเป็นโทษ แต่ถ้าเชื่อได้สัมมาทิฏฐิจะมีประโยชน์มาก ประเด็นนี้สำคัญมาก...

       ทิฏฐิคือเร่ิมเข้าใจเริ่มเชื่อ เมื่อมีพลังมากก็จะเป็นปัญญา เป็นความรู้สมบูรณ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าแยกไว้ 10 ส่วนความรู้ทิฏฐิที่จะเป็นปัญญา 6 อย่างจะมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นปฏิภาค

       คุณเป็นพุทธสาสนิกชน ตอนแรกก็แค่เชื่อถือ คือศรัทธา เพราะพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ

       แต่ถ้าศรัทธานั้นไม่มีปัญญาความเชื่อนั้นเละ ซึ่งในพระไตรฯล.24 ข้อ 8 ซึ่งเราจะเชื่ออะไรใหญ่ๆฟ่ามๆไม่มีรายละเอียดนั้นไม่ได้ผล ท่านก็เลยแบ่งให้รู้และทำในศรัทธาสูตร

1.    ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น) เริ่มต้นที่ศีล 5 เป็นต้น

2.   ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15) ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์ให้สมบูรณ์ไปโดยลำดับ ซึ่งไม่ใช่เชื่อโดยไม่มีหลักเกณฑ์ไม่มีสาระ เมื่อมีศีลเป็นกุศล ก็จะเกิด กาย วจี และมโนที่เป็นกุศล ก็จะเกิดจิตสมาธิ ที่ตกผลึกตั้งมั่น จากจิตที่เกิดผลจากสัมมาปฏิบัติ กำจัดกิเลสออกไป ก็จะถูกต้องเพ่ิมขึ้นๆ ก็จะเกิด 

3.   พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น) ตามผลของแต่ละระดับ เช่นโสดาฯ สกิทาฯ ...มีความรู้จริงไม่ใช่รู้แต่ตรรกะ ไม่ใช่แค่รู้มากอย่างเดียว แต่มากด้วยวิมุติที่เป็นแก่นสาร เมื่อได้วิมุติก็เอาไปบรรยายเป็นธรรมกถึก

4.    เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง) คือพระพุทธเจ้าท่านให้ทำตนให้มีคุณอันสมควรก่อน จึงพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง

5.    เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น) พาหมู่กลุ่มหมู่ชนให้รู้สัจจะ ส่ิงที่ควรศรัทธาอย่างดีงาม จนเก่งขึ้น

6.    แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท กว้างขึ้นๆดีขึ้น แล้วจะเป็นผู้ที่ต้องคำนึงหลักเกณฑ์ของวินัย

7.   ทรงวินัย ต้องศึกษาไม่เช่นนั้นจะทำงานพลาด ถ้าทำงานกับวงกว้างต้องแม่นวินัย รู้จักกฎเกณฑ์ของธรรมะและวินัยด้วย แล้วจิตจะเจริญขึ้น

8.   อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา) คือเป็นผู้สงบ ยินดีในความไม่อึกทึก ไม่ยินดีในโลกีย์

9.   ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4  ซึ่งจิตได้ลดกิเลส ได้เผากิเลสจริง เป็นฌานแล้วเสร็จก็จะเป็นผู้ที่

10.  ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

(สัทธา 10  จาก สัทธาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 8)

       โสดาบันเป็นหลักแรก ปฏิบัติแล้วจะเกิดความเชื่อที่มีคุณสมบัติอย่างที่ว่ามา....จะมีหลักประกันจะไม่ก่อความรุนแรงวุ่นวาย เพราะจิตจะยินดีในความสงบ และมีวิมุติด้วย นี่คือคุณสมบัติของความเชื่อที่ทำแล้วจะเจริญอย่างที่พระพุทธเจ้าว่า

 

       มาเรื่องทิฏฐิ แปลว่าความเชื่อ หรือเรียกว่าทฤษฏี ที่เป็นสูตรหลักเกณฑ์ปฏิบัติ

       ความเห็นแรกที่ต้องเข้าใจคือการปฏิบัติตนในชีวิต คือต้องเป็นนักศึกษา ใหญ่สุดคือ ศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญา ใครทำตามครรลองนี้จะเกิด ปัญญา ต้องเรียนรู้สัมมาทิฏฐิ เป็นประธานของมรรคองค์ 8 ต้องเข้าใจในความเป็นจริงของส่ิงเจริญแท้ เป็นปรมัตถ์

 

      เป็นประธานเลย และ 10 ข้อที่พระพุทธเจ้าแยกไว้ คือ

1.   ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ  ทินนัง)

2.   ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.   สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.   ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5.   โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ 

6.   โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)

8.   บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

9.   สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) ตายอย่างไมมีซาก เกิดอย่าง นิพพัตติ อภินิพพัตติ

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

       คุณเชื่อไหมว่า โลกนี้มีไหม สมณพราหมณ์อย่างนี้มีไหม? จนเป็นสยังอภิญญาเป็นของตนที่สูงกว่าปัจเจก สูงกว่านั้นก็เป็นสยัมภู คือพระพุทธเจ้า

       ทางปฏิบัติที่ยิ่งใหญ่ เป็นองค์แห่งมรรค ที่เป็นมรรคองค์ 8 ที่จำมรรคทั้ง 7(สัมมาทิฏฐิ, สังกัปปะ,วาจา,กัมมันตะ ,อาชีวะ,วายามะ(เพียร) ,สติ ทั้ง 7 องค์สั่งสมเป็นเอกกัคคตาจิต เป็นสัมมาสมาธิ ในมหาจัตตารีสกสูตร

        สัมมาทิฏฐิจะเจริญ จะมี

1.   ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา)

2.   ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง)

3.   ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง)  มีพลังงาน static แฝง

4.   ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค) 

5.   ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น 

6.   องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) มีพลังงาน Dynamic แฝง

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 258)

       สังกัปปะมี 7 องค์

       สัมมาวาจามี (การพ้นจากมิจฉาวาจา 4 คือปด ส่อเสียด หยาบ เพ้อเจ้อ)

       สัมมากัมมันตะมี 3

       สัมมาอาชีวะมี 5

       เรางดเง้น จากมิจฉาทั้งหลายก็จะเป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)ชำระกิเลสไปได้เรื่อยๆ รูปขันธ์นามขันธ์สะอาดขึ้นเรื่อยๆ

       โดยปฏิบัติธัมวิจัยสัมโพชฌงค์เป็นองค์หนึ่งของโพชฌงค์ 7 (ที่มี 1.      สติ 2.    ธัมมวิจัยะ              3.วิริยะ      4.   ปีติ        5. ปัสสัทธิ     6. สมาธิ         7. อุเบกขา)

       ผู้ใดนำไปปฏิบัติ ก็จะเจริญจริง แล้วค่อยไปเรียนความรู้ในโลกๆ ทั้งปริญญาต่างๆ

       ปฏิบัติไปจะเกิด ศรัทธา(เชื่อถือ), ศรัทธินทรีย์(เชื่อฟังปฏิบัติตาม), และเป็นศรัทธาพละ(เชื่อมั่น)

       คนไปเข้าใจผิด ปฏิบัติผิด ก็ได้แค่ ลาภสักการะ หรือศีล ไม่เข้าถึงแก่นคือวิมุติ

 

1. กิ่งใบ = ลาภสักการะ เสียงสรรเสริญ

2.สะเก็ด = ศีล

3.เปลือก= สมาธิ

4.กระพี้ = ปัญญา

5.แก่น = วิมุติ หลุดพ้นจากทุกข์

 

       อ.ไชยวัฒน์ว่า...คนไทยไปเชื่อถือเชื่อฟังนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มากกว่า เชื่อถือเชื่อฟังเชื่อมั่นในหลวง ทำให้เกิดปัญหา ซึ่งถ้าคนไทยเชื่อในหลวงจะไม่เกิดปัญหา เมื่อปี 2475 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฏร์ตัดสินใจว่าจะไปเป็นระบอบปชต.อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเป็นระบอบปธน. แต่ก็ตัดมิติจิตวิญญาณออกไปจึงเกิดปัญหา
       อย่างที่สอง เรื่องการเมืองภายนอกฝ่ายซ้ายก็จะเป็นประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินส่วนระบบของฝ่ายขวาก็คือ สังคมนิยมประชาธิปไตย จะเป็นการทิ้งจิตวิญญาณทั้งสองอย่างเลย ไม่เป็นเรื่องเสียสละ สันติ อหิงสา....

       เรื่องที่พ่อครูอธิบายสัมมาทิฏฐิ ของคนที่มีกิเลสอยู่ ที่ต้องทำตามไตรสิกขา และอีกระดับหนึ่งคือสัมมาทิฏฐิของคนไร้กิเลสแล้ว ก็จะเป็นพลัง และที่สำคัญคือข้อสุดท้ายของสัมมาทิฏฐิ 10 คือ   ข้อนี้ไปขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ตะวันตกที่ติดว่าอะไรพิสูจน์ไม่ได้ไม่เชื่อ ซึ่งวิทยาศาสตร์เข้าไม่ถึงการเวียนตายเกิดของจิตวิญญาณ ทำให้สัมมาทิฏฐิมีปัญหา การปฏิบัติก็มีปัญหาต่อไปอีก

       ก็อยากสรุปว่า อุปมาเหมือนว่า...พวกที่กำลังแสวงหาอยู่แล้วลังเลสงสัยมาก ว่าจะเอาหลักวิทยาศาตร์มาจับหรือเอาหลักอะไร...ถ้าข้อ 10 ไม่มีจริงจะมีบุคคลที่เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มาเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ?...เมื่อผ่านยุคของสมณโคดมไปแล้วก็ย่อมจะยืนยันว่า จะมีสมณะพราหมณ์ที่รู้ย่ิงรู้จริงในตนได้ เพราะความรู้ทั่วไปในโลกไม่สามารถทำให้คนตรัสรู้ได้ แต่ก็ยังมีคนสืบต่อมาได้จนบัดนี้

       ที่พ่อครูพาทำร่วมพธม.และกปปส. ที่จับได้คือพยายามสถาปนามิติจิตวิญญาณ เป็นเรื่องการเสียสละ ในการเมืองนี้ ซึ่งคนเข้าไม่ถึง เพราะไม่ว่าใครก็จะนิยามการเมืองว่าเป็นการแย่งชิงอำนาจ ไม่มีใครพูดเรื่องเสียสละ สันติ อหิงสา ก็จะไปขัดกับคนที่เขาคิดว่าต้องรุนแรงจึงจะเปลี่ยนแปลงได้ ก็ต้องพยายามให้ไปถึงจุดเสียสละได้จึงไม่เวียนกลับไปเป็นแบบเก่าที่แย่งชิงอำนาจต่อไปอีก

       ตอนนี้ทักษิณส่งสัญญาณมาผ่านสมชาย ว่าทักษิณอยากเปิดการเจรจา แต่ว่าต้องให้มีการเลือกตั้ง ก็มีบรรหารมารับสนองและอดีตนายกฯอนันต์ก็เสนอเรื่องการเจรจามา

 

       พ่อครูว่า..ขอขยายความว่า...อำนาจที่ว่านี้ รัฐศาสตร์สอนว่าการเมืองคือการแย่งชิงอำนาจ เป็นโลกีย์ ให้อำนาจไปปกครอง ที่จริง คำว่าอำนาจนี้ ภาษาไทยก็มีเพียงคำว่า แรง หรือใช้คำว่าอธิปไตยก็คืออำนาจ

       อำนาจ ที่เป็นรัฐศาสตร์ที่ถูกต้องไม่ใช่การแย่งชิงอำนาจกัน ก็ใช้ภาษาที่มาอธิบาจคือเรื่อง

       อำนาจรัฐบาลนั้นเป็นสิทธิที่จะใช้แรง สามารถ กำลัง ที่จะทำตามกฎเกณฑ์ ที่กฎหมาย รธน.กำกับไว้ คุณทำเกินกว่านั้นไม่ได้ และมีกรอบของการรับใช้ เป็นอำนาจกุลีของรัฐ แต่ทุกวันนี้หลงเหลิงมาก ยึดอำนาจเป็นของตน ละเมิดรธน. เที่ยวสั่งการ ไปเป็นนายเขาหมด ความจริงแล้วเป็นผู้รับใช้ ทำอย่างไรจะให้เขารู้สัจธรรมนี้ เมื่อไปเป็นสส.เข้าไปทำงานในสภา​ฯ แล้วไปเลือกนายกฯอีกที ก็คือตัวแทนไปรับใช้ มีวิธีการคัดเลือกกัน แล้วไปดูคณะผู้รับใช้ประจำคือ ข้าราชการ คือนักรับใช้ถาวร ประชาชนจ้างให้ทำงาน ก็ดันไปเป็นนายประชาชนอีก เขายึดว่าตนเป็นนายทั้งที่ตนคือผู้รับใช้ มันก็พังแล้ว เอาหัวเดินต่างตีน สังคมก็บรรลัย แต่ถ้ามีปัญญาซื่อสัตย์ ผู้รับใช้ก็รับใช้ ขยันซื่อสัตย์ก็เกิดเป็นประโยชน์ต่อสังคมแน่นอน

       อาตมาใช้คำว่า Force กับ Authority ซึ่งอาตมาเข้าใจว่าต่างกัน

       Force จะมีกำลังบีบบังคับ อย่างที่คุณสุรพจน์วิจารณ์อยู่ ซึ่งมันไม่ใช่ เราไม่ได้ทำงานนี้แล้วมีอำนาจ Force แต่เราสร้างอำนาจ Authority เป็นอำนาจโดยธรรม

       1) Force = คือ อำนาจ ที่มีลักษณะของเผด็จการ กดขี่ บังคับ ยัดเยียด

                           ครอบงำให้จำนน ตามความมาก-ความน้อยของการใช้

                           อำนาจนั้น  ถ้ามาก ก็คือ เผด็จการ

                           ถ้าเพียงกดขี่ บังคับ ครอบงำ มากหรือน้อยลงมา เท่าใดๆ

                           ก็คือ การใช้อำนาจนั้น ตามที่มาก-ที่น้อยนั้นอยู่ เท่านั้นๆ

                           นี่คือ อำนาจ เป็น ความชอบธรรม  

                           ซึ่งเป็นอำนาจ ที่สร้างให้ตนด้วยโลกธรรมและเล่ห์กล

                           อันประกอบไปด้วยกิเลส จนคนอื่นเขาตกอยู่ใต้อำนาจ

                           เพราะลาภ-ยศ และเล่ห์ต่างๆ

                           ผู้ที่ยังมีพฤติที่สร้างอำนาจเป็นความชอบธรรม

                           นั่นคือ ผู้ผิดอยู่ ยังไม่เจริญ หรืออวิชชาอยู่  แล้วถือว่า

                           ตนคือผู้มีอำนาจ นี้คือ อำนาจยังไม่เป็นธรรม Force

                           ซึ่งเรียกว่ายังเป็นเผด็จการอยู่มากหรือน้อยตามที่เป็นจริง

                           คนฉลาดในโลกจะสร้างอำนาจให้คนเกรงและกลัว

                           จนไม่กล้าค้านแย้งหรือตำหนิติเตียน ติติง

                           จึงได้เป็นผู้มีอำนาจโดยไม่ชอบธรรม

 (2) Authority = อำนาจ ที่ได้โดยธรรม ของผู้ที่ประพฤติตนดี มีธรรม

                           ซึ่งเป็นความมาก-ความน้อยของคุณค่าความดีความมีธรรม 

                           จึงเกิดอำนาจของสิ่งที่น่าเคารพบูชาในตัวผู้ทำดีทำเป็นธรรม

                           ที่ผู้นั้นสร้างเอง เป็นเจ้าของคุณงามความดีนั้น

                           แล้วผู้คนที่รู้ที่เห็นคุณค่านั้นยอมรับด้วยความเคารพนับถือ

                           จึงยกย่องบูชา และยอมให้แก่ผู้มีคุณงามความดีนั้น

                           อย่างอิสระเสรี ไม่มีใครยัดเยียด หรือบังคับ กดขี่เลย

                           นี่คือ ความชอบธรรม เป็น อำนาจ

                           ผู้ที่รู้จักการกระทำความเคารพต่อผู้ที่น่าเคารพ สมควร                                          เคารพ ซึ่งเป็นครุกรณะ คือ คนยอมยกอำนาจนั้น

                           ให้แก่ผู้น่าเคารพ นี้คือ อำนาจโดยธรรม Authority =

                           right power หรือจะเรียกว่าเผด็จการโดยธรรมก็ได้ ถ้า                                         ไม่ติดยึดอยู่แค่ภาษา

                           พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีอำนาจนั้น

                           ที่ผู้คนยกให้อย่างเทิดทูนบูชาเต็มใจสูงสุด มาแล้วเป็นต้น

                           ดังนั้น ผู้น่าเคารพ จึงเป็นเสมือนผู้มีอำนาจ

                           ที่จะพูดจะทำอะไรกับผู้ที่เขาเคารพนับถือ เชื่อมั่น เขาก็จะ

                           เชื่อฟัง น้อมรับด้วยความเคารพบูชา

                           นี่คือ ผู้มีพฤติที่สร้างความชอบธรรมเป็นอำนาจ

                           เป็นผู้ถูกต้อง ผู้เจริญ หรือมีวิชชาแล้ว

                           ปราชญ์แท้ๆจะไม่สร้างอำนาจให้คนเกรงและกลัว

                           จนไม่กล้าค้านแย้งหรือตำหนิติเตียน ติติง

                           จึงเป็นผู้มีอำนาจโดยธรรม

 

       เราทำให้ความชอบธรรมกลายเป็นอำนาจ สร้างตนทำตนให้มีคุณงามความดี ทำงานรับใช้ประชาชนจะเกิด Authority power ทำได้สูงจนเขายอมยกให้คุณเผด็จการเลย เพราะเขาพาคนอยู่เย็นเป็นสุขอย่างแท้จริงเลย เมื่อสร้างได้จะเป็นอำนาจสมบูรณ์หรือ Sovereign Power สูงสุดเป็น Supreme เป็น Independence

       เราประท้วงโดยทำตามรธน. โดยสันติ อหิงสา ยืนยัน แต่ที่เกิดทะเลาะบาดเจ็บวิวาทเกิดจากคนอื่นทำเรา เอาคนปลอมมาทำให้รุนแรง แล้วใส่ความว่าเราทำ เป็นการทำของคนไม่บริสุทธิ์ เราทำสะอาดบริสุทธิ์ไม่หวั่นไหว จริงในหมู่พวกเราบางคนอาจมีกิเลส ก็ยอมรับ แต่เราก็ยังไม่เห็นว่า มีเกินเลย ถ้าใครทำเกินเลยรุนแรงอย่างนี้เราไม่นับเป็นพวก เราให้ออกไป แต่เขาอาจดื้อไม่ออก มาแทรกแซงเราอยู่  ก็มี

       ที่อยู่กันได้ก็เป็นกำลังเป็นอินทรีย์พละของแต่ละคน เป็นพลังอำนาจคุณธรรม ที่วิทยาศาตร์พิสูจน์ไม่ได้นั้นไม่ใช่ เพราะเราพิสูจน์ได้ พาพวกเราทำมาหลายสิบปี เกิดวิวัฒน์พัฒนา เป็นสันติภิวัฒน์ เกิดสันติอหิงสาได้ขนาดนี้ เปลี่ยนแปลงมาจนเป็นมวลมหาประชาชน ฝ่ายรัฐก็ใช้ทุจริต เขาใช้ไม่ค่อยออก จนเขาลดบทบาทบ้าง พยายามทำให้ตามกฎหมาย แต่ก็ปลอมแปลงแทรกแซงอยู่ เราจับได้ก็มี

       มีบทความเจ้าหนึ่งเขียนยืนยันว่า ...ทำไมเมื่อจับแกนนำมวลชนอย่าง สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ด้วยข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วถึงไม่คิดจะจับ โกตี๋ ที่เรียกระดมมวลชนเกินกว่า 5 คนไปไม่รู้จะกี่ร้อย ต่อกี่ร้อย ยกพหลพลโยธาฝ่าถนนที่ผู้มีอำนาจตาม พ.ร.ก.สั่งห้ามเอาไว้ แถมยังควักปืนผา หน้าไม้ ออกมาซัลโวกับนักรบป็อปคอร์นชนิดสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งบาง...

       แล้วที่ยิงขวัญชัย ไพรพนา ทำไมจับคนยิงได้ทั้งแก๊งค์เลย ที่จริงตำรวจมีฝีมือนะ เราตายไปตั้ง 11 คนแล้ว ตำรวจจับคนร้ายไม่ได้ซักคน ก็ลำเอียงมากเลย

       เรื่องนี้เป็นเรื่องความถูกต้องกับความไม่ถูกต้องเท่านั้นเอง

        ขอตอบว่า...แล้วจะเอาอำนาจอะไรมาชนะ ...อำนาจแห่งสันติ อหิงสา อโหสิ นี่แหละที่เราจะเอามาใช้ อำนาจนี้เป็น อำนาจคุณงามความดี อันนี้จะชนะ จะชนะอย่างไร?....

      คนชั่วเขาจะทำชั่วหนักขึ้น จะชั่วหนักขึ้นด้วยวิธีซับซ้อน แต่อำมหิตมากขึ้น นั้นคือการพองตนของอึ่งอ่างจะสู้ เบ่งให้ตัวโตเท่ากับคนอื่นแต่เป็นความผิด เป็นความว่างเปล่าที่มีแต่ลมพอง ความผิดก็จะขึ้นไป เขาทำผิดมากขึ้น คนทำถูกก็จะทำถูกต้องเพ่ิมขึ้น

      อึ่งอ่างก็จะพองตัว ให้เท่ากับราชสีห์ ยิ่งสู้ไป ความดีเป็นราชสีห์ก็จะมีราศีมากขึ้น แต่อึ่งอ่างก็จะพองตัวสู้ วันหนึ่งจะเกิด ท้องแตกตายเพราะความพองออกไปโดยส่ิงอสัจจะ หรือทุจริตเลวร้าย สังเกตว่าเขาหาเรื่องไม่เป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่อง เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งเห็นเลยว่าหาเรื่อง

       ยกตัวอย่างออกกฎหมายพรก.ฉุกเฉินมาก็ผิด หากตัดสินมาเมื่อไหร่ ศรส.ก็คือศูนย์รักษาสัตว์ แล้วเขายิ่งดิ้น เพราะหากถูกตัดสินก็จะแย่แน่ เขาก็หาเรื่องไปเรือ่ยๆ ส่วนจตุพร ณัฐวุฒิ ธิดานกแสกก็บรรยายครอบงำ ที่มีอันหนึ่งคือเขาว่ามวลมหาสประชาชนลดลงๆ แต่ของเขามีเพ่ิมขึ้นๆ อันนี้เขาก็ดูผิดไปมากเลย และที่จริงทางนี้นอกจากจะสูงขึ้นมากขึ้นแล้วก็ต่อเนื่อง แต่ของเขาก็มาไม่มาก แล้วก็ล้มไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เอาแค่รูปธรรมแค่นี้ก็ไม่จำนน โกหกครอบงำความคิดหลอกคนให้หลงใหลตลอดเวลา

       ส่วนสัจธรรมจะมากขึ้น ทางเขาก็ฟ้องร้อง ทางนี้ก็ฟ้องร้อง มาหักลบกลบหนี้ว่าใครจะติดคุกมากกว่ากัน

       ซึ่งเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ เกิดจากจิตวิญญาณเป็นประธาน เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของไทยที่เกิดจากประชาชนมาปฏิวัติ เป็นการเปบี่ยนแปลงโดยฉับพลัน  ซึ่งคำนี้เสียเพราะเอาทหารมาปฏิวัติ ทำมามาก เลยเสีย แต่เราจะทำอย่างเอาประชาชนมาทำ ไม่ผิดกฎหมาย มาประท้วงตามกฏหมาย ไม่เป็นกบฏ ที่จรงเขาเป็นกบฏ เขาทำผิด ที่จริงอำนาจที่เขาทำอยู่ก็ผิดไม่มีอำนาจเพราะทำผิดมาหลายกระทงหลายวาระ แต่ดื้อดึงดันหาทางเลี่ยงกลบเกลื่อนเท่าน้น

       เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของประชาชนไทย เอาอำนาจAuthority มาปฏิวัติมีพลังปฏิวัติโดยประชาชนเป็นสิ่งเลิศยอด จะใช้เวลานานก็ต้องทน ช่วยกันหน่อย อย่าให้ลดจำนวน เขาจะเอาไปอ้างได้ แม้ยากแต่ทำได้มีผลดี

       คนก็เห็นเลยว่าประชาชนปิดประตูแพ้ มีแต่ชนะท่าเดียว จะชนะเมือ่ไหร่เท่านั้น แล้วประชาชนเห็นจริงไหมเข้าใจไหม ว่าระดมคนมาปฏิวัตินี้มั่นใจว่าถูกต้องดีงามแล้วจะกำหราบสิ่งไม่่ดีงามให้หมดไป เห็นอย่างนี้ไหม ถ้าเห็นต้องช่วยกัน เพราะป็นการปฏิวัติอย่างสันติ เป็นะรรมวุธ เป็นบุญญาวุธ ไม่ได้ใช้อำนาจให้คนกลัว คนไม่กลัวแต่จะชนะด้วยสำนึก เขาด้านจนโด้ โง่จนง่าน เขาไม่ยอมหรอก จะมีสัจจธรรมหลายอย่างช่วยตัดสิน โดยเฉาะมวลประชาชน

       ถ้ามวลประชาชนที่มีอลังการในตัว สมมุตินะว่าตำรวจมาเข้าข้างประชาชน เป็นสัจธรรมที่เข้ามาช่วยความถูกต้อง ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ เแต่เอาเถอะแม้ตำรวจไม่มา ก็ตาม แต่ถ้าสามเหล่าทัพ ทางทหารก็มาเป็นประชาชนไม่ต้องเอาอาวิธีเอารถถังออกมา มาเป็นประชาชน แต่จะมีอลังการ มีอำนาจเชิง สัญญลักษณ์ ว่าทหาร ตำรวจ มีอำนาจที่เขากลัง เกรงกันในที แม้ออกมาโดยไม่ใช้อาวุธก็จะได้ แสดงมาสิ ไม่เชื่อ สามเหล่าทัพออกมาเลยประกาศรวมพลว่าวันนี้ประชาชนจะปฏิวัติ สามเหล่าทัพออกมา เชื่อไหมว่าจบ

       นี่คือการปฏิวัติอย่างสันติอหิงสา ไม่รบราฆ่าฟัน ทหารออกมาช่วยให้เกิดความสงบเรียบร้อย เป็นอำนาจอธิปไตยอขงประชาชน เป็น ฟsovereign ของประชาชน ออกมาพิสูจน์สิ มันมีสัญญลักษณ์ ในตำรวจทหาร แต่ประชาชนไม่มีสัญญลักษณ์ แล้วเราไม่ทำร้ายใคร เขาก็ไม่กลัว เขาก็ว่าด่าไปก็ด่าไปสิ เขาหน้าด้านซะอย่าง จนไม่มีภาษาจะด่าแล้ว แต่เขาก็ แหม ...ทำไมถึงแข็งถึงด้านอย่างนี้ ทนทานจริง ไม่ยอมเลิกรา ก็เป็นจริง แต่ถ้ามีพลังอะไร ที่ไม่ Force แต่เป็นAuthor ซึ่งจะชนะได้ก็ต้องมี

        1.อึ่งอ่างพองลมท้องแตกตายไปเอง เพราะความผิดของตน ทำร้ายตนเองไม่รู้จะเอาหน้าไปขายที่ไหนอีก

      2.ประชาชนออกมามากๆอย่างที่ว่า

      3.มีอีกอย่างคือ ตุลาการตัดสิน หรือองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตัดสินหรือศาลตัดสิน ก็จบ แต่ตอนนี้ก็คาราคาซังอยู่

       แม้ทหารไม่ออกมาก็ตาม แต่ถ้าข้าราชการออกมาทุกกระทรวงทบวงกรม ออกมาบอกว่าไม่รับใช้รัฐบาลผิดๆ บอยคอตเลย ก็จบเหมือนกัน เพราะเขาบริหารประเทศก็ต้องใช้ข้าราชการ ถ้าข้าราชการคว่ำบาตร ออกมารวมกับประชาชนก็จบ เป็นสัจจะที่จะเกิด อันอื่นอาตมาก็นึกไม่ออก

       ประชาชนก็ต้องอดทนรับวิบากต่อไป อีกหน่อยเดียว ไม่ถึง 5 ปีหรอก ตอนนี้อาตมาก็จากเดิมบอกว่า 500 วันแต่ก็ลดจำนวนลงเหลือ 250 วัน ถ้าถึงวันที่ 14 ก.พ.เป็นวาเลนไทน์ และเป็นวันง้วนเสี้ยว เป็นวันฉลองของจีนเขา และเป็นมาฆบูชาเลย เป็นสามพลังเลย จะเกิดอะไรขึ้นก็ยังไม่รู้ได้

       ท่านกำนันสุเทพก็ประกาศว่าเป็นวันแห่งความรัก ที่ยิ่งใหญ่แห่งมวลชน ไม่มีอาฆาตมาดร้าย ดุเดือด มีแต่เอื้อเฟื้อเจือจาน เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเลย ให้ยิ่งใหญ่กว่าวัน Shut down เลย

       ก็มีนัยอย่างนี้เราจะทำประชาชนปฏิวัติ จะเป็นอย่างไรก็พูดได้ประมาณนี้

       อ.ไชยวัฒน์ว่า...มีวันหนึ่งผมไปกราบหลวงปู่พระพุทธอิสระที่แจ้งวัฒนะมา ท่านก็ถามผมว่า เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป...ผมก็ตอบว่าขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ...ท่านก็ว่าเป็นห่วงว่าประเทศไทยจะแพ้....ท่านก็คงเป็นห่วง

       อ.ไชยวัฒน์ว่า...เรื่องที่ประเทศไทยจะแพ้ คือ หากในหลวงท่านทรงทำหน้าที่โดยความชอบที่เสียสละ เป็นผู้ทรงทำหน้าที่ระงับความรุนแรงในประเทศไทยเป็นคราวๆมา เป็นเหตุปัจจัย 2.ประชาชนในฐานเจ้าของอำนาจอธิปไตย มาแสดงเจตจำนงค์ และประชาชนประกาศเคลื่อนไหว แล้วหากประสพผลสำเร็จตนเองไม่รับตำแหน่งใดๆ ซึ่งเป็นทิศทางการเสียสละ แต่พวกที่เป็นนักการเมืองที่แสดงหาผลประโยชน์ แล้วผลการเลือกตั้งชี้ผลว่าเป็นอย่างไร คนที่เข้าคูหา นั้นมี 33% คนทีทำบัตรเสีย ไม่เข้าคูหา และไม่เลือกนักการเมืองมี 77 %

       แล้วที่พ่อครูได้พูดเรื่อง Force และ Authority เป็นไปได้ไหมว่า Force ตรงกับสมถะ และ Authority ตรงกับวิปัสสนา จะไห้หรือไม่?....ก็ขอทิ้งประเด็นไว้เช่นนี้....ขอกราบนมัสการลาครับ...       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:15:42 )

570213

รายละเอียด

570213_ทวช.งานพุทธาฯที่ผ่านฟ้า โดยพ่อครู เรื่อง อนุปุพพิกถาโดยพิสดาร

       เราก็มาอธิบายกันต่อ ชีวิตเราที่ได้สิ่งที่ดี แต่ละวันๆ พร้อมทั้ง กาย วจี มโนกรรมที่เป็นประโยชน์ ได้ฝึกปรือ เพราะมีสัลเลขธรรม มีส่ิงที่เราต้องสังวรระวัง ได้มี สังวรปธาน ปหานปธาน ไม่ใช่ว่าปล่อยตัว แต่นี่เรามีผัสสะมากมายรอบด้านให้เราได้รู้สึก ได้เข้าใจ ได้ระมัดระวัง ทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่จะให้เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะถ้าผู้ใดสามารถเก่ง มีวสี เข้าไปรู้เท่าทัน มีสติ สัมปชัญญะ สัมปชาโน เข้าไปถึงจิต เก่งในการทำจิต ให้มุทุภูเต สูงขึ้น แววไว

       เมื่อกระทบสัมผัส เปิดทวารอยู่ เราก็จะรู้มีสติสัมปชัญญะ ปัญญา สัมปชาโน สามารถระมัดระวัง กำจัด จนจิตเราเจริญ สัมปัตตะ เจริญเป็นรอบๆมีสัมปันนะ จิตเราก็ บริสุทธิ์ขึ้น เป็นอุเบกขา คือจิตที่ไม่มีนิวรณ์ อ่านสัมผัสรู้ในวิโมกข์ 8

1.   ปริสุทธา   (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .

2.   ปริโยทาตา  (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.   มุทุ  (รู้แววไว  อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) .

4.   กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงานอันไร้อคติ) . 

5.   ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 

 

       สามารถรู้ในวิโมกข์ 8

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) . (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

พตปฎ. ล.10  ข.66 /  ล.23  ข.1

       

ปฏิบัติอย่างลืมตา ถึงนิพพานอย่างลืมตาเห็นๆ จักขุมาปรินิพพุโพติ การไปนั่งหลับตาทำฌานนั้นไม่ใช้ทำฌาน มันไม่ครบขององค์ประชุมของกาย ในวิโมกข์ 8 ที่ต้องสัมผัสรูป สัมผัสนามได้ครบ ไม่ต้องฝันเลยว่าเราจะได้ สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ เลย

       อธิคือเจริญไปตามลำดับ จิตก็โน้มไปสู่เจริญ ไปสู่จุดเป้าหมาย แห่งธงชัย ของชีวิต เมื่อได้ก็จะเป็นสุภันเตวะ คำว่า สุภะ ก็แปลว่าโชค คือสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็น หรือแปลว่า งาม หรือเจริญ อย่างที่น่าปรารถนา จนถึงที่สุด เป็นสุภันตะ จะมีสิ่งนั้นเกิดจริง

       องค์ประชุมกาย มีทั้งรูปและนาม เมื่อเราสัมผัส เราก็อ่านองค์รวมคือกาย อ่านรู้องค์ประชุม เมื่อเลื่อนเข้าไปภายในเราก็อ่าน ตั้งแต่งานอาชีพ จนถึง กายกรรม วจีกรรม ขยับ เอี้ยวแขน ไกวขา ทั้งนัจจะ คีตะ เราก็ตามรู้ทุกกายกรรมวจีกรรม โดยอ่่านเข้าไปถึงจิต ทั้งการงานอาชีพ ปรับให้เป็นสัมมา ละเว้นมิจฉาอาชีวะ

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง .

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยงทายไม่ตรงแท้

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา)

(พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 275   มหาจัตตารีสกสูตร)

 

       ต้องพิจารณามีสติปัฏฐาน ถ้าเราทำอาชีพเลวร้าย การโกงเป็นอาชีพหยาบคาย มอมเมา เป็นอบาย เป็นอาชีพชั่ว มอมทั้งตนและคนอื่น เช่น อาชีพ รัฐมนตรี หรือข้าราชการ มียศฐานะสูง แต่ว่าทำการโกง ก็ไม่ถือว่าเป็นอาชีพที่ดีที่สูงแต่อย่างใด ไม่ได้นับถือที่ชื่ออาชีพ แต่ว่าอยู่ที่พฤติกรรม กุหนา ให้สังวรระวัง เลิก อย่าทำ คุณจะถือศีลหรือไม่ก็ให้นึกเอาเองว่าจะอยู่ใน

       ลปนา คือพูดชั่ว กลับกลอกตลบแตลง พระพุทธเจ้าว่า คนโกหกทั้งๆที่รู้นี่ไม่มีชั่วใดที่ทำไม่ได้ นักการเมืองทุกวันนี้เห็นเลยว่าโกหก แต่ก็ขอไวท์ไล หน่อย ซึ่งเขาไม่มีปัญญารู้ว่าส่ิงนี้ชั่ว คนที่คิดว่า ถ้าทำชั่วมาแล้ว รู้ตัว แต่ก็จะทำต่อ ซึ่งคนเราผิดได้ชั่วได้ แต่ก็จะทำต่อ ความคิดนี้มีแต่นรกกับนรก ตกต่ำไม่มีฟื้น ก็ขอให้สติผู้บริหารปกครองที่ทำมีผลกับสังคม ทั้งสมัครใจทำหรือเป็นข้าราชการ ทั้งประจำและการเมือง หรือนักธุรกิจ ซึ่ง กุหนา เป็นอาชีพมอมเมา

       มอมเมาด้วยรูป ด้วยรส ด้วยเสียง ด้วยสัมผัส มอมเมาให้คนติดเมาด้วย สุรา เมรยะ มัชชะ มอมในระดับ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ หรือหยาบ กลาง ละเอียด

       นักการเมือง ตอนนี้มอมเมากันจัดจ้านจนทำร้ายทำลายกัน ปรุงกันจนหลงใหล ต้องมีต้องได้ต้องเป็น สวยเลิศทั้งนั้น และมีทั้งกามและอัตตา ว่าอย่างนี้สูง ไฮโซ ต้องมีอย่างนี้ประดับ หลอกล่อทั้งกาม ทั้งศักดิ์ศรี ฐานะ ต้องไฮโซ ต้องแพงต้องนำหน้า ในกามคุณ หลอกกันไป ครอบงำกันไป เดี๋ยวนี้แฟชั่นทางศักดิ์ศรี ศักดินา มอมเมาสมมุติให้หลงติดกันไป เลอะเทอะ ติดแล้วอยากได้ แพงก็ต้องเอา เป็นจิตวิทยา ครอบงำ ให้หลงอยากได้อยากมีอยากเป็น แล้วแสวงหา กระเสือกกระสนจนได้จนมีจนเป็น

       เป็นทาสสังคมอย่างนี้คือคนตนใต้อำนาจโลกธรรม แต่ผู้ที่ได้ออกจากกามแล้ว ไม่เป็นทาสของกามแล้ว รู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เราไม่หลง ผู้เป็นอนาคามีไม่มีกามโทษแล้ว มีแต่ความไม่สบายใจภายใน ระดับอนาคามี ไม่มีทุกข์กับผัสสะภายนอกแล้ว อยู่กับโลกธรรมทั้งหมด แต่ท่านพ้นแล้ว จิตอยู่เหนือ เป็นโลกุตระ จิตเหนือโลกธรรม เหนือกาม ก็เหลือกิเลสภายใน อนาคามีก็เพ่งรู้ เพ่งเผากิเลส  อนาคามีจะรู้ว่าทุกข์คืออะไร อกุศลจิตคืออะไร จะลดละ ด้วยปหาน 5 ไปตามลำดับ อยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่หลีกหนีจากการงาน จากสังคม จากอาชีพแต่อย่างใด จะมีการนึกคิดการรู้ สามารถปรุงแต่ง แต่ว่าไม่มี ส่ิงที่พาไม่ดีไม่งาม คือตัวสมุทัย คือตัวกิเลส อยู่กับชีวิต แต่ไม่เอาของใคร ไม่ละเมิดของใครในฐานะอันเป็นขโมย แม้วัตถุก็ไม่ละลาบละล้วงเอาของคนอื่น เป็นอทินนาทาน       

       เรื่องเพศเราก็ลดละไปตามลำดับ ตั้งแต่ศีล 5 มีผัวเดียวเมียเดียว อย่าไปสำส่อนเลอะเทอะ ว่าจาก็อย่าไปส่อเสียด เพ้อเจ้อก็ค่อยศึกษา แต่พูดปดนี่อย่าไปมุสาอย่าทำ หรือเมาสุราในระดับแรกอย่าทำ หรือเมาในระดับลึกเข้าไปก็ค่อยทำต่อ ส่ิงที่เราไปเมาแม้จะได้โลกธรรมก็อย่าทำเลย

       รู้ว่าไม่ควรเราอย่าเสี่ยงทำเลย จะเป็นข้าราชการ หรือนักธุรกิจก็ตาม ไม่ทำสิ่งที่เป็นการตลบแตลง ยังเสี่ยงทายไม่ตรงแท้ งานธุรกิจคืองานที่ทำความรู้ความสามารถ แต่ไปสมมุติว่านักธุรกิจต้องทำบริษัทที่ใหญ่โต นั้นไม่ใช้แค่นั้น แม้ทำงานการด้วยความรู้สามารถแม้เล็กน้อยก็เป็นธุรกิจ

       ถ้าเอาศีล 5 เป็นหลัก

       อันหนึ่งอย่าไปเบียดเบียนเขา

       อันสอง อย่าไปรักมากจนไม่ใช่ของเราก็ไปเอามา

       ข้อสาม ก็คือสัมผัส กามคุณ 5  ก็ต้องเรียนรู้สัมผัสทั้ง 5 ที่เราหลงไปเสพรส ส่วนโลภคือเอามาเป็นของตน ซึ่งกามเป็นคำกลาง คือการใคร่มาเสพรสและเอามาเป็นของตน อนาคามีจะหมดกามและเหลือแต่รูปราคะ อรูปราคะ ไม่โลภมาเป็นของตนแล้ว แต่เสพรสอยู่

       ศีลข้อ 3 เอาที่กาม เอาแต่หยาบภายนอกก่อน

       ศีลข้อ 4 อย่าปด ในอโศกเราเอาจริงเอาจัง ทุกชุมชนต้องสังวรระวังถือศีล 5 ใครผิดก็เท้วงติง

 

       ศีลธรรมเป็นสิ่งดีงาม แต่เขาละทิ้งไปเกือบหมด แต่เราทำอย่างจริงจัง เรายกคนที่ควรยก ตำหนิส่ิงที่ควรตำหนิ เราไม่ได้ข่ม จิตเราไม่มีข่มท่าน แต่ว่าด้วยท่าทางลีลา สุ้มเสียงสำเนียงอาจดูเป็นการติการข่ม ก็คนที่เขาชั่วไม่สำนึก ชั่วไม่เคยแก้ไขเลย ถ้าอยู่ด้วยกัน แล้วปรารถนาดีก็ไม่ดุไม่ว่ากล่าวจะทำอย่างไร ก็พรหมทัณฑ์กันเท่านั้น ไม่ตำหนิว่ากล่าวท้วงติง เอ็งเป็นหมาตัวหนึ่งเท่านั้น ใจดำกันขนาดนั้นเลยก็ไม่ดี เราด่าว่าดุก็เหมือนพ่อแม่ดุลูก ว่าด้วยไม่โกรธเคือง อย่างพ่อแม่ดุลูกก็วูบวาบไม่ได้โกรธจริง แต่ถ้าทำมากๆก็ชิน โกรธจนชิน โกรธลูกแล้วก็ไปโกรธคนอื่นได้อีก มันไม่ดี หากไม่ได้เรียนรู้ศึกษาจิต

       บางทีจิตซ้อนลึกซึ้ง เราปรุงแต่ง กายกรรม วจีกรรม ปรุงโดยไม่มีจิตสสังขาริกัง คือจิตชั่ว แต่เราทำด้วยมโนสัญเจตนาดี ปรารถนาดี เรารู้ทันว่าเราต้องปรุงแต่งอย่างนี้เป็นดาราตุ๊กตาทอง ทำเหมือนโกรธเหมือนแรงเหมือนดุ เราต้องปรุงจิตเรา มันเมื่อยนะ เป็นปฏินิสสัคคะ เป็นสัจจะย้อนสภาพ เป็นอนุโลมปฏิโลม พระอรหันต์จะรู้ว่าเราจะมีสัจจานุโลมิกญาณ พอเหมาะควร รู้จักสมณสารูป รู้จักนัจจะคีตะวาทิตะ แล้วประมาณ ใช้การปรุงแต่งเป็นกายวิญญัติ ที่มีอัญญุตา กัมมัญญตา แปลว่ารู้ย่ิง ถ้าอัญญานี่รู้ เป็นธาตุรู้ระดับโลกุตระ 

       ดูแลจัดแจงตั้งแต่สังกัปปะ ฝึกจิตตั้งแต่ต้นทาง รู้จักสังเคราะห์สังขาร เรียนรู้กลไกของกาย วจี มโน อย่างรู้ต้นทางคือจิต ที่จะทำให้เกิดเจริญทั้งกาย วาจา ใจ ฝึกสัปปุริสธรรม 7

1.   ธัมมัญญูตา    (รู้จักทุกองค์ประกอบ) 

2.   อัตถัญญูตา   (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย) คือตัวเรา

3.   อัตตัญญูตา   (รู้จักตนเอง)

4.   มัตตัญญูตา   (รู้จักประมาณสัดส่วน)

5.   กาลัญญูตา    (รู้จักกาลสมัย)

6.   ปริสัญญูตา    (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น) .

7.  ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น)

(พตปฎ. เล่ม 23  ข้อ 65)

 

       การปฏิบัติของพระพุทธเจ้าจะมีประมาณในสัปปุริสธรรม 7 แม้กาลัญญุตา ในขณะนี้ หรือในบุคคล ก็รู้ไปหมดทั้ง 7 เป็นนักจัดองค์ประกอบ นี่คือสัปปุริสธรรม 7 ประการ

       จะเป็นสัตบุรุษ คือผู้ที่มีการรู้การประมาณในการจัดองค์ประกอบที่เราไปร่วมกับสังคม ผู้ที่ฝึกมาอย่างสัมมาทิฏฐิจะรู้ สังกัปปะ วาจากัมมันตะ อาชีวะ ปฏิบัติจะมีสาราณิยธรรม 6

1.    เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .

2.   เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

3.   เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

4.    แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย   (ลาภธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .

5.    มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย

       (สีลสามัญญตา)

6.    มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย .  (ทิฏฐิสามัญญตา) . (พตปฎ. เล่ม 22  ข้อ 282-283)

       สังคมไทยพุทธ จะมีศีล 5 ให้มากให้ถ้วนทั่ว ถ้าประเทศไทยเราเรียนรู้สังวรศีล 5 ถ้าทำได้นี่ออกกฎหมายเลยในศีล 5 แต่มุสลิมนี่เป็นกฎหมายเลย แต่ไม่เข้ากับพุทธ ซึ่งพุทธเป็นอิสรเสรภาพ เป็นเอกราช ก็ยากอยู่เหมือนกัน แต่ก็น่าจะทำได้ ใครไม่เอาก็ช่างเขา แต่เราจะจัดให้เป็นการศึกษาเลย อย่างสัมมาสิกขา เราก็ให้มีศีล 5 เป็นอย่างต่ำ

        มาเรียนรู้หลัก อนุปุพพิกถา

ทาน

ศีล เป็นหลักออกจากความชั่วทุจริต ชาวพุทธต้องรู้จัก

สัคคะ (สวรรค์) .

กามาทีนวะ  โทษของกาม .

เนกขัมมะ  การออกจากกาม

       ส่วนไม่ดีของเราเราต้องออกจากความไม่ดีของเราทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งกัมมันตะ ทั้งอาชีวะ โดยควบคุมจิตที่สังกัปปะ หลักในการควบคุมจิตคือมรรคองค์ 7

       การปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา

       ทานคือการให้ เราทำมากแต่ใช้น้อย มีเหลือก็ให้แก่คนอื่น ทั้งแรงงาน ข้าวของ ความรู้ เป็นกรรมกิริยาที่ให้อยู่ตลอดเวลา ผู้นั้นคือมนุษย์ประเสริฐ ชีวิตมนุษย์เพื่อทานอย่างเดียวคือมนุษย์ประเสริฐ โดยทานเป็นตัวจบ ชีวิตได้ให้นี่คือตัวจบ วิธีปฏิบัติคือมีสัมมาทิฏฐิ

1.ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) ทำเพื่อล้างกิเลสออกจากจิต ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ คือเนกขัมมะคือการเอาออก แต่หากเราได้สมใจคือโกรธอยากให้เขาเจ็บปวดอยากให้เขาตาย พวกนี้เป็นโทสะมูล ถ้าเขาล่มจมได้สมใจเราก็ดีใจพวกซาดิสม์ ทั้งโลภะ ก็มีสมใจ สมใจทีไรก็กิเลสเพิ่ม เพราะไม่มีสัมมาทิฏฐิ

2.ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) คือได้ผลว่าชำระกิเลสหรือไม่ ทุกกรรมกิริยาคุณได้ล้างกิเลสได้ชำระกิเลสไหม หรือคุณได้บำเรอกิเลส โลภ โกรธ หลง ชีวิตคุณได้แต่บำเรอสวรรค์ ไม่รู้จักโทษ ในกาม เป็นกามาทีนวะ

3.สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ .

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) .

8. บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) . .

 9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) . . .

 10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . .

       ถ้าปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่มีผล แม้สอนทานก็ไม่ได้สอนให้สละกิเลส เขาสอนกันว่าให้ของแล้วทำใจในใจว่าเอา แม้กรรมภายนอกให้ แต่ว่าใจกลับเป็นใจที่เอา หรือแม้ให้ทองคำ ก้อนใหญ่ ราคาหลายล้านบาท แต่จิตคุณไม่ได้ให้ ไม่เคยมนสิการอย่างถ่องแท้ ว่าจิตคุณได้ให้หรือไม่ อย่างประชานิยมนี้ หากินกับคำว่าช่วยเขา หลอกเขาว่าได้ให้ แต่กลไกการให้นั้นโอ้โห เช่นหลอกว่าจำนำข้าวจะให้ชาวนาสบาย แต่หลอกเลห์โกงเขา จนชาวนาผูกคอตายไปหลายคนแล้ว ตอแหลทั้งนั้น หาเสียงก็ว่าจะช่วยเขาแต่ว่าเข้าไปแล้วโกงกินมากมาย      

       ให้ทองไปก็จำบุญคุณไว้ ให้เขาต้องตอบแทน ดีไม่ดี เอาทองคำให้หลวงตาบัว ว่าสาธุ ให้ไปแล้วก็ขอให้ได้รวย ได้มากๆ ตั้งอธิษฐานจริง มโนกรรมผนึกเลยว่าให้ได้ทองมากกว่านี้ร้อยเท่า นี่คือคุณทำใจไม่ใช่ทาน แต่ว่าทำใจโลภ คุณทานก็ยังไม่รู้เลยว่าจิตคุณมีผลไหม ได้ล้างความโลภไหม แต่ไม่ว่าสำนักไหนก็สอนให้ท่องบท ว่าตั้งจิตผิด พอท่องเสร็จ ถวายสังฆทาน ก็ว่าอิมินาสักกาเรนะ ให้ก็ไม่ได้ให้จริง แต่ให้ไปที่พ่อแม่ตระกูลที่ตายไป ให้แต่คนรักคนชอบ ให้ไปก็ไม่ได้ทาน

       ทาน ศีล ภาวนา ก็คือทำให้เกิดผลลดกิเลส ถ้าทำได้ โลกนี้ก็ไม่ต้องมีตำรวจหรอก ทุกวันนี้ตำรวจก็เบ่งอำนาจทำเสียหายมากในประเทศไทย ต้องทรมานทรกรรมไปอีกนาน

       ปฏิบัติศีล 5 ไม่ต้องหนีไปไหน ตัวเราระวังสังวร ปฏิบัติอย่างมีผล เป็นยัญพิธีที่บูชาแล้วเกิดผลดีแล้ว สังเวยที่บวงสรวงแล้ว คือผลที่ได้จากการปฏิบัติคือได้ลดละกิเลสหรือไม่? คุณได้มีจิตอธิมุติ โน้นน้อมไปละหน่ายคลายหรือไม่ ออกจากกิเลสโลภโกรธหรือไม่

       จิตหุตัง ต้องอ่านรู้ตรวจด้วย เตวิชโช

1. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน  มารู้อาริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)

2. จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรือสัตว์อริยะ) 

3. อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)

(พตฎ. เล่ม 9  ข้อ 127 - 138)

       ทำอย่างรู้ ไม่ใช้งมงายไม่รู้เรื่อง ทำอย่างชัดเจน จิตทาน ทำศีล ภาวนา เกิดผล วิมุติ อธิมุติ เป็นกถาวัตถุ 10

1.   เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา) 

2.   เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา) 

3.   เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) 

4.   เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา)

5.   เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา) 

6.   เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)

7. เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ  (สมาธิกถา

8.   เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)

9.   เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส  (วิมุติกถา) 

10. เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)

 

       เราต้องมาแบบคนจนตามที่ในหลวงตรัส ถ้าไม่มาจนมุ่งมาจนมาไม่ได้หรอก ทุกกรรมกิริยาคุณได้ล้างกิเลสออกจากจิต หรือไม่? ซึ่งโลกเขาก็มีแต่จะเพิ่มกิเลส เราทำไปตามลำดับ ธรรมะพระพุทธเจ้างามในเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย

       ทานเราต้องรู้การให้ ทั้งกาย วาจา ใจ นักปฏิบัติธรรมต้องอ่านองค์ของสังกัปปะ 7       

1.ความตรึก (ตักโก)

2.ความตรึกอย่างแรง (วิตักโก)

3.ความดำริ (สังกัปโป) --> (เป็นปุญญาภิสังขาร) 

4.ความที่จิตแนบอยู่ในอารมณ์ (อัปปนา)

5.ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ (พยัปปนา)

6.ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ (เจตโส  อภินิโรปนา)

7.ความดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) ในสมัยนั้นอันใด

นี้ชื่อว่า สัมมาสังกัปปะ มีในสมัย(ทำฌาน)นั้น

(พตปฎ. ล.34  ข.81)

       การจะออกมาเป็นองค์ประกอบทั้ง กาย วาจา ทั้งเอี้ยวแขน ไกวขา นัจจะ คีตะ วาทิตะ ก็อยู่ในองค์ประกอบของสังกัปปะ 7 ต้องรู้ตักกะคือเร่ิม คุณต้องทำให้วิ คือไม่มีสิ่งที่ไม่ควรมี ให้กว่าจะออกไปทำงานต้องผ่านวิตักกะ กรองเอากิเลสออก ต้องอ่านกามวิตักกะหรือ พยาปาทวิตักกะ ต้องกรองเอาส่ิงนี้ออกก่อน

      ต้องเอาความรู้ของพระพุทธเจ้ามาประกอบ ด้วยวิชชา 8

1.   วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง)  

2.   มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้) 

3.  อิทธิวิธญาณ (ความเก่งหลายอย่างในการที่จิตมีอานุภาพ เพราะปราศจากกิเลสแล้ว)  ดูรายละเอียดใน พตปฎ.ไม่ใช่่ว่าไปเหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน อย่างมีฤทธิ์

       เมื่อเราสามารถทำศีลตามฐานะ ขัดเกลากิเลส ให้สูงขึ้น มีวิมุติหลุดพ้นไปตามลำดับ มีวิมุติญาณทัสสะ เป็นอุภโตภาควิมุติ

       เราต้องรู้สุขโลกีย์ สวรรค์หอฮ่อ ต้องรู้อุปัตติเทพ ต้องรู้โทษของกาม หากเราล้างกามได้ก็เป็นอุปัตติเทพ

1. สมมุติเทพ  (คนที่มีสภาวะจิตเสพโลกียสุขได้สมใจ)

2.  อุปปัตติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเกิดความเป็นอาริยะ)

3.  วิสุทธิเทพ  (คนที่มีสภาวะจิตบริสุทธิ์ขั้นอรหัตตผล)

       แต่ทุกวันนี้สังคมขาดคนกล้า  มีแต่อสุรกาย คือความไม่กล้าทำดี ทุกวันนี้ข้าราชการหรือผู้มีหน้าที่ตัดสินไม่กล้าตัดสิน เพราะกลัวเสียโลกธรรมหากข้าราชการใดแกล้วกล้าออกมา ไม่ร่วมมือกับคนผิด หากมีข้าราชการไม่เป็นอสุรกายออกมา การต่อสู้จะชนะเลย ข้าราชการออกมาเป็นปชช. นอกเวลาราชการก็ออกมาเลย ตอนนอกเวลาราชการ อย่าเป็นอสุรกายมากนักเลย จิตเราเป็นอสุรกายก็รู้ เป็นเปรต เป็นเดรัจฉาน หรือเป็น วินิปาต

       เราต้องมีความพอใจในการปฏิบัติ ในมูลสูตร

1.   มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.   มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)

3.   มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)

4.   มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)

5.   มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

       วิธีปฏิบัติศีล อย่างไรให้กิเลสลด ทานอย่างไรให้กิเลสลดทำอย่างไรก็เลยปฏิบัติผิดๆ ต้องทำอย่างมีมนสิการเป็นสัมผัสแตะต้องแล้วทำใจเป็น ทำทาน ถือศีลอย่างไรให้ลดกิเลส สัมผัส หรือผัสสะต่างๆ เป็นเหตุให้เราได้ปฏิบัติ ตามกรอบศีล ของแต่ละคนๆ บวงสรวงแล้วบูชาแล้วทำให้จิตเรามีผล เป็นอัตถิทินนัง อัตถิยิตถัง อัตถิหุตัง จิตเราทำให้สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน ถูกกำจัด

       แต่ว่าไปกำหนดผิดๆ ไม่รู้สัตว์ในสัตตาวาส 9 ทั้งที่สัตว์แต่ละอย่างก็กำหนดรู้ในขณะผัสสะนี้ เป็นสัตว์นรก สัตว์เปรต สัตว์เดรัจฉาน โง่ไม่เสร็จ โง่ไม่ปล่อยไม่คลาย เป็นเดรัจฉาน โง่ไม่เงย ต้องกำหนดรู้ใน สัตตาวาส 9

1.   สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

2.   สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น 

3.   สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) 

4.   สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)

 

       กำหนดรู้ในกาย วาจา ใจ จับสมุทัยในจิตได้ ของเรารู้เราจัดการ กำจัดมัน อย่างน้อยกดข่มไว้ แล้วค่อยพิจารณาว่ามันเป็นของเป็นโทษ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ พิจารณาให้เกิดจิตหน่ายคลาย เราไม่น่าโง่ดักดานอยู่กับกิเลสพวกนี้เลย เราจะมีวิปัสสนาญาณ จะเข้าใจ จนมีอาทีนวานุปัสสนาญาณ มีมุญจิตุกัมมยตาญาณ

       ซึ่งความใครอยากมีทั้งบำเรอกามและอัตตา เราต้องล้างออก ทำทาน ศีล ภาวนา ซึ่งภาวนาไม่ใช่ไปนั่งท่องบ่น

1.   ทานมัย (บุญสำเร็จด้วยการให้ - การสละออก)

2.   ศีลมัย (บุญสำเร็จด้วยการชำระล้างกิเลสออก)

3.   ภาวนามัย (บุญสำเร็จด้วยการทำผลเจริญให้จิต)

ผู้แยกออก เนกขัมมสิตะกับเคหสิตะออกจะรู้

       เข้าใจสวรรค์โลกีย์และสวรรค์โลกุตระ เราตัดสวรรค์โลกีย์ออกจากโลกธรรมได้มีเนกขัมมะ เป็นอุบัตติเทพ เป็นวิสุทธิเทพ การออกจากกาม เราก็อยู่กับโลกเขาอยู่อย่างเดิม แต่ใจเราไม่ยึดติด เรามีเราก็แบ่งแจกสังคม ชีวิตก็ประเสิฐ เป็นประโยชน์ต่อสังคม...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:18:19 )

570213

รายละเอียด

570213_รายการตอบปัญหาประชาปฏิวัติ ตอน 2 ที่ผ่านฟ้า โดยพ่อครู

       อาตมาเองก็ตั้งชื่อว่า ตอบปัญหาประชาปฏิวัติ เพราะว่าการมาชุมนุมประท้วงครั้งนี้ มีอำนาจ มีพลัง มีความเป็นไปได้ที่ยังไม่เคยมี ที่มีพลังมวลประชาชน หรือเรียกว่าอธิปไตย เป็นอำนาจที่ไม่ใช่อำนาจทำร้ายทำลาย รุนแรง ที่เขาใช้กันตั้งแต่เป็นสัตว์ จนมาเป็นมนุษย์ก็ใช้ แต่ว่าอำนาจที่ไม่ใช่อำนาจรุนแรงทำร้ายทำลาย เป็นแต่เพียงว่าเราจะประท้วงต่อต้านส่ิงที่คุณทำ ว่าให้คุณเลิก มันใช้ไม่ได้

       และทำอย่างถูกต้อง เป็นอำนาจโดยธรรม เป็นอำนาจที่ดี คราวนี้เราออกมาประท้วง ครั้งก่อนๆเราประท้วง แต่คนยังเข้าใจไม่ได้ ประเทศต่างๆก็เคยทำ แต่ประเทศต่างๆที่ออกมาประท้วงก็ยังใช้ความรุนแรง

       แต่เราทำอย่างเราความจริง ความถูกต้องมาชี้ แต่เขาก็ดื้อด้าน ซึ่งแม้ว่าเขาจะไม่รู้ แต่ว่าในคนไทยทำได้ในการนำอำนาจ Authority มาใช้ จนทุกวันนี้เขากลัว เขาเลี่ยงถอย แต่เสแสร้งทำสู้ ไปอย่างนั้น สีหน้าของธาริต ของเฉลิม พยายามเป็นประชาธิปไตยปลอม ว่าข้าถูก ข้ามีอำนาจ ตลอดเวลา แต่ถ้าใครสามารถอ่านกายวิญญัติ วจีวิญญัติได้ จะเห็น องค์ประกอบของนัจจะคีตะวาทิตะ พยายามหาพวก พยายามครอบงำความคิดตลอดเวลา แต่ก็ต้องเป็นไปตามความจริง

       อำนาจมวลประชาชนเป็นอำนาจโดยสุจริต โดยสันติ อาตมาเรียกวา อำนาจ สันติภิวัฒน์ เป็นการวิวัฒนาการ ด้วยความสันติ จะเรียก สันตาภิวัฒน์ก็ได้ เรียกสันติภิวัฒน์ก็ได้  แม้ยังไม่สำเร็จ แต่มีผล เกิดความรู้ความเข้าใจ แต่ก่อนนี้ก็ทำมาแต่ตอนนี้เข้าใจขึ้นว่าการประท้วงด้วยสันติ ไม่รุนแรง สงบนี่ เป็นของจริง เป็นสัจธรรม เป็นอธิปไตยที่แท้จริง

       กำนันสุเทพเข้าใจดี บอกว่าไม่มีการทำรุนแรง เขาจะมาอย่างไร เราจะนั่งสงบ สวดอิติปิโสฯ ให้มันรู้เลย คนชั่วจะทำชั่วมากขึืนคนดีจะทำดีมากขึ้น คนดีเหมือนราชสีห์ แต่คนชั่วเหมือนอึ่งอ่าง ที่จะพองตัวแข่งกับราชสีห์ เขาเบ่งด้วยกำลังความชั่ว อ.แก้วสรร อธิบายว่า ที่เขาอ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น แต่ตอนนี้ทางศาลก็ไม่ให้ยื่นขยายการควบคุมตัวคุณสนธิญาณ  ซึ่งก็มีตุลาการช่วยด้วย

       แม้ทหารตำรวจไม่ออกมา แต่ถ้าข้าราชการทั้งหมดออกมา ไม่ยอมรับใช้รัฐบาลที่ไม่เป็นธรรมแล้ว ทำ Civil disobedience ทำอาริยะขัดขืนเลย คนเจริญแล้วจะทำ  จะทำได้สำเร็จเหมือนกัน

       เขาจะทำชั่วต่อไป เหมือนอึ่งอ่างพองตัว เบ่งแข่งกับราชสีห์ แล้วก็ท้องแตกตาย เป็นสัจธรรม ขอแค่ประชาชนอดทนหน่อย แล้วมารวมตัวกันผนึกกันมากขึ้นๆ

       นี่คือลักษณะอำนาจอธิปไตยที่เป็นสัจธรรมที่ไม่เคยมีในโลก แม้แต่อิหม่าม โคไมนี่ ได้ทำการปฏิวัติ ก็ใช้กำลังประชาชน แต่ก็มีอำนาจของทหาร รถถัง ช่วยจับพวกขี้โกง ซึ่งที่จริง ประชาชนเราก็ทำได้ ไปจับเลย เอาสิทธิหน้าที่ของประชาชนไปจับเลย และตอนนี้ศาลก็ได้ยกเลิกการอายัดบัญชีของดร.เสรี ตามที่ธาริตอายัดบัญชี ก็เป็นไป เพื่อประจานความผิดของคนผิด

       และเขาเบ่งอำนาจรัฐมากเลย ว่าประชาชนไม่มีสิทธิประท้วง แต่ที่จริง ประชาชนคนเดียวก็ประท้วงได้ ประชาชนมีอำนาจในฐานะเจ้าของประเทศ แต่ว่ารัฐเป็นเพียงผู้ทีประชาชนให้ไปทำหน้าที่เป็นรัฐบาล มีการจำกัดขอบเขตในการใช้อำนาจตามที่กฎหมายระบุไว้เท่านั้น

       อ.แก้วสรรอธิบายเมื่อกี้นี้ว่า ที่เกิดความรุนแรงทั้งหลาย ไม่ใช่พวกประชาชนทำเลย แต่เป็นพวกอื่นที่มาทำผิด อาตมาพยายามย้ำอธิบาย

 

      มาสู่ประเด็นตอบปัญหา ประชาปฏิวัติ

  1.  กระผมอยากให้งานนี้มีการอนุญาตให้ส่งคำถามขึ้นเวทีในบางรายการ เพื่อจะได้คลายข้อสงสัยข้องใจในการปฏิบัติ...ตอบ...ได้ อาตมาก็ว่าดีไปพิจารณาดู
  2. ลูกสาวหนูถามว่า เราจะบวชวัดไหน แม่ก็บอกว่าไม่รู้ หลวงปู่จะแนะนำอย่างไร...ประเทศไทยจะต้องปฏิวัติศาสนาพุทธ สมมุติว่าถ้าหลวงปู่ได้เป็นสังฆราช หลวงปู่จะปฏิวัติอย่างไร?....ตอบ...การปฏิวัติจะต้องเร็ว และเกิดไว ส่วนปฏิรูป ต้องใช้เวลา ค่อยๆเปลี่ยนแปลง อาตมาคงทำได้ในระดับปฏิรูป คงทำปฏิวัติไม่ได้ แม้อาตมาได้เป็นสังฆราชก็คิดว่าปฏิวัติไม่ได้ ซึ่งจะทำให้แตกร้าวลึก ไม่ได้ ต้องค่อยปฏิรูป และอาตมาไม่เคยคิดว่าจะไปเป็นสังฆราช ซึ่งตำแหน่งหน้าที่ในศาสนาพุทธ แม้พระพุทธเจ้าจะชี้ว่าคนนี้เป็นอิสีติสาวก ที่มีจุดเด่น ผู้เก่งทางนั้นทางนี้ แม้เด่นในทางดื้อด้านดึงดันท่านยังนับเป็นหนึ่งในอิสีติสาวกเลย หรือมีอัครสาวกก็เป็นตำแหน่งที่จะทำงาน ต้องช่วยพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ตำแหน่งที่จะเป็นยศศักดิ์อะไร ไม่ใช่ Force แต่จะเป็น Authority เป็นไปโดยธรรมใครเห็นใครเคารพ คนเขาเห็นก็จะนับถือ เป็นอิสรเสรีภาพสูงสุด และจะมีวิธีรวมศาสนาได้อย่างไร?...อาตมาตอนแรกบวชมหานิกาย เสร็จแล้วพอทำงานไป ก็ได้ทั้งพระธรรมยุติ และมหานิกายมาร่วมศึกษา ด้วยกันได้ อาตมาก็ถือว่าท่านใส่ใจศึกษา ในวินัยก็ให้ศึกษาร่วมกันได้ในส่วนที่ร่วมกันได้ แล้วทางมหาเถรสมาคมก็ไม่ยอม อาตมาก็พาทำอาริยะขัดขืน พาพวกเราไปอยู่ที่กำแพงแสน พวกเราก็มีที่ใกล้วัดหนองกระทุ่ม เรียกที่พวกเราไปร่วมศึกษาว่า แดนอโศก มีทั้งธรรมยุติและมหานิกาย ก่อนจะไปก็ถามว่า ถ้าผมจะไปจำทำอย่างไร อุปัชฌาย์ว่าต้องคืนใบสุทธิ​ อาตมาก็คืนใบสุทธิ แต่ก็ไม่ได้คืนตอนนั้น ถือใบสุทธิ ไปด้วย และไปเจอกับหลวงอาที่กำแพงแสน ท่านก็ให้สวดญัติอีกที อาตมาก็เลยเป็นสงฆ์สองญัติ ทั้งธรรมยุติและมหานิกาย เป็นพระทั้งสองนิกาย มีใบสุทธิสองใบ วันดีคืนดี อาตมาก็ค่อยไปกราบอุปัชฌาย์คืนใบสุทธิให้ท่าน ก็ถือใบสุทธิสองใบอยู่ไม่ถึงเดือนหรอก แต่ว่าในวินัย อาตมาสวดญัติทั้งสองนิกาย อาตมาไม่ได้สึก ประเด็นที่ว่า การบวชนั้นอุปัชฌาย์เป็นใหญ่ มีสิทธิจะบอกว่าให้เข้าหมู่ได้หรือไม่ อันนี้เป็นความเชื่อที่เพี้ยนอยู่ ที่จริงต้องเป็นองค์สงฆ์ อย่างตำ่ต้อง 10 รูปขึ้นไป ประเด็นที่ว่าอุปัชฌาย์เป็นใหญ่จะสำเร็จด้วยอุปัชฌาย์ไม่ใช่ ที่จริง อุปัชฌาย์มีหน้าที่เพียงรับผิดชอบอบรมให้พ้นนิสสัย อย่างน้อย 5 ปี เป็นกฎระเบียบที่พระพุทธเจ้าวางไว้ ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่ได้เป็นใหญ่ในชาวอโศก ตอนนี้อุปัชฌาย์ก็แบ่งเป็นหลายรูป ช่วยรับผิดชอบพาเข้าหมู่ทำตามธรรมวินัยพระพุทธเจ้า ไม่มีอภิสิทธิ์ แต่เขาให้เรายกให้เราเอง ในวินัยก็มียกให้ผู้ที่อยู่ในฐานะสูงบวชนานกว่าผู้บวชก่อนก็ต้องเคารพ แม้พระอรหันต์จะบวชทีหลังก็ต้องเคารพพระที่ไม่บรรลุธรรมแม้ว่าจะบวชก่อนเพียง 1 วัน ซึ่งละเอียดมาก พระพุทธเจ้านี้ละเอียดมาก ประเด็นที่บอกว่าอาตมาจะรวบรวมนั้นไม่ทำหรอก แต่จะรวมตัวกันเอง เป็นนานาสังวาส และสมานสังวาส และมีที่อีกอันคือ อสังวาส คือเป็นผู้อาบัติปาราชิก เป็นผู้ไร้สังวาสเป็นต้น  ผู้ปาราชิก เป็นสมีแล้ว ก็ต้องไม่ให้ความรู้ทางศาสนาเลย และป้องกันด้วย เช่นเราเทศน์อยู่นี่หากสมีมาก็ต้องหยุดเทศน์ แล้วไล่ไปก่อน แต่ทุกวันนี้เขาปฏิบัติกันผิดเลย แม้ปาราชิกก็ไปเป็นมัคทายกเลย เป็นคนสอนธรรมะด้วย เพียงแต่บวชไม่ได้เท่านั้นเอง ที่จริง เป็นโทษหนักที่สุด โทษปาราชิกนั้นหนักกว่าพรหมฑัณฑ์ ที่แค่ไม่บอกไม่สอน แต่มีสิทธิ์เข้าไปศึกษาได้ ต้องขวนขวายเอาความรู้เอง สามารถรับเข้าหมู่ได้อีก สำหรับอสังวาสและปาราชิกเราต้องกีดกันเลย เป็นโทษสุงสุด เหมือนถูกประหารชีวิตจากศานาพุทธไป 1 ชาติเลย เหมือนตาลยอดด้วน เป็นกระเบื้องแตกเป็นเสี่ยงแล้ว เหมือนใบไม้หล่นจากขั้วแล้ว ทุกวันนี้มีพระจากมหาเถรสมาคมก็มาร่วมศึกษากับเราได้ จนสมัครใจมาเป็นสมณะก็มี
  3. ส่ิงที่สมณะและสิกขมาตุญาติธรรมทำกันนี้ช่วยอะไรสังคมได้บ้างครับ ส่วนตัวผมก็ไปช่วยทำด้วยครับ...ตอบ...ช่วยการปกครองบริหารประเทศ ใช้วิธีการอำนาจทางการเมือง หลักเกณฑ์ ที่ขี้โกง บริหารผิดพลาดตอนนี้ก็มี ชาวนา ฆ่าตัวตายไป 8 คนแล้ว เขามีแต่กู้หนี้ยืนสิน ของชาวอโศกไม่มีการเป็นหนี้ เรามากำจัดส่ิงเลวร้ายให้ออกไปจากประเทศ
  4. เราจะปฏิรูปอย่างไร และผมเสนอให้ตั้งกระทรวงเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้เป็นจริง และขอให้ปฏิรูปก.พลังงาน เพื่อลดราคาพลังงาน จะช่วยลดแรงต้านลง....ตอบ...ถ้าเข้าใจเนื้่อหาศาสนาพุทธ เป็นไปเพื่อ ให้คนมีคุณธรรม มีพฤติกรรมตามธรรมพระพุทธเจ้าจนเปลี่ยนแปลงจิตใจ แม้การบริหารแบบคนจน เศรษฐกิจพอเพียงนี่แหละ คนที่กิเลสมาก เสพเยอะ จะต้องมีเยอะ  และเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเราก็ทำอยู่ แต่ถ้าต้องถึงเป็นกระทรวงก็ทำได้ ต่อไป และเรื่องพลังงานตอนนี้เราก็รู้กันว่าไทยเรามีแหล่งพลังงานมีน้ำมัน ถ้าจะต้องมีกระทรวงพลังงานกระทรวงน้ำมันปฏิรูปกันต่อไปก็ควรทำ อย่างประเทศบรูไน มีน้ำมันเป็นหลัก ใครเกิดมาก็มีทรัพย์สมบัติเลย ผู้บริหารบริหารได้ดี ไม่มีใครเดือดร้อน มีสวัสดิการบริการเต็มที่ไม่เดือดร้อน ถ้ามีทรัพยาการก็ต้องใช้แบ่งกันให้ทั่วถึง แต่พวกที่ปฏิบัติเอาให้แก่ตนไม่แบ่งคนอื่น นี่คือพวกที่ทำอย่างสัตว์นรก เอาเปรียบเอารัดสังคม เป็นสัตว์อบายภูมิอยางแท้จริง
  5. จากผู้ได้ดีเพราะพ่อให้....คำว่ากาย ที่เป็นองค์ประชุมต่างกับคำว่า องค์รวมอย่างไร ตอบ...ไม่ต่างกันหรอก ประกอบกันเข้า ประชุมกันเข้า อย่างความคิดองค์รวมเรียกว่าคอนเซ็ป เรียกว่านามกาย เป็นต้น นามกายที่เป็นจิตนิยาม เป็นองค์รวม ในภาษาของทางรูป อุปาทายรูป 24 คำว่าองค์รวมของนามจะมีลักษณะของชีวิต เพราะจิตนิยามจะมีชีวิต ถ้าไม่มีชีวิตคือตายแล้ว เราจะรู้องค์รวมของชีวิตได้ในคำว่า กาย ในชีวิตรูป และอาหารรูป เป็น Content ส่วนปริเฉทรูปเป็น Context เป็นองค์รวมที่จะสังเคราะห์ในนั้น เป็นบริบท
  6. มวลชนของกปปส.เสียชีวิตไป 11 คน ตำรวจไม่จับคนร้าย ทั้งที่มีหลักฐานรูปคนร้ายชัดเจนแต่ทำไมไม่จับได้เลย กปปส.น่าจะรวบรวมหลักฐานเอาผิดกับตำรวจ ตอบ...ก็คงมีคนทำอยู่ คือส่อว่าไม่ปฏิบัติหน้าที่ เพราะว่าคนตายนั้นเกี่ยวข้องกับพวกเราตาย ส่วนพวกเขายังไม่ตายเลย อย่างขวัญชัย ก็จับได้เลยไม่นาน
  7. คนทั่วไปจะรู้ได้อย่างไรว่าได้พบสัปปบุรุษแล้ว หรือจะตรวจสอบได้อย่างไรว่า ท่านคือสัปปบุรุษ ตอบ...ก็ไม่ง่าย คุณอ่านได้ไหมว่า ท่านหลุดพ้นจาก อบาย จากกาม จากภพ จากอรูภพ คุณมีความรู้ไหม ? พระพุทธเจ้าว่าต้องรู้จากการคบคุ้น เป็นอจินไตยที่คนสามัญไม่อาจเอื้อม ส่วนคนสามัญก็รู้ได้จากอาการทางกาย วาจา หรือแม้แต่จิตก็ตาม รู้ยาก เช่นแสดงอาการเเหมือนโกรธ ดูดุ แค่ที่จริงท่านปรุงแต่งของท่านเอง ไม่ได้มีอารมณ์โกรธ เป็นจิตอุเบกขาแล้ว แต่ทำสังขารเพื่อช่วยผู้อื่น ปรุงแต่กาย วจีให้คนอื่นรับรู้ ว่าประท้วง ให้เข้าใจ อย่างอาตมาแสดงธรรม ว่าให้รู้ว่าอย่างนี้ชั่ว อย่างนี้ไม่ดี อาตมาแสดงด้วยเมตตา แต่ยากก็ดู เอาหลักธรรมพระพุทธเจ้ามาตรวจสอบ เอาโคตมีสูตร หรือวรรณะ 9 หรือกถาวัตถุ 10 มาตรวจดู อย่างความสงบหรือวิเวก มีสามอย่าง คือกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก(คือสงบจากกิเลส)ไม่ใช่เฉยๆ แต่อุเบกขา สงบจากกิเลส แต่กรรมกิริยาพูดแรงได้พูดดังก็ได้ แต่ไม่มีกิเลสร่วม จะไปสร้างวิเวกแบบนี้ในป่านั้นยาก ในป่านั้นไม่ใช่สถานที่ปฏิบัติ อาตมาพูดให้คอแตกก็ไม่เชื่อ อาตมาตายไปอีกนานกว่าจะเชื่อ การธุดงค์ไม่ใช่ออกป่า แต่ว่าที่จริงคือธูตะคือมีศีลเคร่ง  ถ้าศึกษากันก็พอรู้กันได้ ไม่ง่ายแต่พอรู้ว่าผู้นี้เป็นสัตบุรุษ เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์หรือเป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้ดำเนินชอบปฏิบัติชอบ เป็นธัมมกถึกคือผู้กล่าวธรรม ผู้ที่เทศน์บรรยาย แสดงธรรม จากที่ตนมีคุณอันสมควรก่อน ค่อยพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง หรือถ้าเข้าใจสัปปุริสธรรม 7 เลยท่านรู้จักประมาณในอัตถะ ธรรมะ รู้จักประมาณตน อย่างอาตมาก็รู้ว่าตัวเราก็เท่านี้เขารับเราได้เท่านี้ ถ้าอาตมาแสดงธรรมกับอโศกก็แสดงได้อย่างนี้จริงจังแรงได้ขนาดนี้เพราะเขานับถือเรา แต่ถ้าเป็นที่อื่นเขาไม่นับถือเราเราก็แสดงออกได้แค่นี้ ถ้าคนรู้ได้ก็จะรู้ว่าท่านเป็นสัตบุรุษ
  8. คำถามจากม. 6 รับกลดตอนไหนคะ?...ตอบ...แต่ก่อนเราเคยรับกลดข้างทำเนียบ ก็ฝนตกด้วย พวกที่จบม.6 สัมมาสิกขาได้ก็จะได้รับกลด เรามีธรรมเนียม เป็นหลักชัย รับกลดถือเป็นของขลังเลย ก็ประมาณกลางเดือนมีนาคม ก็จะรับกลด ยังไม่ได้กำหนดวันกัน เป็นงานรวมของม.6 ทุกรร.สัมมาสิกขา หลวงปู่ยังไม่รู้
  9. ได้ยินคำว่า หทยรูป บ่อยครั้ง แต่เพราะอะไรทำไมไม่เข้าใจซักที ขอให้พ่อครูอธิบายอีกที ตอบ....หทยรูป รูปคือส่ิงที่ถูกรู้โดยวิญญาณ ที่มีคุณสมบัติถึงขั้นรู้ นามรูป และนามธรรมเรานี่แหละเป็นตัวรู้ สามารถรู้ถึงนิพพานเลย ผู้มีญาณหรือวิปัสสนาญาณหรือวิชชา สามารถรู้นามธรรมได้ และหทยรูปคืออะไร ...ซึ่งทางอภิธรรมเขาสอนกันว่า ที่ๆอยู่ของจิตวิญญาณ ที่อยู่ของธาตุจิตเขาก็ไปกำหนดในหัวใจที่สูบฉีดโลหิต ก็ว่าอยู่ที่ห้องที่ 4 แล้วบอกว่ามีน้ำเลี้ยงสีฟ้า เขาบอกว่าที่นั่นคือหทยรูป แต่อาตมามีความรู้เป็นปัจจัตตลักษณ์ ที่ว่า หทยรูปคือที่ๆอยู่ของจิตวิญญาณ แต่ว่าไม่ได้ระบุว่าอยู่ตรงอวัยวะไหน แต่ว่าอยู่ตรงไหนก็แล้วแต่ที่เราสามารถไปทราบได้ เอาง่ายๆเช่นว่าเรารู้สึกเจ็บ มันมีสถานที่เช่นที่ฝ่ามือ ตรงนี้แหละที่เราอ่านอาการเจ็บที่ฝ่ามือ หทยรูป ก็คือที่อยู่ที่มันเกิด อาการ ลิงค นิมิต ตรงนี้ แล้วอาการที่มันเจ็บใจ เศร้าใจ แล้วใจนี่ไม่ได้อยู่ที่ห้องที่ 4 แต่คุณต้องรู้อาการที่ปวดใจ มันไม่อยู่ตรงไหนเลย มันอยู่ที่ความนึกคิด เวทนา ซึ่งเจ็บใจ ปวดใจ เศร้าใจ คุณก็อ่านจับเวทนาให้ได้ มันเกิดตรงไหน อาการลิงคนิมิตตรงไหนก็จับให้แม่น เช่นสัตว์นรก ที่มีอาการ เดือดร้อนทุกข์ร้อน หรืออยาก เป็นเหตุปัจจัยในเวทนา ในกายในกาย แล้วคุณก็รู้สึกอยากขึ้นมาก็จับเวทนาให้ได้ แล้วรู้เหตุที่รู้สึกอยาก อยากเป็นสุขก็ได้รับการบำเรอ ถ้าไม่ได้บำเรอก็เป็นทุกข์ก็ดิ้นรน คุณก็ตามอ่านความดิ้นรน อย่าให้ผิดที่ผิดสภาวะ คุณก็จะรู้สัตว์นรก คือไม่ได้ดังใจ ส่วนสัตว์สวรรค์ก็คือได้สมใจ คุณจับอาการลิงคนิมิตได้เลย ตรงนั้นคือหทยรูป ซึ่งรู้ไม่ได้ง่ายๆ คุณเองว่าไม่รู้สักทีก็เพราะมันไม่ง่ายเลย หรืออ่านความเป็นชีวิตของกิเลสมันยังมีอยู่ เราก็ต้องทำให้มันตายไปอย่าง ไม่กลับกำเริบ อย่างตายไม่ฟื้นเลย คุณจะตอบตนเองได้ว่ามันดับสนิทตายไม่ฟื้นได้หรือไม่? ส่วนปริเฉทรูปก็แบ่งจัดการตามแต่ละฐานะ แต่ละปริเฉทๆไป ให้สมบูรณ์จนจิตเราว่างในแต่ละปริเฉท แต่ละฐาน แล้วเราก็เพ่ิมเติมต่อไปให้สมบูรณ์ในลักขณะรูป
  10. อัตตามานะเป็นผี อย่างไร? ตอบ... มานะคือถือดี แต่อัตตาคือตัวตน พระอรหันต์ก็มีอัตตา แต่เป็นอรหัตตา รู้แจ้งเป็นอรณะ และเป็นสรณะแล้ว เป็นปฏิสรณะ เป็นที่พึ่งได้โดยไม่ต้องเป็นอย่างโลกีย์ เพราะทางโลกีย์เป็นที่พึ่งอย่างมีข้าศึก แย่งโลกธรรมกัน ผู้ใดเลิกอบายได้ก็ไม่ต้องไปรบกับชาวอบาย คุณพ้นกามได้เป็นอนาคามีก็ไม่ต้องไปแย่งกับเขาไม่ต้องไปรบ พึ่งสิ่งที่เป็นอัตตาได้ อัตตาแบ่งเป็นสาม (โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา และอรูปอัตตา) เป็นระดับ ซึ่งเมื่อกำจัดอัตตาอรูปได้ ก็จะวนมาอยู่กับ มโนมยอัตตาที่จะสำเร็จด้วยจิต หากสำเร็จด้วยอวิชชาก็เป็นโลกีย์ แต่ถ้าสำเร็จด้วยวิชชาก็สำเร็จได้ด้วยมโนมยิทธิ มีฤทธิปรุงแต่แก่ตนเพื่อทำประโยชน์ต่อผู้อื่น ท่านล้างอัตตาแล้วจะปั้นเป็นอัตตาอย่างไรก็ได้ ท่านเนรมิตได้ของท่าน เนรมิตนี้เป็นลักษณะของเทวดาโลกุตระเรียก ปรนิมิตวสวตี ท่านทำเพื่อคนอื่น ส่วนเรียกเต็มๆว่าอัตตามานะ คำว่ามานะเป็นสังโยชน์ขั้นสูง ระดับอนาคามี เป็นข้อที่ 8 ในสังโยชน์ 10 คือคุณทำดี จิตไม่มีกิเลสแล้ว แต่ยึดจิตดีเป็นเราเป็นของเราอยู่ เริ่มแต่คุณล้างกิเลสได้ จิตคุณก็มีปีติ พอใจเป็นอุปกิเลส ถือดีอยากอวดอ้างเบ่งข่มเขา หรือยึดว่าจะมีเท่านี้ ยึดส่ิงนี้เป็นตน ตนเป็นสิ่งนี้ ไม่ยอมปล่อยคลาย จะทำอย่างนี้ ถ้าคุณยังไม่บริสุทธิ์ที่คุณจะย้อนมาอนุโลม คุณต้องเข้าใจว่าเป็นสิ่งดีแต่จะไปยึดเป็นเราเป็นของเราไม่ได้ ส่ิงนี้มีแต่ยึดว่าไม่มีก็เป็นมานะ สิ่งนี้ไม่มีก็ยึดว่ามี เป็นต้น สรุปคือยังยึดเป็นเราเป็นของเรา คือคุณได้ดีแล้วแต่อย่าไปยึดเป็นเราเป็นของเรา อย่าไปจมอยู่เช่นนี้ แม้อรหัตตผล อย่างโสดาบันยึดอรหัตตผลในโสดาบัน คุณก็ไม่เป็นสกิทาฯสิ อย่างอรหันต์ท่านวางมาหมดแล้ว หรือบางคนหลงว่าจะอยู่แค่อนาคามี จะสอนคนไม่เอาดีกว่านี้นั่นแหละมานะ
  11. เรื่องของนอสตราดามุสหญิงไทย ที่พูดว่าตั้งแต่ 13 ก.พ.นี้จะเจอแผ่นดินถล่ม ไฟไหม้ที่ภาคเหนือกับเมืองหลวง จะจริงไหม? และจะทำใจอย่างไร? และเมืองไทยจะพ้นวิฤติทักษิณนี้หรือไม่?....และกำนันผญบ.ที่มาขอคืนกระทรวงมหาดไทยเป็นอย่างไร?...ตอบ..อาตมาไม่รู้ ตอบไม่ได้ ไม่ได้ไปเล่นทางนี้เลย ตอบไม่ได้ ….ทำอย่างไรจะทำใจไม่วิตก...ต้องพิจารณาส่ิงที่จะเกิดในเรื่องธรรมชาติ เกินกว่าเราไปยังยั้่งได้ ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์รู้จักภูมิศาสตร์ที่จะเป็นธรรมชาติเปลี่ยนแปลงต่างๆ เขาก็พอคำณวนได้ มันจะเกิดอย่างนี้ก็เป็นหน้าที่ของนักอุตุนิยมวิทยา ทำอย่างไรก็ให้พวกเขาทำ คุณจะยืนยันอย่างไรก็ให้เขาตรวจสอบดูว่าจริงไหม? คุณไปจัดการไม่ได้ แต่พวกนี้มีหน้าที่จัดการตามสามารถ เช่นสึนามิ คำนวณยาก แผ่นดินไหว คำนวณยาก มันเกินก็ต้องยอมจำนน และจะทำใจอย่างไร ก็พยายามหลบเลี่ยงเอา ไม่ตกอกตกใจนัก ไม่เหยียบกันตาย หรือวิ่งหนีสึนามิ วิ่งไปชนภูเขาตายก็ไม่ใช่เรื่อง ไปรถชนตายไปก็ไม่ดี มันสุดวิสัยเราหนีไม่ได้ก็ต้องตาย จะทำใจอย่างไร ก็มันถึงเวลาวาระ คนอยู่ที่ในเรือพายไปดีๆ เครื่องบินยังมาทับตายได้ ทุกอย่างมันมีเหตุ ลงตัวของมัน เป็นอจินไตย มันจะเกิดก็ต้องเกิดก็ให้วางใจ
  12. เพลงธรรมะดีๆมันน่าฟัง แต่มันผิดศีล 8 นะ การปฏิบัติธรรมศีล 8 จะอนุญาตให้ฟังเพลงได้ไหม?....ตอบ...เพลงอาตมาแบ่งเป็น 5 ระดับ (ลามก ราคะ สาระ ธรรมะ โลกุตระ) ตั้งแต่ระดับสาระขึ้นไปจึงถือว่าเป็นศิลปะ พวกลามกกับราคะไม่ถือเป็นศิลปะ แต่ระดับสาระถ้าเป็นศิลปะจะมีสุนทรียะ ประกอบกับสาระ ถ้าเป็นสาระโดยตรงก็เรียกว่าสารคดี มีดนตรีประกอบนิดหน่อย ใส่ทำนองคือเป็นกษัย มีน้ำให้คล่องคอหน่อย และระดับธรรมะจะมีคุณธรรม เป็นเพลงเนื้อหาเจตนาธรรมะเลย บางทีเอาเนื้อไตรปิฎกใส่เลย ส่วนธรรมะระดับโลกุตระนั้นจะมีเนื้อหาสอนไปถึงนิพพาน วิมุติ คุณจะฟังเพลงธรรมะก็ระวังจะติดทำนอง แต่ถ้าเนื้อหามันพาไปสู่สาระสู่ธรรมะสู่โลกุตระ แต่คุณต้องระวังปนมานะ เหมือนคุณกินยาที่เคลือบน้ำตาล หลอกให้คุณกิน แล้วคุณไปติดสีติดรสมัน ดีไม่ดีเอาเนื้อยาปลิ้นทิ้งไป ต้องระวัง คุณฟังเพลงติดทำนองไม่เอาสาระเลยก็ต้องระวัง ดังนั้นศิลปะฟังได้ แต่ว่าคนแยกไม่ออกต้องอย่าเพิ่งฟัง ตัดทิ้งเลย ไม่เสียหาย หัดลดหัดอดเอา  แม้การดูหนังดูละครอาตมาก็เอามาให้ดู แต่ดูแฟชั่นก็ไม่เอา ดูกีฬาเป็นอบายมุขแท้
  13. ผมมีความเชื่อว่ายังไงก็ต้องปฏิวัติตัวเองก่อน ที่เรามีกิเลสเหมือนทักษิณ ถือว่าโชคดีสองอย่างในการได้มาชุมนุมและร่วมงานพุทธาฯ...ตอบ...ที่บอกว่าทำตนก่อนดีแล้ว พระพุทธเจ้าสอนว่าทำคุณอันสมควรก่อนแล้วพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง อันนี้สำคัญ ศาสนาเสื่อมเพราะว่าคนไม่บรรลุธรรมแล้วไปสอนคนอื่น ถ้าคนท้วงก็ตะแบงเพราะกลัวเสียหน้ามีอัตตามานะเยอะถือดีถือตัว ศาสนาจึงเพี้ยนมัวหมอง ไม่เป็นพหูสุตรแล้วจึงเป็นธัมกถึก จะปฏิวัติเขาเราต้องปฏิวัติตนเองก่อน ซึ่งคุณไม่เท่าเขาหรอกคุณทักษิณ คุณไม่ชั่วเก่งเท่าทักษิณหรอก อาตมาไม่เชื่อ มันมีลักษณะโลภ โกรธหลงเหมือนกันแต่ดีกรีไม่เท่ากันหรอก
  14. กรณีที่เรารับงาน ที่เกี่ยวกับคนอื่นหลากหลาย แล้วมีทีมงาน ขอถามเกี่ยวกับใจเราที่เมื่อเราเห็นความสำคัญของส่ิงที่เรากระทำ แล้งต้องการให้เขาเห็นอย่างเรา จนเรายึดกำหนดว่า ทีมงานไม่น่าทำเช่นนี้จนเกิดถือสา อยากถามว่าเราจะวางใจอย่างไร ไม่ให้เกิดอกุศลจิต...ตอบ...เมื่อทำงานร่วมกัน ยิ่งเราต้องเป็นหัวหน้างาน ..ซึ่งเราต้องมีคุณสมบัติรู้มากกว่าเขา เมื่อเรามั่นหมาย เห็นว่าสำคัญ เราก็ต้องการให้เขาเห็นว่าสำคัญ จนเรายึดไปกำหนดว่าเขาไม่น่าทำจนเพ่งโทส จะทำอย่างไร...ก็ต้องรู้ตัว มาคุยกัน ว่าถ้าเราเข้าใจเช่นนี้คนอื่นเห็นด้วยหรือไม่? ถ้าหมู่เขาเห็นว่าไม่สำคัญก็ต้องวางใจ ต้องเอาตามโหวตดูว่าเห็นส่วนรวมว่าอย่างไร เรารับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ ต้องเปรยกับหมู่ฝูงแต่อย่าไปแสดงท่าทีว่าจะต้องเอาตามฉัน อย่าไปกดดันด้วยเลห์เหลี่ยม ที่เขาทำ คนที่ฝึกจะเก่ง แม้ชนะได้ก็เป็นอัตตา บางคนฝึกเก่งจนคนจำนน ด้วยเหตุผลท่าทีลีลา มันไม่ดีหรอก หากเราแฟร์ว่าทุกคนต้องเท่าเทียมกัน แม้เราดูแล เราก็ต้องตามหมู่ หมู่ไม่เห็นด้วยก็ไม่ควรทำ
  15. เหตุการณ์ที่มีคนตาย ในการประท้วง เป็นเพราะใคร ?หรือเพราะเราไปประท้วงเขา เขาเลยโกรธแค้น?....ตอบ...มันมีเหตุปัจจัย เราออกมาประท้วงเราไม่รุนแรง แต่คนทำนี่เขามีกิเลส เราก็ต้องการให้เขาไม่ทำรุนแรง ก็ได้ผล ทั้งที่เขาเสียท่าหลายอย่าง จนหลังชนกำแพงแล้ว แต่เขาไม่ยอมหรอกเขาเสแสร้งว่าเขาไม่แพ้ หาหมู่หากลุ่มอยู่ เราทำด้วยสุจริต ซึ่งความรุนแรงนี่เพราะเขาโกรธแค้นก็ใช่ แต่เราก็พยายามประนีประนอม ไม่ให้เขาโกรธจนทำแรงมาก แต่ก็ต้องมีภาวะแสดงออกโต้ต้าน ซึ่งการประมาณนั้นก็ต้องให้ได้สัดส่วนเหมาะสม จะบอกว่าเพราะเราทำก็ไม่ใช่ แต่ถ้าประมาณไม่ดีก็แรงตอบมา การตบมาแล้วอีกคนหนึ่งไม่ตบตอบมันก็วืดไปไม่ปะทะ แต่ถ้าเขาตบมาแล้วเราหลบไม่ทัน เราไม่เก่ง เราก็เลี่ยงไม่ได้ต้องเจ็บต้องตาย แต่ถ้าเราเลี่ยงได้ก็ไม่มีอะไรโต้ต้าน เขาจะวืดไปหลายทีเขาก็จะสงบ การไม่รุนแรงคือสัจจะอย่างนี้ แม้ที่สุดเรายอมให้เขาทำร้ายเลย แม้สัตว์เดรัจฉาน หมาตัวใหญ่ไปทำร้ายตัวเล็ก แต่หมาตัวเล็กยอมแพ้มันก็ไม่ทำแรง ซึ่งในมนุษย์ก็มี แต่ที่อาตมาอธิบายว่าเราจะชนะเพราะเขาไม่หยุดทำชั่ว เป็นอึ่งอ่าง และเราไม่ตอบโต้เลย เป็นราศีของราชสีห์ แต่อึ่งอ่างโง่ก็จะเบ่งแข่งกับราชสีห์ สักวันจะท้องแตกตายเอง
  16. ศาลไม่อนุมัติหมายจับมือปืนป็อปคอร์น เพราะหลักฐานพยานไม่ชัด รองผบ.ชน..เต้นสั่งหาหลักฐานเพ่ิม มามัดตัวแต่คดีของกปปส.ไม่คืบหน้า?....
  17. ทำไมคนจึงบรรลุธรรมยาก และธรรมะพาเจริญอย่างไร และปฏิบัติธรรมอย่างไรจึงง่าย และจะเริ่มอย่างไร...ตอบ...เพราะไม่ปฏิบัติธรรม ไม่เอาจริง ถ้าเอาจริงตั้งใจฟัง และตั้งใจปฏิบัติตามให้ถูกตามลำดับได้ธรรมสมควรแก่ธรรมแน่นอน ผู้มีสัมมาทิฏฐิปฏิบัติจริง ได้อรหันต์ใน 7 ปี หรือก็เป็นอนาคามี พระพุทธเจ้าประมาณแล้วว่า 7 ปีได้ แต่ว่าไม่มีปริยัติ สมบูรณ์ ก็ปฏิบัติไม่สมบูรณ์​ก็ไม่มีปฏิเวธสมบูรณ์ ...และธรรมพาให้คนเจริญทั้งโลก แม้ธรรมะโลกีย์ก็เจริญ คือไม่มีโทษภัยต่อคนอื่น เราไม่ก่อบาปเวร เราทำกุศล ย่ิงเป็นโลกุตระจะพาเจริญย่ิง ….แล้วจะง่ายก็เพราะมีบารมีมาก่อน ถ้าไม่มีบารมีก็ต้องตั้งใจศึกษาใส่ใจ ตามฐานะ ...เร่ิมต้นฟังธรรมแล้วตรวจตนเองว่ากิเลสอะไรของเราพาทุกข์พาเสื่อมแล้วเรียนรู้ปหาน 5 สังวรระวัง
  18. หนังทุกเรื่องจบด้วยธรรมะชนะอธรรมเสมอ แต่หนังอาจช้า พระเอกอาจตาย ของเราอยากให้หนังจบเร็ว ทำอย่างไรจึงไม่สูญเสีย...ตอบ..อาตมาพยายามหาวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ก็ใช้คุณธรรม ไม่ได้เป็นเราคนเดียว คือมีข้าศึกศัตรู และมีพวกเรากันเอง และส่ิ่งแวดล้อมด้วย เราพยายามจัดแจงให้ดีที่สุด มีผลด้วยทั้งนั้น เราพยายามที่สุดแล้ว
  19. กระผมขอถามปัญหาว่าจิตกับเจตสิกต่างกันอย่างไร?...ตอบ...จิตมันจะแยกเป็นอาการของมัน จิตหรือวิญญาณ มีอาการของเวทนา สัญญา สังขาร เป็นเจตสิก 3 ในหนังสือคนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก ไปศึกษาให้ดี จิตของคุณเรียกเป็นชื่อรวม แล้วในจิตมีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร เป็นจิตในจิต แล้วในเวทนามีกิเลสเป็นตัวเหตุ คุณก็กำหนดรู้เวทนาในเวทนา จับกิเลสได้ จับเจตสิกที่เป็นเหตุในเวทนา คุณก็กำจัดตัวนี้ เจตสิกคืออาการของจิต แยกอีกที เป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้ ...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:25:18 )

570214

รายละเอียด

570214_ทวช.งานพุทธาฯ ที่ผ่านฟ้าฯ โดยพ่อครู เรื่อง อาหาร 4 อย่างพิสดาร

       วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก ซึ่งเป็นวันรำลึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ ชาวโลกเขาใช้เป็นวันแสดงความรัก ซึ่งเป็นความรักแบบโลกีย์ ซึ่งความรักที่พ่อครูเคยแบ่งไว้ มีความรัก 10​มิติ

1.   กามนิยม (เมถุนนิยม)

2.   พันธุนิยม (ปิตปุตตาฯ)

3.   ญาตินิยม (โคตรนิยม)

4.   สังคมนิยม (ชุมชนนิยม)

5.   ชาตินิยม (รัฐนิยม)

6.   สากลนิยม (จักรวาลฯ)

7. เทวนิยม (ปรมาตมันฯ) .

8.   อาริยนิยม (อเทวนิยม)

9.   นิพพานนิยม (อรหันตฯ)

10. พุทธภูมินิยม  (หรือ..  โพธิสัตวภูมินิยม) (พ่อท่านบรรยายไว้ที่ม.เชียงใหม่)

       

       วันนี้เป็นวันที่เราชุมนุมได้ถึงวันที่ 194 ของกปท. ทำลายสถิติของพธม.ที่ชุมนุมมา 193 วันแล้ว แต่ถ้า กองทัพธรรมจะทำลายสถิติต้องเป็นบวกอีก 3 วัน

 

       และวันนี้ก็เป็นง่วนเซี่ยว ด้วย เป็นวันเพ็ญแรกหลังตรุษจีน ก็เป็นสามอย่างที่ตรงกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มาฆฤกษ์​เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เป็นวันที่สว่างไสว นัยของง่วนเซี่ยวก็นัยเดียวกัน

 

       วันนี้ตั้งใจอธิบายธรรมในวันมาฆบูชา เราคนเกิดมาเป็นคนนี้ไม่รู้ พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องความไม่รู้ ไม่รู้ในวิญญาณ แม้อยู่ในตัวเราเราก็ไม่ได้เรียนรู้ ในอาหาร 4

1.   กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม)

2.   ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา)

3.   มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา)

4.   วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ  คือ   กำหนดรู้จักแยกแยะนาม-รูป   แล้วกำจัดเฉพาะอาสวะให้จบสิ้น) 

       ต้องเข้าใจวิญญาณ คืออะไร คือต้องเกิดจากผัสสะ  ต้องรู้วิญญาณเทวดา

1.   สมมุติเทพ  (คนที่มีสภาวะจิตเสพโลกียสุขได้สมใจ)

2.  อุปปัตติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเกิดความเป็นอาริยะ)

3.  วิสุทธิเทพ  (คนที่มีสภาวะจิตบริสุทธิ์ขั้นอรหัตตผล)

(พตปฎ. เล่ม 30   ข้อ 654)

 

       ต้องอ่านรู้วิญญาณสัตว์นรก ที่อยู่ในจิต แล้วเรียนรู้เทวดาปลอม สมมุติเทพ ที่เสพสุข หรือเสพวิญญาณปลอมของแห้งนึกว่าเป็นสุข จมอยู่ในตัณหา ยังไม่หมดตัณหา คุณยังต้องการมาเสพ ไม่หมดอัตตา คุณก็ขังวิญญาณตน หลงสุข แท้จริงมันเป็นคุก ที่คุณขังสัตว์ไม่รู้จักสัตตาวาส 9 โดยโง่เองหลงว่าสุข ทั้งที่มันเท็จมันปลอม

       ผู้ฆ่าสัตว์อบาย สัตว์กามไปแล้ว ก็จะเป็นพรหม หรืออนาคามี มีเศษเหลือเป็นรูป และอรูปในจิต มันมีความมาก ความเบาอย่างไรในจิต รู้ในสังโยชน์ที่เหลือใน ข้อหลังของสังโยชน์ 10

6.   รูปราคะ (ความติดใจอยู่ในรูปภพ -ในอุปาทายรูป)

7.  อรูปราคะ  (ความติดใจอยู่ในอรูปภพ)

8.   มานะ  (ความถือตัวถือตนในความดีของตน)

9.   อุทธัจจะ  (ความฟุ้งซ่าน กระจัดกระจาย  รู้ยาก) 

10. อวิชชา  (ความหลง-ไม่รู้ อันเป็นเหตุไม่รู้จริง) .  .

 

       รู้โศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ ...ปริเทวะคือพิรี้พิไร โศกนี่คือเศร้าหมอง ลำบาก (แต่แกนคือทุกข์) อ่านให้ละเอียดถึง อากิญจัญ เนวสัญญาฯ มีอะไรนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ต้องตรวจสอบเหมือนคุณมีแหวนเพชร ก็ต้องพยายามเช็ดไม่ให้มีหมองเลย นี่คืออากิญจัญฯ ศาสนาพุทธเป็นจิตบริสุทธิ์สะอาด ก็ต้องตรวจ ให้หมดเกลี้ยง หรือสร้างวิมุติแล้วก็ต้องตรวจอวิมุติ ต้องตรวจ อสมาหิตะ ตรวจอวิมุติ นี่คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นอรูปพรหม จนสะอาดเกลี้ยง จนไม่เหลือเศษของอวิชชาสังโยชน์

       ต้องรู้ความหมายของ ศีล สมาธิ ปัญญา และ ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งภาวนาคือการเกิดผล ลดกิเลส ถ้าทำได้ไม่เกิดผล ต้องทำที่ตัวสมุทัย คือเหตุ ซึ่งต้องมีฉันทะมาก่อน ในสุริยเปยยลาสูตร

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

       ข้อสุดท้ายนี้สำคัญ ...เป็นถ้ามนสิการไม่ถูกต้องไม่แยบคายก็ไม่ถึงเหตุ ซึ่งอยู่ในมูลสูตร

1.   มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .

2.   มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . .

3.   มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .

4.   มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .

5.   มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .

 

       ฉันทะเป็นตัวเร่ิมเลย อยู่ในอิทธิบาท 4 ก็มี และตัววิมังสาคือ ตัวเลือกเฟ้นเอาแต่แก่น เอาแต่สาระ

       เราอยู่ท่ามกลางสนามรบ เป็นการเอาชนะกันด้วยธรรมะ ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่เป็นpotential energy เป็นสิ่งที่ต้องคบคุ้นอยู่ร่วมกัน จะเห็นได้ เป็นพลังงานแฝง ต้องมีญาณปัญญา

       เราต้องรู้เรื่องวิญญาณ ซึ่งจะเกิดเมื่อ ผัสสะ

[162] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์เป็น ไฉน เพราะอาศัยจักษุและรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม 3 ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา ภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์เพราะอาศัยหูและเสียง ... เพราะอาศัยจมูกและกลิ่น ... เพราะอาศัยลิ้น และรส ...เพราะอาศัยกายและโผฏฐัพพะ ... เพราะอาศัยใจและธรรม จึงเกิดมโนวิญญาณความ ประชุมแห่งธรรม 3 ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนาเพราะเวทนาเป็น ปัจจัย จึงเกิดตัณหา ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ฯ

       ผัสสะ 3 เมื่อรู้สัมผัสนอก ที่ปรุงแต่งใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ผู้ที่ปรุงแต่งรูปจัดจ้านมาก ไม่มีใครเกินกระเทย ก็ต้องขออภัยกระเทยนะอาตมาอธิบายวิชาการ

       และมาเรียนรู้ในปุตตมังสสูตร  ​

        240] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่าง เพื่อความดำรงอยู่ของสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิดอาหาร 4 อย่างนั้นคือ

1. กวฬีการาหาร หยาบบ้างละเอียดบ้าง

2. ผัสสาหาร

3. มโนสัญเจตนาหาร

4. วิญญาณาหาร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณโง่ก็จะแสวงหาตามจินตนาการ ตามอยาก ตามต้องการ แล้วต้องการอะไร

       สัมภเวสี นั้นไม่ใช่แบบที่ล่องลอยไปหาที่เกิด มันต้องไปรับวิบาก มันแสวงหาที่เกิด อาจแวะไปหาสวรรค์ปลอม แล้วก็ไปหาที่เกิด

 

        อาหาร 4 อย่างเหล่านี้แล เพื่อดำรงอยู่แห่งสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ

 

       สัมภเวสีที่เขาไม่สัมมาทิฏฐิคือล่องลอยไปหาที่เกิด เป็นเทวนิยม วิญญาณออกจากร่างก็ล่องลอยไป คุณคิดเช่นนั้นก็ไม่ได้ศึกษา ซึ่งวิญญาณไม่ล่องลอย แต่แสวงหาที่เกิด มันเกิดที่จิตนี่แหละ เขารู้ว่าสัมภเวสีเป็นพยัญชนะ แต่ว่าไปเข้าใจว่าล่องลอยไปเรื่อย แต่ว่าที่จริงเราต้องมาดูที่มันแสวงหาที่เกิด อย่างอนาคามีก็ไม่เบียดเบียนใคร มีแต่เบียดเบียนตนเอง เอาแต่เขกหัวตัวเองนั่นแหละ

        [162] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์เป็น

ไฉน เพราะอาศัยจักษุและรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม 3 ประการเป็นผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา ภิกษุทั้งหลาย นี้แล

เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์เพราะอาศัยหูและเสียง ... เพราะอาศัยจมูกและกลิ่น ... เพราะอาศัยลิ้น

และรส ...เพราะอาศัยกายและโผฏฐัพพะ ... เพราะอาศัยใจและธรรม จึงเกิดมโนวิญญาณความ

ประชุมแห่งธรรม 3 ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนาเพราะเวทนาเป็น

ปัจจัย จึงเกิดตัณหา ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ฯ

 

240] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่าง เพื่อความดำรงอยู่ของสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิดอาหาร 4 อย่างนั้นคือ

 

1. กวฬีการาหาร หยาบบ้างละเอียดบ้าง

2. ผัสสาหาร

3. มโนสัญเจตนาหาร

4. วิญญาณาหาร ภิกษุทั้งหลาย

 

 อาหาร 4 อย่างเหล่านี้แล เพื่อดำรงอยู่แห่งสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ

 

[241] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กวฬีการาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ภรรยาสามี 2 คน ถือเอาสะเบียงเดินทางเล็กน้อย แล้วออกเดินไปสู่ทางกันดาร เขาทั้งสองมีบุตรน้อยๆ น่ารักน่าพอใจอยู่คนหนึ่ง เมื่อขณะทั้งสองคนกำลังเดินไปในทางกันดาร

อยู่ สะเบียงเดินทางที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นได้หมดสิ้นไป แต่ทางกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขาทั้งสองยังข้ามพ้นไปไม่ได้ครั้งนั้น เขาทั้งสองคนคิดตกลงกันอย่างนี้ว่า สะเบียงเดินทางของเราทั้งสองอันใดแลมีอยู่เล็กน้อย สะเบียงเดินทางอันนั้นก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ทางกันดารนี้ยังเหลืออยู่ เรายังข้ามพ้นไปไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เราสองคนมาช่วยกันฆ่าบุตรน้อยๆคนเดียว ผู้น่ารัก น่าพอใจคนนี้เสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง เมื่อได้บริโภคเนื้อบุตรจะได้พากันเดินข้ามพ้นทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น ถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้งสามคนต้องพากันพินาศหมดแน่ ครั้งนั้น ภรรยาสามีทั้งสองคนนั้น ก็ฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียวผู้น่ารัก น่าพอใจนั้นเสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็ม และเนื้อย่าง เมื่อบริโภคเนื้อบุตรเสร็จ ก็พากันเดินข้ามทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น

 

เขาทั้งสองคนรับประทานเนื้อบุตรพลาง ค่อนอกพลางรำพันว่าลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสียดังนี้ เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นอย่างไร คือว่าเขาได้บริโภคเนื้อบุตรที่เป็นอาหารเพื่อความคะนองหรือเพื่อความมัวเมา หรือเพื่อความตบแต่ง หรือเพื่อความประดับประดาร่างกายใช่ไหม

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า จึงตรัสต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น เขาพากันรับประทานเนื้อบุตรเป็นอาหารเพียงเพื่อข้ามพ้นทางกันดารใช่ไหม ใช่ พระเจ้าข้า (พ่อครูอธิบายว่า อาศัยเพื่อน มิตร สิ่งแวดล้อม เราก็ไม่ได้ไปฆ่า เพื่อไปสู่นิพพานเราก็ต้องอาศัย แต่ไม่ใช่อาศัยเพื่อไปสู่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขแต่อย่างใด) พระองค์จึงตรัสว่าข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า บุคคลควรเห็นกวฬีการาหารว่า [เปรียบด้วยเนื้อบุตร] ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬีการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ

 

       พ่อครูอธิบายว่า สายนั่งหลับตาจะไม่ได้เรียนรู้ ในเบญจกามคุณ อย่างผัสสะสดๆ อาตมาไม่ได้ดูถูกเจโตสมถะนะ อาตมาเคยศึกษามามากแล้ว พระพุทธเจ้าก็สามารถตัดทวารไม่รับรู้ ขณะเดินอยู่ในโรงกระเดื่อง ฟ้าผ่า วัวตายสี่ คนตายสอง ก็ไม่รู้เรื่องไม่ได้ยิน จนกระทั่งท่านออกจากฌาน ก็เดินมาที่ๆคนกับวัวตาย เขาก็ว่าฟ้าผ่า แต่เราไม่รู้แม้อยู่ใกล้ๆ เดินอยู่แต่ไม่เปิดทวารรับรู้ เสียงฟ้าผ่าแต่พระพุทธเจ้าเข้าฌานจนไม่ได้ยินเสียง ทำจนเก่ง เป็นวสี

       คุณต้องเรียนรู้ที่จะสมาทาน ให้เป็นสมะ คือเสมอๆ คือความสงบแล้วจากเหตุปัจจัย

 

       เขาไม่รู้ว่าเขาเสพกามเสพโลกธรรมอยู่เขาก็ไม่รู้ว่ามันชั่ว แท้จริงเป็นเพียงเครื่องอาศัยข้ามทาง แล้วเขารังแกน้องสาวเขาอยู่ รังแกครอบครัวอยู่ ทรมานลูก ทรมานน้องตัวเอง ทรมานมิตรสหายที่หลงลัทธิทักษิณของเขาเองเขาไม่รู้ว่าเขาฆ่าลูก ฆ่าพี่น้อง ฆ่ามิตรกิน แล้วเพื่อให้ได้ต้องการไปสู่ความเป็นใหญ่ รวยสุดในโลก ต้องการน้ำมัน ต้องการเพชร แล้วเขาก็ฆ่าหมด ฆ่าลูกน้อย ฆ่าลูกใหญ่ แล้วเขาฆ่าแล้ว เขาก็กินเนื้อลูกน้อย เป็นอาหารแก่ทักษิณ ไปล่าลาภยศสรรเสริญสุข อยากใหญ่เป็นเจ้าโลกคือกาม

 

       พ่อครูอธิบายว่าคุณก็แสวงหา เอามาเสพ คุณต้องเอาชนะคะคาน เขาจะเลือกตั้งอีกกี่ที คนไทยจะรู้แล้ว คราวที่แล้วพิสูจน์แล้วว่าประชาชนไม่เอา ต่อให้เลือกตั้งอีกกี่ทีเราก็จะประจานต่อไป เขาเลือกตั้งอีกที วันที่ 7 เม.ย. อาตมาว่าเลือกตั้งครั้งต่อไปเขาก็จะได้คะแนนเสียงลดลง เขาจะได้ตำ่ลงๆ แพ้แน่ อาตมาก็ไม่อยากไปแนะหรอกเรามาต่อสู้ก็ไม่ได้ไปทำเพื่อพรรคไหน แต่เหตุปัจจัยมันจะมีเป็นไป

 

[242] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผัสสาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า แม่โคนมที่ไม่มีหนังหุ้ม ถ้ายืนพิงฝาอยู่ก็จะถูกพวกตัวสัตว์อาศัยฝาเจาะกิน ถ้ายืนพิงต้นไม้อยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน หากลงไปยืนแช่น้ำอยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ที่อาศัยน้ำตอดและกัดกิน ถ้ายืนอาศัยอยู่ในที่ว่าง ก็จะถูกมวลสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะกัดและจิกกิน เป็นอันว่าแม่โคนมตัวนั้นที่ไร้หนังหุ้มจะไปอาศัยอยู่ในสถานที่ใดๆ ก็ถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นๆ กัดกินอยู่ร่ำไปข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็นผัสสาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ผัสสาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

        พ่อครูว่า..ขอย้ำว่าปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าต้องมีผัสสะ ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปปิดทวาร  ในปฏิจจสมุปบาทท่านให้เรียนรู้ ผัสสะ 6 เวทนา 6 ให้เรียรู้ในเวทนาทั้งมโนปวิจาร อ่านรู้อาการทะยานอยาก

เพราะอาศัยความทะยานอยาก จึงมีการแสวงหา

อาศัยการแสวงหา  จึงมีลาภ

อาศัยการมีลาภ  จึงมีการวินิจฉัย

อาศัยการวินิจฉัย  จึงมีความกำหนัดพอใจเป็นอำนาจ

อาศัยกำหนัดพอใจเป็นอำนาจ  จึงมีการฝังใจ

 

       เกิดมาทั้่งที่ได้แต่สะสมกิเลส ก็เกิดมาเสียชาติเกิด เป็นโมฆบุรุษ คนที่ไปเป็นข้ารับใช้ทักษิณ ขอเตือนให้สติ คุณจะเป็นโมฆบุรุษ โมฆสตรี ผู้ไม่ได้พบสัจธรรมก็น่าสงสาร แต่ถ้าได้รู้แล้วไม่เอาคุณจะเป็นโมฆบุรุษ โมฆสตรี ได้ร่างกายมาชิงหมาเกิด ให้หมาตัวใดตัวหนึ่งมาเกิดจะดีกว่า


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:26:43 )

570214

รายละเอียด

570214_ธรรมะมาฆบูชา โดยพ่อครู ที่ผ่านฟ้า เรื่อง อาหาร 4 อย่างพิสดาร ตอน 2        " มาฆะบูชา...รำลึก "

วันมาฆะบูชาเวียนมาถึง

ประเสริฐสุดซาบซึ้งพระศาสนา

เป็นครั้งเดียวแห่งองค์พระศาสดา

. มหาพระวิหารเวฬุวัน

 

ทรงประทานโอวาทะปาฎิโมกข์

แด่ภิกษุทั่วโลกระลึกมั่น

คือหัวใจพระธรรมอย่างสำคัญ

คำสอนนั้นยังคงอยู่คู่ชาติไทย

 

ชาวพุทธควรสำนึกระลึกน้อม

กาย ใจพร้อมบูชาอย่างยิ่งใหญ่

บำเพ็ญพรตถือศีลเข้าถึงใจ

ทำจิตให้สุขสงบ พบนิพพาน

 

วันมาฆะบูชาในปีนี้

มาบรรจบพอดีกับวันหวาน

วาเลนไทน์ใจฝรั่งต่างเบิกบาน

เป็นตำนานชาวคริสต์ฤทธิ์รักแรง

 

อยากมีคู่สู่สมอัสสาทะ

เสพรูปรสผัสสะอันซ่อนแฝง

ความสุขทุกข์ทั้งมวลล้วนเปลี่ยนแปลง

คนยังแย่งแสวงหามายากาม

 

กามคุณทั้งห้าพาหลงไหล

อุปาทานท่วมใจก้าวไม่ข้าม

มองไม่เห็นตามตรงหลงว่างาม

คุณแห่งกามซ่อนเร้นสิ่งเป็นภัย

 

เมื่อมีรักก็มีทุกข์มิใช่หรือ

ห่วงหวงหวังยึดถืออยู่ใช่ไหม

หวาดระแวงกังวลจนอาลัย

ต้องพลัดพรากห่างไกลไปจากเรา

 

รักพระพุทธศาสนาดีกว่าไหม

วาเลนไทน์เป็นของฝรั่งเขา

หลงกระแสหลงแฟชั่นอันมอมเมา

กิเลสเผาร้อนรนไปจนตาย

 

รักทั้งที รักให้ดี ต้องรักศีล

ลดกิเลสให้สิ้นคือเป้าหมาย

ใจสงบใจสว่างไม่วุ่นวาย

สุขสบายชีวี ดีจุงเบย...

        

      โดย ชนะผี สิ้นป่าโลกีย์

 

       พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง ส่ิงอาศัย 4 แต่คนไปเข้าใจผิด เอาไปบำเรอกิเลส ทั้งที่มันเป็นกามโทษ เป็นภาระ เป็นทุกข์ มันเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม ไม่เที่ยง เป็นภาระเป็นทุกข์ แล้วไปหลงเสพเป็นสุข เป็นสุขบำเรอ ความพอใจ เป็นเรื่องหลง ชวนให้ติด แล้วก็หลงติดอยู่ ชั่วนาตาปี ในสังสารวัฏ แล้วไม่เที่ยง สุขๆทุกข์

       มีคนค้นพบจากพระไตรปิฎก ดีๆมาให้ ก็ขอบคุณที่ได้ใช้ จากพระไตรฯล.27 ข้อ 223 ซึ่ง ตัณหาซึ่งเป็นสมุทัยอาริยสัจ เราจะได้อธิบายเรื่องกาม ที่เขาหลงเป็นกามคุณ ทั้งที่มันเป็นกามาทีนวะ จนดับเหตุ กำจัดเหตุให้ตายสิ้นไม่มีกาม

       เรียนรู้กามต้องอาศัยผัสสะ ต้องมีจิตรู้ว่าเรามุ่งหมายอะไร มุ่งหมายเสพกาม เสพโลกธรรม ใคร่อยากได้ลาภ มาเสพ เป็นสุขขัลลิกะ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้กามได้อัตตา ก็เป็นสิ่งที่ใคร่อยาก แล้วแสวงหามาได้ก็บำเรอ แล้วหลงว่าเป็นสิ่งยอดเยี่ยม ตามที่เรายึด

       ก็เพราะอาศัยการแสวงหา อาศัยตัณหาเป็นเหตุ

เพราะอาศัยความทะยานอยาก จึงมีการแสวงหา

1. อาศัยการแสวงหา  จึงมีลาภ

2. อาศัยการมีลาภ  จึงมีการวินิจฉัย

3. อาศัยการวินิจฉัย  จึงมีความกำหนัดพอใจเป็นอำนาจ

4. อาศัยกำหนัดพอใจเป็นอำนาจ  จึงมีการฝังใจ

6.อาศัยการฝังใจ  จึงมีการหวงแหน

7. อาศัยการหวงแหน  จึงมีความตระหนี่

8. อาศัยการตระหนี่  จึงมีการอารักขา

9. อาศัยการอารักขาเป็นต้นเหตุ  จึงมีการจับท่อนไม้  จับศาสตรา มีการทะเลาะ แตกแยก  กล่าวขัดแย้งกันการชี้หน้าด่ากัน  การพูดส่อเสียด  การพูดปด  และเกิดอกุศลธรรมอื่นอีกเป็นอเนก

 

       พระพุทธเจ้าสอนใบไม้กำมือเดียว คืออรหันต์ของแต่ละคน มีความสะอาดในขันธ์ ในอุปทานขันธ์ 5 อุปาทานคือ การยึดแล้วฝังในจิต วิธีการจัดการของพระพุทธเจ้าคือให้มันเคลื่อนตัวออกมาเป็นตัณหา จะแสวงหาได้ก็ต้องมีผัสสะ จะต้องการ กาม ลาภ ยศ สรรเสริญ ต้องการผู้ร่วมสังวาส หรือสังขาร เมื่อได้ร่วมสังขาร สังวาส ก็เกิดปฏิกิริยา แล้วก็สัมผัสอย่างนั้นอย่างนี้จนกระทั่งพอใจ แรงบ้างเบาบ้าง ช้าบ้างเร็วบ้างก็แล้วแต่ แล้วแต่ชนิดหลากหลายในการผัสสะ สิ่งเหล่านี้ปุถุชนไม่รู้ได้ง่ายๆ จึงเรียกธรรมะพระพุทธเจ้าว่า

1.   คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.   สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.   ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.   อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7. นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

       พระพุทธเจ้าท่านได้ไปเรียนรู้ทำแบบผิดๆมาตั้ง 6 ปี ก่อนที่ท่านจะได้ถึงเวลาจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ทำเตวิชโช  ท่านมี พุทธการกธรรม   คือ ธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า มีอยู่แล้วครบถ้วน พุทธุปปาทกาละ  ยุคสมัยที่พระมหาโพธิสัตว์สมควรประกาศตนเป็น พระพุทธเจ้า ก่อตั้งพระพุทธศาสนา  โดยมีปัจจัยพอเพียงครบพร้อม เช่น  มีผู้ร่วมพระบารมีมาเกิดอย่างครบพร้อมแล้ว ฯลฯ

       ท่านเรียนรู้มาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ท่านได้พบพระพุทธเจ้ามาแล้ว กว่า

       เหมือนอาตมาเกิดมาก็มีพุทธธรรมมาก่อนแล้ว เล่าโดยสาระสัจจะที่เป็นจริง...สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าก็ระลึกชาติ ซึ่งระลึกชาติแบบไม่ใช่โลกีย์ หมุนเวียน ไม่ใช่แค่เวียนเกิดตายทางร่างกาย ท่านมีความเป็นอาริยบุคคลอย่างไร ก็ระลึกไป ท่านผ่านจริงของจริง เป็นปัจจัตตัง

       พระพุทธเจ้าเกิดมานั้นศาสนาพุทธยังไม่อุบัติ เพราะสูญหายไปแล้ว ท่านก็ต้องมาประกาศศาสนาพุทธ เป็นของท่านเอง พอระลึกได้ ก็อ๋อ ของเราเอง ท่านจึงมาเปิดเผยศาสนาพุทธ ว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงโปรดปัญจวัคคีย์ ได้อัญญาโกณทัญญะ มาเป็นสงฆ์รูปแรก

       เมื่อเช้าได้อธิบายถึงอนุปุพิกกถา

ทาน ซึ่งทานเขาก็ไม่ได้ถึงการสละกิเลส

ศีล

สัคคะ (สวรรค์) ก็เป็นสวรรค์ลวง

กามาทีนวะ  โทษของกาม

เนกขัมมะ  การออกจากกาม

       ละเอียดในจิตก็ต้องอ่านความอยากได้สมใจ ในตัณหา ในภพนอกเป็นกาม ถ้าหยาบก็เป็นอบาย ถ้าล้างอบายก็เป็น สกิทาฯ ก็จะล้างกาม เมื่อล้างกามได้ ก็เป็นอนาคามี แล้วล้าง รูปภพ อรูปภพต่อ ก็เป็นคนหลุดพ้น ไม่มีภพชาติแล้ว จิตวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ รู้เท่าทันโลก ไม่ได้หนีโลก มีผัสสะเป็นปัจจัย ตัว ทวาร 5 นี่แหละเป็นสัมผัส รู้ว่าการวนเวียนเป็นสัตว์โลกียะ แล้วคนก็อาศัย แม้อรหันต์ก็ต้องอาศัยอาหาร เป็นสิ่งยังชีพ เพราะฉะนั้นเรียนรู้อาหารนี่แหละ อยู่ในความเป็นมนุษย์  เป็นรูปราคะ อรูปราคะ ก็อยู่ในผัสสาหาร มีผัสสะแล้วจะเกิด

       อยู่ในสังคม เหมือนก้อนน้ำแข็งท่ามกลางเตาหลอมเหล็ก แม้จะร้อนกี่ดีกรีก็ตาม น้ำแข็งก็ไม่หลอมละลาย เรียกว่าจิตมีโลกวิทู เราไม่หนีโลก แบบโลกันต์ พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นเรื่องผิด เป็นนรกลึก โลกันต์ มันต้องเผชิญ ต้องสัมผัส แล้วก็รู้ เกิดจริง กิเลสเกิดบัดนี้เป็นกามสัตว์​เป็นรูปสัตว์ เป็นอรูปสัตว์ แล้วดับความเป็นสัตว์ สัตว์เทวดาสมมุติ ซึ่งวิญญาณนั้น

อนิทัสสนัง     ไม่อาจมองเห็นได้ ไม่อาจชี้บอกได้ 

อนันตัง ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สุด

สัพพโต ปภัง แจ่มใส, แผ่กระจายไปโดยทั้งปวง

ทูรังคมัง ไปได้ไกล (เดินทางไวกว่าแสง)

เอกจรัง ไปแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวกับใคร

อสรีรัง    ไม่มีรูปร่าง หน้าตา หรือรูปทรง

คูหาสยัง       อาศัยกายเป็นขอบเขตคูหากำบังอยู่

ต้องมีความรู้ในวิโมกข์ 8 รู้กาย ในสัตตาวาส 9 ซึ่ง แม้มีกายสักขี แต่ว่าไม่ได้มีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แม้มีกายสักขีเหมือนอรหันต์เลย นิ่ง อายุยืนอาจเป็น 100 ปีท่านไม่แคร์โลกธรรม มักน้อยสันโดษ แต่คนเหล่านี้ไม่มีภูมิรู้วิโมกข์ 8 และไม่รู้แม้คำว่ากาย  ถ้าไม่รู้กายอย่างสัมมาทิฏฐิแล้วอาสวะไม่สิ้น

       ถ้าใช้คำว่ากายแล้ว ต้องมีนามร่วมด้วยเสมอ ต้องเห็นด้วยการสัมผัสวิโมกข์ 8

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี  เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) . (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ, หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)  พตปฎ. ล.10  ข.66 /  ล.23  ข.163

       แล้วทำไมไม่เปรียบกับฌาน อรูปฌาน แต่ว่าที่จริงพระพุทธเจ้าอธิบาย เรื่องคุณสมบัติในการเข้าถึงวิโมกข์ แล้วก็มีอุเบกขาเป็นฐานนิพพาน เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของนิพพาน เป็นแกน แล้วก็ทำซ้ำ เมื่อคุณปล่อยวางได้ก็เป็นมุญจิตุกัมยตาญาณ มีญาณ

7.  (4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ . ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย

8.   (5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส  เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย . .

9.   (6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น .(อตัมมยตา) .

       ไม่ใช่ทำอย่างหลับตา แต่ทำอย่างรู้ๆตื่่นอยู่ เป็นจักขุมาปรินิพพุโพติ นิพพานอย่างลืมตาเป็น จักษุ ญาณ ปัญญาวิชชาแสงสว่าง นิโรธของพระพุทธเจ้าเป็น ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ  เพราะล่วงเนวสัญญา-นาสัญญายตนะ  โดยประการทั้งปวง (สัพพโส  เนวสัญญานาสัญญายตนัง  สมติกกัมมะ สัญญาเวทยิตัง   นิโรธัง  อุปสัมปัชชะ วิหรติ)   หรือพ้นอวิชชาสังโยชน์ อันผู้เข้าถึงแล้ว พึงทบทวนตรวจสอบอย่างอนุโลมบ้าง อย่างปฏิโลมบ้าง ทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง  หรือบางขณะก็อยู่ในอารมณ์บางขณะก็ไม่อยู่ในอารมณ์แห่งวิโมกข์8   อยู่บ้าง-ไม่อยู่บ้างตามคราวที่ต้องการ  ตามที่ปรารถนาและตามกำหนดที่ประสงค์   จึงบรรลุเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะสิ้นไป  เพราะทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน  นี้เรียกว่า อุภโตภาควิมุติ

       ไม่ได้ไปนั่งหลับตาปี๋ เป็น เนวสัญญานาสัญญยตนสัตว์หรืออากิญจัญญายตนสัตว์ อย่างอาฬารดาบสหรืออุทกดาบส

       สรุปแล้วต้องรู้กายกับสัญญาที่เป็นสภาวธรรม แล้วคุณต้องตรวจกาย ถ้าเข้าใจกายไม่ได้จะเป็นอรหันต์ไม่ได้ อย่างโสดาฯ สกิทาฯ ก็พอได้ แต่ถ้าเป็นธัมานุสารีย์จะเรียนรู้เป็นทิฏฐิปัตตะ

สายศรัทธา

1. สัทธานุสารี . >

3. สัทธาวิมุติ .  >

5. กายสักขี  .   >

(ต้องอาศัยวิโมกข์ 8)

สายปัญญา

2. ธัมมานุสารี .

4. ทิฏฐิปัตตะ .

6. ปัญญาวิมุติ . .

(มีวิโมกข์ 8 มาตลอด)

       สายพุทธนี้แม้ไม่ไปนั่งสมาธิ ก็เป็นปัญญาวิมุติได้ ท่านจึงเรียกว่า สุขวิปัสสโก คือประเภทไม่มีเจโตสมถะ ท่านจะไม่มีอิทธิและอาเทสนาปาฏิหาริย์ ซึ่งการเตวิชโชจะมีประโยชน์อยู่ สี่อย่าง

1.ได้พักผ่อนแบบสงบจิต

2.ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน  ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์

3.  เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .

4.  สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ  (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง  ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน) ท่านก็ไม่ต้องไปใช้ข้อที่สี่นี้เลยได้

 

       ถ้ากำหนดรู้กามได้ เข้าใจสัมมาทิฏฐิ คุณจะปฏิบัติอย่างรู้จักอาหารรูป เป็นเครื่องอาศัย แล้วจะพิจารณาจากอาหารรูปนี้คือ กาย เพราะมันต้องเสพตั้งแต่อบายภูมิ เป็นกามภูมิ จนถึง รูปราคะ อรูปราคะ มานะ(ไม่ใช้คำว่าใคร่อยาก แต่ไม่หนักหนาเหมือนกามราคะ มันยึดดีถือดี แล้วเสพสุขว่าดีนัก เหลือละอองธุลี คืออุทธัจจะ ก็ตรวจด้วยอรูปฌาน สำหรับมานะอุทธัจจะ แต่รูปราคะ อรูปราคะก็อาศัยฌาน อาศัยภายนอกตรวจ แต่ไม่ออกมาข้างนอก เหลือแต่ข้างใน มีมานะ อุทธัจจะ ต้องล้างด้วยอรูปฌาน จนพ้นอวิชชสวะ ก็จบ

       ในเรื่องกาม จึงเป็นคำรวมที่ครบหมด อธิบายไปเมื่อเช้า พระพุทธเจ้าอธิบายว่าเหมือนคนเดินๆๆๆ จังเลย เป็นทางกันดาร เพราะไม่รู้อวิชชา วนไปมา ไม่รู้ว่าคืออะไรเป็นเหตุ ว่าต้นเหตุคือกาม ต้องออกจากกาม ต้องรู้ทวาร 5 สัมผัสแล้วเกิดกาย

       กายขององค์ประชุม ถ้ายังมุ่นอยู่ข้างนอกก็อยู่ข้างนอก พหิทารูปานิปัสสติ แล้วเห็นแล้วเลื่อนมาสู่ในจิต เป็นกายในกายแล้ว เมื่อไม่เรียนรู้มันก็ปรุงแต่งสังขาร ได้สมใจก็วางไปอุเบกขาเฉย ไม่ได้สมใจก็ทุกข์ แต่ไม่ได้ก็จำนนไป มันไม่ได้ก็ยอม จนทุกข์อยู่ แต่ฝังใจ สั่งสม เป็นอาสวะกิเลส สุขก็ฝังใจเป็นกิเลส ทุกข์ก็ฝังใจเป็นกิเลส เหมือนผัวเมียที่เดินทางไกล ชาวโลกีย์ก็ปุถุไปด้วยโลกีย์ โตใหญ่หนา สุขหรือทุกข์กิเลสก็หนาอ้วน จึงสั่งสมนรก หลงสวรรค์ สั่งสมเป็นกิเลส อนุสัยอาสวะ

       ตายไปแล้วไม่มีกามคุณ 5 ก็ดิ้นอยากเสพ คุณก็ต้องอยากดิ้น ดิ้นก็ไม่มีให้ ลืมตาก็ไปแสวงหาบำเรอ คุณก็ได้สุขตอนเป็นๆ แต่ตายแล้วไม่มี อย่างเก่งก็สมมุติมาเอง เป็นมโนมยอัตตา เป็นของปลอม ไม่มีรูปจริง ไม่มีเสียงจริง อยู่ในภพของจิตไม่มี คุณก็ได้แต่ของลมๆแล้งๆ จึงฝันเป็นสุข เพราะปรุงแต่งมาเสพ ไม่เรียนรู้ ไม่ได้ก็อาฆาตต่อ สรุปแล้วมีแต่ทุกข์กับทุกข์มากกว่า สุขนั้นของปลอม แม้คุณปรุงแต่งในสัญญาก็ชั่วคราว แล้วพักยก กิเลสคือทุกข์เป็นสัจจะ สุขนั้นคือสุขขัลลิกะ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าตายไปแล้ว มีแต่ตกนรกเสียมากเท่ากับแผ่นดินทั้งหมด แต่ขึ้นสวรรค์มีน้อยเพียงแค่เท่าขี้เล็บ

       คุณได้ยศ ได้ลาภ ได้สรรเสริญมาเสพ คุณก็ว่ายากจริงๆ ย่ิงอยากได้มากได้ใหญ่ก็ต้องแสวงหา แม้ชั่วก็ทำ โกหกก็ต้องทำเพื่อได้ลาภยศ เสพสมสุขสมในสรรเสริญ คุณทำตัวเองให้ชั่ว ตนเองก็ไม่รู้ ฆ่าลูกน้อยมากินทำเป็นเนื้อแห้งเนื้อย่าง โดยไม่รู้จักที่หมาย แย่งกามแย่งอัตตาลำบาก แต่ไม่รู้ทุกข์ ที่จริงทุกข์เป็นกิลมถะ เป็นอัตตา 3 ทั้งนั้น ก็เลยไม่สัมมาทิฏฐิ ก็เดินในทางทุรกันดาร ถึงฆ่าลูกตัวเองกิน นึกว่าตนเดินทางประเสริฐ แต่ได้นรกกับนรก น่าสังเวชใจ

       มาถึงเรื่องผัสสาหาร

 

      [242] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผัสสาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า แม่โคนมที่ไม่มีหนังหุ้ม ถ้ายืนพิงฝาอยู่ก็จะถูกพวกตัวสัตว์อาศัยฝาเจาะกิน ถ้ายืนพิงต้นไม้อยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน หากลงไปยืนแช่น้ำอยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ที่อาศัยน้ำตอดและกัดกิน ถ้ายืนอาศัยอยู่ในที่ว่าง ก็ถูกมวลสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะกัดและจิกกิน เป็นอันว่าแม่โคนมตัวนั้นที่ไร้หนังหุ้มจะไปอาศัยอยู่ในสถานที่ใดๆ ก็ถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นๆ กัดกินอยู่ร่ำไปข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็นผัสสาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ผัสสาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

       อารมณ์สุขทุกข์เป็นโลกีย์ทั้งนั้น เรื่องลำบากลำบน เป็นกิลมถะทั้งนั้นเหมือนแม่พ่อท่ี่ฆ่าลูกกินเพื่อเดินทางโดยไม่รู้เป้าหมาย ต้องมาเรียนรู้ผัสสะ 3 ในเวทนา สัญญา สังขาร โดยสัญญาเป็นตัวเพ่งรู้สังขาร สังขารแปลว่าจัดการหรือปรุงแต่งหรือทำให้สำเร็จ เราสังขารอย่างมีเหตุปัจจัยที่ต้องกำจัด

       ทำอย่างรู้มีสังกัปปะ 7

1.ความตรึก-แรกเริ่มนึกคิด (ตักกะ) .

2. ความตรอง-คิดวิตกยิ่งขึ้น  (วิตักกะ) .

3. ความดำริ-มีความคิดปรุง  (สังกัปปะ)

4. ความแน่วแน่   (อัปปนา) . .

5. ความแนบแน่น       (พยัปปนา)

6. ความปักใจมั่น  (เจตโส อภินิโรปนา) .

7. วจีสังขารเตรียมจะพูด (วจีสังขาโร) . .

 

       เราไม่รู้จักผัสสะก็จะแสบเผ็ดเหมือนแม่โคไม่มีหนัง มันทุกข์แต่คุณอวิชชาก็ทนได้ ทุกผัสสะ คุณต้องรู้ เวทนา 3 ในการเรียนรู้ผัสสาหาร ผัสสะแล้วเป็นองค์ประชุมเป็นเวทนาในเวทนา เรียนรู้เจโตปริยญาณ  16

       ต่อมาเราเรียนรู้ มโนสัญเจตนาหาร

ท่านว่า...[243] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มโนสัญเจตนาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่ามีหลุมถ่านเพลิงอยู่แห่งหนึ่ง ลึกมากกว่าชั่วบุรุษ เต็มไปด้วยถ่านเพลิง ไม่มีเปลว ไม่มีควันครั้งนั้นมีบุรุษคนหนึ่งอยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากตายรักสุข เกลียดทุกข์เดินมา บุรุษสองคนมีกำลังจับเขาที่แขนข้างละคนคร่าไปสู่หลุมถ่านเพลิง ทันใดนั้นเอง เขามีเจตนาปรารถนาตั้งใจอยากจะให้ไกลจากหลุมถ่านเพลิง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขารู้ว่า ถ้าเขาจักตกหลุมถ่านเพลิงนี้ ก็จักต้องตายหรือถึงทุกข์แทบตาย ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็นมโนสัญเจตนาหาร ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดมโนสัญเจตนาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้แล้ว เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

       พ่อครูว่า..ให้เราเรียนรู้ตัณหา 3

ตัณหา 3 . . ความต้องการ-ความอยาก

1. กามตัณหา (ใคร่อยากในกามภพ อันอาศัยรูปภายนอก) มีตั้งแต่อบายภูมิ กามภูมิ ซึ่งเดี๋ยวนี้เยอะมากเลย แม้พวกคุณก็พานพบมากเลย คุณไปไม่เหมือนเขา เพราะเขาจัดจ้านมากเลย

2. ภวตัณหา (ความใคร่อยากได้รูปภพภายใน และอรูปภพ).

3. วิภวตัณหา (อยากได้ความไม่มีภพ  หรืออยากพ้นไปจากภพ, หรือปรารถนาสิ่งที่ไม่ใช่ภพเพื่อตน  เป็นตัณหาแห่งอุดมการณ์ที่อาศัยไว้เพื่อดำเนินความดีไปเช่นนั้นเอง)  ศึกษาเป็นไปเพื่ออาศัยวิเวก  วิราคะ  นิโรธ  อันน้อมนำไปเพื่อความปลดปล่อย (วิเวกนิสสิตังวิราคนิสสิตัง   นิโรธนิสสิตัง   โวสสัคคปริณามิง

(พตปฎ. เล่ม 22  ข้อ 377) .

       ลึกๆคนเราไม่อยากทุกข์ ถ้าตกในบ่อเพลิงนี่ทุกข์แน่ๆ เหมือนสองคนที่จะดึงไปสู่ทุกข์ คุณก็ดิ้นรนๆ แต่คุณจะดิ้นรนไหวไหม ถ้าคุณไม่รู้กามตัณหา ภวตัณหา คุณไม่รู้ก็ถูกหิ้วลง หลุมถ่านเพลิง แล้วใช้ วิภวตัณหา ไปล้าง กามตัณหาและภวตัณหา จนหมดภพเรียกว่าวิภวตัณหา

       ตัณหาล้างภาพต้องเรียนรู้ทฤษฏีที่สัมมา ให้หมดภพ จึงจะรอดหลุมถ่านเพลิง ไม่มีตัวหลอกให้คุณตกหลุม เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว รู้เหตุปัจจัยบ่อเกิดแห่งทุกข์

       ซึ่งกามภพนั้น มีตั้งแต่อบายภูมิ กามภูมิ ซึ่งเดี๋ยวนี้เยอะมากเลย แม้พวกคุณก็พานพบมากเลย คุณไปไม่เหมือนเขา เพราะเขาจัดจ้านมากเลย มันมีแต่อัลลิกะ เป็นเท็จ

       ต่อมาที่ วิญญาณาหาร

[244] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวันต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น

 

ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้นมิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน

 

เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯจบสูตรที่ 3

 

       ขออภัยที่นั่งๆอยู่นี่ถ้าไม่รู้เครื่องอาศัยแล้ว ก็คือนักโทษประหารที่พระราชสั่งประหาร ก็นั่งอยู่ยงคงกระพันอยู่อย่างนี้ หน้าด้านหน้าทนอยู่อย่างนี้ ถูกประหารเช้า เที่ยง เย็น ก็ยังไม่ตาย

       เราอาศัยวิญญาณที่เหมือนโจรถูกฆ่าด้วยหอก วันละ 300 เล่ม จะทุกข์ขนาดไหน แค่หอกเล่มเดียวก็ทุกข์มากแล้ว นี่ตั้ง 300 เล่ม

สรุปแล้ว

1.   กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม)

2.   ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา)

3.   มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา)

4.   วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ  คือ   กำหนดรู้จักแยกแยะนาม-รูป   แล้วกำจัดเฉพาะอาสวะให้จบสิ้น) .

(ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16   ข้อ 241-244)

       กิเลสกามเกิดที่สัมผัสแล้วเกิดวิญญาณ ผี(ทุกข์) เกิด สมมุติเทพ (สุข) ก็อยู่สุขทุกข์ไป แม้พรหมโลกีย์ก็ไปนั่งสมาธิ ไม่เอารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เหมือนโยคีในอินเดีย พระพุทธเจ้าไม่นับแม้โสดาบัน มีคนถามมาว่า ผู้ที่ตายไปแล้ว เป็นพระที่กระดูกเป็นพระธาตุ แล้วเขาก็ว่าเป็นอรหันต์ ก็ขอยืนยันว่า ฤาษีนั้นกระดูกเป็นอรหันต์เก่งกว่าของพุทธด้วยซ้ำ เพราะเป็นธาตุวัตถุ เมื่อสังเคราะห์ออกมาก็เป็นก้อนใส ไม่เหมือนแคลเซี่ยมธรรมดา 

       สรุปการเรียนรู้อาหารต้องเรียนรู้ นาม รูป

        นามคือ ตัวรู้ ส่วนรูป คือสิ่งที่ถูกรู้

       ส่ิงที่ถูกรู้อยู่ภายนอก รู้แล้วก็เลื่อนจากรูปกาย มาเป็นนามกาย หรือเป็นนามรูป (ส่ิงที่ถูกรู้ที่เป็นนาม) แล้วก็ลึกขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณรู้นามกายไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ปฏิบัติไม่สัมมา ต้องเรียนรู้สัตว์ในสัตตาวาส 9

1.    สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า ซึ่งเขาไปอธิบายว่า เปรตเป็นตัวตนที่สมมุติปั้นเอาของแต่ละคน แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เปรตที่ปั้นรูปปั้นไว้แต่ละวัดก็ไม่เหมือนกันเลย ยิ่งพวกเขียนการ์ตูนหรือสร้างหนังก็ผีสารพัดเลย เป็นมนุษย์ ผี เทวดาก็ไม่เหมือนกัน แม้แฝดก็ไม่เหมือนกันด้วย ซึ่งปรมาณูสองอันก็ไม่เหมือนกันแล้ว

2.   สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น  อันนี้ต้องเรียนรู้ฌานแล้ว แต่ถ้าทฤษฎีต่างกันก็ได้ผลต่างกันเรียนรู้ต่างกัน ฌานโลกีย์กับโลกุตระนั้นต่างกันไปแน่

       สำหรับวันนี้ก็ได้เท่านี้ ตั้งใจอธิบายมากไปไหม รุ่มร่ามมากไปไหม? เยอะไปไหม?...ดี..ก็ค่อยยังชั่ว...

       พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว อาตมาเทศน์ทวช.อีกสุดท้าย แล้วสรุปจบงาน ปรากฎว่ามียอดคนลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 9 ถึง 15 ก.พ.นี้  1,077 คน

       ก็ใช้ได้ นั่งฟังกันดี ไม่มีกีตาร์ซักตัว ไวโอลินซักอันคุณก็นั่งฟังกันได้ ใครง่วงบ้างอย่าอาย ยกมือซิ ก็ไม่น้อย ใครง่วงจนมึนเลย ยกมือ ก็มีอยู่...แสดงว่าไม่ค่อยไหวนะ แล้วใครฟังได้ดีพอสมควรยกมือซิ..ก็ใช้ได้ คุ้มค่าที่เทศน์มา ไม่ถึงสองชม.   

       พรุ่งนี้จะทบทวนอีกที เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าเข้าใจวิญญาณผิดไปจะไม่สัมมาทิฏฐิ แล้วจะกำหนดกามไม่ได้ ไปหลงว่าเป็นกามคุณทั้งที่เป็นกามโทษ แล้วจับอ่านกามสัตว์ แล้วกำจัดกามสัตว์ จะรู้เจตนามุ่งหมายของเราที่เป็นกาม อยากบำเรอกามคุณ อัตตา เมื่อล้างได้หมดก็เป็นคนเบิกบาน ตื่นรู้ มีจิตเหนือโลกธรรม เหนือกาม เหนืออัตตา สบาย คนที่เดาว่าไม่มีสุขก็ไม่อร่อย ได้โลกธรรมก็ไม่ยินดียินร้าย เขาด่าก็ไม่ยินดียินร้าย คนแบบนี้จะจืดตายหรือ?...อย่าเดา พระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานไม่ใช่ผู้จืดชืด อาตมาขอรับรองว่าไม่จืดชืดหรอก อาตมาไม่ได้เดือดร้อนดิ้นรนแม้ไม่มีรสโลกีย์ ก็สบายๆ อย่าเดา จงพยายามเรียนรู้ให้ได้ส่ิงที่มนุษย์ควรได้พึงได้ อย่าเป็นโมฆบุรุษ โมฆสตรี ซึ่งเขาก็ไม่เรียกโมฆสตรี ท่านเรียกโมฆบุรุษทั้งนั้นเพราะหากบรรลุธรรม ผู้หญิงก็เป็นสัตบุรุษ ไปตามลำดับ..จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:30:00 )

570215

รายละเอียด

570215_พ่อครูที่ป้อมพระกาฬ เรื่อง ธรรมาธรรมสงคราม ชั่วจะย่ิงชั่ว ดีจะยิ่งดี       

       พ่อครูว่า...เราได้พุทธาภิเษกฯมาถึงวันที่ 7 แล้ว คนที่มีการยึดถือห่วงหาอาวรณ์ เป็นเราเป็นของเรา เป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นสัจจะที่สุดยอดที่สุด ซึ่งคนถ้าได้ทำให้สำเร็จผลได้จริง เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สัมมาทิฏฐิ ตามรู้รายละเอียด รู้แล้วก็ปฏิบัติให้สัมมา รู้ถูกแต่ปฏิบัติผิดก็ไม่ได้ผล ต้องปฏิบัติถูกต้อง

       ทุกวันนี้องค์รวมค่ารวมของประเทศไทยดีขึ้น แต่คนทำชั่วนี้หนักขึ้น เหมือนอึ่งอ่างพองลม เขาเห็นราชสีห์ตัวใหญ่มาเปล่งรัศมีความดีงามถูกต้อง แต่อึ่งอ่างก็จะทำชั่วทำร้ายทำเสื่อมทำเลวหนักขึ้นเหมือนอึ่งอ่างพองลม ทำให้เห็นผู้ที่อยู่กลางๆ ระหว่างอึ่งอ่างและราชสีห์ ก็จะย่ิงเห็นราชสีห์มีความถูกต้องดีงามเพิ่มขึ้น และความถูกต้องดีงามจะทำให้เกิดการตัดสิน อึ่งอ่างก็จะท้องพองแตกตายเอง หรือมีเหตุปัจจัยอื่นช่วยด้วยก็ดี แต่ถ้าไม่มีเหตุอื่น จะเกิดเช่นนี้ ความดีงามสุจริตจะทำให้เกิดเช่นนี้ ยิ่งเขาโกหกทุจริต ประเด็นที่เขาไม่ยอมรับและเห็นชัดๆ คือล่าสุดเลย ที่ปทุมธานี มีคนฆ่าตัวตายจากนโยบายจำนำข้าวอีกรายหนึ่ง เป็นรายที่ 11 แล้ว

(จากทีนิวส์)   วันนี้(15ก.พ.) ร.ต.ท.อนวัช แสนอินทร์ ร้อยเวรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรสวนพริกไทย จ.ปทุมธานี รับแจ้งมีคนผูกคอตาย ภายในบ้านเลขที่ 8/1 ซ.สามัคคีธรรม ม.4 ต.บางพูด อ.เมืองปทุมธานี พร้อมประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิตในสภาพใช้สายเข็มขัดนิรภัยผูกคอตัวเองกับขื่อบ้าน ทราบชื่อคือ นายอนันต์ สายประสงค์ อายุ 49 ปี คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2-4 ชั่วโมง จากการสอบถาม นางฉันทนา สายประยงค์ อายุ 47 ปี ภรรยาผู้ตาย ทราบว่า ผู้ตายมีอาชีพทำนา และเป็นหัวหน้ากลุ่มชาวนา ที่ไปนำเมล็ดข้าว // ปุ๋ย และยาฆ่าแมลงจากนายทุน มาให้ชาวนาในกลุ่มลงทุนทำนา ซึ่งหลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ได้นำข้าวเข้าโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล จนถึงขณะนี้นานกว่า 5 เดือน ยังไม่ได้รับเงินแต่อย่างใด  ประกอบกับนายทุนดังกล่าวได้ตามทวงหนี้เป็นเงินจำนวน 6 แสนบาท แม้ว่าจะเอาบ้านไปจำนองกับ ธกส. เพื่อนำเงินไปใช้หนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ จึงคาดว่าผู้ตายเกิดความเครียด และจะตัดสินใจผูกคอตาย เบื้องต้น เจ้าหน้าที่นำศพส่งพิสูจน์หลักฐานที่นิติเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ และจะสืบสวนหาสาเหตุเสียชีวิตต่อไป

       ลองตั้งสติให้ดีสิว่านี่คือนโยบายที่เป็นของรัฐบาลนี้ ทำให้คนฆ่าตัวตายไปถึง 10 คนแล้ว ยังไม่รู้สึกรู้สา ไม่รับผิดชอบใดๆ แล้วผู้ที่ต้องทำตามนโยบายนี้ ก็ทำไมยังไปส่งเสริมคนที่ ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว แล้วทำเสียหายฉิบหายอีกมาก คนตายเพราะงานของเขาวิธีบริหารประเทศของเขา ผบคือความฉิบหายวายป่วง ต้องถึงขั้นฆ่าตัวตาย แค่คนฆ่าตัวตายคนเดียวก็น่าจะต้องลาออกนะ แต่นี่ 10 คนแล้วนี่คืออึ่งอ่างพองลม ต้องยอมหยุด ส่ิงที่ตนเองทำ ต้องยอมรับผลที่คุณทำทำให้คนฆ่าตัวตาย

       มาพูดนี่ด้วยเมตตา ให้คุณได้หยุดทำชั่ว สิ่งเหล่านี้เกิด เป็นหน้าที่ของเราด้วยที่จะทำให้สังคมเกิดดีหรือชั่วขึ้นมาเราก็ต้องช่วยรับผิดชอบด้วยกัน

       มีคนถามคำถามขึ้นมา ต่อไปจะเปิดให้คนเขียนคำถามมาในรายการได้ ไม่ต้องเขียนมาตอนรายการก็ได้ เขียนตอนอื่นมาก็ได้

  • ดีใจค่ะที่เวทีผ่านฟ้าจะมีการตอบปัญหาคาใจ ขอถามว่า รายการคิดยกกำลังห้าของทีวีไทย ดูแล้วเห็นใจคนเป็นกลางอย่าง TDRI แล้วสงสารคนที่เอาขี้มาปนกับข้าวมาปนกันคนละครึ่งแล้วหารสอง มากิน เขาเอาความคิดที่กปสส.ที่จะเอาผิดกับคนทุจริต คอรัปชั่น คนไม่มีความรู้ความสามารถมาบริหารประเทศ ทำซื่อ (บื้อ) ปากกล้า ขาสั่น มีวันนี้เพราะพี่ให้ ลุงกำนันสุเทพชัดเจนว่า ไม่เจรจา ขอเตือนลุงกำนันว่า ถ้าวันใดลุงกำนันเปลี่ยนไป เราก็จะมาเตือน ขอยืนยันว่าหากไม่ฟังคำเตือนของประชาชนเมื่อไหร่ เจอกันแน่นอน ประเทศไทยเราลงทุนมามากแล้ว มาไกลมาแล้ว คนไทยต้องชัดเจน อย่าให้ความอ่อนไหวของพวก ปรองดอง ซุกใต้พรม มาสอดแทรก เพราะนี่คือการนำความขัดแย้งมาปรับมาแก้ไข เพื่อให้เกิดส่ิงที่ดีงามขึ้น ไม่ใช่ว่าเอาดีชั่วมารวมกันหารสอง ยิ่งเขาทำเลวเขานั่งทับขี้ที่เขาทำไว้ เขาต้องรับกรรมเลวที่เขาทำ ไม่ใช่เราไปก่ออะไรให้เขาใช่ไหม?

 

  •  ตอบ....นี่เป็นความคิดของคนกลุ่มหนึ่ง อาตมาว่าความเป็นกลาง นั้น ที่ว่าเอาสองส่ิงมารวมกันแล้วหารสอง ก็ได้ ในเรื่องของแต่ละบริบทก็ทำได้ แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่ ในเรื่องความดีและไม่ดี ความเสื่อมและไม่เสื่อม จะเอามาบวกกันหารสองนั้นไม่ได้แน่ ซึ่งความเป็นกลางไม่ใช่ไม่เข้าข้างใคร ปล่อยให้ฆ่ากันตายไปเลย อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ซึ่งคุณอยู่ในสังคมก็ต้องเอาประโยชน์กับสังคมนี้ ให้เขาจบแล้วตนเองก็มาเอาประโยชน์ อันนี้เห็นแก่ตัวจัดจ้านมาก

อาตมามีความเข้าใจในเรื่องความเป็นกลางอย่างว่า ก็แล้วแต่คนจะเข้าใจไปแต่ละอย่าง ใครยังคิดอย่างปรองดอง เอาบวกกันหารสอง ตกลงกันน่า มันไม่ใช่แล้ว เพราะขี้มันเน่าเหม็น เป็นพิษ เราต้องให้ขี้หายไปแล้วให้เหลือแต่ข้าว เป็นเรื่องจริงพิสูจน์กันแล้ว มันอาจเป็นได้ว่าคนที่มาคิดเช่นนี้เขาไม่มีผลกระทบเหมือนชาวนา หรือผู้ที่มีปัญญา อ่านรู้ได้ก็จะรู้ว่ามีผลกระทบมาก ถ้าไม่ให้หยุด ปล่อยให้ทำงานต่อไป บริหารต่อไป ในข้าราชการการเมืองหรือประจำก็ตาม เสื่อมหนักมาถึงวันนี้แล้ว ต้องยับยั้งแล้ว ไม่ประนีประนอมแล้ว ให้หยุด เลิก

แม้เราจะระงับ หยุดแล้ว ในทีมใหม่ที่จะเข้าไปทำงาน อาตมาก็ยังเชื่อว่าทีมใหม่ก็จะยังทำได้ไม่ดี ยังมีเสีย ไม่จำเป็นต้องเอาสิ่งเน่าเสียเข้าไปเลย ไม่ใช่ดูถูกนะ แต่จะไม่เป็นไปตามจินตนาการหรอก เวลาทำจริงไม่ได้ตามที่คิดหมดหรอก มีความบกพร่องแน่ ไม่จำเป็นต้องเอาเชื้อเลวมาประสมเลย เราต้องทำที่เรามีให้สะอาดก่อน เรื่่องอะไรเราต้องเผื่อเอาเชื้อร้ายมาใส่ด้วย        

  • และหากใครในกปปส. ไปยอมซูเอี๋ยอย่างที่คนช่างคิดปรองดองทำ ท่าทีของกปท.กองทัพธรรมจะทำอย่างไรคะ.?..
  • ตอบ...ให้พวกเราตอบ...ไม่ยอม ไม่เอา ช่วยกันตอบก็ดี อาตมาเห็นด้วย
  • นี่ยืนหยัดยืนยันหรือแข็งไปไม่ยอมงอหรือเปล่า? หรือว่าไม่ฟังใครหรือไม่?
  • ตอบ...ไม่ คือมันมองได้เยอะแยะ ว่าแข็งไปก็ได้ ไม่ยอมงอเลย ไม่อนุโลมเลย ได้ มันเป็นการยืนหยัดยืนยันแข็งเกินไปไม่ยอมเลยก็ได้ ...ก็ต้องมาพิจารณาว่าสมควรจะยืนหยัดไหม อาตมาว่ามันเลวเกินกว่าที่จะยอมซูเอี๋ย เป็นขี้ที่เน่าเกิน เป็นเชื้อร้ายมากหนักหนาสาหัสสุดแล้ว เห็นด้วย
  • ที่เป็นอยู่ขณะนี้พวกเราทำงานกับสังคมมา หากเราจะอนุโลมบ้างเราก็ต้องพิจารณาจากผู้อนุโลม ว่าเขายังมีส่วนดีไหม พูดจริงๆยังไม่เห็นส่วนดีเลย ของเขาทำนี่ ไม่รู้สึกรู้สาเลย เป็นหนี้กว่าแสนล้าน คาราคาซัง แล้วพวกคุณก็ได้ทำเลวทำทุจริตมากมาย เราก็ให้คุณปรับ คุณหยุดเลย จะแก้ตัวอย่างไรก็ยิ่งเข้าเนื้อ มันควรจะต้องลาออกได้แล้ว คนต้องฆ่าตัวตายนี่สุดยอดเลวร้ายแล้ว ด้วยเหตุที่คุณทำนี่แหละ ผลกระทบจากที่คุณทำ
  • จากผู้เห็นใจชาวนา ชาวนาฆ่าตัวตายไปหลายคนแล้งไม่มีใครเตือนสติชาวนาเลย พ่อครูช่วยด้วยค่ะ ?
  • ตอบ...คนเราไม่ต้่องฆ่าตัวตายนี่ ก็ตายแน่ๆ ใครจะอยู่ไปโดยไม่ตายไม่มีแน่ ชอบไม่ชอบก็ต้องตาย ไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวตายหรอก การอยู่สู้ไปนี่เป็นการทำกรรม การกระทำ เราสู้ไปทำสุจริต อย่าไปทำทุจริตซ้ำซ้อน กรรมเป็นอันทำ ถ้าเราได้สู้อย่างสุจริต รัฐบาลทำไม่ดีก็เป็นกรรมของเขา เราอาจไม่รู้เท่าทันก็เป็นกรรมเก่า หรือว่ากรรมปัจจุบัน เราไปนึกโลภ อยากได้ รัฐบาลมาหลอกเราว่าได้เงินมาก เราก็ตะกละ แต่เรามาทำกรรมใหม่ให้สุจริต เราก็ได้ทำวิบากใหม่เป็นกุศล แม้มีเหตุการณ์รุมเร้าเราหนักหนาสาหัส ก็ยืนสู้อย่างสุจริตอย่างเดียว
  • ยกตัวอย่างอาตมาถูกฟ้อง โดยมหาเถรสมาคมด้วย ฟ้องลับหลังด้วย ผิดวินัยผิดหลักสากล แต่เขาก็ทำ อาตมาถูกสั่งฟ้องว่าสังให้สึก ถ้าไม่สึกใน 7 วันผิดกฎหมาย อาตมาไม่สึกก็ผิดกฎหมาย เมื่อผิดกฎหมาย อาตมาไม่สึกอาตมาก็เป็นพระอยู่ กฎหมายสั่งให้สึก นั้นใช้ไม่ได้กับวินัย ในกฎหมายก็มีว่าไว้ว่าข้อใดขัดแย้งกับธรรมวินัยทำไม่ได้ สั่งให้อาตมสึกไม่ได้ อ้าวแพ้ก็แพ้แต่ใจอาตมาไม่ได้สึก ก็แพ้คดี สู้คดีอยู่นานเลย หกปี
  • ถึงแม้จะแพ้อย่างไรก็อย่าทำทุจริต สู้ดวยสุจริตนี่แหละ คนที่มาทำชั่วเพื่อให้เราทำกุศลได้ย่ิงขึ้น แม้เราจะสู้ด้วยอย่าแพ้แต่เราจะไม่ขบถไปทำชั่ว สู้ด้วยทำดีนี่แหละ ด้วยจิตที่ดีไม่โกรธแค้นถือสา
  • ถ้าเราไม่ฆ่าตัวตาย แต่เราทำกรรมดีสุจริตไปเรื่อยๆ เราก็ทำดีต่อไป พระพุทธเจ้าให้ชนะความชั่วด้วยความดี ทำดีนี่แหละ ความชั่วเป็นเหตุให้เราทำดี เราได้กำไร ต้องขอบคุณที่เขาทำให้เราทำดี คนฆ่าตัวตายนี่จิตอำมหิตนะ การฆ่าชีวิต คนจะฆ่าชีวิตคนอื่นก็อำมหิตระดับหนึ่งแล้ว จะฆ่าสัตว์ก็อำมหิตระดับหนึ่งจะฆ่าคนก็ต้องอำมหิตมากกว่าอีก แล้วคุณรักตนเองมากว่าคนอื่น หากจะฆ่าตนเองที่เรารักมากกว่าคนอื่น ก็จะต้องอำมหิตมากกว่าอีก ต้องหาเรื่องล่อหลอกตนเองหรือสุดทน ฆ่าคนอื่นก็บาประดับหนึ่ง แต่ฆ่าตนเองก็บาปมากกว่าอีก
  • อย่าฆ่าตัวตายเลยไม่ดี ต้องรู้จักสัจจะสาระ...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:34:32 )

570216

รายละเอียด

570216_พ่อครูที่ป้อมพระกาฬ เรื่อง อารยะที่เป็นโลกุตระ

       พ่อครูว่า...ที่บ้านราชฯมีงานศพของคนเก่าแก่ คือโยมเกี่ยวบุญ อายุได้ 78 ปี ซึ่งอยู่กับเรามานาน ถ้าเราได้พิจารณาอย่างดีในคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก หากขาดความเพียรและประมาทก็ผิดเลย เพีียรเก่งๆแต่ประมาทก็ตกหลุมบ่อ ไปไม่ไหว

       วันนี้อาตมาจะเอาของผู้ที่เขียนมาถาม เป็นการตอบคำถาม ใครจะเขียนมาก็ได้เลย...

  • วันก่อนจากผู้เห็นใจชาวนาเขียนถามมาก็ตอบไปบ้างแล้ว ก็ขอตอบเพ่ิมเติม
  • ชาวนาฆ่าตัวตายไปหลายคนแล้ว ไม่มีใครเตือนสติ ก็เลยคิดสั้น อาตมาก็ตอบไปแล้ว

       ตอบ...คนเรามีวิบากซับซ้อนมาก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แต่เราไม่ละเอียดพอไม่เข้าใจ ว่าเราได้ร่างเป็นมนุษย์ยากแสนยาก ไม่เข้าใจก็ตกในอบายภูมิ คนเกิดมาชาติหนึ่งๆ สะสมกิเลสใส่ตน ถ้าได้จิตวิญญาณเข้าโลกุตรภูมิก็จะมีหลักประกัน เป็นโสดาบันเป็นต้น แม้โสดาปัตติมรรคก็ยังไม่ได้ดีมาก ก็ต้องไปตามวิบากมากมาย

 

        องค์คุณของโสดาบันมี

 

โสตาปันนะ (เข้าสู่กระแสโลกใหม่คือโลกุตระ) . .

อวินิปาตธัมโม (ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา)

นิยตะ (เที่ยงแท้แน่นอนสู่มรรคผลที่สูงขึ้น)

สัมโพธิปรายนะ (มุ่งตรัสรู้ในภายหน้า) ได้เกิดมาเป็นคนไปตลอด

(พตปฎ. เล่ม 19  ข้อ 1475)

       ซึ่งคนเราจะไม่ได้เกิดมาเป็นคนได้ง่ายๆหรอก ตายไปแล้วจะไปตามวิบากเสียมาก ไปใช้หนี้บาป ตายไปตกนรกแต่ละคนอีกนาน จึงลืม ส่ิงที่ผ่านมา แม้แต่ตกนรก

       สัตว์ที่จุติ*(ตาย) จากมนุษย์แล้วกลับมาเกิดในภูมิแห่งมนุษย์ มีส่วนน้อย ..ส่วนที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก  เกิดในภูมิเดียรัจฉาน  เกิดในปิตติวิสัย (เปรต)  ย่อมมีมากกว่าโดยแท้ (*สัตว์ที่จุตินั้นหมายถึง โอปปาติกะสัตว์)

 

       อ.มั่นเคยพูดว่าตายไปเกิดเป็นสัตว์หลายร้อยชาติ เพราะโลกียะไม่มีภูมิที่จะเปลี่ยนแปลงให้เจริญได้ทันกาล ไม่มีทางที่จะมาเป็นมนุษย์ได้ เป็นเรื่องละเอียดละออ อจินไตย พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ อย่าวประมาท

        1.การได้เกิดมาเป็นคนก็ยากสุดยาก 2.และได้มีอาการ 32 ครบก็ยากสุดยาก 3.และเกิดมาแล้วไม่ตายไปก่อนก็ยาก และ 4.ได้พบพุทธศาสนา

       และการจะได้มี มนุษย์ชาวชมพูทวีป  ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตร-กุรุทวีปและเทวดาชั้นดาวดึงส์  ด้วยฐานะ 3   คือ

        เป็นผู้กล้า (สุรภาโว) เป็นผู้มีสติ (สติมันโต)  เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม (อิธ พรหมจริยาวาโส)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป และพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล  (พตปฎ. ล.23  ข.225)

       เป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้ใดได้ร่างกายนี้เป็นคน มาพบพุทธศาสนา และได้มาพบ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มาพบโลกุตรบุคคล ถ้าปล่อยปละละเลย ก็ตกไปแน่ ก็น่าเสียดายยิ่งกว่าเป็นโมฆบุรุษ

       อาตมาก็พยายามให้สติเตือน อย่าปล่อยปละละเลย พบส่ิงดีแล้วอย่าทิ้งเสีย ไม่ใช่ว่าอาตมาหลงศาสนา หลงธรรมะ แต่เป็นเรื่องจริงที่ควรเป็น พยายามมีชีวิตทุกเวลาจนกว่าจะตาย

       การที่จะไปฆ่าตัวตายนั้นอย่าทำ

 

  • ถามมาอีกว่า นิทานเรื่องอึ่งอ่างกับวัว นั้นเป็นอย่างไร?
  • ตอบ....ก็คือรัฐบาลเข้าใจผิด รวมหัวกัน โดยขัดไม่ได้หรือเป็นทาสกิเลส อาจหลงว่าสิ่งนี้ดีจริงๆ สนับสนุนกันช่วยกันอยู่ เบ่งๆๆ ความผิด จะซ้ำซ้อน เหมือนอึ่งอ่างเบ่ง ยิ่งเบ่งก็เป็นราศีความชั่วยิ่งส่อเป็นความซับซ้อนที่ละเอียดเลย เสร็จแล้ว ถึงวาระก็ท้องแตกตายไป เขาทำอย่างเป็นการพรางลวง ปลิ้นปล้อนตลบแตลง เป็นความชั่วความเลว แล้วก็บรรยายว่ากำนันสุเทพก็เหี่ยวลงๆ อาตมาดูช่องเอเชียอัพเดทก็เรียงหน้ามาพูด แอ็คท่าเก่งในการพูด แม้ใจจะเสแสร้งก็ตาม หรือเข้าใจเช่นนั้นจริงๆก็ตาม  อาตมาก็อ้างอิง นิทานอีสปมาอ้างอิงเท่านั้น
  • ที่อาตมาเน้นย้ำธรรมะ ผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะรู้จักคำว่าแพ้ และชนะอย่างสำคัญ
  • คำว่าแพ้นี่ลึกซึ้ง มีคำว่าแพ้อันหนึ่งคือคำว่า ปาราชิก คือแพ้อย่างเด็ดขาด ตายจากศานาพุทธเลย คำว่าปาราชิกคือตายจากชีวิตที่ควรได้ คือไม่สามารถได้ธรรมะพระพุทธเจ้า คนเกิดมาควรได้ธรรมะ แต่ผู้ที่ทำผิดจนแพ้เลย โดยสัจธรรม ถ้าสังคมเขารู้ คนไหนปาราชิก แล้วปกปิดปิดบังโกหกทุกกิริยา เป็นคนโกหกทุกกิริยา แล้วเราก็ทำเหมือนว่าเราไม่ผิด ทั้งที่เราผิด แม้ไม่เกี่ยวข้องก็พาดพิงถึงเราก็กลบเกลื่อนซับซ้อน กรรมที่ทำผิดนั้นบาปซ้ำซ้อน ทำผิดก็บาปแล้ว ยิ่งมาทำกลบเกลื่อน ความผิดนั้นก็ออกดอกออกผล งอกเงย ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงให้สารภาพเสีย ยิ่งไม่บอกยิ่งหมักหมมเน่าใน คำว่าปาราชิกนี้ มีปาราชิก 4
  •  

สิกขาบทที่ 1 ภิกษุใด ถึงพร้อมซึ่งสิกขาและสาชีพของภิกษุทั้งหลาย แล้วไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง เสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้

 

สิกขาบทที่ 2 ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ เป็นส่วนแห่งโจรกรรม จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้

 

สิกขาบทที่ 3 ภิกษุใด จงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิต หรือแสวงหาศัสตราอันจะปลิดชีวิต ให้แก่กายมนุษย์นั้น หรือพรรณนาคุณแห่งความตาย หรือชักชวนเพื่ออันตาย โดยหลายนัย แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้

 

สิกขาบทที่ 4 ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ [คือไม่รู้จริง] กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตน อันผู้ใดผู้หนึ่งถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม [คือเชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม ถูกซักถามก็ตาม ไม่ถูกซักถามก็ตาม] เป็นอันต้องอาบัติแล้ว แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ

  • จะแสดงออกด้วยกายวิญญัติ หรือวจีวิญญัติว่าเราบรรลุ ด้วยความอยากอวดโอ่ ส่วนผู้ที่หลงตนว่าตนมีคุณธรรม หลงจริงๆ ว่าตนมี แต่ไม่ใช่ ที่จริงเป็นมิจฉาผล ถ้ารู้ตัวก็ปลงอาบัติเสีย แต่ถ้าทั้งรู้ ตนก็เจตนาอยากอวดโชว์ ว่าฉันเป็นนะ

 

  • และมีสมณะเขียนมาอีกว่า...น้อมนมัสการพ่อท่านฯด้วยความเคารพยิ่งครับ

 

ได้ฟัง ปุตตมังสสูตร เมื่อวานและวันนี้ ผมได้ไปค้นอ่านเพิ่มเติมในอรรถกถา สะดุดใจ สะดุ้ง ละอายกับการขบฉันที่ผ่านๆมา เป็นเพียงแค่รูปแบบ พิธีกรรม การพิจารณาอาหารก่อนเคี้ยวกลืนไปถึงใจยังเป็นไปได้น้อย...

 

พระองค์ได้ทรงเห็นกุลบุตรบางพวกผู้บวชใหม่ ผู้ไม่พิจารณาแล้วบริโภคอาหาร ครั้น

พระองค์ทรง เห็นแล้วทรงพระดำริว่า เราบำเพ็ญบารมีสิ้น 4 อสงไขยกำไรแสนกัป จะได้บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งปัจจัยจีวรเป็นต้นก็หาไม่แต่ ที่แท้บำเพ็ญเพื่อประโยชน์แก่พระอรหัตอันเป็นผลสูงสุด  ภิกษุแม้เหล่านี้บวชในสำนักเรา มิได้บวชเพราะเหตุแห่งปัจจัยมีจีวรเป็นต้น แต่บวชเพื่อประโยชน์แก่พระอรหัตนั่นเอง. บัดนี้ ภิกษุเหล่านั้นกระทำสิ่งที่ไม่เป็นสาระนั่นว่าเป็นสาระ และสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์นั่นแลว่าเป็นประโยชน์.

 

ธรรมสังเวชเกิดขึ้นแก่พระองค์ด้วยประการฉะนี้.

 

ลำดับนั้น พระองค์ทรงพระดำริว่า ถ้าจักสามารถบัญญัติปัญจมปาราชิกขึ้นได้ไซร้ เราก็จะพึงบัญญัติการบริโภคอาหารโดยไม่พิจารณาให้เป็นปัญจมปาราชิก แต่ไม่อาจทรงทำอย่างนี้ได้ เพราะว่าอาหารนั้นเป็นที่ส้องเสพประจำของสัตว์ทั้งหลาย แต่เมื่อเราตรัสไว้ ภิกษุเหล่านั้นก็จักเห็นข้อนั้นเหมือนปัญจมปาราชิก เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็จักตั้งการบริโภคอาหารที่ไม่พิจารณานั้นว่า เป็นกระจกธรรม เป็นข้อสังวร เป็นขอบเขต ซึ่งเหล่าภิกษุในอนาคตรำลึกแล้ว จักพิจารณาปัจจัย 4 เสียก่อน แล้วบริโภค.

 

ที่ผมสะดุดมากๆจากอรรถกถานี้คือ ปัญจมปาราชิก...

ทุกคำข้าวที่กลืนกินอย่างขาดการพิจารณา พระพุทธองค์เปรียบดั่ง ปาราชิกข้อที่ 5...

หากกำหนดสำคัญเช่นนี้จริง เฉพาะแค่ชาตินี้...ผมปาราชิกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว...

 

อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นความรู้ใหม่ ปฏิกูล 9 ประการ...

อาหารคือเนื้อลูกของสองสามีภรรยานั้น ไม่ใช่กินเพื่อจะเล่น ไม่ใช่กินเพื่อจะมัวเมา ไม่ใช่กินเพื่อประดับ ไม่ใช่กินเพื่อตกแต่ง เพราะปฏิกูลด้วยเหตุ 9 ประการ เป็นอาหารเพื่อข้ามผ่านทางกันดารอย่างเดียวเท่านั้น.

 

  • หากจะถามว่า เพราะปฏิกูลด้วยเหตุ 9 ประการ อะไรบ้าง.

พึงแก้ว่า เพราะเป็นเนื้อของผู้ร่วมชาติ 1 เพราะเป็นเนื้อของญาติ 1 เพราะเป็นเนื้อของบุตร 1 เพราะเป็นเนื้อของบุตรที่รัก 1 เพราะเป็นเนื้อเด็กอ่อน 1 เพราะเป็นเนื้อดิบ 1 เพราะไม่เป็นโครส 1 เพราะไม่เค็ม 1 เพราะยังไม่ได้ปิ้ง 1. จริงอยู่ สองสามีภรรยานั้นเคี้ยวกินเนื้อบุตรนั้น ซึ่งปฏิกูลด้วยเหตุ 9 ประการเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้ จึงมิได้เคี้ยวกิน ด้วยความยินดีติดใจ แต่ตั้งอยู่ในภาวะกลางๆ นั่นเอง คือ ในการบริโภคโดยไม่มีความพอใจและยินดี มีใจแตกทำลาย เคี้ยวกินแล้ว...

 

       ในการกำหนดรู้ในอาหารนั้น กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าว, อาหารที่กิน)รวมถึง อาหาร 4 (กวฬิงการาหาร_กำหนดรู้กามคุณ 5,ผัสสาหาร_กำหนดรู้ในเวทนา 3,มโนสัญเจตนาหาร_กำหนดรู้ในตัณหา 3,วิญญาณหาร_กำหนดรู้ในนาม-รูป)

 

       คนเห็นเนื้อหาสาระก็จะพิจารณาได้ถูกต้อง อ่านพิจารณาในอาหาร ทุกคำข้าวที่คุณกิน ถ้าไม่พิจารณาก็เหมือนปาราชิกทุกครั้ง

       

       มาอธิบายนัยของการกินอาหารคือคำข้าว เป็นเรื่องที่จริงที่สุด ถ้าไม่พิจารณาก็จะตกอยู่ในอำนาจกิเลส คนที่ไม่รู้จักสิ่งสูง เห็นว่าเป็นสิ่งต่ำ เป็นคนพาล เขาโง่อย่างไม่เดียงสา

       การที่จะพิจารณา กินอาหารอย่างไม่มีผลักหรือดูด กินอย่างนิพพาน กินอย่างผู้มุ่งอรหัตตผล  

       ให้พิจารณาเสมอ ในรูป รส กลิ่น สัมผัส ยกตัวอย่างมะม่วงน้ำดอกไม้ที่อยู่บนโต๊ะนี่ เมื่อสัมผัสทางตาแล้วก็ชอบ โอ้โห ยิ่งกลิ่นมันดีอีก เอามาใส่ปากได้รสอีก แล้วก็มีอ่อนนุ่มแข็งอีก กินก็ซี๊ดปากอีก ในเบญจกามคุณ ก็ได้สวรรค์หอฮ่อ เราก็พิจารณาว่าแท้จริงมันไม่ได้เป็นสุขหรอก มันเป็นของหลอก

       พระพุทธเจ้าก็ยังต้องกินอาหาร แต่ท่านพ้นไม่ติดแล้วก็กินได้อย่างสบาย อย่างอาหารอาตามาใครเคยมารอรับอาหารอาตมาบ้าง ก็เป็นอาหารที่ปรุงแต่งน้อย ไม่อร่อยหรอก แต่เมื่อก่อนอาตมาเคยฝึกกินพริก แต่ตอนนี้ไม่ได้กินนานแล้ว อวัยวะมันไม่ค่อยรับแล้ว ตอนที่หัดฝึกปฏิบัติตอนก่อนออกบวช ก็ฝึกกินสำรวม ก็ปนกันหมด

       เวลาพิจารณา ก็พิจารณาเวลาสัมผัส อาหาร แล้วก็ตามรู้เข้ามาภายในเป็นกายในกาย เป็นเวทนา ว่าเรามีความชอบมากเป็นสวรรค์มาก เราก็พิจารณาว่ามันเป็นเท็จ เห็นกิเลสมาแสลนเลย เราชอบใจก็ปรุงรสตามที่ชอบ ก็เป็นเทวดาสมมุติ แท้จริงเป็นสัตว์นรกตลอดเวลา เสริมกิเลสไปตลอด พิจารณาจริงๆว่าเป็นอัสสาทะ พิจารณาว่าเหมือนกินเนื้อบุตร พึงแก้ว่า เพราะเป็นเนื้อของผู้ร่วมชาติ 1 เพราะเป็นเนื้อของญาติ 1 เพราะเป็นเนื้อของบุตร 1 เพราะเป็นเนื้อของบุตรที่รัก 1 เพราะเป็นเนื้อเด็กอ่อน 1 เพราะเป็นเนื้อดิบ 1 เพราะไม่เป็นโครส 1 เพราะไม่เค็ม 1 เพราะยังไม่ได้ปิ้ง 1.

 

       อย่างที่พระพุทธเจ้าให้พิจารณาสติปัฏฐาน 4 อะไรที่เราชอบกินก็ปล่อยได้วางได้ อะไรไม่ชอบแต่มีประโยชน์เราก็กินได้ ยิ่งออกจาริกบิณฑบาต เขาให้อะไรมาก็พิจารณาแล้วขบฉันตามจำเป็น

       การไปนั่งสมาธิหลับตาเข้าภวังค์ก็เป็นการพักจิตได้

       ต้องพิจารณาทุกคำข้าว ต้องรู้ว่าเราเป็นสัตว์นรก สวรรค์ เป็นเทวดา มาร พรหม

       พิจารณาเหตุที่ทำให้เราเป็น

1.   นิรยะ (จิตนรกเร่าร้อน มีทุกข์สาหัสมาก)

2.   ติรัจฉานโยนิ (ภูมิจิตเดรัจฉาน ไม่เจริญขึ้น)

3.   เปตติวิสัย (ภูมิแห่งเปรต-จิตละโมบใคร่อยาก)

4.   มนุสสะ (จิตเทวดาในมนุษย์ใจสูง)

5.   เทวะ (จิตสูงส่งอย่างเทวดา, อุบัติเทพ)

(พตปฎ. เล่ม 11  ข้อ 281)

 

       พิจารณาใน อนุปัสสี 4

1.อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา).

2. วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส) 

3.นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)

4. ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน)

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 288)

 

       รู้ว่าอะไรเกิดอะไรดับ สัตว์เทวดาเกิดเป็นสมมุติเทพหรืออุบัติเทพ ทำได้เก่งขนาดไหน เป็น

1.   วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า)

2.   ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.   สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.   ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.   นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

(พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

       ปฏิบัติจะเกิด อินทรีย์ 5 พละ 5

1.   สัทธา (ความเชื่อที่ปักมั่นยิ่งขึ้น เป็นสัทธินทรีย์ ฯ)

2.   วิริยะ (ความเพียรที่มีพลังขึ้น เป็นวิริยินทรีย์ ฯ)

3.   สติ (ความระลึกรู้ตัวแววไวขึ้น เป็นสตินทรีย์ ฯ)

4.   สมาธิ (ความมีจิตตั้งมั่นแข็งแรงเป็นฌานยิ่งขึ้น ฯ)

5.   ปัญญา (ความรู้จริงในความจริงแห่งธรรม ฯ)

       ทำให้กิเลสลดได้ก็มีปีติ แล้วพอปีติลดก็มีสุข เป็นสุข แบบเนกขัมสิตโสมนัสเวทนา เป็นโลกุตระ เราก็วางปล่อยซ้อนไป ไม่หลงเสพติดใจ

       แล้วจะมีโพชฌงค์ 7 เกิด ในการกินอาหารนี่แหละ แม้คุณจำพยัญชนะไม่ได้ อาตมาไม่ได้ท่องมาก แต่ว่ามีสภาวะก็เอาพยัญชนะมาจับก็เลยจำได้ง่าย

       ปฏิบัติ จรณะ 15 นี่แหละ จะเจริญ เป็นคน ศิวิไลซ์ การเป็นคนเจริญนี่งานนี้ ก็ขออธิบาย เรื่องความเจริญหรือเป็นคนอาริยะ

       ซึ่งเขาเข้าใจผิด ไปเป็นความก้าวหน้าที่ ในหลวงท่านว่า “เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่..ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก  เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง ประเทศเหล่านั้นที่่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า       จ ะ มี แ ต่ถ อ ย ห ลั ง  และถอยหลังอย่างน่ากลัว  แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า“แบบคนจน” แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือ เมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”

       Civil หรือความเป็นพลเมืองในโลก สิ่งเหล่านั้นถ้ามีการเบ่งอำนาจอย่าง Force ก็ต้องศึกษา สิทธิหรือ Right ที่แปลว่าความถูกต้องด้วย ทำให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ในภาษาไทยมีคำว่า เสฏฐะหรือเศรษฐศาสตร์ ก็คือการมักน้อยสันโดษนั้นแหละ ประหยัดมัธยัสต์นั่นแหละคือเศรษฐีหรือเสฏโฐ ก็ต้องมาเรียนรู้เรื่อง ศิวิไลซ์ และ Right ต้องมาเรียนรู้การเฉลี่ย เราเป็นผู้สามารถมาก เป็นคนรวยมากก็ช่วยคนรวยน้อย นี่คือความเสมอภาค แล้วจะมาบอกว่าเอาเลือกตั้งๆนี่คือความเสมอภาค แต่ที่จริง ความเสมอภาคนั้นลึกซึ้งกว่านั้นมาก

       ต้องเรียนรู้คำว่า สิทธิ หรือ Right หรือแปลว่าความถูกต้อง แม้จำนวนน้อยแต่ถูกต้องเป็นอาริยะ ก็ต้องให้ความสำคัญ แต่เขาเข้าใจว่าคนเก่งกว่า ก็ใช้เป็นอำนาจมาเบ่งข่มเขา เราต้องมาเรียนรู้ ความศิวิไลซ์ที่แท้จริง เป็นอาริยะนั้นเอง ...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:38:39 )

570217

รายละเอียด

570217_พ่อครูและอ.กฤษฎาที่ป้อมพระกาฬเรื่อง การเกิดกาย การเกิดจิตวิญญาณ

 

       อ.กฤษฎาว่า...ประเด็นที่สำคัญคือวันนี้มวลมหาประชาชนมามากมาย ไปปิดล้อมทำเนียบฯ ก็ประสพผลสำเร็จ และที่รัฐบาลย่ิงลักษณ์มีความเชื่อว่าต้องเข้าทำเนียบให้ได้วันนี้ก็เลยไม่เป็นผล มวลมหาประชาชนก็เลยแก้เคล็ดเล่นของ มันเป็นสภาพที่ย้อนกลับคืนลบล้างได้

       พ่อครูว่า...อธรรมหรือธรรมดำนั้นความจริงมันมีเหตุ ทุกอย่างมาแต่เหตุ ในมหาจักรวาลนี้ ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีกาเกิด นี่คือส่ิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในมหาจักรวาลนี้ เหตุที่เกิด แม้วัตถุ ก็เช่นเดียวกัน นักวิทยาศาตร์ก็ใช้หลักเช่นนี้ ทุกอย่างมาแต่เหตุ พอมาถึงนามธรรม คนตามนามธรรมไม่ได้ คนย้อนไปถึงเหตุที่เป็นอรูป มันไม่มีสรีระ แต่ละเอียดกว่าสสาร ซึ่งเดาไม่ได้ คนก็เลยไปหลงส่ิงที่เป็นจริงที่เป็นเท็จว่าเป็นจริง

       เช่น คนทีเกิดสุขเวทนา แล้วคนก็อาศัยสุขนี้ตลอดมา มันก็เป็นจริงสำหรับคนที่หลงสุข แต่เป็นสุขัลิกะ หรือสุขเท็จ นึกว่ามันเป็นจริง แต่มันเป็นเท็จ ถ้าล้างเหตุได้มันก็ไม่มี

       ไสยศาสตร์นั้นเป็นจริงสำหรับคนที่ยึดว่าจริง แม้หยาบเขาก็เป็นสุข มันเป็นจริง แต่เป็นจริงหลอก ไม่ลึกซึ้งเท่าสุขโลกุตระ มันเป็นสุขขัลลิกะ แต่ทุกข์นั้นเป็น อาริยสัจ ผู้ดับเหตุได้ก็มีนิโรธ สูงสุด นี่คือสัจจะ เป็นปรมัตถ์ เหมือนคนหลงไสยศาสตร์คนก็เป็นจริงของเขา แต่เราพิสูจน์ได้แล้วก็ไม่หลงใหลในไสยศาสตร์ คนเขาเข้าไม่ถึง ไปยึดอุปาทานไว้

       แม้จิตวิทยาของแพทย์ ก็เข้าไปดูว่า โรคนี้ ที่เขาหลงเห็นว่านี่เป็นภาพจริง หรือเสียงที่เขาได้ยิน ก็ได้ยินจริงๆ ในทางจิตทยาเขาก็ต้องรักษาโรคนี้ แล้วมันเห็นมันได้ยินอยู่คนเดียว มันเป็นมโนมยอัตตา เช่นเห็นผี เดินโย่งๆ คนนี้ตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง แต่ที่จริงเป็นนามธรรม มองไม่เห็น ไม่มีรูปร่าง

       อ.กฤษฎาว่า...มันเป็นอุปาทานที่คนเห็นหรือรู้หรือได้ยินตามๆกันมาก็ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ

       พ่อครูว่า..คนเขาหลงเขายึดอย่างนั้นก็เห็นไปตามกันอย่างนั้น เหมือนอย่างภาพหลอน คนทั่วไปที่ยึดจริงเป็นอุปาทานก็นึกว่ามันมีจริง ที่จริงมันคือโรคอุปาทาน เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต เป็นมโนมยอัตตา คนเขาก็ว่าเห็นผีจริงๆกับตา แล้วว่าคุณไม่เคยเห็นน่ะสิ อาตมาก็ว่าวิธีพิสูจน์จริงๆ ให้เดินไปหาผีตัวนั้น แล้วตัดใจสู้เลย ใช้คาถาว่า แค่ตายๆ เดินเข้าไปหาผีตั้งนั้น เดินไปจับตัวมันเลย แล้วจะรู้ว่ามันคืออะไรจริงๆ มันไม่ใช่ ยืนยันได้ ให้รู้ความจริงว่ามันคืออะไรกันแน่วะ แม้แต่ผีที่มันปลอมตัวมาหลอกคน เอาผ้ามาคลุมอย่างไร ก็จะรู้ว่ามันคือคนมาหลอก

       อ.กฤษฎาว่า..มโนมยอัตตา นั้นคือคนนั้นไปเห็นไปหมกมุ่นเอง คนอื่นไม่เห็นด้วย

       พ่อครูว่า ...เป็นอุปาทานหมู่ได้ เช่นคนเห็นหลวงปู่แหวนนั่งอยู่บนเมฆ​ก็ชี้ให้คนอื่นดู คนอื่นก็ว่าเห็นเหมือนกน เป็นอุปาทานหมู่

       อ.กฤษฎาว่า..ให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นคือมโนมยอัตตา ให้มองความจริงตามความเป็นจริง

       พ่อครูว่า...ผู้ศึกษาตามพระพุทธเจ้าแล้ว แม้หลับตาเข้าภวังค์ เป็นสมาธิหลับตา แล้วมองเห็นสัตว์นรกเทวดาก็คือเห็นมโนมยอัตตา คืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิต

       ผู้ใดนั่งสมาธิหลับตาเข้าภวังค์แล้วไปตั้งจิตว่าเราจะเห็นผี รูปร่างอย่างนี้ เทวดารูปร่างอย่างนี้ ก็จะเห็นตามนั้น ยกตัวอย่างเทวดา ที่แกะสลัก เทวดาของฝรั่งก็มีปีก แต่เทวดาไทยก็ใส่ชฎา ก็เป็นจินตนาการ แบบจีนก็เป็นเทวดาแบบจีน ถ้านอนฝันก็เป็นภาพฝันตามที่เรายึดถือ

       อ.กฤษฎาว่า..ได้เคยเจอหลายท่าน มีอาการอย่างที่ว่า ดูเหมือนท่านเหล่านั้น มีอุปาทานซ้อน เหมือนว่าตนเองมีคุณวิเศษที่ได้เห็น เทวดาหรือผี แล้วคิดว่าตนแน่ ตนพิเศษ แล้วตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิ

       พ่อครูว่า...ก็จูงนำให้คนศรัทธาแล้วคนก็จะเกิดอุปาทานเช่นนั้น หรือบางสำนักก็ให้ไปนั่งสมาธิแล้วปั้นสร้างในจิต สำนักฤาษีลิงดำ เป็นต้น หรือบางสำนักก็ปั้นสร้างให้คนเห็นว่าเทวดา เทพ เป็นเช่นนี้ ถ้าใครเห็นก็ถือว่าได้ผล ก็ทำให้อุปาทานเพ่ิมอีก

       รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ ถ้าขาดมหาภูตรูปนั้นแล้ว คุณไปเห็นรูปร่างเหมือนมหาภูตรูปทั้งที่คุณไม่ได้สัมผัส ทางทวารนอกแล้ว แต่คุณก็มีภาพได้ นั้นคือมโนมยอัตตาทั้งสิ้น เป็นภาพอุปาทาน

       อ.กฤษฎาว่า...เราสร้างนามให้กลายเป็นรูป แล้วนึกว่า นั่นคือรูปจริง

       พ่อครูว่า..มันเป็นองค์ประชุมของจิต เรียกว่านามกายก็ได้ ถ้าสัมมาทิฏฐิ แล้ว วิญญาณนั้นอสรีรัง ไม่มีรูปร่าง ให้เห็นได้ ถ้ายังปั้นให้เห็นอยู่ก็เป็นของลวงทั้งสิ้น ถ้าศึกษาได้แล้วก็จะรู้ความจริง รู้รูปนามด้วย

1.    รู้ด้วยอาการ (สภาวะขณะนั้นของจิต-กุศล-อกุศล)

2.   ลิงคะ (ความต่างกันของนัยยะต่างๆ ในสภาวะจิต)

3.   นิมิต (เครื่องหมายชี้บอกสภาวะจิต) .  .

4.    อุทเทส (การยกหัวข้ออธิบายขยายความหมาย)

 

       แม้หลับตาไปก็เป็นสัญญา จำได้ ยึดไว้ ก็เห็นได้อยู่ พระอรหันต์ก็เห็นได้ แต่ท่านรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ของจริง อธิบายง่ายๆ ถ้าเข้าใจว่าวิญญาณไม่มีตัวตน มันมีธาตุรู้ รู้หมด ตั้งแต่ภายนอก รูปร่างเรา ขาวดำ ต่ำสูง ก็รู้ได้ พอตายเสร็จ ร่างกายตาย คุณก็บอกว่าวิญญาณออกจากร่าง คนที่นึกว่าวิญญาณก็คือรูปร่าง เป็นวิญญาณล่องลอย ไป นี่แหละคือมโนมยอัตตา มันไม่มี วิทยาศาสตร์ก็เอากล้องมาถ่ายภาพพิเศษ ติดเป็นโครงร่างรูปร่างเลย ก็ไม่ใช่

       แล้วถามว่า ถ้าวิญญาณออกจากร่างก็เป็นรูปร่างอย่างเดิม แล้วถ้าไปเกิดใหม่ก็ต้องรูปร่างเดิมสิ นี่ไง มันไม่ใช่ หรืออย่างกรณีสึนามิ ถ้าวิญญาณมีรูปร่างก็มาบอกได้ว่านี่ศพฉันอยู่ที่นี่ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีมาบอกเป็นต้น

       เวทนาที่เป็นทุกข์ก็คือสัตว์อบาย เวทนาที่เป็นสุขก็คือสัตว์สวรรค์

1. สมมุติเทพ  (คนที่มีสภาวะจิตเสพโลกียสุขได้สมใจ). .

2.  อุปปัตติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเกิดความเป็นอาริยะ) .

3.  วิสุทธิเทพ  (คนที่มีสภาวะจิตบริสุทธิ์ขั้นอรหัตตผล)

(พตปฎ. เล่ม 30   ข้อ 654)

 

       เทวดาหลอก นั้นเมื่อเรากำจัดกิเลสได้สัตว์นรกก็ตายลง ก็ค่อยๆลดละจางคลาย ก็จะอุบัติเกิดเทวดาโลกุตระ ซึ่งเทวดาโลกตายลง เกิดเทวดาโลกุตระ พอตายจบสนิทก็หมดความเป็นสัตว์นรก เหลือแต่เทวดาวิสุทธิ เป็นโสดา ฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ตายอย่างไม่มีซาก ตายสมบูรณ์ให้สัตว์นรกตายสมบูรณ์เหลือแต่เทวดาวิสุทธิเทพ เป็นความเกิดอันเป็นวิทยาศาสตร์อันยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้าได้แบ่งการเกิดได้ 4 อย่าง

1.    ชลาพุชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์)

2.   อัณฑชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ)

3.   สังเสทชโยนิ  (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว)  มันละเอียดเล็ก เกิดในหนองน้ำ ในน้ำต่างๆ เช่นยีสต์ เป็นต้น จุลินทรีย์

       สามอย่างนี้วิทยาศาสตร์ทางโลกศึกษามาได้ แต่อีกอันหนึ่งที่มีศาสนาเดียวที่ค้นพบ คือ

4.    โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที     เกิดนิโรธ  ไม่มีอะไรมาคั่น  เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก)

       

       ซึ่งสัตว์โอปปาติกะนี้เป็นสัมมาทิฏฐิข้อที่ 9 ในสัมมาทิฏฐิ 10 ตายเกิดอย่างไม่มีซาก นี่คือความรู้วิทยาศาสตร์ทางจิตของพระพุทธเจ้าที่เหนือชั้นกว่าทางวิทยาศาสตร์

       อ.กฤษฎาว่า...โอปปาติกโยนินั้นเกิดในคนเท่านั้น

       พ่อครูว่า...คนเท่านั้นที่จะเรียนรู้ธรรมะได้ และต้องสามารถเรียนรู้กายได้ เรียนรู้สักกายะได้ คำว่า กายคือองค์ประชุม เช่น ขวดแก้วนี้ คุณจะรู้กายได้ ก็คือคุณต้องใช้ตา มอง ขวดนี้ก็ปรากฏเป็นรูปกายให้คุณเห็น หรือเสียงกระทบหูคุณ คุณต้องมีวิญญาณที่เป็นธาตุรู้ รับรู้ ก็เกิดเป็นรูปของเสียง เรียกว่า ส่ิงที่ถูกรู้เป็นเสียง หรือกลิ่นก็ตาม เมื่อถูกรู้ ก็เป็นรูปกาย เมื่อขณะสัมผัสก็เป็นวิโมกข์ข้อที่ 2 แล้วคุณก็ตามรู้ในภายใน เฉพาะกายในกาย ก็เป็นนามธรรม ที่จริง รูปกายก็ต้องมีนามธรรมมาประกอบด้วย ถ้าแค่ขวดอย่างเดียว ตัวมันเองกำหนดรู้ไม่ได้ เช่นเอามะเขือเทศ ไปเทียบกับขวด มะเขือเทศมันก็ไม่รับรู้ แม้ติดกันเลยก็ไม่รู้ สัมผัสอยู่ก็ไม่รู้ มันไม่มีวิญญาณ ไม่มีรูปกาย

       คุณหลับตา คูณนอนหลับก็ไม่เห็นรูปกายนี้ วิญญาณนั้นต้องตื่นรับรู้สัมผัส ดังนั้น รูปกายต้องมีนามธรรมเป็นองค์ประกอบ 

       จากกายนอกกาย ก็พิจารณากายในกาย เป็นเวทนา คุณก็กำหนดรู้ว่า นี่สุข นี่ทุกข์ การสมมุติหรือสัญญา กำหนดหมายของคน ไม่เหมือนกัน

       ซึ่งกายนั้นมี กายของรูป กายของรส กายของกลิ่น กายของเสียง สัมผัส คุณไปยึดว่า รสมะเขือเทศต้องประกอบด้วยอย่างนี้ๆ ถ้าได้รสนี้นะก็สะเด็ดเลย ตามสเปคของฉันเลย พอคุณแตะรสนี้ ความรู้สึกของคุณตรงเลย ก็ว่าอร่อย แต่ถ้าไม่ได้ตามสเปคก็ว่าไม่อร่อย ไม่ชอบ

       เป็นกายต่างกันหรืออย่างเดียวกันก็ตาม แต่สัญญาต่างกัน ถ้าคุณไม่เรียนรู้ก็จะไม่รู้่ว่า มันเกิดสุขเกิดทุกข์ตามสเปค คุณชอบก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็โทสะ คุณรู้เหตุก็จะไปลดองค์ประชุมของเหตุ คือผีร้ายหรือกิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่ทำให้เรามีความเป็นสัตว์ เราต้องฆ่าเหตุแห่งความเป็นสัตว์

       ถ้าคุณทำเหตุให้ตายไป ฆ่าสัตว์โลกีย์ได้ ก็จะเป็นเทวดาอุปัตติเทพ แต่ถ้าคุณยึดอยู่ก็ยังไม่พ้นความเป็นสัตว์ ต้องปล่อยสัตว์ที่สูงไปแล้วจะเป็นวิสุทธิเทพได้

        มาร เทวดา พรหม ก็ต่างกันไป ตามสมมุติ การจะไปเรียนรู้สัตว์โอปปาติกะได้ก็ต้องเรียนรู้เมื่อสัมผัส แล้วเกิดวิญญาณ แต่ถ้าคุณไปดับสัญญา เสียก็กลายเป็นอสัญญีสัตว์ หรือเป็นสัตว์ ในสัตตาวาส 9

5.    สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์  เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)

6.    สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)

7.   สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง

8.   สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..อากิญจัญญายตนะ (ดับดิ่งไม่มีอะไร)  อาฬารดาบส ได้ถึงขั้นนี้

9.   สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ) อุทกดาบสได้ถึงขั้นนี้

 

       ของพุทธเท่านั้นที่จะมี สัญญาเวทยิตนิโรธ  สัญญาที่เคล้าเคลียอารมณ์ ผู้ที่รู้แจ้งนิโรธย่อมอาศัยอายตนะเพื่อรู้การสิ้นอวิชชาสวะ

 

       ผู้ศึกษาสัมมาทิฏฐิจะเรียนรู้ความเป็นกายได้อย่างถูกต้อง โดยเอาสัญญาไปกำหนดได้ถูกต้อง ในความเป็นสัตว์ เทวดา มาร พรหม ในรูปฌาน อรูปฌาน ได้อย่างถูกต้องพุทธธรรม

       การดับ สัญญา หนึ่ง แต่สัญญา อย่างหนึ่งเกิด เป็นนิโรธลืมตา เห็นเลยว่าสัตว์สุขทุกข์ไม่มี มีแต่สัตว์ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นสัตว์อุเบกขา

1.   ปริสุทเธ  (จิตบริสุทธิ์ไม่มีอุปกิเลสเครื่องยียวน)

2.   ปริโยทาเต  (ผ่องแผ้ว อย่างแข็งแรงอยู่กับผัสสะ)

3.   มุทุภูเต  (แววไวด้วยจิตหัวอ่อน - ดัดง่าย แก้ไขไว)

4.   กัมมนิเย  (ควรแก่การงานอันไม่โทษ ไม่มีกิเลส)

5.   ฐีเต  (จิตถึงความตั้งมั่น)

6.   อเนญชัปปัตเต  (จิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว)

(พตปฎ.เล่ม 9  ข้อ 131)

 

       แม้แต่โสดาบันก็มีความเป็นกามสัตว์เหลือ สกิทาก็ฆ่ากามสัตว์ จนหมดก็มีแต่รูปสัตว์อรูปสัตว์เป็นอนาคามี จนฆ่าสัตว์อรูป รูป ได้หมดก็เป็นอรหันต์ จบสังโยชน์ทั้ง 10 ปล่อยสัตว์ไปหมดเลย ไม่ขังสัตว์

       อ.กฤษฎาว่า...การได้พบพุทธศาสนาเป็นสิ่งประเสริฐ เพราะการเกิดตายแบบโอปปาติกะนั้นมีแต่พุทธสอน พ่อครูสอนให้เราทบทวนมองตนเองอ่านสภาวะภายในให้ออก ว่าตอนนี้สภาวะสัตว์ตัวไหนเกิดมองให้ขาด แล้วค่อยจัดการให้มันหมดไป 

       พ่อครูว่า...ใช่ เรากำจัดสัตว์ทางจิตวิญญาณให้ตายลงไป จะเห็นของจริง เห็นกาย คือองค์ประชุมของรูปนาม ซึ่ง รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ รู้ได้ด้วยญาณ สัมผัสได้ว่ามีความจริง แม้มีความว่างก็สัมผัสได้ จิตนิพพานของอรหันต์มีสภาวะเป็นกุศลจิต มากมาย เช่นเมตตา กรุณา กตัญญู ช่วยเหลือผู้อื่น วิเศษ มันก็เป็นสภาพนั้นได้ อรหันต์มีได้ เป็นพลังงานที่สามารถใช้ได้ อย่างสร้างแล้วใช้งาน เสร็จจะปล่อยไปก็ได้ ไม่ปล่อยก็ใช้งานต่ออีกได้ เป็นลักษณะที่อรหันต์จะรู้ วิการรูป ได้

       จะมีบารมีกำหนดได้ อรหันต์จะกำหนดให้มี หรือไม่มี ได้ อย่างสมบูรณ์

. วิการรูป 5 (รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลก         ให้พิเศษได้ )

18. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบาบาง)

19. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนไว ยืดหยุ่น elasticity, เร็วไว จิตหัวอ่อน ปรับได้ทั้งปัญญา          และเจโต)

  1. (รูปัสส) กัมมัญญตา (การกระทำที่กำกับด้วยปัญญาอันประเสริฐยิ่ง )

 

       ยามแสดงออกก็จะรู้ ญ. วิญญัติรูป 2 (รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย)

16. กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย)

  1. วจีวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา )

       ทั้งหมดมาจาก ใจ

       อ.กฤษฎาว่า..เมื่อเราปฏิบัติไปจะเกิดพละ 4(ปัญญา วิริยะ อนวัชชะ สังคหะ) พ้นภัย 5

1.   อาชีวิตภัย (ภัยอันเนื่องด้วยชีวิต ไม่กลัวแม้ศ.ก.จะแย่)

2.   อสิโลกภัย (ภัย คือ  การติเตียนจากคนโลกๆ)

3.   ปริสสารัชภัย (ภัยคือ  การสะทกสะท้านต่อสังคม)  ออกสู่หมู่ชน บริษัทก็จะไม่กลัวหรือสะทกสะท้านไม่ว่าที่ไหนๆ

4.   มรณภัย (ภัยคือ  ความตาย)

5.   ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ  เช่น อบายภูมิ  นรก เดรัจฉาน  ฯ)

(พลสูตร  พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 209)

 

       อ.กฤษฎาว่า ความไม่กลัว ทำให้สามารถยืนยันได้ว่า การยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาธรรม เป็นจริงได้

       พ่อครูว่า...ในสุภาษิตของโพธิสัตว์ที่ทำงานให้แก่สังคม ประมาณได้เลยว่าพึง เสียสละ ทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ

พึง เสียสละ อวัยวะเพื่อรักษาชีวิต  พึง เสียสละ ชีวิตเพื่อรักษาธรรม

       อ.กฤษฎาว่า...พ่อครูจะขออภัยเกรงใจคนที่จะพูดถึง แต่ก็กล้าพูดถึงแม้ว่าคนที่เขาฟังอยู่ก็อาจไม่พอใจ

       พ่อครูว่า..หรือเขาอาจดูถูกดูแคลน เราไปว่าเขา เช่นเขาชั่วไม่ดีอย่างนี้ เราก็ว่า เราข่มมากๆ ตำหนิิอย่างแรง แต่ใจเราไม่ได้ทำอย่างโกรธเคืองเลย เป็นกายวิญญัติ กับวจีวิญญัติ

       อ.กฤษฎาว่า...เมื่อเราเห็นภายในของเรา ว่าเราพ้นสัตตาวาส 9 แล้วเราก็ไม่มีความเป็นสัตว์แล้ว

       พ่อครูว่า...อบายสัตว์ กามสัตว์ รูปสัตว์ อรูปสัตว์ ไม่เหลือเลย สิ้นอรูปอัตตา เกลี้ยงเลย ตั้งแต่หยาบจนละเอียดมาก เป็นอากิญจัญฯ เนวสัญญาฯ คุณก็ตรวจสอบทุกปัจจุบันทุกผัสสะว่าเราไม่มีความเกิดเป็นสัตว์เลย มีผัสสะเป็นปัจจัย ด้วย อายตนะ 6 ผัสสะ 6 วิญญาณ 6 อย่างลืมตารู้ๆ และมันรู้แล้วก็ต้องรู้ให้หมด คำว่า เนว คือเศษที่ไม่รู้

       เราทำให้เศษที่ไม่รู้ไม่มีเลย ต้องพ้นความไม่รู้เลย ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ  เพราะล่วงเนวสัญญา-นาสัญญายตนะ  โดยประการทั้งปวง (สัพพโส  เนวสัญญานาสัญญายตนัง  สมติกกัมมะ สัญญาเวทยิตัง   นิโรธัง  อุปสัมปัชชะ วิหรติ)   หรือพ้นอวิชชาสังโยชน์

       อรหันต์ท่านจะไม่มีความไม่รู้เลย กิเลสตัณหาอุปาทานตายไปอย่าง 

1.   นิจจัง (นิพพานเที่ยงแท้แล้วไม่เปลี่ยนแปลง) .

2.   ธุวัง (ถาวร, คงที่ ไม่มีเสื่อมอีก) .  .

3.   สัสสตัง (ยั่งยืนตลอดกาล ไม่กลับกลอก)

4.   อวิปริณามธัมมันติ (ไม่แปรปรวนเป็นอื่นอีก)

5.   อสังหิรัง (ไม่มีอะไรๆ จะมาเอากลับคืนไปได้)

6.   อสังกุปปัง (ไม่กลับฟื้นกำเริบอีก)

7.  นัตถิ อุปมา กวจิ  (ไม่มีอุปมาในที่ไหนๆ)

 

       สรุปว่า...คนจะต้องเรียนรู้ ตัวแรกเลยคือ สักกายะ ถ้าไม่รู้อันนี้ก็จบเลย ซึ่งจิตประกอบด้วยรูปกาย และนามกาย คุณก็ต้องล้างกิเลสให้สมบูรณ์ด้วยวิโมกข์ ในกายต่างๆ ในสัตตาวาส 9 อย่าง มีสัมผัสในวิโมกข์ ...คำสอนพระพุทธเจ้าไม่ใช่แค่ให้ฟังเฉยๆ แต่ว่าสามารถทำให้เกิดผล ทั้งปรยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:40:06 )

570220

รายละเอียด

 

570220_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง นักรบอหิงสา

            ผ่านวันระทึกใจมาแล้ว อาตมาก็ร่วมรบอยู่ในสนามใหญ่ อยู่ในกลิ่นควัน เสียงระเบิด อาตมาก็พูดบรรยายให้สติ ก็จะมีผลหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาก็ตัดเสียงไมค์เรา ก็ใช้โทรโข่ง พักหนึ่งก็ไฟดีขึ้น กลับมาใช้ไมค์อีก เจ็ดโมงเช้ายันสองโมง

            การรบที่จัดจ้านยิงกัน แต่การรบของเรากับกิเลสไม่ง่าย อาตมาก็เห็นใจ ที่สะทกสะท้านตกอกตกใจ อาตมาก็เคยมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ แต่ก่อน มาบัดนี้ก็ชัดว่าจิตวิญญาณที่ได้ฝึกมาแล้ว ไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรมนะ แต่ว่าเป็นของจริงที่เป็นเอหิปัสสิโก เป็นของตนเอง ก็เอามายืนยันกล่าวให้คนมาดูส่ิงจริง เป็นนัยลึกของสัจธรรม เชื้อเชิญหรือท้าทายให้มาพิสูจน์ได้

            อาตมาก็ดูจิตใจอาตมาก็ธรรมดา คนจะให้ลงไป แล้วคนอื่นเขาก็ยังอยู่ ยังทำงานอยู่ อาตมาจะลงได้อย่างไร ก็ต้องอยู่ช่วยกัน แล้วก็จะเอาหน้ากากมาให้ใส่ พอใส่หน้ากากกันแก๊สเหมือนมนุษย์ต่างดาว นักข่าวก็ชอบก็มาถ่ายภาพ ต่อมาก็ถอด ฝรั่งก็ไม่มาถ่ายภาพ แต่ไปสนใจท่านหนักแน่นที่ใส่หน้ากากอยู่แทน เป็นพฤติกรรมคนที่น่าสนุก

            ที่อาตมาจะพูดนี้ คือเห็นได้ว่าจิตใจของเราถึงเวลามีผัสสะ เชิงสัมผัสของจริง ไม่ใช่เรื่องเดาเอา แต่เป็นของจริง สัมผัสอยู่ ก็จะเห็นชัดเจน ว่าจิตเราไม่สะทกสะท้านไม่กลัวตาย แต่เราก็ไม่ได้ห่ามคะนอง เราทำตามเหมาะควร ไม่ดื้อรั้นเกินการ ก็เข้าใจทุกอย่างต้องอนุโลมปฏิโลม ต้องอยู่ช่วยกัน

            ก็ขอบคุณทุกคนที่มีน้ำใจมุ่งมั่น แสดงออก จริงใจ เสียสละ ระเบิดที่ตำรวจเขาถือโล่ ที่ป้องกันระเบิดได้ ตั้งแผงโล่กันเป็นแผง คนเตะลูกระเบิด เขาก็ป้องกันพวกเขาเต็มที่ ที่จริงโล่นั้นป้องกันระเบิดได้ เป็นส่ิงยืนยันได้ คนก็ยกย่องตำรวจว่าเป็นฮีโร่ ไปเตะระเบิดออก นั่นเป็นการมองมุมหนึ่ง เราไม่รู้ว่าใจตำรวจเขาเตะด้วยเหตุใด มันมีสัญชาติญาณว่าไฟมาตกใกล้ตัวเราก็ต้องเตะออก ที่จริงโล่มันตั้งเป็นแผงแล้ว คนนั้นก็ต้องเตะออก การเตะลูกระเบิดลูกนี้ออกไป กับที่จริงใช้โล่เขี่ยออกมาก็ได้ แต่ไม่ใช่ เขาเจตนาเตะออกมา นักข่าวและสมณะสิกขมาตุ อยู่กันเป็นปึกเลย พวกเราไม่มีโล่หรืออะไรเลย ถ้าเตะมาใส่พวกเราจะเสียชีวิตมากมายเลย

            เมื่อลูกระเบิดตกมา เขาก็ใช้ปฏิภาณเตะ ถ้าเตะมาเราก็ต้องสูญเสีย ฝ่ายเขาก็ต้องรอดตัว แต่พอดี พระสยามเทวาธิราช จังหวะก็เตะไม่ทัน ระเบิดพอดี เขาก็ต้องได้รับเคราะห์ตามวิบากเขา ก็ไม่ได้ไปซ้ำเติมเขา มองแง่หนึ่งเขาก็ป้องกันตัว แต่เขารู้ว่าโล่ป้องกันได้

 

          มีคุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ส่งคำถามมาถามว่า.....

            ว่าเหตุการณ์สลายการชุมนุม ในแง่มุมของจิตวิญญาณของคน ทำไมจึงแสดงออกอย่างนี้ ตำรวจ ,ผู้ชุมนุม,โดยเฉพาะผู้ชุมนุมจะปฏิบัติอย่างไรไม่ให้ทุกข์ จากความกลัว เศร้าโศกจากการสูญเสีย?...

 

            ตอบ...เราได้ผ่านพ้นเหตุการณ์มาแล้วก็ฟังธรรมะเสริม...ทำไมต้องแสดงออกอย่างนั้น ผู้ชุมนุมนี้ไม่เจตนาเป็นศัตรู ไม่คิดจะทำร้ายเขา ส่วนตำรวจเตรียมพร้อมมาด้วยอาวุธ แม้จะอธิบายว่าจะทำอย่างเป็นลำดับ แต่เจตนาทำให้หนัก แต่ผู้ชุมนุม เจตนาจะทำให้เบา ใครหนักมาก็จะทำให้เบา

            ตอนแรกก็คุยกับพล.ต.ต.ย่ิงยศแล้วก็ตกลงกัน จบ เราก็เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำ มีหลักฐานเลย นึกว่าจะจบ แต่ที่ไหนได้ก็รุกมาด้วยพลโล่ พลปืน แล้วก็มีเหตการณ์เกิดอย่างที่ว่า แสดงมโนสัญเจตนาของคน ว่าตั้งใจจะเอาให้แรง ไม่ใช่สันติอหิงสา เรียกว่าตั้งใจมารุนแรงเลย

            ส่วนชาวผู้ชุมนุม อาตมาไม่เชื่อว่าใครจะเป็นพวกอยากให้รุนแรง ซาดิสม์ มาซูคิส ก็อาจมีบกพร่องบ้างที่ชอบรุนแรง...

            มีจิตวิญญาณเป็นต้นเค้า...แล้วผลออกมาว่า...ผู้ที่ตั้งใจจะมาทำความรุนแรง สรุปว่า อาตมาตัดสินว่าเขาแพ้นะ...แพ้ด้วยรูปธรรมด้วย และโดยทางสัจธรรมนั้นตำรวจแพ้แน่นอน ตั้งแต่ผู้สั่งการมาคือ คุณเฉลิม ผอ.ศรส. เขาก็แพ้ทั้งรูปธรรมนามธรรม สัจธรรม แพ้แน่

            นี่คือการชนะ ให้ทำใจอย่างไร ก็คิดอย่างมีต้นเหตุที่จิต มโนบุพพังคมาธัมมา เป็นมโนสัญเจตนา เป็นจิตมุ่งหมาย เช่นเรามามุ่งสันติ อหิงสา ไม่รุนแรง เมื่อแรงมาเราก็จะหรี่ให้เบา

            ส่วนทางโน้นมีเจตนาจากเบาไปหาแรง เพื่อให้สำเร็จไปสู่จุดมุ่งหมาย แต่มันถึงขีดที่เขาจำนน คือเขาทำแรง แต่องค์รวมของเราไม่ทำแรง ทั้งกายวิญญัติ วจีวิญญัติ

            เขาก็รู้ว่าพวกเราไม่ได้ทำรุนแรงกับเขา ไม่คิดเข่าฆ่า เราคิดถอยด้วย คิดอหิงสาไปสู่สันติด้วย แต่พวกเราตั้งใจมารุนแรง ภาวะที่กระทบกันก็เกิด เขาเจ็บเขาล้มเขาตาย ต่อหน้าต่อตา ยังไงๆ มนุษย์ที่ยังไม่เป็นอรหันต์จิตสงบหรือคนอำมหิตจริง ก็จะต้องสะทกสะท้าน สลด สะท้อนใจนะ เกิดความรู้สึกได้ จิตที่อำมหิตจะลดลง ทั้งที่ผู้เป็นเจ้านายสั่งการให้เอาให้ได้ คือจะให้สุดที่เลย แต่พอเกิดเหตุการณ์ ตำรวจผู้น้อยที่หามคนบาดเจ็บ พวกเราก็ไปช่วยนะ หลายคน แม้วิสาขา เป็นผู้หญิงเด็กสาว เขาเป็นพยาบาล อาตมาบอกไพรเมือง เขาต้องการเอารถเตียงเข้าไป หามเข้าไปใส่รถ จะได้ช่วยกันเร็วๆ ไพรเมืองกระโดดจากบนเวทีไปช่วยเลย ซึ่งภาวะเหตุการณ์ กายวิญญัติ วจีวิญญัติเหล่านี้ ตำรวจก็เห็นก็ล่าถอยไปไง

            แม้จะมีข่าวว่า ทางเรามีคนแฝงตัวมาช่วย แม้แต่ลูกระเบิดเขาก็หาว่ามาจากทางเรา อาตมาพูดกลางๆนะ ไม่รู้ว่ามาจากทางไหน? อาตมาก็ไม่รู้ความจริง แม้จะมาจากทางเรา แน่นอนว่าไม่ใช่ของชาวชุมนุมที่นี่ทั้งนั้น เราไม่มีอาวุธขนาดนั้น แล้วอาวุธที่มา ตำรวจเขาก็ต้องรู้ว่า มันต้องมีย่ิงกว่านี้ สามัญสำนึกของหลายคนร่วมกัน เขาไม่อยากแพ้ไม่อยากถอยนะ ตำรวจมีตายคนหนึ่งด้วย ในรถอาตมาก็มีรู้กระสุนด้วย เขามีมุ่งหมายเจตนาอย่างไรก็ไม่ทราบ ...คนหน้าเวทีว่า ตั้งใจฆ่าเลย...พ่อครูว่าคุณไปรู้ใจเขาได้อย่างไร ..อาตมาก็ไปกินไปนอนในนั้นแหละ บอกให้รู้เลยด้วย ...ไม่ได้ปิดบังอะไร แล้วตำรวจที่ตายก็ตายข้างรถที่อาตมาพักนั่นแหละ …

            ส่ิงเหล่านี้เกิดแล้วทำให้อ่านธรรมาธรรมะสงคราม สำหรับที่อาตมามองเห็น อาตมาว่าพวกเราชนะด้วยความสงบไม่รุนแรง แต่เราไม่รุนแรง นี่คือธรรมาธรรมะสงคราม เป็นความชนะของธรรมะ เป็นสยามเทวาธิราช

            นี่คือสิ่งชี้บ่งว่า ความแพ้คืออธรรม ความชนะคือธรรม 

            ผู้ชุมนุมที่อยู่หลายคนไม่มีถอย แม้ตำรวจมากมายก่ายกอง ไปถึงสนามหลวง ทั้งเครื่องไม้เครื่องมือ ทั้งเครื่องกลหนัก ตั้งใจปราบให้หมดเลย นักข่าวก็พูดว่า เป็นวันที่เขาจะปราบให้ได้ วันที่ 19 เขาต้องเข้าทำเนียบให้ได้ เขาจึงเจตนามุ่งมั่น แต่เขาไปไม่ถึง ก็เพราะเหตุที่อธิบายไป

            เห็นได้ว่าทั้งผู้ชุมนุม ไม่สะทกสะท้าน สรุปในค่ารวม ให้คะแนน 95 % สำหรับการต่อสู้ของมวลปชช.ที่แสดงออกได้อย่างนี้ ส่วนตำรวจนั้นให้คะแนนสอบได้ในส่วนที่ได้ คือ คุณธรรมความดีที่เขาถอย ที่เขารู้จักแพ้ รู้จักไม่ดันทุรังจะทำต่อไป ทั้งที่เขามีกำลังพลอาวุธ รับรองว่าเขาชนะแน่นอน เราไม่มีอาวุธ แต่ไม่ทราบว่าผู้ไม่ทราบฝ่ายจะมามากไหม แล้วตำรวจจะเกรงหรือไม่ก็ไม่รู้และไม่เดาด้วย เกรงว่าผู้ไม่ทราบฝ่ายจะมา ต่อสู้อีก ก็ต้องให้คะแนนกุศลเขา แต่ค่ารวมที่เขาทำอกุศลนั้นมากมายเลว่า เราต้องมองมุมดีมุมเสีย กุศล อกุศล เป็นเช่นนั้น

            แล้วตำรวจควรทำอย่างไร?...อาตมาก็ว่าควรสำนึกว่า ทุกคนคือพี่น้องไทย อย่ามาฆ่าแกงกันเพราะเพื่ออำนาจผู้ใดผู้หนึ่ง ที่ไม่ควรส่งเสริม เพราะเขาใช้อำนาจผิด เถื่อน ก็ตัดสินสารพัดแล้ว แม้แต่คำพิพากษาศาลแพ่งเมื่อวานนี้ก็ส่อแสดงว่า คณะที่คุณไปเป็นลิ่วล้อเขา ทางคณะโน้นเขาประกาศฉุกเฉิน เสร็จแล้วศาลตัดสินว่าสรุปว่า

            ไม่เพิกถอนพรก.ฉุกเฉิน แต่มีคำสั่งคุ้มครอง จึงสั่งห้าม จำเลย 9 ข้อ

1. ห้ามจำเลย มีคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม
2. ห้ามจำเลยยึดอายัด สินค้า อุปโภค บริโภค ที่ใช้ในการสนับสนุนการชุมนุม ของโจทก์ และผู้ชุมนุม
3. ห้ามจำเลย ตรวจค้น รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ของผู้ชุมนุม
4. ห้ามจำเลย ห้าม ผู้ชุมนุมซื้อขายสิค้า เครื่องอุปโภค บริโภคที่ใช้ในการชุมนุม
5. ห้ามจำเลย ปิดการจราจรเส้นทางคมนาคม
6. ห้ามจำเลย สั่งห้ามบุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
7. ห้ามจำเลย สั่งห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ตามที่จำเลยกำหนดไว้ในประกาศ
8. ห้ามจำเลย สั่งผู้ชุมนุมห้ามใช้อาคาร
9. ห้ามจำเลย มีคำสั่งห้ามบุคคล เข้า และ ออก พื้นที่การชุมนุม
ส่วน ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ศาลแพ่ง ไม่มีคำสั่ง เพิกถอนแต่อย่างใด

            อาตมามองว่า ทางด้านโน้นทำอะไม ไม่สุจริต  ทางศาลก็แสดงออกอย่างผู้ใหญ่ ก็เอาที่เขาทำมาย้อนเกล็ด เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ท่านเรียกว่า วิญญัติรูป คนที่มีญาณปัญญาก็จะรู้ได้ว่า เขาทำกรรมออกมา มีมโนสัญเจตนาอย่างไร? โดยสำเนียงสุ้มเสียงภาษา สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ถ้าเราไม่เรียนปฏิบัติจริง จะไม่รู้จริง ว่าตนได้บรรลุหรือไม่? ก็จะเป็นเพียงคาดคะเน ไม่จริง แต่ถ้าสัมผัสของจริงจะรู้ได้ว่ามีจริงไหม จะเห็นแก่นเลย ลึกซึ้ง เป็นวิมุติ

            มนุษย์ที่ได้เรียนรู้ศึกษาวิชาการความรู้ทางโลก ก็ได้ความรู้สามารถเทคนิค อย่างใดๆ การไปสร้างความเลวร้ายเช่นการสร้างอาวุธ ก็ไปทำมาเป็นอาวุธ คำว่าอาวุธปืนหรือระเบิดมันสร้างมาเพื่อฆ่ากัน คนที่สร้างอาวุธมาในโลกนั้นบาปทั้งนั้น บาปหนัก เพราะอาวุธมีไว้ฆ่าคน พระพุทธเจ้าว่ามิจฉาอาชีวะ 5 ข้อแรกคือ สัตถวณิชชา คืออย่าค้าขายอาวุธ ซึ่งอยู่ในมิจฉาวิณิชชา 5 พระพุทธเจ้าห้ามไว้ว่า อย่าทำ

1.         การค้าขายอาวุธ            (สัตถวณิชชา)

2.        การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา)

3.        การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา)

4.        การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา)

5.        การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วีสวณิชชา)

            เมื่อใดคุณกินเนื้อสัตว์อยู่ แม้ไม่ได้ฆ่ากินเอง แต่ไปซื้อมากิน เขาก็ต้องฆ่าสัตว์ไว้เพื่อให้คุณซื้อ คนซื้อคือคนสั่งให้เขาฆ่า เป็นเหตุเป็นบาปจริง เฉลี่ยกันไปตามนั้น ถ้าคุณกิน 100 คนเขาก็ต้องฆ่ามาให้พอ แต่ถ้าคนกินลดลง เขาก็ต้องฆ่าลดลงๆ ถ้าไม่กินเลย เขาจะลงทุนฆ่าทำไม

            เขาก็ชีวิต เราก็ชีวิต เราเอาเนื้อเขามายังชีพเราทำไม ศึกษาดูจะรู้ว่าคนเป็นสัตว์กินพืช ไม่ใช่เป็นสัตว์กินเนื้อสัตว์ ศึกษาดู ตั้งเป็นแสนปีแล้ว คนก็ยังมีสรีระอย่างนี้ ทั้งฟัน ทั้งลำไส้ ก็เป็นเหมือนเดิม แม้น้ำย่อย ผู้เรียนรู้สรีรวิทยา ก็จะรู้ว่าสัตว์กินเนื้อก็จะมีน้ำย่อยแบบสัตว์กินเนื้อ

            ส่ิงมัวเมา ตั้งแต่หยาบๆ ลึกซึ้งกันไป ตั้งแต่มอมเมาด้วยกามคุณ อบายมุข เขาปรุงแต่งกันจัดจ้านเลย และสุดท้ายคือ พิษ ที่หยาบๆคือ กินแล้วตายเลย แม้แต่พวกเฮโรอีน สารพิษกดประสาทต่างๆ ที่ทำลายเซลล์ มันไม่ตายทันทีก็ตาย เป็นพิษ อย่าค้าอย่าขาย ส่ิงเป็นพิษนั้นคือของกิน แต่ส่ิงอุปโภค ตั้งแต่อาวุธ อะไรที่จะเป็นพิษภัยต่อชีวิต อย่าสร้างขึ้นมา เป็นต้น อย่าค้าขายส่ิงเหล่านี้ ถ้าทำได้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส โลกจะสงบสุข

 

            การทำใจไม่ได้ทุกข์ …..ต้องมองเห็นประโยชน์ส่วนรวมที่จะแก้ไขประเทศชาติ จะพาพ้นทุกข์ จะทำอย่างไรให้พ้นทุกข์ ก็มาช่วยกันชุมนุมให้มาก นี่คือข้อแรกเลย

            ส่วนความกลัว ถ้าปชช.ออกมาสัก 10 ล้าน วันๆหนึ่ง รับรองว่า ศรส. หรือตำรวจก็กระดิกไม่ออกแน่ ถ้ามารวมกันวันละ 10 ล้าน ทำอย่างสงบ เรียบร้อยสุภาพ เลี้ยงดูกันได้ อยู่อย่างสาธารณะ ก็รับรองเลยว่า ไม่รุนแรงเกิด หรือเอาแค่วันละ 1 ล้านเดียวไม่เกิด เอาแค่ในกทม.ก็ได้ ที่นอนๆอยู่นี่ต่างจังหวัดทั้งนั้นแหละ คนกทม.ไปเช้าเย็นกลับ

            ถ้าวันละล้านคน เขาทำอะไรไม่ได้หรอก แล้วเราแยกกันหลายเวที ปชช.ไม่น้อยเลยมาอยู่กันนี่ ถ้า 10 แห่ง แห่งละแสนคน ชนะอย่างเหลือกินเลย ไม่ต้องทำอะไร แสดงพลังอธิปไตยเลย ให้รัฐบาลหยุด

            ให้เข้าใจพลังอธิปไตยของปชช. มีสิทธิแสดงออก มันเป็นความต้องการถือหาง ปชช. เขามาไล่คุณ คือปชช.กับรัฐบาล มาออกเสียงกันเลย ถ้าพร้อมเพรียงกันเลยได้นะ พิสูจน์กันนะคนไทย ทุกวันนี้ก็เรียกทีละล้านได้ ส่วนทางโน้นรวมกันได้ไม่มากนัก

            ออกมา แสดงอธิปไตย 1 คน 1 เสียง ไม่ใช่แค่เลือกตั้งเท่านั้นที่เป็นปชต. ซึ่งเป็นความรู้ไม่ใช่แค่หางอึ่ง แต่เป็นความรู้แค่หางคนเท่านั้น เรื่องเลือกตั้งเป็นสิทธินิดหน่อย แต่ออกมาอย่างนี้ทั้งเต็มอำนาจเลยทั้งตัว เป็นหน้าที่องค์รวมเลย เป็นอธิปไตย เมื่อสังคมต้องการ เปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็ออกมา1 คน 1 เสียงที่ออกมาประท้วงนี่ย่ิงใหญ่กว่า 1 คน 1 เสียงที่ออกมาเลือกตั้ง ถ้าเข้าใจเช่นนี้ไม่ได้ ไม่ใช่นักรัฐศาสตร์

            ก็มีข่าวมาว่า...คุณเฉลิม แถลงว่า...ไม่เคยสั่งสลายการชุมนุมสักเวทีแม้แต่ครั้งเดียว...ส่วนเหตุสะพานผ่านฟ้า ม็อบเป็นผู้สลายตำรวจ....คนหน้าเวทีโห่ใหญ่เลย...แต่พ่อครูว่าถูกแล้ว ม็อบสลายตำรวจด้วยความสงบ ไม่ใช้อาวุธ ..เก่งไหม? โดยที่ตำรวจมีอาวุธพร้อม โล่เขานี่หนักมาก ยกแขนเดียวไม่ขึ้นเลย

            หลายคนพวกเราก็แสดงธรรมเก่ง แต่ก็อย่าแสดงธรรมเกินตัว เรามีเราก็บอกว่ามี เราไม่มีเราก็บอกว่าไม่มี ไม่ใช่เหนียมอาย จริงใจประมาณ เรามีมากแต่เราบอกไม่เป็นอ่อนน้อมถ่อมตนบอกไม่หมด ถึงเวลาจะออกเต็มก็ได้ แต่ถ้ามันเกินที่เรามีก็บอกกัน มันก็ไม่บาปไม่ผิด แต่เพราะเรียนแล้วเพี้ยน การที่บอกว่าอวดอุตริมนุสธรรมนั้นบอกไม่ได้เลย เป็นการเลี่ยงบาลี กลัวผิด เมื่อไม่อวดเลย ก็ไม่มีใครกล้าบอกเลย แล้วคนที่บรรลุแล้ว กายวิญญัติ วจีวิญญัติเป็นเช่นใด ก็ไม่รู้ ก็เดากันไป ทำทีว่าฉันเป็นอรหันต์​แต่ไม่บอก ให้ลูกศิษย์เดาเอา ขนาดอรหันต์ยังบอกไม่ได้ แล้วก็เลยกลายเป็นธรรมะที่ไม่รู้กันได้อย่างแจ้งชัด เป็นธรรมะพรางลวง เป็นความเสื่อม ความเดา เป็นของหลอก จิตคนที่หลอกก็เสแสร้ง ธรรมะจึงเพี้ยนมาจนบัดนี้ เป็นคำสอนที่นับถือกันมาเป็นปรัมปรา ถือว่าผิดเป็นถูก

            ยำ้อีกทีว่าถ้าเราไม่บรรลุ ไม่ควรแสดงธรรม ไม่บอก ท่านจะให้แสดงธรรมนั้นมีหลักอยู่ว่าเป็นธัมกถึก

            เราเป็นโสดาบันก็บอกว่าเราเป็นโสดาบัน อย่าไปแสดงว่าเราเป็นสกิทาคามี

            คนจะธัมกถึกต้องมี

1.      ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.      ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15) ทำศีลให้บรรลุ แม้กระทบกระแทกมาอย่างไรก็ไม่กระเทือน กายวาจา ไม่แสดง เพราะใจเราไม่มีเหตุที่จะทำให้เกิดอกุศล ไม่ปรุงแต่งด้วย ไม่มีโทสมูล ทั้งหยาบ กลาง ละเอียด ไม่มีโทสะมาสัมปยุตเลย ทั้งกายวาจาใจ นี่คือศีลบริสุทธิ์

3.      พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น)

4.      เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง) กล่าวธรรมที่ตนมี อาจกล่าวกับคนเดียวก่อน แล้วก็กล่าวธรรมกับหลายคนได้ จนคนเป็นหมื่นได้

5.      เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น) 

6.      แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท แสดงว่ามีใจไม่สะทกสะท้าน มีพลัง 4 สูง จนพ้นภัย 5 แม้หมู่ศัตรูก็ไม่สะทกสะท้าน กล้ากล่าวสัจธรรมได้

7.      ทรงวินัย ต้องรู้จักกฎเกณฑ์ ถ้าไม่มีก็รู้ได้ยาก เขาว่าอย่างนี้ก็เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็หลิ่วตาตาม บ้าง ไม่ละเมิดธรรมวินัย ไม่เสีย ไม่ผิดหรอก เราทำงานกับสังคม ก็ต้องมีวินัย ไม่อย่างนั้นเละเลย

8.      อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา) ถ้าจิตติดสงบ ก็จะมีอุปาทาน ก็ติดที่ ผู้ที่จะทดลองไปอยู่ป่า ศาสนาพุทธให้ไปทดลองได้ แต่ป่านั้นยากที่จะได้วิเวก 3 จิตยากที่จะอภิรมย์ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอุบาลีว่ายากที่จะอภิรมย์กับการออกป่า คนจะไปป่าต้องมีภูมิสูงแล้ว เช่นอนาคามี ทำไม? เพราะว่าผู้นี้มีภูมิ มีสมาธิแล้ว ก็ไปตรวจสอบว่าคุณเป็นอนาคามีไหม จะฟุ้งไปหากามไหม หรือจะตกถีนมิทธะหรือเปล่า? ถ้าอยู่กับสังคมคุณต้องตรวจสอบกามกับพยาบาท คุณอยู่ในป่าต้องตรวจสอบ กามกับ อุทธัจจะ ฟุ้งซ่านไปหาโลกธรรม หากาม ไหม? พระพุทธเจ้าว่าไม่จมก็ลอย ไปตรวจสอบว่าเราจะพ้นไหม

            กาม ไม่มีมายั่วยวน แต่จิตเราฟุ้งซ่านไปในกามไหม หรือว่า จมในถีนมิทธะหรือฟุ้งเป็นอุทธัจจะหรือไม่? เราก็ไปตรวจสอบแล้วก็จะได้รู้ว่าเราติดหรือไม่? ออกไปไม่ต้องนาน ไปให้รู้ว่าเราติดหรือไม่แค่นั้น ก็จะได้รู้ว่าเราเหลือเท่าไหร่

            และที่ว่ายินดีในป่าหรือเสนาสนะอันสงัด ...อาตมานั้นยินดีในป่า อาตมาอยู่ที่ไหนก็พาสร้างป่า เช่นสันติอโศก อย่างปฐมอโศกเป็นต้น

9.      ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10.    ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

            ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง           


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:43:13 )

570222

รายละเอียด

570222_พ่อครูที่ป้อมพระกาฬ เรื่อง อำนาจรัฐบาลไม่ใช่อำนาจรัฐชาติ ตอน 2

       พ่อครูว่า....ส่ิงที่เกิดเป็นปรากฎการณ์จริงที่เป็นประวัติศาสตร์ให้นักรัฐศาสตร์ได้เล่าเรียนศึกษา ที่เกิดจากของจริง เราลงทุนแพง ถึงขั้นเสียชีวิต บาดเจ็บ เป็นเรื่องจริง เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า ประชาธิปไตยคืออะไร ส่ิงที่เกิดอาตมาเห็นเด่นชัดคือ ศาลแพ่งได้ตัดสินออกมา เป็นการยืนยันอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ผู้เป็นรัฐาธิปัตย์จริงๆคือประชาชน ไม่ใช่รัฐบาล ซึ่งรัฐบาลได้ใช้อำนาจหน้าที่ออกพรก.ฉุกเฉิน ซึ่งศาลก็ให้เกียรติ ให้ออกพรก.ฉุกเฉินได้ ท่านไม่ล่วงเกิน แต่หน้าที่ของท่านก็ชี้ชัดเลยว่า ไม่เพิกถอนพรก.ฉุกเฉิน แต่มีคำสั่งคุ้มครอง จึงสั่งห้าม จำเลย 9 ข้อ

1. ห้ามจำเลย มีคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม
2. ห้ามจำเลยยึดอายัด สินค้า อุปโภค บริโภค ที่ใช้ในการสนับสนุนการชุมนุม ของโจทก์ และผู้ชุมนุม
3. ห้ามจำเลย ตรวจค้น รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ของผู้ชุมนุม
4. ห้ามจำเลย ห้าม ผู้ชุมนุมซื้อขายสินค้า เครื่องอุปโภค บริโภคที่ใช้ในการชุมนุม
5. ห้ามจำเลย ปิดการจราจรเส้นทางคมนาคม
6. ห้ามจำเลย สั่งห้ามบุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
7. ห้ามจำเลย สั่งห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ตามที่จำเลยกำหนดไว้ในประกาศ
8. ห้ามจำเลย สั่งผู้ชุมนุมห้ามใช้อาคาร
9. ห้ามจำเลย มีคำสั่งห้ามบุคคล เข้า และ ออก พื้นที่การชุมนุม
ส่วน ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ศาลแพ่ง ไม่มีคำสั่ง เพิกถอนแต่อย่างใด

 

       ซึ่งศาลรธน.ก็ได้ออกมาชี้ว่าการชุมนุมของกปปส.ถูกต้องตามรธน. แล้วศรส.ที่มีดร.ทางกฎหมาย ทั้งผบ.ตร.อธิบดี DSI ก็เป็นคนรู้กฎหมายทั้งนั้น เรียกว่าอ่านกฎหมายรู้ดูกฎหมายเป็น แต่เสร็จแล้วก็กลับถามคำถามศาลกลับไปอีก แทนที่จะเจี๋ยมเจี้ยมว่าตนทำผิดไปแล้ว นี่แสดงว่าเขาไม่รู้ อ่านกฎหมายไม่รู้ดูกฎหมายไม่เป็น

       อำนาจของรัฐบาล เขาจะออกมาอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่สอดคล้องกับกฎหมาย ที่ห้ามไว้ แต่ถ้าท่านไม่ห้ามและไม่อนุญาต หน้าที่ของประชาชนก็ทำได้เต็มที่ ตราบใดไม่ผิดรธน. แต่ที่ศาลท่านชี้บ่ง ก็คือแสดงว่า อำนาจประชาชนนี่ใหญ่กว่ารัฐบาล เพราะประชาชนมีอำนาจชุมนุมได้

       คนเขาทำชั่วเพราะเขาโง่ คือคนอวิชชา ทำผิดแล้วก็มาโวยวายอีก เขาตัดสินผิดก็ยังโอหัง ตะโกนอีกว่าจะทำอีก ก็ทำชั่วซ้อนชั่วอีก

       และก็มีคนมีน้ำใจมาช่วยคนมีคุณธรรม เราก็ทำไปเถอะ คนไม่เห็น ฟ้าก็เห็น เป็นสำนวน

       เราไปหยุดอกุศลกรรมของเขา เขาทำไม่ถูกเป็นทุจริต เป็นกรรมบาป ด้วยเราปรารถนาดี เขาทำไม่ถูกต้อง แล้วเป็นกรรมของเขา

       ผู้ที่ทำกรรมไม่ดี ซับซ้อน ต่อสู้กัน เป็นธรรมาธรรมะสงคราม เราไปด้วยจิตเมตตา ก็ยิ่งเป็นบุญกุศลที่สูง เป็นคุณธรรม เป็นกุศลที่ย่ิงขึ้น มีน้ำหนักของคุณธรรม ปรารถนาดี

       อยากขยายความต่อว่า อำนาจของประชาชนกับอำนาจของรัฐบาล มาฟังกวีอีกที

                     อำนาจรัฐบาล มิใช่อำนาจรัฐประเทศ

 

                        (1) มหัศจรรย์ลั่นฟ้า    ปฏิวัติ   

                  ขนบใหม่ไทยโชว์ชัด   ฉีกหล้า

                  สันติภิวัฒน์ขจัด    อำนาจเก่า

                  มวลมหาชนกล้า         แกร่งด้วยอธิปไตย

               

                  (2) คนไทยได้ตื่นรู้      สิทธิ์ตน             

                  อำนาจอธิปัตย์คน ทุกผู้                             

                  เป็นของประชาชน เหนือรัฐ- บาลแฮ

                  แต่รัฐบาลด้านสู้          บ่รู้สึกตัว

 

                  (3) ตนชั่วทุจริตก้อ     ดันทุรัง  

                  หน้าที่รัฐบาลพัง         หมดแล้ว

                  เพราะทำผิดถึงฝัง  ตายหมด สิทธิ์เฮย

                  ขืนอยู่ป่นไป่แคล้ว ถูกต้านไล่กระเจิง

 

                  (4) แต่เหลิงหลงยึดบ้า อาเพศ 

                  เพราะโง่ไป่รู้เลศ         ลึกแล้    

                  รัฐบาลรัฐประเทศ  เทียมเท่า กันฤา 

                  อำนาจแค่ใดแท้          บ่รู้แม่นคม

 

                  (5) ยึดงมงายอำนาจข้า      ล้นเหลือ

                  เพี้ยนอธิปไตยเฝือ-      ฟั่นเพ้อ

                  หลงเลอะเทอะคลุมเครือ      บาล-ประเทศ

                  จึ่งผิดพาเพ้อเจ้อ         เหนี่ยวฟ้าลงบาดาล

 

                  (6) "รัฐบาล"มีหน้าที่    งานรัฐ       

                  ตามกฎหมายกำหนดชัด      ระบุไว้   

                  มิใช่รัฐาธิปัตย์            เทียบอำนาจ ประชาเลย

                  แค่รับใช้ประชาให้ สงบได้สุขดี

 

                  (7) "รัฐ"นี้"ประเทศ"    แท้ใช่รัฐบาล

                  มีอำนาจเกินกว่าการ    รับใช้

                  "รัฐชาติ"ใช่แค่งาน      กุลีรัฐ

                  แต่ยิ่งกว่าอย่าได้         ผิดเพี้ยนเผยอผยอง.

       

 

                                         "สไมย์ จำปาแพง"               

                                                11 ก.พ. 2557

              [นัยปก "เราคิดอะไร" ฉบับ 284 ประจำเดือน มีนาคม 2557]

       

       คำว่าอธิปไตยเราต้องศึกษาว่ามีแค่ไหน แล้วเราจะใช้ได้ ถ้าไม่เข้าใจจะใช้ผิด ก็อยู่ไม่เป็นสุข อธิปไตยเป็นแรงพลัง ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์แรงทำให้กลัวหรือเกรงได้

       อำนาจในระบอบประชาธิปไตยอันมีประมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 8 ลำดับขั้น

อำนาจลำดับที่ 1 คือ อำนาจของประชาชน ออกมาประท้วงยืนยันคะแนนเสียง 1 คน 1 เสียง

อำนาจลำดับที่ 2 คือ พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นรัฐาธิปัตย์ตาม Supreme law

(อำนาจลำดับที่ 1ร่วมกับอำนาจลำดับที่ 2 เป็นราชประชาสมาสัย)

อำนาจลำดับที่ 3 คือ พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจนั้นผ่าน 3 สถาบันคือ สถาบัน

                 นิติบัญญัติ (รัฐสภา) บริหาร(ครม.) และตุลาการ(ศาล) อันนี้เป็นลัทธิตะวันตก ซึ่งถือว่าอำนาจแต่ละอำนาจต้องแยกกันและถ่วงกัน ของไทยปนเปกันหมด สักแต่อ้างกษัตริย์  แต่อำนาจกษัตริย์ตามทฤษฎีและประเพณีประชาธิปไตยตะวันตก รัฐบาลและกฎหมายกับลิดรอนอำนาจกษัตริย์ไปเสียอย่างชิ้นเชิง

 

       ซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น ไหนว่าทุกคนต้องทำตามอยู่ใต้รธน. ซึ่งจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อประชาชนได้เขียน รธน.ขึ้นมาแล้วนั่นเอง อย่างประเทศอังกฤษไม่ต้องมีรธน.เลย เพราะเขามีคนที่มีประชาธิปไตยแล้ว อยู่ในสายเลือด ในดีเอ็นเอแล้ว ก็ไม่ต้องร่างรธน.​แต่ว่าประเทศที่ยังมีเผด็จการอยู่ก็เลยต้องร่างรธน.

       สรุปคือถ้าไม่มีประชาชนรธน.ก็ไม่เกิด แล้วประชาชนก็ยกให้พระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นอำนาจลำดับที่ 2 ซึ่งในอังกฤษเขาไม่มี

       ถ้าเป็นจอมจักพรรดิ์ ที่มีทศพิธราชธรรมสมบูรณ์เลยก็ลึกซึ้งสุดยอด อยู่เพื่อประชาชน ซึ่งในยุคหลังก็มีผู้ที่เป็นฆราวาส แต่มีคุณสมบัติเทียบเท่าอรหันต์ หรืออนาคามี

       ซึ่งในหลวงพระองค์นี้ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ เราต้องยกคนที่ควรยก ข่มคนที่ควรข่ม ซึ่งส่ิงที่ท่านสอนเป็นส่ิงที่ทวนกระแสลึกซึ้ง อย่างท่านสอน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา  คุณเรียนได้ด็อกเตอร์ แต่ทำงานไม่ได้ดีเท่ากับคนที่เรียน ก็ต้องให้ค่าตอบแทนน้อยกว่า คนที่ทำงานได้มากกว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้เรียนหรือเรียนน้อยกว่าสิ

       อย่างนักธรรมะเขาทำงานอย่างไม่ได้ถูกหลอกให้ไปบำเรอในอบาย ในกาม ในโลกธรรม ในอัตตา เขารู้สาระแก่นสารใช้อย่างพอเพียงประหยัด เขายิ่งทำยิ่งชำนาญยิ่งเก่งก็ย่ิงได้เงินสูงแต่ยิ่งปฏิบัติธรรมก็ลดกิเลส ยิ่งใช้ของน้อยลง ถูกลง อย่างไม่สูญเสียสุขภาพ ยิ่งรวมกันเป็นหมู่มากก็ยิ่งมีพลังงานสูง มีส่วนเหลือสูงมาก ไปช่วยสังคมได้อีก ซึ่งเป็นเศรษฐศาสตร์ที่คนต้องมาศึกษาต่อไป


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:44:59 )

570223

รายละเอียด

570223_ประชาชนที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง ประชาชนปฏิวัติโดยธรรมตามรัฐธรรมนูญ

       ตอนนี้เหตุการณ์ของประเทศไทยเคี่ยวข้น กระแสของมวลมนุษยชาติในประเทศไทย เกิดความวิกฤติ ฝ่ายที่พยายามดิ้นรน ในสิ่งที่ตนยึดมั่นถือมั่น ว่าจะต้องเอาอย่างนี้ให้ได้ โดยใช้ภาษาว่าเพื่อประชาธิปไตย แล้วความรู้ประชาธิปไตยของเขามีแค่ทุกคนต้องเลือกตั้ง เป็นความหมายหลักอันเดียว นอกนั้นใครจะพูดอย่างไร กูไม่รู้เรื่อง หรือหนูไม่รู้ ใครจะว่าอย่างไรก็ประชาธิปไตยเท่านั้น

       คำว่าประชาธิปไตย คืออธิปไตยเป็นของประชาชน​ เพื่อประชาชน​โดยประชาชน​เขาไม่เข้าใจความหมายละเอียดลึกซึ้งเช่นนั้น เขาไม่เข้าใจว่า คือน้ำหนักอย่างไร ? เกิดอำนาจอย่างไร

       อาตมาก็อธิบายว่าอำนาจมี 2 แบบ คือ Force และ Authority อาตมามีหน้าที่อธิบายความจริงที่แท้ ก็พยายามอธิบายอธิปไตยตามความรู้ของอาตมา ซึ่งอธิปไตยมีสองลักษณะนี้ ตามรัฐธรรมนูญไทย พศ. 2550

       อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน พวกนักการเมืองหรือข้าราชการนั้นเป็นเพียงลูกจ้างที่ประชาชนจ้างไปทำงานให้ เป็นกุลีรัฐเท่านั้น

 

รัฐธรรมนูญ พศ.2550

มาตรา 1 (รูปแบบรัฐ)ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

 

มาตรา 4 (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค)ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง

มาตรา 5 (ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย)ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน

 

มาตรา 6 (กฎหมายสูงสุดของประเทศ)รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

 

รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 63 ระบุว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยตามอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศใช้กฎอัยการศึก"

 

       อย่างที่เขาเคยปฏิวัติไปแล้วนั้น ใช้กำลังทหาร มาปฏิวัติ ด้วยอาวุธ ด้วยอำนาจปืน ด้วยรถถัง เขาก็ให้ทำได้ด้วยกลังเกรงอำนาจทหาร แต่ว่าครั้งนี้มวลมหาประชาชนที่มายึดอำนาจโดยประชาชน มาไล่รัฐบาลออก โดยไม่มีอาวุธอะไร อย่างดีก็มีแต่มาพูดว่ากล่าว ก็ประจานเท่านั้นเอง ภาษาพระพุทธเจ้าเรียกว่าปากหอก อาจหยาบคายบ้าง แรงบ้าง ก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไร ก็เป็นวิธีการของโลกของสังคม ซึ่งไม่ได้แรงถึงตายอะไร ไม่มีมีดไม่มีปืนหรืออาวุธอย่างไร ประชาชนทำการยึด ด้วยความชอบธรรม ด้วยความถูกต้องดีงาม เพราะไม่ผิดรธน.นี้ ตามมาตรา 63 มาตรา 70 และ71 และทำได้โดยสงบ ปราศจากอาวุธ สันติอหิงสา ซึ่งประชาชนออกมาอย่างมากมาย ยืนยันพิสูจน์กัน เอาความจริงมาว่า มาแดกดันกันก็บอกกันด้วยดี ทีทหารใช้อำนาจปืนอาวุธขู่ก็ยอมให้เขาทำ เขาเปลี่ยนแปลงอำนาจเก่าเป็นอำนาจใหม่ แต่นี่ประชาชนก็ขอมาทำอย่างนั้น มาขอเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น เข้าของอำนาจคือมวลมหาประชาชนจะขอยึดอำนาจบ้าง ไม่ผิดรธน.เลย ทำไมสงสัย นี่ถูกต้องดีงาม สอดคล้องกับประชาธิปไตยสากลด้วย ไม่รู้หรือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน

       ก็เหมือนกับที่ทหารมาทำรัฐประหาร แต่นี่เป็นคณะประชาชนจะมาทำบ้าง ต่างกันตรงที่ประชาชนไม่ได้ข่มขู่ด้วยอาวุธ แต่ใช้ความดีงามเข้าทำปฏิวัติ ซึ่งนักรัฐศาสตร์ก็ออกมาบอกว่า ประชาชนไม่มีอำนาจปฏิวัติ นอกจากไม่ให้แล้วบอกว่าประชาชนเป็นกบฏอีก หาว่าเราเป็นกบฏ ก็ขี้ตู่จริงๆ ไม่มีความรู้ประชาธิปไตยเลย ที่เขามาตู่เรา ประชาชน ทำถูกต้องตามรธน.เลย ไม่ได้ใช้อาวุธมายึดอำนาจเลย

       คนที่มายึดอำนาจโดยไม่มีในรธน.ก็ยอมเขา แล้วก็ใช้มายอมไป ผู้มาปฏิวัติรัฐประหารก็ยอมเขามาตลอด ตอนนี้มหาประชาชนจะมายึดอำนาจอย่างสวยงามมาก กลับเห็นว่าไม่มีตัวอย่าง ก็คราวนี้แหละที่จะต้องทำให้เป็นตัวอย่าง และเราไม่มีอำนาจบาทใหญ่ จะไปทำให้เขา เราก็ไล่กดดันให้เขาหยุด แต่เขาก็ทำอย่างผิดๆ แม้แต่วันที่ 18 นี้เขาก็ทำออย่างอุกอาจ ซึ่งเราก็นั่งสวดมนต์ ไม่ได้มีอาวุธอะไรเลย แต่เขาก็ทั้งตีทั้งใช้อาวุธ ทำรุนแรง แต่ก็มีอำนาจที่เขามาช่วยเป็นอำนาจอีกอันหนึ่ง

       โดยภูมิของอาตมาตัดสินเอง ถูกผิดก็แล้วแต่ ว่าพวกเราทำได้อย่างวิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ในค่ารวมของอาตมาว่า ซึ่งค่ารวมนั้นเป็นไปได้อย่างดี เรามาอยู่อย่างสถานที่ที่มากินมานอน อยู่มาหลายเดือน นี่ปาเจ้าไป 200 วันแล้วสำหรับกองทัพธรรม ส่วนกปท.ก็เพิ่มอีก 3 วัน อาตมาประเมินไว้ว่า 250 วันไม่น่าเกินนั้น นี่ก็เก็งกันอยู่ว่าจะจบเมื่อไหร่กัน อย่างกรรมาภิวัฒน์เขาก็ทำไป เหมือนอึ่งอ่างเบ่งลม เขายิ่งเบ่งยิ่งทำยิ่งผิด ยิ่งกล่าวหาเราผิดๆ ก็เหมือนอึ่งอ่างพองลม ของพวกเราเป็นราชสีห์ที่เปล่งรัศมีมากขึ้น เป็นสภาพที่ตรงกันข้าม อย่างอึ่งอ่างพองลมก็มีความไม่ดีซับซ้อน รุนแรงมากขึ้น ส่วนพวกเราก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ตอบโต้ ซึ่งก็มีพลังสวรรค์มาช่วยเสริม ช่วยเหลือ จะเรียกว่าเป็นพลังพระเจ้า สวรรค์ เป็นส่ิงรักษาธรรม ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ก็ได้ เป็นเรื่องอจินไตย เป็นจิตวิญญาณพระเจ้า ไม่ผิดหรอก

       คุณงามความดีเป็นราชสีห์ ส่วนความชั่วคืออึ่งอ่าง เป็นกรรมาภิวัฒน์ซึ่งสักวันจะเบ่งพองตัวจะท้องแตกตายไปเอง และก็จะมีส่วนช่วยอีก เช่นข้าราชการจะออกมาช่วย หรือผู้มีกำลังทหาร ตำรวจออกมาช่วยเป็นพลังสร้างสรร เสริมหนุน เราไม่ได้ตกลงวางแผนคิด แต่จิตวิญญาณของเขาเห็นว่าจะต้องมาช่วยผู้ถูกรังแกไม่เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องมีตามธรรม เราก็ช่วยกันเสริมหนุนกัน ซึ่งคนมาช่วยก็เปิดตัวไม่ได้ เป็นสัจจะในสังคม

       อาตมาเองว่าไม่ต้องกังวลเลย คุณทำส่ิงถูกต้องดีงามก็ทำไปเลย แม้จะต้องตายก็เสียสละเลย เป็นนักบุญที่ได้เป็นกุศลส่ิงดีงาม เป็นผลวิบากจริงด้วย เป็นส่ิงดีงาม จะเป็นที่พึ่งเป็นกรรมวิบาก แต่ละชาติๆ เป็นที่พึ่งอันดีอันประเสริฐไม่ใช่อำนาจอันเลว ไม่ต้องพึ่งอำนาจเถื่อน ซึ่งปฏิภาณลึกๆเขาก็รู้ว่าไม่ถูกต้อง แต่เขาหลง เป็นอสุรกาย กลัวอำนาจเถื่อน ไม่กล้าทำดี กลัวอำนาจ กลัวผี กลัวมาร ไม่กล้ามาช่วยเทวดา ไม่กล้าขบถต่อผีต่อมาร ต่ออสุรกาย ตกเป็นทาสอยู่นั่นแหละ จิตวิญญาณอ่อนแอ ตกเป็นทาสโลกธรรม

       อาตมามีหน้าที่แจกแจงสัจธรรม มวลมหาประชาชนใช้อำนาจโดยธรรม ถูกรธน.ด้วย ไม่ได้ขัดข้องเป็นผู้ผิด แล้วมาว่าเป็นกบฏนี่กล่าวหามากไป แล้วมองไม่ออก พวกนักรู้ที่เรียนกฎหมายมา เป็นความชอบธรรมที่วิเศษ วิสุทธิ์​วิศิฏฐ์ ยอดเยี่ยม

       คนเรามีหน้าที่ที่จะต้องดูแลครอบครัวก็จำเป็น และย่ิงยาวนานมากแล้ว พวกเขาก็ดันทุรังโกหกตลบแตลงสารพัด ไม่ได้ว่าไม่ได้ดูถูก แต่เขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ ความผิดบกพร่องของพวกเราก็มีบ้าง แต่ว่าตอนนี้เขาชุมนุมที่โคราช เขาลั่นกลองรบกัน แล้วเห็นบอกว่า 7​7 จังหวัด คือรวมแล้วไม่ถึงหมื่นคน แต่เขาบอกว่ามี แปดพันคน น้ำผึ้งกับอาหญิงก็ว่าสามพัน แต่มีคนไปดูด้วยตาว่ามี สองพัน แต่ว่าพวกเราไม่ได้ลั่นกลองรบ ไม่ได้นัดมารวมกัน ก็นับหัวได้กันมากกว่าแล้ว กี่เวที แม้เวทีผ่านฟ้าที่นี่ว่าน้อยที่สุดแล้วไปนับดูสิ ไม่ใช่น้อยๆนะ กองกันอยู่ที่นี่ อาจดูหลวมๆ ซึ่งคนใหม่ก็มาเต้นหน้้าเวที แต่คนมานานแล้วก็จืดแล้วไปอยู่ข้างในไม่ออกมา ก็เลยดูน้อย แต่ที่จริงอยู่ในในเต็นท์อีกมากเลย เพราะมันชินชา อยู่มานาน แต่พอเรียกระดมที่นั่นที่นี่ ก็ไปกันพรึ่บๆ คนอยู่ก็ช่วยกันทำกินทำอยู่ ดูแล้วน่าเอ็นดู มาทำไม มาประท้วงใหญ่ ก็กินๆนอนๆกันอย่างนี้ เมื่อไหร่จะเสร็จ ก็เจอคนหน้าด้านอย่างนี้ก็เลยต้องทนอยู่ต่อไป มันจำมาเป็น ไม่รู้จะทำอย่างไรมันต้องทำ

       อาตมาถามคำหนึ่ง จะถอยไหม?...ไม่ถอย...ก็นั่นนะสิ ...มาขนาดนี้แล้วจะถอยได้อย่างไร ชัดเจน ว่าทำไมต้องทนขนาดนี้ ก็เราปฏิวัติอย่างไม่ได้ใช้อำนาจบาทใหญ่ ไม่มีอาวุธ เราไม่ไปทำร้ายเขา เขาก็ไม่กลัว ทั้งที่เขาทำผิดมากแล้วทั้งกฎหมาย และความชอบธรรม แต่เขาก็บอกว่ากูไม่ผิด แล้วก็ออกมาแย้งศาล พวกอ่านกฎหมายรู้ดูกฎหมายเป็น นี่ แต่นี่ขายขี้หน้ามากเลย อาตมาว่า ศาลแพ่งที่ตัดสินออกมาก็แสดงอำนาจย่ิงใหญ่ของประชาชนอย่างแท้จริง จะตั้งศรส.ออกมา มีพรก.ฉุกเฉินออกมา ศาลก็เลยว่าออกได้พรก.ฉุกเฉิน แต่ว่าอย่าละเมิดประชาชนนะ ซึ่งเขาก็แย้งถามศาลว่าจะให้ทำอย่างไร? ก็แทนที่จะถ่อมตนเจี๋ยมเจี้ยมกลับหยิ่งผยอง ออกมาโต้ต้านขายขี้เท่อ

       เขาบอกว่าแดงรบขาดดิ้นเฮือกสุดท้าย 23 ก.พ. 57 ตอนนี้พิสูจน์ออกมาโต้ต้านแล้ว ก็พบว่ามีน้อยกว่า เขาก็เรียกร้องประชาธิปไตย นานแล้วแต่ไม่เคยรู้ตัวว่าตนเองอยู่กับซากประชาธิปตาย ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย งมงายไม่รู้เรื่อง

       สังคมทุกวันนี้อะไรๆก็ปลอม ตำรวจก็ปลอม แม้แต่กงเต็กก็ปลอม ซึ่งกงเต็กก็ปลอมแล้วนี่มาปลอมซ้ำอีก หรือทุกวันนี้โกหกทุกวันนี้ยังจริงเลย มันถึงอย่างนี้แล้ว เก่งฉิบหาย ทำให้คำโกหกให้คนเชื่อว่าจริงเลย อย่างกงเต็กเบนซ์นี่ทำแล้วก็มีคนลอกเลียนแบบเป็นเบนซ์กงเต็กปลอมอีก

       ยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุคแล้ว คนดูแลศาสนามาทำงานศาสนาก็เป็นเพียงอาชีพเลี้ยงชีวิต เป็นข้าราชการก็ทำงานเช้าชามเย็นชาม ดีไม่ดีก็หาเงินไม่สุจริต เพ่ิมเติมจากเงินเดือนที่ตนได้ซ้อนอีก ส่วนทางธุรกิจก็หาทางเอาเปรียบเอารัดสมความมักได้ หาวิธีการซับซ้อน เพราะกิเลสเห็นแก่ตัวหลงโลกธรรม เถียงไม่ได้หรอก เป็นความจริง

       และจริงที่สุดคือศาสนาสอนให้ลดกิเลสได้ เป็นปรมัตถธรรม มีจริงเป็นจริงได้ ลดกิเลสได้ก็เป็นคนคำ้จุนโลก ช่วยโลกได้ ไม่รวยลาภยศสรรเสริญ ถูกด่าว่าด้วย เราก็เข้าใจเขา เราเหมือนอดทน แต่เราก็ไม่ได้ทนอะไร เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้เลวร้าย เราทำดี แต่เขากล่าวตู่เรา เราก็ทำโดยบริสุทธิ์ใจ เรามาห้ามไม่ให้เขาทำชั่วอีก

       คนออกมารวมกันได้อย่างนี้ มาชื่นใจกับธรรม ถ้าเทียบกับคนทั้งประเทศ มีคนจำนวนเท่านี้แหละที่เอาภาระสังคม อยู่กับมากมาย เรียกรวมเป็นหลักล้าน แต่คนอยู่ประจำก็มี ยืนหยัดยืนยัน เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมที่เลวร้ายให้ดี แม้จะไม่ได้ดีมากมาย ก็ไม่เลวกว่าเก่า คณะใหม่ที่เราจะได้อาจไม่ดีดั่งใจหวัง แต่มั่นใจว่าไม่เลวกว่าเก่า เพราะคณะที่ทำนี่เลวๆสุดๆแล้ว เลวจนไม่รู้จะเทียบอะไรได้ ยังไม่เคยมีเลวเท่านี้ในไทยเลย ใช้ความฉลาด และตลบแตลงกลับกลอกมากหน้าด้าน มีลักษณะวิบัติที่จัดจ้านมาก เละเทะเลอะเทอะ ไม่รู้จะเทียบอะไร นี่เลวสุดแล้ว

       ยังไงเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงให้ได้ ล้มล้างคณะเก่าไป ให้คณะใหม่มาแทน ถ้าคณะใหม่จะเลวก็ไม่เลวเท่าคณะเก่านี่ เก่งเลวได้ไม่เท่าหรอก เก่งฉิบหายเลย เก่งเลวนะ

       จิตอาตมารู้จิตอาตมา อาตมาไม่ได้มีจิตโกรธเลยนะ อาตมาปฏิบัติธรรมรู้จิตเจตสิก รู้ปรมัตถธรรม เอามาสอนบอกอธิบายแก่ผู้แสดงว่าต้องการสิ่งดีงามแก่ชีวิต ก็ได้ตามบารมี มากบ้างน้อยบ้าง เป็นส่ิงประเสริฐที่สุดแล้ว ได้จริงเป็นจริง อวดอุตริมนุสธรรม ด้วยใจที่ไม่มีอกุศลจิตที่เป็นสาเฐยยะที่อยากอวดอ้าง อาตมาไม่มีอาการของมัน อาตมารู้อาการ ลิงค นิมิต ของกิเลส ศึกษามารู้ อย่างอุปาทายรูป 24 นี่ก็รู้ นี่พูดอย่างไม่ได้มีความอยากให้คนมาเคารพนับถือ มายกย่องสรรเสริญแต่อย่างใด

       

       ธรรมะเท่านั้นที่จะแก้ได้ แม้ที่สุดไม่มีโศกะ(ความเหงาหงอย) ปริเทว(พิรี้พิไรต่อเนื่องของอาการ) ทุกข โทมนัส อุปายาส...คนไม่ปฏิบัติธรรมก็จะเกิดอาการเหล่านี้ คนโศก ปริเทว ก็หมักหมมเป็นทุกข์ไม่ปล่อยไม่คลายเป็นอุปาทาน ตกผลึกเป็นอาการเช่นนั้น เป็นอนุสัยอาสวะ เป็นพลังงานแฝง Static energy ดูเหมือนน่ิงแต่มันทำงานอยู่เหมือนยีสต์ มันแผ่ขยายทำงานอยู่ตลอด

       เราเรียนรู้มา แต่โง่ ทำความโศกะปริเทวะให้ตน คนเรียนรู้อาริยสัจก็จะเรียนรู้จางคลายเหตุได้ แม้อนาคามีก็เหลือแต่ภายใน จนเหลือน้อยเป็นอุปายาสะ

       ทุกข์คือตัวกลาง เป็นคำใหญ่ คำรวม พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์อย่างรู้จริง รู้อาการ ลิงค นิมิตมันได้ แล้วรู้เหตุ กำจัดเหตุได้ อาตมามีจริงในตน เป็นปัจจัตตลักษณ์ จึงรู้ว่าวิเศษ แล้วมาถ่ายทอดให้คนอื่นต่อไป

       ขอลงลึกในปรมัตถ์ ธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านมีรูป กับนาม

       รูปคือสิ่งที่เป็นตั้งแต่มหาภูตรูป เป็นองค์ประกอบของดินน้ำไฟลม แล้วก็ประกอบกับจิตวิญญาณ ที่เป็นพลังงานที่ตีแตกยาก แม้ไวรัสมีอายุนานเป็นล้านๆ ปีแต่จิตวิญญาณนั้นมีอายุนานเป็นล้านๆๆๆๆปี ในจิตวิญญาณมีพลังงานทั้งดีและไม่ดี

       ในจิตวิญญาณมี เวทนา สังขาร ซึ่งเวทนานั้นเป็นอารมณ์ ที่คนหลงยึด ว่ามันมีจริง ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นคุณอร่อยอาหาร อาหารนี้ถูกกิเลส ปรุงแต่งขนาดนี้อร่อยทุกที คุณก็กินทุกที ก็ว่าอร่อย แต่ที่จริงมันเป็นสุขเท็จ คุณก็ยึดว่ามันมี มันก็สั่งสมเป็นอุปาทานไป ไม่ล้างออกมันก็ติดจิตวิญญาณไป ไม่มีญาณทัสนะวิเศษที่จะมาล้างมันจริง

       แต่ก่อนอาตมากินพริกก็ว่าอร่อย เผ็ดจี๊ดก็อร่อย แต่ว่าปัจจุบันไม่มีอาการอร่อยแล้ว เพราะสามารถสลายพลังงานกิเลสได้ ซึ่งสลายได้ด้วยพลังอำนาจที่มีฤทธิ์แรง สลายกิเลสได้จริง จนกระทั่งทุกวันนี้อาตมากินอาหารก็กินพริกได้ยากสรีระไม่รับ แต่ก็พยายามกินในส่ิงที่เป็นประโยชน์บ้างแม้จะเผ็ด

       อาตมาเป็นศิลปินนะ รู้ว่าเขาปรุงแต่งสวยงามอย่างไรก็รู้ สามารถเป็นกรรมการตัดสินได้  อย่างสีนี่ แดงก็คือแดง เขียวก็คือเขียว กลิ่นอย่างนี้ก็คือกลิ่นอย่างนี้ รสสัมผัสของธรรมชาตินั้นรับรู้เหมือนกัน แต่อาการกิเลสที่ซ้อนเข้ามาคือรสอร่อย ที่ต้องล้างออก แฝงมากับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เรียกว่ากามคุณ 5 ก็ล้างรสอร่อยไป

       อย่างเงินทองนี่ก็สมมุติกัน เอามาเพื่อบำเรอ กามคุณ อัตตา แม้ความดี ความชั่วก็เป็นอัตตา อย่างความชั่วที่เขาเสริมอัตตากัน อย่างที่ว่า แพ้ไม่ได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์เอาด้วยคาถา แม้รู้ว่าผิด ก็โกหกซ้ำซ้อนเสียหาย

       ผู้เรียนรู้สัจจะจะรู้ว่าของหลอกคืออย่างไร เราก็จะอยู่กับธรรมชาติ เราอยู่กับธรรมชาติไม่มาก แม้ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ก็แค่นั้น ให้ตามเหมาะตามควร แต่ถ้ามีมากก็ต้องดูแลหวงแหน เป็นภาระ ย่ิงเราไม่ต้องมี มีคนมาช่วย เราก็ สบม.ทมด.ปกต.หห.จจ. เลย

       เป็นเช่นนั้นจริงๆ ถ้าใครปฏิบัติถูกต้องจะเกิดผลเช่นนี้ อยู่กับสังคมก็มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) มีชีวิตอยู่อย่าง ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่น เขาจะช่วยดูแลเราไว้ บางทีย่ิงกว่าพ่อแม่อีก เพราะเขาเห็นจริงๆว่าคนนี้ต้องรักษาท่านไว้ มีประโยชน์ต่อสังคม หรือแม้ท่านดูแลตัวเองไม่ได้แล้ว ท่านก็เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร มีคนรู้บุณคุณคนจะดูแลเอง

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง ทั้งกาย วจี มโนเลย ครบเครื่องเรื่องทุจริต

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง ลดลงกว่าอันแรก ใช้คำพูดหลอกคน ปิดบังซ่อนเร้น ในทางศาสนาพุทธนี้ว่าสองอาชีพนี้เลวสุดเรียกว่าอบายมุข

สองอันแรกนี้เป็นอาชีพที่เลวร้ายมาก อย่างการเมืองนี่โกงกันดุเดือด เลวร้ายทำอย่างไม่หยุดหย่อนเลย

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยงทายไม่ตรงแท้ คือพยายามล้างกิเลส ตั้งตนในศีล รู้จักการล้างกิเลส พอล้างได้ก็เข้ากระแสโสดาบัน ตั้งแต่ศีล 5 ไม่รุนแรงไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่เอาของใคร ทำให้ราคะลดลง แต่ก็ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ยังเสี่ยงทายอยู่ 

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา) อันนี้ก็ทำได้ดีขึ้น มีศีล ที่ลดกิเลสได้จริง หมดพฤติกรรมหยาบ ก็จะมีโครงสร้างของการปฏิบัติธรรม ละลดกิเลสได้ ทำจนเป็นสกิทาคามี ที่ว่าเสี่ยงคือต้องสู้ต้องรบกับกิเลส สู้กับความหลงสุขนี่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ก็ชนะมากขึ้นๆ เป็นสกิทาคามีเป็นอนาคามี  ขั้นที่ 4 นี่คือเราบริสุทธิ์มาแล้ว แต่อย่าไปทำร่วมกับเขา เช่นเราเลิกอาชีพที่ไม่ดีแล้ว ไม่ทำแล้ว แต่เรากลับไปเอื้อไปช่วยคณะที่ทำผิดๆ เราไม่ได้ทำเอง แต่เขาก็ได้รับพลังงานจากเราไป เหมือนทำดี แต่ก็ซับซ้อน ร่วมกับคณะเขา บริษัทเขา ต่อให้คุณทำสะอาด ทำส่ิงดี แต่ก็มอบตนในทางผิด คุณต้องออกมาไม่ต้องไปร่วม แล้วก็อยู่อย่างคนมีวรรณะ

      วรรณะ 9

1.   เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.   บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.   มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)

4.   ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.   ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.   เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.   ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.   ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

 

       คนมักมากคนรวยนี่แหละเป็นคนไม่มีชั้นวรรณะ แต่คนจนนี่แหละเป็นคนมีวรรณะ พระพุทธเจ้าว่าธรรมใดวินัยใดเป็นไปเ

       5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา) ขั้นนี้พ้นแล้วจากการร่วมในคณะที่ทำผิด และอย

(พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 275   มหาจัตตารีสกสูตร)  คนที่พ้นมิจฉาชีพขั้นนี้คือคนที่ทำงานฟรี ไม่มีรายได้ ซึ่งเป็นไปได้ อยู่กับระบบสาธารณโภคี อยู่แบบคนจนตามที่ในหลวงตรัส...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:46:06 )

570224

รายละเอียด

 570224_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่องประชาชนปฏิวัติโดยธรรมตามรัฐธรรมนูญ ตอน 2       

       พ่อครูว่า...อะไรๆก็ไม่ดีเท่าธรรมะ เขาหาว่าอาตมาหลงคลั่งไคล้ธรรมะก็ยอมรับ จะว่าอย่างนี้ก็เอา

       วันนี้จะมาพูดประเด็นที่ยังเข้าใจไม่ลึกละเอียดพอ ประเด็นหนึ่งที่น่าจะต้องย้ำกันคือ...ประเด็นที่ศาลถูกใส่ความหาเรื่อง....แล้วทำไมท่านตัดสินมีนัยที่สอดคล้องกับฝ่ายกปปส. เขาก็หาว่าศาลลำเอียงเข้าข้างกปปส. ซึ่งแท้จริงเป็นสัจธรรม ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว เป็นอันเดียวกัน เข้าข้างกันก็ได้ สัจธรรมนั้นก็เป็นเช่นนั้น ตรงกันเหมือนกัน ฝ่ายเดียวกัน เมื่อตัดสินมาก็ตรงกับของกปปส. ก็หมายความว่า กปปส. ยืนบนฐานแห่งความเป็นจริง ศาลท่านไม่ได้เข้าข้างใคร ตัดสินไม่ได้เข้าข้างใคร เมื่อมาตรงกับกปปส. ฝ่ายตรงข้ามกปปส.ก็เป็นฝ่ายผิด ก็หาว่าศาลเข้าข้างกปปส.​ก็คือคนหาเรื่อง

       ที่จริงไม่ใช่เรื่อลำเอียง แต่เป็นเรื่องความดี ถูกต้อง คนตัดสินก็ต้องตัดสินให้คนถูก จะบอกว่าเข้าข้างคนถูก คนดี ก็แน่นอนก็ต้องเป็นเช่นนั้น คนเป็นกลางที่มีปัญญาต้องเข้าข้างคนถูก ตำหนิกำหราบคนผิด ยกสิ่งที่ควรยก ข่มส่ิงที่ควรข่ม แต่คนไม่เข้าใจก็งง ก็สับสน ไม่มีปัญญารู้ความจริงที่ต้องเป็นเช่นนั้น เมื่อเข้าใจไม่ได้ก็งง สับสน หาว่าลำเอียง

       มาพูดประเด็นเรื่องประชาธิปไตยคืออะไร?..ซึ่งเป็นนามธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง แล้วตัวอำนาจที่เป็นของประชาชน ประชาชนจริงๆก็ไม่ได้มีอำนาจนั้นจริงๆซักที อำนาจนั้นจะมีประสิทธิผล ว่าส่ิงอื่นต้องพ่ายแพ้ ก็ไม่เคยมีมาก่อน เพราะเป็นนามธรรมเล็กละเอียดเป็นผู้ดี ไม่เบ่งขม ไม่กระแทกกระทุ้งใคร คนก็ไม่กลัว ไม่รู้สึกว่ามีอำนาจอะไร แต่ลึกๆเป็นอำนาจที่สูงส่ง คนต้องยกให้ค้อมหัวให้ ไม่ใช่ไปทำเบ่งข่มสัจธรรม

       อธิปไตยคือ อำนาจ แรงพลัง มีน้ำหนัก เป็นคุณค่า ในสภาพของมัน แล้วอธิปไตยที่เป็นของประชาชนก็คือพลังที่ว่าเป็นความเป็นเจ้าของ เจ้าของคนๆหนึ่งในประเทศนี้ ทุกคนมีอำนาจเท่ากัน เมื่อรวมกันก็เป็นเจ้าของประเทศรวมกันหมด รวมอำนาจอธิปไตยก็เป็นรัฐาธิปัตย์ เป็นรัฐชาติ รัฐประเทศเลย คือ 1 คน 1 เสียงรวมกันเป็นอำนาจใหญ่ที่สุด ทุกคนเท่ากัน มีสิทธิดูแลรักษาใช้สอยทุกคน แต่ที่น่าเสียดายคือเจ้าตัวแต่ละคนไม่รู้จักอำนาจนี้ และใช้ไม่เป็น ซึ่งในไทย 65 ล้านคน ปล่อยให้คนขี้โกงมาทำเหมือนเป็นเจ้าของประเทศ ทรัพย์ศฤงคาร กดหัวคนในชาติ กลายเป็นอย่างนี้ จะทำอย่างไรให้เข้าใจกัน

       1 คน 1 เสียง 1 อำนาจอธิปไตย และมีค่ามาด้วย แต่พวกเราไม่รู้จักค่า สมัยโบราณเขาซื้อ 1 เสียงด้วยปลาทู 1 ตัว รองเท้า 1 คู่ ให้ไป ข้างหนึ่งก่อน พอลงคะแนนเสียงค่อยให้อีกข้าง

       เลยไม่รู้ว่าอำนาจในตนมีคุณค่าสูง คนเขารู้ก็เลยพยายามซื้อหา สังคมมีคนทุจริต อย่างนักการเมืองก็ไปซื้อเสียง เอามาใช้ในทางทุจริต 1คน 1 บาป หลายคนก็หลายบาป แล้วเอามาใช้ในสังคม เอามาใช้ ซึ่งเป็นนามธรรม เอามาใช้ สังคมก็เลยถูกปู้ยี่ปู้ยำ

       ซึ่งแต่ละคนมีอำนาจอธิปไตยที่จะมาสร้างสรร แต่นักการเมืองนี่แหละที่เขาจะนำมาใช้อย่างเพื่อทำอกุศลได้อย่างหนักเลย อำนาจสิทธิในตนก็ถูกยึดเอาไปใช้สอยในทางทุจริต ซึ่งมีในวงการอื่นด้วย

       คำว่าอธิปไตยเป็นอำนาจในตน เมื่อไม่รู้จักใช้ไม่เป็น และถูกคนหลอก ซื้อ โกงไป นี่คือสังคมที่ไม่มีปัญญารู้ว่าตนมีอะไรที่เป็นคุณค่าในตน แม้แต่ขอทาน ไปจนถึงดอกเตอร์ ก็มีอำนาจนี้

       อำนาจนี้คนไม่เข้าใจว่าเอาไปใช้ได้หลายอย่างหลายวงการ แม้แต่ในวงการธุรกิจ ก็ไม่น่าจะให้เขาไปโกงกิน ถูกเขาหลอกครอบงำ ตกเป็นทาส

       ที่เราออกมานี่มาใช้อำนาจอธิปไตยของตนนะ เป็นกำลังที่เกิดต่อเนื่อง มีมวลเท่าไหรก็มีอำนาจมากเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นระดมกันออกมาซิประชาชน มาแสดงตัวก็คือแต่ละคนมาแสดงราศี รังสี มาแสดง อย่างพวกแดงเขาก็รวมตัวกัน เขารวมแล้วก็ว่าได้แปดพัน แต่คุณอำภารายงานว่าประมาณ สามพันคน แต่เขาก็บอกว่าเป็นแสนเป็นล้าน กล้องเขาไม่กล้าถ่ายภาพไกลๆหรอก

       อำนาจหรืออธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตย นั้น ที่เขาว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง คือคนที่ไม่เข้าใจมากพอ เป็นคนแคบ ไม่รู้ว่าบางคนเรียนมาเป็นดอกเตอร์ก็รู้จักประชาธิปไตยอยู่แค่นั้นได้อย่างไร

       อธิปไตยของประชาชนคืออำนาจในตนเอง แล้วที่แต่ก่อนมา อำนาจในตนนี่แหละแต่มีอาวุธประกอบ ซึ่งเป็นการปฏิวัติ​ที่ผิด ใช้อำนาจอย่างForce ที่เป็นการบังคับ ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ Authority ที่เป็นคุณงามความดี แต่คนก็ใช้อำนาจนั้น แล้วก็ยึดอำนาจจากรัฐบาลเดิม ฉีกรธน.ใหม่ เขาก็ทำกันได้ เป็นจารีตประเพณี ประชาชนก็ยอมรับกัน แล้วบริหารประเทศกันไป ไม่รู้กี่ครั้งแล้วในไทย ก็เป็นอำนาจที่เขาใช้ปฏิวัติ​ก็ยอมรับกัน แม้ว่ารู้ว่าไม่ดีไม่ถูกต้อง แต่ยอมรับกัน ยอมเพราะกลัว

       แต่ทีนี้ อำนาจของประชาชน ที่มีระบุไว้ในรธน. แต่ก็มาหาว่า ประชาชนปฏิวัติไม่มีในรธน. ซึ่งทหารก็ปฏิวัติมาตลอดก็ไม่มีเขียนไว้ในรธน. ก็ยอมให้เขาทำไป แต่ทีนี้ประชาชนจะทำบ้าง ทั้งที่ประชาชนทำอย่างถูกต้องตามรธน. ถูกย่ิงกว่าทหารอีก ก็เป็นประเพณีที่ผิด แต่เขาก็ทำมาหลายที ผ่านมาเรื่อย ส่วนกำลังอำนาจอธิปไตยของประชาชน มันมีอยู่ในรธน.นะ แต่อำนาจอธิปไตยนั้นคนไม่กลัวอำนาจAuthority ที่เป็นอำนาจความดีงาม ก็พอเข้าใจอย่างกปปส.นี่ก็มาปฏิวัติ โดยจะมาเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาล มันยังไม่เคยมีเกิดได้อย่างประชาชนที่มาปฏิวัติด้วยอำนาจสุจริต สงบ เอาความจริง ถูกต้องมายืนยัน แม้แต่ศาลก็ชี้บ่งมาแล้ว แต่ก็ไม่ยอมให้ประชาชนทำ ทั้งที่มีในประเพณี ซึ่งอย่างบังคับเขาก็ทำกันได้ แล้วประชาชนจะขอยึดอำนาจมาทำใหม่บ้าง โดยไม่ข่มขี่ทำร้ายเลย ทำไมไม่ยอม ทำไมนักรัฐศาสตร์ ผู้บริหารไม่เข้าใจ

       ทำไมยกตัวอย่างทหารนี่ เขามีอำนาจในตัว เขาไม่ต้องออกมาอย่างฐานะทหาร ไม่ต้องเอารถถังระเบิดออกมา แต่มาเป็นอยู่ในฐานะประชาชน จะแต่งเครื่องแบบหรือถอดก็ได้ อย่างผบ.ทบ​.​ปลัดกระทรวง นายพลก็ออกมาพรึ่บ ที่เขามีพลังแฝง Potential Energy อยู่ ถ้าทหารออกมาพรึ่บรวมกันเลย อาตมาว่า ยิ่งลักษณ์รีบขึ้นเครื่องบินหนีหรือดำดินไปเลยนะ

       นี่เป็นเรื่องอำนาจแบบประชาชนนะ แต่ความเป็นทหารนั้นมีพลังแฝง หรือผู้มีทุนทางสังคมที่เป็นที่ยอมรับนับถือเชื่อถือ เช่นข้าราชการ ที่เป็นข้าราชการประจำ รับเงินเดือนประชาชน หรือเป็นข้าราชการการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งข้าราชการการเมืองนั้นต้องอาศัยข้าราชการประจำจึงทำงานได้ ซึ่งข้าราชการการเมืองก็มีหน้าที่ไปตรวจสอบข้าราชการประจำ ดูเหมือนมีอำนาจมากสามารถโยกย้ายข้าราชการประจำได้ เพราะมีหน้าที่ตรวจสอบ ก็เลยมีอำนาจมาก มีหน้าที่ดูแลนโยบาย ดังนั้นข้าราชการการเมืองนั้น ต้องซื่อสัตย์สุจริตเพราะเหมือนผู้ใหญ่ที่คอยตรวจสอบ แต่ก็อยู่ชั่วคราว แต่หากทำดี คนก็เลือกให้ไปอยู่ได้นาน แต่ทุกวันนี้เขาเอาอำนาจนั้นไปใช้ในการโลภ กอบโกย ทุจริต

       ดังนั้นต้องให้คนไม่มีกิเลส ไม่โลภ มักน้อย เห็นแก่ส่วนรวมไปทำงานการเมืองจึงจะดี นักการเมืองต้องเป็นอาริยบุคคล และไม่ใช่เป็นแบบที่ออกป่าเขาถ้ำนอนๆกินๆไปวันๆ อย่างพวกฑิคัมภพเป็นต้น แม้นกก็ยังมีการแพร่พันธ์เมล็ดพืชกระจายพันธ์ให้แก่พืช ยังมีประโยชน์มากกว่าพวกฤาษีอีก

       การปฏิวัติอย่างที่เราทำนี้ อย่างกปปส.นี่ไม่มีอาวุธร้ายแรง อาจมีในบางคนที่แฝงมาก็อาจใช้ป้องกันตัวบ้าง แต่ค่าเฉลี่ยคนเป็นล้านคน ทำได้ขนาดนี้ก็ให้ 90 % เลยนะ คนเป็นล้านคน แล้วประเทศไหนทำได้อย่างนี้บ้าง ประเทศไหนก็ทำไม่ได้ เป็นส่ิงวิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์

       ถ้าเป็นทหารทำนั้นจบไปนานแล้ว แต่นี่เป็นอำนาจ คุณค่าที่ดี ก็ต้องใช้เวลานานหน่อย อาจต้องสูญเสียชีวิตก็ยังมี ก็ต้องออกมาช่วยกันร่วมกันบอกว่าประชาชนถูกต้อง ประชาชนจะตั้งคณะรัฐบาลใหม่ไม่เป็นหรืออย่างไร

       ข้าราชการก็มาร่วมประท้วงได้ ไม่ได้มาทำหน้าที่ข้าราชการนะ แต่ออกมาประท้วงให้คุณหยุดบริหารประเทศ เรามาประท้วงตามรธน.นี้  ประเทศไทยมีคนออกมาได้อย่างนี้ จะเป็นปีแล้วเกินหกเดือนแล้วเป็นความย่ิงใหญ่จริงๆ อยู่อย่างนี้ร้อยพ่อพันแม่ ไม่ฉกชิงวิ่งราวไม่ขโมยกัน โดยตำรวจไม่ต้องทำงานเลย แต่ตำรวจกับมาเป็นปฏิปักษ์กับประชาชนอีกต่างหาก ศาลก็สั่งแล้วว่าห้ามสลายการชุมนุมที่ถูกต้องของกปปส.  แต่เขาหน้าด้านหน้าทนมาก ซึ่งถ้าเป็นประเทศอื่นเขาละอายก็ลาออกไปแล้ว

       เราทำประโยชน์ไม่เพียงแค่โลกียะ ของสังคมโลกเท่านั้น แต่ในด้านปรมัตถ์ในด้านวิบากกรรม ก็ได้ค่าของวิบากกุศลกรรม เป็นวิบากที่สั่งสมติดตัวไป อย่างในสังคมเรายุคนี้ เราตายไปแล้วเรายังได้กุศลนั้นเป็นส่วนตัวในกรรมที่เราทำอันนี้ ไม่ได้มานั่งหลอกคุณนะ แต่พูดสัจธรรม

       อำนาจอธิปไตยของประชาชน 1 คน 1 หน่วย มีอำนาจนั้นเต็มตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นแต่เพียงบางคนยังไม่ถึงเวลาที่เขากำหนด แต่เอาว่าการประท้วงนี่เด็กแบเบาะก็เป็นอำนาจ ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็เป็น 1 อำนาจ แม้ออกเสียงเลือกตั้งไปแล้ว ได้ตัวแทนไปบริหาร ก็ไม่ได้หมายความว่าอำนาจเราหมดแล้ว ถูกริบไปแล้ว แต่เขารับหน้าที่ไปทำเท่านั้น ตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย แต่เขาก็ทำผิดกรอบกฎหมายอีก เราจ้างไปทำตามหน้าที่

       เราจะมาดึงอำนาจที่ให้เขาทำหน้าที่แทนนั้นกลับมา คือให้เขาหยุดทำ ประชาชนจึงออกมารวมกันให้มาก ถ้าประชาชนในไทยออกมา 65 ล้านคน ยืนยันว่าให้เขาหยุดเขาจะหยุดไหม? เขาก็ต้องหยุดนะ แต่เป็นไปไม่ได้ ก็ควรจะรู้ว่าประชาชนมาขนาดนี้

       แม้ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ถูกบังคับนะ หรือขอร้องให้ไปทำหน้าที่ แต่ก่อนไม่มีบทลงโทษสำหรับคนไม่ไปใช้สิทธิ์ ไม่ไปก็ไม่มีปัญหา ก็ไปเลือกผู้แทนให้ไปทำงานแทน ซึ่งต่างจากอำนาจอธิปไตยของประชาชน คุณไม่ได้เอาอำนาจให้เขา แต่จ้างให้เขาทำงานเป็นกุลีรัฐ ที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย การไปเลือกตั้งเป็นอำนาจในการให้คนไปรับใช้ แต่นี่เราพูดถึงอำนาจอธิปไตยของประชาชน 1 คน 1เสียง ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นอำนาจยิ่งใหญ่ เข้าใจชัดเจนขึ้นไหม

       แล้วถ้าคุณอยากให้รัฐบาลออกก็ออกมาร่วมประท้วงกันให้มาก ถ้าเราทำอย่างแข็งแรง ทุกวันแต่ละเวทีเป็นแสนเป็นล้าน นั้นไม่นานก็สำเร็จ ทุกวันนี้นายตู่นายเต้นก็ว่าเรายิ่งอ่อนล้าโรยราลงทุกวัน ซึ่งถ้าไม่อย่างนั้นเมื่อไหร่ก็แน่นเต็มต่อเนื่องกัน ไม่นานเลย ความรู้สึกของเขาก็จะรู้ว่าไม่ใช่คะแนนลับๆล่อๆนะ เขาหาว่าเราจ้างกันมา อย่างนี้จะใช้เงินเท่าไหร่จ้างก็ทำไม่ได้

       เราก็ทำอย่างยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆแต่พวกเขาก็หน้าด้านหน้าทนไม่ยอมแพ้ แม้ผิดก็ไม่ยอมแพ้ เราก็ไม่น่าจะหยุดทำนะ เราทำไปเราพัฒนานะ เราเข้าใจว่าควรทำอย่างไรถูกต้องชอบธรรม ถูกกฎหมาย ทำอย่างถูกต้องชอบธรรม ทำอย่างผู้รับใช้นะ เรามาทำนี่เราไม่ได้มาหาเงินไม่ได้มาหากิน หาลาภยศนะ แต่เราได้มาพัฒนา ใช้ความอดทน เสียสละ ได้ธรรมะลึกซึ้ง เราทำตนขยัน ไม่ดูดาย ใครดูดายก็รู้ตัวเองว่าไม่เจริญนะ เราอยู่กันไม่ได้จ้างวานชี้ใช้ เราก็ใช้ปัญญาทำไป อันไหนควรเสียสละก็ทำ ถึงเวลานอนก็นอนถึงเวลาตื่นก็ตื่น แล้วระยะเวลาไม่น้อย 200 กว่าวันแล้ว ทำลายสถิติโลก โดยรู้ตัวก็มี ไม่รู้ตัวก็มี ในการพัฒนาการของพวกเรา ให้ตรวจสอบ แต่ถ้าคุณอยู่ไปก็มาเอาเปรียบมากินนอน อาศัยกินอยู่ โลภแฝงอยู่ คุณก็บาป แต่ถ้าคุณไม่เป็นเช่นนั้น แต่ได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาดีขึ้นๆ ที่นี่เราไม่มีส่ิงแลกเปลี่ยน เราไม่ได้ค้าขาย เอาลาภยศสรรเสริญมาแจกกัน เราช่วยกันทำงานก็อาศัยกินใช้ร่วมกัน ก็ประหยัดมัธยัสถ์ คนมาร่วมไม่ได้ก็ส่งเงินมา ส่งของมาก็ช่วยกัน

       เป็นการช่วยทั้งเศรษฐกิจ สังคม ของประเทศ ซึ่งอาตมาได้นิยามการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ 10 ข้อ

 

      1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

  1. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้
  2.  นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) 
  1. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว ตัวเองทำงานแล้วได้มากกว่าที่กินที่ใช้ ต้องทำให้คุ้มค่าเงินเดือน คุ้มกินคุ้มใช้
  2. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ  สมัยโบราณครูเป็นผู้รับใช้ เป็นผู้มีภูมิปัญญาสอนคน ก็เป็นตัวอย่างของคนมักน้อยสันโดษเป็นคนจนไม่หรูหรา แต่ทุกวันนี้ครูต้องหรูหราแบรนเนม ผิดทิศทาง ไม่ได้เป็นตัวอย่างแก่เด็กรุ่นหลัง
  3. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน
  4.  งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ
  5.  นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4) ลำเอียงเพราะ รัก_ชัง_หลง_
  6.  นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม
  7. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

 

       ซึ่งทุกวันนี้นักการเมืองต้องมีสังกัดพรรค ก็เลยมีเจ้าของบริษัทเป็นเจ้าของคอกของพรรค จ่ายเงินเดือนให้นักการเมืองไปแล้ว

       ที่เราทำอยู่นี่เป็นงานการเมืองที่ได้กุศลอย่างสูงเลย ราคาแพง เพราะช่วยทั้งประเทศ มีนักกฎหมายบางคนบอกว่า ดูซิว่าใครจะกล้าขอนายกฯพระราชทานโดยไม่ผ่านรัฐสภา ตามรธน.นี้....อาตมาก็ขอตอบว่า นักปฏิวัติไง กล้าทูลเกล้าฯ อย่างนักปฏิวัติผิดๆใช้อำนาจกองทัพมาบังคับก็ขอพระราชทานนายกฯ ร่างรธน.เลย กี่ครั้งก็ทำมาแล้ว ก็ได้รธน.มา แต่นี่ประชาชนมาปฏิวัติอย่างไม่เหมือนกองทัพทหารทำ แล้วทำไมประชาชนจะไม่กล้าทูลเกล้านะ มันผิดตรงไหน? คิดดีๆซิ ก็คณะนั้นเขาก็ทำกันมาเป็นจารีตมาแล้วตามมาตรา 7  ไม่มีภาษาระบุในรธน. แต่ว่าเนื้อหาเหมือนกัน เหมือนอย่างคณะที่ปฏิวัติโดยอาวุธ แต่เราทำอย่างถูกต้องดีงามไม่มีอาวุธ สุดยอดประเสริฐแล้ว ทำไมไม่ให้ ก็ให้ตั้งสภาประชาชนก็ทูลเกล้าได้เหมือนคณะปฏิวัติ แล้วทำอำนาจForce ทำได้ทุกอย่าง แต่ทีนี้อำนาจดีงาม Authority จะทำบ้างไม่ได้ แต่ที่จริงเราทำแล้วในวันที่ 11 พ.ย. 56 เราทำมาแล้ว มาอยู่ที่ผ่านฟ้าแล้้ว พล.อ.ปรีชา ประกาศ ปฏิวัติ เวลา 15.30 น. แล้วอีกวันเราก็ไปถวายฎีกา แต่คนไม่เข้าใจงง ตอนนั้นยังไม่มีคนตายเสียด้วยซ้ำ ทำอย่างสงบ เราก็ทำอย่างถูกต้องตามครรลอง แต่เขาไม่เข้าใจว่าประชาชนปฏิวัติ ทำได้ เราก็ทำต่อไปอย่างดีเลย เป็นประวัติศาสตร์ไว้

       ประชาชนที่เอาอำนาจ Authority ทำอย่างดีงาม มันควรเป็นแบบอย่างดีงาม พยายามอดทนสู้ทำให้สำเร็จ คราวนี้เกิดได้ขนาดนี้ ขอแรงขอพลังมาช่วยกัน จงอุตสาหวิริยะทำกันนะ เมื่อทำได้สำเร็จ มันน่าจะไชโยโห่ฮิ่วกันทั่วโลกนะ ประชาชนมาขนาดนี้พอแล้วเหลือแล้ว เป็นอำนาจอธิปไตยแท้ๆ ผู้มีปัญญาก็ช่วยดำเนินสนับสนุน ร่วมแรงร่วมใจกัน ถ้าผู้รู้เป็นปราชญ์เข้าใจแล้ว แต่ยังไม่กล้าออกมาเป็นพลังรวม ถ้าคนมีทุนทางสังคมออกมารวมกันเป็นร้อยเป็นพันจะมีราศีแห่งราชสีห์ กว้างใหญ่ไพศาล จนอึ่งอ่างเบ่งจนท้องแตกตายเลยได้

       เป็นปรากฎการณ์ของโลก ทั้งอดทน อุตสาหะวิริยะ เสียสละ เป็นคุณสมบัติประเสริฐมากพอ เป็นครั้งแรก ต่อไปในอนาคต ถ้าอันนี้สำเร็จจะเป็นขนบทำเนียมให้เกิดต่อไป กลุ่มใดจะทำอีกก็ทำให้ดีงามมากขึ้นๆ ในประเทศต่อไปจะทำได้ คนจะรู้ความจริง ไม่ดื้อดึงดันมากขนาดนี้ เพราะรู้จักสาระมากแล้วจะยอมรับมากขึ้น เอามาอ้างอิงได้ ขยายผลได้ จะมีส่ิงดีงามขยายผลมากขึ้น จะเป็นสัญญลักษณ์ ซึ่งต่อไปไม่ต้องออกมาเป็นล้าน แต่เขาถูกต้อง นักการเมืองก็ต้องยอมแพ้ ถ้าเป็นนักการเมืองที่ซื่อสัตย์ จริง แม้คนเดียวออกมาประท้วง ถ้าเขาถูกต้อง แล้วสมเหมาะสมควรที่จะต้องรับผิดชอบลาออกก็ต้องลาออก ถ้าเป็นนักการเมืองที่มีปัญญาแท้ ก็ต้องรู้รับผิดชอบ เขาจะลาออกเลย คนเดียวมาประท้วงเป็นสัญญลักษณ์ ของประชาธิปไตย

       ในต่างประเทศก็มีแล้ว ถ้าคุณมีทุนทางสังคมก็ได้อยู่ แต่ถ้าไม่มีทุนทางสังคมก็ตาม แต่เขาประท้วงได้ถูก คุณก็ต้องรับผิดชอบ ถ้าหนักถึงต้องลาออกก็ต้องลาออกได้ นี่เป็นสัญญลักษณ์ หรือมีแค่ 5 หรือ 10 คน ไม่จำเป็นต้องมาเป็นล้านคน ถ้าเป็นการเมืองที่มีประชาธิปไตยมีธรรมะโดยชอบธรรมจะเกิดไหมในไทย สัจธรรมจะเป็นเช่นนั้น

       ประชาธิปไตยนั้นลึกซึ้งละเอียดมากมาย แต่ในไทยยังไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งก็เลยต้องออกมาปฏิบัติ มาช่วยกันแสดงทั้งนัจจะวาทิตะ ทั้ง กาย วาจา ใจ ภาษาสำเนียงมาแสดง

       ต้องขอกล่าวอ้างอิงประกอบอย่างไม่ได้อวดอ้าง ...ย่ิงประชาชนมีความรู้สามารถ โดยเฉพาะมีกิเลสน้อย ลดกิเลสได้ ก็จะเป็นสังคมรวม เสียภาษี 100 % ทำงานฟรี เอาเข้าส่่วนกลาง มีคณะบริหารการเงินกลาง เหมือนการบริหารประเทศ แต่ซื่อสัตย์สุจริต กินใช้ส่วนกลาง สาธารณโภคี เรียนรู้ว่างานอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เช่นโรงเหล้าเราไม่ทำ

       ถ้าทำอย่างพระพุทธเจ้าสอน จะเจริญได้อย่างดี มีประโยชน์ต่อสังคม ช่วยสังคม อย่างย่ิง พุทธศาสนานี่ รัฐศาสตร์ก็ช่วยกันบริหาร ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่มวลมนุษยชาติ อย่างระดับมาร์คซิสต์นี่ไม่เท่าของพระพุทธเจ้า เพราะอะไร เพราะกิเลสไม่ลด ไม่เรียนรู้ทางจิต โดยเฉพาะคอมมิวนิสต์ตีทิ้งศาสนาหาว่าเป็นยาเสพติดเป็นเรื่องงมงายด้วย ไม่เป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ ก็จริงในศาสนาที่ลึกลับเป็น Prophecyเป็นศาสนาสายศรัทธา เก่งสุดศาสดาก็เป็นแค่ Prophet รับคำจากพระพุทธเจ้าแต่ลึกลับ ดีเหมือนกัน แต่ไม่กระจ่าง ไม่ถึงจิตเจตสิก รูปนิพพาน แต่อีกด้านก็เป็น Philosophy ก็เป็นความรู้ที่กว้างๆ มีเหตุผล คล้ายศาสนาพุทธ แต่มันไม่ลึกเข้าหาปรมัตถ์ ไม่ถึงเหตุแห่งกิเลส ได้อย่างเก่งก็เป็น Philosopher ได้แค่นั้น แต่ของพุทธนั้นได้สองอย่างเลย ทั้งจิตและกาย

       ลึกกว่านั้นก็เป็นญาณวิทยาEpistemology แต่ก็ยังไม่บรรลุ แต่ของพุทธเจ้าพิสูจน์ได้ย่ิงกว่า ญาณวิทยา แต่เป็นปรากฎการณ์วิทยา Phenomenology ศาสนาพุทธนี้เป็นPhenomenology พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ประกาศเช่นนี้ พิสูจน์ได้เช่นนี้

       มาฟังเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา แตกต่างอย่างไรกับ ศีล สมาธิ ปัญญา

       ทานคือการให้แต่ถ้าใจไม่สอดคล้องก็เป็นทานเสแสร้ง ไม่เกิดการลดกิเลส ทุกวันนี้ให้ของแต่ตั้งจิตที่จะเอามากกว่าของที่ให้ ให้ของห้าบาทแต่จิตอธิษฐาน ได้เป็นแสนเป็นล้านบาท ตั้งเป็นมโนกรรมเลย กรรมที่คุณทำนี่เอาเปรียบ ทำกำไรเกินควรตั้งเท่าไหร่ยกมือขึ้นซะดีๆ ไม่เว้นเลยแม้อาตมาก็ทำมาแล้ว นี่คือทานไม่มีผล นัติถิิทินนัง

       การให้นี่แหละคือพฤติกรรมที่ยิ่งใหญ่สุดในโลก สุดวิเศษคือการให้

       สรุปคือ ทาน ศีล ภาวนาคือหลักเกณฑ์ ปฏิบัติศีลให้เกิดการล้างกิเลสจึงเรียกว่าล้างกิเลส เป็นยัญพิธี ถ้าพิธีกรรมก็ไม่ลดกิเลส ทำศีลก็ไม่ลดกิเลส เป็นศีลพตุปาทาน ศีลพตปรามาส ทานศีลภาวนาก็ไม่ลดกิเลสไม่เกิดผล...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:53:27 )

570227

รายละเอียด

570227_พ่อครูและคุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เรื่อง ความเป็นกลางที่ยุติธรรมต้องเป็นหนึ่งเดียวข้างคนดีคนถูกต้อง

       พ่อครู..วันนี้มีคุณไชยวัฒน์ มาช่วยจัดรายการ ถามประเด็น และจะได้นำไปออกอากาศ ช่อง 13 สยามไทยด้วย  ก่อนเริ่มรายการก็มีข่าวบอก...กปปส.จากอเมริกา ติดตามการชุมนุมของชาวเราที่ผ่านฟ้าฯรู้สึกเป็นห่วง และต้องการให้กำลังใจ กองทัพน้ำหมาก ที่มาร่วมชุมนุมกันชนิดยืนหยัดยืนยัน ไม่ถอยเลย แม้วันที่ตำรวจมาลุยด้วยปืนและระเบิด ก็ยังไม่ถอย จึงจัดส่งวิตามิน บำรุงกระดูก มาช่วยเสริมให้ โดยขอให้ฝ่ายพยาบาล แพทย์มารับไปจัดให้กองทัพน้ำหมาก กินวันละ 2 เม็ด หลังอาหารทันที มารับที่ข้างเวที

       อ.ไชยวัฒน์​ ผมขอเร่ิม เรื่องราว เหตุของเหตุ ที่เป็นคำสั่งของศรส.สลายชุมนุมที่ผ่านฟ้าฯ และมีการชุมนุมของ นปช.ที่โคราชฯ..ก็มีการแถลงเรื่องราวเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดน ก็เลยเป็นเหตุให้กองทัพบกออกมาปฏิบัติบางอย่าง...มีทั้งคำสั่งจากผบ.ทบ.ที่เป็นรองผอ.กอ.รมน. ที่มีนายกฯยิ่งลักษณ์เป็นหัวหน้า กอ.รมน. ให้ผู้ว่าฯทั่วประเทศได้ทำรายงานเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของแดงนปช.และก็มีการออกคำสั่งในฐานะ รองผอ.กอ.รมน.ให้ผู้ว่าฯราชการจังหวัดทั่วประเทศไปรายงานตัวกับ กองทัพ แล้วนายกฯที่เป็นหัวหน้ากอ.รมน.จะยกเลิกคำสั่งของผบ.ทบ.หรือไม่?...ต่อจากนั้นผมคิดว่า จะมีการออกคำสั่งควบคุมตัว รมต. นายกฯ หรือไม่? จะต้องไปรายงานตัวกับทหารหรือไม่?....และอีกนัยหนึ่งคือ อะไรเกิดขึ้นกับอดุลย์ แสงสิงห์แก้ว เมื่อวานนี้เขาออกมารับมวลชนด้วยตัวเองที่ สตช.....

       อ.ไชยวัฒน์​ว่า...มีรายงานว่า ผบ.ตร.อดุลย์ ได้ขอเข้าพบทหาร และได้ยื่นข้อเสนอว่า ถ้ากองทัพจะทำการรัฐประหาร ตัวเขาก็จะขอเข้าร่วมด้วย และมีทหารให้สติว่าอย่าไปทำร้ายประชาชน และคำสั่งที่สั่งสลายที่ผ่านฟ้าฯที่ผ่านมามาจากใครก็ มาจากเฉลิม และมีนายหน้าเหลี่ยม สั่งการอยู่

       อ.ไชยวัฒน์​ว่า วันนี้ผมจะเร่ิมประเด็นที่ว่า คนสูญเสีย อย่างเช่นภรรยาตำรวจได้สูญเสียสามีไป ก็ได้พูดว่า ขอให้เป็นคนสุดท้ายที่ได้สูญเสีย ส่วนภรรยาของผู้สูญเสียฝ่ายประชาชน ที่ลูกเล็กๆต้องตายก็บอกว่าขอให้ครอบครัวเขาเป็นครอบครัวสุดท้าย...ทำให้เห็นว่า สังคมไทยนั้น น่าจะมีความหวังว่า ถ้าสังคมเปลี่ยนแปลงใจได้กลับมาเป็นพี่น้องกันอีกครั้ง....

       พ่อครูว่า...จิตคนจะปรองดอง หรืออยู่ร่วมกัน จะใช้คำว่า ปรองดองก็คือรวมร่วมกันได้ อยู่ร่วมกันได้อย่างศัตรู แต่จำนน ก็อยู่่ร่วมกันได้ เช่นชาวอินเดีย ทั้งที่บางคนเป็นจัณฑาล ถูกกดขี่ตำ่สุด ส่วนศูทร ก็สูงขึ้นมาแต่ก็ถูกกด แพทศ์ ก็ถูกกด ส่วนพราหมณ์ กษัตริย์ก็ถูกยกไว้ ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาถูกแบ่งแยกแล้วโดยสัจจะ ของพระผู้เป็นเจ้า แต่รวมแล้วก็เป็นความเห็นสอดคล้องก็อยู่กันได้ ก็เป็นความเชื่อลึกๆ ถ่ายทอดมายาวนาน ทั้งที่กดข่มกันมา ไม่เหมือนสังคมอื่น เขาไม่ค่อยมีเรื่องกัน เป็นหลักฐานว่า มนุษย์นี่จิตวิญญาณเป็นใหญ่ สมัยใหม่ก็มีอิสรเสรีภาพ เป็นการศึกษาสมัยใหม่ พระพุทธเจ้ามีอิสรเสรีภาพ มีสิทธิเต็ม ทานเปิดเผยทำในอินเดียมาแล้ว สำเร็จด้วย ท่านรู้จักจิตวิญญาณ

       แล้วจะทำอย่างไรให้ปรองดอง ก็ทำอย่างพระพุทธเจ้าพาทำ ยกตัวอย่างเช่น ชาวอโศก ก็เป็นคนจน ไม่รำ่รวย หรูหรา เหมือนศูทร จัณฑาล เรามุ่งมาจน จนมหัศจรรย์ ไม่สิ้นไร้ไม้ตอก จนขยันหมั่นเพียร เสียสละ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ช่วยบรรเทาภาระสังคมด้วย แล้วเราก็จน ส่วนเขาก็หรูหราฟู่ฟ่า เราเข้าใจเขา เห็นใจเขาว่าไม่น่าเสริมกิเลสเลย เพราะเรารู้สัจธรรม เราก็ช่วยคนที่ควรช่วย เป็นการปรองดองอยู่่ร่วมกัน โดยเรายอมเสียผล เสียสละ เกิดจากเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ ที่ลดละกิเลส แม้เราไม่หมด เราก็เพียรลดละ และเสียสละตามลำดับ

       ยกขึ้นมาไม่ได้อวดอ้าง แต่เอาส่ิงเกิดจริงเป็นจริงมาพูด อาตมาทำงานมา 40 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ชุมชน 2516 มาปีนี้ก็ 30 กว่าปีแล้ว เป็นรูปธรรมชัดเจน พัฒนามา ไม่เสื่อม เจริญขึ้น มีผู้ร่วมเพ่ิมขึ้น แต่ไม่กรูเกรียวเหมือนพวกกิเลส ที่เขาแย่งชิง เร็ว เหมือนเชื้อโรคห่า เป็นโรคทางจิต แต่นี่เราทำไม่ได้เป็นโรค เป็นความวิเศษทางจิต

       นี่เป็นคำตอบที่คุณไชยวัฒน์​พูดมาเป็นการแก้ไขอย่างสมบูรณ์​Absolute ดีที่สุด Ultimate เป็นส่ิงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ของสังคม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความเป็นมนุษย์ กับสังคมมนุษย์ รู้ว่ามนุษย์แต่ละคนควรอยู่อย่างไร ไม่มีทุกข์​เป็นประโยชน์สุด และอยู่ร่วมกันไป

       เราออกมาทำนี่ออกมาช่วยงานหลายรอบก็เป็นภาคปฏิบัติ ตั้งแต่ปี 49 ก็เปิดตัวมาเรื่อยๆ มาปีนี้ 57 ต่อเนื่อง มาชุมนุม เรามีคณะมีพรรคการเมืองมา 10 กว่าปีแล้ว พรรคเพื่อฟ้าดิน เราทำการเมืองภาคประชาชน​ เป็นพลังAuthority ไม่แย่งชิงอำนาจอย่างที่เขาทำ เราทำการเมืองที่เป็นการรับใช้ประชาชน ทำเศรษฐกิจสังคมให้ดี เป็นรัฐศาสตร์สุจริตยุติธรรม

       ศาสนาทุกศาสนาพาลดกิเลส แต่อาตมาว่าของพุทธลดกิเลสอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ...คำตอบคือมาลดกิเลสแบบพระพุทธเจ้า แล้วจะเป็นผู้ทำงาน สังคม เศรษฐศาสตรฺ์ รัฐศาสตร์ อย่างบริบูรณ์​ต้องศึกษาให้สัมมาทิฏฐิ

       ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ก็คือ

      1. ปรโต จ  โฆโส จ (การได้ฟังสัจจะมุมอื่นจากผู้รู้อื่นๆ หรือจากบัณฑิตอื่น  จะไม่ติดยึดแต่ภูมิรู้เดิมๆ ของตน)

      2. โยนิโส จ  มนสิกาโร (ปรับใจ ปฏิบัติกระทำใจให้ละเหตุแห่งการเกิดกิเลสที่ใจ  กระทำใจละให้เป็น  ให้ถ่องแท้  ให้หยั่งลงไปถึงแดนเกิด คือ สมุทัย ที่ใจ)

       สัมมาทิฐิย่อมมีเจโตวิมุติ มีปัญญาวิมุติ เป็นผล และเป็นอานิสงส์ โดยมีองค์5 คือ สัมมาทิฐิอันมีศีลอนุเคราะห์แล้ว  สุตะอนุเคราะห์ สากัจฉาอนุเคราะห์  สมถะอนุเคราะห์  วิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว (พตปฎ. เล่ม 12   ข้อ 497)

       ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

 

       คำว่าโลกนี้โลกหน้านี้สำคัญ...ที่จะต้องมีสมณะพราหมณ์เป็นผู้เปิดเผย ต้องเป็นคนที่อย่างน้อยมีปัจจัตตัง หรือจะมีสยังอภิญญา หรือสยัมภู ตามลำดับ

       ผู้จะมารู้ทวนกระแสพระพุทธเจ้าต้องเรียนรู้สัมมาทิฏฐิ มาลดละกิเลสตามลำดับ เมื่อลดได้ก็เป็นประโยชน์ต่อโลกอย่างแท้จริง รับใช้โลกอย่างแท้จริง พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       คนเช่นนี้โลกจะเลี้ยงไว้ ชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่น(ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา) ซึ่งคนทั้งโลกเขาไม่เชื่อว่ามีคนที่เป็นเช่นนี้อยู่ จะเป็นคนจริงใจบริสุทธิ์ที่แท้จริง ไม่กลับกำเริบ แต่ชาวพุทธเราได้ปฏิบัติจะเชื่อเพราะได้ปฏิบัติตนจนเป็นคนเช่นนี้ได้ ทำงานกับสังคมได้อย่างดี ไม่เหมือนจัณฑาล ที่เขารังเกียจ แต่ของพุทธเราก็อยู่ไม่ถือยศศักดิ์ อยู่อย่างจัณฑาล แต่ว่ามีความรู้ความสามารถทำประโยชน์ต่อสังคม ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ อาตมานำมาเปิดเผยก็ทำได้ยังไม่มาก ต้องพยายามเผยแพร่ให้ละเอียดละออมากกว่านี้ ให้เป็นศาสตร์ที่ย่ิงใหญ่ อาตมาก็เห็นว่าชาติไทยเราน่าจะมีทฤษฏีเช่นนี้ทำได้ เป็นทฤษฎีที่ย่ิงใหญ่ ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าลัทธิสังคมนิยม และประชาธิปไตยทั่วโลก พูดไปเหมือนเบ่งข่มเขา แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดจริงได้

       เราพูดไปทำไปนี่เขาก็ยังไม่เชื่อ แม้ศาลตัดสินมาเขาก็ไม่เชื่อ บางคนเห็นว่าดีอย่างชาวอโศกดี แต่ไม่เชื่อว่าสิ่งจริง หาว่าทำโชว์ซักวันก็ล้มไป เป็นการกดข่ม แต่เรารู้ว่าไม่ได้กดข่ม เราทำได้จริง ลดละกิเลสได้ประเสริฐ ไม่ได้พูดด้วยบัญญัติภาษา แต่ว่าเป็นความจริงที่เกิดเป็นความรู้ที่ลึกถึงจิตวิญญาณตัวแท้ เรียกว่าญาณ หรือวิชชา มันจริงเช่นนั้นจริงๆ เกิดปัญญาอย่างนั้นควบคู่กับศรัทธา ความเชื่อ มีปัญญาทำลายกิเลสได้ด้วย รู้แล้วกำจัดกิเลส สลายให้จางคลายให้สลายไปได้จริง ถ้าจริงแล้วไม่เปลี่ยนแปลงกลับกลอกด้วย เป็นวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ สรุปจะทำอย่างไรก็ทำอย่างพระพุทธเจ้าพาทำ แม้จะยาก จะนานก็ไม่มีทางเลือกอื่น เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีประชากรเป็นพุทธศาสนิกชน 95 %  

       ทำจนรู้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นทรัพย์แท้ เป็นส่ิงดีที่ได้มาเสียสละลดละกิเลส มีความพอใจ ฉันทะ เมื่อพอใจก็จะมาฟัง มีปรโตโฆษะ เมื่อก่อนก็ไม่ฟังเท่าไหร่ ก็ฟังแต่อย่างนั้น พอมาฟัง ปร ก็คืออื่นจากที่เคยได้ยินมา เป็นเสียงอื่น ก็จะเกิดสัมมาทิฏฐิ 

       เราจะมีธรรมะด้วยความยินดี เร่ิมด้วยอิทธิบาท ในสุริยเปยยาลก็มี ฉันทะ ในข้อม 3 ส่วนมูลสูตรนั้นเร่ิมด้วยฉันทะเลย

1.    มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.   มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)

3.   มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) เป็นเหตุให้กิเลสตาย ซึ่งใช้คำว่าสมุทัยเหมือนในอาริยสัจ 4

4.    มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) ซึ่งก็จะแตกเวทนาออกเป็นเวทนา 108 เลย แล้วตัวเหตุหรือสมุทัยในเวทนาก็คือ ตัณหา ที่จะแก้ไขได้ แก้ไขได้ก็ทำให้จิตมีสมาธิ สั่งสมตกผลึกตั้งมั่นเป็นเอกกัคคตาจิต เป็นอุเบกขาเวทนา เป็นสมาธิ

5.    มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

 

       สามารถปฏิบัติได้ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าเยอะเช่น ปัญญาวุฑฒิ 4 เป็นต้น ขอผ่านไปก่อน

       มาพูดถึง ที่คุณไชยวัฒน์ ว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งทางอื่นนั้นเป็นวัวพันหลัก อาจใช้กฎหมาย หรืออำนาจกดขี่กดข่ม ให้เขาทำดี แต่ไม่ลดกิเลส นั้นไม่จบ เมื่อไหร่ก็ไม่จบ แต่จะสำเร็จจบได้ต้องทำตามพระพุทธเจ้า ซึ่งรากเหง้านั้นคือความแค้นเคืองโลภโมโทสัน การเสพรส ถ้าไม่ล้างกิเลสก็ไม่สำเร็จจริง อาจกดข่มอย่างไร ก็ไม่ถอนราก ก็วนเวียนกลับได้ แต่ถ้าได้ล้างกิเลสที่เป็นเหตุแท้จริงได้อย่างตายสนิทแท้จริง       

       อาตมามีหลักฐานในพระไตรปิฎกให้อธิบายอีกมากเลย....อาตมากำลังเขียนเรื่องนิโรธ ซึ่งทุกวันนี้เป็นมิจฉานิโรธ เกือบไม่เหลือแล้ว อาตมาก็เห็นว่าท่านแปลภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทยก็ยังมีที่ไม่ตรงสภาวะ อาตมาก็พยายามมาเรียบเรียง อาตมาแปลบาลีด้วยสภาวะ แต่ก็เรื่องจริง อาตมาไม่ขี้เกียจหรอก ขยันจนถูกว่า

       ขอพูดพาดพิงถึงเรื่องเหตุที่ คนไม่เข้าใจความจริงกัน มาฟังความจริงในเรื่องความเป็นกลางของผู้ยุติธรรม

        ความเป็นกลางของผู้ยุติธรรม

        หรือผู้ไม่อคติ ไม่ลำเอียง แท้ๆจริงๆ นั้น....เมื่อวิเคราะห์วิจัย วินิจฉัย เจาะลึก สัจธรรมแล้ว ก็จะพบความจริง_ความถูกต้องนั้นมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ความจริงไม่มีสอง หรือเป็นอื่นไป จากหนึ่งเดียวเท่านั้นไม่ได้

      ดังนั้น เมื่อ ศาล ทุกศาล ที่เป็นศาลที่ยุติธรรม แท้จริง ทุกศาล ทำหน้าที่ตัดสินออกมา

      “คำตัดสิน” ก็จะตรงกับคนถูก และตรงกันข้ามกับคนผิด ทุกทีไป

      การที่ศาล เห็นตรงกันกับ ความถูก_ความจริง ของคนถูก นั่นแหละคือ

      ผู้เป็นกลาง ต้องเข้าข้างคนดี คนถูก คนที่มีความจริง ทุกที

      ดังนั้น คนผิด คนเลว คนไม่มีความจริง เมื่อตนเองแพ้ จึงพาลด้วยความโง่ว่า ศาลอคติ

      เพราะฉะนั้น คนผู้ไม่รู้จริงๆ หรือโง่ แท้ๆ เช่นที่ฝ่าย นปช.หรือแม้แต่ รัฐบาล ก็ดี สภาก็ดี ก็หาว่า ศาล ลำเอียง ก็ถูกแล้ว ที่เขาจะพูดแสดงภูมิจริง ที่ไม่ยุติธรรม บ้างล่ะ

      ลำเอียงบ้างล่ะ เข้าข้างที่ไม่ตรงกับตนบ้างล่ะ เพราะไม่เข้าข้างตัวเอง

      ใครไม่ตัดสินว่า ให้เขาถูก จึงเป็นคนลำเอียง ไม่ยุติธรรม ก็ถูกแล้ว

      คนโง่ หรืออวิชชา ย่อมมองความจริง ความถูกต้อง ของความยุติธรรม ไม่ออก เพราะโง่จริงๆ รู้ความจริง รู้ความถูกต้องไม่ได้

      จึงเรียกว่า คนโง่ หรืออวิชชา เขาจึงด่าว่า ศาลยุติธรรม เพราะไม่เข้าใจหรือไม่มีปัญญารู้ว่า คนเป็นกลาง ต้องมีปัญญา มีวิชชา เข้าข้างคนดี คนถูกเสมอ

       นี่คือลักษณะของอวิชชา โง่ ไม่เข้าใจ ทำให้สังคมเดือดร้อน นี่ไม่ได้ว่ากล่าวไส่ไคร้ แต่พูดด้วยเมตตาอยากให้เขาหยุด เป็นอกุศลกรรม ทำแล้วสั่งสมเป็นวิบาก คุณทำมันแล้ว ทั้่งที่พูดออกมาแล้วก็กลับลำอีกว่าไม่ได้พูดอย่างน้ัน แถ_ลง อีก พวกเราต้องอดทน เราต้องเอาชนะด้วยความดี ความสงบ ถูกต้อง

       อาตมาฟัง คุณนกแสก ออกมาร่าย ยุทธศาสตร์ 5 ประการ

       ประชาชนต้องประกอบด้วยมวลชนเสื่อแดง และมวลชนทั่วไปมาเป็นพวกให้ได้ เรียกว่ายุทธศาสตร์ 2 ขา

       ยุทธศาสตร์สร้างที่มั่นทางการเมืองให้ได้ เรียกว่า 5 เขตยุทธศาสตร์ แล้วก็สาธยายต่อว่า มี 4 ประเด็นที่ต้องจัดการคือ

        1.การนำมวลชนจารีตนิยมของกปปส.

      2.องค์กรอิสระ

      3.กระบวนการยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม

      4.การรัฐประหารโดยกองทัพ

       นี่คือ 4ประเด็นที่ต้องจัดการ เขาว่ามวลชนกปปส.คือพวกศักดินา ไม่เสมอภาค ส่วนองค์กรอิสระเป็นภัยต่อเขาไม่เข้าข้างเขา และก็ว่าความยุติธรรมไม่ยุติธรรม และเขาก็ไม่อยากให้เกิดรัฐประหาร แต่ถ้าจะเกิดก็เพราะเขาทำให้เกิด เพราะมีความวุ่นวายเกิด และจะลั่นกลองรบ แยกประเทศนะ คือเขาสับสน ประสาทหรือเปล่า

       เขาก็ต้องทำลายสุเทพกับแนวร่วม และเปิดโปงองค์กรอิสระให้ปฏิรูป และปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และชูกองทัพให้ก้าวหน้า เขาคิดใหญ่มากเลย คงใหญ่ไปเรื่อยๆ เป็นอึ่งอ่างพองลมไปจนซักวันหนึ่งก็ท้องแตกตาย

       อ.ไชยวัฒน์​ ว่า...การจะเกิดสัมมาทิฏฐิต้องฟังอย่างอื่นที่ไม่เคยชินให้ได้ ฟังแล้วจะเกิดปฏิกิริยาในใจ เมื่อจับมันได้เป็นกิเลส ก็ดัดมัน ทำให้มันอ่อนแรง ทำโยนิโสมนสิการเข้าสัมมาทิฏฐิ

       สิทธิเสรีภาพนั้นมวลมหาประชาชนต่อสู้อย่างเสรีชน ถ้ามีกม.กำกับเสรีชนอย่างเดียวนั้นไม่ใช้ เพราะมิติจิตวิญญาณและการเปิดของสื่อสารน้ันวัฒนธรรมต้องแข็งแรง หากวัฒนธรรมอ่อนแอก็จะเกิดปั่นป่วนได้

       ประเด็นความห่วงหาอาทร และอยากจะไปสู่ วาทะแห่งความเกลียดชัง HATE speech

       ฝ่ายผู้สูญเสียก็จะเกิดความห่วงหาอาทรอย่างย่ิง แต่ก็ได้มีผู้ที่เทกำลังใจให้ค่อยผ่อนคลาย แต่คนที่ตายไปแล้ว คนมีความผูกพันกัน เด็กสองคนที่ตายไปแล้วเขาจะแก้ความผูกพันได้ไหม หรือรอเข้าฝัน เอาไว้โอกาสหน้าค่อยมาถามต่อ..จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:55:01 )

570303

รายละเอียด

570303_พ่อครูและอ.กฤษฎาเรื่อง อำนาจในการปกครองประเทศ

            .กฤษฎาว่า...ประเด็นสำคัญในบ้านเมืองตอนนี้ มีกระบวนการที่มาช่วยปกป้องบ้านเมืองร่วมกับมวลมหาประชาชน ที่ได้ต่อสู้กับคนโง่และหน้าด้าน วันที่ผ่านมาพ่อครูได้พูดถึงกติกาในการปกครองบ้านเมือง โดยเฉพาะม. 69  ที่พ่อครูมีความลึกซึ้งในการตีความมาตรานี้

 

            พ่อครูว่า...วันนี้จะต้องพูดถึงม.69 อาจจะซ้ำ แต่ว่าเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเราเป็นชาวไทย ต้องอยู่ภายใต้รธน.นี้ ซึ่งม.69 นี้ได้ข่าวว่าอ.บวรศักดิ์ ได้นำไปใส่ไว้ในรธน.นี้ ดูแล้วเป็นบทบัญญัติที่ลึกซึ้งซับซ้อน ในเรื่องประชาธิปไตย มีความเป็นอิสรเสรีภาพ เสมอภาค ซึ่งคำความไม่ยาวนัก แต่กินความหมายของมวลมนุษยชาติไว้เยอะเลย อาตมาสัมผัสตามภูมินะ

            เหตุการณ์ที่เกิดในขณะนี้ นี่แหละเป็นตัวแท้ มีปรากฎการณ์ที่เป็นพฤติกรรมของชาวไทยเลย มันเป็นไปไม่ได้ง่ายๆนะ อาตมาพยายามหาเหตุผล ความหมายต่างๆ

           

                   กติกาประชาธิปไตย

 

              อำนาจในการปกครองประเทศ          

         

          บทบัญญัติ รัฐธรรมนูญ มาตรา 69  มีว่า

          "บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี

          ซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ

          โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้"

 

          เราต้องพิจารณาดูว่า อำนาจที่ได้มา โดย"การกระทำของบุคคลหรือของกลุ่มหมู่บุคคล"ใด ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศนั้น ว่า ถูกต้องตามนิติรัฐ และหรือดีงามตามนิติธรรม ดีพร้อมด้วยคุณธรรมจริยธรรม ถูกสัจธรรม  

          ซึ่งจะมีได้ทั้งที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

          หรือมิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

          ว่า "การกระทำของบุคคลหรือของกลุ่มหมู่บุคคล"นั้น ที่จะต้องยกให้เป็นผู้ได้อำนาจในการปกครองปกครองประเทศไป

          การพิจารณา ก็พิจารณาและตัดสินได้จากประเด็นต่างๆ ดังนี้

          (1) อำนาจฯที่ได้มาตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

          (2) อำนาจฯที่ได้มาไม่ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

          (3) อำนาจฯที่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

และเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

          (4) อำนาจฯที่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

แต่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

          (5) อำนาจฯที่ไม่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

แต่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

          (6) อำนาจฯที่ไม่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ และไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

          (7) อำนาจที่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ แต่ไม่เป็นไปตามสัจธรรม ไม่มีคุณธรรม ไม่ดีงาม ไม่สงบ ใช้อาวุธ รุนแรง ไม่สันติวิธี

          (8) อำนาจที่ไม่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ แต่เป็นไปตามสัจธรรม มีคุณธรรม ดีงาม สงบ ไม่ใช้อาวุธ ไม่รุนแรง สันติวิธี

          (9) อำนาจที่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ และเป็นไปตามสัจธรรม มีคุณธรรม ดีงาม สงบ ไม่ใช้อาวุธ ไม่รุนแรง สันติวิธี

          (10) อำนาจที่ได้มาตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้แล้ว เป็นผู้กระทำไม่เที่ยงตรง กระทำขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ กระทำผิดรัฐธรรมนูญนี้ ผิดจริยธรรม กบฏ จึงไม่สมควรมีอำนาจแล้ว

          (11) อำนาจที่ได้มาไม่ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ และ เป็นผู้กระทำไม่เที่ยงตรง กระทำขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ กระทำผิดรัฐธรรมนูญนี้ ผิดจริยธรรม กบฏ จึงไม่สมควรมีอำนาจเลย

          (12อำนาจที่ได้มาโดยไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ แต่ เป็นผู้กระทำที่เที่ยงตรง กระทำไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ เป็นแต่เพียงรัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้บัญญัติไว้ ไม่ผิดจริยธรรม ไม่กบฏ จึงสมควรมีอำนาจ

          (13) ผู้นั้นหรือกลุ่มบุคคลนั้นควรเป็นผู้มีสิทธิในอำนาจ การปกครองประเทศได้แล้วเพราะถูกต้อง ดีงามบริบูรณ์สัมบูรณ์

 

          การได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารประเทศ ของไทยเป็นประชาธิปไตยสองขา คือมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

           อำนาจประชาชนปฏิวัติโดยชอบธรรม

          เรามาแยก คำความดูชัดๆ ว่า มาตรา 69 นี้มีว่าอย่างไร

          1) ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่รัฐธรรมนูญนี้

          2) บังคับแกกรณีใด

          3) ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไป

          4) ตามประเพณีการปกครอง

          5) ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

          ทีนี้ ใน มาตรา 2 ก็มีชัดๆว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

          ซึ่งหมายความตาม มาตรา 3 ที่ทั้งแปลคำว่า "ประชาธิปไตย"ไว้ชัดเจนว่า

          อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้น(ซึ่งเป็น"อธิปไตยที่เป็นของประชาชนชาวไทย") ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

การได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารประเทศนั้น ของไทยมี 5 แบบ

          1. อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

          2. อำนาจรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้ง

          3. อำนาจคณะรัฐประหารที่ได้มาจากการเลือกตั้ง

          4. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติอย่างไม่สงบ มีอาวุธ รุนแรง

          5. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติอย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง

         

          อำนาจที่จะวินิจฉัย กรณีใด ไปตามประเพณีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประชาชนจึงต้องช่วยกันทำอย่างยุติธรรม ที่สุด ดีงามที่สุดเสียก่อน แล้วจึงนำขึ้นกราบถวายบังคมทูล จะได้ไม่ระคายพระยุคลบาท

          เพราะอำนาจของประชาชน ทุกคนย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ตามบทบัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญนี้ มาตรา69 และมาตราอื่นๆอีกมาก ที่สนับสนุน สอดคล้อง สมคล้อย ที่ต้องวินิจฉัย แล้วตัดสินกันให้สัมบูรณ์

          ดังนั้น ในปรากฏการณ์ของประเทศไทยที่กำลังเกิด และดำเนินอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ มีส่ิงที่ต้องวินิจฉัย ในกรณี อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติ อย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรงตามธรรมเนียมที่ได้กระทำกันมา ว่า จะเป็น อำนาจประชาชนปฏิวัติโดยชอบธรรมหรือไม่

 

          จากมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญฯ 2550 มีว่า

 

          1.ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

          2.บังคับแก่กรณีใด

          3.ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตาม

          4.ประเพณีการปกครอง

          5.ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

         

          มาตรา 2  ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

          ซึ่งหมายความตาม มาตรา3 ที่ทั้งแปลคำว่า ประชาธิปไตยไว้ชัดเจนว่า

          อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจ ซึ่งเป็น อธิปไตยที่เป็นของประชาชนชาวไทยนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้

          และวรรค 2 ของมาตรา3 ก็กำกับบัญญัติ ไว้ชัดเจนว่า การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

          นั่นคือ 3 สถาบันหรืออื่นๆตามระบุไว้นั้น คือผู้มีหน้าที่ทำงาน ตามหลักนิติ ให้เป็นธรรม

          มีหน้าที่ทำได้ตาม หลักนิติ หรือ กฎหมาย กำหนดไว้ ถ้าไม่ทำก็ผิด ทำเกินก็ผิด ทำไม่เป็นธรรม ไม่ชอบธรรมนั่นเอง ก็ผิด

          สรุปชัดๆ คือ ผู้อาสาเข้าไปทำหน้าที่โดยรับจ้างมีรายได้ รับรายได้ตอบแทนบ้าง ไม่ได้รับบ้าง

          แต่คือผู้สมัครใจทำงานนี้ เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง เพื่อประชาชนแท้ๆ เรียกว่า งานการเมือง

          ถ้างานการเมือง ก็ต้องเพื่อผู้อื่น เพื่อประชาชน ไม่ใช่งานเพื่อตัวเอง หรือเพื่อครอบครัว เพื่อพรรคพวกแน่ๆ

          ยิ่ง ผู้ใดทำงานเพื่อผู้อื่น เพื่อประชาชน ด้วยใจจริง สมัครใจเอง ไม่รับค่าตอบแทนเลย นั่นแหละคือ นักการเมืองแท้ๆตรงๆ

          มาตรา 4

          1.ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

          2.สิทธิ

          3.เสรีภาพ

          4.และความเสมอภาคของบุคคล

          5.ย่อมได้รับการคุ้มครอง

          เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ตาม มาตรา 7

          เช่น บทบัญญัติ ว่า ให้ ประชาชนปฏิวัติก็ดี ยึดอำนาจจากรัฐบาล ก็ดี หรือ

          การกระทำใดๆที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครอง โดยวิธีการซึ่งมิได้ เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

          บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ตามบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 69        

          ส่วนวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

          บุคคลจะใช้สิทธิ์ และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นั่นต่างหากทำไม่ได้

          มาตรา 68 บัญญัติไว้ว่า จะทำมิไม่ได้

          แต่มาตรา 69 บัญญัติไว้ชัดว่า ทำได้ ถ้าทำโดย สันติวิธี ย่อมมีสิทธิ์ ทุกบุคคล

          ยิ่งเมื่อสิทธิ ของมวลมหาประชาชน ร่วมกันเป็นส่วนรวม นั่นแหละคือพลังของอธิปไตย แท้ๆ ที่ชนชาวไทย จะต้องทำหน้าที่ตามมาตรา 70 ที่ว่า บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข      

          มาตรา 71 ยิ่งเป็นหน้าที่ของชนชาวไทยกันทีเดียว ที่จะต้องช่วยกันทำหน้าที่ คือ บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย

          มาตรา 63 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ

          โดยสงบ ก็คือ วิธีการที่ไม่รุนแรง หรือสันติวิธี ตามบทบัญญัติ ที่มีในรัฐธรรมนูญนี้ การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง(ของมาตรา 63)จะกระทำมิได้

          แต่ก็มียกเว้น ในกรณีการชุมนุมสาธารณะ นั้น ทำได้ เพราะยกเว้น เป็นต้น

          ซึ่งก็มีข้อยกเว้นอื่นอีก เช่น

          เพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ก็ทำได้

          หรือ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม ก็ทำได้

          หรือในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม ก็ทำได้

          หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศในกฎอัยการศึก ก็ทำได้

          ซึ่งมาตรา  62 นั้น บุคคล ย่อมมีสิทธิ์ติดตามและร้องขอให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ

          และบุคคล ซึ่งให้ข้อมูล โดยสุจริต แก่องค์กรตรวจสอบ การใช้อำนาจรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมได้รับการคุ้มครอง

          โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 58 บัญญัติ ไว้ถึงสิทธิของบุคคลชัดๆว่า บุคคลย่อมมีสิทธิ์ มีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการปฏิบัติ ราชการทางปกครองอันมีผล หรืออาจมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของตน และมาตรา 59 รัฐธรรมนูญให้สิทธิแก่บุคคล ย่อมีสิทธิเสนอเรื่งอราวร้องทุกข์ และได้รับแจ้งผล การพิจารณาภายในเวลาอันรวดเร็ว อีกด้วย

          แถมมาตรา 60-61-62 ก็ยิ่งให้สิทธิ์แก่บุคคล อย่างบริบูรณ์ ที่จะฟ้ององค์กร ทุกองค์กรที่เป็นของรัฐตามนิตินัย

          ที่จะพิทักษ์รักษาสิทธิ์

          ที่จะได้รับการคุ้มครอง

          ดังนั้น เมื่อไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ตาม มาตรา 7

          ก็ให้ วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

          เช่น ไม่มีบทบัญญัติ ว่า ให้ประชาชนปฏิวัติหรือ ยึดอำนาจรัฐ

          แต่ อำนาจประท้วง ต่อต้าน เปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูป ให้มีคณะบริหาร และคณะสภาใหม่ นั้น มีในรัฐธรรมนูญนี้

          ซึ่งประเพณี การปกครอง ขนบธรรมเนียม ที่เคยเกิดเคยทำมาแล้ว ก็เคยมีประเพณีการปฏิวัติด้วยอำนาจที่ต้องใช้คำว่า อำนาจที่เป็น Force ของคณะทหาร เป็นต้น หรือเมืองไทยเคยมี คณะราษฏร์ ที่ฝรั่งเรียกว่า coup d' Etatหรือรัฐประหาร ก็เคยมี  คณะผสมผสานกันก็เคยมากมายหลายครั้ง ที่ปฏิวัติยึดอำนาจ เปลี่ยนอำนาจ กันมาเป็นประเพณี ซึ่งได้ใช้ สิทธิอันไม่ชอบธรรมแท้ๆด้วย ที่จริงนั้น ละเมิดสิทธิอันชอบธรรม ไม่ใช่ได้สิทธิ

          ทั้งๆที่ การยึดอำนาจ เพื่อเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูป คณะบริหารและคณะรัฐสภาใหม่ ที่เคยยึดอำนาจ มาด้วยอำนาจ Force อันเป็นอำนาจรุนแรง บังคับข่มขี่ นั้น ผิดกฎหมาย

          ไม่มีสิทธิจะทำ

          แต่คณะที่ปฏิวัติด้วยอำนาจ บังคับข่มขี่ซึ่งผิดกฎหมาย และไม่มีบทบัญญัติอนุญาตให้ยึดอำนาจ หรือขออำนาจจากคณะรัฐบาลเลย แต่ก็ทำกันได้และยอมรับกันมาแล้ว เป็นตัวอย่าง เป็นขนบประเพณีที่จำยอม เคยยอมกันมาแล้ว ใช้ สิทธิอันไม่ชอบธรรม นั้นมาหลายครั้งได้ เป็นประเพณี

          ประเพณี แปลตาม พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถานว่า สิ่งที่นิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบๆกันมาจนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม หรือ จารีตประเพณี

          ซึ่งไม่น่านิยม แต่ก็กลายเป็นนิยมไปแล้ว คือ มันเป็นการ ประพฤติมันเป็นการกระทำที่รับรู้ทั่วกันแล้ว แน่นอน หรือยอมรับนับถือ ถึงขั้นชื่นชมยินดี ในบางครั้ง บางเรื่องไปแล้วด้วย

          เป็นแบบ เป็นอย่าง ขึ้นมาในโลกแล้ว นั่นเอง

 

          ทีนี้ การประพฤติของมวลมหาประชาชน คราครั้งนี้ ในพ..นี้ ประชาชนเอง ที่รวมตัวกันเป็น หมู่มวลมหาประชาชน ออกมา ยึดอำนาจ”  ขอเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาล คณะรัฐสภา ใหม่บ้าง

          อย่างถูกกฎหมาย ไม่ผิดกฎหมาย

          เพราะมวลมหาประชาชน ขอยึดด้วย อำนาจอันชอบธรรม ด้วยอำนาจ Authority ซึ่งเป็น Sovereign power ซึ่งเป็น Supreme แล้วเพราะเป็นสุดยอดแห่งรัฐาธิปัตย์ ตาม มาตรา 2 และมาตรา 3 แท้ๆที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

          มวลมหาประชาชน รวมตัวกันออกมาแสดงความประสงค์เปิดเผย ซื่อตรง ไม่มีอะไรซ่อนเร้น อะไรผิด อะไรถูก ก็แฉกันตรงๆ ขอเปลี่ยนแปลง ให้คณะเก่าออกไป จะปฏิรูปกันใหม่ โดยใช้สิทธิ อันมีอยู่แท้ของมวลประชาชน และไม่ผิดกฎหมาย เลยด้วย

          แสดงปริมาณ ก็มีมากมายทำลายสถิติ ที่เคยมีมาในประเทศด้วย

          แสดงเชิงคุณธรรม ก็มีคุณภาพที่สงบ สันติ ถูกธรรม ยืนยันฝ่ายผิด และยืนยันฝ่ายถูกชัดเจน ว่า ประชาชนมีส่วนถูก รัฐบาลมีส่วนผิดมากพอจริง     

          สมบูรณ์ได้คะแนนป่านนี้แล้ว

          ทำไมจะไม่มีสิทธิ ? เสมอภาคเท่า คณะปฏิวัติ ด้วยอำนาจ บังคับข่มขี่ ด้วยอาวุธ ยุทธภัณฑ์

          ที่อำนาจบาตรใหญ่ ที่ทำผิด ของคณะปฏิวัติ Force อันเป็นอำนาจรุนแรง coup d' Etatรัฐประหาร กดขี่บังคับนั้น ไม่ชอบธรรม เท่าอำนาจ ของมวลมหาประชาชนที่ทำกันในครั้งนี้

          พลังอำนาจทั้งทางปริมาณ และคุณภาพคุณธรรม ของมวลมหาประชาชนในคราครั้งนี้ ดีกว่า ถูกต้องกว่า ตามสากลกว่า อำนาจกดขี่ บังคับ ที่เคยทำกันมาก ซึ่งปฏิวัติด้วยอำนาจ Authority ที่ Supreme เป็นSovereign right power

          ทำไมไม่ให้ สิทธิ

          ทำไมสิทธิ”? แท้ๆของประชาชนที่มีเต็มๆ และแม้ในรัฐธรรมนูญก็ถูกต้อง ตามนิติธรรมด้วย จึงถูกห้าม ถูกต้านกั้น ไม่ให้ทำได้บ้าง

          เป็นความไม่เสมอภาค ใช่มั้ย?

          ไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างย่ิงกว่า คณะ Force คณะ coup d' Etatรัฐประหาร ที่ใช้อำนาจผิดๆ ดังที่เคยทำกันมา? ใช่มั้ย?

          ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ของมวลมหาประชาชน และความเสมอภาค ทำไมไม่ได้รับการคุ้มครอง ตามมาตรา 4

          ในเมื่อไม่มี บทบัญญัติแห่งการปฏิวัติเหมือนกัน แต่อำนาจขอบคณะปฏิวัติที่ใช้อาวุธไม่สงบ ที่ผิดกฎหมาย กลับต้องจำยอมให้มี สิทธิทำได้มาแล้ว ไม่รู้กี่ครั้ง จนเป็นประเพณี ที่ไม่่น่านิยม ก็มีบ้างในบางครั้ง ที่เป็นที่น่านิยม ของมวลประชาชน

          ส่วนอำนาจของคณะปฏิวัติที่ไม่ใช้อาวุธ สงบ ไม่ผิดกฎหมาย มีสิทธิทำได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63-64-65 และมาตรา 70

          สร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนตาม มาตรา 65 ย่อมมีเสรีภาพทำได้

          การกำจัดเสรีภาพจะกระทำมิได้ตาม มาตรา  64

          แม้ มาตรา  66-67 ก็ย่อมมีความหมายสมคล้อย ที่สิทธิเสรีภาพ ของมวลมหาประชาชนที่รวมกันชุมนุม รักษาผลประโยชน์ของประเทศ

          แม้แต่ มาตรา 68 สิทธิ และเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ ก็เป็นวิธีการ ที่เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

          โดยเฉพาะ มาตรา 69 บุคคลย่อมมีสิทธิ ต่อต้าน โดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทส โดยวิธีการซึ่ง มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

          นั่นคือ การปฏิวัติโดยประชาชนซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นไปหรือมี วิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดย วิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

          บุคคลย่อม มีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี

          นี่คือ เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญนี้ตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม

          บัญญัติไว้ใน มาตรา 69 ชัดๆ ยืนยันอยู่โต้งๆ โทนโท่ เห็นไหม?

          แถม มาตรา  70-71 เป็นหน้าที่ของชนชาวไทย อีกด้วย

          เห็นไหมว่า เป็นหน้าที่ของชนชาวไทย ตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญนี้

          ประชาชนชาวไทย จึงออกมาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ออกมาใช้สิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี

          ในเมื่อ ไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด

          ก็หมายความว่า มิได้ เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

          รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติวิถีทาง ว่า ปฏิวัติ ยึดอำนาจ ต้องทำอย่างนี้ ต้องปฏิบัติตามทางนี้ ตามวิถีนี้ นั่นคือ บัญญัติ ไ่ม่มีชัดเจนในรัฐธรรมนูญนี้

          ดังนั้นจึงเท่ากับ บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ไม่มี

          การบังคับในกรณีนี้ จึงไม่มี

          เมื่อไม่มี ก็ให้วินิจฉัยกรณีของ กปปส. ที่ประพฤติ กระทำอยู่นี้ ให้เป็นไปตามประเพณีการปกครอง

          ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

          ทีนี้ ประเพณี ซึ่งหมายถึง สิ่งที่นิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบๆกันมาจนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม หรือจารีตประเพณี

          อันไม่น่านิยม คือ  การยึดอำนาจ ด้วยอำนาจ Force หรืออำนาจของคณะปฏิวัติ คณะรัฐประหาร coup d' Etatที่ได้ทำกันมา จนเกิดธรรมเนียม การเปลี่ยนแปลง คณะบริหารกันมาแล้วตลอดมา

          ไม่ถูกกฎหมาย ด้วยซ้ำ แต่ประเทศไทยก็ยอม ต่อ อธิปไตยหรืออำนาจที่ไม่ชอบธรรมนั้น

          วันนี้ ขณะนี้ ประชาชนรวมตัวกันเป็นพลังประชาธิปไตย ออกมาปฏิวัติตามกฎหมาย ชอบธรรมด้วย จึงควรเป็น ขนบที่ดีงาม

          ตาม มาตรา 69 ทั้ง 2 นัย

          คือ นัยที่ 1 ถ้า...การกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดย...

          มีผู้ใช้ วิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

          บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี นี่เป็นนัยที่ 1 ตาม มาตรา 69  เราก็ทำอยู่แล้ว

          ทีนี้ นัยที่ 2 นี่แหละที่ลึกซึ้งซับซ้อนหน่อย

          กล่าวคือ ตามนัยที่ 1 นั้น คณะรัฐบาลปัจจุบันนี้ ก็ทำผิดแล้ว มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญนี้ แล้ว มวลมหาประชาชนก็ออกมาต่อต้านด้วยสันติวิธีอยู่แล้ว....นัยนี้ก็ถูกต้อง ชอบธรรมแล้ว ตามรัฐธรรมนูญนี้

          ส่วนประเด็นที่ว่า การกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ นั้น เรากำลังปฏิวัติ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจจริง

          พวกเราชาวคณะ กปปส.กับมวลมหาประชาชน กำลังต่อต้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ปฏิวัติของเราชาวมวลมหาประชาชน มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ แต่เรา ประชาชนปฏิวัติเองโดยรัฐธรรมนูญ ไม่ได้บัญญัติวิถีทางไว้ ซึ่ง เป็นการต่อต้านโดยสันติวิธี

          เราก็จะจัดการให้เกิดระบบการปกครองใหม่ขึ้นมาให้ดี อย่างบริสุทธิ์ ที่สุด ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ จนกว่าจะได้คณะปกครองบริหารหรือ สภานิติบัญญัติ ที่ดีเรียบร้อย แล้วคณะเราประชาชนที่จัดการนี้ก็จะหยุด...วางมือทันที

          แล้วให้คณะบริหาร คณะนิติบัญญัติและคณะตุลาการ ที่เป็นคณะใหม่อันได้ปฏิรูปเรียบร้อยแล้วให้ทำงานอย่างสัมบูรณ์

          เพราะคณะสภาประชาชนที่ก่อการอยู่นี้ เหมือนคณะก่อการตั้งบริษัทจำกัด เมื่อตั้งบริษัทเสร็จ มีคณะกรรมการถาวร มีคณะทำงานสมบูรณ์เรียบร้อย คณะก่อการก็สลายเลิกล้มไป

          ขณะนี้คล้ายๆกับเรากำลัง ร่าง บริคณห์สนธิ ในการก่อตั้งบริษัท เมื่อได้สภาประชาชน เราก็ได้ คณะกรรมการก่อการ เมื่อคณะก่อการจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เลือกตั้งกรรมการถาวร มีคณะกรรมการทำการบริษัทอันสมบูรณ์ ก็มอบหมายให้คณะบริหารถาวร คือคณะรัฐบาลใหม่ต่อไป คณะกรรมการก่อการก็วางมือจบ

          ฉันใดก็ฉันนั้น

          เรื่องใหม่มากคือ คณะ กปปส. นี้เป็นสภาประชาชน ที่ยังไม่เคยเกิดมาก่อน จึงยังไม่เคยมีประเพณีที่ยึดอำนาจด้วยมือเปล่า ด้วยความสงบสันติวิธี แบบนี้เป็น ขนบธรรมเนียม ประเพณีให้เป็น

          แต่คราวนี้ ครั้งนี้แหละ กำลังจะมีเป็นครั้งแรกที่ทำได้ ปฏิบัติได้ อย่างวิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ขนาดนี้ เห็นแล้ว ปรากฏแล้ว

          ซึ่งมหัศจรรย์ที่สุด จนคนไม่เชื่อว่าจะจริง จะบริสุทธิ์จริง จะทำได้จริง

          ทั้งๆที่ คณะกปปส.นี้ ได้ต่อต้าน ต่อสู้มาอย่างอุตสาหะเรียบร้อยเป็นไปได้ ใช้เวลานานมาถึงครึ่งปีกว่า คือกว่า 200 กว่าวันแล้ว เรียบร้อยมาตลอดชอบธรรมมาตลอด

          ส่วนที่เกิดความเสียหาย ล้มตายบาดเจ็บนั้น มันไม่ใช่เกิดจากเรา กปปส. แต่เกิดจากฝ่ายรัฐบาล และผู้ช่วยรัฐบาล หรือผู้ไม่ใช่ฝ่าย กปปส. แท้ๆตรงๆ เป็นผู้ทำให้เกิดความเสียหาย เหล่านั้น

          ดังนั้น กปปส. จึงเป็นคณะประชาชนที่ประพฤติต่อต้านโดยสันติวิธี ที่มี วิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตาม วิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ นั่นคือทำการยึดอำนาจ มาจัดการเองที่ไม่เหมือนคณะทหารใช้อาวุธปฏิวัติ ซึ่งทหารปฏิวัตินั้นไม่ชอบธรรม แต่คณะกปปส. ปฏิวัติโดยชอบธรรม ส่วนคณะทหารที่ใช้อาวุธปฏิวัตินั้นผิดอำนาจอธิปไตย ผิดกฎหมาย เป็นกบฎ

          หากใครจะมองไปเป็นว่า คณะ กปปส. ปฏิวัติเพราะใช้ อำนาจยึด...ก็ถูกต้อง เพราะไม่ผิดกฎหมาย ไม่เหมือน คณะปฏิวัติที่ใช้อาวุธ ใช้อำนาจ Force หรืออำนาจ coup d' Etat(คู เดทา)รัฐประหาร ที่ไม่สันติวิธี

          คณะ กปปส. ใช้ อำนาจที่ชอบธรรมจึง วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ เพราะใช้ อำนาจยึดอย่าง ถูกต้อง สวยงาม ดีจริง เป็น Authority ที่ Sovereign right power =  supreme ยิ่งแล้ว

          จึงควร จะเกิดเป็น ขนบประเพณี อันสวยงาม แม้จะเป็นครั้งแรก ก็ควร จะเกิดขึ้น ใช่มั้ย?

          เพราะเป็นการแสดงออก ซึ่ง อำนาจที่เป็น อธิปไตยของชนชาวไทยตรงตาม มาตรา  3 +มาตราอื่นๆอีกมาก และ มาตรา 69 อย่างลึกซึ้ง ด้วยประการฉะนี้

          จึงใช้มาตรา 7 ได้อย่างเต็มที่ โดยมีมาตราอื่นๆประกอบสมบูรณ์ เช่น ม.4-6 ก็ต้องใช้ / มาตรา 26-40 ก็ต้องใช้ / มาตรา 63-74 ก็ต้องใช้ เป็นต้น

          จึงควรเป็น ประเพณีอัน วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์  อย่างไม่เคยมีมาก่อน แม้ครั้งแรกนี้จะบกพร่องบ้าง ไม่สวยสดงดงาม สะอาดบริสุทธิ์ กว่านี้

          ก็หวังว่า จะเป็นการเร่ิมต้น เกิด อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทยตาม มาตรา 3 ที่จะเกิด ประเพณีการปกครองที่เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สืบไป

          ที่ไม่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเลย

          คณะ กปปส. ซึ่งเป็นประชาชนคณะแรกที่เป็นกลุ่มชนได้ใช้ อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนเพื่อประชาชน โดยประชาชนจริงๆ

          แม้ไม่มีในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ แต่พฤติปฏิบัติก็ชอบธรรม และสารสัจจะแสนรู้ยาก ทำได้ยาก

          แม้ว่าจะไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เป็นคำความภาษาระบุตรงๆ ประชาชนในประเทศก็ได้ช่วยกันวินิจฉัย

          ทั้งตาม ประเพณีที่เคยมีมาก่อนอันยังไม่ถูกต้องนักในการปฏิวัติ หรืออำนาจ coup d' Etatรัฐประหาร อันรุนแรงไม่ใช่สันติวิธี เพราะยังเป็นอำนาจ Force

          กระทั่งที่สุด ประชาชนได้ปฏิวัติ อย่างถูกต้องชอบธรรมจริงๆ เป็นอำนาจ Authority ชนิดสันติวิธี ที่ไม่เคยทำได้มาก่อน 

          ถ้าทำสำเร็จ ได้ครานี้ ก็เป็นความมหัศจรรย์ อัน วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์  แท้แน่แล

         

          สรุปเอาเนื้อหา มาตรา 69 นี้ ก็คือ

- คณะ กปปส. ย่อมมีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี และทำได้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญนี้ ยิ่งกว่า คณะอื่นๆที่เคยมีขนบทำการต่อต้านที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ หรือ ยึดอำนาจในการปกครองประเทศ

-ส่วนคณะรัฐบาล และคณะนิติบัญญัติหรือรัฐสภา นั้น โมฆะ ไปแล้ว ตาม มาตรา 68 เป็นต้น และมาตราอื่นต่างกรรมต่างวาระ

จึงไม่ชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจ ในการปกครองประเทศต่อไปอีกแล้ว

            เพราะฉะนั้น สิทธิของมวลมหาชนที่รวมตัวกันเป็นคณะ กปปส. ต่อต้านโดยสันติวิธี จึงเป็นการกระทำ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ

            ที่ชอบธรรมที่สุด กว่า การกระทำใดๆ ของคณะใดๆ

 แม้คณะรัฐบาลและคณะรัฐสภาจะมาด้วยการเลือกตั้ง ตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้แต่ก็ โมฆะแล้ว เพราะได้ทำความไม่ชอบธรรมมามากเกินไปแล้ว   

          ส่วนคณะมวลมหาประชาชน กปปส. คือผู้ดำเนินการกระทำ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครอง(ใหม่) โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

          แต่ก็ต่อต้านด้วยสันติวิธี อันเป็น Supreme ที่สุดกว่าคณะใด

          เป็น Supreme right power สูงสุดกว่าคณะใดๆ แล้ว

          เท่าที่มีการกระทำอันเป็นขนบประเพณีที่เคยมีมา

          จึงเป็นคณะผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ตาม มาตรา 3 ย่อมมีสิทธิต่อต้าน โดยชอบธรรม ตามมาตรา 69 เพราะกระทำถูกต้องตาม มาตรา 63 มาตรา 70

          ที่มีวิธีการอัน สันติ อหิงสา ได้ดีที่สุด กว่าที่เคยมีการกระทำของคณะใดๆ เป็นปฐมฤกษ์ อันเป็นวิถีทางที่จะเป็นขนบประเพณีในการปฏิบัติ

          แม้ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

          เช่นบัญญัติให้ประชาชนปฏิวัติได้ เป็นต้น คณะกปปส. ก็ได้กระทำดีที่สุดชอบธรรมที่สุดแล้ว

          เท่าที่ได้อุตสาหะพยายามกระทำมาถึงวินาทีนี้

          ซึ่งเป็นการกระทำของมวลมหาประชาชนคนไทย ที่ วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ยิ่งแล้วเท่าที่เคยมีมา

          จงพากันภาคภูมิใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยถ้วนหน้าเทอญ.

 

 

แล้วจะจบอย่างไร จะสำเร็จได้ก็คือ

1.ประชาชนออกมามากพอ แม้นายกฯไม่ออก แต่ข้าราชการ ออกมารวมกับเรา ทั้งทหารตำรวจด้วย ก็จบแน่นอน ซึ่งก็นึกกันได้แต่ยังไม่เคยมี ออกมาเฉยๆ ไม่รับใช้คุณ คุณโมฆะแล้ว ดิ้นเป็นอึ่งอ่างพองลมแล้ว กิเลสดิ้นสุดฤทธิ์เลย

2.เขาลาออก หรือเขาจำนน ยอมให้เกิดสุญญากาศ ยกอำนาจให้กปปส.​ ซึ่งถ้าเขาทำก็จะเท่นะ เหมือนศาลที่บอกว่าถ้าจำเลยสารภาพก็ลดหย่อนโทษ เป็นทางออกที่ดีมากเลย

3.ไม่บ้าก็ฆ่าตัวตาย

 

          ประเด็นที่อาตมาว่าจะเป็นไปได้มากก็คือ ประชาชนออกมาร่วมมือกันให้มากนี่แหละ ตอนนี้ก็มีมาเริ่มมาหลายหน่วยงานแล้ว ซึ่งลาภยศสรรเสริญเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้พระอรหันต์

          พระพุทธเจ้าท่านเองสรรเสริญคนที่รู้ผิดตนเองแล้วแก้กลับทำคืน อันนั้นเป็นความเจริญ ดีที่สุด ส่วนลาภ สักการะ สรรเสริญ พวกนี้เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้พระอรหันต์ คือ มันไม่แสบเผ็ดกับใจอรหันต์ แต่เป็นความแสบเผ็ดทางภายนอก อรหันต์ก็มีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ อรหันต์ของพุทธไม่หนีสังคม ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าหรือพระโมคคัลลานะ ก็ถูกฆ่าตายในสนามรบ เพื่อสร้างศาสนา ฉันเดียวกับประเทศ พระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์เอาเลือดเนื้อสร้างประเทศทั้งนั้นเลย

           มาเข้าเรื่อง รูป 24

          รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ กระทำในขณะลืมตา เป็นจิตที่มีญาณปัญญารู้ทุกอย่าง เมื่อสัมผัสข้างนอก ก็จะเกิดความรู้ใน กายวิญญัติ คำว่ากายนี้ ในสัตตาวาส 9 คือความเป็นสัตว์ที่มีองค์ประชุมรวมกัน คุณต้องอ่านกายเป็น

          หทยรูปนั้นไม่ใช่หมายถึงหัวใจที่กายภาพ เป็นห้องๆสี่ห้อง แต่ที่อาตมามีสภาวะนั้น จิตนั้นไม่มีที่อยู่ให้จับต้องได้ด้วยกาย แต่อยู่ทีเหตุปัจจัย ที่เกิดขึ้น แล้วมีชีวิตรูป คือที่มีชีวิตอยู่ ถ้ายังเหลือความเป็นสัตว์ก็มีสุขทุกข์อยู่ แต่ถ้าไปปฏิบัติผิด ก็เป็นอสัญญีสัตว์ ซึ่งดับแบบไม่มีฝันเลย เหนือกว่า วิสัญญีแพทย์ที่ดับเหมือนกัน แต่มีฝันอยู่ใช้กับร่างกาย ส่วนอสัญญีสัตว์นั้นเป็นสัตว์ดำมืด เขาถือว่าเป็นนิโรธมือ ส่วนเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์นั้น ก็ดับได้สูงสุดของฤาษีได้แค่นี้แหละ

          ของพระพุทธเจ้านั้นนิโรธแบบรู้ทั้งรู้ สว่าง มีจักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง

          ผู้ปฏิบัติถูกจะรู้ว่าอสัญญีสัตว์เป็นแบบไหน มันหมดทุกอย่างไม่รับรู้ทุกอย่างเลย แต่ของพุทธนั้นรู้ทุกขั้นตอน

          โดยเฉพาะคำว่า กาย นั้นสำคัญ ต้องรู้กายนี้เน้นที่นามธรรม ว่าต่างกันอย่างไร

          รู้ว่า โลกุตระกับโลกียะนั้นต่างกันอย่างไร

          สัตตาวาสข้อ 1 กายต่างกัน สัญญาต่างกัน ชาวโลกุตระกับชาวโลกียะก็กำหนดกายต่างกัน กำหนดต่างกัน บางสำนักก็กำหนดไม่เป็น ไม่รู้สัตว์ทางจิตวิญญาณ ไม่ชัดไม่แม่น กำหนดกายไม่ถูกสภาวะก็กำหนดสัตว์นรก ล้างสัตว์นรกไม่ได้ เทวดาก็กำหนดไม่รู้

1.       สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

2.      สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น ฌานคือไม่มีสัตว์นรกที่เป็นนิวรณ์​5 พวกนั่งหลับตาจะรู้แต่ ถีนมิทธะกับอุทธัจจะ แต่ว่าจะไม่รู้กามกับพยาบาท เพราะไม่ได้สัมผัสจริง อาการกามเกิดก็ไม่ได้อ่านจิต อย่างเก่งก็เดาเอา องค์ประชุมแบบพุทธกับฤาษีนั้นต่างกัน คือกายต่างกัน หรือกายของโลกุตระกับโลกียะต่างกัน กายคือองค์ประชุมของจิต

3.      สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง

4.      สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)1  สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

2.      สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น

3.      สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง

4.      สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)

5.      สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์  เช่น เทพจำพวก อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)

6.       สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)

7.      สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง)

8.      สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..อากิญจัญญายตนะ (ดับดิ่งไม่มีอะไร

9.       สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ)

 

          ส่วนของพุทธนั้นพ้นจากเสนวสัญญาฯ เข้าสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ...รู้ละเอียดละออ หมดจนเคล้าเคลียอารมณ์

          การจะบรรลุได้นั้นต้อง สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

          ตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึง 8

          แม้คำว่า ปีติ ก็จะหลุดไป โลกียะนั้นดีใจที่ได้สมใจสมกิเลส แต่โลกุตระนั้นดีใจที่ได้ลดกิเลส แม้จางคลายก็รู้อย่างนิโรธานุปัสสี ไม่มีสีสันเส้นแสงสรีระหรอก แต่เห็นด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:56:50 )

570305

รายละเอียด

570305_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง ราชสีห์จริงกับราชสีห์กงเต็ก เป็นเช่นไร?  

       วันนี้พ่อครูเล่านิทาน 1​ เรื่อง....เรื่อง ราชสีห์กงเต็ก....       

       พวกที่คิดจะแบ่งแยกดินแดนนั้น เขาคิดจะแยกจริงๆ

       ถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหาร โดยคณะที่มีกำลังทางอาวุธ และนักรบนักใช้อาวุธ จนคนกลัวและยอมให้คณะรัฐประหารยึดอำนาจสำเร็จ

       รัฐบาลที่ไม่ยอมเสียอำนาจ เป็นฝ่ายที่ประกาศว่า จะแยกประเทศ ก็จะไปยึดส่วนหนึ่งของประเทศไทย โดยกำหนดแบ่งแยกขอบเขตพื้นที่ เท่าที่ทำได้ ก็เป็นกบฏแยกแผ่นดิน โดยการอ้างว่า ตนเป็น “อำนาจแท้” ในแผ่นดิน เพราะเป็นเจ้าของอำนาจที่ได้มาก จากการเลือกตั้ง เป็นเจ้าของอธิปไตยอยู่

       แล้วจะประกาศ เป็น “รัฐบาลพลัดถิ่น” อย่างมีเหตุผลเพียงพอ

       หากแม้นเหตุปัจจับเป็นเช่นนั้นจริง

       ก็จะเกิด “รัฐบาลพลัดถิ่น” ที่มีอาณาจักรของตนเองเท่าที่ยึดได้ โดยไม่ยอมขึ้นกับอำนาจ “แผ่นดินใหญ่” และเหมือนไต้หวัน ที่แยกออกมาได้ ...ไม่เหมือนฮ่องกง

       เพราะความยินยอม และองค์ประกอบต่างกัน

       แต่เหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว คือ “การยึดอำนาจด้วยคณะรัฐประหาร” ยังไม่มี ยังไม่เกิด

       เกิดเพียง “ความถูกต้อง” ชอบธรรม

       คือ พลังอำนาจของมวลมหาประชาชน ที่จะยึดอำนาจคืนจากรัฐบาล มีกำลังเกิดปรากฏการณ์ แผ่รังสีแห่งราชสีห์อย่างสง่างามยิ่งนัก จนอึ่งอ่างที่หยิ่งผยอง หลงตนว่า เป็นเจ้าป่า เจ้าแห่งอำนาจ ทั้งๆที่ตัวเอง เป็นแค่เจ้าป่าเก๊ เพราะได้รับเลือกตั้งมาอย่างทุจริต อกุศลนานาสารพัดวิธี ได้ “ราชสีห์กงเต๊ก” ที่แค่ 49 วันก็มีรูปร่างเป็น “อึ่งอ่างพองลม”  ขึ้นมาให้คนงมงายที่ตามืดตาบอด หลงว่า เป็น “ราชสีห์แท้” จึงยึดมั่นถือมั่น ว่า ตนเป็นเจ้าป่า อยู่นั่นแหละ

       … “ฉันเป็นนายกฯ จากการเลือกตั้ง”

       … “ฉันเป็นประชาธิปไตย”

       … “ฉันเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย”

       … “ฉันจะตายคาสนามรบประชาธิปไตย”

       ยิ่งประชาชนเจ้าของประเทศไทย ได้แสดงตัวแห่งความเป็น “พระยาราชสีห์ตัวจริง” คือ มวลมหาประชาชนคนไทย ที่ได้ออกมาคำรามหลายเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 56 , 9 ธ.ค. 56 , 22 ธ.ค. 56 , และ 13 ม.ค. 57 เป็นต้น

       จนกระทั่งออกมาแสดงตัวตนแห่งเจ้าของอำนาจอธิปไตยของจริงต่อโลกชัดเจน

       แสดงรังสีแห่งความเป็นพระยาราชสีห์อย่างสง่างาม สงบ สุภาพ ไม่มีอาวุธ ไม่เบ่งจนขี้แตก เหมือน “ราชหีห์กงเต็ก” หรืออึ่งอ่างพองลมเลย

       แม้ว่า จริงๆ นั้นประชาชนมีอาวุธ, ทหารมีอาวุธ, แต่ด้วยความเป็นพระยาราชสีห์ เจ้าป่าตัวจริง ที่มีเขี้ยวเล็บ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ “อาวุธ” โชว์ อาวุธ หรือแค่แง้มเอาอาวุธออกมา แต่อย่างใด

       แม้แค่พูดว่า ตนมีอาวุธจจะใช้อาวุธ ก็ไม่เคยพูด ไม่เคยขู่ด้วยเสียงพระยาราชสีห์เจ้าป่าตัวจริงเลย

       แต่ราชสีห์กงเต๊กถูกรังสี ราศีของกัมมันตรังสี แห่งพระยาราชสีห์ตัวจริง เข้าอย่างแรง อย่างมีธรรมฤทธิ์

       “ราชสีห์กงเต็ก” ก็เลยร้อย เอ๋งๆ สำรอกออกมาเสียงหลง ว่า...ฉันมีปืน 10 ล้านกระบอกนะ!... ฉันจะแยกแผ่นดินนะ! เป็นต้น

       ว่าแล้ว... “อึ่งอ่าง” พองลม ก็เบ่งลม พองตัวขึ้นๆๆๆ ด้วยรูปลักษณ์ ที่ยิ่งอัปลักษณ์ ของอึ่งอ่างพองลม ด้วย การเรียกมวลชนของตนออกมาชุมนุม ให้เห็นรูปร่างของ “ราชีห์กงเต๊ก” เพื่อแข่งรูปร่างของ “พระยาราชสีห์ตัวจริง” ที่ได้แสดง “ตัวตน” มาแล้วในวันต่างๆ ตั้งแต่ 24 พ.ย. 56 เป็นต้น ตั้งหลายครั้งหลายครา

       ซึ่งรูปลักษณ์ก็ย่ิงอัปลักษณ์ นั้นก็คือ มีกองกำลังพลแต่งเครื่องแบบออกมาเดินสวนสนาม คุมพลโดย อดิศร เพียงเกศ บ้าง รวมคนเสื้อแดง แรลลี่ออกมา อันมี ธิดา ถาวรเศรษฐ  เป็นประธานออกมาลั่นกองรบบ้าง จารุพงศ์​ เรืองสุวรรณ ซึ่งเป็น ทั้ง รมต.และหน.พรรคใหญ่ที่เป็นรัฐบาลแท้ๆ แสดงภาษาข่มขู่ เบ่งอำนาจอย่างอย่างกบฏบ้าง

       สารพัดที่จะเสริมขนหัว ขนหาง “ราชสีห์กงเต็ก” ระบายสีให้เตะตาพวกประชาชนคนตาบอดทั้งหลาย ให้หลงสีสันต่างๆบ้าง เป็นต้น

       แต่แล้ว ก็ยังไม่ได้คะแนน ไม่เข้าตาประชาชนคนไทยได้สำเร็จอีก

       จนสุดสิ้น สุดแค้น แน่นอก ฟกช้ำ ต้องสำรอก ความลับออกมาก่อนเวลาที่ควรจะเป็น

       นั่นก็คือ สำรากออกมาว่า

       จะแยกประเทศ จะแบ่งแยกแผ่นดิน

       จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

       ซึ่งการแสดงออกทั้งวาจา ทั้งองค์ประกอบอื่นตจ่างๆ จนเข้าข่ายส่อแสดงได้ชัดเจนว่า มีทั้งเจตนามุ่งมั่น มีทั้งการซ่องสุม ประชุมกัน มีทั้งการวางแผ่นไว้จริง มีทั้งการเตรียมการพร้อมในการเป็นกบฏ

       และแล้วก็ได้เร่ิมต้นประกาศการกบฏ ออกมาแล้ว

       ...แสดงพลังมวลชนที่จะทำการตามแผนแล้วว่า นี่คือ คณะกบฏตัวจริง และได้ลงมือทำการกบฏแล้ว ด้วยขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 มาตามลำดับ

       แล้วประเทศไทย จะให้ “รัฐบาลเก๊ - อึ่งอ่างพองลม – ราชสีห์กงเต๊ก” นี้อยู่ในพื้นแผ่นดินแห่งไทยต่อไปอีกอยู่หรือ?

       ผู้มีหน้าที่ก็จัดการจับกบฏ เข้าคุก ตัวกบฏเองก็หมดอำนาจแล้วตามการกระทำที่ได้ทำความผิดสำเร็จแล้ว ซึ่งๆหน้า เห็นกันชัดๆ

       บุคคล ผู้มีสิทธิ์ต่อต้านด้วยวิธีการที่สันติวิธี ได้รวมตัวกันเป็นมวลมหาประชาชน ออกมาประท้วงปรากฎแล้วจริง และกระทำได้อย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ชนิดที่ ไม่เคยทำได้เยี่ยงนี้มาก่อนเลย คือ สงบ อหิงสา ไม่มีอาวุธ ตามบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       คณะบุคคลที่เป็นมวลมหาประชาชนที่ได้ออกมาประท้วง ต่อต้านสำเร็จ ถูกต้องตาม บทบัญยัติในรธน.นี้ ทุกมาตรา ตามที่รธน.กำหนดไว้ จึงคือ ผู้ถืออำนาจในการปกครองประเทศ ในกาละนี้ เพราะได้ต่อต้านโดยสันติวิธี ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไว้ได้ จากรัฐบาลที่ได้กระทำผิด โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรธน.นี้

       

       ตอนนี้เหมือนแม่ของแผ่นดินสองฝ่าย รัฐบาลนี้เป็นแม่ปลอม ส่วนประชาชนเป็นแม่แท้ๆ ก็ต่อสู้แย่งชิงลูกคือแผ่นดิน พอทำไปก็เห็นว่าตนจะแพ้ แม่ปลอมก็จะตัดแบ่งลูกของตนออกเป็นสองส่วน แล้วจะมีแม่แท้ๆที่ไหนจะแบ่งลูกออกเป็นส่องท่อน เป็นอุทธาหรณ์ชี้ให้เห็นว่าจะมีใครมาหั่นตัดลูกออกเป็นสองส่วนลูกคือแผ่นดิน คนที่คิดจะหั่นแบ่งแผ่นดิน คนนั้นฆ่าลูก คนนั้นไม่ใช่แม่ตัวจริง ประชาชนก็ต้องช่วยกันอย่าให้เขาแบ่งหั่นลูกเลย

       เอาแค่คำว่าเลือกตั้งกับไม่เอาเลือกตั้ง เขาก็มั่นใจว่า เอาเสาไฟฟ้า หรือเอาไม้จิ้มฟันลงก็ชนะเลือกตั้ง แต่ประชาชนก็มาเปิดเผยความผิด ไม่ชอบมาพากล ของค่ายกล คนก็ไม่เอาการเลือกตั้ง เป็นคำตอบที่ยืนยันความจริงชัดๆเป็นรูปธรรม

       ตอนนี้เป็นประชาชนปฏิวัติที่สำเร็จแล้ว แต่เขาก็ว่าเป็นนามธรรม ทั้งที่มันเป็นแล้ว เมื่ออำนาจของรัฐบาลหมดลง คณะปฏิวัติคือคณะประชาชน ไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่ประชาชนที่ใช้อาวุธ แบบนั้นคนกลัวก็ยอม ซึ่งการได้มาซึ่งอำนาจรัฐ นั้้น อาตมาได้แยกออกเป็น 5 แบบ

 

       ซึ่งการได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารประเทศนั้น อาตมาแบ่งได้ 5 แบบ

        1. อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

        2. อำนาจรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้ง

      3. อำนาจคณะรัฐประหารที่ได้มาจากการเลือกตั้ง

        4. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติอย่างไม่สงบ มีอาวุธ รุนแรง

      5. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติอย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง

 

       อำนาจที่จะวินิจฉัย กรณีใด ไปตามประเพณีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประชาชนจึงต้องช่วยกันทำอย่างยุติธรรม ที่สุด ดีงามที่สุดเสียก่อน แล้วจึงนำขึ้นกราบถวายบังคมทูล จะได้ไม่ระคายพระยุคลบาท

       เพราะอำนาจของประชาชน ทุกคนย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ตามบทบัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญนี้ มาตรา69 และมาตราอื่นๆอีกมาก ที่สนับสนุน สอดคล้อง สมคล้อย ที่ต้องวินิจฉัย แล้วตัดสินกันให้สัมบูรณ์

       ดังนั้น ในปรากฏการณ์ของประเทศไทยที่กำลังเกิด และดำเนินอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ มีส่ิงที่ต้องวินิจฉัย ในกรณี “อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติ อย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง” ตามธรรมเนียมที่ได้กระทำกันมา ว่า จะเป็น “อำนาจประชาชนปฏิวัติหรือรัฐประหาร โดยชอบธรรม” ซึ่งคณะกปปส.ก็ได้กระทำแล้ว เป็นที่ปรากฎ ตรงตาม การได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารประเทศ ในแบบที่ 5

       แล้วจึงปฏิบัติ ไปตามบทบัญญัติในรธน.นี้ ตั้งแต่ มาตราที่ 1 ,2, 3 และอื่นๆ อันสำคัญย่ิงคือ

จากมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญฯ 2550 มีว่า

 

       1.ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

       2.บังคับแก่กรณีใด

       3.ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตาม

       4.ประเพณีการปกครอง

       5.ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       

       มาตรา 2  ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       ซึ่งหมายความตาม มาตรา3 ที่ทั้งแปลคำว่า “ประชาธิปไตย” ไว้ชัดเจนว่า

       อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจ ซึ่งเป็น “อธิปไตย” ที่เป็นของประชาชนชาวไทย” นั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้

       และวรรค 2 ของมาตรา3 ก็กำกับบัญญัติ ไว้ชัดเจนว่า การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

       นั่นคือ 3 สถาบันหรืออื่นๆตามระบุไว้นั้น คือผู้มีหน้าที่ทำงาน ตามหลักนิติ ให้เป็นธรรม

       มีหน้าที่ทำได้ตาม หลักนิติ หรือ กฎหมาย กำหนดไว้ ถ้าไม่ทำก็ผิด ทำเกินก็ผิด ทำไม่เป็นธรรม ไม่ชอบธรรมนั่นเอง ก็ผิด

       สรุปชัดๆ คือ ผู้อาสาเข้าไปทำหน้าที่โดยรับจ้างมีรายได้ รับรายได้ตอบแทนบ้าง ไม่ได้รับบ้าง

       แต่คือผู้สมัครใจทำงานนี้ เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง เพื่อประชาชนแท้ๆ เรียกว่า งานการเมือง

       ถ้างานการเมือง ก็ต้องเพื่อผู้อื่น เพื่อประชาชน ไม่ใช่งานเพื่อตัวเอง หรือเพื่อครอบครัว เพื่อพรรคพวกแน่ๆ

       ยิ่ง ผู้ใดทำงานเพื่อผู้อื่น เพื่อประชาชน ด้วยใจจริง สมัครใจเอง ไม่รับค่าตอบแทนเลย นั่นแหละคือ นักการเมืองแท้ๆตรงๆ

       มาตรา 4

       1.ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

       2.สิทธิ

       3.เสรีภาพ

       4.และความเสมอภาคของบุคคล

       5.ย่อมได้รับการคุ้มครอง

       เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ตาม มาตรา 7

       เช่น บทบัญญัติ ว่า ให้ “ประชาชนปฏิวัติ” ก็ดี ยึดอำนาจจากรัฐบาล ก็ดี หรือ

       การกระทำใดๆที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครอง โดยวิธีการซึ่งมิได้ เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ตามบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 69     

       ส่วนวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       บุคคลจะใช้สิทธิ์ และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นั่นต่างหากทำไม่ได้

       มาตรา 68 บัญญัติไว้ว่า จะทำมิไม่ได้

       แต่มาตรา 69 บัญญัติไว้ชัดว่า ทำได้ ถ้าทำโดย สันติวิธี ย่อมมีสิทธิ์ ทุกบุคคล

       ยิ่งเมื่อสิทธิ ของมวลมหาประชาชน ร่วมกันเป็นส่วนรวม นั่นแหละคือพลังของอธิปไตย แท้ๆ ที่ชนชาวไทย จะต้องทำหน้าที่ตามมาตรา 70 ที่ว่า บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  

       มาตรา 71 ยิ่งเป็นหน้าที่ของชนชาวไทยกันทีเดียว ที่จะต้องช่วยกันทำหน้าที่ คือ บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย

       มาตรา 63 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ

       โดยสงบ ก็คือ วิธีการที่ไม่รุนแรง หรือสันติวิธี ตามบทบัญญัติ ที่มีในรัฐธรรมนูญนี้ การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง(ของมาตรา 63)จะกระทำมิได้

       แต่ก็มียกเว้น ในกรณีการชุมนุมสาธารณะ นั้น ทำได้ เพราะยกเว้น เป็นต้น

       ซึ่งก็มีข้อยกเว้นอื่นอีก เช่น

       เพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ก็ทำได้

       หรือ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม ก็ทำได้

       หรือในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม ก็ทำได้

       หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศในกฎอัยการศึก ก็ทำได้

       ซึ่งมาตรา  62 นั้น บุคคล ย่อมมีสิทธิ์ติดตามและร้องขอให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ

       และบุคคล ซึ่งให้ข้อมูล โดยสุจริต แก่องค์กรตรวจสอบ การใช้อำนาจรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมได้รับการคุ้มครอง

       โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 58 บัญญัติ ไว้ถึงสิทธิของบุคคลชัดๆว่า บุคคลย่อมมีสิทธิ์ มีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการปฏิบัติ ราชการทางปกครองอันมีผล หรืออาจมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของตน และมาตรา 59 รัฐธรรมนูญให้สิทธิแก่บุคคล ย่อมีสิทธิเสนอเรื่งอราวร้องทุกข์ และได้รับแจ้งผล การพิจารณาภายในเวลาอันรวดเร็ว อีกด้วย

       แถมมาตรา 60-61-62 ก็ยิ่งให้สิทธิ์แก่บุคคล อย่างบริบูรณ์ ที่จะฟ้ององค์กร ทุกองค์กรที่เป็นของรัฐตามนิตินัย

       ที่จะพิทักษ์รักษาสิทธิ์

       ที่จะได้รับการคุ้มครอง

       ดังนั้น เมื่อไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ตาม มาตรา 7

       ก็ให้ วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       เช่น ไม่มีบทบัญญัติ ว่า ให้ประชาชนปฏิวัติหรือ ยึดอำนาจรัฐ

       แต่ อำนาจประท้วง ต่อต้าน เปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูป ให้มีคณะบริหาร และคณะสภาใหม่ นั้น มีในรัฐธรรมนูญนี้

       ซึ่งประเพณี การปกครอง ขนบธรรมเนียม ที่เคยเกิดเคยทำมาแล้ว ก็เคยมีประเพณีการปฏิวัติด้วยอำนาจที่ต้องใช้คำว่า อำนาจที่เป็น Force ของคณะทหาร เป็นต้น หรือเมืองไทยเคยมี คณะราษฏร์ ที่ฝรั่งเรียกว่า coup d' Etatหรือรัฐประหาร ก็เคยมี  คณะผสมผสานกันก็เคยมากมายหลายครั้ง ที่ปฏิวัติยึดอำนาจ เปลี่ยนอำนาจ กันมาเป็นประเพณี ซึ่งได้ใช้ “สิทธิอันไม่ชอบธรรม” แท้ๆด้วย ที่จริงนั้น ละเมิดสิทธิอันชอบธรรม ไม่ใช่ได้สิทธิ

       ทั้งๆที่ การยึดอำนาจ เพื่อเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูป คณะบริหารและคณะรัฐสภาใหม่ ที่เคยยึดอำนาจ มาด้วยอำนาจ Force อันเป็นอำนาจรุนแรง บังคับข่มขี่ นั้น ผิดกฎหมาย

       ไม่มีสิทธิจะทำ

       แต่คณะที่ปฏิวัติด้วยอำนาจ บังคับข่มขี่ซึ่งผิดกฎหมาย และไม่มีบทบัญญัติอนุญาตให้ยึดอำนาจ หรือขออำนาจจากคณะรัฐบาลเลย แต่ก็ทำกันได้และยอมรับกันมาแล้ว เป็นตัวอย่าง เป็นขนบประเพณีที่จำยอม เคยยอมกันมาแล้ว ใช้ “สิทธิ” อันไม่ชอบธรรม นั้นมาหลายครั้งได้ เป็นประเพณี

       ประเพณี แปลตาม พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถานว่า สิ่งที่นิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบๆกันมาจนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม หรือ จารีตประเพณี

       ซึ่งไม่น่านิยม แต่ก็กลายเป็นนิยมไปแล้ว คือ มันเป็นการ “ประพฤติ” มันเป็นการกระทำที่รับรู้ทั่วกันแล้ว แน่นอน หรือยอมรับนับถือ ถึงขั้นชื่นชมยินดี ในบางครั้ง บางเรื่องไปแล้วด้วย

       เป็นแบบ เป็นอย่าง ขึ้นมาในโลกแล้ว นั่นเอง

 

       ทีนี้ การประพฤติของมวลมหาประชาชน คราครั้งนี้ ในพ.ศ.นี้ ประชาชนเอง ที่รวมตัวกันเป็น หมู่มวลมหาประชาชน ออกมา “ยึดอำนาจ”  ขอเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาล คณะรัฐสภา ใหม่บ้าง

       อย่างถูกกฎหมาย ไม่ผิดกฎหมาย

       เพราะมวลมหาประชาชน ขอยึดด้วย อำนาจอันชอบธรรม ด้วยอำนาจ Authority ซึ่งเป็น Sovereign power ซึ่งเป็น Supreme แล้วเพราะเป็นสุดยอดแห่งรัฐาธิปัตย์ ตาม มาตรา 2 และมาตรา 3 แท้ๆที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       มวลมหาประชาชน รวมตัวกันออกมาแสดงความประสงค์เปิดเผย ซื่อตรง ไม่มีอะไรซ่อนเร้น อะไรผิด อะไรถูก ก็แฉกันตรงๆ ขอเปลี่ยนแปลง ให้คณะเก่าออกไป จะปฏิรูปกันใหม่ โดยใช้สิทธิ อันมีอยู่แท้ของมวลประชาชน และไม่ผิดกฎหมาย เลยด้วย

       แสดงปริมาณ ก็มีมากมายทำลายสถิติ ที่เคยมีมาในประเทศด้วย

       แสดงเชิงคุณธรรม ก็มีคุณภาพที่สงบ สันติ ถูกธรรม ยืนยันฝ่ายผิด และยืนยันฝ่ายถูกชัดเจน ว่า ประชาชนมีส่วนถูก รัฐบาลมีส่วนผิดมากพอจริง 

       สมบูรณ์ได้คะแนนป่านนี้แล้ว

       ทำไมจะไม่มีสิทธิ ? เสมอภาคเท่า คณะปฏิวัติ ด้วยอำนาจ บังคับข่มขี่ ด้วยอาวุธ ยุทธภัณฑ์

       ที่อำนาจบาตรใหญ่ ที่ทำผิด ของคณะปฏิวัติ Force อันเป็นอำนาจรุนแรง coup d' Etatรัฐประหาร กดขี่บังคับนั้น ไม่ชอบธรรม เท่าอำนาจ ของมวลมหาประชาชนที่ทำกันในครั้งนี้

       พลังอำนาจทั้งทางปริมาณ และคุณภาพคุณธรรม ของมวลมหาประชาชนในคราครั้งนี้ ดีกว่า ถูกต้องกว่า ตามสากลกว่า อำนาจกดขี่ บังคับ ที่เคยทำกันมาก ซึ่งปฏิวัติด้วยอำนาจ Authority ที่ Supreme เป็นSovereign right power

       ทำไมไม่ให้ “สิทธิ”

       ทำไม“สิทธิ”​ แท้ๆของประชาชนที่มีเต็มๆ และแม้ในรัฐธรรมนูญก็ถูกต้อง ตามนิติธรรมด้วย จึงถูกห้าม ถูกต้านกั้น ไม่ให้ทำได้บ้าง

       เป็นความไม่เสมอภาค ใช่มั้ย?

       ไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างย่ิงกว่า คณะ Force คณะ coup d' Etatรัฐประหาร ที่ใช้อำนาจผิดๆ ดังที่เคยทำกันมา? ใช่มั้ย?

       ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ของมวลมหาประชาชน และความเสมอภาค ทำไมไม่ได้รับการคุ้มครอง ตามมาตรา 4

       ในเมื่อไม่มี “บทบัญญัติ” แห่งการปฏิวัติเหมือนกัน แต่อำนาจขอบคณะปฏิวัติที่ใช้อาวุธไม่สงบ ที่ผิดกฎหมาย กลับต้องจำยอมให้มี “สิทธิ” ทำได้มาแล้ว ไม่รู้กี่ครั้ง จนเป็นประเพณี ที่ไม่่น่านิยม ก็มีบ้างในบางครั้ง ที่เป็นที่น่านิยม ของมวลประชาชน

       ส่วนอำนาจของคณะปฏิวัติที่ไม่ใช้อาวุธ สงบ ไม่ผิดกฎหมาย “มีสิทธิ” ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63-64-65 และมาตรา 70

       สร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนตาม มาตรา 65 ย่อมมีเสรีภาพทำได้

       การกำจัดเสรีภาพจะกระทำมิได้ตาม มาตรา  64

       แม้ มาตรา  66-67 ก็ย่อมมีความหมายสมคล้อย ที่สิทธิเสรีภาพ ของมวลมหาประชาชนที่รวมกันชุมนุม รักษาผลประโยชน์ของประเทศ

       แม้แต่ มาตรา 68 สิทธิ และเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ ก็เป็นวิธีการ ที่เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       โดยเฉพาะ มาตรา 69 บุคคลย่อมมีสิทธิ ต่อต้าน โดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทส โดยวิธีการซึ่ง มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       นั่นคือ “การปฏิวัติโดยประชาชน” ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นไปหรือมี “วิถีทาง” เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดย “วิธีการ” ซึ่งมิได้เป็นไปตาม“วิถีทาง”ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       บุคคลย่อม มีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี

       นี่คือ เป็นไปตาม “รัฐธรรมนูญนี้” ตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม

       บัญญัติไว้ใน มาตรา 69 ชัดๆ ยืนยันอยู่โต้งๆ โทนโท่ เห็นไหม?

       แถม มาตรา  70-71 เป็นหน้าที่ของชนชาวไทย อีกด้วย

       เห็นไหมว่า เป็นหน้าที่ของชนชาวไทย ตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญนี้

       ประชาชนชาวไทย จึงออกมาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ออกมาใช้สิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี

       ในเมื่อ ไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด

       ก็หมายความว่า มิได้ เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติวิถีทาง ว่า ปฏิวัติ ยึดอำนาจ ต้องทำอย่างนี้ ต้องปฏิบัติตามทางนี้ ตามวิถีนี้ นั่นคือ บัญญัติ ไ่ม่มีชัดเจนในรัฐธรรมนูญนี้

       ดังนั้นจึงเท่ากับ บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ไม่มี

       การบังคับในกรณีนี้ จึงไม่มี

       เมื่อไม่มี ก็ให้วินิจฉัยกรณีของ กปปส. ที่ประพฤติ กระทำอยู่นี้ ให้เป็นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข     


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 14:58:53 )

570306

รายละเอียด

570306_พ่อครูและอ.กฤษฎาเรื่อง ธรรมาธรรมะสงครามจะยาวนานขนาดไหน?

       อ.กฤษฎา... ประเด็นที่สำคัญนั้น ครั้งที่แล้ว ตอนนี้ผู้ทำผิดทั้งทางธรรมและทางกม. ก็กำลังดิ้นทุรน เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมที่พ่อครูได้เคยสอนไว้ใช่หรือไม่ และตอนนี้เหตุการณ์ดูเหมือนรุนแรงขึ้น และเราก็ชนะรายทางมาเรื่อย แต่ทำไมหลายคนบอกว่าทำไมยังไม่จบ แล้วเราจะต้องยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป อีกนานเท่าไหร่?

       พ่อครู....มีข่าวแจ้งให้ทราบว่าเราจะมีงาน งานทำบุญ " รำลึกวีรชนราชดำเนิน"

 

9 มี.ค. 2557 การเตรียมงานสำคัญ
งานทำบุญ " รำลึกวีรชนราชดำเนิน"
วันอาทิตย์ที่ 9 มี.ค. 2557
06.30-07.30 ทำบุญ ใส่บาตร
08.00-09.30. แสดงธรรมก่อนฉัน
10.00-10.30. พิธีดูอาห์ (ศาสนาอิสลาม)
10.30. พิธีเปิดงาน"รำลึกวีรชน ราชดำเนิน"
** เปิดโรงบุญ รับประทานอาหารร่วมกัน
** นิทรรศการชาวนา กระทรวงพาณิชย์
- สานกระบุง
- ทอผ้า มัดผ้าขาวม้าเป็นหมวก
- คุณเชาว์วัช หนูทอง จัดนิทรรศการ ชาวนาไทย
** นิทรรศการศิลปิน
- หนังสือ
- ภาพวาด
- ศิลปินวาดภาพเหมือนที่ถ.ราชดำเนิน
** ซุ้มวางดอกไม้ รำลึกวีรชน
14.00-20.00 เวทีวีรชน ราชดำเนิน
- ดนตรีรำลึกวีรชน
- วิถีชุมชนป้อมพระกาฬ ชุมชนบางลำภู คนราชดำเนิน
- รำลึกวีรชนคนเดือนตุลา
- รำลึกวีรชน 18 ก.พ 57

 

       ใครสนใจจะเปิดโรงบุญด้วย โทรมาที่คุณใบแก้ว 087-3918449 ,คุณปะพัดชา

 

       อ.กฤษฎาว่า อาการดิ้นของเขานี่ใช้ภาวะของโอปปาติกสัตว์ใช่ไหม

       พ่อครูว่า...สัตว์ทางจิตวิญญาณนั้น ต้องรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ เรียกว่า สัตตา โอปปาติกา ซึ่งไม่มีสีสันรูปร่าง เป็น กาย ที่เป็นนามธรรม สามารถรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ

       พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ให้เรียนรู้ เวทนา 3 (สุข ทุกข​​์ อุเบกขา) และก็เรียนรู้ดีกรีของเวทนา เป็นเวทนา 5 ทั้งหมดเป็นนามธรรม เป็น กาย

       คำว่า กายนี้ ต้องเข้าใจ ว่า หมายถึงนามธรรมเป็นหลัก สัตว์นรก เทวดา แล้วเทวดาโลกีย์ กับโลกุตระต่างกันอย่างไร ก็รู้ได้ด้วย นามธรรม ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ

       กิเลสนี่เป็นสัตว์นรก รวมไว้หมด ตอนนี้เขาก็ขึ้นป้าย แบ่งแยกแผ่นดินไปทั่วเลย แล้วใครเป็นกบฏ เขาก็หาว่าเราเป็นกบฏ พยายามให้จับ เสร็จแล้วศาลท่านไม่ให้จับ ท่านว่ากปปส.ชุมนุมถูกต้อง ตามรธน. มาไล่ไม่ได้

       แล้ว รัฐบาล ประชาชนที่เป็นพวกนปช.หรือพวกแดง หรือข้าราชการที่เข้าข้างรัฐบาล ต่อสู้กับเราโดยใช้เงินรัฐบาล เขาสู้ว่าเราเป็นกบฏ เราก็สู้ว่าเราไม่ใช่กบฏ เราออกมาเป็นกปปส. มีกองทัพธรรม มีกปท.​มี Technocrat (คือข้าราชการ นักธุรกิจ มีความรู้เชี่ยวชาญทำงานเพื่อสังคม) และก็มีมวลมหาประชาชน กลุ่มกปปส.นี่แหละมาต่อสู้   

       เขาก็ดิ้น เหมือนอึ่งอ่างพองลม ย่ิงดิ้นก็ย่ิงเข้าข่าย ยึดว่าตนเองถูก ทั้งที่ผิด ย่ิงทำก็ย่ิงมีอกุศลกรรม ซ้อนๆไป เขาเป็นสัตว์นรกที่ชื่อว่า กบฏ แต่เขาไม่รู้ตัว บางคนก็รู้ตัว แต่ก็มีกิเลส

       เขาเคยประกาศว่าแพ้ไม่เป็น จะตายในสนามรบประชาธิปตาย แท้จริงเขาตายแล้ว ก็ไม่รู้จักตัวเองว่าตายแล้ว เป็นผี สัตว์นรกแล้วด้วยนะ

       ที่พูดแรงนี้ให้เขารู้ตัว แต่เขาไม่รู้จักก็ไม่กลัว เหมือนเด็กไม่รู้จักเสือ ก็ไปจับ โดยไม่รู้ว่าน่ากลัว เห็นแล้วก็สังเวชใจ จะว่าเขาไม่รู้เรื่องก็ไม่ใช่ มันพอรู้ ฉลาดนะ แต่เฉโก ฉลาดฉิบหายนะ แต่ไม่รู้ตัว

       สรุปแล้ว กบฏตัวจริงคือใครเอ่ย เราก็มองออก ก็รู้ เขาก็ไม่ยอมรับว่าเขาเป็นกบฏ แต่ก็ค่อยๆยอมรับกัน จนแบ่งแยกแผ่นดินนี่ชัดเลย

       กลุ่มพวกนี้มีความรู้ทฤษฏี หลักวิชาของคอมมิวนิสต์นะ

       และวิถีทางที่เขาทำไม่เปิดเผย แต่เราทำนี่โดยเปิดเผย บอกหมด ไม่ปิดบังอำพราง แต่พวกนี้ปิดบัง และพูดหลอกล่อโกหกด้วยไม่ซื่อสัตย์ สรุปแล้วเขาจะเป็นอำนาจเผด็จการ ฟาสซิสม์ เลย ใครเป็นหัวเลย ก็รู้กันให้ทั่ว ปิดกันให้แซด เขาเป็นเผด็จการจริงๆ

       เป็นลัทธิกบฏที่โลกทุกแห่งเขาไม่ต้องการเลย มีคนไปเชื่อไปเป็นลูกน้อง ทำตาม ก็ทำลายสังคม ประเทศชาติ เห็นแก่ตัวเบ่งอำนาจ ด้วยวิธีซับซ้อน  หลอกว่าตนทำดี แต่ร้ายลึก คนทุกวันนี้จะต้องมีปัญญารู้ ถ้าไม่ก็ไม่เท่าทัน อย่างจำนำข้าวนี่จะชัดว่าโกงอย่างไร ซักวันก็เหมือนคางคกพองลมจนท้องแตกตาย

       เราสู้ด้วยธรรมะ ตอนนี้เป็นธรรมาธรรมะสงคราม เกิดชนะรายทางมาเรื่อยๆ เราก็ต้องอดทนหน่อย คือยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ เขาแพ้ความจริง เพราะเขามีแต่ความเท็จ ขอร้องพวกเราต่อต้านต่อสู้โดยสันติ จะเข้ามาตรา 69 เป็นมาตราสำคัญที่ซ่อนความลึกซึ้งไว้หลายชั้น

       มาตรา 69 (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       รัฐบาลก็มีวิถีทาง ไปสู่คอมมิวนิสต์ แต่เขาหลอกว่าเป็นประชาธิปไตย ซึ่งนักวิชาการก็ต่างรู้กัน ออกมา บอกว่าเขาผิด ซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ เป็นแนวทางทุจริต

       เราก็เลยเอาความทุจริตของเขามาเปิดเผย เราก็ต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งถูกต้องตามบทบัญัติในรธน.ม.69 วิธีการของเราสงบ แต่แนวโน้มของเขาไม่เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่ของเราสันติจริงและเป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตยด้วย

       และบางทีเขาก็แฝงมาทำให้เกิดความรุนแรง หาว่าเราทำรุนแรงก็เป็นได้ อาจเป็นได้ ต้องให้ศาลจตัดสิน แต่เพราะตำรวจไม่เคยจับได้เลย จึงตัดสินไม่ได้

       เราก็ต้องออกมาช่วยกัน และคนของเราจะไปใส่ไอ้โม่งทำไม คนของเราจะปิดหน้าทำไม แต่เป็นไปได้ว่ามีคนมาช่วยเราเพราะเมตตา เพราะเราสู้อย่างอหิงสา

       ต่อมาศาลก็ตัดสินให้เราได้รับการคุ้มครอง อย่าให้มาสลายการชุมนุม ศาลนั้นเป็นสถาบันที่ได้รับคัดเลือกมาจากหัวหน้าประชาชน คือพระมหากษัตริย์ มีอำนาจเท่ากับอีกสองสถาบัน และมีหน้าที่คานอำนาจกัน ไม่ฮั้วกันด้วย แต่นี่เขาทำไม่คานกัน ฮั้วกัน เขาไม่รับอำนาจศาลด้วย และด่ากันอีก ดูถูกกันอีก ไม่ยอม ต่อต้าน แสดงชัดเลย เขาเองเขาไม่มีความรู้ หรือรู้แต่เขาทำผิด เขาก็เป็นกบฏ สารพัดจะทำ นอกจากไม่รับแล้วก็ยังให้บริวารยิงระเบิดอีก เลวร้ายจริงๆ

       ในม.69 เราปฏิบัติต่อต้านตามสิทธิ ในรธน.เลย ด้วยวิธีการหรือการกระทำ ตามบัญญัตินี้ และถูกต้องลึกกว่านั้นเป็นวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรธน.นี้ด้วย

       เขาทำว่าเป็นประชาธิปไตยแต่หลอกคน โกหก คนที่รู้ไม่ทันฉลาดน้อยได้ ประชาชนที่เปิดหูเปิดตาศึกษามีปัญญา วินิจฉัย อ่านความจริงได้ ก็ย่ิงรู้ความจริง จึงเกิดปรากฎการณ์ของมวลมหาประชาชน

       เป็นรูปธรรมที่ส่อให้เห็นนามธรรม อาตมาเห็นจริงๆ ใครเห็นนี่ฉลาดนะ คำว่า ฉลาดมาจาก ฉฬายตนะ ถ้ารู้ได้ดี กุศลประเสริฐ ก็เป็นฉลาด แต่ถ้ารู้อย่างทุจริตอกุศล ช่ัว ก็ไม่เป็นความฉลาดอย่างฉฬายตนะ แต่เป็นเฉโก ส่วนคนฉลาดอย่างประเสริฐเรียกว่า ปัญญาหรือปัญโญ รู้จิตที่เกิดจากทวารทั้ง 5 สร้างหรือรู้ให้เกิดส่ิงดี กุศล ด้วยปัญญา แต่ความฉลาดทุกวันนี้ ภาษาไทยนี่มาจากบาลี ก็เป็นฉฬายตนะ แต่ก็พูดหวัดสั้นลง เหลือแต่ฉลาด หมายถึงความรอบรู้

       ฉลาดในไทยมีสองอย่าง คือ อย่างแรก ฉลาดอย่างรู้เท่าทันอายตนะ แล้วตามรู้เหตุที่ทำให้เกิดอกุศล มีอยู่ และฆ่าหรือกำจัดได้ ฆ่าได้ก็เป็นปัญญา

       อย่างที่สอง คนไทยนี้ฉลาดเหลี่ยมจัด ทุจริต แต่ก็ไม่รับว่าตนเฉโก ก็เลยไปเรียกฉลาดทับกันไปถัวกันไปหมด คำว่าฉลาดก็เลยใช้ทั้ง คอรัปชั่นและปัญญา แต่คอรัปชั่นนี้ไม่เรียกปัญญา แต่คอรัปชั่นนี้เขาไม่รับว่าเป็นเฉโก หรือเฉกา คำว่าเฉกาหรือเฉโกนี้จึงไม่ติดตลาด แต่มี บันทึกไว้ในพจนานุกรม

       ยุคสมัยนี้เพศหญิงมากกว่าเพศชาย เพราะเป็นยุคใกล้กลียุค หรือแม้แต่ผู้ชายก็สนใจธรรมะน้อย เพราะปฏิภาณผู้หญิงจะเร็วไว ไหวเร็ว คือจิตถ้าน่ิงเป็นผู้ชาย ถ้าไหวเป็นผู้หญิง

       สรุปคือภาวะเพศชายหรือปุริสภาวะคือความน่ิงสะอาด แต่อิตถีภาวะคือภาวะที่ไม่น่ิงไม่สะอาด เรามีร่างเพศไหนก็แล้วแต่ให้ตัด อิตถีภาวะให้หมด ให้มีแต่ปุริสภาวะ แม้หญิงก็บรรลุธรรมได้ เป็นปุริสภาวะได้

       เราทำให้ความเป็นสัตว์หายไปหมด เหลือแต่พรหม ชีวิตนี้คือชีวิตแห่งความเป็นสัตว์ ต้องดับสัตตาวาส 9 ให้หมด

       ส่วนอาหารรูปนั้น คือเครื่องอาศัย (ข้าว ผ้า ยา บ้าน) เราก็มีพอเพียง ให้พอเหมาะพอดี ไม่เฟ้อเกินหรือไม่ขาดเกิดไป

       อาหารคือคำข้าวนี่แหละถ้าเรียนรู้จัดการกิเลสในนี้ได้ อย่างอื่นก็นัยเดียวกัน ไม่ว่า ผ้า ยา บ้าน

       แล้วมาเรียนรู้ปริเฉทรูปคือตัดแบ่งมาเป็นส่วนๆในแต่ละรอบ โสดาบัน ก็ศีล 5 ,สกิทาคามีก็ศีล 8 เป็นต้น..
       จากนั้นก็มาเรียนรู้ วิญญัติรูป ที่มี ทั้ง กายวิญญัติ และวจีวิญญัติ อ่านให้ออกในมโนวิญญัติ แล้วฆ่าเหตุแห่งอกุศลทั้งหลาย ไม่ได้ฆ่ากุศลนะ

       วิการรูป 5 (รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลก  ให้พิเศษได้ )

18. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบาบาง) แม้จิตเราจะเบา แต่่ว่าเราพูดออกไปด้วยเมตตาแรงก็มี แต่ลหุตา แต่ถ้าพูดด้วยจิตทุจริต แต่ว่าพูดเบานี่ก็ไม่ลหุตานะ

19. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนไว ยืดหยุ่น elasticity, เร็วไว จิตหัวอ่อน ปรับได้ทั้งปัญญา          และเจโต) ใจตั้งมั่นตั้งตรง เพราะได้ฆ่ากิเลสออก จนตัวจิตเป็นจิตมุทุ(จิตหัวอ่อน) เชิงปัญญาก็ไหวพริบเร็ว เชิงเจโตก็ปรับได้เร็ว รู้เร็วว่าอะไรผิดหรือถูก เราก็ไม่ทำผิด เหลือแต่ความถูกเร็ว โดยการทำอย่างเกื้อกูลสังเคราะห์อนุโลมปฏิโลมแก่ผู้อื่น เหมือนพ่อแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูกหรือเหมือนแม่ครัวปรุงให้คนกินได้แต่ตนไม่ชอบหรอก ปรุงขายได้เลย

20. (รูปัสส) กัมมัญญตา (การกระทำที่กำกับด้วยปัญญาอันประเสริฐยิ่ง ) เป็นจิตโลกุตระ ฉลาดรู้จักโลกุตระที่เป็นปรโลก ไม่เป็นไปเพื่อเสริมสร้างกิเลสทั้ง กาม โลกธรรม อัตตา แล้วอนุโลมให้เขาเท่าที่เราช่วยได้ รู้โลก โลก โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็รู้ ปิดอบายได้ แล้วมาละกามภพต่อ จากนั้นก็ลดโลกธรรม และลดอัตตา แต่ว่าก็อยู่ในโลกกับเขานี่แหละ เขาโกงกินกันหลายแสนล้านแล้ว

 

       โสดาบันก็อาจมีต้องเอาเปรียบบ้าง แต่ละลงมาเท่าไหร่ได้ก็ดี มาลดความเห็นแก่ได้ ความเอาเปรียบออกไป เท่าทุนก็อยู่ได้ ขาดทุนแล้วอยู่ได้ไหม ขาดทุนมากแล้วอยู่ได้นี่ก็วิเศษ​ในหลวงตรัสว่าขาดทุนคือกำไร

       เขาก็ว่ามาขาดทุนแล้วจะเหลือทุนไปทำงานอย่างไร? ซึ่งเราทำได้ แล้ว ถึงพ้นมิจฉาชีพขั้นที่ 5

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยงทายไม่ตรงแท้

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา)

       ค่าแรงงานของเราได้หมื่นหนึ่ง แต่เราใช้จ่ายแค่สองพัน ส่วนเหลือแปดพันก็ให้ส่วนกลางให้สังคม ก็เอาไปเกื้อกูลเฉลี่ยแค่คนอื่นๆสังคมก็อยู่ได้ ที่เราได้ขาดทุนเราเสียสละได้นี่แหละคือกุศล คนนั้นรวยได้ตลอดกาล ได้เสียอยู่หรือเสียสละนี่แหละ คือกำไรของเรา ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

       เราทำงานฟรีแต่สมรรถนะของเราทำได้เก่ง ได้มากกว่าที่กินใช้ มีศักยภาพ เราก็รับใช้ให้แก่คนอื่นไป

       

       เรามีเศรษฐศาสตร์บุญนิยมหมายเลข 1

1. ไม่เป็นหนี้

2. ทำกินทำใช้ให้พึ่งตนเองได้

3. ทำให้เหลือกินเหลือใช้

4. แจกจ่ายสะพัดออก เผื่อแผ่แก่ผู้อื่น

       

       เศรษฐศาสตร์บุญนิยมหมายเลข 2

1. เรากินใช้ไม่มาก มักน้อยสันโดษ

2. เราสร้างสรรขยันเพียร

3. คุ้มกินคุ้มใช้ เหลือกินเหลือใช้

4. เราไม่สะสมกักตุน

5. เราสะพัดออก แจกจ่ายเจือจาน

 

       ซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต)


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:01:49 )

570308

รายละเอียด

570308_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง ทาน ศีล ภาวนา นำพาปฏิวัติโดยประชาชน

       ใครรำคาญธรรมะบ้าง อาตมาไม่เห็นรำคาญธรรมะเลย  อาตมาเห็นโลกเขาก็ไม่ได้รำคาญอะไร ก็เข้าใจเขา ว่ามีเหตุปัจจัยอะไร เขาทำไปตามประสาเขา เราก็ไม่ต้องไปมีพลังงานวูบวาบอะไร ก็สบาย เขาจะชั่วจะดีจะร้ายกับเรา แม้เขาจะดีกับเราก็ไม่ต้องวูบวาบ แต่เราก็รู้ตามสมมุติสัจจะว่านี่ดีหรือร้าย

       วันนี้ อาตมาตั้งใจจะมาอธิบายประเด็นที่มีเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ และพฤติกรรมของแต่ละคน ที่แสดงออก เราก็จะไปกำหนดว่าเขาชั่วถาวรอย่างนี้ตลอด หรือดีไปตลอดก็ไม่ได้ ต้องดูไปนานๆ ดีไม่ดีตายไปเลย วาระใดวาระหนึ่งที่เขาจะเปลี่ยนได้ ถ้ามีบารมีก็เปลี่ยนได้เลย อย่างองคุลีมาล แล้วก็มีภาษาคำพูดจุดปฏิภาณปัญญา ก็สำเร็จ ทันทีทันใดเลย หรือแม้แต่อื่นๆอีกหลายผู้หลายคน ที่ตอนแรกดูร้าย อย่างพระยสะ ก็เกเรตอนแรก ไม่เป็นธรรมะอะไร แต่พอจะถึงเวลาก็บอกว่าโลกนี้วุ่นวายหนอ แต่ว่าอยู่มานานก็ไม่พูด พอมาพบพระพุทธเจ้าก็ว่า ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ พอไปฟังเทศน์กัณฑ์เดียวก็บรรลุเลย

       วันนี้ขอพูดต่อว่า ผู้มีบารมี สิ่งดีๆก็เป็นไปได้ พอถึงเวลาก็มีเหตุปัจจัย พระพุทธเจ้าท่านเป็นสยัมภู มีบารมีอยู่แล้ว คือส่ิงที่มีจริง ถ้าไม่มีบารมีก็ไม่ได้ จะไปซื้อหาไม่ได้ ร้านใหญ่ขนาดไหนก็ไม่มี คนเรามีบารมีอย่างขณะนี้อาตมาโยงให้ฟังว่าคุณสุเทพเทือกสุบรรณนี่ พอถึงเวลาก็ปรากฎ

       ที่พูดต่อไปนี้ไม่ได้ระแวง แต่จะให้สติ คือประเด็นที่คนทั้งหลายยังระแวงว่าคุณสุเทพคือประชาธิปัตย์ เพราะอยู่ประชาธิปัตย์มานาน ทำงานให้ประชาธิปัตย์มานาน เหตุการณ์ก็มีสมคล้อยว่าอภิสิทธิ์ หรือคนอื่นในประชาธิปัตย์ก็มีเชิงแสดงออกขานรับเตรียมปฏิรูปกับกปปส. เหมือนรอรับที่คุณสุเทพทำตอนนี้

       ทั้งที่คุณสุเทพสัญญากับประชาชนหลายที จบงานนี้ผมจะหยุดเลิก แม้ประชาธิปัตย์ก็ไม่กลับไปแล้ว เป็นสัญญาประชาคม ได้ยินกันทั่วเลย แต่ถ้าคุณสุเทพกลับกลอก มวลมหาประชาชนไม่ยอมแน่ เพราะประชาชนไม่เอาการเมืองน้ำเน่าแบบเก่าแล้ว

       ตอนนี้เขาได้พัฒนาการ ซึ่งแบบเก่าเขาได้สร้างค่ายกลการเมือง จนถึงวินาทีนี้ เป็นเครื่องกลทางการเมือง เขาเรียกวิศวะการเมืองอบรมบรรยายเลย

       แต่ตอนนี้ประชาชนตื่นรู้ และรู้สัญญาณที่คุณสุเทพบอกมา เป็นประชาธิปไตยแบบที่ควรจะเป็น คุณสุเทพก็พยายาม ตนเองก็ลั่นปาก กับมาหประชาชนเลยว่าจะทำให้ได้  ก็เชื่อมั่นว่ากำนันสุเทพจะทำได้ และมีธรรมะด้วย แม้ฝ่ายแดงเขาก็กล่าวธรรมะ แต่ว่ามันมีเทพกับอสูร ทำไมต้องมี สุเทพ เทวดาดีด้วยนะ

       คุณสุเทพผ่านงานการเมืองมานานแล้ว แต่ว่าไม่มีศึกไหนน่าภาคภูมิใจเท่าศึกนี้ ถ้าทำได้อย่างสำเร็จ เรียบร้อย คุณสุเทพได้เป็นรัฐบุรุษแน่ ตอนนี้เป็นเทวาสุรสงครามของสยามประเทศ

       การได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารประเทศนั้น ของไทยมี 5 แบบ

       1. อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       2. อำนาจรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้ง

       3. อำนาจคณะรัฐประหารที่ได้มาจากการเลือกตั้ง

       4. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติอย่างไม่สงบ มีอาวุธ รุนแรง

       5. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติอย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง

       อันนี้เป็นประชาชนปฏิวัติ โดยอำนาจที่มีมาในรธน. แต่อีกประเด็นคือลึกๆ ประชาชนปฏิวัติโดยผิดบัญญัติจากรธน. แล้วก็ทำได้สำเร็จ ถึงได้มันก็ยากกว่า เพราะไม่มีบัญญัติในรธน. แม้จะสงบเรียบร้อยไม่มีอาวุธ

       แต่นี่เรานี่ประชาชนปฏิวัติโดยทำได้อย่างสงบเรียบร้อย ไม่มีอาวุธ และมีบัญญัติไว้ในรธน.ด้วย

       ซึ่งข้อ 5 นี้อาจแบ่งได้สองอย่าง คือ

       (5.1 แบบมีบัญญัติในรธน. และแบบ 5.2 มิได้มีบัญญัติในรธน.)

 

มาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

มาตรา 68 (วรรคสอง) "ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทําการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทําดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อ เท็จจริงและยื่นคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทํา ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนการดําเนินคดีอาญาต่อผูกระทําการดังกล่าว”

มาตรา 69 (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 70  บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

มาตรา 71 บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย

 

       โดยมวลมหาประชาชนที่ออกมาต่อต้านนี้ เป็นไปตามมาตรา 69  เราประท้วงจนรัฐบาลยุบสภา และตามรธน.นี้การจะได้มาซึ่งอำนาจบริหารประเทศก็มีระบุไว้ในรธน.ให้กกต.พยายามจัดการเลือกตั้ง กกต.ก็พยายามให้ดี แต่ก็ปรากฎว่า ประชาชนไม่ยอมมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง มากกว่าที่ไปใช้สิทธิ์ และต่อมาก็ไม่สามารถเปิดสภาได้ เพราะไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้เสร็จ แต่นายกฯก็ยังบอกว่าตนต้องรักษาการณ์อยู่นะ จะตายคาสนามประชาธิปไตย ซึ่งเขามีอำนาจรัฐอยู่มากมาย แต่ก็ยังพ่ายแพ้เลย แม้มีอำนาจขี้โกงทุจริตก็แพ้ แต่ก็ไม่ยอม แล้วพวกเราก็สุภาพ เราทำอย่าประนีประนอม ผู้ดีที่สุด เขากลับไม่เห็นความเป็นผู้ดีสุภาพ กลับหยาบ หยามเย้นหยัน รีบทำอะไรออกมา รีบทิ่งไพ่ออกมาเป็นกบฏ เลย พวกเราได้ทำส่ิงดีประเสริฐแก่ประเทศไทยได้ขนาดนี้

       สิ่งที่จะช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลายคือ

       1.ตุลาการภิวัฒน์

       2.ประชาภิวัฒน์

       3.กรรมาภิวัฒน์  ซึ่งอยู่ที่การกระทำของตนเอง

       คนเราเมื่อมีเนื้อธรรมะอยู่ เมื่อถึงเวลาวาระก็แสดงออกมาได้

       ขอทวน ศีล สมาธิ ปัญญา และ ทาน ศีล ภาวนา

       พุทธธรรมนั้น แม้ผู้ครองเรือนก็ปฏิบัติโลกุตรธรรมได้ ทุกเพศทุกวัย แม้เด็กที่เดียงสาเพียงพอก็ทำได้ หลักใหญ่คือ ทาน ศีล ภาวนา และต้องมีสัมมาทิฏฐิ กำกับ และธรรมโลกุตระไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับโลกีย์ไม่หนีโลกีย์ด้วย แต่อยู่เหนือมันไม่หลงกับโลกีย์ ล้างกิเลสได้ก็ไม่ติดโลกีย์แต่อยู่กับโลกีย์เขาได้ ทำงานกับสังคมไม่ย่อหย่อน ขยันกว่าเก่าด้วย

       ใน บุญกิริยาวัตถุ 3 หรือขยายเป็น 10 หรือในอนุปุพพิกถา

ทาน..ทานนี่เพื่อเอากิเลสออก ล้างกิเลสออก ไม่ใช่ว่าให้ของไปแต่ว่าใจกลับเอา เอาให้ได้มากกว่าเก่าอีกตะกละมาก ทานแบบนี้ไม่มีผล นัติถิ ทินนัง กิเลสหนาขึ้นๆ อาจได้ผลบ้างในสังคม เราออกกำลังแรงงานช่วยโลกก็เป็นผลดี ก็ได้แค่นี้ แต่ทางธรรมนั้น ไม่ได้เลย ทางปรมัตถ์ไม่ได้เลย นี่คือ นัตถิ ทินนัง หมายถึงไม่ได้ผลล้างกิเลส 

ในอุนุปุพพิกถา

ศีล

สัคคะ (สวรรค์)

กามาทีนวะ  โทษของกาม

เนกขัมมะ  การออกจากกาม

 

       คนจะเป็นโสดาบัน จิตต้องเข้ากระแส รู้สุขเท็จ ที่เป็นกามสุขขัลลิกะ เป็นการได้สุขจากการบำเรอกาม เรียกว่า กามคุณ แต่ว่าในอนุปุพพิกถานั้นไม่เรียกกามคุณ จริงคุณบำเรอกาม บำเรอโลภ คุณสุข แต่เป็นสวรรค์เท็จ  ซึ่งพระยสะเป็นอุคติตัญญู ฟังธรรมกัณฑ์แรกเป็นโสดาบัน จะรู้ว่ากามนี้เป็นโทษไม่ใช่คุณ ยสะมานพจึงเป็นโสดาบัน เพราะเนกขัมมะได้ ถ้าใครได้ฟังก็เปลี่ยนเลยทันทีก็เป็นโสดาบัน แต่ถ้าฟังเข้าใจ แต่ยังเปลี่ยนไม่ได้ ก็เอาไปทำใจในใจ อ่านจิตออก ว่าอาการอย่างนี้อาการกาม เป็นสวรรค์โลกีย์ สงบแบบได้ออกจากกิเลส

       เทวดาทั่วไปเป็นสมมุติเทพ คนปุถุชนทุกคนทั่วโลกรู้หมด เป็นอาริยะก็รู้ แต่ผู้อาริยะรู้ทั้่งสองอย่าง ทั้งแบบโลก และแบบโลกุตระ

       ที่พยายามอธิบายละเลียดนี้ เพื่อให้รู้ทางออกจากโลกที่วนเวียนสุขทุกข์อยู่อย่างเดิมหาทางออกไม่ได้ แต่โลกุตระนั้นหาทางออกได้ คือนิพพาน

       ที่เขาเรียนกันสารพัด แต่แตกไม่ออก แยกสวรรค์ไม่ได้ หรือแม้แต่ทานมีผลนี้ทำไม่ได้

 

       ทาน ศีล ภาวนา นั้น ภาวนาคือการเกิดผล เป็นอาริยธรรม เมื่อปฏิบัติทานหรือศีลให้เกิดผลเป็นภาวนา ถ้าไม่สามารถเกิดผลในจิตได้ อย่างเก่งคุณก็สุจริตอยู่ในโลก มีลาภ ยศ สรรเสริญไปตามโลกเขา ที่ตั้งหลักเกณฑ์ไว้ เช่นเอาเปรียบกัน เขาตั้งราคาแล้วคนก็จำนน ยอมซื้อ ด้วยบังคับ หลอกล่อให้เขาอยากได้ แม้แพงก็ยอม ทั้งที่เอาเปรียบเขา

       แต่ของโลกุตระนั้น ปฏิบัติให้เกิดผลลดกิเลส ทานนี่แหละมีผลลดกิเลสไปหานิพพานได้ เป็นระดับไหนก็ทาน จนหมดก็ไม่มีอะไรจะทานแล้ว มีแต่ธรรมทาน อรหันต์นั้นกิเลสหมดแล้วก็มีแต่ธรรมทาน เหลือแรงงานกับธรรมะ

       ส่วนศีล นั้นเขาก็บอกกันว่า ปฏิบัติศีลไม่ใช่ฌาน ไม่ใช่สมาธิ ต้องไปนั่งหลับตาเป็นสมาธิ

       ทำไมทานจึงเกิดฌาน เพราะรู้จักจิตในจิต จิตรู้จักล้างกิเลส ฌานคือจิตว่างจากกิเลสไม่ใช่จิตเข้าภวังค์ ถ้าไปกำหนดว่าฌานคือเข้าภวังค์ ไม่ใช่แบบพุทธแน่

       ฌาน คือไฟเพ่งเผา เพ่งเผากิเลส ไม่ใช่เผาเลอะหมดเลย เหมือนจะจับโจรก็ไปเผาทั้งประเทศเลย แล้วโจรหนีไปไหนไม่รู้แล้ว ไม่ใช่ฌาน

       ฌานคือเผากิเลส ฌาน นั้นมีเงื่อนไขที่ปราศจากนิวรณ์ ​5

       ก็ต้องรู้จัก อาการ กาม อย่างเช่นคุณทำทานไปก็ต้องอ่านจิตตนให้รู้  ประกอบด้วยญาณปัญญา ถ้าไม่มีญาณปัญญาก็เป็นการกดข่มไว้เฉยๆ ไม่เพ่งเผา หรือไปเพ่งกสิณ ไม่ใช่แบบนั้น แต่ว่าต้องรู้จิต แยกกุศล อกุศลในจิตออก แยกกายในกาย เวทนาในเวทน จิตในจิต ธรรมในธรรม

       อ่านเข้าไปตั้งแต่กายนอกกาย เข้าไปหากายในกาย เป็นอารมณ์สุขทุกข์ มันมีเหตุ ก็ค้นหาเหตุในอารมณ์สุขทุกข์ อย่างปัจจุบัน ตอนลืมตาตื่นเห็นๆ มองอะไรก็เกิดอาการจิต ว่าเป็นกาม อยากได้ หรืออยากเสพ มีอาการอารมณ์เกิด เราก็รู้และล้างมัน ว่ามันไม่เที่ยงหรอก ตอนสัมผัสเกิดอารมณ์สุข แต่พอไม่ได้สัมผัสอารมณ์สุขก็หายไปเหลือแต่ความจำ หากติดมากก็เอาสัญญาเก่ามาปรุงอีก เหมือนขยำขี้ เอาสัญญามาระลึก ความรู้สึกดีๆ แล้วจำความรู้สึกดีๆนี้ไว้แล้วหลงสุข ไม่เจอเธอก็เอาสัญญามาระลึกเพลิน สุขฉะนี้มีฤาจะลืมๆๆ เธอตายไปแล้วก็ยังไม่ลืม คุณตายไปก็หอบไปด้วย เป็นอนุสัย เป็นความไม่รู้ จองเวรภัย ติดไปเป็นของกู เป็นแค่ความจำยึดถือไว้ในอุปาทาน เป็นแค่จิตมันติดไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา จะไม่พรากจากกัน สะสมไว้แน่นหนา ท่านจึงใช้คำว่า ปุถุ แปลว่าหนา ไม่รู้กี่ชั้นๆ ไม่เรียกกิเลสใหญ่ หรือโต แต่เรียกกิเลสหนา อนุสัยซับซ้อนทับซ้อนกันไป

       ศีล คือ องค์ที่เรากำหนดไว้ปฏิบัติ เช่นศีล 5 และรู้จักขอบเขตของศีลแต่ละข้อๆ

       ศีลข้อ 1 ก็ไม่ฆ่า และชาวโศกกินความไปถึงไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย เพื่อให้ลดละความโกรธ

       ศีลข้อ 2 ไม่ลักทรัพย์ ก็ให้เกิดความเสียสละละความโลภ เห็นแก่ตัว

       ศีลข้อ 3 ไม่ประพฤติผิดในกาม แค่มีผัวเดียวเมียเดียวต้องเอาใจกันนี่ก็ทุกข์มากแล้ว

       พิจารณาให้เป็นว่าไม่เที่ยงไม่จริง ทั้งกิเลสและอารมณ์ และลึกที่สุดจิตก็ไม่มีจริง แต่ต้องระดับพระอรหันต์เป็นต้นไป อรหันต์ท่านมีจิต แต่ก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา ไม่มีเราซักนิดเดียว

       ในศีล 5 นี้ก็ไม่จัดจ้านมาก ลดละพอประมาณ ไม่ใช่ศีล 5 แต่อย่างไปหลงสรรเสริญมากเกินไป อยากให้คนยอย่องเชิดชูมากไปก็ลดละไปบ้าง จะไปติดทำไม ผ่านมันให้ได้ เรียกว่า ตามลำดับของกิเลส 3 ระดับ คือระดับแรก

1.    วิติกกมกิเลส (กิเลสหยาบๆ เห็นง่ายๆ ในสามัญสำนึก)

2.   ปริยุฏฐานกิเลส (กิเลสขั้นกลางผุดเกิดในจิตใต้สำนึก)

3.   อนุสัยกิเลส (กิเลสละเอียดแตกตัวลึกๆ อยู่ในจิตไร้-สำนึก)

 

       มันเป็นผู้มาเยือนเป็นแขกของเรา เราไปหลงว่ามันเป็นของเราเป็นใหญ่ในตัวเรา กิเลสมันสนิทเนียนมากเลย แต่เราต้องพิจารณาว่าไม่ใช่ตัวตนของเรา เราไปหลงนึกหวงแหนว่าเป็นเราเป็นโลภะ จองเวรกรรมเป็นโทสะ และหลงเสพรสว่าเป็นสุข ต้องได้ต้องเสพเป็นสุขนี่คือราคะ

       แม้แต่ความอยากได้อารมณ์เฉยๆนั่นคือราคะหรือโลภะ มันอยู่กับเราตลอดเลส ได้สัมผัสรสสงบสุขเย็นไม่มีอะไรเลยก็คืออัตตา เราไปยึดก็เป็นเหตุแห่งทุกข์

       มันไม่เที่ยง แม้หนีไปอยู่ป่าเขาถำ้ก็ตาม ไม่มีผัสสะมาก ทำเป็นลืม ไม่ได้เกิดปัญญาญาณว่าไม่เที่ยงเป็นเหตุแห่งทุกข์ เราต้องรู้จักกิเลสที่เราได้ล่วงพ้นมาแล้ว เรียกวิติกมากิเลสเราได้พ้นวิตกมะหรือสัมมติกมะ เราได้ทำลายหรือเข้าถึงล่วงพ้นแล้วเรียกอุปสมะก็ได้ เข้ามาสู่ภูมิสูงขึ้น ออกจากภูมิต่ำได้ นี่คือการเข้าการออก ไม่ใช่ไปนั่งเข้าฌาน ไปอยู่ในอาการไม่มีกิเลสในช่วงระยะหนึ่งสะกดไว้ โดยกสิณ แล้วออกจากภวังค์คุณก็มีกิเลสเหมือนเดิม ถือว่าออกจากฌาน สมาธิ สมาบัติ ได้อธิบายอย่างนี้ทำอย่างนี้นานๆก็ชำนาญได้ แต่คุณไม่ได้รู้เหตุ ดับเหตุไม่ได้เกิดญาณปัญญา ไม่มีโสฬสญาณ แต่กดข่มด้วยวิธีนานาสารพัด

       วิปัสสนาวิธีของพุทธนั้นรู้จักวิธีลดละกิเลสให้หมดถาวรไม่กดข่ม เราตัดรอบตามศีล เช่นเสียงเราก็เอาแค่นี้ไปเพราะแค่นี้ไม่ต้องเอาจัดจ้านมากๆ พิศดาร มากๆ ไม่ใช่ คุณหยุดคุณพอ ลดลงๆ ให้น้อยลงๆ ศีล 5 ก็กำหนดให้กามคูณ 5 พอประมาณ สมมุติว่าคุณเอากิเลสออกได้ ล้างออกได้ ล่วงพ้นได้ วีติกมะ หรือสมติกมะ มีอุปสมะเข้าสู่ภูมิสูง ได้แล้วได้เลย ออกจากอบาย มาสู่ภพกาม เข้าสู่ความเป็นฌานสมาบัติ หรือหลุดพ้นสมติกมะมาได้ เป็นสภาพ วุฏฐานะออกจากอบายสัตว์เป็นสัตว์สูงขึ้น นี่คือการเข้าการออก

       ออกอย่างลืมตาเห็นเหตุปัจจัยแต่กิเลสนั้นดับไป โดยไม่ต้องเข้าต้องออกอีก ออกแล้วออกเลย เป็นโสดาฯสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ไม่ต้องวนเวียนเข้าๆออกๆอีกเลย

       ฌานหรือสมาบัติ เป็นผล เรียกว่าฌานสมาบัติ สมาธิ เรียกว่านิโรธสมาบัติ ทำอย่างลืมตา ทำได้แล้วไม่ต้องไปเข้าๆออกๆอีก สุดท้ายเป็นอรหันต์แล้วไม่ต้องเข้าต้องออกตรงไหน

       ถ้าเป็นโสดาฯก็ต้องออกจากโสดาฯเข้าสู่สกิทาฯ....สูงขึ้นๆตามลำดับๆ สุดท้ายเป็นอรหันต์ไม่มีภพจะเจ้าอีกแล้ว มีแต่โพธิสัตวภูมิ …

       อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ก็คือปฏิบัติให้จิตพ้นจากศีลแต่ละลำดับๆ เป็นกรอบเป็นลำดับ ศีลกับสมาธิไม่ได้แยกกันเลย ทุกวันนี้เขาให้ไปปฏิบัติแยกส่วนกันหมดเลย ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา

       คนไปนั่งสมาธิหลับตาเหมือนพระพุทธเจ้า แล้วมีระลึกของเก่า หากมีปัญญามีสยังอภิญญาระลึกก็ได้ แต่ถ้าไม่มีบารมีคุณไม่ได้หรอก ได้แต่ฟุ้งซ่าน ได้แต่สร้างวิมาน ปรุงแต่งเองสมมุติเองเป็นมายาหลอกเยอะ ปั้นเอาเหมือนสำนักบางสำนักที่ปั้นสวรรค์หลอกกัน เป็นรูปร่างสีสัน มีเครื่องมือเนรมิต เขาก็ชอบรสนิยมแบบนั้น เหมือนหมาหลงขี้นึกว่าอร่อย

       สรุปแล้ว คำว่าฌาน คือเพ่งเผากิเลส จิตก็สะอาด แล้วก็รักษาผล อนุรักขณาปธาน ที่ได้จาก ภาวนาปธาน เป็นจิตตั้งมั่น ซึ่ง สมาธิ นั้นภาษาอังกฤษว่า Concentration เป็นการรวมจิต เป็นภาษาสามัญรู้กันทั่ว แต่ของพระพุทธเจ้านั้น คือสมาธิที่เพ่งรู้จักส่ิงสัมผัส จากส่ิงที่เกียวข้องตั้งแต่มหาภูตรูป เข้าไปสู่อุปาทายรูป

       เป็นกายในกาย เราต้องใช้ สัญญา ในการกำหนดรู้ในนามรูปนั้นๆ รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ นามรูป คือ รู้ส่ิงที่เป็นนาม นามที่ถูกรู้จึงกลายเป็นรูป

       อย่างนาฬิการหรือขวดนี้เป็นรูป ไม่มีนาม แม้ต้นไม้มีชีวะ แต่เป็นชีวะที่ไม่มีนามธรรม เป็นชีวะระดับต้นไม่ครบธาตุของนามธรรม ซึ่งนามธรรมที่ครบคือ เวทนา สัญญา สังขาร รวมกันเป็นวิญญาณ​

       ต้องมีผัสสะจึงเกิดวิญญาณ ผัสสะทางทวาร 5

       มีองค์ประชุมเรียกว่านามกาย อย่างรูปกายนั้นไม่ต้องพิจารณาอะไรมาก สัมผัสทางตา หู ก็เห็นได้รู้ได้ แต่ว่าต้องไปพิจารณาอารมณ์ ที่เกิดจากการปรุงแต่ง ตัวกิเลสเป็นตัวการ เราต้องวิจัยถึงเหตุแล้วกำจัดมันด้วยปหาน 5 ให้เกิดวิปัสสนาญาณ 16

1.    นามรูปปริเฉทญาณ ญาณจำแนกรู้รูป-รู้นาม   และ นามธรรมก็เปลี่ยนเป็น “รูป”  ให้ถูกจับมารู้อีกที

2.   ปัจจยปริคคหญาณ  ญาณรู้ปัจจัยของการก่อเหตุให้เกิดเป็นปัจจัยของอะไรๆ ตามมา  ให้เกิดเวทนาอีก 

3.   สัมมสนญาณ  ญาณรู้เห็นรูป-นามของกิเลสตัณหา  ซึ่งยังวนๆ อยู่อย่างเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป  ไม่เที่ยง

 

       ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นไม่ได้แยกกัน ศีลคุณก็ปฏิบัติมีกรอบ ให้เกิดฌานเพ่งเผาดับกิเลส ได้แล้วก็สั่งสมผล จนเที่ยงแท้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จนมันเป็นเองอัตโนมัติ สัมผัสเกี่ยวข้องกันไม่มีการซึมซับปรุงแต่งไม่เกิดปฏิกิริยาแก่กันเลย เช่นหลายคนนั่งอยู่ตอนนี้ อะไรที่คุณเองเฉยๆกับมัน เช่นผู้ชายเห็นลิปสติกก็ไม่ชอบหรือชัง จะราคาแพงอย่างไรก็เฉย จิตคุณไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร จิตเป็นกลาง แต่รู้กับเขาได้ว่าเขาติดยึดกัน

       หรือผู้หญิงเห็นผู้ชายกินเหล้า เราไม่ติดเหล้า เห็นเขากินเราไม่รักไม่ชัง บางคนอาจเคยชิมรสมันอย่างนี้หรือผู้ชายสูบบุหรี่ก็รู้ว่ากลิ่นมันเป็นอย่างไร มันไม่ได้ติดกันง่ายๆนะ อย่างสูบใบยานี่นะรับรองไม่ไหว มันไม่น่าติดเลย

       สรุปแล้วคุณไม่ติด ก็ไม่ผลักไม่ดูด ไม่รักไม่ชัง ก็รู้ว่าเป็นภาระที่เขาไปติด เราไม่ติดเลย นี่คือลักษณะของสภาพธรรม


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:03:04 )

570309

รายละเอียด

570309_พ่อครูที่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในงานรำลึกวีรชนราชดำเนินเรื่อง ศิลปะ 5 แบบ

       วันนี้เราจัดขึ้นเพื่อทำพิธี เพื่อให้เกิดคุณธรรม คุณภาพ กายกรรมเราก็มีการให้ มีแจกอาหารเกื้อกูลกัน ก็เป็นการทานการให้เสียสละ จาคะ เอาออกจากเราของเรา เป็นวัตถุ ส่วนมากทำทานนั้นเขาทำไม่ได้อานิสงส์ เพราะจิตไม่ได้ให้ ให้สิ่งของแต่ใจกลับโลภ ไม่มีมนสิกโรติ ทำใจไม่เป็นโยนิโสมนสิการ ไม่ทำให้ใจเกิดโน้มเอน ชี้นำไปทางไหน? จิตต้องน้อมไปเรียกอธิมุติ ต้องเป็นทิศทางจิตสละออก อ่านใจให้ออกว่าเป็นการทานสละออก ผู้ศึกษาธรรมะเข้าใจ แม้เป็นอภิธรรม เราก็เข้าใจอ่านออก

       เราจะทานด้วยวัตถุ ส่ิงของ แรงงาน ความรู้ เราต้องเข้าใจว่าเรามาให้ ไม่ใช่มาเอาไม่ได้ต้องการมาเป็นของเราอีก หรืออยากได้มากกว่าเก่า อย่างนี้ไม่มีอานิสงส์ ไม่เป็นบุญ

       ทาน ต้องมีองค์ประกอบศิลป์ Composition ในการทำให้เกิดพิธีการแล้วโน้นน้อมให้จิตวิญญาณเข้าสู่ทิศทางที่ต้องการ Convergence สู่ทิศทางนิพพาน

       ต้องรู้ว่าทิศทางโลกีย์กับโลกุตระต่างกัน โลกีย์คือได้สมอยากเสพกาม อัตตา แต่ทิศทางโลกุตระก็เป็นทิศทางออกจากกาม อัตตา เราต้องรู้ว่าจิตเราโน้มน้อมไปทางไหน ต้องอ่านออก รู้อาการจิต จิตมีตาทิพย์ อาการเกิดขณะนี้สัมผัสอยู่ นี่ฟังธรรมอยู่ จิตเราก็ต้องตรวจสอบดู ว่า เมื่อกี้นี้เราอธิษฐานตั้งใจอย่างไร เป็นทิศทางการให้ หรือทิศทางการเอา ขอให้ได้หล่อ รวย ได้บ้านได้เมือง จิตก็เป็นจริงนะเป็นมโนกรรม เกิดแล้วไม่เข้าทิศทาง ต้องรู้จักทิศทาง เส้นทาง Convergence องค์ประกอบโน้มนำสู่ทิศทางโลกุตระ จิตโน้มไปทางไหน

       เห็นเลยว่า มันจะดึงไปโลกีย์ เราก็สู้มัน โครงการแสนล้าน พันล้าน จิตมันจะเอา เราก็สู้มัน ให้จิตวางปล่อย มันทุจริต เราก็ชัดเจนเลย ฝึกดีๆ การทำฌานคือการอ่านจิตเพ่งเผากิเลส

       เรามีวิปัสสนาญาณ เห็นจิตเจตสิก เห็นรูป คือสิ่งที่ถูกรู้ แม้จิตเราก็รู้ได้ มันโน้มไปทางไหน โลกุตระหรือโลกียะ  เป็นองค์ประกอบให้คุณเห็น สร้างองค์ประกอบให้คุณเข้าใจ ถ้าให้เข้าใจเป็นโลกีย์เป็นอัตตา ได้ลาภยศ แต่ถ้าบอกว่าละหน่ายคลาย เราติดโลกธรรม กาม อัตตา เราก็โน้มทางโลกุตระ ผู้เห็นเช่นนี้คือมีวิปัสสนาญาณ​ไม่มีรูปร่างเส้นสาย

       การสอนบอกแบบนี้เป็นวิธีการ ที่เราประกอบขึ้น ถนนเส้นนี้เป็นถนนประวัติศาสตร์ เกิดการแย่งอำนาจ ทำร้ายทำลาย จนเจริญขึ้น แต่ก็ไม่เจริญซักที แต่ครั้งนี้ กปปส. ทำสงบได้ดี จนสามารถทำพิธีการฉลอง การปฏิวัติ​เราทำอยู่ในหมู่นี้ เราไม่ได้ทำกว้าง แต่จะลึกสู่จิตวิญญาณมากหน่อย ก็ยากหน่อย คนจะสนใจน้อย รูปเสียงกลิ่นรสไม่มาก มีรถที่ตะแคง มีรอยกระสุน รอยเลือด ที่คนเจ็บคนตาย เป็นประวัติศาสตร์ ก็นำมาให้คนเห็นคนระลึกถึง

       ถ้าจะเรียกองค์ประกอบเหล่านี้ว่าเป็นสุนทรียะก็ทำให้คนเข้าใจเข้าไปถึงเนื้อหา รวมองค์ประกอบทั้งวัตถุ และคน ทำให้จิตเกิดรู้ว่าอะไรคือกุศลหรืออกุศล เป็นศิลปะอภิธรรม นี่ต้องเรียนขึ้นป.เอก

       อย่างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยข้างหลังนี่เป็นเครื่องเตือนสติให้รู้ว่ามีการแย่งชิงอำนาจกันนะ อาตมาก็ทราบประวัติมาบ้าง เป็นการออกแบบโดย มล.ปุ่ม มาลากุล วางฤกษ์ ​24 มิ.ย. 2482 โดยจอมพลป. พิบูลย์สงคราม  ก่อสร้าง กค. 2482 มีศจ. ศิลป์ภีรศรี ควบคุมการก่อสร้าง มีมล.ปุ่ม ออกแบบ ลงทุนไปทั้งหมด 250,000 บาท

       แถวนี้มีโชว์รูมเบนส์ อาตมายังมาเลือกซื้อกับแฟนเลย จะเอาสีฟ้า คันหนึ่ง แสนสองหมื่นบาท รุ่นใหม่เลย แต่ก็มาบวชก่อนไม่ได้ซื้อ อาตมาตอนนั้นเป็นนักเล่นรถด้วยนะ แล้วก็พอเล่นได้ สังคมยั่วย้อมมอมเมากัน

       พอมาถึงวันนี้แล้ว ส่ิงที่เหลือเป็นศิลปะ อาตมาก็จะอธิบายความหมายของศิลปะ ทุกวันนี้เขามอมเมากัน ใช้ สี เส้นแสง เสียงล่อคน แล้วไปกันใหญ่ เป็นAbstract เป็นนามธรรม แล้วก็ไม่รู้ว่าสื่ออะไรเลอะไปหมด คนไม่เข้าใจกลายเป็นย่ิงติดในสีเส้นแสง จิตยิ่งติดในกาม เป็นงานที่ทำลายจิตวิญญาณ

       อาตมาแบ่งศิลปะ 5 ขั้น

       1.ลามก 2.ราคะ 3.สาระ 4.ธรรมะ 5.โลกุตระ

       มีขั้นตอนศิลปะอย่างนี้ ทุกวันนี้คนที่มาทำศิลปะ แม้แต่วรรณศิลป์ นาฏกรรม และดนตรีการ กลายเป็นเรื่องมอมเมา เพ่ิมกิิเลส เป็นเรื่องเข้าข่าย ลามก อนาจาร จะโป๊เปลือยก็ไม่สน ยั่วให้จิตก่อให้เกิดราคะ กาม อาตมาบอกวิธีที่จะอ่านว่าอะไรเป็นศิลปะอะไรเป็นอนาจาร

       คนที่สามารถเขียนรูปเปลือยหรือปั้นก็แล้วแต่ แต่คนดูแล้วเห็นแล้ว กามลด นี่คือศิลปะ แต่ถ้าดูแล้วกิเลส กาม ราคาะขึ้น นี่คือลามกอนาจาร อาตมายังไม่ค่อยเห็นคนที่เขียนนู๊ดให้เป็นศิลปะศิลปะซักเท่าไหร่ เคนเห็นรูปของปิกัสโซ่ ก็เอานมไปข้าง เอาขาแขนไปอีกทาง เห็นแล้วก็กามลด ไม่เกิดกาม ดูแล้วเกิดไตรลักษณ์ อย่างนี้เป็นศิลปะขั้นโลกุตระเลย ส่วนมากทำไม่ถึง ลามกซะเยอะไม่ว่าจะเป็นละคร เป็นเพลง ดนตรีการ นาฏกรรม วรรณกรรม ก็ส่อให้เกิดกิเลส พอกหนา แทนที่จะสังเวชใจ แต่ไปเสริม ลามก หลอกขายกัน หาตังค์ แล้วเรียกว่าศิลปะ นั่นไม่ใช่เลย นี่คือคนทำลายศิลปะ ทำให้ศิลปะเสื่อม

       ขั้นราคะนี่เยอะ ไม่ลามก แต่ว่าเสริมกิเลส เขาทำลามกก็ผิดกฎหมาย แต่ก็ทำเป็นขั้น ราคะ

       ขั้นสาระ เข้า Core หรือ Assent  จะมีสุนทรียะประกอบ จิตสัมผัสแล้ว จิตตั้งหลักได้ ว่าโลกต้องเป็นเช่นนี้ คนส่วนมากเป็นปุถุชน ยั่วกันด้วยกามโทษ ถ้าสาระไม่มีสุนทรีย์เลยก็เป็น สารคดี ไม่ใช่ศิลปะ วรรณกรรม กับสารคดีไม่เหมือนกัน

       วรรณกรรม เช่น การแสดงเส้นเสียง สีแสง ดนตรีกาล ถ้าสามารถทำให้กิเลสลดจางคลายนี่คือศิลปะ แต่ถ้ากิเลสเพิ่มนี่คือ ไม่ใช่ศิลปะ

       ขั้นธรรมะ ถ้าให้จิตโน้มน้อมไปเป็นธรรมะได้ก็เป็นงานระดับธรรมะ อย่างนี่ที่เราทำศิลปะที่ถนนนี่ อย่าให้เกิดจิตเลวร้ายอาฆาตพยาบาท ชิงชังกันนี่ไม่ใช่ศิลปะ แต่ต้องดูแล้วเกิดสำนึก จะทำอย่างไรให้องค์ประกอบฮาร์โมนี่ มีฤทธิ์นำพาไปสู่โลกุตระ อันนี้ต้องมีความรู้เข้าใจ เพื่อจัดองค์ประกอบศิลป์ให้เกิดผล ไม่ว่าจะรูปปั้น สถาปัตยกรรม  ก็ตาม เป็น Architecture  รวมทั้งมนุษย์ ด้วยเป็นองค์ประกอบ แต่คนจะมาสนใจอย่างนี้น้อยคน แต่คนไปสนใจเต้นดีดนั้นมากกว่า รสนิยมโลกุตระนั้นจะมีน้อยกว่าเป็นปกติ อาตมาเข้าใจเลย ไม่ได้ลงโทษตนเองด้วยว่าไม่มีฤทธิ์ให้คนสนใจมากมาย แต่เข้าใจเลย ทำแล้วมีคนพอได้ ตอนแรกมีคนไม่กี่คน แต่ว่าพอนานไปก็มีคนมาเพ่ิม ขออภัยไม่ได้ข่มกันนะ  แต่ของเขาก็ร้อน แต่ของเรานี่แดดร้อนก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องน่าได้ เป็นเรื่องจำเป็นเรื่องดี ฟังธรรมแล้วเกิดโสดาบัน เท่านี้ก็คุ้มแล้ว เราใช้อย่างนี้เป็นองค์ประกอบ

       ต่อมามีคนกางร่มให้พ่อครู...พ่อครูว่า อย่างนี้เขาอาจไปเล่นแง่ได้ว่าเป็นอำมาตยาธิปไตยเพราะได้อยู่ร่ม แต่พวกคุณอยู่แดด แต่่ว่าในมหาจักรวาลนี้ไม่มีส่ิงใดเท่ากันเลย มีสิ่งเดียวที่เท่ากันส่ิงนั้นคือ นิพพาน เท่านั้นที่เสมอภาค อรหันต์เล็ก กับอรหันตสัมมาสัมพุทธะนั้นเหมือนกันคือ ไม่มีกิเลส เป็นนิพพานเหมือนกัน

       เราเข้าใจจะใช้โอกาส แทรกยาทิพย์เข้ารูขุมขน คือเอาสัจธรรม มาให้ งานประท้วงเราก็ทำอยู่ แต่เราก็มีกิจกรรม มีองค์ประกอบเราจัดไปตามโอกาส ลึกซึ้ง แม้แต่ที่เราทำ กปปส.นี่เกิดมวลมนุษย์ รวมกันให้เป็นมวลใหญ่ ก็มีผลต่อสังคม มีจุดมุ่งหมายนะ มีปราถนาสำคัญ คือต้องการให้เกิดพลังที่จะให้คนรู้ คนยอม เป็นการต่อสู้ด้วยความสงบ คนด้านคนดื้อเขาไม่ยอมง่ายๆ เหลือใยนิดเดียวแต่แข็งด้านอย่างนี้เหลือใยนิดเดียวแต่ก็ยังขอรักษาการณ์ให้ได้จะตายในสนามรบประชาธิปตาย อาตมาละซึ้งใจจริงๆว่าอกุศลกรรมของคนเกิดให้เห็น ให้หลับตาปิดทวาร 6 ก็ยังรับรู้เลย เขาปิดกันให้แซดเลย ประเทศไทยก็มีสิ่งที่หยาบด้านกว่าสมัยพระพุทธเจ้า โสกโดก แต่เราก็ต้องทำมาถึงวันนี้เห็นอัตราก้าวหน้า สวยงามเลย

       ใครจะรู้ว่าความสงบสยบลูกปืน วันที่ 18 นี่เขาเอาตำรวจขนอาวุธมาเพียบ ขนรถเครื่องกลหนักมา ตอนนี้เขามาขอคืนอยู่นี่เราก็ยังไม่ให้เพราะเป็นวัตถุพยานนะ ให้ศาลตัดสินก่อน ตำรวจมาทำอย่างนี้เป็นลักษณะช่วยกบฎ แล้วเราก็เห็นธรรมฤทธิ์ ตำรวจวิ่งหางจุกตูด หัวซุกหัวซุน ทิ้งปืนทิ้งรถไปเลย เราทำสงบ นั่งสงบ แต่ไม่รู้ว่าใครมาช่วย มีคนที่เป็นธรรม มีอัชฌาสัยทนไม่ได้ต่อกรุณา เราก็ไม่ได้อยากให้เขามาช่วย แต่เขาก็มาป้องกันให้ แม้ตำรวจเขาป้องกันตัวเองก็เลยยิงสาดใส่ คนตายไปหลายคน มีร่องรอยเหลืออยู่เลย

       ไม่ใช่ให้เกียจชัง ตำรวจเขาถูกสั่งมาให้ทำ สุดท้ายก็หนีตาย แล้วให้เขามาฆ่าคนที่เขาไม่ทำอะไรเรา นั่งพนมมือสวดเมตตา ใจคนไม่ใช่ใจเสือ สัตว์ เขาก็วิ่งหนี ตำรวจมีตายด้วย เราไม่ได้ทำ กปปส.ไม่ได้ทำจริง แต่คนไม่เชื่อ ซึ่งใครจะทำให้ตำรวจตาย ก็มีฆ่ากันเองก็มี ตำรวจทำเอง เป็นป็อบคอร์น ใส่โม่งมาทำก็มี

       เราต้องศึกษา Phenomena เราให้เข้าใจองค์ประกอบ มีลีลา วิญญัติ เคลื่อนไหวให้เรารู้องค์ประกอบที่มาจากใจที่อกุศลหรือกุศลเราก็อ่านให้รู้ รู้ส่ิงที่สัมผัสได้ แม้นามธรรมถึงรูป 24 ก็อ่านได้ จนสามารถจัดสรรสัจธรรมให้ตนเองบรรลุวิการรูป ปริเฉทรูป บรรลุจิตว่างเป็นอากาส เบาเป็นลหุตา เป็นมุทุตา เป็นจิตไวเร็ว ไม่แข็งกระด้าง เชิงปัญญารู้เร็ว เชิงเจโตก็ปรับได้ไว เป็นมุทุตา เรียกจิตหัวอ่อน แล้วก็ทำกรรมการงานเป็น กัมมัญญตา เป็นปัญญาชนิดโลกุตระ ก็เป็นการกระทำเหมาะควรดี เป็นศิลปะมีฤทธิ์แรงให้คนสัมผัสแล้วจิตดำเนินสู่โลกุตระ

       ส่วนลามกนั้นไม่ใช่ศิลปะ มีกฎหมายควบคุมอยู่ ส่วนราคะ นั้นเขาหลอกว่าเป็นศิลปะหลอกว่าไม่ลามกอนาจาร หลอกว่าศิลปะแต่หลอกจัดจ้านพลางลวง ในโลกนี้เป็นราคะเสียเยอะมากเลย

       ส่วนสาระนั้นมีสุนทรียะประกอบ แต่ถ้าไปหลงสุนทรียะไม่เข้าใจสาระก็มอมเมา

       อาตมาทำศิลปะมาตลอดชีวิต แต่คนไม่เข้าใจหรอกว่าอาตมาทำศิลปะ แต่ก็ได้ผลมาตลอด อย่างงานการเมืองที่ออกมานี่ก็ทำได้ผล

       ยศ ยิ่งสูง ก็มีอำนาจสั่งการมาก คุณต้องรับผิดชอบหนัก ไม่ใช่เอามากดขี่ ข่มเหงชี้ใช้ เอาเงินมาฟาดหัวคนอื่น แล้วใช้เป็นเบี้ยให้ตนชนะเกมการเมือง เพื่อรวบอำนาจ หลอกคนทั้งชาติ คนไม่เข้าใจก็ตกเป็นเหยื่อ พูดกันก็ไม่เชื่อ บางคนก็ถูกหลอกแม้เป็นชาวอโศก เขาก็ยังศรัทธาอาตมา เขาก็ส่งข้อมูลมา ขออภัยที่ต้องบอกนะ แม้เป็นเรื่องเสี่ยงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย เขาส่งข้อมูลว่า 100 % เลย ว่าในหลวงเป็นอย่างไร แล้วเขาปิดข่าวกัน แต่ต่อมาก็ปรากฎกว่าไม่ใช่ เขาก็ส่งข้อมูลมาเรื่อย เป็นไปได้ปานนั้น สังคมเราก็มีคนถูกหลอก มีคนตั้งใจหลอก ตอนนี้เวทีแดงแรงมากเพราะเขาดิ้นเฮือกสุดท้าย เป็นลมหายใจเฮือกสุด ท้าย พยายามทุกอย่างเลย ลงทุนมาก อาตมาตั้งข้อสังเกตุว่า สีแดงเฉดเดียวกันเลยเป็นการจัดตั้ง  ถ้าไม่ใช่มาจัดตั้งก็ต้องมาหลายเฉดสี แม้สีแดงก็มีหลายเฉดสี  แต่แดงเขาเฉดเดียวกันเลย มันมาจากบ่อเดียวกันเลย อาตมาก็อ่านออก หรือบางคนอาจซื้อมาเอง แต่เขาก็ต้องรู้จักบ่อที่จะสั่งซื้อ เขาไม่หลากหลาย หลอกคนไม่สนิท แต่ของเรานี่หลากหลาย เป็น Unity of Diversity มาหลากหลายแต่จิตเป็นหนึ่ง เอกัคคตา

       การจะประกอบอะไร เช่นแม่ครัว คนสร้างบ้าน ทำยาต้องเอานำ้ตาลมาเคลือบ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เอาน้ำตาลใส่มากๆ เด็กก็อมกินแต่น้ำตาล แต่ว่าพอถึงยาก็บ้วนทิ้งเลย เด็กก็ฉลาดเฉโก

       เราก็ต้องรู้การประกอบตกแต่ง เขาเรียกว่ามัณฑนศิลป์ แล้วแบ่งโลกุตระหรือโลกียะออกหรือไม่ เป็นวิสูกทัสสนา เป็นข้าศึกแก่กุศลหรือไม่ ทำให้เกิดกิเลสเพิ่มหรือไม่? ทำให้โทสะหรือกามเพ่ิมหรือไม่?

       หนังมีสามรส คือรสโกรธ รสกาม รสหลง หลอกกันอยู่แค่นี้ไม่เป็นศิลปะ เพราะต้องแก้แค้น บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ อย่างนี้ไม่ใช่ศิลปะเลย เป็นราคะหรือลามกด้วย ที่จริง แค้นต้องอภัย  ต้องยกเลิกอโหสิ

       ราคะก็หยำฉ่าเลอะเทอะ คนดาราจริงต้องเข้าถึง ต้องฆ่า แค้น ต้องราคะลามกจริง พวกนี้ไม่เข้าใจศิลปะ อาตมาเคยวิจารณ์​ หนังเรื่องไตตานิค มันลามก ราคะมากอย่างไร เคยเขียนหนังสือวิจารณ์ เขามีความขัดแย้งระหว่างนายแจ็คกับครอบครัวของฝ่ายหญิง ถ้าไม่เข้าใจก็เป็นเหยื่อ แล้วก็มีเรื่องที่มอมเมาสารพัดพิสดาร หนังจีน ไต้หวัน แต่เกาหลีนี่มีธรรมะอยู่มากกว่า ขออภัยที่อาตมาวิจารณ์​เหมือนคนรู้มาก เป็น นามปากกา ที่อาตมาจะใช้ว่า “อวดฉลาด ตลาดเพชร”

       ศิลปินต้องจัดองค์ประกอบสัดส่วนให้ไปสู่โลกุตระ แม้ในสนามรบเราก็จัดเป็นพิธีกรรมได้ มันไม่หรูหรายิ่งใหญ่เหมือนพรรคกระยาจก ขอทาน อย่างในมังกรหยก มีอั้งชิกกงเป็นหัวหน้าพรรค มีไม้ตีสุนัขเป็นสัญญลักษณ์ มีกิมย้งเขียนแต่โกวเล้งเขียนได้ลึกกว่ากิมย้งแต่ว่าองค์ประกอบไม่สนุกเท่ากิมย้ง

       เรื่องศิลปะจึงสำคัญสำหรับมนุษยชาติ ถ้าเข้าใจไม่ดีพอก็เลยเป็นเรื่องหลอก ไม่เป็นอาริยะ กาละนี้ก็ได้สาธยายส่ิงที่ควรสาธยาย ถ้าผู้ใดเป็นศิลปิน ก็จะได้ประโยชน์มาก ทำแต่สาระนั้นมันแข็ง คนไม่อยากเสพงาน ขนาดงานโลกุตระที่ทำนี่ ถ้าจะให้มีศิลปะมากกว่านี้ก็จะได้คนมามาก แต่ว่าจะสร้างเขาทันไหม คนที่เข้ามานี่นิวแซนเก่งทำให้ยุ่ง เราต้องคัดคนมาร่วม ใครจะว่าอาตมามีฝีมือแค่นี้ อาตมาไม่มีฝีที่มือ อาตมาทำตามความรู้สามารถที่ได้ ใครจะว่ามีฝีมือไหมก็ว่าไม่มี มือไม่มีฝี ไม่เคยสร้างฝีใส่มือเลย นี่ก็เป็นการใช้ภาษาที่ทำให้คนเข้าใจ

       อาตมาไม่มีฝีมือ แต่ว่ามีมือในการทำงาน จะทำงานอย่างมีลายมือ ทุกวันนี้ทำงานด้วยลายมือไม่มีฝีมือ ใครจะมีฝีมือก็เก่งไปเถอะ อาตมาเคยคุยกับถวัลย์ ดัชนี เขาก็เรียนป.เอกมา ต้องเรียนโลกุตระ ศิลปะระดับป.เอกต้องสื่อให้ถึงโลกุตระ

       ศิลปินหรือไม่ใช่ก็ตาม แต่มารวมกลุ่ม สร้างอิทธิพล แยกอิทธิพลเป็นElite แล้วแบ่งชั้นชนในสังคม อวดดี แล้วRealistic ก็เบ่งข่มกับ Idealistic ซึ่ง Idealistic นั้นบ้าๆบอๆ คิดเอาเอง ตั้งชื่อเป็นภาษาฝรั่งบ้าบอคอแตกกันใหญ่ ส่วน Realistic นั้นมีส่วนจริงกว่า ขออภัยที่วิจารณ์เรื่องศิลปะมากหน่อย ขอ “อวดฉลาด ตลาดเพชร”หน่อยเถอะ

       อาตมาทำงานศิลปะเพื่อโน้มน้อมจิตวิญญาณคนให้ออกจากกิเลส เป็นโลกุตระ คนก็อาจเข้าใจยาก แต่อาตมาทำตามประสา ไม่ได้ด้านหนาแบบคุณยิ่งลักษณ์นะ อาตมารู้อะไรสมควรถอยก็ถอย อาตมาถอยเก่งนะ อาตมาแต่งเพลงผู้แพ้นะ แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง แต่งตั้งแต่อาตมาเป็นคนส่งหนังสือพิมพ์

       

       ผู้มีความรู้ในเรื่องศิลปะ ให้คนมีจิตใจพัฒนาการ ลดกาม ลดพยาบาท ลดโลภ โกรธหลง ผู้นั้นคือ ครูของโลก  (ขณะนั้นร่มที่กางให้พ่อครูจะล่ม) พ่อครูว่า..เป็นลางนะใกล้จะจบแล้ว ก็ช่วยกันประคองอย่าให้ล่มตอนจบนะ ตอนนี้ก็แข่งกันด้วยปริมาณ มวล ก็เคยเรียกร้องมวลออกมากัน ก็รู้แล้วว่าใครจะมีมากกว่ากัน

 

       คุณเจ๋ง(ศิลปิน) มอบหนังสืออนุสรณ์ 14 ตุลาฯ อ่านบทสำคัญของ หนังสืออนุสรณ์ 14 ตุลาฯ …. “ผู้กล้้าตายเพื่อชาติด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เป็นตัวอย่างอันเลิศแก่ผู้ที่อยู่ข้างหลัง ผู้ที่อยู่ข้างหลังจะต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะรักษาเจตนาบริสุทธิ์ให้ดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไป” ...เป็นพระราชดำรัสของในหลวง ท่านเป็นโพธิสัตว์ ก็รู้องค์ประกอบ รู้โลกุตรธรรม ว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นักเศรษฐศาสตร์ก็เข้าใจไม่ได้ แล้วก็ตรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ตรัสเรื่องแบบคนจนอีก ...เป็นนักเศรษฐศาสตร์โลกุตระ โลกกำลังจะมาศึกษา คนไทยนี่แหละ จะสู้นักเศรษฐศาสตร์ต่างประเทศไม่ได้จะฉวยเอาไปเป็นโนเบิลไพรซ์ได้ก่อน

       ผู้ที่มีปัญญา ก็เห็นใจคนที่เข้าใจไม่ได้ ไม่ได้ข่ม ไม่ได้ดูถูก แต่มันยาก ก็ต้องพยายาม เอาพระราชดำรัสในหลวงมาออกอากาศสื่อออกไป แบบคนจน หรือ Our loss is Our gain ขาดทุนของเราคือกำไรของเราก็หาว่าเราโหนในหลวง เราก็ว่าโหนก็โหนสิ แต่ว่าเราไม่ได้พึ่งตนไม่ได้เราพึ่งตนได้ มีเหลือเฟืออุดมสมบูร์ ก็เป็นไป มีคนมาช่วยเหลือ เหมือนกับป็อบคอร์นที่มาช่วย ก็มีจริง   

       ถ้าเราไม่เจริญในเรื่องศิลปะ ศาสตร์ที่เรียนรู้จะกลายเป็นศาตราหรืออาวุธ ทุกวันนี้การศึกษาไม่รู้จักศิลปะ เลยได้แต่ศาตราไปฟาดฟันกัน จิตคนเรียนไม่บรรลุศิลปะ ก็เลยกลายเป็นความรู้ที่ไปทำร้ายกัน เป็นอาวุธที่ใครมีแหลมมากกว่าก็ไปทำร้าย ไปเอา ฟันจนไม่รู้ว่าตนเป็นทรราช เขาอยู่นอกประเทศก็ยังสั่งการได้มากมาย แต่ว่าก็มีคนที่เขาสั่งไม่ได้ก็มีอยู่นี่ก็มี

       เขาเรียนมาทุกวันนี้แข่งขันกันมา แจกศาตราให้กัน เรียนมาด้วยกันกอดคอกัน แต่พอมาทำงานแล้วก็ได้โลกธรรม หรือบางเหล่าก็รักกันเป็นหมู่ ช่วยกันฉุดไปหานรกกันเลยก็มี เราเรียนมาก็อย่าให้ความรู้เป็นศาตราที่ไปหำ้หั้นมนุษยชาติ

       ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนถูก เช่นศาลตัดสิน เราทำนี่ถูกต้องตามหลักสากล ศาลเป็นผู้มีดวงตา ถือเป็นตุลการของประเทศ เขาเห็นว่าเราถูกรังแกโดยผู้มีอำนาจของประเทศ ศาลก็เลยสั่งสอนซะ คุณประกาศพรก.ฉุกเฉินนะ แต่ก็ว่าศาลก็ว่าเราทำถูกตามมาตรา ที่มีในรธน. ก็ต้องคุ้มครองเขา เป็นตำรวจนี่ต้องทำคุ้มครองนะ เขามาล้มกบฏที่ไม่ชอบธรรม ผู้รู้นิติศาสตร์จะเข้าใจ เรายืนยันว่าเราทำถูกกฎหมาย ถูกรธน.ด้วย ถูกธรรม

       ศาลไม่ได้มาช่วยเรา แต่ศาลอธิบายสัจธรรม แต่ว่ากปปส.ทำอย่างถูกเข้าหลักเกณฑ์ ศาลก็เลยคุ้มครอง ไม้ได้เข้าข้างนะ ไม่ลำเอียง คนถูกก็ต้องเห็นด้วยกับคนถูก ศาลท่านไม่อคติ ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก แล้วตัดสินถูกมาตกกับกปปส.เป๊ะเลย แล้วใครล่ะเป็นกบฏ

       ถ้าศาสตร์ใดไร้ศิลปะ แต่ทำเพื่อของกูตัวกู พรรคกูนี่ไม่ใช่ศิลปะ เราพูดนี่พูดสัจจะไม่ได้ว่าให้เขาโกรธ ใครโกรธนั้นเป็นคนปัญญาทราม อย่าไปโกรธกับคนโกรธ แล้วคนที่ทำผิดทั้งๆที่รู้ แถมโกหกอีก ก็ยิ่งซวยซ้ำซ้อน ยิ่งราคาบาปซ้ำอีก คนอื่นมาทำตามก็บาปเพ่ิมอีก แล้วทำบาปสำเร็จก็ย่ิงบาปเพ่ิมอีก

       บาปอย่าทำ แต่ถ้าทำดีนะ ทำได้ก็ได้ราคาบุญ แล้วมีคนเห็นทำตามก็ย่ิงเป็นบุญ ทำสำเร็จเป็นบุญยิ่งอีกเพ่ิมขึ้น นี่คือทำพระเจ้า ทำจิตให้เป็นพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียงกับพระเจ้า ส่ิงที่เจริญ เป็นจิตเจริญเรียกพระเจ้า หากไม่เจริญเป็นซาตาน เป็นผีเป็นมาร เดือดร้อน อาละวาดวุ่นวาย อยู่นอกประเทศก็อาละวาดได้ ไปสร้างบริวารข้างนอกมาทำร้ายประเทศไทย ก็บาปราคาสูงมาก จะใช้อีกกี่ล้านชาติก็ไม่รู้ ไม่ได้กระหน่ำซ้ำเติม แต่พูดความจริง แม้ผู้รับช่วงอยู่ในประเทศก็ให้รู้แล้วหยุดเถอะ ทำแล้วเป็นกรรม เอาอะไรลบไม่ได้ ไม่หายสูญ ตกหล่น ไม่ระเหยระเหิด ของจริงไม่หายไปไหน ต้องใช้วิบากจนกว่าจะหมด...

       ก็ขอให้ทุกคนพยายามศึกษาศิลปะ แล้วเอาไปประกอบกับศาสตร์ความรู้ของเรา ให้ศาสตร์ของเรานำจิตเราเจริญเป็นพระเจ้า รักมนุษยชาติ ช่วยทำให้สรรพสิ่งเจริญขึ้นตั้งใจศึกษาให้ดี ใช้องค์ประกอบ ทุกอย่างเป็นอุปกรณ์ในการศึกษา ทำศิลปะให้เกิดแก่สังคม โลก บ้านเมือง ช่วยกันพัฒนาสังคมประเทศชาติให้ดี...สู้กันอีกใยสุดท้ายขอให้ช่วยกันให้สำเร็จ....จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:04:58 )

570310

รายละเอียด

570310_พ่อครูและอ.กฤษฎา เรื่อง กติกาประชาธิปไตย ตอน1       

       พ่อครูว่า...อำนาจนั้นเป็นอย่างไร ใครมีสิทธิ์ได้อำนาจ ….อาตมาพยายามเรียบเรียบมาหลายครา แก้ไขหลายที

       ตอนนี้เรื่องดำเนินไปจนคนเห็นได้หมด ทั้งในประเทศและต่างประเทศตอนนั้นแหละท้องแตกตาย คือเต็มที่ของความชั่วที่เขาทำ แตกเหม็นโฉ่เลย

       เราดำเนินตามรัฐธรรมนูญ มาตราต่างๆต้นๆของรัฐธรรมนูญปี2550 เลย

มาตรา 1 (รูปแบบรัฐ)ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

มาตรา 4 (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค)ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง

       เมื่อเราแสดงออก สิทธิเราย่อมได้รับการคุ้มครอง พวกราชสีห์เอ๋งเขาก็ร้องๆออกไป

มาตรา 5 (ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย)ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน

มาตรา 6 (กฎหมายสูงสุดของประเทศ)รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

มาตรา 7 (การอุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ)ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       ซึ่งประเทศไทยเหมือนบ้าน ทุกคนต้องช่วยกันรักษาดูและ เหมือนปลวกขึ้นบ้านก็ต้องดูและหรือโจรปล้นบ้านก็ต้องช่วยกันจัดการ

       ตอนนี้สองสถาบันหลักคือ บริหารและนิติบัญญัตินั้นพิการไปแล้วใช้ไม่ได้ เหลือศาล ตอนนี้อำนาจในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญก็ต้องกลับมาเป็นของปวงชนชาวไทย

        และมาตรา 4 และ 5 ก็ยิ่งเสริมอำนาจของประชาชนอีก ไม่ว่าจะเพศหรือศาสนาใด ย่อมได้รับการคุ้มครอง ส่วนมาตราที่ 6 ก็ต้องอธิบาย รัฐธรรมนูญกับกฎหมายกับธรรมะนั้น จึงเป็นหลักเดียวกับศีลกับวินัย

       อย่างในศีล ในธรรมวินัย นั้น ก็เป็นใหญ่กว่าบุคคล เหมือนรัฐธรรมนูญก็อยู่เหนือบุคคล

       หยิบมาพูดนี้ให้รู้ว่าศาสนาก็คือประชาธิปไตย ทุกคนต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของศีลหรือธรรมวินัย ฉันเดียวกันกับโลกที่จะไปตั้งใครใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ แม้พระมหากษัตริย์ แม้ในศาสนา สังฆราชก็ต้องอยู่ใต้ศีล หรือวินัย

       ซึ่งในรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติที่ให้อภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นเช่น

หมวด 2 พระมหากษัตริย์

มาตรา 8 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่ เคารพสัก การะผู้ใดจะละเมิดมิได้ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระ มหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้

       เหมือนในศาสนาก็ให้อภิสิทธิ์แก่พระพุทธเจ้าเป็นต้น ซึ่งใช้หลักเดียวกัน

       ใครจะมาจำกัดริดรอนสิทธิ์ของกษัตริย์ในหลายประเทศก็แล้วแต่ ริดรอนท่านจนหลายประเทศเหลือแค่สัญญลักษณ์ แล้วแต่ประชาชนในประเทศนั้นจะกำหนด

       ส่วนประชาชนย่อมมีสิทธิ์ส่วนตัวที่จะยกให้พระมหากษัตริย์หรือยกให้อรหันต์ เป็นสิทธิส่วนตัวของแต่ละคน ไม่มีอะไรบังคับ ซึ่งแม้บางประเทศจะริดรอนสิทธิ์ท่าน แต่ว่าท่านทรงทศพิธราชธรรม ก็มีประชาชนยกย่องท่าน ไม่ต้องมีกฎหมายเลยอย่างเช่นในอังกฤษเป็นต้น

       แต่อย่างไรก็ละเมิดไม่ได้ตามศีล ตามวินัยและทางโลกก็ต้องไม่ละเมิดกฎหมาย

       พระอรหันต์และกษ.ที่ทรงธรรมนั้น ก็จะอยู่ในหลักศีล วินัยได้โดยไม่ยากลำบาก เป็นภูมิธรรมของท่าน แม้จะริดรอนสิทธิท่าน ก็ไม่มีปัญหา ท่านก็ทำได้ตามกฎหมาย ท่านทำงานเต็มที่ให้ประชาชน กฎจะออกมาอย่างไรก็ไม่เป็นไร

       บุคคลใดที่จะอยากได้อำนาจให้แก่ตนนั้น จึงมีจริงสำหรับผู้มีกิเลส จึงทุกข์จึงละเมิดตามแรงกิเลส

       ไม่ว่าบทบัญญัติจะห้ามหรืออนุญาต ท่านก็ไม่มีปัญหา เพราะมีภูมิธรรมพอ

       ความมีอำนาจอธิปไตยของตนที่จะใช้กับสังคม จึงจะถูกจำกัดด้วย ภูมิธรรมจริงของตน และตามบทบัญญัติของกฎหมายหรือวินัยและศีล

       ใครจะทำดีไม่ดี จะละเมิดกฎจึงขึ้นอยู่กับภูมิธรรมจริง

 

       อำนาจอธิปไตยของประชาชนไทย ต้องมาวิจัยกันดู ที่วิเคราะห์วิจัยกันตอนนี้ก็เรื่องอำนาจ หรืออธิปไตยนี่แหละ ต้องทำความเข้าใจจริงๆว่า

       การได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารประเทศมี 5 แบบ

       1. อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       2. อำนาจรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้งตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

       3. อำนาจคณะทหารที่ได้มาอย่างไม่สงบรุนแรงไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญนี้

       4. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติอย่างไม่สงบ มีอาวุธ รุนแรง

       5. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติอย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรงเป็นไปตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

 

       อาตมาพยายามอธิบายข้อที่ 5 นี้แหละ ก็เข้าใจกันยาก อาตมาก็ขออวดฉลาดในตลาดเพชรหน่อย

       อำนาจที่จะวินิจฉัยในกรณีใดก็พาดพิงไปมาตรา 7 อำนาจที่จะวินิจฉัย กรณีใด ไปตามประเพณีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 7 โดยมีการกระทำที่ดีงามชอบธรรม เป็นวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

 

       มาตรา 69 (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้             

 

       แต่ถ้าคุณทำแล้วมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ แต่สงบถูกต้องตามธรรม อันนี้ย้อนอยู่ในอันนี้ เพราะในรัฐธรรมนูญนี้ถ้าเป็นความสงบ ก็จะเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งบทบัญญัติก็ต้องให้เป็นวิถีที่ถูกต้องดีงามสงบ สุภาพ อันนี้ให้ทำได้ ตามม.68

       

       บทบัญญัติ รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

 

       คนบอกว่าเราจะทำได้อย่างไร … เราก็ทำได้ เป็นส่ิงที่ไม่เคยมีมาในโลกที่ประชาชนทำอย่างดีงามสงบ

       เราต้องพิจารณาว่าการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศนั้น เป็นส่ิงถูกต้องดีงาม สงบ เรียบร้อย หรืออีกนัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือ ตรงกับบัญญัติในรัฐธรรมนูญไหม ?

       ต้องพิจารณาเรื่องนี้ ว่าการกระทำของของคนหรือกลุ่มบุคคลที่ควรต้องยกให้มีอำนาจในการปกครองประเทศ ที่ไม่มีบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้เช่นอำนาจในการบริหารประเทศ เช่น นายกฯ ซึ่งนายกฯตอนนี้ตกกระป๋อง ลาออกไม่ได้เพราะไม่มีบทบัญญัติให้ลาออกไป ก็ต้องวิจัยกันว่าเหมาะควรไหมในการให้เป็นนายกฯต่อไป

       

       การพิจารณา ก็พิจารณาและตัดสินได้จากประเด็นต่างๆ ดังนี้

       (1) อำนาจฯที่ได้มาตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

       (2) อำนาจฯที่ได้มาไม่ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

       (3) อำนาจฯที่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

และเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

       (4) อำนาจฯที่ไม่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

แต่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

       (5) อำนาจฯที่ไม่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ แต่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

       (6) อำนาจฯที่ไม่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ และไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

       (7) อำนาจที่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ แต่วิถีทางไม่เป็นไปตามสัจธรรม ไม่มีคุณธรรม ไม่ดีงาม ไม่สงบ ใช้อาวุธ รุนแรง ไม่สันติวิธี

       (8) อำนาจที่ไม่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ แต่วิถีทางเป็นไปตามสัจธรรม มีคุณธรรม ดีงาม สงบ ไม่ใช้อาวุธ ไม่รุนแรง

สันติวิธี

       (9) อำนาจที่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ และวิถีทางเป็นไปตามสัจธรรม มีคุณธรรม ดีงาม สงบ ไม่ใช้อาวุธ ไม่รุนแรง สันติวิธี

       (10) อำนาจที่ได้มาโดยการใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้แล้ว แต่ วิถีทางเป็นผู้กระทำไม่ซื่อสัตย์ไม่เที่ยงตรง กระทำขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ กระทำผิดรัฐธรรมนูญนี้ ผิดจริยธรรม กบฏ จึงไม่สมควรมีอำนาจแล้ว

       (11) อำนาจที่ได้มาโดยการใช้วิธีการไม่ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ และวิถีทาง เป็นผู้กระทำไม่ซื่อสัตย์ไม่เที่ยงตรง กระทำขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ กระทำผิดรัฐธรรมนูญนี้ ผิดจริยธรรม กบฏ จึงไม่สมควรมีอำนาจเลย

       (12)  อำนาจที่ได้มาโดยการใช้วิธีการไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ แต่ เป็นผู้กระทำที่เที่ยงตรง กระทำไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ เป็นแต่เพียงรัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้บัญญัติไว้ ไม่ผิดจริยธรรม ไม่กบฏ จึงสมควรมีอำนาจกว่าข้อที่ผ่านๆมา

       (13) อำนาจที่ได้มาโดยการใช้วิธีการโดยบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ และ วิถีทางเป็นผู้กระทำที่ซื่อสัตย์เที่ยงตรง กระทำไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ ไม่ผิดจริยธรรม ไม่กบฏและเท่าที่รัฐธรรมนูญนี้ได้บัญญัติไว้ ผู้นี้แลสมควรเป็นผู้มีสิทธิ ในอำนาจการปกครองประเทศได้แล้ว เพราะมีความ ถูกต้องดีงามสูงสุดย่ิงกว่าข้อใดๆ เท่าที่ประมวลความเป็นอยู่มีอยู่จริงทั้งหมดแล้ว 

       (14) ที่สุดนั้นผู้ใดหรือกลุ่มบุคคลใดควรเป็นผู้มีสิทธิในอำนาจการปกครองประเทศสัมบูรณ์สุด ก็ต้องตามวิธีการที่มีในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้ เพราะผู้นั้นหรือกลุ่มบุคคลนั้นมีวิถีทางที่เป็นไปตามความถูกต้เอง  ดีงาม มีศีลธรรม และสัจธรรมสูงสุดกว่า ผู้ใดหรือคณะบุคคลอื่นใดอย่างบริบูรณ์สัมบูรณ์

       นั่นคือ บุคคลนั้นหรือคณะบุคคลนั้น ใช้วิธีการก็ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ และวิถีทางก็เป็นไปตามบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

 


       กำนันสุเทพที่บอกว่าทำอันนี้สำเร็จแล้วก็จะวางมือเลย ถ้าทำอย่างนั้นจริงรับรองว่าเป็นรัฐบุรุษเลย ของโลกด้วย จะติดไว้ในรัฐศาสตร์ของโลกเลยไม่ใช่แค่ในประเทศไทย เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มา วิสามัญ​ ประกอบด้วยเหตุปัจจัยโอกาส มีการสั่งสมมา ปัจจุบันนี้เราบังคับไม่ได้ จะมีคนมีบารมี สมรรถนะอย่างนี้ เป็นคนที่เขาได้รับการนิยมชมชอบอย่างนี้เป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์ พร้อม ต้องมียิ่งลักษณ์เป็นอย่างนี้ และโยงใยถึงทักษิณคิดเพื่อไทยทำ และต้องได้คนอย่างนี้ มีคุณปึ้ง มีคุณเฉลิมอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ วิบากกรรมจะสั่งสมมา มีเหตุปัจจัยพอเหมาะ

       อย่างพระพุทธเจ้าท่านจะรู้เหตุปัจจัย ว่าต้องมาทำอย่างนี้จะได้ตรัสรู้ ท่านมีพุทธุปาทกาละ คือรู้กาละเวลาที่จะต้องอุบัติศาสนาอย่างนี้ ท่านก็ตรวจโลก ว่าต้องทำ ครบเหตุปัจจัย ท่านก็ประกาศศาสนา เมื่อท่านประกาศศาสนาก็ต้องมีอัครสาวกเบื้องขวาซ้าย ก็มาแล้ว ไม่ต้องพยากรณ์ ไม่มีอะไรบังเอิญ ต้องมีพระยสะ ที่ต้องมาเป็นรุ่น 1 และมีเพื่อนนักซิ่งทั้งนั้น ทำไมฟังธรรมเดี๋ยวเดียวบรรลุ ท่านเป็นอุคติตัญญูแล้ว ได้มา 60 รูปแรกก็ไปเผยแพร่ศาสนา ไปเดี่ยวเลย ก็ตายเยอะ เพราะสู้ทางศาสนานี่รุนแรง ฆ่าแกงกันได้ง่ายสมัยก่อน แม้พระโมคคัลลานะก็ยอมตายเพราะถูกฆ่า เลย       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:06:27 )

570312

รายละเอียด

570312_พ่อครูที่ผ่านฟ้าฯ เรื่อง กติกาประชาธิปไตย ตอน 2

กติกาประชาธิปไตย  อำนาจในการปกครองประเทศ           

ตามรัฐธรรมนูญนี้ ของประเทศไทย

มาตรา 1  ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

มาตรา 4 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และ

ความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง

มาตรา 5 ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน

มาตรา 6 รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันบังคับมิได้

มาตรา 7 ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

หมวด 1 บททั่วไป ของรัฐธรรมนูญนี้ มีอยู่เท่านี้ ตามนี้

ดังนั้น ตามวิธีการ และวิถีทางในรัฐธรรมมนูญนี้ มีอยู่เช่นใดบ้าง เรามาวิเคราะห์(define)วิจัย(research)กันให้ละเอียดๆซิ

 

ชัดเจนในมาตรา 1 นะ ว่า หากมีใครแสดงอาการใดออกมาเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักรของประเทศไทย มิได้เด็ดขาด

และมาตรา 2 ก็ชัดเจนนะ ว่า การปกครองบริหารประเทศไทย นั้นคือระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นอย่างอื่นที่ต่างไปจาก ประชาธิปไตย 2 ขานี้ไม่ได้

เพราะฉะนั้น อาณาจักรไทยหรือแผ่นดินไทยนั้น เป็นของคนไทยทุกคนยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเป็นแหล่งแห่งที่ที่ทุกคนต้องอาศัยอยู่ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกคนจึงมีสิทธิและหน้าที่ต้องช่วยกันปกป้องคุ้มครองพิทักษ์รักษาไว้ด้วยชีวิตของทุกคน ไม่ละเว้น

 

อำนาจ แรกเริ่มต้นที่ได้มาปกครองบริหารประเทศใน

แผ่นดินไทยหรืออาณาจักรไทยนี้ คือ อำนาจของพระมหากษัตริย์ตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งบรรพบุรุษแห่งพระมหากษัตริย์ทรงได้มาด้วยพระวิริยานุภาพ ทรงแลกด้วยพระโลหิตและพระวิญญาณ

โดยแท้ และได้ทรงคุ้มครองปกป้องพิทักษ์รักษามาโดยธรรม สืบ

สันตติวงศ์มาแต่ต้นที่เป็นประเทศไทย ตราบกระทั่งถึงพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ จนกระทั่งได้เปลี่ยนระบอบเป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่เหมือนการปกครองบางประเทศ

เช่น ไม่เหมือนอเมริกา เป็นต้น

 

มาตรา 3 ก็ยิ่งชัดละเอียดเพิ่มมากขึ้น ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

 

และมาตรา 4 และมาตรา 5 ยิ่งเพิ่มสิ่งที่มนุษย์มีให้แก่มนุษย์ครบสิ่งที่ควรได้ควรมีควรเป็นยิ่งขึ้น โดยบทบัญญัติกฎหลักเกณฑ์ คือ รัฐธรรมนูญ เช่น ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ก็ดี สิทธิ ก็ดี เสรีภาพ ก็ดี และความเสมอภาคของบุคคล ก็ดี ย่อมได้รับความคุ้มครองเสมอกัน ตามรัฐธรรมนูญนี้

 

ส่วน มาตรา 6 นั้น  รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันบังคับมิได้

 

รัฐธรรมนูญ กับกฎหมาย กับธรรม ของสังคมที่นับถือประชาธิปไตย จึงเป็นดั่งเดียวกันกับศีล กับวินัย กับธรรม ของพุทธศาสนิกชนในศาสนาพุทธ ซึ่งรัฐธรรมนูญ กับกฎหมาย กับธรรมเป็นใหญ่กว่าบุคคล

สำหรับบุคคลนั้นผู้จะเป็นใหญ่กว่า"รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ธรรม หรือจะเป็นใหญ่กว่าศีล วินัย ธรรม ของสังคมที่นับถือประชาธิปไตย หรือพุทธศาสนา" ก็อยู่ที่บทบัญญัติที่มีในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ธรรม หรือมีในศีล วินัย ธรรม ในบทบัญญัติที่กำหนด"อภิสิทธิ์"แก่พระมหากษัตริย์ ก็เช่น ในรัฐธรรมนูญมาตรา 8 เป็นต้น หรือแก่พระอรหันต์ ก็เช่น ในพระวินัย "อธิกรณสมถะ 7" ข้อ 2 "สติวินัย" เป็นต้น ก็ทำนองเดียวกัน

 

ดังนั้น ในระบอบประชาธิปไตย จึงตรงกันกับศาสนาพุทธโดยแท้ คือ แม้แต่ผู้ที่เป็นประมุขของประเทศ หรือประมุขของศาสนา ก็ต้องมีอำนาจใหญ่กว่าศีล กว่าวินัย กว่าธรรม ไม่ได้

ซึ่งก็หมายความว่า ในระบอบประชาธิปไตย กฎเกณฑ์สำคัญที่สุดของประเทศ คือ รัฐธรรมนูญจึงเป็นใหญ่ที่สุด แม้แต่ในระบอบประชาธิปไตย 2 ขา คือ มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ยังยกให้รัฐธรรมนูญเป็นใหญ่

 

ส่วนประเทศใดจะยก"อำนาจอภิสิทธิ์"หรือจะ"จำกัดก็ดี ลิดรอนก็ดี" ซึ่งสิทธิอำนาจพระมหากษัตริย์ของแต่ละประเทศ ก็แล้วแต่ประชาชนของประเทศนั้นจะตรากำหนดกฎเกณฑ์ไว้ในรัฐธรรมนูญ

สำหรับประชาชนย่อมมีสิทธิส่วนตัวที่จะยกให้พระมหากษัตริย์หรือจะยกให้พระอรหันต์ แม้จะไม่ยกให้ ก็ตามปัญญาและความศรัทธาของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นอิสระเสรีภาพส่วนตัวอยู่แล้วตามระบอบ

ประชาธิปไตย หรือตามพุทธศาสนา

 

เพียงแต่ว่า หากผู้ใดไม่มีศรัทธา ไม่นับถือพอที่จะยกให้ก็ตาม ก็ละเมิดมิได้ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ของประเทศประชาธิปไตย หรือละเมิดมิได้ตามบทบัญญัติในศีล วินัย ของพุทธศาสนา 

ซึ่งในความเป็นจริงแห่งสัจธรรมนี้ สำหรับพระมหากษัตริย์หรือพระอรหันต์ ภูมิธรรมจริง ที่มีจริงแท้ในแต่ละท่าน

 

ท่านจะสามารถอยู่กับกฎเกณฑ์ อันเป็นรัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรืออันเป็นศีล วินัย ได้อย่างดียิ่ง อย่างทนได้โดยไม่ยากโดยไม่ลำบาก ก็เป็นไปตามภูมิแห่งธรรมของท่านแต่ละท่านเอง ที่มีจริงเป็นจริง

ดังนั้น บุคคลใดจะอยากได้"อำนาจ"มาให้แก่ตนนั้น จึงมีจริงสำหรับผู้มีกิเลสเห็นแก่ตัว จึงทุกข์อาจละเมิดตามแรงของกิเลสนั้นๆ

ส่วนผู้ที่มีภูมิธรรมพอ หรือสูงจริง ก็จะไม่มีกิเลสอยากได้มาให้ตน ซึ่งไม่ต้องไปกำหนดมีบทบัญญัติไว้ให้ท่านก็ได้ จะกำหนดบทบัญญัติไว้ให้ท่านก็ได้ ไม่ว่าบทบัญญัตินั้นจะห้ามหรือจะอนุญาต ได้ทั้ง 2 สถาน ไม่มีปัญหาสำหรับท่านผู้มีภูมิธรรมที่ไม่มีตัวตน หรือไม่เห็นแก่ตัว อย่างแท้จริง แม้จะมีภูมิธรรมยังไม่สูงสุด ก็เป็นได้จริงดีมาก ดีน้อยจริงไปตามภูมิที่สูงที่ต่ำนั้นๆ ของแต่ละฐานานุฐานะ

ดังนั้น ความมี"อำนาจ"หรือมี"อธิปไตย"ในตนที่จะใช้ในสังคม ตามกิเลสของตนเองนั้น จึงจะถูกจำกัดด้วยบทบัญญัติ และด้วยภูมิธรรมของแต่ละคนจริง จะทุกข์จะสุข จะทำดีทำไม่ดี จะละเมิดกฎหรือไม่ละเมิดกฎ จึงขึ้นอยู่กับภูมิธรรมจริงของผู้มีจริง

 

คำว่า อธิปไตยหรืออำนาจ ที่เป็นของประชาชน ตามระบอบการปกครองของไทย จึงต้องมาวิเคราะห์(define)วิจัย(research)กันให้เข้าถึงความจริงที่สำคัญ ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ดูซิ

 

‘ "อำนาจ"หรือ"อธิปไตย" เป็นเป้าหมายสำคัญ ที่เรากำลังวิเคราะห์วิจัยกันอยู่นี้ ว่า การได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองบริหารประเทศประชาธิปไตย ตามที่เป็นไปได้ หรือเป็นอยู่จริงนั้น มี 5 แบบ 

1. อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ซึ่งเป็น"รัฐาธิปัตย์"ของระบอบประชาธิปไตย 2 ขา

2. อำนาจรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้ง ตามบทบัญญัติ

แห่งรัฐธรรมนูญนี้

3. อำนาจคณะทหารที่ได้มาจากการปฏิวัติ หรือรัฐประหาร

อย่างไม่สงบ มีอาวุธ รุนแรง ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

4. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติ หรือรัฐประหาร อย่างไม่สงบ มีอาวุธ รุนแรง ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

5. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติ หรือรัฐประหาร อย่างสงบ

ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

 

อำนาจที่จะวินิจฉัย กรณีใด ไปตามประเพณีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 7 และเป็น"อำนาจ"ที่บริบูรณ์ด้วยสิทธิ โดย

มีการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ ที่ชอบธรรมกว่า เพราะดีงามยิ่งกว่า เนื่องจากได้ใช้ วิธีการซึ่งเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ยิ่งกว่า 

 

‘ บทบัญญัติ รัฐธรรมนูญ มาตรา 69  มีว่า

"บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี

ซึ่งการกระทำใดๆ  ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจใน

การปกครองประเทศ

โดยวิธีการ  ซึ่งมิได้ เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้"

เราต้องพิจารณาดูว่า อำนาจที่ได้มา โดย"การกระทำของ

บุคคลหรือของกลุ่มหมู่บุคคล"ใด? ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ

ในการปกครองประเทศนั้น ว่า ถูกต้องตามนิติรัฐ และหรือดีงาม

ตามนิติธรรม ดีพร้อมด้วยคุณธรรมจริยธรรม ถูกสัจธรรม หรือไม่?  

ซึ่งจะมีได้ทั้งที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

หรือมิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

ว่า "การกระทำของบุคคลหรือของกลุ่มหมู่บุคคล" ที่จะสมควรต้องยกให้เป็นผู้ได้อำนาจในการปกครองปกครองประเทศ

การพิจารณา ก็พิจารณาและตัดสินได้จากประเด็นต่างๆ ดังนี้

(1) อำนาจฯที่ได้มาตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

(2) อำนาจฯที่ได้มาไม่ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

(3) อำนาจฯที่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

และเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

(4) อำนาจฯที่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

แต่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

(5) อำนาจฯที่ไม่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

แต่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

(6) อำนาจฯที่ไม่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ และไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

(7) อำนาจที่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ แต่วิถีทางไม่เป็นไปตามสัจธรรม ไม่มีคุณธรรม ไม่ดีงาม ไม่สงบ

ใช้อาวุธ รุนแรง ไม่สันติวิธี

(8) อำนาจที่ไม่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

แต่วิถีทางเป็นไปตามสัจธรรม มีคุณธรรม ดีงาม สงบ ไม่ใช้อาวุธ

ไม่รุนแรง สันติวิธี

(9) อำนาจที่ใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ และวิถีทางเป็นไปตามสัจธรรม มีคุณธรรม ดีงาม สงบ ไม่ใช้อาวุธ ไม่รุนแรง สันติวิธี

(10) อำนาจที่ได้มา โดยการใช้วิธีการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้แล้ว แต่วิถีทางเป็นผู้กระทำไม่ซื่อสัตย์ ไม่เที่ยงตรง กระทำขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ กระทำผิดรัฐธรรมนูญนี้ ผิดจริยธรรม กบฏ จึงไม่สมควรมีอำนาจแล้ว

(11) อำนาจที่ได้มา โดยการใช้วิธีการไม่ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ และวิถีทางเป็นผู้กระทำไม่ซื่อสัตย์ ไม่เที่ยงตรง กระทำขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ กระทำผิดรัฐธรรมนูญนี้ ผิดจริยธรรม กบฏ จึงไม่สมควรมีอำนาจเลย

(12) อำนาจที่ได้มาโดยวิธีการไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ แต่วิถีทางเป็นผู้กระทำที่ซื่อสัตย์ ที่เที่ยงตรง กระทำไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ เป็นแต่เพียงรัฐธรรมนูญนี้

ไม่ได้บัญญัติไว้ แต่ผู้กระทำการใดๆไม่ผิดจริยธรรม ไม่กบฏ จึงสมควรมีอำนาจกว่าข้ออื่นๆที่ผ่านมา (ประเด็นนี้ คือ ประเด็นที่จะ

ต้องวินิจฉัยตาม บทบัญญัติที่มีในรัฐธรรมนูญนี้ เช่น มาตรา 3 มาตรา 7 และมาตรา 63 มาตรา 68 มาตรา 69 มาตรา 70เป็นต้น และมาตราอื่นๆอีก)

(13) หากอำนาจที่ได้มาโดยวิธีการมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้  และวิถีทางเป็นผู้กระทำที่ซื่อสัตย์ ที่

เที่ยงตรง กระทำไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ ไม่ผิดจริยธรรม ไม่กบฏ และเท่าที่รัฐธรรมนูญนี้ก็ได้บัญญัติไว้ ผู้นี้แลสมควรเป็นผู้มีสิทธิในอำนาจการปกครองประเทศได้แล้ว เพราะมีความถูกต้องดีงามสูงสุดยิ่งกว่าข้อใดๆ  เท่าที่ประมวลความเป็นอยู่มีอยู่จริงทั้งหมดแล้ว

 (14) ที่สุดนั้นผู้ใดหรือกลุ่มบุคคลใดควรเป็นผู้มีสิทธิในอำนาจการปกครองประเทศสัมบูรณ์สุด ก็ต้องตามวิธีการที่มีในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้ เพราะผู้นั้นหรือกลุ่มบุคคลนั้นมีวิถีทาง

ที่เป็นไปตามความถูกต้อง ดีงาม มีศีลธรรมและสัจธรรมสูงสุดกว่า

ผู้ใดหรือคณะบุคคลอื่นใดอย่างบริบูรณ์สัมบูรณ์

นั่นคือ บุคคลนั้นหรือคณะบุคคลนั้น ใช้วิธีการก็ตามบท

บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ และวิถีทางก็เป็นไปตามบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้  

 

‘ อำนาจประชาชนที่ต่อต้าน และล้มล้าง จนกระทั่งได้พิทักษ์อำนาจนั้นไว้ได้อย่างชอบธรรม หรือจะใช้ภาษาพูดกันตรงๆว่า อำนาจประชาชนปฏิวัติโดยชอบธรรมก็ไม่ผิดสัจธรรม

เรามาแยก คำความดูชัดๆ ว่า มาตรา 7 นี้มีว่าอย่างไร

1) ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

2) บังคับแก่กรณีใด

3) ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไป

4) ตามประเพณีการปกครอง

5) ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ทีนี้ ใน มาตรา 2 ก็มีชัดๆว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ซึ่งแปลขยายความหมายจาก มาตรา 2 อีกทียืนยันไว้ใน  มาตรา 3 โดยแปลคำว่า "ประชาธิปไตย"ให้ชัดเจนขึ้น คือ

อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น(ซึ่งเป็น"อธิปไตยที่เป็นของประชาชนชาวไทย") ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล

ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

 อย่าลืมว่า อำนาจ ที่รัฐสภา..ใช้ ก็ดี หรือคณะรัฐมนตรี..ใช้ ก็ดี และคณะศาล..ใช้ ก็ดี นั้น ล้วนเป็น"สิทธิ"ที่สามารถใช้ทำได้ เท่าที่ทำได้ตาม"หน้าที่" เท่านั้น

ซึ่ง อำนาจ นัยนี้ ไม่ใช่"อำนาจ"ที่หมายถึง อำนาจอันเป็นของประชาชนเต็มสภาพ ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 2 และมาตรา 3 ที่กำหนดชัด ว่า หมายถึงความเป็น"อำนาจอธิปไตย"(sovereignties)ที่เป็นของประชาชนแต่ละคน ทุกคนไทยถ้วนหน้า ในรัฐธรรมนูญนีเพราะ"อำนาจ"(power)นี้ก็แค่เพียง"อำนาจ"

ที่เป็น"อำนาจแทนผู้อื่น"เท่านั้น ที่สามารถใช้"ทำงาน"

รับใช้ประชาชน  จึงไม่ใช่"อำนาจ"ที่หมายถึง "อำนาจ"อันชื่อว่า "อำนาจอธิปไตย" (sovereignty)

เพราะเป็นแค่"อำนาจ"เท่าที่ได้รับมอบ"สิทธิ"

ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้  หรือในกฎหมายอื่น ให้ทำงานได้เท่าที่ขอบเขตของ"หน้าที่" ซึ่งได้กำหนดบัญญัติไว้ให้เท่านั้น

"อำนาจแทนผู้อื่น"นี้ สำหรับรัฐสภา กับคณะรัฐมนตรี นั้น เป็นอำนาจแทนประชาชน

ส่วน ศาลนั้น เป็นอำนาจแทนพระมหากษัตริย์ ประชาชนจึงต้องช่วยกันทำหน้าที่ประชาชนอย่างยุติธรรมที่สุด ดีงามที่สุด ทุกหน้าที่ ที่แต่ละคนมี แม้แต่หนัาที่ของประชาชน ยิ่งหน้าที่ที่แต่ละคนต้องรับผิดชอบ ทุกคนควรสำนึก และต้องเอาภาระให้มากเถิด ไม่ควรดูดาย อย่าเป็นคนตกอยู่ในภาวะแห่งความกลัว(ภยาคติ)จนเกินไปนัก อย่าให้อำนาจกิเลสที่มันหลงลาภยศสรรเสริญกดหัวมากเกินไปเลย ยิ่งในกาละสังคมวิกฤติหนักสุดๆ เดือดร้อนสาหัสสากรรจ์อย่างขณะนี้ 

ขอให้ทุกคนระดมกำลังช่วยกันเต็มที่ ทำให้เสร็จเรียบร้อย บริบูรณ์เสียก่อน แล้วค่อยนำขึ้นกราบถวายบังคมทูล จึงจะไม่ระคายเบื้องพระยุคลบาท

เพราะอำนาจของประชาชน บุคคลย่อมมีเสรีภาพทั้งในการชุมนุมประท้วง(protest,rally,demonstrate)ตามบทบัญญัติไว้

ในรัฐธรรมนูญนี้  เช่น มาตรา 63

และบุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ตามบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ คือ มาตรา 69

แม้กระทั่งมีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจปกครองประเทศ ตามบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ คือ มาตรา 68 และ มาตรา 69

ประเด็นที่ว่า "บุคคลมีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจปกครองปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้  ย่อมกระทำได้

ถ้าแม้นทำความเข้าใจในมาตรา 68 และมาตรา 69 นี้ให้กระจ่างแจ้งชัดคมลึกแม่นตรงสัมบูรณ์จริง ปัญหาที่กำลังเกิดอยู่ในสังคมไทย ณ ลมหายใจเฮือกนี้ จะจบลงได้ทันทีมาวิเคราะห์วิจัยกันให้ชัดเจนละเอียดๆกันดูซิ

บทบัญญัติ มาตรา 68 ในรัฐธรรมนูญนี้ มีชัดๆดังนี้

"บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้หรือ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

มิ ได้"  

ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 นี้ มี 2 ประเด็นใหญ่ ได้แก่

(1) ในประเด็นที่ว่า "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้"

นี่คือ ประเด็นสำคัญยิ่งใหญ่ประเด็นแรก บุคคลใดในประเทศไทยทุกคน ไม่ว่าใคร"ทำมิได้"ทั้งนั้น

นั่นคือ ใครใดก็ไม่สามารถทำได้ ประเด็นนี้เท่านั้นที่แน่ยิ่งกว่าแน่ ว่า ทำไม่ได้เด็ดขาด ที่จะ"ล้มล้าง"การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม

รัฐธรรมนูญนี้"

และประเด็นต่อมา ประเด็นที่ (2) อย่าผิวเผินข้ามคำว่า "หรือ"ที่มีในมาตรานี้ไปเป็นอันขาด เพราะ"หรือ"คำนี้นี่เอง ที่แบ่งประเด็นไว้ชัดเจน เป็นประเด็นที่ (2)

ประเด็นที่ (2)นี้ก็จะมีเนื้อหาว่า "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ไม่ได้" 

แต่ถ้า บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ หากเป็นอย่างนี้ย่อมทำได้  ไม่ถูกห้ามตามรัฐธรรมนูญนี้ ใช่มั้ย?พิจารณาให้คมๆชัดๆแม่นๆลึกๆตรงๆกันเถิด

ประเด็นนี้นี่แหละ ถ้าไม่มีมาตรา 69 ก็จะแย้งกัน เถียงกันไม่ตกลงกันแน่ จะไม่สามารถตัดสินเด็ดขาดได้แต่เมื่อมีมาตรา 69 ระบุไว้เป็นอีกมาตราหนึ่ง ที่มีเนื้อหา

เกี่ยวพันกับความหมายในมาตรา 68 อย่างสำคัญยิ่ง จึงสามารถตัดสินได้ว่า บุคคลย่อมได้รับอนุญาต ให้ทำได้ มาตรา 69 มีว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิ ต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้"

เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งไหมว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิ ต่อต้าน"

โดยวิธีการ ที่สันติวิธี ย่อมทำได้ ในประเด็นเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ

ซึ่ง..ไม่ใช่ประเด็น "เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้" คนละประเด็นชัดเจน ใช่มั้ย?

ดังนั้น "วิธีการ"ที่พวกเราบุคคลประชาชนชาวไทยที่ได้

ร่วมกันออกมาแสดงตัวชุมนุมร่วมกัน ในความเป็นมวลมหาชนที่มีฉายาว่า"กปปส."นี้ ก็ได้กระทำการต่อต้านมานานถึง" 200 กว่าวันแล้ว เราได้ทำด้วย"สันติวิธี"มาตลอด

จนกระทั่งเราได้พิสูจน์ตนเอง ถึงขั้นศาลตุลาการก็รับรองเราออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว ว่า เราประท้วงต่อต้านโดยสันติ ไม่มีอาวุธ ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

ซึ่งอาตมาก็ได้พูด ได้ยืนยันเสมอว่า เรามีความจริงใจ ตั้งใจและมุ่งมั่น กระทำจริง ทำได้ดีขนาดนี้ อันเป็นการกระทำที่ใหม่มาก ไม่เคยมีการกระทำแบบนี้ มาก่อนเลย ที่ได้มีใครต่อสู้ด้วยความสงบ สันติ อหิงสา ไม่มีอาวุธกันจริงๆอย่างนี้

ซึ่งแน่นอนว่า มันย่อมมีเหตุสุดวิสัย มีความเมตตากรุณาของผู้มีอัชฌาสัยที่ทนไม่ได้ต่อความกรุณา ออกมาทำให้เกิดผลที่ดูเหมือนว่า ไม่สงบสันติ มีการป้องกันตัว ตามความจำเป็น จนมีคนบาดเจ็บ ถึงตายกันขึ้น ก็เป็นเรื่องที่เกินที่จะกำหนดควบคุมได้ ซึ่งมันก็ต้องเกิดตามธรรมชาติของหมู่มวลสังคมมนุษย์

สรุปแล้ว บุคคลย่อมมีสิทธิ ต่อต้าน แม้ที่สุดเมื่อได้ทำมาตามลำดับ จากเบาขึ้นไปหาหนัก

คือ จากประท้วง เป็นต่อต้าน ที่สุดถึงขั้นหนัก"ล้มล้าง"อำนาจของรัฐบาลซึ่งประชาชนได้ช่วยกันพิพากษาเอง ด้วยปัญญาที่อิสระเสรีตามสิทธิมนุษยชนว่า ไม่ควรให้กระทำการปกครองต่อไป จึงได้ออกมาแสดงตัวปรากฏเป็นมวลมหาชนขับไล่ ล้มล้าง ชี้บ่งคะแนนเสียงมืดฟ้ามัวดินเกินกว่าเคยมีปรากฏการณ์ปานฉะนี้ ซึ่งเป็นไปโดยสันติวิธี ย่อมทำได้ ตามรัฐธรรมนูญนี้

และการกระทำ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ที่เป็น"สันติวิธี" ที่นับได้ว่าชนิดที่ยังไม่เคยมีมาก่อน จึงวิเศษวิสุทธิ์วิสิฏฐ์แท้

ดังนั้น เมื่อรัฐบาลได้กระทำการใดๆ ต่างกรรมต่างวาระมากมายกรณี หลากหลายคดี ที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ หรือขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ จนเป็นที่ชัดแจ้งแก่ปวงชน กระทั่งบุคคลผู้มีสิทธิและเสรีภาพรวมตัวกันออกมาเป็นมวลมหาประชาชนกระทำการประท้วง ต่อต้าน และสุดท้าย

ล้มล้างรัฐบาล อย่างสันติวิธี ไม่มีอาวุธ อย่างถึงที่สุดแห่งที่สุดปานนี้ จึงควร"ได้อำนาจซึ่งก็เป็นของประชาชน ผู้เป็นรัฐาธิปัตย์แล้วอย่างยิ่ง"นี้แล้วสัมบูรณ์เสียที   

ดังที่ได้สาธยายมาพอสมควร


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:09:52 )

570313

รายละเอียด

570313_พ่อครูและอ.กฤษฎา เรื่อง การศึกษาอาริยะ

       อ.กฤษฎาว่า...วันนี้เราก็จะมาเรียนเรื่องอำนาจ จากพ่อครูอีก แต่ว่าอีกสองวันเราจะมีพิธีกรรม รับกลด ของนร.สัมมาสิกขาที่จะเรียนจบ

       พ่อครูว่า..เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ธรรมเนียมเรามีพิธีกรรม พิธีการ เด็กเราเรียนจบม.6 ก็จะมีพิธีกรรมรับกลด เป็นสัญญลักษณ์ กลด คือ Moving house เป็นเครื่องอาศัยสำหรับสมณะ สำหรับฆราวาสก็หัดฝึกเหมือนกัน เมื่อก่อนเราอยู่ป่าช้ากัน มีพุทธสถานที่เป็นป่าช้า ก็ปฏิบัติกัน นอนกับพื้นดินพื้นป่า เกี่ยวกับจิตวิญญาณที่มักน้อยสันโดษ เราฝึกไม่กลัวผี ผีเขาหลอกกันว่ามีจริง เป็นมโนมยอัตตา สรุปว่ากลดเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณสำคัญ

       เด็กเราเข้ามาม.1 30 คน พอจบม.6 เหลือแค่ 10 คนก็มี ดีไม่ดีเหลือไม่ถึง 10 คน เราคัดคนที่คุณธรรม กิเลสเดี๋ยวนี้แรง ก็ทนไม่ค่อยได้ออกกันไป เราไม่เน้นเรื่องความรู้มาก เราเน้นสตริคเรื่องคุณธรรม เด็กจบแล้วจึงภาคภูมิใจ ว่าเขาจบได้ ถึงธงชัยสำคัญ เมื่อจบแล้วก็ได้รับเครื่องหมายสำคัญคือกลดไป

       อ.กฤษฎาว่า...อย่างน้อยพี่น้องที่ร่วมชุมนุมจะได้ดูวิถีพุทธ การจัดการชุมชนพึ่งตนเองแบบวิถีพุทธ นี่คือตัวแบบ ปีนี้ได้มาจัดที่นี่ ทุกปีไม่ได้จัดที่นี่ จะจัดที่ปฐมอโศก เป็น บวร (บ้าน วัด โรงเรียน) แล้ววันถัดไปก็จะเป็นตลอดอาริยะ

       พ่อครูว่า..อาตมาชาตินี้ไม่ได้เรียนรู้อะไรมากเกี่ยวกับศาสตร์ต่างๆ ไม่จบทางโลกมามาก แต่มั่นใจในความรู้ทางธรรม ย่ิงจิตศาสตร์นี่ มั่นใจมาก แล้วอย่างอื่นก็เป็นเรื่องเทคนิคต่างๆ แม้นิติศาสตร์ก็สัมพันธ์สังคม รัฐศาสตร์ เกี่ยวเนื่องกับสังคมมาก อันนั้นอยู่ในหลักธรรมะของพระพุทธเจ้าหมด เพียงแต่เรื่องเทคนิคเป็นเรื่องที่คนต้องฝึกฝน เป็นกสิกรรม วิศวกรรม หรืออื่นๆ

       ส่วนเรื่องจิตศาสตร์เป็นเรื่องตรงของพุทธศาสนา เป็นแก่นเลย

       เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องว่าด้วยการจัดการทรัพยากรณ์ของคนเลย ไม่ให้เหลื่อมล้ำ เอาเปรียบ ซึ่งตรงกับพุทธศาสตร์เลย เพราะจะรู้เรื่องความเดือดร้อนของคน เมื่อเราศึกษาธรรมได้ ก็จะจัดบริหารสังคมหมู่กลุ่มได้

       ยกตัวอย่างเรื่องสื่อสาร FMTV เราไม่ได้ตั้งมาเพื่อการค้าหรือหารายได้ แต่ตั้งมาเพื่อรับใช้มวลมนุษยชาติ เราพิจารณาว่าอันไหนควรช่วยก็ทำ แม้เราไม่ถ่ายทำเอง แต่เราก็ได้ขอเกี่ยวสัญญาณช่องอื่นมากออกถ้าเป็นสิ่งดี ทำให้ฟรีเลย หากเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นสาระ ส่วนของเราใครจะเอาของเราไปออกก็ฟรีเลย บางคนอาจเอาไปหาเงินบ้างพอเป็นไปเราก็ให้ แต่อย่าขูดรีด เราก็ท้วงได้

       สังคม มีทั้งการสื่อสาร เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เป็นความเป็นอยู่ของสังคม พระพุทธเจ้าศึกษามนุษย์กับความเป็นอยู่ของสังคม ศาสตร์ไหนเทคนิคไหนก็ศึกษาได้ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ส่วนสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์นั้นอยู่ที่จิตวิญญาณแท้ๆ

       ตอนนี้เราต้องการที่จะพัฒนาปฏิรูปประเทศไทยใหม่ จะเป็นเรื่องดีงาม เรื่องสำคัญที่จะต้องทำคือ เรื่องการเมือง แต่เรื่องสำคัญที่สำคัญมากคือการศึกษา การศึกษาขาด บ้าน วัด โรงเรียน คือการศึกษาหมาหางด้วน

       การศึกษาไทยที่รับมาจากต่างประเทศปนเปไปหมดก็ไม่ได้ผล การศึกษาต้องอยู่ในขอบเขต มรรคองค์ 8

1.    สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็นประธานไปทุกมรรค

2.   สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) . เป็นประธานปฏิบัติ

3.   สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ .

4.    สัมมากัมมันตะ (ทำการงานชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ

5. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ .

6. สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) เป็นตัวเร่งห้อมล้อม

7. สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) เป็นดวงตาห้อมล้อม .

8. สัมมาสมาธิ (สะสมลงเป็นจิตใจที่ตั้งมั่น) เป็นผล

 

       ไม่มีข้อไหนที่ว่าจะให้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิเลย เพราะเหตุที่ครูบาอาจารย์มีมิจฉาทิฏฐิ ลูกศิษย์ลูกหารุ่นนี้จึงไม่แข็งแรงทางจริยธรรม กลัวตาย ไม่กล้าหาญทางจริยธรรม

       อ.กฤษฎาว่า...เมื่อสักครู่นี้ผมนึกถึงตลาดอาริยะ ซึ่งแสดงถึงความเข้มแข็งทางจริยธรรมของชุมชน

       พ่อครูว่า เราทำมาตั้งแต่ 2525 ทำมาแต่บัดโน้น ถ้าจะนับว่าเป็นรูปร่างจริงก็ปี 25 เราเอาใบไม้มาแทนธนบัติ พอต่อมาก็มาจัดที่บ้านราชฯ

       สรุปคือถ้าใจเราพอเราก็จะกินน้อยใช้น้อยไม่โลภ น้อยลงกว่านี้ก็ได้ คนที่มีพลังงานสร้างสรร ความรู้สามารถ ปฏิบัติไม่ได้ไปป่าเขาถ้ำ ใครมีความรู้ความสามารถก็ต่อกับโลกเขาได้เลย มีสมรรถภาพอย่างไรก็ใช้ เป็นสัมมาอาชีวะ กัมมันตะ ทำแล้วเราก็ไม่เอาหน้า ไม่เอาเงินกำไรด้วย เราไม่อยากได้ จึงเป็นประสิทธิภาพ แรงงานไม่ต้องเสียไปกับการคิดเอาเปรียบ จึงทำงานสร้างสรรเต็มที่เลย เป็นเศรษฐศาสตร์ ที่คอมมิวนิสต์ก็ต้องการแบบนี้ หรือสังคมนิยมหรือประชาธิปไตยก็ต้องการเช่นนี้ให้ส่วนรวมมีมาก แล้วสะพัดไปสู่สังคม

       ในมหาจักรวาลไม่มีอะไรเท่าเทียมเสมอภาคกันจริงๆ คำว่าเสมอภาคเป็นเรื่องลอยลม มันมีฐานะที่เสอมกัน เรียกว่า สมานนัตตา โสดาฯเสมอโสดาฯ​ สกิทาฯเสมอสกิทาฯ แต่ว่าโสดาฯกับสกิทาฯจะไม่เท่ากัน แต่จะสมานกัน สมานอัตตา จะเคารพกันด้วยปัญญา เป็นสัจจะนะ เคารพกันด้วยไม่ต้องบังคับ จิตมันรู้มันยอมรับเอง เรื่องเสมอภาค เป็นเรื่องจิตยอมรับกัน อรหันต์ธรรมดา กับอรหันต์สารีบุตร หรืออรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่เท่ากัน แต่ว่ากิเลสหมดเท่ากัน

       ฝ่ายแดงก็ว่าเสมอภาคในการเลือกตั้งนิดเดียว แต่เราเสมอภาคในการเลือกตั้งจะดีกว่าคุณด้วย ที่เราต้านนี่เพราะคุณมีเหลี่ยมโกงมากมายเลย แต่เขาก็เอามาพูดกัน มันน่าเขกกระบาล ทำอวดดีอวดรู้

       เรื่องความเสมอภาคนั้นไม่มีจริง แต่ความเสมอสมานอัตตา มีจริง อรหันต์หมดตัวตน จึงเสอมสมานได้ด้วยสนิท ตามฐานะ ว่าคนนี้ควรได้น้อย คนนี้ควรได้มาก กำลังน้อยก็ทำได้น้อย กำลังน้อยทำได้น้อย ก็เฉลี่ยสัดส่วนไป เด็กเฉลี่ยให้น้อย คนแก่คนป่วยก็ได้มากหน่อย จัดสรรให้เสมอสมาน เป็นเรื่องลึกซึ้ง

       การอยู่อย่างสาธารณโภคี แต่ละคนประสงค์เพื่อเสียสละ ลดละกิเลสตน จึงไม่เอาเปรียบ ผู้มีความตั้งใจจะทำเช่นนั้น ผู้กิเลสไม่หมดก็ตั้งใจสมาทาน ลดละ เกิดฝึกฝนจริง จะเกิดการไม่แย่งชิง แม้เขาจะฝึกฝนอยู่ ส่วนคนหมดกิเลสก็เสียสละจริง

       ยิ่งเขากิเลสไม่มีแข็งแรงกว่าก็เสียสละได้มากกว่า อดทนได้มากกว่า ทำได้มากกว่า ก็ทำให้คนอื่นได้มาก

       อ.กฤษฎาว่า...กลับด้านกว่ากิเลสหนา ที่แข็งแรงมากก็ยิ่งเอาเปรียบ

       พ่อครูว่า...การศึกษาที่รู้มาก สามารถมาก แทนที่จะไปเอาความรู้ไปเสียสละ แต่กลับไปเอาเปรียบ ความรู้จึงเป็นศาสตราอาวุธไปทำลายคนอื่น นี่คือการศึกษาล้มเหลว เราจึงมาปรับให้เป็นการศึกษาที่มีมรรคองค์ 8 เรียนรู้โดยตรงเป็นเวทีประชาธิปไตยก็มาเรียนที่นี่ ค้าขายตลาดอาริยะ

       ตอนนี้ปฏิรูปการเมือง การเมืองมีผลต่อสังคมมาก ทุกอย่างก็เกี่ยวกับการเมือง จึงมีความสำคัญมาก ที่เราต้องมาทำงาน เราทำงานกับสังคมก็ไม่อวดอ้าง ไม่ได้อยากดีเด่นดัง มาทำงานคุณก็ไม่รู้จักเขาหรอก ถ้าสังเกตดีๆก็จะพบว่าชาวอโศกทำงานอยู่ในนี้ไม่ต้องห่วงหารายได้ทรัพย์สิน มีสาธารณโภคี ไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติส่วนตัว เป็นสมบัติส่วนกลางเป็นเศรษฐศาสตร์ที่เยี่ยมยอดเลย ไม่ว่าจะเผด็จการหรือประชาธิปไตยเขาก็อยากได้อันนี้ ต้องการรวมทรัพย์สินส่วนกลางไว้ ให้มาก แล้วเอาไปเฉลี่ยให้แก่สังคมทุกคน

       เผด็จการถ้ามีทศพิธราชธรรม มีทาน ศีล จริงเลย ซึ่งคอมมิวนิสต์ไม่เข้าใจจิตวิญญาณก็ตีทิ้งศาสนา เพราะเป็นการศึกษา บริหาร แบบขาดวิญญาณ เป็นขาเดียว ชีวิตขาเดียว ไม่ใช่สองขาที่มีทั้งรูปและนาม วัตถุนิยม

       ถ้าพวกเรียนจิตนิยมก็ไปเรียนแต่จิต เอาแต่จิตสบาย เป็นการศึกษาไม่สมบูรณ์​เขาก็มองว่า พวกจิตนิยมเป็นส่ิงเสพติด ไม่เป็นประโยชน์ต่อโลก แต่ของพระพุทธเจ้าต้องอาศัยจิตเป็นประธาน แต่ก็ช่วยเหลือโลกด้วย จิตวิญญาณที่สูงส่งจะไม่หลงวัตถุ ใช้วัตถุเป็นเครื่องอาศัย ทำประโยชน์

       ขออภัย ที่ต้องบอกว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ มีภูมิรู้มากเก่า มาต่อเชื่อพุทธให้ยาวนานไปอีกถึงห้าพันปี

 

       อ.กฤษฎาว่า...เราท่องบทสวด พระพุทธเจ้าตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

       พ่อครูว่า..ก็เป็นของพระองค์เอง ท่านเป็นใหญ่ที่สุดแล้วในยุคกาล ไม่มีใครจะมีธรรมสมบัติที่ดีสุดยอดเท่าท่านแล้ว ท่านมีพุทธการกธรรม สุดยอดแล้ว ได้มากจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมา พระพุทธเจ้าสมณโคดมก็บอกว่าพบพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมากว่าห้าแสนพระองค์ ท่านสูงสุดแล้วไม่มีใครเทียบท่าน คนไม่เข้าใจฟังไม่ออก แต่อาตมามีสยังอภิญญา ไม่ใช่สยัมภูนะ

      ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

       อ.กฤษฎาว่า..เคยบอกลูกว่า การที่เราได้เกิดมานี่เรามีบุญเก่านะ เราควรสร้างบุญใหม่สะสม ทุกคนมีของดีสะสม มีโอกาสเกิดในดินแดนสยามเทวาธิราช คุณต้องรู้และสะสมบุญ

       พ่อครูว่า...สำนวนกินบุญเก่า คือผู้ใช้แต่เงินเก่า มันก็มีหมด ไม่เที่ยง แต่อาริยธรรไม่มีหมด ได้แล้วได้เลย กิเลสลดด้วยปัญญาของพุทธรู้ละดับกิเลสได้แท้จริง

       จะรู้ว่าจิตเราเข้ากระแส รู้ว่าอย่างใดคือโลกียะ อย่างใดคือโลกุตระ ก็ค่อยๆหักเข้าหาโลกุตระ กว่าจะได้ 180 องศา นี่อรหันต์ก็ค่อยเดินทาง อย่างรู้ทิศทางว่าจิตเรามีทิศทางอย่างไร ไม่สงสัยลังเล

       โสดาบัน

ส่วนที่เกิดทางจิต (โอปปาติกโยนิ)

5. โสตาปันนะ (เข้าสู่กระแสโลกใหม่คือโลกุตระ) . .

6. อวินิปาตธัมโม (ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา)

7. นิยตะ (เที่ยงแท้แน่นอนสู่มรรคผลที่สูงขึ้น)

8. สัมโพธิปรายนะ (มุ่งตรัสรู้ในภายหน้า)

       

       ผู้ได้แล้วแม้จะอยู่ในโลกสัมผัสกับโลกธรรม อยู่ก็ไม่มีสุขทุกข์ เป็นภาวะที่หยุด เป็นกลาง อุเบกขา ฐานนิพพาน ไม่ไปไม่มาไม่หมุนไม่ซ้ายไม่ขวา มันกลางไม่เอาอะไร การไปเปรียบลักษณะนิพพานนั้นเปรียบยาก ท่านว่า นัตถิอุปมา ไม่ชอบไม่ชัง แต่รู้ว่าควรอาศัยหรือไม่

       ถ้าผู้มีความจริง ก็จะรู้ความจริงจากคนจริง อาตมาทำงานก็รู้ความจริงจากที่เขาเป็น ย่ิงนานวันก็ย่ิงจริง ชัดขึ้นๆ ก็เข้าใจว่า ความเที่ยงแท้ของกิเลส ถ้าคนเข้าเขตนิยตะก็เหมือนกับการเมืองปัจจุบัน ไม่ตกต่ำ มีแต่เดินหน้าสู่ชัยชนะ นี่คือสัจธรรมที่มีเหตุปัจจัยถึงขีด ไม่ได้โมเมนะ

       คนไม่มีความรู้ก็ยังประมาณออกเลยว่า ประชาชนทำมาขนาดนี้ไม่มีแพ้ มีแต่ชนะลูกเดียวแต่จะเมื่อไหร่เท่านั้น เพราะเดายาก เจอคนอย่างนี้ ดื้อด้านดึงดันโง่เง่า ทั้งโง่เง่า และฉลาดเฉโกด้วยนะ ฉลาดอวิชชา

       ความฉลาดนี้คือไม่รู้เท่าทันฉฬายตนะ ไม่รู้ว่ากระทบสัมผัสแล้วมีกิเลสหรือไม่? แม่แต่จะเอาหมด ฉลาดในการเอา สำนวนเขาคือ เอาอยู่ แพ้ไม่เป็น ยอมตายคาสนามรบเอา ไม่มีสนามรบวางปล่อยไม่มี นี่คือสัจจะ เขาไม่มีความรู้ในด้าน การกระทบสัมผัสส่ิงภายนอกแล้วจิตเขาเป็นอย่างไร เขามีแต่จะเอา

       อาตมาขอฝากเรื่องการศึกษาไว้ ให้เป็นบวร

       ในหลวงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะตรัสออกมาได้อย่างไร ว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แบบคนจน อย่างนี้ท่านไม่ได้ตรัสเล่นนะ ต้องมีสัจจะย่ิง ท่านเป็นโพธิสัตว์ มีทศพิธราชธรรม

1.    ทาน (การให้) .

2.   ศีล (ความประพฤติดีงาม)

3.   ปริจจาคะ (การบริจาค) ใจต้องให้ด้วย ลด โลภ รสราคะได้ ทำทานอย่างนี้เข้าข่ายจาคะ

4.    อาชชวะ (ความซื่อตรง)

5.    มัททวะ (ความอ่อนโยน)

       อ.กฤษฎาว่า...อย่างฆราวาสธรรม 4

1.    สัจจะ (ความจริง)

2.   ทมะ (ข่มใจฝืนสู้กับความอยาก ฯลฯ)

3.   จาคะ (เสียสละ)

 4.     ขันติ (อดทนต่อความไม่ชอบใจ ฯลฯ)

 

       ก็ให้สัญญาณการปฏิรูปว่า การเมืองจะต้องไม่ใจร้อน แต่เรื่องการศึกษาให้เน้นศีลธรรม ศีลเด่นเป็นงาน ชาญวิชา ทำงานไม่ใช่ว่าฉลาดชี้ใช้ได้เปรียบ เล่ห์กลซับซ้อน อย่างเช่นสังคมเล่นแชร์ ปั่นหุ้น หลอกล่อ เขามีวิธีการเอาชนะฉลาดได้เปรียบ นักเล่นการเงิน ในระบบการเงินทั่วโลก ซับซ้อน

       วันนี้เราได้พูดถึงสังคมอาริยะ บ้าน วัด โรงเรียน ขอเน้นเรื่องการศึกษาถ้าได้อย่างนี้สังคมไทยไปรอด เพราะตั้งแต่เกิดจนตายเราก็เป็นนักศึกษา …               


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:11:25 )

570315

รายละเอียด

570315_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง เจตนารมย์ที่ดีต้องเคารพกฎหมาย

       พ่อครูว่า...อยากจะให้ดูที่คน กลดมันจะเก่งอย่างไร ก็สู้คนไม่ได้ คนมีจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าว่า จิตวิญญาณเป็นประธานส่ิงทั้งปวง เป็นอำนาจเป็นพลังในตัวคน เราจะคิดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น เกิดจากพลังงานวิญญาณทั้งสิ้น มโนบุพพังคมาธัมมา มโน เสฏฐามโนมยา ถ้าไม่เข้าใจไม่สามารถเรียนรู้ ไม่ควบคุม ควบคุมไม่ได้

       คนเราก็พยายามควบคุม แต่จิตวิญญาณเรามีลักษณะสองอย่าง อย่างหนึ่งคืออกุศล อีกส่วนหนึ่งคือ กุศล ถ้าใครสร้าง ซึ่งแต่ละคนสร้างเอง สร้างอกุศลใส่จิต ตนเองก็สั่งสม เป็นพลังงานในจิตตน ถ้าเราสร้างอกุศลจิตใส่จิตตนมาก มันก็มีพลังมาก มาบังคับ เป็นเจ้า จิตคนจึงมีพลังงาน กิเลส ออกมาทางกาย วาจา ใจ ทุกอิริยาบท ขยับแขนขา เนื้อตัว เกิดจากพลังจิตวิญญาณทั้งนั้น จะพูดจา เสียงสำเนียง โดยเฉพาะจิตนี่แหละเป็นตัวสั่งการ

       พุทธศาสนาสอนให้แก้ไขจิตเป็นหลัก ผู้สามารถเรียนรู้ ถึงจิต อ่านจิตออก อ่านจิตเป็น แล้วสามารถทำให้จิตตนเปลี่ยนแปลงให้ลดกิเลส หรือทำตัวกิเลสอกุศล ให้หาย หมด ดับ ไป

       จิตนี่ เป็นแรงออกไปเป็นปรารถนา มุ่งหมายออกไป พระพุทธเจ้าท่านเรียกเจตนา หรือมโนสัญเจตนา หมายมุ่งตามที่ต้องการ คำว่าเจตนารมย์ ที่กำลังฮิตในตลาดการเมืองไทย

       นายกฯว่า “ถ้าเรามุ่งแต่จะใช้กฎหมาย ตัดสิทธิ์ ไม่มองถึงเจตนารมย์ ถ้าทำอย่างนี้จะไปกันลำบาก” คนเราจะนำคำพูดมาใช้เพื่อเจตนา คนเราในสังคมต้องมีกฎเกณฑ์ ถ้าผิดกฎก็ต้องชำระกัน

       ในประเทศ กฎหมาย รัฐธรรมนูญเป็นใหญ่ที่สุดในประเทศเลย ที่เขาพยายามประดิษฐ์คำพูดมาก็ไม่ค่อยตรง เมื่อนายกฯปฏิบัติตนไม่อยู่ภายใต้กฎหมาย จะไปบริหารประเทศได้อย่างไร ลบหลู่ตุลาการรัฐธรรมนูญก็เคยมา ทั้งที่ตนก็เคยพูดว่ามันต้องเป็นไปตามกฎหมายนะคะ แต่ว่าพอตอนหลังมาพูดว่า ให้ดูเจตนารมย์

 

       ซึ่งเจตนาหรือมโนสัญเจตนาหาร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน เรื่องอาหาร 4

1.    กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2.   ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3.   มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

4.    วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ  คือ   กำหนดรู้จักแยกแยะนาม-รูป   แล้วกำจัดเฉพาะอาสวะให้จบสิ้น)

       วิญญาณนี่คือธาตุทางจิต เป็นเครื่องอาศัยหลักของมนุษยชาติ ต้องเรียนรู้วิญญาณจะรู้ต้นตอ ต่อเนื่อง จากส่ิงนี้จึงเกิดสิ่งนี้ มีเหตุปัจจัย ท่านเรียกว่า รูป นาม

       ต้องศึกษาตั้งแต่ภายนอก อ่านอาการจิตยามกระทบสัมผัสภายนอก ทวารนอก แล้วเกิดอาการ อยากได้มา ดูดดึงหรือผลักออก ต้องรู้อาการลีลาของจิตเจตสิกต่างๆ ต้องอ่านให้เป็น

       ต้องรู้ในตัณหา

1. กามตัณหา (ใคร่อยากในกามภพ อันอาศัยรูปภายนอก)

2. ภวตัณหา (ความใคร่อยากได้รูปภพภายใน และอรูปภพ)

3. วิภวตัณหา (อยากได้ความไม่มีภพ  หรืออยากพ้นไปจากภพ, หรือปรารถนาสิ่งที่ไม่ใช่ภพเพื่อตน  เป็นตัณหาแห่งอุดมการณ์ที่อาศัยไว้เพื่อดำเนินความดีไปเช่นนั้นเอง)  ศึกษาเป็นไปเพื่ออาศัยวิเวก  วิราคะ  นิโรธ  อันน้อมนำไปเพื่อความปลดปล่อย (วิเวกนิสสิตังวิราคนิสสิตัง   นิโรธนิสสิตัง   โวสสัคคปริณามิง)

 

       อาตมาก็ไม่เคยได้ยินใครสอนที่ว่า วิภวตัณหาคือตัณหาอุดมการณ์​ไว้ละกิเลส ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ต้องใช้วิภวตัณหา ...พระพุทธเจ้าท่านมีความมุ่งหมาย ปณิธาน เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ตอนแรก มารก็มาอาราธนาให้ตายเสีย ก็บรรลุแล้วนี่ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตรัสเจตนารมย์ของท่าน ว่าเราจะยังไม่ตาย จนกว่าจะสอนให้มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ให้เป็นผู้แกล้วกล้า เป็นพหูสูตร ทรงธรรม สามารถบอกได้จำแนก เปิดเผย กระทำให้ง่าย ได้ในการแสดงธรรมให้เป็นปาฏิหาริย์ ที่เก่งยิ่งกว่า คาบเรือ เหาะเหินเดินอากาศ ดำน้ำ ดำดิน นั่นก็เก่ง แต่นี่เก่งกว่าอีก ของพระพุทธเจ้านี่เก่งกว่าประเสริฐกว่า อีก หรือว่าจะหยั่งรู้ทำนายใจคนได้ คนที่เก่งทางอาเทสนาปาฏิหาริย์น่าจะไปนั่งทางในดูว่า เครื่องบินที่มาเลเซียหายไปน่าจะนั่งทางในหาเจอนะ

       สรุปแล้ว คือพระพุทธเจ้าสอนให้ลดกิเลส ใครทำได้เป็นปาฏิหาริย์ ใครเห็นความสำคัญอันนี้ แล้วตั้งใจศึกษาจนได้มรรคผล เกิดความจริงได้ในตน ไม่เสียชาติเกิด พวกคุณนี่เกิดมาไม่รู้กี่ชาติๆ เกิดมาก็มาไล่ล่าโลกธรรม สมบัติผลัดกันชม เสพสมบัติผัสสาหาร อาศัยแค่นี้ ไม่่รู้กี่ล้านชาติ ก็จมวนเวียนเป็นวิบาก ต้องใช้หนี้วิบากไป ได้ก็มี ไม่ได้ก็มี ฆ่าแกงกัน ไม่เบื่อซะที เห็นแล้วก็รู้ว่าไม่รู้จะไปหลงยึดกันทำไม

       อาตมาก็ศึกษาจนรู้แจ้งเห็นจริง ที่จริงก็ไม่ง่าย แต่ควรได้ ควรได้ยิ่งกว่าได้ทองคำเป็นภูเขา 10 ลูก หรือได้เพชรก้อนโตเท่าหิมาลัย เพราะมันประเสริฐสุดยอดของมนุษย์ เป็นประโยชน์ต่อสังคม

       คุณมีทองเท่าภูเขา 10 ลูก คนเอาทองคำมาแจกคน ตีกันทะเลาะกัน การบริหารประเทศเพื่อเอาเงินทองแบ่งกัน อย่างนั้นมันเรื่องหลอก แต่เรื่องจริงที่สุดคือต้องได้ธรรมะ

       คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องย่ิงใหญ่ ท่านให้เรียนรู้ เจตนา หรือ ตัณหา 3

1. กามตัณหา (ใคร่อยากในกามภพ อันอาศัยรูปภายนอก)

2. ภวตัณหา (ความใคร่อยากได้รูปภพภายใน และอรูปภพ)

       คนเราในโลกวนเวียนแค่ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สามอย่างเท่านี้ ส่วนพระอนาคามีขึ้นไปก็หลุดพ้นจากกามภพแล้ว หมดเจตนาที่จะเอามาบำเรอตน หรือต้องสุขทุกข์เพราะ กระทบทวารนอกทั้ง 5 หมดตัณหาที่จะอยากได้มาเป็นของตน อยากเสพรสเชิงอัตตาแก่ตนไม่มีแล้ว อนาคามีขึ้นไป เหลือเศษรูปภพอรูปภพ เป็นแต่ของตนในจิต เหลือแต่ในจิตไม่ต้องใช้ตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ปรุงเองในความจำ ปรุงเอง ก็ล้างกิเลสอันนี้ของตนให้หมด ล้าง ภวภพ ก็หมด โดยใช้วิภวตัณหา

3. วิภวตัณหา (อยากได้ความไม่มีภพ  หรืออยากพ้นไปจากภพ, หรือปรารถนาสิ่งที่ไม่ใช่ภพเพื่อตน  เป็นตัณหาแห่งอุดมการณ์ที่อาศัยไว้เพื่อดำเนินความดีไปเช่นนั้นเอง)  ศึกษาเป็นไปเพื่ออาศัยวิเวก  วิราคะ  นิโรธ  อันน้อมนำไปเพื่อความปลดปล่อย (วิเวกนิสสิตังวิราคนิสสิตัง   นิโรธนิสสิตัง   โวสสัคคปริณามิง)

 

       ศาสนาพุทธอยู่กับสิ่งภายนอก สัมผัสทวาร 5 เหมือนคนสามัญธรรมดา แต่จิตท่านไม่ได้มีกิเลส ไม่ต้องการได้มาของตน หรือว่าต้องการทำลาย หวงแหนไม่ให้ใคร หรือว่าต้องการเสพรส เป็นกาม ใคร่อยาก เป็นตัณหาใหญ่

       ทำให้หมดได้จริงเป็นวิภวภพ เป็นความปรารถนาไม่เพื่อตัวตน

       ท่านนายกฯ พูดด้วยเจตนา ได้ 2.2 ล้านๆ ต้องการทำงานเพื่อสังคม อาตมาขอยืนยันว่า ในความมุ่งหมายต้องการของคุณยิ่งลักษณ์​ คนเรามีปฏิภาณ ว่าพูดว่าสร้างสรร แต่แฝงไปด้วยความโลภ เป็นกามตัณหา ไม่ต้องพูดเรื่องภวตัณหา ที่อยู่ภายใน ต้องเรียนรู้ก่อนจึงรู้ได้ ยังไม่เคยเรียน

       อย่างนายกฯมีตัวรู้ว่าต้องได้มาเพื่อทำงานให้แก่สังคม แต่ว่าขนาดกู้เงินมาเพื่อให้คนไทยเป็นหนี้ไปอีก 50 ปีนี่ไม่ให้ใช้กฎหมาย นี่พูดไม่รู้เรื่องเลย เรื่องนี้ประธานสภาเป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลตัดสิน แล้วโง่กระทั่งกฎหมายก็ไม่รู้ ลึกๆเขาก็อาจหวังว่าศาลจะตัดสินให้ได้ ก็จะให้จบ แต่ว่าศาลก็ตัดสินให้ตกไป แล้วนายกฯก็ว่า “อยากให้มองดูที่เจตนาอย่ามองการใช้ข้อกฎหมาย เป็นข้อเพื่อที่จะลิดรอน เหรือเป็นข้อที่จะตัดสิน ของทุกคนเลย แล้วอย่างนี้เราจะไปกันลำบาก พัฒนา ประเทศต่างๆก็ลำบาก”

       แล้วก็ไม่รู้เจตนาของตนเลย ซึ่งวาระนี้สภาได้ลักหลับ ตีสามผ่านกฎหมายนี้ เขาว่าเป็นเรื่องระเบียบและข้อกฎหมาย เขาว่างั้นนะ และก็มีข้อบกพร่องผิดพลาดมากมายเลยในการออกกฎหมายกู้เงินนี้ ไม่ให้ใครตรวจสอบด้วย แล้วใครจะไว้ใจให้ทำ นี่คือพูดไป เจตนาออกนอกลู่นอกทาง ตัดกฎเกฎฑ์เขาทิ้งหมด เพราะเขาเอาที่เจตนาคุณนี่แหละ วิธีที่คุณทำมันขัดแย้งหลักเกณฑ์ ลบหลู่กฎหมาย แสดงเจตนาที่ออกนอกแบบแผน เอาไปใช้ได้ตามใจ ใครจะเชื่อน้ำมนต์ ถ้าบริสุทธิ์ใจก็ต้องทำตามแบบแผน ให้ตรวจสอบได้

       คนจิตซื่อสัตย์ ไม่มีกามตัณหา แม้จะมีภวตัณหาบ้าง ก็จะทำอย่างถูกต้อง แต่คุณนี่ทำแล้วแสดงว่ามีอกุศลเจตนา ที่คุณไม่รู้ตัวว่าออกมาแล้ว เพราะคุณทำมาหลายคดี เห็นร่องรอยตลอดมา แล้วจะให้ทำต่อไปอีกได้อย่างไร ใครจะไว้ใจคุณ ยิ่งเจตนาวิธีปฏิบัติไม่ได้อยู่ในร่องรอย แล้วมาต่อว่าเอากฎเกณฑ์มาใช้จะทำงานลำบาก ไม่ใช่ลำบากหรอก เขาไม่ให้คุณทำ นอกจากไม่ให้ทำแล้วจะให้ออกด้วย แต่คุณเหนียวเหลือเกินเป็นเรื่องที่เห็นจริงได้

       วิภวตัณหานั้น เขาแปลเผินๆว่า ไม่อยากได้อยากมีอยากเป็น แต่นั้นตื้นๆ อาตมาแปลว่า เป็นความต้องการดับภพ พ้นจากภพ ไม่มีความอยากที่เป็นกิเลสผสมอยู่ ไม่มีกิเลสทำงานหรือสังขารร่วม ให้ฆ่ากิเลสในจิตได้ แต่ถ้าไม่ฆ่าก็สงบ กดข่ม ไม่ออกมาทำงาน ออกมาทำงานเป็นครั้งคราว แต่ไม่ได้ล้าง ทฤษฎีพระพุทธเจ้านั้นล้างจริง ตั้งแต่หยาบก่อนเลยคืออบาย คือกามภพ ที่เราเลือกตัวที่เรารู้ว่าคืออบาย เรารู้จิตเราก็หยุดมัน เช่น 2.2 ล้านๆ จำนำข้าวนี้เอาเงินไปทำงาน แล้วก็มีคดีอื่นๆอีก คดีจัดการน้ำ เอาเงินกองกลางของรัฐไปทำงานแล้วโกงกิน เป็นคดีความกันอยู่เลย แล้วจะให้ไปใช้ทำคมนาคม เจตนาหลอกอีกตั้ง 2.2 ล้านๆอีก คดีเก่าให้สะสางเข้าคุกก่อนได้ไหม แล้วค่อยออกมากู้ใหม่ เขาจะให้กู้ไหม

       ในคนที่ไม่รู้จักจิตเจตนาพวกนี้ ที่ไม่รู้เพราะไม่ได้เรียน ไม่มีภูมิปัญญาไม่ได้ศึกษาธรรมะ ชาตินี้ถ้ารู้ก็ต้องรู้บ้างแล้วล่ะ แต่นี่ทำอย่างน่าเกลียดไม่ละอายก็เลยไปกันใหญ่

       คนที่อ่านจิตเป็นล้างจิตได้ก็จะดับตั้งแต่อบาย โสดาบันดับอบายได้ เป็นตัวอย่าง เราทำอย่างชัดเจน มีวิตกวิจาร คนเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า จะรู้จัก เวทนา ตัณหา 3 อุปาทาน 4

       การได้สมใจในกามในราคะก็สุข ไม่ได้ดังใจก็ทุกข์ เป็นผัสสาหารในชีวิต ชีวิตมีชีวิตชีวากับผัสสาหาร ผู้ใดดับภพได้จึงเป็นผู้มีตัณหาที่เรียกว่ามีวิภวภพ

       คนดับอบายได้ก็เลิกชั่วได้ระดับหนึ่ง เป็นโสดาบัน เลิกตัวหยาบได้ เป็นเบื้องต้น  แล้วก็มาเรียนรู้เลิก กามต่อมา ซึ่งอบายภพดับไป คนนี้ก็มีวิภวตัณหาในระดับโสดาบัน พอมาสกิทาคามีก็มาล้าง กามภพ ไม่มีสุขทุกข์ในกามภพ ก็เป็นอนาคามี คนเป็นอนาคามีไม่สุขทุกข์เรื่องกามภพ แต่ก็อยู่กับโลกเขาไม่ติดในกามที่เขาแย่งชิงกัน เป็นสงครามไม่รู้จบ ไม่แย่งทรัพย์สิน กับใคร มีแต่เพียงใช้น้อยกินน้อยเพียงพอ คนไม่มีภพก็จะรู้ว่าตัณหาของตนมีแต่ตัณหากุศล ซึ่งลด อบายภพ กามภพ มาแล้วเหลือรูปภพ อรูปภพ ก็ศึกษาจากผัสสะ 6 วิญญาณก็สะอาดขึ้น ทั้งนอกและใน ก็มีเจตนาปรารถนาดี รู้ตนเอง ว่าตนดับอบายดับกามได้ หมดแล้ว แต่จิตเจตนามีอยู่ อกุศลเจตนาหรือเจตสิกอกุศลไม่มีแล้ว จึงเรียกว่าวิภวตัณหา หมดไปไม่มีภพแล้ว อนาคามีเหลือแต่ ภวภพเท่านั้น

       แล้วล้างรูปภพ อรูภพหมดแล้วก็เป็นอรหันต์ ก็อยู่กับสังคม กิเลสหมด แต่อยู่ไม่เพื่อตัวตน ของตัวตน มีกรรมกิริยาทำงานกับสังคมนี่แหละ อรหันต์ของพุทธไม่ได้ทิ้งชีวิตไปกับป่าเขาถ้ำ

       พระพุทธเจ้าสอนว่าให้ไปอยู่ที่แจ้งลอมฟ่าง ป่า เขา ถ้ำ ก็ดี หมายความว่า คนปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าไม่ต้องออกป่า แต่คนที่เขาหลงป่าออกป่า ก็ดี (คำว่า ก็ดี เป็นเรื่องที่เกิดมีเป็นอยู่) แม้คุณอยู่ป่าเขาถ้ำก็ทำตามทฤษฏีพระพุทธเจ้าได้ เรียนจากในมานอกก็ได้ แต่ไม่ง่าย ผัสสะไม่ค่อยมี แต่สมัยนั้นเขาเรียนกันเช่นนี้ สมัยนี้พุทธศาสนาล่วงมากครึ่งพุทธศตวรรษ เลย 2500 ปีจึงเสื่อม

       การผิดพลาดไม่รู้ธรรมะแม้วิภวตัณหา เข้าใจไม่ถูก แม้วิภวตัณหาที่เป็นตัณหาล้างตัณหา เป็นเจตนาจะล้างเจตนาที่เลว ก็ย่อมแยกเจตนาตนเองออก ที่เราอ้างอิงว่าจะทำประโยชน์ให้คุณนะ เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่าช่วยเขา ต้องกู้เงินมาทำรถไฟความเร็วสูงเพื่อขนผัก มันคุ้มกันหรือเปล่า ก็ไม่รู้ว่าเจตนาจริงกับเจตนาแฝงอกุศลมีเท่าไหร่ นี่คือการบกพร่องของศาสนาพุทธที่สอนกันมา

       ไม่รู้อาการจิตที่แฝงมา เราเจอมันเราก็ทำลายมันให้หมด อาตมาหวังว่าศาสนาพุทธในไทยจะสร้างคนให้เป็นอริยะของพุทธ ไม่เป็นคนเห็นแก่ตัวตัดช่องน้อยแต่พอตัว แต่ออกป่าไหมก็ออก แต่ไม่ออกไม่เป็นไร หากสัมมาทิฏฐิไม่ต้องออกป่าก็อรหันต์ได้ แต่ถ้าออกป่าแล้วศึกษาไม่เป็นลำดับ ศึกษาแต่ภายในไม่ชัดไม่เกิดปัจจุบัน มีแต่สัญญาเป็นหลักไม่มีมโนหรือเจตนาเป็นหลัก ไม่ชัด ไม่มีปัญญาเรียนรู้แต่หยาบ แล้วเรียนรู้ให้ชัดในละเอียด แต่นี่โมเมเรียนละเอียดก็ช้านานยาก แม้จะปฏิบัติศรัทธานำ ใช้เจโต ไม่ใช้ปัญญา ส่วนสายปัญญาจะรู้จักปัญญาและเจโตด้วย

       หลักเกณฑ์เดียวกันคนต้องอยู่ใต้ศีล วินัย ทางโลกก็เช่นเดียวกัน คนต้องอยู่ใต้กฎหมาย รัฐธรรมนูญ อย่าให้ละเมิดจะไปไม่ได้ ถ้าตีทิ้งลบหลู่กฎหมายก็ไม่ดี โดยเฉพาะสถาบันที่จะดูแลหลักยุติธรรมของประเทศแต่คุณจาบจ้วง เอาระเบิดไปโยนใส่

       อาตมาไม่ได้โกรธเกลียดชังผู้ที่ว่านี้นะ ไม่ได้ไปเอาลาภยศสรรเสริญกับเขาหรอก แต่อาตมาก็ทำงานอยู่กับลาภยศสรรเสริญนี่แหละ

       การทำบอกว่า ก็ทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด โจรเขาก็ทำหน้าที่ชั่วให้กิเลสงอกงามไพบูลย์นี่ไม่ใช่ เราต้องรู้เจตนาในการทำหน้าที่เป็นกุศล อกุศลไม่ทำ

       เราต้องเรียนรู้เจตนา 3 นี่แหละ ต้องเรียนรู้กำจัด กาม กับ ภวตัณหา นี่แหละ ที่เรากำจัดได้ก็เป็นวิภวตัณหา จะกล่าวกฎหมายหลักเกณฑ์ รัฐธรรมนูญหรือศีลหรือวินัยเราก็ต้องรู้จักว่าเป็นหลักสำคัญ ผู้รู้ดีจะทำตามหลักเกณฑ์ สร้างกรอบกำหนดเป็นรั้วไม่ให้คนทำชั่วเกินขอบเขต ถ้าทำผิดก็ต้องลงโทษสั่งสอน ให้เข็ดหลาย แต่ถ้ามากเกินก็ประหารก็มี ยิ่งทำร้ายแรงกฎก็ต้องลงโทษแรง 

       สังคมเจริญจริงก็ไม่ต้องมีกฎ ทุกคนมีสำนึกดี ไม่หิริโอตตัปปะจริง กิเลสไม่มาก แต่ถ้าไม่ใช่โลกของคนประเสริฐ กฎก็ต้องจำเป็น ใช้ลงโทษคนเลวร้าย พอลงโทษหนัก เขาก็ตอนนี้จะแก้กฎหมาย เช่นว่าต้องลงโทษนักการเมืองให้หนัก เพราะสังคมถูกทำร้ายมามากแล้ว

       นักกฎหมายที่ออกกฎหมาย เป็นสภา แล้วไปซูเอี๋ยกับฝ่ายบริหาร จะออกกฎหมายมาเล่นงานตนเองได้อย่างไรกัน แต่จะออกกฎหมายให้ตนได้เปรียบ ก็เอา อะไรจะเสียเปรียบก็ไม่เอา แล้วคนเหล่านี้มีฐานะสังคม ฉลาดแกมโกงออกกฎหมายอย่างนี้มา จนักการเมืองไม่มีผล คนดื้อด้านต่อกฎหมายอีก ไม่ว่า นักการเมืองระดับไหนๆ ก็ละเมิดกฎหมาย อยู่เหนือกฎหมาย สังคมจะไปไม่รอด

       เจตนาต้องรู้ว่า ลบหลู่กฎหมายไม่ได้นะ เป็นเรื่องหยาบใหญ่ ถ้าลบหลู่กฎหมายก็พังหมด ส่วนเจตนาจะใช้ตัดสินก็ต้องผ่านขั้นหยาบก่อน หยาบใช้ไม่ได้แล้วก็ต้องใช้เจตนา แต่นี่เอาแค่หยาบคุณก็ผิดแล้ว คุณไม่รู้เจตนาของคุณหรอก คุณไม่มีความรู้เจตสิกหรอก ไม่รู้วิภวเจตนาหรอก ไม่ได้รู้ลดกิเลสหรอก มันแฝงคุณรู้ไม่ได้หรอก คนอวิชชากิเลสหลอกตนเอง ทำชั่วคุณนึกว่าทำดีด้วยซ้ำ ไปดูฝั่งแดงสิ ทำชั่วก็บอกว่าทำดี รวมพลกันที่อยุธยา ท้าทายกัน ไม่รู้ว่าจะแสนหรือแสนสาหัสที่มากันนี่

       สิ่งที่เกิดในสังคมเป็นองค์ประกอบของมวลหรือพลังงานของจิตหรือพลังงานของกาย วาจา ใจ ถ้าอ่านรู้จะเข้าใจตามภูมิอ่านออก จากกายวิญญัติ วจีวิญญัติ จะรู้ถึงมโนวิญญัติ ต้นตอในจิต พระพุทธเจ้ารู้ครบเป็นกามตัณหา ภวตัณหา เป็นกามวิตกหรือพยาบาทวิตก แล้วละเอียดเป็น วิหิงสาวิตักกะ

       ในปฐมฌาน นั้นต้องเรียนรู้ กาย ซึ่งกายนี้เป็นเรื่องนามธรรมเป็นสำคัญ แต่ว่าภาษาไทยนั้น เข้าใจคำว่า กาย คือร่างภายนอก เข้าใจผิดจึงศึกษาปรมัตถธรรมผิดไป อ่านกายในกายไม่เป็น 

       พอสัมผัสภายนอก แล้วก็จะต่อเนื่องเป็นเวทนาในจิต มี วิตก คือแยกแยะรู้ว่าคืออาการอย่างไร แล้วรู้ ความเคลื่อนไหวองค์รวมเรียกว่า วิจาร ส่ิงที่ถูกรู้เรียกว่า รูป แล้วเรามุ่งหมายรู้ตัวกิเลส ในองค์ประชุมของจิต ไม่ว่าจะเป็นเวทนา หรือสังขาร ฌาน 1 มีวิตกวิจาร

       กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน คนที่รู้องค์ประชุมนี่ ก็กำหนดต่างกันไป โดยสัญญาอย่างเดียวกัน แต่กายที่ได้ต่างกัน แม้ฌานที่ 1 ก็ต้องรู้จักสังกัปปะ 7 ให้รู้จักวิตกวิจาร แยกแยะให้ออก จะได้รู้จักจิตเจตนาของตน ที่ออกมาเป็น กาย เป็นองค์ประชุมที่หยาบ แม้ส่ิงเล็กน้อยก็จะรู้ได้ รู้หยาบได้ง่ายกว่าละเอียด

       ทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องเพ่ิมความรู้ทางโลก แม้หลับหูหลับตาก็ยังรู้เลย มันมาทุกทิศทาง มันส่งแพร่กระจายมากมาย แต่ธรรมะขาดแคลนมาก เป็นอุปสงค์สูงมากเลย ทุกวันนี้โลกไม่ขาดความรู้แต่ขาดคุณธรรม ความรู้ทุกวันนี้อาศัยใช้สอยทำงานแก่สังคมพอแล้ว อาตมาได้ดูถูกความรู้เทคนิคโลกนะ แต่มันเฟ้อเกินแล้ว มันรู้จนเราไม่ต้องเรียนก็รู้ ไม่ต้องเข้าโรงเรียนก็รู้นอกจากคนไม่สนใจสาระสังคม

       ผู้สนใจสิ่งขาดแคลนก็คือธรรมะ เราก็ต้องตั้งใจสร้างธรรมะแก่สังคม แต่อย่าไปหลงความรู้มากนัก ในไทยนี้เรียนมัธยม มากหนักสูงกว่าเขา กว่าอเมริกาอีก มันเฟ้อ ก็ต้องรู้อุปสงค์ในสังคม ตอนนี้เราจะปฏิรูปกันก็ให้เข้าใจอันนี้ไว้....จบ       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:13:01 )

570315

รายละเอียด

570315_พ่อครูเทศนาพิธีรับกลดสัมมาสิกขารุ่น “ธรรมยุทธผ่านฟ้า”

       พิธีรับกลดรุ่น “ธรรมยุทธ ผ่านฟ้า” ของนร.สัมมาสิกขาที่เรียนจบ มัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 47 คน

       พ่อครูเทศนาหลังจากนร.รับกลดทุกคนเรียบร้อยแล้ว

       พ่อครูว่า....เราเกิดมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราจะต้องเห็นความสำคัญของธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ประทานไว้ให้แก่โลก อย่าเห็นเป็นของเล่น สังคมทุกวันนี้ตกต่ำมาก ศานาไหนก็ตามควรมีธรรมะ เพราะเป็นส่ิงดีงามประเสริฐ ...พ่อครูพา

       วาระนี้เป็นวาระสำคัญโดยเฉพาะนักเรียน สัมมาสิกขา จบม.6 แล้วจะมารับเครื่องหมายที่ถือว่าจบ นอกจากได้รับใบประกาศนียบัตรแล้ว เรายังได้รับกลด กับเข็มที่ระลึก

       เป็นเรื่องของมนุษย์ที่ได้จัดสรรองค์ประกอบ ศาสตร์ ศิลป์ในการสร้างให้เป็นพิธีการ ทำให้เกิดการพัฒนาการทางจิตใจ ทั้งองค์ประกอบ วัตถุ กิริยาเคลื่อนไหวทางกาย วจี เป็นรูปแบบให้คนเจริญ

       แม้ดึกดำบรรพ์คนป่าก็มีพิธีการ และเพื่อให้เกิดผลทางจิตวิญญาณ ถ้าพิธีกรรมใด เราไม่มีจิตสำนึกไม่ได้ซาบซึ้งเลย คนนั้นก็เป็นคนตาถั่ว มิลักขะ ไม่เจริญ ไม่ฉลาด

       ส่วนคนที่เห็นประโยชน์ ร่วมด้วย ก็เกิดผลทางจิต หรือผู้เป็นตัวปฏิบัติ มาเห็นสัมผัส ก็จะเกิดจิตวิญญาณร่วม รู้สึก เข้าใจ นำพาไปสู่ที่สูงที่เจริญได้ เรารู้ว่าการรวมกันในงานนี้ มีอะไรเป็นจุดสำคัญ การจบการศึกษาในระดับหนึ่ง เรามีวุฒิภาวะ ความรู้สามารถเพิ่มขึ้น ก็ต้องรับผิดชอบเติบโตพัฒนาการ ตามวัย เราควรต้องมีความรู้ตามวัย ตามฐานะ วุฒิ หรือโตกว่านั้นได้รับป.ตรี ป.โท ป.เอก ก็ต้องรู้ว่าเราได้มีพัฒนาการขึ้น

       ถ้าผู้ใดไม่สำนึกไม่รู้ตัวเลย ก็คือคนที่ ไร้สาระ ไร้ปัญญา เหมือนเศษสวะ ล่องลอยไป ตามประสาไม่ก่อประโยชน์ เหมือนช้อนไม่รู้รสแกง ได้แต่รวมไปกับเขา สักแต่ว่าเข้าสอบ ผ่านๆไป ไม่รู้ว่ามีความรู้สามารถเกิดและจะเอาไปทำอะไร?

       ไม่ว่าจะเจริญทางวัย หรือทางความรู้ ชีวิต เราก็ต้องรู้ว่าเราต้องรับผิดชอบ ย่ิงถ้าเราได้รับการศึกษาฝึกฝนอบรม เราก็ควรต้องเจริญตามสิ่งที่เราได้

       ถ้าไม่ได้เราก็สูญเปล่า ชีวิตเราผ่านอายุ ต้องจ่ายแรงงานทุนรอนไร้สาระ ดีไม่ดีเต็มไปด้วยความชั่ว กิเลส ไร้สาระ ยิ่งขึ้น ได้แต่เหลวไหลเลวร้าย เป็นชีวิตตกต่ำ เกิดมาซวย ไม่ดี เราต้องรู้ว่าแต่ละเวลาผ่านไปๆ ชีวิตเกิดมาไม่ได้เกิดมาเพื่อสนองกิเลส บำเรอกิเลส มอมเมา ครอบงำ ไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ บำเรอกาม อัตตา หนาใหญ่ขึ้น ไม่รู้จักว่าชีวิตเกิดมาควรได้อะไร

       พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นโมฆบุรุษ สูญเปล่า เกิดมาไม่ได้ส่ิงที่ควรได้ เปล่าดาย แถมได้ส่ิงเลวร้ายติดไป ซวย เปล่าๆ เกิดมาทำไม เกิดมาแล้วแทนที่จะใช้ร่างมนุษย์ครบอาการ 32 เป็นร่างกายที่ เป็น อิทธพรหมจริยวาโส (กายยาววาหนาคืบกว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ) นี่ พร้อมจะเจริญสู่พรหมจรรย์ ความเจริญ เป็นสภาพพรหม บริสุทธิ์สะอาด สูงสุด เรียกว่าพรหม เป็นของศาสนาเดิม พรหมจรรย์คือส่ิงที่เราต้องพากเพียรให้จิตวิญญาณเจริญ สูงขึ้นจนเป็นอรหันต์

       พวกเราชาวพุทธที่ได้ศึกษา หรือนร.สัมมาสิกขาทุกคน ได้ศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญา หรือไตรสิกขา มีลำดับแห่งความเจริญ

       ในแต่ละระดับชั้นของการเรียน ก็มีเป็นขั้นตอน เป็นความก้าวหน้าตามโอกาสของแต่ละคนที่จะได้มากหรือน้อย แต่ละคนได้ร่างกาย มีชีวิต อย่าสูญเปล่า ขอกำชับทุกคนให้สำนึก ให้รู้สึกว่าตนเกิดมาได้ชีวิตดีขึ้นไหม หรือปล่อยให้จมไปกับโลกธรรม จิตเรามีกิเลสเพิ่มพอก จะต้องได้ต้องมีต้องเป็น ยึดอย่างแรง ถือมั่น เอาเป็นเอาตาย จิตร้ายแรงแย่งอย่างทุจริต

       ถ้าเขาเอาสิ่งที่เราต้องการมา หรือสำนวน ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา เป็นความโหดร้าย ต้องการอะไรก็ฆ่า ไม่ว่าจะโลกธรรม หรือกามหรืออัตตาก็แก่งแย่งไปฆ่าเขา ทุกวันนี้มีสงครามแบบนี้อยู่ เช่นเราออกมางานนี้ขณะนี้เรียกว่า

“ธรรมยุทธ ผ่านฟ้า”  แปลว่า การรบที่มีธรรมะ ณ สถานที่นี่ สะพานผ่าฟ้าลีลาศ เรามาทำงานที่นี่หลายเดือนแล้ว พวกเราก็ได้มาร่วมช่วยงาน ช่วยรบอย่างธรรมะ

       รุ่นนี้ผ่านอันนี้ รุ่นอื่นก็มีเครื่องหมาย สำหรับแต่ละรุ่นๆ เป็นเครื่องหมายให้เราใช้ ในการรำลึก สำนึก ปรับปรุงตนในการมีชีวิตทำอะไรควบคุมตนให้กาย วาจา ใจพัฒนาขึ้นไม่ใช่ปล่อยไปตามกิเลส เราต้องรู้ว่าจิตของเรามีกิเลสคืออะไร เราเรียนมาบางคนมากกว่า 6 ปี ตั้งแต่ชั้นปฐมศึกษา

       เราตายแล้วสิ่งที่ได้คือคุณธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่ถ้าได้ถึงขีดขั้นอาริยธรรม จะมีน้ำหนักอยู่กับอัตภาพของเรา เร่ิมแต่โสดาบัน ที่มีคุณธรรมถึง นิยตะ ไม่ว่าชาติไหนจะไม่สูญหายไปจากเรา เป็นวิทยาศาสตร์

       องค์คุณของโสดาบัน

.) ส่วนที่ดับไปจากจิต . .

1.    ขีณนิรยะ (สิ้นจากนรก, ปิดนรก ดับความเร่าร้อนได้)

2.   ขีณปิตติวิสยะ (สิ้นจากวิสัยความอยากอย่างเปรต) 

3.   ขีณติรัจฉานโยนิ (สิ้นจากความโง่ ที่ขวางเจริญ)

4.    ขีณาปายทุคติวินิปาตะ (สิ้นจากอบาย ทุคติ วินิบาต)

 

.) ส่วนที่เกิดทางจิต (โอปปาติกโยนิ)

5. โสตาปันนะ (เข้าสู่กระแสโลกใหม่คือโลกุตระ) ได้ถึง 25%

6. อวินิปาตธัมโม (ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา) ได้ถึง 50 % แต่ก็มีถอยได้ยึกยักๆ

7. นิยตะ (เที่ยงแท้แน่นอนสู่มรรคผลที่สูงขึ้น) ถึง 75 % เป็นเกณฑ์ที่มีปัจเจกภูมิ เที่ยงแท้แล้ว

8. สัมโพธิปรายนะ (มุ่งตรัสรู้ในภายหน้า) ได้เต็ม 100 % ดับได้สนิทสมบูรณ์เลย

 

       มันถึงเดือดร้อน อาตมาเกิดมาชาตินี้ ไม่ได้เรียนจากสำนักไหน จนคนเขาหาว่านอกรีต หาว่าทำลายศาสนาพุทธ เขาไม่ยอมรับง่ายๆ อาตมาเข้าใจรู้ฐานะตัวเอง รู้ว่าปางนี้อาตมาต้องมาทำงานแบบนี้ เข้าใจดี ต้องพิสูจน์สัจธรรม รู้ว่าเหนื่อยหนัก ต้องอุตสาหะพากเพียรอดทน เอาใจใส่ ไม่ได้เป็นความเสียหายของอาตมาเลย เป็นความเจริญ ก็พยายามนะ ลูกๆหลานๆทั้งหลายให้ใส่ใจในชีวิต หากเราได้ส่ิงถูกต้องสัมมาทิฏฐิ ถ้าได้คุณธรรมพระพุทธเจ้าแล้วติดตัวไปจนปรินิพพานเลย

       โสดาบันก็ได้คุณสมบัติระดับหนึ่ง สกิทาคามีก็สูงขึ้น อนาคามีก็ย่ิงสูง และกำจัดกิเลสเกลี้ยงก็เป็นอรหันต์ สามารถอยู่กับโลกได้ ก็เป็นโพธิสัตว์ต่ออีกได้ เป็นอรหันต์แล้วจบ เป็นความรู้สามารถเพิ่มเติมได้ รู้โลกโลกีย์ที่ไม่เคยเป็นนี่มีหลักประกัน ว่าตนเองไม่ตกต่ำ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่ดี สิ้นบาป ทำแต่ประโยชน์ช่วยคนอื่นไป เกิดชำนาญ ความรู้สามารถ เพื่องานรับใช้ปชช.ต่อไปอีก ไม่ได้ตกต่ำ เจริญ ตามลำดับ

       ทฤษฎีการศึกษาของพระพุทธเจ้าจึงเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติแท้จริง หมดเห็นแก่ตัว เป็นประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคมแท้จริง มีหลักสำคัญว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       เมื่อมีอาริยธรรมของพระพุทธเจ้าจริงจะมีคุณสมบัติอย่างนี้จริง เราเรียนจบไปหลายรุ่นกันแล้ว ก็จะเห็นชาวอโศก ทำงานให้สังคม ไม่ได้ค่าจ้างอะไร เราทำมาหลายเดือนแล้ว เลยครึ่งปีแล้ว ทำลายสถิติที่เคยมีมาในประเทศไทย เราร่วมทำลายสถิติตัวเองนะ เจริญขึ้น เป็นเรื่องเกิดจริงเป็นจริง พูดไปเหมือนอวดตัว แต่ไม่ได้เจตนาเช่นนั้น

       เราต้องรู้ตัณหา 3 อย่าง เจตนาเราที่เป็นกามตัณหา ก็เพราะว่าคุณเต็มไปด้วย กาม และภวภพ ก็ต้องการแล้วไปทำเสียหาย

       กาม ภวภพ ก็คือกิเลส เป็นไปเพื่อตัวตนศักดิ์ศรีอำนาจ ส่วนกามก็คือ สัมผัสด้วยทวารนอก คุณก็จะเอาทั้งลาภ ยศ อำนาจ เจตนารมย์เป็นเช่นนั้น คุณไม่รู้เจตนาที่เป็นวิภวภพ เป็นอย่างไร คุณพูดไปอย่างไม่เดียงสา อาตมาก็สงสารคุณ เห็นคุณตกในวัฏฏะสงสาร เวทนาคุณ โดยที่คุณไม่รู้จักเวทนา             


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:15:12 )

570316

รายละเอียด

570316_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง นักการเมืองแบบพุทธ

       เรามีตลาดอาริยะ เป็นเรื่องของอาริยธรรม แรกๆเขาก็มองว่า เราทำเหมือนทางโลก ที่ลดราคา เหมือนห้างร้านเขาก็ว่าเซลล์ ก็ว่างั้นนะ เขาฉลาดแกมโกงให้คนนิยม แต่แท้จริง สร้างความนิยม ให้มากกว่าเก่า แต่ของเราทำงานด้วยชีวิต จิตใจจริง เราเห็นว่าเราได้ให้เป็นประโยชน์คุณค่าต่อคนอื่น ถ้าเราได้ให้อย่างจริงใจ เป็นสัจจะว่าการได้ให้ไป ก็ต้องดีกว่าไปเอาของเขา เบียดเบียนของเขา เขาก็หวงแหน ในการให้ถ้าเราเองเราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ศาสนาทุกศานาสอนให้มีการให้ เป็นคุณสมบัติพิเศษ ของมนุษยชาติ ทานเป็นคุณธรรมหลักแรก ของทุกศาสนา

       พระพุทธเจ้าก็ให้ทานเป็นข้อแรก ให้รู้จักใจของเราว่าจะเอาหรือให้ มันไม่ได้รู้ได้ง่าย เราคิดว่าเราให้วัตถุ แต่ว่าใจกลับจะเอามากกว่า ให้ของไปนิดเดียวแต่ต้องการได้สิ่งแลกเปลี่ยนมากกว่าเดิม เหมือนการเล่นการพนัน ตะกละมากกว่า     

       เรื่องการให้ เมื่อจิตวิญญาณเข้าใจก็จะจริงมากขึ้นใจชัดใจจริง เราก็จะรู้ประมาณในการให้ ว่าเท่าไหนจะไหว จะพอดี คนที่กล้าได้ประมาณสัดส่วนพอดีก็ไม่เดือดร้อน คนประมาท ประมาณไม่ดี ให้เกิดแรงเกินตัวก็เกิดการติดขัน Run shot ก็เป็นหนี้สิน ไม่สมดุล เป็นไปไม่ได้ ต้องหัดประมาณ

       การให้อย่างตลาดอาริยะ ตอนแรกเราก็คิดว่าไม่มีร้านเท่าไหร เอาไปเอามา แถมเติมมาก เช่นร้านธุลีฟ้า ซึ่งเจ้าของเคยเป็นศิษย์เก่า ขายเสื้อ ยอดขายทั้งหมด 87,000 บาท ได้กำไรอาริยะเป็น 76,900  บาท และทำบุญเพ่ิมอีก รวมยอดทำบุญ ให้พ่อครู 87,000 + 13,000 บาท รวม 100,000 บาท

       เป็นผู้ที่ศรัทธาปฏิบัติธรรมเป็นครอบครัวเลย จนแต่งงานมีครอบครัวก็ทำมาตลอด คือคุณแน่แท้     

       ลักษณะที่อาตมาได้พาทำที่เป็นพาณิชน์ เรียกว่า บุญนิยม ไม่ใช่ทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน การค้าก็บุญนิยม การศึกษาก็บุญนิยม แม้แต่การสื่อสารก็บุญนิยม เจตนาตั้งเพื่อล้อเลียน ทุน

       บุญ มาจาก ปุญญะ รากศัพท์บาลีแปลว่า การชำระกิเลส

       ผู้ที่สามารถเข้าใจ อย่างในหลวงตรัสว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา หรือเศรษฐกิจพอเพียง หรือปกครองบริหาร ก็ตาม ภาษาบุญนิยม นั้น กำหนดหมายที่ กิเลสเป็นหลัก

       การขายขาดทุน คือขายต่ำกว่าราคาทุน นั่นคือ กำไรของเรา ส่วนใครจะขาดทุนได้มากเท่าใด ก็ขึ้นอยู่กับสมรรถนะของเรา เป็นเศรษฐศาสตร์บทหนึ่งของโลกที่เราได้ทำ แม้แต่สัมมาอาชีพของเรา การค้าของเราก็มีหลักการแบบบุญนิยม มี 4 ระดับ

1.    ตำ่กว่าราคาตลาด

2.   เท่าทุน

3.   ขาดทุน

4.    แจกฟรี

 

       เราทำถึงระดับสาธารณโภคี ทุกชุมชนอโศก ทำงานฟรี กินใช้ส่วนกลาง สังคมแบบนี้เป็นจริงได้ ในคำว่าบุญนิยมหรือเสียสละให้แก่สังคมเป็นคุณธรรมหลักในการอยู่ในสังคม หรือในหลวงตรัสเรื่องแบบคนจน

       ผู้ที่เสียสละแล้วแต่ใจเรากลับภูมิใจดีใจ เป็นอุปกิเลส เป็นสิ่งที่อย่าไปตื่นเต้นมาก ไม่อย่างนั้นจะติดยึด ติดในการสร้างลักษณะนี้ แล้วจะตะกละแม้อารมณ์​ที่จะต้องการแรงอย่างนี้ มันก็จะเสียนะ พระพุทธเจ้าสอนปีติหลายขั้น

1.    ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)

2.   ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ)

3.   โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)

4.    อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)

5.    ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)

(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)

       พระพุทธเจ้าว่าไหนๆจะทำดีสุจริตแล้วก็อย่าให้มีอุปกิเลส ถ้ามีก็มีเล็กน้อยก็พอแล้ว ให้ตำ่สุดแค่ ผรณาปีติ แค่ซาบซ่านให้ตัวพลังงานปีติเบาที่สุด

       แรงงานทางจิตมีดีกรีต่างกันไป พระพุทธเจ้าชัดเจนหมด เอามาสอนไว้ จนกระทั่งไม่ต้องไปหลงใหลกับมัน อันไหนควรได้ควรทำ ไม่จำเป็นต้องไปดีใจเสียใจ สุขหรือทุกข์ใจ ไม่ต้องมี แล้วทำตนเป็นกุศลเป็นประโยชน์สังคมโลก

       พระพุทธเจ้าท่านสรุปว่า ผลสูงสุดของผู้ปฏิบัติแล้วจะทำอย่างนี้ ท่านตรัสกับพระอรหันต์ 60 รูปแรก ว่าต้องไปทำงานให้กับสังคม ไม่ใช่ไปออกป่าเขาถ้ำ ให้ไปเผยแพร่ ไปไม่ซ้ำที่กันด้วย ไปเพื่อ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       ให้สร้างประโยชน์ ความสุขแก่สังคม ไม่ใช่ว่าสุขเพราะได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่อย่างใด หรือได้เสพกาม  ได้บำเรออัตตา แค่นั้น บำเรออัตตา สะใจจริง มันเขี้ยวจริง ก็บำเรออัตตา ทั้งนั้น

       พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้มีปัญญาล้างกิเลส อุปาทาน เกลี้ยงจะเป็นคนที่มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นนักการเมืองเบอร์หนึ่งของโลก

       ชาวอโศกพิสูจน์ว่าไม่ต้องสะสม แม้ทรัพย์สิน เงินทอง บ้านช่องเรือนชาน ก็มีชีวิตได้ดี มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา เขาจะเลี้ยงไว้ เพราะเรารับใช้สังคม คนที่เป็นประโยชน์คุณค่าเสียสละต่อผู้อื่นตลอด เป็นคนมีค่า มีสุขที่ไม่ใช่บำเรอกิเลส แต่เป็นสุขที่เกิดจากการลดกิเลส วูปสโมสุข ผู้ที่เข้าใจสัจธรรมโลกุตระ จึงเป็นนักประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ จะทำงานกับสังคมอย่างวิเศษ พาสังคมไปรอด เป็นนักการเมืองชั้นยอดเลย เป็นประชาธิปไตยสุดยอด แม้เป็นคอมมูนก็นักคอมมูนชัั้นยอด เป็นนักเผด็จการก็นักเผด็จการชั้นยอด ช่วยคนอื่นตลอด มีคุณค่าประโยชน์ ผู้บรรลุธรรมของพุทธนั้น พึงเป็นผู้รับใช้สังคม  

       ธรรมะของพระพุทธเจ้ายืนยันได้ว่า เป็นหลักประชาธิปไตย พระพุทธเจ้าตรัสคำว่า ประชาธิปไตย แต่คำว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เอามาไขถึงอธิปไตย 3

1. คนที่มีตนเป็นใหญ่ (อัตตาธิปไตย)

       มีสติพิจารณาจนเกิดอธิปไตยให้แก่ตน

2. คนที่มีโลกเป็นใหญ่  (โลกาธิปไตย)

       มีปัญญาเพ่งพินิจ ไปกับงานของโลก

3. คนที่มีธรรมเป็นใหญ่ (ธัมมาธิปไตย)

       เป็นผู้ประพฤติโดยสมควรแก่ธรรม

       

       ถ้าสมมุติว่า ชุมชนกลุ่มนี้ แต่ละคนเป็นนักอบายมุข ก็จะรวมกันมีพลัง ครอบงำให้คนมีอบายมุข ประเทศนั้นถ้ามีคนเช่นนี้มากคนก็จะเป็นคนติดอบายมุขด้วยกัน เพราะเป็นคนหมู่มาก อยู่อย่างอื่นไม่ได้หรอก นี่คือโลกาธิปไตย ทุกวันนี้โลกเป็นทุนนิยม โลกียะ หลงใหล โลกธรรม ตะกละแย่งชิง

       ถ้าเป็นอนาคามีจะบริสุทธิ์ในการไม่ทำร้ายโลกแล้ว ส่วนสกิทาคามีก็มีโทษต่อโลกบ้าง ส่วนปุถุชนก็เป็นศัตรูกันในสังคมจะมากน้อยก็แล้วแต่ ถ้าเราใช้หลักคุณธรรม สัจธรรมของพระพุทธเจ้ามีหลักสมบูรณ์ เราก็ต้องเรียนให้สัมมาทิฏฐิ

       สมัยพระพุทธเจ้าเป็นสมบูรณายาสิทธิราช แต่พระพุทธเจ้าก็ตั้งรัฐอิสระของ ท่านได้ ทุกแคว้นทุกรัฐยอมรับนับถือธรรมนูญ ลัทธิ ของพระพุทธเจ้าหมดเลย แม้แต่เป็นทาสก็ต้องยกให้พระพุทธเจ้า แล้วหมดความเป็นทาสเลยท่านปลดความเป็นทาสได้เลย ในสังคมทาส ไม่มีศักดินา ยศชั้น มีคุณธรรมเป็นสัจจะ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ท่ามกลางที่โลกทั้งโลกไม่เข้าใจประชาธิปไตย แต่ทุกวันนี้โลกเข้าใจประชาธิปไตยจึงทำได้ง่าย แต่ก็ยากเพราะจัดจ้านด้วยกิเลสมาก แต่ก็ยังมีคนมีปัญญา มีธุลีในดวงตาน้อย อาตมาเอาโลกุตรธรรมมาประกาศก็มีคนเข้าใจ

       ทำงานสำเร็จอาตมาในชาตินี้ ทำงานมา 40 กว่าปีแล้ว พูดแล้วคนก็หมั่นไส้ คืออาตมามีบารมีเก่า ตั้งแต่ชาติเก่า ก็อธิบายตามหลักฐาน ถ้าได้ภูมิธรรมก็ได้เลย ตั้งแต่โสดาบัน เป็นต้้นไป แม้อาตมาบอกว่าตนคือโพธิสัตว์ คนก็ไม่เข้าใจกัน เพราะศาสนาพุทธนั้นผิดเพี้ยนไปมาก

       แต่อาตมาพาพวกเราทำถึงสาธารณโภคี ซึ่งสูงกว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ของคาร์ลมาร์กซ์ เขาหาว่าจิตนิยมหรือศาสนาเป็นสิ่งเสพติดด้วยซำ้ เขาไม่เอา แต่ของพระพุทธเจ้ารู้ทั้งวัตถุทั้งจิต เราไม่ติดวัตถุก็อยู่ได้ด้วยดี

       ในอัตตาธิปไตยก็ทำให้จนคนเคารพนับถือ แม้ไม่ใช้พระเดช ใช้พระคุณก็ตาม ก็ใช้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขในการสร้างเช่นกัน แต่อย่างพระเดชไม่ดีกว่าใช้อย่างพระคุณ คนใช้พระคุณก็ใช้อย่างเรียบร้อยไม่แสดงอำนาจบาตรใหญ่ ช่วยเหลือเขา ก็ได้ความนับถือ ถ้าผู้ใดติดยึด คนเราจะได้เป็นใหญ่คนเคารพนับถือเพราะพระคุณ ก็เป็นกิเลส ถ้าคนไม่นับถือเคารพก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าได้ศึกษาทำให้อย่างซื่อสัตย์เสียสละไม่ต้องการบุญคุณ ก็ไม่ต้องสุขทุกข์ เราไม่ทำร้ายก็ดีแล้วแต่ทำดีแล้วไ่ม่ต้องมีใครรู้จักบุญคุณก็ได้ เราทำดีไม่ได้ดีเพราะเราทำดียังไม่มากพอ ตั้งใจทำดีไปเถอะ เราไม่ต้องตั้งใจอยากได้ให้เขาเห็นหรือมาตอบแทนบุญคุณ เพราะเราทำดีเราได้ความดีสำเร็จในตัวแล้ว 

 

       ชีวิตก็สบาย ในสังคมเขามีคนมีปัญญาเขารู้ว่าคนดีทำดีเขาก็จะช่วยเหลือสนับสนุน ช่วยทำด้วย เพราะรู้ว่าคนนี้มีคุณค่าดีงาม อาตมาได้อธิบายหลักเศรษฐศาสตร์บุญนิยมไว้ หมายเลข 1

1. ไม่เป็นหนี้

2. ทำกินทำใช้ให้พึ่งตนเองได้

3. ทำให้เหลือกินเหลือใช้

4. แจกจ่ายสะพัดออก เผื่อแผ่แก่ผู้อื่น

 

และ เศรษฐศาสตร์บุญนิยม หมายเลข 2

1. เรากินใช้ไม่มาก มักน้อยสันโดษ

2. เราสร้างสรรขยันเพียร

3. คุ้มกินคุ้มใช้ เหลือกินเหลือใช้

4. เราไม่สะสมกักตุน

5. เราสะพัดออก แจกจ่ายเจือจาน

       

       แม้เราทำตลาดอารยะก็ต้องมีวิธีการให้เขาได้รู้จักลดละกิเลสเสียสละ ไม่แย่งชิงทะเลาะวิวาทตีรันฟันแทงแย่งชิง จะสำนึกถ้อยทีถ้อยอาศัย เราช่วยกันพัฒนาจิตให้เสียสละมากขึ้น มีน้ำใจสูงมากขึ้น ให้สังคมเจริญงอกงาม นี่เรารู้จักอัตตาธิปไตย ไม่สร้างอำนาจด้วยโลกธรรม หรือกาม เราไม่สร้างอำนาจด้วยกาม เหมือนพวกดารา ให้คนมานับถือบูชาด้วยกาม เราไม่ทำ

       เราทำงานให้สังคม ไม่ต้องใช้อำนาจ ยศ สรรเสริญ หรือกาม หรืออัตตา ถ้าทำได้ด้วยใจจริงก็ประเสริฐถ้าทำได้นี่สังคมอยู่รอด แม้กลียุค คนในโลกเห็นแก่ตัวจัดจ้านเหลือเกินไม่เข้าใจการให้ เราก็อยู่ได้เพราะมักน้อยสันโดษ พึ่งตนได้ แต่คนมาแย่งชิงได้ เราก็ยอมให้ มันก็ยิงเหลิง ยิ่งเรายอมก็เบ่งอำนาจ ในยุคกลียุคจะเป็นเช่นนั้น แต่คนมีภูมิธรรมจะอยู่ได้ แต่ก็ทนยาก ต้องฝึกให้ทนได้อยู่รอด ถ้าคนไม่ภูมิธรรมสูงก็อยู่ยาก

       ยุคนี้ก็ไม่กลียุคร้ายแรง ต้องอีกหลายร้อยปี ทุกวันนี้ก็อำมหิตพอได้ เป็นสัจจะ ต้องช่วยกันช่วยสังคม อาตมาเกิดมาก็ต้องช่วยกันไป แม้ต้องรับวิบาก แม้โพธิสัตว์มาช่วยอย่างนี้ก็ต้องตายไปก็มี ขนาดพระโมคคัลลานะก็ต้องยอมตายเป็นต้น

       อาตมาเอาโลก 3 ชนิดมาใช้ เป็นลักษณะของพระพุทธรูปปางตรีลักษณ์

1. โลกุตระ  คือ  จิตบรรลุธรรม   อยู่เหนือโลกียวิสัยแห่งธรรมชาติกิเลส   ทั้งกิเลสฝ่ายดึงดูดและฝ่ายผลักไส

2. โลกวิทู   รู้จักความเป็นไปของสังคม   รู้จักสาระ-อสาระ  รู้ความเกี่ยวข้องเป็นเหตุแห่งทุกข์   ที่ตนเคยตกเป็นทาสจนรู้ดีขึ้น   เพราะปฏิบัติได้พ้นความเป็นทาสเหล่านั้น

3. โลกานุกัมปา คือ  เอ็นดูต่อสัตว์โลก   มีประโยชน์ช่วยเกื้อกูลต่อมนุษยชาติ   มีความกรุณาช่วยให้เขาพ้นทุกข์ในระดับทุกขอาริยสัจ.. ตามจริง

       จะมาเป็นพระพุทธเจ้าต้องไปเรียนรู้ว่าสัตว์โลกเขาอยู่อย่างไร แต่เราต้องได้หลักประกันเป็นอรหันต์ให้ได้ก่อน จึงจะไปเรียนรู้โลกวิทู ให้รู้ว่าเขาอยู่อย่างไรจะได้ไปช่วยเขาได้ ส่วนโลกโลกียะของตนนั้นท่านพ้นแล้ว พ้นทุกข์ร้อนของตนแล้วเกิดมาเพื่อช่วยผู้อื่น

       ทางเถรวาท สอนกันว่าโพธิสัตว์เป็นสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องปรินิพพาน

       เขาเข้าใจผิดว่า ถ้าเป็นโสดาบัน นั้นเกิดอีก 7 ชาติก็ต้องบรรลุอรหันต์ และเถรวาทสอนกันว่า ถ้าเป็นอรหันต์นั้นก็ต้องปรินิพพานเลยไม่กลับมากเกิดอีกได้ ดังนั้นถ้าบรรลุธรรมก็เกิดอีกแค่ 7ชาติ ก็ต้องตายสูญ แล้วจะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ก็กลัวเป็นอรหันต์ แล้วอยู่ๆวันดีคืนดีก็เป็นพระพุทธเจ้าได้ปุ๊ปเลย คิดได้อย่างไร ให้เป็นปุถุชนไปไม่ต้องบรรลุแม้โสดาบันก็ไม่ได้ แล้วไปเป็นพระพุทธเจ้าได้เลย แล้วรู้หลักธรรมหมดเลยได้อย่างไร?

       ในศาสนามาหายานก็ศรัทธาโพธิสัตว์ ได้แต่รู้ๆๆๆ แล้วธรรมะจะได้หรือเปล่าไม่รู้ แล้วเถรวาทก็เอาแต่บรรลุเป็นอรหันต์ ก็จบ ส่วนมหายานก็ไปมากๆๆๆ รู้แล้วไม่ได้จริง ก็เลยโต่งไปคนละทาง

       ที่จริงโสดาบันกับโพธิสัตว์อันเดียวกัน ต้องทำคุณธรรมในตนให้บรรลุจริงจึงสอนคนอื่นจะไม่มัวหมอง ต้องถ่อมตนไว้ก่อน ก็ต้องรู้ตัวว่าต้องมีคุณอันสมควรก่อนจึงพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง ถ้าไม่อย่างนั้นจะเพี้ยน เป็นคนขายของที่ขายแต่ยี่ห้อไม่มีเนื้อของไม่มีสาระ กลายเป็นหลอกคน

       นักการเมืองต้องเป็นคนที่เห็นแก่มวลมนุษยชาติไม่ได้เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ครอบครัวหรือพรรคพวกของตน จะไม่มีเลห์เหลี่ยมโกหก จะทำจริงพูดจริง คนมีปัญญาจะดูออก

       ขณะนี้ในไทยมีนักประชาธิปไตยสองขั้ว คือพวกหนึ่งพวกแดง อีกพวกหนึ่งก็กปปส.

       เขาก็ว่าเขาเป็นประชาธิปไตย แต่เราก็ว่าเราประชาธิปไตย แต่กายนั้นต่างกัน สัญญานั้นเหมือนกันว่าคือประชาธิปไตย แต่องค์รวมที่เขาแสดงออกทั้ง หมดไม่เหมือนกัน เช่นให้สีแดงหมด ซื้อมาให้เลยเสื้อนี่เป็นต้น แต่ของกปปส.นี้หลากหลาย เอามาเอง เป็นต้น ก็คือ กายต่างกันแต่สัญญาตรงกันว่าคือประชาธิปไตย

       ก็จะเห็นกายวิญญัติ ที่ต่างกันไป เอาพวกเรานี่ชาวกปท.หรือกองทัพธรรม มีรายละเอียดที่ต่างกัน

       ในกายวิญญัติหรือ กาย นั้นต่างกัน ถ้าเราเข้าใจความเป็นสัตว์ไม่ได้ สัตว์คือความวนเวียนในวัฏสงสาร

       ก็กายต่างกัน คนไม่ศึกษาธรรมะ ก็จะมี กายต่างกัน สัญญาต่างกัน ในข้อที่ 1 ของวิญญาณฐีติ 7 หรือสัตตาวาส 9

       ข้อที่ 2 เร่ิมมีสัมมาทิฏฐิ เบื้องต้นตรงกันก็จะสร้างองค์ประชุมของจิต เป็นนามกาย ก็จะมี สัตว์บางพวกที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่นทำ ฌาน ให้จิตลดนิวรณ์​ 5 เมื่อสัญญาสัมมาทิฏฐิเราก็จะได้กายอย่างหนึ่ง แต่พวกมิจฉาทิฏฐิก็จะได้ฌานต่างไป เช่นพวกหนึ่งเขากำหนดว่าการทำฌาน ต้องทำให้หมดนิวรณ์ แต่ไปทำกายให้นั่งหลับตาดับทำสมาธิ ก็ได้กายต่างกันไป แต่ได้องค์ประชุม คือ กายอย่างหนึ่ง ส่วนสัญญาก็ไม่ให้มีนิวรณ์ แต่อย่างมิจฉาทิฏฐิจะไปนั่งหลับตาเสพภพสบาย ไม่ได้มีผัสสะ ไม่ได้ลดกิเลสในการกระทบสัมผัสทวาร ไม่ได้มีการทำฌานอย่างมีผัสสะลดกิเลส

       กายของนักประชาธิปไตย องค์ประชุม พฤติกรรม กายวิญญัติของนักประชาธิปไตยก็ต่างกัน สัญญาว่าประชาธิปไตยอย่างเดียวกัน แต่มีนัยต่างกัน คือสัมมา กับมิจฉา สองอย่างต่างกัน เขาก็ได้อย่างหนึ่งต่างกันไป องค์ประชุมสำเร็จตามทิฏฐิของเขาก็ได้ประชาธิปไตยแบบนั้น เป็นเรื่องเห็นจริงเลย เขามุ่งมั่นประชาธิปไตย เหมือนกับเราเลย เขาว่าต้องดีต้องเสมอภาค ช่วยคนจน แต่เขาช่วยคนจนไปให้รวย คนจะรวยก็ต้องแย่งจากคนอื่น ในแต่ละประเทศก็ต้องจัดสรรทรัพยากรให้ทั่วถึง แต่ถ้าคนหนึ่งรวยอีกคนก็ต้องจน พระพุทธเจ้าจึงสอนให้มาเป็นคนจน คนจนแต่เป็นสุข สอนให้คนหายจน พวกเรานี่คนหายจน แต่เป็นคนจนที่แจก อุดมสมบูรณ์ หลักเหล่านี้เป็นหลักเพื่อสังคม ในหลวงเราจึงให้ทำแบบคนจน

       เป็นนักประชาธิปไตยที่ควีนของอังกฤษต้องตรัสให้เป็น King of King เลย นี่เป็นเรื่องจริง คำว่าจนจึงต่างกัน เรามาจนอย่างหายจน เป็นคนจนที่หายจนไม่มีโรคจนเลย มีเงิน 0 บาทจะให้จนอย่างไร หมดเนื้อหมดตัว มีสิทธิ์ผ่านไปมาอาศัย เสื่้อผ้าไม่ตะกละ ข้าวของเครื่องใช้ไม่ตะกละ มีเหลือก็แจกจ่าย นี่คือกายวิญญัติ เป็นอาริยะ โลกุตระ แบบนี้ยอดแห่งประชาธิปไตยที่รวมทั้งคอมมูน เผด็จการ และประชาธิปไตย นี่คือยอดแห่งการปกครอง สังคมศาสตร์รัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์ เป็นธรรมาธิปไตยนี่แน่นอนสุดยอด ถ้าประชาธิปไตยก็คือ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       ในรธน.ไ่ทย อ่านแล้วก็เข้าใจดี ก็ขออธิบายตามประสาอาตมานะ

       

       อาตมาสรุปได้ว่า ที่แย่งอำนาจบริหารปกครอง ขอยืนยันว่าเราไม่แย่ง ถึงแม้ว่าชาวอโศกจะไม่ปกครองแต่ก็ช่วยบริหารสังคมอยู่ เป็นงานการเมืองภาคประชาชน คือพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่แหละเราทำมาตลอด

       หลักในการได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารปกครองก็แย่งกัน แต่ก็มีการกำหนดรธน. มีการเลือกตั้งตัวแทนไปบริหาร ปกครอง

       ปกครองคือมีอำนาจ ส่วนบริหารคือจัดการทำการเลย อาตมาเรียกว่าอำนาจในการบริหารปกครองประเทศ ก็จะมีหน้าที่ตำแหน่งที่ยกให้เขา ไม่ใช่ว่าต้องเสมอภาคทุกอย่างไม่ได้

 

       ของพุทธนั้นจะเรียกประชาธิปไตยหรือเผด็จการหรือคอมมูนก็ต้องรับใช้สังคม ผู้บรรลุธรรมอย่างพุทธ พึงเป็นผู้รับใช้สังคม อย่างพระพุทธเจ้าท่านร่างธรรมวินัยนั้นท่านทำเองไม่ได้มีใครทำด้วย และท่านห้ามไม่ให้แก้ไขด้วย

       ศีลคือหลักสากลไม่บังคับ ส่วนวินัยเป็นักการเมืองอาญา มีบทบังคับ ลงโทษด้วย แต่ศีลเหมือนจารีตประเพณี

       ก็อธิบายลักษณะธรรมะเทียบเคียงความเป็นอยู่ เรียกว่าอำนาจโดยชอบธรรม กับอำนาจไม่ชอบธรรม ใช้ศัพท์ว่า Force กับ Authority สองคำนี้แทน

       Force คืออำนาจกดขี่บีบคั้น แต่ Authority คืออำนาจโดยธรรม แต่เราไม่ปกครองแต่เราช่วยรัฐบริหารอยู่ช่วยประชาชน โดยทำงานกับประชาชน ไม่ต้องรับตำแหน่งเงินเดือนแต่ช่วยทำบริหาร ภาคประชาชน​แม้เรามีพรรคการเมืองก็ทำงานภาคประชาชน ช่วยสังคมอยู่

       อย่างเรามีรร.สัมมาสิกขาสร้าเด็กสอนเด็กโดยไม่เคยเอาเงินเด็กเลย เราให้เรียนฟรี เลย เป็นการช่วยเหลือสังคม แม้การพาณิชย์เราก็ทำบุญนิยม ขาดทุนแก่สังคม ไม่ทำแบบเอากำไรเอาเปรียบสังคม เราแบ่งเบาสังคม เราทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการศึกษา พาณิชย์ สังคม สาธารณสุข เราก็บริหารทำงานช่วยรัฐบาลทำงาน การช่วยบริหารสังคมนี่แหละคืองานการเมือง.....จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:16:28 )

570322

รายละเอียด

570322_พ่อครูที่ผ่านฟ้าฯ เรื่อง ยอดแห่งประชาธิปไตยของโลก

       ตอนนี้เรามีบ้านราชฯเมืองเรือ กับบ้านราชดำเนิน ไม่ได้ไปบ้านราช 7 เดือน ซึ่งนานมาก

       เราก็มาต่อต้าน ต่อมาเขาก็ดื้อด้าน เราก็มาล้มลางเลย เราทำตามรธน. ม.69 ทำด้วยสันติวิธี ไปชี้กดดันไม่ให้ทำงานแล้ว ตามสถานที่ราชการแล้ว เป็นวิธีการด้วยสงบไม่ใช้อาวุธ คำว่าสงบ อย่างเก่งก็แค่ว่ากล่าวไม่ได้ทำร้ายทำลายเลย ก็อยู่ในกรอบของสันติ เวลาตำหนิก็ต้องว่า แต่ตำหนิแล้วไม่กระดิกก็ต้องตำหนิมากขึ้น ถึงด่าว่า แต่ไม่ได้ไปทำร้ายทำลาย ให้บาดเจ็บแต่อย่างใด แต่ว่ามีบกพร่องบ้างส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากเรา แต่หากเป็นพวกเราที่ทำรุนแรงเราจับได้เราก็ลงโทษ ถึงไล่ออกด้วย เราก็ทำ ในคนหมู่มาก เป็นแสนเป็นล้าน ก็มีรุนแรงบ้าง คนก็มารวมกันมาก จะไปจัดการให้ทั่วถึงยาก ขาดหกตกหล่นบ้าง ไม่สมบูรณ์เต็มที่ ในคนที่มาแซม ก็เป็นธรรมดาเลย เราก็พยายามที่สุดไม่ให้เกิด เราทำได้ขนาดนี้ 1.เรารักษาความสงบ 2.ไม่รุนแรง 3.เรามีคุณธรรม แล้วเราไม่ทำร้าย

       คนพวกเรามีแกนคุณธรรมแท้จริง เป็นหลัก เราก็พูดเตือนให้สติ ตลอดเวลา

       เราออกมาเป็น 1 คะแนนเสียง โดยไม่หลอกล่อ หรือจ้างวานแต่อย่างใด มาด้วยศรัทธาปัญญา เห็นด้วยว่าอย่างนี้ถูกต้อง คนออกมา 1 คนนี่ให้คะแนน 10 ก็ยังน้อยไป คะแนนเลือกตั้งเหมือนกับโฟม แต่คนมาประท้วงนี่คะแนนเหมือนปรอท คุณภาพสูงกว่ามาก เช่นฝ่ายแดงเขาก็ว่าเขาได้ 15 ล้านเสียง แต่ของที่เขาออกมาไล่ที่คุณเลือกคนแย่คนเก๊ไปทำงาน ซึ่ง 1 คนที่มาประท้วงนี่ มีน้ำหนัก 10 ต่อ เพราะฉะนั้นออกมา 1 คนเท่ากับ 100 คน และคนที่ออกมาประท้วงนี่แค่ 1 ล้านคนก็ 10 ล้านแล้ว 2 ล้านคนก็ 20 ล้านแล้ว เหนือชั้นกว่า 15 ล้าน นี่คือความเป็นประชาธิปไตยที่ลึกซึ้ง เกี่ยวกับคุณค่า สาระแก่นแท้ของประชาธิปไตย ไม่ใช่ว่ายืนยันแค่ว่าประชาธิปไตยต้องเลือกตั้ง แต่นี่เขาเอาตัวจริงออกมาเลย เขาต้องการอย่างใดก็ใช้สิทธิเขาเต็มที่เลย

       ไทยเราไม่เคยเกิดเช่นนี้เลย มวลที่ออกมาเขาประเมินว่า 10 ล้านเลย แต่อาตมาลดให้เหลือ 5 ล้านเลย ในด้าน 1. ปริมาณ ใครจะมีมากกว่า และ 2. ในพฤติกรรม มวลไหนรุนแรง ผิดกฎผิดรธน.กว่ากัน ไม่สงบ กลุ่มไหนล่ะหรือ พฤติกรรมแสดงออก กายวาจาที่หยาบ ทุจริตกว่าเลวร้ายกว่า และ 3​.มโนกรรมหรือคุณธรรม

       วัดกัน 3 อย่างนี้ใครได้มากกว่าชนะ ไม่ต้องฆ่าแกงทำร้ายกัน นี่คือประชาธิปไตย​ไม่รู้ว่าฝ่ายแดงใครจะบรรยายได้ไหม นักรัฐศาสตร์ฝ่ายแดงก็จะมีใครบรรยายอย่างนี้ไหม

       ต้องมีฝ่ายค้านและฝ่ายทำงาน คือต้องตรวจสอบและทำงาน ถ้าไม่มีค้านก็เป็นเผด็จการ เผด็จการหมู่ไม่ใช่ประชาธิปไตย​Majority rule แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่ถือมวลใหญ่เป็นใหญ่ แต่ให้ตรวจตาม Minority right ถ้าเขาถูกต้อง เช่นผู้บริหารผิด แล้วประชาชนออกมา 1 คน ซึ่งน้อยนะ แต่มีหลักฐานยืนยัน ถ้าผู้บริหารปกครองมีคุณธรรม ปัญญารู้ประชาธิปไตยไม่หน้าด้าน มีมารยาท ถ้าเขาผิดจริงก็ลาออก เขาไม่ดื้อด้าน เขาได้รับอำนาจแทนประชาชนแล้วประชาชนประท้วงเขา เขาไม่ใช่เจ้าของอำนาจ แค่ทำงานให้ รับใช้ประชาชน อำนาจทำงานตามกรอบของหน้าที่ รมต.ก็มีหน้าที่ตามกรอบ นายกฯก็ทำตาม กรอบ กำหนดกฎเกณฑ์

       อำนาจของประชาชน 1 คนมาประท้วง โดยมารยาทประชาธิปไตย ถ้าเขาผิดจริง หนูผิดจริง หนูก็ลาออก เพราะเป็นนักประชาธิปไตย​แต่ว่าบอกหนูไม่ผิดหนูไม่ลาออก หนูไม่ใช่ประชาธิปไตย หนักเข้าศาลตัดสิน ก็ว่าศาลลำเอียง เข้าข้างไม่ยุติธรรมอีก

       นี่หรือนักประชาธิปไตย กบฎต่ออำนาจ แม้ประชาธิปไตยขาเดียวเขาก็ยกเป็นหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวท่านตรัส เราไม่เคยทำผิดกฎหมาย เหตุการณ์ที่เคยมีคนให้ท่านพระราชทานนายกฯ แต่ท่านไม่ยอมให้พระราชทานโดยไม่ถูกกฎหมาย แต่ในหลวงก็เคยได้พระราชทานนายกฯสัญญา ธรรมศักดิ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะมีคนทูลเกล้าถวายให้ลงพระปรมาภิไธย ตามกฎหมาย

       ในหลวงเคยพระราชทานนายกฯตามกฎหมาย...ตอนนี้เขาติดว่า คนไหนจะทูลเกล้าฯ ซึ่งจะทำได้ที่เคยมีมาคือนายกฯคนเก่าก็ทูลเกล้านายกคนใหม่ไป หรือประธานสภาฯก็ทูลเกล้าได้ ตอนนี้นายกฯรักษาการณ์ไม่มีสิทธิ​์ แต่ตอนนี้ประธานสภาก็ยุบสภาไปแล้ว เหลือสว. ก็มีประธานสภา สว. ตอนนี้ก็ขาหักแล้ว ศาลชี้ให้หยุดทำหน้าที่แล้ว แต่ไม่มีประเพณีรองประธานสภาฯทูลเกล้าฯ แต่ประเด็นนี้ไม่เคยมีมา คือสภาประชาชน

       เมื่อนายกฯไม่มี ประธานสภาฯไม่มี ก็ต้องหาตัวผู้มีอำนาจรองลงมาทำแทน ทูลเกล้าฯเสนอ ทีนี่มีสภาประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจ โดยปฏภาณไหวพริบ ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ ทำไมประชาชนจะตั้งสภาเองไม่ได้ และเจ้าของอำนาจในขณะที่ ครม.ยุบไปแล้ว สภาฯก็ล้มเหลวแล้ว เพราะฉะนั้นเหตุการณ์จึงสมควรที่สุด

       อาตมาเคยอธิบายว่าประเพณีปฏิวัติ ที่ไม่ถูกต้องตามวิถีในรธน.นี้ก็เคยมีมาแล้ว โดยทหาร ก็ทำ โดยคณะราษฎร์ก็ทำแล้ว เป็นส่ิงผิดรธน.แต่ก็ยอมรับให้คณะนั้นบริหารมาต่อเนื่องแล้วยอมรับกัน ที่ฝ่ายแดงเขาก็มาโวยๆกันอยู่นี่ก็ทำต่อมาจากทหารนั้นเอง ทั้งที่เป็นอำนาจผิดตามรธน. คุณก็จำนนยอมรับกัน

       อำนาจของประชาชนมารวมตัวกันยืนยันเลยว่า คุณผิด คุณล้มละลายหมดแล้ว ขออำนาจคืนประชาชน เราทำอย่างสันติ ถูกต้องตามรธน.นี้ ไม่เหมือนคณะรัฐประหารโดยอาวุธ ผิดรธน.ทำสำเร็จมาแล้ว ทำไมประชาชนก็มาปฏิวัติ เอาอำนาจการปกครองประเทศ เมื่อสภาประชาชนตั้งขึ้น ก็เหมือนกับเมื่อผู้แทนได้รับเลือกไป ก็ไปสรรหา ตั้งคณะไปทำ แต่นี่ประชาชนก็จะสรร ตั้งครม.ของประชาชนมาก่อน ประชาชนมีสิทธิ์ใช่ไหม เขาก็ตั้งคณะครม.ของเขา เมื่อสภาหรือครม.โดยตัวแทนล้มละลายไปแล้ว ประชาชนก็มีอำนาจตามมาตรา 3

       เมื่อตั้งครม.แล้วก็อาจตั้งคณะซ้อน ให้เกิดวิธีการที่ถูกต้องที่สุด เหมือนจะไปจดทะเบียนบริษัทก็จะมีคณะก่อการ กรรมการก่อการ ก็จะมาจัดหาคณะกรรมการถาวร จะไปบริหารถาวรต่อไป ฉันเดียวกัน คณะ กปปส.​ก็จะตั้งสภาประชาชน​ตอนนี้เสวนากัน จะสรรหารบุคคลไปจัดการ เป็นคนที่มีความรู้สามารถ และเป็นกลางที่สุด ไม่อคติที่สุด อาจเคยอยู่พรรคนั้นฝ่ายนี้ แต่เขาเป็นคนที่เป็นกลาง ไม่ใช่ว่าเป็นคนไม่เคยอยู่ฝ่ายไหน แต่เป็นคนจิตเป็นกลาง มาทำคณะก่อการ ตามประเพณีเดิม จะจัดสรร หรือแก้รธน.บางมาตรา แล้วจัดสรรเสร็จ ทำถูกต้องตามรธน.อาจแก้บางมาตรา แล้วทำถูกแล้วก็ทูลเกล้าฯไปจะได้ไม่ระคายเบื้องพระยุคลบาท แต่ก่อนนายกฯคนเก่าหรือประธานสภาฯเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ก็ฉันเดียวกัน ประธานสภาประชาชนก็จะทูลเกล้าฯตามประเพณี เข้ามาตรา 7 ไม่ผิดกฎหมายใดๆเลย ท่านก็พระราชทานมาให้เต็มที่ได้เลย วิธีนี้ยังไม่เคยเกิด มันจะเป็นของใหม่ ของสำคัญ แล้วทำได้วิเศษ เราทำได้ถูกต้อง แม้ศาลก็รับรองเรา

       คณะชุมนุมประท้วงนี่คณะแดงเขาชุมนุมไม่กี่วันก็เลิกแล้ว นานๆทีเขาก็ทำแอ็ค แต่เราทำมา 7 เดือนแล้ว สันติ ไม่ใช้อาวุธ ใครจะเหนือใครกันแน่ อาตมาขอท้า แดงเอาอย่างกปปส.ทำบ้างสิ ยืนหยัดยืนยันทำบ้างสิ เราก็มีน้อยหรือมากบ้าง แต่ก็รักษามวลอยู่ประจำ แต่ละวันๆไม่น้อยเลย แดงลองดูบ้างสิ จะทำได้อย่างนี้บ้างไหม? เอาสัก 6 เดือน หรือ 4 เดือนเท่ากปปส.ก็ได้

       1.ปริมาณ 2.คุณภาพ 3.คุณธรรม 4.สงบสันติ 5. มีระยะเวลายาวนาน ทำได้อย่างนี้เป็นคะแนนประเสริฐยอดเยี่ยม เมื่อเราจะมารวม บางคนก็ต้องทำมาหากิน ก็ต้องไปบ้าง แต่มีมวลหลัก ตามแต่ละเวทีของเราก็มีมวลหลักประจำเลย อย่างที่นี่กลุ่มกองทัพธรรมประจำเป็นหลักนี่ ไม่อยากพูดยกตัว แต่พูดเพื่อยืนยันสัจธรรม

       เนื้อหาประชาธิปไตยที่ประชาชนมาใช้สิทธิแสดงอำนาจ ก็ออกมายืนยันความรู้ความจริง ต้องการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาล พูดตรงที่สุดไม่อ้อมค้อมเลย แม้รัฐบาลถูกพิพากษา ไปแล้ว จนเขาต้องยุบสภาเอง จนเขาทำเองก็ถกกันอยู่นี่มารักษาการ ก็ต้องเลือกตั้ง ก็ทำการเลือกตั้ง กกต.ก็จัดการเลือกตั้ง แล้วเรียบร้อย แต่เลือกตั้งแล้วไม่เรียบร้อย ไม่เป็นไปตามรธน. สส.ไม่ครบ หลายจังหวัดไม่ลงสมัคร หรือเลยเวลากำหนด สรุปคือเลือกตั้งล้มเหลว ไม่เป็นเลือกตั้งวันเดียว เมื่อผิดรธน.ก็ต้องให้มหาประชาชนรับทอดไปทำงานต่อปฏิบัติต่อ ทำไม่ไม่ให้เกียรติกับประชาชน ประชาชนไม่มีอำนาจอธิปไตยหรือ? อยากจะถามนักรัฐศาสตร์??

       ประชาธิปไตยเลือกได้ ไม่ต้องฆ่าแกงกัน ให้คุณไปทำงาน แต่เมื่อคุณไม่ทำหน้าที่ ก็ให้ไปทำงานการเมืองภาคประชาชน​เช่นให้ความรู้ประชาชน ให้การศึกษาแก่ประชาชน เราก็ตั้งรร. ต้องวิทยาลัย เหลือแต่มหาวิทยาลัย เราทำโรงเรียนมาหลายสิบปีแล้วไม่ได้เก็บค่าเรียนด้วย เราทำภาคประชาชน ให้การศึกษาจริงๆ ผู้ได้รับการศึกษาจากเราก็ไปเป็นประชาชนไปเรียนต่อไปทำงาน นี่คือการเมืองภาคประชาชน

       หรือภาคเศรษฐกิจ เรามีระบบเศรษฐกิจพอเพียง ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ทวนกระแสทุนนิยม ทำได้จนเป็นกลุ่มอโศก ในเรื่องของงานที่ทำให้แก่ประชาชน เช่นให้ช่วยดูแลสังคม เราไม่ได้ทำอย่างโรงเรียนเอกชนที่มีค่าเทอม แต่ของเราไม่ได้เก็บค่าเรียนเลี้ยงดูเหมือนลูกหลาน ให้เรียนฟรีเลย เศรษฐกิจเราก็ทำแบบเศรษฐกิจพอเพียง แบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา อยากให้ดีกว่านี้ก็พากเพียรอยู่

       แม้แต่ การสื่อสาร เช่น FMTV ขออภัยเหมือนพูดยกตัว แต่ขออ้างอิง ไม่มีจิตอยากอวดดี ที่จริงไม่อยากอวด เพราะคนจะเข้าใจผิดได้ง่าย การสื่อสารเรานี่ตอนแรกก็ว่ามีโฆษณา แต่ว่าตอนหลังพอไหว เราก็ไม่ให้มีโฆษณา ใช้เงินชาวอโศกทำเองเลย หรือคนมีสิทธิตามกติกาที่จะมาร่วมกันทำได้ นอกนั้นชาวอโศกก็ทำกิจการ ในการทำงานสื่อสาร ชาวอโศกบริจาคหรือทำงานมาใส่ เราได้มาจาก สขจ.งานขยะเป็นต้น เรามีคนทำงานฟรี เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เราทำตั้งแต่ปี 2550 นี่รวมปีที่ 7 แล้วนะ นี่ก็สื่อสารประชาธิปไตย เพื่อประชาชน ให้ประโยชน์แก่ประชาชน แม้แต่สื่อสารเจ้าอื่น เราเห็นอันไหนดีเราก็มารีรัน ให้ ไม่ได้เอามาหาประโยชน์เขาก็รู้อยู่ หลายที่ก็ยินดี ไม่ว่าเรา เราก็เอามาออกให้ หลายเจ้าเราก็ทำหนังสือไปขอ เขาก็ให้ใช้ได้ เราไม่ได้เอามาทำมาหากินเขาก็ต้องการสื่อสารกับประชาชน มันกลับเสริมให้กับเขาด้วย เขาไม่ติดใจ สนับสนุนด้วย นี่คือสื่อสารเพื่อประชาชน นี่คือการเมืองภาคประชาชน

       หรือการอื่นๆ แม้แต่สุขภาพเราก็ทำอยู่หรือด้านสังคมเราก็ทำ เพื่อ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       นี่คือประชาธิปไตยของชาวอโศก

       ความเป็นประชาธิปไตยแต่แฝงเผด็จการ เผด็จการคือใช้อำนาจตนเพื่อแสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ เอามาเพื่อเสพกามหรือบำเรออัตตา คือได้ดั่งใจอันไม่เกี่ยวกับกามคุณ 5 คือได้สมใจข้า อย่างนี้ เช่นขอเขกหัวซักทีซิ นี่คือบำเรออัตตา

       ผู้ที่สร้างอำนาจด้วยอัตตาหรือโลกธรรม นี่คือเผด็จการ จะใช้ด้วยวิธีล่อให้หลงเห่อก็ตามที สรุปคือทำงานแฝงโลกธรรม ไม่ใช่ประชาธิปไตยสมบูรณ์ แน่นอนมีกิเลสก็ต้องพยายามลด นั่นคือมีประชาธิปไตยสูงขึ้น และเมื่อลดได้หมด นักประชาธิปไตยตัวจริงแท้คืออรหันต์ มีโลกุตรจิตบริบูรณ์ ส่วนผู้ที่บอกว่าบรรลุอรหันต์ แต่ไม่มีโลกวิทู ไม่มีโลกานุกัมปา ได้แต่หนีไปป่าเขาถ้ำไม่เกียวกับใครนั้นคือไม่ใช่พุทธไม่มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       เขาสอนกันผิด อาตมามารื้อฟื้น ให้พวกเราทำได้จึงมีคนพุทธอย่างที่พวกเราได้ทำกันมา อ้างอิงจากพระไตรฯฉบับเถรวาทนี่แหละ ย่ิงทำยิ่งตรง แต่เขาอธิบายเพี้ยนไปไกลเลย จนค้านแย้งกับพระพุทธเจ้าเลย

       สรุปอีกที พุทธนี่คือยอดแห่งประชาธิปไตยของโลก พระพุทธเจ้าทุกพระองค์คือจอมประชาธิปไตยของโลก เพราะเข้าใจ โลก อัตตา และธรรม ท่านก็แจกแจงในศัพท์ว่า

       โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และธรรมาธิปไตย

       อำนาจพลังแรงฤทธิ์เดชของคุณธรรม อย่างโลกๆเรียกว่าโลกาธิปไตย คนทางโลกเขาใช้อำนาจแบบโลกๆ ได้ลาภก็ใช้ลาภ ได้ยศก็ใช้ยศ ใช้สรรเสริญมากดข่มคนอื่น แทนที่จะใช้ลาภ ยศ อำนาจ โดยธรรมไม่ไปกดข่มใคร ใช้ทำงาน คนอื่นเขานับถือยกย่องเรา เพราะเรามีสิ่งดีให้เขา เขานับถือเอง เป็นสัจจะในตัวเองหรือทำดีจนคนรู้ ลือกระฉ่อนไป ก็เป็นสัจธรรมเอง

       ผู้รู้จักโลกไม่ตกเป็นทางโลกธรรม เรียนรู้กามและอัตตา ไม่ตกเป็นทาส กามและอัตตา ที่เป็นสองข้างของโลก คนไหนหลงกามก็เป็นกามสุขขัลลิกะ คนไหนหลงอัตตาก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค เมื่อเรียนรู้กามและอัตตาจนไม่มีเลยทั้่งสองข้างไม่มีเหลือทั้่งฝ่ายกาม และอัตตา ไม่มีอันตา ฆ่าหมดทั้่งมานะอุทธัจจะ และอวิชชาเกลี้ยง อรหันต์จึงเป็นผู้เป็นกลาง เป็นนักประชาธิปไตย

       ศาสนาพุทธไม่หนีโลก แต่รู้เท่าทันโลกธรรม รู้เท่าทันอัตตา รู้เท่ากันกาม ไม่สร้างกิเลสให้คน แต่จะมีลาภโดยธรรม ไม่ต้องการมา แต่เขาก็จะมาบริจาคอุดหนุนให้ คนนี้เขาไม่ทำเพื่อตัวเองทำเพื่อคนอื่น คนก็เต็มใจเอามาให้สะพัดออกไปเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นหนึ่ง มีอำนาจหน้าที่ก็จะรู้ทำงาน คนเขามอบให้ทำ เราก็ทำ ไม่เป็นคนรับจ้าง แต่ทำงานฟรี ส่วนทำแล้วคนจะสรรเสริญ ก็เป็นธรรมชาติ แต่ไม่มีกามและอัตตา ลดไปตามลำดับไป

       ยิ่งเป็นอรหันต์ย่ิงชำนาญ ไม่เป็นคนด้อยที่ไม่รู้จักโลก แต่อยู่เหนือโลกีย์ เป็นคนโลกานุกัมปาที่คนยกย่องให้อยู่เหนือหัว เช่นในหลวงเราเป็นต้น เป็นเรื่องสัจธรรมไม่ใช่ศักดินา ในหลวงเรารับใช้ประชาชน(ไม่ได้หมิ่นฯนะ)แต่ท่านดูแลประชาชนตั้งแต่รับครองราชย์​ ในหลวงเราไม่เคยผิดรธน. แต่คนไม่รู้หาว่าในหลวงเป็นพวกศักดินา เขาไม่รู้เรื่องเลย คณะโน้นเขามีนักรู้ แล้วไปหลงมาร์กซิส ไปหลงฝ่ายแดงที่เห็นวัตถุเป็นหลักไม่เข้าใจจิตวิญญาณ แต่พวกเราไม่ใช่จิตนิยม แต่เรารู้ว่าจิตเป็นนายวัตถุ

       ฝ่ายแดงเป็นธาตุจิตเชิงฉลาดเฉกา แกมโกงเผด็จการซ้อนชนิดหนึ่งในประชาธิปไตยหรือในสังคมนิยม สังคมนิยมคือประชาธิปไตยนี่แหละในมวลประชาชน คือสังคมประเทศ จริงๆก็หมายความว่าเพื่อประชาชนแต่จริงๆเขาใช้อำนาจบาตรใหญ่ รวมตัวเป็นคณะคอมมิวนิสต์บริหาร ก็เป็นความคิดที่ดีว่าให้เป็นคณะบริหาร แต่เขาไม่ได้เรียนรู้ลดละกามและอัตตา พวกมีบารมีบ้างก็ทำดีตอนแรก แต่ว่าอยู่ไปกิเลสก็ขึ้น ก็คอรัปชั่น ซึ่งผ่านไป 70 กว่าปี มาร์กซิสต์ก็ล้มละลายไปแล้ว แม้แต่เลนิน หรือเหมาก็ล้มไปหมด ยังเหลือแต่คอมมิวนิสต์หลงยุคในเมืองไทย แล้วมาหลอกว่าเป็นประชาธิปไตยแต่ที่จริงเป็นคอมมิวนิสต์ ตอนนี้เป็นเผด็จการทักษิณ ข้าราชการอยู่ใต้อาณัติเขา เขาจะแต่งตั้งใครอยู่ที่เขาหมด เป็นเรื่องจริงไม่ได้ใส่ความนะ

       ฝ่ายแดงมีฝ่ายซ่อนอยู่ ขออาศัยอำนาจทักษิณ แล้วทำเป็นแดงเลย อาศัยทักษิณล้มประชาธิปไตยไทยก่อน แล้วจะมาล้มทักษิณอีกที นี่คือภาวะซับซ้อนที่เป็นอยู่ คนหลงทฤษฎี ประชาธิปไตยไม่เต็ม ไม่รู้ว่าประชาธิปไตยอันลึกซึ้่งซับซ้อนอย่างไร ก็ขอเสนอว่าไปเรียนพุทธศาสนาให้ได้แล้วจะรู้ ประชาธิปไตย เมื่อมีโลกุตรธรรม หรือเป็นมนุษย์อารยกะอยู่เหนือโลกหรืออัตตา จึงมาทำงานเพื่อประชาชน เป็นพหุชนหิตายะ

       คนที่มีธรรมะอันเป็นอาริยะหรือโลกุตระจึงเป็นผู้อยู่ในโลก รับใช้โลก พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่คือประชาธิปไตยที่เหนือโลกเหนืออัตตา สมบูรณ์แบบของพระพุทธเจ้าประกาศมาทุกพระองค์ ท่านประกาศเผยแพร่ทำจริงด้วยท่านเป็นรัฐอิสระในยุคสมบูรณายาสิทธิราช

       พระพุทธเจ้าเรียนรู้ความเป็นคนกับสังคม ท่านผ่านมาแล้วทุกยุค อาตมาก็ผ่านมาเท่าที่จำได้ จึงรู้ ซึ่งวนเวียนวัฏฏะสงสารนานนับชาติ ระบอบบริหารก็มีประมาณนี้ เผด็จการ คอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตย หลักใหญ่ก็มีเช่นนี้ ถ้าคนมีคุณธรรมอาริยธรรมสมบูรณ์ แม้เผด็จการท่านก็ประชาธิปไตยสุดยอดทำงานเพื่อประชาชน เช่นพระเจ้าอโศกมาหาราชเป็นต้น ท่านมีบารมีเก่า แต่ในช่วงต้น ท่านมีวิบาก เป็นลิงลมอมข้าวพอง ท่านก็เป็นคนโลกๆเก่ง สามารถมาก ทำอย่างโลกๆเลยดูแล้วน่ากลัว เอาอย่างโลกแล้วเหนือโลก เสร็จแล้วของเก่าท่านมีบารมี พอได้พบศาสนาพุทธท่านก็เปลี่ยนแปลง แล้วทำงานรับใช้ประชาชนตามหน้าที่ของท่าน ทำงานตลอดพระชนม์ชีพ เมืองไทยก็ได้รับการเผยแพร่จากพระราชโอรสของท่าน นี่คือสัจจะต่างๆ สืบต่อมานับเวลาไม่ได้เลย

       สรุปอีกนิดหนึ่งว่า...ฤาตุลาการเป็นตัวการสร้างความแตกแยก...อาตมาเคยอธิบายแล้ว ว่าตุลาการนี่เขาคัดเลือกคนที่ไม่มีอคติรหืออคติน้อย ทุกองค์คณะต้องไม่ให้มีอคติ จึงเรียกว่าเป็นกลาง ประเทศไหนเหมือนกันหมด สถาบันตุลการจึงเป็นสถาบันที่เทีี่ยงตรงไม่มีอคติ เป็นที่นับถือ แต่เมื่อรัฐบาลไม่รับอำนาจศาล ก็เสียหาย แต่เรื่องอคตินี่ตุลาการเป็นหลักใหญ่เลยว่าต้องปราศจากอคติ

       เมื่อตุลาการพิพากษา ก็ต้องชี้ถูก แล้วความถูกก็ต้องไปตรงกับคนถูกเป็นสัจจะ แล้วชี้ผิด ก็ต้องไปตกที่คนผิด คนผิดก็เสียประโยชน์ก็ต้องร้อง โดยเฉพาะคนสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น กลุ่มคนพวกนี้ก็จะกว่าศาลลำเอียง เข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นการไม่ยอมรับความจริง เมื่อศาลชี้ผิด ก็เอ็งผิดจะให้ชี้ถูกได้อย่างไร ศาลไม่ได้ลำเอียง แต่ชี้สัจจะ คนผิดไม่ยอมก็เพราะมีอัตตา กูต้องชนะ สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรถูกหรือผิด เขารู้แต่ว่าตนถูก คนอื่นไม่ให้เขาถูกก็ต้องว่าเอียงไปหมด วิบากประเทศไทยมีคนเช่นนี้เราก็ทำไปด้วยความซื่อสัตย์เรียบร้อย เพราะคนพวกนี้ด้านมาก โด้ กับง่านนี่เอง      


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:17:20 )

570323

รายละเอียด

570323_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬฯ เรื่อง ความถูกสองฝ่ายเผชิญกันอย่างไรจึงไม่เกิดโศกนาฏกรรม       

       วันนี้เราก็มาพูดเรื่องโลก เรื่องธรรม ร่วมกันไป วันนี้จะพูดถึงเรื่องความถูกความผิด ในคอลัมน์ ทรรศนะ โดยคุณชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ วันนี้กัน....เรื่อง “ชัยชนะที่แท้จริง”

       นายเฮรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีตปท.สหัฐ ในยุคสงครามเย็น ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ได้ถึงกับมี เครดิต อะไรมากมายนักในแง่ของความคิด ความอ่าน ด้านสร้างสรรค์ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาแกดูจะหนักไปทางเก่งกาจ สามารถ ในทางทำลายซะมากกว่า แต่ในหนังสือ คำคม_บ่มชีวิต ของ อ.กรุณา_เรืองอุไร กุศาลาศัย ได้ไปหยิบเอาคำพูดคำพูดหนึ่ง ในวาทะ ที่ต้องเรียกว่า น่าคิด และน่าจะได้สติ สำหรับใครต่อใครได้ไม่น้อยทีเดียว

       คำพูดที่ว่านั้น...มีอยู่ว่า The great tragedies of history occur not when right confronts wrong but when two rights confront each other. ถอดความเป็นไทยโดยท่านอาจารย์ทั้งสองว่า โศกนาฏกรรมครั้งสำคัญๆในประวัติศสาสตร์ มิได้เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายถูกเผชิญหน้ากับฝ่ายผิด แต่เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายถูกสองฝ่ายประจัญกัน และไม่ว่าใครจะเห็นควรด้วย หรือไม่เห็นควรได้วยกับคำพูดประโยคนี้ ของนายคิสซิงเจอร์ ก็ตาม แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นคำพูดที่น่าคิด หรือน่าเก็บเอามาใคร่ครวญ พิจารณา อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะสำหรับสถานการณ์บ้านเมืองของบ้านเรา ในอีกไม่นาน ไม่ช้านับจากนี้ หรืออีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า...

 

       พูดง่ายๆ ว่า...หลังจากที่ ฝ่ายดี กับฝ่ายชั่ว ได้เอาชนะกันแบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด ไปเรียบโร้ยย์ย์ย์ แล้ว ซึ่งออกจะเป็นเรื่อง เชยซ์ซ์ซ์​ไปหน่อย ถ้าหากมัวแต่จะไปตั้งคำถามประเภทว่า...ใครชนะ ใครแพ้ หรือจะชนะเมื่อไหร่ จะแพ้เมื่อไหร่ เพราะไม่ว่าใครต่อใครดูจะให้คำตอบแบบ กำปั้นทุบดิน ไปตั้งนานแล้วว่า ยังไงๆ ธรรมะย่อมต้องชนะอธรรม อยู่แล้วแหงมๆ ส่วนจะชนะเมื่อไหร่หรือแพ้เมื่อไหร่นั้น ถ้าหากคิดจะดำรงตนเป็น ฝ่ายธรรมะ กันจริงๆ คงไม่ต้องเสียเวลาตั้งคำถามให้ต้องปวดเศียร เวียนเกล้า โดยใช่เหตุ เอาเป็นว่า สู้ไปเรื่อยๆ ยืนหยัดไปเรื่อยๆ ท่องคาถา ลุงจำลอง อันว่าด้วย เมื่อยเราไม่เมื่อย...เหนื่อยเราไม่เหนื่อย..เราไล่ไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อย เราไม่เหนื่อย ...เดี๋ยวเดีวทุกส่ิงทุกอย่างมันย่อมต้องดีเอง ชนะไปเองกันจนได้แล...

 

       เพราะมาถึงยกนี้ ไม่ว่าจะเรียกว่ายกห้า ยกหก ยกสุดท้ายหรือไม่สุดท้ายก็ตาม โดยลักษณะอาการของฝ่ายชั่ว หรือฝ่ายอธรรม นั้น ต้องเรียกว่า...ออกอาการไปไม่กลับ หลบไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ถึงจะอัดฟอร์มาลีน นอนแช่อยู่ในฟอร์มาลีนทั้งโอ่ง ทั้งไห ก็ตาม แต่โดยสภาพศพออกไปทางน้ำเหลืองเยิ้ม เนื้อตัวกะรุ่งกะริ่ง ยากซ์ซ์ซ์​ที่จะเปิดฝาโลงออกมาใช้ชีวิตอย่างมนุษย์มนาโดยปกติได้อีกแล้วแน่ๆ แต่ชัยชนะระหว่าง ฝ่ายดี กับฝ่ายชั่ว หรือ ฝ่ายถูก กับ ฝ่ายผิด นั้นก็ใช่ว่าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหวนคืนมาสู่ความสุข ความสงบ ความมีสันติภาพ สันติธรรม สุโขสโมสร โชติช่วงชัชวาล ขึ้นมาได้โดยฉับพลัน ทันที..

 

       พ่อครูว่า...โศกนาฏกรรมครั้งสำคัญๆของประวัติศาสตร์ มิได้เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายถูกเผชิญหน้ากับฝ่ายผิด แต่มันเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายถูกสองฝ่ายประจัญหน้ากัน ...นี่เป็นความคิดความเห็นของ คิสซิงเจอร์

       คุณชัชรินทร์ได้ขยายความไป ทีนี้เป็นความคิดของอาตมาบ้าง ตอนนี้เรื่องราวบ้านเมือง เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายถูกกับฝ่ายผิด ยังไม่ชัดเจนว่าใครจะแพ้ มันเคยมีที่ฝ่ายถูกแพ้ก็มี เช่นอาตมาเป็นต้น

       คำว่าแพ้ชนะเป็นภาษาทางคดีโลก แต่ความจริงที่ว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม นั้นมีหนึ่งเดียว สัจจะมีหนึ่งเดียวธรรมะมีหนึ่งเดียวก็ย่อมชนะ ในรูปร่างลักษณะทางโลกอาจดูว่าแพ้ แต่ความดีถูกต้องก็ยังเป็นถูกต้องวันยังค่ำ ทางโลกว่าแพ้ ก็ต้องยืนยันสัจจะเดียวกัน ความถูกต้องมีหนึ่งเดียวแท้จริง ไม่มีสอง

       อาตมาเคยพูดไว้แต่พศ. 2512 เขียนไว้ในหนังสือคนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก มีคำเกริ่นว่า...ผู้รู้จริง จะเห็นความผิดของคนผิดว่าเป็นความถูกแล้ว ส่วนผู้ยังไม่รู้จริงเท่าน้นที่จะเห็นความถูกของคนถูกว่าเป็นความผิดอยู่ ผู้ยังไม่รู้จริงจะเห็นความถูกของคนถูกเป็นความผิด

       ขอยกตัวอย่างอาตมา อาตมามีความถูกของคนถูก แต่ได้รับตัดสินว่าแพ้หรือผิด ผู้ที่เห็นว่าอาตมาผิด ก็ยังไม่รู้จริง แต่คนที่ถูกและดีเป็นสัจธรรม มีความถูกต้องจริงเป็นสัจธรรม ท่านไม่มีปัญหาว่าจะแพ้หรือชนะในทางโลกก็ไม่มีปัญหา อาตมาไม่มีปัญหา เข้าใจเหตุปัจจัย ก็รู้ว่าเขาเข้าใจไม่ได้ แต่บางทีเราผิดจริงๆ แล้วเขาตัดสินว่าเราผิด เราก็ต้องรู้ว่าเราผิดอะไร เราถึงเป็นคนมีปัญญารู้ความจริง แต่ถ้าเราไม่ผิด คนก็ประกาศว่าเราผิด เปิดเผยไปทั่วเลย

       คนที่มีคุณธรรม ท่านถูกก็จะอยู่ในส่วนถูก แล้วท่านต้องมีความถูกต้องดีงาม จนกระทั่งถึงจิตใจก็ต้องดีงาม อาตมาเห็นก็ย้อนแย้งกับคิสซิงเจอร์  ที่ว่าโศกนาฏกรรมจะเกิดเมื่อฝ่ายถูกประจัญหน้ากัน ….อาตมาไม่เห็นด้วย เพราะคนถูก ก็เป็นคนดีมีปัญญา เมื่อคนถูกก็มีปัญญาเผชิญหน้ากัน คนถูกไม่ห้ำหั่นกัน อาตมาถึงเห็นขัดแย้ง คนถูกเผชิญหน้ากันไม่เกิดโศกนาฏกรรม แต่ถ้าเกิด มีฝ่ายผิดร่วมด้วยก็เป็นเรื่องความที่ฝ่ายผิดทำ เพราะคนถูกฝ่ายถูกก็ไม่ทำให้เสียหาย แต่คนถูกเผชิญกันนั้นดูเหมือนเอาชนะคะคานนั้นเป็นจริงแน่ มันก็เลยเกิดโศกนาฏกรรมได้คือเป็นแบบโลกๆ มีกิเลส แล้วก็ตัดสินคนถูกว่าถูก

       เขามีมานะอัตตาด้วยกันทั้งคู่ ยอมแพ้ไม่ได้ทั้งคู่ หำ้หั่นกันเป็นอย่างนั้นจริง ในไทยกำลังเกิด กำลังมองว่าสองฝ่าย คือฝ่ายแดงหรือรัฐบาลหรือทักษิณยิ่งลักษณ์ กับฝ่ายพวกเราก็อีกฝ่ายหนึ่ง

       เมื่อวานนปช.ก็ชุมนุมกันที่พัทยา มีเยอะ ให้เห็นว่ามวลเขามาก จตุพรก็ว่าทางกปปส.เหลือไม่ถึงพันคน

       คนกลางๆก็มองว่า ทั้งสองฝ่ายถูก มีคุณงามความดีทั้งคู่ คล้ายๆกับคิสซิงเจอร์มอง แต่อาตมามองว่า ฝ่ายผิดที่เลวจัด กับฝ่ายถูกที่เจริญขั้นโลกุตระสู้กัน คนละเรื่องเลยอาตมาเห็นเช่นนั้น ฝ่ายผิดเลวจัดเลย

       ฝ่ายถูกตอนนี้ก็พอชนะฝ่ายเลวจัดได้ คือฝ่ายถูกที่มีพลังสัจธรรม มีพลังงานลึกซึ้ง ธรรมะย่อมชนะอธรรม เป็นโลกุตระ จึงสามารถชนะฝ่ายผิดชั่วหนักได้ ถ้าไม่เช่นนั้นฝ่ายถูกที่เป็นโลกีย์นั้นแพ้ฝ่ายชั่วมานานแล้ว

       นักเลงโตที่เลวหยาบในแดนเขา คนดีโลกีย์จะหงอหมดแหละ ในย่านนั้นก็ต้องหงอนักเลงแล้ว ดีเอาชนะเขายาก มายุคนี้เมืองไทย อันธพาลชั่วแรงจัดเลย เขาชนะมาเรื่อยจนท้าทายเลย สร้างค่ายกลยึดอำนาจให้คนเป็นบริวารเยอะเลย เขาถึงถือวิธีเลือกตั้งเข้าค่ายกลเขา ส่งไม้จิ้มฟันลงก็ชนะ เขาก็ชนะจริงๆเพราะตกในค่ายกลที่เขาชนะหมดแล้ว

       มาถึงตอนนี้แล้วสุดทนสำหรับผู้มีปัญญา จึงเกิดกรณีรวมตัวกันได้ทั้งผู้นำและผู้ตามรวมตัวกันมา ก็เลยมีผล ที่จริงเราก็ร่วมมาเรื่อยๆ ปูทางมาเรื่อยๆ ไม่ใช่ปุปปับๆ มาถึงวันนี้ขณะนี้ตอนนี้ ถึงขีดของมัน พลังงานหรือความสามารถ ในการต่อสู้กับอธรรม หรือฝ่ายผิด เราถือว่าเราเป็นฝ่ายธรรมะฝ่ายถูก เรามั่นใจว่าเราเป็นฝ่ายธรรมะโลกุตระด้วย เช่นเอาความสงบ สยบความรุนแรง เป็นความดีงามถูกต้อง จะบอกว่าความถูกเผชิญหน้าความถูกจะเป็นโศกนาฏกรรมไม่ใช่ เรากำลังเป็นความถูกเผชิญความผิด แล้วเราถูกระดับโลกุตระด้วย แต่ความเลวร้ายมันมากมาย เป็นเจ้าอำนาจด้วย

       ความดีกับความดีในที่บทความเป็นความดีระดับโลกียะ ก็ยึดมั่นถือมั่นก็โศกนาฏกรรม หรือความชั่วกับความชั่วก็เป็นโศกนาฏกรรม บรรลัยจักรแน่

       ในความถูกกับความถูกมีความแข่งดีกัน ไม่ยอม ยึดมั่นตัวกูของกูทั่งคู่ แต่ถ้าความถูกระดับโลกุตระ ต่อให้อีกฝ่ายดีระดับโลกุตระ อีกฝ่ายเป็นโลกียะก็ตาม แม้ฝ่ายดีโลกียะจะทำสิ่งร้ายแรง ก็เกิดโศกนาฏกรรมแต่ถ้าโลกุตระกับโลกุตระจะไม่เกิดสิ่งเหล่านั้นแน่

       ส่วนโลกุตระธรรมนั้นมี 9 ขั้น

       ซึ่งคนเขาเข้าใจว่า โลกุตรบุคคลต้องหนีเข้าป่าเขาถ้ำ อันนั้นเป็นออกนอกรีตของพระพุทธเจ้าสอนแล้ว แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ เข้าใจว่าบุญคือการได้มาไม่ใช่การลดละกิเลส

       ต้องยกตัวอย่างชาวอโศก ที่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าแบบพวกเรา

       ซึ่งไม่เหมือนกับความเข้าใจส่วนใหญ่กระแสหลัก เถรสมาคม เขาไม่เข้าใจอย่างที่ชาวอโศกทำกัน อโศกมีโลกุตระบุคคล ในโลกุตรธรรม 9 ไม่ใช่คนออกป่าเขาถ้ำ อยู่เหนือโลกธรรมไม่ได้

       ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์ สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163)

       เรือนมีมุขใหญ่นี่ไม่ใช่ลักษณะธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกคนมาวัดตั้งหลักแหล่ง ตัวเองก็ไม่บรรลุอะไร แต่อยู่ด้วยกิเลส กิเลสก็ต้องการลาภยศสรรเสิรญก็เรียกคนมาให้มาก เลือกที่ทางที่คนไปมากๆ สำนวนทางสี่แพร่ง นี่ที่เจริญมากนะ เหมือนในเมืองเลย แล้วลัทธิแบบนั้นเข้ามาในเมือง จากโลกียะก็มาในเมือง เป็นวัดเมืองวัดป่าผสมกัน สรุปแล้้วแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ

       ศาสนาพุทธที่ถูกต้อง แล้วอาตมาก็ขอพูดอีกว่า อาตมาว่าอาตมาพาพวกเราเป็นชาวพุทธที่ถูก เมื่อประกาศก็ต้องต่างกับที่ผิด เห็นตรงกันข้าม เช่นเขาเห็นว่าออกป่า เราก็บอกว่าต้องเข้าเมือง ทาน ศีล ภาวนา ก็ไม่ตรงกัน ฌานและนิโรธก็ไม่ตรงกัน ก็เลย คนถูกก็ต้องอย่างหนึ่ง ทางโน้นก็ว่าเขาถูก เราก็ว่าเราถูก

       ทุกวันนี้เราออกมาทำงานกับสังคม ประกาศเผยแพร่เลย เป็นโลกุตรธรรม

       โลกุตระคืออยู่เหนือโดยจิตใจไม่เป็นทาส อยู่เหนือนี่ไม่ได้ข่มนะ เช่นอยู่เหนืออบายมุข มีการพนัน ยาเสพติด มีจัดจ้านของโลกธรรม ลาภ ยศ จัดจ้าน แม้แต่อัตตาหรือกามก็จัดจ้านใหญ่มาก อยู่ในโลกนี้แหละไม่ได้หนีจากกัน เขามีอบายมุข เราก็อยู่กับเขาได้ เขาจะผยองอยู่เลยท้าทายหลงใหล แม้แต่ทางรัฐบาลก็ยังยอมอนุญาตให้เลย มีแต่บางส่ิงบางอย่างที่ไม่อนุญาตกฎหมายห้ามไว้ เช่นโป๊เปลือย กฎหมายห้ามไว้แต่ก็ฝ่าฝืนอีก เป็นสุดยอดอบายมุขจัดจ้านด้วย พวกโป๊เปลือย ผู้บรรลุโสดาบันไม่สุขทุกข์ด้วย พวกนั้นไม่มีฤทธิ์เดชให้ไปยินดีด้วย แต่โสดาบันจะไม่ชอบใจบ้าง แต่ไม่ไปทำร้าย แต่ใจตนยังชังไม่ชอบใจ มีหอกปากได้ ในญาณปัญญาโสดาบัน ยังมีปากหอกได้ 

       มีโลกธรรมและกามบ้าง แต่ก็ลดละไปได้เรื่อยๆจนเป็นสกิทาคามี ก็ลดได้อีก จนเป็นอนาคามีก็ไม่มีสุขทุกข์กับการผัสสะภายนอก มีวิโมกข์ 8  สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) . (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

       โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็ มีสัมผัสภายนอก ฌานนั้นลืมตา แต่อ่านเป็นจิตเป็นฌาน ไม่มีกิเลส เผากิเลสได้ ขณะผัสสะ และพระพุทธเจ้าว่า  พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด  พระพุทธองค์ตรัสว่า...  ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก   ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

       ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่   หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้   คือ  จักจมลง   หรือจักลอยขึ้น !! 

       ลอยคือฟุ้งซ่านไปทางโลกีย์ ทั้งสองอย่างไม่ได้อะไรหรอก จมก็ไม่รู้เรื่อง ลอยก็ออกมาก็สึก ไม่ได้ผลอะไรหรอก แต่ต้องได้สมาธิก่อน คือมีมรรคผลเป็นสัมมาสมาธิก่อน ไม่อย่างนั้นไม่จมก็ลอย หรือจะออกป่าก็ไปเช็คผลว่าเราจะลอยหรือจม ไปอยู่ป่าสัมผัสว่าเราจะตกภพ ถีนังมิทธังหรือติดสงบไม่ออกมาเลยก็จม ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วคุณไม่ใช่ หรือลอยก็คือจิตฟุ้งออกมาหาโลกธรรม กามคุณ ก็ไปเช็คผล แต่จิตต้องเป็นสมาธิก่อน

       ไปนั่งสมาธิหลับตาออกป่าเขาถ้ำ ไม่ได้แม้แต่โสดาบัน

      โสดาบันต้องมี ญาณ 7 หรือทิฐิที่นำบุคคลออก

1. รู้จักปริยุฏฐานกิเลส (ได้แก่ นิวรณ์5 ,  การวิวาทกันด้วย หอกคือปาก ฯลฯ) แม้ละปริยุฏฯยังไม่ได้ ก็รู้  ไม่มีที่จะไม่รู้ และมีทิฐิตั้งปณิธานจิตไว้เพื่อไปสู่การตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย

2. อริยสาวกเมื่อได้ความระงับเฉพาะตน (ลภามิ ปัจจัตตัง สมถัง ลภามิ ปัจจัตตัง นิพพุตตินติ) ย่อมเสพคุ้น(อาเสวนา)  ทำให้มีผลเจริญ(ภาวนา)  ย่อมทำให้มากในทิฐินี้(พหุลีกัมมัง)

3. อริยสาวกเชื่อมั่นในทิฐิเช่นนี้ ไม่ทั่วไปกับสาธารณะปุถุชน หรือ ไม่อาจหาทิฐิเช่นนี้ได้จากลัทธิอื่นนอกธรรมวินัยนี้เลย

4. อริยสาวกผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ มีธรรมดาของผู้สำนึกรีบออกจากอาบัติ เปรียบเหมือนกุมารอ่อนนอนหงาย  ที่ถูกถ่านไฟด้วยมือหรือด้วยเท้าเข้าแล้ว ก็ชักหนีเร็วโดยฉับพลัน คือทำผิดแล้วก็จะรีบปลงอาบัติจัดการทันทีเลย จะรู้จักชั่ว_ดี เราได้โลกุตระแล้วจะรู้คุณค่า เมื่อแปดเปื้อนบกพร่องจะรีบแก้กลับ เป็นธาตุที่ได้ชำระแล้ว เป็นความเห็นความรู้ของผู้นั้น จะไม่ประมาท ประมาทเป็นทางเสื่อมสู่ความตาย

5. อาริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำ  ของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้อย่างไร   ถึงอย่างนั้นความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา  อธิจิตสิกขา  และอธิปัญญาสิกขา ของอาริยสาวกนั้นก็มีอยู่   เปรียบเหมือน แม่โคลูกอ่อนย่อมเล็มหญ้ากินด้วย  ชำเลืองดูลูกด้วย  ฉันนั้น

6. มีพลังทำประโยชน์  ทำไว้ในใจ  กำหนดด้วยจิตทั้งปวง     เงี่ยโสตฟังธรรมวินัยของตถาคต  อันบัณฑิตแสดงอยู่ จะพอในส่ิงควรพอ และจะอยากเจริญในส่ิงเจริญต่อไป

7. ได้ความรู้อัตถะ-รู้ธรรม  ปราโมทย์  รู้จริงครบถ้วนธรรม 

(โกสัมพีสูตร  ทิฐิที่เป็นนิยายิกธรรม  ล.12  ข. 543 – 550 เป็นญาณมีองค์ 7 เพื่อตรวจสอบดีแล้วแก่ผู้แจ้งในผลโสดาบัน)

       คุณอาจอธิบายไม่ได้อย่างอาตมา แต่ว่าก็จะฟังรู้เข้าใจได้ ถ้ามีสภาวธรรม ว่าเรามีๆ เป็นภูมิโสดาบันนะ ก็มั่นใจว่าธรรมะพระพุทธเจ้าก็ยังมีผู้มีธุลีในดวงตาน้อยยังปฏิบัติได้

       สรุปว่า..ถ้าธรรมะของพระพุทธเจ้าเกิดจริง มีจิตผู้บรรลุธรรมได้มีพลังอำนาจที่อยู่เหนือ อาตมาพยายามเรียบเรียงให้สั้น ว่า อำนาจในโลกจะมีอำนาจของเงินทอง หรือลาภ อำนาจของยศ อำนาจสรรเสริญ อำนาจของกาม นี่คืออำนาจโลกีย์ ผู้บรรลุจะเหนืออำนาจเหล่านี้ เช่นโสดาบันจะเหนือในอำนาจหยาบ เช่นลาภทุจริต ได้มาเกินไม่เหมาะสมทุจริต ผู้ปฏิบัติได้จิตจะมีอำนาจแข็งแรง เหนือ อบายมุข อำนาจลาภทุจริตเราไม่ทำเด็ดขาด พลังจิตเราอยู่เหนือเลย เด็ดขาดเลย มีอำนาจสู้ได้ รวมแล้วเช่นอยู่เหนืออบายมุข เหนือสังคม

       โสดาบัน มีความประเสริฐคือ...ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าสวรรคาลัย ย่ิงกว่าอธิปไตยใดๆ ในโลกทั้่งปวง คือ พระโสดาปัตติผล

 

อำนาจ ของ ลาภ หรือข้าวของเงินทองในโลก

อำนาจ ของ ยศ หรืออำนาจ ของตำแหน่งหน้าที่ในสังคม

อำนาจ ของสรรเสริญ หรือ เด่น โด่ง ดัง

อำนาจ ของกามคุณ 5 หรือ รูป  กลิ่น เสียง รส สัมผัส

 

      นั้น คืออำนาจ ที่ คนฉลาด ใช้เป็น โลกาธิปไตย ผู้ที่ยังหลงใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ กาม เป็น "อำนาจ" หรือให้มี "อำนาจ" กับผู้อื่น และกับตนอยู่ นั่นแหละคือ อำนาจที่คน "ผู้ไม่รู้" (ผู้อวิชชา) ใช้เป็นอัตตาธิปไตย

 

      ผู้ไม่ใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็น "อำนาจ" และไม่หลงให้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพราะหลงกาม ลำบากเพราะหลงอัตตา มามีฤทธิ์เป็น "อำนาจ" ทำให้ใจตนต้องหวั่นไหว เป็น "อารมณ์ ชอบ _อารมณ์ ชัง" ได้

 

      แต่อยู่กับ ลาภ_ยศ_สรรเสริญ_สุข โดยไม่เป็นทาส ตกอยู่ใน "อำนาจโลก" (โลกาธิปไตย) และไม่เป็นทาส ตกอยู่ใน "อำนาจอุปาทาน" (อัตตาธิปไตย) เพราะยังหลงยึดว่ามี "อำนาจ" จริง

 

      ผู้ไม่ใช้ "โลก" ไม่ใช้ "อัตตา" และ

      ไม่ให้ "โลก" ไม่ให้ "อัตตา" เป็น "อำนาจ" แก่ "ตน" แก่ "สัตว์อื่นคนอื่นในโลก"

      ผู้นี้แหละ คือ ผู้มี "ธรรมาธิปไตย" หรือผู้ชอบธรรมแล้ว ใช้ "ธรรม" และให้ "ธรรม" เป็น "อำนาจ" 

 

       คือทุกอย่างเป็นไปตามธรรม ไม่ใช้อำนาจกามหรืออัตตา เรามาประท้วงไม่ใช้อำนาจอาวุธ กดขี่ ที่คนต้องกลัว ไม่ใช้ลาภ เงินทองมาสั่งการให้คนมาร่วมทำด้วย ปฏิบัติธรรมะ เรามาชุมนุมไม่ขึ้นอยู่กับลาภ ยศ ไม่ใช่อำนาจสรรเสริญหรือกาม เราไม่ใช้ และเราก็ไม่ได้อยากได้ไม่ออกจากเราและเราก็ไม่ใช้มันเพื่อเรา

       มีคนที่ชื่อว่าประธานคนใหม่เขากล่าวว่า รัฐบาลต้องเป็นคนในตระกูลชินวัตรเท่านั้น หากไม่ได้ตามนี้จะไม่ยอมให้สงบ นี่คือประชาธิปไตยของเขา แล้วเขาก็ประกาศว่านี่คือประชาธิปไตยของเขาล็อคสเปคยิ่งกว่าล็อคหวยด้วยนะ แม้โตวิจักไชยกุลก็เป็นไม่ได้ ถ้าไม่พานทองแท้หรือคนอื่นก็ไม่ได้ มิน่ายิ่งลักษณ์ถึงไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุล คุณล็อคสเปคไว้แล้ว ทั้งที่มีลูกมีสามีแล้วก็ขอนามสกุล ชินวัตรอยู่ นี่คือประชาธิปไตยของเขา ชัดเจนนะ

       ที่ถูกต้องมันก็คงจะต้องเฉลี่ยให้คนอื่นบ้าง...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:18:40 )

570323

รายละเอียด

570323_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬฯ เรื่อง ความถูกสองฝ่ายเผชิญกันอย่างไรจึงไม่เกิดโศกนาฏกรรม       

       วันนี้เราก็มาพูดเรื่องโลก เรื่องธรรม ร่วมกันไป วันนี้จะพูดถึงเรื่องความถูกความผิด ในคอลัมน์ ทรรศนะ โดยคุณชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ วันนี้กัน....เรื่อง “ชัยชนะที่แท้จริง”

       นายเฮรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีตปท.สหัฐ ในยุคสงครามเย็น ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ได้ถึงกับมี เครดิต อะไรมากมายนักในแง่ของความคิด ความอ่าน ด้านสร้างสรรค์ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาแกดูจะหนักไปทางเก่งกาจ สามารถ ในทางทำลายซะมากกว่า แต่ในหนังสือ คำคม_บ่มชีวิต ของ อ.กรุณา_เรืองอุไร กุศาลาศัย ได้ไปหยิบเอาคำพูดคำพูดหนึ่ง ในวาทะ ที่ต้องเรียกว่า น่าคิด และน่าจะได้สติ สำหรับใครต่อใครได้ไม่น้อยทีเดียว

       คำพูดที่ว่านั้น...มีอยู่ว่า The great tragedies of history occur not when right confronts wrong but when two rights confront each other. ถอดความเป็นไทยโดยท่านอาจารย์ทั้งสองว่า โศกนาฏกรรมครั้งสำคัญๆในประวัติศสาสตร์ มิได้เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายถูกเผชิญหน้ากับฝ่ายผิด แต่เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายถูกสองฝ่ายประจัญกัน และไม่ว่าใครจะเห็นควรด้วย หรือไม่เห็นควรได้วยกับคำพูดประโยคนี้ ของนายคิสซิงเจอร์ ก็ตาม แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นคำพูดที่น่าคิด หรือน่าเก็บเอามาใคร่ครวญ พิจารณา อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะสำหรับสถานการณ์บ้านเมืองของบ้านเรา ในอีกไม่นาน ไม่ช้านับจากนี้ หรืออีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า...

 

       พูดง่ายๆ ว่า...หลังจากที่ ฝ่ายดี กับฝ่ายชั่ว ได้เอาชนะกันแบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด ไปเรียบโร้ยย์ย์ย์ แล้ว ซึ่งออกจะเป็นเรื่อง เชยซ์ซ์ซ์​ไปหน่อย ถ้าหากมัวแต่จะไปตั้งคำถามประเภทว่า...ใครชนะ ใครแพ้ หรือจะชนะเมื่อไหร่ จะแพ้เมื่อไหร่ เพราะไม่ว่าใครต่อใครดูจะให้คำตอบแบบ กำปั้นทุบดิน ไปตั้งนานแล้วว่า ยังไงๆ ธรรมะย่อมต้องชนะอธรรม อยู่แล้วแหงมๆ ส่วนจะชนะเมื่อไหร่หรือแพ้เมื่อไหร่นั้น ถ้าหากคิดจะดำรงตนเป็น ฝ่ายธรรมะ กันจริงๆ คงไม่ต้องเสียเวลาตั้งคำถามให้ต้องปวดเศียร เวียนเกล้า โดยใช่เหตุ เอาเป็นว่า สู้ไปเรื่อยๆ ยืนหยัดไปเรื่อยๆ ท่องคาถา ลุงจำลอง อันว่าด้วย เมื่อยเราไม่เมื่อย...เหนื่อยเราไม่เหนื่อย..เราไล่ไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อย เราไม่เหนื่อย ...เดี๋ยวเดีวทุกส่ิงทุกอย่างมันย่อมต้องดีเอง ชนะไปเองกันจนได้แล...

 

       เพราะมาถึงยกนี้ ไม่ว่าจะเรียกว่ายกห้า ยกหก ยกสุดท้ายหรือไม่สุดท้ายก็ตาม โดยลักษณะอาการของฝ่ายชั่ว หรือฝ่ายอธรรม นั้น ต้องเรียกว่า...ออกอาการไปไม่กลับ หลบไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ถึงจะอัดฟอร์มาลีน นอนแช่อยู่ในฟอร์มาลีนทั้งโอ่ง ทั้งไห ก็ตาม แต่โดยสภาพศพออกไปทางน้ำเหลืองเยิ้ม เนื้อตัวกะรุ่งกะริ่ง ยากซ์ซ์ซ์​ที่จะเปิดฝาโลงออกมาใช้ชีวิตอย่างมนุษย์มนาโดยปกติได้อีกแล้วแน่ๆ แต่ชัยชนะระหว่าง ฝ่ายดี กับฝ่ายชั่ว หรือ ฝ่ายถูก กับ ฝ่ายผิด นั้นก็ใช่ว่าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหวนคืนมาสู่ความสุข ความสงบ ความมีสันติภาพ สันติธรรม สุโขสโมสร โชติช่วงชัชวาล ขึ้นมาได้โดยฉับพลัน ทันที..

 

       พ่อครูว่า...โศกนาฏกรรมครั้งสำคัญๆของประวัติศาสตร์ มิได้เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายถูกเผชิญหน้ากับฝ่ายผิด แต่มันเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายถูกสองฝ่ายประจัญหน้ากัน ...นี่เป็นความคิดความเห็นของ คิสซิงเจอร์

       คุณชัชรินทร์ได้ขยายความไป ทีนี้เป็นความคิดของอาตมาบ้าง ตอนนี้เรื่องราวบ้านเมือง เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายถูกกับฝ่ายผิด ยังไม่ชัดเจนว่าใครจะแพ้ มันเคยมีที่ฝ่ายถูกแพ้ก็มี เช่นอาตมาเป็นต้น

       คำว่าแพ้ชนะเป็นภาษาทางคดีโลก แต่ความจริงที่ว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม นั้นมีหนึ่งเดียว สัจจะมีหนึ่งเดียวธรรมะมีหนึ่งเดียวก็ย่อมชนะ ในรูปร่างลักษณะทางโลกอาจดูว่าแพ้ แต่ความดีถูกต้องก็ยังเป็นถูกต้องวันยังค่ำ ทางโลกว่าแพ้ ก็ต้องยืนยันสัจจะเดียวกัน ความถูกต้องมีหนึ่งเดียวแท้จริง ไม่มีสอง

       อาตมาเคยพูดไว้แต่พศ. 2512 เขียนไว้ในหนังสือคนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก มีคำเกริ่นว่า...ผู้รู้จริง จะเห็นความผิดของคนผิดว่าเป็นความถูกแล้ว ส่วนผู้ยังไม่รู้จริงเท่าน้นที่จะเห็นความถูกของคนถูกว่าเป็นความผิดอยู่ ผู้ยังไม่รู้จริงจะเห็นความถูกของคนถูกเป็นความผิด

       ขอยกตัวอย่างอาตมา อาตมามีความถูกของคนถูก แต่ได้รับตัดสินว่าแพ้หรือผิด ผู้ที่เห็นว่าอาตมาผิด ก็ยังไม่รู้จริง แต่คนที่ถูกและดีเป็นสัจธรรม มีความถูกต้องจริงเป็นสัจธรรม ท่านไม่มีปัญหาว่าจะแพ้หรือชนะในทางโลกก็ไม่มีปัญหา อาตมาไม่มีปัญหา เข้าใจเหตุปัจจัย ก็รู้ว่าเขาเข้าใจไม่ได้ แต่บางทีเราผิดจริงๆ แล้วเขาตัดสินว่าเราผิด เราก็ต้องรู้ว่าเราผิดอะไร เราถึงเป็นคนมีปัญญารู้ความจริง แต่ถ้าเราไม่ผิด คนก็ประกาศว่าเราผิด เปิดเผยไปทั่วเลย

       คนที่มีคุณธรรม ท่านถูกก็จะอยู่ในส่วนถูก แล้วท่านต้องมีความถูกต้องดีงาม จนกระทั่งถึงจิตใจก็ต้องดีงาม อาตมาเห็นก็ย้อนแย้งกับคิสซิงเจอร์  ที่ว่าโศกนาฏกรรมจะเกิดเมื่อฝ่ายถูกประจัญหน้ากัน ….อาตมาไม่เห็นด้วย เพราะคนถูก ก็เป็นคนดีมีปัญญา เมื่อคนถูกก็มีปัญญาเผชิญหน้ากัน คนถูกไม่ห้ำหั่นกัน อาตมาถึงเห็นขัดแย้ง คนถูกเผชิญหน้ากันไม่เกิดโศกนาฏกรรม แต่ถ้าเกิด มีฝ่ายผิดร่วมด้วยก็เป็นเรื่องความที่ฝ่ายผิดทำ เพราะคนถูกฝ่ายถูกก็ไม่ทำให้เสียหาย แต่คนถูกเผชิญกันนั้นดูเหมือนเอาชนะคะคานนั้นเป็นจริงแน่ มันก็เลยเกิดโศกนาฏกรรมได้คือเป็นแบบโลกๆ มีกิเลส แล้วก็ตัดสินคนถูกว่าถูก

       เขามีมานะอัตตาด้วยกันทั้งคู่ ยอมแพ้ไม่ได้ทั้งคู่ หำ้หั่นกันเป็นอย่างนั้นจริง ในไทยกำลังเกิด กำลังมองว่าสองฝ่าย คือฝ่ายแดงหรือรัฐบาลหรือทักษิณยิ่งลักษณ์ กับฝ่ายพวกเราก็อีกฝ่ายหนึ่ง

       เมื่อวานนปช.ก็ชุมนุมกันที่พัทยา มีเยอะ ให้เห็นว่ามวลเขามาก จตุพรก็ว่าทางกปปส.เหลือไม่ถึงพันคน

       คนกลางๆก็มองว่า ทั้งสองฝ่ายถูก มีคุณงามความดีทั้งคู่ คล้ายๆกับคิสซิงเจอร์มอง แต่อาตมามองว่า ฝ่ายผิดที่เลวจัด กับฝ่ายถูกที่เจริญขั้นโลกุตระสู้กัน คนละเรื่องเลยอาตมาเห็นเช่นนั้น ฝ่ายผิดเลวจัดเลย

       ฝ่ายถูกตอนนี้ก็พอชนะฝ่ายเลวจัดได้ คือฝ่ายถูกที่มีพลังสัจธรรม มีพลังงานลึกซึ้ง ธรรมะย่อมชนะอธรรม เป็นโลกุตระ จึงสามารถชนะฝ่ายผิดชั่วหนักได้ ถ้าไม่เช่นนั้นฝ่ายถูกที่เป็นโลกีย์นั้นแพ้ฝ่ายชั่วมานานแล้ว

       นักเลงโตที่เลวหยาบในแดนเขา คนดีโลกีย์จะหงอหมดแหละ ในย่านนั้นก็ต้องหงอนักเลงแล้ว ดีเอาชนะเขายาก มายุคนี้เมืองไทย อันธพาลชั่วแรงจัดเลย เขาชนะมาเรื่อยจนท้าทายเลย สร้างค่ายกลยึดอำนาจให้คนเป็นบริวารเยอะเลย เขาถึงถือวิธีเลือกตั้งเข้าค่ายกลเขา ส่งไม้จิ้มฟันลงก็ชนะ เขาก็ชนะจริงๆเพราะตกในค่ายกลที่เขาชนะหมดแล้ว

       มาถึงตอนนี้แล้วสุดทนสำหรับผู้มีปัญญา จึงเกิดกรณีรวมตัวกันได้ทั้งผู้นำและผู้ตามรวมตัวกันมา ก็เลยมีผล ที่จริงเราก็ร่วมมาเรื่อยๆ ปูทางมาเรื่อยๆ ไม่ใช่ปุปปับๆ มาถึงวันนี้ขณะนี้ตอนนี้ ถึงขีดของมัน พลังงานหรือความสามารถ ในการต่อสู้กับอธรรม หรือฝ่ายผิด เราถือว่าเราเป็นฝ่ายธรรมะฝ่ายถูก เรามั่นใจว่าเราเป็นฝ่ายธรรมะโลกุตระด้วย เช่นเอาความสงบ สยบความรุนแรง เป็นความดีงามถูกต้อง จะบอกว่าความถูกเผชิญหน้าความถูกจะเป็นโศกนาฏกรรมไม่ใช่ เรากำลังเป็นความถูกเผชิญความผิด แล้วเราถูกระดับโลกุตระด้วย แต่ความเลวร้ายมันมากมาย เป็นเจ้าอำนาจด้วย

       ความดีกับความดีในที่บทความเป็นความดีระดับโลกียะ ก็ยึดมั่นถือมั่นก็โศกนาฏกรรม หรือความชั่วกับความชั่วก็เป็นโศกนาฏกรรม บรรลัยจักรแน่

       ในความถูกกับความถูกมีความแข่งดีกัน ไม่ยอม ยึดมั่นตัวกูของกูทั่งคู่ แต่ถ้าความถูกระดับโลกุตระ ต่อให้อีกฝ่ายดีระดับโลกุตระ อีกฝ่ายเป็นโลกียะก็ตาม แม้ฝ่ายดีโลกียะจะทำสิ่งร้ายแรง ก็เกิดโศกนาฏกรรมแต่ถ้าโลกุตระกับโลกุตระจะไม่เกิดสิ่งเหล่านั้นแน่

       ส่วนโลกุตระธรรมนั้นมี 9 ขั้น

       ซึ่งคนเขาเข้าใจว่า โลกุตรบุคคลต้องหนีเข้าป่าเขาถ้ำ อันนั้นเป็นออกนอกรีตของพระพุทธเจ้าสอนแล้ว แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ เข้าใจว่าบุญคือการได้มาไม่ใช่การลดละกิเลส

       ต้องยกตัวอย่างชาวอโศก ที่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าแบบพวกเรา

       ซึ่งไม่เหมือนกับความเข้าใจส่วนใหญ่กระแสหลัก เถรสมาคม เขาไม่เข้าใจอย่างที่ชาวอโศกทำกัน อโศกมีโลกุตระบุคคล ในโลกุตรธรรม 9 ไม่ใช่คนออกป่าเขาถ้ำ อยู่เหนือโลกธรรมไม่ได้

       ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์ สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163)

       เรือนมีมุขใหญ่นี่ไม่ใช่ลักษณะธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกคนมาวัดตั้งหลักแหล่ง ตัวเองก็ไม่บรรลุอะไร แต่อยู่ด้วยกิเลส กิเลสก็ต้องการลาภยศสรรเสิรญก็เรียกคนมาให้มาก เลือกที่ทางที่คนไปมากๆ สำนวนทางสี่แพร่ง นี่ที่เจริญมากนะ เหมือนในเมืองเลย แล้วลัทธิแบบนั้นเข้ามาในเมือง จากโลกียะก็มาในเมือง เป็นวัดเมืองวัดป่าผสมกัน สรุปแล้้วแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ

       ศาสนาพุทธที่ถูกต้อง แล้วอาตมาก็ขอพูดอีกว่า อาตมาว่าอาตมาพาพวกเราเป็นชาวพุทธที่ถูก เมื่อประกาศก็ต้องต่างกับที่ผิด เห็นตรงกันข้าม เช่นเขาเห็นว่าออกป่า เราก็บอกว่าต้องเข้าเมือง ทาน ศีล ภาวนา ก็ไม่ตรงกัน ฌานและนิโรธก็ไม่ตรงกัน ก็เลย คนถูกก็ต้องอย่างหนึ่ง ทางโน้นก็ว่าเขาถูก เราก็ว่าเราถูก

       ทุกวันนี้เราออกมาทำงานกับสังคม ประกาศเผยแพร่เลย เป็นโลกุตรธรรม

       โลกุตระคืออยู่เหนือโดยจิตใจไม่เป็นทาส อยู่เหนือนี่ไม่ได้ข่มนะ เช่นอยู่เหนืออบายมุข มีการพนัน ยาเสพติด มีจัดจ้านของโลกธรรม ลาภ ยศ จัดจ้าน แม้แต่อัตตาหรือกามก็จัดจ้านใหญ่มาก อยู่ในโลกนี้แหละไม่ได้หนีจากกัน เขามีอบายมุข เราก็อยู่กับเขาได้ เขาจะผยองอยู่เลยท้าทายหลงใหล แม้แต่ทางรัฐบาลก็ยังยอมอนุญาตให้เลย มีแต่บางส่ิงบางอย่างที่ไม่อนุญาตกฎหมายห้ามไว้ เช่นโป๊เปลือย กฎหมายห้ามไว้แต่ก็ฝ่าฝืนอีก เป็นสุดยอดอบายมุขจัดจ้านด้วย พวกโป๊เปลือย ผู้บรรลุโสดาบันไม่สุขทุกข์ด้วย พวกนั้นไม่มีฤทธิ์เดชให้ไปยินดีด้วย แต่โสดาบันจะไม่ชอบใจบ้าง แต่ไม่ไปทำร้าย แต่ใจตนยังชังไม่ชอบใจ มีหอกปากได้ ในญาณปัญญาโสดาบัน ยังมีปากหอกได้ 

       มีโลกธรรมและกามบ้าง แต่ก็ลดละไปได้เรื่อยๆจนเป็นสกิทาคามี ก็ลดได้อีก จนเป็นอนาคามีก็ไม่มีสุขทุกข์กับการผัสสะภายนอก มีวิโมกข์ 8  สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) . (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

       โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็ มีสัมผัสภายนอก ฌานนั้นลืมตา แต่อ่านเป็นจิตเป็นฌาน ไม่มีกิเลส เผากิเลสได้ ขณะผัสสะ และพระพุทธเจ้าว่า  พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด  พระพุทธองค์ตรัสว่า...  ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก   ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

       ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่   หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้   คือ  จักจมลง   หรือจักลอยขึ้น !! 

       ลอยคือฟุ้งซ่านไปทางโลกีย์ ทั้งสองอย่างไม่ได้อะไรหรอก จมก็ไม่รู้เรื่อง ลอยก็ออกมาก็สึก ไม่ได้ผลอะไรหรอก แต่ต้องได้สมาธิก่อน คือมีมรรคผลเป็นสัมมาสมาธิก่อน ไม่อย่างนั้นไม่จมก็ลอย หรือจะออกป่าก็ไปเช็คผลว่าเราจะลอยหรือจม ไปอยู่ป่าสัมผัสว่าเราจะตกภพ ถีนังมิทธังหรือติดสงบไม่ออกมาเลยก็จม ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วคุณไม่ใช่ หรือลอยก็คือจิตฟุ้งออกมาหาโลกธรรม กามคุณ ก็ไปเช็คผล แต่จิตต้องเป็นสมาธิก่อน

       ไปนั่งสมาธิหลับตาออกป่าเขาถ้ำ ไม่ได้แม้แต่โสดาบัน

      โสดาบันต้องมี ญาณ 7 หรือทิฐิที่นำบุคคลออก

1. รู้จักปริยุฏฐานกิเลส (ได้แก่ นิวรณ์5 ,  การวิวาทกันด้วย หอกคือปาก ฯลฯ) แม้ละปริยุฏฯยังไม่ได้ ก็รู้  ไม่มีที่จะไม่รู้ และมีทิฐิตั้งปณิธานจิตไว้เพื่อไปสู่การตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย

2. อริยสาวกเมื่อได้ความระงับเฉพาะตน (ลภามิ ปัจจัตตัง สมถัง ลภามิ ปัจจัตตัง นิพพุตตินติ) ย่อมเสพคุ้น(อาเสวนา)  ทำให้มีผลเจริญ(ภาวนา)  ย่อมทำให้มากในทิฐินี้(พหุลีกัมมัง)

3. อริยสาวกเชื่อมั่นในทิฐิเช่นนี้ ไม่ทั่วไปกับสาธารณะปุถุชน หรือ ไม่อาจหาทิฐิเช่นนี้ได้จากลัทธิอื่นนอกธรรมวินัยนี้เลย

4. อริยสาวกผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ มีธรรมดาของผู้สำนึกรีบออกจากอาบัติ เปรียบเหมือนกุมารอ่อนนอนหงาย  ที่ถูกถ่านไฟด้วยมือหรือด้วยเท้าเข้าแล้ว ก็ชักหนีเร็วโดยฉับพลัน คือทำผิดแล้วก็จะรีบปลงอาบัติจัดการทันทีเลย จะรู้จักชั่ว_ดี เราได้โลกุตระแล้วจะรู้คุณค่า เมื่อแปดเปื้อนบกพร่องจะรีบแก้กลับ เป็นธาตุที่ได้ชำระแล้ว เป็นความเห็นความรู้ของผู้นั้น จะไม่ประมาท ประมาทเป็นทางเสื่อมสู่ความตาย

5. อาริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำ  ของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้อย่างไร   ถึงอย่างนั้นความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา  อธิจิตสิกขา  และอธิปัญญาสิกขา ของอาริยสาวกนั้นก็มีอยู่   เปรียบเหมือน แม่โคลูกอ่อนย่อมเล็มหญ้ากินด้วย  ชำเลืองดูลูกด้วย  ฉันนั้น

6. มีพลังทำประโยชน์  ทำไว้ในใจ  กำหนดด้วยจิตทั้งปวง     เงี่ยโสตฟังธรรมวินัยของตถาคต  อันบัณฑิตแสดงอยู่ จะพอในส่ิงควรพอ และจะอยากเจริญในส่ิงเจริญต่อไป

7. ได้ความรู้อัตถะ-รู้ธรรม  ปราโมทย์  รู้จริงครบถ้วนธรรม 

(โกสัมพีสูตร  ทิฐิที่เป็นนิยายิกธรรม  ล.12  ข. 543 – 550 เป็นญาณมีองค์ 7 เพื่อตรวจสอบดีแล้วแก่ผู้แจ้งในผลโสดาบัน)

       คุณอาจอธิบายไม่ได้อย่างอาตมา แต่ว่าก็จะฟังรู้เข้าใจได้ ถ้ามีสภาวธรรม ว่าเรามีๆ เป็นภูมิโสดาบันนะ ก็มั่นใจว่าธรรมะพระพุทธเจ้าก็ยังมีผู้มีธุลีในดวงตาน้อยยังปฏิบัติได้

       สรุปว่า..ถ้าธรรมะของพระพุทธเจ้าเกิดจริง มีจิตผู้บรรลุธรรมได้มีพลังอำนาจที่อยู่เหนือ อาตมาพยายามเรียบเรียงให้สั้น ว่า อำนาจในโลกจะมีอำนาจของเงินทอง หรือลาภ อำนาจของยศ อำนาจสรรเสริญ อำนาจของกาม นี่คืออำนาจโลกีย์ ผู้บรรลุจะเหนืออำนาจเหล่านี้ เช่นโสดาบันจะเหนือในอำนาจหยาบ เช่นลาภทุจริต ได้มาเกินไม่เหมาะสมทุจริต ผู้ปฏิบัติได้จิตจะมีอำนาจแข็งแรง เหนือ อบายมุข อำนาจลาภทุจริตเราไม่ทำเด็ดขาด พลังจิตเราอยู่เหนือเลย เด็ดขาดเลย มีอำนาจสู้ได้ รวมแล้วเช่นอยู่เหนืออบายมุข เหนือสังคม

       โสดาบัน มีความประเสริฐคือ...ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าสวรรคาลัย ย่ิงกว่าอธิปไตยใดๆ ในโลกทั้่งปวง คือ พระโสดาปัตติผล

 

อำนาจ ของ ลาภ หรือข้าวของเงินทองในโลก

อำนาจ ของ ยศ หรืออำนาจ ของตำแหน่งหน้าที่ในสังคม

อำนาจ ของสรรเสริญ หรือ เด่น โด่ง ดัง

อำนาจ ของกามคุณ 5 หรือ รูป  กลิ่น เสียง รส สัมผัส

 

      นั้น คืออำนาจ ที่ คนฉลาด ใช้เป็น โลกาธิปไตย ผู้ที่ยังหลงใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ กาม เป็น "อำนาจ" หรือให้มี "อำนาจ" กับผู้อื่น และกับตนอยู่ นั่นแหละคือ อำนาจที่คน "ผู้ไม่รู้" (ผู้อวิชชา) ใช้เป็นอัตตาธิปไตย

 

      ผู้ไม่ใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็น "อำนาจ" และไม่หลงให้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพราะหลงกาม ลำบากเพราะหลงอัตตา มามีฤทธิ์เป็น "อำนาจ" ทำให้ใจตนต้องหวั่นไหว เป็น "อารมณ์ ชอบ _อารมณ์ ชัง" ได้

 

      แต่อยู่กับ ลาภ_ยศ_สรรเสริญ_สุข โดยไม่เป็นทาส ตกอยู่ใน "อำนาจโลก" (โลกาธิปไตย) และไม่เป็นทาส ตกอยู่ใน "อำนาจอุปาทาน" (อัตตาธิปไตย) เพราะยังหลงยึดว่ามี "อำนาจ" จริง

 

      ผู้ไม่ใช้ "โลก" ไม่ใช้ "อัตตา" และ

      ไม่ให้ "โลก" ไม่ให้ "อัตตา" เป็น "อำนาจ" แก่ "ตน" แก่ "สัตว์อื่นคนอื่นในโลก"

      ผู้นี้แหละ คือ ผู้มี "ธรรมาธิปไตย" หรือผู้ชอบธรรมแล้ว ใช้ "ธรรม" และให้ "ธรรม" เป็น "อำนาจ" 

 

       คือทุกอย่างเป็นไปตามธรรม ไม่ใช้อำนาจกามหรืออัตตา เรามาประท้วงไม่ใช้อำนาจอาวุธ กดขี่ ที่คนต้องกลัว ไม่ใช้ลาภ เงินทองมาสั่งการให้คนมาร่วมทำด้วย ปฏิบัติธรรมะ เรามาชุมนุมไม่ขึ้นอยู่กับลาภ ยศ ไม่ใช่อำนาจสรรเสริญหรือกาม เราไม่ใช้ และเราก็ไม่ได้อยากได้ไม่ออกจากเราและเราก็ไม่ใช้มันเพื่อเรา

 

       มีคนที่ชื่อว่าประธานคนใหม่เขากล่าวว่า รัฐบาลต้องเป็นคนในตระกูลชินวัตรเท่านั้น หากไม่ได้ตามนี้จะไม่ยอมให้สงบ นี่คือประชาธิปไตยของเขา แล้วเขาก็ประกาศว่านี่คือประชาธิปไตยของเขาล็อคสเปคยิ่งกว่าล็อคหวยด้วยนะ แม้โตวิจักไชยกุลก็เป็นไม่ได้ ถ้าไม่พานทองแท้หรือคนอื่นก็ไม่ได้ มิน่ายิ่งลักษณ์ถึงไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุล คุณล็อคสเปคไว้แล้ว ทั้งที่มีลูกมีสามีแล้วก็ขอนามสกุล ชินวัตรอยู่ นี่คือประชาธิปไตยของเขา ชัดเจนนะ

       ที่ถูกต้องมันก็คงจะต้องเฉลี่ยให้คนอื่นบ้าง...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:20:47 )

570324

รายละเอียด

570324_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬฯเรื่องประชาชนปฏิวัติตามรัฐธรรมนูญ

            ทุกวันนี้เป็นการต่อสู้ที่ใช้ Force ไม่ใช่ Authority ใช้กันมาอย่างนั้น ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน ซึ่งบางเดรัจฉานก็มีคุณงามความดีไม่ทำร้ายผู้ที่แพ้ ดังนั้นคนต้องมีคุณธรรมให้ได้ รู้กันทั่วโลกเลย ไม่ใช่ระดับลึกเลย เป็นเรื่องสามัญธรรมดา

            sovereignty คืออำนาจของประชาชน อำนาจดีๆ ไม่รุนแรงโหดร้ายเป็นโทษ มีแค่อำนาจเป็นคุณ ถ้าผู้ใดสามารถสร้างคุณงามความดีเป็นAuthority เป็นคุณงามความดีสั่งสมถึงขีดก็เป็น Sovereign เป็นอำนาจสมบูรณ์สูงสุดของอำนาจอธิปไตย

            แล้วอำนาจ Authority คืออย่างไคก็คือคุณธรรม มีเมตตากรุณา ไม่โลภ ไม่โกรธไม่หลง ก็คือโลกุตระธรรมนั่นแหละ

            อำนาจที่จะใช้บริหารปกครองประเทศ มีอยู่ 5 อย่าง

1. อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ซึ่งเป็น"รัฐาธิปัตย์"ของระบอบประชาธิปไตย 2 ขา

2. อำนาจรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้ง ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ อำนาจนี้ใช้ในการรับใช้ประชาชนด้วย ประชาชนเป็นนายของเขา แต่เขาผยองแข็งข้อต่อประชาชนอยู่นี่ ไม่ได้เข้าใจประชาธิปไตยเลย เป็นเพียงอำนาจรับใช้รับจ้าง มีรายได้เงินเดือนด้วย มีสวัสดิการเยอะแยะเลย แต่ละกรมกองหน้าที่ ทำผิดก็ไม่ได้ ทำมากทำเกินทำน้อยก็ไม่ได้มีความผิด การปกครองให้มี 3 สถาบันไว้คานอำนาจกัน แล้วหาว่าตุลาการลำเอียงไม่มีสิทธิ์ตัดสิน อันนี้เป็นความไม่รู้ เป็นความไม่ถูกต้องตามหน้าที่ ไม่ยอมรับกันในหลักการกฎหมาย ก็เลยวุ่นวายกันใหญ่ เพราะโง่ไม่รู้ผิด

3. อำนาจคณะทหารที่ได้มาจากการปฏิวัติ หรือรัฐประหารอย่างไม่สงบ มีอาวุธ รุนแรง ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

4. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติ หรือรัฐประหาร อย่างไม่สงบ มีอาวุธ รุนแรง ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

5. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติ หรือรัฐประหาร อย่างสงบ

ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

 

            เมื่ออำนาจที่ 2 ได้ทำผิดประชาชนก็ต้องออกมาทำหน้าที่ได้ตาม

มาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

 

มาตรา 68 (วรรคสอง) "ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทําการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทําดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อ เท็จจริงและยื่นคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทํา ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนการดําเนินคดีอาญาต่อผูกระทําการดังกล่าว”

 

            ส่วนมาตรา มาตรา 69 (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

            อนุญาตให้ทำได้เมื่อมีผู้ได้ใช้วิธีการในการบริหารปกครองประเทศโดยมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ย่อมทำได้ เราทำจนได้พิทักษ์อำนาจนี้ไว้ได้อย่างชอบธรรม เช่นที่เขาทำอยู่นี่เป็นนายกฯรักษาการ ก็ทำละเมิดเราก็พยายามพิทักษ์รักษา ถือว่าชนะก็สามารถปฏิบัติตามมาตรา 7 ได้ เป็นแต่เพียงอีกฝ่ายหนึ่งดันทุรัง

            เราทำนี่ทำตามมาตรา 3 และต่อต้านตาม มาตรา 69 ก็ทำได้ และมาตรา 69 ก็ทำได้แล้ว

            มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

            คุณวีรกานต์ เสื่้อแดงพูดถึงมาตรานี้ แต่ไม่ได้พูดถึงว่า ทางรัฐสภา ครม. นั้นได้ยุบไปแล้ว ทำผิดจนกระทั่งต้องยุบสภาไปแล้วด้วย

            แล้วเขามีการกระทำลบหลู่ศาล แถมยังเอาระเบิดเอาปืนไปใส่ แต่คุณไม่พูด

            อำนาจที่ครม.หรือสภาใช้ก็คือใช้แทนประชาชน จึงเรียกว่าสภาผู้แทนราษฎร เป็นอำนาจแทนประชาชน ไม่ใช่อำนาจเต็ม sovereigntyเป็นอำนาจที่ใช้ทำงานเท่านั้น ถ้าใช้ทำแบบ Force ทำแบบข่มอย่างที่ทำ แทนที่จะไปเป็นลูกน้องประชาชนก็ไปเป็นนาย ไปข่ม นี่คือ Force พวกทั้งข้าราชการการเมืองและประจำมาข่มประชาชนไม่ได้ ใช้กันทั่วโลก เพราะเป็นกิเลส แต่ถ้าเป็นอำนาจคุณงามความดี เป็นอำนาจ Authority ได้ก็จะดีมาก แต่ถ้าใช้Forceอยู่มากก็ไม่ได้เรื่อง

            ผู้ทำหน้าที่รับใช้ปปช.อย่างไม่กดขี่ได้เท่าใดก็ตรงตามหน้าที่ในประชาธิปไตย ที่ได้รับมอบหมายจากมวลประชาชนเพราะได้ใช้อำนาจอย่างดีงามถ้าใช้ได้สูงสุดก็เป็นSupreme เป็นอำนาจให้อิสระ ตัวผู้บริหารปกครองก็ไม่กดข่ม ให้อิสระเต็มที่เป็นเอกราชเต็มที่ ทุกคนได้เรียกว่า Independence แต่ถ้ายังทำไม่เข้าขั้น ก็ยังไม่ใช่อำนาจที่เป็นอำนาจอธิปไตย sovereignty เต็มที่ ถ้าใครทำได้เป็นAuthority ถึง supreme เป็นsovereign right

            ในรธน.ของทุกประเทศที่ไม่ออกโดยคนเกเร ก็ต้องพยายามออกมาให้ดีรับใช้ประชาชนอย่างชอบธรรม ให้อำนาจ ครม.และรัฐสภาไปทำงานแทนประชาชน เพื่อรับใช้ประชาชน ประชาชนคัดเลือกไป ส่วนศาลเป็นอำนาจแทนพระมหากษัตริย์

            แต่ที่จริงไม่ใช่ว่า ศาลคือพระมหากษัตริย์เป็นผู้เลือก แต่ว่าประชาชนเป็นคนเลือก เป็นคณะเจ้าหน้าที่ ตั้งแต่เรียนแต่สอบ จนคัดเลือก มีความรู้สามารถเพียงพอ แล้วก็ทูลเกล้าให้ในหลวงลงพระปรมาภิไธยให้ทำงาน เป็นสายที่ไม่ได้เลือกตั้งมาจากประชาชน มันจึงมีนัยละเอียดต่างกัน

            อำนาจประชาชนจึงมีอยู่เต็ม เลือกตั้งไปแล้วก็ตาม ทิ้งไม่ได้เราต้องคอยสอดส่องตาม

มาตรา 70  บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

มาตรา 71 บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย

            ทุกคนควรสำนึกอย่าดูดาย อย่าไปตกอยู่ในภาวะแห่งความกลัวมากไป แต่ประชาชนก็กลัวน้อยกว่าข้าราชการประจำหรือการเมือง ในกาละสังคมเดือดร้อนแสนสาหัส ก็ให้แต่ละคนระดมกันเต็มที่ให้เรียบร้อยก่อน ให้มาพิทักษ์รักษา ประท้วง ต่อต้าน จนยกระดับถึง ขออำนาจคืนหรือล้มล้างอำนาจเก่า ของสภาหรือรัฐบาลเก่าที่ได้ทำผิดแล้ว ทำเสียหายมากแล้ว ประชาชนเห็นร่วมด้วยมาก ไม่ได้อคติ ออกมาเป็นหลายล้าน 10 ล้านคน

            ลองดูซิวันที่ 29 นี้เอาให้ทั่วประเทศเลย จะเป็นเหตุการณ์ที่ย่ิงใหญ่ที่ประชาชนจะแสดงอำนาจอธิปไตย

            ถ้าทำได้ริบอำนาจจากรัฐบาลคืน แล้วมาจัดการ จัดการอะไร เพื่อที่จะ ให้ได้นายกฯประชาชน เราจะตั้งสภาประชาชน แล้วหานายกฯของประชาชน​จะหาวิธีเอาอย่างไรกันดี ให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ จะเลือกโดยตรงเหมือนปาร์ตี้ลิสต์

            ถ้าเราได้มาแล้วทูลเกล้าฯเสร็จ ก็มีนักรู้ผู้รู้มาทำจนสมบูรณ์ได้ เมื่อทำเสร็จประชาชนทำให้เสร็จ ไม่ต้องเดือดร้อนวุ่นวายในหลวง ทำให้เสร็จอย่างดีงามเรียบร้อยไม่ใช้อาวุธ เหมือนกับที่ทหารทำ คณะปฏิวัติทำ อย่างคณะราษฎร์ทำ แต่เราไม่ได้ใช้ force แต่เราทำด้วยอำนาจประชาชน ถูกต้องตามรธน. ใช้อำนาจ Authority เป็นsoverigh power แท้จริง ทำได้สำเร็จ แต่เขาเถียงว่าไม่ได้มีบัญญัติไว้ในรธน. แต่ในเนื้อหานัยของรธน.

            อย่าไปเลี่ยงคำเลย พวกเรามาปฏิวัติล้มล้าง อำนาจเก่า อำนาจรัฐบาลที่ล้มเหลว เลวร้าย เราทำอย่างเป็นอำนาจโดยธรรม ถูกต้องตามประชาธิปไตย ตรงสู่ประชาธิปไตยทุกอย่าง เป็นการกระทำที่ปฏิวัติโดยประชาชนที่วิเศษที่สุด สำเร็จแล้ว แต่มันไม่จบเพราะ          1.ฝ่ายครองอำนาจไม่ยอมทิ้งอำนาจที่เป็นอำนาจลวงไม่จริงไปรวมมวลประชาชนที่เข้าใจไม่ได้ เขาใช้ลาภยศสรรเสริญไปใช้ ให้เชื่อว่าเขามีอำนาจอยู่    2.ไม่เข้าใจว่าประชาชนทำสำเร็จแล้วอย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ แล้ว ทำการปฏิวัติสำเร็จ เขาไม่เข้าใจไม่ตื่น แม้นักวิชาการนักรู้ ก็ไม่เข้าใจ

            แม้เราจะมากันแล้วถูกทำร้ายอย่างนี้เราก็สงบได้ เป็นความย่ิงใหญ่อย่างแท้จริง จนศาลรับรองเราเป็นรายลักษณ์อักษร และคณะรัฐบาลที่ใช้อำนาจเถื่อนกับเรา ไม่ให้สลายเราอีกต่างหาก

            ประชาธิปไตยมีฝ่ายค้าน กับฝ่ายเสนอ เราก็ยืนยันเสนอไป ฝ่ายไหนมีคะแนนถูกต้องก็ชนะเป็นธรรมดา อย่าสงสัย ประชาธิปไตยต้องมีการถ่วงดุล ถ้าขืนไม่มีฝ่ายค้าน จะกลายเป็นเผด็จการ ทำตามอำเภอใจ เหลิงอำนาจ ประชาธิปไตยจึงมีวิธีที่สวยงาม

            เรื่องสุญญากาศนั้น คือสุญญากาศจากอำนาจเก่า ถ้าผู้ปกครองเก่า ก็ลาออกไป แล้วไม่มีใครทำต่อ แล้วไม่มีใครแสดงตัวจะรับผิดชอบ นี่คือสุญญากาศ แต่นี่ไม่ใช่ ประชาชนแสดงตัวมารับผิดชอบ ว่่าจะปฎิวัติ ปฏิรูป ให้ดีขึ้น มันควรต้องประกาศศักดาให้โลกรู้เลย

            เรามาชี้ความถูกให้รู้ตัว ว่าอย่างไรแค่ไหน ตอนนี้มีอยู่สองฝั่ง ก็เป็นการตัดสิน ถ้าจะดึงดันดื้อด้านอย่างไรก็เป็นพฤติกรรมสังคม ลองทำดูสิ ไม่ต้องใช้อำนาจฆ่าแกงกัน เราเป็นพวกอาริยกะแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ยุคที่จะใช้มีดใช้ปืนไปห้ำหั่นกันแล้ว พวกเราที่ทำงาน แม้ในรธน.หมวดทั้ง7 ข้อแรกนี้ครบแล้วนะ

            แม้ในม.4 เราก็ต้องได้รับการคุ้มครอง ตำรวจก็ควรคุ้มครองเรา ทหารก็ออกมาคุ้มครองเราแล้ว นอกนั้นเราก็มีการ์ดช่วยกันเองอยู่

มาตรา 4 (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค)ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง

มาตรา 5 (ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย)ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน

มาตรา 6 (กฎหมายสูงสุดของประเทศ)รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

มาตรา 7 (การอุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ)ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข

            สรุปมาตรา 7 นี้เมื่อไม่มีบทบัญญัติใดแห่งรธน.นี้ก็ให้ประชาชนปฏิวัติได้ ...ทหารจะมาช่วยปฏิวัติแบบประชาชนได้ ไม่มีในบัญญัติแห่งรธน.ให้ประชาชนปฏิวัติ หรือทหารปตว​. แต่การปฏิวัติ รัฐประหารนั้น เมื่อไม่มีกรณีใดก็ให้ทำตามประเพณี ซึ่งประเพณีปฏิวัติก็มี ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรธน.นี้ เราทำนี้ไม่ใช่วิธีการแบบทหารทำ แต่ว่าเป็นวิถีทางที่ได้มาซึ่งการปกครองในการบริหารประเทศเหมือนกัน เรากปปส.ก็มีจุดมุ่งหมายให้ได้อำนาจการปกครองประเทศเหมือนกัน แต่วิธีการเราสันติวิธี ต่างกันตางวิธีการแต่วิถีทางต่างกัน อย่างของทหารที่เคยทำมาแล้วหรือประชาชนเคยทำมาแล้วไม่มีในบัญญัติรธน.นี้ไม่อนุญาต แต่อย่างของเราประชาชนนี้มีบัญญัติไว้ในรธน.นี้ อนุญาต

            ถ้าไม่ติดในภาษา ก็วินิจฉัยตาม Minority rule แม้จำนวนน้อยคนออกมาต่อต้านประท้วงแม้คนเดียว ให้คุณเลิกล้ม บอกว่ารัฐบาลนี้ผิด ให้ออกไป ถ้ารัฐบาลนี้ซื่อสัตย์สุจริต แล้วเขาตรวจสอบว่าผิดจริงอย่างที่คนมาท้วงแม้คนเดียว ผู้บริหารเช่นนายกฯที่ผิดจริงก็ออก ไม่ต้องเอา Majority หรอก เราเรียกมวลออกมาตั้งหลายครั้งแล้ว ก็สงบเรียบร้อยดี

            แล้วเรากปปส.ออกมานี่ ทำได้ในประเท ศไทย เราทำมาเรื่อยตั้งแต่ปี 49 มาถึงวันนี้ก็เก็บรายละเอียดมาตั้งแต่นานแล้วเก็บสั่งสมในจิตวิญญาณ มีคุณธรรมรู้ว่าอย่างนี้ต้องมาช่วยกัน ช่วยแล้วสังคมเราจะดีขึ้น เราก็ดีขึ้นด้วย คนมีปัญญารู้ก็มาช่วย เสียสละออกมา ผู้มีปัญญาศรัทธาเสียสละเพียงพอจะนานเท่าไหร่ก็ทำ ทำแล้วมีพลังงานที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เป็นพลังงานจิตวิญญาณ เชื่อถือศรัทธาของแต่ละคนรวมกันเรียกธรรมฤทธิ์ แม้คนละเล็กละน้อยก็มีความจริง ยังดีคนไทยยังมีธรรมะ

            ขอสรุปเรื่องหนึ่ง คือเรื่องความถูกความผิด อาตมาเคยพูดไว้แต่พศ. 2512 เขียนไว้ในหนังสือคนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก มีคำเกริ่นว่า...ผู้รู้จริง จะเห็นความผิดของคนผิดว่าเป็นความถูกแล้ว ส่วนผู้ยังไม่รู้จริงเท่าน้นที่จะเห็นความถูกของคนถูกว่าเป็นความผิดอยู่ ผู้ยังไม่รู้จริงจะเห็นความถูกของคนถูกเป็นความผิด

            พวกแดงเห็นพวกเราทำ เขาก็หยิบไปพูดว่าพวกเราทำผิดหมด เขาไม่รู้ความจริงก็เลยเห็นความผิดของคนถูกเป็นความผิด อาตมาเห็นอย่างนี้ไม่งงไม่สงสัยเลย คนโง่ก็ยังโง่อยู่ น่าสงสารด้วยซ้ำ ก็ช่วยกันบอกเตือนให้เข้าใจ พูดดีเท่าไหร่ก็ไม่ฟังก็เลยต้องพูดร้ายกระแทก ด่าไปบ้างก็ยังไม่สะดุ้งสะเทือนเลย ตอนนี้เขาก็โกรธ จะเอาตายเลย

            คนเขาก็เข้าใจว่า สสาร พลังงาน ได้แค่ฟิสิกส์ ส่วนพระพุทธเจ้านั้นรู้ถึง metaphysics  มีสามอย่างของอำนาจพลังงาน คือ ดูด_ผลัก_กลางๆ

            ศาสนาพุทธก็สอนสามอย่างนี้ อำนาจนี้เกิดที่ใจ หรือจิตวิญญาณ แล้วก็สร้างอำนาจนี้ เช่น ตาเรากระทบรูป จิตเราก็มีลีลาบทบาท ชอบ ไม่ชอบ ถ้าชอบก็อยากได้ ดูดมาให้แก่ตน ไม่ชอบก็ผลัก ไม่ชอบมากๆก็ทำลายหายวับไปต่อหน้าต่อตา ก็ว่าไป หรือไม่อย่างนั้นก็สร้างพลัง อย่าไปผลักหรือดูดมาก เหมือนศาสนาทั่วไป แต่ละลัทธิศาสนาก็ทำพอได้ ด้วยวิธีการแต่ละศาสนา และศาสนาพุทธก็ทำ สามารถทำให้เกิดความเป็นกลางหรืออุเบกขาได้ ที่เป็นเริ่มตต้นหากทำได้สูงสุดเรียกว่า มัชฌิมา ทำโดยรู้เจตนา จนจิตเก่งสามารถน้อมให้ดูดหรือผลักได้ เท่าไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะไม่ให้แรงจนเกินการณ์

            โดยเฉพาะผลักอย่างแรงจนเสียหายแตกพังเป็นต้น ก็ไม่ทำ ฝึกตนเรียนรู้พลังงานแบบนั้น จิตวิญญาณจะไม่สร้างพลังงานแบบนั้น ร้ายแรงไม่มี เหลือแต่พลังงานรับไว้อาศัย ปรุงแต่งเป็นประโยชน์ได้อาศัย ใช้งาน ส่วนจิตนั้นย่ิงใหญ่ที่ทำแล้วก็ใช้งานแต่ไม่ติดยึด ใช้ประโยชน์แล้วก็วางเป็นอุเบกขา มัชฌิมาสูงสุด

            ในธัมมจักกัปปวัตนสูตร ที่เปิดศาสนาพุทธ เป็นสูตรแรกเลย บทแรกของพุทธธรรมของพระพุทธเจ้า ก็สอนเรื่องสองข้าง กามนั้น เป็นสุขขัลิกะไม่ใช่ของจริงเป็นสุขเท็จ กามคือได้มาเสพรส แต่อัตตานั้นได้มาแล้วฝังในจิต

            จิตที่ตั้งหรือหยั่งขึ้น เป็นวิจาร ถ้าไม่มีปัญญามันก็ทำงานบังคับเรา ถ้ามีปัญญาก็บังคับเราไม่ได้

            เราทำได้แล้วเป็นคนประหลาดของโลกทำชั่วไม่เป็น ทำต่อไปจนเป็นอรหันต์แล้วก็สืบทอดต่อไป เป็นฟิสิกส์ของพระพุทธเจ้าแม้จะเป็นนามธรรมที่ลึกซึ้ง

1.         คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.        ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.        ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.        สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.        ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.         อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.        นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.        ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

            ต้องพิสูจน์ให้เข้าถึงจิตวิญญาณเอง จิตที่อุเบกขามีคุณสมบัติ

1.         ปริสุทธา   (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .

2.        ปริโยทาตา  (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.        มุทุ  (รู้แววไว  อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) .

4.        กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงานอันไร้อคติ) . 

5.        ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 

(ธาตุวิภังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 690)

            อย่างที่โกณทัญญะได้แล้ว การทำงานอย่างโลกุตระจึงเป็นการงานที่ บริสุทธิ์ เหมาะควร แม้จะมีผัสสะอย่างไรก็ผุดผ่อง แจ่มใส เป็นคุณสมบัติของอาริยบุคคลเป็น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:22:57 )

570326

รายละเอียด

570326_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง ทางออกประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญ  ตอน 1

            แน่นอนที่สุดเราจะต้องมีนายกฯที่มีคุณธรรม บ้านเมืองจึงอยู่เย็นเป็นสุข ถ้านายกฯไม่มีคุณธรรมก็ร้อนเป็นไฟ ไม่อยู่เย็นเป็นสุข เป็นของตาย ของจริงที่สุด แต่คนเราไม่คิดกันเท่าไหร่ แปลก อาตมาได้พยายามที่จะให้ข้อคิด ข้อสังเกตว่า ยุคนี้สมัยนี้ มนุษยชาติมันฉลาดรู้ และการศึกษาของโลก แม้แต่ในไทย ก็ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง การศึกษาของไทยว่าจริงๆแล้ว เก่งกว่า จะว่าไปแล้ว โดยเฉพาะการศึกษาระดับล่าง ประถม มัธยม แม้อเมริกาก็สู้ไทยไม่ได้ ไทยเก่งกว่าเยอะเลย หลายด้าน เก่งทางวิชาการหลายอย่าง อย่างพยาบาลไทยเหนือกว่าอเมริกา

            วันนี้อาตมา ได้ของดีมา เป็นบทความของท่านยินดีมา ที่เป็นอดีตหัวหน้าคณะในศาลฎีกามา ท่านแสดงออกก็จะชัดเจน เรื่อง

 

          ทางออกของประเทศตามทฤษฎีการปกครอง        

          ในระบอบประชาธิปไตย และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

      บทความทางวิชาการ  ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ

   อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา 24 มี.ค. 57

       

       ข้อ 1.ตามหลักการปกครองแล้ว ผู้ปกครองหรือรัฐบาลเป็นผู้รักษากฎหมาย มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดูแลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนและสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

       

       แต่ถ้าผู้ปกครองหรือรัฐบาลเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเสียเอง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำผิดโดยการใช้อำนาจบริหาร หรือใช้อำนาจโดยกลไกทางรัฐสภาเพื่อฉ้อฉลให้ได้มาซึ่งอำนาจที่จะใช้บังคับได้ ในเชิงกฎหมายหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในทางกฎหมายที่ไม่ชอบ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์อันไม่ชอบด้วยวิธีการทุจริตคอรัปชั่นนั้น เป็นการบิดเบือนและฉ้ออำนาจอธิปไตยของประชาชนโดยอาศัยความไว้วางใจของ ประชาชนที่ได้มอบอำนาจให้ไปใช้อำนาจในทางบริหารหรือทางรัฐสภา การ กระทำดังกล่าวเป็นอาชญากรรม( Criminal Syndicalism ) มิใช่เป็นการใช้อำนาจบริหาร หรืออำนาจนิติบัญญัติในระบอบประชาธิปไตย ( Democratic theories ) แต่เป็นลัทธิรวบอำนาจ ( Totalitarianism ) อันมีผลเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง ซึ่งเป็นอำนาจทรราชย์ (Tyrant ) นั้น เป็นการกระทำความผิดอาญาในทางการเมือง( Political offence )

       

       ในทำนองเดียวกันพรรคการเมือง ที่ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลหรือคำวินิจฉัยของศาลซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของรัฐ ในระบอบประชาธิปไตย ไม่ยอมรับอำนาจตรวจสอบขององค์กรอื่นของรัฐ เป็นการปฏิเสธการตรวจสอบและการฟ้องเจ้าหน้าที่ระดับสูงในทาง อาญา(impeachment) หรือการกระทำของพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองที่ เป็นผู้ปกครองต้องการแบ่งแยกประเทศ หรือการกระทำของพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองที่ไม่ยอมรับการกระทำของ ประชาชนที่ได้แสดงออกตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยโดยสงบปราศจากอาวุธ และประกาศจะทำการรบกับประชาชนนั้นเสียเอง โดยพรรคการเมืองซึ่งมีอำนาจปกครองนั้นได้ใช้กำลังปราบปราม และได้ร่วมกันแสดงออกซึ่งการให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ยุยงส่งเสริมทั้งในทางลับและทางแจ้งต่อสมาชิกพรรคการเมืองหรือกองกำลังของ พรรคการเมืองของตนที่จะทำการรบกับประชาชนผู้ชุมนุมผู้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ จนเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนโดยทั่วไปแล้วนั้น การกระทำดังกล่าวของพรรคการเมืองซึ่งเป็นผู้ปกครองหรือรัฐบาลนั้น เป็นการปฏิเสธความเป็นรัฐ-ชาติของรัฐไทย ( nation- state ) อันเป็นการไม่ยอมรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ซึ่งเป็นการกระทำที่มีเจตนาที่จะให้มีผลเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง อันเป็นการกระทำที่เข้าข่ายของการเป็นกบฏและเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นอาชญากรรม ( Criminal Syndicalism ) ด้วยเช่นกัน

       

       การที่คณะรัฐมนตรีรักษาการได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้าย แรงและตั้งศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศรส. และนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ดูแลการเลือกตั้งได้ทั่วราชอาณาจักรนั้น จึงเป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีรักษาการได้ใช้ทรัพยากร หรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดๆซึ่งมีผลต่อการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการกระทำการอันขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 181 (4) อันเป็นการกระทำผิดเงื่อนไขของกฎหมายรัฐธรรมนูญในขณะที่ทำหน้าที่คณะ รัฐมนตรีรักษาการ ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดอาญาในทางการเมือง

       

        การกระทำอันเป็นอาชญากรรมหรือกระทำความผิดอาญาในทางการเมือง ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามที่ได้รับเลือกตั้งมา และการกระทำดังกล่าวขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนที่ได้เลือกตั้งมา ขัดต่อทฤษฎีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

       

       ข้อ 2. การที่ผู้ปกครองหรือรัฐบาลกระทำการอันเป็นอาชญากรรม หรือการกระทำความผิดอาญาในทางการเมือง จึงก่อให้เกิดอำนาจหน้าที่และสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายในทางการเมืองของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย ( Legitimate political authority ) ที่จะชุมนุมต่อต้าน คัดค้าน และเรียกอำนาจการปกครองหรืออำนาจอธิปไตยของประชาชนกลับคืนจากผู้ปกครอง รวมถึงการมีสิทธิและหน้าที่ที่จะกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาในทางการเมือง ( Right to rule ) ขึ้นได้ อำนาจหน้าที่และสิทธิดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่และสิทธิโดยพฤตินัยของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย ( de facto authoritus ) ตามทฤษฎีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

       

        เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 63 และ 69 ได้บัญญัติรับรองอำนาจหน้าที่และสิทธิของประชาชน ให้มีเสรีภาพในการชุมนุมต่อต้านโดยสันติวิธี โดยสงบและปราศจากอาวุธในการกระทำใดๆของรัฐบาล หรือผู้ปกครองอันเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดย วิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว และรัฐธรรมนูญได้บัญญัติถึงสิทธิในการกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาในทางการเมืองไว้ในบริบทแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 โดยได้มีพระบรมราชโองการประกาศเป็นบริบทไว้ว่า “ให้ ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็น รูปธรรม การกำหนดกลไกสถาบันทางการเมืองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารให้มี ดุลยภาพและประสิทธิภาพตามวิถีการปกครองแบบรัฐสภา รวมทั้งให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระอื่นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริต เที่ยงธรรม ” นั้น

       

       ดังนั้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63 , 69 และตามบริบทแห่งรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น อำนาจหน้าที่และสิทธิในการต่อต้าน คัดค้าน เรียกอำนาจอธิปไตยของประชาชนคืนจากผู้ปกครองหรือรัฐบาล และอำนาจหน้าที่และสิทธิในการกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาในทางการเมืองของ ประชาชน จึงเป็นอำนาจหน้าที่และสิทธิโดยนิตินัย ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ( de jure authoritus )

       

       เมื่อผู้ปกครองหรือรัฐบาลกระทำความผิดอาญาในทางการเมือง ประชาชนจึงมีอำนาจหน้าที่และสิทธิทั้งโดยพฤตินัย ( de facto authoritus ) และนิตินัย ( de jure authoritus ) ที่จะให้รัฐบาลพ้นจากอำนาจการปกครองได้ รวมทั้งมีสิทธิและหน้าที่ที่จะกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาในทางการเมืองหรือที่ เรียกว่าการปฏิรูปการเมืองได้ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ( Democratic theories ) และตามรัฐธรรมนูญ

       

       การกระทำความผิดอาญาในทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งเป็นต้นเหตุให้มีการชุมนุมคัดค้านและเรียกอำนาจการปกครองคืนจากรัฐบาล เมื่อรัฐบาลประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกตั้งใหม่ อำนาจอธิปไตยจึงคืนกลับมาเป็นของประชาชนโดยการยุบสภา ประชาชนจึงมีอำนาจหน้าที่ทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยที่จะไม่ให้รัฐบาลมีอำนาจ หน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้ตามรัฐธรรมนูญ และมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาทางการเมือง ( right to rule ) เพื่อให้การปกครองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารมีดุลยภาพและประสิทธิภาพ ในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามวิถีการปกครองแบบรัฐสภาได้

       

       รวมทั้งมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะกำหนดหลักเกณฑ์และกติกา ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นองค์กรอิสระให้ปฏิบัติหน้าที่ได้โดย สุจริตเที่ยงธรรมได้ โดยอำนาจหน้าที่สิทธิและความรับผิดชอบของประชาชนดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ สิทธิและความรับผิดชอบที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงพระราชทานให้แก่ประชาชนและข้า ราชการ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ ประชาธิปไตย ข้าราชการและประชาชนจึงมีอำนาจอธิปไตยที่จะกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาในทางการ เมืองได้ตามหลักทฤษฎี Divine Right of King Theories and Democratic Theories

       

       ข้อ 3. การใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรีในขณะเป็นรัฐบาลและในขณะเป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการ ได้มีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นความผิดอาญาในทางการเมือง เมื่อผู้ปกครองซึ่งกระทำความผิดอาญาในทางการเมืองได้เข้ามาดำเนินการเลือก ตั้ง โดยมีอำนาจในการดำเนินการและจัดการเลือกตั้งร่วมกับประธานกรรมการการเลือก ตั้ง ตามพระราชกฤษฎีการยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 มาตรา 5 เมื่อเข้ามาดำเนินการเลือกตั้งก็ทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 181 (4) โดยให้ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยดำเนินการเลือกตั้ง ซึ่งก็เป็นการกระทำความผิดอาญาในทางการเมืองซ้ำอีก เมื่อการเลือกตั้งอยู่ในอำนาจดำเนินการโดยผู้กระทำความผิดอาญาในทางการเมือง นั้น การเลือกตั้งจึงไม่มีผลเป็นการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีทางอาญาว่า “ การกระทำผิดอาญาทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นจากนั้นไม่มีผล ” [ Crimen omnia ex se nata vitiat ( ละติน ) หรือ Crime vitiates everything which springs from it ]

       

       และการที่ผู้ปกครอง หรือรัฐบาลได้กระทำผิดอาญาทางการเมือง จึงเป็นเรื่องผู้ที่มีอำนาจรัฐไม่อยู่ภายใต้กฎหมาย ทำตัวเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมาย จึงเป็นกรณีที่มีนัยสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรอย่างยิ่ง เพราะรัฐบาลที่ไม่อยู่ใต้กฎหมายทำตัวอยู่เหนือกฎหมายแต่เป็นผู้ใช้บังคับกฎหมายได้นั้น จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักรโดยตรง ซึ่งเป็นไปตามสุภาษิตกฎหมายว่า “ ไม่มีความมั่นคงในราชอาณาจักรใดยิ่งไปกว่าการที่ทุกคนอยู่ใต้กฎหมาย ” [ Nihil tam proprium est imperii quam legibus vivere (ละติน ) หรือ Nothing is so proper for the empire than to live according to the law ]

       

        การเลือกตั้งที่มีขึ้นหรือจะมีขึ้นระหว่างการบริหารราชการแผ่นดินของคณะ รัฐมนตรีรักษาการ ซึ่งได้กระทำความผิดอาญาในทางการเมืองทั้งก่อนการยุบสภาและภายหลังการยุบสภา นั้น จึงไม่อาจเกิดผลเป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยได้เลย แต่จะเป็นการเลือกตั้งที่เป็นภยันตรายอย่างมหันต์ต่อความมั่นคงแห่งราช อาณาจักร ตามหลักทฤษฎีอาญาและสุภาษิตกฎหมายดังกล่าว

       

       ข้อ 4. เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะ จึงมีผลในทางรัฐธรรมนูญต่อการอยู่ในตำแหน่งของ “ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่ง ” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 181 ซึ่งไม่อาจอยู่ในตำแหน่งได้อีกต่อไป เพราะไม่มีคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ามารับหน้าที่แทนได้อีกแล้ว เงื่อนไขและเงื่อนเวลาของการอยู่ในตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี รักษาการตามอำนาจหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 181 จึงสิ้นสุดลงเพราะการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ทั้งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่อาจเป็นนายกรัฐมนตรีได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 171 วรรคสองและไม่ได้อยู่ในตำแหน่งโดยอาศัยอำนาจอธิปไตยของประชาชนในฐานะเป็นผู้ แทนประชาชนแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงไม่อาจอยู่รักษาการนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีรักษาการจึงไม่มีฐานแห่งอำนาจหน้าที่ทั้งทาง กฎหมายและในทางการเมืองที่จะอยู่ในตำแหน่งได้ ( Illegitimate political authority ) ไม่มีคุณสมบัติในทางการเมืองที่จะอยู่รักษาการได้อีกต่อไป ( Political disability ) การอยู่ในตำแหน่งต่อไปย่อมเป็นการกระทำที่เข้าข่ายของการก่ออาชญากรรมหรือ กระทำความผิดอาญาในทางการเมืองได้ เพราะเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอำนาจหน้าที่เป็นประการแรก แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในทำนองแนะนำให้คณะกรรมการการเลือกตั้งและ รัฐบาลไปหาแนวทางการเลือกตั้งกันนั้น ข้อแนะนำของศาลรัฐธรรมนูญหรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่อาจ ล้มล้างอำนาจหน้าที่สิทธิและความรับผิดชอบของประชาชนและข้าราชการที่จะกำหนด หลักเกณฑ์และกติกาในทางการเมืองหรือการปฏิรูปการเมือง อันเป็นอำนาจอธิปไตยที่ได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์นั้นได้เลย

       

       การกระทำใดๆของคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายกรัฐมนตรีกับคณะรัฐมนตรี รักษาการ เพื่อจะให้มีการเลือกตั้งและได้ผลของการเลือกตั้งที่จะมาเป็นผู้ปกครอง โดยไม่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพและอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของประชาชนผู้ใช้สิทธิ เลือกตั้งเพราะต้องการจะเป็นผู้ปกครองให้ได้แต่ฝ่ายเดียวนั้น ก็จะกลายเป็นการเลือกตั้งที่ละเมิดต่อสิทธิขั้นพื้นฐานและอำนาจอธิปไตยซึ่ง เป็นของประชาชน อันเป็นการกระทำที่นอกจากจะผิดกฎหมายแล้วยังเป็นการกระทำที่ไม่ใช่เป็นการ เลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย

       

       การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยนั้น จะต้องใช้การเลือกตั้งเป็นวัตถุประสงค์และเครื่องมือของประชาชนผู้มีสิทธิ เลือกตั้งซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ไม่ใช่ใช้ประชาชนเป็นเพียงวัตถุของการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ การเลือกตั้งที่ใช้ประชาชนเป็นเพียงวัตถุของการเลือกตั้งนั้นเป็นการเลือก ตั้งในระบอบทรชนาธิปไตย ( Kakistocracy ) คณาธิปไตย( Oligarchy ) หรือ ธนาธิปไตย ( Plulocracy ) ซึ่งก็คือ ใช้การเลือกตั้งเพื่อปล้นอำนาจอธิปไตยของประชาชนไปนั่นเอง

       

       ข้อ 5. ทฤษฎีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและทฤษฎีอำนาจที่ได้รับพระราชทานจากพระมหา กษัตริย์ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ใช้กันในสากลนั้น แม้ประชาชนมีอำนาจหน้าที่และสิทธิทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยในการมีส่วนร่วม ในการปกครอง ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ มีสิทธิและหน้าที่ที่จะกำหนดกลไกสถาบันทางการเมืองทั้งทางฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ตลอดจนฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระได้ตามที่บัญญัติไว้ตามบริบทของรัฐธรรมนูญ ได้ก็ตาม แต่ก็มีข้อขัดข้องทั้งในทางรัฐธรรมนูญและทางกฎหมายที่ประชาชนไม่สามารถใช้ อำนาจหน้าที่และสิทธิให้มีผลในทางปฏิบัติได้ เพราะเป็นกรณีที่ต้องดำเนินการโดยต้องใช้อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติที่ จะดำเนินการได้ ปวงประชาชนชาวไทยจะต้องถวายคืนอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยแด่พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นประมุข เพื่อให้เกิดอำนาจรัฐสูงสุด เมื่อประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและประเทศขาดรัฐสภา คณะรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์ไม่อาจใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยทางรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ได้ จึงเป็นพระราชอำนาจโดยอำนาจอธิปไตยที่ประชาชนถวายคืนตามช่องทางของอำนาจ อธิปไตยของประชาชนที่ยังคงมีเหลืออยู่ เพื่อดำเนินการตามวิถีทางปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย อันจะยังไว้ซึ่งความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรไทยที่มีการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ ทั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2 มาตรา 3 มาตรา 7 และตามหลักทฤษฎีสากลคือ Divine Right of King Theories and Democratic Theories

           

            การต่อสู้ครั้งนี้ ประชาชนออกมาเป็นจำนวนมาก ทำอย่างถูกต้องตามรธน.ด้วย เหมาะสมถูกต้องดีงาม เป็นการต่อสู้ตามม.63 และ69

            รัฐบาลนั้นอาตมาถือว่า วินาศ หรือวิบัติแล้ว และประชาชนออกมาได้อย่างวิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ชนิดที่ไม่เคยเกิดได้เลยในโลก คงไม่เคยมีมาเลย

            คำว่าอำนาจนี่รวมความเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณ เอาไว้อย่างมหาศาล สมบูรณ์เลย หรือเป็นแรงกำลัง ฤทธิ์แรงพลังงานทางจิต

            รัฐ คือการบอกขอบเขตพื้นที่ที่คนเหล่านั้นเป็นเจ้าของ รัฐคือรูป ประชาชน คือนาม

            อำนาจประชาธิปไตย​ที่เป็นรัฐาธิปัตย์

            อำนาจของทักษิณ 1 เสียง สมาชิกพรรคเพื่อไทยมีใครกล้าค้านไหม? นี่คืออำนาจเผด็จการ แล้วก็หาว่าอย่างนี้คือประชาธิปไตย ซึ่งเขาก็หลอกคนที่ไม่เข้าใจเอาไว้เป็นพวก แล้วใช้มวลหมู่ เหมือนกับที่เขาซื้อสส.ไว้ในพรรคของเขา เป็นมวลหมู่ แล้วใช้มวลหมู่เป็นเผด็จการรัฐสภา เขาทำสำเร็จด้วย จึงท้าทาย เขามีอำนาจ กดขี่ Force บังคับ แม้ข้าราชการประจำ ก็ถูกอำนาจนี้กดขี่ เหนือ จนสั่งการได้ จะแต่่งตั้งใครก็ได้ ให้อาชญากรหนีคุกเป็นคนสั่งการ เขาไม่เคารพไม่รับอำนาจศาล

            ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่เสื่อมโทรมขายหน้าประเทศ แม้ในยุคที่เพ่ิงผ่านมาสองปีกว่านี่ เป็นคณะรัฐบาลไทยที่ขายหน้ามานานแล้ว

            ที่อาตมาใช้นี้เป็นของเก่า ภูมิรู้เก่าที่ดึงมาใช้ได้ อาตมาก็มาเรียนรู้ของคนอื่นว่าเขาทำได้อย่างไร? เช่น อย่างคุณทักษิณนี่ เขาทำได้อย่าง ขนาดนี้ เลวชั่วขนาดนี้ อาตมาคิดไม่ออกจริงๆ นึกไม่ถึง

            คนที่ดีมากที่สุดคือพระพุทธเจ้า คนที่ดีรองมาคือ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าเป็นต้น ก็เคยพบมา คนชั่วก็เคยพบมาไม่น้อย แต่ละชาติๆ บางอย่างเราเคยเป็น บางอย่างเราไม่เคยเป็นแต่เคยเห็นมา

            แต่อาตมาว่าอย่างคุณทักษิณนี่ คนเป็นไปได้อย่างนี้เชียวหรือ หลอกคนได้ซับซ้อนได้ขนาดนี้ ไม่ใช่ชั่วหยาบๆที่คนรู้ทันได้ง่าย คนทำการณ์ไม่ได้ใหญ่ในคนทำหยาบ แต่คนที่หลอกได้ลึกซึ้งซับซ้อนนี่ทำการณ์ใหญ่ได้ อันนี้สิเลวสุดๆๆๆ อาตมาว่าอาตมาเลวไม่ได้เท่าคุณทักษิณได้แน่ พูดตามสัจธรรมนะ อ้างอิงในพฤติกรรมปรากฎ

            เป็นปรากฏการณ์วิทยา Phenomenology ก็ยืนยันตามประสาอาตมา แล้วจะมีคนมาช่วยเรียบเรียงให้อาตมาเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป อาตมาก็ทำแบบลูกทุ่ง

           

            อำนาจที่เรียกว่า อธิปไตย เป็นอำนาจเต็มสิทธิ์ของผู้ที่ใช้อำนาจที่ชอบธรรมเท่านั้น ถ้าเป็นสิทธิของเจ้าของคนทุกคนมีของตน หลายคนมีสิทธิ์แต่ใช้ไม่ได้ สังคมมีสิ่งเหล่านั้นอยู่ ในทางวัฒนธรรม มารยาท กฎหมาย หรือแม้แต่คุณธรรม ก็ใช้ไม่ได้บางกรณี อย่างคนมีคุณธรรมมีสิทธิตำหนิพ่อแม่ แต่ด้วยมารยาทวัฒนธรรม คนมีคุณธรรมก็ไม่กล้าใช้สิทธิตำหนิพ่อแม่เป็นต้น แต่ก็มีสิทธิเต็มแต่ใช้ไม่ได้

            สังคมจึงมีขั้นตอนมีกรอบต่างๆ ถ้าอำนาจที่ไม่ชอบธรรม ไม่เป็นสิทธิหรือไม่ใช่สิทธิที่คนในระบอบประชาธิปไตยจะสามารถใช้หรือใช้ได้ในสังคมประชาธิปไตย ใครใช้เมื่อใดก็ไม่ใช่อธิปไตยเมื่อนั้น เป็นอธิปไตยเก๊ เบ่งทุกวัน เขาว่าเขามีสิทธิพูดด่าว่าเขา ไปทำร้ายเขาเป็นต้น

            คำว่า Right หรือสิทธิของประชาชนต้องถูกต้องชอบธรรมเท่านั้นจึงมีสิทธิ์ตามประชาธิปไตย หากแสดงออกแรงไม่ดีก็ไม่เป็นอำนาจตามประชาธิปไตย

            ทุกวันนี้เมื่อทำอะไรไม่ถูกต้องดีงามก็เลยเดือดร้อนสังคมไปหมด ทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคม ก็อยู่ไม่เย็น อยู่ไม่สุขกัน

            อาตมาไปอ่านเจอ ของท่านขุนน้อย ในไทยโพสต์ลงท้ายข้อเขียนว่า ยินดีในชัยชนะก็คือยินดีในการฆาตกรรม

            อาตมาว่าเขาพูดถูกส่วนหนึ่ง ไม่ถูกทั้งหมด คือ ถ้ายินดีในชัยชนะทางโลกีย์ ก็ใช่คุณกำลังทำฆาตกรรม เพราะคุณใช้อำนาจ Force ให้คนจำนนด้วยแรงกดข่ม แม้คุณชนะเขาจะเบาหรือแรงก็ทำร้ายคนอื่นด้วยForce ไม่ใช่อำนาจอธิปไตย

            แต่ถ้าชัยชนะโดยโลกุตระไม่ได้เบียดเบียนผู้แพ้เลย ไม่ใช้Force แต่ใช้ Authority เป็นการยืนยันความถูกต้องดีงาม ว่าผู้ถูกควรชนะ ผู้ผิดควรแพ้ ยืนยันเหตุผลว่าอะไรถูกหรือผิด อะไรดีอะไรไม่ดี

            แล้วลักษณะของสัจธรรม ความจริงๆๆ มันควรยกหรือควรข่มกันแน่ กับความถูก...ก็ต้องยกความถูก มันเป็นความจริงต้องยก สำหรับผู้รู้ความจริง ส่วนความผิดชั่วต้องถูกข่ม จะให้แสดงออกกลับกันก็ไม่ถูกสิ

            อย่างผู้พิพากษาก็ต้องยกคนถูก ข่มคนผิด คนเป็นกลางต้องแสดงอย่างนั้น ผู้พิพากษาตัดสินเมื่อใด ที่เป็นผู้ที่ไม่อคติ ก็ต้องเข้าข้างคนดี หรือตัดสินให้คนดีถูก ให้คนถูกถูก ให้คนผิดคนชั่วผิด ก็ต้องแสดงออกเช่นนั้น ก็เป็นการแสดงเข้าข้างฝ่ายถูก ส่วนฝ่ายที่เขาถูกตัดสินว่าผิด ก็ต้องไม่ยอม เพราะเขาเห็นว่าเขาถูก ออกมาเป็นว่า ตัดสินให้คนอื่นถูกได้อย่างไร แล้วไม่ยอมรับ ตุลาการหรือผู้พิพากษาของประเทศ หากไม่ยอมรับก็อยู่ในประเทศนี้ไม่ได้แล้ว เพราะใหญ่กว่าประเทศนี้แล้วไม่ว่าจะประเทศไหนก็ต้องยอมรับอำนาจศาล หากไม่ยอมรับก็ต้องออกนอกประเทศนั้น

            แม้อาจมีผู้พิพากษาเอียงเข้าข้างคนผิดหรือบกพร่องความรู้ตัดสินผิดก็อาจมี แต่ท่านต้องพยายามไม่อคติ ทำให้ถูกตรงที่สุด นี่คือกิจของคนเป็นกลาง ที่จะต้องเข้าข้างคนดี ยกคนดีคนถูก ถ้าไม่เข้าใจความจริงอันนี้ ก็จะบอกว่าคนเป็นกลางต้องไม่เข้าข้าง ก็อาจมีบางกรณีที่ท่านจะต้องแสดงกลางๆว่า ไม่เข้าข้างใคร เดี๋ยวคนไม่เชื่อใจ แต่คุณห้ามคนที่จะมาพิพากษาที่ท่านจะมีผู้สนิท มีมิตรสหาย มันห้ามได้ที่ไหน หรือจะให้เป็นผู้พิพากษาแล้วไม่ต้องรู้จักใครแม้ญาติตนเองก็ไม่ต้องรู้จัก เป็นไปได้อย่างไร

            มันอยู่ที่ตัวท่านเองว่าจิตท่านจะแข็ง จะทนขนาดไหน ผู้ใดกิเลสเห็นแก่ตัวแก่พวกน้อย ก็ทำได้ดีหรือไม่มีกิเลสเลยก็ยิ่งดีที่สุด แม้มีกิเลสแต่ต้องไปเป็นผู้พิพากษา ก็ต้องพยายามไม่อคติ ก็ทำได้ตามบารมี ภูมิธรรม ก็ใช้กันมาในสังคม แต่ถ้าเราได้อรหันต์มาเป็นผู้พิพากษา หรืออนาคามีได้ก็แจ๋วเลย ท่านจะไม่เห็นแก่แม้ญาติ สหาย ถึงเวลาตัดสินก็ต้องทำเช่่นนั้น แต่ในพฤติกรรมสังคมไปห้ามท่านไม่ได้หรอก จะเป็นการตัดสิทธิมนุษยชน

            สำหรับโลกีย์ แล้วผู้ที่จะเอาชนะคะคานคนอื่นก็ต้องใช้Forceทั้งนั้น มีเชิงอำนาจบาตรใหญ่ ก็เป็นโลกีย์ จะด้วยลีลา สามารถ โลกธรรม กามอย่างไรก็ต้องใช้อย่างนี้ ในประวัติศาสตร์จีนก็มี ผู้หญิงที่ใช้อำนาจ ทำให้ฮ่องเต้ หลงหรืออยู่ใต้อำนาจแล้วตนเป็นคนบงการ

            หรืออำนาจในทางอรูปอัตตา เป็นความซับซ้อน เหมือนไม่ได้ใช้อำนาจเลย แต่คนอื่นทำแทน เป็นอำนาจ Force  และยังมีอำนาจที่ใช้แบบชอบธรรมก็มี

            คนที่สามารถใช้ได้อย่างเจ้านายตัวใหญ่ไม่ได้สั่งฆ่าคนนี้หรอก แต่ลูกน้องทำให้ ไม่ได้รู้จักเลย ไม่รู้กี่ทอดที่สั่งการ แต่เจ้านายใหญ่ไม่รู้เลยก็มี เพราะบริวารเหล่านี้หลงก็มี ได้เศษเนื้อข้างเขียงก็มี ได้ดีเพราะพี่ให้ก็มี ได้รับโลกธรรมก็มี สรุปแล้วอำนาจที่ชนะทางโลกีย์ ใครไปยินดี คุณคือฆาตกร 

            แม้แต่ราชการหน้าที่ที่คุณทำ ก็มาทำเบ่งอำนาจ จนเป็นฆาตกรจริงๆก็มี คนไม่เข้าใจไม่รู้รายละเอียดจึงเป็นฆาตกรอยู่เยอะเลย แม้ที่นั่งๆอยู่นี่ก็อยู่ในข่ายฆาตกรก็เยอะเลย แต่ถ้าเป็นอำนาจเกื้อกูลใจดีปรารถนาดีต่อคนอื่นจริงๆเลยก็ดี อาตมาก็ปรารถนาดีต่อคนที่กำลังบรรยายถึงนะ อาจดูว่าพูดเท่พูดเอาโก้ แต่พูดจริง ขณะที่พูดออกไปนี่ ถ้าไม่จริงก็ปาราชิก หากจิตอาตมาไม่มีเมตตาจริง ด่าไปเพราะต้องการทำร้ายอาตมาก็ปาราชิก เพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน 

            คุณยินดีทีคุณได้หลอกคน คุณดราม่า ว่าเศร้า แท้จริงคุณไม่เศร้าจริงหรอก คุณยินดีว่าคุณทำสำเร็จ นี่คือคุณทำฆาตกรรม เป็นเรื่องลึกซึ้งต้องศึกษากันให้รู้จริง

            สรุปที่ว่า อำนาจ คือแรงพลังของมนุษย์ ซึ่งเป็นอำนาจทางใจนี่น่ากลัว แสดงออกมาเป็นกาย กับวาจา เป็นผลกระทบ แม้ไม่ออกมาข้างนอก เกิดภายในก็ซวยตัวเอง สรุปว่า...

อำนาจ ของ ลาภ หรือข้าวของเงินทองในโลก

อำนาจ ของ ยศ หรืออำนาจ ของตำแหน่งหน้าที่ในสังคม

อำนาจ ของสรรเสริญ หรือ เด่น โด่ง ดัง

อำนาจ ของกามคุณ 5 หรือ รูป  กลิ่น เสียง รส สัมผัส

 

            นั้น คืออำนาจ ที่ คนฉลาด ใช้เป็น โลกาธิปไตย ผู้ที่ยังหลงใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ กาม เป็น "อำนาจ" หรือให้มี "อำนาจ" กับผู้อื่น และกับตนอยู่ นั่นแหละคือ อำนาจที่คน "ผู้ไม่รู้" (ผู้อวิชชา) ใช้เป็นอัตตาธิปไตย

 

            ผู้ไม่ใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็น "อำนาจ" และไม่หลงให้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพราะหลงกาม ลำบากเพราะหลงอัตตา มามีฤทธิ์เป็น "อำนาจ" ทำให้ใจตนต้องหวั่นไหว เป็น "อารมณ์ ชอบ _อารมณ์ ชัง" ได้

 

            แต่อยู่กับ ลาภ_ยศ_สรรเสริญ_สุข โดยไม่เป็นทาส ตกอยู่ใน "อำนาจโลก" (โลกาธิปไตย) และไม่เป็นทาส ตกอยู่ใน "อำนาจอุปาทาน" (อัตตาธิปไตย) เพราะยังหลงยึดว่ามี "อำนาจ" จริง

 

            ผู้ไม่ใช้ "โลก" ไม่ใช้ "อัตตา" และ

            ไม่ให้ "โลก" ไม่ให้ "อัตตา" เป็น "อำนาจ" แก่ "ตน" แก่ "สัตว์อื่นคนอื่นในโลก"

            ผู้นี้แหละ คือ ผู้มี "ธรรมาธิปไตย" หรือผู้ชอบธรรมแล้ว ใช้ "ธรรม" และให้ "ธรรม" เป็น "อำนาจ"

 

            อนาคามีนั้นท่านอาจมีเศษอัตตาบ้าง เช่นยึดดี เป็นความลำบากที่เหลือของอนาคามี พระพุทธเจ้าสอนในธัมมจักกัปปวัตนสูตร ท่านสอนเรื่องอัตตาและกาม เบื้องต้นต้องล้างกามก่อน ตั้งแต่กามหยาบคืออบาย จนหมดกามทางภายนอก หมดกามคุณ 5 แล้วก็มาล้างอัตตาต่อ ผู้หมดกามหมดอัตตาก็คือผู้มีมัชฌิมา

            มัชฌิมาปฏิปทา ถ้าแปลว่าทางสายกลาง ไม่ได้หมายถึงพิณสามสาย แค่นั้น แต่เป็นเพียงการประมาณให้เหมาะกับการปฏิบัติตน แต่มัชฌิมาปฏิปทาไม่ได้หมายถึงแบบพิณสามสาย ไม่ใช่

            มัชฌิมา คือผู้ไม่มีเศษส่วนของกามและอัตตาเหลือ คือปฏิบัติจนเกิดผลมัชฌิมา

            ต้องล้างตั้งแต่กามระดับอบาย ก่อน แล้วมาล้างกามระดับกามคุณ แล้วมาล้างกามโลกธรรม เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ  จนเป็นอนาคามีก็หมดสังโยชน์เบื้องต่ำ เหลือแต่สังโยชน์เบื้องสูง

6.         รูปราคะ (ความติดใจอยู่ในรูปภพ -ในอุปาทายรูป)

7.        อรูปราคะ  (ความติดใจอยู่ในอรูปภพ)

8.        มานะ  (ความถือตัวถือตนในความดีของตน)

9.        อุทธัจจะ  (ความฟุ้งซ่าน กระจัดกระจาย  รู้ยาก) 

10.อวิชชา  (ความหลง-ไม่รู้ อันเป็นเหตุไม่รู้จริง) .  .

(พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 285) . 

            ต้องทำเหมือนในโสดาบันไป คือทำ

ข.) ส่วนที่เกิดทางจิต (โอปปาติกโยนิ)

5. โสตาปันนะ (เข้าสู่กระแสโลกใหม่คือโลกุตระ) ทำได้ 25%

6. อวินิปาตธัมโม (ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา) 50 %

7. นิยตะ (เที่ยงแท้แน่นอนสู่มรรคผลที่สูงขึ้น) 75%

8. สัมโพธิปรายนะ (มุ่งตรัสรู้ในภายหน้า) 100 %

(พตปฎ. เล่ม 19  ข้อ 1475)

            แม้เป็นสกิทาคามี หรืออนาคามีก็ต้องทำตาม 4 ประการนี้ แต่กิเลสต่างกันละเอียดต่างกันไป ผู้ไม่ชัดเจนก็ประมาท ขอเตือนชาวอโศก ที่มีโสดาบันเยอะ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนช่วยรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน  ...แต่ว่าบุญไม่ค่อยจะสั่งสมกันเลย ก็เลยจมอยู่เช่นนั้น นานเท่านาน มีเยอะโสดาบันนาน ได้คุณธรรม แล้วตกจากหมู่ออกไปมีผัวเมีย มีลาภยศ ตามประสา แต่มีภูมิอยู่บ้างวนเวียนหลายชาติ ตกไปเป็นวิบากอีก แล้วก็ต้องเสริมรสในโลกธรรม กามอัตตาอีก ต้องตั้งตนบนความลำบาก กุศลธรรมเจริญย่ิง อย่าให้ตกจากหมู่....           


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:24:36 )

570327

รายละเอียด

570327_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง ทางออกประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญ ตอน 2

       อาตมาว่าเรายิ่งได้ฟังข้อมูล แง่มุมต่างๆก็ยิ่งเห็นชัดในความผิดความถูก ได้สดับตรับฟังเรื่องราวต่างๆในสังคม ก็จะรู้ว่าอะไรคืออะไร มีเรื่องซับซ้อน เรื่องที่เราทำนี้เป็นเรื่องยาก ใหม่มาก ที่สำคัญคือ เป็นเรื่องที่คนติดไม่ออก ว่าความสงบ ความไม่มีอะไรแรงไปรุน คือไม่รุนแรง เขามาแรง แต่เราไม่เอาแรงไปรุนเขาเลย แล้วไปชนะคนที่รุนแรงได้อย่างไร คนก็งง หัวแตก จะเป็นไปได้อย่างไร คนที่ไม่มีความรุนแรงไปโต้ตอบเลย เป็นความนิ่งสงบ ใช้แต่ความดีงามถูกต้อง เป็นธรรมาวุธต่อสู้

       คนที่เป็นอาริยะ จะรู้ความดี ชอบ ถูก ผิด แล้วยอมรับความดีเป็นผู้นำ เป็นผู้ชนะ ถ้าสังคมเป็นเช่นนั้นก็จบ สังคมก็พอรู้ว่าความดีควรชนะ โดยสามัญสำนึกก็รู้ แต่ทำไม ถึงไม่ยอมให้ส่ิงนั้นชนะ โลกยังไม่เคยมี ยังไม่เชื่อว่า ความสงบดีงามจะชนะปืนชนะความชั่ว คนที่ฟังอาตมาพูดก็คงเห็นว่าจริงๆนะ โลกยังไม่เคยมี ไม่เคยเห็นเกิดได้ โดยเฉพาะการเปลี่ยนอำนาจบริหารปกครองประเทศ ให้มาสู่คนไม่รุนแรงสุภาพ ชี้ถูก ซึ่งคนไม่ดีพอก็ไม่ยอมปล่อย

       ถ้าดีซักพอประมาณก็ปล่อยแล้ว แต่นี่ไม่ดีแถมชั่วมาก ก็เลยไม่น่าเชื่อว่าจะชนะได้  ก็เลยต้องใช้อุตสาหะวิริยะพากเพียร จนกระทั่งมันจะมีพลังงานทุกอย่าง เป็นพลังงานนามธรรม มองไม่เห็น จึงเข้าใจยาก ไม่เห็นรูปร่างตัวตน ไม่มีน้ำหนัก มองไม่เห็น ย่ิงอำนาจ Authority มิใช่ force เป็นอำนาจไม่กดข่ม เป็นปัญญา คุณธรรม เป็นตัวยืนยันว่าอันนี้ควร ไม่ควร ก็เลยยากมหายาก ก็ทำให้คนเห็นไม่ได้ด้วย ยังไม่เคยมีเป็นตัวอย่างด้วย เป็นกรณีใหม่เอี่ยม

       แต่คนไทยทำได้อย่างวิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ตุลาการก็ให้การรับรอง คุ้มครอง ใครจะมาทำอะไรไม่ได้

       อาตมาได้อ่านหนังสือของคุณณรงค์ โชควัฒนา ว่าการเมืองทุกวันนี้เป็นเผด็จการอำพราง โดยใช้การเลือกตั้งเป็นกระทำ

       ทุกคนที่มีความปรารถนาดีต่อชาติ ไม่ตกในข่ายของผู้มีอำนาจที่อาศัยปชช.ทำมาหากิน เป็นคนไม่หวังดีต่อประเทศชาติ ทำให้ประชาชนเดือดร้อนวุ่นวาย ...มีประเด็นว่า ปชต. คือประชาชนปกครองตนเอง การเมืองที่มีผู้อื่นมาปกครองนั้นไม่ใช่ปชต. คนที่เราเลือกไปนี้เป็นผู้แทน ดูใหญ่ แต่ที่จริงไปรับใช้ปชช. ทำนอกหน้าที่ไม่ได้ ไม่ใช่เจ้าของอำนาจ ไม่ใช่รัฐาธิปัตย์ ไม่ใช่นะ แม้เลือกตั้งแล้วอำนาจอธิปไตยก็เป็นของปชช.อยู่นั่นเอง

       ถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของคนๆเดียวเรียกอัตตาธิปไตย หากอำนาจเป็นของคนกลุ่มเดียว เรียกคณาธิปไตย ถ้าอำนาจเป็นของข้าราชการ ขุนนาง เรียกว่า อำมาตยาธิปไตย แต่ถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของปชช.เรียก ปชต.​

       ปชต.เป็นการเมืองการปกครองหนึ่งเดียวที่รบ.เป็นลูกจ้าง และปชช.เป็นนายจ้าง ปปช.ไม่ได้มอบอำนาจอธิปไตยให้รบ หรือสส.ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เลือกให้ไปทำงานแทน เหมือนจ้างคนมาทำสวนทำครัว ทำงานในบ้านไม่ใช่ เลือกคนมาเป็นนายบ้าน เราก็ยังเป็นนายบ้านอยู่ คนสวนก็ทำสวน คนล้างส้วมก็ทำงานล้างส้วม

       อำนาจนอธิปไตยเป็นของปชช.ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง คนไม่เข้าใจก็ตีกิน ให้มีการหลอกว่า เลือกตั้งเป็นสุดยอดของปชต. ทุกสิ่งทุกอย่าง ปชช.ต้องบูชาเลือกตั้งหากไม่มีเลือกตั้งไม่ใช่ปชต. ก็ประเทศไทยนี่มีปชต.มา 80 กว่าปี ก็ใช้วิธีที่ไม่ใช่เลือกตั้ง มีนายกฯ ตามวิธีการที่เคยทำมาคือได้ผู้แทนแล้วก็ไปสรรหานายกฯมาบริหาร แต่ถึงกระนั้นเมืองไทยก็มีนายกฯที่ไม่ใช่ระบบเลือกตั้ง ก็มี คุณณรงค์ ว่ามีถึง 3 คนแล้ว

       คนแรกก็คือ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นศ.ปตว. แล้วก็มีนายกฯพระราชทาน ที่จริงก็ไม่ได้เลือกจากผู้แทน

       คนที่สองก็คือ คุณอานันท์ ปัญญารชุน ก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

       คนที่สาม ก็คือ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ก็คณะรัฐประหารทูลเกล้าเข้าไป ก็ผ่านการใช้อำนาจแทนมาตลอดเวลา ไม่ถือว่าเป็นเผด็จการของพระเจ้าอยู่หัว แต่เป็นการชงจากราษฎรณ์ แม้จะเป็นปตว.แบบครั้งที่พล.อ.สนธิ ทำ

       ปชต.ได้ถูกเผด็จการทั้งจากการเลือกตั้งและวิธีอื่น ครอบงำ เผด็จการย่อมไม่ต้องการให้ปชช.สามัคคี กลมเกลียว หรือปชช.มีความรู้ปชต. เขาจะอำพรางว่าอำนาจ เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วอำนาจก็เป็นของนกม. แล้วเขาทำสำเร็จด้วย นักรัฐศาสตร์ก็ไม่สอนเรื่องนี้กัน ก็เลยคลุมเครือ ผู้ได้อำนาจแล้วก็ไม่สอนปชต.ที่แท้จริง

       เผด็จการย่อมต้องการให้ปชช.อ่อนแอ แตกแยก เพราะจะปกครองได้ง่าย การศึกษาของคนไทยทั้งระบบจึงไม่มีการให้ความรู้ เข้าใจที่ถูกต้องเรื่องปชต. เปรียบเทียบกับเผด็จการ

       เข้าใจผิดๆว่า นกม.ที่มาจากการเลือกตั้ง มีสิทธิ์ปกครองประเทศ ทำอะไรก็ได้ ปลดย้ายคนดี ก็ได้ และ รธน.เป็นสิ่งศักดิ์ ใครอยากได้อะไรก็นำไปบรรจุไว้ในรธน.ก็เขียนใส่ในรธน. อยากให้คนมีศีลธรรมก็ใส่ในรธน.ก็จะได้ส่ิงนั้น ที่จริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอก

       เมื่อปชต.หย่อนบัตรเลือกตั้งแล้วก็ยกอำนาจให้นกม.ที่ชนะเลือกตั้ง ผู้ได้เสียงข้างมากก็มาปกครอง ออกกม.อะไรก็ได้เขาก็ทำกัน

       แม้แต่ที่พล.อ.สนธิ ปตว. เรียกว่าปตว.ดอกไม้ ปชช.เห็นด้วยไม่มีใครมาต้าน เอาดอกไม้ไปให้ เพราะปชช.เห็นด้วย ว่าทักษิณไปได้เลย ปตว.ไปเสีย แต่เสร็จแล้วแทนที่จะเปลี่ยนผ่านได้ดีงาม ก็กลับเข้าระบอบเดิมอีก ก็เลยน่าเสียดาย เพราะไม่เข้าใจปชต.แท้จริง

       การได้นายกฯสามครั้งที่ไม่ได้มาจากเลือกตั้ง ทั้งสามครั้งมาเป็นรบ.โดยเหตุการณ์ไม่ปกติ ไม่ได้หวังมาสืบทอดอำนาจ แต่เข้ามาเพื่อเปลี่ยนผ่านอำนาจ จากคนกลุ่มน้อยไปสู่คนหมู่มากเป็นปชช. ทั้งสามรบ.ก็ไม่สามารถแก้ไขให้ปชช.ได้ปกครองตนเองเลย ทำได้แค่การเขียนรธน. ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง กลับทำให้เป็นเผด็จการซับซ้อนย่ิงขึ้น

       สร้างอำนาจจนข้าราชการประจำหงอเลย อย่างทักษิณทำนี่ หยิ่งผยองเลย ส่งเสาไฟฟ้าลงก็ได้ ส่งไม้จิ้มฟันลงสมัครก็ได้ เขาทำสำเร็จด้วยเป็นอำนาจผูกขาดที่ไม่ใช่ปชต. คนถูกหลอกก็ไปเป็นบริวาร

       ถ้าไทยจะมีบุญวาสนาเกิด รบ.เฉพาะกาลครั้งที่สี่ขึ้นมา ก็อย่าได้มุ่งแก้ไขรธน. แล้วจัดเลือกตั้งเท่านั้น เพราะไทยเรามีรธน. 18 ฉบับ เลือกตั้งมาไม่รู้กี่ครั้ง เรายึดเอาการเลือกตั้งเป็นปชต.มาช้านาแล้ว

       รบ.เฉพาะกาลควรทำภาระกิจศักดิ์สิทธิ์ คืนอำนาจให้แก่ปชช.ตามพระราชปณิธานของร.7 ได้เทอญ

       81 ปีมาแล้ว ประเพณีตามม.7 ที่เคยมีมาตามบริบทของรธน.นี้ อย่างที่ท่านยินดีใช้คำว่าบริบทของรธน.ทั้งฉบับนี้

       เรามาประท้วงนี่ยาวนาน เรียบร้อยสันติ อาตมาอยากจะทวน ข้อเขียนของท่านยินดี

 

        ทางออกของประเทศตามทฤษฎีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

      บทความทางวิชาการ  ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ
       อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา 24 มี.ค. 57
       
       ข้อ 1.ตามหลักการปกครองแล้ว ผู้ปกครองหรือรัฐบาลเป็นผู้รักษากฎหมาย มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดูแลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนและสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
       
       แต่ถ้าผู้ปกครองหรือรัฐบาลเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเสียเอง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำผิดโดยการใช้อำนาจบริหาร หรือใช้อำนาจโดยกลไกทางรัฐสภาเพื่อฉ้อฉลให้ได้มาซึ่งอำนาจที่จะใช้บังคับได้ ในเชิงกฎหมายหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในทางกฎหมายที่ไม่ชอบ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์อันไม่ชอบด้วยวิธีการทุจริตคอรัปชั่นนั้น เป็นการบิดเบือนและฉ้ออำนาจอธิปไตยของประชาชนโดยอาศัยความไว้วางใจของ ประชาชนที่ได้มอบอำนาจให้ไปใช้อำนาจในทางบริหารหรือทางรัฐสภา การ กระทำดังกล่าวเป็นอาชญากรรม( Criminal Syndicalism ) มิใช่เป็นการใช้อำนาจบริหาร หรืออำนาจนิติบัญญัติในระบอบประชาธิปไตย ( Democratic theories ) แต่เป็นลัทธิรวบอำนาจ ( Totalitarianism ) อันมีผลเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง ซึ่งเป็นอำนาจทรราชย์ (Tyrant ) นั้น เป็นการกระทำความผิดอาญาในทางการเมือง( Political offence )
       
       ในทำนองเดียวกันพรรคการเมือง ที่ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลหรือคำวินิจฉัยของศาลซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของรัฐ ในระบอบประชาธิปไตย ไม่ยอมรับอำนาจตรวจสอบขององค์กรอื่นของรัฐ เป็นการปฏิเสธการตรวจสอบและการฟ้องเจ้าหน้าที่ระดับสูงในทาง อาญา(impeachment) หรือการกระทำของพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองที่ เป็นผู้ปกครองต้องการแบ่งแยกประเทศ หรือการกระทำของพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองที่ไม่ยอมรับการกระทำของ ประชาชนที่ได้แสดงออกตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยโดยสงบปราศจากอาวุธ และประกาศจะทำการรบกับประชาชนนั้นเสียเอง โดยพรรคการเมืองซึ่งมีอำนาจปกครองนั้นได้ใช้กำลังปราบปราม และได้ร่วมกันแสดงออกซึ่งการให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ยุยงส่งเสริมทั้งในทางลับและทางแจ้งต่อสมาชิกพรรคการเมืองหรือกองกำลังของ พรรคการเมืองของตนที่จะทำการรบกับประชาชนผู้ชุมนุมผู้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ จนเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนโดยทั่วไปแล้วนั้น การกระทำดังกล่าวของพรรคการเมืองซึ่งเป็นผู้ปกครองหรือรัฐบาลนั้น เป็นการปฏิเสธความเป็นรัฐ-ชาติของรัฐไทย ( nation- state ) อันเป็นการไม่ยอมรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ซึ่งเป็นการกระทำที่มีเจตนาที่จะให้มีผลเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง อันเป็นการกระทำที่เข้าข่ายของการเป็นกบฏและเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นอาชญากรรม ( Criminal Syndicalism ) ด้วยเช่นกัน
       
       การที่คณะรัฐมนตรีรักษาการได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้าย แรงและตั้งศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศรส. และนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ดูแลการเลือกตั้งได้ทั่วราชอาณาจักรนั้น จึงเป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีรักษาการได้ใช้ทรัพยากร หรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดๆซึ่งมีผลต่อการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการกระทำการอันขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 181 (4) อันเป็นการกระทำผิดเงื่อนไขของกฎหมายรัฐธรรมนูญในขณะที่ทำหน้าที่คณะ รัฐมนตรีรักษาการ ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดอาญาในทางการเมือง
       
        การกระทำอันเป็นอาชญากรรมหรือกระทำความผิดอาญาในทางการเมือง ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามที่ได้รับเลือกตั้งมา และการกระทำดังกล่าวขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนที่ได้เลือกตั้งมา ขัดต่อทฤษฎีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
       
       ข้อ 2. การที่ผู้ปกครองหรือรัฐบาลกระทำการอันเป็นอาชญากรรม หรือการกระทำความผิดอาญาในทางการเมือง จึงก่อให้เกิดอำนาจหน้าที่และสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายในทางการเมืองของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย ( Legitimate political authority ) ที่จะชุมนุมต่อต้าน คัดค้าน และเรียกอำนาจการปกครองหรืออำนาจอธิปไตยของประชาชนกลับคืนจากผู้ปกครอง รวมถึงการมีสิทธิและหน้าที่ที่จะกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาในทางการเมือง ( Right to rule ) ขึ้นได้ อำนาจหน้าที่และสิทธิดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่และสิทธิโดยพฤตินัยของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย ( de facto authoritus ) ตามทฤษฎีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
       
        เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 63 และ 69 ได้บัญญัติรับรองอำนาจหน้าที่และสิทธิของประชาชน ให้มีเสรีภาพในการชุมนุมต่อต้านโดยสันติวิธี โดยสงบและปราศจากอาวุธในการกระทำใดๆของรัฐบาล หรือผู้ปกครองอันเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดย วิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว และรัฐธรรมนูญได้บัญญัติถึงสิทธิในการกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาในทางการเมืองไว้ในบริบทแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 โดยได้มีพระบรมราชโองการประกาศเป็นบริบทไว้ว่า “ให้ ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็น รูปธรรม การกำหนดกลไกสถาบันทางการเมืองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารให้มี ดุลยภาพและประสิทธิภาพตามวิถีการปกครองแบบรัฐสภา รวมทั้งให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระอื่นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริต เที่ยงธรรม ” นั้น
       
       ดังนั้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63 , 69 และตามบริบทแห่งรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น อำนาจหน้าที่และสิทธิในการต่อต้าน คัดค้าน เรียกอำนาจอธิปไตยของประชาชนคืนจากผู้ปกครองหรือรัฐบาล และอำนาจหน้าที่และสิทธิในการกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาในทางการเมืองของ ประชาชน จึงเป็นอำนาจหน้าที่และสิทธิโดยนิตินัย ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ( de jure authoritus )
       
       เมื่อผู้ปกครองหรือรัฐบาลกระทำความผิดอาญาในทางการเมือง ประชาชนจึงมีอำนาจหน้าที่และสิทธิทั้งโดยพฤตินัย ( de facto authoritus ) และนิตินัย ( de jure authoritus ) ที่จะให้รัฐบาลพ้นจากอำนาจการปกครองได้ รวมทั้งมีสิทธิและหน้าที่ที่จะกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาในทางการเมืองหรือที่ เรียกว่าการปฏิรูปการเมืองได้ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ( Democratic theories ) และตามรัฐธรรมนูญ
       
       การกระทำความผิดอาญาในทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งเป็นต้นเหตุให้มีการชุมนุมคัดค้านและเรียกอำนาจการปกครองคืนจากรัฐบาล เมื่อรัฐบาลประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกตั้งใหม่ อำนาจอธิปไตยจึงคืนกลับมาเป็นของประชาชนโดยการยุบสภา ประชาชนจึงมีอำนาจหน้าที่ทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยที่จะไม่ให้รัฐบาลมีอำนาจ หน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้ตามรัฐธรรมนูญ และมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาทางการเมือง ( right to rule ) เพื่อให้การปกครองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารมีดุลยภาพและประสิทธิภาพ ในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามวิถีการปกครองแบบรัฐสภาได้
       
       รวมทั้งมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะกำหนดหลักเกณฑ์และกติกา ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นองค์กรอิสระให้ปฏิบัติหน้าที่ได้โดย สุจริตเที่ยงธรรมได้ โดยอำนาจหน้าที่สิทธิและความรับผิดชอบของประชาชนดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ สิทธิและความรับผิดชอบที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงพระราชทานให้แก่ประชาชนและข้า ราชการ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ ประชาธิปไตย ข้าราชการและประชาชนจึงมีอำนาจอธิปไตยที่จะกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาในทางการ เมืองได้ตามหลักทฤษฎี Divine Right of King Theories and Democratic Theories
       
       ข้อ 3. การใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรีในขณะเป็นรัฐบาลและในขณะเป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการ ได้มีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นความผิดอาญาในทางการเมือง เมื่อผู้ปกครองซึ่งกระทำความผิดอาญาในทางการเมืองได้เข้ามาดำเนินการเลือก ตั้ง โดยมีอำนาจในการดำเนินการและจัดการเลือกตั้งร่วมกับประธานกรรมการการเลือก ตั้ง ตามพระราชกฤษฎีการยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 มาตรา 5 เมื่อเข้ามาดำเนินการเลือกตั้งก็ทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 181 (4) โดยให้ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยดำเนินการเลือกตั้ง ซึ่งก็เป็นการกระทำความผิดอาญาในทางการเมืองซ้ำอีก เมื่อการเลือกตั้งอยู่ในอำนาจดำเนินการโดยผู้กระทำความผิดอาญาในทางการเมือง นั้น การเลือกตั้งจึงไม่มีผลเป็นการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีทางอาญาว่า “ การกระทำผิดอาญาทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นจากนั้นไม่มีผล ” [ Crimen omnia ex se nata vitiat ( ละติน ) หรือ Crime vitiates everything which springs from it ]
       
       และการที่ผู้ปกครอง หรือรัฐบาลได้กระทำผิดอาญาทางการเมือง จึงเป็นเรื่องผู้ที่มีอำนาจรัฐไม่อยู่ภายใต้กฎหมาย ทำตัวเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมาย จึงเป็นกรณีที่มีนัยสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรอย่างยิ่ง เพราะรัฐบาลที่ไม่อยู่ใต้กฎหมายทำตัวอยู่เหนือกฎหมายแต่เป็นผู้ใช้บังคับกฎหมายได้นั้น จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักรโดยตรง ซึ่งเป็นไปตามสุภาษิตกฎหมายว่า “ ไม่มีความมั่นคงในราชอาณาจักรใดยิ่งไปกว่าการที่ทุกคนอยู่ใต้กฎหมาย ” [ Nihil tam proprium est imperii quam legibus vivere (ละติน ) หรือ Nothing is so proper for the empire than to live according to the law ]
       
        การเลือกตั้งที่มีขึ้นหรือจะมีขึ้นระหว่างการบริหารราชการแผ่นดินของคณะ รัฐมนตรีรักษาการ ซึ่งได้กระทำความผิดอาญาในทางการเมืองทั้งก่อนการยุบสภาและภายหลังการยุบสภา นั้น จึงไม่อาจเกิดผลเป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยได้เลย แต่จะเป็นการเลือกตั้งที่เป็นภยันตรายอย่างมหันต์ต่อความมั่นคงแห่งราช อาณาจักร ตามหลักทฤษฎีอาญาและสุภาษิตกฎหมายดังกล่าว
       
       ข้อ 4. เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะ จึงมีผลในทางรัฐธรรมนูญต่อการอยู่ในตำแหน่งของ “ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่ง ” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 181 ซึ่งไม่อาจอยู่ในตำแหน่งได้อีกต่อไป เพราะไม่มีคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ามารับหน้าที่แทนได้อีกแล้ว เงื่อนไขและเงื่อนเวลาของการอยู่ในตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี รักษาการตามอำนาจหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 181 จึงสิ้นสุดลงเพราะการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ทั้งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่อาจเป็นนายกรัฐมนตรีได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 171 วรรคสองและไม่ได้อยู่ในตำแหน่งโดยอาศัยอำนาจอธิปไตยของประชาชนในฐานะเป็นผู้ แทนประชาชนแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงไม่อาจอยู่รักษาการนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีรักษาการจึงไม่มีฐานแห่งอำนาจหน้าที่ทั้งทาง กฎหมายและในทางการเมืองที่จะอยู่ในตำแหน่งได้ ( Illegitimate political authority ) ไม่มีคุณสมบัติในทางการเมืองที่จะอยู่รักษาการได้อีกต่อไป ( Political disability ) การอยู่ในตำแหน่งต่อไปย่อมเป็นการกระทำที่เข้าข่ายของการก่ออาชญากรรมหรือ กระทำความผิดอาญาในทางการเมืองได้ เพราะเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอำนาจหน้าที่เป็นประการแรก แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในทำนองแนะนำให้คณะกรรมการการเลือกตั้งและ รัฐบาลไปหาแนวทางการเลือกตั้งกันนั้น ข้อแนะนำของศาลรัฐธรรมนูญหรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่อาจ ล้มล้างอำนาจหน้าที่สิทธิและความรับผิดชอบของประชาชนและข้าราชการที่จะกำหนด หลักเกณฑ์และกติกาในทางการเมืองหรือการปฏิรูปการเมือง อันเป็นอำนาจอธิปไตยที่ได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์นั้นได้เลย
       
       การกระทำใดๆของคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายกรัฐมนตรีกับคณะรัฐมนตรี รักษาการ เพื่อจะให้มีการเลือกตั้งและได้ผลของการเลือกตั้งที่จะมาเป็นผู้ปกครอง โดยไม่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพและอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของประชาชนผู้ใช้สิทธิ เลือกตั้งเพราะต้องการจะเป็นผู้ปกครองให้ได้แต่ฝ่ายเดียวนั้น ก็จะกลายเป็นการเลือกตั้งที่ละเมิดต่อสิทธิขั้นพื้นฐานและอำนาจอธิปไตยซึ่ง เป็นของประชาชน อันเป็นการกระทำที่นอกจากจะผิดกฎหมายแล้วยังเป็นการกระทำที่ไม่ใช่เป็นการ เลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย
       
       การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยนั้น จะต้องใช้การเลือกตั้งเป็นวัตถุประสงค์และเครื่องมือของประชาชนผู้มีสิทธิ เลือกตั้งซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ไม่ใช่ใช้ประชาชนเป็นเพียงวัตถุของการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ การเลือกตั้งที่ใช้ประชาชนเป็นเพียงวัตถุของการเลือกตั้งนั้นเป็นการเลือก ตั้งในระบอบทรชนาธิปไตย ( Kakistocracy ) คณาธิปไตย( Oligarchy ) หรือ ธนาธิปไตย ( Plulocracy ) ซึ่งก็คือ ใช้การเลือกตั้งเพื่อปล้นอำนาจอธิปไตยของประชาชนไปนั่นเอง
       
       ข้อ 5. ทฤษฎีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและทฤษฎีอำนาจที่ได้รับพระราชทานจากพระมหา กษัตริย์ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ใช้กันในสากลนั้น แม้ประชาชนมีอำนาจหน้าที่และสิทธิทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยในการมีส่วนร่วม ในการปกครอง ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ มีสิทธิและหน้าที่ที่จะกำหนดกลไกสถาบันทางการเมืองทั้งทางฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ตลอดจนฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระได้ตามที่บัญญัติไว้ตามบริบทของรัฐธรรมนูญ ได้ก็ตาม แต่ก็มีข้อขัดข้องทั้งในทางรัฐธรรมนูญและทางกฎหมายที่ประชาชนไม่สามารถใช้ อำนาจหน้าที่และสิทธิให้มีผลในทางปฏิบัติได้ เพราะเป็นกรณีที่ต้องดำเนินการโดยต้องใช้อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติที่ จะดำเนินการได้ ปวงประชาชนชาวไทยจะต้องถวายคืนอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยแด่พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นประมุข เพื่อให้เกิดอำนาจรัฐสูงสุด เมื่อประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและประเทศขาดรัฐสภา คณะรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์ไม่อาจใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยทางรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ได้ จึงเป็นพระราชอำนาจโดยอำนาจอธิปไตยที่ประชาชนถวายคืนตามช่องทางของอำนาจ อธิปไตยของประชาชนที่ยังคงมีเหลืออยู่ เพื่อดำเนินการตามวิถีทางปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย อันจะยังไว้ซึ่งความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรไทยที่มีการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ ทั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2 มาตรา 3 มาตรา 7 และตามหลักทฤษฎีสากลคือ Divine Right of King Theories and Democratic Theories

 

            อาตมาออกมาทำงานนี่ก็ทำในแง่มุมที่เขาไม่มีกัน เช่นเรื่องความสงบ สยบความรุนแรง อาตมาเชื่อว่าสิ่งถูกต้องดีงามย่อมมีธรรมฤทธิ์ ธรรมะย่อมชนะอธรรม เรากองทัพธรรมยกมาทั้งกองทัพ เราออกมาแสดงธรรม แสดงความสงบ เรียบร้อย เสียสละอดทน เกื้อกูล น้ำใจ เอื้อเฟื้อ เจือจาน

            ไม่ใช่ดื้อร้นดึงดัน เป็นอกุศลทุจริต ยึดมั่นถือมั่น ส่วนเรายืนหยัดยืนยันไม่ใช่ความถือมั่นอย่างอกุศล แต่เป็นการยืนหยัดอย่างมั่นคงแข็งแรง มีนัยต่างกัน

            ฝ่ายแดงดื้อดานดึงดันเหนือกำลังวังชา ส่วนเรายืนหยัดไม่ถอย ฝ่ายแดงก็ว่าไม่ชนะไม่เลิก ฝ่ายกำนันก็ประกาศไม่ชนะไม่เลิก แต่ทางโน้นเขามึงมาพาโวย จะตั้งกองทัพ อวดใหญ่อวดร้ายแรงเบ่งข่ม เขียนเสือให้วัวกลัว แม้ทำขัดรธน.ก็ทำ ยิ่งเห็นยิ่งปรากฏชัดเจนว่า พวกอธรรมก็ต้องทำอธรรม ผู้เป็นฝ่ายธรรมะก็ต้องทำธรรมะ ผู้มีภูมิปัญญาก็ต้องรู้เห็น ชัดเจน

            เรามาทำความชอบธรรมทั้งทางโลก ที่เข้าใจยอมรับกัน และในทางธรรม แนวลึก ซึ่งเข้าใจยาก ว่าความสงบจะมาสยบความรุนแรง เป็นเรื่องเข้าใจยาก ปฏิบัติยาก จะทำให้สงบได้นานขนาดนี้ ทั้งที่ถูกยั่วยุทำลาย ให้เรากิเลสขึ้น จนทนไม่ได้ ต้องวู่วาม ต้องทำส่ิงไม่ดี โต้ตอบ สารพัดที่มีวิธีการซับซ้อน แต่พวกเราก็พอเป็นไปได้อย่างดี ไม่อยากจะพูดว่าดีมากบริบูรณ์ 100 % ก็มีบางคนจิตไม่แข็งแรงก็โต้ตอบบ้าง ซึ่งไม่แรงเหมือนพวกเขาที่เอาตาย จนพวกเราตายไปหลายคนแล้ว

            เราทำมานานก็ถือว่าชนะรายทางมาเรื่อยๆ เขาเป็นผู้ไม่สงบ มากระทำกับพวกเราปฏิเสธไม่ได้ เขาหาว่าเราทำเอง หลอกชาวบ้าน เล่เหลี่ยมลีลาสารพัด แต่เอาเถอะ ยังไงผู้มีปัญญาก็รวบรวมความจริง อาตมามั่นใจว่า เพราะยืนบนฐานความจริง ก็ดำเนินมาได้จนป่านนี้ ก็ชนะ เป็นการพิสูจน์ธรรมคุณธรรมแท้จริงของคนไทย ภูมิใจที่คนไทยมีคุณธรรมโลกุตระ ไม่ใช่แบบโลกีย์

           

            อำนาจที่เราทำนี้เป็นธรรมฤทธิ์ที่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องตะโกนบอกว่าตนเองก็สันติๆ แต่พฤติกรรมก็สะสมคน อาวุธตลอดเวลา มันค้านแย้งกับสิ่งที่พูด เป็นสิ่งจริงในประเทศชาติ

            ขอให้พวกเราตั้งใจอดทนเสียสละ มาถึงวินาทีนี้ ประชาชนไทย แพ้ไม่ได้ คราวนี้ยังไงก็อดทน อุตสาหวิริยะ ทำได้อย่างมากเราก็มีปริมาณคน ไม่ได้บังคับให้มา หรือหลอกล่อให้มา เป็นการวัดค่าวิธีง่ายๆที่ใครมากกว่าก็ชนะ แต่ที่จริงต้องวัดคุณธรรม ผู้มีธรรมแม้มีน้อยก็ควรชนะ แต่นี่เราก็พยายาม แม้เขาจะเถียงเรื่องหมู่มวล ปริมาณ ซึ่งปชต.ต้องมีสองฝ่าย คือฝ่ายค้านกับฝ่ายปฏิบัติการ ถ้าไม่มีฝ่ายค้านก็ไม่ใช่ปชต.

            ฝ่ายค้านต้องไม่รุนแรง เอาเหตุผล คุณธรรมถูกต้องมาชี้วัด ไม่ใช่ใช้รุนแรงวัดกัน

            เชื่อว่าคนไทยยังเข้าใจได้ เป็นแต่เพียงยังขาดน้ำใจ เสียสละ ถ้าคนที่ยังไม่มีน้ำใจไม่เสียสละ ก็เสียสละออกมาแสดงมวลให้แจ้งชัด ว่านี่คือมวลมหาปชช. ออกมาแสดงความจริงข้อนี้ เสียสละหน่อย รวมกันเป็นครั้งๆ ประท้วงต่อไป กินๆนอนๆกลางถนน ตากแดดตากลม อดทนก็ทำไป พอถึงเวลาวาระ จะมากันก็เพ่ิมจำนวนนะ แต่ละครั้งที่ชุมนุมกัน รวมพลกัน เป็นครั้งๆ ครั้งนี้ก็ประกาศ วันที่ 29 ออกมาให้มืดฟ้ามัวดิน ก็ให้มากัน ผู้สามารถมาได้ก็มาก่อน เหลือวิสัยมาไม่ได้ก็รวมกันที่จังหวัดตน ทั้ง 77 จังหวัดประกาศมวล โดยให้เห็นว่ามวลนี้จะปฏิรูป ให้รบ.นี้ออก เราเอาปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง เราไม่ปฏิเสธเลือกตั้งแต่เรามีระยะเวลา เขาก็ว่าไปเรื่อยว่าเราไม่เลือกตั้ง

            คนหลงเชื่อก็หลงไป คนเข้าใจดีก็ไม่มีปัญหา คุณมีใจออกมาแสดงก็ดี ก็ควรต้องใช้กาละเสียสละเวลาเพื่อบ้านเมือง ออกมาแสดงเช่นนี้ มาหลายครั้งแล้ว

            ถ้าครั้งนี้มาได้ จนเขาพูดไม่ออก ถ้าออกมาถึง 20 ล้านขึ้นไป อาตมาจะดูสิว่า คนดื้อด้านจะทำอย่างไร หนึ่งในสามของประเทศเชียวนะ คนออกมาแสดงตัว แสดงรัฐาธิปัตย์สดๆ ไม่เหมือนไปเลือกตั้งคนไปรับใช้ปชช.นะ

            การออกไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนี้เป็นอำนาจชนิดหนึ่งเป็นอำนาจระดับรองลงไปหลายขั้นเลย

อำนาจในระบอบประชาธิปไตยอันมีประมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 8 ลำดับขั้น

อำนาจลำดับที่ 1 คือ อำนาจของประชาชน ออกมาประท้วงยืนยันคะแนนเสียง 1 คน 1 เสียง

อำนาจลำดับที่ 2 คือ พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นรัฐาธิปัตย์ตาม Supreme law

(อำนาจลำดับที่ 1 ร่วมกับอำนาจลำดับที่ 2 เป็น ราชประชาสมาสัย)  อันนี้สำคัญเพราะมีนิติราชประเพณีแต่โบราณ และขนบธรรมเนียมประเพณีของราษฎร ที่กลมกลืนกัน บังเอิญขณะราษฎร์ขัดกับพระมหากษัตริย์ ไม่เป็นราชประชาสมาสัย จึงดำเนินการเป็นประชาธิปไตยไม่สำเร็จ

อำนาจลำดับที่ 3 คือ พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจนั้นผ่าน 3 สถาบันคือ สถาบัน

                 นิติบัญญัติ (รัฐสภา) บริหาร(ครม.) และตุลาการ(ศาล) อันนี้เป็นลัทธิตะวันตก ซึ่งถือว่าอำนาจแต่ละอำนาจต้องแยกกันและถ่วงกัน ของไทยปนเปกันหมด สักแต่อ้างกษัตริย์  แต่อำนาจกษัตริย์ตามทฤษฎีและประเพณีประชาธิปไตยตะวันตก รัฐบาลและกฎหมายกับลิดรอนอำนาจกษัตริย์ไปเสียอย่างชิ้นเชิง

อำนาจลำดับที่ 4 คือ ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งตามกฎหมาย  ในประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่ไม่บังคับ แต่ส่วนน้อยก็มีบังคับให้ไปเลือกตั้ง

อำนาจลำดับที่ 5 คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (สส.) ในประเทศประชาธิปไตยต้องไม่บังคับสังกัดพรรค

อำนาจลำดับที่ 6 คือ นายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการเลือกจาก สส. ในประเทศประชาธิปไตยไม่มีประเทศใดกำหนด  ส่วนใหญ่ก็อนุโลมกัน โดยเฉพาะประชาธิปไตยที่มีระบบพรรคเข้มแข็ง ถึงกระนั้นกษัตริย์อังกฤษคือราชินีอลิซาเบธ ก็เลือกคนนอก คือเซอร์ดักกลาส ฮูมมาเป็นนายกฯเมื่อปี 1965

อำนาจลำดับที่ 7 คือ คณะรัฐมนตรี ที่นายกฯเป็นผู้เลือกมาทำงาน ในประเทศประชาธิปไตย พรรคกำหนดตัวมาให้นายกเลือกตั้งแต่ยังไม่เลือกตั้ง คือผู้นำนโยบายสำคัญต่างๆที่แข่งขันกันขึ้นมาในพรรค ไม่ต้องเอาว่าคนนั้นคนนี้ เพราะส่วนใหญ่เป็นไปตามสูตร ข้อยกเว้นมีแต่มีย้อย

อำนาจลำดับที่ 8 คือ ข้าราชการ ที่ต้องเป็นกลไกที่เป็นกลาง และมีความสามารถในการนำนโยบายการเมืองมารับใช้ราษฎร มิใช่หากินกับราษฎรและเอาราษฎรไปรับใช้หรือเป็นเบี้ยล่างการเมือง

           

            พวกเราก็อยู่ประท้วงกันมายาวนาน บางคนไม่ไปไหนเลยก็มี ต้องปรบมือให้ตัวเอง อย่างชาวอโศกที่มาทำนี่ก็ทำงานฟรี ไม่เอาลาภแลกลาภ พ้น ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา ได้เลย

            ที่มานี่ไม่ได้สะดวก ต้องปรับไปตามสภาพ ไม่ใช่ของถาวร เป็นของจร ต้องดูแลรักษาประคับประคอง ไม่ให้เสียสูญ ซ่อมแซม แต่เราก็อุตส่าห์ทำงานนี้มาได้ ที่อาตมาพาทำนี่ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ แต่เป็นการเสียสละไม่ได้บังคับ ใครมีน้ำใจมีปัญญาก็มา ได้แต่ขอบคุณน้ำใจ

            ตอนนี้เป็นโอกาสที่จะได้มาร่วมไม้ร่วมมือ ต้องระดมกันมาให้มาก จะได้มีตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้ลักษณะที่ดีของมนุษยชาติ เป็นลักษณะรุนแรง ไม่สงบเรียบร้อย แต่ยุคนี้น่าจะเจริญแล้วไม่น่าจะมีลักษณะไม่ดี

            ครั้งนี้เห็นได้ว่าน่าจะชนะนะ อาตมาไม่ได้หลงผิดนะ ส่วนฝ่ายแดงเขาก็ว่าเราหลงผิด แล้วใครเป็นของจริงหว่า อาตมาว่าที่พูดนี่ ไม่ได้ประเล้าประโลมหลอกล่อนะ เท่าที่อาตมามีภูมิปัญญาประเมินผลนะ เราชนะด้วยลักษณะต่างๆ ดีงามกว่า ปริมาณมากว่า มีสองอย่างนี้เท่านั้น คุณภาพและปริมาณ เห็นชัดๆว่าชนะนะ

            จิตของเราสงบอย่างที่เรียกว่า ไม่มีอกุศลในจิต แม้มีการกระทบสัมผัสอยู่ ทั้งที่เขายั่วยุ กระทุ้งกระแทกให้เราขึ้น เราก็ไม่ขึ้น อันนี้มีทั้งเจโตและปัญญา เป็นอุภโตภาควิมุติ

            ดูสิว่า ถ้าคุณธรรมในไทยมีมาก ไม่ต้องมีอาวุธ ไม่ต้องมีทหาร แต่ประเทศไทยจะมีน้ำใจ สร้างสรร สร้างอาหาร กสิกรรมเครื่องใช้ ปัจจัย 4 ที่ต้องอาศัยใช้สอยอย่างดี แล้วเกื้อกูลแจกจ่าย

            หรือเรามีความรู้สามารถ ช่วยเหลือมนุษยชาติ แจกจ่ายเจือจาน แม้ขายก็ขายถูกกว่าทุน เป็นขาดทุนคือกำไรของเรา ทำเป็นประจำเลย เราอุดมสมบูรณ์​ปฏิบัติธรรม ไม่หลงหรูหรา มักน้อยสันโดษ พอกินพอใช้พอเพียง ตามในหลวงตรัส แล้วเราก็มีเหลือพอแจกจ่าย ไม่เอาไปเอาเปรียบใคร เราเสียสละเท่าที่เราทำได้ ประเทศต่างๆจะได้รับประโยชน์จากเรา เรามีฑูตไปต่างประเทศไม่ใช่ไปสอดแนมเพื่อจะเอาเปรียบเขา ไม่ใช่ เราไม่ต้องรักษาผลประโยชน์ของเรา แต่เราให้ฑูตเราไปสอดส่องว่าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไร เราก็ไปช่วยเหลือเขา เรามีฑูตชนิดนั้น เขาก็ไม่ต้องไประวังดูแลอะไร แต่เราไปเชื่อมโยง ว่าเราจะช่วยอะไรเขา

            ไปให้ประโยชน์แก่ประเทศต่างๆนี่คือนโยบายต่างประเทศ หากเราจะทำ แม้แต่ธุรกิจพาณิชย์ ก็เป็นนักธุรกิจ ในเศรษฐศาสตร์บุญนิยม ช่วยเหลือมนุษยชาติ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราอยู่แบบคนจน เป็นเรื่องประหลาดเราไม่รวยไม่สะสม เราอยู่พอเพียงพอเป็นไป จิตสันโดษ ไม่สะสม ไม่ต้องเบ่งอวดอ้างหรูหรา ถ้าจะต้องสร้างสิ่งใหญ่โต ก็เพราะควรทำ เรามีแรงงาน มีส่วนเหลือ ไม่ทำเบ่งข่ม เราสร้างเพื่อให้เป็นของส่วนกลาง จะเป็นสิ่งใหญ่โตศิลปะก็เป็นสิ่งส่วนกลางเป็นศิลปะวัฒธรรมเพื่อยืนยันความเจริญของชาติ ไม่ใช่ทำแบบคนรวยทำเบ่งใหญ่ให้คนเห็น

            เราจนแต่ไม่เป็นหนี้ จนแต่แจกจ่ายช่วยเหลือผู้อื่น นี่คือคนจนมหัศจรรย์ พึ่งตนรอด ช่วยตนได้ เหลือเฟือ เป็นเศรษฐศาสตร์บุญนิยม

1. ไม่เป็นหนี้

2. ทำกินทำใช้ให้พึ่งตนเองได้

3. ทำให้เหลือกินเหลือใช้

4. แจกจ่ายสะพัดออก เผื่อแผ่แก่ผู้อื่น

            จะเรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียง ขาดทุนคือกำไร แบบคนจนก็เหมือนกัน

            ชาวอโศกเป็นได้แล้ว ไม่ได้พูดอวดอ้างอวดโชว์เบ่งข่มอะไรนะ เป็นเรื่องจริงที่ทำไม่ง่าย แต่ถ้าทำตามพพจ. ก็เป็นไปได้ สำเร็จ

            คุณธรรมที่ว่านี้จะพยายามอธิบาย นำเสนอ พากันเป็นจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เป็นความรู้ของพพจ.ทุกพระองค์

            อาตมาทำงานมา 40 กว่าปีไม่ได้เรี่ยรายเลย ก็สร้างชุมชนมาไม่ได้น้อยหน้าใคร โดยไม่เรียไร หลอกลวง หรือใช้การตลาดล่อให้คนมาจ่ายแก่เรา ใครจะช่วยก็มาเสียสละเอง อาตมามีมาตรการป้องกันใครจะมาบริจาคต้องมาศึกษาจนเข้าใจว่าเราคืออะไรอย่างนี้ใช่ไหม น่าจะทำบุญก็มาเอง ให้เกิดจิตมีปัญญา ไม่ถูกครอบงำความคิด ทำมาตลอดไม่มีเรี่ยไร แต่อยู่รอดไม่เป็นหนี้ พึ่งตนรอดมีส่วนเหลือ ช่วยเหลือคนอื่นได้ พูดตามสัจจะความจริง ไม่ใช่ว่าพูดเอาเท่ เอาโก้ แต่เอาจากความจริงมาพูด

            ขอสำทับอีกทีว่า กรรมชั่วอย่าทำเสียเลย กรรมเป็นอันทำ ถ้าเข้าใจแล้วหยุด ถ้าสุดวิสัย ก็แล้วไป สู้ให้จริงๆสุดตัว ลองสู้กับกิเลสให้ขาดใจเลย ถ้าใครขาดใจก็บอกอาตมาก่อนตายเลยว่าคนนี้ตายเพราะสู้กับกิเลส จะได้สลักลงแผ่นทองคำ ก็ยังไม่มีใครเลยนะ มีแต่ยอมกิเลสมัน ไม่เห็นสู้ขาดใจเลย

            ขอสำทับอีกว่า กรรมเป็นทรัพย์ ทำในที่แจ้งหรือในที่ลับก็เป็นทรัพย์ของตน ตั้งแต่ใจคิดชั่วก็กรรมเป็นมโนกรรม จะบอกว่าไม่เอาไม่ได้นะ ให้หัดฝึกไปก็จะลดลง อย่าพูดชั่วพูดไม่ดี อย่าทำกรรม ที่รวมเป็นกัมมันตะ เพราะมันเป็นทรัพย์ ในอัตภาพของมนุษย์ทุกคน มีทรัพย์คือกรรม สั่งสมไป แล้วอยากได้ทรัพย์ชั่วหรือดีล่ะ ?

            คนเกิดมาเอากรรมมาชุดหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เอามาหมดหรอก เช่นพระโพธิสัตว์ ท่านต้องไปเกิดเป็นการศึกษา เกิดเป็นสัตว์ จะมีองคาพยพ มีสมองมีอวัยวะเท่านี้ๆ ของสัตว์ก็มีแบบของมัน ธาตุของเราอัตภาพของเราไปเกิดในสัตว์เราก็ใช้ไปตามเครื่องมืออุปกรณ์ของสัตว์นั้นๆ

            คุณมีเผ่าพันธ์เป็นโลกุตระก็ได้คุณธรรมโลกุตระ แต่ถ้าเผ่าพันธ์คุณเป็นโลกียะก็ตกต่ำวนเวียนไปไม่รู้จบ แต่โลกุตระนั้นจะไม่ตกต่ำกว่าที่ได้อีกแล้ว ไม่ต้องไปวนเวียน

            โสดาบันมีเข้ากระแสได้ มีไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา แน่นอน เที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้ เกิดมาพบศาสนาพุทธก็ใส่ใจพากเพียรเถอะ เป็นทรัพย์แท้หลักประกันของโลกุตระ ไม่หมุนเวียนในโลกียะ เป็นเทวดาเก๊ เป็นสัตว์นรก อีกเลย

            ผู้ที่ปฏิบัติไปตามจรณะตามศีลมีกรอบหรือกรรมฐานไปตามลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย พพจ.สอนเช่นนี้ เรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิ ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่โลกไม่ว่างจากอรหันต์ เมืองไทยเป็นชมพูทวีป แดนใดมีอารยะมนุษย์เป็นหลักแดนนั้นเป็นชมพูทวีป นี่คือรูปธรรม ส่วนนามธรรมคือผู้มี สุรภาโว สติมันโต อิทธพรหมจริยวาโส นี่คือนามธรรมของชมพูทวีป

            เกิดมาอย่าให้เสียโอกาสที่เกิดมาเป็นมนุษย์ จงใช้ร่างกายนี้ปฏิบัติ ให้ได้ส่ิงประเสริฐสุด


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:26:58 )

570405

รายละเอียด

570405_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง ปาฏิหาริย์ของการปฏิบัติ

       พรุ่งนี้เราก็จะเร่ิมปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 38 แล้ว เราได้ประโยชน์กับธรรมะจริงๆ และผลที่ได้นั้น เป็นส่ิงที่ปรากฏ ในงานนี้อาตมาตั้งใจจะเรียบเรียบสัจจะที่ปรากฎ ให้พวกเราได้ฟัง ว่ามันใช่ไหม เกิดเป็นจริงไหม มีปรากฏการณ์จริงไหม จะได้ช่วยกันตรวจสอบดูว่าจะจริงหรือไม่?

       ตอนนี้เหตุการณ์บ้านเมือง ถ.อักษะก็กำลังร้องเพลงคึกคะนองกัน ก็มากของเขาอยู่ มีผู้สังเกตการณ์ว่า มีเป็นแสน

       เมื่อเกิดจากความไม่รู้ก็จะมีผลเสีย เท่าที่อาตมามองคือ

       ทำให้คนต้องฆ่าตัวตาย ต้องทำให้คนต้องฆ่ากันตาย มีไหม?  ทำให้คนทะเลาะกันทั้งประเทศ ทำให้มิตรสกายต้องแตกแยกเข้าหน้ากันไม่ติด ทำให้คนหลงยึดมั่นประชาธิปไตยผิดๆ อาการหนักถึงคลั่งไคล้ ทำให้คนก่อบาปใส่ตนได้ทั้งมากทั้งหนักและยาวนาน อึดอัดทรมานกันได้ถ้วนหน้า ทั้งฝ่ายถูกและผิด ทำความอึดอัดให้ได้ครบทุกด้าน เรียกว่าชั่วได้ที่ ทำให้สังคมแตก เศรษฐกิจตก การเมืองต่ำ ได้หนักหนาฉกาจฉกรร เห็นไหม?

       นี่คือส่ิงที่เกิดจากฝีมือของเขาจริงๆ จากที่ปรากฏ

       พรุ่งนี้เร่ิมงานปลุกเสกพระแท้ของพุทธ คำว่า พระนี่คือผู้ประเสริฐ ไม่ใช่หมายถึงแค่ผู้โกนหัวนุ่งจีวร แต่พระคือประเสริฐนี่ได้ทั้งในฆราวาสและนักบวช ตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไป เอาที่คุณธรรมคุณสมบัติแท้ๆ ใส่ตนเองได้ และก็มีการประพฤติ เช่นเลิกทำชั่ว เลิกละได้อย่างที่เข้าเจต อาริยะหรือพระหรือวระ ที่แปลว่าผู้ประเสริฐ ต้องนับเอาที่คุณสมบัติแท้จริงของจิตวิญญาณ

       เช่นศีล 5 ท่านให้เวรมณี

       เช่นศีลข้อ 1 พฤติกรรมข้างนอกไม่ฆ่า วาจาก็ไม่บอกให้ฆ่า ไม่ทำตลอดชีวิตก็ไม่ถือว่าเป็นอาริยะแท้ จะเป็นอาริยะต้องตัดสินเอาที่จิตวิญญาณเป็นตัวจริง ไม่มีจิตดำริเลย เช่นเกิดอยากประสงค์ฆ่า ที่จะทำร้ายเขา ฆ่าเขา จิตมันไม่เกิดอาการนี้จริงๆ มีสองลักษณะ 1.ไม่เกิดเพราะไม่คิด พักยก อาจพักยกเป็นชาติๆได้ มันอภยกฤติ ไม่เกิดอาการ ผลักหรือดูด เฉยๆ อุเบกขา เคหสิตอุเบกขา ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ว่า มีความเข้าใจเห็นจริง มีหิริโอตตัปปะ มีนิพพิทา มีปัญญาเห็นจริงเข้าใจ เป็นภยตูปฐานญาณ​เห็นโทษภัยของการเกิดอกุศลจิตนี้ มีปัญญาญาณจนเป็นพลังอำนาจ มีแรง ฤทธิ์ ท่านเรียกว่า อินทรีย์หรือพละ เป็นกำลังแท้ๆ เป็นอำนาจของความรู้ญาณปัญญา ไม่ใช่กดข่มกำราบ ใช้เรี่ยวแรงดันกันไว้ ไม่ใช่อำนาจอย่างนั้น แต่เป็นอำนาจรู้แจ้ง เห็นจริงเข้าใจ อย่างนี้ไม่เอาจริงๆเลย จิตจะเกิดญาณปัญญษ เห็นภัยเห็นโทษ​มีอาทีนวานุปัสสนาญาณ จนไม่เอาจริงๆเป็น นิพพิทานุปัสสนาญาณ ไม่ต้องไปกดข่มเลย ไม่เบียดเบียน แต่มีฤทธิ์แรงเห็นเลยว่าเลิกปล่อยวางคลาย เรียกมุลจิตตกัมมญตาญาณ ออกเปลื้องปล่อยทิ้งไปเลย ไม่เวียนกลับด้วย

       แบบอื่นที่ไม่ใช่ของพุทธบางอย่างก็สามารถสะกดข่มได้นานนับชาติ แต่เวียนกลับได้ มันไม่ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

       มีอุภโตภาควิมุิต เลิกได้จริง และมีปัญญารู้เห็นรู้อย่างจริงแจ้งชัดทุกอย่างเลย เรียกว่าหลุดพ้้นด้วย เจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติอันไม่กลับกำเริบ

       มีปัญญาญาณเห็นได้ว่าไม่มีนี่สุดยอดแล้ว เหมือนคนรู้ว่าเป็นไฟนี่ร้อนไม่เอาจริงๆ ชัด รู้แจ้งเห็นจริง จึงถาวร มั่นคงไม่กลับกำเริบแท้จริง ผู้ทำได้ จะเห็นว่าเราหลุดพ้นจริงไม่มีใครมาหลอกลวง ไม่มีใครมาทำให้เราเข้าใจผิดได้ เราจะเห็นเองรู้เอง ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ถูกต้องถูกตรงถูกถ้วน ไม่ใช่เดาเอาหรือคลุมเครือ เป็นนามธรรมแท้ไม่มีเส้นแสงสีเสียงอะไร แต่เห็นได้ด้วยญาณแท้

       ความลึกซึ้งลึกล้ำก็ท้าทายให้มาพิสูจน์ จะรู้เองเห็นเองของตนเอง

 

มีคนส่งคำถามมา

คำถามถึงพ่อครูครับ กราบเรียนถามพ่อครูค่ะ  

ดิฉันได้ไปเยี่ยมเด็กตาบอดพิการซ้ำซ้อนแห่งหนึ่ง  เห็นความพิการของเด็กที่นอกเหนือจะตาบอดแล้ว ยังมีความพิการต่างๆ ตั้งแต่กำเนิด หรือบางคนก็เริ่มเป็นตอนโต ทั้งหูหนวก อาการทางสมอง ควบคุม ดูแล ตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งคนอื่นตลอด เขามีขา เขาเดินได้ แต่ตามองไม่เห็น เดินชนนั่น ชนนี่ บางคนร้องโหยหวน เหมือนลิง เหมือนค่าง ทำร้ายตนเอง เอาหัวโขกเสา โขกพื้น และ มีเวทนา สารพัด ทำให้คิดถึงเรื่อง "กรรม" ว่าเขาได้ทำกรรมอันใด ทำให้เขาต้องมารับทุกข์ เวทนาประมาณนี้  ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนว่า  ทุกอย่างมาแต่เหตุ ทั้งพ่อท่านก็ย้ำว่า กรรมไม่มีระเหิด ไม่มีระเหย ไม่ว่าทำที่ลับหรือ ทำในที่แจ้ง กรรมนั้นมีผลหมด 

 

พอได้ศึกษา ติดตามเหตุการณ์บ้านเมือง เห็นการกระทำของนักการเมือง ข้าราชการที่ กินเงินเดือนจากภาษีของคนทั้งประเทศ แต่เขาไม่ได้ทำหน้าที่สมกับค่าตอบแทนที่ได้รับเลย มิหนำซ้ำ ยังเนรคุณต่อแผ่นดินเกิดอีก ยิ่งไปกว่านั้นกลับทำร้ายเจ้าของเงินภาษี ด้วยการไปรับสินบน จากคนชั่ว มาทำลายบ้านเมือง  เงินที่เขารับมาถือเป็นเงินร้อน เพราะรับมาด้วยความโมหะ ทั้งยังปลุกปั่น ให้คน (ที่ฉลาดน้อย) เห็นผิด เป็นถูก  สร้างความแตกแยกให้เกิดในแผ่นดิน  วิบากจะประมาณไหนคะ พ่อครู จะหนักเท่าคนพิการที่ดิฉันไปเจอไหม หรือ จะมากกว่านั้น คะ  และพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิด คนเหล่านี้มา จะบาปประมาณไหนคะ และในส่วนของผู้ที่ให้การสนับสนุนการทำชั่ว เขามีวิบากกรรมร่วมกันอย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณ และ กราบนมัสการค่ะ

จาก  คนกั๋วบาป ?

       

        ตอบ ส่ิงเหล่านี้ยกตัวอย่าง คนเกิดมาพิการ บางคนได้มาแต่กำเนิด บางคนได้มาตอนหลัง แล้วก็ได้รับ แต่ตัวร่างกายก็ทุกข์ เหตุการณ์ของชีวิตก็ต้องทุกข์ร้อนไม่เป็นสุข อาตมาจะยกตัวอย่างต้องหกล้มขาหักขาแพลง ตกลงไปขาเจ็บ มันก็เห็นแล้วว่าเป็นการได้รับผลทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง มาหรือน้อยไม่รู้ได้ แต่ก็ไม่น่าจะเจ็บนานขนาดนี้นะ แล้วคนที่มาทำก็ต้องร่วมรับวิบาก

       ถามว่าจะหนักเท่าที่ดิฉันไปเจอไหม อาตมาคาดคะเนว่า แค่ตาบอดหูหนวกก็ประมาณหนึ่งอาตมาก็ว่าน่าจะหนักกว่านั้น เพราะบาปกรรมที่เขาทำ มันมีผลกระทบต่อผู้ได้รับพิษภัย มากมาย เหตุมีฆ่ากันตายทะเลาะแตกแยกมีผลกระทบมากมาย

       คนธรรมดาทำได้ไม่มีผลกระทบขนาดนี้ ตั้งแต่คิดเร่ิมลงมือทำจนคนพิการบาดเจ็บทุกข์ทรมาน ไม่ใช่เป็นพัน แต่เป็นล้าน อาตมาว่าจะได้รับวิบากมากกว่าเด็กที่คุณไปเห็น

       แล้วพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดจะบาปประมาณไหน ...อาตมาเข้าใจเอาเองว่า คงถามถึงผู้ทำผิด ไม่ใช่หมายถึงพ่อแม่เด็กพิการ ..ตอบว่าไม่ พ่อแม่เขาไม่ได้เป็นคนพูดบอกหรือส่งเสริม นอกจากพ่อแม่เขาเป็นคนพูดส่งเสริม แต่เชื่อว่าพี่เขาเป็นคนบอกนี่ก็ด้วยกันนะ หรือพี่สาวเขา  ทำแล้วก็น่าสมเพศ คืออาการย่ิงกว่าสงสาร มันมอกุศลผสมจนเห็นชัดว่าไม่น่าเลย อะไรไม่รู้ถึงขนาดนั้น นอกจากสงสารนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงได้หน้าด้านหน้าทนไม่รู้ขนาดนี้

       คนเราเป็นเช่นนี้ กรรมวิบากเป็นตัวแปร จากความตกต่ำ เวียนเกิดตายในโลกจะกี่ชาติก็แล้วแต่ เราก็ต้องเกิดในโลกอีก แต่กรรมวิบากจะลดสิ่งเลวร้ายชั่วไม่ดีงาม จะลดได้ด้วยภูมิรู้ด้วยการล้างเหตุในจิต เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าค้นพบจริง ศาสดาหลายท่านก็รู้ แต่ของพระพุทธเจ้านี้ทำได้อย่างรู้แจ้งเห็นจริงเป็นจริง เมื่อทำได้คุณจะเกิดเป็นมนุษย์อีก กี่ชาติ จิตนั้นสามารถล้างเหตุที่จะไปทำเลวได้ เป็นอรหันต์แล้วหมดเกลี้ยงไม่ทำชั่วบาปได้ เป็นสัพพปาปสอกรณัง ได้ล้างกิเลส สจิตตปริโยทปนัง เป็นวิชาการที่ยิ่งใหญ่ในมนุษย์ ที่ควรศึกษาก่อน ในคามเป็นมนุษย์หากได้ศึกษาความรู้นี้ได้ แล้วคุณอยากศึกษาความรู้ทางโลกเทคนิค จะเอามาทำประโยชน์ต่อตนต่อโลก ยกตัวอย่างปลูกผักแต่เราเรียนรู้ล้างกิเลสจนเป็นอรหันต์ได้ แล้วมาเรียนรู้กสิกรรม ก็เรียนได้ แล้วไม่เบียดเบียนใครด้วย จะปลูกเป็นหรือเป็นวิชาอื่นก็จะรู้ได้ว่าควรเรียนอะไร เช่นการพนัน มอมเมา ก็ไม่ไปเรียน หลอกกันให้หลงติดยึด

       แต่เมื่อล้างกิเลสแล้วก็จะทำแต่ไม่ทำเพื่อล่าเอาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือกามหรืออัตตาแก่ตน ก็ไม่ไปศึกษาส่ิงมอมเมา แต่ศึกษาส่ิงที่เป็นประโยชน์เอามาทำดีงามเป็นกุศล ยิ่งทำย่ิงดี ยิ่งทำยิ่งชำนาญ รู้เข้าใจขึ้น ทั้งดีทั้งเร็วทั้งมากวิเศษ ก็ได้ช่วยคนได้มาก ผู้ที่มาศึกษาให้เป็นอรหันต์ก่อนแล้วจะไปศึกษาวิชาการโลกอะไรก็ได้ แล้วจะเป็นได้ดีด้วย คนบรรลุธรรมสัมมาทิฏฐิ อรหันต์แท้ ไม่ใช่ปลอม จะเป็นประโยชน์ตน ท่านแท้จริง เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) แท้จริง

       คนที่บอกว่าเรียนรู้โลกก่อนธรรมะ คุณจะตายเปล่าก่อนหรือเปล่า? ….อาตมารู้ว่าที่เขาไม่เอา เพราะเขาไม่รู้ว่าธรรมะเป็นอย่างที่อาตมาว่า คือ เมื่อได้ธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วจะสามารถเพ่ิมความรู้ทางโลกได้ จะไปเอาความรู้ไปล่า โลกธรรมก็ได้ แต่มีหลักประกันว่าจะไม่หลงในโลกธรรม แล้วจะเอาความรู้สามารถไปเพิ่ม โลกธรรม ได้ แล้วมีหลักประกันว่าทำแล้วไม่เป็นโทษภัยแก่ตนและผู้อื่น คุณจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ซ้อนว่าได้แล้วคุณจะไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา จึงเป็นจอมแห่งนักเศรษฐศาสตร์ไม่สะสมกักตุน ไม่เกิดการติดขัดเสียเวลาคุณค่า สุดยอดแห่งเศรษฐศาสตร์ เป็นความรู้สุดยอดของ สังคมศาสตร์​รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ส่วนความรู้เทคนิคอื่น ๆค่อยเติมเอาทีหลัง แต่สามศาสตร์นี้อยู่ในตัวพร้อม เป็นเรื่องของมนุษย์และสังคม ผู้ใดย่ิงมีสัมมาธรรมะ มีอาริยธรรมแท้จะเป็น ประโยชน์ต่อโลกสังคม ตามฐานะ คุณธรรมมากก็เป็นประโยชน์มากขึ้นๆ

       นอกจากไปหลงผิด เช่นไปอยู่คนเดียวเช่นหลวงพ่อเกษม แห่งสุสานไตรลักษณ์ เป็นต้น ขออภัยที่ยกตัวอย่าง ท่านเป็นทักขิเณยบุคคล แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นคนน่าเคารพควรให้ของทาน ควรลุกรับ เพียงแต่ว่าส่ิงที่ท่านได้ไม่ถูกพุทธศาสนา พูดเป็นวิชาการไม่ได้ไปข่มเบ่ง แต่อธิบายความถูกผิด เข้าใจเจตนาอาตมา อาตมาไม่มีอกุศลอะไรในการพูดว่านี้ และท่านก็เสียชีวิตไปแล้ว ท่านไม่ได้รับรู้ แก้ไขอะไรไม่ได้ อาตมาอ้างอิงให้คนเจ้าใจเท่านั้นเอง อาตมาพูดนี้คนอาจชิงชังอาตมาเสียนะคนเข้าใจผิดได้ แต่จะได้ก็คือคนเข้าใจได้ ซึ่งอาจมีน้อยกว่าคนที่เขาเคารพนับถือ และจะเกลียดอาตมาได้มากกว่าคนได้ประโยชน์  อาตมารู้แต่เลี่ยงไม่ได้ แค่คนได้รู้มากขึ้น 1หรือ 2 คนก็พอแล้ว เพราะคนที่จะรู้ถูกต้องและกล้าพูดจะมีกี่คน ศาสนาจะสูญหายหมดไป ก็ไม่มีใครรู้ คนก็ไม่ได้รับประโยชน์อาตมาละเลยไม่ได้ ขออภัยที่ต้องใช้โอกาสในการอธิบาย

       อาตมาว่าอาตมาออกบวชแต่แรกอาตมาก็ยังพูดไม่ได้ จนมาบัดนี้อาตมาก็ว่ามีเหตุปัจจัยพูดได้มากพอก็พูดเป็นเช่นนี้ ตอนหลังอาตมาก็จะพูดในส่ิงที่หลายคนก็ว่าไม่น่าพูดได้ ก็มี แต่อยู่ในการประมาณที่ต่างกัน

       อาตมาใช้ สัปปุริสธรรม 7

1.    ธัมมัญญูตา     (รู้จักทุกองค์ประกอบ) 

2.   อัตถัญญูตา     (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย)

3.   อัตตัญญูตา     (รู้จักตนเอง)

4.    มัตตัญญูตา     (รู้จักประมาณสัดส่วน)

5.    กาลัญญูตา     (รู้จักกาลสมัย)

6.    ปริสัญญูตา     (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น) .

7.   ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น)

(พตปฎ. เล่ม 23  ข้อ 65)

       คนทำดีต่อโลกหลายคนก็ถูกฆ่าตาย คานธี ลินคอร์น พระเยซู มาร์ตินลูเทอร์คิง ก็เยอะไป แม้แต่พระโมคคัลลานะ ส่วนมากทำดีก็ตายได้ ไม่ใช่ตายเพราะทำความเลวร้าย ท่านทำดีมาทั้งนั้นเลย อาตมาตอนนี้นึกไม่ทัน ไม่ใช่เรื่องแปลก อาตมาก็คิดว่า เราน่าจะประมาณให้ดี อย่าให้ตายก่อนควร แต่ถ้าจะมีวิบาก หรือการประมาณของเราผิด เราก็ตายไม่สมควรได้ แม้ว่าจะต้องถูกฆ่าตายแต่สมควรอย่างยิ่งก็น่าทำ แลกด้วยชีวิตจะเกิดประโยชน์ต่อโลกเยอะ เช่นพระโมคคัลลานะเป็นต้น

       เป็นอจินไตย ลึกซึ้งลึกล้ำ เป็นจริงในผู้ที่เข้าใจจริงเป็นจริง ได้ ที่อาตมาตั้งใจทุกวันนี้ ตั้งใจเพ่ิมอายุ อาตมามีอายุขัย 72 ปีก็ต้องตายไป แต่พอใกล้ถึง 72 อาตมาก็เห็นว่ามันมีอัตราการก้าวหน้า ยังไงก็ต้องพยายามมีอายุให้ยืนขึ้นก็ใช้ความรู้คืออิทธิบาท ก็เลยทำมาก่อน 72 ปี ทำมาก็ได้เลยมาจน จะ 80 ปีแล้ว แต่ก็ยังจับเหตุที่เป็นโรค ไม่ถึงเป็นโรคแต่ก็ไม่สมดุล มีอวัยวะเจ้าการขาดสมดุล

       อย่างพระพุทธเจ้าว่าถ้าอานนท์อาราธนา ท่านก็อยู่ต่อไปได้ เป็นเรื่องที่ไม่ลึกลับ มีเหตุปัจจัยทำได้ อาตมาอธิบายเป็นหลัก หลัก 8อ.เพื่อขยายอายุขัย 1.อิทธิบาท 2.อารมณ์ 3.อาหาร 4.อากาศ 5.ออกกำลังกาย    6.เอนกาย 7.เอาพิษออก 8.อาชีพ

       ถ้าทำได้สมดุลจริง แม้อาหารนี่ก็ฝึกละกิเลสอย่างสำคัญ อย่างอากาศนี่ไม่ต้องใช้จิตมาก ออกกำลังกายก็ต้องใช้จิต

       การนอนนี่สมณะห้ามนอนกลางวัน หัดฝึกมีสติตอนนอน เช่นตีระฆัง ทุกชั่วโมง หลับให้เร็ว ตื่นอย่าให้งัวเงีย ที่มันติดหลับเพราะติดอารมณ์งัวเงีย อย่าทำ เวลาตื่นแล้วให้สลัดเลย อย่าเก็บงัวเงียเอาไว้ มันติดอย่างนั้น ถ้าตื่นลืมตาสว่างเลย แล้วจะสดใสแจ่มใสกว่างัวเงีย แล้วหัดนอนหลับให้เร็ว จะใช้วิธีอย่างไรก็แล้วแต่ อย่างอาตมาก็ใช้กสิณ อาตมาฝึกตั้งแต่กำหนดลมหายใจ สร้างภาพในใจ เมื่อฝึกก็ทำได้เร็วขึ้น ทำได้ การเอนกาย เอาพิษออก หรืออาชีพจะทำได้ส่ิงที่ชลออายุขัย เป็นศาสตร์ พวกเราก็พยายามอยู่ ทำศาสตร์นี้เพื่อเอามาใช้ในชีวิต พวกเราก็ขวนขวาย ศึกษาเรื่องสุขภาพ

       อาตมาเคยบอกว่าพวกเราชาวอโศก ต่อไปจะเป็นกลุ่มที่อายุยืนยาว พระกรรมฐาน แม้มิจฉาทิฏฐิ แต่ก็ยังมีส่วนอายุยาว อายุเกือบร้อยเยอะ หรือร้อยขึ้นไปก็มี ถ้าทำได้ถูกนี้ เก้าสิบเรื่องเล็ก ต่อไปจะมีอายุเป็นร้อยก็ยังแข็งแรง

       อาตมาภาคภูมิใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายก็ยังยินดีในสันติอหิงสาจนอีกฝ่ายก็พยายามทำ แม้จะมีอะไรแฝง แต่ก็พยายามประกาศว่าต้องสันติ อหิงสา อาตมาถือว่านี่เป็นผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ จะจริงขนาดไหนเขาก็รับว่าดี จะมีแฝงก็เรื่องของเขาแต่ของเรานี่มั่นใจว่าทำได้จริง เป็นปาฏิหาริย์ที่ศักดิ์สิทธิิ์ เป็นวิชาการที่เป็นวิทยาศาสตร์ชัดเจน เป็นส่ิงสุดยอดประเสริฐ

       ชีวิตอย่าทิ่้งธรรมะ ปฏิบัิตได้ทุกลมหายใจทุกอานาปานะ มีสติให้ได้ทุกขณะ สติเป็นตัวนำ หากไม่มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมปฏิบัติธรรมไม่ได้หรอก เป็นสภาวะจากความรู้ตัว มี

สัมปชัญญะ     =  ความรู้ต่อจากการมีสติรู้สึกตัว

สัมปชานะ       =  ความรู้สึกตัวในการปฏิบัติอยู่

สัมปาเทติ       =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ

สัมปัชชติ =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ       =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร

สัมปฏิสังขา     =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .

สัมปัชชลติ      =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง

สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล .

สัมปฏิเวธ        =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด 

 

       ชีวิตเกิดมาควรได้ก่อนอื่นคือธรรมะ ได้อรหันต์แล้วจะเกิดอีกกี่ชาติก็ได้ คำสอนที่ว่าเป็นอรหันต์แล้วต้องดับสูญ ไม่เกิดอีก นี่เป็นคำสอนที่ผิด เหมือนธาตุน้ำมี H2o ผู้รู้แล้วก็จะสามารถแยกธาตุได้ เป็น Hydrogen และ Oxygen ไม่มีแล้วน้ำ เหมือนการตายแล้วหากไม่สังเคราะห์ต่อ ก็สลายไป ปรินิพพานไป แต่ถ้าจะต่อ ก็ทำได้ จิตไม่มีอกุศลแล้ว ไม่มีกิเลสแล้ว ก็มีแต่กุศลจิต ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ได้ นี่คือตายเที่ยงตายแล้วตายเลย คือกิเลสอกุศลต่างหากที่ตายไปเลย อกุศลจิตตายไปไม่เหลืออนุสัยอาสวะ ส่วนกุศลจิตเป็นสังขตธรรม อรหันต์จะรู้ปล่อยวางแยกแยะดับได้ เพราะทำมาตั้งแต่กิเลสอบายมาแล้ว กิเลสกาม..และหมดได้สิ้น ทำได้แล้วก็ปล่อยได้แม้อรูปอัตตาก็ล้างเป็น เป็นอรหันต์ก็ทำได้ แต่ถ้าตั้งจิตต่อก็ทำได้ ไม่มีพิษมีภัยต่อกัน เป็นคนมีกุศลคุณค่าประเสริฐแท้ เป็นผู้ที่ต้องเคารพบูชาส่งเสริม ท่านรับใช้โลกแท้ๆ นี่คือสัจจะไม่มุบมิบ โมเม ไม่ใช่ศักดินา แต่เป็นสัจจะที่คนจะให้ท่าน เพราะท่านให้คุณหมด แต่คุณให้ท่านไม่เท่าท่านให้คุณหรอก ส่ิงที่คุณให้ท่านนั้นค่าสูงกว่ามาก เป็นธรรมะ คุณก็ให้ได้แต่วัตถุ แต่ธรรมะนั้นคุณให้ท่านไม่ได้ แต่ค่าสูงประเสริฐทำได้ยากยิ่ง ไม่ได้ตีราคา แต่ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ส่ิงหายากมากค่าก็ต้องสูง แล้วจำเป็นมากไหม ก็มาก อุปสงค์สูงสุดในสังคมคือคุณธรรม อาริยธรรมกิเลสลดได้ก็ค่าแพงมาก ไม่ได้หลงใหลนะ แต่เป็นสัจจะที่พูดสู่ฟัง

       ประเทศใดสังคมใด มีอาริยบุคคล โอ้โห ราคาแพงมาก อาริยธาตุ แพงมาก เป็นอุปสงค์ที่สูงมาก ไม่ว่าสังคมไหน กลุ่มไหนมีไม่เป็นภัยเลย ไทยเราหากมีสัก 50% จะเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไม่ต้องเรียกร้อง เขาจะประเคนยกย่องเชิดชูคุณเอง ด้วยปัญญาของเขาเอง อาตมาจึงอยากจะรักษาชีวิตไว้ เพราะเห็นผลนะ

       อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เสร็จก็ปริวิตก ว่าคนทุกวันนี้มีแต่กิเลสหนาจะสอนไหวหรือจะเสียของไปเปล่า คนจะรู้ได้หรือ ท่านปริวิตก จนเกิดสหัมบดีพรหม ก็ว่าฉิบหายใหญ่หากท่านไม่ประกาศศาสนา เพราะโลกขาดอย่างยิ่ง ท่านก็เลยตรวจสอบว่า ต้องสอนต้องประกาศศาสนา แต่ท่านตรวจสอบทุกอย่าง

       ท่านมีบารมีเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ที่ท่านต้องไปออกป่านั้น เป็นวิบากเพราะชาติก่อนทำวิบากไว้

เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ  ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า  “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก  ท่านจะได้จากโพธิ-มณฑลที่ไหน  โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง”  ด้วยผลแห่งกรรมนั้น  เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก  สิ้นเวลา 6 ปี   เราถูก  บุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด  เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น  ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ  (ล.32  ข.392)

       มาถึงกาละนี้แล้วอาตมาก็ต้องพูด พวกเราอยากได้ก็มาเอาฟรี

       พรุ่งนี้เป็นงานปลุกเสกฯอีกครั้งหนึ่งก็ตั้งใจขยายความธรรมะให้ดีๆ จะสอนเรื่องสัจจะที่ปรากฎ ก็เป็นเรื่องธรรมะที่จะเจาะลึก ให้รู้เพ่ิมขึ้น เช่น สุริยเปยยาลสูตร เป็นต้น แล้วจะเชื่อมโยงไป เป็นทิฏฐิธัมมิกกัตถ เป็นต้น      

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:28:34 )

570406

รายละเอียด

570406_พ่อครูเทศน์เปิดงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ 38 ที่ผ่านฟ้าฯ

       พ่อครูพาตั้งนโม 3​จบ....วันนี้เป็นวันที่ 6 เม.ย. 57 เป็นวันแรกจองงานปลุกเสกฯครั้งที่ 38 เป็นประเพณีที่จะเป็นประเพณีชาวอโศกตลอดไป ไม่ว่าจะมีการชุมนุมร่วมประชุม เพื่อร่วมฝึกปรือ แต่ละปีๆ เป็นประจำปี เป็นจารีต ซึ่งทุกคน ก็รู้ว่างานนี้ จะให้อะไรแก่ชีวิต งานนี้ก็จะให้ความรู้ ทั้่งปริยัติ และปฏิบัติ ประพฤติ และทั้งจะมีตัวอย่างเกิดจริง เป็นปรากฏการณ์จริงของชีวิต ให้แก่สังคมด้วย เป็นชีวิตขององค์รวมทั้่งสังคม

       ในสังคมก็มีมนุษย์รวมกันเป็นสังคม เมื่อรวมกันเป็นหมู่ใหญ่ก็เรียกเป็นกลุ่มจนเป็นประเทศ เป็นรัฐ หรือก็มีซ้อนลงไปเป็นจังหวัด หรือสาธารณรัฐ ก็มีรัฐต่างๆ ซ้อนกันอย่างนั้น อย่างของไทยเราปกครองอย่าง ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นรัฐเดียวแบ่งแยกไม่ได้

       ซึ่งจะต่างจากประเทศที่เป็นสาธารณรัฐที่มีหลายรัฐ และมีกฎหมายของแต่ละรัฐแตกต่างกันไป แต่ของไทยเรามีรัฐเดียว ซึ่งก็มีคนเข้าใจผิดสร้างความแตกแยกว่าอำนาจรัฐาธิปัตย์นี้เขาเข้าใจผิดไป

       ผู้ที่เข้าใจรัฐาธิปัตย์ ในเรื่องของสหรัฐ ที่มีหลายรัฐรวมกันเป็นสาธารณรัฐ คือรวมกันเป็นส่วนกลางของ สห ก็ต่างกันกับรัฐที่เป็นประเทศที่มีรัฐเดียว จึงไม่มีกฎหมายแยกความเป็นรัฐต่างๆ จะมีกฎหมายที่ต่างไปนิดหนึ่ง ก็คือกฎหมายจังหวัด เช่น กทม. หรือ พัทยา

       คำว่ารัฐาธิปัตย์ เมื่อไทยเราไม่ใช่สหรัฐ ความเป็นรัฐาธิปัตย์จึงต่างไป ความเข้าใจอันนี้ก็ยังไม่ละเอียดพอ ก็เข้าใจสับสนกันไปไม่ถูกตรง

       ประเทศไทยเป็นประเทศมีรัฐเดียว อำนาจของประชาชนในรัฐเดียวจึงเป็นอำนาจทั้งหมดที่เรียกว่า รัฐาธิปัตย์ ไม่เป็นสาธารณรัฐ ที่มีหลายรัฐ และไทยเรามีรัฐเดียวที่เป็นเอกรัฐ และมีราชาด้วย เป็นอำนาจที่ไม่แบ่งแยก จะบริหารอย่างเดียวกันทั้งประเทศ ด้วยกฎหลักเดียวกัน ตอนนี้ก็มีความเห็นต่างกันไป ก็เลยต้องตีความ ด้วยมาตรา 2 หรือ 3

       ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจที่ให้สถาบันทั้ง 3 เป็นผู้ใช้อำนาจ มีส่วนท้วงตุลาการ ได้ แต่ก็ท้วงได้ซ้อนอีก เพราะว่ามันมีความลึกซึ้งที่ตุลาการเป็นสถาบันที่ได้รับเลือกจากพระมหากษัตริย์ ที่เป็นหัวหน้าของประชาชนอีกที จึงต่างจากอีก 2 สถาบันอย่างลึกซึ้ง มีนัยสำคัญของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยสองขา จึงต้องทำแบบประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นการยืดหยุ่นและอลุ่มอล่วยกัน ถ้าเข้าใจแล้วจะอยู่อย่างสงบสันติ

       ถ้าเข้าใจชัดเจน อำนาจ ของประชาชนที่เป็นรัฐหรือเอกรัฐ อำนาจรัฐจึงเป็นของประชาชนไม่แบ่งแยก ในมาตรา 1 และ 2 ก็ยากที่จะแบ่งแยกว่าอันนี้เป็นเรื่องของแผ่นดิน หรืออันนี้เป็นสิทธิมนุษยชน เป็นต้น

       อำนาจรัฐ ที่เรียกว่ารัฐาธิปัตย์ โดยเฉพาะประเทศที่มีรัฐเดียว จะเรียกว่าสาธารณรัฐส่วนกลาง จึงยากจะเข้าใจ  และคำว่า สาธารณะ หรือส่วนกลางนี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าจะบริหารร่วมกันใช้สอย อย่างไม่ยึดติดเป็นเราหรือของเรา “บริหารอย่าง ไม่เป็นเรา ไม่เป็นของเรา” นี่มีธรรมะเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว

       ไม่ว่าทรัพย์ส่วนกลาง เช่น บ่อน้ำมันหรือ แก๊ส เป็นต้น เป็นของประชาชน ใครจะไปยึดเอาหาประโยชน์ส่วนตัว ประชาชนถูกเอาเปรียบเอารัด หรือมีทรัพยากรอื่นก็แล้วแต่ เช่นแร่ธาตุเป็นต้น แต่น้ำมันกับแก๊สนั้นชัดเจน

       ความเป็นสาธารณะนั้นใครมีความเห็นแก่ตัวแล้วเอาความฉลาดได้ไปเอาเปรียบคนอื่น อันนั้นไม่ยุดติธรรมต่อสาธารณะ แต่ถ้าคนมีความเห็นแก่ตัวน้อยหรือลดกิเลสได้จริง ตามลำดับๆ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ลดได้จริงจะมาปฏิบัติสาธารณโภคี ที่จะอุปโภคบริโภค ขอยกตัวอย่างผู้ที่มีสาธารณโภคีได้สูงสุดคือ ชาวอโศก แม้ไม่ดีสุด แต่ก็นำหน้ามนุษยชาติ เพราะมีระบอบระบบวิธีการบริหารทรัพยากร สาธารณะอย่างเป็นกองกลาง มีผู้จัดสรรดุแลอย่างคอมมูนิสต์หรือประชาธิปไตยก็ดี อย่างประชาธิปไตยก็มีกระทรวงการคลังหรืออื่นๆ เป็นต้น แล้วจัดสรรแบ่งแจกเพื่อให้ทั่วถึง เท่าเทียม ให้คนสรรถนะต่ำ หรือพิการได้รับสิ่งเป็นปัจจัยยังชีพได้เพียงพอไม่เดือดร้อนนัก รัฐก็ต้องแจกจ่ายให้ทั่วถึง แม้แลกเปลี่ยนก็ควรเป็นบุญนิยม ไม่ใช่ทุนนิยม

       เมื่อสังคมใดความเห็นแก่ตัวน้อยลงก็จะมีพฤติภาพ Characteristic ที่มีองค์รวม ที่แสดงออกมีอาการบอกว่าเห็นแก่ตัวน้อยลง ต่างจาก องค์รวมของประเทศที่มีกิเลสมาก จะต่างให้เห็นเลย ใครสังเกต Character ของชาวอโศกกับกลุ่มประเทศ

       อโศกมีมักน้อยสันโดษ เผื่อแผ่เจือจาน ทำงานรับใช้สังคมอย่างยิ่ง ขออภัยที่ต้องพูดเหมือนเบ่งข่มแต่เป็นเรื่องการศึกษาที่ต้องอ้างอิง ยืนยันได้

       เมื่อชาวอโศกได้ปฏิบัติตามธรรมะพระพุทธเจ้าจนมีความเห็นแก่ตัวลด มีความเห็นแก่ตัวในตนน้อยลงๆ ก็เลยเป็นพฤติกรรม รวมเป็นพฤติภาพออกไปสู่สังคม ร่วมเรียกได้ว่าเป็นการทำงานรับใช้สังคม ถือว่าเป็นงานการเมือง งานรัฐศาสตร์ รัฐกิจ เป็นการช่วยรัฐประเทศสังคมส่วนรวม

       อโศกได้ออกมาทำงานกับส่วนรวมตั้งแต่อยู่เป็นชุมชนก็ได้ผลิต อุปโภคบริโภคแก่สังคมแล้ว ผลิตของดีไม่เป็นพิษ ราคาถูก การศึกษาเราก็ให้เรียนฟรี การสื่อสารเราก็ทำโดยไม่มีโฆษณา ไม่ได้ทำเพื่อเลี้ยงชีพ แต่เราใช้เรี่ยวแรงหาด้วยส่วนตัวเรา มาเป็นการสื่อสารต่างๆที่เราทำได้สะพัดสู่สังคม เราทำแบบบุญนิยม ไม่ได้เอาประโยชน์รายได้จากงานนี้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสารต่างๆ

       แม้แต่ศิลปะ ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ใช้ศิลปะเป็นไปเพื่อทำงานหากินเอาเปรียบขายแพงๆ แต่อาตมาเป็นศิลปิน เคารพเชิดชูศิลปิน จะไม่ทำเพื่อทำมาหากิน เอารัดเอาเปรียบใครๆ เช่นการได้ขายงานชิ้นหนึ่งไปประมูลเป็นของตนส่วนตัวไป ก็เป็นการเห็นแก่ตัว งานก็ไม่ได้ให้คนหมู่มากได้ดู แต่ว่าให้คนๆเดียวเอาไปดู อย่างนี้ก็ขัดกับบุญนิยม แต่เป็นทุนนิยมคือความเพ่ิมกิเลส

       ตอนนี้เราจะสถาปนา บุญนิยมเข้าไปทดแทนทุนนิยม บุญนิยมคือคนลดกิเลสเป็นพฤติกรรมจริงในสังคม งานของมนุษย์ที่รู้จักบุญยิ่งกว่า ทำทุน จึงเป็นพฤติกรรมกุศล หรืออาริยะทำได้ ถ้าสังคมไม่เป็นอาริยะทำไม่ได้จะถูกทุนครอบงำได้ เพราะเขาไม่เข้าใจสัจธรรม ไม่เข้าใจจิตวิญญาณที่เป็นประธานของส่ิงทั้่งปวง จึงเป็นมนุษย์ที่ทรงไว้ด้วยกิเลสเป็นเจ้าเรือน เป็นเจ้าของชีวิต กิเลสก็บงการชีวิต เห็นแก่ตัวทุกประเทศ เอาไปเสพเป็นของตน เสพก็คือราคะ เป็นของตนก็คือโลภะ ทำลายแย่งชิงเอาเปรียบคนอื่นก็คือโทสะ

       ทำร้ายเบ่งอำนาจให้คนอื่นยอมให้ตนได้เปรียบก็คือโทสะ ไปบีบบังคับเบียดเบียน พลังงานโทสะก็คือมีความรู้สามารถทำได้จนได้เปรียบ หรือโลภะคือเอามาเป็นของตนได้ คนอย่างนั้นไม่ใช่อาริยะ แต่เป็นเดรัจฉาน

       แม้เดรัจฉานก็มีโลภ มีขอบเขตจำกัน แต่มนุษย์นี่โลภไร้ของเขต เลวกว่าเดรัจฉาน โลภมาก ทั้งที่น่าแจกจ่ายออกให้แก่คนอื่น เผื่อแผ่กระจายให้สะพัดแก่คนอื่นได้ทั่วถึง ทำอย่างนี้ถึงเป็นอาริยะมนุษย์

       คนเห็นแก่ตัวน้อยหรือเป็นอรหันต์จึงเป็นคนช่วยมนุษยชาติ อย่างแท้จริง ทีนี้ทฤษฎีที่จะทำให้คนเห็นแก่ตัวน้อยลงอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร? อันนี้ทุกคนต้้องแสวงหา ต้องค้นหาเอาเองว่าใครหนอเป็นเจ้าของทฤษฎีที่ตรงกับพระพุทธเจ้า ทำแล้วทำให้คนลดกิเลสได้ จนมาร่วมเป็นหมู่ จนแสดงออกเป็นพฤติภาพ บุคลิคร่วมเป็นองค์รวม เป็นภาวะที่ปรากฏเห็นได้

       Characteristic เป็นภาวะอาการที่เห็นได้อ่านออกได้ว่าเป็นไปเพื่อเสียสละให้แก่คนอื่น ชัดว่าเป็นไปเพื่อเอา หรือเพื่อพวกพ้องตนเอง แต่นี่เป็นไปเพื่อให้แก่คนหมู่มากมากกว่า ยิ่งเข้าใจในกายวิญญัติ หรือวจีวิญญัติ ลีลาท่าทาง กายกรรม หรือวจีกรรม ที่ออกมาจากมโนเป็นประธาน ไม่ซ่อนแฝงเร้นหรือเห็นแก่ตัว มันเป็นพลังงานซ่อนแฝง potential มันก็ออกมาโดยไม่รู้ตัวเป็นโมหะหรือควบคุมไม่ให้แสดงออกได้จริง มันก็แสดงออกมาอย่างไม่เห็นแก่ตัวได้ แต่ถ้าควบคุมไม่ได้อ่านไม่ออก ก็ทำอย่างโมหะอวิชชา จากกายและวจีที่เป็นองค์รวม ทั้งนัจจะคีตะวาทิตะ แสดงองค์รวมของร่างกาย เป็นองค์ประกอบที่ คนมีภูมิปัญญาจะอ่านออก

       แต่มีภาวะซับซ้อนว่า อรหันต์นี่ ทำอนุโลมแก่คนอื่นได้ คนเลยมองว่าท่านมีกิเลสเหมือนคนเหล่านั้น ทั้งที่ไม่ใช่ตัวจริงจิตท่าน ท่านทำเพื่ออนุโลมกับหมู่กลุ่ม ท่านหมดเห็นแก่ตัว แต่ต้องมาทำร่วมกับหมู่ที่ยังเห็นแก่ตัวอยู่ ท่านก็อนุโลมได้ คนเลยนึกว่าท่านมีกิเลสอยู่

       เป็นภาวะซ้อนตีกลับเป็น ปฏินิสสัคคะ คือการทวนที่ไม่มีสวรรค์ ทำกลับอนุโลม

       ตอนนี้อาตมามั่นใจว่าคนไทยมีธุลีในดวงตาน้อย จะรู้โลกุตรธรรม อาริยธรรมของพระพุทธเจ้าได้จริง ทำงานมา กว่า 40 ปี แม้ในวงการดารา อาตมาก็ยังเปิดคอลัมน์ธรรมะอยู่ในนสพ.ดาราภาพ และในนสพ.ของโทรทัศน์ อาตมาได้พยายามทำงานทางธรรมะตั้งแต่เป็นฆราวาส จนบวชปี 13 ก็ทำงานธรรมะเต็มตัว ทำงานได้ผล มีหมู่กลุ่มอโศกเป็นชาวบุญนิยม

       บุญคือการชำระออก ล้างกำจัดออก ไม่ใช่บุญคือได้มา ได้สิ่งของได้โลกธรรม อันนั้นลงทะเลยะเยือกเลย ทวนกลับเรื่องบุญเลย ทุกวันนี้คนเข้าใจบุญ ทวนกระแสกับบุญของพระพุทธเจ้าก็เลยลงนรกพังไปหมดทั้งสังคม

       การสอนที่คนไม่เข้าใจคำว่าบุญ เข้าใจผิด ว่าเอาบุญคือได้มา ไม่ใช่ บุญคือได้ลดละ เสียสละ ลดกิเลส นี่คือบุญ แต่สอนกันผิดก็เลยไม่ได้มรรคผล

       เมื่อเราได้บุญ ชำระกิเลส ลดโลภ โกรธ หลง ได้ มาเป็นชาวสาธารณโภคีได้ ได้อย่างชัดเจน ในคนมีปัญญาจะเห็นได้ แต่คนไม่เข้าใจหาว่าอโศกกระจอกซำเหมา มาทำงานรับใช้เช็ดถูปัดกวาด ไม่สวยงาม ชั้นสูงไฮโซ ก็ใช่ พวกเราพวกโลโซ ไม่ได้แย่งคุณเสกโลโซนะ เราทำงานความจริงโลโซจริงๆ แต่เราทำอย่างมีความรู้สามารถ

       แต่เราทำกับสังคมระดับสูง เขายังไม่เชื่อ เพราะเราไม่ได้ทำระดับวิถีสะพัด เขาก็ยังไม่ยอมรับ เขาไม่เชื่อว่าการค้าแบบนี้จะพาให้ทุนที่เขามีเยอะนี้ไปได้รอด แถมให้มาจนเขาก็ไม่เอาสำหรับคนจะไปรวย

       แล้วถามคุณว่า คนในโลกนี้รักจะรวยหรือรักจะไปจนมากกว่ากัน ...คนส่วนใหญ่ก็มักไปรวย จึงยาก แต่เราไม่ท้อ แม้น้อยเราก็ทำ เพราะเป็นแนวถ่วงของสังคม สังคมแย่งจะเอามากใหญ่ ก็เลยเดือดร้อน เราไม่เอาแบบนั้น สรุปเราไม่เอาแบบไปรวย เราก็ทำงานของเรา แม้โทรทัศน์ก็ไม่ทำเป็นอาชีพ แม้การค้าก็ไม่เอาเปรียบ ให้ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ทำจริงไม่ใช่แค่พูด ยถาวาที ตถาการี

       จนวันนี้คนทำได้ตามลำดับ อาตมาจะพาทำแบบนี้ต่อไป เป็นวิธีการที่มนุษย์สากล ลึกๆต้องการทุกคน แม้คนเห็นแก่ตัวขนาดไหนก็ต้องการ เพราะมันง่ายไง จึงไม่ขัดแย้งกับสังคมใดๆ บุญนิยมไม่ขัดแย้งกับสังคมใดๆเลย

       ความสามารถกับความพวกเพียรไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับความรวยหรือจน

       ทุกวันนี้อาตมาก็ส่งเสริมให้พวกเราได้เรียนปริญญา ตรี​ โท เอกได้ ว่าให้รู้ว่าคุณมีความรู้สามารถอย่างไร เราก็จะมีหลักฐานผลงาน เพื่อยืนยันไม่ใช่แค่ว่าเอาไปสอบจำท่อง แล้วเอาใบนี้มา อย่างไม่ได้มีความรู้สามารถจริงเลย แค่พยายามจำและทำข้อสอบได้ใบรับรองมา ความรู้สามารถก็หด ไม่ใช่ เราจะมีความรู้สามารถจริง เอาจริงซื่อสัตย์ แล้วได้ใบรับรอง ประชาชนชาวอโศกจึงมีใบรับรองด้าน มัธยม ปวช. ปวส. ตอนนี้จะทำให้มีปริญญา ตรี ขึ้นมาก็ยังดำเนินการอยู่ แม้ยากเพราะทวนกระแส แต่ก็พยายามทำ พวกเราบางคนก็ว่าไปเรียนนี่มันเมื่อย แต่ก็ว่าสังคมเขาต้องการอยู่นะ และเราก็สามารถเอาความรู้ฝึกหัดสมรรถภาพไม่เสียหลาย เติมเต็มได้ เราเอามาใช้งานจริง เมื่อเราได้ใบรับรองเชื่อมกับสังคมก็เลยดีขึ้น

       มีผู้ให้ข้อมูลว่ามีคนน้อยกว่าทุกทีเลย แค่ 495คน ที่มาฟังในเต็นท์นี้ คนมาลงทะเบียนยิ่งน้อยกว่าอีกคือมีแค่ 229 คนเท่านั้นเอง ผู้มาครั้งแรก 28 คน เขามาร่วมกับเราได้ยากเพราะอินทรีย์พละอ่อน แต่คนที่พอทำได้ปล่อยวางได้ เอาประโยชน์จากสัมปวังโก สิ่งแวดล้อมนี้ได้ มันจึงคัดเลือกบุคคลตามจริง คนร่วมได้ก็คือต้องเอาจริง สู้ได้ มีปัญญาเห็นได้ก็เต็มใจมาหรือฝืนมาร่วมก็ได้ประโยชน์ หรืออีกพวกว่าพ่อท่านพาทำก็ทำ แม้พาลงนรกลงหลุมขี้ก็ไป แต่ไว้ใจอาตมาไม่พาลงตำ่หรอก พาทำส่ิงดีทั้งนั้น ก็ได้ผลอยู่ เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย ถ้าผู้นำดีจริงประเสริฐสูงชาติพ้นภัย แต่ถ้าไม่ดีจริง ชาติบรรลัยไม่พ้นภัย

       การมาจัดงานที่นี่เป็นอุปสรรคที่จะก่อให้เจริญ อุป คือเข้าใกล้ ส่วน สัคคะคือสวรรค์ คืออุปสรรคนี่เข้าใกล้สวรรค์ เป็นสวรรค์ทั้งโลกียะและโลกุตระ แม้โลกีย์เขาก็ต้องทนหนักหนากับอุปสรรค เขาก็ได้โลกธรรม แต่โลกุตระได้ละโลกธรรม ละกามละอัตตา เป็นสวรรค์โลกุตระ รู้เนกขัมสิตเวทนา รู้เคหสิตเวทนา นี่ดีใจเพราะได้สมกิเลสหรือได้ล้างกิเลสจะมีญาณปัญญารู้ว่าจิตตนออกอย่างไร ออกจากโลกเก่า ไปสู้โลกใหม่

       จิตวิญญาณลดกิเลสได้หน่ายคลายไม่สุขทุกข์กับโลกีย์อย่างเก่า ถ้าสมกิเลสได้บำเรอก็เป็นเคหสิตะ หรือไม่ได้ตามกิเลสแล้วทุกข์ก็เป็นเคหสิตะ แต่ถ้าไม่ได้สมกิเลส แต่ทุกข์เพราะต้องการลดละกิเลส ก็เป็นเนกขัมสิตะ โทมนัสเวทนา ก็เรียนรู้ลดละไปจนได้ผลดีเกิดสุขที่เกิดจากการได้ลดละกิเลสเป็น เนกขัมสิตะ โสมนัสเวทนา

       การจะมาปลุกเสกฯหรือพุทธาภิเษกฯ นั้นพากันเป็นอาริยะมีปฏิบัติ และเชื่อว่าและมีปฏิเวธ ได้ตามจริงของแต่ละคนๆ เป็นการสอบไล่ด้วย เราก็จะได้จริงๆ มีข้อสอบเพราะทั้งเข้มและเคร่งในการปฏิบัติ เช่นการกินมื้อเดียวไม่ใช้เงินใช้ทองเป็นต้น อาหารหมดก็รู้จักพอ ไม่หมดเราก็พอ เผื่อคนอื่นด้วยไม่เห็นแก่ตัว ให้คนข้างหลังบ้าง ไม่ใช่ชั่วหัวมัน Let it be เอาแต่พวกกู อย่างนี้จิตเลว เราก็ได้มาฝึกฝน

       การสอบไล่จึงสอบไล่ทั้งหลักเกณฑ์ ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ทั้งหลุดพ้นได้ ไม่เกิดทางกาย วาจา และที่ใจเราไม่มีกิเลส ที่เป็นสมุทัยเป็นเชื้อดันออกมาทางกายกับวาจา เราก็จะรู้เห็นจริงตามญาณปัญญา

       อาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้าระดับโลกุตระกันกลางถนนราชดำเนิน เขาไม่รู้ตัวว่าอาตมาฉวยเอาเป็นห้องเรียนไว้แพร่ลัทธิ ฉวยเอาของรัฐบาล ประเทศไทยเผยแพร่โลกุตระ ไม่ใช่โอกาสที่เป็นง่ายแต่เป็นไปได้ ที่จริงไม่อยากอยู่นานหรอก แต่ก็น่าจะอยู่เลย 250 วัน แม้แต่ศาลก็ออกประกาศว่าอย่ามาสลายเขานะ ให้เขาใช้เป็นห้องเรียนต่อไป ศาลรธน.ก็ตัดสินแล้วนะ มีบุญขนาดไหนพวกเรา ให้พิสูจน์ปฏิบัติทดลอง ให้มนุษย์ได้ศึกษา ทั้งประโยชน์ตน_ท่านพร้อมกัน ทั้งของประเทศชาติและของตนหากรู้ตัว หากคนเห็นดีก็ช่วยกันทำ

       ไม่รู้ได้ว่าจะเลย 250 วันไหม คงจะเลย คนเขาสังเกตว่าเสื้อแดงชุมนุมวานนี้ก็ไม่มีมาก ไม่ถึงห้าแสน หากเขาทำได้มามากจริง ก็จะทำห่าม แต่นี่พระสยามเทวาธิราชท่านทำได้อย่างซื่อตรงที่สุด ความจริงคือความจริง เช่นเรามายึดที่สาธารณะนี่ประกาศพุทธบุญนิยมกลางสถานที่สาธารณะ นี่คือสยามเทวาธิราชิทธิ์ ทางโน้นก็พยายามทำแต่ไม่มีฤทธิ์แห่งสยามเทวาธิราชิทธิ์ช่วย ก็เลยได้น้อย

       ส่วนอาตมาเห็นว่าเป็นความเจริญของไทย แม้ทางฝั่งโน้นก็บอกว่าต้องสันติอหิงสา ของเราทำจริงๆเลยสันติอหิงสา แม้จะมีบกพร่องบ้าง แต่ว่าของเขาอาจมีแฝงซ้อนไม่ซื่อตรง ขออภัยที่อาจเป็นการดูถูก แต่ว่าของพวกเรานี่สันติอหิสาจนเป็นพฤติภาพที่สานเป็นค่าจริงว่า ศาลตัดสินให้เป็นการชุมนุมที่ถูกรธน. ไม่ให้รัฐประกาศสลายที่นี่

       เราทำดีเพราะทำดียังไม่มากพอ เราก็ทำต่อไป จนทำให้ดีมากพอหรือเกิน แต่ก็อย่าไปยึดติด ต้องเอาดีแจกจ่ายเจือจานต่อไป

       สรุปว่า ชาวอโศกจะตั้งใจปฏิบัติเช่นนี้ไปนิรันดรจนกว่าจะหมดเชื้อ ให้อบอุ่นอย่าให้อบอ้าว เราก็จะพยายามมีชีวิตอยู่ตั้งใจประพฤติธรรมจนมีธรรมเป็นอำนาจเรียก ธรรมาธิปไตย ในเรื่องการเมืองหรือบริหารประเทศหรือช่วยประเทศ ต้องมีธรรมะเป็นองค์ประกอบอย่างสำคัญตามที่คานธีว่าต้องเอาธรรมะเข้าไปสถิตในการเมืองถ้าในการเมืองไม่มีธรรมเข้าไปตั้งเป็นหลักในการเมือง การเมืองนั้นทำลายชาติ จะเรียกว่าประชาธิปไตยหรือสังคมนิยม เผด็จการก็ตาม ถ้ามีแกนธรรมะเป็นหลักสังคมดีทั้งน้น ธรรมะคือไม่เห็นแก่ตัวไม่มีกิเลส อย่าหลงผิดหลงทาง เป็นแต่เพียงจะรู้กิเลสและทำกิเลสออกได้จริงไหม ใครเห็นด้วยก็มาเอา ไม่ได้บังคับไม่ล่อหลอกไม่เรียกร้องเกินการณ์ ไม่เรี่ยไรให้คนมาด้วย อาตมาไม่ทำ เป็นแต่เพียงบอกกล่างบอกบุญบอกสิ่งที่ดีก็จบ มาก็มาด้วยฉันทะเอง แล้วตั้งใจทำให้ได้ ฟรี ก็เป็นไปได้ตามธรรม เราจะทำดังนี้ต่อไปและต่อไป เมื่อเป็นธรรมะที่ทรงไว้ในตัวคน รวมกันได้มากก็สะพัดสู่สังคมได้ตามธรรม

       

       ผู้มาแล้วยังไม่ได้ลงทะเบียน ก็ให้ไปลงทะเบียน ให้ปฏิบัติให้ได้ มีศีลเคร่ง ขัดเกลา กินมื้อเดียวในที่นั่งแห่งเดียว ไม่จุบจิบหลายมื้อ กินแต่น้ำได้ ทำธูตะก็จะได้อานิสงค์ ของศีลเคร่งขึ้นมา...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:29:52 )

570407

รายละเอียด

570407_ทวช.งานปลุกเสกฯ เรื่อง สัจจะที่ปรากฎ ตอน 1

       วันนี้เราจะเร่ิมสาธยายคาถา,มนต์,ภาษาคำพูด ที่จะต้องสื่อกันฟัง คนเหนือชั้นกว่าเดรัจฉานที่มีภาษา เป็นแสนเป็นล้านภาษา แม้หมู่กลุ่มเล็กๆก็มีภาษาสื่อกันได้ แต่สัตว์มันก็พยายามแต่ไม่ได้เท่าคน มันมีจิตวิญญาณเข้าไปร่วมในแต่ละคำ ที่ละเอียดละออ สื่อใช้ในกลุ่ม และพัฒนาไป จนแต่ละแวดวงแต่ละกลุ่ม แต่ละเผ่า แต่ละประเทศ

       ประเทศใหญ่ๆก็มีหลายภาษา อย่างอินเดียมีเป็นพันภาษา หรือจีนก็หลายภาษา อย่างอินเดียนี่มีภาษาบาลี ,สันสกฤติ ตั้งมาสื่อจิตวิญญาณ อธิบายสภาวจิต จิต เจตสิก ลึกซึ้ง ให้เข้าใจกันได้ ถ้าไม่เข้าใจแต่ละคำจำกัดความ หรือเข้าใจเพี้ยนก็สื่อไม่รู้เรื่อง กำหนดต่างกัน หมายต่างกัน

       เมื่อหมายกำหนดต่างกัน แม้ใช้คำเดียวกัน เช่นคำว่าทิฏฐิ แต่กำหนดหมายต่างกันไป ก็เอาไปใช้กำหนดต่างกัน กำหนดกายตามที่ตนเข้าใจ เช่นคำว่า สัตว์ คนเข้าใจคำว่าสัตว์ที่มีทั้งเดรัจฉาน เทวดา คน แล้วเข้าใจว่าสัตว์นรก คือสัตว์ต่ำ หมายถึง นรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกาย ก็เข้าใจเป็นตัวตน มีร่างกาย ถ้าเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์นรก ถ้ามีความรู้ศึกษาอธิบายเท่าที่ตนรู้ ก็เข้าใจแค่นั้น

       ซึ่งที่จริง นามธรรมนั้นมีรายละเอียดมาก ก็เข้าใจกันไปคนละอย่าง แม้อยู่ด้วยกันก็เหมือนอยู่คนละโลก คนเข้าใจว่า สัตว์นรกเป็นจิตวิญญาณ หากเป็นๆนี่ไม่ใช้จิตวิญญาณ ต้องตายไป ออกจากร่างไปตกนรก แต่ในคนเป็นๆนี่ไม่มี สัตว์นรกอะไร ต้องตายตกนรก

       ถ้าเข้าใจแค่นี้ก็ไม่รู้ความเสื่อมต่ำของจิต แม้ตอนเป็นๆก็เป็นสัตว์นรก ตอนเป็นๆนี่จิตวิญญาณเป็นอย่างไร ตายไปก็เป็นนรกอย่างนั้นไม่มีอะไรช่วย ไม่มีคนร่วม ไม่มีมิตรสหาย ไม่มีสัมปวังโก เป็นจิตของเราเดี่ยวๆ ไม่มีผู้ร่วมรับรู้ ทำ ช่วยด้วย ไม่มีสหายเลย จะเป็นความทุกข์ทรมานย่ิงกว่าไฟประลัยกัลป์ ย่ิงกว่าตกกระทะทองแดง หรือปีนต้นงิ้ว

       ที่จริงนรกที่ตกนั้นมันย่ิงกว่า ไปปีนต้นงิ้ว ปีนหนาม ลงไม่ได้ มีหมาเขี้ยวทองแดงคอยกระโดดงับหลายตัว ท่านอธิบายเป็นปุคลาธิษฐาน ต่างๆนานา แล้วมันจะเป็นความโหดร้ายรุนแรงน่ากลัว แล้วไม่มีรูปร่าง ร้ายแรงกว่าทีี่ปั้นหรืออธิบายให้ฟังนี้อีก ความจริงของนามธรรมนั้นทุกข์ทรมานย่ิงกว่ารูปธรรมที่อธิบาย

       ขณะที่พยายามสร้างปุคลาธิษฐาน แต่ก็มีคนไม่เชื่อบาปบุญ คนไม่กลัวบาปกรรม ทำบาปกรรมทั้งที่รู้ ทำชั่วทุจิตทั่งที่รู้ แม้ร้ายแรงเท่าไหร่ก็ทำ แม้โกหกหยาบเท่าไหร่ก็ทำ เพราะยังไม่ออกผล แต่ทุกคำโกหกคือบาปที่สะสมไว้ทั้งสิ้น ไม่มีตกหล่น ทิ้งไม่ได้ ทำแล้วเป็นของตน กัมมสกตา เป็นของตน สังเคราะห์ทั้งกุศล อกุศล อย่างอจินไตย อธิบายไม่ได้

       อย่างเอาพริก นำ้ปลา เกลือ มะนาวไปผสม ก็พอเรียนรู้ได้เป็นฟิสิกส์ แต่นามธรรมที่สังเคราะห์กันนั้น แม้พระพุทธเจ้าก็อธิบายเป็นอภิธรรมได้บ้าง แต่ลึกยิ่งกว่านั้นท่านอธิบายไม่ได้ก็เรียกอจินไตย เป็นวิทยาศาสตร์จิตวิญญาณที่อยู่ในสัตว์ในคน

       พระพุทธเจ้าท่านตามถึงเหตุชั่วและดี จนท่านทำลายเหตุชั่วได้หมด ไม่ทำพิษภัย เป็นสัตว์โลกที่เป็นประโยชน์สูงสุด ผู้สามารถดับเหตุแห่งอกุศลได้สนิทสุด จิตวิญญาณทรงไว้เช่นนั้น ถ้าไม่มีความรู้ในการสลายเหุต มันก็อยู่ไปเช่นนั้น เท่าที่มันมี อยู่ร่วมไปเท่าไหร่ ก็เท่านั้น ไม่มีหาย ของเก่าก็อยู่ของใหม่ก็สะสมเข้าไป

       เช่นคุณมีเหตุที่เป็นธาตุสีดำ ใหญ่ แข็ง คุณเองมีอย่างนี้ก็มีเช่นนี้ไม่หายไปไหน แต่คุณไปสะสมธาตุใหม่ หรือสีขาวที่จะกลบสีดำ สมมุติว่าธาตุดำ เป็นอรหันต์แล้วไม่เพิ่มธาตุดำเลย คุณก็จะเพิ่มแต่ธาตุขาวใส่เข้าไป กลบฤทธิ์ของธาตุดำสนิท หยุดได้สนิท สัพพปาปสอกรณัง แต่ธาตุดำก็ไม่หาย แต่คุณจะทำแต่ธาตุขาว จะช่วยกันทำแต่ธาตุขาว กลบธาตุดำ จนอีกนานเท่าไหร่ก็แล้วแต่ คุณหยุดการทำธาตุขาวในกรรมปัจจุบันใด ถ้าเผลอไปสร้างธาตุดำ ดำก็จะไม่หยุด แต่เมื่อเราสร้างขาวได้มากเท่าใด มันก็ห่างไกลเท่านั้น คุณละเว้นดำได้สนิทเท่าใด ก็ควบคุมเจตนาได้

       เจตนามี3 อย่าง กุศล อกุศล และเป็นกลาง ของพระพุทธเจ้าให้รู้ชัด รู้ดำ หรือขาว รู้กุศลหรืออกุศล แล้วสามารถสร้างพลังงานจิต ที่เก่ง เป็นทหารเอกให้แก่ตัวเองได้ จะมีทั้ง รู้ และ แรง

       รู้ คือรู้ทันว่าอันนี้เป็นกุศลหรืออกุศล

       แรง คือสามารถจัดการได้ จัดการได้กี่ส่วนก็แล้วแต่ หรือจัดการได้ถึงอุเบกขา ก็อยู่ที่ฝึกสร้างทหารเอกได้

       สามารถเรียนรู้ได้ สร้างได้ ตามทฤษฎี เหมือนฟิสิกส์ที่สามารถสร้างวัตถุธาตุต่างๆได้ นามธรรมก็เป็นเช่นนั้นได้ ทีนี้ผู้ที่จะรู้หลักสูตรนี้ จนเกิดจริงเป็นจริง ต้องมีความรู้จริง เมื่อรู้จริง

       เป็นสัมปวังโก แวดวงอโศก อยู่อย่างแก่นจนมีความเชื่อมต่อไป จนห่าง ห่างจนกระทั่งเป็นหาง แล้วหางไหนก็เป็นปลายหางเลย แล้วกว่าจะรู้สึกว่าหัวทำอะไร ปลายหางก็จะรู้ได้ยาก ยิ่งอโศกกว้างใหญ่ หางก็จะยิ่งห่างจากหัว

       หัวทำอะไร จนตายไปสามชาติ แล้วหางยังไม่รู้เลยว่าหัวทำอะไร พวกเราระวังจะไปห่างมากนัก แต่ให้ใกล้เข้ามาชิด จนรู้เห็นหัว นำพาไปให้ได้ เมื่อคุณเองอยู่ในระดับไกล แต่ตนเองทำตนไม่ตกหล่นจากสัมปวังโกก็พอได้ ก็ต้องทำให้ใกล้มาเป็นสหายโย อย่าไปทิ้งวง อาตมาแปล สัมปวังโกว่า สิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่จะเป็นความเชื่อมโยงกันหมด

       คุณจะจัดตนเองอยู่ในรัศมีแค่ไหน พุทธเป็นศาสนาอิสรเสรีภาพ ใครจะมีฉันทะเข้าในสายศีลก็ปลอดภัยมากขึ้น มีพลังงานช่วยได้มาก

       ผู้ใดยึดว่าเป็นศัตรูอยู่ ก็ยึดอยู่ เมื่อเราเลิกยึดเราก็ไม่มีศัตรู แม้คนนั้นจะพยาบาทจะฆ่าเรา แต่เราไม่มีการตอบโต้ อหิงสา ถึงอโหสิ เขาทำร้ายเราเราก็ไม่ตอบโต้ อย่างคานธีนี่เป็นต้น ก็ถูกฆ่าตาย แต่ตอนก่อนตายก็พูดว่าพระเจ้า

       จิตมีลักษณะต่างๆไป เช่น จิตพรหม จิตราม จิตศิวะ เป็นสามอย่าง

       จิตช่วยแม้ตนจะถูกฆ่าตายก็ยอม จิตศิวะคือผู้ปราบไม่ให้คนฆ่ากันไม่ให้คนทำชั่ว ส่วนรามนั้นก็ได้แต่ช่วยๆๆๆ ส่วนพรหมก็กลางๆ ใครจะอยู่ในน้ำหนักตระกูลไหนล่ะ แต่ที่จะถ่วงดุลก็คือราม ส่วนพรหมก็ต้องทำให้ได้ทุกคน ไม่เข้าข้างไหนก็ช่วยทุกคน สูงสุดของศาสนาพุทธคือพรหม คือพระเจ้าองค์แรก แล้วมาแยกเป็นรามเป็นศิวะ ในโลกจะมีสามอย่างนี้ช่วยกัน

       สังเกตง่ายๆ สามกลุ่มใหญ่ คือ กลุ่ม กปท.กองทัพธรรมคือพรหม กลุ่มคปท.คือศิวะ กลุ่มสุเทพคือราม แล้วสามกลุ่มนี้จะร่วมกันทำให้สำเร็จได้ ตอนนี้่ต่อสู้โดยปากหอกเป็นหลัก เชื่อไหมว่าฝ่ายเรานี่เป็นฝ่ายที่สงบสุด

       ฝ่ายสุเทพเป็นฝ่ายราม จะมีลักษณะมีพลลิง

       จริงๆคปท.ไม่ใช่ยักษ์ แต่เป็นฝ่ายกลาง ของผู้มีตัวแรงอยู่บ้าง แล้วได้ฝ่ายยักษ์มาช่วยบ้าง

       ส่วนฝ่ายรามคือฝ่ายสุเทพก็ช่วยถ่วง มีออกแรงบ้าง แต่คปท.ก็แรงกว่า ทางกปท.ก็สงบ

       ผู้มีปัญญารู้จะมีส่ิงเหล่านี้ พลังงานอย่างใดแรงอย่างนั้นชนะ เมื่อความแรงของยักษ์แรงก็ชนะก่อฤทธิ์แรงในสังคมเป็นสังคมโหดร้ายรุนแรง ฆ่ากัน ยิงกัน

       แต่ถ้าพระรามชนะก็เกิดสุขสงบ สงบจนค่อนไปทางอ่อนแอ ทางยักษ์นั้นเสื่อมเพราะแรงร้าย ทางด่านอ่อนก็เสื่อมเพราะอ่อนแอ ทางด้านแรงก็เสื่อมเพราะแรงร้าย เพราะฉะนั้นจึงยังมีสภาพทั้งแรงและอ่อน

       แรงของกุศลหากแรงเกินจะเป็นอกุศล แรงต้องใช้อย่างถูกสัดส่วน เช่นไซยาไนด์ หากใช้พอดีก็เป็นยา หรือใช้มากก็เป็นพิษ นอกจากความไม่มีก็สูญ​แต่ว่าถ้ามีขึ้นมาแล้ว พรหมก็ต้องปรับสมดุล

       กุศลแรงเกินไปก็พัง ดีมากไปก็เสีย เป็นภาษาสื่อให้ฟัง ส่วนมันจะเป็นนามธรรมรูปธรรมแค่ไหนก็แล้วแต่พวกคุณจะรู้จะใช้ได้

       ถ้าเราสามารถรู้กิริยากาย หรือวจี ทุกอย่างขององคาพยพ ออกแรงรวม และมีจิตใจร่วม เรียกว่า กาย

       กายนี่ไม่ได้หมายถึงแค่วัตถุ แต่คนไทยซวยไปเข้าใจ กายแค่ว่า ร่างโครงนอกวัตถุ ซึ่งผิดไปจากปรมัตถ์

       แม้วัตถุก็ถูกรู้ได้ แม้นามธรรมก็สามารถถูกรู้ได้

       แต่ไปเรียกดินน้ำไฟลมว่า “กาย” นี่ไม่ถูกต้อง เช่นร่างกายของขวดอันนี้เรียกว่า “กาย” ไม่ได้ 

       คำว่า นิรมานกาย ก็ไปเข้าใจว่าเป็นกายทิพย์ มีรูปร่าง คนมีตาทิพย์จะไปเห็นเป็นรูปร่างเส้นสีแสงอะไรก็เป็นการเข้าใจที่ผิดไปจากพระพุทธเจ้าสอน

       คำว่า กาย คำต้นคือ สักกายะ เป็นตัวตนหยาบแรกที่ต้องเรียนรู้เลย ไม่มีรูปร่าง แต่ต้องใช้จิตอ่านอาการนี้ให้ออก เช่น กามหรือพยาบาท หรือในนิวรณ์ 5 ก็ต้องอ่านอาการให้ออก เช่นอาการ กาม ไม่มีเส้นแสงสีรูป แต่เรารู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุทเทส

       เช่นเห็นดอกไม้ ได้สัมผัสกลิ่น อ่อนแข็ง แล้วก็เกิดอาการชอบใจ ตามที่ยึดถืออุปาทานไว้ แต่ทั้งที่รูปเสียงกลิ่นมันก็เป็นของมันเช่นนั้น แต่ในองค์ประชุมหรือกายของคุณ ชอบหรือชัง คุณต้องรู้อันนี้ แต่ว่าดอกไม้มันก็มีของมันเช่นนั้น แต่คุณสัมผัสแล้วเกิดชอบ นี่แหละ ในกายของดอกไม้คุณไปแถมประชุมร่วมว่าชอบ คุณต้องจับส่วนกายในกาย ที่ประชุมอยู่นี่แหละนี่คือ สักกายะที่คุณต้องศึกษา

       แต่เมื่อไม่เข้าใจก็จะไปรู้แต่ สภาพกายภาพ โคจรรูป หรือปสาทรูป ที่มันมีของมัน เป็นรูป เสียง กลิ่น เย็นร้อนอ่อนแข็งของมัน แต่คุณสัมผัสแล้วเกิดชอบหรือชัง แต่เมื่อคุณเกิดสัมผัสแล้วเฉยๆ คุณก็ไม่มีกายเข้าไปร่วม ไม่มีีรู้สึกอะไรเลย ถ้าใครเข้าใจได้ว่า กายคือรูปร่าง สีสัน มหาภูตรูป

       เช่นคุณศึกษาว่านั่งหลับตาแล้วเห็นกายทิพย์เป็นรูปร่างตัวตน อย่างไม่มีมหาภูตรูปเลย คุณว่าคุณมีตาทิพย์เห็นภายใน คุณก็พิจารณาเห็นแค่รูป แต่ไม่รู้เจโตปริยญาณ 16 ไม่รู้อาการจิตว่าชอบชังอย่างไร เพราะคุณไปติดแค่รูป พิจารณากายก็แค่รูปในจิต

       การไปนั่งสมาธิ ก็จะเพียงแต่ดึงสัญญาออกมาศึกษาว่า สุข ทุกข์คืออย่างนี้ ไม่เหมือนสัมผัสด้วยตาเนื้อแล้วพิจารณาชอบชัง เป็นเวทนาที่มีองค์ประชุมพร้อมทั้ง ปสาทรูป โคจรรูป แล้วรู้ นาม เป็นเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คุณจะไม่รู้ได้หากไปนั่งหลับตาทำ

       คุณจะไม่รู้กาม ไม่รู้ภพ ที่เกิดจริงเป็นจริง ที่เกิดจากผัสสะทางทวาร 5 แต่เอาแต่ไปนึกเอาในสัญญา คุณเอาเท็จมาเป็นจริง เอาจริงมาเป็นเท็จ แล้วมันไม่จริง แต่ถ้าคุณทำแบบสัมผัสนอกมาก่อนก็จะรู้เป็นจริงได้กว่า เมื่อไปนั่งดึงสัญญาเอามาศึกษาก็จะจริงกว่า แต่ถ้าเอาแต่สัญญานึกเอาก็จะไม่จริงได้มากเยอะเลยคาดคะเนเอาไม่เกิดภาวะจริง ยากที่จะหมดกิเลสได้

       อาตมาเป็นมิตดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีของพวกคุณ อาตมาไปล้อมคุณได้ยาก แต่คุณมาล้อมอาตมาได้ง่าย เมื่อคุณไม่มาอยู่ในสายศีล ก็ไม่เป็นสหาย และความเป็นมิตรที่จะให้ประโยชน์กันก็ยาก บางคนมาใกล้ก็ได้จิตวิญญาณน้อยก็มี ได้แก่นแกนนั้นน้อย ส่วนที่ได้ทั้งรูปธรรมนามธรรมก็มี ส่วนที่ได้แค่ประโยชน์ในวงกว้างก็มี

       แล้วจะมีพลังงานทางกาย กรรม วจีกรรม มโนกรรม ไปจนเป็นหลักการกฎเกณฑ์ของสังคม เรากำลังสร้างทั้งกฎเกณฑ์ เช่นกฎเกณฑ์ประเพณีที่มีในรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ให้ทำไปตามประเพณี คือสิ่งที่เคยทำกันมา

       เช่นพระเพณีในการปฏิวัติ คำว่าประเพณีนี้มีปฏิวัติ​คือการยึดอำนาจ ที่เคยทำมาก็ทำโดยForce ใช้อำนาจ Potential เป็นอำนาจ อย่างทหารนี่เขาเรียนรู้ฆ่าคน ปราบศัตรู ก็มีพลังแฝงอันนี้ในตัวทหารเขาไม่ต้องถืออาวุธมา คุณก็รู้สึกว่า มันฆ่าเก่งนะ เราสู้ไม่ได้ ไม่ต้องถืออาวุธมาคุณก็รู้สึกได้

       อย่างนี้ไม่ต้องมีอะไรมาหรอก แม่ทัพสามเหล่าเดินไปบอกนายกฯว่าคุณหมดหน้าที่แล้ว เราขอเป็นตัวแทนประชาชนมาบอกให้ท่านหยุด เชื่อไหมว่านายกฯจะหยุด ถ้าศาลตัดสินต้องติดคุก เขาก็ต้องหนีออกไปนอกประเทศแน่

       สรุปแล้วไปทำตามประเพณี ทำอย่างนี้ได้อาตมาว่าทำได้ทันที หากทำครั้งแรกก็เป็นประเพณี แต่ทำปฏิวัติมากี่ครั้งไม่สุภาพ แต่เรานี่ทำด้วยสุภาพเลย ทหารออกมาร่วมกับประชาชนเลย บอกนายกฯออกไป มาหมดทั้งข้าราชการและทหารมาหมด หากนายกฯจะอยู่ก็ต้องตามระบิลเมือง

       เราปฏิวัติได้ถูกรัฐธรรมนูญด้วย ควรทำได้ดีกว่าเอาอาวุธมาปฏิวัติด้วย

       ของฝ่านโน้นเขาก็ทำแต่เขาก็ว่าเขามากกว่า ดีกว่า แล้วใครถูกต้องดีงาม ใครสุภาพเรียบร้อยกว่ากันก็ต้องวัดกันดู

       อาตมาเชื่อว่าคนที่หยุดรุนแรงนั้นหยุดแล้ว แต่อีกฝ่ายยังไม่รุนแรง สุดท้ายแล้วฝ่ายสงบต้องชนะ เป็นการรบธรรมาธรรมะสงครามยึดอำนาจประเทศ ใครควรเป็นผู้ได้ โดยสากล ผู้ดีงาม ถูกต้องชอบธรรม สงบ หรือผู้ใช้น้อยสุด แม้ในสังคมที่รบกันที่ไหน แต่ในไทยนี่สงบถึงนั่งสวดมนต์สู้ปืน ก็มีมาแล้ว

       สังคมอโศกเราแม้จะเชิงโทสะหรือราคะมูล ในอโศกก็มี แต่ไม่จัดจ้านไม่มาก แย่งชิงไม่มาก ทำร้ายไม่มาก ไม่หยาบคายรุนแรง ไม่เล็กน้อย แม้ทิ่มแทงด้วยปากหอก ก็มี ไม่หมด แม้สังคมอาริยะก็มี ท่านนับตั้งแต่ไม่ทำร้ายกระทบร่างกายกัน การกระทบร่างกายให้เจ็บปวดก็ไม่ใช่สังคมอาริยะ แม้สังคมอาริยะจะมีบ้างก็ไม่หนาคน มีหนึ่งคนห้าคน แต่ก็ไม่ถึงหนักหนามาก ไม่รุนแรงขนาดพอการเลือกตกยางออก อโศกมา 30 กว่าปีมีน้อย ไม่ฆ่ากันถึงเลือกตกยางออก มีไม่กี่รายแล้วเขาก็สำนึก คนละอายหนีไปก็มี

       ส่ิงเหล่านี้ในมนุษยชาติเป็นได้ เราไม่มีโทสะ ราคะแรงเป็นธรรมะจริง จึงออกมาทำงานกับสังคมเป็นแกน และช่วยเหลือเกื้อกูล สังคหะ นอกจากไม่วิวาทแล้วมีเกื้อกูลสังคหะ เราก็ขยายสัมปวังโก ด้วยการสร้างมิตร ให้มีจิตเป็นจิตแบบเราร่วมประโยชน์ รู้โทษ

       ทำอย่างมีจิตเป็นเอก วัตถุเป็นองค์ประกอบรอง ส่วนกำลังพฤติกรรมแรงงานก็ช่วยกันออก ส่วนจิตวิญญาณแต่ละคนเป็นเอก ก็ช่วยกันไป เราช่วยตนเองได้อโศกหากไม่ออกมาทำงานมัวแต่สร้างเวียงวังของตนก็จะโอ่อ่าใหญ่โต แต่ประโยชน์จากผู้อื่นที่จะได้ก็ไม่มาก จะได้แต่วัตถุ แต่มานี่มาแพร่คุณธรรมนามธรรมจิตวิญญาณ มากระจายสินค้าเป็นผลผลิตทางนามธรรมด้วย แต่คนไม่รู้ก็มี ผู้รู้ผู้ได้ก็มีอยู่

       คนพยายามเอาก็มา ตั้งแต่ได้กระแสข่าวเร่ิมสดับตรับฟัง จนมาใกล้ พยายามติดตามจากสื่อสาร แล้วเข้ามาร่วม จนร่วมวัตถุ แรงงาน จนมาร่วมใจ ก็มาตามลำดับ เขาทำตามที่เขาเห็นค่า เห็นควร คนที่มีจริต รสนิยมแบบคปท.ก็ไปร่วม ใครมีจริตรสนิยมขนาดกำนันสุเทพก็ไป ใครจริตอย่างกปท.ก็มาร่วมที่ผ่านฟ้า

       เป็นการจัดสรรของแต่ละคนของเขาเองก็เกิดสร้างสรรในสังคม เป็นงานทีเกิดสังคม แม้แต่งานของฝ่ายแดงก็ทำ ซึ่งเปรียบเทียบกัน

       หากฝ่ายกปปส.ผิดก็แพ้ ส่วนฝ่ายนปช.ก็คือฝ่ายรัฐบาล ไม่ต้องเลี่ยง ตอนนี้มีสองฝ่าย เท่านั้น

       นปช.ควรอยู่ควรชนะหรือ กปปส.ควรอยู่ควรชนะ แล้วไม่ต้องทำร้ายกัน เขาก็พยายามสู่สันติอหิงสา เมื่อวานนี้อาตมาเห็นเลยว่า จตุพร ณัฐวุฒิ ก็ปลื้มใจ มีคนมาชื่นชม กอดจตุพร ก็คงจะเห็นดี มีแนวโน้มมาทำเหมือนกปปส. อาตมาไม่รู้ว่าเป็นครั้งแรกของจตุพร ณัฐวุฒิ หรือไม่ แต่สุเทพนี่โดนกอดหอมมากมายเลย เขาก็จะมาทางหามิตรหาสหาย  เป็นทิศทางที่ดี เป็นนิมิตดีของสังคม ไม่ต้องกลัวหรอกว่าประเทศไทยจะรุนแรง

       จะเน้นขยายกัลยาณมิตโต ว่า มิตรมีมากเท่าไหร่ก็ไม่พอ ศัตรูมีคนเดียวก็ไม่พอแล้ว เราต้องมาเป็นมิตร แม้ศัตรูเราก็ต้องไม่มองเป็นศัตรู เขาแก้ไขแล้วก็อนุโมทนา แล้วทุกอย่างจะไปหาส่ิงดี อาตมาเชื่อมั่นว่าไทยจะไม่ไปสู่ความรุนแรง คนแรงก็ลดความหยาบแรงลง ….


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:31:02 )

570410

รายละเอียด

570410_ทวช.งานปลุกเสกฯครั้งที่ 38 โดยพ่อครู เรื่อง สัจจะที่ปรากฏ ตอนที่ 4

       วันพฤหัสบดี ที่ 10 เม.ย. 57 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเมีย เป็น วันที่ 5 ของงาน ครบ 250 วัน ของกปท. และเป็นวันที่ 247 วัน ของกทธ. วันเวลาเคลื่อนไป สมรรถนะควรเพ่ิม ความรู้ความเพิ่ม นั่นคือความเจริญ

       พวกเราผู้ที่เข้าใจแล้ว มีความเป็นตัวเอง มีความเป็นส่วนตัวลดลง จนกลายเป็นเครื่องจักรกล ทำงานตามสมรรถนะ ความรู้ ซึ่งสูงกว่าจักรกลที่มีความรู้ เครื่องจักรทำงานตามแรง ไม่หยุดตราบตาย ก็ทำตามที่แรงงานสมรรถนะของมันจะทำได้ สำหรับเครื่องกลมีแต่วันจะเสื่อมลง แต่คนที่สามารถพัฒนาได้ โตขึ้นก็ฉลาดสามารถขึ้น จนถึงขีดหนึ่ง สรีระก็จะลดลง พลังงานก็ลดลง ความเร็ว แรงก็ลดลง แต่สมองหรือจิตวิญญาณ สมองเสื่อมลงได้จริง เพราะเป็นสรีระ พอถึงวาระก็เสื่อม แต่จิตวิญญาณไม่เสื่อม ถ้าจิตวิญญาณพัฒนาไม่ดี ถ้าสมองเสื่อมก็ทำให้จิตวิญญาณทำงานได้น้อยลง แต่จิตวิญญาณจะใช้สมองที่เสื่อมทำงานได้ดี ดีกว่าจิตวิญญาณที่เสื่อมจะใช้สมองที่ไม่ดีนั้นได้ไม่ดี เป็นภาวะซับซ้อน

       เกิดมาแล้วไม่ได้ธรรมะ นั้น โมฆบุรุษ แท้จริง เกิดมาหลงโลกธรรม โลกียะ ไปวัดไปวาน้อย ถ้าไปวัดก็ไปหาโลกธรรม ให้รวย ได้ยศ ได้ลาภ ได้โด่งดัง ได้กามได้อัตตา ก็คือจิตหลงโลกีย์หนัก ในยุคใกล้กลียุค

       สมัยโบราณตกเย็นเข้าวัดบ้าง ก็เห็นวัดเป็นที่ๆน่าไป ซึ่งเดี๋ยวนี้เสื่อมแล้วตามความเสื่อม 7 ประการของชาวพุทธ

       ไม่มีพระเป็นที่พึ่งเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราเป็นมิตรดีของเธอ คำนี้เป็นคำยิ่งใหญ่ ชีวิตใดอยู่ในมรรคองค์ 8 แม้จะเข้าใจเป็นโลกียะ ต้องการโลกธรรม แต่ถ้าจิตเป็นธรรมไม่ทุจริตก็เป็นกุศลได้ ถ้ามีอาจารย์ แม้จะสอนแค่โลกีย์ ระลึกถึงพระ เป็นมงคลของชีวิต

1.    ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ (ภิกขุทัสสนัง  หาเปติ) .

2.   ละเลยการฟังธรรม  (สัทธัมมัสสวนัง  ปมัชชติ)

3.   ไม่ศึกษาในอธิศีล  (อธิสีเล  น  สิกขติ)

4.    ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุ ทั้งที่เป็นเถระ  ผู้ใหม่และปานกลาง 

5.    เพ่งโทษฟังธรรม  (ธัมมัง  สุณาติรันธคเวสี)

6.    แสวงบุญนอกเขตศาสนานี้ (พหิทธา  ทักขิเณยยัง  คเวสติ)

7.   ทำสักการะก่อนในเขตบุญนอกศาสนานี้ (ตัตถะ  จ   ปุพพการัง  กโรติ)   (พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 27)

 

       ไม่มีพระเป็นมิตรดีเลย มิตรดีคือ ผู้ให้ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา

       พระพุทธเจ้าตรัสถึงโมฆบุรุษ คือภิกษุที่ไม่ปฏิบัติในครรลองคลองธรรม ผู้จะปฏิบัติตามครรลองคลองธรรมคือ มีสัมโพชฌงค์ มีสติ ที่เป็นทางเดินสู่โพชฌงค์ เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ทางเดินสู่ความเป็นกลาง มีอานาปานสติ คือทุกลมหายใจ มีสติระลึก มีจิตเป็นฌาน เพ่งทำลายกิเลส ล้างอกุศลจิตตนเองให้ลดลงๆ ต้องมีสตินำเสมอ วิจัย กาย วาจา ใจ ในทวารทั้ง 6 ที่ทำงานตลอดเวลา แล้วเราก็วิจัยได้ ต้องวิริยะ เข้าเขตสัมโพชฌงค์ คือมีความเพียรปฏิบัติบัติมนสิการ ไม่ว่าจะทำ คิดพูดทำอย่างไรก็มีสัมโพชฌงค์ ปฏิบัติโยนิโสมนสิการ ทุกการงานที่ทำอาชีพที่ทำ ไม่ทำงานที่สูญเปล่า ไม่เข้าท่า เสียเวลา รู้สาระการทำงาน ทำงานมีประโยชน์คุณค่า

       แต่ละวันแต่ละเวลา หากไม่ค่อยนึกถึงธรรมะ แต่นึกถึงแต่โลกธรรม คนนั้นโมฆบุรุษทั้งสิ้น เกิดมาได้ร่างกายมนุษย์แล้ว แต่ไม่รู้จักใช้ประโยชน์ให้ได้โลกุตรธรรม ก็ไม่ได้ใช้หนี้ คนเกิดมามีวิบากต้องใช้วิบาก

       แต่กลับนำร่างกายได้มาบำเรอตน เป็นสวรรค์โลกีย์ แต่ถ้ายังดียังใฝ่ธรรม ศรัทธาในธรรม พยายามไม่ทำอกุศล ก็ยังดี แต่ที่จริงเราเป็นลูกพระพุทธเจ้าเราควรได้โลกุตรธรรม ไม่ได้หมายความว่าเราเกิดมาไม่มีสิทธิ์ได้โลกุตรธรรม ถ้าใฝ่เพียร ถ้าตั้งใจสัมมาทิฏฐิจริงเป็นอรหันต์จริงใน 7 ปี หรือยกไว้ 7 เดือนได้อย่างน้อยอนาคามี

       ถ้าไม่มีฉันทะเป็นมูลกา และต้องทำใจในใจเป็น มนสิการเป็นจึงได้โลกุตรธรรม

       ทำใจในใจ คือสัมผัสใจ รู้จัก ประกอบ ทำใจได้ อย่างที่เขาบอกว่าจะทำสมาธิ ทำฌาน ไปนิพพาน ก็ต้องทำใจ ทาน สมาธิ ปัญญา หรือศีล สมาธิ ปัญญา ก็ต้องทำใจ ถ้าทำใจไม่สัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นข้อที่ 5 ของสุริยเปยยาล

       ทุกวันนี้เขาสอนทำใจได้แค่โลกีย์ แต่ยิ่งเป็นเดรัจฉานวิชชา หาแต่รำ่รวย โลกธรรม ก็สูญเปล่า แม้จะไปหาผู้พากเพียรพยายามปฏิบัติธรรม แต่ก็เป็นโลกียธรรม ก็สูญ​ตรงที่ไม่ได้โลกุตรธรรม

       ต้องได้พบสมณะพรหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รู้โลกนี้โลกหน้า สามารถสอนให้เราได้โลกุตรธรรมได้

       ชีวิตเกิดมาไม่ได้ธรรมะ ไม่ได้แก้วิบาก ไม่ได้แก้กรรม เพราะกรรมแก้ได้ด้วยตัวเราเองทำเป็น ถ้าไม่แก้กาย วาจา ใจ ที่เป็นกรรม คนเข้าวัดถือศีลแค่ กาย วาจา ก็ได้ฝึกหัดหยุดสงบ ทุกกรรมกิริยาของผู้ไร้ธรรมะ ทุกลมหายใจเข้าออก อานาอาปานสติ จะไม่เข้าสายโพชฌงค์เลย เป็นสติต้องการโลกธรรม กามและอัตตาตลอดเวลา ดีไม่ดีอัตตาของคุณเต็มไปด้วย อบายมุข เป็นกามเป็นอัตตาเต็มไปหมด เพราะไม่รู้จักอัตตาเป็นแสงอรุณข้อที่ 4

       ในสุริยเปยยาล ให้จำให้ดี

 

 

       ถ้าอธิศีลไม่เจริญ​อธิจิตก็ไม่เจริญ อธิปัญญาก็ไม่เจริญ ก็เป็นเพราะความเสื่อม 7 ประการ

1.    ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ (ภิกขุทัสสนัง  หาเปติ) .

2.   ละเลยการฟังธรรม  (สัทธัมมัสสวนัง  ปมัชชติ)

3.   ไม่ศึกษาในอธิศีล  (อธิสีเล  น  สิกขติ)

4.    ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุ .ทั้งที่เป็นเถระ  ผู้ใหม่และปานกลาง 

5.    เพ่งโทษฟังธรรม  (ธัมมัง  สุณาติรันธคเวสี)

6.    แสวงบุญนอกเขตศาสนานี้ (พหิทธา  ทักขิเณยยัง  คเวสติ)

7.   ทำสักการะก่อนในเขตบุญนอกศาสนานี้ (ตัตถะ  จ   ปุพพการัง  กโรติ)   (พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 27)

       เมื่อเราเจริญได้ด้วยอธิศีล ก็จะพบผู้ที่เป็นสมณพราหมณ์ที่ท่านขัดเกลาตนได้หมดแล้วก็ช่วยขัดเกลาผู้อื่น คนมีวรรณะจะเข้าใจว่าวรรณะ 9 เป็นอย่างไร เมื่อเยี่ยมเยียนภิกษุ ฟังธรรมจากสัตบุรุษ ศึกษาอธิศีล ก็จะเลื่อมใสสมณะ ที่ไม่ได้หมายถึงแค่ นักบวช แต่ฆราวาสก็เป็นอาริยบุคคลได้ จะรู้จักภิกษุผู้ใหม่ ปานกลาง หรือสูง จะศรัทธา

       คำว่าภิกษุหรือสมณะ ฆราวาสก็เป็นสมณะได้ มีธรรมะ ยิ่งผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นภิกษุก็ยิ่งเห็นได้ง่าย มีกรอบขอบเขต ก็ชัดเด่น ในความเสื่อม 7 ประการ ท่านที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าจะไล่เรียงไปตามลำดับ

       เมื่อเราเยี่ยมเยีียน ฟังธรรม เรามีอธิศีล ก็จะเข้าใจในสมณะ เลื่อมใส แม้ท่านเทศน์ผิดก็ไม่เพ่งโทส แม้หมู่ฆราวาสก็ไม่เพ่งโทส ไม่จับผิด ไม่ถือสา ไม่มีมานะถือดีกัน คบหากันอยู่ มีกรรมกิริยาสัมพันธ์กันอยู่ก็ไม่เพ่งโทส ถูกกระทบก็ไม่ถือสา ได้ยินได้พบสัมผัสก็ไม่เพ่งโทส เพราะเข้าใจเขา เขาคือเขา เราคือเรา อย่างอาตมาไม่รู้จักบางคนเขามาเป็นศัตรู เขาเพ่งโทสจากเรา หาผิดหาภัยเพื่อถล่มทลาย แก้แค้น อาฆาต แต่เราก็เรียนรู้จะไปอาฆาตเขาทำไม แม้ศัตรูก็มองให้เป็นมิตร เขาคิดเขาก็ตบมือข้างเดียว เขาคิดร้ายอย่างไรเราก็ไม่ตอบ เราหลบได้ก็หลบ ทำอย่างนี้ก็กำไรท่าเดียว อย่าคิดแค้นมีศัตรู

       คนเลิกศัตรูได้ผู้นั้นเจริญได้เร็ว พระโมคคัลลานะท่าเป็นอรหันต์มีฤทธิ์ด้วย ท่านหลบได้ด้วย ไม่ใช่กลัวด้วย แต่ท่านก็ยอมตาย ให้เขาฆ่า เพราะวิบากท่านหนักมาก เรามีแต่เมตตา หลบแล้ว ที่สุดต้องตายก็ต้องตาย ถ้าเข้าใจเรื่องวิบากด้วย แล้วเราเข้าใจคำว่าไม่ประมาท ซึ่งเป็นแสงอรุณข้อที่ 6

       เราจะพยายามทำโยนิโสมนสิการ และปัจจัยที่ทำให้เกิดโยนิโสมนสิการมมี 2 ข้อ คือ

       1.    ปรโต จ  โฆโส จ (การได้ฟังสัจจะมุมอื่นจากผู้รู้อื่นๆ หรือจากบัณฑิตอื่น  จะไม่ติดยึดแต่ภูมิรู้เดิมๆ ของตน)

       2. โยนิโส จ . มนสิกาโร (ปรับใจ ปฏิบัติกระทำใจให้ละเหตุแห่งการเกิดกิเลสที่ใจ  กระทำใจละให้เป็น  ให้ถ่องแท้  ให้หยั่งลงไปถึงแดนเกิด คือ สมุทัย ที่ใจ) . . .

       สัมมาทิฐิย่อมมีเจโตวิมุติ มีปัญญาวิมุติ เป็นผล และเป็นอานิสงส์ โดยมีองค์5 คือ สัมมาทิฐิอันมีศีลอนุเคราะห์แล้ว  สุตะอนุเคราะห์ สากัจฉาอนุเคราะห์  สมถะอนุเคราะห์  วิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว (พตปฎ. เล่ม 12   ข้อ 497)

       ถ้าคุณมิจฉาทิฏฐิก็จะเป็นไปตลอดกาลนาน เพราะไม่มีปรโตโฆษะ

       อาจารย์ใหญ่ๆในศาสนานี้ ฟังธรรมอาตามาก็ตีทิ้งเลย ท่านก็จะจมอยู่อีกเท่ากาลนาน อาตมาฟังธรรมของที่อื่นก็ฟังอย่างตั้งใจ เข้าใจเขาว่าไม่สัมมาทิฏฐิ อย่างฝ่ายแดงก็ยิ่งปรุงแต่งไปใหญ่เลย คบมิตรชั่ว ทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิไปใหญ่เลย มีแต่จะให้เอาให้ได้ แพ้ไม่เป็น เลิกไม่ได้ เอาชนะคะคาน ถ้ายึดติดจะเอาชนะในทางที่ชั่วก็ซวยตลอดกาล

       ยึดนั้นซวยแน่ ยึดทุจริตซวยแน่ ยึดสุจริต ซึ่งสุจริตมีทั้งโลกียะและโลกุตระ

       เมื่อเข้าใจสุจริตของโลกียะกับโลกุตระ ก็จะเอาอันไหน ถามใครก็รู้ ไปถามดช.ดูดีก็ได้ เขาเลือกเอาโลกุตระ

       ถ้ายิ่งเราโตแล้วก็รู้ปฏิภาณรู้ว่าจะเอาโลกียะหรือโลกุตระ

       ไปทำความเข้าใจใน 7 อย่างของแสงอรุณนี้ให้ได้

       ไปคบมิตรดีให้ถูก หากแสวงหาอาจารย์ในป่า ก็เป็นความเสื่อม 7 อย่าง ตั้งแต่ 4 ประการแรก เป็นเรื่องผิดแล้ว ที่จะต้องไปแสวงหาอาจารย์ในป่า ต้องไปบุกดง เป็นธุดงค์

       คำว่าธุดงค์ มาจากคำว่า ธูตะ ไม่ใช่เข้าป่าเขาถ้ำ อาตมาเคยพูด ไม่ต้องเข้าป่าก็บรรลุธรรมได้ แต่ไม่ได้ดีทิ้งป่า เราจะไม่ทำลายป่า เราไม่ทำลายธรรมชาติแวดล้อม แต่เราจะสร้างป่า ปลูกป่า แม้ในพุทธสถานชุมชนก็สร้างป่า

       เขาเข้าใจผิด ไปเข้าหาหาเสือสิงห์กระทิงแรด แล้วไปทำฤทธิ์ว่าให้สัตว์สยบได้ แต่ไม่ได้สยบให้กำจัดสัตว์ในตัวเอง อย่างนั้นสู้พวกที่ฝึกสัตว์ในละครสัตว์ก็ไม่ได้ อาตมาไม่ได้ตีทิ้งป่า แต่ตีทิ้งประธุดงค์ที่มิจฉาทิฏฐิ       

       พระธุดงค์คือศีลเคร่ง อย่างพระมหากัสสปะ ท่านเคร่ง มีจริตอยู่ป่า พอท่านเป็นประธานในการสังคายนาพระไตรปิฎกก็เลยมีจริตเป็นพระป่า หนักไปทางป่า เอียงไปทางป่า

       อาตมารู้อจินไตย ก็เพราะว่าพระป่านี่แหละจะรักษาศาสนาไว้ได้ แต่ถ้าออกกรุงเหมือนมหายานก็ไม่เหลือโลกุตรธรรมเลย จะเหลือโลกุตรธรรมก็แต่ในเถรวาท นี่คือบุญคุณของพระป่า แต่ก็ต้องตีทิ้งเพราะเป็นความเสื่อม 4 ประการ

       ตัวอย่างธรรมกายเป็นความเสื่อมหมดเลย 4 ประการนี้ คือทำหลอกคนไปหมดเลย อย่างธุดงค์ของเขานี่ดราม่ามากเลย เป็นการตลาด หาโลกธรรม เป็นพันเปอร์เซ็นต์ ขออภัยต้องพูดข่มในสิ่งที่ควรข่ม ยกไม่ได้ ยกมาก็บรรลัย ขนาดข่มอย่างนี้ยังไม่ค่อยลงเลย พระเถรสมาคมก็เอนเอียงไปทางนั้นมากกว่าเราเลย

       อัตราการก้าวหน้าของธรรมกายมีอัตตราก้าวหน้ามากกว่าอโศก คิดเป็นสัดส่วน แต่อโศกก็มีอัตตาก้าวหน้า แต่เราไม่เอาชนะคะคานธรรมกาย ธรรมกายจะไม่ตายเพราะอโศก แต่ธรรมกายจะตายเสื่อมเพราะตัวเอง เหมือนกับฝ่ายแดง ไม่ได้ตายเพราะกปปส. แต่จะตายเพราะตัวเอง

       เช่นนายกฯดื้อด้านไม่ฟังคำตุลาการตัดสินเลย เขาฆ่าตัวเองเป็นต้น ซึ่งเป็นอำนาจใหญ่ อำนาจบริหารก็พังไปแล้ว ยุบสภา เหลือแต่รักษาการ ยังเหลือสภา สว.อยู่นิดเดียว ก็พยายามทำขึ้นมา ก็ไม่มีน้ำหนัก เพราะสว.ของไทยไม่มเหมือนสภาสูงของอังกฤษ แต่สภาสูงของไทยเป็นเครื่องมือของรัฐบาล ไม่ใช่มาคานอำนาจรัฐบาล นี่คือประชาธิปตาย ไม่ใช่ประชาธิปไตย ไม่มีศักดิ์ศรีเลย ทั้งสส.และสว.​ ทำมาตั้ง 81 ปีแล้ว ประชาธิปไตยของไทย

       สภาไทยไม่เคยมีอำนาจเท่าเทียมสภาบริหารแต่ไหนแต่ไรมา อำนาจของนายกฯ ใหญ่กว่า ประธานสภา ซึ่งความจริงเท่ากัน ทั้่ง 3​อำนาจ คานกันได้ มีสิทธิ์เสอมกัน ทำหน้าที่ของตนไปจะคานน้ำหนักกันได้

       อย่างสภาก็ออกกฎหมายควบคุมบริหาร ตุลาการก็ดูแลควบคุมทั้งสภาและบริหาร จนตอนนี้ตัดสินได้แล้ว

       แต่ตอนนี้บริหารและสภา ร่วมมือกันตีตุลาการ รวมหัวกันควำ่อำนาจตุลาการ

       เมืองไทยยังเหลือเชื้อตุลาการที่ดีอยู่ คนไทยคนไหนตีทิ้งตุลาการ คนนั้นไม่ใช่คนไทยหรือไม่ใช่มนุษย์ด้วย เพราะไทยไม่ใช่เผด็จการ

       แต่แม้แต่เผด็จการสมบูรณายาสิทธิราช ก็ยังมีการเคารพกฎหมาย เคารพตุลาการ

       การดูแลปกครองบ้านเมือง เป็นสัจจะที่ปรากฏ มีนิมิตว่าเลวร้ายล้มละลาย ก็ยังดีที่มีตุลาการอยู่ ขอให้แข็งขัน พระเจ้าอยู่หัวได้ฝากให้ตุลาการดูแลบ้านเมืองมาหลายปีแล้ว เท่าที่ได้ฟังคณะศาลไปปฏิญาณตนต่อหน้าพระพักต์แล้วท่านก็ตรัส ฝากบ้านเมืองไว้ด้วย แต่ไม่เคยเห็นท่านตรัสกับคณะสภาและบริหารเลย ไม่เห็นท่านตรัสเช่นนี้เหมือนกับตรัสกับตุลาการ

       เมืองไทยโชคดีมีในหลวงเป็นโพธิสัตว์แต่คนไทยไม่ใส่ใจศึกษาไม่ทำตาม ก็อย่าถือดีถือตัวนักเลย ให้ศึกษาให้ดี ประเทศไทยล้มเหลวมากแล้ว สามสถาบันของประเทศฉิบหายวายป่วงมากแล้วไม่ว่าจะเป็นสถาบันรัฐสภาหรือบริหาร

       อาตมาเป็นเหตุการณ์บ้านเมืองยุคนี้ไม่เหมือนชาติก่อนๆที่อาตมาเคยผ่าน ชาติก่อนๆที่เคยผ่านมาไม่เสื่อมเลวร้ายขนาดนี้เลย ขออภัยที่ต้องพูดอย่างนี้

       อาตมาได้พูดไปแล้วว่า คนที่ร้ายตอนนี้ร้ายกว่าเทวฑัตด้วย ไม่ได้พูดเล่นนะ

       

       รัฐาธิปัตย์ คำว่าอธิปัตย์ของรัฐนั้นคืออำนาจประชาชน ใช้ภาษาอังกฤษว่า Sovereignty อำนาจใหญ่ที่สุดในประเทศคือกษัตริย์ แล้วก็กระจายมาสู่ประชาชน อำนาจ รัฐาธิปัตย์คือ ในหลวงกับประชาชน แล้วยังเป็นกษัตริย์ทรงคุณธรรมรักลูกทั้งเลวและดี ท่านจำนนที่ลูกคนไทยมีทั้งเลวและดี ก็เป็นลูก ท่านมีความเป็นกลางที่ต้องใช้อย่างนี้ เป็นSovereignty ท่านมี privilege อันนี้ในการสร้างอันนี้

       

       เมื่อสังคมประเทศล้มเหลวจริงๆสองสถาบัน เขาเลิกเชื่อแล้ว ก็ต้องตัดสองอำนาจนั้นไป ทั้งบริหารและสภาพ ก็ทิ้งได้แล้ว ประชาชนก็ต้องรับผิดชอบ ดีที่ประชาชนก็ออกมารวมตัวกัน ออกมาอยู่กลางที่สาธารณะ ร่วมเป็นมวลประชาชนที่ต่างกับหมู่แดงที่รวมหมู่ชนไม่ได้ ใช้อำนาจเงินซื้อก็ไม่ได้นาน จิตไม่ได้สามัคคีหนึ่งเดียวกัน ไม่เป็นโลกุตรธรรมอย่างกับกปปส. ที่เรามีหน่่วยเสริม มีสามเส้าเป็นองค์รวม เหนียวแน่น ยืนนาน ยั่งยืน วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ทางโน้นจะมาแข่งก็เห่าบ็องๆๆๆ หรือท้องแตกตายเอง จะล้อเลียนอย่างไรก็ไม่ได้ มันซับซ้อน

       ประชาชนสองกลุ่ม ก็ต้องตัดสิน ตุลาการตัดสินเขาไม่ฟังก็ต้องอาศัยประชาชนตัดสิน ตุลาการตัดสินคุณไม่ใส่ใจ ด่าทออีก ประชาชนจึงต้องเอารัฐาธิปัตย์มา พิสูจน์ในคุณภาพที่อยู่เหนียวแน่นยืนนาน อยู่กันสงบเย็น ศาลก็มีปัญญาตัดสินให้คุ้มครองตามรธน.หมดเลย แน่นอนอาจมีบกพร่อง ศาลท่านมีดวงตาเห็นว่าเป็นส่ิงที่ธรรมดา แต่แก่นแกนทำถูกรธน.ทุกมาตราเลย

       ประชาชนเป็นผู้ตัดสินรัฐาธิปัตย์  รัฐบาลไม่ใช่รัฐชาติหรือรัฐประเทศ รัฐบาลแค่มาทำงานตามที่รธน.กำหนด ทำเกินทำขาดไม่ได้ทำผิด มีอำนาจหน้าที่ตามระบุไว้ไม่ใช่อำนาจของแผ่นดินทั้งหมด

       สรุปแล้ว อำนาจรัฐาธิปัตย์ ผู้เป็นประชาชนเป็นเจ้าของ ดินทุกเม็ด ทองทุกก้อนในแผ่นดินนี้ ประชาชนก็ต้องดูแล เมื่อรัฐบาลหมดสิทธิ์หมดหน้าที่แล้ว ทั้งพฤตินัย แต่เขาไม่เคารพนิตินัย ตีทิ้่งนิตินัย แล้วจะอานิตินัยมาเถียงจะบ้าหรือ? นี่คือคำตอบว่าคุณหมดแล้ว

       ตอนนี้กลุ่มประชาชนก็มี กลุ่ม กปปส.นี่ไง ถูกแล้วดีแล้ว กลุ่มอื่นจะทำก็ทำได้เหมือนกปปส. ถ้าฝ่ายข้าราชการประกาศตัวมาอยู่ในกปปส.มาก็จบ

       มีประชาภิวัฒน์ ตุลาการภิวัฒน์ ตอนนี้เติม กรรมาภิวัฒน์ เป็นตัวตัดสิน

       ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้ต้องจัดการจรเข้ขวางคลองก่อน ข้าราชการก็คือประชาชน ต้องมาช่วยกัน

       นิติรัฐ นิติธรรม อย่างอังกฤษ เขาไม่ต้องเขียนรธน.เลย เขามีนิติธรรมเป็นหลัก เหมือนศาสนาพุทธตอนแรกก็ไม่มีวินัย ก็มีแต่จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลเป็นหลัก แต่วินัยมาออกทีหลัง

       ขอสรุปเข้าเรื่อง     

       จะปฏิบัติโลกุตรธรรมได้ต้องมี มิตรดี ถ้าคุณบรรลุอรหันต์แล้วก็จะอยู่กับโลกีย์ไปแบบพระอวโลกิเตศวรได้ก็เชิญ ท่านตั้งปณิธานว่าจะอยู่ช่วยมนุษย์ให้บรรลุอรหันต์ไห้หมดโลกจึงปรินิพพาน

       ถ้าคุณไม่ได้พบสมณะพราหมณ์ตามสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ก็ไม่ได้รู้ศีลที่สัมมาทิฏฐิ ฉันทะ อัตตะ ทิฏฐิ อัปปมาทะ หรือโยนิโสมนสิการที่สัมมาทิฏฐิ        


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:32:25 )

570410

รายละเอียด

570410_รายการตอบปัญหาละดับชาติ ตอนที่ 1 ในงานปลุกเสกฯครั้งที่ 38 ณ เวทีผ่านฟ้าฯ

  • อาตมาพูดไทยชัดนะ เป็นการตอบปัญหา ละ ดับ ชาติ , ชาตินี้เป็นการเกิด ของ โอปปาติกะ เป็นโอปปาติกโยนิ เป็นหนึ่งในการเกิด 4 และการเกิดอย่างที่ 4 นี้นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ได้

1.           ชลาพุชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์)

2.   อัณฑชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ)

3.   สังเสทชโยนิ  (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว)

4.          โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที     เกิดนิโรธ  ไม่มีอะไรมาคั่น  เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก)   (พตปฎ.เล่ม 11   ข้อ 263)

       คำว่าอัตตานี้เป็นคำเรียกตัวตนทั่วไป เป็นคำกลางๆ ส่วน

       สักกายะเป็นตัวตนที่ผู้มีทฤษฎีพระพุทธเจ้าจะอ่านรู้ รู้นามรูป ที่เป็น กาย หรือองค์ประชุมพร้อมในนามธรรม ถ้าเป็นโสดาบันต้องรู้สักกายะของตนเองก่อน มันไม่มีรูปร่าง แต่เป็นนามธรรม ผู้สามารถอ่านลักษรณะของมันได้ พิจารณาใน กายในกาย ให้มีดวงตาอ่าน กายในกาย ออก

       กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ไม่แยกส่วน มีการกระทบสัมผัสตั้งแต่นอกมา สัมผัสทางทวาร 5 แล้วรู้สึกอยู่ในภายในจิต เป็นสุข ก็เป็นองค์ประชุมของเทวดา หากอ่านแล้วทุกข์ก็เป็นสัตว์นรก หรือเป็นเปรต เดรัจฉาน อสุรกาย เราก็อ่านลักษณะของสัตว์นรก นี่เป็นความหยาบ

       เปรตคือความอยาก เดรัจฉานคือความโง่ อสุรกายคือความกลัว กลัวในเรื่องที่จะพัฒนาตนให้เจริญ กลัวเสียลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเป็นต้น

       ผู้มีปัญญาทางธรรมจะอ่านออก ผู้มีวิชชาของพระพุทธเจ้าจะอ่านออก เข้าถึงญาณปัญญาระดับวิชชา เป็นวิชชาข้อแรกในวิชชา 8 เป็นวิปัสสนาญาณ

       ถ้าจะนับเป็นสัตว์นรกเป็นเช่นนี้ เป็นอสุรกายเป็นเช่นนี้ หรือมันตกต่ำมากเรียกอติวินิบาติ ความเป็นสัตตาวาสเราจะอ่านออก แล้วก็ตามหาเหตุ ก็คือจิตในจิตนั้นแหละ สราคจิต สโทสจิต สโมหจิต เราอ่านออกแล้วทำให้อาการนี้มันดับ มันเป็นอกุศลเจตสิก เป็นอาการจิตเรียกเจตสิก เป็นตระกูลใหญ่ 3 ตระกูล จับตัวมันได้เห็นจริง ก็ละมันได้ดับมันได้เรียกโอปปาติกสัตว์ ในร่างกายมนุษย์นี่แหละมีสัตว์พวกนี้อยู่ เป็นของจริง เป็นเทวดาสมมุติ ถ้าเราทำให้กิเลสลดได้จะเกิดใหม่ โดยมีจิตส่วนหนึ่งตาย จิตส่วนหนึ่งเกิด

       จิตที่เกิดใหม่เราเรียกว่า โอปปาติกโยนิ เกิดเองไม่ต้องแบบ ชราพุชะ หรือสังเสทชะ เรากำจัดเหตุปัจจัยมัน ฆ่าเหตุได้มันก็ตาย ฆ่าได้นิดหน่อยก็เบานิดหน่อย ฆ่าได้มากมันก็จวนจะตายเลย มันอ่อนแรง เมื่อมันตายแล้วก็ตายแบบไร้ซาก ส่วนสัตว์อย่างอื่นตายแล้วเหลือซาก

       แต่สัตว์โอปปาติกะนี้ตายแล้วไม่เหลือซาก เกิดก็ด้วยเหตุปัจจัย ครบก็เกิดเลย ใครสามารถทำให้ละหรือดับ     การละให้จางคลายเรียก วิราคะ มันก็หมุนเวียนเกิดๆดับๆ เรียกอนิจจานุปัสสี เราเห็นมันดับได้แล้วเราก็สบาย เจริญพัฒนาขึ้นไม่รู้กี่อย่างเลย ทำให้กิเลสตายเป็นส่ิงเจริญจริงๆ ถ้าทำถูกสภาพ จะรู้เลยว่ามันวิเศษ เห็นความไม่เที่ยง มันไม่เกิดอาการชั่วคราวได้ ดับได้ชั่วคราว แล้วเราก็ทำอีกให้มันไม่เกิดอีกนานเลย มันจะหายไปอีกนานไหม เราก็ทำไปเรื่อยๆ เรียกว่า ปฏินิสสัคคานุปัสสี เรียกว่าดับขาด ปฏินิสสัคคะเรียกว่าดับสวรรค์​ทวนทำอาการไม่มีสวรรค์ชนิดนี้แหละ จะเรียกว่า นิรามิสสุขก็ได้แต่สุขสงบ วูปสโมสุข หรือจะเรียกอย่างสมบูรณ์เลยว่า ปรมังสุขัง อาตมาแปลว่า ยิ่งกว่าสุข

       กิเลสที่เป็นสัตว์ชั้นต่ำก็ดับก่อนเลย เป็นโสดาบัน ก็เอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน เช่นเราดับอบายได้ เช่นเราดับเชื้อที่ติดพนัน ติดเหล้าติดบุหรี่ ติดใส่ขนตาหนักๆ พอละได้ก็จะรู้ว่าเราได้เวลาทุนรอนแรงงานคืนมาได้ เราเจริญพัฒนาทางเศรษฐกิจ ได้พัฒนาอื่นๆอีกมากมาย ความสูญเสียที่เราได้บำเรอ เพื่อให้เกิดอาการอย่างนั้นแล้วเราได้เสพอารมณ์สุข แต่หมดหายไปแล้วก็เหลือแต่ความจำ อยากได้อีกก็ระลึกถึง ความรู้สึกดีๆ ก็ดึงเอาสัญญามาไม่ใช่ตัวจริง ไม่ใช่เรื่องจริง นี่คือความลึกซึ้งธรรมะที่เป็นของจริง พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วดับชาติได้

        ตอนนี้ก็มาสู้กับคณะรัฐบาล มีคนเขียนมาว่า  เมื่อพ่อท่านมอบยุทธศาสตร์ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ ทางรัฐบาลก็ใช้ยุทธศาสตร์นี้ได้เหมือนกัน คือ ดื้อให้นาน ด้านให้เป็น เข่นให้ตาย กูก็ไม่ออก กูจะตายคาสนามประชาธิปไตย เลยหน้าด้านดึงเกมไปเรื่อยๆ ตามข้อมูลใหม่ ทางวุฒิสภา จะขอเปิดสภาสมัยใหม่ เพื่อดำเนินการ 3 เรื่อง คือ ถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพาณิชย์ , แต่งตั้งบุคคลไปเป็นประชาชนแทนคนเดิม, พิจารณาผู้ทรงคุณวุฒิของประชาชน, แต่แทนที่นายกฯจะดำเนินตามที่วุฒิสภาส่งไป กลับให้สำนักนายกฯ ตั้งคำถามไปยังสำนักกฤษฎีกา แล้วเลขาสำนักกฤษฎีกา สรุปว่า มีความเห็นว่า ไม่สามารถเปิดวุฒิสภาเพื่อดำเนินการดังกล่าวได้ เพื่อให้วุฒิสภาไม่มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองฉากสุดท้ายได้ ...

       อาตมาว่าเขาซื้อเวลา ...คือพยายามยืนหยัดไปอย่างนี้ เป็นเทคนิคของเขา เป็นความจริงที่ปรากฏของเกมการเมืองนี้ ตอนนี้เป็นกลเกมการเมืองหนักหนาสาหัส ติดยึดอำนาจ ไม่มีอื่นเลย การแก้เกมนี้เราแก้ด้วยซื่อสัตย์สุจริต อย่างเอาความถูกความผิดมาตัดสิน เป็นการสู้อย่างอาริยชน เรามาต่อต้านประท้วงล้มล้าง แต่เราสามารถยกระดับได้ ในมาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

        และมาตรา 69 (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       รัฐบาลได้ทำผิดมาหลายกระทงมากเลย ได้อำนาจแล้วทำในวิถีทางที่ไม่ได้เป็นไปตามรธน.นี้เราจึงมาล้มล้างยกระดับจากประท้วง มาต่อต้าน แล้วยกระดับเป็นล้มล้าง ไม่ได้ปกปิดเลย แต่เขาก็ดื้อด้าน แล้วเราก็สุภาพ ไม่ได้ไปทำร้ายทำลาย เป็นแต่เพียงไปประท้วง จนกระทั่งไปปิดสำนักงานไม่ให้ทำงาน ไม่ให้ไปเป็นไม้เป็นมือของคนผิด ก็จะยิ่งซ้ำเติมให้ชาติไทยเสียหาย หากทำตามคำสั่งเขา ข้าราชการก็มีภูมิปัญญา ไม่ดึงดันดื้อด้านด้วยสำหรับข้าราชการ

       พวกเราก็ออกมาช่วยกันให้มากๆ

 

ตอบปัญหา(ละ) ดับชาติ

 

  • ผู้น้อยทำงานศิลปะ ลงทุนไปเกิน 200 บาท และใช้เวลาทำประมาณ 3 วันต่อชิ้นส่งให้กลุ่ม กปปส.ประมูลได้ภาพละเป็นหมื่นบาท เพื่อช่วยชาติ ครั้งละ 10 ภาพ หลายครั้งขอถามคำถามว่าเป็นการ เอาลาภแลกลาภ และเอาเปรียบเขาหรือไม่? จะเป็นบาปหรือไม่อย่างไร? ผู้น้อยไม่ได้เปิดเผยชื่อให้ใครทราบ
  • ตอบ...ถ้าจะว่าแล้วต้องขยายความว่าเป็นการเอาลาภที่ได้มาบำเรอตน เสพกาม ซื้อของกินใช้ส่วนตนหรือไม่ เขาไม่ได้ทำเพื่อส่วนตนก็พ้นประเด็นนี้ไปก็ไม่บาป และแลกมาแล้วได้เป็นเจตนากุศล ช่วยบ้านเมือง เอาไปทำด้วยวิธีการพาณิชย์ธุรกิจ ขยายจากน้อยไปมาก แต่ไม่ได้เพื่อตน แต่เอาไปใช้ในงานกอบกู้ชาติเป็นประโยชน์ต่อคนที่แชร์เงินมาซื้อหรือซื้อคนเดียว เพราะเขาให้ด้วยเสียสละแม้ราคาเกินจริง เรียกว่าประมูลการกุศล ราคาจะสูงกว่าตลาดเพราะเป็นการส่งเสริมกุศล แต่มีพวกซ้อนหากินเหมือนกันอ้างการกุศลเป็นเห็นแก่ตัวไว้ค้าขาย องค์กรหลายองค์กรชอบทำกัน แล้วได้เงินไป แต่อันนี้เมื่อดูแล้ว เมื่อได้เงินมาก็ไม่มีคอรัปชั่น เอาเงินมาเพื่อประโยชน์ประชาชน การใช้ลาภแลกลาภ ไม่ได้เพื่อตน แม้คนประมูลก็ไม่ได้ทำเพื่อตน แต่ทำเพื่อชาติ นี้ยิ่งใหญ่ แทนที่จะได้บาปก็ได้บุญด้วยประการฉะนี้
  • จากพระชาดี ตรีหนึ่ง ….. การปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ไทยให้เป็นไปตามสมัย ซึ่งเป็นองค์กรเดียวจริงๆ ที่มีความสามารถเหมาะครบบริบูรณ์ เช่นชาวพุทธ 94 % วัดมากมาย ภิกษุมากมาย กราบเรียนพ่อครูและหมู่สงฆ์แสดงความเห็นอย่างจัดเต็มใช้เวลาให้มาก 1.เราจะปฏิรูปสงฆ์อย่างไรให้ถูกธรรมวินัยเหมาะแก่สมัย เช่นการเลือกเจ้าอาวาส เจ้าคณะอำเภอ หรือตำแหน่งอื่นๆ จะทำอย่างไร 2.เรื่องยศตำแหน่งต่างๆควรมีหรือไม่ มันไม่ใช่ธรรมวินัยหรือไม่? ผมคิดว่าไม่ควรมี   3.เรื่องทรัพย์สินสมบัติที่มีการลักขโมยของสงฆ์จะทำอย่างไร 4.เรื่องการใช้อำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งโยกย้ายมีการลุแก่อำนาจ 5.​การเผยแผ่ธรรมวินัยให้ได้ประสิทธิภาพ  6​.การกระจายอำนาจ 7.​การจัดระเบียบพุทธพาณิชย์ 8.ปรับปรุงองค์กรสงฆ์ให้เกิดประโยชน์สูงแก่ไทย กราบพ่อครูและหมู่สงฆ์ร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยด้วยเทอญ....?
  • ตอบ...อาตมาขอตอบรวมๆเช่นนี้ 1.อาตมาไม่มีหน้าที่ไปปฏิรูปสงฆ์หมู่ใหญ่ ขืนไปปฏิรูปเขาก็ดีดอาตมาออกมาด้วยอวัยวะส่วนใด  อาตมาก็ไม่ทำ ในเรื่องสังคมสงฆ์ อาตมาเห็นใจสังคมสงฆ์ ที่ได้เสื่อมถอยบานปลายมาถึงวันนี้หมักหมมจนแก้ไม่ได้ ศัพท์สำนวนฝ่ายคอมมิวนิสต์ว่า พวกนี้ต้องปล่อยให้ตายเอง เป็นไดโนเสาให้สูญพันธ์ไปเอง อาตมาไม่ได้ใส่ความหาความ ไม่ได้ไปลงโทษ ไม่โกรธเกลียดชั่ว ได้แต่สงสาร อย่างนี้จริงๆ แต่สุดวิสัยที่จะช่วยได้ ถึงช่วยได้ก็ไม่ไหว เพราะเน่าเกิน แก่เกินแกง ต้องโยนทิ้งลูกเดียว พูดชัดอาจแรงจริงๆ เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น ไม่มีประโยชน์ต่อชาติ วงการศาสนาไม่มีประโยชน์ต่อชาติ ลูกศิษย์ของสงฆ์หมู่ใหญ่ก็ปกครองประเทศอยู่ เป็นพลังงานรวมที่มิจฉาทิฏฐิ ทำให้สังคมไม่มีคนมีธรรมที่เป็นกุศล เป็นอกุศล ไม่ได้ช่วยได้ และเป็นอบายมุขด้วย ลูกศิษย์ไปบริหารในพฤติกรรมของอบาย โลภในลาภจัดแรง โลภในอำนาจยศศักดิ์แรง แรงจนห้ำหั่นทุจริต เละไปหมดเลย บริหารอย่างนั้นแม้ในด้านธุรกิจ ก็เต็มไปด้วยโลภเอาชนะคะคาน หนังจีนในประเด็นที่เขาทำธุรกิจ มันก็หำ้หั่นกันอย่างในหนังเลย เป็นอบายมุขสมัยใหม่ สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีอบายทางการเมือง แล้วสมัยนี้อบายมุขรุนแรงกว่ายุคพระพุทธเจ้า มันเป็นมหาบรมอภิอบายมุข แต่เขาไม่รู้กัน เมื่ออาตมาไม่สามารถอาจเอื้ออะไรได้ก็ขอลา นานาสังวาสไม่ให้กระทบกระเทือนตามธรรมวินัยพระพุทธเจ้า เห็นว่า ศีล ทิฏฐิ พฤติ อุเทศ ต่างกัน อย่างนี้ ทางโน้นทำอย่างโลกีย์ มีศักดิ์ฐานะอย่างที่ท่านชาดีเขียนมา มีซื้อตำแหน่งหน้าที่ มันเกินกว่าอบายมุขแล้ว ไม่มีทางจะไปทำอะไรแก้ไขได้ ต้องปล่อยให้เป็นไดโนเสาร์ ต้องกราบขออภัยมหาเถรสมาคมอย่างมาก ไม่ได้พูดด้วยอคติ 4 อาตมาอ่านจิตเป็น มนสิการเป็น เชื่อว่าอย่างที่ทำนี้สัมมาทิฏฐิ แล้วมาบรรยายประกาศ ขยายความ พากันปฏิบัติ จนมีผู้รู้เห็น เข้าใจปฏิบัติตาม มาบวชตาม เหมือนน้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน เป็นสังคมชาวอโศก จนเป็นหมู่บ้าน มีสังคมมีชีวิต มีระบบ การเป็นอยู่เป็นลาภธัมมิกา ถึงขั้นระบบสาธารณโภคี เมื่อสงฆ์หมู่ใหญ่ทำไม่ถูกหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้าจึงยากที่จะแก้ไข อาตมาจึงพาแยก ลาออก เป็นนานาสังวาส แล้วจะมาอธิกรณ์ประท้วงอาตมาไม่ได้ ฟ้องร้องอาตมาไม่ได้ แต่จะตำหนิ(ปฏิโกสนา) แต่อย่าให้ถึงรบราฆ่าฟันกัน ถ้าทำเกินปฏิโกสนา ก็ผิด ทางหมู่ใหญ่มาประท้วงอาตมาที่ลาออกนานาสังวาสตั้งแต่ 2527 มีรายลักษณอักษรด้วย แต่ท่านก็กลับมาฟ้องร้องอาตมาซึ่งผิดธรรมวินัยหากทำเช่นนี้ ในปี 32 อาตมาก็พาพวกเราทำปฏิบัติมา แล้วก็ได้ผล จะตรวจสอบได้ในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เช่นกถาวัตถุ 10, วรรณะ 9 เป็นต้น ซึ่งก็พาทำอยู่กับสังคม ไม่ได้หนีไปจากสังคม มีการกระทบสัมผัส ทางทวารนอก ซึ่งคนที่ปฏิบัติได้ จิตก็สงบ เพราะกิเลสตาย กิเลสถูกกำจัดไปแล้ว คนปฏิบัติได้ก็มาร่วมกันเป็นชุมชนอโศก เป็นบุญนิยมถึงขั้นสาธารณโภคี ถามว่าปฏิรูปไหมก็ปฏิรูปจนเป็นหมู่บ้านที่เป็นนิตินัยตามราชการก็มี แต่ไม่เป็นนิตินัยก็มี ก็ดำเนินกันไป บริหารปกครองอย่างสาธารณโภคี เป็นระบบสังคมหมู่บ้านนี้เสียภาษี 100 % ไม่เอาไว้ส่วนตัวเลย มีคณะบริหารเผื่อแผ่ใช้สอยกัน เราพึ่งตนเองได้ก็ออกมาช่วยสังคม เรามีการพาณิชย์ มีการศึกษา สัมมาสิกขา และอื่นๆ เรามีไตรสิกขา ศึกษาและปฏิบัติได้ผลจริง ได้คนเช่นนี้มาประเทศชาติไม่ได้ขาดทุนอะไร ในแต่ละด้านเราไม่ได้เอาเปรียบสังคมเลย แต่ช่วยสังคมอีกด้วย นี่ขออภัยนะที่พูดเหมือนคุยตัว พูดด้วยใจจริง

 

  • การสวดมนต์ นะโม ทำไมกล่าว 3 ครั้ง ในบทพาหุงฯข้อที่ 7 หรือ 8 เป็นปุคคาธิษฐานหรือธรรมาธิษฐาน?
  • ตอบ...พุทธเรานับถือถึง 3 ครั้ง เพราะหลักสามเส้าเป็นหลักสำคัญมากของวัฏฏะ ตอนนี้เราประท้วงมีอยู่ถึง 3 เส้า คือ กปท. คปท. และอนุสาวรีย์ แล้วรวมเป็นกปปส. แล้วก็มีแยกเวทีไปเยอะ ต่อมาก็ยุบไป เหลือ 4 กลุ่มหลัก คือกลุ่มที่ผ่านฟ้าฯ ที่ชมัยฯ และที่สวนลุมฯ และยังมีที่แจ้งวัฒนะ เป็น 4 เป็นเลข 4 ที่ขยายกัน เป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียด เป็นพลังงานของมนุษยชาติ คือลักษระ 3 ที่สำคัญ พระพุทธเจ้าท่านจะท้วงใครก็ท้วง ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ตามมหาปเทส แล้วบทสวดมนต์ พาหุง บทที่ 7 และ 8 เป็นนันโทปนันทะ หมายถึง นาคใหญ่ นาค คือผู้ประเสริฐ ซึ่งจริงๆแล้วธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมาธิษฐานทั้งนั้น แม้มีตัวตนร่างกายก็จะเอานามธรรมเป็นหลักเป็นที่สุด
  • วันก่อน พ่อครูเทศน์บอกว่า การชุมนุมของมวลมหาประชาชนว่ามีทั้งกลุ่มที่มีจิต ราม ศิวะ และพรหม ,คปท.เป็นศิวะ ,กปท.เป็นพรหม, กำนันเป็นราม แล้วการทำงานของกองทัพธรรมจำเป็นไหมว่าต้องมีคนที่มีจิตทั้ง 3 นี้ไหม งานจึงสำเร็จ
  • ตอบ...ใช้ ครบตรีมูรติ มีภาษาง่ายๆว่า ฝ่ายปราบ ฝ่ายสร้าง ฝ่ายเป็นกลางนี่คือตรีมูรติ ฝ่ายปราบคือศิวะ ฝ่ายสร้างคือราม ฝ่ายกลางคือพรหม ,ปราบคือปราบอธรรม ในสังคมต้องมีธุจริต ต้องมีชั่วและผิด ก็ต้องมีผู้ปราบ ส่วนผู้สร้างก็ต้องมี สวนพรหมเป็นตัวเชื่อมตัวช่วย ในลักษณะที่เกิดนี้ไม่ผิดฝาผิดตัว
  • ดิฉันเป็นคนร่าเริงช่างคุย มองโลกแง่ดี แต่บางครั้งก็ตรงกันข้าม เป็นคนเฉยๆไม่อยากคุยเบื่อโลก แต่อารมณ์หลังนี้นานๆครั้ง ทำอย่างไรจึงทำให้หายไปอย่างเด็ดขาด ...
  • ตอบ...ระวังเป็นโรคไบโพล่านะ ตอบกำปั้นทุบดินว่าปฏิบัติธรรมให้สัมมาทิฏฐิ คุณยังดีนะที่บอกว่ายังมีเวลาวาระที่มันหยุดไม่เป็น เลยพักที่เบิกบานแจ่มใสร่าเริง พอไม่เบิกบานก็เซ็งๆ ทุกข์ ก็ยังดีมีเบิกบานมาก แต่ถ้าเผื่อว่าปฏิบัติธรรมจริงจะรู้เหตุแห่งทุกข์หรือหลงสุข เป็นเคหสิตโสมนัสเวทนา ก็เรียนรู้ใจไม่ออกมาเป็นสุขทุกข์ภายนอกก็ดี จะเหลือแต่ภายในก็เป็นอนาคามี ก็ต้องเรียนธรรมะให้สัมมาทิฏฐิ จะเป็นกลาง ที่ไม่จืดชืด เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานไม่ใช่ผู้หลับ ไม่รู้เรื่อง ศาสนาพุทธคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หากผู้ใดมีสัจจานุโลมมิกญาณ และมีอเนญชา จนเกิดสังขารุเปกขาญาณ​จิตมีญาณรู้วางเฉยต่อสังขาร วางเฉยต่อการสังขาร แม้ปรุงแต่งอยู่จัดจ้านเรากระทบสัมผัสโลกธรรมจัดจ้าน เราก็ไม่สุขทุกข์กับเรา เราก็รู้ก็เห็นกับเขารู้โลกวิทู แต่เราสัมผัสแล้ว ผุฏฐัสสะโลก ธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ จิตวางเฉยได้ ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมใดๆ เป็นจิตมัชฌิมาแล้ว อุเบกขาวางเฉย อย่างรู้ๆจึงอนุโลมกับโลกเขา ช่วยโลก ด้วยจิตที่มีอำนาจเหนือโลก เหนือเท่าไหร่ก็อนุโลมได้เท่านั้น ช่วยประมาณหนึ่งตามควร หย่อนมือเอื้อมลงไปช่วยคนตกบ่อได้โดยตนไม่ตกบ่อ ถ้าคุณมีแรง ยึดฐานตนได้มากเท่าไหร่ก็ดึงช่วยเขาได้มาก ตามฐานานุฐานะ ผู้ที่บรรลุแล้วจบ ท่านจะอ่อนน้อมถ่อมตนจะไม่พยายามทำเกินตัว อรหันต์ทุกองค์ไม่ทำเกินตัว ไม่คะนองไม่ฮาร์ดคอร์ ท่านก็ทำตามเหมาะควร ท่านก็ช่วยได้ตามควร จึงมีสัจจานุโลมมิกญาณ ท่านมีสังขารุเปกขาญาณ ทนต่อสังขารภายนอกได้ แม้อนุโลมก็ช่วยเขาได้ทำทีปรุงแต่งเล่นกับลูก หรือเหมือนแม่ครัวปรุงอาหารให้คนกิน แต่ตนเป็นผู้เสียสละยอมให้คนอื่น ทำประโยชน์ต่อสังคมได้ มีโลกวิทูและมีโลกานุกัมปา อาตมาเรียก 3 ลักษณะนี้
  • เมื่อวานนีี้พล.ต.อ.วศิษฐ์ได้กล่าวว่าหลังชุมนุมองค์กรของกปท. คปท.และกปปส. ยังจะคงอยู่พ่อครูว่าอย่างไร
  • ตอบ...ถ้ามนุษย์มีปัญญารู้ว่าอะไรควรอยู่ก็ไม่ต้องจดทะเบียน เช่นอเมริกา มีสองพรรค เขาก็ไม่มีกฎหมายให้ตั้งพรรคนะ คุณรู้ไหมว่าอโศกนี่พรรคการเมืองนะ มาทำงานอย่างไม่แย่งอำนาจ จะต้องหาเสียงอะไรไม่ต้องเลย นี่คือพรรคการเมืองโดยธรรมชาติ มารวมตัวโดยทฤษฎี ทำงานร่วมกันด้วยเลย ไม่มีจุดมุ่งหมายเพื่อตัวตนแต่อย่างใด ไม่ได้หาเสียง ในอนาคต ประชาชนเห็นเองว่าควรให้เป็นผู้แทนก็จะมาขอ ไม่ต้องหาเสียงด้วย สมัครแล้วไม่ต้องหาเสียง หากหาเสียงก็ไม่เป็นประชาธิปไตย​เรามีอุดมคติทางการเมือง ถ้ายังหาเสียงก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย อยู่ตามระบบระเบียบของชาวอโศก ส่ิงเหล่านี้เกิดเองเป็นเองตามจริง เลิกงานนี้คนอื่นจะทรงอยู่หรือไม่ก็ไม่มีปัญหา ส่วนกองทัพธรรม ชาวอโศกก็มีอยู่แล้ว และจะพยายามให้กลุ่มโตขึ้นด้วย ส่วนคปท.​กปปส.จะทำก็เห็นด้วยให้เกิดกลุ่ม เป็น NGO เป็นพวกที่เป็นเอกชน ก็เอาสิ ทำได้  เขาทำเพื่อพรรคเดียวกลุ่มเดียว หัวหน้าเขาประกาศเลยว่าผู้จะเป็นนายกฯต้องมาจากชินวัตรเท่านั้น แบบนี้ไม่ใช้ประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปแล็ดแต็ดแต๋  ตามฉายานายกฯ
  •  ลูกยังฝึกตนอยู่ไกลพ่อ แม้มีท้อ แต่ไม่ถอย ขอถามปัญหาให้พ่อท่านอธิบายวิมุติกับนิโรธต่างกันอย่างไร?
  • ตอบ....วิมุติเป็นเชิงปัญญา ส่วนนิโรธเป็นเชิงโจโต นิโรธคือจิตดับกิเลส ส่วนนิโรธมีปัญญารู้ว่าหลุดพ้นออกจากกิเลส เช่นอบาย เช่นกาม เช่นรูปภพ อรูปภพ ไม่เหลือภพเลยเป็นวิมุติสมบูรณ์เป็นอรหันต์ นิโรธเป็นตัวจิตที่ดับ ไม่ได้หมายถึงจิตดับไปหมด และเขาเข้าใจกันมากเลยไปทำจิตดับหมดแล้วเรียกว่านิโรธ แต่เป็นนิโรธมิจฉาทิฏฐิ เรียกอีกอย่างว่า อสัญญีสัตว์ ดับเวทนาและสัญญา แต่ถ้าดับได้ถูกต้องที่ดับกิเลสก็จะเรียกว่า ละ ดับชาติได้...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:33:57 )

570411

รายละเอียด

570411_ทวช.งานปลุกเสกฯครั้งที่ 38 โดยพ่อครู เรื่อง สัจจะที่ปรากฏ ตอนที่ 5

       วันนี้วันรองสุดท้ายของงานแล้ว วันนี้ วันศุกร์ที่ 11 เม.ย. 57 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเมีย เป็นวันที่ 6 ของงานปลุกเสกฯ ครั้งที่่ 38 เป็นวันชุมนุมที่ 251 วันของกปท. และ 248 วันของ กทธ.

       เสร็จงานหลายคนก็คงกลับบ้าน หลายคนก็อาจอยู่ต่อ ปลุกเสกฯไปแล้วเกิดศรัทธา เป็นความรู้ เชื่อ เข้าใจ ก็อยู่ต่อ กับพวกเรา คนที่อยู่กับพวกเรา พวกเราเป็นมิตรดี กัลยาณมิตโต พวกเราเป็นพวกมีศีล คนที่อยู่จะมีศีลไปด้วย มีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ไปด้วย

       หรือจะขยายเป็น มีหิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ ซึ่งเป็นความรู้ความจริงด้วย ไม่ใช่แค่รู้

       ความจริงที่พระพุทธเจ้าสอนมีทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ

       สมมุตินั้นหากติดยึดอยากได้ ก็สั่งสมแต่อัตตา ด้วยความไม่รู้ กาม รูป อรูป ก็เป็นอัตตา นี่คือภพหรือภูมิ 3 ไม่เรียนรู้ภพ ก็ไม่ได้ส่ิงที่ควรได้

       มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ จะพาไปสู่เทวธรรม 7

       ถ้าฟังเอาแต่ภาษาจำได้ สุ จิ ปุ ลิ ได้แค่นั้น เรียนกันทุกวันนี้แค่นี้ ไม่ได้ปฏิบัติ การเรียนแค่ สุ จิ ปุ ลิ ก็แค่จดจำในสมอง หรือจดไว้ในสมุด ไม่ได้ปฏิบัติจนถึงผล

       เมื่อปฏิบัติถูกต้อง ถึงผล จึงเป็นการได้ พหูสูตร หรือพาหุสัจจะ เราเชื่อถือ(ศรัทธา) แล้วก็เชื่อฟัง(ศัทธินทรีย์) มีผลขึ้นมาก็เป็นพลังจิต มีสภาวะเป็นอินทรีย์ เป็นพละ เกิดศัทธาพละ เป็นผลสำเร็จ

       ในศรัทธาเหล่านี้ต้องประกอบด้วยศีล หากศรัทธาไม่มีศีล ศรัทธานั้นไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า

       ถ้าเรายังไม่ทำคุณอันสมควรก่อน ไปพร่ำสอนคนอื่นจักไม่มัวหมอง ศาสนา ธรรมะ ชีวิต ผู้ฟังผู้รับก็ไม่มัวหมอง ไม่เพี้ยนไม่เสียหาย เพราะปฏิบัติไม่สมบูรณ์ตามพระพุทธเจ้าสอนก็เลยไม่บริบูรณ์

       ผู้ที่แต่ละวันๆ สามารถได้รับอาหาร จากมิตร ผู้ใกล้ชิด สัมผัส รับ ฟัง เจตนาสอนโดยตรงก็เป็นการถ่ายทอดจากการมีมิตรดี ที่อยู่ร่วมกัน ซึมซับไหลเข้าหากัน โดยเราไม่รู้ตัวง่ายๆ อยู่ร่วมกันนี่แหละเป็นประโยชน์มาก

       มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ เราอยู่กับหมู่โจรก็เป็นโจร มันไหลเข้าไปในตัวโดยไม่รู้ตัว

       ถ้าเราอยู่กับมิตรดีที่มีจริงๆ มีเนื้อยาแท้เข้มข้นก็กระจายโดย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นรังสี ราศี นำพาทำ ลากจูงกันทำ ทุบหัวกันทำ ก็ได้ ถ้ามีส่ิงจริงให้เรา บางคนมีพ่อแม่ที่ดุ ก็เจตนาทำให้เราอย่างดี ก็น้อมรับกันให้ดีอย่ารังเกียจ

       พระพุทธเจ้าสอนเรื่องศรัทธา ความเลื่อมใสอันบริบูรณ์รอบ

 

       อย่างการสอนธรรมะนั้นหากไม่มีธรรมะแล้วไปสอนคนอื่นก็จะเพี้ยนไป ก็จะมัวหมองได้ เราได้แล้วเราก็สอน สอนก็เพราะเราได้แล้วก็สอน สอนไปหาหมู่กลุ่มบริษัท เป็นการเผยแพร่เป็นการไม่เห็นแก่ตัว จะแข็งแรงแกล้วกล้า กับหมู่บริษัท อาจหาญ จะแสดงอย่างดีเปิดเผย ถูกต้อง จะทรงวินัย ไม่อย่างนั้นจะประมาท ถ้าทรงวินัยจะสังวร ยิ่งอยู่กับหมู่ใหญ่ต้องสังวรดีๆ ไม่อย่างนั้นพาเสีย คนที่ควรนอบน้อมคารวะก็อีกอย่าง แต่ถ้าคนที่ตำ่กว่าเราก็แสดงธรรมอย่างไม่ระวังไม่อ่อนน้อมเท่าไหร่ก็ได้ เป็นผู้ที่ยอมรับนับถือแล้ว ก็แสดงง่ายๆข่มๆได้ แต่ถ้าผู้ที่ยังไม่ยอมรับนับถือก็ไปเบ่งไปข่มไม่ได้ วินัยเหล่านี้ต้องระมัดระวัง

       จากนั้นเป็นของได้ของตนเอง เป็นคุณธรรมของตนเอง เรายินดีในป่าหรือความสงบในตนได้ไหม แม้เรายินดีในป่าในความสงบ แต่เราก็ต้องไปช่วยคนที่เดือดร้อนในกรุง เราก็ต้องมีจิตที่แข็งแรง มีอุเบกขา มีสังขารุเปกขาญาณ ก็ช่วยเขาได้ หากเราไม่มีญาณก็ไปช่วยเขาไม่ได้  ต้องมีจิตอุเบกขา

1.   ปริสุทธา   (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5)

2.   ปริโยทาตา  (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.   มุทุ  (รู้แววไว  อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) เป็นจิตระดับวิการรูป ที่เราต้องรู้ มีลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา  มีคุณสมบัติ ไวทั้งปัญญาและเจโต อนุโลมปฏิโลมกับโลกเก่ง ก็จะทำงานกับโลกเก่ง

4.   กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงานอันไร้อคติ)   มีกายกัมมัญญตา จัดองค์ประกอบได้อย่างดี เป็นองค์ประกอบศิลป์ เป็นกาโย จัดได้ดี จึงเป็นผู้ทำกายกัมมัญญตา ทำกรรมด้วยจิตเป็นอัญญา ได้เหมาะสมดีงาม

5.   ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 

(ธาตุวิภังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 690)

 

       ผู้ศึกษาฝึกฝน อุเบกขาจะมีคุณสมบัติที่ดีขึ้นๆ สมบูรณ์ในตัวและเจริญในตัว แข็งแรงดีขึ้นๆ พัฒนาได้

       มาดูกันที่สุริยเปยยาลต่อ

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

       

       ต้องพยายามทำ 7 ข้อนี้ให้ดี จึงทำมรรคองค์ 8 ได้สัมมาทิฏฐิ เป็นสิ่งสำคัญมาก มิตรไม่ดีก็ไม่พามีศีลได้อย่างสัมมาทิฏฐิ ทำได้แต่

       สีลพตุปาทาน ทำได้แค่อุปาทาน ทำตามๆกันไป ไม่ถึงแม้ ศีลพตปรามาส ด้วย ไม่รู้สังโยชน์แม้สักกายะก็ไม่รู้

       ศีลก็ต้องเข้าใจในอานิสงส์ 10 อย่างของศีล

       การปฏิบัติศีลก็จะเกิด อวิปฏิสาร คือความไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

       อย่างคนชั่วเขาวางแผนจะยืมเงิน สองล้านๆ วางแผนไว้มากมายว่าจะได้อะไรๆ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ก็ดิ้นรน พระสยามเทวาธิราชมีทำไม่ให้ผ่าน เขาจะวิปฏิสาร คือเดือดเนื้อร้อนใจ จิตคิดชั่วจะหาทางแก้แค้นจัดการคนขวาง แต่ถ้าใจไม่อยากได้ก็ไม่วิปฏิสาร แต่คนอวิชชาจะไม่รู้ตัว คนมีวิชชาจะรู้ตัว คนมีเจตนาดี หากต้องได้เงินสองล้านๆจะเอามาบริหารประเทศ ก็ถึงเวลาวาระก็ได้ แต่เจตนาไม่ดีผู้รู้เขาก็เห็น ก็ไม่ให้ผ่าน แต่เขาก็จองเวรจองกรรม อาฆาตมาดร้าย เกิดอุปกิเลส 16

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)

3. โกธะ (โกรธ)

4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)

5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)

7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)

8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)

9.   มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)

10.  สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)

11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)

12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)

13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)

14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)

15. มทะ  (มัวเมา)

16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ)

(พตปฎ.เล่ม 12  ข้อ 93)

 

ถ้าเกิดประมาทนี่แย่เลย เราต้องไม่ประมาท แต่ถ้าประมาทก็จะมีอุปกิเลสไล่เรียงไปหมดเลย

       ประมาทคือคุณไม่สังวรในอินทรีย์6 ที่เป็นตัวปฏิบัติ หากไม่มีสติ จะสังวรได้อย่างไร

ตาม ตัณหาสูตร

1.    การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง

2.   การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)

3.   ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)

4.    การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ .

5.    ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น) .เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์

6.    การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ.. ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)

7.   ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5

8.   นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา

9.   อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา    (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 62)

 

       อยู่ที่ไหนให้มี สัปปายะ 4 อย่างอาหาร 4 นี่เป็นสิ่งที่มีอยู่ที่นี่ก็มี

​1.    กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2.   ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3.   มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

4.    วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ  คือ   กำหนดรู้จักแยกแยะนาม-รูป   แล้วกำจัดเฉพาะอาสวะให้จบสิ้น) .

(ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16   ข้อ 241-244)

       มีการคบสัตบุรุษ ได้ฟังสัทธรรม มีการทำใจในใจโดยแยบคาย ก็จะมีสติสัมปชัญญะและจะมีการสำรวมอินทรีย์ นำไปสู่ การมีสุจริตกรรม 3 และมีโพชฌงค์ ที่เป็นอาหารของวิชชาได้

       จะอ่านแยกแยะเวทนา 108 ได้อย่างไรหากไม่เจอผู้รู้ที่ให้สัมมาทิฏฐิคุณได้

1.    สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักฟังบัณฑิต  คบหาสัตบุรุษ) .

2.   สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม) 

3.   โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) . . 

4.    ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)  (พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 248) 

 

       เมื่อมีวุฒิ 4 ก็จะมี จักร 4

1.    ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม) .

2.   สัปปุริสูปัสสยะ (การคบหาสัตบุรุษ) .

3.   อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบธรรม) คนอื่นก็ช่วยประคองเราด้วย พวกเราก็ไปได้ พวกเราก็ตั้งตนไว้ชอบ หมู่ก็ช่วยหากเซก็ช่วยประคอง หกล้มก็จับลุก หมู่ก็ดี เราก็ต้องพยายามตั้งตนไว้ให้ดี ตั้งกรรม 3 ให้ทำดี เป็นประโยชน์จากมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี

4.    ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย)

(พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 31)

       เราจะรู้จักอาหาร 4

1.    กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2.   ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3.   มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) เราต้องมีวิภวตัณหา คือตัณหาเพื่อลด กามภพและภวภพ เรียนรู้กามภูมิ 5 และมีใจเป็นภูมิที่ 6 เราต้องกำหนดเจตนา เรากำหนดวิภวตัณหา

4.    วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ  คือ   กำหนดรู้จักแยกแยะนาม-รูป   แล้วกำจัดเฉพาะอาสวะให้จบสิ้น) รู้จิตในจิต เป็นเจโตปริยญาณ (ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16   ข้อ 241-244) .

       คุณทำออกมีเนกขัมมะ แม้กดข่มบ้างก็ทำ ทำตามปหาน 5 เมื่อกดข่มพอสมควรก็มารู้ อย่าไปดับไม่ให้รับรู้แล้ว หรือรู้นิ่งเฉย ไม่ได้ วิธีลัดไม่ได้ ไม่มีสัมโพชฌงค์เลย

       เมื่อเราตั้งตนไว้ชอบในธรรมแล้ว เราก็จะเกิดการสั่งสมบุญ เป็นปุพเพกตปุญญตา เกิดผล ชำระกิเลส เป็นสัจจะ เป็น กิจจะ เป็น กต เป็นสัจจญาณ กระทำเป็นกิจญาณ ทำเสร็จแล้วเป็นกตญาณ ได้ผลสั่งสมเป็นของเก่า คุณก็ได้สั่งสมบุญ เป็นผลวิบากเราไปเรื่อยๆ เพราะตั้งตนไว้ชอบ เพราะคุณมีมิตรดี สหายดี คบสัตบุรุษในถิ่นที่พร้อมก็จะเกิดจักรกลของธรรมจักร เจริญเรียบร้อย ได้ผลจนสำเร็จ

       

       อาศัยเกิดแล้วละเสีย 4

       1.กายนี้เกิดขึ้นด้วยอาหาร 4

       2.กายนี้เกิดด้วยตัณหา (ความดิ้นรนปรารถนา)

       3.กายนี้เกิดด้วยมานะ(ความถือดี) อาศัยมานะแล้ว พึงละมานะเสีย

       4. กายนี้เกิดด้วยเมถุน ควรละเมถุนเสีย การละเมถุนเรียกว่า เสตุฆาต (การฆ่ากิเลสด้วยอาริยมรรค)

       แม้เป็นอนาคามีก็ต้องมีการปฏิบัติอยู่ในมรรคองค์ 8 รู้จักการทำ สังกัปปะ 7 และทำโดยมีสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นอนาสวะ

1.    ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา) .

2.   ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง)

3.   ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง) . . มีพลังงาน static แฝง

4.    ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค) . .

5.    ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น .

6.    องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) มีพลังงาน Dynamic แฝง

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 258)

 

       รู้จักธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ คือทำออกได้ มีตั้งแต่วิตก วิจาร แจกแจงแยกได้ อันนี้เป็นเวทนาในเวทนา แจกเวทนาไปได้ เวทนา 108 เรารู้ว่ามันมีกิเลสมาเป็นแขกจร เป็นอาคันตุกะ มาจากถิ่นอื่นไม่ใช่ตัวเราของเรา มันเป็นตัวอื่นมาอาศัยยึดพื้นที่จิตเรา มาเป็นเจ้าของด้วยนะ เราต้องชิงพื้นที่จิตใจคืนมา มันไม่ใช่ตัวเรา เห็นจริงๆ คุณจะไม่ยึดว่าเป็นตัวเราของเรา กิเลสไม่เที่ยง พอล้างตัวนี้ออกจิตเราก็เที่ยง ไม่มีศัตรู ตัวกวน ตัววุ่นวาย เราก็แข็งแรงเป็นเอกกัคคตา ไม่มีสองไม่มีเมถุนไม่มีคนคู่

       การมีมิตรดี ศาสนาพุทธไม่ให้ประมาทรู้ดีเห็นด้วยตัวเอง หากคุณไม่มีสยังอภิญญา จะไปอยู่แต่ผู้เดียวอย่าดีอวด ต้องมีดีก่อนจึงอวดได้ ยังไม่มีดีแล้วดีอวด มันไม่ดีหรอก ตัวอวดนั้นตัวไม่ดี ไม่มีดีแล้วทำดีอวด คุณไม่มีดีแล้วเอาดีอวดก็ดีแตกๆ มีแต่ภาษา

       ผู้ที่สามารถเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตรงตามพระพุทธเจ้า

       แม้กายนี้เกิดด้วยเมถุน ตัวนี้คุณไม่ใช่ว่าละเมถุนเหมือนอาหาร แต่เมถุนนี่ละเสียเลย ไม่มีคำว่าอาศัยสังเกตให้ดี ตังแต่ข้อที่ 1 กายนี้เกิดด้วยอาหาร แต่ถ้าบ้าพาซื่อละอาหารเสียก็ตาย แต่ข้อที่ 4 นี่ไม่มีอาศัยเลย แต่อาหาร ตัณหา มานะก็ต้องอาศัย นี่คือความลึกซึ้งละเอียด

       เมถุนตั้งแต่คนคู่ สัมผัสร่วมรส ตั้งแต่ ตาสัมผัส คุณก็มีรส ได้สัมผัสนวดฝั้นก็มีรส เป็นเมถุนสังโยค 7 ไม่ได้ก็ปั้นภาพก็มีรส ปั้นเป็นเทวดามาเสพเองก็มีรส เพราะฉะนั้นเมถุนไม่ต้องอาศัยเลย เสตุฆาตเลย ส่วนอันอื่นก็ต้องอาศัย

       ถ้าอาตมาไม่มีมานะก็ไม่สอนคุณหรอก มานะนี่ความอยากได้ใครมี แต่เขาอยากได้ใครชั่วไม่ได้อยากได้ใคร่ดี เคยไหมคุณ อยากได้ใครชั่ว ใครบอกว่าไม่มีนั้นไม่รู้ตัวหรอก แต่ละคนเคยทั้งนั้น อยากรวยอยากได้เมืองไทยทั้งเมือง ลามกมาก

       ตอนนี้ถึงเวลาสำคัญมาก คุณจะไปเป็นทาสราชะหรือเป็นทาสทรราช เพราะเราอยู่ในประเทศที่มีราชะเป็นพ่อเป็นนายเป็นหัวหน้า หากคุณไม่อยู่ในประเทศนี้ก็ไม่มีราชะเป็นประมุขได้ แต่ถ้าอยู่ประเทศนี้ก็ยืนยันว่าเป็นประเทศที่มีราชะเป็นประมุข

       ก็ขอให้สติ เป็นวาระที่สำคัญที่สุดแล้ว ต้องออกมารวมกัน ยังมีส่วนเป็นทาส ผู้ไม่ใช้ราชะของเรา เรื่องนี้ยาก การรบครั้งนี้ยาก แต่ถ้าผู้รู้ตัวมาร่วมกันอย่างพรักพร้อม แป๊งพรึ่ง พรักพร้อม ตีระฆังแป๊ง ตอนนี้เราใช้นกหวีด เป่าปรี๊ดออกมาร่วมกันหมดเลย 60 ล้านจาก 75 ออกจากบ้านออกมาเลย

       แม้คนไทยอยู่ต่างชาติยังมาร่วมเลย อย่างคุณสาธิต เซกัล เกิดในอินเดีย แต่ทำประโยชน์ให้ประเทศไทย มากมาย ตั้งใจจะตายในไทยด้วย

       ธรรมะต่อเนื่อง ที่ร้อยมาลัยได้สัดส่วน เอาดอกนี้ร้อยตรงนี้ เป็นมาลัยพวงสวยงาม ผู้จะร้อยได้ก็ต้องรู้จักดอกไม้ รู้จักวิธีตกแต่ง มัณฑนะ จัดให้ถูกสีถูกกลิ่น นี่คือการรู้จักองค์ประกอบศิลป์ การศึกษาธรรมะจึงรู้แม้กระทั่งทุกอย่างในโลก วัตถุดินน้ำไฟลม จนถึงสัตว์บุคคลตัวตนพืชพันธ์ธัญญาหาร ไม่ว่าวัตถุหรือนามธรรม เอามาจัดสัดส่วนอยู่่ด้วยกันอย่างสามัคคีพรั่งพร้อมเป็นเอกภาพ นี่คือการศึกษาศาสนาพุทธแล้วจะได้อย่างนี้

       

       ให้ศึกษา แสงอรุณทั้ง 7 ให้ดี ถ้าทำใจในใจไม่เป็น แต่ทำใจให้กิเลสลดไม่เป็น ทำทานทีก็มีแต่กิเลสอ้วน โต หนา เพราะทำแต่อยากได้ทำทานก็ทำใจอยากได้มากกว่าที่ให้ อย่างที่เขาสอนกันอธิษฐานเอา ตั้งจิตไว้ผิดๆ ก็ยิ่งกว่าโจรฆ่าโจร ฆ่ากันบรรลัยจักรเลย ต้องตั้งจิตให้ถูก เพื่อลดละล้างกิเลส ไม่ใ่ช่เพ่ิมกิเลส ให้ของ 5 บาทแต่อยากได้เป็นร้อยเป็นพันเป็นล้าน อันนี้ค้ากำไรเกิน

       ทานข้อแรกในสัมมาทิฏฐิ 10 หากทานแล้วทำใจต้องให้ลดกิเลสได้

       ทำศีล หรือยัญพิธี ไม่ว่าสำนักใดก็ให้ลดกิเลสให้ได้ วิธีปฏิบัติให้ลดกิเลส ปฏิบัติแล้ว

       หุตัง หรือสังเวย จิตได้เสวย ได้รับผลบุญ

       ก็ให้พากเพียรฟังธรรมไป...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:35:21 )

570411

รายละเอียด

 

570411_รายการตอบปัญหาละดับชาติ ตอนที่ 2 ในงานปลุกเสกฯครั้งที่ 38 ณ เวทีผ่านฟ้าฯ

       การละ จนถึงดับชาติ คำว่าชาตินี้ ถ้าไม่ศึกษาอาจเข้าใจว่าคือการเกิดตายทางร่างกาย เป็นกายสเภทา ปรัมมรณา จิต ออกจากร่างไปรับวิบาก พระพุทธเจ้า

ในพระไตรฯล.16 ว่าไว้เกีี่ยวกับปฏิจจสมุปบาทว่า

[2] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท  เป็นไฉน ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะ
วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป  เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ  เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหา
เป็น   ปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย   จึงมี
ชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและ  อุปายาส ความเกิด
ขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ นี้เราเรียกว่า    ปฏิจจสมุปบาท ฯ

 

ผู้รู้จักปฏิจจสมุปบาทคือผู้รู้จักศาสนาพุทธ ซึ่งเป็น อวิชชาข้อที่ 8

 

       ในพระไตรฯล.16 ก็มีแจกแจงเรื่องปฏิจจสมุปบาท

  2 วิภังคสูตร
      

[4] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดง จักจำแนกปฏิจจ
สมุปบาทแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาท นั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุ
เหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
      

[5] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณ
เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป   เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ   เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหา
เป็นปัจจัย    จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสและอุปายาส  ความเกิดขึ้นแห่ง
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

[6] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด
 ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ
ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะ  เป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความ
ทำลาย ความอันตรธาน  มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ
ความขาด แห่งชีวิตินทรีย์ (ชีวิติทรีย์ คือ ส่ิงที่ถูกรู้ทางนามธรรมแล้ว คือความดับความไม่มีชีวิตของจิตวิญญาณ ชีวิตทางร่างกายก็ยังอยู่ แต่ชีวิตินทรีย์คือชีวิตในจิตวิญญาณ )จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและ มรณะ
 ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ
      

[7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง  เกิด  เกิดจำเพาะ  ความ
ปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ
      

[8] ก็ภพเป็นไฉน ภพ 3 เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ    นี้เรียกว่าภพ ฯ
      

[9] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน 4 เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน   สีลพัตตุปาทาน
อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ
      

มนุษย์ชมพูทวีปมนุษย์ชาวชมพูทวีป  ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตร-กุรุทวีปและเทวดาชั้นดาวดึงส์  ด้วยฐานะ 3   คือ เป็นผู้กล้า (สุรภาโว) เป็นผู้มีสติ (สติมันโต)  เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม (อิธ พรหมจริยาวาโส)  ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป และพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล  (พตปฎ. ล.23  ข.225)

       ต้องสัมผัสวิโมขก์ 8 ด้วยกาย ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

       ถ้าไม่บรรลุปัญญาวิมุติ พระพุทธเจ้าไม่รับรองว่าเป็นอรหันต์ เพราะไม่ได้อุภโตภาควิมุติ

       จะดับชาติได้ก็ต้อง เรียนรู้ภพ 3 คือ กาม_ภว_วิภวภพ  เรียนรู้อปาทาน 4 และเรียนรู้ ตัณหา 6 อาตมาตั้งข้อสังเกตว่าท่านให้เรียนรู้ตัณหา 6 ,เวทนาก็ให้เรียนรู้ เวทนา 6 หมายความว่า ต้องปฏิบัติธรรมแบบลืมตา เปิดทวารทั้ง 6 เพื่อรับวิถีรับผัสสะ จึงปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทได้

       จากเวทนา 6 ก็มีผัสสะ 6 และมีสฬายตนะ 6 เป็นตัวยืนยันชี้บ่งว่าปฏิบัติธรรมที่ไม่ผิดต้องลืมตาเปิด

[10] ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา 6 หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา  คันธตัณหา
รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา ฯ
      

[11] ก็เวทนาเป็นไฉน เวทนา 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชา เวทนา โสตสัมผัส
สชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา   กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชา
เวทนา นี้เรียกว่าเวทนา ฯ
      

[12] ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส    โสตสัมผัส ฆานสัมผัส
ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ ฯ
      

[13] ก็สฬายตนะเป็นไฉน อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  นี้เรียกว่าสฬายตนะ ฯ
      

[14] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ   นี้เรียกว่านาม มหา
ภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นี้เรียกว่ารูป นามและ   รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านาม
รูป ฯ
      

[15] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ  โสตวิญญาณ
ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า   วิญญาณ ฯ
      

[16] ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร 3 เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร  จิตสังขาร นี้เรียก
ว่าสังขาร ฯ ที่เรียกว่า กายสังขาร ก็คือองค์รวมทั้งหมด ทั้งกายและจิต ส่วนจิตสังขารนั้นก็เป็นแต่จิตไม่มีกาย ส่วนวจีสังขารนี้อยู่ในสังกัปปะ 7 เป็นนามธรรม คนเข้าใจไม่ละเอียดจะเข้าใจไปเป็นวจีกรรม ซึ่งมันหยาบมากแล้ว แต่นี่เป็นเรื่องละเอียด

 

        ต่อไปตอบปัญหา(ละ)ดับชาติ

 

  • ทำไมพรรคเพื่อฟ้าดินของชาวอโศกถึงจนจัง แล้วจะช่วยสังคมได้อย่างไร?
  • ตอบ... การบริหารของเรานี่ไม่มีตำแหน่งก็บริหารได้ ตั้งแต่บริหารตนเอง ให้มีการงาน มีชีวิตสร้างสรรอยู่ได้ มีเหลือเจือจานแจกจ่ายไม่เป็นภาระใคร พึ่งตนรอดสำเร็จ เมื่อบริหารตนเองได้ ก็บริหารคนข้างเคียงให้เขาบริหารตนเองได้ ก็ร่วมกันบริหารส่วนกลาง แล้วสร้างสรรผลิตส่ิงเกินกินเกินใช้ เหลือเผื่อแผ่สังคมต่อไป แล้วเราบริจาคสะพัด เราไม่เอาเปรียบ ขาดทุนคือกำไรของเรา เราไม่หัดสะสมด้วย ไม่กักตุน มีไว้พอหมุนเวียนไม่ขาดตอน แล้วประมาณคงคลังให้ดี เราจะไม่มีมาก เราไม่นิยมส่งเสริมปรารถนาจะมีมาก เราดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้าและพระเจ้าแผ่นดิน มีชีวิตมักน้อยสันโดษ อปจยะ สังคหะ เราจึงไมีมีมากส่วนตน แต่ถ้าหลายคนรวมเป็นหมู่บ้าน เป็นอำเภอ เป็นจังหวัด มีคนชนิดนี้มาก เราจะมีส่วนเกินมาก ก็สะพัดไปสู่คนอื่น สู่สังคมได้มากขึ้นอีก ไม่ได้ลำบากลำบน ไม่เบียดเบียนตนเองด้วย เศรษฐศาสตร์บุญนิยม เป็นของพระพุทธเจ้าที่ไม่เกิดในสังคม แต่ตอนนี้เกิดแล้วในชุมชนชาวอโศก แม้กำลังพัฒนาให้คนอื่นรับรู้ร่วมทำด้วย ในอนาคต เผยแพร่ได้ มีคนเข้าใจได้ ลดกิเลสได้ เราจะเรียกว่า Pyramidal web เป็นเครือแห เป็นระบบบุญนิยม สร้างมาก เผื่อแผ่ ขยายเป็นเศรษฐกิจขาดทุนแบบเรา คนมีอาชีพแบบนี้ทำแบบนี้จะรวยไม่ได้ส่วนตัว แต่ส่วนรวมจะอุดมสมบูรณ์​หากเป็นได้ทั้งประเทศประเทศนี้จะอุดมสมบูรณ์​จะไม่ร่ำรวยก้าวหน้าเหมือนประเทศอื่น เพราะเงินคงคลังจะไม่มากล้นเกิน ไม่ทำ ระบบทุนนิยมแบบนั้นเราไม่ทำ เรามีแต่จะทำให้เกินแล้วสะพัดสู่คนอื่น เป็นอุดมคติของบุญนิยม จิตวิญญาณสามารถเป็นคนมีวรรณะ 9 ได้จริง เป็นสังคมมนุษยชาติที่เจริญได้จริง ขอให้เราพัฒนานาให้มีคุณภาพและปริมาณมากขึ้น เป็นมหาอำนาจที่ไม่กดขี่บังคับใคร แต่จะเป็นมหาอำนาจที่ช่วยเหลือเกื้อกูลประเทศอื่น ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง เป็นไปได้นะ Possible จะต้องทำให้ได้
  • การขายสินค้าตลาดอาริยะที่เป็นสินค้าจากโรงงาน ทำไมบังคับให้ลด 30 % เพราะถ้าเราลดมากเราก็กระจายสินค้าได้น้อยลง
  • ตอบ...ถ้าลดราคามากก็กระจายให้คนได้น้อยกว่า ลดราคาน้อย เพราะสินค้าจะมีจำนวนมากขึ้น เราเสียสละมากขึ้นจะลดจำนวนที่สละ เราก็ปรึกษากันอยู่ สุดท้ายเราก็แล้วแต่ใครจะเลือกเอาแบบไหนก็เอา
  • หลวงปู่คะ หลวงปู่บอกว่า หลวงปู่มีความรู้เองไม่ได้เรียนรู้จากครูบาอาจารย์ที่ไหน รู้ได้เอง แล้วพวกหนูก็ต้องเดินตามหลวงปู่ก็ต้องเรียนรู้เองใช่ไหม?
  • ตอบ....หลวงปู่เป็นโพธิสัตว์ มีสยังอภิญญา มีความรู้ที่ได้มาจากชาติก่อนๆ การรู้ส่ิงที่มีจริงในตน เป็นปรมัตถธรรม รู้จักจิต เจตสิก รู้กิเลส ทำกิเลสลดจริง รู้แจ้งจริงก็เริ่มมีปัจจัตตัง มีคุณอันสมควรแล้ว ได้แล้วก็สั่งสมเป็นปัจเจก เมื่อเกิดปัจเจก ถ้าได้ถึงขั้นนิยตะขึ้นไป อย่างโสดาบันก็มีขั้นที่จะสะสมถึง นิยตะ ไม่เวียนกลับ ไม่กลับไปกลับมา เที่ยงแท้ มั่นคงแน่นอน คือนิยตะ เป็นสัจจะความจริง ตั้งแต่โสดาบันก็มีปัจเจกของตน แล้วจะมีสัมโพธิปรายนะ ได้ใส่อัตภาพ ชาติหน้าก็มีอยู่ เป็นของตนโดยไม่ต้องอาศัยครูบาอาจารย์มาแนะนำ ก็มีของตนเอง ถึงขั้นมากพอเป็นสยังอภิญญา 1.ปัจจัตตัง 2.​ปัจเจก 3. ปัจเจกสัมมาสัมโพธิ คือปัจเจกที่ใกล้ถึงสัมมาสัมพุทธะ คือยังไม่ประกาศศาสนาเป็นพระพุทธเจ้า ก็ยังไม่เรียกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางองค์่ท่านก็ปรินิพพานไปโดยไม่ได้สร้างศาสนา แต่ก็มีภูมิปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ซึ่งปัจเจกสัมมาสัมพุทธะมีสองชนิด คือผู้ที่ไม่สร้างศาสนา กับผู้ที่มีอนันตริยกรรมเช่นพระเทวฑัต ที่เคยทำผิดมากมากจนไม่สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ แต่ที่สอนกันมานั้น เขาว่า ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะนั้นสอนคนไม่ได้ ทำไมจะไม่ได้เพราะขนาดโสดาบันก็ยังสอนคนได้เลย เพราะฉะนั้น ปัจเจกฯก็สอนคนได้ สรุปว่า พระโพธิสัตว์ที่มีภูมิในตนจริงก็ไม่ต้องมีอาจารย์ผู้รู้ใดๆมาสอนหรือไปเรียนรู้ด้วย อย่างหลวงปู่นี่รู้ขัดกับเขาด้วย จะไปเป็นลูกศิษย์เขาได้อย่างไร หลวงปู่ก็เอาความรู้ที่หลวงปู่มีมาสอน มีคนนับถือแค่นี้คือชาวอโศก คนอื่นก็เห็นด้วยบ้าง แต่หลวงปู่ไม่เดือดร้อน อธิบายแล้วเขาเข้าใจไม่ได้เราก็ไม่เก่งเองที่จะอธิบาย หลวงปู่ไม่มีครูบาอาจารย์นั้นจริง แต่ผู้ไม่มีปัจเจกภูมิก็เป็นสาวกภูมิต้องรับจากผู้รู้ก่อน
  • พระเจ้าพิมพิสารทรงสุบินว่า มีผีเปรตน่ากลัว มาหลอกหลอนในเวลาบรรทม ก็ไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าว่า เปรตเหล่านั้นคือญาติที่ตายแล้วมาขอส่วนบุญ จึงให้องค์ราชาอุทิศส่วนกุศลให้ แต่พ่อท่านว่าใครทำใครได้ อุทิศส่วนบุญกุศลให้คนตายแล้วไม่ได้?
  • ตอบ... คำว่า จิตวิญญาณที่เป็นเปรตต้องการส่วนบุญ ส่วนได้ คืออยากได้จากคนอื่น คนที่ตายไปจิตวิญญาณตนจะตกนรกสวรรค์ของตนเอง ไม่รับรู้กับคนอื่น ไม่มีใครเจอใคร ไม่รู้ใครไม่เห็นใคร แต่เอาเองว่า ไปอยู่เมืองนรกด้วยกัน มียมบาลว่าไปนั่น แต่ที่จริง จิตเปรตคือจิตอยาก จิตตกนรกคือเร่าร้อนเดือดร้อน ตายไปแล้วไม่รู้ว่าตนตาย ไม่รู้ว่าตนไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย เหมือนคุณนอนฝัน ลองนึกตามดีๆ มันนึกว่าคุณเป็นๆอยู่ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ แล้วเมื่อคุณไม่ได้มันก็จะไม่ได้ อธิบายยาก แล้วไม่มีของจริง คุณไม่ได้พบสัมผัสกับใคร ตายไปแล้วใครจะเอาอะไรไปให้มันไม่มี ท่านว่า มีเปรตชนิดเดียวเท่านั้นที่จะถึงได้ คำว่าอุทิศคือจงใจมุ่งหมายให้ จิตมุ่งหมายคือสัญจิต คำว่าปรทัตตูชีวกเปรต เปรตที่สามารถรับส่วนกุศลได้คือเปรตเป็นๆ ไม่ใช่เปรตที่ตายแล้ว ถ้าจะให้แม่ก็ต้องให้ตอนเป็นๆ คำว่าบุญนี่คือการชำระกิเลส ต้องเรียนรู้จิตตนที่เป็นเปรต ในขณะเป็นๆ มีกระทบสัมผัสทวาร แล้วมีจิตเปรต คุณก็เรียนรู้ชำระกิเลส โปรดเปรตของคุณเองได้ กิเลสก็ลดไปหมดไป นี่คือปรทัตตูชีวกเปรต นี่คือเปรตที่ได้รับจากคนอื่น อาศัยคนอื่น ถ้าคุณจะช่วยแม่โดยให้ของก็ได้ของ แต่ว่าถ้าจะให้แม่ได้ลดกิเลสได้นี่คือโปรดเปรตในตัวแม่ได้ นี่คือเปรตได้รับส่วนบุญ ส่วนตายแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ ไม่มีสติมันโต สุรภาโว  อิทพรหมจริยวาโส จะโปรดเปรตต้องเข้าใจปรมัตถ์ เข้าใจสัตตาวาส ลดกิเลสในขณะเป็นๆนี่แหละ คนไม่รู้ก็ต้องอาศัยคนอื่นสอนตอนเป็นๆนี่แหละ อย่างพระพุทธเจ้าเข้าพรรษาโปรดเทวดาในดาวดึงส์ แล้วหายไปไหน พระพุทธเจ้าจำพรรษาอยู่กับภิกษุแล้วไปอยู่กับเทวดาสามเดือนได้อย่างไร คำว่ามารดาหมายถึงผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ มาตา ปิตา สัตตาโอปปาติกา เขาเข้าใจความเป็นแม่เป็นพ่อทางจิตวิญญาณไม่ได้ ก็พระพุทธเจ้าตรัสชัด ว่าพระสารีบุตร เป็นแม่เลี้ยง พระโมคคัลลานะเป็นแม่นะ ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ ช่วยสร้างภิกษุให้เกิดทางจิตวิญญาณ ไม่ได้หมายถึงตัวตนร่างกาย , หรือว่าจะเป็นพระสารีบุตรเป็นปุริสภาวะ ส่วนพระโมคคัลลานะเป็นอิตถีภาวะ
  • รักมากก็ทุกข์มากฉะนั้นทุกวันนี้ที่ดิฉันรักสามีมากอยู่จะทำอย่างไร
  • ตอบ...ก็ไม่รักมากก็ไม่ทุกข์มาก แต่อย่าทะเลาะกันนะ ยากเรื่องอจินไตย เรื่องเมถุนเรื่องวิบากเป็นเรื่องทรมานมมีวิบากแต่ชาติหลายชาติ มันเป็นทุกข์แต่หลอกว่าเป็นสุข สัตว์โลกก็จะมีสภาวะเช่นนี้ผู้จะเรียนรู้หลุดพ้นจากสภาวะสัตว์ไม่ง่าย ต้องเรียนรู้ความรักอย่างคู่ เมถุน เป็นความรักสัมผัสเสียดสี หลงรส เรียกว่า กามรส เป็นเรื่องหลอก ความจริงแล้ว เป็นเรื่อง สืบพันธ์ ต่อเผ่าพันธ์ เป็นเรื่องสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานหลายชนิดสืบพันธ์ด้วยทุกข์ฆ่ากันตาย หลายชนิด ส่วนมากตัวผู้ตาย บางชนิดตัวเมียกินตัวผู้เลย เป็นเรื่องอจินไตยมากมาย แต่เดรัจฉานมันต้องต่อเผ่าพันธ์ ไม่ใช่เสพรส เรื่องของผู้วิตถารเสพรสสัมผัสเสียดสีไม่ใช่เพื่อสืบพันธ์ เอาเชื้อไปผสมไข่ แต่สัมผัสเสียดสี พวกนี้เป็นวิตถาร ธรรมดาสามัญสัตว์มันไม่ค่อยมีหรอก แต่ในสัตว์บางชนิดก็มีกระเทยบ้าง แต่น้อย มีลิง มีบ้าง ก็ชักจะใกล้คน แต่ก็ทำอย่างไร้เดียงสา แต่สัตว์คนเกิดจากติดยึดสมมุติ การหลงสัมผัสเสียดสีมาก หากไปติดอุปาทาน ไม่ว่า ชายกับชาย หญิงกับหญิง เพศใดได้หมด ก็เห็นว่าการมีลูกเป็นภาระก็ว่าอย่าไปมีลูกดีกว่า ก็เลยไม่เอามีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ก็เลยไปสัมผัสเพศเดียวกันมันเป็นเรื่องไม่ใช่สืบพันธ์ กระกระเทยจึงเป็นพวกกิเลสหนามาก พระพุทธเจ้าว่าพวกกระเทยมาบวชให้สึกไป ไม่เสียเวลาสอน เป็นภาระไม่ใช่ว่าไม่สงสาร แต่สอนไม่ไหว เพราะเป็นมาข้ามชาตินะสั่งสมมามากกระเทยบางคนมีชำนาญพิเศษ ส่วนมากฉลาดแกมโกงจัดจ้าน เรื่องตกแต่ง กระเทยหากินกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมาก อาตมาขออภัยต่อกระเทยทั้งหลาย ไม่เจตนาว่า เห็นใจ แต่บอกให้รู้ว่าพากเพียรปฏิบัติธรรมเถอะ แต่อย่าแสดงให้จัดจ้าน กระเทยนี่ฉลาดเล่เหลี่ยมลึก สามารถหลอกคนได้มาก ไม่ดี เพราะฉะนั้นเรื่องเพศ ต้องค่อยๆลด ต้องแข็งใจไว้ไม่อนุโลม หากคู่ของเราปฏิบัติด้วยก็ดี แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ปฏิบัติธรรมด้วยก็ต้องทนกันหน่อย ก็จำนนให้เขาสัมผัสเสียดสีไป ก็เรียนรู้ว่าสัมผัสเสียดสีไม่ได้สุขทุกข์หรอก เป็นอุปาทานให้เราสุขทุกข์ มันไม่ใช่อัสสาทะ สุดท้ายคุณก็จะต้องมีสัมผัสเสียดสีอย่างจิตกลางเฉยว่างๆ คุณก็อาศัยเหตุปัจจัยอันนั้นเรียนรู้ได้ แต่พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม แม้ในวงการศาสนาพุทธก็มีลัทธิกามว่าจะต้องสัมผัสเสียดสีกามจะเบื่อนี่แหละ พระพุทธเจ้าไม่สอน แต่เขาคิดเอง เหมือนที่อ่านให้ฟังว่า เมถุนนี่ต้องเสตุฆาต ไม่ต้องอาศัยเมถุนละเมถุน แต่มานะยังต้องอาศัยมานะเพื่อล้างมานะ แต่กามนี่ต้องให้ตัดขาด  แต่นี่คุณว่าคุณไปรักเขามาก ก็รักมากก็ทุกข์มากเท่านั้น รักน้อยเท่าไหร่ก็ทุกข์น้อยเท่านั้น ไม่รักเลยก็ไม่ทุกข์เลย สรุปแล้วต้องเรียนรู้เวทนาในเวทนา จิตในจิต เรียนรู้ลดราคะ จนได้จริงเป็นจริงจะบรรลุได้
  • จิตวิญญาณที่ถูกพัฒนาแล้วจะสามารถฟื้นฟูมันสมองได้ไหม?
  • ตอบ...หมายความว่าถ้าลดกิเลส จิตมีพลังงานสูง แล้วสมองชำรุด จะให้จิตวิญญาณไปพัฒนาสมองได้ไหม เท่าที่มีประสพการณ์ มีบางคนว่าช่วยได้บ้าง บอกตายตัวไม่ได้ จิตวิญญาณมีพลังงานไปช่วยให้ส่วนสมองรูปธรรมพัฒนาได้บ้าง แต่จะได้จริงหรือมากจนเห็นผลได้ เพราะอาตมาเชื่อว่าพลังจิตยิ่งใหญ่กว่า แต่เส่ียงว่ามันมีอุปาทาน คนนึกว่าตนได้มีพลังจิตมันหลอกซ้อน โกหกตนเองก็เป็นตัวตลกเสียหายไม่ค่อยดี
  • คนยังไม่กระจ่าง อ้างจากหนังสือดอกหญ้า ดูกร พราหมณ์ 6 ประการต่อไปนี้ไม่มีประโยชน์คือ 1.การนอนตื่นสายเกิน 2.เกียจคร้าน 3​.ความดุร้าย 4.การนอนมาก 5.การเดินทางไกลคนเดียว 6.การคบหาภรรยาของผู้อื่น
  • ตอบ...ข้อที่ 6 นี่ชัดจริง เดี๋ยวตายโดยไม่ต้องบอกนะ ไม่ค่อยเข้าทีก็ระมัดระวัง ส่วนการนอนตื่นสายเกิน คือความเสื่อมวิบัติ ทุกวันนี้คนเราก็มีแสงอาทิตย์เป็นสัญญาณให้ตื่นนอน แต่บางแห่งบางประเทศ กลางวันเหงา แต่กลางคืนสดชื่นตื่นเต้น เป็นเรื่องผิดธรมชาติ สรุปแล้วการนอนตื่นสายเกินก็วิบัติ ส่วนเกียจคร้านนั้นเสื่อมวิบัติแน่ ส่วนความดุร้ายก็เป็นความเสื่อมวิบัติ ไม่ต้องอธิบาย การนอนมาก มันเสื่อมทั้งไร้สาระ ทั้งสรีระนิสัยใจคอความติดยึด พระพุทธเจ้าว่าความไม่อิ่มเต็มนั้นมี การนอน เมถุน ต้องศึกษาว่าการนอนคือการพักผ่อน ไม่ใช่ให้ไปเสพ นอนให้พอแล้วตื่นมาทำงาน การนอนมากเสียนิสัย เสียสุขภาพประโยชน์ การเดินทางไกลคนเดียว ก็เป็นความเสื่อม อย่างพระที่เข้าป่าอยู่คนเดียวก็ไม่ดี แม้ออกป่าก็ควรมีอาจารย์เป็นผู้บอกกล่าว การปฏิบัติเดี่ยวๆเดียวไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าสอนเลย คำว่าไม่มีเพื่อนสองก็คือไม่มีกิเลสเป็นเพื่อนสอง แม้นิดแม้น้อยเลย พระพุทธเจ้าสอนแต่ว่าอย่าไปอยู่เดียวเดี่ยว ให้มีมิตรดีสหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดี ไม่ใช่ออกป่าไปเดี่ยวแบบพระธุดงค์ที่ตายไปก็มากมาย ออกป่าเขาถ้ำ ถูกสัตว์พิษสัตว์ร้าย กัดตาย ตกเหว อวดดีนั่งสมาธิปากเหวก็วูบไปตายก็มากละลายไปในเหวก็มาก จริงๆปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากอรหันต์

ภิกษุมีปกติอยู่ด้วยรูปที่พึงรู้แจ้งด้วยตา..(จักษุวิญเญยยา) มีอยู่ ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ (ธัมมาวิญเญยยา)  อันน่าปรารถนา น่าใคร่  น่าพอใจ  ให้เกิดความรัก  ชักให้ใคร่  ชวนให้กำหนัด มีอยู่  

ถ้าภิกษุไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่นในธรรมารมณ์นั้นอยู่ ฯลฯ  เมื่อไม่ยินดี ความเพลิดเพลินย่อมดับ  เมื่อไม่มีความเพลิดเพลิน  ก็ไม่มีความกำหนัด  เมื่อไม่มีความกำหนัด  ก็ไม่มีความเกี่ยวข้อง  (น โหติ นันทสัญโยชนสัง) แม้จะอยู่ปะปนกับภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก  อุบาสิกา  พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา  เดียรถีย์  สาวกของเดียรถีย์  ในที่สุด-บ้านก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ยังเรียกว่า มีปกติอยู่ผู้เดียว (เอกวิหารีติ)  มิคชาลสูตร ล.18 ข.67 ประเทศไทยก็เป็นเมืองพุทธแต่ว่าปฏิบัติผิดทาง มีแต่หลงจมในกิเลส ลาภยศสรรเสริญสุข ขนาดซื้อตำแหน่งยศกัน ถ้าท่านได้ยินก็โกรธ

  • ช่วยอธิบายมงคล 38
  • ตอบ...อธิบายตัวต้นกับท้ายก็แล้วกัน ข้อแรกของมงคล 38 ก็คืออเสวนา จ พาลานัง พาลชนเดี๋ยวนี้เป็นโจรบัณฑิต มีภาพที่ดีเก็กท่าน่าดูเลย แต่ที่ไหนได้ฉลาดแกมโกงแย่งอำนาจลาภยศสรรเสริญ นี่คือพาลชนอย่าไปคบค้าร่วมมือ ทุกวันนี้เป็นทาสพาลชนอยู่ก็เลยเป็นอย่างนี้แก้ปัญหาประเทศไม่ได้ ส่วนอโศก นั้น เป็น อโสกัง และวิรชัง ไม่ถึงเขมัง เราต้องเรียนรู้ว่าจิตเราต้องไม่คบคนพาล แต่คบบัณฑิต จะถึงรู้ลดละกิเลส ถึงสูงสุดก็รู้จักกิเลสลดกิเลสว่าเราไม่โศกแล้วก็ยินดี จนปฏิบัติไม่โศกไม่ยินดีก็คือเขมัง อย่าไปแปลเป็นปุคคลาธิษฐาน ที่จริงเป็นปรมัตถ์ลึกซึ้ง
  • อาการของการต่อสู้ราคะ อาการต่อสู้แต่ว่าภูมิใจที่ได้ต่อสู้ แต่ไม่ดับสนิท อย่างนี้ประสพผลสำเร็จไหม 
  • ตอบ...ก็ได้ผลระดับหนึ่ง คุณรู้จักอาการจางคลายไหม เช่นชอบดอกไม้ ชอบน้ำหวาน เมื่อวานหมอบุญชัยดื่อมน้ำหวานได้พิษภัยใส่ตัวไปเท่าไหร่มากมาย 8 ช้อนแน่ะ มากมายมหาศาล เราไปติดน้ำติดสีติดรสเราอ่านใจว่าเราอยากได้เสพรส นั้นละกิเลสที่สะสม คุณเรียนรู้อาการ อ่านจิตได้ ชั่วคราวหรือทำได้ดับขาดจริง แล้วทำได้อย่างซ้อนทวนเป็นปฏิปัสสัทธิ คุณก็ทำทวนไป แล้วจะรู้ด้วยตนว่าเด็ดขาดไหม สัมผัสเมื่อไหร่ก็ไม่เกิด เป็นเรื่องรู้แจ้งเห็นจริง คุณจะเกิดญาณปัญญา มันไม่มีตัวตนรูปร่าง มันรู้ได้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส อย่างนี้มันมาก น้อย จาง อย่างนี้ไม่มีก็จะกำหนดรู้ได้ด้วยปัญญาของคุณเอง


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:36:45 )

570412

รายละเอียด

570412_ทวช.งานปลุกเสกฯครั้งที่ 38 โดยพ่อครู เรื่อง สัจจะที่ปรากฏ ตอนที่ 6 

       เรามาชุมนุมเป็นการยืนหยัดมวลมหาประชาชน เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ ยาวนาน 8 เดือนแล้ว 252 วัน ของกปท. และ 249 วันของกองทัพธรรม ซึ่งอยู่กันได้ยาวนาน และก็เรียบร้อย เป็นการชุมนุมต่อต้านอย่างสันติวิธี ปราศจากอาวุธ และมีคุณธรรมอย่างสูงส่งวิเศษ

       มีทั้งแสดงปริมาณ อันเป็นเครื่องบ่งชี้พื้นฐาน ทั้งมั่นคงเหนียวแน่น ยืนนานไม่ลดละไม่ทรุดโทรมถดถอย ได้มวลปริมาณขนาดนี้ชี้วัดชัดเจน แสดงออกความเป็นคุณค่าหลากแง่หลายเชิง ของความเป็นอำนาจของมวลมหาชน แท้ๆชัดเจน

       เรามีชีวิตชุมนุมผ่านไปขนาดนี้ มีความมุ่งหมาย เราขอให้รัฐบาลวางอำนาจ หยุดการบริหารได้แล้ว ประชาชนจำนวนมากออกมาแจ้งความเห็นความต้องการชัดเจน ส่งเสียงดังกึกก้องกัมปนาท คณะกปปส.ออกเคลื่อนที่ไปกระทรวงต่างๆ เมื่อวานไปกระทรวงสาธารณสุข คนมากเบียดเสียด จนกำนันเกือบแบน

       ผู้ที่ควรได้ยินได้ฟังอย่าทำเป็นหูหนวกตาบอด ไขหูเสียบ้าง ยอมรับผิดเสียดีๆ นี่คือการแสดงออกทางประชาธิปไตยที่สวยสดงดงามเลอเลิศยิ่งในความเป็นสังคมประชาธิปไตย เท่าที่เกิดจริงเป็นจริงของสัจจะในโลก เป็นการชนะอย่างสดสวยสง่ายิ่งแล้ว เป็น Best Record ทำลายสถิติโลก เท่าที่มีภูมิธรรมเท่านี้ ในรัฐศาสตร์สากล

       เป็นการแสดงตัวตนของคำว่าอธิปไตย เป็นความมีอำนาจของประชาชน แสดงตังตนโต้งๆ นี่แหละตัวประชาธิปไตย เป็นองค์ประกอบของดินน้ำไฟลมกับจิตวิญญาณสื่อออกคำว่าประชาธิปไตย เป็นความเป็นปรากฎการณ์ใหม่ ก็เลยทำให้คนยังงง ไม่เข้าใจไม่รู้ได้ว่า ประชาธิปไตยเป็นตัวๆอย่างนี้ นี่หรือคือประชาธิปไตย มันเป็นตัวอรูป เป็นนามธรรม

       เป็น กายสังขาร แสดงออกมาเป็นองค์รวม ต่างจริตต่างที่ทาง ร้อยพ่อพันแม่ มารวมตัวกันช่วยกัน มุ่งหมายเดียวกัน ประท้วงต่อต้าน ไล่รัฐบาล ปฏิวัติ จนต้องขานชื่อว่า นี่คือประชาชนปฏิวัติ และขานชื่อได้ว่าเป็นสันติปฏิวัติ แต่นี่เขายังเข้าใจไม่ได้ 

       เราชุมนุมสันติอหิงสาปราศจากอาวุธจริงๆ อาจมีคนมีจิตรุนแรงทำบกพร่องบ้าง แต่ก็ไม่ไปรุกรานเขา นอกจากป้องกันตัวบางคน น้อยมากเลย ถือว่าองค์รวมสอบผ่าน ความรุนแรงไม่ได้เกิดที่เรา ที่เกิดบาดเจ็บล้มตายอยู่นี่ ไม่ได้เกิดจากเรา เราป้องกันตัวก็หลบเลี่ยงตามสัญชาติญาณสัตว์โลก ระวังเต็มที่สุดวิสัยบกพร่องบ้าง ก็มีตายมีเจ็บบ้าง แต่จะเอาส่ิงเหล่านั้นมาลบล้างว่า ที่ทำนี่ไม่สันติอหิงสาไม่ได้ ไม่มีหลักฐานเพียงพอ

       ขอยืนยันว่าการประท้วงครั้งนี้ของประชาชนคนไทยทำได้อย่างถูกต้องชอบธรรม วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ จริงๆ หากไม่รู้ไม่เข้าใจก็ไม่เห็น ไม่รู้จักความเป็นประชาธิปไตยที่ปรากฏนี้ได้ เหมือนคนตาบอดทั้งที่มีของวิเศษปรากฏต่อหน้าก็ไม่เห็น แต่คนตาดีมีปัญญา ก็จะรู้ เหมือนคนมีภูมิปัญญา

       ที่เขาทำนี้จริงๆแล้วเขาก็รู้ว่าเขาผิด และรู้ว่าประชาชนออกมานี้ถูกต้อง แต่ด้วยความยึดติด ทั้งที่หมดความชอบธรรม ก็ไม่ปล่อยวาง ก็แสดงความต่ำทราม เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ร้ายลึกกว้างเข้าไปอีก แล้วเขาก็หลงว่าตนเองชนะอีกนะ เขาว่าเขาไม่ได้แพ้ ทั้งที่ความผิดของคนทำบาปด้วยอวิชชา ทำบาปซ้ำซ้อนเลวร้ายทับทวี ด้วยอวิชชา เกิดจริงเห็นได้เป็นสัจจะปรากฎจริงๆเลวร้าย เช่นว่าทำให้คนต้องฆ่าตัวตาย ไปตั้งไม่รู้กี่คนแล้ว ก็ไม่รู้สึกรู้สา ว่าตนเป็นเหตุทำร้ายให้ประชาชนต้องฆ่าตัวตาย ก็เฉยเหมือนม้าตด ตดดังขนาดไหน กลิ่นเหม็นตลบก็ไม่รู้ว่าตนทำเลวร้าย

       เขาทำให้หลงคนยึดประชาธิปไตยผิดๆ อาการหนักถึงคลั่งใคล้ประชาธิปไตย ใครมาแตะประชาธิปไตยไม่ได้ เราจะตายคาประชาธิปไตย ไม่รู้ว่าประชาธิปไตยขี้หมาอะไร ไม่ใช่ประชาธิปไตยสักนิดเดียวก็จะตายคา คนบ้าก็เอาตามอีก ใครมาแตะไม่ได้ จริงๆแล้วคุณไม่ใช่ประชาธิปไตย​คุณก็หอบประชาธิปไตยของคุณไปตั้งประเทศเองเลย แบบคุณเขาไม่ได้แย่งเลยประชาธิปไตยของคุณ เขาก็ว่าเขาออกมารักษาประชาธิปไตย คนไม่รู้ก็มาร่วม ดีไม่ดีก็ล่อลวงกันมา ซื้อกันมา บางทีรวมตัวกัน ทำให้คนต้องโกหกต้องสับปรับกลับกลอกให้คนต้องคิดคำโกหกเป็นไฟ ปั้นน้ำเป็นตัว สร้างโรงน้ำแข็งกันเลย ทำให้คนก่อบาปใส่ตนหนักและนาน ทำให้ประเทศเสียหายทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเลวร้ายตกต่ำที่สุด ถึงขั้นรัฐบาลนี้ไม่รับอำนาจศาล แสดงออกมาอย่างโต้งๆเลย กล้าแสดงออกมา เป็นการแสดงจริงด้วยเป็นกรรมแล้ว กบฏแล้ว มีคนไปฟ้องเป็นกบฏแล้ว

       ทำให้คนอึดอัดทรมานถ้วนหน้าทั้งฝ่ายถูกและฝ่ายผิดอึดอัดถ้วนหน้าเลย แต่งงง ไม่รู้ว่าประชาธิปไตยสวยงามเป็นอย่างไร

       ถ้าประชากรไทยออกมาร่วมกันเป็นสิบหรือยี่สิบล้าน อาตมาว่ามีกำลังแรงพอที่เขาจะกลัว ออกมาสันติ ไม่ทำอะไรรุนแรงก็มีพลังพอ แสดงออกว่าไล่คุณออก ให้ออกไปเสีียดีๆ ชัดเจน เราจะเห็นอำนาจอธิปไตย ชัดเจน เป็นปฏิวัติโดยประชาชน เป็น Authority เป็น Sovereignty เป็นเอกราชที่แท้จริงถ้าออกมาได้มากขนาดนั้น

       คนคิดยังไม่ออก ถ้าคิดออกมารวมกันได้ ยิ่งได้ 30 ล้านเลยยิ่งทำได้สำเร็จทันที พรึ่บทั้งประเทศเลย แสดงมวลลักษณะพรักพร้อมพรึ่บ วันเวลาเดียวกัน สื่อออกไปทางการสื่อสารทั่วโลกจะมีพลังแห่งความสงบ เป็นพลังวิมุติ

       วิมุติคือพลัง มีฤทธิ์อำนาจสวย ถ้าไทยทำได้อย่างที่คุณภาพปริมาณที่อาตมาว่า สักวันคงได้ ตอนนี้ข้าราชการก็ออกมาร่วม แม้ประชาชนก็จะออกมาสมทบ หากชุมนุมไปสัก สามปี อาตมาว่าถึงแน่ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ ทางโน้นร้ายแรงมาก ควรออกมาช่วยกัน มีทั้งรูปธรรม และมีนามธรรมที่มุ่งหมายเป็นมโนสัญเจตนาที่ตรงกันว่าไล่คุณออก อาตมาว่าเผด็จศึกได้แน่นอน

       ตอนนี้ก็เลย งงงง ไม่รู้ทำไง ก็พะอือพะอม คาราคาซัง เหมือนฝีมันอ้วนระบม เกือบแตก ปวดอยู่อย่างนั้นเป็นเรื่องผลของมันร้ายแรงทำให้สังคมแตก เศรษฐกิจตก การเมืองต่ำได้หนักหนาสาหัส ฉกาจฉกรร

       แม้ทำให้เกิดเสียหายปานนั้นเขาก็ไม่รู้ตัวเลยว่านี่เป็นความผิดร้าย มันก็เลยยิ่งกลายเป็นความไม่รู้ที่ดำมืด ที่อะไรหรือ???​ฉันทำตามกฎหมายนะ จะไม่ให้มีที่ยืนเชียวหรือ? หนูไม่ได้ผิดอะไรนี่? ทำไม่ไม่ทำตามกฎหมาย โอ้โห สุดสะเหล่อเลย มันก็เลยยิ่งเห็นชัดเจนว่าเรามีผู้บริหารบ้านเมือง เป็นผู้ที่มอบหน้าที่ให้ช่วยดูแลบริหารบ้านเมือง แล้วมีความรู้เข้าใจแค่นี้หรือ ก็ยิ่งแสดงความต่ำทรามของผู้ที่ยืนบนฐานที่เขาคิดว่าเขาชนะอยู่ แล้วเสล่อเด๋อด๋าอย่างนี้หรือ ขายหัวหน้านายกฯของไทยนะ

       ที่สำคัญคือประชาชนไม่ได้ทำหยาบทำแรง ก็เลยยิ่งเห็นความตรงกันข้าม

       ที่อาตมาบอกอธิบายลักษณะต่างๆ ให้เอาไปตรวจสอบให้ดีๆ พวกเราต้องยิ่งสำนึกสำเหนีียกต้องทำให้ดีสุภาพ เอกภาพ มีปริมาณคุณภาพดียิ่งขึ้น คนมาร่วมมากขึ้นๆ แม้ข้าราชการก็มีคนมาร่วมมากขึ้นๆ อย่างเวทีกปปส.กลางพอตกเย็นก็มีมวลมาร่วมมากขึ้นๆ บอกให้ทราบว่า ที่อยู่ประจำมีมากขึ้น ขาจาก็มีมากขึ้น เป็นตัวชี้วัดตรงนั้น แต่ทีนี่ก็ชี้วัดในแนวลึกๆ เป็นคุณธรรมคุณภาพซ้อน ถ้ามีดวงตาจะชัด ตาทางปัญญา จะเห็นว่ายิ่งหนักไปทางอวิชชา ฉายานายกฯคนนี้ตอนแรกเป็น อีโง่ จากนั้นก็มี อีโง่ ฉายานายกนกแก้ว แม่นางโพย ตีกรรเชียง แตล็ดแต็ดแต๋ แด๊ะๆ นางดอกไม้ นางดอกงิ้ว

       เป็นความถัมภะ สารัมภะ อุปกิเลสทั้ง 16 เป็นเทวฑัตสมัยใหม่ที่เลวกว่าเทวฑัตเสียอีก แต่ประชาชนกลับทำดีงามจนให้คนตาบอดเห็นได้ พระพุทธเจ้าสอนให้เราทำความดี เราชนะความชั่วด้วยความดี เขาเลวร้ายเราก็ยิ่งต้องทำดีให้มาก ไม่ใช่แรงมาแรงตอบ ชั่วมาก็ชั่วตอบอย่างนี้ไม่เอา เขายิ่งแรงชั่วเรายิ่งงามยิ่งสงบ มันต้องเป็นปฏิภาคทวีซับซ้อน ต้องทำอย่างนี้ เราก็เจริญ เราได้ทำส่ิงดีทั้ง กาย วาจา ใจ เราได้นะเจริญนะ เขาจะยิ่งทำชั่วหนักก็เป็นวิบากเขา

       อาตมาเห็นว่าเขาก็รู้ตัวและพัฒนาขึ้นเหมือนกัน เป็นธรรมาธรรมะสงคราม เขาลดความรุนแรงลงนะ และรับผิด ไปตามลำดับ นี่เป็นเครื่องชี้วัดว่าเราเจริญไปทั้งประเทศแม้คนผิดก็ยอมสำนึกเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่เขาควรรู้ตัวรวมค่าว่าผิดก็ควรแพ้ควรเลิกเสีย เราก็เลยจำเป็นต้องหนักหนาเหน็ดเหนื่อย

       ความหยาบชั่วก็ทับทวีแบบหนึ่ง ความดีก็ทับทวีอีกแบบหนึ่ง เป็นความซ่อนซ้อนที่เกิดต้องมีปัญญารู้ ประชาชนที่รู้แล้วก็ต้องทำดียิ่งขึ้นอีก ให้สูงส่งประเสริฐงดงาม จนขีดสุด สัจธรรมจะตัดสิน ชนะแพ้ด้วยธรรมะตัดสินไม่ใช่เอาความดื้อด้านดึงดัน รุนแรงมาแข่งกันตัดสินกัน อย่างนั้นเก่ามากเลิกเสีย ทำกันมานานและล้าสมัยแล้ว อย่างที่เราทำนี่ทันสมัยใหม่เสมอ การชนะต้องชนะด้วยถูกต้องดีงาม จนความผิดชั่วนั้นหยุดทำหรือทำไม่ออก ก็ต้องเลิกทำ วิธีนี้ก็อาจถึงได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึง

       เราก็ทำไปเถอะทั้งยาวนาน แต่ละคนทำดียิ่งขึ้น อาตมาอยากเห็นความดีชนะความชั่วได้อย่างวิเศษวิสุทธิ์วิศิฏฐ์ จะทำได้ก็ต้องทำด้วยคน ช่วยกันทำช่วยสังคมประเทศไทยเถอะ

       การต่อสู้ด้วยความสงบสะอาด สันติ อหิงสาปราศจากอาวุธ ถ้าทำได้จะระบือไปไกล ผู้ปราศจากอาวุธ สงบสันติกว่าควรชนะ ไม่มีแรงไม่ร้าย มีแต่เมตตาเกื้อกูล เอื้อเฟื้อสงบ แล้วจะชนะได้อย่างไร สำลีไปจัดการหนามทุเรียนเรียบวุธได้อย่างไร ด้วยมหัศจรรย์ปาฏิหาริย์ได้อย่างไร ไม่ใช่เพ้อฝันนะ ความสงบสยบความรุนแรง จนความสงบชนะได้ อย่างนี้มีในโลกด้วยหรือ พลังแห่งความประเสริฐชนะความผิดไม่ชอบธรรม เป็นความชนะที่รู้ได้ยาก เป็นได้ยาก เห็นได้ยากเป็นได้ยาก นี่คือปรากฏการณ์ใหม่ที่ยังไม่สิ้นสุดในไทย

       ผู้รู้ต้องมาช่วยกัน เช่นตุลาการภิวัฒน์ หรือประชาภิวัฒน์ ก็น่าจะได้พิจารณาดูว่า นี่คือธรรมะ เป็นคุณลักษณะของ ธรรมาธิปไตย ที่เข้ามาผนวก สถาปนา เข้าไปในการเมือง ด้วยธรรมะเข้าไปผนึกกับการเมือง

       ต้องใช้สัปปุริสธรรม 7 ประการในการประการ

1.    ธัมมัญญูตา     (รู้จักทุกองค์ประกอบ) 

2.   อัตถัญญูตา     (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย)

3.   อัตตัญญูตา     (รู้จักตนเอง)

4.    มัตตัญญูตา     (รู้จักประมาณสัดส่วน)

5.    กาลัญญูตา     (รู้จักกาลสมัย)

6.    ปริสัญญูตา     (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น)

7.   ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น) (พตปฎ. เล่ม 23  ข้อ 65)

 

       เราทำได้อย่างประมาณได้สัดส่วน พัฒนาตนได้ เห็นอัตราก้าวหน้าในการประท้วง มีพฤติกรรมมนุษย์ ที่บ่งจิตวิญญาณเจริญ ก็จัดแจงดูสัดส่วนประมาณค่า ก็ยิ่งเห็นว่าเป็นยุคกาลที่พิเศษ มีอะไรกำลังดำเนินอยู่ เกิดสภาพเป็นไป เกิดทั้งปริสัญ เป็นกลุ่มหมู่บุคคล เปรียบเทียบสองฝ่าย

       อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมแพ้ยะย่ายพ่ายจะแจ แต่เห็นลีลาเสียสภาพ

       ในรธน.ไม่มีบทบัญญัติภาษาว่าให้ประชาชนปฏิวัติได้

1.สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร  ขัดกับสิ่งที่ควร 

สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย 

2. สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร 

สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย

3. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร 

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร  ขัดกับสิ่งที่ควร

สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย 

4. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร  

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร 

สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย. (พระไตรฯ ล.5  ข.92)

 

       มันควรจะตัดสินได้แล้ว เหตุการณ์ที่เกิดนี้ มันต้องช่วยกันใช้มหาปเทสแล้ว ท่านข้าราชการ ตุลาการและประชาชน กรุณาใช้ดุลยพินิจ ต้องตัดสินแล้ว ใช้มหาปเทศแล้ว ต้องตัดสินแล้ว เช่นข้าราชการควรเข้าข้างใคร ประชาชนนี่แหละช่วยกันตัดสินให้ได้ ตอนนี้มีสองข้างเท่านั้น ประชาชนมีสองกลุ่มเท่านั้น มีมวล กปปส.หรือนปช.เท่านั้นแหละ

       ของกปปส.นี้มีดอกไม้หลากสี หลายกลุ่มแต่เป็นหนึ่ง แต่ทางโน้นเขาก็มี แสดงจริงเลยไม่มีการบังคับ ควรต้องรีบมาด้วย ข้าราชการ ประชาชน ตุลาการควรตัดสินได้ ใช้มหาปเทศ แม้ไม่มีในรธน.ไม่มีทั้งห้ามและไม่มีอนุญาต ก็ว่าอะไรควร ชี้ว่าอันนี้ถูกหรือผิด ก็มาช่วยตัดสิน จะได้เกิดกรรมาภิวัฒน์ ทำตามหน้าที่ให้ดี

       ออกมารวมตัวแสดงคะแนนเสียง แต่ละวันๆออกมาเป็นล้าน นับมวลแต่ละแห่งรวมกัน ต่างจังหวัดก็มี ชุมนุมเป็นของจริง

 

       มาเข้าเรื่องธรรมะ ...มาเข้าเรื่อง แสงเงินแสงทอง

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

 

       มิตรดีคืออาริยบุคคล คือ พุทธบริษัท 4 จึงคือผู้ถือศีล 8 แต่ผู้อยู่ในชุมชนก็ถือศีล 5 อาจบกพร่องต้องชำระกันบ้าง ผู้ถือศีล 5 ได้สบายแล้วก็ถือศีล 8 คนฝืนอยู่ในศีล 5ก็เป็นโสดาปัตติมรรค หากสบายได้ก็เป็นโสดาปัตติผล ก็ขึ้นสกิทาคามีมรรค ในโสดาบันที่บรรลุเต็มก็จะถือศีล 8 จากศีล 8 ก็ไปถือศีล 10 ในฆราวาสก็ถือศีล 10

       แต่นักบวชของอโศกก็ถือศีล 10 ขึ้นไปได้บริบูรณ์ ได้มรรคผลมีตัวบุคคลจริงเป็นไปได้

       ในแสงอรุณเรามีมวลชนเป็นชุมชนเป็นมิตรดี  ทั้งหมู่กลุ่่มมีศีลได้ ตามลำดับ ไม่มีเดรัจฉานวิชชา ไม่มีอบายมุข มีบกพร่องบ้างนิดหน่อย ค่ารวมใช้ได้ อโศกไม่มีรดน้ำมนต์ ดูหมอ ทำนายทายทัก มีบกพร่องบ้าง แต่ค่ารวมเกิน 80 %

       สีลสัมปทาทั้งชุมชนมีศีล และมีฉันทะ หากไร้ฉันทะก็หนีกลับหมดแล้ว ชัดเจนแม้ฝืน ยินดีที่จะทำ แต่ต้องทนต้องฝืนต้องสู้ แต่จิตฉันทะมี อย่างนี้เอา ทั้งที่หลายคนเก่ง ออกไปหาเงินทองแย่งเขาได้ แต่อาตมาก็ดึงมาอยู่กับหมู่นี้ให้สังคมเขาเบาคู่แข่งแย่ง เพราะทำให้คนเกิดฉันทะอยู่ในโลกุตระต้องการนิพพานต้องการธรรมะตามวิธีที่อาตมานำพาอย่างนี้ จนมาเรียนรู้อัตตา เข้าถึงความเป็นอัตตา

       อัตตาต่างๆที่อธิบายมีอัตตา 3 ก็เข้าใจไปตามลำดับ

       มีทิฏฐิ ก็มีหลากหลาย ตั้งแต่

       ทิฏฐิ 2 สามารถเกิดสัมมาทิฏฐิได้ต้องมี ปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ เทน้ำออกจากถ้วยชาได้ก็รับจากคนอื่นได้ อย่างน้อยฟังอาตมาได้ เปิดจิตว่าท่านเป็นสัมมัคคตา สัมมาปฏิปันณา รู้โลกนี้โลกหน้า รู้วิธีออกจากโลกียะ พิสูจน์ได้จริง เพราะมีวิธีปฏิบัติพ้นอัตตาได้ ตามการละทิฏฐิ 3

1.รู้เห็นด้วยองค์แห่งสัมผัส  รูป->ตา->จักขุวิญญาณ  รู้อยู่ เห็นอยู่แม้สุข-ทุกข์-ไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดโดยจักขุสัมผัส ฯลฯ ซึ่งเห็นโดยความไม่เที่ยง (อนิจจโต) จึงละมิจฉาทิฏฐิได้.

2.   ซึ่งรู้-เห็น ฯ โดยเป็นทุกข์ (ทุกขโต) จึงละสักกายทิฏฐิได้

3.   ซึ่งรู้-เห็น ฯ โดยอนัตตา (อนัตตโต) จึงละอัตตานุทิฏฐิได้ .

(พตปฎ. เล่ม 18  ข้อ 254 - 256)

 

สัมมาทิฏฐิ 10 ที่ยังเป็นสาสวะ   

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).

1.ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง)

2.ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่ 

     (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ .

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

7.   มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) . อสีติสาวก อัครสาวกเป็นแม่, มรรคองค์ 8

8.   บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) . .พระพุทธเจ้า เป็นพ่อ โพชฌงค์ 7

     9. .   สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) . . .

     10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . .

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

       จนเจริญไปเป็นสัมมาทิฏฐิ 6 ที่เป็นอนาสวะ

1.    ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา) .

2.   ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง)

3.   ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง) . . มีพลังงาน static แฝง

4.    ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค) . .

5.    ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น .

6.    องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) มีพลังงาน Dynamic แฝง

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 258)

 

       ที่สำคัญ คือ อปมาทะ ในแสงเงินแสงทองข้อสุดท้าย เพราะข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ฯ ต่อไปนี้อย่าประมาท อย่าตีกิน ถ้าแสงอรุณข้อนี้ไม่มี คุณติดแป้น ต่อให้จ่อในอรหัตตมรรค แล้วประมาทก็ไม่ไปไหน ต้องเร่งรัดพัฒนาตนเองขึ้น ตรงนี้แหละเตือน แสงอรุณข้อนี้ไม่มาก็ไม่ได้

       ถ้าไม่ประมาทพากเพียรเราจะเจริญ อรหันต์ 9 รูปน่าจะได้ ตอนนี้ได้รูปเดียว เสร็จงานการเมืองอาตมาจะบรรยายเทศน์แหลกเลย เคี่ยวใน  

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:39:16 )

570413

รายละเอียด

570413_พ่อครูเทศน์วันสงกรานต์เรื่อง ทนอีกนิดเถอะน่าธรรมะชนะแน่

       วันนี้ 13 เม.ย. 57 ครบ 250 วันของการชุมนุมกองทัพธรรม

       พรปีใหม่วันนี้อาตมาคงจะพูดถึงปีใหม่ไทยที่รดน้ำบ้าง พรของอาตมาคงเป็นคำตำหนิเสียแล้ว ตั้งใจพูดตรงนี้ ถ้าจะพูดหนักก็คือด่า คือการว่าส่ิงที่ผิด

       เรื่องของรดน้ำดำหัวแล้วบานปลายเป็นการรดน้ำที่สกปรกจกเปรตไปทุกวันนี้ แม้กระทั่งที่สุด กำนันสุเทพได้ปราม ที่สวนลุมฯ ที่จัดงานสงกรานต์ แต่ห้ามรดน้ำโดยเอาปืนฉีดน้ำมายิงเป็นต้น แม้เอาน้ำมาจากข้างนอกก็ห้ามไว้ เพราะกลัวจะแฝงน้ำพิษเข้ามาเกิดเรื่อง

       ประวัติของรดน้ำดำหัว อาตมาเคยเทศน์ไว้แล้ว เป็นความผิดพลาดของสิ่งไม่เที่ยง เป็นการปรุงแต่งประยุกต์ให้เกิดความผิดพลาดเสียหาย ของดีกลายเป็นของเสีย เป็นโทษ การรดน้ำทุกวันนี้มองเผินเหมือนมีประโยชน์ทางทุนนิยม ได้ค้าขายเป็นการโฆษณาท่องเที่ยงหาเงินในการขายของ ได้บ้าง

       แต่จริงแล้วเป็นการทำลายเสียหาย เป็นการสาดน้ำกันอย่างฉวยโอกาส ลามกจกเปรต ไม่ขยายความน่าเกลียดเป็นกิเลสกามและแก้แค้นก็มี เสียหายต่อความเป็นสังคม

       ส่ิงเสียหายคือ เริ่มต้น เดือนเม.ย. หน้าแล้ง น้ำน้อย น้ำไม่มี กิเลสคนมันทำให้เกิดความเสียหายเลวร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่หน้าแล้วหน้าร้อน หากได้อาบน้ำพรมน้ำก็เย็น แต่น้ำก็หายาก แล้วก็เกิดลัทธิ ค่านิยม เอาน้ำมาเททิ้ง สาดทิ้ง รดทั่วไป ก็เกิดความฉิบหาย เห็นชัดๆเลย  

       ไม่เป็นเรื่องน่ายินดีสอดคล้องกับความเจริญแต่อย่างใด แต่โบราณการณ์ การได้รดน้ำหน้าแล้ว ก็คือน้ำมันน้อย คนมีน้ำก็เอาน้ำมาใส่จอกมา คนมีน้อยก็รวมกับคนมีมาก ใส่อ่างโอง ร่วมกัน เป็นสามัคคีร่วมใจกัน เป็นน้ำในโอ่งในอ่างภาชนะใหญ่อันเดียวกัน

       ผู้ที่สมควรได้อาบได้พรมน้ำเย็นๆ สมัยโบราณเขาราดเลยอาบทั้งตัว หากมีน้อยก็รดแค่มือ แค่ตัว เป็นวิธีรดน้ำดำหัวไม่เสียเศรษฐกิจ สอดคล้องกับความจริง ผู้ที่มีค่ามีประโยชน์ต่อสังคม ควรได้รับรางวัล ได้อาบน้ำเย็น ก็คัดหรือเชิญ ผู้ที่เหมาะควร เห็นดีเห็นพร้อมว่าท่านผู้นี้มีคุณค่า ก็ควรได้รับเกียรติ ควรได้รับการรดน้ำก็เชิญมา อย่างที่พวกเราทำกันนี่ก็ถูกแล้ว

       น้ำก็ไม่สูญเสียมาก เพราะน้ำหายาก ไม่น่าไปสาดเสียเทเสียเลย

       เขาก็ทำจนมีจิตอยากใหญ่โต คนที่ได้รับการรดน้ำนั้นเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องนับถือ เป็นคนได้หน้า ก็เลยเกิดมีคนอยากได้หน้า ก็พยายามทำทีให้เราได้รับการรดน้ำ เสนอตัว แทรกตัวมา ก็บานปลายไป จนกระแสจิตอย่างนี้แพร่ไป

       ตอนเด็กๆอาตมายังคิดเลยว่า เขาไม่รดน้ำเรา ทำไม? เราอยากให้เขารด เราจะได้รับเกียรติ เราไม่ได้รับการรดก็รู้สึกน้อยใจ เป็นกระแสสังคมอย่างนั้น จนเดี๋ยวนี้บานปลาย เสื่อมต่ำเป็นการผิดพลาดที่ควรปรับปรุงแก้ไขเสีย

       บางแห่งก็พยายามปรับให้เข้าที่เข้าทาง ก็ลดลงได้ยาก แต่ของเรารักษาได้ดี ไม่ตกไปถึงลามก ก็ไม่เกิด ถ้าสามารถดึงกลับสู่สภาพมีคุณค่าของการรดน้ำดำหัวในหน้าแล้ว จะเป็นประเพณีที่สวยงามมีคุณค่า

       นี่คือพร จะเรียกว่าตำหนิหรือด่าก็ได้ ถ้าผิดก็ควรแก้ไขเสีย นี่คือพรขึ้นต้น

       

       การจัดงานหรือเกิดอะไรตามสังคมขณะนี้พวกเราออกมาชุมนุมก็เลยติดอยู่บนถนน หรือที่สวนลุมฯ แจ้งวัฒนะหรือชมัยฯเป็นต้น ก็คือมวลประชาชนมาประท้วงเหตุการณ์บ้านเมืองขอขอบคุณทุกคนที่เอาภาระ ไม่ดูดายเอาใจใส่บ้านเมือง เสียเวลา ทุนรอนแรงงานมาชุมนุมยาวนาน เพราะเราเจอคนที่ดื้อด้าน

       เขาสะสมค่ายกลเลวร้าย ทางสังคม การเมือง จนเดี๋ยวนี้เราก็ยังแก้ได้ไม่หมด

       เราชุมนุมอย่างสันติอหิงสา สอดคล้องกับรธน. จนศาลบอกมาชัดเจน หักล้างแม้เจ้าหน้าที่รัฐ ก็ตัดไม้ตัดมือโดยศาลรธน.ออกมาถึง 9 ข้อไม่ให้ศรส.ทำ เป็นการหักหน้าเขาเลย เขาเอาไปตีกลับว่าศาลรธน.ลำเอียงสองมาตรฐาน เข้าข้างอีกข้างหนึ่ง

       อาตมาได้สาธยายว่า ท่านที่ไม่อคติ ก็ตัดสินไปตามสัจธรรม สิ่งถูกต้องก็ถูกต้อง ความผิดก็เลยกลายเป็นผู้ผิดไป ผู้ที่ตกเป็นผู้ผิดก็ไม่ชอบใจหาว่าศาลลำเอียง ศาลที่ซื่อสัตย์ก็ต้องตัดสินความถูกเป็นความถูก แต่ผู้ไม่มีปัญญา เห็นความถูกของคนถูกเป็นความผิด ก็ถูกแล้วล่ะ คนโง่ก็ต้องเห็นความถูกของคนถูกเป็นความผิด ศาลก็ตัดสินความผิดก็ต้องเป็นความผิด ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ว่าอันนี้เป็นความผิดของคนผิด แต่คนผิดไม่ยอมรับก็เลยประท้วงต่อต้าน ด่าทอ หนักเข้าเป็นกบฏไม่ยอมรับอำนาจศาล ผิดรธน.เลย

       อาตมาก็เทศน์ไปแล้ว ประเทศไหนก็มีศาลเป็นผู้ตัดสิน เมื่อไม่ยอมรับศาลก็เป็นกบฏ ก็ต้องถูกจับ แต่นี่เขามีอำนาจรัฐ ก็ออกบทบาทไม่จับ แม้ผิดก็ไม่จับ นี่คือเกิดวิกฤติ จะรู้หรือไม่รู้ก็เลยแก้ขวย พูดเรื่อง รัฐาธิปัตย์นี่ไปกันใหญ่

       คำว่าอธิปัตย์คือำนาจใหญ่ Sovereignty ซึ่งอำนาจนี่คือแรงหรือพลังงาน หรือกำลังงาน เป็นแรงฤทธิ์ ทางนามธรรม ออกบทบาท ทาง กาย วาจา จนเป็นค่ายกล

       อำนาจที่เป็น Force เป็นอำนาจไม่ดีงามไม่ชอบธรรม ต่างกับอำนาจ Authority ที่เป็นอำนาจชอบธรรม เป็นความดีงาม เกื้อกูลกันไม่บังคับ

       เรามาอย่างตามประชาธิปไตยมาออกเสียงสดๆ แต่การเลือกผู้แทนก็เพราะว่าจะเอาคนมาทั้งหมดประเทศมาเลือกทีเดียวไม่ได้ ก็ต้องเลือกผู้แทนของแต่ละกลุ่มไปทำการแทน ตามถนัด เลือกไปรวมเป็นคณะบริหาร เรียกว่า รัฐบาล ไปบริหารดูแล เป็นอำนาจแรงงาน รับใช้ประชาชนประเทศชาติ ไม่ใช่อำนาจเดียวกันกับเจ้าของรัฐชาติ หรือรัฐประเทศ หรือรัฐาธิปัตย์

       สำหรับอำนาจรัฐบาล คืออำนาจให้ไปทำงาน ไม่ใช่อำนาจของเจ้าของ อำนาจรัฐาธิปัตย์คืออำนาจของเจ้าของประเทศ เหมือนเจ้าของบ้านที่ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็คือของเจ้าของบ้าน หรือเป็นเจ้าของประเทศ สวนผู้ที่ไดรับเลือกไปก็ทำหน้าที่แต่ละอย่างที่เจ้าของบ้านจ้างให้มาทำแต่ละหน้าที่ ไม่ใช่ sovereignty ที่เป็นอธิปัตย์

       แต่คนที่ไปเป็นรัฐบาลกลับเผลอว่าเป็นเจ้าของประเทศเลย บางคนเผลอบอกว่านายกฯเป็นประมุขของชาติเลย คือคุณธาริต ที่จริง ประชาชนเป็นประมุข แต่เรายกให้กษัตริย์เป็นประมุข ไม่ต้องเลือกเลย ทรงเป็นประมุขโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่นายกฯเป็นหัวหน้าประเทศ

       อันนี้ต้องพูดให้ชัด จะเอาอำนาจแค่คนรับใช้ ต่อให้เป็นหัวหน้าใหญ่ของคนทำงานในบ้าน ก็ไม่ใช่เจ้าของบ้าน สามารถถูกเอาออกได้ ถูกจับเข้าคุกถูกประหารชีวิตได้หากทำผิดหน้าที่ หรือละเว้นการทำหน้าที่ ก็ถูกฟ้องได้ ทำอย่างมีเงื่อนไขนะ

       แต่เขาก็ยึดอยู่แม้ทำผิด ก็ว่า กูไม่ออกๆ ทั้งที่เลย 3 เม.ย. 57 ก็โมฆะแล้ว ศาลตัดสิน หลักเกณฑ์ทุกอย่างก็ไม่เหลือแล้ว เหลือแต่เส้นใยก็ดูไม่เหลือซักอย่างแล้ว หยิบมาโมเมว่าเหลืออำนาจอยู่ บอกแค่ว่ารธน.ก็ไม่บอกให้ออกนี่ ที่จริงมีบอกไว้ว่าออกได้  คือลาออก , ตาย,ถูกตัดสินไล่ออกหรือจำคุก ตอนนี้ประชาชนก็ออกมาไล่แล้ว เป็นล้านเลย แล้วบอกว่าไม่มีในรธน.แล้ว

       ประเพณีเคยมีมา ก็คือทหารใช้อาวุธ กำลังพล เข้ายึดอำนาจ เขาก็กลัว สั่งให้มามอบตัวก็ยอมหมด แล้วทูลเกล้าตั้งนายกฯ กับพระเจ้าอยู่หัวท่านก็ลงพระปรมาภิไธยให้ นี่คือประเพณีที่ทำแบบใช้ทหาร บางทีก็ใช้ราษฎรทำก็มี เรียกว่าคณะราษฎร์ แต่เป็นอำนาจที่เป็นForce เป็นอำนาจไม่ชอบธรรม รธน.ก็ไม่เขียนไว้ แต่ก็ยอมให้ทำได้

       แต่วันนี้ประชาชนมาประท้วงขออำนาจคืน แต่ไม่มีปากกระบอกปืน มีแต่อำนาจ Authority ศาลตัดสินแล้วว่าททำอย่างถูกรธน.ด้วย ศาลว่าห้ามสลายเขาด้วย

       แต่รัฐบาลนี้ก็อ้างว่าตนไม่ผิด ก็อยู่ต่อ ประชาชนก็บอกว่าคุณผิดออกได้แล้ว แต่ไม่ใช้อำนาจบังคับเขาก็ไม่กลัวไม่ออก ดีไม่ดีมีซ้อนว่า ข้าราชการก็กลัวถูกย้ายก็เลยต้องจำนนไปกับรัฐบาล ก็ต้องยอมให้เขาต่อไป ทำตามสั่งของเขา ก็เลยมีมือมีไม้รับใช้อยู่นี่คือส่วนหนึ่งที่ไม่สำเร็จ

       ข้าราชการคือผู้ทำงานให้ประชาชน คือข้า ของ ราชะ หรือฝ่ายแดงเขาว่าคืออำมาตย์ของราชา ทำงานช่วยพระเจ้าอยู่หัว พอมาเป็นประชาธิปไตยก็ยังเรียกข้าราชการ แต่เขาก็พยายามเปลี่ยนไปเรียกอย่างอื่น

       สรุปแล้วประชาชนทำอย่างดีชนะแล้ว ได้อำนาจแล้ว เป็นแต่เพียงว่ายังงง คนยังไม่รู้ หลงผิดว่าไม่ได้ไม่มีคำว่าปฏิวัติในรธน.ไม่มี แต่มันมีโดยการเกี่ยวเนื่อง ในเนื้อแท้มีเกี่ยวพันถึงกันไม่ได้ขาด อำนาจประชาชนก็ยังมีอยู่ มีสิทธิประท้วงตามรธน.ม.63 หรือม.69

       เราออกมารวมกันแต่ครั้งก็มากมาย แต่ทางฝ่ายแดงเขาก็ว่าเรามาไม่มาก ดังนั้นตอนนี้ก็แข่งกันว่าใครจะมีคนสนับสนุนมากกว่ากัน ซึ่งวัดกันทั้งปริมาณและคุณภาพด้วยว่าใครมี Sovereignty มากกว่ากัน วัดกันในคุณภาพแล้วเราก็ชนะอยู่ดี ทั้งปริมาณก็จะไม่แพ้ด้วย ถึงอาจแพ้ในปริมาณ แต่ว่าคุณภาพเรามั่นใจว่าถูกต้องกว่าแน่ เราต่อสู้อย่างสวยสดงดงาม

       เรานี่ถือว่าเป็นพวกบุกเบิกรุ่นแรก เป็นหัวเจาะ สู้ หมุนร้อนจี๋เลยนะ ถ้าไม่แข็งจริงละลายเลยนะ แต่พวกเราก็อยู่ดีไม่ละลาย ไม่หมาบ้าหน้าแล้ว พวกเราไม่ใช่ ยังสงบเย็นอบอุ่น

       ที่เราทำนี่ถือเป็น Supreme เป็นยอดเลิศ เป็นเอกัคคตา Independence เลย ทำได้อย่างงาม เห็นได้ชัดเจน

       ถ้าเผื่อว่าอำนาจที่เราได้ทำถึงขนาดนี้แล้ว เปรียบเทียบได้กับอำนาจอีกฝ่ายหนึ่ง ที่เป็นทางรัฐบาล และมีผนังกลุ่มแดง นปช.เป็นผนังยันหลัง แต่ของเรานี่ยันหลังประชาชน หลากสี ไม่มีสีชัดเจน แต่ของเขากำหนดสีชัดเจน

       ของพวกเราเป็น Unity of Diversity ของพวกเราอิสระไม่ถูกสั่งการ แต่มีทิฏฐิสามัญตา ความเห็นเป็นหนึ่งเดียว ถึงเวลาบอกให้มาก็มา บอกให้อยู่ก็อยู่ โดยเฉพาะพวกไม่มีปริโพธะ(เครื่องห่วงหาอาวรณ์) อย่างกองทัพธรรมก็เลยอยู่ได้สบาย ปกติ

       เมื่อประชาชนมายืนยันว่าคุณออกไป รับรองว่าเขามีคนไปจัดการดูแลต่อได้แน่ คุณอยู่ก็ทำหน้าที่ไม่ได้แล้ว

       มาถึงขนาดนี้แล้ว อำนาจต่างๆที่ทำหน้าที่อยู่ไปไม่รอดแล้ว เหลือแต่อำนาจศาลทำได้อย่างงดงาม แต่ถูกตู่ท้วง แต่ไม่ว่า DSI หรือ อัยการสูงสุดก็เป๋ไปแล้ว เหลือแต่ศาลที่ซื่อตรงอยู่ อาจมีรายบุคคลได้รับห่อขนมบ้าง ก็ได้ข่าวว่าอย่างนั้น อาจมีได้เป็นได้ แต่ก็ไม่ล้มละลายเหมือนสภาหรือบริหาร

       ประชาชนจึงสมควรเอาอำนาจคืนไหม เพราะอำนาจที่เลือกไปจากประชาชนโดยตรงมันพังไปแล้วล้มละลายหมดความชอบธรรม อำนาจประชาชนเป็นของประชาชน ประชาชนก็เอาคืนได้ แล้วก็ไม่ให้ระคายเคืองพระยุคลบาทของในหลวง  ซึ่งท่านเหมือนพ่อ มีทั้่งลูกเลวและดี ลูกที่ดีก็ต้องจัดการลูกชั่ว แล้วก็ทูลเกล้าคนที่เหมาะสมไปเป็นผู้บริหารใหม่ ท่านจะได้ไม่ลำบากพระหฤทัย ทำอย่างเรียบร้อยไม่เกิดสงครามกลางเมือง ตายกันเป็นเบือ

       แต่ถ้าตายกับเป็นเบือ ท่านก็ลำบากพระหฤทัยสิ นี่เราทำนี่ก็มีบกพร่องบ้าง เราทำประท้วงมาตั้ง 8 เดือนแล้ว ตายไปแค่นั้นก็ดีแล้ว ตอนนี้อำนาจควรมาสู่ประชาชน จะได้ทูลเกล้าฯ ให้เกิดขนบใหม่ ที่เกิดได้เป็นBest Record แล้วใครจะมาทำอย่างนี้อีกก็ทำได้ยาก เอาความสงบไปสยบความรุนแรงนี่นะ ยกตัวอย่างวันที่ 18 ก.พ. 57 ที่เขามาสลายที่ผ่านฟ้าฯ แต่ว่าไปเจอเอาพลังงานศักดิ์สิทธิ์เข้าให้

       คนเรามีจิตวิญญาณ มีความรู้สึกนะ อย่างหมาตัวที่แพ้นอนครางหมาตัวที่ชนะก็ไม่ทำร้ายตัวที่แพ้ แต่คนนี่รู้ได้ย่ิงกว่าหมาอีก แล้วเราเองเราก็ไม่ได้ไปทำร้ายแรง ขนาดตำรวจบาดเจ็บเราก็ยังต้องไปช่วยตำรวจเลย เอาตำรวจบาดเจ็บไปใส่รถพยาบาลให้เลย อำนาจพลังทางจิตวิญญาณเป็นเรื่องจริงไม่ฟลุ๊ก แต่เป็นสัจจะทุกอย่างมาแต่เหตุ ตำรวจก็มีจิตวิญญาณ​เห็นดี สู้ความดีไม่ได้ ประชาชนมีความดีจนชนะตำรวจ นายสั่งก็ไม่เอาแล้ว แพ้ยะย่ายพ่ายจะแจไปเลย นี่คือความสงบสยบความรุนแรง อาตมาเคยอธิบายตอนที่ผู้การแต้มจะมาสลาย แต่ครั้งนั้นสุภาพกว่าไม่มีใครตายหรือเจ็บเลย พวกเราก็สงบเรียบร้อย ตำรวจมาคุมเชิงอยู่หลายชั่วโมง สุดท้ายก็งัดข้าวห่อมากินแล้วกลับ นั่นคือสงบสยบความรุนแรงอย่างเป็นรูปธรรม นี่คือการสู้รบอย่างธรรมาธรรมะสงคราม อย่างความดีชนะความชั่ว แต่เป็นได้จริง

       ค่ารวมของไทยยังไม่อำมหิต หากตำรวจพวกนี้อำมหิต พวกเราไม่เหลือ วันนั้นไม่ใช่หัวหน้าเป็นตัวสั่งการให้ถอยนะ แต่ตำรวจมวลพื้นๆระดับล่างเป็นคนถอยเอง จนหัวหน้าต้องหยุดสั่งต้องยอมแพ้ไป หรือหัวหน้าอาจมีใจรู้ว่าพลทัพถอยแล้วจะไปสั่งใครได้อีก นี่คือสัจธรรม เป็นการพ่ายแพ้ในธรรมาธรรมะสงคราม

       ควรต้องช่วยกันให้เสร็จสิ้น มีประเด็นคือ

       1.อำนาจของประชาชนคือรัฐาธิปัตย์ 2.อำนาจของใครผิดใครถูก

       อำนาจมวลประชาชนคือ Quantity ส่วนอำนาจใครผิดหรือถูกนี่เป็น Quality

       เพราะฉะนั้นประชาชน ก็ออกมาแสดงปริมาณของตนยืนยัน คะแนนเสียงของประชาชนมาแสดงอธิปัตย์ของเรา 1 คน1 เสียง ล้านคนล้านเสียง ออกมานี่ไม่ง่ายเท่าไปลงคะแนนเลือกตั้ง แล้วการเลือกตั้งนี่คือกิจเลือกประชาชนไปทำงาน แต่นี่เป็นกิจออกมาแสดงคะแนนเสียงไล่คนไปทำงานนั่น แม้จำนวนจะน้อยกว่า แต่ก็ปริมาณพอสมควรแล้ว อย่างการออกมานี่ไม่ได้บังคับใครหรือถูกบังคับเลย แต่ไม่ไปเลือกตั้งก็มีกฎหมายบังคับหรือทำตามกันมานาน แต่นี่การออกมาอย่างนี้ก็งงด้วยซ้ำ แต่ผู้ที่รู้ทั้งรู้ว่าควรออก แต่ก็ทนลำบากทนร้อนไม่ได้ก็เห็นแก่ตัว แต่คนเต็มใจหรือฝืนออกมานี่มันยาก ไม่ง่าย ไม่มีบังคับอิสรเสรีภาพ เต็มร้อย คนออกมาห้าล้านคนก็ต้องเทียบกับ 20 ล้าน ของการเลือกผู้แทนนะ นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

       เราเลือกให้เขามาทำงานแล้วฉิบหายทำพัง แล้วทำไมพวกที่เลือก 15 ล้านไม่ออกมาช่วยกันรับผิดชอบ หรือออกมาซัก 10 ล้าน ก็ไม่เห็นออกมากัน

       1 คนออกมาประท้วง นี่ควรเท่ากับ 5 คนของผู้ที่ไปเลือกตั้งนะ

       อำนาจควรมากกว่าการไปเลือกตั้งนะ

       ส่วนประเด็นความผิดน่าจะรู้กันมากแล้วนะ

       ในสังคมที่แย่จริงๆมี อธรรมชนะธรรมะได้ แต่ที่เราทำนี่ มันเลยแล้ว มันธรรมะชนะอธรรมนะ ต้องไปให้สุด จะมีผู้ที่เกิดปัญญา รู้ว่าต้องช่วยพวกนี้หรือ เมื่อได้ปัญญาได้สติ และพวกที่เขารู้แล้ว ว่าเราควรหยุดเห็นแก่ตัว หยุดเห็นแก่ลาภยศเถอะ พวกนักธุรกิจ ทำมาหากินส่วนตัว ที่เคยหลงไม่เสียสละ เห็นแก่โลกธรรมเขารู้ว่าพวกเราถูก หรือข้าราชการที่รู้แต่ติดในยศ เขาก็ต้องปลดกิเลสในอนาคต สำนึกคนก็ต้องมีบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ต้องชั่วต่อไป

       พวกที่ทำตัวเป็นกลางมีหลายจำพวก

       1.เขาไม่รู้ว่าข้างไหนดีหรือข้างไหนชั่ว ก็เลยไม่รู้จะเข้าข้างไหน?

       2.คนรู้ แต่เห็นแก่ตัว กลัวเสียลาภยศ ก็ไม่มา

       3.พวกมิจฉาทิฏฐิ เข้าใจผิด ว่าคนเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างคนไหน แม้รู้ว่าฝ่ายไหนถูกหรือผิด เขาจะฆ่ากันก็ช่างเถอะ นี่คือความเข้าใจผิด แต่ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ไม่คบพาล ให้คบบัณฑิต อย่างนี้กลางไหม? แล้วพระพุทธเจ้ายังสอนให้ตำหนิคนผิด ยกคนถูกคนดี

       พระพุทธเจ้าให้ใช้ปัญญา เหมือนมองลงจากที่สูง Bird Eye View ให้เห็นถ้วนรอบชัดเจน แล้วเลือกสิ่งถูก ความเป็นกลางนี่ลึกซึ้ง ความเป็นกลางของการปฏิบัติธรรมเป็นต้น เช่นคำว่ามัชฌิมาปฏิปทา แปลกันว่าเป็นทางสายกลาง แต่ว่าถ้าขยายเป็นทางที่พาไปสู่ความเป็นกลางอย่างนี้ถูก แต่ว่าแปลว่าทางสายกลางนั้น ต้องรู้ว่าทางที่ปฏิบัติต้องรู้ว่า ให้ลดกามและอัตตา จนหมดไม่เหลือไม่มีอันตา ไม่มีปลายข้างไหนเลย ไม่มียึดในกามและอัตตาเลย ให้ปฏิบัติกามก่อน กามนี่เป็นตัวติดยึดทางทวารนอก

       ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา ไป ตามลำดับ ลดกามได้ก็ลดอัตตาได้ หมดกามภายนอกก็เหลือแต่อัตตาภายในเป็นรูปอัตตา อรูปอัตตา หมดอัตตาหมดกาม จิตก็เลยกลางไม่ไปข้างไหน เป็นปรมัตถ์ ไม่ได้หมายความว่า พิณสามสาย

       พิณสายกลางคือการประมาณตน อย่าให้เคร่งตึงหรือหย่อนเกินไป ทำศีล 8 ไม่ไหวก็ทำศีล 5 ก่อนเป็นต้น แล้วค่อยๆเพิ่มไปตามลำดับ ไม่ได้หมายความถึงมัชฌิมา มันคนละเรื่องเลย ทุกวันนี้สับสนไปหมด

       อนาคามีเหลือแต่เศษ สังโยชน์เบื้องสูง มันGuilty มันไม่ได้สุขหรอก มันรู้แล้วว่าเราจะไปหมดกิเลส มันน่ารังเกียจ แต่มันสู้อำนาจกิเลสไม่ได้ ปรุงแต่งในภพตนเอง แต่ข้างนอกไม่เอาแล้ว ทำของตนก็เสียของตน ทำความหนาใหญ่เพ่ิมของตนเอง ถ้าไม่ทำก็ไม่เพ่ิม ของคุณเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับใครอนาคามีก็ต้องรับผิดชอบของตนอย่าประมาท

       ที่คาราคาซังก็คือยังไม่เข้าใจแท้จริง หรือเข้าใจแล้วก็เหลือแต่ขี้เกียจและเห็นแก่ตัวอยู่นั่นเอง อาตมาเลยต้องพูดวนให้เข้าใจ ส่วนเข้าใจแล้วจะไปหรือไม่ก็อยู่ที่เขาแล้ว จะออกมาช่วยหรือไม่ก็ให้เข้าใจไว้ก่อน ว่าถึงเวลาต้องออกมาช่วยกันแล้ว เราต้องการแรงปริมาณด้วย

       เรามาไขความจริงความรู้ออกไปอย่างนี้ให้มาก ดูสิว่าจะทนได้แค่ไหน ทุกวันนี้มันเป็นโลก ฟ่า บ่ กั้นแล้ว สารสนเทศน์สมัยนี้ แม้คนต่างประเทศก็รู้ แม้ไม่ใช่หน้าที่แต่กระแสแห่งสัจธรรมเป็นพลังงานไร้กำแพง เกิดจริง

       ความถูกต้องเขาก็จะแสดงออกมา บางคนก็แสดงออกมาโต้งๆ ก็จะช่วย มีพลังงานพวกนี้ทุกวันนี้รู้ทั่วโลก

       ทำไปเถอะสักวันจะชนะ ขอให้ไม่ทำผิดก็แล้วกัน ให้ทนอีกนิดเถอะน่า อาตมาว่าเราต้องชนะอย่างงดงามเลยนะ อย่าชนะอย่างชั่ว ต้องชนะความชั่วด้วยความดี ทำไมพระพุทธเจ้าเอาพระมหาชนกมาเป็นเรื่องที่ท่านเขียน

       I will Try ให้ทุกคนตั้งใจ...สาธุ       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:42:05 )

570414

รายละเอียด

570414_พ่อครูเทศน์ เวทีหน้าลานพลับพลาฯ เรื่อง ความน่าจะเป็น 'รัฏฐาธิปัตย์'?

            วันนี้คงต้องพูดเรื่องที่เป็นกระแสสังคมขณะนี้เรื่อง รัฐาธิปัตย์ อาตมามีความเข้าใจไม่เหมือนท่านทั้งหลาย ที่บรรยายกัน

            อาตมาว่าถ้าเข้าใจอย่างที่ท่านทั้งหลายเข้าใจไม่จบง่าย แต่ถ้าเข้าใจอย่างอาตมาเข้าใจจะจบง่ายจบเร็ว แต่อาตมาก็แหกคอกคิด ก็มั่นใจว่าเป็นส่ิงถูกต้อง เป็นนามธรรม แต่อาตมาเทียบรูปธรรมให้ดู

            อาตมาอธิบายสั้นๆให้ฟังก่อน...คำว่า อำนาจ กับคำว่าอธิปัตย์ นี่เป็นเรื่องที่สุดยอดในความเป็นรัฐเป็นประเทศ เป็นอำนาจของเจ้าบ้าน เจ้าถิ่นที่ เจ้าของทรัพย์สินทุกอย่าง สมัยเผด็จการเป็นอำนาจเช่นนี้เลย เป็น Sovereignty เลยรวมแล้วเรียกว่าอธิปไตย

            รัฐบาล คือเจ้าของบ้านเลือกให้มาทำงานบ้าน จะเป็นรัฐาธิปัตย์ได้อย่างไร อาตมาเรียกว่า กุลีรัฐ ชัดเจน แยกให้ชัด ใหญ่ในการทำงาน ก็เป็นอธิปัตย์ แต่จะเรียกว่ารัฐาธิปัตย์ก็ไม่ค่อยถูกนะ ถ้าจะเรียกก็เรียก รัฐบาลาธิปัตย์ เป็นใหญ่ในรัฐบาล ไม่ใช่ใหญ่ใน รัฐประเทศหรือรัฐชาติ

            อำนาจในรัฐชาติหรือรัฐประเทศ ก็คือแผ่นดินส่วนรวมทั้งหมดประเทศ ก็ต้องเป็นของประชาชนเจ้าของประเทศ เมื่อเราเห็นว่า รัฐบาลที่เราเลือกมาทำงานบริหารประเทศทำงานไม่ได้เรื่อง ทำเสียหายมาก เราก็จะให้เขาออกไป

            อย่างการใช้อำนาจปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธหรือทหาร เขาได้รัฐาธิปัตย์แต่เขาไม่ได้เป็นประชาธิปไตยขณะที่เขาปฏิวัติสำเร็จ เขาได้อำนาจแล้วไปจัดการ ขณะที่เขายึดอำนาจนั้น ยังไม่ขอคืนให้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งต่อไปเขาก็จะให้มีรธน. มีการเลือกตั้งแล้วให้คืนสู่ระบอบประชาธิปไตย เขาก็หมดอำนาจคืนให้แก่ประเทศ อำนาจที่คืนก็เป็นระบอบประชาธิปไตย​อำนาจในการปฏิวัติก็สิ้นไป

            มันมีความต่าง คือคณะปฏิวัติ หากไม่คืนอำนาจก็ครองต่อไปเหมือนฮิตเลอร์หรือมาร์กอสทำ เขาซ่อนในรูปแบบประชาธิปไตย เขามีอำนาจที่เรียกว่ารัฐาธิปัตย์ แต่รัฐาธิปัตย์เขาไม่ใ่ช่ของประชาธิปไตย​ แต่เป็นของเผด็จการกลุ่มนั้น ไม่ใช่รัฐาธิปัตย์ของประชาชน

            เราประชาชนคนไทยคือมวลมหาประชาชน​ที่กำลังมาทวงคืนรัฐาธิปัตย์ ที่เราเป็นประชาชน มีความรู้เข้าใจแล้วว่ารัฐบาลนี้ ตัดรัฐบาลาธิปไตยนี่ให้หยุด เราไม่จ้างคณะนี้แล้ว เราริบอำนาจรัฐบาลนี้คืน และเราจะเข้าสู่ระบบวิธีที่จะมีคณะบริหารใหม่ จะปฏิรูปไปบ้าง เราก็ตั้งใจทำเช่นนั้น เหมือนคนจะสร้างบริษัท ก็ไปจดบริกลสนธิ เป็นคณะกรรมการก่อการ ที่กำนันสุเทพทำอยู่นี่ก็เป็นเช่นกัน

รายงานพิเศษ: ความน่าจะเป็น 'รัฏฐาธิปัตย์'?

ปุจฉา? คาใจกับคำว่า "รัฏฐาธิ ปัตย์" หลังจากที่ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เลขาธิการ กปปส. ตีไพ่ใบสุดท้ายด้วยการประกาศจะตั้งรัฏฐาธิปัตย์ เพื่อสานเจตนารมณ์ให้ แนวทางที่วางไว้ในการปฏิรูปไปสู่ความสำเร็จนั้น จะสามารถทำได้อย่างไร มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนกับสถาน การณ์บ้านเมืองที่มีความแตกแยก

ขณะเดียวกันก็มีเสรีภาพทางความคิดและการกระทำมากขึ้น จะสามารถเป็น ไปได้หรือไม่ และจะเป็นหนทางในการแก้ปัญหา หาทางออกให้ประเทศได้จริงหรือไม่?

"ไชยันต์ ไชยพร" อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไขข้อข้องใจส่วนหนึ่งว่า คำว่า "รัฏฐาธิปัตย์" ตามความเข้าใจคือ ใครยึดกุมอำนาจรัฐหรือกุมอำนาจรัฐได้คือผู้ถูกต้องชอบธรรม ซึ่งใครที่เป็นผู้ยึดอำนาจได้ก็ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐโดยชอบธรรม โดยจะคำนึงหรือไม่ได้คำนึงถึงกติกาที่เป็นอยู่มาก่อน หรือครรลองที่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งในกรณีที่ไม่คำนึง ใครเป็นผู้แข็งแรงกว่าก็จะเป็นผู้กำหนดความถูกต้อง เช่น เหตุการณ์เมื่อ 19  ก.ย.49 ก็ถือว่าเข้าทำนองรัฏฐาธิปัตย์เช่นกัน และสามารถใช้อำนาจที่มีอยู่ออกกฎหมายได้

ดังนั้น ครั้งนี้การที่ "สุเทพ" จะประกาศรัฏฐา ธิปัตย์ และประกาศจะยึดทรัพย์ตระกูลชินวัตรนั้น ยังเป็นที่กังขาอยู่ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประกาศล่วงหน้าได้ เพราะรัฏฐาธิปัตย์คือผลพวงของการกระทำมากกว่าผลพวงของวจีกรรม ถ้าทางวาจามาก่อนที่จะมากุมอำนาจให้เบ็ดเสร็จ ก็ถือว่าเป็นแค่ลมปาก สุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องในฐานะมีเจตนาโค่นล้มระบอบการปกครองได้ ถึงแม้จะมีการยืนยันว่าจะรักษาระบอบไว้ แต่วิธีการที่ให้ได้มาซึ่งอำนาจมันไม่ใช่สิ่งที่กฎหมายได้กำหนดไว้ แต่ถ้ารัฐบาลอ่อนแอกว่า แน่นอนว่า การดำเนินการการฟ้องร้องไปจนถึงการจับกุมก็ย่อมมีปัญหา ด้านประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายของฝ่ายบริหาร

การที่ กปปส.เริ่มจาก "อารยะขัดขืน" และก็ทวงคืน "อำนาจอธิปไตยปวงชน" และโดนข้อ หา "กบฏ" ต่อด้วยการ "ปฏิวัติประชาชน" สุด ท้ายมาลงเอยด้วย "รัฏฐาธิปัตย์" ซึ่งกระบวนการแบบนี้อาจะนำไปสู่การทำลายการชุมนุมประท้วง

และการต่อสู้ด้วยอารยะขัดขืนในอนาคต เพราะจะทำให้สังคมเห็นว่า การชุมนุมประท้วงและอารยะขัดขืนเป็นเพียงข้ออ้างทางการเมือง ไม่มีความจริงใจ

การที่ "สุเทพ" ประกาศยึดอำนาจโดยไม่กำลังทหารก็ไม่มีความเป็นไปได้ ซึ่งถ้าจะเอาประชาชนไปปฏิวัติ ฝ่ายทหารก็ต้องเลือกข้างว่า จะว่าอยู่ฝ่ายไหน จะอยู่ฝ่ายรัฐบาลที่ปกป้องระบอบ ประชาธิปไตย หรือทหารจะเข้าร่วมฝ่ายปฏิวัติประชาชนของกลุ่ม กปปส.ที่นำโดยนายสุเทพ ถ้าทหารมีเอกภาพในการเลือกข้างก็จะมีปัญหาแบบหนึ่ง แต่ถ้าขาดเอกภาพและเลือกแตกออกไปเป็น สองทาง ก็จะนำพาสถานการณ์ไปสู่เส้นทางสง ครามกลางเมืองที่ชัดเจน

ทั้งนี้ เชื่อว่าการประกาศของ "สุเทพ" ทั้งเรื่องของการประกาศยึดทรัพย์ตระกูลชินวัตร หรือการประกาศทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อนายกฯ คนกลาง และรายชื่อคณะรัฐมนตรี อาจจะมองได้

ว่าเป็นการขู่รัฐบาลและเครือข่าย ท้าทาย สร้างเงื่อนไข และอีกมุมหนึ่ง การพูดเรื่องรัฏฐาธิปัตย์คือการพูดเพื่อปลุกเร้ามวลชนให้มีความฮึกเหิม มีความหวังในการต่อสู้อีกครั้งเท่านั้น เข้าทำนองให้ออกมาเพื่อเผด็จศึกเด็ดขาดเป็นรัฏฐาธิปัตย์

"อัษฎางค์ ปาณิกบุตร" อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง นักวิชาการอิสระ ก็อธิบายในอีกมุมมองหนึ่งว่า   "รัฏฐาธิปัตย์" ตามที่ "สุเทพ" ประกาศนั้น ต้องดูด้วยว่าคำนี้เกิดมาจากไหน เพราะตามที่เปิดพจนานุกรมที่มี ปี 2554 ไม่มี มีแต่คำว่า "รัฐ" ที่แปลว่า แคว้นประเทศ และคำว่า อธิป ที่แปลว่าความยิ่งใหญ่ เท่ากับ รัฐ+อธิปัตย์ เป็นคำสมาส คือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในรัฐนั้น ไม่ว่าจะได้มาจากอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะรบกัน ฆ่าฟันกัน หรือประชาธิปไตย ก็สามารถใช้ได้หมด

แต่โดยทั่วไปมักจะใช้กับรัฐที่เป็นประชา ธิปไตย ที่บุคคลคนนั้นหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลหนึ่งได้รับเลือกขึ้นมาจากการเลือกตั้ง หรือการประกาศรัฏฐาธิปัตย์ ที่ได้มาไว้ในมือกองทัพ เป็น "องค์รัฏฐาธิปัตย์ของประเทศไทย" เหมือนในสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือเหตุการณ์เมื่อปี 2549 สมัยที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่ทำรัฐประหารและได้อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือ ตรงนี้สามารถทำได้โดยอยู่ในรูปแบบเผด็จการ

ขณะเดียวกันถ้า "สุเทพ" สมมติขึ้นมาเอง ว่า ประกาศรัฏฐาธิปัตย์ เท่ากับเขาตั้งให้ตัวเขา เองใหญ่ที่สุด เหมือนจอมพลสฤษดิ์ หรือ พล.อ. สนธิ ซึ่งนายสุเทพไม่ใช่ไม่มีปัจจัยสนับสนุนมากพอ จึงออกมาแบบนี้แบบโดนโจมตีกลับ การที่สุเทพประกาศรัฏฐาธิปัตย์ เป็นกลุ่มคนที่สามารถใช้อำนาจของรัฐได้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อจำกัด เพราะไม่มีรัฐธรรมนูญ  คือเป็นกระบวนการที่มา จากเผด็จการซึ่งยากที่จะได้รับการยอมรับ ไม่ว่า จะเป็นการออกคำสั่งยึดทรัพย์ การตั้งตนเองเป็น ผู้ทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อนายกฯ และคณะรัฐมน ตรี และจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ นั้น

"ถ้าเขามีอำนาจจริง เขาก็สามารถทำได้ทุก อย่าง แต่นั่นต้องหมายความว่า คุณมีอำนาจแท้จริง สั่งการแล้วกองทัพปฏิบัติตาม มีอาวุธพร้อม มีกลุ่มคน องค์กรต่างๆ พร้อมปฏิบัติตามโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการต่อสู้"

"อัษฎางค์" อธิบายเพิ่มเติมว่า ทั้งหมดนี้การประกาศรัฏฐาธิปัตย์ของ สุเทพ เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.เป็นไปได้ เพราะการที่จะได้รัฏฐาธิปัตย์ จะต้องมีกำลังที่จะสามารถบังคับใครก็ได้ และจะต้องฉีกรัฐธรรมนูญ เพราะขณะนี้เราอยู่ในกระบวนการประชาธิปไตย  จะมาเอ่ยลอยๆ ว่าอำนาจอยู่ที่ตน เองไม่ได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้ากองทัพ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อฟังก็จะสามารถทำได้หมด ซึ่ง ถ้าถามเรื่องของความเหมาะสมด้วยสถานการณ์การเมืองที่มีความขัดแย้งแบบนี้ ก็ขึ้นอยู่กับประ ชาชนจะเป็นคนตัดสินเองว่า การประกาศรัฏฐาธิปัตย์คืออะไร

"แต่ต้องจำไว้ว่า ยุทธศาสตร์ครั้งนี้มันหนักหนา มันแยกกันตี มีกระบวนการทำเงื่อนไขในแต่ละระดับ นายสุเทพรับผิดชอบเฉพาะตัว เป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่เป็นชั้นล่าง โดยมีแบ็กบอกว่าไม่เป็นไร ลื้อทำไปอั๊วคอยดูแลอยู่ จึงไม่การจับกุม เขาสามารถทำอะไรก็ได้ แม้จะมีการล้างแค้นกันบ้างและสถานการณ์จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าบ้านเมืองยังอยู่ในลักษณะนี้ เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางอื่นนอกจากการมานั่งเจรจากัน ถ้าเอาประเทศนะ ผมจะพูดให้คุณประยุทธ์ได้ยินว่า  ตอนที่ผมไปวิ่งออกกำลังกายที่ราบ 1 มีป้ายเขียนติดไว้ ชาติ  ศาสน์ กษัตริย์ ชาติมาก่อน ถ้าไม่มีชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นบอกคุณประยุทธ์เลยว่า คุณสามารถทำได้  โดยเป็นตัวกลาง เอาตัวที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่เบื้องหลัง กปปส.มาเลย คุยกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์  ถ้าเรามาบอกว่าประชามติของคนไทยคนส่วนใหญ่บอกว่าต้องปฏิรูปประเทศไทย ตามกระบวนการขั้นตอนที่ชัดเจน เสร็จแล้วนำมาประกาศ แบบนี้สิประเทศก็สามารถที่จะเงียบสงบ สามารถกลับไปเริ่มนับ 1 ใหม่ได้ กลับไปสู่กระบวนการเลือกตั้งได้ แต่ถ้ายังดันทุรังปล่อยให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้มีแต่เสีย"

"กิตติศักดิ์ ปรกติ" อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำทับว่า คำว่า รัฐ+อธิปไตย คือผู้ถืออำนาจสูงสุดในการปกครองแผ่นดิน ตามปกติแล้ว รัฏฐาธิปัตย์ หมายถึง ประมุขแห่งรัฐ ซึ่งจะมีผู้เข้าใจว่าอำนาจรัฐบาลนั่นก็คืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์เช่นกัน เพราะอำนาจปกครองสูงสุดเป็นของปวงชน ตามบทบัญญัติรัฐธรรมมูญ มาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ดังนั้น ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ต้องถามนายสุเทพว่า การประกาศรัฐฏาธิปัตย์นั้นหมายความถึงอะไร มีอำนาจในฐานะเป็นผู้แทนปวงชน หรือมีอำนาจในฐานะเป็นรัฐบาล หรือมีอำนาจเป็นประมุขแห่งรัฐ  ซึ่งจะมีความหมายแตกต่างกันไป แล้วแต่ว่าจะตีความอย่างไร แต่ตนเข้าใจว่านายสุเทพหมายถึงการมีอำนาจเป็นรัฐบาลได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะต้องได้รับความเห็นชอบจากปวงชนชาวไทย ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องดูมาตรฐานระดับเฉลี่ยโดยทั่วไป  เพราะเป็นเรื่อง ปกติ อยู่แล้วที่ทุกเรื่องไม่มีใครเห็นด้วยเต็มร้อย แต่ต้องดูว่าโดยสายตาวิญญูชนเห็นว่าถูกต้องชอบธรรมแล้วหรือไม่

คำว่า "รัฏฐาธิปัตย์" อาจจะไม่ใช่คำใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหวังแก้ไขปัญหาของประเทศในปัจจุบัน แต่เป็นคำเก่าที่ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งการประกาศรัฏฐาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายสุเทพครั้งนี้ จะเป็นเพียงการตีไพ่ขู่คู่ต่อสู้ในระบอบทักษิณ หรือเป็นการประกาศเตือนว่าตนพร้อมต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งทางออกในการปฏิรูปประเทศ และจะทำได้หรือไม่ นับถอยหลังจากนี้อีกเพียงไม่กี่วันเราคงได้ประจักษ์.

 

            ซึ่งความเห็นของอ.อัฏฎางค์ นั้น มีความเห็นว่า อำนาจรัฐาธิปัตย์จะได้มาต้องใช้แบบ Force เขาไม่เชื่อว่า การใช้อำนาจโดยธรรม ไม่ใช้อาวุธ สงบ สันติ จะได้มาซึ่งรัฐาธิปัตย์ได้อย่างไร เขาจะยอมได้อย่างไร?....เพราะฝั่งรัฐบาลยังมีอำนาจสั่งตำรวจทหารได้อยู่

 

            พ่อครูว่า ...คุณสุเทพบอกตลอดว่าไม่ได้มาเป็นประมุขแห่งรัฐ แต่ว่าจะมาช่วยจัดการให้ประเทศเป็นระบบระเบียบ จัดการให้ประชาชนมีความสงบเรียบร้อย แล้วค่อยเลือกคนให้เป็นนายกฯส่งขึ้นทูลเกล้าฯอีกที และต้องได้รับความเห็นชอบจากปวงชนชาวไทย คุณสุเทพก็กำลังทำอยู่แล้ว

            สรุปความแล้ว อาตมาก็ยังเห็นว่า อำนาจที่ยึดกัน ใช้กัน นี่ ที่พูดกัน นี่ยังไม่มีอำนาจที่เป็นของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยเลย ยังพูดกันแค่รัฐาธิปัตย์ที่ได้จากเลือกตั้งหรือรัฐประหาร โดยกำลัง และไม่คิดเลยว่าประชาชนจะสามารถยึดอำนาจได้ สรุปความรู้ของครูบาอาจารย์ทั่วไปคิดเช่นนั้น

 

            ต่อไปเป็นความเห็นของผู้รู้ท่านหนึ่งที่แสดงความเห็นว่า...การจะครองอำนาจรัฐกับความเป็นรัฐาธิปัตย์ คนละหลักกัน …..

            เรื่องรัฐาธิปัตย์ เป็นแนวคิดและหลักการ Paradigm กระบวนทัศน์

            การครองอำนาจรัฐ เป็นกระบวนการ Process

            ส่วนจะประกาศหรือสถาปนาอะไรอย่างที่สุเทพจะทำ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

            ถ้าสำเร็จก็ครองอำนาจรัฐไป ถ้าไม่สำเร็จก็ผิดกฎหมาย (อันนี้พ่อครูว่า เป็นความเข้าใจว่า ประชาชนปฏิวัติไม่ได้ ผิดกฎหมาย ซึ่งพ่อครูว่า ในมาตรา 63 ,69 ก็ทำได้โดยสันติวิธี แต่ถ้าไม่ใช่สันติวิธี ไม่เป็นไปตามวิถีทางรธน.นี้ อย่างรัฐบาลนี้ทำขัดรธน. ประชาชนมีสิทธิ์ทวงอำนาจคืน ทำอย่างสันติวิธีก็ทำได้)

            ข้อความเรื่องรัฐาธิปัตย์ ที่ปรับแก้ไขแล้วนั้นไม่อาจรองรับส่ิงที่คุณสุเทพกำลังจะทำนี้ได้ โดยถือว่า รัฐาธิปัตย์นี่เป็นแค่แนวคิดหรือหลักการ และกำลังพยายามปรับแก้ ดังนั้นที่ทำนี่ถือว่าผิด

            อาตมามีความเห็นแย้ง หลายอย่าง

            สรุปว่า การเข้าใจรัฐาธิปัตย์ ก็เข้าใจว่าอำนาจอธิปไตย เป็นของประชาชน

            รัฐาธิปัตย์เป็นอำนาจความจริง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ (หมายถึงอำนาจรัฐาธิปัตย์ของระบอบประชาธิปไตยจะไม่บังคับใครและเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของคณะใดหรือคนใด  ต่างจากอำนาจรัฐาธิปัตย์ในระบอบเผด็จการจะเป็นการบังคับ) ขึ้นชื่อว่าประชาธิปไตยแล้วอำนาจรัฐาธิปัตย์คืออำนาจของประชาชน ไม่ว่าประเทศไหน เป็น Supreme law สำหรับประเทศมีประชาธิปไตยสองขา รัฐาธิปัตย์ก็คืออำนาจเป็นของประชาชนกับกษัตริย์ที่เป็นหัวหน้าประชาชน ส่วนประเทศประชาธิปไตยขาเดียวอำนาจก็เป็นของประชาชน

            ถ้าจะขออำนาจคืน ประท้วง อย่างในม.63 หรือ 69 ก็จะสามารถทำได้ คือให้ทำอย่างสันติวิธี

มาตรา 69 (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

            เราจึงออกมาต่อต้านประท้วงได้ เพราะเขามาบริหารประเทศขัดรธน. ไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรธน. เราจึงออกมาต่อต้านโดยสันติวิธี ก็ชัดเจนขึ้นๆ ว่าเขาทำผิด เช่นกรณีคุณถวิล เปลี่ยนสี หรือกรณีจำนำข้าว เรามีสิทธิ์ไล่ แต่เขาก็ทำหน้าด้านเฉย มันก็ย่ิงผิดซ้ำซ้อน และเขายังประท้วงศาลอีก

            ในรัฐาธิปัตย์นี้ ถ้าอย่าง"ไชยันต์ ไชยพร" อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไขข้อข้องใจส่วนหนึ่งว่า คำว่า "รัฏฐาธิปัตย์" ตามความเข้าใจคือ ใครยึดกุมอำนาจรัฐหรือกุมอำนาจรัฐได้คือผู้ถูกต้องชอบธรรม ซึ่งใครที่เป็นผู้ยึดอำนาจได้ก็ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐโดยชอบธรรม โดยจะคำนึงหรือไม่ได้คำนึงถึงกติกาที่เป็นอยู่มาก่อน หรือครรลองที่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งในกรณีที่ไม่คำนึง ใครเป็นผู้แข็งแรงกว่าก็จะเป็นผู้กำหนดความถูกต้อง เช่น เหตุการณ์เมื่อ 19  ก.ย.49 ก็ถือว่าเข้าทำนองรัฏฐาธิปัตย์เช่นกัน และสามารถใช้อำนาจที่มีอยู่ออกกฎหมายได้

            อาตมาว่า นั้นไม่ใช่ในระบอบประชาธิปไตย เพราะคุณไปยึดมาด้วยอาวุธ ก็ไม่ชอบธรรม ไม่มีในรธน.นี้ เราต้องคำนึงถึงสันติวิธี ใช้อำนาจโดยธรรม Authority ไม่ใ่ช้ Force

            แม้ในการเป็นรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ก็ได้ผลเป็นรัฐบาลมากจากการรัฐประหารเช่นกัน มันเป็นประเพณีการปฏิวัติมานานและหลายทีจนยอมรับกันหลายรัฐบาลแล้ว

            แต่ครั้งนี้ประชาชนคนไทย ที่เรียกว่ากปปส.นี้ ทำอย่างถูกกฎหมาย ตามรธน.ด้วย แม้ศาลรธน.ก็คุ้มครองว่าทำได้ ห้ามสลายด้วย..

            ทำไมเขาไม่รีบสนับสนุนให้ทำได้ ส่งเสริมกัน

            อาจจะประกาศยืนยันกันว่า ใครออกมาชุมนุมมากกว่ากัน ระหว่างรัฐบาลกับกปปส. ถ้ารัฐบาลใจกล้าๆหน่อยก็ประกาศ รับรองว่าประชาชนออกมาเกิน 10 ล้านแน่ ไม่เคยมีใครทำได้อย่างนี้เลย

            ตอนนี้การประท้วงสำเร็จแล้ว เหลือแต่จะเป็นผลงานสมบูรณ์เมื่อไหร่เท่านั้น ถ้าสนับสนุนหน่อยเดียวสำเร็จเลย

            ประเทศไทยอุตส่าห์ทำกันมา 8 เดือนกว่าแล้วนะ เป็นกปปส.นี่ก็ 6 เดือนแล้ว มันสุดวิเศษ วุสุทธิ์ วิศิฏฐ์ แล้ว ไม่ใช่แค่หลักการ หรือแนวคิด แต่เป็นการทำที่เลยกระบวนการจนใกล้สำเร็จแล้วด้วย จะเป็น Product เลย

            สรุปคือกปปส.สามารถแสดงการยึดอำนาจโดยชอบธรรม เพราะผลงานที่ทำมานี้ยอดเยี่ยม ทางโน้นก็หมดอำนาจ สิ้นขาดอำนาจ อย่างกรรมาภิวัฒน์ เขาทำผิดๆๆๆๆ เราก็ทำ ถูกๆๆๆๆ ทำให้เกิดการชี้ผิดชี้ถูกเขาก็ถอยเรื่อยๆ จะถูกพิพากษา มันสวยงามจริงๆ

            เขาเห็นกันว่า ถ้าเฉพาะอำนาจของประชาชน ไม่มีอำนาจของทหารมาร่วมนั้นไม่มีทางสำเร็จ เราก็บอกมาตลอดว่า เราไม่ได้อยากให้ทหารเอาอาวุธมารัฐประหาร แต่ถ้าจะออกมาร่วมอย่างไม่มีอาวุธมาเลย เราขอทำอย่างไม่เอาแบบForce แต่เราจะใช้แบบ Authority ต้องแยกให้ออก

            คนไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่มันเป็นไปได้จริงๆ

            เป็นพลังงานทางนามธรรม เป็นพลังคุณงามความดีของส่ิงชอบธรรม โดยเฉพาะประชาชนคนไทย แม้แต่ตำรวจ ก็มีความเข้าใจว่า มาทำรุนแรงกับคนดีไม่ดีแน่ เช่นตอนวันที่ 18 ก.พ. 57 ที่ผ่านมา ก็เห็นได้ชัดเจนว่า ความสงบ สันติปราศจากอาวุธ ก็ได้รับชัยชนะ เป็นพลังความดีงาม Authority ชนะ Force เป็นการพิสูจน์ความจริงชัด เขาตั้งใจทำจริงๆแต่ลึกๆเขามีจิตสำนึก อาตมาก็ภูมิใจในความเป็นคนไทย เขาแพ้ความดีงาม สุดท้ายก็หนีไปถอยทัพกลับไม่เป็นกระบวนเลย

            ที่บอกว่าสุเทพไม่มีสิทธิ์ ทูลเกล้าฯไม่ได้ ก็แต่ทางโน้นเขาหมดสิทธิ์ไปแล้ว แล้วประชาชนทำได้อย่างสวยสดงดงาม ประชาชนก็จะช่วยกันเลือก ไม่ใช่เผด็จการ สุเทพเป็นแต่เพียงผู้จัดการ โดยประชาชนร่วมมือกัน ก็ต้องซาวเสียง ให้ประชาชนเลือกกันมา ไม่ใช่วิธีเผด็จการแน่ เป็นวิธีที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วม แล้วเลือกบุคคลตามระบอบประชาธิปไตย เป็นแต่เพียงว่าอันนี้เป็นกรณีพิเศษ และทำถูกต้องรธน.ด้วย อาจไม่ตรงเป๊ะเท่าที่ทำมาทั้งหมด เพราะเป็นเหตุการณ์พิเศษ แต่โดยหลักการ วิถีทางนั้นเป็นไปตามรธน.แน่

            ในมาตรา 7 เราจะไม่ทำอย่างที่เขายัดเยียดเราว่าเป็นนายกฯพระราชทาน แต่จะเป็นนายกฯที่เราซาวเสียงขึ้นมาแล้วก็ทูลเกล้าฯ อันนี้เป็นราชประชาสมาสัย ให้พระประมุขทรงรับรู้รับทราบ ตามรธน.

            ประชาชนได้ทำอย่างวิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ แล้ว เป็นแต่เพียงต้องมียกเว้นบางมาตรา บางกฎเกณฑ์ ไม่ให้เกิดการขัดกันเท่านั้นเอง 

            ที่ต้องเข้าใจคือ 1.รัฐบาลาธิปัตย์ กับรัฐาธิปัตย์ไม่เหมือนกัน  2.ความถูกต้อง ข้างไหนมากกว่ากันก็ชนะ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:43:13 )

570415

รายละเอียด

570415_พ่อครูเทศน์ปิดงานตลาดอาริยะ หน้าลานพลับพลาฯ เรื่อง อธิปไตยประชาชนไทยที่สุดวิเศษ

            เจริญธรรมทุกๆคน ส่งท้ายวันงานสงกรานต์ ประเด็นเรื่องรัฐาธิปัตย์ ที่เขาเข้าใจกันยังไม่ชัด วันนี้อาตมาก็เลยสรุปอีกที จะชัดไหม อาตมาก็เขียนมา อาตมาตั้งหัวข้อว่า อธิปไตยประชาชนไทยที่สุดวิเศษ

            ที่ประชาชนไทยได้ประท้วงกันมานี่ทำได้อย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์​ ซึ่งเป็นเรื่องเลอเลิศ แต่ก็มองกันยากว่าเลอเลิศอย่างไร ก็อาจเพราะไม่มีส่ิงเทียบเคียง แต่ก็มีสิ่งที่บ่งชี้ว่า นี่คือธรรมะที่เหนือกว่าโลกียะ Supra mundane ลองฟังที่อาตมาเรียบเรียงสรุปมาวันนี้

 

            สรุป ประเด็นสำคัญของปัญหาที่ทำให้จัดการกับวิกฤติการเมืองที่เกิดอยู่ในปัจจุบันนี้ของไทย ยังไม่สำเร็จเสร็จจบลงได้ ก็เพราะว่า

            (1) ยังเข้าใจความเป็น"รัฏฐาธิปัตย์ หรือรัฏฐาธิปไตย"ของความเป็นประชาชน ตามมาตรา 3 ไม่ถูกต้องตรงเต็มสภาพสัมบูรณ์

            ซึ่งความเป็น"รัฏฐาธิปัตย์ หรือรัฏฐาธิปไตย"ของความเป็นประชาชน นั้น เป็นความมีอำนาจเต็มสูงสุด(supreme)ที่แท้จริงในระบอบประชาธิปไตย ซึ่ง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไปจากประชาชนได้จนนิรันดร ตราบที่รัฐนั้นปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่า ประชาธิปไตย 2 ขา หรือขาเดียว

            (2) ยังเข้าใจความเป็น"รัฐบาลาธิปัตย์ หรือรัฐบาลธิปไตย" ที่มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ไม่ตรงตามสิทธิและหน้าที่ของสภาพความเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี เท่าที่ตนมี 

            (3) ยังหลงผิดไปเข้าใจความเป็น"รัฏฐาธิปัตย์ หรือรัฏฐาธิปไตย" ของประชาชน ว่าเป็นอันเดียวกันกับ"รัฐบาลาธิปัตย์ หรือรัฐบาลาธิปไตย"ของรัฐบาล

การใช้อำนาจจึงผิดไป เมืองไทยได้ปล่อยให้ใช้อำนาจเกินขอบเขตของอำ qนาจตามสิทธิและหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น ตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ จนเคยตัว และชินตา จึงพาลพาให้หลงผิดไปจากสัจธรรมความเป็นจริง

            ทำให้คนเกือบทั้งประเทศหลงเข้าใจว่า "รัฐบาลาธิปไตย หรือรัฐบาลาธิปัตย์"ของ

รัฐบาล ตามมาตรา 171 และตามบทบัญญัติอื่นอีกเท่าที่มี ว่าเป็นอันเดียวกันกับ"รัฏฐาธิปไตย

หรือรัฏฐาธิปัตย์"ของประชาชน ตามมาตรา 3

            (4) ยังแยกอำนาจที่ปฏิบัติกันอย่างไม่ชอบธรรม ไม่เป็นอาริยะ(ยังอนาริยะอยู่) และไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้(force)

กับอำนาจที่ปฏิบัติกันอย่างชอบธรรม เป็นอาริยะ และเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้(authority) ไม่ได้

            จึงแยกอำนาจปฏิบัติของบุคคลใด หรือประชาชนกลุ่มไหน ว่า ประพฤติปฏิบัติไม่ชอบธรรม และไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้(force) ออกจากบุคคลใด หรือประชาชนกลุ่มไหน ว่า ประพฤติปฏิบัติชอบธรรม และเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้(authority)  ไม่ได้

จึงทำให้ไม่เข้าใจ และปฏิบัติไม่ถูก หรือปฏิบัติไม่ได้ ไม่ว่าตามมาตรา 63 ก็ดี มาตรา 68 ก็ดี มาตรา 69 ก็ดี หรือมาตรา 70 ก็ดี เป็นต้น หรือแม้จะปฏิบัติถูก และประชาชนทำได้ดีแท้ๆ ก็ไม่ยกย่องตามสัจจะ ไม่ยินดีร่วมมือ อย่างชื่นชม แล้วระดมแรงร่วมกันให้เต็มที่ ผลสำเร็จในการจัดการกับวิกฤติการเมืองจึงเกิดไม่ได้

            (5) ปุถุชนคนทั่วไปยังไม่เชื่อความเป็นไปได้ ของอำนาจพิเศษ ที่มหัศจรรย์เกินสามัญ(อุตตริมนุสสธรรมขั้นโลกุตระ) คือ ความดีงาม ความถูกต้อง สุภาพ ไม่รุนแรง ความชอบธรรม นั้นมีอำนาจวิเศษวิสุทธิ์วิศิษฐ์สามารถชนะความไม่ดีไม่งาม ความไม่ถูกต้องชอบธรรม ความรุนแรง ได้จริงๆ

เพราะเท่าที่คนทั้งโลกปฏิบัติกันมา ใช้กันมา ตามสัญชาตญาณสามัญก็คือ ใช้อำนาจปฏิวัติหรือรัฐประหารด้วยอำนาจทหาร หรือชนะกันด้วยความรุนแรงและใช้อาวุธประหัตประหารกัน เป็นต้น หรือใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่อาศัยโลกธรรม(ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข)เป็นเครื่องมือ สามารถครอบงำ กดขี่ หรือสามารถเบ่งข่มกัน(force) เป็นผลสำเร็จมาตลอด 

 

            ยังไม่สามารถใช้อำนาจที่สูงกว่าสัญชาตญาณสามัญ ได้จริงๆ คือ ใช้อำนาจโดยชอบธรรม(authority) ตรงตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้  เป็นอำนาจปฏิวัติหรือแม้จะถึงกับเรียกว่ารัฐประหารด้วยอำนาจของประชาชน ที่มากพอจนเรียกได้ว่ามวลมหาประชาชน ซึ่งสามารถปฏิบัติ ความสงบสันติ อหิงสา อย่างมีความดีงามความถูกต้อง สุภาพ ไม่รุนแรง เป็นความชอบธรรม จนมีอำนาจวิเศษวิสุทธิ์วิศิษฐ์กระทั่งชนะความไม่สงบ ความไม่ชอบธรรม ความไม่ดีไม่งามความไม่ถูกต้อง ไม่สุภาพ รุนแรง ให้เป็นที่ปรากฏมาก่อน

            เมื่อมีคนจริง มวลมหาประชาชนจริง ปฏิบัติกันได้ มีผลสำเร็จ ปรากฏขึ้นในโลกจริงในสังคมคนจริงๆ จึงงงๆ ไม่รู้ว่าคืออะไร จะเป็นอย่างไร

            ดังนั้น แม้จะเป็นกันได้แล้ว มีแล้ว เกิดขึ้นให้เห็นแล้วโต้งๆ ก็ไม่รู้ เพราะเข้าใจยังไม่ได้ เพราะยังเข้าใจผิดอยู่ ยังยึดความเข้าใจเดิมที่ไม่สัมมาทิฏฐิตามที่หลงผิดนั้นอยู่ไม่เปิดจิต ไม่มีปรโตโฆสะ จิตใจยังไม่มีภาวะความรู้ใหม่ ไม่มีความเข้าใจอื่นจากเดิมเพิ่มขึ้น ยังยึดอยู่แต่ความรู้ความเชื่อเก่า เข้าใจความรู้ใหม่ไม่ได้ ความเป็นสิ่งประเสริฐที่เกิดขึ้นให้เห็นโทนโท่หลัดๆก็ไม่รู้ว่า คือ อาริยธรรม คือความดีงามที่เป็นจริง คือความถูกต้องที่เป็นจริง ความชอบธรรมที่เป็นจริง     

            จึงเห็นความดีงาม ที่เป็นอำนาจพิเศษที่เกิดอยู่โต้งๆหลัดๆนี้ไม่ได้

            จึงยังไม่เชื่อ ว่า ความดีงามที่เป็นอำนาจพิเศษมีจริง เพราะไม่รู้จักความดีงามจริงๆ ที่เป็นอำนาจพิเศษนี้

            (6) ยังเข้าใจความเป็น"สุญญากาศ"ทางการเมือง(void)ไม่ได้ หรือไม่ถูกต้อง

บางคนมีแต่"มโน"เอาว่า สุญญากาศทางการเมืองไม่มี เกิดขึ้นไม่ได้ จึงเถียงกันด้วยตรรกะไม่มีจบลงได้

เพราะไม่รู้จริง ว่า สุญญากาศ คืออะไร เป็นอย่างไร หรือเอาแต่ยึดความเป็นสุญญากาศของตนอยู่นั่นแหละ ไม่เคลื่อน ไม่คลายอันใดกันเลย

            ทั้งๆที่ความจริงนั้น สุญญากาศ หรือ void คือ ปรากฏการณ์จริง แห่งความเป็นโมฆะ แห่งความไม่มี ความสูญเปล่าจากที่มีไปแล้ว หรือว่างจากเนื้อหาทางการเมืองที่ควรจะเป็นจะมีนั้นแล้ว ต้องย้ำนะว่า ทางการเมือง

เพราะสุญญากาศนั้น จะเป็นสุญญากาศของอะไรก็มีได้ ตามเหตุปัจจัยนั้นๆของภาวะใดภาวะนั้น แต่นี่เราหมายถึง สุญญากาศทางการเมืองต้องกำหนดให้ตรงกันนะ อย่าเพี้ยนไปจากเนื้อแท้ที่สำคัญเป็นอันขาด

            เมื่อเกิดสุญญากาศทางการเมือง ก็คือ โมฆะหรือสูญเปล่าหรือไม่มีหรือว่างจากสาระทางการเมืองนั้นไปจริงๆแล้ว

            มิหนำซ้ำ มีแต่โทษเอาด้วย มันไร้สาระทางการเมืองสิ้นแล้ว มันมีแต่ความเสียหายหรือฉิบหายกันจริงๆต่างหาก

            เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าตรัสบริภาษคนที่ไม่มีผลทางธรรมเกิดแม้แต่ในขณะหนึ่งขณะใดว่า โมฆะบุรุษ นั่นคือ คำว่าโมฆะนี้ หมายถึงว่างเปล่าจากการเจริญทางธรรมในขณะนั้น ปานนั้นทีเดียว หากปล่อยให้ช้าไป กิเลสก็จะเข้าสู่จิตใจทดแทนเอาด้วย คำว่าว่างเปล่าหรือสูญเปล่าจึงพาลจะตกต่ำเสียหาย

            แล้วเราจะปล่อยให้เกิดภาวะเช่นนี้ต่อไปกันกระนั้นหรือ?

            เอาล่ะ ถ้าจะหมายถึง การขาดสูญหรือการว่างเปล่าจาก"อำนาจผู้บริหารทางการเมือง โดยเฉพาะคณะผู้บริหารการปกครองประเทศ"ไปแล้วเด็ดขาดจริงๆ ก็น่าจะมองว่า การมีแต่โทษภัยหนักหนาสาหัสในการปฏิบัติทางการเมืองไปเรื่อยๆ มันไม่คุ้มกันเลยที่จะมีพฤติกรรมทางการเมืองที่เป็นอยู่นั้นต่อไป นี่ต่างหากคือ สุญญากาศทางการเมืองตัวแท้ ที่ควรจะยุติ หรือเปลี่ยนแปลงอำนาจที่เป็นโทษนั้นไปเสียทันที

            แต่กระนั้นก็เถอะ ภาวะทางการเมืองจริงๆของไทย ณ ลมหายใจเฮือกนี้นั้น มันไม่สุญญากาศจากภาวะเลวร้าย มันหนักหนาสาหัสกับสภาวะเลวร้ายสุดๆเลยด้วยซ้ำ

            หรือแม้แต่ความเป็นจริงทางกฎหมายก็ตาม ทางพฤติกรรมก็ตาม มันจบลงแล้ว มันโมฆะแล้ว หรือความว่างเปล่าจากคุณค่าทางการเมืองสิ้นแล้ว มันมีแต่โทษแต่ภัยร้ายอย่างแท้จริง อย่าหลงแต่วาทะคารมกันอยู่นักเลย จะเอาความจริงทางหลักเกณฑ์จริงกันก็ได้ ณ ปัจจุบันนี้ คณะบริหารหรือคณะรัฐบาลที่ยังมีเยื่อเหลืออยู่นี่ มีสาระอะไร เห็นมีแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่เบ่งแอ็ดๆที่เหลืออยู่อย่างหน้าด้านนี้หาทางเพื่อที่จะดึงดันเอาชนะคะคานทางการเมืองอยู่เท่านั้น

            ทำความอิดหนาระอาใจสุดอึดอัดจะระเบิดอยู่แล้วเท่านั้นให้แก่สังคม ผลาญพล่าทรัพย์สินของรัฐไปอย่างไม่เคยบันยะบันยังอยู่โต้งๆนี่เท่านั้นใช่มั้ย?

            แล้วยังจะควรนับว่า เศษกากของวัตถุทางการเมืองที่เป็นพิษนี้มีอยู่อีกต่อไปทำไม

            ควรจะกวาดล้างออกไปให้สะอาดแก่ประเทศให้เร็วสุดต่างหาก

            การจะแก้ไขปัญหาวิกฤติสาหัส ที่เป็นอยู่ ณ คราปัจจุบันกาลนี้ จะต้องใช้"มหาปเทส 4"ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะสำเร็จเสร็จจบลงได้

            มหาปเทส 4 นั้นเป็นธรรมาวุธที่ตุลาการภิวัตน์ก็ต้องใช้ ประชาภิวัตน์ ก็ต้องใช้ โดยเฉพาะกัมมาภิวัตน์แท้จริงจะเกิดได้จริง

            ที่ว่าจะต้องใช้เพราะตรงกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 7  ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 มีเจตนารมณ์โดยแท้ตรงกับมหาปเทส 4 เป็นต้นว่า  มาตรา 7 มีว่า "ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"

            ซึ่งมหาปเทส 4 นั้นมีว่า

(1) สิ่งใดไม่ห้าม ว่า ไม่ควร

แต่สิ่งนั้นเข้ากับสิ่งไม่ควร ขัดกับสิ่งควร สิ่งนั้นจึงไม่ควร

(2) สิ่งใดไม่ห้าม ว่า ไม่ควร

แต่สิ่งนั้นเข้ากับสิ่งควร ขัดกับสิ่งไม่ควร สิ่งนั้นจึงควร 

(3) สิ่งใดไม่อนุญาต ว่า ควร

แต่สิ่งนั้นเข้ากับสิ่งไม่ควร ขัดกับสิ่งควร สิ่งนั้นจึงไม่ควร

(4) สิ่งใดไม่อนุญาต ว่า ควร

แต่สิ่งนั้นเข้ากับสิ่งควร ขัดกับสิ่งไม่ควร สิ่งนั้นจึงควร

(พระไตรปิฎก เล่ม 5 ข้อ 92)        

            เพราะฉะนั้น ในเมื่อไม่มีทั้งบทบัญญัติห้ามและไม่มีทั้งบทบัญญัติอนุญาต แต่เหตุการณ์จริงของบ้านเมืองที่มันสุดวิกฤติแสนสาหัส ณ ลมหายใจเฮือกนี้ เหตุการณ์บ้านเมืองมันไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด คือ มันไม่มีทั้งบทบัญญัติที่ห้าม และไม่มีทั้งบทบัญญัติที่อนุญาตไง มันก็เข้าข่ายมาตรา 7 แล้ว มันจึงเป็นภาวะแห่งสุญญากาศ ตามสัจจะของความเป็นจริง

            จึงต้องวินิจฉัยกรณีที่เป้นสุญญากาศนี้ไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

            นั่นก็คือ ประเพณีที่เคยมีมาแล้ว ก็มีแต่ การได้อำนาจมาด้วยวิธีใช้อำนาจที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางแห่งบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญนี้ เป็นต้นว่า การปฏิวัติโดยทหาร หรือรัฐประหาร

            ด้วยอำนาจที่ปฏิบัติกันอย่างไม่ชอบธรรม ไม่เป็นอาริยะ(ยังอนาริยะอยู่) ซึ่งไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้(force) แต่ก็ได้ยอมรับให้อำนาจเช่นนั้นเข้าได้อำนาจแล้วก็จัดการบริหาร

เป็นเช่นนี้ เป็นประเพณีมากี่ครั้งกี่คราแล้วล่ะสำหรับประเทศไทยนี่แหละ หรือประเทศอื่นๆเขาก็มีประเพณีนี้ที่ทำกัน ปฏิบัติกัน จึงถือว่าเป็นประเพณีแห่งการสืบทอดอำนาจ แม้จะเป็นการได้อำนาจมาอย่างไม่ชอบธรรมเป็นอำนาจที่ไม่สง่างาม แต่ก็จำนนกัน

            มาถึงวันนี้ เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันนี้ ไม่เหมือนการปฏิวัติอย่างที่เคยผ่านมา ซึ่งเป็นการปฏิวัติโดยประชาชนที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญนี้

            คำว่าการปฏิวัติโดยคณะทหารหรือคณะราษฎร์ที่ใช้อำนาจอันไม่ชอบธรรมเพราะรุนแรง ไม่สงบ ใช้อาวุธผิดรัฐธรรมนูญนั้น ต่างก็ได้ยอมรับกันมาแล้วทั้งสิ้น ส่วนคราวนี้ประชนชาวไทยทำได้อย่างวิเศษวิสุทธิ์วศิษฐ์ ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ทั้งมาตรา 63 มาตรา 69 มาตรา 70 เป็นต้น แม้คณะมวลมหาประชาชนคือ กปปส.นี้ จะถูกรุกราน ถูกผู้ใช้อำนาจที่ผิดไปจากรัฐธรรมนูญนี้ย่ำยี คณะมวลมหาประชาชนก็ยังรักษาความสุจริตตามบทบัญญัติแห่งรัฐะรรมนูญไว้ได้เหนียวแน่น ยืนนานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยในประวัติศาสจตร์แห่งการปฏิวัติ

            กรณีนี้เมื่อพิจารณาตามมหาปเทศ 4 แล้วจึงเป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่ง ที่จะต้องตัดสินให้ ผู้ที่ชอบธรรม เป็นผู้ถูกต้องเหมาะควรที่จะปฏิบัติตามประเพณีที่เคยผ่านมา ในประเด็นที่เป็นผู้จัดการให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครอง ประเทศ

            ก็ในเมื่อการปฏิวัติได้อำนาจคืนมาจัดการตามที่คณะทหารเคยทำมา ซึ่งไม่ชอบธรรมแท้ๆ ยังเป็นผู้มีสิทธิในการปฏิบัติจัดการการปกครองประเทศได้

            แล้วในเมื่อมวลมหาประชาชนปฏิวัติด้วยความสงบ ไม่ใช้อำนาจรุนแรงเลย สุภาพเรียบร้อย สวยสดงดงาม สง่ายิ่งวิเศษวิสุทธิ์วิศิษฐ์ปานฉะนี้ ทำไมไม่ยอม หรือไม่ร่วมมือกันทำให้สิ่งประเสริฐนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยเล่า?

            อำนาจชนิดนี้มันเป็น"อำนาจขั้นโลกุตระ" มันทวนกระแสสามัญของสัตวโลกทั้งหลาย มันเป็นภาวะที่สูงส่งจริงๆ เป็นอาริยธรรมที่เกิดจริงจากประชาชนที่เป็นคณะบุคคลผู้มีคุณธรรมจริง จึงจะทนทานต่อการประจญประจัญกับความกระทบกระกระแทกกระทั่งอย่างรุนแรงจากผู้ทำ

ความรุนแรงได้...

 

            ที่เคยทำมายิ่งแรงมาก็ต้องย่ิงแรงมากขึ้น แต่ตอนนี้เขาทำไม่ได้แล้ว เขารู้ทันแล้ว เขาก็ลดความรุนแรงลงมา นี่คือ ความชนะ การชนะความชั่วด้วยความดี ไม่ใช่ว่าเขาแรงเราก็ยิ่งทำแรงกว่า อย่างนั้นมันเก่าแล้วลุง สมัยนี้ต้องชนะกันอย่างนี้ ก็เลยได้แต้ม ก็เลยดูเบา แต่ความกระเหี้ยนกระหือรือ อยากเอาชนะของเขาก็มากขึ้นๆ คิดจนหัวร้อนเลย นี่คือทุกข์ คิดอะไรได้ก็เติมมาซัดมา

            แต่เท่าที่ทำขึ้นมา ปรากฏการณ์ครั้งนี้ หากเราได้ใช้มหาปเทส นี่คือเอาชนะความชั่วด้วยความดี เขาชั่วหนักขึ้นเราดีได้มากขึ้น เขาชั่วหนักขึ้นเราย่ิงดีหนักขึ้นอีก ไม่ใช่ความเสื่อมเลย ไม่ใช่ว่าเขาชั่วเราเราเลยลดดีไปอีก แล้วจะไปชนะเขาได้อย่างไร เขาชั่วซัดหนัก เราก็เลยชั่วตามเขามา แล้วถ้าเราาทำอย่างนั้นเขาจะหยุดชั่วหรือ เขาก็ยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่อง ดีไม่ดีชั่วหนักแล้วชนะก็เลยยิ่งทำอีก

            ต้องสู้อย่างคนละชั้นเลย เขายิ่งชั่วหนัก เราก็ยิ่งต้องดีจัดเลย ...

            มันไม่ง่ายนัก แต่เถียงไม่ได้ ว่าดี เพราะเป็นความจริง

            มหาปเทส 4 ยืนยันได้ว่าตรงกับมาตรา 7 เราเป็นชาวพุทธทำให้ตรงเถอะ จะบอกว่าไม่มี ก็เลยไม่ทำงาน ไม่ได้ เราต้องดูเหตุผลเหตุการณ์​ไม่ปล่อยคาราคาซัง เราก็หาทางแก้ให้ดีขึ้น ไม่อย่างนั้นจะบรรลัยหนัก

            เราก็ต้องหาทางทำส่ิงดี แก้กลับ ตามมาตรา 7 ว่าเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรธน.นี้บังคับแก่กรณีใดแล้ว ให้วินิจฉัยกรณีนั้นเป็นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

            ซึ่งอาตมาก็เคยว่าไว้แล้ว ว่าเรามาขออำนาจคืนทั้งที่อำนาจเป็นของเรา เป็นอำนาจรัฐาธิปัตย์

            เขาไปเข้าใจคำว่า รัฐธิปัตย์ ไปปนกับ รัฐบาลาธิปัตย์

            อำนาจรัฐบาล เป็นแค่ กุลีรัฐ ทำงานรับใช้ประชาชน​เราจ้างเขาเป็นลูกจ้างมาบริหาร บริการ ทรัพยากรในบ้าน ให้ทำได้เต็มที่เลยในการทำงาน ไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สิน แต่ว่าพ่อบ้านอาจเกี่ยวโยงสั่งการได้ใบ้าน แต่ก็คนละอย่างกัน กับอำนาจเจ้าของบ้านหรือรัฐาธิปัตย์

            อย่าไปเข้าใจว่า เป็นอำนาจอธิปไตยของประชาชน มันคนละอย่างกัน เป็นประเด็นที่เข้าใจกันไม่ได้แล้วไปหลงว่าตนเป็นเจ้าของบ้าน หลงว่าเป็นบ้านกู ซึ่งเจ้าของบ้านว่าทำผิดเสียหายจะไล่ออก แล้วก็ไม่ออก บอกว่าประชาชนเลือกฉันมา ซึ่งก็ประชาชนคนเก่าที่เลือกมานี่แหละบอกให้เขาออกไป

            อำนาจรัฐาธิปัตย์ไม่เคยออกจาประชาชนเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย เกิดอีกในประเทศใดก็มีรัฐาธิปัตย์ในประเทศนั้นๆอีก รัฐาธิปัตย์นี้อยู่ในตัวประชาชน นิรันดร ส่วนรัฐบาลนั้นได้อำนาจเป็นรัฐบาลเพียงคราวละ 4 ปี

           

            เมื่อเข้าใจแล้วก็เอาประเด็นความดีความชั่ว ความถูกความผิดมาตัดสิน มีของจริงเปรียบเทีียบกันได้ ยิ่งขณะนี้เขาทำผิดอย่างหยาบชัดเลย ถ้าไม่ยอมรับความชั่ว ดี หรือถูก ผิด แน่นอนก็อยู่ร่วมกันไม่ได้ อย่างที่เป็น เขาไม่ยอมรับ อาตมาว่าเขารู้เหมือนกันว่าเขาผิดเขาชั่วในส่วนที่เขารู้

            หรือเขาอาจรู้เสียด้วยซ้ำว่า องค์รวมความผิดชั่วของเขามันควรออกได้แล้ว อย่างน้อยเขาก็ยุบสภาแล้ว แต่เขามั่นใจว่าเลือกตั้งอีก เขามาแน่ เขาวางค่ายกลไว้ อย่างอึ้งเอี๊ยซือ ในเกาะดอกท้อ ใครหลงเข้าไปก็ตาย เขาวางค่ายกล มีประสิทธิภาพจริงๆ เขาส่งเสาไฟฟ้าลงก็ได้ แล้วได้จริงๆแฮะ มิน่าในสภาจึงมีแต่เสาไฟฟ้าทำงาน

            กำนันสุเทพทำได้นี่ก็ดีแล้ว จะบอกว่ามีคนทำมาก่อนแล้วมาชุบมือเปิด นี่เป็นจิตตัวริษยา มันเป็นจิตไม่ดี พาเราเสื่อมต่ำไม่เจริญ มีเศษเล็กเศษน้อยในตัวเราก็ไม่เจริญ มาช่วยกันทำงานดีกว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์

            สมมุติว่าทำสำเร็จ สุเทพก็เหมือนกับกรรมการกลางมาทำงานต่อ แต่ไม่ใช่สุเทพคนเดียว จะมีคณะทำงาน มั่นใจว่าอำนาจบาทใหญ่คนเดียวทำไม่ได้ สมมุติว่า ถ้าชนะแล้ว ซึ่งฝ่ายแดงก็ว่าสุเทพกำลังจะยึดรัฐาธิปัตย์มาเป็นของตัวคนเดียว ซึ่งสุเทพเขาก็มีความรู้ และไม่ทำเช่นนั้นหรอก ซึ่งฝ่ายแดงเขาก็มโนไปได้

            สมมุติว่า เมื่อได้อำนาจแล้ว ตั้งสภาประชาชนสำเร็จ สุเทพเป็นเลขาธิการ ซึ่งฝ่ายแดงก็หาว่า ยังมีหัวหน้าอีก สุเทพเป็นตัวเล็กเป็นเลขาธิการเอง ซึ่งเขาไม่รู้ว่านี่ไม่มีหัวหน้าก็ได้

            ถ้าชนะแล้วก็ไปตั้งคณะกรรมการก่อการ ถ้าสุเทพจะใช้อำนาจเผด็จการ เมื่อได้อำนาจมาแล้ว จะมีคนท้วงไหม? มีแน่ เขาไม่ยอมหรอก อย่างน้อยอาตมาคนหนึ่งไม่ยอมหรอก ใครหลายคนก็ไม่ยอม

            จริง คุณได้ลงทุนลงแรงมาก็จริง แต่การทำงานเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ว่าคุณทำก็ประเคนให้คุณไปเมื่อสำเร็จ อย่างนั้นมันสมัยโบราณแล้ว ตีเมืองไหนได้ก็ตั้งตนเป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เผด็จการเป็นใหญ่ในแผ่นดินนั้น สมัยโน้นก็ทำอย่างนั้น แต่สมัยนี้ไม่ทำอย่างนั้นหรอก

            อย่างอเมริกา นี่ มีปธน.​คนแรก คือ วอชิงตัน เกิดสงครามกลางเมือง รบกันเสร็จแล้ว วอชิงตันก็วางมือไม่รับตำแหน่งนะ แต่ว่าผู้คนเห็นดีเห็นงามว่าเขาเป็นคนดีที่สุด ก็ไปเชิญ ขอร้องให้วอชิงตันเป็นปธน.คนแรกนะ

            ถ้าคนที่ทำย่ิงไม่เอา แต่ถ้าเหมาะสมจริงๆ ไม่มีใครดีกว่า แล้วเขาก็ไม่เอาจริงๆ ให้คนอื่นไป แต่เขาเหมาะที่สุดน่า มันก็น่าจะให้เขาทำ อย่างนี้เป็นสัจธรรม คนก็ดูเผินๆ ว่าที่จริงอยากได้อยากเป็นแต่ทำตัวเสแสร้งอยากเป็นอยากได้ก็มี แต่ถ้าเขาเป็นของจริง จะเสแสร้งหรือไม่ก็พิจารณาตามปัญญา เขาเหมาะก็ควรให้เขาเป็น

            สรุปแล้วเรื่องนี้อย่างไรก็ตามมันจะต้องเปลี่ยนแปลง ของเก่ามาแล้ว 81 ปีวนในอ่างน้ำเน่า หนักขึ้นๆ วิธีการค่ายกลแย่จัด ถ้าคราวนี้เราพยายาม ประชาชนออกมาได้อย่างไม่เคยเป็น เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทำได้ขนาดนี้แล้วนี่ จะได้อีกในคราวหน้าจะมีอีกหรือ? ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง

            ฝ่ายแดงก็พูดเหมือนกับเราเลยนะ คนตัดสินต้องใช้ปัญญาเอาเองนะ เป็นที่สุดแล้ว พระพุทธเจ้าให้เป็นนานาสังวาส

           

            เราทำนี่เป็นระบบบุญนิยม เป็นของพระพุทธเจ้า เป็นคนที่มีธรรมะ สัมมาทิฏฐิ ละกิเลสได้จริง ก็ไม่ต้องการสิ่งหลอก ใครทำได้เท่าไหร่ก็ทำตามจริง ถ้าไม่หลอกคนก็ไม่เสียหน้า ถ้าหลอกคนก็จะเสียหน้าเรามีเท่านี้เราก็บอกเท่านี้ ไม่ต้องน่าอายอยากใหญ่อยากสูงอยากดี ไปโกหกเขา ไม่เจริญอย่างนี้

            แต่ถ้าเราดีเท่านี้ แต่เราบอกว่าเราดีน้อยกว่าก็เป็นเชิงถ่อมตน ไม่โกหก หากเราดีเกินกว่าที่เราพูดเราบอกเขานี่ มันเป็นเรื่องที่ดูเหมือนพูดไม่จริงแต่มันไม่เสีย มันเป็นการถ่อมตน เราไม่โชว์เต็มร้อย ไม่เสีย

            แต่คนมี ร้อย แต่บอกว่ามี ร้อยยี่สิบ ส่วนมากคนเป็นเช่นนั้น แล้วคนก็ไปเชื่อ พฤติกรรมคุณดีได้แค่ ร้อย ให้ทำเต็มที่ คุณก็ทำได้เท่านั้น แต่คุณบอกว่าคุณได้ ร้อยยี่สิบ คนก็เชื่อ แล้วมีผลนะ

            อย่างคุณบอกว่าคุณเป็นอรหันต์ แต่ความจริงคุณทำได้แค่อนาคามี คุณก็ทำได้แค่นั้น เป็นอนาคามี คนเชื่อคุณ ก็เข้าใจว่าอรหันต์เป็นเช่นนี้ หรือคุณเป็นโสดาบัน แต่คุณบอกว่าเป็นอรหันต์ นี่คือธรรมเสีย เสื่อม ทำให้ศาสนาเสื่อม เพราะคุณแสดงว่าฉันเป็นอย่างที่ฉันพูด ทำให้คนเข้าใจผิด อย่าทำเช่นนั้น ถ้าเขาจะเข้าใจผิดรีบบอกว่าเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้เป็นโทษหนักเลย เป็นปาราชิกเลย เป็นโทษหนักกว่าพรหมฑัณฑ์เลยนะ 

            บุญนิยมมีหลายอย่าง อย่างสื่อสารบุญนิยมนี่นะ คนมาทำงานกับอาตมานี่ไม่ได้มีรายได้นะ ซึ่งเป็นเรื่องแปลก คนทำงานสื่อสารมวลชนนี่ค่าตัวค่าแรงแพงนะ แต่เราทำให้ประชาชนโดยไม่หวังผลตอบแทนเลย

            อย่างกสิกรรมบุญนิยมเราก็ทำอย่างบริสุทธิ์ การค้าเราไม่ทำอย่างสินเชื่อ บุญนิยมเป็นระบบของธรรมที่เป็นไปได้ทำสังคมเป็นสุข บุญนิยมจะไม่รวย เป็นของเอาออก ไม่ใช่ได้มา เป็นการลดกิเลส

            คุณทำทานแล้วทำใจในใจอย่างไร ทำให้โลภมากขึ้นหรือทำให้ความโลภลดลง คุณต้องมีความรู้และอ่านจิตใจตนทำจิตใจตนได้ด้วยตนเอง คุณต้องให้ทั้งวัตถุและใจก็ต้องให้ ถึงได้บุญ การได้บุญคือได้สละทั้งวัตถุและกิเลส จึงเป็นบุญ การอธิบายว่าได้บุญจะรวยกว่าเก่านี่ผิดหมดเลย นี่คือทิฏฐิข้อแรกในทิฏฐิ 10

            ทานเป็นหลักใหญ่ บารมี 10 ทัศ ก็จบที่ทาน ปางสุดท้ายของพระพุทธเจ้าคือ การทานลูกสุดรัก ทานเมีย และท่านก็เป็นคนดีก็ต้องรักลูกเมีย แต่คนจะไม่เข้าใจมองตื้นๆหาว่าพระเวสสันดรตื้น นิสัยไม่ดี ลูกถูกทำร้ายเฆี่ยนต่อหน้าต่อตา ยังทำเฉย แล้วรู้ไหมว่าท่านต้องทำใจอย่างไร เป็นภาวะที่ย้อนแย้งพูดเป็นภาษาไม่ได้ เป็นอจินไตยที่คิดเอาไม่ได้

            สรุปคือชีวิตคนล้างกิเลสได้ ก็ไม่ต้องเอาอะไรมาให้แก่ตน อย่างที่เรามารวมตัวกันทำให้สังคม ใครมีกิเลสก็ล้างของตน ก็รู้วิธีการปลดปลงวาง เมื่อมีสัมมาทิฏฐิจะทำเป็นทำได้

            ชาวอโศกล้างกิเลสได้ จึงมาทำงานกับสังคมได้ขนาดนี้ ทุกวันนี้ทำตลาดอาริยะได้หลายครั้งต่อปี พวกเราได้ละล้างกิเลส เป็นประโยชน์แท้จริง คนมาซื้อก็มีวิธีสอนเขาไม่ให้ตะกละ แทรกยาทิพย์เข้ารูขุมชน ก็ทำให้สังคมดีขึ้น มีการเผื่อแผ่ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ก็ทำให้คนดีขึ้น สังคมดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบุญนิยมด้านไหนๆ ก็แล้วแต่ มันเป็นไปเพื่อลดละกิเลสทั้งสิ้น ตอนนี้เราก็ทำเพ่ิมขึ้นตามฐานะ ....


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:45:04 )

570417

รายละเอียด

570417_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง อธิปไตยประชาชนไทยที่สุดวิเศษ ตอน 2

       อ.กฤษฎาว่า...ที่ผ่านมาพ่อครูได้สำเสนอความเห็นในเรื่องรัฐศาสตร์ โดยนำเอาหลักธรรมมาบูรณาการเข้าไป เอาธรรมะเป็นตัวชี้วัดเสมอ เช่นหลักมหาปเทส 4 เป็นต้น

       

       พ่อครูว่า...ที่กำลังถกกันในสังคม และที่เราต้องออกมาประท้วง ก็คือเรื่องของอำนาจ มีอยู่ในภายนอกก็เป็นอำนาจเป็นพลัง แต่พอมาอยู่ในคนก็แสดงออกมาเป็นเบาเป็นแรง มันแรงจนมันร้าย พระพุทธเจ้าท่านสอนหมด เรื่องแรงเรื่องอำนาจนี้

       พลังงานต้นทางนี้คือ มโน บุพพัง คมา  ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา

       มันปรุงแต่งประชุมสังเคราะห์สังขาร เป็นพลังงานออกมา เคลื่อนไหว เป็นพลังงานเสาะแสวงหา ต้องการ ไม่ต้องการ ก็ทำมาจนวิจิตร พิศดาร พอมันเลยเถิดจากการต้องการก็เรียกว่าความโลภ เป็น โทสะ มันเกินต้องการก็ไม่พอ ต้องการมาเป็นของตัวแล้วไม่พอ ก็ปรุงแต่ง เสพสมมุติว่า อันนี้เป็น อัสสาทะ เป็นรสที่ชื่นใจ ชอบใจ เป็นอิฏฐารมย์ แล้วก็ถ่ายทอดมาเป็นกิเลส ตระกูลต่อๆมา

        ก็เป็นกิเลสหนัก โลภะเอามาเป็นของกู ราคะก็เอามาเสพรส โทสะก็คือ เมื่อไม่ได้มาเสพรสหรือเอามาเป็นของเราไม่ได้ก็เป็นโทสะ ส่วนผู้ที่ไม่ชัดเจนสับสนไม่รู้ก็คือโมหะ

       นี่เป็นภาษาที่เข้าใจได้ง่าย

       เมื่อเป็นพลังงานแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้านี่ทำลายสลายเปลี่ยนรูปไปอีกมาก เป็นพลังงานสามัญ พระพุทธเจ้าจัดไว้ในอุตุนิยาม แล้วมาสังเคราะห์ต่อไปเป็นพีชะ จิต กรรม ธรรมะ

       ธรรมะคือส่ิงทรงไว้ อย่างรู้แล้วก็ไม่ยึด กับทรงไว้อย่างไม่รู้แล้วยึด มันมีสองอย่างแค่นั้น

       ส่วนมาทรงไว้แล้วยึด เรียกอุปาทาน ตัวไหนควรยึดหรือไม่ควรก็ไม่รู้ แม้ว่าควรยึดก็ควรเป็นแค่อาศัย เป็นพลังงานที่ยึดได้แน่น วางได้เร็ว ผู้ฝึกจะฝึกคุณลักษณะอย่างนี้ ฝึกโดยเรายึดอย่างไม่รู้ จนเรารู้แล้วหัดวาง วางๆๆ

       วางแล้วก็ต้องรู้ว่ายึดไว้อาศัยตามฐานะ มันก็มีแค่เราวางหรือยึดแค่นั้นเอง

       เมื่อวางเป็นแล้วยึดเมื่อไหร่ก็ได้ วางเมื่อไหร่ก็ได้

       คนเป็นอาริยบุคคล เป็นอรหันต์แล้วก็อาศัยได้ เมื่อจะวางอย่างสมบูรณ์เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่เหลืออัตภาพตกค้างที่ไหนอีกก็ทำได้

 

       อาตมาได้อธิบายถึงแรง อำนาจหรืออธิปไตย ตอนนี้มาค้างคาที่รัฏฐาธิปัตย์ ก็ตีความไปกันนี่

       อาตมาก็อธิบายจนตั้งศัพท์มาใหม่ว่า รัฐาบาลาธิปไตยหรือรัฐบาลาธิไตย ซึ่งไม่ใช่อำนาจที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์ และรัฐบาลาธิปไตยมีอำนาจแต่ละทีไม่เกิน 4 ปี ส่วนอำนาจของประชาชนที่เป็นรัฎฐาธิปัตย์นั้นไม่มีวันหมดไป อาจจะถูกลดถูกริบไปชั่วคราว แต่ก็ต้องกลับคืนมาเป็นของประชาชนในที่สุด ส่วนรัฐบาลาธิปัตย์นั้น ได้เพียงชั่วคราว แต่ก็หลงกันเหลือเกิน ไล่ก็ไม่ออกอีก จะบอกว่าตายคาประชาธิปไตยอีก พูดเสียเก๋เลย แต่พูดอย่างคนโง่ ตนเองจะตายคารัฏฐาธิปัตย์ คุณไม่พูดก็ต้องตายคาอยู่แล้ว

       แต่ที่คุณพูดนี้คุณกำหนดหมายผิด วิปลาสไป

       ซึ่งอำนาจนั้น แบ่ง เป็นสองอย่างคือ Force คือแรงแบบบังคับไม่ชอบธรรม และอีกแรงหนึ่งคือ Authority คือแรงไม่บังคับ เป็นความชอบธรรม เป็นอำนาจที่มีในคนประเสริฐหรืออาริยะ

       คนก็ชนะกันด้วย Force การกดขี่บังคับมาตั้งแต่เป็นเดรัจฉาน แต่ผู้ประเสริฐจะใช้ความดีงามทำให้เขายอมแพ้ ยอมยกให้ ยอมเพราะคุณงามความดี

       แต่โลกนี้ก็ยอมเพราะตกอยู่ใต้อำนาจ กาม โลกธรรม อัตตา ผู้ใดไม่รู้ก็มีพลังแฝงส่วนนี้ แต่เมื่อมาเรียนรู้แล้ว ก็ไม่ต้องง้องอนอำนาจโลก เอาอำนาจโลกมาบังคับไม่ได้ ผู้นี้จะอิสรเสรีภาพ จะเป็นไปได้ต้องเป็นอาริยบุคคล ตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไปจะมีอำนาจที่อยู่เหนืออำนาจโลกีย์ได้มากขึ้นๆ จนเป็นอรหันต์ก็สุดยอดเลย อิสรเสรีภาพสูงสุด ใครเห็นด้วยก็นำไปปฏิบัติ

       และก็สามารถทำได้จนเป็นหมู่กลุ่ม เป็นกลุ่มอโศก ออกมาทำงานร่วมกับสังคม เป็นธรรมฤทธิ์ ที่ทำให้เขาแพ้ยะย่าย พ่ายจะแจไป เป็นพลังแห่งคุณงามความดีจริงๆ เป็นธรรมะชนะอธรรมจริงๆ เป็นประสิทธิผลที่ยืนยันพิสูจน์ได้

       เป็นธรรมาธรรมะสงคราม ระหว่างธรรมะกับอธรรม เราก็มาทำให้ธรรมะชนะไปเรื่อยๆ ส่วนทางโน้นเขาก็ครอบงำคนให้มาเห็นด้วย แต่เราไม่ครอบงำ ไม่บังคับ อาตมาไม่ขอร้อง แต่คุณสุเทพทำมากกว่าอาตมา ไปขอร้องให้ข้าราชการมาช่วยด้วยเพื่อให้เกิดสุญญากาศ

 

อธิปไตยประชาชนไทยที่สุดวิเศษ

 

สรุป ประเด็นสำคัญของปัญหาที่ทำให้จัดการกับวิกฤติการเมืองที่เกิดอยู่ในปัจจุบันนี้ของไทย ยังไม่สำเร็จเสร็จจบลงได้ ก็เพราะว่า

(1) ยังเข้าใจความเป็น"รัฏฐาธิปัตย์ หรือรัฏฐาธิปไตย"ของความเป็นประชาชน ตามมาตรา 3 ไม่ถูกต้องตรงเต็มสภาพสัมบูรณ์ซึ่งความเป็น"รัฏฐาธิปัตย์ หรือรัฏฐาธิปไตย"ของความเป็นประชาชน นั้น เป็นความมีอำนาจเต็มสูงสุด(supreme)ที่แท้จริงในระบอบประชาธิปไตย ซึ่ง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไปจากประชาชนได้จนนิรันดร ตราบที่รัฐนั้นปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่า ประชาธิปไตย 2 ขา หรือขาเดียว

(2) ยังเข้าใจความเป็น"รัฐบาลาธิปัตย์ หรือรัฐบาลธิปไตย" ที่มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ไม่ตรงตามสิทธิและหน้าที่ของสภาพความเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี เท่าที่ตนมี 

(3) ยังหลงผิดไปเข้าใจความเป็น"รัฏฐาธิปัตย์ หรือรัฏฐาธิปไตย"ของประชาชน ว่าเป็นอันเดียวกันกับ"รัฐบาลาธิปัตย์ หรือรัฐบาลาธิปไตย"ของรัฐบาล การใช้อำนาจจึงผิดไป เพราะการยึดถือที่ผิดนี้ และเมืองไทยได้ปล่อยให้ใช้อำนาจเกินขอบเขตของอำนาจตามสิทธิและหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น ตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ จนเคยตัว และชินตา จึงพาลพาให้หลงผิดไปจากสัจธรรมความเป็นจริงทำให้คนเกือบทั้งประเทศหลงเข้าใจผิดตาม ว่า "รัฐบาลาธิปไตย หรือรัฐบาลาธิปัตย์"ของรัฐบาล ซึ่งมีอำนาจในหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน ที่มาตรา 171 และตามบทบัญญัติอื่นอีก ระบุไว้ เท่าที่มี นั้น ว่า เหมือนกัน เป็นอันเดียวกักับ"รัฏฐาธิปไตย หรือรัฏฐาธิปัตย์"ของประชาชน ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเต็ม ตามที่มาตรา 3 ระบุไว้  สำคัญผิดในนัยะของอำนาจ จึงยึดถือความเป็นอำนาจที่ตนได้ผิดไปจึงได้ยื้อยุด ยุติยากกันอยู่อย่างนี้

(4) ยังแยกอำนาจที่ปฏิบัติกันอย่างไม่ชอบธรรม ไม่เป็นอาริยะ(ยังอนาริยะอยู่) และไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้(force) กับอำนาจที่ปฏิบัติกันอย่างชอบธรรม เป็นอาริยะ และเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้(authority) ไม่ได้ จึงแยกอำนาจปฏิบัติของบุคคลใด หรือประชาชนกลุ่มไหน ว่า ประพฤติปฏิบัติไม่ชอบธรรม และไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้(force) ออกจากบุคคลใด หรือประชาชนกลุ่มไหน ว่า ประพฤติปฏิบัติชอบธรรม และเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้(authority)  ไม่ได้จึงทำให้ไม่เข้าใจ และปฏิบัติไม่ถูก หรือปฏิบัติไม่ได้ ไม่ว่าตามมาตรา 63 ก็ดี มาตรา 68 ก็ดี มาตรา 69 ก็ดี หรือมาตรา 70 ก็ดี เป็นต้น หรือแม้จะปฏิบัติถูก และประชาชนทำได้ดีแท้ๆแล้ว ก็ไม่ยกย่องตามสัจจะ ไม่ยินดีร่วมมืออย่างชื่นชม แล้วระดมแรงร่วมกันให้เต็มที่ ผลสำเร็จในการจัดการกับวิกฤติการเมืองจึงเกิดไม่ได้

(5) ปุถุชนคนทั่วไปยังไม่เชื่อความเป็นไปได้ ของอำนาจพิเศษ ที่มหัศจรรย์เกินสามัญ(อุตตริมนุสสธรรมขั้นโลกุตระ) คือ ความดีงาม ความถูกต้อง สุภาพ ไม่รุนแรง ความชอบธรรม นั้นมีอำนาจวิเศษวิสุทธิ์วิศิษฐ์สามารถชนะความไม่ดีไม่งาม ความไม่ถูกต้องชอบธรรม ความรุนแรง ได้จริงๆ เพราะเท่าที่คนทั้งโลกปฏิบัติกันมา ใช้กันมา ตามสัญชาตญาณสามัญก็คือ ใช้อำนาจปฏิวัติหรือรัฐประหารด้วยอำนาจทหาร หรือชนะกันด้วยความรุนแรงและใช้อาวุธประหัตประหารกัน เป็นต้น หรือใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่อาศัยโลกธรรม(ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข)เป็นเครื่องมือ สามารถครอบงำ กดขี่ หรือสามารถเบ่งข่มกัน(force) เป็นผลสำเร็จมาตลอด  ยังไม่สามารถใช้อำนาจที่สูงกว่าสัญชาตญาณสามัญ ได้จริงๆ คือ ใช้อำนาจโดยชอบธรรม(authority) ตรงตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้  เป็นอำนาจปฏิวัติหรือแม้จะถึงกับเรียกว่ารัฐประหารด้วยอำนาจของประชาชน ที่มากพอจนเรียกได้ว่า มวลมหาประชาชน ซึ่งสามารถปฏิบัติความสงบสันติ อหิงสา อย่างมีความดีงามความถูกต้อง สุภาพ ไม่รุนแรง เป็นความชอบธรรม จนมีอำนาจวิเศษวิสุทธิ์วิศิษฐ์ กระทั่งชนะความไม่สงบ ความไม่ชอบธรรม ความไม่ดีไม่งามความไม่ถูกต้อง ไม่สุภาพ รุนแรง ให้เป็นที่ปรากฏมาก่อน เมื่อมีคนจริง มวลมหาประชาชนจริง ปฏิบัติกันได้ มีผลสำเร็จ ปรากฏขึ้นในโลกจริงในสังคมคนจริงๆ จึงงงๆ ไม่รู้ว่าคืออะไร จะเป็นอย่างไร ดังนั้น แม้จะเป็นกันได้แล้ว มีแล้ว เกิดขึ้นให้เห็นแล้วโต้งๆ ก็ไม่รู้ เพราะเข้าใจยังไม่ได้ เพราะยังเข้าใจผิดอยู่ ยังยึดความเข้าใจเดิมที่ไม่สัมมาทิฏฐิตามที่หลงผิดนั้นอยู่ไม่เปิดจิต ไม่มีปรโตโฆสะ จิตใจยังไม่มีภาวะความรู้ใหม่ ไม่มีความเข้าใจอื่นจากเดิมเพิ่มขึ้น ยังยึดอยู่แต่ความรู้ความเชื่อเก่า เข้าใจความรู้ใหม่ไม่ได้ ความเป็นสิ่งประเสริฐที่เกิดขึ้นให้เห็นโทนโท่หลัดๆก็ไม่รู้ว่า คือ อาริยธรรม คือความดีงามที่เป็นจริง คือความถูกต้องที่เป็นจริง ความชอบธรรมที่เป็นจริง      จึงเห็นความดีงาม ที่เป็นอำนาจพิเศษที่เกิดอยู่โต้งๆหลัดๆนี้ไม่ได้ จึงยังไม่เชื่อ ว่า ความดีงามที่เป็นอำนาจพิเศษมีจริง เพราะไม่รู้จักความดีงามจริงๆ ที่เป็นอำนาจพิเศษนี้ไง

(6) คนยังเข้าใจความเป็น"สุญญากาศ"ทางการเมือง(void)ไม่ได้ หรือไม่ถูกต้อง บางคนมีแต่"มโน"เอาว่า สุญญากาศทางการเมืองไม่มี เกิดขึ้นไม่ได้ จึงเถียงกันด้วยตรรกะไม่มีจบลงได้ เพราะไม่รู้จริง ว่า สุญญากาศ คืออะไร เป็นอย่างไร หรือเอาแต่ยึดความเป็นสุญญากาศของตนอยู่นั่นแหละ ไม่เคลื่อน ไม่คลายอันใดกันเลย ทั้งๆที่ควมจริงนั้น สุญญากาศ หรือ void คือ ปรากฏการณ์จริง แห่งความเป็นโมฆะ แห่งความไม่มี ความสูญเปล่าจากที่มีไปแล้ว หรือว่างจากเนื้อหาทางการเมืองที่ควรจะเป็นจะมีนั้นแล้วต้องย้ำนะว่า ทางการเมืองเพราะสุญญากาศนั้น จะเป็นสุญญากาศของอะไรก็มีได้ ตามเหตุปัจจัยนั้นๆของภาวะใดภาวะนั้น แต่นี่เราหมายถึง สุญญากาศทางการเมืองต้องกำหนดให้ตรงกันนะ อย่าเพี้ยนไปจากเนื้อแท้ที่สำคัญเป็นอันขาด เมื่อเกิดสุญญากาศทางการเมือง ก็คือ โมฆะหรือสูญเปล่าหรือไม่มีหรือว่างจากสาระทางการเมืองนั้นไปจริงๆแล้ว มิหนำซ้ำ มีแต่โทษเอาด้วย มันไร้สาระทางการเมืองสิ้นแล้ว มันมีแต่ความเสียหายหรือฉิบหายกันจริงๆต่างหากเหมือนดังที่พระพุทธเจ้าตรัสบริภาษคนที่ไม่มีผลทางธรรมเกิดแม้แต่ในขณะหนึ่งขณะใดว่า โมฆะบุรุษ นั่นคือ คำว่าโมฆะนี้ หมายถึงว่างเปล่าจากการเจริญทางธรรมในขณะนั้น ปานนั้นทีเดียว หากปล่อยให้ช้าไป กิเลสก็จะเข้าสู่จิตใจทดแทนเอาด้วย คำว่าว่างเปล่าหรือสูญเปล่าจึงพาลจะตกต่ำเสียหายแล้วเราจะปล่อยให้เกิดภาวะเช่นนี้ต่อไปกันกระนั้นหรือ?

เอาล่ะ ถ้าจะหมายถึงการขาดสูญหรือการว่างเปล่าจาก"อำนาจผู้บริหารทางการเมือง โดยเฉพาะคณะผู้บริหารการปกครองประเทศ"ไปแล้วจริงๆ เด็ดขาดแล้ว ก็น่าจะมองลึกเข้าไปอีกว่า ถ้าปล่อยให้คณะผู้บริหารที่ขาดสูญหรือว่างเปล่าจากอำนาจหน้าที่แล้วนี้ยังอยู่ต่อไป ก็จะมีแต่โทษภัยหนักหนาสาหัสในการปฏิบัติทางการเมืองไปเรื่อยๆ มันไม่คุ้มกันเลยที่จะมีพฤติกรรมทางการเมืองที่เป็นอยู่นั้นต่อไป นี่ต่างหากคือ สุญญากาศทางการเมืองตัวแท้ ที่ควรจะยุติ หรือเปลี่ยนแปลงอำนาจที่เป็นโทษนั้นไป

เสียทันที

       แต่กระนั้นก็เถอะ ภาวะทางการเมืองจริงๆของไทย ณ ลมหายใจเฮือกนี้นั้น มันไม่สุญญากาศจากภาวะเลวร้าย มันหนักหนาสาหัสกับสภาวะเลวร้ายสุดๆเลยด้วยซ้ำ

       หรือแม้แต่ความเป็นจริงทางกฎหมายก็ตาม ทางพฤติกรรมก็ตาม มันจบลงแล้ว มันโมฆะแล้ว หรือมันว่างเปล่าจากคุณค่าทางการเมืองสิ้นแล้ว มันมีแต่โทษแต่ภัยร้ายอย่างแท้จริง

       อย่าหลงแต่วาทะคารมกันอยู่นักเลย จะเอาความจริงทางหลักเกณฑ์จริงกันก็ได้ ณ ปัจจุบันนี้ คณะบริหารหรือคณะรัฐบาลที่ยังมีเยื่อเหลืออยู่นี่ มีสาระอะไร

       เห็นมีก็แต่การใช้อำนาจบาตรใหญ่เบ่งแอ็ดๆที่เหลืออยู่ อย่างหน้าด้านนี้ หาทางเพื่อที่จะดึงดันเอาชนะคะคานทางการเมืองกันไปเท่านั้น ทำความอิดหนาระอาใจสุดอึดอัดจะระเบิดอยู่แล้วให้แก่สังคม ผลาญพล่าทรัพย์สินของรัฐไปอย่างไม่เคยบันยะบันยังอยู่โต้งๆแหลกเหลวบรรลัยอยู่เท่านั้น

ใช่มั้ย?

       แล้วยังจะควรนับว่า เศษกากของวัตถุทางการเมืองที่เป็นพิษนี้มีอยู่อีกต่อไปทำไม มันควรจะกวาดล้างออกไปให้สะอาดแก่ประเทศให้เร็วสุดต่างหากการจะแก้ไขปัญหาวิกฤติสาหัส ที่เป็นอยู่ ณ คราปัจจุบันกาลนี้ จะต้องใช้"มหาปเทส 4"ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะสำเร็จเสร็จจบลงได้

มหาปเทส 4 นั้นเป็นธรรมาวุธ ที่ตุลาการภิวัตน์ก็ต้องใช้ ประชาภิวัตน์ก็ต้องใช้ โดยเฉพาะกัมมาภิวัตน์แท้จริงจะเกิดได้จริง ที่ว่าจะต้องใช้ก็เพราะตรงกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 7  ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 มีเจตนารมณ์ตรงกับมหาปเทส 4 โดยแท้ เป็นต้นว่า เนื้อความของมาตรา 7 คือ "ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"ซึ่งมหาปเทส 4 นั้นก็มีว่า

(1) สิ่งใดไม่ห้าม ว่า ไม่ควรแต่สิ่งนั้นเข้ากับสิ่งไม่ควร ขัดกับสิ่งควร สิ่งนั้นจึงไม่ควร

(2) สิ่งใดไม่ห้าม ว่า ไม่ควร

แต่สิ่งนั้นเข้ากับสิ่งควร ขัดกับสิ่งไม่ควร สิ่งนั้นจึงควร 

(3) สิ่งใดไม่อนุญาต ว่า ควร

แต่สิ่งนั้นเข้ากับสิ่งไม่ควร ขัดกับสิ่งควร สิ่งนั้นจึงไม่ควร

(4) สิ่งใดไม่อนุญาต ว่า ควร

แต่สิ่งนั้นเข้ากับสิ่งควร ขัดกับสิ่งไม่ควร สิ่งนั้นจึงควร

(พระไตรปิฎก เล่ม 5 ข้อ 92)        

       เพราะฉะนั้น ในเมื่อไม่มีทั้งบทบัญญัติห้ามและไม่มีทั้งบท

บัญญัติอนุญาต เห็นไหมว่ามันตรงกันกับสาระของมาตรา 7 ชัดๆเลย คือ "ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด" ซึ่งเหตุการณ์จริงของบ้านเมืองที่มันสุดวิกฤติแสนสาหัส ณ ลมหายใจเฮือกนี้ ประชาชนเดือดร้อนสุดทนจนออกมาประท้วง และได้ยกระดับการประท้วงขึ้นไปเป็นต่อต้าน จนกระทั่งถึงขั้นขออำนาจคืน หรือขอปฏิวัตยึดอำนาจคืน ดังที่คณะทหารเคยปฏิวัตินั่นเอง

       คำว่า"ปฏิวัติ"นี่เอง ที่มันไม่มีในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญนี้ เป็นต้น ภาษาหรือคำบัญญัติที่ว่านี้ไม่มี นี่คือ ไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ซึ่งมันก็คือ มันไม่มีทั้งบทบัญญัติที่ห้าม และไม่มีทั้งบทบัญญัติที่อนุญาต ไง มหาปเทส 4 จึงมีเนื้อหาตรงกันกับมาตรา 7 แล้ว มันจึงเป็นภาวะแห่งสุญญากาศ ตามสัจจะของความเป็นจริง

       

       กล่าวคือ รัฐบาลได้ปฏิบัติผิดนิติรัฐนิติธรรม ประชาชนจึงออกมาประท้วงตามมาตรา 63-69-70 และขออำนาจที่ได้ให้ไปปฏิบัติหน้าที่คืนมาจัดการหาคณะบริหารใหม่ ตามสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของอำนาจ อันเป็นสิทธิเต็มของประชาชนตามมาตรา 3 และในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับ เป็นภาษาระบุเต็มๆตรงๆ จึงตรงตามมาตรา 7 นี้   ก็ต้องวินิจฉัยกรณีที่เป็นสุญญากาศนี้ไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นั่นก็คือ ให้วินิจฉัยไปตามประเพณีที่เคยมีมาแล้ว ซึ่งประเพณีก็มีแต่การได้อำนาจมาด้วยวิธีใช้อำนาจที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางแห่งบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญนี้ เป็นต้นว่า การปฏิวัติโดยทหาร หรือรัฐประหารด้วยอำนาจที่ปฏิบัติกันอย่างไม่ชอบธรรม ไม่เป็นอาริยะ(ยังอนาริยะอยู่) ซึ่งไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้(force) แต่ก็ได้ยอมรับให้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมนั้นแก่คณะปฏิวัติได้อำนาจ แล้วก็จัดการบริหารกันมาเป็นประเพณีกันอยู่ทั่วโลก ประเพณีเช่นนี้มีมากี่ครั้งกี่คราแล้วล่ะสำหรับประเทศไทยนี่แหละ หรือประเทศอื่นๆเขาก็มีประเพณีนี้ที่ทำกัน ปฏิบัติกัน จึงถือว่าเป็นประเพณีแห่งการสืบทอดอำนาจ แม้จะเป็นการได้อำนาจมาอย่างไม่ชอบธรรมเป็นอำนาจที่ไม่สง่างาม แต่ก็จำนนกัน

ครั้นมาถึงวันนี้ เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันนี้ แม้จะเรียกว่าเป็นการปฏิวัติ การปฏิวัตินี้ก็ไม่เหมือนการปฏิวัติอย่างที่เคยผ่านมา ซึ่งเป็นการปฏิวัติโดยประชาชนที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญนี้ อันเป็นการปฏิวัติอย่างชอบธรรมเป็นอำนาจที่สง่างาม ทำไมไม่จำนนบ้างเล่า

       คำว่าการปฏิวัติโดยคณะทหารหรือคณะราษฎร์ที่ใช้อำนาจอันไม่ชอบธรรมเพราะรุนแรง ไม่สงบ ใช้อาวุธผิดรัฐธรรมนูญนั้น ต่างก็ได้ยอมรับกันมาแล้วทั้งสิ้น ส่วนคราวนี้ประชนชาวไทยทำได้อย่างวิเศษวิสุทธิ์วิศิษฐ์ ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ทั้งมาตรา 63 มาตรา 69 มาตรา 70 เป็นต้น แม้คณะมวลมหาประชาชนคือ กปปส.นี้ จะถูกรุกราน ถูกผู้ใช้อำนาจที่ผิดไปจากรัฐธรรมนูญนี้ย่ำยี คณะมวลมหาประชาชนก็ยังรักษาความสุจริตตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไว้ได้เหนียวแน่น ยืนนานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยในประวัติศาสจตร์แห่งการปฏิวัติ ดีงามถูกต้องยิ่ง จนกระทั่งศาลตุลาการได้ออกคำสั่งคุ้มครองการชุมนุมประท้วงของมวลมหาประชาชนครั้งนี้ทีเดียว

       กรณีนี้เมื่อพิจารณาตามมหาปเทศ 4 แล้วจึงเป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่ง ที่จะต้องตัดสินให้ ผู้ที่ชอบธรรม เป็นผู้ถูกต้องเหมาะควรที่จะปฏิบัติตามประเพณีที่เคยผ่านมา ในประเด็นที่เป็นผู้จัดการให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ ก็ในเมื่อการปฏิวัติได้อำนาจคืนมาจัดการตามที่คณะทหารเคยทำเป็นประเพณีในอดีต ซึ่งไม่ชอบธรรมแท้ๆ ยังเป็นผู้มีสิทธิในการปฏิบัติจัดการการปกครองประเทศได้

แล้วในเมื่อมวลมหาประชาชนปฏิวัติด้วยความสงบ ไม่ใช้อำนาจรุนแรงเลย สุภาพเรียบร้อย ไม่มีอาวุธ สวยสดงดงาม สง่ายิ่งวิเศษวิสุทธิ์วิสิฏฐ์ปานฉะนี้ ทำไมไม่ยอมยกให้บ้าง หรือไม่ร่วมมือกันทำให้สิ่งประเสริฐนีให้้เกิดขึ้นในประเทศไทยเล่า?

       อำนาจชนิดนี้มันเป็น"อำนาจขั้นโลกุตระ" มันทวนกระแสสามัญของสัตวโลกทั้งหลาย มันเป็นภาวะที่สูงส่งจริงๆ เป็นอาริยธรรมที่เกิดจริงจากประชาชนที่เป็นคณะบุคคลผู้มีคุณธรรมจริง จึงทนทานต่อการประจญประจัญได้กับความกระทบกระกระแทกกระทั่งอย่างรุนแรงจากผู้ที่พยายามหาเรื่องจะให้เกิดความรุนแรง  โดยไม่ทำความรุนแรงตอบ หรือไม่ได้โต้ตอบจนทำให้เกิดการจลาจล อย่างที่เคยเกิดขึ้นกันมาแล้วในอดีต

 

ประเด็นแห่งปัญหา ก็คือ

1) อำนาจอธิปไตย(sovereignty) ที่มีความเห็นแตกต่างกัน

2) สุญญากาศทางการเมือง(void) ที่มีความเห็นแตกต่างกัน     

3) ความผิด-ถูก หรือชั่ว-ดี อันเป็นคุณค่าของคุณธรรม(virtue)

ที่ต้องใช้เป็นเครื่องวัดคุณค่าของผู้เป็นนักการเมือง

4) สถานภาพที่เป็นอยู่จริงมีอยู่จริงในปัจจุบันนั้นๆ(satatus quo)ตามข้อ 1) อำนาจ หรือแรง หรือความสามารถ หรือกำลัง หรือพลัง ที่ภาษาอังกฤษเขาใช้คำกลางๆว่า power และยังมีคำภาษาอังกฤษ

อื่นๆอีกที่เขาจำกัดความของอำนาจลักษณธที่ละเอียดลึกซึ้งไปแตกต่างกัน

       ภาษาไทยไม่มีคำที่ชี้บอกสภาวธรรมนั้นๆได้ จึงแยกอำนาจที่มีที่เป็นตามที่เป็นจริงไม่ค่อยได้เพียงพอ

       เช่น อำนาจ ที่เรียกว่า force คือ อำนาจที่มีลักษณะไปในทางครอบๆ งำๆ ข่มๆ ขี่ๆ กดๆ รุน ดัน ยัดเยียด บังคับ เบียดเบียน หนักๆแรงๆไปทางร้าย จนถึงอำนาจต่อสู้เอาชนะด้วยการทำร้าย ห้ำหั่น

ฟาดฟันกัน ฆ่ากัน เป็นต้นว่า  อำนาจทางทหาร นี่เขาจะใช้คำว่า force  อำนาจ ที่เรียกว่า authority คือ อำนาจทีเป็นธรรม อำนาจที่ถูกตรงตามหน้าที่ อำนาจชอบธรรม อำนาจสมรรถนะที่เป็นตัวอย่างอันประเสริฐ อำนาจที่เป็นหลักฐานอันควรเชื่อถือ อำนาจที่ควรศรัทธาเคารพบูชา อำนาจที่มีลักษณะไปในทางคุณธรรม ดีๆ งามๆ ถูกต้อง ไม่ฆ่ากันนั้นแน่นอน ไม่ฟาดฟันกันแล้ว ไม่ห้ำหั่น ไม่บังคับ ไม่เบียดเบียน ไม่หนักๆแรงๆไปทางร้าย ไม่ถึงอำนาจต่อสู้เอาชนะด้วยการทำร้าย ไปจนกระทั่งไม่รุน ไม่ดัน ไม่ยัดเยียด ไม่เดียจฉัน ไม่กด ไม่ขี่ ไม่ข่ม ไม่ครอบงำอำนาจ ที่เรียกว่า sovereignty อำนาจที่เรียกได้ตรงถูกต้องแล้วว่า อธิปไตย อำนาจในการปกครองตัวเองโดยอิสระ อำนาจสูงสุดที่ชอบธรรม อำนาจคือสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของรัฐ เจ้าของประเทศ ที่เรียกว่ารัฏฐาธิปัตย์ อำนาจที่เป็นสิทธิ์เต็มในความเป็นคนของประเทศเท่ากับประชากรอื่นๆผู้ที่ไม่เข้าใจในความเป็นอำนาจตามลักษณะที่ละเอียดถูกตรงดังกล่าวนี้เป็นต้น ก็จะปฏิบัติประพฤติถูกตรงในคุณลักษณะที่เป็นอธิปไตย (sovereignty)ให้เป็นจริงและยั่งยืนถาวรไม่ได้ ถ้าไม่เข้าใจอย่างถูกตรงอย่างบริบูรณ์ พอรู้บ้าง ก็อาจจะปฏิบัติได้บ้างชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งไม่นาน และจะไม่เป็นอธิปไตยสูงสุดได้เลย จึงไม่สามารถจะมีอำนาจที่เรียกว่า sovereignty คือ อำนาจที่เรียกได้ตรงถูกต้องแล้วว่า อธิปไตย ได้อย่างเป็นระบบที่ไปสู่ความสูงสุดยั่งยืน ตราบนานเท่านาน        

       ผู้เข้าใจมีปัญญารู้แจ้งความเป็นอำนาจที่ชอบธรรม สัมมาทิฏฐิจริง ก็จะปฏิบัติตน มีการประพฤติถูกต้องตรงธรรมได้ละเอียดมากสูงจนที่สุดได้จริง และเจริญพัฒนาถึงที่สูงที่สุดได้ 

       ความเห็นความเข้าใจที่แตกต่างกัน ก็ย่อมขัดแย้งกัน และต้องอยู่ในสภาพต่อสู้กันเป็นธรรมดา ถ้ายังไม่มีความเห็นความเข้าใจที่สัมมาทิฏฐิจริง และเกิดทิฏฐิสามัญญตา ก็จะผลัดกันได้อำนาจ ผลัดกันขึ้นครองอำนาจวนเวียนสลับกันไป ถ้ามีทิฏฐิสามัญตาในหมู่ชนใด แม้ทิฏฐินั้นจะไม่ใช่สัมมาทิฏฐิก็อาจจะอยู่ได้นานขึ้นบ้าง แต่ไม่สัมบูรณ์ด้วยอิสระเสรีภาพ จะอาศัยอำนาจเชิง force เป็นอำนาจหลักจึงจะทำให้อยู่ได้นาน หากมีอำนาจเชิง authority ผสมผสานช่วยด้วยก็จะทำให้ได้นานขึ้น แต่ถ้ามีแต่ force จะรักษาอำนาจบาตรใหญ่ไว้ได้ไม่นาน จะถูกแย่งถูกชิงไป หมุนเวียเป็นสมบัติผลัดกันชม อยู่อย่างนั้น    

ข้อ 2) สุญญากาศทางการเมือง(void) ที่มีความเห็นแตกต่างกัน ก็เพราะเข้าใจความเป็นสุญญากาศที่ไม่ใช่สุญญากาศทางการเมืองอันเป็นประชาธิปไตย อย่างถูกตรง ที่เรียกว่า void 

       แต่จะเข้าใจความเป็นสุญญากาศที่เป็นเชิงอื่นๆ เช่น ความว่างเชิง vacancy บ้าง  เชิง zero บ้าง เชิง empty บ้าง เชิง leisure บ้าง

       สุญญากาศเชิงหรือแบบ vacancy ก็คือ ความว่างที่ยังไม่มีความรู้ที่มีความเป็นสุญญากาศทางการเมืองอันเป็นประชาธิปไตย อย่างถูกตรงแท้จริง ที่เรียกว่า void จึงปฏิบัติโดยเข้าใจความเป็นสุญญากาศ ที่เป็นความว่างแบบขาดความคิดหรือปัญญา ซึ่งเป็นความว่างที่อยู่เด๋อๆ อยู่เฉยๆ อยู่เปล่าๆ ไร้สาระ หรือไม่รู้อะไรเป็นอะไรกับใครเขา

       ซึ่งจะไปได้สุญญากาศที่เป็นความว่างแบบทำจิตใจให้เป็นคนอยู่อย่างว่างเหม่อๆลอยๆ กลายเป็นคนจิตใจจะเข้าใจอะไรก็สับสน เป็นต้น หรือเข้าใจอะไรก็ได้อย่างคลุมเครือ

       นี่คือ ผู้ยึดได้ความว่างอย่าง vacancy 

       ส่วนสุญญากาศเชิงหรือแบบ zero ก็คือ ความว่างที่ยังไม่มีความรู้ที่มีความเป็นสุญญากาศทางการเมืองอันเป็นประชาธิปไตย อย่างถูกตรงแท้จริง ที่เรียกว่า void เช่นกัน โดยเข้าใจไปว่า ความว่างเป็นศูนย์ ชนิดที่ไม่มีอะไรเลย อันตรธาน ปลาสนาการไปหมด ไม่เหลืออะไรเป็นค่าเป็นประโยชน์ เป็นคนก็ไม่มีคุณค่า สิ่งของก็ไม่มีคุณค่า อะไรก็ไม่สลักสำคัญอะไรเลยจึงยึดได้เพียงสุญญากาศที่ว่างเปล่าจากอะไรไปหมด เอียงไปข้างไม่มีอะไรเลย

       นี่คือ ผู้ยึดได้ความว่างอย่าง zero

       สุญญากาศเชิงหรือแบบ empty ก็คือ ยังเข้าใจความว่างที่ยังไม่มีความรู้ที่มีความเป็นสุญญากาศทางการเมืองอันเป็นประชาธิปไตย อย่างถูกตรงแท้จริง ที่เรียกว่า void อยู่นั่นเอง โดยเข้าใจสุญญากาศทางการเมืองนี้ว่า ว่างเปล่า ไม่มีอะไร ไม่มีความหมาย ไร้สาระ เปล่าประโยชน์ ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น โง่ ไร้ความรู้ เปล่าเปลี่ยวเงียบเหงา

       จึงยึดได้เพียงสุญญากาศที่ว่างเปล่าอย่างไร้สาระ เปล่าประโยชน์ เอียงไปข้างไม่มีคุณค่าไม่ได้ประโยชน์อะไร

       นี่คือ ผู้ยึดได้ความว่างอย่าง empty

       สุญญากาศเชิงหรือแบบ leisure ก็คือ ยังเข้าใจความว่างที่ยังไม่มีความรู้ที่มีความเป็นสุญญากาศทางการเมืองอันเป็นประชาธิปไตย อย่างถูกตรงแท้จริงเต็มที่ ที่เรียกว่า void อยู่นั่นแหละ โดยเข้าใจสุญญากาศทางการเมืองนี้ว่า ว่าง มีเวลาว่าง ไม่มีงานทำ การว่างจากงาน ที่จริงการเกิดความว่าง ที่เกิด void ขึ้นนี้ มันเกิดอย่างมีปัญญา และประสงค์จงใจที่จะให้ คณะรัฐบาล ว่างไป หยุดไป ไม่ต้องทำงานนี้อีก  ไม่ใช่ ว่างอย่างขาดความคิดหรือปัญญา ซึ่งเป็นความว่างที่อยู่เด๋อๆ อยู่เฉยๆ อยู่เปล่าๆ ไร้สาระ อย่าง vacancyไม่ใช่ ว่างอย่างไม่มีอะไรเลย อันตรธาน ปลาสนาการไปหมด

แบบ zero  ไม่ใช่ ว่างอย่างไม่มีความหมาย ไร้สาระ เปล่าประโยชน์ ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น โง่ แบบ empty

ไม่ใช่ ว่างอย่างมีเวลาว่าง ไม่มีงานทำ การว่างจากงาน แบบ  leisure เป็นต้น

       ซึ่ง void ในที่นี้เป็นความว่างอย่างมีนัยสำคัญทางการเมือง  ไม่ใช่การสูญ หรือสภาวะความว่างเปล่าที่เปล่าๆ ว่างๆที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีวัตถุ ไม่มีทั้งวัตถุทั้งนามธรรมในนั้น ชนิดที่เป็นเรื่องของอวกาศ หรือภาวะเวิ้งว้าง ว่างเปล่า โล่งเตียน ปราศจากสิ่งใดๆอยู่ในนั้น

       แต่หมายถึง เรื่องการเมือง หน้าที่ทางการเมือง ที่มีลักษณะพฤติกรรมหรือแรงงานทางการเมือง อันมีเรื่องมีราว มีเหตุมีปัจจัย สุญญากาศทางการเมือง คือ ต้องการให้ว่างจากแรงหรือพลังงานทางการเมือง ทางการบริหารปกครองใดๆอันเป็นหน้าที่ของนักการเมืองผู้มีสิทธิหน้าที่ ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ให้ว่างลง คือ เกิดสุญญากาศ

       โดยเฉพาะหมายเอา หัวหน้าแรงงาน และพลังงานบริหารทั้งคณะ ที่เรียกว่า คณะรัฐมนตรี เท่านั้น ที่ว่างลง ยุติหน้าที่การงานคณะบริหารทั้งคณะ หมดสิทธิ หรือหยุดทำหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีได้แล้ว ตามหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญนี้เพราะเห็นแล้วว่า คณะบริหารทั้งคณะไร้ความสามารถที่จะทำให้เกิดผลงานที่ดี เจริญ ถ้าขืนให้ทำต่อไปก็จะมีแต่เสียหาย ดังนั้น จึงเกิดเหตุการณ์อันควรจะเป็น ขึ้นในสังคมบ้านเมือง คือ

(1) มวลมหาประชาชนเห็นร่วมกัน และออกมาต่อต้านให้หยุด ให้ออก ไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ เรียกว่า ประชาภิวัตน์ ที่ถูกต้องชอบธรรม ทั้งทางนิติรัฐ และนิติธรรม

(2) ตุลาการ ทำหน้าที่ตัดสิน ว่า มีความผิด ความไม่ชอบธรรม ถึงขั้นต้องหมดสิทธิทำหน้าที่ต่อไป ไม่ต้องทำหน้าที่ทั้งหัวหน้าคณะ คือ นายกรัฐมนตรี และทั้งคณะรัฐมนตรี เรียกว่า ตุลาการภิวัตน์ ที่ถูกต้องชอบธรรม ทั้งทางนิติรัฐ และนิติธรรม

       นี้คือ สุญญากาศทางการเมือง ที่เกิดอย่างชอบธรรม อันมีประชาชนเจ้าของประเทศปฏิวัติ หรือจะเรียกว่ารัฐประหาร ก็ได้ ก็คือ การกระทำให้รัฐบาลพ้นจากสิทธิและหน้าที่ไปนั่นเอง

       ซึ่งแตกต่างกันกับการปฏิวัติของคณะทหาร หรือคณะราษฎร์ที่เคยทำมา ก็ตรงที่ใช้อำนาจผิดนิติรัฐนิติธรรม   

       ประเทศไทยมีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาถึง 81-82 ปีเข้านี่แล้ว เกิดการปฏิวัติโดยประชาชน ที่ชอบธรรม ตามรัฐธรรมนูญนี้

       กล่าวคือ มวลมหาประชาชนได้ร่วมกันแสดงออกซึ่งการประท้วง ประกาศเจตนารมณ์ ต่อต้าน อย่างเปิดเผย บริสุทธิ์ กระทั่งยกระดับขึ้นถึงขั้นล้มล้างตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้อย่างชอบธรรม

       ศาลตุลาการก็ได้แสดงออกแล้วด้วยว่า การชุมนุมประท้วงของมวลมหาประชาชนกลุ่มที่กำลังปฏิบัติการอยู่นี้ ชอบธรรม จึงให้การคุ้มครอง

       ซึ่งประสพผลสำเร็จสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ และเหนี่ยวแน่นยืนยาวมานานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย ถือว่า ทำได้อย่างดียิ่ง

       การปฏิวัติของประชาชนไม่เคยเกิด ไม่เคยเป็นได้อย่างนี้มาก่อน

       แต่บัดนี้เมืองไทยมีปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นความจริง จนชื่อว่า ถึงขั้น"สุญญากาศทางการเมือง"แล้ว

       ยังเหลืออยู่ก็แต่การดื้อด้านดึงดัน ตะแบงของฝ่ายรัฐบาลกับคณะหมู่มวลที่เห็นด้วยกับรัฐบาล และคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

       ที่ควรจะเป็น ก็คือ สังคมประเทศปกติก็ไม่ควรจะขาดหน้าที่การบริหารปกครอง แม้แต่เศษเสี้ยวของวินาที แต่เมื่อเกิดกรณีจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องให้คณะรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่นั้น ยุติบทบาท

ตามประเพณีที่เคยทำกันมา เมื่อต้องการจะให้คณะบริหารอยู่เดิมยุติบทบาท ก็มีการยึดอำนาจที่เราเรียกกันว่า โดยคณะปฎิวัติ หรือโดยคณะรัฐประหาร ซึ่งใช้อำนาจบาตรใหญ่(force)เข้ายึดอำนาจใช้อาวุธ หรืออำนาจที่ชื่อว่า รุนแรงมีอาวุธประกอบการยึดอำนาจ อันถือว่าไม่ถูกต้องชอบธรรม

       แต่ก็ทำกันเป็นประเพณีกันมา และได้ยอมรับกันอย่างจำนน จำยอม เกือบทุกประเทศก็ได้เคยใช้ประเพณีนี้กัน ทั้งๆที่ไม่ชอบธรรม

       เมื่อได้สิทธิอำนาจอธิปไตยชั่วคราวนั้น  ต่อจากนั้นคณะผู้ได้อำนาจก็ไปจัดการปรับหรือจัดการกับระบบการบริหารตามแต่ละคณะปฏิวัตินั้นๆพึงทำ ตามที่เคยเกิดเคยเป็นมา

       ดังนั้น ถึงวินาทีนี้การปฏิวัติของมวลมหาประชาชนก็น่าจะได้รับการยอมรับ ซึ่งไม่ใช่การจำนน หรือจำยอมเลย เพราะเป็นการปฏิวัติที่ชอบธรรม อันเป็นการกระทำโดยสันติวิธี และเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติ ไว้ในรัฐธรรมนูยนี้ อย่างพร้อมหมู่มวลมหาประชาชนเป็นเอกภาพ เหนียวแน่น ยืนนานต่อการพิสูจน์ พอที่จะใช้วินิจฉัยได้แล้ว

       สรุป สุญญากาศทางการเมือง ก็คือ

(1) ประชาภิวัตน์ ที่เกิดขึ้นแล้ว คือ มวลมหาประชาชนร่วมกันตัดสินแล้วว่า ครม.ทั้งคณะหมดสิทธิ์ในหน้าที่บริหารลงแล้ว หยุดได้แล้ว ใช้ภาษาชัดๆก็คือ ไม่ยอมให้เป็นครม.ต่อไป ไม่ให้บริหารต่อไป คือ ไล่ออก

(2) ตุลาการภิวัตน์ ทีเกิดขึ้นแล้ว คือ ศาลชี้มูลบ้าง ตัดสินบ้าง ซึ่งก็ถึงกาลสิ้นสุดภาวะการบริหารของครม.ลงตามกฎหมายแล้ว  

ส่วน ข้อ 3) ความผิด-ถูก หรือชั่ว-ดี อันเป็นคุณค่าของคุณธรรม(virtue)ที่ต้องใช้เป็นเครื่องวัดคุณค่าของผู้เป็นนักการเมือง

       เรื่องนี้ บุคคลในคณะรัฐมนตรีได้แสดงอาการกระด้างกระเดื่องหนักหนาสาหัสมาก ผิดต่อกฎหมายบ้าง ไม่มีจริยธรรมบ้าง ชัดเจนอยโทนโท่  

       ซึ่งได้แจกแจงกันมามาก ในที่นี้ และที่อื่น ผู้อื่นก็ประกาศออกมา ยืนยัน ทั้งหลักฐาน ทั้งหลักกฎหมาย และหลักธรรม ก็มากพอแล้ว

ข้อ 4) สถานภาพที่เป็นอยู่จริงมีอยู่จริงในปัจจุบันนั้นๆ(status quo) ก็แสนจะเห็นในภาวะจริงที่ปรากฏ มากพอ ครบถ้วน เกินกว่าจะตัดสิน ยืนยันอยู่ทั้งที่ได้กระทำมาแล้วต่างกรรมต่างวาระ ผ่านมาแล้วตามที่ได้กระทำแล้วของคณะบริหาร ทั้งที่ยังดึงดันกระทำให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ยังไม่ยอมปล่อยวาง มันก็เกินกว่าจะกล่าวใดๆแล้ว

       ไม่น่าจะมีอะไรเลวร้ายกว่านี้อีกแล้ว ในสังคมโลก

       แต่เพราะมันมีสันติวิธีที่สุดวิเศษวิสุทธิ์ของประชาชนปฏิวัติ จึงทำให้เข้าใจยาก  จงใช้ปัญญาอันลึกซึ้งไตร่ตรองให้เห็นกันเถิดเทอญ.

 

       ในรธน.มาตรา 70  บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

       มาตรา 71 บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย รธน. ก็ได้กำหนดให้เป็นหน้าที่เลย แม้ไม่บังคับ แต่เป็นการยืนยันหน้าที่ของประชาชนอย่างเป็นทางการ ประชาชนใดกระทำออกมาทำหน้าที่ประท้วง ก็เป็นการทำมหาปเทส 4 ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า เพราะลมหายใจประเทศไทยเฮือกนี้มันวิกฤติหนัก จะได้ใช้คะแนนเสียงสดๆ ทำด้วยประชาชนเพื่อประชาชน เพราะประชาชนเป็นเจ้าของประเทศก็ควรดูแลเอาใจใส่ แม้จะให้ผู้แทนไปทำหน้าที่แต่เมื่อเขาทำผิดพลาดเสียหายมากเราก็ควรออกมาไล่ออก ไม่อย่างนั้นเราเป็นประชาชนก็ทำหน้าที่ผิด ดูดายใจดำ ไม่ทำตามรธน. ไม่ทำตามมหาปเทศที่พระพุทธเจ้าสอน

       อ.กฤษฎาว่า...การออกมาชุมนุมมีเหตุผลที่เราต้องเอาธรรมมาจัดการกับอธรรม พ่อครูได้สรุป ว่าทำไมเราต้องออกมา กองทัพธรรมต้องออกมาเพื่ออะไร พ่อครูอธิบาย ฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์ และธรรมะเป็นเนื้อเดียวกันเลย


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:47:43 )

570426

รายละเอียด

570426_พ่อครู ที่ ป้อมมหากาฬ เรื่อง ปากหอกและความเสื่อมของชาวพุทธ

       พ่อครูว่า...เรื่องการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญของมนุษยชาติ เดี๋ยวนี้เข้าใจเรื่องการศึกษากลายเป็นพิษแล้ว แต่การศึกษาจะเป็นตัวทำให้คนพัฒนาขึ้น หากเป็นการศึกษาที่สัมมาทิฏฐิ ที่เข้าใจจุดมุ่งหมายการศึกษาให้เจริญอะไรเป็นหลัก

       ความเจริญที่ผิดคือเจริญทางเทคนิค ความสามารถในกลวิธีในการสร้างสรรค์ แต่จิตใจไม่เจริญ จิตใจไม่ลดกิเลส ยิ่งมีความรู้สามารถ เทคนิคสูง ก็ได้เปรียบสังคม ก็เอาเปรียบสังคมหนัก ต่อรองสูงขึ้น สังคมต้องการสูง ก็ยิ่งโก่งค่าตัวมากขึ้น คนก็เลยหลงใหล โลกธรรม ยิ่งเงินมากยิ่งไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้เรื่องกาม ต้องไปหลงเสพสุข มักมากไปใหญ่เลย

       พูดชัดๆเลยว่าทั้งโลก มหาวิทยาลัยไหนๆทั้งโลกไม่เน้นเรื่องคุณธรรม ศีลธรรม หรือธรรมะเป็นหลัก แต่เน้นเรื่องความรู้ความสามารถทางเทคนิคเพ่ิม แต่จิตใจไม่ได้ลดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัวแท้จริง

       ศาสนาที่จะลดความเห็นแก่ตัวลดกิเลสที่แท้จริง นั้น ก็แต่ละศาสนาแต่ละศาสดาท่านก็หาวิธีให้คนลดความเห็นแก่ตัว ก็เต็มที่ของแต่ละศาสดา เราชาวพุทธก็มาพูดของพระพุทธเจ้า ท่านศาสดาอื่นก็เป็นธรรมะช่วยสังคมเหมือนกัน

       พอเวลานานเข้าศาสนาที่เคยมีธรรมะก็กลายเป็นมีผู้ไม่มีคุณอันสมควรก่อนแล้วไปสอนผู้อื่นจึงมัวหมอง ต้องมีคุณอันสมควรก่อน สอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง แต่เมื่อไม่มีความรู้จริง ได้แต่ตรรกะ ได้แต่รู้จำได้ นึกคิดเอา ก็เลย ไม่จริง เมื่อไม่จริงก็ใช้เหตุผลส่วนตัว แต่มีกิเลสก็หยุดไม่ได้ ก็จนแต้มก็ดำน้ำไป มีปฏิภาณปัญญาของตนก็ใส่ไปเรื่อย ก็ไม่ตรงกับความจริง

       ศาสนามัวหมองมากเลย พระศาสดาสิ้นไปแล้ว สาวกก็มีการสืบทอด มีทั้งผู้จริงและไม่จริง และผู้ไม่รู้จริงนี่แหละทำให้เสื่อม จนบัดนี้ 2557ปีแล้วที่พระพุทธเจ้าตายไป ศาสนาก็เสื่อมไป เกือบจะหมดเลย

       เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่คนเสื่อมทำให้ศาสนาเสื่อม สังคมก็เสื่อม ผู้ที่เรียนรู้ก็เรียนรู้มาผิดๆ ก็ไม่เจริญ นอกจากไม่เจริญแล้วก็ยังเลวร้ายด้วย อย่างไทยนี่คนนับถือพุทธ 95 % ผู้ศึกษาพุทธมาก็เผยแพร่กันไม่เพียงในเมืองไทยยังมีต่างประเทศอีก แต่คนเสื่อม แม้ผู้ตามศึกษาศาสนาที่เป็นฆราวาส ก็ได้รับการศึกษามาผิดๆ ยิ่งผู้ไม่ไปศึกษา ตามหลักที่ถูกต้องก็ยิ่งแย่ ตามความเสื่อม 7 ประการของชาวพุทธ

1.    ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ (ภิกขุทัสสนัง  หาเปติ)

2.   ละเลยการฟังธรรม  (สัทธัมมัสสวนัง  ปมัชชติ)

3.   ไม่ศึกษาในอธิศีล  (อธิสีเล  น  สิกขติ) และเขาสอนว่า การสอนศีลคือการขัดเกลาแค่กาย วาจาเท่านั้น ส่วนจิตจะได้สมาธิต้องไปนั่งสมาธิ สอนแยกส่วนเลย เพราะฉะนั้นสอนอย่างนี้ก็เจ๊งเลย มีหลักฐานในพระไตรปิฎก ในกิมัตถิยสูตร ล.24 ข.1, 208 ซึ่งสอนกันว่า ศีลปฏิบัติแต่กายกับวาจานั้นก็ได้ผลแต่ ในการสำรวมเบื้องต้น จิตก็ได้กดข่ม แต่ไม่ได้ละกิเลสไม่รู้จิต เพราะอย่างนั้นถ้าสอนศีลแล้วไม่ลดกิเลสในจิตก็ไม่ได้ผลตามที่พระพุทธเจ้าสอน ตาม กิมัตถิยสูตร

  1.  อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)
  2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)
  3.  ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)
  4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
  5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
  6. สมาธิ (จิตมั่นคง)
  7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)
  8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)
  9. วิราคะ (คลายกิเลส)
  10. วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

4.    ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุ ทั้งที่เป็นเถระ  ผู้ใหม่และปานกลาง 

5.    เพ่งโทษฟังธรรม  (ธัมมัง  สุณาติรันธคเวสี)

6.    แสวงบุญนอกเขตศาสนานี้ (พหิทธา  ทักขิเณยยัง  คเวสติ)

7.   ทำสักการะก่อนในเขตบุญนอกศาสนานี้ (ตัตถะ  จ   ปุพพการัง  กโรติ)   (พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 27)

       แม้แต่ภิกษุเอง ก็กลับไปนับถือนอกคำสอนของพระพุทธเจ้าไปแล้ว นี่คือความเสื่อมแท้ๆ ที่พูดนี้พูดสัจธรรมนะ

       เมื่อผู้ที่อยู่ระดับสูงระดับบนของสังคม เสื่อมจากคุณธรรม มันจะเหลืออะไรก็เป็นอย่างนี้ บ้านเมืองบริหารด้วยคนไม่มีคุณธรรม นับถือพุทธก็ทำตามจารีตประเพณีขนบธรรมเนียมไป ในสังคมที่ขาดธรรมะขาดคุณธรรมแท้จริง ขาดจิตที่ลดกิเลส ไม่รู้จักการลดกิเลส กิเลสก็โต จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็น่ากลัว ขออภัยที่ต้องพูด ที่อาจต้องเสี่ยงข้อหาผิดกฎหมาย แต่เจตนาไม่ได้ลบหลู่ดูถูก แต่พูดตามหลักวิชาการ

       ได้ข่าวมาว่า แม้แต่ผู้ที่เป็นหลักของประเทศที่ดูแลความถูกความผิด พยายามเป็นหลักในการตัดสินความผิดถูกของประเทศแต่จิตเต็มไปด้วยกิเลส ทีนี้ก็มีคนประมูลซื้อไปได้ คนมีหน้าที่ดูแลตัดสินชั่วดี ถูกผิด ของประเทศชาติ มีผลต่อสังคมมาก โดยเฉพาะคนที่จะซื้อบ้านเมือง มีเกมการเมือง พวกเราคงได้ข่าวคราว ว่าเขาใช้เงินซื้อ ใช้อำนาจประเคนลาภยศ ซื้อ ร้อยล้านไม่ได้ก็ห้าร้อยล้าน พันล้าน คนมีกิเลสจะอดใจไหวอย่างไร ประเทศไทยก็เสร็จสิ เขาว่าเงินซื้อได้หมด ที่เขาว่าจ้างผีโม่แป้ง แต่อาตมาว่า เอาเงินจ้างเทวดาล้างส้วม

       ผีเป็นสัตว์ชั้นต่ำก็หลงเงิน แต่เทวดาชั้นสูงมาล้างส้วมยังเอาเลย มันร้ายแรงน่ากลัวมากเลย

       ก็เหลือแต่คนหวังดีต่อชาติ รักศักดิ์ศรี รักความเป็นคน ชีวิตนี้ไม่กระไร เงินทองจะมีมากอย่างไรก็กินแค่อิ่ม บำเรอ กามคุณ ด้วยข้าวของด้วยคน บำเรออัตตาเป็นสุขขัลลิกะ เป็นสุขเท็จ สมใจในกามในอัตตา พระพุทธเจ้าสอนไว้

       แต่ไม่ศึกษาไม่ทำตาม ก็เป็นทาส ก็เลยเป็นโทษภัยต่อชาติ ที่บ้านเมืองเดือดร้อนเพราะคนเสื่อมจากธรรมะ ไม่มีอื่นเลย ถูกเงินลาภยศฟาดหัวเอา แล้วก็ไปเป็นพวกของคนใช้อำนาจบาตรใหญ่ เอาเรื่องโลกีย์มาประมูลมาซื้อใช้เป็นอำนาจ น่าสงสารประเทศไทย

       ตอนนี้สู้กันด้วยธรรมะกับอธรรม แต่ก็สู้ได้นะ เราสู้ได้ด้วยธรรมะ ขอยืนยัน น่าชื่นใจนะกำนันสุเทพนี่ พูดอย่างเด็ดขาด มีการจะประนีประนอม เรื่องที่ดีก็คือ หัวหน้าพรรค ปชป. ออกมาบอกว่า จะพยายามเจรจากัน เป็นคนกลาง พอกำนันสุเทพได้ยินข่าวก็ตัดพั๊วเลย ว่า...อย่ามาสะเออะ

       เมืองไทยนี่ คนไทยออกมาแสดงพฤติภาพของประชาธิปไตยได้อย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ อย่างยิ่งเลย

       ประชาชนออกมาต่อต้านประท้วงล้มล้าง ตามรธน.เลย

       คนไทยนี่ปฏิวัติโดยประชาชน ปฏิวัติคือเปลี่ยนฉับพลัน จากการเมืองเลวร้ายมาเป็นการเมืองแบบใหม่ ไม่เอาแบบเลวร้ายแล้ว จะปรับเลย มั่นใจว่าพวกเรามีเยอะที่เตรียมจะมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเทศ คัดเลือกกันเข้ามาให้ดี

       ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าสภาก็ผิดพลาดไปหมด แม้แต่รัฐบาลก็ยุบสภาไปแล้ว มีอยู่แค่ว่ารักษาการ แต่ว่าตอนนี้เขาทำละเมิดเยอะเลย ตั้งตัวเองเป็นศอ.รส. ผิดไปหมดเลย  โดยพฤตินัยทางโน้นผิดจนไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ดึงดันอยู่ เพราะเราไม่ได้ไปดึงดันข่มขี่อะไร การยึดอำนาจนั้นเป็นประเพณี ทหารทำโดยอาวุธยังยอมให้ทำได้เลย แต่ว่านี่ทำโดยประชาชน

       รัฐบาลเป็นเพียงรัฐบาลาธิปัตย์ ไม่ใช่รัฏฐาธิปัตย์ เมื่อประชาชนเจ้าของรัฏฐาธิปัตย์มาขออำนาจคืน ยันยันออกมาล้มล้าง และล้มล้างอย่างถูกต้องตามรธน.ด้วย จึงไม่มีอะไรผิด วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ไม่เคยมีมาในโลก แต่ก็ต้องทำให้เป็นประเพณี เป็นขนบที่ดีงามสุดยอด ทำไมประชาชนไม่มาช่วยกันทำ แม้แต่ข้าราชการ ทำไม่ไม่มากันให้มาก

       ตอนนี้นายกฯเป็นเพียงรักษาการ กฎหมายไม่ได้ให้สังการย้ายหรือปลดใครได้ จะไปเห็นแก่ลาภยศสรรเสริญสุขไปมากมายทำไมกัน

 

       อาตมาไปบ้านราชฯมา ที่บ้านราชฯจัดตลาดอาริยะ ตอนแรกจะจัดวันที่ 13 แต่ว่าคนมาขอร้องให้จัดวันที่ 12 เพราะว่าคนจะได้เอาเงินมาซื้อของซื้อปุ๋ย จะได้ไม่เอาเงินไปซื้อเหล้าหรือเที่ยวสงกรานต์ นี่คือเหตุผล...คนกำเงินมามือเปียกๆเหงื่อเลยมาซื้อของ นำเงินมาซื้อส่ิงของจำเป็น เห็นความยากจนของประชาชนน่าสงสารจริงๆ ชาวนาถูกเอาข้าวไปแล้วไม่ได้เงินนี่เรื่องจริงนะ ฆ่าตัวตายไปตั้งเท่าไหร่ เอาข้าวให้รัฐบาล แล้วรัฐให้ใบประทวนมา เสร็จแล้วเขาก็ต้องกินต้องใช้ คนเราถ้าไม่จนทางจริงๆก็ไม่ฆ่าตัวตายหรอก แต่รัฐบาลนี่ไม่รู้สึกเลยว่า คนฆ่าตัวตายเพราะฝีมือการบริหารของตน แล้วดันทุรังว่าตนไม่ผิดๆ แล้วหาว่ากปปส.ทำให้ยืมเงินไม่ได้ แล้วคุณจะยืมทำไม คุณเอาข้าวเขาไปก็ต้องเอาไปขายเอาเงินมาคืนเขาสิทำไมต้องไปกู้ยืม

       แล้วก็ยังมีคนงมงายเชื่อถือรัฐบาลอีก มันหมดทางแล้วเขาก็ต้องใช้ปากทิ่มแทงด้วยปากหอก เขาไม่ไปทำร้ายร่างกายหรอก คนในระดับปุถุชนห้ามปากหอกไม่ได้หรอก แม้พระอาริยะโสดาบันก็มี หอกปาก

       ในญาณ 7 ของพระโสดาบันข้อแรกเลย 1.รู้จักปริยุฏฐานกิเลส (ได้แก่ นิวรณ์5 ,  การวิวาทกันด้วย .หอกคือปาก ฯลฯ) แม้ละปริยุฏฯยังไม่ได้ ก็รู้  ไม่มีที่จะไม่รู้ และมีทิฐิตั้งปณิธานจิตไว้เพื่อไปสู่การตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย

       ถ้าไม่ดื้อด้านอย่างนี้เขาก็ไม่ด่าหรอก เป็นสัจธรรม ของจิตและกิเลส ไม่ได้พูดเพราะอยากให้ด่าหรอกนะ แต่เป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่มีทางเป็นอื่น

       ยังไงก็ต้องเปลี่ยนแปลง ขืนปล่อยไปอย่างนี้คณะนี้ทำต่อไปอีกเชื่อโรคชั่วจะทับทวี หนา ไม่อยากคิดต่อเลย เพราะฉะนั้นหยุดไม่ได้นะ ประชาชน ต้องพยายามอดทน ต้องล้มล้างให้ได้ หากล้มล้างไม่ได้คุณเอ๊ย ไม่อยากคิดต่อ เพราะตั้งแต่เราได้ผิดพลาด ก็ขอปลงอาบัติ ช่วยทักษิณตั้งแต่คดีซุกหุ้นเราก็นึกว่าเขาเป็นคนดี เราก็ไปช่วยเขาจนเขาหลุดพ้นได้ก็ผยองสิ เป็นเสือติดปีก เลวไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมเลย สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น

       [244] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวก เจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมี พระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มใน เวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า ต่อมาเป็น เวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้น เป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแส รับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษ คนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมี พระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเย็นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น ภิกษุ ทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอก ร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวย ความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหาร อยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมา กำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

       เพราะฆ่าไม่ถูกตัว จะฆ่ากิเลสได้ต้องรู้นามรูปในตัวเองได้ เราต้องรู้เหตุปัจจัย รู้ผิดถูก ดีชั่ว เราจะชนะความชั่วด้วยความดี ชนะความผิดด้วยความถูกมายืนยัน ประชาชน องค์กรอิสระ ตุลาการมายืนยันช่วยกัน ออกมากันให้มาก ดูสิว่าจะยอมรับไหม แต่นี่ออกมายังไม่มากพอ ต้องออกมามากมายจริงๆ

       เขาหน้าด้านเราก็ทนทานก็แล้วกัน

       ในการสู้กันด้วยธรรมะนี่ ธรรมมีประสิทธิภาพ มีธรรมฤทธิ์ เป็นความสงบ สยบความรุนแรง มหัศจรรย์ มีเหตุ ทุกอย่างมาแต่เหตุ

       จากพวกเรานี่แหละ ทำให้พวกตำรวจที่มากันในวันที่ 18 แล้วเป็นตำรวจผู้เล็กผู้น้อยเขาก็มีจิตดี จะทำร้ายคนดีเขาก็ทำไม่ได้ ถ้าให้ไปฆ่าคนร้ายเขาก็ทำได้ แต่จิตที่รู้ดีรู้ชั่ว แต่ก่อนได้ยินว่าพวกนี้เขาเป็นคนดีด้วย แล้วมาเห็นกับตาเลยว่า พวกนี้ทำดี เราไปทำร้ายเขาเขาไม่ทำร้ายตอบด้วยเขายังดีกับเราด้วย แล้วความรู้สึกดีช่ัว ปัญญาเหล่านี้ ตำรวจผู้น้อยผู้เล็กเขาก็เห็น พอถึงเวลาจริงๆ มันก็ตัดสินเอง ทำไม่ไหว ทำไม่ลง ไปเถอะเรา นำ้หนักของคนรู้ดีชั่วผิดถูก คนก็สัมผัสได้ ต่างคนต่างตัดสิน ตำรวจก็ว่าไปแล้วโว้ย แพ้ยะย่าย พ่ายจะแจ ไปเลย จนกระทั่งบางคนมีอุปาทาน เห็นแสงจากสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา มันก็เป็นอุปาทานได้

       เราเอาชนะความชั่วด้วยความดี ไม่ต้องไปข่มเหง ทำดีให้มากเข้าไป เราทำดีไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ

       ทำชั่วนี่มันยากจะตาย ทำอยู่ได้ ทำดีมันไม่ได้ยากกว่าทำชั่วเลย ทำชั่วนี่ยากจะตาย คนที่ยังทำดีได้ยากก็มี คนทำชั่วง่ายก็มี ส่วนคนทำดีได้ง่ายก็ทำชั่วได้ยากเป็นอย่างนั้นเอง

       ที่เราทำกันอยู่นี่เกิดจากสัจธรรม พวกเพียรทำจนทำได้ง่าย ทำได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 กิเลสพาเราทำชั่ว แต่เรามีฌานเป็นไฟเผากิเลสให้หมดไปได้ เราก็ชนะได้ เราทำอย่างนี้ได้ก็ง่าย ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในการทำดี เผาผลาญกิเลสไป มันก็ไม่มีพลังมาบังคับเรา เราก็ทำดีได้ง่ายขึ้น กิเลสออกก็ไม่มีฤทธิ์แรงพาเราทำชั่ว ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 เป็นจิตปราศจากนิวรณ์...      


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:49:03 )

570428

รายละเอียด

570428_พ่อครูและอ.กฤษฎาที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง การเมืองต้องถึงปรมัตถ์จึงจะสำเร็จ

       ในมหาปเทส 4 นี้มีหลักการในการใช้ในการตัดสินใจอย่างไร? ซึ่งโดยความเข้าใจของผม มหาปเทส ​คือทางออก เปรียบเหมือนมาตรา 7 ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นมหาปเทส 4 เป็นเครื่องมือในการแก้ไข

       พ่อครูว่า...เป็นภูมิปัญญาของพระพุทธเจ้า ท่านรู้ว่าจะมีปัญหาที่ไม่ได้บัญญัติไว้ ซึ่งก็ตรงกับมาตรา 7 เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรธน.นี้ การกล่าวไว้ก็จะมีสิ่งที่ไม่ได้ห้ามหรืออนุญาต

       คำว่าไม่ห้้ามหรืออนุญาตนั้นทำได้อยู่แล้ว ท่านตรัสไว้ 4 ประเด็น

                        มหาปเทส 4

1.สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร  ขัดกับสิ่งที่ควร 

สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย 

2. สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร 

สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย

3. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร 

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร  ขัดกับสิ่งที่ควร

สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย 

4. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร 

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร 

สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย. (พระไตรฯ ล.5  ข.92) 

 

       ตอนนี้ก็เหลือแต่อำนาจของตุลาการกับประชาชน และมีกัมมาภิวัตน์  ที่จะหมุนเวียนไป ตอนนี้สถาบันบริหารก็ถูกตัดสิน และสภาก็หมดสภาพแล้ว สองสถาบันหลุดไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ตัวยังมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่อีก สส.ก็ไม่ได้เป็น รักษาการณ์ก็มีอำนาจแค่ถือไว้ให้ ใช้ก็ไม่ได้

       เหมือนผู้รักษาธนบัตร แต่คุณไม่มีสิทธิ์ใช้นะ คุณมีหน้าที่แค่นั้น แต่คุณมาทำไม่ได้ให้เขาคืืนและก็ใช้ก็ใช้ไม่ได้ นี่คือประเด็นที่ไปไม่ได้ไม่ออก ปัญหาคือคุณไปดึงธนบัตรไว้ ประชาชนมาเอาคืน เป็นเจ้าของธนบัตร เป็นรัฏฐาธิปัตย์ แต่คุณไม่คืนเขา ทั้งที่เขาจ้างคุณด้วยธนบัตรนี่แหละ

       อ.กฤษฎาว่า...ทำไมกลุ่มประชาคมสาธารณสุขจึงออกมาก่อน

       พ่อครูว่า...เป็นคนมีปัญญาและมีคุณธรรม สรุปคือเป็นคนดีไม่ใช่คนชั่ว มีปัญญารู้อะไรควรและเป็นคนดีจึงกล้าออกมาแสดงตัว ก็ได้มาเพ่ิมเรื่อยๆ อาตมาว่าจำเป็นต้องใช้กัมมาภิวัตน์

       ฝ่ายแดงเขาก็ถือหางอยู่ ก็เลยเหมือนมีมวลอยู่ 2 ฝ่าย นี่เขาก็ไปหาเสียงอยู่ เขายืนยันว่าเขามากกว่า เขาว่าพวกเราโรยรา แห้งเหี่ยวไปทุกวันๆแล้วนี่

       แล้วที่เขาว่าเราโรยรา ก็มีส่วนนะ รู้สึกไม่คึกคักไม่ฮึกเหิมนะ อย่างที่เวที่ คปท.ก็มีรายการของสุริยะใส ส่วนผ่านฟ้านั้นเซียวๆ ซีดๆ คนมากินใช้อยู่นี่ตอนนี้ติดลบไปแล้ว 6 แสน

       อาตมาว่าโค้งสุดท้ายแล้ว กัดฟันสู้เต็มเหนี่ยวนะนี่ “กัดเขี้ยวยุ้มก้น” ตามภาษาอีสาน ของเขาก็โถมเต็มที่ อาตมาก็ต่อให้เผื่อไว้อีกสักเดือน กัดฟันมากินมานอนสมบุกสมบัน รวมตัวกันสัก 30 วันสุดท้ายให้เกิดกัมมาภิวัตน์

       อาตมาว่าฟิตอย่างนี้ตั้งแต่ 1 พ่อครู วันดีเดย์เลย อาตมาก็จะเปิดรายการใหม่ที่นี่ 4 โมงเย็นมาเลย ทุกวันๆไปจนกว่าจะพิชิตชัย เปิดรายการใหม่ 40,60,80 ตั้งแต่ สี่ถึงห้าโมง จากนั้นก็ให้ใครมาต่อรายการ ช่างกล้องช่างเทคนิคอยู่ที่ใด ลูกๆหลานๆ มาช่วยหลวงปู่หน่อย ขอเวลาสักเดือนหนึ่ง ก็คิดว่าคงไม่ถึงเดือนหรอก

       แต่เราอยู่กันนี่ก็เป็นวันที่ 268 ของ กปท.

เป็นวันที่ 265 ของกองทัพธรรม

เป็นวันที่ 200 ของคปท.

และเป็นวันที่ 180 ของ กปปส.

เป็นBest Record แล้วนะนี่

       ก็ขอส่งข่าวอย่าให้เวทีผ่านฟ้าแห้งเหี่ยวนัก แต่ก็ช่วยเรื่องข้าวเรื่องน้ำอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มาช่วยกันรวมพล ช่วยกัน ไปฟังวันที่ 30 เม.ย. นี้กำนันจะแถลง เราก็ฟังกำนัน แต่จะมาก่อนวันที่ 30 ก็ได้นะ หรือจะมาวันที่ 30 ก็มาเลยก็ได้ วันที่ 1 อาตมาจะเร่ิมเปิดรายการใหม่ รับรองว่าไม่ใบ้หวยเหมือนนายกฯนะขอบอกกล่าวทุกๆคน คราวนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว โค้งสุดท้ายที่จะเข้าเส้นชัยแล้ว

       อาตมาไม่ได้ลำเอียงนะ มันต้องอภิวัตนะไป เป็นจักรกลไหลไป มีเหตุปัจจัย รวมกันครบแล้ว เหลือแต่ว่าต้องพิชิตกันสุดท้ายที่อาตมาใช้คำว่ากัมมาภิวัตน์

       คนมีทั้งทำดีและทำชั่ว มีทั้งปริมาณและคุณภาพ

       ในประชาธิปไตย มีเอามวลเป็นเครื่องตัดสิน เยภุยยสิกา ใช้จำนวนมากเป็นเครื่องตัดสิน Majority rule แต่ในนั้นก็มี Right เป็นสิ่งที่กำหนดด้วย คือไม่ผิดศีลผิดธรรม คำว่า Right แปลว่าทั้งถูกต้องและสิทธิมนุษยชนด้วย

       1.เอาปริมาณ 2.คุณภาพ

       คุณภาพต้องเอาดีงามวิเศษ ทั้งถูกรธน. เมตตา สุภาพเรียบร้อย เสียสละอดทน มีคุณธรรม

       

       ขณะนี้มวลชนมีสองฝ่าย ฝ่ายแดงเขาก็ทำ ตอนนี้ประกาศแล้วที่ถ.อักษะ วันที่ 6 พ.ค.

       ถ้าทั้งปริมาณเขามากกว่า เราก็ยังมีทางชนะได้ คือทาง Quality ทาง Minority right อีกอย่างคือมวลของเราอดทนและเหนี่ยวแน่นกว่า อึดกว่านายกฯที่ว่าเหนียว เราต้องเหนียวให้ได้

       ฝ่ายแดงเขาจะเลี้ยงหมู่ของเขาได้ 5วันไหม ลองดู ของเราทำมาตั้ง 265 วันแล้ว เอาให้พรึ่บๆๆ ให้ชัดเจนไปเลย ชนะด้วยความน้อยก็ไม่ว่า แต่ถ้าเหนี่ยวด้วยสิ ถ้าคุณไม่เหนี่ยวก็สู้เราไม่ได้เรานานกว่าเสถียรกว่า  ของคุณรวมแล้ว ไม่กี่วันก็แพ้ลงๆ

       ถ้าไม่ยอมรับด้วยคุณภาพคุณธรรมก็ว่ากันไป นี่พูดละเอียดแล้วนะ  นึกขึ้นมาก็ขำๆนะ เขาบอกว่านายกฯรักษาการ เขาขอให้อยู่ในกฎระเบียบ ตอนนี้เราก็รอเติมเหตุปัจจัยให้มากพอ กำนันก็รออันนี้ ถึงเวลาก็ต้องประกาศยึดอำนาจเหมือนที่ทหารไปทำอย่างใช้อาวุธ ไปทำเขาก็กลัวก็ให้ทำได้ โดยเฉพาะหัวหน้าหน่วยปลัดกระทรวง อธิบดี ก็ยอมรับอำนาจใหม่

       ตอนนี้กรมกองต่างๆก็ออกมาแสดงมากแล้ว ครั้งนี้เราต้องทำให้ได้ เป็นBest record ดีเยี่ยมให้ได้ที่สุดเลย เป็นยอดสถิติเลย มาช่วยกันทำลายสถิติโลกกันเถอะ ข้าราชการก็แต่งตัวเต็มยศมาเลย นอกเวลาราชการก็มาเลย

       อาตมาว่าคงไม่น่าจะเกิน 30 วัน น่าจะภายใน 10 หรือ 20 วันนี่นะ สมเด็จปู่นี่ชื่อว่า วิชิตอวิชชา จีวรลุ่ยเลย ถูกลมสลาตันพัด นี่คือภาพศิลปะอันหนึ่ง คือสิ่งที่เป็นวิกฤติมาปะทะอย่างแรงเลยท่านก็สู้ด้วยธรรมะ จนตำรวจเขาว่าเขาเห็นแสงออกมาเลย

       เป็นสัจธรรมไม่ได้เดา มีหลักฐานว่าเขาเห็นจริง ด้วยอุปาทาน จิตเขาเชื่อเช่นนั้น ศาสนาเทวนิยมจะเชื่อพระเจ้าว่ามีฤทธิ์จริง ฉันเดียวกันกับสมเด็จปู่ก็มีแสงจริง ฤทธิ์จริง แต่เขาเห็นด้วยอุปาทาน

       ยกตัวอย่างความสุขนี่เป็นอัลลิกะ เคยสุขไหม ถ้าเขาบอกว่าไม่เคยสุขนี่ก็โกหกแล้ว

       สุขเพราะกามรส นี่สมอยากสมใคร่กิเลส ทุกคนก็เคยได้รับมาทั้งนั้น เช่นมะม่วงนี่ คุณเห็นก็นึกชอบ แล้วเมื่อได้เสพได้กินก็รู้สึกสุข ตามอุปาทาน แต่จริงๆรสสุขมันไม่มีหรอก เหมือนกับแสงที่เขาเห็น ที่จริงแสงนั้นไม่มีหรอกแต่เขามีอุปาทานเลยเห็น

       ยกตัวอย่างพวกเราแต่ก่อนกินเหล้า  ดูดยา ได้แต่งตัว แต่งหน้า ได้กินได้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มันสุข แต่ตอนนี้เรามาล้างแล้ว พอสัมผัสก็เฉยๆ เขายั่วยวนมาก็เฉย มีบ้างไหม นั่นแหละ มันหยุดได้ 2 นัย

       1.กดข่ม หรือวิขัมภนปหาน 2.แบบวิปัสสนาวิธี ซึ่งเป็นวิธีที่ได้อย่างถาวรกว่า

 

       ต้องอ่านรู้มโนปวิจาร 18 ที่รู้เนกขัมมสิตและเคหสิตะ แล้วเผามันด้วยพลังปัญญา

       อ.กฤษฎาว่า...ขณะจิตนั้น เป็นปัจจุบันขณะแวบเดียว เราต้องปฏิบัติตรงนั้นใช่ไหม เช่นการเห็นจอกน้ำ นั้นหมายความว่า อายตนะส่วนการเห็นทำงาน แล้วพอเห็นน้ำด้วย แต่ความรู้สึกกระหายน้ำมันเกิดตามมา มันอยากด้วย

       พ่อครูว่า...ความต้องการของร่างกายมันเกิดได้ตามควร แต่ว่าถ้าเห็นน้ำนี่ใส สีฟ้า น่าดูนะ น่าดื่มนะ คุณปรุงแต่งยิ่งตรงอุปาทานยิ่งตรงได้อิฏฐารมย์ แต่ว่าถ้าได้รับรสแต่ก็ไม่ได้มีอารมณ์ชอบชังนี่สิ ก็รับรู้ความจริงตามความเป็นจริง แต่ความปรุงแต่งสิต้องล้างออก

       อ.กฤษฎาว่า..ถ้าเห็นแล้วเราก็ว่าน่ากินนี่คืออุปาทานทำงานเลย

       พ่อครูว่า...เราได้สัมผัส ได้ดื่มก็เอามาเป็นประโยชน์ไม่ได้ปรุงแต่งไปตามสเปคต่างๆ ก็แค่รับรู้ว่า น้ำนี่ก็มีรสอย่างนี้กลิ่นอย่างนี้ไม่ได้มีรสโลกีย์

       อ.กฤษฎาว่า...ถ้าฟังอย่างนี้เหมือนง่ายๆนะ เราก็ต้องกินอาหาร ดื่มน้ำ ตามปกติ แต่เรามักปรุงแต่ง เป็นตัวที่ยากมาก เช่นเริ่มจากการมองเห็น มองเห็นแล้วเกิดปรุงแต่งชอบ ก็หยิบมาดื่ม แล้วได้รสตามนั้น

       พ่อครูว่า...ถ้าได้ตามสเปค ตามที่ยึดฉวยอุปาทานไว้ ว่ารูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอย่างนี้ ตรงตามสเปค หรืออุปาทานนี่แหละ แต่ถ้าหมดอุปาทานแล้วก็จะรู้ว่าสุขทุกข์มันไม่มีจริง

       อ.กฤษฎาว่า..ได้ความใช่นี่ก็อยู่แล้วแต่อุปาทานของใคร

       พ่อครูว่า..เมื่อไม่มีรสอร่อยอย่างโลกีย์แล้วก็ไม่ทุกข์ไม่สุข นี่คือรสนิพพาน ไม่มีอารมณ์ของเคหสิตเวทนา

       อ.กฤษฎาว่า..ปัญญามันเห็นเลย

       พ่อครูว่า..ญาณทัสสนะวิเศษมันเกิดเลย เป็นมุทุภูตธาตุ กัมนิเย ฐีเต อเนญชัปปัตเต เราต้องฝึกให้จิตเกิดจริงเป็นจริงเลย ถ้าได้แต่บังคับก็ได้แต่วิกขัมภนะ  แต่ถ้าได้ใช้วิปัสสนาญาณ​ 16 เห็นโทษภัย เสียหาย มันไม่เป็นคุณเลย เป็นโทษ ปัญญาคุณจะฉลาดขึ้น แต่ก่อนว่าได้สัมผัสอย่างนี้เป็นสุข เราก็เลิก มันเป็นวิบาก เป็นนิพพิทาญาณ ทำตามปหาน 5 คือ ทำจนเป็น นิสสรณปหาน และมีญาณที่จะอนุโลมได้ เพราะมีความมั่นคงแข็งแรงของจิตใจพอ

       พ่อครูว่า..แต่ก่อนนี้อาตมาตอนเป็นฆราวาสเหมือนลิงลมอมข้าวพอง หลงทำไปตามโลกเขา อย่างที่พระพุทธเจ้าตอนเป็นเด็กเป็นหนุ่มก็ถูกพระราชบิดามอมเมาไม่ให้เห็นคนเจ็บคนแก่คนตายเลย ...จนกระทั่งไปกับนายฉันนะ ได้เห็นเทวฑูตทั้ง 4        


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:50:31 )

570501

รายละเอียด

570501_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง ประชาชนมีอำนาจอยู่จริงหรือ 

       รัฐบาลเหมือนผู้ใช้ธนบัตร แต่ประชาชนคือเจ้าของธนบัตร ตอนนี้ รัฐบาลใช้ธนบัตรแบบผิดๆ เสียหาย โกงกิน ประชาชนก็มายืนยันหลักฐาน ว่ารัฐบาลแพ้นะ จนรัฐบาลถอย ตอนนี้ก็ยุบสภาฯ ก็เหมือนให้ถือธนบัตรไว้ก่อน ประชาชนก็ออกมาบอกว่าเขาจะจัดให้มีผู้รับช่วงเอง แต่รัฐบาลก็บอกว่าจะให้เลือกตั้ง ประชาชนก็ว่าจะปฏิรูปก่อน เพราะโครงสร้างเก่าใช้ไม่ได้ มันเป็นค่ายกลที่พิกลพิการแล้ว เป็นค่ายกลที่มีพิษ

       อำนาจอธิปไตยเป็นเช่นไร...มีคนบอกว่าการเมืองคือการแย่งชิงอำนาจ คือการแย่งอำนาจบาตรใหญ่ ใครได้อำนาจก็คือมีบทบาทใหญ่ในประเทศ ...มันก็มีส่วนเป็นเช่นนั้น ซึ่งอำนาจแบบนี้ก็มีอยู่ในอดีตจนปัจจุบัน แต่อาตมาว่าอำนาจบาทใหญ่แบบนี้มันตกรุ่นไปแล้ว มันสู้อำนาจแห่งคุณงามความดีไม่ได้ เป็นอำนาจที่เป็นโลกุตระ ทวนกระแส ซึ่งอำนาจแบบกดข่มบังคับนั้นใช้กันมาแต่โบราณมา

       คนสุภาพไม่รุนแรงนี่ต้องชนะ คนรุนแรงต้องแพ้ นี่คือกติกาของอาริยชน คนเจริญเห็น รู้ ทำเช่นนี้ เรารวมความรู้ร่วมแรงร่วมใจ รวมคุณธรรม เอามาทำให้จริงใจ ทำได้เท่าไหร่ก็ออกมา ทำออกมาก็เป็นพลังร่วมรวมกัน พลังโดยชอบธรรม ทำจนเกิดพลังอำนาจนี้

       คนไทยก็ยังดี โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลนี่ ก็ยังดี เขาเข้าใจขึ้นว่าอำนาจสุภาพไม่รุนแรงปราศจากอาวุธนั้นดี เขาก็พยายามทำไม่รุนแรง แต่ก็เผลอออกมาบ้างตามประสาคนไม่หมด ต่างคนต่างรวมหมู่กลุ่มกันทำ

       1.รวมกันแล้วใครได้มากกว่า

       2.ใครทำแล้วสงบ ดีงามกว่า เรียบร้อยกว่า

       ตอนนี้มีสองหมู่ มีนปช. กับ กปปส.​ใครจะทำได้ดีกว่า ลักษณะเรียบร้อยไม่รุนแรง ไม่ทำให้ใครบาดเจ็บ จะมีบ้างก็คือใช้ปากหอก หยาบแค่ปาก ส่วนกระทำทางกายกรรม ทำให้บาดเจ็บร่างกายถึงตาย ใครทำน้อยกว่ากันหรือไม่ทำเลย ใครไม่ทำได้ หรือแม้แต่วาจาหรือมุขสตีให้น้อยกว่ากัน ก็นับเป็นคะแนน

       อาตมาว่ายืนยันได้แล้วนะทำมาเป็นเกือบปีแล้ว

       อำนาจอธิปไตยหากเป็นอำนาจแห่งคุณธรรมจะดีกว่าอำนาจที่ตกอยู่ภายใต้ความกลัวไหม?

 

  ประเด็นสำคัญ

 

ประเทศไทยในคราครั้งนี้ ถ้าแม้นว่าไม่หยั่งรู้ความเป็นจริงอัน เป็นปรากฏการณ์แสนวิเศษวิสุทธิ์วิสิฏฐ์แล้วที่ได้เกิดขึ้นในชาติไทย

ถ้าหากทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ทุกกรมกอง ทุกผู้คนโดยเฉพาะคนผู้มีทุนทางสังคม ที่มีหน้าที่อันมีผลต่อสังคมประเทศ

ไม่ได้ร่วมมือช่วยกันกระทำให้เกิดความเป็นจริงนี้ ให้บรรลุผลเกิดวัฒนธรรมของสังคมชาติประเทศ เกิดขนบประเพณีแก่ประเทศ

ชาติ จนกระทั่งเป็นผลสำเร็จแล้วไซร้ ประเทศไทยก็คงจะจมอยู่เป็นอนาริยชาติ เป็นอนาริยชนไปอีกนานเท่านาน ในความเป็นประชาธิปไตย

นั่นคือ มวลมหาประชาชนได้อุตสาหะร่วมกันออกมาทำหน้าที่ตามสิทธิที่มีของความเป็นมนุษยชาติ ในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งประชาชนคนไทยได้ใช้สิทธิชอบธรรม ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นไปตาม

วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญนี้แล้ว เช่น มาตรา 63-69-70 เป็นต้น ได้อย่างวิเศษวิสุทธิ์วิสิฏฐ์ออกปานนี้ ขนาดนี้

มวลมหาประชาชนได้ใช้ทั้งความลำบาก ยากเย็น แสนเข็ญ ทั้งสูญเสียชีวิตไปไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งบาดเจ็บพิการกันเท่าไหร่ ทั้งลงทุนลงแรง ใช้เวลา หมดทุนรอน จ่ายแรงงานกัน ร่วมมือร่วมใจกันอย่างเป็นเอกภาพแห่งมวลมหาชนเสียสละ ต้องทุกข์ทนอุตสาหะมานานมาก ถือได้ว่ามากจนทำลายสถิติโลกแล้วที่ทำได้วิเศษวิสุทธิ์วิสิฏฐ์กันอย่างนี้ ยืนหยัดยืนยัน ประท้วง ต่อต้านเพื่อทวงอำนาจของประชาชนคืนมาจากรัฐบาลที่ได้ผิดพลาดอย่างชัดแจ้ง รัฐบาลหมดความชอบธรรมที่จะอยู่บริหารต่อไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

มวลมหาประชาชนได้เสียสละทั้งทุนรอน เสียสละทั้งเวลาและเสียสละทั้งแรงงาน ได้ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างพากเพียรวิริยะอุตสาหะจนถึงขนาดนี้ ซึ่งปฏิบัติกันชนิดที่ทำลายสถิติโลกแล้ว ซึ่งสุดยอดไปด้วย

ความอดทนสู้ลำบากยากเข็ญ ทั้งมากมีไปด้วยปริมาณมวลมหาศาล ทั้งอยู่ได้อย่างยืนหยัดยืนยันกันต่อเนื่องยาวนานใกล้จะเป็นปีแล้วต้องนับว่าทำได้ดีขั้นวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ จริงๆ

ถ้าผู้คนที่มีฤทธิ์ มีแรง มีอิทธิพล หรือที่ถูกต้อง คือ มีอำนาจอันชอบธรรมตามหน้าที่ ในประเทศไทย ไม่ช่วยกัน ไม่ตัดสิน ไม่พิจารณาให้เห็นแจ้ง ไม่ร่วมมือ ไม่ระดมแรงช่วยให้มวลมหา

ประชาชน ได้ชื่อว่า เป็นผู้"มีอำนาจ"จริง ตามระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจแท้ๆ

ที่สำคัญมากยิ่งก็คือ อำนาจอันชอบธรรมของประชาชน คืออะไร? อย่างไร? ใช้ได้เมื่อไหร่?

ความเป็นประชาธิปไตยนั้น อำนาจที่ว่าเป็นของประชาชนนั้น มันมีแค่ใช้ในการเลือกตั้งผู้แทน เท่านั้นหรือ คืออำนาจอธิปไตยของปวงประชาชน ในความเป็นประชาธิปไตย...?

ในเมื่อมวลมหาประชาชนได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าของอำนาจ และออกมาแสดงอำนาจที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญนี้แท้ๆ และปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมได้วิเศษอย่างไม่น่าเชื่อ สงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง เป็นนิติธรรมที่มีครรลองครองธรรมสุดวิเศษอีกด้วยปานฉะนี้

อำนาจเช่นนี้ มวลมหาประชาชนได้แสดงออกทั้งตัวตนเป็นๆ สดๆ ทั้งเจตนารมณ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันปานฉะนี้ ไม่สามารถปฏิวัติเหตุการณ์ของประเทศ ปฏิวัติรัฐบาล เปลี่ยนแปลงจากความวิปริต หรือความเสื่อมต่ำ ให้ประชาชนได้จัดการบูรณะ ได้จัดการปฏิสังขรณ์ หรือได้จัดการปฏิรูป พัฒนาประเทศเอง...บ้างกระนั้นหรือ?

ถ้าปานฉะนี้แล้ว ก็ยังเห็นไม่ได้กันว่า อำนาจอันเป็นของประชาชนคืออะไร? อยู่ที่ไหน? แล้วในอนาคตประชาชนยังจะเป็นผู้มีอำนาจได้อย่างไร? ประชาชนมีอำนาจอยู่จริงหรือ? อยู่ที่ไหน?

เขาได้รวมกันออกมาขนาดนี้ ทำกันด้วยความเสียสละปานฉะนี้ก็ยังไม่เห็นว่า ประชาชน"มีอำนาจ"อยู่ตรงไหน? เป็นอย่างไร?

ประชาชนจะไม่เข็ดหลาบหรือ? เขาจะออกมาทำหน้าที่พิทักษ์ รักษาประเทศกันอีกหรือ?

       ลงทุนลงแรงใช้เวลาหนักหนาสาหัสสากรรจ์ขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจ

       แล้วเมื่อไหร่ ประชาชนจะได้อำนาจอธิปไตยจริง

สิทธิอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร?

อำนาจของประชาชน อยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร?

ระบอบประชาธิปไตยนั้น สิทธิและหน้าที่ของประชาชน อำนาจของประชาชนมีแค่ใช้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนเท่านั้น

เท่านี้จริงๆหรือ? อำนาจประชาชนในระบอบประชาธิปไตย?

อำนาจอธิปไตยที่ว่าเป็นของประชาชนนี้ ที่มันไปตกเป็นของรัฐธรรมนูญบ้าง

       ไปตกเป็นของรัฐบาลบ้าง

ยิ่งในกรณีขณะนี้ ก็ตกเป็นของรัฐบาลที่เหลวเละและหมดสิ้นลงไปแล้ว เหลือแต่ซากกาก คือรักษาการอยู่นี้กระนั้นหรือ?

       หรือไปตกอยู่กับนักวิชาการผู้รู้ที่ยังรู้ไม่ชัดเจนไม่จริงบ้าง?

และหรือไปตกอยู่ที่คนไทยคนใดคนหนึ่งบางคนผู้มีอภิสิทธิ์

พิเศษอย่างนั้นหรือ?

คือ อะไร? อำนาจอันเป็นของประชาชน คืออย่างไรกันแน่?

       อยู่ที่ไหน?

       แล้วเมื่อไหร่จะได้?

       อย่างไร? เมื่อไหร่? จะแสดงว่า ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจจริง เป็นเจ้าของอธิปัตย์จริง

       ประชาชนออกมาแสดงตน กันอย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ ปานฉะนี้แล้ว

       ยังไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของอำนาจ

       แล้วเมื่อไหร่? อำนาจจะเป็นของประชาชนจริงกันสักที?

 

เมื่อวานกำนันสุเทพประกาศ 3 ขั้นตอนเผด็จศึก

ประกาศ 3 ขั้นตอนวันเผด็จศึก

1.เกี่ยวกับกษัตริย์ โดยทำในวันที่ 5 พ.ค.ใส่เสื้อเหลือง ห้อยนกหวีดทำพิธีตั้งสัตยาธิษฐานหน้าวัดพระแก้ว

2.เกี่ยวกับศาสนา ทำในวันวิสาขบูชา วันที่13 พ.ค.ทำบุญประเทศครั้งใหญ่ ขับไล่เสนียดจัญไร ถัดไป 3.เกี่ยวกับชาติ ทำในวันที่14 พ.ค.เดินหน้าเต็มสูบเรียกคืนอำนาจอธิปไตยตาม รธน.มาตรา 3 ตั้งรัฐบาลประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติแก้กฎหมายปฏิรูปประเทศ

 

       ซึ่ง นปช.ก็ปรับทัพลุย 5 พ.ค. นี้ ยึดถ.อักษะ พุทธมณฑล ต่อต้านนายกฯม.7 ยืดเยื้อไม่เคลื่อนมวลชนเผชิญหน้า มีตำรวจทหารออกมา....

 

       อาตมาว่าดีใครคุณงามความดีมากกว่าอันนั้นก็ควรชนะ ทางตุลาการท่านก็สามารถตัดสิน ประชาชนก็ทำหน้าที่ประชาชนเลย ทำตามสิทธิ์ ในรธน.

มาตรา 70  บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

มาตรา 71 บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย

 

       ประชาชนที่ดูดาย หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น หรือสนุกรื่นเริงไป ไม่สนว่า จะมีประชาชนกลุ่มหนึ่งออกมาทำหน้าที่ที่ควรทำตามรธน. ซึ่งประชาชนก็ควรกตัญญูอย่าปล่อยปละละเลยกันนัก ปล่อยไป ดีไม่ดีใครทำดีก็ว่าเขายุ่งอีก

       สมมุติว่าประเทศไทยนี้มีคุณคนเดียว ในประเทศนี้ คุณจะไม่เอาตาดูหูแลใครก็ตามทีเพราะมีคนเดียว แต่หากมีสองคน อีกคนหนึ่งจับจองแผ่นดิน เอาทรัพยากรอะไรไปก็ช่างเขาเถอะ ของเรามีเยอะแยะ สองคนก็ไม่หมด ของเหลือเฟือ จะจับจองก็ทำไปสิ

      แต่ทีนี้ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะประชากรไทยมีตั้ง 60 กว่าล้าน ก็จับจองอาศัยที่ดิน ทรัพยากรแล้ว จนกระทั่งแย่งชิงกันแล้ว มันไม่พอ ไม่เหมือนมีสองคนที่มีเหลือเฟือ และหลายคนแย่งไปได้มากเหลือเฟือ ใช้ไม่หมด  แต่ดีไม่ดีเอาที่มีมาก ไปออกฤทธิ์จ้างคน ใช้คนให้แย่งชิงเอามาอีกๆ ทำไมทำได้อย่างนั้น ที่มีอยู่กินใช้หลายชาติไม่หมด ก็ยังตะกละมาเอาอีกๆ

      แม้ถูกตัดสินว่าแพ้ โดยตุลาการ ว่าที่เอาไปนั้นโกงรัฐไปตั้งสี่หมื่นกว่าล้าน ศาลตัดสินแล้วก็ยังจะมาเอาคืน ใช้เงินทองมาจ้าง บังคับคน จนคนก็ยอมรับจ้างมาช่วย เพื่อให้เขาได้เข้าไปอีก มันอะไรกันนักกันหนา....โว้ย

 

      นี่คือเหตุการณ์ประเทศไทยที่เกิดในขณะนี้

 

       อาตมาก็เห็นแล้วก็ว่าทำไมคนเราตะกละตะกลามเห็นแก่รวยแก่ได้ หลงลาภยศ สรรเสริญ โลกธรรม ทำคนให้เดือดร้อน แล้วก็มาเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ คนที่ทำได้เยอะก็แบ่งแจกให้คนทำได้น้อย

       อย่างเด็กนี่สร้างอะไรไม่พอไม่เป็น สองคนแก่ที่หมดเรี่ยวแรงกำลังทำไม่คุ้มกินคุ้มใช้ สามคนพิการ สี่คนป่วย ห้าคนไร้สมรรถนะ ห้าสภาพนี้เราก็จำนน ต้องทำเผื่อเขา

       คนทำได้มากเกินตนกินตนใช้ก็นำส่วนเหลือไปช่วยแบ่งแจก เด็ก คนแก่ คนป่วย คนพิการ คนไร้สมรรถนะ บ้านเมืองก็อยู่เป็นสุขไปได้ดี หรือมันจะแบ่งแจกกัน คนที่ทำได้มาก มีความรู้ความสามารถมากก็แบ่งแจกคนสามารถน้อยกว่า ความรู้ด้อยกว่า ก็เกื้อกูลแบ่งแจก นี่คือความรู้เศรษฐศาสตร์แท้จริง

       แต่นี่ทำทวนพระพุทธเจ้าเลย ทำมากก็ว่าต้องเอามาเพ่ิมอีก ให้คนมาซื้อแล้วก็เอากำไรมากๆ ตีราคามาก คนทำไม่ได้ก็จำนน ต้องนำสิ่งของมาแลกหรือมาซื้อ นี่คือความเอาเปรียบกันในสังคม สังคมก็ไปไม่ออก

       นี่คือสัจจะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ศาสดาต่างๆก็ค้นพบ ให้ทำให้มากแล้วแบ่งแจก พระพุทธเจ้าก็สอนเช่นนี้

       ผู้บรรลุธรรมของศาสนาพุทธจะเป็นคนที่

 พหุชนหิตายะ  เป็นประโยชน์แก่หมู่ชนทั้งหลาย

 พหุชนสุขายะ  เกิดเป็นสุขแท้แก่หมู่ชนทั้งหลาย

 โลกานุกัมปายะ เป็นไปเพื่อรับใช้อนุเคราะห์โลก

พตฎ. เล่มที่ 4   ข้อที่ 32

       

       ลัทธิอื่นก็มีในโลกหลากหลาย เราก็รู้เท่าทันและอยู่่ร่วมกันอย่างมีปัญญาอยู่กันด้วยดี รู้โลกวิทู

       อาตมาไม่พยายามหลอกล่อ อย่างการมีFMTV เราเอาพฤติกรรมของเราออกไปแสดง เขาก็หาว่าเราโฆษณาตัวเอง เขาหาว่านะ เพราะเราไม่ได้เจตนาอวด (อวดคือแสดงออกเพื่อต้องการให้เขาเอาอย่างเราไป แล้วเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนให้เรา โดยเราได้เปรียบ) นั่นคือการโฆษณาสินค้าในโลกนี้ เขาโฆษณาให้คนรู้สึกน่ามีน่าได้น่าเป็น เมื่อคนมาเอาเขาก็แสวงประโยชน์จากคนที่มา แต่เรานี่ เขามาแล้วเราไม่ได้เอาอะไรจากเขา เราไม่เอาเปรียบเอารัด ตรงกันข้ามเลย ใครจะมาเอาก็มาเลย

       สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เราไม่เสียแรงสร้าง เราจะสร้างแต่ส่ิงมีประโยชน์คุณค่า เราสร้างแล้วก็ได้อาศัยกินใช้ ที่เราสร้าง แม้แต่งานสื่อสาร เราพูดไปแล้วที่ฉายภาพเราออกไป เราไม่ได้ทำเพื่อได้มา แม้แต่สินค้าที่เราผลิตก็ทำเพื่อให้ประโยชน์สังคม เราไม่ได้ทำสะสม ไม่เอาเปรียบ สร้างแล้วก็สะพัดอีกด้วย

       พระป่าจะถูกธรรมวินัยตื้นๆ แต่ผิดธรรมวินัยลึกๆ

       พระบ้านจะผิดธรรมวินัยตื้นๆชัดๆ ผิดข้อที่ว่า มาลาคันธวิเลปน วิภูสนฐานา คือผิดข้อที่เอาดอกไม้มาโรยให้เหยียบ เสริมความใหญ่ คนหลงหรูหราฟู่ฟ่า ใหญ่โต หลง คนก็ชอบใหญ่โตหลง ก็เลยได้พวกนี้มาก รวยใหญ่เละเทะเลย เขาเอาส่ิงที่คนมีกิเลสยึดมั่นถือมั่นมาปรุงแต่ง เรียกว่ามัณฑนะ ออกนอกทางพุทธ

       หลงหรูหร่าฟู่ฟ่าผิดธรรมวินัยเยอะ

       แต่พระป่านี่หลงป่า....เป็นความเสื่อม ใน ศาสนาพุทธ มี 4 ข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

        ผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร 5 จำพวก

1โง่ เขลา 2.ปรารถนาลามกเพราะถูกความอยากครอบงำ  3.​เพราะเป็นบ้า 4.เพราะจิตฟุ้งซ่าน 5.เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้า และสาวก สรรเสริญ

       ยังมีในอุบาลิสูตรอีก ที่ว่าด้วยคุณธรรมของผู้ควรอยู่ป่า

       พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด

พระพุทธองค์ตรัสว่า...  ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก 

ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว.      ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

       ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่   หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้   คือ  จักจมลง   หรือจักลอยขึ้น !!       (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 99)

 

       ถ้าคุณเป็นอนาคามี หรืออรหัตตมรรค จะไปเช็ค อรหัตตผล ก็ต้องมีจิตเป็นสมาธิก่อน จึงควรไป ถ้าไม่อย่างนั้นคุณจะจม คือติดการอยู่ป่า แล้วจักลอย ก็คือคุณจะฟุ้งหาโลก เพราะว่าอยู่ในนั้นไม่มีกามคุณ ไม่มีรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส ไม่มีโลกธรรม คุณยังไม่ได้ล้างกิเลส ก็ฟุ้งออกมา คุณก็กดข่มได้แค่นั้น ทำสมาธินั่งหลับตาได้แค่นั้น

       การปฏิบัติธรรมต้องอยู่ในบ้านในเมือง ได้สมาธิ อย่างนั้นอรหัตตมรรคหรือว่าอนาคามี ก็ค่อยไปอยู่ป่า

       แต่ถ้าไม่ได้สมาธิ ไปออกป่าก็ติดป่า อย่างอินเดียมีมากเลย  แม้มีกายสักขีก็ไม่ได้เป็นอรหันต์ จะต้องมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

       ความหลงผิดที่เป็นของชาวกรุง...

       ซึ่งเข้าใจกันไม่ง่าย ขณะที่อาตมาพาทำนี่ทำลักษณะเมือง ...เพื่อประโยชน์ของสังคม ช่วยกันทำงาน ที่อาตมาเปิดเผย อาตมามาทำงานไม่ได้ต้องการอามิสแลกเปลี่ยน ฝ่ายที่เขาไม่เชื่อก็มีด่าอาตมาก็มาก โดยเฉพาะช่องแดง เช่น คุณสะอาด จันทร์ดี เขาด่าอาตมาว่า มีหมอที่รู้จักกันนี่ เขาตรวจเลือดโพธิรักษ์แล้ว พบว่ามีหมู เป็ด ไก่ อยู่ในนั้นเลย ...อาตมาก็ว่า ถามหมอพยาบาล ว่าสามารถตรวจได้ว่า เป็ดไก่ อยู่ในเลือด ตรวจเลือดแล้วรู้เลยว่ากินไก่ กินเป็ด อาตมาก็ว่าไม่มีหมอคนไหนบอกอย่างนี้หรอก …

       อันนี้ชัดเจนเลยว่าโกหก จะไปตรวจสอบได้อย่างไร เขาก็โกหกไม่รู้กี่ที แต่ว่า อันนี้ชัด

 

       ถ้าคนเราไม่มีธรรมะจริง (คือธรรมะของพระพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิแท้) แล้วปฏิบัติจนบรรลุอย่างแท้ ถ้าปฏิบัติไม่ได้จริง โลกุตรธรรมไม่มีจริง แต่ในพุทธศาสนิกไทย ยังมีเนื้อแท้โลกุตรในใจ จึงสามารถปฏิบัติโลกุตรธรรมได้ ฉะนั้นผู้ที่มาช่วยกันทำงานอย่างบริสุทธิ์ใจ อย่างทวนกระแส ไม่ได้ทำอย่างForce กดขี่เขา แต่เอาแบบสงบสยบเคลื่อนไหว เอาคุณงามความดี ความผิดถูกตัดสินให้คนถูกชนะ

       ผู้เป็นคนไทยน่าจะยอมรับความผิดว่าแพ้ อย่าตะแบงไปมากนักเลย มันบาปนะ ถ้าคุณดันทุรังไปผิด มันก็ดันทุรังไป เป็นวิบากติดในจิตไป เป็นอกุศลวิบากอย่างแท้จริงเลย

       แม้คุณไม่มีปัญญารู้ก็ขอเตือนเลยว่าอย่าทำดีกว่าน่า แต่คุณจะทำก็บังคับไม่ได้ แต่กรรมเป็นอันทำ ทำบาปก็ได้บาป ทำบุญก็ได้บุญ คุณโกหกทั้งๆที่รู้ อย่างคุณสะอาด อาตมาว่า แกเจตนาโกหก อาตมาไม่เชื่อว่าหมอคนไหนมาบอกแก ว่าตรวจเลือดได้ว่าเลือดนี้มีเนื้อสัตว์


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:51:52 )

570501

รายละเอียด

570501_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง ประชาชนมีอำนาจอยู่จริงหรือ 

       รัฐบาลเหมือนผู้ใช้ธนบัตร แต่ประชาชนคือเจ้าของธนบัตร ตอนนี้ รัฐบาลใช้ธนบัตรแบบผิดๆ เสียหาย โกงกิน ประชาชนก็มายืนยันหลักฐาน ว่ารัฐบาลแพ้นะ จนรัฐบาลถอย ตอนนี้ก็ยุบสภาฯ ก็เหมือนให้ถือธนบัตรไว้ก่อน ประชาชนก็ออกมาบอกว่าเขาจะจัดให้มีผู้รับช่วงเอง แต่รัฐบาลก็บอกว่าจะให้เลือกตั้ง ประชาชนก็ว่าจะปฏิรูปก่อน เพราะโครงสร้างเก่าใช้ไม่ได้ มันเป็นค่ายกลที่พิกลพิการแล้ว เป็นค่ายกลที่มีพิษ

       อำนาจอธิปไตยเป็นเช่นไร...มีคนบอกว่าการเมืองคือการแย่งชิงอำนาจ คือการแย่งอำนาจบาตรใหญ่ ใครได้อำนาจก็คือมีบทบาทใหญ่ในประเทศ ...มันก็มีส่วนเป็นเช่นนั้น ซึ่งอำนาจแบบนี้ก็มีอยู่ในอดีตจนปัจจุบัน แต่อาตมาว่าอำนาจบาทใหญ่แบบนี้มันตกรุ่นไปแล้ว มันสู้อำนาจแห่งคุณงามความดีไม่ได้ เป็นอำนาจที่เป็นโลกุตระ ทวนกระแส ซึ่งอำนาจแบบกดข่มบังคับนั้นใช้กันมาแต่โบราณมา

       คนสุภาพไม่รุนแรงนี่ต้องชนะ คนรุนแรงต้องแพ้ นี่คือกติกาของอาริยชน คนเจริญเห็น รู้ ทำเช่นนี้ เรารวมความรู้ร่วมแรงร่วมใจ รวมคุณธรรม เอามาทำให้จริงใจ ทำได้เท่าไหร่ก็ออกมา ทำออกมาก็เป็นพลังร่วมรวมกัน พลังโดยชอบธรรม ทำจนเกิดพลังอำนาจนี้

       คนไทยก็ยังดี โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลนี่ ก็ยังดี เขาเข้าใจขึ้นว่าอำนาจสุภาพไม่รุนแรงปราศจากอาวุธนั้นดี เขาก็พยายามทำไม่รุนแรง แต่ก็เผลอออกมาบ้างตามประสาคนไม่หมด ต่างคนต่างรวมหมู่กลุ่มกันทำ

       1.รวมกันแล้วใครได้มากกว่า

       2.ใครทำแล้วสงบ ดีงามกว่า เรียบร้อยกว่า

       ตอนนี้มีสองหมู่ มีนปช. กับ กปปส.​ใครจะทำได้ดีกว่า ลักษณะเรียบร้อยไม่รุนแรง ไม่ทำให้ใครบาดเจ็บ จะมีบ้างก็คือใช้ปากหอก หยาบแค่ปาก ส่วนกระทำทางกายกรรม ทำให้บาดเจ็บร่างกายถึงตาย ใครทำน้อยกว่ากันหรือไม่ทำเลย ใครไม่ทำได้ หรือแม้แต่วาจาหรือมุขสตีให้น้อยกว่ากัน ก็นับเป็นคะแนน

       อาตมาว่ายืนยันได้แล้วนะทำมาเป็นเกือบปีแล้ว

       อำนาจอธิปไตยหากเป็นอำนาจแห่งคุณธรรมจะดีกว่าอำนาจที่ตกอยู่ภายใต้ความกลัวไหม?

 

  ประเด็นสำคัญ

 

ประเทศไทยในคราครั้งนี้ ถ้าแม้นว่าไม่หยั่งรู้ความเป็นจริงอัน เป็นปรากฏการณ์แสนวิเศษวิสุทธิ์วิสิฏฐ์แล้วที่ได้เกิดขึ้นในชาติไทย

ถ้าหากทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ทุกกรมกอง ทุกผู้คนโดยเฉพาะคนผู้มีทุนทางสังคม ที่มีหน้าที่อันมีผลต่อสังคมประเทศ

ไม่ได้ร่วมมือช่วยกันกระทำให้เกิดความเป็นจริงนี้ ให้บรรลุผลเกิดวัฒนธรรมของสังคมชาติประเทศ เกิดขนบประเพณีแก่ประเทศ

ชาติ จนกระทั่งเป็นผลสำเร็จแล้วไซร้ ประเทศไทยก็คงจะจมอยู่เป็นอนาริยชาติ เป็นอนาริยชนไปอีกนานเท่านาน ในความเป็นประชาธิปไตย

นั่นคือ มวลมหาประชาชนได้อุตสาหะร่วมกันออกมาทำหน้าที่ตามสิทธิที่มีของความเป็นมนุษยชาติ ในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งประชาชนคนไทยได้ใช้สิทธิชอบธรรม ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นไปตาม

วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญนี้แล้ว เช่น มาตรา 63-69-70 เป็นต้น ได้อย่างวิเศษวิสุทธิ์วิสิฏฐ์ออกปานนี้ ขนาดนี้

มวลมหาประชาชนได้ใช้ทั้งความลำบาก ยากเย็น แสนเข็ญ ทั้งสูญเสียชีวิตไปไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งบาดเจ็บพิการกันเท่าไหร่ ทั้งลงทุนลงแรง ใช้เวลา หมดทุนรอน จ่ายแรงงานกัน ร่วมมือร่วมใจกันอย่างเป็นเอกภาพแห่งมวลมหาชนเสียสละ ต้องทุกข์ทนอุตสาหะมานานมาก ถือได้ว่ามากจนทำลายสถิติโลกแล้วที่ทำได้วิเศษวิสุทธิ์วิสิฏฐ์กันอย่างนี้ ยืนหยัดยืนยัน ประท้วง ต่อต้านเพื่อทวงอำนาจของประชาชนคืนมาจากรัฐบาลที่ได้ผิดพลาดอย่างชัดแจ้ง รัฐบาลหมดความชอบธรรมที่จะอยู่บริหารต่อไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

มวลมหาประชาชนได้เสียสละทั้งทุนรอน เสียสละทั้งเวลาและเสียสละทั้งแรงงาน ได้ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างพากเพียรวิริยะอุตสาหะจนถึงขนาดนี้ ซึ่งปฏิบัติกันชนิดที่ทำลายสถิติโลกแล้ว ซึ่งสุดยอดไปด้วย

ความอดทนสู้ลำบากยากเข็ญ ทั้งมากมีไปด้วยปริมาณมวลมหาศาล ทั้งอยู่ได้อย่างยืนหยัดยืนยันกันต่อเนื่องยาวนานใกล้จะเป็นปีแล้วต้องนับว่าทำได้ดีขั้นวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ จริงๆ

ถ้าผู้คนที่มีฤทธิ์ มีแรง มีอิทธิพล หรือที่ถูกต้อง คือ มีอำนาจอันชอบธรรมตามหน้าที่ ในประเทศไทย ไม่ช่วยกัน ไม่ตัดสิน ไม่พิจารณาให้เห็นแจ้ง ไม่ร่วมมือ ไม่ระดมแรงช่วยให้มวลมหา

ประชาชน ได้ชื่อว่า เป็นผู้"มีอำนาจ"จริง ตามระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจแท้ๆ

ที่สำคัญมากยิ่งก็คือ อำนาจอันชอบธรรมของประชาชน คืออะไร? อย่างไร? ใช้ได้เมื่อไหร่?

ความเป็นประชาธิปไตยนั้น อำนาจที่ว่าเป็นของประชาชนนั้น มันมีแค่ใช้ในการเลือกตั้งผู้แทน เท่านั้นหรือ คืออำนาจอธิปไตยของปวงประชาชน ในความเป็นประชาธิปไตย...?

ในเมื่อมวลมหาประชาชนได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าของอำนาจ และออกมาแสดงอำนาจที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญนี้แท้ๆ และปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมได้วิเศษอย่างไม่น่าเชื่อ สงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง เป็นนิติธรรมที่มีครรลองครองธรรมสุดวิเศษอีกด้วยปานฉะนี้

อำนาจเช่นนี้ มวลมหาประชาชนได้แสดงออกทั้งตัวตนเป็นๆ สดๆ ทั้งเจตนารมณ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันปานฉะนี้ ไม่สามารถปฏิวัติเหตุการณ์ของประเทศ ปฏิวัติรัฐบาล เปลี่ยนแปลงจากความวิปริต หรือความเสื่อมต่ำ ให้ประชาชนได้จัดการบูรณะ ได้จัดการปฏิสังขรณ์ หรือได้จัดการปฏิรูป พัฒนาประเทศเอง...บ้างกระนั้นหรือ?

ถ้าปานฉะนี้แล้ว ก็ยังเห็นไม่ได้กันว่า อำนาจอันเป็นของประชาชนคืออะไร? อยู่ที่ไหน? แล้วในอนาคตประชาชนยังจะเป็นผู้มีอำนาจได้อย่างไร? ประชาชนมีอำนาจอยู่จริงหรือ? อยู่ที่ไหน?

เขาได้รวมกันออกมาขนาดนี้ ทำกันด้วยความเสียสละปานฉะนี้ก็ยังไม่เห็นว่า ประชาชน"มีอำนาจ"อยู่ตรงไหน? เป็นอย่างไร?

ประชาชนจะไม่เข็ดหลาบหรือ? เขาจะออกมาทำหน้าที่พิทักษ์ รักษาประเทศกันอีกหรือ?

       ลงทุนลงแรงใช้เวลาหนักหนาสาหัสสากรรจ์ขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจ

       แล้วเมื่อไหร่ ประชาชนจะได้อำนาจอธิปไตยจริง

สิทธิอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร?

อำนาจของประชาชน อยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร?

ระบอบประชาธิปไตยนั้น สิทธิและหน้าที่ของประชาชน อำนาจของประชาชนมีแค่ใช้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนเท่านั้น

เท่านี้จริงๆหรือ? อำนาจประชาชนในระบอบประชาธิปไตย?

อำนาจอธิปไตยที่ว่าเป็นของประชาชนนี้ ที่มันไปตกเป็นของรัฐธรรมนูญบ้าง

       ไปตกเป็นของรัฐบาลบ้าง

ยิ่งในกรณีขณะนี้ ก็ตกเป็นของรัฐบาลที่เหลวเละและหมดสิ้นลงไปแล้ว เหลือแต่ซากกาก คือรักษาการอยู่นี้กระนั้นหรือ?

       หรือไปตกอยู่กับนักวิชาการผู้รู้ที่ยังรู้ไม่ชัดเจนไม่จริงบ้าง?

และหรือไปตกอยู่ที่คนไทยคนใดคนหนึ่งบางคนผู้มีอภิสิทธิ์

พิเศษอย่างนั้นหรือ?

คือ อะไร? อำนาจอันเป็นของประชาชน คืออย่างไรกันแน่?

       อยู่ที่ไหน?

       แล้วเมื่อไหร่จะได้?

       อย่างไร? เมื่อไหร่? จะแสดงว่า ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจจริง เป็นเจ้าของอธิปัตย์จริง

       ประชาชนออกมาแสดงตน กันอย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ ปานฉะนี้แล้ว

       ยังไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของอำนาจ

       แล้วเมื่อไหร่? อำนาจจะเป็นของประชาชนจริงกันสักที?

 

เมื่อวานกำนันสุเทพประกาศ 3 ขั้นตอนเผด็จศึก

ประกาศ 3 ขั้นตอนวันเผด็จศึก

1.เกี่ยวกับกษัตริย์ โดยทำในวันที่ 5 พ.ค.ใส่เสื้อเหลือง ห้อยนกหวีดทำพิธีตั้งสัตยาธิษฐานหน้าวัดพระแก้ว

2.เกี่ยวกับศาสนา ทำในวันวิสาขบูชา วันที่13 พ.ค.ทำบุญประเทศครั้งใหญ่ ขับไล่เสนียดจัญไร ถัดไป 3.เกี่ยวกับชาติ ทำในวันที่14 พ.ค.เดินหน้าเต็มสูบเรียกคืนอำนาจอธิปไตยตาม รธน.มาตรา 3 ตั้งรัฐบาลประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติแก้กฎหมายปฏิรูปประเทศ

 

       ซึ่ง นปช.ก็ปรับทัพลุย 5 พ.ค. นี้ ยึดถ.อักษะ พุทธมณฑล ต่อต้านนายกฯม.7 ยืดเยื้อไม่เคลื่อนมวลชนเผชิญหน้า มีตำรวจทหารออกมา....

 

       อาตมาว่าดีใครคุณงามความดีมากกว่าอันนั้นก็ควรชนะ ทางตุลาการท่านก็สามารถตัดสิน ประชาชนก็ทำหน้าที่ประชาชนเลย ทำตามสิทธิ์ ในรธน.

มาตรา 70  บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

มาตรา 71 บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย

 

       ประชาชนที่ดูดาย หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น หรือสนุกรื่นเริงไป ไม่สนว่า จะมีประชาชนกลุ่มหนึ่งออกมาทำหน้าที่ที่ควรทำตามรธน. ซึ่งประชาชนก็ควรกตัญญูอย่าปล่อยปละละเลยกันนัก ปล่อยไป ดีไม่ดีใครทำดีก็ว่าเขายุ่งอีก

       สมมุติว่าประเทศไทยนี้มีคุณคนเดียว ในประเทศนี้ คุณจะไม่เอาตาดูหูแลใครก็ตามทีเพราะมีคนเดียว แต่หากมีสองคน อีกคนหนึ่งจับจองแผ่นดิน เอาทรัพยากรอะไรไปก็ช่างเขาเถอะ ของเรามีเยอะแยะ สองคนก็ไม่หมด ของเหลือเฟือ จะจับจองก็ทำไปสิ

      แต่ทีนี้ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะประชากรไทยมีตั้ง 60 กว่าล้าน ก็จับจองอาศัยที่ดิน ทรัพยากรแล้ว จนกระทั่งแย่งชิงกันแล้ว มันไม่พอ ไม่เหมือนมีสองคนที่มีเหลือเฟือ และหลายคนแย่งไปได้มากเหลือเฟือ ใช้ไม่หมด  แต่ดีไม่ดีเอาที่มีมาก ไปออกฤทธิ์จ้างคน ใช้คนให้แย่งชิงเอามาอีกๆ ทำไมทำได้อย่างนั้น ที่มีอยู่กินใช้หลายชาติไม่หมด ก็ยังตะกละมาเอาอีกๆ

      แม้ถูกตัดสินว่าแพ้ โดยตุลาการ ว่าที่เอาไปนั้นโกงรัฐไปตั้งสี่หมื่นกว่าล้าน ศาลตัดสินแล้วก็ยังจะมาเอาคืน ใช้เงินทองมาจ้าง บังคับคน จนคนก็ยอมรับจ้างมาช่วย เพื่อให้เขาได้เข้าไปอีก มันอะไรกันนักกันหนา....โว้ย

 

      นี่คือเหตุการณ์ประเทศไทยที่เกิดในขณะนี้

 

       อาตมาก็เห็นแล้วก็ว่าทำไมคนเราตะกละตะกลามเห็นแก่รวยแก่ได้ หลงลาภยศ สรรเสริญ โลกธรรม ทำคนให้เดือดร้อน แล้วก็มาเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ คนที่ทำได้เยอะก็แบ่งแจกให้คนทำได้น้อย

       อย่างเด็กนี่สร้างอะไรไม่พอไม่เป็น สองคนแก่ที่หมดเรี่ยวแรงกำลังทำไม่คุ้มกินคุ้มใช้ สามคนพิการ สี่คนป่วย ห้าคนไร้สมรรถนะ ห้าสภาพนี้เราก็จำนน ต้องทำเผื่อเขา

       คนทำได้มากเกินตนกินตนใช้ก็นำส่วนเหลือไปช่วยแบ่งแจก เด็ก คนแก่ คนป่วย คนพิการ คนไร้สมรรถนะ บ้านเมืองก็อยู่เป็นสุขไปได้ดี หรือมันจะแบ่งแจกกัน คนที่ทำได้มาก มีความรู้ความสามารถมากก็แบ่งแจกคนสามารถน้อยกว่า ความรู้ด้อยกว่า ก็เกื้อกูลแบ่งแจก นี่คือความรู้เศรษฐศาสตร์แท้จริง

       แต่นี่ทำทวนพระพุทธเจ้าเลย ทำมากก็ว่าต้องเอามาเพ่ิมอีก ให้คนมาซื้อแล้วก็เอากำไรมากๆ ตีราคามาก คนทำไม่ได้ก็จำนน ต้องนำสิ่งของมาแลกหรือมาซื้อ นี่คือความเอาเปรียบกันในสังคม สังคมก็ไปไม่ออก

       นี่คือสัจจะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ศาสดาต่างๆก็ค้นพบ ให้ทำให้มากแล้วแบ่งแจก พระพุทธเจ้าก็สอนเช่นนี้

       ผู้บรรลุธรรมของศาสนาพุทธจะเป็นคนที่

 พหุชนหิตายะ  เป็นประโยชน์แก่หมู่ชนทั้งหลาย

 พหุชนสุขายะ  เกิดเป็นสุขแท้แก่หมู่ชนทั้งหลาย

 โลกานุกัมปายะ เป็นไปเพื่อรับใช้อนุเคราะห์โลก

พตฎ. เล่มที่ 4   ข้อที่ 32

       

       ลัทธิอื่นก็มีในโลกหลากหลาย เราก็รู้เท่าทันและอยู่่ร่วมกันอย่างมีปัญญาอยู่กันด้วยดี รู้โลกวิทู

       อาตมาไม่พยายามหลอกล่อ อย่างการมีFMTV เราเอาพฤติกรรมของเราออกไปแสดง เขาก็หาว่าเราโฆษณาตัวเอง เขาหาว่านะ เพราะเราไม่ได้เจตนาอวด (อวดคือแสดงออกเพื่อต้องการให้เขาเอาอย่างเราไป แล้วเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนให้เรา โดยเราได้เปรียบ) นั่นคือการโฆษณาสินค้าในโลกนี้ เขาโฆษณาให้คนรู้สึกน่ามีน่าได้น่าเป็น เมื่อคนมาเอาเขาก็แสวงประโยชน์จากคนที่มา แต่เรานี่ เขามาแล้วเราไม่ได้เอาอะไรจากเขา เราไม่เอาเปรียบเอารัด ตรงกันข้ามเลย ใครจะมาเอาก็มาเลย

       สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เราไม่เสียแรงสร้าง เราจะสร้างแต่ส่ิงมีประโยชน์คุณค่า เราสร้างแล้วก็ได้อาศัยกินใช้ ที่เราสร้าง แม้แต่งานสื่อสาร เราพูดไปแล้วที่ฉายภาพเราออกไป เราไม่ได้ทำเพื่อได้มา แม้แต่สินค้าที่เราผลิตก็ทำเพื่อให้ประโยชน์สังคม เราไม่ได้ทำสะสม ไม่เอาเปรียบ สร้างแล้วก็สะพัดอีกด้วย

       พระป่าจะถูกธรรมวินัยตื้นๆ แต่ผิดธรรมวินัยลึกๆ

       พระบ้านจะผิดธรรมวินัยตื้นๆชัดๆ ผิดข้อที่ว่า มาลาคันธวิเลปน วิภูสนฐานา คือผิดข้อที่เอาดอกไม้มาโรยให้เหยียบ เสริมความใหญ่ คนหลงหรูหราฟู่ฟ่า ใหญ่โต หลง คนก็ชอบใหญ่โตหลง ก็เลยได้พวกนี้มาก รวยใหญ่เละเทะเลย เขาเอาส่ิงที่คนมีกิเลสยึดมั่นถือมั่นมาปรุงแต่ง เรียกว่ามัณฑนะ ออกนอกทางพุทธ

       หลงหรูหร่าฟู่ฟ่าผิดธรรมวินัยเยอะ

       แต่พระป่านี่หลงป่า....เป็นความเสื่อม ใน ศาสนาพุทธ มี 4 ข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

        ผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร 5 จำพวก

1โง่ เขลา 2.ปรารถนาลามกเพราะถูกความอยากครอบงำ  3.​เพราะเป็นบ้า 4.เพราะจิตฟุ้งซ่าน 5.เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้า และสาวก สรรเสริญ

       ยังมีในอุบาลิสูตรอีก ที่ว่าด้วยคุณธรรมของผู้ควรอยู่ป่า

       พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด

พระพุทธองค์ตรัสว่า...  ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก 

ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว.      ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

       ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่   หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้   คือ  จักจมลง   หรือจักลอยขึ้น !!       (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 99)

 

       ถ้าคุณเป็นอนาคามี หรืออรหัตตมรรค จะไปเช็ค อรหัตตผล ก็ต้องมีจิตเป็นสมาธิก่อน จึงควรไป ถ้าไม่อย่างนั้นคุณจะจม คือติดการอยู่ป่า แล้วจักลอย ก็คือคุณจะฟุ้งหาโลก เพราะว่าอยู่ในนั้นไม่มีกามคุณ ไม่มีรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส ไม่มีโลกธรรม คุณยังไม่ได้ล้างกิเลส ก็ฟุ้งออกมา คุณก็กดข่มได้แค่นั้น ทำสมาธินั่งหลับตาได้แค่นั้น

       การปฏิบัติธรรมต้องอยู่ในบ้านในเมือง ได้สมาธิ อย่างนั้นอรหัตตมรรคหรือว่าอนาคามี ก็ค่อยไปอยู่ป่า

       แต่ถ้าไม่ได้สมาธิ ไปออกป่าก็ติดป่า อย่างอินเดียมีมากเลย  แม้มีกายสักขีก็ไม่ได้เป็นอรหันต์ จะต้องมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

       ความหลงผิดที่เป็นของชาวกรุง...

       ซึ่งเข้าใจกันไม่ง่าย ขณะที่อาตมาพาทำนี่ทำลักษณะเมือง ...เพื่อประโยชน์ของสังคม ช่วยกันทำงาน ที่อาตมาเปิดเผย อาตมามาทำงานไม่ได้ต้องการอามิสแลกเปลี่ยน ฝ่ายที่เขาไม่เชื่อก็มีด่าอาตมาก็มาก โดยเฉพาะช่องแดง เช่น คุณสะอาด จันทร์ดี เขาด่าอาตมาว่า มีหมอที่รู้จักกันนี่ เขาตรวจเลือดโพธิรักษ์แล้ว พบว่ามีหมู เป็ด ไก่ อยู่ในนั้นเลย ...อาตมาก็ว่า ถามหมอพยาบาล ว่าสามารถตรวจได้ว่า เป็ดไก่ อยู่ในเลือด ตรวจเลือดแล้วรู้เลยว่ากินไก่ กินเป็ด อาตมาก็ว่าไม่มีหมอคนไหนบอกอย่างนี้หรอก …

       อันนี้ชัดเจนเลยว่าโกหก จะไปตรวจสอบได้อย่างไร เขาก็โกหกไม่รู้กี่ที แต่ว่า อันนี้ชัด

 

       ถ้าคนเราไม่มีธรรมะจริง (คือธรรมะของพระพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิแท้) แล้วปฏิบัติจนบรรลุอย่างแท้ ถ้าปฏิบัติไม่ได้จริง โลกุตรธรรมไม่มีจริง แต่ในพุทธศาสนิกไทย ยังมีเนื้อแท้โลกุตรในใจ จึงสามารถปฏิบัติโลกุตรธรรมได้ ฉะนั้นผู้ที่มาช่วยกันทำงานอย่างบริสุทธิ์ใจ อย่างทวนกระแส ไม่ได้ทำอย่างForce กดขี่เขา แต่เอาแบบสงบสยบเคลื่อนไหว เอาคุณงามความดี ความผิดถูกตัดสินให้คนถูกชนะ

       ผู้เป็นคนไทยน่าจะยอมรับความผิดว่าแพ้ อย่าตะแบงไปมากนักเลย มันบาปนะ ถ้าคุณดันทุรังไปผิด มันก็ดันทุรังไป เป็นวิบากติดในจิตไป เป็นอกุศลวิบากอย่างแท้จริงเลย

       แม้คุณไม่มีปัญญารู้ก็ขอเตือนเลยว่าอย่าทำดีกว่าน่า แต่คุณจะทำก็บังคับไม่ได้ แต่กรรมเป็นอันทำ ทำบาปก็ได้บาป ทำบุญก็ได้บุญ คุณโกหกทั้งๆที่รู้ อย่างคุณสะอาด อาตมาว่า แกเจตนาโกหก อาตมาไม่เชื่อว่าหมอคนไหนมาบอกแก ว่าตรวจเลือดได้ว่าเลือดนี้มีเนื้อสัตว์


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 16:57:18 )

570501

รายละเอียด

570501_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง ประชาชนมีอำนาจอยู่จริงหรือ 

       รัฐบาลเหมือนผู้ใช้ธนบัตร แต่ประชาชนคือเจ้าของธนบัตร ตอนนี้ รัฐบาลใช้ธนบัตรแบบผิดๆ เสียหาย โกงกิน ประชาชนก็มายืนยันหลักฐาน ว่ารัฐบาลแพ้นะ จนรัฐบาลถอย ตอนนี้ก็ยุบสภาฯ ก็เหมือนให้ถือธนบัตรไว้ก่อน ประชาชนก็ออกมาบอกว่าเขาจะจัดให้มีผู้รับช่วงเอง แต่รัฐบาลก็บอกว่าจะให้เลือกตั้ง ประชาชนก็ว่าจะปฏิรูปก่อน เพราะโครงสร้างเก่าใช้ไม่ได้ มันเป็นค่ายกลที่พิกลพิการแล้ว เป็นค่ายกลที่มีพิษ

       อำนาจอธิปไตยเป็นเช่นไร...มีคนบอกว่าการเมืองคือการแย่งชิงอำนาจ คือการแย่งอำนาจบาตรใหญ่ ใครได้อำนาจก็คือมีบทบาทใหญ่ในประเทศ ...มันก็มีส่วนเป็นเช่นนั้น ซึ่งอำนาจแบบนี้ก็มีอยู่ในอดีตจนปัจจุบัน แต่อาตมาว่าอำนาจบาทใหญ่แบบนี้มันตกรุ่นไปแล้ว มันสู้อำนาจแห่งคุณงามความดีไม่ได้ เป็นอำนาจที่เป็นโลกุตระ ทวนกระแส ซึ่งอำนาจแบบกดข่มบังคับนั้นใช้กันมาแต่โบราณมา

       คนสุภาพไม่รุนแรงนี่ต้องชนะ คนรุนแรงต้องแพ้ นี่คือกติกาของอาริยชน คนเจริญเห็น รู้ ทำเช่นนี้ เรารวมความรู้ร่วมแรงร่วมใจ รวมคุณธรรม เอามาทำให้จริงใจ ทำได้เท่าไหร่ก็ออกมา ทำออกมาก็เป็นพลังร่วมรวมกัน พลังโดยชอบธรรม ทำจนเกิดพลังอำนาจนี้

       คนไทยก็ยังดี โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลนี่ ก็ยังดี เขาเข้าใจขึ้นว่าอำนาจสุภาพไม่รุนแรงปราศจากอาวุธนั้นดี เขาก็พยายามทำไม่รุนแรง แต่ก็เผลอออกมาบ้างตามประสาคนไม่หมด ต่างคนต่างรวมหมู่กลุ่มกันทำ

       1.รวมกันแล้วใครได้มากกว่า

       2.ใครทำแล้วสงบ ดีงามกว่า เรียบร้อยกว่า

       ตอนนี้มีสองหมู่ มีนปช. กับ กปปส.​ใครจะทำได้ดีกว่า ลักษณะเรียบร้อยไม่รุนแรง ไม่ทำให้ใครบาดเจ็บ จะมีบ้างก็คือใช้ปากหอก หยาบแค่ปาก ส่วนกระทำทางกายกรรม ทำให้บาดเจ็บร่างกายถึงตาย ใครทำน้อยกว่ากันหรือไม่ทำเลย ใครไม่ทำได้ หรือแม้แต่วาจาหรือมุขสตีให้น้อยกว่ากัน ก็นับเป็นคะแนน

       อาตมาว่ายืนยันได้แล้วนะทำมาเป็นเกือบปีแล้ว

       อำนาจอธิปไตยหากเป็นอำนาจแห่งคุณธรรมจะดีกว่าอำนาจที่ตกอยู่ภายใต้ความกลัวไหม?

 

  ประเด็นสำคัญ

 

ประเทศไทยในคราครั้งนี้ ถ้าแม้นว่าไม่หยั่งรู้ความเป็นจริงอัน เป็นปรากฏการณ์แสนวิเศษวิสุทธิ์วิสิฏฐ์แล้วที่ได้เกิดขึ้นในชาติไทย

ถ้าหากทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ทุกกรมกอง ทุกผู้คนโดยเฉพาะคนผู้มีทุนทางสังคม ที่มีหน้าที่อันมีผลต่อสังคมประเทศ

ไม่ได้ร่วมมือช่วยกันกระทำให้เกิดความเป็นจริงนี้ ให้บรรลุผลเกิดวัฒนธรรมของสังคมชาติประเทศ เกิดขนบประเพณีแก่ประเทศ

ชาติ จนกระทั่งเป็นผลสำเร็จแล้วไซร้ ประเทศไทยก็คงจะจมอยู่เป็นอนาริยชาติ เป็นอนาริยชนไปอีกนานเท่านาน ในความเป็นประชาธิปไตย

นั่นคือ มวลมหาประชาชนได้อุตสาหะร่วมกันออกมาทำหน้าที่ตามสิทธิที่มีของความเป็นมนุษยชาติ ในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งประชาชนคนไทยได้ใช้สิทธิชอบธรรม ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นไปตาม

วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญนี้แล้ว เช่น มาตรา 63-69-70 เป็นต้น ได้อย่างวิเศษวิสุทธิ์วิสิฏฐ์ออกปานนี้ ขนาดนี้

มวลมหาประชาชนได้ใช้ทั้งความลำบาก ยากเย็น แสนเข็ญ ทั้งสูญเสียชีวิตไปไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งบาดเจ็บพิการกันเท่าไหร่ ทั้งลงทุนลงแรง ใช้เวลา หมดทุนรอน จ่ายแรงงานกัน ร่วมมือร่วมใจกันอย่างเป็นเอกภาพแห่งมวลมหาชนเสียสละ ต้องทุกข์ทนอุตสาหะมานานมาก ถือได้ว่ามากจนทำลายสถิติโลกแล้วที่ทำได้วิเศษวิสุทธิ์วิสิฏฐ์กันอย่างนี้ ยืนหยัดยืนยัน ประท้วง ต่อต้านเพื่อทวงอำนาจของประชาชนคืนมาจากรัฐบาลที่ได้ผิดพลาดอย่างชัดแจ้ง รัฐบาลหมดความชอบธรรมที่จะอยู่บริหารต่อไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

มวลมหาประชาชนได้เสียสละทั้งทุนรอน เสียสละทั้งเวลาและเสียสละทั้งแรงงาน ได้ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างพากเพียรวิริยะอุตสาหะจนถึงขนาดนี้ ซึ่งปฏิบัติกันชนิดที่ทำลายสถิติโลกแล้ว ซึ่งสุดยอดไปด้วย

ความอดทนสู้ลำบากยากเข็ญ ทั้งมากมีไปด้วยปริมาณมวลมหาศาล ทั้งอยู่ได้อย่างยืนหยัดยืนยันกันต่อเนื่องยาวนานใกล้จะเป็นปีแล้วต้องนับว่าทำได้ดีขั้นวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ จริงๆ

ถ้าผู้คนที่มีฤทธิ์ มีแรง มีอิทธิพล หรือที่ถูกต้อง คือ มีอำนาจอันชอบธรรมตามหน้าที่ ในประเทศไทย ไม่ช่วยกัน ไม่ตัดสิน ไม่พิจารณาให้เห็นแจ้ง ไม่ร่วมมือ ไม่ระดมแรงช่วยให้มวลมหา

ประชาชน ได้ชื่อว่า เป็นผู้"มีอำนาจ"จริง ตามระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจแท้ๆ

ที่สำคัญมากยิ่งก็คือ อำนาจอันชอบธรรมของประชาชน คืออะไร? อย่างไร? ใช้ได้เมื่อไหร่?

ความเป็นประชาธิปไตยนั้น อำนาจที่ว่าเป็นของประชาชนนั้น มันมีแค่ใช้ในการเลือกตั้งผู้แทน เท่านั้นหรือ คืออำนาจอธิปไตยของปวงประชาชน ในความเป็นประชาธิปไตย...?

ในเมื่อมวลมหาประชาชนได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าของอำนาจ และออกมาแสดงอำนาจที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญนี้แท้ๆ และปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมได้วิเศษอย่างไม่น่าเชื่อ สงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง เป็นนิติธรรมที่มีครรลองครองธรรมสุดวิเศษอีกด้วยปานฉะนี้

อำนาจเช่นนี้ มวลมหาประชาชนได้แสดงออกทั้งตัวตนเป็นๆ สดๆ ทั้งเจตนารมณ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันปานฉะนี้ ไม่สามารถปฏิวัติเหตุการณ์ของประเทศ ปฏิวัติรัฐบาล เปลี่ยนแปลงจากความวิปริต หรือความเสื่อมต่ำ ให้ประชาชนได้จัดการบูรณะ ได้จัดการปฏิสังขรณ์ หรือได้จัดการปฏิรูป พัฒนาประเทศเอง...บ้างกระนั้นหรือ?

ถ้าปานฉะนี้แล้ว ก็ยังเห็นไม่ได้กันว่า อำนาจอันเป็นของประชาชนคืออะไร? อยู่ที่ไหน? แล้วในอนาคตประชาชนยังจะเป็นผู้มีอำนาจได้อย่างไร? ประชาชนมีอำนาจอยู่จริงหรือ? อยู่ที่ไหน?

เขาได้รวมกันออกมาขนาดนี้ ทำกันด้วยความเสียสละปานฉะนี้ก็ยังไม่เห็นว่า ประชาชน"มีอำนาจ"อยู่ตรงไหน? เป็นอย่างไร?

ประชาชนจะไม่เข็ดหลาบหรือ? เขาจะออกมาทำหน้าที่พิทักษ์ รักษาประเทศกันอีกหรือ?

       ลงทุนลงแรงใช้เวลาหนักหนาสาหัสสากรรจ์ขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจ

       แล้วเมื่อไหร่ ประชาชนจะได้อำนาจอธิปไตยจริง

สิทธิอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร?

อำนาจของประชาชน อยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร?

ระบอบประชาธิปไตยนั้น สิทธิและหน้าที่ของประชาชน อำนาจของประชาชนมีแค่ใช้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนเท่านั้น

เท่านี้จริงๆหรือ? อำนาจประชาชนในระบอบประชาธิปไตย?

อำนาจอธิปไตยที่ว่าเป็นของประชาชนนี้ ที่มันไปตกเป็นของรัฐธรรมนูญบ้าง

       ไปตกเป็นของรัฐบาลบ้าง

ยิ่งในกรณีขณะนี้ ก็ตกเป็นของรัฐบาลที่เหลวเละและหมดสิ้นลงไปแล้ว เหลือแต่ซากกาก คือรักษาการอยู่นี้กระนั้นหรือ?

       หรือไปตกอยู่กับนักวิชาการผู้รู้ที่ยังรู้ไม่ชัดเจนไม่จริงบ้าง?

และหรือไปตกอยู่ที่คนไทยคนใดคนหนึ่งบางคนผู้มีอภิสิทธิ์

พิเศษอย่างนั้นหรือ?

คือ อะไร? อำนาจอันเป็นของประชาชน คืออย่างไรกันแน่?

       อยู่ที่ไหน?

       แล้วเมื่อไหร่จะได้?

       อย่างไร? เมื่อไหร่? จะแสดงว่า ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจจริง เป็นเจ้าของอธิปัตย์จริง

       ประชาชนออกมาแสดงตน กันอย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ ปานฉะนี้แล้ว

       ยังไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของอำนาจ

       แล้วเมื่อไหร่? อำนาจจะเป็นของประชาชนจริงกันสักที?

 

เมื่อวานกำนันสุเทพประกาศ 3 ขั้นตอนเผด็จศึก

ประกาศ 3 ขั้นตอนวันเผด็จศึก

1.เกี่ยวกับกษัตริย์ โดยทำในวันที่ 5 พ.ค.ใส่เสื้อเหลือง ห้อยนกหวีดทำพิธีตั้งสัตยาธิษฐานหน้าวัดพระแก้ว

2.เกี่ยวกับศาสนา ทำในวันวิสาขบูชา วันที่13 พ.ค.ทำบุญประเทศครั้งใหญ่ ขับไล่เสนียดจัญไร ถัดไป 3.เกี่ยวกับชาติ ทำในวันที่14 พ.ค.เดินหน้าเต็มสูบเรียกคืนอำนาจอธิปไตยตาม รธน.มาตรา 3 ตั้งรัฐบาลประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติแก้กฎหมายปฏิรูปประเทศ

 

       ซึ่ง นปช.ก็ปรับทัพลุย 5 พ.ค. นี้ ยึดถ.อักษะ พุทธมณฑล ต่อต้านนายกฯม.7 ยืดเยื้อไม่เคลื่อนมวลชนเผชิญหน้า มีตำรวจทหารออกมา....

 

       อาตมาว่าดีใครคุณงามความดีมากกว่าอันนั้นก็ควรชนะ ทางตุลาการท่านก็สามารถตัดสิน ประชาชนก็ทำหน้าที่ประชาชนเลย ทำตามสิทธิ์ ในรธน.

มาตรา 70  บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

มาตรา 71 บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย

 

       ประชาชนที่ดูดาย หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น หรือสนุกรื่นเริงไป ไม่สนว่า จะมีประชาชนกลุ่มหนึ่งออกมาทำหน้าที่ที่ควรทำตามรธน. ซึ่งประชาชนก็ควรกตัญญูอย่าปล่อยปละละเลยกันนัก ปล่อยไป ดีไม่ดีใครทำดีก็ว่าเขายุ่งอีก

       สมมุติว่าประเทศไทยนี้มีคุณคนเดียว ในประเทศนี้ คุณจะไม่เอาตาดูหูแลใครก็ตามทีเพราะมีคนเดียว แต่หากมีสองคน อีกคนหนึ่งจับจองแผ่นดิน เอาทรัพยากรอะไรไปก็ช่างเขาเถอะ ของเรามีเยอะแยะ สองคนก็ไม่หมด ของเหลือเฟือ จะจับจองก็ทำไปสิ

      แต่ทีนี้ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะประชากรไทยมีตั้ง 60 กว่าล้าน ก็จับจองอาศัยที่ดิน ทรัพยากรแล้ว จนกระทั่งแย่งชิงกันแล้ว มันไม่พอ ไม่เหมือนมีสองคนที่มีเหลือเฟือ และหลายคนแย่งไปได้มากเหลือเฟือ ใช้ไม่หมด  แต่ดีไม่ดีเอาที่มีมาก ไปออกฤทธิ์จ้างคน ใช้คนให้แย่งชิงเอามาอีกๆ ทำไมทำได้อย่างนั้น ที่มีอยู่กินใช้หลายชาติไม่หมด ก็ยังตะกละมาเอาอีกๆ

      แม้ถูกตัดสินว่าแพ้ โดยตุลาการ ว่าที่เอาไปนั้นโกงรัฐไปตั้งสี่หมื่นกว่าล้าน ศาลตัดสินแล้วก็ยังจะมาเอาคืน ใช้เงินทองมาจ้าง บังคับคน จนคนก็ยอมรับจ้างมาช่วย เพื่อให้เขาได้เข้าไปอีก มันอะไรกันนักกันหนา....โว้ย

 

      นี่คือเหตุการณ์ประเทศไทยที่เกิดในขณะนี้

 

       อาตมาก็เห็นแล้วก็ว่าทำไมคนเราตะกละตะกลามเห็นแก่รวยแก่ได้ หลงลาภยศ สรรเสริญ โลกธรรม ทำคนให้เดือดร้อน แล้วก็มาเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ คนที่ทำได้เยอะก็แบ่งแจกให้คนทำได้น้อย

       อย่างเด็กนี่สร้างอะไรไม่พอไม่เป็น สองคนแก่ที่หมดเรี่ยวแรงกำลังทำไม่คุ้มกินคุ้มใช้ สามคนพิการ สี่คนป่วย ห้าคนไร้สมรรถนะ ห้าสภาพนี้เราก็จำนน ต้องทำเผื่อเขา

       คนทำได้มากเกินตนกินตนใช้ก็นำส่วนเหลือไปช่วยแบ่งแจก เด็ก คนแก่ คนป่วย คนพิการ คนไร้สมรรถนะ บ้านเมืองก็อยู่เป็นสุขไปได้ดี หรือมันจะแบ่งแจกกัน คนที่ทำได้มาก มีความรู้ความสามารถมากก็แบ่งแจกคนสามารถน้อยกว่า ความรู้ด้อยกว่า ก็เกื้อกูลแบ่งแจก นี่คือความรู้เศรษฐศาสตร์แท้จริง

       แต่นี่ทำทวนพระพุทธเจ้าเลย ทำมากก็ว่าต้องเอามาเพ่ิมอีก ให้คนมาซื้อแล้วก็เอากำไรมากๆ ตีราคามาก คนทำไม่ได้ก็จำนน ต้องนำสิ่งของมาแลกหรือมาซื้อ นี่คือความเอาเปรียบกันในสังคม สังคมก็ไปไม่ออก

       นี่คือสัจจะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ศาสดาต่างๆก็ค้นพบ ให้ทำให้มากแล้วแบ่งแจก พระพุทธเจ้าก็สอนเช่นนี้

       ผู้บรรลุธรรมของศาสนาพุทธจะเป็นคนที่

 พหุชนหิตายะ  เป็นประโยชน์แก่หมู่ชนทั้งหลาย

 พหุชนสุขายะ  เกิดเป็นสุขแท้แก่หมู่ชนทั้งหลาย

 โลกานุกัมปายะ เป็นไปเพื่อรับใช้อนุเคราะห์โลก

พตฎ. เล่มที่ 4   ข้อที่ 32

       

       ลัทธิอื่นก็มีในโลกหลากหลาย เราก็รู้เท่าทันและอยู่่ร่วมกันอย่างมีปัญญาอยู่กันด้วยดี รู้โลกวิทู

       อาตมาไม่พยายามหลอกล่อ อย่างการมีFMTV เราเอาพฤติกรรมของเราออกไปแสดง เขาก็หาว่าเราโฆษณาตัวเอง เขาหาว่านะ เพราะเราไม่ได้เจตนาอวด (อวดคือแสดงออกเพื่อต้องการให้เขาเอาอย่างเราไป แล้วเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนให้เรา โดยเราได้เปรียบ) นั่นคือการโฆษณาสินค้าในโลกนี้ เขาโฆษณาให้คนรู้สึกน่ามีน่าได้น่าเป็น เมื่อคนมาเอาเขาก็แสวงประโยชน์จากคนที่มา แต่เรานี่ เขามาแล้วเราไม่ได้เอาอะไรจากเขา เราไม่เอาเปรียบเอารัด ตรงกันข้ามเลย ใครจะมาเอาก็มาเลย

       สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เราไม่เสียแรงสร้าง เราจะสร้างแต่ส่ิงมีประโยชน์คุณค่า เราสร้างแล้วก็ได้อาศัยกินใช้ ที่เราสร้าง แม้แต่งานสื่อสาร เราพูดไปแล้วที่ฉายภาพเราออกไป เราไม่ได้ทำเพื่อได้มา แม้แต่สินค้าที่เราผลิตก็ทำเพื่อให้ประโยชน์สังคม เราไม่ได้ทำสะสม ไม่เอาเปรียบ สร้างแล้วก็สะพัดอีกด้วย

       พระป่าจะถูกธรรมวินัยตื้นๆ แต่ผิดธรรมวินัยลึกๆ

       พระบ้านจะผิดธรรมวินัยตื้นๆชัดๆ ผิดข้อที่ว่า มาลาคันธวิเลปน วิภูสนฐานา คือผิดข้อที่เอาดอกไม้มาโรยให้เหยียบ เสริมความใหญ่ คนหลงหรูหราฟู่ฟ่า ใหญ่โต หลง คนก็ชอบใหญ่โตหลง ก็เลยได้พวกนี้มาก รวยใหญ่เละเทะเลย เขาเอาส่ิงที่คนมีกิเลสยึดมั่นถือมั่นมาปรุงแต่ง เรียกว่ามัณฑนะ ออกนอกทางพุทธ

       หลงหรูหร่าฟู่ฟ่าผิดธรรมวินัยเยอะ

       แต่พระป่านี่หลงป่า....เป็นความเสื่อม ใน ศาสนาพุทธ มี 4 ข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

        ผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร 5 จำพวก

1โง่ เขลา 2.ปรารถนาลามกเพราะถูกความอยากครอบงำ  3.​เพราะเป็นบ้า 4.เพราะจิตฟุ้งซ่าน 5.เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้า และสาวก สรรเสริญ

       ยังมีในอุบาลิสูตรอีก ที่ว่าด้วยคุณธรรมของผู้ควรอยู่ป่า

       พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด

พระพุทธองค์ตรัสว่า...  ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก 

ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว.      ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

       ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่   หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้   คือ  จักจมลง   หรือจักลอยขึ้น !!       (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 99)

 

       ถ้าคุณเป็นอนาคามี หรืออรหัตตมรรค จะไปเช็ค อรหัตตผล ก็ต้องมีจิตเป็นสมาธิก่อน จึงควรไป ถ้าไม่อย่างนั้นคุณจะจม คือติดการอยู่ป่า แล้วจักลอย ก็คือคุณจะฟุ้งหาโลก เพราะว่าอยู่ในนั้นไม่มีกามคุณ ไม่มีรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส ไม่มีโลกธรรม คุณยังไม่ได้ล้างกิเลส ก็ฟุ้งออกมา คุณก็กดข่มได้แค่นั้น ทำสมาธินั่งหลับตาได้แค่นั้น

       การปฏิบัติธรรมต้องอยู่ในบ้านในเมือง ได้สมาธิ อย่างนั้นอรหัตตมรรคหรือว่าอนาคามี ก็ค่อยไปอยู่ป่า

       แต่ถ้าไม่ได้สมาธิ ไปออกป่าก็ติดป่า อย่างอินเดียมีมากเลย  แม้มีกายสักขีก็ไม่ได้เป็นอรหันต์ จะต้องมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

       ความหลงผิดที่เป็นของชาวกรุง...

       ซึ่งเข้าใจกันไม่ง่าย ขณะที่อาตมาพาทำนี่ทำลักษณะเมือง ...เพื่อประโยชน์ของสังคม ช่วยกันทำงาน ที่อาตมาเปิดเผย อาตมามาทำงานไม่ได้ต้องการอามิสแลกเปลี่ยน ฝ่ายที่เขาไม่เชื่อก็มีด่าอาตมาก็มาก โดยเฉพาะช่องแดง เช่น คุณสะอาด จันทร์ดี เขาด่าอาตมาว่า มีหมอที่รู้จักกันนี่ เขาตรวจเลือดโพธิรักษ์แล้ว พบว่ามีหมู เป็ด ไก่ อยู่ในนั้นเลย ...อาตมาก็ว่า ถามหมอพยาบาล ว่าสามารถตรวจได้ว่า เป็ดไก่ อยู่ในเลือด ตรวจเลือดแล้วรู้เลยว่ากินไก่ กินเป็ด อาตมาก็ว่าไม่มีหมอคนไหนบอกอย่างนี้หรอก …

       อันนี้ชัดเจนเลยว่าโกหก จะไปตรวจสอบได้อย่างไร เขาก็โกหกไม่รู้กี่ที แต่ว่า อันนี้ชัด

 

       ถ้าคนเราไม่มีธรรมะจริง (คือธรรมะของพระพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิแท้) แล้วปฏิบัติจนบรรลุอย่างแท้ ถ้าปฏิบัติไม่ได้จริง โลกุตรธรรมไม่มีจริง แต่ในพุทธศาสนิกไทย ยังมีเนื้อแท้โลกุตรในใจ จึงสามารถปฏิบัติโลกุตรธรรมได้ ฉะนั้นผู้ที่มาช่วยกันทำงานอย่างบริสุทธิ์ใจ อย่างทวนกระแส ไม่ได้ทำอย่างForce กดขี่เขา แต่เอาแบบสงบสยบเคลื่อนไหว เอาคุณงามความดี ความผิดถูกตัดสินให้คนถูกชนะ

       ผู้เป็นคนไทยน่าจะยอมรับความผิดว่าแพ้ อย่าตะแบงไปมากนักเลย มันบาปนะ ถ้าคุณดันทุรังไปผิด มันก็ดันทุรังไป เป็นวิบากติดในจิตไป เป็นอกุศลวิบากอย่างแท้จริงเลย

       แม้คุณไม่มีปัญญารู้ก็ขอเตือนเลยว่าอย่าทำดีกว่าน่า แต่คุณจะทำก็บังคับไม่ได้ แต่กรรมเป็นอันทำ ทำบาปก็ได้บาป ทำบุญก็ได้บุญ คุณโกหกทั้งๆที่รู้ อย่างคุณสะอาด อาตมาว่า แกเจตนาโกหก อาตมาไม่เชื่อว่าหมอคนไหนมาบอกแก ว่าตรวจเลือดได้ว่าเลือดนี้มีเนื้อสัตว์


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 16:57:45 )

570503

รายละเอียด

570503_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง ถ้าไม่มีคนกล้า สิ่งวิเศษไม่เกิด

            ใน 100 คนจะมีคนกล้าสัก 1 คน

ในพันคนจะมีนักปราชญ์ สัก 1 คน

ในแสนคนจะมีคนพูดจริงสัก 1 คน

แต่คนทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน ..ไม่รู้จะมีไหม? ...ที่นี่ไง

            อาตมาเรียบเรียงเรื่องนี้มา ลองฟังกันดูนะ 

ถ้าไม่มีคนกล้า สิ่งวิเศษไม่เกิด

            ถ้าไม่มีคนกล้าทำสิ่งที่ใหม่ที่แปลก แม้สิ่งนั้นจะยังไม่เคยมี ไม่เคยปรากฏ แต่เป็นสิ่งที่ วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์

            ก็จะไม่มีสิ่งวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ อุบัติขึ้นในโลก โลกก็จะไม่ได้ใช้ไม่ได้อาศัย ความจริงที่ วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ นั้น

            ถ้าไม่มี กาลิเลโอ ออกมาประกาศยืนยันว่า โลกกลม คนก็จะอยู่กันแบบ ที่คำนวณดาราศาสตร์กันแบบโลกแบนนั่นแหละ ใช้งานกันต่อไปในโลก อาศัยโลกแบนนี้ต่อไป

            แต่เพราะมีคนกล้าประกาศว่าโลกกลม ในยุคที่คนทั้งโลกเชื่อสนิทว่าโลกแบน และไม่เชื่อว่า โลกกลม

            เมื่อสัจจะคือ โลกกลม สังคมมนุษย์ถึงเวลาจึงได้รู้แจ้งว่าโลกกลม กันถึงปัจจุบันนี้ เพราะความจริง ความรู้ ความมั่นใจ ความกล้าหาญ ของกาลิเลโอ จึงเกิดความรู้จากความมั่นใจ และความกล้าของกาลิเลโอ จึงมีความจริง เกิดขึ้นในโลกให้มนุษย์โลกจึงเจริญไปกับความจริงนี้

            ฉันใดเมื่อประชาชนเจ้าของประเทศเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแท้ๆ ถ้าไม่มีสิทธิ์ในการจะได้ใช้อำนาจอธิปไตยนั้น  ก็จะมีอำนาจอื่นที่ไม่ใช่อำนาจอธิปไตยของประชาชน เข้ามายึดครองบงการ หรือบริหารประชาชนอยู่ตลอดไป เช่น

            อำนาจเป็นของคณะทหารปฏิวัติด้วยอาวุธ เป็นต้้น ซึ่งใช่อำนาจของประชาชนแน่หรือ?

            หรือหลงผิดว่า อำนาจรัฐบาลเป็นอำนาจรัฐทั้งรัฐ หรือเป็นอำนาจของประชาชนเบ็ดเสร็จ

สิ้นเชิงสัมบูรณ์ 

            มันใช่? มันเป็นจริงหรือ?

            เพราะไปหลงเข้าใจว่าประชาชนเลือกให้รัฐบาล เป็นเจ้าของสิทธิทั้งประเทศไปแล้ว ประชาชนจะประท้วงทวงอำนาจอธิปไตยนั้นคืนไม่ได้!!! ไม่มีสิทธิแล้ว หมดสิทธิ์แล้ว  จริงเช่นนั้นหรือ?

            รัฏฐาธิปัตย์ ของประชาชน คือ อำนาจเลือกตั้ง เท่านั้นจริงๆหรือ?

            รัฐบาลาธิปัตย์ คือ รัฏฐาธิปัตย์ จริงๆหรือ?

            มันเป็นอำนาจเดียวกันแน่หรือ?

            รัฐบาลาธิปัตย์ มีอำนาจเท่าใด? อย่างไร? แค่ไหน?

            ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจที่เรียกว่ารัฏฐาธิปัตย์ หรือประชาธิปไตย คืออะไร?

            อย่างไร? แค่ไหน?

            เมื่อถึงวาระที่สุด แห่งที่สุด ที่"ควร"ได้พิจารณา ตามหลักมหาปเทส 4 ชัดเจนแล้วว่า ควร ในสิ่งที่ควร

            เช่น ประชาชน ณ ลมหายใจเฮือกนี้ ควรจะได้อำนาจอธิปไตย คืนมาเป็นของประชาชน ได้หรือยัง?

            สังคมที่ถูกการบริหารปกครอง จนคนต้องฆ่าตัวตายกันเป็นสิบๆคนปานฉะนี้ เพราะฝีมือ

การบริหารปกครองของรัฐบาลนี้ และบริหารเงินทอง เส่ียหายป่นปี้กันไปแสนๆล้าน

            รัฐบาลปล่อยให้ผู้คนทั้งประชาชนและทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลเองออกมาประกาศทั้ปรพะพฤติซ่องสุมผู้คนฝึกกำลังที่จะแยกแผ่นดิน ตั้งรัฐใหม่กันโจ่งแจ้งปานนี้

            ยังไม่ถือว่า มีฝีมือพอ ที่จะตัดสินได้บ้างหรือ?

            ว่า รัฐบาลนี้เป็นกบฏ เป็นเพชฌฆาตประชาชน ผลาญพร่าประเทศชาติสุดอำมหิตเสียหายแล้วขนาดนี้

            ประชาชนควรได้อำนาจอธิปไตยคืนมาจัดการเองหรือยัง?

            ตุลาการภิวัตน์ ก็ได้ทำหน้าที่ ชี้ชัดกัน ยืนยันออกแน่นหนาปานฉะนี้แล้ว

            และได้เห็นความดื้อด้าน ดันทุรังของรัฐบาลก็ชัดจัดจนไม่รู้จะชัดจัดกันแค่ไหนแล้ว

            ประชาภิวัตน์ มวลมหาประชาชนก็ได้ร่วมรวมตัวแสดงตนออกมาประท้วงยืนยัน ยืนหยัดกันทั้่งปริมาณมวลมหาประชาชน ทั้งคุณภาพคุณธรรมสุดบริสุทธิ์อุตสาหะ ยืนยาวกันมาจนป่านนี้

            คนไทยช่วยกันออกมาปฏิวัติชนิดใหม่ คือ ปฏิวัติด้วยความสงบ ไม่รุนแรง ไม่ใช่อาวุธ กั นออกอย่างนี้

            ซึ่งถูกต้องตามรัฐธรรมนูญนี้ อย่างสวยงามวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ กันได้ ปานฉะนี้ ถึงอย่างนี้ ผู้รู้ก็ยังไม่รู้ ประชาชนก็ยังไม่เห็น ว่านี่คือ ความจริงที่ชื่อว่า อำนาจอธิปไตยที่ประชาชนออกมาแสดงตัวกันขนาดนี้ เช่นนี้นี่แหละ คือ อำนาจของประชาชนที่สามารถจะเป็นเจ้าของอำนาจ

            และที่สำคัญ ประชาชนสามารถแสดงสมรรถนะความเป็นอำนาจอธิปไตยกันออกปานฉะนี้แล้ว

            ผู้รู้ก็ดี ประชาชาก็ตาม ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจว่า นี่คือ อำนาจอธิปไตย เป็นของประชาชน ทำเพื่อประชาชน โดยประชาชนร่วมกันทำแท้ๆ แล้ว

            เมื่อใด? ประเทศไหน? จะสามารถเป็นประเทศแรกที่ชื่อว่า

            ประชาชนปฏิวัติ อย่างสันติ สงบ ไม่มีอาวุธ สำเร็จกันได้สักประเทศ

            ประเทศไทย ทำมาได้กันถึงปานนี้แล้ว ซึ่งพิสูจน์ความรู้ ความมั่นใจ กันขนาดนี้แล้ว เหลือความกล้าอีกนิดเดียว...ความจริงที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย

            ประชาชนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ก็จะเกิด"ความจริง" อัน Supreme-Absolute-Ultimate กันในอีก...ในไม่กี่อึดใจนี้แล้ว

 

            การใช้อำนาจแม้ในคน ก็รู้ว่าอำนาจที่เป็นคุณธรรม หรือเป็นพระคุณ ไม่ใช่ประเดช ก็พอรู้ว่าดีกว่า แต่มันยาก เพราะสัญชาติญาณสัตว์ อันเดิม ก็ใช้อำนาจพระเดช Force ครอบงำ กดกันต้องยอม แต่พอฉลาดกันหน่อย คนก็ไม่ได้ใช้เขี้ยว เล็บแล้ว แต่เขาเลี่ยงไปใช้ อำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ แม้เลี่ยงไม่ใช้เรี่ยวแรง แต่ก็จะเห็นได้ว่าได้ใช้เครื่องมือ ปืน อาวุธ ในการทำร้ายเขา หรือใช้เงินทองไปฟาดหัวเขา เขาก็ยอม ใช้ลาภไม่พอก็ใช้ยศ ที่คนเขาติดยึด ไม่พอก็ใช้สรรเสริญ ยกย่องเชิดชู แกล้งยกยอก็ทำ ใช้สิ่งเหล่านี้ดัน เพื่อให้เขาเป็นทาส เขาก็ยอม หรือแม้แต่จะใช้สุขทางกาม สุขทางอัตตา ให้เขายอมสยบ รับใช้ทำตาม ให้เราเป็นเจ้าของได้ เอาสิ่งเหล่านี้เป็นอำนาจ เท่าที่พูดมานี้เป็นโลกธรรม ไม่ได้ประเสริฐเลิศเลอจริง

            อำนาจของผู้ประเสริฐแท้ หรือโลกุตรธรรม เราไม่ใช้อาวุธแน่อยู่แล้ว แต่แม้อามิสก็ไม่ใช้ ไม่ใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จนสามารถเป็นไปได้

            คนสามารถเข้าใจ มีปัญญาเพ่ิม เรามาทำเพื่อสิ่งดีงาม เสียสละอดทน ร่วมมือร่วมใจร่วมแรง เพื่อประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ประเทศชาติ คนมีปัญญาก็ออกมา โดยไม่หวังส่ิงตอบแทน

            นี่คือธรรมะทวนกระแสโลก ซึ่งโลกใช้โลกธรรมตอบแทน แต่โลกุตระนั้นไม่ได้ทำเพื่อส่ิงเหล่านั้น บริสุทธิ์ใจเท่าไหร่ก็เป็นอาริยชนที่แท้จริงเท่านั้น

            กิเลสที่เป็นตัวหลักโง่หลงโลกธรรม เป็นธรรมดาของปุถุชน ซึ่งตกใต้โลกธรรมทั้่งสิ้น ผู้ใดมาเรียนรู้ธรรมะดังกล่าว มาเรียนรู้ปฏิบัติโลกุตรธรรม ล้างละโลกียะออก ให้มีโลกุตรธรรม

            โลกียะนั้นไม่ต้องไปเรียนศึกษาก็มีกัน คนในโลก สัตว์โลก ที่ไม่รู้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะแย่งชิงโลกียะ ที่จริงศาสนาอื่นเขาก็ประกาศโลกุตระ แต่เราจะพูดถึงศาสนาพุทธ

            ศาสนาพุทธ เรียนรู้ชัดเจนในโลกียะและโลกุตระ โลกธรรมนั้นมีเหตุที่จิตเราไปหลงติดยึด ก็เลยหลงโลกทุกวันนี้ เราจะเป็นผู้มีความกล้า จนกล้าออกมาปฏิวัติ ซึ่งแม้ในรธน.ก็ไม่กล้าพูดว่าให้ประชาชนปฏิวัติได้

            แต่อาตมาว่าปฏิวัติก็คือเปลี่ยนแปลงอำนาจใหม่ อย่างทหารใช้อำนาจพระเดช คนก็กลัว ก็ยอม เขาก็ได้อำนาจ เป็นประเพณี มาตรา 7 ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งคณะทหารก็ทำกันมาอยู่ตลอด แล้วก็ล้างรธน.

            เหมือนกับประชาชนกำลังปฏิวัติ​แต่มีนัยสำคัญที่ว่าเราไม่ได้ใช้อำนาจพระเดช เราใช้พระคุณ แล้วพระคุณไม่ผิดกฎหมาย แต่พระเดชนี่ผิดกฎหมาย ตามมาตรา 7 เขาก็ยังจำนน ยอมให้ใช้อำนาจ ต่อมาเรื่อยๆ จะมาเล่นแง่อย่างฝ่ายแดงที่ว่าปฏิวัติ ปี 49 ไม่ถูกต้อง แต่ที่จริง คณะตนเองก็สืบต่อจากแหล่งเดียวกันนั่นแหละ ก็พูดไป ก็รับถ่ายทอดกันมา เป็นขนบที่มาบริหารประเทศ

            คุณใช้พระเดชก็ยังจำนนเป็นประเพณี แต่ครั้งนี้เราก็ทำแบบพระคุณ เหมือนกาลิเลโอที่บอกว่าโลกกลม เขาก็ติดว่าโลกแบน เหมือนเราบอกว่าประชาชนปฏิวัติได้ แต่เขาก็บอกว่าไม่ได้ ส่งสัยจะต้องตายเหมือนกาลิเลโอหรือนี่ ...ตายก็ตาย(วะ)

            แล้วประชาชนมาปฏิวัติ นี่ถูกต้องตามรธน.ด้วย ….ถูกต้อง ตามรธน. ม.63 หรือ 69 หรือ70

มาตรา 63 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธโดยไม่มีการสร้างข้อมูลเท็จเอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับและไม่จ้างวานกลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

มาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

 

            แต่เราต่อต้านโดยสันติวิธี

ตาม มาตรา 69 (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

 

            เราปฏิบัติตามรธน. จนศาลคุ้มครองเรา

            หรือมาตรา 70  บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

มาตรา 71 บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย

 

            เรามาประท้วงเพราะเขาใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ไม่เป็นไปตามวิถีทางตามรธน.นี้  ซึ่งศาลก็ตัดสินไปแล้ว และมีอีกหลายคดีที่ยังไม่ตัดสิน หรือแม้ในองค์กรอิสระอีก

            อาตมาพูดเรื่องมหาปเทส 4 หรือสัปปุริสธรรม นี่คือ นิติรัฐ นิติธรรม

            หลักเกณฑ์ซ้อนเข้าไปเสริมเข้าไปเป็นหลักที่ถูกต้องตามธรรม ถูกทั้งกฎเกณฑ์ของรัฐ มันก็เสริมกัน เราต้องเอาธรรมะมาร่วมประกอบด้วย ส่วนหลักนิติรัฐนั้นเราก็พยายามทำตามอยู่แล้ว ตามกฏหมาย

            ส่วนวิถีทาง นั้น เราทำตามรธน.นี้ แม้ในม.7 ที่ว่าไม่มีบทบัญญัติแห่งรธน.นี้บังคับแก่กรณีใด เพราะฉะนั้น คำว่าประชาชนปฏิวัตินั้นไม่มี แต่มันมีแนวหรือวิถีทางที่เราทำ ปราศจากอาวุธ สันติ นี่คือสิ่งที่ควรหรือไม่ควร แม้ไม่มีพยัญชนะบัญญัติ แต่ก็พอมีอยู่บ้าง คำว่าไม่มีบัญญัติแก่กรณีใด หรือวิธีการ วิิถีทาง เราก็ทำตามที่เขาอนุญาต

            แม้ภาษาบัญญัติไม่มีตรงๆ แต่มีแนวโน้ม หรือแนวทางหรือวิถีทาง ...มันนำทางไปสู่จุดประเสริฐถูกต้องดีงาม นั้นมีไหม แต่อาตมาว่าเป็นนะ ไม่ได้กล่าวตู่เกินไป

            อาตมายืนยันว่า มหาปเทส 4 นั้น ตรงกับ รธน.มาตรา 7นะ

1.  สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร  ขัดกับสิ่งที่ควร  สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย 

2. สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร  สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย

3. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร  หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร  ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย 

4. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร  หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร  สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย (พระไตรฯ ล.5  ข.92)

            เมื่อไม่ได้ห้ามหรือไม่ได้อนุญาต แต่เข้ากับสิ่งที่ควร ฝีมือบริหารสุดห่วย แสดงกรรมกิริยาสุดห่วย เลี้ยวลด ปด สารพัด

 

            การปฏิวัติโดยประชาชนจึงงดงาม อดทน สุภาพเรียบร้อย ชี้แจงความถูกผิด ให้ยอมเพราะความถูกต้อง ประชาชนต้องออกมาร่วมแสดงด้วย

            คำว่ามะม่่วงหล่น ก็คือ จะปล่อยให้งอมให้เน่าแล้วหล่นเอง ก็สุดวิสัย เพราะเราไม่รุนแรง

            จบด้วยวิธีนั้นก็คือความจริง ที่จริงว่า ผิด คือผิด ถูกคือถูก ดีคือดี ชั่วคือชั่ว คนผิดจะยิ่งทำชั่วยิ่งแสดงออกต่างๆนานา ก็ทำไป เราใจเย็นๆ ไม่ต้องใจร้อนหรอก ช่วยกันทำไป

            ถ้าเผื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านไป จบด้วยประชาชนชนะจะเป็นประเพณีธรรมเนียม จะเป็น Best Record เป็นสิ่งบันทึกไว้ในโลก เป็นครั้งแรก ทีปฏิวัติโดยพลังของประชาชน​ไม่ใช้อำนาจอาวุธ จนรัฐบาลที่แสนดื้อด้าน แพ้ไป

            มาถึงวันนี้แล้ว เราทำมานี่มีสิ่งปรากฎชัดเจนนะ ว่าเราชนะ อันนี้ต้องขอบคุณทางด้านอีกฝ่ายหนึ่ง คือนปช. ส่วนเราก็เป็นกปปส.​ส่วนนปช.คือผนังทองแดงกำแพงเหล็กของรัฐบาล

            เขาก็พิสูจน์ตัวเขา เราก็พิสูจน์ตัวเรา เมื่อพิสูจน์ไปแล้ว เขาก็จำนน ต้องขอบคุณเขาที่มีปัญญารู้ว่า ถ้าทำแบบประเสริฐต้องไม่รุนแรง ไม่ใช้อาวุธ เขาก็ทำเหมือนกัน

            แต่ที่ทำรุนแรงก็จับไม่ได้ มีภาวะซับซ้อน หาว่ามือที่ 3 ที่จริงฝ่ายไหนนะมือที่ 3 แล้วเป็นฝ่ายไหน?นี่ถือเป็นผนังที่กั้นให้รัฐบาล เรียกว่าหนังหมา

            สมมุติว่า ทางโน้นก็สำนึกไม่รุนแรง สงบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่ใช้อาวุธเลย แล้วต่อไปจะต่อสู้กันด้วยอะไ? ก็เงิน เขาก็จะทุ่มซื้อคนมาเป็นผนังกั้น เหมือนหนังหมู

            หรือต่อมาเขาจะสำนึกอีกว่าไม่ต้องใช้เงินไม่ต้องใช้โลกธรรมหรืออามิสบังคับ ใครหนอจะเป็นฝ่ายชนะ...ฝ่าย กปปส.ชนะแน่ ...เพราะฉะนั้น กัดแข่ว ยุ่มก้น สู้ไว้

            ชนะรายทางมาถึงวันนี้ใครจะถอยบ้าง ...ไม่มียกสักครึ่งมือก็ไม่มี มันต้องกัดฟันสู้กันจริงๆ ตายเป็นตายนะ เหตุปัจจัยที่ว่านี้ คนที่ทำแล้วก็ทำผิด เป็นคนเสีย เขาก็ลงทุนนะ ต้องขอบคุณเขา ที่ลงทุน จนเขาจับได้ด่าทอก็ว่าไป

            อุปกิเลส 16

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)

3. โกธะ (โกรธ)

4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)

5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)

7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)

8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)

9.มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)

10.สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)

11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)

12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)

13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)

14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)

15. มทะ  (มัวเมา)

16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ)

(พตปฎ.เล่ม 12  ข้อ 93)

 

เราละล้างได้จะปีติ ซึ่งเป็นปีติที่เกิดจากการลดกิเลสได้ แต่ถ้าโลกๆเขาปีติที่ได้สมใจกิเลส กิเลสก็ยิ่งหนา ดีใจที่ได้ชั่วได้เลว ดีใจที่กิเลสเพ่ิม เป็นคนอวิชชา ดีใจที่ตัวเองได้ชั่ว ไม่รู้ว่าตนเองดีใจไปทำไม แทนที่จะสยองใจว่าตนได้สิ่งเสียหายเลวร้ายสั่งสมลงไป เป็นสัจธรรมที่่น่าสงสาร

            เป็นอัตราที่ทำให้เกิดวิบากทับทวี เป็นลักษณะยิ่งกว่าทวีคูณ แม้เขาจะชนะทางโลก แต่อกุศลกรรมสั่งสมในจิตเขาเป็นของแท้เลยนะ ซึ่งน่าสังเวชใจ

            ผู้ใดเรียนรู้อกุศลจิตตนได้ก็เรียนรู้ลดละเสีย อย่าให้มันครองในจิตเรา ให้มันออกไป ไม่เอากิริยาแบบนี้ เอาชนะคะคาน หยิ่งผยองเช่นนี้ ไม่เอาเราต้องละล้าง คุณจะเกิดปัญญาเห็นจริงๆเลยว่าเราไม่เอา แม้เราชนะทางโลก แต่เรากิเลสเพ่ิมเราไม่เอา

            คุณไปโกงเขาชนะ ได้เงินทอง แต่จิตคุณทุจริต จิตคุณได้ความทุจริต แล้วคุณยังดีใจที่ได้โกงเขาชนะอีก แล้วคนถูกโกงไปฟ้อง ก็สู้คดีอีก สู้คดีชนะอีก กิเลสก็ทับถมลงไป เพ่ิมๆปฏิภาคทวี จ้างทนายอย่างดี ว่าความให้ ว่าความชนะอีกดีใจอีก กิเลสทับทวี ก็ได้แต่กิเลสผิดชั่วโกง แล้วไปได้เปรียบ จิตคุณก็ไม่รู้ว่าทำผิด มีเงินจ้างแล้วชนะอีก ในทางโลกนี่ดี แต่ทางธรรมนี่ฉิบหายแล้วฉิบหายอีก อย่าทำเป็นอันขาด ถ้าคุณมีโอกาสชนะเขาแบบนี้ก็อย่าทำ เพราะการชนะในชาตินี้ก็หายไป แต่กิเลสสั่งสมหมักหมมเป็นอนุสัยอีกนานเท่านานไม่ได้ล้าง เพราะยิ่งแน่นยิ่งผูก หลงชั่วว่าดีก็ผนึก แม้ความดีพระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น คำว่ายึดพระพุทธเจ้าให้แค่สมทาน หรือสม อย่างผู้ฉลาด ผู้สงบแล้ว  รู้ยึดพออาศัย แต่ท่านสอนให้อย่าไปโง่ยึดหลงเป็นอุปาทาน

            รู้แล้วปฏิบัติให้ได้อันนี้สิสุดยอด อาตมาล้างมาไม่รู้กี่ชาติ แต่ชาตินี้อาตมายังถูกลิงลมอมข้าวพอง ยังไปแย่งชิงเอาชนะคะคานเขาอยู่ แต่อาตมามีของเก่า อาตมามีสยังอภิญญา ที่อาตมาเคยอธิบายว่า ได้เร่ิมจากปัจจัตตัง การบรรลุนั้นมีทั้งจิตทำให้กิเลสอ่อนออกไปได้ แล้วมีตัวรู้ด้วยว่ากิเลสออก แล้วออกอย่างยั่งยืนเที่ยงแท้ถาวรหรือไม่ แล้วก็พิสูจน์ไปตามกาละเวลาว่าแน่นอนแล้วนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) สั่งสมใส่ตนเองก็เป็นปัจจัตตัง เป็นปัจเจกภูมิ มากขึ้นสั่งสมเป็น สยังอภิญญา แต่สูงสุดก็คือ สยัมภู ยกศัพท์นี้ให้พระพุทธเจ้า อาตมาได้แค่สยังอภิญญา ซึ่งอาตมาไม่ได้มีสยังอภิญญาที่สูงเท่าไหร่หรอก แต่เขาก็หาว่าอาตมาพูดเอง แต่มันเป็นพุทธธรรม เป็นหน้าที่ของอาตมาที่จะมาประกาศในโลก หากไม่ประกาศก็จะสูญหาย ซึ่งอาตมาพูดนี่มีสภาวะมีพยัญชนะที่สื่อสภาวธรรม

            คนที่มีสภาวะแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร?ก็ไม่ได้บรรลุสิ ดีไม่ดีได้แล้วก็ไม่ชัดเจนปล่อยให้เวียนกลับไปอีก แต่ที่จริงควรทำให้ได้ตลอดกาลเลย ปัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ ให้ยึดไว้อย่างมั่นคง มีแล้วก็ยึดไว้ แต่อย่าให้ติด ดีให้ไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยปัญญาไปควบคุม ปัญญาที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรล้มล้างได้

            อย่างคุณสุเทพที่มีคนเคลือบแคลงสงสัย แต่อาตมาว่า สมมุติว่าแม้คุณสุเทพมีจิตไม่ดี แต่ว่ากายวิญญัติ วจีวิญญัติที่ออกมาแสดงออกมาอย่างนี้ ทำได้ดีมากเลย ให้ทำไปเลย อย่างเดินนี่เดินสามเท่าของคนอื่นเชียวนะ...น่ายกย่องให้ทำไปเลย ซึ่งจิตลึกๆอาตมาไม่เชื่อว่าคุณสุเทพไม่ได้ทำแฝงหรือทำหลอก ที่จะทำไม่ดีงามในอนาคต

            สมมุติว่า ชนะเสร็จ (ไม่ได้ตีปลาหน้าไซนะ) เสร็จแล้ว คนก็โหวตให้สุเทพเป็นนายกฯ ประชาชนโหวตเลย ใช้ ประชามติ ก็ได้ ให้สุเทพเป็นนายกฯ เหมาะสมที่สุด อาตมาก็ว่าไม่ใช่ความเลวนะ ส่วนตัวคุณสุเทพจะรับหรือไม่รรับก็อีกทีนะ ถ้าประชาชนประชามติให้สุเทพ เขาไ่ม่ผิดนะ แต่อาตมาว่าสุเทพเขาพูดจริงนะ ต้องปฏิรูปให้เสร็จไม่ให้เสียของ

            โอกาสครั้งนี้ถ้าไม่ได้ จะมีโอกาสอีกยากมากๆเลย เพราะฉะนั้น วันที่ 5 วันที่ 13 และวันที่ 14 นี่ให้รวมกันให้มากเลย โดยเฉพาะข้าราชการผู้ใหญ่น่าจะมาผนึกกัน เป็น Final แล้วนะ ครั้งสุดท้ายแล้วนะ

            ทางฝ่าย นปช.ก็แข็งนะ ยิ่งทำให้ฝ่ายประชาชนอดทน ใช้ปัญญา สุภาพเรียบร้อย ดียิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ดี อาตมาว่ามันพอทนได้นะ ว่าไหม? ใช่ไหม? แม้หนักหนาเหน็ดเหนื่อย ก็ กัดแข่ว ยุ่มก้น ใส่เข้าไปอีกหน่อยนะ

           

            อาตมาเชื่อว่าผู้ที่มาต่อสู้กับเราเขาก็ต้องสู้ แต่เขาขี่หลังเสือแล้ว ก็ต้องตายคาหลังเสือ ให้เสือกัดตายไป ลงมาก็เสีย ขอตายบนหลังเสือ

            แต่เราจะรบอย่างอาริยชน เป็นอาริยกะ เป็นการรบของคนประเสริฐรบกัน สุดยอดแล้ว จะบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์การเมือง ช่วยกันเก็บหลักฐานข้อมูลกันนะ ส่วนผู้สร้างหนังนั้นน่าจะถ่ายไว้หมดเลยนะ ไปตัดต่อได้หลายภาคเลย รับรองว่ายาวกว่ามังกรหยกแน่นอน

            ธรรมะชนะอธรรม แต่อธรรมก็ต้องหาวิธีขึ้นมาอีก แล้วธรรมะก็จะมาล้างอธรรมอีก จนอธรรมมีมากจนเข้ากลียุค ก็จะเกิดการล้างโลก ก็จะเหลือแต่คนดี

            พระพุทธเจ้าไม่อุบัติในสองยุค คือ ยุคคนดีมาก จนไม่ต้องอาศัยธรรมของพระพุทธเจ้า เช่นในศาสดาบางองค์ ก็เกิดมาช่วยโลกในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้า เพราะคนไม่เลวมากนัก แต่ว่าในยุคที่คนเลวมากสมควรที่พระพุทธเจ้าจะมาช่วยได้ จนต่อมาศาสนาพุทธก็จะถูกบิดเบี้ยวไม่เหลือ ยุคที่ศาสนาพุทธไม่เหลือ มีแต่ความเลวร้ายของสังคม พระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้ในยุคเช่นนี้ เช่นองค์สมณโคดมก็เป็นองค์สุดท้าย จากนี้ไปไม่มีพระพุทธเจ้าเกิด จะมีแต่โพธิสัตว์และศาสดาบางองค์เกิด แล้วจะเกิดกลียุคเลวร้ายที่ พระพุทธเจ้าไม่มาเกิด ถ้าเกิดมาก็เสียหาย ทำหยาบไม่ได้ แต่อย่างโพธิรักษ์ทำหยาบได้ ต้องการผล ไม่กลัวเสียรังวัด หยาบบ้างก็ต้องทำ ให้เหมาะกับคนที่เกิดในยุคนี้ แต่ก็ต้องประมาณ หยาบเกินไม่ทำ เช่นพระโมคคัลลานะก็ยอมตาย ไม่ทำหยาบไปเอาชนะเขา แต่ถ้าหยาบก็ชนะเขาได้แต่ท่านไม่ทำ สรุปแล้วพุทธันดรคือช่วงที่พระพุทธเจ้าไม่อุบัติมีแต่สาวก หรือไม่มีสาวก มีแต่อัญญเดียรถีย์ กับยุคที่ดีที่สุดไม่เดือดร้อนมาก ไม่ต้องใช้ศาสนาพุทธ ศาสนาทั่วไปก็ช่วยได้แล้ว ไม่ต้องถึงมืออเทวนิยม            


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:54:17 )

570503

รายละเอียด

570503_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง ถ้าไม่มีคนกล้า สิ่งวิเศษไม่เกิด

            ใน 100 คนจะมีคนกล้าสัก 1 คน

ในพันคนจะมีนักปราชญ์ สัก 1 คน

ในแสนคนจะมีคนพูดจริงสัก 1 คน

แต่คนทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน ..ไม่รู้จะมีไหม? ...ที่นี่ไง

            อาตมาเรียบเรียงเรื่องนี้มา ลองฟังกันดูนะ 

ถ้าไม่มีคนกล้า สิ่งวิเศษไม่เกิด

            ถ้าไม่มีคนกล้าทำสิ่งที่ใหม่ที่แปลก แม้สิ่งนั้นจะยังไม่เคยมี ไม่เคยปรากฏ แต่เป็นสิ่งที่ วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์

            ก็จะไม่มีสิ่งวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ อุบัติขึ้นในโลก โลกก็จะไม่ได้ใช้ไม่ได้อาศัย ความจริงที่ วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ นั้น

            ถ้าไม่มี กาลิเลโอ ออกมาประกาศยืนยันว่า โลกกลม คนก็จะอยู่กันแบบ ที่คำนวณดาราศาสตร์กันแบบโลกแบนนั่นแหละ ใช้งานกันต่อไปในโลก อาศัยโลกแบนนี้ต่อไป

            แต่เพราะมีคนกล้าประกาศว่าโลกกลม ในยุคที่คนทั้งโลกเชื่อสนิทว่าโลกแบน และไม่เชื่อว่า โลกกลม

            เมื่อสัจจะคือ โลกกลม สังคมมนุษย์ถึงเวลาจึงได้รู้แจ้งว่าโลกกลม กันถึงปัจจุบันนี้ เพราะความจริง ความรู้ ความมั่นใจ ความกล้าหาญ ของกาลิเลโอ จึงเกิดความรู้จากความมั่นใจ และความกล้าของกาลิเลโอ จึงมีความจริง เกิดขึ้นในโลกให้มนุษย์โลกจึงเจริญไปกับความจริงนี้

            ฉันใดเมื่อประชาชนเจ้าของประเทศเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแท้ๆ ถ้าไม่มีสิทธิ์ในการจะได้ใช้อำนาจอธิปไตยนั้น  ก็จะมีอำนาจอื่นที่ไม่ใช่อำนาจอธิปไตยของประชาชน เข้ามายึดครองบงการ หรือบริหารประชาชนอยู่ตลอดไป เช่น

            อำนาจเป็นของคณะทหารปฏิวัติด้วยอาวุธ เป็นต้้น ซึ่งใช่อำนาจของประชาชนแน่หรือ?

            หรือหลงผิดว่า อำนาจรัฐบาลเป็นอำนาจรัฐทั้งรัฐ หรือเป็นอำนาจของประชาชนเบ็ดเสร็จ

สิ้นเชิงสัมบูรณ์ 

            มันใช่? มันเป็นจริงหรือ?

            เพราะไปหลงเข้าใจว่าประชาชนเลือกให้รัฐบาล เป็นเจ้าของสิทธิทั้งประเทศไปแล้ว ประชาชนจะประท้วงทวงอำนาจอธิปไตยนั้นคืนไม่ได้!!! ไม่มีสิทธิแล้ว หมดสิทธิ์แล้ว  จริงเช่นนั้นหรือ?

            รัฏฐาธิปัตย์ ของประชาชน คือ อำนาจเลือกตั้ง เท่านั้นจริงๆหรือ?

            รัฐบาลาธิปัตย์ คือ รัฏฐาธิปัตย์ จริงๆหรือ?

            มันเป็นอำนาจเดียวกันแน่หรือ?

            รัฐบาลาธิปัตย์ มีอำนาจเท่าใด? อย่างไร? แค่ไหน?

            ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจที่เรียกว่ารัฏฐาธิปัตย์ หรือประชาธิปไตย คืออะไร?

            อย่างไร? แค่ไหน?

            เมื่อถึงวาระที่สุด แห่งที่สุด ที่"ควร"ได้พิจารณา ตามหลักมหาปเทส 4 ชัดเจนแล้วว่า ควร ในสิ่งที่ควร

            เช่น ประชาชน ณ ลมหายใจเฮือกนี้ ควรจะได้อำนาจอธิปไตย คืนมาเป็นของประชาชน ได้หรือยัง?

            สังคมที่ถูกการบริหารปกครอง จนคนต้องฆ่าตัวตายกันเป็นสิบๆคนปานฉะนี้ เพราะฝีมือ

การบริหารปกครองของรัฐบาลนี้ และบริหารเงินทอง เส่ียหายป่นปี้กันไปแสนๆล้าน

            รัฐบาลปล่อยให้ผู้คนทั้งประชาชนและทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลเองออกมาประกาศทั้ปรพะพฤติซ่องสุมผู้คนฝึกกำลังที่จะแยกแผ่นดิน ตั้งรัฐใหม่กันโจ่งแจ้งปานนี้

            ยังไม่ถือว่า มีฝีมือพอ ที่จะตัดสินได้บ้างหรือ?

            ว่า รัฐบาลนี้เป็นกบฏ เป็นเพชฌฆาตประชาชน ผลาญพร่าประเทศชาติสุดอำมหิตเสียหายแล้วขนาดนี้

            ประชาชนควรได้อำนาจอธิปไตยคืนมาจัดการเองหรือยัง?

            ตุลาการภิวัตน์ ก็ได้ทำหน้าที่ ชี้ชัดกัน ยืนยันออกแน่นหนาปานฉะนี้แล้ว

            และได้เห็นความดื้อด้าน ดันทุรังของรัฐบาลก็ชัดจัดจนไม่รู้จะชัดจัดกันแค่ไหนแล้ว

            ประชาภิวัตน์ มวลมหาประชาชนก็ได้ร่วมรวมตัวแสดงตนออกมาประท้วงยืนยัน ยืนหยัดกันทั้่งปริมาณมวลมหาประชาชน ทั้งคุณภาพคุณธรรมสุดบริสุทธิ์อุตสาหะ ยืนยาวกันมาจนป่านนี้

            คนไทยช่วยกันออกมาปฏิวัติชนิดใหม่ คือ ปฏิวัติด้วยความสงบ ไม่รุนแรง ไม่ใช่อาวุธ กั นออกอย่างนี้

            ซึ่งถูกต้องตามรัฐธรรมนูญนี้ อย่างสวยงามวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ กันได้ ปานฉะนี้ ถึงอย่างนี้ ผู้รู้ก็ยังไม่รู้ ประชาชนก็ยังไม่เห็น ว่านี่คือ ความจริงที่ชื่อว่า อำนาจอธิปไตยที่ประชาชนออกมาแสดงตัวกันขนาดนี้ เช่นนี้นี่แหละ คือ อำนาจของประชาชนที่สามารถจะเป็นเจ้าของอำนาจ

            และที่สำคัญ ประชาชนสามารถแสดงสมรรถนะความเป็นอำนาจอธิปไตยกันออกปานฉะนี้แล้ว

            ผู้รู้ก็ดี ประชาชาก็ตาม ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจว่า นี่คือ อำนาจอธิปไตย เป็นของประชาชน ทำเพื่อประชาชน โดยประชาชนร่วมกันทำแท้ๆ แล้ว

            เมื่อใด? ประเทศไหน? จะสามารถเป็นประเทศแรกที่ชื่อว่า

            ประชาชนปฏิวัติ อย่างสันติ สงบ ไม่มีอาวุธ สำเร็จกันได้สักประเทศ

            ประเทศไทย ทำมาได้กันถึงปานนี้แล้ว ซึ่งพิสูจน์ความรู้ ความมั่นใจ กันขนาดนี้แล้ว เหลือความกล้าอีกนิดเดียว...ความจริงที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย

            ประชาชนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ก็จะเกิด"ความจริง" อัน Supreme-Absolute-Ultimate กันในอีก...ในไม่กี่อึดใจนี้แล้ว

 

            การใช้อำนาจแม้ในคน ก็รู้ว่าอำนาจที่เป็นคุณธรรม หรือเป็นพระคุณ ไม่ใช่ประเดช ก็พอรู้ว่าดีกว่า แต่มันยาก เพราะสัญชาติญาณสัตว์ อันเดิม ก็ใช้อำนาจพระเดช Force ครอบงำ กดกันต้องยอม แต่พอฉลาดกันหน่อย คนก็ไม่ได้ใช้เขี้ยว เล็บแล้ว แต่เขาเลี่ยงไปใช้ อำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ แม้เลี่ยงไม่ใช้เรี่ยวแรง แต่ก็จะเห็นได้ว่าได้ใช้เครื่องมือ ปืน อาวุธ ในการทำร้ายเขา หรือใช้เงินทองไปฟาดหัวเขา เขาก็ยอม ใช้ลาภไม่พอก็ใช้ยศ ที่คนเขาติดยึด ไม่พอก็ใช้สรรเสริญ ยกย่องเชิดชู แกล้งยกยอก็ทำ ใช้สิ่งเหล่านี้ดัน เพื่อให้เขาเป็นทาส เขาก็ยอม หรือแม้แต่จะใช้สุขทางกาม สุขทางอัตตา ให้เขายอมสยบ รับใช้ทำตาม ให้เราเป็นเจ้าของได้ เอาสิ่งเหล่านี้เป็นอำนาจ เท่าที่พูดมานี้เป็นโลกธรรม ไม่ได้ประเสริฐเลิศเลอจริง

            อำนาจของผู้ประเสริฐแท้ หรือโลกุตรธรรม เราไม่ใช้อาวุธแน่อยู่แล้ว แต่แม้อามิสก็ไม่ใช้ ไม่ใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จนสามารถเป็นไปได้

            คนสามารถเข้าใจ มีปัญญาเพ่ิม เรามาทำเพื่อสิ่งดีงาม เสียสละอดทน ร่วมมือร่วมใจร่วมแรง เพื่อประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ประเทศชาติ คนมีปัญญาก็ออกมา โดยไม่หวังส่ิงตอบแทน

            นี่คือธรรมะทวนกระแสโลก ซึ่งโลกใช้โลกธรรมตอบแทน แต่โลกุตระนั้นไม่ได้ทำเพื่อส่ิงเหล่านั้น บริสุทธิ์ใจเท่าไหร่ก็เป็นอาริยชนที่แท้จริงเท่านั้น

            กิเลสที่เป็นตัวหลักโง่หลงโลกธรรม เป็นธรรมดาของปุถุชน ซึ่งตกใต้โลกธรรมทั้่งสิ้น ผู้ใดมาเรียนรู้ธรรมะดังกล่าว มาเรียนรู้ปฏิบัติโลกุตรธรรม ล้างละโลกียะออก ให้มีโลกุตรธรรม

            โลกียะนั้นไม่ต้องไปเรียนศึกษาก็มีกัน คนในโลก สัตว์โลก ที่ไม่รู้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะแย่งชิงโลกียะ ที่จริงศาสนาอื่นเขาก็ประกาศโลกุตระ แต่เราจะพูดถึงศาสนาพุทธ

            ศาสนาพุทธ เรียนรู้ชัดเจนในโลกียะและโลกุตระ โลกธรรมนั้นมีเหตุที่จิตเราไปหลงติดยึด ก็เลยหลงโลกทุกวันนี้ เราจะเป็นผู้มีความกล้า จนกล้าออกมาปฏิวัติ ซึ่งแม้ในรธน.ก็ไม่กล้าพูดว่าให้ประชาชนปฏิวัติได้

            แต่อาตมาว่าปฏิวัติก็คือเปลี่ยนแปลงอำนาจใหม่ อย่างทหารใช้อำนาจพระเดช คนก็กลัว ก็ยอม เขาก็ได้อำนาจ เป็นประเพณี มาตรา 7 ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งคณะทหารก็ทำกันมาอยู่ตลอด แล้วก็ล้างรธน.

            เหมือนกับประชาชนกำลังปฏิวัติ​แต่มีนัยสำคัญที่ว่าเราไม่ได้ใช้อำนาจพระเดช เราใช้พระคุณ แล้วพระคุณไม่ผิดกฎหมาย แต่พระเดชนี่ผิดกฎหมาย ตามมาตรา 7 เขาก็ยังจำนน ยอมให้ใช้อำนาจ ต่อมาเรื่อยๆ จะมาเล่นแง่อย่างฝ่ายแดงที่ว่าปฏิวัติ ปี 49 ไม่ถูกต้อง แต่ที่จริง คณะตนเองก็สืบต่อจากแหล่งเดียวกันนั่นแหละ ก็พูดไป ก็รับถ่ายทอดกันมา เป็นขนบที่มาบริหารประเทศ

            คุณใช้พระเดชก็ยังจำนนเป็นประเพณี แต่ครั้งนี้เราก็ทำแบบพระคุณ เหมือนกาลิเลโอที่บอกว่าโลกกลม เขาก็ติดว่าโลกแบน เหมือนเราบอกว่าประชาชนปฏิวัติได้ แต่เขาก็บอกว่าไม่ได้ ส่งสัยจะต้องตายเหมือนกาลิเลโอหรือนี่ ...ตายก็ตาย(วะ)

            แล้วประชาชนมาปฏิวัติ นี่ถูกต้องตามรธน.ด้วย ….ถูกต้อง ตามรธน. ม.63 หรือ 69 หรือ70

มาตรา 63 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธโดยไม่มีการสร้างข้อมูลเท็จเอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับและไม่จ้างวานกลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

มาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

 

            แต่เราต่อต้านโดยสันติวิธี

ตาม มาตรา 69 (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

 

            เราปฏิบัติตามรธน. จนศาลคุ้มครองเรา

            หรือมาตรา 70  บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

มาตรา 71 บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย

 

            เรามาประท้วงเพราะเขาใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ไม่เป็นไปตามวิถีทางตามรธน.นี้  ซึ่งศาลก็ตัดสินไปแล้ว และมีอีกหลายคดีที่ยังไม่ตัดสิน หรือแม้ในองค์กรอิสระอีก

            อาตมาพูดเรื่องมหาปเทส 4 หรือสัปปุริสธรรม นี่คือ นิติรัฐ นิติธรรม

            หลักเกณฑ์ซ้อนเข้าไปเสริมเข้าไปเป็นหลักที่ถูกต้องตามธรรม ถูกทั้งกฎเกณฑ์ของรัฐ มันก็เสริมกัน เราต้องเอาธรรมะมาร่วมประกอบด้วย ส่วนหลักนิติรัฐนั้นเราก็พยายามทำตามอยู่แล้ว ตามกฏหมาย

            ส่วนวิถีทาง นั้น เราทำตามรธน.นี้ แม้ในม.7 ที่ว่าไม่มีบทบัญญัติแห่งรธน.นี้บังคับแก่กรณีใด เพราะฉะนั้น คำว่าประชาชนปฏิวัตินั้นไม่มี แต่มันมีแนวหรือวิถีทางที่เราทำ ปราศจากอาวุธ สันติ นี่คือสิ่งที่ควรหรือไม่ควร แม้ไม่มีพยัญชนะบัญญัติ แต่ก็พอมีอยู่บ้าง คำว่าไม่มีบัญญัติแก่กรณีใด หรือวิธีการ วิิถีทาง เราก็ทำตามที่เขาอนุญาต

            แม้ภาษาบัญญัติไม่มีตรงๆ แต่มีแนวโน้ม หรือแนวทางหรือวิถีทาง ...มันนำทางไปสู่จุดประเสริฐถูกต้องดีงาม นั้นมีไหม แต่อาตมาว่าเป็นนะ ไม่ได้กล่าวตู่เกินไป

            อาตมายืนยันว่า มหาปเทส 4 นั้น ตรงกับ รธน.มาตรา 7นะ

1.  สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร  ขัดกับสิ่งที่ควร  สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย 

2. สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร  สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย

3. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร  หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร  ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย 

4. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร  หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร  สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย (พระไตรฯ ล.5  ข.92)

            เมื่อไม่ได้ห้ามหรือไม่ได้อนุญาต แต่เข้ากับสิ่งที่ควร ฝีมือบริหารสุดห่วย แสดงกรรมกิริยาสุดห่วย เลี้ยวลด ปด สารพัด

 

            การปฏิวัติโดยประชาชนจึงงดงาม อดทน สุภาพเรียบร้อย ชี้แจงความถูกผิด ให้ยอมเพราะความถูกต้อง ประชาชนต้องออกมาร่วมแสดงด้วย

            คำว่ามะม่่วงหล่น ก็คือ จะปล่อยให้งอมให้เน่าแล้วหล่นเอง ก็สุดวิสัย เพราะเราไม่รุนแรง

            จบด้วยวิธีนั้นก็คือความจริง ที่จริงว่า ผิด คือผิด ถูกคือถูก ดีคือดี ชั่วคือชั่ว คนผิดจะยิ่งทำชั่วยิ่งแสดงออกต่างๆนานา ก็ทำไป เราใจเย็นๆ ไม่ต้องใจร้อนหรอก ช่วยกันทำไป

            ถ้าเผื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านไป จบด้วยประชาชนชนะจะเป็นประเพณีธรรมเนียม จะเป็น Best Record เป็นสิ่งบันทึกไว้ในโลก เป็นครั้งแรก ทีปฏิวัติโดยพลังของประชาชน​ไม่ใช้อำนาจอาวุธ จนรัฐบาลที่แสนดื้อด้าน แพ้ไป

            มาถึงวันนี้แล้ว เราทำมานี่มีสิ่งปรากฎชัดเจนนะ ว่าเราชนะ อันนี้ต้องขอบคุณทางด้านอีกฝ่ายหนึ่ง คือนปช. ส่วนเราก็เป็นกปปส.​ส่วนนปช.คือผนังทองแดงกำแพงเหล็กของรัฐบาล

            เขาก็พิสูจน์ตัวเขา เราก็พิสูจน์ตัวเรา เมื่อพิสูจน์ไปแล้ว เขาก็จำนน ต้องขอบคุณเขาที่มีปัญญารู้ว่า ถ้าทำแบบประเสริฐต้องไม่รุนแรง ไม่ใช้อาวุธ เขาก็ทำเหมือนกัน

            แต่ที่ทำรุนแรงก็จับไม่ได้ มีภาวะซับซ้อน หาว่ามือที่ 3 ที่จริงฝ่ายไหนนะมือที่ 3 แล้วเป็นฝ่ายไหน?นี่ถือเป็นผนังที่กั้นให้รัฐบาล เรียกว่าหนังหมา

            สมมุติว่า ทางโน้นก็สำนึกไม่รุนแรง สงบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่ใช้อาวุธเลย แล้วต่อไปจะต่อสู้กันด้วยอะไ? ก็เงิน เขาก็จะทุ่มซื้อคนมาเป็นผนังกั้น เหมือนหนังหมู

            หรือต่อมาเขาจะสำนึกอีกว่าไม่ต้องใช้เงินไม่ต้องใช้โลกธรรมหรืออามิสบังคับ ใครหนอจะเป็นฝ่ายชนะ...ฝ่าย กปปส.ชนะแน่ ...เพราะฉะนั้น กัดแข่ว ยุ่มก้น สู้ไว้

            ชนะรายทางมาถึงวันนี้ใครจะถอยบ้าง ...ไม่มียกสักครึ่งมือก็ไม่มี มันต้องกัดฟันสู้กันจริงๆ ตายเป็นตายนะ เหตุปัจจัยที่ว่านี้ คนที่ทำแล้วก็ทำผิด เป็นคนเสีย เขาก็ลงทุนนะ ต้องขอบคุณเขา ที่ลงทุน จนเขาจับได้ด่าทอก็ว่าไป

            อุปกิเลส 16

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)

3. โกธะ (โกรธ)

4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)

5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)

7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)

8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)

9.มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)

10.สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)

11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)

12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)

13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)

14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)

15. มทะ  (มัวเมา)

16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ)

(พตปฎ.เล่ม 12  ข้อ 93)

 

เราละล้างได้จะปีติ ซึ่งเป็นปีติที่เกิดจากการลดกิเลสได้ แต่ถ้าโลกๆเขาปีติที่ได้สมใจกิเลส กิเลสก็ยิ่งหนา ดีใจที่ได้ชั่วได้เลว ดีใจที่กิเลสเพ่ิม เป็นคนอวิชชา ดีใจที่ตัวเองได้ชั่ว ไม่รู้ว่าตนเองดีใจไปทำไม แทนที่จะสยองใจว่าตนได้สิ่งเสียหายเลวร้ายสั่งสมลงไป เป็นสัจธรรมที่่น่าสงสาร

            เป็นอัตราที่ทำให้เกิดวิบากทับทวี เป็นลักษณะยิ่งกว่าทวีคูณ แม้เขาจะชนะทางโลก แต่อกุศลกรรมสั่งสมในจิตเขาเป็นของแท้เลยนะ ซึ่งน่าสังเวชใจ

            ผู้ใดเรียนรู้อกุศลจิตตนได้ก็เรียนรู้ลดละเสีย อย่าให้มันครองในจิตเรา ให้มันออกไป ไม่เอากิริยาแบบนี้ เอาชนะคะคาน หยิ่งผยองเช่นนี้ ไม่เอาเราต้องละล้าง คุณจะเกิดปัญญาเห็นจริงๆเลยว่าเราไม่เอา แม้เราชนะทางโลก แต่เรากิเลสเพ่ิมเราไม่เอา

            คุณไปโกงเขาชนะ ได้เงินทอง แต่จิตคุณทุจริต จิตคุณได้ความทุจริต แล้วคุณยังดีใจที่ได้โกงเขาชนะอีก แล้วคนถูกโกงไปฟ้อง ก็สู้คดีอีก สู้คดีชนะอีก กิเลสก็ทับถมลงไป เพ่ิมๆปฏิภาคทวี จ้างทนายอย่างดี ว่าความให้ ว่าความชนะอีกดีใจอีก กิเลสทับทวี ก็ได้แต่กิเลสผิดชั่วโกง แล้วไปได้เปรียบ จิตคุณก็ไม่รู้ว่าทำผิด มีเงินจ้างแล้วชนะอีก ในทางโลกนี่ดี แต่ทางธรรมนี่ฉิบหายแล้วฉิบหายอีก อย่าทำเป็นอันขาด ถ้าคุณมีโอกาสชนะเขาแบบนี้ก็อย่าทำ เพราะการชนะในชาตินี้ก็หายไป แต่กิเลสสั่งสมหมักหมมเป็นอนุสัยอีกนานเท่านานไม่ได้ล้าง เพราะยิ่งแน่นยิ่งผูก หลงชั่วว่าดีก็ผนึก แม้ความดีพระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น คำว่ายึดพระพุทธเจ้าให้แค่สมทาน หรือสม อย่างผู้ฉลาด ผู้สงบแล้ว  รู้ยึดพออาศัย แต่ท่านสอนให้อย่าไปโง่ยึดหลงเป็นอุปาทาน

            รู้แล้วปฏิบัติให้ได้อันนี้สิสุดยอด อาตมาล้างมาไม่รู้กี่ชาติ แต่ชาตินี้อาตมายังถูกลิงลมอมข้าวพอง ยังไปแย่งชิงเอาชนะคะคานเขาอยู่ แต่อาตมามีของเก่า อาตมามีสยังอภิญญา ที่อาตมาเคยอธิบายว่า ได้เร่ิมจากปัจจัตตัง การบรรลุนั้นมีทั้งจิตทำให้กิเลสอ่อนออกไปได้ แล้วมีตัวรู้ด้วยว่ากิเลสออก แล้วออกอย่างยั่งยืนเที่ยงแท้ถาวรหรือไม่ แล้วก็พิสูจน์ไปตามกาละเวลาว่าแน่นอนแล้วนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) สั่งสมใส่ตนเองก็เป็นปัจจัตตัง เป็นปัจเจกภูมิ มากขึ้นสั่งสมเป็น สยังอภิญญา แต่สูงสุดก็คือ สยัมภู ยกศัพท์นี้ให้พระพุทธเจ้า อาตมาได้แค่สยังอภิญญา ซึ่งอาตมาไม่ได้มีสยังอภิญญาที่สูงเท่าไหร่หรอก แต่เขาก็หาว่าอาตมาพูดเอง แต่มันเป็นพุทธธรรม เป็นหน้าที่ของอาตมาที่จะมาประกาศในโลก หากไม่ประกาศก็จะสูญหาย ซึ่งอาตมาพูดนี่มีสภาวะมีพยัญชนะที่สื่อสภาวธรรม

            คนที่มีสภาวะแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร?ก็ไม่ได้บรรลุสิ ดีไม่ดีได้แล้วก็ไม่ชัดเจนปล่อยให้เวียนกลับไปอีก แต่ที่จริงควรทำให้ได้ตลอดกาลเลย ปัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ ให้ยึดไว้อย่างมั่นคง มีแล้วก็ยึดไว้ แต่อย่าให้ติด ดีให้ไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยปัญญาไปควบคุม ปัญญาที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรล้มล้างได้

            อย่างคุณสุเทพที่มีคนเคลือบแคลงสงสัย แต่อาตมาว่า สมมุติว่าแม้คุณสุเทพมีจิตไม่ดี แต่ว่ากายวิญญัติ วจีวิญญัติที่ออกมาแสดงออกมาอย่างนี้ ทำได้ดีมากเลย ให้ทำไปเลย อย่างเดินนี่เดินสามเท่าของคนอื่นเชียวนะ...น่ายกย่องให้ทำไปเลย ซึ่งจิตลึกๆอาตมาไม่เชื่อว่าคุณสุเทพไม่ได้ทำแฝงหรือทำหลอก ที่จะทำไม่ดีงามในอนาคต

            สมมุติว่า ชนะเสร็จ (ไม่ได้ตีปลาหน้าไซนะ) เสร็จแล้ว คนก็โหวตให้สุเทพเป็นนายกฯ ประชาชนโหวตเลย ใช้ ประชามติ ก็ได้ ให้สุเทพเป็นนายกฯ เหมาะสมที่สุด อาตมาก็ว่าไม่ใช่ความเลวนะ ส่วนตัวคุณสุเทพจะรับหรือไม่รรับก็อีกทีนะ ถ้าประชาชนประชามติให้สุเทพ เขาไ่ม่ผิดนะ แต่อาตมาว่าสุเทพเขาพูดจริงนะ ต้องปฏิรูปให้เสร็จไม่ให้เสียของ

            โอกาสครั้งนี้ถ้าไม่ได้ จะมีโอกาสอีกยากมากๆเลย เพราะฉะนั้น วันที่ 5 วันที่ 13 และวันที่ 14 นี่ให้รวมกันให้มากเลย โดยเฉพาะข้าราชการผู้ใหญ่น่าจะมาผนึกกัน เป็น Final แล้วนะ ครั้งสุดท้ายแล้วนะ

            ทางฝ่าย นปช.ก็แข็งนะ ยิ่งทำให้ฝ่ายประชาชนอดทน ใช้ปัญญา สุภาพเรียบร้อย ดียิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ดี อาตมาว่ามันพอทนได้นะ ว่าไหม? ใช่ไหม? แม้หนักหนาเหน็ดเหนื่อย ก็ กัดแข่ว ยุ่มก้น ใส่เข้าไปอีกหน่อยนะ

           

            อาตมาเชื่อว่าผู้ที่มาต่อสู้กับเราเขาก็ต้องสู้ แต่เขาขี่หลังเสือแล้ว ก็ต้องตายคาหลังเสือ ให้เสือกัดตายไป ลงมาก็เสีย ขอตายบนหลังเสือ

            แต่เราจะรบอย่างอาริยชน เป็นอาริยกะ เป็นการรบของคนประเสริฐรบกัน สุดยอดแล้ว จะบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์การเมือง ช่วยกันเก็บหลักฐานข้อมูลกันนะ ส่วนผู้สร้างหนังนั้นน่าจะถ่ายไว้หมดเลยนะ ไปตัดต่อได้หลายภาคเลย รับรองว่ายาวกว่ามังกรหยกแน่นอน

            ธรรมะชนะอธรรม แต่อธรรมก็ต้องหาวิธีขึ้นมาอีก แล้วธรรมะก็จะมาล้างอธรรมอีก จนอธรรมมีมากจนเข้ากลียุค ก็จะเกิดการล้างโลก ก็จะเหลือแต่คนดี

            พระพุทธเจ้าไม่อุบัติในสองยุค คือ ยุคคนดีมาก จนไม่ต้องอาศัยธรรมของพระพุทธเจ้า เช่นในศาสดาบางองค์ ก็เกิดมาช่วยโลกในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้า เพราะคนไม่เลวมากนัก แต่ว่าในยุคที่คนเลวมากสมควรที่พระพุทธเจ้าจะมาช่วยได้ จนต่อมาศาสนาพุทธก็จะถูกบิดเบี้ยวไม่เหลือ ยุคที่ศาสนาพุทธไม่เหลือ มีแต่ความเลวร้ายของสังคม พระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้ในยุคเช่นนี้ เช่นองค์สมณโคดมก็เป็นองค์สุดท้าย จากนี้ไปไม่มีพระพุทธเจ้าเกิด จะมีแต่โพธิสัตว์และศาสดาบางองค์เกิด แล้วจะเกิดกลียุคเลวร้ายที่ พระพุทธเจ้าไม่มาเกิด ถ้าเกิดมาก็เสียหาย ทำหยาบไม่ได้ แต่อย่างโพธิรักษ์ทำหยาบได้ ต้องการผล ไม่กลัวเสียรังวัด หยาบบ้างก็ต้องทำ ให้เหมาะกับคนที่เกิดในยุคนี้ แต่ก็ต้องประมาณ หยาบเกินไม่ทำ เช่นพระโมคคัลลานะก็ยอมตาย ไม่ทำหยาบไปเอาชนะเขา แต่ถ้าหยาบก็ชนะเขาได้แต่ท่านไม่ทำ สรุปแล้วพุทธันดรคือช่วงที่พระพุทธเจ้าไม่อุบัติมีแต่สาวก หรือไม่มีสาวก มีแต่อัญญเดียรถีย์ กับยุคที่ดีที่สุดไม่เดือดร้อนมาก ไม่ต้องใช้ศาสนาพุทธ ศาสนาทั่วไปก็ช่วยได้แล้ว ไม่ต้องถึงมืออเทวนิยม           


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 16:59:47 )

570504

รายละเอียด

570504_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง มนุษย์เกิดมาทำไม?

       อาตมาขยันพูดอยู่ แต่ทำไมลูกๆหลานๆไม่ขยันฟัง แต่เรามีหน้าที่พูด ไม่ฟังก็พูดฟรี รับรองว่าไม่น้อยใจ

       พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ อาตมาว่า ใน 500 ปีจะมีครั้งหนึ่ง จะมีอะไรพิเศษ ก็คอยดูพรุ่งนี้กัน และจะมีสัปดาห์วิสาขบูชาที่จะมี ขอให้องค์กรทุกหน่วยงานของชาวอโศก ขอให้หยุดงาน Shutdown มาร่วมกันในครั้งนี้ แล้วก็วันที่ 6 – 12 จะเป็นงานสัปดาห์ วิสาชบูชาวิชิตชัย จะมีการ “ปักหลักเปิดโลก”

1. ทำอย่างไรจะพ้นความเป็นสัตว์

2. อธิบายความเป็นโลกนรก เทวดา ทั้ง 6 ภูมิ พรหมอีก 20 ชั้น

มีรายการทำวัตรเย็นโดยพ่อครูทุกวัน

มีรายการก่อนฉัน และภาคบ่าย มีบำเพ็ญคุณ บำเพ็ญธรรม เก็บเต็นท์ กางเต๊นท์

 

       อาตมาเองมีเรื่องที่อยากจะพูดอยู่คือเรื่องของมนุษย์ ...สรุปว่า มนุษย์เกิดมาทำไม?....มนุษย์เกิดมาทำไม? …เกิดมาเพื่อสะสมธรรมะ แต่เพราะมนุษย์โง่ จึงไม่รู้ว่าตนเกิดมาสะสมธรรมะ กลับไปสะสม อธรรม  

 

       ธรรมะแปลว่าสิ่งทรงไว้ ขณะมีชีวิตก็ มีกาย เป็นองค์ประชุมที่มีร่างและจิต ร่างนี้จึงเป็นร่างกาย คำนี้ คำว่าร่างกายนี้เป็นนามธรรม แต่ว่าคนไปเข้าใจคำว่ากาย เป็นรูปธรรม จึงไม่พาบรรลุธรรม

       คำว่า กายนี้เป็นนามธรรม เป็นองค์ประชุม พอประชุมแล้ว มีร่าง รวมกันเข้า สังเคราะห์กัน ในทางชีววิทยา เป็นร่างกาย ...คือ ดิน นำ้ ไฟ ลม และ ใจ คำว่า กาย นี้คือ ใจ

       คำว่า กาย  นี้จะต้องมีดินน้ำไฟลม จึงเรียกว่า กาย ถ้าไม่มีดินน้ำไฟลม จะไม่เรียกว่าใจนี้ว่า  กาย 

       คนเกิดมามีร่าง ประกอบด้วยมหาภูตรูป (ดินน้ำไฟลม) ปรุงแต่งรวมกันทางชีววิทยา เป็นแท่งก้อนรูปร่างคน คอหยักๆ สักแต่ว่าคน เกิดมาเป็นร่างกาย  มีทั้งร่างและใจ

       ใจนั้นมีร่างร่วมรับรู้ เรียกว่ามีร่างกาย แต่พอตายไปก็มีแต่ร่าง ไม่มีใจ พอไม่มีใจ ...กายก็ไม่มี

       เราเคยเข้าใจว่า กายนี่คือร่าง แต่เป็นความเข้าใจผิด เพราะคำว่า กายนี้ หมายถึงใจเป็นหลัก ขณะที่เรามีร่าง แต่ใจไม่ได้ทำงาน ไม่รับรู้สัมผัสนอก แต่ก็อาศัยร่างนี้อยู่ ใจนั้นก็ยังมีร่างไม่ได้ขาดจากกัน ใจก็มีกายได้ เฉพาะใจนะ เรียกว่า นามกาย เป็นลักษณะของธาตุรู้ในกายเรา แล้วประชุมกันเรียกว่า นามกาย

       กายอันนี้แหละยิ่งใหญ่ องค์ประชุมอันนี้เรียกว่าปรมัตถธรรม เรียกว่าทรงไว้อยู่ คนที่เกิดมา มีส่ิงที่ทรงไว้ครบร่างกาย แล้ว ทีนี้ตายลง ทิ้่งร่างกาย เหลือแต่ธรรมะ ที่ทรงอยู่ ส่ิงที่ทรงอยู่คือธรรมะ ถ้ายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

       นิพพานมีสองอย่าง คือ นิพพานกิเลสตายสนิท เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน แต่การตายของกิเลสแต่ยังมีร่างกายอยู่ แต่พอตายอีกทีเรียกว่า

       คนเราเกิดมาเพื่อใช้ร่างกายสะสมธรรมะ แต่โง่สะสมอธรรมใส่จิต คำว่าอธรรม จะแปลว่าไม่มีธรรมก็ได้ ถ้าแปลว่าธรรมะคือสิ่งทรงไว้เป็นความดีงาม อธรรมก็คือทรงไว้ซึ่งความไม่ดีงามหรือไม่ทรงไว้ในสิ่งดีงาม

       เมื่อได้ร่างกายมาแล้วไม่สะสมธรรมะก็โง่ๆๆๆๆ แต่คนที่ตื่นแล้วในชาตินี้ ไม่โง่แล้ว ก็จะมาสะสมธรรมะ ให้แก่จิต

       ทำให้ กาย วาจา ใจไม่ทำชั่ว นี่คือคำถาม?

 

       เมื่อทั้ง 3 อย่างนี้ไม่ทำชั่วก็ตัดรอบแล้ว

1. การไม่ทำบาปทั้งปวง(สัพพปาปัสสะ  อกรณัง)

2. บำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม  (กุสลัสสูปสัมปทา)

3. ความชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว (สจิตตปริโยทปนัง) 

(พตปฎ. เล่ม 25  ข้อ 24)

       แล้วกรรมที่ทำไปแล้ว เอายางลบลบไม่ได้ เอาไฟเผา เอาอะไรมาล้างไม่ได้ ทำไปแล้ว เรามีสิทธิ์ทำปัจจุบันถึงอนาคตให้หยุดทำสิ่งชั่ว ต้องทำอย่างแข็งแรงมุ่งมั่นด้วย

       พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ทฤษฎี ที่จะกำจัดเหตุให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้....รู้แล้วก็ไม่ง่าย

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) สงบจากสิ่งที่ชั่ว เหตุร้ายทำความไม่ดี แต่ไม่ได้สงบจากพลังงานสร้างสรร  กุสลสูปสัมปทา พลังงานที่ไม่สันโดษในกุศล ไม่ได้หยุดนิ่ง ไม่ได้เงียบ แต่เรียกว่าสงบ สงบจากพลังชั่ว พลังเสื่อม ไม่เกิดสิ่งเจริญ สงบจากสิ่งนั้นเป็นเหตุ ไม่ใช่พาซื่อว่าสงบแล้วไม่ต้องทำอะไร ถ้าอย่างนั้นก้อนหินก็นิพพานสิ

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) ไม่ใช่ของหยาบหรือกลาง แต่เป็นสิ่งละเอียดยิ่ง

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) เป็นเชิงซ้อนของปณีตา ลึกละเอียดย่ิงกว่าปณีตา

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

       ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงสุดลึกซึ้ง แล้วทำอย่างไรจะได้?....

       จะยังไม่พูดถึงได้อย่างไร ตอนนี้ แต่จะพูดในงานสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย

       จะพูดถึงสัตว์ทางจิตวิญญาณ เป็นสัตว์ทางนามธรรม แล้วจะระงับกำจัดสัตว์ได้อย่างไร?

       ความเป็นสัตว์พระพุทธเจ้าแจกไว้ 9 อย่าง ที่ถูกผูกไว้ หรือเป็นสังโยชน์ เมื่อเรากำจัดสัตว์ได้ จิตเราก็ทรงไว้ซึ่งธรรมไม่มีความเป็นสัตว์เหลืออยู่อีก

 

       พรุ่งนี้วันที่ 5 จะมีเหตุการณ์เหลืองทั้่งแผ่นดิน ต้องถ่ายทอดให้โลกเห็นเหลืองทั้งแผ่นดิน วันนี้จะไม่พูดว่าจะมีธรรมะบริสุทธิ์แท้ๆได้อย่างไร? แต่จะพูดว่า

 

       ขณะปัจจุบันนี้ แม้พระพุทธเจ้าประกาศทฤษฎีพุทธไว้นานกว่า 2500 ปี หลายคนบอกว่าศาสนาพุทธเสื่อม ซึ่งเป็นคำพูดผิด ที่จริงนั้น คนเสื่อมต่างหาก

       ศาสนาเสื่อมเพราะคน แต่ธรรมะไม่มีวันเสื่อม

       ศาสนาเสื่อมเพราะคน เพราะศาสนาเกิดจากคน ส่วนคนนั้นเสื่อมเพราะตนเองทำให้ตนเสื่อม ดีไม่ดีทำให้คนอื่นและศาสนาเสื่อมด้วย คนนี่ชั่วหลายอย่าง

       ส่วนธรรมะนั้นคือธรรม และอธรรมคืออธรรม สิ่งที่ทรงไว้มันเป็นตัวของมันเอง ใครไปทำให้มันเสื่อมไม่ได้ ธรรมะมีอยู่ตลอดกาล คนสามารถทำให้มีธรรมะได้ เป็นสิ่งที่นิรันดรตลอดกาลสำหรับธรรมะ ไม่เกิดไม่ดับทรงอยู่ตลอดกาล คนไปทำให้ธรรมะเสื่อมก็ไม่ได้ แต่คนต่างหากเสื่อมจากธรรมะ

       คนเกิดมาควรมีธรรมะ สังคมควรได้ธรรม จึงเป็นสุข ปกติคนสามัญทุกคนก็อยากมีธรรมะกันทั้งนั้น ยกเว้นคนจิตวิปริต ก็จะไม่เอาธรรม ถ้าคนสามัญปกติ ก็อยากจะมีจะได้ธรรมะกันทั้งนั้น

       ธรรมะของศาสนาพุทธมีทฤษฎีที่สมบูรณ์ยิ่ง ผู้ใดที่ศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติอย่างสัมมาปฏิบัติ จนทำใจในใจให้ถ่องแท้ได้ (โยนิโสมนสิการ) ผู้โยนิโสฯได้ก็จะได้ธรรมะ ตามธรรมสมควรแก่ธรรม(ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ)

       ก็ถามกันว่าสัมมาทิฏฐิคืออะไร ?จะเร่ิมปฏิบัติธรรมจากตรงไหน บอกได้เลยว่า ศาสนาพุทธปฏิบัติอยู่ทุกอิริยาบทของตนเอง ปฏิบัติได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องไปหาสถานที่พิเศษเลย ทำความเข้าใจให้ชัดเจน

       ทำแล้วถ้าทำใจในใจเป็น ใจก็สะสมเหตุปัจจัยที่มีผล หยั่งลงตั้งมั่น เรียกว่าสมาธิ หรือใจที่ตั้งมั่น เป็นจิตปราศจากกิเลสที่ทำให้ไม่ดี ชั่วหรือก่อทุกข์ สมาธิของพระพุทธเจ้าคือทำให้ทุกขณะที่มีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมอยู่

       จะเกิดสมาธิคือสั่งสมผลตั้งมั่น ส่วนการทำใจในใจให้กิเลสออกนั้น ทำให้กาย วาจา ใจเพราะมีเหตุ ก็กำจัดเหตุ การกำจัดกิเลสหรือเหตุไม่ดี เราเรียกว่าทำฌาน

       ฌานเป็นพลังพิเศษ เหมือนธาตุไฟกองใหญ่ พิเศษ มีฤทธิ์ทำลายกิเลสได้จริง มีประสิทธิภาพสำเร็จหากเป็นฌานที่ถูกต้อง

       เมื่อเผาทำลายกิเลสได้ ก็สั่งสมเป็นสมาธิ ทำได้ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกอานาปานะ ขอให้มีสติ ระลึกรู้สึกตัวทุกเมื่อ สิ่งที่ควรรู้ทุกเมื่อ ใน ทวาร 6 ทำงานสัมผัสก็รู้ทัน มันจะปรุงแต่งก็รู้ทัน มีการสังเคราะห์สังขารเราก็ทัน

       กิเลสมันไม่ใช่เรา เราโง่ที่ให้มันพาเราสุขทุกข์ พิจารณาเข้าใจ จนเรารู้ว่าไปสะสมไปทำไม เราเห็นว่ามันไม่ดี มันจะเห็นว่ามันคลายได้ ไม่มีบทบาท ไม่เที่ยงไม่มีตัวตน ไม่ถาวร เปลี่ยนแปลงได้ หมดไปได้ สูญไปได้ ไม่มีอาการนี้ได้ด้วย ทำบ่อยๆจนมันไม่มี มันก็สงบ เมื่อไม่มีพลังงานชั่ว ก็จะมีแต่พลังงานดี สงบที่วิเศษ

       พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่แสดงถึงวิมุติคือพลัง ..พลังนี้สะอาดบริสุทธิ์ประเสริฐไม่มีโทษภัยเลย ชีวิตคนควรทรงได้ในพลังงานนี้

1.มีอายุหะ คือ  มีอิทธิบาท เป็นเครื่องแสดง

2.มีวรรณะ  คือ  มีศีลผุดผ่อง             ”

3.มีสุขะ  คือ  มีฌาน 4                               ”

4.มีโภคะ  คือ  มีพรหมวิหาร 4          ”

5.มีพละ  คือ  มีวิมุติหลุดพ้นเป็นพลังแสดง

พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 50

 

       เป็นสภาพที่ควรสร้างควรเป็น แต่คนเราเกิดมาโง่ ที่ไปใช้ร่างกาย นี้เกิดการสะสมอธรรมในจิต แทนที่ควรได้ธรรมะกลับไปสะสมอธรรม แล้วคนสะสมอธรรมนี่เสื่อมนะ

       คนที่เกิดมาไม่ได้สะสมธรรม เกิดมาชาติหนึ่งมีร่างกายเป็นมนุษย์ มีสุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส แล้วไม่ได้สะสมธรรม ก็เรียกว่าโมฆบุรุษ

       แต่ก่อนนี้คุณเป็นคนเสื่อม แต่ตอนนี้ คุณตอบได้อย่างไม่กระมิดกระเมี้ยนเลยว่าเจริญขึ้น

 

       คนเราหากไม่ได้รู้จักทฤษฎีในการจัดการกับกาย วาจา ใจเราให้ดี ก็อยู่อย่างแสวงโลกธรรม แข่งขัน แก่งแย่ง ดีไม่ดีทุจริตไม่ละอาย ก็จะเจริญได้อย่างไร มีแต่เสื่อมกับเสื่อม แต่ก่อนอาตมาก็เป็นเช่นนั้น

       และพระพุทธเจ้าให้หลักในการตรวจว่าเราเสื่อมหรือไม่? ต่อให้เป็นนายกฯ หรือเป็นใหญ่ขั้นไหนก็แล้วแต่ หรือเป็นศาสตราจารย์อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้ตามหลัก 7 ข้อนี้ก็ถือว่าเป็นคนเสื่อม

1.    ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ (ภิกขุทัสสนัง  หาเปติ)

2.   ละเลยการฟังธรรม  (สัทธัมมัสสวนัง  ปมัชชติ)

3.   ไม่ศึกษาในอธิศีล  (อธิสีเล  น  สิกขติ)

4.    ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุ ทั้งที่เป็นเถระ  ผู้ใหม่และปานกลาง 

5.    เพ่งโทษฟังธรรม  (ธัมมัง  สุณาติรันธคเวสี)

6.    แสวงบุญนอกเขตศาสนานี้ (พหิทธา  ทักขิเณยยัง  คเวสติ)

7.   ทำสักการะก่อนในเขตบุญนอกศาสนานี้ (ตัตถะ  จ   ปุพพการัง  กโรติ)   (พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 27)

 

       7 ข้อนี้ชี้วัดว่า ถ้าคุณไม่ครบ 7 ข้อนี้คุณไม่มีศาสนาพุทธเลย ออกนอกเขตเทศบาลพุทธเลย

       

       เร่ิมแต่ข้อ 1 ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ....ถามตัวเองว่าเกิดมาอายุปูนนี้แล้วได้เยี่ยมเยียนภิกษุหรือไม่ ...คุณอาจไป แต่ว่าไปตามสังคม ไม่ได้ตั้งจิตเยี่ยม เพราะคำว่าภิกษุคือผู้สืบทอดธรรมะของพระพุทธเจ้า คือผู้รู้ที่เราเคารพนับถือ เป็นตัวแทนศาสนาพุทธ ผู้สืบทอดพุทธรรม เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

       ข้อ 2​คือละเลยการฟังธรรม ก็เมื่อไม่พบภิกษุก็จะได้ฟังธรรมได้อย่างไร? ทุกวันนี้ก็มีเครื่องไอทีหลายอย่าง เปิดฟังได้ตลอด แต่ยุคก่อนไม่ได้มีเครื่องมือพวกนี้...เราจะได้ธรรมะก็ได้จากภิกษุ เป็นธัมกถึก เป็นผู้มีธรรมแท้ ต้องหาภิกษุเช่นนี้ ไม่ใช่ไปหาภิกษุขี้หลอก ต้องนับว่า ต้องไปเยี่ยมท่านเพื่อได้ฟังธรรมจากท่าน แม้ไปพบท่านแล้วก็ละเลยการฟังธรรม คุณก็เสื่อมอีก คุณต้องการไปเอาสิ่งดีๆจากท่านแต่ก็ละเลยฟังธรรม

       นอกจากคุณจะเป็นปัจเจกหรือสยังอภิญญาเอง ก็ปฏิบัติเองได้ แต่ผู้เป็นปัจเจกเมื่อมีผู้มีภูมิธรรมเหนือกว่าตนก็จะต้องไปแสวงหา ไม่ละเลย

       ชาตินี้เกิดมาควรได้ธรรมะ ไม่ใช่ไปหลงโลกธรรม ชีวิตถูกโลกธรรมดึงไปหมด ไม่ว่าง เอาบุญไปฝากหน่อยนะ เป็นต้น ถ้ามันฝากกันได้ก็ให้ซื้อเองเลย แต่ที่จริงซื้อไม่ได้ ฝากไม่ได้ต้องทำเอง

       เพราะชีวิตเกิดมาไม่รู้ว่าควรได้ธรรมะ แต่ไปเข้าใจว่า โลกธรรม สรรเสริญ เพชรนิลจินดาต่างหากที่ควรได้ คิดไปเช่นนั้นอีก

       ผู้มีธรรมต่างหากที่เราควรสักการะ เราไปเยี่ยมท่านเพื่อฟังธรรม เพื่อได้หลักปฏิบัติ ต้องแสวงหาภิกษุที่ธรรมะจริง ไม่ใช่ธรรมะปลอม

       ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 คุณต้องหาให้เจอ หากชาตินี้คุณไม่เจอก็ไม่ได้บรรลุธรรม เพราะในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก  สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ

โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

 

       หากผู้ใดหาไม่เจอและคิดว่าไม่มีอีก ก็สิ้นท่าเลย ภิกษุที่ควรเยี่ยมเยียน เป็นสัตบุรุษ ผู้ควรไปฟังธรรม ตามหลักหลายข้อ เช่นมงคล 38 ก็ต้องมีการพบสมณะ

       หากไม่ได้พบสมณะก็โมฆบุรุษแท้ๆเลย ไม่ได้ฟังธรรม ก็ไม่ได้ศึกษาอธิศีล เพื่อพบสัตบุรุษท่านก็จะให้วิธีปฏิบัติให้เจริญ แต่ถ้าไม่ได้ฟังเลย แม้แต่ศีลคืออย่างไร ปฏิบัติอย่างไรก็จะปฏิบัติได้อย่างไร

       

       ได้อานิสงส์ 10 ของศีล (กุสลานิ  สีลานิ  อนุปุพเพนะ  อรหัตตายะ  ปูเรนตีติ) ศีลที่เป็นกุศล ย่อมถึงอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)  

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)         

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)    

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)      

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

       ไม่เคยมีคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ

       เมื่อไม่เยี่ยมเยียนภิกษุ ก็จะไม่ได้ศึกษาศีลอธิศีล ไม่รู้คุณค่าก็ไม่ศรัทธา ไม่เลื่อมใสในภิกษุ ผู้เป็นเถระ ใหม่ ปานกลาง ถือว่าเสื่อมหนัก หนักเข้าก็ฟังธรรมเพ่งโทสเลย ยิ่งไปเรียนมาจบพุทธศาสตร์ หรือศึกษาเองเลย พระไตรฯก็มี มีตำรามากมาย ยิ่งศึกษาก็ว่าเราก็รู้แล้ว ฟังภิกษุก็ว่า เทศน์ไม่เหมือนที่เรารู้เลย ก็ไม่แค่เสื่อมแล้ว ลงนรกชัดๆ

       ถ้าข้อ 1 ถึง 5 ก็ไม่ได้ทำแล้ว ข้อ 6 คุณก็แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธแหงๆเลย แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธคือ..บุญคือชำระกิเลส คุณก็ทำบุญนอกรีตพุทธ ได้ทำทานก็ได้รับการยกย่องเป็นมัคฑายก ก็รวยได้มีคนทำทาน อาจารย์ก็หลงเงินทอง คุณเป็นประธานใหญ่คนเคารพนับถือ คุณก็ได้บุญแบบนั้นกับพระแบบนั้น พระแบบคนที่ยกย่องแต่คนร่ำรวย หลงไปด้วยกันทั้งสองคน ทั้งพระและทายก ต่างคนต่างไม่รู้ใครปอกลอกใคร ไม่รู้ว่าพระปอกลอกโยมหรือโยมปอกลอกพระ โยมไปทำบุญนึกว่าได้บุญแต่ว่าที่จริงถูกปอกลอก (ที่พูดนี้ตำหนินะ นิคคัณเห นิคหารหัง) ไม่ได้เจาะจงใคร พูดกว้างๆ

       ก็ทำบุญแบบหลงทาน ทำทานยังเป็นนัตถิ ทินนัง คือกิเลสเพ่ิม แทบทุกวัดเลยสอนทานแล้วไม่มีผล ไม่พาลดกิเลส มีแต่จะแต่งบาลีให้ร่ำรวย ให้ตั้งจิตอีก ขอให้รวยๆ บุญใหญ่ ได้รวยมากๆ แล้วจะได้มาถวายท่านอาจารย์อีก แค่ไม่ตั้งจิตก็จะเพ่ิมกิเลสแล้ว แต่นี่ยิ่งตั้งจิตอีก มุ่งหมายขอให้ได้มามากกว่าเดิม ได้เร็วเท่าไหร่ มากเท่าไหร่ยิ่งดี ไม่ได้ตั้งจิตให้เอาออก ไม่ได้ล้างกาม ไม่ได้ล้างความใคร่อยาก

       ทุกวันนี้คนที่เขาว่าเป็นอรหันต์ก็ยังสอนทานไม่ได้มีสัมมาทิฏฐิเลย คำว่า แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ นี้เขาเข้าใจคำว่าบุญไม่ได้ เข้าใจบุญ กับ ทาน ไม่ได้ เข้าใจว่า บุญคือสิ่งที่จะได้ ส่วนทานคือสิ่งที่จะให้

       บุญคือได้เอาออก ได้สละ ได้ลดกิเลส นี่คือได้บุญ แต่ที่จริงบุญไม่ใช่สิ่งที่จะได้ บุญคือการสละออก  จึงไปแสวงบุญ​คือให้เกิดการชำระจิต

       คนที่หลงคำสอนมิจฉาทิฏฐิก็จะแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ

 

        ความเสื่อมของผู้แสวงหาอันผิดๆ     (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) พระพุทธเจ้าตรัสสูตรนี้ตั้งแต่ศาสนาพุทธไม่เสื่อมท่านพยากรณ์ไว้แล้วกับอัมพัฏฐมานพ ที่มีอาจารย์ชื่อ โปกขรสาติ 

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ (ข้อนี้อาจารย์ยังมีศีล มีวินัย ไม่ขุดดิน ไม่ปลูกต้นไม้) แต่เสื่อมแล้ว เพราะอาจารย์ของพุทธไม่ได้อยู่ในป่า

2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า (ข้อนี้ไม่มีวินัยแล้ว ถือเสียมเลย ขุดดินเลย ละเมิดศีล ไม่มีวินัยแล้ว ) ไปบำเรออาจารย์ในป่า

3.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์ (สร้างโรงเรือนบำเรออาจารย์ในป่า ) ปฏิบัติมีเรือนไฟคือมีอัคคียัญ จุดธูปเทียนออกนอกรีต วินัย ไปหมดแล้ว เพื่อให้คนมาทำบุญทำทาน หากินกับคน ใช้เรือนไฟแบบศาสนาโบราณ ที่ใช้ไฟใช้นำ้เป็นยัญพิธี

4.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่    ข้อนี้สร้างโรงเรือนโบสถ์วิหารใหญ่โต เพื่อเรียกคน อยู่ในทางสี่แพร่ง คือให้คนมาได้ง่าย ต้องการให้คนมาเป็นเหยื่อ นี่คือเสื่อมสุดยอดแล้ว ตอนนี้ไม่อยู่ในป่าแล้ว อยู่ในเมือง แต่ลึกๆพระอยู่ในเมืองก็ยังคิดว่าปฏิบัติต้องออกป่า นี่ก็คิดผิดแล้ว แต่ก็อยู่ในเมือง แล้วก็ตบแต่งปรับปรุง มาลาคันธวิเลปน มัณฑนะ วิภูสนฐานา เป็นข้าศึกแก่กุศล ทำอย่างไม่เข้าใจศีลธรรมเลย

 

       ที่พูดนี่อยากให้ท่านได้สติ ได้สำนึก ปรับปรุงเสีย ท่านจะได้ไม่มีบาปมีภัยเพ่ิมขึ้นเจตนาดีเช่นนั้น แต่คิดว่าเขาไม่เชื่อหรอก อาตมาเดานะ แต่ถ้าเดาผิดก็ขออภัยอย่างย่ิงเลย ที่อาตมาเดาผิดเป็นเชิงเหยียดหยาม

       สรุปแล้ว สังคมทุกวันนี้เสื่อมกว่าความเสื่อม 7 ประการแล้ว เอาไปตรวจสอบดู ตั้งแต่ข้อที่ 1  ไปเรื่อยๆ แต่ถ้ายังไม่ถึงข้อ 7 ก็ค่อยยังชั่ว

       พระพุทธเจ้าท่านสอนเราไว้หมด เตือนไว้ทุกแง่มุม หากเราไม่เอามาตรวจสอบให้ดี ที่อาตมาพูดนี้เขาก็เรียนกันนะ เข้าใจกัน แต่ไม่ได้เข้าถึงสัจจะพวกนี้เท่าไหร่ ไม่เอามาเตือนสำนึกแก่พุทธศาสนิกชนเลย ที่พูดนี่เอามาเตือนพุทธศาสนิกชน ว่าเราได้เสื่อมตามนัย 7 ข้อนี้หรือไม่? หรือยังเหลืออยู่บ้าง มันเสื่อมจริงหรือเปล่า?

       อาตมาต้องพูดว่า มันเสื่อมจริงแล้ว ...ทุกวันนี้ในเมืองไทย คนไปเยี่ยมภิกษุ ไปขอหวย สะเดาะเคราะห์ ไปทำทาน แต่ไปหลงว่าได้บุญ เพื่อรวย โลกธรรม แทนที่จะได้ลดกิเลส

       มีอยู่น้อยเหลือเกินที่จะแสวงหาความถูกต้อง จนไปเจอ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะการพบสัตบุรุษเป็นอาหารของวิชชา หรือ ตัณหาสูตร

1.    การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง

2.   การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)

3.   ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย

4.    การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ 

5.    ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์

6.    การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ.. ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)

7.   ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5

8.   นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา

9.   อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา

(พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 62)

       

       แม้คุณพบสัตบุรุณแล้วก็ต้องฟังธรรมให้บริบูรณ์​

อาหารสู่โพชฌงค์(1)

1.    การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์

2.   การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.   ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4.    การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5.    สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์

6.    ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต

7.   สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์

8.   สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์

9.   โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์     (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61)

 

       สรุปว่าชีวิตคนควรได้สิ่งที่ควรได้คือธรรมะ ทุกวันนี้อาตมาเทศน์ได้สรรเสริญมากกว่านินทาพอสมควร แต่ก่อนนี้ ทางเถรสมาคม ปกาสนียกรรม อาตมาก็โดนหนัก คนก็ไม่เคารพยอมรับตามกระแสโลก เขาก็เชื่อมหาเถรสมาคม อาตมาก็ได้รับการลบหลู่มากกว่าสรรเสริญ​อาตมาเข้าใจ ไม่มีปัญหา ก็พยายามทำงานมา จนทุกวันนี้ก็เปลี่ยนแปลงคลี่คลาย มีนินทาน้อยลงสรรเสริญเพ่ิมขึ้น อาตมาวัดเองตามภูมินะ เพราะเข้าใจ ยิ่งยาวนาน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน มันยาวนานมาก็ได้รับการพิสูจน์ว่าไม่ใช่คนที่มาทำลายทำเสียหาย พอนานไปก็ดูเหมือนถูก จนถึงเชื่อว่าถูก และถูกจริงๆแฮะ สุดท้ายถึงขั้นยอมรับว่าถูกจริงๆก็ใช้ได้ คนติเตียนมาอาตมาก็ตรวจสอบ โดยเฉพาะไตรปิฎก ที่มีอยู่ก็ยังใช้ได้เลย ทั้งไทยและบาลี

       คนแปบฉบับหลวง สมบูรณ์แบบที่สุดฉบับนี้เผยแพร่พศ.2500 ที่แพร่หลาย ตอนหลังก็มีอีกหลายฉบับ ก็มีเพ่ิมเติม ล้วนแล้วแต่ผู้ที่แปลไตรปิฎกท่านทุกคนยอมรับว่าตนไม่ใช่อรหันต์ จึงได้มาตามนั้น ท่านก็พยายามยืนยันตามพยัญชนะต้องขอบคุณยิ่ง อาตมาก็ได้อาศัย แต่มีบางคำความที่อาตมาเห็นว่าไม่ตรงตามภูมิอาตมา อาตมาตรวจสอบว่าถูกอย่างไรก็ยืนยันตามนั้น


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:57:07 )

570504

รายละเอียด

570504_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง มนุษย์เกิดมาทำไม?

       อาตมาขยันพูดอยู่ แต่ทำไมลูกๆหลานๆไม่ขยันฟัง แต่เรามีหน้าที่พูด ไม่ฟังก็พูดฟรี รับรองว่าไม่น้อยใจ

       พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ อาตมาว่า ใน 500 ปีจะมีครั้งหนึ่ง จะมีอะไรพิเศษ ก็คอยดูพรุ่งนี้กัน และจะมีสัปดาห์วิสาขบูชาที่จะมี ขอให้องค์กรทุกหน่วยงานของชาวอโศก ขอให้หยุดงาน Shutdown มาร่วมกันในครั้งนี้ แล้วก็วันที่ 6 – 12 จะเป็นงานสัปดาห์ วิสาชบูชาวิชิตชัย จะมีการ “ปักหลักเปิดโลก”

1. ทำอย่างไรจะพ้นความเป็นสัตว์

2. อธิบายความเป็นโลกนรก เทวดา ทั้ง 6 ภูมิ พรหมอีก 20 ชั้น

 

มีรายการทำวัตรเย็นโดยพ่อครูทุกวัน

มีรายการก่อนฉัน และภาคบ่าย มีบำเพ็ญคุณ บำเพ็ญธรรม เก็บเต็นท์ กางเต๊นท์

 

       อาตมาเองมีเรื่องที่อยากจะพูดอยู่คือเรื่องของมนุษย์ ...สรุปว่า มนุษย์เกิดมาทำไม?....มนุษย์เกิดมาทำไม? …เกิดมาเพื่อสะสมธรรมะ แต่เพราะมนุษย์โง่ จึงไม่รู้ว่าตนเกิดมาสะสมธรรมะ กลับไปสะสม อธรรม  

 

       ธรรมะแปลว่าสิ่งทรงไว้ ขณะมีชีวิตก็ มีกาย เป็นองค์ประชุมที่มีร่างและจิต ร่างนี้จึงเป็นร่างกาย คำนี้ คำว่าร่างกายนี้เป็นนามธรรม แต่ว่าคนไปเข้าใจคำว่ากาย เป็นรูปธรรม จึงไม่พาบรรลุธรรม

       คำว่า กายนี้เป็นนามธรรม เป็นองค์ประชุม พอประชุมแล้ว มีร่าง รวมกันเข้า สังเคราะห์กัน ในทางชีววิทยา เป็นร่างกาย ...คือ ดิน นำ้ ไฟ ลม และ ใจ คำว่า กาย นี้คือ ใจ

       คำว่า กาย  นี้จะต้องมีดินน้ำไฟลม จึงเรียกว่า กาย ถ้าไม่มีดินน้ำไฟลม จะไม่เรียกว่าใจนี้ว่า  กาย 

       คนเกิดมามีร่าง ประกอบด้วยมหาภูตรูป (ดินน้ำไฟลม) ปรุงแต่งรวมกันทางชีววิทยา เป็นแท่งก้อนรูปร่างคน คอหยักๆ สักแต่ว่าคน เกิดมาเป็นร่างกาย  มีทั้งร่างและใจ

       ใจนั้นมีร่างร่วมรับรู้ เรียกว่ามีร่างกาย แต่พอตายไปก็มีแต่ร่าง ไม่มีใจ พอไม่มีใจ ...กายก็ไม่มี

       เราเคยเข้าใจว่า กายนี่คือร่าง แต่เป็นความเข้าใจผิด เพราะคำว่า กายนี้ หมายถึงใจเป็นหลัก ขณะที่เรามีร่าง แต่ใจไม่ได้ทำงาน ไม่รับรู้สัมผัสนอก แต่ก็อาศัยร่างนี้อยู่ ใจนั้นก็ยังมีร่างไม่ได้ขาดจากกัน ใจก็มีกายได้ เฉพาะใจนะ เรียกว่า นามกาย เป็นลักษณะของธาตุรู้ในกายเรา แล้วประชุมกันเรียกว่า นามกาย

       กายอันนี้แหละยิ่งใหญ่ องค์ประชุมอันนี้เรียกว่าปรมัตถธรรม เรียกว่าทรงไว้อยู่ คนที่เกิดมา มีส่ิงที่ทรงไว้ครบร่างกาย แล้ว ทีนี้ตายลง ทิ้่งร่างกาย เหลือแต่ธรรมะ ที่ทรงอยู่ ส่ิงที่ทรงอยู่คือธรรมะ ถ้ายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

       นิพพานมีสองอย่าง คือ นิพพานกิเลสตายสนิท เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน แต่การตายของกิเลสแต่ยังมีร่างกายอยู่ แต่พอตายอีกทีเรียกว่า

       คนเราเกิดมาเพื่อใช้ร่างกายสะสมธรรมะ แต่โง่สะสมอธรรมใส่จิต คำว่าอธรรม จะแปลว่าไม่มีธรรมก็ได้ ถ้าแปลว่าธรรมะคือสิ่งทรงไว้เป็นความดีงาม อธรรมก็คือทรงไว้ซึ่งความไม่ดีงามหรือไม่ทรงไว้ในสิ่งดีงาม

       เมื่อได้ร่างกายมาแล้วไม่สะสมธรรมะก็โง่ๆๆๆๆ แต่คนที่ตื่นแล้วในชาตินี้ ไม่โง่แล้ว ก็จะมาสะสมธรรมะ ให้แก่จิต

       ทำให้ กาย วาจา ใจไม่ทำชั่ว นี่คือคำถาม?

 

       เมื่อทั้ง 3 อย่างนี้ไม่ทำชั่วก็ตัดรอบแล้ว

1. การไม่ทำบาปทั้งปวง(สัพพปาปัสสะ  อกรณัง)

2. บำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม  (กุสลัสสูปสัมปทา)

3. ความชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว (สจิตตปริโยทปนัง) 

(พตปฎ. เล่ม 25  ข้อ 24)

       แล้วกรรมที่ทำไปแล้ว เอายางลบลบไม่ได้ เอาไฟเผา เอาอะไรมาล้างไม่ได้ ทำไปแล้ว เรามีสิทธิ์ทำปัจจุบันถึงอนาคตให้หยุดทำสิ่งชั่ว ต้องทำอย่างแข็งแรงมุ่งมั่นด้วย

       พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ทฤษฎี ที่จะกำจัดเหตุให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้....รู้แล้วก็ไม่ง่าย

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) สงบจากสิ่งที่ชั่ว เหตุร้ายทำความไม่ดี แต่ไม่ได้สงบจากพลังงานสร้างสรร  กุสลสูปสัมปทา พลังงานที่ไม่สันโดษในกุศล ไม่ได้หยุดนิ่ง ไม่ได้เงียบ แต่เรียกว่าสงบ สงบจากพลังชั่ว พลังเสื่อม ไม่เกิดสิ่งเจริญ สงบจากสิ่งนั้นเป็นเหตุ ไม่ใช่พาซื่อว่าสงบแล้วไม่ต้องทำอะไร ถ้าอย่างนั้นก้อนหินก็นิพพานสิ

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) ไม่ใช่ของหยาบหรือกลาง แต่เป็นสิ่งละเอียดยิ่ง

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) เป็นเชิงซ้อนของปณีตา ลึกละเอียดย่ิงกว่าปณีตา

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

       ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงสุดลึกซึ้ง แล้วทำอย่างไรจะได้?....

       จะยังไม่พูดถึงได้อย่างไร ตอนนี้ แต่จะพูดในงานสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย

       จะพูดถึงสัตว์ทางจิตวิญญาณ เป็นสัตว์ทางนามธรรม แล้วจะระงับกำจัดสัตว์ได้อย่างไร?

       ความเป็นสัตว์พระพุทธเจ้าแจกไว้ 9 อย่าง ที่ถูกผูกไว้ หรือเป็นสังโยชน์ เมื่อเรากำจัดสัตว์ได้ จิตเราก็ทรงไว้ซึ่งธรรมไม่มีความเป็นสัตว์เหลืออยู่อีก

 

       พรุ่งนี้วันที่ 5 จะมีเหตุการณ์เหลืองทั้่งแผ่นดิน ต้องถ่ายทอดให้โลกเห็นเหลืองทั้งแผ่นดิน วันนี้จะไม่พูดว่าจะมีธรรมะบริสุทธิ์แท้ๆได้อย่างไร? แต่จะพูดว่า

 

       ขณะปัจจุบันนี้ แม้พระพุทธเจ้าประกาศทฤษฎีพุทธไว้นานกว่า 2500 ปี หลายคนบอกว่าศาสนาพุทธเสื่อม ซึ่งเป็นคำพูดผิด ที่จริงนั้น คนเสื่อมต่างหาก

       ศาสนาเสื่อมเพราะคน แต่ธรรมะไม่มีวันเสื่อม

       ศาสนาเสื่อมเพราะคน เพราะศาสนาเกิดจากคน ส่วนคนนั้นเสื่อมเพราะตนเองทำให้ตนเสื่อม ดีไม่ดีทำให้คนอื่นและศาสนาเสื่อมด้วย คนนี่ชั่วหลายอย่าง

       ส่วนธรรมะนั้นคือธรรม และอธรรมคืออธรรม สิ่งที่ทรงไว้มันเป็นตัวของมันเอง ใครไปทำให้มันเสื่อมไม่ได้ ธรรมะมีอยู่ตลอดกาล คนสามารถทำให้มีธรรมะได้ เป็นสิ่งที่นิรันดรตลอดกาลสำหรับธรรมะ ไม่เกิดไม่ดับทรงอยู่ตลอดกาล คนไปทำให้ธรรมะเสื่อมก็ไม่ได้ แต่คนต่างหากเสื่อมจากธรรมะ

       คนเกิดมาควรมีธรรมะ สังคมควรได้ธรรม จึงเป็นสุข ปกติคนสามัญทุกคนก็อยากมีธรรมะกันทั้งนั้น ยกเว้นคนจิตวิปริต ก็จะไม่เอาธรรม ถ้าคนสามัญปกติ ก็อยากจะมีจะได้ธรรมะกันทั้งนั้น

       ธรรมะของศาสนาพุทธมีทฤษฎีที่สมบูรณ์ยิ่ง ผู้ใดที่ศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติอย่างสัมมาปฏิบัติ จนทำใจในใจให้ถ่องแท้ได้ (โยนิโสมนสิการ) ผู้โยนิโสฯได้ก็จะได้ธรรมะ ตามธรรมสมควรแก่ธรรม(ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ)

       ก็ถามกันว่าสัมมาทิฏฐิคืออะไร ?จะเร่ิมปฏิบัติธรรมจากตรงไหน บอกได้เลยว่า ศาสนาพุทธปฏิบัติอยู่ทุกอิริยาบทของตนเอง ปฏิบัติได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องไปหาสถานที่พิเศษเลย ทำความเข้าใจให้ชัดเจน

       ทำแล้วถ้าทำใจในใจเป็น ใจก็สะสมเหตุปัจจัยที่มีผล หยั่งลงตั้งมั่น เรียกว่าสมาธิ หรือใจที่ตั้งมั่น เป็นจิตปราศจากกิเลสที่ทำให้ไม่ดี ชั่วหรือก่อทุกข์ สมาธิของพระพุทธเจ้าคือทำให้ทุกขณะที่มีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมอยู่

       จะเกิดสมาธิคือสั่งสมผลตั้งมั่น ส่วนการทำใจในใจให้กิเลสออกนั้น ทำให้กาย วาจา ใจเพราะมีเหตุ ก็กำจัดเหตุ การกำจัดกิเลสหรือเหตุไม่ดี เราเรียกว่าทำฌาน

       ฌานเป็นพลังพิเศษ เหมือนธาตุไฟกองใหญ่ พิเศษ มีฤทธิ์ทำลายกิเลสได้จริง มีประสิทธิภาพสำเร็จหากเป็นฌานที่ถูกต้อง

       เมื่อเผาทำลายกิเลสได้ ก็สั่งสมเป็นสมาธิ ทำได้ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกอานาปานะ ขอให้มีสติ ระลึกรู้สึกตัวทุกเมื่อ สิ่งที่ควรรู้ทุกเมื่อ ใน ทวาร 6 ทำงานสัมผัสก็รู้ทัน มันจะปรุงแต่งก็รู้ทัน มีการสังเคราะห์สังขารเราก็ทัน

       กิเลสมันไม่ใช่เรา เราโง่ที่ให้มันพาเราสุขทุกข์ พิจารณาเข้าใจ จนเรารู้ว่าไปสะสมไปทำไม เราเห็นว่ามันไม่ดี มันจะเห็นว่ามันคลายได้ ไม่มีบทบาท ไม่เที่ยงไม่มีตัวตน ไม่ถาวร เปลี่ยนแปลงได้ หมดไปได้ สูญไปได้ ไม่มีอาการนี้ได้ด้วย ทำบ่อยๆจนมันไม่มี มันก็สงบ เมื่อไม่มีพลังงานชั่ว ก็จะมีแต่พลังงานดี สงบที่วิเศษ

       พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่แสดงถึงวิมุติคือพลัง ..พลังนี้สะอาดบริสุทธิ์ประเสริฐไม่มีโทษภัยเลย ชีวิตคนควรทรงได้ในพลังงานนี้

1.มีอายุหะ คือ  มีอิทธิบาท เป็นเครื่องแสดง

2.มีวรรณะ  คือ  มีศีลผุดผ่อง             ”

3.มีสุขะ  คือ  มีฌาน 4                               ”

4.มีโภคะ  คือ  มีพรหมวิหาร 4          ”

5.มีพละ  คือ  มีวิมุติหลุดพ้นเป็นพลังแสดง

พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 50

 

       เป็นสภาพที่ควรสร้างควรเป็น แต่คนเราเกิดมาโง่ ที่ไปใช้ร่างกาย นี้เกิดการสะสมอธรรมในจิต แทนที่ควรได้ธรรมะกลับไปสะสมอธรรม แล้วคนสะสมอธรรมนี่เสื่อมนะ

       คนที่เกิดมาไม่ได้สะสมธรรม เกิดมาชาติหนึ่งมีร่างกายเป็นมนุษย์ มีสุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส แล้วไม่ได้สะสมธรรม ก็เรียกว่าโมฆบุรุษ

       แต่ก่อนนี้คุณเป็นคนเสื่อม แต่ตอนนี้ คุณตอบได้อย่างไม่กระมิดกระเมี้ยนเลยว่าเจริญขึ้น

 

       คนเราหากไม่ได้รู้จักทฤษฎีในการจัดการกับกาย วาจา ใจเราให้ดี ก็อยู่อย่างแสวงโลกธรรม แข่งขัน แก่งแย่ง ดีไม่ดีทุจริตไม่ละอาย ก็จะเจริญได้อย่างไร มีแต่เสื่อมกับเสื่อม แต่ก่อนอาตมาก็เป็นเช่นนั้น

       และพระพุทธเจ้าให้หลักในการตรวจว่าเราเสื่อมหรือไม่? ต่อให้เป็นนายกฯ หรือเป็นใหญ่ขั้นไหนก็แล้วแต่ หรือเป็นศาสตราจารย์อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้ตามหลัก 7 ข้อนี้ก็ถือว่าเป็นคนเสื่อม

1.    ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ (ภิกขุทัสสนัง  หาเปติ)

2.   ละเลยการฟังธรรม  (สัทธัมมัสสวนัง  ปมัชชติ)

3.   ไม่ศึกษาในอธิศีล  (อธิสีเล  น  สิกขติ)

4.    ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุ ทั้งที่เป็นเถระ  ผู้ใหม่และปานกลาง 

5.    เพ่งโทษฟังธรรม  (ธัมมัง  สุณาติรันธคเวสี)

6.    แสวงบุญนอกเขตศาสนานี้ (พหิทธา  ทักขิเณยยัง  คเวสติ)

7.   ทำสักการะก่อนในเขตบุญนอกศาสนานี้ (ตัตถะ  จ   ปุพพการัง  กโรติ)   (พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 27)

 

       7 ข้อนี้ชี้วัดว่า ถ้าคุณไม่ครบ 7 ข้อนี้คุณไม่มีศาสนาพุทธเลย ออกนอกเขตเทศบาลพุทธเลย

       

       เร่ิมแต่ข้อ 1 ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ....ถามตัวเองว่าเกิดมาอายุปูนนี้แล้วได้เยี่ยมเยียนภิกษุหรือไม่ ...คุณอาจไป แต่ว่าไปตามสังคม ไม่ได้ตั้งจิตเยี่ยม เพราะคำว่าภิกษุคือผู้สืบทอดธรรมะของพระพุทธเจ้า คือผู้รู้ที่เราเคารพนับถือ เป็นตัวแทนศาสนาพุทธ ผู้สืบทอดพุทธรรม เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

       ข้อ 2​คือละเลยการฟังธรรม ก็เมื่อไม่พบภิกษุก็จะได้ฟังธรรมได้อย่างไร? ทุกวันนี้ก็มีเครื่องไอทีหลายอย่าง เปิดฟังได้ตลอด แต่ยุคก่อนไม่ได้มีเครื่องมือพวกนี้...เราจะได้ธรรมะก็ได้จากภิกษุ เป็นธัมกถึก เป็นผู้มีธรรมแท้ ต้องหาภิกษุเช่นนี้ ไม่ใช่ไปหาภิกษุขี้หลอก ต้องนับว่า ต้องไปเยี่ยมท่านเพื่อได้ฟังธรรมจากท่าน แม้ไปพบท่านแล้วก็ละเลยการฟังธรรม คุณก็เสื่อมอีก คุณต้องการไปเอาสิ่งดีๆจากท่านแต่ก็ละเลยฟังธรรม

       นอกจากคุณจะเป็นปัจเจกหรือสยังอภิญญาเอง ก็ปฏิบัติเองได้ แต่ผู้เป็นปัจเจกเมื่อมีผู้มีภูมิธรรมเหนือกว่าตนก็จะต้องไปแสวงหา ไม่ละเลย

       ชาตินี้เกิดมาควรได้ธรรมะ ไม่ใช่ไปหลงโลกธรรม ชีวิตถูกโลกธรรมดึงไปหมด ไม่ว่าง เอาบุญไปฝากหน่อยนะ เป็นต้น ถ้ามันฝากกันได้ก็ให้ซื้อเองเลย แต่ที่จริงซื้อไม่ได้ ฝากไม่ได้ต้องทำเอง

       เพราะชีวิตเกิดมาไม่รู้ว่าควรได้ธรรมะ แต่ไปเข้าใจว่า โลกธรรม สรรเสริญ เพชรนิลจินดาต่างหากที่ควรได้ คิดไปเช่นนั้นอีก

       ผู้มีธรรมต่างหากที่เราควรสักการะ เราไปเยี่ยมท่านเพื่อฟังธรรม เพื่อได้หลักปฏิบัติ ต้องแสวงหาภิกษุที่ธรรมะจริง ไม่ใช่ธรรมะปลอม

       ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 คุณต้องหาให้เจอ หากชาตินี้คุณไม่เจอก็ไม่ได้บรรลุธรรม เพราะในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก  สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ

โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

 

       หากผู้ใดหาไม่เจอและคิดว่าไม่มีอีก ก็สิ้นท่าเลย ภิกษุที่ควรเยี่ยมเยียน เป็นสัตบุรุษ ผู้ควรไปฟังธรรม ตามหลักหลายข้อ เช่นมงคล 38 ก็ต้องมีการพบสมณะ

       หากไม่ได้พบสมณะก็โมฆบุรุษแท้ๆเลย ไม่ได้ฟังธรรม ก็ไม่ได้ศึกษาอธิศีล เพื่อพบสัตบุรุษท่านก็จะให้วิธีปฏิบัติให้เจริญ แต่ถ้าไม่ได้ฟังเลย แม้แต่ศีลคืออย่างไร ปฏิบัติอย่างไรก็จะปฏิบัติได้อย่างไร

       

       ได้อานิสงส์ 10 ของศีล (กุสลานิ  สีลานิ  อนุปุพเพนะ  อรหัตตายะ  ปูเรนตีติ) ศีลที่เป็นกุศล ย่อมถึงอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)  

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)         

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)    

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)      

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

       ไม่เคยมีคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ

       เมื่อไม่เยี่ยมเยียนภิกษุ ก็จะไม่ได้ศึกษาศีลอธิศีล ไม่รู้คุณค่าก็ไม่ศรัทธา ไม่เลื่อมใสในภิกษุ ผู้เป็นเถระ ใหม่ ปานกลาง ถือว่าเสื่อมหนัก หนักเข้าก็ฟังธรรมเพ่งโทสเลย ยิ่งไปเรียนมาจบพุทธศาสตร์ หรือศึกษาเองเลย พระไตรฯก็มี มีตำรามากมาย ยิ่งศึกษาก็ว่าเราก็รู้แล้ว ฟังภิกษุก็ว่า เทศน์ไม่เหมือนที่เรารู้เลย ก็ไม่แค่เสื่อมแล้ว ลงนรกชัดๆ

       ถ้าข้อ 1 ถึง 5 ก็ไม่ได้ทำแล้ว ข้อ 6 คุณก็แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธแหงๆเลย แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธคือ..บุญคือชำระกิเลส คุณก็ทำบุญนอกรีตพุทธ ได้ทำทานก็ได้รับการยกย่องเป็นมัคฑายก ก็รวยได้มีคนทำทาน อาจารย์ก็หลงเงินทอง คุณเป็นประธานใหญ่คนเคารพนับถือ คุณก็ได้บุญแบบนั้นกับพระแบบนั้น พระแบบคนที่ยกย่องแต่คนร่ำรวย หลงไปด้วยกันทั้งสองคน ทั้งพระและทายก ต่างคนต่างไม่รู้ใครปอกลอกใคร ไม่รู้ว่าพระปอกลอกโยมหรือโยมปอกลอกพระ โยมไปทำบุญนึกว่าได้บุญแต่ว่าที่จริงถูกปอกลอก (ที่พูดนี้ตำหนินะ นิคคัณเห นิคหารหัง) ไม่ได้เจาะจงใคร พูดกว้างๆ

       ก็ทำบุญแบบหลงทาน ทำทานยังเป็นนัตถิ ทินนัง คือกิเลสเพ่ิม แทบทุกวัดเลยสอนทานแล้วไม่มีผล ไม่พาลดกิเลส มีแต่จะแต่งบาลีให้ร่ำรวย ให้ตั้งจิตอีก ขอให้รวยๆ บุญใหญ่ ได้รวยมากๆ แล้วจะได้มาถวายท่านอาจารย์อีก แค่ไม่ตั้งจิตก็จะเพ่ิมกิเลสแล้ว แต่นี่ยิ่งตั้งจิตอีก มุ่งหมายขอให้ได้มามากกว่าเดิม ได้เร็วเท่าไหร่ มากเท่าไหร่ยิ่งดี ไม่ได้ตั้งจิตให้เอาออก ไม่ได้ล้างกาม ไม่ได้ล้างความใคร่อยาก

       ทุกวันนี้คนที่เขาว่าเป็นอรหันต์ก็ยังสอนทานไม่ได้มีสัมมาทิฏฐิเลย คำว่า แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ นี้เขาเข้าใจคำว่าบุญไม่ได้ เข้าใจบุญ กับ ทาน ไม่ได้ เข้าใจว่า บุญคือสิ่งที่จะได้ ส่วนทานคือสิ่งที่จะให้

       บุญคือได้เอาออก ได้สละ ได้ลดกิเลส นี่คือได้บุญ แต่ที่จริงบุญไม่ใช่สิ่งที่จะได้ บุญคือการสละออก  จึงไปแสวงบุญ​คือให้เกิดการชำระจิต

       คนที่หลงคำสอนมิจฉาทิฏฐิก็จะแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ

 

        ความเสื่อมของผู้แสวงหาอันผิดๆ     (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) พระพุทธเจ้าตรัสสูตรนี้ตั้งแต่ศาสนาพุทธไม่เสื่อมท่านพยากรณ์ไว้แล้วกับอัมพัฏฐมานพ ที่มีอาจารย์ชื่อ โปกขรสาติ 

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ (ข้อนี้อาจารย์ยังมีศีล มีวินัย ไม่ขุดดิน ไม่ปลูกต้นไม้) แต่เสื่อมแล้ว เพราะอาจารย์ของพุทธไม่ได้อยู่ในป่า

2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า (ข้อนี้ไม่มีวินัยแล้ว ถือเสียมเลย ขุดดินเลย ละเมิดศีล ไม่มีวินัยแล้ว ) ไปบำเรออาจารย์ในป่า

3.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์ (สร้างโรงเรือนบำเรออาจารย์ในป่า ) ปฏิบัติมีเรือนไฟคือมีอัคคียัญ จุดธูปเทียนออกนอกรีต วินัย ไปหมดแล้ว เพื่อให้คนมาทำบุญทำทาน หากินกับคน ใช้เรือนไฟแบบศาสนาโบราณ ที่ใช้ไฟใช้นำ้เป็นยัญพิธี

4.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่    ข้อนี้สร้างโรงเรือนโบสถ์วิหารใหญ่โต เพื่อเรียกคน อยู่ในทางสี่แพร่ง คือให้คนมาได้ง่าย ต้องการให้คนมาเป็นเหยื่อ นี่คือเสื่อมสุดยอดแล้ว ตอนนี้ไม่อยู่ในป่าแล้ว อยู่ในเมือง แต่ลึกๆพระอยู่ในเมืองก็ยังคิดว่าปฏิบัติต้องออกป่า นี่ก็คิดผิดแล้ว แต่ก็อยู่ในเมือง แล้วก็ตบแต่งปรับปรุง มาลาคันธวิเลปน มัณฑนะ วิภูสนฐานา เป็นข้าศึกแก่กุศล ทำอย่างไม่เข้าใจศีลธรรมเลย

 

       ที่พูดนี่อยากให้ท่านได้สติ ได้สำนึก ปรับปรุงเสีย ท่านจะได้ไม่มีบาปมีภัยเพ่ิมขึ้นเจตนาดีเช่นนั้น แต่คิดว่าเขาไม่เชื่อหรอก อาตมาเดานะ แต่ถ้าเดาผิดก็ขออภัยอย่างย่ิงเลย ที่อาตมาเดาผิดเป็นเชิงเหยียดหยาม

       สรุปแล้ว สังคมทุกวันนี้เสื่อมกว่าความเสื่อม 7 ประการแล้ว เอาไปตรวจสอบดู ตั้งแต่ข้อที่ 1  ไปเรื่อยๆ แต่ถ้ายังไม่ถึงข้อ 7 ก็ค่อยยังชั่ว

       พระพุทธเจ้าท่านสอนเราไว้หมด เตือนไว้ทุกแง่มุม หากเราไม่เอามาตรวจสอบให้ดี ที่อาตมาพูดนี้เขาก็เรียนกันนะ เข้าใจกัน แต่ไม่ได้เข้าถึงสัจจะพวกนี้เท่าไหร่ ไม่เอามาเตือนสำนึกแก่พุทธศาสนิกชนเลย ที่พูดนี่เอามาเตือนพุทธศาสนิกชน ว่าเราได้เสื่อมตามนัย 7 ข้อนี้หรือไม่? หรือยังเหลืออยู่บ้าง มันเสื่อมจริงหรือเปล่า?

       อาตมาต้องพูดว่า มันเสื่อมจริงแล้ว ...ทุกวันนี้ในเมืองไทย คนไปเยี่ยมภิกษุ ไปขอหวย สะเดาะเคราะห์ ไปทำทาน แต่ไปหลงว่าได้บุญ เพื่อรวย โลกธรรม แทนที่จะได้ลดกิเลส

       มีอยู่น้อยเหลือเกินที่จะแสวงหาความถูกต้อง จนไปเจอ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะการพบสัตบุรุษเป็นอาหารของวิชชา หรือ ตัณหาสูตร

1.    การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง

2.   การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)

3.   ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย

4.    การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ 

5.    ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์

6.    การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ.. ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)

7.   ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5

8.   นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา

9.   อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา

(พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 62)

       

       แม้คุณพบสัตบุรุณแล้วก็ต้องฟังธรรมให้บริบูรณ์​

อาหารสู่โพชฌงค์(1)

1.    การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์

2.   การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.   ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4.    การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5.    สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์

6.    ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต

7.   สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์

8.   สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์

9.   โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์     (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61)

 

       สรุปว่าชีวิตคนควรได้สิ่งที่ควรได้คือธรรมะ ทุกวันนี้อาตมาเทศน์ได้สรรเสริญมากกว่านินทาพอสมควร แต่ก่อนนี้ ทางเถรสมาคม ปกาสนียกรรม อาตมาก็โดนหนัก คนก็ไม่เคารพยอมรับตามกระแสโลก เขาก็เชื่อมหาเถรสมาคม อาตมาก็ได้รับการลบหลู่มากกว่าสรรเสริญ​อาตมาเข้าใจ ไม่มีปัญหา ก็พยายามทำงานมา จนทุกวันนี้ก็เปลี่ยนแปลงคลี่คลาย มีนินทาน้อยลงสรรเสริญเพ่ิมขึ้น อาตมาวัดเองตามภูมินะ เพราะเข้าใจ ยิ่งยาวนาน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน มันยาวนานมาก็ได้รับการพิสูจน์ว่าไม่ใช่คนที่มาทำลายทำเสียหาย พอนานไปก็ดูเหมือนถูก จนถึงเชื่อว่าถูก และถูกจริงๆแฮะ สุดท้ายถึงขั้นยอมรับว่าถูกจริงๆก็ใช้ได้ คนติเตียนมาอาตมาก็ตรวจสอบ โดยเฉพาะไตรปิฎก ที่มีอยู่ก็ยังใช้ได้เลย ทั้งไทยและบาลี

       คนแปบฉบับหลวง สมบูรณ์แบบที่สุดฉบับนี้เผยแพร่พศ.2500 ที่แพร่หลาย ตอนหลังก็มีอีกหลายฉบับ ก็มีเพ่ิมเติม ล้วนแล้วแต่ผู้ที่แปลไตรปิฎกท่านทุกคนยอมรับว่าตนไม่ใช่อรหันต์ จึงได้มาตามนั้น ท่านก็พยายามยืนยันตามพยัญชนะต้องขอบคุณยิ่ง อาตมาก็ได้อาศัย แต่มีบางคำความที่อาตมาเห็นว่าไม่ตรงตามภูมิอาตมา อาตมาตรวจสอบว่าถูกอย่างไรก็ยืนยันตามนั้น


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:00:54 )

570506

รายละเอียด

570506_พ่อครูเทศน์ในงานสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย ปักหลักเปิดโลก ตอนที่ 1

       การที่จะรู้จริงรู้แจ้งในเรื่องจิตวิญญาณที่จะเกิดญาณปัญญารู้จัก รู้แจ้งรู้จริง รู้อย่างสัมผัสรู้ ว่าวิญญาณลักษณะดังกล่าวเป็นอาการของสัตว์ อบาย เดรัจฉาน อสุรกาย หรือ เราเรียกว่าอาการ สัตว์ที่แตกต่างกัน มีความหยาบกลางละเอียดอย่างไรก็แยกแยะได้

       นรกคือความใคร่อยากเป็นเบื้องต้น ต้นรากที่ทำให้เกิดความร้อนเร่า ที่ร้อนเร่าเพราะอยากใคร่แรง ดิ้นรนมากมาย ที่จะต้องแย่งชิง จนรุนแรงฆ่าแกงกัน ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา มันรุนแรง คนเรา ก็เมียเขานะ แล้วไปชอบเมียเขาจนถึงต้องฆ่าผัวเขาเพื่อแย่งเอาเมียเขามา หรือจิตที่ไม่ได้รุนแรงร้อนเร่า มันทุกข์ทรมานมาก

       พอกิเลสมันเป็นลักษณะเปรต หรือปิติวิสัย  สัตว์เปรตคือดิ้นรนใคร่อยาก เปรตก็เป็นลักษณะกว้างๆ

       ส่วนเดรัจฉาน ก็เป็นกิเลสลักษณะของมันไม่รู้เรื่อง อวิชชาหรือโง่ เป็นโมหะ โง่ ความหมายของเดรัจฉานคือสัตว์ที่มีลำตัวขวางไม่ตั้งตรง ก็เลยว่ากันว่าเป็นสัตว์ขวาง หรือผู้มีลักษณะขวางทางนิพพาน

       ส่วนอติวินิปาต ก็คือกิเลสที่ไม่รู้จะจัดเข้าพวกไหนแล้ว เลอะเทอะ มันไม่รู้จะตกต่ำกว่านี้อีกแล้ว

       ความหมายของกิเลสต่างๆนี้ก็คือความเป็นสัตว์โลก สัตว์ทางจิตวิญญาณ

       สัตว์อบายคือกิเลส เราไม่ควรไปวุ่นวายเรียนรู้กิเลสของคนอื่น แม้คุณจะมีญาณรู้ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์ไปแส่ หรือคุณจะรู้แล้วจะไปสอน บอกเขาได้ ก็ไม่ใช่หน้าที่หลัก หน้าที่เราคือรู้ความเป็นสัตว์ ของตนเอง

       แม้คุณจะไม่มีกิเลสหยาบเท่าไหร่ก็พยายามอ่าน ให้รู้เป็นวิปัสสนาญาณ คือมันเห็น(ปัสสติ) มันสัมผัสรู้ ไม่ใช่เดา จะอ่านสัมผัสรู้เลย พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ได้ด้วยอาการเต็มๆ เรียกว่า อัตตา หรือตัวตน

       อัตตา เมื่อไม่มีเงื่อนไขกำกับก็ว่ากันลอยๆ แต่พุทธศาสนานั้นไม่ใช่หลักลอยเลอะเทอะ แต่เป็นสิ่งที่มีเป้าหมายรายละเอียดชัดเจน อัตตาหรือตัวตน มันหมายถึงตัวตนของกิเลส

       ไม่มีรูปร่างสีสัน เมื่อมี ก็เรียกว่าเป็นสัตว์หรือผี หรือมาร หรือเทวดา หรือพรหม มันไม่มีรูปร่าง แต่ก็สอนกันว่าเป็นรูปร่างตัวตนจะเห็นได้ต้องไปนั่งเข้าฌาน และพอฌานเก่ง ก็สามารถเกิดญาณปัญญาวิเศษเห็นเทวดา ผี พรหม ได้ เห็นเป็นรูปร่าง เหมือนคนตัวเป็นๆ หรืองามกว่าตัวคนหากเป็นเทวดา หรือเป็นสัตว์นรกก็คืออัปลักษณ์กว่าคน แล้วแต่อาจารย์จะว่ากันไป
       ถ้าผู้ใดว่าตนมีตาทิพย์มีฌาน สมาธิสูงเก่ง จนเกิดญาณวิเศษสามารถเห็นผี สัตว์นรก เทวดา พรหม แล้วเป็นเป็นรูปร่างเส้นแสง นี่ผิดแต่ต้นแล้ว

       พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะรู้นามรูป ก็รู้ได้ด้วย

1.    รู้ด้วยอาการ (สภาวะขณะนั้นของจิต-กุศล-อกุศล)

2.   ลิงคะ (ความต่างกันของนัยยะต่างๆ ในสภาวะจิต)

3.   นิมิต (เครื่องหมายชี้บอกสภาวะจิต)

4.    อุทเทส (การยกหัวข้ออธิบายขยายความหมาย) (พตปฎ. เล่ม 10   ข้อ 60)

       แต่ในไตรปิฎกอาจใช้คำว่า อาการ เพศ นิมิต อุเทส

       คำว่าอาการ ก็เป็นสภาวะมีลีลาความเคลื่อนไหวเป็นนามธรรม ของจิตวิญญาณ

       ส่วนลิงค ที่แปลว่าเพศคือมีความแตกต่างของอาการ เช่นอิตถีภาวะ ต่างกับปุริสภาวะ มันมีลักษณะที่ต้องเรียนรู้ แล้วเราจะรู้ว่าต่างกันอย่างไร บอกความแตกต่าง เรียกว่าลิงค หรือเพศ มันต่างกันนะ เป็นของสองลักษณะที่มีนัยต่างกัน จะรู้แม้ในอุปาทายรูป 24 ก็มีภาวรูป 2 คืออิตถีและปุริสภาวะ ก็ต้องมีญาณปัญญาแยกออก นี่คือมีตาทิพย์ นี่คือนามรูป หรือนามธรรม ที่ถูกรู้

       รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ โดยญาณของเรา เช่น คำว่า กาย เป็นองค์ประชุมที่รวมทั้งหมด ตั้งแต่ทวารทั้ง5 กระทบรูป ก็รู้ หูกระทบเสียง ตากระทบรูป ต้องกระทบภายนอกที่เป็นภาวะของดิน น้ำ ไฟ ลม หรือเป็นสสารภายนอก

       เมื่อสัมผัสแล้วเราก็เกิดรู้โดยจิตวิญญาณ ถ้าถอดลูกกะตาไปมันก็ไม่รู้ด้วยตัวมันเอง มันเป็นเพียงอุปกรณ์เครื่องเกี่ยวเนื่องให้จิตวิญญาณเกิดการรู้จากสิ่งที่เกี่ยวเนื่อง

       รูปรูป คือสิ่งที่อยู่ภายนอกเลย เป็นของหยาย ส่วนนามธรรมเป็นของละเอียดที่เราต้องกำหนดรู้

       ถ้าเราไปกำหนดผิดไปเห็นเป็นรูปที่มีสีสันรูปร่าง ตัวตน พอนั่งสมาธิเข้าไปก็เห็นว่ามีผี เทวดา เปรต อสุรกาย เป็นรูปร่างอย่างนี้ คุณก็เพ่งแต่รูปร่าง แต่มันไม่เกิดรับรู้สุขทุกข์อย่างไร เมื่อสอนกันผิดๆก็ไม่มีทางที่จะปฏิบัติได้ถูก ไปรู้แค่ตัวตนก็ไม่รู้ว่า มันสุข ทุกข์อย่างไร ผี เทวดา พรหม จะสุขทุกข์อย่างไรก็ไม่รู้ เพราะเรียนมาผิด ก็กำหนดผิดๆ แค่เห็นก็ดีใจว่าได้เห็นก็แค่นั้น

       พระพุทธเจ้าสอนว่าให้มีสติปัฏฐาน ต้องสัมผัสรู้ เมื่อตากระทบรูป เข้าไปข้างใน องค์ประชุมรวมเป็น กายสังขาร เป็นรูปของผี เทวดา พรหม คุณต้องรู้ว่าผีมีอาการอย่างไร

       ขั้นแรกต้องรู้เข้าไปภายใน เป็นรูป เช่นรูปในระดับหยาบ เรียกว่า กายในกาย ลืมตากระทบรูป หูได้ยินเสียงกระทบหู เป็นต้น อยู่หลัดๆ เป็นของจริง ปัจจุบันเลย เป็นองค์ประชุม หรือกาย

       เช่นดอกไม้ ที่อยู่บนโต๊ะ ดอกเล็กๆ เป็นดอกกล้วยไม้ เมื่อสัมผัสแล้วก็ดูเหมือนของจริงนะ เมื่อคุณพบดอกไม้ก็ว่าสวยจริง ตามสเปคอุปาทานไว้ คุณจะไปถูกหลอกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ล่ะว่ามันสวย คุณเห็นกายในกาย อยู่ภายใน เรียกว่าเป็นกายในกาย เข้าไปรู้ข้างในแล้ว ตากระทบภายนอกแล้วเชื่อมต่อให้รู้ข้างใน ถ้าคุณไม่มีความรู้สึก ไม่มีกำหนดหมายสัญญา แสงกระทบวัตถุ แล้วสะท้อนมาที่ตาเรา แต่คุณไม่มีสัญญากำหนดหมาย คุณก็ไม่รู้ไม่เห็น แม้ตากระทบ ตาไม่บอดนะ แต่ไม่มีสัญญาเจตสิก ตัวสัญญาต้องกำหนดตาม

       แต่ถ้าสติ คุณกำหนดรู้ตัวทั่วพร้อม ในสติสัมปชัญญะ ก็จะมีความรู้เลื่อนเข้าไป ตัวที่คุณเคยชอบ หากบางอารมณ์แปรปรวนก็ไม่ชอบได้ แต่ถ้าสามัญ มีอุปาทานว่าชอบแบบนี้ก็จะชอบ หรืออะไรสเปคไว้ว่าไม่ชอบก็จะไม่ชอบโดยสามัญ ในความรับรู้นั้นจากกายในกาย ก็มาต่อเป็นเวทนาในเวทนาต่อไปอีก

       อารมณ์ชอบ ไม่ชอบนี่ก็เป็นเวทนา แล้วก็พิจารณารายละเอียดในจิต แยกเวทนาอีกซึ่ง สังขารก็ไม่รู้ว่าสังขารทำให้เกิดเวทนา แต่เมื่อเราสามารถอ่านออกได้ว่า มันชอบไม่ชอบ หรือเฉยๆมันมีอยู่ 3 เวทนานี่แหละปุถุชนก็มีอยู่ 3เวทนา แล้วมีกระทบทาง ทวาร 6 แต่ละทวารก็มีสุขทุกข์เฉยๆนี่แหละ

       เวลาปฏิบัติ มีข้อที่แจกวิภังค์ ในปฏิจจสมุปบาท มีชาติที่มี 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

       แจกเป็นองค์รวม ซึ่ง เรียกว่า กาย คำว่ากายนี้ เขาเรียนกันมาผิดๆ จึงไม่ได้ธรรมะเพราะไปเรียนมาผิดๆ ว่า กายคือรูปร่างภายนอก ไม่ได้มีความรู้สึกไม่มีจิตเลย อย่างนี้เข้าใจผิด   

       เพราะกายที่คุณควรรู้ก็คือ สักกายะ ที่เป็นสังโยชน์ในสังโยชน์ 10 ก่อน

       ในปฏิจจสมุปบาทท่านให้เรียนรู้วิญญาณ 6 อายตะ 6 และให้เรียนรู้มโนปวิจาร 18

       ที่มีฝั่ง เคหสิตเวทนา  ถ้าคุณอ่านไม่ออกในมโนปวิจารก็จะไม่รู้ความจริงของสัตว์ มาร ผี เทวดา พรหม คุณจะไม่รู้ เพราะคุณแยกเวทนาไม่ออก ถ้าแยกไม่ออกก็ไม่เห็นสัตว์

       สุขอย่างสมมุติเทพ เรียกว่าเทวดาสมมุติรู้กันทั่วไป เหมือนกันทั้งนั้น  

       คุณต้องอ่านอาการ ที่เป็นเวทนา ที่เป็นสัตว์นรก  ให้ออก มันเป็นความทุกข์ เป็นเคหสิตเวทนา มันมีน้ำหนักหรืออินทรีย์ แรงเบาอย่างไร มันชอบหรือโกรธ แรงหรือเบา เรียกว่าอินทรีย์ของเวทนา

       มีเวทนา 5 ที่เป็น  1.สุขินทรีย์ 2.ทุกขินทรีย์ (ภายนอก)

       3.โสมนัสสินทรีย์ 4.โทมนัสสินทรีย์ 5.อุเบกขินทรีย์  (ภายใน)

       เรียนรู้ว่าเมื่อสัมผัสก็ชอบ คุณก็มีชีวิตอยู่กับมัน แล้วหลงสุข แล้วมันก็คู่กับทุกข์ หากไม่ได้ล้างกิเลส ไปตลอดกาลนาน เมื่อสัมผัสทางทวารแล้วก็มีเวทนา คุณก็จับตัวสัตว์ให้ได้

       สุขเท็จเรียกว่าสุขขัลลิกะ ไม่ใช่สุขจริง หากจับตัวสัตว์ได้ก็ประหาร ฆ่า มัน คุณประหารด้วย ปหาน 5

1.    วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) ธรรมชาติมนุษย์ก็จะรู้ใช้การกดข่มไว้ แสดงออกประเจิดประเจ้อไม่ได้ ต้องมีมารยาทสังคม กดข่มไว้บ้าง ก็เป็นธรรมดา มันทำกันเป็นทุกคน แต่การกดข่มก็ทำให้ไม่แสดงออกทางกาย วาจา มามีฤทธิ์อำนาจ มาเป็นองค์รวมทั้งหมด เป็นกายวิญญัติ ทั้งหมด ทั้งท่าทางที่เป็นท่าทางเต็มๆ รวมเป็นอาการสรีระบทบาท มีทั้่งสุ้มเสียงสำเนียงที่อาตมาแสดงนี่คือกายวิญญัติ ถ้าคุณเกิดอาการกาม คุณจะแสดงอาการกาม หากคุณไม่กดข่มก็แสดงออกมาเต็มที่เลย คุณจะทำร้ายก็แสดงออกเต็มที่เลยทั้งเตะถีบด่าทอ ก็แสดงออกมาเต็มๆก็รู้ได้ด้วยกายวิญญัติ การเคลื่อนไหวที่เป็นองค์รวม มีใจเป็นประธาน ถ้าไม่มีอาการทางกายเลยมีแต่สำเสียงเสียงเรียกว่า วจีวิญญัติ ในการกดข่มนั้น คุณก็มีปฏิภาณรู้ว่ากดข่ม ในลึกๆก็รู้ว่ามันเป็นโทษ แต่คุณไม่ได้คิดจะให้มันหายไป แต่ถ้าได้เรียนธรรมะมาก็รู้ว่าควรทำให้หายไป ก็ได้แต่กดข่มไว้ แต่พระพุทธเจ้าสอนให้วิปัสสนาวิธี

2.   ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) 

3.   สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง)

4.    ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) 

5.    นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ) (พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

       เมื่อคุณอ่านรู้ผีได้ ก็พิจารณา โทษภัยของผี มีวิธีพิจารณาว่า อนิจจัง ทุกขัง อัตตา

       1.มันไม่เที่ยง อนิจจัง มันจะเกิดอย่างนี้จนระงับไม่ได้ หรือมันจะหายไปจนสูญเลย คุณไม่เคยศึกษาเลย แต่พอศึกษาก็จะรู้ว่ามันไม่เที่ยง เกิดแรง เบา จัดจ้านอย่างไรก็แสดงออกมาก็เป็นได้ มันไม่เป็นตลอดเวลา แสดงว่ามันอนิจจัง ไม่เที่ยง มันเกิดเมื่อคุณปรุงแต่งได้มาก ตามที่คุณมีต้นทุน คนไม่มีต้นทุนก็ปรุงแต่งไม่ได้มาก หากไม่สะสมก็ไม่มี แต่ถ้าสะสมมากก็ต้องควบคุม มีโอกาสแสดงออกก็แสดงออกเต็มที่ ก็ได้บำเรอมันไป โทสะแสดงเต็มที่ถ้ามีโอกาส ควบคุมไม่ได้ ก็แสดงออก คนก็ต้องมาเรียนรู้ว่ามันไม่เที่ยง ที่จริงรู้ง่าย คุณไม่ได้มีราคะโทสะตลอดเวลา แสดงออกมากบ้างน้อยบ้าง หรือเจออันนี้ทีไรก็โทสะแรงทุกที บางทีแสดงออกมาก บางทีแสดงน้อย ไม่เที่ยง แต่ก็มักแสดงออกเสมอ แล้วก็บำเรอให้สมโลภ สมโกรธตลอดเวลา

       2.เป็นทุกข์ เสียทั้งทุนรอน เวลา แรงงานทำให้เสียหายฉิบหาย อะไรไม่จำเป็นต้องมีต้องได้เลย เช่นคุณจะต้องได้เงินทอง ลาภ คุณต้องมีต้องได้ตะกละจะเอามามาก ได้มาก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์ จองเวรพยาบาทจะเอาๆๆ อย่างที่เราต้องมาต่อสู้อยู่ที่นี่แหละ ที่เขาหลอกกันจะเอาเปรียบกันแล้วหลอกให้คนมาเอาเปรียบกันได้มากๆ ให้แค่เศษเนื้อข้างเขียงแต่ตนเอามามากๆ ถ้าได้มาก็สุข แต่ทุกข์เขาไม่รู้ตัวแล้วเขาพาคนอื่นทุกข์ด้วยแม้แต่เรา แต่ทุกข์ของเรานี่เป็นกุศล เราทำไม่ได้เพื่อตัวเราแต่เราทำเพื่อผู้อื่นด้วย แต่ถ้าไม่รู้จักพอ ไม่สันโดษเลยจะสร้างวิบากไปเรื่อยๆ จะต้องมาเป็นเวรภัย เป็นอจินไตยที่ต้องมาทำร้ายกัน มันมีอะไรที่นึกไม่ออกเยอะกว่าเยอะ สรุปแล้วต้องรู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดีก่อความไม่ดี ทุกข์เป็นความลำบาก แต่สุขเป็นความเท็จ สุขทุกข์คู่กัน เราต้องพยายามลดเหตุแห่งทุกข์ คือการหามาบำเรอโลภ โกรธหลงของตนเอง มันมีวิธีกำจัด ตั้งแต่ตทังคปหานก็ได้ชั่วคราวแต่ถ้าทำวิปัสสนาวิธี จะมีวิปัสสนาญาณ ​9 อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิด- ความเสื่อมไปของกิเลส ของชาติ เวทนาสุขทุกข์ต่างๆ

       แล้วการไม่ได้สุขนี่มันจะไ่ม่เจริญหรือไม่ ?ไม่ต้องมีอันนี้จะเป็นคนประเสริฐได้หรือไม่คุณก็ต้องลองทิ้งดู เช่นการที่เราจะไม่ต้องมีอบายมุขอย่างนี้ เช่นเราไม่ต้องไปเล่นพนัน เราไม่ต้องติดน้ำเมา ไม่ต้องรุนแรงฆ่า ถ้ายิ่งเจ๋งจริงๆ อาตมาพามาไม่กินเนื้อสัตว์จะเห็นอะไรลึกๆกว่านี้อีก ถ้าเลิกได้มันก็ไม่ได้สุขอย่างนี้ แล้วไม่ได้สุขอย่างนี้มันจะตายไหม ถ้าได้ฆ่าสัตว์มันสุข ถ้าไม่ได้ฆ่าจะทุกข์ คุณก็ลองดูสิว่าไม่ฆ่าสัตว์ตนจะตายไหม?

       คุณไม่ต้องไปขโมยของจะตายไหม? มันมีลูกคนรวยที่เป็นโรคกิเลสต้องได้ขโมยจึงสุข ทั้งรู้ว่าไม่ดี แต่เสี่ยงภัยดี ถ้าขโมยได้เก่ง พวกนี้วิตถารนะ เดี๋ยวนี้เยอะมาก ถ้าเราไม่เอาของอื่นที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ต้องไปอยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา อ่านอาการอยากให้เป็น มันอยากตามเขา เขามีมากก็อยากได้ตามเขา ถ้าเราไม่อยากตามเขา เช่นเขามี 10 ล้านเราไม่ต้องไปอยากมี 10 ล้าน เราจะเป็นคนประเสริฐได้ไหม เบื้องต้นไม่ต้องไปอยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา เช่นเก็บของได้ก็ไปคืนเขา คนซื่อสัตย์แค่ทำเช่นนี้สังคมก็เป็นสุข ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเราก็เป็นสุข ยิ่งฝึกจิตให้ไม่อยากเอาก็ยิ่งเจริญ ถ้าจะมีก็ต้องสร้างเองผลิตเอง ของตนเองทำสร้างเอง ทำขึ้น ดีไม่ดีทำแล้วเราก็อาศัยสิ่งที่เราทำได้ มีเหลือก็แจกจ่างเผื่อคนอื่น สังคมเช่นนี้ชาวอโศกทำ จึงเป็นสังคมสุข ไม่ต้องรวย ในหลวงเราตรัส ไม่ต้องไปรวย ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา สังคมเราจึงเป็นสังคมอาริยชน

       เราทำสังคมที่มีสุขที่ได้จากการสละออก เนกขัมมะ เป็นสุขที่ยังได้บำเรออยู่ติดยึดอยู่ ดังนั้นทำก็ไม่สุข ไม่ได้ทำก็ไม่ทุกข์ แต่ทำก็ทำเพื่อคนอื่น

       เราต้องรู้ว่าสุข ที่บำเรอกิเลสแบบโลกๆแต่เรามาเรียนรู้ที่จะลดกิเลส เมื่อลดได้ก็เป็นสุข เป็นอุปกิเลส แต่ยังดีเป็นเนกขัมสติโสมนัสเวทนา  ไม่เหมือนทางโลกที่ได้มาบำเรอตนได้ตามสเปค บำเรอกามบำเรออัตตา

       เมื่อลดอาการผีได้ สัตว์นรก เดรัจฉานได้ ชัดเจนว่าเรารู้ตัวที่เราจะกำจัด ตามปหาน 5 ได้ ทำจนเป็นตถตาในขั้นสูงสุด

       แต่ตถตา นั้นอาตมาแบ่งเป็น 3 อย่าง    

1.ตถตา แบบยถากรรม ได้แต่ท่องเอาปล่อยวางอย่างที่ปล่อยเป็นยถากรรม แบบนี้คุณเบาว่างได้ชั่วคราว แต่ไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนา ไม่เกิดญาณปัญญา รู้จัก เวทนาในเวทนา จิตในจิต ไม่เกิดความฉลาดในการทำจิตใจเลย ไม่ได้ฝึกอบรมเลยไม่พัฒนาจิตเลย ไม่เกิดญาณปัญญาที่สูงขึ้นเลย แต่ถ้าได้ฝึกจะรู้ขั้นตอนเลยในการเกิดญาณ เป็นสมถะลืมตา หัดปล่อยวาง อย่ามายุ่ง ก็ช่วยได้ บรรเทาทุกข์ได้ ไม่ได้มีญาณปัญญาจริง ไม่ได้ศึกษาเวทนา 108

 

2.ตถตา ที่เป็นมรรค เกิดจากการฝึกฝน รู้เองเห็นเอง ว่ากิเลสลดได้หายไปได้ ก็จะอ๋อ เป็นตัวปฏิบัติ

       1.สัจจญาณ (หยั่งรู้สัจจะ กำหนดรู้ให้ครบ ปริญเญยยันติ) 

       2.กิจจญาณ (หยั่งรู้กิจที่กำลังละล้างกิเลส ปหาตัพพันติ)

       3.กตญาณ  (หยั่งรู้การจบกิจแล้วให้แจ่มแจ้ง สัจฉิกาตัพพันติ)

(พตปฎ. เล่ม 4  ข้อ 15  ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร)

       ปฏิบัติอนุปัสสี 4

       1.อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา)

       2.วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส) 

       3.นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)

       4. ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน นิสสัคคะก็คือไม่มีนรกสวรรค์ เพราะกำจัดผีและเทวดาปลอก เกิด) (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 288)

 

3.ตถตา ที่เป็นผล คือทำได้สมบูรณ์แล้ว

 

       ในงานนี้อาตามาจะแจกแจง เทวดา 6 ภูมิ พรหมอีก 20 ภูมิ ถ้าผู้ใดศึกษาถูกต้อง ฆ่าความเป็นสัตว์ได้ก็จะมีมรรคผลจริง ตอนนี้เราจะศึกษาการเปิดโลก อาตมาอธิบายเรื่องนี้มาหลายชาติแล้ว ยังอธิบายไม่จบหลักสูตรเลย แต่คนเรียนจบหลักสูตรได้มี เป็นอรหันต์ได้ ก็จับสูตรทฤษฎีของตนเองให้ได้

       สรุป สัตว์นรก สัตว์สวรรค์(เทวดา)หรือสัตว์ที่ลดกิเลส(พรหม)

       สัตว์พรหมคือสัตว์ที่ลดกิเลสได้

       สัตว์เทวดามี  2 สัตว์  1. สัตว์สุขขัลลิกะ (สมมุติเทพ) รู้กันได้ทั่วกันอาจสมมุติต่างกันบ้างแต่ก็รู้ได้ทั่วกันได้ 2. สัตว์ อุปัติเทพ

       คำว่า กาย นี่สำคัญ คือต้องรู้ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายได้จึงบรรลุ อย่างในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 2

 

และในทักขิเนยยบุคคล 7 ก็มีแบ่งไว้

 

 
 

 

 

       สายปัญญานี่ มีปัญญาวิมุติก็เป็นอรหันต์แล้ว จะปฏิบัติวิโมกข์ 8 ได้โดยเร็ว ท่านละไว้ว่า ธัมมานุสารี สายนี้จะไม่ต้องกล่าวว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกายเพราะมีสัมมาทิฏฐิแต่ต้นแล้ว ส่วนสายสัทธานุสารีย์ นั้น ก็ต้องกล่าวว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงจะครบอุภโตภาควิมุติเป็นอรหันต์ได้

       ต้องมีการสัมผัสทวาร 6 แล้วมีเวทนาเกิด ต้องจับผี จับเทวดาสมุตติได้ แล้วจัดการเหตุแห่งสุขทุกข์ได้ก็เป็นพรหม

       วิโมกข์ 8 ข้อที่ 8 นั้น หมายถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ นี่จึงเป็นฌานของพระพุทธเจ้า ขั้นอรูปฌานแล้ว ไม่เหมือนของลัทธิอื่น ซึ่งสมาธิ ฌาน นิโรธ ของพุทธก็ต่างกับลัทธิอื่น ของพระพุทธเจ้าเข้าถึงนิโรธแบบลืมตา มีผัสสะ ส่วนแบบไม่ใช่พุทธจะได้นิโรธแบบหลับตา เข้าในภพ กายของนิโรธนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นธรรมะที่บริบูรณ์พรหมจรรย์สูงสุดก็เป็นธรรมกายสุดท้าย หรือย่ิงเป็นธรรมกายของพระพุทธเจ้าก็เป็นองค์ประชุมของธรรมะที่สูงสุด หรือเรียกว่าพรหมกายก็ได้ จะได้อธิบายธรรมกายที่สัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ ที่ธรรมกายเขายึดถือกัน ก็สุดที่จะเลี่ยงในการอธิบายเรื่องธรรมกาย ที่เขามิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้มีเจตนาไปว่าสำนักธรรมกายนะ

       สำนักธรรมกายนี่มีสองสำนักใหญ่ ท่านได้ทะเลาะกันแล้วแยกเป็นสองคณะ สำนักหนึ่งอยู่ดำเนินสะดวก อีกสำนักหนึ่งอยู่ที่รังสิต ไม่ได้โกรธเคืองนะ แต่เห็นใจ ละเว้นไม่ได้ที่จะต้องตำหนิ เพราะว่ามันผิด โดยความเห็นของอาตมา ส่วนใครจะศรัทธาธรรมกายสองคณะนั้นก็ขออภัย ให้ฟังอาตมาบ้าง ไม่อยากให้ชิงชังอาตมา รับฟังบ้าง อาตมาก็รับรู้สัมผัสธรรมกายอยู่

       เป็นนานาสังวาส แล้ว พุทธด้วยกันแต่ต่างกันก็ต้องพูดความต่าง ก็ต้องพูดสิ่งถูกสิ่งผิด จะพูดว่าถูกทั้งสองอย่างไม่ได้ ก็ต้องแยกแยะ แต่ใครจะเห็นอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ ท่านจะเห็นว่าอาตมาผิดก็ได้ อย่างDDTV ก็ว่าอาตมาใหญ่เลย ท่านเข้าใจอาตมาผิด ท่านก็ว่าของท่านถูกอาตมาผิด ก็เป็นสิทธิ์ท่าน ส่วนอาตมาก็พาดพิงบ้าง บางทีก็แรงบ้าง แต่ก็ไม่ให้หยาบ แรงหนักบ้าง ใช้พยัญชนะหนักบ้าง ให้เข้าใจได้ เช่นอย่างนี้ชั่วก็ต้องว่าชั่ว อย่างนี้พาฉิบหายเลวก็ต้องบอกพูดไป แต่ส่วนใหญ่จะพูดก็ต้องขออภัยก่อน อาตมาไม่ได้มีอารมณ์มันเขี้ยวโกรธแล้ว

       แต่บางทีรีบๆก็อาจไม่ทันขออภัยแต่น้อยครั้ง ก็จะขออภัยหากจะใช้คำที่หนักที่ทางโลกถือกัน...

       

570506_พ่อครูเทศน์ในงานสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย ปักหลักเปิดโลก ตอนที่ 1

 

       การที่จะรู้จริงรู้แจ้งในเรื่องจิตวิญญาณที่จะเกิดญาณปัญญารู้จัก รู้แจ้งรู้จริง รู้อย่างสัมผัสรู้ ว่าวิญญาณลักษณะดังกล่าวเป็นอาการของสัตว์ อบาย เดรัจฉาน อสุรกาย หรือ เราเรียกว่าอาการ สัตว์ที่แตกต่างกัน มีความหยาบกลางละเอียดอย่างไรก็แยกแยะได้

       นรกคือความใคร่อยากเป็นเบื้องต้น ต้นรากที่ทำให้เกิดความร้อนเร่า ที่ร้อนเร่าเพราะอยากใคร่แรง ดิ้นรนมากมาย ที่จะต้องแย่งชิง จนรุนแรงฆ่าแกงกัน ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา มันรุนแรง คนเรา ก็เมียเขานะ แล้วไปชอบเมียเขาจนถึงต้องฆ่าผัวเขาเพื่อแย่งเอาเมียเขามา หรือจิตที่ไม่ได้รุนแรงร้อนเร่า มันทุกข์ทรมานมาก

       พอกิเลสมันเป็นลักษณะเปรต หรือปิติวิสัย  สัตว์เปรตคือดิ้นรนใคร่อยาก เปรตก็เป็นลักษณะกว้างๆ

       ส่วนเดรัจฉาน ก็เป็นกิเลสลักษณะของมันไม่รู้เรื่อง อวิชชาหรือโง่ เป็นโมหะ โง่ ความหมายของเดรัจฉานคือสัตว์ที่มีลำตัวขวางไม่ตั้งตรง ก็เลยว่ากันว่าเป็นสัตว์ขวาง หรือผู้มีลักษณะขวางทางนิพพาน

       ส่วนอติวินิปาต ก็คือกิเลสที่ไม่รู้จะจัดเข้าพวกไหนแล้ว เลอะเทอะ มันไม่รู้จะตกต่ำกว่านี้อีกแล้ว

       ความหมายของกิเลสต่างๆนี้ก็คือความเป็นสัตว์โลก สัตว์ทางจิตวิญญาณ

       สัตว์อบายคือกิเลส เราไม่ควรไปวุ่นวายเรียนรู้กิเลสของคนอื่น แม้คุณจะมีญาณรู้ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์ไปแส่ หรือคุณจะรู้แล้วจะไปสอน บอกเขาได้ ก็ไม่ใช่หน้าที่หลัก หน้าที่เราคือรู้ความเป็นสัตว์ ของตนเอง

       แม้คุณจะไม่มีกิเลสหยาบเท่าไหร่ก็พยายามอ่าน ให้รู้เป็นวิปัสสนาญาณ คือมันเห็น(ปัสสติ) มันสัมผัสรู้ ไม่ใช่เดา จะอ่านสัมผัสรู้เลย พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ได้ด้วยอาการเต็มๆ เรียกว่า อัตตา หรือตัวตน

       อัตตา เมื่อไม่มีเงื่อนไขกำกับก็ว่ากันลอยๆ แต่พุทธศาสนานั้นไม่ใช่หลักลอยเลอะเทอะ แต่เป็นสิ่งที่มีเป้าหมายรายละเอียดชัดเจน อัตตาหรือตัวตน มันหมายถึงตัวตนของกิเลส

       ไม่มีรูปร่างสีสัน เมื่อมี ก็เรียกว่าเป็นสัตว์หรือผี หรือมาร หรือเทวดา หรือพรหม มันไม่มีรูปร่าง แต่ก็สอนกันว่าเป็นรูปร่างตัวตนจะเห็นได้ต้องไปนั่งเข้าฌาน และพอฌานเก่ง ก็สามารถเกิดญาณปัญญาวิเศษเห็นเทวดา ผี พรหม ได้ เห็นเป็นรูปร่าง เหมือนคนตัวเป็นๆ หรืองามกว่าตัวคนหากเป็นเทวดา หรือเป็นสัตว์นรกก็คืออัปลักษณ์กว่าคน แล้วแต่อาจารย์จะว่ากันไป
       ถ้าผู้ใดว่าตนมีตาทิพย์มีฌาน สมาธิสูงเก่ง จนเกิดญาณวิเศษสามารถเห็นผี สัตว์นรก เทวดา พรหม แล้วเป็นเป็นรูปร่างเส้นแสง นี่ผิดแต่ต้นแล้ว

       พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะรู้นามรูป ก็รู้ได้ด้วย

1.    รู้ด้วยอาการ (สภาวะขณะนั้นของจิต-กุศล-อกุศล)

2.   ลิงคะ (ความต่างกันของนัยยะต่างๆ ในสภาวะจิต)

3.   นิมิต (เครื่องหมายชี้บอกสภาวะจิต)

4.    อุทเทส (การยกหัวข้ออธิบายขยายความหมาย) (พตปฎ. เล่ม 10   ข้อ 60)

       แต่ในไตรปิฎกอาจใช้คำว่า อาการ เพศ นิมิต อุเทส

       คำว่าอาการ ก็เป็นสภาวะมีลีลาความเคลื่อนไหวเป็นนามธรรม ของจิตวิญญาณ

       ส่วนลิงค ที่แปลว่าเพศคือมีความแตกต่างของอาการ เช่นอิตถีภาวะ ต่างกับปุริสภาวะ มันมีลักษณะที่ต้องเรียนรู้ แล้วเราจะรู้ว่าต่างกันอย่างไร บอกความแตกต่าง เรียกว่าลิงค หรือเพศ มันต่างกันนะ เป็นของสองลักษณะที่มีนัยต่างกัน จะรู้แม้ในอุปาทายรูป 24 ก็มีภาวรูป 2 คืออิตถีและปุริสภาวะ ก็ต้องมีญาณปัญญาแยกออก นี่คือมีตาทิพย์ นี่คือนามรูป หรือนามธรรม ที่ถูกรู้

       รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ โดยญาณของเรา เช่น คำว่า กาย เป็นองค์ประชุมที่รวมทั้งหมด ตั้งแต่ทวารทั้ง5 กระทบรูป ก็รู้ หูกระทบเสียง ตากระทบรูป ต้องกระทบภายนอกที่เป็นภาวะของดิน น้ำ ไฟ ลม หรือเป็นสสารภายนอก

       เมื่อสัมผัสแล้วเราก็เกิดรู้โดยจิตวิญญาณ ถ้าถอดลูกกะตาไปมันก็ไม่รู้ด้วยตัวมันเอง มันเป็นเพียงอุปกรณ์เครื่องเกี่ยวเนื่องให้จิตวิญญาณเกิดการรู้จากสิ่งที่เกี่ยวเนื่อง

       รูปรูป คือสิ่งที่อยู่ภายนอกเลย เป็นของหยาย ส่วนนามธรรมเป็นของละเอียดที่เราต้องกำหนดรู้

       ถ้าเราไปกำหนดผิดไปเห็นเป็นรูปที่มีสีสันรูปร่าง ตัวตน พอนั่งสมาธิเข้าไปก็เห็นว่ามีผี เทวดา เปรต อสุรกาย เป็นรูปร่างอย่างนี้ คุณก็เพ่งแต่รูปร่าง แต่มันไม่เกิดรับรู้สุขทุกข์อย่างไร เมื่อสอนกันผิดๆก็ไม่มีทางที่จะปฏิบัติได้ถูก ไปรู้แค่ตัวตนก็ไม่รู้ว่า มันสุข ทุกข์อย่างไร ผี เทวดา พรหม จะสุขทุกข์อย่างไรก็ไม่รู้ เพราะเรียนมาผิด ก็กำหนดผิดๆ แค่เห็นก็ดีใจว่าได้เห็นก็แค่นั้น

       พระพุทธเจ้าสอนว่าให้มีสติปัฏฐาน ต้องสัมผัสรู้ เมื่อตากระทบรูป เข้าไปข้างใน องค์ประชุมรวมเป็น กายสังขาร เป็นรูปของผี เทวดา พรหม คุณต้องรู้ว่าผีมีอาการอย่างไร

       ขั้นแรกต้องรู้เข้าไปภายใน เป็นรูป เช่นรูปในระดับหยาบ เรียกว่า กายในกาย ลืมตากระทบรูป หูได้ยินเสียงกระทบหู เป็นต้น อยู่หลัดๆ เป็นของจริง ปัจจุบันเลย เป็นองค์ประชุม หรือกาย

       เช่นดอกไม้ ที่อยู่บนโต๊ะ ดอกเล็กๆ เป็นดอกกล้วยไม้ เมื่อสัมผัสแล้วก็ดูเหมือนของจริงนะ เมื่อคุณพบดอกไม้ก็ว่าสวยจริง ตามสเปคอุปาทานไว้ คุณจะไปถูกหลอกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ล่ะว่ามันสวย คุณเห็นกายในกาย อยู่ภายใน เรียกว่าเป็นกายในกาย เข้าไปรู้ข้างในแล้ว ตากระทบภายนอกแล้วเชื่อมต่อให้รู้ข้างใน ถ้าคุณไม่มีความรู้สึก ไม่มีกำหนดหมายสัญญา แสงกระทบวัตถุ แล้วสะท้อนมาที่ตาเรา แต่คุณไม่มีสัญญากำหนดหมาย คุณก็ไม่รู้ไม่เห็น แม้ตากระทบ ตาไม่บอดนะ แต่ไม่มีสัญญาเจตสิก ตัวสัญญาต้องกำหนดตาม

       แต่ถ้าสติ คุณกำหนดรู้ตัวทั่วพร้อม ในสติสัมปชัญญะ ก็จะมีความรู้เลื่อนเข้าไป ตัวที่คุณเคยชอบ หากบางอารมณ์แปรปรวนก็ไม่ชอบได้ แต่ถ้าสามัญ มีอุปาทานว่าชอบแบบนี้ก็จะชอบ หรืออะไรสเปคไว้ว่าไม่ชอบก็จะไม่ชอบโดยสามัญ ในความรับรู้นั้นจากกายในกาย ก็มาต่อเป็นเวทนาในเวทนาต่อไปอีก

       อารมณ์ชอบ ไม่ชอบนี่ก็เป็นเวทนา แล้วก็พิจารณารายละเอียดในจิต แยกเวทนาอีกซึ่ง สังขารก็ไม่รู้ว่าสังขารทำให้เกิดเวทนา แต่เมื่อเราสามารถอ่านออกได้ว่า มันชอบไม่ชอบ หรือเฉยๆมันมีอยู่ 3 เวทนานี่แหละปุถุชนก็มีอยู่ 3เวทนา แล้วมีกระทบทาง ทวาร 6 แต่ละทวารก็มีสุขทุกข์เฉยๆนี่แหละ

       เวลาปฏิบัติ มีข้อที่แจกวิภังค์ ในปฏิจจสมุปบาท มีชาติที่มี 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

       แจกเป็นองค์รวม ซึ่ง เรียกว่า กาย คำว่ากายนี้ เขาเรียนกันมาผิดๆ จึงไม่ได้ธรรมะเพราะไปเรียนมาผิดๆ ว่า กายคือรูปร่างภายนอก ไม่ได้มีความรู้สึกไม่มีจิตเลย อย่างนี้เข้าใจผิด   

       เพราะกายที่คุณควรรู้ก็คือ สักกายะ ที่เป็นสังโยชน์ในสังโยชน์ 10 ก่อน

       ในปฏิจจสมุปบาทท่านให้เรียนรู้วิญญาณ 6 อายตะ 6 และให้เรียนรู้มโนปวิจาร 18

       ที่มีฝั่ง เคหสิตเวทนา  ถ้าคุณอ่านไม่ออกในมโนปวิจารก็จะไม่รู้ความจริงของสัตว์ มาร ผี เทวดา พรหม คุณจะไม่รู้ เพราะคุณแยกเวทนาไม่ออก ถ้าแยกไม่ออกก็ไม่เห็นสัตว์

       สุขอย่างสมมุติเทพ เรียกว่าเทวดาสมมุติรู้กันทั่วไป เหมือนกันทั้งนั้น  

       คุณต้องอ่านอาการ ที่เป็นเวทนา ที่เป็นสัตว์นรก  ให้ออก มันเป็นความทุกข์ เป็นเคหสิตเวทนา มันมีน้ำหนักหรืออินทรีย์ แรงเบาอย่างไร มันชอบหรือโกรธ แรงหรือเบา เรียกว่าอินทรีย์ของเวทนา

       มีเวทนา 5 ที่เป็น  1.สุขินทรีย์ 2.ทุกขินทรีย์ (ภายนอก)

       3.โสมนัสสินทรีย์ 4.โทมนัสสินทรีย์ 5.อุเบกขินทรีย์  (ภายใน)

       เรียนรู้ว่าเมื่อสัมผัสก็ชอบ คุณก็มีชีวิตอยู่กับมัน แล้วหลงสุข แล้วมันก็คู่กับทุกข์ หากไม่ได้ล้างกิเลส ไปตลอดกาลนาน เมื่อสัมผัสทางทวารแล้วก็มีเวทนา คุณก็จับตัวสัตว์ให้ได้

       สุขเท็จเรียกว่าสุขขัลลิกะ ไม่ใช่สุขจริง หากจับตัวสัตว์ได้ก็ประหาร ฆ่า มัน คุณประหารด้วย ปหาน 5

1.    วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) ธรรมชาติมนุษย์ก็จะรู้ใช้การกดข่มไว้ แสดงออกประเจิดประเจ้อไม่ได้ ต้องมีมารยาทสังคม กดข่มไว้บ้าง ก็เป็นธรรมดา มันทำกันเป็นทุกคน แต่การกดข่มก็ทำให้ไม่แสดงออกทางกาย วาจา มามีฤทธิ์อำนาจ มาเป็นองค์รวมทั้งหมด เป็นกายวิญญัติ ทั้งหมด ทั้งท่าทางที่เป็นท่าทางเต็มๆ รวมเป็นอาการสรีระบทบาท มีทั้่งสุ้มเสียงสำเนียงที่อาตมาแสดงนี่คือกายวิญญัติ ถ้าคุณเกิดอาการกาม คุณจะแสดงอาการกาม หากคุณไม่กดข่มก็แสดงออกมาเต็มที่เลย คุณจะทำร้ายก็แสดงออกเต็มที่เลยทั้งเตะถีบด่าทอ ก็แสดงออกมาเต็มๆก็รู้ได้ด้วยกายวิญญัติ การเคลื่อนไหวที่เป็นองค์รวม มีใจเป็นประธาน ถ้าไม่มีอาการทางกายเลยมีแต่สำเสียงเสียงเรียกว่า วจีวิญญัติ ในการกดข่มนั้น คุณก็มีปฏิภาณรู้ว่ากดข่ม ในลึกๆก็รู้ว่ามันเป็นโทษ แต่คุณไม่ได้คิดจะให้มันหายไป แต่ถ้าได้เรียนธรรมะมาก็รู้ว่าควรทำให้หายไป ก็ได้แต่กดข่มไว้ แต่พระพุทธเจ้าสอนให้วิปัสสนาวิธี

2.   ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) 

3.   สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง)

4.    ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) 

5.    นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ) (พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

       เมื่อคุณอ่านรู้ผีได้ ก็พิจารณา โทษภัยของผี มีวิธีพิจารณาว่า อนิจจัง ทุกขัง อัตตา

       1.มันไม่เที่ยง อนิจจัง มันจะเกิดอย่างนี้จนระงับไม่ได้ หรือมันจะหายไปจนสูญเลย คุณไม่เคยศึกษาเลย แต่พอศึกษาก็จะรู้ว่ามันไม่เที่ยง เกิดแรง เบา จัดจ้านอย่างไรก็แสดงออกมาก็เป็นได้ มันไม่เป็นตลอดเวลา แสดงว่ามันอนิจจัง ไม่เที่ยง มันเกิดเมื่อคุณปรุงแต่งได้มาก ตามที่คุณมีต้นทุน คนไม่มีต้นทุนก็ปรุงแต่งไม่ได้มาก หากไม่สะสมก็ไม่มี แต่ถ้าสะสมมากก็ต้องควบคุม มีโอกาสแสดงออกก็แสดงออกเต็มที่ ก็ได้บำเรอมันไป โทสะแสดงเต็มที่ถ้ามีโอกาส ควบคุมไม่ได้ ก็แสดงออก คนก็ต้องมาเรียนรู้ว่ามันไม่เที่ยง ที่จริงรู้ง่าย คุณไม่ได้มีราคะโทสะตลอดเวลา แสดงออกมากบ้างน้อยบ้าง หรือเจออันนี้ทีไรก็โทสะแรงทุกที บางทีแสดงออกมาก บางทีแสดงน้อย ไม่เที่ยง แต่ก็มักแสดงออกเสมอ แล้วก็บำเรอให้สมโลภ สมโกรธตลอดเวลา

       2.เป็นทุกข์ เสียทั้งทุนรอน เวลา แรงงานทำให้เสียหายฉิบหาย อะไรไม่จำเป็นต้องมีต้องได้เลย เช่นคุณจะต้องได้เงินทอง ลาภ คุณต้องมีต้องได้ตะกละจะเอามามาก ได้มาก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์ จองเวรพยาบาทจะเอาๆๆ อย่างที่เราต้องมาต่อสู้อยู่ที่นี่แหละ ที่เขาหลอกกันจะเอาเปรียบกันแล้วหลอกให้คนมาเอาเปรียบกันได้มากๆ ให้แค่เศษเนื้อข้างเขียงแต่ตนเอามามากๆ ถ้าได้มาก็สุข แต่ทุกข์เขาไม่รู้ตัวแล้วเขาพาคนอื่นทุกข์ด้วยแม้แต่เรา แต่ทุกข์ของเรานี่เป็นกุศล เราทำไม่ได้เพื่อตัวเราแต่เราทำเพื่อผู้อื่นด้วย แต่ถ้าไม่รู้จักพอ ไม่สันโดษเลยจะสร้างวิบากไปเรื่อยๆ จะต้องมาเป็นเวรภัย เป็นอจินไตยที่ต้องมาทำร้ายกัน มันมีอะไรที่นึกไม่ออกเยอะกว่าเยอะ สรุปแล้วต้องรู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดีก่อความไม่ดี ทุกข์เป็นความลำบาก แต่สุขเป็นความเท็จ สุขทุกข์คู่กัน เราต้องพยายามลดเหตุแห่งทุกข์ คือการหามาบำเรอโลภ โกรธหลงของตนเอง มันมีวิธีกำจัด ตั้งแต่ตทังคปหานก็ได้ชั่วคราวแต่ถ้าทำวิปัสสนาวิธี จะมีวิปัสสนาญาณ ​9 อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิด- ความเสื่อมไปของกิเลส ของชาติ เวทนาสุขทุกข์ต่างๆ

       แล้วการไม่ได้สุขนี่มันจะไ่ม่เจริญหรือไม่ ?ไม่ต้องมีอันนี้จะเป็นคนประเสริฐได้หรือไม่คุณก็ต้องลองทิ้งดู เช่นการที่เราจะไม่ต้องมีอบายมุขอย่างนี้ เช่นเราไม่ต้องไปเล่นพนัน เราไม่ต้องติดน้ำเมา ไม่ต้องรุนแรงฆ่า ถ้ายิ่งเจ๋งจริงๆ อาตมาพามาไม่กินเนื้อสัตว์จะเห็นอะไรลึกๆกว่านี้อีก ถ้าเลิกได้มันก็ไม่ได้สุขอย่างนี้ แล้วไม่ได้สุขอย่างนี้มันจะตายไหม ถ้าได้ฆ่าสัตว์มันสุข ถ้าไม่ได้ฆ่าจะทุกข์ คุณก็ลองดูสิว่าไม่ฆ่าสัตว์ตนจะตายไหม?

       คุณไม่ต้องไปขโมยของจะตายไหม? มันมีลูกคนรวยที่เป็นโรคกิเลสต้องได้ขโมยจึงสุข ทั้งรู้ว่าไม่ดี แต่เสี่ยงภัยดี ถ้าขโมยได้เก่ง พวกนี้วิตถารนะ เดี๋ยวนี้เยอะมาก ถ้าเราไม่เอาของอื่นที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ต้องไปอยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา อ่านอาการอยากให้เป็น มันอยากตามเขา เขามีมากก็อยากได้ตามเขา ถ้าเราไม่อยากตามเขา เช่นเขามี 10 ล้านเราไม่ต้องไปอยากมี 10 ล้าน เราจะเป็นคนประเสริฐได้ไหม เบื้องต้นไม่ต้องไปอยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา เช่นเก็บของได้ก็ไปคืนเขา คนซื่อสัตย์แค่ทำเช่นนี้สังคมก็เป็นสุข ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเราก็เป็นสุข ยิ่งฝึกจิตให้ไม่อยากเอาก็ยิ่งเจริญ ถ้าจะมีก็ต้องสร้างเองผลิตเอง ของตนเองทำสร้างเอง ทำขึ้น ดีไม่ดีทำแล้วเราก็อาศัยสิ่งที่เราทำได้ มีเหลือก็แจกจ่างเผื่อคนอื่น สังคมเช่นนี้ชาวอโศกทำ จึงเป็นสังคมสุข ไม่ต้องรวย ในหลวงเราตรัส ไม่ต้องไปรวย ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา สังคมเราจึงเป็นสังคมอาริยชน

       เราทำสังคมที่มีสุขที่ได้จากการสละออก เนกขัมมะ เป็นสุขที่ยังได้บำเรออยู่ติดยึดอยู่ ดังนั้นทำก็ไม่สุข ไม่ได้ทำก็ไม่ทุกข์ แต่ทำก็ทำเพื่อคนอื่น

       เราต้องรู้ว่าสุข ที่บำเรอกิเลสแบบโลกๆแต่เรามาเรียนรู้ที่จะลดกิเลส เมื่อลดได้ก็เป็นสุข เป็นอุปกิเลส แต่ยังดีเป็นเนกขัมสติโสมนัสเวทนา  ไม่เหมือนทางโลกที่ได้มาบำเรอตนได้ตามสเปค บำเรอกามบำเรออัตตา

       เมื่อลดอาการผีได้ สัตว์นรก เดรัจฉานได้ ชัดเจนว่าเรารู้ตัวที่เราจะกำจัด ตามปหาน 5 ได้ ทำจนเป็นตถตาในขั้นสูงสุด

       แต่ตถตา นั้นอาตมาแบ่งเป็น 3 อย่าง    

1.ตถตา แบบยถากรรม ได้แต่ท่องเอาปล่อยวางอย่างที่ปล่อยเป็นยถากรรม แบบนี้คุณเบาว่างได้ชั่วคราว แต่ไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนา ไม่เกิดญาณปัญญา รู้จัก เวทนาในเวทนา จิตในจิต ไม่เกิดความฉลาดในการทำจิตใจเลย ไม่ได้ฝึกอบรมเลยไม่พัฒนาจิตเลย ไม่เกิดญาณปัญญาที่สูงขึ้นเลย แต่ถ้าได้ฝึกจะรู้ขั้นตอนเลยในการเกิดญาณ เป็นสมถะลืมตา หัดปล่อยวาง อย่ามายุ่ง ก็ช่วยได้ บรรเทาทุกข์ได้ ไม่ได้มีญาณปัญญาจริง ไม่ได้ศึกษาเวทนา 108

 

2.ตถตา ที่เป็นมรรค เกิดจากการฝึกฝน รู้เองเห็นเอง ว่ากิเลสลดได้หายไปได้ ก็จะอ๋อ เป็นตัวปฏิบัติ

       1.สัจจญาณ (หยั่งรู้สัจจะ กำหนดรู้ให้ครบ ปริญเญยยันติ) 

       2.กิจจญาณ (หยั่งรู้กิจที่กำลังละล้างกิเลส ปหาตัพพันติ)

       3.กตญาณ  (หยั่งรู้การจบกิจแล้วให้แจ่มแจ้ง สัจฉิกาตัพพันติ)

(พตปฎ. เล่ม 4  ข้อ 15  ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร)

       ปฏิบัติอนุปัสสี 4

       1.อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา)

       2.วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส) 

       3.นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)

       4. ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน นิสสัคคะก็คือไม่มีนรกสวรรค์ เพราะกำจัดผีและเทวดาปลอก เกิด) (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 288)

 

3.ตถตา ที่เป็นผล คือทำได้สมบูรณ์แล้ว

 

       ในงานนี้อาตามาจะแจกแจง เทวดา 6 ภูมิ พรหมอีก 20 ภูมิ ถ้าผู้ใดศึกษาถูกต้อง ฆ่าความเป็นสัตว์ได้ก็จะมีมรรคผลจริง ตอนนี้เราจะศึกษาการเปิดโลก อาตมาอธิบายเรื่องนี้มาหลายชาติแล้ว ยังอธิบายไม่จบหลักสูตรเลย แต่คนเรียนจบหลักสูตรได้มี เป็นอรหันต์ได้ ก็จับสูตรทฤษฎีของตนเองให้ได้

       สรุป สัตว์นรก สัตว์สวรรค์(เทวดา)หรือสัตว์ที่ลดกิเลส(พรหม)

       สัตว์พรหมคือสัตว์ที่ลดกิเลสได้

       สัตว์เทวดามี  2 สัตว์  1. สัตว์สุขขัลลิกะ (สมมุติเทพ) รู้กันได้ทั่วกันอาจสมมุติต่างกันบ้างแต่ก็รู้ได้ทั่วกันได้ 2. สัตว์ อุปัติเทพ

       คำว่า กาย นี่สำคัญ คือต้องรู้ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายได้จึงบรรลุ อย่างในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 2

 

และในทักขิเนยยบุคคล 7 ก็มีแบ่งไว้

 

 
 

 

 

       สายปัญญานี่ มีปัญญาวิมุติก็เป็นอรหันต์แล้ว จะปฏิบัติวิโมกข์ 8 ได้โดยเร็ว ท่านละไว้ว่า ธัมมานุสารี สายนี้จะไม่ต้องกล่าวว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกายเพราะมีสัมมาทิฏฐิแต่ต้นแล้ว ส่วนสายสัทธานุสารีย์ นั้น ก็ต้องกล่าวว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงจะครบอุภโตภาควิมุติเป็นอรหันต์ได้

       ต้องมีการสัมผัสทวาร 6 แล้วมีเวทนาเกิด ต้องจับผี จับเทวดาสมุตติได้ แล้วจัดการเหตุแห่งสุขทุกข์ได้ก็เป็นพรหม

       วิโมกข์ 8 ข้อที่ 8 นั้น หมายถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ นี่จึงเป็นฌานของพระพุทธเจ้า ขั้นอรูปฌานแล้ว ไม่เหมือนของลัทธิอื่น ซึ่งสมาธิ ฌาน นิโรธ ของพุทธก็ต่างกับลัทธิอื่น ของพระพุทธเจ้าเข้าถึงนิโรธแบบลืมตา มีผัสสะ ส่วนแบบไม่ใช่พุทธจะได้นิโรธแบบหลับตา เข้าในภพ กายของนิโรธนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นธรรมะที่บริบูรณ์พรหมจรรย์สูงสุดก็เป็นธรรมกายสุดท้าย หรือย่ิงเป็นธรรมกายของพระพุทธเจ้าก็เป็นองค์ประชุมของธรรมะที่สูงสุด หรือเรียกว่าพรหมกายก็ได้ จะได้อธิบายธรรมกายที่สัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ ที่ธรรมกายเขายึดถือกัน ก็สุดที่จะเลี่ยงในการอธิบายเรื่องธรรมกาย ที่เขามิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้มีเจตนาไปว่าสำนักธรรมกายนะ

       สำนักธรรมกายนี่มีสองสำนักใหญ่ ท่านได้ทะเลาะกันแล้วแยกเป็นสองคณะ สำนักหนึ่งอยู่ดำเนินสะดวก อีกสำนักหนึ่งอยู่ที่รังสิต ไม่ได้โกรธเคืองนะ แต่เห็นใจ ละเว้นไม่ได้ที่จะต้องตำหนิ เพราะว่ามันผิด โดยความเห็นของอาตมา ส่วนใครจะศรัทธาธรรมกายสองคณะนั้นก็ขออภัย ให้ฟังอาตมาบ้าง ไม่อยากให้ชิงชังอาตมา รับฟังบ้าง อาตมาก็รับรู้สัมผัสธรรมกายอยู่

       เป็นนานาสังวาส แล้ว พุทธด้วยกันแต่ต่างกันก็ต้องพูดความต่าง ก็ต้องพูดสิ่งถูกสิ่งผิด จะพูดว่าถูกทั้งสองอย่างไม่ได้ ก็ต้องแยกแยะ แต่ใครจะเห็นอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ ท่านจะเห็นว่าอาตมาผิดก็ได้ อย่างDDTV ก็ว่าอาตมาใหญ่เลย ท่านเข้าใจอาตมาผิด ท่านก็ว่าของท่านถูกอาตมาผิด ก็เป็นสิทธิ์ท่าน ส่วนอาตมาก็พาดพิงบ้าง บางทีก็แรงบ้าง แต่ก็ไม่ให้หยาบ แรงหนักบ้าง ใช้พยัญชนะหนักบ้าง ให้เข้าใจได้ เช่นอย่างนี้ชั่วก็ต้องว่าชั่ว อย่างนี้พาฉิบหายเลวก็ต้องบอกพูดไป แต่ส่วนใหญ่จะพูดก็ต้องขออภัยก่อน อาตมาไม่ได้มีอารมณ์มันเขี้ยวโกรธแล้ว

       แต่บางทีรีบๆก็อาจไม่ทันขออภัยแต่น้อยครั้ง ก็จะขออภัยหากจะใช้คำที่หนักที่ทางโลกถือกัน...       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:58:29 )

570506

รายละเอียด

570506_พ่อครูเปิดงานสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย เรื่อง วิสาขบูชาวิชิตชัย

       วันนี้เป็นวันเร่ิมงาน สัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย ที่ เวทีผ่านฟ้าฯ ซึ่งจะจัดในวันที่ 6-12 พ.ค. 57

       พ่อครูมาเทศน์เปิดงาน...เร่ิม 08.33 น...

       ณ บัดนี้เราจะได้เร่ิมสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย ครั้งที่ 1 เมื่อวานนี้เป็นวัน ฉัตรมงคล และเป็นวันฉัตรมงคลที่เป็นประวัติศาสตร์ เหตุการณ์บ้านเมิือง ด้วยมีคณะบุคคลที่เห็นความไม่ดีงามในการบริหารบ้านเมือง ได้ออกมาร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อปฏิบัติการปฏิวัติ

       แล้วปฏิวัติอะไร? ปฏิวัติรัฐบาล ซึ่งเป็นการปฏิวัติโดยประชาชนเพื่อประชาชน​ของประชาชน ประชาชนเอง เขามาทำเองจึงเรียกว่าประชาชนโดยประชาชน และก็ทำเพื่อประชาชน เพราะว่า

       ประเทศนี้เป็นของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นชาติ ศาสน์ กษัตริย์หรืิอแม้แต่การปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประชาชนจะต้องช่วยกัน ประคับประคอง ต่อต้านประท้วงติงเตือน ผู้ที่จะมาทำหน้าที่ให้แก่ประเทศ เมื่อเลือกมาทำหน้าที่ แต่เขาทำทรยศ

       เมื่อเช้าอาตมาฟังหม่อมอุ๋ยออกมาเรียบเรียบรวบรวม ข้อผิดพลาด 8 ประเด็นของรัฐบาลนี้ ชัดๆตั้งแต่ที่ศาลตัดสินว่าผิด เพราะว่าไปโยกย้ายคุณถวิล จนถึง จำนำข้าว ซึ่งเมื่อทำผิดพลาดขนาดนี้ เป็นรัฐบาลน่าจะมีมารยาท มีจริยธรรมทางการเมืองบ้าง แต่นี่ไม่มีเลย ขออภัยที่ต้องใช้ภาษาว่า หน้าด้านหน้าทนเกินขนาด เห็นแล้วเอน็จอนาถใจ ขายขี้หน้าไปทั่วโลก

       ทุกวันนี้ยุคสื่อสารสนเทศ ถึงกันทั่วโลก ไม่มีอะไรกั้นได้ ก็น่าจะมีสำนึก แต่ไม่รู้ตัว ว่าตนเองทำไมถึงไม่มีจริยธรรมทางการเมืองเลย อาตมาว่ามันเกินสุดเกิน ก็ไม่ได้แปลกใจเลยว่าประชาชนจะออกมากันโดยการเรียกร้องรวมตัวกัน

       กรณีที่เกิดที่สนามหลวง ถ.ราชดำเนิน วัดพระแก้วนั้น เหตุเกิดเมื่อวานนี้ เป็นการรวมตัวกันที่ไม่ได้เป็นเพราะรัฐบาลรวบรวมจัด แต่เป็นพิธีการของประชาชน จนเกิดปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ที่เห็นประชาชนออกมารวมตัวกัน โดยใช้สัญญาณว่ามาตั้งสัตยาธิษฐานในวันฉัตรมงคลนี้

       เราประท้วงมาต่อเนื่องด้วยพฤติกรรมปฏิกิริยาที่เราพึงทำอย่างเหมาะสม ก็ทำมาตลอด รวมทั้งชาติที่เราจะดูแลพิทักษ์รักษา รวมทั้งศาสนา เราก็พยายามแสดงออก และรวมทั้งกษัตริย์ ซึ่งยังไม่เคยมีเคยเป็นในประเทศไทยเลยที่คนจะออกมาแสดงการลบหลู่ แสดงออกอย่างหน้าเกลียด คนมีหน้าที่จัดการก็ปล่อยปละละเลย

       จนกระทั่งธรรมชาติก็ทนไม่ไหว 18.08 น. เมืองไทยทางด้านเหนือ แผ่นดินก็ไหว ลึกลงไปถึง 7 กิโลเมตร มีแผ่นดินไหว แยก นี่คือปรากฏการณ์สอดคล้องที่เกิดวิกฤติในประเทศไทย ที่จะทำให้ประเทศชาติเป็นอยู่ดีขึ้น เมื่อประชาชนมาพร้อม ธรรมชาติก็แสดงออกอย่างสอดคล้องให้เห็น

       ผู้ที่มององค์ประกอบทุกอย่าง ไม่ว่าส่ิงที่รวมตัวกันอยู่มีเหตุปัจจัยของรูปและนาม เรียกตามภาษาของทางโลกว่า มีทั้งพลังงานและสสาร และส่ิงเหล่านี้จะออกมาเป็นแผ่นดินไหวก็เป็นเรื่องพลังงานและสสารที่เปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องไม่ปกติแล้ว มันเป็นการเปลี่ยนแปลงปรับตัวจนถึงขีดๆหนึ่ง เป็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน แยกแตกอย่างร้ายแรงรุนแรง ความแรงถึง 6.4 ก็ประมาณนั้น

       สสารพลังงานของโลกเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น มนุษย์ก็มีพฤติปฏิบัติ แล้วผิดเหมือนกัน รุนแรงมาก เสียหายรุนแรง จนมีมวลมหาประชาชน​รวมตัวกันมายับยั้งสิ่งรุนแรง สิ่งเหล่านี้เกิดอย่างมีเหตุปัจจัย

       วันนี้สัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย...อาตมาก็ต้องขอขอบพระคุณต่อมวลมหาประชาชนจำนวนล้านที่ออกมาแสดงคะแนนเสียงตัวตนในคืนวานนี้ ออกมาแสดงคะแนนเสียงสดๆ ไม่ใช่ที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แต่เราออกมาแสดงเสียงสดๆ นับกันไม่หวาดไม่ไหว ได้แต่ประมาณกันเอา รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยสัญญลักษณ์สีเหลือง เป็นความเป็นเอกภาพที่วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐิ์

       อาตมาว่าปรากฏการณ์สีเหลืองที่ประชาชนไทยได้แสดงออกเทิดทูนในหลวงที่เขารักและเทิดทูน เป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน คนที่มีปัญญาก็คงรับซับซาบได้ ว่ามีความหมายอย่างไร

       นี่คือภาพของมวลประชาชนที่ถ่ายภาพบันทึกไว้ ก็น่าเสียดายที่สื่อสารถูกฝนถูกน้ำก็ทำให้ทำงานไม่ปกติ ทำงานไม่ออก ก็เลยส่งออกอากาศไม่เต็มที่เลย

       ส่ิงปรากฏนี้มาแต่เหตุ ที่เกิดจากความเข้าใจต้องการที่จะขจัดปัดเป่า ประชาชนคนไทยได้แสดงออกถึงการขับไล่รัฐบาลนี้ออก โดยทำอย่างถูกต้องดีงามตามสากลของโลก ตามรธน.นี้ด้วย และทำอย่างสุภาพไม่รุนแรงไม่มีอาวุธ ใช้ความถูก ผิดมาชี้ แล้วมวลประชาชนก็รับทราบว่าควรต้องร่วมมือกันเป็นสัญญลักษณ์ ว่านี่คือความต้องการ ความจริง ของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย​เป็นการแสดงออกจากจิตวิญญาณไม่ได้ใช้เล่เหลี่ยม หรือจ้างวาน ที่เขาใช้อำนาจไปซื้อหรือบังคับให้คนออกมาแสดง หรือใช้อำนาจหน้าที่การงานให้คนมาแสดงคะแนน ก็เป็นวิธีการที่เขาทำกัน แต่มวลมหาประชาชนที่ทำกันอย่างยาวนานนี้ไม่ได้ใช้เล่เหลี่ยม แต่เราใช้ความจริงสะอาดบริสุทธิ์ แต่ละคนใช้วิจารณญาณส่วนตนในการออกมา มันสุดยอดปรากฏการณ์แห่งสังคมประเทศแล้ว

       น่าเสียดายไทยเรามีประชาชนอาริยะ แต่ในความเป็นอนาริยะของคนไทยอีกส่วนหนึ่งที่ได้อำนาจอย่างไม่สุจริต ที่ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้ง แต่มีเชิงซ้อนที่เขาได้ชนะมันฉ้อฉล ไม่เป็นความบริสุทธิ์ ก็ชนะได้อำนาจ แล้วมาบริหารให้เห็นความผิดพลาดไม่เข้าท่า บริหารอย่างห่วยๆ ชัดเจน จนกระทั่งความบริสุทธิ์ใจความมีปัญญาของคนไทย อาตมาว่าส่วนใหญ่คนไทยเป็นคนเจริญ รู้ดีชั่วก็ออกมาแสดงตัว

       เป็นพฤติกรรมที่แสดงอย่างจริงจัง จริงใจ ส่วนผู้ที่เขาพยายามปลุกเร้าครอบงำ จ้างวาน ใช้อำนาจบาทใหญ่ ขนาดนั้นก็เห็นชัดๆเลยว่าเขาแพ้ สู้มวลมหาประชาชนไม่ได้ นี่คือแสดงความดีความจริงของมวลประชาชนคนไทย แต่ประชาชนที่เลวก็ยังแสดงวิธีการเอาชนะเพื่ออยู่ทำเลวร้ายต่อไป

       คงปล่อยไปไม่ได้แล้ว ที่พูดอยู่นี่คือสัจธรรม คือ จะต้องพูดชี้สิ่งถูกและข่มความไม่ดีงาม ยกความดีงาม และข่มความไม่ถูกต้อง นี่เป็นหน้าที่ตามรธน. และในสัจธรรมก็เป็นหน้าที่ ในบ้านเมืองสังคมเราจะบริหารด้วยกฎหลัก กฎหมาย ระเบียบวินัยทางรูปธรรม โลกๆ อย่างเดียว ไม่เอาคุณธรรม ไม่เอาธรรมะ ไ่ม่เอาความรู้จริงแห่งปัญญา ไม่เอาพลังงานทางจิตที่จะช่วยกันรับผิดชอบแล้วออกมาร่วมแรงร่วมใจ ปรับปรุงแก้ไขให้ดีงาม

       เราเรียกด้านนี้ว่าจริยธรรมหรือธรรมะ สังคมต้องใช้ หลักของสังคมจะเรียกรัฐศาสตร์ก็ต้องใช้ ส่วนทางจริยธรรมก็ต้องใช้ เมื่อใช้สองอย่างดีงามแล้วก็มาชี้กัน

       ชี้ผิด ชี้ถูก ว่าควรทำอย่างไร แก้ไขอย่างไร แม้จะต้องให้ออก ก็เป็นสิ่งควร ส่วนผู้ที่อยู่ในภพตน ทำมาหากิน ขี้เกียจ หรือเอาแต่เที่ยว ไม่เอาตาดูหูแลบ้านเมือง การบริหารจะสูญเสียฉิบหายไม่เอาตาดูหูแลสำนึกสำเหนียกเลยก็ใจดำเกินไป ก็ไม่ควรเป็นคนอยู่ในสังคมไทยที่ร่วมกันนี้ มันดูดายเกินไป

       ผู้ที่ยังไม่ค่อยสำนึกก็คงพอเข้าใจได้ว่าอาตมาตำหนิอะไรเตือนอะไร ที่พูดนี้ไม่ได้อวดใหญ่ แต่พูดด้วยสำนึกสามัญ​ที่เรามีชีวิตในสังคม มีพฤติกรรมสังคมที่เดือดร้อน ตามที่ดำเนินไปมันวิปริตแล้ว เสียหายแล้ว ก็ควรต้องออกมาช่วยกัน ก็ขอบคุณผู้มีน้ำใจเอาตาดูหูแลช่วยสังคม สังคมไทยยังดีนะ ไม่ได้โง่หรือชั่วเกินการณ์ ส่วนคนชั่วก็ทำเห็นๆแสดงออกให้เห็น ผู้มีปัญญาพึงรู้ได้

       ถ้าเราทำอย่างไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ตามหลักเกณฑ์เขาทำได้อย่างซับซ้อนซ่อนเชิง ทำแล้วก็ล้มเหลวฉิบหาย ขืนปล่อยต่อไปอีกไม่ได้ ปล่อยต่อไปอาตมาว่าพัง นี่เขาก็ดึงดันจะเอาชนะคะคานทั้งที่แพ้ไม่รู้จะแพ้เท่าไหร่แล้ว

       วันนี้ตุลาการภิวัตน์ก็จะชี้ยืนยันออกมา เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำข่าว เพื่อสู้เอาชนะไม่ยอมแพ้ทุกวิถีทาง เราจะได้เห็นภาพ แต่เราต่อสู้อย่างซื่อสัตย์สุจริตไม่ใช้อำนาจอาวุธ ก็จะดูไม่มีแรงอย่างอำนาจ Force แต่เราทำอย่างนี้เป็นอำนาจ Authority เป็นsovereignty ก็เลยดูไม่แรง และอำนาจนี้เป็นพลังแห่งความดีงามประเสริฐ ผู้มีปัญญารู้จะเชิดชูยกย่อง มีธรรมฤทธิ์ และไม่ใช่ว่าเป็นฤทธิ์อำนาจ ที่ทุ่มโถมให้เกิดบาดเจ็บล้มตายเสียหาย แต่เป็นแรงที่ทำให้เกิดความดีงาม

       คนไทยเราสร้างให้เกิดขึ้นได้แล้ว เป็นปรากฏการณ์วิเศษทำได้สวยงาม เกิดมาอายุปูนนี้แล้วก็เพ่ิงเห็น ตั้งแต่เรารวมตัวกันวันที่ 14 ต.ค. 16 ก็เร่ิมต้นนักศึกษาประชาชนออกมา แต่ก็ยังไม่สวยงาม จน 16 ต.ค.19 ก็มีการปะทะสูญเสียบาดเจ็บล้มตายไป จนพฤษภาคม 35 ก็เป็น จนมาถึงตอนนี้

       ตั้งแต่ 14 ตุลา ก็เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน แต่คนไทยยังไม่รอบรู้ ไม่เกิดจริยธรรมที่ดีพอก็เลยเกิดเลวร้ายรุนแรง และ 16 ตุลา 19 นั้นเกิดจากความเลวของคนที่ซับซ้อน เกิดเหตุการณ์น่าสยอง ทำทุกเรศทุรังการ เอาศพมาทุบตี ฆ่ากัน อุบาศก์จริงๆ เกิดจากจิตเลวของคนเลวสร้างวิธีการซับซ้อน เป็นบทเรียนเป็นการลงทุนชนิดหนึ่งของสังคมไทยเป็นรอยด่างพร้อยที่ยืนยันชี้     

       พอ พฤษภาคม 35 ที่เกิดปฏิวัติโดยมวลประชาชน​ก็พัฒนาขึ้น เพื่อเปลียนแปลงโดยไม่ใช้ใช้ทหาร แต่ใช้ทหารก็สำเร็จมาตลอด เพราะคนกลัว แต่โดยประชาชนนี่คนไม่กลัวดีไม่ดีหาคนมาสู้ด้วย

       เราประท้วงกันมาหลายยกแล้ว มายุคนี้ประชาชนมาประท้วงกันมาหลายยกแล้ว ตั้งแต่คุณสนธิมาเป็นตัวหลัก ก็ทำด้วยคุณงามความดี การแสดงออกของคนไทยมาประท้วงต่อต้าน ปฏิวัติ ต้องการเปลี่ยนแปลงอำนาจ ต่อสู้มาหลายยก ทำด้วยวิธีการปฏิวัติสมัยใหม่ แบบใหม่ ยังไม่เคยมีมาเลย สงบเรียบร้อย แม้มีสูญเสียบ้าง เพราะมีคนไม่ยอม แต่เราก็รักษาสถานที่สงบเรียบร้อยไม่รุนแรง ควบคุม กาย วาจา ใจ อย่าให้รุนแรงออกไป แม้สุดวิสัยบ้าง มีวิวัฒนาการ เจริญด้วยวิธีการประท้วงต่อต้าน ปฏิวัติ  ทำโดยประชาชนมือเปล่าๆไม่ใช้ทหารอาวุธ ใช้ความถูกต้องดีงามเป็นธรรมาวุธ ให้ยืนยันให้เขายอม แต่เขาก็หวงแหนดึงดัน ดื้อด้าน เป็นตัวอย่างอันเลวให้เราดู เหมือนเทวฑัตแสดงให้เราเห็น

       เป็นการสู้ระหว่าง ธรรมะกับอธรรม มวลประชาชนใช้ธรรมะเป็นอาวุธ ต่อสู้กับอธรรม ซึ่งเขาแฝงใช้ความไม่ถูกต้องสู้กับเรา เป็นธรรมาธรรมะสงครามโดยแท้จริง

        การเมืองนี่ รัฐศาสตร์เขาเรียนกันว่า การเมืองคือการแย่งชิงอำนาจ มาบริหารประเทศ และที่บอกว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมืองนั้น ถ้าอาตมาเป็นอาจารย์จะให้คะแนน 0+ ไปอีกร้อยพัน 0 คือมันผิดที่จะเอาการเมืองไปแก้การเมือง เพราะการเมืองที่ไม่พัฒนามันเลวจะไปแก้ได้อย่างไร การเมืองต้องแก้ด้วยธรรมะ เอาสิ่งถูกต้องดีงามมาชนะ ถ้าเอาความเลวร้ายมาแก้ความเลวร้ายก็ยิ่งซ้ำกันไปอีก ตอนนี้การเมืองในประเทศไทยต้องแก้ด้วยธรรมะ

       ขอย้ำว่าสมณะโพธิรักษ์กำลังเทศน์ แสดงธรรม ในสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย

        ในวันที่ 5 พ.ค. 57 เป็นฉัตรมงคล ก็ได้มีการจัดยัญพิธี เป็นวันที่ทำเพื่อสถาบันกษัตริย์ จากนั้นวันที่ 13 พ.ค.57 ก็เป็นวันศาสนา เป็นวันวิสาขบูชา เป็นความฉลาดของมนุษย์ที่จัดองค์ประกอบศิลป์ที่จะทำให้เกิดพลังรวม เกิดพลังงานของอาริยชน ไม่ใช่ว่ารวมตัวถือมีดถือดาบปืนกันมาฆ่ากัน นั้นก็เขาก็ทำกันมาแต่ยุคไม่เจริญ แต่ยุคนี้เจริญมากแล้วเขาไม่ทำกันแล้ว เราจะออกมาแสดงองค์ประกอบศิลป์ที่ดีงาม

        อย่างเมื่อวานที่ทำพิธีวันฉัตรมงคล ทั้งสวยสดงดงาม และปริมาณที่แสดงออก เป็นปรากฏการณ์ของมนุษยชาติที่จะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อไป และในวันที่ 13 ก็เชิญชวนคนไทยออกมา จะเป็นองค์ประกอบศิลป์ที่จะโน้มไปสู่การปฏิวัติ

        เป็นพลังงานที่จะเกิดฤทธิ์อำนาจ ได้ และในวันที่ 14 จะเป็นวันแห่งชาติ ส่วนการปฏิวัติจะทำอย่างไร? วิธีการปฏิวัติเขาจะไม่เปิดเผย ขืนเปิดเผยเขาก็กันไว้หมด แต่ก็บอกแต่ว่า ประชาชนจะยึดอำนาจ

        เช่นแสงไฟ ถ้ามีรวมกันหลายดวงจะเอาไปทำอะไร?ก็ต้องมีวิธีการทำ ของเราเรียกรวมกันมาหลายที เมื่อวานก็เรียกกันอีก มีองค์ประกอบศิลป์ มีการตบแต่งประกอบ มีวงดนตรีประสานเสียงอีกโยธวาฑิตอีก  ประกอบกันให้งดงาม

      เพื่อให้สู่เป้าหมายสำคัญชัดเจน สิ่งปรากฏในประเทศไทยขณะนี้ มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ จงรู้เถอะว่าเมืองไทยกำลังก่ออะไรขึ้นให้โลกเห็น วันที่ 5 เราทำได้แค่นี้ และในวันที่ 13 เอาให้ยิ่งใหญ่หนาแน่น สงบเรียบร้อยสวยงามให้ยิ่งกว่านี้เพราะเป็นวันศาสนาด้วย

       อาตมาว่า เราก็จะพยายามประจุธรรมะเป็นพลังวิเศษ พลังสำคัญ ก็ขอเร่ิม และทุกเย็นอาตมาก็จะทำรายการ “ปักหลักเปิดโลก”

       เปิดโลก คือจะได้สาธยาย เรื่องมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณเป็นสัตว์ และยังไม่เจริญเป็นมนุษย์ ที่แปลว่าผู้มีจิตสูง หรือคือยังเป็นเดรัจฉานอยู่ และที่พูดว่าเป็นมนุษย์ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่จะเอาที่ใจเป็นหลัก มโนเสฏฐา มโนมยา       

       เราจะมาอธิบายที่จิตไม่สูงเป็นสัตว์อยู่คืออะไร

       พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง สัตว์ไว้ 9 อย่างในสัตตาวาส 9 คือ จิตยังเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณอยู่นั่นเอง

       ในสัมมาทิฏฐิ 10 ในข้อที่ 9 ให้รู้เรื่อง สัตตาโอปปาติกา

       คือ จะต้องรู้ เข้าใจ ให้ถูกต้องว่าสัตว์นี้คืออะไร อยู่ตรงไหน ...อยู่ในปุถุชน ปุถุชนไม่หมดความเป็นสัตว์ แม้จะเร่ิมต้น กำจัดความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณได้ เร่ิมรู้จริงเห็นถูกต้อง เข้ากระแสโลกุตระ (โสตาปันนะ) ไม่ใช้โลกโลกีย์​แต่เป็นโลกเจริญแท้ โลกุตระ (โลกอุดร) ต้องเรียนรู้นามธรรม ปรมัตถ์ จิตเจตสิก อ่านจิตได้ แล้วแบ่งทำเป็นส่วนๆ ใช้หลักเกณฑ์เช่นศีล 5 แล้วเรียนรู้ตามความหมายของศีล 5 ว่าเราจิตเหี้ยมโหดดุร้ายเลวร้าย หรือจิตขี้โลภ ตะกละ จะเอาสุขทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ​กามอัตตา เราก็มาละเลิก วางไปลำดับๆ พระพุทธเจ้าไม่ให้ผลีผลามทำอย่างไม่มีหลัก แต่ให้ทำอย่างเป็นสัดส่วนงดงาม

       ใครทำได้รู้ มีญาณปัญญา รู้จักสัตว์อบาย เราโกรธจัด โทสะจัด โลภจัด ราคะรุนแรง ในศีล 3 ข้อแรก ส่วนข้อ 4 นี้ทางวจีกรรม แล้วเราเรียนรู้ไม่ให้กาย วจีเราไปส่งเสริมส่ิงที่เป็นเหตุ เป็นสัตว์อบายที่มีพลังให้เราละเมิดศีล เรามีกรอบขอบเขตว่าเราจะไม่รุนแรงขนาดนี้ เช่นฆ่าสัตว์เราเลิกฆ่าทุกอย่างได้เลย

       อย่าไปโกรธเกลียดสัตว์ อย่าไปฆ่า พวกเรานี่ไม่แค่ฆ่า แม้อ้างว่าเป็นอาหาร เอาเนื้อเขามาเป็นอาหารพวกเราก็ไม่ทำ เพราะเราเข้าใจวิบาก ที่มันมีพยาบาท อย่างเราไปฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าปลา จิตมันผูกพยาบาทนะ มันเป็นวิบากต่อกันจองเวรจองกรรมทำร้ายกัน เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คนไม่เชื่อไม่เข้าใจก็ไม่ทำตาม เราไม่ต้องไปอ้างถึงการยังชีพเลย เรายังชีพได้อย่างไม่ต้องไปใช้เนื้อสัตว์เลย ในต่างประเทศก็มีสืบทอดกันมาเป็นพันๆปีเลย

       เราศึกษาจริงทำจริงก็จะได้จริง ในจิตเจตสิก มีวิธีการทำลายอกุศลเลวร้าย พระพุทธเจ้าให้ทำอย่างรู้ๆ มีวิธีการที่พิสูจน์ได้

       รู้จัก คือเราได้แตะต้องสัมผัสส่ิงนี้เลย รู้รายละเอียดต่างๆชัดเจนเรียกว่า “รู้แจ้ง” พอรู้ครบก็เรียกว่า “รู้จริง” ครบเท่าไหร่ก็จริงเท่านั้น แม้นามธรรมก็รู้ได้ นี่เป็นสัตว์อบาย สัตว์กามภูมิ

       กามภพก็มีหลายชั้น สัมผัสทางทวาร 5 ภายนอก ก็เป็นอัตตาหยาบ รวมกันเป็นอย่างนี้ด้วย เสร็จแล้วก็เกิดในจิต เราก็ลดราคะโทสะ โมหะ เมื่อล้างได้จริง อย่างถูกตัวเห็นแจ้งไม่คลุมเครือ ทำโดยหลักใหญ่สองอย่าง คือ       

       1.สมถะ เป็นการกดข่ม ไม่ได้จริง ต้องชนะด้วย

       2.วิปัสสนาวิธี เห็นเลยว่ามันเป็นทุกข์ทำเสียหายเลวร้าย และเห็นเลยว่ามันไม่เที่ยง จนปัญญาเห็นจริง มีพลังอำนาจ มีฤทธิ์แรงสามารถสลายความไม่ดีงามลงไปได้ มีฤทธิ์ชัดเจนทำลายกิเลสได้ จนมีญาณ หรือปัญญา เวลาปฏิบัติให้เกิดพลังปัญญา เรียกว่า ฌาน เป็นพลังงานอุณหธาตุ เป็นพลังงานไฟ มีฤทธิ์สลายจิตที่ไม่ดี หรือสลายพลังชั่วหายไปเลย

       คุณไปทำดู ถ้าเห็นเลยว่าสามารถทำลายได้อย่างแท้จริงก็จะยิ่งชัดเลย เมื่อทำลายได้ก็เกิดปัญญาซ้ำซ้อนเรียกว่า ญาณทัสสะ เห็นเลยพลังงานทางชั่วหายไป เราจะมีพฤติกรรมดีงามอย่างไร จะเป็นวิมุติญาณทัสสะอีก ก่อเกิดดีงามประเสริฐอย่างไรอีก จะมีนำ้หนักขึ้นอีก เห็นแจ้งว่าอันนี้มันเลวร้ายเราไม่เอาอีกแล้วเหมือนเด็กถูกไฟก็ร้อน ต่อไปไม่เอาอีกไม่จับอีก ส่ิงนี้เป็นสิ่งเลวร้ายพาทุกข์ เมื่อไหร่สิ่งนั้นมาอีกมันก็เข้าไม่ได้เลย เป็นพลังวิมุติญาณทัสสนะ รู้แท้ รู้ทันไม่ให้สิ่งนั้นเข้ามาได้อีกเลย ให้พิสูจน์ตนเองว่าได้วิมุติญาณทัสสะ ปฏิบัติมาตั้งแต่สิ่งหยาบๆมา แล้วจะชัดเจน แล้วจะทำต่อไป มีเหตุปัจจัยสะสมเป็นตัวอย่างของจริงรองรับมาเรื่อยๆว่าดีอย่างไร วิเศษอย่างไร

       แม้จะทวนกระแสโลกีย์จะเข้าหาความเบาว่าง น้อยลง ไปเรื่อยๆ จะพบว่า ความไม่รุนแรงมันดีกว่ารุนแรง ความไม่เอามาเป็นของตนดีกว่าความเอามาเป็นของตนดีอย่างนี้เอง

       โลกที่ปฏิบัติิโดยกำจัดความเป็นสัตว์ คือจิตวิญญาณเลวร้ายออกไป ซึ่งอาตมาจะอธิบายขยายความในสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัยนี้

       พระพุทธเจ้าว่าคนจะเอาธรรมะเทียบเท่าเขาโค ส่วนคนไม่เอาธรรมะจะมีปริมาณเท่ากับขนโค เป็นเรื่องจริง แต่เราก็ทำเต็มที่โดยไม่ได้ย่อท้อแต่อย่างใด ใครจะมาฟังกันสดๆที่นี่ก็จะดี ทุกวันนี้ก็มีการสื่อสารช่วยด้วย

       ทุกวันนี้การเมืองเลวร้ายหนัก หยาบคายด้านหนา ดันทุรังดื้อดึงจัดจ้านมาก เราจะปล่อยปละละเลยไม่ได้ การแก้การเมืองเลวร้ายนี้จะใช้การเมืองไม่ได้ เพราะปฏิบัติการเมืองอย่างไม่ถูกต้องถูกตรง อาตมานิยามการเมืองไว้ 10 ข้อ เป็นการเมืองทำเพื่อบ้านเมือง ทำเสียสละ 

        การแก้การเมืองด้วยการเมือง ก็เหมือนเอาขี้โคลนมาล้างสิ่งสกปรก จะไปล้างได้อย่างไร การเมืองต้องแก้ไขด้วยธรรมะ ขอฝากความนี้ถึงนายทหารหาญบ้าง อย่าพูดเลยว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง แล้วท่านไปศึกษาธรรมะคืออะไร แล้วการเมืองจะแก้ด้วยธรรมะได้ ยกตัวอย่าง เหตุการณ์เกิดเพราะผู้บริหารผิดพลาด เลวร้ายเป็นอธรรม ก็ไม่ต้องสนับสนุน ส่วนประชาชนออกมาทำอย่างเป็นธรรมะก็ควรสนับสนุนเต็มที่ ดังนั้นพฤติกรรมของคุณธรรมนี่แก้การเมืองได้ ไม่ต้องเอาอาวุธมา

      แก้ปัญญาด้วยการเมืองที่ยังไม่เป็นการเมืองไม่ได้ ยิ่งแก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมืองเลวร้ายก็ยิ่งแย่กว่าเก่า ต้องเปลี่ยนแปลงปฏิรูปก่อน อย่างการเลือกตั้งนี้เป็นค่ายกลที่เลวร้ายที่เขาอ้าง เขาว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งเท่านั้น รู้แค่นี้

      จงแก้ไขการเมืองด้วยธรรม เมื่อแก้ไขแล้ว จะเป็นการเมืองที่มีธรรมะเข้าไปสถาปนา ทุกวันนี้พลังเลวร้ายฝังลึกเข้าไปในการเมือง ต้องแก้ไขให้ถูกเหลี่ยมถูกสาระ...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 15:59:36 )

570506

รายละเอียด

570506_พ่อครูเทศน์ในงานสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย ปักหลักเปิดโลก ตอนที่ 1

       การที่จะรู้จริงรู้แจ้งในเรื่องจิตวิญญาณที่จะเกิดญาณปัญญารู้จัก รู้แจ้งรู้จริง รู้อย่างสัมผัสรู้ ว่าวิญญาณลักษณะดังกล่าวเป็นอาการของสัตว์ อบาย เดรัจฉาน อสุรกาย หรือ เราเรียกว่าอาการ สัตว์ที่แตกต่างกัน มีความหยาบกลางละเอียดอย่างไรก็แยกแยะได้

       นรกคือความใคร่อยากเป็นเบื้องต้น ต้นรากที่ทำให้เกิดความร้อนเร่า ที่ร้อนเร่าเพราะอยากใคร่แรง ดิ้นรนมากมาย ที่จะต้องแย่งชิง จนรุนแรงฆ่าแกงกัน ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา มันรุนแรง คนเรา ก็เมียเขานะ แล้วไปชอบเมียเขาจนถึงต้องฆ่าผัวเขาเพื่อแย่งเอาเมียเขามา หรือจิตที่ไม่ได้รุนแรงร้อนเร่า มันทุกข์ทรมานมาก

       พอกิเลสมันเป็นลักษณะเปรต หรือปิติวิสัย  สัตว์เปรตคือดิ้นรนใคร่อยาก เปรตก็เป็นลักษณะกว้างๆ

       ส่วนเดรัจฉาน ก็เป็นกิเลสลักษณะของมันไม่รู้เรื่อง อวิชชาหรือโง่ เป็นโมหะ โง่ ความหมายของเดรัจฉานคือสัตว์ที่มีลำตัวขวางไม่ตั้งตรง ก็เลยว่ากันว่าเป็นสัตว์ขวาง หรือผู้มีลักษณะขวางทางนิพพาน

       ส่วนอติวินิปาต ก็คือกิเลสที่ไม่รู้จะจัดเข้าพวกไหนแล้ว เลอะเทอะ มันไม่รู้จะตกต่ำกว่านี้อีกแล้ว

       ความหมายของกิเลสต่างๆนี้ก็คือความเป็นสัตว์โลก สัตว์ทางจิตวิญญาณ

       สัตว์อบายคือกิเลส เราไม่ควรไปวุ่นวายเรียนรู้กิเลสของคนอื่น แม้คุณจะมีญาณรู้ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์ไปแส่ หรือคุณจะรู้แล้วจะไปสอน บอกเขาได้ ก็ไม่ใช่หน้าที่หลัก หน้าที่เราคือรู้ความเป็นสัตว์ ของตนเอง

       แม้คุณจะไม่มีกิเลสหยาบเท่าไหร่ก็พยายามอ่าน ให้รู้เป็นวิปัสสนาญาณ คือมันเห็น(ปัสสติ) มันสัมผัสรู้ ไม่ใช่เดา จะอ่านสัมผัสรู้เลย พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ได้ด้วยอาการเต็มๆ เรียกว่า อัตตา หรือตัวตน

       อัตตา เมื่อไม่มีเงื่อนไขกำกับก็ว่ากันลอยๆ แต่พุทธศาสนานั้นไม่ใช่หลักลอยเลอะเทอะ แต่เป็นสิ่งที่มีเป้าหมายรายละเอียดชัดเจน อัตตาหรือตัวตน มันหมายถึงตัวตนของกิเลส

       ไม่มีรูปร่างสีสัน เมื่อมี ก็เรียกว่าเป็นสัตว์หรือผี หรือมาร หรือเทวดา หรือพรหม มันไม่มีรูปร่าง แต่ก็สอนกันว่าเป็นรูปร่างตัวตนจะเห็นได้ต้องไปนั่งเข้าฌาน และพอฌานเก่ง ก็สามารถเกิดญาณปัญญาวิเศษเห็นเทวดา ผี พรหม ได้ เห็นเป็นรูปร่าง เหมือนคนตัวเป็นๆ หรืองามกว่าตัวคนหากเป็นเทวดา หรือเป็นสัตว์นรกก็คืออัปลักษณ์กว่าคน แล้วแต่อาจารย์จะว่ากันไป
       ถ้าผู้ใดว่าตนมีตาทิพย์มีฌาน สมาธิสูงเก่ง จนเกิดญาณวิเศษสามารถเห็นผี สัตว์นรก เทวดา พรหม แล้วเป็นเป็นรูปร่างเส้นแสง นี่ผิดแต่ต้นแล้ว

       พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะรู้นามรูป ก็รู้ได้ด้วย

1.    รู้ด้วยอาการ (สภาวะขณะนั้นของจิต-กุศล-อกุศล)

2.   ลิงคะ (ความต่างกันของนัยยะต่างๆ ในสภาวะจิต)

3.   นิมิต (เครื่องหมายชี้บอกสภาวะจิต)

4.    อุทเทส (การยกหัวข้ออธิบายขยายความหมาย) (พตปฎ. เล่ม 10   ข้อ 60)

       แต่ในไตรปิฎกอาจใช้คำว่า อาการ เพศ นิมิต อุเทส

       คำว่าอาการ ก็เป็นสภาวะมีลีลาความเคลื่อนไหวเป็นนามธรรม ของจิตวิญญาณ

       ส่วนลิงค ที่แปลว่าเพศคือมีความแตกต่างของอาการ เช่นอิตถีภาวะ ต่างกับปุริสภาวะ มันมีลักษณะที่ต้องเรียนรู้ แล้วเราจะรู้ว่าต่างกันอย่างไร บอกความแตกต่าง เรียกว่าลิงค หรือเพศ มันต่างกันนะ เป็นของสองลักษณะที่มีนัยต่างกัน จะรู้แม้ในอุปาทายรูป 24 ก็มีภาวรูป 2 คืออิตถีและปุริสภาวะ ก็ต้องมีญาณปัญญาแยกออก นี่คือมีตาทิพย์ นี่คือนามรูป หรือนามธรรม ที่ถูกรู้

       รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ โดยญาณของเรา เช่น คำว่า กาย เป็นองค์ประชุมที่รวมทั้งหมด ตั้งแต่ทวารทั้ง5 กระทบรูป ก็รู้ หูกระทบเสียง ตากระทบรูป ต้องกระทบภายนอกที่เป็นภาวะของดิน น้ำ ไฟ ลม หรือเป็นสสารภายนอก

       เมื่อสัมผัสแล้วเราก็เกิดรู้โดยจิตวิญญาณ ถ้าถอดลูกกะตาไปมันก็ไม่รู้ด้วยตัวมันเอง มันเป็นเพียงอุปกรณ์เครื่องเกี่ยวเนื่องให้จิตวิญญาณเกิดการรู้จากสิ่งที่เกี่ยวเนื่อง

       รูปรูป คือสิ่งที่อยู่ภายนอกเลย เป็นของหยาย ส่วนนามธรรมเป็นของละเอียดที่เราต้องกำหนดรู้

       ถ้าเราไปกำหนดผิดไปเห็นเป็นรูปที่มีสีสันรูปร่าง ตัวตน พอนั่งสมาธิเข้าไปก็เห็นว่ามีผี เทวดา เปรต อสุรกาย เป็นรูปร่างอย่างนี้ คุณก็เพ่งแต่รูปร่าง แต่มันไม่เกิดรับรู้สุขทุกข์อย่างไร เมื่อสอนกันผิดๆก็ไม่มีทางที่จะปฏิบัติได้ถูก ไปรู้แค่ตัวตนก็ไม่รู้ว่า มันสุข ทุกข์อย่างไร ผี เทวดา พรหม จะสุขทุกข์อย่างไรก็ไม่รู้ เพราะเรียนมาผิด ก็กำหนดผิดๆ แค่เห็นก็ดีใจว่าได้เห็นก็แค่นั้น

       พระพุทธเจ้าสอนว่าให้มีสติปัฏฐาน ต้องสัมผัสรู้ เมื่อตากระทบรูป เข้าไปข้างใน องค์ประชุมรวมเป็น กายสังขาร เป็นรูปของผี เทวดา พรหม คุณต้องรู้ว่าผีมีอาการอย่างไร

       ขั้นแรกต้องรู้เข้าไปภายใน เป็นรูป เช่นรูปในระดับหยาบ เรียกว่า กายในกาย ลืมตากระทบรูป หูได้ยินเสียงกระทบหู เป็นต้น อยู่หลัดๆ เป็นของจริง ปัจจุบันเลย เป็นองค์ประชุม หรือกาย

       เช่นดอกไม้ ที่อยู่บนโต๊ะ ดอกเล็กๆ เป็นดอกกล้วยไม้ เมื่อสัมผัสแล้วก็ดูเหมือนของจริงนะ เมื่อคุณพบดอกไม้ก็ว่าสวยจริง ตามสเปคอุปาทานไว้ คุณจะไปถูกหลอกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ล่ะว่ามันสวย คุณเห็นกายในกาย อยู่ภายใน เรียกว่าเป็นกายในกาย เข้าไปรู้ข้างในแล้ว ตากระทบภายนอกแล้วเชื่อมต่อให้รู้ข้างใน ถ้าคุณไม่มีความรู้สึก ไม่มีกำหนดหมายสัญญา แสงกระทบวัตถุ แล้วสะท้อนมาที่ตาเรา แต่คุณไม่มีสัญญากำหนดหมาย คุณก็ไม่รู้ไม่เห็น แม้ตากระทบ ตาไม่บอดนะ แต่ไม่มีสัญญาเจตสิก ตัวสัญญาต้องกำหนดตาม

       แต่ถ้าสติ คุณกำหนดรู้ตัวทั่วพร้อม ในสติสัมปชัญญะ ก็จะมีความรู้เลื่อนเข้าไป ตัวที่คุณเคยชอบ หากบางอารมณ์แปรปรวนก็ไม่ชอบได้ แต่ถ้าสามัญ มีอุปาทานว่าชอบแบบนี้ก็จะชอบ หรืออะไรสเปคไว้ว่าไม่ชอบก็จะไม่ชอบโดยสามัญ ในความรับรู้นั้นจากกายในกาย ก็มาต่อเป็นเวทนาในเวทนาต่อไปอีก

       อารมณ์ชอบ ไม่ชอบนี่ก็เป็นเวทนา แล้วก็พิจารณารายละเอียดในจิต แยกเวทนาอีกซึ่ง สังขารก็ไม่รู้ว่าสังขารทำให้เกิดเวทนา แต่เมื่อเราสามารถอ่านออกได้ว่า มันชอบไม่ชอบ หรือเฉยๆมันมีอยู่ 3 เวทนานี่แหละปุถุชนก็มีอยู่ 3เวทนา แล้วมีกระทบทาง ทวาร 6 แต่ละทวารก็มีสุขทุกข์เฉยๆนี่แหละ

       เวลาปฏิบัติ มีข้อที่แจกวิภังค์ ในปฏิจจสมุปบาท มีชาติที่มี 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

       แจกเป็นองค์รวม ซึ่ง เรียกว่า กาย คำว่ากายนี้ เขาเรียนกันมาผิดๆ จึงไม่ได้ธรรมะเพราะไปเรียนมาผิดๆ ว่า กายคือรูปร่างภายนอก ไม่ได้มีความรู้สึกไม่มีจิตเลย อย่างนี้เข้าใจผิด   

       เพราะกายที่คุณควรรู้ก็คือ สักกายะ ที่เป็นสังโยชน์ในสังโยชน์ 10 ก่อน

       ในปฏิจจสมุปบาทท่านให้เรียนรู้วิญญาณ 6 อายตะ 6 และให้เรียนรู้มโนปวิจาร 18

       ที่มีฝั่ง เคหสิตเวทนา  ถ้าคุณอ่านไม่ออกในมโนปวิจารก็จะไม่รู้ความจริงของสัตว์ มาร ผี เทวดา พรหม คุณจะไม่รู้ เพราะคุณแยกเวทนาไม่ออก ถ้าแยกไม่ออกก็ไม่เห็นสัตว์

       สุขอย่างสมมุติเทพ เรียกว่าเทวดาสมมุติรู้กันทั่วไป เหมือนกันทั้งนั้น  

       คุณต้องอ่านอาการ ที่เป็นเวทนา ที่เป็นสัตว์นรก  ให้ออก มันเป็นความทุกข์ เป็นเคหสิตเวทนา มันมีน้ำหนักหรืออินทรีย์ แรงเบาอย่างไร มันชอบหรือโกรธ แรงหรือเบา เรียกว่าอินทรีย์ของเวทนา

       มีเวทนา 5 ที่เป็น  1.สุขินทรีย์ 2.ทุกขินทรีย์ (ภายนอก)

       3.โสมนัสสินทรีย์ 4.โทมนัสสินทรีย์ 5.อุเบกขินทรีย์  (ภายใน)

       เรียนรู้ว่าเมื่อสัมผัสก็ชอบ คุณก็มีชีวิตอยู่กับมัน แล้วหลงสุข แล้วมันก็คู่กับทุกข์ หากไม่ได้ล้างกิเลส ไปตลอดกาลนาน เมื่อสัมผัสทางทวารแล้วก็มีเวทนา คุณก็จับตัวสัตว์ให้ได้

       สุขเท็จเรียกว่าสุขขัลลิกะ ไม่ใช่สุขจริง หากจับตัวสัตว์ได้ก็ประหาร ฆ่า มัน คุณประหารด้วย ปหาน 5

1.    วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) ธรรมชาติมนุษย์ก็จะรู้ใช้การกดข่มไว้ แสดงออกประเจิดประเจ้อไม่ได้ ต้องมีมารยาทสังคม กดข่มไว้บ้าง ก็เป็นธรรมดา มันทำกันเป็นทุกคน แต่การกดข่มก็ทำให้ไม่แสดงออกทางกาย วาจา มามีฤทธิ์อำนาจ มาเป็นองค์รวมทั้งหมด เป็นกายวิญญัติ ทั้งหมด ทั้งท่าทางที่เป็นท่าทางเต็มๆ รวมเป็นอาการสรีระบทบาท มีทั้่งสุ้มเสียงสำเนียงที่อาตมาแสดงนี่คือกายวิญญัติ ถ้าคุณเกิดอาการกาม คุณจะแสดงอาการกาม หากคุณไม่กดข่มก็แสดงออกมาเต็มที่เลย คุณจะทำร้ายก็แสดงออกเต็มที่เลยทั้งเตะถีบด่าทอ ก็แสดงออกมาเต็มๆก็รู้ได้ด้วยกายวิญญัติ การเคลื่อนไหวที่เป็นองค์รวม มีใจเป็นประธาน ถ้าไม่มีอาการทางกายเลยมีแต่สำเสียงเสียงเรียกว่า วจีวิญญัติ ในการกดข่มนั้น คุณก็มีปฏิภาณรู้ว่ากดข่ม ในลึกๆก็รู้ว่ามันเป็นโทษ แต่คุณไม่ได้คิดจะให้มันหายไป แต่ถ้าได้เรียนธรรมะมาก็รู้ว่าควรทำให้หายไป ก็ได้แต่กดข่มไว้ แต่พระพุทธเจ้าสอนให้วิปัสสนาวิธี

2.   ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) 

3.   สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง)

4.    ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) 

5.    นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ) (พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

       เมื่อคุณอ่านรู้ผีได้ ก็พิจารณา โทษภัยของผี มีวิธีพิจารณาว่า อนิจจัง ทุกขัง อัตตา

       1.มันไม่เที่ยง อนิจจัง มันจะเกิดอย่างนี้จนระงับไม่ได้ หรือมันจะหายไปจนสูญเลย คุณไม่เคยศึกษาเลย แต่พอศึกษาก็จะรู้ว่ามันไม่เที่ยง เกิดแรง เบา จัดจ้านอย่างไรก็แสดงออกมาก็เป็นได้ มันไม่เป็นตลอดเวลา แสดงว่ามันอนิจจัง ไม่เที่ยง มันเกิดเมื่อคุณปรุงแต่งได้มาก ตามที่คุณมีต้นทุน คนไม่มีต้นทุนก็ปรุงแต่งไม่ได้มาก หากไม่สะสมก็ไม่มี แต่ถ้าสะสมมากก็ต้องควบคุม มีโอกาสแสดงออกก็แสดงออกเต็มที่ ก็ได้บำเรอมันไป โทสะแสดงเต็มที่ถ้ามีโอกาส ควบคุมไม่ได้ ก็แสดงออก คนก็ต้องมาเรียนรู้ว่ามันไม่เที่ยง ที่จริงรู้ง่าย คุณไม่ได้มีราคะโทสะตลอดเวลา แสดงออกมากบ้างน้อยบ้าง หรือเจออันนี้ทีไรก็โทสะแรงทุกที บางทีแสดงออกมาก บางทีแสดงน้อย ไม่เที่ยง แต่ก็มักแสดงออกเสมอ แล้วก็บำเรอให้สมโลภ สมโกรธตลอดเวลา

       2.เป็นทุกข์ เสียทั้งทุนรอน เวลา แรงงานทำให้เสียหายฉิบหาย อะไรไม่จำเป็นต้องมีต้องได้เลย เช่นคุณจะต้องได้เงินทอง ลาภ คุณต้องมีต้องได้ตะกละจะเอามามาก ได้มาก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์ จองเวรพยาบาทจะเอาๆๆ อย่างที่เราต้องมาต่อสู้อยู่ที่นี่แหละ ที่เขาหลอกกันจะเอาเปรียบกันแล้วหลอกให้คนมาเอาเปรียบกันได้มากๆ ให้แค่เศษเนื้อข้างเขียงแต่ตนเอามามากๆ ถ้าได้มาก็สุข แต่ทุกข์เขาไม่รู้ตัวแล้วเขาพาคนอื่นทุกข์ด้วยแม้แต่เรา แต่ทุกข์ของเรานี่เป็นกุศล เราทำไม่ได้เพื่อตัวเราแต่เราทำเพื่อผู้อื่นด้วย แต่ถ้าไม่รู้จักพอ ไม่สันโดษเลยจะสร้างวิบากไปเรื่อยๆ จะต้องมาเป็นเวรภัย เป็นอจินไตยที่ต้องมาทำร้ายกัน มันมีอะไรที่นึกไม่ออกเยอะกว่าเยอะ สรุปแล้วต้องรู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดีก่อความไม่ดี ทุกข์เป็นความลำบาก แต่สุขเป็นความเท็จ สุขทุกข์คู่กัน เราต้องพยายามลดเหตุแห่งทุกข์ คือการหามาบำเรอโลภ โกรธหลงของตนเอง มันมีวิธีกำจัด ตั้งแต่ตทังคปหานก็ได้ชั่วคราวแต่ถ้าทำวิปัสสนาวิธี จะมีวิปัสสนาญาณ ​9 อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิด- ความเสื่อมไปของกิเลส ของชาติ เวทนาสุขทุกข์ต่างๆ

       แล้วการไม่ได้สุขนี่มันจะไ่ม่เจริญหรือไม่ ?ไม่ต้องมีอันนี้จะเป็นคนประเสริฐได้หรือไม่คุณก็ต้องลองทิ้งดู เช่นการที่เราจะไม่ต้องมีอบายมุขอย่างนี้ เช่นเราไม่ต้องไปเล่นพนัน เราไม่ต้องติดน้ำเมา ไม่ต้องรุนแรงฆ่า ถ้ายิ่งเจ๋งจริงๆ อาตมาพามาไม่กินเนื้อสัตว์จะเห็นอะไรลึกๆกว่านี้อีก ถ้าเลิกได้มันก็ไม่ได้สุขอย่างนี้ แล้วไม่ได้สุขอย่างนี้มันจะตายไหม ถ้าได้ฆ่าสัตว์มันสุข ถ้าไม่ได้ฆ่าจะทุกข์ คุณก็ลองดูสิว่าไม่ฆ่าสัตว์ตนจะตายไหม?

       คุณไม่ต้องไปขโมยของจะตายไหม? มันมีลูกคนรวยที่เป็นโรคกิเลสต้องได้ขโมยจึงสุข ทั้งรู้ว่าไม่ดี แต่เสี่ยงภัยดี ถ้าขโมยได้เก่ง พวกนี้วิตถารนะ เดี๋ยวนี้เยอะมาก ถ้าเราไม่เอาของอื่นที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ต้องไปอยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา อ่านอาการอยากให้เป็น มันอยากตามเขา เขามีมากก็อยากได้ตามเขา ถ้าเราไม่อยากตามเขา เช่นเขามี 10 ล้านเราไม่ต้องไปอยากมี 10 ล้าน เราจะเป็นคนประเสริฐได้ไหม เบื้องต้นไม่ต้องไปอยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา เช่นเก็บของได้ก็ไปคืนเขา คนซื่อสัตย์แค่ทำเช่นนี้สังคมก็เป็นสุข ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเราก็เป็นสุข ยิ่งฝึกจิตให้ไม่อยากเอาก็ยิ่งเจริญ ถ้าจะมีก็ต้องสร้างเองผลิตเอง ของตนเองทำสร้างเอง ทำขึ้น ดีไม่ดีทำแล้วเราก็อาศัยสิ่งที่เราทำได้ มีเหลือก็แจกจ่างเผื่อคนอื่น สังคมเช่นนี้ชาวอโศกทำ จึงเป็นสังคมสุข ไม่ต้องรวย ในหลวงเราตรัส ไม่ต้องไปรวย ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา สังคมเราจึงเป็นสังคมอาริยชน

       เราทำสังคมที่มีสุขที่ได้จากการสละออก เนกขัมมะ เป็นสุขที่ยังได้บำเรออยู่ติดยึดอยู่ ดังนั้นทำก็ไม่สุข ไม่ได้ทำก็ไม่ทุกข์ แต่ทำก็ทำเพื่อคนอื่น

       เราต้องรู้ว่าสุข ที่บำเรอกิเลสแบบโลกๆแต่เรามาเรียนรู้ที่จะลดกิเลส เมื่อลดได้ก็เป็นสุข เป็นอุปกิเลส แต่ยังดีเป็นเนกขัมสติโสมนัสเวทนา  ไม่เหมือนทางโลกที่ได้มาบำเรอตนได้ตามสเปค บำเรอกามบำเรออัตตา

       เมื่อลดอาการผีได้ สัตว์นรก เดรัจฉานได้ ชัดเจนว่าเรารู้ตัวที่เราจะกำจัด ตามปหาน 5 ได้ ทำจนเป็นตถตาในขั้นสูงสุด

       แต่ตถตา นั้นอาตมาแบ่งเป็น 3 อย่าง    

1.ตถตา แบบยถากรรม ได้แต่ท่องเอาปล่อยวางอย่างที่ปล่อยเป็นยถากรรม แบบนี้คุณเบาว่างได้ชั่วคราว แต่ไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนา ไม่เกิดญาณปัญญา รู้จัก เวทนาในเวทนา จิตในจิต ไม่เกิดความฉลาดในการทำจิตใจเลย ไม่ได้ฝึกอบรมเลยไม่พัฒนาจิตเลย ไม่เกิดญาณปัญญาที่สูงขึ้นเลย แต่ถ้าได้ฝึกจะรู้ขั้นตอนเลยในการเกิดญาณ เป็นสมถะลืมตา หัดปล่อยวาง อย่ามายุ่ง ก็ช่วยได้ บรรเทาทุกข์ได้ ไม่ได้มีญาณปัญญาจริง ไม่ได้ศึกษาเวทนา 108

 

2.ตถตา ที่เป็นมรรค เกิดจากการฝึกฝน รู้เองเห็นเอง ว่ากิเลสลดได้หายไปได้ ก็จะอ๋อ เป็นตัวปฏิบัติ

       1.สัจจญาณ (หยั่งรู้สัจจะ กำหนดรู้ให้ครบ ปริญเญยยันติ) 

       2.กิจจญาณ (หยั่งรู้กิจที่กำลังละล้างกิเลส ปหาตัพพันติ)

       3.กตญาณ  (หยั่งรู้การจบกิจแล้วให้แจ่มแจ้ง สัจฉิกาตัพพันติ)

(พตปฎ. เล่ม 4  ข้อ 15  ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร)

       ปฏิบัติอนุปัสสี 4

       1.อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา)

       2.วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส) 

       3.นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)

       4. ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน นิสสัคคะก็คือไม่มีนรกสวรรค์ เพราะกำจัดผีและเทวดาปลอก เกิด) (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 288)

 

3.ตถตา ที่เป็นผล คือทำได้สมบูรณ์แล้ว

 

       ในงานนี้อาตามาจะแจกแจง เทวดา 6 ภูมิ พรหมอีก 20 ภูมิ ถ้าผู้ใดศึกษาถูกต้อง ฆ่าความเป็นสัตว์ได้ก็จะมีมรรคผลจริง ตอนนี้เราจะศึกษาการเปิดโลก อาตมาอธิบายเรื่องนี้มาหลายชาติแล้ว ยังอธิบายไม่จบหลักสูตรเลย แต่คนเรียนจบหลักสูตรได้มี เป็นอรหันต์ได้ ก็จับสูตรทฤษฎีของตนเองให้ได้

       สรุป สัตว์นรก สัตว์สวรรค์(เทวดา)หรือสัตว์ที่ลดกิเลส(พรหม)

       สัตว์พรหมคือสัตว์ที่ลดกิเลสได้

       สัตว์เทวดามี  2 สัตว์  1. สัตว์สุขขัลลิกะ (สมมุติเทพ) รู้กันได้ทั่วกันอาจสมมุติต่างกันบ้างแต่ก็รู้ได้ทั่วกันได้ 2. สัตว์ อุปัติเทพ

       คำว่า กาย นี่สำคัญ คือต้องรู้ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายได้จึงบรรลุ อย่างในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 2

 

และในทักขิเนยยบุคคล 7 ก็มีแบ่งไว้

 

 
 

 

 

       สายปัญญานี่ มีปัญญาวิมุติก็เป็นอรหันต์แล้ว จะปฏิบัติวิโมกข์ 8 ได้โดยเร็ว ท่านละไว้ว่า ธัมมานุสารี สายนี้จะไม่ต้องกล่าวว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกายเพราะมีสัมมาทิฏฐิแต่ต้นแล้ว ส่วนสายสัทธานุสารีย์ นั้น ก็ต้องกล่าวว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงจะครบอุภโตภาควิมุติเป็นอรหันต์ได้

       ต้องมีการสัมผัสทวาร 6 แล้วมีเวทนาเกิด ต้องจับผี จับเทวดาสมุตติได้ แล้วจัดการเหตุแห่งสุขทุกข์ได้ก็เป็นพรหม

       วิโมกข์ 8 ข้อที่ 8 นั้น หมายถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ นี่จึงเป็นฌานของพระพุทธเจ้า ขั้นอรูปฌานแล้ว ไม่เหมือนของลัทธิอื่น ซึ่งสมาธิ ฌาน นิโรธ ของพุทธก็ต่างกับลัทธิอื่น ของพระพุทธเจ้าเข้าถึงนิโรธแบบลืมตา มีผัสสะ ส่วนแบบไม่ใช่พุทธจะได้นิโรธแบบหลับตา เข้าในภพ กายของนิโรธนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นธรรมะที่บริบูรณ์พรหมจรรย์สูงสุดก็เป็นธรรมกายสุดท้าย หรือย่ิงเป็นธรรมกายของพระพุทธเจ้าก็เป็นองค์ประชุมของธรรมะที่สูงสุด หรือเรียกว่าพรหมกายก็ได้ จะได้อธิบายธรรมกายที่สัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ ที่ธรรมกายเขายึดถือกัน ก็สุดที่จะเลี่ยงในการอธิบายเรื่องธรรมกาย ที่เขามิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้มีเจตนาไปว่าสำนักธรรมกายนะ

       สำนักธรรมกายนี่มีสองสำนักใหญ่ ท่านได้ทะเลาะกันแล้วแยกเป็นสองคณะ สำนักหนึ่งอยู่ดำเนินสะดวก อีกสำนักหนึ่งอยู่ที่รังสิต ไม่ได้โกรธเคืองนะ แต่เห็นใจ ละเว้นไม่ได้ที่จะต้องตำหนิ เพราะว่ามันผิด โดยความเห็นของอาตมา ส่วนใครจะศรัทธาธรรมกายสองคณะนั้นก็ขออภัย ให้ฟังอาตมาบ้าง ไม่อยากให้ชิงชังอาตมา รับฟังบ้าง อาตมาก็รับรู้สัมผัสธรรมกายอยู่

       เป็นนานาสังวาส แล้ว พุทธด้วยกันแต่ต่างกันก็ต้องพูดความต่าง ก็ต้องพูดสิ่งถูกสิ่งผิด จะพูดว่าถูกทั้งสองอย่างไม่ได้ ก็ต้องแยกแยะ แต่ใครจะเห็นอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ ท่านจะเห็นว่าอาตมาผิดก็ได้ อย่างDDTV ก็ว่าอาตมาใหญ่เลย ท่านเข้าใจอาตมาผิด ท่านก็ว่าของท่านถูกอาตมาผิด ก็เป็นสิทธิ์ท่าน ส่วนอาตมาก็พาดพิงบ้าง บางทีก็แรงบ้าง แต่ก็ไม่ให้หยาบ แรงหนักบ้าง ใช้พยัญชนะหนักบ้าง ให้เข้าใจได้ เช่นอย่างนี้ชั่วก็ต้องว่าชั่ว อย่างนี้พาฉิบหายเลวก็ต้องบอกพูดไป แต่ส่วนใหญ่จะพูดก็ต้องขออภัยก่อน อาตมาไม่ได้มีอารมณ์มันเขี้ยวโกรธแล้ว

       แต่บางทีรีบๆก็อาจไม่ทันขออภัยแต่น้อยครั้ง ก็จะขออภัยหากจะใช้คำที่หนักที่ทางโลกถือกัน...       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:02:12 )

570506

รายละเอียด

570506_พ่อครูเปิดงานสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย เรื่อง วิสาขบูชาวิชิตชัย

       วันนี้เป็นวันเร่ิมงาน สัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย ที่ เวทีผ่านฟ้าฯ ซึ่งจะจัดในวันที่ 6-12 พ.ค. 57

       พ่อครูมาเทศน์เปิดงาน...เร่ิม 08.33 น...

       ณ บัดนี้เราจะได้เร่ิมสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย ครั้งที่ 1 เมื่อวานนี้เป็นวัน ฉัตรมงคล และเป็นวันฉัตรมงคลที่เป็นประวัติศาสตร์ เหตุการณ์บ้านเมิือง ด้วยมีคณะบุคคลที่เห็นความไม่ดีงามในการบริหารบ้านเมือง ได้ออกมาร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อปฏิบัติการปฏิวัติ

       แล้วปฏิวัติอะไร? ปฏิวัติรัฐบาล ซึ่งเป็นการปฏิวัติโดยประชาชนเพื่อประชาชน​ของประชาชน ประชาชนเอง เขามาทำเองจึงเรียกว่าประชาชนโดยประชาชน และก็ทำเพื่อประชาชน เพราะว่า

       ประเทศนี้เป็นของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นชาติ ศาสน์ กษัตริย์หรืิอแม้แต่การปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประชาชนจะต้องช่วยกัน ประคับประคอง ต่อต้านประท้วงติงเตือน ผู้ที่จะมาทำหน้าที่ให้แก่ประเทศ เมื่อเลือกมาทำหน้าที่ แต่เขาทำทรยศ

       เมื่อเช้าอาตมาฟังหม่อมอุ๋ยออกมาเรียบเรียบรวบรวม ข้อผิดพลาด 8 ประเด็นของรัฐบาลนี้ ชัดๆตั้งแต่ที่ศาลตัดสินว่าผิด เพราะว่าไปโยกย้ายคุณถวิล จนถึง จำนำข้าว ซึ่งเมื่อทำผิดพลาดขนาดนี้ เป็นรัฐบาลน่าจะมีมารยาท มีจริยธรรมทางการเมืองบ้าง แต่นี่ไม่มีเลย ขออภัยที่ต้องใช้ภาษาว่า หน้าด้านหน้าทนเกินขนาด เห็นแล้วเอน็จอนาถใจ ขายขี้หน้าไปทั่วโลก

       ทุกวันนี้ยุคสื่อสารสนเทศ ถึงกันทั่วโลก ไม่มีอะไรกั้นได้ ก็น่าจะมีสำนึก แต่ไม่รู้ตัว ว่าตนเองทำไมถึงไม่มีจริยธรรมทางการเมืองเลย อาตมาว่ามันเกินสุดเกิน ก็ไม่ได้แปลกใจเลยว่าประชาชนจะออกมากันโดยการเรียกร้องรวมตัวกัน

       กรณีที่เกิดที่สนามหลวง ถ.ราชดำเนิน วัดพระแก้วนั้น เหตุเกิดเมื่อวานนี้ เป็นการรวมตัวกันที่ไม่ได้เป็นเพราะรัฐบาลรวบรวมจัด แต่เป็นพิธีการของประชาชน จนเกิดปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ที่เห็นประชาชนออกมารวมตัวกัน โดยใช้สัญญาณว่ามาตั้งสัตยาธิษฐานในวันฉัตรมงคลนี้

       เราประท้วงมาต่อเนื่องด้วยพฤติกรรมปฏิกิริยาที่เราพึงทำอย่างเหมาะสม ก็ทำมาตลอด รวมทั้งชาติที่เราจะดูแลพิทักษ์รักษา รวมทั้งศาสนา เราก็พยายามแสดงออก และรวมทั้งกษัตริย์ ซึ่งยังไม่เคยมีเคยเป็นในประเทศไทยเลยที่คนจะออกมาแสดงการลบหลู่ แสดงออกอย่างหน้าเกลียด คนมีหน้าที่จัดการก็ปล่อยปละละเลย

       จนกระทั่งธรรมชาติก็ทนไม่ไหว 18.08 น. เมืองไทยทางด้านเหนือ แผ่นดินก็ไหว ลึกลงไปถึง 7 กิโลเมตร มีแผ่นดินไหว แยก นี่คือปรากฏการณ์สอดคล้องที่เกิดวิกฤติในประเทศไทย ที่จะทำให้ประเทศชาติเป็นอยู่ดีขึ้น เมื่อประชาชนมาพร้อม ธรรมชาติก็แสดงออกอย่างสอดคล้องให้เห็น

       ผู้ที่มององค์ประกอบทุกอย่าง ไม่ว่าส่ิงที่รวมตัวกันอยู่มีเหตุปัจจัยของรูปและนาม เรียกตามภาษาของทางโลกว่า มีทั้งพลังงานและสสาร และส่ิงเหล่านี้จะออกมาเป็นแผ่นดินไหวก็เป็นเรื่องพลังงานและสสารที่เปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องไม่ปกติแล้ว มันเป็นการเปลี่ยนแปลงปรับตัวจนถึงขีดๆหนึ่ง เป็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน แยกแตกอย่างร้ายแรงรุนแรง ความแรงถึง 6.4 ก็ประมาณนั้น

       สสารพลังงานของโลกเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น มนุษย์ก็มีพฤติปฏิบัติ แล้วผิดเหมือนกัน รุนแรงมาก เสียหายรุนแรง จนมีมวลมหาประชาชน​รวมตัวกันมายับยั้งสิ่งรุนแรง สิ่งเหล่านี้เกิดอย่างมีเหตุปัจจัย

       วันนี้สัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย...อาตมาก็ต้องขอขอบพระคุณต่อมวลมหาประชาชนจำนวนล้านที่ออกมาแสดงคะแนนเสียงตัวตนในคืนวานนี้ ออกมาแสดงคะแนนเสียงสดๆ ไม่ใช่ที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แต่เราออกมาแสดงเสียงสดๆ นับกันไม่หวาดไม่ไหว ได้แต่ประมาณกันเอา รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยสัญญลักษณ์สีเหลือง เป็นความเป็นเอกภาพที่วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐิ์

       อาตมาว่าปรากฏการณ์สีเหลืองที่ประชาชนไทยได้แสดงออกเทิดทูนในหลวงที่เขารักและเทิดทูน เป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน คนที่มีปัญญาก็คงรับซับซาบได้ ว่ามีความหมายอย่างไร

       นี่คือภาพของมวลประชาชนที่ถ่ายภาพบันทึกไว้ ก็น่าเสียดายที่สื่อสารถูกฝนถูกน้ำก็ทำให้ทำงานไม่ปกติ ทำงานไม่ออก ก็เลยส่งออกอากาศไม่เต็มที่เลย

       ส่ิงปรากฏนี้มาแต่เหตุ ที่เกิดจากความเข้าใจต้องการที่จะขจัดปัดเป่า ประชาชนคนไทยได้แสดงออกถึงการขับไล่รัฐบาลนี้ออก โดยทำอย่างถูกต้องดีงามตามสากลของโลก ตามรธน.นี้ด้วย และทำอย่างสุภาพไม่รุนแรงไม่มีอาวุธ ใช้ความถูก ผิดมาชี้ แล้วมวลประชาชนก็รับทราบว่าควรต้องร่วมมือกันเป็นสัญญลักษณ์ ว่านี่คือความต้องการ ความจริง ของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย​เป็นการแสดงออกจากจิตวิญญาณไม่ได้ใช้เล่เหลี่ยม หรือจ้างวาน ที่เขาใช้อำนาจไปซื้อหรือบังคับให้คนออกมาแสดง หรือใช้อำนาจหน้าที่การงานให้คนมาแสดงคะแนน ก็เป็นวิธีการที่เขาทำกัน แต่มวลมหาประชาชนที่ทำกันอย่างยาวนานนี้ไม่ได้ใช้เล่เหลี่ยม แต่เราใช้ความจริงสะอาดบริสุทธิ์ แต่ละคนใช้วิจารณญาณส่วนตนในการออกมา มันสุดยอดปรากฏการณ์แห่งสังคมประเทศแล้ว

       น่าเสียดายไทยเรามีประชาชนอาริยะ แต่ในความเป็นอนาริยะของคนไทยอีกส่วนหนึ่งที่ได้อำนาจอย่างไม่สุจริต ที่ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้ง แต่มีเชิงซ้อนที่เขาได้ชนะมันฉ้อฉล ไม่เป็นความบริสุทธิ์ ก็ชนะได้อำนาจ แล้วมาบริหารให้เห็นความผิดพลาดไม่เข้าท่า บริหารอย่างห่วยๆ ชัดเจน จนกระทั่งความบริสุทธิ์ใจความมีปัญญาของคนไทย อาตมาว่าส่วนใหญ่คนไทยเป็นคนเจริญ รู้ดีชั่วก็ออกมาแสดงตัว

       เป็นพฤติกรรมที่แสดงอย่างจริงจัง จริงใจ ส่วนผู้ที่เขาพยายามปลุกเร้าครอบงำ จ้างวาน ใช้อำนาจบาทใหญ่ ขนาดนั้นก็เห็นชัดๆเลยว่าเขาแพ้ สู้มวลมหาประชาชนไม่ได้ นี่คือแสดงความดีความจริงของมวลประชาชนคนไทย แต่ประชาชนที่เลวก็ยังแสดงวิธีการเอาชนะเพื่ออยู่ทำเลวร้ายต่อไป

       คงปล่อยไปไม่ได้แล้ว ที่พูดอยู่นี่คือสัจธรรม คือ จะต้องพูดชี้สิ่งถูกและข่มความไม่ดีงาม ยกความดีงาม และข่มความไม่ถูกต้อง นี่เป็นหน้าที่ตามรธน. และในสัจธรรมก็เป็นหน้าที่ ในบ้านเมืองสังคมเราจะบริหารด้วยกฎหลัก กฎหมาย ระเบียบวินัยทางรูปธรรม โลกๆ อย่างเดียว ไม่เอาคุณธรรม ไม่เอาธรรมะ ไ่ม่เอาความรู้จริงแห่งปัญญา ไม่เอาพลังงานทางจิตที่จะช่วยกันรับผิดชอบแล้วออกมาร่วมแรงร่วมใจ ปรับปรุงแก้ไขให้ดีงาม

       เราเรียกด้านนี้ว่าจริยธรรมหรือธรรมะ สังคมต้องใช้ หลักของสังคมจะเรียกรัฐศาสตร์ก็ต้องใช้ ส่วนทางจริยธรรมก็ต้องใช้ เมื่อใช้สองอย่างดีงามแล้วก็มาชี้กัน

       ชี้ผิด ชี้ถูก ว่าควรทำอย่างไร แก้ไขอย่างไร แม้จะต้องให้ออก ก็เป็นสิ่งควร ส่วนผู้ที่อยู่ในภพตน ทำมาหากิน ขี้เกียจ หรือเอาแต่เที่ยว ไม่เอาตาดูหูแลบ้านเมือง การบริหารจะสูญเสียฉิบหายไม่เอาตาดูหูแลสำนึกสำเหนียกเลยก็ใจดำเกินไป ก็ไม่ควรเป็นคนอยู่ในสังคมไทยที่ร่วมกันนี้ มันดูดายเกินไป

       ผู้ที่ยังไม่ค่อยสำนึกก็คงพอเข้าใจได้ว่าอาตมาตำหนิอะไรเตือนอะไร ที่พูดนี้ไม่ได้อวดใหญ่ แต่พูดด้วยสำนึกสามัญ​ที่เรามีชีวิตในสังคม มีพฤติกรรมสังคมที่เดือดร้อน ตามที่ดำเนินไปมันวิปริตแล้ว เสียหายแล้ว ก็ควรต้องออกมาช่วยกัน ก็ขอบคุณผู้มีน้ำใจเอาตาดูหูแลช่วยสังคม สังคมไทยยังดีนะ ไม่ได้โง่หรือชั่วเกินการณ์ ส่วนคนชั่วก็ทำเห็นๆแสดงออกให้เห็น ผู้มีปัญญาพึงรู้ได้

       ถ้าเราทำอย่างไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ตามหลักเกณฑ์เขาทำได้อย่างซับซ้อนซ่อนเชิง ทำแล้วก็ล้มเหลวฉิบหาย ขืนปล่อยต่อไปอีกไม่ได้ ปล่อยต่อไปอาตมาว่าพัง นี่เขาก็ดึงดันจะเอาชนะคะคานทั้งที่แพ้ไม่รู้จะแพ้เท่าไหร่แล้ว

       วันนี้ตุลาการภิวัตน์ก็จะชี้ยืนยันออกมา เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำข่าว เพื่อสู้เอาชนะไม่ยอมแพ้ทุกวิถีทาง เราจะได้เห็นภาพ แต่เราต่อสู้อย่างซื่อสัตย์สุจริตไม่ใช้อำนาจอาวุธ ก็จะดูไม่มีแรงอย่างอำนาจ Force แต่เราทำอย่างนี้เป็นอำนาจ Authority เป็นsovereignty ก็เลยดูไม่แรง และอำนาจนี้เป็นพลังแห่งความดีงามประเสริฐ ผู้มีปัญญารู้จะเชิดชูยกย่อง มีธรรมฤทธิ์ และไม่ใช่ว่าเป็นฤทธิ์อำนาจ ที่ทุ่มโถมให้เกิดบาดเจ็บล้มตายเสียหาย แต่เป็นแรงที่ทำให้เกิดความดีงาม

       คนไทยเราสร้างให้เกิดขึ้นได้แล้ว เป็นปรากฏการณ์วิเศษทำได้สวยงาม เกิดมาอายุปูนนี้แล้วก็เพ่ิงเห็น ตั้งแต่เรารวมตัวกันวันที่ 14 ต.ค. 16 ก็เร่ิมต้นนักศึกษาประชาชนออกมา แต่ก็ยังไม่สวยงาม จน 16 ต.ค.19 ก็มีการปะทะสูญเสียบาดเจ็บล้มตายไป จนพฤษภาคม 35 ก็เป็น จนมาถึงตอนนี้

       ตั้งแต่ 14 ตุลา ก็เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน แต่คนไทยยังไม่รอบรู้ ไม่เกิดจริยธรรมที่ดีพอก็เลยเกิดเลวร้ายรุนแรง และ 16 ตุลา 19 นั้นเกิดจากความเลวของคนที่ซับซ้อน เกิดเหตุการณ์น่าสยอง ทำทุกเรศทุรังการ เอาศพมาทุบตี ฆ่ากัน อุบาศก์จริงๆ เกิดจากจิตเลวของคนเลวสร้างวิธีการซับซ้อน เป็นบทเรียนเป็นการลงทุนชนิดหนึ่งของสังคมไทยเป็นรอยด่างพร้อยที่ยืนยันชี้     

       พอ พฤษภาคม 35 ที่เกิดปฏิวัติโดยมวลประชาชน​ก็พัฒนาขึ้น เพื่อเปลียนแปลงโดยไม่ใช้ใช้ทหาร แต่ใช้ทหารก็สำเร็จมาตลอด เพราะคนกลัว แต่โดยประชาชนนี่คนไม่กลัวดีไม่ดีหาคนมาสู้ด้วย

       เราประท้วงกันมาหลายยกแล้ว มายุคนี้ประชาชนมาประท้วงกันมาหลายยกแล้ว ตั้งแต่คุณสนธิมาเป็นตัวหลัก ก็ทำด้วยคุณงามความดี การแสดงออกของคนไทยมาประท้วงต่อต้าน ปฏิวัติ ต้องการเปลี่ยนแปลงอำนาจ ต่อสู้มาหลายยก ทำด้วยวิธีการปฏิวัติสมัยใหม่ แบบใหม่ ยังไม่เคยมีมาเลย สงบเรียบร้อย แม้มีสูญเสียบ้าง เพราะมีคนไม่ยอม แต่เราก็รักษาสถานที่สงบเรียบร้อยไม่รุนแรง ควบคุม กาย วาจา ใจ อย่าให้รุนแรงออกไป แม้สุดวิสัยบ้าง มีวิวัฒนาการ เจริญด้วยวิธีการประท้วงต่อต้าน ปฏิวัติ  ทำโดยประชาชนมือเปล่าๆไม่ใช้ทหารอาวุธ ใช้ความถูกต้องดีงามเป็นธรรมาวุธ ให้ยืนยันให้เขายอม แต่เขาก็หวงแหนดึงดัน ดื้อด้าน เป็นตัวอย่างอันเลวให้เราดู เหมือนเทวฑัตแสดงให้เราเห็น

       เป็นการสู้ระหว่าง ธรรมะกับอธรรม มวลประชาชนใช้ธรรมะเป็นอาวุธ ต่อสู้กับอธรรม ซึ่งเขาแฝงใช้ความไม่ถูกต้องสู้กับเรา เป็นธรรมาธรรมะสงครามโดยแท้จริง

        การเมืองนี่ รัฐศาสตร์เขาเรียนกันว่า การเมืองคือการแย่งชิงอำนาจ มาบริหารประเทศ และที่บอกว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมืองนั้น ถ้าอาตมาเป็นอาจารย์จะให้คะแนน 0+ ไปอีกร้อยพัน 0 คือมันผิดที่จะเอาการเมืองไปแก้การเมือง เพราะการเมืองที่ไม่พัฒนามันเลวจะไปแก้ได้อย่างไร การเมืองต้องแก้ด้วยธรรมะ เอาสิ่งถูกต้องดีงามมาชนะ ถ้าเอาความเลวร้ายมาแก้ความเลวร้ายก็ยิ่งซ้ำกันไปอีก ตอนนี้การเมืองในประเทศไทยต้องแก้ด้วยธรรมะ

       ขอย้ำว่าสมณะโพธิรักษ์กำลังเทศน์ แสดงธรรม ในสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย

        ในวันที่ 5 พ.ค. 57 เป็นฉัตรมงคล ก็ได้มีการจัดยัญพิธี เป็นวันที่ทำเพื่อสถาบันกษัตริย์ จากนั้นวันที่ 13 พ.ค.57 ก็เป็นวันศาสนา เป็นวันวิสาขบูชา เป็นความฉลาดของมนุษย์ที่จัดองค์ประกอบศิลป์ที่จะทำให้เกิดพลังรวม เกิดพลังงานของอาริยชน ไม่ใช่ว่ารวมตัวถือมีดถือดาบปืนกันมาฆ่ากัน นั้นก็เขาก็ทำกันมาแต่ยุคไม่เจริญ แต่ยุคนี้เจริญมากแล้วเขาไม่ทำกันแล้ว เราจะออกมาแสดงองค์ประกอบศิลป์ที่ดีงาม

        อย่างเมื่อวานที่ทำพิธีวันฉัตรมงคล ทั้งสวยสดงดงาม และปริมาณที่แสดงออก เป็นปรากฏการณ์ของมนุษยชาติที่จะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อไป และในวันที่ 13 ก็เชิญชวนคนไทยออกมา จะเป็นองค์ประกอบศิลป์ที่จะโน้มไปสู่การปฏิวัติ

        เป็นพลังงานที่จะเกิดฤทธิ์อำนาจ ได้ และในวันที่ 14 จะเป็นวันแห่งชาติ ส่วนการปฏิวัติจะทำอย่างไร? วิธีการปฏิวัติเขาจะไม่เปิดเผย ขืนเปิดเผยเขาก็กันไว้หมด แต่ก็บอกแต่ว่า ประชาชนจะยึดอำนาจ

        เช่นแสงไฟ ถ้ามีรวมกันหลายดวงจะเอาไปทำอะไร?ก็ต้องมีวิธีการทำ ของเราเรียกรวมกันมาหลายที เมื่อวานก็เรียกกันอีก มีองค์ประกอบศิลป์ มีการตบแต่งประกอบ มีวงดนตรีประสานเสียงอีกโยธวาฑิตอีก  ประกอบกันให้งดงาม

      เพื่อให้สู่เป้าหมายสำคัญชัดเจน สิ่งปรากฏในประเทศไทยขณะนี้ มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ จงรู้เถอะว่าเมืองไทยกำลังก่ออะไรขึ้นให้โลกเห็น วันที่ 5 เราทำได้แค่นี้ และในวันที่ 13 เอาให้ยิ่งใหญ่หนาแน่น สงบเรียบร้อยสวยงามให้ยิ่งกว่านี้เพราะเป็นวันศาสนาด้วย

       อาตมาว่า เราก็จะพยายามประจุธรรมะเป็นพลังวิเศษ พลังสำคัญ ก็ขอเร่ิม และทุกเย็นอาตมาก็จะทำรายการ “ปักหลักเปิดโลก”

       เปิดโลก คือจะได้สาธยาย เรื่องมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณเป็นสัตว์ และยังไม่เจริญเป็นมนุษย์ ที่แปลว่าผู้มีจิตสูง หรือคือยังเป็นเดรัจฉานอยู่ และที่พูดว่าเป็นมนุษย์ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่จะเอาที่ใจเป็นหลัก มโนเสฏฐา มโนมยา       

       เราจะมาอธิบายที่จิตไม่สูงเป็นสัตว์อยู่คืออะไร

       พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง สัตว์ไว้ 9 อย่างในสัตตาวาส 9 คือ จิตยังเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณอยู่นั่นเอง

       ในสัมมาทิฏฐิ 10 ในข้อที่ 9 ให้รู้เรื่อง สัตตาโอปปาติกา

       คือ จะต้องรู้ เข้าใจ ให้ถูกต้องว่าสัตว์นี้คืออะไร อยู่ตรงไหน ...อยู่ในปุถุชน ปุถุชนไม่หมดความเป็นสัตว์ แม้จะเร่ิมต้น กำจัดความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณได้ เร่ิมรู้จริงเห็นถูกต้อง เข้ากระแสโลกุตระ (โสตาปันนะ) ไม่ใช้โลกโลกีย์​แต่เป็นโลกเจริญแท้ โลกุตระ (โลกอุดร) ต้องเรียนรู้นามธรรม ปรมัตถ์ จิตเจตสิก อ่านจิตได้ แล้วแบ่งทำเป็นส่วนๆ ใช้หลักเกณฑ์เช่นศีล 5 แล้วเรียนรู้ตามความหมายของศีล 5 ว่าเราจิตเหี้ยมโหดดุร้ายเลวร้าย หรือจิตขี้โลภ ตะกละ จะเอาสุขทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ​กามอัตตา เราก็มาละเลิก วางไปลำดับๆ พระพุทธเจ้าไม่ให้ผลีผลามทำอย่างไม่มีหลัก แต่ให้ทำอย่างเป็นสัดส่วนงดงาม

       ใครทำได้รู้ มีญาณปัญญา รู้จักสัตว์อบาย เราโกรธจัด โทสะจัด โลภจัด ราคะรุนแรง ในศีล 3 ข้อแรก ส่วนข้อ 4 นี้ทางวจีกรรม แล้วเราเรียนรู้ไม่ให้กาย วจีเราไปส่งเสริมส่ิงที่เป็นเหตุ เป็นสัตว์อบายที่มีพลังให้เราละเมิดศีล เรามีกรอบขอบเขตว่าเราจะไม่รุนแรงขนาดนี้ เช่นฆ่าสัตว์เราเลิกฆ่าทุกอย่างได้เลย

       อย่าไปโกรธเกลียดสัตว์ อย่าไปฆ่า พวกเรานี่ไม่แค่ฆ่า แม้อ้างว่าเป็นอาหาร เอาเนื้อเขามาเป็นอาหารพวกเราก็ไม่ทำ เพราะเราเข้าใจวิบาก ที่มันมีพยาบาท อย่างเราไปฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าปลา จิตมันผูกพยาบาทนะ มันเป็นวิบากต่อกันจองเวรจองกรรมทำร้ายกัน เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คนไม่เชื่อไม่เข้าใจก็ไม่ทำตาม เราไม่ต้องไปอ้างถึงการยังชีพเลย เรายังชีพได้อย่างไม่ต้องไปใช้เนื้อสัตว์เลย ในต่างประเทศก็มีสืบทอดกันมาเป็นพันๆปีเลย

       เราศึกษาจริงทำจริงก็จะได้จริง ในจิตเจตสิก มีวิธีการทำลายอกุศลเลวร้าย พระพุทธเจ้าให้ทำอย่างรู้ๆ มีวิธีการที่พิสูจน์ได้

       รู้จัก คือเราได้แตะต้องสัมผัสส่ิงนี้เลย รู้รายละเอียดต่างๆชัดเจนเรียกว่า “รู้แจ้ง” พอรู้ครบก็เรียกว่า “รู้จริง” ครบเท่าไหร่ก็จริงเท่านั้น แม้นามธรรมก็รู้ได้ นี่เป็นสัตว์อบาย สัตว์กามภูมิ

       กามภพก็มีหลายชั้น สัมผัสทางทวาร 5 ภายนอก ก็เป็นอัตตาหยาบ รวมกันเป็นอย่างนี้ด้วย เสร็จแล้วก็เกิดในจิต เราก็ลดราคะโทสะ โมหะ เมื่อล้างได้จริง อย่างถูกตัวเห็นแจ้งไม่คลุมเครือ ทำโดยหลักใหญ่สองอย่าง คือ       

       1.สมถะ เป็นการกดข่ม ไม่ได้จริง ต้องชนะด้วย

       2.วิปัสสนาวิธี เห็นเลยว่ามันเป็นทุกข์ทำเสียหายเลวร้าย และเห็นเลยว่ามันไม่เที่ยง จนปัญญาเห็นจริง มีพลังอำนาจ มีฤทธิ์แรงสามารถสลายความไม่ดีงามลงไปได้ มีฤทธิ์ชัดเจนทำลายกิเลสได้ จนมีญาณ หรือปัญญา เวลาปฏิบัติให้เกิดพลังปัญญา เรียกว่า ฌาน เป็นพลังงานอุณหธาตุ เป็นพลังงานไฟ มีฤทธิ์สลายจิตที่ไม่ดี หรือสลายพลังชั่วหายไปเลย

       คุณไปทำดู ถ้าเห็นเลยว่าสามารถทำลายได้อย่างแท้จริงก็จะยิ่งชัดเลย เมื่อทำลายได้ก็เกิดปัญญาซ้ำซ้อนเรียกว่า ญาณทัสสะ เห็นเลยพลังงานทางชั่วหายไป เราจะมีพฤติกรรมดีงามอย่างไร จะเป็นวิมุติญาณทัสสะอีก ก่อเกิดดีงามประเสริฐอย่างไรอีก จะมีนำ้หนักขึ้นอีก เห็นแจ้งว่าอันนี้มันเลวร้ายเราไม่เอาอีกแล้วเหมือนเด็กถูกไฟก็ร้อน ต่อไปไม่เอาอีกไม่จับอีก ส่ิงนี้เป็นสิ่งเลวร้ายพาทุกข์ เมื่อไหร่สิ่งนั้นมาอีกมันก็เข้าไม่ได้เลย เป็นพลังวิมุติญาณทัสสนะ รู้แท้ รู้ทันไม่ให้สิ่งนั้นเข้ามาได้อีกเลย ให้พิสูจน์ตนเองว่าได้วิมุติญาณทัสสะ ปฏิบัติมาตั้งแต่สิ่งหยาบๆมา แล้วจะชัดเจน แล้วจะทำต่อไป มีเหตุปัจจัยสะสมเป็นตัวอย่างของจริงรองรับมาเรื่อยๆว่าดีอย่างไร วิเศษอย่างไร

       แม้จะทวนกระแสโลกีย์จะเข้าหาความเบาว่าง น้อยลง ไปเรื่อยๆ จะพบว่า ความไม่รุนแรงมันดีกว่ารุนแรง ความไม่เอามาเป็นของตนดีกว่าความเอามาเป็นของตนดีอย่างนี้เอง

       โลกที่ปฏิบัติิโดยกำจัดความเป็นสัตว์ คือจิตวิญญาณเลวร้ายออกไป ซึ่งอาตมาจะอธิบายขยายความในสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัยนี้

       พระพุทธเจ้าว่าคนจะเอาธรรมะเทียบเท่าเขาโค ส่วนคนไม่เอาธรรมะจะมีปริมาณเท่ากับขนโค เป็นเรื่องจริง แต่เราก็ทำเต็มที่โดยไม่ได้ย่อท้อแต่อย่างใด ใครจะมาฟังกันสดๆที่นี่ก็จะดี ทุกวันนี้ก็มีการสื่อสารช่วยด้วย

       ทุกวันนี้การเมืองเลวร้ายหนัก หยาบคายด้านหนา ดันทุรังดื้อดึงจัดจ้านมาก เราจะปล่อยปละละเลยไม่ได้ การแก้การเมืองเลวร้ายนี้จะใช้การเมืองไม่ได้ เพราะปฏิบัติการเมืองอย่างไม่ถูกต้องถูกตรง อาตมานิยามการเมืองไว้ 10 ข้อ เป็นการเมืองทำเพื่อบ้านเมือง ทำเสียสละ 

        การแก้การเมืองด้วยการเมือง ก็เหมือนเอาขี้โคลนมาล้างสิ่งสกปรก จะไปล้างได้อย่างไร การเมืองต้องแก้ไขด้วยธรรมะ ขอฝากความนี้ถึงนายทหารหาญบ้าง อย่าพูดเลยว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง แล้วท่านไปศึกษาธรรมะคืออะไร แล้วการเมืองจะแก้ด้วยธรรมะได้ ยกตัวอย่าง เหตุการณ์เกิดเพราะผู้บริหารผิดพลาด เลวร้ายเป็นอธรรม ก็ไม่ต้องสนับสนุน ส่วนประชาชนออกมาทำอย่างเป็นธรรมะก็ควรสนับสนุนเต็มที่ ดังนั้นพฤติกรรมของคุณธรรมนี่แก้การเมืองได้ ไม่ต้องเอาอาวุธมา

      แก้ปัญญาด้วยการเมืองที่ยังไม่เป็นการเมืองไม่ได้ ยิ่งแก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมืองเลวร้ายก็ยิ่งแย่กว่าเก่า ต้องเปลี่ยนแปลงปฏิรูปก่อน อย่างการเลือกตั้งนี้เป็นค่ายกลที่เลวร้ายที่เขาอ้าง เขาว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งเท่านั้น รู้แค่นี้

      จงแก้ไขการเมืองด้วยธรรม เมื่อแก้ไขแล้ว จะเป็นการเมืองที่มีธรรมะเข้าไปสถาปนา ทุกวันนี้พลังเลวร้ายฝังลึกเข้าไปในการเมือง ต้องแก้ไขให้ถูกเหลี่ยมถูกสาระ...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:03:26 )

570507

รายละเอียด

570507_พ่อครูเทศน์ในงานสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย ปักหลักเปิดโลก ตอนที่ 2

       อาตมาได้ปักหลักเปิดโลก และเป็นวันที่ 274 วันของกองทัพธรรม อีก 26 วันก็ 300 วันแล้ว สถิตินี้มันไม่มีใครจะทำลายได้ง่ายๆนะ ที่ทำได้อย่างนี้เพราะธรรมะ ไม่ใช่อย่างอื่นเลย

       อาตมาได้ขึ้นต้นไปแล้ว เกริ่นบอกถึงลักษระของความเป็นสัตว์ที่อยู่ในคน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ว่าเป็นคนนี่ แล้วมี ความเป็นสัตว์อยู่ในคน ผู้ที่ยังอวิชชาก็มีสัตว์อยู่ในตัว เราเรียกสัตว์นั้นว่า สัตตาโอปปาติกา

อยู่ในพระไตรฯ ล.23 ข้อ 228

       ขอแก้ข้อมูลเรื่องพระพุทธเจ้าหลังจากได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว

1.    ปัญญาธิกะ            ใช้เวลา   4  อสงไขย กับ แสน กัปป์

2.   สัทธาธิกะ              ใช้เวลา   8  อสงไขย กับ แสน กัปป์

3.   วิริยาธิกะ        ใช้เวลา   16 อสงไขย กับ แสน กัปป์

พระปัจเจกพระพุทธเจ้าหลังจากได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว

1.    ปัญญาธิกะ            ใช้เวลา   2  อสงไขย กับ แสน กัปป์

2.   สัทธาธิกะ              ใช้เวลา   2 อสงไขย กับ แสน กัปป์

3.   วิริยาธิกะ        ใช้เวลา   2 อสงไขย กับ แสน กัปป์

       ซึ่งปัจเจกพระพุทธเจ้าคือผู้ที่ตรัสรู้แล้ว แต่ไม่ได้สร้างศาสนาเท่านั้น

       พระปัจเจกพระพุทธเจ้า มีผู้ให้ความหมายว่า ได้เฉพาะตน สอนคนอื่นไม่ได้ อาตมาก็เห็นแย้ง อย่าว่าแต่ปัจเจกเลย ทุกวันนี้คนเลอะเทอะก็ยังสอนคนเลย แต่ที่จริงสอนได้ คำว่าได้เฉพาะตน นี้มีความหมาย กว้างว่า ท่านไม่ได้สร้างศาสนา ไม่ได้ประกาศศาสนา เป็นเจ้าแห่งศาสนา ได้เฉพาะท่าน เรียกว่าปัจเจก การไม่ได้ประกาศศาสนามีสองนัย

       นัยหนึ่งคือเป็นปัจเจก แต่ว่ามีวิบาก อนันตริยกรรม ร้ายแรงมาก อย่างพระเทวฑัต จึงไม่มีสิทธิ์ เป็นสัจจะ เหมือนกับผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นต้น มีสิ่งที่ตนไม่สามารถตรัสรู้

       อีกอันหนึ่ง ท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ท่านไม่ประกาศศาสนาเอง ท่านปรินิพพานไปเอง

 

 ววัตถสัญญาสูตร   

 [228] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตตาวาส 9 ชั้น 9 ชั้นเป็นไฉน ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย สัตว์พวกหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เหมือนมนุษย์ เทวดาบางพวกและ วินิปาติกสัตว์บางพวก นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 1 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เหมือนเทวดาผู้อยู่ในชั้นพรหม ผู้ เกิดในภูมิปฐมฌาน นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 2 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เหมือนเทวดาชั้นอาภัสสระ นี้เป็น สัตตาวาสชั้นที่ 3 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เหมือนเทวดาชั้นสุภกิณหะ นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 4 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เหมือนเทวดาผู้เป็นอสัญญีสัตว์ นี้เป็น สัตตาวาสชั้นที่ 5 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งผู้เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า  อากาศหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตต สัญญา นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 6 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งผู้เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่าวิญญาณหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 7 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่าอะไรหน่อยหนึ่ง ไม่มี เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 8 ฯ

       สัตว์พวกหนึ่งผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดย ประการทั้งปวง นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 9 ดูกรภิกษุทั้งหลายสัตตาวาส 9 ชั้นนี้แล ฯ                          จบสูตรที่ 4                      

 

       ซึ่งใน สัมมาทิฏฐิ ข้อที่ 10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก  สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

       ต้องขออภัยนะที่จะต้องบอกว่า อาตมาเป็นสยังอภิญญา ขออภัยที่ต้องอวดอุตริมนุสธรรมนะ เขาอาจหมั่นไส้ แต่อาตมาจำเป็นต้องประกอบคำอธิบาย เพื่อให้รู้ว่ายุคนี้ ศานาพุทธผ่านมา 2600 ปีแล้ว ศาสนาพุทธเสื่อมจนจะหาเชื้อไม่ได้แล้ว แม้ผู้ไม่เชื่อก็ตาม อาตมาก็ประกาศว่า ยังมีผู้ถึงขั้นสยังอภิญญาขึ้นมาได้ ผู้ที่จะต้องฟังธรรมจากผู้รู้ ซึ่งเป็นสัตบุรุษ

                        

       โสดาบันมีภูมิเท่าโสดาบัน ถ่ายทอดให้คนได้เท่าที่ตนเก่ง ก็คือโสดาบันนั่นแหละ ส่วนมีอยู่เหมือนกันว่า ผู้ที่สอนผู้อื่น เหมือนกับตัวเองไม่ค่อยบรรลุอะไร แต่ว่าไปสอนคนอื่นผู้อื่นสามารถบรรลุธรรมได้ อันนั้นเป็นเรื่องความซับซ้อนอจินไตย ผู้ที่ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าจากผู้ที่ได้บัญญัติภาษาที่ถูกต้องที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ตนเองรู้แต่ภาษา แต่สอนคนได้ แต่พอดีลูกศิษย์คนนั้นเป็นมีภูมิธรรมอยู่แล้ว ท่านมีภูมิเก่าก็เลยบรรลุ แต่ว่าไปเข้าใจผิดว่าผู้ไม่บรรลุไปสอนให้คนอื่นบรรลุก็ได้ แต่ถ้าจะสอนก็ต้องเอาคำสอนที่แท้ไปสอน และผู้ที่รับฟังก็ต้องมีบารมี เป็นเรื่องอจินไตย ที่ต้องอธิบาย

       สยังอภิญญาจึงเป็นคุณธรรม แม้ในเวลานี้ ชาตินี้ โพธิสัตว์ระดับสยังอภิญญาก็เจอได้ แต่คุณก็ยังไม่ศรัทธาไม่เชื่อ แต่อาตมาพูดนี่ไม่ได้บังคับให้คุณเชื่อนะ

       เพราะถ้าไม่เจอสมณะพราหมณ์ที่สอนเราได้ก็ไม่มีทางได้สัมมาทิฏฐิ

       สัมมาทิฏฐิเป็นประธานในการปฏิบัติมรรคองค์ 8

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)

1.ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ  ทินนัง)

2.ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  วนอยู่ในโลกีย์เดิมๆ 

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)

8.  บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

9.  สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก  สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

       คุณอยู่ในขั้นไหนของโลกุตรภูมิ 9 (โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล อรหัตตมรรค อรหัตตผบ นิพพาน)

       

       รู้เหตุให้เกิดเป็นโสดาบัน สกิทาฯ … ก็เพราะว่ามีมาตา ปิตา ทำให้สัตว์ตายสัตว์เกิด เพราะอกุศลเหตุตายไป ตานแล้ว จิตเราก็อุบัติขึ้น เกิดขึ้น  เป็นการตายอย่างผุดเกิด ไม่เหลือซากอะไร ไม่มีตัวตน พอจิตเราอันนี้ตายสนิทแล้ว อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

       การตายการเกิดนี้คือการตายทางจิตวิญญาณ​ นิพพานนี้คือการตายการเกิดทางจิตวิญญาณ เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ เรารู้ความเป็นแม่และพ่อทางจิตวิญญาณ

       เช่นพระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเป็นแม่ พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเป็นแม่ พระสารีบุตรเป็นแม่เลี้ยง ส่วนพระโมคคัลลานะเป็นแม่นม มีอยู่ในพระไตรปิฎก

       เช่นศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ

ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์     (โสณทัณฑสูตร ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ล.9  ข.193)

      ศีลมีในบุคคลใด  ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น

      ปัญญามีในบุคคลใด  ศีลก็มีในบุคคลนั้น

ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล และศีลก็เป็นของผู้มีปัญญานักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก  เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น

       

       การปฏิบัติที่ไม่มีหลักเลย เช่น ไปนั่งสมาธิหลับตา ก็ไม่เข้าใจว่า ศีลขัดเกลาอย่างไร โพชฌงค์ 7 สติปัฏฐาน ร่วมกันทำอย่างไรก็ไม่รู้

       พวกไปนั่งหลับตาทำสมาธินั้นไม่ได้เรียนรู้ สัตว์กามภพ สัตว์อบาย อย่างไรเลย ไปเอาแต่เพ่งกสิณ แทนที่จะเพ่งพินิจ แต่กลับไปเพ่งจดจ่อ อธิบายฌานผิดๆมาหมดเลย ของพุทธต้องเพ่งรู้เหตุปัจจัยแล้วกำจัดเหตุแห่งทุกข์

       ไปนั่งหลับตาก็ไม่ได้เรียนรู้สัตตาวาส 9 เช่น สัตตาวาสข้อที่1

1.    สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

       แต่ฌานนั่งหลับตาเป็นอุปการะ คุณก็เอาแต่นิ่ง ทำจิตไม่ให้มีนิวรณ์ คุณได้จิตนิ่งแต่ไม่ได้รู้จักความเป็นสัตว์ ฌานชนิดนี้คุณสัญญษ กำหนดหมายไม่เป็น คุณได้ฌานเหมือนสัตตาวาส ข้อที่ 2

2.   สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น  เครื่องหมายของฌาน คือจิตไม่มีนิวรณ์ 5 ขณะที่คุณทำจิตไม่ให้มีนิวรณ์ 5 ได้เมื่อใดเมื่อนั้นจิตเป็นฌาน แต่คุณก็ได้ฌานที่มีองค์ประชุมของจิต หรือ กาย นี่ไม่เหมือนของพุทธ เรียกว่า กายต่างกัน กายของพุทธนี่ลืมตา ไม่ใช่นิ่งแข็งแคบอยู่ในภพ ในภวังค์ ไม่สามารถลืมตามีผัสสะได้ เพราะนิวรณ์ 5 จะเข้ามา คุณอาจกดข่มได้ชำนาญ ฝึกเข้ามากๆ ลืมตามาก็ไม่มีกิเลสเข้า แต่นานไปจะเข้าเพราะคุณไม่เคยได้ฝึกรับผัสสะตั้งแต่หยาบ กลางละเอียด เพราะฉะนั้น คนที่นั่งสมาธิหลับตา แล้วนึกว่าตนเป็นอรหันต์ก็ยังติดรส ในกามคุณ 5 เพราะไม่ได้ฝึกฝนอย่างลดละกิเลสเมื่อมีผัสสะ เอาแต่ฝึกนั่งหลับตา แม้ฝึกบ้างก็ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะไม่เข้าใจคำว่า กาย

       ในสัตตาวาสข้อที่ 2 นี้ คุณปฏิบัติมีฌานแล้วนะ ในขณะปฏิบัติไม่มีวิญญาณฐิติ 6 มีแต่อายตนะในที่มีแต่มนายตนะ กับธรรมายตนะ ไม่ครบ กาย เพราะกายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในบุคคล 7 หรือสัมมาทิฏฐิ

       นิโรธของพุทธต้อง มีสัมผัสเป็นปัจจัย มีวิญญาณ ในขณะปฏิบัติต้องปฏิบัติในขณะมีวิญญาณฐิติ 7 และต้องมี กายที่มีผัสสะ ครบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

       

       แม้กายสักขี รู้จัก กาย แต่ก็ไม่ละเอียดพอ จะต้อง มีวิโมกข์ 8  1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ)  (พค.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

       ต้องรู้จักวิญญาณฐิติ 7 คือปฏิบัติขณะเกิดวิญญาณ คือต้องมีผัสสะ แล้วรู้เหตุแห่งการเกิดสุขทุกข์ แล้วจัดการปหาน 5 ทำให้ชำนาญ สั่งสม เป็นอดีต ที่เที่ยงแท้ ทุกปัจจุบันสั่งสมเป็นอนาคตที่แน่นอนว่า กิเลสเป็นสูญแน่

       โสดาบันก็ลืมตาปฏิบัติ ได้ฌานนิโรธวิมุติ พอเป็นสกิทาฯก็ปฏิบัติลืมตาปฏิบัติ ในกามภพ เมื่อหมดกามภพก็เป็นอนาคามี แต่ก็ต้องลืมตาปฏิบัติต่อไปทุกเรื่องราว กำหนดรู้เวทนา 108 ในขณะผัสสะไม่ได้ดับผัสสะ ในขณะปฏิบัติจึงต้องใช้สัญญากำหนดรู้เวทนา ที่เป็นเจตสิก

       เมื่อปฏิบัติไม่ถูก ก็กำหนดรู้ไม่ถูก แยก กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ก็ยากมาก แม้คำว่ากายคำเดียวนี่ไม่รู้ แล้วจะปฏิบัติอะไรได้ล่ะ

       ทีนี้มาเข้าใจคำว่า กาย เสียบ้าง

       เร่ิมต้นตั้งแต่คำว่า สักกาย

       สักกะคือของตน คุณก็อ่านองค์รวมของจิตที่ประชุมกันเป็นสัตว์ แต่คุณก็อ่านมันไม่ออกแล้วมันโตขึ้นอย่างไรก็ไม่รู้  แต่เมื่อไหร่คุณจับได้ เมื่อมีผัสสะ คุณเกิดสัตว์ในจิต เช่นสัตว์นรก สัตว์เปรต คุณก็อ่านรู้ อ่านออก คุณรู้ว่า กูเป็นสัตว์ เปรต คุณรู้เข้าใจเห็น นั่นคือคุณพ้นสักกายทิฏฐิ  คุณฟังไปจากอาตมา แล้วก็ไปปฏิบัติก็รู้ก็เห็นของตนเลย ขณะกำลังเกิดเลย มีผัสสะเป็นปัจจัย คุณไปนั่งหลับตาก็ไม่ได้กำหนดรู้ไม่ได้เรียนรู้อย่างที่อาตมาพูด ไม่ได้รู้เลยว่ามันเป็นอย่างไร ได้แต่เพ่งกสิณ จ้องอยู่อย่างนั้น คุณสัญญาก็ไม่เป็น สัญญาก็คนละเรื่อง คุณอาจสัญญาและทำไม่ให้มีนิวรณ์ได้ แต่ไม่ได้ปฏิบัติล้างกิเลส คุณอาจระงับได้ชั่วคราว แต่ไม่ได้วิปัสสนา ไม่ชัดเจนในฌานอย่างพุทธ

       คุณหลับตาจะไปรู้ กายสัมผัส กายผัสสะ ได้อย่างไร กายสังขารคุณก็ไม่รู้

       กายสังขาร คือองค์ประชุมที่มีทั้่งสัมผัสนอก และสัมผัสใน มีวัตถุสัมผัส แล้วก็สังขารจิตปรุงแต่ง

       จิตสังขาร ก็ปรุงแต่จิตไม่เกี่ยวกับภายนอก

       วจีสังขาร ไม่ใช่วจีกรรม แต่คือการปรุงแต่เป็นวจีในภายในจิต คนไทยก็เป็นภาษาไทย แต่ไม่ได้พูดออกมาเป็นวจีกรรม และไม่ใช่กายสังขารด้วย แต่มันปรุงในจิต อยู่ในสังกัปปะ 7 ซึ่งจัดอยู่ใน จิตสังขาร

       กาย ต้องเกี่ยวข้องกับข้างนอก ถ้าไม่มีกายเลย มีแต่จิต คุณไม่รู้เรื่องกับมัน ต้องมีองค์ประชุมตั้งแต่ภายนอกเรียกว่า รูปกาย ส่วน นามกายนั้นไม่เกี่ยวกับภายนอก

       เช่นคุณลืมตามองเห็น วัตถุ แต่เมื่อหลับตาก​็มีสัญญา เห็นวัตถุนั้นได้ ตามสัญญาที่จำไว้ได้ แม้หลับตาก็นึกได้ เรียกว่า นามกาย หรือกายในกาย เป็นองค์ประชุม ต้องเกี่ยวกับภายนอก ถ้าเป็นการระลึกถึงเสียง รส โผฏฐัพพะ แม้ระลึกเป็นตัวตนบุคคลเราเขาก็นึกได้

       ในภาษาธรรมะนึกขึ้นมาเอง เรียกว่า นิรมานกาย

       นริมาน แปลว่าสร้างขึ้นมา เขาเอาคำว่านิรมานกายไปอธิบายเสียงงเลย

       กายกัมมัญญตา คือองค์ประชุมที่พาทำงานที่ควร

       กายปาคุญญตา คือจิตที่แคล่วคล่องชำนาญทำงานเร็วไว เป็นความคล่องแคล่วของ เวทนา สัญญา สังขาร สามอย่างทำงานอย่างคล่องแคล่ว

       กายกลิ คือสิ่งท่ชั่วช้าที่อยู่ในกาย ที่ประชุมกันภายใน เป็นกายที่เป็นโทษ อกุศลจิต

       กายคต คือส่ิงที่เป็นไปในกาย

       กายยังคะ องค์ประชุมของอวัยวะต่างๆของกาย

       กายถามมะ พลังของกาย

       กายทรถะ คือความกระวนกระวายของกาย หรือความกระวนกระวายของ

       กายทุกข์

       กายทุจริต เป็นความประพฤติชั่วหยาบ

       กายทุถุลละ กายประพฤติชั่วหยาบ

       กายทวาร

       กายธาตุ คือ ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของกาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับดินน้ำไฟลม เป็น กายปสาทด้วย

       กายปโยคะ คือองค์ประกอบของกาย

       กายปัสสัทธิ ความสงบรำงับของกาย ขณะกระทบผัสสะอยู่ กายเราก็สงบได้ ไม่ใช่นั่งนิ่ง

       กายภาวนา คืออบรมกาย

       กายมุทุตา คือ ความอ่อนไว แววไวของร่างกาย เป็นคุณธรรมสูงส่ง มุทุตา คือวิการรูปรูปที่ได้ปฏิบัติ จนทำให้แคล่วคล่องว่องไว มีเมตตา กรุณา มุฑิตา ในนั้นเลย

       กามโนมย ข้อปฏิบัติให้เป็นผู้นิ่งด้วยกาย

       กายลหุตา เป็นวิการรูปข้อหนึ่ง เป็นความเบาแห่งนามธรรมคือเจตสิก 3

       กายวิการ คือองค์ประชุมของนามธรรม ที่ไม่สมกระกอบของเจตสิก 3 (เวทนา สัญญาสังขาร)

       กายวิญญัติ

       กายวิญญาณ  

       กายวูปกาส แปลว่า กายแยกออก ท่านไปแปลว่าการปลีกกายไปอยู่สงบ หรือที่จริงคือ ทำให้จิตมันแยก ปลีกออกมา ห่างจากสิ่งที่ทำให้ไม่สงบคืออกุศล

       กายสมังคี ความพร้อมแห่งกาย

       กายสังวร คือสังวรกาย

       กายสังสัคคะ การสัมผัส จับต้อง เกี่ยวข้องทางกาย ที่ต้องการเป็นสุข แล้วเป็นสวรรค์เท็จ หรือจะปฏิบัติเป็นสวรรค์โลกุตระก็ต้องมีภูมิรู้ได้

 

       กายเป็นเรื่องสำคัญ หากเข้าใจผิดแต่ต้นก็เจ๊ง วิธีปฏิบัติจะรู้ความเป็นสัตว์ ที่เป็นเวทนา สัญญา สังขาร ที่จะเรียนรู้ สัตว์ เทวดา มาร พรหม เมื่อคุณฟังแล้วไปปฏิบัติก็จะรู้ว่านี่คือ สัตว์ชนิดไหน เป็นผี หรือเป็นเทวดาสมมุติเทพ หรือเป็นเทวดาอุปัตติเทพ หรือวิสุทธิเทพ

       เมื่อไม่รู้กาย ก็ปฏิบัติกำจัดสัตว์ 9 ชั้น (สัตตาวาส 9 )นี้ไม่ได้ ก็ไม่มีทางเป็นอรหันต์

       ส่วนธรรมกาย นี่คือกายที่เป็นองค์ประชุมที่มีธรรมะ จิตที่ดีสูงสุดก็คือพระพุทธเจ้า ถ้าเรียกธรรมกายก็คือพระพุทธเจ้า หรือพรหมกาย เพราะฉะนั้นจึงอย่าบังอาจใช้คำว่าธรรมกายไปเรียกเล่น ถ้าผู้ใดไม่มีธรรมะสูงเป็นองค์ประชุมที่มีธรรมะสูงสุด แม้มีความไม่สะอาดมีอธรรมอยู่เท่าที่กิเลสเหลือ แม้อรหัตตมรรคก็ตาม อนาคามีก็มีอธรรมอยู่

       ผู้มีธรรมะบริสุทธิ์ก็มีอรหันต์กับพระพุทธเจ้า เรียกว่าผู้มีธรรมกาย ฉะนั้นอย่าไปพูดเล่น

       ผู้เอาธรรมกายไปทำแล้วเป็นอบายมุขหลอกคนทำให้ธรรมะเพี้ยนเสื่อม ที่จริง ธรรมไม่เสื่อมแต่คนเสื่อม คนเอาความรู้ผิดไปทำทำให้ธรรมแปดเปื้อน ตนเองเสื่อมก่อนแล้วทำให้คนอื่นเสื่อมด้วย

       ผู้มีธรรมะคือผู้มีความไม่เสื่อม ผู้ใดยังมีความเสื่อมยังมีอธรรม มากหรือน้อยก็แล้วแต่ก็ไม่ใช้คำว่าธรรมกายได้

               

       ธรรมคือสิ่งที่คนเกิดมาต้องเอาให้ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะ เรียกว่าธรรมสามี เป็นเจ้าของธรรมะเรียกว่าธรรมกาย ไม่มีอธรรมเลย เท่าที่ความเป็นมนุษย์จะพึงมีได้ ถ้าอรหันต์ก็มีธรรมเต็มเฉพาะตน เป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์เป็นพรหมกาย เป็นธรรมกาย อย่าทำเป็นเล่น เอาไปใช้ก็อย่าทำให้เสีย ขอร้องเลยอย่าเอามาลาคันธะ วิเลปนะ นัจจะคีตะ วาทิตะ แอ็คอาร์ท เช่นพระธุดงค์เต๊ะท่า ทำอวดอ้างทำโชว์เรียกคะแนน หาเสียงหาบริวาร ท่านธุดงค์ก็ปฏิบัติ อย่าไปทำมาลาคันธ วิเลปนา ธารณ มัณฑน วิภูสนฐานา ผิดศีลข้อที่ 8 เลยนะ

       เขาไม่รู้ว่า ตนเองสร้างนิรมานกาย ศัพท์สมัยใหม่เรียกว่า มโน สร้างปรุงแต่งวิมาน ภายนอกก็เยิ้มไปด้วยกามคุณ 5 มากไปด้วยมหัปปิจฉะ หรูหราใหญ่โตอลังการ ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักมากมักใหญ่ก็ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ขออภัยที่ต้องตำหนิแรง เกรงใจจริงๆ แต่เป็นความจริงหลักวิชาที่ต้องพูด ขออภัย

       การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องมีวิญญาณ ลืมตาปฏิบัติ มีวิญญาณฐีติ แต่ถ้าหลับตาทำเป็นสัตว์ในสัตตาวาส 9 รูปฌาน 4 คุณก็ดับได้แล้ว เป็นอสัญญีสัตว์แล้ว คุณก็ทำจิตให้สว่างโล่ง แจ้ง ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีท้องฟ้าเลยใสโล่งไปหมดเลย นี่คือสายธรรมกาย ที่ทำกัน สายธรรมกายนี้คือเรียนรู้อาภัสรา อย่างมิจฉา ไปติดอยู่ที่สว่างใส คุณก็ได้แต่ใสๆๆ โสดาก็ใส สกิทาก็ใสเพ่ิมขึ้น อนาคาก็ใส่ยิ่งขึ้น อรหันต์ก็ใสสุดเป็นต้นนี่คือมิจฉาทิฏฐิ

       ส่วนสัตว์ลำดับที่ 4 มีกายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน เขาดับไปอย่างมิจฉาทิฏฐิ สุภกิณหา (สุภ คือสิ่งที่งาม โชค ส่ิงน่าพึงใจ) เขาก็ได้ความดำ เป็นภพอสัญญี เร่ิมต้นอสัญญี เป็นมิจฉาทั้งนั้น ไม่ได้ถูกเลย มิจฉาในสัตตาวาสทั้ง 9

1.    สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

2.   สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น 

3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) 

4.    สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)

5.    สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์  เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)

6.    สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)

7.   สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง)

8.   สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..อากิญจัญญายตนะ (ดับดิ่งไม่มีอะไร) 

9.   สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ) (ววัตถุสัญญา พตปฎ. ล.23   ข.228)  และ 11/353      


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 16:01:25 )

570507

รายละเอียด

570507_พ่อครูเทศน์ในงานสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย ปักหลักเปิดโลก ตอนที่ 2

       อาตมาได้ปักหลักเปิดโลก และเป็นวันที่ 274 วันของกองทัพธรรม อีก 26 วันก็ 300 วันแล้ว สถิตินี้มันไม่มีใครจะทำลายได้ง่ายๆนะ ที่ทำได้อย่างนี้เพราะธรรมะ ไม่ใช่อย่างอื่นเลย

       อาตมาได้ขึ้นต้นไปแล้ว เกริ่นบอกถึงลักษระของความเป็นสัตว์ที่อยู่ในคน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ว่าเป็นคนนี่ แล้วมี ความเป็นสัตว์อยู่ในคน ผู้ที่ยังอวิชชาก็มีสัตว์อยู่ในตัว เราเรียกสัตว์นั้นว่า สัตตาโอปปาติกา

อยู่ในพระไตรฯ ล.23 ข้อ 228

       ขอแก้ข้อมูลเรื่องพระพุทธเจ้าหลังจากได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว

1.    ปัญญาธิกะ            ใช้เวลา   4  อสงไขย กับ แสน กัปป์

2.   สัทธาธิกะ              ใช้เวลา   8  อสงไขย กับ แสน กัปป์

3.   วิริยาธิกะ        ใช้เวลา   16 อสงไขย กับ แสน กัปป์

พระปัจเจกพระพุทธเจ้าหลังจากได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว

1.    ปัญญาธิกะ            ใช้เวลา   2  อสงไขย กับ แสน กัปป์

2.   สัทธาธิกะ              ใช้เวลา   2 อสงไขย กับ แสน กัปป์

3.   วิริยาธิกะ        ใช้เวลา   2 อสงไขย กับ แสน กัปป์

       ซึ่งปัจเจกพระพุทธเจ้าคือผู้ที่ตรัสรู้แล้ว แต่ไม่ได้สร้างศาสนาเท่านั้น

       พระปัจเจกพระพุทธเจ้า มีผู้ให้ความหมายว่า ได้เฉพาะตน สอนคนอื่นไม่ได้ อาตมาก็เห็นแย้ง อย่าว่าแต่ปัจเจกเลย ทุกวันนี้คนเลอะเทอะก็ยังสอนคนเลย แต่ที่จริงสอนได้ คำว่าได้เฉพาะตน นี้มีความหมาย กว้างว่า ท่านไม่ได้สร้างศาสนา ไม่ได้ประกาศศาสนา เป็นเจ้าแห่งศาสนา ได้เฉพาะท่าน เรียกว่าปัจเจก การไม่ได้ประกาศศาสนามีสองนัย

       นัยหนึ่งคือเป็นปัจเจก แต่ว่ามีวิบาก อนันตริยกรรม ร้ายแรงมาก อย่างพระเทวฑัต จึงไม่มีสิทธิ์ เป็นสัจจะ เหมือนกับผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นต้น มีสิ่งที่ตนไม่สามารถตรัสรู้

       อีกอันหนึ่ง ท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ท่านไม่ประกาศศาสนาเอง ท่านปรินิพพานไปเอง

 

 ววัตถสัญญาสูตร   

 [228] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตตาวาส 9 ชั้น 9 ชั้นเป็นไฉน ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย สัตว์พวกหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เหมือนมนุษย์ เทวดาบางพวกและ วินิปาติกสัตว์บางพวก นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 1 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เหมือนเทวดาผู้อยู่ในชั้นพรหม ผู้ เกิดในภูมิปฐมฌาน นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 2 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เหมือนเทวดาชั้นอาภัสสระ นี้เป็น สัตตาวาสชั้นที่ 3 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เหมือนเทวดาชั้นสุภกิณหะ นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 4 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เหมือนเทวดาผู้เป็นอสัญญีสัตว์ นี้เป็น สัตตาวาสชั้นที่ 5 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งผู้เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า  อากาศหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตต สัญญา นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 6 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งผู้เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่าวิญญาณหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 7 ฯ    

       สัตว์พวกหนึ่งผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่าอะไรหน่อยหนึ่ง ไม่มี เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 8 ฯ

       สัตว์พวกหนึ่งผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดย ประการทั้งปวง นี้เป็นสัตตาวาสชั้นที่ 9 ดูกรภิกษุทั้งหลายสัตตาวาส 9 ชั้นนี้แล ฯ                          จบสูตรที่ 4                      

 

       ซึ่งใน สัมมาทิฏฐิ ข้อที่ 10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก  สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

       ต้องขออภัยนะที่จะต้องบอกว่า อาตมาเป็นสยังอภิญญา ขออภัยที่ต้องอวดอุตริมนุสธรรมนะ เขาอาจหมั่นไส้ แต่อาตมาจำเป็นต้องประกอบคำอธิบาย เพื่อให้รู้ว่ายุคนี้ ศานาพุทธผ่านมา 2600 ปีแล้ว ศาสนาพุทธเสื่อมจนจะหาเชื้อไม่ได้แล้ว แม้ผู้ไม่เชื่อก็ตาม อาตมาก็ประกาศว่า ยังมีผู้ถึงขั้นสยังอภิญญาขึ้นมาได้ ผู้ที่จะต้องฟังธรรมจากผู้รู้ ซึ่งเป็นสัตบุรุษ

                        

       โสดาบันมีภูมิเท่าโสดาบัน ถ่ายทอดให้คนได้เท่าที่ตนเก่ง ก็คือโสดาบันนั่นแหละ ส่วนมีอยู่เหมือนกันว่า ผู้ที่สอนผู้อื่น เหมือนกับตัวเองไม่ค่อยบรรลุอะไร แต่ว่าไปสอนคนอื่นผู้อื่นสามารถบรรลุธรรมได้ อันนั้นเป็นเรื่องความซับซ้อนอจินไตย ผู้ที่ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าจากผู้ที่ได้บัญญัติภาษาที่ถูกต้องที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ตนเองรู้แต่ภาษา แต่สอนคนได้ แต่พอดีลูกศิษย์คนนั้นเป็นมีภูมิธรรมอยู่แล้ว ท่านมีภูมิเก่าก็เลยบรรลุ แต่ว่าไปเข้าใจผิดว่าผู้ไม่บรรลุไปสอนให้คนอื่นบรรลุก็ได้ แต่ถ้าจะสอนก็ต้องเอาคำสอนที่แท้ไปสอน และผู้ที่รับฟังก็ต้องมีบารมี เป็นเรื่องอจินไตย ที่ต้องอธิบาย

       สยังอภิญญาจึงเป็นคุณธรรม แม้ในเวลานี้ ชาตินี้ โพธิสัตว์ระดับสยังอภิญญาก็เจอได้ แต่คุณก็ยังไม่ศรัทธาไม่เชื่อ แต่อาตมาพูดนี่ไม่ได้บังคับให้คุณเชื่อนะ

       เพราะถ้าไม่เจอสมณะพราหมณ์ที่สอนเราได้ก็ไม่มีทางได้สัมมาทิฏฐิ

       สัมมาทิฏฐิเป็นประธานในการปฏิบัติมรรคองค์ 8

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)

1.ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ  ทินนัง)

2.ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  วนอยู่ในโลกีย์เดิมๆ 

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)

8.  บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

9.  สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก  สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

       คุณอยู่ในขั้นไหนของโลกุตรภูมิ 9 (โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล อรหัตตมรรค อรหัตตผบ นิพพาน)

       

       รู้เหตุให้เกิดเป็นโสดาบัน สกิทาฯ … ก็เพราะว่ามีมาตา ปิตา ทำให้สัตว์ตายสัตว์เกิด เพราะอกุศลเหตุตายไป ตานแล้ว จิตเราก็อุบัติขึ้น เกิดขึ้น  เป็นการตายอย่างผุดเกิด ไม่เหลือซากอะไร ไม่มีตัวตน พอจิตเราอันนี้ตายสนิทแล้ว อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

       การตายการเกิดนี้คือการตายทางจิตวิญญาณ​ นิพพานนี้คือการตายการเกิดทางจิตวิญญาณ เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ เรารู้ความเป็นแม่และพ่อทางจิตวิญญาณ

       เช่นพระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเป็นแม่ พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเป็นแม่ พระสารีบุตรเป็นแม่เลี้ยง ส่วนพระโมคคัลลานะเป็นแม่นม มีอยู่ในพระไตรปิฎก

       เช่นศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ

ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์     (โสณทัณฑสูตร ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ล.9  ข.193)

      ศีลมีในบุคคลใด  ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น

      ปัญญามีในบุคคลใด  ศีลก็มีในบุคคลนั้น

ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล และศีลก็เป็นของผู้มีปัญญานักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก  เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น

       

       การปฏิบัติที่ไม่มีหลักเลย เช่น ไปนั่งสมาธิหลับตา ก็ไม่เข้าใจว่า ศีลขัดเกลาอย่างไร โพชฌงค์ 7 สติปัฏฐาน ร่วมกันทำอย่างไรก็ไม่รู้

       พวกไปนั่งหลับตาทำสมาธินั้นไม่ได้เรียนรู้ สัตว์กามภพ สัตว์อบาย อย่างไรเลย ไปเอาแต่เพ่งกสิณ แทนที่จะเพ่งพินิจ แต่กลับไปเพ่งจดจ่อ อธิบายฌานผิดๆมาหมดเลย ของพุทธต้องเพ่งรู้เหตุปัจจัยแล้วกำจัดเหตุแห่งทุกข์

       ไปนั่งหลับตาก็ไม่ได้เรียนรู้สัตตาวาส 9 เช่น สัตตาวาสข้อที่1

1.    สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

       แต่ฌานนั่งหลับตาเป็นอุปการะ คุณก็เอาแต่นิ่ง ทำจิตไม่ให้มีนิวรณ์ คุณได้จิตนิ่งแต่ไม่ได้รู้จักความเป็นสัตว์ ฌานชนิดนี้คุณสัญญษ กำหนดหมายไม่เป็น คุณได้ฌานเหมือนสัตตาวาส ข้อที่ 2

2.   สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น  เครื่องหมายของฌาน คือจิตไม่มีนิวรณ์ 5 ขณะที่คุณทำจิตไม่ให้มีนิวรณ์ 5 ได้เมื่อใดเมื่อนั้นจิตเป็นฌาน แต่คุณก็ได้ฌานที่มีองค์ประชุมของจิต หรือ กาย นี่ไม่เหมือนของพุทธ เรียกว่า กายต่างกัน กายของพุทธนี่ลืมตา ไม่ใช่นิ่งแข็งแคบอยู่ในภพ ในภวังค์ ไม่สามารถลืมตามีผัสสะได้ เพราะนิวรณ์ 5 จะเข้ามา คุณอาจกดข่มได้ชำนาญ ฝึกเข้ามากๆ ลืมตามาก็ไม่มีกิเลสเข้า แต่นานไปจะเข้าเพราะคุณไม่เคยได้ฝึกรับผัสสะตั้งแต่หยาบ กลางละเอียด เพราะฉะนั้น คนที่นั่งสมาธิหลับตา แล้วนึกว่าตนเป็นอรหันต์ก็ยังติดรส ในกามคุณ 5 เพราะไม่ได้ฝึกฝนอย่างลดละกิเลสเมื่อมีผัสสะ เอาแต่ฝึกนั่งหลับตา แม้ฝึกบ้างก็ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะไม่เข้าใจคำว่า กาย

       ในสัตตาวาสข้อที่ 2 นี้ คุณปฏิบัติมีฌานแล้วนะ ในขณะปฏิบัติไม่มีวิญญาณฐิติ 6 มีแต่อายตนะในที่มีแต่มนายตนะ กับธรรมายตนะ ไม่ครบ กาย เพราะกายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในบุคคล 7 หรือสัมมาทิฏฐิ

       นิโรธของพุทธต้อง มีสัมผัสเป็นปัจจัย มีวิญญาณ ในขณะปฏิบัติต้องปฏิบัติในขณะมีวิญญาณฐิติ 7 และต้องมี กายที่มีผัสสะ ครบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

       

       แม้กายสักขี รู้จัก กาย แต่ก็ไม่ละเอียดพอ จะต้อง มีวิโมกข์ 8  1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ)  (พค.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

       ต้องรู้จักวิญญาณฐิติ 7 คือปฏิบัติขณะเกิดวิญญาณ คือต้องมีผัสสะ แล้วรู้เหตุแห่งการเกิดสุขทุกข์ แล้วจัดการปหาน 5 ทำให้ชำนาญ สั่งสม เป็นอดีต ที่เที่ยงแท้ ทุกปัจจุบันสั่งสมเป็นอนาคตที่แน่นอนว่า กิเลสเป็นสูญแน่

       โสดาบันก็ลืมตาปฏิบัติ ได้ฌานนิโรธวิมุติ พอเป็นสกิทาฯก็ปฏิบัติลืมตาปฏิบัติ ในกามภพ เมื่อหมดกามภพก็เป็นอนาคามี แต่ก็ต้องลืมตาปฏิบัติต่อไปทุกเรื่องราว กำหนดรู้เวทนา 108 ในขณะผัสสะไม่ได้ดับผัสสะ ในขณะปฏิบัติจึงต้องใช้สัญญากำหนดรู้เวทนา ที่เป็นเจตสิก

       เมื่อปฏิบัติไม่ถูก ก็กำหนดรู้ไม่ถูก แยก กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ก็ยากมาก แม้คำว่ากายคำเดียวนี่ไม่รู้ แล้วจะปฏิบัติอะไรได้ล่ะ

       ทีนี้มาเข้าใจคำว่า กาย เสียบ้าง

       เร่ิมต้นตั้งแต่คำว่า สักกาย

       สักกะคือของตน คุณก็อ่านองค์รวมของจิตที่ประชุมกันเป็นสัตว์ แต่คุณก็อ่านมันไม่ออกแล้วมันโตขึ้นอย่างไรก็ไม่รู้  แต่เมื่อไหร่คุณจับได้ เมื่อมีผัสสะ คุณเกิดสัตว์ในจิต เช่นสัตว์นรก สัตว์เปรต คุณก็อ่านรู้ อ่านออก คุณรู้ว่า กูเป็นสัตว์ เปรต คุณรู้เข้าใจเห็น นั่นคือคุณพ้นสักกายทิฏฐิ  คุณฟังไปจากอาตมา แล้วก็ไปปฏิบัติก็รู้ก็เห็นของตนเลย ขณะกำลังเกิดเลย มีผัสสะเป็นปัจจัย คุณไปนั่งหลับตาก็ไม่ได้กำหนดรู้ไม่ได้เรียนรู้อย่างที่อาตมาพูด ไม่ได้รู้เลยว่ามันเป็นอย่างไร ได้แต่เพ่งกสิณ จ้องอยู่อย่างนั้น คุณสัญญาก็ไม่เป็น สัญญาก็คนละเรื่อง คุณอาจสัญญาและทำไม่ให้มีนิวรณ์ได้ แต่ไม่ได้ปฏิบัติล้างกิเลส คุณอาจระงับได้ชั่วคราว แต่ไม่ได้วิปัสสนา ไม่ชัดเจนในฌานอย่างพุทธ

       คุณหลับตาจะไปรู้ กายสัมผัส กายผัสสะ ได้อย่างไร กายสังขารคุณก็ไม่รู้

       กายสังขาร คือองค์ประชุมที่มีทั้่งสัมผัสนอก และสัมผัสใน มีวัตถุสัมผัส แล้วก็สังขารจิตปรุงแต่ง

       จิตสังขาร ก็ปรุงแต่จิตไม่เกี่ยวกับภายนอก

       วจีสังขาร ไม่ใช่วจีกรรม แต่คือการปรุงแต่เป็นวจีในภายในจิต คนไทยก็เป็นภาษาไทย แต่ไม่ได้พูดออกมาเป็นวจีกรรม และไม่ใช่กายสังขารด้วย แต่มันปรุงในจิต อยู่ในสังกัปปะ 7 ซึ่งจัดอยู่ใน จิตสังขาร

       กาย ต้องเกี่ยวข้องกับข้างนอก ถ้าไม่มีกายเลย มีแต่จิต คุณไม่รู้เรื่องกับมัน ต้องมีองค์ประชุมตั้งแต่ภายนอกเรียกว่า รูปกาย ส่วน นามกายนั้นไม่เกี่ยวกับภายนอก

       เช่นคุณลืมตามองเห็น วัตถุ แต่เมื่อหลับตาก​็มีสัญญา เห็นวัตถุนั้นได้ ตามสัญญาที่จำไว้ได้ แม้หลับตาก็นึกได้ เรียกว่า นามกาย หรือกายในกาย เป็นองค์ประชุม ต้องเกี่ยวกับภายนอก ถ้าเป็นการระลึกถึงเสียง รส โผฏฐัพพะ แม้ระลึกเป็นตัวตนบุคคลเราเขาก็นึกได้

       ในภาษาธรรมะนึกขึ้นมาเอง เรียกว่า นิรมานกาย

       นริมาน แปลว่าสร้างขึ้นมา เขาเอาคำว่านิรมานกายไปอธิบายเสียงงเลย

       กายกัมมัญญตา คือองค์ประชุมที่พาทำงานที่ควร

       กายปาคุญญตา คือจิตที่แคล่วคล่องชำนาญทำงานเร็วไว เป็นความคล่องแคล่วของ เวทนา สัญญา สังขาร สามอย่างทำงานอย่างคล่องแคล่ว

       กายกลิ คือสิ่งท่ชั่วช้าที่อยู่ในกาย ที่ประชุมกันภายใน เป็นกายที่เป็นโทษ อกุศลจิต

       กายคต คือส่ิงที่เป็นไปในกาย

       กายยังคะ องค์ประชุมของอวัยวะต่างๆของกาย

       กายถามมะ พลังของกาย

       กายทรถะ คือความกระวนกระวายของกาย หรือความกระวนกระวายของ

       กายทุกข์

       กายทุจริต เป็นความประพฤติชั่วหยาบ

       กายทุถุลละ กายประพฤติชั่วหยาบ

       กายทวาร

       กายธาตุ คือ ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของกาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับดินน้ำไฟลม เป็น กายปสาทด้วย

       กายปโยคะ คือองค์ประกอบของกาย

       กายปัสสัทธิ ความสงบรำงับของกาย ขณะกระทบผัสสะอยู่ กายเราก็สงบได้ ไม่ใช่นั่งนิ่ง

       กายภาวนา คืออบรมกาย

       กายมุทุตา คือ ความอ่อนไว แววไวของร่างกาย เป็นคุณธรรมสูงส่ง มุทุตา คือวิการรูปรูปที่ได้ปฏิบัติ จนทำให้แคล่วคล่องว่องไว มีเมตตา กรุณา มุฑิตา ในนั้นเลย

       กามโนมย ข้อปฏิบัติให้เป็นผู้นิ่งด้วยกาย

       กายลหุตา เป็นวิการรูปข้อหนึ่ง เป็นความเบาแห่งนามธรรมคือเจตสิก 3

       กายวิการ คือองค์ประชุมของนามธรรม ที่ไม่สมกระกอบของเจตสิก 3 (เวทนา สัญญาสังขาร)

       กายวิญญัติ

       กายวิญญาณ  

       กายวูปกาส แปลว่า กายแยกออก ท่านไปแปลว่าการปลีกกายไปอยู่สงบ หรือที่จริงคือ ทำให้จิตมันแยก ปลีกออกมา ห่างจากสิ่งที่ทำให้ไม่สงบคืออกุศล

       กายสมังคี ความพร้อมแห่งกาย

       กายสังวร คือสังวรกาย

       กายสังสัคคะ การสัมผัส จับต้อง เกี่ยวข้องทางกาย ที่ต้องการเป็นสุข แล้วเป็นสวรรค์เท็จ หรือจะปฏิบัติเป็นสวรรค์โลกุตระก็ต้องมีภูมิรู้ได้

 

       กายเป็นเรื่องสำคัญ หากเข้าใจผิดแต่ต้นก็เจ๊ง วิธีปฏิบัติจะรู้ความเป็นสัตว์ ที่เป็นเวทนา สัญญา สังขาร ที่จะเรียนรู้ สัตว์ เทวดา มาร พรหม เมื่อคุณฟังแล้วไปปฏิบัติก็จะรู้ว่านี่คือ สัตว์ชนิดไหน เป็นผี หรือเป็นเทวดาสมมุติเทพ หรือเป็นเทวดาอุปัตติเทพ หรือวิสุทธิเทพ

       เมื่อไม่รู้กาย ก็ปฏิบัติกำจัดสัตว์ 9 ชั้น (สัตตาวาส 9 )นี้ไม่ได้ ก็ไม่มีทางเป็นอรหันต์

       ส่วนธรรมกาย นี่คือกายที่เป็นองค์ประชุมที่มีธรรมะ จิตที่ดีสูงสุดก็คือพระพุทธเจ้า ถ้าเรียกธรรมกายก็คือพระพุทธเจ้า หรือพรหมกาย เพราะฉะนั้นจึงอย่าบังอาจใช้คำว่าธรรมกายไปเรียกเล่น ถ้าผู้ใดไม่มีธรรมะสูงเป็นองค์ประชุมที่มีธรรมะสูงสุด แม้มีความไม่สะอาดมีอธรรมอยู่เท่าที่กิเลสเหลือ แม้อรหัตตมรรคก็ตาม อนาคามีก็มีอธรรมอยู่

       ผู้มีธรรมะบริสุทธิ์ก็มีอรหันต์กับพระพุทธเจ้า เรียกว่าผู้มีธรรมกาย ฉะนั้นอย่าไปพูดเล่น

       ผู้เอาธรรมกายไปทำแล้วเป็นอบายมุขหลอกคนทำให้ธรรมะเพี้ยนเสื่อม ที่จริง ธรรมไม่เสื่อมแต่คนเสื่อม คนเอาความรู้ผิดไปทำทำให้ธรรมแปดเปื้อน ตนเองเสื่อมก่อนแล้วทำให้คนอื่นเสื่อมด้วย

       ผู้มีธรรมะคือผู้มีความไม่เสื่อม ผู้ใดยังมีความเสื่อมยังมีอธรรม มากหรือน้อยก็แล้วแต่ก็ไม่ใช้คำว่าธรรมกายได้

               

       ธรรมคือสิ่งที่คนเกิดมาต้องเอาให้ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะ เรียกว่าธรรมสามี เป็นเจ้าของธรรมะเรียกว่าธรรมกาย ไม่มีอธรรมเลย เท่าที่ความเป็นมนุษย์จะพึงมีได้ ถ้าอรหันต์ก็มีธรรมเต็มเฉพาะตน เป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์เป็นพรหมกาย เป็นธรรมกาย อย่าทำเป็นเล่น เอาไปใช้ก็อย่าทำให้เสีย ขอร้องเลยอย่าเอามาลาคันธะ วิเลปนะ นัจจะคีตะ วาทิตะ แอ็คอาร์ท เช่นพระธุดงค์เต๊ะท่า ทำอวดอ้างทำโชว์เรียกคะแนน หาเสียงหาบริวาร ท่านธุดงค์ก็ปฏิบัติ อย่าไปทำมาลาคันธ วิเลปนา ธารณ มัณฑน วิภูสนฐานา ผิดศีลข้อที่ 8 เลยนะ

       เขาไม่รู้ว่า ตนเองสร้างนิรมานกาย ศัพท์สมัยใหม่เรียกว่า มโน สร้างปรุงแต่งวิมาน ภายนอกก็เยิ้มไปด้วยกามคุณ 5 มากไปด้วยมหัปปิจฉะ หรูหราใหญ่โตอลังการ ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักมากมักใหญ่ก็ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ขออภัยที่ต้องตำหนิแรง เกรงใจจริงๆ แต่เป็นความจริงหลักวิชาที่ต้องพูด ขออภัย

       การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องมีวิญญาณ ลืมตาปฏิบัติ มีวิญญาณฐีติ แต่ถ้าหลับตาทำเป็นสัตว์ในสัตตาวาส 9 รูปฌาน 4 คุณก็ดับได้แล้ว เป็นอสัญญีสัตว์แล้ว คุณก็ทำจิตให้สว่างโล่ง แจ้ง ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีท้องฟ้าเลยใสโล่งไปหมดเลย นี่คือสายธรรมกาย ที่ทำกัน สายธรรมกายนี้คือเรียนรู้อาภัสรา อย่างมิจฉา ไปติดอยู่ที่สว่างใส คุณก็ได้แต่ใสๆๆ โสดาก็ใส สกิทาก็ใสเพ่ิมขึ้น อนาคาก็ใส่ยิ่งขึ้น อรหันต์ก็ใสสุดเป็นต้นนี่คือมิจฉาทิฏฐิ

       ส่วนสัตว์ลำดับที่ 4 มีกายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน เขาดับไปอย่างมิจฉาทิฏฐิ สุภกิณหา (สุภ คือสิ่งที่งาม โชค ส่ิงน่าพึงใจ) เขาก็ได้ความดำ เป็นภพอสัญญี เร่ิมต้นอสัญญี เป็นมิจฉาทั้งนั้น ไม่ได้ถูกเลย มิจฉาในสัตตาวาสทั้ง 9

1.    สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

2.   สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น 

3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) 

4.    สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)

5.    สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์  เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)

6.    สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)

7.   สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง)

8.   สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..อากิญจัญญายตนะ (ดับดิ่งไม่มีอะไร) 

9.   สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ) (ววัตถุสัญญา พตปฎ. ล.23   ข.228)  และ 11/353       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:04:41 )

570508

รายละเอียด

570508_พ่อครูเทศน์ในงานสัปดาห์วิสาขบูชาวิชิตชัย ปักหลักเปิดโลก ตอนที่ 3

       ของเราอยู่กันอย่าง บวร คือ บ้าน วัด โรงเรียน

       บ้าน คือบ้านเมือง กลุ่มชุมชน อยู่กันเป็นหมู่บ้าน รวมเป็นตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ ก็มีคนรวมกัน คำว่าประเทศ ก็คือ คำว่า บ้าน

       วัด วัดคือการเมือง แหล่งที่เป็นตัวอย่างของมนุษย์เจริญ เรียกว่าอาริยบุคคล อย่างสมัยพระพุทธเจ้าวัดก็คือที่อยู่ของสงฆ์ อยู่อย่างสาธารณโภคี เป็นการบริหารโดยไม่บริหาร ปกครองโดยไม่ปกครอง เพราะทุกคนเข้าใจหน้าที่สิทธิ์ เข้าใจการเจริญอย่างอาริยบุคคล อย่างอโศก แม้ไม่ดีเด่นอย่างที่พูดเลยหมด แต่ก็มีสาธารณโภคี เจริญ สงบเรียบร้อย

       สรุปว่า การเมืองก็คือมวลมนุษย์ที่มีคุณธรรม ไม่ว่าประชาชนหรือผู้บริหาร ทำเข้าใจหน้าที่รับผิดชอบ มันส่อประสานกันอยู่ เป็นรัฐศาสตร์ เป็นการบริหารปกครอง ถ้าเราจะแก้ปัญหาการเมืองโดยการเมืองน้ำเน่าที่เลวร้ายอย่างระบบการเมืองปัจจุบัน นั้นแก้ไม่สำเร็จหรอก เป็นสมบัติผลัดกันชมตลอดกาลนาน เคราะห์ดีหน่อยก็ดีขึ้นมา เคราะห์ร้ายหน่อยก็แย่อย่างยิ่ง

       สรุปแล้ว แก้ปัญหาการเมือง ต้องแก้ด้วยธรรมะ

       วัด มีหน้าที่สร้างคนให้มีคุณธรรม มีธรรมะ เมื่อคนเกิดมีธรรมะก็จบ ได้ดีมาก็จบได้ดี ได้น้อยก็จบได้เท่าที่ได้ ต้องแก้การเมืองด้วยนำ้สะอาด ล้างความเปรอะเลอะเทอะด้วยธรรมะ

       นี่เป็นปรากฏการณ์ที่วิเศษ พรุ่งนี้ก็มาช่วยกันต่อ ทำให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นๆ จิตวิญญาณจะพัฒนาขึ้น จิตวิญญาณของผู้จะปฏิวัติ จะต้องกล้าหาญ มีภูมิปัญญา จะทำดียิ่งขึ้นหาทางทำดียิ่งขึ้นสงบเรียบร้อยไม่รุนแรง มีประสิทธิภาพ มีน้ำหนัก

       ประชาชนก็เจริญขึ้นด้วยไม่เลวลง รู้จักจะทำอย่างไร เช่นออกมาสงบให้มากๆ ร่วมมือกันหมด ข้าราชการก็ดี ทุกคนออกมารู้หน้าที่ ถ้าออกมาร่วมกันตั้งแต่พรุ่งนี้ก็จบเลย ประเทศไทยจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเลย จะได้หรือไม่ก็แล้วแต่สำนึก

       ร คือโรงเรียน คือการศึกษา การศึกษาปัจจุบันล้มเหลวมาก การศึกษามีหน้าที่สร้างคนให้ความรู้ อย่างการศึกษาของอโศก มีปรัชญา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา อย่างชาญวิชาเราก็ให้เรียนรู้เท่ากับโลกเขา แต่ว่าเรามีเวลาให้น้อยกว่า เรื่องศีลและชาญวิชา ซึ่งเป็นเรื่องยาก เด็กของเราที่มาเข้ามัธยม 30 คน ก็จบม.6 สัก 10 คนก็ดีแล้ว แต่เด็กก็ไม่เสียสุขภาพ เป็นโรคประสาทแต่อย่างใด เด็กเราจบไปก็แข็งแรง สุขภาพดี ไปเรียนต่อ จบปริญญาตรีโทเอกก็มีเยอะ

       สังคมเราอยู่กันอย่างกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว เป็นหมู่บ้าน สังคมอาริยะ มีคุณสมบัติคุณธรรม มีกิจกรรมกิจการเจริญ เป็นสังคมแบบนี้เป็นปชต.ยิ่งใหญ่ เป็นปชต.สองขา คือปชต.ที่คำนึงทั้งวัตถุและคำนึงจิตวิญญาณเป็นใหญ่ ไม่ใช่ปชต.ขาเดียวแบบที่เขาบอกกัน

       แม้ที่สุดคุณยิ่งลักษณ์อดีตนายกฯ ยืนยันจะตายคาปชต. อาตมามองว่าเป็นปชต.แนวโน้มเป็นปชต.ขาเดียว เพราะเขาไม่เข้าใจทางออกของปชต.ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เขาก็ตัดอำนาจศาล ก็เท่ากับตัดอำนาจหลักเกณฑ์สังคมประเทศ

       ประเทศปชต.ขาเดียวเขาก็จะมีแต่ประชาชนไม่มีกษัติรย์ เป็นประชาชนองค์รวมที่ต้องใช้การบังคับ เช่นคนต้องอยู่ใต้กฎหมายอย่างเข้มเลย เขาไม่ได้พัฒนาด้านวิญญาณ

       ประเทศจะเป็นประเทศได้ต้องมี 1.แผ่นดิน ที่เป็นวัตถุธรรม 2.ต้องมีคนไปยึดครอง จึงเกิดการครอบครอง เป็นแผ่นดินที่มีประชาชนเป็นเจ้าของ บริหารไป จะอย่างไรต้องมีคน คนคือวิญญาณของประเทศ ฉันเดียวกับคำว่า กาย คำว่า กายนี้มีแต่ร่าง ไม่ใช่กาย ต้องมีทั้ง ร่างและจิต เช่นเดียวกับแผ่นดินที่ไม่มีคนไปยึดครองก็ไม่เป็นประเทศ เช่นบนเกาะใดเกาะหนึ่งที่ไม่มีคนค้นเจอ ก็เป็นประเทศไม่ได้

       คนต้องไปประกาศว่า ฉันเป็นเจ้าของแผ่นดินนะ ประเทศต้องมีสองขา คือวัตถุธรรมคือแผ่นดินกับมนุษย์ นี่คือรากเหง้าของมนุษยชาติ บ้านเมือง

       

       กายนี่จะต้องมีสองอย่าง หรือแม้แต่เหลืออย่างเดียวก็ต้องมีแต่นาม ก็เป็นกาย คำว่า กายนี้คือองค์รวมหรือองค์ประชุม ซึ่ง กายนี้ไม่ขาดธาตุรู้ กายต้องมีธาตุรู้ร่วมด้วย

       สัตว์ที่มีร่างเป็นเดรัจฉานเลย เช่นสัตว์นำ้สัตว์บก ที่มีร่างแบบนั้น สัตว์เหล่านั้นเป็น จิตนิยาม สูงกว่า พีชนิยาม ความเป็นสัตว์แรกเร่ิมเป็นอวิชชาจนมาพัฒนาเป็นอาริยะมากขึ้นๆ มายุคนี้แล้วควรพัฒนาเป็นอาริยะเพิ่มขึ้น

       อาริยะนี้ต้องมีใจเป็นอาริยธรรม พระพุทธเจ้าตรัสรู้อาริยธรรมที่เป็นโลกุตระ เอามาทำให้เกิดโลกุตรจิตจริงๆ กิเลสลดลงๆ จนหมด รู้โลกียะสามัญ จนปฏิบัติได้อยู่เหนือโลกีย์ เหนือกาม เหนืออัตตาได้ เป็นอนาคามี อรหันต์

       อย่างอนาคามี มีกาย ที่เหลือความเป็นสัตว์ภายในอยู่นิดเดียว ส่วน กามภพ ก็ยังสัมพันธ์กับโลก เรียกว่า กามาวจร ก็ไม่ได้หนีโลก หรือหลับหูหลับตา แต่อนาคามีมีนิโรธระดับกามภพแล้ว ซึ่งภพมีสามอย่าง กามภพ รูปภพ อรูปภพ

       พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติ ฌาน สมาธิ แบบลืมตา จนมีนิโรธลืมตา ไม่ต้องไปนั่งหลับตาเข้าออกสมาธินิโรธแต่อย่างใด แต่ทุกวันนี้สอนกันเพี้ยนไปแล้ว

       กายกลิ ท่านแปลในพจนานุกรมว่า กายโทษ หรือสิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย สิ่งชั่วช้า คืออกุศลจิต ที่ประชุมกันอยู่ มวลแสดงออกถึง กามและพยาบาท เป็นนามธรรม ซึ่งอยู่ในร่างนี้ องค์ประชุมนี้ละเอียดแม้เป็น

       กายลหุตา คือองค์ประชุมที่บางเบาละเอียดมาก คนไม่มีปัญญาสัมผัสในจิต ภาวะของลหุตาคุณต้องเรียนรู้โดยญาณ ที่เป็นกายลหุตา หรือกายมุทุตา กายกัมมัญญตา คือพลังงานทางจิตวิญญาณ ไม่ได้หมายถึงดินน้ำไฟลม แต่เป็นนามกาย ในจิต

       จะต้องศึกษาตั้งแต่หยาบไปจะถึงกลางและละเอียด

       คุณจะรู้สัตว์ได้ต้องกำหนดความเป็นกายของสัตว์ และสัตว์นี้ กายนี้ ถ้าเข้าใจว่าแค่รูปร่างภายนอกก็ไม่ได้ศึกษาถึงปรมัตถ์ อย่างนี้ เพราะสัตว์ที่จะให้ศึกษานี้คือสัตตาโอปปาติกา แต่ไม่ท้ิงร่างกายนะ เพราะถ้าเอาแต่หลับตานั้น อาสวะบางอย่างก็อาจดับได้ ก็เป็นได้แค่กายสักขี ในทักขิเนยยบุคคล 7

       คุณไปปฏิบัติ สายสัทธานุสารีย์จะได้แค่ กายสักขี ไม่สมบูรณ์​ สักขี คือเห็นอยู่โทนโท่ สัมผัสด้วยตาด้วย แต่อาสวะบางอย่างดับได้ แต่ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ก็ไม่สามารถเป็นอรหันต์ได้

       ต้องกายที่มีพหทารูปานิปัสสติ ตามรู้ถึงภายในแม้เป็นอรูป

       พระพุทธเจ้าให้ศึกษาเป็นลำดับ ตั้งแต่อบายภูมิ ในกามภพ แล้วดับกามภพ แล้วก็ทำรูปภพ อรูปภพต่อ เราทำมาแต่หยาบก็จะมีตัวอย่าง มีวิธีลดละตั้งแต่ โสดาฯสกิทาฯก็มาเรียนรู้อย่างมีฝีมือ ลดละได้สิ้นเกลี้ยงหมดจน

       สายปัญญา เร่ิมสัมมาทิฏฐิตั้งแต่ธัมมานุสารี จะบรรลุตั้งแต่ปัญญาวิมุติก็เป็นอรหันต์ แต่ว่าสายศรัทธานั้นก็แม้ได้กายสักขีก็ไม่เป็นอรหันต์ต้องได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงบรรลุอรหันต์

       สายปัญญานั้น

       พระพุทธเจ้าสอนปฏิบัติแบบลืมตา วิธีปฏิบัติจะมีฐานปฏิบัติ แล้วเรียนรู้สัตว์ เช่นสัตว์เปรต สัตว์นรก เดรัจฉาน อสุรกาย คุณต้องเรียนรู้ ในปฏิจจสมุปบาท 

1.    เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยโง่ๆ จึงก่อสังขารโง่ๆ

2.   เพราะมี สังขาร จึงมี วิญญาณ 6

3.   มี วิญญาณ 6 จึงมี นามรูป(เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ)

4.    มีนามรูป 5  จึงมี อายตนะ 6  หรือ ฉฬายตนะ

5.    มีอายตนะ 6 จึงมี ผัสสะ  6

6.    มีผัสสะ 6 จึงมี เวทนา 6

7.   มีเวทนา 6 จึงมี ตัณหา 6 

8.   มีตัณหา 6 จึงมี อุปาทาน 4

9.   มีอุปาทาน จึงมี ภพ (กามภพ, รูปภพ, อรูปภพ) 

10.มีภพ จึงมี ชาติ 5 (กิเลสเกิดบทบาทในมโนกรรม)

11.มีชาติ จึงมี ชรา  มรณะ   โสกะ  ปริเทวะ  ทุกขะ 

โทมนัสสะ  และอุปายาสะ

 

       ถ้าดับชาติได้ก็ไม่มี ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะฯ

       ในชรา คืออะไร? ..ท่านตรัสว่า หมายถึงความหนังเหี่ยวฟันหลุด ความแก่หย่อมของอินทรีย์ ส่วนตาย คือความทำลายอันตรธาน ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งเป็นซากศพ แต่เวลาปฏิบัตินี้ไม่ได้หมายถึงแค่ร่าง แต่หมายถึง กาย ที่เป็นความเกิด ตั้งอยู่ ชราของจิต

       ชาติ พระพุทธเจ้าอธิบาย ให้รู้ว่า การจะปฏิบัติให้รู้กาย ต้องปฏิบัติ 6 ทวาร จึงปฏิบัติ กายในกาย เวทนาในเวทนาได้ครบในสติปัฏฐาน 4    

       แม้ในพระไตรปิฎก ล.16 นี่แหละ ก็บอกว่า ให้เรียนรู้ ทางทวารทั้ง 6 ไม่ใช่ปฏิบัติแต่นั่งหลับตา จึงรู้เห็นการเกิด ที่เรียกว่าโอปปาติกโยนิ ที่อยู่ใน โยนิ 4

1. ชลาพุชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์)

2.   อัณฑชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ)

3.   สังเสทชโยนิ  (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว)

4.    โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที     เกิดนิโรธ  ไม่มีอะไรมาคั่น  เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก)   (พตปฎ.เล่ม 11   ข้อ 263)

       การปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นไม่ได้ให้ไปนั่งหลับตาดับดิ่ง เป็นอสัญญีสัตว์ที่ไม่รับรู้อะไรเลย ไม่ได้ศึกษาอะไรเลย หรือแม้อยู่ในภพ ก็ได้ศึกษาในภพบ้าง แต่ถ้าดับสัญญานั้นไม่ใช่ทางเลย การปฏิบัติต้องปฏิบัติตาม

วิญญาณฐิติ 7

1.    สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

2.   สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น 

3.   สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) 

4.    สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)

5.    สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์  เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)

6.    สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)

7.   สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง)

8.   สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..อากิญจัญญายตนะ (ดับดิ่งไม่มีอะไร) 

9.   สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ) (ววัตถุสัญญา พตปฎ. ล.23   ข.228)  และ 11/353

 

       ปฏิบัติแบบพุทธแบบลืมตาตื่นบรรลุขณะลืมตาตื่น จักขุมาปรินิพพุโพติ คือมี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ไม่เหมือนทำแบบนิโรธมืด ดับดิ่ง เป็นอสัญญีสัตว์

       ในวิญญาณฐีติไม่มี อสัญญีสัตว์คือ  อากิญจัญฯ กับเนวสัญญาฯสัตว์ เพราะอันนั้นมันดับดิ่ง

       การทำฌาน คือทำให้จิตไม่มีนิวรณ์ ว่างไม่มีนิวรณ์ 5 ถ้าแบบหลับตาก็ไปนั่งสมาธิ สามารถทำให้จิตไม่มีนิวรณ์ได้ เหมือนกับแบบสมาธิลืมตา คือสัญญาอย่างเดียวกัน แต่ว่าแบบลืมตากับหลับตาทำนั้นองค์รวมหรือกายต่างกัน เพราะว่า แบบลืมตาก็ลืมตามองสิ่งที่เคยชอบ แต่ว่าตอนนี้มีฌานแล้วก็ไ่ม่มีนิวรณ์ ไม่ชอบไม่ชัง แต่ว่าลืมตาผัสสะนะ ไม่เหมือนนั่งหลับตาดับไม่ได้มีสัมผัสกับวัตถุเลย แม้ไม่มีนิวรณ์ 5 เหมือนกันแต่องค์ประชุมหรือ กายต่างกัน

       สัตว์ที่ 1. สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

       พวกวินิปาตะคือตกต่ำจนไม่มีต่ำกว่านี้อีกแล้ว อย่างที่เขาแย่งชิงอำนาจกันอยู่ในปัจจุบัน

       มนุษย์คือผู้มีใจสูง ปฏิบัติธรรมได้

       เทพ มีสามอย่าง คือสมมุติเทพ อุปัติเทพ วิสุทธิเทพ …

      พรหม มี 20 ชั้น

ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ

ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ

ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ

ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ

ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ

ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ

ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ

ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ เป็นสายปฏิบัติผิดๆที่เป็นสายสว่างไปสร้างภพสว่างโล่งแจ้ง

ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ แปลว่า ความดำมืด หากปฏิบัติผิดจะเป็นสายมืด

ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ สายที่ไม่เข้าใจเลยจะหมายถึงมีผลไพบูลย์ เป็นอัปปมาณสุภาภูมิสมบูรณ์

ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ สายนี้เป็น สุภกิณหาภูมิแบบสมบูรณ์​นั่นเอง

 

ต่อไปเป็นสุทธาวาส 5

ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ สุทธาวาส คือถิ่นที่บริสุทธิ์ ระดับวิสุทธิเทพ สะอาด ไ่ม่ใช่ไปแช่อยู่เช่นนั้น แต่ถ้านั่งหลับตาดับ คุณจะไปติดอยู่นี่

ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ คือท่านผู้ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ใคร

ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ ท่านผู้งดงามน่าทัสสนา หลงสุข งามจริง สวยจริง วิเศษจริง ก็ไปติดเข้าไป พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า สุทธาวาส 5 พระพุทธเจ้าไม่ติดเลย ศึกษาสัมมาทิฏฐิตั้งแต่ธัมมานุสารีย์จะไม่ติดในสุทธาวาส 5 นี้

ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ ไม่เป็นน้องใครก็ยิ่งใหญ่มาก

สายสัทธานุสารีย์จะติดในอุปกิเลสพวกนี้มาก ส่วนสายปัญญาจะเข้าใจไม่ติดยึด

 

ต่อไปเป็นอรูปพรหมอีก 4

ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ

ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ

ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ

ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

 

       ของพุทธต้องเป็นวิญญาณฐิติ ต้องหลุดพ้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงจะล่วงสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ

       ต้องพ้น ความรู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ในเนวสัญญาฯ ดับสิ้นอวิชชา เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นข้อที่ 8 ของวิโมกข์ 8

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ)  (พค.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พค.แปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

4.ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา  เพราะดับปฏิฆสัญญา  เพราะ(ละ)ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา  โดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ   ด้วยมนสิการว่า...  อากาศหาที่สุดมิได้ (สัพพโส  รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ ปฏิฆสัญญานัง    อัตถังคมา  นานัตตสัญญานัง  อมนสิการา  อนันโต  อากาโสติ   อากาสานัญจายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ)

5.    ผู้ที่ล่วงพ้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุวิญญาณัญจายตนะ  ด้วยมนสิการว่า  วิญญาณ หาที่สุดมิได้   (สัพพโส   อากาสานัญจายตนัง  สมติกกัมมะ   อนันตัง   วิญญาณันติ   วิญญาณัญจายตนัง   อุปสัมปัชชะ       วิหรติ ฯ)

6.    ผู้ที่ล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงจึงบรรลุอากิญจัญญายตนะ  ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร  (สัพพโส  วิญญาณัญจายตนัง  สมติกกัมมะ   นัตถิ  กิญจีติ         อากิญจัญญายตนัง  อุปสัมปัชชะ   วิหรติ)

7.   ผู้ที่ล่วงพ้น  อากิญจัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง จึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ  (สัพพโส  อากิญ-จัญญายตนัง  สมติกกัมมะ   เนวสัญญานาสัญญายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ ฯ)  หรือจิตวิญญาณต้องพ้นสิ่งที่ไม่รู้  และไม่มีที่จะไม่รู้ 

8 .ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ  เพราะล่วงเนวสัญญา-นาสัญญายตนะ  โดยประการทั้งปวง (สัพพโส  เนวสัญญานาสัญญายตนัง  สมติกกัมมะ สัญญาเวทยิตัง   นิโรธัง  อุปสัมปัชชะ วิหรติ)   หรือพ้นอวิชชาสังโยชน์อันผู้เข้าถึงแล้ว พึงทบทวนตรวจสอบอย่างอนุโลมบ้าง อย่างปฏิโลมบ้าง ทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง  หรือบางขณะก็อยู่ในอารมณ์บางขณะก็ไม่อยู่ในอารมณ์แห่งวิโมกข์8   อยู่บ้าง-ไม่อยู่บ้างตามคราวที่ต้องการ  ตามที่ปรารถนาและตามกำหนดที่ประสงค์   จึงบรรลุเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะสิ้นไป  เพราะทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน  นี้เรียกว่า อุภโตภาควิมุติ  พตปฎ.เล่ม 10  ข.66 (มหานิทานสูตร)

       พ้นอวิชชาทั้ง 8

1.ไม่รู้ใน..ทุกข์  (ทุกฺเข อญฺญาณํ)

2.ไม่รู้ใน..ทุกขสมุทัย  (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)

3.ไม่รู้ใน..ทุกขนิโรธ  (ทุกฺขนิโรเธ  อญฺญาณํ) 

4.ไม่รู้ใน..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคองค์8)

5.ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง)   ปุพพันเต อัญญาณัง

6.ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง)  อปรันเต อัญญาณัง

7. ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว)(ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง) 

 8. ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่งการเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์  ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (ล.34  ข.691)

       ได้ทำจนเป็นตถตา

ซึ่งอาตมาแบ่งเป็นตถตา 3

1. ตถตา แบบ ยถากรรม มันเป็นเช่นนั้น

เองโดยยถากรรม เป็นสมถะลืมตา

2. ตถตา ที่เป็นมรรค คือได้เจอกิเลสที่เป็นความจริง เป็นการฝึกลดละกิเลส

3.ตถตา ที่เป็นผลสมบูรณ์  

              พรหมมี 20 ชั้น

ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ

ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ

ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ

ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ

ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ

ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ

ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ

ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ

ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ

ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ

ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ

ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ

ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ

ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ

ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ

ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ

ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ

ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

       สรุปว่า ความเป็นสัตว์ อันนี้เป็นจุดหมายสำคัญของศาสนาพุทธ หากไม่รู้ความเป็นสัตว์คุณจะพ้นสังโยชน์หรือสังโยคไม่ได้ แปลเป็นไทยว่า ผูกสัตว์ไว้ ไม่มีใครผูกไว้ แต่เราโง่ผูกเอาไว้เอง

       สวรรค์ 6 ชั้น ที่จริงเป็นสวรรค์ทางกาม

1. จาตุมหาราชิกา (สวรรค์ที่มหาราชใหญ่4ทิศ ปกครอง)

2. ดาวดึงส์ (ที่อยู่แห่งเทพที่ยังเสพอารมณ์เพิ่ม เกินๆ)

3. ยามา (แดนใจของผู้เปลื้องทุกข์ได้, ได้นาน,)

4. ดุสิต (แดนใจของผู้อิ่มสงบเฉยได้แล้ว เพราะเสวยอิ่ม)

5.นิมมานรตี (ภูมิจิตของผู้มีใจยินดีในการเนรมิต ความปรารถนา สำเร็จได้ด้วยความสามารถตน)

6.ปรนิมมิตวสวัตตี (ภูมิที่อยู่แห่งเทพที่มีอำนาจในการเนรมิตอื่นๆ  มีผู้อื่นสนองอำนาจให้ได้อย่างเร็วไว  หากจิตพ้นขั้นนี้ได้แล้วย่อมเป็นพรหม) (พตปฎ.  เล่ม 4   ข้อ 17)

       ในโลกียะ เทวดาทั้ง 6 เป็นเรื่องของกามทั้งนั้น     

       แต่ในโลกุตระเทวดาทั้ง 6 ก็เป็นลักษณะของโลกุตระได้ เช่น ดุสิต คือแดนที่พระโพธิสัตว์จะอยู่ตรงนี้ แม้ก่อนมาเกิดเป็นพพจ.ก็ต้องจุติจาดุสิต มาพักที่ดุสิต เป็นเจ้าใหญ่คือสันตุสิตเทพ คือภพที่ใจพอ ถ้าเป็นโลกียะคือ เสพสำเร็จแล้วก็พอ พักยก

       ส่วนดาวดึงส์ คือเทวดาที่เสพ อาการที่ 33

       นิมามานรตี คือผู้มีความสามารถสูง สร้างได้เอง

       ปรนิมมิตวสวัตตี ก็คือ ผู้ที่มีผู้อื่นคอยช่วยสร้างให้ มีอำนาจให้คนช่วยได้


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:05:45 )

570514

รายละเอียด

570514_พ่อครูที่เวทีผ่านฟ้าฯ เรื่อง การชุมนุมที่มีบุญกุศลเป็นรายได้       

       พวกเรานี่อยู่กันอย่างภราดรภาพ เป็นญาติ คำว่าญาติ หรือญา นี่หมายถึงธาตุรู้ หรือวิญญาณ เป็นฐานแท้ ดังนั้นญาติคือผู้มีจิตใจเป็นอันเดียวกัน ส่วนร่างกายเป็นคนละสาย คนละเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ได้  รูปร่างหน้าตาผิวพันธุ์ เป็นคนละอย่างกันได้ แต่จิตใจเป็นญาติเป็นหนึ่งเดียวกันได้ จิตใจมีจิตใจไม่เแบ่งชาติ ไม่แบ่งตระกูล เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ภราดรภาพ นี่คือจิตวิญญาณสุดยอดของความเป็นคน

       คนเหนือกว่าเดรัจฉานที่มันไม่สามารถรวมกัน พึ่งพาอาศัยกันไม่ได้ และมีสัตว์ที่กินสัตว์ด้วยกันเองเลย เป็นเรื่องอจินไตยที่คิดไม่ออก เป็นสัญชาติญาณ จะมาเป็นอย่างมนุษย์ไม่ได้ มนุษย์เป็นเผ่าพันธ์ุของคน มนุษย์คือผู้มีจิตใจสูง เจริญ ไม่ว่าโลกลูกไหน ชีวิตที่เกิดในโลกนั้นสูงสุดก็คือคน หรือมนุษย์ เป็นสัตว์ที่สูงสุดแล้วในบรรดาส่ิงมีชีวิต

       พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องพลังงานที่มารวมกัน ตั้งแต่พลังงานเล็กละเอียด เช่นระดับปรมาณู อาจมีระดับละเอียดกว่านั้นอีกที่เขาจะเอามาใช้ได้อีก ซึ่งพระพุทธเจ้ารู้เรื่อง

       คำว่า ญา นี่ อย่างอัญญา แปลว่าความรู้ที่ย่ิงกว่าสามัญมากเลย เหนือสุดยอดแล้ว หรือจะแปลตรงข้ามเลยว่าไม่รู้ระดับต่ำมากเลย ซึ่งพลังงานที่พระพุทธเจ้ารู้แบ่งเป็น อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ

       อุตุ เป็นฟิสิกส์ทั้งหมด

       พีชะก็เร่ิมเป็นชีวะที่วิทยาศาสตร์ก็เรียนรู้มาระดับหนึ่ง

       จิต เป็นนิยามที่ต้องเรียนรู้โดยทฤษฎีพระพุทธเจ้า โดยใช้พลังงานจิตนี่แหละให้เกิดธาตุรู้หรือที่เรียกว่าปัญญาหรือญาณ สามารถฝึกให้เก่งมากๆจนรู้ได้เอง แต่ละคนมีจิตวิญญาณในตน และสามารถสร้างให้จิตตนเกิดญาณ ปัญญา วิชชา ให้เป็นญาณหรืออัญญา ให้หยั่งรู้เข้าไปในพลังงานทางจิตวิญญาณ ลึกซึ้งสูงสุดได้ พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าไปจัดการเรื่องจิตวิญญาณได้เลย แล้วมีประสิทธิภาพ เป็นจิตที่มีญาณปัญญา ทัสสนะวิเศษ ผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะสามารถทำให้จิตวิญญาณ เป็นจักรกล ที่เป็นกลไก เป็นจักร

       จักร พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องแก้ว 7 ประการนี่ จะมีจักรกล มีความสามารถมากเลย เป็นจักรกลขับเคลื่อนพัฒนาจิตที่เป็นประธานของส่ิงทั้งปวง ให้ขับเคลื่อน กาย วาจา ให้เกิดปาฏิหาริย์ เป็นสิ่งพิเศษ จนรูปธรรมเห็นได้ชัด แต่นามธรรมเห็นได้ยาก แต่ประสิทธิภาพนามธรรมทำงานแท้จริง ทำงานโดยไม่มีใครเห็นได้ แต่เป็นปาฏิหาริย์ ยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์ ยิ่งกว่า

       ขณะนี้พวกเรามารวมตัวกันทำงานใหญ่ พวกเราทำงานที่ยิ่งใหญ่มากๆจริงๆ เป็นงานวิเศษ  วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ แต่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็ทำเหมือนกัน แต่เขาทำอย่างเผด็จการอยู่คนเดียวหรือกลุ่มเดียว อย่างคอมมิวนิสต์ ไม่เป็นประชาธิปไตย ทำตามใจชอบเลย แต่เรากปปส. พยายามช่วยคิดช่วยกันทำ แม้รูปธรรม กปปส.ก็เป็นกลุ่มคนชาวไทย ออกมารวมกันยืนยาว มีกลุ่มย่อย สานเป็นเครือแห มีแบ่งกลุ่มกัน แล้วก็รวมกันทำ ตอนนี้มีอย่างน้อย 4 กลุ่มใหญ่

       นปช.ก็พยายามอยู่ชุมนุม กัน ก็ 1 มาก 2.ยาวนาน 3. อย่าทะเลาะกัน 4.เอาความรู้ความจริงมาตัดสิน

       อย่าไปเกิดความรุนแรง พวกเขาก็พยายาม พวกเราเองก็ต้องพยายาม ให้ใจเย็น ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ เรามาอย่างอิสรเสรี ไม่จ้างวาน ไม่บังคับ มาแล้วก็รวมสภาพให้ดี แม้แยกก็ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ยาวนานทำลายสถิติโลก ไม่รู้จะทำลายไปถึงไหน เป็น  Best Record ใช้เหตุผลหลักฐานความจริง ความรู้มาตัดสิน หรือให้แพ้ชนะกัน เป็นสิ่งตัดสิน จะชนะอย่างเรียบร้อยสำเร็จ 

       ญาติทางโครงสร้างร่างกาย จะมาเป็นองค์ประชุมกัน เห็นร่างก็เห็นได้ แต่คำว่า กายนี่ ลึกซึ้งมากเลย คำว่า กายนี่ จะต้องมีนามธรรม แล้วก็เกี่ยวข้องกับ ดิน น้ำ ไฟ ลม ด้วย แต่ว่าถ้าเอียงเห็นไปว่า มีแต่ภายนอก ดิน น้ำ ไฟ ลม นั้นไม่ใช่คำว่า กาย แต่ถ้าโน้มไปหาทางจิต ก็จะเป็นกายได้มากกว่า ไม่ได้หมายถึงแต่วัตถุธรรม

       คำว่า ญาติ นี้เป็นเรื่องขององค์รวม คนเกิดมาโดยสายเลือดเดียวกันก็ถือเป็นญาติ อย่างเดรัจฉานก็เป็นญาติกันหากเกิดมาแต่ว่ามันได้สืบต่อกันแม้ชั่วชีวิตมันก็ไม่ได้สืบสายญาติพี่น้องมากมายนัก แต่คนนี่คิดต่อเชื่อมกันทางสายโลหิตนี่ยาวนานมากสำหรับมนุษย์ เกี่ยวข้องเชื่อมโยมกัน

 

       คำว่าญาติ คือต้องดูแลรับผิดชอบเลี้ยงดูกัน ทางสายเลือดก็เป็นเชื่อสายกันจริงๆ แต่ญาติทางจิตวิญญาณนี่คือพึ่งพาอาศัยกันได้ แม้คนละสายเลือดคนละเผ่าพันธ์ุ แต่ถ้าพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้ นั่นคือญาติ เรียกญาตินั้นว่า ญาติธรรม อย่างชาวอโศกนี่ใช้คำว่า ญาติธรรม ฝ่ายธรรมกายก็เรียกว่า กัลยาณมิตร เขาเป็นแค่มิตร แต่ของชาวอโศกไม่แค่กัลยาณมิตร แต่เป็นญาติธรรมเลย สายโน้นเขาก็ลึกแค่กัลยาณมิตร แต่ของอโศกลึกถึงญาติธรรม พึ่งแก่ พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้ทั้งชีวิต เลย คือเชื่อมโยงกันพึ่งกันได้ ใช้สินทรัพย์ อย่างอโศกไปบ้านไหนก็เหมือนญาติกันหมดเลย บ้านจะเป็นสายเลือดไหนครอบครัวไหน มีชาวอโศกอยู่ไหนก็พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้จริงๆ

       จะมีความรักกัน ไม่ใช่แค่รักแบบกาม แต่รักอย่างพี่น้อง เคารพกัน คุรุกรณะ มีสังคหะ เป็นการเกื้อกูลช่วยเหลือกัน อวิวาทะก็ไม่ทะเลาะกัน สามัคคีกันพร้อมเพรียง เป็นเอกภาพ นี่เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติแล้วจะได้ลักษณะจิต 7 อย่างเลย เป็นวิศวกรทางจิตสามารถสร้างจิตตนให้เกิดเป็นคุณสมบัติที่ดี ตามพุทธพจน์ 7 ได้

       แล้วจะเกิดสาราณียธรรม 6 เกิด เมตตากาย_วจี_มโน แล้วมีสาธารณโภคี แบ่งกันกินกันใช้ อย่างน้อยก็พอ มีมากก็กินน้อย มีน้อยก็กินน้อย ให้พอดี พึ่งพากัน ไม่หวงแหนขี้เหนียว เป็นสังคมที่ได้พัฒนาจิตจะได้คุณลักษณะเช่นนี้ มีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ถ้าเกิดได้ทั้งสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 จะเกิดอย่างที่ชาวอโศกเกิดแล้ว

       ช่วยกันทำงาน เสียภาษี ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำงานให้ส่วนกลาง ไม่หวงแหน ไม่ขี้เหนียว เผื่อแผ่เกื้อกูล เป็นคุณสมบัติของมนุษยชาติที่ยิ่งใหญ่มาก

       ยุคนี้คนกิเลสหนามาก และหลงโลกธรรม หลงสุขด้วยกามและอัตตา จัดจ้านมาก หลงเสพสุขหนักหนามาก กิเลสเป็นเช่นนั้น จึงยากจะทำให้มีธรรม เป็นพี่น้องกัน ภราดร แต่ถ้าทำตามพระพุทธเจ้าสอนก็จะได้  ชาวอโศกก็ทำมาจนเป็นหมู่บ้านชุมชนอโศกในประเทศไทย

       เรามาอยู่นี่จิตวิญญาณจะซึบซับ และซึมลึก ได้พัฒนาจิตวิญญาณไปอย่างรู้ตัวและไม่รู้ตัว คุณมาชุมนุมนี่ก็จะซึมซับได้ ได้ประโยชน์ มาชุมนุมก็จะได้ประโยชน์อย่างนี้ รับซับซาบซึมซับ รวมตัว เจริญงอกงาม มีทั้งความรู้ เลือกเฟ้น เลือกเอาสิ่งที่ดีที่เราเลือกรับได้ ตามภูมิ จะเกิดโดยการฝึกหัด จะไปนั่งคิดนั่งเรียนก็ไม่เหมือนอย่างที่มารับกระทบสัมผัส เราจะได้ทำการต่อสู้เผชิญเลือกเฟ้นในการปฏิบัติ ไม่ใช่มานั่งใช้เหตุผลตอบโต้ถกกันอย่างที่ท่านๆกำลังทำกันอยู่ ทำอย่างนั้นจะช้ามาก แต่เราปฏิบัติไปจะตัดสินรู้สึก

       หลายคนอาจเห็นว่ากำนันสุเทพทำไมต้องลากไป ใจคนก็อยากเผด็จศึกแต่ละคนก็อยากให้จบ แต่ความเป็นไปได้จะเป็นอย่างไรก็อีกอย่าง ถ้าให้ทหารออกมาปฏิวัติก็จบแต่ไม่จบ ก็กลับเข้าเหมือนเดิม ทำมานานแล้วก็ล่มตอนปลาย ให้ทหารปฏิวัติ เมื่อปฏิวัติเขาก็ได้อำนาจไป ไม่ต้องมาช่วยกันคิดกันทำ

       ขณะนี้ทางด้านนปช.จะเอาเลือกตั้ง แต่ทางกปปส.ชัดแล้วว่าต้องทูลเกล้าฯ ทางเดียวเท่านั้นจะเรียกมาตราอะไรก็ตาม เหตุการณ์มาถึงขนาดนี้แล้ว แล้วการเข้าใจเรื่องทูลเกล้าฯนี่ก็มีคนเข้าใจมากขึ้น

       แม้แต่ คุณ นี่วัดทำโลง บุกตรงไปสุสาน หรือนิวัฒน์ธำรงค์ บุญทรงไพศาล ก็ว่าจะทูลเกล้าเหมือนกัน แม้เป็นพวกรัฐบาลเอง แม้ฝ่ายแดงก็ว่าจะต้องสงบ สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ก็ขอคารวะสองจอก ขอให้ปฏิบัติให้ได้ดี   

        ชาวกปปส.ได้ทำมายาวนานขนาดนี้ ช่วยกันรวมตัวกันไปถึงชัยชนะ ก็ต้องยอมเพราะเราปฏิวัติด้วยคุณงามความดี ไม่เหมือนปฏิวัติด้วยอาวุธ เราปฏิวัติด้วยความสงบ ภูมิธรรมชั้นสูง เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ ก็ช่วยกันประคับประคอง แม้ฝ่ายแดงจะบุกรุกมาทำรุนแรง เราก็ขอให้สงบเรียบร้อยอย่าโต้ตอบ เอาความดีมาชี้วัด ใครสงบกว่า ถูกต้องกว่าก็ชนะ เราทำมาเกือบปีแล้ว ทรมานทรกรรม แต่ก็เกิดส่ิงดีๆมากขึ้นๆ

        ที่เราทำนี่เรามีรายได้เป็นบุญกุศล ไม่ใช่ว่าได้เรื่องวัตถุเงินทอง แต่รายได้คือคุณสมบัติจิตวิญญาณที่เจริญ เป็นสิ่งที่มีค่าสูง หาค่าบ่มิได้ เรามาเสียสละตอนนี้ รวมตัวกันเป็นแสนๆ แต่ละคนนี่ใครได้เบี้ยได้อัฐ ได้เงินได้ทองก็ไม่่มี มีแต่ต้องมาจ่ายด้วยซ้ำ หรือแม้แต่คุณได้ความสุขมานี่มันดีอร่อยดี ชื่นใจดี มันได้หรือ มันลำบากลำบนจะตาย ต้องทุกข์ทรมาน เสียสละตลอดเวลา จะนอนนั่ง ขี้เยี่ยวก็เข้าคิวกัน ต้องอดทนกันใช่ไหม แต่นี่แหละคุณได้ ได้อดทนเสียสละนี่แหละคุณได้ ต้องอดทนใจเย็นเสียสละให้คนอื่นก่อนได้นะ หลายคนก็ทำได้ไม่ถึงกับต้องอดทน จิตใจเราวางไม่เดือดร้อนเฉยๆ รับรู้ดีไม่ดีเสียสละให้เขาก่อนได้ นี่คือคุณสมบัติจิตใจที่คุณได้ฝึกฝน นี่คือรายได้ที่คุณได้

       เราจะพัฒนาเป็นผู้อดทน เป็นหนึ่งเดียวกัน เผื่อแผ่กัน ใครอดทนได้มากก็ช่วยคนอดทนได้น้อย เป็นปึกแผ่น มารวมตัวกันเป็นประชาภิวัฒน์ มีจำนวนมาก และคุณภาพดี แม้ศาลก็รับรองให้เราว่าถูกต้องตามกฎหมาย แม้กำลังผู้พิทักษ์สันติราษฏร์จะมาสลายไม่ได้ นี่คือศาลรับรอง เป็นสิ่งยืนยันว่าเราทำถูกต้องตามรธน. การกระทำของเราเป็นสิ่งปรากฏยืนยันชัดเจนว่า การได้รับคะแนนยืนยันรับรอง ทางฝ่ายแดงเขาก็ไม่ได้การยืนยันจากศาล แต่เขาก็ต้องพยายามทำ ส่วนเขาจะทำได้ดีอย่างเราไหมก็ต้องพากเพียร แต่เท่าที่ดูแล้วหัวหน้านำของเขา อาตมาเห็นแล้วว่ากลัวเส้นประสาทเส้นอะไรจะแตก เขาทำลีลาท่าทางแสดงอาการออกมาเต็มที่เลยว่าแรงต้องแรงเข้าไว้ น่าเห็นใจนะ

       ผลดีที่เราได้เราทำอย่างบริสุทธิ์ซื่อตรง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นี่เป็นบุญญาวุธเอกหมายเลขหนึ่งเลย เป็นบุญญาวุธสุดยอดที่ยิ่งใหญ่ในมหาจักรวาล ใช้ไปตลอดเลยไม่มีวันแพ้ แม้เหตุการณ์ควาวนี้เราจะไม่ชนะ อำนาจเก่าก็ชนะไปเอาไปครอบครองทำต่อ แปลว่าเราแพ้ ถึงจะแพ้อย่างนั้น ประเทศไทยได้มีปรากฏการณ์แล้ว มีพฤติกรรมสังคมการต่อสู้ทางการเมืองที่วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ แล้วแต่อำนาจผีร้ายเลวร้ายมากก็กลับคืนมาได้อีกชนะอีกก็เป็นได้ แต่นี่พูดสมมุตินะ... แล้วพวกเราไม่มีใครอยากแพ้หรอก ก็ต้องมาช่วยกันทำเป็นกัมมาภิวัตน์ หมุนไปให้สูงสุด เจริญไปสู่ผลชนะสุดท้ายปลายทางให้ได้ เกิดจากการผนึกแน่นของประชาชนมารวมกันทำ ส่วนตุลาการก็ทำไป ประชาชนก็มาทำงานประท้วง ล้มล้างการบริหารปกครองแบบเก่า ที่เละเทะเป็นพิษ เราจะปฏิรูปเอาการเมืองแบบใหม่ คราวนี้ถึงโค้งสุดท้ายแล้ว อาตมาอยากถามลึกๆในใจพวกเรา ใครมีน้ำหนักความเชื่อมั่นว่าเราเป็นฝ่ายได้ผลดีกว่า ชนะกว่า ได้มากกว่า ..ก็ใช่เป็นพวกเรามีผลมากกว่า

        อาตมาว่าพวกเรายืนหยัด แต่พวกเขาเป็นพวกยึดมั่น การอยู่อย่างยาวนานอย่างพวกเรากับการอยู่อย่างกระปริปกระปรอย แล้วอย่างไหนเป็นอาการยืนหยัดหรือแบบไหนยึดมั่นถือมั่น เขาไม่มีน้ำหนัก แค่นี้ก็เห็นเลยว่าพฤติกรรมนักชก เขาทำทีเหมือนมีหมัดเด็ดหมัดน๊อก แต่พวกเรานี่เหมือนมวยสุภาพ แย็บด้วยคุณภาพคุณธรรม ไม่ได้โหดเหมือนเขาเลย แต่ไม่รู้เสียแล้วว่าพวกเรานี่ภูเขาหิน คุณจะหมัดตรงอัปเปอร์คัทอย่างไรก็มือหัก ไม่ง่ายหรอก

      ขณะนี้คะแนนของมวยศิลปะมวยเก็บคะแนนนี่คะแนนไปไกลมากเลย แต่มวยน็อคพยายามแอ็คว่าข้ามีหมัดหนักนะ หมัดเด็ดนะ แต่อาตมาว่าเขาออกมาเมื่อไหร่ก็เสียของ หมัดเด็ดออกมาเมื่อไหร่ก็เสียของ

       ผู้ใดได้ฝึกฝนส่ิงที่ควรทำ จนเป็นธรรมะคือส่ิงที่ทรงไว้ในจิต เป็นพลังงานแก่น ที่เป็นสาระ คือวิมุิต เมื่อปฏิบัติธรรมะจะเกิดหลุดพ้นเป็นแก่น ไม่ต้องการไม่เอาแล้ว ไม่ไปสุขทุกข์กับเขาแล้ว มันทำไม่เป็นในสิ่งไม่ดี แต่ก่อนอาตามาไม่เข้าใจ เช่นแต่ก่อนอาตมาสูบบุหรี่ กินเหล้า จีบผู้หญิงไม่เป็น ก็คิดว่าเราไม่แมนเลย แต่เด็กอาตมาคิดเช่นนั้นก็เลยไปฝึกกินเหล้าสูบบุหรี่ จีบหญิง แต่ก็ทำไม่เป็น ใครก็หัวร่อย่อ เราก็นึกว่าเราไม่แมนเลย แต่พอมารู้ก็พบว่าสิ่งเหล่านี้เราเขี่ยทิ้งไปนานแล้ว เราสั่งสมมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว เราก็เลยทำไม่เก่งไม่เป็นเราทิ้งมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว

       เราก็รู้แล้วว่าโลกครอบงำเราเป็นลิงลมอมข้าวพอง แย่งชิงกับเขา แต่พอรู้ตัวก็เลิก ทำงานเพราะเป็นโพธิสัตว์ก็ทำงานให้สังคมดีกว่า

       ทุกวันนี้เห็นผลดีของทฤษฏี ของพระพุทธเจ้า นำมาให้คนไทยได้หยิบใช้เป็นบุญญาวุธ ประกาศถึงขนาดว่าเมืองไทจะเป็นชมพูทวีป คือมีสุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส

       สุรภาโว คือมีอาการครบ 32 ร่างกายสมบูรณ์สติปัญญาครบพร้อมแข็งแรง

       สติมันโต คือสติสัมปชัญญะครบสมบูรณ์​ คือมีร่างกายและจิตใจสมบูร์​

       คือมี กายยาววา หนาคืบกว้างศอก สามารถปฏิบัติได้บรรลุพรหมจรรย์ เป็นองค์ประกอบของจิตที่เป็นพรหม คือสะอาด มีธรรมะทรงไว้ พรหมเป็นลักษณะอิตถีภาวะ เป็นนาม และธรรมะเป็นสิ่งทรงไว้เป็นปุริสภาวะ เป็นรูป เป็นจิตแข็งแรงไม่มีอธรรมแล้ว เป็นจิตอรหันต์ ถ้ามีเศษอธรรมก็ยังไม่บริบูรณ์มีเสื่อมอยู่ อรหันต์จึงมีสิ่งทรงไว้เป็น “ธรรมกาย” พระพุทธเจ้ามีคำแทนเป็น ธรรมกาย นามกาย หรือพระอรหันต์ขึ้นไปหมดอธรรมแล้ว สจิตปริโยทปนัง กิเลสเกลี้ยงแล้วไม่เกิดในจิตวิญญาณอีกต่อไป มีแต่กุศลจิตไว้ทำประโยชน์ต่อโลก รับใช้โลกอย่างแท้จริง ไม่ใช่หนีโลกไปอยู่ป่าเขาถ้ำ เขาจะแย่งชิงกันอย่างไรไ่ม่รู้เรื่อง ช่วยเขาไม่ได้เลย เราเฉย สงบแล้ว นั้นไม่ใช่ เราไปช่วยไม่ได้ทำยุ่ง ช่วยเท่าที่ทำได้ อาตมาพาพวกเราทำนี่มาช่วยเหลือ เป็นกุศลจิต ทรงไว้ซึ่งธาตุจิตวิญญาณที่สะอาด ไม่ทำแล้วสิ่งชั่ว สัพพปาปสอกรณัง ไม่ทำบาปทั้งปวง มีกุศลสูปสัมปาทาคือทำแต่กุศล ด้วยจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว

       มีหมู่ใหญ่คือธรรมกาย ส่วนเราหมู่เล็กๆเรียกว่าอโศก เราไม่ทำอย่างใหญ่โตหรูหราอย่างธรรมกาย เพราะเราเห็นว่าขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างเขาทำธุดงค์ธรรมชัย ก็ทำอย่างแอ็คอาร์ท ตกแต่งประดับประดา ดอกไม้ ผิดศีลทุกกระบวนเลย เขาก็นึกว่าดี เขาหลงใหญ่โตอีก แล้วถือว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ ความรู้แค่นี้ก็ไ่ม่รู้

       อย่างการเมืองทุกวันนี้ผิดกฎหมายผิดศีลธรรมก็ไม่รู้เหมือนกันเลย เหมือนหูกับขี้ฑูด เป็นสิ่งที่เกิดก็ดูไป อาตมาพูดนี่เหมือนข่มแต่เป็นนิคคัณเห นิคหารหัง ก็ขออภัย เหมือนยกตัวเอง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ก็คือขยายธรรมะให้เห็นความจริง เราบังคับใครไม่ได้ ตัวคนแต่ละคนก็เลือกเอาเอง การอวดใหญ่โตนี่ไม่ใช่ลักษณะธรรมะพระพุทธเจ้า

       พวกเราทำอย่างคนเล็กคนน้อย รับใช้เขา แต่เขาก็ทำได้ไม่ยืนยาวปึกแผ่นเท่าเรา เขาทำไม่เหมือนเราหรอก ของเราทำได้เป็นเอกภาพ ค่อยๆทำไป สิ่งที่สาธยายมาทั้งหมดนี้ ขอยืนยันว่าพวกเราปฏิบัติ ให้เกิดมีน้ำใจเสียสละ ทำอย่างถูกต้องตามมาตรา 70 พิทักษ์รักษาชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       ทำไมคอมมิวนิสต์จึงล้มละลายไป มีแต่เมืองไทยมีคอมมิวนิสต์ตกยุคกับพวกนายทุนสามานย์รวมหัวกันอยู่นี่แหละ แต่ตอนนี้ประเทศคอมมิวนิสต์ที่เหลือก็แค่เกาหลีเหนือ มันมาจากจิตวิญญาณเป็นรากฐานเลย อย่างจีนกับอินเดียนี่แตกต่างกัน จีนก็เป็นคอมมิวนิสต์ทั้งหมดก็ไม่ได้นานแล้ว

       ปชต.เมืองไทยเป็นทศวรรษที่ 8 แล้ว เป็นเส้าที่สามแล้ว เลย 7มาแล้ว แล้วจะเป็น9 แล้วถ้าเข้า 0 ก็จบ แล้วก็วนมาเป็น 11 ก็เริ่มวนใหม่อีกรอบ

       ขอแรงอดทนกันจริงๆ พยายามอุตสาหวิริยะ เราบอกว่าจะเสร็จภายในเวลาเท่าไหร่มันก็ไม่เที่ยง เพราะเราสู้ด้วยบุญญาวุธ เราสู้ด้วยพลังงานอันชอบ เอาสิ่งดีงามไปสู้กัน กับคนดื้อด้านชั่วช้าของเขา แต่เห็นว่าเราชนะรายทางมาเรื่อยๆ นั้นคือสิ่งที่ไม่ต้องหวังได้แน่ ถ้าออกมาช่วยกันเต็มที่ เกิดจากเหตุปัจจัยที่ลงมือทำ พระพุทธเจ้าไม่ให้ผลัดวันประกันพรุ่ง มีแต่ให้ ทำทันที (ททท) ออกมาช่วยกันให้เต็มที่มาเลย...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:10:42 )

570515

รายละเอียด

570515_พ่อครูที่เวทีผ่านฟ้าฯ เรื่องคนฉลาดยอมเสียเปรียบทั้งๆที่รู้คือผู้เป็นปราชญ์

       เรื่องอะไรที่ควรพูดก็มี แต่เรื่องที่ควรพูดที่สุดคือ เรื่อง ธรรมะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้หลายธรรมะ เช่นกถาวัตถุ 10 เป็นต้น ควรพูด

1.    เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา) 

2.   เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา) 

3.   เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) 

4.    เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา)

5.    เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา) 

6.    เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)

7.   เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ  (สมาธิกถา)

8.   เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)

9.   เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส  (วิมุติกถา) 

10.  เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)

(พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 69)

 

       มาเข้าเรื่องเหตุปัจจัยปัจจุบัน ตอนนี้ แม่น้ำไหลจากตาน้ำ มารวมเป็นสายน้ำ แล้วมาเป็นแม่น้ำน้อย รวมเป็นแม่น้ำใหญ่ทุกทางเลย และประเด็นใหญ่คือทุกคนต้องการทำให้ถูกต้อง ถูกตามรธน. ตามหลักเกณฑ์ สงบเรียบร้อยไม่รุนแรง มีคุณธรรมเป็นนิติรัฐนิติธรรม

       พวกเราชุมนุมนานทำลายสถิติโลกแล้ว คนก็อดทนได้ แล้วคนที่จะมุ่งร้าย เมื่อคืนนี้ เกิดจากจิตวิญญาณของมนุษย์ที่เลว อาตมาไม่รู้รายละเอียด แต่ตามหลักแล้วเหตุก็เกิดจากกิเลส ถ้าจะโยนระเบิด M79 ยิงกันนี่เกิดจากจิตเลว คนจะทำนี่ทำด้วยเล่กล หรือทำด้วยโกรธเคือง โมโห หรือหาเรื่องมายิงมาระเบิดเพื่อให้พวกเรากลัว ให้ดูว่าคนตายคนเจ็บน่ากลัว พวกเราจะไม่ได้มาประท้วง ให้กลัวตายกลัวเจ็บ เป็นการทำที่เลวชาติ เอาคนตายคนเจ็บเป็นเหยื่อในการเอาชนะคะคาน ให้กลัว ให้เราไม่มาเราจะได้แพ้ คนก็เข้าใจได้ทั้งนั้น

       เป็นได้ทั้งลักษณะใช้เล่หรือเกิดจากจิตโกรธเคืองแก้แค้นอีกฝ่ายมาทำร้ายโดยตรงก็ได้ หรือแม้แต่จิตพวกเราเกิดกวนกันอาจเป็นได้ มีคนวิเคราะห์ว่า ที่ยิงระเบิดนี่จะให้ถูกพานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วให้คนตายด้วย เหตุการณ์เกิดแล้ว คือทางร้ายก็ทำสุดร้าย ซับซ้อน หรือทำร้ายแบบผู้ดี บอกว่าเขาไม่ได้ทำนะ ซุกซ่อน เราก็รู้รายละเอียดหมดไม่ได้แต่ก็มีปรากฏการณ์ให้เห็น

       ร้ายก็ร้ายสุดที่ แต่ ความดีก็ดีสุดที่ เอาอดทนไม่กลัวตาย เสียสละสุดยอด เห็นแก่ประเทศชาติ ต้องขอคารวะ ส่วนคนร้ายก็ยิ่งเลวร้าย ทำให้คนดีต้องดีต่อไปให้มาก ตายเป็นตาย อย่างนี้ อาตมาว่าเกิดมาไม่เสียชาติเกิดให้เห็น     ธรรมาธรรมะสงคราม คนชั่วเขาพูดไม่หยาบคาย แต่ก็ชั่วร้ายซ่อนเร้นอำพรางว่าฉันเป็นคนดีนะ ไม่หน้าด้าน ทั้งที่เขาหน้าด้าน ใช้เล่เหลี่ยม รวมกันทั้งหมด รวมแล้วทำชั่วเยอะฉิบหายเลย ทำอย่างอำมหิต ไม่ยอมพ่ายแพ้ไม่ยอมหยุด คนดีก็ดีใจหาย ต้องขอสู้ให้ถึงที่สุดถึงที่สุด

       ตอนนี้เรามาถึงตอนปลายสุดยอดแล้ว อย่างมาตรา 7 นี่เถียงกันที่สุดแล้ว เขาก็ว่าในหลวงตรัสว่าจะทำไม่ได้ แต่พวกเราก็ทำให้ถูกหลักเกณฑ์ ตอนนี้จนทางจนแต้มแล้ว มันจะต้องมีนายกฯ มีครม.มาจัดการ เพราะมันล้มระเนระนาดแล้ว รัฐบาลทำเลงเอง ทำผิดเอง ต้องออกเอง แล้วก็ยังหน้าด้านรักษาการอยู่อีก

       อย่างนายกฯคนกลางหรือที่เรียกว่าแต่งตั้งนั้น ตอนตั้งนายกฯสัญญา ธรรมศักดิ์ ในหลวงก็ตรัสว่าเขาไม่ใช่นายกฯพระราชทาน ไม่ได้หมายความว่าไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย แต่ว่ามีนายทวี แรงขำ คือรองประธานสภานิติบัญญัติ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

       มาถึงวันนี้เข้าขั้นแล้วทุกอย่างเลย กำนันสุเทพก็พยายามทำให้ถูกต้องที่สุด

       ซึ่งคุณนิวัฒน์ธำรงค์ นั้นก็เป็นรักษาการรองนายกฯ ที่เขาจะให้มารักษาการณ์นายกฯ ซึ่งก็ไม่มีบทบัญญัติใดรับรองอีก ก็ไม่น่าจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการได้

       แล้วตอนนี้เหลือใครที่จะรับสนองฯได้ ก็มีคุณสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ที่เป็นรองประธานสภาฯ มีศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยกว่านายทวี แรงขำด้วย แถมยังได้รับเลือกเป็นว่าที่ประธานสภาฯอีก ก็เพียงแต่รอพระปรมาภิไธยเท่านั้นก็ยิ่งถูกต้องตามวิถีทางเป็นไปตามรธน.นี้ เป็นไปตามประเพณีด้วย ก็เหลือแต่ว่าคุณสุรชัยจะกล้าทำไหม ก็น่าจะไม่ผิดอะไรนี่ คุณสุรชัยตอนนี้เป็นนางงามที่สวยที่สุดแล้ว ไม่มีใครเทียบ ถ้าคุณสุรชัยไม่ทำ ก็จะต้องเป็นขนบใหม่ ประชาชนต้องใช้อำนาจประชาชนปฏิวัติเอง ดังที่กำนันสุเทพได้ประกาศเมื่อคืน ว่าถ้าไม่มีใครทำ ประชาชนจะทำไหม...

       จงมารวมกันให้มากกว่านี้อีก เพื่อยืนยันความถูกต้องของอำนาจประชาชน ประชาชนเป็นเข้าของอธิปัตย์

       ตอนนี้คณะทหารไม่ทำปฏิวัติแล้ว เพราะเข้าใจแล้วว่าเป็นวิธีการไม่เจริญ ก็ต้องขอบคุณ

       ตอนนี้ประชาชนก็ต้องมาให้มากกว่านี้อีก เพราะอีกฝ่ายหนึ่งก็ชุมนุม แล้วเขาบอกว่า เขาชนะเพราะว่ามีหลักฐานว่า ขยะของเขามากกว่า ก็คือคนต้องมากกว่าสิ นี่คือความซับซ้อนของคน

       ที่จริงคือของกปปส.นี่ช่วยกันดูแล ไม่ให้สกปรก ไม่ให้เกิดเชื้อโรค ก็ขอบคุณมากๆ ที่ช่วยกัน เราอยู่กันนานแล้ว มันควรเกิดโรคระบาดแล้ว แต่เราก็อยู่กันได้ไม่เกิดโรคระบาดโรคห่าอะไร

       ขณะนี้ทางออกของประเทศก็ลงตัวแล้ว คือไม่ผิดกฎหมายเลย คือว่าที่ประธานสว. เป็นผู้ทูลเกล้าฯรับสนองพระบรมราชโองการฯได้เลย แต่จะกล้าไหม ถ้าไม่กล้าก็มีอีกทางที่ถูกกฎหมายด้วยคือ ประชาชน กปปส.ที่มาชุมนุมอย่างถูกกฎหมายด้วย ศาลรับรองแล้วด้วย อย่างศอ.รส.นี่ก็เถื่อนไม่ถูกกฎหมายด้วยตั้งไม่ได้หรอก

       ถ้าประชาชนปฏิวัติ จะเป็นบทแรกของโลก ประชาชนปฏิวัติได้อย่างวิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ กำนันสุเทพก็รอว่าถ้าสว.ทำไม่ได้ประชาชนจะทำเอง ตอนนี้ต้องปฏิวัติ แต่ขอร้อง จะปฏิวัติด้วยอาวุธไม่ได้ จะต้องปฏิวัติด้วยงดงาม จะเป็นบทแรกของโลก ในการเมือง ไทยจะทำได้สำเร็จ ใครยังไม่ได้มาร่วมประวัติศาสตร์ก็มากันให้เต็มที่เลย

       เราเป็นคนอยู่ในสังคม เราไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน ซึ่งสัตว์มันก็อยู่กันในหมู่กลุ่มของเขา แม้คนก็อยู่เป็นหมู่กลุ่ม และโลกทุกวันนี้ Globalization ซึ่งมนุษย์มีภูมิปัญญาว่าอยู่ร่วมกันนั้นอย่าสะสม อย่าเอาเปรียบ คนเราเป็นคนไม่เอาเปรียบ เสียสละ ทุนรอน แรงงานสามารถ ช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่น เป็นคุณสมบัติของมนุษยชาติ หรือมนุษย์ที่ไม่มีภูมิธรรมก็พูดอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง พัฒนาตนไม่ได้ อยู่ในเกณฑ์ของสัตว์เดรัจฉาน จิตวิญญาณเขารู้ไม่ได้ ว่าจะต้องไปเสียสละช่วยเหลือทำไม ต้องเอาเปรียบสิ คนพวกนี้พูดไม่รู้เรื่องเห็นแก่ตัวแก่ได้ แพ้ไม่เป็น ยอมแพ้ทำไม ต้องเอาชนะให้ได้ ต้องเอามาเป็นของกูให้หมด คนแบบนี้กิเลสหนาขนาดไหน ไม่ยอมเลยทั้งที่ตนได้ไปมากแล้ว โกงไปมากแล้ว

       แต่เพราะเขาโกงไปเขาเลยหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดก็ต้องเข้าคุก จนตายในคุก หรือถูกประหารชีวิต เขาก็ยอมไม่ได้ แต่ถึงยอมไม่ได้ธรรมะต้องจัดสรร อาตมาว่าครั้งนี้ธรรมต้องรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมต้องชนะอธรรม แล้วจะเกิดได้อย่างไร เกิดจากคน เกิดจากมวลมหาประชาชน มาเป็นประชาภิวัตน์

       ส่วน ตุลาการภิวัตน์ก็ทำหน้าที่ช่วยแล้ว ส่วนประชาชนจะออกมาตัดสิน คือออกมาบอกหลักฐานความจริง แล้วก็ออกมากันให้มากๆ หรือแม้น้อยก็ Minority right แต่ถ้าเรามากแล้วถูกด้วย ก็ยิ่งดี แต่ว่าไม่ใช่ไปตัดสินที่ขยะใครมากกว่าจะชนะ

       พวกเราต้องออกมาช่วยเพื่อบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก อย่างมนุษย์เจริญ อาริยกะ เอาความถูกต้องดีงามเป็นธรรมาวุธ ชนะอย่างไม่เบ่งข่มกดขี่

       ทางฝ่ายแดงเขาก็ว่ายอมไม่ได้ ตะเบ็งคอเป็นเอ็น เอาเหตุผลข้างๆคูๆ อย่างว่าพิสูจน์ว่าเขามามากเพราะขยะมากเป็นต้น

       เราต้องมาช่วยกันให้มาก ยิ่งออกมารวมกันมากเท่าใดก็แสดงหน่วยความเจริญของประชาธิปไตยมากเท่านั้น มากเท่าใดก็ทำลายสถิตติให้ไม่มีใครทำลายสถิติได้เลย คนออกมาต้องยอมอดทนเหน็ดเหนื่อย เสียสละอย่างยิ่ง เป็นโอกาส ที่จะเกิดเหตุกาณ์อย่างนี้ คือ เป็นโอกาสแรกที่จะบันทึกประวัติศาสตร์การปฏิวัติโดยประชาชน อย่างสงบ สันติปราศจากอาวุธ ถ้าครั้งนี้ผ่านไปจะไม่ได้เป็นครั้งแรกแล้ว จะต้องมาช่วยกันประเดิม ต้องอาศัยความกล้าหาญ ปัญญา ที่รู้ความถูกต้องรู้ความควร สิ่งประเสริฐแท้จริง แล้วมีความกล้าหาญ เรี่ยวแรง ขณะนี้ประชาชนคนไทยมีความรู้ ตื่นรู้กันมากแล้ว เหลือแต่ความกล้า

       ยิ่งปัญญาชนก็ยิ่งรู้แล้ว เหลือแต่ความกล้า ไม่กล้าเสียสละ มาร่วมกับมวลมหาประชาชน เพราะว่า

       กลัวจริงๆ กลัวตาย กลัวระเบิด กลัวปืน ซึ่งที่จริงคนจะตายนั้นเป็นวิบาก สุดวิสัย อย่างสัตว์ที่ฆ่ากัน ทำร้ายกัน นี่คือเรื่องจริง เป็นกรรมวิบาก ถ้าออกมาประท้วงไม่มีวิบากถึงตายก็ไม่ตาย แต่ถ้าออกมาแล้วมีกุศลวิบาก คนดีรวมตัวเป็นสนามแม่เหล็กของกุศล คือจิตวิญญาณคนเสียสละ ช่วยชาติช่วยประเทศ ให้ผ่านพ้นไปได้เป็นกุศล เป็นพลังงานไร้ตัวตนรูปร่าง ซึ่งแม้คุณมีวิบากมาก เช่นจะต้องตาย แต่คุณมากอยู่ในสนามแม่เหล็กแห่งกุศล ซึ่งพลังแห่งกุศลจะคุ้มครองคุณได้ แต่ถ้าไม่เข้ามาคุณต้องตายจริงๆนะ ถ้าคุณมีวิบากต้องตาย แต่หากมาอยู่ในสนามแม่เหล็กกุศล จะช่วยคุณได้ เป็นเรื่องจริงๆ หรืออีกอย่างคือกลัวเสียลาภ ยศ สรรเสริญ กลัวเสียความสุข การอยู่ที่สุขสบายส่วนตัว

 

       อย่างในหลวง ท่านตรัสว่า ถ้าสมควรจำเป็นจะต้องทำก็ต้องทำ คือท่านจำเป็นต้องทำ ถ้าถึงขีดก็ต้องทำ ท่านใช้คำว่าจำเป็นต้องทำ คือไม่ค่อยดีนักมีส่วนต้องอนุโลม ท่านต้องเปื้อนท่านก็ต้องอนุโลมเปื้อน อย่างอ.ปราโมทย์ว่า ในหลวงต้องลงมาช่วย ตอนนี้ถึงกาละแล้ว พอช่วยเสร็จแล้วก็ต้องรีบกลับไปยังถิ่นที่เดิม เรียกว่าราชประชาสมาสัย

       แต่ถ้าลูกทะเลาะกันเสร็จจบ แล้วทูลเกล้าฯ อย่างนี้ท่านไม่ต้องลงมาเลย

       มาถึงมีนายชัยเกษม ว่าจะทูลเกล้าฯก่อนหรือว่านายนิวัฒน์ธำรงค์จะทูลเกล้าฯก่อนก็ไม่เหมาะ แต่ตอนนี้คุณสุรชัย เป็นนางงามที่ได้รับการคัดเลือกแล้ว ถ้าสุรชัยไม่ทำ ถ้าไม่ทำประชาชนจะทำเอง พรุ่งนี้ประชาชนทำเอง

       เหมือนอย่างทหารที่เวลาปฏิวัติก็ยึดอำนาจ แล้วให้ข้าราชการประจำมารายงานตัว ทุกทีก็ทำเช่นนั้น ก็จัดการไปตามระเบียบแบบแผนก็เสร็จ การที่จะทำอย่างนี้ ถ้าปลัดกระทรวงไม่มารายงานตัวก็ให้รองปลัดฯ ถ้ารองฯไม่มาก็ให้อธิบดีแทน มาเป็นปลัดกระทรวงเลย ที่กล้าทำเช่นนี้ก็เพราะว่าเราทำอย่างถูกต้องที่สุดแล้ว ถ้านานไปกว่านี้จะมีคนตายมากกว่านี้อีก อย่างเมื่อคืนก็ตายอีก 2 เจ็บอีก 20 กว่าคนอย่าทำใจดำเหมือนนายกฯคนเก่าที่บริหารจนชาวนาต้องฆ่าตัวตายไปแล้ว

       กายกรรม วจีกรรม ก็ออกมาจากจิต คนที่ศึกษาปฏิบัติธรรมะจนรู้จิต จะรู้เรื่องของ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ที่แสดงออกมา ออกมาจากใจเป็นตัวเลือก และตัวแรง เพราะจิตเป็นประธาน ถ้าปฏิบัติธรรมได้ผลดีจะเรียนรู้ควบคุมแสดงออกมาได้ดี

       ข้าราชการหรือนักการเมืองกินเงินเดือนของประชาชนแล้ว หากินกับประชาชน หรือแม้คนทำธุรกิจก็หากินกับประชาชน ร่วมกัน ถ้าคุณไม่เป็นประชาชนก็ออกป่าเขาถ้ำไปหากินเอง แต่ถ้าคุณเกี่ยวข้องกับสังคม หากินกับสังคมประชาชนก็ต้องช่วยแบ่งเบาเสียสละ ต้องเสียสละแก่สังคม

      คนฉลาดยอมเสียเปรียบทั้งทั้งที่รู้ คือผู้เป็นปราชญ์ กำไรของเราคือการขาดทุนของเรา


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:11:53 )

570516

รายละเอียด

570516_พ่อครูที่เวทีผ่านฟ้าฯ เรื่อง ใจถึง ใจอดทน ใจฉลาด จะไม่พลาดชัยชนะ

        อาตมาเห็นว่าชีวิตคนเราต้องมีธรรมะ ใครก็ตามเกิดมาแล้วถ้าใครไม่เอาธรรมะไม่พยายามพากเพียรที่จะเอาธรรมะไปใส่ใจแต่เงินทองลาภยศสรรเสริญสุข ไม่สนใจธรรมะ คนนั้นอาตมาตีทิ้งได้เลยว่า ชีวิตโมฆะ แปลว่าสูญเปล่า เกิดมาชาติหนึ่งๆ ไม่ใช่ว่าอาตมาคลั่งใคล้ธรรมะ

      มนุษย์เกิดมา จิตวิญญาณนี่เป็นคลังชีวิต เราได้ชีวิตมาแล้วตัวจิตวิญญาณนี่แหละเป็นชีวิตแท้ และพาเราให้ทำกรรม จะรู้ตัวหรือไม่เมื่อทำแล้วก็เป็นกรรม สั่งสมเป็นวิบากจิต สังเคราะห์เป็นคลังของอัตตา ของใครก็ของใคร มีวิบากจิตเป็นของตนเอง จะเกิดมากี่ชาติจะสั่งสมเป็นคลังชีวิต หรือวิบากจิต อะไรๆก็ไม่จริงเท่ากรรม วัตถุข้าวของเงินทองก็ไม่ใช่ของเรา ตายแล้วก็ไม่รับรู้แล้ว มีแต่วิบากจิต มีแต่คลังชีวิต เป็นทุกข์สุข ก็เกิดจากเราสั่งสมกรรม กรรมเป็นกำเนิด เผ่าพันธ์ ที่พึ่งอาศัย เราเป็นทายาทต้องรับมรดกกรรมของเราที่ทำไว้ ไม่เอาไม่ได้ด้วย ทำแล้วบอกไม่เอา แบ่งเอาก็ไม่ได้ ทำในที่ลับหรือแจ้ง ทำโดยคนรู้หรือไม่รู้ จะรู้ตัวหรือไม่ ทำด้วย กาย วาจา ใจ ก็สะสมหมดเป็นกรรม วิบาก หมดเลย ในคลังชีวิต

      ไปแย่งโลกธรรม ก็เป็นกรรมไปแย่ง แล้วการแย่งดีหรือไม่ดี? ไม่ดีก็รู้กันได้ง่ายไม่ยาก ชีวิตหรือแต่ละอัตภาพ  สิ่งที่ประเสริฐเลิศยอดคือกุศลกรรม หายใจเข้าออกทุกเวลาให้ระลึกสังวรไว้ว่า เราจะให้ความคิดเป็นกุศล ต้องฝึกอ่านความคิด การกระทำต่างๆก็เกิดจากจิต ฝึกอ่านจิตให้ทุกเวลา อ่านให้เร็ว มันต่อเนื่องกันระหว่าง กาย วาจา ใจ ถ้าเราสามารถฝึกดีๆ มีสติตามรู้ว่าตอนนี้ต้นทางจิตเรากำลังบงการด้วยอะไร เป็นตัวใคร่อยากประสงค์ ต้องการ แล้วต้องการอะไร ต้องการเห็นแก่ตัว แย่งชิงเขา หรือจะแก้แค้น มันคือกุศลหรืออกุศล จะไปแย่งชิงสิ่งที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของเราก็คือทุจริต

        ต้องพิจารณาให้ชัดเลยว่าอะไรเป็นความถูกหรือผิด เป็นความดีหรือชั่ว นี่คือรากฐานที่ฟังแล้วเข้าใจแล้ว เอาไปฝึกตนให้ได้ ถ้าปฏิบัติได้ก็จะบริบูรณ์ ได้ประโยชน์ได้ธรรมะ

       ธรรมะคือการทรงไว้ คือมันต้องมีอยู่ มีอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่จิต ที่อัตภาพ ของคุณ ซึ่งคือคลังสมบัติ คือธาตุจิตวิญญาณตัวนี้ ทุกคนตัวนี้คือเราอัตตานี้คือตัวเรา ถ้าเรามีอะไรเป็นตัวเรา ตั้งแต่คลังชีวิต สะสมมามหาศาล ไม่รู้กี่ชาติๆ เป็นคลังมหาศาล ไม่มีใครรู้ว่าเราตายเกิดมาแล้วกี่ชาติ สั่งสมกรรมมาอย่างไร รู้ไม่หมดหรอก แต่ถ้าศึกษาธรรมฝึกฝนธรรมะจะสามารถเข้าใจระลึกรู้ได้

       เหมือนอย่างที่อาตมายกตัวอย่างพระพุทธเจ้าบ่อยๆว่า ทรงระลึกชาติใต้ต้นโพธิ์ แล้วรู้ได้ว่าเคยปฏิบัติบรรลุมาไม่รู้กี่ชาติจนชาตินี้จะต้องเป็นพระพุทธเจ้าได้

       ถ้าคุณไม่เคยเกี่ยวข้องเลยจะระลึกไม่ได้ ถ้าจะระลึกได้ก็ต้องเคยเกี่ยวข้องมา ไม่รู้ชาติไหนมาก่อน แล้วสั่งสมมาเป็นคลังชีวิตของคุณ อย่างพวกคุณได้มาพบหน้าพบตาอาตมา ได้มาฟังธรรม ได้มาสำนึกรับซับซาบ แม้คนอยู่ที่นี่เยอะแยะ แต่ไม่สนใจไม่ฟัง นอกจากไม่ฟังแล้วก็ไม่ซึมซับคุณก็มาเหมือนไม่มา อยู่ใกล้เหมือนไม่อยู่ใกล้ ไม่ได้อะไร แต่ถ้าคุณซับซาบเอาก็ได้เข้าไปในสัญญา ยิ่งได้มาตั้งใจฟังมาใกล้ ได้เห็นองค์ประชุม กาย ได้ครบหมดเลย ตากระทบรูป เห็นทุกอิริยาบท ทุกกิริยา เห็นธรรมราศี เหมือนรังสี สิ่งละเอียดบางเบา เป็นสภาวะ ละเอียดออกไปอีกเยอะเลย พระพุทธเจ้าว่าให้ฟังธรรมเข้าใกล้ เงี่ยโสตสดับ จะได้ยิ่งกว่าห่างๆไกล สมัยนี่ยิ่งมีเครื่องมือ ดูโทรทัศน์ได้ แต่ไม่เหมือนสดๆ ที่จะได้ครบมากกว่าเกินกว่าจะบรรยาย มากว่าจริงๆเลย ถ้าผู้ใดใส่ใจธรรมะ ผู้นั้นมีความไม่เสื่อม

        สิ่งอะไรก็ไม่ใช้ทรัพย์ที่ควรได้ควรมีควรเป็นยิ่งกว่าธรรมะ ส่ิงใดก็ไม่ประเสริฐเลิศเลอเท่าธรรมะ ใครจะหาว่าคลั่งใคล้ธรรมก็ไม่ว่า แต่อาตมาว่าแนะนำได้ถูกทุกคน เพราะฉะนั้นเอาให้ได้โดยเฉพาะ โลกุตรธรรม ให้คนพ้นทุกข์ได้ ไม่หลงโลกธรรม

       อย่างคนที่แย่งชิง ลาภ ยศ สรรเสริญ มีคนหนึ่งที่อาศัยลาภ ยศ สรรเสริฐ แย่งชิงอำนาจ มาได้แล้วก็เอามาบังคับจ้างวานให้คนมาอยู่ในอำนาจ แล้วก็ไม่ปล่อยวางอยู่ปัจจุบันก็เห็นๆอยู่ อำนาจนี้ใหญ่มหาศาล อาตมาไม่แยแสเลย จิตอาตมาไม่มีความอยากได้อำนาจนี้เลย และอาตมาเหยียดด้วยคนที่หลงอำนาจแบบนี้ อะไรกันไปหลงใหลกันทำไม จิตใจไม่ได้ริสยาเลย เป็นความจริงที่อาตมารู้สึก อำนาจใหญ่ขนาดนี้อาตมายังไม่ยี่หระ ไม่เอา แล้วอำนาจน้อยกว่านี้อาตมาจะไปอยากได้ทำไม?

       อย่างผู้ชายที่ไม่มีจิตเป็นกระเทย พอเห็นผู้หญิงแต่งหน้าแต่งตาทาลิปสติก คุณเห็นได้ไม่ได้หลงใหลอยากไปทำอย่างเขา ดีไม่ดีก็สงสารเขาว่าเขาไปเสียเวลาไปหลงสุขอย่างนั้นทำไม หรือผู้หญิงที่ล้างตัวจิตที่อยากสวยงามได้ แต่ก่อนอาจเคยริสยาเขาอยากสวยอย่างเขา แต่ตอนนี้หลุดพ้นมาแล้วก็จะสงสารเขาที่ติดยึดหลงใหลอยู่ในโลกเก่า แต่เราหลุดพ้นแล้วจิตเราสะอาด สว่าง สงบ เอาแรงงานทุนรอนเวลาไปทำประโยชน์ดีกว่า ไม่ต้องไปเสียเวลาทุนรอนแรงงานไปกับเรื่องอย่างนั้น

       สามอย่างนี้ เวลา ทุนรอน แรงงาน เราจะได้คืนมา ไม่ต้องไปแวบคิดไปให้สูญเสียเลย ไม่ต้องเสียแรงงานทางกาย ความคิด แวบหนึ่งก็ไม่ต้อง ไม่ต้องเสียเงินทองไปแลกมา ผ่านไปเลย แต่คนที่ติดยึดจะต้องลงทุน ลงแรง ใช้เวลากับเรื่องที่ติดยึดมากมาย เราเอาสิ่งสูญเสียนี้คืนมาได้ คือเวลา ทุนรอน แรงงาน

         แล้วจะร่ำรวย เพราะได้คืนกลับมา เอามาใช้กับส่ิงกุศล มีประโยชน์ นี่คือสัจจะที่มาปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะมาเป็นคนเช่นนี้  ทุกวันนี้อาตมาทิ้งชีวิตให้คนอื่นเขาช่วยดูแล จะไปจะมาจะกินอยู่ก็ไม่กังวล ให้เขาทำให้เรา เราทำงานให้สังคมก็แล้วกัน เราก็กิน ถ่าย เดิน ทำธุระส่วนตัวเอง แต่ถ้าต่อไปอาตมาเดินไม่ไหวก็ต้องให้คนช่วย หรือไม่ช่วยก็นอนตายไปเลย เป็นชีวิตที่ ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่น อาตมามีแล้ว ชีวิตเช่นนี้ ให้คนอื่นดูแลไว้

       ผู้ใดเกิดมาไม่ระลึกไม่ปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าว่า จะมีความเสื่อม 7 ประการของมนุษย์ เสื่อมคือธรรมะพร่องลง ธรรมะคือสิ่งทรงไว้ไม่เพิ่ม แต่เสื่อม เอาอธรรมใส่เข้าไปๆ เช่นโลภเพิ่มขึ้นโกรธเพิ่มขึ้น พยาบาทเพ่ิมขึ้น โมหะสับสนเพ่ิมขึ้นนีคือกุศลจิต เป็นทรัพย์นะแต่เป็นอธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งควรได้คือธรรมะส่ิงไม่ควรได้คืออธรรม แต่คุณทำแล้วเป็นกรรมคุณต้องรับ อะไรเป็นศัตรูของจิตอยู่ เรียกว่า สรณะ

       รณ คือสงคราม ส คือประกอบอยู่ ชีวิตใครมีอกุศลจิตอยู่ เราก็ต้องรบกับอกุศลจิต เป็นข้าศึกแก่ตัวเอง แต่ถ้าคุณไม่รู้ ไม่รบ แต่ไปเข้าข้างข้าศึก ก็สะสมกิเลสใส่ตนเป็นความเสื่อมอธรรม ไม่ควรทรงไว้แต่คุณโง่เอาไปสะสมใส่ใว้เอง คุณมีแล้วโง่เอง ไปทำอะไรมันไม่ได้ คุณต้องสะสมของใหม่ ของเก่าก็อยู่ในวิบากจิต คุณต้องสะสมทุกวินาที

ความเสื่อม 7 ประการของชาวพุทธ

1.    ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ (ภิกขุทัสสนัง  หาเปติ)

2.   ละเลยการฟังธรรม  (สัทธัมมัสสวนัง  ปมัชชติ)

3.   ไม่ศึกษาในอธิศีล  (อธิสีเล  น  สิกขติ)

4.    ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุ ทั้งที่เป็นเถระ  ผู้ใหม่และปานกลาง 

5.    เพ่งโทษฟังธรรม  (ธัมมัง  สุณาติรันธคเวสี)

6.    แสวงบุญนอกเขตศาสนานี้ (พหิทธา  ทักขิเณยยัง  คเวสติ)

7.   ทำสักการะก่อนในเขตบุญนอกศาสนานี้ (ตัตถะ  จ   ปุพพการัง  กโรติ)   (พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 27)

       จะต้องพบกับผู้รู้ธรรมะ อย่างพุทธมีภิกษุเป็นผู้สืบทอดศาสนา ผู้ใดไม่มาพบภิกษุ เป็นความเสื่อมข้อที่ 1 ไม่ใส่ใจพบภิกษุเลย มีแต่คำนึงจะไปแสวงหาโลกธรรม มีแต่ไปหาความเสื่อม

       ยิ่งอรหันต์ตลอดนิรันดรท่านจะไม่รับไม่ทำอกุศลจิตอีกเลยไปตลอดนิรันดร ผู้ใดไม่ถึงอรหันต์ก็ต้องพยายามฝึก และควรเข้าใกล้ฟังธรรมจากท่าน

       แต่ถ้าไม่ไปพบภิกษุ ก็ไม่ได้ฟังธรรมจากท่าน หรือว่าพบ แต่ไม่ได้ฟังธรรมไ่ม่ใส่ใจ ก็เป็นความเสื่อมเช่นกัน เมื่อไปพบก็ต้องมีเจตนาไปฟังธรรม เพื่อให้เข้าใจหลักปฏิบัติหรือศีล มาปฏิบัติ

       แต่ถ้าไม่เจริญอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา คุณก็ไม่เพ่ิมธรรมะให้แก่ตนก็ไม่เจริญ คนไปฟังธรรมพบภิกษุก็จะได้เจริญในธรรม

       เมื่อไม่เจริญในอธิศีล ก็ไม่เลื่อมใสในภิกษุไม่ว่าฐานะไหนๆก็ตาม เพราะอธิศีล_จิต_ปัญญา คุณไม่มี มีแต่อธรรม ก็ไม่เลื่อมใส อาจหยามเหยียดด้วย

       อาจตั้งใจเพ่งโทสฟังธรรม จับผิดด้วย

       ความเสื่อมหนึ่งในความเสื่อม 7 ประการของชาวพุทธคือ การแสวงหาเขตบุญนอกศาสนาพุทธ นี่เกือบสิ้นซากของศาสนาพุทธด้วย ไม่เอาแล้ว ไม่เลื่อมใสศรัทธาด้วย ตั้งใจติเตียนเพ่งโทสด้วย แสวงหาเขตบุญอื่น ยกตัวอย่างเหมือนผู้ชายที่มีภรรยาแล้วนอกใจ มีกิ๊กแล้ว หมดศรัทธากับเมียคนนี้แล้ว แม้จะอยู่ด้วยกันแต่จะไปเห็นดีเห็นงามกับกิ๊ก นี่คือหมดสิ้นแล้วขาดกันสนิทแล้ว ถ้ามีพฤติกรรมจิตวิญญาณเป็นอย่างนี้

       แม้นับถือพุทธแต่จิตคุณวิปลาส นับถือแบบอื่นคุณภาพสาระสัจจะอื่น คุณก็มีแต่ชื่อว่าเป็นพุทธแต่จิตคุณไม่เป็นพุทธ ไม่สักการะไม่ไหว้แล้ว เหมือนคนไม่เคารพธงชาติ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศแล้ว ก็ไม่ได้เป็นคนชาตินี้แล้ว หรืออย่างที่เขายกย่องสมมุติว่านี่คือรูปปั้นรูปเขียนแทนพระพุทธเจ้าเราก็ต้องเคารพ หรือแม้แต่พระบรมสาทิสลักษณ์ ของในหลวง เราก็เคารพบูชา จะเคารพอย่างไรก็ตามควร เราก็ถือเป็นสัญญลักษณ์ คนมีปัญญาเข้าใจก็ไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าใจออกห่าง แล้วก็ไม่เคารพทั้งตัวจริงและรูปแทน อยู่ด้วยกันก็เหมือนไม่อยู่ด้วยกัน แม้ชื่อว่าคนไทยก็ไม่เคารพชาติ ศาสน์ กษัตริย์ของไทย

       แม้แต่มีใจที่จะออกจากระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือจะเอาประชาธิปไตยขาเดียวที่มีปธน. ก็คือเอาใจออกห่าง คุณก็ควรจะออกจากประเทศไทยเสีย หากคุณพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คุณก็ต้องล้มล้างราชวงค์ ซึ่งเป็นงานใหญ่มาก คุณก็อยู่ในประเทศนี้ยากแล้ว

       ทุกราชวงค์ไม่ว่าราชวงค์ไหน ราชวงค์ต้องควบคุมผู้ที่จะมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินหรือราชวงค์ให้เป็นผู้ที่มีมารยาทดี เป็นคนดี ให้ทำงานให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข รวมทั้งเชื้อพระวงค์ ด้วยต้องช่วยกันเพื่อประโยชน์สุขของคนในชาติ ต้องทำกันมายาวนานสืบสันตติวงค์มายาวนาน มีการสั่งสมจิตวิญญาณที่ทำเพื่อประชาชนมายาวนาน ต่างกับผู้ที่เวียนกันมาบริหารบ้านเมืองชั่วคราวอย่างปธน. หมุนเวียนไป การสั่งสมจิตวิญญาณที่จะช่วยเหลือบ้านเมืองประชาชนจึงไม่มากไม่ยาวนานเท่ากับระบอบกษัตริย์ 

       แบบคอมมิวนิสต์ก็รักษาอำนาจกันแค่ในคณะหนึ่ง แคบไม่กระจายเท่าประชาธิปไตย ถ้าคณะนั้นเป็นผู้เสียสละเป็นคนดีก็จะดี แต่ถ้าไม่ดีก็แย่ แต่แบบประชาธิปไตยนี้กระจายกว้าง กิเลสคนก็กระจาย ได้คนดีมาทำงานเพื่อบ้านเมือง จะเอาอรหันต์หมดก็ไม่ได้แน่ เอาปะปนกันไป สรุปแล้วจิตวิญญาณเป็นประธานนี่สำคัญสุดที่จะทรงธรรม เป็นพลังงานดีวิเศษแท้ จะทรงไว้ ช่วยเหลือมนุษยชาติ

       แบบปธน.ขาเดียวเป็นประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์ คอมมิวนิสต์ได้ฉายาว่า Materialism เพราะเอาแต่วัตถุ ไม่เข้าใจจิตวิญญาณ ไม่เข้าใจกิเลส วิธีของคอมมิวนิสต์แคบ ไม่กระจายอำนาจ คนไม่รับได้นาน ตอนนี้คอมมิวนิสต์ล่มสลายไปมากแล้ว เพราะส่วนใหญ่คนต้องการอิสรเสรีภาพ แม้สัตว์ก็ต้องการ การใช้วิธีกดข่มไว้มากๆจึงไปไม่รอด ส่วนประชาธิปไตยที่ต้องการกระจายอำนาจ แต่กลับหลอกลวงด้วยวาทกรรม ครอบงำความคิด ให้คนตกเป็นทาสไป

       อาตมาว่าการต่อสู้ระหว่างนปช.กับกปปส.นี่ให้นปช.เขาทำไปเลย เขาจะต้องใช้อำนาจทั้งในรัฐบาล ใช้เงินจ้างหรือใช้การชมเชิด อวยกันไปหรือบำเรอด้วยกามคุณ ก็บำเรอกันไป จะใช้โลกธรรมเลี้ยงคนเหล่านั้นไว้ก็รักษาไป ประคองอำนาจของเขาไป ส่วนกปปส.จะเอาธรรมะ เข้าหาธรรม มักน้อยสันโดษ มีอดทน สามัคคี ไม่มากไปด้วยโลกธรรม ไม่มากด้วยกาม ด้วยอัตตาก็อยู่ไปเถอะ อันนั้นจะหมดทุนก่อน แต่อันนี้อยู่แบบคนจนไม่ต้องมีทุนมากก็อยู่ได้ แต่ของเขาต้องจ่ายอยู่ตลอดเวลา แล้วเขาก็ไม่ได้ฝึกฝนในการไม่ติดยึดในโลกธรรม เราฝึกมาทางลดละแต่เขาฝึกมักใหญ่ หรูหรา สังเกตสิ เขาจะใช้ทุนรอนมากมาย เช่นพัดลมต้องใหญ่ ประดับประดามากมาย มีการ์ดมีตำรวจยืนเลย เต๊ะแข็ง สั่งได้เพราะจ่ายหมดเลย บังคับกันหมดเลย เหมือนธรรมกายทำเป็นรูประเบียบเลยสั่งด้วยอำนาจ ด้วยเงิน ไม่ใช้ตัวจิตวิญญาณสมัครใจทำ ซึ่งจะหลากหลายไม่มีกรอบระเบียบซะทีเดียวหรอก มีน้ำใจช่วยกัน ไม่ได้บังคับไม่อยู่เวร ไม่ตีกรอบแต่รู้หน้าที่ควรทำ สรุปแล้วทำอย่างนปช.ธรรมกายจะดูใหญ่หรูหรา ของเราก็ใหญ่ได้เล็กได้ ในเวลาอันยาวนาน ธรรมะย่อมชนะอธรรม

       ขอให้พวกเรา ใจถึง ใจอดทน ใจฉลาด เข้าใจรู้ความจริง เอาให้ถึงเถอะ ถ้าคุณมี 3 อย่างนี้ไม่มีวันแพ้ ไปได้เรื่อยๆเลย

       เราไม่ได้มานั่งบังคับกันมากมายอะไร ไม่แข็งเป๊ก อย่างประชาธิปไตยขาเดียวต้องใช้กฎระเบียบลงโทษแรงมาก ส่วนของประชาธิปไตยสองขามีอลุ่มอล่วยกันอย่างในหลวงตรัส หลากหลาย มีชีวิตชีวา อบอุ่น ขัดแย้งกันพอเหมาะ เป็นสิ่งธรรมชาติที่เป็นที่มี แต่ประชาธิปไตยขาเดียวมันเกินธรรมชาติ อาจดีกว่าคอมมิวนิสต์หน่อย จะว่าไปประชาธิปไตยก็คือเผด็จการชนิดหนึ่ง เผด็จการด้วยกรอบกฎหมาย ถ้าเป็นประชาธิปไตยขาเดียวกรอบกฎหมายจะแข็งมากเลย แต่ถ้าประชาธิปไตยสองขาจะยืดหยุ่นได้ อย่างอเมริกากรอบแข็งมาก ใช้อำนาจอาชญาบังคับ การบังคับกับมนุษย์นี่ไปได้ไม่นาน

       ตอนนี้จะเห็นว่าประชาธิปไตยขาเดียวกำลังรุ่งเรือง ส่วนประชาธิปไตยสองขาถูกริดรอนพระราชอำนาจเยอะเลย เพราะไปหลงว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นศักดินาให้ประชาชนเป็นไพร่ เขาก็อยากให้เสมอภาค ยุคนี้กำลังเห่อประชาธิปไตยขาเดียว แต่ต่อไปจะเห็นความทุกข์ร้อน เบ่งอำนาจ เป็นประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์เท่าประชาธิปไตยสองขา ยิ่งเป็นประชาธิปไตยที่เป็นโลกุตระ ยิ่งมีพระเจ้าแผ่นดิน และนายกฯเป็นอาริยะนี่ยิ่งดีมากเลย

       ตอนนี้นปช.เขาต่อสู้ด้วยหลักกฎหมายไม่เอารัฐศาสตร์ เอาแต่นิติศาสตร์ ไม่เป็นธรรมชาติ รัฐศาสตร์นี่เป็นธรรมชาติยิ่งกว่านิติศาสตร์ ต่อไปลัทธิประชาธิปไตยขาเดียวจะรุ่งเรืองขนาดหนึ่งแล้วสุดท้ายไม่นานก็เสื่อมลงเหมือนคอมมิวนิสต์ ประมาณ 500​ปีประชาธิปไตยสองขาก็จะเจริญคนมานิยมเพ่ิมขึ้น

       ประเทศไทยจะเป็นประเทศประชาธิปไตยสองขาแม่แบบของโลก นี่กระซิบนะบอกให้ประเทศอื่นรู้นะ

       ตอนนี้คนที่จะมีศักดิ์มีสิทธิ์มากกว่ากันระหว่างคุณสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย กับ คุณนิวัฒน์ธำรงค์ บุณทรงไพศาล ใครจะมีอำนาจเต็มมากว่ากัน อ.บรรเจิด สิงคเนติ เปรียบไว้ว่านายกฯเหมือนดาวฤกษ์ เมื่อดาวฤกษ์ดับไปดาวเคราะห์ก็ดับแสงไปด้วย ซึ่งคุณนิวัฒน์ธำรงค์เป็นดาวเคราะห์ย่อมดับแสงไปแล้ว แต่คุณสุรชัยเป็นรองประธานสภาฯเป็นเหมือนดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวเองย่อมมีอำนาจมากกว่า แล้วใครควรได้เป็นผู้ตัดสิน อาตมาก็ว่าคุณสุรชัยเป็นดาวฤกษ์มากกว่าตามสัจจะกว่า

       นปช.เขาก็ครอบงำคนตื้นๆว่า มาตรา 7 ใช้ไม่ได้ จะเอาแต่เลือกตั้งๆเท่านั้นซึ่งการเลือกตั้งนั้นทำไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีคนทูลเกล้าฯพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้ว ตอนนี้ก็ควรมีเหลือแต่คุณสุรชัยทำได้เท่านั้น ถ้าไม่ทำ อำนาจก็ยังอยู่กับประชาชน แต่ตอนนี้ไม่ให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทประชาชนต้องทำให้เรียบร้อย เรามาเปรียบเทียบกันเลยใครมากกว่าและดีกว่า แต่เขาเก่งนะเขาว่าเขาเรียกชุมนุมแล้วมีขยะมากกว่าแสดงว่าประชาชนเขามีมากกว่า เขาหาว่าพวกเราชุมนุมนี่มามากอย่างไรทำไมขยะไม่มี

       อาตมาว่ามนุษย์ขยะจะว่าเอาขยะมากก็เอาเถอะ แต่พวกเรานี่จะเป็นคนมักน้อย ไม่เลอะเทอะ รีบเก็บกวาดจัดการ เป็นมนุษย์อาริยะ เจริญแท้ก็ไม่มีขยะสิ เป็นสิ่งที่ส่อสื่อชัดเจนเลย

       ตอนนี้ยังไม่ชัดสำหรับผู้ที่มีปัญญารู้ว่าอะไรควรชนะ ความดีควรชนะแต่ก็ยังไม่ออกมาช่วยกัน เช่นทหาร มีPotential energy ถ้าออกมาแสดงตัวชัดๆมาช่วย ไม่จำเป็นต้องเอาอาวุธมาข่มขูทำลาย เอาแต่พลังอำนาจแฝงที่มีอยู่ในตนมาใช้ มาเป็นตัวบุคคล มาทำหน้าที่รวมกับประชาชน

       เป็นอำนาจอันชอบธรรมดีงาม ไม่มีโลภ โกรธ หลงเข้าไปปน ไม่เห็นแก่ตัวแก่พรรคพวก บริสุทธิ์เป็นอำนาจ Authority เป็น Supreme สุดยอดทุกคนก็พยายามทำให้เป็นเช่นนี้

       ที่เรามาฝึกฝนเรียนรู้ ทำนี่ เป็นการปฏิบัติจริงไม่ใช่แค่นึกเอา ตรรกะเอา แต่มาทำจริงเป็นปรากฏการณ์จริง ไม่ใช่เรื่องลึกลับด้วย และไม่เป็นอำนาจแค่ตรรกะ แต่เรามาทำทั้งใช้ปัญญา ใช้พฤติกรรมให้ครบ ทั้งรูปและนาม

       เรารู้ความเป็นไปของสังคม แล้วเราอยู่ในสังคม ช่วยสังคม กลุ่มไหนเราควรร่วมช่วยเป็นมวลรวมเป็นองค์ประชุม เป็นกาย ใครไปรวมหมู่ไหนก็ไปรวมกัน มีสองอย่าง คือ

       ธรรมกาย กับ อธรรมกาย

       ใครแน่จะเป็นธรรมกายหรืออธรรมกาย        

       อาตมาเห็นชัด ว่าเราไม่ได้มีฉายาธรรมกายแต่เรามีเนื้อเป็นธรรมกาย

       ส่วนคนที่มีฉายาว่าธรรมกายแต่ไม่ได้มีเนื้อหาเป็นธรรมกายแต่อย่างใด

       

       สรุปลงไปว่า ขณะนี้ไทยเรามีการสังเคราะห์กันระหว่างประชาธิปไตยแท้กับประชาธิปไตยเทียม ต่างคนตู่ว่าตนเป็นประชาธิปไตยจริง คือระหว่าง นปช.กับกปปส.

       ฝ่ายนปช.เคยมีอำนาจของรัฐบาลาธิปไตย เขายังนึกว่าเขามีสส.อยู่มาก แต่ตอนนี้ถูกปิดหมดแล้วเพราะหัวหน้าเพื่อไทยยุบสภาฯไป สส.ก็หมดไปด้วย หลายคนคงหลงว่าตนเป็นสส. เป็นนายกฯ อยู่ทั้ง ครม.ก็ล่มไปหมดเขาก็ยังหลงว่าตนมีอำนาจอยู่ ทั้งที่ขาดแล้ว คำว่าสุญญากาศมันไม่มีหรอก หากอำนาจบริหารล้มไปแล้ว ก็เหลืออำนาจนิติบัญญัติและตุลาการเหลืออยู่

       อำนาจตุลาการได้ตัดสินว่ากปปส.ชุมนุมถูกต้อง ฝ่ายนปช.ก็ว่าฝ่ายตุลาการลำเอียงเข้าข้างกปปส. ก็ใช้ เพราะตุลาการต้องเข้าข้างคนดี อำนาจที่เหลือเราก็ต้องเคารพแต่เขาไม่เคารพ ใครขบถไม่เคารพก็แพ้แล้ว

       สมมุติว่าอำนาจ 3 อำนาจนี้หยุดจบ ก็เหลืออำนาจของในหลวงกับอำนาจของประชาชน ตามรธน.มาตรา 3 อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนี้ผ่านสามสถาบัน

       ตอนนี้ต้องเป็นราชประชาสมาสัยแล้ว ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจจะมาจัดการให้เกิด 3 อำนาจนี้ใหม่ แล้วทูลเกล้าฯสู่ในหลวง เป็นวิธีเดียวตอนนี้ แต่ว่านปช.ก็ว่าไม่ให้ทำ แล้วอำนาจที่เหลือใหญ่กว่ารัฐบาลที่รักษาการณ์ก็คือ รัฐสภา ก็มีคุณสุรชัย อาตมาก็ว่าคุณสุรชัยมีอำนาจชัดเจนเหนือกว่า ควรเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ถ้าทางตุลาการ สภา บริหารไปแล้ว ก็ยังเหลือประชาชนต้องทูลเกล้าฯเอง ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจรัฐ ประเทศ ที่แท้จริง ก็เหลือเท่านี้ ตอนนี้ก็รออยู่เพราะยังไม่เคยมีประเพณี อาตมาก็เคยว่าแล้ว ถ้าอำนาจทหารใช้อาวุธรัฐประหารก็ยังทำได้เลย ทูลเกล้าฯ ได้ ก็ผ่านมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แล้วเป็นอำนาจไม่ชอบธรรมไม่เป็นประชาธิปไตยด้วยคุณยังรับกันได้ แต่อำนาจประชาชนที่ดีอย่างนี้ทำไมไม่ให้ประชาชนทำให้สำเร็จ ให้ประชาชนทูลเกล้าฯได้

       ประเทศไทย ณ ลมหายใจเฮือกนี้ต้องทำเช่นนี้แหละ เมื่อคืนวานก็ตายไปแล้วอีก 3 ศพอยู่ใน ICU อีกหลายคน จะให้ตายอีกกี่ศพ ก็ควรต้องมาช่วยกันทำให้สำเร็จ เราไม่ได้ทำผิดรธน.เลย มาสร้างอำนาจอธิปไตยนี้ด้วยกัน เชิญๆๆๆ ประชาชนคนไทย ตอนนี้เราต้องการมวลประชาชนต้องการน้ำใจความกล้า อดทนเหน็ดเหนื่อยที่จะมาโถมช่วยกัน ร่วมกันคิดทำ ให้เกิดฤทธิ์แรงพุ่งสู่เป้าหมายธงไชยอันสวยงาม วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ วันสองวันนี้เคี่ยวข้นมาแล้ว รอฟังสัญญาณ แล้วจงใช้นกหวีดและส้นตีนของท่านออกมาทำงานให้สำเร็จ เตรียมให้แข็งแรง ถ้าได้สัญญาณจงมาพร้อมนกวีดและส้นตีนของท่านให้พรักพร้อมเต็มที่ ทั้งมวลปริมาณและคุณภาพเพื่อให้ทำงานให้สำเร็จลุล่วง


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:12:56 )

570517

รายละเอียด

570517_พ่อครูที่เวทีผ่านฟ้าฯ เรื่อง รูปและนามของประชาชนปฏิวัติ

       วันนี้วันที่ 17 พ.ค. 57 อาตมาจำได้ว่าวันที่17 พ.ค. 35 เป็นวันที่ได้ชื่อว่าวันพฤษภาทมิฬ วันนี้มาบรรจบครบ 22 ปีผ่านไป และเลข 22 ในมงคลสูตร คือ นิวาโต แปลว่า ความอ่อนน้อมถ่อมตน ส่วน เลข 21 คือคารโว คือความเคารพ

       นิวาโตคือสุภาพสงบเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตน อาตมาไม่ใช่โหราศาสตร์ แต่เป็นนักพุทธศาสตร์ เหตุปัจจัยที่จะมากล่าวนี้เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย ที่ลงตัว ทุกอย่างมาแต่เหตุ รูปและนามจะมาบรรจบกัน เช่นทำไมพระพุทธเจ้าจะต้องมาประสูตร ตรัสรู้ ปรินิพพานก็ต้อง ขึ้น 15 คำ่ เดือน 6 ทำไมต้องลงตัวเช่นนั้น ทำไมพระมหาโพธิสัตว์เกิดในโลกจะต้องมีแผ่นดินไหว เป็นอจินไตย

       คำว่า นิวาโต เป็นความหมายทางธรรมในมงคลสูตร 38 ข้อ ส่วนเลข 22 คือนิวาโต เป็นความสุภาพเรียบร้อยอ่อนน้อมถ่อมตน พวกเราชาวกปท.นี่คือกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ เร่ิมต้นแล้วกองทัพธรรมเราก็มาสมทบ เป็นกปท.สมบูรณ์แบบ มีทั้งกายและใจ

       กองทัพคือนักรบ และเสธ.ของกองทัพก็เป็นนักรบตัวจริงเลย ในมวลกองทัพมีนักรบทหาร Old soldier เป็นเสธ.ครบ ทั้งทัพบก เรือ อากาศ ครบและยังแถมมีทางด้านพลเรือน ก็มีรศ.ดร.อดีตผวจ.เป็นทั้งนักการศึกษาบริหาร มารวมเป็นเสธ.พร้อม มีลักษณะเด่นเป็นคนประณีตละเอียดสุภาพ ใจแข็งด้วย ผู้ว่าฯในประเทศไทยมีมากมายแต่ไม่มา มีแต่ผู้ว่าสนธิมานี่

       ผู้นำกองทัพที่มาก็เป็นผู้นำจริงๆเป็นรูปธรรม สวนกองทัพธรรมเป็นนามธรรม ทั้งฆราวาสและนักบวชออกมาทำงานสมทบเป็นรูปนามครบครัน ลากยาวมานี่ 284 วันแล้ว ของกปท. ส่วนของกองทัพธรรม 281 วัน และเราก็ได้ปฏิวัติแล้ว ทูลเกล้าฯไปแล้ว เราทำไปแล้วไม่ใช่เรื่องเล่น

       ใจเราจะรู้สึกยินดี อดทน กล้าหาญ จนจะขาดรอนๆแล้วนะ เป็นจิตวิญญาณของพวกคุณที่เกิดอาการ จะอดทน อึดอัด กล้าหาญชาญชัย จะปรารถนาอย่างใดก็เป็นจริง มาถึงลมหายใจเฮือกนี้ มันเป็นความสุดทนที่หนักหนาสาหัสแล้ว อาตมาก็ว่าคงจะถึงกำลังจะวิ่งเข้าสู่เส้นแล้ว ก้าวสุดท้ายแล้ว จมูกจะชนเส้นชัยเลย

       อาตมาจะอ่านหัวไม้ของหนังสือพิมพ์ ที่จ่าหน้านสพ.รายวันให้ฟัง...

       แนวหน้า...เทือกสั่งเปิดทำเนียบ เร่งเผด็จศึก วางแผนยึดคืนอำนาจ

       โพสต์ทูเดย์...สว.ดับฝันกำนันยื้อนายกฯม.7 ตำรวจคุมเข้มปิดทางทหารเคลื่อน

       ไทยโพสต์...หานายกฯอำนาจเต็ม

       คมชัดลึก...ลั่น 3 วันลุยม.7

       เดลินิวส์...ผิดหวังสภาสูง ไม่ชงตั้งนายกฯใหม่เทือกประกาศแตกหัก

       ไทยรัฐ...สุเทพเครียดจัดวุฒิสะดุดไม่มีมติแต่งตั้งนายกฯ

       ฟังหัวหนังสือพิมพ์ก็บอกอาการของสังคมไทยขณะนี้เป็นอย่างไรในลมหายใจเฮือกนี้ ว่าจะไปอย่างไร อาตมาก็เลยหยิบบทความผ่าประเด็นร้อนในนสพ.แนวหน้าวันนี้ให้ฟัง..

เรื่อง...อันธพาลระบอบทักษิณ ตัวถ่วงขวางทางออกประเทศ

 

       ภายใต้สถานการณ์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงขณะนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทางออกของประเทศจำเป็นต้องมีรัฐบาลเฉพาะกาลที่เป็นกลางเข้ามาขัดตาทัพบริหารประเทศชั่วคราวสักช่วงเวลา หนึ่งเพื่อให้ปลอดจากอิทธิพลนักการเมืองทุกขั้วและมีภารกิจสำคัญเร่งด่วนคือวางแนวทางปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ให้เป็นประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริงให้สำเร็จ แล้วค่อยมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่

 

         บทบาทของ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ว่าที่ประธานวุฒิสภาคนใหม่ ในการระดมความเห็นจากตัวแทนกลุ่มองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่สำคัญต่างๆเพื่อหาทางออกให้ประเทศจนได้ข้อสรุปที่สอดคล้องต้องกันในหลักการที่จะต้องมีนายกฯคนกลาง มาปฏิรูปประเทศถือเป็นความชอบธรรม เพราะวุฒิสภาเป็นองค์กรเดียวตามรัฐธรรมนูญขณะนี้ที่จะต้องทำหน้าที่ในการหาทางออกให้ประเทศเนื่องจากไม่มีสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา จึงต้องทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎรไปในตัว

 

         นอกจากนี้รัฐบาลเฉพาะกาลที่เป็นกลางซึ่งจะมีขึ้นก็มาด้วยกระบวนการที่มีกฎหมายรองรับอย่างถูกต้องชอบธรรมทุกประการ อีกทั้งเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มที่จะนำพาประเทศฝ่าวิกฤติ ซึ่งต่างจากรัฐบาลทรราชหุ่นเชิดระบอบทักษิณที่มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ซึ่งเป็นเพียงผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯที่มีสภาพไม่ต่างอะไรจากรัฐบาลเป็ดง่อยผีหัวขาด ที่ไร้อำนาจเต็มเพราะไม่มีนายกฯ ตัวจริง รวมทั้งไม่มีอำนาจแม้กระทั่งการลงนามสนองพระบรมราชโองการเพื่อออกกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งทำให้ประเทศพิการไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งหาก รัฐบาลเป็ดง่อยผีหัวขาด ยังซื้อเวลาอยู่ในอำนาจต่อไปก็จะยิ่งทำให้ประเทศหายนะทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ

 

         ทั้งๆ ที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าต้องมีรัฐบาลเฉพาะกาลที่เป็นกลาง แต่ปัญหาใหญ่ขณะนี้ก็คือบรรดาเครือข่ายทาสรับใช้ระบอบทักษิณอันประกอบด้วยรัฐบาลทรราชหุ่นเชิดระบอบทักษิณ รวมทั้งกลุ่มเสื้อแดงพยายามตะแบงทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองโดยดันทุรังต่อต้านการหาทางออกให้ประเทศด้วยการมีรัฐบาลเฉพาะกาลที่เป็นกลางของวุฒิสภาและยืนกรานต้องเดินหน้าเลือกตั้งอย่างเดียวเพื่อรักษาอำนาจและความได้เปรียบของตัวเอง

 

         การที่ระบอบทักษิณขวางนายกฯคนกลางและการปฏิรูปประเทศเพราะจะทำให้ระบอบทักษิณสูญเสียความได้เปรียบในการใช้อำนาจรัฐโกงการเลือกตั้งทุกรูปแบบทั้งทางตรงทางอ้อมเพื่อเอาชนะการเลือกตั้งแล้วกลับมาเป็นรัฐบาลอย่างถูกต้องชอบธรรม

 

         เพราะฉะนั้นการที่บรรดาเครือข่ายลิ่วล้อระบอบทักษิณออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเฉพาะกาลที่เป็นกลางเพื่อเป็นทางออกผ่าทางตันให้กับประเทศถึงขั้นขู่พร้อมแตกหักนองเลือดจึงสะท้อนธาตุแท้อันธพาลที่พยายามดิ้นเฮือกสุดท้ายหวังรักษาอำนาจของตัวเองจนนาทีสุดท้าย ทั้งๆ ที่สภาพความเป็นจริงขณะนี้ทุกฝ่ายในชาติบ้านเมืองต้องการการเปลี่ยนแปลงและเดินไปข้างหน้า โดยมีระบอบทักษิณเป็นตัวถ่วงทั้งๆ ที่ทำร้ายประเทศมาแล้วนานกว่า 10 ปี....จบบทความของทีมข่าวการเมืองนสพ.แนวหน้า

 

       ตอนนี้อะไรก็คาราคาซัง ก็คือเขาแสดงมวลประชาชนได้มากพอสมควร เขาก็มั่นใจว่ามากกว่ากปปส. ซึ่งวันนี้กำนันสุเทพก็ขอให้มาร่วมกันบ่ายสองที่ทำเนียบรัฐบาล ยังไม่เคยมีประเทศไหนทำได้สวยงามขนาดนี้ ที่คณะปฏิวัติใช้ทำเนียบรัฐบาลในการสั่งการได้ เป็นสัญญลักษณ์ว่าอำนาจของคณะที่มาทำการขออำนาจคืน จะใช้คำว่าปฏิวัติหรือรัฐประหารก็ตาม ซึ่งประหารตายแหง๋แก๋ ก็ยังไม่ยอมตายเพราะจิตวิญญาณเป็นผีมารไม่รู้จักตาย ทั้งที่เน่าไปแล้ว เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปุตตมังสสูตร ในอาหารข้อที่ 4 เหมือนโจรร้ายที่พระราชาสั่งประหารด้วยหอก 100​ เล่ม ตอนเช้า พอตอนเที่ยงก็ยังไม่ตายก็ต้องสั่งประหารอีกด้วยหอก 100 เล่ม ก็ยังไม่ตาย ก็ต้องให้ไปฆ่าอีกตอนเย็น ก็ยังไม่ยอมตายอีก เหมือนรัฐบาลนี้เลย

       เพราะไม่รู้รูปนาม ไม่่รู้จิตวิญญาณก็ไม่รู้จักตายเหมือนนักโทษคนนี้หรือรัฐบาลนี้ เรื่องการเมืองที่อาตมาออกมาชุมนุมนี่ก็ด้วยความรู้ธรรมะ พวกเรารักษาสภานะที่ดีมากชุมนุมอย่างวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์

       สรุปคือเราจะต้องมีรัฐบาลชั่วคราวที่มาทำการก่อการ เพื่อให้คณะก่อการสร้างคณะถาวรมาทำงานให้ประเทศ เมื่อได้คณะถาวรแล้วคณะก่อการก็สลายตัวไป ตอนนี้ก็ยื้อกัน คณะเดิมก็ไม่ยอมตาย เขาไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นโจรร้าย เขาไม่รู้จริงๆ เป็นตัวกวน ตัวขวางตัวถ่วงขวางทางออกของประเทศ ประเทศกำลังหาทางออก ทางออกมีทางเดียวต้องได้คณะรัฐบาลกลางและต้องได้นายกฯคนกลางขึ้นมา

       ก็ถกเถียงกันว่า นิวัฒน์ธำรงหรือสุรชัยจะเป็นคนทูลเกล้าฯ อาตมาก็ตัดสินว่านางงามที่ชนะก็คือสุรชัย และกำนันสุเทพก็พยายามดำเนินตามครรลอง เสร็จแล้ววุฒิก็แถลงสรุปมา กำนันก็นำมาอธิบายว่ามีส่วนที่ตรงกับพวกเรา แต่ว่าบางส่วนก็ไม่ตรง แต่ว่าเอาเถอะวันนี้กำนันสุเทพก็ประกาศว่า ประชาชนจะปฏิวัติเอง แต่กำนันก็สุภาพไม่ใช่คำว่าปฏิวัติ​แต่ของเราปฏิวัติไปแล้ว พล.อ.ปรีชาประกาศไปเมื่อ 11 พ.ย. 2556 แล้วทูลเกล้าฯถวายฎีกาไป เขาเห็นเป็นเด็กเล่นขายของดูตลก แต่ที่จริงเป็นเรื่องจริงเป็นรัฐศาสตร์ของโลก มีทั้งนักรบ นักธรรมะปปช.เดินไปถวายฎีกาในหลวง เสร็จแล้วเรื่องก็เงียบไป ก็ยึกยักดึงกันไป แต่อาตมามองว่าดี ขัดเกลางามขึ้นๆ

        คนประหลาดใจว่าทำไมกำนันสุเทพใจเย็นขนาดนี้ ทำไมไม่ทำซักที แล้วจะเอาเมื่อไหร่ ...จริงๆแล้วประชาชนปฏิวัติเป็นสิ่งถูกต้องแต่เป็นสิ่งใหม่ที่ยังไม่เกิด เราปฏิวัติถูกต้องตามรธน.สากล ที่อาตมาพูดแล้วพูดอีกว่า ดีงามมากจริงๆ อาจมีบกพร่องบ้าง แต่ทำได้ขนาดนี้มีมวลหนาแน่น และทำต่อไปได้อีก อาตมาไม่เชื่อว่าคนจะถอยไป

        ถามว่า ถ้าประชาชนจะพากันทวงคืนอำนาจด้วยวิธีในวิธีหนึ่ง(ปฏิวัติ)เลย ใครจะร่วมมือกับอาตมาบ้างยกมือ...(ยกกันหมด) จะพากันทำไปตามวิถีทางที่ดีที่สุดที่เราจะตกลงกันใครจะไม่เอาด้วย...ไม่มียกซักคนเดียวเตรียมใจเตรียมกาย เตรียมส้นตีนและนกหวีดไว้ จะพาเดิน เดินไปไหนไม่รู้ รอเหตุการณ์วันนี้

       เราทำงานต้องตรวจสอบเหมือนพระพุทธเจ้าว่าให้ตรวจด้วยอรูปฌาน หลังจากฆ่ากิเลสด้วยรูปฌาน ฌาน1ถึง4 แล้วถึงอุเบกขาแล้ว กำจัดตัวผีร้ายได้ถูกตัวไม่ใช่หว่านทำลายไปหมดเลยปนไปหมดไม่รู้กุศลอกุศล แต่ของพระพุทธเจ้าจัดการอกุศลให้หมดทุกตัวจนพ้นวิจิกิจฉา เป็นรูปฌานสมบูรณ์ แต่ก็ต้องตรวจด้วยอรูปฌานอีก 4 ขั้นตรวจสอบให้ละเอียด

       ทำไมไม่เผด็จศึกเสียทีๆ ก็เผด็จศึกง่ายเสียเมื่อไหร่ ก็ดูกองกำลังของเขาที่อักษะก็ยังเย้วๆอยู่ ในประชาธิปไตยก็ต้องมีสองฝ่ายเช่นนี้ถ้ามีฝ่ายเดียวไม่ดีหรอก ต้องมีฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน แต่เราก็ต้องรู้ว่าอะไรถูกไม่ถูกอะไรควรไม่ควร ตามมหาปเทส ซึ่งตรงกับม.7 ในรธน.

       ว่าตอนนี้ถึงคราวธรรมะกับทางโลกตรงกันหมด ในม.7 ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       ซึ่งประเพณีที่เคยทำกันก็ใช้ทหารปฏิวัติก็ไม่งาม แต่ตอนนี้ไทยจะทำให้งาม โดยอำนาจประชาชน เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งไม่ใช่รัฐบาลาธิปัตย์ ที่ประชาชนเลือกให้มาทำงานเป็นพ่อบ้านให้ประเทศที่มีประชาชนเป็นเจ้าของ ให้ดูแลควบคุมดูเหมือนมีอำนาจ แต่ว่าพ่อบ้านหลงผิดนึกว่าบ้านนี้ของกู จะทำอย่างไรก็ได้ ทั้งที่ไม่ใช่เจ้าของบ้าน ถ้าแยกอำนาจแค่นี้ไม่ออกก็จะไปบริหารประเทศอย่างไร ต้องแยกระหว่างรัฐบาลาธิปัตย์กับรัฐฏาธิปัตย์

       เขาก็ยื้อมาจนใยสุดท้ายแล้ว มีนิวัฒน์ธำรงค์ เป็นรักษาการ อยู่ก็ไม่มีบทบัญญัติใดๆรับรอง ประชาชนจะไปคุยด้วยก็หนีไปไหนก็ไม่รู้ อำนาจเขาไม่มีเลย ผู้บริหารประเทศวิ่งหนีประชาชนได้อย่างไรว่าขี้กลัวไม่เต็มเต็ง

       ทางด้านสภาสว. จะขอเชิญนิวัฒน์ธำรงมาคุย อาตมาว่าเขาไม่มาหรอก พวกคุณก็เดาถูก เขาไม่มาคุยกับสว.หรอก แม้แต่ตอนนี้รองประธานสภาก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาฯ เป็นว่าที่ประธานสว.แล้ว ส่วนคุณนิวัฒน์ธำรงค์นี่เขาขี้ตู่เองทั้งนั้น

       วันนี้บ่ายสอง กำนันก็จะประชุม ให้ตัวแทนกปปส.ต่างจังหวัดก็มาร่วมประชุม

        อดใจรอหน่อย อย่าเพ่ิงท้อ เราอาจต้องลงแรงเป็นครั้งสุดท้าย ตอนนี้เราต้องรอให้ดำเนินไปก่อน  เพราะต้องทำด้วยประชาชนอาตมาก็ดูแล้ว ตั้งแต่ 11 พ.ย.56 มาแล้ว ว่าส่ิงที่เกิดคือคณะปฏิวัติโดยประชาชนเกิดแล้วจริงๆ และหัวหน้าคณะปฏิวัติคือพล.อ.ปรีชาทำได้อย่างเอี่ยมอ่องถ่องแท้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ จนมีคนรับช่วง แต่มาถึงตอนนี้ก็มาเป็นกองทัพประชาชน เข้าใจให้ได้ แม้ว่าเป็นกปปส. แต่ว่า ชื่อกองทัพประชาชนคืออยู่ภายใน แต่ออกหน้าก็คือกปปส.เป็นรูป แล้วมโนบุพพัง คือกปท. มีรูปคือกปปส. และมีคั่นกลางก็คือธรรมะ

       เราพากันทำมา ณ ลมหายใจเฮือกนี้ สังคมจะมองนามธรรมอันลึกล้ำไม่ออก แต่การปฏิวัติสังคมไทยนี้มันลึกซึ้ง คนไม่มีดวงตาก็จะมองนามธรรมไม่ออก แต่คนมีปัญญาจะมองเห็นความก้าวหน้าได้อย่างแท้จริง ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงดำเนินไปตามลำดับ มีเหตุปัจจัยแน่นหนา

       ผู้ที่ไม่เข้าใจส่ิงลึกซึ้งส่ิงที่อยู่ข้างหลัง ซ่อนอยู่เป็นพลังงานแฝง Potential energy  คนไม่มีปัญญาไม่มีดวงตาก็ไม่รู้ แม้แต่สื่อสารมวลชนก็ยังดูไม่ออก เพราะอำนาจโลกธรรมเป็นตัวบังตาของเขา เขาจึงมองไม่ออกมองไม่ทะลุว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังเป็นพลังงานลึกซึ้ง พระสยามเทวาธิราช เป็นพลังขับเคลื่อนผลักดัน เป็นความถูกต้องชอบธรรม ให้บทบาทของปฏิกิริยาสังคมพัฒนาเดินทางไปอยู่เดินทางไปเรื่อยๆ

       พวกเราก็ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมด ตอนนี้ความจริงไขมาเรื่อยๆ นักกฎหมายก็ทำงานมากเลย อันไหนถูกอันไหนบกพร่องในบัญญัติของรธน. อะไรใช้ได้ไม่ได้เขาก็กำลังศึกษากันอย่างยิ่งเลย ทั้งนักรัฐศาสตร์ก็กำลังมองอ่านอย่างละเอียดว่าจะเดินตามนิติศาสตร์เป๊ะเลยไม่ได้ ตอนนี้เหตุการณ์ไม่ปกติ ทุกอย่างไม่เต็มที่ มันไม่เป็นตามธรรมชาติ ต้องใช้วิธีอนุโลม แม้นักนิติศาสตร์ก็ต้องยอม

       ขณะนี้ฝ่ายแดงจะใช้แบบประชาธิปไตยขาเดียวซึ่งไม่มีจิตวิญญาณใช้ไม้แรง ไม้แข็ง ไม้หนึ่ง คือใช้กฎหมายอย่างเดียว ต้องเดินตามกฎหมาย เลือกตั้ง มันเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ไม่รู้องค์ประกอบรูปนามที่เป็นองค์รวม แล้วเขาก็ได้เปรียบด้วย ที่มีรัฐบาล มีพรรคเพื่อไทยอยู่ ที่จริงมันขาดไปแล้ว ก็ยังยื้ออยู่ แต่คนก็จำนนว่ายังไม่มีคณะใหม่มาก ก็ต้องยอมให้คณะเก่าทำไปก่อน สุดท้ายแบบนี้ประชาธิปไตยขาเดียวจะล้มไป เพราะไม่ยืดหยุ่น เขาได้เปรียบตอนนี้ก็ยืนยันอย่างนี้ ไม่เห็นแก่จิตวิญญาณประชาชนส่วนใหญ่ เขาเป็นคนไร้จิตวิญญาณไม่มีจิตใจเป็นย่ิงกว่าก้อนอิฐก้อนดิน เป็นสัตว์เดรัจฉานที่อำมหิตด้วย กูจะเอาอย่างนี้อย่างเดียว

        การที่จะปล่อยให้อันนี้ดันทุกรังไปไม่ได้ ตอนนี้มีเหลืออยู่อันเดียว คือ ในหลวงแห่งประเทศไทย เป็นโพธิสัตว์ เป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นตรีมูรติ ครบพร้อมหมดเลย ที่พึ่งสุดท้ายของสังคมประเทศตอนนี้ไม่มีใครกล้าค้านแย้งหรอก ก็รอแต่ว่าทำอย่างไรเราจะทูลเกล้าฯได้ ใครจะเป็นคนทูลเกล้า อาตมาก็ว่ามี 3 คน

      1.นิวัฒน์ธำรงค์ 2.สุรชัย 3.ประชาชน

      มีเท่านี้ขอสรุป และเป็นหนึ่งเดียวของทางออก ไม่มีวิธีอื่น เลือกตั้งก็เลือกไม่ได้ เลือกอีกก็ฉิบหายเงินอีก ตอนนี้คาหมดแล้วติดกักหมดแล้วไปไม่ออกแล้ว เมื่อเลือกตั้งไม่ได้ก็เหลือแต่ต้องปฏิรูป จะทำอย่างไรก็ต้องได้รัฐบาลชั่วคราวมา ก็เหลือแต่ว่าใครจะเป็นคนทูลเกล้าฯ

      เท่านั้นเอง

      ทีนี้ประชาชนก็อยู่กันอย่างนี้เห็นๆนี่แหละ แต่ยังไม่มีใครคิดเท่าไหร่? จริงๆแล้วกปท.ทูลเกล้าฯแล้วแต่คนเห็นเป็นตัวตลก แต่ว่าเป็นจริงแล้วเราก็ต้องทำอีกเพื่อยืนยันต่อไป เราก็รอเหตุปัจจัย ถ้าผ่านวันจันทร์ไม่มีอะไรเกิดแล้ว ประชาชนต้องเผด็จศึกแล้ว

      ต้องอดใจรอ ผู้ใดยกมือสิว่า จิตใจไม่รู้สึกอึดอัดเลย ...ใครอึดอัดเล็กน้อย...ใครอึดอัดมาก...

      คนไม่อึดอัดเลยก็ชนะแล้ว...ส่วนคนอึดอัดนั้นถ้าเราจะดำเนินการปฏิวัติวิธีใดวิธีหนึ่งจะเอาไหม?....เอา

      การทำงานครั้งนี้จะเป็นประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศ คนไทยจะทำได้ เชื่อไหมว่าประเทศไหนจะทำอย่างไทยได้เขาก็จะทำ เพราะมันดีได้มากขนาดนี้เลย ทำเป็นประวัติศาสตร์เอกเลย ใครก็อยากทำ แต่ทำไม่ได้อย่างไทย จงภูมิใจเถิดที่เกิดเป็นไทย

       เราไม่ร่ำรวยเราไม่มีมากอย่างเขา แต่เรามีคุณธรรม เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก เรื่องโลกก็ต้องประมาณ เรื่องธรรมะมักน้อยสันโดษ เป็น 0 ที่มีพลังงานมาก ไม่มีอะไรต้านทานได้เป็นพลังราบรื่น มีแรงเท่าไหรจะเป็นไปได้ไม่มีอะไรลดทอนเป็นสัจจะ

       ไทยเรามีเชื่อแห่งสัจธรรมโลกุตระ

       หน่วยเราเป็นหน่วยคนเล็กคนน้อยที่สุด เป็นกลุ่มเงียบสงบ ดูไม่มีฤทธิ์แรงอะไร จนตำรวจก็จะมาปราบพวกเราก่อน มันน้อยและสงบ แต่มาเข้าจริงๆเจอความสงบก็พ่ายแพ้ไป เขาแพ้ธรรมฤทธิ์ สยามเทวาธิราช แพ้ความบริสุทธิ์สะอาดของประชาชนแม้มีน้อยแต่เป็น Minority right เขาแพ้อำนาจแห่งธรรม    

       วันนั้นที่ตำรวจบุกมา ต่อให้เราใช้ปืนหรืออาวุธก็สู้เขาไม่ได้หรอก ถ้าเขาจะเอาจริงๆใช้อาวุธ แต่ว่าความจริงแล้วไม่ใช่ เขาแพ้จิตวิญญาณบริสุทธิ์ เป็น Minority right ลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ อธิบายถึงตำรวจเห็นแสงจากสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา เขาเห็นจริงๆ เหมือนคำโกหกมีจริงไหม?ก็มี แต่คำโกหกเป็นคำไม่จริง ฉันเดียวกัน แสงของสมเด็จปู่ไม่มีจริงแต่เขาเห็นจริงๆเพราะเขาปรุงแต่งไป เหมือนผีไม่มีจริง ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสีสันแสงเสียงอะไร มันเป็นนามธรรม แต่คนเห็นรูปร่างของผีได้ เหมือนคำโกหกเป็นคำไม่จริง แต่เขาก็ใช้กันอยู่จริงๆ

        เรื่องเกิดขณะนี้เรามีพร้อมทั้งโลกและธรรมสมบูรณ์แบบ อาตมาก็มั่นใจว่าธรรมะของศาสนาพุทธจะเจริญในอนาคตจากนี้ไป จากผลงานของพวกเราที่ทำงาน ประกอบด้วยธรรมะคนละเล็กน้อยรวมเป็นน้ำหนักของกุศลเกิดเป็นธรรมฤทธิ์ เป็นพระสยามเทวาธิราช คนไม่รู้ก็มี คือเขาไม่รู้ว่ามีคนดีที่ออกมาทำงานนี้มีอยู่ แม้คนดีก็มีอยู่ในคนกลุ่มแดง ยกตัวอย่างเช่นชาวฝ่ายแดง เขาไม่เอาหรอกถ้าจะไม่เอาในหลวง ก็มีคนในกลุ่มแดงส่วนใหญ่ ตอนนี้นปช.ก็ต้องว่าจะเอาในหลวงเพราะค้านไม่ได้ แต่นำ้หนักลึกๆอาตมาตัดสินว่าตัวพลังงานรวมก้อนใหญ่ของนปช.เขาไม่เอาในหลวง เป็นความเห็นร่วมของนปช.ทั้งหมดรวมทั้งคณะรัฐบาลที่ตายเน่าก็มีคนไม่เอาในหลวงรวมอยู่ แต่มวลส่วนใหญ่ของแดงอาตมาว่าเอาในหลวง ลักษณะที่เอาในหลวงเป็นกุศลจิตก็อยู่ในพวกแดง

      ส่วนพวกเรานี่เอาในหลวง100 % ไม่มีหรอกอย่างพวกหัวเก่าหรือหัวก้าวหน้าไม่เอาในหลวง พวกเราไม่มี แต่น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน จิตวิญญาณกุศลก็ไปร่วมกับกุศล เมื่อทำงานเข้าขั้นจริง ต่อสู้กันจะมีสองฝ่ายเท่านั้น

      พวกแดงที่เอาในหลวงก็เป็นพวกเราทั้งนั้น จริงนะ อาตมาพูดสัจธรรมสู่ฟัง

      มาถึงวันนี้แล้วไทยยังจะมีประชาธิปไตยสองขา ในหลวงองค์นี้เป็น ในหลวงที่ควีนอังกฤษตรัสยกให้เป็น King of King ของประชาธิปไตย ท่านไม่ได้ตรัสเล่นๆนะ

      ไทยเราหากผ่านเหตุการณ์นี้ไปแม้จะแพ้หรือชนะจะเป็นหลักของประชาธิปไตยสองขา แต่มั่นใจว่าคราวนี้พวกเราชนะ เพราะแม้แต่ฝ่ายแดงก็มีพวกเราอยู่ในนั้น ถึงเวลาจะมากันเอง เรื่องนี้ถึงที่สุดแล้วก็จะมาเอง อย่าไปทำร้ายว่าร้ายเขา เขามาเป็นพวกเราแล้ว ตอนนี้เหตุการณ์ใกล้ขนาดจมูกจะชนเส้นชัยแล้ว ใครจะไปชนก่อนกัน แต่อาตมาเห็นว่าเขารั้งท้ายแล้ว พวกเราจะจมูกจะชนเส้นชัยแล้ว

      อาตมาประมวลเหตุปัจจัยแล้วอกุศลของเขาเยอะเหลือเกิน แต่ของเราใกล้เส้นชัยแล้ว ดูตามเหตุปัจจัย ประมวลแล้ว มันควรต้องหยุดได้แล้ว อาตมาไม่เชื่อว่าไทยจะล้มเหลว จนเกิดนองเลือด เพราะการแสดงออกของฝ่ายนปช.เขาแสดงออกว่าจะต้องสงบด้วยนะ ผู้ดีนะ แม้แต่จตุพรก็พูดจริงจังว่าจะต้องเอาอย่างสงบถูกต้องตามกฎหมายนะ ทุกอย่างเป็นการแสดงออกของคนไทย ประเทศไทยไม่สิ้นไร้ไม้ตอก

      ชาวอโศกทำแบบบุญนิยม เป็นเศรษฐศาสตร์บุญนิยม สื่อสารบุญนิยม เราไม่ใช้กฎระเบียบ100 % เราอยู่อย่างรัฐศาสตร์บุญนิยม เราถอดแบบพระพุทธเจ้ามา แม้เป็นสังคมกลุ่มเล็ก แต่จิตวิญญาณเป็นประธานของส่ิงทั้งปวง เราอกมาทำงานกับสังคมขนาดนี้ช่วยสังคมได้จริงๆ ต้องขอบคุณทุกคนที่อดทนเสียสละอยู่มาจนถึงทุกวันนี้

      ปฏิบัติแบบอโศก นั้นคนอาจไม่บอกยี่ห้อว่าตนเป็นอโศก แต่ว่าปฏิบัติแบบอโศกนั้น ดีแล้ว นิมนต์ แต่ถ้าผู้ใดใช้ชื่อยี่ห้อว่าอโศก แต่พฤติกรรมแย่ไม่เป็นอโศก นั้นขอให้ไปไกลๆเลย ทำอย่างนั้นคนก็เข้าใจผิดสิว่าอโศกแย่

      ตอนนี้เราทำมานี้สวยงามย่ิงแล้ว วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ ก็ขอให้ช่วยกันประคอง อย่าผิดพลาดอย่ารุนแรง อาตมาว่า ตายก็ยอมนะ ศาสนาอิสลามเขาว่าตายเพื่อส่ิงดีงามสิ่งประเสริฐสิ่งนี้สุดยอด พระเจ้านับเป็นนักบุญเลย พุทธก็สอนเช่นนี้แต่ไม่พูดแรง แต่พระโมคคัลลานะก็ต้องตาย และพระอรหันต์ 60 รูปแรกก็ให้ออกเผยแพร่ไปตายเสียเยอะเพราะสมัยนั้นรุนแรง ยึดถือ

      สิ่งที่เราทำมาด้วยเนื้อแท้ธรรมะมาไกลแล้ว ไม่ว่าศาสนาไหนก็แล้วแต่ จงภูมิใจเถิดที่เกิดเป็นไทย ทุกศาสนานั้นมีความดีงามมากพอ ...ขอให้รอดูเหตุปัจจัยที่จะมาในอนาคต


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:20:05 )

570518

รายละเอียด

570518_พ่อครูที่เวทีผ่านฟ้าฯ เรื่อง เส้นตายที่เราไม่รอไม่หวัง แต่...เราทำ

       อาตมาไม่ใช่คนที่เอาแต่มโน จินตนาการเอาเอง แต่อาตมาเอา มเนื้อ เอาตามเหตุปัจจัยต่างๆที่ละเอียด อ่านถึงน้ำเสียงสำเนียงคำพูด การแสดงออก ที่แตกต่างกัน แม้ในกาละต่างๆ เป็นองค์ประกอบที่ถ้าได้ศึกษาฝึกฝน หัดพิจารณาอ่าน เพื่อให้รู้

       อ่านตั้งแต่ของหยาบจนถึงของละเอียด สามารถรู้เข้าไปข้างในถึงใจ มโนปุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา เป็นพลังงานใหญ่ตัวจริง ซ้อนเข้าไปในใจจริง ที่ผสมด้วยกิเลสหรือใจไม่มีกิเลส พุทธเรียนรู้ถึงพลังงานจิตวิญญาณ เรียนรู้อย่างวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่หยาบภายนอกจนถึงละเอียดภายใน ทุกอย่างมาแต่เหตุ อย่างในมูลสูตร

       มีฉันทะเป็นมูล เป็นต้นเค้าเลย คือความยินดีพอใจ ถ้าไม่มีตัวนี้ไม่มีทางเดินสู่การบรรลุธรรมได้เลย หากไม่มีฉันทะเป็นตัวตั้ง และมีสิ่งที่จะเป็นที่ๆจะเป็นฐานสนามรบ คือ มนสิการ เป็นแดนเกิด เป็นกรรมกิริยาที่ใจ เป็นสัมภวะ(แดนเกิด) มีแหล่งแห่งที่ไม่ใช่ว่าไม่มีหลักไม่มีฐานไม่มีที่ ว่าต้องกระทำตรงนี้เลย ถูกที่ถูกทาง หากไม่มีที่ทาง ไม่มีฐานก็ไม่มีทางเข้าถึงได้ และใจต้องยินดีที่จะทำตั้งใจศึกษา และต้องรู้แหล่งเป็นแหล่งตาย ที่จะทำให้เกิดให้ดับ

       ต้องรู้อาการของการทำใจในใจ ถ้าทำไม่ได้ก็หาที่เกิดไม่ได้ เป็นสัมภเวสี หาที่เกิดที่ตายที่รบไม่ได้ เป็นแหล่งแห่งที่ๆสำคัญ หากไม่เป็นสัมภวะ ก็เป็นสัมภเวสี ล่องลอยไป ไม่มีปัญญารู้ว่า มนสิการเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน มันเป็นามธรรม แต่ก็รู้ได้ ว่าต้องอ่านจิตได้ รู้ว่านี่คือเวทนา นี่คือ กาย ที่เป็น ก้อนของใจ ไม่ใช่ว่ากายคือก้อนร่างดินน้ำไฟลมแต่อย่างใด ถ้าไม่รู้กายอย่างนี้ก็ไม่รู้แดนเกิดไม่รู้แหล่งที่ทางที่จะทำใจในใจ ก็ล่องลอยไปไม่รู้กี่ปีแสง กี่กัปป์กัลป์

       จิตต้องแม่นตรงนี้ ต้องมีญาณปัญญาจับสนามรบ ที่ทำการ เป็นOffice เป็นโรงงาน เป็นแหล่งประพฤติเลย หากหาไม่เจอก็เป็นสัมภเวสีตลอดกาลนาน หาที่เกิดไป ไม่สามารถทำความเกิด ดับให้แก่ใจได้

        อาตมาฟังพวกแดงเขาจะซ้ำซากไม่เข้าเป้าอยู่ตรงนั้นแคบๆ หน้าตาก็คนเก่าๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปเสริมหรอก มีตัวหลักอยู่ไม่กี่คนก็น่าสงสาร มีตู่ เต้น นกแสก แล้วก็ไม่กี่คน ไม่หลากหลายมากมายเปลี่ยนหน้าตามาเหมือนกปปส. เป็นความหลากหลาย diversity เป็นความแตกต่างแต่เป็นหนึ่งเดียว unity of diversity และแม้หลายหลายก็เข้าสู่เป้าหมายเดียวกัน

      ฝ่ายแดงไม่หลากหลายหรอก แข็งทื่อ เขาจะต้องตีเข้าหาเป้านั้นแหละ ของเรามาทุกศาสนา ทุกสี มาอยู่กันได้อย่างมีเอกภาพแห่งความแตกต่าง และจะกลมกลืนนำพากันไปได้ ถ้าฝ่ายแดงมีหลากหลายอย่างเราเขาตีกันตายแล้ว เขาจะต้องบังคับให้เป็นอย่างเดียวกันไม่ให้ตีกัน แต่ของเรามีจิตเมตตา ไม่ยึดมั่น ไม่เพ่งโทสก็แก้ไขช่วยกันไป อลุ่มอล่วย กันไป คำว่าอลุ่มอล่วยของในหลวงนี่ยิ่งใหญ่นะ มีคำนี้ ลึกซึ้งวิเศษมาก ไม่ใช่เลอะเทอะงมงายนะที่อาตมาเข้าใจนี้

       ประเทศไทยเรามีผู้มีภูมิปัญญาสุดยอด สุดประเสริฐคือในหลวง เราต้องพยายามฝึกฝนให้ทำตามประมุขของประเทศ เราเป็นลูกต้องเข้าที่เข้าทางตามพ่อที่พาเป็นพาไป

      แบบคนจน

“แบบที่เรียกว่า ทำ “แบบคนจน”  คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ “ทำแบบคนจน” เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า”อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ “ถอยหลังเข้าคลอง”แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ”

       อาตมาถือเป็นคัมภีร์เลย แบบคนจนที่ในหลวงตรัสนี่ ถ้าสังคมเป็นแบบที่ว่านี้ไปรอดแน่ ไม่ว่าเศรษฐกิจพอเพียงหรือขาดทุนคือกำไร หรือแบบคนจนนี่แหละ

       พวกเรานี่เป็นพวก “คนจนแจกจ่าย” ส่วนอีกพวกเป็นพวก “คนรวยขูดรีด” ทำให้คนหลงรวย เสพติดความรวยความสุขฟุ้งเฟ้อ ส่วนคนจนหากปฏิบัติธรรมเป็นคนปล่อยวางละล้างไม่ต้องหาอะไรไปสนองตนเองมากมาย ขยันหมั่นเพียรทำงานรับใช้สร้างสรร เป็นความเจริญงอกงามสร้างสรร เกิดส่ิงที่ให้คนอาศัยใช้สอย เราก็เป็นคนมักน้อยกล้าจนไม่สะสมมาก มีเท่าไหร่ก็สะพัดแจกจ่ายออก นี่คือนักเศรษฐกิจยอดเยี่ยม แบบคนจนแจกจ่าย แล้วทำได้จริงๆด้วย

       ใจจะต้องเข้าใจจริงเห็นดีเห็นงาม เราจนอย่างไม่ต้องอดทน ไม่ต้องเอาของใครอย่างเบิกบานร่าเริง มีทั้งนิสัยพฤติกรรมที่ทำได้จริงเป็นคนจนที่สำเร็จแล้ว เราจะทำให้เป็นสังคมแบบเราที่ไม่เป็นผู้เอาเปรียบสังคม แต่เป็นผู้ให้ผู้เกื้อกูลสังคม

       ชาวอโศกที่มาจนนี่คนอาจหาว่ามาหลอกทำทีจนแล้วมีเล่เหลี่ยมซับซ้อนอยู่เบื้องหลัง แต่ที่จรงไม่ใช่ เป็นคนจริงทั้งนอกและใน ทั้งกายและใจ เราออกมาทำงานกับสังคม จนสังคมเห็นได้ว่าเราจริงใจอย่างไรแล้วทำอย่างนี้จะช่วยสังคมได้อย่างไร เรามั่นใจว่าทำได้ แล้วจะพิสูจน์ต่อไปว่าทำได้จริง แต่ละคนไม่รวยไม่ใหญ่โต แต่ส่วนกลางจะอุดมสมบูรณ์ แม้ส่วนกลางมีมากก็ไม่กักตุนสะสม เอาแต่พอเหมาะ ถ้าเรามีคนมากต้องทำงานใหญ่ขึ้นก็ต้องมีใหญ่ขึ้น เช่นเต็นท์แต่ก่อนทำงานไม่ใหญ่ไม่กว้างก็เต็นท์เล็ก แต่ตอนนี้ทำงานใหญ่ก็เต็นท์ใหญ่ขึ้นเป็นต้น

       เป็นคนมีวรรณะ9

1.    เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.   บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.   มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) 

4.    ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.    ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.    เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.   มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.   ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.   ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) 

 

       เราอยู่กันอย่างอลุ่มอล่วยกันนี่แหละสุดยอดจริง เราไม่ก้าวหน้าอย่างมาก เช่นประเทศจีนที่จะต้องรวย หรูหรา ได้เปรียบ เอาชนะ ใช้กลเม็ดของถูกเหมือนญี่ปุ่น ใช้เศรษฐกิจแบบโลกีย์ ตอนแรกก็ออกของถูกมาให้ซื้อ แต่ตอนหลังก็เริ่มแพงขึ้นๆ ไม่เหมือนผู้ที่มีจิตวิญญาณแห่งการให้ แม้จนก็จะช่วยเหลือคน เอาไปเอามากลายเป็นคนจนช่วยคนรวยเสียอีก ส่วนคนรวยไม่รู้จักพอ รวยไม่เสร็จไม่จบ ขีดเส้นความรวยให้แก่ตนเองไม่ได้

       แต่เรามาน้อยลงเราก็อยู่ได้ก็เจริญขึ้นๆ สรุปว่าแบบคนจนนี่ในหลวงไม่ได้ตรัสเล่น ตรัสเอาโก้ๆ หรือไม่เป็นจริง แต่ขอยืนยันว่าพระราชดำรัสของพระองค์เป็นความจริงอันสูงสุด ต้องทำความเข้าใจและปฏิบัติให้ได้ ยิ่งโลกทุกวันนี้เขาแย่งอำนาจบาทใหญ่กันทั่วโลก มีแนวคิดอย่างนี้เท่านั้นแบบโลกีย์ เราก็ออกมาอย่าไปเข้าไปอยู่สนามรบโลกีย์เลย เราปลีกมาอยู่อย่างพอเพียงรวมตัวกันสร้างสรรจนมีมากพอแล้วเอาไปแจกคนที่แย่งชิงอยู่นี่

       แบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา หรือเศรษฐกิจพอเพียงหรือแบบคนจนนี่แหละเป็นแบบอย่างประเสริฐสุดแล้ว เรามาทำให้เป็นประเทศแบบนี้ให้ได้ ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัส 100 % ล้ำสมัยก้าวหน้าเกินกว่าเขาเข้าใจได้

       ถ้าใครเข้าใจยิ่งเอาไปปฏิบัติได้คนนั้นคือคนก้าวหน้า ลำ้สมัย

       ชาวอโศกนี่คือผู้ล้ำสมัย (ไม่อยากพูดเดี๋ยวเขาว่าอวดตัวอวดตน) ล้ำสมัยอย่างไร? ..ก็เพราะว่าอโศกนี่ทุกข์น้อย สุขมาก แม้จนก็เป็นสุข แม้ไม่สวยงามหรูหราก็เป็นสุข แม้เขาเห็นว่าเป็นคนรับใช้ก็เป็นสุข ได้รับใช้คนก็เป็นสุข ส่วนคนอยากได้ไม่รู้จบนี่ทุกข์ ส่วนคนพอได้เมื่อไหร่ก็สุข

       ณ ลมหายใจเฮือกนี้เป็นอย่างไร? เอาหัวข่าวของนสพ.แต่ละฉบับมาอ่าน แล้วที่พวกเราออกมาประท้วงผู้บริหารประเทศที่บริหารให้ประเทศฉิบหาย เราก็มาขับไล่ แต่เพราะคุณหวงแหนโลกียสุข ก็แสวงหาคนมาร่วมกับคุณ ก็มีเยอะได้เพราะคนอยากได้โลกีย์มีมาก แต่คนมีปัญญาที่รู้แม้อยากได้แต่เป็นสิ่งไม่ดีงาม ก็มาลดเถอะ คนเข้าใจได้อย่างนี้มามักน้อยสันโดษ เกื้อกูลคนอื่น อย่างนี้มันดีแท้ ลึกซ้อนในคนไทย เราเข้าใจได้เพ่ิมขึ้นๆจึงออกมารวมกัน เมื่อรบ.มักใหญ่เหลิงคะนอง ผิดกฎหมาย ดูถูกสถาบันก็ไม่กลัว เป็นต้น คนไทยพอรู้พอเข้าใจ

       แต่ก่อนนี้สังเกตฝ่ายแดง นปช. ตั้งแต่ทักษิณสร้างลัทธิทักษิโณมิกส์ คนที่ไปทำแบบทักษิณ คนไทยก็เห็นรู้ว่ามมีผลเสียเลวชั่ว ชัดขึ้นๆ ก็มีคนออกมาล้มล้างลัทธิทักษิณนี้ มีผู้รู้ออกมาตีแผ่ความชั่วร้ายของระบอบทักษิณแก่สังคม มีคนออกมาได้มากขึ้นๆ มีอัตราการก้าวหน้าเรื่อยๆมาถึงวันนี้ คนรับได้ทำตามได้ เปลี่ยนแปลงความเชื่อถือความเห็นมาทางสัจธรรมมากขึ้น

       พวกเราที่รู้มากก็อาจใจร้อนอยากให้จบเร็ว อย่าไปทำใจเช่นนั้น ต้องพยายามยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ จนพวกแดงก็ว่าสุเทพไม่มีทางชนะหรอก แล้วคำพูดของกำนันก็ว่า ขีดเส้นตายวันสุดท้ายวันที่ 26

        ไทยเรามีคนมีปัญญามีดวงตาธรรมะ ตื่นรู้ มาช่วยกันยับยั้งคณะรัฐบาลเลวร้ายนี้ เรียกว่าเป็นคณะกลุ่ม “ผีผลาญ” หากเราตื่นรู้ไม่ทันก็ทรัพยากรในประเทศเราหมดจริงๆ

      สมมุติว่าเราแพ้ เมื่อเราแพ้อำนาจของเราตกไปอีกฝ่าย แม้ไปตัดสินคดีความในศาล แต่ผู้ที่เป็นคนควบคุมกลไกประเทศ ข้าราชการต่างๆที่จะบริหารประเทศก็ตกอยู่ใต้อำนาจผู้บริหาร คุณสุเทพก็ยากจะหลุด ใช่ไหม …? ถ้าเราจะแพ้ ต้องให้สุเทพถูกตัดสินพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรม จะมีกระบวนการยุติธรรมบ้างไหม?สงสารสุเทพบ้างไหม?...แล้วทำไม ไม่ยอม ไม่ยอมแล้วจะนอนตีพุงได้ไหม...ไม่ยอมต้องออกมาช่วยกัน

      อาตมายอมรับนับถือคุณสุเทพ ว่าไปกินดีหมีหัวใจเสือที่ไหนที่กล้าทำอย่างนี้  ตอนนี้เราก็ทำอย่างดี ไม่รุกรานรุนแรง อย่างในทำเนียบตอนนี้เราก็เป็นประชาชนเข้าไปใช้ทำเนียบ เป็นนักบริหารเหมือนรัฐบาลเลย เป็นทำเนียบของประชาชน ไม่ได้ใช้อำนาจบาทใหญ่ เป็นจิตวิญญาณของเจ้าหน้าที่ที่ช่วยเหลือให้เราทำได้ กำนันสุเทพจึงได้พาพวกเราไปทำงานในทำเนียบเป็นชัยชนะถูกต้องดีงาม แต่รัฐบาลต้องวิ่งหนี หลบไปที่ไหนไม่รู้ เป็นพฤติภาวะที่ชี้บ่งให้เห็นว่าอะไรคือความพ่ายแพ้ อะไรคือชัยชนะ ไม่ได้ชนะอย่างข่มเบ่งนะ แต่เป็นการให้ความรู้สติปัญญา จนสุดท้ายเขาก็ต้องให้ จนเราไปทำการในทำเนียบได้

      ทำให้เห็นว่าประชาชนมีการชนะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ตรงกันข้ามกับฝ่ายแดงที่ตะโกนโหวกเหวก ว่าตอนนี้สุเทพกำลังจะเป็นจะตายห่อเหี่ยวแล้ว มันตรงกันข้ามแล้วสุเทพไปไกลแล้ว เขาโง่อยู่อย่างนั้น ตีกินหลอกลวงคนอื่นให้คนหลงตาม ทั้งที่มีสิ่งแสดงออกเห็นโต้งๆ เขาก็อ่านไม่ออก

        เขามีอำนาจแต่หลบหนีหัวซุกหัวซุน เราไม่ได้ไปข่มขู่ ใช้กำลังอาวุธแต่อย่างใด แต่เขาหนีเพราะว่าตัวเองทำไม่ถูก ตัวเองทำผิด ตัวเองไม่มีทางสู้ สู้อย่างสัจธรรมเลยนะ สู้กันอย่างผู้ดี อาริยชน เขาไม่มีทางสู้ เขาก็หนี (หางจุกตูด)

       ตอนนี้การปฏิบัติการของประชาชนใช้ความชอบธรรม แม้ตุลาการก็รับรองว่าเราทำถูกรธน. เราทำมีผลก้าวหน้าด้วย ตอนนี้เหลือใยสุดท้ายแล้ว เราจำเป็นต้องเอามวลมาให้มากอีกซึ่งตอนนี้ก็ไม่พอ แล้วเราทั้งหลักฐานเหตุผลหลักการยืนยัน กันให้ได้ เราไม่เอาแบบเลวร้ายอาวุธมาทำเลว ตอนนี้ทางโน้นเขาก็ว่าจะเอาความถูกต้อง สันติ อหิงสา มาต่อสู้กันก็ขออนุโมทนาถ้าทำได้อย่างนั้นจริงๆ

        อยากให้มวลประชาชนทั้งหลายเข้าใจว่า เมื่อกำนันขีดเส้นตาย ขอให้กัดฟันอดทนรวมพลังกันให้มาก เท่าที่จะทำได้ ต้องการทุกคนในประเทศไทย ใครเห็นด้วยก็ออกมาไม่ได้บังคับนะ ใครเห็นด้วยกับฝั่งโน้นก็ไปช่วยกัน แต่ถ้าใครเห็นด้วยกับกปปส.ก็โปรดออกมา

      ณ ลมหายใจเฮือกนี้ เส้นตายอยู่วันที่ 26 แต่วันนี้วันที่ 18 เหลืออีก 8 วัน ในช่วงนี้ มาแสดงเต็มที่ ช่วยกันเต็มที่ได้ไหม ออกมารวมกัน ไม่ว่าข้าราชการ ประชาชน ก็ออกมาเสียสละกัน แม้แต่แค่มวลก็ออกมากันให้มากให้ทำลายสถิติโลกกันหน่อย และใครมีความรู้ความจริงหลักฐานบอกกันขึ้นเวทีบอกกัน สื่อสารสู่สาธารณะ ยืนยันความจริง ใครผิดใครถูกแจงให้ชัดเจน เราต้องมีทั้งปริมาณและเนื้อหาให้ครบ ยืนยันเต็มที่ให้สมบูรณ์ให้มากพอ ภายในวันนี้ถึง 26 ขอแรงขอร้องประชาชน กัดฟัน อดทน เต็มที่ ให้รู้กันเลยว่า ม้วนนี้เป็นม้วนสุดท้ายที่เราจะเผด็จศึกให้ได้ ที่เราจะเอาความถูกต้องในประชาธิปไตยและปริมาณมาตัดสิน อาตมาไม่รอไม่หวังแต่เราทำ อาตมาเอาตัวออกมาแล้ว พวกเราก็มาช่วยกันให้มากเถิดเทอญ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:21:14 )

570519

รายละเอียด

570519_พ่อครูที่เวทีผ่านฟ้าฯ เรื่อง ถ้ากล้าฟ้าจึงเปิด

       ธรรมะนี่ทั้งยากและคนไม่อยากฟัง อาตมาก็น่าจะท้อแล้วนะ แต่อาตมาก็ไม่เคยท้อ มีแต่ความเห็นใจ เข้าใจ เขาไม่เห็นว่าเป็นของมีค่า น่าเอาใจใส่ จะให้เอาสุญญตาความไม่มีอะไรนี่นะ เขาจะไม่อยากเอาหรอก เพราะเขาอยากได้อยากมี จะต้องมาฟังสิ่งที่ทวนกระแสความรู้สึก อาตมาก็เข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านก็ว่าการไปใหญ่โตหรูหรา พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม เพราะมันพาไปทุกข์ ความเห็นแบบโลกีย์พาทุกข์ พาให้สังคมเดือดร้อน

       พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องคนและสังคมมนุษยชาติ ท่านตรัสรู้สองอย่างนี้แหละสุดยอดแล้ว อาตมาก็เห็นว่าเป็นความดีงามของมนุษย์ที่จะต้องได้ต้องมีต้องเป็น เป็นความเจริญที่เป็นอิสรเสรีของเขา และที่เราทำมานี่มันเป็นความดีงาม จนมารวมกันเป็นหมู่กลุ่ม จนเกิดเป็นคณะกปปส.นี่แหละ

       วันนี้หัวข้อข่าวพาดหัวข่าวของนสพ.แต่ละฉบับก็มีว่า

       ไล่ล่าใบลาออก ชุมนุมใหญ่ 3 วัน

       ดันทุรัง คลังหลับตากู้เงินโปะข้าวทั้งๆที่เป็นเรื่องผิดรธน.

       กลางสัปดาห์รู้ผลรัฐบาลเฉพาะกิจ

       โหวงเหวงยุรัฐบาลชิงทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฏีกา

       เต้นโชว์ค่าหัว กปปส.

       โพสต์ทูเดย์...สว.ชิงตั้งนายกฯ สุรชัย ใช้อำนาจประธานวุฒิสภา สรส.งัดไม้ตายคุมไฟฟ้า โทรศัพท์

       มติชน...นิวัฒน์ถกสุรชัยวันนี้ ยัน เลือกตั้ง ,3 ทางออกของวุฒิขัดรธน.

       เอเอสทีวี ...ดีเดย์ไล่ล่าใบลาออกรัฐมนตรี

       แนวหน้า...ลุ้นนิวัฒน์ธำรงค์ ลาออก ถกลับยุติวิกฤติการเมืองไทย จบภายใน 26 พ.ค.นี้

       ตู่ เด็ดพี่เย้ยกลับ นัดครั้งสุดท้ายมา 11​ ครั้งแล้ว ...พ่อครูก็ว่าก็เพราะคุณดึงดันไง อย่าว่าแต่ 11 ครั้งแล้ว 100 ครั้งก็ต้องยอมทำน่ะ

       พ่อครูว่า...กล้าๆหน่อยจะได้เป็นอาริยะ จะได้เป็นลูกพระพุทธเจ้า คนไทยเดี๋ยวนี้ตื่นรู้กันเยอะแล้ว เหลือแต่ความกล้า    

       ตอนนี้เลี่ยงไม่ได้แล้วที่จะต้องตั้งนายกฯคนกลางเข้ามารับช่วงชั่วคราว ซึ่งดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ก็ได้มาพูดถึงว่า ตอนนั้นทำไมกล้าทูลเกล้าฯชื่อคุณอานันท์ ปันยารชุน มาเป็นนายกฯ ก็เพราะว่าคุณอานันท์รับปากว่าจะเป็นนายกฯชั่วคราวให้ 3 เดือน

       พระพุทธเจ้าว่าต้องใช้ปัญญาปาสาโท คือเหมือนมองลงมาจากปราสาท เหมือน Bird eye view มองลงมาจะเห็นครบ ไม่ใช่มองจากที่ต่ำ จะมองไม่ครบ ถ้าเรื่องปัญญาก็ต้องมองให้ครบ ตัดสินให้แม่นให้ดี ความเป็นกลางต้องประพฤติให้ข่มคนผิดยกคนดี ทุกคนมีความฉลาดเท่าที่ตนเองโง่ และทุกคนมีความโง่เท่าที่ตนเองฉลาด มันต้องมีสองฝ่าย ประชาธิปไตยต้องมีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายเสนอ ตามธรรมชาติต้องมี     

       คนมีปัญญาแล้วจะรู้อะไรถูกควร แต่ที่มันพะอืดพะอมคือมีปัญญารู้แล้วว่าข้างไหนถูก และต้องมีความกล้า พระพุทธเจ้าสอนว่าต้องเข้าข้างคนดี

       ทางฝ่ายแดงเขาก็ว่าจะชุมนุมที่อักษะสงบสันติอหิงสาเหมือนกัน ก็อนุโมทนาขอให้ทำได้อย่างนั้น แต่พวกมือที่ 3 นี่ขอให้หยุดทำรุนแรงทำลายทำร้ายกันเลย

       อาตมาว่าเป็นการรบของปัญญาชน เรื่องทำลายทำร้ายด้วย Force เลิกเสียที เรามาแพ้ชนะกันด้วยความดีงามถูกต้อง เป็นตัวอย่างของโลก เป็นการทำสงครามที่สุดสวยเลย วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์

       อาตมาว่าคนไทยมีปัญญา เหลือแต่ความกล้าๆหน่อย

       การตัดสินด้วยความดีงาม การตัดสินด้วยหลักกฎหมายทางโลก แต่การตัดสินด้วยประชาธิปไตยมวลประชาชนก็มาตัดสินได้ ก็มารวมตัวกันมากๆคือการแสดงคะแนนเสียงตัดสิน เหมือนการตัดสินความแบบลูกขุนออกเสียงกันใครได้เสียงมากกว่าก็ชนะ แต่นี่ประชาชนออกมาแสดงมวลปริมาณ นับหัวเอาเลยใครเห็นด้วยก็ออกมา ไม่ต้องบังคับไม่ต้องจ้างวาน มารวมตัวกัน อันนั้นประชาภิวัตน์

       ส่วนตุลาการภิวัตน์ก็ใช้กฎหมายในการตัดสินก็ทำแล้ว ส่วนประชาชนจะมาเป็นตุลาการตัดสินก็ทำได้ใช้ปัญญาตัดสินแล้วออกมาแสดงคะแนนเสียงเลย ก็เหมือนวิธีการตุลาการตัดสิน

       ยังเหลือแต่กัมมาภวัตน์ การกระทำเท่านั้น ประชาชนต้องมาตามมาตรา 70 ,63,69

       มาตรา 70  บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       คนไม่ออกมานี่ผิดหน้าที่นะ ต้องการให้มาพิทักษ์รักษาชาติ เป็นวิธีการของประชาธิปไตย

       หรือม.69 ประชาชนมีสิทธิ์ต่อต้านโดยสันติวิธี เราทำมานานแล้ว จนศาลต้องตัดสินให้เราถูกต้องด้วย และจะเข้มข้นขึ้น โดยรวมตัวกับนักธุรกิจ ข้าราชการ สรส. เป็นต้น

       ก็ล้วนแล้วแต่เป็นประชาชนมารวมตัวกันทั้งสิ้น แม้แต่คณะรัฐบาลเองที่เป็นรัฐบาลกบฏ ,ผู้เป็นข้าราชการก็ไม่เอารัฐบาลนี้หลายคนแล้ว ข้าราชการที่เป็นนักการเมืองถาวรเขาก็ออกมารวมกับกปปส.แล้ว หรือนักการเมืองหลายคนก็มารวมกับกปปส.แล้วชัดเจน

        มีผู้ถามอาตมาว่าเมื่อไหร่?ถึงจะจบ...ถ้าอาตมาตอบแล้วจบจริงๆนะ

      ผู้ที่มีปัญญารู้แล้ว ...ประชาชนทุกคนที่ได้ยินอาตมา...ให้รู้ว่าตอนนี้เราต้องการมวลประชาชน เราประกาศว่าจะเผด็จศึก ขอให้ประชาชนที่มีปัญญารู้ว่าอะไรถูกหรือผิด แล้วกล้าๆหน่อยออกมารวมตัวกันกับกปปส. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขีดเส้นใต้ว่าวันที่ 26เป็นวันสุดท้ายที่จะประกาศชัยชนะ อดทนออกมารวมตัวกันที่นี่ เอาคนที่มีปัญญาเห็นว่าทางนี้ถูกไม่ได้บังคับ หากคุณเห็นว่านปช.ถูกก็ไปกับเขาเลย ทางโน้นก็ระดมคนเหมือนกัน

        เป็นการต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยสวยงามมาก ฝั่งนปช.ก็ไปทางโน้น ส่วนกปปส.ก็มา ขอเวลา 7ถึง8วันนี่กล้าๆออกมากัน เราเลี้ยงดูกันได้ ถ้าออกมาที่นี่ 35 ล้านจะชนะไหม? ที่โน่นจะมีเหลือสักล้านไหม?

       หัวไทยโพสต์ว่า...ลุยทวงอธิปไตย มันต้องลุย เพราะว่าเขามีอุปกิเลส 16 นี่ครบเลยเต็มกระบุง

        อุปกิเลส 16

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา) ถ้ากูไม่ได้ใครก็ไม่ต้องได้, แพ้ไม่เป็น , ไม่รู้ความควรไม่ควร ไม่ยอมเสียสละไม่ยอมยืดหยุ่นอนุโลม ,โกรธแล้วผูกพัน

3. โกธะ (โกรธ) เป็นการแสดงความแรงของการโกรธ

4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ) มีดีกรีของอกุศลจิตที่น้อยเบากว่าพยาปาทะ

5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)

7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)

8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)

9.มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)

10.สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)

11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)

12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)

13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา) มีนัยสองอย่าง หากยึดดีถือดีแล้วทำให้ดีอันนี้ถูกต้อง แต่ว่าถ้ายึดชั่วเป็นดีแล้วยึดอันนี้ซวย แม้คุณจะไปยึดดีตัวถูกต้องมันก็ไม่ดีมันทุกข์แล้วมันต้องต่อสู้กัน เพราะฉะนั้นต้องมียืดหยุ่นอนุโลม เสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ ,ยึดดีโดยไม่อนุโลมก็คือไม่ดีแล้ว

14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) ถ้าตัดสินผิดอติมานะก็ยิ่งร้ายแรง ขึ้นอยู่กับมานะ ถ้ามานะถูกแล้วตัดสินถูกอติมานะก็ยิ่งดี

15. มทะ  (มัวเมา) เมื่อคนเมาถึงไม่รู้ดีชั่วถูกผิดก็จะเข้าปมาทะแล้ว

16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ) รวมทุกอย่างที่ความประมาท 

        พวกเราอย่าประมาทต้องตรวจสอบให้ละเอียดละออ อาตมาชมกำนันสุเทพว่าใจเย็นละเอียดละเลียดดี ตกลงที่อาตมาออกม็อตโต้ว่า ยาวให้เป็นฯ เป็นคนบัญญัติสุภาษิตนี้แท้ๆ เสร็จแล้วกำนันเอาไปทำหมด พวกเราใจร้อนกว่า จะขบถต่อสุภาษิตแล้ว อย่าขายหน้าอย่างนั้นนะ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมด

        พวกเราเป็นหัวเจาะ ต้องเจอความแข็งความร้อนแรงเสียดทาน แต่ยังไงก็ต้องลุยให้สุดที่ ต้องอยู่กันให้ตลอด เราชนะรายทางมาไม่รู้กี่กระบุงแล้วทั้งยากเย็นกว่าจะได้มาแล้วจะให้ทิ้งกระบุงเทไปหมดได้อย่างไร?

       กำนันก็ประกาศแผนรัฐาธิปัตย์ บอกแผนคร่าวๆมา ตอนนี้ก็ไล่ล่าใบลาออกของพวกรักษาการรัฐบาล จะชุมนุมใหญ่ใช้เวลา 3 วันเร่งใหญ่เลย วันที่จะเร่งคือ 20ถึง 22 และขีดเส้นตายเผื่อไปถึง 26

        เพราะเราถอยไม่ได้แล้ว ไม่มีทางถอยแล้ว ไม่ใช่พูดอย่างดันทุรัง ไม่ใช่ว่าเห็นทางที่มีขยะพิษอยู่ภายหน้า แต่เพราะเราเห็นทางสว่างอยู่ข้างหน้าของประเทศไทย เราจึงถอยไม่ได้ เราเห็นรำไรๆแล้วว่าเรากำลังจะปราบตัวเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาตั้งแต่อายุมา 80 ปีแล้ว ถ้าคนไทยทำได้จะวิเศษงดงามมาก เราต้อสู้อย่างถูกต้อง เป็นการชนะอย่างอาริยธรรม ไม่ใช่ชนะอ่างคนตกยุคใช้กำบังอำนาจกดข่มบังคับอย่าง Forceแต่เป็นการชนะโดยธรรมโดยความดีงามอย่าง Authority ถ้าโอกาสนี้เอาชนะไม่ได้ โอกาสข้างหน้าก็ยากแล้ว ข้างหน้าไปจะไม่มีตัวร้ายมากกว่านี้แล้ว ครั้งนี้แหละโค่นเสียให้เสร็จ ต้องเอาชนะให้เด็ดขาด ตัวอื่นไม่มีตัวเลวร้ายกว่านี้ข้างหน้าแล้ว เอาให้เสร็จเลย

        อาตมาเคยสมมุติว่า...เราปราบระบบทักษิณนี้ออกไป จะไม่มีระบบใดที่เลวร้ายกว่านี้แล้ว แต่ปรากฏว่ามีผีร้ายตัวใหม่มารับช่วงต่อ ทั้งที่เราก็ไม่ต้องการ แต่มันได้ตัวร้ายตัวต่อไป อาตมาก็การันตีว่าไม่มีตัวร้ายกว่านี้หรอก มันขึ้นมาเราก็ปราบมันอีก เพราะฉะนั้นต้องมารวมกันเผด็จศึกให้ได้ เราจะเป็นแชมป์ตลอดนิรันดรเลย

       อาตมาว่าวันนี้ได้สาธยายเหตุการณ์จริงของสังคมทั้งรูปและนาม ,พลังงานและสสาร สังเคราะห์หกันอย่างไรในสภาพปัจจุบัน Status Quo เราจะอ่านองค์ประกอบให้เราได้วิเคราะห์แล้วทำให้ได้ถูกต้อง

        การรบด้วยโลกุตรธรรม ด้วยความดีงาม ใช้เมตตากรุณามาเป็นบุญญาวุธ เป็นสิ่งที่คนเจริญศิวิไลซ์ของโลกเขาทำกันอย่างแท้จริง เราต้องรบให้จบให้เสร็จอย่างแท้จริง เชื่อว่านักรัฐศาสตร์ในโลกจะต้องมาศึกษาต่อไป เป็นรัฐศาสตร์โลกุตระอาริยะที่เกิดขึ้นใหม่ ปฏิวัติโดยประชาชน ถูกต้องงดงาม


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:22:05 )

570520

รายละเอียด

570520_พ่อครูที่ห้องกันเกรา เรื่อง สยามเทวาธิราชิทธิ ตอนที่ 4

       จริญธรรม วันนี้เป็นรายการอาตมาเทศน์ มาออกอากาศ ณ ที่ที่สมควรออก ในมือของอาตมาคือ

        พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ลงนามในเอกสารเรื่องการประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก ฉบับที่ 1/2557 ความว่า ตามสถานการณ์ที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองหลายกลุ่ม ได้ทำการชุมนุมประท้วงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตปริมณฑล ตลอดจนพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ และมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์ความรุนแรง

      ด้วยการใช้อาวุธสงครามต่อประชาชน และสถานที่สำคัญอย่างกว้างขวาง เป็นผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บและเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มจะก่อให้เกิดเหตุการณ์จลาจล และความไม่สงบเรียบร้อยอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ อันกระทบต่อความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยรวมนั้น เพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และนำความสงบสุขกลับคืนสู่ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายโดยเร็ว จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 2 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 ประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 เวลา 03.00 เป็นต้นไป

 

       นี่คือเหตุการณ์บ้านเมืองล่าสุด ตามเหตุปัจจัยต่างๆ ที่จะต้องสังเคราะห์กัน เช่นผู้ที่มีทุนทางสังคม อิทธิพลทางสังคม หายใจเฮือกหนึ่ง เช่นถอนหายใจหรือหายใจฟึดฟัด มีผลต่อสังคมนะ มีบทบาทต่อสังคม เป็นธรรมชาติสัจธรรม อย่างอาตมาลีลาไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อสังคมอะไรเลย แต่มีอำนาจฤทธิ์โดยธรรม คืออาตมาทำงานสัจธรรมที่สงบ ลึก ไม่ไปกระทบกระแทกกระเทือนใครเท่าไหร่ ทั้งที่อาตมาแสดงลีลาหยาบกร้านกร้าว แต่อาตมาก็ใช้สัปปุริสธรรม 7 ประการ จัดองค์ประกอบศิลป์

       ทุกคนอยากอวดดีทุกคน มนุษย์มนาทุกคนใครมีดีสามารถเท่าไหร่ก็อยากโชว์ การแสดงความกร่างเป็นนักเลงนั้นน่าเกลียด แต่เขาเห็นว่าเท่ หรือความชั่วหลายอย่างที่เขาเข้าใจความชั่วเป็นความดี อวดดี เช่นฝ่ายแดงอวดดี ก็เลยเจอดี แต่เขาก็ไม่หยุดนะ ออกเฟสบุ๊ก เขาจะรวมตัวกันชุมนุมต่อไป

       อาตมาได้เทศน์ไปแล้ว มีผู้ที่ได้ถอดคำเทศน์อาตมามาหน่อย คำเทศน์ชื่อว่า พระสยามเทวาธิราช...เป็นนามธรรมที่คุ้มครองประเทศไทย เป็นนามธรรมในระดับ อุปาทายรูป 24 หทยรูปนี้ไม่อยู่กับที่ แต่อยู่ที่จิตวิญญาณรู้สึกตรงไหนจุดนั้นแหละคือที่ตั้งของหทยรูป 

       สมมุติว่า ตาเรากระทบรูปนี้ เช่นแฟนเราไปมีกิ๊ก พบบาดหูบาดใจ ก็เจ็บใจปวดใจทันที ความปวดใจมันเกิดที่ไหน เกิดที่หัวใจห้องที่ 4 หรือเกิดที่ความรู้สึกของคุณ คุณบอกไม่ได้ว่าอยู่บนร่างกายส่วนไหน แต่เป็นความรู้สึกที่คุณจะแค้นออกมาทางหมัด ทางนิ้วมือกดไกปืนหรือออกมาทางคำด่า มันก็อยู่ที่การปรุงแต่งของพลังงานทางจิต

       คนอื่นเขาไม่รู้เรื่องกับคุณ นอกจากเขาจะคล้อยตามแล้วรู้สึกตามคุณเท่านั้น

       ชีวิตรูป คือยังมีอาการไม่ตาย ถ้ามันนิ่งอยู่เลย สงบ ก็ถือว่ามันสงบ หรือไม่เคลื่อนไหวไม่มีบทบาทแล้ว เรียกว่ามันเป็นพลังศักย์ Potential energy แม้ว่าจะดูหยุด แต่ว่ามันมีพลังงานแฝงอยู่ในตัวมันเอง มีพลังงานทางจิตวิญญาณ แม้คุณหลับนิ่งสงบสะกดจิตเป็นอสัญญีสัตว์ แต่ใต้สำนึก ไร้สำนึก ใต้หรือในไร้สำนึกอีก มันมีพลังงานตามอนุสัย อาสวะ เหมือนยีสต์ ที่เป็นเครื่องหมักดอง ตัวยีสต์แบคทีเรียทำงานอยู่ หากคุณตระกูลผีก็ทำงานเป็นผี แต่ถ้าเป็นเทวดาโลกุตระก็ทำงานอย่างโลกุตระ หรือเป็นพรหมก็ทำงานอย่างพรหม เป็นสัจจะเลย ศาสนาพุทธเรียนรู้ถึง potential energy

       ส่วนอาหารรูปคือเครื่องอาศัย ยังไม่แตกแยกกัน เช่นน้ำคือ Hydrogen และ Oxygen มารวมกันเป็นน้ำ แต่ถ้ามันแตกตัว มันก็เป็นตัวของมันเองของ H และ O

       จิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน จิตวิญญาณของอรหันต์ หมดบาปหมดบุญ บาปคือกิเลส บุญคือเครื่องชำระกิเลส พอทำเครื่องชำระกิเลส กำจัดกิเลสหมดสิ้นเกลี้ยง เครื่องชำระกิเลสก็หมดท่าแล้ว บุญก็หมดท่าแล้ว เพราะไม่มีกิเลสให้กำจัดแล้ว อรหันต์จึงมีเครื่องอาศัยเฉพาะจิตบริสุทธิ์ มีอรหัตตา หรืออาศัยอัตตาอันเป็นอรหันต์

       ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คือ อวสานขั้นสุดยอดแล้ว คือทำลายเครื่องอาศัยของพระอรหันต์ ท่านจะปรินิพพานก็ไม่ตั้งจิตต่อ คืออปนิหิตตัง นิพพาน ไม่ตั้งจิต ทุกอย่างก็สลายตัว ธาตุจิตเป็นสุญญตาตลอดกาล อัตภาวะใดๆของอรหันต์รูปนั้นไม่มีอีกแล้ว

       ปริเฉทรูป คือ คือตัดขอบเขต เป็น context ที่อยู่ใน content นี้ หรือ concept นี้ แล้วในนี้มันเกี่ยวโยงสังเคราะห์กันอย่างไร ถ้าคุณจัดให้มันกลมกลืนเรียบร้อย สงบสุขได้นี่ก็คือฝีมือของศิลปิน ทำให้ภาพนี้อยู่อย่างกลมกลืน ทั้งที่มีส่ิงขัดแย้งแต่จับมาทำให้เกิดความโดดเด่นขึ้นมาของส่ิงที่ต้องการ เป็นพลังงานที่เอามาขันเด่นได้

       คุณเป็นศิปปิน เป็นนักบริหารที่จัดองค์ประกอบให้อยู่อย่างสงบสุข เป็นUnity of diversity เป็นความแตกต่างแต่อยู่กันได้อย่างอบอุ่น นี่คือฝีมือในการจัด ปริเฉทรูป

       และอากาศธาตุ แปลว่าความว่างความโปร่งใส ไม่มีอะไรขัดข้องวุ่นวาย โปร่งใสสะอาด นี่คือคำตอบของภาวะสว่าง ไม่ใช่นิโรธดับ แต่เป็นนิโรธสว่าง อยู่กันอย่างดี มองโล่งไปไกลสะอาด สว่าง สงบ นี่คือคุณจัดปริเฉทรูปได้อย่างดี คุณรับผิดชอบแค่นั้น รับผิดชอบใน content นั้น เป็นพลังงานที่อยู่กันอย่างดี ทุกคนมีอธิปไตยส่วนตัว เจริญสูงสุดทางภูมิปัญญา นิสัย พฤติกรรมประเสริฐ อยู่อย่าวเทวดา พรหม พฤติกรรมดีงาม อาตมาฝันๆว่าจะมีสังคมอย่างนี้อยู่ในประเทศไทย

       กายวิญญัติและวจีวิญญัติ จะต้องมีจิต คือ Potential energy เป็นมโนบุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา จะมีอาการเคลื่อนไหวอย่างไรละเอียดหรือหยาบแค่ไหนเราก็รู้ ในกายวิญญาณมีมโนวิญญาณซ้อน คุณสามารถอ่านออกได้ก็จะรู้ว่ามีกิเลสร่วมหรือไม่ เรามองของเราเป็นสำคัญ รู้ตัวเองเป็นสำคัญ จะเดินนอนนั่งยืน นุ่งห่ม เอี้ยวตัว ไกวแขน กิน ขับถ่ายก็อ่านว่าเรามีกิเลสร่วมหรือไม่?

       วิการรูปอีก 5

       1.หลุตา

       2.กัมมัญญตา

       3.มุทุตา

       ลหุตาคือ อาการเบา สุภาพ ทางกาย วาจา ใจ

       กัมมัญญา คือทำการงาน ปรุงแต่งทำกรรมกิริยาที่ควบคุมด้วย อัญญา เป็นอริยญาณ แม้แต่โสดาบันก็เร่ิมมีกัมมัญญา คือเหมาะควรแก่การงาน เป็นพลังงานทางจิตที่ทำได้ควบคุมได้ มีอิทธิพลให้คุณทำกาย วาจา ใจ ที่สุภาพ เรีบร้อยเหมาะสมกับเหตุปัจจัย

       มุทุตา คือจิตหัวอ่อนไม่กระด้างไม่แข็ง ปรับได้ไว ความรู้ก็รู้ไว ทำให้จิตเปลี่ยนไปตามที่เราต้องการได้ไว อาตมาแปลว่า จิตหัวอ่อน ไม่ได้แปลว่า จิตอ่อนเหมือนท่านทั่วไปแปล

       จากนั้นเป็นวิการรูป 5

       1.อุปจย

       2.สันตติ

       3.ชรตา

       4.อนิจจตา

 

       หนึ่ง อุปจยะคือ เกิด

       สาม ชราตา คือ การแก่

       สอง สันตติ คือ ตัวเชื่อมต่อระหว่างเกิดและตาย

       ในทั้ง 3 อย่างนี้คืออนิจจตา ในมหาจักรวาลนี้มีอยู่ 3 อย่างนี้แหละ

       จิตนิยาม สามารถเรียนรู้ อุปาทายรูป 24

       

       ในสังคมไทยเรามีวิญญาณองค์รวมของสยามเทวาธิราช

       ในวันที่ 18 ก.พ. 57 ที่ตำรวจจะมาสลายเวทีผ่านฟ้า แต่มาเจอคนที่มีจิตวิญญาณที่มุทุตา มีเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือ เป็นพลังงานที่คนมีสำนึกว่าอะไรดีชั่วก็รู้ คนจะมาทำร้ายคนสวดมนต์ ที่เขาไม่ได้ทำร้ายเรา แล้วแถมช่วยเราอีก เราเจ็บเขาก็มาช่วยอุ้มเราลุกอีก เป็นจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่จะได้ศึกษา กายวิญญัติ วิจีวิญญัติของสังคม กระแสสังคม เป็นสิ่งวิเศษที่เลยชนะได้ เขาก็หนียะย่าย พ่ายจะแจ ไปเลย

       เป็นพลังงานพิเศษ ที่เรียกว่าสยามเทวาธิราช

       เป็นพลังงานทางนามธรรมที่เราไม่สามารถเห็นด้วยตา แต่มีพลังพิเศษ เขาไม่ได้กลังตามโหดร้ายอำมหิต แต่เขากลับเกรงความดีงาม สุภาพเรียบร้อย เป็นปรากฏการณ์ในโลก แม้คานธีก็ไม่ได้ทำขนาดนี้ ของคานธีมีรุนแรงระดับหนึ่งแล้วเขาก็สงบแล้วเขาก็ชนะ แต่ของไทยเรานี่ทำได้อย่างดีกว่าที่คานธีทำ เป็นสิ่งปรากฏจริงในประเทศไทย

       เขาไม่ได้มีกายวิญญัติ ที่โต้ตอบ เป็นพลังงานทางกาย กับวาจา ที่เห็นได้ รับได้อ่านออก เขารับกระทบแล้วก็ต้องรู้สึกได้ ตำรวจเขาก็ต้องมีสำนึกดี ถ้าเขาไม่สำนึกดีเขาก็ไม่ยี่หระ เขาโหดเลย แต่นี่คนไทยโดยรวมมีน้ำใจจิตวิญญาณดี นี่คือองค์ประกอบของสยามเทวาธิราช แม้ตำรวจ แม้นปช.ก็มีจิตใจดี อาตมาชมอยู่ แต่เขาจะไปทำใต้ดินก็ไม่รู้ อย่างที่ว่าเกิดคนตายมียิงกันระเบิดที่ อนุสาวรีย์ปชต.ก็เป็นเหตุ

        ทำไมพล.อ.ประยุทธ์จึงประกาศกฎอัยการศึก ก็เพราะยังเกิดเหตุรุนแรงอยู่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ทำตามที่ประมาณ สุดท้ายก็ออกมาตามนี้ในลมหายใจเฮือกนี้

        ถ้าทหาร ออกมาไม่ใช้กฎอัยการศึก ทหารมาเข้าข้างปชช.จะสวยกว่านี้ แต่เอาเถอะต้องขู่เขาอย่างนี้ ถ้าทหารออกมาเข้าข้างปชช. เขาก็จะถูกนปช.ว่าเข้าข้าง เขาก็เลยจำเป็นต้องใช้กฏอัยการศึกหยุดสิ่งที่ควรหยุด อันไหนควรห้ามก็ทำ ตัดไม้ตัดมือก่อน ไม่ได้ดื้อๆปตว.ล้มล้างอำนาจเบ็ดเสร็จเลย มันเป็นความงามของสังคมไทยที่มีการปตว.

      อย่างที่ฟิลิปปินส์นายพล.รามอส ปตว.ก็เป็นไป แต่นี่ไทยเรายิ่งสวยกว่าพล.อ.ประยุทธ์ใช้ความเป็นกลางที่งดงาม ส่วนจะเป็นอย่างไรต่อไปไม่พยากรณ์

       

 

       เป็นการเรียนรัฐศาสตร์ของประเทศไทย ห้องเรียนคือประเทศไทย ผู้ตายและบาดเจ็บเป็นเรื่อง สุดวิสัยที่เกินกว่าเรากำหนด เป็นวีรกรรม เป็นบุญกุศลแก่ผู้เสียสละเป็นกุศลวิบาก ที่เราได้เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดปตว.ปชช.ครั้งนี้ เป็นเรื่องของการเมือง เป็นเรื่องการศึกษาPhenomenology เป็นปรากฏการณ์วิทยา ไม่ใช่แค่ Prophecyเป็นเรื่องลึกลับเก่งสุดได้เป็น Prophetหรือเป็นเรื่องแต่ตรรกะเหตุผลเป็น Philosophy เก่งที่สุดก็ได้เป็นแค่ Philosopher

       การศึกษาที่สูงที่สุดแห่งธรรมะเรียกว่า Epistemology ก็พยายามศึกษาจนมาถึงการศึกษาทั้งนามและรูป ทั้งสสารและพลังงาน ทั้งกายและจิต มีพฤติภาพ ปรากฏการณ์ บทบาทลีลา เรื่องสงครามเป็นธรรมาธรรมะสงคราม เป็นธรรมะกับอธรรม เพราะแม้แต่ศัตรูเขาก็พยายาใช้ธรรมะ แต่เขามีอธรรมมากไปหน่อย ใครมีธรรมะมากกว่าอธรรมก็ชนะ ผู้มีอธรรมมาก มีธรรมะน้อยก็แพ้

       ปชช.ช่วยกันตัดสิน เรียกว่าประชาภิวัตน์ ทำการรบ แล้วก็มีผลตัดสินเป็นกัมมาภิวัตน์ทุกวินาที ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกเฮือกขณะนี้ เมื่อคืนนี้ตีสามก็มีกฎอัยการศึก แล้วก็มีการต่อเนื่อง เนื่องมาตั้งแต่ 2549 ตั้งแต่คุณสนธิ นำพธม.ออกมา เอาธรรมนำหน้า ชาวอโศกก็มันเขี้ยวด้วย ก็เลยยกกองทัพธรรมออกมาสมทบที่สนามหลวง ตั้งแต่นั้นมา …

       เป็นการศึกษาตั้งแต่ตั้งมหาวิทยาลัยราชดำเนินมา ต่อเนื่องมาจนถึง 2557 เป็นการประท้วงที่ได้วิวัฒนาการมา เป็นการชุมนุมประท้วงถูกต้องตามรธน. ถูกธรรมะ ดังที่ศาลรับรองมา วิเศษ วิสุทธิ์  วิสิฏฐ์ ตั้งแต่เกิดการชุมนุมทางการเมืองมานี่ และชาวเสื้อแดงเขาก็ชุมนุมกันที่อักษะ

       การชุมนุมประท้วงนี่ปิดเทอมกันหลายที เทอมนี้เป็นFinal ยิ่งเยี่ยมใหญ่เลย สุดยอดเลย เป็นการรบที่เรียกว่าธรรมาธรรมะสงคราม ทางด้านฝ่ายอักษะ อยู่ที่ถ.อักษะทำไมช่างเหมาะเหม็งเลย ไปเกิดที่นั่น เขาก็พยายาม จะชนะหรือไม่ก็ต้องดูว่ามวลปชช.ออกมาชุมนุมต่อเนื่องและจำนวนใครมากและนานกว่ากัน

       ต่อเนื่องกระปริบกระปรอยจะไปสู้ต่อเนื่องยาวนานได้อย่างไร เอายอดคนมาสู้กัน เอาขีดสุดสถิติมาต่อสู้กัน เหมือนนักทุ่มน้ำหนัก ก็เอาครั้งที่สูงสุด และมีคุณภาพความดี ใครแฝงบทร้ายมากกว่ากัน ใครแฝงความดีได้มากกว่ากันก็ชนะ

       เมืองไทยมีบุญเยี่ยมยอดให้ได้ศึกษารัฐศาสตร์ของแท้ของจริง มาถึงวันนี้ก็ต่อเนื่องมา อาตมามั่นใจว่าไม่ว่าทางกองทัพจะออกมาประกาศกฎอัยการศึก ทางด้านฝ่ายรัฐบาลก็ยังผนึกกระดุกกระดิก ยังไม่ยอมตาย พะงาบๆ จะต้องเอาคืนให้ได้ จะต้องกัดเอาชนะให้ได้ อาตมาก็ยังหวังว่าทางโน้นควรสำนึก

       ไทยเราทหารออกมาประกาศกฎอัยการศึก เป็นการให้บันไดแก่รัฐบาลนี้ลง เพราะฉะนั้นจตุพรเอ๋ยที่บอกว่าจะร่วมชุมนุมอีก จงประกาศสงบศึกเถอะ หากชุมนุมประกาศสงบศึกจะสวยงาม มีบันไดให้ลงแล้ว นอกนั้นก็ว่าไปตามกระบิลเมือง

       ในการเกิดพลังงานบทบาทลีลาตาม วิถีทางแห่งรธน.นี้ มันกำลังเกิดขนบ ประเพณี บทบาท ลีลา ที่ทหารออกมาแสดงบทบาทเช่นนี้

       ตั้งแต่ทำมาก็เห็นใจเย็น ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ ก็ทำได้ดีแล้ว อย่างที่ออกมาดูแลช่วยเหลือในสิ่งที่ควรช่วย ถูกต้องตามรธน. ของสัจธรรม นิติรัฐนิติธรรมของไทยแล้ว

       ดูตามเหตุปัจจัยนี้ว่าสวยงามมาก เป็นการศึกษา Phenomenology ที่คุณศึกษาดีๆเถอะไม่ต้องเป็นด็อกเตอร์ก็ศึกษาได้หมด เป็นเรื่องจริงที่เกิด ทั้งโลกจะศึกษา ขอให้รักษาความสงบเรียบร้อยความอบอุ่น ใช้พลังงาน Authority ไม่ใช้ Force

       มาถึงธรรมาธรรมะสงคราม ณ ลมหายใจเฮือกนี้สวยงามแล้ว

       อาตมาฝันไปว่าให้ปชช.ปตว.เอง แล้วมีปัญญาของทางราชการ แม้ทหาร หรือกรมกระทรวงของประเทศทุกกระทรวงข้าราชการออกมาเข้ากับกปปส.หมดเลยมาแสดงตัวหมดเลย ขรก.ประเทศไทยนี่แหละ จะสวยเลย พลังPotential  ของทหารมันมีก็ไม่ต้องออกมา เอาแต่พลเรือนมาอยู่กับกปปส.ทั้งหมดจะสวยที่สุด

       และกำนันก็เร่ิมทำ ไปตามกระทรวงนั้นนี้โน้น เป็นวิธีการที่ลหุตา สุภาพมาก ประเสริฐ เป็นวิการรูปที่เป็นลหุตา

       ธรรมะพพจ.เป็นเอหิปัสสิโก เอามายืนยันได้ เป็นนามธรรมต้องรู้ได้ด้วยมิเตอร์พิเศษ เรียกว่า ญาณปัญญา ใครสร้างมิเตอร์นี้ได้จะเห็นตรงกันหมด ไม่โมเม อุปาทาน แต่เป็นสัจภาวะด้วย

       ขณะนี้รถดับเครื่องแล้ว มีคนเหยียบเบรคอยู่บ้าง แต่ไม่เอาแบบหัวคะมำ เหยียบอย่างลหุตา สุภาพ ค่อยๆแตะๆๆ จะวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์อะไรขนาดนี้ รถยังมีแรงเฉื่อยอยู่บ้าง

       มันทำให้อาตมาหนุ่มขึ้นอีกเยอะ อย่าถือสาอาตมา เพราะถอดสมณสารูป เพราะถ้าไม่มาปรุงรสกับสังคมก็รับกันไม่ค่อยได้ ขนาดปรุงอย่างนี้คนยังไม่ค่อยเยอะเลย

       พฤติกรรมทางสังคมที่เราทำอยู่นี่ อาตมาก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมรบในธรรมาธรรมะสงครามนี้อย่างภาคภูมิใจ แม้จะอายุเต็ม 80 แล้วในวันที่ 5 มิ.ย. นี้ จะไปฉลองกลางถ.ราชดำเนินหรือไม่นะก็ไม่รู้ อาตมาพยายามไม่ให้ฉลองเป็นเรื่องเป็นราว แม้ขณะนี้อาตมาก็ว่าอายุยาวมาตั้ง 80 แล้วไม่รู้จะได้ฉลองทศวรรษที่ 9 หรือ10 หรือไม่ เพราะขนาด 80 นี่ก็สูงแล้วสำหรับคนธรรมดาสามัญ แต่อาตมาตั้งใจอยู่ 151 ปี จะต้องอยู่ไปอีก 70 ปี

       อาตมาก็ต้องพยายาม แต่ไม่ได้เพื่อโลกธรรม หรือกามหรืออัตตาแต่อย่างใด อาตมาไม่เสพแล้ว อยู่ในสังคมเราไม่ใช่คนดูดาย ไม่เป็นแค่เศษสวะไร้สาระ เราควรช่วยทำประโยชน์แก่สังคม ถ้ายังต้องการโลกธรรม ได้กามได้อัตตาแก่ตัวก็ยังไม่ประเสริฐ แต่ถ้าเราไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้แล้วเราก็อยู่ทำงานประโยชน์แก่สังคมไปได้อย่างดีที่สุด

       ถ้าอ่านสภาวธรรมขั้นรู้อัตตาก็จะรู้อินทรีย์ของ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตาและอรูปอัตตาได้ คุณเป็นผู้หนดรู้รูปตั้งแต่ภายนอกไปถึงภายในจนอรูปก็รู้ได้กำหนดถูก

       แม้เป็นผู้หญิงจิตคุณก็เป็นปุริสภาวะได้ หมดกิเลสแล้วเป็นอรหันต์หญิงได้ เป็นภาวะที่สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ

       บุญคือที่สุดคือไม่ต้องทำบุญแล้วจบบุญจบบาป ผู้ใดสามารถอ่านรู้ได้ถึงที่สุด สามารถจัดการองค์รวมหรือ concept ตัดมาทุก ปริเฉท Context ทุกปริเฉท ล้างกิิเลสได้จบหมด จนบริสุทธิ์บริบูรณ์หมด คุณก็อาศัยลักณรูปอีก 4 ผู้ใดจบด้วยอนิจจตาก็ไม่ประมาท ทำได้แต่กุศล อกุศลทำไม่เป็น

       สิ่งเนื่องต่อเป็นสันติติ ก็ดำเนินไปอย่างสุขคโต มีแต่กุศลสูปสัมปทา ตราบในที่เราทำกุศลอย่างต่อเนื่อง ชราก็ยากเกิด แต่ห้ามไม่ได้ จะต้องเสื่อมในสักวัน แต่เรามีชีวิตอยู่ก็ต้องทำสันติติในกุศลต่อไป

       จบด้วยคำว่า ตอนนี้ภาวะการเมืองเป็นการศึกษาของประเทศไทย เป็นธรรมาธรรมะสงคราม เป็นการรบอย่างอาริยชน ไม่ใช่มิลักขชน รบอย่างใช้ธรรมะเป็นอาวุธ หวังว่าธรรมาธรรมะสงครามนี้จะจบด้วยธรรมะอย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ ทุกคนที่ได้รวมรบ ช่วยกันทำให้ไปสู่ชัยชนะนั้น ขอให้ช่วยกันอย่างชอบธรรมดีงาม อย่าให้รุนแรงบาดเจ็บ อย่าเพลี่ยงพล้ำ ขอบพระคุณทุกคนที่จะช่วย...เจริญธรรม       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:23:07 )

570522

รายละเอียด

570522_พ่อครูที่ผ่านฟ้าฯ เรื่อง ศาสนาพุทธคือประชาธิปไตยแท้

       กระแสที่ออกมาในรูปของการชุมนุมทั้งของเราและของแดงก็ไม่รุนแรง สงบเรียบร้อย กอ.รส. ก็เลยต้องยืดหยุ่น เพราะเป็นความสุภาพเรียบร้อย ลดความรุนแรงลงเรื่อยๆ เมื่อกฎอัยการศึกเกิด แทนที่จะใช้ไม้แข็งก็ใช้ไม้อ่อน

       วันนี้ก็จะประชุมกันอีก เมื่อวานก็ดูไม่รุนแรง แสดงออกอย่างใช้สิทธิที่ทำได้ เป็นวิวัฒนาการการเมืองที่ได้เกิด มันดูดี เกิดการก้าวหน้าไปทางเจริญ อาตมามองตามภูมิปัญญา ความรู้ของอาตมาเอง ก็เห็นว่าประเทสไทยนี่ก้าวหน้ามากในเรื่องคุณธรรม ที่เข้าไปมีบทบาททางการเมืองได้อย่างสละสวยสอดคล้อง ผสมผสาน

        เป็นสิ่งวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ ได้อย่างเกินคาด มีธรรมะเข้าไปมีบทบาททางการเมืองได้เนียนมากเลย สังเกตว่ากำนันสุเทพไม่น่าจะใจเย็น สุขุมได้ขนาดนี้ ไม่วู่วาม ดุดัน แต่นี่ไม่เลย เกินคาดมากเลย

       เป็นสิ่งจริงที่ไม่มีใครเขียนบท เป็นไปตามสัจธรรม เพราะสิ่งที่แสดงออกมา แม้จิตใจจะฝืนอดทนอึดอัดบ้าง แต่ก็มีจิตที่รู้สึกว่า ยินดี เข้าท่า จะเกิดก่อนหรือหลังเหตุการณ์ก็ตาม ผู้ที่มีความยินดีเกิดก่อนเหตุการณ์ ผู้นั้นมีภูมิสูง ผู้ที่ยินดีหลังเหตุการณ์ อึดอัดขัดเคืองก่อนเหตุการณ์นี้ คนนี้ยังภูมิต่ำกว่า คนที่รู้ล่วงหน้า มีปัญญาตัดสินได้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่อย่างไร ศัพท์สูงสุดที่เขาใช้ทางโลกคือ ศาสดาพยากรณ์

       การเกิดกฎอัยการศึกแล้วประนีประนอมกันได้ก็เป็นเรื่องดี แต่ว่าลึกๆแล้วก็ยังไม่ยอมกัน แต่อาตมาพยากรณ์ให้ก่อนเลยว่า ความชั่วจะชนะความดีไปไม่ได้ แม้ว่าความชั่วจะแอ็คอย่างไรก็ตาม

      ฝ่ายธรรมะคือมวลชน ประชาธิปไตยแท้ ส่วนประชาธิปไตยตัวปลอม

       เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปประชาธิปไตยไทยจะดีขึ้น มีวิธีการดีขึ้น จะเห็นได้ว่าคนสนใจการเมืองนั้นมากขึ้น ทั้งคนระดับล่างจะถึงระดับสูง อาตมาจำได้ว่า ตั้งแต่เด็ก นสพ.การเมืองเป็นนสพ.กรอบบ่าย แต่นสพ.กรอบเช้าจะขายดีเป็นเรื่องทั่วไป โจรปล้น เรื่องตลก พิศดาร ขายหนังสือ เรียกว่านสพ.เช้ามีเยอะ ส่วนนสพ.รอบบ่ายเป็นนสพ.การเมือง ขายไม่ค่อยได้มีไม่กี่ฉบับ คนไม่สนใจการเมือง

       แต่มาบัดนี้ นสพ.อย่างไทยรัฐ เดลินิวส์ ขายมวลกระแสสังคมโลกีย์ๆ แต่เดี๋ยวนี้ทั้งสองฉบับก็เล่นข่าวการเมืองเต็มหน้าเลย นสพ.การเมืองเองก็ขายได้เต็มที่ ออกกรอบเช้าบ่ายได้เลย เป็นเครื่องวัดกระแสสังคมว่าคนสนใจการเมือง ที่เป็นเนื้อหาสาระของประเทศชาติ คนไทยตื่นตัวเรื่องการเมือง ตั้งแต่ปี 2549 ก้าวหน้ามาก

       ในทศวรรษต่อไป ทศวรรษที่ 60 ไทยจะมีการเมืองที่ทันประเทศอื่น จะมีหิริโอตัปปะ คนหน้าด้านหน้าทนก็ตกกรอบหมดแล้ว ตกยุค ทุกวันนี้เหลือเศษ คอมมิวนิสต์ตกยุค หรือประชาธิปไตยน้ำเน่าตกยุค ก็ยังมีให้เห็นได้

       จะเปลี่ยน look ใหม่ของการเมืองไทย จะเป็นการเมืองใหม่จริงๆของโลก

       คืออะไร การเมืองใหม่จริงๆของโลก คือการเมืองโลกุตระ แบบอาริยะ

       ประเทศไทยจะมีพระมหากษัตริย์อยู่ แล้วประชาชนจะช่วยพระมหากษัตริย์ดูแลบริหารบ้านเมือง เป็น ราชประชาสมาสัย ไม่เหมือนประเทศอื่น ของเราจะมีผู้บริหารมีธรรมะ เคารพยกย่องสถาบัน ปฏิบัติตนเต็มหน้าที่ และจะมีปัญญาเข้าใจประชาธิปไตยอย่างดี

       ประชาธิปไตยคืออะไร ประชาธิปไตยคือการไม่เห็นแก่ตัว ถ้ายังเห็นแก่ตัวเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ เป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่ได้ ถ้าสมมุติว่าไม่มีเห็นแก่ตัวไม่มีกิเลสเลย เห็นแก่ประชาชน ต่อให้เผด็จการ มีอำนาจคนเดียวเลย เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่จิตวิญญาณไม่เห็นแก่ตัว เป็นแก่ประชาชน ประเทศก็อยู่เย็นเป็นสุข บริหารคนเดียว แต่มีคุณธรรม แล้วประชาชนมาร่วมมือกันทำงานเพื่อประชาชน เพื่อมนุษยชาติ ไม่มีกิเลสเห็นแก่ตัวหรือมีเล็กน้อย แต่ได้สัดส่วน ประชาชนร่วมกับพระมหากษัตริย์ก็ทำให้ประเทศอยู่เป็นสุข ไทยจะเข้าสู่ระบอบแบบนี้

       จีนมีกษัตริย์ราชวงค์เยอะ จนเปลี่ยนมาเป็นคอมมิวนิสต์ สืบทอดกษัตริย์มาเยอะ มีหลายครั้ง กษัตริย์ยังทรงพระเยาว์ ก็มีข้าราชบริภารช่วยกันดูแลบริหาร ถ้าข้าราชบริภารดีก็ทำได้ดี พอกษัตริย์โตขึ้นก็มารับมอบหน้าที่บริหารต่อไป

       ไทยทำได้เพราะมีต้้นเค้า มีธรรมะอยู่ในพลังงานสังคม มีพระสยามเทวาธิราช ซึ่งยังรักษาโดมิโนไม่ล้มได้ เพราะว่าคอมมิวนิสต์เปลี่ยนประเทศไทยไม่ได้ จนสุดท้ายคอมมิวนิสต์ของโลกต้องหมดน้ำยาจบ

       ไทยเรายังมีองค์ประกอบของสุรภาโว ถ้าจิตวิญญาณคนไทยไม่ดิ่งอยู่ในศาสนาพุทธ ทุกวันนี้จะไม่เหลือศาสนาพุทธอยู่ถึง 95% แม้ศาสนาคริสต์ก็พยายามหาพวก แต่ก็ดึงเอาความเป็นพุทธของไทยไปไม่ได้ ส่วนอิสลามก็เจือเข้ามาอยู่อย่างพี่อย่างน้อง เนียน แต่ก็เป็นไปได้ยาก อย่างอินเดียก็ได้ไปจนแบ่งเป็นแคว้นเป็นประเทศไปเลย แต่ประเทศไทยยากมาก

       เมืองไทยยังมีเนื้อเชื้อของสุรภาโว เป็นพุทธอย่างไม่ถอดถอน

       สติมันโต เมืองไทยยังสามารถศึกษา อานาปานสติ สติปัฏฐาน 4 สติสัมโพชฌงค์ มรรคองค์ 8 มีสัมมาสติพอได้ ยังได้มรรคได้ผลอยู่ ใครมีญาณปัญญาก็จะอ่านได้ ยังมีโลกุตรธรรม อาริยธรรมที่เป็นพุทธอยู่ ส่วนโลกุตรธรรมนั้นเป็นของพุทธ แต่คนไทยได้ถูกครอบงำความคิด ทำให้เข้าใจอาริยธรรมหรือโลกุตรธรรมเพี้ยนไปเป็น อริยธรรม หรืออารยธรรม      

       อริยะ ก็เพี้ยนไปทางฤาษีอินเดีย เชิงเจโต นิยมจิต หนักทางจิตนิยม

       ส่วน อารยะ ก็คือของโลกของมหายาน เชิงปัญญา มาทางจีนหรือตะวันตก นิยม โลกธรรม ทุนนิยม 

       ส่วนไทยเอาทั้งแบบจิตนิยมและมหายาน ขนาดคุณสนธิ ลิ้มทองกุลก็ยังนิยมจิตนิยมอยู่ ส่วนไม่นิยมจิตก็ไปนิยมวัตถุนิยม เป็นคอมมิวนิสต์ตกยุคกับประชาธิปไตยน้ำเน่ากองรวมกันอยู่ ก็ทำงานอยู่ ไปทางทุนนิยม มีทักษิณเป็นนายทุนใหญ่ ใช้การตลาด จิตวิทยาสังคม ก็ครอบงำคนจำนวนไม่น้อย

       ส่วนทางคอมมิวนิสต์ตกยุคก็เอียงทางสังคมนิยม หรือประชาธิปไตยกลายๆ แต่ยึดมั่นตัวกูของกูเหนียวแน่น อย่างที่แสดงออก จตุพรหรือธิดา ยึดมั่นถือมั่น แสดงออกทางสังคมประกาศปัญญา วัตถุธรรม ประสมส่วนเอาเงินทองมาด้วย

       สรุปว่า นั่นคืออารยธรรมที่เขาจะปักลงในไทย คือประชาธิปไตยน้ำเน่ากับคอมมิวนิสต์ตกยุค แล้วจะมาประกาศลงในไทย พวกเราจะไม่ยอมนะ พวกเราตื่นแล้ว

       อีกพวกหนึ่งเป็นจิตนิยมเอียงไปเข้าใจว่าพระออกป่าเขาถ้ำเป็นอินเดียเป็นอริยะก็เป็นพวกตกยุคเหมือนกัน อินเดียจะอยู่นานกว่าจีน ส่วนรัสเซียก็แตกไปก่อนแล้ว จีนมาทีหลังก็จะแตกออกในภายหลัง เหมือนรัสเซีย ที่พยายามดึงไว้แต่ก็แตกไปแล้ว เหลือไม่เท่าไหร่

       ถ้าเป็นโลกีย์สุจริต ก็ตั้งกฎระเบียบ เช่นคนเล่นหุ้นได้เปรียบในวิธีการตลาดหุ้น มันก็มีเจ้าอำนาจนายทุนที่ได้เปรียบอยู่ อย่างโซรอส ก็เป็นเจ้าอยู่ในนั้น มีอำนาจในการตลาดหุ้นโลก จุดใหญ่อยู่ที่อเมริกาที่รักษาเป็นเจ้าอำนาจตลาดหุ้นได้อยู่ เป็นวิธีโกงกินที่จะทำให้เขาอยู่ได้ เป็นการกำหนดเองอย่างเอาเปรียบ แต่อำนาจเอาเปรียบนี้ก็ลดลงเรื่อยๆ เพราะคนจะไม่ยอม เป็นสมบัติผลัดกันชม พวกเราอย่าเอาตัวไปสู่วงจรอุบาทว์อย่างนี้ต้องเอาตัวออกมาจากวงจรโลกีย์ให้ได้ มาอยู่ในวงจรบุญนิยม อย่างเช่นชาวอโศก

       ทุกวันนี้แชร์แม่ชะม้อยสำนักใหญ่ของโลกคืออเมริกา มันเป็นงูกินหาง จนกินจะไปถึงหัวแล้ว มันจะถึงกินหัวอยู่แล้ว เป็นวิธีการมักมาก ใจไม่พอ เสพทั้งกาม ทั้งโลกธรรม ไม่มีพอไม่มีหยุด

       ในหลวงออกมาปรามโลก เศรษฐกิจพอเพียงคำเดียว พระราชินีอังกฤษอุทานเลยว่า King of King เลย สหประชาชาติต้องมามอบพระราชรางวัลให้ในหลวงเลย ไม่ใช่เรื่องปะเหลาะเล่น แต่เป็นเรื่องกิติมาศักดิ์ตัวจริงเลยที่สหประชาชาติต้องยอมมอบให้เลย เป็นนักบริหารที่ยิ่งใหญ่มีหลักเศรษฐศาสตร์ที่ย่ิงใหญ่

       ประชาชนคนไทยไม่รู้ตัวในแนวลึกนี้ ที่ไทยยังรักษาจิตวิญญาณไว้ได้ แม้จะหลงวัตถุไปมากเกิน ไม่ตกยุคเป็นพระป่า เป็นจิตนิยมจนจม ยังเตือนขึ้นอยู่ เราไม่ได้ดูถูกป่า เรายินดีในเสนาสนป่า เราสร้างป่าในเมือง

       เสร็จงงานนี้แล้วไทยเราจะไปเอียงหาวัตถุนิยมไม่ได้แล้ว  จะต้องมาเอียงหาเศรษฐกิจพอเพียง แบบในหลวง

       

       สมมุติให้ฟังนะ ถ้าอาตมาเหาะได้ แล้วอาตมาจะขนคนได้ไหม ไม่ได้ อาตมาสร้างเครื่องบินดีกว่า สมมุติให้ดูว่าไม่จำเป็นต้องเอามาใช้หรอกในยุคนี้ไม่มีประโยชน์ ตาทิพย์จะใช้ทำไม นี่ขนาดตอนนี้เขาปิดไม่ให้ออกอากาศแต่ว่าตอนนี้สันติอโศก บ้านราชฯนี่ดูอาตมาเฉยเลย คือมันทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย อนุโลมได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ฤทธิ์เดช ยุคนี้ใช้อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์กัน

       ไทยเราได้สร้างประวัติศาสตร์ ได้ปฏิวัติประชาชน ครั้งหน้าจะสวยงามเท่านี้หรือไม่ก็ไม่รู้ เราทำได้อย่างสวยงามเหมาะสม ทำให้เกิดมีผู้บริหารที่บริสุทธิ์สะอาดทำให้ประเทศก้าวหน้าดีงาม ใครจะไม่อยากได้เล่า แต่อย่างที่ว่ามันจะได้พัฒนาดีงดงาม เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ทุกคนมีคุณธรรม ผิดนิดหน่อยก็ลาออกแล้ว ไม่เหมือนทุกวันนี้ แต่จะได้ดีเท่าไหรไม่พยากรณ์ ช่วยกันทำก็แล้วกัน คนไทยมีความรู้เข้าใจสิ่งเหล่านี้เพียงพอ กำลังช่วยกันผลักดันสิ่งดีให้เกิด ขอร้องผู้ที่เป็นจระเข้ขวางคลองถอนตัวเสียเถิด ก็จะได้เรียบร้อย ก็จะได้จบลงด้วยดี

       ตอนนี้พุทธรรมหยั่งลงในไทยอย่างดีแล้วมีแต่ต้องมาช่วยกันรังสรรค์ ศาสนาพุทธคือประชาธิปไตย ศาสนาพุทธคือประชาธิปไตย จบการเทศน์เพียงเท่านี้


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:23:55 )

570525_

รายละเอียด

570525_พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ที่สันติอโศก เรื่อง จบสวยด้วย(ทำ)ธรรม

       พ่อครูว่า พวกเรานี่คึกคัก แต่ไม่คึกคะนองนะ

       ตอนนี้เราก็คงจะพูดเรื่องการเมืองมากไม่ดี เขาระแวง เราก็จะต้องไม่พูดเรื่องการเมืองมากนัก แต่ก็ขออภัยที่ต้องพูดว่า ที่ในพศ.2557 นี้ที่ประชาชนไทยได้ออกมากันทั้งประเทศนี่ ไทยเรามีทั้งฝ่ายเสนอและฝ่ายค้านมาก ใครตั้งสติให้ดีจะเห็นว่า รัฐบาลนี่ตกเป็นฝ่ายค้าน ประชาชนเป็นฝ่ายเสนอ เป็นฝ่ายยืนยันตั้งเจตนาว่าจะเอาอย่างนี้ แสดงความมุ่งหมายว่าจะต้องเอาปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ทั้งที่การเลือกตั้ง เป็นroutine ของประชาธิปไตย แต่ประชาชนก็มีเหตุผลว่าต้องปฏิรูปก่อน ทั่วโลกเขาใช้วิธีเลือกตั้งเป็นสากล แต่เราก็สามารถค้านแย้ง ว่าให้งดการเลือกตั้งก่อน เพราะมันพิกลพิการเลวร้ายแล้วสำหรับการเลือกตั้งตอนนี้

       เป็นการต่อสู้ในประชาธิปไตย จนสุดท้ายแล้ว อาตมาก็ขอพิพากษา ตัดสินว่า ประชาชนชนะ คราวนี้นี่ เป็นการชนะอย่างสวยงามด้วย แม้จะไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่เพราะมีฝ่ายผู้ผิดยังพัฒนาการทางจิตวิญญาณไม่สูง ยังยึดติดในอำนาจ ในโลกธรรมมาก ยังไม่ปล่อยวาง ทั้งที่เหตุปัจจัยเหมาะสมจะปล่อยวางได้ ไม่ควรทนหน้าแข็งหน้าด้านอย่างนี้ คือยังมีเศษเหลือของความไม่ดีในไทย และพอดีได้ไปยึดครองอำนาจ ไล่อย่างไรอย่างสุภาพก็ไม่ออก ไม่รุนแรงโหดร้ายใช้ตุลาการ ใช้ประชาชน ใช้ความถูกต้องเขาก็แพ้ทุกกระบวนการ แต่ก็หน้าด้าน หน้าทน สุดวิสัยจนทหารต้องออกมา

       แม้สุดท้าย ทุกคนก็คงเห็นแล้ว ไม่ใช่เดา เป็นเรื่องจริงคือ ตัวแทน 7 คณะที่เรียกมาประชุมกัน ทหารเขาก็ถาม ว่าให้ลาออก ใช้อำนาจทหารบังคับ ทหารมี Potential energy ทางโน้นก็บอกไม่ยอมลาออก จึงเกิดเหตุการณ์ รัฐประหาร

       คำว่ารัฐประหารคือประหารอำนาจรัฐที่มีอยู่ลงแล้วได้คณะใหม่มาปกครอง

       ส่วนปฏิวัติ เป็นคำที่ดีและไม่ดีก็ได้ เป็นการทำให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการหักด้ามพร้าด้วยเข่า  มีการใช้ความรุนแรงปราบกัน ก็เกิดเหตุการณ์อย่างนี้หลายครั้งแล้ว

       ส่วนการปฏิวัติจริงๆคือการเปลี่ยนแปลงสู่ความเจริญ ทำได้เร็ว พลิกทันที ส่วนปฏิรูปคือค่อยเป็นค่อยๆไปตามลำดับมีขั้นตอน แต่ปฏิวัตินี่หักเอาเลย

       เหตุการณ์ควาวนี้ก็สุดวิสัย แต่ประชาชนตื่นรู้ในหน้าที่ตาม มาตรา 70  บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       ประชาชนออกมามาก และดีงาม อดทน ใช้เวลานานมากทำลายสถิติโลก อาตมาตัดสินได้ว่าประชาชนองค์รวม ศาลออกมาคุ้มครองตัดสินว่าการชุมนุมครั้งนี้ถูกต้องตามรธน. ตบหน้า ศอ.รส. เรามีความหวังจะให้เกิดอย่างสวยงามพริ้งเพรางดงาม ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่สุดยอดคือประชาชนได้อำนาจเต็ม เป็นฝันหวานในสายลมที่จะต้องเดินทางไปอีกเมื่อไหร่ไม่รู้ ที่คนในประเทศจะมีหิริโอตตัปปะเละอายเกรงกลัวต่อปาป

       สิทธิทุกคนมี1 สิทธิ์ 1เสียงเท่ากันทุกคน หากรบ.ทำไม่ถูก ประชาชนออกมาเพียง 1 คนให้รบ.หยุดทำ รบ.ก็ต้องฟัง เขาทำได้ถูกต้องเป็นสิทธิหน้าที่ของเขา

 

        เมืองไทยเป็นเมืองพุทธแต่ไม่มีน้ำยาที่จะล้างความเห็นแก่ตัวนี้ได้ ผู้มีอำนาจฉลาดกลโกงได้มาก ก็ได้ไปครองอำนาจ จึงเสียหายมากทั้งวัตถุ และจิตวิญญาณ เสียความรู้สึก แม้แต่มันไม่เคยโกรธก็โกรธ มันนานนะ ร้ายมาก กิเลสมันสุดทนถึงขีดก็เสียหายมาก ทำให้จิตวิญญาณคนทนไม่ได้ต้องโกรธ

      กิเลสโลภก็ไม่เท่าไหร่ แต่โกรธนี่เสียเลย เป็นความเสียหายต่อสังคม

      อาตมาภาคภูมิใจที่พวกเราได้ไปเสียสละ ตั้ง 289 วัน เกือบจะถึง 300 วัน ไปนอนกลางดิน กินกลางถนน ร้อน หนาวเย็นก็ทน แต่พวกเราก็ไม่เจ็บป่วยมากไม่เกิดโรคระบาดร้ายแรงอะไร แต่อาจแข็งแรงขึ้นด้วยซ้ำ ได้ฝึกมากคืออดทน ปล่อยวาง คิดเป็นราคาเงินนี่หาค่า บ่ มิได้ แต่สิ่งอื่นเป็นองค์ประกอบแห่งโจทย์ให้เราได้ปฏิบัติ ไม่ใช่นั่งเรียนแต่ในห้องเรียนแต่ไม่เคยได้ทำได้ฝึกจริง ทางปรมัตถ์เลย วางจิตใจ อดทน

      ความถือสา โกรธเคืองของเราได้ลดลงก็ได้ มีเหตุการณ์แบบนี้นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนละ ได้เรื่องเลย ไม่เหลือ แต่คราวนี้เราลดได้ยอมได้ เป็นจิตจริงๆทีเกิดไม่ใช่ตรรกะ แต่เป็นสัจธรรม

      ประโยชน์ที่เราได้นี่มหาศาล ที่เราได้ไปผ่านเหตุการณ์นี้มา เป็นโจทย์ที่เราไม่คิดว่าต้องเป็นต้องมี เป็นกุศล บุญ ของเราอย่างยิ่งที่ได้ไปร่วม แต่ก็เหนื่อยเพลีย ไม่อยากให้เกิด แต่อาตมากะว่า ถ้าเกิดอีกเราก็ต้องไปทำอีกอยู่ดี จะทำใจดำใจจืด ก็ทำไม่ไหวนะ

       อาตมาไม่อยากพูดถึงเรื่องปลอดภัยแคล้วคลาด พูดไปจะเป็นเรื่อง magical เกินไป ไม่อยากให้คิดเช่นนั้น แต่ทุกอย่างมาแต่เหตุ ไม่ใช่เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บันดาลแต่อย่างใด เขาต้องพ่ายแพ้ไป เป็นพลังงานนามธรรมที่ได้องค์ประกอบชัดเจน วัตถุธรรมเราแพ้อยู่แล้วทำอย่างไรก็แพ้ แต่เขาก็ต้องถอยไปเลย

       แต่คราวนี้เขาดื้อดึงดันเกินไปจนสุดวิสัย จนเขาต้องใช้ Force ถ้าใช้แบบAuthorityเขาไม่ออก มันถึงขีดที่เป็นความควรที่สุดแล้ว หลายคนมองแง่หวานๆว่า สุดท้ายทางโน้นก็ต้องยอมแต่เขายอมที่ไหนนี่ ตอนนี้ยังมีคลื่นอีกมากมายเลย เหตุการณ์ควาวนี้ได้สัดส่วนเหมาะสมเลย เป็นพัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทย ที่จะได้ศึกษาอย่างย่ิง ขอบอกพวกเราที่ยึดมั่นถือมั่นว่า ต้องไม่ทำอย่างนี้ไม่ชนะเด็ดขาด

      อาตมาเดาว่า พล.อ.ประยุทธ ต้องลงแรงอย่างสำคัญไม่อย่างนั้นเอาไม่ลง อย่างที่เห็นที่คสช.ทำตอนนี้ อาตมาว่า ถ้ากำนันสุเทพรับรู้ได้ ในการทำงานของ คสช. ที่ทั้งขู่ข่มปราบปราม อาตมาว่า กำนันสุเทพรู้ว่าถ้าตนเองทำจะต้องเจออย่างนี้คิดว่า ดีแล้วที่เราไม่เป็นประยุทธ เพราะเราไม่มีพลังแฝงอย่างทหาร ที่มีคนคุณธรรมไม่ถึงจะมาย้อนแย้งอย่างนี้ดีไม่ดีสุเทพจะรอดหรือไม่ก็ไม่รู้ เราอย่าไปหวังหวาน แล้วไม่ต้องไปเก็งว่าจะได้ตามที่เราหวังไหม?

      ได้เท่าไหร่ก็ได้เท่านั้นน่า..ถึงอย่างไรประเทศไทยก็ดีขึ้นอย่างแน่นอน ตามที่เขาทำก็ไม่น่าเกลียด แต่ทำได้สวยงามมาก ละเอียดละออ เป็นขั้นตอน ต้องแข็งแรงกร้าวกร้าน ใช้ได้ในสัดส่วนที่ประมาณออกมา อาตมาให้คะแนนเต็ม

      เราจะไปคิดว่าคนต้องเป็นอย่างเราคาด เอาความสะอาด 100 %มาคาดไม่ได้หรอก อาตมาว่าตอนนี้สอบได้คะแนนเกียรตินิยมแล้ว เป็นการก้าวหน้าทางรัฐศาสตร์ 81 ปีมาแล้วการเมืองไทยล้มลุกคลุกคลานขนาดนี้

      ใครหวังเหมือนอาตมาไหมว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ การเลือกตั้งหรือระบบข้าราชการจะเปลี่ยนไป อย่างน้อยชั่วระยะเวลาหนึ่ง อย่างดีก็ต่อเนื่องแล้วพัฒนาขึ้น จะเกิดได้ต้องขึ้นอยู่กับมวลประชาชนให้มีกิเลสน้อยลง

      โลกไหนก็ตามหากกิเลสน้อยลง เห็นแก่มวลมนุษยชาติ ไม่เห็นแก่ตัว เชื่อไหมว่ามนุษย์เป็นได้ ขอบคุณพวกเราที่เป็นแกนหลักและประชาชนที่มาร่วม เป็นเรื่องดีงามเสียสละเกิดจากจิตจริงๆที่ติดตัวพวกเราไป

        ใครคิดไหมว่าออกไปนี่จะถึง 298 วัน ไ่ม่มีใครคิด แต่เมื่อถึงแล้วก็ไม่เห็นตายเลย แล้วจะต่อไปได้อีกไหม?ก็ได้ พวกเราทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก จิตเป็นฌาน มีพลังแข็งแรง มีปัญญาช่วยให้เราเข้าใจ เราต้องเสียสละลงแรงอย่างนี้ เพราะเหตุว่าเราไม่ได้ทำเพื่ออามิส ไม่ได้ทำเพื่อโลกธรรม

      แต่มีมโนสัญเจตนาตัวเดียวว่าจะให้สังคมดีขึ้น ตัวนี้ตัวเดียวเลย เราทำบริสุทธิ์ใจทำเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง จึงเกิดอันนี้ได้จริง

       ส่ิงปรากฏนี้ยืนยันให้โลกเห็น นักศึกษาสังคมศาสตร์ มนุษยวิทยาหรืออื่นๆก็มีเหตุการณ์ให้ไปศึกษาได้ เป็นสิ่งบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

       สิ่งที่เกิดได้อย่างนี้เพราะคน เป็นคนมีคุณธรรมระดับนี้ก็ได้ขนาดนี้ และต้องมีการสังเคราะห์กันในสังคม แม้เรียบร้อยแล้วก็ต้องบริหารจัดการไป เขามารับช่วงต่อไปแล้ว ให้ผู้บริหารเก่าออกไปได้แล้ว แต่ไม่ตายสนิทนะ เชื้อจะลุกลามไหมเขาก็ต้องจัดการ

       เราก็ต้องไปพัฒนาคุณธรรมต่อ

        เหตุการณ์บ้านเมืองที่ออกมาอย่างสวยงาม เพราะคุณธรรม เพราะธรรมะจึงออกมาได้อย่างนี้ หมอดูปากกาหักหมด ที่บอกว่าจะนองเลือด เพราะเขาเอาสถิติเก่ามาคำนวณ เขาจึงได้บอกว่าจะนองเลือด แต่เขาไม่รู้ค่าของ E= m * cยกกำลังสอง + A เขาไม่รู้ค่าของ Abstract คือนามธรรมของคุณธรรมพวกนี้เขาอ่านไม่เป็น หมอดูเขาดูไม่เป็น เป็นตัวแปรที่ทำให้หมอดูดูผิด

      อาตมาเคยดูหมอมาบ้าง อาตมาว่าไม่นองเลือดหรอก มันชนะเด็ดขาดแล้วเป็นแต่เพีียงจะชนะสวยขนาดไหน อาตมาเคยบอกว่าถ้าทหารไม่ออกมาลักษณะนี้ อาตมาว่าชนะนะ แต่ว่าไม่แน่ แต่ก็คิดว่าน่าจะชนะ แต่ก็ต้องมีอีกแรงที่ต้องมาช่วยกัน เช่นว่า

       เมื่อทหารออกมาร่วมกับประชาชน (สมมุตินะ) แล้วข้าราชการออกมาร่วมด้วย จะได้รัฏฐาธิปัตย์ของประชาชนที่อีกฝ่ายสู้ไม่ได้ รูปแบบก็จะเป็นว่า สมมุติว่าให้กำนันสุเทพประกาศประชาชนยึดอำนาจแล้วก็ต้องให้ทุกคนมารายงานตัว เขาก็มารายงานตัวได้ เพราะแม้ทหาร ข้าราชการก็มาร่วม ให้อำนาจแก่กำนันสุเทพ อำนาจนี้หากคนแข็งข้อก็ให้ตำรวจทหารไปจัดการสิ

        แต่สิ่งที่เกิดนี้ดีที่สุดในสัดส่วนที่เป็นไปได้ แล้วเราก็ต้องพัฒนาตัวเราให้มีคุณธรรมให้มากกว่านี้ ชนะอย่างสวยงามที่สุดนั้นต้องใช้ธรรมะเท่านั้น

       พวกเรานี่มีข้อเสียคือ เราก็มีความสบาย ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างเร่งกอบโกย...เพราะฉะนั้น  ก็ไม่ต้องขยันหรอก เพราะพวกเรามีคนขยันอยู่มากแล้ว สร้างสรรเผื่อพอไว้มากแล้ว เราก็ไปอยู่สงบๆนั่งสมาธิ โลกจะเป็นอย่างไรเราก็ Let it be ไม่ใช่อย่างนั้นนั่นไม่ใช่อย่างศาสนาพุทธ เพราะของพุทธนี่รู้โลกรู้สังคม ช่วยสังคมเท่าที่เราช่วยได้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน แต่คนขี้เกียจนี่ไม่ผลาญ แต่คนขี้โกงนี่ผลาญกว่า แต่ว่าโกงเล่นโกงแบบไม่มีlimit จริงๆเลย ยังไม่เคยเกิดในไทยที่จะกู้สองล้านๆมาโกง ไม่เกรงใจเลย ทำซื่อๆด้วยนะ แก้ตัวไม่หลุดด้วย

       ตอนนี้สรุปผลว่าดีแล้ว ผู้ที่หวังหวานว่าจะได้สุดยอด มันเป็นความคิดที่เป็นตัณหาล้ำหน้าของเราเอง อาตมาว่าก็ดีมากแล้ว เราก็สนับสนุนแล้วก็ต้องทำความดีให้มากขึ้น

       เราจะไปฉลองชัยที่บ้านราชฯ เราไปได้ญาติมิตรมาเยอะเลย เราจะฉลอง 4-12 มิ.ย. 57 เป็นเวลา 9 วัน เราไม่เคยฉลองนานขนาดนี้ เอาให้เปลี้ยเลย เตรียมเรือเอี้ยมจุ๊นไว้ 7 ลำ

       การรวมกันแล้วจัดงานก็เป็น สังคมศาสตร์มีประโยชน์คือ

       สมานสามัคคี ผูกมิตรสร้างมวล แล้วจะมีแนวคิดอะไรที่จะทำกันต่อไป ก็มาคุยกันเป็นเนื้อหา ไม่ใช่Meeting ที่มาสนุกแล้วเมื่อยกลับบ้าน แต่ของเราไม่ขาดสาระ จะรวมกันคิดอ่านทำอะไรต่อไป องค์กรอโศกหลายองค์กรก็จะมาร่วมประชุมกัน เพื่อจัดการทำงานต่อไป

       ในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การเมือง

       เศรษฐกิจ กินความไปถึงสภาพการผลิต และการสะพัด อาตมาตั้งใจว่า พวกเราทำการผลิตตามประสา แต่ละชุมชนก็ทำมีลักษณะเด่นของแต่ละชุมชน อาตมาภูมิใจที่แต่ละชุมชนไม่มีหนี้ มีแต่เงินเกื้อ คือยืมกันภายในชาวอโศกแต่ละชุมชน เงินที่ยังไม่ได้ใช้คืนเรียกว่าเงินหนุน ไม่เรียกว่าเงินหนี้ เพราะว่าไม่มีดอกเบี้ย และไม่ชัดดาบ ถึงเวลาก็พยายามใช้คืน ไม่มีการโกง

        หลักเศรษฐศาสตร์บุญนิยม

        1.ไม่เป็นหนี้

      2.พึ่งตนเองรอด

      3.ทำให้มีเหลือส่วนเกินเผื่อคนอื่น

      4.เอาส่วนที่ทำเกินเผื่อแผ่เจือจานแก่คนอื่น

       

       เราทำเราอยู่รอดแล้ว เราไม่เบียดเบียนใคร แล้วเรากลับช่วยเขาอีก เราก็ทำได้เท่านี่ล่ะเนอะ

 

       ความเสื่อม ของพระป่าและพระบ้าน

       พระบ้านหลงโลกธรรม ส่วนพระป่าก็หลงจิตนิยม ไปจมในป่าเขาถ้ำ ไม่มีประโยชน์แถมกินที่เขาให้อีก คนมีสมรรถนะมากกว่านั้นไหม จะเอาคนไปจมอย่างนั้นทำไม แล้วสอนให้คนทำอย่างนั้นด้วย ดึงคนไปเป็นอย่างนั้นด้วย จะอ้างว่ารักษาความสงบ

       ที่เราออกไปนี่เราไปทำให้เกิดความสงบ ถ่วงดุลให้เกิดความสงบ เท่าที่เราจะทำได้ เรามีประโยชน์ต่อสังคม แม้สวดมนต์ก็มีประโยชน์  แต่คุณไปอยู่ในป่าสวดมนต์ในป่าจะได้ประโยชน์อะไร แต่ว่าเราสวดมนต์นี่ตำรวจหอบปืนวิ่งหนีนะ ตลกนะ เรื่องจริงไม่ใช่หนังจีนนะ

       เราต้องเป็นปรอทที่แน่นหนักกว่านี้อีก เพราะโลกมันฟ่ามไปด้วยโฟมที่ใหญ่ เราต้องมักน้อยสันโดษให้มากกว่านี้อีก เราก็มักน้อยได้ไม่มากเพราะเราไม่ได้ไปอยู่ป่า

 

กำหนดการ งานอโศกรำลึก ครั้งที่ 33  วันที่ 4 - 12 มิ.ย. 57 ณ ชุมชนราชธานีอโศก

 “ฉลอง 80ปี วิชิตชัย (80 ปีไม่มีแก่)”

 

 

 

 

 

 

 

                         เวลา/ วัน

06.30-07.30 น.

09.00 – 10.00 น.

รายการพิเศษ

  18.00 – 20.00 น.

พุธ 4  มิ.ย. 57

 

 

 

ทำบุญ

ตักบาตร

ด้วยอาหารมังสวิรัติ

9.00-10.30 น.พิธีเปิดงาน

หัวข้อเวียนธรรมร่วมกันในงานนี้ “เมื่อได้พบพ่อท่าน ชีวิตฉันได้เปลี่ยนแปลงอะไร?”

พ่อครูแสดงธรรม

พฤ. 5  มิ.ย. 57

 

 

 

 

การแสดงธรรม

ก่อนฉัน

นำเสนอ “ภาพหรือคลิปประทับใจ ใครจะสุดยอดกว่ากัน” (ใครเก็บภาพหรือคลิปเด็ดๆก็ให้นำมาร่วมรายการด้วย

กตัญญุตาบูชา 80 ปีไม่มีแก่ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์

ศ. 6  มิ.ย. 57

มีสารคดีพิเศษ 80 ปีไม่มีแก่ 3 ภาค ; ภาค 1 ชีวิตชาติชั่ว , ภาค 2 ขบถศาสนา , ภาค 3 ธรรมยาตราพากู้ชาติ

พ่อครูแสดงธรรม

ส. 7  มิ.ย. 57

มีนิทรรศการ “ตามรอยพระโพธิสัตว์” ให้ชมตลอดงาน

พ่อครูแสดงธรรม

อา. 8  มิ.ย. 57

ค้นหา ชาวอโศกประเภท “บุญแรง แห้งรางวัล” (ปิดทองหลังพระ) ที่ปฏิบัติธรรมมาได้อย่างอยู่ยงคงกระพันยั่งยืนยาวนาน

พ่อครูแสดงธรรม

จ. 9  มิ.ย. 57

มีของที่ระลึกในงาน เช่น หนังสือประมวลภาพการชุมนุม (อหิงสา-ปาฏิหาริย์ สันติปฏิวัติ)  และของชำร่วยต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับเทวดาทั้งหลายจะได้นำมาบันดลบันดาลกัน

ยัญพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ

อ. 10  มิ.ย. 57

มีอาหารดี(ไร้สารพิษ)ดนตรีไพเราะ บรรเลงกันแบบ ไม่ไล่ไม่เลิก 

พ่อครูแสดงธรรม

พุธ 11  มิ.ย. 57

มี New บ้านราชฯเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ

พ่อครูแสดงธรรม

พฤ. 12  มิ.ย. 57

มีเรือเอี้ยมจุ๊น 7 ลำ ไว้ล่องแม่น้ำมูน ฯลฯ

พ่อครูแสดงธรรม

 

ยืนยันว่าศานาพุทธไม่ใช่ศาสนาพระป่า แต่เป็นพระบ้านแล้วไม่ได้เป็นพระบ้านอย่างที่เขาเป็นด้วย

            ที่เขาทำร้ายบ้านเมืองอยู่คือพวกคอมมิวนิสต์ตกยุค กับประชาธิปไตยนำ้เน่า จากนี้ไปประเทศไทยจะพัฒนาโดยมีคุณธรรมเข้าไปผสมผสาน

            หวังใจว่าคณะที่เข้ามาทำงานต่อ ควรจะได้เข้าเฝ้าในหลวงให้มากให้บ่อย เพื่อให้ท่านทรงแนะ เพื่อปรึกษาเพื่อจะไม่ได้ผิดพลาดในการบริหารประเทศ หมั่นพรั่งพร้อมในการประชุม ในการเลิกจะไม่มีใครล้มล้างหมู่ชนนี้ได้ อย่างที่พพจ.ว่า

            มีคนสังเกตว่า ไม่กี่วันมานี่ พล.อ.ประยุทธตาโหล ก็คงทำงานหนักไม่รู้จะได้นอนไหม ก็อนุโมทนาด้วยให้ทำได้ดี แต่ถ้าทำไม่ดีก็ขอประท้วงนะ แต่ตอนนี้ประท้วงไมได้

            คนจะมีปฏิภาณว่าลักษณะนี้ทักษิโณมิกส์นี่น่าไม่ได้ ก็จะช่วยกันป้องกัน ถ้าหมดกฎอัยการศึกแล้วถ้าเขาทำผิดเราจะประท้วงนะ อย่างสงบไม่มีอาวุธ ตามมาตรา 63 นะ เราประท้วงไล่นายกฯในยุคเราไล่มา 5 คนแล้ว แล้วจะทำต่อไปหากมีความจำเป็น

            มาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

            ถ้าเขาเป็นไปตามวิถีทางในรธน.เราล้มเขาไม่ได้ แต่หากเขาไม่เป็นฯก็ล้มได้

            กปปส.จึงไปต่อต้านตามวิถีทางที่เป็นไปตามรธน.นี้ศาลจึงคุ้มครอง

            เป็นการก้าวหน้าของประเทศไทย มีปัญญารู้จักระบบระบอบ รู้จักผิดหรือถูก สงบหรือรุนแรง ดีงามหรือหยาบคาย อาตมาว่าสุดยอดตรงที่อยู่กันยืดยาวนานตั้ง 9 เดือนทำได้อย่างไร ไม่เกิดจราจลด้วย

            พวกเราอย่าไปเสียใจ ว่าอำนาจสงบไม่ชนะ เพราะพวกนั้นหยาบคายมากไม่ได้หรอก ขนาดเอาอำนาจทหารแรงออกมาขนาดนี้ก็ยังไม่สงบเลย


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:25:07 )

570604

รายละเอียด

570604_พ่อครูที่เวทีเรือริมมูนงานอโศกรำลึก เรื่อง เปิดโลกบุญนิยม ตอน 1

       วันนี้เป็นวันแรกที่อาตมาจะได้แสดงธรรมริมมูน ตามที่เขาจัดรายการเอาไว้ ว่างานอโศกรำลึกครั้งที่ 33 นี้จัดให้มีเวทีเรือ ใช้บรรยากาศแม่น้ำมูน ซึ่งอาตมาเมื่อมาลงหลักปักแหล่งกันที่ราชธานีอโศกแห่งนี้ อาตมาก็หลายปีก็ยังคิดอยู่ว่าแม่น้ำมูนนี่ เป็นแม่น้ำสายสำคัญ เป็นแม่น้ำที่มีคุณค่าประโยชน์มาก แต่มาถึงวันนี้แล้วคุณค่าประโยชน์หายไปจากแม่น้ำมูนเยอะเลยมีคนมาจับปูจับปลาบ้างเท่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยจะ ไม่เท่าไหร่นะ อาตมาดูแล้ว มันน่าจะจับปลากันเป็นล่ำเป็นสันกันมากกว่านี้ ถ้าเขาเดือดร้อนกันมากก็น่าจะใช้เป็นอาชีพอย่างหนึ่งในการที่หาปลามาเลี้ยงชีวิต ซึ่งมนุษยชาติเขาก็กินปูกินปลากันไปหมดแล้ว มันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะว่ามันก็ยังมีเยอะปูปลาในแม่น้ำ แต่ก็น้อย นอกนั้นไม่ได้ทำอะไร กลายเป็นทำที่เลี้ยงปลากันบ้างแต่ก็ไม่มาก ที่จริงมันมีประโยชน์เยอะ ในแม่น้ำใหญ่ๆอย่างนี้ โดยเฉพาะใช้เป็นเส้นทางคมนาคม อันนี้มีประโยชน์เยอะอย่างดีเลย ซึ่งใช้เป็นที่เชื่อมต่อ เชื่อมโยงเดินทางกัน อันนี้อาตมาเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์  นอกนั้น ถ้าใช้ชีวิตอยู่ริมแม่น้ำมูน ริมน้ำไหนก็แล้วแต่ ที่เป็นย่านที่เขาใช้สร้างบ้านเรือนริมน้ำ เขาก็จะใช้น้ำในแม่น้ำ แม้แต่ริมคลอง ก็จะใช้คลองประโยชน์ทั้งเดินทางอะไรต่ออะไรนานาสารพัดอีกเยอะเลย แต่นี่แม่น้ำมูนไม่ได้ใช้  น่าเสียดายมากเลย อาตมาก็เลยคิดว่าเราน่าจะปลุกแม่น้ำมูนขึ้นมาให้มีชีวิตชีวามากขึ้น ให้เป็นประโยชน์กว่าที่เป็นอยู่อย่างนี้ พวกเราที่เข้าใจก็เลยพยายามจะช่วยอาตมา ปลุกเร้าแม่น้ำมูนให้มีชีวิตชีวามากขึ้น จะได้ใช้แม่น้ำมูน ที่จริงงานนี้ทางกรมเจ้าท่าเขาก็รับลูกนะ เขาก็ทำหน้าที่เกี่ยวกับแม่น้ำมูน ก็ไม่ค่อยมีงานอะไรมากมาย เขาเห็นว่าเรามีใจว่าจะปลุกแม่น้ำมูนให้มีประโยชน์มากขึ้นทำก็เลยร่วมมือกับเราดี คราวนี้เราก็พยายามติดต่อทางโน้น เปิดท่าน้ำที่กรมเจ้าท่า แล้วก็จะได้เดินทางต่างๆนานา ก็เห็นเงียบๆ ไม่ค่อยจะฮือฮาอะไรเท่าไหร่ก็ค่อยๆทำไป

       ต่อไปในอนาคตนี่ ตอนนี้ภูมิทัศน์บ้านราชฯเปลี่ยนไปมากเลย ใครเคยมาคราวก่อน มาเห็นคราวนี้ก็จะรู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปมากเลย เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ ถนนหนทาง นี่ยังทำไม่เสร็จนะ ถ้าเรียบร้อยค่อยลงหลักปักแหล่งทำอะไรต่อก็ค่อยว่ากัน ทำพื้นที่พื้นดินให้เสร็จก่อน ตอนนี้กำลังเปลี่ยนแปลงแต่มาติดงานเราเขาก็เลยหยุดก่อน ยังเหลือที่จะทำมากกว่าที่ทำไปแล้ว ที่จัดการจะถมจะทำยังอีกมากกว่านี้ ที่ทำไปนี่ ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของโครงการที่เราจะทำ

       บ้านราชเมืองเรือเป็นหมู่บ้านชุมชนที่ อาตมาว่ามาถึงวันนี้แล้วบ้านราชเมืองเรือนี่ 20 ปีเต็มที่เกิด วันแรกที่เราฉลองอาตมาอายุ 60 มาฉลองกันที่นี่ ข้างบนยังไม่มีอะไรเลย ที่ทางอยู่ข้างบนแต่ก็เป็นป่าละเมาะ ยังไม่มีต้นไม้มากมายเลย ตรงนี้แหละย่านนี้ แต่ไม่มีหาดกว้างมาถึงขนาดนี้ หาดมันตื้นกว่านี้ ตรงถนนยังไม่มีก็เป็นที่ไปโน่น ดินก็เป็นดินโคลนเละเสียเยอะ  งานวันฉลองอาตมาอายุ 60 ปี พศ.2537 ใครมาคราวนั้นสนุกมาก สนุกคือฝนตกตลอดเลย ตกเละหมดเลย ดินเละหมดเลย ไม่มีใครไม่หกล้ม  มางานนั้นใครไม่หกล้มเรียกว่าว่าได้มางาน หกล้มกี่ครั้งไม่รู้ หลายครั้งแน่นอน เดินไปไหนก็ล้ม ลื่น ดินเละหมดเลย ลื่นล้มกันเป็นของธรรมดา สนุกกันไปเลย เพราะล้มลงไปก็โดนโคลนไม่เจ็บอะไรก็สนุกกันไป เลอะเทอะกันไป สนุกเราก็จัดเวทีจัดอะไรต่ออะไรต่างๆนานาเร่ิมคราวนั้น มาปีนี้ก็  20 ปีพอดี ซึ่งไม่ได้กะได้เกณฑ์นะ แต่มันก็ลงตัวปีนี้เลย พอดิบพอดี ก็ได้ฉลองขึ้นมา

       ซึ่งปีนี้อาตมาตั้งใจที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ เพื่อจะลงหลักปักแหล่ง อาตมาก็เคยระดมว่าจะให้พลเมืองของบ้านราชฯมีเป็นพันคน ระดมกันจนกระทั่งแต่งเพลง ศิลป์สร้าง จนทุกชาติ เขาก็แต่งเพลงขึ้นมา เพลง หนึ่งในพัน ก็ร้องกัน ก็มากันยังไม่ถึงพันจนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ถึงพัน พลเมืองของบ้านราชฯ ก็ตั้งใจที่จะให้เมือง เป็นพลเมืองที่จะก่อบ้านสร้างเมืองขึ้นเป็นสังคมบุญนิยม สังคมสาธารณโภคี

       ซึ่งคำว่าบุญนิยมนี่ อาตมาเปิดคอลัมน์ใหม่่ที่หนังสือเราคิดอะไร? ชื่อคอลัมน์ว่า “เปิดโลกยุคบุญนิยม” ใช้นามปากกาว่า “เก่าสมัยใหม่เสมอ” อาตมาก็จะขอร่ายอ่านอะไรไปจากอันนี้ด้วย จะบรรยายขยายความไปตามนี้ ไปเรื่อยๆ

       ก่อนจะได้อ่านจะได้ขยายความ ก็ขอแจ้งข่าวก่อนว่าวันนี้เราได้ประชุมกันที่ชั้น 2 เฮือนศูนย์ฯเมื่อตอนบ่าย ไปเสร็จเอาบ่ายสี่โมง ประชุมด้วยเรื่องการศึกษา ระดับอุดมศึกษาของชาวอโศก เราได้พยายามขมีขันทำกันมาตั้งแต่พศ.2540 ตอนนี้พศ.2557 มากกว่า 10 ปี ก็ไม่สำเร็จกัน อาตมาเริ่มทำตั้งแต่ม.วช.(มหาลัยวังชีวิต) ตอนนั้นเราก็ยังไม่พร้อมเท่าไหร่ เรายังไม่อยากเป็นนิตินัย จนดำริต่อจากม.วช ต่อมาก็เป็น สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต(ส.สว) แต่เราไม่ได้เปลี่ยนโลโก้ ไม่ได้เปลี่ยนตราเปลี่ยนเข็ม ยังเป็น ม.วช อยู่ แต่ชื่อก็ถูกท้วง หาว่าเราจะมาตั้งสถาบันการศึกษาผิดกฎหมาย เราก็เปลี่ยนมาเป็น ส.สว. ต่อมาก็คิดว่าเราจะทำเป็นนิิตินัยเลย อาตมาตั้งเป็น ว.บบบ. วิทยาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม ทำให้เป็นธรรมะเข้ม พอดำริที่จะทำให้ส.สว.ให้เป็นนิตินัย ก็ปรึกษาหารือ หลายคนก็ไม่เห็นด้วย ว่าจะต้องตั้ง ว่าไม่พร้อมหรืออะไรก็แล้วแต่ จนกระทั่งสุดท้ายสรุป ว่ายังไงๆเราก็จะเอาให้ได้ ก็เลยมาประชุมกัน โดยที่จริงๆก็ไม่ตั้งใจเป็นกิจลักษณะ  แต่คราวนี้ประชุมกันก็พร้อมกันมากเลยผู้มานั่งประชุม 

       สรุปว่าเราจะเร่ิมต้นเลย ได้ชื่อชัดเจนว่า สถาบันสัมมาสิกขาวิชชาราม(ส.สว) มีที่อื่นเขาตั้งเป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาเหมือนกันเขาก็ใช้วิชชาลัยมีหลายแห่งแล้ว ไม่ได้ใช้วิทยาลัย แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาหาทางธรรมะ คำว่าวิชชานี่มาหาทางธรรมะ ตรงข้ามกับคำว่าอวิชชา เป็นวิชชาความรู้ที่มีความระดับปรมัตถธรรม ของพระพุทธเจ้า ผู้ใดมีวิชชา ผู้นั้นก็คือเป็นผู้ที่บรรลุธรรม ตั้งแต่มีวิปัสสนาญาณ ถึงอาสวักขยญาณ เราก็เลย สรุปประชุมได้ว่าตกลงจะตั้งแล้ว ก็เลยเดินเรื่อง ทางด้านที่จ ติดต่อที่จะทำเป็นนิตินัยก็ตั้งบุคคลไป  ส่วนทางปฏิบัติก็เร่ิมเลยไม่ฟังเสียง จะเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาวอโศกเลยภาษาอังกฤษก็ใช้ Sammasikka Vijjaram Institute (SVI) อ่านแสลงสำเนียงอีสานว่า สวีสวี นี่แปลว่าไปหวั่งๆเลย ไปหายไปเลยไกลลิบเลย ก็ขอประกาศว่าเราจะเร่ิมต้นป.ตรี ผู้ใดจะมาศึกษาก็เชิญเลย ปัญญาตรี ซึ่งจะมีคณะก็คือคณะพุทธชีวศิลป์ ที่เราเคยตั้งไว้ แล้วจะไปแตกแขนงเป็นเศรษฐกิจพอเพียงหรือคณะอะไรก็ว่ากันไป แต่เราชื่อปัญญาบัติ ไม่ใช่ปริญญาบัตร เราเรียกของเรา แต่นิตินัยเขาจะเรียกปริญญาก็ว่าไป แต่ของเราจะเรียกว่าปัญญาบัตร ก็จะเร่ิมตั้งแต่ปัญญาตรี ผู้ใดสนใจจะจบม.6 ก็สมัครได้ จบม.3 ก็สมัครได้ ไม่ถึงม.3 ดีนัก อ่านออกเขียนได้สามารถมีความพิเศษสามารถพอที่จะสมัครได้ก็เอา เราจะมีหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนภายหลัง ผู้จะมาสมัคร เราเอาความเป็นได้จริงมากกว่าความรู้ทางโลก อายุเท่าไหร่ก็สมัครเรียนได้ แต่เมืองนอกนี่มหาวิทยาลัยของเขาอายุเท่าไหร่ก็เรียนได้ อายุ 80 เพิ่งจบป.ตรีอาตมาก็เห็นข่าว ของเราจะตั้งหลักเกณฑ์ให้คะแนน ผู้ที่ไม่จบม.6 จะพิจารณาพิเศษอย่างไร เราจะมาเอาความจริงที่รู้และทำได้ โดยเฉพาะเราเน้นคุณธรรม 70 % และวิชาการทางโลกแค่ 30 % เท่านั้น นี่ง่ายๆ ส่วนจะแบ่งเป็น ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา ที่เป็นปรัชญาการศึกษาของเรา

       ประชุมกันก็เห็นว่าชาวอโศกมีความพร้อมในการศึกษา ที่จะทำให้ทั้งเกิดความรู้และเกิดความสามารถ เกิดความชำนาญ ในความเป็นชีวิตที่สุจริตธรรม เป็นชีวิตที่มีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ซึ่งเป็นเรื่องเลิศ เรื่องประเสริฐ เรื่องยอดแล้ว เรามีพร้อมในชาวอโศกเราได้ทำมาแล้วหลายปี ต่างคนเห็นสอดคล้อง ทั้งพวกเราเองและแม้แต่คนข้างนอกที่เขาเห็นว่าเราพร้อม มีผู้มาให้ความเข้าใจให้ความรู้เป็นตัวอย่าง เช่นแพทย์หญิงมาจากอเมริกา มารับรู้ก็ศรัทธาเข้าใจ เป็นต้น  นอกนั้นก็คนในพวกเราก็เข้าใจ แม้แต่ผู้ที่ครูพักลักจำ ทำงานอยู่ข้างนอกไม่ใช่ชาวอโศกอย่างแท้จริง แต่เข้าใจอโศกนำเนื้อหาอโศกไปใช้ แม้ไม่ประกาศตัวเป็นอโศก เขาเอาไปตั้งโรงเรียน ไปตั้งวิทยาลัยด้วยซ้ำ ซึ่งก็เป็นผู้ปัญญาชนทำงานในสังคม มีทุนทางสังคมไม่น้อย อาตมาไม่ได้กล่าวชื่อ ก็ไม่ได้เป็นชาวอโศก แต่ก็เอาของชาวอโศกไปทำ อย่างที่เข้าใจและยอมรับว่าอันนี้คือความจริงของมนุษยชาติ

       จนตอนนี้เราก็จะพึ่งมหาวิทยาลัยของอ.คนนี้แหละ ที่ดูแลอยู่ เพื่อที่จะสัมพันธ์ว่า พวกเราเรียนป.ตรี 4 ปี(แต่เดิมอาตมาว่าจะเอาสัก 5 ปีที่เคยร่างเอาไว้ว่า 5 ปีจบ) แต่สมมุติว่าเรียนไป 4ถึง 5 ปีแล้วก็ยังตั้งวิชชาลัยของเราไม่สำเร็จ ก็ไปขอขึ้นกับสถาบันที่ท่านตั้งได้แล้ว รับเป็นนิตินัยปัญญาบัตรนิตินัยกับทางมหาวิทยาลัยของอ.คนนี้ได้เลย สถาบันของอ.คนนี้ก็เรียกว่าปัญญาบัตรเหมือนกัน อาศัยออกใบปัญญาบัตรก่อน เขายินดีร่วมมือ ถือว่าเป็นการศึกษาบุญนิยมได้เลย

 

       การศึกษาพวกเราเรียกได้ว่าเป็นการศึกษาบุญนิยมได้เลย บุญ คำนี้คำเดียวนี่อาตมาจะขยายความ ได้ขยายไปแล้วในหนังสือเราคิดอะไรก็ขยายไปสองเล่มแล้ว ในคอลัมน์เปิดยุคบุญนิยม แล้วอาตมาก็จะเขียนเพ่ิมขยายความ บุญกับกุศลสองคำ ซึ่งเป็นคำธรรมะของพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้เข้าใจผิดเพี้ยนกันไป เข้าใจเรื่องบุญกันไม่ได้ แล้วก็เลยปฏิบัติไม่เป็นเพราะเข้าใจเรื่องบุญผิด ไม่เข้าเป้า บุญกลายเป็นความหมายไม่ตรงสาระสัจจะ บุญกลายเป็นความหมายเหมือนกับกุศล ทั้งที่บุญเป็นคำเฉพาะของศาสนาพุทธ บุญตรงข้ามกับบาป บาป คือกิเลส บุญคือการชำระกิเลส เรียกสั้นๆ แต่ท่านแปลขยายความกันในพจนานุกรมบาลี ท่านแปลกันไปว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ แปลเป็นภาษาบาลี ก็แปลว่า ปุนาตินี่คือการชำระหรือเครื่องชำระ ชำระกิเลสในสันดานให้หมดจด วิโสเทติ แปลว่าหมดจด สะอาดสะอ้าน นี่คือเนื้อหาความหมายของคำว่า บุญ ซึ่งเป็นภาษาบาลีว่า ปุญญฺ เสียงขึ้นจมูกเสียงนาสิก ซึ่งส่ิงที่ชำระออกก็คือบาป บาปจะหมดไปเพราะเกิดการชำระอย่างถูกต้อง เมื่อชำระถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง และบาปก็คือกิเลส หมดกิเลสก็หมดบาป บุญก็หมด บุญก็จบ หมดกิเลสแล้วเป็นพระอรหันต์  เป็นพระอรหันต์แล้วกิเลสไม่มี เมื่อไม่มีก็ไม่ต้องทำบุญไม่ต้องได้บุญ จะเรียกว่าได้บุญก็พอได้ คือได้ชำระแล้วสมบูรณ์แล้วไม่ต้องทำอีก จบกิจ กิจที่บุคคลพึงทำก็คือการชำระล้างกิเลส นี่คือกิจของมนุษยชาติทุกคน แต่ทุกวันนี้คนไม่เห็นความสำคัญของการล้างกิเลส เห็นเป็นเรื่องไม่ต้องชำระ น่าเศร้าใจจริงๆ ชาวพุทธแท้ๆเป็นลูกพระพุทธเจ้า ท่านกำชับกำชาว่าผู้ไม่ปฏิบัติชำระกิเลสนี่คือโมฆบุรุษ ผู้เกิดมาได้ร่างกายเป็นมนุษย์มามีสุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส ได้ร่างกายมาครบครัน อาการ 32 แข็งแรง สุรภาโวพร้อมไม่พิการส่วนใน สติมันโต มีสติดีเต็มที่ ครบพร้อม ก็คือนี่แหละชีวิตทั้งชีวิต ชีวิตที่มีสุรภาโว สติมันโต เป็นชีวิตเป็นกายและใจ มีกายยาววาหนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจ เรียกว่าอิทพรหมจริยวาโส กายใจ เต็มที่อันนี้ เป็นที่ๆจะปฏิบัติเพื่อบรรลุพรหมจรรย์ได้ ถ้าไม่มีร่างกายนี้ ไม่มีจิตวิญญาณอยู่ในร่างกายนี้ หรือจิตวิญญาณที่ไม่มีสติเต็มที่ เป็นสติพิการ หรือร่างกายพิการ ไม่เกิดสุรภาโว ไม่เป็นภาวะที่สมบูรณ์แบบ พิกลพิการ ก็ไม่ได้ แต่ถ้าสุรภาโว สติมันโต พร้อมพรั่งเป็นร่างกาย มีจิตใจที่พร้อมจะปฏิบัติบรรลุพรหมจรรย์  ที่อื่นๆใดๆไม่มีสิทธิ์ไม่มีที่จะใช้ประพฤติพรหมจรรย์ เช่นตายไปไม่มีสุรภาโว สติมันโต คนที่ตายไปแล้วก็คุมสติไม่ได้เหมือนคนเป็นๆ ตายไปแล้วจิตวิญญาณเฉยๆมันไม่เต็มเต็งใช้ไม่ได้เต็มที่ปฏิบัติได้ไม่ครบพร้อม ไม่ครบพร้อมความเป็นสัตว์โลก เพราะฉะนั้นจะมาเกิดตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังต้องอาศัยร่างกายนี้ ประกาศเป็นพระพุทธเจ้า ทุกคนที่จะปฏิบัติธรรมให้บรรลุต้องใช้กายนี้ ซึ่งจะไม่เจาะลึกเรื่อง กาย แต่งานนี้จะเจาะลึกเรื่อง บุญ ซึ่งคนฟังอาจจะบอกว่าไม่มีอะไรมาก แต่ก็ค่อยฟังไป ผู้ที่สามารถรู้ชัดเจนว่า บุญ คือการชำระกิเลสในจิต เข้าใจอย่างดี ผู้นั้นก็จะปฏิบัติมีผล แต่ถ้าเข้าใจเพี้ยน ไม่เต็มเต็ง ปฏิบัติอย่างไง กิเลสก็ไม่แม่น ปฏิบัติชำระกิเลสก็ไม่ถูกเรื่อง เพราะไม่เข้าใจองค์ประกอบ ไม่เข้าใจกาโย หรือองค์ประชุม ไม่ครบองค์ประชุม มันจะไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจก็ปฏิบัติ ทั้งๆที่ต้องเกิดมาได้กายยาววาหนาคืบกว้างศอก ได้ดินน้ำไฟลม หมาภูตรูปพร้อม ทั้งพฤติกรรมที่เต็มไปด้วย สุรภาโว สติมันโต แล้วก็มีทวาร 6 โดยเฉพาะทวาร 5 คือตาหูจมูกลิ้นกาย ที่จะใช้สัมผัส ทุกอย่างที่โลกมีให้เราสัมผัส แล้วเราก็จะได้เรียนรู้ กิเลสในสันดานเรา เรียนรู้จนกระทั่งรู้วิธี แล้วได้ปฏิบัติตามสัมมาทิฏฐิที่เราได้เรียนรู้กำจัดกิเลสหมดได้จริงเป็นอรหันต์ได้จริง

       ไม่ง่ายอาตมาทำงานมากกว่า 40 ปี กับพวกเรา ก็ยังไม่ง่ายเลย ยังไม่ชัดเจนเลย  นี่อาตมาเพิ่งประกาศได้ โดยอาตมาเองต้องพยายามตรวจสอบหรือดู ประกาศอรหันต์ได้คนเดียวเท่านั้น ใน 40 กว่าปี อาตมาประกาศอรหันต์ ว่าชาวอโศกเรานี่บรรลุอรหันต์ได้เพียงคนเดียว ซึ่งก็เสียชีวิตไปแล้ว คือสม.ผุสดี เป็นอรหันต์ที่อาตมามั่นใจชัดใจคนเดียว นอกนั้นก็ไม่ชัด  ผู้ที่จะเป็นอรหันต์จะต้องมีญาณรู้ตัวเองว่าตนเองเป็นอรหันต์ ถ้าตัวเองก็ไม่ชัดเจนว่าอรหันต์จะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ตนเป็นหรือเปล่า แน่นอนจะเป็นได้อย่างไรเพราะตัวเองยังไม่รู้ตัวเองเลย เพราะผู้ที่จะเป็นเป็นอรหันต์ตัวเองต้องมีญาณรู้ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ต้องรู้ว่ากิเลสตนเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่ขั้นต้นโสดาบันก็ต้องรู้แล้ว ว่าอย่างนี้คือกิเลส อย่างนี้คือ กาย กายนี่คือตัวตน อย่างนี้คือกายของกิเลส จะต้องเข้าใจกายหรือองค์รวมของกิเลส เป็นขั้นต้นเลย เรียกเต็มๆว่า สักกาย สักกะ นี่แปลว่าตนเอง  กายนี่ก็คือองค์ประชุมของจิต องค์รวมองค์ประกอบของจิตจะต้องรู้ต้องเห็นต้องเข้าใจเลย ต้องเรียนรู้จากปริยัติ หรืออุเทสที่อาตมาอธิบาย เรียกว่าทิฏฐิ หรือทฤษฎีในการปฏิบัติ

       เมื่อได้ทฤษฎีแล้วคุณก็ไปเห็นองค์ประชุม หรือกาย ซึ่งกายไม่ใช่รูป รูปก็คือต้องเป็นนามรูป ถ้าจะใช้ กายเป็นนามรูป กายไม่ใช่รูปรูป กายเป็นรูปแต่ว่าถ้าเราเองไม่เป็นผู้ที่มีนาม คำว่า กายไม่เกิด เช่นขวดๆนี้เรียกว่ามันมีร่างกาย ไม่ได้ มันไม่มีร่างกาย เพราะมันไม่มีนาม มันมีแต่ร่างของขวด โครงสร้าง สรีระ มีแต่รูปสรีระของขวด นอกนั้นก็เป็นวัตถุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ใช่ร่างกาย อะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีจิตวิญญาณไม่เรียกร่างกาย ส่วนสัตว์โลกเป็นร่างกายเพราะมีจิตวิญญาณ สัตว์เดรัจฉานก็มีร่างกาย อะไรที่ไม่มีจิตวิญญาณ​แม้แต่พืช เรายังไม่เรียกร่างกายเลย ต้นไม้ไม่เรียกร่างกายของมัน ใครเคยเรียกร่างกายบ้างของต้นไม้ ไม่มีใครเรียก เพราะต้นไม้ไม่มีจิตวิญญาณ ต้นไม้เป็นพลังงานชีวะระดับต้น เป็นพีชนิยาม ส่วนจิตนิยามเป็นชีวะระดับสูง อาตมาจะไม่ลงรายละเอียดเรื่องนิยามชีวิตเพราะจะลึกซึ้ง ไม่มีเวลาพอ

       ผู้ที่รู้จักกาย ไปสัมผัส กายของตนเอง สักกาย สัมผัสจริง เรียกว่า พ้นสักกายทิฏฐิ เรามีความรู้ควาเห็นความเข้าใจเป็นทิฏฐิ เป็นปริยัติ แล้วไปปฏิบัติ ได้ทุกที่ มีผัสสะตรงไหนก็ปฏิบัติได้ตรงนั้น ตากระทบรูปที่ไหนปฏิบัติธรรมได้เมื่อนั้น หูกระทบเสียงเมื่อไหร่ปฏิบัติธรรมได้เมื่อนั้น จมูกกระทบกลิ่นปฏิบัติได้เมื่อนั้น ลิ้นกระทบรสเมื่อไหร่ปฏิบัติได้เมื่อนั้น กระทบอยู่เมื่อไหรได้เมื่อนั้น หรือแม้แต่ปฏิบัติโดยใช้สัญญา กำหนดรู้ในภายใน เป็นรูปเป็นอรูปในภายในถ้าระลึกรูป อรูปโดยตาหูจมูกลิ้นกายไม่ได้สัมผัส ไม่ได้มาจากตาหูจมูกลิ้นกาย แต่เป็นในเอก เป็นอัชฌัตตัง มีรูปและอรูปข้างใน สามารถรู้ได้เป็นรูปหรืออรูปอยู่ภายใน เราก็เรียนรู้ ว่ายังปรุงแต่งเป็นอะไรในตัวจิตมันเอง เป็นสัญญาที่ยังระลึกยังจำ ยังปรุงแต่งอยู่ เราก็เรียนรู้ กำหนดรู้ได้ ละกิเลสนั้นได้เป็นแต่ภายใน เพราะฉะนั้น ภายในนั้น เราสามารถเรียนรู้แล้วล้างกิเลสภายใน สิ้นอาสวะได้ แต่ไม่ใช่กาย ในข้างในตรงนั้นมันไม่ได้กระทบสัมผัสโดยนับทางตา หู จมูก ลิ้น  สัมผัสทางโครงนอกเรียกว่ากาย สัมผัสมันไม่ได้มีครบ ไม่เรียกว่า บริบูรณ์ด้วยกาย ในการปฏิบัติวิโมกข์ 8 ข้อ 1 ถึง 3 พระพุทธเจ้าถึงกำชับกำชาว่าผู้จะบรรลุอรหันต์นั้น แม้อาสวะบางอย่างจะหมดไปได้ แต่ถ้าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ไม่ถือว่าเป็นผู้บรรลุอรหันต์ ต้องมาสัมผัสครบภายนอก ผู้ปฏิบัติทุกวันนี้เพี้ยนไปหมดแล้ว นั่งปฏิบัติจิต นั่งสมาธิหลับตาแล้วได้นิโรธ เพี้ยนไปไกลจนกระทั่งถึงมิจฉานิโรธ แล้วหลงว่าเป็นนิโรธ ทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ก็น่าสงสาร ไม่รู้จะทำไง ก็เพราะสงสารนี่แหละจึงพยายามดันทุรังให้อยู่ได้สัก 151 ปี ซึ่งก็ไม่ใช้เรื่องเล่น ได้จริงหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่จะพากเพียรพิสูจน์โพชฌงค์ พิสูจน์ความพยายามที่จะต่ออายุขัย หรือว่าทำอายุขัยของเราให้ยาวยืนไป เกินกว่าขัย เกินกว่าอายุจริง จริงๆอาตมานี่อายุขัยไม่ถึงขนาดนี้หรอก แต่มาถึงขนาดนี้ก็ถือว่าประสพผลสำเร็จแล้ว เรื่องนี้พูดไปคนก็ไม่รู้ด้วย บางคนเข้าใจเชื่อ และเชื่อกลายเป็นเรื่องลึกลับก็ไม่ดี เท่าที่อาตมาเคยพูดบอกว่าอาตมาอายุขัยแต่ 70 กว่าก็ไปแล้ว แต่นี่มาถึง 80 แล้วก็ยังแข็งแรงอยู่ เมื่อเช้าก็ยังมีผู้มาคุยด้วย ถามไถ่เขาก็ว่าอายุ 70 กว่าไม่ถึง 80 มาคุยแล้ว ก็ยังบอกว่าทำไมหน้าตาท่านไม่ย่นเลย แต่หน้าตาของท่านผู้นั้นน่ะย่น ทำไมผมมันย่น ปี น้อยกว่าอาตมาปีหนึ่งหรือไง จำไม่แม่น

       ทำไมอาตมาไม่ย่น อาตมาก็บอกอาตมาก็พากเพียรปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ใน8อ. ก็จริงนะ หน้าตาอาตมาไม่ย่นเหมือนกับท่าน ท่านย่นไปหมด ปกติก็ย่น ของอาตมาเป็นร่องรอย แต่นั้นย่นยับๆ เหมือนกับคนแก่นะ ซึ่งส่ิงเหล่านี้เป็นส่ิงยืนยันธรรมะประกอบเป็นพลังงานอย่างหนึ่งของร่างกายชีวิตได้ อาตมาเคยบอกว่าต่อไปพวกเราชาวอโศกจะเป็นผู้มีอายุยืนกว่าปกติ มันเหตุปัจจัยเยอะ อาตมาไม่พูดต่อละว่าทำไมอายุยืน เพราะอาชีพเราก็ไม่ได้มีอาชีพที่ไปล่อแหลมต่อการตาย ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับส่ิงมีภัยมีโทษที่ทำให้ชีวิตมีอายุสั้น หลายอย่าง แม้แต่เรื่องอาหาร  มีองค์ประกอบรอบด้านที่ทุกวันนี้มีภัยมีพิษเยอะที่ทำให้ชีวิตสั้นลง แต่พวกเราชาวอโศกนี่อยู่ในเสนาสนะอันสัปปายะ อยู่ในถิ่นที่ดี มันไม่เกิดีพิษภัยที่จะทำให้อายุสั้นลงได้ นอกนั้นก็มีอีกเยอะแยะ ที่จะทำให้ชีวิตของชาวอโศกอายุยืนยาว อันนี้ไม่ใช่โฆษณาหาเสียงหรือให้มาชื่นชม แต่อธิบายสัจธรรม

       เรื่องของสังคมมนุษย์ที่เรียกว่า สังคมบุญนิยมนี่ อาตมาจะขออ่านที่เคยเขียนไว้ก่อนโน้น ตั้งแต่เขียนเราคิดอะไรมาตั้ง10 กว่าปีแล้ว ที่เปิดคอลัมน์ “ข้าพเจ้าคดอะไร?”อาตมาก็ร่างเขียนบทนี้ไว้ก่อน แล้วก็พิมพ์มาประจำจนกระทั่งเปลี่ยนคอลัมน์เป็น “เปิดโลกบุญนิยม” ก็ตาม อาตมาก็ยังคงนำข้อเขียนนี้ปะไว้ที่ในคอลัมน์นี้ประจำ อาตมาก็ขออ่านสู่ฟังก่อน

       ระบบบุญนิยมนี้ข้าพเจ้าเชื่อมีความเชื่อมั่นในใจจริงๆว่าจะช่วยสังคมมนุษยชาติที่ถูกพิษและฤทธิ์ของระบบทุนนิยมกำลังต้อนเข้ามุมอับอยู่ในปัจจุบันนี้ได้แน่ๆหากประชาชนได้ศึกษาช่วยวิจัยกันต่อ และอบรมฝึกฝนร่วมมือสร้างสรร ให้เกิดให้เป็น ผู้เจริญตามระบบบุญนิยมนี้ จนมีคุณภาพและปริมาณเพียงพอ ตอนนี้คนจะเห็นจะรู้ยังยาก ยิ่งจะเชื่อตามยิ่งยาก เพราะยังมีผู้พอรู้พอเป็นหรือดำเนินชีวิตในระบบบุญนิยมได้แล้วจำนวนน้อยเหลือเกิน เฉพาะอย่างยิ่ง คนทั้งหลายเกือบทั้งโลกทุกวันนี้ก็ล้วยดำเนินชีวิตกันอยู่ด้วยระบบทุนนิยมอย่างสนิทสนม และตายใจว่า ไม่เห็นจะมีระบบอะไรอื่นอีกเลยกันทั้งนั้น ส่วนผู้ที่เห็นและเข้าใจว่า ระบบทุนนิยมกำลังเข้ามุมอับไปไม่รอด ช่วยมนุษยชาติในโลกให้เกิดสุขสันติอย่างอุดมสมบูรณ์ เป็นสังคมที่ดีตามอุดมการณ์ไม่ได้ ก็ยังมีน้อยอยู่ด้วย จึงเป็นเรื่องยากที่ยากสุดๆจริงๆ แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นทางออกอื่นใดเลยที่จะดีกว่าต้องปรับตัวมาเป็นระบบบุญนิยมนี้ให้ได้ แล้วสังคมมนุษยชาติในโลกไปรอดแน่ๆ ...ลงชื่อผู้เขียน สมณะโพธิรักษ์

       ต่อจากนี้คุณเก่าสมัยใหม่เสมอก็จะเขียนต่อ คอลัมน์นี้บอกว่าเปิดยุคบุญนิยม ทำไมต้องเปิดด้วยล่ะ ก็เพราะมันไม่ปิดไง ขออภัยพูดหวัดไปนิดหนึ่งนี่ไม่ยียวนนะ ไม่ปิดก็คือตั้งใจแง้มออกมาแล้วเผยออกมาแล้ว คือไม่ปกปิดเอาไว้ในที่จำเพาะหรือในกรอบขอบอยู่อย่างเก่าๆเท่านั้นแล้ว  คือเร่ิมเผยตัวออกมาแล้ว ผู้เปิดเผยทำทีเป็นว่าเราไม่ใช่เป็นผู้เปิดเผย เป็นเจ้าของทีเดียว จริงๆแล้วอาตมาไม่ใช่เจ้าของบุญนิยม เจ้าของบุญนิยมคือพระพุทธเจ้า อาตมาก็เป็นเหมือนร่างทรง เหมือนกับกำนันเป็นร่างทรงประชาชน อาตมาก็เป็นร่างทรงความรู้ของพระพุทธเจ้า ผู้เปิดเผยบุญนิยมเขาตั้งเจตนาใหม่แล้ว เขามุ่งหมายตั้งใจ ไม่สงวนความเป็นบุญนิมไว้แต่ในหมู่หรือสงวนไว้แต่ในขอบเขตจำกัดอย่างเก่าแล้ว เขาทั้งออกตัว ทั้งสื่อสาธารณะทั่วไป ทุกวันนี้เผยแพร่ให้ได้เห็นได้รู้ได้ยินได้ฟังได้สัมผัสกันอยู่โต้ง แต่คนยังไม่รู้ค่า แต่ก่อนนั้นยังไม่ได้เปิดเผยเพราะเขายังไม่พร้อมพอ หมายถึงชาวอโศก  เขาปฏิบัติตนเองในกลุ่มหมู่ตนเองเท่านั้น  ยังฟูมฟักก่อร่างสร้างตัวอยู่

       ความเป็นบุญนิยมในบุคคลากรแต่ละคนทั้่งที่เกิดจริงเป็นจริงได้ในหมู่มวลในภาวะหรือในองค์รวมจนผนึกเป็นปึกแผ่น ทั้งคุณสมบัติ หรือคุณวุฒิ ในความเป็น บุญ แบบพุทธ อย่างสัมมาทิฏฐิก็ดี หรืออื่นๆอีกนั้น เขาต้องมีภาวะแห่งคุณธรรมที่ถึงขั้นคุณวิเศษ เอาคำว่าคุณนี่มาใช้กันเยอะ ตั้งแต่คุณสมบัติ คุณวุฒิ เป็นบุญแบบพุทธด้วย กำชับลงไปอีก เป็นคุณวุฒิ บุญแบบพุทธ อย่างสัมมาทิฏฐิกำชับเงื่อนไขหลักว่าแบบสัมมาทิฏฐิ ซึ่งผู้มีคุณธรรมบุญแบบพุทธนี้ เขาต้องมีภาวะแห่งคุณธรรมที่ถึงขั้นคุณวิเศษ คำว่าคุณธรรมนี่รู้กันทั่วไป อย่างโลกีย์ก็เยอะ มีคุณธรรมคุณงามความดีความเกื้อกูล อะไรต่างๆนานาที่เป็นกันตอนนี้คุณงามความดีเรียกคุณธรรมทั้งนั้น แต่นี่ถึงขั้นคุณวิเศษ และต้องมีคุณนิธิ คุณนิธิก็คือคลังแห่งความดี มีคุณนิธิเพียงพอ กระทั่งมี คุณราศี คือคุณธรรมที่มีนั้นๆจะต้องมีมากจนแผ่พลัง ออกไปให้ผู้อื่นสัมผัสได้ คุณราศีต้องเป็นคุณธรรมระดับคุณวิเศษนะอย่าลืม เมื่อคนได้สัมผัสแล้วจึงจะพอรับได้รู้ได้บ้าง จะต้องมีคุณนั้นก่อนเปิดตัว  คุณก็คือ คุณธรรม คุณนิธิ คุณราศี คุณวิเศษนั่นแหละ ซึ่งจะต้องมีคุณนั้นก่อนจะเปิดตัว และขอย้ำกำชับว่า คุณสมบัติหรือคุณวุฒิของบุญนิยมต้องเป็นคุณธรรมขั้นคุณวิเศษถึงอุตริมนุสธรรม ดังนั้นบุญนิยมแบบพุทธที่สัมมาทิฏฐิ จึงเป็นอุตริมนุสธรรม คือคุณวิเศษ เพราะมีคุณประโยชน์ที่ว่านี้มี ทาน ศีล ภาวนา ขั้นโลกุตระ ทานก็แบบโลกุตระ ศีลก็แบโลกุตระ ภาวนาก็แบบโลกุตระนั่นเอง มีทาน ศีล ภาวนา ขั้นโลกุตระ มิใช่แค่ขั้นโลกียะเท่านั้น นี่ย้ำ คุณประโยชน์ ประโยชน์ที่ได้ ทำทานได้ประโยชน์หรืออานิสงส์ แค่โลกียะก็ยังไม่ใช่บุญตามที่หมายนี้ ทานก็แค่โลกียะ ศีลก็แค่โลกียะ ภาวนาก็แค่โลกียะ นั่นยังไม่ใช่บุญตามที่หมายนี้

       แต่คุณประโยชน์อันมีคุณค่าคุณธรรมต้องสำเร็จผลถึงจิตใจได้สละกิเลส คุณประโยชน์นี้้ต้องมีคุณค่า เข้าขั้นคุณธรรม ต้องสำเร็จผลถึงจิตใจได้สละกิเลสจางคลายหรือหมด หรือดับไปจริง ที่เรียกว่า คุณวิเศษ หรือเรียกว่าอุตริมนุสธรรมปานนั้นทีเดียว ซึ่งคุณวิเศษนั้นไม่ใช่คุณธรรมระดับสามัญธรรมดา แต่เป็นคุณธรรมระดับสำเร็จจริง แล้วตกผลึกผนึกอยู่ในจิต เกิดจิตที่เป็นสมาธิ เรียกว่าตั้งมั่นผนึกลงไปในจิต ต้องมีคุณประโยชน์ถึงขั้นนี้เป็นตัวชี้บ่งคุณค่าแห่งคุณประโยชน์ ต้องเข้าใจว่าคุณค่าต่างจากคุณประโยชน์อย่างไร  

       และต้องเป็นชนิดที่สัมผัสแตะถูกตัวตน ตัวตนนี้ภาษาบาลีเรียกว่า อัตตา แตะถูกตัวตนจริงๆแท้ๆของกิเลสสันดานนั้นๆด้วย แล้วชำระสันดานนั้นได้ จึงจะนับว่าเข้าขั้นที่เราหมายถึง นี่คือบุญ ฟังขยายความมาถึงขนาดนี้ไม่จบนะ นี่เพิ่งเริ่มต้นคำว่าบุญ ตั้งใจฟังดีๆ วันนี้อาจจะต้องฟังธรรมกันหูหักบ้าง ต้องขึ้่นบันไดหรือยอดไม้ฟัง จึงจะนับว่าเข้าขั้นที่เราหมายถึงว่านี่คือ “บุญ”

       ผู้ได้บุญต้องได้คุณธรรมขั้นนี้ ในความเป็นบุญนิยม สำทับลงไปเลย เรามีเนื้อหากันตามที่ว่านี้ เพื่อยืนยันว่าเราก็คือพวก เราชาวอโศกมีเนื้อหาระดับนี้ เป็นคนได้บุญระดับนี้จึงเรียกว่าลัทธิบุญนิยม

       ที่จริงบุญนิยมนี้ เป็นระบบที่เก่ามาก มีตั้งแต่พระพุทธเจ้าอุบัติตรัสรู้ ขึ้นในโลกกว่า 2600 ปีมาแล้ว ก็ต้องเก่าสมัยแน่ แต่เป็นระบบเก่าที่ไม่เคยเก่าเลย แม้จะเป็นระบบเก่ามานานสมัยก็ยังลำ้หน้าสมัยใหม่ที่ใหม่ที่สุดเอาด้วย  จึงใหม่เสมอ เป็นของเก่าสมัย ถ้านับแล้วก็เก่ามาก เก่าสมัย แต่ใหม่เสมอ  เพราะเป็นระบบมีคุณค่า แม้แต่คนสมัยนี้ในจิตลึกๆก็ถวิลหาบุญนิยม แต่เขาไม่รู้ภาษาไม่รู้ความหมายสิ่งที่เป็นสภาวะนี้

       ยกตัวอย่างง่ายๆ ผู้ที่บรรลุบุญแล้วชำระกิเลสได้แล้วก็จะเป็นคนที่ไม่มีความเลวร้ายที่เกิดจากกิเลสจากบาป  ก็เป็นคนจิตดีจิตประเสริฐ ซึ่งเรียกว่าบุญเพราะว่าได้ชำระกิเลสจริง เป็นหลักประกัน เป็นต้นทุนของประธานที่เกิดจากกายกรรม วจีกรรม เพราะมาจากมโนบุพพัง คมาธัมมา เมื่อมโนไม่มีกิเลสก็ไม่มีอะไรที่จะมาแสดงออกทางวจีทางกาย แม้แต่ทางใจก็ไม่คิดไม่ปรุงไม่มีกิเลสตัวนั้นไปปรุงด้วย  เป็นหลักประกันสมบูรณ์ยอดเยี่ยม

       คุณวิเศษนี้มีคุณค่าที่ทุกคนต้องการถวิลหาต้องการจะได้อันนี้  แต่คนไม่รู้ความจริงว่าต้องการได้อันนี้ ได้คืออย่างนี้ ได้คือสำเร็จจากได้ทำบุญ ได้ปฏิบัติเกิดบุญ คือเกิดการชำระกิเลส แล้วจิตของเราเป็นคนจิตสะอาด ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในโอวาทปาติโมกข์ว่า สจิตตปริโยทปนัง ชำระจิตให้สะอาดผ่องใส ก็คือชำระกิเลส ปุนาติ นี่แหละ

       ผู้ใดเข้าใจคุณสมบัติของจิตไม่มีกิเลสแล้วเป็นคนประเสริฐอย่างที่พอเข้าใจ  แม้แต่คนสมัยนี้เขามีกิเลสเยอะ แต่เขาก็ถวิลหาคนที่ไม่มีกิเลส พยายามแสวงหาค้นหาระบบที่จะทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขปลอดภัย ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ มีแต่ความเป็นอยู่ที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเสียสละแก่กัน ไม่รุนแรงโหดร้ายต่อกัน จะมีน้อยมีมากก็แบ่งกันกินอยู่จริง คนอยู่กันอย่างดีงาม ไม่รุนแรงโหดร้ายเมตตากัน มีแบ่งกันกิน

       บุญนิยมเป็นระบบสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุข ชนิดที่คนไม่วิปริตไปมีกิเลสจัดจ้าน หรือมีกิเลสวิตถารจะต้องถวิลหาความลึกล้ำวิเศษล้นของสังคมแบบนี้ แล้วผู้มีสุขชนิดนี้ คือแบบวูปสโมสุขหรือปรมังสุขัง คือคนที่ต่างมีชีวิตทำคุณทำประโยชน์ให้แก่มวลลนเป็นอันมากคือ พหุชนหิตายะ เป็นผู้สร้างสุขอันพิเศษ สร้างสุขสวรรค์ของหมู่ชนเป็นอันมาก เรียกว่า พหุชนสุขายะ เพราะเป็นคนรับใช้โลก โลกานุกัมปายะ ยิ่งกว่าระบบที่คนยุคทุนนิยมเป็นกันมีกันอยู่ ดังนั้นจึงเป็นระบบที่ใหม่อยู่เสมอไม่เคยเก่าเลยสักเสี้ยววินาทีแห่งสัจธรรม

       ถ้าใครศึกษาพุทธศาสตร์ได้อย่างสัมมาทิฏฐิและปฏิบัติเป็นสัมมาปฏิบัติก็จะเข้าสู่ความเป็นคนระบบบุญนิยมได้จริง แต่ที่ในศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่ค่อยจะมีคนปฏิบัติเกิดผลเป็นบุญนิยมได้ก็เพราะการศึกษาพุทธศาสตร์ในยุคนี้เพี้ยนผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิกันไปไกล จนแทบจะไม่เหลือเชื้อพุทธที่เป็นบุญนิยมอย่างสัมมาทิฏฐิ จนแม้แต่พุทธศาสนาส่วนใหญ่ก็เข้าสู่ระบบทุนนิยม แก่งแย่งลาภยศไม่อาย

       เช่นเอาบุญมาเป็นสินค้าหน้าตาเฉย ค้าบุญกันเป้นทุนนิยมเลยในกิจของศาสนาแท้ๆ เพราะคำว่า บุญหรือได้บุญ ก็พากันเข้าใจผิด จะแทบจะพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว มิจฉาทิฏฐิกันจนเกือบจะหาสัมมาทิฏฐิในวงการศาสนาพุทธกันไม่ได้แล้ว เพราะยึดบุญเป็นภพเป็นชาติ แม้ชาวพุทธบางผู้บางคนจะไม่ค้าลาภยศชื่อเสียง กามสุขขัลลิกะเป็นทุนนิยม แต่ก็ยังค้าอัตตา ตัวตน เป็นทุนนิยม แสวงบุญคืออัตตากันอยู่ จึงมีกิลมถะมีความลำบากเหน็ดเหนื่อยกันอยู่ ก็ไปพากเพียรแสวงหาไม่ทิ้ง เดี๋ยวค่อยมาทวนอธิบายภายหลัง อ่านให้จบเสียก่อน

       เพราะว่าเขาเข้าใจคำว่าบุญยังไม่สัมมาทิฏฐิ หรือยังมีมิจฉาทิฏฐิ เข้าใจผิดกันว่าบุญผิด นั่นคือยังเข้าใจผิดกันว่า  บุญนั้นน่ะเป็นการได้ ได้ความร่ำรวยคือลาภยศสรรเสริญโลกียสุข คือกามคุณ 5 ส่วนการได้ตามใจอยาก ทุกสิ่งอย่างที่นอกเหนือลาภ ยศ สรรเสริญ​ โลกียุข เป็นการอยากได้อัตตามาบำเรอตนนั้นคือ อัตตา 3 การอยากได้อัตตามาบำเรอตนไม่ใช่สุข แต่เป็นความลำบากเหน็ดเหนื่อย พระพุทธเจ้าเรียกว่า กิลมถะ เพราะบำเรออัตตาตัวเองตลอดเวลา

       ซึ่งผิดไปจากความหมายที่แท้จริงของคำว่า บุญ เข้าใจกันคนละทิศทางเลย บุญนั้นตามสัจธรรมที่แท้จริงหมายถึงการชำระกาม ชำระอัตตาออกไป บุญ จึงเป็นการเอาออกไปจากตน ซึ่งมิใช่แค่สละวัตถุ แต่บุญคือชำระกิเลสออกไป จึงไม่ใช่แค่สละวัตถุ ชำระกิเลสลงไปเลย จึงไม่ใช่แค่ให้หรือสละแค่วัตถุแต่จิตใจกลับเอา ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น การไปทำทานด้วยเงินด้วยข้าวของสมบัติวัตถุอะไรก็แล้วแต่ ทำทานวัตถุแต่ใจกลับเอา นี่เขาได้แต่ทาน เขาไม่ได้บุญ แล้วคิดดูสิ ว่าคนไทยชาวพุทธทำทานได้บุญกันกี่คน สอนกันทุกวัด ทำทานไม่ได้บุญ ทำทานได้แค่กุศล ได้แต่ความดีไม่ได้บุญ สอนกันอยู่อย่างนั้นเพระไม่เข้าใจคำว่าบุญ เพราะเข้าใจคำว่าบุญผิด ก็ไปบอกว่ามาทำทาน บริจาค เสร็จแล้วก็พูดปนกันไหมด ว่ามาทำทานทำบุญ เสร็จแล้วก็สอนผิด เขามาทำทานก็บอกสอนกันให้ถูกสิ เขามาทานตามวัดวาต่างๆ เขาก็ว่าได้บุญหลายได้บุญใหญ่ได้บุญมาก เสร็จแล้วก็สอนให้เขาทำใจในใจ ก็ตั้งจิตนะว่าอยากได้ลาภ อยากได้ยศ ขอให้สมใจไปโน่น ไม่ได้บุญเลยไม่ได้ชำระกิเลสเลย แม่แต่กิเลสยิ่งพอกยิ่งหนา ตะกละตะกลามกว่าเก่า เอามากกว่าให้ ให้ไปแสนหนึ่ง ต้องการเอามามากกว่านั้น ต้องการบุญใหญ่ ซึ่งมันไม่ใช่บุญ ขออภัยที่อาตมาขอเบ่ง ไม่มีใครอธิบายอย่างนี้ให้คุณฟังหรอกในที่ไหนๆ ไม่มีขอยืนยัน เพราะเขาไม่เข้าใจแล้ว คำว่าบุญคืออะไร? ฟังแล้วคุณพอเชื่อไหม?มีที่ไหนอธิบายคุณแบบนี้ บุญไม่ใช่ทาน ทานไม่ใช่บุญ อย่างที่อาตมาแยกให้คุณฟังนี้

       ท่านที่เกิดบุญเป็นอย่างไร? จริงๆทานจะได้บุญ ถ้าคุณทำถูก ถ้าคุณทำไม่ถูกโยนิโสมนสิการไม่ถูก ทานให้ตายก็ไม่ได้บุญ​ ถ้าจะได้ก็ได้การเอาออก ไม่ใช่ว่าได้ส่ิงที่ต้องการมา มันโลภเอาเข้ามา อยากได้ทั้งกาม ทั้งอัตตามาให้แก่ตัวเอง ไม่ใช่เลย 

       เพราะฉะนั้นบุญจึงคือการเอาออกไปจากตน ซึ่งมิใช่แค่สละวัตถุ แต่บุญคือการชำระกิเลสออกไป ไม่ใช่แค่ให้หรือสละแค่วัตถุ แต่จิตใจกลับเอา กล่าวคือ กรรมหรือกิริยาของจิตยังอยากได้มาให้ตนอยู่  จิตนั้นตั้งจิตขอ เอามาให้ตนอยู่ ยังตั้งจิตอยากได้อยากเอาอยู่ จิตจึงไม่เกิดบุญสักนิดนึง ถ้าเป็นดังว่านั้น ก็ยังไม่ใช่บุญเลย เพราะยังชำระกิเลสภายในจิตใจอันผนึกเป็นสันดานสืบต่อในจิตใจไม่ได้จริงๆ

      บุญ ซึ่งมาจากบาลีว่า ปุญญฺ บาลีอธิบายว่า  สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ อันแปลว่าชำระสันดานให้หมดจด (จากพจนานุกรมบาลี-ไทย-อังกฤษ ฉ.ภูมิพโลภิกขุ 2531 เขาพิมพ์ปีนั้น หน้า 2416)  ถ้ายังไม่มีผลสำเร็จดังกล่าวมานี้ ก็ยังไม่มีคุณสมบัติจนเป็นคุณภาพที่ถึงขั้นปรมัตถ์ จึงเรียกว่า บุญ ไม่ได้ เพราะจิตยังไม่เป็น จิตไม่เกิดปรากฏการณ์ มันมีกรรมที่เอาออก ไม่ใช่กิริยาหรือกรรมที่เอามาให้หรือเอามามากกว่าเก่านั้นไม่ใช่ ต้องรู้ภาวะการปรากฏของใจเราว่ามันเอาออกนะไม่ใช่เอาเข้า ต้องรู้จักปรมัตถธรรมอย่างนั้น จึงเรียกว่าบุญ  แต่ถ้ายังไม่เกิดการชำระกิเลสในจิตใจ จิตใจยังมีอาการการเอาการได้อยู่ จิตใจยังไม่เป็นอาการให้ ยังหวงแหนยังโลภยังตะกละตะกลาม มีกรรมกิริยาทีเอาคืนอยู่ มันให้แต่ปากแต่มือภายนอก แต่ข้างในใจที่เป็นปรมัตถ์คุณไม่ได้เป็นจริง หน้าไหว้ใจหลอก ข้างนอกเป็นอย่างนั้นแต่ใจหลอก ไม่ใช่ภาวะที่ถูกต้อง จิตใจยังมีอาการของการเอาการได้อยู่ จิตใจไม่มีอาการของการให้ มีการเอาคืนมาภายในใจ

      เพราะยังไม่มีอาการกิริยาของใจที่เรียกว่า ผลิ คือผลิส่วนแรกของบุญ คำว่าชำระออก มันเร่ิมผลิ จิตยังไม่ได้ผลิ  ผลิ หมายความว่ามีการแตกสภาพเปลี่ยนสภาพ เกิดสภาพผลิ แตกเนื้อแตกตัว แตกดอก แตกกิ่งแตกผล แตกปุ่ม มันเร่ิมผล

      เพราะฉะนั้น เมื่อภาวะจิตใจยังไม่งอกผลิอาการบุญ จิตใจก็ไม่มีหวังจะได้ผลิ ผลที่เป็นบุญ

      แม้แต่มันจะเร่ิมต้นงอกขึ้นมาเป็นลักษณะของอาการบุญคือการชำระออกก็ยังไม่เริ่ม เพราะฉะนั้นผลิตผลบุญในจิตของผู้นั้นๆจึงเกิดไม่ได้ ไม่เกิดผลผลิตทางบุญเลย เพราะจิตยังไม่ถึงขั้นผลิต(ทำสำเร็จเป็นชิ้น)ก็เป็นผลไม่ได้ และถ้าผลิตผลยังไม่มีองค์ประชุม(กาย) จนกระทั่งเห็นสภาพแห่งองค์ประชุม(กาย)ที่ประกอบวิเศษ ภาษาบาลีท่านเรียกว่า วิปยุตตัง ที่ประกอบกันขึ้นมาของรูปและนาม เพียงพอให้สัมผัสรู้คุณภาวะหรือคุณาภาพแห่งความเป็นบุญได้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะแสดงตัว 

      ชาวอโศกเรานี่ไม่มีองค์ประชุมหรือองค์รวมของอโศกกาย หรือกายอโศก เป็นธรรมกายชนิดหนึ่ง  เป็นองค์รวมหรือองค์ประชุมของชาวอโศก คำว่า กาย นี้มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม โดยเฉพาะต้องมีนามธรรมเป็นหลัก 

      ชาวอโศกกาย หรือกายของชาวอโศก องค์ประชุมของชาวอโศกทั้งรูปธรรมและนามธรรม ถ้ายังไม่มีคุณนิธิหรือคุณราศีที่สัมผัสได้เห็นจริงว่าอโศกมีสิ่งที่เป็น คุณประโยชน์ คุณค่า คุณภาพ คุณธรรมคุณวิเศษ ซึ่งแสดงคุณราศีได้  แสดงที่สัมผัสได้ คนจะตอบได้ว่าอย่างนี้เป็นลักษณะนี้ บางทีคุณสัมผัสได้แต่คุณไม่รู้จักภาษา อาตมานำภาษามาเรียกสภาวธรรม อย่างคุณราศีเป็นสภาพนามธรรมชนิดหนึ่ง ที่แสดงออกถึงคุณงามความดีที่เป็นคุณวิเศษ เป็นคุณธรรมระดับคุณวิเศษ อุตริมนุสธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนมา ถ้าคุณสมบัติอันนี้ไม่เพียงพอ คนสัมผัสไม่ได้อาตมาก็ไม่พาพวกคุณออกไปข้างนอก

      แต่อาตมาพาพวกคุณไปสู่ข้างนอกออกไปเป็นกลุ่มออกไปปฏิบัติงานการตั้งแต่พศ.2549 อาตมาประมาณแล้วว่าควรต้องออกไปเป็นรูปธรรม นอกนั้นก็ทำอยู่ระหว่างนั้นเชื่อมโยงอยู่เรื่อยๆมีพาณิชย์มีเศรษฐกิจ ทำอยู่กับสังคมไปเรื่อยๆ แต่ถึงขึ้นจะออกไปรวมสังคม เรื่องงานเมืองที่เรียกเต็มๆว่า การเมืองนี้ อาตมายังไม่พาไปร่วมทำ แต่พศ.2549 ก็ร่วมออกไป คนก็เร่ิมสัมผัสชาวอโศกได้ตั้งแต่บัดนั้น อ่านคุณราศี ซึ่งเรามีคุณนิธิ มีคลังของคุณธรรมอันนั้น คลังของคุณค่า คุณวิเศษ ที่เป็นคุณสมบัติที่เราได้สะสม ได้พวกเพียรปฏิบัติสะสมในเวลานาน กว่าจะถึงพศ.2549ที่มาร่วมงานการเมืองกับเขา  ก็ได้ประมาณอย่างนั้นจึงได้ทำ

      จนกระทั่งพอมีความเป็นบุญนิยมที่มีพฤติภาพที่พอสัมผัสแล้วก็รู้ได้ ก็พาเปิดเผยเพื่อให้คนได้รู้ได้เห็น สัมผัสแล้วพอจะรู้ได้แน่ จึงได้เปิดเผยตัว แต่ก่อนไม่พาเปิดเผยตัว พอมีคุณสมบัติของชาวอโศกพอควรอาตมาจึงพาเปิดเผยตัว เมื่อกลุ่มสังคมอโศกประมาณตนว่ามีสภาวธรรมของความเป็นบุญนิยมของเขาเพียงพอเขาจึงเปิดตัว ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมาพร้อมบุญนิยม ออกมาสู่สังคมภายนอกตามเหมาะตามควร ประชาชนในโลกจึงได้สัมผัสได้รู้จักได้เห็น คุณ แห่งความเป็นบุญนิยม เห็นความดีงาม เป็นคุณค่า คุณประโยชน์เป็นคุณธรรม เห็นคุณแห่งความเป็นบุญนิยมปรากฏขึ้นในโลก  

      สังคมโลกจึงได้รู้จักได้เห็นส่ิงแปลกใหม่ในโลกนี้ อันมีทั้งลักษณะ ทั้งสมบัติ ของความเป็น คุณในบุญนิยม ผู้เขียนก็ได้สัมผัสร่วมรู้ร่วมเห็นภาวะที่เป็นบุญนิยมตามที่พอรู้ได้แล้ว ปชช.ท่านใดที่ได้สัมผัสก็คงจะได้รู้ได้เห็นเช่นเดียวกับผู้เขียน(ผู้เขียนคือคุณเก่าสมัย ใหม่เสมอ)

      คุณลักษณะ คุณสมบัติของบุญนิยมเป็นไฉนต่างก็รู้กันไปจริงตามภูมิของแต่ละคน คนที่สัมผัสนั้นรู้ได้ตามภูมิของตน คนไม่มีภูมิสัมผัสแล้วก็ไม่รู้เรื่อง สัมผัสแล้วเฉย ไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นว่าน่าสนใจ อาจจะเห็นแปลก พวกนี้แปลกๆไม่เหมือนเรา แปลก เพราะเรามุ่งแต่ทุนนิยม มุ่งจะหาโลกียะ พยายามเป็นคนที่ไม่ติดดินไม่เหมือนในพฤติกรรม พฤติภาพไม่เหมือนลักษระของชาวอโศก มันแปลกเขาก็อาจไม่สนใจหาว่าพวกนี้มันคนชั้นต่ำ เป็นคนบ้าๆบอๆ คนก็เป็นจริงอย่างนั้นก็เยอะ แต่คนมีภูมิปัญญาเข้าใจว่านี่คืออะไร เอ๊ะมนุษย์เช่นนี้เป็นมนุษย์แบบไหน? มีคุณค่าประโยชน์หรือไม่ คนที่เขามีภูมิปัญญาจริง เขาสัมผัสแล้วเขาก็รู้

      เพราะฉะนั้น ชาวอโศกนี้ออกไปเปิดเผยตัว ไปร่วมกับสังคมเขา ไปแสดงตัวต่อสังคมเขามา ก็ได้ออกไปสมใจ ได้มาสร้างวิธีใหม่ด้วย โดยพากันพาชุมนุมเสียนานเลย ไปทำงานการเมืองที่นาน ตั้งแต่ยุคแรกยุคหลังนาน ยุคแรกคุณจำลองนับวันตั้งแต่ไปชุมนุมทวงหน้ากลต. ที่เขาจะอาน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ชุมนุมปักหลักเปิดเวทีแล้วก็อะไรต่ออะไร เสร็จแล้วก็มาชุมนุมต่อ พธม.เขาชุมนุมเราออกมาร่วมกับพธม.ตั้งแต่พศ.2549 ที่สนามหลวงจนย้ายไปถ.ราชดำเนิน รวมแล้วตั้งแต่ 193วันนั้นเป็นเท่าไหร่ รวมครั้งหลังๆ คุณจำลองรวมได้ 300 กว่าวัน จนตอนหลังก็มาร่วมกับเสธ.อ้ายก็ไม่กี่วันเพราะเหตุการณ์ไม่ลงตัวก็เลยเลิกเร็วพอมาตอนหลังมาร่วมกับ กปท. ยาวนาทำลายสถิติเลย มาร่วมชุมนุมแสดงตัวชาวอโศกแท้ๆเลย มีอะไรเราแสดงเต็มที่ คนก็สัมผัสรับรู้ว่าเรามีนิสัยอย่างนี้ ช่วยสังคมหรือทำลายสังคมแล้วแต่คนจะมอง คนเขามองว่าเรามาทำลาย มาขวางถนนอย่างนี้ก็มีคนเข้าใจอย่างนี้ก็มี

      แต่คนที่มองออกว่าคนพวกนี้เขามาเสียสละช่วยบ้านเมือง บ้านเมืองเป็นอย่างนี้เขาออกมาก็เพื่อที่จะให้เกิดเปลี่ยนแปลงจริงได้ทำกันอยู่ก็พยายามรักษาจุดมุ่งหมายว่า เราจะต้องมาชุมนุมอย่าง สงบ สันติ อหิงสา แล้วเราก็พากันทำมาจนกระทั่งคนอื่นจะเข้าใจว่า เราทำหรือทุกคนก็มาทำ โดยไม่ใช่หมายความว่า เราได้มาตั้งหลักแล้วพาทำเช่นนี้

      อย่างตอนที่ออกมาชุมนุม 153 วันทางด้านพธม.ออกมาก่อนแล้วเราก็มารวมภายหลัง ของเรา 153 วันตอนพศ.2551 อาตมาก็เร่ิมพยายามบอกว่าเป็น  Neo protest เป็นการชุมนุมประท้วงแบบใหม่ ก่อนหน้านั้นที่ออกมาร่วมเราก็พยายามทำ เป็นธง เขียนว่า สันติ อหิงสา อโหสิ มีสามคำ แต่ทางด้าน พธม.เขาทำถึงอโหสิไม่ไหว อโหสินี่คือการยกเลิก คืออภัย ไม่เอาต่อแล้ว จะจองเวรทำร้ายทำลายอย่างไรเราก็หยุดอภัยทั้งนั้น เขาไม่เอา เขาเอาแต่สันติ อหิงสา เราก็ใช้แต่แค่สันติ อหิงสา ส่วนอโหสิก็เลยไม่ติดตลาด เราก็ไม่เป็นไร ก็ใช่แต่ สันติ อหิงสา ต่อเนื่องมาเรื่อย พธม.ก็ใช้สันติอหิงสา ตอนแรกเราทำธงของเรา 3 ธงมาเลย ขานสันติอหิงสากันไม่เอาอโหสิ ก็ดี แต่มาตอนหลัง ก็สันติอหิงสา อาตมาก็เลยทำเป็นใบแผ่นพับเลย ทำหนังสือออกบรรยายออกอธิบาย แล้วตั้งคำเรียกว่า Neo protest ชุมนุมประท้วงแบบใหม่ แบบสันติ อหิงสา นี่แหละ แล้วอธิบายว่าเราจะต้องทำพฤติกรรม อหิงสา คือไม่รุนแรง Non violence ไม่รุนแรงจริงๆ สงบไม่ใช้อาวุธตรงตามรธน. ตามกฎหมาย ทำกันจริงๆ แล้วขยายความอธิบาย จนกระทั่งเกิดคุณค่า เกิดผลสำเร็จ เป็นคุณภาพ สำเร็จต่อเนื่องมาได้  จนกระทั่งในคราวนั้นอาตมาถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่นำมาพูดแต่คนก็ยังคงเข้าใจไม่ได้หรอก ไม่เชื่อว่าเป็นจริง คือมีพฤติกรรมมีภาวะที่ตำรวจจะมาปราบ ตั้งแต่พศ.2551 ผู้การแต้ม ยกพลทัพตำรวจมาตั้งใจจะมาปราบเลย เอาเครื่องกลหนัก จะพกอาวุธซ่อนมาเหรือเปล่าไม่รู้ เราไม่รู้ว่าเขามีอาวุธหรือเปล่า เขาเข้ามาทำหน้าที่ของเขาแหละก็ตั้งใจเลย มาตั้งแต่ตีสอง มาตอนพวกเรานอนหลับมาเงียบจะมาปราบ เสร็จแล้วก็มีพวกเรารู้ตัว ตั้งแต่ตี 2 ตี 3 ตำรวจเข้าสลายการชุมนุมเวทีกองทัพธรรม อาตมาพาพวกเรานั่งทำความสงบ อย่างที่เคยอธิบายว่าเราจะสร้างความสงบอย่างไรให้สยบความรุนแรง เรามาทำกันนั่งสงบนิ่งเลยไม่ทำอะไรเลย ประนมมือแต่ไม่ได้สวดมนต์ นั่สงบประนมมือบ้างไม่ประนมมือบ้างนั่งอยู่จนกระทั่ง 2 โมงเช้า ในวันที่ 14 มี.ค. 2554 เป็นเวลาหลายชั่วโมงจนกระทั่งคณะตำรวจถอยทัพกลับไป ยกเครื่องไม้เครื่องมือกลับไป อาตมาถือว่าเป็นพลังงานทางจิตที่เป็นพลังงานความสงบสยบความรุนแรงหรือความเคลื่อนไหวได้จริงอาตมาถือว่านี่เป็นครั้งแรกที่พิสูจน์จริงตามที่อาตมามองออก อาตมามองนามธรรมมองพลังงานทางจิตวิญญาณออกจึงได้ยืนยัน คนก็ยังไม่เชื่อ

      จนกระทั่งมาครั้งหลังนี่เหตุการณ์ เหตุการณ์วันที่ 18 ก.พ. 57 ตอนนี้เหตุการณ์ชัดเจน ยิ่งใหญ่ เข้าใจง่ายขึ้น เพราะมีตัวอย่างมาแล้ว  อาตก็ใช้อันนี้มายืนยันว่า พลังงานทางจิตวิญญาณมีจริง พลังงานคุณธรรมมนุษย์มีจริง อาตมามาใช้คำว่า สยามเทวาธิราชิทธิ์  ธิราชิทธิ์ก็คืออิทธิ เอาอิทธิมาสมาสกับสยามเทวาธิราช เป็นพลังอิทธิฤทธิ์ ของสยามเทวาธิราช สามารถทำให้อาตมาบรรยายก่อนนะว่าจะมีพลังสยามเทวาธิราช ใครฟังเข้าใจจำได้ว่าบรรยายก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่ 18 ก.พ. พอถึงวันนั้นจริง ตำรวจเขายิ่งกว่าผู้การแต้มเลย คราวนี้เขาเอาหนักเอาแรงเอาจัดเลย ตั้งใจจะปราบจริงๆเลย สลายจริงๆเลย ลุยเข้ามาทำจนกระทั่ง เหตุการณ์ก็อย่างนั้น ใครไม่รู้ก็ไปดูคลิปหลักฐาน จนกระทั่งตำรวจถอยทัพกลับเลิก เราถือว่าเราชนะ นั่นเป็นการชนะที่เห็นชัดเป็นรูปลักษณ์ คราวนั้นมีคนตายคนเจ็บซึ่งไม่ได้เกิดเพราะจากเราเป็นผู้ก่อความรุนแรง

      อาจจะเป็นว่าผู้ที่เขาเห็นพวกเรานี่แล้วสงสาร นี่เป็นจิตวิญญาณของเขานะที่สงสาร เราไม่ได้ไปตกลงกับเขาหรอก ใครก็ไม่รู้มาช่วย เหมือนอย่างป็อบคอร์นเราก็ไม่รู้เป็นใคร คราวนั้นที่ตำรวจต้องตาย ยิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ ยิงมาจากไหน หรือเรื่องระเบิดก็ตามไม่รู้ที่มา อย่างนี้เป็นเรื่องสยามเทวาธิราชิทธิ์ ที่เป็นพลังงานที่เรานึกไม่ออกหรอก เป็นไปตามธรรม

      สรุปก็คือ เป็นเหตุการณ์ที่ความสงบ เราสวดมนต์กันจริงๆ เรานิ่งเราสงบ เรียบร้อย  จนกระทั่งเขายอมเลิกรากลับไป สุดท้ายแม้แต่ศาลก็ออกหนังสือมาคุ้มครองเราว่าเราประท้วงอย่างถูกต้องห้ามมาสลาย ตั้งแต่บัดนั้นตำรวจก็เลยสลายไม่ได้ เพราะว่ากฎหมายหลักการของศาลออกมา อย่างนี้เป็นต้น ส่ิงเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอะไรที่พิเศษ ที่อาตมาพยายามอธิบาย ไม่ใช่เรื่งโมเมลึกลับ ทุกอย่างมาแต่เหตุ แต่ลึกซึ้งลึกล้ำ ซึ่งอาตมาพอรู้ ภูมิปัญญาที่ศึกษาพลังงานจิตที่สูงส่งละเอียดละออ มันไม่ง่าย แต่คิดว่าพวกเราคงพอตามได้

      ส่ิงที่เกิดจริงเป็นจริงนี้จึงออกสู่สังคม เป็นคุณลักษณะ คุณสมบัติของบุญนิยม คนที่ได้สัมผัสก็รู้ก็เห็นก็สัมผัสไปตาม ซึ่งอาตมาได้อธิบายสู่ฟังแล้วว่า  แม้แต่ตำรวจเห็นแสงพุ่งออกไปจากมือของสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา ที่ตั้งบนเวที หันมือไปตรงกับตำรวจเลย พวกตำรวจกลับ เห็นแล้วเขาก็บอกกัน เขาเห็นจริงๆนะ อาตมารู้ว่าคนเห็นอันนี้นี่ มันเห็นจริงๆ แต่ความจริงมันไม่มีแสงอะไรหรอก แต่มันเห็นเป็นแสงจริงๆ เกิดจากจิตของเขา เรียกภาษาพระว่าอุปาทาน แล้วอุปาทานนี่เป็นไปได้สารพัด สิ่งที่ไม่มีจริงก็เห็นจริง เช่น รสอร่อยนี่มันไม่มีจริง แต่พวกคุณมีอุปาทาน คุณก็เลยมีรสอร่อยจริง โอ๊ ขนมอันนี้อร่อย คณติดคุณชอบขนมอันนี้ คุณก็อร่อยจริงๆ แต่ความเป็นจริงนั้นมันเป็นสุขเท็จ เป็นสุขอร่อยเป็นอัสสาทะเท็จ ไม่ใช่ของจริง

      ผู้ใดล้างกิเลสได้จริง อุปาทานนี้หมด รสอร่อยนั้นก็หายไป หายไปจริงๆมันไม่มี แต่มันมีเพราะคนที่มีอุปาทาน มีกิเลส สิ่งนั้นมี กิเลสหมดสิ่งนั้นไม่มี เพราะฉะนั้น ชำระกิเลส ส่ิงที่เป็นพิษภัยไม่มี อาตมาก็ไม่เห็นแสง ไม่มี แต่ตำรวจเห็น มีจริงๆ และกลัวจริงๆด้วย จึงหนีไป สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่มาจากเหตุเพราะเขาอวิชชา แล้วเขาไม่รู้ว่าเขามีอุปาทาน เหมือนกับพวกเราทั้งหลายไม่รู้จักอุปาทานว่าอันนี้มันมีรสอร่อยจริงๆ ความจริงน่ะรสอร่อยมันไม่มี แต่คุณมีเพราะคุณมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน คุณจึงมีรสอร่อย รสสุขนี้ สุขไม่มีเลยในโลกของพระอรหันต์ สุขไม่มีเลยในโลก พระอนาคามีขึ้นไปหมดสุขแล้วมีแต่ทุกข์ มีแต่ความลำบากหรือกิลมถะ พระอนาคามี เหลือสังโยชน์เบื้องสูง 5 รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ก็เป็นเรื่องอัตตกิลมถะของท่าน ที่ต้องรับผิดชอบแล้วท่านต้องล้างของท่าน มันไม่เป็นสุขแล้ว เพราะปัญญารู้แล้วว่าเป็นเหล่านี้เป็นสิ่งไม่จริง

       ฟังดีๆฟังธรรมะ ตั้งใจฟัง 9 วันนี้อาตมาตั้งใจจะเทศน์สัจธรรม เชื่อว่าจะมีผู้บรรลุธรรมอาตมามั่นใจ เพราะธรรมะคราวนี้อาตมามีนิรุติปฏิภาณ มั่นใจมากเลย อาตมาเตรียมทำบทอันนี้ไว้ 5 ชุด ใช้บรรยาย 9 วัน เอาให้บรรลุมีอรหันต์เกิดในงานนี้ก็ดี ฟังธรรมบรรลุธรรมได้ ผู้มีภูมิมีบารมีเก่า พวกคุณมานั่งฟังธรรมในที่นี้ไม่รู้ตัวหรอก

       เหมือนอาตมานี่บอกตรงๆ อาตมาไม่รู้ตัวหรอกว่าอาตมาเป็นใคร อาตมาเป็นนายรัก รักพงษ์ ก็อยู่ในโลกมายามา 36 ปีจนกระทั่งรู้ตัว อาตมาไม่ได้จำว่ารู้ตัวเมื่อไหร่ ว่าเราบ้าๆบอๆในโลกมา 36 ปีก็เลยไม่เอาแล้ว รู้ตัวว่าเราจะต้องมาทำหน้าที่นี้งานนี้ก็ออกมา ไม่ได้ออกมาอย่างงมงาย หลงโลกหลงธรรมเพื่อจะไปเป็นไปกับเขาในโลกที่เป็นไป แต่มันรู้อย่างจริงชัด รู้ว่าเราคือโพธิสัตว์ต้องออกมา ตั้งแต่ยังไม่ได้บวชก็ประกาศตนเป็นโพธิสัตว์ ตั้งชื่อตัวเองว่า โพธิรักษ์ คือรักษาโพธิ ชื่อจริงอาตมาชื่อ รัก

       แต่พอตั้งนามปากกาตั้งแต่เขียนธรรมะเมื่อรู้ตัวว่าเราเป็นโพธิสัตว์ก็ใช้นามปากกาว่า โพธิรักษ์ คือมารักษาความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า​ก็มาทำหน้าที่นี้ตั้งแต่รู้ตัว ออกมาทำงานตั้งแต่บัดโน้นจนถึงบัดนี้ อาตมาไม่รู้ตัวหรอก เหมือนพวกคุณไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร บางคนไม่เจตนาหรอกว่าจะมาแต่สุดท้ายได้มานะ แล้วก็มาเป็นอย่างนี้ บางคนแสวงหาแล้วก็มา แล้วก็ไม่ได้รู้ตัวง่ายๆ แต่ละคนที่มาได้ยินได้ฟังที่อาตมาพูดนี้ วันนี้เป็นวันที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ไม่ได้ก็เป็นเหตุการณ์แบบหนึ่ง ที่เทศน์มาตลอดไม่ได้เทศน์แบบนี้ เทศน์วันนี้เทศน์เจาะละเอียดชี้ชัดมากขึ้น  ไม่มีใครชมอาตมาว่าวันนี้เทศน์เก่งจริงๆ ว่าไหม? หาพวกๆ คุณได้ฟังอะไรแปลกใหม่ ลึกซึ้งขึ้นไหม? ใครได้ฟังแล้วลึกกว่าที่เคยได้ฟังยิ่งขึ้น ยกมือขึ้นสิ แม้มืดๆก็พอเห็น จริงนะอาตมาว่าอาตมาบรรยายวันนี้ ผู้ตั้งใจฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา (สุสูสัง ลภเต ปัญญัง) จะเข้าใจได้ดีจริงๆแล้วมันไม่ได้ออกโทรทัศน์ เพราะบุญบารมีหรือกุศลคนนอกยังไม่ได้ยินหรอก บุญนี่คือสิ่งที่จะชำระอันนี้ พวกคุณก็จะได้รู้ อย่าไปดูถูกตังเองว่าตนเองไม่มีบุญบารมีพอจะได้หรอก อย่าดูถูกตัวเอง เราพยายามทำความเข้าใจว่าคนเรานี่ต้องให้ได้บุญ ได้ธรรมะที่เป็นเครื่องชำระนี่ให้ได้ อย่าสูญเปล่าเป็นโมฆบุรุษ เกิดมาได้กิเลสเพิ่มกลับไปน่าเสียดาย  เดี๋ยวอ่านต่อให้จบ

       ผู้เขียนก็พอรู้ตามภูมิของผู้เขียน ก็จะขอนำเอาควาเป็นบุญนิยมเท่าที่ผู้เขียนจะพอรู้เข้าใจ เอามาถ่ายทอดด้วยนิรุตติปฏิภาณขยายผลต่อ เพราะมันน่าเผยแพร่ให้ได้รู้กันมากๆอย่างยิ่งจริงๆ คอลัมน์เปิดยุคบุญนิยมจึงปรากฏขึ้น ณ ที่นี้ ด้วยประการฉะนี้ 

       ที่นี้เรามาขยายความกัน ตามทฤษฎีที่ได้มาจากพระพุทธเจ้าและผู้เขียนเชื่อมั่นว่า อย่างนี้ๆคือทฤษฎีที่ถูกต้องเรียกว่า  สัมมาทิฏฐิก็ตามภูมิของผู้เขียน ขอถามก่อนว่า ยุคปัจจุบันนี้ที่สังคมทั่วไปเกิดทั้งโลกเป็นกันอยู่มีกันอยู่อย่างเป็นสามัญเลย มันคือยุคอะไร?...เขาเรียกว่า ยุคทุนนิยมใช่ไหม?ที่เป็นอยู่จริงนี่  คนทั้งหลายในโลกก็คงจะยอมรับว่าใช่ แล้วบุญนิยมล่ะมันแตกต่างกันไหม?  แน่ยิ่งกว่าแน่ว่าแตกต่างกัน ก็นี่แหละที่เราจะได้ใช้คอลัมน์นี้แจกแจงความแตกต่างให้เห็นชัดเจนแจ้มแจ้ง

      บุญนิยมนี้เป็นภาษาไทยที่บัญญัติขึ้นมาใหม่ ซึ่งเจตนากำหนดหมาย เป็นภาษาไทยที่ใกล้เคียงกับคำว่า ทุนนิยม เพื่อจะได้ใช้เปรียบใช้เทียบกันระหว่าง ทุนนิยมกับบุญนิยม ให้ได้เห็นได้ศึกษาว่าสองแบบนี้ แบบไหนที่เราน่าจะทุ่มชีวิตให้ ภาษานั้นน่ะใกล้เคียงกัน ถ้าฟังไม่ดีระวังเถอะจะเผินเป็นคำเดียวกันได้ง่าย ทุนนิยม บุญนิยมฟังสลับไปมามันอันไหนกันแน่

      แต่นัยสำคัญของเนื้อแท้สองคำนี้กลับแตกต่างกันไปคนละทิศคนละทาง ถึงที่สุดตรงกันข้าง 180 องศาเลยทีเดียว ต่างกันคนละขั้ว สำหรับบุญนิยมนั้นผู้ปฏิบัติต้องมีปัญญา โดยเฉพาะความยินดี คือ ฉันทะเป็นสิ่งแรก ต้องมีปัญญาและก็มีสิ่งแรกของปัญญาคือจะต้องรู้สึกว่าเราพอใจ มันเป็นความรู้นะ มันน่ายินดีพอใจ สิ่งนี้น่าได้น่ามี จะต้องมีฉันทะหรือความพอใจเป็นสิ่งแรก ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมูลสูตร 10 ก็ดี ในแสงอรุณ 7 สุริยเปยยาล ก็ดี อาตมาไม่อ่านนะ ในมูลสูตรเป็นข้อแรกเลย ส่วนแสงอรุณมาอยู่ในข้อ 3

       ข้อแรกของแสงอรุณคือ มิตรดีสหายดี นี่แหละพวกเราทั้งหมดเป็นมิตรดีสหายดี เผื่อแผ่ช่วยเหลือกันทำให้เกิดธรรมะกัน สำคัญมากข้อแรกนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราเป็นมิตรของเธอ ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นกัลยาณมิตโต พวกเราเป็นมิตรดี สหายดี (สหายคือการร่วมประโยชน์กัน) ส่วนมิตโตนี่เป็นเรื่องจิต กัลยาณมิตโตคือเป็นผู้ให้จิตที่ดีกัน เกิดให้ประโยชน์แก่กันคือกัลยาณสหาโย  กัลยาณสัมปวังโก คือให้สิ่งที่ดีแก่กันและกันทั้งหมดเลย ผู้มีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีก่อนที่จะได้อริยมรรคนี่ คนจะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้จะต้องเข้าใจและต้องมีด้วย เช่น เข้าใจว่า ฉันทะนี่เรามี 

       ข้อสองของแสงอรุณคือศีล จะต้องมีศีล

       ข้อสามคือฉันทะหรือความพอใจยินดี

       ข้อสี่คืออัตตา จะต้องรู้เข้าใจอัตตา

       ข้อห้าคือทิฏฐิ ต้องมีความเข้าใจที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติมรรคองค์ 8 ไม่ได้เพราะทิฏฐินี่เป็นประธาน ในการปฏิบัติในสัมมาสมาธิ ในมหาจัตตารีสกสูตรพระพุทธเจ้าสอนไว้ชัด ว่าข้อแรกจะต้องมีทิฏฐิเป็นประธาน จึงจะปฏิบัติสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะด้วย วายามะ ด้วยสติ จนกระทั่งเกิดผลเป็นสัมมาสมาธิได้ นั่นคือสมาธิของพุทธปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้ ใครจะปฏิบัติสมาธิของพุทธได้ ต้องมีมิตรดี ต้องมีศีล ต้องมีฉันทะ แล้วก็มีความรู้อัตตา แล้วก็มีสัมมาทิฏฐิ แล้วไม่ประมาทเป็นข้อที่ 6 คือไม่ประมาท เมื่อได้แล้วอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เผลอเมื่อไหร่ก็ประมาทแล้ว อย่าเผลอ ต้องมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม ระลึกรู้ตัว ว่าเราควรจะต้องระวัง ตา หู จมูก ลิ้นกาย สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตาม ตามศีลที่เราตั้งไว้ ศีลข้อเดียวหรือห้าข้อก็ตาม ศีลห้าเป็นมาตรฐานหรือคุณจะเอาศีลข้อเดียวก่อนก็ได้ ปฏิบัติให้ได้ ฝึกให้ดีว่าเราจะเอาศีลข้อนี่เป็นกิเลสเรา เราก็เรียนรู้กิเลสให้ได้ตั้งจิตแล้วไม่ประมาทแล้วก็ทำเป็น จนข้อ 7 นี่แหละสำคัญ คือ โยนิโสมนสิการ ในมูลสูตรข้อที่ 2 ข้อแรกมีฉันทะเป็นมูล ข้อที่ 2 มีมนสิการ ซึ่งเป็นแดนเกิดแดนตาย จะทำให้กิเลสตาย ชนะกิเลสได้ที่เรียกว่าบุญ ก็ตรงมนสิการนี่แหละ กิเลสตาย จิตก็เกิด กิเลสตาย จิตผ่องใน สะอาดจากกิเลสนั้นก็เกิด นี่เป็นภาษา แต่สภาวะคือกิเลสตายจริงใจก็สะอาดขึ้น นี่เรียกว่าจิตเกิด เป็นการเกิดทางโอปปาติกโยนิ มันเกิดจริง ตายจริง ในมูลสูตรอีก ยาวอาตมาไม่ไล่ต่อ

       มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นสมุทัยในการปฏิบัติ ไม่ใช่สมุทัยที่เป็นทุกขสมุทัยนะ การปฏิบัติต้องมีผัสสะ แล้วมีเวทนาเป็นที่ประชุมลง ไล่ไปถึงปรินิพพานเลย ไม่ไล่วันนี้

       สรุปแล้วคุณต้องมีหลักตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า ต้องมีฉันทะ ความยินดี เป็นตัวต้นของอิทธิบาท 4 แล้วก็จะมีวิริยะ จิตตะ วิมังสาต่อไป ถ้าจิตไม่มีฉันทะตัวแรก วิริยะนั้นก็เหมือนกับบังคับกัน ยากอิทธิบาทไม่เกิดง่ายๆหรอก ต้องให้พอใจยินดีในส่ิงนี้  คนจะไปยินดีในทางลดละกิเลส กับยินดีที่จะไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คิดดูสิ ทุคคนเคยไปยินดีในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จะมายินดีในการจะมาฝึกปฏิบัติธรรมะเพื่อจะละล้างสิ่งนี้ ถ้าคุณไม่มีความตั้งใจจะยินดีในทางนี้ ฉันทะไม่เกิด วิริยะไม่มี จิตตะ วิมังสาไม่ตาม อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นเรื่องของสัจจะ พระพุทธเจ้าเอาสัจจะมาตั้งทั้งนั้น พลังอิทธิบาทนั้นเป็นพลังแท้ของมนุษย์ ไม่เกิด ถ้ายินดีเกิดแล้ว พลังมนุษย์จึงจะเกิดจริง การปฏิบัติจะเกิดผลหรือได้บุญนี่ สูงถึงที่สุดก็เป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีฉันทะ บุญที่ได้สูงสุดคือในใจไม่มีกิเลส เกลี้ยงจึงเป็นผู้สิ้นบาป ไม่มีบาปที่ต้องชำระอีกแล้ว ซึงบาปก็คือกิเลสนั่นเอง เมื่อบาปสิ้นเกลี้ยงจากจิตก็ไม่ต้องชำระกิเลสอีก ไม่ต้องทำบุญอีก นั่นคือไม่ต้องได้บุญใดอีกแล้ว ไม่ต้องชำระบาปนั่นเอง

       จึงชื่อว่า เป็นผู้หมดบาปหมดบุญ เพราะปฏิบัติสำเร็จถึงขั้นเป็นจริงเต็มที่ และสมบูรณ์แล้ว ผู้หมดบาปหมดบุญนี้แต่ยังมีขันธ์ 5 หรือยังมีชีวิตอยู่ คนนี้แหละคือผู้ไม่ทำบาปทั้งปวง เพราะหมดบาปแล้วไม่มีกิเลสมาเป็นอำนาจในจิตแล้ว มันล้างบาปออกหมดแล้ว ล้างบาปไม่ใช่แบบที่ศาสนาอื่นเขามีผู้ล้างบาปให้ ไปสารภาพบาปแล้วมีผู้ล้างบาป  ของพุทธเราไม่มี ของพุทธเราต้องปฏิบัติเอง ล้างบาปแล้ว ไ่ม่มีบาปจะทำ เพราะกิเลสไม่มี ชำระหมดแล้ว ผู้นี้จึงมีหลักประกันว่า  สัพพปาปสอกรณัง ไม่ทำบาปทั้งปวง เด็ดขาดของจริงเป็นจริง เป็นผู้ทำแต่ดี กุสลสูปสัมปทา  ไม่ทำบาป บาปคือกิเลสคือชั่ว ไม่ทำแล้ว ทำแต่ดี เพราะฉะนั้น จิตที่มีความอยากความต้องการ อยากทำดี อยากทำสิ่งที่เป็นกุศลไม่ใช่บาป แต่อยากทำส่ิงชั่วตามอำนาจกิเลสมาบำเรอตนนั่นคือบาป

       เมื่อเข้าใจบาป เข้าใจบุญ เข้าใจกุศล เข้าใจอกุศล ไม่ถูกตรง ก็เลยเมา ปฏิบัติไม่ถูกหรอก ฟังๆไปแล้วพอเข้าใจไหม? เพราะไม่ชัดไม่คมไม่แม่น  เบลอๆปนกันไปก็ไม่ชัด ต้องชัดเจนว่าต้องชำระกิเลสต้องรู้ตัวกิเลส นี่แหละคือการล้างบาป ชำระตัวบาป กิเลส นั่นคือหน้าที่ของการทำบุญ ของการปฏิบัติบุญ ปฏิบัติการชำระ เมื่อชำระได้หมดก็ไม่มีกิิเลสไม่มีบาป ก็ทำบาปไม่เป็น ก็เหลือแต่ดีเหลือแต่กุศล กุสลสูปสัมปาท  เพราะได้ชำระใจตนให้บริสุทธิ์ เสร็จสิ้นแล้ว ได้ทำใจสจิตตปริโยทปนัง

       บุญนิยมจึงได้แก่ระบบบุญที่ เจริญเข้าขั้นปรมัตถสัจจะ คือความจริงตามนัยที่สูง พิเศษขึ้นอาริยะหรือโลกุตระ ซึ่งการได้บุญดังกล่าวนี้  เป็นบุญแบบโลกุตระ

       ขอย้ำพวกเราว่าชีวิตที่เกิดมานี่ หลายคนผ่านอายุมาถึง สี่สิบห้าสิบหกสิบปี แม้คนยังไม่ถึงก็ตาม ก็อย่าประมาท อย่าใช้ชีวิตไปในทางสูญเปล่าโมฆบุรุษ ตั้งใจเถอะ ตั้งใจจริงๆ ว่าชีวิตของเรา ศึกษาธรรมะเถอะ การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ว่าต้องมาวัดเท่านั้นแต่ก็ต้องมา พยายามมา พระพุทธเจ้าตรัสอธิบายถึงความเสื่อม 7 ประการ เราไม่พบภิกษุเป็นความเสื่อมข้อแรกใน 7 ข้อ ไว้ค่อยขยายความเป็นต้น มันเสื่อมไปมากแล้วใน 7 ข้อ ซึ่งอาตมาได้บรรยายไว้ มันเสื่อมไปหมด เมืองไทยมีศาสนาพุทธแต่มันไม่มีพุทธธรรม ไม่ได้พุทธธรรม กลายเป็นศาสนาประยุกต์ เป็นสัทธรรมปฏิรูปไปหมดแล้ว ไม่เข้าร่องเข้ารอยศาสนาแล้ว จึงไม่เกิดผล ถ้าวันนี้ใครได้ฟังใหม่วันนี้ก็ตาม หรือได้ฟังมาบ้างแล้ว หรือได้ฟังมา 40 กว่าปี  ฟังวันนี้ถ้าได้เข้าใจก็จงอย่าช้า อย่าประมาท อย่าปล่อยปละละเลย เอาใจใส่พากเพียรปฏิบัติธรรมเถิด ชีวิตไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ทำงานเลี้ยงชีวิต ไม่ใช่ ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าทำสัมมาอาชีพไปพร้อมเลย ปกติทำงานเลี้ยงชีวิต แต่ต้องเข้าใจวิธีการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าท่ีจะสร้างฌานสร้างสมาธิ สร้างวิมุติ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ลืมตานี่แหละ นั่งหลับตาก็ได้ ถ้าเข้าใจก็เป็นอุปการะ แต่ถ้าไม่เข้าใจไปนั่งหลับตาก็ซวยเลย พาหลงทางเยอะ ก็ขอสำทับทุกคน ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป จงตั้งใจเอาธรรมะให้ได้ให้แก่ชีวิตทุกคนขอให้พยายามตั้งใจ แล้วเอาธรรมะให้ได้ทุกคนเทอญ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:26:35 )

570604

รายละเอียด

570604_พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึกฉลอง 80 ปีไม่มีแก่ ที่เฮือนศูนย์ฯ

วันนี้วันที่ 4 มิ.ย. 2557 ตอนนี้เราเริ่มต้นงานฉลองถือว่าฉลองใหญ่ เป็นการฉลองที่ควบกับงานอโศกรำลึกครั้งที่ 33 แล้วอาตมาก็เลยผนวกหลังจากไปเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากับสังคมไปเยอะ ก็เลยให้พวกเราก็เลยทำการสันทนาการพักผ่อนกัน ให้มีอะไรสัมพันธ์สังคมเป็นสันทนาการที่อบอุ่นผ่อนคลายก็เลยผนวก งานอโศกรำลึกที่เคยจัดกัน 5 วัน งานนี้เลยคิดว่าจะฉลองใหญ่

 

วันที่ 4 ที่จริงครบ 80 ปีเต็มของอาตมา เพราะอาตมาเกิดวันที่ 5 พอถึงวันที่ 4 ก็ชนรอบครบ 80 ปีเต็ม ถ้าพรุ่งนี้วันที่ 5 เป็นวันเกิดก็เริ่มวันที่ 1 ของอายุ 81 แล้ว ก็เลยผนวกงานวันที่ 4 และ5 มาในงานนี้ด้วย จาก 7 วันก็เลยมาเป็น 9 วันเต็มเหนี่ยวเลย

 

เดิมเราจะเริ่มต้นงานเวลา 9.00  น. แต่มันเริ่มช้าไปเริ่มเอา 9.07 น. ในครั้งที่ 33 (3 คูณ 3 ก็คือ 9) วันนี้อาตมาก็ตั้งใจจะพยายามจะบอกกล่าวถึงความตั้งใจของตน ทำไมถึงมีเจตนาที่จะยืนยาวชีวิตนั้นหนึ่ง แล้วทำไมถึงจะ 80 ปีไม่มีแก่? ก็เลยฉลองซะเลย ฉลอง 80 ปีวิชิตชัย

 

วิชิตชัยแปลว่าผู้ชนะ อาตมาเป็นผู้แพ้มาตลอด แม้ทุกวันนี้ก็ยอมแพ้ ไม่คิดจะชนะใครหรอก แต่ที่ตั้งชืื่อว่า 80 ปีวิชิตชัย มันเหมือนกับเป็นการย้อนแย้ง อาตมาแพ้มาตลอดแล้วทำไม 80 ปีมาบอกว่า วิชิตชัย เป็นภาษาที่เป็นการย้อนแย้งเรียกว่าปฏินิสสัคคะ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน

 

สภาวะความหมุนรอบเชิงซ้อน อาตมากำลังขยายความเอามาบรรยาย ในนสพ.เราคิดอะไรตอนนี้อาตมาเปิดคอลัมน์ "เปิดโลกบุญนิยม" ก็พยายามอธิบายถึงคำว่าบุญ

 

บุญ เดิมเป็นภาษาบาลี จากคำว่า ปุญญฺ มาเป็นไทยเป็นคำว่า บุญ ตระกูลเดิมคุณปู่คุณทวดคือ ปุญญฺ เป็นรากเดิมที่มีความหมายลึกซึ้งมาเป็นโลกุตระ ซึ่งเป็นคำที่ต่างจากคำว่า กุศล

 

กุศล นั้นเป็นโลกียะ แต่กุศลมีขั้นสู่โลกุตระสุดจบได้เหมือนกัน รวมความดีงามไว้หมด ทั้งโลกีย์โลกุตระ

 

ส่วนคำว่า บุญ หรือปุญญฺ เป็นภาษาที่ตรงข้ามกับคำว่า บาป

 

คำว่าบาป มันคือกิเลส ผู้ใดใดไม่หมดบาปก็คือผู้ที่ชำระบาปไม่หมด ก็ต้องรับวิบากบาป  วิบากซึ่งเป็นอดีตต้องรับ แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ววิบากบาปก็ยังเหลือ วิบากบาปที่เป็นอดีตนั้นไม่มีวันหมด จนกว่าจะปรินิพพาน หรือปริโยสาน(ครั้งสุดท้าย) หมายความว่า ตายครั้งสุดท้ายเป็นการตายอย่างนิพพานรอบ(ปริ แปลว่า รอบ) ตายอย่างสิ้นรอบไม่เหลืออะไรเลย จบสิ้นไม่มีอะไรเกิด ค้างหรือเหลืออีกเลย

 

นิพพานคือกิเลสตาย แต่ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่บางทีคำว่าปรินิพพานเขาก็ไปเรียกตายในครั้งคราวของชีวิตเขาก็เรียกเหมือนกัน พระอรหันต์ตายแต่ละครั้งก็เรียกว่าปรินิพพาน แต่พระอรหันต์ตายไปแต่ละครั้ง ถ้าท่านไม่ตั้งจิตต่อภพภูมิอรหันต์ทุกรูปก็ต้องตายเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายสูญ แต่ถ้าตั้งจิตต่อภพภูมิก็ไม่ปริโยสาน

 

ทีนี้คำว่า ปฏินิสสัคคะ ที่อาตมาพูดเมื่อกี้นี้เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เป็นคำที่จะได้ขยายความอธิบายสู่ฟังในงานนี้ โดยเฉพาะคำว่าบุญกับกุศล คนเรานี่ยังไม่เข้าใจละเอีอดละออในภาษาที่สื่อชัดๆมันก็เพี้ยนมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มันเพี้ยนจนกระทั่งทำให้ศึกษาแล้วทำให้พยัญชนะ มันไม่สื่อสภาวะ

 

คำว่าบุญปัจจุบันนี้เพี้ยนไปแล้ว มันปนเปคำว่า กุศล กับ บุญ ก็เลยไม่ชัดเจน ไม่คม ไม่แม่น ไม่ลึก ไม่ถูกต้อง แล้วก็เพี้ยนไปๆ สัจธรรมก็ยิ่งเลอะ

 

ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นความครบพร้อมในความเป็นมนุษย์ ครบพร้อมในความเป็นสังคมมนุษยชาติ แล้วมีส่ิงทรงไว้ เป็นรูปธรรม ทั้งรูปธรรมเป็นองค์ประกอบทั้งหมดที่สัมผัสได้รู้ได้ ผู้มีจิตวิญญาณมีประสาทก็รับรู้ได้ สัตว์เดรัจฉานก็รู้ได้ คนก็ยิ่งรู้ใหญ่เลย แต่สัตว์เดรัจฉานรู้ตามภูมิของมัน มันมีภูมิธาตุรู้เฉลียวฉลาดเท่านั้น แต่คนนี่รู้ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานได้เยอะ และมียกระดับไปสู่อาริยบุคคลได้ เป็นคนที่มีภูมิอีกชั้นหนึ่ง ชั้นที่สามารถมีจิตที่เข้าไปสู่ระดับโลกุตระ

 

ระดัยโลกุตระคือจิตคือมีปัญญารู้จักจิตเจตสิก รู้รูปนอกและรูปภายใน รูปของจิตเจตสิก ทั้งที่เกี่ยวข้องกับมหาภูตรูปเกี่ยวข้องกับดิน น้ำ ไฟ ลม สัมผัสแล้วก็เกิดธาตุรู้ คือวิญญาณ ปรุ่งร่วมกันเข้าไปเรียกว่า "กาย" หรือ "กาโย" ประชุมกันทั้งนอกและใน

 

ปรุงกันแล้วก็จะเกิดสภาพที่เป็นกาย ถ้ากายนอกก็ เช่น อย่างอาตมา รู้จักหมากต้อง ภาษาอีสานเรียกหมากต้อง ภาษากลางเรียกกระท้อน คำว่า ต้อง นี่หมายถึง สัมผัส แตะต้อง เมื่อมีการแตะต้องสัมผัส ถูก ก็หมายถึงสัมผัสถูกจริง ถ้ามันไม่ได้ถูก ไม่ได้สัมผัสมันก็ไม่มีหรอก ถ้ามีก็เอาความจำ 

 

อย่างขวดกับกระท้อนนี่มันไม่มีจิตวิญญาณ แม้สัมผัสแตะต้องกัน จากพรากกันแล้วก็ไม่รับรู้ ว่ามันสัมผัสกัน เพราะมันไม่มีธาตุรู้มาทำงาน  แต่สัตว์เดรัจฉานก็ตาม คนก็ตาม มีสัญญา มีความจำ แม้แต่พืชมันก็มีความจำ แต่เอาเถอะ จะไม่ลงรายละเอียดถึงขั้นพืช พีชนิยาม  เอาแต่แค่จิตนิยามของคน หรือสัตว์

 

สัตว์มีความรู้สึก มีอารมณ์ มีเวทนา สัญญา สังขาร สามอย่าง แต่พืชมีแค่สัญญากับสังขาร ไม่มีเวทนา ไม่มีอารมณ์ไม่มีความรู้สึก ก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มันไม่มีชังไม่มีชอบ มันไม่พยาบาท มันไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง มันจึงไม่ทุกข์ ไม่มีวิบาก ไม่ยึดไม่ถือไม่พยาบาท ไม่ดูดไม่ดึง มันมีแต่มีแต่พลังงานทางอุตุที่มันใช้งานเป็นพลังงานทางฟิสิกส์ พลังงานดูด ผลัก เท่านั้นเอง พลังงานทางฟิสิกส์ ทำการสลายหรือสังเคราะห์ตัวหรือสังขาร พลังงานของพืชมันมีเท่านั้น

 

ส่วนพลังงานของสัตว์ หรือจิตนิยามของสัตว์หรือคนมันมีเวทนา ดูดดึง และผลัก  แล้วก็ยังยึดอยู่อีกต่างหาก สัตว์ก็ยึด คนนี่ยิ่งอภิมหายึดเลย ยึดมั่นถือมั่น ยึดกันไม่ปล่อยไม่วาง จนกระทั่งวางไม่เป็น สัตว์มันก็วางไม่เป็นอยู่แล้วล่ะ  ยิ่งมาเป็นคนแล้วยิ่งหนักกว่าสัตว์อีก ยึดมั่นถือมั่น จึงต้องมาเรียนเพื่อวาง เรียนเพื่อปล่อย เรียนเพื่อรู้ว่าพลังงานที่มันไม่วางเป็นอย่างไร? พลังงานที่มันไม่ปล่อยเป็นอย่างไร มันไปหลงยึดเอา มันยึดอย่างไรเป็นต้น

 

นัยความละเอียดลึกซึ้งพวกนี้ อาตมาที่เอามาพูดเอามาบรรยายมาบอกให้พวกเราฟังได้ ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะรู้ไม่มาดูในตำรา ชาตินี้อ่านตำราแล้วเข้าใจรู้ได้จากตำราแล้วเอามาอธิบาย ไม่ใช่ อาตมาไม่ได้เป็นเช่นนั้น หรือแม้แต่คุณไปเข้าใจอย่างนั้นแล้วจะไปทำอย่างนั้น จะไปอ่านตำราแล้วมาอธิบายอย่างอาตมาจ๋อยๆ เป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็น วิสัย เป็นเรื่องที่จะต้องสร้างสม ให้มันเกิดอยู่ เกิดอยู่เรียกว่า สย

 

 

ให้เกิดอยู่ เกิดเป็นภูมิรู้ ให้รู้จิตตนเอง แล้วสามารถมีปัญญารู้ด้วย ในจิตก็มีอาการต่างๆให้รู้ และอาการต่างๆมีจริงด้วย มันมีอาการยึดจริง ยึดอย่างนี้มันมีอาการอย่างไรก็รู้ว่าเป็นอย่างไรด้วย  ซึ่งเป็นความลึกซึ้งในธาตุรู้ของมนุษย์นี่ ก็จะต้องมาศึกษา เมื่อศึกษาแล้วก็จะรู้ว่า อะไรควรยึดไม่ควรยึด เมื่อเราสามารถปล่อยเป็น วางเป็น ยึดก็ยึดเป็น วางก็วางเป็น วางเก่ง จนเก่งที่จะยึดก็ได้มียึดก็ได้ พลังงานทางจิตที่มันสุดวิเศษ

 

คนที่สามารถเรียนรู้ จิตที่มันเป็นแล้วมันก็ขจัด ชำระออก ให้เป็นบุญ(ปุญญฺ) นี่แหละ คือล้างออก ชำระออก เมื่อมันออกแล้ว  มันก็ไม่มีในจิตใจ มันออกได้ มันไม่มีในจิตใจจริงๆ แต่ก็ยังจำได้ จำได้ว่ามันเคยมีนอกจากจำได้ว่าเคยมีแล้ว เรายังระลึกคืนขึ้นมาอีกได้เป็นความจำมารู้อีกได้  แต่ความจริงเราวางเป็นแล้ว เราวางเป็นแล้ว จนกระทั่งที่เราไม่ดึงออกมามันก็ไม่ออกมา  นี่คือความลึกซึ้งของพลังงานทางจิต จิตนิยาม

 

คนที่ได้เรียนรู้ฝึกฝนส่ิงที่เรียกว่า "ธรรมะ" ภาษารวมๆเรียกว่า ธรรมะ ภาษาพวกนี้ พยัญชนะพวกนี้ แม้แต่คำว่าบุญกับกุศลที่อาตมาจะได้เอามาบรรยายในงานนี้ ต้องตั้งใจฟังดีๆเถอะ เราจะเข้าใจแล้วเราจะเข้าใจจะได้ชัดเจนว่า อันนี้บุญ อันนี้กุศล ไม่ต้องทำอะไรมันมาก เพราะ กุศลนี่เป็นเรื่องดี แล้วเรื่องดีนั้น เป็นเรื่องโลกๆนี้ไม่มีก็ได้มีก็ได้ แต่ว่า บุญ นั้น ให้รู้เลยว่า ต้อง ไม่ให้มี บุญที่สุดแห่งที่สุดนี่คือ ไม่มี แต่โลกเอามาใช้กันอย่างฝั่นเฝือว่า คนต้องได้บุญ ต้องมีบุญ ต้องเอาบุญ บุญก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ว่าเอา แต่จุดสำคัญคือบุญต้องไม่มี ต้องหมดบุญ พระอรหันต์นี่คือผู้หมดบุญแล้ว ยิ่งพพจ.ก็ยิ่งไม่มีบุญเลย มีแต่บารมี คนไม่รู้ก็เลยเอาไปปนกันใหญ่เลย ว่าเป็นบุญบารมี พพจ.นั้นเป็นผู้ไม่มีบุญแล้ว พระอรหันต์ก็หมดบุญหมดบาปแล้ว เรียกว่าเป็นคน  ปุญญฺปาปปริกฺขีโณ ไม่มีแล้วไม่เหลือแล้ว คือเป็นคนหมดบุญหมดบาปแล้ว เร่ิมต้นตั้งแต่พระอรหันต์ไปก็หมดสิ้นบุญ บาปแล้ว

 

แค่เรื่องนี้ ความหมายเรื่องนี้ ความหมายลึกซึ้งมาก แต่คนฝั้นเฝือ ทุกวันนี้ใครเองไม่อยากได้บุญ ยกมือ(อยากได้ทุกคน) แต่บุญคือความให้หมดไป แล้วอยากได้มามันเป็นไง มันก็เลยไม่ต้องได้บุญกันพอดี เพราะเข้าใจบุญกลับกัน เป็นความลึกซึ้งซับซ้อนที่ยาก  ทุกวันนี้คนก็เลยค้าขายบุญกัน เขาเอาบุญบาปมาค้าขายกัน โดยไม่รู้ว่า บาปคืออะไร บุญคืออะไร แต่ละวัดๆก็ขายบาปกันน่าดู คนก็ไปอุดหนุนกันจังเลย ซื้อบาปกันเต็มไปหมด อาตมาพูดนี่ดูน่ากลัว เหมือนไปว่าเขา นี่คือสภาพที่ไม่รู้จักสัจจะความจริง

 

คำว่าบุญ อาตมากำลังขยายความคำว่าบุญ  เพื่อให้เข้าใจถึงสัจจะของคำว่าบุญ ให้ลึกซึ้ง ให้รู้จักสาระสัจจะที่แท้จริง เราจะได้ปฏิบัติคำว่าบุญ จะได้เป็นคนที่จะใช้ภาษาคำว่า "ได้บุญ" ได้ถูกต้อง

 

ถ้าเข้าใจแล้วเราก็จะไม่ได้ส่ิงที่ไม่ควรได้ กลายเป็น บุญ ถ้าเราไม่ได้สิ่งที่ไม่ควรได้ ใช่ไหม?  เราไม่ได้สิ่งที่ไม่ควรได้เราก็ได้บุญ แต่ถ้าไปได้ส่ิงที่ไม่ควรได้ก็ได้บาป  

 

ภาษานี่จะสื่อสภาวะที่ละเอียดอ่อนว่า สังคมเราเป็นสังคมที่ชื่อ บุญนิยม คำว่า นิยม แปลว่าเที่ยง หรือมานิยมชมชอบ เมื่อเราได้มาแล้ว เราก็เอาไว้ให้เที่ยง เพราะสิ่งที่เรานิยมชมชอบ เราก็ต้องการให้อยู่กับเราตลอดนิรันดร  ยิ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ส่ิงดีที่สุดที่จะให้อยู่กับเราไปตลอด คือความสูญ คือความหมดบุญ (ฟังให้ดี งานนี้จะต้องฟังธรรมให้สูง ให้เข้าหูและเข้าใจให้ได้ ถ้าฟังไม่ดี หูหัก ฟังไม่เข้าใจ หูหักเลยงานนี้ ) เป็นเรื่องทวนกระแสหมุนรอบเชิงซ้อนที่ลึกซึ้งหลายชั้น ก็ตั้งใจฟังให้ดีๆในงานนี้เป็นงานพิเศษ

 

อาตมาจะเทศน์ เปิดยุคบุญนิยม ที่เปิดยุคบุญนิยมก็เพราะพวกเราชาวอโศกมีบุญกันบ้างแล้ว มีแต่ภาษาย้อนแย้งเป็นสภาวะปฏินิสสัคคะ มันทวนย้อนแล้วมันมีหรือไม่มีกันแน่วะ พวกเรามีบุญกันบ้างแล้ว แต่ที่จริงเราไม่มีกิเลส คำว่าบาป  คือกิเลส เมื่อเราล้างบาปได้ เราก็ได้บุญ เราล้างบาปออก หรือล้างกิเลสออก คือเราได้บุญหรือหมดบุญ บุญก็ไม่มีแล้วเราบอกว่าได้  คือได้ส่ิงที่ไม่ได้ ได้ในสิ่งที่สูญ ฟังดีๆ เร่ิมหูหักไปเรื่อยๆตามลำดับ

 

เมื่อเราเป็นชาวพุทธ ที่รู้จักบุญ แล้วทำการชำระกิเลส เมื่อได้ชำระกิเลสได้บ้างเราก็มีบุญ ได้บุญ เพราะเราได้ล้างบาปออกไป บุญคือการเอาออกไป ชำระ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ ภาษาบาลีท่านนิยามคำว่าบุญอย่างนี้ คือการชำระกิเลสในสันดานให้หมดจด (วิโสเทติแปลว่าความสะอาดสะอ้าน หมกเกลี้้ยงหมดจด) สันตานังคือ สันดาบ  สิ่งที่ต้องล้างออกคือตัวกิเลส อนุสัย

 

เมื่อเราเรียนรู้ธรรมะพพจ. อย่างสัมมาทิฏฐิ สามารถรู้จักความจริง รู้จักจิตเจตสิก รู้ธรรม อธรรม อ่านจิตเป็น อย่างที่เรียกว่าแม้มีปฏิภาณไม่ชัดแต่รู้อาการอารมณ์ พอทำกิเลสออกได้ แม้มันจะออกได้ชัดเจนหรือไม่ชัดเจน ก็แล้วแต่คนเอาออก  แต่เพราะออกได้จริงๆ บางคนไม่ออกหรอกแต่กดข่มไว้ มันก็ยังดี มันไม่ออกมาทำงาน แต่ยิ่งทำได้ชำระได้ ล้างไปได้ เอาออกไปได้  เรียกว่าเนกขัมมะ(เอาออกหรือออกจาก)ได้ ก็ออกได้จริงๆ เมื่อออกหมดแล้ว เราก็มีจิตสะอาด จิตใส จิตบริสุทธิ์ จิตจะมีปัญญารู้โลกุตระ รู้ความจริงตามความเป็นจริง ส่ิงที่ถูกมอมเมามาจะหลุดไปเรื่อยๆ ล้างไปเรื่อยๆ จิตจะรู้ความจริงตามความเป็นจริง รู้สาระสัจจะ ความจริงที่ดีที่สุด ที่แท้ที่สุดมันมีอะไรบ้าง อะไรเกินเฟ้อก็ล้างออกๆ จนล้างความเฟ้อออกจากจิตหมดแล้ว เป็นพระอรหันต์  ซึ่งรู้ไม่ง่าย ในหมู่พวกเรามีอรหัตตผล ที่ปฏิบัติธรรม มีอรหัตตผล คือมีความเป็นความไม่ลึกลับ อรหะ ,อรหัตตา ,อรหัตตผล มันไม่ลึกลับในอัตตานั้น อัตตานี่แหละคือความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูของกู มันหลงติดทั้งกิเลส ทั้งอารมณ์ ส่ิงที่มันเฟ้อเกิน ที่เราต้องล้างออก ล้างออกมันก็ไม่มีอัตตา 

 

เราล้างมันขจัดมันด้วยวิธี วิธีของเราก็ชัดเจน มีวิธีการที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนมา วิกขัมภนปหาน ตทังคปหาน สมุทเฉทปหานได้ จนปฏิปัสสัทธิปหาน จนถึง นิสสรณปหาน ในปหาน 5 ก็ล้างเกลี้ยงออกไปหมด

 

อันใดที่พวกเราสามารถล้างได้ อย่างพวกเรานี่ล้างออกจากที่ตื้นสุดคืออบายภูมิ ไอ้ที่มันไปยึดติดมา นึกว่ามันดี นึกว่าน่าได้น่าเป็น มันเอร็ดอร่อย มันเลิศเลอ มันสูงส่ง มันวิเศษ มันดีมันงามอะไรก็แล้วแต่ ไปหลงมาผิดๆ แต่พอเรารู้แล้วเราก็ล้างมันออกได้  เรียกว่าหมดอบาย อบายนี่คือต่ำที่สุด เรียกภาษาว่า นรกอบาย พอเราล้างได้เราก็เป็นคนสะอาดขึ้น แล้วมันไม่อยากเสพอีก ไม่สุขไม่ทุกข์อีก

 

เมื่อเราล้างแต่ละขึ้นตอนจากภูมิอบายมาถึงภูมิที่สูงขึ้นเรียกว่า กามภูมิ เป็นภูมิต้น อบายก็คือกามภูมิที่ต่ำ แล้วก็สูงขึ้นๆ เราก็ลดละตามลำดับ คนที่ได้ลดละอย่างนี้แหละเรียกว่า ชาวอโศก ที่ได้ปฏิบัติมาเรื่อยๆ จนสามารถเห็นภพภูมิ ว่ามันควรดีขึ้นเจริญขึ้นอย่างนี้ จึงได้สละใจมาอยู่่ร่วมกัน กลายเป็นกลุ่มชน เป็นชุมชน จนเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านราชธานีอโศกเป็นต้น  เป็นหมู่บ้านชุมชนที่เป็นนิตินัย และอยู่กันอย่างสภาพลัทธิ ที่เป็นลัทธิยุญ และ "บุญนิยม" มีถึงขั้นสาธารณโภคี หมายความว่าเป็นสังคมหมู่บ้านที่ มีทรัพย์สินส่วนกลาง

 

ชาวอโศกนี่ อาตมาบอกเด็กๆลูกหลานว่า ที่นี่เป็นสมบัติของใคร ...เด็กเล็กเขายังไม่ซาบซึ้งก็ยังไม่รู้ แม้แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็ไม่ซาบซึ้ง แล้วถามว่านี่สมบัติของใคร เขาก็ตอบว่าของชาวอโศก...แล้วหนูเป็นชาวอโศกไหม?...ก็เป็น ...เขาก็คิดว่าเป็นของเขาไหม? ...ถ้างั้นสมบัติเหล่านี้ของหนูด้วยสิ...ใช่

 

ซึ่งมันลึกซึ้งมาก ต่างจากทางโลกเขาเป็นตัวกูของกู แต่นี่ไม่ใช่ เป็นสมบัติของทุกคน มันเป็นของทุกคน ทุกคนก็พยายามดูแลสร้างสรร รักษา พยายามปฏิสังขร บูรณะ หรือทำลายสิ่งที่ควรทำลายอะไรเป็นพิษภัยไม่ดีไม่งามก็เอาออกไป เป็นสังคมบุญนิยมที่เขาเรียกอาริยะชนแบบใหม่ ไม่เหมือนสังคมไหนทั้งโลก เขาบอกว่าประเทศของเขาอารยะเป็นเป็นศิวิไลซ์ เขาก็ว่าศิวิไลเซชั่น แต่ไม่เหมือนหมู่บ้านชาวอโศก ประเทศไทยทั้งหมดก็ยังไม่ได้ เป็นประเทศอาริยะที่เป็นบุญนิยมยังไม่ได้ มันได้แต่เฉพาะชาวอโศก เพราะฉะนั้นคำว่า บุญนิยมจึงต้องมาขยายความ

 

ทุกวันนี้มันเป็นได้แล้ว อาตมาก็พาพวกเราออกไปโชว์ตัว เราไปชุมนุมประท้วงนี่บอกว่าการชุมนุมประท้วงจะต้องเอาสาธารณโภคีมาหยั่งลงมาสถาปนาลงในการชุมนุมประท้วงทางการเมือง เราเอาวิถีชีวิตการเป็นอยู่ วิถีทางจิตวิญญาณ ทั้งกาย วาจา เข้าไปสถาปนาลงในการชุมนุม เราประท้วงกันจะเป็นมืออาชีพนะนี่ ประท้วงกันมาแล้วประท้วงสำเร็จด้วย เพราะเราประท้วงอย่างสันติอหิงสา และของเรายังมีอโหสิเด้วย มีอภัยด้วย อโหสิคือการไม่พยาบาทจองเวรต่อ หลายคนพวกเรามีอภัยไม่จองเวรจองกรรม

 

นี่คือความลึกซึ้งของธรรมะ ที่เราเอาธรรมะไปแสดงกับสังคม ไปประพฤติกับสังคมมา  ตั้งแต่ปี 2559 นี่เราเพ่ิงได้หยุดพักมาเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 57 เขาประกาศยึดอำนาจไปแล้ว พวกเราประท้วงก็เลยเด๋อเลย เขายึดอำนาจไปแล้ว จะไปประท้วงอำนาจจากผู้ยึดไม่ได้แล้ว มีแต่เขาให้กลับบ้านเราก็กลับมา

 

แต่เราได้ขยายผลการชุมนุมประท้วงที่เป็นปชต.ที่ถูกต้องตามสากล ถูกต้องตามรธน. จนถึงขั้นศาลออกประกาศคุ้มครองการชุมนุมประท้วงของเรา นี่เป็นหลักฐานยืนยันจริงเลย ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เพราะเราชุมนุมถูกต้องตามรธน. ตามสากล คำว่าสากลนี่แม้แต่ชาวต่างชาติ นักรัฐศาสตร์ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำอย่างไร เขาก็พอรู้นะว่าศาลออกมาประกาศคุ้มครองว่าเราชุมนุมประท้วงถูกต้องตามรธน.มาตรา 63 หรือมาตรา 69 เป็นต้น เราทำถูกต้องนะ แต่ศาลก็จะพิสูจน์ดวยหลักฐานข้อมูล ท่านก็มีหนังสือประกาศคุ้มครอง ห้ามตำรวจมาสลาย ศาลคุ้มครอง ถึง 9 ข้อ เป็นเหตุการณ์เกิดในเมืองไทย เป็นรัฐศาสตร์การเมืองที่วิเศษ เรามีเหตุการณ์จริง ปรากฏการณณ์จริง ไม่ใช่เรื่องคิด แต่เป็น Phenomena  ที่เราได้ร่วมเหตุการณ์มา จะรู้จะเข้าใจสิ่งลึกซึ้ง ที่อาตมาพูดนี่ลึกซึ้งนะ ละเอียดเกินไปบางคนไม่มีภูมิพอฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ผู้มีภูมิลึกซึ้งจะฟังแล้วเข้าใจ

 

นี่เป็นลักษณะบุญนิยม ที่เราจะเปิดเผยสังคมบุญนิยมต่อโลกเขา เราจำเป็นต้องพากเพียรปฏิบัติให้เป็นชาวบุญนิยมที่เจริญ เป็นชาวบุญนิยมที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อสำเสนอบุญนิยมต่อชาวโลก ไม่ใช่เรื่องอวดอ้าง แต่เป็นสิ่งที่ชาวโลกจะได้เป็นเช่นนี้ สังคมจะได้สงบสุข อบอุ่น เป็นสังคมเจริญจริงๆ เป็นสังคมมนุษยชาติที่เหนือกว่าเดรัจฉาน

 

จากนี้ไป ท่านรองผู้ว่าฯจ.อุบลจะมากล่าวเปิดงาน...

 

พ่อครูเทศน์ต่อ....

 

เมื่อกี้เราได้เกริ่นกล่าวแล้วว่าสังคมมนุษย์ถ้าเกิดว่าได้ มีคุณธรรมคุณวิเศษ คุณประโยชน์ คุณลักษณะที่เป็นคุณค่า แบบ บุญนิยม แปลตรงๆ ชัดๆคำว่าบุญก็คือ หมายความว่า การฆ่ากิเลส ถ้าฆ่ากิเลสได้ก็เป็นบุญ ยิ่งฆ่าให้ตายเลยก็บุญสมบูรณ์เลย ส่วนบาปก็คือกิเลสแท้ๆ เรามาปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิของพพจ. จึงเกิดคุณสมบัตินี้จริง จริงจนทำให้เกิดสังคมกลุ่มชุมชนหมู่บ้าน ซึ่งอาตมาอยากจะกล่าว คืออาตมามั่นใจว่าในโลกนี้ไม่มีที่ไหนที่จะเป็นหมู่บ้านที่ได้เป็นบุญนิยมได้เป็นสาธารณโภคี คือ มีสมบัติเป็นส่วนกลางทุกคนเป็นเจ้าของ คนเป็นสมาชิกมีคุณสมบัติไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ สมาชิกชาวอโศก ทุกคนที่จะใช้สอย ตามฐานะ

 

คนที่มีฐานะจะใช้ตรงนั้นตรงนี้ เป็นสมาชิกที่มีคุณประโยชน์ที่แต่คนในสมาชิกเขารับรองว่า เขาก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ตามลักษณะนั้นลักษณะนี้ได้ เป็นวัฒนธรรม เป็นเรื่องของความรู้ สมมุติสัจจะ รู้ร่วมกัน ว่าเหมาะควรแล้ว บางคนก็ให้ใช้เท่านี้ มากกว่านี้ไม่ได้เพราะว่ามีค่าประโยชน์แก่สังคมเขาเท่านี้ ได้เท่านี้  หรือว่ามีความซ้อนว่าเจ้าหน้าที่ผู้เบิกจ่ายส่ิงนั้นส่ิงนี้ให้เอาไปอาศัยใช้สอยเกิดไม่ค่อยกินเส้นก็อาจจะไม่ได้เต็มที่ ก็เป็นวิบากซ้อน สรุปแล้วเป็นไปโดยธรรม หลายอย่างเป็นอจินไตยอธิบายไม่ไหว เป็นวิบากกรรมเข้ามาร่วมด้วยเยอะ แต่เข้าใจได้ จะเป็นจริง สัจจะจริง

 

สรุปคือสังคมสาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์บทใหม่ของโลก เพราะว่าเป็นบทที่เข้าใจในเรื่องสิ่งที่อยู่ ด้วยพลังแห่งธรรม หรือแรงแห่งธรรม หรือกำลังแห่งธรรม หรืออำนาจแห่งธรรม

 

คำว่า อำนาจ คำว่า กำลัง คำว่าพลัง คำว่าแรง เป็นเรื่องทางฟิสิกส์ก็เรียกเป็น Power หรือ Energy มีเรียกอีกเยอะ  แต่ว่าภาษาไทยนี้ไม่มีภาษา พลังธรรมนี่ไม่ใช่พลัง Force คือไม่กดข่ม บีบคั้น เบียดเบียน แต่เป็นลักษณะตรงข้ามกับ Authority เป็นพลังนามธรรม ภาษาไทยเราไม่มีเรียก มีแต่พลัง กำลัง มันก็ได้มาใช้ภาษาไม่พอ อาตมาก็จำเป็นต้องหยิบภาษาอังกฤษใช้ ถ้ายิ่งเป็นพลังอำนาจสูงเป็น Sovereignty ย่ิงเป็นพลังสุดยอด เป็นพลังแห่งอิสรเสรีภาพ สูงสุด แห่งคุณงามความดี หรือทางด้านรัฐศาสตร์เขาเรียกว่าอธิปไตยสุดยอด เขาใช้คำว่า sovereigntyเป็นสิทธิของมนุษย์ เป็นSovereign  right  power  เป็นอำนาจ

 

พลังงานที่เป็นรูปธรรมนั้นดูง่าย แต่พลังงานทางสัจธรรม นามธรรม มันก็เป็นพลังงาน เป็นกำลังเหมือนกัน เป็นอำนาจอย่างหนึ่ง ภาษาบาลีเรียกว่า อธิปไตย ส่วนคำว่า พลัง,อินทรีย์ มีอีกเยอะ

 

สรุปแล้วมันมีแรงงานอันหนึ่งเป็นนามธรรม ที่เราสร้างเกิดจากจิต แรงงานอันนี้เกิดจากจิต จิตผู้ที่ทำแล้วเกิดพลังงาน เกิดพลังงาน อย่างพลังงานเสียงอยู่ในบรรยากาศ ​พลังงานแสงส่องไปบรรยากาศ ส่วนพลังงานของธรรมะ พลังงานของคุณธรรม ของผู้ที่มี ทำขึ้นที่จิตที่ดี ของผู้ที่มีพลังงานดี ก็เป็นพลังงานดี ย่ิงเอามาร่วมเป็น พูด เอามารวมเป็นพลังงานทาง กายกรรม ทั้งหมดเลย นัจจะ คีตะ วาทิตะ รวมหลายอย่าง มันจึงมีความควบแน่น หนาแน่น มีพลังสู่ขั้นอำนาจสูง มีแรงสูง คุณภาพสูง สิ่งเหล่านี้เป็นนามธรรมที่จิตมีจริง แต่ก็หายไปได้เร็ว พลังงานนามธรรมนี่เร็วกว่าพลังฟิสิกส์

 

แต่ผู้ที่สามารถจะสร้างพลังงานให้ควบแน่นได้นานกว่าพลังงานทางฟิสิกส์ก็ได้ มันกลับกัน ต้องมีพลังวิเศษ ของผู้ที่ทำให้พลังงานนี้อยู่ควบแน่น เกาะตัวกันอยู่นานกว่าสามัญ สามัญมีแค่นี้ แต่พลังพิเศษทำให้ควบแน่นเกาะกลุ่ม เป็นกาย เป็นองค์ประชุมได้นาน นานกว่าที่ควรสามัญ เก่งกว่าสามัญได้เท่านี้ แต่คนพิเศษจะทำได้ยิ่งกว่านี้

 

เป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นจริง เวลาเรามารวมกัน ชาวอโศกเรามีคุณธรรม ยกตัวอย่าง เราไม่มีแล้วจะไปคิดเรื่องอบายมุข เรื่องจะไปโกหก ทุจริต หรืออาจจะมีError บ้างนิดๆหน่อยๆ แต่จะไปปล้นไปจี้ใครเราไม่ทำแล้ว เราจะไปสนุกสนานเฮฮาหยำฉ่าอย่างที่เขาทำกันข้างนอกเราไม่ทำแล้ว เพราะฉะนั้นพลังงานเหล่านี้ในสังคมเราที่เกิดจากจิตของแต่ละคน สมาชิกชาวอโศกที่ละทิ้ง สมาชิกชาวอโศกไม่เกิดแล้วในจิต ไม่เกิดแล้ว จึงเป็นพลังงานรวมของสนามแม่เหล็กแห่งจิตวิญญาณ ของเราทั้งหมดชุมชน มันจึงเป็นพลังงานองค์รวมอันหนึ่ง ที่อาตมาเคยอธิบายถึง สยามเทวาธิราช

 

เป็นพลังงานองค์รวมเรียกว่าสยามเทวาธิราช ของประชาชนคนไทยหรือชาวสยาม เทวาธิราช แปลว่าอธิราชของคุณธรรม อธิราชของพลังงานส่วนดี ส่วนกุศล ที่เป็นพลังงานวิเศษ วิเศษจนกระทั่งมีพลังงานลึกซึ้งมาก  ซึ่งอธิบายยากมาก อาตมาก็พยายามหยิบมาอธิบายในวันที่ 18 ก.พ. ที่มันเกิดพลังงานพิเศษ ที่เป็นความสงบสยบความรุนแรง จนผู้ที่มาทำความรุนแรงนั้น หนียะย่าย พ่ายจะแจไป ยกทัพกลับไปเลย เป็นเรื่องที่อาจมีผู้ไปช่วยใช้พลังงานทางโลกๆมาช่วยบ้าง ซึ่งเราก็ไม่รู้แต่พวกเราไม่มีเลย พวกเขาเตรียมพร้อมเลย ครบเครื่องเลย หากเขาเต็มที่เลย พวกเราตายหมด ลูกกระสุนเขามีพอจะเอาเราตายเกลี้ยง เขาเตรียมการมาพร้อมเลย ตั้งใจจะมาสลายพวกเราอย่างเต็มที่เลย เขาไม่ควรแพ้ แต่เขาก็แพ้ เขาหนีเลย เรียกว่าหนีทัพพ่ายทัพ ไปเลย แพ้วิ่งหนีเลย

 

ซึ่งเราไม่ได้มีพลังงานร้ายแรงโหดเหี้ยมเลย มีแต่พลังงานแห่งเมตตา พลังงานแห่งคุณธรรม แล้วก็ชนะ ส่ิงเหล่านี้อธิบายยากมากเลยถ้าไม่มีตัวอย่างเหล่านี้ เกิดจริง ทุกคนก็ไม่เชื่อ นี่มันเกิดจริงพวกคุณก็เลยฟังได้ สิ่งเหล่านี้ นี่คือพลังงานสยามเทวาธิราชิทธิ์ เป็นพลังงานเป็นฤทธิ์ (อิทธิ คือมีฤทธิ์) เป็นส่ิงที่พิเศษ ไม่เห็นตัวตนแต่มีจริงเป็นจริง ทุกอย่างไม่ใช่โมเม คนไม่รู้พูดไม่ออกอธิบายไม่ได้ อาตมาก็อธิบายแสนยาก แต่พวกเราก็คงพอระลึกตามได้ เพราะมีเหตุการณ์และสภาพเกิดจริง พวกเรามีต้นทุนมีพลังงานนี้ เราก็อยู่ร่วมในนั้น แล้วก็มีพลังงานอื่นมามีการสู้กันแล้วมีการชนะกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่จะเชื่อ เชื่อไม่ได้หรอก เอามือเปล่าไปชนะลูกระเบิด ปืน ชนะพวกที่เขาซักซ้อมการยิงการปราบได้ คิดให้หัวแตกก็เป็นไปไม่ได้ ใครจะเชื่อ ไม่มีสภาพรูปธรรมแบบนั้นเลย มีแต่นามธรรม

 

พลังงานที่พวกเรามีเป็นพลังงานคุณธรรม เป็นสนามแม่เหล็กแห่งคุณธรรม แบบพุทธโลกุตระ เป็นอาริยะแบบพุทธ มันมีพลังงานที่เกิดถึงสาธารณโภคีได้ ทุกคนไม่ยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นของเราเป็นตัวเรา ทุกคนสร้างสรร รวมกันกินใช้ ใครจะมีจิตนึกว่าเป็นของตัวอยากได้เป็นของตัวอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะคงไม่มีใครอยากคิดหรอก เพราะคิดแล้วก็เป็นไม่ได้ เพราะเขาไม่ให้ใครเป็นส่วนตัว ให้เป็นส่วนกลาง จะกินจะใช้ก็มีหลักเกณฑ์วัฒนธรรมอยู่ ส่ิงนี้จึงรวมกันเป็นของจริง มีจิตวิญญาณรู้รวมกันเข้าใจเป็นทิฏฐิสามัญตา แล้วมีหลักร่วมกันเรียกว่า ศีลสามัญตา จึงอยู่กันอย่างมี กายเมตตา วจีเมตตา มโนเมตตา เป็นสาราณียธรรม 6 ที่จริงของสังคมกลุ่มอโศก เป็นส่ิงที่ปรากฏทั้งพฤติกรรมพฤติภาพ เป็นบทบาทลีลา เห็นได้ สัมผัสได้ มีพลังพิเศษ

 

พลังนี้จึงวิเศษที่คนที่มาสัมผัสแล้ว ถ้าเขาเป็นคนหยาบ เป็นจิตวิญญาณไม่มีภูมิธรรม หรือเป็นจิตเดรัจฉาน เป็นจิตวิญญาณอเวไนยสัตว์ มาสัมผัสก็ไม่รู้เรื่อง เหมือนสัตว์ไส้เดือน กิ้งกือ แมลงสาป มันไม่รู้เรื่องหรอก คนที่มีจิตอเวไนยสัตว์ เขาอาจรู้มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน แต่เขาไม่เข้าใจลึกซึ้ง ไม่เข้าใจเมตตา ไม่เข้าใจคุณธรรมลึกซึ้ง ดีไม่ดีแหวะด้วยซ้ำไป เหมือนกับเราจะไปเสนอให้ชุมชนบ้านคำกลางที่เราจะทำประปาให้ระแวง เราจะทำถนนให้ก็ระแวง เขาระแวงจริงๆ  แต่พวกเราจะรู้หรือคนที่เป็นเวไนยสัตว์จะไม่ระแวง สัมผัสแล้วอ๋อ ก็เห็นค่า เห็นคุณค่าของสัจธรรมที่เป็นนามธรรมพวกนี้ หรือมันสื่อมาทาง กายวิญญัติ องค์ประชุมรวมมาจากกาย วจี มโน รวมเป็นก้อน กาย คือองค์ประชุม คำว่า กายนี่คือลักษระนัจจะ คีตะ วาทิตะ แล้วก็มีมโนเป็นประธาน ถ้าไม่มีมโน ก็ทำนัจจะ คีตะ วาทิตะไม่ได้ อย่างสัตว์เดรัจฉาน มีคีตะ สุ้มเสียงสำเนียง แต่ไม่มีภาษา มันไม่กำหนดหมายตั้งภาษาเหมือนคน คนนี่กำหนดภาษาชัดเจนได้เยอะ แต่เดรัจฉานมีภาษาตามธรรมชาติ เขาบอกว่าปลาโลมา มันมีภาษาของมันเล็กน้อย อย่างปลาวาฬก็มีภาษาสื่อกันได้รู้นิดหน่อย ไม่มากเลย ต่างจากคน

 

สรุปพลังรวมของธรรมะ เรียกอำนาจหรืออินทรีย์พละ เมื่อมีลักษณะคุณธรรม แล้วเป็นคุณธรรมระดับโลกุตรธรรมหรืออาริยธรรม จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดยอด เมื่อมีของจริงเกิดขึ้น ก็จะก่อนามธรรมแล้วออกมาเป็นรูปธรรม ออกมาเป็นส่ิงสัมผัสได้ รวมกันมากๆก็จะรู้ง่ายขึ้น สัมผัสรู้ง่ายขึ้น คนมีปฏิภาณรับได้ เขาสัมผัสก็รับกันได้ในคนที่รับได้มีภูมิธรรม ส่วนอเวไนยสัตว์ไม่มีภูมิธรรม อย่างสัตว์เดรัจฉานไม่รู้เรื่อง แต่คนผู้มีภูมิธรรมรับได้ ก็รับได้ 

 

เราไม่ได้ต้องการให้รับได้หมด เราต้องการให้มาเป็นจริง เมื่อมาเป็นจริงแล้วเป็นไง มันเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เป็นประโยชน์ต่อโลกไปหมดเลย พวกเราได้เร่ิมต้น ก็ขอพูดเบิกฤกษ์ ตอนอายุ 80 ขึ้น 81 ให้ฟังว่า

 

อาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้ามาฟื้นมากอบกู้ จาก2600 ปีผ่านไป ธรรมะของพพจ.ได้เสื่อม อาตมาได้นำขึ้นมา นี่พูดไปกับข้างนอกเขาก็จะอ้วกแตก มันหายเพี้ยนไปหมดแล้ว อาตมานำของพพจ.มาประกาศลงไป มายืนยันลงไป แล้วพาพวกเราศึกษา ซึ่งพวกเราก็มีบารมี คนที่มีมาเก่าก็มี คนที่มาเสริมขึ้นก็มี ก็มาสร้างเสริมจนเกิดขึ้นมาได้ เป็นองค์รวมเป็นธรรมะที่มีอำนาจ เป็นธรรมะที่มีพลัง เป็นธรรมะที่มีพฤติภาพให้คนสัมผัสได้ 

 

สิ่งเหล่านี้เกิดจากใจของพวกเราที่มีจริง จริงที่เราไม่เอาแล้วอบายมุขอย่างนี้ โลกกามภพอย่างนี้เราไม่เอาแล้ว เป็นสกิทาคามีสูงขึ้นๆ หลายคนมีคุณสมบัติเข้าสู่อนาคามีภูมิ คือไม่เอาแล้วเรื่องกามเรื่องพยาบาท ใจไม่มีแล้วเรื่องโกรธแค้นเคืองพบาบาท อาจจะมีเล็กๆน้อยๆ จนกระทั่งมันหมดจริงๆไม่มีเลยแม้ความไม่ชอบใจแม้เล็กน้อย แทบไม่เหลือ เพราะฉะนั้น อนาคามีจึงเหลือแต่เศษราคะ เศษอรูปราคะ และมีฐานดีคือจิตมานะ เป็นการถือดี อนาคาจึงไม่มีจองเวร จองพยาบาท จึงเรียกว่าผู้หมดโลกกาม แต่ราคะนี่ยังเป็นเศษของกาม ราคะนี่เสพสุข ยังไม่หมดสุขแท้ ส่วนพยาบาทโกรธเกลียดจองเวร จองภัย พระอนาคามีจะไม่มีโกรธะหรือพยาปาทะหรืออุปนาหะ(ผูกโกรธ) ถือสากันจะลดลงๆๆๆ

 

แม้ยิ่งกว่านั้น ละเอียดกว่าอุปนาหะ พระอนาคามีถ้ายังหยาบอยู่อาจมี แต่พระอนาคามีสูงขึ้นไปแล้ว อุปนาหะก็ไม่มี ไม่ผูกโกรธ ไม่โกรธใคร พยาปาทะกับอุปนาหะก็อย่างเดียวกัน แต่อุปนาหะผูกโกรธ นี่น้อยกว่าเล็กน้อยแล้วก็หาย ส่วนพยาบาทนั้นอาฆาตจองเวรจองกรรมเลย อุปนาหะอาจจะผูกโกรธในชาตินี้หรือชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็หาย ส่วนโทสะกับโกรธะนั้นรวมเป็นตระกูลของสายโกรธ สายพยาบาท อาฆาตเต็มรูป เพราะฉะนั้นถ้าโทสะแล้วเป็นโกรธะ คืออาฆาตจะแก้แค้นมันไม่ใช่แก้แค้นชาติเดียว แต่ล้านชาติเลย เพราะฉะนั้นหมื่นชาตินี่เรื่องขี้ผงเลย เป็นพลังงานที่น่าสงสาร น่ากลัว และน่าเกลียด ใครมีในใจก็โง่ อย่าเอามันไว้  เราอย่าให้มันเกิดในจิตเรา มันเป็นโทษเป็นภัย มันน่ากลัว มันไม่ได้เรื่องจริงๆ เราต้องพยายามเรียนรู้อารมณ์ อาการ อาการดโกระ อาการโลภ มันก็จะมีวิธีเอาออก วิธีล้าง วิธีดับ ให้เก่งขึ้นๆ สามารถล้าง ดับ วาง แล้วจะมีปัญญาเห็นจริงว่า มันไม่มีอะไรดี แล้ว เห็นว่าไม่มีโลภโกรธหลงนี่ดีจริงๆเลย แล้วอย่างที่มันมีโกรธ มีโลภ ไม่ดีทั้งนั้น ปัญญามันจะชัดเจน จะลึกซึ้งไปเรื่อยๆ

 

เรามาศึกษาประพฤติปฏิบัติแบบที่สร้างจิตวิญญาณแบบนี้ นี่คือชาวอโศก แม้แต่การศึกษาแบบของชาวอโศกก็ศึกษาไปเลยตั้งแต่ตัวเล็กแต่น้อย ตังแต่สมุนพระราม ชั้นปฐม ชันมัธยม  เราศึกษาแบบของเรา ศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา แล้วมาเป็น ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา ส่วนสูงสุดเป็น ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา

 

คำว่าศีลเต็ม ก็คือสมบูรณ์ ละกิเลสเป็นวิมุติ ให้เป็นอรหันต์ ศีลก็เต็ม ศีลปกติ ส่วนเข้มงาน งานก็เต็ม ผู้ที่ศีลเต็มก็จะเข้มงาน งานการเป็นวิริยารัมภะ เป็นสามัญเป็นวิสัย เป็นวิสัยที่เหนือกว่านิสัย ซึ่งวิสัยนี่เหนือกว่านิสัย วิสัยนี่เป็นเองเลย นิสัยนี่จะต้องใช้พลังงานขับดันบ้าง  แต่วิสัยนี่ไม่ต้องขัยดันเลย มันเป็นเองเลย ยิ่งกว่าสัญชาตญาณ

 

เป็นพลังงานที่เกิดจากการศึกษา การศึกษาของเราคือการศึกษาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียน ชั้นเรียนหรือไม่อยู่ชั้นเรียน เรียนเป็นปชช.พลเมืองของอโศก ศึกษาไปเลย แต่การศึกษาที่จะต้องทำแบบสังคมเขา เป็นหลักเกณฑ์ชั้นเรียนเราก็ต้องทำ เพราะทางโน้นเขารองรับกัน แต่อย่างเรามันเป็นไปอย่างแท้จริง ไม่ต้องผูกพันกับนิตินัยกฎเกณฑ์ทางโลกเขา เขาไม่ยอมรับด้วยไม่มีหลักฐานเกี่ยวข้องเขาไม่รับทั้งที่เรามีเขาก็ไม่รับ มันก็ขาด เราจึงจำเป็นต้องมีการศึกษาที่มีนิตินัยด้วย ซึ่งมันถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีอุดมศึกษาด้วย ส่วยปฐมศึกษา มัธยมเราก็มีมาแล้ว

 

ส่วนทางปวส. ก็ขอให้ข่าวว่าเขาเปิดรับสมัคร ถึง 7 มิ.ย. 57 ประกาศรับสมัครนิสิต เราเรียกนิสิตก็เพราะว่าเราอยู่กินนอน นักศึกษาประจำเรียกว่า นิสิต แปลว่าอยู่ รับสมัคร นิสิตวิทยาลัยอาชีวศึกษาสัมมาสิกขาวิชชาราม ปีนี้เราจะมีแผนกพืชศาสตร์ และก็แผนกเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม และแผนกการถ่ายภาพและวิดีทัศน์ เป็นประกาศนีบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปวช.ก็มีแผนกพืชศาสตร์ ส่วนปวส.มีแผนกเทคโนโลยีเพิ่มและแผนกถ่ายภาพและวิดีทัศน์ เรื่องการสื่อสารจะเป็นความจำเป็นสำคัญในอนาคต จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้รบกันด้วยการสื่อสาร ที่คสช.ปฏิวัตินี้ใช้การสื่อสารไม่ต้องเอารถถังเอาปืนเรียบร้อย ครั้งโน้นพล.อ.สนธิ เอาปืนเอารถถังออกมา แต่คราวนี้ไม่ต้อง อัตราการก้าวหน้าของประเทศไทย ปฏิวัติโดยไ่ม่ต้องรถถังหรือปืน เอาทหารออกมาแล้วประกาศปฏิวัติ ว่าผมขอยึดอำนาจตั้งแต่บัดนี้ วันที่ 22 พ.ค. 2557 เวลา 16.20 น.  เมื่อตัวแทนรัฐบาลไม่ลาออก คุณประยุทธ์ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นผมก็ขอควบคุมอำนาจตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นั่นคือการประกาศยึดอำนาจ ถ่ายทอดออกโทรทัศน์เลยยึดอำนาจเสร็จ ในโลกก็จะใช้การสื่อสาร เราก็พร้อมจะสอน ใครจะมาฝึกฝน เรียนแล้วมีใบประกาศ แล้วจะมีป.ตรี ป.โทต่อไป ขอประกาศให้ทราบผู้ที่สนใจจะมาสมัครมาสมัครได้


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:28:13 )

570604

รายละเอียด

570604_พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึกฉลอง 80 ปีไม่มีแก่ ที่เฮือนศูนย์ฯ

วันนี้วันที่ 4 มิ.ย. 2557 ตอนนี้เราเริ่มต้นงานฉลองถือว่าฉลองใหญ่ เป็นการฉลองที่ควบกับงานอโศกรำลึกครั้งที่ 33 แล้วอาตมาก็เลยผนวกหลังจากไปเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากับสังคมไปเยอะ ก็เลยให้พวกเราก็เลยทำการสันทนาการพักผ่อนกัน ให้มีอะไรสัมพันธ์สังคมเป็นสันทนาการที่อบอุ่นผ่อนคลายก็เลยผนวก งานอโศกรำลึกที่เคยจัดกัน 5 วัน งานนี้เลยคิดว่าจะฉลองใหญ่

 

วันที่ 4 ที่จริงครบ 80 ปีเต็มของอาตมา เพราะอาตมาเกิดวันที่ 5 พอถึงวันที่ 4 ก็ชนรอบครบ 80 ปีเต็ม ถ้าพรุ่งนี้วันที่ 5 เป็นวันเกิดก็เริ่มวันที่ 1 ของอายุ 81 แล้ว ก็เลยผนวกงานวันที่ 4 และ5 มาในงานนี้ด้วย จาก 7 วันก็เลยมาเป็น 9 วันเต็มเหนี่ยวเลย

 

เดิมเราจะเริ่มต้นงานเวลา 9.00  น. แต่มันเริ่มช้าไปเริ่มเอา 9.07 น. ในครั้งที่ 33 (3 คูณ 3 ก็คือ 9) วันนี้อาตมาก็ตั้งใจจะพยายามจะบอกกล่าวถึงความตั้งใจของตน ทำไมถึงมีเจตนาที่จะยืนยาวชีวิตนั้นหนึ่ง แล้วทำไมถึงจะ 80 ปีไม่มีแก่? ก็เลยฉลองซะเลย ฉลอง 80 ปีวิชิตชัย

 

วิชิตชัยแปลว่าผู้ชนะ อาตมาเป็นผู้แพ้มาตลอด แม้ทุกวันนี้ก็ยอมแพ้ ไม่คิดจะชนะใครหรอก แต่ที่ตั้งชืื่อว่า 80 ปีวิชิตชัย มันเหมือนกับเป็นการย้อนแย้ง อาตมาแพ้มาตลอดแล้วทำไม 80 ปีมาบอกว่า วิชิตชัย เป็นภาษาที่เป็นการย้อนแย้งเรียกว่าปฏินิสสัคคะ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน

 

สภาวะความหมุนรอบเชิงซ้อน อาตมากำลังขยายความเอามาบรรยาย ในนสพ.เราคิดอะไรตอนนี้อาตมาเปิดคอลัมน์ "เปิดโลกบุญนิยม" ก็พยายามอธิบายถึงคำว่าบุญ

 

บุญ เดิมเป็นภาษาบาลี จากคำว่า ปุญญฺ มาเป็นไทยเป็นคำว่า บุญ ตระกูลเดิมคุณปู่คุณทวดคือ ปุญญฺ เป็นรากเดิมที่มีความหมายลึกซึ้งมาเป็นโลกุตระ ซึ่งเป็นคำที่ต่างจากคำว่า กุศล

 

กุศล นั้นเป็นโลกียะ แต่กุศลมีขั้นสู่โลกุตระสุดจบได้เหมือนกัน รวมความดีงามไว้หมด ทั้งโลกีย์โลกุตระ

 

ส่วนคำว่า บุญ หรือปุญญฺ เป็นภาษาที่ตรงข้ามกับคำว่า บาป

 

คำว่าบาป มันคือกิเลส ผู้ใดใดไม่หมดบาปก็คือผู้ที่ชำระบาปไม่หมด ก็ต้องรับวิบากบาป  วิบากซึ่งเป็นอดีตต้องรับ แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ววิบากบาปก็ยังเหลือ วิบากบาปที่เป็นอดีตนั้นไม่มีวันหมด จนกว่าจะปรินิพพาน หรือปริโยสาน(ครั้งสุดท้าย) หมายความว่า ตายครั้งสุดท้ายเป็นการตายอย่างนิพพานรอบ(ปริ แปลว่า รอบ) ตายอย่างสิ้นรอบไม่เหลืออะไรเลย จบสิ้นไม่มีอะไรเกิด ค้างหรือเหลืออีกเลย

 

นิพพานคือกิเลสตาย แต่ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่บางทีคำว่าปรินิพพานเขาก็ไปเรียกตายในครั้งคราวของชีวิตเขาก็เรียกเหมือนกัน พระอรหันต์ตายแต่ละครั้งก็เรียกว่าปรินิพพาน แต่พระอรหันต์ตายไปแต่ละครั้ง ถ้าท่านไม่ตั้งจิตต่อภพภูมิอรหันต์ทุกรูปก็ต้องตายเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายสูญ แต่ถ้าตั้งจิตต่อภพภูมิก็ไม่ปริโยสาน

 

ทีนี้คำว่า ปฏินิสสัคคะ ที่อาตมาพูดเมื่อกี้นี้เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เป็นคำที่จะได้ขยายความอธิบายสู่ฟังในงานนี้ โดยเฉพาะคำว่าบุญกับกุศล คนเรานี่ยังไม่เข้าใจละเอีอดละออในภาษาที่สื่อชัดๆมันก็เพี้ยนมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มันเพี้ยนจนกระทั่งทำให้ศึกษาแล้วทำให้พยัญชนะ มันไม่สื่อสภาวะ

 

คำว่าบุญปัจจุบันนี้เพี้ยนไปแล้ว มันปนเปคำว่า กุศล กับ บุญ ก็เลยไม่ชัดเจน ไม่คม ไม่แม่น ไม่ลึก ไม่ถูกต้อง แล้วก็เพี้ยนไปๆ สัจธรรมก็ยิ่งเลอะ

 

ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นความครบพร้อมในความเป็นมนุษย์ ครบพร้อมในความเป็นสังคมมนุษยชาติ แล้วมีส่ิงทรงไว้ เป็นรูปธรรม ทั้งรูปธรรมเป็นองค์ประกอบทั้งหมดที่สัมผัสได้รู้ได้ ผู้มีจิตวิญญาณมีประสาทก็รับรู้ได้ สัตว์เดรัจฉานก็รู้ได้ คนก็ยิ่งรู้ใหญ่เลย แต่สัตว์เดรัจฉานรู้ตามภูมิของมัน มันมีภูมิธาตุรู้เฉลียวฉลาดเท่านั้น แต่คนนี่รู้ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานได้เยอะ และมียกระดับไปสู่อาริยบุคคลได้ เป็นคนที่มีภูมิอีกชั้นหนึ่ง ชั้นที่สามารถมีจิตที่เข้าไปสู่ระดับโลกุตระ

 

ระดัยโลกุตระคือจิตคือมีปัญญารู้จักจิตเจตสิก รู้รูปนอกและรูปภายใน รูปของจิตเจตสิก ทั้งที่เกี่ยวข้องกับมหาภูตรูปเกี่ยวข้องกับดิน น้ำ ไฟ ลม สัมผัสแล้วก็เกิดธาตุรู้ คือวิญญาณ ปรุ่งร่วมกันเข้าไปเรียกว่า "กาย" หรือ "กาโย" ประชุมกันทั้งนอกและใน

 

ปรุงกันแล้วก็จะเกิดสภาพที่เป็นกาย ถ้ากายนอกก็ เช่น อย่างอาตมา รู้จักหมากต้อง ภาษาอีสานเรียกหมากต้อง ภาษากลางเรียกกระท้อน คำว่า ต้อง นี่หมายถึง สัมผัส แตะต้อง เมื่อมีการแตะต้องสัมผัส ถูก ก็หมายถึงสัมผัสถูกจริง ถ้ามันไม่ได้ถูก ไม่ได้สัมผัสมันก็ไม่มีหรอก ถ้ามีก็เอาความจำ 

 

อย่างขวดกับกระท้อนนี่มันไม่มีจิตวิญญาณ แม้สัมผัสแตะต้องกัน จากพรากกันแล้วก็ไม่รับรู้ ว่ามันสัมผัสกัน เพราะมันไม่มีธาตุรู้มาทำงาน  แต่สัตว์เดรัจฉานก็ตาม คนก็ตาม มีสัญญา มีความจำ แม้แต่พืชมันก็มีความจำ แต่เอาเถอะ จะไม่ลงรายละเอียดถึงขั้นพืช พีชนิยาม  เอาแต่แค่จิตนิยามของคน หรือสัตว์

 

สัตว์มีความรู้สึก มีอารมณ์ มีเวทนา สัญญา สังขาร สามอย่าง แต่พืชมีแค่สัญญากับสังขาร ไม่มีเวทนา ไม่มีอารมณ์ไม่มีความรู้สึก ก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มันไม่มีชังไม่มีชอบ มันไม่พยาบาท มันไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง มันจึงไม่ทุกข์ ไม่มีวิบาก ไม่ยึดไม่ถือไม่พยาบาท ไม่ดูดไม่ดึง มันมีแต่มีแต่พลังงานทางอุตุที่มันใช้งานเป็นพลังงานทางฟิสิกส์ พลังงานดูด ผลัก เท่านั้นเอง พลังงานทางฟิสิกส์ ทำการสลายหรือสังเคราะห์ตัวหรือสังขาร พลังงานของพืชมันมีเท่านั้น

 

ส่วนพลังงานของสัตว์ หรือจิตนิยามของสัตว์หรือคนมันมีเวทนา ดูดดึง และผลัก  แล้วก็ยังยึดอยู่อีกต่างหาก สัตว์ก็ยึด คนนี่ยิ่งอภิมหายึดเลย ยึดมั่นถือมั่น ยึดกันไม่ปล่อยไม่วาง จนกระทั่งวางไม่เป็น สัตว์มันก็วางไม่เป็นอยู่แล้วล่ะ  ยิ่งมาเป็นคนแล้วยิ่งหนักกว่าสัตว์อีก ยึดมั่นถือมั่น จึงต้องมาเรียนเพื่อวาง เรียนเพื่อปล่อย เรียนเพื่อรู้ว่าพลังงานที่มันไม่วางเป็นอย่างไร? พลังงานที่มันไม่ปล่อยเป็นอย่างไร มันไปหลงยึดเอา มันยึดอย่างไรเป็นต้น

 

นัยความละเอียดลึกซึ้งพวกนี้ อาตมาที่เอามาพูดเอามาบรรยายมาบอกให้พวกเราฟังได้ ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะรู้ไม่มาดูในตำรา ชาตินี้อ่านตำราแล้วเข้าใจรู้ได้จากตำราแล้วเอามาอธิบาย ไม่ใช่ อาตมาไม่ได้เป็นเช่นนั้น หรือแม้แต่คุณไปเข้าใจอย่างนั้นแล้วจะไปทำอย่างนั้น จะไปอ่านตำราแล้วมาอธิบายอย่างอาตมาจ๋อยๆ เป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็น วิสัย เป็นเรื่องที่จะต้องสร้างสม ให้มันเกิดอยู่ เกิดอยู่เรียกว่า สย

 

 

ให้เกิดอยู่ เกิดเป็นภูมิรู้ ให้รู้จิตตนเอง แล้วสามารถมีปัญญารู้ด้วย ในจิตก็มีอาการต่างๆให้รู้ และอาการต่างๆมีจริงด้วย มันมีอาการยึดจริง ยึดอย่างนี้มันมีอาการอย่างไรก็รู้ว่าเป็นอย่างไรด้วย  ซึ่งเป็นความลึกซึ้งในธาตุรู้ของมนุษย์นี่ ก็จะต้องมาศึกษา เมื่อศึกษาแล้วก็จะรู้ว่า อะไรควรยึดไม่ควรยึด เมื่อเราสามารถปล่อยเป็น วางเป็น ยึดก็ยึดเป็น วางก็วางเป็น วางเก่ง จนเก่งที่จะยึดก็ได้มียึดก็ได้ พลังงานทางจิตที่มันสุดวิเศษ

 

คนที่สามารถเรียนรู้ จิตที่มันเป็นแล้วมันก็ขจัด ชำระออก ให้เป็นบุญ(ปุญญฺ) นี่แหละ คือล้างออก ชำระออก เมื่อมันออกแล้ว  มันก็ไม่มีในจิตใจ มันออกได้ มันไม่มีในจิตใจจริงๆ แต่ก็ยังจำได้ จำได้ว่ามันเคยมีนอกจากจำได้ว่าเคยมีแล้ว เรายังระลึกคืนขึ้นมาอีกได้เป็นความจำมารู้อีกได้  แต่ความจริงเราวางเป็นแล้ว เราวางเป็นแล้ว จนกระทั่งที่เราไม่ดึงออกมามันก็ไม่ออกมา  นี่คือความลึกซึ้งของพลังงานทางจิต จิตนิยาม

 

คนที่ได้เรียนรู้ฝึกฝนส่ิงที่เรียกว่า "ธรรมะ" ภาษารวมๆเรียกว่า ธรรมะ ภาษาพวกนี้ พยัญชนะพวกนี้ แม้แต่คำว่าบุญกับกุศลที่อาตมาจะได้เอามาบรรยายในงานนี้ ต้องตั้งใจฟังดีๆเถอะ เราจะเข้าใจแล้วเราจะเข้าใจจะได้ชัดเจนว่า อันนี้บุญ อันนี้กุศล ไม่ต้องทำอะไรมันมาก เพราะ กุศลนี่เป็นเรื่องดี แล้วเรื่องดีนั้น เป็นเรื่องโลกๆนี้ไม่มีก็ได้มีก็ได้ แต่ว่า บุญ นั้น ให้รู้เลยว่า ต้อง ไม่ให้มี บุญที่สุดแห่งที่สุดนี่คือ ไม่มี แต่โลกเอามาใช้กันอย่างฝั่นเฝือว่า คนต้องได้บุญ ต้องมีบุญ ต้องเอาบุญ บุญก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ว่าเอา แต่จุดสำคัญคือบุญต้องไม่มี ต้องหมดบุญ พระอรหันต์นี่คือผู้หมดบุญแล้ว ยิ่งพระพุทธเจ้าก็ยิ่งไม่มีบุญเลย มีแต่บารมี คนไม่รู้ก็เลยเอาไปปนกันใหญ่เลย ว่าเป็นบุญบารมี พระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้ไม่มีบุญแล้ว พระอรหันต์ก็หมดบุญหมดบาปแล้ว เรียกว่าเป็นคน  ปุญญฺปาปปริกฺขีโณ ไม่มีแล้วไม่เหลือแล้ว คือเป็นคนหมดบุญหมดบาปแล้ว เร่ิมต้นตั้งแต่พระอรหันต์ไปก็หมดสิ้นบุญ บาปแล้ว

 

แค่เรื่องนี้ ความหมายเรื่องนี้ ความหมายลึกซึ้งมาก แต่คนฝั้นเฝือ ทุกวันนี้ใครเองไม่อยากได้บุญ ยกมือ(อยากได้ทุกคน) แต่บุญคือความให้หมดไป แล้วอยากได้มามันเป็นไง มันก็เลยไม่ต้องได้บุญกันพอดี เพราะเข้าใจบุญกลับกัน เป็นความลึกซึ้งซับซ้อนที่ยาก  ทุกวันนี้คนก็เลยค้าขายบุญกัน เขาเอาบุญบาปมาค้าขายกัน โดยไม่รู้ว่า บาปคืออะไร บุญคืออะไร แต่ละวัดๆก็ขายบาปกันน่าดู คนก็ไปอุดหนุนกันจังเลย ซื้อบาปกันเต็มไปหมด อาตมาพูดนี่ดูน่ากลัว เหมือนไปว่าเขา นี่คือสภาพที่ไม่รู้จักสัจจะความจริง

 

คำว่าบุญ อาตมากำลังขยายความคำว่าบุญ  เพื่อให้เข้าใจถึงสัจจะของคำว่าบุญ ให้ลึกซึ้ง ให้รู้จักสาระสัจจะที่แท้จริง เราจะได้ปฏิบัติคำว่าบุญ จะได้เป็นคนที่จะใช้ภาษาคำว่า "ได้บุญ" ได้ถูกต้อง

 

ถ้าเข้าใจแล้วเราก็จะไม่ได้ส่ิงที่ไม่ควรได้ กลายเป็น บุญ ถ้าเราไม่ได้สิ่งที่ไม่ควรได้ ใช่ไหม?  เราไม่ได้สิ่งที่ไม่ควรได้เราก็ได้บุญ แต่ถ้าไปได้ส่ิงที่ไม่ควรได้ก็ได้บาป  

 

ภาษานี่จะสื่อสภาวะที่ละเอียดอ่อนว่า สังคมเราเป็นสังคมที่ชื่อ บุญนิยม คำว่า นิยม แปลว่าเที่ยง หรือมานิยมชมชอบ เมื่อเราได้มาแล้ว เราก็เอาไว้ให้เที่ยง เพราะสิ่งที่เรานิยมชมชอบ เราก็ต้องการให้อยู่กับเราตลอดนิรันดร  ยิ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ส่ิงดีที่สุดที่จะให้อยู่กับเราไปตลอด คือความสูญ คือความหมดบุญ (ฟังให้ดี งานนี้จะต้องฟังธรรมให้สูง ให้เข้าหูและเข้าใจให้ได้ ถ้าฟังไม่ดี หูหัก ฟังไม่เข้าใจ หูหักเลยงานนี้ ) เป็นเรื่องทวนกระแสหมุนรอบเชิงซ้อนที่ลึกซึ้งหลายชั้น ก็ตั้งใจฟังให้ดีๆในงานนี้เป็นงานพิเศษ

 

อาตมาจะเทศน์ เปิดยุคบุญนิยม ที่เปิดยุคบุญนิยมก็เพราะพวกเราชาวอโศกมีบุญกันบ้างแล้ว มีแต่ภาษาย้อนแย้งเป็นสภาวะปฏินิสสัคคะ มันทวนย้อนแล้วมันมีหรือไม่มีกันแน่วะ พวกเรามีบุญกันบ้างแล้ว แต่ที่จริงเราไม่มีกิเลส คำว่าบาป  คือกิเลส เมื่อเราล้างบาปได้ เราก็ได้บุญ เราล้างบาปออก หรือล้างกิเลสออก คือเราได้บุญหรือหมดบุญ บุญก็ไม่มีแล้วเราบอกว่าได้  คือได้ส่ิงที่ไม่ได้ ได้ในสิ่งที่สูญ ฟังดีๆ เร่ิมหูหักไปเรื่อยๆตามลำดับ

 

เมื่อเราเป็นชาวพุทธ ที่รู้จักบุญ แล้วทำการชำระกิเลส เมื่อได้ชำระกิเลสได้บ้างเราก็มีบุญ ได้บุญ เพราะเราได้ล้างบาปออกไป บุญคือการเอาออกไป ชำระ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ ภาษาบาลีท่านนิยามคำว่าบุญอย่างนี้ คือการชำระกิเลสในสันดานให้หมดจด (วิโสเทติแปลว่าความสะอาดสะอ้าน หมกเกลี้้ยงหมดจด) สันตานังคือ สันดาบ  สิ่งที่ต้องล้างออกคือตัวกิเลส อนุสัย

 

เมื่อเราเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า อย่างสัมมาทิฏฐิ สามารถรู้จักความจริง รู้จักจิตเจตสิก รู้ธรรม อธรรม อ่านจิตเป็น อย่างที่เรียกว่าแม้มีปฏิภาณไม่ชัดแต่รู้อาการอารมณ์ พอทำกิเลสออกได้ แม้มันจะออกได้ชัดเจนหรือไม่ชัดเจน ก็แล้วแต่คนเอาออก  แต่เพราะออกได้จริงๆ บางคนไม่ออกหรอกแต่กดข่มไว้ มันก็ยังดี มันไม่ออกมาทำงาน แต่ยิ่งทำได้ชำระได้ ล้างไปได้ เอาออกไปได้  เรียกว่าเนกขัมมะ(เอาออกหรือออกจาก)ได้ ก็ออกได้จริงๆ เมื่อออกหมดแล้ว เราก็มีจิตสะอาด จิตใส จิตบริสุทธิ์ จิตจะมีปัญญารู้โลกุตระ รู้ความจริงตามความเป็นจริง ส่ิงที่ถูกมอมเมามาจะหลุดไปเรื่อยๆ ล้างไปเรื่อยๆ จิตจะรู้ความจริงตามความเป็นจริง รู้สาระสัจจะ ความจริงที่ดีที่สุด ที่แท้ที่สุดมันมีอะไรบ้าง อะไรเกินเฟ้อก็ล้างออกๆ จนล้างความเฟ้อออกจากจิตหมดแล้ว เป็นพระอรหันต์  ซึ่งรู้ไม่ง่าย ในหมู่พวกเรามีอรหัตตผล ที่ปฏิบัติธรรม มีอรหัตตผล คือมีความเป็นความไม่ลึกลับ อรหะ ,อรหัตตา ,อรหัตตผล มันไม่ลึกลับในอัตตานั้น อัตตานี่แหละคือความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูของกู มันหลงติดทั้งกิเลส ทั้งอารมณ์ ส่ิงที่มันเฟ้อเกิน ที่เราต้องล้างออก ล้างออกมันก็ไม่มีอัตตา 

 

เราล้างมันขจัดมันด้วยวิธี วิธีของเราก็ชัดเจน มีวิธีการที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนมา วิกขัมภนปหาน ตทังคปหาน สมุทเฉทปหานได้ จนปฏิปัสสัทธิปหาน จนถึง นิสสรณปหาน ในปหาน 5 ก็ล้างเกลี้ยงออกไปหมด

 

อันใดที่พวกเราสามารถล้างได้ อย่างพวกเรานี่ล้างออกจากที่ตื้นสุดคืออบายภูมิ ไอ้ที่มันไปยึดติดมา นึกว่ามันดี นึกว่าน่าได้น่าเป็น มันเอร็ดอร่อย มันเลิศเลอ มันสูงส่ง มันวิเศษ มันดีมันงามอะไรก็แล้วแต่ ไปหลงมาผิดๆ แต่พอเรารู้แล้วเราก็ล้างมันออกได้  เรียกว่าหมดอบาย อบายนี่คือต่ำที่สุด เรียกภาษาว่า นรกอบาย พอเราล้างได้เราก็เป็นคนสะอาดขึ้น แล้วมันไม่อยากเสพอีก ไม่สุขไม่ทุกข์อีก

 

เมื่อเราล้างแต่ละขึ้นตอนจากภูมิอบายมาถึงภูมิที่สูงขึ้นเรียกว่า กามภูมิ เป็นภูมิต้น อบายก็คือกามภูมิที่ต่ำ แล้วก็สูงขึ้นๆ เราก็ลดละตามลำดับ คนที่ได้ลดละอย่างนี้แหละเรียกว่า ชาวอโศก ที่ได้ปฏิบัติมาเรื่อยๆ จนสามารถเห็นภพภูมิ ว่ามันควรดีขึ้นเจริญขึ้นอย่างนี้ จึงได้สละใจมาอยู่่ร่วมกัน กลายเป็นกลุ่มชน เป็นชุมชน จนเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านราชธานีอโศกเป็นต้น  เป็นหมู่บ้านชุมชนที่เป็นนิตินัย และอยู่กันอย่างสภาพลัทธิ ที่เป็นลัทธิยุญ และ "บุญนิยม" มีถึงขั้นสาธารณโภคี หมายความว่าเป็นสังคมหมู่บ้านที่ มีทรัพย์สินส่วนกลาง

 

ชาวอโศกนี่ อาตมาบอกเด็กๆลูกหลานว่า ที่นี่เป็นสมบัติของใคร ...เด็กเล็กเขายังไม่ซาบซึ้งก็ยังไม่รู้ แม้แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็ไม่ซาบซึ้ง แล้วถามว่านี่สมบัติของใคร เขาก็ตอบว่าของชาวอโศก...แล้วหนูเป็นชาวอโศกไหม?...ก็เป็น ...เขาก็คิดว่าเป็นของเขาไหม? ...ถ้างั้นสมบัติเหล่านี้ของหนูด้วยสิ...ใช่

 

ซึ่งมันลึกซึ้งมาก ต่างจากทางโลกเขาเป็นตัวกูของกู แต่นี่ไม่ใช่ เป็นสมบัติของทุกคน มันเป็นของทุกคน ทุกคนก็พยายามดูแลสร้างสรร รักษา พยายามปฏิสังขร บูรณะ หรือทำลายสิ่งที่ควรทำลายอะไรเป็นพิษภัยไม่ดีไม่งามก็เอาออกไป เป็นสังคมบุญนิยมที่เขาเรียกอาริยะชนแบบใหม่ ไม่เหมือนสังคมไหนทั้งโลก เขาบอกว่าประเทศของเขาอารยะเป็นเป็นศิวิไลซ์ เขาก็ว่าศิวิไลเซชั่น แต่ไม่เหมือนหมู่บ้านชาวอโศก ประเทศไทยทั้งหมดก็ยังไม่ได้ เป็นประเทศอาริยะที่เป็นบุญนิยมยังไม่ได้ มันได้แต่เฉพาะชาวอโศก เพราะฉะนั้นคำว่า บุญนิยมจึงต้องมาขยายความ

 

ทุกวันนี้มันเป็นได้แล้ว อาตมาก็พาพวกเราออกไปโชว์ตัว เราไปชุมนุมประท้วงนี่บอกว่าการชุมนุมประท้วงจะต้องเอาสาธารณโภคีมาหยั่งลงมาสถาปนาลงในการชุมนุมประท้วงทางการเมือง เราเอาวิถีชีวิตการเป็นอยู่ วิถีทางจิตวิญญาณ ทั้งกาย วาจา เข้าไปสถาปนาลงในการชุมนุม เราประท้วงกันจะเป็นมืออาชีพนะนี่ ประท้วงกันมาแล้วประท้วงสำเร็จด้วย เพราะเราประท้วงอย่างสันติอหิงสา และของเรายังมีอโหสิเด้วย มีอภัยด้วย อโหสิคือการไม่พยาบาทจองเวรต่อ หลายคนพวกเรามีอภัยไม่จองเวรจองกรรม

 

นี่คือความลึกซึ้งของธรรมะ ที่เราเอาธรรมะไปแสดงกับสังคม ไปประพฤติกับสังคมมา  ตั้งแต่ปี 2559 นี่เราเพ่ิงได้หยุดพักมาเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 57 เขาประกาศยึดอำนาจไปแล้ว พวกเราประท้วงก็เลยเด๋อเลย เขายึดอำนาจไปแล้ว จะไปประท้วงอำนาจจากผู้ยึดไม่ได้แล้ว มีแต่เขาให้กลับบ้านเราก็กลับมา

 

แต่เราได้ขยายผลการชุมนุมประท้วงที่เป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามสากล ถูกต้องตามรธน. จนถึงขั้นศาลออกประกาศคุ้มครองการชุมนุมประท้วงของเรา นี่เป็นหลักฐานยืนยันจริงเลย ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เพราะเราชุมนุมถูกต้องตามรธน. ตามสากล คำว่าสากลนี่แม้แต่ชาวต่างชาติ นักรัฐศาสตร์ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำอย่างไร เขาก็พอรู้นะว่าศาลออกมาประกาศคุ้มครองว่าเราชุมนุมประท้วงถูกต้องตามรธน.มาตรา 63 หรือมาตรา 69 เป็นต้น เราทำถูกต้องนะ แต่ศาลก็จะพิสูจน์ดวยหลักฐานข้อมูล ท่านก็มีหนังสือประกาศคุ้มครอง ห้ามตำรวจมาสลาย ศาลคุ้มครอง ถึง 9 ข้อ เป็นเหตุการณ์เกิดในเมืองไทย เป็นรัฐศาสตร์การเมืองที่วิเศษ เรามีเหตุการณ์จริง ปรากฏการณณ์จริง ไม่ใช่เรื่องคิด แต่เป็น Phenomena  ที่เราได้ร่วมเหตุการณ์มา จะรู้จะเข้าใจสิ่งลึกซึ้ง ที่อาตมาพูดนี่ลึกซึ้งนะ ละเอียดเกินไปบางคนไม่มีภูมิพอฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ผู้มีภูมิลึกซึ้งจะฟังแล้วเข้าใจ

 

นี่เป็นลักษณะบุญนิยม ที่เราจะเปิดเผยสังคมบุญนิยมต่อโลกเขา เราจำเป็นต้องพากเพียรปฏิบัติให้เป็นชาวบุญนิยมที่เจริญ เป็นชาวบุญนิยมที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อสำเสนอบุญนิยมต่อชาวโลก ไม่ใช่เรื่องอวดอ้าง แต่เป็นสิ่งที่ชาวโลกจะได้เป็นเช่นนี้ สังคมจะได้สงบสุข อบอุ่น เป็นสังคมเจริญจริงๆ เป็นสังคมมนุษยชาติที่เหนือกว่าเดรัจฉาน

 

จากนี้ไป ท่านรองผู้ว่าฯจ.อุบลจะมากล่าวเปิดงาน...

 

พ่อครูเทศน์ต่อ....

 

เมื่อกี้เราได้เกริ่นกล่าวแล้วว่าสังคมมนุษย์ถ้าเกิดว่าได้ มีคุณธรรมคุณวิเศษ คุณประโยชน์ คุณลักษณะที่เป็นคุณค่า แบบ บุญนิยม แปลตรงๆ ชัดๆคำว่าบุญก็คือ หมายความว่า การฆ่ากิเลส ถ้าฆ่ากิเลสได้ก็เป็นบุญ ยิ่งฆ่าให้ตายเลยก็บุญสมบูรณ์เลย ส่วนบาปก็คือกิเลสแท้ๆ เรามาปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า จึงเกิดคุณสมบัตินี้จริง จริงจนทำให้เกิดสังคมกลุ่มชุมชนหมู่บ้าน ซึ่งอาตมาอยากจะกล่าว คืออาตมามั่นใจว่าในโลกนี้ไม่มีที่ไหนที่จะเป็นหมู่บ้านที่ได้เป็นบุญนิยมได้เป็นสาธารณโภคี คือ มีสมบัติเป็นส่วนกลางทุกคนเป็นเจ้าของ คนเป็นสมาชิกมีคุณสมบัติไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ สมาชิกชาวอโศก ทุกคนที่จะใช้สอย ตามฐานะ

 

คนที่มีฐานะจะใช้ตรงนั้นตรงนี้ เป็นสมาชิกที่มีคุณประโยชน์ที่แต่คนในสมาชิกเขารับรองว่า เขาก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ตามลักษณะนั้นลักษณะนี้ได้ เป็นวัฒนธรรม เป็นเรื่องของความรู้ สมมุติสัจจะ รู้ร่วมกัน ว่าเหมาะควรแล้ว บางคนก็ให้ใช้เท่านี้ มากกว่านี้ไม่ได้เพราะว่ามีค่าประโยชน์แก่สังคมเขาเท่านี้ ได้เท่านี้  หรือว่ามีความซ้อนว่าเจ้าหน้าที่ผู้เบิกจ่ายส่ิงนั้นส่ิงนี้ให้เอาไปอาศัยใช้สอยเกิดไม่ค่อยกินเส้นก็อาจจะไม่ได้เต็มที่ ก็เป็นวิบากซ้อน สรุปแล้วเป็นไปโดยธรรม หลายอย่างเป็นอจินไตยอธิบายไม่ไหว เป็นวิบากกรรมเข้ามาร่วมด้วยเยอะ แต่เข้าใจได้ จะเป็นจริง สัจจะจริง

 

สรุปคือสังคมสาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์บทใหม่ของโลก เพราะว่าเป็นบทที่เข้าใจในเรื่องสิ่งที่อยู่ ด้วยพลังแห่งธรรม หรือแรงแห่งธรรม หรือกำลังแห่งธรรม หรืออำนาจแห่งธรรม

 

คำว่า อำนาจ คำว่า กำลัง คำว่าพลัง คำว่าแรง เป็นเรื่องทางฟิสิกส์ก็เรียกเป็น Power หรือ Energy มีเรียกอีกเยอะ  แต่ว่าภาษาไทยนี้ไม่มีภาษา พลังธรรมนี่ไม่ใช่พลัง Force คือไม่กดข่ม บีบคั้น เบียดเบียน แต่เป็นลักษณะตรงข้ามกับ Authority เป็นพลังนามธรรม ภาษาไทยเราไม่มีเรียก มีแต่พลัง กำลัง มันก็ได้มาใช้ภาษาไม่พอ อาตมาก็จำเป็นต้องหยิบภาษาอังกฤษใช้ ถ้ายิ่งเป็นพลังอำนาจสูงเป็น Sovereignty ย่ิงเป็นพลังสุดยอด เป็นพลังแห่งอิสรเสรีภาพ สูงสุด แห่งคุณงามความดี หรือทางด้านรัฐศาสตร์เขาเรียกว่าอธิปไตยสุดยอด เขาใช้คำว่า sovereigntyเป็นสิทธิของมนุษย์ เป็นSovereign  right  power  เป็นอำนาจ

 

พลังงานที่เป็นรูปธรรมนั้นดูง่าย แต่พลังงานทางสัจธรรม นามธรรม มันก็เป็นพลังงาน เป็นกำลังเหมือนกัน เป็นอำนาจอย่างหนึ่ง ภาษาบาลีเรียกว่า อธิปไตย ส่วนคำว่า พลัง,อินทรีย์ มีอีกเยอะ

 

สรุปแล้วมันมีแรงงานอันหนึ่งเป็นนามธรรม ที่เราสร้างเกิดจากจิต แรงงานอันนี้เกิดจากจิต จิตผู้ที่ทำแล้วเกิดพลังงาน เกิดพลังงาน อย่างพลังงานเสียงอยู่ในบรรยากาศ ​พลังงานแสงส่องไปบรรยากาศ ส่วนพลังงานของธรรมะ พลังงานของคุณธรรม ของผู้ที่มี ทำขึ้นที่จิตที่ดี ของผู้ที่มีพลังงานดี ก็เป็นพลังงานดี ย่ิงเอามาร่วมเป็น พูด เอามารวมเป็นพลังงานทาง กายกรรม ทั้งหมดเลย นัจจะ คีตะ วาทิตะ รวมหลายอย่าง มันจึงมีความควบแน่น หนาแน่น มีพลังสู่ขั้นอำนาจสูง มีแรงสูง คุณภาพสูง สิ่งเหล่านี้เป็นนามธรรมที่จิตมีจริง แต่ก็หายไปได้เร็ว พลังงานนามธรรมนี่เร็วกว่าพลังฟิสิกส์

 

แต่ผู้ที่สามารถจะสร้างพลังงานให้ควบแน่นได้นานกว่าพลังงานทางฟิสิกส์ก็ได้ มันกลับกัน ต้องมีพลังวิเศษ ของผู้ที่ทำให้พลังงานนี้อยู่ควบแน่น เกาะตัวกันอยู่นานกว่าสามัญ สามัญมีแค่นี้ แต่พลังพิเศษทำให้ควบแน่นเกาะกลุ่ม เป็นกาย เป็นองค์ประชุมได้นาน นานกว่าที่ควรสามัญ เก่งกว่าสามัญได้เท่านี้ แต่คนพิเศษจะทำได้ยิ่งกว่านี้

 

เป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นจริง เวลาเรามารวมกัน ชาวอโศกเรามีคุณธรรม ยกตัวอย่าง เราไม่มีแล้วจะไปคิดเรื่องอบายมุข เรื่องจะไปโกหก ทุจริต หรืออาจจะมีError บ้างนิดๆหน่อยๆ แต่จะไปปล้นไปจี้ใครเราไม่ทำแล้ว เราจะไปสนุกสนานเฮฮาหยำฉ่าอย่างที่เขาทำกันข้างนอกเราไม่ทำแล้ว เพราะฉะนั้นพลังงานเหล่านี้ในสังคมเราที่เกิดจากจิตของแต่ละคน สมาชิกชาวอโศกที่ละทิ้ง สมาชิกชาวอโศกไม่เกิดแล้วในจิต ไม่เกิดแล้ว จึงเป็นพลังงานรวมของสนามแม่เหล็กแห่งจิตวิญญาณ ของเราทั้งหมดชุมชน มันจึงเป็นพลังงานองค์รวมอันหนึ่ง ที่อาตมาเคยอธิบายถึง สยามเทวาธิราช

 

เป็นพลังงานองค์รวมเรียกว่าสยามเทวาธิราช ของประชาชนคนไทยหรือชาวสยาม เทวาธิราช แปลว่าอธิราชของคุณธรรม อธิราชของพลังงานส่วนดี ส่วนกุศล ที่เป็นพลังงานวิเศษ วิเศษจนกระทั่งมีพลังงานลึกซึ้งมาก  ซึ่งอธิบายยากมาก อาตมาก็พยายามหยิบมาอธิบายในวันที่ 18 ก.พ. ที่มันเกิดพลังงานพิเศษ ที่เป็นความสงบสยบความรุนแรง จนผู้ที่มาทำความรุนแรงนั้น หนียะย่าย พ่ายจะแจไป ยกทัพกลับไปเลย เป็นเรื่องที่อาจมีผู้ไปช่วยใช้พลังงานทางโลกๆมาช่วยบ้าง ซึ่งเราก็ไม่รู้แต่พวกเราไม่มีเลย พวกเขาเตรียมพร้อมเลย ครบเครื่องเลย หากเขาเต็มที่เลย พวกเราตายหมด ลูกกระสุนเขามีพอจะเอาเราตายเกลี้ยง เขาเตรียมการมาพร้อมเลย ตั้งใจจะมาสลายพวกเราอย่างเต็มที่เลย เขาไม่ควรแพ้ แต่เขาก็แพ้ เขาหนีเลย เรียกว่าหนีทัพพ่ายทัพ ไปเลย แพ้วิ่งหนีเลย

 

ซึ่งเราไม่ได้มีพลังงานร้ายแรงโหดเหี้ยมเลย มีแต่พลังงานแห่งเมตตา พลังงานแห่งคุณธรรม แล้วก็ชนะ ส่ิงเหล่านี้อธิบายยากมากเลยถ้าไม่มีตัวอย่างเหล่านี้ เกิดจริง ทุกคนก็ไม่เชื่อ นี่มันเกิดจริงพวกคุณก็เลยฟังได้ สิ่งเหล่านี้ นี่คือพลังงานสยามเทวาธิราชิทธิ์ เป็นพลังงานเป็นฤทธิ์ (อิทธิ คือมีฤทธิ์) เป็นส่ิงที่พิเศษ ไม่เห็นตัวตนแต่มีจริงเป็นจริง ทุกอย่างไม่ใช่โมเม คนไม่รู้พูดไม่ออกอธิบายไม่ได้ อาตมาก็อธิบายแสนยาก แต่พวกเราก็คงพอระลึกตามได้ เพราะมีเหตุการณ์และสภาพเกิดจริง พวกเรามีต้นทุนมีพลังงานนี้ เราก็อยู่ร่วมในนั้น แล้วก็มีพลังงานอื่นมามีการสู้กันแล้วมีการชนะกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่จะเชื่อ เชื่อไม่ได้หรอก เอามือเปล่าไปชนะลูกระเบิด ปืน ชนะพวกที่เขาซักซ้อมการยิงการปราบได้ คิดให้หัวแตกก็เป็นไปไม่ได้ ใครจะเชื่อ ไม่มีสภาพรูปธรรมแบบนั้นเลย มีแต่นามธรรม

 

พลังงานที่พวกเรามีเป็นพลังงานคุณธรรม เป็นสนามแม่เหล็กแห่งคุณธรรม แบบพุทธโลกุตระ เป็นอาริยะแบบพุทธ มันมีพลังงานที่เกิดถึงสาธารณโภคีได้ ทุกคนไม่ยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นของเราเป็นตัวเรา ทุกคนสร้างสรร รวมกันกินใช้ ใครจะมีจิตนึกว่าเป็นของตัวอยากได้เป็นของตัวอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะคงไม่มีใครอยากคิดหรอก เพราะคิดแล้วก็เป็นไม่ได้ เพราะเขาไม่ให้ใครเป็นส่วนตัว ให้เป็นส่วนกลาง จะกินจะใช้ก็มีหลักเกณฑ์วัฒนธรรมอยู่ ส่ิงนี้จึงรวมกันเป็นของจริง มีจิตวิญญาณรู้รวมกันเข้าใจเป็นทิฏฐิสามัญตา แล้วมีหลักร่วมกันเรียกว่า ศีลสามัญตา จึงอยู่กันอย่างมี กายเมตตา วจีเมตตา มโนเมตตา เป็นสาราณียธรรม 6 ที่จริงของสังคมกลุ่มอโศก เป็นส่ิงที่ปรากฏทั้งพฤติกรรมพฤติภาพ เป็นบทบาทลีลา เห็นได้ สัมผัสได้ มีพลังพิเศษ

 

พลังนี้จึงวิเศษที่คนที่มาสัมผัสแล้ว ถ้าเขาเป็นคนหยาบ เป็นจิตวิญญาณไม่มีภูมิธรรม หรือเป็นจิตเดรัจฉาน เป็นจิตวิญญาณอเวไนยสัตว์ มาสัมผัสก็ไม่รู้เรื่อง เหมือนสัตว์ไส้เดือน กิ้งกือ แมลงสาป มันไม่รู้เรื่องหรอก คนที่มีจิตอเวไนยสัตว์ เขาอาจรู้มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน แต่เขาไม่เข้าใจลึกซึ้ง ไม่เข้าใจเมตตา ไม่เข้าใจคุณธรรมลึกซึ้ง ดีไม่ดีแหวะด้วยซ้ำไป เหมือนกับเราจะไปเสนอให้ชุมชนบ้านคำกลางที่เราจะทำประปาให้ระแวง เราจะทำถนนให้ก็ระแวง เขาระแวงจริงๆ  แต่พวกเราจะรู้หรือคนที่เป็นเวไนยสัตว์จะไม่ระแวง สัมผัสแล้วอ๋อ ก็เห็นค่า เห็นคุณค่าของสัจธรรมที่เป็นนามธรรมพวกนี้ หรือมันสื่อมาทาง กายวิญญัติ องค์ประชุมรวมมาจากกาย วจี มโน รวมเป็นก้อน กาย คือองค์ประชุม คำว่า กายนี่คือลักษระนัจจะ คีตะ วาทิตะ แล้วก็มีมโนเป็นประธาน ถ้าไม่มีมโน ก็ทำนัจจะ คีตะ วาทิตะไม่ได้ อย่างสัตว์เดรัจฉาน มีคีตะ สุ้มเสียงสำเนียง แต่ไม่มีภาษา มันไม่กำหนดหมายตั้งภาษาเหมือนคน คนนี่กำหนดภาษาชัดเจนได้เยอะ แต่เดรัจฉานมีภาษาตามธรรมชาติ เขาบอกว่าปลาโลมา มันมีภาษาของมันเล็กน้อย อย่างปลาวาฬก็มีภาษาสื่อกันได้รู้นิดหน่อย ไม่มากเลย ต่างจากคน

 

สรุปพลังรวมของธรรมะ เรียกอำนาจหรืออินทรีย์พละ เมื่อมีลักษณะคุณธรรม แล้วเป็นคุณธรรมระดับโลกุตรธรรมหรืออาริยธรรม จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดยอด เมื่อมีของจริงเกิดขึ้น ก็จะก่อนามธรรมแล้วออกมาเป็นรูปธรรม ออกมาเป็นส่ิงสัมผัสได้ รวมกันมากๆก็จะรู้ง่ายขึ้น สัมผัสรู้ง่ายขึ้น คนมีปฏิภาณรับได้ เขาสัมผัสก็รับกันได้ในคนที่รับได้มีภูมิธรรม ส่วนอเวไนยสัตว์ไม่มีภูมิธรรม อย่างสัตว์เดรัจฉานไม่รู้เรื่อง แต่คนผู้มีภูมิธรรมรับได้ ก็รับได้ 

 

เราไม่ได้ต้องการให้รับได้หมด เราต้องการให้มาเป็นจริง เมื่อมาเป็นจริงแล้วเป็นไง มันเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เป็นประโยชน์ต่อโลกไปหมดเลย พวกเราได้เร่ิมต้น ก็ขอพูดเบิกฤกษ์ ตอนอายุ 80 ขึ้น 81 ให้ฟังว่า

 

อาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้ามาฟื้นมากอบกู้ จาก2600 ปีผ่านไป ธรรมะของพระพุทธเจ้าได้เสื่อม อาตมาได้นำขึ้นมา นี่พูดไปกับข้างนอกเขาก็จะอ้วกแตก มันหายเพี้ยนไปหมดแล้ว อาตมานำของพระพุทธเจ้ามาประกาศลงไป มายืนยันลงไป แล้วพาพวกเราศึกษา ซึ่งพวกเราก็มีบารมี คนที่มีมาเก่าก็มี คนที่มาเสริมขึ้นก็มี ก็มาสร้างเสริมจนเกิดขึ้นมาได้ เป็นองค์รวมเป็นธรรมะที่มีอำนาจ เป็นธรรมะที่มีพลัง เป็นธรรมะที่มีพฤติภาพให้คนสัมผัสได้ 

 

สิ่งเหล่านี้เกิดจากใจของพวกเราที่มีจริง จริงที่เราไม่เอาแล้วอบายมุขอย่างนี้ โลกกามภพอย่างนี้เราไม่เอาแล้ว เป็นสกิทาคามีสูงขึ้นๆ หลายคนมีคุณสมบัติเข้าสู่อนาคามีภูมิ คือไม่เอาแล้วเรื่องกามเรื่องพยาบาท ใจไม่มีแล้วเรื่องโกรธแค้นเคืองพบาบาท อาจจะมีเล็กๆน้อยๆ จนกระทั่งมันหมดจริงๆไม่มีเลยแม้ความไม่ชอบใจแม้เล็กน้อย แทบไม่เหลือ เพราะฉะนั้น อนาคามีจึงเหลือแต่เศษราคะ เศษอรูปราคะ และมีฐานดีคือจิตมานะ เป็นการถือดี อนาคาจึงไม่มีจองเวร จองพยาบาท จึงเรียกว่าผู้หมดโลกกาม แต่ราคะนี่ยังเป็นเศษของกาม ราคะนี่เสพสุข ยังไม่หมดสุขแท้ ส่วนพยาบาทโกรธเกลียดจองเวร จองภัย พระอนาคามีจะไม่มีโกรธะหรือพยาปาทะหรืออุปนาหะ(ผูกโกรธ) ถือสากันจะลดลงๆๆๆ

 

แม้ยิ่งกว่านั้น ละเอียดกว่าอุปนาหะ พระอนาคามีถ้ายังหยาบอยู่อาจมี แต่พระอนาคามีสูงขึ้นไปแล้ว อุปนาหะก็ไม่มี ไม่ผูกโกรธ ไม่โกรธใคร พยาปาทะกับอุปนาหะก็อย่างเดียวกัน แต่อุปนาหะผูกโกรธ นี่น้อยกว่าเล็กน้อยแล้วก็หาย ส่วนพยาบาทนั้นอาฆาตจองเวรจองกรรมเลย อุปนาหะอาจจะผูกโกรธในชาตินี้หรือชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็หาย ส่วนโทสะกับโกรธะนั้นรวมเป็นตระกูลของสายโกรธ สายพยาบาท อาฆาตเต็มรูป เพราะฉะนั้นถ้าโทสะแล้วเป็นโกรธะ คืออาฆาตจะแก้แค้นมันไม่ใช่แก้แค้นชาติเดียว แต่ล้านชาติเลย เพราะฉะนั้นหมื่นชาตินี่เรื่องขี้ผงเลย เป็นพลังงานที่น่าสงสาร น่ากลัว และน่าเกลียด ใครมีในใจก็โง่ อย่าเอามันไว้  เราอย่าให้มันเกิดในจิตเรา มันเป็นโทษเป็นภัย มันน่ากลัว มันไม่ได้เรื่องจริงๆ เราต้องพยายามเรียนรู้อารมณ์ อาการ อาการดโกระ อาการโลภ มันก็จะมีวิธีเอาออก วิธีล้าง วิธีดับ ให้เก่งขึ้นๆ สามารถล้าง ดับ วาง แล้วจะมีปัญญาเห็นจริงว่า มันไม่มีอะไรดี แล้ว เห็นว่าไม่มีโลภโกรธหลงนี่ดีจริงๆเลย แล้วอย่างที่มันมีโกรธ มีโลภ ไม่ดีทั้งนั้น ปัญญามันจะชัดเจน จะลึกซึ้งไปเรื่อยๆ

 

เรามาศึกษาประพฤติปฏิบัติแบบที่สร้างจิตวิญญาณแบบนี้ นี่คือชาวอโศก แม้แต่การศึกษาแบบของชาวอโศกก็ศึกษาไปเลยตั้งแต่ตัวเล็กแต่น้อย ตังแต่สมุนพระราม ชั้นปฐม ชันมัธยม  เราศึกษาแบบของเรา ศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา แล้วมาเป็น ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา ส่วนสูงสุดเป็น ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา

 

คำว่าศีลเต็ม ก็คือสมบูรณ์ ละกิเลสเป็นวิมุติ ให้เป็นอรหันต์ ศีลก็เต็ม ศีลปกติ ส่วนเข้มงาน งานก็เต็ม ผู้ที่ศีลเต็มก็จะเข้มงาน งานการเป็นวิริยารัมภะ เป็นสามัญเป็นวิสัย เป็นวิสัยที่เหนือกว่านิสัย ซึ่งวิสัยนี่เหนือกว่านิสัย วิสัยนี่เป็นเองเลย นิสัยนี่จะต้องใช้พลังงานขับดันบ้าง  แต่วิสัยนี่ไม่ต้องขัยดันเลย มันเป็นเองเลย ยิ่งกว่าสัญชาตญาณ

 

เป็นพลังงานที่เกิดจากการศึกษา การศึกษาของเราคือการศึกษาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียน ชั้นเรียนหรือไม่อยู่ชั้นเรียน เรียนเป็นประชาชนพลเมืองของอโศก ศึกษาไปเลย แต่การศึกษาที่จะต้องทำแบบสังคมเขา เป็นหลักเกณฑ์ชั้นเรียนเราก็ต้องทำ เพราะทางโน้นเขารองรับกัน แต่อย่างเรามันเป็นไปอย่างแท้จริง ไม่ต้องผูกพันกับนิตินัยกฎเกณฑ์ทางโลกเขา เขาไม่ยอมรับด้วยไม่มีหลักฐานเกี่ยวข้องเขาไม่รับทั้งที่เรามีเขาก็ไม่รับ มันก็ขาด เราจึงจำเป็นต้องมีการศึกษาที่มีนิตินัยด้วย ซึ่งมันถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีอุดมศึกษาด้วย ส่วยปฐมศึกษา มัธยมเราก็มีมาแล้ว

 

ส่วนทางปวส. ก็ขอให้ข่าวว่าเขาเปิดรับสมัคร ถึง 7 มิ.ย. 57 ประกาศรับสมัครนิสิต เราเรียกนิสิตก็เพราะว่าเราอยู่กินนอน นักศึกษาประจำเรียกว่า นิสิต แปลว่าอยู่ รับสมัคร นิสิตวิทยาลัยอาชีวศึกษาสัมมาสิกขาวิชชาราม ปีนี้เราจะมีแผนกพืชศาสตร์ และก็แผนกเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม และแผนกการถ่ายภาพและวิดีทัศน์ เป็นประกาศนีบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปวช.ก็มีแผนกพืชศาสตร์ ส่วนปวส.มีแผนกเทคโนโลยีเพิ่มและแผนกถ่ายภาพและวิดีทัศน์ เรื่องการสื่อสารจะเป็นความจำเป็นสำคัญในอนาคต จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้รบกันด้วยการสื่อสาร ที่คสช.ปฏิวัตินี้ใช้การสื่อสารไม่ต้องเอารถถังเอาปืนเรียบร้อย ครั้งโน้นพล.อ.สนธิ เอาปืนเอารถถังออกมา แต่คราวนี้ไม่ต้อง อัตราการก้าวหน้าของประเทศไทย ปฏิวัติโดยไ่ม่ต้องรถถังหรือปืน เอาทหารออกมาแล้วประกาศปฏิวัติ ว่าผมขอยึดอำนาจตั้งแต่บัดนี้ วันที่ 22 พ.ค. 2557 เวลา 16.20 น.  เมื่อตัวแทนรัฐบาลไม่ลาออก คุณประยุทธ์ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นผมก็ขอควบคุมอำนาจตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นั่นคือการประกาศยึดอำนาจ ถ่ายทอดออกโทรทัศน์เลยยึดอำนาจเสร็จ ในโลกก็จะใช้การสื่อสาร เราก็พร้อมจะสอน ใครจะมาฝึกฝน เรียนแล้วมีใบประกาศ แล้วจะมีป.ตรี ป.โทต่อไป ขอประกาศให้ทราบผู้ที่สนใจจะมาสมัครมาสมัครได้

 

 

 

570604_พ่อครูที่เวทีเรือริมมูนงานอโศกรำลึก เรื่อง เปิดโลกบุญนิยม ตอน 1

 

วันนี้เป็นวันแรกที่อาตมาจะได้แสดงธรรมริมมูน มีเวทีเรือ ใช้บรรยากาศแม่น้ำมูน เมื่อมาลงหลักปักแหล่งที่ราชธานีอโศกแห่งนี้ ก็ยังคิดว่าแม่น้ำมูนเป็นแม่น้ำสายสำคัญมีคุณค่าประโยชน์มาก แต่ปัจจุบันคุณค่าประโยชน์หายไปเยอะเลย แต่ก่อนเคยใช้ในการคมนาคม คนที่ใช้ชีวิตริมน้ำริมคลองก็จะใช้ประโยชน์เดินทางเป็นต้น แต่นี่ไม่ได้ใช้น่าเสียดายมาก อาตมาก็เลยคิดว่าเราน่าจะปลุกแม่น้ำมูนให้มีชีวิตขึ้น พวกเราที่เข้าใจก็เลยจะช่วยอาตมา งานนี้ทางกรมเจ้าท่าเขาก็รับลูกนะ เขาเห็นว่าเรามีใจจะทำก็เลยร่วมมือกับเราดี

 

ตอนนี้ภูมิทัศน์บ้านราชฯเปลี่ยนไปมากเลย ยังทำไม่เสร็จจำต้องทำต่ออีก มาถึงวันนี้แล้วบ้านราชฯถึง 20 ปีเต็มที่เกิด วันแรกที่มาก็มาฉลอง 60 ปีอาตมา ยังไม่มีต้นไม้มากมายเลย มีดินโคลนเละมากเลย งานวันฉลอง 60 ปีอาตมา พศ.2537 ใครมาสนุกมาก ฝนตกดินเละหมดเลย มางานนั้นใครไม่หกล้มไม่ถือว่าได้มางาน ลื่นล้มเป็นของธรรมดาไม่เจ็บอะไรก็สนุกกันไป เราก็จัดเวทีจัดอะไร มาคราวนี้ก็ครบ 20 ปีพอดี

 

อาตมาตั้งใจที่เปลี่ยนภูมิทัศน์เพื่อจะลงหลักปักแหล่ง ก็เคยระดมจะให้บ้านราชฯมีพันคน ก็มากันยังไม่ถึงพัน ก็ตั้งใจให้เป็นพลเมืองที่จะก่อบ้านเมืองเป็นสังคมบุญนิยมสาธารณโภคี

 

คำว่าบุญนิยม อาตมาเปิดคอลัมน์ใหม่ชื่อ “เปิดโลกยุคบุญนิยม” ใช้นามปากกาว่า “เก่าสมัยใหม่เสมอ”

 

ขอแจ้งข่าวก่อนว่าวันนี้เราได้ประชุมกันที่ชั้น 2 เฮือนศูนย์ฯ เรื่องการศึกษา ระดับอุดมศึกษาของชาวอโศก เราได้พยายามขมีขันทำกันมามากกว่า 10 ปี ก็ไม่สำเร็จกัน อาตมาเริ่มทำตั้งแต่ม.วช.(มหาลัยวังชีวิต) จนต่อมาก็เป็น สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต(ส.สว) ต่อมาก็คิดว่าเราจะทำเป็นนิิตินัย อาตมาตั้งเป็น ว.บบบ. ให้เป็นธรรมะเข้ม พอดำริจะทำให้เป็นนิตินัย สุดท้ายสรุปว่ายังไงเราก็จะทำให้ได้ แต่คราวนี้ประชุมกันก็พร้อมกันมากเลย

 

สรุปว่าเราจะเร่ิมต้นเลย ได้ชื่อว่า สถาบันสัมมาสิกขาวิชชาราม(ส.สว) ก็เลยเดินเรื่อง ติดต่อที่จะทำเป็นนิตินัย ส่วนทางปฏิบัติก็เร่ิมเลยไม่ฟังเสียง จะเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาวอโศกเลย Sammasikka Vijjaram Institute (SVI) อ่านแสลงสำเนียงอีสายว่า สวี

 

สวี นี่แปลว่าไปไกลลิบเลย ขอประกาศว่าเราจะเร่ิมต้นป.ตรี ผู้ใดจะมาศึกษาก็เชิญเลย จะมีคณะก็คือคณะพุทธชีวศิลป์ แล้วจะไปแตกแขนงเป็นอะไรก็ว่ากันไป แต่ชื่อปัญญาบัติ ไม่ใช่ปริญญาบัตร เราเรียกของเรา

 

ผู้ใดสนใจ จะจบม.6 ก็สมัครได้ จบม.3 ก็สมัครได้ ใครไม่ถึงม.3​แต่ว่ามีความพิเศษสามารถก็มาคัดสรรกัน เราเอาความเป็นได้จริงมากกว่าความรู้ทางโลก อายุเท่าไหร่ก็เรียนได้

 

จะตั้งหลักเกณฑ์ให้แนน อย่างไร เราจะมาเอาความจริงที่รู้และทำได้ เราเน้นคุณธรรม 70 % แล้วจะแบ่งเป็น ศีลเคร่ง เก่งงาน สืบสานวิชชา

 

ประชุมกันก็เห็นว่าชาวอโศกมีความพร้อม ทั้งพวกเราเองและคนข้างนอกที่เขาเห็นว่าเราพร้อม นอกนั้นก็คนในพวกเราก็เข้าใจ บางคนเข้าใจอโศกนำเนื้อหาอโศกไปใช้ แม้ไม่ประกาศตัวเป็นอโศก เขาเอาไปตั้งมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ มีทุนทางสังคมไม่น้อย อย่างที่เข้าใจและยอมรับว่าอันนี้คือความจริงของมนุษยชาติ จนตอนนี้เราก็จะพึ่งมหาวิทยาลับของอ.คนนี้แหละ

 

เรียนป.ตรี 4 ปี(แต่เดิมอาตมาว่าจะเอาสัก 5 ปี) แต่สมมุติว่าเรียนไป 4ถึง 5 ปีแล้วก็ยังตั้งวิชชาลัยของเราไม่สำเร็จ ก็ไปรับปัญญาบัตรนิตินัยกับทางมหาวิทยาลัยของอ.นี้ได้เลย สถาบันของอ.คนนี้ก็เรียกว่าปัญญาบัตรเหมือนกัน อาศัยออกใบปัญญาบัตรก่อน เขายินดีร่วมมือ ถือว่าเป็นการศึกษาบุญนิยมได้เลย

 

ทุกวันนี้เข้าใจผิดกันเรื่องบุญ  กับกุศล ว่าเหมือนกัน ที่จริง บุญมาจาก สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ คือการชำระกิเลสสันดานให้หมดจน

 

ส่ิงที่ชำระออกก็คือบาป และบาปก็คือกิเลส หมดกิเลสก็หมดบาป และหมดบุญด้วย เป็นอรหันต์แล้วกิเลสไม่มี จะเรียกว่ามีบุญก็ได้

 

อาตมาทำงานมากว่า 40 ปี ก็ยังไม่ง่าย ประกาศอรหันต์ได้คนเดียวเท่านั้น ซึ่งก็เสียชีวิตไปแล้ว คือสม.ผุสดี อาตมาชัดใจคนเดียว ผู้จะเป็นอรหันต์จะต้องมีญาณรู้ตัวเองว่าเป็นอรหันต์ ถ้าตนเองไม่ชัดเจนว่าตนเป็นหรือเปล่าจะเป็นได้อย่างไร ผู้จะเป็นต้องมีญาณรู้ ตั้งแต่ขั้นต้นโสดาบันก็ต้องรู้แล้ว ว่าอย่างนี้คือ กาย องค์รวมของกิเลส เรียกเต็มๆว่า สักกาย จะต้องรู้ต้องเห็นต้องเข้าใจเลย ต้องเรียนรู้อุเทสหรือคำบอกอย่างที่มาฟังอาตมานี่

 

กายไม่ใช่รูปรูป กายเป็นรูป แต่ว่าถ้าเราเองไม่เป็นผู้ที่มีนาม คำว่า กายไม่เกิด ผู้ที่รู้จักสักกาย คืออ่านรู้กายของตนได้ มีทฤษฏี แล้วปฏิบัติได้ทุกที่ ทุกเวลา มีการกระทบสัมผัสเมื่อไหร่ก็ปฏิบัติได้เมื่อนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กายกระทบก็ปฏิบัติได้ หรือระลึกเอาแต่ภายในดึงสัญญามาระลึก เป็นอัชฌัตตัง รู้รูปหรืออรูปอยู่ภายใน ยังปรุงแต่งอยู่ก็เรียนรู้ได้ก็ละกิเลสภายในได้

 

กิเลสภายในเราสามารถเรียนรู้ล่างกิเลสภายในให้สิ้นอาสวะได้ แต่ไม่เรียกว่า กาย เพราะไม่มีสัมผัสครบไม่เรียกว่าบริบูรณ์ด้วยกาย ในวิโมกข์ 8 พระพุทธเจ้ากำหนดเลยว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะบรรลุอรหันต์ ดังนั้นที่ไปนั่งสมาธิหลับตาแล้วหมดกิเลสนั้นเป็นเรื่องผิดน่าสงสาร อาตมาเลยต้องอยู่ต่อไปให้อายุยืนยาว

 

ต่อไปอโศกจะเป็นผู้มีอายุยืนยาว เพราะมีองค์ประกอบรอบด้านที่ไม่มีพิษภัยเหมือนชาวโลกๆเขา ของอโศกมีเสนาสนสัปปายะ เป็นเหตุใหญ่ที่ทำให้อายุยืนยาว นอกนั้นก็มีองค์ประกอบอื่นๆอีก

 

สังคมบุญนิยมนี่ อาตมาจะขออ่านที่เคยเขียนไว้ก่อนโน้น 10 กว่าปีก่อน ที่เปิดคอลัมน์ “เราคิดอะไร?” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “เปิดโลกบุญนิยม”ก็ยังคงเอาข้อเขียนนี้ปะไว้

 

ระบบบุญนิยมนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นใจจริงๆว่า.......

ทำไมต้องเปิด ก็เพราะมันไม่ปิดไง คือไม่ปิดเอาไว้อยู่อย่างเก่า คือเร่ิมเผยตัวแล้ว ผู้เปิดเผย อาตมาเป็นเหมือนร่างทรง เขาไม่สงวนไว้แต่ในหมู่อย่างเก่าแล้ว เขาทั้งออกตัว ทั้งสื่อสาธารณะทั่วไปให้ได้ยินเห็นสัมผัสกัน แต่คนยังไม่รู้ค่า แต่ก่อนไม่เปิดเผยเพราะเขายังไม่พร้อมพอ เขาปฏิบัติในหมู่ ฟูมฟักก่อร่างสร้างตัว

 

ความเป็นบุญนิยมในแต่ละคนหรือในองค์รวม ทั้งคุณสมบัติ คุณวุฒิ ในความเป็น บุญ แบบพุทธ อย่างสัมมาทิฏฐิ ซึ่งผู้มีคุณธรรมชนิดนี้ เขาต้องมีภาวะแห่งคุณธรรมจนถึงขั้นคุณวิเศษ อุตริสมนุสธรรม

 

และต้องมีคุณนิธิ คือคลังแห่งความดีเพียงพอ กระทั่งมี คุณราศี จะต้องมีมากจนแผ่พลัง ออกไปให้ผู้อื่นสัมผัสได้ เมื่อคนได้สัมผัสจึงพอรับได้รู้ได้ จะต้องมีคุณนั้นก่อนเปิดตัว และขอย้ำกำชับว่า คุณสมบัติของบุญนิยมต้องเป็นคุณวิเศษถึงอุตริมนุสธรรม เพราะมีคุณประโยชน์ที่มี ทาน ศีล ภาวนา ขั้นโลกุตระ มิใช่แค่โลกียะเท่านั้น (ประโยชน์คืออานิสงส์) ถ้าได้แค่โลกียะก็ยังไม่ใช่บุญตามที่หมายนี้

 

แต่ต้องสำเร็จผลถึงจิตใจได้ สละกิเลส นี่คือคุณประโยชน์ คุณค่า เข้าขั้น คุณธรรม ต้องสำเร็จผลถึงจิตให้สละกิเลสให้จางคลายหรือหมดได้จริงที่เรียกว่าอุตริมนุสธรรม ชำระกิเลสแล้วได้ตกผลึกในจิต ต้องมีคุณประโยชน์ถึงขั้นนี้เป็นตัวชี้บ่ง คุณค่าแห่งคุณประโยชน์ และต้องเป็นชนิดที่ต้องสัมผัสแตะถูกตัวตน(อัตตา) จริงๆแท้ๆของกิเลสสันดานนั้น แล้วชำระสันดานนั้นได้ จึงจะนับว่าเข้าขั้น “บุญ”

 

บุญนิยมต้องได้ถึงขั้นนี้ ยืนยันว่าเราอโศกเป็นคนได้บุญระดับนี้จึงเรียกว่าลัทธิบุญนิยม

 

เป็นลัทธิเก่ามาก มีมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ต้องเก่าสมัยแน่ แต่เป็นระบบเก่าที่ไม่เคยเก่าเลย แม้จะเป็นระบบเก่ามานานสมัยก็ยังลำ้หน้าสมัยใหม่ที่ใหม่ที่สุดเอาด้วย จึงใหม่เสมอ เพราะเป็นระบบมีคุณค่า แม้คนสมัยนี้จิตลึกๆก็ถวิลหา แต่เขาไม่รู้สภาวะนี้

 

ผู้ชำระกิเลสหมดแล้วก็ไม่มีความเลวร้ายจากบาป ก็เป็นคนจิตดีจิตประเสริฐ เป็นหลักประกัน เป็นต้นทุนของประธานที่เกิดจากมโนหรือใจ เมื่อมโนไม่มีกิเลสก็ไม่มีอะไรมาแสดงออกทางกายวาจา เป็นหลักประกันสมบูรณ์ยอดเยี่ยม

 

คุณวิเศษนี้เป็นคุณค่าที่ทุกคนต้องการ แต่คนไม่รู้ว่าต้องการได้อย่างนี้ ได้ปฏิบัติเกิดบุญ ชำระกิเลส แล้วจิตเราสะอาด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สจิตตปริโยทปนัง

 

ผู้ใดเข้าใจคุณสมบัติของจิตไม่มีกิเลสเป็นคนประเสริฐ คนยุคนี้มีกิเลสมาก แต่ก็ถวิลหาคนไม่มีกิเลส พยายามแสวงหาระบบที่คนอยู่กันอย่างดีงาม ไม่รุนแรงโหดร้ายเมตตากัน มีแบ่งกันกิน

 

บุญนิยมเป็นระบบที่คนอยู่เย็นเป็นสุข คนไม่วิปริตกิเลสจัดจ้าน จะต้องแสวงหาสังคมแบบนี้ คนมีสุขแบบปรมังสุขัง คือคนที่ต่างมีชีวิต พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขสวรรค์ของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ยิ่งกว่าระบบที่ยุคทุนนิยมเป็นกันมีกัน ดังนั้นจึงเป็นระบบที่เก่าสมัยใหม่เสมอไม่เคยเก่าเลยแม้เสี่ยวแห่งสัจธรรม

 

ใครสัมมาทิฏฐิและสัมมาปฏิบัติก็จะเข้าสู่บุญนิยมได้ แต่ทุกวันนี้เขาไม่ได้เพราะการศึกษาพุทธศาสตร์เพี้ยนผิดไปไกล จนไม่เหลือเชื้อสัมมาทิฏฐิ พุทธศาสนาส่วนใหญ่ก็เข้าสู้ระบบทุนนิยม แก่งแย่งลาภยศไม่อาย

 

เอาบุญมาเป็นสินค้าหน้าตาเฉย ค้าบุญกันเลย เพราะคำว่าได้บุญ ก็พากันเข้าใจผิด มิจฉาทิฏฐิจนเกือบหาสัมมาทิฏฐิไม่ได้เลย ยึดบุญเป็นตัวตน แม้ไม่ค้าชื่อเสียงแต่ก็แสวงอัตตามีความลำบากเหน็ดเหนื่อยกัน

 

เขาเข้าใจคำว่าบุญยังไม่สัมมาทิฏฐิ  เข้าใจผิดกันว่าบุญคือการได้ ได้ความร่ำรวยได้โลกธรรม ได้กามคุณ 5 ส่วนการได้ตามใจอยาก ทุกสิ่งอย่างบำเรอตนคืออัตตา การได้อัตตามาบำเรอตนไม่ใช่สุข แต่เป็นความลำบากเพราะเป็นกิลมถะ

 

บุญตามสัจธรรมหมายถึงการชำระกามชำระอัตตาออกไป บุญจึงเป็นการเอาออกไปจากตนซึ่งมิใช่แค่สละวัตถุ แต่บุญคอชำระกิเลสออกไป จึงไม่ใช่แค่สละวัตถุแต่จิตใจกลับเอา นี่เขาได้แต่ทาน เขาไม่ได้บุญ ได้แต่ความดีไม่ได้บุญ เพราะเข้าใจบุญผิด ยิ่งเขาให้ทานแต่ตั้งจิตไว้จะให้ได้กลับมามากกว่าเดิมก็กิเลสหนาขึ้นอีก มีกรรมกิริยาของจิตยังตั้งจิตขอ อยากได้อยากเอาอยู่ก็ยังไม่เกิดบุญเลย เพราะยังชำระกิเลสที่ผนึกเป็นสันดานไม่ได้เลย

 

บุญ มาจากบาลีว่า สันตานังปุนาติ วิโสเทติ แปลว่าชำระสันดานให้หมดจด (จากพจนานุกรมบาลี ไทย อังกฤษ ฉ.ภูมิพโลภิกขุ)  ถ้าไม่มีผลสำเร็จดังกล่าวก็ยังไม่ถึงปรมัตถ์จึงเรียกว่าบุญไม่ได้ จิตไม่เกิดปรากฏการณ์ ต้องรู้ภาวะปรากฏของใจเราว่าเอาออกนะไม่ใช่เอาเข้า แต่ถ้าไม่รู้ก็ไม่เรียกว่าบุญ จิตใจยังมีการเอาการได้อยู่ จิตใจยังไม่เป็นอาการให้ ยังหวงแหนโลภอยู่มีการเอาคืนมาภายในใจ

 

แม้ข้างนอกปากกล่าวว่าให้มือให้ แต่ใจหลอก หน้าไหว้แต่ใจหลอก เพราะยังไม่มีอาการกิริยาของใจที่เรียกว่า ผลิ คือมีการแตกสภาพเปลี่ยนสภาพ แตกดอก กิ่งผล ปุ่ม เมื่อภาวะจิตใจยังไม่งอกผลิอาการบุญ จิตใจก็ไม่มีผลผลิ ที่เป็นบุญ

 

เพราะฉะนั้นผลิตผลบุญจึงไม่เกิดในจิตของผู้นั้นๆ เพราะจิตยังไม่ถึงขั้นผลิตก็เป็นผลไม่ได้ และถ้าผลิตผลยังไม่มีองค์ประชุม(กาย) จนกระทั่งเห็นสภาพแห่งองค์ประชุมที่ประกอบวิเศษ (วิปยุตตัง)ที่ประกอบรูปและนามเพียงพอให้เกิดบุญได้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะแสดงตัว 

 

อโศกเป็นบุญนิยม อโศกมีกาย  เป็นกายของชาวอโศก หรือชาวอโศกกาย เป็นองค์รวมของชาวอโศก คำว่ากายนี้มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม  ถ้ายังไม่มีคุณนิธิหรือคุณราศีที่ให้เห็นได้ เป็นคุณวิเศษ คุณค่าประโยชน์ให้สัมผัสได้ บางทีสัมผัสได้แต่ว่าเรียกไม่ถูก เป็นคุณวิเศษอุตริมนุสธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนมา ถ้าคนสัมผัสไม่ได้อาตมาก็ไม่พาพวกคุณออกไปข้างนอก

 

แต่ตั้งแต่พศ.49อาตมาประมาณแล้วว่าต้องออกไป นอกนั้นก็ทำกับสังคมด้านอื่นพอสมควร แต่ว่าเรื่องการเมืองนี้พาไปตังแต่พศ.49 คนก็เร่ิมสัมผัสชาวอโศกได้ เรามีคุณนิธิ คุณราศี คุณวิเศษ​ ที่เราได้พากเพียรสะสมมานาน

 

จนเป็นบุญนิยมที่มีพฤติภาพพอก็พาเปิดเผยตัว เมื่อสังคมกลุ่มอโศกประเมินว่ามีสภาวธรรมบุญนิยมพอก็เปิดตัว ประชาชนในโลกจึงได้สัมผัสคุณแห่งความเป็นบุญนิยม

 

เป็นส่ิงแปลกใหม่ มีลักษณะ สมบัติ ของความเป็นคุณในบุญนิยม คุณสมบัติของบุญนิยมนั้น คนมีภูมิแค่ไหนก็จะสัมผัสได้ตามนั้น อาจเห็นว่าแปลกแต่ก็ไม่รู้ว่าดี เขาก็อาจไม่สนใจหาว่าเป็นคนต่ำบ้าบอก็มี แต่คนมีภูมิปัญญาเข้าใจว่าคืออะไร มีคุณค่าหรือไม่ คนมีปัญญาสัมผัสจะรู้

 

อโศกไปแสดงตัวกับสังคม ก็ได้มาสร้างวิธีใหม่ โดยพากันชุมนุมนานเลย ทำมาหลายครั้งเริ่มแต่ไปหน้ากลต. ไปคัดค้านเบียร์เหล้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ ต่อมากก็ร่วมกับพธม. ต่อมาก็ประท้วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ และกรณีเสธ.อ้ายแล้วสุดท้ายล่าสุดร่วมกับกปปส.

 

ตอนที่ออกมาปี 53 ก็เร่ิมเรียกว่า Neo protest ก่อนหน้านั้น เราทำ สันติ อหิงสา อโหสิ แต่ทางพธม.เขาทำอโหสิไม่ไหว เขาไม่เอา เขาเอาแต่สันติ อหิงสา ก็ใช้แค่นั้น เราก็ไม่เป็นไร ต่อเนื่องมาเรื่อย เราทำธงของเรา 3 ธงมาเลย แต่เขาเอาแค่ 2 ในปี49

 

แต่มาตอนหลังมาปี 53 ก็มาอีก คราวนี้ออกใบแผ่นพับเลย แล้วเรียกว่า Neo protest ว่าเราจะต้องทำพฤติกรรม อหสิงสา ไม่รุนแรง Non violence จนเกิดผลสำเร็จ เป็นคุณค่า ต่อเนื่อง จนมีเหตุการณ์ที่ตำรวจจะมาปราบ ตำรวจเข้าสลายการชุมนุมเวทีกองทัพธรรม ในวันที่ 14 มี.ค. 2554 อาตมาพานั่งสงบเป็นเวลาหลายชั่วโมงจนตำรวจต้องยอมแพ้ถอยทัพกลับไป

 

นี่คือพลังงานความสงบสยบความรุนแรง แต่คนเข้าใจยังไม่ได้ แต่อาตมาเข้าใจเพราะศึกษานามธรรม จนมาครั้งวันที่ 18 ก.พ. 57 อาตมาใช้คำว่า พลังแห่งสยามเทวาธิราชิทธิ์ อาตมาบรรยายก่อนจะเกิดเหตุการ์อีก พอถึงวันนั้นจริง ตำรวจเขาเอาหนักยิ่งกว่าตอนผู้การแต้มอีก จนมีคนตายคนเจ็บที่ไม่ได้เกิดจากเรา

 

อาจเกิดจากผู้ที่สงสารมาช่วย อาจเป็นป็อบคอร์น ยิงมาจากไหน แล้วเขาขว้างระเบิดมาใส่เรา แต่ระเบิดโดนเสาเต็นท์แล้วไปโดนตำรวจ เป็นเรื่องสยามเทวาธิราชิทธิ์ เรานึกไม่ออกหรอกเป็นไปตามธรรม

 

เราสวดมนต์เรานิ่งสงบ จนกระทั่งเขายอมเลิกรากลับไป สุดท้ายแม้ศาลก็ออกหนังสือมาคุ้มครองเราว่าประท้วงถูกต้องห้ามสลาย ตำรวจก็เลยสลายไม่ได้ เป็นสิ่งที่มีอะไรพิเศษ ไม่ใช่โมเม แต่ลึกซึ้งลึกล้ำ

 

เป็นคุณลักษณะ คุณสมบัติของบุญนิยม ใครสัมผัสก็รู้ไปตามภูมิ แม้แต่ตำรวจเห็นแสงพุ่งจากมือสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา ที่ตั้งบนเวที หันมือไปตรงกับตำรวจเลย เขาเห็นก็บอกกัน เขาเห็นจริงๆนะ อาตมารู้ว่าคนเห็นนั้นเห็นจริง แต่ความจริงไม่มี แต่เขาเห็นตามอุปาทานของเขา เช่นเดียวกันกับ รสอร่อยนี่ไม่มีจริง แต่พวกคุณมีอุปาทานมันก็มีจริงของคุณ คุณอร่อยจริงๆแต่มันเป็นอร่อยที่ไม่มีจริง แต่คนมีกิเลสสิ่งนั้นมี กิเลสหมดสิ่งนั้นไม่มี

 

ชำระกิเลสส่ิงที่เป็นพิษภัยไม่มี อาตมาไม่เห็นแสง แต่ตำรวจเห็น และกลัวจริงจึงหนีไป เหตุเพราะเขาอุปาทานแล้วเขาก็หนีไปจริง เหมือนเรามีรสอร่อยเพราะมีกิเลสตัณหาอุปาทาน สุขไม่มีเลยในโลกสำหรับอรหันต์ พระอนาคามีหมดสุขแล้วเหลือแต่ความลำบากในตน เป็นอัตตกิลมถะท่านต้องรับผิดชอบล้างของท่าน เพราะปัญญารู้แล้วว่าเป็นสิ่งไม่จริง

 

 

คนเราต้องให้ได้ธรรมะที่เป็นบุญ ไม่อย่างนั้นจะเป็นโมฆบุรุษ เกิดมาตายเปล่าแถมได้กิเลสเพ่ิมอีก

 

ที่พูดกันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิตามภูมิของอาตมา ยุคนี้สังคมทั่วโลกเป็นเขาเรียกว่า ยุคทุนนิยม คนทั้งหลายในโลกก็คงยอมรับว่าใช่ แล้วบุญนิยมนั้นต่างไปไหม?

 

บุญนิยมนี้เป็นภาษาไทยที่กำหนดมาใหม่ เจตนาให้ใช้เปรียบเทียบศึกษาระหว่าง ทุนนิยมกับบุญนิยม ว่าแบบไหนที่เราควรทุ่มเทชีวิตให้

 

การจะทำได้ต้องมีส่ิงแรกของปัญญาคือ ความพอใจ เป็นปัญญาความรู้ว่าสิ่งนี้น่าได้น่ามีน่าเป็น ตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมูลสูตร10 และในสุริยเปยยาล

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134]  ทิฏฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง คนนี้เผลอประมาทแล้ว ต้องมีสติระลึกรู้ตัวให้ปฏิบัติอปัณกธรรม ตามศีลที่เราสมาทาน

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค ข้อนี้สำคัญ ในมูลสูตรข้อที่ 2

 

สรุปแล้วต้องมีฉันทะ ยินดี เป็นตัวต้นของอิทธิบาท 4 จะมีวิริยะ จิตตะ วิมังสาต่อไป ถ้าขาดฉันทะนั้นก็เพียรยาก คนจะไปยินดีทางลดละกิเลส กับยินดีในการไปล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุขนั้นยาก คนจะไปยินดีในการลดละนั้นยาก แต่ถ้าไม่ยินดีก็ยากจะทำได้ จะเกิดผลได้บุญสูงถึงที่สุดก็เป็นไปไม่ได้

 

บุญสูงสุดคือกิเลสในใจหมดเกลี้ยง ก็หมดบาป และไม่ต้องทำบุญ ไม่ต้องชำระบาปแล้วอีกต่อไป จึงชื่อว่า ผู้หมดบาปหมดบุญ เพราะปฏิบัติสำเร็จเป็นจริงเต็มที่และสมบูรณ์แล้ว ผู้หมดบาปหมดบุญนี้แต่ยังมีขันธ์ 5 มีชีวิตอยู่ คนนี้คือผู้ไม่ทำบาปทั้งปวง และไม่เหมือนศาสนาอื่นที่มีผู้ล้างบาปให้ แต่ของพุทธต้องล้างเอง เมื่อล้างหมดก็ไม่มีกิเลสพาทำบาป ผู้นี้จึงมีหลักประกันว่า สัพพปาปสอกรณัง เป็นผู้ทำแต่ดี กุสลสูปสัมปทา ไม่ทำบาป จิตที่มีความอยากทำดีทำกุศลไม่ใช่บาป แต่อยากทำชั่วให้ตามกิเลสนั่นคือบาป

 

เมื่อเข้าใจกุศล และบุญไม่ได้ก็มัวเมาทำไป เบลอปนกันไปก็ไม่ชัด ต้องชัดเจนว่าต้องล้างกิเลสนี่คือการปฏิบัติบุญ เมื่อชำระได้หมดก็ทำบาปไม่เป็น เหลือแต่ดีกุศล เพราะได้ทำใจตนให้บริสุทธิ์หมดสิ้นกิเลสเป็นสจิตตปริโยทปนังแล้วการได้บุญดังกล่าวนี้เป็นบุญระดับโลกุตระ

 

ขอย้ำพวกเราว่าชีวิตที่เกิดมาแล้ว หลายคนผ่านอายุมากหรือน้อยก็อย่าประมาท อย่าใช้ชีวิตให้สูญเปล่าโมฆบุรุษ ตั้งใจเถอะ การปฏิบัติธรรมไม่ต้องว่ามาวัดเท่านั้นแต่ก็ต้องมา เราไม่พบภิกษุเป็นความเสื่อมข้อแรกใน 7 ข้อ เป็นต้น หลายคนได้ฟังธรรมมามากแล้วก็ปฏิบัติเอาให้ได้ วินาทีนี้เป็นต้นไปจงตั้งใจเอาธรรมะให้แก่ชีวิต ให้ได้ทุกคนเทอญ

 

 

 

 

570605_พ่อครูเทศนาในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 80 ปีที่ริมมูน เรื่อง ถ้าไม่เจออุปสรรคไม่ใช่ของจริง

 

มันเป็นเหตุการณ์ที่อาตมาไม่รู้ว่าจะมีการปฏิญาณ ตั้ังใจลงทุนลงแรงกันขนาดนี้และธรรมชาติก็มีฝนตก ท่านก็ตกของท่านท่านไม่รู้ว่าเราทำอะไรหรอกแต่เราก็ตีกินว่า ท่านคงทดสอบเรา และเราก็ได้ทดสอบ แดดเราก็ทนได้ ฝนเราก็ทนได้ ตากแดดร้อนเหงื่อไหลก็เปียกเช่นเดียวกับตากฝน เป็นการพิสูจน์ใจเรา

 

พวกเรานี่มีมรรคผล อาตมาไม่ได้พูดประเล้าประโลม เพราะอาตมาไม่ได้พูดในตอนแรกๆ แต่ตอนนี้พูดย้ำหนักขึ้น เหมือนพระพุทธเจ้าที่ท่านพูดเน้นหนักว่าท่านคือที่สุดในโลก เยี่ยมยอดที่สุด ครอบงำทุกโลก ท่านตรัสด้วยพระทัยของท่านที่ไม่ได้พูดเพื่อหลอกใครให้มาเชื่อมาหลง

 

อย่างอาตมาก็ไม่ได้พูดเพื่อให้คนมาเชื่อดายๆ อาตมายอมรับอย่างเดียวว่าอาตมามีความรู้ธรรมะ อาตมาไม่มีฤทธิ์เดชอย่างที่คนเข้าใจเป็นอิทธิหรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ อาตมาไม่ได้เอาส่ิงเหล่านั้นมาเป็นเครื่องชี้วัดการบรรลุธรรม

 

การบรรลุธรรมนั้น เช่นสอนว่าอย่าฆ่าสัตว์ ศีล 5 เป็นต้น ถ้าผู้ใดฟังแล้วเข้าใจ ตรวจตัวเอง ให้มีสัมมัปปทาน 4 ทำได้เรื่อยๆไป ผลที่ได้ที่เกิดจากการสำรวมอินทรีย์ 6 ที่เกิดยามกระทบสัมผัส เช่นกับคนกับสัตว์แล้วเราไม่ฆ่าอย่างหยาบ อย่างรองก็ไม่ทำร้าย อย่างละเอียดก็ไม่เบียดเบียน สุดท้ายเรามีใจเกื้อกูลช่วยเหลือแม้เขาจะมาเป็นศัตรูทำร้ายเราเราก็ไม่มีจิตเคืองแค้นชิงชัง ไม่ทำร้ายเขาตอบหรอก หรือแม้จะขัดเคืองที่เขาทำร้ายเรา จิตใจเราก็ลดละจางคลายอ่านใจตนเป็น อ่านความรู้สึก เป็นจิตในจิต แยกได้เวทนาในเวทนา มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ได้

 

เมื่อทำจิตได้ รู้วิธีกำจัดกิเลส เป็นปหาน 5 เราลดละได้ ในการปฏิบัติศีล หากทำได้ก็ลดละกิเลสได้ นี่คืออนุสาสนีย์ปฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า ลดกิเลสได้นี่แหละคือปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ว่าไปทายใจคนได้ มีพลังไปดลบันดาลอะไรได้อย่างนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ และท่านห้ามทำด้วย ท่านปรามว่าแม้จะมีก็อย่าทำ

 

ต้องทำให้เกิดอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ในการปฏิบัติศีล 5 เป็นต้น มีใจที่ทั้ง มีปัญญารู้กิเลสมีธัมวิจัยจัับกิเลสได้ รู้ทฤษฏีปหาน ทั้งการกดข่มโดยอัตโนมัตก็ทำอยู่แล้วเป็นอุปาระแต่ไม่ได้เป็นหลักยืนยันการกำจัดกิเลสจริง เราต้องใช้ปัญญา ว่ามันเป็นเรื่องหลอกสมมุติ มันไม่เที่ยงมันไม่ใช่ตัวตน โกรธก็ไม่จริง รักโลภก็ไม่จริง แต่คนมีจริงเพราะล้างมันไม่เป็น แล้วหลงว่ามันเป็นนายด้วยหลงนายชั่วๆเป็นตัวเองด้วย เรามีโลภจัดๆแล้วหลงว่าเราเป็นโลภจัดโกรธจัด แล้วเราก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย ความเป็นจริงแล้วมันไม่มี

 

ตนฟังอาตมาก็ไม่เชื่อ ไปเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมต้องไปนั่งสมาธิ แต่ที่อาตมาสอนนี่มีผัสสะสิ่งที่ยั่วย้อมมอมเมาแล้วเราปฏิบัติลดละได้ เขาจะไม่เชื่อว่าการทำเช่นนี้เป็นสัมมาทิฏฐิในมรรคองค์8 ที่พระพุทธเจ้าสอน ที่ว่าต้องมีผัสสะ 3 มีประสาทของเรา แล้วกระทบรูปภายนอก แล้วมีการรับรู้ มีวิญญาณเกิด ในวิญญาณจะมีทั้ง เวทนา สัญญา สังขาร

 

มันปรุงแต่งก็เกิดสังขาร เรามาเรียนรู้แต่กายสังขาร คำว่ากายนี้สำคัญมาก ถ้าเข้าใจผิดก็ไม่บรรลุธรรม

 

สายเจโตปฏิบัติจากในมานอก ไม่เป็นไปตามลำดับ ไม่ปฏิบัติตั้งแต่กามภพ มารูปภพ แล้วอรูปภพ แต่ไปปฏิบัติรูปภพอรูปภพแล้วมาหาภายนอก พระพุทธเจ้าตรัสว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

อาตมาปางนี้ชาตินี้มีวิบากจะต้องเจอกับอุปสรรค ถ้าไม่มีวิบากไม่ใช่โพธิรักษ์ ใครจะร่วมปฏิบัติธรรมกับอาตมาชาตินี้ปางนี้เตรียมใจไว้เลยว่าจะต้องเจอกับอุปสรรค ถ้าไม่เจออุปสรรคไม่ใช่ของจริง

 

อาตมาพาปฏิบัติมาเจออุปสรรคมาตลอด แม้อาตมาพยายามพากเพียร แม้ปัจจุบันนี้โทรทัศน์ช่องแดงก็ยังว่าอาตมา และอาตมาไปเจอโดยบังเอิญว่ามีการลงในนสพ.ไทยรัฐเกี่ยวกับสันติอโศก....ชาวพุทธต้าน มารศาสนา..สันติอโศก (ฉ.80) ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สรุปปูมหลัง กลุ่มคนเพี้ยน ?สันติอโศก? หวังตั้งตนเป็นศาสดาองค์ใหม่ ?โคไมนี่? ตั้งพรรค ?เพื่อฟ้าดิน? ระบุ รัฐบาล?ทักษิณ? พลาดท่า คบคนพาล ประเคนงบกว่า 4 พันล้านให้ มารศาสนาไปตั้งตัว สร้างอาณาจักรจนออกมาป่วนเมือง มาขออีกแต่ไม่มีงบประมาณให้ จึงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ! สันติอโศก หรือ ที่เราเรียกว่าลัทธิสันติอโศก เกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมของประเทศไทย เริ่มจาก พ.ศ.2513 มาจนถึง 2551 ผมจะสรุปง่ายๆอย่างนี้นะครับ เมื่อปี พ.ศ.2513 ปรากฏบุคคลคนหนึ่ง ชื่อ โพธิรักษ์ ได้มาบวชเป็นพระในธรรมยุติกนิกาย แล้วไปบวชเป็นพระในมหานิกายในปี 2516 ต่อมาปี 2518 ท่านประกาศตัวเป็นอิสระจากคณะสงฆ์ ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของคณะสงฆ์ เพราะท่านบอกว่าคณะสงฆ์กับตัวของท่านเองมีแนวทางการทำงานไม่เหมือนกัน ตั้งแต่ปี 2518 เป็นต้นมา ท่านก็พยายามขยายบทบาทของตัวเอง และก็ขยายแนวการสอนของตัวท่านที่ท่านบอกว่าท่านรู้เองเห็นเอง เป็นสัมมาสัมพุทธะ เป็นพระสารีบุตรกลับชาติมาเกิด ใช้เวลาในการเผยแพร่จนได้สาวกเอกคนสำคัญคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ระหว่างนั้นท่านได้ส่ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ลงเล่นการเมืองในกลุ่มพลังธรรม ครองความเป็นผู้ว่าฯ กทม. อยู่ 8 ปี จนกระทั่งปี 2531 ครับ โพธิรักษ์ คิดมักใหญ่ใฝ่สูง ได้ประกาศตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาแล้วบอกว่าตัวเองนั้นเป็นยิ่งกว่าโคไมนี่ ท่านได้ตั้งพรรคพลังธรรมขึ้นมา แล้วส่ง ส.ส. ลงยึดพื้นที่ใน กทม.ได้เกือบทั้งหมด ในนามพรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติ ขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อจารีตประเพณี วัฒนธรรมของคณะสงฆ์อย่างรุนแรง แม้แต่บ้านเมืองยังเดือดร้อนครับ จนกระทั่งทุกฝ่ายในบ้านเมืองได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาแล้วมีการพิจารณา คณะสงฆ์ได้ปกาสนียกรรมให้โพธิรักษ์พ้นจากความเป็นพระเมื่อปี 2532 ในปีเดียวกันศาลมีคำพิพากษาว่า โพธิรักษ์ เมื่อพ้นจากความเป็นพระแล้วไม่สามารถที่จะแต่งกายเลียนแบบพระได้ บุคคลใดที่ท่านบวชให้มีความผิด ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้จำคุก 6 เดือนเฉพาะโพธิรักษ์ โดยการรอลงอาญาไว้ 2 ปี แต่ว่าท่านไม่ได้หยุดไว้เพียงเท่านี้ครับ ท่านยังใช้บทบาทของท่านสนับสนุน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แล้วที่สำคัญที่สุด จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในขณะนั้นท่านมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นสาวกเอกของโพธิรักษ์ ท่านจึงได้ตั้งพรรคขึ้นมาภายใต้การสนับสนุนของโพธิรักษ์ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จนกระทั่งนำพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายเมื่อปี 2544 และในช่วงปี 2544 ถึง 2548 นี้เอง คือ ช่วงที่โพธิรักษ์ และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ใช้ความพยายามใช้ความใกล้ชิดกับท่านอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร โดยที่ท่านไม่รู้ ซึ่งนายกฯ สมัคร สุนทรเวช บอกไว้คำหนึ่งว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ผิดอยู่อย่างเดียวคือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คบคนพาล พาลพาไปหาผิด 2544 ถึง 2548 อดีตนายกฯ หลงไปคบกับโพธิรักษ์ และ พล.ต.จำลอง แบบไม่ลืมหูลืมตาต้องบอกว่าอย่างนั้นนะครับ จนกระทั่งโพธิรักษ์สามารถที่จะ 1.ตั้งโรงเรียนผู้นำ 2.ตั้งศูนย์ส่งเสริม และพัฒนาพลังชีวิตเชิงคุณธรรม ที่เราเรียกกันว่าศูนย์คุณธรรม ดูดเอาเงินงบประมาณแผ่นดินที่จะต้องเอาไปให้ปีละ 4 พันล้าน แล้วทำการขยายสาขาออกไป เป็นศูนย์ต่างๆ มากมายมหาศาล จนกระทั่งไปครอบครองที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ จ.กาญจนบุรี แล้วพยายามที่จะให้นายกฯ ทักษิณช่วยในเรื่องนี้ แต่พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าช่วยไม่ได้แล้ว จึงทำให้เกิดอาการฟาดงวงฟาดงา จนกระทั่งลูกๆ ของท่านขายหุ้น พล.ต.จำลอง บอกว่า ขอสัก 2 หมื่นล้าน ได้ไหม เพื่อที่จะเข้ามาสู่การขยาย และเผยแพร่กิจกรรมของสันติอโศก ท่านไม่ยอมอีก นั้นคือที่มา ว่าทำไมเมื่อปี 2548 จำลองถึงได้ถอนตัวจากการสนับสนุน อดีตนายกฯ ทักษิณ ทำไมโพธิรักษ์ถึงต้องดึงเอาสันติอโศกออกมา 2549 แน่นอนครับ กองทัพธรรม ของ พล.ต.จำลอง ได้เป็นกองทัพหลักในการออกมาล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และก่อให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้นคือ อวสานของรัฐบาลทักษิณ และระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอวสานของรัฐธรรมนูญปี 2540 ฉบับหนึ่งของโลก นี้คือจุดจบครับ หลังจากนั้นเราหวังว่า หลังวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ทุกอย่างจะเดินเข้าสู่ภาวะปกติ หลังมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย บ้านเมืองของเราจะต้องสุขสงบ ความรุ่งเรืองของบ้านเมืองเราจะต้องกลับคืนมา เพราะว่าประเทศไทยเดินเข้าสู่เส้นทางประชาธิปไตยเรียบร้อยแล้ว แต่เปล่าเลยครับ 25 พฤษภาคม 2551 โพธิรักษ์ พล.ต.จำลอง พร้อมกับสมณะทั้งหลายได้นำคณะออกมาร่วมกับพันธมิตรฯ ยึดถนนมัฆวานฯ ปิดทำเนียบ ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทีนี้เป้าหมายของเขาคืออะไร สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ 1.ต้องการยึดอำนาจรัฐ 2.ต้องการปฏิวัติสังคมไทยทั้งหมดให้เป็นแนวทางของสันติอโศก 3.ต้องการล้มมหาเถรสมาคม หรือคณะสงฆ์ไทยทั้งคณะ 4.ต้องการล้มสถาบันหลักของประเทศไทย และสถาปนาระบอบการเมืองใหม่ นอกจากนี้ยังมียุทธศาสตร์ ทางด้านทหาร 1.มีกองกำลังชัดเจนวันนี้สันติอโศกมีสาขาทั่วประเทศไทย มีสมาชิกกว่าแสนคน และบุคคลเหล่านี้พร้อมที่จะเสียสละตัวเองเพื่อชัยชนะ ขอให้เป็นคำสั่งจากโพธิรักษ์ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เมื่อไรเมื่อนั้น ยุทธศาสตร์ทางการเมือง วันนี้ไม่มีพรรคพลังธรรม แต่วันนี้ โพธิรักษ์และ พล.ต.จำลอง ได้ตั้งพรรคการเมืองชื่อว่า"พรรคเพื่อฟ้าดิน" ขึ้นมา แน่นอนสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบทั้งทางด้านพระพุทธศาสนา ด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง และความมั่นคงของชาติ ผลกระทบต่อเรื่องของวัฒนธรรมทั้งหมด ซึ่งแต่ละท่านจะได้ลงรายละเอียดในแต่ละประเด็นต่อไป

 

            พ่อครูว่า...ศูนย์คุณธรรมนั้นทักษิณตั้งขึ้นโดยที่เราไม่รู้ว่าเขาตั้ง เสร็จแล้ว คุณจำลองจะมาตั้งองค์การศาสนา ก็ไปคุยกับทักษิณ คุณทักษิณก็บอกว่าผมตั้งแล้วตอนนั้นคุณทักษิณเป็นนายกฯ เขาก็ให้คุณจำลองมาเป็นประธานศูนย์คุณธรรมคนแรกเลย ส่วนผอ.คืออ.นราธิป ตั้งแต่นั้นมาเป็นคนแรก เขาก็เลยโมเมว่าเราเลยทั้งที่เราไม่เคยแตะต้องเลย อาตมาพยายามระมัดระวัง เราทำอย่างจริงใจ แต่เป็นเรื่องที่ต้องเกี่ยวพัน เราไม่ใช่คนที่ไปหนีสังคม เราช่วยสังคมอย่างบริสุทธิ์ใจ

 

อุปสรรคของชาวอโศกมีมากมาย แม้ทุกวันนี้ก็มี คุณสะอาด จันทร์ดี มหาโช เป็นต้น หลายดร.ก็เล่นงานพวกเรา หาว่าจะตั้งตนเป็นสังฆราช มาล้มลางพุทธกระแสหลัก ซึ่งอาตมาขอบอกว่าไม่มีแม้นิดแม้น้อยที่จะไปล้มล้าง หากใครจะล้มก็เพราะเขาล้มของเขาเอง ไม่ใช่ว่าเราไปเจตนา ขัดแข้งขัดขาเขา เขาล้มของเขาเองเพราะเขาสู้สัจธรรมไม่ได้

 

เมื่อสัจธรรมเกิดปรากฏ ทำให้คนเกิดปัญญา คนก็ไม่เอาอสัจจธรรม คนก็มานิยมสัจธรรม ดังนั้น อสัจธรรมก็ต้องลดความนิยมไปเอง สิ่งเหล่านี้เป็นสัจธรรมที่ไม่ง่ายในการอธิบาย แต่เราเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงมาอธิบาย เราไม่ไปเบียดเบียนล้มล้างทำลายเขา เราทำสิ่งดี เราชนะความไม่ดีด้วยการทำแต่ความดีอย่างเดียว สัจธรรมนี่ชนะความไม่ดีด้วยการทำดีอย่างเดียว เราทำดีโดยไม่แข่งกับสิ่งไม่ดี แต่สิ่งที่ดีทำให้คนมีปัญญาเข้าใจแล้วไม่เอาสิ่งไม่ดีเอง

 

คนทุกคนมีอิสรเสรีภาพ เขามีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา เป็นพฤติกรรมสัจจะ ไม่ใช่เรื่องไปทำร้ายใครเลย สิ่งที่ไม่ดีอยู่ได้ไม่นาน เพราะมักมากมักใหญ่ เปลืองผลาญ ต้องอาศัยความมักใหญ่เปลือง แต่สิ่งดีนั้นใช้้น้อยก็อยู่รอด คนที่ทิ้งส่วนที่ไม่ดีออกไปมาเอาส่วนดี เขามักมากเขาใช้เปลืองใช้แพงใช้มาก พอมาลดลงเขาก็อยู่ไม่รอด จิตเขายึดมั่นถือมั่นว่าต้องได้ ถ้าไม่ได้เขาอยู่ไม่ได้ ลดนิดหน่อยก็อยู่ไม่ได้ ส่วนฝ่ายดีแม้ลดลงก็อยู่ได้ ฝืนทนก็อยู่ได้ จนสบายไม่ต้องทนกับความน้อยความสันโดษ

 

ส่ิงไม่ดีไม่มีวันชนะสิ่งดี ขอให้เป็นสิ่งดีจริง แม้น้อย ขอย้ำยืนยัน สิ่งที่ดีแม้น้อยก็ชนะสิ่งไม่ดีแม้มาก

 

อาตมาเคยได้ยินสมณะกรรมกร กุสโล พูดเข้าหูอาตมา ว่า...โอโห ผมรู้หมดเลยอะไรก็รู้หมดแล้ว ผมนึกไม่ออกว่ามีอะไรที่ผมไม่รู้อีก คราวนี้เจ้าตัวได้ยินอาตมาพูดก็ให้ร​ู้ว่าอาตมาพูดถูกหรือไม่ถูกนะ แต่กับตัวอาตมาเคยมีที่รู้สึกว่าตนเองรู้หมด อะไรต่างๆนานาในสังคม แล้วไม่มีอะไรที่ไม่รู้อีก แล้วเราจะอยู่ไปเพื่อรู้อะไรอีกนี่ มันจะอยู่ไปทำไม มันรู้หมดแล้ว อาตมาก็เคยเกิดความรู้สึกเช่นนี้  แต่ที่ไหนได้ทุกวันนี้สมมุติโลกอีกมาที่เราไม่รู้อีกเยอะ แล้วคนหลงสมมุติโลกไม่รู้จักสมมุติโลกอีกเยอะเลย แม้แต่ภาษานี่มีอีกเยอะเลยที่ต้องอธิบายกันอีกเยอะเลย

 

คำว่าตัณหา นี่ อยาก คำนี้เป็นกุศล ทุกตัวเลย ความใคร่อยากนี่เป็นกุศล แล้วจะต้องเจอะ ใคร่ในธรรมนี่คือธรรมกาโม อาการจิตของคนอยาก มันไม่ใช่เป็นของเสีย แต่คนเข้าใจไม่ได้ ไปเข้าใจว่าต้องไปลดความอยากให้หมด ถ้ามีความอยากเป็นอรหันต์ไม่ได้ คุณอยากได้นิพพานก็เป็นตัณหา เป็นกามใคร่อยากคุณก็เจ๊งแต่ต้นทางแล้วเป็นต้น

 

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

 

วิภวตัณหาเป็นตัณหาทีี่เป็นกุศล เป็นตัณหาที่ต้องการฆ่ากิเลส ทำบุญ กำจัดกิเลส เมื่อกำจัดกิเลสได้ก็เป็นบุญ คุณต้องอยากฆ่ากิเลสให้ได้ เมื่อฆ่ากิเลสหมดก็ทำแต่กุศล สัพพาปาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา หมดกิเลสไม่ทำอกุศลอีก แต่อยากทำกุศล พระพุทธเจ้าท่านยังไม่สันโดษในการทำกุศล ก็ต้องอยากสร้างศาสนาให้ครบพร้อมด้วยพุทธบริษัท 4  

 

อาตมาทำงานมา 45 ปีกำลังขึ้นทศวรรษที่ 5 แล้ว ไม่ใช่น้อยๆเลย ขอยืนยันว่าพวกเรามีมรรคผล ใครจะหาว่าหลงหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมก็ตามใจ แต่ทุกคนอย่าเชื่ออาตมา ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง สันทิฏฐิโก เมื่อปฏิบัติจะเกิดผลจริง เป็นปัจจัตตัง ได้ของตนเฉพาะตน จะฟังพระพุทธเจ้าหรืออาจารย์ไหนก็ตามแต่ ท่านเป็นเพียงผู้ชี้ทาง แล้วคุณก็เอาไปปฏิบัติจนพ้นสังโยชน์ ตั้งแต่สังโยชน์ 3

 

คุณรู้จักกาย คือองค์ประชุมของตัวตนที่เป็นสักกายะ คือองค์ประชุมของกิเลส ฟังได้ทฤษฏีแล้วนำไปปฏิบัติ ได้เจออัตตาที่เป็นสักกายะ พิจรณากายในกาย ทะลุถึงเวทนาในเวทน แล้วอ่านจิตในจิตออก แยกเป็นโทสะ โลภะมูล แล้วกำจัดให้ลดละได้

 

เมื่ออ่านสักกายะได้ก็พ้นสังโยชน์ข้อ 1 รู้เห็นกิเลสว่าเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่แค่ฟังเขามา แต่อ่านรู้ด้วยญาณ จนรู้หายสงสัย พ้นวิจิกิจฉา แล้วทำจนพ้นศีลพตุปาทาน ศีลพตปรามาส ได้

 

ถ้าทำศีลพรตอย่างสัมมาทิฏฐิ คำว่ายิตถังคือรู้วิธีปฏิบัติให้ชัด แม้รู้จักสักกายะเห็นได้พ้นสักกายะทิฏฐิ พ้นวิจิกิจฉา แต่ว่าคุณลดกิเลสไม่ได้ แม้ลูบหัวลูบหางกิเลสได้ สัมผัสกิเลสตัวนั้นแท้ๆ แต่ไม่ฆ่ามัน ฆ่าไม่ตายไม่รู้วิธีที่ถูกต้องก็ไม่พ้นศีลพตปรามาส แต่ถ้าศีลพตุปาทานนั้นยังไม่สัมมาทิฏฐิเลย แต่ศีลพตปรามาสมีสัมมาทิฏฐิ แต่ยังทำไม่ได้ ยังอร่อยไม่อยากฆ่ากิเลส เล่นหัวกิเลสไม่เอาจริง ทุกวันนี้วงการศาสนาแยกศีลพตุปาทานกับศีลพตปรามาสไม่ออก แยกไม่ออกก็วิจัยไม่ได้ เป็นนักวิจัยที่แย่

 

ที่อาตมาพาทำนี่กระแสหลักหรือที่อย่างดร.เมธาพันธ์มาว่าอาตมา เขาบอกทำนองว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นสยัมภู แต่อาตมาที่จริงบอกว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ มีสยังอภิญญา ตามข้อที่ 10 ในสัมมาทิฏฐิ กว่าอาตมาจะพูดก็ต้องใช้เวลาไม่ได้เปิดเลยรวดเร็ว ต้องประมาณอย่างมากตามสัปปุริสธรรม 7 ที่จะค่อยๆประมาณ มาทำงานศาสนา แต่เขาหาว่าอาตมามาทำลายศาสนา 

 

ดีแต่ว่าพวกเราทำได้ลดละกิเลสได้จนเป็นรูปธรรมเป็นหมู่กลุ่ม จนมาเปิดเผยว่าเป็นแผ่นดินพุทธ แต่ก่อนก็คิดว่าจะติดขึ้นป้ายที่ปฐมอโศก ก็ไม่ได้ขึ้น แต่ก่อนไม่มีราชธานีอโศก แต่ตอนนี้ก็ตั้งใจว่าที่นี่ราชธานีอโศกนี่แหละคือแผ่นดินพุทธ มีองค์รวมพร้อมมีสัปปายะ 4 (อาหารสัปปายะ เสนาสนสัปปายะ บุคคลสัปปายะ ธรรมสัปปายะ)

 

แต่พวกเราก็ไม่ค่อยเข้าใจ อาตมาไม่ใช่นักหลอก พูดไปธรรมดา คนมีปัญญาก็เข้ามาอยู่ อาตมาทำทีว่าเร่งรัดระดมคนให้ได้สักพันคน แต่ไม่ใช้การหลอกล่อ มาร์เกตติ้งให้อยากมา ต้องการให้เกิดปัญญา สำนึกรู้เอง

 

มาถึงวันนี้แล้ว พวกเราทำงานนี่อย่างงานนี้ ก็ไม่ได้ไปบังคับ พวกเราทำกันเอง อย่างธงที่ติดนี่ก็นั่งตัดกัน ทำเองทั้่งนั้น ด้วยอุตสาหะ แม้คนข้างนอกมาประสานมาร่วม อย่างถนนที่นั่งอยู่นี่ก็ทำเสร็จในวันเดียว แม้จ้างทำก็มีน้ำใจทำให้ด้วยจึงสำเร็จในวันเดียว

 

แต่ไหนแต่ไรอาตมาไม่ได้บังคับใคร เพราะถือว่าทำอย่างชี้ใช้บังคับนั้นไม่เก่งจริง ให้เขาช่วยเราด้วยใจ จึงเป็นจริง อาตมาทำงานมาถือหลักอันนี้ตลอด สิ่งเหล่านี้เกิดจากจิตวิญญาณที่เป็นจริง อาตมาพาทำงานการเมืองระดับประเทศ ของเราถือว่าขึ้น White list เป็นบัญชีขาวแล้วไม่ใช่บัญชีดำ ไม่โดนเรียก แต่ก็ประมาทไม่ได้

 

แม้ไปทำงานการเมือง อาตมาไม่มีจิตไปทำเสียหายหรือเอาเด่นดังอะไร อย่างพรรคเพื่อฟ้าดินนี่ก็ไม่อยากพูดว่าพัฒนาการมาทุกวันนี้เจริญมาเป็นลำดับ แต่ไม่ดังคนไม่ค่อยรู้จัก แต่ทำงานมาตลอด ทำงานปิดทองลำไส้พระยิ่งกว่าปิดทองหลังพระ แต่ทำงานการเมืองภาคประชาชนมาตลอดช่วยสังคมมาตลอด

 

ชาวอโศกทุกคนเป็นสมาชิกพรรคเพื่อฟ้าดินโดยสัจจะ เราทำงานช่วยประชาชน เพราะเราพึ่งตนเองรอด มีสมบัติเหลือไม่มาก  แบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

 

 

 

 

 

570606_พ่อครูเทศน์ที่เฮือนศูนย์ เรื่อง อายุยืนยาวด้วย 8 อ. และโพชฌงค์ 7

 

วันนี้เป็นวันที่ 3 ของงาน 80 ปีวิชิตชัย(ไม่มีแก่)

ทำอย่างไรจะอายุยืนด้วยหลัก 8 อ. ทุกวันนี้อาตมามีสังขารร่างกายที่เป็นอยู่ได้ดีเพราะว่าใช้ อิทธิบาท อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ

 

อิทธิบาทเป็นเรื่องหลักที่เราต้องเข้าใจ ไม่ใช่ว่ากลัวตาย แต่ว่าเราต้องให้เกียรติ์ร่างกายเรา แต่ไม่ใช่ว่าประคบประหงมตกแต่ง แต่เราต้องดูแลให้สมดุล การรักษาชีวิตร่างกาย ก็ต้องใช้จิตวิญญาณเป็นตัวรู้ทัน กำหนด

 

เราต้องรู้จักอาการของจิต ถ้ามีอารมณืไม่ดี คนเราหากอารมณ์ไม่ดีก็ล้วนเกิดเกิดจากกิเลส  พระพุทธเจ้าสอนให้เดินโพชฌงค์ ใครเดินโพชฌงค์ก็จะอายุยืนยาวได้ แต่คนเข้าใจว่าไปท่องโพชฌงค์ 7 หรือว่าให้ภาวนาก็คิดว่าภาวนาคือการท่อง แต่ที่จริงภาวนาคือการทำให้เกิดผล

 

มรรคองค์ 8 เป็นทางเดินหรือบันได ส่วนโพชฌงค์นี่คือการเดิน คือการดำเนิน หลัก 7 ข้อนี้

มีสติ ธัมวิจัย วิริยะคือการปฏิบัติ เราต้องมีสติ จะสติปัฏฐาน 4 ก็ต้องใช้โพชฌงค์ทั้งนั้น หากนึกดูว่าตอนเด็กก็เดินไปไม่ระลึกรู้ตัวไม่มีสติก็ไปตามอารมณ์ แต่ถ้าเราระลึกรู้มีสติ เราก็ทำทุกขณะทุกอิริยาบทว่าเรากระทบอะไรอยู่ แล้วรู้สึกอย่างไร ต้องระลึกรู้ทั่วไปหมด พูดนี่พูดอะไร กับใครที่ไหนอย่างไรก็ต้องระลึกรู้ตัว

 

คำว่า กาย การกระทำของกาย คำว่ากายนี้คือองค์ประชุมไม่ได้หมายถึงแค่โครงร่างที่ไม่มีวิญญาณกำกับ กายวจีไม่ขยับหากจิตวิญญาณไม่กำกับ เมื่อเกิดการกระทบรูประหว่างประสาทสัมผัส ทวาร 5 แล้วมีจิตรับรู้ เกิดจิตวิญญาณ แล้วมีการปรุงแต่งอย่างไร เกิดเวทนาอย่างไร?

 

เวทนาคือผลของจิต คืออาการความรู้สึกของกายภายใน กายต้องมีความรู้สึกไม่จิตวิญญาณ แล้วค้นหาเหตุเข้าไปทำไมเวทนามีสุขมีทุกข์ อะไรเป็นเหตุ

 

เหตุก็คือตัณหา ไม่ได้สมใจก็ทุกข์ ได้สมใจก็สุข ถ้าไม่เพ่งทุกข์สุขก็อุเบกขาเฉยๆแบบโลกีย์ ดีไม่ดีไปปรุ่งแต่งเรื่องอื่นไม่เกี่ยงกับที่สัมผัสเลย เช่นกินข้าวอยู่แต่ไปนึกเรื่องอื่นไป

 

อารมณ์สุขหรือทุกข์หมดไปได้ แต่ความรู้ยังมีเต็มๆ สัมผัสแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่ากิเลสไม่ได้เข้าไปปรุงแต่งด้วยแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าเฉยอย่างไม่ได้ตั้งใจทำไม่ได้กำหนดรู้ มันพักยกธรรมดาเป็นเคหสิตอุเบกขา

 

ผู้ที่มีบารมีมีภูมิธรรมจริง แล้วได้ยินอาตมาพูดถึง เวทนา 108 ถ้าเขามีสภาวะแล้วก็จะเข้าใจเลยไล่เรียงได้ ส่วนพวกเราได้ฟังมามาก แล้วได้ปฏิบัติมา ก็รู้ได้ไม่มากก็น้อย จึงทำจิตให้ลดกิเลสได้จริง ตามมโนปวิจาร 18

 

การนั่งหลับตาทำสมาธิไม่ได้เรียนรู้กิเลสอย่างที่อาตมาว่า ไม่ได้ปฏิบัติเห็นความไม่เที่ยง ความทุกข์แล้วทำให้หมดกิเลสตัวตนได้ เขาก็จะได้แต่รู้ภาษาตรรกะ ท่องได้พูดไม่ผิดด้วยแต่ไม่มีสภาวะจริง

 

ผู้ที่ลดกิเลสได้ก็จะมีปีติ ในปีติสัมโพชฌงค์ ทำมาตั้งแต่ ตรรกะ วิตรรรกะ รู้พฤติของจิต ผู้ใดที่เร่ิมดำริ อาการจิตเร่ิมดำริ จะมีกิเลสอย่างไร เราก็จับได้ อาการเป็นสุขเป็นทุกข์ ประกอบด้วยความรุนแรง อาฆาตพยาบาทหรือสุขอย่างไรก็รู้ มีวิจาร คือรู้อย่างยิ่ง

 

คำว่า วิ มีลักษณะสภาพเชิงซ้อน ถ้าเป็นได้ ก็เป็นการเพิ่มฐานะให้วิเศษ หรือทำไม่ให้มีก็ได้ เป็นภาษาสื่อสภาวะ ผู้ใดอ่านวิตก คือจิตเร่ิมดำริ แล้วจับมันได้ว่ามีพฤติอย่างไร แล้วมันมีจาระอย่างไร มีกามวิตก หรือพยาบาทวิตก ที่เป็นมิจฉาสังกัปปะ และอย่างละเอียดก็คือวิหิงสาคือยังเบียดเบียนอยู่

 

การอ่านจิตก็คือได้วิตกวิจาร ถ้าอ่านออกแล้วทำให้กิเลสลดได้ก็เจริญขึ้น เป็นฌาน 1 และ2 เหลือแต่อาการปีติ ที่ไม่ต้องไปทำอีกทำไปแล้วผ่านได้ กำจัดกิเลสออกได้ มีอุปกิเลสซ้อนที่ยินดีที่เราทำได้ เจริญในทางธรรม พัฒนาได้ เราได้ลาภ ได้สิ่งที่เราได้ปฏิบัติเจริญขึ้น เป็นอาริยทรัพย์ก็ต้องยินดี

 

เราได้เงินทองทรัพย์สินอามิสเราเคยยินดี เป็นเคหสิตโสมนัสเวทนา แต่นี่เราปฏิบัติได้อาริยทรัพย์เป็นเนกขัมสิตโสมนัสเวทนา

 

เราทำกิเลสลดได้ก็มีปีติ แต่ก็ยังลำบากอยู่ หรือกิลมถะ (หยาบ) ถ้าลำบากอย่างละเอียดเรียก ทรถะ

 

อนาคามีจะมีอัตกิลมถะอยู่ แต่กามสุขขัลลิกะหมดไป พระอรหันต์หมดอัตกิลมถะเหลือแต่ทรถะ

 

เรามีสติ ธัมวิจัย วิริยะ ที่เป็นสัมโพชฌงค์

 

วิริยะที่มีสัมโพชฌงค์เป็นวิธีการเดินสู่การตรัสรู้

 

จากนั้นก็เป็นปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา

 

จิตที่เป็นฐานนิพพานคืออุเบกขา มีคุณสมบัติ องค์ธรรม 5 ของอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสรา จิตว่างเฉยเป็นฐานนิพพานแล้วแต่มีความหัวอ่อนปัญญาแววไว ดัดง่าย ทำการงานที่ไม่มีโทษ เป็นการงานอันประเสริฐ

 

อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย

 

คนที่ฝึกฝนไม่ประมาทออกกำลังกายจะดี อย่างดาราเขาก็มุ่งรักษาหุ่น รักษาสวย แต่ของเรามุ่งรักษาความสมดุล การออกกำลังกายนี่คนจะขี้เกียจออกกำลังกาย จะรู้ว่ามันขี้เกียจ ทุกวันนี้อาตมาไม่ขี้เกียจก็ว่าไป แต่ถ้าไม่ติดอะไรก็ต้องทำ เพราะรู้ว่าดีต่อชีวิต

 

เอาพิษออก ทุกวันนี้มีวิธีการสารพัด เช่นกัวซา ,การทำให้เหงื่อออก ,ป๋าก้วนเอาเลือดเสียออก, ฯลฯ

 

เอนกายคือรู้จักพักรู้จักเพียรให้สมดุล ออกกำลังมากไปหรือพักมากไปก็ไม่ดี พักมากไปก็ขาดการเคลื่อนการหมุนเวียนเลือดลมไม่ดี

 

อาชีพ มีอาชีพที่ล่อแหลมต่อโรค ต่อพิษ ทุกวันนี้พิษมาทุกทางเลย อายุสั้นได้ด้วยอาชีพ แต่งานของพวกเรานี่ไม่ค่อยมีพิษ พิษน้อย ถ้ายิ่งเป็นทางธรรมแล้วมีอาชีพที่ควรเว้นคือ กุหนา ลปนา คืออาชีพเลวร้าย อาชีพทุนสามานย์ อาชีพชั่ว เขารวยหนัก โกงหนัก หาเล่เหลี่ยมกันโกง เราไม่นิยมรวย เรามาเป็นคนจนจะไม่มีบาปเวร ไม่ถูกจองเวร บาปกิเลสจะเพิ่มก็ไม่ค่อยมี

 

คนที่ทำงานอย่างทุนนิยมสามานย์เขาไปผูกเวรไว้ เขาได้มากโกงมาก็ยิ่งเป็นหนี้นะไม่ใช่เจ้าหนี้ คนไม่รู้เรื่องราวก็ไปหลงเป็นนายทุนใหญ่ ไม่ต้องทำอะไร ดอกเบี้ยปันผลออกมาไม่อั้น ไปเบียดเบียนคนอื่น เขาทำโดยอวิชชา ทำเพื่อล่าโลกธรรม เขาไม่ปล่อยวางเลย

 

บุญนิยม เป็นเรื่องยากที่คนจะมาเข้าใจมาปฏิบัติมาเอา แต่ก็เป็นไปได้บ้าง คนเรายึดถือความหมายของบุญว่า เป็นส่ิงวิเศษ ทำให้เรารวยลาภยศ ได้บุญนี่คือได้มา แต่พวกพระป่านี่ก็เข้าใจว่าลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่เอา ก็ทิ้งไปอยู่ป่า ไม่เอาขนาดบางลัทธิ เป็นมนุษย์ฑิคัมพร ไม่ใส่เสื้อผ้า นุ่งลมห่มฟ้าก็ทนได้สบายมาก แล้วเขาฝึกจิตให้ทนได้สู้ได้ แต่ไม่ได้ลดละกิเลสเหตุผลอย่างไรไม่เข้าใจ แต่ของพุทธนี่รู้ลาภยศสรรเสริญ อย่างเราไปทำงานนี่เราขายถูกๆ งานก็จะมากเพราะขายดี ทำงานได้มากเขาก็จะให้ยศได้ตำแหน่ง แต่ไม่ใช่ว่าใช้เบ่งข่ม แต่ว่ายศคือการกำหนดหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบในความสามารถ สามารถเจริญลาภยศได้แต่เราไม่เอา

 

เรากินใช้ร่วมกัน ลาภ ยศ หน้าที่เราทำตามส่วนกลาง คนเป็นลูกน้องก็ไม่ต้องบังคับมาก เรามีวิธีการพัฒนากัน ไม่ใช่ว่าใช้อำนาจบังคับกัน อย่างทหารเขาก็ต้องทำแบบนั้น แต่เราทำนี่ไม่ใช้

 

เราทำดีเขาก็สรรเสริญ แต่เราไปหลงยินดีไหม? สุขด้วยกามเราก็รู้ ว่าอารมณ์ที่มันปลอม หลงกำหนดว่านี่สเปคของเรา กามคุณ 5 อย่างนี้เรากำหนดอุปาทานไว้ กำหนดมัน ถ้าไม่ใช่สเปคก็ไม่ชอบ ทุกข์กับมัน อย่างสีแดง บางคนชอบหรือไม่ชอบก็บ้าสร้างมันเอง ที่จริงมันแดงก็แดงไปสิ เราใช้ประโยชน์ได้ แต่เราก็ไม่ได้สุขทุกข์ไปกับแดง

           

พวกเราพอรู้ไหม การหมดรสอร่อยกับบางอย่างได้ หลายอย่างเราเคยเสพ แต่ตอนนี้มันผ่านมาจิตก็ไม่ดูด แต่บางทีกินเข้าไปก็ระลึกได้ว่าอร่อย แต่ถ้ายังดูดอยู่ก็มีอาการเอาหน่อยน่า แต่พอมันผ่านไปก็เสียดาย ทำเต๊ะไม่เอา มันจะอ่านออก เกิดปัญญาว่าเราไปติดอะไรมันนะ

 

กว่าจะมีบุญชำระกิเลสได้ ไม่ใช่เรื่องเล่น บุญเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เราเจริญในธรรม

 

คำว่าบุญ นี่เขาสอนกันผิดๆ เป็นพระอรหันต์เขาว่ากันนะ แต่ก็มาสอนกันว่าทำบุญนี่ ให้ตั้งจิตจะได้อะไร เวลาทำทานอะไร สอนให้จิตมีกรรมกิิริยาที่เอามาให้มากกว่าเก่า ขนาดคนที่เขาว่าเป็นอรหันต์แต่ก็สอนกันอย่างมิจฉาทิฏฐิ

 

ทานคือ การลดโลภ แต่เขาสอนกันไม่ได้ลดกิเลสเลย แต่มีกุศลไหม มี

 

กุศลต่างกับบุญ กุศลเป็นคำกว้างๆทั้งโลกุตระและโลกียะ แต่ว่า บุญไม่มีโลกียะ แต่บุญคือโลกุตระ คนให้ทานนี่แม้จิตจะขี้โลภ หวงแหนทวงบุญคุณ แต่ทำให้สังคมดีขึ้น ดีกว่าไม่ให้ใครเลย แย่งชิงกัน แต่ว่าทานได้กุศลแต่ไม่ได้บุญ

 

คำว่า บุญ กับ กุศล นั้นต่างกัน ในพจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน แปลคำว่าบุญว่า ความดี คุณงามความดี

 

คำว่าบุญนี้จึงเพี้ยนไปหมดเลย คนก็ยึดติดความหมายอย่างที่เขาบัญญัติ เป็นการยึดถือที่ผิด อาตมาพูดนี่แย้งแล้ว อาตมาว่าอาตมาพูดคนเดียวหรือเปล่า บรรดาอาจารย์ไหนๆ พูดอย่างนี้ไหม? แล้วอาตมาจะมีที่ยืนไหม?​แต่อาตมายังบุญบารมีดีที่มี พนานุกรมบาลีมีอยู่

 

คำยึดถือ บุญ กับกุศล ตามสมมุติสัจจะก็จะวนเวียน แต่ถ้าปรมัตถสัจจะนั้นไม่ใช่ การละกิเลสแล้วไม่ยินดีกับลาภยศสรรเสริญ

 

คำว่ากุศล คือความน่ามีน่าได้น่าเป็น ส่วนอกุศลคือไม่น่ามีไม่น่าได้ไม่น่าเป็น

ก็เป็นความวนเวียนกับกุศลอกุศลไม่ออก แต่ถ้าเป็นบุญนั้นมีการออกจากชำระออกเป็นขั้นๆ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ปฏินิสัคคะ มีการลดสวรรค์โลกีย์ ก็เป็นสวรรค์โลกุตระเพ่ิมขึ้นๆ

 

กุศลเอง ถ้าไม่มีความรู้ปรมัตถ์แท้ คำว่ากุศลไม่มีนัยของโลกุตระ อริยธรรมเลย เป็นความดีงามโลกๆธรรมดา เช่นสุจริต ความดี เป็นต้น ไม่มีมีมิติของสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่มีการเพ่ิมมิติเลื่อนสูงขึ้นไปจนสูงสุดได้ ออกจากกาม ออกจากพยาบาท ออกจากการวนดีๆชั่วๆ อรหันต์เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป

 

บาปคือมีกิเลส บุญคือการชำระกิเลส ล้างกิเลสหมดก็หมดบาปหมดบุญ สิ้นบาปสิ้นบุญแล้ว แต่ว่าวิบากก็ต้องรับไป แม้เป็นพระพุทธเจ้าไม่สะสมบาปแล้ว แต่ไม่สันโดษในกุศล

 

ในอภิสังขาร 3 มีปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร  อปุญญาภิสังขาร พอแปลคำว่าบุญผิดก็แปล อปุญญาภิสังขารว่า เป็นการทำบาปปรุ่งแต่งไม่ได้บุญก็คือทำบาป เข้าใจอย่างนี้ก็ปฏิบัติอภิสังขารไม่เป็น เพราะนักปฏิบัติธรรมต้องจัดแจง(สังขาร)จิตเป็น

 

ปุญญาภิสังขาร คือเป็นเสขบุคคล ลดกิเลสไป แล้วพอหมดกิเลสเป็นอรหันต์ก็เป็นอปุญญาภิสังขาร แล้วก็ทำอเนญชาภิสังขาร สังขารปรุงแต่งไปกับโลกเพื่อช่วยโลกได้ กระทบกระแทกกระเทือนอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว นี่คืออภิสังขาร 3 คือการสังขารอย่างย่ิงกว่าสามัญ

 

มันต้องลดละได้อย่างไม่กดข่ม ละลายด้วยปัญญา ใช้ฌาน แปลว่าไฟกองพิเศษ ฌานต้องมีปัญญา ฌานใดไม่มีปัญญาไม่ใช่ฌาน ต้องสัมผัสแตะต้องของจริง แล้วเกิดญาณ ไม่ใช่นึกคิดเอา เกิดการรู้ เช่นในวิปัสสนาญาณ 9 ฉลาดที่จะรู้ ไตรลักษณ์ สัมมสนญาณ รู้จักความวนเวียน สุขทุกข์เฉยๆ

 

 

 

570607_พ่อครู ทวย.งาน 80 ปีวิชิตชัยที่เฮือนศูนย์ฯ เรื่อง บุญต่างจากกุศลอย่างไร?

 

อาตมาตั้งใจจะพูดเรื่อง บุญ กับ กุศล เป็นหลัก วนซ้ำไปซ้ำมา ย้ำไปย้ำมา มีรายละเอียดซับซ้อน เล็กๆน้อยๆ ก็พยายามที่จะเอาหลักฐานมาอ้างอิงอธิบายให้ชัด

 

อาตมาเห็นความบกพร่องของศาสนาที่ไม่ชัดเจนเรื่องคำว่า บุญ กับ กุศล

 

กุศลเป็นคำกว้างๆ พาไปถึงนิพพานได้ ถ้าชัดเจน

 

การได้บุญ โดยเฉพาะส่วนแห่งบุญ ปุญญ ภาคิยา อุปธิเวปักกา คือมีส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ สะอาดขึ้นเรื่อยๆ

 

ถ้าเข้าใจคำว่า บุญ ไม่ถูก ก็เอาไปใช้อย่างไม่ถูกตรง เอาไปแทนคำว่ากุศล ทำให้คำว่า บุญ เพี้ยนไป ไม่ชำระกิเลสจริง ก็เลยกลายเป็นบุญที่ตลก กลายเป็นว่าคือสวรรค์ แต่ที่จริง บุญคือดับสวรรค์ ดับนรกเลย

 

คนทุกคนที่เกิดมาได้ร่างกายเป็นมนุษย์ ขอให้ไตร่ตรองให้ดี ว่าไม่มีอะไรที่จะเกิดประโยชน์ในการเกิดมานอกจากธรรมะ คุณเกิดแล้วก็ไปแย่งโลกธรรม ทำมานับไม่ถ้วนซ้ำซากทับถมไป ชาติแล้วชาติเล่า ไม่เกิดประโยชน์คุณค่าอะไรเลย พิจารณาให้ดีๆ อาตมาไม่ได้ให้คุณมาอยู่อโศกเลยนะ ถ้ามาแล้วอินทรีย์พละไม่ไหวก็ไปไม่รอด แล้วจะเป็นขยะเน่า เป็นภาระ เน่าก่อแบคทีเรียก่อมลพิษ พูดนี่ไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้เร่งรัดเกินสัจธรรมด้วย

 

ถ้าคุณยังหลงในโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คุณไปแย่งชิงอาศัยเป็นสุขทุกข์กับมัน คุณเป็นอยู่ไม่รู้กี่ชาติแล้ว คุณวนเวียนสร้างวิบากหนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าลดลงหรือคงที่นะ แต่หนามีความควบแน่นเป็นปึก เป็นตัน เป็นตั้งเลย

 

ก็ให้ตั้งใจดีๆ อย่าเสียเวลา ในพระไตรฯเขียนไว้ ชีวิตนี้ชั่วแม้น้อยอย่าทำเสียเลย พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนไม่แรง ก็สอนสุภาพ แต่อาตมาสอนแรงหน่อย ในยุคนี ตามฐานะที่อาตมาทำได้ในยุคนี้ อาตมาไม่ใช่เจ้าของศาสนาทีเดียว ก็เลยถูกติได้มากหน่อย

 

อาตมาได้พยายามจะแจกคำว่า กุศล ที่หมายถึง ความดี

บุญ แปลว่าการชำระกิเลส เป็นปรมัตถธรรมเลย ทำไปตามลำดับจนกว่าจะสิ้นอาสวะอนุสัย

 

พระพุทธเจ้าตรัสในมหาจัตตารีสกสูตร ว่าผู้มีสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติไปตามลำดับ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ให้ขันธ์สะอาดขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร สะอาดขึ้นเรื่อยๆ

 

กุศล เดี๋ยวนี้เขาก็พูดกันจนกว้างไม่รู้ว่าอะไรคือความดีที่จำเพาะไปถึงการกำจัดกิเลส ที่จริงคนที่ไม่เข้าใจทั้งสองอย่างคือบุญ กับ กุศล ก็เลยเข้าใจคำว่า ดีกับไม่ดี แกว่งไปแกว่งมาก กลับไปกลับมา ไม่ถึงขั้น สิ้นบุญสิ้นบาป

 

การสิ้นบุญสิ้นบาป ก็คือ อมตบุคคล เขาแปลว่า ผู้ไม่ตาย ก็แปลไม่ผิด แต่ไม่ถูกเลย

 

คำว่ากุศลไม่ได้ชี้นัยการหลุดพ้น แต่เป็นวงกลมเดียวเท่่านั้น ไม่พัฒนาสู่วงใหม่ได้ แต่ก็อาจได้ถ้าสัมมาทิฏฐิ

 

บุญ อธิบายได้ว่าสามารถนำไปสู่นิพพาน แต่ในพจนานุกรมภาษาไทย ไม่ได้มีความหมายพาไปนิพพานได้ แม้คำว่ากุศลก็ไม่ได้พาสู่นิพพานได้แต่อย่างใด กุศลไม่มีมิติของสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนได้ (ปฏินิสสัคคะ) ที่มีต้น กลาง ปลาย ขึ้นสู่มิติรอบสูงขึ้่นเรื่อยๆ จนถึงยอดสูงสุด เพิ่มไปตามคุณสมบัติ คุณธรรมที่ได้ เป็นการกำหนดความหมายของธรรมะที่เราได้ เช่นออกจากกามได้เป็นต้น ก็ออกได้ไม่ใช่ว่ากลับไปกลับมา

 

ต้องใช้ตัณหา ในการล้างตัณหา จะต้องมีความประสงค์จึงจะได้ เหมือนมีฝรั่งมาถามแล้วบอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ให้หมดตัณหา แล้วคุณอยากได้ความหมดตัณหาก็จะได้อย่างไร ..นี่คือความเข้าใจผิด ว่าอยากได้นิพพานไม่ได้ ฝรั่งมาถามท่านฑูต แต่ท่านก็ตอบไม่ได้อธิบายเขาไม่ได้เพราะไม่เข้าใจวิภวตัณหา แต่เมื่อท่านฑูตได้มาฟังพ่อครูก็ว่า

 

กุศลาภิสังขารอันเป็นปฏิสนธิในไตรธาตุ คือกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ นี่คือบุญ การได้เกิดการปฏิบัติจึงมีการออกจาก กาม พยาบาท เป็นการบ่งชี้ปรมัตถ์ เมื่อเข้าใจไม่แจ่มแจ้งก็ปฏิบัติไม่ถูก

 

ขั้นต้นต้องออกจากอบายภูมิ ขั้นกาม หลุดพ้นจากวงวนนี้ ได้เข้าถึงภูมิใหม่ สภาวะใหม่ เรียกว่า สมาบัติหรือ สัมปทา ถ้าไม่เข้าใจปรมัตถ์ก็ไปเข้าใจว่า ต้องไปเข้าสมาบัตินั่งหลับตาทำสมาธิ ไม่ใช่เข้าสู่ภูมิใหม่

 

การบรรลุธรรมแบบพุทธ นั้น จะเป็นลักษณะที่หลุดพ้นจากวงวนเดิม เข้าสู่รอบวนใหม่ แล้วก็หลุดจากความวนเดิม ไปสู่ความวนใหม่ จนกว่าจะถึงที่สุดสูงสุด ภาษาที่ใช้คือมีวิมุติ ออกจากภพต่ำ หรือตายจากภพต่ำไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น จะใช้ภาษาว่า สมติกมะ(แปลว่าชนะหรือล่วงพ้น) สู่การเข้าถึง (อุปสัมปทา) วงวนใหม่ ภพภูมิใหม่ แต่จากนั้นก็มีการปฏิบัติออกจาภพใหม่อีก ออกจากฌาน 1 สู่ฌาน 2 ออกจาฌาน 2 สู่ฌาน 3 ฌาน 4 จนไปสู่อรูปฌาน เป็นลำดับๆไป

 

ไม่ใช่ง่ายที่คนจะรู้ แต่ก็พอได้ อาตมาพอใจ อาตมาเคยพูดว่า ตายวันนี้ก็ได้แล้ว แต่มันก็อยากให้ได้มากกว่านี้อีก เป็นความตะกละอยู่น่ะ โพธิสัตว์มีลูกเป็นพันเป็นเอนก แต่ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น

 

การที่ยังไปติดสิ่งนั้นอยู่เช่นยาดูด คนท้วงท่านให้หยุด แต่ท่านก็ไม่หยุด กินหมากมันก็ไม่ใช่ยา เป็นต้น และท่านก็มีการมักน้อยสันโดษพอได้ เหมือนฤาษีอินเดีย แต่พระพุทธเจ้าไม่นับแม้โสดาบันเพราะไม่รู้ทางชัดเจน ไม่รู้ ต้น กลาง ปลาย พระพุทธเจ้าไม่รับแม้โสดาบัน จะกดข่มเก่งได้กี่ล้านชาติก็ตาม ไม่มีวิปัสสนาญาณ ที่ต้องแจ้งชัดในปรมัตถ์  จนทวนซ้ำ ปฏินิสสัคคะ แล้วให้มีลักษณะ นิจจัง ทุวัง สัสสตัง ไม่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง

 

รู้การเกิดดับของจิต จุตูปปาตญาณ นึกแล้วก็สงสารพระที่เขาอธิบายอภิธรรม ว่าจิตเกิดๆดับๆ แต่เขามีวิปัสสนาญาณ อย่างเห็นเป็นดวงๆจริงๆ

 

กิเสสเกิดเมื่อมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะกิเลสไม่เกิด คุณจะนึกสัญญามามันก็ไม่ใช่ของจริง จะนึกว่าล้างอย่างไรก็ของปลอม แต่เมื่อคุณผัสสะนั้นได้ทำการลดละกิเลสของจริงเลย เป็นการฆ่าที่ถูกตัวตนกิเลสเลย จะฆ่าบิลลาดิน ก็เอาระเบิดปรมาณูไปลงตายหมดประเทศนั้นไม่ได้ ไม่ตายด้วย ก็ต้องให้จับตัวให้ได้จึงฆ่า

 

และทำเป็นลำดับๆไปสัมผัสของจริง ล้างของจริง มันเกิดกิเลสก็ขณะลืมตาสัมผัส กับดินน้ำไฟลม เป็นการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

ถ้าไปเน้นหลับตา ก็ไม่ได้เจอผัสสะจริง การไปหลับตาก็คือเตวิชโช

 

องค์ประชุม คือ กาย ที่มีเวทนาเป็นส่วนสำคัญที่ต้องเรียนรู้ ทำเวทนา 108 ให้ครบองค์ ที่108 รู้สภาวะอดีต อนาคต และทั้งอดีตอนาคต จะไม่สมบูรณ์ จนมั่นใจว่า นิจจัง ทุวัง สัสตัง จะเกิดอีกกี่ชาติก็ สูญหมดตลอดกาล ปฏิญาณตนได้ว่า จบกิจแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อผู้อื่นได้ กิจตนไม่ต้องทำอีกแล้ว

 

เมื่อไม่รู้จักโอปปาติกโยนิ (การเกิดดับทางจิตวิญญาณ) ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความดับหรือความตายทางจิตวิญญาณก็ไปเข้าใจว่าเป็นรูปร่างตัวตนบุคลเราเขา เป็นมโนมยอัตตา

 

ต้องเข้าใจจิตที่เป็นสวรรค์หรือนรกอย่างไร และสวรรค์โลกีย์และสวรรค์โลกุตระก็ต่างกัน

 

สติปัฏฐาน 4 เป็นตัวสำคัญ ในโพธิปักขิยธรรม 37 โดยไม่ได้แยกทำเลย เป็นองค์รวมกันเลย ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบทอยู่(วิหารติ)

 

บุญเป็นของสูง แต่ทุกวันนี้เอามาเป็นเครื่องล่อให้คนทำดี ลึกๆรู้ว่าบุญเป็นเรื่องสูงกว่ากุศล แต่ว่าไปเอาบุญมาค้าขายหมดเลย เป็นเรื่องผิดพลาดของศาสนา

 

บุญคือการชำระกิเลสให้หมดจน ได้แค่นี้กลับไปนะงานนี้ ก็คุ้มแล้ว

 

คำว่า บุญต่างกับกุศล ถ้าไม่เข้าใจชัด ปฏิบัติไปนึกว่าตนได้บุญ แต่แท้ได้แต่กุศล ไม่ได้เนกขัมมะจริง

ไปสอนกันว่า ดีใจที่ได้ทำบุญ เอาบุญมาฝาก นี่คือสอนกันผิดๆ

 

บุญกิริยาวัตถุ 3 แต่เดิมมี 3 แต่อาจารย์รุ่นหลังมาเติมเป็น บุญกิริยาวัตถุ 10 แต่ก็ดีถ้าอธิบายถึงปรมัตถ์ได้ แต่ถ้าอธิบายเป็นโลกียะนั้นก็เจ๊งหมดเลยสิ

 

การทำดีแล้วเสพความดีใจชอบใจก็เป็นการเพิ่มกิเลสแล้ว ยิ่งถ้าอยากได้โลกธรรมก็ยิ่งเป็นเนื้อกิเลสมากขึ้น

 

การไปเมาหลงความดีที่เป็นกุศล แต่สนองกิเลส ไม่สามารถลดละกิเลส ไม่เป็นส่วนแห่งบุญ แต่เป็นเพียงส่วนแห่งกุศลเท่านั้น ไม่ได้ส่วนแห่งบุญเลย

 

ทุกวันนี้เพี้ยนไปมากแล้ว อย่างไรคือบุญไฉนคือกุศล อย่างไรคือขัดเกลาไฉนคือสะสม ซึ่งเข้าใจเพี้ยนไปมากแล้ว เพราะกิเลสในจิตทำให้เสื่อม ไปจากปรมัตถ์ เพี้ยนจากสัจธรรม

 

เฉกะคืออย่างไร ปัญญาคือไฉน ณ วันนี้ไม่รู้ เฉกะคือฉลาดชั่ว แต่ปัญญาคือฉลาดดี คนก็ไม่ชอบคำว่าเฉกะ เพราะคือฉลาดชั่ว คนก็เลยใช้แต่คำว่าปัญญา ทั้งที่จริง ปัญญาคือฉลาดล้างกิเลส ก็ใช้แต่คำว่าปัญญา เช่นเดียวกันกับคำว่า บุญ​กับกุศล

 

คนเราได้แค่เฉกะ ทุกคนเลย แต่ไปหลงว่าเป็นปัญญา แต่ที่จริงฉลาดขี้โกง หลงวัตถุ หรือหลงจิต ไปยิ่งๆขึ้น

 

อย่างไรคือวัตถุนิยมไฉนคือจิตนิยม แม้แต่พระบ้านกับพระป่านั้นเป็นอย่างไร สัมมาทิฏฐิหรือไม่ก็ไม่รู้ และก็ไม่รู้ว่าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นไฉน ก็เลยไม่คบสัตบุรุษ ก็เลยปฏิบัติธรรมไม่เจริญ หรือหลงว่าอสัตบุรุษเป็นสัตบุรุษก็เลยแย่

1.         การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์

2.        การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.        ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4.        การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

            สังคมโลกพัฒนาแต่ศาสตร์ ไม่พัฒนาพุทธศาสน์  ก็เลยทำให้สังคมแย่ลงมากเท่าที่เผยแพร่ ศาสตราไปห้ำหั่นกัน แต่ว่าอัตราการเผยแพร่พุทธศาสน์นั้นน้อยกว่ามากเลย ...ทำให้โพธิรักษ์หนัก ..แต่โพธิรักษ์ สู้ๆ

 

           

 

570608_พ่อครู ทวย. ที่เฮือนศูนย์ เรื่อง บุญต่างจากกุศลอย่างไร ตอน 2

 

เรากำลังจะตั้งมหาวิทยาลัยของพวกเรา เราทำนี่ก็เพื่อประโยชน์แก่โลกเขา เพราะแม้เรามีความสามารถ แต่คนติดอยู่ที่ติดยึดถือ เป็นเรื่องของโลกีย์ที่สร้างไว้ คนก็เลยไม่ใช้สัจจะ แต่ไปใช้เกณฑ์ของโลก ว่ามีใบปริญญา แต่ของเราไม่มีกรอบเดินตามนั้นเขาเลยไม่รับ แถมถูกมองแง่ลบอีก ก็ทำงานไม่ได้เยอะ แต่ก็ไม่ได้ต้องการให้ได้เยอะ แต่ให้ได้เท่าที่ควรได้ แค่นั้นก็ยังไม่ค่อยได้เลย เราก็เลยต้องหาทาง

 

แล้วมีคนที่เข้าใจเชื่อมั่นในพวกเราอโศกมาก ขอให้พวกเราผลิตไปเถอะ แล้วเขาจะให้เข้ากับที่เขาทำได้ ออกมาเป็นปริญญาบัตรได้เหมือนโลกๆเขาในประเทศไทย เขายินดีให้เลย ขอให้เราทำให้สำเร็จ ของเขามีสถาบัน ของเรายังตั้งเป็นสถาบันไม่ได้ ให้พวกเราเรียนกันแบบพวกเราแล้วให้ครบหน่วยกิต ครบ 4 ปีเขาก็จะรับรอง ว่าได้ปริญญาตรี

 

พวกเราก็เลยมาบอกกัน ประชุมกันตั้งแต่วันที่ 4 มาวันที่ 6 อีก และวันที่ 8 ประชุมกัน ปรากฏว่ามีชาวอโศกที่เข้าใจแล้ว มาสมัครเรียนกัน สถาบันของเราชื่อ สถาบันสัมมาสิกขาวิชชาราม SVI แต่เราทำศึกษาก่อนที่จะไปขออนุญาตไม่ได้ เราใช้ชื่อนี้ไม่ได้ ต้องขออนุญาตทางการก่อน แต่เราก็ทำในเนื้อหาไปก่อน

 

งานนี้เราก็เลยรับสมัคร เราไม่กำหนดว่าต้องจบม.6 เท่านั้น ขอให้อ่านออกเขียนได้ เราดูแล้วว่าผู้นี้ฐานะ วัยวุฒิ คุณวุฒิพอได้ เราก็รับเข้าเป็นนิสิต มีทั้ง ป.4 ป.6 ปวช. ปวส. ป.ตรี ป.โท ป.เอก ได้หมด ปรากฏว่ามีพวกเรามาสมัครกัน 103 คน

 

แล้วคนสมัครแล้ว เป็นนิสิตต้องอยู่ที่นี่เลยนะไม่ใช่ไปกลับ เป็นการเรียน ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา แต่หลายคนก็เป็นหลักในชุมชนอื่นๆ ก็ไม่อนุโลมนะ จะต้องมาอยู่ประจำทางนี้เลย อาตมาว่าเอาเข้าจริงแล้วมาไม่ได้หมดหรอก

 

 

มาเข้าเรื่องธรรมะอันวิเศษกันต่อ...

 

การบรรลุธรรม เริ่มต้นที่จิตเข้าใจ เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นเบื้องต้น แล้วจะมีพลังของความรู้ เข้าใจ หรือปัญญา ระดับต้นจะเข้าใจทิศทางชีวิต ว่าโลกียะกับโลกุตระต่างกันอย่างไร ทิศที่ต้องสะสมเอาโลกธรรมเป็นโลกียะ เข้าใจแล้ว ก็มาล้างกิเลส คนที่มีบารมีเข้าใจแล้วหยุดเลยมาเลย แต่ถ้าไม่มีบารมีก็เข้าใจแล้วแต่ยังทำไม่ได้

 

จิตเข้าใจมากพอว่าโลกียะคืออย่างไร โลกุตระคืออย่างไร ท่านเรียกว่า โสตาปันนะ คือผู้เข้าถึงเข้ากระแสโลกุตระ เข้าใจแล้วไม่เอาล่ะ ถ้าทำได้เลยแสดงว่าเจโตมีแล้ว พอได้ฟังแล้วเกิดปัญญา เหมือนสมัยพระพุทธเจ้าที่ฟังธรรมพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุธรรมพรวดเลย เพราะมีบารมีแล้ว

 

คนบางคนศึกษาอ่านไตรปิฎกมาไม่รู้กี่เที่ยวแล้ว ก็ยังไม่บรรลุโสดาบันเลย เพราะไม่ง่ายที่จะรู้ชัด ตัดสินว่าเราเข้ากระแสแล้ว จะต้องมีญาณรู้ ว่าพ้น สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา ศีลพตปรามาส

 

แต่ก่อนเราเคยมีรส เมื่อสัมผัส มีความดูดดึงเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีอาการนั้น แล้วจิตมันเข้าใจเลยว่าเราไปหลงมันทำไม ถ้ามีบารมีจะไม่กลับไปกลับมา แต่บางคนก็เวียนกลับไปกลับมาหลายครั้ง

 

บางพวกเคร่งศีล แต่ทำไปตามจารีตประเพณีที่พาเข้าป่าเข้ารกเข้าพง ไม่เป็นไปตามลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ตั้งแต่ศีล 5 ศีล 8 มาเป็นลำดับ อ่านออก ศีลข้อ 1 ให้ลดโทสะ ศีลข้อ 2 ให้ลดโลภะ ศีลข้อ 3 ให้ลดราคะ ถ้าไม่เข้าใจชัดก็ทำไม่ได้ หรือว่าคนอยู่วันทำได้กินมื้อเดียวได้ แต่ว่ากลับบ้านไปทำไม่ได้ เพราะว่าที่นี่มีสนามแม่เหล็กแห่งนามธรรม มีภาวะควบแน่น โน้มนำให้คุณมีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา แต่ถ้ากลับไปบ้านก็มีแต่สนามแม่เหล็กโลก หากไม่แข็งแรงก็ไม่ได้หรอก บางคนไปกลับบ้านไป แต่ว่าสั่งไว้ว่าตายแล้วให้มาเผาที่นี่เป็นต้น..ก็มีอย่างนี้

 

ถ้าเข้าใจคำว่า บุญ กับ กุศล ไม่ชัดเจนก็ไม่มีทางบรรลุธรรมได้ อาตมาพยายามแจกแจงแยกแยะ

 

เป็นเรื่องสำคัญมากจำเป็นมากสำหรับสังคมที่จะต้องให้ได้ธรรมะ อาตมาได้พยายามกระจายธรรมะนี้ไปสู่สังคมไทย ก็มีคนต้านหาความใส่ไข่ หาเรื่องอาตมา เอาความเท็จแล้วไปบอกสังคม เขาคิดเองเป็นหลัก แล้วสร้างเรื่องให้ไปโพนทะนาก็อาจเป็นได้ แต่อาตมามั่นใจว่าลึกๆแล้วเขารู้เหมือนกันว่าที่เขารับรู้และพูดนี่ไม่ตรงกับที่เป็นจริง

 

เขายอมรับได้ไม่กล้าแย้งแม้ว่าตอนนี้อาตมาปากชัดเลยนะ แต่่ว่าเขามีบัลลังก์ก็เลยเต๊ะท่าไว้ไม่มาก็มี ส่วนผู้ที่รับได้ไม่เต๊ะท่าก็มาเลย

 

มันเป็นสงครามสังคม ผู้ฉลาดก็ต้องมาเรียนรู้ อาตมากำลังพาทำการศึกษาที่นำหน้าโลก การศึกษาทางโลกมี 2 แบบคือ แบบศรัทธาและแบบปัญญา

 

แบบศรัทธาจะได้ความรู้แบบจิตนิยมได้ผลเป็นทางหนึ่งเรียกว่า Prophecy เขาศึกษาสูงสุดจะได้เป็นศาสดาพยากรณ์ Prophet

 

ส่วนทางปัญญานิยมจะเป็น Philosophy ได้เป็น Philosopher

 

ทางโลกก็ศึกษากันอยู่สองอย่างนี้ แต่ว่ามีคนศึกษาส่ิงที่จับต้องได้มากขึ้น อย่างสายศรัทธานั้นทำได้แต่ว่าพิสูจน์ยาก แต่ว่าสายปัญญานั้น พิสูจน์ได้ชัดเจน แต่ไม่ลึกเข้าไปหานามธรรม

 

 

มีพวกที่ศึกษาเพ่ิมเติมเข้าไปถึงจิต ได้ผลทางจิตมากขึ้น ได้ผลทางองค์ประกอบสังคมธรรมชาติมากขึ้น มีความรู้สูงกว่าปัญญาก็เรียกว่า ญาณวิทยา Epistemology

 

แต่ที่อาตมาพาทำนี่รวมไว้หมด ทั้งจิตนิยม ธรรมชาตินิยม ปรัชญา รวมเรียกว่า ปรากฏการณ์วิทยา Phenomenology เป็นเรื่องไม่หนีโลกีย์ ไม่หนีโลก มีหลักลึกซึ้งเข้าถึงจิตด้วย ของพระพุทธเจ้า

 

แต่ก่อนความรู้ของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีหลักวิชาอย่างที่โลกเขาพัฒนามา แต่อาตมามาถึงยุคนี้ก็นำมาใส่ อาตมาเป็นคนด้อยการศึกษา ไม่เป็นนักศึกษา แต่ก็พยายามเอาทุกอย่างมาร่วมอธิบาย

 

ณ ลมหายใจเฮือกนี้จึงถึงกาละอันควรแล้วที่จะให้ บุญนิยม มาช่วย ทุนนิยม เราไม่ได้มาล้มล้างทุนนิยม แต่จะสร้างคนให้ไปนิยมบุญ พลเมืองของทุนนิยมเขาก็จะมาเอง อาตมาไม่ได้แย่ง เขามาเอง

 

เราจะช่วยทุนนิยม เราไม่ได้ไปทำลายทุนนิยม แต่เขาจะค่อยๆลดลงไปเอง จริงๆแล้ว คนที่อยู่ในบุญนิยมีต้นทุนประมาณหนึ่ง แล้วการออกลูกหลานของบุญนิยมมีอัตราการก้าวหน้าน้อยกว่า อัตราการก้าวหน้าของทุนนิยม อย่างไรๆบุญนิยมก็ไม่ทันเขาหรอก ห้ามไม่ได้ที่โลกจะถึงกลียุค

 

แม้ว่าไม่ทันเขาแต่มีอัตราการก้าวหน้าอยู่ จะไปบอกว่าไปล้มเขาไม่ได้หรอก แต่เราของสร้างโลกุตระช่วยสังคมให้เบา ถ้าโลกียะเขาก็จะมีคู่ต่อสู้คู่เข่นฆ่ามากหน่อย เรามาบรรเทาเขา ไม่ได้ทำร้ายซ้ำเติมเขา

 

ตอนนี้คิดว่า ต้องช่วยเขาไม่อย่างนั้นจะเข้ากลียุคได้เร็วมากเลย ณ ลมหายใจเฮือกนี้ เราควรทำอย่างไร

 

เชื่อไหมว่าการแก้ไขปัญหาสังคมของโลกนี้ ดีที่สุดต้องใช้คนในการแก้ไข ไม่ใช่ใช้กฎหมายหรือหลักเกณฑ์ในการแก้ไข แต่กฎหมาย หรือรธน.ก็ต้องใช้ต้องบังคับ แต่ว่าไม่ได้ยั่งยืนหรอก

 

หลักเกณฑ์ของซุนวูว่า รู้เรา รู้เขา แล้วรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง แต่ของพุทธนี่ รู้เรารู้เขาแล้วช่วยเขาได้ เราอยู่เหนืออำนาจโลก เราหมดอบายเราก็อยู่กับอบายเขาได้ โสดาบันเป็นผู้เหนือโลก เป็น

 

เอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน พ้นอบาย และอบายก็มีอยู่ทั่วโลกเลย แต่ผู้บรรลุธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้หนีไปไหน ก็อยู่กับโลกเขา สัมผัสไม่ติดแล้ว เราสบายแล้ว นิวทรอน เป็นกลาง อยู่ ช่วยเขาได้ เป็นประโยชน์ต่อโลก รู้โลก มีโลกวิทู มีโลกุตระ มีโลกานุกัมปายะ

 

ถ้าคนได้วิชชา ได้ธรรมะอาริยะจะช่วยโลกได้อย่างแข็งแรงด้วย ไม่ใช้แค่กฎระเบียบมาบังคับ แต่จะใช้ความรู้ความเข้าใจปัญญามากกว่า

 

เราต้องพัฒนาบุญ ให้เข้าใจชัดเจน ว่าคือการลดกิเลสจากจิตให้หมดจด

โลกุตระคือธรรมะที่เอาชนะกิเลส ถ้าไม่อย่างนั้นก็แก้ปัญหาได้ชั่วคราว กดข่มไว้ ก็ได้ชั่วคราว

 

คุณรู้ไหมกิเลสนี่คือยอดนักฉวยโอกาสเลยนะ เผลอไม่ได้ ขนาดไม่เผลอมันยังเอาเห็นๆเลย เพราะฉะนั้นเผลอไม่ได้ จะต้องใช้โลกุตระในการล้างกิเลสให้ถาวรเลย จึงแก้ปัญหาได้ จึงจะเป็นคนมีบุญ

 

เรามีบูญคือได้ชำระกิเลสออกจากจิตสันดานให้หมดจน ก็จะแก้ปัญหาได้ จะใช้เทคโนโลยีอย่างไรก็แก้ปัญหาได้ไม่ยั่งยืนดีงามเท่าที่เรากำลังทำ ทำด้วยเมตตา ด้วยน้ำใจเกื้อกูลช่วยเหลือกันนี่แหละ จะแก้ไขได้ ต้องใช้คนนี่แหละ เราจะแก้ปัญหาด้วยการสร้างคนให้เจริญ

 

จะเจริญได้เร่ิมต้นต้องมีสัมมาทิฏฐิ เร่ิมต้นที่บุญ คำว่า ปุญญาภาคิยา แปลว่า ส่วนแห่งบุญ เป็นลำดับขึ้นไปๆ จากโสดาบัน มีโสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยต สัมโพธิปรายนะ ไปตามลำดับ ได้บุญมากขึ้นจนเต็มไปตามลำดับ  พระพุทธเจ้าตรัสคำวา ปุญญาภาคิยา ไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร
 

ถ้าคุณไม่สัมมาทิฏฐิจะไม่ได้ส่วนแห่งบุญเลย คนไม่รู้สภาวะอ่านพระไตรฯบทนี้ก็ไม่สำคัญในคำนี้ ก็เข้าใจแค่เป็นความดี กุศล กลางๆไปหมด โดยเฉพาะบุญคือการชำระกิเลสนะ

 

ขณะที่ผู้ปฏิบัติ ยังไม่หมดกิเลสเป็นเสขบุคคล แต่ส่ิงที่ไม่ติดแล้วก็จะไม่มีรสไม่มีอารมณ์เมื่อได้ผัสสะอันเดิมที่เคยติดอยู่ได้ เมื่อก่อน อาตมามีแฟน เขาซื้อลิปสติกแท่งละ 400 บาท ไปซื้อผ้ามาเมตรละ 100 กว่าบาท อาตมาก็ว่าแพงเหลือเกินไปซื้อมาทำไม? อาตมาเคยพูดกับแฟนว่า เราจะแต่งงานกันแล้วจะเป็นคู่บ่าวสาวที่แปลกที่สุดไม่แต่งหน้า

 

ผู้เข้ากระแสแล้วลดกิเลสได้ได้ส่วนแห่งบุญ แต่ไม่หมดอาวสะ ถ้าหมดอาสวะก็เป็นอรหันต์ ต้องทำใจในใจ(โยนิโสมนสิการ)ให้ถูกต้อง ทำใจให้ลดกิเลสได้นั่นเอง แต่ทุกวันนี้เขาสอนกันผิดๆทำใจในใจก็ได้แค่ตรรกะนึกคิด

 

เราต้องอ่านจิตให้ออก ว่าจิตอยากหรือไม่อยากอย่างไร กิเลสมันพองหรือแฟบอย่างไร? การทานก็คือต้องให้ ให้กิเลสลดลง ลดโลภลง จึงได้ผลสัมมาทิฏฐิ ได้เนกขัมสิตโสมนัสหรือโทมนัสเวทนาก็ต้องอ่านให้ออก เขาสอนกันให้ทำใจเหมือนกัน แต่ไม่ได้อ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เลย ขนาดอาตมาอธิบายอย่างนี้แล้วจะทำเป็นกันไหมนี่?....ให้ได้กันเถอะ ได้ลูกหลานพระพุทธเจ้า เป็นเนื้อแท้ เชื้อแท้ของพระพุทธเจ้า

 

ผู้ใดมนสิการไม่ลงถึงที่เกิด ที่ตาย เป็นแดนเกิด (สัมภาวะ) มนสิ คือที่ใจ เป็นหทยรูปที่ไม่ได้มีที่อยู่ ที่สมองหรือหัวใจหรือประสาทเส้นไหน? แต่ว่าอยู่ที่ใจที่มันเกิดวิญญาณนั่นแหละ อารมณ์เกิดตรงไหนก็ตรงนั้นแหละ

 

ใครเคยเจ็บใจไหม?....แล้วมันเจ็บที่ไหน ที่สมองหรือที่ไหน ที่ส้นตีนหรือไม่?(ขออภัยพูดให้มันถึงๆไม่ได้หยาบอะไรนะ) ก็บอกไม่ได้ แต่ว่ามันรู้ว่าเจ็บใจ คนปฏิบัติธรรมไม่มีเจ็บใจปวดใจหรอก คนทำร้ายอาตมาแต่อาตมาไม่เจ็บปวดใจเลย กลับเห็นใจเขา ไม่ได้ถือสาเขาเลย

 

มันต้องแยกอาการ ลิงค นิมิต อุเทส นี่คือการรู้ นามรูป พระไตรฯ ล.10 ข้อ 60 แต่ละคนต้องกำหนดรู้เองว่าอย่างนี้กิเลสชนิดไหน ไม่มีสีสันสรีระ แต่ว่าเป็นอาการ สุขทุกข์ อยาก แต่ว่าความอยากนี่ต้องใช้นะ เป็นวิภวตัณหา ที่อยากลดกิเลส พระพุทธเจ้าก็อยาก แต่ว่าอยากทำกุศลให้ถึงพร้อม ท่านไม่ต้องทำบุญแล้ว ไม่สันโดษในกุศล

 

กุศล ต่างจาก บุญ ต้องชัดเจน  แต่คำว่าบาปนี่มันคือกิเลสแท้ๆ คุณทำกรรมที่เกิดจากกิเลสก็สั่งสมวิบากบาป คุณต้องใช้หนี้ อย่างกุศลเสพสุข คุณก็จำมันไว้อยากได้ คุณจำแล้วยึด ถ้าคุณจำแล้วไม่ยึดก็จำได้น้อย หรือบางทีไม่ยึดก็ไม่จำเลย ภาษาปฏิบัติธรรมว่าเราไม่ยึดมั่น(อุปาทาน)ถือมั่นแต่เรายึดใช้ถือใช้ เรียกว่าสมาทาน อะไรที่ควรวางแล้วไม่เอามาใช้เลยก็คือบาป  แต่บาปที่คุณทำในอดีตแก้ไขไม่ได้แล้วแต่ปัจจุบันคุณทำได้ อะไรที่เราติดยึดมา เราทำกิเลสไม่เกิดอีกเลยในทุกปัจจุบัน คุณก็ไม่มีทางเกิดอกุศลได้เลย มีแต่ทำได้แต่ดีไปตลอดกาล บาปไม่ทำแล้ว สัพพปาปสอกรณัง เพราะคุณได้ล้างกิเลสได้หมดแล้ว

 

ปฏิบัติธรรมต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย เป็นเหตุให้ได้ปฏิบัติจริง เมื่อสัมผัสแล้วตรงสเปคก็จะเกิดชอบใจ หากไม่ยับยั้งก็จะเอามาให้ได้ แล้วต้องไปทำผิดศีลไปขโมยเอามาต่อเนื่องกันไปเลย เป็นต้น เราต้องอ่านรู้เวทนา 108 แล้วทำเนกขัมมสิตเวทนา ทำฌาน ทำสมาธิ ชำระกิเลส

 

สติเป็นอธิปไตย คือสติจะเก่งมีอำนาจช่วยตน แม้เจออบายมุข สติก็จะพร้อม มีความเป็นใหญ่มีวิมุติพร้อมแล้ว เป็นยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยในโลกหล้า คุณจะไปเจออบายมุขที่ไหนๆในโลกก็ตาม หลุมนรกที่มาหลอกว่าเป็นสวรรค์เป็นสวรรค์ลวง คุณหลุดพ้นแล้วก็ไปอยู่กับเขาได้ ยิ่งกว่าสวรรคาลัย แต่ก่อนได้สวรรค์โลกียะ แต่ว่านี่ยิ่งกว่าคือได้สวรรค์โลกุตระสวรรค์เฉยๆ ยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลกหน้า นี่คือโสดาปัตติผล

 

คุณจะมีปัญญาโลกุตระ แม้เขาเป็นทาสอบาย กาม โลกธรรม อัตตากัน แต่คุณหลุดพ้นมาได้ก็มีความเป็นใหญ่เหนือกว่า ปัญญาเป็นยิ่ง (อุตตระ)

 

แล้วผู้ที่ผ่านได้ก็จะมีทั้งสมาธิ(ประมุข) สติ(อธิปไตย) ปัญญา(อุตตระ) หลุดพ้นจากสังโยชน์ ตามลำดับๆมา มีวิมุิต คนวิมุตินี่แหละคือเป็นอมตะ (โอคทา) เป็นที่หยั่งลง จิตคุณไม่เกิดไม่ตาย ไม่มีบาปมีบุญ ไม่ต้องเกิดตายอีกแล้ว

 

การปฏิบัติธรรมให้บรรลุได้ต้องมี สุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส คือในกายยาววาหนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจนี้ ไม่อย่างนั้นปฏิบัติไม่ได้ นอกจากอนาคามีก็ปฏิบัติโดยไม่มีร่างนี้ได้

 

คนปฏิบัติจนชำระกิเลสได้หมด ก็ไม่ทำบาปอีกแล้วก็ไม่ต้องทำบุญอีกด้วย เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป (บุญปาปปริกขีโณ) จิตก็หยั่งลงเป็นอมตะ หรือจะเลื่อนไปสู่อมตะก็ได้ เป็นจิตเจริญสูงสุด

 

ปุญภาค....ส่วนแห่งบุญ ได้จริงอย่างไร คือต้องรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ในปรมัตถธรรม ในจิตนั้น

 

ว่าจิตเป็นเช่นนี้มีอาการเช่นนี้ อาการสุขทุกข์ หรือกิเลสเป็นโทสะ ราคะ ก็กำหนดออก มีนิมิตกำหนดหมายรู้เองของใครของมัน คุณกำหนดผิดก็ของคุณเอง อาการที่รู้ยากที่สุดคือเหลือน้อยที่สุดกับหมด ...เอ๊ เราหมดหรือยัง?ก็ยากที่จะรู้ มันไม่เกิดอีกตั้งนาน แต่มันแวบมาอีก นี่นึกว่าหมดแล้ว..

 

 

พระพุทธเจ้าให้กำหนดรู้ในทุกปัจจุบัน ตรวจแล้วตรวจอีก ผู้ที่ท่านรู้จริงปฏิบัติจริงจะไม่ตัดสินตัวเองง่ายๆ ต้องหมั่นทบทวนตัวเอง เสมอๆ ตรวจสอบให้มาก เตวิชโชจึงสำคัญ คุณจะระมัดระวัง พยายามกำจัดมันให้ได้จึงเจริญ ถ้าได้รู้ว่ามันยังมีอยู่

 

ผู้สมบูรณ์แล้วสิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว ท่านต้องทบทวนกว่าจะรู้ว่า นิจจัง ทุวัง สัสตัง ฯ แล้ว กิเลสเราไม่มีอย่างเที่ยงแท้แล้ว สิ่งทั้งมหาจักรวาลนี้ไม่มีส่ิงเที่ยง นอกจากสิ่งเดียวนี้คือ นิพพาน สิ่งต่างๆล้วนหมุนเวียน มีแต่นิพพานเท่านั้นที่หลุดพ้น ไม่วนเวียนอีก

 

นิพพานประกอบไปด้วยจิต นิพพานอยู่ในจิต ปรินิพพานแล้วหมดเชื้อ จิตของผู้นี้ก็หมดไป ความเที่ยงนี้มีอยู่ในจิตของผู้ที่นิพพานแท้ อย่างนิจจัง ทุวัง สัสตัง อวิปรินามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง

 

ปรินิพพานแล้วก็ไม่มีีความเที่ยงแล้ว ความเที่ยงมีอยู่แต่ในจิตของอรหันต์ กับพระพุทธเจ้าเท่านั้น หากไม่ถึงอรหันต์ก็ไม่เที่ยง

 

 

 

 

570609_พ่อครูทวย.งานอโศกรำลึก พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ เรื่อง โพธิปักขิยธรรม 37

 

วันนี้พายุฝนได้พัดกระหน่ำ ในช่วงเวลา 17.45 น.ก่อนจะทำพิธีบูชาฯ เป็นเหตุให้ทีมงานแสงสีเสียงต้องย้ายมาข้างในเฮือนศูนย์สูญ ...

 

ฝนก็ต้องตก เป็นธรรมชาติเป็นไป เรื่องธรรมชาติกับเรื่องนามธรรม มันจะลงตัว รูปธรรมกับนามธรรมจะลงตัวสอดคล้อง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ประสูตร์ก็มีแผ่นดินไหวทุกพระองค์ จะว่าหมอดูก็ตามเถอะ แต่เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่ลงตัวกัน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็วันเพ็ญเดือนหก ประสูตรและปรินิพพานก็วันเพ็ญเดือนหก เป็นเรื่องสัจจะที่เดาไม่ได้

 

เช่นเดียวกันสิ่งที่มันจะลงตัว เราเองปฏิบัติธรรมพิจารณาเวทนาในเวทนา รู้เหตุ ที่เป็นอกุศลจิตอยู่ในเวทนา เป็นตัวปรุงแต่ง สสังขาริกัง ผู้ที่กำจัดตัวสมุทัยได้ ก็หมด นี่แหละต้องปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4  โพธิปักขิยธรรม 37

 

ต้องกำหนดศีลให้ตัวเอง แล้วทำเหตุให้สูญ เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาได้ จากมโนปวิจาร 18 และ 36 เมื่อเราปฏิบัติเคหสิตเวทนา กำจัดเหตุให้เป็นเนกขัมมะ ต้องรู้ทั้งสองอาการ จนทำได้รู้แล้วว่าทำเช่นนี้ก็ทำซ้ำ ทำอีก เป็นปฏินิสสัคคานุปัสสี คือทำเวทนา 36 ทำสั่งสมเป็นอดีต ทุกปัจจุบันเราปฏิบัติเรียนรู้สั่งสมเป็นอดีตทุกปัจจุบัน ส่วนอนาคตนั้นไม่มีในชีวิต อีก 36 ต้องทำทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีต 36 ทำให้กิเลสสูญ เด็ดขาดๆ เป็นปฏินิสสรณปหาน เด็ดขาดทุกปัจจุบันจะเป็นตัวที่ชี้บ่ง ชี้วัดเป็นดัชนีชี้ค่า ว่าเราทำได้สำเร็จ จนเป็นตถตา เป็นเองโดยไม่ต้องปฏิบัติ เหตุแห่งกิเลสจะมาท่าไหน เรารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม กิเลสก็เกิดไม่ได้ มันสูญเอง เป็นตถตา เป็นความจริงที่ลงตัว อัตโนมัติ เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

จากอดีตที่เป็นสูญเพราะเราทำปัจจุบันเป็นศูนย์ได้ตลอด เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองจนแน่นอนแล้ว เป็นเรื่องเที่ยงแท้ลงตัว นี่คือสภาพที่เดาไม่ได้ เป็นอจินไตย

 

พระพุทธเจ้าจะทำนายว่าองค์นี้เป็นมหาโพธิสัตว์ ว่าจะพยากรณ์ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใด มีนามอย่างไร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาอย่างไร รู้หมด ไม่ใช่เรื่องเดา แต่เป็นเหตุปัจจัยที่ลงตัวหมด แต่อย่าหลงให้คนเอาส่ิงที่คนไม่รู้ ก็ว่าลึกลับ แต่คนที่รู้ก็เป็นลึกล้ำ

 

วันนี้ตั้งใจจะเทศน์บอกหลักเกณฑ์การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธคร่าวๆ อาตมาคิดว่าจะเขียนหนังสือตำราพุทธศาสนาเป็นหลัก จะต้องปรึกษานักวิชาการที่เก่งๆ วางโครงสร้างให้อาตมา ตั้งหลักเกณฑ์อย่างไร เช่นอาตมาตั้งใจอธิบาย ไตรสิกขา จรณะ 15 วิชชา 8 โพธิปักขิยธรรม 37 มรรคองค์ 8 สี่หลักนี้ก็พอแล้วที่จะเอามาอธิบาย

 

เช่นศีล สมาธิ ปัญญา เป็นไตรสิกขาที่ทั้งโลกเลย สมบูรณ์สุดแล้วของมนุษยชาติ ต้องปฏิบัติไปตามฐานะบุคคล จะเอาศีลข้อเดียว หรือศีล 5 ข้อ ปฏิบัติบัติจรณะ 15 ที่จริงก็คือมรรคองค์ 8 ที่จะต้องปฏิบัติให้เกิดอธิจิต ให้เกิดสมาธินั่นเอง ก็คือมรรคองค์ที่ 8 การปฏิบัติมรรค 7 องค์นั่นแหละคือปฏิบัติมรรคองค์ 8

 

ต้องมีทิฏฐิให้สัมมา ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่สามารถปฏิบัติมรรคได้ถูก เพราะทิฏฐิเป็นประธาน ของมรรคองค์ 8 แล้วเมื่อมีทิฏฐิเป็นประธาน เวลาปฏิบัติต้องมีหวังเฉา หม่าฮั่น เป็นผู้ช่วย คือมีสติ และวายามะเป็นผู้ช่วย

 

ตัวสำรวมอินทรีย์เป็นตัวที่ 2 ของจรณะ 15 อาตมาอธิบายเป็นปฏิสัมพันธ์ ต้องมีศีลเป็นตัวหลัก

 

ทำไมต้องศีลเป็นตัวตั้งต้น ก็ต้องคบสัตบุรุษ แล้วท่านจะอธิบายให้ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ในอวิชชาสูตร ก็ได้ฟังธรรมบริบูรณ์ ก็มีศรัทธาบริบูรณ์ ก็จะมีทิฏฐิที่บริบูรณ์

 

ในอวิชชาสูตรก็มีโยนิโสมนสิการให้บริบูรณ์ ตัวโยนิโสฯนี่ต้องปฏิบัติเพื่อให้เกิดอธิจิตสิกขา ไม่อย่างนั้นปฏิบัติไม่ถูกต้องจะเพี้ยนไป อย่างที่เขาทำกันในปัจจุบัน เขาก็ว่าโพธิรักษ์เป็นใคร มากวาดเขาทิ้งเลย มันน่าอ้วกนะ เขาถือถ่ายทอดสืบทอดกันมานานแล้ว แล้วโพธิรักษ์จะมาฉีกเขาทิ้ง เขาถึงจะฆ่ากันตาย เพราะเขานับถือกันมาหลายรุ่น ไปทำลายเขาทิ้งนะ

 

คำว่าอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา  คือศีล จิต ปัญญา อันยิ่ง คุณต้องทำจิตเป็น มีโยนิโสมนสิการ

 

การปฏิบัติอธิศีล ทำได้สัมมาทิฏฐิจะเกิด อธิจิต อธิปัญญา ปัญญาจะรู้ได้ รู้ตรวจสอบ ว่าได้ผลตรงกับที่เรารู้เป็นมรรค ได้ผลจน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นตัวตัดสินว่าเราทำอธิจิตได้สมบูรณ์

 

แต่เวลาปฏิบัติโสดาบันก็ไม่ใช่ว่า ทำจนหมดเลย อย่างนั้นจะช้า แต่จะทำกิเลสตัวเดียวให้สูญ​จนกระทั่ง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) แล้วมีเจโตปริยญาณถูกต้องทุกขั้นตอนเลย ทำดีๆๆๆเลย ก็ยอดเลย อย่างนั้นจะเร็วได้

 

การปฏิบัติจิตในจิตก็คือรู้เจโตปริยญาณ ทำได้สมบูรณ์รัดรอบ รอบรู้ จริงแท้ไม่มีอะไรยิ่ง วิเศษสุด การปฏิบัติ จรณะ 15 มรรคองค์ 8 ก็เพื่อให้เกิดอธิปัญญา อธิวิมุติ  แล้วมีวิมุติญาณทัสสะ หลักปฏิบัติก็มีศีล สมาธิ ปัญญา และสุดยอดคือมีวิมุติญาณทัสสนะ

 

ตัวปฏิบัติคือมรรคองค์ 8 จะต้องมีสัมมาทิฏฐิจริง ก่อนจะได้สัมมาทิฏฐิต้องคบสัตบุรุษ หากไม่พบ คุณเดาไม่ได้หรอก ศาสนาพุทธต้องเป็นสาวกภูมิก่อน รู้จากผู้ตรัสรู้แล้วถ่ายทอดมา แต่อย่างอาตมามีปัจเจก ชาตินี้ไม่ได้มีอาจารย์คนไหนเลย รู้มาจากชาติก่อนๆ เขาได้ยินก็อ้วกเลย แต่อาตมาก็บอกว่าที่รู้เองในชาตินี้ก็รู้จากผู้อื่นมาก่อนในชาติก่อนๆ ทุกอย่างมาแต่เหตุ เกิดเองไม่มี ยิ่งสัจธรรมระดับ สัทธรรม

 

แสงอรุณก่อนที่จะได้เห็นดวงอาทิตย์ต้องได้เห็นแสงอรุณก่อน เป็นสัจจะตายตัว คุณต้องมี​7 สภาพนี้ก่อน จึงปฏิบัติมรรคองค์ 8 ก่อน

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134]  ทิฏฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

 

            จิตคุณต้องมีฉันทะในการปฏิบัติ ถ้าไม่มีฉันทะอิทธิบาทไม่เกิด ไม่มีความยินดีพอใจในการปฏิบัติ เมื่อมีฉันทะคุณต้องเรียนรู้อัตตา คนเขาก็บอกว่าไม่มีอัตตา พระพุทธเจ้าสอนว่า ทุกอย่างไม่มีตัวตน นั่นเขาได้แต่อัตตา ที่ยึดได้แค่วาทะเป็นอัตตวาทุปาทาน จะต้องอ่านออกในตัวตนของสักกาะ ตัวตนของอัตตา

 

สักกะ แปลว่า ตัวเอง เป็นองค์ประชุม องค์รวมของสภาพที่เกิด ครบเป็นมนุษย์ ถ้ามีแต่กาย ไม่มีจิตก็ไม่รู้องค์รวมทั้งหมดก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเวลาปฏิบัติต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจครบ เวลาปฏิบัติต้องมีผัสสะ แล้วเรียนรู้อัตตาในวิญญาณนั่นแหละ รู้อัตตาแล้วเราทำที่เรากำหนด โดยเราจะลดอัตตาตัวนี้

 

ยามสัมผัสสัตว์นี้แล้วเราเกิด กามราคะหรือพยาปาทะ สัมผัสแล้วเกิดชอบหรือชังก็ต้องรู้ สัมผัสสัตว์ ก็รู้ สัมผัสคนด้วยกัน ก็รู้ คนนี้ชอบใจ คนนี้ไม่ชอบใจ คนนี้ยาก แค่นี้ก็ผู้พยายาทแล้ว แค่นี้คุณก็ผูกยึดอยู่แล้ว คุณสัมผัสแล้วเกิดอาการสัตว์คุณก็ต้องรู้ตัว เอาหยาบๆก่อน โทสะ ราคะเกิดคุณก็ทำตรงนั้นก่อน ต้องสัมผัสจริง จึงปฏิบัติได้

 

สัมผัสของเขา มีจิตที่อยากได้ไหม? แย่งชิงปล้นเอาของเขามา มันเกิดจากจิตจริง กิเลสจริง หรือราคะ มันจะเกิดราคะจัดจ้านอยู่เลย ตั้งแต่คุณสัมผัส จริงๆราคะกับโทสะเป็นของคู่กัน จริงๆมันเป็นความอยากไม่อยากได้ อาตมามีเพื่อนคนหนึ่ง ที่ต้องฆ่างูให้ได้ ถ้าฆ่าไม่ได้นอนไม่หลับเลย มันเป็นโรคพยาบาทมา เขาเล่าให้ฟัง เจองูทุกตัวต้องฆ่า ไม่ฆ่านอนไม่หลับ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เหมือนคนที่เจอกันก็ตามฆ่ากัน เจอกันจะเอากันให้ตายเลย ไปโกรธกันทำไมนักหนา อาตมานึกไม่ออกเลยอารมณ์อย่างนี้

 

อาการรัก ก็แรง เหมือนโกรธ แต่ว่าไม่ได้ไปทำร้ายเหมือนโกรธ แต่ที่จริงก็แรงเหมือนกัน ดังนั้นราคะล้างยากกว่าโทสะ เพราะว่าโทสะนั้นเป็นความไม่ชอบใจต้องกำจัดออกได้ก่อนเลย

 

เมื่อเราสามารถรู้วิธีปฏิบัติ ไล่มาตั้งแต่มรรค 8 มีสติกับความพยายามห้อมล้อม กับทิฏฐิที่สัมมา เมื่อทิฏฐิสัมมา สติกับวายามะก็สัมมา ขึ้นต่อประธาน คือทิฏฐิ แม้จะไปดำรินึกคิด ไปทำกรรมทุกอย่างอาชีพใดๆ อาชีพที่ต้องตรวจก่อนเลย ก็คือ กุหนา ลปนา สำหรับโสดาบันต้องละ กุหนา ลปนา

 

กุหนาคือกาย วจี มโน นั้น ทุจริตหมดเลย พอมาเป็นลปนาก็ใช้ภาษาวาจา แต่ไม่ได้ลงมือเอง จะล่อหลอก ใช้กลเม็ดเด็ดพราย ยังเป็นอกุศลจิต ต้องเลิกให้ได้ ศีล 5 มาถึงขั้นนี้ต้องหมดทั้ง กาย วาจา

 

ชีวิตของเราจะปลอดภัย ในอบายคือกุหนา ลปนา เมื่อเราปฏิบัติศีล 5 อย่างเงินเดือน เราจะได้มากกว่าที่ควรได้ เราอยู่ในสังคมเราก็จำเป็นต้องรับ แต่รับมาแล้วเราก็แจกจ่ายเผื่อแผ่ได้

 

เมื่อเราปฏิบัติศีลให้เกิด สมาธิ ปัญญาได้ ก็มาละล้าง เนมิตกตา ซึ่งแปลว่า การเสี่ยงโชค คือถ้าทำดีก็ได้ผล ถ้าทำไม่ดีก็ไม่ได้ผล แต่รู้จักหลักปฏิบัติ มีสัมมาทิฏฐิ ไปตามลำดับ เช่นคุณทำศีล 5 บริบูรณ์เป็นโสดาบัน

 

นิปเปนิกขา เมื่อคุณพ้น เมสิตกตาแล้ว แต่คุณยังมอบตนในทางที่ผิด เช่นคุณบริสุทธิ์แล้ว ศีล 5 แต่คุณไปทำงานในบริษัทที่ไม่มีศีล คุณไม่ได้ทำผิด แต่คุณก็ทำร่วมกับเขา รับเงินเดือนจากเขา ยกตัวอย่างเบญจวรรณ ทำงานกับเขาแต่เขาโกงกันทุกโต๊ะเลย ก็อยู่ไม่ได้ในที่สุดก็ต้องออกมา

 

อาตมาไม่กังวลหรอกใครไม่มาก็ไม่ต้องมา ไม่ง้องอน เพราะถ้าง้อเขามาแล้วเขาไม่ดีก็แย่สิ แล้วอย่างทำงานฟรี ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา ทำงานเสียสละหมด แล้วมันจะอยู่อย่างไร (วะ) เขาก็คิดยาก แต่ของพวกเราไม่มีปัญหา เราเข้าใจแล้ว เราก็อยู่กันอย่างสบาย พิสูจน์ได้ว่าเราอยู่อย่างสาธารณโภคีวิเศษสุด

 

เขางง ว่าสังคมจะเป็นแบบนี้ได้ ไม่เชื่อ จริงไม่ง่าย แต่มนุษย์เป็นได้ อาตมารู้ว่าเป็นได้หมดไม่ได้หรอก แต่เป็นได้ขนาดนี้ก็อยู่สบายแล้ว คนจริงจะอยู่ คนไม่จริงก็ไม่อยู่ แล้วไปไหน ก็มาอยู่วงอโศกสิ ถ้าไม่อยู่ก็ไปอยู่วงนอกสิ

 

ผู้ที่หลุดพ้นจนถึงทำงานไม่เอาส่ิงแลกเปลี่ยนนี่เป็นไปได้ อาตมาซาบซึ้งจริงๆ อาตมาเอามาอธิบาย หากเป็นไปไม่ได้ เขาก็เอาตายเลย แต่นี่เป็นไปได้ จะบอกว่าพวกนี้ถูกครอบงำความคิดสะกดจิตก็พิสูจน์กันไปสิ หาว่าอาตมาใช้มนตรา แต่ก่อนว่า อย่าไปดื่มน้ำนะ เขาใส่มนต์เข้าไป นี่ถ้าอาตมาทำได้ก็ร่ายมนต์วันละ 10 คนก็สบายแล้ว ..ว่าไป

 

เราพิสูจน์ ว่าปฏิบัติได้ ถึงขึ้น ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา แต่มันมีสภาพเชิงซ้อนที่ไม่บริสุทธิซะทีเดียว ที่จริง ฐานไม่ยิดนดีในเงินทองนี่เป็นฐานอนาคามีนะ แต่มันซ้อนที่สกิทาคามีก็ได้แล้ว จะเห็นว่าพวกเราศีล 8 ก็ไม่ใช้เงินใช้ทองได้สบาย เราไม่กดข่ม เงินทองก็เหมือนของใช้ เสื้อผ้าเราก็เอาไว้ใช้แค่พอ ไม่ใช่ว่าไปเห็นว่าเงินทองเป็นเรื่องวิเศษอะไร

 

วิธีปฏิบัติจรณะ 15 โพธิปักขิยธรรม ก็ตาม มีการปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 ข้อ คือ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ นี่คือการปฏบัติที่ไม่ผิด แต่การไปนั่งหลับตาปฏิบัติจึงเป็นการปฏิบัติที่ผิด

 

ยิ่งอาหารคือคำข้าวต้องกินอาหารเลี้ยงชีพ สัตว์เดรัจฉานก็ต้องกินกวฬิงการาหาร คุณปฏิบัติอาหารนี่แหละ เป็นอรหันต์ได้ เป็นอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าแล้วก็ต้องฉันอาหาร ไม่มียารักษาโรคก็ไม่เป็นไร ที่อยู่หรือผ้านุ่งไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่อาหารนี่ไม่มีก็ซี้แหง อาหารเป็นหนึ่งในโลก

 

การปฏิบัติโภชเนมัตตัญญุตา ปฏิบัติเรื่องอาหารมีรสปรุงแต่งมาอย่างไร คนไทยนี่ปรุงแต่งอาหารเก่งฉิบหาย อกหน่อยอาหารไทยไปทั่วโลก ปรุงแต่งเก่งจริงๆ อีกหน่อยไปตั้งร้านอาหารทั่วโลก หลอกคนไปทั่วเลย

 

พันตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ว่าอาตมาว่าปฏิบัติธรรมอะไรกัน พูดแต่เรื่องกินๆๆ ตามว่าอาตมาตั้งแต่ปี 25 ตอนหลังติดคุกอาตมาก็ให้คนไปส่งอาหารให้ เขาก็ตอบมาว่า อาหารท่านมียาง

 

เมื่อสามารถปฏิบัติอปัณกปฏิปทาได้ ก็ไปถึงอรหันต์ได้ แล้วปฏิบัติเหมือนกันหมด ไม่ว่าเป็นโสดาฯถึงอรหันต์ จนตื่นเป็นชาคริยา ตื่นออกจากโลกีย์ได้ จนเป็นพุทธะ

 

ปฏิบัติธรรม สี่ข้อนี้ คือ ศีล จะเกิดอธิจิต 7 คือศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูตร วิริยะ สติ ปัญญา แล้วจะสั่งสมเป็นฌาน 1 ถึง 4 เป็นจรณะข้อ 13 ถึง 15

 

ได้พบสัตบุรุษก็เกิดศรัทธา เมื่อเกิดจิตดีแล้ว มันเข้าใจแล้ว เมื่อสัมผัสสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจะละอาย แต่ก่อนนี้เราสัมผัสแล้วไม่ละอาย สัมผัสแล้วน่ากิน น่าได้ น่าเอา อยากได้ ไม่อายเลย แสดงตาเหลือกตาลาน ใครไม่เคยยกมือขึ้น เคยทุกคน แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว เราตั้งศีลแล้ว ถ้ายังเกิดจิตก็ละอาย เช่นศีล 5 มันเมา เราก็ตั้งศีลว่าเราไม่เอาเหล้าเด็ดขาด เราเลิก เวรมณีข้อ 5 แล้ว เวลาสัมผัส ถ้าใจยังอยากมันไม่ละอาย แต่พอมันเกิดอธิจิตมันจะละอาย และสูงขึ้นไปก็เกิด โอตตัปปะ คือกลัวเรามีกิเลส เป็นคุณสมบัติของจิตที่เจริญขึ้น

 

หิริจะเกรง พอเกิดแล้วละอาย แต่เผลอก็เอา แต่โอตตัปปะ นั้นต่อหน้าหรือลับหลังก็ไม่เอา มันมีนิพพิทาญาณ จิตบรรลุธรรมเป็นพหูสูตร ที่คือการปฏิบัติหลุดพ้นได้มาก เมื่อทำได้คุณก็ทำเพ่ิม มีวิริยะ สติ ปัญญา มาเสริมเพื่อให้เสริมให้สูงขึ้นเป็นฌานที่สูงขึ้น จรณะ 15 จะเจริญขึ้นโดยมีวิชชา 8 เป็นตัวปัญญา เป็นอภิปัญญา เป็นยาดำอยู่ จะต้องรู้ตลอดเวลา รู้ทฤษฏี รู้ว่าละได้จริง จิตตั้งมั่นเป็นสมาหิตังที่เป็นตัวที่ 3 Past perfect tense เป็นตัวที่ทำสมบูรณ์แล้ว

 

ปฏิบัติธรรมจรณะ 15 วิชชา 8 ก็คือ​ ศีล สมาธิ ปัญญา

 

ฌานต้องมีปัญญา ที่จะรู้ตั้งแต่สำรวมอินทรีย์ ไป ถ้าเราเข้าใจสภาวะกับพยัญชนะจะไม่ผิดเพี้ยน ปฏิบัติไปจะแจ้งชัด แล้วโพธิปักขิยธรรม 37 นี้มี 7 ข้อ มีสูตรในการจำคือ 4 5 7 8

 

1.         สติปัฏฐาน 4   สติตรวจสอบจิตให้บริสุทธิ์ เป็นต้นหน

2.        สัมมัปปธาน 4            ยุทธวิธีเพียรทำลายกิเลส

3.        อิทธิบาท 4      ทะยานยันไปสู่ความสำเร็จ  เป็นกัปตัน

4.        อินทรีย์ 5        สั่งสมเป็นกำลังธรรมของจิต 

5.        พละ 5                         ขุมกำลังธรรมะของจิต

6.         โพชฌงค์ 7     การก้าวเดิน..สู่การตรัสรู้

7.        มรรคมีองค์ 8              ทางเอกเพื่อเดินสู่การตรัสรู้

 

ตัวสติปัฏฐาน 4 ถ้าไม่เข้าใจคำว่า กาย คำเดียวนี้ ก็ไปไม่รอด  กายในกาย ก็เป็น รูป ที่เป็นรูปจำที่อยู่ภายใน ไม่ใช่อาการทางจิต เขาอธิบายกันว่าเห็นสัตว์ เทวดาเป็นรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้  แล้วก็บอกว่าเห็นรูปแล้ว นั้นคือการเข้าใจที่ผิด เพราะว่า เทวดา สัตว์ทางนามธรรมนั้นไม่มีรูปร่างสีสัน แต่รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส

 

ที่มีเหตุคือตัวต้องการ หรือตัณหา มันเกิดที่จิต เป็นสราคะ สโทสะ อาการอย่างนี้คือราคะ เป็นกามวิตก หรือกามสังกัปปะ แล้วอาการอย่างนี้เป็นพยาบาทวิตกหรือพยาบาทสังกัปปะ ตาคุณเห็นอยู่บัดนี้แล้วคุณอยากก็เห็นเป็นของคุณหลัดๆเลย เห็นเดี๋ยวนี้รู้เดี๋ยวนี้กำจัดเดี๋ยวนี้เลย พิจารณากำจัดมันเลย แต่ถ้าไม่เข้าใจชัดก็เป็นปุถุชนไปตลอด

 

สามารถปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 รู้้เจโตปริยญาณ 16 ได้ ล้างได้บริสุทธิ์สะอาดที่สุดแล้ว เป็นธรรมในธรรมอันบริบูรณ์ เป็นสัทธรรม เรายังไม่ปรินิพพานก็ยังต้องอยู่ต่อไป

 

สัมมัปปธาน 4 ก็คือตัวปฏิบัติ กระทบสัมผัสแล้วเกิดกิเลสคุณก็กำจัดกิเลส เป็นสังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธาน คุณทำสำเร็จเป็นผลแล้วรักษาผล ด้วยอิทธิบาท 4 ผลสั่งสมเป็น อินทรีย์ 5 พละ 5

 

พละคือผล อินทรีย์คือดีกรีหรือเนื้อของคุณธรรม เป็นคุณภาพ  การบอกวัดน้ำหนักของความเจริญ ที่สั่งสม โดยอยู่ในหลักมรรคองค์ 8 จนสุดท้ายเป็นฐานนิพพานคืออุเบกขา ในโพชฌงค์ 7

 

ถ้าได้ตามสัจจะไม่ผิดเพี้ยนก็ได้องค์แห่งการตรัสรู้ ตามหลักมรรคองค์ 8

 

ก็เกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา จนเกิดอธิวิมุติ นี่คือหลักใหญ่แห่งการปฏิบัติ ให้ตั้งใจเพียรตั้งใจศึกษา ชีวิตนี้ไม่มีอะไรหรอก เกิดมาไม่รู้กี่ชาติ ยิ่งไปสะสมความฉลาดความเก่งมาก เป็นพระพรหม ว่าข้าใหญ่ คับโลกเลย คนพวกนี้ก็เบ่งด้วยอำนาจของลาภยศสรรเสริญโลกียสุข บำเรอกิเลสไป พอล้างกิเลสได้จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มอมเมาเราไม่รู้กี่ชาติ เป็นทาสมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว เขาหลอกกันว่าเป็นผู้สืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้า หลอกด้วยเจตนาก็มี เขาต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ยังมี มันจึงจำเป็นต้องหลอกเขาให้หลงเชื่อ อย่างสำนักใหญ่ๆบางสำนัก สร้างวิมาน สร้างนิยายหลอกคน อาตมาเห็นแล้วน่าสังเวชใจ จะไปสร้างบาป แก่ตัวเองทำไม อาตมาว่าเขารู้นะ ปฏิภาณของเจ้าสำนักใหญ่อย่างนี้ แล้วทำมาหลอกคนได้ สร้างนิยายโลกีย์ ไม่เข้าหลักโลกุตระเลย ไปใหญ่

 

ถ้าเขาไม่รู้เขาหลงจริงๆเขาก็ได้วิบากไป เขาหลอกว่าคือสวรรค์แต่นี่คือนรกซ้อน คุณดับเหตุแห่งนรกได้สวรรค์ก็หาย  คุณดับสวรรค์นรกก็หาย อย่างคุณอยากกินมะม่วง คุณดับความอยากได้ก็หมดสวรรค์นรกได้ นิพพานไม่มีสวรรค์หรือนรก

 

พระพุทธเจ้าว่าคนที่โกหกทั้งๆที่รู้ไม่มีความชั่วใดที่ทำไม่ได้ คนขึ้นหลังเสือแล้วลงหลังเสือไม่ได้นี้น่าสังเวชใจ เขาก็จะสร้างนรกให้แก่ตนเองมากขึ้น ที่วิจารณ์นี้อย่าไปเอาอย่าง

 

 

 

 

570610_พ่อครูเทศน์ ทวย. เฮือนศูนย์ฯ เรื่อง บุญต่างจากกุศลอย่างไร ตอน 3

 

ก็คงต้องย้ำเรื่อง บุญ​และกุศล อีกนี่แหละ และการเทศน์ในงานนี้ก็จะนำไปทำเป็นหนังสือ อาจจะออกตอนเดือนตุลาคมและก็อาจนำไปออกเป็นข้อสอบว.บบบ.ด้วย

 

เมื่อกำจัดอกุศลจิต บาปคืออกุศจิตนั้นๆดับหรือหมดสนิท ก็ไม่ต้องทำบุญ นั้นอีก ถาวรแล้ว

 

บุญ จึงคือการชำระจิต ก็ไม่ต้องชำระจิต แต่ใจหรือจิตยังมีอยู่ จิตที่สะอาดผ่องใสจากกิเลสนั้นแล้ว ยังอยู่ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน  ก็จะมีเหลือแต่ใจใสใจสว่าง เราจะมีจิตที่เจริญขึ้นใหม่อีก แต่บุญนี่จบแล้ว ไม่ต้องชำระแลว แต่กุศลยังทำได้อีกมหาศาล

 

จิตที่เป็นบาปหรือกิเลส หรืออกุศลจิต หมดไปแม้ร่างกายยังไม่ตายแตกไป ก็ตาม หรือว่ายังไม่กายแตกตายไปก่อน (กายสเภทา ปรัมมรณา) แม้ร่างกายแตกดับแต่คุณยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็จะมีกาต่อเนื่องอีก เป็นผู้ไม่่มีบาปไม่มีบุญ แต่ภาวะที่ยังมีอยู่คือกุศล

 

บุญและบาปนี่หมดแล้วหมดเลย แต่กุศลนี้ไม่ดับไปง่ายๆ หมดบุญนี่ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนตกต่ำ แต่กลับว่าเป็นคนที่สุดยอดเลย

 

ในพระไตรฯ ล. 25 ข้อ 262 การทำกุศลด้วย กาย ด้วย วาจาให้มาก กระทำกุศลด้วยใจหาประมาณมิได้ หาอุปธิมิได้ คำว่าอุปธินี้ แปลอย่างไร? 

 

แต่นั้น ท่านจงทำบุญ อันให้เกิดสมบัตินั้นให้มาก  ด้วยทาน แล้ว ยังสัตว์แม้เหล่าอื่นให้ตั้งอยู่ในพรหมจรรย์ ถ้าแปลอย่างนี้จะแปลว่าบุญคือได้มาก แต่ความจริงแล้วมันมีความซ้อนอยู่ การทานของอริยชนผู้สัมมาทิฏฐิคือการทานให้กิเลสหมดเกลี้ยง

 

ท่านพรหมคุณาภรณ์ท่านแปลว่า ท่านจงทำให้มากทั้งด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ซึ่งกุศล อันประมาณมิได้ อัปปมาณนี้แหลว่ามากก็ได้ แปลว่าโลกุตระก็ได้ 

 

สรุปว่า ถ้าใครยังเข้าใจไม่เต็มระหว่าง บุญ​ กับ ทำกุศลด้วย กาย วาจา ใจ ให้มาก จนกระทั่งไม่มีอุปธิ

 

โอปาธิกัง ปุญญัง นี่มีกำกับด้วยว่า ปุญญัง แต่สุดท้ายก็ไปที่การให้ทาน

 

ทัสสบารมี ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา ไปจนถึงอุเบกขาบารมี เป็นผลชัดเจนสมบูรณ์แบบ จบกิจ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติต่างๆๆ เมื่อจบกิจแล้วท่านก็อยู่กับอุเบกขา เมตตา

 

สัมมาทิฏฐิข้อแรกเลย ทำทานต้องให้ได้ลดกิเลส แต่ว่าทุกวันนี้สอนทานให้เป็นนัตถิทินนังไม่มีผลลดละกิเลสเลย

 

ยิตถัง เป็นยัญพิธี ก็ลึกซึ้งขึ้้นกว่าทานอีก ทั้งหมดต้องศึกษาสัมททิฏฐิ ให้เกิด อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

 

สังเวยที่บวงสรวงแล้ว เป็นการปฏิบัติที่จิตของคุณมีโยนิโสมนสิการต้องอ่านจิต เป็นหุตัง มีผลเกิดกับจิต จิตได้รับเสวยไหม(วสังเวย) ได้รับผลไหม? ชำระกิเลสได้ มันถึงชัดหมด

 

ศีล สมาธิ ปัญญษ หรือทาน ศีล ภาวนา

 

ภาวนาคือการเกิดผล คุณทำทานทางกาย วจี แต่ว่าใจคุณได้ลดโลภ แต่ถ้าทำใจในใจโลภจัด ทำทานแต่วัตถุ แต่กิเลสในจิตก็อ้วนขึ้น

 

การทำกุศลต้องทำทั้งกาย วาจา ใจ โดยเฉพาะใจนี่แหละที่เป็นผลที่สุดยอดแล้ว

 

ผู้ใสสามารถทำใจในใจให้แยบคายลดกิเลส หมดอุปธิแล้ว ชำระจิตสันดานหมดจดแล้ว (สันตานัง ปุนาติวิโสเทติ) แต่นั้นก็หรือตรงนั้น ที่ทำบุญไป แล้วต่อจากนั้นอีก จงทำ ทานให้มาก จงทำทานด้วยบุญ (บุญนี่คือทำจิตให้สะอาด) อันให้เกิดสมบัตินั้น

 

ทานนี้หมายถึง ธรรมทาน ไม่ใช่ทานวัตถุ ให้ท่านเป็นผู้ให้ทาน เพราะท่านบรรลุอุตริมนุสธรรมแล้ว ก็เป็นผู้ให้ทาน เห็นใจ ท่านผู้แปลตามภูมิให้นะ

 

ท่านแปล อปุญญาภิสังขาร ท่านแปลโดยปัญญาของท่านเลยว่า ปรุงเป็นบาป แต่ตัวอปุญญะนี้เป็นการสังขารระดับโลกุตระ ไม่ใช่ระดับโลกีย์

 

ปุญญาภิสังขารนั้น เป็นเสขบุคคล แต่อปุญญาภิสังขารนั้นไม่ทำบาปอีกแล้ว

สำหรับอรหัตตมรรค นั้น จะต้องทำซ้ำๆให้เกิดญาณ ทำสังขารุเปกขาญาณ สัจจานุโลมมิกญาณ ต้องเป็นผู้ที่สั่งสมอรหัตตมรรคไปถึงอรหัตตผล

 

ศาสนาพุทธเท่านั้นที่มี "สัญญาเวทยิตนิโรธ" อยู่ในอนุปุพวิหาร 9 คนไม่เข้าใจสภาวะก็ไปแปลสัญญาเวทนยิตนิโรธ ว่าไปดับสัญญา ดับเวทนา ซึ่งทำให้กลายเป็นอสัญญีสัตว์

 

สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้จะไปดับได้อย่างไร มันก็ไม่รับรู้อะไรเลยสิ เอไฟมาไหมผิวหนังยังไม่รู้ตวเลย เป็น พระพุทธเจ้าไม่เอาที่ไปหลงในวิญญาณฐีติ 7 ซึ่งไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะว่าต้องกำหนดรู้ แม้เล็กแม้น้อยก็ต้องตรวจสอบ รู้จนมั่นใจว่าจบกิจ

 

เวทยิตตัง แปลว่าเคล้าเคลียอารมณ์ เป็นการดับที่ให้สัญญามาเคล้าเคลียอารมณ์ ผ่านอากิญจัญยายตนะ ก็กำหนดรู้ว่าแม้เล็กแม้น้อยก็ไม่มีนะ

 

อรูปฌาน 4 ของฤาษีนั้น นั่งหลับตาแต่สร้างอรูปภพ อาตมาก็เคยทำ นั่งอยู่นี่เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลก เราปั้นเองว่ามันต้องบางเบา ยิ่งกว่าอยู่ในอุเบกขานะ ว่างอย่างไรก็คือเนรมิตตัวเอง จนตัวเองมีอาการหลุดพ้น ออกไปสู่โลกใหม่ มันเหมือนกับใช้พลังงานชนิดหนึ่งที่จะต้องหลุดจากบรรยากาศเช่นนี้ให้ได้จนเราปั้นเป็นมโนมยอัตตาชนิดหนึ่ง เป็นรูปที่เป็นอรูป 

 

นั่งหลับตาสมาธิเป็นรูปภพ อรูปภพทั้งนั้น

อรูปฌาน 1 นั้นโล่งว่าง อนันโต อากาโสติ จริงๆ ขณะคุณอยู่ในภพนี้คุณจะไม่รู้ตัว จะมีแต่อัตตาเสพรส คุณรู้ตัวของคุณเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคือ วิญญานัญจายตนะ มันเป็นการสร้างภพ เมื่อรู้ตัวแล้วก็พบว่าตนอยู่ในอาภัสสรา ไม่อยากออกหรอกแต่ว่าแล้วแต่บารมีว่าจะได้อีกไหม พอได้ครั้งแรกแล้ว จะได้อีกครั้งนั้นยากมาก มันจะไม่หลุดปึ๊งแล้วมันจะเข้าไปได้ง่าย แต่คนไปเข้าใจอีกว่าถ้ายังสว่างอยู่ไม่ใช่นิพพาน นิพพานนั้นเป็นการดับ เขาก็ไปนั่งก็รู้ว่ายังมีตัวเราอยู่ ไม่นิพพานอีก ก็เลยต้องดับอีกไม่ให้รู้อะไรเลย เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วเรียกว่านิโรธ

 

อสัญญีจะเริ่มแต่อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญาฯก็เป็นอสัญญี ก็จบตรงนี้ ถ้าเป็นฤาษีก็ดับได้อย่างเก่งก็อุทกดาบส ไม่มีสัญญาเวทยิตนิโรธ แต่ไปดับสัญญาก็ว่านี่แหละคือนิโรธของฤาษี แล้วหลงว่าตนเป็นอรหันต์ถ้าทำจนชำนาญ บางคนนั้งได้ตั้งหลายวัน อย่างฤาษีนี่ได้ตั้ง 20 วัน เขาใช้พลังงานน้อยมากเลย เขาใส่กล่องแล้วฝังไว้ในดิน พอหลายวันไปขุดออกมาก็ยังอยู่ไม่ตาย เป็นเรื่องภพภูมิของผู้ที่ไม่สัมมาทิฏฐิ

 

จะดับสัตว์ต้องกำหนดรู้ กาย ของสัตว์แต่ละชนิด เมื่อกำจัดสัตว์หรือกิเลสได้ ก็เป็นอุบัติเทพ แต่ถ้าไม่ได้ล้างกิเลสก็เป็น สมมุติเทพ ได้อัตตาอยู่ในนั้นด้วย สร้างอัตตาโดยไม่รู้ตัว

 

คนได้ฟังอาตมาไม่ต้องเชื่ออาตมา ถ้าคุณทำได้ทั้งสองอย่างก็จะรู้ เพราะเขาทำได้แต่วิธีนั่งหลับตา แต่เขาทำแบบพระพุทธเจ้าไม่ได้ เขาก็เลยเถียงอาตมา แล้วอาตมาจะเถียงเขาทำไม ไปเถียงกับคนตาบอด ก็บ้าและโง่กว่าคนตาบอดเสียอีก อาตมาเห็นใจพระพุทธเจ้าว่าเผยแพร่ในยุคเทวนิยม สาวกของท่านต้องตายสังเวยการสร้างศาสนา แม้พระโมคคัลลานะก็ต้องตาย

 

ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ หมายความว่า คุณทำกิเลสในตนให้หมดแล้วก็ทำทานช่วยคนอื่นเขา โอปปธิกัง ในลักษณะทาน ให้เป็นสัทธัมเม เป็นสัทธรรม จึงจะได้พรหมจรรย์

 

เป็นการทำบุญให้สำเร็จแล้วก็ทำกุศลต่ออีก สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ การทำธรรมทานนี่ชนะทานทั้งปวง ไม่ใช่ว่าให้หนังสือธรรมะที่พาไปหลงนรกสวรรค์ปลอมๆอีก

 

คำว่าบุญ คือการชำระกิเลสให้หมดจน เมื่อทำได้เป็นสมบัติ โอปปาทิกังปุญญัง แล้วเป็นพื้นรองรับสำหรับการเกิดใหม่

 

ในพจนานุกรม ฉ.ภูมิพโลภิกขุ แปลว่า โอปปาธิกัง ว่าเป็นพื้นรองรับสำหรับการเกิดใหม่ อันให้เกิดอุปธิสมบัติ คือบุญอันให้เกิดสมบัติและโภคสมบัติ ฟังแล้วก็ยังวนเวียนมีโลกีย์อยู่

 

ซึ่งถ้าจะแปลให้ชัดคือทำทานให้เกิดสมบัติแห่งบุญ แล้วผู้ที่ถึงพร้อมด้วย โอวาทปาติโมกข์ 3 จึงเป็นการงานของพระอรหันต์ ลดบาป จนไม่ทำบาปทั้งปวงได้ แล้วทำธรรมทานต่อ ศาสนาก็สืบต่อได้อย่างไม่เพี้ยน เป็นการทำคุณอันสมควรก่อนแล้วพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง แต่ว่าคนไม่ทำคุณอันสมควรก่อนแล้วสอนคนอื่นศาสนาจึงมัวหมอง เขาไม่เจตนาทำร้ายนะ เขาตั้งใจทำกุศลมากด้วย

 

อาตมาจึงสงสาร แม้แต่ไปแปลพหูสุตรก็แปลว่าผู้รู้มาก นั้นที่จริงต้องแปลว่าเป็นผุ้ที่เข้ากระแสมีผลจากการปฏิบัติมากแล้ว

 

ในศรัทธาสุตร มี ศรัทธา ศีล พหูสูตร ธัมกถึก จะเห็นว่าต้องเป็นพหูสูตรแล้วค่อยไปสอนคนอื่น แต่ถ้าแปลว่าพหูสูตรว่ารู้มาก ก็เลยไปสอนคนอื่นแบบที่ตนไม่ได้บรรลุ แล้วค่อยเข้าสู่บริษัท แล้วแกล้วกล้าอาจหาญแสดงธรรมแก่บริษัทแล้วต่อจากนั้นจึงทรงวินัย ทำไมต้องทรงวินัย เพราะต้องมีการประมาณ มีหลักเกณฑ์ แม้อรหันต์ก็ต้องทรงวินัย ต้องรู้หลักเกณฑ์ให้ละเอียดละออ แล้วต้องมีจิตยินดีในเสนาสนะป่าหรืออันสงัด เรือนว่าง คือจิตที่ยินดีในความว่าง อย่างอาตมานี่ยินดีในป่า และยังสร้างป่าเลยทุกที่ แม้ในกทม.ก็สร้างป่า จากนั้นก็เป็นการเข้าสู่วิมุติ

 

ผู้ที่ได้อรหัตตผลแล้วก็สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ) ไม่ต้องทำบุญแล้ว สิ้นอกุศลจิตด้วย ของท่านนะ แต่ไม่สิ้นกุศลจิตยังทำงานได้ และจะดียิ่งขึ้นๆด้วย ประกอบกุศลให้ดียิ่งขึ้นด้วย นับว่าเป็นส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะการสมาทานกุศลกรรมทั้งหลายเห็นเหตุ บุญนี้ย่อมเพิ่มพูนอย่างนี้

 

ฉ.หลวงแปลว่า บุญนี้ย่อมเจริญขึ้นอย่างนี้ เพราะเหตุถือมั่นธรรมทั้งหลาย เพราะการสมาทานธรรมทั้งหลายเป็นเหตุ สมาทานธัมมทานัง เหตุ ยึดอย่างสมาทาน พระอรหันต์นั้นยึดอย่างสมาทาน แต่แม้อเสขบุคคลก็สมาทาน ยิ่งชำะกิเลสหมดแล้วด้วย

 

ความแตกต่างระหว่างกุศลกับบุญนั้นต้องทำความเข้าใจให้แม่นคมชัด กุศลนั่นตราบที่ผู้นั้นยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ไม่มีการหมดกุศล ท่านบอกว่าท่านไม่สันโดษในกุศล แต่ผู้เป็นอรหันต์แล้วไม่ต้องชำระกิเลสแล้ว ไม่เหลือแม้อาสวะ เป็นผู้หมดบุญสิ้นบุญด้วย จบกิจแล้วไม่ต้องทำบุญอีก บุญหมดแล้วแต่กุศลไม่มีวันหมด

 

คำภาษาไทยเขาว่า ท่านสิ้นบุญแล้ว ก็คือตาย แสดงว่าคำว่าบุญนี้เพี้ยนไปถึงขนาดนี้ แต่ถ้าเราเข้าใจแล้วมีคนมาบอกว่าเราสิ้นบุญแล้วก็สวยสิ ขอให้เราสิ้นบุญเถอะ มันแปลว่ากิิเลสสิ้นเกลี้ยงนะ

 

การไม่มีบุญไม่มีบาปนี่แล ผู้สิ้นบุญ สิ้นบาปนี่คือผู้มีวิมุติ เป็นแก่น จึงชื่อว่าผู้อมตะ อรหันต์ทุกองค์เป็นผู้เป็นอมตะแล้ว แปลว่าไม่ตาย คือกิเลสในจิตของผู้นั้นไม่ตายอีกแล้ว เพราะกิเลสมันไม่มีในจิตแล้วกิเลสก็ไม่ตาย กิเลสไม่มีมาเกิดแล้วจะตายได้อย่างไร นี่คือความไม่ตายของพระอรหันต์ นี่คืออมตะ

 

เถรวาทเข้าใจว่า อรหันต์ตายแล้วสูญ เป็นความเข้าใจผิด แต่อาตมามาบอกว่าอรหันต์ตายแล้วเกิดอีกได้ ก็ไปค้านแย้งกับเขา แม้โสดาบันเขาก็เข้าใจว่า เกิดอีก 7 ชาติก็จะเป็นอรหันต์ แล้วก็เป็นอรหันต์แล้วก็ตายสูญอีก แล้วจะไปเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไรใน 7 ชาติ ก็เลยไปเข้าใจว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นโสดาบันไม่ได้นะ ก็เป็นการเข้าใจที่ไม่คมไม่ชัด

 

สายปัญญาไปเข้าใจผิด ว่านิพพานเป็นแดนดินถิ่นสวรรค์ ไปอยู่พุทธเกษตรเป็นสัสตทิฏฐิ ส่วนเถรวาทนั้นเข้าใจว่าอรหันต์แล้วตายสูญ​เป็นอุทเฉทิฏฐิ

 

คำว่าโหติ แปลว่า มี ในมิติที่ว่ามีนั้น มันไม่มีอะไรเลยที่เที่ยงแท้ยั่งยืน ทุกอย่างต้องอนิจจังทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มี แล้วก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น สิ่งที่มีอยู่เป็นทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์เพราะเป็นภาระ (ทรถะ) การทำงาน การหาอาหารก็เป็นภาระ พระอรหันต์ไม่มีตัวตนก็เป็นท่าน ท่านไม่ลึกลับแล้ว ท่านมีอรหัตตาท่านจบสุดในมโนมยอัตตา โอฬาริกอัตตา อรูปอัตตา ท่านก็จะใช้อาศัย

 

เมื่อยังมีก็ต้องอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์  มีเที่ยงอย่างเดียวคือนิพพาน อรหันต์มีจิตที่เที่ยงคือจิตนิพพาน แต่ถ้าปรินิพพานแล้วก็ไม่มีแล้ว รูปขันธ์นามขันธ์แตกสลายไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสในพรหมชาลสูตรไว้ว่า ใครจะเห็นเราได้ตอนไม่ปรินิพพานเท่านั้น หากปรินิพพานไป ก็เหมือนพวงมะม่วงหล่น กระเบื้องแตกไปแล้ว จะไม่มีใครเห็นตถาคตอีกเลยทั้งรูปและนาม

 

อาตมาเคยเปรียบเทียบการแยกน้ำได้เป็น H และ O ก็ไม่มีน้ำแล้ว อรหันต์ก็เหมือนมีน้ำอยู่่ ตราบเท่าที่ไม่ปรินิพพาน ถ้าปรินิพพานก็คือไม่มีธาตุน้ำนี้อีกแล้วสลายเป็นH และ O ไป

 

อมตะบุคคล นั้นมีวิมุติแล้ว อมตะแล้ว มีนิพพานแล้ว เป็นปริโยสานสุดท้าย ในมูลสูตรที่มีฉันทะเป็นเค้าในการปฏิบัติ แล้วมีมนสิการเป็นสัมภวะหรือแดนเกิด

 

เวลาปฏิบัติต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย เป็นเหตุ ให้ปฏิบัติ เมื่อมีผัสสะ ก็มีเวทนา เพราะสังขารปรุงแต่งมาเป็นเวทนา ต้องเข้าใจเวทนา 108 คุณแยกเนกขัมมะกับเคหสิตะไม่เป็นก็ปฏิบัติไม่ได้ คุณต้องอ่านอาการให้ออก อย่างมีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาปฏิบัติ จึงมีสัมมาปฏิเวธ

 

อนาคามีนั้นเหลือแต่ความลำบากของท่าน ในสังโยชน์ที่เหลือของท่านก็คือความลำบากของท่าน เมื่ออนาคามีล้างกิเลสหมดก็จะมีทรถะ ซึ่งคนก็แปลว่า เป็นความกระวนกระวาย เป็นความลำบาก ยังมีขันธ์ 5 อยู่ ยังต้องหาอาหารให้ ยังต้องมีงานทำ ยังต้องขี้ต้องเยี่ยว ต้องตัดผมเป็นต้น หรือว่าเป็นวิปากทุกข์ แม้เป็นพระพุทธเจ้าก็ยังมีวิบากตามมา คนไปพาซื่อว่านิพพานแล้วไม่มีเลย แต่ต้องชัดว่าอะไรไม่มีแล้วอะไรมี แล้วเมื่อไหร่จะไม่มีสิ้นเลย ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่ตราบใดไม่ตายก็ต้องมีต่อไป อย่างอรหันต์บางองค์กำหนดเลยว่าเราจะตายที่ไหน กำหนดว่าเราจะตายไปในก้าวที่เจ็ด ท่านก็กำหนดได้ขนาดนั้น สิ่งที่ตายจริงๆคือกิเลส แต่สิ่งอื่นไม่ตายก็ได้

 

กุศลถ้าเข้าข่ายโลกุตระก็เป็นบุญ แต่ถ้าเข้าใจไม่ชัด ไม่รู้จิตเจตสิกตัวเองแล้วก็ลดละไม่ได้ก็ไม่เป็นบุญและแถมทำให้หลงกุศล แล้วกุศลพาทำชั่วได้อีก น่ากลัวมาก หลงว่าเป็นกุศล

 

ธรรมกายนั้นต้องเข้าใจคำว่า กาย

 

อาตมาเคยว่าเขาพาทำกันเป็นสวรรค์ลวง บอกว่าได้บุญมาก ก็เลยหนาเตอะ คนไม่รู้ก็ถูกหลอก เขาเข้าใจว่าเป็นกุศลจริงๆนะ เขาทำอย่างทุ่มเท ใครเคยไปเป็นหัวหน้าสายของธรรมกาย ไปเรี่ยไรมาให้เขา เขาเรียกว่าได้บุญ แถมได้เกียรติยศได้เหรียญตราเหมือนพวกขายตรงนะ เขาไม่รู้นะว่าเขาถูกใช้สร้างกุศล แต่เขาบอกว่าได้บุญนะ แล้วคนที่ไปหลอกคน เขารู้นะว่าเขาใช้วิธีการอุบาย อุบายวิธีให้คนไปหาทรัพย์สินให้เขา เขารู้นะ แล้วเขาพาทำบาปทั้งที่รู้ว่าบาป ขออภัยที่อาตมาต้องพูดสัจธรรม ไม่ใช่ว่าไปข่มเขาหรอก เขาหลงสุคติ เขาทำอย่างอคติ ไม่มีทางถึงอุดมคติได้หรอก

 

ถ้าผู้ใดฟังธรรมมาจนถึงที่อาตมาแสดงมาถึงวันนี้ ใครที่รู้สึกว่าได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟังเพิ่มเติมขึ้น แม้ว่าจะวนอยู่ในคำว่าบุญ แต่ว่ามีส่ิงใหม่ในนั้น บางอย่างละเอียด บางอย่างคลายใจเลย แต่ก่อนข้องอยู่แต่ตอนนี้คลายใจเลย โล่งใจเลย นี่คือสัมมาปฏิเวธ บรรลุธรรมได้เลย แต่สายเจโตนี่หลุดพ้นแต่ไม่มีปัญญารู้ก็เลยไม่สมบูรณ์เป็นอุภโตภาค แต่พอมาได้ยินอันนีก็เลยได้ปัญญา แต่ว่าสายปัญญารู้หมดแต่ว่าใจยังทำไม่ได้หรือแม้ทำไปถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่ได้ผล เข้าใจไม่ดีก็เพี้ยนได้

 

ในทักขิเนยยบุคคล 7 สายศรัทธาจะเรียนจากในมาหานอก ไปนั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกายจึงบรรลุอรหันตฺ์ได้ แต่สายปัญญา นี่จะบรรลุมาเป็นลำดับ มีทิฏฐิปัตตะ เป็นปัญญาวิมุติ มีวิโมกข์ 8 มาตั้งแต่ต้นมาตามลำดับแล้ว ตั้งแต่ธัมมานุสารี มาเป็นทิฏฐิปัตตะ แล้วมาเป็นปัญญาวิมุติ แต่วิโมกข์8นี้เขาไปเข้าใจกันอีกว่าต้องไปนั่งสมาธิเอาวิโมกข์อีก นั่นก็เลยไปใหญ่เลย

 

 

 

 

570611_พ่อครูให้โอวาทนิสิตใหม่ มินิ ว.บบบ ที่ใต้เฮือนศูนย์ฯ

 

ข้อสำคัญคือทำให้เกิดความรู้รอบ รู้มาก รู้ลึก เช่นให้รู้ไปถึงจิตใจ รู้รายละเอียดถึงอาการของจิตใจ พระพุทธเจ้าท่านศึกษาถึงเหตุในจิตใจแล้วก็แก้เหตุ ทุกอย่างมาแต่เหตุ เหตุมีดีและไม่ดี เป็นกุศลหรืออกุศล เข้าใจชัดรู้จริง และยังแบ่งเป็นกุศลโลกียะ โลกุตระ นามธรรมนั้นไม่มีตัวตนสรีระ แต่เรียนรู้ได้ คนโลกีย์ไม่ได้เรียนรู้และสัมผัสถึง อาการ ลิงค นิมิต ของใจได้อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน

 

สำนักใด ผู้รู้ใดสามารถเรียนรู้เข้าไปในถึงจิต หลายสำนักสอนให้บังคับจิต แต่ของพระพุทธเจ้าจะฝึกให้จิตเป็นจิตที่ว่านอนสอนง่าย มุทุภูตธาตุ ไม่ต้องไปบังคับเหมือนสำนักอื่น มีมุทภูเต กัมมนิเย จนเป็นกัมมัญญา ประภัสสรา

 

เกิดจากการเรียนรู้ศึกษาและฝึกฝนจนเกิดจริงเป็นจริง เปลี่ยนให้จิตเราเป็นอย่างไรได้เร็วไว มีปัญญารู้เร็วไว รู้แล้วก็ปรับปุ๊บปั๊ปเลย

 

กุศลโลกียะเขาก็เรียนก็อาศัย เขาเข้าใจแยกออก ยิ่งรู้จักโลกุตระที่เป็นเรื่องเหนือชั้นกว่าสามัญโลกียะ และทำได้ด้วย

 

โลกุตระมีนัยสำคัญเป็นเนื้อแท้ คือเป็นผู้ยอมผู้แพ้ ผู้เสียสละ ไม่ไปข่ม ไปเบียดเบียนใคร มีแต่เมตตา โลกุตระใช้เมตตาและใช้ความร่วมกันแบ่งแจกกัน ในสาราณียธรรม 6 มีใจที่มีเมตตาจริง แบ่งแจกเป็นสาธารณโภคี คนไหนเดือดร้อนก็ให้ก็ช่วย มีน้ำใจ ในภาษาอังกฤษไม่มีคำว่าน้ำใจนะ และรู้กฎระเบียบสังคม รู้ว่าจะใช้อย่างไร

 

โลกก็ต้องใช้ทั้งนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ของพุทธก็มีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา มนุษย์ต้องมีหลักเกณฑ์ร่วมกันต้องใช้ มนุษย์เป็นกลุ่มหมู่สัตว์โขลง รู้จุดมุ่งหมายของชีวิต คือทิฏฐิสามัญตา

 

สรุปกันง่ายๆว่าต้องอยู่กันอย่างเป็น สุข สงบ อบอุ่น เกิดจากการศึกษาทั้งสิ้น อาตมาตั้งใจจริงใจว่าอย่างนี้ใช่ สังคมสุข สงบ อบอุ่นนี่ใช่ สังคมสาธารณโภคีนี้ใช่เลย แล้วยืนยันโดยหลักฐานของพระพุทธเจ้าที่ว่า สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7

 

เขาแปล สาราณียธรรม คือการระลึกถึงกัน ว่าใครหนอกควรช่วยเหลือ และแม้เห็นก็มีใจนึกเมตตาเกื้อกูล ปรารถนาดีให้คนอื่นพ้นทุกข์ กรุณาก็ลงมือช่วย ช่วยสำเร็จก็มุฑิตา แล้วก็วางอุเบกขา

 

อาตมาเห็นหลักฐานของพระพุทธเจ้าแล้ว ชัดเจน ระลึกถึงของเก่าที่อาตมามี พอสัมผัสก็มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ

 

ผู้ใดทำได้เป็นสมบัติของตนเป็นอาริยสมบัติก็จะใช้อย่าง มี ปัญญา น้ำใจ ซื่อสัตย์ อุตสาหะ สี่คำนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราเอาไปใช้ชั่วคราว แต่เราจะเอามาใช้จริงๆ อย่างปัญญานี่ไม่ใช่ความฉลาดอย่างเฉกะหรือเฉกตา เป็นฉลาดแกมโกง มีกิเลสเป็นตัวบงการเป็นเจ้าเรือนชักนำอยู่ แต่ผู้บรรลุธรรมจะใช้ปัญญา

 

ปัญญาเป็นตัวนำ หากเป็นปัญญาโลกุตระก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเป็นเฉกาก็พาเสีย

 

น้ำใจ คนปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะเกิดน้ำใจ ซื่อสัตย์ อุตสาหะ แต่คนที่ไม่ได้จริงก็ต้องพยายาม อย่างน้อนก็ต้องรู้ว่าปัญญาที่ถูกต้องคือการลดละกิเลสและช่วยเหลือมนุษยชาติ แม้จะฝืนก็ต้องทำ และพยายามแก้ไขจิตตนว่าไม่ต้องฝืน ถ้ารู้ว่าทำอย่างนี้ควร เช่นมีน้ำใจ ไม่เอาเปรียบ ก็ทำให้จริงให้ตรง เรียกว่าซื่อสัตย์ ถ้าบรรลุแล้วก็จะตรงซื่อสัตย์ ไม่ผิดเพี้ยน แล้วจะมีน้ำหนักของความอุตสาหพากเพียร ก็เป็นไปตามบารมีของคน คนสร้างความอุตสาหภาคเพียรก็เกิดได้

 

พระพุทธเจ้าเรียกว่า วิริยารัมภะ แปลว่าพากเพียรอยู่เสมอ ต่อเนื่อง ใช้แรงกำลังความพากเพียรเป็นวิริยินทรีย์ เป็นวิริยพละ ให้มีกำลังเสมอ เมื่อเรามีปัญญา น้ำใจ ซื่อสัตย์แล้วก็ต้องใช้ความพากเพียร แล้วก็จะทำ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ได้อย่างสมบูรณ์ พระอรหันต์ทุกองค์มีน้ำใจเช่นนี้

 

จะดำเนินไปอย่างมีคติ ซึ่งมีการดำเนินที่ทุกคติ หรือสุคติก็อยู่ที่การทำกาย วาจา ใจของเรา มันก็อยู่ที่จิต หากจิตผู้ใดมี เฉกตา ก็มีอคติ แต่ถ้าผู้ใดเฉกตาลดลง กลายเป็นความฉลาดมีน้ำใจก็จะดำเนินไปอย่างลดอคติ เจริญของตน ยิ่งกิเลสลดลงก็อคติน้อยลง หมดกิเลสอคติก็ไม่มี แต่ถ้าเรายังไม่หมดกิเลสก็ควบคุมอคติ ไม่ให้มันดำเนิน(คโตหรือคติ) ควบคุมมันไว้และปหานมันด้วย ตัวกบฎ ตัวบ่อนไส้

 

ทุกกรรมการวานมีคติ หรือคโต เป็นการดำเนินไป ผ่านไปแล้ว สุคโต คือผู้ดำเนินไปดีแล้ว สุคติ คือดำเนินไปกำลังไป จัดการการดำเนินไป ส่วนคโตคือได้เป็นผลแล้วผ่านมาหมดแล้ว

 

ผู้ยังเหลืออคติอยู่ไม่สมบูรณ์สูงสุดเป็นอุดมคติ คือการดำเนินไปบรรลุสูงสุด เรากำลังมาเรียนให้เป็นการศึกษาขั้นอุดม เพื่อให้ทำงานให้ได้เป็นอุดมคติ ตามที่เรามีความรู้ปัญญา โดยจริง​ ซื่อว่าเราควรทำอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ตามที่เรามีปัญญา น้ำใจ ซื่อสัตย์ อุตสาหะ

 

ลักษณะอย่างนี้อาตมาพาไปให้มีสุคติ พาไปสู่อุดมคติ เท่าที่อาตมามีอยู่ก็จะสอน จะมีวิธีการใดๆก็ตาม ขอยืนยันว่าไม่หย่อนข้อ ไม่ออมมือ เราจะขนาบแล้วขนาบอีกเหมือนช่างปั้นหม้อในขณะที่ดินยังเปียก ใครดินแห้งแล้วโยนทิ้ง ใครดินยังอ่อนอยู่ก็จะนวดแล้วนวดอีก เป็นคำของพระพุทธเจ้า นี่คือส่ิงที่อาตมาขอพูดนำเกริ่นในการบอกจุดมุ่งหมาย

 

ผู้ที่มาสมัครแล้ว ก็จะต้องจัดการให้พอเหมาะพอสม เมื่อได้ฟังก็รู้สึกว่าดี ถูกปลุกเร้า แล้วเราก็จะทิ้งส่ิงที่เรารับผิดชอบ สำหรับผู้ที่มีหน้าที่สำคัญ ก็ต้องประมาณดู เรายังเปิดรับอีกหลายปี เราก็อย่าเพิ่งใจร้อนอยากเป็นรุ่น 1 ถ้าเป็นรุ่น1 ที่ไม่ได้เรื่อง แต่เราเป็นรุ่นบ๊วยแต่ได้เรื่องนั้นดีกว่า อยากให้สติพวกเรา อย่าเพิ่งเอาแต่เห็นแก่ตัวเอง พยายามมององค์ประกอบที่เรามีชีวิต สังคมเรายังเล็กยังเพิ่งสร้างก่อ ก็ได้กลุ่มเล็กกลุ่มน้อยก็ดีนักหนาแล้ว

 

อาตมาขอบคุ๊ณขอบคุณพวกเรา เอาง่ายๆนะเราจัดงานนี้เตรียมงานไว้ริมมูน เราก็ไม่นึกว่าฝนมันจะมาน้ำมันจะมาเร็ว ต้องรีบทำถนนกั้น  เราต้องรีบทำถนนกั้น ผู้ทำถนนก็มีน้ำใจทำให้เร็วภายในวันเดียว ตั้งประมาณ เจ็ดร้อยเมตรนะ ก็นึกว่าจะไปรอด ที่ไหนได้ฝนลงอีก ถ้าน้ำมันไม่ขึ้นก็กั้นพอได้นะ ถ้าฝนไม่ลงไปรอด อุตส่าห์กางเต็นท์ไว้ตั้ง 7 เต็นท์ใหญ่ วันหนึ่งกางได้แค่สองถึงสามเต็นท์ ถ้าคนเยอะก็อาจได้สี่เต็นท์วันทั้งวันเลยนะไม่ง่าย ต้องขันต้องยกต้องใส่ ทำเสร็จแล้วแทบจะไม่คุ้มในการใช้เลย นี่ถ้าคิดอย่างทุนนิยมนี่ไม่คุ้มเลย ดีที่เรามีจิตบุญนิยม เหนื่อยกัน เสร็จแล้วก็ต้องรีบรื้อ เพราะทางลพบุรีเขามายืมต่อ พอดีรีบรื้อก็เพราะว่าเราไม่ได้ใช้ จะใช้ที่ข้างบน

 

ส่วนทางอุดมก็เตรียมที่ไว้แล้ว มีจอLED มีแสงสีเสียงอย่างโอ้โห แล้วก็เหมือนหมาเห่าเครื่องบิน เตรียมที่แล้วก็ไม่ได้ใช้ จนแล้วจนรอดมาถึงวินาทีนี้ เตรียมอย่างหนักเหนื่อยนะนี่ แต่พวกเราก็ทำ ถ้าเป็นทุนนิยม จิตของเรามันอยากจะได้สิ่งแลกเปลี่ยน มีอามิส มันจะท้อใจท้อแท้ เสียดาย กูไม่น่าเลย อะไรวะโทษสารพัดโทษ จะลงโทษคนนั้นคนนี้ อาละวาดไปเลย แต่พอจิตเป็นบุญนิยมนี่มันน้อย เราลงทุนลงแรงไป จิตที่จะต้องฮึดฮัดฟัดเหวี่ยง อาละวาดอย่างนั้นอย่างนี้ ยิ่งเงินก็ไม่ได้อะไรก็ไม่ได้ นี่ถ้าเป็นโลกีย์ยิ่งต้องอยากได้สิ่งตอบแทน แต่นี่ไม่มีอามิสล่อ นอกจากไม่มีอามิสล่อแล้วยัง Fail ล้มเหลวอีก

 

มันเป็นการทดสอบจิตจริงๆ มันเป็นการได้ฝึก หรือแม้ไม่ได้ฝึกแต่จิตของแต่ละคนสำเร็จ คือไม่ได้ถือสาอะไรแม้จะเหนื่อย มันมีเหตุปัจจัยเราก็รู้ว่ามันสุดวิสัย เราจะไปห้ามกั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ เป็นการลงทุนฟรีสูญเปล่าก็ตาม อย่างน้อยเลยมีคนเห็นมีคนรู้มีคนเข้าใจว่า สังคมนี้เป็นสังคมที่เต็มไปด้วย น้ำใจ คนเหล่านั้นที่ทำคือคนที่เอาน้ำใจใส่เข้าไปทั้งนั้นเลย คนเขาก็เห็นน้ำใจของเขา อย่างเราออกไปชุมนุมคนข้างนอกเขาเห็นน้ำใจของชาวอโศกไหม? เห็นโจ๋งเจ๋งเลย น้ำใจนี่สุดยอด คำว่าน้ำใจนี่ภาษาอังกฤษไม่มี แต่ภาษาไทยหรือชาวเอเชียนี่มี คนไทยเราศึกษาแล้วเอาน้ำใจหรือสร้างน้ำใจได้ เอาน้ำใจมาใช้ได้ ที่นั่งอยู่นี่ใครมีน้ำใจแล้วเอาน้ำใจมาใช้บ้าง

 

อย่างม.วช คือมหาลัยวังชีวิต ต่อมาก็เป็นว.บบบ. แต่ที่เราทำนี่ ยังไม่ได้ตั้งชื่อนะ แต่มีคนนิยม มีคนสมัครเข้ามาเกินขีดเกินเขตนะ มันตลก มีคนเรียกว่า มินิ ว.บบบ. เราก็ไม่ได้ปลุกเร้าอะไรนะ แต่คนก็สนใจ สุดท้ายนี่มันเริ่มใหญ่ มีแฟ้มรายชื่อรับสมัครใหญ่เบ้อเริ่มนะ

 

การศึกษาพวกเราอยากให้เสียสละให้มาก อดออม อดทน อย่าให้เป็นการศึกษาที่หรูหราฟู่ฟาอย่างทุนนิยม เขาใช้ส่ิงเหล่านั้นเป็นตัวนำ เราต้องมาเน้นไปในแนวทางแบบคนจน แบบประหยัด แบบมัธยัสถ์ แบบมักน้อยสันโดษ จะเป็นอย่างไรก็ค่อยๆเข้าใจ เป็นให้ตรง ภาษาว่าอย่างไรก็เรียนรู้ให้ตรง เป็นAcademy เป็นเศรษฐศาสตร์ ที่เป็นความมัธยัสถ์ ประหยัด ขอให้เป็นลักษณะอย่างนั้น อดทน อดออม อย่างสุรุ่ยสุร่ายอย่าทิ้งขว้าง ให้กระเหม็ดกระแหม่ เพราะพวกเราไม่พร้อมทั้งสถานที่แต่มันจะเกิดนะ เราไม่ใช่มาอย่างลูกเศรษฐีที่มีอะไรรองรับเลย

 

อาคารเรียนเดิมเรามีอาคารของอาชีวะอยู่แล้ว แต่นั่งเรียนไม่ได้เพราะเสียงดัง เสียงสะท้อน อาตมาก็เลยคิดว่าจะสร้างใหม่ อยู่หลังโฮงปัว ตรงที่เป็นดงดอกโสน เราวัดที่ไว้แล้ว แต่ว่าต่อมาเราซื้อที่ของพล.อ.วิมล ก็ว่าที่นี่น่าจะเหมาะกว่า หลายคนก็เห็นว่าเหมาะ อาตมาก็ได้รับการแนะนำก็เห็นด้วยนะว่าน่าจะเกิดตรงนี้ ตอนแรกว่าจะทำเป็นอาคาร 12 ชั้น อาณาบริเวณจะกว้างกว่าเฮือนศูนย์นี่ตามที่เรากะไว้ จะลงฐานรากไว้ 12 ชั้น แต่เราจะสร้างก่อนไป 3 ชั้นหรือ 5 ชั้น เราก็ยังไม่สามารถขอเปิดเป็นทางการได้ เราก็ให้อาชีวะมาใช้ก่อน นี่เป็นลักษณะดีของสาธารณโภคี นี่สุดยอดของเศรษฐกิจเลย

 

สำหรับ ว.บบบ.มีคนเขียนบอกมาว่าล้มเหลวใช่ไหม?...ตอบ..ไม่ได้ล้มเหลว เราก็ยังมีว.บบบ.อยู่

 

ขออภัยที่ต้องกล่าวว่า คนหมดอวิชชานั้นฆ่าสัตว์ก็ไม่บาป เช่น คุณไม่ได้ฆ่าสัตว์หรอก คุณไปเหยียบมดตาย สัตว์มันตายโดยไม่เจตนา พอเรารู้ว่าเราเหยียบมดตาย เรารู้สึกผิดด้วยซ้ำ ใจเราไม่มีบาป แต่มดมันอาฆาตเราไหม เพราะเราทำให้มดตาย เจตนาเราไม่มี แต่มันเกิด มดมันก็พยาบาทก็มีวิบาก แต่ถ้ามันไม่พยาบาทมันก็ไม่มีวิบาก เราจะไปรู้มันได้อย่างไร

 

เราไม่ เจตนาทำให้คนนี้ตาย ทำแล้วเราก็จะขอโทษขออภัยอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าจิตของคนเจ็บคนตายอาฆาตพยาบาทเราจะไปรู้ได้อย่างไร

 

พระอรหันต์ต่อพระอรหันต์ เผอิญไปทำร้ายกันโดยไม่เจตนา ไปตีถูกหัวกัน อะไรเกิดขึ้น ก็ไม่มีความพยาบาทก็สูญ คนไหนเจ็บก็ซวยไป คนนี้ก็ขอโทษโดยสมมุติสัจจะ แต่จิตของทั้งคู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มีแต่รับรู้ คนที่ถูกตีก็เจ็บ คนที่เป็นคนตีก็ขอโทษ ตามสมมุติ โดยไม่มีโลภ โกรธ หลงเลย นี่คือสัจจะ คุณทำได้เป็นอรหันต์นะ ทำได้ตลอดก็เป็นอรหันต์เลยนะ

 

 

เริ่มต้้นอุ่นเครื่องเรียนก็ตอนเข้าพรรษาเลย เข้าพรรษาคือ 11 ก.ค. เลย อีก 1 เดือนเป๊ะเลย

 

ยุคของพ่อท่านจะต่อศาสนาไปอีกสองพันกว่าปีพุทธบริษัทจะต้องมีข่มขี่ปรับปวาทะไหม?...ตอบ...ปรับปวาทะคือเราจะอยู่กับสังคมได้อย่างปรองดองหรือขัดแย้งอย่างนานาสังวาส

 

 

อาตมาพูดเรื่องสามอาชีพกู้ชาตินี้เขาฟังกันก็ว่าตลกนะ จะกู้ชาติได้อย่างไร? อาตมองว่าขยะในโลกนี้ไม่มีวันหมด มีแต่เพ่ิม ง่ายที่สุดเลย ที่หุ้มห่อแพคเกจ มันหลอกคน มากขึ้นๆ ปลอมแปลงมากขึ้น นี่คือเศษขยะที่จะเพ่ิมขึ้นไงทุกวัน  เนื้อหาข้างในนิดเดียวแต่ขยะมาก นี่คือสภาพหลอกลวงในสังคมโลกแล้วเป็นขยะหมดเลย นี่วัตถุนะ แต่จิตวิญญาณฉันเดียวกันห่อหุ้มด้วยความหลอกซับซ้อนเช่นเดียวกันแต่เนื้อหานิดเดียวเป็นขยะทางจิตวิญญาณมากขึ้นทุกวัน เพราะเต็มไปด้วยความหลอกจึงเกิดขยะไม่ว่าวัตถุหรือจิตใจ เพราะฉะนั้นขยะไม่มีวันหมด จนเกิดกลียุคไฟประลัยกัลป์ไหม้หมดแล้วโลกจะเย็นขึ้นใหม่เป็นเช่นนั้นมาในวัฏฏสงสารยาวไกล เท่าที่อาตมามีภูมิธรรมรู้แล้วเข้าใจแล้วนำมาพูดให้ฟัง โพธิสัตว์จะรู้วัฏฏสงสารอันยาวไกล

 

ก็ขอฝากฝังพวกเราให้ช่วยกันหน่อย ขยะที่จะต้องช่วยกันจัดการแล้วขยะจะแปรกลับมาเป็นทรัพย์ 1.เราเอามาใช้ซ้ำได้ (reuse) 2.เราเอามาซ่อมแซม(repair) 3.เอามาแปรเปลี่ยน(recycle) 4. สุดท้ายใช้ไม่ได้ก็ทำลายทิ้ง (reject) นี่คือหลัก 4 อย่างง่ายของขยะที่เราจะจัดการ

 

เรื่องขยะที่สุรุ่ยสุร่ายมีเยอะเลย ถ้าเราเข้าใจขยะวัตถุ เราจะเข้าใจขยะทางจิตวิญญาณด้วย ขยะทางจิติวิญญาณเมื่อเราเข้าใจรูปวัตถุก็เข้าไปจัดการกับจิตวิญญาณได้ เพราะเราเรียนรู้จากรูปนอกไปหาในเสมอ เพราะฉะนั้นจะใช้มาศึกษาพัฒนาการได้เสอม ยกตัวอย่างง่ายๆ  แต่ก่อนคุณรังเกียจขยะวัตถุไม่อยากจับ ขยะแขยง พอเราไปศึกษาฝึกฝนก็เข้าใจรู้จักวิธีรับมัน มันเปื้อนจะมีเชื้อโรคเป็นภัยเราก็รู้จักวิธีป้องกัน คุณก็สามารถอยู่กับขยะได้อย่างรู้จักประโยชน์ มีความสามารถรู้วิธีไม่ให้เกิดภัยเกิดพิษเกิดเชื้อโรค รูปธรรมวัตถุธรรมเราก็แก้ไขไม่ให้เป็นพิษ นามธรรมเราก็รู้ทำใจได้มันถึงทำกับสิ่งนี้ได้ เราก็ทำกับวัตถุได้ แต่ก่อนเราล้างส้วมไม่ได้ แต่พอรู้วิธีการทำได้ก็ไม่รังเกียจ คุณล้างก้นด้วยมือก็จับขี้อยู่ทุกวัน บางวันล้างมือไม่สะอาดด้วยใช่ไหม? แล้วก็มาล้างหน้าเช็ดหน้าตัวเองด้วยใช่ไหม เคยมาทุกคนแหละ ค่อยๆอธิบายแล้วจะเข้าใจ มาลดความยึดถืออุปาทาน ลดความไม่มีปัญญามามีปัญญา จะไปรังเกียจทำไม เราเลยอยู่ได้กับทุกอย่างได้ชนะหมดทุกอย่าง อยู่กับนรกก็ได้อยู่กับศัตรูก็ได้ คนเลี้ยงเสือใช้ประโยชน์จากเสือได้ เพราะคนเลี้ยงเสือรู้เสือแล้วเสือก็ต้องยอม  เราจะต้องศึกษาให้เป็นคนเหนือชั้นอย่างนี้จริงๆ จะอยู่กับขยะกับส่ิงที่โสโครกกับสิ่งที่สูญเสีย มันเข้มข้นมากหน่อยมันก็เป็นพิษ เราก็สลายทำให้มันจางคลาย ทำให้มันจืดจางบางเบา dilute ได้ทำให้น้ำหนักบางเบาลง

 

ในเวทนา 108 เมื่อ ทวาร 6 เมื่อสัมผัสอะไรแล้วก็จะเกิด สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นเวทนา สามอย่างที่เกิด อย่างใดอย่างหนึ่ง มันอาจปนเปกันก็ได้ แต่ก็รู้ว่าสุขมากหรือทุกข์มากกว่ากัน หรือเฉยสนิทไหม?

 

ทั้ง 6 ทวารนี้เป็นได้ ทั้ง สุข ทุกข์ เฉยๆ รวมเป็น 18 เกิดจากการลืมตารับผัสสะ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ซึ่งการสัมผัสปัจจุบันเป็นของสด แต่การไปนึกเอาเป็นของแห้ง ถ้าคุณแยกอาการอารมณ์ว่ามีอะไรเป็นเหตุให้สุข ทุกข์ อุเบกขา ทางโลกเขาแต่ก่อนสัมผัสแล้วสุข แต่ตอนนี้สัมผัสแล้วเซ็งๆเป็นอุเบกขาแบบเคหสิตะ

 

แต่เนกขัมมะนั้นเมื่อกระทบแล้วคุณสามารถดับสุขทุกข์ได้ รู้ชัดว่าใจเราเป็นกลางได้แม้เหตุนั้นจะยั่วยุร้อนแรง จิตเราก็เย็นว่างเบา รู้ว่าจับไฟก็ร้อนแต่ใจเราไม่เร่าร้อน แต่ก็ไหม้นะ เช่นกินเผ็ด แต่ก่อนเผ็ดแล้วหลงว่าอร่อย แต่พอศึกษาล้างแล้วจิตเป็นอุเบกขา มันรู้แต่ว่าแสบเผ็ดแต่อาการอร่อยหายไป รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่ามันแสบนะ มันทำปฏิกิริยากับประสาท อาตมายกตัวอย่างบ่อยเพราะอาตมาเป็นคนอีสานแต่ก่อนกินพริกอร่อย แต่ว่าทุกวันนี้กินพริกไม่ค่อยได้อวัยวะมันเสื่อมไป แสบคันไม่ได้เลย แต่ถ้าอวัยวะมันดีก็คงรับได้แต่จะไปกินทำไม เรากินอย่างอื่นที่ได้วิตามินเหมือนพริกได้

 

ถ้าอธิบายแยกแยะได้เป็นอรหันต์ได้ แต่ถ้าแยกแยะไม่ได้เป็นอรหันต์ไม่ได้ พูดว่าเนกขัมมะคือการออกบวช นุ่งห่มจีวรเป็นพระกรรมฐาน แต่ว่าทำใจในใจไม่เป็น จัดการใจไม่เป็น แล้วจะบรรลุธรรมได้อย่างไร ดีไม่ดีเข้าใจผิดไปสะกดจิตให้ดับสัญญา ดับเวทนา แล้วจะมีแต่อรหันต์หลอก หลอกว่าฉันเป็นอรหันต์อีก ก็เป็นความเสื่อมของศาสนา อาตมาเคยเขียนหนังสือชื่อ "ฆ่าพุทธศาสนาด้วยเจตนาอันแสนดี" เขาเจตนาดีนะมาสอนวิชาอรหันต์ แต่ตนเองไม่ใช่อรหันต์ เอาอรหันต์เก๊มาสอน น่าสงสารศาสนา

 

พวกเรานี่มีคุณลักษณะของสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 พวกเรามาพรักพร้อมกันได้ขนาดนี้ขอเรี่ยวแรงอะไรก็พร้อมนี่คือคุณลักษณะของมนุษย์เจริญเป็นแบบนี้

 

และแสงอรุณ 7 จะต้องมีมิตรดีสหายดีกลุ่มหมู่ดี เรามาอยู่ด้วยกันนี่ไม่รู้สึกหรอกว่าเผื่อแผ่แบ่งกระจายกัน มันซึมซับ osmosis หรือ Absorb เอาอย่างกันทำตามกันซึมซาบไหลเข้าหากัน คำว่าสอนกันนี่ก็ยิ่งหยาบ แต่การไหลซึมเข้าหากันนี่ถ่ายทอดยัดเยียดเข้าหากันจริง แล้วในนี้คุณจะยัดเยียดความชั่วให้แก่กันหรือก็ไม่ มีแต่แสดงธรรมให้กันจนคนเบื่อเลย ไม่ได้ถ่ายเทยักย้ายสิ่งเลวร้าย จึงเป็นมิตรดีสหายดีสังคมส่ิงแวดล้อมดี จึงเกิดศีล เกิดศรัทธาเกิด อัตตะเกิดทิฏฐิ แต่ต้องมีฉันทะจึงมาได้ไม่ยาก

 

 

 

570611_พ่อครูให้โอวาทการประชุม สัมมนาเชิงปฏิบัติการ การเขียนแผนและการจัดการเรียนรู้และวิจัยในชั้นเรียน

 

            ประเด็นสำคัญคือ ครูควรจะพัฒนาอย่างไร?

 

พ่อครูว่า...

 

เข้ามาก็รู้สึกพรักพร้อมอบอุ่นดี แม้แต่สมณะก็มาร่วมกันเป็นนิมิตดี ปีนี้อะไรๆก็รู้สึกว่าร่วมไม้ร่วมมือกันพร้อมพรั่งก็คงจะดำเนินไปด้วยดี ในครั้งนี้ที่จัดรวมคนกันในงาน เมื่อคนมาร่วมรวมกันก็หาทางประชุมกัน เราก็ได้ประโยชน์จากการมารวมตัวกัน ใช้โอกาสนี้จัดการประชุมทำกิจของแต่ละองค์กรก็ดี

 

เรื่องการศึกษาอาตมาว่าที่ผ่านมาแล้วมาถึงวินาทีนี้หลายคนที่ได้รับซับซาบก็คงเห็นว่ามีอะไรตื่นตัวขึ้นอย่างสำคัญ ไม่แต่ผู้ใหญ่ แม้แต่เด็กๆก็จะตื่นตัวด้วย แม้ความเข้าใจในการพัฒนาในความรู้ความเข้าใจ จากแต่ก่อนรู้สึกว่าเชื่องช้าไม่กระปรี้กระเป่าไม่Active เป็นเครื่องชี้บ่งได้ว่าเป็นเช่นนั้น

 

การศึกษาเราเน้นชีวิตจริงไม่ใข้แค่ความรู้ เราเห็นความบกพร่องของการศึกษาทางโลกที่เน้นแต่ความรู้ แต่ปฏิบัติจริงได้ผลจิรงโดยเฉพาะเรื่องศีลธรรมนั้นถูกลืม ถูกปล่อยปละละเลย อาตมาพูดอย่างจริงใจเลยว่า ไม่มีประโยชน์ต่อคนต่อสังคมไปมาก แต่กลายเป็นพิษภัยต่อสังคมต่อคน แทนที่จะมีศีลธรรมดีขึ้น เป็นงานดีขึ้น มันกลับกลายเป็นเล่เหลี่ยมฉลาด การศึกษาทุกวันนี้ทำให้คนฉลาดขึ้นจริง แต่เอาไปเอาเปรียบฉวยโอกาสเสียเยอะ

 

พวกเราเข้าใจกันดีก็ดำเนินไป ส่วนเราจะเชื่อมโยงทางโลกเขาอย่างไรก็ปรับไปเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ง่ายแต่ก็ต้องทำ เราจะไปตัดทิ้่งทำอย่างไม่แคร์ไม่เชื่อมโยงไม่ได้ เราไม่ได้ทำความแตกแยก แต่เรามีความเห็นต่างมีความเชื่อความเข้าใจต่าง และเรามั่นใจว่าความเชื่อของเรา แนวคิดของเรา เราเห็นว่าดีกว่า ดีกว่าไม่ใช่เราได้เปรียบหรือเห็นแก่ตัวมากไม่ใช่ แต่ว่าเราเสียสละมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วมมากขึ้นต่างหาก เป็นความฉลาดที่เข้าสู่ครรลองธรรมะโลกุตระ ลดละตัวตน ไม่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่ส่วนรวม

 

แต่ตัวเราก็ไม่กระเบียดกระเสียน แต่เพราะเรามักน้อยสันโดษใจพอ สิ่งฟุ้งเฟ้อเกินเราน้อยลง ส่ิงสูญเสียน้อยลง แต่สิ่งสร้างสรรเพ่ิมขึ้น ก็เลยมีส่วนเหลือไปช่วยสังคมได้มาก

 

ทำอย่างไรจะอยู่กันอย่างผาสุก เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามของการปรองดอง

 

ขอย้ำให้ฟังว่าที่เกิดความไม่ราบรื่น เพราะมีจิตอยู่ที่อัตตา พวกเราทำงานไม่มีอามิส เหตุปัจจัยที่จะทำให้พวกเราขัดแย้งไม่ราบรื่น เรียบร้อยเพราะติดอยู่ที่อัตตาของแต่ละคน เรื่องโลกธรรมลาภยศสรรเสริญ เรามีน้อย เราจึงจริงๆแล้วมันควรจะดีมากๆ แต่มันซ่อนที่มันยึดอัตตา ถ้ามีปัญญาร่วมจะทำให้เราไม่ยึดติดอัตตา กิเลสโลกธรรมก็จะไปโถมท่ีอัตตามากขึ้น อัตากลับยิ่งมาก ต่างกับทางโลกที่กิเลสไปแชร์ไปที่โลกธรรม เอาลาภยศสรรเสริญยัด แลกเปลี่ยนก็บรรเทาได้ แต่ของเราไม่มีส่ิงนี้ มักก็เป็นที่อัตตาล้วนๆ แทนที่จะสู้กับอัตตาอย่างเดียวแต่อัตตายังไปร่วมกับความโง่อีก เป็นอุปกิเลส มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเฐยยะ เป็นต้น มันไม่ใช่ลาภยศสรรเสริญวัตถุ แต่เป็นนามธรรมแท้ๆ ถ้าให้ไ่ม่รู้ไม่ทนทำ ให้อัตตามันเปลี่ยนเป็น มานะ อติมานะ แปรไป ตองระมัดระวังของใครก็ของใคร จะยึดความรู้ความดี เป็นความถูกต้องของตนนี่แหละ มันเป็นความรู้ความเห็นของกู เมื่อไม่ทำตามกู กูก็ไม่ร่วมด้วย เห็นได้บ่อยๆในพวกเรา แม้ไม่หยาบคายก็ตาม มันก็เสียผล คนที่วางปล่อยไปมันไม่ได้ลดอัตตานะ แต่อัตตาคุณโตขึ้น ความซับซ้อนพวกนี้ลึกซึ้งมากเป็นภาวะหมุนรอบเชิงซ้อน ไม่เช่นนั้นก็แก้ปัญหาตัวเองไม่ได้

 

เราจะทำการสัมมนาเรื่องเทคนิคการสอน

 

อาตมาให้ความรู้ เรื่องเทคนิคการสอนของชาวอโศกกับทางโลกนั้นต่างกัน ของเรานี่เป็นเทคนิคของเราที่มีศีลเด่น เป็นงานชาญวิชาเป็นหลักเทคนิคการสอนต้องประยุคให้สำคัญ ถ้าข้างนอกเขาจะมาสอน เราต้องรู้จักประยุกต์ใช้

 

ของเราสอน ทำการศึกษา เน้นบูรณาการเป็นหลัก เมื่อเราจะประยุกต์ใช้ที่เขาแนะนำเทคนิคมา ในฐานะที่เขาได้ทำมาได้ผล มันก็จะมีวิธีการที่จะอ้อมให้แก่นร.ได้อย่างไร ก็เอาอันนั้นมาสวมประกอบกับของเราที่เป็นามธรรม ของทางข้างนอกเเป็นรูปธรรม ของเราจะเป็นนามธรรม ต้องคำนึงจุดนี้ให้มาก ปรับใช้ให้ได้ของเราว่าเป็นนามธรรมที่หนักแล้ว แล้วยังเป็นระดับโลกุตระ ธรรมะชั้นสูงทั้งนั้น แม้เด็กก็ตาม

 

ทำไมชั้นสูง ไม่ใช่สูงเลิศเลิอ แต่สูงคือ มีความรู้โลกุตระ ที่เข้าไปรู้กรรมกิริยาของตน  โดยเฉพาะรู้กรรมกิริยาของใจ การประพฤติกับทางโลกเราก็ทำเหมือนกันหมด เป็นแต่เพียงเราต้องมีญาณปัญญาดูแลสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ดูแลงานการอาชีพที่เราทำ แล้วรู้จิตเชื่อมกับข้างนอกทั้งสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะต้องมาจากจิตปรุงแต่งเป็น วจีสังขาร เราต้องรู้จักสังกัปปะ 7 ต้องให้เด็กได้รู้อันนี้

 

นอกนั้นไม่ได้แยกไปจากสามัญของความเป็นมนุษย์โลกนี้ ประเด็นหลักก็คืออันนี้ ถ้าจับอันนี้ไม่ได้ทำใจในใจโยนิโสมนสิการไม่ได้ คือทำแต่กายกับวาจา แต่ที่เราว่าสูงใหญ่เหนือโลกคือทำใจได้ตรงนี้ ถ้าทำเป็นแล้ว ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะเป็นการศึกษาโลกุตระ แล้วไม่หนีจากสีงคม ตามที่เขาว่าโลกุตระต้องเข้าป่า มันไม่เป็นไปเพื่อ พหุชนหิตายะ พหุชนะสุขายะโลกานุกัมปายะได้เลย มันไม่ได้อะไรกับโลกแถมโกงหนักอีก น่าสงสาร ไม่น่าจะเป็นเช่นน้ันเมืองไทย ทั้งที่มีพุทธศาสนาที่มีประสิทธิ์ภาพเย่ียมยอด พยายามทำความเข้าใจทำอย่างไรจะให้เกิดความร่วมที่จะเกิดการปฏิบัติการสอน ไม่ขาดทุนหรอก เรียนจากข้างนอกมา ศาสนาพุทธไม่ปิดกั้นเทคโนโลยี ของโลกีย์เราก็ทำ เว้นแต่เรื่องทุจริต อบายมุข เราก็ไม่ให้ทำ แต่ถ้าไม่ทุจริต ไม่อบายมุขเราก็ทำ แต่เราเหนือกว่าที่เราปรับที่จิตได้ ไม่ปรับแค่กายกับวาจา มโนบุพพัง ก็ออกมาเป็นมโนเสฏฐา มโนมยา ออกมาสู่ความเจริญได้อย่างถูกทาง ตกลงเพราะทำใจในใจไม่ได้ศาสนาพุทธจึงเสื่อม

 

 

 

 

 

570611_พ่อครูเทศน์ ทวย. อโศกรำลึก เรื่อง บุญต่างจากกุศลอย่างไร?ตอนที่ 4

 

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเทศน์ จะได้เอาคำว่า บุญ กับ กุศล มาสาธยายกันอีก เพราะมีความซับซ้อนทั้งสภาพความแตกต่างทั้งด้านกว้างและลึก เราต้องทำความชัดเจน

 

เราได้สาธยายคำว่าบุญ กับกุศล จนถึงคำว่า อมตะแล้ว คำว่าอมตะนี้ ในพุทธศาสนาเป็นเรื่องลึกล้ำ ที่ใช้แค่ปฏิภาณปัญญา หรือเดาเอาไม่ถูกง่ายๆ เพราะว่ามีนัยที่วนลึกของสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน อาตมาพูดถึงบรรยายธรรมะใหม่ๆ เขียนในหนังสือทางเอกว่า คัมภีราวภาโส มันหมายถึงความชัดเจนกระจ่างแจ้งในความลึกซึ้ง สว่างชัดทะลุทะลวง ไม่ได้บ่งถึงสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนใดๆเท่าไหร่ แต่มาวันนี้อาตมาได้คำที่ตรงกับสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนกว่าคือคำว่า ปฏินิสสัคคะ

 

มันวนซ้อนของความเป็นสภาวธรรม ที่เป็นสภาวะที่ใช้พยัญชนะว่า อมตะ มันจะวนซ้อนกันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และมันก็ซับซ้อน ไปมาขึ้นไปเรื่อยๆ ปฏิ แปลว่าวนซ้อน นิสสัคคะ แปลว่าสวรรค์ นิสสัคคะแปลว่าไม่มีสวรรค์ พอเข้าใจแล้วก็รู้สรรค์เท็จ สุขหลอก จากชั้นต้นกลางปลาย เราได้ชั้นต้นก็รู้แล้ว ชัดเจนแล้วในรอบนี้ก็ขึ้นรอบใหม่ ก็หมุนซ้ายขวาไปเรื่อยๆ หลุดพ้นจากชั้นนี้ ตายจากชั้นนี้ มันตายจากความรู้ความเห็นความสุขเก่าๆ มันตายจากเรา เราขึ้นสู่สวรรค์ชั้นใหม่ที่จริงกว่าเก่า

 

ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป วนเวียน หายใจออกหายใจเข้าวนเวียนเช่นนี้ แต่เราทำใจให้หลุดพ้นไม่วนไปเรื่อย ขึ้นไปเรื่อยๆ

 

อมตะเขาแปลกันว่า ไม่ตาย คำว่าไม่ตายนี่เป็นความซับซ้อน คือเราได้ฆ่าเหตุ ในโลกเก่าที่เรายึดถือว่าเป็นจริงเป็นจัง พอเราสามารถฆ่าเหตุได้มันก็ตาย พอเหตุตาย จิตก็หลุดพ้น ก็ไม่มีจิตที่จะไปตายอีก จิตตัวที่หลงผิด มันล้างออกไป ชำระออกไป คือปุญญะ ได้ชำระล้างออกไป ก็ขึ้นไปอีกชั้น จิตไม่มีกิเลสนั้นอีกแล้วและของพุทธนั้นไม่เกิดอีกเลย นานเท่าไหร่กิเลสนั้นก็ไม่เกิดอีก แต่พุทธไม่เรียกนิรันดร แต่กิเลสตายนี่ตายนิรันดร แต่ไม่เรียกนิรันดร เพราะจิตไม่นิรันดร เจริญขึ้นได้อีกเป็นขั้นๆ จากโสดาฯ เป็นสกิทาฯ เป็นอนาคาฯ เป็นอรหันต์ อรหันต์คือชั้นสุดยอด ไม่ตายสุดยอดแล้ว

 

ยืนยันว่าพุทธเรียนรู้ถึงขั้นนิรันดรได้

 

ทุกวันนี้พุทธมิจฉาทิฏฐิเพี้ยนไปแล้ว สายเจโตก็ไปสอนให้ดับจิตเป็นนิโรธดับ เป็นอสัญญีสัตว์ เสร็จแล้วก็ไม่รู้ ไม่รู้จนกระทั่งเข้าใจในความหมายของคำว่า ไม่ตายไม่เกิดไม่ได้ เขาดับไปหมดนิ่งเฉย ไม่มีอะไร ก็เข้าใจว่าเป็นอนัตตา สุญญตาบ้าง เข้าใจจนสุดท้าย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่นิรันดร สายศรัทธาเข้าใจว่าอรหันต์ไม่เกิดอีก ไม่มีนิรันดร สลายแยกธาตุหมดเลยในจิตนิยาม

 

ซึ่งพลังงานของเราสังเคราะห์กันมาตั้งแต่เป็นนิยาม 5 เป็นอุตุเป็นสสาร เป็นวัตถุธาตุ เป็นพลังงานฟิสิกส์ ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน ที่คนเราค้นไม่พบ มีอยู่ในมหาจักรวาลเอกภพ พระอาทิตย์ก็มีวิจิตรพิศดารมากหลาย โลกเราก็รับพลังงานมาใช้ส่วนหนึ่งเท่านั้น มันมาแต่ว่าคนเอามาใช้ไม่ได้ก็เยอะ ในอุตุนิยามทั้งหลาย คนดึงมาใช้งานได้ไม่น้อย แต่ไม่หมด ไม่ใช่ชีวะ แต่พอสังเคราะห์มาเป็นพีชะนิยามเป็นพืช ก็ไม่มีวิญญาณครอง อนุปาทินกสังขาร ไม่มีกรรม ไม่มีวิบาก ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่สัญญา สังขาร ไม่มีเวทนา แต่เป็นรูปร่างได้ เช่นหมากแวง จะเรียกลิ้นจี่น้อยก็ไม่เข้าท่า เนื้อก็ติดกับเม็ด

 

มันมีการสังเคราะห์ธาตุกันตามสูตรของมันไม่ผิดเพี้ยนเลยนะ แล้วต่อมาพัฒนาเป็นจิตนิยาม ก็เป็นสังขารที่มีวิญญาณครอง มีเวทนา สังขาร วิญญาณ เป็นสัตว์มีการสั่งสมกรรม มีรัก ชัง มีวิบาก เดรัจฉานมันก็พัฒนาตัวมันเดรัจฉานที่เป็นใหม่ๆก็ไม่มีกิเลสมาก

 

 

จิตวิญญาณสัตว์เดรัจฉานอยู่ในมนุษย์ก็มี ในมนุษย์นี่ฉลาดกว่าเดรัจฉานและลงต่ำเลวร้ายได้มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน นับเท่าไม่ถ้วนเลย คนจึงเป็นสมบัติของมหาจักรวาล สร้างโลกได้ทำลายโลกได้ แล้วก็มีศาสดามาตรัสรู้ว่าผู้สร้างและทำลายโลกก็คือจิต

 

สายเจโตก็ไม่ค่อยชัด เป็นการศึกษาแบบ Prophecy ศึกษาได้มากสุดเป็นศาสดาพยากรณ์ Prophet ชี้ชัดเปรี้ยงๆไม่ได้เหมือนพระพุทธเจ้า ได้แค่พยากรณ์ แต่ก็มีประสิทธิภาพสูง ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ศาสนาอื่น มันเป็นความเข้าใจของอาตมาเช่นนั้น

 

แม้สายของพุทธที่เก่งทางเจโต ก็ไม่ชัด แต่สายปัญญาก็ไปเป็น พวก Philosophy หนักเข้าก็เพี้ยนไปเป็นจินตนาการสูง สุดท้ายสายเจโตของพุทธก็เป็นอุจเฉจทิฏฐิ

 

อรหันต์มีหลักประกัน ละกิเลสได้กิเลสไม่มีเกิดไม่มีตายกับท่านแล้ว ท่านก็เป็นคนมีประโยชน์แก่โลก มีโลกอบาย โลกกาม ท่านรู้เจนแจ้งจบแล้ว มีโลกวิทู พระพุทธเจ้าได้แต่บอก เก่งสุดได้แต่บอก เปิดเผยความจริงได้ชัดที่สุด แล้วให้คนอื่นเข้าใจได้ดีที่สุดก็เท่านั้น นอกนั้นคุณก็ไปทำเอง

 

สายปัญญาฟุ้งซ่านไปสร้างอนาคต ส่วนเจโตดับหมดทั้งอดีตและอนาคตไม่มีอะไร ส่วนทางปัญญาฟุ้งซ่านไปสร้างวิมานปรุงแต่ง ไว้หลอกกัน อะไรก็สมมุติมาเป็นสมมุติสัจจะ เช่นสมมุติว่าสวย สมมุติว่าอร่อยสมมุติว่าสนุกสนาน หลงสุขเท็จ ไม่มีอะไรซักอย่าง

 

สายปรุ่งแต่งก็ปรุงมาก หลอกจนคนมารู้ร่วมมายึดถือร่วม เมื่อยึดถือก็เกิดขึ้นในโลก แล้วบานปลายพอกเพ่ิม ส่ิงที่เป็นอรูป ไม่มีดินน้ำไฟลมเกิด คุณก็ไปเดาเอาแล้วไปสร้างปั้นเอา เช่นสวรรค์ขั้นนั้นชั้นนี้ พอนั่งหลับตาสะกดจิตไปก็มีวิมานมากมาย อย่างสำนักธรรมกาย มีเทคโนโลยีสร้างภาพมากมาย สวรรค์ต่างๆนานา คนก็อยากได้อยากมีอยากเป็น จนไม่มีจบ กลายเป็นนิรันดร

 

ส่วนสายเจโตเป็นอุเฉจทิฏฐิ ตายแล้วสูญ ส่วนสายปัญญานี้เป็นสัสตทิฏฐิ ตายแล้วไปอยู่ในพุทธเกษตร มีทั้งพระอรหันต์ ทั้งพระพุทธเจ้าอยู่ในนั้น ตั้งชื่อตั้งเสียงไว้เยอะ อาตมาพยายามจำนะ จำได้แต่อมิตภพระพุทธเจ้าก็เป็นการสร้างภพสร้างชาติ

 

จิตนิยามนี่มีกรรมมีวิบาก เรียนรู้กรรม เรียนรู้วิบากได้ กรรมที่สั่งสมกิเลส กับกรรมที่ทำแล้วเป็นสิ่งที่ผิดกับสิ่งที่ถูก จนมาเรียนรู้แล้วว่าสิ่งไหนผิดก็ไม่ทำอีก ทำจนขนาดอรหันต์จะล้างสัญญา กว่าจะเป็นอรหันต์นั้นซับซ้อนเยอะ ละเอียดเยอะ

 

พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับภิกษุว่า ส่ิงที่เป็นสัญญา เป็นความหลังเก่าดับเชื้อมันยาก กว่าจะสะอาดนานมาก ผู้ใดไม่เข้าใจแล้วไปสั่งสมกรรม กรรมอดีตแล้วแก้ไขไม่ได้ ต้องแก้ไขปัจจุบันเท่านั้น อนาคตก็มาไม่ถึง ตัวปฏิบัติต้องเป็นปัจจุบัน ศาสนาพุทธที่ไปนั่งหลับตานั้นน่าสงสารมาก ไม่มีปัจจุบัน จึงผิดพลาดในการปฏิบัติธรรมไปหมดแล้ว

 

อย่าไปคิดว่าการไปนั่งไม่ต้องใช้ทวารนอกกระทบเกี่ยวข้องไม่มีประโยชน์นะ เป็นการทำเตวิชโชได้ และทำการศึกษาจิตในการนั่งเข้าภวังค์ หรือจะพักสงบ การนั่งสมาธิหลับตามีประโยชน์คือ

 

1.พักผ่อน

2.ศึกษาจิตในภวังค์

3.ทำเตวิชโช

3.เอาไปเล่นฤทธิ์เดช

 

ที่เป็นอุปการะคือ 3 อย่างนี้ ทบทวนไปสิ มันคนละความเชื่อถือเลย สิ่งที่เราเป็น เรายืนอยู่ อันโน้นมันไปจนเราลืมแล้ว กรรมจึงเป็นตัวตั้งของการเปล่ี่ยนแปลง กรรมปัจจุบันเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด

 

ขนาดเป็นพระพุทธเจ้า เศษกรรมเศษวิบากเศษอกุศลกรรมที่เหลือยังมาเล่นงานท่านแต่ก็เบาลง จะให้หมดเกลี้ยงไม่เหลืออะไรมาเล่นงานเราเลยไม่ง่าย ขนาดพระพุทธเจ้ายังมาเล่นงานได้เลย แต่มันก็เบาลง

 

ทุกปัจจุบันไม่มีอีกแล้วจะสั่งสมอกุศลไปอีก อนาคตมีหลักประกันไม่ผิดเพี้ยนเลย จะอยู่ไปนานอีกเท่าไหร่เป็นอรหันต์แล้วไม่มีตกต่ำ อนาคตก็มีแต่ดีๆๆๆ

 

ธรรมคือการทรงไว้ ฐานโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ส่วนปุถุชนไม่มีฐาน หรือจะเป็นเว็จ ที่ภาษาอีสานเรียกว่าฐาน เขาไม่เรียกห้องส้วมนะ เพราะคนอีสานนี่เรียกห้องพิเศษที่ให้ลูกสาวนอนนี่เรียกว่าห้องส้วม

 

ปุถุชนไม่ได้สร้างฐานให้แก่ตัวเอง มีแต่สวรรค์เท็จสวรรค์หลอก จนได้โสดาบัน ก็มีฐานของตนเอง สูงมาเป็นลำดับ จนเป็นอรหันต์ก็รู้จักการตาย กิเลสตายสูญไปเลย ตั้งแต่โสดาบัน ...ไปจนถึงอรหันต์ก็มีกุศลจิต แต่อกุศลจิตไม่มีอีกแล้ว อมตะแล้ว แต่ร่างกายไม่ตายกุศลกรรมก็ไม่ตาย เป็นคนไม่ตายแต่ตายได้ แต่ยังไม่ตาย

 

ถ้าวนกลับไปกลับมาในระนาบเดียว ไปซ้ายไปขวา สำหรับปุถุชน แต่ก็มีขึ้นมีลง มีความไม่เทีี่ยง เช่นพยายามรักษาความสุขไว้ให้นานไม่ให้หายไปก็ไม่มีทางทำได้

 

ในขณะล่วงพ้น (สมติกมะ) หรือจะใช้ว่าวิมุติก็ได้ ในขณะยังไม่สูงสุดวิมุตินี่คล้ายกับกุศล ใช้สูงสุดได้ส่วนล่วงพ้นไม่ถึงที่สุดใช้ สมติกมะ

 

ปฏินิสัคคะ คือทวนมาสวรรค์ แต่ก็ไม่มีสวรรค์ คือดับเหตุแห่งสวรรค์ชั้นเก่าแล้วมาสวรรค์ชั้นใหม่ เป็นสมมุติเทพ มาเป็นอุบัติเทพ จนหมดจดเป็นวิสุทธิเทพ เลื่อนวนขั้นเป็นก้นหอย เลื่อนขึ้นใช้ภาษาว่า จุติ และคำว่าจุตินี้หมายถึงตายด้วย ตายจากสวรรค์เก่ามาเป็นสวรรค์ใหม่

 

ส่วนอุบัตินั้นไปแปลว่าเกิด จุตูปปาตญาณ คือ ญาณที่รู้จักการตายของจิตวิญญาณและเลื่อนชั้นขึ้น

ปฏิ คือการวนไปวนมาแต่เจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ คนไม่รู้จักเขาก็วนกับของเก่า

 

เจริญขึ้นเรื่อยๆเขาเรียกว่าสัมปรายนะ หรือเป็นสัมปรายภพ เป็นภพที่เลื่อนไปข้างหน้าเป็นแดนหน้า สัมโพธิปรายนะเป็นคุณสมบัติของโสดาบัน หรือแม้แต่สกิทาคามี อนาคามีก็มีจุดที่เป็นสัมปรายนะคือไม่ถอยหลังอีกแล้ว เดินหน้าอย่างเดียว ผู้รู้ไม่พอก็จะวนไปวนมา

 

คำว่าปฏินิสสัคคะนี้เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่วนขึ้นไป ลึกซึ้ง เป็นภัมภีราวภาพ เป็นลักษระของการรู้สวรรค์แต่ละชั้นๆ แต่พูดอย่างนี้ไม่ได้ว่าเราไม่รู้สวรรค์ชั้นต่ำ พูดได้พูดถูกกับคนที่พูดรู้เรื่อง

 

คนเป็นอนาคามีก็สอนคนเป็นสกิทาฯโสดาบันได้ ไม่ใช่ว่าสอนไม่ได้ เป็นอรหันต์แล้วตายสูญไม่ใช่ อย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นศาสนาไม่มีการสืบทอดแน่

 

บุญมีลักษณะแคบแต่ลึก แต่ว่ากุศลนั้นมีลักษระกว้างแต่ไม่ลึก บุญเน้นเข้าหาแกน เป้ามีทิศทางไปสู่ความจบ ส่วนกุศลมีทิศทางกว้าง มีทั้งโลกียะและโลกุตระได้ มีลักษณะให้คนอาศัยมาก แต่บุญนั้นไม่ถอยได้โสดาบันแล้วไม่ถอยไปปุถุชน ได้สกิทาฯแล้วไม่ถอยไปสู่โสดาฯ ได้อนาคาฯแล้วไม่ถอยไปหาสกิทาฯ ได้อรหันต์แล้วไม่ถอยไปหาอนาคาฯ แต่ลงมาหาต่ำได้เพื่อช่วยเขา

 

แต่พอความรู้พุทธธรรมเสื่อมก็ไปเรียกบุญว่าเป็นความดีงามเหมือนกุศล ซึ่งมันก็จริง ละกิเลสได้ก็ดีงาม ทีนี่คนเรา สภาวะของการได้ความดีงามระดับดับกิเลสได้ กับความดีงามทั่วไป อันไหนประเสริฐกว่ากัน ดีงามอย่างบุญหรือกุศลอันไหนเหนือกว่า ก็ต้องบุญดีงามกว่าสิ คำว่าบุญก็เป็นพระเอกขึ้นมาเรื่อยๆ

 

คำว่าบุญก็เลยเอามาใช้แทนกุศลไปหมด แค่ทำทานได้กุศลไม่ได้บุญก็ไปเรียกว่าบุญหมด ทั้งที่ล้างกิเลสไม่เป็น สับสนปนเปกันไปหมด

 

ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ธรรมนั้นวินัยนั้นเป็นของเราตถาคต ถ้าสมมุติว่าอาตมาอ้วน อาตมาก็ต้องใช้ผ้าผืนใหญ่ อาตมามีบ้านเล็กๆ แต่ลูกอาตมามีเยอะก็เลยต้องมีบ้านหลังใหญ่ ไหนว่าอโศกมักน้อย แต่ว่าทำไมแจกเอาแจกเอา คนรวยมีแต่ไม่แจกด้วย ทำทาน ยกตัวอย่างบ้านราชฯทำถนนให้เขา ยกตัวอย่างถนนสายข้างโรงเรียน เราก็ไปเทปูนให้ มันมากกว่างบประมาณที่รัฐให้มา พวกนั้นเขาก็มองไอ้พวกนี้มันต้องรวย ที่จริงเงินที่เราไปทำให้เขาเราไม่ได้มีเป็นตัน เช่นเราไปสร้างบล็อกคอนเวิร์ตให้เขา เขาให้มาไม่เท่าไหร่เป็นแสนแต่เราทำให้เขาเป็นล้าน เราทำงานทุกวันก็มีหมุนไปให้เขาได้

 

ทุกวันนี้ใช้คำว่าบุญมาหากิน ทั้งที่กุศลเป็นของไม่เที่ยง แต่บุญเป็นของเที่ยง กุศลเป็นเพียงความดีงามไม่ใช่บุญ

 

พจนานุกรมภาษาไทยแปล บุญ เหมือนกับกุศลหมด เหลือแต่พจนานุกรบาลีที่มีแปล บุญต่างจากกุศล ในพจนานุกรมไทยฉ.ราชบัณฑิตแปล บุญ ว่าเป็นการกระทำดีตามหลักศาสนา หรือแปลว่า คุณงามความดี กุศลเกื้อหนุนมาแต่ในอดีต หรือเอาคำว่าบุญไปผสมกับคำอื่น เช่น บุญตา บุญธรรม แต่จะไปหมายถึง บุญธรรมว่าไม่ใช่ของจริง เช่นลูกบุญธรรม หมายถึงลูกที่ไม่ใช่ของจริง บุญปลูก บุญศรี บุญสา บุญมา บุญมี บุญนี่เอาไปใช้เสียเละเลย ตกลงเลยคำว่าบุญถูกคนไทยเอามายำเสียเละเลย แล้วจะให้เกิดปรินิพพานได้อย่างไร เอาบุญมาทำเละเลย เวรกรรมแท้ๆ หมดค่าเลย ทั้งๆที่คำว่าบุญนี่มีลักษณะจำเพาะชี้ชัดไปสู่จุดสูงสุดมีที่หมายไม่มีลงต่ำ แต่นี่เอาไปกระจายเป็นบุญสีบุญสาบุญเละบุญเทะเลย

 

เหลือในพจนานุกรม บาลี-ไทยอยู่บ้าง รุ่นหลังไปแปล บุญ ว่ามาจาก ปุญญะ แปลว่าความดีความงาม ความสะอาด แปลว่ากุศล กรรมที่ดีงามเป็นประโยชน์

 

ทีนี้บางฉบับ แปลว่า ชำระกิเลสในสันดานให้หมดจน เครื่องชำระสันดาน ความผ่องแผ้วแห่งดวงจิต ก็ยังแปลเข้าท่า เป็นความหมายของปรมัตถ์ เป็นอาริยธรรม เป็นโลกุตระ

 

เฉโกแปลว่าฉลาดแกมโกง ทุกวันนี้ คำว่าเฉโกหายไปเลย บาลียังมีการใช้ แต่ว่าไทยไม่ใช้เลย อย่ามาชมฉันว่าฉลาดแบบนี้ เหมือนคำว่าบุญก็เอามาใช้แทนกุศล ต่อไปคำว่ากุศลก็จะหายไป เอาบุญมาแทนหมดเลย จะเจริญแบบไหนก็แล้วแต่เรียกว่าบุญหมด เพิ่นนี่บุญหลาย คือมีบุญมากเพราะท่านได้เป็นเจ้าเป็นนาย ได้ร่ำได้รวย

 

แต่มันมีซ้อนอยู่อันหนึ่ง มันเป็นกุศลแต่ไปเรียกว่าบุญ คือเขาทำวิบากกุศล พอเกิดมาก็ได้บัลลังก์กุศล เลยเรียกว่าบุญเก่า ไม่เรียกว่ากุศลเก่าเพราะคำว่าบุญนี่ใช้กันทั่วเลย เหมือนกับชาตินี้ได้เป็นคนรวยหรือเป็นคนชั้นสูง แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นคนดี

 

พระอรหันต์ที่ทำแต่บุญไม่ได้สร้างกุศล เกิดมาเป็นอรหันต์ที่จน เป็นขอทานได้ แต่ว่าคนทำแต่กุศล แต่ไม่ได้ทำบุญก็เกิดมาเป็นคนรวย แล้วใช้อำนาจซับซ้อนทำบาปได้ จนเรางง เป็นลูกเจ้าลูกนายแท้ๆแต่ทำไมทำได้อย่างนี้ มันจึงไม่ใช่หลักประกันเลยในการสร้างกุศล แต่ที่พูดนี้ถ้าใครทั้งลดกิเลสทำบุญและสร้างกุศลด้วย แม้มีเงินก็ไม่ใช้เงินในการสร้างบาป หลักประกันคือบุญไม่ใช่กุศล กุศลเป็นเครื่องอุปการะสงเคราะห์ ไม่ต้องอะไรมาก อาตมากับคุณจำลอง คุณจำลองยังมีกุศลเก่ามากกว่าอาตมา อาตมาหมากลางตลาด ต้องหลบปังตอ หลบน้ำร้อน แต่คุณจำลองไปที่ไหนก็มีแต่คนเสนอให้เป็นต้น

 

มันมีคำที่จะทำให้เราชัดขึ้น คือ โอวาทปาติโมกข์

สัพปาปสอกรณัง ท่านไม่ทำบาปทั้งปวง

กุสลสูปสัมปทา คือ ทำกุศลให้ถึงพร้อม ไปให้ถึงในกุศลตลอดไป พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านไม่สันโดษในกุศล แต่ว่าท่านไม่เคยพูดว่าท่านไม่สันโดษในบุญ

สจิตตปริโยทปนัง คือทำจิตให้ขาวรอบ ล้างกิเลสให้หมดจนนั่นเอง หมดบาปเพราะคุณทำบุญ ชำระกิเล ส พอชำระกิเลสหมดก็ไม่ต้องทำบุญทำบาป เรียกว่า ปุญญปาปปริกขีโณ คือสิ้นบาปสิ้นบุญ

 

พระพุทธเจ้าตรัสตอนเป็นโชติปาละที่ไปละลาบละล้วงพระพุทธเจ้าที่ต้องไปบำเพ็ญทุกกรกิริยา ต้องไปใช้หนี้ บาปที่ไปละลาบละล้วงกัสสปะพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็ตรัสในสูตรนี้ว่าท่านสิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว คือผู้จบกิจไม่ต้องทำบุญทำบาปแล้ว แต่กุศลนั้นทำได้เรื่อยๆ

 

เมื่อไม่เข้าใจคำว่าบุญว่าบาปถูกต้อง ก็เลยไปอธิบายอภิสังขาร 3 ไม่ถูก

ปุญญาภิสังขาร หมายความว่า การจัดการกับจิตของเรา เป็นอภิสังขาร เป็นสังขารอย่างยิ่ง ลึกซึ้ง สูง ท่านก็ปรุงแต่งจัดการกับจิตให้เป็นบุญให้มีการชำระจิตให้ได้ เป็นเสขบุคคล จิตเข้าสู่โลกุตระแล้ว ยิ่งชำระกิเลสได้ก็ยิ่งทำเป็น เป็นส่วนแห่งบุญไปเรื่อยๆ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ละอุปทานจากขั้นธ์ให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆจนกว่าหมดอาสวะอนุสัย

 

 

โลกุตระนั้นอากาสาฯก็ลืมตา เพราะบรรลุแบบพุทธนั้นมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อโลกา(แสงสว่าง) มีจักขุมาปรินิพพุโพติ ปฏิบัติธรรมมีตาเปิด มีนิพพาน  สู่นิพพานอย่างลืมตา เมื่อปฏิบัติธรรมไปแปลสัญญาเวทยิตนิโรธว่าดับเวทนา ดับสัญญา แล้วอธิบายว่าการดับสัญญาคือผู้ไม่มีความรู้ตัวหรือความรู้สึก แปลว่า อสัญญี ว่าไม่รู้สึก ไม่กำหนดหมาย คือสัญญาไม่ทำงาน สัญญาดับไม่กำหนดรู้อะไรเลย แสงกระทบตา เข้าไปสู่ข้างในก็จะเกิดภาพที่จอตา แต่จิตคุณไม่กำหนดรู้ คุณไปคิดอะไรไม่รู้ จิตไปกำหนดรู้เป็นวิมานอะไรไม่รู้ แสงไม่ได้วิ่งไปอยู่ที่คุณคิดนะ สัญญาไม่ได้กำหนดหมายที่จอตาคุณนะ ภาพไปตกกระทบที่จอตา คุณไม่ได้กำหนดรู้เลยที่ตา มันอยู่ต่อหน้าคุณก็ไม่เห็น แปลสัญญาเวทยิตนิโรธว่าไปดับสัญญาก็ผิดหมดเลย

 

สัญญาทำงานแล้วส่งให้วิญญาณ สังขารและเวทนาก็ส่งไปให้วิญญาณ แต่คุณไปเป็นอสัญญีสัตว์ เป็นวิญญาณฐีติ หรือเป็นสัตตาวาสข้อที่ดับ ในอากิญจัญยายตนะ เหมือนอาฬารดาบส หรืออุทกดาบส

 

สามอย่างที่พระพุทธเจ้าว่าไม่มีอิ่มไม่มีเต็ม

 

1.เสพเมถุน 2.นอน 3.เมา คำว่าเมานี่ไม่ได้หมายถึงแค่เมาเหล้านะแต่เมาทุกอย่างเลย

 

เราศึกษาย่อมาที่ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมรรค ส่วนวิมุติ กับวิมุติญาณทัสสะเป็นผล

 

 

 

570612_โอวาทพ่อครูสรุปงานอโศกรำลึก ครั้งที่ 33 (บางส่วน)

 

พ่อครูว่า...

 

เรากางเต็นท์ 7 หลัง คนก็มานิดเเดียว เราตั้งส้วม 80 หลัง แล้วคนก็มานิดเดียว หรือจัดสถานที่ริมมูนไว้ก็ได้ใช้นิดเดียว ขนจอLED เตรียมไว้ก็ได้ใช้นิดเดียว ถ้าเราคิดอย่างทุนนิยมเราก็ว่าไม่คุ้มเลย เราไปคิดว่าเราจะได้ แต่ว่าเราต้องคิดว่า เราได้ให้ เราไม่คิดว่าคุ้มหรือไม่ ถ้าเราเจตนาว่าเราทำเผื่อพี่น้องญาติโยมเรามามาก เราก็ทำไว้ ถ้าเขามาเกินกว่าที่เราเตรียมไว้มันแย่ แต่ถ้ามาน้อยกว่าที่เราคาด เราก็จ่ายได้ให้ เราไม่เสีย เราได้ฝึกได้ อันนี้คืออาตมาว่า เราเสียสละแต่เราไม่ได้เสีย เราให้เต็มๆ ดีกว่ามันไม่พอ เป็นคนขี้เหนียว เราได้เสียสละ

 

สมุตติว่า คนมามาก เราก็คิดว่ามันคุ้ม มันก็เท่ากันนั่นแหละ ถ้าจะมองในแง่ความสมเหมาะสมควร สุรุ่ยสุร่าย มันก็อยู่ที่การคาดคะเน กะเอา ซึ่งเราไม่ได้สุรุ่ยสุร่าย อาตมาก็มองว่าน่าจะมากกว่านี้ แต่เอาเข้าจริง น้อยกว่าที่คาด ไม่ได้เจตนา จะไปโทษโทรทัศน์ไม่ได้ เรามีเสน่ห์เท่านี้ จุดที่เราต้องปรับมีอยู่

 

ถึงอย่างไร ส่วนเกินสูญไปก็ถือว่าสุรุ่ยสุร่าย เราก็ไม่เจตนา แต่ในด้านจิตวิญญาณการเสียสละเรามุ่งตรงนี้ดีกว่าขี้เหนียว ถ้าขี้เหนียวเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว เราก็ไม่ได้เรียนรู้ฝึกฝน แต่นี่อย่างน้อยเราได้ทำงาน ได้ฝึกซ้อม ได้อดทน ที่ลึกซึ้งคือเราไม่เสียใจ ไม่คิดเล็กคิดน้อย

 

 

ก๋วยเตี๋ยวแม่บุญ แจกตั้งแต่ก่อนงาน มาจนจบงาน หลังงานก็ไม่หยุดแจก...ทุกคนมาร่วมกินก๋วยเตี๋ยว เพราะว่าเป็นสื่อแห่งความปรองดอง...ไม่อย่างนั้นจะหาว่าไม่กินเส้นกัน..

 

ตลอดงานแจก73 หม้อ เส้น 90 กก. โรงบุญ 28 ร้าน วันที่ 5 มีทั้งหมด 19 ร้าน วันที่ 9 มี 17 ร้าน

 

 

ประสพการณ์ที่เราผ่านมานี่แหละคือชีวิตจริงๆ ที่อาตมาพาทำมาเรื่อย ต่างคนต่างทำต่างคิด ต่างใช้ปัญญาช่วยกัน เป็นการศึกษาฝึกฝนความเป็นสังคมมนุษย์ เป็นเรื่องสำคัญ​ไม่เกี่ยวกับอามิสเลย ทำอย่างนี้จะได้ลาภได้ยศสรรเสริญก็ไม่มี เรารู้ไว้เลย สดๆ เป็นการฝึกฝนสร้างสรร เป็นส่ิงประเสริฐจริงๆ เพราะฉะั้นอาตมาไม่แปลกหู ที่คนเขาเข้ามาแล้วประทับใจ แปลกดี อยู่กันแบบนี้ เขาก็บอกไม่ถูกว่าเห็นอะไร แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีง่ายๆ พฤติกรรมสังคมแบบนี้ มันประกอบขึ้นจากจิตวิญญาณเป็นตัวหลัก จิตวิญญาณที่ได้ฝึกฝนมา บางคน 30 ปี บางคน 20 บางคน 10 ปี ก็ตาม ก็ได้ฝึกฝนมาทั้งนั้น มันมาจากจิตวิญญารเป็นตัวหลัก ต่างคนต่างใช้ปฏิภาณใช้น้ำใจ

 

อาตมาได้ข้อสรุปอยู่ 4 คำ

1.ปัญญา

2.น้ำใจ

3.ซื่อสัตย์

4.อุตสาหะ

 

อาตมาได้สี่คำนี้เป็นเรื่องที่เกิดจริงเป็นจริง ที่เราเป็นอย่างนี้ได้เพราะทฤษฏีพระพุทธเจ้า ทุกคนใช้ปัญญา อิสระส่วนตัว แล้วทุกคนก็ใช้น้ำใจของแต่ละคน ถ้าไม่มีน้ำใจเกิดไม่ได้ คำว่าน้ำใจนี่ลึกซึ้งมาก เป็นของใครของใคร ไม่ใช่บังคับ อิสรเสรีภาพ เป็นความพอใจภาคภูมิใจด้วย เป็นพลังงานปัญญา พลังงานน้ำใจ ซื่อสัตย์ ถ้าไม่ซื่อสัตย์จะเกิดคตวามอลเวล เจ็บป่วย ไม่ดีไม่งาม ย่ิงพวกเรามีส่วนกลาง ถ้าพวกเราไม่รักษา ไม่เก็บงำ มันไม่ง่าย คำว่า ซื่อสัตย์นี่มันลึกซึ้ง ถ้าไม่ซื่อสัตย์ มีแต่การโกง เล่เหลี่ยม ก็เกิดเรื่อง ที่มันไม่เกิดเรื่องเพราะมีความจริง

 

พวกเรามีอุตสาหะ นี่งานเสร็จก็เก็บได้หมด โอโห ใช้ปัจจุบันธรรมที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเยอะแยะ แค่ต้องรื้อเต็นท์กันกลางน้ำก็หนักหนา งานสังคมแบบเรา แล้วคนมามากๆโดยเฉพาะมีคนใหม่มาผสม ถ้าพวกเรากันเองก็ไม่มีเรื่องมาก แต่เมื่อมีคนใหม่มา คนที่ขวนขวายก็มี คนที่ไม่ขวนขวายก็มีมา จะนอนจะกินที่ไหนก็ไม่รู้มาใหม่ เราก็ต้องขวนขวายอุตสาหะ รับแขก มีทั้งเรื่องจิตวิญญาณ มีน้ำใจ เป็นงานที่เราต้องศึกษาฝึกฝนอบรม ที่เราทำได้ขนาดนี้ อาตมาว่าเป็นความเรียบร้อย นี่ 9 วันนะ ไม่ใช่น้อยๆ โดยเฉพาะมีคนทำให้กินตลอดวัน ถ้ายังไม่นอนก็ไม่หยุด คนทำก็เก่งตลอด​ 9 วัน และคำติเตียนก็น้อย บกพร่องเล็กๆน้อยๆ ทำได้ขนาดนี้นี่

 

เราฝึกฝนศึกษาเพื่อให้เกิดขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบนี้ในมนุษยชาติ ซึ่งแตกต่างจากเขาที่ตัวใครตัวมัน เราอยู่แบบสาธารณโภคี เราไปชุมนุมประท้วงนี่เราไปเผยแพร่สาธารณโภคี คนยังไม่เข้าใจว่าลักษณะสาธารณโภคี งานชุมนุมประท้วงหากไม่เกิดสาธารณโภคี มันอยู่ไม่ได้หรอก 8 ถึง 9 เดือนนี้ วงแตกตีกันตายก่อน มีทั้งคนนอกและคนใน ก็วงแตก

 

สาธารณโภคีเกิดตามหลัก สาราณียธรรม 6 มีความระลึกถึงกัน ไม่เห็นแก่ตัว แต่ก่อนเห็นแก่ตัวหมด แต่พอมาอยู่แบบนี้ แต่ละคนก็เกิดอาการระลึกถึงใจเขาใจเรา มันเกิดการต้องทำจิต ถ้าใครไม่ทำก็ไม่เกิดพฤติกรรม แล้วมันก็อยู่ได้ พึ่งพาอาศัยกัน หนักนิดเบาหน่อย มันไม่สมบูรณ์เลย แล้วคิดดู อยู่กันกี่เดือน ที่อยู่คืออะไร? คือมุ้งแล้วอยู่กันอย่างไร 9 เดือน บางคนมาเป็นครอบครัวนะ ก็อยู่กันในมุ่งนั่นแหละ แล้วมันอึดอัดกันข้างเคียงแต่ไม่เกิดวงแตก ไม่ปรากฎว่ามาตีกัน ไม่เกิด ไม่ฆ่ากัน กินก็ไม่ค่อยเต็ม มันตีกันนะแค่กิน หรือที่นอนถ้าไม่ค่อยจะดี ก็จะระเบิด ทั้งที่กิน ที่ถ่าย แล้วไม่ทะเลาะกันมีเรื่องกัน แต่ที่เล็กๆน้อยๆก็ขาดหกตกหล่น แต่อยู่กันอย่าง อวิวาทะ มันเกิดผลตามหลักสาราณียธรรม 6 ของพระพุทธเจ้า มีความรักกัน เคารพกัน ให้เกียรติกัน มีสังคหะ เกื้อกูลช่วยเหลือแจกจ่ายกัน มีอวิวาทะ ไม่วิวาทกัน กระเบียดกระเสียนทุกคนต้องเสียสละก็ไม่เป็นไร สามัคคียะก็พร้อมเพรียงกันได้


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:30:14 )

570605

รายละเอียด

570605_พ่อครูเทศนาในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 80 ปีที่ริมมูน เรื่อง ถ้าไม่เจออุปสรรคไม่ใช่ของจริง

            เจริญธรรมทุกๆคน มันเป็นเหตุการณ์ที่อาตมาไม่รู้ว่าจะมีการปฏิญาณ มีการตั้ังใจลงทุนลงแรงกันขนาดนี้แล้วธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติจริงๆ ก็มีฝนตก ก็ไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรหรอก ท่านก็ตกของท่าน แต่เราก็ตีกินว่า ท่านคงทดสอบเรา และเราก็ได้ทดสอบ แดดเราก็ตากได้ ฝนก็เหมือนกัน ฝนก็เย็นกว่าแดดด้วยซ้ำ ตากแดดร้อนเหงื่อโทรมไหลก็เปียกแฉะเหมือนกัน ตากฝนนี่เย็น ก็แฉะเหมือนกันเป็นน้ำ มันก็เป็นเหตุการณ์ที่เป็นไปตามธรรม เป็นการพิสูจน์ใจคนด้วย

            พวกเรานี่ว่ากันจริงๆแล้ว มีมรรคผล อาตมาขอกล่าวตรงนี้ไม่ได้พูดประเล้าประโลมเอาอะไรจากพวกเรา จะเห็นได้ว่าอาตมาไม่ได้พูดอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนต้นๆ  แต่มาตอนหลังนี้ก็พูดบ้าง พูดย้ำหนักขึ้นและจะพูดย้ำหนักขึ้น เพราะเป็นความจริง เหมือนพระพุทธเจ้าที่ท่านจะพูดเน้นหนักประตูเดียวเลยว่าท่านเป็นสุดยอดแห่งมนุษย์ในมหาจักรวาลนี้ ไม่มีใครที่จะรู้ยิ่งเท่าท่าน ท่านครอบงำโลกทั้งหมด ถ้าใครได้อ่านพระไตรปิฎกท่านตรัสจริงอย่างพระทัยของท่านไม่ใช่ว่าท่านมาหลอก พูดประเล้าประโลมเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อ ไม่ใช่

            ขออภัยแม้แต่อาตมาเอง ก็ไม่ได้มีจิตที่จะพูดเพื่อให้ใครๆมาเชื่อ โดยเฉพาะมาเชื่อดายๆเชื่ออย่างตื้นๆ เชื่อว่าอาตมาเป็นผู้เก่ง มีอำนาจ ผู้มีอิทธิฤทธิ์ วิเศษอะไรอย่างนั้นไม่ใช่  อาตมายอมรับอย่างเดียวว่าอาตมามีความรู้ทางธรรมะ อันนี้อาตมาไม่ปฏิเสธ อาตมาไม่ได้มีฤทธิ์เรื่องลึกลับ ไม่มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชอย่างที่คนเข้าใจว่าเป็นความรู้ความสามารถของผู้ปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ เป็นอิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ ว่านั่นคือคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติธรรมแล้วจะได้ ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้เอาส่ิงเหล่านั้นมาเป็นเครื่องยืนยัน ชี้วัด ว่านั่นคือการบรรลุธรรม

            การบรรลุธรรมนั้น ตามธรรมที่พพจ.สอนเช่นสอนว่าอย่าฆ่าสัตว์ ศีล 5 เป็นต้น อย่าเอาทรัพย์ที่ไม่ใช่ของเรา อย่าผิดผัวเขาเมียใคร อย่าพูดปด เวลาเรามีสิ่งที่อยากระดับอบายภูมิ ถ้าผู้ใดฟังแล้วเข้าใจ ตรวจตัวเอง แล้วสังวรสำรวมตัวเองให้มีสัมมัปปทาน 4 วังวรปธาน ปหานปธานให้เกิดผลภาวนาปธาน แล้วก็รักษาผลอนุรักขณาปธาน ทำได้เช่นนั้นเรื่อยๆไป ผลที่ได้ที่เกิดจากการสำรวมอินทรีย์ 6 ที่เกิดยามกระทบสัมผัสต่ออะไรก็แล้วแต่ เช่นกระทบสัมผัสกับสัตว์ ตั้งแต่คน หรือตั้งแต่สัตว์เล็กสัตย์น้อย อื่นๆใดๆที่มันมีชีวะ เราก็ไม่ฆ่าแล้วอย่างหยาบที่สุดคือเราไม่ฆ่า อย่างรองก็ไม่ทำร้ายเขา ละเอียดลงไปกว่านั้นก็ไม่ทำให้เป็นการเบียดเบียนเขา อย่างนี้เป็นต้น สุดท้ายอย่าว่าแต่เบียดเบียนเลย เรามีใจเกื้อกูลช่วยเหลือแม้เขาจะเป็นศัตรูกับเรา แม้เขาจะมาทำร้ายเรา เขาจะตั้งจิตทำร้ายเราก็ตาม เราก็ไม่มีจิตเคืองแค้นไม่มีจิตไม่ชอบใจหรือชิงชังเขา ไม่ต้องไปพูดถึงว่าจะอาฆาตโกรธแค้นทำร้ายเขาตอบ หยาบอย่างนั้นเราไม่มี หรือแม้แต่จะเกิดจิตใจ ไม่ชอบใจขัดเคืองขัดอกขัดใจที่เขาทำร้ายเรา ทำร้ายเราอย่างแรงก็ตาม จิตใจเราก็ไม่เกิดอย่างนี้เป็นต้้น ถ้าเราสามารถอ่านใจตนเองเป็น แล้วก็อ่านความรู้สึก อ่านจิตในจิตของเราได้ แยกเวทนาในเวทนา จิตในจิตของเราได้ สามารถแยกได้จริงๆ มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ได้ มีความสามารถวิจัยสู่การตรัสรู้เลยเป็นโพชฌงค์

            เมื่อสามารถได้จริงเป็นจริงเช่นว่านี้ แล้วเราก็รู้วิธีปหานกำจัดกิเลสตัวที่เรารู้เราเห็นว่า มีกิเลสเกิดจริงนะนี่ อยู่ในจิตเราแล้วเราก็ลดละไป เพราะฉะนั้นปฏิบัติศีลข้อ 1 จริงหรือข้อ 2 ก็ตามหากทำได้จริงก็มีผลจริง แล้วกิเลสก็ลดละกิเลสได้จริง นี้คืออนุสาสนีย์ปฏิหาริย์ คือการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ลดกิเลสได้นั่นแหละคือปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ว่าเก่งเหาะเหินเดินน้ำดำดิน หรือว่าหยั่งรู้ใจคนนั้น หยั่งรู้ใจคนนี้ สามารถทายใจ ทายคนหายของหาย หรือว่ามีพลังจิตที่จะไปดลบันดาลอะไรได้อย่างนั้นไม่ใช่เลย ไม่ใช่เลย จะมีความเก่งความสามารถอย่างนั้นของใครก็ตาม ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าบริภาษไว้ด้วย ถึงมีก็อย่าทำ อย่าแสดงออก มันมีได้ถ้าฝึกเรียนรู้ก็มีได้ทำได้พพจงก็ปราม แม้จะมีก็อย่าทำเป็นต้น

 

            ผู้ที่เข้าใจอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ก็จะต้องทำให้เกิดปาฏิหาริย์ทางอนุสาสนีย์ อนุสาสนีย์คือคำสอนของพพจ. แล้วท่านสอน ศีล สมาธิ ปัญญา

            ศีลคือหลักเกณฑ์แต่ละระดับ ศีล 5 เป็นเบื้องต้น หรือศีลข้อเดียวก็ตาม แล้วเราก็เรียนรู้ ศีลที่ท่านบอกว่าอันนี้ให้ระมัดระวัง อย่าไปทำ ต้องละต้องลดต้องเลิก แล้้วก็ทำกันจริงๆปฏิบัติเรียนรู้แล้วก็เกิดโยนิโสมนสิการ เกิดการทำใจในใจเป็น ทำใจในใจก็คือปฏิบัติใจของเราเอง สามารถทำให้ใจของเรามีทั้งปัญญา มีทั้งเจโตหรือจิต

            ปัญญาก็คือมันรู้กิเลสเป็นต้นมีธัมวิจัยรู้กิเลส จัับกิเลสได้ แล้วก็รู้ทฤษฏีที่จะปหานลดละพิจารณา ทั้งการกดข่ม กดข่มนั้นเป็นโดยอัตโนมัตอยู่แล้ว คนเราก็ทำอยู่แล้วเป็นเรื่องมนุษยชาติ ก็เป็นอุปาระแต่ไม่ได้เป็นผลอย่างสมบูรณ์ ไม่ได้เป็นผลให้เกิดการดับหรือการตายไปอย่างมีประสิทธิภาพเด็ดขาด เพราะฉะนั้นต้องมีปัญญาเห็นความจริงว่า สิ่งเหล่านี้ มันเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องหลอก เป็นเรื่องยึดถือเป็นเรื่องสมมุติ มันไม่ใช่เรื่องที่มีจริงเป็นจริง

            ซึ่งท่านใช้หลักไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตน มันไม่มีจริง มันไม่มีตัวตนไม่ใช่ตัวตนอะไรจริงเลย ความโกรธก็ไม่จริง ความรักความโลภก็ไม่จริง มันไม่ใช่ของจริงเลย แต่คนมันมีจริง แล้วก็ล้างมันไม่เป็น แล้วหลงเชื่อว่ามันเป็นนายแท้ๆด้วย หลงนายชั่วๆนั่นแหละเป็นตัวเอง เป็นตัวเรา เราเป็นตัวชั่วตัวนั้นเลย เรามีโลภจัดๆที่มันเป็นนายเรา แล้วเราก็หลงว่า เรานั่นแหละคือตัวชั่ว ตัวโลภจัดๆ มีโกรธจัดๆ แล้วเราก็หลงเชื่อว่าโกรธจัดๆนั้นเป็นตัวเรา แล้วเราก็ยึดถือว่าตัวนั้นเป็นตัวเรา  แล้วเราก็จะเป็นอย่างนั้น ความเป็นจริงแล้วมันไม่มี เราไปยึดว่ามันเป็นมันมี มันก็มี

            ผู้ที่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิ ฟังอาตมาพูดนี่จะเข้าใจยาก นอกจากเข้าใจยากแล้วก็อาจจะไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าพพจ.สอนเช่นนี้  เพราะไปเข้าใจว่า จิต จะเป็นอธิจิตสูงขึ้น ก็ต้องไปนั่งสมาธิหลับตาสะกดจิตเอา

            สมาธิไม่นั่งหลับตาแบบนี้มีสัมผัส สัมผัสสัตว์ส่ิงของที่ไม่ใช่ของเรา สัมผัสสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยในกาม สัมผัสกับอะไรๆแล้ว เช่นสัมผัสกับคนแล้วเราก็พูดปดกับเขา สัมผัสส่ิงที่ยั่วย้อมมอมเมาเรา แล้วเราก็เรียนรู้ปฏิบัติอย่างที่อธิบายไปคร่าวๆแล้ว ก็ลดกิเลสได้นั้น เขายังไม่เชื่อว่านั่นคืออาการการประพฤติปฏิบัติ ทำสัมมาสมาธิ คือสมาธิของ     พพจ. ที่ท่านตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร ว่าต้องปฏิบัติมรรค 7 องค์นี้ มีผัสสะเป็นปัจจัย ท่านสอนไว้เยอะมากมาย โดยเฉพาะในปฏิจจสมุปบาท ต้องมีผัสสะ 3 คือ ประสาทของเรา แล้วกระทบกับสิ่งที่กระทบ เรียกว่า โคจระ ประสาททางตา หู จมูก ลิ้น กาย เราไปกระทบกับรูปนอก มีทวารให้ประสาทกระทบ เมื่อกระทบแล้วก็เกิดวิญญาณ แล้วอ่านวิญญาณนี่แหละจะมีหมดทั้ง เวทนา สัญญา สังขาร มันปรุงแต่งขึ้นมาปุ๊บๆ เราก็อวิชชาทั้งนั้น เมื่ออวิชชาจึงไม่รู้จักสังขาร

            พอมาเรียนรู้สังขารแล้วตั้งแต่ กายสังขาร คือสังขารที่รวมทั้งหมด รูปและนาม คำว่า กาย คำนี้จะสาธยายต่อไปในอนาคต คำนี้สำคัญมาก ทุกวันนี้เข้าใจผิด ไปเข้าใจว่า กาย ก็คือสรีระ เป็นโครงร่างภายนอกเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ การเข้าใจอย่างนี้แหละที่ทำให้ปฏิบัติไม่บรรลุธรรม เพราะเข้าใจไม่ได้

            อาตมานำคำว่า กาย จากที่ท่านตรัสไว้ ระบุไว้เช่นคำว่า กายสักขี ก็เป็นสายศรัทธา สายเจโต ซึ่งปฏิบัติข้างในมาหาข้างนอก ไม่เป็นไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางบั้นปลาย ไปเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมต้องไปนั่งสมาธิ แต่ที่อาตมาสอนนี่มีผัสสะสิ่งที่ยั่วย้อมมอมเมาแล้วเราปฏิบัติลดละได้ เขาจะไม่เชื่อว่าการทำเช่นนี้เป็นสัมมาทิฏฐิในมรรคองค์8 ที่พระพุทธเจ้าสอน ที่ว่าต้องมีผัสสะ 3 มีประสาทของเรา แล้วกระทบรูปภายนอก แล้วมีการรับรู้ มีวิญญาณเกิด ในวิญญาณจะมีทั้ง เวทนา สัญญา สังขาร มันปรุงแต่งก็เกิดสังขาร เรามาเรียนรู้แต่กายสังขาร คำว่ากายนี้สำคัญมาก ถ้าเข้าใจผิดก็ไม่บรรลุธรรม

            สายเจโตปฏิบัติจากในมานอก ไม่เป็นไปตามลำดับ ไม่ปฏิบัติตั้งแต่กามภพ มาภวภพ แล้ววิภวภพ แต่ไปปฏิบัติรูปภพอรูปภพแล้วมาหาภายนอก พระพุทธเจ้าตรัสจึงกำชับว่าปฏิบัติต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องจะเข้าใจได้ง่าย แต่วันนี้จะไม่แจกแจงรายละเอียด เพราะเวลาล่วงไปแล้ว 

 

          อาตมาปางนี้ชาตินี้มีวิบากจะต้องเจอกับอุปสรรค ถ้าไม่มีวิบากไม่ใช่โพธิรักษ์ ใครจะร่วมปฏิบัติธรรมกับอาตมาชาตินี้ปางนี้เตรียมใจไว้เลยว่าจะต้องเจอกับอุปสรรค ถ้าไม่เจออุปสรรคไม่ใช่ของจริง ถึงขนาดนั้นนะ

            อย่างเราปฏิบัติกัน ตลอดเวลาอาตมาพาปฏิบัติก็เจออุปสรรคมาตลอด แม้อาตมาพยายามพากเพียรที่จะนำพามาจนถึงวันนี้ ทุกวันนี้เขาก็ยังพูดยังออกอากาศ  อย่างโทรทัศน์ช่องแดงก็ยังพูดยังว่าอาตมาอยู่ตลอดเวลา เช่นหลักฐานชิ้นนี้ ลงในนสพ.ไทยรัฐ 10 มีนาคม บ้าง 22 มีนาคม บ้าง เป็นต้น  และอาตมาไปเจอโดยบังเอิญ ที่จริงกระดาษแผ่นนี้เป็นกระดาษหน้าเดียว ที่เขาพิมพ์รายการวันนี้ให้อาตมา แต่หน้าหลังติดอันนี้มา อาตมาก็เห็นว่ามีอันนี้ด้วยหรือ? ดร.เมธาพันธ์ (พอกล่าวชื่อดร.เมธาพันธ์ก็มีเสียงฝนตกดัง)

            พ่อครูก็ว่า ยอมๆๆ ยอมแล้ว จะแกล้งยังไงก็ยอม จะเฮี้ยนก็ได้ จะว่าขลังก็ได้ มีฟ้าร้องด้วย เราไปห้ามไม่ได้เลย เราไม่มีอิทธิฤทธิ์หรืออำนาจไปหยุดยั้งธรรมชาติพวกนี้ ถึงแม้มีจริงๆอาตมาก็ไม่ทำ ไม่จำเป็นต้องเสียแคลอรี่ มีคนบอกว่าวันนี้เป็นวันส่ิงแวดล้อมโลก แล้วทำไมสิ่งแวดล้อมถึงทรมานขนาดนี้ ที่จริงไม่ถือว่าทรมานหรอกนะ เพราะว่าน้ำนี่ เราก็ใช้นำ้จัง น้ำมันตามธรรมชาติจะร้อนเกินไปจะหนาวเกินไป น้ำมันเย็นอย่างประเทศที่มีภูมิประเทศอย่างนั้น มันก็ไม่ขนาดนั้น น้ำมันร้อนก็ไม่เป็น ก็พอเป็นไปได้ ก็ลองดู คนไหนรู้สึกว่าตัวเองสุขภาพไม่ดีแล้วก็เข้าในเต็นท์เรามีที่มากพอ คนของเราไม่มากเท่าที่คะเน อาตมาคะเนว่าจะมีคนมามากกว่านี้ พวกเราก็ทำเต็นท์ทำที่พักไว้รอรับไว้มากพอ กะว่าจะประมาณนั้น แต่เสร็จแล้วมีปชช.มาจริงๆในงานนี้ นี่วันที่ 2 แล้ว ก็ไม่มากเท่าที่คะเน เพราะฉะนั้นเต็นท์ก็มีที่เหลือ ไม่ว่าใครถ้าไม่ไหวแล้วก็อย่าฝืน สุขภาพจะเสีย เรารู้ว่าเราไม่ไหวแล้วก็เข้าไป ถ้าใครที่อยากจะลองของดูบ้างก็พอไปได้ อาตมาจะลองพูดไปทั้งที่ฟ้าฝนเป็นอย่างนี้

            อาตมาเองเห็นหลักฐานอันนี้ของ ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้นำพระสงฆ์ 30 รูปขึ้นเวที นปช.แดง ขึ้นมาหลายครั้งแล้ว แล้วครั้งที่ 5 นี่มาแถลงการณ์เลย ว่า ขอให้รัฐบาล ตั้งแต่ก่อนนี้ แต่รายงาน 22 มีนาคม ที่ผ่านมา เขาแถลงการณ์บอกร่วมกับสงฆ์ 30 รูป บอกว่า รัฐบาลควรยุติการใช้สื่อรัฐ สร้างความแตกแยกในสังคม เสร็จแล้วก็พาดพิงมาถึงสันติอโศกว่า

            สันติอโศกก็ออกมาร่วมมือกับรัฐบาล (พ่อครูว่าฟังดีๆนะ หมายความว่าเราสันติอโศก ออกมาร่วมมือกับรัฐบาล ทั้งๆที่เราออกมาไล่รัฐบาล) แต่เขาก็บอกว่าเราออกมาร่วมมือกับรัฐบาลในการล้มล้างพระสงฆ์ไทย อย่างนี้จะปล่อยให้รัฐบาลอยู่ได้อย่างไร กลายเป็นว่าคณะสงฆ์ กับดร.เมธาพันธ์ จะล้มล้างรัฐบาลเสียเอง ซึ่งตนได้ทราบมาว่า รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณให้สันติอโศกถึง สี่พันล้านบาท เขาบอกว่ารัฐบาลทักษิณ ยิ่งลักษณ์นี่แหละ ก็ขอเรียกร้องให้สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติไปดำเนินคดีกับสันติอโศก ไม่ใช่มาดำเนินการกับพระสงฆ์ไทย เขาก็บอกว่า เครือข่ายเสื้อแดงช่่วยกันประโคมความเท็จเหล่านี้ออกไปเยอะแยะเลย

            เขาบอกว่า สันติอโศก? หวังตั้งตนเป็นศาสดาองค์ใหม่ ?โคไมนี่? ตั้งพรรค ?เพื่อฟ้าดิน? ระบุ รัฐบาล?ทักษิณ? พลาดท่า คบคนพาล ประเคนงบกว่า 4 พันล้านให้ มารศาสนาไปตั้งตัว สร้างอาณาจักรจนออกมาป่วนเมือง มาขออีกแต่ไม่มีงบประมาณให้ จึงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ! สันติอโศก หรือ ที่เราเรียกว่าลัทธิสันติอโศก เกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมของประเทศไทย เริ่มจาก พ.ศ.2513 มาจนถึง 2551 ผมจะสรุปง่ายๆอย่างนี้นะครับ เมื่อปี พ.ศ.2513 ปรากฏบุคคลคนหนึ่ง ชื่อ โพธิรักษ์ ได้มาบวชเป็นพระในธรรมยุติกนิกาย แล้วไปบวชเป็นพระในมหานิกายในปี 2516 ต่อมาปี 2518 ท่านประกาศตัวเป็นอิสระจากคณะสงฆ์ ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของคณะสงฆ์ เพราะท่านบอกว่าคณะสงฆ์กับตัวของท่านเองมีแนวทางการทำงานไม่เหมือนกัน ตั้งแต่ปี 2518 เป็นต้นมา ท่านก็พยายามขยายบทบาทของตัวเอง และก็ขยายแนวการสอนของตัวท่านที่ท่านบอกว่าท่านรู้เองเห็นเอง เป็นสัมมาสัมพุทธะ เป็นพระสารีบุตรกลับชาติมาเกิด ใช้เวลาในการเผยแพร่จนได้สาวกเอกคนสำคัญคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ระหว่างนั้นท่านได้ส่ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ลงเล่นการเมืองในกลุ่มพลังธรรม ครองความเป็นผู้ว่าฯ กทม. อยู่ 8 ปี จนกระทั่งปี 2531 ครับ โพธิรักษ์ คิดมักใหญ่ใฝ่สูง ได้ประกาศตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาแล้วบอกว่าตัวเองนั้นเป็นยิ่งกว่าโคไมนี่ ท่านได้ตั้งพรรคพลังธรรมขึ้นมา แล้วส่ง ส.ส. ลงยึดพื้นที่ใน กทม.ได้เกือบทั้งหมด ในนามพรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติ ขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อจารีตประเพณี วัฒนธรรมของคณะสงฆ์อย่างรุนแรง แม้แต่บ้านเมืองยังเดือดร้อนครับ จนกระทั่งทุกฝ่ายในบ้านเมืองได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาแล้วมีการพิจารณา คณะสงฆ์ได้ปกาสนียกรรมให้โพธิรักษ์พ้นจากความเป็นพระเมื่อปี 2532 ในปีเดียวกันศาลมีคำพิพากษาว่า โพธิรักษ์ เมื่อพ้นจากความเป็นพระแล้วไม่สามารถที่จะแต่งกายเลียนแบบพระได้ บุคคลใดที่ท่านบวชให้มีความผิด ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้จำคุก 6 เดือนเฉพาะโพธิรักษ์ โดยการรอลงอาญาไว้ 2 ปี แต่ว่าท่านไม่ได้หยุดไว้เพียงเท่านี้ครับ ท่านยังใช้บทบาทของท่านสนับสนุน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แล้วที่สำคัญที่สุด จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในขณะนั้นท่านมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นสาวกเอกของโพธิรักษ์ ท่านจึงได้ตั้งพรรคขึ้นมาภายใต้การสนับสนุนของโพธิรักษ์ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จนกระทั่งนำพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายเมื่อปี 2544 และในช่วงปี 2544 ถึง 2548 นี้เอง คือ ช่วงที่โพธิรักษ์ และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ใช้ความพยายามใช้ความใกล้ชิดกับท่านอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร โดยที่ท่านไม่รู้ ซึ่งนายกฯ สมัคร สุนทรเวช บอกไว้คำหนึ่งว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ผิดอยู่อย่างเดียวคือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คบคนพาล พาลพาไปหาผิด 2544 ถึง 2548 อดีตนายกฯ หลงไปคบกับโพธิรักษ์ และ พล.ต.จำลอง แบบไม่ลืมหูลืมตาต้องบอกว่าอย่างนั้นนะครับ จนกระทั่งโพธิรักษ์สามารถที่จะ 1.ตั้งโรงเรียนผู้นำ 2.ตั้งศูนย์ส่งเสริม และพัฒนาพลังชีวิตเชิงคุณธรรม ที่เราเรียกกันว่าศูนย์คุณธรรม ดูดเอาเงินงบประมาณแผ่นดินที่จะต้องเอาไปให้ปีละ 4 พันล้าน แล้วทำการขยายสาขาออกไป เป็นศูนย์ต่างๆ มากมายมหาศาล จนกระทั่งไปครอบครองที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ จ.กาญจนบุรี แล้วพยายามที่จะให้นายกฯ ทักษิณช่วยในเรื่องนี้ แต่พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าช่วยไม่ได้แล้ว จึงทำให้เกิดอาการฟาดงวงฟาดงา จนกระทั่งลูกๆ ของท่านขายหุ้น พล.ต.จำลอง บอกว่า ขอสัก 2 หมื่นล้าน ได้ไหม เพื่อที่จะเข้ามาสู่การขยาย และเผยแพร่กิจกรรมของสันติอโศก ท่านไม่ยอมอีก นั้นคือที่มา ว่าทำไมเมื่อปี 2548 จำลองถึงได้ถอนตัวจากการสนับสนุน อดีตนายกฯ ทักษิณ ทำไมโพธิรักษ์ถึงต้องดึงเอาสันติอโศกออกมา 2549 แน่นอนครับ กองทัพธรรม ของ พล.ต.จำลอง ได้เป็นกองทัพหลักในการออกมาล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และก่อให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้นคือ อวสานของรัฐบาลทักษิณ และระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอวสานของรัฐธรรมนูญปี 2540 ฉบับหนึ่งของโลก นี้คือจุดจบครับ หลังจากนั้นเราหวังว่า หลังวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ทุกอย่างจะเดินเข้าสู่ภาวะปกติ หลังมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย บ้านเมืองของเราจะต้องสุขสงบ ความรุ่งเรืองของบ้านเมืองเราจะต้องกลับคืนมา เพราะว่าประเทศไทยเดินเข้าสู่เส้นทางประชาธิปไตยเรียบร้อยแล้ว แต่เปล่าเลยครับ 25 พฤษภาคม 2551 โพธิรักษ์ พล.ต.จำลอง พร้อมกับสมณะทั้งหลายได้นำคณะออกมาร่วมกับพันธมิตรฯ ยึดถนนมัฆวานฯ ปิดทำเนียบ ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทีนี้เป้าหมายของเขาคืออะไร สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ 1.ต้องการยึดอำนาจรัฐ 2.ต้องการปฏิวัติสังคมไทยทั้งหมดให้เป็นแนวทางของสันติอโศก 3.ต้องการล้มมหาเถรสมาคม หรือคณะสงฆ์ไทยทั้งคณะ 4.ต้องการล้มสถาบันหลักของประเทศไทย และสถาปนาระบอบการเมืองใหม่ นอกจากนี้ยังมียุทธศาสตร์ ทางด้านทหาร 1.มีกองกำลังชัดเจนวันนี้สันติอโศกมีสาขาทั่วประเทศไทย มีสมาชิกกว่าแสนคน และบุคคลเหล่านี้พร้อมที่จะเสียสละตัวเองเพื่อชัยชนะ ขอให้เป็นคำสั่งจากโพธิรักษ์ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เมื่อไรเมื่อนั้น ยุทธศาสตร์ทางการเมือง วันนี้ไม่มีพรรคพลังธรรม แต่วันนี้ โพธิรักษ์และ พล.ต.จำลอง ได้ตั้งพรรคการเมืองชื่อว่า"พรรคเพื่อฟ้าดิน" ขึ้นมา แน่นอนสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบทั้งทางด้านพระพุทธศาสนา ด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง และความมั่นคงของชาติ ผลกระทบต่อเรื่องของวัฒนธรรมทั้งหมด ซึ่งแต่ละท่านจะได้ลงรายละเอียดในแต่ละประเด็นต่อไป

 

            พ่อครูว่า...ศูนย์คุณธรรมนั้นทักษิณตั้งขึ้นโดยที่เราไม่รู้ว่าเขาตั้ง เสร็จแล้ว คุณจำลองจะมาตั้งองค์การศาสนา ก็ไปคุยกับทักษิณ คุณทักษิณก็บอกว่าผมตั้งแล้วตอนนั้นคุณทักษิณเป็นนายกฯ เขาก็ให้คุณจำลองมาเป็นประธานศูนย์คุณธรรมคนแรกเลย ส่วนผอ.คืออ.นราธิป ตั้งแต่นั้นมาเป็นคนแรก เขาก็เลยโมเมว่าเราเลยทั้งที่เรื่องเงินนั้นเราไม่เคยแตะต้องเลย  อาตมาพยายามระมัดระวังมากเลยเรื่องนี้ เราทำอย่างจริงใจ บริสุทธิ์สะอาดของเรา  แต่เป็นเรื่องที่เขาหาเรื่องก็เอาแพะชนแกะไปเรื่อย ส่ิงเหล่านี้เป็นเรื่องจริงต้องเกี่ยวพันกัน เราไม่ใช่คนที่ไปหนีสังคมไปอยู่ป่าเขาถ้ำ แบบไม่เอาเรื่องเอาราวกับสังคมเลย เราไม่ใช่คนแบบนั้น

            ขอยืนยันว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เกี่ยวข้องกับสังคมอย่างบริสุทธิ์ใจ เป็นเรื่องดีทั้งนั้นเลย เรื่องนี้อาตมานำมาพูดวันนี้ก็เพื่อให้เห็นว่า อุปสรรคของชาวอโศกมีมากมาย แม้ทุกวันนี้ก็ยังรุนแรงมี คุณสะอาด จันทร์ดี, มหาโชว์ เป็นต้น หลายดร.ก็เล่นงานพวกเรา เป็นดร.ทางศาสนาด้วยนะ ตั้งข้อกล่าวหาหนัก หาว่าจะตั้งตนเป็นศาสดา จะมาเป็นสังฆราช จะมาล้มลางพุทธกระแสหลักต่างๆนานา ซึ่งอาตมาขอยืนยันบอกว่า แม้แต่นิดหนึ่งในจิตใจก็ไม่เคยมีเลย ที่จะไปล้มล้างกระแสหลัก เราไม่มีสิทธิ์เราไม่คิดจะทำ  หากใครจะล้มก็เพราะเขาล้มของเขาเอง ฟังตรงนี้ให้ดี ใครจะล้มก็ล้มของเขาเอง ไม่ใช่ว่าเราไปเจตนา ขัดแข้งขัดขาเขา หรือไปทำอะไรต่ออะไรกระทบกระเทือนเขา เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก เขาล้มของเขาเองเพราะเขาสู้สัจธรรมไม่ได้

            เมื่อสัจธรรมเกิดปรากฏ ทำให้คนเกิดปัญญา แล้วเขาก็ไม่เอาสิ่งที่เป็นอสัจจธรรม เขาก็มาเอาสัจธรรม เมื่อคนมานิยมสัจธรรม ดังนั้น อสัจธรรมก็ไม่ได้รับความนิยม เขาก็ย่อมต้องลดลงๆ สุดท้ายก็ล้มไปเองอย่างนี้เป็นต้น

            สิ่งเหล่านี้เป็นสัจธรรมที่ไม่ง่ายในการอธิบาย แต่อาตมาก็พยายามอธิบายให้ฟัง เราไม่ได้มีจิตใจรังเกียจ แต่เราเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงมาอธิบาย เราเห็นว่าไม่ควรมี แต่เราไม่ไปทำเขา เราไม่ไปเบียดเบียนเขา เราไม่ไปล้มล้างทำร้ายเขา อันนี้เราไม่ทำแน่นอน 

            เราทำแต่สิ่งดี เราชนะความไม่ดีด้วยการทำแต่ความดีอย่างเดียว สัจธรรมนี่ชนะความไม่ดีด้วยการทำดีอย่างเดียว เราทำดีโดยไม่แข่งกับสิ่งไม่ดี แต่สิ่งที่ดีทำให้คนมีจิตวิญญาณที่มีปัญญาเข้าใจเห็นจริงแล้วไม่เอาสิ่งไม่ดีเอง

            คนทุกคนมีอิสรเสรีภาพ เขามีสิทธิ์เลือกไม่เอาสิ่งไม่ดีตามภูมิของเขา เลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา เป็นพฤติกรรมของสัจจะ ไม่ใช่เรื่องไปทำร้ายใครเลย เพราะฉะนั้นเมื่อคนมีปัญญาเห็นจริงเลือกสิ่งที่ดีไม่เอาส่ิงที่ไม่ดี เมื่อสิ่งใดเป็นสัจจะไม่ดีจริงผู้มีปัญญาก็ไม่เอา และผู้มีปัญญาจึงเข้าหาส่ิงที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ไม่ดีอยู่ได้ไม่นาน

            เพราะอะไร? เพราะส่ิงที่ไม่ดีนั้น มักมากมักใหญ่ ฟุ้งเฟื้อฟุ่มเฟือย เปลืองผลาญ ต้องอาศัยความมักใหญ่เปลืองผลาญบำเรอ แต่สิ่งดีนั้นมักน้อยสันโดษ มีนิดๆหน่อยๆก็อยู่ได้ก็อยู่รอด คนที่มีปัญญาทิ้งส่วนที่ไม่ดีออกไป มาเอาส่วนดีมีไม่มากนักหรอก ส่วนที่ไม่ดีเขามักมากเขาใช้เปลืองใช้แพงใช้มากผลาญพร่าเพราะอวิชชาของเขา มันก็ร่อยหรอกไม่พอ เพราะเขามักมากใช้เปืองใช้แพงใช้มาก พอมาลดลงนิดหน่อยเขาก็อยู่ไม่รอดแล้ว จิตเขายึดมั่นถือมั่นเขาติดต้องเปลืองต้องผลาญ เขายึดว่าต้องได้ ถ้าไม่ได้เขาต้องตาย ถ้าไม่ได้เขารุนแรง ถ้าไม่ได้เขาเกิดบ้า เขาเดือดร้อนมาก เพราะฉะนั้นลดนิดหน่อยเขาก็อยู่ไม่ได้แล้ว ส่วนฝ่ายดีแม้จะต้องน้อยจะต้องอดทนจะต้องสู้หนักหนาเหน็ดเหนื่อย สายตัวแทบขาด มันก็เป็นไปได้ หรือไม่ต้องอดทนเพราะเราได้ฝึกแล้ว ซึ่งเป็นคุณลักษณะเป็นคุณธรรมที่ลึกซึ้งซับซ้อน

            จะเห็นได้ว่าส่ิงที่ไม่ดีนั้นอยู่ได้ยาก  เพราะฉะนั้นคนไปติดความรวย ไปติดสิ่งที่จะต้องได้มาก เพราะไปติดสิ่งที่จะต้องบำเรอบำรุงอะไรมากนี่ จึงตายง่ายอ่อนแอ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ตาย อะไรอะไรหน่อยก็เสื่อม พังทะลายแล้ว นี่คือสัจจะสองด้าน ที่อาตมาหยิบมาพูดให้ฟังง่ายๆ 

          เพราะฉะนั้นส่ิงไม่ดีไม่มีวันชนะสิ่งดี ขอให้เป็นสิ่งดีจริง แม้น้อย ขอย้ำยืนยัน สิ่งที่ดีแม้น้อยก็ชนะสิ่งไม่ดีแม้มาก มีนัยลึกซึ้งกว่านี้ที่หยิบมาพูดเล็กๆน้อยๆนะ

 

            อาตมาขยายความไปเรื่อยๆยังมีอีกเยอะมากที่เห็นว่า อาตมาจะต้องทำหน้าที่ขยายความอธิบายรายละเอียดอีกเยะ  อาตมาเคยได้ยินสมณะกรรมกร กุสโล พูดเข้าหูอาตมา พูดว่า...โอโห ผมรู้หมดเลยอะไรก็รู้หมดแล้ว ผมนึกไม่ออกว่ามีอะไรที่จะให้ผมรู้ต่อไปอีก ผมรู้หมดแล้วนะ ท่านกุสโลพูดเช่นนี้ คราวนี้เจ้าตัวได้ยินอาตมาพูดก็ยืนยันก็แล้วกันนะ

            แต่กับตัวอาตมานั้นความรู้สึกนี้ก็เคยมี เคยมีว่า เรารู้อะไรนี่รู้ไปหมดเลย แล้วเราจะต้องไปรู้อะไรอีก อยู่ไปเพื่อรู้อะไรอีกมันรู้ไปหมดแล้ว แต่ที่ไหนได้โอ้โห บัญญัติ สมมุติมันเยอะมากเลย ทุกวันนี้อาตมาไม่สงสัยเลยว่าสมมุติโลกมันมากเยอะเลย แล้วคนก็ไปหลงสมมุติโลก ไม่รู้จักสมมุติโลกอีกเยอะมากเลย แม้แต่ภาษาคำกล่าว บัญญัติต่างๆก็มีละเอียดซับซ้อนอีกเยอะเลย แม้แต่คำว่า บุญ​กับกุศล นี่อาตมากำลังขยายความฟังดีๆเถอะ มันละเอียดลึกซึ้งมากเลย แต่ก่อนนี้อาตมาก็ว่าลึกซึ้งขนาดนี้เอามาอธิบายกัน แต่ตอนนี้โอโหมันลึกซึ้งกว่านั้นอีก

            คำว่าตัณหา นี่ ในความหมายไทยคือคำว่า อยาก

            อยาก คำนี้เป็นกุศล ทุกตัวเลย ความใคร่อยากนี่เป็นกุศลทั้งนั้น แล้วจะต้องเจาะกุศลนี่อะไร อยากนี่ ใคร่ในธรรมนี่คือธรรมกาโม อาการจิตของคนอยาก มันไม่ใช่ว่าเป็นของเสีย แต่คนเข้าใจไม่ได้ ก็เลยไปเข้าใจว่าต้องไปลดความอยากให้หมด ถ้ามีความอยากเป็นอรหันต์ไม่ได้ แล้วถ้าใครจะไปเป็นอรหันต์แล้วคุณอยากได้นิพพาน อ้าวแล้วคุณไปอยากได้นิพพาน คุณมีกิเลสแต่ต้นทาง อยากได้นิพพานก็เป็นกิเลสแล้ว ก็เป็นตัณหา เป็นกามใคร่อยากคุณก็เจ๊งแต่ต้นทางแล้วอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นความลึกซึ้งมากเลย อย

            อย่างคำว่า ตัณหามันมี 3 อย่าง คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

            วิภวตัณหาเป็นตัณหาอุดมการณ์ เป็นตัวสำคัญ คำว่าอยากทีี่เป็นกุศล วิภวตัณหาเป็นตัณหาที่เป็นกุศลเป็นตัณหาที่ต้องการฆ่ากิเลส ทำบุญ กำจัดกิเลส เมื่อกำจัดกิเลสได้ก็ชื่อว่า บุญ เพราะฉะนั้นคุณต้องอยากฆ่ากิเลสให้ได้  เมื่อฆ่ากิเลสหมดก็ทำบุญ ก็เหลืออยากแต่ที่เป็นกุศล เพราะฉะนั้น สัพพาปาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา จึงเป็นหลักที่สำคัญของศาสนาพุทธ จบแล้วหมดบาปหมดบุญไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว เพราะกิเลสหมด กิเลสไม่เป็นเหตุให้ทำอกุศลอีก หมดไม่ทำอกุศลอะไรอีก แต่อยากทำกุศล พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ท่านยังไม่สันโดษในการทำกุศล ท่านไม่พอในกุศล พพจ.ก็ต้องอยากสร้างศาสนา อยากให้ศาสนาครบพร้อมด้วยพุทธบริษัท 4  ที่ท่านตรัสกับมาร จะต้องครบสมบูรณ์ด้วย อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี แล้วทั้งสี่ฐานะนี้ จะต้องเก่ง บัญญัติ จำแนกอธิบาย ต้องสามารถใช้ความจริงนี้ปรับปวาทะกับผู้ที่เข้ามาค้านแย้งได้ ถ้ายังไม่เกิดสิ่งเหล่านี้สำเร็จเรายังไม่ปรินิพพานหรอกมาร ท่านมีเจตนามุ่งหมายอยากทำอันนี้ แล้วพพจ.ก็ทำจนสำเร็จ

            เพราะฉะนั้นอาการที่มีความต้องการอยาก จึงไม่ใช่อาการอกุศลไปทั้งหมด เป็นกุศลด้วยซ้ำ อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องที่จะต้องอธิบายต่อไป คนที่มีปฏิภาณปัญญาได้ศึกษามาแล้วก็คงจะสนุก ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ได้ฟังสิ่งใหม่  ถ้าตัณหายังเป็นกุศลนี่จะทำอย่างไร? เขาก็ว่ามาล้มล้างลัทธิพุทธ อาตมาก็ว่าไม่ได้ล้มล้าง นี่ของพพจ.แท้ๆเลยนะนี่ นี่แหละของจริงเลย แต่เขาเข้าใจผิด ไปยิดทิฏฐิไม่เป็นสัมมาแล้วก็เลยไปไม่ออก ไม่มีทางบรรลุไปไม่ถึงฝั่งหรอก แต่ถ้าของพพจ.สัมมาทิฏฐิแล้วมันจะค่อยๆแทงทะลุ บรรลุไปเรียกว่าปฏิเวธ แทงทะลุขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งที่สุดเลย 

            พวกเราได้ปฏิบัติธรรมมาถึงปีนี้ อาตมาทำงานมาได้ 44 ปี กำลังจะย่างเข้าปีที่ 45 ซึ่งไม่ใช่น้อยๆเลย กำลังขึ้นทศวรรษที่ 5 แล้ว ขอยืนยันว่าพวกเรามีมรรคมีผล มาถึงวันนี้อาตมาจะพูดอย่างนี้ ใครจะหาว่าหลงหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมก็ตามใจจะว่าหลงก็ตาม ฟังดีๆก็แล้วกัน แต่ทุกคนอย่าเชื่ออาตมา ทุกคนต้องปฏิบัติด้วยตนเอง พพจ.ท่านใช้คำว่า สันทิฏฐิโก แปลว่าเอาตนเองมาปฏิบัติ  เมื่อปฏิบัติจะเกิดผลจริง เป็นสภาพปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ได้ของตนเฉพาะตน จะฟังพระพุทธเจ้าหรืออาจารย์ไหนก็ตามแต่ เราก็ได้แต่ฟัง ท่านก็ได้แต่ตรัส ท่านเป็นเพียงผู้ชี้ทาง คือแนะนำอธิบายทุเทศ แล้วคุณก็เอาไปปฏิบัติจนพ้นสักกายทิฏฐิ พ้นสังโยชน์ ตั้งแต่สังโยชน์ 3

            คุณพ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 คุณรู้จักตัวตน คุณรู้จักกาย สักกะคือตัวเรา เราเอง สักกายะก็คือองค์ประชุมของกิเลสที่เป็นนามธรรม ผู้ใดฟังธรรมแล้ว ก็เข้าใจได้เกิดทิฏฐิ ได้เกิดความรู้ความเข้าใจความเห็น เป็นทฤษฏีแล้วนำไปปฏิบัติ สัมผัสจริง เกิดอาการกิเลส ตัวกาย คืออัตตา ตัวองค์ประชุมของจิตที่เป็นตัวยึดถือของตัวเรา มันเป็นอัตตาทั้งนั้น พิจารณากายในกาย ให้ทะลุไปถึงเวทนา แล้วก็ทะลุเวทนาในเวทนา ก็อ่านเจตสิกออก จนแยก ราคะมูล โทสะมูล โมหะมูลได้  แล้วกำจัดถูกตังมันจริงๆให้ลดลงไปได้จริงๆ

            เมื่อคุณอ่านสักกายะเป็นก็พ้นสังโยชน์ข้อ 1 เห็นจริงเห็นจังชัดเจนเลยว่า งสักกายะหรือตัวตนที่เป็นกาย เป็นของจริงที่รู้ด้วยปัจจัตตัง คุณรู้ของคุณเองไม่ใช่ไปฟังใครมา ปฏิบัติรู้ยิ่งเห็นจริง จะเกิดญาณปัญญาของคุณเองเกิดญาณของตนเองอ่านออกเลย จนไม่สงสัยเลย คือสังโยชน์ข้อที่ 2 ตกลงคุณผ่านสังโยชน์ 2 ข้อแรกแล้ว  เพราะฉะนั้นกำลังคืบคลานไปพ้นศีลพตุปาทาน พ้นแต่แค่วิธีการปฏิบัติเป็นศีลพรต เป็นการปฏิบัติจริงผ่านสังโยชน์ข้อ 1 และ2 ศีลพรตที่คุณมี คุณรู้มาเป็นสัมมาทิฏฐิ หลักการวิธีการหรือยิตถัง หรือยัญพิธีนี่ คุณรู้วิธี แม้คุณจะรู้วิธีปฏิบัติแล้ว สักกายะคุณก็เห็นได้ ผ่าน หมายความว่าพ้นสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สองข้อ แต่ศีลพรตนี่คุณยังลดกิเลสไม่ได้ 

            แม้คุณจะรู้แล้ว จับกิเลสอยู่ แม้ลูบหัวลูบหาง ลูบคลำกิเลสอยู่ ปรามาสแปบว่าลูบคลำแตะต้องสัมผัสสัมผัสกิเลสตัวนั้นแท้ๆ แต่ไม่ฆ่ามัน หรือไม่รู้จักวิธีที่ถูกต้อง ก็ฆ่าไม่ตาย ฆ่ามันไม่ลดละเสียที คุณก็ยังไม่พ้นศีลพตปรามาส แต่คุณมีทางแล้วนะ         

            แต่ถ้าศีลพตุปาทานนั้นยังไม่รู้เรื่องเลย ปฏิบัติยังไม่สัมมาทิฏฐิเลย แต่ศีลพตปรามาสนั้น คุณพ้นศีลพตุปาทานแล้ว ผ่านสังโยชน์ 2 ข้อแล้ว มีสัมมาทิฏฐิแล้ว เพียงแต่ยังทำไม่ได้ คุณอาจมีทฤษฎีถูกต้องจริง แต่ยังหลงใหลในกิเลสอยู่ ยังอร่อย คุณไม่อยากฆ่ากิเลส เล่นหัวกิเลสอยู่ ลูบๆคลำๆ ไม่เอาจริงเอาจัง แม้คุณจะมีสัมมาทิฏฐิในการปหานแล้วก็ตาม คุณไม่ทำ คุณก็ไม่พ้นศีลพตปรามาส  แต่คุณสูงกว่าศีลพตุปาทาน แต่ทุกวันนี้วงการศาสนาแยกศีลพตุปาทานกับศีลพตปรามาสไม่ออกแล้ว แปลเหมือนกันอธิบายเหมือนกันเข้าใจเหมือนกันใช้พยัญชนะเหมือนกันเท่านั้นด้วย จริงขั้นหยาบ ที่ยังไม่พ้นศีลพตุปาทาน ศีลพตปรามาสนั้นคือผู้ที่ทำลายกิเลสยังไม่ได้ก็ถูก แต่เรามีนัยละเอียดว่า ศีลพตุปาทานหยาบกว่า ศีลพตปรามาสนั้นละเอียดกว่า  เรื่องลึกซึ้งเหล่านี้ถ้าไม่มีความจริง ก็จะอธิบายปนเปไป แยกไม่ออก ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ก็ไม่เกิด นักวิจัยมีใจไม่ละเอียดพอก็ไปไม่ได้ วิจัยก็ตื้นๆตื้นๆแค่นั้น ไม่ทะลุทะลวงไปสู่ส่ิงสูงส่ิงละเอียดกว่านั้น 

            ส่ิงที่อาตมาพาทำนี่ กระแสหลักหรือฝั่งท่านผู้รู้วงการศาสนาที่จบพร.อย่างดร.เมธาพันธ์มาว่าอาตมา ว่าอาตมาเป็นผู้รู้เอง เขาบอกไม่ชัดหรอก  เขาบอกทำนองว่าอาตมาประกาศเป็นพระพุทธเจ้าเป็นสยัมภู อาตมาก็ว่าอาตมาประกาศเมื่อไหร่นะ? ว่าอาตมาเป็นสยัมภู อาตมารู้ว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ ไม่ได้เป็นพพจ. อาตมาคือใครแค่ไหนก็บอกระดับ 7 ด้วย กว่าอาตมาจะมาอธิบายมาพูดว่า อาตมานี่เหละคือสยังอภิญญา ตามที่พพจ.ตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิ 10 ในข้อที่ 10  อาตมาก็ใช้เวลา อาตมาก็เกรงใจชะลอไว้ก่อนอย่าเพิ่งเปิดเผย ยำ้เลยแม้แต่พวกเรา เพราะอาตมาประมาณ รู้จักาละเวลา รู้จักบริษัทหมู่กลุ่ม ธรรมะ อรรถะ อาตมามีสัปปุริสธรรม 7 พอ ที่จะค่อยๆประมาณมัตตัญญุตาให้มันได้สัดได้ส่วน รู้จักเวลาวาระที่จะเปิดเผยขนาดไหน? 

            แต่เขาหาว่าอาตมามาทำลายศาสนา ดีแต่ว่าพวกเรามีบารมี สามารถที่จะสร้างประโยชน์ทำกุศล จนเกิดการชำระกิเลสได้เป็นหมู่เป็นพวกขึ้นมา จนเกิดเป็นองค์รวมของพุทธธรรม จนอาตมาเกิดเขียนตัวหนังสือประกาศว่าที่นี่คือแผ่นดินพุทธ แต่ก่อนก็เคยติดจะติดที่ปฐมอโศก แต่ยังไม่ถึงเวลาก็ไม่อยากรีบทำ ตั้งใจว่าจะทำตรงอ่างลงหิน ขึ้นป้ายใหญ่เลยว่า แผ่นดินพุทธ แต่มันก็นานแล้วก็ไม่ได้ขึ้น แต่ก่อนยังไม่มีราชธานีอโศก ก็นึกแต่ปฐมอโศกอยู่แค่นั้น แต่ตอนนี้มีองค์ประกอบองค์รวมากพอ อาตมาก็ตั้งใจเปิดเผยประกาศว่าที่นี่ ซึ่งพวกเรายังไม่เข้าใจลึกซึ้งหรอกขออภัย ว่าราชธานีอโศกนี่แหละคือแผ่นดินพุทธ มีองค์รวมพร้อมมีสัปปายะ 4 (บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ เสนาสนสัปปายะ ธรรมสัปปายะ) มีองค์รวมครบพร้อมทั้งสถานที่องค์ประกอบ เรียกว่าเสนาสนสัปปายะ มีทั้งบุคคล มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดีพร้อมพรั่ง มีส่ิงอาศัยคืออาหารสัปปายะ ส่ิงอาศัยตั้งแต่อาศัยปฏิบัติธรรมจนอาศัยทำอาชีพ จนถึงยังชีพ มีครบพร้อ มีธรรมะสัปปายะ มีความเจริญเป็นไปได้ดีในธรรมะทั้งหมด แต่พวกเราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ อาตมาก็ไม่ใช่นักปลุกเร้าทางความคิด ไม่ครอบงำความคิด ไม่ใช่นักล่อหลอก ก็พูดความจริงไปธรรมดาๆง่ายๆ คนมีปัญญารู้แล้วก็ต้องรีบเข้ามา ต้องรีบมารวมตัว มาปฏิบัติ ชาตินี้เราช้าไม่ได้ ก็แล้วแต่ใครจะมีปฏิภาณปัญญา อาตมาทำทีว่าเร่งรัดระดมคนให้ได้สักพันคน มาเป็นสมาชิกหมู่บ้านราชธานีอโศก  แต่ไม่ใช้การหลอกล่อ มาร์เกตติ้ง โฆษณาหาเสียงหรือทำอะไรยั่วยุให้พวกเราอยากมา ต้องการให้เกิดปัญญา ให้เกิดความสำนึก เกิดความรู้เอง ว่าเราควรจะต้องมาจริงๆ แล้วเราไม่ควรช้าเลย ก็แล้วแต่ใคร ณ ที่นี้เป็นสัปปายะ 4 อย่างที่อาตมากล่าวจริงๆ

            มาถึงวันนี้แล้ว จะเห็นได้ว่า พวกเราทำงานนี่ อาตมาไม่ได้ไปจักการเลยนะ อย่างงานนี้ ก็ไม่ได้ไปบังคับ พวกเราทำกันเอง อย่างธงที่ติดนี่ก็นั่งตัดกัน เด็กๆเล็กก็มาช่วยกันทำ ก็น่าเอ็นดู ทำเองทั้่งนั้น ด้วยอุตสาหะพยายามขยัน แม้ที่สุดคนข้างนอกมาประสานมาร่วมทำกับเรา อย่างถนนที่กั้นน่ำที่นั่งอยู่นี่ เราเห็นว่า 9 วันนี่ถ้าไม่กั้นก็ท่วมแน่เสร็จเลย แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ ของก็จัดแล้วงานก็เสีย ก็เลยบอกผู้ที่เราจ้างมาทำถนน ก็ทำเสร็จในวันเดียว เหมือนปาฏิหาริย์ มีน้ำใจ ถ้าไม่มีน้ำใจเขาไม่ทำหรอก เขาไม่เหน็ดไม่เหนื่อยให้หรอก แม้จ้างทำก็มีน้ำใจทำให้ด้วยจึงสำเร็จในวันเดียว ส่ิงเหล่านี้คือน้ำใจที่เรายากไปหยั่งในใจคน เขาว่าเขาทำอันนี้เป็นกุศลดีงาม อาตมาก็หยิบมาประกอบ ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยที่จะพอเหมาะพอดีกัน เป็นไปได้ มันจึงเกิดเหมือนปาฏิหาริย์ เหมือนเนรมิต แต่เป็นจริง เราไม่ต้องอะไรมาก แต่เราทำเต็มที่ในอุตสาหะของแต่ละคน เป็นจิตที่รู้เอง ไม่ต้องบังคับกันหรอก

            อาตมาจะถือว่า ถ้าอาตมาไปยังคับ ไปชี้ใช้ อาตมาถือว่ามันไม่จริง เพราะฉะนั้นอาตมาจะไม่ชี้ใช้ ไม่บังคับใคร อาตมาว่างั้นนะ ไม่ได้ทำบังคับใคร แต่ไหนแต่ไร เพราะอาตมาว่าทำอย่างนั้น มันยังเด็กอยู่นัก ยังไปชี้ใช้ไปบังคับนั้นไม่เก่งจริง เก่งจริงให้เขาทำให้เราเอง ให้เขาช่วยเราด้วยใจของเขา อันนี้ถึงจะจริง อาตมาทำงานมาถือหลักอันนี้ตลอดแล้วก็เป็นไปได้ สิ่งเหล่านี้เกิดจากจิตวิญญาณที่เป็นจริง งานที่มันเกิดจนกระทั่งอาตมาพาทำงานการเมืองระดับประเทศ จนกระทั่งทุกวันนี้นี่ของเราถือว่าขึ้น White list เป็นบัญชีขาวแล้วไม่ใช่บัญชีดำBlack list เป็นบัญชีขาวไม่ใช่บัญชีดำ ถ้าบัญชีดำป่านนี้เราถูกเรียกแล้ว แต่กระนั้นก็ดี ถ้าดร.เมธาพันธ์เขาเป็นคนคุมเรื่อง เขาก็เอาเข้าบัญชีดำ เรียกไปแล้ว แต่ไม่เป็นเช่นนั้นไม่โดนเรียก แต่ก็ไม่่ประมาท ว่าเราจะต้องโดนไหม? ไม่รู้ ให้เป็นไปตามธรรม

            แม้ไปทำงานการเมือง อาตมาไม่มีจิตไปทำเสียหายอะไร ผู้มีปัญญาจะรู้ เราไปทำงานให้สังคมไม่ได้ต้องการเอาเด่นดังอะไร เรื่องพรรคเพื่อฟ้าดินนี่มีเรื่องละเอียดน่าภาคภูมิใจมาก มากเกินที่จะมาอธิบาย พูดไปเหมือนยกยอตนเอง อย่างพรรคเพื่อฟ้าดินนี่ก็ไม่อยากพูดว่าพัฒนาการมาทุกวันนี้เจริญมาเป็นลำดับ แต่ไม่ดังคนไม่ค่อยรู้จัก แต่พรรคเพื่อฟ้าดินทำงานมาตลอด ยิ่งกว่าปิดทองหลังพระ แต่ทำงานปิดทองลำไส้พระ  พรรคเพื่อฟ้าดินนี่ทำงานการเมืองภาคประชาชนมาตลอดช่วยสังคมมาตลอด ไม่เคยติดป้ายไม่เคยคุยตัว ไม่เคยอวดอ้างหาเสียงให้ตัวเองเลย แต่มันมีเนื้อหาสาระของการทำงานพรรคเพื่อฟ้าดิน ชาวอโศกทุกคนเป็นสมาชิกพรรคเพื่อฟ้าดินโดยสัจจะ เราทำงานช่วยประชาชนทำงานกับสังคม นี่แหละคืองานการเมือง เราทำงานช่วยปชช.ช่วยคนอื่น เพราะอะไร? เพราะเราพึ่งตนเองรอด เรามีแรงงานเหลือ เรามีทรัพย์ศฤงคารอะไรพอเหลือ ไม่มากหรอก แบบคนจนตามในหลวงท่านตรัสทุกอย่าง แบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา  ตรงๆ ที่ในหลวงตรัสทุกอย่าง เพราะในหลวงเป็นโพธิสัตว์ แต่คนก็ยังหาว่าอาตมาพูดอะไรไม่เข้าเรื่อง หาว่าอาตมาโหนในหลวง ไปแกล้งยกยอปอปั้นในหลวง ก็จะไปแกล้งยกยอท่านทำไม ท่านดีของท่านเอง ไม่รู้จะกี่ชั้นแล้วท่านเป็นผู้ดีของท่านจะไปแกล้งยกยอท่านทำไม แต่อาตมาก็พูดแล้วคนไม่เข้าใจได้ง่ายๆ

            อาตมาก็ต้องคอยเก็บรายละเอียดมายืนยันความจริง เราทำแบบคนจน เราไม่ได้รวยจริงๆ ไม่ได้รวย แต่เราก็ทำได้ ช่วยคนอื่นได้โดยไม่ต้องไปเป็นหนี้ เรื่องเป็นหนี้เป็นเรื่องทุกข์ทรมานยังไม่เจริญ ระบบหนี้เป็นระบบที่เลวมาก ทุนนิยมหาวิธีการที่สร้างหนี้ทั้งนั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์มีโครงการที่ทำให้เป็นหนี้ทั้งนั้น คือมันผิดสัจจะไปหาล้มละลาย สร้างหนี้สินให้คนตลอดเวลา ไม่ใช่การพัฒนาเป็นการสร้างความเสื่อมให้แก่มนุษยชาติสังคมตลอดเวลา ทำร้ายทำลายจริงๆ

            ถ้าใครเข้าใจแบบคนจนมาทำแบบคนจน คนก็ไม่รู้หาว่าอโศกนี่มันรวย อโศกนี่มันมีมากมีมาย มีอย่างนั้นอย่างนี้  คนเข้าใจผิด มันไม่ถูกต้อง ...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:31:40 )

570606

รายละเอียด

570606_พ่อครูเทศน์ที่เฮือนศูนย์ เรื่อง อายุยืนยาวด้วย 8 อ. และโพชฌงค์ 7

วันนี้เป็นวันที่ 3 ของงาน 80 ปีวิชิตชัย(ไม่มีแก่)

ทำอย่างไรจะอายุยืนด้วยหลัก 8 อ. ทุกวันนี้อาตมามีสังขารร่างกายที่เป็นอยู่ได้ดีเพราะว่าใช้ อิทธิบาท อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ

 

อิทธิบาทเป็นเรื่องหลักที่เราต้องเข้าใจ ไม่ใช่ว่ากลัวตาย แต่ว่าเราต้องให้เกียรติ์ร่างกายเรา แต่ไม่ใช่ว่าประคบประหงมตกแต่ง แต่เราต้องดูแลให้สมดุล การรักษาชีวิตร่างกาย ก็ต้องใช้จิตวิญญาณเป็นตัวรู้ทัน กำหนด

 

เราต้องรู้จักอาการของจิต ถ้ามีอารมณืไม่ดี คนเราหากอารมณ์ไม่ดีก็ล้วนเกิดเกิดจากกิเลส  พระพุทธเจ้าสอนให้เดินโพชฌงค์ ใครเดินโพชฌงค์ก็จะอายุยืนยาวได้ แต่คนเข้าใจว่าไปท่องโพชฌงค์ 7 หรือว่าให้ภาวนาก็คิดว่าภาวนาคือการท่อง แต่ที่จริงภาวนาคือการทำให้เกิดผล

 

มรรคองค์ 8 เป็นทางเดินหรือบันได ส่วนโพชฌงค์นี่คือการเดิน คือการดำเนิน หลัก 7 ข้อนี้

มีสติ ธัมวิจัย วิริยะคือการปฏิบัติ เราต้องมีสติ จะสติปัฏฐาน 4 ก็ต้องใช้โพชฌงค์ทั้งนั้น หากนึกดูว่าตอนเด็กก็เดินไปไม่ระลึกรู้ตัวไม่มีสติก็ไปตามอารมณ์ แต่ถ้าเราระลึกรู้มีสติ เราก็ทำทุกขณะทุกอิริยาบทว่าเรากระทบอะไรอยู่ แล้วรู้สึกอย่างไร ต้องระลึกรู้ทั่วไปหมด พูดนี่พูดอะไร กับใครที่ไหนอย่างไรก็ต้องระลึกรู้ตัว

 

คำว่า กาย การกระทำของกาย คำว่ากายนี้คือองค์ประชุมไม่ได้หมายถึงแค่โครงร่างที่ไม่มีวิญญาณกำกับ กายวจีไม่ขยับหากจิตวิญญาณไม่กำกับ เมื่อเกิดการกระทบรูประหว่างประสาทสัมผัส ทวาร 5 แล้วมีจิตรับรู้ เกิดจิตวิญญาณ แล้วมีการปรุงแต่งอย่างไร เกิดเวทนาอย่างไร?

 

เวทนาคือผลของจิต คืออาการความรู้สึกของกายภายใน กายต้องมีความรู้สึกไม่จิตวิญญาณ แล้วค้นหาเหตุเข้าไปทำไมเวทนามีสุขมีทุกข์ อะไรเป็นเหตุ

 

เหตุก็คือตัณหา ไม่ได้สมใจก็ทุกข์ ได้สมใจก็สุข ถ้าไม่เพ่งทุกข์สุขก็อุเบกขาเฉยๆแบบโลกีย์ ดีไม่ดีไปปรุ่งแต่งเรื่องอื่นไม่เกี่ยงกับที่สัมผัสเลย เช่นกินข้าวอยู่แต่ไปนึกเรื่องอื่นไป

 

อารมณ์สุขหรือทุกข์หมดไปได้ แต่ความรู้ยังมีเต็มๆ สัมผัสแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่ากิเลสไม่ได้เข้าไปปรุงแต่งด้วยแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าเฉยอย่างไม่ได้ตั้งใจทำไม่ได้กำหนดรู้ มันพักยกธรรมดาเป็นเคหสิตอุเบกขา

 

ผู้ที่มีบารมีมีภูมิธรรมจริง แล้วได้ยินอาตมาพูดถึง เวทนา 108 ถ้าเขามีสภาวะแล้วก็จะเข้าใจเลยไล่เรียงได้ ส่วนพวกเราได้ฟังมามาก แล้วได้ปฏิบัติมา ก็รู้ได้ไม่มากก็น้อย จึงทำจิตให้ลดกิเลสได้จริง ตามมโนปวิจาร 18

 

การนั่งหลับตาทำสมาธิไม่ได้เรียนรู้กิเลสอย่างที่อาตมาว่า ไม่ได้ปฏิบัติเห็นความไม่เที่ยง ความทุกข์แล้วทำให้หมดกิเลสตัวตนได้ เขาก็จะได้แต่รู้ภาษาตรรกะ ท่องได้พูดไม่ผิดด้วยแต่ไม่มีสภาวะจริง

 

ผู้ที่ลดกิเลสได้ก็จะมีปีติ ในปีติสัมโพชฌงค์ ทำมาตั้งแต่ ตรรกะ วิตรรรกะ รู้พฤติของจิต ผู้ใดที่เร่ิมดำริ อาการจิตเร่ิมดำริ จะมีกิเลสอย่างไร เราก็จับได้ อาการเป็นสุขเป็นทุกข์ ประกอบด้วยความรุนแรง อาฆาตพยาบาทหรือสุขอย่างไรก็รู้ มีวิจาร คือรู้อย่างยิ่ง

 

คำว่า วิ มีลักษณะสภาพเชิงซ้อน ถ้าเป็นได้ ก็เป็นการเพิ่มฐานะให้วิเศษ หรือทำไม่ให้มีก็ได้ เป็นภาษาสื่อสภาวะ ผู้ใดอ่านวิตก คือจิตเร่ิมดำริ แล้วจับมันได้ว่ามีพฤติอย่างไร แล้วมันมีจาระอย่างไร มีกามวิตก หรือพยาบาทวิตก ที่เป็นมิจฉาสังกัปปะ และอย่างละเอียดก็คือวิหิงสาคือยังเบียดเบียนอยู่

 

การอ่านจิตก็คือได้วิตกวิจาร ถ้าอ่านออกแล้วทำให้กิเลสลดได้ก็เจริญขึ้น เป็นฌาน 1 และ2 เหลือแต่อาการปีติ ที่ไม่ต้องไปทำอีกทำไปแล้วผ่านได้ กำจัดกิเลสออกได้ มีอุปกิเลสซ้อนที่ยินดีที่เราทำได้ เจริญในทางธรรม พัฒนาได้ เราได้ลาภ ได้สิ่งที่เราได้ปฏิบัติเจริญขึ้น เป็นอาริยทรัพย์ก็ต้องยินดี

 

เราได้เงินทองทรัพย์สินอามิสเราเคยยินดี เป็นเคหสิตโสมนัสเวทนา แต่นี่เราปฏิบัติได้อาริยทรัพย์เป็นเนกขัมสิตโสมนัสเวทนา

 

เราทำกิเลสลดได้ก็มีปีติ แต่ก็ยังลำบากอยู่ หรือกิลมถะ (หยาบ) ถ้าลำบากอย่างละเอียดเรียก ทรถะ

 

อนาคามีจะมีอัตกิลมถะอยู่ แต่กามสุขขัลลิกะหมดไป พระอรหันต์หมดอัตกิลมถะเหลือแต่ทรถะ

 

เรามีสติ ธัมวิจัย วิริยะ ที่เป็นสัมโพชฌงค์

 

วิริยะที่มีสัมโพชฌงค์เป็นวิธีการเดินสู่การตรัสรู้

 

จากนั้นก็เป็นปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา

 

จิตที่เป็นฐานนิพพานคืออุเบกขา มีคุณสมบัติ องค์ธรรม 5 ของอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสรา จิตว่างเฉยเป็นฐานนิพพานแล้วแต่มีความหัวอ่อนปัญญาแววไว ดัดง่าย ทำการงานที่ไม่มีโทษ เป็นการงานอันประเสริฐ

 

อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย

 

คนที่ฝึกฝนไม่ประมาทออกกำลังกายจะดี อย่างดาราเขาก็มุ่งรักษาหุ่น รักษาสวย แต่ของเรามุ่งรักษาความสมดุล การออกกำลังกายนี่คนจะขี้เกียจออกกำลังกาย จะรู้ว่ามันขี้เกียจ ทุกวันนี้อาตมาไม่ขี้เกียจก็ว่าไป แต่ถ้าไม่ติดอะไรก็ต้องทำ เพราะรู้ว่าดีต่อชีวิต

 

เอาพิษออก ทุกวันนี้มีวิธีการสารพัด เช่นกัวซา ,การทำให้เหงื่อออก ,ป๋าก้วนเอาเลือดเสียออก, ฯลฯ

 

เอนกายคือรู้จักพักรู้จักเพียรให้สมดุล ออกกำลังมากไปหรือพักมากไปก็ไม่ดี พักมากไปก็ขาดการเคลื่อนการหมุนเวียนเลือดลมไม่ดี

 

อาชีพ มีอาชีพที่ล่อแหลมต่อโรค ต่อพิษ ทุกวันนี้พิษมาทุกทางเลย อายุสั้นได้ด้วยอาชีพ แต่งานของพวกเรานี่ไม่ค่อยมีพิษ พิษน้อย ถ้ายิ่งเป็นทางธรรมแล้วมีอาชีพที่ควรเว้นคือ กุหนา ลปนา คืออาชีพเลวร้าย อาชีพทุนสามานย์ อาชีพชั่ว เขารวยหนัก โกงหนัก หาเล่เหลี่ยมกันโกง เราไม่นิยมรวย เรามาเป็นคนจนจะไม่มีบาปเวร ไม่ถูกจองเวร บาปกิเลสจะเพิ่มก็ไม่ค่อยมี

 

คนที่ทำงานอย่างทุนนิยมสามานย์เขาไปผูกเวรไว้ เขาได้มากโกงมาก็ยิ่งเป็นหนี้นะไม่ใช่เจ้าหนี้ คนไม่รู้เรื่องราวก็ไปหลงเป็นนายทุนใหญ่ ไม่ต้องทำอะไร ดอกเบี้ยปันผลออกมาไม่อั้น ไปเบียดเบียนคนอื่น เขาทำโดยอวิชชา ทำเพื่อล่าโลกธรรม เขาไม่ปล่อยวางเลย

 

บุญนิยม เป็นเรื่องยากที่คนจะมาเข้าใจมาปฏิบัติมาเอา แต่ก็เป็นไปได้บ้าง คนเรายึดถือความหมายของบุญว่า เป็นส่ิงวิเศษ ทำให้เรารวยลาภยศ ได้บุญนี่คือได้มา แต่พวกพระป่านี่ก็เข้าใจว่าลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่เอา ก็ทิ้งไปอยู่ป่า ไม่เอาขนาดบางลัทธิ เป็นมนุษย์ฑิคัมพร ไม่ใส่เสื้อผ้า นุ่งลมห่มฟ้าก็ทนได้สบายมาก แล้วเขาฝึกจิตให้ทนได้สู้ได้ แต่ไม่ได้ลดละกิเลสเหตุผลอย่างไรไม่เข้าใจ แต่ของพุทธนี่รู้ลาภยศสรรเสริญ อย่างเราไปทำงานนี่เราขายถูกๆ งานก็จะมากเพราะขายดี ทำงานได้มากเขาก็จะให้ยศได้ตำแหน่ง แต่ไม่ใช่ว่าใช้เบ่งข่ม แต่ว่ายศคือการกำหนดหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบในความสามารถ สามารถเจริญลาภยศได้แต่เราไม่เอา

 

เรากินใช้ร่วมกัน ลาภ ยศ หน้าที่เราทำตามส่วนกลาง คนเป็นลูกน้องก็ไม่ต้องบังคับมาก เรามีวิธีการพัฒนากัน ไม่ใช่ว่าใช้อำนาจบังคับกัน อย่างทหารเขาก็ต้องทำแบบนั้น แต่เราทำนี่ไม่ใช้

 

เราทำดีเขาก็สรรเสริญ แต่เราไปหลงยินดีไหม? สุขด้วยกามเราก็รู้ ว่าอารมณ์ที่มันปลอม หลงกำหนดว่านี่สเปคของเรา กามคุณ 5 อย่างนี้เรากำหนดอุปาทานไว้ กำหนดมัน ถ้าไม่ใช่สเปคก็ไม่ชอบ ทุกข์กับมัน อย่างสีแดง บางคนชอบหรือไม่ชอบก็บ้าสร้างมันเอง ที่จริงมันแดงก็แดงไปสิ เราใช้ประโยชน์ได้ แต่เราก็ไม่ได้สุขทุกข์ไปกับแดง

           

พวกเราพอรู้ไหม การหมดรสอร่อยกับบางอย่างได้ หลายอย่างเราเคยเสพ แต่ตอนนี้มันผ่านมาจิตก็ไม่ดูด แต่บางทีกินเข้าไปก็ระลึกได้ว่าอร่อย แต่ถ้ายังดูดอยู่ก็มีอาการเอาหน่อยน่า แต่พอมันผ่านไปก็เสียดาย ทำเต๊ะไม่เอา มันจะอ่านออก เกิดปัญญาว่าเราไปติดอะไรมันนะ

 

กว่าจะมีบุญชำระกิเลสได้ ไม่ใช่เรื่องเล่น บุญเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เราเจริญในธรรม

 

คำว่าบุญ นี่เขาสอนกันผิดๆ เป็นพระอรหันต์เขาว่ากันนะ แต่ก็มาสอนกันว่าทำบุญนี่ ให้ตั้งจิตจะได้อะไร เวลาทำทานอะไร สอนให้จิตมีกรรมกิิริยาที่เอามาให้มากกว่าเก่า ขนาดคนที่เขาว่าเป็นอรหันต์แต่ก็สอนกันอย่างมิจฉาทิฏฐิ

 

ทานคือ การลดโลภ แต่เขาสอนกันไม่ได้ลดกิเลสเลย แต่มีกุศลไหม มี

 

กุศลต่างกับบุญ กุศลเป็นคำกว้างๆทั้งโลกุตระและโลกียะ แต่ว่า บุญไม่มีโลกียะ แต่บุญคือโลกุตระ คนให้ทานนี่แม้จิตจะขี้โลภ หวงแหนทวงบุญคุณ แต่ทำให้สังคมดีขึ้น ดีกว่าไม่ให้ใครเลย แย่งชิงกัน แต่ว่าทานได้กุศลแต่ไม่ได้บุญ

 

คำว่า บุญ กับ กุศล นั้นต่างกัน ในพจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน แปลคำว่าบุญว่า ความดี คุณงามความดี

 

คำว่าบุญนี้จึงเพี้ยนไปหมดเลย คนก็ยึดติดความหมายอย่างที่เขาบัญญัติ เป็นการยึดถือที่ผิด อาตมาพูดนี่แย้งแล้ว อาตมาว่าอาตมาพูดคนเดียวหรือเปล่า บรรดาอาจารย์ไหนๆ พูดอย่างนี้ไหม? แล้วอาตมาจะมีที่ยืนไหม?​แต่อาตมายังบุญบารมีดีที่มี พนานุกรมบาลีมีอยู่

 

คำยึดถือ บุญ กับกุศล ตามสมมุติสัจจะก็จะวนเวียน แต่ถ้าปรมัตถสัจจะนั้นไม่ใช่ การละกิเลสแล้วไม่ยินดีกับลาภยศสรรเสริญ

 

คำว่ากุศล คือความน่ามีน่าได้น่าเป็น ส่วนอกุศลคือไม่น่ามีไม่น่าได้ไม่น่าเป็น

ก็เป็นความวนเวียนกับกุศลอกุศลไม่ออก แต่ถ้าเป็นบุญนั้นมีการออกจากชำระออกเป็นขั้นๆ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ปฏินิสัคคะ มีการลดสวรรค์โลกีย์ ก็เป็นสวรรค์โลกุตระเพ่ิมขึ้นๆ

 

กุศลเอง ถ้าไม่มีความรู้ปรมัตถ์แท้ คำว่ากุศลไม่มีนัยของโลกุตระ อริยธรรมเลย เป็นความดีงามโลกๆธรรมดา เช่นสุจริต ความดี เป็นต้น ไม่มีมีมิติของสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่มีการเพ่ิมมิติเลื่อนสูงขึ้นไปจนสูงสุดได้ ออกจากกาม ออกจากพยาบาท ออกจากการวนดีๆชั่วๆ อรหันต์เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป

 

บาปคือมีกิเลส บุญคือการชำระกิเลส ล้างกิเลสหมดก็หมดบาปหมดบุญ สิ้นบาปสิ้นบุญแล้ว แต่ว่าวิบากก็ต้องรับไป แม้เป็นพระพุทธเจ้าไม่สะสมบาปแล้ว แต่ไม่สันโดษในกุศล

 

ในอภิสังขาร 3 มีปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร  อปุญญาภิสังขาร พอแปลคำว่าบุญผิดก็แปล อปุญญาภิสังขารว่า เป็นการทำบาปปรุ่งแต่งไม่ได้บุญก็คือทำบาป เข้าใจอย่างนี้ก็ปฏิบัติอภิสังขารไม่เป็น เพราะนักปฏิบัติธรรมต้องจัดแจง(สังขาร)จิตเป็น

 

ปุญญาภิสังขาร คือเป็นเสขบุคคล ลดกิเลสไป แล้วพอหมดกิเลสเป็นอรหันต์ก็เป็นอปุญญาภิสังขาร แล้วก็ทำอเนญชาภิสังขาร สังขารปรุงแต่งไปกับโลกเพื่อช่วยโลกได้ กระทบกระแทกกระเทือนอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว นี่คืออภิสังขาร 3 คือการสังขารอย่างย่ิงกว่าสามัญ

 

มันต้องลดละได้อย่างไม่กดข่ม ละลายด้วยปัญญา ใช้ฌาน แปลว่าไฟกองพิเศษ ฌานต้องมีปัญญา ฌานใดไม่มีปัญญาไม่ใช่ฌาน ต้องสัมผัสแตะต้องของจริง แล้วเกิดญาณ ไม่ใช่นึกคิดเอา เกิดการรู้ เช่นในวิปัสสนาญาณ 9 ฉลาดที่จะรู้ ไตรลักษณ์ สัมมสนญาณ รู้จักความวนเวียน สุขทุกข์เฉยๆ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:34:50 )

570607

รายละเอียด

570607_พ่อครู ทวย.งาน 80 ปีวิชิตชัยที่เฮือนศูนย์ฯ เรื่อง บุญต่างจากกุศลอย่างไร?

อาตมาตั้งใจจะพูดเรื่อง บุญ กับ กุศล เป็นหลัก วนซ้ำไปซ้ำมา ย้ำไปย้ำมา มีรายละเอียดซับซ้อน เล็กๆน้อยๆ ก็พยายามที่จะเอาหลักฐานมาอ้างอิงอธิบายให้ชัด

 

อาตมาเห็นความบกพร่องของศาสนาที่ไม่ชัดเจนเรื่องคำว่า บุญ กับ กุศล

 

กุศลเป็นคำกว้างๆ พาไปถึงนิพพานได้ ถ้าชัดเจน

 

การได้บุญ โดยเฉพาะส่วนแห่งบุญ ปุญญ ภาคิยา อุปธิเวปักกา คือมีส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ สะอาดขึ้นเรื่อยๆ

 

ถ้าเข้าใจคำว่า บุญ ไม่ถูก ก็เอาไปใช้อย่างไม่ถูกตรง เอาไปแทนคำว่ากุศล ทำให้คำว่า บุญ เพี้ยนไป ไม่ชำระกิเลสจริง ก็เลยกลายเป็นบุญที่ตลก กลายเป็นว่าคือสวรรค์ แต่ที่จริง บุญคือดับสวรรค์ ดับนรกเลย

 

คนทุกคนที่เกิดมาได้ร่างกายเป็นมนุษย์ ขอให้ไตร่ตรองให้ดี ว่าไม่มีอะไรที่จะเกิดประโยชน์ในการเกิดมานอกจากธรรมะ คุณเกิดแล้วก็ไปแย่งโลกธรรม ทำมานับไม่ถ้วนซ้ำซากทับถมไป ชาติแล้วชาติเล่า ไม่เกิดประโยชน์คุณค่าอะไรเลย พิจารณาให้ดีๆ อาตมาไม่ได้ให้คุณมาอยู่อโศกเลยนะ ถ้ามาแล้วอินทรีย์พละไม่ไหวก็ไปไม่รอด แล้วจะเป็นขยะเน่า เป็นภาระ เน่าก่อแบคทีเรียก่อมลพิษ พูดนี่ไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้เร่งรัดเกินสัจธรรมด้วย

 

ถ้าคุณยังหลงในโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คุณไปแย่งชิงอาศัยเป็นสุขทุกข์กับมัน คุณเป็นอยู่ไม่รู้กี่ชาติแล้ว คุณวนเวียนสร้างวิบากหนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าลดลงหรือคงที่นะ แต่หนามีความควบแน่นเป็นปึก เป็นตัน เป็นตั้งเลย

 

ก็ให้ตั้งใจดีๆ อย่าเสียเวลา ในพระไตรฯเขียนไว้ ชีวิตนี้ชั่วแม้น้อยอย่าทำเสียเลย พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนไม่แรง ก็สอนสุภาพ แต่อาตมาสอนแรงหน่อย ในยุคนี ตามฐานะที่อาตมาทำได้ในยุคนี้ อาตมาไม่ใช่เจ้าของศาสนาทีเดียว ก็เลยถูกติได้มากหน่อย

 

อาตมาได้พยายามจะแจกคำว่า กุศล ที่หมายถึง ความดี

บุญ แปลว่าการชำระกิเลส เป็นปรมัตถธรรมเลย ทำไปตามลำดับจนกว่าจะสิ้นอาสวะอนุสัย

 

พระพุทธเจ้าตรัสในมหาจัตตารีสกสูตร ว่าผู้มีสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติไปตามลำดับ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ให้ขันธ์สะอาดขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร สะอาดขึ้นเรื่อยๆ

 

กุศล เดี๋ยวนี้เขาก็พูดกันจนกว้างไม่รู้ว่าอะไรคือความดีที่จำเพาะไปถึงการกำจัดกิเลส ที่จริงคนที่ไม่เข้าใจทั้งสองอย่างคือบุญ กับ กุศล ก็เลยเข้าใจคำว่า ดีกับไม่ดี แกว่งไปแกว่งมาก กลับไปกลับมา ไม่ถึงขั้น สิ้นบุญสิ้นบาป

 

การสิ้นบุญสิ้นบาป ก็คือ อมตบุคคล เขาแปลว่า ผู้ไม่ตาย ก็แปลไม่ผิด แต่ไม่ถูกเลย

 

คำว่ากุศลไม่ได้ชี้นัยการหลุดพ้น แต่เป็นวงกลมเดียวเท่่านั้น ไม่พัฒนาสู่วงใหม่ได้ แต่ก็อาจได้ถ้าสัมมาทิฏฐิ

 

บุญ อธิบายได้ว่าสามารถนำไปสู่นิพพาน แต่ในพจนานุกรมภาษาไทย ไม่ได้มีความหมายพาไปนิพพานได้ แม้คำว่ากุศลก็ไม่ได้พาสู่นิพพานได้แต่อย่างใด กุศลไม่มีมิติของสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนได้ (ปฏินิสสัคคะ) ที่มีต้น กลาง ปลาย ขึ้นสู่มิติรอบสูงขึ้่นเรื่อยๆ จนถึงยอดสูงสุด เพิ่มไปตามคุณสมบัติ คุณธรรมที่ได้ เป็นการกำหนดความหมายของธรรมะที่เราได้ เช่นออกจากกามได้เป็นต้น ก็ออกได้ไม่ใช่ว่ากลับไปกลับมา

 

ต้องใช้ตัณหา ในการล้างตัณหา จะต้องมีความประสงค์จึงจะได้ เหมือนมีฝรั่งมาถามแล้วบอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ให้หมดตัณหา แล้วคุณอยากได้ความหมดตัณหาก็จะได้อย่างไร ..นี่คือความเข้าใจผิด ว่าอยากได้นิพพานไม่ได้ ฝรั่งมาถามท่านฑูต แต่ท่านก็ตอบไม่ได้อธิบายเขาไม่ได้เพราะไม่เข้าใจวิภวตัณหา แต่เมื่อท่านฑูตได้มาฟังพ่อครูก็ว่า

 

กุศลาภิสังขารอันเป็นปฏิสนธิในไตรธาตุ คือกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ นี่คือบุญ การได้เกิดการปฏิบัติจึงมีการออกจาก กาม พยาบาท เป็นการบ่งชี้ปรมัตถ์ เมื่อเข้าใจไม่แจ่มแจ้งก็ปฏิบัติไม่ถูก

 

ขั้นต้นต้องออกจากอบายภูมิ ขั้นกาม หลุดพ้นจากวงวนนี้ ได้เข้าถึงภูมิใหม่ สภาวะใหม่ เรียกว่า สมาบัติหรือ สัมปทา ถ้าไม่เข้าใจปรมัตถ์ก็ไปเข้าใจว่า ต้องไปเข้าสมาบัตินั่งหลับตาทำสมาธิ ไม่ใช่เข้าสู่ภูมิใหม่

 

การบรรลุธรรมแบบพุทธ นั้น จะเป็นลักษณะที่หลุดพ้นจากวงวนเดิม เข้าสู่รอบวนใหม่ แล้วก็หลุดจากความวนเดิม ไปสู่ความวนใหม่ จนกว่าจะถึงที่สุดสูงสุด ภาษาที่ใช้คือมีวิมุติ ออกจากภพต่ำ หรือตายจากภพต่ำไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น จะใช้ภาษาว่า สมติกมะ(แปลว่าชนะหรือล่วงพ้น) สู่การเข้าถึง (อุปสัมปทา) วงวนใหม่ ภพภูมิใหม่ แต่จากนั้นก็มีการปฏิบัติออกจาภพใหม่อีก ออกจากฌาน 1 สู่ฌาน 2 ออกจาฌาน 2 สู่ฌาน 3 ฌาน 4 จนไปสู่อรูปฌาน เป็นลำดับๆไป

 

ไม่ใช่ง่ายที่คนจะรู้ แต่ก็พอได้ อาตมาพอใจ อาตมาเคยพูดว่า ตายวันนี้ก็ได้แล้ว แต่มันก็อยากให้ได้มากกว่านี้อีก เป็นความตะกละอยู่น่ะ โพธิสัตว์มีลูกเป็นพันเป็นเอนก แต่ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น

 

การที่ยังไปติดสิ่งนั้นอยู่เช่นยาดูด คนท้วงท่านให้หยุด แต่ท่านก็ไม่หยุด กินหมากมันก็ไม่ใช่ยา เป็นต้น และท่านก็มีการมักน้อยสันโดษพอได้ เหมือนฤาษีอินเดีย แต่พระพุทธเจ้าไม่นับแม้โสดาบันเพราะไม่รู้ทางชัดเจน ไม่รู้ ต้น กลาง ปลาย พระพุทธเจ้าไม่รับแม้โสดาบัน จะกดข่มเก่งได้กี่ล้านชาติก็ตาม ไม่มีวิปัสสนาญาณ ที่ต้องแจ้งชัดในปรมัตถ์  จนทวนซ้ำ ปฏินิสสัคคะ แล้วให้มีลักษณะ นิจจัง ทุวัง สัสสตัง ไม่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง

 

รู้การเกิดดับของจิต จุตูปปาตญาณ นึกแล้วก็สงสารพระที่เขาอธิบายอภิธรรม ว่าจิตเกิดๆดับๆ แต่เขามีวิปัสสนาญาณ อย่างเห็นเป็นดวงๆจริงๆ

 

กิเสสเกิดเมื่อมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะกิเลสไม่เกิด คุณจะนึกสัญญามามันก็ไม่ใช่ของจริง จะนึกว่าล้างอย่างไรก็ของปลอม แต่เมื่อคุณผัสสะนั้นได้ทำการลดละกิเลสของจริงเลย เป็นการฆ่าที่ถูกตัวตนกิเลสเลย จะฆ่าบิลลาดิน ก็เอาระเบิดปรมาณูไปลงตายหมดประเทศนั้นไม่ได้ ไม่ตายด้วย ก็ต้องให้จับตัวให้ได้จึงฆ่า

 

และทำเป็นลำดับๆไปสัมผัสของจริง ล้างของจริง มันเกิดกิเลสก็ขณะลืมตาสัมผัส กับดินน้ำไฟลม เป็นการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

ถ้าไปเน้นหลับตา ก็ไม่ได้เจอผัสสะจริง การไปหลับตาก็คือเตวิชโช

 

องค์ประชุม คือ กาย ที่มีเวทนาเป็นส่วนสำคัญที่ต้องเรียนรู้ ทำเวทนา 108 ให้ครบองค์ ที่108 รู้สภาวะอดีต อนาคต และทั้งอดีตอนาคต จะไม่สมบูรณ์ จนมั่นใจว่า นิจจัง ทุวัง สัสตัง จะเกิดอีกกี่ชาติก็ สูญหมดตลอดกาล ปฏิญาณตนได้ว่า จบกิจแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อผู้อื่นได้ กิจตนไม่ต้องทำอีกแล้ว

 

เมื่อไม่รู้จักโอปปาติกโยนิ (การเกิดดับทางจิตวิญญาณ) ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความดับหรือความตายทางจิตวิญญาณก็ไปเข้าใจว่าเป็นรูปร่างตัวตนบุคลเราเขา เป็นมโนมยอัตตา

 

ต้องเข้าใจจิตที่เป็นสวรรค์หรือนรกอย่างไร และสวรรค์โลกีย์และสวรรค์โลกุตระก็ต่างกัน

 

สติปัฏฐาน 4 เป็นตัวสำคัญ ในโพธิปักขิยธรรม 37 โดยไม่ได้แยกทำเลย เป็นองค์รวมกันเลย ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบทอยู่(วิหารติ)

 

บุญเป็นของสูง แต่ทุกวันนี้เอามาเป็นเครื่องล่อให้คนทำดี ลึกๆรู้ว่าบุญเป็นเรื่องสูงกว่ากุศล แต่ว่าไปเอาบุญมาค้าขายหมดเลย เป็นเรื่องผิดพลาดของศาสนา

 

บุญคือการชำระกิเลสให้หมดจน ได้แค่นี้กลับไปนะงานนี้ ก็คุ้มแล้ว

 

คำว่า บุญต่างกับกุศล ถ้าไม่เข้าใจชัด ปฏิบัติไปนึกว่าตนได้บุญ แต่แท้ได้แต่กุศล ไม่ได้เนกขัมมะจริง

ไปสอนกันว่า ดีใจที่ได้ทำบุญ เอาบุญมาฝาก นี่คือสอนกันผิดๆ

 

บุญกิริยาวัตถุ 3 แต่เดิมมี 3 แต่อาจารย์รุ่นหลังมาเติมเป็น บุญกิริยาวัตถุ 10 แต่ก็ดีถ้าอธิบายถึงปรมัตถ์ได้ แต่ถ้าอธิบายเป็นโลกียะนั้นก็เจ๊งหมดเลยสิ

 

การทำดีแล้วเสพความดีใจชอบใจก็เป็นการเพิ่มกิเลสแล้ว ยิ่งถ้าอยากได้โลกธรรมก็ยิ่งเป็นเนื้อกิเลสมากขึ้น

 

การไปเมาหลงความดีที่เป็นกุศล แต่สนองกิเลส ไม่สามารถลดละกิเลส ไม่เป็นส่วนแห่งบุญ แต่เป็นเพียงส่วนแห่งกุศลเท่านั้น ไม่ได้ส่วนแห่งบุญเลย

 

ทุกวันนี้เพี้ยนไปมากแล้ว อย่างไรคือบุญไฉนคือกุศล อย่างไรคือขัดเกลาไฉนคือสะสม ซึ่งเข้าใจเพี้ยนไปมากแล้ว เพราะกิเลสในจิตทำให้เสื่อม ไปจากปรมัตถ์ เพี้ยนจากสัจธรรม

 

เฉกะคืออย่างไร ปัญญาคือไฉน ณ วันนี้ไม่รู้ เฉกะคือฉลาดชั่ว แต่ปัญญาคือฉลาดดี คนก็ไม่ชอบคำว่าเฉกะ เพราะคือฉลาดชั่ว คนก็เลยใช้แต่คำว่าปัญญา ทั้งที่จริง ปัญญาคือฉลาดล้างกิเลส ก็ใช้แต่คำว่าปัญญา เช่นเดียวกันกับคำว่า บุญ​กับกุศล

 

คนเราได้แค่เฉกะ ทุกคนเลย แต่ไปหลงว่าเป็นปัญญา แต่ที่จริงฉลาดขี้โกง หลงวัตถุ หรือหลงจิต ไปยิ่งๆขึ้น

 

อย่างไรคือวัตถุนิยมไฉนคือจิตนิยม แม้แต่พระบ้านกับพระป่านั้นเป็นอย่างไร สัมมาทิฏฐิหรือไม่ก็ไม่รู้ และก็ไม่รู้ว่าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นไฉน ก็เลยไม่คบสัตบุรุษ ก็เลยปฏิบัติธรรมไม่เจริญ หรือหลงว่าอสัตบุรุษเป็นสัตบุรุษก็เลยแย่

1.         การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์

2.        การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.        ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4.        การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

            สังคมโลกพัฒนาแต่ศาสตร์ ไม่พัฒนาพุทธศาสน์  ก็เลยทำให้สังคมแย่ลงมากเท่าที่เผยแพร่ ศาสตราไปห้ำหั่นกัน แต่ว่าอัตราการเผยแพร่พุทธศาสน์นั้นน้อยกว่ามากเลย ...ทำให้โพธิรักษ์หนัก ..แต่โพธิรักษ์ สู้ๆ         


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:36:35 )

570608

รายละเอียด

570608_พ่อครู ทวย. ที่เฮือนศูนย์ เรื่อง บุญต่างจากกุศลอย่างไร ตอน 2

เรากำลังจะตั้งมหาวิทยาลัยของพวกเรา เราทำนี่ก็เพื่อประโยชน์แก่โลกเขา เพราะแม้เรามีความสามารถ แต่คนติดอยู่ที่ติดยึดถือ เป็นเรื่องของโลกีย์ที่สร้างไว้ คนก็เลยไม่ใช้สัจจะ แต่ไปใช้เกณฑ์ของโลก ว่ามีใบปริญญา แต่ของเราไม่มีกรอบเดินตามนั้นเขาเลยไม่รับ แถมถูกมองแง่ลบอีก ก็ทำงานไม่ได้เยอะ แต่ก็ไม่ได้ต้องการให้ได้เยอะ แต่ให้ได้เท่าที่ควรได้ แค่นั้นก็ยังไม่ค่อยได้เลย เราก็เลยต้องหาทาง

 

แล้วมีคนที่เข้าใจเชื่อมั่นในพวกเราอโศกมาก ขอให้พวกเราผลิตไปเถอะ แล้วเขาจะให้เข้ากับที่เขาทำได้ ออกมาเป็นปริญญาบัตรได้เหมือนโลกๆเขาในประเทศไทย เขายินดีให้เลย ขอให้เราทำให้สำเร็จ ของเขามีสถาบัน ของเรายังตั้งเป็นสถาบันไม่ได้ ให้พวกเราเรียนกันแบบพวกเราแล้วให้ครบหน่วยกิต ครบ 4 ปีเขาก็จะรับรอง ว่าได้ปริญญาตรี

 

พวกเราก็เลยมาบอกกัน ประชุมกันตั้งแต่วันที่ 4 มาวันที่ 6 อีก และวันที่ 8 ประชุมกัน ปรากฏว่ามีชาวอโศกที่เข้าใจแล้ว มาสมัครเรียนกัน สถาบันของเราชื่อ สถาบันสัมมาสิกขาวิชชาราม SVI แต่เราทำศึกษาก่อนที่จะไปขออนุญาตไม่ได้ เราใช้ชื่อนี้ไม่ได้ ต้องขออนุญาตทางการก่อน แต่เราก็ทำในเนื้อหาไปก่อน

 

งานนี้เราก็เลยรับสมัคร เราไม่กำหนดว่าต้องจบม.6 เท่านั้น ขอให้อ่านออกเขียนได้ เราดูแล้วว่าผู้นี้ฐานะ วัยวุฒิ คุณวุฒิพอได้ เราก็รับเข้าเป็นนิสิต มีทั้ง ป.4 ป.6 ปวช. ปวส. ป.ตรี ป.โท ป.เอก ได้หมด ปรากฏว่ามีพวกเรามาสมัครกัน 103 คน

 

แล้วคนสมัครแล้ว เป็นนิสิตต้องอยู่ที่นี่เลยนะไม่ใช่ไปกลับ เป็นการเรียน ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา แต่หลายคนก็เป็นหลักในชุมชนอื่นๆ ก็ไม่อนุโลมนะ จะต้องมาอยู่ประจำทางนี้เลย อาตมาว่าเอาเข้าจริงแล้วมาไม่ได้หมดหรอก

 

 

มาเข้าเรื่องธรรมะอันวิเศษกันต่อ...

 

การบรรลุธรรม เริ่มต้นที่จิตเข้าใจ เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นเบื้องต้น แล้วจะมีพลังของความรู้ เข้าใจ หรือปัญญา ระดับต้นจะเข้าใจทิศทางชีวิต ว่าโลกียะกับโลกุตระต่างกันอย่างไร ทิศที่ต้องสะสมเอาโลกธรรมเป็นโลกียะ เข้าใจแล้ว ก็มาล้างกิเลส คนที่มีบารมีเข้าใจแล้วหยุดเลยมาเลย แต่ถ้าไม่มีบารมีก็เข้าใจแล้วแต่ยังทำไม่ได้

 

จิตเข้าใจมากพอว่าโลกียะคืออย่างไร โลกุตระคืออย่างไร ท่านเรียกว่า โสตาปันนะ คือผู้เข้าถึงเข้ากระแสโลกุตระ เข้าใจแล้วไม่เอาล่ะ ถ้าทำได้เลยแสดงว่าเจโตมีแล้ว พอได้ฟังแล้วเกิดปัญญา เหมือนสมัยพระพุทธเจ้าที่ฟังธรรมพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุธรรมพรวดเลย เพราะมีบารมีแล้ว

 

คนบางคนศึกษาอ่านไตรปิฎกมาไม่รู้กี่เที่ยวแล้ว ก็ยังไม่บรรลุโสดาบันเลย เพราะไม่ง่ายที่จะรู้ชัด ตัดสินว่าเราเข้ากระแสแล้ว จะต้องมีญาณรู้ ว่าพ้น สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา ศีลพตปรามาส

 

แต่ก่อนเราเคยมีรส เมื่อสัมผัส มีความดูดดึงเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีอาการนั้น แล้วจิตมันเข้าใจเลยว่าเราไปหลงมันทำไม ถ้ามีบารมีจะไม่กลับไปกลับมา แต่บางคนก็เวียนกลับไปกลับมาหลายครั้ง

 

บางพวกเคร่งศีล แต่ทำไปตามจารีตประเพณีที่พาเข้าป่าเข้ารกเข้าพง ไม่เป็นไปตามลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ตั้งแต่ศีล 5 ศีล 8 มาเป็นลำดับ อ่านออก ศีลข้อ 1 ให้ลดโทสะ ศีลข้อ 2 ให้ลดโลภะ ศีลข้อ 3 ให้ลดราคะ ถ้าไม่เข้าใจชัดก็ทำไม่ได้ หรือว่าคนอยู่วันทำได้กินมื้อเดียวได้ แต่ว่ากลับบ้านไปทำไม่ได้ เพราะว่าที่นี่มีสนามแม่เหล็กแห่งนามธรรม มีภาวะควบแน่น โน้มนำให้คุณมีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา แต่ถ้ากลับไปบ้านก็มีแต่สนามแม่เหล็กโลก หากไม่แข็งแรงก็ไม่ได้หรอก บางคนไปกลับบ้านไป แต่ว่าสั่งไว้ว่าตายแล้วให้มาเผาที่นี่เป็นต้น..ก็มีอย่างนี้

 

ถ้าเข้าใจคำว่า บุญ กับ กุศล ไม่ชัดเจนก็ไม่มีทางบรรลุธรรมได้ อาตมาพยายามแจกแจงแยกแยะ

 

เป็นเรื่องสำคัญมากจำเป็นมากสำหรับสังคมที่จะต้องให้ได้ธรรมะ อาตมาได้พยายามกระจายธรรมะนี้ไปสู่สังคมไทย ก็มีคนต้านหาความใส่ไข่ หาเรื่องอาตมา เอาความเท็จแล้วไปบอกสังคม เขาคิดเองเป็นหลัก แล้วสร้างเรื่องให้ไปโพนทะนาก็อาจเป็นได้ แต่อาตมามั่นใจว่าลึกๆแล้วเขารู้เหมือนกันว่าที่เขารับรู้และพูดนี่ไม่ตรงกับที่เป็นจริง

 

เขายอมรับได้ไม่กล้าแย้งแม้ว่าตอนนี้อาตมาปากชัดเลยนะ แต่่ว่าเขามีบัลลังก์ก็เลยเต๊ะท่าไว้ไม่มาก็มี ส่วนผู้ที่รับได้ไม่เต๊ะท่าก็มาเลย

 

มันเป็นสงครามสังคม ผู้ฉลาดก็ต้องมาเรียนรู้ อาตมากำลังพาทำการศึกษาที่นำหน้าโลก การศึกษาทางโลกมี 2 แบบคือ แบบศรัทธาและแบบปัญญา

 

แบบศรัทธาจะได้ความรู้แบบจิตนิยมได้ผลเป็นทางหนึ่งเรียกว่า Prophecy เขาศึกษาสูงสุดจะได้เป็นศาสดาพยากรณ์ Prophet

 

ส่วนทางปัญญานิยมจะเป็น Philosophy ได้เป็น Philosopher

 

ทางโลกก็ศึกษากันอยู่สองอย่างนี้ แต่ว่ามีคนศึกษาส่ิงที่จับต้องได้มากขึ้น อย่างสายศรัทธานั้นทำได้แต่ว่าพิสูจน์ยาก แต่ว่าสายปัญญานั้น พิสูจน์ได้ชัดเจน แต่ไม่ลึกเข้าไปหานามธรรม

 

 

มีพวกที่ศึกษาเพ่ิมเติมเข้าไปถึงจิต ได้ผลทางจิตมากขึ้น ได้ผลทางองค์ประกอบสังคมธรรมชาติมากขึ้น มีความรู้สูงกว่าปัญญาก็เรียกว่า ญาณวิทยา Epistemology

 

แต่ที่อาตมาพาทำนี่รวมไว้หมด ทั้งจิตนิยม ธรรมชาตินิยม ปรัชญา รวมเรียกว่า ปรากฏการณ์วิทยา Phenomenology เป็นเรื่องไม่หนีโลกีย์ ไม่หนีโลก มีหลักลึกซึ้งเข้าถึงจิตด้วย ของพระพุทธเจ้า

 

แต่ก่อนความรู้ของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีหลักวิชาอย่างที่โลกเขาพัฒนามา แต่อาตมามาถึงยุคนี้ก็นำมาใส่ อาตมาเป็นคนด้อยการศึกษา ไม่เป็นนักศึกษา แต่ก็พยายามเอาทุกอย่างมาร่วมอธิบาย

 

ณ ลมหายใจเฮือกนี้จึงถึงกาละอันควรแล้วที่จะให้ บุญนิยม มาช่วย ทุนนิยม เราไม่ได้มาล้มล้างทุนนิยม แต่จะสร้างคนให้ไปนิยมบุญ พลเมืองของทุนนิยมเขาก็จะมาเอง อาตมาไม่ได้แย่ง เขามาเอง

 

เราจะช่วยทุนนิยม เราไม่ได้ไปทำลายทุนนิยม แต่เขาจะค่อยๆลดลงไปเอง จริงๆแล้ว คนที่อยู่ในบุญนิยมีต้นทุนประมาณหนึ่ง แล้วการออกลูกหลานของบุญนิยมมีอัตราการก้าวหน้าน้อยกว่า อัตราการก้าวหน้าของทุนนิยม อย่างไรๆบุญนิยมก็ไม่ทันเขาหรอก ห้ามไม่ได้ที่โลกจะถึงกลียุค

 

แม้ว่าไม่ทันเขาแต่มีอัตราการก้าวหน้าอยู่ จะไปบอกว่าไปล้มเขาไม่ได้หรอก แต่เราของสร้างโลกุตระช่วยสังคมให้เบา ถ้าโลกียะเขาก็จะมีคู่ต่อสู้คู่เข่นฆ่ามากหน่อย เรามาบรรเทาเขา ไม่ได้ทำร้ายซ้ำเติมเขา

 

ตอนนี้คิดว่า ต้องช่วยเขาไม่อย่างนั้นจะเข้ากลียุคได้เร็วมากเลย ณ ลมหายใจเฮือกนี้ เราควรทำอย่างไร

 

เชื่อไหมว่าการแก้ไขปัญหาสังคมของโลกนี้ ดีที่สุดต้องใช้คนในการแก้ไข ไม่ใช่ใช้กฎหมายหรือหลักเกณฑ์ในการแก้ไข แต่กฎหมาย หรือรธน.ก็ต้องใช้ต้องบังคับ แต่ว่าไม่ได้ยั่งยืนหรอก

 

หลักเกณฑ์ของซุนวูว่า รู้เรา รู้เขา แล้วรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง แต่ของพุทธนี่ รู้เรารู้เขาแล้วช่วยเขาได้ เราอยู่เหนืออำนาจโลก เราหมดอบายเราก็อยู่กับอบายเขาได้ โสดาบันเป็นผู้เหนือโลก เป็น

 

เอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน พ้นอบาย และอบายก็มีอยู่ทั่วโลกเลย แต่ผู้บรรลุธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้หนีไปไหน ก็อยู่กับโลกเขา สัมผัสไม่ติดแล้ว เราสบายแล้ว นิวทรอน เป็นกลาง อยู่ ช่วยเขาได้ เป็นประโยชน์ต่อโลก รู้โลก มีโลกวิทู มีโลกุตระ มีโลกานุกัมปายะ

 

ถ้าคนได้วิชชา ได้ธรรมะอาริยะจะช่วยโลกได้อย่างแข็งแรงด้วย ไม่ใช้แค่กฎระเบียบมาบังคับ แต่จะใช้ความรู้ความเข้าใจปัญญามากกว่า

 

เราต้องพัฒนาบุญ ให้เข้าใจชัดเจน ว่าคือการลดกิเลสจากจิตให้หมดจด

โลกุตระคือธรรมะที่เอาชนะกิเลส ถ้าไม่อย่างนั้นก็แก้ปัญหาได้ชั่วคราว กดข่มไว้ ก็ได้ชั่วคราว

 

คุณรู้ไหมกิเลสนี่คือยอดนักฉวยโอกาสเลยนะ เผลอไม่ได้ ขนาดไม่เผลอมันยังเอาเห็นๆเลย เพราะฉะนั้นเผลอไม่ได้ จะต้องใช้โลกุตระในการล้างกิเลสให้ถาวรเลย จึงแก้ปัญหาได้ จึงจะเป็นคนมีบุญ

 

เรามีบูญคือได้ชำระกิเลสออกจากจิตสันดานให้หมดจน ก็จะแก้ปัญหาได้ จะใช้เทคโนโลยีอย่างไรก็แก้ปัญหาได้ไม่ยั่งยืนดีงามเท่าที่เรากำลังทำ ทำด้วยเมตตา ด้วยน้ำใจเกื้อกูลช่วยเหลือกันนี่แหละ จะแก้ไขได้ ต้องใช้คนนี่แหละ เราจะแก้ปัญหาด้วยการสร้างคนให้เจริญ

 

จะเจริญได้เร่ิมต้นต้องมีสัมมาทิฏฐิ เร่ิมต้นที่บุญ คำว่า ปุญญาภาคิยา แปลว่า ส่วนแห่งบุญ เป็นลำดับขึ้นไปๆ จากโสดาบัน มีโสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยต สัมโพธิปรายนะ ไปตามลำดับ ได้บุญมากขึ้นจนเต็มไปตามลำดับ  พระพุทธเจ้าตรัสคำวา ปุญญาภาคิยา ไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร
 

ถ้าคุณไม่สัมมาทิฏฐิจะไม่ได้ส่วนแห่งบุญเลย คนไม่รู้สภาวะอ่านพระไตรฯบทนี้ก็ไม่สำคัญในคำนี้ ก็เข้าใจแค่เป็นความดี กุศล กลางๆไปหมด โดยเฉพาะบุญคือการชำระกิเลสนะ

 

ขณะที่ผู้ปฏิบัติ ยังไม่หมดกิเลสเป็นเสขบุคคล แต่ส่ิงที่ไม่ติดแล้วก็จะไม่มีรสไม่มีอารมณ์เมื่อได้ผัสสะอันเดิมที่เคยติดอยู่ได้ เมื่อก่อน อาตมามีแฟน เขาซื้อลิปสติกแท่งละ 400 บาท ไปซื้อผ้ามาเมตรละ 100 กว่าบาท อาตมาก็ว่าแพงเหลือเกินไปซื้อมาทำไม? อาตมาเคยพูดกับแฟนว่า เราจะแต่งงานกันแล้วจะเป็นคู่บ่าวสาวที่แปลกที่สุดไม่แต่งหน้า

 

ผู้เข้ากระแสแล้วลดกิเลสได้ได้ส่วนแห่งบุญ แต่ไม่หมดอาวสะ ถ้าหมดอาสวะก็เป็นอรหันต์ ต้องทำใจในใจ(โยนิโสมนสิการ)ให้ถูกต้อง ทำใจให้ลดกิเลสได้นั่นเอง แต่ทุกวันนี้เขาสอนกันผิดๆทำใจในใจก็ได้แค่ตรรกะนึกคิด

 

เราต้องอ่านจิตให้ออก ว่าจิตอยากหรือไม่อยากอย่างไร กิเลสมันพองหรือแฟบอย่างไร? การทานก็คือต้องให้ ให้กิเลสลดลง ลดโลภลง จึงได้ผลสัมมาทิฏฐิ ได้เนกขัมสิตโสมนัสหรือโทมนัสเวทนาก็ต้องอ่านให้ออก เขาสอนกันให้ทำใจเหมือนกัน แต่ไม่ได้อ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เลย ขนาดอาตมาอธิบายอย่างนี้แล้วจะทำเป็นกันไหมนี่?....ให้ได้กันเถอะ ได้ลูกหลานพระพุทธเจ้า เป็นเนื้อแท้ เชื้อแท้ของพระพุทธเจ้า

 

ผู้ใดมนสิการไม่ลงถึงที่เกิด ที่ตาย เป็นแดนเกิด (สัมภาวะ) มนสิ คือที่ใจ เป็นหทยรูปที่ไม่ได้มีที่อยู่ ที่สมองหรือหัวใจหรือประสาทเส้นไหน? แต่ว่าอยู่ที่ใจที่มันเกิดวิญญาณนั่นแหละ อารมณ์เกิดตรงไหนก็ตรงนั้นแหละ

 

ใครเคยเจ็บใจไหม?....แล้วมันเจ็บที่ไหน ที่สมองหรือที่ไหน ที่ส้นตีนหรือไม่?(ขออภัยพูดให้มันถึงๆไม่ได้หยาบอะไรนะ) ก็บอกไม่ได้ แต่ว่ามันรู้ว่าเจ็บใจ คนปฏิบัติธรรมไม่มีเจ็บใจปวดใจหรอก คนทำร้ายอาตมาแต่อาตมาไม่เจ็บปวดใจเลย กลับเห็นใจเขา ไม่ได้ถือสาเขาเลย

 

มันต้องแยกอาการ ลิงค นิมิต อุเทส นี่คือการรู้ นามรูป พระไตรฯ ล.10 ข้อ 60 แต่ละคนต้องกำหนดรู้เองว่าอย่างนี้กิเลสชนิดไหน ไม่มีสีสันสรีระ แต่ว่าเป็นอาการ สุขทุกข์ อยาก แต่ว่าความอยากนี่ต้องใช้นะ เป็นวิภวตัณหา ที่อยากลดกิเลส พระพุทธเจ้าก็อยาก แต่ว่าอยากทำกุศลให้ถึงพร้อม ท่านไม่ต้องทำบุญแล้ว ไม่สันโดษในกุศล

 

กุศล ต่างจาก บุญ ต้องชัดเจน  แต่คำว่าบาปนี่มันคือกิเลสแท้ๆ คุณทำกรรมที่เกิดจากกิเลสก็สั่งสมวิบากบาป คุณต้องใช้หนี้ อย่างกุศลเสพสุข คุณก็จำมันไว้อยากได้ คุณจำแล้วยึด ถ้าคุณจำแล้วไม่ยึดก็จำได้น้อย หรือบางทีไม่ยึดก็ไม่จำเลย ภาษาปฏิบัติธรรมว่าเราไม่ยึดมั่น(อุปาทาน)ถือมั่นแต่เรายึดใช้ถือใช้ เรียกว่าสมาทาน อะไรที่ควรวางแล้วไม่เอามาใช้เลยก็คือบาป  แต่บาปที่คุณทำในอดีตแก้ไขไม่ได้แล้วแต่ปัจจุบันคุณทำได้ อะไรที่เราติดยึดมา เราทำกิเลสไม่เกิดอีกเลยในทุกปัจจุบัน คุณก็ไม่มีทางเกิดอกุศลได้เลย มีแต่ทำได้แต่ดีไปตลอดกาล บาปไม่ทำแล้ว สัพพปาปสอกรณัง เพราะคุณได้ล้างกิเลสได้หมดแล้ว

 

ปฏิบัติธรรมต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย เป็นเหตุให้ได้ปฏิบัติจริง เมื่อสัมผัสแล้วตรงสเปคก็จะเกิดชอบใจ หากไม่ยับยั้งก็จะเอามาให้ได้ แล้วต้องไปทำผิดศีลไปขโมยเอามาต่อเนื่องกันไปเลย เป็นต้น เราต้องอ่านรู้เวทนา 108 แล้วทำเนกขัมมสิตเวทนา ทำฌาน ทำสมาธิ ชำระกิเลส

 

สติเป็นอธิปไตย คือสติจะเก่งมีอำนาจช่วยตน แม้เจออบายมุข สติก็จะพร้อม มีความเป็นใหญ่มีวิมุติพร้อมแล้ว เป็นยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยในโลกหล้า คุณจะไปเจออบายมุขที่ไหนๆในโลกก็ตาม หลุมนรกที่มาหลอกว่าเป็นสวรรค์เป็นสวรรค์ลวง คุณหลุดพ้นแล้วก็ไปอยู่กับเขาได้ ยิ่งกว่าสวรรคาลัย แต่ก่อนได้สวรรค์โลกียะ แต่ว่านี่ยิ่งกว่าคือได้สวรรค์โลกุตระสวรรค์เฉยๆ ยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลกหน้า นี่คือโสดาปัตติผล

 

คุณจะมีปัญญาโลกุตระ แม้เขาเป็นทาสอบาย กาม โลกธรรม อัตตากัน แต่คุณหลุดพ้นมาได้ก็มีความเป็นใหญ่เหนือกว่า ปัญญาเป็นยิ่ง (อุตตระ)

 

แล้วผู้ที่ผ่านได้ก็จะมีทั้งสมาธิ(ประมุข) สติ(อธิปไตย) ปัญญา(อุตตระ) หลุดพ้นจากสังโยชน์ ตามลำดับๆมา มีวิมุิต คนวิมุตินี่แหละคือเป็นอมตะ (โอคทา) เป็นที่หยั่งลง จิตคุณไม่เกิดไม่ตาย ไม่มีบาปมีบุญ ไม่ต้องเกิดตายอีกแล้ว

 

การปฏิบัติธรรมให้บรรลุได้ต้องมี สุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส คือในกายยาววาหนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจนี้ ไม่อย่างนั้นปฏิบัติไม่ได้ นอกจากอนาคามีก็ปฏิบัติโดยไม่มีร่างนี้ได้

 

คนปฏิบัติจนชำระกิเลสได้หมด ก็ไม่ทำบาปอีกแล้วก็ไม่ต้องทำบุญอีกด้วย เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป (บุญปาปปริกขีโณ) จิตก็หยั่งลงเป็นอมตะ หรือจะเลื่อนไปสู่อมตะก็ได้ เป็นจิตเจริญสูงสุด

 

ปุญภาค....ส่วนแห่งบุญ ได้จริงอย่างไร คือต้องรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ในปรมัตถธรรม ในจิตนั้น

 

ว่าจิตเป็นเช่นนี้มีอาการเช่นนี้ อาการสุขทุกข์ หรือกิเลสเป็นโทสะ ราคะ ก็กำหนดออก มีนิมิตกำหนดหมายรู้เองของใครของมัน คุณกำหนดผิดก็ของคุณเอง อาการที่รู้ยากที่สุดคือเหลือน้อยที่สุดกับหมด ...เอ๊ เราหมดหรือยัง?ก็ยากที่จะรู้ มันไม่เกิดอีกตั้งนาน แต่มันแวบมาอีก นี่นึกว่าหมดแล้ว..

 

 

พระพุทธเจ้าให้กำหนดรู้ในทุกปัจจุบัน ตรวจแล้วตรวจอีก ผู้ที่ท่านรู้จริงปฏิบัติจริงจะไม่ตัดสินตัวเองง่ายๆ ต้องหมั่นทบทวนตัวเอง เสมอๆ ตรวจสอบให้มาก เตวิชโชจึงสำคัญ คุณจะระมัดระวัง พยายามกำจัดมันให้ได้จึงเจริญ ถ้าได้รู้ว่ามันยังมีอยู่

 

ผู้สมบูรณ์แล้วสิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว ท่านต้องทบทวนกว่าจะรู้ว่า นิจจัง ทุวัง สัสตัง ฯ แล้ว กิเลสเราไม่มีอย่างเที่ยงแท้แล้ว สิ่งทั้งมหาจักรวาลนี้ไม่มีส่ิงเที่ยง นอกจากสิ่งเดียวนี้คือ นิพพาน สิ่งต่างๆล้วนหมุนเวียน มีแต่นิพพานเท่านั้นที่หลุดพ้น ไม่วนเวียนอีก

 

นิพพานประกอบไปด้วยจิต นิพพานอยู่ในจิต ปรินิพพานแล้วหมดเชื้อ จิตของผู้นี้ก็หมดไป ความเที่ยงนี้มีอยู่ในจิตของผู้ที่นิพพานแท้ อย่างนิจจัง ทุวัง สัสตัง อวิปรินามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง

 

ปรินิพพานแล้วก็ไม่มีีความเที่ยงแล้ว ความเที่ยงมีอยู่แต่ในจิตของอรหันต์ กับพระพุทธเจ้าเท่านั้น หากไม่ถึงอรหันต์ก็ไม่เที่ยง


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:37:59 )

570609

รายละเอียด

570609_พ่อครูทวย.งานอโศกรำลึก พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ เรื่อง โพธิปักขิยธรรม 37

วันนี้พายุฝนได้พัดกระหน่ำ ในช่วงเวลา 17.45 น.ก่อนจะทำพิธีบูชาฯ เป็นเหตุให้ทีมงานแสงสีเสียงต้องย้ายมาข้างในเฮือนศูนย์สูญ ...

 

ฝนก็ต้องตก เป็นธรรมชาติเป็นไป เรื่องธรรมชาติกับเรื่องนามธรรม มันจะลงตัว รูปธรรมกับนามธรรมจะลงตัวสอดคล้อง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ประสูตร์ก็มีแผ่นดินไหวทุกพระองค์ จะว่าหมอดูก็ตามเถอะ แต่เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่ลงตัวกัน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็วันเพ็ญเดือนหก ประสูตรและปรินิพพานก็วันเพ็ญเดือนหก เป็นเรื่องสัจจะที่เดาไม่ได้

 

เช่นเดียวกันสิ่งที่มันจะลงตัว เราเองปฏิบัติธรรมพิจารณาเวทนาในเวทนา รู้เหตุ ที่เป็นอกุศลจิตอยู่ในเวทนา เป็นตัวปรุงแต่ง สสังขาริกัง ผู้ที่กำจัดตัวสมุทัยได้ ก็หมด นี่แหละต้องปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4  โพธิปักขิยธรรม 37

 

ต้องกำหนดศีลให้ตัวเอง แล้วทำเหตุให้สูญ เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาได้ จากมโนปวิจาร 18 และ 36 เมื่อเราปฏิบัติเคหสิตเวทนา กำจัดเหตุให้เป็นเนกขัมมะ ต้องรู้ทั้งสองอาการ จนทำได้รู้แล้วว่าทำเช่นนี้ก็ทำซ้ำ ทำอีก เป็นปฏินิสสัคคานุปัสสี คือทำเวทนา 36 ทำสั่งสมเป็นอดีต ทุกปัจจุบันเราปฏิบัติเรียนรู้สั่งสมเป็นอดีตทุกปัจจุบัน ส่วนอนาคตนั้นไม่มีในชีวิต อีก 36 ต้องทำทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีต 36 ทำให้กิเลสสูญ เด็ดขาดๆ เป็นปฏินิสสรณปหาน เด็ดขาดทุกปัจจุบันจะเป็นตัวที่ชี้บ่ง ชี้วัดเป็นดัชนีชี้ค่า ว่าเราทำได้สำเร็จ จนเป็นตถตา เป็นเองโดยไม่ต้องปฏิบัติ เหตุแห่งกิเลสจะมาท่าไหน เรารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม กิเลสก็เกิดไม่ได้ มันสูญเอง เป็นตถตา เป็นความจริงที่ลงตัว อัตโนมัติ เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

จากอดีตที่เป็นสูญเพราะเราทำปัจจุบันเป็นศูนย์ได้ตลอด เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองจนแน่นอนแล้ว เป็นเรื่องเที่ยงแท้ลงตัว นี่คือสภาพที่เดาไม่ได้ เป็นอจินไตย

 

พระพุทธเจ้าจะทำนายว่าองค์นี้เป็นมหาโพธิสัตว์ ว่าจะพยากรณ์ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใด มีนามอย่างไร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาอย่างไร รู้หมด ไม่ใช่เรื่องเดา แต่เป็นเหตุปัจจัยที่ลงตัวหมด แต่อย่าหลงให้คนเอาส่ิงที่คนไม่รู้ ก็ว่าลึกลับ แต่คนที่รู้ก็เป็นลึกล้ำ

 

วันนี้ตั้งใจจะเทศน์บอกหลักเกณฑ์การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธคร่าวๆ อาตมาคิดว่าจะเขียนหนังสือตำราพุทธศาสนาเป็นหลัก จะต้องปรึกษานักวิชาการที่เก่งๆ วางโครงสร้างให้อาตมา ตั้งหลักเกณฑ์อย่างไร เช่นอาตมาตั้งใจอธิบาย ไตรสิกขา จรณะ 15 วิชชา 8 โพธิปักขิยธรรม 37 มรรคองค์ 8 สี่หลักนี้ก็พอแล้วที่จะเอามาอธิบาย

 

เช่นศีล สมาธิ ปัญญา เป็นไตรสิกขาที่ทั้งโลกเลย สมบูรณ์สุดแล้วของมนุษยชาติ ต้องปฏิบัติไปตามฐานะบุคคล จะเอาศีลข้อเดียว หรือศีล 5 ข้อ ปฏิบัติบัติจรณะ 15 ที่จริงก็คือมรรคองค์ 8 ที่จะต้องปฏิบัติให้เกิดอธิจิต ให้เกิดสมาธินั่นเอง ก็คือมรรคองค์ที่ 8 การปฏิบัติมรรค 7 องค์นั่นแหละคือปฏิบัติมรรคองค์ 8

 

ต้องมีทิฏฐิให้สัมมา ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่สามารถปฏิบัติมรรคได้ถูก เพราะทิฏฐิเป็นประธาน ของมรรคองค์ 8 แล้วเมื่อมีทิฏฐิเป็นประธาน เวลาปฏิบัติต้องมีหวังเฉา หม่าฮั่น เป็นผู้ช่วย คือมีสติ และวายามะเป็นผู้ช่วย

 

ตัวสำรวมอินทรีย์เป็นตัวที่ 2 ของจรณะ 15 อาตมาอธิบายเป็นปฏิสัมพันธ์ ต้องมีศีลเป็นตัวหลัก

 

ทำไมต้องศีลเป็นตัวตั้งต้น ก็ต้องคบสัตบุรุษ แล้วท่านจะอธิบายให้ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ในอวิชชาสูตร ก็ได้ฟังธรรมบริบูรณ์ ก็มีศรัทธาบริบูรณ์ ก็จะมีทิฏฐิที่บริบูรณ์

 

ในอวิชชาสูตรก็มีโยนิโสมนสิการให้บริบูรณ์ ตัวโยนิโสฯนี่ต้องปฏิบัติเพื่อให้เกิดอธิจิตสิกขา ไม่อย่างนั้นปฏิบัติไม่ถูกต้องจะเพี้ยนไป อย่างที่เขาทำกันในปัจจุบัน เขาก็ว่าโพธิรักษ์เป็นใคร มากวาดเขาทิ้งเลย มันน่าอ้วกนะ เขาถือถ่ายทอดสืบทอดกันมานานแล้ว แล้วโพธิรักษ์จะมาฉีกเขาทิ้ง เขาถึงจะฆ่ากันตาย เพราะเขานับถือกันมาหลายรุ่น ไปทำลายเขาทิ้งนะ

 

คำว่าอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา  คือศีล จิต ปัญญา อันยิ่ง คุณต้องทำจิตเป็น มีโยนิโสมนสิการ

 

การปฏิบัติอธิศีล ทำได้สัมมาทิฏฐิจะเกิด อธิจิต อธิปัญญา ปัญญาจะรู้ได้ รู้ตรวจสอบ ว่าได้ผลตรงกับที่เรารู้เป็นมรรค ได้ผลจน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นตัวตัดสินว่าเราทำอธิจิตได้สมบูรณ์

 

แต่เวลาปฏิบัติโสดาบันก็ไม่ใช่ว่า ทำจนหมดเลย อย่างนั้นจะช้า แต่จะทำกิเลสตัวเดียวให้สูญ​จนกระทั่ง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) แล้วมีเจโตปริยญาณถูกต้องทุกขั้นตอนเลย ทำดีๆๆๆเลย ก็ยอดเลย อย่างนั้นจะเร็วได้

 

การปฏิบัติจิตในจิตก็คือรู้เจโตปริยญาณ ทำได้สมบูรณ์รัดรอบ รอบรู้ จริงแท้ไม่มีอะไรยิ่ง วิเศษสุด การปฏิบัติ จรณะ 15 มรรคองค์ 8 ก็เพื่อให้เกิดอธิปัญญา อธิวิมุติ  แล้วมีวิมุติญาณทัสสะ หลักปฏิบัติก็มีศีล สมาธิ ปัญญา และสุดยอดคือมีวิมุติญาณทัสสนะ

 

ตัวปฏิบัติคือมรรคองค์ 8 จะต้องมีสัมมาทิฏฐิจริง ก่อนจะได้สัมมาทิฏฐิต้องคบสัตบุรุษ หากไม่พบ คุณเดาไม่ได้หรอก ศาสนาพุทธต้องเป็นสาวกภูมิก่อน รู้จากผู้ตรัสรู้แล้วถ่ายทอดมา แต่อย่างอาตมามีปัจเจก ชาตินี้ไม่ได้มีอาจารย์คนไหนเลย รู้มาจากชาติก่อนๆ เขาได้ยินก็อ้วกเลย แต่อาตมาก็บอกว่าที่รู้เองในชาตินี้ก็รู้จากผู้อื่นมาก่อนในชาติก่อนๆ ทุกอย่างมาแต่เหตุ เกิดเองไม่มี ยิ่งสัจธรรมระดับ สัทธรรม

 

แสงอรุณก่อนที่จะได้เห็นดวงอาทิตย์ต้องได้เห็นแสงอรุณก่อน เป็นสัจจะตายตัว คุณต้องมี​7 สภาพนี้ก่อน จึงปฏิบัติมรรคองค์ 8 ก่อน

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134]  ทิฏฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

 

       จิตคุณต้องมีฉันทะในการปฏิบัติ ถ้าไม่มีฉันทะอิทธิบาทไม่เกิด ไม่มีความยินดีพอใจในการปฏิบัติ เมื่อมีฉันทะคุณต้องเรียนรู้อัตตา คนเขาก็บอกว่าไม่มีอัตตา พระพุทธเจ้าสอนว่า ทุกอย่างไม่มีตัวตน นั่นเขาได้แต่อัตตา ที่ยึดได้แค่วาทะเป็นอัตตวาทุปาทาน จะต้องอ่านออกในตัวตนของสักกาะ ตัวตนของอัตตา

 

สักกะ แปลว่า ตัวเอง เป็นองค์ประชุม องค์รวมของสภาพที่เกิด ครบเป็นมนุษย์ ถ้ามีแต่กาย ไม่มีจิตก็ไม่รู้องค์รวมทั้งหมดก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเวลาปฏิบัติต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจครบ เวลาปฏิบัติต้องมีผัสสะ แล้วเรียนรู้อัตตาในวิญญาณนั่นแหละ รู้อัตตาแล้วเราทำที่เรากำหนด โดยเราจะลดอัตตาตัวนี้

 

ยามสัมผัสสัตว์นี้แล้วเราเกิด กามราคะหรือพยาปาทะ สัมผัสแล้วเกิดชอบหรือชังก็ต้องรู้ สัมผัสสัตว์ ก็รู้ สัมผัสคนด้วยกัน ก็รู้ คนนี้ชอบใจ คนนี้ไม่ชอบใจ คนนี้ยาก แค่นี้ก็ผู้พยายาทแล้ว แค่นี้คุณก็ผูกยึดอยู่แล้ว คุณสัมผัสแล้วเกิดอาการสัตว์คุณก็ต้องรู้ตัว เอาหยาบๆก่อน โทสะ ราคะเกิดคุณก็ทำตรงนั้นก่อน ต้องสัมผัสจริง จึงปฏิบัติได้

 

สัมผัสของเขา มีจิตที่อยากได้ไหม? แย่งชิงปล้นเอาของเขามา มันเกิดจากจิตจริง กิเลสจริง หรือราคะ มันจะเกิดราคะจัดจ้านอยู่เลย ตั้งแต่คุณสัมผัส จริงๆราคะกับโทสะเป็นของคู่กัน จริงๆมันเป็นความอยากไม่อยากได้ อาตมามีเพื่อนคนหนึ่ง ที่ต้องฆ่างูให้ได้ ถ้าฆ่าไม่ได้นอนไม่หลับเลย มันเป็นโรคพยาบาทมา เขาเล่าให้ฟัง เจองูทุกตัวต้องฆ่า ไม่ฆ่านอนไม่หลับ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เหมือนคนที่เจอกันก็ตามฆ่ากัน เจอกันจะเอากันให้ตายเลย ไปโกรธกันทำไมนักหนา อาตมานึกไม่ออกเลยอารมณ์อย่างนี้

 

อาการรัก ก็แรง เหมือนโกรธ แต่ว่าไม่ได้ไปทำร้ายเหมือนโกรธ แต่ที่จริงก็แรงเหมือนกัน ดังนั้นราคะล้างยากกว่าโทสะ เพราะว่าโทสะนั้นเป็นความไม่ชอบใจต้องกำจัดออกได้ก่อนเลย

 

เมื่อเราสามารถรู้วิธีปฏิบัติ ไล่มาตั้งแต่มรรค 8 มีสติกับความพยายามห้อมล้อม กับทิฏฐิที่สัมมา เมื่อทิฏฐิสัมมา สติกับวายามะก็สัมมา ขึ้นต่อประธาน คือทิฏฐิ แม้จะไปดำรินึกคิด ไปทำกรรมทุกอย่างอาชีพใดๆ อาชีพที่ต้องตรวจก่อนเลย ก็คือ กุหนา ลปนา สำหรับโสดาบันต้องละ กุหนา ลปนา

 

กุหนาคือกาย วจี มโน นั้น ทุจริตหมดเลย พอมาเป็นลปนาก็ใช้ภาษาวาจา แต่ไม่ได้ลงมือเอง จะล่อหลอก ใช้กลเม็ดเด็ดพราย ยังเป็นอกุศลจิต ต้องเลิกให้ได้ ศีล 5 มาถึงขั้นนี้ต้องหมดทั้ง กาย วาจา

 

ชีวิตของเราจะปลอดภัย ในอบายคือกุหนา ลปนา เมื่อเราปฏิบัติศีล 5 อย่างเงินเดือน เราจะได้มากกว่าที่ควรได้ เราอยู่ในสังคมเราก็จำเป็นต้องรับ แต่รับมาแล้วเราก็แจกจ่ายเผื่อแผ่ได้

 

เมื่อเราปฏิบัติศีลให้เกิด สมาธิ ปัญญาได้ ก็มาละล้าง เนมิตกตา ซึ่งแปลว่า การเสี่ยงโชค คือถ้าทำดีก็ได้ผล ถ้าทำไม่ดีก็ไม่ได้ผล แต่รู้จักหลักปฏิบัติ มีสัมมาทิฏฐิ ไปตามลำดับ เช่นคุณทำศีล 5 บริบูรณ์เป็นโสดาบัน

 

นิปเปนิกขา เมื่อคุณพ้น เมสิตกตาแล้ว แต่คุณยังมอบตนในทางที่ผิด เช่นคุณบริสุทธิ์แล้ว ศีล 5 แต่คุณไปทำงานในบริษัทที่ไม่มีศีล คุณไม่ได้ทำผิด แต่คุณก็ทำร่วมกับเขา รับเงินเดือนจากเขา ยกตัวอย่างเบญจวรรณ ทำงานกับเขาแต่เขาโกงกันทุกโต๊ะเลย ก็อยู่ไม่ได้ในที่สุดก็ต้องออกมา

 

อาตมาไม่กังวลหรอกใครไม่มาก็ไม่ต้องมา ไม่ง้องอน เพราะถ้าง้อเขามาแล้วเขาไม่ดีก็แย่สิ แล้วอย่างทำงานฟรี ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา ทำงานเสียสละหมด แล้วมันจะอยู่อย่างไร (วะ) เขาก็คิดยาก แต่ของพวกเราไม่มีปัญหา เราเข้าใจแล้ว เราก็อยู่กันอย่างสบาย พิสูจน์ได้ว่าเราอยู่อย่างสาธารณโภคีวิเศษสุด

 

เขางง ว่าสังคมจะเป็นแบบนี้ได้ ไม่เชื่อ จริงไม่ง่าย แต่มนุษย์เป็นได้ อาตมารู้ว่าเป็นได้หมดไม่ได้หรอก แต่เป็นได้ขนาดนี้ก็อยู่สบายแล้ว คนจริงจะอยู่ คนไม่จริงก็ไม่อยู่ แล้วไปไหน ก็มาอยู่วงอโศกสิ ถ้าไม่อยู่ก็ไปอยู่วงนอกสิ

 

ผู้ที่หลุดพ้นจนถึงทำงานไม่เอาส่ิงแลกเปลี่ยนนี่เป็นไปได้ อาตมาซาบซึ้งจริงๆ อาตมาเอามาอธิบาย หากเป็นไปไม่ได้ เขาก็เอาตายเลย แต่นี่เป็นไปได้ จะบอกว่าพวกนี้ถูกครอบงำความคิดสะกดจิตก็พิสูจน์กันไปสิ หาว่าอาตมาใช้มนตรา แต่ก่อนว่า อย่าไปดื่มน้ำนะ เขาใส่มนต์เข้าไป นี่ถ้าอาตมาทำได้ก็ร่ายมนต์วันละ 10 คนก็สบายแล้ว ..ว่าไป

 

เราพิสูจน์ ว่าปฏิบัติได้ ถึงขึ้น ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา แต่มันมีสภาพเชิงซ้อนที่ไม่บริสุทธิซะทีเดียว ที่จริง ฐานไม่ยิดนดีในเงินทองนี่เป็นฐานอนาคามีนะ แต่มันซ้อนที่สกิทาคามีก็ได้แล้ว จะเห็นว่าพวกเราศีล 8 ก็ไม่ใช้เงินใช้ทองได้สบาย เราไม่กดข่ม เงินทองก็เหมือนของใช้ เสื้อผ้าเราก็เอาไว้ใช้แค่พอ ไม่ใช่ว่าไปเห็นว่าเงินทองเป็นเรื่องวิเศษอะไร

 

วิธีปฏิบัติจรณะ 15 โพธิปักขิยธรรม ก็ตาม มีการปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 ข้อ คือ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ นี่คือการปฏบัติที่ไม่ผิด แต่การไปนั่งหลับตาปฏิบัติจึงเป็นการปฏิบัติที่ผิด

 

ยิ่งอาหารคือคำข้าวต้องกินอาหารเลี้ยงชีพ สัตว์เดรัจฉานก็ต้องกินกวฬิงการาหาร คุณปฏิบัติอาหารนี่แหละ เป็นอรหันต์ได้ เป็นอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าแล้วก็ต้องฉันอาหาร ไม่มียารักษาโรคก็ไม่เป็นไร ที่อยู่หรือผ้านุ่งไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่อาหารนี่ไม่มีก็ซี้แหง อาหารเป็นหนึ่งในโลก

 

การปฏิบัติโภชเนมัตตัญญุตา ปฏิบัติเรื่องอาหารมีรสปรุงแต่งมาอย่างไร คนไทยนี่ปรุงแต่งอาหารเก่งฉิบหาย อกหน่อยอาหารไทยไปทั่วโลก ปรุงแต่งเก่งจริงๆ อีกหน่อยไปตั้งร้านอาหารทั่วโลก หลอกคนไปทั่วเลย

 

พันตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ว่าอาตมาว่าปฏิบัติธรรมอะไรกัน พูดแต่เรื่องกินๆๆ ตามว่าอาตมาตั้งแต่ปี 25 ตอนหลังติดคุกอาตมาก็ให้คนไปส่งอาหารให้ เขาก็ตอบมาว่า อาหารท่านมียาง

 

เมื่อสามารถปฏิบัติอปัณกปฏิปทาได้ ก็ไปถึงอรหันต์ได้ แล้วปฏิบัติเหมือนกันหมด ไม่ว่าเป็นโสดาฯถึงอรหันต์ จนตื่นเป็นชาคริยา ตื่นออกจากโลกีย์ได้ จนเป็นพุทธะ

 

ปฏิบัติธรรม สี่ข้อนี้ คือ ศีล จะเกิดอธิจิต 7 คือศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูตร วิริยะ สติ ปัญญา แล้วจะสั่งสมเป็นฌาน 1 ถึง 4 เป็นจรณะข้อ 13 ถึง 15

 

ได้พบสัตบุรุษก็เกิดศรัทธา เมื่อเกิดจิตดีแล้ว มันเข้าใจแล้ว เมื่อสัมผัสสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจะละอาย แต่ก่อนนี้เราสัมผัสแล้วไม่ละอาย สัมผัสแล้วน่ากิน น่าได้ น่าเอา อยากได้ ไม่อายเลย แสดงตาเหลือกตาลาน ใครไม่เคยยกมือขึ้น เคยทุกคน แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว เราตั้งศีลแล้ว ถ้ายังเกิดจิตก็ละอาย เช่นศีล 5 มันเมา เราก็ตั้งศีลว่าเราไม่เอาเหล้าเด็ดขาด เราเลิก เวรมณีข้อ 5 แล้ว เวลาสัมผัส ถ้าใจยังอยากมันไม่ละอาย แต่พอมันเกิดอธิจิตมันจะละอาย และสูงขึ้นไปก็เกิด โอตตัปปะ คือกลัวเรามีกิเลส เป็นคุณสมบัติของจิตที่เจริญขึ้น

 

หิริจะเกรง พอเกิดแล้วละอาย แต่เผลอก็เอา แต่โอตตัปปะ นั้นต่อหน้าหรือลับหลังก็ไม่เอา มันมีนิพพิทาญาณ จิตบรรลุธรรมเป็นพหูสูตร ที่คือการปฏิบัติหลุดพ้นได้มาก เมื่อทำได้คุณก็ทำเพ่ิม มีวิริยะ สติ ปัญญา มาเสริมเพื่อให้เสริมให้สูงขึ้นเป็นฌานที่สูงขึ้น จรณะ 15 จะเจริญขึ้นโดยมีวิชชา 8 เป็นตัวปัญญา เป็นอภิปัญญา เป็นยาดำอยู่ จะต้องรู้ตลอดเวลา รู้ทฤษฏี รู้ว่าละได้จริง จิตตั้งมั่นเป็นสมาหิตังที่เป็นตัวที่ 3 Past perfect tense เป็นตัวที่ทำสมบูรณ์แล้ว

 

ปฏิบัติธรรมจรณะ 15 วิชชา 8 ก็คือ​ ศีล สมาธิ ปัญญา

 

ฌานต้องมีปัญญา ที่จะรู้ตั้งแต่สำรวมอินทรีย์ ไป ถ้าเราเข้าใจสภาวะกับพยัญชนะจะไม่ผิดเพี้ยน ปฏิบัติไปจะแจ้งชัด แล้วโพธิปักขิยธรรม 37 นี้มี 7 ข้อ มีสูตรในการจำคือ 4 5 7 8

 

1.    สติปัฏฐาน 4   สติตรวจสอบจิตให้บริสุทธิ์ เป็นต้นหน

2.   สัมมัปปธาน 4 ยุทธวิธีเพียรทำลายกิเลส

3.   อิทธิบาท 4     ทะยานยันไปสู่ความสำเร็จ  เป็นกัปตัน

4.    อินทรีย์ 5       สั่งสมเป็นกำลังธรรมของจิต 

5.    พละ 5           ขุมกำลังธรรมะของจิต

6.    โพชฌงค์ 7    การก้าวเดิน..สู่การตรัสรู้

7.   มรรคมีองค์ 8         ทางเอกเพื่อเดินสู่การตรัสรู้

 

ตัวสติปัฏฐาน 4 ถ้าไม่เข้าใจคำว่า กาย คำเดียวนี้ ก็ไปไม่รอด  กายในกาย ก็เป็น รูป ที่เป็นรูปจำที่อยู่ภายใน ไม่ใช่อาการทางจิต เขาอธิบายกันว่าเห็นสัตว์ เทวดาเป็นรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้  แล้วก็บอกว่าเห็นรูปแล้ว นั้นคือการเข้าใจที่ผิด เพราะว่า เทวดา สัตว์ทางนามธรรมนั้นไม่มีรูปร่างสีสัน แต่รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส

 

ที่มีเหตุคือตัวต้องการ หรือตัณหา มันเกิดที่จิต เป็นสราคะ สโทสะ อาการอย่างนี้คือราคะ เป็นกามวิตก หรือกามสังกัปปะ แล้วอาการอย่างนี้เป็นพยาบาทวิตกหรือพยาบาทสังกัปปะ ตาคุณเห็นอยู่บัดนี้แล้วคุณอยากก็เห็นเป็นของคุณหลัดๆเลย เห็นเดี๋ยวนี้รู้เดี๋ยวนี้กำจัดเดี๋ยวนี้เลย พิจารณากำจัดมันเลย แต่ถ้าไม่เข้าใจชัดก็เป็นปุถุชนไปตลอด

 

สามารถปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 รู้้เจโตปริยญาณ 16 ได้ ล้างได้บริสุทธิ์สะอาดที่สุดแล้ว เป็นธรรมในธรรมอันบริบูรณ์ เป็นสัทธรรม เรายังไม่ปรินิพพานก็ยังต้องอยู่ต่อไป

 

สัมมัปปธาน 4 ก็คือตัวปฏิบัติ กระทบสัมผัสแล้วเกิดกิเลสคุณก็กำจัดกิเลส เป็นสังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธาน คุณทำสำเร็จเป็นผลแล้วรักษาผล ด้วยอิทธิบาท 4 ผลสั่งสมเป็น อินทรีย์ 5 พละ 5

 

พละคือผล อินทรีย์คือดีกรีหรือเนื้อของคุณธรรม เป็นคุณภาพ  การบอกวัดน้ำหนักของความเจริญ ที่สั่งสม โดยอยู่ในหลักมรรคองค์ 8 จนสุดท้ายเป็นฐานนิพพานคืออุเบกขา ในโพชฌงค์ 7

 

ถ้าได้ตามสัจจะไม่ผิดเพี้ยนก็ได้องค์แห่งการตรัสรู้ ตามหลักมรรคองค์ 8

 

ก็เกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา จนเกิดอธิวิมุติ นี่คือหลักใหญ่แห่งการปฏิบัติ ให้ตั้งใจเพียรตั้งใจศึกษา ชีวิตนี้ไม่มีอะไรหรอก เกิดมาไม่รู้กี่ชาติ ยิ่งไปสะสมความฉลาดความเก่งมาก เป็นพระพรหม ว่าข้าใหญ่ คับโลกเลย คนพวกนี้ก็เบ่งด้วยอำนาจของลาภยศสรรเสริญโลกียสุข บำเรอกิเลสไป พอล้างกิเลสได้จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มอมเมาเราไม่รู้กี่ชาติ เป็นทาสมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว เขาหลอกกันว่าเป็นผู้สืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้า หลอกด้วยเจตนาก็มี เขาต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ยังมี มันจึงจำเป็นต้องหลอกเขาให้หลงเชื่อ อย่างสำนักใหญ่ๆบางสำนัก สร้างวิมาน สร้างนิยายหลอกคน อาตมาเห็นแล้วน่าสังเวชใจ จะไปสร้างบาป แก่ตัวเองทำไม อาตมาว่าเขารู้นะ ปฏิภาณของเจ้าสำนักใหญ่อย่างนี้ แล้วทำมาหลอกคนได้ สร้างนิยายโลกีย์ ไม่เข้าหลักโลกุตระเลย ไปใหญ่

 

ถ้าเขาไม่รู้เขาหลงจริงๆเขาก็ได้วิบากไป เขาหลอกว่าคือสวรรค์แต่นี่คือนรกซ้อน คุณดับเหตุแห่งนรกได้สวรรค์ก็หาย  คุณดับสวรรค์นรกก็หาย อย่างคุณอยากกินมะม่วง คุณดับความอยากได้ก็หมดสวรรค์นรกได้ นิพพานไม่มีสวรรค์หรือนรก

 

พระพุทธเจ้าว่าคนที่โกหกทั้งๆที่รู้ไม่มีความชั่วใดที่ทำไม่ได้ คนขึ้นหลังเสือแล้วลงหลังเสือไม่ได้นี้น่าสังเวชใจ เขาก็จะสร้างนรกให้แก่ตนเองมากขึ้น ที่วิจารณ์นี้อย่าไปเอาอย่าง


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:39:20 )

570610

รายละเอียด

570610_พ่อครูเทศน์ ทวย. เฮือนศูนย์ฯ เรื่อง บุญต่างจากกุศลอย่างไร ตอน 3

ก็คงต้องย้ำเรื่อง บุญ​และกุศล อีกนี่แหละ และการเทศน์ในงานนี้ก็จะนำไปทำเป็นหนังสือ อาจจะออกตอนเดือนตุลาคมและก็อาจนำไปออกเป็นข้อสอบว.บบบ.ด้วย

 

เมื่อกำจัดอกุศลจิต บาปคืออกุศจิตนั้นๆดับหรือหมดสนิท ก็ไม่ต้องทำบุญ นั้นอีก ถาวรแล้ว


บุญ จึงคือการชำระจิต ก็ไม่ต้องชำระจิต แต่ใจหรือจิตยังมีอยู่ จิตที่สะอาดผ่องใสจากกิเลสนั้นแล้ว ยังอยู่ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน  ก็จะมีเหลือแต่ใจใสใจสว่าง เราจะมีจิ

ที่เจริญขึ้นใหม่อีก แต่บุญนี่จบแล้ว ไม่ต้องชำระแลว แต่กุศลยังทำได้อีกมหาศาล

 

ตจิตที่เป็นบาปหรือกิเลส หรืออกุศลจิต หมดไปแม้ร่างกายยังไม่ตายแตกไป ก็ตาม หรือว่ายังไม่กายแตกตายไปก่อน (กายสเภทา ปรัมมรณา) แม้ร่างกายแตกดับแต่คุณยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็จะมีกาต่อเนื่องอีก เป็นผู้ไม่่มีบาปไม่มีบุญ แต่ภาวะที่ยังมีอยู่คือกุศล

 

บุญและบาปนี่หมดแล้วหมดเลย แต่กุศลนี้ไม่ดับไปง่ายๆ หมดบุญนี่ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนตกต่ำ แต่กลับว่าเป็นคนที่สุดยอดเลย

 

ในพระไตรฯ ล. 25 ข้อ 262 การทำกุศลด้วย กาย ด้วย วาจาให้มาก กระทำกุศลด้วยใจหาประมาณมิได้ หาอุปธิมิได้ คำว่าอุปธินี้ แปลอย่างไร? 

 

แต่นั้น ท่านจงทำบุญ อันให้เกิดสมบัตินั้นให้มาก  ด้วยทาน แล้ว ยังสัตว์แม้เหล่าอื่นให้ตั้งอยู่ในพรหมจรรย์ ถ้าแปลอย่างนี้จะแปลว่าบุญคือได้มาก แต่ความจริงแล้วมันมีความซ้อนอยู่ การทานของอริยชนผู้สัมมาทิฏฐิคือการทานให้กิเลสหมดเกลี้ยง

 

ท่านพรหมคุณาภรณ์ท่านแปลว่า ท่านจงทำให้มากทั้งด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ซึ่งกุศล อันประมาณมิได้ อัปปมาณนี้แหลว่ามากก็ได้ แปลว่าโลกุตระก็ได้ 

 

สรุปว่า ถ้าใครยังเข้าใจไม่เต็มระหว่าง บุญ​ กับ ทำกุศลด้วย กาย วาจา ใจ ให้มาก จนกระทั่งไม่มีอุปธิ

 

โอปาธิกัง ปุญญัง นี่มีกำกับด้วยว่า ปุญญัง แต่สุดท้ายก็ไปที่การให้ทาน

 

ทัสสบารมี ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา ไปจนถึงอุเบกขาบารมี เป็นผลชัดเจนสมบูรณ์แบบ จบกิจ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติต่างๆๆ เมื่อจบกิจแล้วท่านก็อยู่กับอุเบกขา เมตตา

 

สัมมาทิฏฐิข้อแรกเลย ทำทานต้องให้ได้ลดกิเลส แต่ว่าทุกวันนี้สอนทานให้เป็นนัตถิทินนังไม่มีผลลดละกิเลสเลย

 

ยิตถัง เป็นยัญพิธี ก็ลึกซึ้งขึ้้นกว่าทานอีก ทั้งหมดต้องศึกษาสัมททิฏฐิ ให้เกิด อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

 

สังเวยที่บวงสรวงแล้ว เป็นการปฏิบัติที่จิตของคุณมีโยนิโสมนสิการต้องอ่านจิต เป็นหุตัง มีผลเกิดกับจิต จิตได้รับเสวยไหม(วสังเวย) ได้รับผลไหม? ชำระกิเลสได้ มันถึงชัดหมด

 

ศีล สมาธิ ปัญญษ หรือทาน ศีล ภาวนา

 

ภาวนาคือการเกิดผล คุณทำทานทางกาย วจี แต่ว่าใจคุณได้ลดโลภ แต่ถ้าทำใจในใจโลภจัด ทำทานแต่วัตถุ แต่กิเลสในจิตก็อ้วนขึ้น

 

การทำกุศลต้องทำทั้งกาย วาจา ใจ โดยเฉพาะใจนี่แหละที่เป็นผลที่สุดยอดแล้ว

 

ผู้ใสสามารถทำใจในใจให้แยบคายลดกิเลส หมดอุปธิแล้ว ชำระจิตสันดานหมดจดแล้ว (สันตานัง ปุนาติวิโสเทติ) แต่นั้นก็หรือตรงนั้น ที่ทำบุญไป แล้วต่อจากนั้นอีก จงทำ ทานให้มาก จงทำทานด้วยบุญ (บุญนี่คือทำจิตให้สะอาด) อันให้เกิดสมบัตินั้น

 

ทานนี้หมายถึง ธรรมทาน ไม่ใช่ทานวัตถุ ให้ท่านเป็นผู้ให้ทาน เพราะท่านบรรลุอุตริมนุสธรรมแล้ว ก็เป็นผู้ให้ทาน เห็นใจ ท่านผู้แปลตามภูมิให้นะ

 

ท่านแปล อปุญญาภิสังขาร ท่านแปลโดยปัญญาของท่านเลยว่า ปรุงเป็นบาป แต่ตัวอปุญญะนี้เป็นการสังขารระดับโลกุตระ ไม่ใช่ระดับโลกีย์

 

ปุญญาภิสังขารนั้น เป็นเสขบุคคล แต่อปุญญาภิสังขารนั้นไม่ทำบาปอีกแล้ว

สำหรับอรหัตตมรรค นั้น จะต้องทำซ้ำๆให้เกิดญาณ ทำสังขารุเปกขาญาณ สัจจานุโลมมิกญาณ ต้องเป็นผู้ที่สั่งสมอรหัตตมรรคไปถึงอรหัตตผล

 

ศาสนาพุทธเท่านั้นที่มี "สัญญาเวทยิตนิโรธ" อยู่ในอนุปุพวิหาร 9 คนไม่เข้าใจสภาวะก็ไปแปลสัญญาเวทนยิตนิโรธ ว่าไปดับสัญญา ดับเวทนา ซึ่งทำให้กลายเป็นอสัญญีสัตว์

 

สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้จะไปดับได้อย่างไร มันก็ไม่รับรู้อะไรเลยสิ เอไฟมาไหมผิวหนังยังไม่รู้ตวเลย เป็น พระพุทธเจ้าไม่เอาที่ไปหลงในวิญญาณฐีติ 7 ซึ่งไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะว่าต้องกำหนดรู้ แม้เล็กแม้น้อยก็ต้องตรวจสอบ รู้จนมั่นใจว่าจบกิจ

 

เวทยิตตัง แปลว่าเคล้าเคลียอารมณ์ เป็นการดับที่ให้สัญญามาเคล้าเคลียอารมณ์ ผ่านอากิญจัญยายตนะ ก็กำหนดรู้ว่าแม้เล็กแม้น้อยก็ไม่มีนะ

 

อรูปฌาน 4 ของฤาษีนั้น นั่งหลับตาแต่สร้างอรูปภพ อาตมาก็เคยทำ นั่งอยู่นี่เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลก เราปั้นเองว่ามันต้องบางเบา ยิ่งกว่าอยู่ในอุเบกขานะ ว่างอย่างไรก็คือเนรมิตตัวเอง จนตัวเองมีอาการหลุดพ้น ออกไปสู่โลกใหม่ มันเหมือนกับใช้พลังงานชนิดหนึ่งที่จะต้องหลุดจากบรรยากาศเช่นนี้ให้ได้จนเราปั้นเป็นมโนมยอัตตาชนิดหนึ่ง เป็นรูปที่เป็นอรูป 

 

นั่งหลับตาสมาธิเป็นรูปภพ อรูปภพทั้งนั้น

อรูปฌาน 1 นั้นโล่งว่าง อนันโต อากาโสติ จริงๆ ขณะคุณอยู่ในภพนี้คุณจะไม่รู้ตัว จะมีแต่อัตตาเสพรส คุณรู้ตัวของคุณเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคือ วิญญานัญจายตนะ มันเป็นการสร้างภพ เมื่อรู้ตัวแล้วก็พบว่าตนอยู่ในอาภัสสรา ไม่อยากออกหรอกแต่ว่าแล้วแต่บารมีว่าจะได้อีกไหม พอได้ครั้งแรกแล้ว จะได้อีกครั้งนั้นยากมาก มันจะไม่หลุดปึ๊งแล้วมันจะเข้าไปได้ง่าย แต่คนไปเข้าใจอีกว่าถ้ายังสว่างอยู่ไม่ใช่นิพพาน นิพพานนั้นเป็นการดับ เขาก็ไปนั่งก็รู้ว่ายังมีตัวเราอยู่ ไม่นิพพานอีก ก็เลยต้องดับอีกไม่ให้รู้อะไรเลย เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วเรียกว่านิโรธ

 

อสัญญีจะเริ่มแต่อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญาฯก็เป็นอสัญญี ก็จบตรงนี้ ถ้าเป็นฤาษีก็ดับได้อย่างเก่งก็อุทกดาบส ไม่มีสัญญาเวทยิตนิโรธ แต่ไปดับสัญญาก็ว่านี่แหละคือนิโรธของฤาษี แล้วหลงว่าตนเป็นอรหันต์ถ้าทำจนชำนาญ บางคนนั้งได้ตั้งหลายวัน อย่างฤาษีนี่ได้ตั้ง 20 วัน เขาใช้พลังงานน้อยมากเลย เขาใส่กล่องแล้วฝังไว้ในดิน พอหลายวันไปขุดออกมาก็ยังอยู่ไม่ตาย เป็นเรื่องภพภูมิของผู้ที่ไม่สัมมาทิฏฐิ

 

จะดับสัตว์ต้องกำหนดรู้ กาย ของสัตว์แต่ละชนิด เมื่อกำจัดสัตว์หรือกิเลสได้ ก็เป็นอุบัติเทพ แต่ถ้าไม่ได้ล้างกิเลสก็เป็น สมมุติเทพ ได้อัตตาอยู่ในนั้นด้วย สร้างอัตตาโดยไม่รู้ตัว

 

คนได้ฟังอาตมาไม่ต้องเชื่ออาตมา ถ้าคุณทำได้ทั้งสองอย่างก็จะรู้ เพราะเขาทำได้แต่วิธีนั่งหลับตา แต่เขาทำแบบพระพุทธเจ้าไม่ได้ เขาก็เลยเถียงอาตมา แล้วอาตมาจะเถียงเขาทำไม ไปเถียงกับคนตาบอด ก็บ้าและโง่กว่าคนตาบอดเสียอีก อาตมาเห็นใจพระพุทธเจ้าว่าเผยแพร่ในยุคเทวนิยม สาวกของท่านต้องตายสังเวยการสร้างศาสนา แม้พระโมคคัลลานะก็ต้องตาย

 

ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ หมายความว่า คุณทำกิเลสในตนให้หมดแล้วก็ทำทานช่วยคนอื่นเขา โอปปธิกัง ในลักษณะทาน ให้เป็นสัทธัมเม เป็นสัทธรรม จึงจะได้พรหมจรรย์

 

เป็นการทำบุญให้สำเร็จแล้วก็ทำกุศลต่ออีก สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ การทำธรรมทานนี่ชนะทานทั้งปวง ไม่ใช่ว่าให้หนังสือธรรมะที่พาไปหลงนรกสวรรค์ปลอมๆอีก

 

คำว่าบุญ คือการชำระกิเลสให้หมดจน เมื่อทำได้เป็นสมบัติ โอปปาทิกังปุญญัง แล้วเป็นพื้นรองรับสำหรับการเกิดใหม่

 

ในพจนานุกรม ฉ.ภูมิพโลภิกขุ แปลว่า โอปปาธิกัง ว่าเป็นพื้นรองรับสำหรับการเกิดใหม่ อันให้เกิดอุปธิสมบัติ คือบุญอันให้เกิดสมบัติและโภคสมบัติ ฟังแล้วก็ยังวนเวียนมีโลกีย์อยู่

 

ซึ่งถ้าจะแปลให้ชัดคือทำทานให้เกิดสมบัติแห่งบุญ แล้วผู้ที่ถึงพร้อมด้วย โอวาทปาติโมกข์ 3 จึงเป็นการงานของพระอรหันต์ ลดบาป จนไม่ทำบาปทั้งปวงได้ แล้วทำธรรมทานต่อ ศาสนาก็สืบต่อได้อย่างไม่เพี้ยน เป็นการทำคุณอันสมควรก่อนแล้วพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง แต่ว่าคนไม่ทำคุณอันสมควรก่อนแล้วสอนคนอื่นศาสนาจึงมัวหมอง เขาไม่เจตนาทำร้ายนะ เขาตั้งใจทำกุศลมากด้วย

 

อาตมาจึงสงสาร แม้แต่ไปแปลพหูสุตรก็แปลว่าผู้รู้มาก นั้นที่จริงต้องแปลว่าเป็นผุ้ที่เข้ากระแสมีผลจากการปฏิบัติมากแล้ว

 

ในศรัทธาสุตร มี ศรัทธา ศีล พหูสูตร ธัมกถึก จะเห็นว่าต้องเป็นพหูสูตรแล้วค่อยไปสอนคนอื่น แต่ถ้าแปลว่าพหูสูตรว่ารู้มาก ก็เลยไปสอนคนอื่นแบบที่ตนไม่ได้บรรลุ แล้วค่อยเข้าสู่บริษัท แล้วแกล้วกล้าอาจหาญแสดงธรรมแก่บริษัทแล้วต่อจากนั้นจึงทรงวินัย ทำไมต้องทรงวินัย เพราะต้องมีการประมาณ มีหลักเกณฑ์ แม้อรหันต์ก็ต้องทรงวินัย ต้องรู้หลักเกณฑ์ให้ละเอียดละออ แล้วต้องมีจิตยินดีในเสนาสนะป่าหรืออันสงัด เรือนว่าง คือจิตที่ยินดีในความว่าง อย่างอาตมานี่ยินดีในป่า และยังสร้างป่าเลยทุกที่ แม้ในกทม.ก็สร้างป่า จากนั้นก็เป็นการเข้าสู่วิมุติ

 

ผู้ที่ได้อรหัตตผลแล้วก็สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ) ไม่ต้องทำบุญแล้ว สิ้นอกุศลจิตด้วย ของท่านนะ แต่ไม่สิ้นกุศลจิตยังทำงานได้ และจะดียิ่งขึ้นๆด้วย ประกอบกุศลให้ดียิ่งขึ้นด้วย นับว่าเป็นส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะการสมาทานกุศลกรรมทั้งหลายเห็นเหตุ บุญนี้ย่อมเพิ่มพูนอย่างนี้

 

ฉ.หลวงแปลว่า บุญนี้ย่อมเจริญขึ้นอย่างนี้ เพราะเหตุถือมั่นธรรมทั้งหลาย เพราะการสมาทานธรรมทั้งหลายเป็นเหตุ สมาทานธัมมทานัง เหตุ ยึดอย่างสมาทาน พระอรหันต์นั้นยึดอย่างสมาทาน แต่แม้อเสขบุคคลก็สมาทาน ยิ่งชำะกิเลสหมดแล้วด้วย

 

ความแตกต่างระหว่างกุศลกับบุญนั้นต้องทำความเข้าใจให้แม่นคมชัด กุศลนั่นตราบที่ผู้นั้นยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ไม่มีการหมดกุศล ท่านบอกว่าท่านไม่สันโดษในกุศล แต่ผู้เป็นอรหันต์แล้วไม่ต้องชำระกิเลสแล้ว ไม่เหลือแม้อาสวะ เป็นผู้หมดบุญสิ้นบุญด้วย จบกิจแล้วไม่ต้องทำบุญอีก บุญหมดแล้วแต่กุศลไม่มีวันหมด

 

คำภาษาไทยเขาว่า ท่านสิ้นบุญแล้ว ก็คือตาย แสดงว่าคำว่าบุญนี้เพี้ยนไปถึงขนาดนี้ แต่ถ้าเราเข้าใจแล้วมีคนมาบอกว่าเราสิ้นบุญแล้วก็สวยสิ ขอให้เราสิ้นบุญเถอะ มันแปลว่ากิิเลสสิ้นเกลี้ยงนะ

 

การไม่มีบุญไม่มีบาปนี่แล ผู้สิ้นบุญ สิ้นบาปนี่คือผู้มีวิมุติ เป็นแก่น จึงชื่อว่าผู้อมตะ อรหันต์ทุกองค์เป็นผู้เป็นอมตะแล้ว แปลว่าไม่ตาย คือกิเลสในจิตของผู้นั้นไม่ตายอีกแล้ว เพราะกิเลสมันไม่มีในจิตแล้วกิเลสก็ไม่ตาย กิเลสไม่มีมาเกิดแล้วจะตายได้อย่างไร นี่คือความไม่ตายของพระอรหันต์ นี่คืออมตะ

 

เถรวาทเข้าใจว่า อรหันต์ตายแล้วสูญ เป็นความเข้าใจผิด แต่อาตมามาบอกว่าอรหันต์ตายแล้วเกิดอีกได้ ก็ไปค้านแย้งกับเขา แม้โสดาบันเขาก็เข้าใจว่า เกิดอีก 7 ชาติก็จะเป็นอรหันต์ แล้วก็เป็นอรหันต์แล้วก็ตายสูญอีก แล้วจะไปเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไรใน 7 ชาติ ก็เลยไปเข้าใจว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นโสดาบันไม่ได้นะ ก็เป็นการเข้าใจที่ไม่คมไม่ชัด

 

สายปัญญาไปเข้าใจผิด ว่านิพพานเป็นแดนดินถิ่นสวรรค์ ไปอยู่พุทธเกษตรเป็นสัสตทิฏฐิ ส่วนเถรวาทนั้นเข้าใจว่าอรหันต์แล้วตายสูญ​เป็นอุทเฉทิฏฐิ

 

คำว่าโหติ แปลว่า มี ในมิติที่ว่ามีนั้น มันไม่มีอะไรเลยที่เที่ยงแท้ยั่งยืน ทุกอย่างต้องอนิจจังทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มี แล้วก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น สิ่งที่มีอยู่เป็นทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์เพราะเป็นภาระ (ทรถะ) การทำงาน การหาอาหารก็เป็นภาระ พระอรหันต์ไม่มีตัวตนก็เป็นท่าน ท่านไม่ลึกลับแล้ว ท่านมีอรหัตตาท่านจบสุดในมโนมยอัตตา โอฬาริกอัตตา อรูปอัตตา ท่านก็จะใช้อาศัย

 

เมื่อยังมีก็ต้องอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์  มีเที่ยงอย่างเดียวคือนิพพาน อรหันต์มีจิตที่เที่ยงคือจิตนิพพาน แต่ถ้าปรินิพพานแล้วก็ไม่มีแล้ว รูปขันธ์นามขันธ์แตกสลายไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสในพรหมชาลสูตรไว้ว่า ใครจะเห็นเราได้ตอนไม่ปรินิพพานเท่านั้น หากปรินิพพานไป ก็เหมือนพวงมะม่วงหล่น กระเบื้องแตกไปแล้ว จะไม่มีใครเห็นตถาคตอีกเลยทั้งรูปและนาม

 

อาตมาเคยเปรียบเทียบการแยกน้ำได้เป็น H และ O ก็ไม่มีน้ำแล้ว อรหันต์ก็เหมือนมีน้ำอยู่่ ตราบเท่าที่ไม่ปรินิพพาน ถ้าปรินิพพานก็คือไม่มีธาตุน้ำนี้อีกแล้วสลายเป็นH และ O ไป

 

อมตะบุคคล นั้นมีวิมุติแล้ว อมตะแล้ว มีนิพพานแล้ว เป็นปริโยสานสุดท้าย ในมูลสูตรที่มีฉันทะเป็นเค้าในการปฏิบัติ แล้วมีมนสิการเป็นสัมภวะหรือแดนเกิด

 

เวลาปฏิบัติต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย เป็นเหตุ ให้ปฏิบัติ เมื่อมีผัสสะ ก็มีเวทนา เพราะสังขารปรุงแต่งมาเป็นเวทนา ต้องเข้าใจเวทนา 108 คุณแยกเนกขัมมะกับเคหสิตะไม่เป็นก็ปฏิบัติไม่ได้ คุณต้องอ่านอาการให้ออก อย่างมีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาปฏิบัติ จึงมีสัมมาปฏิเวธ

 

อนาคามีนั้นเหลือแต่ความลำบากของท่าน ในสังโยชน์ที่เหลือของท่านก็คือความลำบากของท่าน เมื่ออนาคามีล้างกิเลสหมดก็จะมีทรถะ ซึ่งคนก็แปลว่า เป็นความกระวนกระวาย เป็นความลำบาก ยังมีขันธ์ 5 อยู่ ยังต้องหาอาหารให้ ยังต้องมีงานทำ ยังต้องขี้ต้องเยี่ยว ต้องตัดผมเป็นต้น หรือว่าเป็นวิปากทุกข์ แม้เป็นพระพุทธเจ้าก็ยังมีวิบากตามมา คนไปพาซื่อว่านิพพานแล้วไม่มีเลย แต่ต้องชัดว่าอะไรไม่มีแล้วอะไรมี แล้วเมื่อไหร่จะไม่มีสิ้นเลย ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่ตราบใดไม่ตายก็ต้องมีต่อไป อย่างอรหันต์บางองค์กำหนดเลยว่าเราจะตายที่ไหน กำหนดว่าเราจะตายไปในก้าวที่เจ็ด ท่านก็กำหนดได้ขนาดนั้น สิ่งที่ตายจริงๆคือกิเลส แต่สิ่งอื่นไม่ตายก็ได้

 

กุศลถ้าเข้าข่ายโลกุตระก็เป็นบุญ แต่ถ้าเข้าใจไม่ชัด ไม่รู้จิตเจตสิกตัวเองแล้วก็ลดละไม่ได้ก็ไม่เป็นบุญและแถมทำให้หลงกุศล แล้วกุศลพาทำชั่วได้อีก น่ากลัวมาก หลงว่าเป็นกุศล

 

ธรรมกายนั้นต้องเข้าใจคำว่า กาย

 

อาตมาเคยว่าเขาพาทำกันเป็นสวรรค์ลวง บอกว่าได้บุญมาก ก็เลยหนาเตอะ คนไม่รู้ก็ถูกหลอก เขาเข้าใจว่าเป็นกุศลจริงๆนะ เขาทำอย่างทุ่มเท ใครเคยไปเป็นหัวหน้าสายของธรรมกาย ไปเรี่ยไรมาให้เขา เขาเรียกว่าได้บุญ แถมได้เกียรติยศได้เหรียญตราเหมือนพวกขายตรงนะ เขาไม่รู้นะว่าเขาถูกใช้สร้างกุศล แต่เขาบอกว่าได้บุญนะ แล้วคนที่ไปหลอกคน เขารู้นะว่าเขาใช้วิธีการอุบาย อุบายวิธีให้คนไปหาทรัพย์สินให้เขา เขารู้นะ แล้วเขาพาทำบาปทั้งที่รู้ว่าบาป ขออภัยที่อาตมาต้องพูดสัจธรรม ไม่ใช่ว่าไปข่มเขาหรอก เขาหลงสุคติ เขาทำอย่างอคติ ไม่มีทางถึงอุดมคติได้หรอก

 

ถ้าผู้ใดฟังธรรมมาจนถึงที่อาตมาแสดงมาถึงวันนี้ ใครที่รู้สึกว่าได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟังเพิ่มเติมขึ้น แม้ว่าจะวนอยู่ในคำว่าบุญ แต่ว่ามีส่ิงใหม่ในนั้น บางอย่างละเอียด บางอย่างคลายใจเลย แต่ก่อนข้องอยู่แต่ตอนนี้คลายใจเลย โล่งใจเลย นี่คือสัมมาปฏิเวธ บรรลุธรรมได้เลย แต่สายเจโตนี่หลุดพ้นแต่ไม่มีปัญญารู้ก็เลยไม่สมบูรณ์เป็นอุภโตภาค แต่พอมาได้ยินอันนีก็เลยได้ปัญญา แต่ว่าสายปัญญารู้หมดแต่ว่าใจยังทำไม่ได้หรือแม้ทำไปถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่ได้ผล เข้าใจไม่ดีก็เพี้ยนได้

 

ในทักขิเนยยบุคคล 7 สายศรัทธาจะเรียนจากในมาหานอก ไปนั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกายจึงบรรลุอรหันตฺ์ได้ แต่สายปัญญา นี่จะบรรลุมาเป็นลำดับ มีทิฏฐิปัตตะ เป็นปัญญาวิมุติ มีวิโมกข์ 8 มาตั้งแต่ต้นมาตามลำดับแล้ว ตั้งแต่ธัมมานุสารี มาเป็นทิฏฐิปัตตะ แล้วมาเป็นปัญญาวิมุติ

 

แต่วิโมกข์8นี้เขาไปเข้าใจกันอีกว่าต้องไปนั่งสมาธิเอาวิโมกข์อีก นั่นก็เลยไปใหญ่เลย


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:42:19 )

570611

รายละเอียด

570611_พ่อครูเทศน์ ทวย. อโศกรำลึก เรื่อง บุญต่างจากกุศลอย่างไร?ตอนที่ 4

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเทศน์ จะได้เอาคำว่า บุญ กับ กุศล มาสาธยายกันอีก เพราะมีความซับซ้อนทั้งสภาพความแตกต่างทั้งด้านกว้างและลึก เราต้องทำความชัดเจน

 

เราได้สาธยายคำว่าบุญ กับกุศล จนถึงคำว่า อมตะแล้ว คำว่าอมตะนี้ ในพุทธศาสนาเป็นเรื่องลึกล้ำ ที่ใช้แค่ปฏิภาณปัญญา หรือเดาเอาไม่ถูกง่ายๆ เพราะว่ามีนัยที่วนลึกของสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน อาตมาพูดถึงบรรยายธรรมะใหม่ๆ เขียนในหนังสือทางเอกว่า คัมภีราวภาโส มันหมายถึงความชัดเจนกระจ่างแจ้งในความลึกซึ้ง สว่างชัดทะลุทะลวง ไม่ได้บ่งถึงสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนใดๆเท่าไหร่ แต่มาวันนี้อาตมาได้คำที่ตรงกับสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนกว่าคือคำว่า ปฏินิสสัคคะ

 

มันวนซ้อนของความเป็นสภาวธรรม ที่เป็นสภาวะที่ใช้พยัญชนะว่า อมตะ มันจะวนซ้อนกันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และมันก็ซับซ้อน ไปมาขึ้นไปเรื่อยๆ ปฏิ แปลว่าวนซ้อน นิสสัคคะ แปลว่าสวรรค์ นิสสัคคะแปลว่าไม่มีสวรรค์ พอเข้าใจแล้วก็รู้สรรค์เท็จ สุขหลอก จากชั้นต้นกลางปลาย เราได้ชั้นต้นก็รู้แล้ว ชัดเจนแล้วในรอบนี้ก็ขึ้นรอบใหม่ ก็หมุนซ้ายขวาไปเรื่อยๆ หลุดพ้นจากชั้นนี้ ตายจากชั้นนี้ มันตายจากความรู้ความเห็นความสุขเก่าๆ มันตายจากเรา เราขึ้นสู่สวรรค์ชั้นใหม่ที่จริงกว่าเก่า

 

ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป วนเวียน หายใจออกหายใจเข้าวนเวียนเช่นนี้ แต่เราทำใจให้หลุดพ้นไม่วนไปเรื่อย ขึ้นไปเรื่อยๆ

 

อมตะเขาแปลกันว่า ไม่ตาย คำว่าไม่ตายนี่เป็นความซับซ้อน คือเราได้ฆ่าเหตุ ในโลกเก่าที่เรายึดถือว่าเป็นจริงเป็นจัง พอเราสามารถฆ่าเหตุได้มันก็ตาย พอเหตุตาย จิตก็หลุดพ้น ก็ไม่มีจิตที่จะไปตายอีก จิตตัวที่หลงผิด มันล้างออกไป ชำระออกไป คือปุญญะ ได้ชำระล้างออกไป ก็ขึ้นไปอีกชั้น จิตไม่มีกิเลสนั้นอีกแล้วและของพุทธนั้นไม่เกิดอีกเลย นานเท่าไหร่กิเลสนั้นก็ไม่เกิดอีก แต่พุทธไม่เรียกนิรันดร แต่กิเลสตายนี่ตายนิรันดร แต่ไม่เรียกนิรันดร เพราะจิตไม่นิรันดร เจริญขึ้นได้อีกเป็นขั้นๆ จากโสดาฯ เป็นสกิทาฯ เป็นอนาคาฯ เป็นอรหันต์ อรหันต์คือชั้นสุดยอด ไม่ตายสุดยอดแล้ว

 

ยืนยันว่าพุทธเรียนรู้ถึงขั้นนิรันดรได้

 

ทุกวันนี้พุทธมิจฉาทิฏฐิเพี้ยนไปแล้ว สายเจโตก็ไปสอนให้ดับจิตเป็นนิโรธดับ เป็นอสัญญีสัตว์ เสร็จแล้วก็ไม่รู้ ไม่รู้จนกระทั่งเข้าใจในความหมายของคำว่า ไม่ตายไม่เกิดไม่ได้ เขาดับไปหมดนิ่งเฉย ไม่มีอะไร ก็เข้าใจว่าเป็นอนัตตา สุญญตาบ้าง เข้าใจจนสุดท้าย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่นิรันดร สายศรัทธาเข้าใจว่าอรหันต์ไม่เกิดอีก ไม่มีนิรันดร สลายแยกธาตุหมดเลยในจิตนิยาม

 

ซึ่งพลังงานของเราสังเคราะห์กันมาตั้งแต่เป็นนิยาม 5 เป็นอุตุเป็นสสาร เป็นวัตถุธาตุ เป็นพลังงานฟิสิกส์ ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน ที่คนเราค้นไม่พบ มีอยู่ในมหาจักรวาลเอกภพ พระอาทิตย์ก็มีวิจิตรพิศดารมากหลาย โลกเราก็รับพลังงานมาใช้ส่วนหนึ่งเท่านั้น มันมาแต่ว่าคนเอามาใช้ไม่ได้ก็เยอะ ในอุตุนิยามทั้งหลาย คนดึงมาใช้งานได้ไม่น้อย แต่ไม่หมด ไม่ใช่ชีวะ แต่พอสังเคราะห์มาเป็นพีชะนิยามเป็นพืช ก็ไม่มีวิญญาณครอง อนุปาทินกสังขาร ไม่มีกรรม ไม่มีวิบาก ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่สัญญา สังขาร ไม่มีเวทนา แต่เป็นรูปร่างได้ เช่นหมากแวง จะเรียกลิ้นจี่น้อยก็ไม่เข้าท่า เนื้อก็ติดกับเม็ด

 

มันมีการสังเคราะห์ธาตุกันตามสูตรของมันไม่ผิดเพี้ยนเลยนะ แล้วต่อมาพัฒนาเป็นจิตนิยาม ก็เป็นสังขารที่มีวิญญาณครอง มีเวทนา สังขาร วิญญาณ เป็นสัตว์มีการสั่งสมกรรม มีรัก ชัง มีวิบาก เดรัจฉานมันก็พัฒนาตัวมันเดรัจฉานที่เป็นใหม่ๆก็ไม่มีกิเลสมาก

 

 

จิตวิญญาณสัตว์เดรัจฉานอยู่ในมนุษย์ก็มี ในมนุษย์นี่ฉลาดกว่าเดรัจฉานและลงต่ำเลวร้ายได้มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน นับเท่าไม่ถ้วนเลย คนจึงเป็นสมบัติของมหาจักรวาล สร้างโลกได้ทำลายโลกได้ แล้วก็มีศาสดามาตรัสรู้ว่าผู้สร้างและทำลายโลกก็คือจิต

 

สายเจโตก็ไม่ค่อยชัด เป็นการศึกษาแบบ Prophecy ศึกษาได้มากสุดเป็นศาสดาพยากรณ์ Prophet ชี้ชัดเปรี้ยงๆไม่ได้เหมือนพระพุทธเจ้า ได้แค่พยากรณ์ แต่ก็มีประสิทธิภาพสูง ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ศาสนาอื่น มันเป็นความเข้าใจของอาตมาเช่นนั้น

 

แม้สายของพุทธที่เก่งทางเจโต ก็ไม่ชัด แต่สายปัญญาก็ไปเป็น พวก Philosophy หนักเข้าก็เพี้ยนไปเป็นจินตนาการสูง สุดท้ายสายเจโตของพุทธก็เป็นอุจเฉจทิฏฐิ

 

อรหันต์มีหลักประกัน ละกิเลสได้กิเลสไม่มีเกิดไม่มีตายกับท่านแล้ว ท่านก็เป็นคนมีประโยชน์แก่โลก มีโลกอบาย โลกกาม ท่านรู้เจนแจ้งจบแล้ว มีโลกวิทู พระพุทธเจ้าได้แต่บอก เก่งสุดได้แต่บอก เปิดเผยความจริงได้ชัดที่สุด แล้วให้คนอื่นเข้าใจได้ดีที่สุดก็เท่านั้น นอกนั้นคุณก็ไปทำเอง

 

สายปัญญาฟุ้งซ่านไปสร้างอนาคต ส่วนเจโตดับหมดทั้งอดีตและอนาคตไม่มีอะไร ส่วนทางปัญญาฟุ้งซ่านไปสร้างวิมานปรุงแต่ง ไว้หลอกกัน อะไรก็สมมุติมาเป็นสมมุติสัจจะ เช่นสมมุติว่าสวย สมมุติว่าอร่อยสมมุติว่าสนุกสนาน หลงสุขเท็จ ไม่มีอะไรซักอย่าง

 

สายปรุ่งแต่งก็ปรุงมาก หลอกจนคนมารู้ร่วมมายึดถือร่วม เมื่อยึดถือก็เกิดขึ้นในโลก แล้วบานปลายพอกเพ่ิม ส่ิงที่เป็นอรูป ไม่มีดินน้ำไฟลมเกิด คุณก็ไปเดาเอาแล้วไปสร้างปั้นเอา เช่นสวรรค์ขั้นนั้นชั้นนี้ พอนั่งหลับตาสะกดจิตไปก็มีวิมานมากมาย อย่างสำนักธรรมกาย มีเทคโนโลยีสร้างภาพมากมาย สวรรค์ต่างๆนานา คนก็อยากได้อยากมีอยากเป็น จนไม่มีจบ กลายเป็นนิรันดร

 

ส่วนสายเจโตเป็นอุเฉจทิฏฐิ ตายแล้วสูญ ส่วนสายปัญญานี้เป็นสัสตทิฏฐิ ตายแล้วไปอยู่ในพุทธเกษตร มีทั้งพระอรหันต์ ทั้งพระพุทธเจ้าอยู่ในนั้น ตั้งชื่อตั้งเสียงไว้เยอะ อาตมาพยายามจำนะ จำได้แต่อมิตภพระพุทธเจ้าก็เป็นการสร้างภพสร้างชาติ

 

จิตนิยามนี่มีกรรมมีวิบาก เรียนรู้กรรม เรียนรู้วิบากได้ กรรมที่สั่งสมกิเลส กับกรรมที่ทำแล้วเป็นสิ่งที่ผิดกับสิ่งที่ถูก จนมาเรียนรู้แล้วว่าสิ่งไหนผิดก็ไม่ทำอีก ทำจนขนาดอรหันต์จะล้างสัญญา กว่าจะเป็นอรหันต์นั้นซับซ้อนเยอะ ละเอียดเยอะ

 

พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับภิกษุว่า ส่ิงที่เป็นสัญญา เป็นความหลังเก่าดับเชื้อมันยาก กว่าจะสะอาดนานมาก ผู้ใดไม่เข้าใจแล้วไปสั่งสมกรรม กรรมอดีตแล้วแก้ไขไม่ได้ ต้องแก้ไขปัจจุบันเท่านั้น อนาคตก็มาไม่ถึง ตัวปฏิบัติต้องเป็นปัจจุบัน ศาสนาพุทธที่ไปนั่งหลับตานั้นน่าสงสารมาก ไม่มีปัจจุบัน จึงผิดพลาดในการปฏิบัติธรรมไปหมดแล้ว

 

อย่าไปคิดว่าการไปนั่งไม่ต้องใช้ทวารนอกกระทบเกี่ยวข้องไม่มีประโยชน์นะ เป็นการทำเตวิชโชได้ และทำการศึกษาจิตในการนั่งเข้าภวังค์ หรือจะพักสงบ การนั่งสมาธิหลับตามีประโยชน์คือ

 

1.พักผ่อน

2.ศึกษาจิตในภวังค์

3.ทำเตวิชโช

3.เอาไปเล่นฤทธิ์เดช

 

ที่เป็นอุปการะคือ 3 อย่างนี้ ทบทวนไปสิ มันคนละความเชื่อถือเลย สิ่งที่เราเป็น เรายืนอยู่ อันโน้นมันไปจนเราลืมแล้ว กรรมจึงเป็นตัวตั้งของการเปล่ี่ยนแปลง กรรมปัจจุบันเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด

 

ขนาดเป็นพระพุทธเจ้า เศษกรรมเศษวิบากเศษอกุศลกรรมที่เหลือยังมาเล่นงานท่านแต่ก็เบาลง จะให้หมดเกลี้ยงไม่เหลืออะไรมาเล่นงานเราเลยไม่ง่าย ขนาดพระพุทธเจ้ายังมาเล่นงานได้เลย แต่มันก็เบาลง

 

ทุกปัจจุบันไม่มีอีกแล้วจะสั่งสมอกุศลไปอีก อนาคตมีหลักประกันไม่ผิดเพี้ยนเลย จะอยู่ไปนานอีกเท่าไหร่เป็นอรหันต์แล้วไม่มีตกต่ำ อนาคตก็มีแต่ดีๆๆๆ

 

ธรรมคือการทรงไว้ ฐานโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ส่วนปุถุชนไม่มีฐาน หรือจะเป็นเว็จ ที่ภาษาอีสานเรียกว่าฐาน เขาไม่เรียกห้องส้วมนะ เพราะคนอีสานนี่เรียกห้องพิเศษที่ให้ลูกสาวนอนนี่เรียกว่าห้องส้วม

 

ปุถุชนไม่ได้สร้างฐานให้แก่ตัวเอง มีแต่สวรรค์เท็จสวรรค์หลอก จนได้โสดาบัน ก็มีฐานของตนเอง สูงมาเป็นลำดับ จนเป็นอรหันต์ก็รู้จักการตาย กิเลสตายสูญไปเลย ตั้งแต่โสดาบัน ...ไปจนถึงอรหันต์ก็มีกุศลจิต แต่อกุศลจิตไม่มีอีกแล้ว อมตะแล้ว แต่ร่างกายไม่ตายกุศลกรรมก็ไม่ตาย เป็นคนไม่ตายแต่ตายได้ แต่ยังไม่ตาย

 

ถ้าวนกลับไปกลับมาในระนาบเดียว ไปซ้ายไปขวา สำหรับปุถุชน แต่ก็มีขึ้นมีลง มีความไม่เทีี่ยง เช่นพยายามรักษาความสุขไว้ให้นานไม่ให้หายไปก็ไม่มีทางทำได้

 

ในขณะล่วงพ้น (สมติกมะ) หรือจะใช้ว่าวิมุติก็ได้ ในขณะยังไม่สูงสุดวิมุตินี่คล้ายกับกุศล ใช้สูงสุดได้ส่วนล่วงพ้นไม่ถึงที่สุดใช้ สมติกมะ

 

ปฏินิสัคคะ คือทวนมาสวรรค์ แต่ก็ไม่มีสวรรค์ คือดับเหตุแห่งสวรรค์ชั้นเก่าแล้วมาสวรรค์ชั้นใหม่ เป็นสมมุติเทพ มาเป็นอุบัติเทพ จนหมดจดเป็นวิสุทธิเทพ เลื่อนวนขั้นเป็นก้นหอย เลื่อนขึ้นใช้ภาษาว่า จุติ และคำว่าจุตินี้หมายถึงตายด้วย ตายจากสวรรค์เก่ามาเป็นสวรรค์ใหม่

 

ส่วนอุบัตินั้นไปแปลว่าเกิด จุตูปปาตญาณ คือ ญาณที่รู้จักการตายของจิตวิญญาณและเลื่อนชั้นขึ้น

ปฏิ คือการวนไปวนมาแต่เจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ คนไม่รู้จักเขาก็วนกับของเก่า

 

เจริญขึ้นเรื่อยๆเขาเรียกว่าสัมปรายนะ หรือเป็นสัมปรายภพ เป็นภพที่เลื่อนไปข้างหน้าเป็นแดนหน้า สัมโพธิปรายนะเป็นคุณสมบัติของโสดาบัน หรือแม้แต่สกิทาคามี อนาคามีก็มีจุดที่เป็นสัมปรายนะคือไม่ถอยหลังอีกแล้ว เดินหน้าอย่างเดียว ผู้รู้ไม่พอก็จะวนไปวนมา

 

คำว่าปฏินิสสัคคะนี้เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่วนขึ้นไป ลึกซึ้ง เป็นภัมภีราวภาพ เป็นลักษระของการรู้สวรรค์แต่ละชั้นๆ แต่พูดอย่างนี้ไม่ได้ว่าเราไม่รู้สวรรค์ชั้นต่ำ พูดได้พูดถูกกับคนที่พูดรู้เรื่อง

 

คนเป็นอนาคามีก็สอนคนเป็นสกิทาฯโสดาบันได้ ไม่ใช่ว่าสอนไม่ได้ เป็นอรหันต์แล้วตายสูญไม่ใช่ อย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นศาสนาไม่มีการสืบทอดแน่

 

บุญมีลักษณะแคบแต่ลึก แต่ว่ากุศลนั้นมีลักษระกว้างแต่ไม่ลึก บุญเน้นเข้าหาแกน เป้ามีทิศทางไปสู่ความจบ ส่วนกุศลมีทิศทางกว้าง มีทั้งโลกียะและโลกุตระได้ มีลักษณะให้คนอาศัยมาก แต่บุญนั้นไม่ถอยได้โสดาบันแล้วไม่ถอยไปปุถุชน ได้สกิทาฯแล้วไม่ถอยไปสู่โสดาฯ ได้อนาคาฯแล้วไม่ถอยไปหาสกิทาฯ ได้อรหันต์แล้วไม่ถอยไปหาอนาคาฯ แต่ลงมาหาต่ำได้เพื่อช่วยเขา

 

แต่พอความรู้พุทธธรรมเสื่อมก็ไปเรียกบุญว่าเป็นความดีงามเหมือนกุศล ซึ่งมันก็จริง ละกิเลสได้ก็ดีงาม ทีนี่คนเรา สภาวะของการได้ความดีงามระดับดับกิเลสได้ กับความดีงามทั่วไป อันไหนประเสริฐกว่ากัน ดีงามอย่างบุญหรือกุศลอันไหนเหนือกว่า ก็ต้องบุญดีงามกว่าสิ คำว่าบุญก็เป็นพระเอกขึ้นมาเรื่อยๆ

 

คำว่าบุญก็เลยเอามาใช้แทนกุศลไปหมด แค่ทำทานได้กุศลไม่ได้บุญก็ไปเรียกว่าบุญหมด ทั้งที่ล้างกิเลสไม่เป็น สับสนปนเปกันไปหมด

 

ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ธรรมนั้นวินัยนั้นเป็นของเราตถาคต ถ้าสมมุติว่าอาตมาอ้วน อาตมาก็ต้องใช้ผ้าผืนใหญ่ อาตมามีบ้านเล็กๆ แต่ลูกอาตมามีเยอะก็เลยต้องมีบ้านหลังใหญ่ ไหนว่าอโศกมักน้อย แต่ว่าทำไมแจกเอาแจกเอา คนรวยมีแต่ไม่แจกด้วย ทำทาน ยกตัวอย่างบ้านราชฯทำถนนให้เขา ยกตัวอย่างถนนสายข้างโรงเรียน เราก็ไปเทปูนให้ มันมากกว่างบประมาณที่รัฐให้มา พวกนั้นเขาก็มองไอ้พวกนี้มันต้องรวย ที่จริงเงินที่เราไปทำให้เขาเราไม่ได้มีเป็นตัน เช่นเราไปสร้างบล็อกคอนเวิร์ตให้เขา เขาให้มาไม่เท่าไหร่เป็นแสนแต่เราทำให้เขาเป็นล้าน เราทำงานทุกวันก็มีหมุนไปให้เขาได้

 

ทุกวันนี้ใช้คำว่าบุญมาหากิน ทั้งที่กุศลเป็นของไม่เที่ยง แต่บุญเป็นของเที่ยง กุศลเป็นเพียงความดีงามไม่ใช่บุญ

 

พจนานุกรมภาษาไทยแปล บุญ เหมือนกับกุศลหมด เหลือแต่พจนานุกรบาลีที่มีแปล บุญต่างจากกุศล ในพจนานุกรมไทยฉ.ราชบัณฑิตแปล บุญ ว่าเป็นการกระทำดีตามหลักศาสนา หรือแปลว่า คุณงามความดี กุศลเกื้อหนุนมาแต่ในอดีต หรือเอาคำว่าบุญไปผสมกับคำอื่น เช่น บุญตา บุญธรรม แต่จะไปหมายถึง บุญธรรมว่าไม่ใช่ของจริง เช่นลูกบุญธรรม หมายถึงลูกที่ไม่ใช่ของจริง บุญปลูก บุญศรี บุญสา บุญมา บุญมี บุญนี่เอาไปใช้เสียเละเลย ตกลงเลยคำว่าบุญถูกคนไทยเอามายำเสียเละเลย แล้วจะให้เกิดปรินิพพานได้อย่างไร เอาบุญมาทำเละเลย เวรกรรมแท้ๆ หมดค่าเลย ทั้งๆที่คำว่าบุญนี่มีลักษณะจำเพาะชี้ชัดไปสู่จุดสูงสุดมีที่หมายไม่มีลงต่ำ แต่นี่เอาไปกระจายเป็นบุญสีบุญสาบุญเละบุญเทะเลย

 

เหลือในพจนานุกรม บาลี-ไทยอยู่บ้าง รุ่นหลังไปแปล บุญ ว่ามาจาก ปุญญะ แปลว่าความดีความงาม ความสะอาด แปลว่ากุศล กรรมที่ดีงามเป็นประโยชน์

 

ทีนี้บางฉบับ แปลว่า ชำระกิเลสในสันดานให้หมดจน เครื่องชำระสันดาน ความผ่องแผ้วแห่งดวงจิต ก็ยังแปลเข้าท่า เป็นความหมายของปรมัตถ์ เป็นอาริยธรรม เป็นโลกุตระ

 

เฉโกแปลว่าฉลาดแกมโกง ทุกวันนี้ คำว่าเฉโกหายไปเลย บาลียังมีการใช้ แต่ว่าไทยไม่ใช้เลย อย่ามาชมฉันว่าฉลาดแบบนี้ เหมือนคำว่าบุญก็เอามาใช้แทนกุศล ต่อไปคำว่ากุศลก็จะหายไป เอาบุญมาแทนหมดเลย จะเจริญแบบไหนก็แล้วแต่เรียกว่าบุญหมด เพิ่นนี่บุญหลาย คือมีบุญมากเพราะท่านได้เป็นเจ้าเป็นนาย ได้ร่ำได้รวย

 

แต่มันมีซ้อนอยู่อันหนึ่ง มันเป็นกุศลแต่ไปเรียกว่าบุญ คือเขาทำวิบากกุศล พอเกิดมาก็ได้บัลลังก์กุศล เลยเรียกว่าบุญเก่า ไม่เรียกว่ากุศลเก่าเพราะคำว่าบุญนี่ใช้กันทั่วเลย เหมือนกับชาตินี้ได้เป็นคนรวยหรือเป็นคนชั้นสูง แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นคนดี

 

พระอรหันต์ที่ทำแต่บุญไม่ได้สร้างกุศล เกิดมาเป็นอรหันต์ที่จน เป็นขอทานได้ แต่ว่าคนทำแต่กุศล แต่ไม่ได้ทำบุญก็เกิดมาเป็นคนรวย แล้วใช้อำนาจซับซ้อนทำบาปได้ จนเรางง เป็นลูกเจ้าลูกนายแท้ๆแต่ทำไมทำได้อย่างนี้ มันจึงไม่ใช่หลักประกันเลยในการสร้างกุศล แต่ที่พูดนี้ถ้าใครทั้งลดกิเลสทำบุญและสร้างกุศลด้วย แม้มีเงินก็ไม่ใช้เงินในการสร้างบาป หลักประกันคือบุญไม่ใช่กุศล กุศลเป็นเครื่องอุปการะสงเคราะห์ ไม่ต้องอะไรมาก อาตมากับคุณจำลอง คุณจำลองยังมีกุศลเก่ามากกว่าอาตมา อาตมาหมากลางตลาด ต้องหลบปังตอ หลบน้ำร้อน แต่คุณจำลองไปที่ไหนก็มีแต่คนเสนอให้เป็นต้น

 

มันมีคำที่จะทำให้เราชัดขึ้น คือ โอวาทปาติโมกข์

สัพปาปสอกรณัง ท่านไม่ทำบาปทั้งปวง

กุสลสูปสัมปทา คือ ทำกุศลให้ถึงพร้อม ไปให้ถึงในกุศลตลอดไป พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านไม่สันโดษในกุศล แต่ว่าท่านไม่เคยพูดว่าท่านไม่สันโดษในบุญ

สจิตตปริโยทปนัง คือทำจิตให้ขาวรอบ ล้างกิเลสให้หมดจนนั่นเอง หมดบาปเพราะคุณทำบุญ ชำระกิเล ส พอชำระกิเลสหมดก็ไม่ต้องทำบุญทำบาป เรียกว่า ปุญญปาปปริกขีโณ คือสิ้นบาปสิ้นบุญ

 

พระพุทธเจ้าตรัสตอนเป็นโชติปาละที่ไปละลาบละล้วงพระพุทธเจ้าที่ต้องไปบำเพ็ญทุกกรกิริยา ต้องไปใช้หนี้ บาปที่ไปละลาบละล้วงกัสสปะพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็ตรัสในสูตรนี้ว่าท่านสิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว คือผู้จบกิจไม่ต้องทำบุญทำบาปแล้ว แต่กุศลนั้นทำได้เรื่อยๆ

 

เมื่อไม่เข้าใจคำว่าบุญว่าบาปถูกต้อง ก็เลยไปอธิบายอภิสังขาร 3 ไม่ถูก

ปุญญาภิสังขาร หมายความว่า การจัดการกับจิตของเรา เป็นอภิสังขาร เป็นสังขารอย่างยิ่ง ลึกซึ้ง สูง ท่านก็ปรุงแต่งจัดการกับจิตให้เป็นบุญให้มีการชำระจิตให้ได้ เป็นเสขบุคคล จิตเข้าสู่โลกุตระแล้ว ยิ่งชำระกิเลสได้ก็ยิ่งทำเป็น เป็นส่วนแห่งบุญไปเรื่อยๆ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ละอุปทานจากขั้นธ์ให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆจนกว่าหมดอาสวะอนุสัย

 

 

โลกุตระนั้นอากาสาฯก็ลืมตา เพราะบรรลุแบบพุทธนั้นมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อโลกา(แสงสว่าง) มีจักขุมาปรินิพพุโพติ ปฏิบัติธรรมมีตาเปิด มีนิพพาน  สู่นิพพานอย่างลืมตา เมื่อปฏิบัติธรรมไปแปลสัญญาเวทยิตนิโรธว่าดับเวทนา ดับสัญญา แล้วอธิบายว่าการดับสัญญาคือผู้ไม่มีความรู้ตัวหรือความรู้สึก แปลว่า อสัญญี ว่าไม่รู้สึก ไม่กำหนดหมาย คือสัญญาไม่ทำงาน สัญญาดับไม่กำหนดรู้อะไรเลย แสงกระทบตา เข้าไปสู่ข้างในก็จะเกิดภาพที่จอตา แต่จิตคุณไม่กำหนดรู้ คุณไปคิดอะไรไม่รู้ จิตไปกำหนดรู้เป็นวิมานอะไรไม่รู้ แสงไม่ได้วิ่งไปอยู่ที่คุณคิดนะ สัญญาไม่ได้กำหนดหมายที่จอตาคุณนะ ภาพไปตกกระทบที่จอตา คุณไม่ได้กำหนดรู้เลยที่ตา มันอยู่ต่อหน้าคุณก็ไม่เห็น แปลสัญญาเวทยิตนิโรธว่าไปดับสัญญาก็ผิดหมดเลย

 

สัญญาทำงานแล้วส่งให้วิญญาณ สังขารและเวทนาก็ส่งไปให้วิญญาณ แต่คุณไปเป็นอสัญญีสัตว์ เป็นวิญญาณฐีติ หรือเป็นสัตตาวาสข้อที่ดับ ในอากิญจัญยายตนะ เหมือนอาฬารดาบส หรืออุทกดาบส

 

สามอย่างที่พระพุทธเจ้าว่าไม่มีอิ่มไม่มีเต็ม

 

1.เสพเมถุน 2.นอน 3.เมา คำว่าเมานี่ไม่ได้หมายถึงแค่เมาเหล้านะแต่เมาทุกอย่างเลย

 

เราศึกษาย่อมาที่ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมรรค ส่วนวิมุติ กับวิมุติญาณทัสสะเป็นผล


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:43:56 )

570611

รายละเอียด

570611_พ่อครูให้โอวาทการประชุม สัมมนาเชิงปฏิบัติการ การเขียนแผนและการจัดการเรียนรู้และวิจัยในชั้นเรียน

            ประเด็นสำคัญคือ ครูควรจะพัฒนาอย่างไร?

 

พ่อครูว่า...

 

เข้ามาก็รู้สึกพรักพร้อมอบอุ่นดี แม้แต่สมณะก็มาร่วมกันเป็นนิมิตดี ปีนี้อะไรๆก็รู้สึกว่าร่วมไม้ร่วมมือกันพร้อมพรั่งก็คงจะดำเนินไปด้วยดี ในครั้งนี้ที่จัดรวมคนกันในงาน เมื่อคนมาร่วมรวมกันก็หาทางประชุมกัน เราก็ได้ประโยชน์จากการมารวมตัวกัน ใช้โอกาสนี้จัดการประชุมทำกิจของแต่ละองค์กรก็ดี

 

เรื่องการศึกษาอาตมาว่าที่ผ่านมาแล้วมาถึงวินาทีนี้หลายคนที่ได้รับซับซาบก็คงเห็นว่ามีอะไรตื่นตัวขึ้นอย่างสำคัญ ไม่แต่ผู้ใหญ่ แม้แต่เด็กๆก็จะตื่นตัวด้วย แม้ความเข้าใจในการพัฒนาในความรู้ความเข้าใจ จากแต่ก่อนรู้สึกว่าเชื่องช้าไม่กระปรี้กระเป่าไม่Active เป็นเครื่องชี้บ่งได้ว่าเป็นเช่นนั้น

 

การศึกษาเราเน้นชีวิตจริงไม่ใข้แค่ความรู้ เราเห็นความบกพร่องของการศึกษาทางโลกที่เน้นแต่ความรู้ แต่ปฏิบัติจริงได้ผลจิรงโดยเฉพาะเรื่องศีลธรรมนั้นถูกลืม ถูกปล่อยปละละเลย อาตมาพูดอย่างจริงใจเลยว่า ไม่มีประโยชน์ต่อคนต่อสังคมไปมาก แต่กลายเป็นพิษภัยต่อสังคมต่อคน แทนที่จะมีศีลธรรมดีขึ้น เป็นงานดีขึ้น มันกลับกลายเป็นเล่เหลี่ยมฉลาด การศึกษาทุกวันนี้ทำให้คนฉลาดขึ้นจริง แต่เอาไปเอาเปรียบฉวยโอกาสเสียเยอะ

 

พวกเราเข้าใจกันดีก็ดำเนินไป ส่วนเราจะเชื่อมโยงทางโลกเขาอย่างไรก็ปรับไปเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ง่ายแต่ก็ต้องทำ เราจะไปตัดทิ้่งทำอย่างไม่แคร์ไม่เชื่อมโยงไม่ได้ เราไม่ได้ทำความแตกแยก แต่เรามีความเห็นต่างมีความเชื่อความเข้าใจต่าง และเรามั่นใจว่าความเชื่อของเรา แนวคิดของเรา เราเห็นว่าดีกว่า ดีกว่าไม่ใช่เราได้เปรียบหรือเห็นแก่ตัวมากไม่ใช่ แต่ว่าเราเสียสละมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วมมากขึ้นต่างหาก เป็นความฉลาดที่เข้าสู่ครรลองธรรมะโลกุตระ ลดละตัวตน ไม่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่ส่วนรวม

 

แต่ตัวเราก็ไม่กระเบียดกระเสียน แต่เพราะเรามักน้อยสันโดษใจพอ สิ่งฟุ้งเฟ้อเกินเราน้อยลง ส่ิงสูญเสียน้อยลง แต่สิ่งสร้างสรรเพ่ิมขึ้น ก็เลยมีส่วนเหลือไปช่วยสังคมได้มาก

 

ทำอย่างไรจะอยู่กันอย่างผาสุก เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามของการปรองดอง

 

ขอย้ำให้ฟังว่าที่เกิดความไม่ราบรื่น เพราะมีจิตอยู่ที่อัตตา พวกเราทำงานไม่มีอามิส เหตุปัจจัยที่จะทำให้พวกเราขัดแย้งไม่ราบรื่น เรียบร้อยเพราะติดอยู่ที่อัตตาของแต่ละคน เรื่องโลกธรรมลาภยศสรรเสริญ เรามีน้อย เราจึงจริงๆแล้วมันควรจะดีมากๆ แต่มันซ่อนที่มันยึดอัตตา ถ้ามีปัญญาร่วมจะทำให้เราไม่ยึดติดอัตตา กิเลสโลกธรรมก็จะไปโถมท่ีอัตตามากขึ้น อัตากลับยิ่งมาก ต่างกับทางโลกที่กิเลสไปแชร์ไปที่โลกธรรม เอาลาภยศสรรเสริญยัด แลกเปลี่ยนก็บรรเทาได้ แต่ของเราไม่มีส่ิงนี้ มักก็เป็นที่อัตตาล้วนๆ แทนที่จะสู้กับอัตตาอย่างเดียวแต่อัตตายังไปร่วมกับความโง่อีก เป็นอุปกิเลส มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเฐยยะ เป็นต้น มันไม่ใช่ลาภยศสรรเสริญวัตถุ แต่เป็นนามธรรมแท้ๆ ถ้าให้ไ่ม่รู้ไม่ทนทำ ให้อัตตามันเปลี่ยนเป็น มานะ อติมานะ แปรไป ตองระมัดระวังของใครก็ของใคร จะยึดความรู้ความดี เป็นความถูกต้องของตนนี่แหละ มันเป็นความรู้ความเห็นของกู เมื่อไม่ทำตามกู กูก็ไม่ร่วมด้วย เห็นได้บ่อยๆในพวกเรา แม้ไม่หยาบคายก็ตาม มันก็เสียผล คนที่วางปล่อยไปมันไม่ได้ลดอัตตานะ แต่อัตตาคุณโตขึ้น ความซับซ้อนพวกนี้ลึกซึ้งมากเป็นภาวะหมุนรอบเชิงซ้อน ไม่เช่นนั้นก็แก้ปัญหาตัวเองไม่ได้

 

เราจะทำการสัมมนาเรื่องเทคนิคการสอน

 

อาตมาให้ความรู้ เรื่องเทคนิคการสอนของชาวอโศกกับทางโลกนั้นต่างกัน ของเรานี่เป็นเทคนิคของเราที่มีศีลเด่น เป็นงานชาญวิชาเป็นหลักเทคนิคการสอนต้องประยุคให้สำคัญ ถ้าข้างนอกเขาจะมาสอน เราต้องรู้จักประยุกต์ใช้

 

ของเราสอน ทำการศึกษา เน้นบูรณาการเป็นหลัก เมื่อเราจะประยุกต์ใช้ที่เขาแนะนำเทคนิคมา ในฐานะที่เขาได้ทำมาได้ผล มันก็จะมีวิธีการที่จะอ้อมให้แก่นร.ได้อย่างไร ก็เอาอันนั้นมาสวมประกอบกับของเราที่เป็นามธรรม ของทางข้างนอกเเป็นรูปธรรม ของเราจะเป็นนามธรรม ต้องคำนึงจุดนี้ให้มาก ปรับใช้ให้ได้ของเราว่าเป็นนามธรรมที่หนักแล้ว แล้วยังเป็นระดับโลกุตระ ธรรมะชั้นสูงทั้งนั้น แม้เด็กก็ตาม

 

ทำไมชั้นสูง ไม่ใช่สูงเลิศเลิอ แต่สูงคือ มีความรู้โลกุตระ ที่เข้าไปรู้กรรมกิริยาของตน  โดยเฉพาะรู้กรรมกิริยาของใจ การประพฤติกับทางโลกเราก็ทำเหมือนกันหมด เป็นแต่เพียงเราต้องมีญาณปัญญาดูแลสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ดูแลงานการอาชีพที่เราทำ แล้วรู้จิตเชื่อมกับข้างนอกทั้งสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะต้องมาจากจิตปรุงแต่งเป็น วจีสังขาร เราต้องรู้จักสังกัปปะ 7 ต้องให้เด็กได้รู้อันนี้

 

นอกนั้นไม่ได้แยกไปจากสามัญของความเป็นมนุษย์โลกนี้ ประเด็นหลักก็คืออันนี้ ถ้าจับอันนี้ไม่ได้ทำใจในใจโยนิโสมนสิการไม่ได้ คือทำแต่กายกับวาจา แต่ที่เราว่าสูงใหญ่เหนือโลกคือทำใจได้ตรงนี้ ถ้าทำเป็นแล้ว ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะเป็นการศึกษาโลกุตระ แล้วไม่หนีจากสีงคม ตามที่เขาว่าโลกุตระต้องเข้าป่า มันไม่เป็นไปเพื่อ พหุชนหิตายะ พหุชนะสุขายะโลกานุกัมปายะได้เลย มันไม่ได้อะไรกับโลกแถมโกงหนักอีก น่าสงสาร ไม่น่าจะเป็นเช่นน้ันเมืองไทย ทั้งที่มีพุทธศาสนาที่มีประสิทธิ์ภาพเย่ียมยอด พยายามทำความเข้าใจทำอย่างไรจะให้เกิดความร่วมที่จะเกิดการปฏิบัติการสอน ไม่ขาดทุนหรอก เรียนจากข้างนอกมา ศาสนาพุทธไม่ปิดกั้นเทคโนโลยี ของโลกีย์เราก็ทำ เว้นแต่เรื่องทุจริต อบายมุข เราก็ไม่ให้ทำ แต่ถ้าไม่ทุจริต ไม่อบายมุขเราก็ทำ แต่เราเหนือกว่าที่เราปรับที่จิตได้ ไม่ปรับแค่กายกับวาจา มโนบุพพัง ก็ออกมาเป็นมโนเสฏฐา มโนมยา ออกมาสู่ความเจริญได้อย่างถูกทาง ตกลงเพราะทำใจในใจไม่ได้ศาสนาพุทธจึงเสื่อม


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:45:23 )

570611

รายละเอียด

570611_พ่อครูให้โอวาทนิสิตใหม่ มินิ ว.บบบ ที่ใต้เฮือนศูนย์ฯ

ข้อสำคัญคือทำให้เกิดความรู้รอบ รู้มาก รู้ลึก เช่นให้รู้ไปถึงจิตใจ รู้รายละเอียดถึงอาการของจิตใจ พระพุทธเจ้าท่านศึกษาถึงเหตุในจิตใจแล้วก็แก้เหตุ ทุกอย่างมาแต่เหตุ เหตุมีดีและไม่ดี เป็นกุศลหรืออกุศล เข้าใจชัดรู้จริง และยังแบ่งเป็นกุศลโลกียะ โลกุตระ นามธรรมนั้นไม่มีตัวตนสรีระ แต่เรียนรู้ได้ คนโลกีย์ไม่ได้เรียนรู้และสัมผัสถึง อาการ ลิงค นิมิต ของใจได้อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน

 

สำนักใด ผู้รู้ใดสามารถเรียนรู้เข้าไปในถึงจิต หลายสำนักสอนให้บังคับจิต แต่ของพระพุทธเจ้าจะฝึกให้จิตเป็นจิตที่ว่านอนสอนง่าย มุทุภูตธาตุ ไม่ต้องไปบังคับเหมือนสำนักอื่น มีมุทภูเต กัมมนิเย จนเป็นกัมมัญญา ประภัสสรา

 

เกิดจากการเรียนรู้ศึกษาและฝึกฝนจนเกิดจริงเป็นจริง เปลี่ยนให้จิตเราเป็นอย่างไรได้เร็วไว มีปัญญารู้เร็วไว รู้แล้วก็ปรับปุ๊บปั๊ปเลย

 

กุศลโลกียะเขาก็เรียนก็อาศัย เขาเข้าใจแยกออก ยิ่งรู้จักโลกุตระที่เป็นเรื่องเหนือชั้นกว่าสามัญโลกียะ และทำได้ด้วย

 

โลกุตระมีนัยสำคัญเป็นเนื้อแท้ คือเป็นผู้ยอมผู้แพ้ ผู้เสียสละ ไม่ไปข่ม ไปเบียดเบียนใคร มีแต่เมตตา โลกุตระใช้เมตตาและใช้ความร่วมกันแบ่งแจกกัน ในสาราณียธรรม 6 มีใจที่มีเมตตาจริง แบ่งแจกเป็นสาธารณโภคี คนไหนเดือดร้อนก็ให้ก็ช่วย มีน้ำใจ ในภาษาอังกฤษไม่มีคำว่าน้ำใจนะ และรู้กฎระเบียบสังคม รู้ว่าจะใช้อย่างไร

 

โลกก็ต้องใช้ทั้งนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ของพุทธก็มีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา มนุษย์ต้องมีหลักเกณฑ์ร่วมกันต้องใช้ มนุษย์เป็นกลุ่มหมู่สัตว์โขลง รู้จุดมุ่งหมายของชีวิต คือทิฏฐิสามัญตา

 

สรุปกันง่ายๆว่าต้องอยู่กันอย่างเป็น สุข สงบ อบอุ่น เกิดจากการศึกษาทั้งสิ้น อาตมาตั้งใจจริงใจว่าอย่างนี้ใช่ สังคมสุข สงบ อบอุ่นนี่ใช่ สังคมสาธารณโภคีนี้ใช่เลย แล้วยืนยันโดยหลักฐานของพระพุทธเจ้าที่ว่า สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7

 

เขาแปล สาราณียธรรม คือการระลึกถึงกัน ว่าใครหนอกควรช่วยเหลือ และแม้เห็นก็มีใจนึกเมตตาเกื้อกูล ปรารถนาดีให้คนอื่นพ้นทุกข์ กรุณาก็ลงมือช่วย ช่วยสำเร็จก็มุฑิตา แล้วก็วางอุเบกขา

 

อาตมาเห็นหลักฐานของพระพุทธเจ้าแล้ว ชัดเจน ระลึกถึงของเก่าที่อาตมามี พอสัมผัสก็มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ

 

ผู้ใดทำได้เป็นสมบัติของตนเป็นอาริยสมบัติก็จะใช้อย่าง มี ปัญญา น้ำใจ ซื่อสัตย์ อุตสาหะ สี่คำนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราเอาไปใช้ชั่วคราว แต่เราจะเอามาใช้จริงๆ อย่างปัญญานี่ไม่ใช่ความฉลาดอย่างเฉกะหรือเฉกตา เป็นฉลาดแกมโกง มีกิเลสเป็นตัวบงการเป็นเจ้าเรือนชักนำอยู่ แต่ผู้บรรลุธรรมจะใช้ปัญญา

 

ปัญญาเป็นตัวนำ หากเป็นปัญญาโลกุตระก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเป็นเฉกาก็พาเสีย

 

น้ำใจ คนปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะเกิดน้ำใจ ซื่อสัตย์ อุตสาหะ แต่คนที่ไม่ได้จริงก็ต้องพยายาม อย่างน้อนก็ต้องรู้ว่าปัญญาที่ถูกต้องคือการลดละกิเลสและช่วยเหลือมนุษยชาติ แม้จะฝืนก็ต้องทำ และพยายามแก้ไขจิตตนว่าไม่ต้องฝืน ถ้ารู้ว่าทำอย่างนี้ควร เช่นมีน้ำใจ ไม่เอาเปรียบ ก็ทำให้จริงให้ตรง เรียกว่าซื่อสัตย์ ถ้าบรรลุแล้วก็จะตรงซื่อสัตย์ ไม่ผิดเพี้ยน แล้วจะมีน้ำหนักของความอุตสาหพากเพียร ก็เป็นไปตามบารมีของคน คนสร้างความอุตสาหภาคเพียรก็เกิดได้

 

พระพุทธเจ้าเรียกว่า วิริยารัมภะ แปลว่าพากเพียรอยู่เสมอ ต่อเนื่อง ใช้แรงกำลังความพากเพียรเป็นวิริยินทรีย์ เป็นวิริยพละ ให้มีกำลังเสมอ เมื่อเรามีปัญญา น้ำใจ ซื่อสัตย์แล้วก็ต้องใช้ความพากเพียร แล้วก็จะทำ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ได้อย่างสมบูรณ์ พระอรหันต์ทุกองค์มีน้ำใจเช่นนี้

 

จะดำเนินไปอย่างมีคติ ซึ่งมีการดำเนินที่ทุกคติ หรือสุคติก็อยู่ที่การทำกาย วาจา ใจของเรา มันก็อยู่ที่จิต หากจิตผู้ใดมี เฉกตา ก็มีอคติ แต่ถ้าผู้ใดเฉกตาลดลง กลายเป็นความฉลาดมีน้ำใจก็จะดำเนินไปอย่างลดอคติ เจริญของตน ยิ่งกิเลสลดลงก็อคติน้อยลง หมดกิเลสอคติก็ไม่มี แต่ถ้าเรายังไม่หมดกิเลสก็ควบคุมอคติ ไม่ให้มันดำเนิน(คโตหรือคติ) ควบคุมมันไว้และปหานมันด้วย ตัวกบฎ ตัวบ่อนไส้

 

ทุกกรรมการวานมีคติ หรือคโต เป็นการดำเนินไป ผ่านไปแล้ว สุคโต คือผู้ดำเนินไปดีแล้ว สุคติ คือดำเนินไปกำลังไป จัดการการดำเนินไป ส่วนคโตคือได้เป็นผลแล้วผ่านมาหมดแล้ว

 

ผู้ยังเหลืออคติอยู่ไม่สมบูรณ์สูงสุดเป็นอุดมคติ คือการดำเนินไปบรรลุสูงสุด เรากำลังมาเรียนให้เป็นการศึกษาขั้นอุดม เพื่อให้ทำงานให้ได้เป็นอุดมคติ ตามที่เรามีความรู้ปัญญา โดยจริง​ ซื่อว่าเราควรทำอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ตามที่เรามีปัญญา น้ำใจ ซื่อสัตย์ อุตสาหะ

 

ลักษณะอย่างนี้อาตมาพาไปให้มีสุคติ พาไปสู่อุดมคติ เท่าที่อาตมามีอยู่ก็จะสอน จะมีวิธีการใดๆก็ตาม ขอยืนยันว่าไม่หย่อนข้อ ไม่ออมมือ เราจะขนาบแล้วขนาบอีกเหมือนช่างปั้นหม้อในขณะที่ดินยังเปียก ใครดินแห้งแล้วโยนทิ้ง ใครดินยังอ่อนอยู่ก็จะนวดแล้วนวดอีก เป็นคำของพระพุทธเจ้า นี่คือส่ิงที่อาตมาขอพูดนำเกริ่นในการบอกจุดมุ่งหมาย

 

ผู้ที่มาสมัครแล้ว ก็จะต้องจัดการให้พอเหมาะพอสม เมื่อได้ฟังก็รู้สึกว่าดี ถูกปลุกเร้า แล้วเราก็จะทิ้งส่ิงที่เรารับผิดชอบ สำหรับผู้ที่มีหน้าที่สำคัญ ก็ต้องประมาณดู เรายังเปิดรับอีกหลายปี เราก็อย่าเพิ่งใจร้อนอยากเป็นรุ่น 1 ถ้าเป็นรุ่น1 ที่ไม่ได้เรื่อง แต่เราเป็นรุ่นบ๊วยแต่ได้เรื่องนั้นดีกว่า อยากให้สติพวกเรา อย่าเพิ่งเอาแต่เห็นแก่ตัวเอง พยายามมององค์ประกอบที่เรามีชีวิต สังคมเรายังเล็กยังเพิ่งสร้างก่อ ก็ได้กลุ่มเล็กกลุ่มน้อยก็ดีนักหนาแล้ว

 

อาตมาขอบคุ๊ณขอบคุณพวกเรา เอาง่ายๆนะเราจัดงานนี้เตรียมงานไว้ริมมูน เราก็ไม่นึกว่าฝนมันจะมาน้ำมันจะมาเร็ว ต้องรีบทำถนนกั้น  เราต้องรีบทำถนนกั้น ผู้ทำถนนก็มีน้ำใจทำให้เร็วภายในวันเดียว ตั้งประมาณ เจ็ดร้อยเมตรนะ ก็นึกว่าจะไปรอด ที่ไหนได้ฝนลงอีก ถ้าน้ำมันไม่ขึ้นก็กั้นพอได้นะ ถ้าฝนไม่ลงไปรอด อุตส่าห์กางเต็นท์ไว้ตั้ง 7 เต็นท์ใหญ่ วันหนึ่งกางได้แค่สองถึงสามเต็นท์ ถ้าคนเยอะก็อาจได้สี่เต็นท์วันทั้งวันเลยนะไม่ง่าย ต้องขันต้องยกต้องใส่ ทำเสร็จแล้วแทบจะไม่คุ้มในการใช้เลย นี่ถ้าคิดอย่างทุนนิยมนี่ไม่คุ้มเลย ดีที่เรามีจิตบุญนิยม เหนื่อยกัน เสร็จแล้วก็ต้องรีบรื้อ เพราะทางลพบุรีเขามายืมต่อ พอดีรีบรื้อก็เพราะว่าเราไม่ได้ใช้ จะใช้ที่ข้างบน

 

ส่วนทางอุดมก็เตรียมที่ไว้แล้ว มีจอLED มีแสงสีเสียงอย่างโอ้โห แล้วก็เหมือนหมาเห่าเครื่องบิน เตรียมที่แล้วก็ไม่ได้ใช้ จนแล้วจนรอดมาถึงวินาทีนี้ เตรียมอย่างหนักเหนื่อยนะนี่ แต่พวกเราก็ทำ ถ้าเป็นทุนนิยม จิตของเรามันอยากจะได้สิ่งแลกเปลี่ยน มีอามิส มันจะท้อใจท้อแท้ เสียดาย กูไม่น่าเลย อะไรวะโทษสารพัดโทษ จะลงโทษคนนั้นคนนี้ อาละวาดไปเลย แต่พอจิตเป็นบุญนิยมนี่มันน้อย เราลงทุนลงแรงไป จิตที่จะต้องฮึดฮัดฟัดเหวี่ยง อาละวาดอย่างนั้นอย่างนี้ ยิ่งเงินก็ไม่ได้อะไรก็ไม่ได้ นี่ถ้าเป็นโลกีย์ยิ่งต้องอยากได้สิ่งตอบแทน แต่นี่ไม่มีอามิสล่อ นอกจากไม่มีอามิสล่อแล้วยัง Fail ล้มเหลวอีก

 

มันเป็นการทดสอบจิตจริงๆ มันเป็นการได้ฝึก หรือแม้ไม่ได้ฝึกแต่จิตของแต่ละคนสำเร็จ คือไม่ได้ถือสาอะไรแม้จะเหนื่อย มันมีเหตุปัจจัยเราก็รู้ว่ามันสุดวิสัย เราจะไปห้ามกั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ เป็นการลงทุนฟรีสูญเปล่าก็ตาม อย่างน้อยเลยมีคนเห็นมีคนรู้มีคนเข้าใจว่า สังคมนี้เป็นสังคมที่เต็มไปด้วย น้ำใจ คนเหล่านั้นที่ทำคือคนที่เอาน้ำใจใส่เข้าไปทั้งนั้นเลย คนเขาก็เห็นน้ำใจของเขา อย่างเราออกไปชุมนุมคนข้างนอกเขาเห็นน้ำใจของชาวอโศกไหม? เห็นโจ๋งเจ๋งเลย น้ำใจนี่สุดยอด คำว่าน้ำใจนี่ภาษาอังกฤษไม่มี แต่ภาษาไทยหรือชาวเอเชียนี่มี คนไทยเราศึกษาแล้วเอาน้ำใจหรือสร้างน้ำใจได้ เอาน้ำใจมาใช้ได้ ที่นั่งอยู่นี่ใครมีน้ำใจแล้วเอาน้ำใจมาใช้บ้าง

 

อย่างม.วช คือมหาลัยวังชีวิต ต่อมาก็เป็นว.บบบ. แต่ที่เราทำนี่ ยังไม่ได้ตั้งชื่อนะ แต่มีคนนิยม มีคนสมัครเข้ามาเกินขีดเกินเขตนะ มันตลก มีคนเรียกว่า มินิ ว.บบบ. เราก็ไม่ได้ปลุกเร้าอะไรนะ แต่คนก็สนใจ สุดท้ายนี่มันเริ่มใหญ่ มีแฟ้มรายชื่อรับสมัครใหญ่เบ้อเริ่มนะ

 

การศึกษาพวกเราอยากให้เสียสละให้มาก อดออม อดทน อย่าให้เป็นการศึกษาที่หรูหราฟู่ฟาอย่างทุนนิยม เขาใช้ส่ิงเหล่านั้นเป็นตัวนำ เราต้องมาเน้นไปในแนวทางแบบคนจน แบบประหยัด แบบมัธยัสถ์ แบบมักน้อยสันโดษ จะเป็นอย่างไรก็ค่อยๆเข้าใจ เป็นให้ตรง ภาษาว่าอย่างไรก็เรียนรู้ให้ตรง เป็นAcademy เป็นเศรษฐศาสตร์ ที่เป็นความมัธยัสถ์ ประหยัด ขอให้เป็นลักษณะอย่างนั้น อดทน อดออม อย่างสุรุ่ยสุร่ายอย่าทิ้งขว้าง ให้กระเหม็ดกระแหม่ เพราะพวกเราไม่พร้อมทั้งสถานที่แต่มันจะเกิดนะ เราไม่ใช่มาอย่างลูกเศรษฐีที่มีอะไรรองรับเลย

 

อาคารเรียนเดิมเรามีอาคารของอาชีวะอยู่แล้ว แต่นั่งเรียนไม่ได้เพราะเสียงดัง เสียงสะท้อน อาตมาก็เลยคิดว่าจะสร้างใหม่ อยู่หลังโฮงปัว ตรงที่เป็นดงดอกโสน เราวัดที่ไว้แล้ว แต่ว่าต่อมาเราซื้อที่ของพล.อ.วิมล ก็ว่าที่นี่น่าจะเหมาะกว่า หลายคนก็เห็นว่าเหมาะ อาตมาก็ได้รับการแนะนำก็เห็นด้วยนะว่าน่าจะเกิดตรงนี้ ตอนแรกว่าจะทำเป็นอาคาร 12 ชั้น อาณาบริเวณจะกว้างกว่าเฮือนศูนย์นี่ตามที่เรากะไว้ จะลงฐานรากไว้ 12 ชั้น แต่เราจะสร้างก่อนไป 3 ชั้นหรือ 5 ชั้น เราก็ยังไม่สามารถขอเปิดเป็นทางการได้ เราก็ให้อาชีวะมาใช้ก่อน นี่เป็นลักษณะดีของสาธารณโภคี นี่สุดยอดของเศรษฐกิจเลย

 

สำหรับ ว.บบบ.มีคนเขียนบอกมาว่าล้มเหลวใช่ไหม?...ตอบ..ไม่ได้ล้มเหลว เราก็ยังมีว.บบบ.อยู่

 

ขออภัยที่ต้องกล่าวว่า คนหมดอวิชชานั้นฆ่าสัตว์ก็ไม่บาป เช่น คุณไม่ได้ฆ่าสัตว์หรอก คุณไปเหยียบมดตาย สัตว์มันตายโดยไม่เจตนา พอเรารู้ว่าเราเหยียบมดตาย เรารู้สึกผิดด้วยซ้ำ ใจเราไม่มีบาป แต่มดมันอาฆาตเราไหม เพราะเราทำให้มดตาย เจตนาเราไม่มี แต่มันเกิด มดมันก็พยาบาทก็มีวิบาก แต่ถ้ามันไม่พยาบาทมันก็ไม่มีวิบาก เราจะไปรู้มันได้อย่างไร

 

เราไม่ เจตนาทำให้คนนี้ตาย ทำแล้วเราก็จะขอโทษขออภัยอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าจิตของคนเจ็บคนตายอาฆาตพยาบาทเราจะไปรู้ได้อย่างไร

 

พระอรหันต์ต่อพระอรหันต์ เผอิญไปทำร้ายกันโดยไม่เจตนา ไปตีถูกหัวกัน อะไรเกิดขึ้น ก็ไม่มีความพยาบาทก็สูญ คนไหนเจ็บก็ซวยไป คนนี้ก็ขอโทษโดยสมมุติสัจจะ แต่จิตของทั้งคู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มีแต่รับรู้ คนที่ถูกตีก็เจ็บ คนที่เป็นคนตีก็ขอโทษ ตามสมมุติ โดยไม่มีโลภ โกรธ หลงเลย นี่คือสัจจะ คุณทำได้เป็นอรหันต์นะ ทำได้ตลอดก็เป็นอรหันต์เลยนะ

 

 

เริ่มต้้นอุ่นเครื่องเรียนก็ตอนเข้าพรรษาเลย เข้าพรรษาคือ 11 ก.ค. เลย อีก 1 เดือนเป๊ะเลย

 

ยุคของพ่อท่านจะต่อศาสนาไปอีกสองพันกว่าปีพุทธบริษัทจะต้องมีข่มขี่ปรับปวาทะไหม?...ตอบ...ปรับปวาทะคือเราจะอยู่กับสังคมได้อย่างปรองดองหรือขัดแย้งอย่างนานาสังวาส

 

 

อาตมาพูดเรื่องสามอาชีพกู้ชาตินี้เขาฟังกันก็ว่าตลกนะ จะกู้ชาติได้อย่างไร? อาตมองว่าขยะในโลกนี้ไม่มีวันหมด มีแต่เพ่ิม ง่ายที่สุดเลย ที่หุ้มห่อแพคเกจ มันหลอกคน มากขึ้นๆ ปลอมแปลงมากขึ้น นี่คือเศษขยะที่จะเพ่ิมขึ้นไงทุกวัน  เนื้อหาข้างในนิดเดียวแต่ขยะมาก นี่คือสภาพหลอกลวงในสังคมโลกแล้วเป็นขยะหมดเลย นี่วัตถุนะ แต่จิตวิญญาณฉันเดียวกันห่อหุ้มด้วยความหลอกซับซ้อนเช่นเดียวกันแต่เนื้อหานิดเดียวเป็นขยะทางจิตวิญญาณมากขึ้นทุกวัน เพราะเต็มไปด้วยความหลอกจึงเกิดขยะไม่ว่าวัตถุหรือจิตใจ เพราะฉะนั้นขยะไม่มีวันหมด จนเกิดกลียุคไฟประลัยกัลป์ไหม้หมดแล้วโลกจะเย็นขึ้นใหม่เป็นเช่นนั้นมาในวัฏฏสงสารยาวไกล เท่าที่อาตมามีภูมิธรรมรู้แล้วเข้าใจแล้วนำมาพูดให้ฟัง โพธิสัตว์จะรู้วัฏฏสงสารอันยาวไกล

 

ก็ขอฝากฝังพวกเราให้ช่วยกันหน่อย ขยะที่จะต้องช่วยกันจัดการแล้วขยะจะแปรกลับมาเป็นทรัพย์ 1.เราเอามาใช้ซ้ำได้ (reuse) 2.เราเอามาซ่อมแซม(repair) 3.เอามาแปรเปลี่ยน(recycle) 4. สุดท้ายใช้ไม่ได้ก็ทำลายทิ้ง (reject) นี่คือหลัก 4 อย่างง่ายของขยะที่เราจะจัดการ

 

เรื่องขยะที่สุรุ่ยสุร่ายมีเยอะเลย ถ้าเราเข้าใจขยะวัตถุ เราจะเข้าใจขยะทางจิตวิญญาณด้วย ขยะทางจิติวิญญาณเมื่อเราเข้าใจรูปวัตถุก็เข้าไปจัดการกับจิตวิญญาณได้ เพราะเราเรียนรู้จากรูปนอกไปหาในเสมอ เพราะฉะนั้นจะใช้มาศึกษาพัฒนาการได้เสอม ยกตัวอย่างง่ายๆ  แต่ก่อนคุณรังเกียจขยะวัตถุไม่อยากจับ ขยะแขยง พอเราไปศึกษาฝึกฝนก็เข้าใจรู้จักวิธีรับมัน มันเปื้อนจะมีเชื้อโรคเป็นภัยเราก็รู้จักวิธีป้องกัน คุณก็สามารถอยู่กับขยะได้อย่างรู้จักประโยชน์ มีความสามารถรู้วิธีไม่ให้เกิดภัยเกิดพิษเกิดเชื้อโรค รูปธรรมวัตถุธรรมเราก็แก้ไขไม่ให้เป็นพิษ นามธรรมเราก็รู้ทำใจได้มันถึงทำกับสิ่งนี้ได้ เราก็ทำกับวัตถุได้ แต่ก่อนเราล้างส้วมไม่ได้ แต่พอรู้วิธีการทำได้ก็ไม่รังเกียจ คุณล้างก้นด้วยมือก็จับขี้อยู่ทุกวัน บางวันล้างมือไม่สะอาดด้วยใช่ไหม? แล้วก็มาล้างหน้าเช็ดหน้าตัวเองด้วยใช่ไหม เคยมาทุกคนแหละ ค่อยๆอธิบายแล้วจะเข้าใจ มาลดความยึดถืออุปาทาน ลดความไม่มีปัญญามามีปัญญา จะไปรังเกียจทำไม เราเลยอยู่ได้กับทุกอย่างได้ชนะหมดทุกอย่าง อยู่กับนรกก็ได้อยู่กับศัตรูก็ได้ คนเลี้ยงเสือใช้ประโยชน์จากเสือได้ เพราะคนเลี้ยงเสือรู้เสือแล้วเสือก็ต้องยอม  เราจะต้องศึกษาให้เป็นคนเหนือชั้นอย่างนี้จริงๆ จะอยู่กับขยะกับส่ิงที่โสโครกกับสิ่งที่สูญเสีย มันเข้มข้นมากหน่อยมันก็เป็นพิษ เราก็สลายทำให้มันจางคลาย ทำให้มันจืดจางบางเบา dilute ได้ทำให้น้ำหนักบางเบาลง

 

ในเวทนา 108 เมื่อ ทวาร 6 เมื่อสัมผัสอะไรแล้วก็จะเกิด สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นเวทนา สามอย่างที่เกิด อย่างใดอย่างหนึ่ง มันอาจปนเปกันก็ได้ แต่ก็รู้ว่าสุขมากหรือทุกข์มากกว่ากัน หรือเฉยสนิทไหม?

 

ทั้ง 6 ทวารนี้เป็นได้ ทั้ง สุข ทุกข์ เฉยๆ รวมเป็น 18 เกิดจากการลืมตารับผัสสะ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ซึ่งการสัมผัสปัจจุบันเป็นของสด แต่การไปนึกเอาเป็นของแห้ง ถ้าคุณแยกอาการอารมณ์ว่ามีอะไรเป็นเหตุให้สุข ทุกข์ อุเบกขา ทางโลกเขาแต่ก่อนสัมผัสแล้วสุข แต่ตอนนี้สัมผัสแล้วเซ็งๆเป็นอุเบกขาแบบเคหสิตะ

 

แต่เนกขัมมะนั้นเมื่อกระทบแล้วคุณสามารถดับสุขทุกข์ได้ รู้ชัดว่าใจเราเป็นกลางได้แม้เหตุนั้นจะยั่วยุร้อนแรง จิตเราก็เย็นว่างเบา รู้ว่าจับไฟก็ร้อนแต่ใจเราไม่เร่าร้อน แต่ก็ไหม้นะ เช่นกินเผ็ด แต่ก่อนเผ็ดแล้วหลงว่าอร่อย แต่พอศึกษาล้างแล้วจิตเป็นอุเบกขา มันรู้แต่ว่าแสบเผ็ดแต่อาการอร่อยหายไป รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่ามันแสบนะ มันทำปฏิกิริยากับประสาท อาตมายกตัวอย่างบ่อยเพราะอาตมาเป็นคนอีสานแต่ก่อนกินพริกอร่อย แต่ว่าทุกวันนี้กินพริกไม่ค่อยได้อวัยวะมันเสื่อมไป แสบคันไม่ได้เลย แต่ถ้าอวัยวะมันดีก็คงรับได้แต่จะไปกินทำไม เรากินอย่างอื่นที่ได้วิตามินเหมือนพริกได้

 

ถ้าอธิบายแยกแยะได้เป็นอรหันต์ได้ แต่ถ้าแยกแยะไม่ได้เป็นอรหันต์ไม่ได้ พูดว่าเนกขัมมะคือการออกบวช นุ่งห่มจีวรเป็นพระกรรมฐาน แต่ว่าทำใจในใจไม่เป็น จัดการใจไม่เป็น แล้วจะบรรลุธรรมได้อย่างไร ดีไม่ดีเข้าใจผิดไปสะกดจิตให้ดับสัญญา ดับเวทนา แล้วจะมีแต่อรหันต์หลอก หลอกว่าฉันเป็นอรหันต์อีก ก็เป็นความเสื่อมของศาสนา อาตมาเคยเขียนหนังสือชื่อ "ฆ่าพุทธศาสนาด้วยเจตนาอันแสนดี" เขาเจตนาดีนะมาสอนวิชาอรหันต์ แต่ตนเองไม่ใช่อรหันต์ เอาอรหันต์เก๊มาสอน น่าสงสารศาสนา

 

พวกเรานี่มีคุณลักษณะของสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 พวกเรามาพรักพร้อมกันได้ขนาดนี้ขอเรี่ยวแรงอะไรก็พร้อมนี่คือคุณลักษณะของมนุษย์เจริญเป็นแบบนี้

 

และแสงอรุณ 7 จะต้องมีมิตรดีสหายดีกลุ่มหมู่ดี เรามาอยู่ด้วยกันนี่ไม่รู้สึกหรอกว่าเผื่อแผ่แบ่งกระจายกัน มันซึมซับ osmosis หรือ Absorb เอาอย่างกันทำตามกันซึมซาบไหลเข้าหากัน คำว่าสอนกันนี่ก็ยิ่งหยาบ แต่การไหลซึมเข้าหากันนี่ถ่ายทอดยัดเยียดเข้าหากันจริง แล้วในนี้คุณจะยัดเยียดความชั่วให้แก่กันหรือก็ไม่ มีแต่แสดงธรรมให้กันจนคนเบื่อเลย ไม่ได้ถ่ายเทยักย้ายสิ่งเลวร้าย จึงเป็นมิตรดีสหายดีสังคมส่ิงแวดล้อมดี จึงเกิดศีล เกิดศรัทธาเกิด อัตตะเกิดทิฏฐิ แต่ต้องมีฉันทะจึงมาได้ไม่ยาก


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:47:50 )

570612

รายละเอียด

570612_โอวาทพ่อครูสรุปงานอโศกรำลึก ครั้งที่ 33 (บางส่วน)

พ่อครูว่า...

 

เรากางเต็นท์ 7 หลัง คนก็มานิดเเดียว เราตั้งส้วม 80 หลัง แล้วคนก็มานิดเดียว หรือจัดสถานที่ริมมูนไว้ก็ได้ใช้นิดเดียว ขนจอLED เตรียมไว้ก็ได้ใช้นิดเดียว ถ้าเราคิดอย่างทุนนิยมเราก็ว่าไม่คุ้มเลย เราไปคิดว่าเราจะได้ แต่ว่าเราต้องคิดว่า เราได้ให้ เราไม่คิดว่าคุ้มหรือไม่ ถ้าเราเจตนาว่าเราทำเผื่อพี่น้องญาติโยมเรามามาก เราก็ทำไว้ ถ้าเขามาเกินกว่าที่เราเตรียมไว้มันแย่ แต่ถ้ามาน้อยกว่าที่เราคาด เราก็จ่ายได้ให้ เราไม่เสีย เราได้ฝึกได้ อันนี้คืออาตมาว่า เราเสียสละแต่เราไม่ได้เสีย เราให้เต็มๆ ดีกว่ามันไม่พอ เป็นคนขี้เหนียว เราได้เสียสละ

 

สมุตติว่า คนมามาก เราก็คิดว่ามันคุ้ม มันก็เท่ากันนั่นแหละ ถ้าจะมองในแง่ความสมเหมาะสมควร สุรุ่ยสุร่าย มันก็อยู่ที่การคาดคะเน กะเอา ซึ่งเราไม่ได้สุรุ่ยสุร่าย อาตมาก็มองว่าน่าจะมากกว่านี้ แต่เอาเข้าจริง น้อยกว่าที่คาด ไม่ได้เจตนา จะไปโทษโทรทัศน์ไม่ได้ เรามีเสน่ห์เท่านี้ จุดที่เราต้องปรับมีอยู่

 

ถึงอย่างไร ส่วนเกินสูญไปก็ถือว่าสุรุ่ยสุร่าย เราก็ไม่เจตนา แต่ในด้านจิตวิญญาณการเสียสละเรามุ่งตรงนี้ดีกว่าขี้เหนียว ถ้าขี้เหนียวเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว เราก็ไม่ได้เรียนรู้ฝึกฝน แต่นี่อย่างน้อยเราได้ทำงาน ได้ฝึกซ้อม ได้อดทน ที่ลึกซึ้งคือเราไม่เสียใจ ไม่คิดเล็กคิดน้อย

 

 

ก๋วยเตี๋ยวแม่บุญ แจกตั้งแต่ก่อนงาน มาจนจบงาน หลังงานก็ไม่หยุดแจก...ทุกคนมาร่วมกินก๋วยเตี๋ยว เพราะว่าเป็นสื่อแห่งความปรองดอง...ไม่อย่างนั้นจะหาว่าไม่กินเส้นกัน..

 

ตลอดงานแจก73 หม้อ เส้น 90 กก. โรงบุญ 28 ร้าน วันที่ 5 มีทั้งหมด 19 ร้าน วันที่ 9 มี 17 ร้าน

 

 

ประสพการณ์ที่เราผ่านมานี่แหละคือชีวิตจริงๆ ที่อาตมาพาทำมาเรื่อย ต่างคนต่างทำต่างคิด ต่างใช้ปัญญาช่วยกัน เป็นการศึกษาฝึกฝนความเป็นสังคมมนุษย์ เป็นเรื่องสำคัญ​ไม่เกี่ยวกับอามิสเลย ทำอย่างนี้จะได้ลาภได้ยศสรรเสริญก็ไม่มี เรารู้ไว้เลย สดๆ เป็นการฝึกฝนสร้างสรร เป็นส่ิงประเสริฐจริงๆ เพราะฉะั้นอาตมาไม่แปลกหู ที่คนเขาเข้ามาแล้วประทับใจ แปลกดี อยู่กันแบบนี้ เขาก็บอกไม่ถูกว่าเห็นอะไร แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีง่ายๆ พฤติกรรมสังคมแบบนี้ มันประกอบขึ้นจากจิตวิญญาณเป็นตัวหลัก จิตวิญญาณที่ได้ฝึกฝนมา บางคน 30 ปี บางคน 20 บางคน 10 ปี ก็ตาม ก็ได้ฝึกฝนมาทั้งนั้น มันมาจากจิตวิญญารเป็นตัวหลัก ต่างคนต่างใช้ปฏิภาณใช้น้ำใจ

 

อาตมาได้ข้อสรุปอยู่ 4 คำ

1.ปัญญา

2.น้ำใจ

3.ซื่อสัตย์

4.อุตสาหะ

 

อาตมาได้สี่คำนี้เป็นเรื่องที่เกิดจริงเป็นจริง ที่เราเป็นอย่างนี้ได้เพราะทฤษฏีพระพุทธเจ้า ทุกคนใช้ปัญญา อิสระส่วนตัว แล้วทุกคนก็ใช้น้ำใจของแต่ละคน ถ้าไม่มีน้ำใจเกิดไม่ได้ คำว่าน้ำใจนี่ลึกซึ้งมาก เป็นของใครของใคร ไม่ใช่บังคับ อิสรเสรีภาพ เป็นความพอใจภาคภูมิใจด้วย เป็นพลังงานปัญญา พลังงานน้ำใจ ซื่อสัตย์ ถ้าไม่ซื่อสัตย์จะเกิดคตวามอลเวล เจ็บป่วย ไม่ดีไม่งาม ย่ิงพวกเรามีส่วนกลาง ถ้าพวกเราไม่รักษา ไม่เก็บงำ มันไม่ง่าย คำว่า ซื่อสัตย์นี่มันลึกซึ้ง ถ้าไม่ซื่อสัตย์ มีแต่การโกง เล่เหลี่ยม ก็เกิดเรื่อง ที่มันไม่เกิดเรื่องเพราะมีความจริง

 

พวกเรามีอุตสาหะ นี่งานเสร็จก็เก็บได้หมด โอโห ใช้ปัจจุบันธรรมที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเยอะแยะ แค่ต้องรื้อเต็นท์กันกลางน้ำก็หนักหนา งานสังคมแบบเรา แล้วคนมามากๆโดยเฉพาะมีคนใหม่มาผสม ถ้าพวกเรากันเองก็ไม่มีเรื่องมาก แต่เมื่อมีคนใหม่มา คนที่ขวนขวายก็มี คนที่ไม่ขวนขวายก็มีมา จะนอนจะกินที่ไหนก็ไม่รู้มาใหม่ เราก็ต้องขวนขวายอุตสาหะ รับแขก มีทั้งเรื่องจิตวิญญาณ มีน้ำใจ เป็นงานที่เราต้องศึกษาฝึกฝนอบรม ที่เราทำได้ขนาดนี้ อาตมาว่าเป็นความเรียบร้อย นี่ 9 วันนะ ไม่ใช่น้อยๆ โดยเฉพาะมีคนทำให้กินตลอดวัน ถ้ายังไม่นอนก็ไม่หยุด คนทำก็เก่งตลอด​ 9 วัน และคำติเตียนก็น้อย บกพร่องเล็กๆน้อยๆ ทำได้ขนาดนี้นี่

 

เราฝึกฝนศึกษาเพื่อให้เกิดขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบนี้ในมนุษยชาติ ซึ่งแตกต่างจากเขาที่ตัวใครตัวมัน เราอยู่แบบสาธารณโภคี เราไปชุมนุมประท้วงนี่เราไปเผยแพร่สาธารณโภคี คนยังไม่เข้าใจว่าลักษณะสาธารณโภคี งานชุมนุมประท้วงหากไม่เกิดสาธารณโภคี มันอยู่ไม่ได้หรอก 8 ถึง 9 เดือนนี้ วงแตกตีกันตายก่อน มีทั้งคนนอกและคนใน ก็วงแตก

 

สาธารณโภคีเกิดตามหลัก สาราณียธรรม 6 มีความระลึกถึงกัน ไม่เห็นแก่ตัว แต่ก่อนเห็นแก่ตัวหมด แต่พอมาอยู่แบบนี้ แต่ละคนก็เกิดอาการระลึกถึงใจเขาใจเรา มันเกิดการต้องทำจิต ถ้าใครไม่ทำก็ไม่เกิดพฤติกรรม แล้วมันก็อยู่ได้ พึ่งพาอาศัยกัน หนักนิดเบาหน่อย มันไม่สมบูรณ์เลย แล้วคิดดู อยู่กันกี่เดือน ที่อยู่คืออะไร? คือมุ้งแล้วอยู่กันอย่างไร 9 เดือน บางคนมาเป็นครอบครัวนะ ก็อยู่กันในมุ่งนั่นแหละ แล้วมันอึดอัดกันข้างเคียงแต่ไม่เกิดวงแตก ไม่ปรากฎว่ามาตีกัน ไม่เกิด ไม่ฆ่ากัน กินก็ไม่ค่อยเต็ม มันตีกันนะแค่กิน หรือที่นอนถ้าไม่ค่อยจะดี ก็จะระเบิด ทั้งที่กิน ที่ถ่าย แล้วไม่ทะเลาะกันมีเรื่องกัน แต่ที่เล็กๆน้อยๆก็ขาดหกตกหล่น แต่อยู่กันอย่าง อวิวาทะ มันเกิดผลตามหลักสาราณียธรรม 6 ของพระพุทธเจ้า มีความรักกัน เคารพกัน ให้เกียรติกัน มีสังคหะ เกื้อกูลช่วยเหลือแจกจ่ายกัน มีอวิวาทะ ไม่วิวาทกัน กระเบียดกระเสียนทุกคนต้องเสียสละก็ไม่เป็นไร สามัคคียะก็พร้อมเพรียงกันได้


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:49:40 )

570615

รายละเอียด

570615_พ่อครูและส.เพาะพุทธ รายการวิถีอาริยธรรม สันติฯ เรื่อง ค้าบุญคือบาป

       ส.เพาะพุทธได้นำบทความจากหนังสือ อะไรที่ทำให้เราไม่ใช่พุทธบางส่วนมาอ่านสู่ฟัง  และมีคำความบางประโยคบอกว่า  ผัสสะไม่ใช่สัจจะ

       พ่อครูว่า...อาตมาก็เลยพอดีเปิดดูหนังสือพิมพ์พบ ได้เวลาตีฆ้องฉลอง 80 ปีธรรมศาสตร์ อาตมาก็เป็นศิษย์ธรรมศาสตร์ รุ่น 2499 แต่จำไม่ได้ว่าออกตอนไหน ที่ต้องออกเพราะว่าเขาไม่ให้ต่อ เรียนนานเกินไปแล้ว สถานที่เปลี่ยนไปก็ไม่เท่าไหร่ แต่ใจคนสิเปลี่ยนจะเป็นเรื่องสำคัญ

 

       ก็จะพูดถึงเรื่องการเกิด 1 และธรรมะ 3

 

       ทุกวันนี้ความรู้กลายเป็นศาสตรา เป็นอาวุธฆ่ากัน แทนที่จะเป็นอาวุธทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข แต่กลับทำให้สังคมอยู่เข็ญเป็นทุกข์ เดือดร้อนกันไปหมด กระเบียดกระเสียนแย่งชิง ยิ่งไปศึกษายิ่งมีความรู้มากก็ได้ช่องเอาเปรียบเขา สร้างจารีต กฎเกณฑ์ทางสังคมให้คนที่ด้อยกว่าต่ำลง ใช้ความซับซ้อนเอาเปรียบสังคม ก็จำนน สู้เขาไม่ได้ เขาสร้างหลักเกณ์ฑ์กฎหมายมาเอาเปรียบ คนที่ไม่ได้ร่ำเรียน ไม่มีสิทธิ์ออกกฎหมาย แล้วเขาออกกฎหมายมาก็เอาเปรียบคนไม่รู้ ขืนออกกฎหมายไปเอาเปรียบคนรู้้ด้วยกันก็ถูกว่าได้ท้วงได้ ก็เลยออกกฎหมายเอื้อกันก็ไม่ว่ากันเป็นต้น

       ทั้งหมดเกิดจากกิเลส ลัทธิอื่นเขาก็ว่าเขาล้างกิเลสเหมือนกัน แต่ว่าพุทธนี่ได้ล้างกิเลสอย่างสำคัญ​ที่ว่า ผัสสะไม่ใช่สัจจะ ซึ่งขัดแย้งกับพุทธเลย พุทธนี่ต้องมีผัสสะ จึงจะเข้าถึงสัจจะ

       ที่มีผัสสะจึงถือว่าเป็นสัจจะ เพราะว่ามันเป็นความจริงยามมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะไม่สัมผัสก็มีแต่ความจำ แล้วความจำนี่ไม่ใช่ปัจจุบัน มันไม่เป็นความจริงเท่าปัจจุบัน นี่คือนัยละเอียดของพระพุทธเจ้า วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้าจึงให้มี ผััสสะในปัจจุบันไม่ว่าดินน้ำไฟลมหรือพฤติกรรมในปัจจุบัน

       ปฏิบัติในขณะมีกายสังขาร และก็มีวจีสังขาร มโนสังขาร สัจจะที่เกิดจากสังขารข้างนอก กายสังขารคนก็เข้าใจง่าย ซึ่งก็ต้องกำกับว่า กายสังขารต้องมีธาตุรู้ร่วมอยู่ในนั้น ถ้าไม่มีธาตุรู้ไม่ถือว่าเป็นกาย

       ยกตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ผู้ที่บรรลุธรรม จิตจะมีกัมมัญญตา หมายความว่า จิตมีจิตหัวอ่อน มุทุ แล้วก็ทำการงานอันเป็นอัญญา คือญาณพิเศษเลย อย่างที่ท่านเรียกโกณทัญญะที่เกิดญาณอันนี้ ผู้ได้ญาณวิเศษอันนี้จะทำกัมมัญญตา เห็นเหตุปัจจัยที่ขยายกรรมอันนี้ ผู้มีความรู้ขั้นอัญญะนี้จะจัดการกับจิตตัวเองได้

       มุทุ นี้แหลว่า ไหวเร็วไว อ่อน ไม่แข็ง ทางรู้ก็รู้ได้เร็วไว ไม่ติดขัด คล่องแคล่ว ทางการปรับจิตก็ปรับได้ง่าย เมื่อมีญาณละเอียดฉลาดดีนะ เปลี่ยนง่านไม่แข็งไม่ต่อต้านเลย ก็ใช้คุณสมบัตินี้มาทำงาน แล้วเมื่อทำงานก็มีศัพท์อีกคำว่า กายกัมมัญญตา ได้ทั้งละเอียดสุดระหว่าง นามกับนาม  ก็เรียกว่า กายกัมมัญญตา แล้วท่านองค์นี้ที่บอกว่า  ผัสสะ ไม่ใช่สัจจะ ท่านก็ศึกษาลึก แต่ไม่ชัดเจน ของพระพุทธเจ้าต้องผัสสะหมด แม้แต่กิเลสระดับอรูป ก็ต้องมีผัสสะ ของอนาคามีไม่ใช่ไปนั่งหลับตาในภวภพ แต่ให้ลืมตาในรูปาวจรนี่แหละ น่าเห็นใจที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ อาตมาเคยทำมามากแล้ว มันไม่ชัดไม่มีองค์ประกอบ กระทบ

       อย่างอนาคามีก็ต้องมีการกระทบรู้ มีผัสสะนอก แต่ว่าไม่เกิดกิเลสกับข้างนอกแล้ว อยู่กับรูปาวจร ลืมตากระทบผัสสะ แต่กิเลสรู้มีอยู่ในตน แต่ไม่สังขารแล้วกับข้างนอก ไม่สังขารเป็นกิเลส แต่จะสังขารไม่เป็นกิเลส อนาคามีจึงอยู่กับโลกเป็นประโยชน์กับผู้อื่น แต่ตนเองไม่ต้องการวัตถุมาเสพภายนอกแล้ว ไม่เอารสเสพจากทวารนอก ท่านจึงมีสัจจานุโลมิกญาณกับญาติโยมได้ หรือคนเสพติดถ้าไม่เสพก็จะตายก็ต้องให้มันบ้าง เดี๋ยวมันชักตาย

       สรุปแล้ว กาย คือองค์ประชุมครบทั้งนอกและใน พอพ้นกิเลสรูปาวจรแล้วเหลือแต่กิเลสในอรูปาวจร ก็ยังคงต้องมีผัสสะอยู่กับรูปาวจร

       หนังสือเล่มใหม่ที่อาตมาจะทำและจะแจกในวาระครบรอบวันเกิดหนังสือพิมพ์เราคิดอะไรในเดือนตุลาคม ชื่อว่า ค้าบุญคือบาป

 

       ธรรมะนี่คือทรงไว้ในจิตเรา เราต้องจับตัวกิเลสล้างออกจากจิตให้เป็นมโนที่สะอาดที่สุด ล้างได้หมดไม่มีกิเลสเลยทรงไว้ในจิตก็คืออรหันต์ ส่วนกุศล นั้นจะมีเท่าไหร่ก็มีไป แต่บุญนี่ ผู้หมดบุญคือสิ้นบุญสิ้นบาป บุญคือเครื่องชำระกิเลส ผู้ใดทำบุญเป็นก็คือล้างกิเลสเป็น ขยายความเป็นบาลีว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ แปลว่าในสิ่งที่ทรงไว้ในเรามันหมักไว้ในสันดาน เมื่อล้างหมดก็สะอาดเกลี้ยงก็ทรงไว้ซึ่งจิตบริสุทธิ์ เป็นสจิตตปริโยทปนัง

       คนเลี่ยงคำว่า บาป ทำบาปเขาก็ว่าไปเป็นนิยาย ทำบาปแล้วจะไปเป็นสัตว์นรก ก็กิเลสนั่นแหละ กิเลสพาลำบากลำบนก็นรกนั่นแหละ เหตุใหญ่เลย ล้างกิเลสตัวเหตุใหญ่ก็หมด คำว่าบุญกับกุศลนั้นต่างกัน

       ค้าบุญคือบาปนี่แหละ ทุกวันนี้เอาบุญมาค้าเต็มไปหมดเลย เลยเสียหมด คำว่าบุญ เช่นเดียวกับคำว่าการเมือง

       บุญหมายความว่า หน้าที่ของบุญคือการล้างกิเลส แล้วการล้างกิเลสก็คือความดี ก็เลยแปลบุญว่าความดี แลง้ล้างกิเลสถาวร มีสุขอย่างวิเศษด้วย แล้วคุณก็แปลบุญว่า ความดี ความสุขก็ไม่ผิด แต่กุศลนี่แปลว่า ความดีความสุขแบบโลกีย์ก็ได้ แล้วกุศลก็มีความหมดกิเลสสุดจบก็ได้ แต่เมื่อหมดกิเลสตนจบกิจ ตนก็ไม่ต้องศึกษาปฏิบัติอีก จึงเป็นคนหมดบุญ จึงมีชีวิตเพื่อทำกุศล กุศลนี่รวมไว้หมดทั้งโลกีย์และโลกุตระ แต่บุญนี่คือโลกุตระ คุณทำกุศลแล้วไม่ได้ล้างกิิเลสจึงซ้อน นั่นไม่ใช่บุญแต่ไปตีกินเป็นบุญ เพราะคนนิยมบุญมากกว่ากุศล ใครก็อยากได้บุญมากกว่า ฉันเดียวกันกับคำว่าเฉกา คนก็เลยนิยมปัญญา ไม่นิยมเฉโกเลย

       ถ้ากำจัดกิเลสได้เป็นคุณสมบัติ ก็สั่งสมเป็น คุณนิธิ คือกองสมบัติ นิธิคือทรัพย์ คุณธรรมก็ทรงไว้เป็นคุณนิธิ เมื่อล้างกิเลสก็ได้ทำบุญ จนล้างกิเลสหมด คุณก็ทรงไว้ซึ่งจิตสะอาดบริสุทธิ์ ก็เป็นอรหันต์ส่วนคุณจะไปสั่งสมเป็นโพธิสัตว์อีกเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปก็ไม่มีอั้นเลย พระพุทธเจ้าว่าท่านไม่สันโดษในกุศล กุศลจึงสัสตะ นิรันดร

       ผิดหรือถูกเป็นเรื่องของโลกีย์ ความจริงอยู่ที่ไหนก็ต้องประกอบกับข้างนอก คนต้องมีตั้งแต่สองคนจึงมีความผิดความถูกความดีความชั่ว หากคุณอยู่คนเดียวในโลกนี้คุณทำไปเถอะก็ไม่มีผิดหรือถูก เราอยู่กับสังคมเราก็ต้องเอาตามมวลใหญ่แต่เราก็ต้องรู้ความดีความชั่ว ยุคพระพุทธเจ้าคนโง่มากกว่าคนดีแล้ว ยุคหลังพระพุทธเจ้าคนโง่ก็ย่อมต้องมากกว่าคนดีอีกมากเลย พระอรหันต์จะอนุโลมไปกับเขาได้ แต่จะอาริยะขัดขืนเก่ง คือมีสัลเลขธรรม ขัดเกลากัน

       ฉฬายตะนี่แหละคือความรู้ ในเรื่องสมมุติสัจจะ ส่วนปรมัตถสัจจะก็แล้วแต่จิตแต่ละคน อรหันต์ประกอบตามข้างนอก ไม่แย้งกับข้างนอกเลย ล้างกิเลสได้หมดสุขทุกข์ก็ไม่มี ก็ไม่ต้องหวงแหนมาก แต่ถ้ามีกิเลสมากแต่มีความรู้ความสามารถมากก็แย่งชิงได้มาก ตายไปก็สะสมกิิเลสติดตัวไป

       โอกาสที่คุณจะได้เจอพระพุทธเจ้าหรือพระสาวกที่ดีนั้นยากมาก ต้องรีบเลยเอาให้ได้ในโลกุตรธรรม

       โลภะคือยึดมาเป็นของเรา แต่ราคะนี่ยึดมาเสพรส อนาคามีไม่ยึดเป็นของเราแต่ยังเสพรส แต่ว่าไม่ยึดครองส่ิงสัมผัสภายนอก เจอเงินทองลาภยศ ก็ไม่มีอาการแล้ว แต่ยังมีรสภายในเป็นอารมณ์ค้างของตนเองไม่หมดก็จัดการของตน หยาบก็เรียกว่ารูป ไม่หยาบก็เรียกว่าอรูป ยิ่งอรูปนี่มันยากที่จะรู้ว่าหมดหรือไม่หมด บางทีมันหายไปนานแล้ว พอมีเหตุปัจจัยมันก็ขึ้นมาได้ แม้เหตุปัจจัยไม่หยาบแต่องค์ประกอบของเราเองมีก็ออกมาได้

       สุดท้ายก็อยู่กันอย่างเกื้อกูลกัน มีภาวะซ้อนที่เราไม่ติดไม่เอาคนอื่นยิ่งให้ ยิ่งเราไม่ต้องเอามากมันยิ่งมามาก มันจึงเป็นภาวะที่คนรู้ ยิ่งคนรู้ว่าคนนี้ดีแล้วไม่เอาเขารู้เขาก็ยิ่งให้ เป็นสัจจะที่ทำบุญกับพระพุทธเจ้าก็ได้ค่าสูงกว่าอรหันต์ทั่วไป ตามลำดับ เป็นกุศล

       ทุกวันนี้อาตมาขาดอยู่อย่างเดียวก็คือขาดอรหันต์ ขาดอาริยะที่จะมาช่วยกัน ส่วนปุถุชนก็มา บางทีก็มากไป สรุปว่าไปหาธรรมะคือสิ่งที่ทรงไว้ อรหันต์คือทรงไว้ในสิ่งที่ไม่มีกิเลสอีกแล้ว ไม่ตายเพราะไม่มีอะไรเกิดแล้ว

       พระอรหันต์เป็นผู้อมตะ ท่านจะเกิดหรือตาย นามธรรมท่านมีมุทุภูตธาตุไม่มีอคติ ท่านปรับเปลี่ยนให้เหมาะสามกับสิ่งที่ผัสสะ ท่านจะให้จิตปรุงแต่งเมื่อไหร่ก็ทำได้ อนุโลมตามสัปปุริสธรรม 7

       ฉลาด กร่อนมาจากฉฬายตนะ คนไม่รู้ทันฉฬายตนะก็เอากิเลสมาร่วม เป็นเฉกา แต่คนที่รู้ทันไม่เอากิเลสร่วมก็เป็น

       อาตมาจึงสรุปว่า ต้องมี ปัญญา ซื่อสัตย์ น้ำใจ เสียสละ นี่คือปรัชญาของ วิชชารามนาวาบุญนิยม เรียกว่า ว.นบ​. มีมาสมัคร 180 กว่าคนแล้ว หลักสูตรเราทำเองหมด สอนแบบเราเลย แล้วได้ใบรับรองทางนิตินัยเหมือนทางโลกเลย อาตมาเป็น วิชชาธิบดี ของวิชชารามนี้ เป็นการศึกษาแบบใหม่ของเรา มีปรัชญาว่า ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา ส่วน ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชานี่อย่างกับอรหันต์แล้วก็ให้ ว.บบบ.เขาแล้ว เพื่อให้เกิดการรังสรร ประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ เกิดคุณค่า ทำให้จิตเป็นสมาธิหรืออธิจิตสิกขา เป็นมโนบุพพัง คมาธัมมา จะเจริญประสพผลสำเร็จ มโนเสฏฐา ก็ขึ้นอยู่กับจิต เป็นมโมยา ถ้ารู้ทันก็เป็นมายาที่ดีออกมาเป็นแม่พระพุทธเจ้าเป็นแม่พระพุทธเจ้าคือสิริมหามายา เป็นมายาที่ใช้ปัญญาอันจริง ปรุงแต่งเป็นอภิสังขารแก่มนุษย์ไม่มีอกุศลเจตนาร่วม มายาของผู้มีมโนสัญเจตนาไม่มีกิเลสก็ยิ่งยอดเยี่ยม แต่มายาของคนมีกิเลสก็ปรุงแต่งเลวร้ายในโลก

       บัญญัติภาษานี่ยุคนี้มีบาลีเป็นเค้าเงื่อนเลย อาตมาจำพยัญชนะบาลีได้หมดเลย อาตมารู้รากบาลีแต่รู้ได้ไม่หมด อาตมาแปลบาลีด้วยสภาวะไม่ได้แปลด้วยพยัญชนะ ที่เขาแปลกันทุกวันนี้ก็เพี้ยนไปบางทีเพี้ยน180 องศาเลย ก็เลยยากที่จะอธิบายกับเขา บาลีเป็นภาษารากเหง้า เป็นภาษาที่ตายแล้วแต่เป็นภาษาที่ใช้สื่อสภาวะ อย่างคำว่า กายนี่ก็มากมายเลย

       กายกัมมัญญตานี่คือสุดยอดแล้ว กัมมัญญะอยู่ในอุเบกขา จิตเฉยว่างวางแล้ว มีปริสุทธา ปริโยธาตา บริสุทธิ์ร่วมสังขาร ต้องฝึกมาอย่าให้เปื้อน ศึกษาสังขารุเปกขาญาณ ฝึกสังขารอุเบกขาต่อโลก คุณปรุงแต่งเองก็ตามอย่าเสียนะ หรือปรุงแต่งไปกับโลกก็อย่าแว่บนะ ประมาณให้พอดี สั่งสมให้เป็นอเนญชา ตกผลึกตั้งมั่นขึ้นเรื่อยๆ

       เขาแปลอปุญญาภิสังขารว่า ปรุงเป็นบาป เป็นการแปลที่ไม่ตรงสภาวะ เพราะอภิสังขารนี่เป็นการปรุงแต่งของระดับอเสขบุคคล ส่วนปุญญาภิสังขารเป็นการปรุงแต่งของเสขบุคคล ส่วนเนญชาภิสังขารเป็นการปรุงแต่งของโพธิสัตว์

       อย่างอาตมาปรุงกับเขานี่ก็ต้องให้ได้ประโยชน์ 80 % ขึ้นไปก็จึงจะทำ แต่ว่าการออกไปการเมืองครั้งนี้ ก็ประมาณสัก 75% แต่ก็ต้องออกเพราะว่าไม่มีใครช่วยแล้ว

       บาปคือกิเลส บุญคือการชำระกิเลส ส่วนกุศลคือความดีงามกว้างไปหมดทั้งโลกีย์และโลกุตระถึงที่จบเลยก็ได้ ในกิมัตถิยสูตร ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์ให้สมบูรณ์ไปโดยลำดับ สังคมต้องอาศัยความดี คือศีลธรรม ถ้าเข้าขั้นโลกุตระก็ต้องรู้ปรมัตถ์อ่านจิตเจตสิก แยกตัวกิเลสได้ กำจัดถูกตัว รู้จักวิธีทำกิเลสก็ลดได้จริง ศีลที่เป็นกุศล จึงอนุโลมว่าถือศีลไปเถอะ ปุถุชนก็ถือได้ เช่นคุณไม่ฆ่าสัตว์เป็นต้น ถ้าไทยไม่ฆ่าสัตว์ จะเป็นสมบัติในประเทศเยอะเลย เขมรก็จะมาขอล่าสัตว์ในไทย เพราะอุดมสมบูรณ์ สัตว์ก็จะสะสมในนี้ สัตว์จะมาหลบที่นี่

 

       ศีลได้ทั้งโลกียะและโลกุตระ ศีลที่เข้าปรมัตถ์ ข้อแรกเลย ถือศีลแล้วจะมีความไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เราเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า จะทรงไว้ซึ่งความมี สิ่งที่เป็นธรรม อย่าให้มีส่วนที่เป็นอธรรม ล้างอธรรมได้ก็มีแต่ธรรมะ เราต้องรู้ว่าอะไรคืออธรรมในตัวเรา เรารู้แล้วก็ต้องมีวิธีที่สมบูรณ์ในการทำออก พระพุทธเจ้าท่านมีทฤษฎีที่ทำได้เป็นผลสำเร็จจริง

 

       อาตมานั้นเลข 6 พ้นแล้ว ตอนนี้ก็กำลังขึ้นระดับเลข 8


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:51:44 )

570616

รายละเอียด

570616_พ่อครูที่ปฐมอโศก เรื่อง ปฐมกาย

       ปฐมอโศกเราครบ 30 ปีที่ตั้งมาแต่ปี 2557 มาถึงปีนี้ 2557 ก็ครบอายุ 30 ปีปฐมอโศก อาตมาก็อายุ 80 พอดี แสดงว่าเริ่มต้นสร้างที่นี่อาตมาอายุ  50 ปี กุฏิหลังที่เห็นข้างหลังอาตมาเป็นกุฎิหลังแรกของปฐมอโศก  ตอนแรกหลังคาไม่เป็นเช่นนี้ แต่ตัวโครงใหญ่ยังอยู่ ทำด้วยไม้ตาล ถมดินใหม่ในอาณาบริเวณข้างนอก แต่ก่อนนี้ป่านี้เป็นป่า พงดอ ที่เขาเอาขยะมาทิ้งและคนก็มักมานั่งขี้ นอกนั้นก็มีต้นตะโก ไม้พุ่มไม้ล้มลุกบ้าง จนกระทั่งเราได้ปรับข้างล่างทำสถานที่จนก่อร่างสร้างรูปมา บ้านคุณจำลองก็เป็นบ้านหลังแรก เป็นบ้านหลังเล็กๆเท่ากุฎิ แต่ของเขาทำพิเศษมีส้วมในนั้นเลย

       เราได้เป็นชาวอโศก อายุชาวอโศกต้องนับแต่ปี 2516 เราเร่ิมมาก่อตัวที่ธรรมสถานแดนอโศก ที่ ต.ทุ่งลูกนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เราออกมาจากวัดอโศการามแล้วก็มา ตั้งใจมาศึกษาฝึกฝนกันที่นั่น ตั้งใจมาบำเพ็ญศึกษากันแท้จริง เพราะอาตมาทำงานที่วัดอโศการามนั้นน่าเขม่น เพราะบวชใหม่ เราก็มีความเข้าใจทฤษฎีพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่วัดอโศการามก็กินมื้อเดียว เขาเป็นวัดป่า ปฏิบัติดีแต่ก็ต่างกัน ทีนี่คนฟังธรรมะอาตมา อาตมาบรรยายธรรมะตั้งแต่ยังไม่บวช เด็กๆไม่รู้จักอาตมานี่เป็นดาราโทรทัศน์ จัดรายการเยอะ บางวันสามรายการคนเดียวจัด เกือบทุกวัน จัดรายการมากที่สุด เป็นโทรทัศน์ช่องแรกของประเทศไทยเป็นช่อง 4 ต่อมามีช่อง 7 ของทหารมาอีก อาตมาทำงานโทรทัศน์มา 12 ปี เสร็จแล้วมันเต็มแล้ว ไม่อยู่แล้วทางโลก ก็ออกมา ก่อนจะออกมา ก็บรรยายธรรมะแล้ว เราก็ได้บำเพ็ญตามประสาเราจนเห็นแจ้งแล้ว ว่าไม่เอาแล้วที่จะต้องไปล่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเหมือนเขา ออกมาทำงานทางโลกตั้งแต่อายุ 23 ถึง 24 ปี จนอายุ 36 ปีก่อร่างสร้างตัว ตั้งแต่เกลือเม็ดหนึ่ง เช่าบ้านเขาเดือนละ 700 บาทบรรจุทำงานเงินเดือน 750 ตอนที่เรียนจบออกมาทำงาน ก็รับน้องๆมาเลี้ยง เพราะพ่อกินแต่เหล้าก็เลยต้องเลี้ยงน้องแทนแม่  มีรายได้จากการจัดรายการมากกว่าเงินเดือนเยอะ เงินเดือนนั้นอัตราข้าราชการ เริ่มชั้นตรี กว่าจะชั้นโทก็สองพันกว่าบาท ตอนออกมาเงินเดือนอาตมาพันกว่าบาท แต่รายได้จริงๆนั้นเดือนละ สองหมื่นกว่าบาท บางช่วงสอนสามโรงเรียนเลยวิ่งสอน  ก็เล่าถึงชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย แต่พอมาทางธรรมะก็เข้าใจหมดแล้วไม่ไปทำอย่างนั้นอีก เรียกว่าบรรลุธรรมเลย ตอนออกเราก็บอกความจริงเขาว่าเราไม่เอาแล้วทางโลก สองสามครั้งเขาก็ยอมเซ็น แล้วบอกน้องๆแบ่งสมบัติให้น้องๆ ให้น้องๆช่วยรับช่วงส่งเสียกันให้เรียนจนก็เรียบร้อย มาออกบวช

       บวชอยู่วัดอโศการาม ออกไปตอนแรกก็ยังไม่บวช ก็รองเท้าไม่ใส่ นุ่งขาสั้นใสเสื้อคอกลมขาว โกนผม เขาก็ว่าบ้า คิดดูสิดารา บางคนก็บอกว่าธรรมแตก เราก็เดินสุขุมสงบ ไม่มองหน้าใคร เป็นดารา พอไปบรรยาย เป็นฆราวาสไป คนฟังก็มีคนที่เข้าใจก็มี ขึ้นเวทีวัดนรนาทเป็นหลัก ยังไม่บวช แล้วก็ไปพูด คนฟังก็ไม่รับ ดีไม่ดีก็มองเห็นเป็นเรื่องประหลาด ก็มองว่าเราไม่มีลักษณะน่าเชื่อถือ จนกระทั่งออกจากวัดไปสร้างกุฎิอยู่ในป่าแสมวัดอโศการาม ยังไม่คิดบวชง่ายๆเราก็ไปอยู่แล้วบอกว่าอย่าให้พระมากวนผม เจ้าอาวาสก็หัวเราะว่ามีแต่โยมจะไปกวนพระ ต่อมาก็เลยว่าไม่เหมาะที่เราจะอยู่อย่างนี้ ก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่ ก็มาบอกอุปัชฌาย์ ว่าขอบวชแล้ว ท่านก็ว่าไหนว่าจะอยู่สัก 10 ปีไง ท่านก็หาบริขารให้หมด บาตรใบแรกน้องๆจ่ายตังค์

       บวชเสร็จแล้วทีนี้เดินสงบ เรียบร้อย บรรยายธรรมะก็ได้เรื่อง ทั้งพระธรรมยุติและมหานิกายทั้งโยมก็มาฟังธรรมกันมาก จนที่ไม่พอต้องต่อเติม อยู่ไปจนคนเดินเข้าวัดไม่ได้ไปหาเข้าอาวาสแต่เดินมาหาอาตมาไปท้ายวัด แล้วพระอื่นท่านก็เขม่นหลายอย่าง อาตมาบวชใหม่ๆก็ขึ้นเทศน์ ซึ่งพระวัดอโศการามไม่ถึง 10 ปีเขาไม่ให้เทศน์นะ ต้องระดับเถระขึ้นไปจึงขึ้นธรรมาสน์เทศน์ได้ แต่โยมเขามาขอให้อาตมาไปบรรยายให้เทศน์ ก็ขึ้นเทศน์ตั้งแต่อายุพรรษาไม่ถึง 10 เวลาลงโบสถ์ก็ไปก่อนเพื่อน สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เวลาลงโบสถ์ก็มีญาติโยมมารอเลี้่ยงโอเลี้ยง เราก็ไม่ฉัน เพราะฉันมื้อเดียว เดินเดินสงบจนเขาว่าเย้ายั่ว ก็เลยเหมือนเป็นสองวัด ก็เลยปรึกษาหารือ มีพระมหานิกายท่านก็ว่ามีที่ของพ่อแม่ ไปบำเพ็ญกันที่โน่น ไปขอท่านเจ้าคุณท่านก็ถามว่ามีพระมหานิกายไหม? เราก็ว่ามี ท่านก็ว่าไม่ได้ผิด เราก็ว่าศาสนาพุทธเหมือนกันทำไมต้องมาทะเลาะกันแยกนิกาย เราก็ต่อรองท่าน ผมรับผิดชอบเอง ท่านก็ว่าไม่ได้ ผู้ใหญ่รู้เรื่องก็จะสอบสวน อาตมาก็ทำอย่างไรดี?

       ถ้าจะไปท่านก็ให้คืนใบสุทธิ ไปสร้างกุฎิให้ 7 หลังเลย แล้วหลวงอาเป็นเจ้าคณะตำบล เป็นอุปัชฌาย์ด้วยท่านก็เข้าใจชอบพระปฏิบัติด้วย ออกจากนั่นพศ. 2516 ตั้งใจออกไปแล้วไม่ถอยหลังนะ มีชี ศีล 10 อยู่ที่นั่นรูปแรกเลยคือผุสดี อาตมาก็ให้ศีล 10 อาตมาก็ว่าไม่เอาสีขาว ให้ห่มสีกรัก ผู้หญิงก็ชอบกัน ออกมาบวช ถือเคร่งทิ้งเงินทิ้งทองจริงๆ แต่ก่อนเคร่งกว่านี้เยอะเลย ออกมาจากวัดตีสามกะว่าจะเดินถึงแดนอโศกเลย เดินมาไม่เท่าไหร่ก็เป็นลมกัน สม.จิตราเป็นลม ก็บำบัดกัน จนไม่ไหว พอดี รถ 10 ล้อดัมพ์ ก็อาสาพามาก็เลยขึ้นรถมาเลย ข้ามแพแม่น้ำนครไชยศรี แล้วขึ้นรถมา พอมาถึงก็ดีใจใหญ่ พอมาถึงมีคนไปเจอ งู 7 ตัวพันกัน หันหัวไปคนละข้าง เรียกกันไปดูใหญ่เลย อาตมาไม่ได้ไปดู

       แม้แต่มาอยู่ที่นี่ เด็กๆรุ่นหลังแผ่นดินนี้เป็นของชาวอโศก แล้วเด็กๆเป็นชาวอโศกไหม ก็เป็น มีสิทธิ์ใช้สอยอาศัย แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเป็นเจ้าของ เป็นระบบยิ่งใหญ่กว่าคอมมิวนิสต์ หรือสังคมนิยม สาธารณโภคีเป็นสุดยอดของประชาธิปไตย ทุกคนทำงานเอาเข้ากองกลางหมดเสียภาษีร้อยเปอร์เซนต์โดยเต็มใจ เป็นระบบที่ยิ่งใหญ่มาก

       อาตมาก็ยังนึกไม่ถึงว่าระบบของพระพุทธเจ้าจะยิ่งใหญ่ปานนี้เราทำมาตั้งแต่ที่นี่เป็นชุมชนแรก เกิดหมู่บ้าน เป็นวัฒนธรรมเป็นอยู่สังคมจนเป็นบุญนิยมสาธารณโภคี อยู่กันจนป่านนี้ แยกขยายผล จนมีครอบครัวในสังคม เหมือนราชธานีอโศก ที่นี่ก็มีบ้านเรือน แต่ว่าราชธานีอโศกมีครอบครัว ทำคลอดกันในนั้นเลย แต่ก็แนวโน้มไม่นิยมมีครอบครัว ถือศีล 8 ศีล 10 มีทั้่งฆราวาส สมณะ นักบวช ครบ มีมรรคองค์ 8 ครบถ้วน มีวัฒนธรรม จารีตประเพณี พึ่งตนรอด อยู่ได้อย่างมีการประพฤติศึกษา มีชีวิตอยู่ได้ แบ่งงานการกันทำ จนพึ่งตนรอดได้ มีงานมีการกิจการรายได้ จนที่สุดปฐมอโศกไม่มีเงินหนี้เงินหนุนเลย

       ที่บ้านราชก็กำลังก่อเกิดสถาบันการศึกษาขั้นอุดมศึกษา โดยให้อ.เอนก นาคะบุตร ที่ทำมหาวิทยาลัยให้กลุ่มอาศรมศีลอยู่แล้ว ออกใบรับรองทางนิตินัยให้ พวกเราก็ยินดีกันมาก มาสมัครกัน 180 กว่าคน อาตมาตั้งชื่อว่า วิชชารามนาวาบุญนิยม (ว.นบ.)

       ปฐมอโศก เป็นการเจริญของกลุ่มชนชนิดหนึ่ง อาตมาเรียกว่า อาริยชน เป็นคนเจริญคนประเสริฐมีคุณธรรมพระพุทธเจ้า อย่างที่อาตมาเข้าใจนั้นไม่เหมือนเขา เป็นกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เป็นสัตว์คนละชนิด เป็นเทวสัตว์ เป็นพรหมสัตว์ อารยะชนก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นเจริญแบบนั้นทั่วโลกเขาก็เป็นแบบนั้นส่วนศาสนาพุทธที่เขาเข้าใจก็เรียก อริยชน แต่อาตมาว่าไม่ใช่ คนที่เขาว่าเป็นอรหันต์นั้นเขาอธิบายสังโยชน์ 3 ไม่ได้

       กายตัวแรกเลยเขาก็ไม่รู้ อธิบายผิด ไม่ตรงกับสภาพจริงที่เราได้ พวกเราได้กายที่ถูกต้อง มีสัญญาตามที่เรามี สัมมาทิฏฐิ สามารถรู้องค์ประกอบ ทั้งนอกและใน สามารถอภิสังขารปรุงแต่ง กาย วจี มโน เป็นชาวอโศกได้ ลงตัวกับธรรมะของพระพุทธเจ้า​เช่นสาราณียธรรม 6 มีสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ อาตมาก็ว่าจะเรียกพวกเราว่าเป็นอริยชนก็ไม่ได้ เราไม่เหมือนเขา ถือศีล กรรมต่างกัน อุทเทสต่างกัน การประพฤติปฏิบัติชีวิตต่างกัน การอธิบายธรรมต่างกัน ศีล สมาธิ ฌานต่างกัน อธิบายต่างกัน สติปัฏฐาน 4​ก็ไม่เหมือนกัน

       เมื่อมาถึงวันนี้ กลุ่มชาวอโศกที่อาตมาสร้างมา ชีวิตเราก็มาอยู่กับทางนี้ มั่นใจปักใจว่าจะเดินทางนี้ ตายไปก็หลายคนแล้ว อยู่กันเป็นหมู่บ้านสังคมนี้ พวกเราก็ตั้งใจอยู่จนตายก็มีเยอะ จนเป็นครอบครัวอโศก อาตมามั่นใจว่านี่คือธรรมพระพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิที่จะหยั่งลงในโลก ที่สัทธรรมพระพุทธเจ้าเพี้ยนไปแล้วจาก 2600 ปีที่ผ่านมา เช่นสัทธรรม 7 ในจรณะ 15

       คุณต้องมีศรัทธา หิริ​ โอตตัปปะ พหูสูตร วิริยะ สติ ปัญญา นี่คือสัทธรรม 7

       ศรัทธาคือเชื่อถือ เชื่อมั่น ว่าสัมมาทิฏฐิเป็นเช่นนี้แหละ จะเห็นว่าเขาไม่ค่อยอธิบายจรณะ 15 โดยเฉพาะ อปัณกปฏิปทา เขาไม่พูดเลย ปฏิบัติโภชเนมัตตัญญุตาเขาไม่พูดถึงเลย สำรวมอินทรีย์ 6 ก็สำคัญ ต้องระวังสังวร ทวาร 6 เกิดวิญญาณ พิจารณาวิญญาณ เมื่อสัมผัสจะเกิดองค์ประชุมเรียกว่า กาย ถ้าคุณตาบอกคุณก็ไม่มีวิญญาณให้คุณศึกษา พอตากระทบรูปก็มีวิญญาณ เป็นองค์ประชุมของรูป เห็นเงาะก็เป็นองค์ประชุม เราก็รู้ว่าเกิดวิญญาณ มีมังคุดกับเงาะ คนไหนอุปาทานชอบเงาะก็คว้าเงาะ คนไหนชอบมังคุดก็คว้ามังคุด แล้วถ้ามีสองคนชอบเหมือนกันก็แย่งกัน คนไม่ได้ก็โมโหทะเลาะกันได้

       คำว่า กาย นั้นขาดธาตุรู้ไม่ได้ คนตาบอดไม่มีกายของภาพ  รับรู้กายของภาพพวกนี้ไม่ได้ ย่ิงตาบอดแต่กำเนิดลูบคลำก็รู้ว่าสัมผัสรูปมนุษย์ แต่สีเขาไม่เห็น สีเขียว สีม่วงเขาก็ไม่เห็น กายที่เป็นรูปเขาไม่รู้ แต่เขาจะรู้จักสัมผัส เป็นกายในกายได้เช่นกัน ก็มีวิญญาณที่รู้ได้แค่นั้น ไม่ครบอายตนะ 6 จมูกเขาดี หูเขาได้ยินก็รับได้เท่านั้น เกิดกายเท่าที่มีผัสสะสัมผัสจริง เสียงก็เป็นกาย กลิ่นก็เป็นกาย สัมผัสก็เป็นกาย

       เวทนาก็คือพอสัมผัส มันก็ปรุงแต่งปั๊ปเป็นกายสังขาร คำว่า กายสังขารต้องรวมทั้งข้างนอกและข้างในนามธรรมที่รับรู้สัมผัสได้ กายคือองค์ประชุมที่ต้องมีนามธรรมมารับรู้เสมอ

       คำว่า สักกาย คำต้นของสังโยชน์ ถ้าคุณไม่รู้สักกายะ แล้วพิจารณา กายในกาย ในสติปัฏฐาน 4 ไม่ได้ไม่สัมมาทิฏฐิก็ปิดประตูบรรลุธรรมเลย

       พวกที่ไม่ได้พิจารณาตั้งแต่ต้น ล้างกิเลสตั้งแต่เช่นเราติดมังคุด ก็ปฏิบัติตั้งแต่นอก แล้วค่อยไปปฏิบัติภายใน ถ้าไม่ได้ทำเป็นลำดับมา แม้คุณจะปฏิบัติจนได้กายสักขี อาสวะบางอย่างสิ้นไปพระพุทธเจ้า ก็ไม่รับรองว่าบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ได้ คุณอาจอ่านนิวรณ์ แต่เป็นนิวรณ์ในภพในเท่านั้น แต่ในกามภพคุณไม่รู้เรื่อง พระพุทธเจ้าว่า ถ้าแน่ใจว่าอาสวะบางอย่างสิ้น คุณต้องพิสูจน์ว่าอาสวะที่อยู่กับตาหูจมูกลิ้นกายจะหมดด้วยไหม คือจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง สำเร็จอิริยาบทอยู่

       การปฏิบัติผิดคือเอาแต่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรม ก็ไม่เกิดกาย เพราะตัดผัสสะ ข้อแรกของสัตตาวาส 9 กายข้อแรก ต้องปฏิบัติธรรมแต่ไปนั่งหลับตาเป็นอสัญญีสัตว์ก็จบเกมเลย ไม่มีทางบรรลุธรรม เมื่อเข้าใจนิโรธสมาธิ ฌานแบบฤาษี ฌานแบบสัตตาวาสหรือวิญญาณฐีติข้อ 1 ย่อมรู้แต่จิตในจิต ไม่เกิดองค์ประชุมในระหว่างตากระทบรูป หูกระทบเสียง สังโยชน์ตัวแรกต้องรู้สักกายทิฏฐิ แต่คำว่า กายนี่เข้าใจเพี้ยนแล้ว จะต้องให้รู้ วิญญาณที่เกิดยามกระทบสัมผัส ผู้มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่น

1.สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า  แต่เขาไปเข้าใจผิดว่า สัตว์นรกเป็นรูปร่างสีสันมีตัวตน แต่วิญญาณสัตว์นรกที่รู้ได้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส  นั้นไม่ได้เพราะไม่ได้มีสัมมาทิฏฐิอย่างที่อาตมาอธิบายให้ฟัง

       อย่างเห็นมังคุดนี่ ถ้าคุณจินตนาการเมื่อกระทบตาปั๊ปว่ามังคุดลูกนี้คุณเคยแกะมากิน เนื้อมันคงขาวๆ มันมีกี่กลีบ มันคงขาวฉั๊วทุกเม็ดเลยนะ ไม่เสียสักกลีบ คุณกระทบนอกก็มโนภาพภายในได้เลย อย่างเงาะโรงเรียนนี่ ก็ในนี้มันจะมีอาการ ลิงค นิมิต ไม่มีรูปร่าง แต่ก็จะต่อเนื่องหา รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส ว่ามันคงน้ำฉ่ำ เนื้อแน่นกรอบหวานหอม ต่างๆนานา คุณก็วิจัยมันว่า คุณไปชอบมันแต่เมื่อไหร เราก็กินเพื่อให้ได้ธาตุวิตามิน ธาตุอาหารไปเลี้ยงสรีระ คนไหนกินก็ได้ธาตุนี้ แต่บางคนชอบกินก็กินแล้วรู้สึกอร่อย บางคนไม่ติดก็ได้ธาตุอาหารเท่ากันแต่เขาไม่ติดอร่อย ไม่รู้สึกอร่อย แต่คนไม่ชอบก็ทุกข์ฝืนไม่อร่อย นั้นและทั้งสุขและทุกข์ก็คือตัวปลอม ถ้าคุณล้างอุปาทานยังชังหรือชอบอยู่คุณก็คือสัตว์นรกอยู่ เห็นสัตว์นรกที่เกิดจากเงาะ ถ้าอธิบายผิด คุณจะไม่เห็นกายที่เกิดจากเงาะ ไม่เห็นสัตว์นรกที่เกิดจากเงาะ เพราะคุณไม่ได้เรียนรู้มาแบบนี้

       คุณไปเรียนรู้สัตว์นรกว่ามีตัวเป็นๆเห็นด้วยตา มีรูปร่างสีสัน หลอกกันมาสอนกันมา แต่คุณไม่เห็นสัตว์เปรตที่เกิดจากการสัมผัสมีผัสสะกับมังคุดกับเงาะตามที่ยกตัวอย่าง

       เพราะสัมมาทิฏฐิจึงปฏิบัติ ได้ถูก พิจารณาเป็น รู้จักทำ กายในกาย รู้เจตสิก ใช้สัญญากำหนดลงไปในเวทนาที่ปรุงเป็นสัตว์นรกหรือเทวดา ถ้าคุณสัมผัสแล้วชอบใจก็เป็นเทวดา แม้คุณยังไม่ได้มากินก็ตาม คุณก็ชอบใจได้แล้ว เห็นปั๊ปก็เป็นเทวดา ปรุงแต่งเป็นชอบ ก็คือ กายสังขาร มีจิตเทวดา ถ้าคุณเรียนสัญญา ไปกำหนดว่าเป็นของน่าได้น่ามีน่าเป็นต้องเอา คุณก็ปฏิบัติการตามที่จะเอา แต่ถ้าได้เรียนรู้ว่าชอบตามที่ปรุงแต่ง จริงๆคุณไม่มีความรู้ถึงธาตุอาหารหรือวิตามินมันหรอก รู้แต่ว่ากินเงาะนี่อร่อย นี่กิเลสทั้งยวงเลย จนกว่าจะไปเคร่งทางวิชาการก็ไปติดว่าเงาะนี่มีธาตุอาหารอย่างไร แต่ก็ไม่ได้เรียนรู้เจตสิก แต่ถ้าเรียนรู้เจตสิกก็จะรู้ธาตุอาหารเนื้อแท้สาระได้มากขึ้นเอง ธาตุอาหารมันมีของมันอยู่แล้ว กินเงาะก็ได้ธาตุเช่นนี้ คนธรรมดาไม่ศึกษาธรรมะเขาชอบใจก็เอามาไม่ชอบใจก็ไม่เอา ชีวิตจึงทำให้กิเลสหนาตลอดเวลา ความเป็นสัตว์นรกก็ไม่รู้จริง ความเป็นเทวดาที่มีทั้งสมมุติเทพ อุบัติเทพและวิสุทธิเทพก็ไม่รู้

       เราจะค่อยล้างถอดคราบของสัตว์นรกมาเป็นสัตว์สวรรค์แท้ จากสมมุติเทพมาเป็นอุบัติเทพ การจะเห็นองค์ประชุมของสัตว์นรก ก็คือต้องเห็นเวทนาสุข(สัตว์เทวดา) เห็นเวทนาทุกข์(สัตว์นรก) แล้วเข้าไปรู้ตัวเหตุ สโทส สราค รู้การดำรินึกคิดองค์ประกอบ รู้องคาพยพของความเป็นสัตว์ เห็นกายของเทวดาอุบัติเทพ ทำให้กิเลสตาย คุณก็จะเห็นพรหมคือความสะอาดของจิต ถ้าไม่ได้ฟังสัมมาทิฏฐิก็จะไม่รู้วิธีอ่านรู้สัตว์พวกนี้ ย่ิงไปนั่งหลับตาดับยิ่งไม่รู้เรื่องเลย

       จะรู้กายวิญญาณ คนไม่สัมมาทิฏฐิไม่รู้หรอก มีแต่ติดใจในเทวดาสมมุติ ไม่คลายเลย ไม่ว่าเรื่องกิน เรื่องโลกธรรม มันต้องมาคลายมาล้างอย่างเป็นรากฐานจริงๆ

       ข้อที่ 1 ในวิญญาณฐิติ หรือสัตตาวาส คุณจะรู้ความเป็นสัตว์ จนดับเหตุแห่งสัตว์ จนเป็นพรหม สิ้นความเป็นสัตว์มีแต่กายสะอาดเป็นพรหม คุณต้องรู้ความหมายหรืออุเทสอย่างสัมมาทิฏฐิจึงปฏิบัติได้

       สติปัฏฐาน 4 ใครเคยเรียนรู้จากอาจารย์ไหนๆแล้วไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายก็ไม่มีทางถึงอรหันต์ เพราะไม่ถึงขั้นที่จะทำแบบ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ได้หรอก ไม่งามในเบื้องต้นท่ามกลาง บั้นปลายได้เลย

        ไม่สัมบูรณ์ไม่บริบูรณ์หรอก คำว่า กาย ถ้าเข้าใจไม่ถูกแล้วปฏิบัติไม่บรรลุ คำว่า กายสังขารนั้นไม่ใช่แค่สรีระภายนอก แต่ว่าต้องมีจิตเป็นประธาน ขาดจิตคุณออกนัจจะไม่ได้เลย

        เขาอธิบาย กาย เวทนา จิต ธรรม ได้ไม่ถูก เพราะเข้าใจคำว่า กายผิดๆ แล้วให้ไปพิจารณา นิวรณ์ 5 ในภวังค์ ไม่มีการกระทบสัมผัสทวาร 5 เลย คุณจะรู้ถีนมิทธะกับอุทธัจจะกุกกุจจะ ที่เป็นความจริง แต่ไม่รู้ความจริงของ กามและพยาบาท ไม่สามารถกำหนดรู้ กาย ของกามและพยาบาทไม่ได้

        การไปนั่งหลับตาปฏิบัติก็ได้แค่นึกสัญญากามหรือพบาบาทขึ้นมาแต่ไม่ใช่ของจริง ไม่เกิดกามจริง กระทบสัมผัสรูปก็เกิดกาม กามเกิดในจิต เป็นวิญญาณ ขณะนี้กระทบรูปนี่อาการกามอยากได้เงาะนี่ คุณไม่กำหนดก็ไม่ได้รู้กามแบบนี้ แต่เขาไปกำหนดอย่างเอาสัญญา แต่พอเขาไปเจอเงาะก็กินอร่อย ไม่มีหิริ เพราะปฏิบัติตามๆกันมา จะละอายต่อรสอร่อยที่เสพไม่ละอายหรอก ฌานของเขาเกิดในการนั่งหลับตา แต่ฌานขณะกระทบเงาะไม่มี แต่เขาก็มีปฏิภาณเวลากระทบเงินก็กดข่มได้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเงินได้ตลอดชีวิต แต่อาหารนี่คุณไม่สัมผัสไม่ได้ คุณต้องกินทุกวัน ไม่ว่าอยู่ไหนก็ต้องปฏิบัติ แต่เงินคุณไม่เกี่ยวข้องได้เลย แต่อาหารนี่ คุณไม่ได้ทำโภชเนมัตตัญญุตา หรือมัตตัญญุตา จ ภัตสมิง

        เขาพิจารณาทุกวันเลยในการกิน ปฏิสังขา โยนิโส ปิณฑปาตังปฏิเสวามิ แต่ว่าไม่ได้พิจารณาให้ถึงอาการกามเลย

        ในสัตตาวาส 9 ข้อแรก กายต่างกัน สัญญาต่างกัน ก็มิจฉาทิฏฐิก็เห็นสัตว์นรก เทวดาต่างกันไปตามที่อุปาทานของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก ส่วนกามคุณก็ไปพิจารณาแต่ในภพในสัญญา ส่วนมากพิจารณาแต่เรื่องเพศ มีกามราคะ ฟุ้งซ่านไปหาเพศ กดข่มมัน ไม่ได้สัมผัสจริง จริงๆไม่ได้พิจารณาด้วยซ้ำ จิตไปอยู่กับกสิณ ไม่ได้พิจารณาเลย ทำชำนาญคุณก็ไม่มีนิวรณ์ 5 ได้ ฌาน 1 ของคุณนั่งสมาธิ องค์ประชุมของฌานจึงต่างจากฌานของพุทธ

        แต่ได้ฌาน คือนิวรณ์ไม่มีเหมือนกัน อย่างวิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 คุณได้ฌานเหมือนกันแต่กายต่างกัน แต่ว่าสัญญาอย่างเดียวกันว่าไม่มีนิวรณ์เป็นฌาน แต่กายนั้นไม่เหมือนกัน อย่างหนึ่งนั่งหลับตาทำ แต่อีกอย่างมีฌานหมดนิวรณ์ขณะสัมผัสกับผัสสะ        


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:53:03 )

570617

รายละเอียด

570617_พ่อครูที่สันติอโศก เรื่อง กาย และ สัญญา อันลึกซึ้ง

            พ่อครูพาไหว้พระสวดมนต์...

            ไหนหลวงปู่จะเทศน์ตั้งใจเทศน์ลึกละเอียดปรมัตถธรรมเลย ตั้งใจฟังให้ดีนะ หลวงปู่พยายามอธิบายให้ฟัง แม้แต่เด็กๆก็ให้เข้าใจได้ เมื่อวานก็เทศน์ที่ปฐมอโศก ที่ปฐมอโศก ปีนี้เด็กเยอะเลย

            อาตมาตั้งใจขยายความคำว่า “กาย” เมื่อวานอธิบาย ข้อที่ 1 ของสัตตาวาส 9 คือผู้มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน สองคำนี้ไม่รู้กันชัดในภาษาไทย

            คำว่ากายนี่น่าสงสาร มันเป็นภาษาไทยที่แปลว่า ร่าง ซึ่งผิดไปเลยจากความหมายในธรรมะพระพุทธเจ้า คำว่า กายนี่ในความหมายธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีจิตร่วมด้วย ไม่ใช่ กาย

          คำว่า กาย หมายถึงจิตเป็นหลักไม่ใช่รูปร่างข้างนอก ถ้าเข้าใจแค่นี้พูดได้เลยว่าไม่บรรลุธรรม เพราะจะไม่เข้าใจจิตเลย เมื่อเข้าใจคำว่ากาย ผิดก็หมดเลย ไม่เหลือ เพราะมีแต่กายสรีระ ไม่มีจิตเลยก็จะไปบรรลุธรรมได้อย่างไร

            เทวดา มาร พรหม คือสัตว์โอปปาติกะ ในสัมมาทิฏฐิ 10 หากเข้าใจผิดก็ลงกระป๋องเลย ไปเข้าใจผี เทวดา มาร พรหม เป็นรูปร่าง ไปนั่งสมาธิก็ว่ามีตาทิพย์เห็นผีแล้วเทวดาแล้ว แล้วจะไปเข้าใจสมมุติเทพ กับอุบัติเทพ ต่างกันอย่างไรก็ไม่รู้แล้ว

            ส่วนเทวดาสมมุติก็คงเข้าใจว่าไม่มีชฎา ส่วนเทวดาอุบัติเทพก็มีชฎาอย่างนั้นหรือ ก็ลงทะเลยะเยือกเย็นเลย ไปสร้างมโนมยอัตตา สัตว์นรก เมืองไทยสร้างกันมากมาย สร้างเป็นหนัง แต่ละคนประดิษฐ์สัตว์นรกของตนมา มีแต่รูปร่าง ไม่มีจิตเจตสิก ไม่มีเวทนาเลย จะเข้าหาเวทนาในเวทนา แล้วมีจิตร่วมในเวทนา จิตมีกิเลส ที่เป็นเหตุให้ทุกข์สุขอย่างไรไม่ได้เคยศึกษาเลย เวทนา 108 อาตมาจึงชัดขึ้นว่าทำไมศาสนาพุทธในไทยจึงไม่อธิบายเวทนา 108 อธิบายอภิธรรมกันไปต่างๆนานา ไม่รู้จิตในจิตที่เป็นเจโตปริยญาณ 16 ก็ไม่ขยายความกัน ไม่เข้าใจเวทนาในเวทนาในสติปัฏฐาน 4​ ก็ไม่เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง

            ก็ได้แต่ปฏิบัติเป็นมิจฉาสมาธิ มิจฉาฌาน ได้มิจฉานิโรธ ก็ได้มิจฉาอรหันต์ ทุกวันนี้อาตมาพูดนี่หนัก แต่ว่าถ้าไปรอ 50 หรือ60 พรรษาก็ไม่รู้จะได้พูดไหม ตอนนี้ก็40 กว่าพรรษาแล้วก็น่าจะพูดแล้ว

            สัญญาคือกำหนดหมายรู้ โดยเฉพาะปัจจุบันต้องใช้สัญญาไปกำหนดรู้ อย่างเวทนานี่ก็ต้องกำหนดรู้ แล้วจิตอย่างไรจึงสังขารเป็นเวทนา จิตมีกิเลส รู้สมุทัยคือกิเลสเป็นอย่างไร ก็ใช้สัญญาไม่เป็น

            แล้ววิตกวิจารก็คือต้องใช้สัญญาเข้าไปชอนไชแยกแยะให้ชัด

            เวทนาก็คือกาย จิตก็คือกายชนิดหนึ่ง แล้วกายเป็นจิตอย่างไร? เขาเข้าใจว่า กายคือแค่ร่างเท่านั้นจะเป็นจิตได้อย่างไร อาตมาพูดเช่นนี้เขาก็จะหาว่าเป็นอ.เพี้ยนไปแล้ว เพราะเขาไม่เคยสอนกันว่ากายคือจิต จิตคือกาย

            อาตมาจะยกบาลี กายวิญญาณ ซึ่ง วิญญาณคือจิตใช่ไหม? กายวิญญาณก็คือตัววิญญาณเป็นองค์ประชุมของวิญญาณ แม้จะเป็น กายสังขาร คือสังขารปรุงแต่งรวมทั้งมหาภูตรูปและอุปาทายรูปหรือเป็นจิตเจตสิกทั้งหมด

            ตากระทบกับขวด ตอนนี้ยกตัวอย่างยกขวดมาแล้ว ตากระทบขวดก็เกิดรูป หรือเกิดภาพ หรือรูป ซึ่งคุณต้องมีสัญญาเข้าไปกำหนดรู้อันนี้ ท่านบอกเลยว่าเมื่อตากระทบรูปแล้วเกิดวิญญาณ ต้องไปอ่านในคนคืออะไรทำไมสำคัญนัก เป็นเล่มแรกแล้วเล่มที่สองคือ ชีวิตนี้มีปัญหา

            ถ้าเราไม่สามารถเข้าใจเนื้อแท้ของคำว่า สัญญา แล้วก็จะใช้ไม่เป็น สัญญาแปลว่าการกำหนดหมาย หรือความจำ แล้วมันก็ทำหน้าที่ในปัจจุบันกำหนดจากความจำ นี่ก็เป็นส่ิงที่รู้ได้สำหรับคนนึกขึ้นมาได้ ก็กำหนดหมายรู้ความจำที่เราบันทึกไว้ในอัตภาวะ ที่บันทึกไว้มีมากมาย ที่ดึงมาได้ก็ดึงได้ แต่ที่ดึงไม่ได้อีกมีไว้อีกมากมาย ก็สามารถเอาความจำขึ้นมาใช้สัญญากำหนดรู้ความจำในอดีต

            สัญญา ทำหน้าที่กำหนดหมายรู้อดีต และก็สามารถกำหนดหมายรู้ในปัจจุบันได้ แต่ความจำนี้มีมากกว่าที่คุณระลึกได้ แต่คุณหมายกำหนดดึงมารู้ไม่ได้ สัญญาคุณไม่มีประสิทธิภาพดึงมาได้

            สัญญา ไม่ได้หมายถึงแค่ความจำ จริงๆสัญญาคือการกำหนดหมาย เช่นดึงอดีตมารู้เป็นต้น ส่วนที่ดึงออกมาไม่ได้ก็จัดการกับมันไม่ได้ เอาออกก็ไม่ได้ ดังนั้นก็ดึงได้แต่ปัจจุบัน กำหนดหมายได้ในปัจจุบัน เช่นขวดนี้ ต้องรู้อะไร ก็รู้อารมณ์ของตนไง เช่นสัมผัสแล้วสวย เราก็กำหนดรู้ว่าเราชอบก็สวยตรงกับที่เรากำหนดหมาย ส่วนไม่ชอบก็ตามที่กำหนดหมาย

            ปรมัตถ์ต้องรู้อารมณ์ ชอบหรือชัง ถ้ารู้ก็รู้ปรมัตถ์ ไม่ได้สำคัญที่รูปสวยเป็นหลัก แต่สำคัญที่คุณชอบหรือไม่ชอบเป็นหลัก มันปรุงแต่งเป็นชอบหรือไม่ชอบก็คือสังขาร ในสังขารหากคุณไม่รู้มันก็คืออวิชชา

            อวิชชา มีสังขารเป็นปัจจัย คุณต้องมีปัญญาญาณรู้สังขาร คือการปรุงแต่งของรูปและนาม รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ เช่นเป็นองค์ประกอบของดินน้ำไฟลมพระพุทธเจ้าให้กำหนดรู้ทางทวาร 6 ตั้งแต่เร่ิมต้นสังขารวิญญาณก็ต้องวิญญาณ 6

            เมื่อเกิดสังขารเกิดวิญญาณก็ต้องกำหนดรู้ทางทวาร 6 รูปคือสิ่งที่ถูกรู้  คุณจะรู้ได้ต้องมีนาม ส่วนนามหากถูกรู้ได้ก็เป็น นามรูป คุณจะรู้ได้ก็ต้องมีนาม แม้จะกำหนดรู้นามธรรมก็ต้องมีนามธรรมไปรู้ เรียกว่าธาตุรู้

            จะเป็นกายสังขาร วจีสังขารหรือจิตสังขารก็ต้องมีนามธรรมไปรู้ 

          เมื่อไปพิจารณา กายคตาสติ ก็ไปรู้แค่การยืนนั่งนอน รู้แค่โครงสร้างของสรีระ เพราะเข้าใจ คำว่า กายผิดเป็นแค่สรีระ เมื่อพิจารณา กายในกาย ก็ไปพิจารณาแต่ ย่างหนอ ก้าวหนอ จิตก็กำหนดรู้แค่ร่าง แต่ไม่ได้พิจารณาในอารมณ์ ได้แต่กสิณนิ่งจิตนิ่งอย่างเดียว ยกหนอ ยกส้นก่อนหรือยกปลายเท้าก่อน ก็รู้แต่เรื่องตรงนั้นๆ เป็นกสิณ จิตก็หยุดคิด หยุดปรุงแต่งไม่ฟุ้ง เป็นการดับความปรุงแต่งเป็นวิขัมภนปหาน ก็เรียนกันจังเลย แค่ก้าวหนอ ย่างหนอ โทรทัศน์ถ่ายกันออกเสียดายไฟฟ้า ก็ได้แค่วิกขัมภนปหาน ฤาษีนั้นเรียนมามาก เก่ง เราสู้เขาไม่ได้หรอก แต่พระพุทธเจ้าไม่ให้เป็นแม้โสดาบัน กายในกายก็จดจ่อแค่การเคลื่อนไหว ก็ไม่รู้เวทนาในเวทนา จิตในจิตเลย แม้แต่กายในกายก็ไม่รู้เลย รู้แต่กายนอกอย่างเดียว เพราะกำหนดว่ากายคือข้างนอกหมด ไม่เข้าไปหาในเลย

            พระพุทธเจ้าก็ใช้คำว่า กายในกาย เมื่อไม่รู้กายในกาย ก็ไปรู้รูปในกายอย่างไร ก็เข้าใจเป็นผี เทวดา เป็นสัตว์วิญญาณ ก็เลยเข้าใจแต่ตัวร่างของวิญญาณ ไม่เอาคำว่า กายไปใช้ ใช้คำว่า วิญญาณสัตว์นรก เทวดา แต่ที่จริงคือกาย เป็นองค์ประชุมของนามธรรม สัมผัสนอกเข้าไปข้างในเป็นกายในกายแล้ว

            คำว่า กาย นี้คุณเข้าใจว่ามีแต่รูปร่าง แม้แต่สัตว์นี่ก็เป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง เป็นอาการ ลิงค นิมิต พอเข้าไปกายในกาย สัตว์ไม่ใช่ดินน้ำไฟลมรูปร่างแล้ว เพราะมโนนั้น อสรีรัง ไม่มีรูปร่าง แต่เขาไปปั้นเป็นรูปร่างก็เป็น มโนมยอัตตา คุณก็สำเร็จในการกำหนดหมายในภายใน หากจำไว้ในจิตนานจนคุณลืมมัน แต่ที่จริงลืมไม่ได้ จนกว่าเก่งจนสามารถระลึกได้ไม่รู้กี่ชาติอย่างพระพุทธเจ้าทำได้ ก็ต้องสร้างสัญญา

          การปฏิบัติธรรมก็ต้องเข้าใจสัญญาให้ถูกต้อง ตั้งแต่ กามสัญญา ตั้งแต่กามหยาบๆที่เรียกว่าอบายภูมิ เป็นสัตว์นรกในอบาย เช่นอบายคือโลกต่ำ

            ถ้าเราเองไปกำหนดรู้องค์ประชุมที่มีจิตเป็นหลัก และแม้กระทบสัมผัสดินน้ำไฟลมภายนอกก็ต้องอาศัยจิตเป็นหลัก ในปฏิจจสมุปบาท ให้กำหนดรู้ เวทนา 6 ตัณหา 6 วิญญาณ 6 เป็นเครื่องยืนยันว่าคุณต้องปฏิบัติโดยเปิดทวารทั้ง 6 ในการปฏิบัติ แต่ถ้าปฏิบัติโดยตัดทวารนอกออก แบบสายศรัทธานั้น ก็เรียนรู้แต่ภายใน ก็ได้กายสักขี อาสวะบางอย่างดับได้ คำว่า กายสักขีคือเห็นได้แต่ในรูปภพอรูปภพของตนเท่านั้น ไม่ใช่ สักขี ที่เห็นโทนโท่อยู่ภายนอก กายสักขีของทักขิเณยบุคคลไม่ได้หมายถึงการกระทบนอก แต่ว่าเป็นสักขีของตน ตนยืนยันกับตนเอง อย่างสายนั่งหลับตาดับ เขาก็ยืนยันกับตัวเองว่าได้นิโรธดับไปแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่รับรอง แต่บอกว่าอาสวะบางอย่างดับได้ ก็ทำมานานหลายสิบปี คำว่ากายของสายนี้จึงหมายถึงจิต

          กายสักขี นี่หมายถึง กระทบสัมผัสภายนอกทนโท่ เช่นเห็นด้วยตาอยู่หลัดๆชัดแจ้ง แต่สายศรัทธา ที่ปฏิบัติพระพุทธเจ้าว่าต้องสัมผัสวิโมกข์8 ต้องกระทบสัมผัสภายนอกแล้วต่อเนื่องสู่ภายใน อารมณ์ของจิตที่เกิดเรียกว่า กาย ถ้าไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายกระทบ วิญญาณก็ไม่เกิด เมื่อวิญญาณไม่เกิด คุณก็ไม่มีกาย

          กายที่เป็น กายวิญญาณ คือไม่ใช่มีแต่รูปร่างผีที่ลอยล่องไป ตาเนื้อเห็นผีกระสือมีแต่หัวกับไส้ลอยละล่อง นั่นไม่ใช่กายของผี แต่นั่นคือของปลอมอะไรไม่รู้ที่คุณสมมุติขึ้นแล้วเรียกมันว่าผีมันไม่หลอกใคร มันหลอกใครไม่เป็น คือจริงๆมันไม่มี แต่คุณไปปั้นสำเร็จในจิตคุณ

          ผีนอกวิญญาณของคุณไม่มี พระพุทธเจ้าบริภาษภิกษุสาติ ว่าใครสอนเธอว่าวิญญาณล่องลอยออกไปภายนอกร่าง

          แต่ถ้าไปเข้าใจว่า กาย ไม่เกี่ยวกับภายนอก มีแต่จิตก็จะเป็นสายสัทธานุสารี ปฏิบัติได้กายสักขี อาสวะบางอย่างสิ้นไปได้ แต่ไม่เป็นอรหันต์  ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

            คุณต้องกำหนดรู้ในปัจจุบันยามสัมผัสในขณะนี้ว่า นี่คืออาการกาม นี่คือพยาบาท ชัดเจนเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าไปนึกระลึกเอาสัญญามา ดีไม่ดีก็ปั้นอารมณ์ขึ้นเองเป็นของปลอมไหม ปั้นให้อารมณ์แรงหรือเบาได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณโกรธคนนี้ คุณไม่พอ คุณก็เร่งอารมณ์โกรธของคุณให้มากกว่านี้ คุณบ้าอย่างนั้น เพิ่มอารมณ์โกรธ ทำโง่ๆอย่างนี้ใครก็เคยทำ อันนี้รสอร่อย มันอร่อยแต่คุณก็เพิ่มอาการใจอร่อยให้มากขึ้นๆ สร้างขึ้นมาเลย อย่างอวิชชา ถูกหลอกซ้ำว่าอร่อยจริง บางอย่างคุณยังไม่เคยชิมอย่างนี้เลย เขาก็เอามาให้กิน คนเอามาให้ก็ยั่วคุณว่าอร่อยอย่างนั้นอย่างนี้แล้วคุณกินก็ว่าอร่อยตาม ทั้งที่ไม่เคยกินเลย มันอาจมีรสมันรสหวาน อย่างที่เคยรู้ เขาถามว่าหวานก็หวานหอมก็หอม แปลกไหมแปลก คุณก็ปรุงตามเขาไป ก็เสร็จอีด่างเลย เคยถูกหลอกมาไหม อย่าว่าแต่เราถูกหลอกเลย เราเองก็เคยชวนให้เขามาติด หาทางตะล่อมให้เขาติด ของนี้เขาไม่เคยนะ อย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่เคยมมีพอถูกหลอกว่ามีก็เลยมีเข้าให้

          ถ้าคุณไม่เคยติด แม้เขาหลอก แต่คุณก็ว่าไม่อร่อย มันก็ไม่ติด เขาจะหลอกอย่างไง ไอ้ที่พูดมาก็ไม่เห็นเป็นอย่างที่ว่า คุณก็ไม่มีอร่อยอย่างนั้น แต่ถ้าประทับใจเข้าไปว่าหวานยิ่งกว่าหวาน หอมยิ่งกว่าที่เคยหอม คุณก็ได้อร่อยรสใหม่ขึ้นอีก อย่างอาหารไทยต่อไปจะอาละวาดไปทั่วโลกเลย พิศดารทางรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนะ

            ความอร่อย มันเป็นของปลอมของเท็จ อัลลิกะ อาตมาแยกคำว่า สุขขัลลิกะ ว่า สุข กับ อัลลิกะ เขาก็หาว่าอาตมาแยกผิด แต่อาตมาว่าไม่ผิด อาตมายืนยันมั่นใจว่าเอาสภาวะเป็นหลัก แล้วพยัญชนะก็ไม่ผิดด้วย อัลลิกะคือเท็จ แต่ไม่เคยมีใครแยก ก็ไม่ถือว่าที่อาตมาพูดนี่ถูกต้อง อาตมาเอามาจากสภาวะ ขอยืนยันว่าจริง เพราะอาตมาปฏิบัติแล้วว่าความอร่อยนี้ไม่มีได้จริงๆ ใครเห็นตามอาตมาก็มาปฏิบัติตาม แต่ใครไม่เห็นด้วย หาว่าอร่อยมีจริง คุณก็มีอยู่ต่อไป

            อัสสาทะ นั้น ท่านบางท่านก็ว่า อรหันต์ก็มีอัสสาทะได้ แต่ว่าอาตมาไม่เห็นแบบนั้น อรหันต์ตามที่อาตมาเข้าใจทำได้คือ หมดอัสสาทะได้ ก็รับรู้ทวาร 6 ได้เหมือนเขา แต่ว่าไม่เกิดสุขทุกข์ ทำได้อย่างสูญทำได้ทุกปัจจุบันสั่งสมเป็นอดีตที่สูญ ทำได้แน่นอน จนพยากรณ์อนาคตตัวเองได้เลยว่าสูญ

          กายนี่คือนามเป็นหลัก มีรูปด้วย แต่แม้ที่สุด ไม่มีดินน้ำไฟลมเลยก็เป็นกายได้ แม้มีดินน้ำไฟลมก็เรียกกายได้แต่ขาดธาตุรู้หรือใจไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแต่ใจ ขาดดินน้ำไฟลม เรียก กายได้

            เช่น กายมุทุตา คำว่ามุทุ คืออาการอ่อน ไหว เร็วไว อาตมาแปลว่าจิตหัวอ่อน เมื่อเป็นรูปก็คือ มุทุตา ในลักขณะรูป ที่มี มุทุตา ลหุตา กัมมัญญตา

            ชรตาคือแก่ อุปจยะคือเกิด ส่วนสันตติคือยังไม่สูญต่อเนื่องอยู่

            กายกัมมัญญตา คือต้องมีปัญญาอันรู้ยิ่งเข้าไปประกอบ เป็นโลกุตระปัญญา เป็นความเฉลี่ยวฉลาดรู้จริงๆ มีทั้งเจโต คือจิตสะอาด และมีปัญญารู้ความสะอาดที่จิตเป็นสะอาด หรือจิตรู้จักกิเลสแล้ว หยาบ กลาง ละเอียด ก็รู้ว่าละเอียดที่สุดอย่างไร มันไม่มีแล้วก็รู้จะเรียกว่าอาสวะอนุสัยก็รู้ว่ามันหมด คุณจะมีญาณ รู้นามรูปด้วยอาการ แล้วใช้สัญญากำหนดหมายรู้เอาเอง หมายหรือมาร์คอย่างไร ว่าอันนี้ เป็นนามธรรมมันมาร์ค กำหนดรู้หมายรู้ ทำการรู้ด้วยใจของคุณ มันเทียบกับวัตถุไม่ได้แล้ว นัตถิอุปมา คุณรู้ของคุณเอง เป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพ

            พอคุณทุเรียน แล้วตรงกับอุปาทานตน เช่น หวาน หอม กรอบ หรือเละก็ตามที บางคนชอบทุเรียนเละๆ เรียกว่าทุเรียนปลาร้า แต่อาตมาเมื่อก่อนชอบแบบกรอบๆ หวานปะแล่มๆ จะเป็นอาหารหรืออะไรก็แล้วแต่ คุณไปอุปาทานไว้ แล้วพอตรงกับที่เรายึด กำหนดหมาย specification กำหนดทุกสัดส่วน อย่างที่เราว่าตรงสเปคนี่แหละ คือกำหนดหมาย อย่างนี้แหละ ตรงสเปค คุณก็ชอบ หรือตรงบ้างไม่ตรงบ้างก็ชอบบ้าง แต่ถ้าไม่ตรงเลยก็ไม่ชอบ ไอ้ความชอบหรือไม่ชอบนี่คือความบ้าของคุณเองทั้งนั้น ตรงมากเท่าใดก็ดูดเท่านั้น

          พอคุณอยู่คนเดียวก็สมมุติเองเลยถ้าคุณชอบตรงไหน ตรงกลิ่นก็ไปเติมมันเข้าไป ว่าถ้ากลิ่นอย่างนี้น่าจะดี คุณก็ไปเติมของคุณเอง มันรสมันอ่อนหรือแข็งอย่างไรก็ไปเติมเอง นี่คือเก่งฉิบหาย เติมแต่งเก่ง ไม่หยุดยั้ง ไม่มีวันจบหรอก เก่งจนคุณทนความร้อนได้ ทนหนาวได้ ทนอย่างนั้นอย่างนี้เกินคนธรรมดาได้ คนนั้นเลยกลายเป็นเกินสามัญ  ยกย่องว่าเป็นมนุษย์พิเศษมหัศจรรย์ก็เท่านั้นเอง ก็แข่งกันโชว์กันเท่านี้แหละก็ไปซักซ้อมกันทำ สรุปแล้วก็คือเก่งทางเทคนิค การฝึกปรือเทคนิคก็ช่ำชองได้มากขึ้นเท่านั้นเอง แล้วคุณก็ไปยึดถือว่าจะต้องเก่งต้องได้อย่างนี้ปรุงต่อไปเพิ่มไปอีก แล้วเอาอันนั้นอันนี้มาปรุงผสมเข้าไป หรือไปหาอันใหม่เข้าไปผสมอีก มันยาวยืดไม่จบ

          สรุปแล้วเพราะคุณยึดถือ หากไม่ยึดถือ ก็จะรู้ของจริงที่มันมีเป็นธาตุของมัน จะเรียกว่าร้อนเย็น สีเหลืองเขียวหรือสีใดๆที่แต่ละคนก็รู้เหมือนกัน รู้สัจจะความจริงของมัน คุณจะไปเติมว่าจริงอย่างนี้ชอบ ไม่จริงอย่างนี้ไม่ชอบ แล้วไอ้ความจริงมันเที่ยงไหม?  แต่คุณไปยึดว่ามันต้องเป็นเช่นนี้ คุณต่างหากเที่ยงแต่ทุกอย่างไม่เที่ยงเลย สีมันก็อย่างนี้ มันก็ซีดหรือเข้มขึ้นก็ได้         

          ไม่มีอะไรเที่ยงหรอก สี หรือรูป อะไรก็ไม่เที่ยง แต่คุณไปยึดกำหนดสเปคของคุณทั้งนั้นเลย อารมณ์ชอบหรือไม่ชอบก็อยู่ที่กำหนดหมายตามที่ได้ เมื่อได้ตามหมายก็ชอบใจ ไม่ได้ก็ไม่ชอบใจ คุณก็อยู่กับสุขทุกข์อย่างนี้ตลอดกาล แต่เมื่อคุณไม่ยึดแล้วก็จะเอาอย่างไรก็ได้ ก็ไม่ทุกข์ไม่สุขอะไร

          การที่มีคำว่าไม่เที่ยงถึงกินความเยอะ ก็เพราะสัญญาเรากำหนดแล้วไปยึดว่าสัญญานี้เที่ยง ต้องอย่างนี้ๆ นี่คือให้สัญญาเที่ยง แต่ที่จริง สัญญาไม่เที่ยงทั้งสัญญาเองก็ไม่เที่ยง สิ่งอื่นก็ไม่เที่ยงด้วย พระพุทธเจ้าตรัสว่า อนิจจังทุกขังอนัตตานี่คือคำตายเลย มีนิพพานเท่านั้นที่เที่ยงแท้อย่างเดียวเท่านั้น และอยู่ที่จิตวิญญาณมนุษย์เท่านั้น หมดความเป็นจิตวิญญาณมนุษย์นั้นไม่มีความเที่ยง มีแต่นิพพานเท่านั้นที่เที่ยง ถ้าคนตายไปแล้วก็ไม่มีนิพพาน พระอรหันต์เจ้าตายแล้วนิพพานก็ไม่มี นิพพานไปกับพระอรหันต์แล้ว

          นิพพานนั้น ไม่สูงไม่ต่ำไม่รักไม่ชังไม่รักไม่โลภ ไม่ไปไม่มา รู้ความจริงตามความเป็นจริงจะใช้ก็ใช้ไม่ใช้ก็ไม่ใช้ ใจก็ไม่ต่อรองไม่ว่า มันไม่มีไม่ได้ก็ใช้เท่านี้ ไม่เกิดทุกข์เกิดสุข จะเป็นไปตามเหตุปัจจัย นี่คือการอธิบายตามสัญญา แต่รู้ว่าอย่างนี้มันดีอย่างนี้ไม่ดี แต่ก็ไม่ยึด ยอมได้ จิตไม่วูบไม่วาบ ได้เท่านี้ก็เท่านี้ ดีไม่ดีได้เท่านี้ก็ไปทำ แต่ได้ประโยชน์สูงกว่าที่เคยเป็น ทั้งที่คิดว่าไม่น่าจะดีแต่ว่าทำแล้วดีกว่าเก่าก็รู้เท่านั้นเอง

            คุณกำหนดรู้ตามเหตุปัจจัย คุณต้องใช้สัญญาเป็นสัญญาก็ไปเป็นปัญญา สัญญาจึงเป็นตัวทำงานตลอด ปัญญานั้นชัดเจนในความรู้เป็นตัวเต็ม ที่จริงก็คือวิญญาณนั้นแหละ หรือญาณนั่นแหละรู้ ธาตุรู้ตัวแรกคือ ญ แล้วมาเป็นวิ  กับ ญาณ หรือวิญญาณ

            สัญญานี้มีอัตโนมัติในการรู้ แต่ถ้าเรากำหนดรู้ตั้งใจว่าสัญญาคืออย่างนี้ใช้มัน มันจะกระทบรูปก็ตามกำหนดรู้ว่านี่คือรูปนะ นี่คือเสียงนะ เสียงต่างกับรูปนะ ต่างกับกลิ่น ก็ใช้สัญญากำหนดรู้ ตัวสัมผัสนี่แหละเป็นคำกลางๆ ไม่ว่าจะเย็น ร้อน อ่อนแข็ง ดังเบา ก็สัมผัสทั้งนั้นแหละ ตาก็สัมผัส เสียงก็สัมผัส จมูกก็สัมผัส ลิ้นก็สัมผัส ทั้งหมด 5 ทวารนี่เป็นโผฏฐัพพะหมดเลย เป็นการสัมผัสหมดเลยเป็นกลางๆ         

          โผฏฐัพพะคือการสัมผัสภายนอก เมื่อเราสัมผัสภายนอกนี่แหละของจริง แม้ข้างในก็สัมผัสแต่ไม่จริงเท่า เมื่อคุณตายไป ไม่มีสัมผัสนอก นรกของคุณไม่มีดินน้ำไฟลมเลย แล้วเมื่อคุณเสียใจเศร้าใจมีรูปไหม?ไม่มี แต่คุณสัมผัสรู้อาการเสียใจมากหรือน้อยก็ได้ เวลาร้อนใจคุณสัมผัสอาการร้อนใจได้ มันไม่มีรูปนอก แต่มีรูปเป็นนามธรรม จะร้อนใจ เสียใจ เศร้าใจ เว้าใจ แหว่งใจ ใจน้อยหรืออะไร เหลือใจคือเกินกว่าที่จะพูดแล้ว เป็นต้น

          ถ้าหลับตา ก็เป็นการจำ สัญญากำหนดรู้ ไม่ใช่ของสด แต่คุณใช้สัญญากำหนดหมาย แต่จำนี่ พอนานๆไปก็ลืมเลือน รูปนี่ก็ลืมเลือนได้ หนักเข้า ก็จำไม่ได้ เลือนไปจนจำไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้กระทบไปแล้วพลังงานทางคอมพิวเตอร์เคาะไปแล้วก็อยู่ในนั้นในฮาร์ดดิสของคุณ ฮาร์ดดิสนี่ก็คือเขาทำให้มันมีประสิทธิภาพ แต่ไม่เก่งเท่าอัตตา อัตตานี้รับได้มากกว่าหลายล้านเท่าของที่ทำได้ทุกวันนี้ แต่คุณไม่สามารถค้นมาใช้ได้

          การศึกษาของพุทธนี่สามารถเอาข้อมูลที่เก็บไว้มาใช้ได้ ทั้่งอดีตและปัจจุบัน ส่วนอนาคตไม่เคยมี มีแต่อดีตกับปัจจุบันแล้วจะไปเป็นอนาคต อรหันต์ไม่ลืม แต่จำได้ดีด้วย ไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วย เราศึกษาความไม่เที่ยง คุณเคยมีแฟนแล้วตั้งหลายล้านคน แต่คุณจำไม่ได้หรอก คุณจำได้แต่ชาตินี้เท่านั้น บางคนอาจจะเลือนแล้ว เลือนว่าเคยมีรสชาติกับแฟน แต่บางคนก็จำได้อยู่บ้างแต่บางคนยังฝังใจอยู่เลย รสชาติทางหอมทางเหม็น อย่านึกว่าคุณไม่ยึดไม่ชอบความเหม็น เหม็นเขาก็ยึด เช่นปักษ์ใต้ชอบบูดู อีสานชอบปลาแดก เหม็นจะตายชัก

          ผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้บ้าง บางอย่างแต่ก่อนเคยชอบแต่บัดนี้ไม่ชอบ แต่ก่อนเคยสุข แต่เดี๋ยวนี้ไม่สุขแล้ว บางอย่างไม่สนุกอย่างเดิมแต่ก็เสียดายอยากได้คืน ก็หายามากิน เช่นกินข้าวไม่อร่อย แท้จริงสัญญาวิปลาส ไม่เที่ยง หรือถาวร ถ้าเป็นอรหันต์ แต่ทั่วไปก็ไม่ถาวรหรอก ไปหายามาบำบัด หลอกกันไปหลอกกันมา โสมบำรุงกาม ไวอกร้ามาบำรุงกาม ไวอกร้ามาขายให้อรหันต์ก็ไม่เกิด มันเป็นเรื่องอุปาทานทั้งนั้น

          ศึกษาให้ดี ว่ามันหมดได้จริง อะไรก็ไม่ยากเท่ารสนี้ คนเราต้องกินอาหาร มันไม่ยึดมั่นถือมั่นเท่าลิ้น จะต้องใช้เป็นอาหาร รสทางลิ่้นนี่แหละถ้าเข้าใจได้ อันอื่นก็จะเข้าใจได้โดยปริยาย ในอปัณกปฏิปทา มีโภชเนมัตตัญญุตา หรือมัตตัญญุตา จ ภัตสมิง พิจารณาว่าเราติดรสในกามอะไร แต่ละอย่างก็ได้ พิจารณาความไม่เที่ยงยึดมั่นถือมั่น เมื่อลดได้คุณจะเห็นจริง

          เราจะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติ สำรวมอินทรีย์ สัมผัส ทางทวาร 5 นี่แหละ มีปสาทรูป โคจรรูป เมื่อกระทบแล้วเราไปสำคัญมั่นหมาย เกิดชอบหรือชัง ผลักหรือดูด มีเท่านี้แหละ เมื่อเรียนรู้ได้เรื่องกิน อย่างอื่นก็คล้ายกัน เราไม่ต้องไปศึกษาทั่วโลก แต่ทำได้แล้วจะวางเป็น ไม่จำเป็นต้องทำไปครบทุกอย่าง เพราะถ้าเข้าใจว่ามันเป็นเท็จไม่จริงเป็นหลัก สุขมันเป็นเท็จ และเป็นทุกข์ อนาคามี นั้นทางทวาร 5 ท่านไม่สุขแล้ว เหลือแต่รูปราคะ อรูปราคะ แต่ท่านไม่เกิดสุขทุกข์ในกามาวจร

          เมื่อเข้าใจว่าถูกหลอกเป็นเท็จไม่จริง อนาคามีจึงหมดสุขก่อนทุกข์ ทุกข์ที่เหลือ จึงเรียกว่า กิลมถะ เป็นความลำบาก แม้จะมีอาการกระวนกระวายบ้างละเอียดบางเบากว่ากิลมถะเรียกว่า ทรถะ

          อนาคามี มี กิลมถะ แต่อรหันต์นั้นจะมี ทรถะ

          ทรถะ พอเขามาแปลเป็นไทย โดยไม่รู้สภาวะว่าเป็นภาระของพระอรหันต์ เขาก็เลยแปลว่า ทรถะคือความกระวนกระวาย แปลได้แค่นี้ จริงๆก็เหลือแต่ภาระ ตราบที่พระอรหันต์ยังมีขันธ์ 5 ก็ยังมีทุกขันธ์ ยังเป็น ภาราหเว ปัญจขันธา แล้วก็มีทุกข์อื่นเช่นนิพันธ์ทุกข์ เป็นอรหันต์แล้วก็ต้องขี้ต้องเยี่ยว แม้เป็นพระพุทธเจ้า หรืออาหารปริเยติทุกข์ ต้องแสวงหาอาหารให้แก่ตนเอง แม้เขาแสวงหามาให้คุณก็ต้องเอาใส่ปากใส่ลิ้นเคี้ยวกิน

            กายมุทุตา คือ  ปัญญา ไหวพริบ ไหวไว ไหวเร็ว เรียกว่ามีมุทุธาตุ หรือปรับได้เร็วไว ให้มันรับได้มากได้น้อย สูญได้ไว มากก็ได้ไว เก่งทั้งเจโตและปัญญา นั่นคือมุทุภูตธาตุ มุทุไม่ใช่แปลว่าจิตอ่อนหรือปัญญาอ่อน แต่อาตมาแปล มุทุ ว่าจิตหัวอ่อน

            กายมุทุตา เป็นองค์ประชุมของความมุทุ ของจิต แต่ถ้าแปลว่า กาย คือ ร่าง จะไปถึง มุทุธาตุได้อย่างไร

            กายลหุตา คือองค์ประชุมของความเบาของจิต ไม่ใช่ว่าไปนั่งสมาธิแล้วตัวเบาลอยได้ แต่ที่จริงคือองค์ประชุมของจิตมันเบาว่างง่าย สบาย ไม่ใช่ร่างสรีระเบา


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:54:05 )

570619

รายละเอียด

 

570619_พ่อครูที่สันติฯ เรื่อง วิปัสสนาญาณ 16 โดยลึกซึ้ง

            การขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุและการฟังธรรมเป็นความเสื่อมใน 7 ข้อความเสื่อมของชาวพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

 

            การปฏิบัติธรรมที่จะปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เป็น นั้น ปัญญาคือผล ตัวรู้ เป็นมรรคด้วยแล้วปฏิบัติได้ผลก็คือปัญญาที่รู้ผล ใน ทาน ศีล ภาวนา  , ภาวนาคือการเกิดผล วิมุติ วิมุติญาณทัสสนะคือผล ผู้ปฏิบัติเป็น ลักษณะจิตที่เกิดผลคือ หลัก 5 วิ

 

            วิตก วิจัย วิจาร วิมุติ วิจักขณ์

            วิตก คือเร่ิมดำริ มีการดำริในกามหรือพยาบาทไหม? คุณต้องวิจัยเป็น วิจัยถึงเหตุ ว่ามีกามหรือพยาบาทมาปนไหม วิจัยได้ รู้ก้อนความคิดสังขารจิตอันหนึ่ง พอดำริมา ก็วิจัยได้ มันจะปรุงเป็นสังขารเป็นอารมณ์ ความรู้สึก  รู้สึกชอบ ชัง ทุกข์​สุข แล้วคุณก็ดูเหตุ แห่งสุขทุกข์

            เมื่ออวิชชา ก็คือไม่รู้ แต่ถ้าปฏิบัติคุณจะเร่ิมรู้ มีธาตุรู้ ที่ชัดเจน ว่าจะต้องมีสัญญากำหนดรู้นามรูป (เป็นนามธรรมที่ถูกรู้) โดยอาการ ลิงค นิมิต คุณก็เกิดญาณที่เป็นตัวรู้ ไปรู้จิตเจตสิก ซึ่งไม่ใช่ไปรู้โครงร่าง ที่ไปเข้าใจว่า กายคือมีแต่โครงร่าง ไม่เข้าถึงนามธรรม เมื่อเข้าใจเช่นนี้จิตไม่มีทางบรรลุธรรมได้

            หรือคุณจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างแต่ก็ต้องรู้ว่าเอานามธรรมเป็นหลัก อย่างพระโมคคัลลานะ ที่เป็นสายเจโต จะติดมีรูปร่างเสียเยอะ

            พอคุณสามารถวิจัยได้ จาก กาย เวทนา ก็มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์รู้เหตุ ว่าคือ ราคะ โทสะได้ ก็รู้สักกายะ

            สักกะ แปลว่า ของตัวเราเอง องค์ประชุมของสัตว์นรก เทวดา มีการแยกแยะรู้องค์ประชุม ว่ามีตัวตนอะไร เป็นราคะหรือโทสะ อย่างไร ก็คือวิจาร รู้ว่าอารมณ์เราเป็นแบบไหน?

            เมื่อ ได้ผลก็มีวิมุติ แล้วก็ต้องเห็นแจ้ง มีวิมุติญาณทัสสะ (วิจัก)

           

            เราต้องรู้จัก อัตตา เป็น กายสังขาร เป็นองค์รวมของการปรุงแต่ง พอผัสสะปุ๊ปมันปรุงแต่งเป็น วิญญาณเลย เป็นสุขเป็นทุกข์ แล้วแสดงออกเป็นวิญญัติรูป ต้องรู้อัตตา 3 มีโอฬาริกอัตตา และมโนมยอัตตา คือ รูปที่สำเร็จด้วยจิต คุณต้องรู้

            ต้องรู้วิโมกข์ 8

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี  เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) . (พค.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

            ต้องกำหนดรู้ทั้งภายในและภายนอก ทั้งรูปและอรูป มีรูปด้วยและอรูปด้วย รู้หมดเลย แม้สูงสุดเป็นเทวดาสูงสุด ของเมถุนสังโยค 7 ก็ไม่ได้ เป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งแล้วไปยินดีอย่างนั้นก็ไม่ได้

           

            มโนมยอัตตาคืออัตตาที่เราเนรมิตเอง เพราะทุกอย่างไม่มีอะไรมีเลย สูงสุด

 

            อรูปอัตตา ก็คือส่ิงที่ถูกรู้หรือรูป อย่างละเอียดลงไปถึงที่สุด สัญญา ย นิจจานิ ทุกอย่างไม่เที่ยง อย่างพระที่ท่านไปกันสองรูป เจอผู้หญิงตกน้ำ พระองค์หนึ่งก็อุ้มขึ้นมาเลย พระอีกองค์ก็ติดใจว่าผิดศีล พอช่วยเสร็จก็เดินกันออกมา พระอีกองค์ก็ติดใจว่าท่านทำผิดศีล ไม่อยากเดินร่วมด้วย พอมาถึงวัดก็ว่าท่านอุ้มได้อย่างไร ผิดศีล พระที่อุ้มผู้หญิง บอกว่าผมวางไปนานแล้วท่านยังอุ้มมาอยู่หรือ? ก็คือท่านมีกุศลจิต แต่ถ้าท่านมีอกุศล มีกามก็เป็นกิเลสของท่าน แต่อย่างน้อยท่านก็มีกุศลจิต

            คนที่มีอัตวาทุปาทาน ก็คือเข้าใจได้แค่วาทะว่าตนไม่มีอัตตา แล้วไปหาว่าคนอื่นยึดวาทะ แต่ตนเองได้แต่ยึดวาทะว่าอัตตาไม่มี แล้วคำว่านิรัตตาคือคนที่เข้าใจว่าอัตตาไม่มี

            ในสุริยเปยยาล ข้อที่ 5 คือทิฏฐิ คือ หลักการ หลักเกณฑ์ ซึ่งมีมากมาย เป็นล้านๆทิฏฐิ จึงไม่เที่ยง มีความเจริญได้ไม่จบ ตามหลักมรรคองค์ 8 ที่สัมมาทิฏฐิ เป็น

1.         ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา) .

2.        ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง)

3.        ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง) . . มีพลังงาน static แฝง

4.        ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค) . .

5.        ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น .

6.         องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) มีพลังงาน Dynamic แฝง

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 258)

            เมื่อปฏิบัติจะเกิดตัวชาญฉลาด รู้มีธัมวิจัย มีสายของสัมมาทิฏฐิ และมีองค์แห่งมรรค เจริญเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนสมบูรณ์แบบ

            ทิฏฐิ คือความรู้ความเข้าใจ ความเห็น จนเป็นทฤษฎีปฏิบัติ จนเป็นองค์ธรรมทิฏฐิก็เลื่อนขึ้นเป็น ตามลำดับ

 

            ต่อมาก็เป็น ความไม่ประมาท เป็นยาดำ หากประมาทเมื่อไหร่ก็เสร็จ พระพุทธเจ้าประมวลลงไปที่ความไม่ประมาท แม้คุณจะเก่งทฤษฎีอย่างไร ก็ต้องไม่ประมาท แล้วก็ต่อด้วยโยนิโสมนสิการ อย่าประมาท อย่าไปต่อให้ไม่เอา อย่าเสี่ยงอย่าประมาท ต้องให้ดีระมัดระวังถ่อมตนไว้ อย่าไปเอาเกินตน แล้วสุดท้ายถึงจะไปที่โยนิโสมนสิการ ถ้าไม่เข้าใจโยนิโสมนสิการ คุณจะไปปฏิบัติมรรคได้อย่างไร?

 

            ใน 73 ญาณนั้น มี ญาณที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 6 ญาณ ส่วนของสาวกบัญญัตินั้นมี 67 ญาณ

            สังกัปปะ 7 เป็นองค์ธรรมที่ต้องรู้ ตักกะ

            ตักกะคือตัวแรกเร่ิม ที่เกิด คุณต้องตามรู้ พอรู้ทันมาเป็นตักกะ คุณต้องวิจัย วิจาร ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถเข้าใจกิเลส กำจัดกิเลสได้ มันก็ลดลงจางคลายได้ เป็นวิมุติได้ แล้วก็ต้องรู้ในวิมุตินั้นเรียกว่า วิจักขณ์ ได้ วิ คือของสูง เจริญ เราล้างตัวที่โลกเขาติด จนไม่มี ก็เหลือแต่สิ่งที่อาริยบุคคลมี คนธรรมดามีไม่ได้ คำ วิ ใส่เข้าไปต่างๆ เช่น กามวิตก รู้กามได้เพราะมีวิตก วิจัย รู้ตัวการก็กำจัดกาม จนวิราคะ ไปเรื่อยๆ ปัจจเวกขณ์ ทบทวนไปเรื่อยๆ เมื่อทำได้แล้ว

            ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ คือกระบวนการปฏิบัติธรรมอย่างสมบูรณ์แบบ จะมี อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา คือการตกผลึก เป็นสมาธิ อัปปนาแน่วแน่ พยัปปนาแนบแน่น เจตโสอภินิโรปนาปักมั่น เป็นคุณสมบัติสูงขึ้น เจริญขึ้น นี่คือสมาธิ คือความตั้งมั่น โดยรู้ๆเห็นๆไม่ได้หลับตาเป็นสมถะ แต่มีวิปัสสนามีปัญญารู้แจ้ง มีทั้งเจโตที่ตกผลึกด้วย

            เมื่อกระทบสัมผัสมีปัญญาแยกนามรูปได้ มีธัมวิจัย ได้ตัวกิเลส แล้วก็กำจัดมัน วิธีการกำจัด มีวิกขัมภนปหานก็เป็นอัตโนมัตของคนก็กดข่มอยู่แล้ว มันมีราคะหล่นตลอดทางเลย ส่วนคนมีโทสะก็ตกหล่นตลอดทางเลย คุณก็ต้องเก็บงำไว้ให้ดี หรือเข้าใจว่าแสดงออกไปไม่ถือหรอกจริงใจธรรมชาติอย่างฝรั่งก็ว่าไป แต่คนเอเชียว่าไม่ได้ แต่อย่างไรก็ต้องมีความละอายเช่นกัน มันมีอยู่มันน่าอายทั้งนั้น มันมีก็อย่าไปประเจิดประเจ้อ แต่คนที่เขาไม่ถือก็ทำประเจิดประเจ้อไป

            ผู้ใดปหานด้วยวิกขัมภนะก็ได้ชั่วคราว ไม่มีพลังสลาย ด้วยไฟวิเศษ ไฟฌาน เป็นพลังความรู้ที่รู้ย่ิงเกินกว่าตัวอวิชชา ปัญญามันมีพลังงาน เป็นอุณหธาตุ เป็นพลังงานเหนือชั้นกว่ากิเลสได้ ทำให้กิเลสละลายไปได้ มีคุณสมบัติพิเศษ คำว่าฌา คือความรู้มีฤทธิ์ไปสลายกิเลส

 

            เร่ิมต้นมีวิปัสสนาญาณ มีอุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ส่วนอาการของการรู้ความไม่เที่ยง เป็นอนิจจตา มันถึงขีด หากคุณจะปรุงแต่งมันก็เพิ่มพลัง แต่ถ้าไม่ปรุงแต่งมันก็ลงได้ทุกคน ยังไงมันก็ลง ความฉลาดก็รู้ว่าเรายึด นอกจากยึดก็ปรุง หยาบ ไอ้บ้า มันบ้าจริงๆ แต่ถ้าคุณไม่เพิ่มคุณจะชะลออย่างไรมันก็ลง จะชะลออย่างไรมันก็ลง คุณอย่าไปเติมมันก็แล้วกัน เร่งทางจิตแล้วก็หามาบำเรอมันอีกมันก็อ้วน กี่เด้ง ทุกคนก็เคยมาทั้งนั้นเลย

             อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ คือตัวเริ่มรู้ว่ามันอย่างไรก็จบก็ลงแต่คุณโง่เองที่ไปเติมมันเอง คุณเพ่ิมมากเท่าใดมันก็ตกตะกอนเท่านั้น แต่ถ้าคุณไม่เพิ่มมันก็ลดลง

            ภังคานุปัสสนาญาณ ภังค คือการแตกทำลายเลิกล้มไป มันมีแต่พังกับพัง ความฉลาดเราจะสูงขึ้น ไม่ใช่ไปบังคับให้ฉลาดนะ หากไม่เกิดก็ยังไม่เกิด แต่ถ้าปฏิบัติก็จะเกิดญาณ มีแต่มาหาพัง แล้วเราก็ไปประคองรักษาให้มันต่อไปได้อย่างไร สักวันมันก็ต้องล้มละลายทำลายเลิกล้มไปสักวัน ต้องมีญาณปัญญารู้ฉลาด และฉลาดเหล่านี้เกิดจากฉฬายตะ คือฉลาดทางทวาร 6

            ถ้าชอบแล้วเอามาเสพเสวยก็พัง แต่ถ้าไม่เสพเสวย รู้ว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นก็ลดวางได้แต่ถ้าจะเอาให้ได้ก็พยาบาท ใส่อาสวะอนุสัยเลย แต่ถ้าวางก็ไม่ติดยึดติดใจ ก็ไม่มีพลังต่อ ปฏิบัติง่ายๆก็คือ สัมผัส รู้ นิ่ง เฉย วาง ก็ดีคุณไม่ต้องใส่พลังดูด ตกตะกอนเพ่ิมแต่คุณไม่รู้จักว่ากิเลสมันมีลีลาบทบาทอย่างไร คุณได้แต่สมถะ แต่ไม่เกิดปัญญาลึกละเอียด เป็นญาณปัญญาโดยลำดับ ก็จะเห็นอนิจจัง

            ถ้าคุณยึดไม่วางมันก็ตกตะกอนหมักหมมในอนุสัย แต่คนเราไม่รู้หรอกว่าเราสะสมลงในอนุสัย คุณไม่ศึกษาก็ไม่รู้ ว่าตนเอาลงใส่อนุสัยไหม? เข้าใจว่าช่างมันเถอะ

            ภยตูปัฏฐานญาณ คือญาณที่รู้และกลัวว่ามันไม่น่าได้น่ามี คนที่ไม่ได้แล้วคุณจะผลัก ไม่เอาแล้วชังแล้ว แม้แต่ใครอยู่ใกล้เราเราก็ไม่อยากให้อยู่ นี่คืออัตตาที่ซ้อนขึ้นมาเป็นตัวกูของกู ยิ่งลูกนี่ว๊ากเลย เอามาทำไม? ที่ตัวเองกว่าจะเอาออกได้ สรุปแล้ว เราสูงขึ้นก็จะเห็นเป็นโทษ

            อาทีนวานุปัสสนาญาณ​มันมีแต่โทษกับโทษ ไม่ใช่คุณ จะเห็นว่าเรานี่ไปแบกเอาสิ่งที่มันเป็นความไม่ดีไว้ ไปหลงว่าเป็นความดี คุณจะฉลาดชัดขึ้น เมื่อเห็นโทษก็นิพพิทา

            นิพพิทานุปัสสนาญาณ เบื่อหน่ายคลายจาง

            มุญจิตุกัมยตาญาณ คือปลดปล่อยวาง วางด้วยปัญญา ไม่ได้กดข่มเลย

            สั่งสมเป็นอเนญชาภิสังขาร จึงเกิดสังขารุเปกขาญาณ เรายิ่งเฉยยิ่งวางก็ยิ่งบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น จิตก็มุทุกัมมัญญาจิตหัวอ่อนปรับให้ดีง่ายเร็วไว มีการงานอันเหมาะควรมากขึ้น เพราะเรามีความชำนิชำนาญมากขึ้นๆ แกล้วกล้าๆ

            ผู้ที่ท่านทำได้แล้วก็จะประมาณเก่งขึ้น ไม่ทำเพื่ออามิสใดๆ ก็จะมีแต่จะทำน้อยลง พระพุทธเจ้าก็เลยต้องเข็นไม่ให้สันโดษในกุศล

           

            นามรูปปริเฉทญาณ คือ มีญาณ รู้ นาม รูป

            ปัจจยปริคหญาณ คุณต้องรู้ว่าทุกอย่างมาแต่เหตุปัจจัย

            ในอริยสัจ 4 ทุกข์ มีเหตุคือ สมุทัย คือตัณหา แต่ถ้าปฏิบัติจะได้ผลนั้น ต้องมีสมุทัย คือ ผัสสะ เมื่อคุณสามารถมีญาณ นามรูปฯ และปัจจยฯ ก็จะมี

            สัมมสนญาณ รู้เห็นความวนเวียน ทุกอย่างมีแต่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทั้งนั้นเลย

 

            ส่วนท้ายอีก 4 ในญาณ 16 ก็มี

13.โคตรภูญาณ ญาณรู้หัวต่อ ตัดโคตรขึ้นสู่อาริยภูมิ คือญาณตัดโคตร  อย่างมาบวชหรือมาอยู่กับหมู่มิตรดี ก็ตัดโคตรบุคคลเลย แต่กิเลสคุณยังไม่ได้จางคลายแต่ตัดโคตรศีล ตั้งใจมาทิศนี้แล้ว แต่จิตของเราไม่ได้ตัดโคตร คุณก็มาปฏิบัติ จนโคตรแห่งผีอบาย เปรต อะไรก็ตาม ไปติดดอกจำปาที่โต๊ะนี่ เราประทับใจดอกจำปาเราก็ติดโคตรดอกจำปา จนกว่าคุณจะมาล้างทำลาย ความติด ก็ตัดโคตรทางจิต ไม่เหลือโคตรแห่งสัตว์ คุณเปลี่ยนโครตแห่งสัตว์ เป็นโคตรตระกูลของเทวดาที่ไม่ใช่เทวดาสมมุติ ที่ไปเข้าใจว่าได้ใหญ่ได้เบ่งได้เสพสุขเป็นตามสมมุติโลกกิเลสก็หนาๆๆ แต่ว่านี่กิเลสลดๆๆ คุณก็ต้องมีญาณ มีโคตรภูญาณ คือญาณรู้ว่าคุณหมดกิเลส มีจิตวิมุติ แต่วิมุติญาณทัสสะคือจิตรู้ว่าคุณตัดโคตร ญาณที่รู้ว่าเราจบกิจแล้ว เป็นกตญาณ นี่คือตัวแท้ตัวจบ 

14.มัคคญาณ ญาณรู้ภาวะของอริยมรรคแต่ละขั้นๆ

15.ผลญาณ ญาณรู้ผลสำเร็จแห่งการเป็นพระอาริยะ

16. ปัจจเวกขณญาณ ญาณหยั่งรู้ทบทวนตรวจสอบ มรรคผล  และบริบทแห่งความสำเร็จทุกอย่าง

 

            ได้แล้วยังมีญาณรักษาผลอีก คือ อรูปฌาน 4 มีการตรวจสอบ รักษาผล เป็นอนุรักขณาปธาน คำสอนพระพุทธเจ้าทุกทฤษฎีไม่มีบกพร่องเลย ไม่มีแย้งได้เลยอุดทุกรูทุกประตูเลย

            ใครเคยใช้สำนวนนี้ไหม? ว่าเธอยังจำความรู้สึกดีๆได้ไหม? นี่แหละ สัญญาคือการกำหนดหมาย มุ่งหมายอย่างนี้ ถ้าได้แล้วก็จำไว้ ถ้าจะดึงเอาของเก่า แล้วคุณดึงไม่ขึ้น มันก็ไม่ขึ้นมา แต่มันไม่หายไป มันอยู่ในฮาร์ดดิสก์ แต่ว่าซุกซ่อนไว้ ออกมาไม่ได้ตอนนี้ คุณปฏิบัติธรรมแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ อาตมาไม่กลัวว่าจะระลึกชาติไม่ได้ อย่างพระพุทธเจ้าระลึกชาติได้ แต่อาตมาไม่มาพรึ่บ ทะยอยมา

            อาตมาเอาสัญญา 10 ของสองสูตรมา

            สูตรแรกขึ้นต้นด้วย อนิจจสัญญา อีกสูตรขึ้นต้นด้วย อสุภสัญญา

            มีแปลมาหลายเจ้า แต่ท่านพรหมคุณาภรณ์ แปลไม่เหมือนคนอื่น

 

            ใน10 สัญญานี้ไม่มีอนัตตสัญญา แต่ของท่านพรหมคุณาภรณ์นั้นมีสัญญา 10ประการเป็นไฉน คือ อนิจจสัญญา 1 อนัตตสัญญา 1 อสุภสัญญา 1 อาทีนวสัญญา 1 ปหานสัญญา 1 วิราคสัญญา 1 นิโรธสัญญา 1 สัพพโลเกอนภิรตสัญญา 1 สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา 1 อานาปานัสสติ 1

 

            การกำหนดหมาย หลักจริงๆคืออสุภะ ไม่น่ายินดี จนกว่าคุณจะพบว่าไม่น่าอาศัย เป็นเรื่องหนัก ทุกอย่างจะเสื่อม รักษาไว้ไม่ได้ ถ้าเสื่อมน่าเกลียดก็เน่า ไม่มีอะไรเที่ยง อสุภะ หากผู้ใดเห็นอสุภะก็น่าชัง ก็ไม่อยากเป็นไม่อยากมี แล้วหนักเข้าคุณก็เลยฆ่าตัวตาย มีพระหลายรูป ที่พิจารณาอสุภสัญญา แล้วไม่อยากอยู่แล้วก็เพราะจ้างคนมาฆ่าตัวเองตาย            


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:55:47 )

570620

รายละเอียด

570620_รายการธรรมาธรรมะสงครามที่สันติฯ โดยพ่อครู เรื่อง กายและสัญญาอันลึกซึ้ง ตอน 2

รู้สึกไหมว่า ช่วงนี้อาตมาบรรยายปรมัตถธรรมที่ลึกซึ้งละเอียดมากขึ้น แล้วเข้าใจดีขึ้นไม?

 

อาตมามั่นใจว่าพวกเรามีภูมิสูงขึ้นจึงรู้ตามได้ เพราะอาตมาบรรยายนี่รู้ว่ามันลึกซึ้งละเอียดซับซ้อนแค่ไหน? ซึ่งก็ต้องพยายามฟัง ถ้าฟังแล้วรื่นเริงในธรรมดีก็ต้องเยอะขึ้น แต่วันนี้น้อยลงๆ ก็คือไม่ค่อยรู้เรื่อง

 

อาตมาก็ตั้งใจพยายามมากอยู่นะ เห็นใจ เข้าใจรู้อยู่นะว่าไม่ง่ายก็เร่งเครื่องตอนนี้ช่วยกัน พวกเราก็ช่วยกันก็พอได้ อาตมาควักธรรมะสูงๆละเอียดๆ ยิ่งเห็นว่าสุดลึกล้ำ ประเสริฐ ของพุทธรรม โลกหรือสังคมถึงทุกข์หนักขนาดนี้ มันต้องแก้ไขด้วยโลกุตรธรรมเท่านั้นยิ่งยุคนี้ แก้ไขด้วยอย่างอื่นไม่ได้ เพราะเรื่องโลกก็รู้เท่าทันกันแล้ว เหมือนมวยชกฝีมือพอกัน ใครเผลอก็แพ้ แล้วก็ผลัดกันแก้ชนะ เป็นสมบัติผลัดกันชม มันเก่งขึ้นชำนาญขึ้นก็รู้เท่าทันกันได้เรื่อยๆ

 

อาตมาก็ต้องพยายามเร่งเครื่อง เพราะต้องให้ทันกับทางโน้น ให้พวกเราไม่หลุดไปเป็นเหยื่อโลกีย์ ดูอย่างฟุตบอลโลกนี่ก็คลั่งใคล้กันหนัก อาตมานี่ไม่เป็นอันกินอันนอนเพราะทำงาน แต่่ว่าที่เขาทำนี่มันยิ่งกว่าอาตมานะ ไม่กินไม่นอน ลืมกินลืมนอน น่าสังเวชใจ แต่ว่าไร้สาระ เสียเวลาเงินทอง ข้าวของ ได้แต่เสพรส กิเลสหนาขึ้นก็สูญเสีย

 

ทำให้เห็นโทษภัยกิเลสที่หนาขึ้นๆ เขาไม่รู้ เขานึกว่าได้ ได้เสพรส ได้สุขสะใจมัน อาตมาเห็นเขาเชียร์เวลาเข้าโกลทีหนึ่งก็ตีลังกา กอดรัดฟัดเหวี่ยง ปีติแรง แสดงออกเต็มที่ ยิ่งคนเตะในสนามเองก็ขนาดหนักเลย

 

คำว่าอาริยะที่เราตั้งภาษา ว่าเป็นพุทธธรรมสัมมาทิฏฐิแท้ๆต้องประกาศให้รู้ ซึ่งแตกต่างกันมากระหว่าง 3 คำ

คำว่า อาริยะ อริยะ และอารยะ

ภาษาอังกฤษว่าคือ ศิวิไลซ์​หมายถึงคุณงามความดีทั้งนั้น แต่เขาทำที่ต้นเหตุไม่ได้ แต่ของพุทธนี่ทำให้ถึงต้นเหตุได้ สนิทเลย รู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ของแต่ละคนๆ ต้องประมาณให้ดี

 

คำว่าอารยะ นี่โลกเขาก็ว่าเป็นเรื่อง ผู้ไปติดยึดวัตถุวิสัย โลกกว้าง ส่วนทางด้าน อริยะ โต่งไปทางจิตวิสัย ไม่สนใจภายนอก เอาแต่ดิ่งสดับไปทางจิต ลึกไปสร้างวิมานปั้นเองในจิต

แต่คำว่า อาริยะนี่สมดุล ไม่ทรมานร่างกายด้วย ไม่เสียทุนรอนแรงงาน เวลา ประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย พอเพียงด้วย ตามพระเจ้าอยู่หัว ประหยัด

 

พวกที่มีบารมี แต่ว่ามีวิบากไม่ได้เจอ อยู่ต่างประเทศก็มี เราก็มีหน้าที่ทำตัวเรา แล้วก็รวบรวมกับหมู่กลุ่ม จะเป็นไปเอง น้ำไหลไปหาน้ำ  น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน

 

เหตุใหญ่ผู้ที่ศึกษาทางจิต มีอัตตา ไม่ต้องพูดถึงพวกอัตวาทุปาทาน ได้แต่ภาษาว่าอัตตา แต่ไม่ได้สัมผัสความเป็นอัตตาทางสภาวะนามธรรม ดีไม่ดี บางคนอัตวาทุปาทานจัดหนักว่า ถ้าใครไปพูดถึงอัตตา คนนั้นแหละมีอัตตา เขาอยู่ในลัทธิ อัตตาไม่มี เขาหาว่าเราหลงอัตตา เขาว่าอัตตาไม่มี ถ้าใครเห็นว่าอย่างนี้คืออัตตา เขาว่าผู้นั้นไม่สัมมาทิฏฐิ เขาว่าอะไรก็ไม่ใช่อัตตา มันไม่มีซักอย่าง อะไรก็ไม่ใช่ พวกนี้ก็ตัดไปเลย หมดทางบรรลุธรรมเป็นอุจเฉทิฏฐิ

 

พวกเราเข้าสู่สัมมาทิฏฐิมาแล้ว แต่ไม่บริบูรณ์ได้ง่ายๆ ความเป็นสัมมาทิฏฐิจะเจริญไปตามลำดับ สัมมาทิฏฐินี่ตรงที่สุดสั้นที่สุด เป๋ไปหน่อยก็แวะทั้งนั้น ไม่มีอะไรเกินกว่านี้ คุณมีภูมิเท่าไหรก็ได้เร็วเท่านั้น ถ้าตรงที่สุดระยะทางสั้นที่สุด สัมมาทิฏฐินั่นเอง

 

ในการฟังธรรมนี่นะ จะมีอานิสงส์ 5 ประการคือ

1.ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง บางทีพูดมาร้อยครั้ง แต่ครั้งนี้เพ่ิงเอ๊ะเหมือนเพิ่งเคยได้ยิน อาตมาพูดจนเมื่อยแล้ว หรือรู้เรื่องแต่ไม่ชัดเจนลึกซึ้ง ไอ้ที่ลึกซึ้งขึ้นนี่แหละใหม่ ยิ่งไม่เคยได้ยินนี่แหละแต่คราวนี้เข้าใจมากนี่แหละใหม่

2.ความชัดเจน จากได้ฟังใหม่ เข้าใจยิ่งขึ้น

3.ลดความสงสัย คลางแคลง

4.ทิฏฐิก็ตรงขึ้น ในปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ สัมมาทิฏฐิ ก็จะเจริญขึ้น

5.

 

            วิตก วิจัย วิจาร วิมุติ วิจักขณ์ ก็จะเจริญขึ้นตามลำดับ

 

อาตมาพยายามยืนหยัด ตรวจสอบตามพระไตรปิฎก ยิ่งเห็นจริง ได้มาเรื่อยๆ อาตมาก็เอามาปะติดปะต่อกัน ได้รายละเอียดเพ่ิม ให้พวกเราปฏิบัติ จนมีปรากฏการณ์จริง มีสังคมมีพฤติกรรม เป็นองค์รวมของพฤติกรรมสังคม

 

มีความบริสุทธิ์ขึ้น สัมมาอาชีพมากขึ้น ตั้งแต่ ละจาก กุหนา ลปนา เนมิตกตา นิปเปสิกตา จนพ้นลาเภนลาภัง นิชิคิงสนาตาได้

 

พวกเราก็ตรวจสอบตามสิ ว่าตรงไหมตามพระอนุสาสนีย์ของพระพุทธเจ้า  เช่นตรงกับ วรรณะ 9 กถาวัตถุ 10 ตรงไหม?

ตัวสำคัญก็ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ถ้าธรรมวินัย 9 ก็มีให้ตรวจสอบ

 

วรรณะ 9

1.         เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.        บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.        มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)

4.        ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ซึ่งเขาแปลกันว่าพึงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ ก็ให้ไปถามวอเรน บัฟเฟต หรือบิลเกตต์ เขาก็พอใจสิ่งที่เขามีอยู่ เขาไม่ผิดกม. ไม่ผิดวัฒนธรรม ยอมรับกันได้ เขาไม่ผิดสมมุติสัจจะ แต่ไม่ถูกปรมัตถสัจจะ ดีไม่ดีบอกว่าเท่จะตาย ทำทานทีละ 80 % ของสิ่งที่เขามี เขาเหลือแค่ 20 % คุณก็ตามไม่ทันเขา เหลือเป็นแสนล้านมาออกดอกอีก ได้เปรียบไม่รู้กี่ต่อ พวกนี้นอกจากลูกหลายมาผลาญ จึงหมด ไม่อย่างนั้นไม่มีหมด เรียกว่าทุนนิยม มีเยอะ แก้ยาก สำหรับคนติดยึดในบัลลังก์ อย่างทักษิณนี่เขาเอาแต่ดอกผลมาใช้ก็เหลือแหล่แล้ว

5.        ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.         เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.        มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.        ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.        ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

 

ผู้ที่เสียสละไม่ถึงจิตจริงๆนั้นไม่ง่าย เพราะตัวตนมันมี ต้องค่อยๆฝึกปรือลดละไป ผู้ใดปัญญาคมชัด แล้วกล้าตัดสินกล้าละวางกล้าปล่อยก็จะไปได้เร็วง่าย ก็สู้กับตัวเอง ยิ่งอยู่กับมิตรดีสหายดีสิ่งแวดล้อมดีด้วย คุณสู้อยู่กับตัวเองเท่านั้น ส่วนข้างนอกก็ไม่กังวล ยิ่งเราไม่เกียจคร้านทำมาหากินด้วยแล้ว ก็เหลือแต่ตัวเองจะใจกล้าตัดไหม?อธิบายให้เห็นว่าเราบกพร่องตรงไหน แล้วควรเพ่ิมตรงไหน ถึงได้ดีได้เร็ว กำลังทางจิตจะมีเพ่ิมขึ้นจริงๆ

 

เมื่อวานได้พูดถึงสัญญา 10 ก็พูดถึงไม่มาก

1.อสุภสัญญา คือความไม่น่ายินดี แต่ถ้าเลยเถิดไปพระก็ไปฆ่าตัวตายเหมือนสมัยพระพุทธเจ้า  เป็นการกำหนดความไม่น่ายินดี ไม่น่าชื่นชม ไม่น่าเป็น

2.มรณสัญญา กำหนดรู้ ความตายคืออะไร มันตรงข้ามกับความเป็นคือ ชีวิตินทรีย์ แต่ที่ตายจริงๆคือนิโรธ คนจะไม่กลัวมรณะก็เพราะรู้ว่าความตายเป็นไปตามเหตุปัจจัย รวมทั้งวิบากด้วย ก็ไม่ติดใจมาก

3.อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือกำหนดรู้ในเครื่องอาศัยต่างๆ แม้อาหารคือคำข้าวก็ไม่น่ายินดีหรอก อาตมาเคยให้พิจารณา เคี้ยวให้แหลกๆผสมน้ำลายแล้วก็คายออกมาพิจารณาแล้วก็เอาเข้าไปเคี้ยวใหม่ หรือสมณะนี่ฉันเสร็จก็ให้ใช้น้ำล้างบาตรมาเทใส่ฝาบาตรมาฉัน บางคนไม่กล้ากิน เพราะว่ารังเกียจทั้งที่อาหารเหมือนกัน มือตนเองแท้ๆก็ไม่กล้าดื่มน้ำล้างบาตรด้วย คนเรามันติดยึด ก็ให้พิจารณาว่าไม่ใช่ของสกปรก ไม่มีเชื้อโรคก็ไม่น่ามีปัญหา จะใส่เสื้อเก่าหมองแต่สะอาดไม่มีเชื้อโรคจะเป็นอะไรไป เราจะต้องพิจารณาเครื่องอาศัย จริงๆแล้วมันจะเปลี่ยนรู้ไปสู่ความเป็นปฏิกูลทั้งสิ้นแต่ว่ามันมีสิ่งที่เป็นพิษในนั้นไหม ถ้าไม่มีพิษก็อาศัยมันได้ คนไม่ติดยึดอะไรมากก็อยู่ง่าย เลี้ยงง่าย หรือบางอย่างมีเชื้อแต่ไปช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้

4.สัพโลเกอนภิรตสัญญา คืออะไรทั้งหลายในโลกไม่มีอะไรน่ายินดี แม้ขันธ์ 5 ที่สะอาด แต่อย่าเลยเถิดเหมือนนักบวชที่ไปจ้างคนมาฆ่าตัวเอง ทุกสิ่งไปถึงที่สุดที่ความไม่มีเป็นที่สุด แต่ในฐานะที่คุณมีจิตนิยามเป็นอัตภาพแล้วคุณต้องเข้าถึงสภาวะตั้งแต่ความไม่มีตัวตนในอบาย กาม ในโลกธรรม ในอัตตา ว่ามันยึดตัวตนอย่างไร เราไม่ยึดอย่างไรเป็นตัวอย่างมาตั้งแต่หยาบมาแล้ว แม้ที่สุด รูป อรูปคุณก็ไม่ยึด มีแต่สัญญา ปัญญาเราก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา สัญญาเราก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา แต่เราต้องอยู่กับสัญญา มันจะแยกจากเราก็ไม่มีปัญหา การพูดนี่เป็นบัญญัติภาษา แต่สภาวะนั้นรู้จริงว่าเราไม่ยึดตั้งแต่อบายมาแล้ว คุณต้องเข้าใจเรียนรู้สภาวะละเอียด ไม่ใช้แค่บัญญัติปากเปล่า อย่างไรก็ตาม อนาคามีก็เบาสบายแล้ว มีสิ่งส่วนเหลือส่วนตัว ถ้าวางไม่ได้ก็เหลืออยู่ ส่วนอรหันต์แล้วปรินิพพานได้ เหมือนแยกธาตุได้ ธาตุน้ำสลายเป็น Hydrogen กับ Oxygen ได้ ไม่เป็นน้ำแล้ว จนกว่าจะมีเหตุปัจจัยก็มารวมเป็นน้ำอีกได้ ผู้แยกธาตุน้ำเป็นแก๊สได้

5. อนิจเจทุกขสัญญา คือกำหนดรู้ความไม่เที่ยงนี่เป็นทุกข์ยึดเอาไม่ได้ ไม่อยู่กับร่องกับรอย

6.ทุกเขอนิจจสัญญา คือกำหนดรู้ว่าทุกข์ไม่เที่ยงหายไปได้ แต่ก่อนเราหลงว่าน่ามีน่าได้น่าเป็นเป็นสุข ต่อมาเราไม่ติดยึดได้ สุขก็ไม่มีทุกข์ก็ไม่มี สุขเป็นปลายทางแห่งทุกข์ตอนอยากได้นั่นแหละเป็นทุกข์ หากดับเหตุแห่งทุกข์ได้ สุขก็ไม่มี มันก็จะมีสัญญาได้จำได้ว่าเราเคยสุข แต่ถ้าวางได้แล้ว เหมือนเงินก็คือสิ่งใช้สอย เราก็ใช้ได้ถ้าจำเป็น หากไม่จำเป็นต้องใช้ก็เบาสบายดี เราก็รู้จักเก็บงำรู้จักใช้ ไม่กลัวจะพร่อง ของเรามีมิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีก็จะพิสูจน์ใจเราอย่างยิ่งเลย ขณะนี้สังคมอโศกกำลังขัดเกลากันอย่างดีเลย หวงแหนกันพอเหมาะ แต่อีกหน่อยจะหวงหนักกว่านี้แต่ก็อนุโลมมากกว่านี้ ไม่พอเหมาะเหมือนตอนนี้ พูดนี่ไม่ได้หลอกล่อนะ พูดสัจจะ

คนไม่มีตัวตนก็จะรู้ว่าทุกข์ไม่มีได้ หายไปได้ ดับเหตุแห่งทุกข์ตัวทุกข์ก็หาย สุขก็หายไปด้วย เป็นของแถม เท่ากับได้หมดเลย เมื่อดับเหตุได้ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความสามารถอีก แม้นิพพานเราก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา นิพพานคือการดับแต่เรายังมีอยู่นี่ เราก็อาศัยไป หรืออนุโลมไปช่วยเขา มันก็มีอยู่ ภาษามันไม่พอ กลับไปกลับมาอยู่ แต่ใจเราสิจะรู้ว่าเราไม่ติดยึด

7.อนัตตสัญญา

8.ปหานสัญญา

9.วิราคสัญญา

10.นิโรธสัญญา

 

ถ้าปหานเป็นเราก็จะรู้ว่าเราทำได้จางคลายได้ พวกเราไปตรวจสอบสิว่าเราได้จางคลายตัวไหน แล้วเราก็จะรู้ว่าเราได้พิจารณาอย่างไร ก็จะรู้แนวทาง รู้เหลี่ยมมุมมัน มันไม่มีตัวตนแต่มีเหลี่ยมมุมในการปฏิบัติของเรา พระพุทธเจ้า ให้กำหนดรู้ตั้งแต่ความไม่เที่ยง อนิจจานุปัสสี

 

แต่มันยังมีดีกว่านี้อีก ถ้าคุณมีสภาวะรู้ ถ้ารู้ละเอียดก็จะรู้ว่ายังเหลือละเอียดอีก มันมีอาการไหวให้เรารู้ได้ คนสายเจโต หัดสมถะเก่งๆจะช้า เพราะว่าไปนิดหน่อยก็กดข่มได้ ก็นึกว่าหมด แต่แท้จริงกดข่มไว้ สายปัญญาก็จะไม่กดไว้ก็จะเห็นว่ามันยังมีอยู่นะ ก็เลยต้องทำต่อ

 

สายสัทธานุสารีจะช้ากว่าปัญญานุสารี ครึ่งเท่า ก็ต้องตามตรวจสอบไป เป็นจริงได้ คุณจะตัดสินเองว่าตนหมดไหม คุณตัดสินเผื่อไว้ดีกว่า คนที่พ้นแล้วหมดแล้ว มันก็มีแต่ส่วนที่จะเจริญ​สัพพปาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา จะมีอัตราการก้าวหน้าทวี ส่วนที่เผลอทำก็จะรู้ทัน แต่อย่าประมาท คุณทำไมจะต้องไปลอง โดยสัจจะไม่ทันอยู่แล้วแต่อย่าประมาทว่าวิบากเก่ายังตามมาอยู่เหมือนหมาไล่เนื้อ ขนาดพระโมคคัลลานะก็ยังมีวิบากตามทัน

 

แม้เป็นพระพุทธเจ้า มีกุศลมากมาย ยังต้องรับวิปากทุกข์เลย อกุศลแม้ประมาณน้อยอย่าทำเสียเลย ยิ่งน้อยยิ่งทำง่ายแล้วไปทำมันทำไม ประมาท มันหลอกซ้อนว่าเอาหน่อยน่า นิดเดียวเอง ก็หลอกเราเรื่อยๆไป เราต้องทำนิโรธแล้วก็ทำนิโรธซ้อนจนยืนยันบริบูรณ์สุดท้าย

 

การสัญญาที่ได้ใช้ ปฏิบัติให้เกิดปัญญา แล้วก็มีพลังปัญญาที่จะสามารถชนะกิเลส กิเลสก็คือพลังงาน แต่ปัญญาก็เป็นพลังงานมาเอาชนะได้ ตามวิปัสสนาญาณ​16 ที่อธิบาย มีอำนาจ คมแม่นชัดเจน ตรงชัดขึ้น

 

กลับมาดูความเป็นสัตว์ ใน วิญญาณฐีติ กับสัตตาวาส 9

 

1.      สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

2.      สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น  คือการกำหนดฌาน การกำหนดของเจโต กับปัญญาก็กำหนดว่าไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน แต่ถ้าไปนั่งสมาธิหลับตานั้นไม่ใช่สัมมาทิฏฐิเลย แต่ฌานมีเงื่อนไขว่าปราศจากนิวรณ์เป็นหลักเลย

 

กายหมายถึงทั้งรูปและนาม เป็นสภาวะขององค์ประชุม พระพุทธเจ้า ว่าไว้ ในสัตตาวาสข้อ 1 สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า สัตว์ในที่นี้หมายถึงสัตว์ทางปรมัตถธรรมแท้ๆไม่ไห้หมายถึงสัตว์ที่มีรูปร่างเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ไม่ใช่เรื่องเห็นด้วยตาเนื้อ แต่สำหรับคนที่เข้าใจว่ากายคือรูปร่าง ไม่ได้ชัดเจนว่ากายนี้หมายถึงจิตใจ ที่เป็นความรู้สึกหรือธาตุรู้ เวทนาก็เป็นกาย จิตก็เป็นกายได้ แต่ไม่ได้ขาดจากภายนอก

 

กายในกายเป็นใจแล้วแต่เป็นสิ่งถูกรู้ ถูกรู้ว่า เป็นเวทนา เป็นอารมณ์ เป็นสุขหรือทุกข์ คุณยังไม่เจาะลงไปในเวทนา ว่าเหตุแห่งสุข ทุกข์เป็นอะไร? ยังไม่ล่วงล้ำ ตอนนี้เวทนาเป็นเพียงรูปกายที่ถูกรู้เท่านั้น

แต่พวกนั่งหลับตาจะตัดทวารนอกทิ้งไปเลย มีแต่ในภายใน การเรียนรู้สติปัฏฐาน 4 จึงไม่ได้ศึกษากาย ไม่ได้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรมได้ในทันที โดยเฉพาะกายก็เห็นแต่รูปร่าง ส่วนเวทนาก็ไม่ครบมโนปวิจาร 18 เพราะขาด ทวาร 6 ไม่ได้ พอเลื่อนไปจากกายในกาย ก็ไม่ขาดจากภายนอก สติปัฏฐาน 4 ของผู้เรียนรู้ในภวังค์ก็ไม่ได้ศึกษาตาม พระพุทธเจ้า สอน มโนปวิจาร 18 ก็ไม่ครบ ซึ่งต้องเรียนรู้ครบทวาร 6 ว่าจะปฏิบัติจากเคหสิตเวทนามาเป็นเนกขัมสิตเวทนาจึงจะได้ผลตรงตามพระพุทธเจ้า สอน นี่เพราะเข้าใจคำว่า กายผิดจริงเทียว เลยปฏิบัติไม่เป็น พระไตรฯล.16 คุณก็โยนทิ้งเลย ไม่ได้ผล

 

เมื่อไม่รู้แจ้งในกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตคุณก็ไม่สามารถรู้ได้ ไม่รู้เจโตปริยญาณ 16 เพราะว่าทำได้อย่างพร่องๆ เป็นเพียงสัญญาเอามานึกคิด ปฏิบัติก็ไม่ได้โยนิโสมนสิการ ที่เป็นแดนเกิด ทั้งนอกและใน ไม่มีตาหู จมูก ลิ้น กายใจครบ มันมีแต่สัญญา เพราะมิจฉาทิฏฐิทั้งคำว่า กายและสัญญา

 

การเห็นความเป็นสัตว์ของผู้สัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิจึงต่างกัน นี่คือ กายต่างกัน สัญญาต่างกัน อย่างปุถุชนก็เห็นแต่ผีคือรูปร่าง อยู่ข้างนอก ไม่เห็นในใจตนว่าตนมีผี ย่ิงไกลลิบเลยที่จะไปสู่ปรมัตถสัจจะ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เห็นด้วยปัญญาอันยิ่ง  อย่างสำเร็จอิริยาบทอยู่  คือโต้งๆเป็นปัจจุบันนี้

           

สัญญา ก็ต่างกัน คือกำหนดหมายว่ามนุษย์ก็มีแต่รูปร่าง ซึ่งอาตมาว่าไม่ใช่เท่านั้น ร่างกายเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นเดรัจฉาน เขาถึงเขียนภาพหัวเป็นสัตว์แต่ตัวเป็นคนใส่สูท คุณไม่ได้รู้ว่า ผี เทวดา ที่แท้อยู่ในจิตใจ

ส่วนเทวดาก็สมมุติกันต่างๆ ของไทย ของฝรั่งก็สมมุติของตนไป สัตว์นรกสัตว์วินิบาตก็จะเห็นต่างกันไป เขาเห็นได้แค่เป็นรูปร่างสรีระ พอไปนั่งหลับตาไปก็เกิดเห็นเข้า หรืออธิบายอย่างธรรมกาย อธิบายว่าใส เป็นรูปร่าง ใสขนาดนี้เป็นโสดาบัน ใสมากขึ้นเป็นสกิทาคามี ใสกว่านี้เป็นอนาคามี เหมือนกันกับการปั้นอากาสานัญจายตนฌานของฤาษี มันโล่งว่างบางเบา

 

กายที่เขาเห็นเป็นรูปร่างโครงสร้างสรีระ นั่งหลับตาเห็นเข้าเห็นสัตว์นรกเทวดาสัตว์นรกเป็นตาทิพย์ ทั้งที่่จิตไม่มีสรีระ อาตมาอธิบายว่าพอตายลงปุ๊ป คนมีสัญญาว่าตายไปจะเห็นรูปร่างเหมือนคนตายเดินโย่งๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น คนเกิดมาก็ต้องรูปร่างอย่างนี้คงที่ตลอดไปสิ รูปร่างเดินออกจากร่างไป แล้วเกิดมาก็ต้องคงเดิมสิ แท้จริงมันอสรีรัง ต้องกำหนดรู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต ของใครก็ของใคร

 

คนตาบอดเขากำหนดรู้ทาง ทวารอื่น เขาก็ประมาณเอาจากสัมผัสเท่านั้น คนจะไปรู้ว่าช้างเป็นอย่างไร คนตาบอดก็สัมผัสให้มากที่สุด จึงจะรู้ บางคนสัมผัสแต่ปลายงวงก็ว่ารู้แล้วว่าช้าง หรือหางม้าต่างจากช้างนะ หรือสัมผัสรู้ว่าแบงค์ ห้าต่างจากแบงค์ 20 ได้นะ คุณไม่รู้เหมือนเขาหรอก จะรู้ได้เหมือนเขาก็จะต้องไปตาบอด มันจะมีมุมเหลี่ยม เหมือนคนเล่นไพ่นี่ชำนาญมากก็จะรู้

 

ผู้ที่ไปกำหนดสัญญา ได้รูปแค่สัญญา จึงไม่ครบไม่สดไม่แท้ ได้แค่เบาบางในนั้น แต่ว่าเจอของจริงมันหนักกว่าเยอะ คุณต้องลดละไปตามลำดับ มีผัสสะ นอกแล้วทำวิญญาณผีให้ตาย ให้ตายสนิทยังไงไม่เกิดอีก อนาคามีไม่จำเป็นต้องหนีหลบไปในรูปภพอรูปภพ แต่อยู่กับกามภพแล้วก็เหนือกามภพ แม้ปฏิบัติรูปราคะ อรูปราคะก็ต้องมีกายที่มีข้างนอกอยู่พร้อม พระพุทธเจ้า จึงตรัสบังคับเลยว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

วิโมกข์ 8

 

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

 

นาม คือ ตัวรู้ การได้รู้ได้เห็น นี่คือนามแล้ว รูปี รูปานิ ปัสสติ คือผู้มีรูปทั้งหลาย ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย คุณก็ต้องฝึกให้เห็น รูปทั้งหลาย ส่วนข้อ 2นี้อธิบายนามธรรมทั้งนอกและใน คำว่าเอโก คือโดยตน ของตน ตนเองทั้งนั้น เห็นทั้งรูปและอรูปทั้งนอกและใน กำหนดรู้ทั้งรูปและอรูป

 

สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบทอยู่ แล้วอาสวะทั้งหลายหมดไปก็รู้ด้วยปัญญา ต้องรู้ว่ากายหมายถึงอะไร หมายถึงข้างนอกด้วยตลอดเวลา แต่คนไปนั่งหลับตาไม่รู้หรอกภายนอก แต่เขาได้กายสักขี อาสวะบางอย่างสิ้นไปด้วยนะ แต่ว่าพระพุทธเจ้า บอกว่ากายสักขีต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายนะ แม้อาสวะบางอย่างหมด จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายนะอาสวะของผู้นั้นจึงหมดสิ้นได้ (พระพุทธเจ้า ว่าต้อง เหว คือกึ่งปฏิเสธกึ่งรับ) แต่ว่าปัญญาวิมุตินั้น นเหว คือไม่ต้องกล่าวถึงเลย เพราะว่าสัมมาทิฏฐิมาตั้งแต่ต้นแล้ว ส่วนสายเจโตนั้นไม่สัมมาทิฏฐิแต่ต้น จริตมันคนละกองเลย พอเวลาไปปฏิบัติ สายพุทธิจริต จะใช้เวลาแค่ 20 ส่วนสายศรัทธานั้นต้องใช้เวลาถึง 40 ส่วนสายวิตกจริตนั้นใช้เวลาถึง 80

 

เงื่อนไขหลักในการบรรลุคือ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

สายสัทธานุสารี จะเจริญเป็นสัทธาวิมุติ แล้วได้กายสักขี แล้วต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงเป็นอุภโตภาควิมุติ เป็นอรหันต์ สิ้นอาสวะได้

 

สายปัญญานุสารี จะเจริญเป็นทิฏฐิปัตตะแล้วได้เป็นปัญญาวิมุติ สายนี้ได้สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ปัญญานุสารีแล้วจึงปฏิบัติเป็นทิฏฐิปัตตะ ไม่เพี้ยนพอถึงปัญญาวิมุติก็ได้อรหันต์เลย

 

สายนั่งหลับตาทั้งโลกเข้าใจว่า จะได้สมาธิต้องไปนั่งหลับตา จะได้เอกัคคตาจิตต้องไปนั่งสมาธิ แม้แต่ท่านพุทธทาสจะทำสมาธิก็ต้องไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ไม่ได้ตามมหาจัตตารีสกสูตร แต่ของอาตมานี่ทำสมาธิได้ในทุกอิริยาบท มีอานาปานสติ มีสติปัฏฐาน พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ก็ต้องลืมตากระทบรูป แล้วพิจารณาเข้าไปหา เวทนาจิตธรรม อยู่ตลอดที่มีสติ เดินโพชฌงค์ตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้ก่อนความคิดเห็นยึดผิดเป็นถูกแล้ว คำอธิบายทั้งอรรกถาจารย์ อาจารยวาทต่างๆก็บันทึกมากบันทึกผิดก็เชื่อตามอาจารย์เพี้ยนตกทอดมาเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ คนไม่มีความจริงชัดเจนก็จะหลงไปตามได้

 

อาตมานำภาพนี้มาให้ดู เป็นภาพแสตมป์จากประเทศบริติช สมัยคศ.1856 ราคา 1 เซนต์ในยุคล่าอาณานิคม ขนาด 1 คูณ 1 นิ้วเอง ราคาประมูลกันตอนนี้ถึง 300 ล้านบาท แต่ว่าสุดท้าย พ่อซื้อมา 300 ล้าน แต่ลูกหลานไม่รู้ค่า เอามาทิ้งสขจ. ก็ไม่รู้ แล้วก็ทิ้่งไปเสียเปล่าเลย เป็นการสมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น

 

กายปัสสัทธิ คือองค์ประชุมของจิตมีความสงบ เช่นโสดาบัน จิตสงบจากอบาย คุณก็สงบ เอกราชทั่่วทั้งแผ่นดิน จะมีมากระทบเท่าไหร่ก็สงบได้ กายปัสสัทธิ องค์ประชุมของกายสงบอยู่ แต่ไม่ได้หมายถึงว่า กายสงบแข็งทื่อไม่พูดเลย ไม่ขยับเลย หายใจแผ่วเบา เอาไปฝังได้ เขาฝังกันได้ถึง 20 กว่าวัน ไปขุดออกมายังไม่ตาย ยิ่งกว่ากบจำศีล พวกฤาษีทำได้ขนาดนั้น

 

นี่คือ กายเขาได้สงบนะ อย่างสมถะ แต่ของพระพุทธเจ้า ไม่สงบอย่างสมถะ เราลดกิเลสแล้วกิเลสตายสนิทเลย ยิ่งกว่าเอกราบทั่วทั้งแผ่นดินยิ่งกว่าสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆในโลกทั้งปวง นี่คือโสดาปัตติผล

 

แต่ใครไปนั่งสมาธิ ต้องนั่งแข็งทน ใครขยับผิดนะ ก็นั่งแข็งสู้ทนไป สุดท้ายก็ยอมแพ้ไม่ทนเท่าเพื่อน พูดไปเหมือนไปว่าเขา แต่ก็ว่าจริงๆน่ะแหละ...สาธุ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:57:21 )

570621

รายละเอียด

570621_ธรรมาธรรมะสงครามที่สันติฯ โดยพ่อครู เรื่อง กายคตาสติอย่างพิศดาร

ไม่มีเวลาใดที่ไม่สมควรเปิดเผยธรรมะ มีเหตุปัจจัยจะให้แสดงธรรมได้ก็แสดงเรื่อยไป เราเจตนาดีจริงใจจริงๆ

 

มีคนถามมาว่า “กาย” ที่พ่อท่านหมาย(น่าจะไม่ใช้กายที่เป็นมหาภูตรูป) แต่เป็นกายที่หมายถึงสภาพขององค์รวมของนอกและใน อยากให้โยงไปสู่กายคตาสติด้วยครับ

 

อีกคนหนึ่งถามพ่อครูว่า ปฏิบัติในชีวิตประจำวันฉบับย่อ ฆ่ากิเลสทำอย่างไรคะ ...พ่อครูว่าถามสั้นๆแต่ตอบอีกหลายชาติเลย ก็ย่อทุกวัน ก็ฆ่ากิเลสทุกวันไ่ม่เคยสอนอย่างอื่นเลย

 

อีกคนว่า กายคตาสติที่คุณคนนี้บอกให้อธิบายโดยพิศดาร?

 

ตอบประเด็นที่ว่า กายที่พ่อท่านหมาย ….พ่อครูว่า กาย ที่อาตมาหมายที่เขาว่าน่าจะไม่ใช่ กายที่เป็นมหาภูตรูป...พ่อครูว่า ในที่นี้ต้องหมายถึงมหาภูตรูปด้วย มันสลับเข้าออก ไม่ขาดจากกันทั้งนอกและใน จะมามุ่งนอกชัดๆก็ต้องไม่ขาดตัวรู้ภายใน กายไม่ได้แปลว่าร่าง อันนี้คนไทยซวย ร่างนี่บาลีเขาว่าคือสรีระ แต่ว่าไทยเราบอกกันว่ากายคือสรีระ

 

ตัวที่ไปรู้ว่าคือ กาย ก็คือนามธรรม กายในกาย ในสติปัฏฐาน 4 ก็หมายความว่า เลื่อนเข้าไปหาในภพแล้ว กายนอก ก็คือสัมผัสนอก แล้วเลื่อนความรู้เข้าไปรู้ เป็นองค์ประชุมที่รับรู้รูป ด้วยจิตก็เข้าไปรับรู้ใน แล้วเลื่อนจากกายเข้าไปหาจิต ที่จะสังขารเป็นองค์ประชุมปุ๊บเลย จิตนี่เข้าไปรู้ได้จากนอกต่อเนื่องเข้าไปหาในได้อย่างละเอียดเลย แม้เข้าไปถึงอรูปฌานเลย

 

เราก็ต้องรู้อาการของมันที่ปรุงร่วม จากสังขารที่อยู่ในปฏิจจสมุปบาท แล้วก็เลื่อนมาถึงวิญญาณ ก็คือธาตุรู้รวมหมด เป็นธาตุรู้ที่ทุกข์หรือสุข ชั่วหรือดี เป็นตัวชั่วหรือตัวดี ถ้าชั่วก็เป็นวิญญาณผี ถ้าดีก็เป็นวิญญาณเทวดา พอเราอ่านอาการออก เห็นตัวผีแล้ว พอเสพสุขก็เห็นเทวดาสมมุติเทพ แต่กิเลสก็อ้วนขึ้น เสพสุขก็พอใจติดใจ ได้อาหารก็อ้วนขึ้น

 

จนเรารู้เหตุ ก็งดเว้น มันเห็นอยู่พอไม่ให้มันมันก็ดิ้น เราเห็นเป็นสัตว์เปรตเลย ถ้าเรามีวิธีวิกขัมภนะก็กดข่ม ไม่ได้มีพลังไฟแห่งปัญญา พลังไฟแห่งความรู้ อุณหธาตุ เป็นพลังงานที่ร้อนกว่ากิเลส ทำลายกิเลสได้เหนือกิเลสได้ เป็นความสว่าง ความร้อนที่ร้อนกว่า ประสิทธิภาพสูงกว่าแต่พลังงานกิเลสนี่มันยอม ไ่ม่สู้ ถอย กลัว ก็เลิกไป มันแพ้โดยจำนน ไม่ได้ไปกดข่ม แต่มันยอมศิโรราบไปเลย เป็นประสิทธิภาพที่เด็ดขาด ยกตัวอย่างเด็กรู้ว่าจับไฟแล้วร้อน เด็กเห็นไปแดงๆสวยดีก็จับ แต่พอจับก็ร้อน พอทีหลังไม่เอาเลย ก็เกิดปัญญา ไม่เอาแล้วกลัวแล้ว

 

ไฟปัญญาสลายกิเลสก็เช่นเดียวกับเด็กรู้ว่าไฟแดงไม่จับ แต่ว่ามีความรู้ลึกซึ้งกว่าคือไฟแดงเตะต้องกายอยู่ก็ไม่เป็นอะไร ไม่เกิดปฏิกิริยาเลย นี่คือประสิทธิภาพวิเศษที่เป็นไปได้เลย

 

กายในที่นี้ ไม่ใช่แค่มหาภูตรูปอย่างเดียว แต่ก็ใช่ด้วย แม้อนาคามี ไม่มีกิเลสที่เกิดจากผัสสะภายนอกแล้ว เป็นสภาพเหนือชั้น ก็อยู่กับสิ่งข้างนอก มหาภูตรูป แม้เข้าไปเป็นกายในกาย ซึ่งเกียวกับนามธรรม โดยดินน้ำไฟลมที่กระทบ สัญญาก็ทำงานกำหนดรู้ว่า เย็น ร้อน รักชัง สุขทุกข์ อะไรก็แล้วแต่ที่จิตเป็นเราก็อ่านออกอยู่เดี๋ยวนี้เลย ตากระทบรูปก็รู้ว่ารูปนี้ อ่านอาการว่าเป็นอย่างไร ก็คือองค์ประชุม จนกว่าจะวิจัยเห็นเหตุคือตัณหา ที่ไปชอบหรือชัง สุขหรือทุกข์ ก็ธัมวิจัย อ่านให้ออก รู้ให้จริง มันประชุมอยู่ ขณะนี้เป็นสังขารประชุมอยู่ เมื่อไม่ให้มันมันก็ดิ้น แล้วเราก็พิจารณาว่าดิ้นไปทำไม ไม่ได้จะตายไหม ถ้าได้มา ได้ยิน ได้กลิ่น สัมผัสแตะต้องเลย

 

ถ้าไม่แตะต้องก็ไม่ได้สมใจสมบูรณ์ ตากระทบรูปก็ปิดตา หูก็ปิดหู ลิ่้นก็ไม่ให้กระทบ ไม่ให้สัมผัสทวารนอกเลย นี่คือขาดเว้น เมื่อไม่ได้สัมผัสมันก็ดิ้นตัวแท้เลย แต่ถ้าไม่ตัดขาด มันไม่รู้ตัวแท้นี่ อย่างคุณเห็นแล้วคุณไม่ละตามันก็อยู่อย่างนี้ ลิ้มเล็มอยู่อย่างนั้น วิธีง่ายๆที่จะไม่ให้ปรุงแต่งก็ปิดทวารเลย

 

พระพุทธเจ้าว่าไม่ใช่ ให้กระทบสัมผัสอยู่อย่างนี้แหละ แต่เราไม่ปรุงเป็นชอบหรือชัง ไม่ผลักไม่ดูดเลย พิจารณาว่ามันไม่เที่ยง ไม่ให้มันก็ดิ้น ให้มันก็สมใจ เราถูกกิเลสหลอกเรื่อย เชื่อมันมาเท่าไหร่ พอที เมื่อเรามีความฉลาดเท่าทันขึ้น อย่างที่อาตมาวิเคราะห์วิปัสสนาญาณ 9 จริงมันเป็นภัยโทษ ไม่น่ารัก มันทับทวีมีอำนาจพลัง ละลายความติดยึดความโง่ได้ มันจึงเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คิดเองไม่ได้ แต่คุณทำไปเถอะ พิจารณาซ้ำซ้อน คิดเหลี่ยมมุมอย่างไร ให้มันหมด หมดมันก็รู้ว่าหมด ก็จะรู้เป็นปัจจัตตัง

 

เสียงไพเราะเรารู้นะ แต่อาการดูดดึงอิฏฐารมย์ไม่มี ส่วนความสนุกเพลิดเพลิน ดูแล้วอย่างฟุตบอล ดูแล้วลุ้นกันน่าดู มันส์ เวลามันทำเท่ๆก็ยอดนะ อาการเหล่านี้เคยรู้เคยเป็น แต่เดี๋ยวนี้ก็หนอมันทำกันไป ก็รู้ว่าลีลาพิศดาร รู้ว่าทำได้ยาก ไม่น่าเชื่อว่าทำได้ เราก็รู้ แต่เราก็ไม่มีอาการอารมณ์ เพราะมันขาดตัวเรา อยากชอบเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าอยากชอบ แต่ว่ารู้ตนว่าเป็นไม่ได้เราก็ได้แค่ชอบ เพราะเรารู้ตัวว่าเก่งแค่นี้เราเป็นไม่ได้หรอก แต่ว่าถ้าเป็นได้มันเอาฝึกเลยสู้ ไม่ยอม เท่านั้นเอง เสร็จแล้วก็สูญเปล่ามีแต่พยับแดด ฟองคลื่น หยาดฝน แล้วหายไป ไม่ได้มีตัวตนเลย อัสสาทะอร่อยเพลิดเพลินชื่นใจมันไม่มี แต่เราปั้นมันปรุงมันขึ้นมา แล้วก็จำไว้ว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น ถ้าได้ยิ่งกว่านี้ก็จะแสวงหา ครอบงำความคิด ไปยึดตามเขา ถ้าไม่ยึดตามเขาคุณก็ไม่เพิ่มกิเลส หากไม่ยึดตามเขา คลายใจแล้วเราก็ไม่เพิ่มกิเลส

 

อาตมาดูเขาสร้างสนามฟุตบอล ลงทุนกันหลายหมื่นล้าน ต้องพิศดาร วิลิศมาหลา ละลายเงินทอง ตอนนี้บราซิลกำลังประท้วง คนไม่มีของจะกินแต่รัฐเอาเงินไปละลาย เขาปรุงแต่งว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ พาทุกข์ แต่จริงๆแล้วมันไม่จริง มันสูญได้ คุณปล่อยมันไปสิ ต่อให้มันมีคุณก็ไม่เอา สัมผัสอยู่อย่างนี้คุณก็ไม่เอา คุณรู้เหมือนเขาจำได้ แต่เราไม่เอาจริงๆ วางเฉยได้ มันจะอร่อยสุขขนาดไหนจำได้ มันก็ของฟรีนะ คุณปั้นเองเป็นมโนมยอัตตา

 

สัตว์เทวดาสมมุติปั้นเองเป็นมโนมยอัตตา แต่อุปัติเทพ วิสุทธิิเทพไม่ใช่ปั้นเอา แต่เราล้างกิเลส ให้เทวดาเก๊ตาย

 

สัตตาวาส 9

1.    สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

2.   สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น 

3.   สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง)พวกมิจฉาทิฏฐิ ไปปั้นจิตให้เห็นเป็นรูปร่าง เป็นมโนมยอัตตา เช่นปั้นแสงสว่าง  โสดาบัน สว่างเท่านี้ สกิทาฯก็สว่างเท่านี้ เป็นกายอย่างเดียวกัน แต่ว่า

 

พวกไปนั่งสมาธิหลับตาก็สามารถทำให้ไม่เกิดนิวรณ์ได้ และนั่นแหละเขาว่ายกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา คุณน่ิงเป็นสมถะ แล้วก็ให้มันรู้อ่านอารมณ์ไม่มีนิวรณ์ มีสตินะ ไม่ฟุ้ง มันนิ่งเลย ทำไม่ง่าย แต่หลายคนทำได้ ขณะคุณทำสมาธิหลับตา ทำให้จิตคุณนิ่งได้ แต่ว่าให้ตอนตื่นลืมตาให้จิตน่ิงไม่ง่ายเลย แต่ว่าของพุทธนี่พอทำให้สูงขึ้นเจอผัสสะก็ไม่ปรุงร่วมอยู่ได้ตลอด มีประสิทธิภาพอำนาจจิตสูงขึ้น

 

พวกนั่งสมาธิหลับตาพอจิตว่างจากนิวรณ์แล้ว บางคนกำหนดเองปั้นเอง ว่าตนได้บรรลุอรูปภพนี้แล้ว จนกว่าคุณจะหลุดออกไปจากที่ปั้นไว้แล้ว ครั้งแรกมันหลุดปึ๊งไปเลย เหมือนท่านมหาบัวว่าหลุดเลย แต่ครั้งที่สอง จะไม่หลุดปึ๊งแบบนั้น คนที่เขาได้แบบนี้เขานึกว่าเป็นอากาสาฯ วิญญานัญจาฯ แต่พวกสายหลับตาจะอธิบายไม่ได้

 

ตอนปึ๊งตอนแรกไม่รู้ว่าตัวเราเป็นใคร มันมีแต่เสพว่าง ไม่มีตัวตน

 

ฌานพุทธ เมื่อไม่มีนิวรณ์แล้ว ก็ต้องมาตรวจ ว่าจิตว่างคืออะไร อากาสาฯ ว่างยิ่งกว่าอุเบกขา ทำให้ชำนาญ และต่อไปก็ตรวจที่จิต เป็นวิญญานัญจาฯ ว่าจิตสะอาดก็ไม่มีอาการอารมณ์ของกิเลส ละเอียดเท่าไรก็ตรวจไป แล้วก็ตรวจสะอาดนี่แหละว่านิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่ให้มี สัมผัสเมื่อไหร่ตรวจเมื่อนั้น ก็ตรวจความไม่มี เป็นอากิญจัญฯ (อากาสาฯ อกิญจัญ คือรูป ส่วนวิญญานัญจาฯ กับเนวสัญญาฯคือตัวนาม)

 

ตัวเนวสัญญาฯต้องตรวจให้ชัดเจนจนกระทั่งไม่รู้ไม่ได้ รู้จนกระทั่งไม่เหลือความไม่รู้ทั้งรูปฌาน และอรูปฌาน วิโมกข์ ข้อ 4 ถึง 7 ก็คืออรูปฌาน ส่วนสุดท้ายคือ สัญญาเวทยิตนิโรธ

 

บรรดาอาจารย์ปราชญ์ทั้งหลายแหล่ในศาสนาพุทธรุ่นหลังก็ไปเหมา สัญญาเวทยิตนิโรธว่าเป็นแบบอสัญญีสัตว์ไปหมด เหมาว่าเป็นนิโรธดับ

 

ต่อไปเป็น กายคตาสติสูตร ล.14 ข.292

 

            9.  กายคตาสติสูตร  (119)

       

[292]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

       สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี  ครั้งนั้นแล  ภิกษุมากด้วยกันกลับจากบิณฑบาต  ภายหลังเวลาอาหารแล้ว

นั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา  เกิดข้อสนทนากันขึ้นในระหว่างดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย

 น่าอัศจรรย์จริง  ไม่น่าเป็นไปได้เลย  เท่าที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น

เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสกายคตาสติที่ภิกษุเจริญแล้ว  ทำให้มากแล้ว  ว่ามี  ผลมาก

 มีอานิสงส์มากนี้  ข้อสนทนากันในระหว่างของภิกษุเหล่านั้น  ค้างอยู่  เพียงเท่านี้แล  ฯ

       

 

[293]  ขณะนั้น  พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสถานที่ทรงหลีกเร้นอยู่ในเวลาเย็น

เสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลานั้น  ครั้นแล้วจึงประทับนั่ง  ณ  อาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้  แล้วตรัสถาม

ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  พวกเธอ  นั่งประชุมสนทนาเรื่องอะไรกัน  และพวกเธอ

สนทนาเรื่องอะไรค้างอยู่ในระหว่าง  ฯ

       ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ณ  โอกาสนี้  พวกข้าพระองค์กลับจากบิณฑบาต

ภายหลังเวลาอาหารแล้ว  นั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลาเกิดข้อสนทนากันขึ้นในระหว่างดังนี้ว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  น่าอัศจรรย์จริงไม่น่าเป็นไปได้เลย  เท่าที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น

ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสกายคตาสติที่ภิกษุเจริญแล้ว  ทำให้มากแล้ว

ว่ามีผลมาก  มีอานิสงส์มากนี้  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้อสนทนากันในระหว่างของพวกข้าพระองค์

ได้ค้างอยู่เพียงเท่านี้  พอดีพระผู้มีพระภาคก็เสด็จมาถึง  ฯ

 

 

[294]  พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็กายคตาสติอันภิกษุเจริญแล้ว

อย่างไร  ทำให้มากแล้วอย่างไร  จึงมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุใน

ธรรมวินัยนี้  อยู่ในป่าก็ดี  อยู่ที่โคนไม้ก็ดี  อยู่ในเรือนว่างก็ดี  นั่งคู้บัลลังก์  ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า  เธอย่อมมีสติหายใจออกมีสติหายใจเข้า  เมื่อหายใจออกยาว  ก็รู้ชัดว่า

หายใจออกยาว  หรือเมื่อหายใจ  เข้ายาว  ก็รู้ชัดว่า  หายใจเข้ายาว  เมื่อหายใจออกสั้น  ก็รู้ชัดว่า

หายใจออกสั้นหรือเมื่อหายใจเข้าสั้น  ก็รู้ชัดว่า  หายใจเข้าสั้น  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้

กำหนดรู้กองลมทั้งปวง  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง  หายใจเข้า

สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักระงับกายสังขาร  หายใจออก  ว่าเราจักระงับกายสังขาร  หายใจเข้า

เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่  อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่

อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง

 เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่นดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

       

(พ่อครูว่า คำว่าอยู่ป่าอยู่โคนไม้ นั้นสมัยโน้นอยู่ใกล้ป่า แต่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ใกล้ป่า แต่ถ้าคุณอยู่ในเมือง ที่แจ้งลอมฟาง คือหาที่สงบหน่อย นั่งเจโตทำเตวิชโชได้ ที่ไหนก็ได้ที่คุณจะไปหาที่นั่ง พวกเดานี่เป็นพวกมุ่งอยู่ป่า และพระไตรปิฎกฉบับนี้ พระมหากัสสปะเป็นคนสังคายนา ท่านเป็นคนอยู่ป่า ก็เลยเก็บเรียบเรียงบันทึกเรื่องไปป่าเสียเยอะ

[295]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเดินอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังเดิน

หรือยืนอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังยืน  หรือนั่งอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง  หรือนอนอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังนอน

หรือเธอทรงกายโดยอาการใดๆ  อยู่  ก็รู้ชัดว่า  กำลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ  เมื่อภิกษุนั้น

ไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปใน  ธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้

เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น

ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

       

 

[296]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุย่อมเป็นผู้ทำความ  รู้สึกตัวในเวลา

ก้าวไปและถอยกลับ  ในเวลาแลดู  และเหลียวดู  ในเวลางอแขนและเหยียดแขน  ในเวลา

ทรงผ้าสังฆาฏิ  บาตร  และจีวร  ในเวลา  ฉัน  ดื่ม  เคี้ยว  และลิ้ม  ในเวลาถ่ายอุจจาระและ

ปัสสาวะ  ในเวลา  เดิน  ยืน  นั่งนอนหลับ  ตื่น  พูด  และนิ่ง  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท

มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้  เพราะ

ละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น

ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

       

 

[297]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้  แล  ข้างบนแต่พื้น

เท้าขึ้นไป  ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา  มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ  เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ

ว่ามีอยู่ในกายนี้  ผม  ขน  เล็บ  ฟัน  หนัง  เนื้อ  เอ็น  กระดูก  เยื่อในกระดูก  ม้าม  หัวใจ

 ตับ  พังผืด  ไต  ปอดไส้ใหญ่  ไส้น้อย  อาหารใหม่  อาหารเก่า  ดี  เสลด  น้ำเหลือง

เลือด  เหงื่อมันข้น  น้ำตา  เปลวมัน  น้ำลาย  น้ำมูก  ไขข้อ  มูตร  ดูกรภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนไถ้มีปากทั้ง  2  ข้าง  เต็มด้วยธัญญชาติต่างๆ  ชนิด  คือ  ข้าวสาลี   ข้าวเปลือก

ถั่วเขียว  ถั่วทอง  งา  และข้าวสาร  บุรุษผู้มีตาดี  แก้ไถ้นั้นออกแล้วพึงเห็นได้ว่า  นี้ข้าวสาลี

นี้ข้าวเปลือก  นี้ถั่วเขียว  นี้ถั่วทอง  นี้งา  นี้ข้าวสารฉันใด  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ฉันนั้น

เหมือนกันแล  ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แลข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป  ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา

มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ  เต็มด้วยของไม่สะอาด  มีประการต่างๆ  ว่ามีอยู่ในกายนี้  ผม  ขน  เล็บ

 ฟัน  หนังเนื้อ  เอ็น  กระดูก  เยื่อในกระดูก  ม้าม  หัวใจ  ตับ  พังผืด  ไต  ปอด  ไส้ใหญ่

ไส้น้อย  อาหารใหม่  อาหารเก่า  ดี  เสลด  น้ำเหลือง  เลือด  เหงื่อ  มันข้นน้ำตา  เปลวมัน

น้ำลาย  น้ำมูก  ไขข้อ  มูตร  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความ  เพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้

 ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายใน

เท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่งเป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่า

เจริญ  กายคตาสติ  ฯ

       

 

[298]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้  แล  ตามที่ตั้งอยู่

 ตามที่ดำรงอยู่  โดยธาตุว่า  มีอยู่ในกายนี้  ธาตุดิน  ธาตุน้ำธาตุไฟ  ธาตุลม  ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เปรียบเหมือนคนฆ่าโค  หรือลูกมือของคนฆ่าโค  ผู้ฉลาด  ฆ่าโคแล้วนั่งแบ่งเป็นส่วนๆ  ใกล้ทาง

ใหญ่  4  แยก  ฉันใดดูกรภิกษุทั้งหลาย  ฉันนั้นเหมือนกันแล  ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล

ตามที่ตั้งอยู่  ตามที่ดำรงอยู่  โดยธาตุว่า  มีอยู่ในกายนี้  ธาตุดิน  ธาตุน้ำ  ธาตุไฟ  ธาตุลม

เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ย่อมละความดำริพล่านที่

อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง

 เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

       

 

[299]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  อันตายได้

วันหนึ่ง  หรือสองวัน  หรือสามวัน  ที่ขึ้นพอง  เขียวช้ำ  มี  น้ำเหลืองเยิ้ม  จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบ

กายนี้ว่า  แม้กายนี้แล  ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา  มีความเป็นอย่างนี้  ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้

เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่

อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง

เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

 

[300]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งใน ป่าช้า  อันฝูงกา

จิกกินอยู่บ้าง  ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง  ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง  หมู่สุนัขบ้านกัดกินอยู่บ้าง

หมู่สุนัขป่ากัดกินอยู่บ้าง  สัตว์เล็กสัตว์น้อยต่างๆ  ชนิดฟอนกินอยู่บ้าง  จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบ

กายนี้ว่า  แม้กายนี้แล  ก็เหมือนอย่างนี้  เป็นธรรมดา  มีความเป็นอย่างนี้  ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้

เมื่อภิกษุนั้นไม่  ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่

อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้นย่อมคงที่  แน่นิ่ง

เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

       

 

[301]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  ยังคุม

เป็นรูปร่างอยู่ด้วยกระดูก  มีทั้งเนื้อและเลือด  เส้นเอ็นผูกรัดไว้...

       เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก  ไม่มีเนื้อ  มีแต่เลือดเปรอะเปื้อนอยู่

เส้นเอ็นยังผูกรัดไว้...

       เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก  ปราศจากเนื้อ  และเลือดแล้ว

แต่เส้นเอ็นยังผูกรัดอยู่...

       เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  เป็นท่อนกระดูก  ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องผูก  รัดแล้ว  กระจัด

กระจายไปทั่วทิศต่างๆ  คือ  กระดูกมืออยู่ทางหนึ่ง  กระดูกเท้าอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกแข้งอยู่ทางหนึ่ง

กระดูกหน้าขาอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกสะเอวอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกสันหลังอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกซี่โครง

อยู่ทางหนึ่ง  กระดูกหน้าอกอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกแขนอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกไหล่อยู่ทางหนึ่ง

กระดูกคออยู่ทางหนึ่ง  กระดูกคางอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกฟันอยู่ทางหนึ่ง  กะโหลกศีรษะอยู่ทางหนึ่ง

จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า  แม้กายนี้แล  ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา  มีความเป็นอย่างนี้

ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละ

ความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น

ย่อมคงที่แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่า

เจริญกายคตาสติ  ฯ

       

 

[302]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  เป็นแต่

กระดูก  สีขาวเปรียบดังสีสังข์...

       เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  เป็นท่อนกระดูก  เรี่ยราดเป็นกองๆ  มีอายุเกินปีหนึ่ง...เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  เป็นแต่กระดูก  ผุเป็นจุณ  จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า

แม้กายนี้แล  ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา  มีความเป็นอย่างนี้  ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้  เมื่อภิกษุนั้น

ไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้

เพราะละความดำริพล่านนั้นได้จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น

ตั้งมั่นดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

       

 

[303]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุสงัดจากกาม  สงัดจากอกุศลธรรม

เข้าปฐมฌาน  มีวิตก  มีวิจาร  มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่  เธอยังกายนี้แล  ให้คลุก  เคล้า

บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก  ไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติ

และสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน  หรือ

ลูกมือของพนักงานสรงสนานผู้ฉลาด  โรยจุณสำหรับสรงสนานลงในภาชนะสำริดแล้ว  เคล้า

ด้วยน้ำให้เป็นก้อนๆ  ก้อนจุณสำหรับสรงสนานนั้น  มียางซึม  เคลือบ  จึงจับกันทั้งข้างใน  ข้างนอก

และกลายเป็นผลึกด้วยยาง  ฉันใด  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ฉันนั้นเหมือนกันแล  ภิกษุย่อมยังกายนี้แล

ให้คลุก  เคล้า  บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก  ไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งกายทุกส่วน

ของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไป

ในธรรมอยู่อย่างนี้ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้

จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย

แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

       

 

[304]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเข้าทุติยฌาน  มีความผ่องใสแห่งใจ

ภายใน  มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น  เพราะสงบวิตกและวิจารไม่มีวิตก  ไม่มีวิจาร  มีปีติ

และสุขเกิดแต่สมาธิอยู่  เธอยังกายนี้แล  ให้คลุกเคล้า  บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิด

แต่สมาธิ  ไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง  ดูกร

ภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนห้วงน้ำพุ  ไม่มีทางระบายน้ำทั้งในทิศตะวันออก  ทั้งในทิศตะวันตก

ทั้งในทิศเหนือ  ทั้งในทิศใต้เลย  และฝนก็ยังไม่หลั่งสายน้ำโดยชอบตามฤดูกาล  ขณะนั้นแล

ธารน้ำเย็นจะพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้น  แล้วทำห้วงน้ำนั้นเอง  ให้คลุกเคล้า  บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วย

น้ำเย็น  ไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งห้วงน้ำทุกส่วนนั้นที่น้ำเย็นจะไม่ถูกต้อง  ฉันใด  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล  ภิกษุย่อมยังกายนี้แล  ให้คลุก  เคล้า  บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วยปีติและสุข

เกิดแต่สมาธิไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง

เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัย

เรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง

เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

 

พ่อครูว่า...โสมนัสเนกขัมมะนี่ กิเลสหาย แต่สุขเหมือนกัน สุขว่างวูปสโมสุข ตัววิตกคือความดำรินึกคิดแล้วคุณก็ต้องวิจัย คือจับตัวเหตุรู้พฤติแยกแยะออก มีวิจาร  แล้วกำจัดมันให้เกิดวิมุติ โดยรู้ๆ มีวิจัขณ์ คุณต้องเห็นอยู่ตลอดเวลา ตัววิตกวิจาร หายไป แล้วเกิดปีติ คือทำได้ชำนาญ มีความเก่ง จนไม่ต้องวิตกวิจาร หายไปแล้ว แต่ไม่ต้องทำก็เลยสบาย มีปีติ เป็นฌานที่ 3 ก็เลยปีติกรึ่มอยู่ 

 

ฌานที่ 3​ท่านก็เรียกว่ามีอุเบกขา

ฌานที่ 4 จิตเป็นเอกัคคตา ก็เป็นอุเบกขาเต็ม เป็นฐานนิพพาน ต้องพิจารณาทุกธาตุ ทุกอวัยวะที่เกี่ยวข้อง กายคตาสติก็มีอาณาปานสติเป็นตัวแก่น อานาปานสติไม่ได้หมายถึงไปนั่งสมาธิอย่างเดียว แต่ว่าทุกอิริยาบทคุณต้องรู้หมด เป็นภาวะปกติชีวิตนั่นเอง เรียนรู้ให้รู้อารมณ์เป็นหนึ่ง เอกัคคตารมณ์

 

พอพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนแล้วไม่เหลือนิโรธเลย ไม่มีภพ นัตถิอุปมา มีแต่สัญญารู้อยู่กับนิโรธ

 

เวทยิต แปลว่าเข้าถึงอารมณ์ สัญญาทำงานเคล้าเคลียอารมณ์ จนกระทั่วเวทนา 108จบหมด ทุกอย่างเหมือนกันหมดทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นสูญว่างหมด เหมือนจนเป็นตถตา ไม่ต้องไปจัดสรร หมดกิจ เสร็จกิจ จบแล้วนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ไม่ต้องพยากรณ์เลยว่าอนาคตจะไม่สูญ

นี่คืออวิชชาสูตร ข้อหลังๆ

5. ความไม่รู้ในส่วนอดีต (ปุพพันเต อัญญาณัง) 

6. ความไม่รู้ในส่วนอนาคต (อปรันเต อัญญาณัง)

7. ความไม่รู้ทั้งในส่วนอดีตและส่วนอนาคต (ปุพพันตาปรันเต) 

8. ความไม่รู้ในปฏิจจสมุปปาทธรรม

 

กายคตาสติที่คุณคนนี้บอกให้อธิบายโดยพิศดารนะ พิศดารหรือยัง? กายคตาสติก็คืออานาปานสติ ก็คือสติปัฏฐาน 4 นั่นเอง

 

ต่อไปตอบเรื่องการปฏิบัติในชีวิตประจำวันแล้วฆ่ากิเลสอย่างไร?...ก็คืออย่างที่อธิบายมานี่แหละ

 

วันนี้ได้พูดเรื่องกาย อย่างพิศดารไม่ใช่น้อย...แล้วท่านแปลในพจนานุกรมนี่

กายกัมมัญญาตา ความคล่องแคล่วของกาย ความของควรแห่งการงานในกองเวทนา สัญญา สังขาร เอาไปเอามาก็ยังทิ้งพยัญชนะไม่หมดก็ยังเหลือร่องรอย กายก็คือเวทนา สัญญา สังขาร ส่วน กัมมัญญาคือการงาน ส่วน กายกัมมัญญาตา คือทำการงานทุกอย่างด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำอย่างปรับได้มีมุทุภูตธาตุ ย่ิงจิตมีสภาพอุเบกขามี ปริสุทธาตา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา

 

กายกลิ ท่านแปลว่าส่ิงชั่วช้าในกาย ก็คือกิเลส

 

กายโทษ สิ่งชั่วข้าที่อยู่ในกาย ก็คือกิเลสเช่นกัน อันเดียวกัน

 

กายคต คือสิ่งที่ดำเนินไปในกาย ส่ิงที่เป็นไป อยู่ในกาย ก็คือใจใช่ไหม

 

กายยังคะ องค์แห่งกาย อวัยวะแห่งกาย ท่านก็ไปแปลว่าเป็นวัตถุอีก ที่จริง องค์ก็คือหน่วยแห่งกาย

 

กายถาม คือกำลังของกาย คือองค์ประชุมนี้มีกำลัง

 

กายทรถะ คือ ความกระวนกระวายแห่งกาย (ทรถะคือของอรหันต์ มันยังมีขันธ์ 5 แต่ว่าอัตกิลมถะนั้นมากกว่าทรถะเป็นของอนาคามี)

 

วิปฏิสาร คือความเดือดร้อน แรงกว่ากิลมถะ แรงกว่าทรถะ

 

วจีสังขาร คือ จิตสังขาร อยู่ภายใน ไม่ใช่ วจีกรรม และวจีสังขารในสังกัปปะ 7 คุณต้องจัดการกิเลส แต่ถ้าไม่จัดการกิเลส มันก็ปรุงเป็นวจีสังขารแต่ปนกิเลสออกมา แต่ถ้าจัดการทำกิเลสระงับมันก็ไม่มีกิเลสไปปรุง วจีสังขารก็สะอาดขึ้นๆ

 

ถ้าคุณฆ่ากิเลสได้ก็เรียกว่า วิตักกะ ถ้าฆ่าไม่ได้ มันก็เล่นงานคุณ เป็นวิแบบร้าย แต่ถ้าฆ่าได้ก็วิเศษ กิเลสไม่มีสสังขาริกังไม่มาเป็นเหตุปัจจัยด้วย มันก็อสังขาริกัง วจีสังขารก็สะอาด ก่อนจะออกมาเป็นสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ หากกำจัดกิเลสได้ถาวร วจีสังขารก็สะอาดหมด ออกเป็นมรรคที่สะอาดหมด

 

กลไกของสังกัปปะ 7 คือตัวปฏิบัติแท้เลย ตกผลึกเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโนอภินิโรปนา

 

ถ้าสังขารโดยกิเลสลดหรือหมด ก็เป็น อภิสังขาร เป็นปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เป็นการปฏินิสัคคะวนสู่รอบสูง ขึ้นๆอยู่เหนือขึ้นเรื่อยๆ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน คือมันทวนชนิดที่ไม่มีสวรรค์ ทวนกลับในรอบที่สูงขึ้นๆ สุดท้ายรอบสูงสุดคือไม่มีสวรรค์หรือนรกเลย จริงๆวนแล้วมันจะกว้างขึ้น มีอาณาจักรวิเศษ ยิ่งสูงยิ่งกว้าง เอกราชทั่วทั้่งภิภพเลย ยิ่งสูงยิ่งเล็กในตัวของลักษณะหนึ่งแต่ยิ่งใหญ่ในอีกลักษณะหนึ่ง เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่อธิบายยากมาก ...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 17:58:27 )

570622

รายละเอียด

570622_วิถีอาริยธรรมโดยพ่อครูและส.เพาะพุทธ เรื่อง คนขาดความต้องการไม่ได้ และยูโทเปีย        

รายการนี้เป็นรายการวิถีอาริยธรรม มาจากคำว่า อาริยะ ซึ่งเป็นแนวทางที่ อริยะเป็นแนวทางเถรวาท ส่วนอาริยะเป็นแนวทางมหายาน

 

ได้ไปเยือนชุมชนจุงโต ประเทศเกาหลี มีนักบวชเถรวาท ไปด้วยกัน 9 รูป จากไทย ธรรมยุติฯ1 รูป มหานิกาย 8 รูป สันติอโศก 1 รูป นอกนั้นก็เป็นจากพม่าและลาว ท่านถามว่าสันติอโศกคือนิกายอะไร? เป็นเถรวาทหรือมหายาน ..ท่านจันทร์ตอบว่าถือทั้งเถรว าทและมหานิกาย

 

พ่อครูว่า...อาตมาก็ได้สวดญัตติทั้งสองนิกาย ไม่ได้ลาออกสักนิกายเลย

 

.เพาะพุทธ(ท่านจันทร์)ได้นำบันทึกที่ได้เขียนในระหว่างไปเยือนประเทศเกาหลีมาแบ่งปันให้ฟัง

 

บันทึกบนเครื่องบิน(เดินทางระหว่างเกาหลีกับไทย)....ท่านจันทร์ได้เดินทางไปชมวันพุทธเกาหลีหลายแห่ง ร่วมกับ ติดตามชีวิตของ ท่านผู้นำลัทธิจุงโต ท่านเบิกบาน มีพลังในการเทศน์ มีลักษณะการให้ตามแนวทางโพธิสัตว์มีความรอบรู้ในแนวทางเถรวาทอย่างมาก ท่านถามว่า สันติอโศกเป็นเถรวาทหรือมหายาน...ท่านจันทร์ตอบว่า เป็นทั้งเถรวาทและมหายาน....(ส่วนหนึ่งของบันทึก)

 

และขอนำบันทึกสั้นๆจากการที่ได้ฟังเทศน์พ่อครูมาสักเล็กน้อย....และพวกเราใส่ใจฟังธรรมพ่อครูมากขึ้นในช่วงที่ไม่มีโทรทัศน์ ท่านจันทร์ได้ประพันธ์มาเป็นบทกลอน

 

คุณเคยมีแฟนหลายแสนล้าน

เวียนว่ายวัฏสงสาร-ไม่จบสิ้น

คุณจำแฟนแค่ชาตินี้ของชีวิน

กลางเหวห้วงดวงจินต์..อนิจจัง

ฟังธรรมพ่อครู

แล้วแต่งมาแบ่งปัน

 

คำว่า กาย คือใจ มิใช่ร่าง

ชีวิตจริงไม่ทิ้งขว้าง..คือจิตหนอ

กาย คือรูป และนาม ตามต้นตอ

ร่างกายเนื้อมิเหลือหลอ..มิใช่กาย

ชีวิตงาม

ด้วยนามกาย

 

ฟังเทศน์พ่อครู

ที่สันติอโศกตอนเย็น

แล้วนำมานั่งทบทวนธรรม

จึงแต่งกลอนสรุปประเด็นนี้

 

พ่อครูว่า....ฟังธรรมะได้ดี เก็บเนื้อหาสาระใช้ได้ แสดงว่ามีอนาคต

 

วันนี้อ่านหนังสือพิมพ์ ก็มาสะดุดใจบทความของชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ หรือท่านขุนน้อย เขาไปหยิบเอาข้อเขียนของเซอร์โทมัส มอร์ มาอธิบาย อาตมาก็สะดุดใจส่วนท้ายที่เขายกมา

 

เขาสรุปว่า หลังความตายจะมีรางวัล และจิตของมนุษย์นั้นเป็นอมตะ อาตมาก็ไปสะดุดใจที่ว่าความสุขที่ได้บำเรอเป็นอัสสาทะ ทางด้านศาสนาเทวนิยมเขายังต้องอาศัยความบันเทิงใจ ทิ้งหมดไม่ได้ อาตมาเห็นใจศาสนาเทวนิยม ความเข้าใจของเขาเป็นเช่นนี้ และความถูกต้องในการรู้ดีชั่วมีมากพอที่ให้คนทำตามศาสดา

 

พุทธนั้นผู้บรรลุสูงสุดจะหมดความดีความชั่ว แต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่ามนุษย์จะต้องมีพฤติกรรมดีหรือชั่วอยู่ แต่อรหันต์ท่านไม่ยึดว่าดีหรือชั่ว แต่ว่าไม่ว่าเขาจะสมมุติความดีในสังคมไหนเราก็อนุโลมตาม แม้เราคิดว่าไม่ดีแต่เขาเห็นว่าดี เราก็ไม่ไปทำลายของเขา นี่คือสัจจานุโลมมิกญาณ ใช้ปฏิบัติกับสังคม ตามมหาปเทศและสัปปุริสธรรม 7

 

พอเห็นบทความอันนี้ก็เลยคิดจะเอาความเห็นของเซอร์ โทมัส มอร์ มาให้ฟังกัน...ก่อนจะพูดถึง อาตมาก็จะยำ้อีกว่า ไม่ว่าสังคมไหน ก็มีงานหลักสองอย่างที่สำคัญมาก คือ 1.การศึกษาฝึกฝนให้คนมีธรรม ไม่ว่ายุคไหนก็ตาม ยุคคนดีมาก ก็สนใจธรรมะมากกว่ายุคคนไม่ดีมาก ยิ่งยุคนี้คนไม่ดีมากยิ่งต้องใส่ใจศึกษาธรรมะ แต่มันค้านแย้งกัน คนกลับไม่เอาธรรมะ มีสนามแม่เหล็กดูดดึงไป คนเข้าใจธรรมะยาก และหนัก ถ้าไม่มีใจพอ มีน้ำหนักของอุตสาหวิริยะ มีน้ำใจพอจะกอบกู้ธรรมะ จะท้อ สวรรค์นี่เขามีลูกท้อของจีนนะสวยๆล่อให้คนถูกใจ ทำไมไปสร้างอุปาทานเช่นนั้น แต่อาตมาว่ามีนัยลึกซึ้งเตือนใจมนุษย์ว่าอย่าท้อ ถ้าอาตมามีตัวท้อตัวเดียวอาตมาก็สบาย ไปเป็นฤาษี หรืออยู่คนเดียวก็ได้ อาตมามีสันโดษใจพอเพียงพอ แม้สวรรค์ของโลกจะยั่วยุ แม้คุณชัชรินทร์แก่แล้วก็ยังอดหลับอดนอนดูฟุตบอลโลก ไปดูมันทำไมชัชรินทร์ อายุไล่เลี่ยกับอาตมาแต่อ่อนกว่าอาตมา คุณเปลวก็อายุไล่เลี่ยกัน อ่อนกว่าอาตมา 10 ปี ก็บนว่าโอ้โห มาเข้าวัยชราแล้วก็ต้องอดทนดูเพราะมันถ่ายทอดดึก คนเรามันต้องมีความสุขเล็กน้อยๆ... นี่ก็เห็นว่าเขาก็ตามภูมิ แต่เขาก็ไม่ได้ไปดูหนังน้ำเน่าละครตามโลก แต่ดูกีฬา

 

ไม่ว่าสังคมยุคไหนงานที่สำคัญคือ 1.ศึกษาฝึกฝนธรรมะ 2.และเร่งระดมเผยแพร่ธรรมะ และการศึกษา

 

สังคมสังคม ทุประเทศธรรมะจะทำให้คนเจริญ เป็นสุขแท้จริง และยืนนาน ทุกวันนี้เอาความสุขโลกีย์หลอกคน อย่างคสช.ฉลาดนะ ให้อยู่กับความสุขตรงนี้ก่อน ลงทุนไม่น้อยนะ คืนความสุขแก่ประชาชน

 

ธรรมะเป็นสิ่งขาดแคลน เป็นอุปสงค์สูงสุดของสังคม ถ้าได้เร่งรัดธรรมะ แม้ธรรมะระดับสามัญก็ยังดี ยิ่งได้โลกุตระที่ได้ทั้่งกุศลโลกีย์และโลกุตระ ไม่ค้านแย้งความดีงามโลกีย์ ศาสนาพุทธจึงไม่ดูถูกดูแคลนศาสดาทุกองค์จะต้องมี

 

ยูโทเปียนี่ อาตมาก็ว่าเขาเป็นโพธิสัตว์มีบารมีไม่น้อย อาตมาไม่เคยอ่านเรื่องยูโทเปียเลย มีคนเอาหนังสือให้อ่านแต่ก็ไม่ได้อ่าน นี่คือความชั่วของอาตมา อย่าเอาอย่าง

 

ลัทธิเศรษฐกิจการเมืองแบบสังคมนิยมยูโทเปีย Utopian socialism

 

แนวความคิดแบบสังคมนิยมเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้ระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมซึ่งเจริญเติบโตไปทั่วยุโรป ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19  ความสำเร็จของการปฏิวัติอุตสาหกรรม และการขยายตัวทางการค้า สนับสนุนกับแนวคิดเสรีนิยม ทำให้รัฐบาลไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือทำการค้าแข่งขันกับเอกชน ปล่อยให้เอกชนแข่งขันกันเองอย่างเสรี ทำให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างมาก ทำให้มีการตั้งโรงงานขึ้นมามากมายเพื่อผลิตสินค้าให้ทันกับความต้องการของตลาด เมื่อมีโรงงานมากก็เกิดการอพยพแรงงานจากชนบทมาเป็นแรงงานในระบบอุตสาหกรรมมากขึ้น แต่แรงงานพวกนี้ (กรรมกร) กลับไม่ได้รับผลประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจมีความเจริญเติบโต เหมือนกับที่พวกนายทุนได้รับ ความเป็นอยู่ของพวกกรรมกรยังคงอยู่อย่างยากจน ต้องทำงานในโรงงานหลายชั่วโมงต่อวัน ได้ค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ ที่พักอาศัยไม่ถูกสุขลักษณะต้องอยู่กันอย่างแออัด  พวกนักสังคมนิยมจึงเห็นตรงกันว่าสังคมแบบทุนนิยมมีการจัดองค์กรที่ทำให้ชนชั้นนายทุนกลุ่มน้อยร่ำรวยขึ้นจากการสะสมกำไรที่เอาเปรียบชนชั้นอื่นที่ยากจน ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างแรงงาน (กรรมกร) กับนายจ้าง (นายทุน) ขึ้น  ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนการจัดองค์กรใหม่ที่จะทำให้แรงงานมีอำนาจทางการเมือง เพื่อยุติการที่นายทุนเอาเปรียบแรงงาน โดยจะต้องทำให้ปัจจัยการผลิต เช่น ที่ดิน โรงงาน เครื่องจักรเป็นของประชาคมส่วนรวม ลดช่องว่างระหว่างแรงงานกับนายทุน และมองว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะร่วมมือกันและขยันขันแข็ง มากกว่าจะมองว่ามนุษย์เป็นคนก้าวร้าว แก่งแย่งแข่งขันกัน แต่พวกนักสังคมนิยมก็ยังเห็นแตกต่างกันในเรื่องที่ว่า ประชาคมส่วนรวมควรจะมีรูปร่างเป็นอย่างไร โดยในที่นี้จะศึกษาถึงสังคมนิยมแบบยูโทเปีย ที่ถือได้ว่าเป็นสังคมนิยมยุคแรก ๆ

 

สังคมนิยมยูโทเปีย (Utopian socialism) หรือบางครั้งก็ถูกเรียกว่า สังคมนิยมจินตนาการ, สังคมนิยมอุดมคติ, สังคมนิยมเพ้อฝัน (พ่อครูว่าเขาได้แต่คิดนึก แต่อาตมาเอามาทำได้แล้ว และมั่นใจว่าลึกซึ้งกว่าโทมัส มอร์ อาตมานำทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาใช้และสอดคล้องกับของเขาระดับหนึ่ง)  จากการที่ลัทธิทุนนิยมทำการขูดรีดบีบคั้นประชาชนและผู้ใช้แรงงาน ทำให้เกิดความยากจนและความทุกข์เข็ญ ทำให้นักคิดนักปรัชญาหาวิธีที่จะกำจัดความไม่พอใจต่อสังคมลัทธิทุนนิยม โดยพยายามคิดที่จะสร้างสังคมที่ดีงาม ขจัดความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนายทุนกับแรงงาน เสนอให้มนุษย์ช่วยเหลือกันให้มากขึ้นและคำนึงถึงผู้ยากไร้ในสังคม ให้คำนึงถึงสังคมส่วนรวม ให้สมาชิกในสังคมร่วมมือกันและต่อต้านการแข่งขันกันเอง โดยให้รัฐวางระเบียบทางเศรษฐกิจให้รัดกุม แต่ก็ยังไม่ได้เสนอให้โอนปัจจัยการผลิตมาเป้นของรัฐ เพียงแต่ให้เป็นของสาธารณะเป็นของส่วนรวม ร่วมมือกันในการผลิต ไม่มีกรรมสิทธิ์ส่วนบุคล สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

 

    เป็นชุมชนขนาดเล็ก

    ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน

    มีความเสมอภาคในการมีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง

    มีการทำงานร่วมกัน

    ให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

    ทรัพย์สินที่สำคัญเป็นของส่วนรวม

    แบ่งปันประโยชน์ต่าง ๆ ที่ได้รับตามความเป็นธรรม

 

โดยนักคิดแบบสังคมนิยมยูโทเปียที่สำคัญมีดังนี้

 

    ซิสมอนดิ (Sismondi ค.ศ. 1773 - 1842)

    แซงต์ – ซิมอง (Saint – Simon ค.ศ. 1760 - 1825)

    โรเบิร์ต  โอเว่น (Robert Owen ค.ศ. 1771-1858)

    ชาร์ล  ฟูริเอ (Charles  Fourier ค.ศ. 1772-1837)

    หลุยส์  บลังค์ (Louis  Blanc ค.ศ. 1811-1882)

 

แต่ในรายงานฉบับนี้เราจะศึกษาเกี่ยวกับ เซอร์ โทมัส มอร์ (Sir Thomas More ค.ศ. 1478 - 1535) ในฐานะที่เป็นผู้ใช้คำว่า ยูโทเปีย เรียกเกาะในฝันซึ่งเป็นสังคมอุดมคติ ในหนังสือ Utopia (ค.ศ. 1516) เป็นคนแรก  และศึกษาเกี่ยวกับสังคมในยูโทเปียของมอร์  เพื่อที่จะได้เข้าใจมากขึ้นเมื่อต้องการศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดของนักสังคมนิยมยูโทเปีย

 

Sir Thomas More ค.ศ. 1478 – 1535  โทมัส มอร์ ได้เสนอสังคมอุดมคติที่ให้กรรมสิทธิ์เป็นของส่วนรวม และทำการผลิตร่วมกัน คาดหมายให้มีกษัตริย์นักปรัชญาที่จะควบคุมความโลภโมโทสันของบุคคล ทุกคนต้องเข้าร่วมกันทำงาน โดยไม่มีชนชั้นกาฝาก เมื่อทุกคนทำงานก็จะมีผลผลิตมากพอที่ทุกคนจะลดเวลาการทำงานเหลือวันละไม่เกิน 6 ชั่วโมง โดยได้รับสนองความต้องการอย่างพอเพียง มีเสรีภาพและเวลาว่างมากพอที่จะศึกษาค้นคว้าเพิ่มพูนสติปัญญา

 

โทมัส มอร์ เกิดเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1478 ในกรุงลอนดอน โดยเกิดในครอบครัวที่มีฐานะมั่งคั่ง     บิดาเป็นทนายความและผู้พิพากษา  มอร์ศึกษาภาษาลาตินตั้งแต่เด็ก และสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด  ดำเนินอาชีพเป็นนักกฎหมายที่เขาไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ต้องตามใจบิดา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1499 มอร์ได้พบกับพวกกลุ่มขบวนการฮิวแมนนิสต์ (Humanist Movement) เช่น อีเรสมัส, จอห์น โคเล็ท, วิลเลี่ยม ลิลลี่  ทำให้มอร์สนใจศึกษาอารยธรรมของกรีกและโรมัน  ต่อมาในปี ค.ศ. 1504 ขณะที่มอร์อายุได้ 26 ปี เขาก็ได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาล่างของอังกฤษ และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญในการต่อต้านการใช้เงินเพื่อทำสงครามของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 7  พระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 ก็เอาคืนโดยการกลั่นแกล้งบิดาของมอรื โดยหาเหตุปรับเงินและจับกุม ทำให้โทมัส มอร์ ต้องออกจากวงการเมือง  และกลับเข้ามาอีกครั้งหลังพระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1509   ด้วยความที่มอร์มีความสามารถทางด้านกฎหมายและมีความเฉลียวฉลาดในการเจรจาติดต่อ ในปี ค.ศ. 1515 ก็ได้เป็นหนึ่งในคณะทูตไปเจรจาการค้าขนสัตว์กับเนเธอร์แลนด์ และก็เริ่มมีตำแหน่งมากขึ้นในสมัยของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8   โดยใน ค.ศ. 1518 มอร์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาองคมนตรี และได้เป็นคนสนิทของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8   ปี ค.ศ. 1525 ก็ได้รับตำแหน่งเป็นท่านเซอร์  จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1529 ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอัครมหาเสนาบดี การที่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8  ทรงแต่งตั้งให้มอร์ดำรงตำแหน่งนี้ก็เพื่อต้องการให้มอร์สนับสนุนตนในเรื่องที่จะขอหย่ากับพระนางแคเธอรีน  มอร์ซึ่งเป็นคนที่เคร่งศาสนาไม่อาจจะเห็นชอบด้วย  โดยมอร์เขียนจดหมายตอบพระเจ้าเฉนรี่ที่ 8 ว่า “ ข้าพเจ้าเสียใจเป็นอย่างมากที่ไม่อาจรับใช้พระองค์ในเรื่องนี้ได้.... แต่ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าพระองค์ทรงกล่าวแก่ข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้าแรกรับใช้พระองค์ว่า ให้รับใช้พระผู้เป็นเจ้าก่อน และต่อจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วจึงรับใช้พระองค์”  แม้ว่าโทมัส มอรืจะไม่เห็นด้วย แต่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8  ก็ทรงสามารถนำอังกฤษแยกตนเองเป็นอิสระจากอำนาจทางศาสนาที่โรม และก็สามารถหย่ากับพระนางแคเธอรีนได้ และสมรสใหม่กับ แอนน์ โบลีน  พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8  พยายามทำให้ศาสนจักรในอังกฤษอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์  มอร์ก็ขอลาออกจากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีในปี ค.ศ. 1532   พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ยังคงออกออกกฎหมายที่ให้อำนาจแก่กษัตริย์และปฏิเสธอำนาจของพระสันตปาปา  มอร์ไม่ยอมรับกฎหมายนี้ จึงถูกประหารชีวิตในโทษฐานกบฎในปี ค.ศ. 1535 ต่อมาในปี ค.ศ. 1935 คริสตจักรโรมันคาธอลิคก็ประกาศแต่งตั้งให้มอร์เป็นนักบุญของศาสนา

 

โดยในช่วงชีวิตของ โทมัส มอร์ ได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม แต่เรื่องที่ที่สำคัญที่สุดคือ หนังสือเรื่อง Utopia โดยถือได้ว่าหนังสือเล่มนี้เขียนเกี่ยวกับแนวความคิดของสังคมนิยมยูโทเปียได้เป็นอย่างดี

 

โทมัส มอร์ ได้เขียนหนังสือ ยูโทเปีย เมื่อปี ค.ศ. 1516 ขณะที่เป็นตัวแทนของอังกฤษไปเจรจาการค้าที่เนเธอร์แลนด์  โดยเขียนออกมาเป็นภาษาลาติน  หลังจากที่มอร์เสียชีวิตจึงมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1551  คำว่า “ยูโทเปีย” หมายถึง สถานที่แห่งความสมบูรณ์ในเชิงอุดมคติ และเป็นแบบแผนในจินตนาการสำหรับสังคมที่สมบูรณ์แบบสังคมหนึ่ง โดยโทมัส มอร์ ให้สถานที่นี้เป็นเกาะกลางทะเลที่ไม่ได้มีอยู่จริงในแผนที่โลก  ยูโทเปีย Utopia มาจากภาษากรีก   eu - topia  ซึ่งหมายถึง Good Place (สถานที่ที่ดี) แต่เสียงของคำนี้ก็ได้พ้องกับภาษากรีกอีกคำคือ ou – topia ซึ่งหมายความว่า No – Place (ไม่มีที่ใด)   เชื่อได้ว่าการที่โทมัส มอร์ หันไปสนใจศึกษาอารยธรรมกรีกโรมัน ในปี ค.ศ. 1499 เขาคงจะได้อ่านงานของเพลโต คือหนังสือ Republic และเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนยูโทเปียขึ้นมา แต่เราก็ควรจะทราบถึงสภาพของสังคมในช่วงที่มอร์มีชีวิตอยู่ด้วย เพื่อจะเข้าใจได้มากขึ้น คือในระหว่างศตวรรษที่ 15 – 16 ในประเทศอังกฤษนั้น อุตสาหกรรมกำลังขยายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมทอผ้าขนสัตว์กำลังเฟื่องฟูมาก บรรดาชนชั้นสูงจึงพากันยึดที่ดินจากชาวนามาเป็นของตนเอง เพื่อปลูกหญ้าใช้เลี้ยงแกะ แล้วนำขนแกะไปป้อนโรงงาน ทำให้ชาวนาจำนวนมากสูญเสียที่ดินทำกิน พากันล้มละลายกลายเป็นคนพเนจร พวกกรรมกรที่ทำงานอยู่ในโรงงานของพวกนายทุน ก็ถูกนายจ้างเอาเปรียบ ต้องทำงานกันวันละ 16 – 18 ชั่วโมง แต่รายได้ก็ไม่พอเลี้ยงตนเองได้  สภาวะสังคมแบบนี้ ทำให้มอร์วาดฝันสังคมของตนเสียใหม่ในหนังสือ ยูโทเปีย โดยตั้งใจเขียนเสียดสี ล้อเลียนความโง่เขลาและความเลวร้ายของสังคมในสมัยนั้น

 

ยูโทเปียแบ่งออกเป็น 2 ภาค ภาคแรกเป็นการสนทนาสภาพสังคมของอังกฤษ ระหว่างตัวละครในเรื่อง สาระสำคัญของความเลวร้ายในสังคมคือเรื่องความยากจนของประชากร การที่ประชากรกลายเป็นขอทานหรือขโมยเพราะสถานภาพบังคับ เช่นทหารที่กลับจากสงคราม ตกยากและไม่มีงานทำ หรือชาวไร่ชาวนาที่ถูกขูดรีดภาษีจากผู้ครองที่ดิน และกลายเป็นผู้เร่ร่อนต้องปล้นกินผู้อื่น การจัดการของรัฐและการลงโทษด้วยการประหารซึ่งไม่เอื้อประโยชน์ให้ใคร นอกจากความมั่งคั่งของผู้มีอำนาจ ไฮโธลเดย์(ตัวละครในเรี่อง) กล่าวตอนหนึ่งว่าความเลื่อมล้ำในสังคมและความโลภทำให้สังคมเกิดอาการป่วย และทางแก้คือต้องกำจัดทรัพย์สินส่วนตัว นี่น่าจะเป็นแก่นสารสำคัญที่ทำให้มอร์วาดฝันถึงสังคมในอุดมคติ ในภาคสองไฮโธลเดย์เล่าถึงเกาะยูโทเปียที่เขาเคยไปอยู่มาห้าปีให้ฟัง ยูโทเปียเป็นประเทศตั้งบนเกาะกลางน้ำขนาดใหญ่ ส่วนกว้างที่สุดยาวถึงสามร้อยยี่สิบกิโลเมตร มีแม่น้ำล้อมรอบ และมีแผ่นดินล้อมรอบอีกชั้นเพื่อกันพายุและการบุกรุก มีทางเข้าทางเดียวคือตรงหน้าเกาะที่มีป้อมซึ่งเป็นคุกสูงตั้งอยู่ คนไม่ชำนาญก็เข้าไม่ถูกทางเพราะจะหลงกระแสน้ำ      ด้วยความที่ติดแม่น้ำจึงเดินทางสะดวกสบายทั้งทางบกและทางน้ำ บ้านสร้างด้วยหินสกัด ปลูกขึ้นในลักษณะหนึ่งชั้นไปจนถึงสามชั้นเป็นแถวยาว ไม่มีกำแพงมาขวางกั้น หน้าต่างติดกระจก(สมัยนั้นหน้าต่างบ้านขึงด้วยผ้าลินินชุบน้ำมันเพื่อกันลมและฝุ่น) ด้านหน้าเป็นถนนกว้างหกเมตร ด้านหลังของทุกบ้านเป็นสวนปลูกดอกไม้ ผลไม้หรือพืชผัก และมีถนนวิ่งหลังสวน ประตูบ้านมีสองทางโดยที่เปิดปิดตัวเองง่ายดายปราศจากกลอน เนื่องจากชาวยูโทเปียไม่ต้องการ เพราะทรัพย์สินนั้นเป็นของคนทุกคน จึงไม่มีอะไรต้องปิดบังหรือปิดกั้นไม่ให้คนอื่นใช้ อาชีพหลักของชาวยูโทเปียคือเกษตรกรรมและการสวนครัวโดยทำร่วมกัน นอกเหนือจากอาชีพหลักนี้แล้ว ทุกคนยังต้องมีฝีมือการช่างอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย ซึ่งมักจะเป็นฝีมือการช่างประจำวงศ์ตระกูล ผลผลิตที่ได้จะนำมารวมกันและแบ่งกันอย่างยุติธรรมโดยไม่ต้องใช้เงินเลย (เงินมีไว้สำหรับการต่างประเทศ ) การกินอาหารก็กินร่วมกันในห้องอาหารสาธารณะ และให้ความสำคัญกับคนสูงอายุ เพราะคนสูงอายุมีส่วนขับปัญญาให้คนอ่อนวัย  ใครทุกข์ทรมานเพราะไม่สามารถทนความเจ็บปวดจากโรคร้ายได้ เจ้าของนครจะออกใบอนุญาตให้ผู้ป่วยนอนหลับตามประสงค์ หากจะเดินทางข้ามเมือง ขอรับใบอนุญาตหรือพาสปอร์ตจากผู้ปกครอง โดยบอกรายละเอียดว่าเดินทางวันใดกลับเมื่อไร มีคนบริการเป็นทาสให้เสร็จสรรพ (ทาสมาจากผู้ทำผิดหรือผู้บุกรุก คนพวกนี้ใช้ชีวิตเท่าเทียมกับคนส่วนใหญ่เพียงแต่ทำงานใช้แรงงานเพิ่มขึ้น) ของก็ไม่ต้องพกไปใช้ ทุกอย่างไปใช้ฟรีเอาดาบหน้า และเมื่อเจอคนทำงานก็ต้องช่วยทำงานตามเวลาด้วย

(พ่อครูว่ามันเหมือนกันกับชาวอโศกจริงๆ)

 

คติประจำของชาวเมืองคือทำงานตามหน้าที่ ไม่ใช้เวลาว่างไปในทางขี้เกียจ แต่พวกเขามิได้ทำงานแบบเอาเป็นเอาตาย วันๆ หนึ่งทำงานสามชั่วโมงตอนเช้า พักกินข้าวเที่ยง ทำงานสามชั่วโมงตอนบ่าย เข้านอนตอนสองทุ่มโดยนอนไม่ต่ำกว่าแปดชั่วโมง  ความที่ที่นี่ไม่มีผับ ร้านเหล้า การพนัน หรือสิ่งยั่วยุอื่นๆ พวกเขาจึงแสวงหาแต่ความรู้หรือเพิ่มความชำนาญต่างๆ การอ่านและการถกเพื่อความรู้เป็นเรื่องปกติของชาวยูโทเปีย พวกเขาสนใจในหลากหลายวิชา แต่ที่นิยมเป็นพิเศษคือฟิสิกส์ ส่วนเกมการละเล่นที่ถนัดคือเกมคณิตศาสตร์ห้ำหั่นกันด้วยตัวเลข เกมต่อสู้ระหว่างคุณธรรมกับความเลวร้าย หรือการฟังดนตรี   ยูโทเปียไม่มีกฎหมายบีบบังคับประชากรมาก พวกเขาอยู่กันด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายคล้ายคลึงกัน ชุดหนึ่งใช้ทนทานนานเจ็ดปี (เรื่องเสื้อผ้านี่น่าสนใจเพราะชุดที่สวมใส่ออกแบบให้ใช้ได้ในหน้าร้อนและหน้าหนาว) โดยที่ผู้คนในระดับปกครองก็ไม่มีสิ่งบ่งบอกด้วยวัตถุใดใดว่าต่างจากพลเมืองอื่น เซอร์โทมัส มอร์ยังแสดงให้เห็นว่า ชาวยูโทเปียเข้าใจในธรรมชาติของทรัพย์สินว่า ประโยชน์ของทรัพย์สินต่างหากที่ควรเป็นมาตรฐานในการกำหนดคุณค่าของทรัพย์สิน ไม่ใช่ความหายากของทรัพย์สินนั้น ๆ เพชรหรือทองคำ ชาวยูโทเปียก็มองว่าไม่ได้มีคุณค่ามากไปกว่าเหล็ก

 

ที่มา นราพันธ์ บรรจงแก้ว

 

พ่อครูอ่านแล้ว ให้ความเห็นว่า โทมัส มอร์ นี่เป็นโพธิสัตว์ระดับหนึ่งนะนี่ เพราะแนวคิดเช่นนี้ที่จะออกมาได้แม้ไม่ได้ทำเอง (อย่างไอสไตน์คิดแต่คนอื่นทำได้จริง) ก็เป็นแนวคิดของโพธิสัตว์

 

จิตของโทมัส มอร์ ชอบในความจน ขบถจนหยดสุดท้าย จนต้องตายเลย ใจตัวนี้นี่ถึง ใช้ได้

 

อาตามาอ่านประวัติ ผลงานของโทมัส มอร์ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ก็รู้สึกว่ารู้จักเข้าใจโทมัส มอร์มากขึ้น ทีนี้หันกลับมาที่ชัชรินทร์ที่ว่าจิตมนุษย์เป็นอมตะ และถ้าหากไม่มีรางวัลชีวิตหลังตาย ซึ่งก็คืออามิสอยู่สำหรับรางวัลหลังตาย ก็ดีระดับหนึ่ง แต่ว่าไม่สุดยอดอย่างที่พระพุทธเจ้ารู้เรื่องจิต

 

โทมัส มอร์ ก็ยังไม่มีทฤฏีหลักในการฝึกจิต แต่ของพระพุทธเจ้านี่มีทุกเหลี่ยมมุม ชาตินี้อาตมาจะอยู่ไปอีกห้าร้อยปีก็สอนไม่หมด ของเถรวาท เอามาไม่ถึง 25 % กระมังสำหรับคำสอน พระไตรฯของเถรวาทมี 45 เล่น แต่ของมหายานมีมากกว่า 300 เล่ม

 

จิตที่เป็นอมตะนี่ อาตมาขยายความบรรยายเรื่องจิตอมตะ ในมูลสูตรมีคำว่า อมตะ ซึ่งในมูลสูตรมีครบเลย

1.    มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.   มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)

3.   มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)

4.    มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) 

5.    มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

6.    มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันยิ่ง

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) สุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา)

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน)

 

ก่อนจะเข้าใจอมตะมาเข้าใจคำว่า ธรรมะอยู่ แล้วธรรมะนี่ทรงไว้ที่จิต ที่อัตภาพของคุณไปจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ถ้าไม่ปรินิพพานก็ทรงไว้

 

ธรรมะคือมีอยู่ในอัตภาพ แล้วเราต้องรู้ว่าเรามีธรรมะอะไร อาตมานี่ก็ดึงมาใช้ไม่หมด และต้องเน้นไปในทางความดีงามถูกต้อง ถ้าไม่ดีไม่ใช่ธรรมะ เพราะฉะนั้นคำว่าอธรรม นี่ไม่ใช่ธรรมะแล้ว มีไม่ดีนิดหนึ่งก็ไม่ใช่ธรรมะนิดหนึ่ง

 

อาตมาให้ความหมายธรรมะว่า สิ่งที่ทรงไว้ซึ่งแก่นชีพ มีคุณสมบัติคุณค่าในชีวิตเรา คำว่าอธรรม หมายถึงความลดค่าตกต่ำของสิ่งที่ทรงไว้ซึ่งแก่นชีพ เมื่อเติมคำว่า อ เข้าไปใน ธรรมะ เมื่อไหร่ ธรรมะก็พร่องลงๆ แม้จะเล็กน้อยเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ธรรมะ มันด่างพร้อยขึ้นมา หรือไม่มีความเป็นธรรมที่เต็มสภาพ

 

ความเป็นธรรมแท้ๆคือความเต็มของความดีความควร สัมบูรณ์เต็มที่ของภาวะนั้นๆ จะว่าเป็นความเต็มของความไม่ดียิ่งไม่ได้เลย

 

ถ้าเป็นองค์ประชุมของธรรมะสูงสุด ไม่มีอธรรมเลย ก็เรียกว่า “ธรรมกาย” พระพุทธเจ้าว่าชื่อของเราอีกชื่อหนึ่งคือ ธรรมกาย หรือ พรหมกาย ถ้าไม่ดีนิดหนึ่งก็ไม่ใช่แล้ว แสดงออกมาทางกาย วจี ซึ่งมีมโนเป็นประธาน เป็นได้ทั้งท่าทาง ลีลา องค์ประกอบ สุ้มเสียงสำเนียงครบพร้อม แต่ถ้ามีแต่วาจาก็ไม่มีเคลื่อนไหวสรีระท่าทีลีลา อย่างพระท่านเทศน์ทั้งหลายก็ถือว่าเป็นวจีกรรม

 

ความเต็มขั้นดับนรกขั้นหนึ่งที่เรียกว่าอบาย หลุดพ้นจากอบาย วิมุติเป็นขั้นๆ จากอบายก็มาเป็นรูปภพ อรูปภพ และถ้าเต็มแล้วมีความแข็งแรงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงแล้วในภูมิธรรม แล้วก็สามารถนำแรงและความสามารถ ช่วยคนอื่นได้อีก ก็คือผู้มีความเป็นอมตะ สูงสุดก็เรียกว่าอรอันต์

 

โสดาบันก็มีอมตะของโสดาบัน สกิทาฯก็มีอมตะของสกิทาฯ อนาคาฯก็มีอมตะของอนาคาฯ ส่วนอรหันต์นั้นอมตะสูงสุด และก็มีระดับโพธิสัตว์ อีกต่อไปเป็นพระพุทธเจ้าก็สูงสุดแล้ว

 

คำว่า กาย ในภาษาไทย หมายถึง ร่าง ซึ่งไม่สามารถปฏิบัติด้วยความเข้าใจแบบนี้ให้บรรลุธรรมได้ ถ้าหมายเอาคำว่า กายนี้คือสรีระเท่านั้นปฏิบัติบรรลุไม่ได้ แต่ถ้าหมายถึงจิตอย่างเดียวก็ยังพอบรรลุได้

 

ถ้ากำหนดกายไม่ถูก การปฏิบัตินั้นไม่ได้ผล เหมือนไข่เน่า อย่างสัตตาวาส 9 นั้น ถ้าเข้าใจกายไม่ถูกก็ปฏิบัติไม่พ้นความเป็นสัตตาวาส รู้ผิดไปปฏิบัติผิด ไปหลงเลอะๆ เช่น สุภกิณหาพรหม ก็ไปเข้าใจเป็นรูปร่าง แสงสว่างเป็นลำ อย่างนี้เพี้ยนผิดไปมากเลย เพราะเข้าใจคำว่ากายผิด ไปอธิบายเทวดา สัตว์นรกมีรูปร่างหมดเลย นี่คือความล้มเหลวที่แสนสนิทของศาสนาพุทธ อาตมาขออภัยที่พูดตีทิ้งอย่างแรง ไม่อย่างนั้นคุณก็ต่องแต่งอยู่ ถ้ามาเต็มๆจะไวเร็วได้เต็มนะ

 

ไปเข้าใจคำว่า กาย ผิด แม้นิโรธก็ไปเข้าใจเป็น อสัญญีสัตว์ ไปดับสัญญา ดับเวทนาไปหมด การศึกษาพุทธธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อมิจฉาทิฏฐิในคำว่า กาย จึงไม่สามารถปฏิบัติให้บรรลุธรรมได้ ความเห็นของอาตมาจะแย้งกับผู้รู้ที่สอนกันมานานก็ต้องขอภัย แต่เป็นความจริงที่อาตมามั่นใจ ถือว่าเป็นการสาธยายแบบของอาตมาเฉพาะก็แล้วกัน สาธยายผิดก็เป็นวิบากอาตมาเอง ใครเห็นด้วยก็เป็นเรื่องส่วนตัว ผู้ไม่เห็นด้วยก็ถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่งก็แล้วกัน อาตมาทำไม่ได้เบียดเบียนใครเลย มีแต่ชักชวนคนมาลดละกิเลส ลดละเลิกสุขโลกีย์ โลกธรรม

 

อาตมาไม่ใช่คู่แข่งคู่แย่งกับใคร เพราะความต้องการอาตมาคนละอย่างกับโลก จุดประสงค์ของชาวอโศกจึงเห็นคนละทางกับเขา ใครตัดความต้องการทิ้งได้คนนั้นไม่ใช่คน ไม่ได้แย่งกับเขา แต่เป็นการลดคู่แข่งแย่งกับทางโลกที่เป็นกาม โลกธรรม อัตตา กับเขาอีกด้วย

 

คนทางโลกต้องการ กาม ต้องการ ภพ เป็นชีวิตที่ต้องแสวงหาและสร้างภพ แม้นักบวช ไม่แย่งลาภ ยศ แต่ก็ไปสร้างรูปภพ อรูปภพ เพราะไม่รู้จัก แม้จะลืมตาปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ก็สร้างภพสวรรค์ แต่อาตมานั้นไม่ต้องการแล้ว กาม ไม่ต้องการแล้ว ภพ จึงมีแต่วิภวภพ เป็นความต้องการไม่มีภพ ยังมีความต้องการ

 

คนไม่มีความต้องการอะไรเลย แย่กว่าเดรัจฉาน แต่ก็ต้องกินต้องใช้ต้องอยู่ เบียดเบียนโลกอยู่ นั่งรอให้คนมาเก็บให้กินเบียดเบียนเขานะ

 

อาตมามีความต้องการไม่มีภพ ที่เป็นเป้าหมายสุดยอดในชีวิต ไม่ใช่คนพาซื่อแบบอีเดียดโมรอนที่ไม่ได้มีความต้องการเลย เป็นคนไม่ตั้งใจมุ่งหมายอะไร ปล่อยไปตามดินน้ำไฟลม ไม่ตั้งใจก้าวหน้าอะไรเลย กลายเป็นคนจงใจทำจิตไม่ให้ต้องการอะไร ไม่ให้คิด ไม่ให้พิจารณาอะไร ขวดนี่ยังดีกว่าเลย (ขวดบนโต๊ะ) คนที่ไม่คิดพิจารณาอะไรนั่งบื้ออยู่นี่ ขวดนี่ยังดีกว่าเลย แม่แต่แบคทีเรียมันยังหาเลี้ยงตัวเองเลย

 

คนที่สอนเลยเถิด ให้ทำใจว่างกลางๆเฉยๆ สายนี่เบียดเบียนคนอื่น ลัทธิฤาษี แม้คุณไปอยู่บนภูเขา คุณก็ต้องตั้งใจจงใจมาขอเขามาบิณฑบาตอยู่ ดังนั้นคนไม่มีมโนสัญเจตนาไม่ได้เลย

 

คุณไปตัดความต้องการหมดเลย แต่ไม่เข้าใจ รูปภพ อรูปภพ และวิภวภพ เลย คุณไม่ได้ทำแบบตามขั้นตอนที่ละล้างตัดความต้องการที่ติดยึดมาตามลำดับ จนถึงอรูปภพ แม้เนวสัญญานาสัญญายตนภพ ที่ละเอียดสุดแล้ว

 

คนที่มีชีวิตจงใจทำใจตนไม่ให้ต้องการ ไม่ให้พิจารณาอะไร มันเลยเถิดความเป็นสามัญ เลยเถิดความเป็นคนไปแล้ว ใครก็ตามทำจิตให้อยู่เฉยๆนั่นแหละคือมโนสัญเจตนาอยู่ทนโท่ ที่ผิดๆ คุณอ่านสัญเจตนาไม่ออกต่างหาก คนมีมโนสัญเจตนาอยู่ตลอด แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว คนไม่มีมโนสัญเจตนาหาญไม่ได้หรอก ไม่มีเครื่องอาศัย มันผิดความเป็นคน แม้สัตว์เดรัจฉานทุกตัวมันก็มีมโนสัญเจตนา เช่นมันอยากกิน มันกินเสร็จมันก็พัก มีมโนสัญเจตนา

 

คนต้องมีมโนสัญเจตนาหาร ทุกคน ในอาหาร 4 พระพุทธเจ้าว่าให้รู้อาหาร 4 นี้ จนบรรลุ มีเครื่องอาศัยที่ไม่มีภพ เป็นวิภวตัณหาแต่ว่าอาหารยังต้องอาศัย ทำประโยชน์แก่โลก ไม่ใช่อย่างฤาษีไปนั่งหลับตาจนตายไปก็ไม่บรรลุและก็ไม่มีประโยชน์ต่อสังคม พวกนี้ตายไปกระดูกเป็นพระธาตุได้ด้วย เพราะมีพลังงานเย็น

 

การปฏิบัติธรรมแบบพุทธต้องมีตัณหามีสัญเจตนา เป็นวิภวภพ ตั้งใจล้าง กาม ล้างภพ ไปตามลำดับขึ้น จนหมดภพ หมดชาติ ก็เป็นอมตบุคคล ทำงานด้วยวิภวตัณหา มีเครื่องอาศัยจนกว่าจะปรินิพพานก็ละลายเครื่องอาศัยไปหมดเลย

 

อรหันต์ทำงานเป็นโพธิสัตว์ช่วยโลก เหนื่อยหนักนะ เป็นทรถะ ตอนแรกก็ตั้งใจไว้สูง แต่ว่าพอทำไปก็จะรู้ว่ายากขนาดไหน เหมือนคนสักมังกร 7 หัวพอสักไปบอกว่าเหลือหัวเดียวก็พอ แต่พอทำไปก็ว่าเหลือแต่หนวดมังกรก็พอ พอไปๆมาๆเอาแต่ไส้เดือนก็พอ

 

ไม่มีอรหันต์คนใดที่จะขี้เกียจ แม้อรหันต์ที่ไม่ต่อภพภูมิ(อรหันต์สมสีสี)ท่านก็ต้องรีบขวนขวายทำให้เต็มที่ ช่วยคนให้เต็มที่ แต่ก็ไม่ทรมานร่างกาย ยิ่งคนมีภูมิธรรมมากก็ยิ่งจะต้องตอบแทนคุณศาสนา และมันซ้อนคือ เมื่อไม่มีเหตุแห่งทุกข์แล้วทำไปก็ไม่ยาก แต่ก็เหน็ดเหนื่อยหนักหนา มีโพธิสัตว์ที่รีไทร์ตัวเองไม่น้อย

 

.เพาะพุทธว่า...มีคนถามพ่อท่านว่าทำไมขยันจัง ...พ่อครูตอบว่า ก็ไม่รู้จะขี้เกียจไปทำไม อรหันต์นั้นจะไม่ขี้เกียจ และทุกคนหรือแม้แต่สัตว์ก็ต้องมีความต้องการ แต่ว่าเราต้องใช้ความต้องการไปเพื่อความหมดกามหมดภพ เป็นวิภวตัณหา ...ทำให้เรารู้ว่าการมีความต้องการอยู่เป็นสิ่งดีแต่ว่าต้องเป็นวิภวตัณหา


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:00:54 )

570623

รายละเอียด

570623_ธรรมาธรรมะสงคราม เรื่อง กายอย่างพิศดารและคนต้องมีความต้องการ อย่างละเอียด

เราพัฒนาชีวิตมาเรื่อยๆ หลายคนก็ล่วงวัยชรา หลายคนก็เพิ่งเข้ามาทั้งที่วัยชราแล้ว ระวังจะไม่ทันเขา อาตมาว่าชาวอโศกไปไกลนะ อาตมาก็พยายามให้ธรรมะที่ละเอียด มันเป็นการวัดค่าการเจริญทางธรรม ว่าไปอย่างนี้ๆได้ไหม

 

วันนี้ก็มาทบทวนเรื่องกาย กายคำเดียวนี่แหละ ถ้าเข้าใจไม่ดีแล้วไปไม่รอด สอบตก ไม่มีทางบรรลุ ความเป็นสัตว์ต้องรู้ กายของสัตว์ กายนี้ไม่ใช่แค่รูปธรรม

 

กายในสัตตาวาส 9 หรือวิญญาณ ฐิตีก็ไม่ไห้หมายถึงสรีระ โครงร่าง ไม่ได้หมายถึงแต่รูปเท่านั้น

 

1.กายต่างกัน สัญญาต่างกัน 

       คือ เมื่อมีความเห็นหรือความเข้าใจว่า กาย คือ ร่าง หรือรูปร่างสรีระเท่านั้น เมื่อเข้าใจเช่นนี้ แล้วความเข้าใจเรื่อง นามกาย หรือนามรูป ก็จะเห็นกายของสัตว์ที่เป็น กายวิญญาณก็ตาม (กายวิญญาณหมายถึงองค์ประชุมของวิญญาณ) ก็จะเห็นเพียงรูปร่าง  จะไม่กำหนดหมายให้เข้าไปถึงนามธรรม ก็ไปติดว่าสัตว์คือสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์เดรัจฉานเท่านั้น

 

สัตว์ทางจิตวิญญาณจะเห็นเป็นอาการของนามธรรม เป็นสัตว์เปรต สัตว์นรก สัตว์อสุรกาย จึงกำหนดว่า สัตว์นรก สัตว์เทวดาเป็นแบบมีรูปร่าง ก็ไม่กำหนดรู้เข้าไปรู้สภาพนามธรรมที่อยู่ภายในจิตใจ ก็เห็นเป็นเพียงรูปร่าง จะเห็นได้ว่าคนเก่งๆแค่ไหนก็เห็นผี เป็นสัตว์ที่มีรูปร่าง เห็นเดินอยู่ไปมา เขาจึงจะบอกว่าเขาเห็นผี เห็นสัตว์นรก ส่วนเห็นภายในก็เห็นเป็นโครงร่างไปหมด

 

จะอ่านวิญญาณที่เป็นนามธรรม มีองค์รวมของเวทนา สัญญา สังขาร ไม่ได้ มันต้องหมายเอาถึงจิตวิญญาณชัดๆด้วย ต้องเป็นขณะปัจจุบันด้วย แต่ถ้าระลึกเอา ก็เป็นสัญญา ไม่เป็นกายที่สมบูรณ์ครบพร้อมหมด ทั้งรูปภายนอก รูปภายใน และทั้งรูปภายในที่ในๆเข้าไปอีก ต่อเชื่อมสัมพันธ์เข้าไปในองค์รวม ถึงอรูปที่ลึกสุด ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวิโมกข์ ข้อที่ 2 (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ)

 

กายนี่อาตมาใช้คำว่า Concept

ส่วนภายใน Concept ก็จะเห็น “รายบท” Content แล้วก็มี “บริบท” Context แล้วสิ่งเหล่านี้ต้อง “สัมผัสรู้”Contact  จึงจะครบ ความเป็นกาย คำว่า Con แปลว่า การศึกษา ความรู้ ความจำ มีลักษณะคล้ายสัญญา

 

เมื่อเข้าใจว่า กายคือมีแต่รูปร่าง ก็ทำให้ใช้สัญญา ดึงเอาความจำเก่า ปั้นรูปปั้นเรื่องขึ้นมา consciousness มี การต่อเนื่องตระหนัก Concern แล้วก็จัดสรรให้รวมกันอยู่ ถ้าทะเลาะกันก็ทุกข์ conciliate ทำให้ปรองดองกันผูกไมตรีอยู่ด้วยกันให้ได้ เราประนีประนอมกันทางนามธรรมนี่ยุ่งยากกว่าทางโลกเขานะ

 

concoct แปลว่า สังขาร หรือเรื่องแต่งขึ้น กุขึ้น ปรุงขึ้นมาเรื่อย คนมีอวิชชา ไม่รู้จักสังขาร พอเจอผัสสะมันก็ปรุงปุ๊ป อวิชชาทำให้เกิดสังขาร การปรุงแล้วอยู่ร่วมกันพร้อมๆกัน ท่านเรียกว่า Concomitant

 

เราต้อง Control มัน จัดการจัดแจงมัน ไม่ให้มันปรุงเป็นอกุศล จนสามารถเก่ง เรียกว่า Concentrate มันได้ เป็นจิตเอก จิตสมาธิ บาลีเรียกว่า เอกัคคตา เป็นจิตที่ยิ่งใหญ่

 

อาตมาพยายามอธิบาย แม้ต้องใช้ภาษาบาลีและอังกฤษ ภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาเก่าแก่ มีรากคล้ายบาลี

 

สภาพที่รวมอยู่นี่ซ้อนกันอยู่ แต่ว่าไม่ได้เป็นอันเดียวกันนะ เมื่อแยกแยะจะเห็นว่ามีส่วนที่ซ้อนหลายอัน เรียกว่า Intersect มันซ้อนทับกัน ความซ้อนนี่แหละต่างคนต่างต้องนานาสังวาส ยึดเขายึดเราอยู่แต่ว่าอยู่ร่วมกันได้ อะไรเป็นส่วนของคุณ คุณก็ทำของคุณ แต่ร่วมกันได้

 

ทางเรามีความต่างแต่ก็อยู่ได้ รักษาจุดร่วม สงวนจุดต่างกัน ก็อยู่กันได้ เข้าใจกันได้ แต่นามธรรมมันซ้อนกัน

 

เมื่อวานอาตมาอธิบายเรื่อง ความต้องการ หรือตัณหา

 

คำว่าตัณหา หรือ มโนสัญเจตนา เป็นความตั้งใจ มันมีทิศทางมุ่งมั่นของจิต คนเราต้องมีไม่มีไม่ได้ อรหันต์ก็ต้องมีตัณหา พระพุทธเจ้าแยกมโนสัญเจตนาไว้ 3

 

กามตัณหา ภาวตัณหา และวิภวตัณหา พระพุทธเจ้าให้ล้างกามล้างภวตัณหา ก็มีวิภวตัณหา คือตัณหาล้างกาม ล้างภพ คนที่ไม่มีมโนสัญเจตนาเลย ทำจิตตนให้ไม่มีความจงใจมุ่งหมายอะไรเลย ไม่ตั้งใจไม่คิดให้เจริญก้าวหน้าอะไรเลย ไม่ทำอะไรไม่คิดอะไร นี่ไม่ใช่คน มันแกล้งความเป็นคนของตัวเอง เลยเถิดความเป็นจิตสามัญ เข้าขั้นคนไม่สามัญแล้ว

 

ที่สอนกันแนะกันโดยความเข้าใจว่า วิภวตัณหานั้นจะต้องมาเรียนรู้ให้ไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น แล้วมันก็เลยไม่เอาอะไร เป็นคนแข็งทื่อไม่คิดเอาอะไร เลยเถิด เมื่อกำลังของความต้องการจะรู้ ความวิริยะอุตสาหะมันน้อย อยู่เฉยๆปล่อยๆว่างๆ ก็เลยไม่มีพลังของจิตที่จะวิจัยวิจาร ไม่ทำงาน แล้วมันจะไปรู้อะไรได้ ขนาดพากเพียรรู้ยังทำไม่ได้เลย นี่เป็นการเข้าใจความหมายที่ผิด ใครก็ตามที่ตั้งใจจงใจไม่ให้จิตคิดอะไร แล้วให้จิตอยู่เฉยๆ คนนี้จงใจไม่ให้จิตคิดอะไร มันก็จงใจแล้วไง คุณก็ทำตามที่คุณตั้งใจมีมโนสัญเจตนาเกิดแล้ว

 

แล้วหนีความจงใจตั้งใจมุ่งหมายไปไหน ? เร่ิมต้นก็ผิดแแล้ว มันก็เลย เป็นการกำหนด หรือสัญญา ผิด ไม่ถูกต้องสภาวะของสัจธรรม คนไม่มีมโนสัญเจตนาไม่ได้มันผิดความเป็นคน แม้พืชมันก็ยังมีเลย แต่ไม่เรียกเพราะเป็นชีวะไม่ถึงจิตนิยาม แต่ว่ามีสัญญา สังขาร ดิ้นรนให้ชีวิตอยู่รอด หาอาหารมาสังเคราะห์ แต่ว่าเป็นคนไม่ให้มุ่งหมายอะไรมันเป็นไปไม่ได้

 

พระพุทธเจ้าตรัสตายตัวเลยว่า มนุษย์ต้องอาศัย มโนสัญเจตนาหาร (มีเครื่องอาศัย) ไม่มีมโนสัญเจตนาไม่ได้ ไม่มีเครื่องอาศัยอยู่ไม่ได้ ตาย หรืออยู่อย่างไม่มีสาระ เป็นฤาษี แต่ก็มีเจตนาให้อยู่สงบ ให้บรรลุ ก็ทำตามความเข้าใจ ก็เป็นมโนสัญเจตนา หรือมโนสัญเจตนาว่าไม่มีไม่เอาก็เป็นมโนสัญเจตนา ก็ไปแปลว่วิภวตัณหาว่าไม่น่ามี ไม่น่าได้ ไม่น่าเป็นก็ผิดไปหมด ไม่มีพลังทำอะไรก็ไม่พัฒนา พาซวย

 

พระพุทธเจ้าไม่มีกิเลสแล้วแต่ก็มีมโนสัญเจตนาหาร เป็นวิภวตัณหาในการสร้างศาสนา

 

ความมีมโนสัญเจตนาของคน หรือตัณหา คนต้องมีเป็นปกติธรรมชาติ หากใครไม่มีความจงใจตั้งใจในการใช้ชีวิตก็ไม่ใช่คน หรือเป็นคนคิดวิตถาร ก็ไม่บรรลุธรรมแน่

 

ท่านตรัสว่า มโนสัญเจตนามี 3 คือ กามตัณหา ภวตัณหา (สองอย่างนี้เป็นสามัญ) อีกอย่างคือ วิภวตัณหา ต้องมีตัณหาเป็นเครื่องอาศัย แต่ให้หมดได้ ในกามตัณหา ภวตัณหา ผู้ใดต้องการดับกิเลส ดับภพ จบชาติ ก็ต้องมีตัณหาที่ไม่ต้องการมีกิเลส ไม่มีภพชาติก็เรียกว่าตัณหาล้างตัณหา ถ้าไม่มีตัณหาไม่มีความต้องการเลยจิตก็ไม่มีพลังไปเจาะไชวิจัยอะไรเลย

 

ผู้ใดจะดับกิเลสก็ต้องมีความต้องการเรียนรู้จะดับกิเลส ไม่ต้องเหนี่ยมอายที่จะมีความต้องการดับกิเลส เข้าใจแล้วจะทำให้เราเกิดพลังที่เต็ม หากไม่ชัดก็ไม่มุ่งมั่นในทางกุศล ปกติสามัญของคนย่อมมีจิตจงใจ มุ่งหมาย มโนสัญเจตนาหาร ดำเนินไปสู่จุดใดจุดหนึ่ง มีทิศทาง อย่างน้อยที่สุดคนเราต้องมุ่งหมายไปสู่ความสุขความสบาย ทุกคนมุ่งหมายเช่นนี้ แล้วความสบายเป็นอย่างไรก็ไปเข้าใจผิดว่าอย่าไปคิดไปทำอะไร อย่าไปอยากอะไร ตัณหาเป็นสมุทัยอาริยสัจ ก็เลยกลายเป็นคนเด๋อ ไม่มุ่งหมายอะไร

 

สัตว์ทุกตัว โดยเฉพาะคน ต้องจงใจ มีสัญเจตนา คือตั้งใจ จงใจ ให้เป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ให้ชีวิตดำเนินไป คนจริงๆจะเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยก็อยากสบายอยากสุข จะเข้าใจว่าอยู่เฉยๆสบายคุณก็ทำ ก็เจตนาจงใจทำก็สำเร็จก็ได้เท่านั้นไม่ได้เรียนอะไรต่อ ชีวิตคนก็มะรื่อทื่อ ฟังดีๆนะ ไม่ได้แกล้งพูด ไม่ได้แกล้งใส่ไคล้อะไร

 

ถ้าเกิดเป็นคนแล้วไม่มีมโนสัญเจตนาหารเลย มันเป็นไปไม่ได้ จะชั่วคราว ก็ตาม แต่อย่าไปทำแบบไม่จงใจอะไรเลย มันอุตริ พิเรน ผิดมนุษย์ ถ้าไปทำสภาพนั้น ซึ่งมีเยอะเลย ในอินเดียก็มีเยอะเลย ให้ว่าง นิ่งเฉย ไม่ต้องรู้อะไร ก็เป็นคนไม่มีพลังแรง พลังงานปัญญา วิริยะ ก็ไม่มีเลย อ่อน พลังการงานอันไม่มีโทษก็ไม่มี จะช่วยเหลือคนสังคหะก็ล้มละลายเลย ที่จะบอกว่าช่วยมนุษยชาติก็แค่โฆษณาขายสินค้าเขา แล้วพาเพี้ยนพาออกนอกขอบเขตพุทธไปเลย

 

อาตมาว่าพวกเรายังมีความต้องการจงใจมุ่งหมาย กำจัด กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่ให้มันมี มีความตั้งใจอย่างนี้ทั้งนั้น แล้วมีเจตนาทำ พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ก็ทำไปตามสัดส่วน ก็ได้อยู่บ้าง แต่ไม่อยากพูดว่าได้มาก ยังไม่เป็น พหุชนหิตายะ

 

คนในโลก แสวงหา กามสุข กับ อัตตทัตถสุข เราเองเราไม่ได้ไปเป็นภัยเป็นโทษกับเขา มองดูเหมือนเราเป็นคนละพวกแตกแยกกับเขา หาว่าพวกเราทำความแตกแยก มีแต่พวกของมัน จริงมันเข้าใจได้ว่าแยกกัน คนละชนิด แต่ในแนวลึก วิเศษ เราไม่ใช่โทษภัย ไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา แต่เรามาเสนอ เสนอจนมีหมู่กลุ่มวัฒนธรรม ปฏิบัติกับคนข้างนอกด้วย เราไม่เป็นปฏิปักษ์ ไปแย่งกับเขา มีแต่จะช่วยให้เจริญ คือจะได้ลาภ ได้ยศ ก็อย่าเกิน ได้มากก็ไปแย่งเขา เสียเศรษฐกิจ ไปกักตุนกอบโกย ออกดอกผลไม่ถูก มันผิด กินตำแหน่งนี้แล้วยังไปแย่งตำแหน่งคนอื่น ไปกินตำแหน่งนั้นนี้อีก มันมากไป ต้องดูตนเองว่าจะกินใช้อะไรมากมายต้องมาทำตนให้มันน้อยสันโดษ แล้วอ้างว่าตนต้องเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงบริวารมันต้องมีมาก คุณก็เอาฐานะความเก่ง สามารถความรู้ ทั้งฐานะทางสังคม ที่มีอัตราตั้งไว้แพงสูง ยิ่งเอาเปรียบซับซ้อนมากมาย พวกเรามาปฏิบัติประพฤติเราไม่ได้ไปเป็นโทษภัยต่อคนโลกีย์ ต้องอาศัยโลกธรรมอยู่ เรามาเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อเขา ไม่ให้คุณทำชั่วทำบาป เอาเปรียบ มาให้คุณเป็นคนเสียสละ มักน้อยสันโดษ

 

แต่ก่อนเราเคยทำเคยแก่งแย่งจากสังคมทั้งนั้น แต่ตอนนี้เราไม่ไปแก่งแย่งกับเขาแล้ว เรามาฝึกฝนลดละกิเลส ที่เป็นส่วนเกิน กิเลสลดก็ไม่โลภมาก จึงเป็นคนมักน้อย จิตใจกล้าจน แม้มีน้อยก็พอ โดยไม่เสียสุขภาพด้วย ไม่สะสม พากเพียร ขยันเสมอด้วย

 

เมื่อเราพึ่งตนรอด เลี้ยงตัวเองได้ มีส่วนเหลือส่วนเกิน เราจึงย้อนไปช่วยสังคม ด้วยระบบบุญนิยม เรามีสูตรของเรา เป็นการเสียสละแก่สังคมแท้ ไม่มีเล่กล ทำตามฐานะ อุตสาหะทำ แม้เด็กๆเราก็พาทำ มันตรงกับหลัก “ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา” นี่คือพระราชดำรัสที่ให้แก่สังคมโลก “Our loss in our gain” ตรงตามอุดมคติของพระพุทธเจ้าด้วยนะ เป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ก็ทำได้พอสมควร ไม่เลิศเลอนัก

 

ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ก็ตามเราก็สัมมา ประกอบกรรมการงานอาชีพ มีระบบบุญนิยม ไม่ได้ทำมาหากินอยู่ 8 เดือน จนปิดกิจการ เราก็ออกไปชุมนุมกับเขา เราก็อยู่รอด ขนาดนั้นก็ยังขนมาอยู่กันได้นะ พวกที่ทำอยู่ก็ทำมาแจกเขาอีก กินไม่ทันอีก นี่คือผลธรรม มีวิมุติธรรม

 

อาตมาเชื่อมั่นภาคภูมิใจว่า ตราบใดมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์ อย่างน้อยอาตมาก็ว่าเห็น 1 คนแล้ว คงจะต้องมีอีก ใครหนอ

 

อรหันต์ก็มีอรหันต์ในโสดาฯ อรหันต์ในสกิทาฯ อรหันต์ในอนาคาฯ​อรหันต์ในอรหันต์ ก็มีตามขั้นตอน จากนั้นไปเป็นอนุโพธิสัตว์ ก็ไม่มีประโยชน์ตนแล้วก็ไม่ต้องมีอรหันต์เพื่อตนเองแล้ว มีแต่อรหันต์เพื่อคนอื่นเพ่ิมเติมอรหัตตะเพื่อผู้อื่นทำสัมมาสัมโพธิญาณไปเรื่อยๆ ต้องทำอย่างสัจฉิ แจ้งใสเห็นจริง

 

การแสวงหามี 3 กาม ภพ และพรหมจรรย์ ก็คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นั่นเอง คนอยากได้พรหมจรรย์นั่งเฉยแล้วพรหมจรรย์จะมาหาเองไม่ได้หรอก

 

มาสู่คำว่า “กาย”

 

ถ้าใครมิจฉาทิฏฐิกำหนดคำว่ากายผิด ก็ไม่บรรลุธรรมได้แน่ ไม่มีทาง อาตมาเจอที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าในกายสักขีบุคคล ที่บอกว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย นี่ชัดเลย ว่าคนปฏิบัติจากสัทธานุสารี สัทธาวิมุติ จนเป็นกายสักขีก็ต้องศึกษาวิโมกข์ 8 ให้ชัดเจน แต่ในวิโมกข์ 8 ไม่มีคำว่ากายสักคำ แต่นั่นแหละกาย

 

 

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี  เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ)  (พค.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

 

คำว่ากายคือองค์รวมของสภาวธรรม เป็นConcept ซึ่งมี Content context ในนั้น คุณต้องเรียนรู้แยกแยะให้สะอาดเรียบร้อยทุก รายบท โดยต้องมี Contact แล้วเกิดสภาวธรรม เป็น กายวิญญาณ แจกละเอียดไป จนรู้จักรู้แจ้งรู้จริงหมดพ้นความไม่รู้ พ้นอวิชชา หมดสิ้นความลับ อรหะ กล่าวคือต้องล้องพ้น ความไม่รู้ขั้น เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ จนเป็นผู้มีความรู้ที่ผ่านขั้นนี้ไปก็จะเป็นผู้รู้ที่ย่ิงยอดพ้นอวิชชาสวะ เป็นวิชชาสูงสุด หมดอาสวะของอวิชชา หรือล่วงพ้นก้าวพ้นภูมินี้ไปสู่อรหันต์ เราดับเราทำลายมีทั้งทำได้เป็นจิตเจโต และตรวจสอบ ด้วยอรูปฌาน อากิญจัญยายตนะคือแม้นิดแม้น้อยก็ต้องให้ไม่มี แล้วก็ต้องไม่ให้เหลือตัวไม่รู้ให้พ้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ เมื่อก้าวพ้นอันนี้ก็สู่ สัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่ได้ไปทำจิตดับเลย

 

มันรู้ชนิดรู้แจ้ง สัจฉิ รู้แจ้งเป็นนิโรธ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นของพุทธที่สัมมาทิฏฐิเท่านั้น พระพุทธเจ้าว่านิโรธต้องทำให้แจ้ง(สัจฉิ) ผู้ปฏบัติพึงทำให้แจ้ง อันพึงทำให้แจ้ง จนแจ้งเลย ต้องแจ้งอย่างใส อย่างปรากฏ คำนี้คำว่าแจ้ง(สัจฉิ) มันควรเป็นภาวะที่ใสหรือดำ ใสอย่างปรากฏเห็นๆหรือว่าดำอย่างไม่รู้เห็นอะไรเลย มันก็ควรรู้เห็นอย่างแจ้งในปรากฏ ไม่ใช่ดำมืดไม่เห็นไม่รู้อะไรเลย

 

ผู้ปฏิบัติที่บรรลุนิโรธ ควรรู้จักรู้แจ้งความจริงในความดับนั้น อย่างปรากฏภาวะเห็นแจ้งทนโท่หลัดๆอย่างปรากฏธาตุรู้ของตนเอง

 

สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็น โลกุตรธรรมขั้นที่ 9 หรือว่าเป็นโลกุตระธรรม 46 ย่ิงชัด เร่ิมต้นโลกุตรธรรม เป็นเสขบุคคล คือโสดาบันก็เข้าโลกุตรธรรมแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องอรหันต์จึงเป็นโลกุตรธรรม

 

สัญญาเวทยิตนิโรธมีแต่ในพุทธแท้ ไม่มีในศาสนาอื่น แม้ในพุทธเองก็ยังยากเลย ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิแท้ก็ไม่สามารถมีนิโรธชนิดนี้ ใครก็ตามได้นิโรธตั้งแต่แรก ต้องกำหนดรู้ให้แจ้งว่า ของพุทธเป็นเช่นนี้ ทำให้ดับอย่างอาริยสัจ 4 เอาให้รู้ให้ได้ แม้เร่ิมรู้ครั้งแรกก็ทำทวนทำซ้ำ ไม่ใช่ได้แล้วก็ทิ้ง แต่ว่าทำอย่างที่เคยได้นี่แหละทวนแล้วทวนอีก ทำเช่นนี้เรียกว่าปฏินิสัคคานุปัสสี ตามรู้ตามเห็นที่เราทำได้ มีอนิจจานุปัสสะ วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำให้มากทำให้บ่อย รักษาผลธรรม เป็นการรักษาอเนญชาภิสังขารด้วย ปรุงแต่งแต่ไม่หวั่นไหว

 

การทำซ้ำนี่ก็รู้หมดทั้งสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปทาน 4 อ่านวิจัยทุกอย่าง รู้หมดในเวทนา 108 แล้วทำเนกขัมสิตเวทนา ซึ่งจะทำก็ต้องรู้ เคหสิตเวทนาด้วย เราก็รู้ว่ามีการปรุงอยู่แต่เราไม่มี มันจัดจ้านอยู่เช่นนี้แต่เราไม่มี เราแข็งแรงเท่าไหรก็รู้ของเรา จะต้องทำมโนปวิจาร 36 ให้ครบ 3 กาล ทำทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีต จนพ้นอวิชชาสวะ 8 ข้อที่ 7 คือ ปุพพันตาปรันเต อัญญนัง คือไม่รู้ทั้งส่วนอดีตและอนาคต แต่ตอนนี้รู้แล้ว ว่ากิเลสสูญ ทำนิโรธให้ตั้งมั่น ทำจนเสร็จกิจตัดสินได้เป็นกตญาณของคุณเอง อนาคต 36 มันไม่เกิดหรอก มันมาถึงก็เป็นปัจจุบันทุกที แต่มั่นใจได้ว่าอนาคตไม่เป็นอื่น อดีตกับอนาคนอันเดียวกัน เพราะทำความจริงทุกปัจจุบัน จนมั่นใจไม่่ใช่พยากรณ์ ใครตัดสินผิดก็เรื่องของคุณ

 

จะกล่าวว่าเป็นการตรวจสอบปรมัตถธรรมด้วยวิโมกข์ 8 หรืออนุปุพพวิหาร 9 ก็ไปถึงสัญญาเวทยิตนิโรธทั้งนั้นเลย หลักธรรมต่างๆหากร้อยเรียงแล้วตามให้ทันก็จะชัด

 

ทำจนกระทั่งมีผลจิตตั้งมั่น จะเรียกว่าอนุรักขณาปธาน หรือสั่งสม อเนญชาภิสังขาร จะเรียกว่าสั่งสมเวทนา 3​กาละก็ได้หรือพ้นอวิชชา ข้อ 7 ก็ได้จะตรวจสอบด้วยวิโมกข์ 8 อนุบุพพวิหาร 9 ก็ได้ เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

สรุปว่าต้องปฏิบัติอย่างวิญญาณฐีติ 7 อย่างช่ำชองสูงสุด มีกาย มีสัญญากำหนดรู้ เกิดวิญญาณเมื่อผัสสะ มีเวทนา สัญญา สังขาร หรือตามนามรูป มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

รู้จักกาย ว่านี่คือสัตว์นรก สัตว์เทวดา และแยกเทวดาสมมุติ เทวดาอุบัติ และเทวดาวิสุทธิ เราก็รู้ รู้ความเป็นพรหม แล้วเราก็รู้พรหมเก๊ ที่เขาหลงผิด

 

ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริง อย่างสัจฉิ ไม่ใช่ไปรู้แต่ในภพ เป็นภาวะดับดำมืด เหมือนอย่างกายของพรหมที่ชื่อว่า สุภกิณหา (ของฤาษี) ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ก็อย่างนั้นถ้าเข้าใจว่าสภาพดับนั้นต้องเป็นอย่างสัจฉิ สัญญาเดียวกันเลย แต่ของเขาดำมืด แต่ของพระพุทธเจ้านั้นสว่าง แต่เป็นสิ่งที่สุภกิณหะเหมือนกัน

 

นิโรธของพุทธนั้นต่างจากนิโรธฤาษี นิโรธของฤาษีไม่มีกำลัง แต่นิโรธของพระพุทธเจ้านั้น จะยิ่งมีกำลังในความดับ เห็นอยู่หลัดๆขณะนั้นด้วย เป็นพลังปัญญา พลังฌาน ฌานต้องมีปัญญา ต้องรู้ชัด และมีพลังทำลายไฟราคะ โทสะ โมหะด้วย มีกำลังมาก และการรู้ความดับนี่รู้ชนิดเห็นๆปัสสติ เห็นความเป็นนิโรธ ด้วย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ยิ่งชัดมาก

 

ต้องเป็นการรู้ชนิดมีจักษุ มีตากระทบสัมผัสรูป มีความรู้ประกอบ เห็นอย่างลืมตาตื่น ไม่ต้องไปเข้าภวังค์ มีจักษุ ญาณ ปัญญา เหนือวิสัยธรรมดาสามัญ เป็นวิชชาที่ได้พ้นอวิชชาได้ ต้องยืนยันได้ว่า ขณะมีนิโรธได้นั้นต้องมีแสงสว่าง เพื่อยืนยันว่าต่างจากนิโรธไม่ใช่พุทธ ที่ทำให้แจ้งไม่ใช่ทำให้ดำดับไม่รู้

 

แม้จะมีสัญญาอย่างเดียวกันว่าดับ เขาก็ดับสำเร็จของเขา เราก็ดับสำเร็จของเรา ของเราดับคืออกุศลภาวะดับไปแล้ว มีอารมณ์ไม่ทุกข์อย่างเดียวกัน กายอย่างเดียวกัน เขาไม่ทุกข์แบบไม่รู้ แต่ของเรานี่ทุกข์อย่างรู้ๆ มีองค์ประชุมของสภาวะเหมือนกัน ดับเหมือนกัน

 

กายอย่างเดียวกัน คือกายความดับเหมือนกัน ได้สิ่งที่ไม่ทุกข์เหมือนกัน สัญญาว่าดับความทุกข์เหมือนกัน แต่ของเขาชั่วคราว แต่เขาก็อยู่ในภาวะนิโรธเหมือนกัน สัญญาว่าดับทุกข์เขาก็ทำได้สำเร็จ กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกันแต่นัยสำคัญมากที่ไม่ใช่วิสัยของการคาดเดาอย่างตักกะ ที่จะต้องเรียนของจริงตั้งแต่ สักกายะ คือตัวตนอัตตาที่ต้องพิสูจน์ญาณหยั่งรู้อัตตาตัวแรก เป็นสังโยชน์ข้อแรกในสังโยชน์ 10 ใครยังไม่รู้สักกายะ คนนั้นยังไม่เร่ิมต้นกาย แล้วปฏิบัติอย่างไรจึงพ้นสักกายทิฏฐิสังโยชน์

 

นี่แหละเห็นความเป็นสัตว์ของตน ถ้าตัวต้นคือสักกายทิฏฐิยังไม่ได้ ก็ไม่บรรลุธรรม อธิบายกันไปผิดๆก็ทำให้ปฏิบัติผิดๆ อย่างกายสังขารเขาก็อธิบายเป็นการปรุงแต่งภายนอก กายปัสสัทธิ ก็กำหนดว่าเป็นสรีระสงบ ก็ไปกำหนดอย่างนี้แล้วก็จะปฏิบัติให้บรรลุได้อย่างไร?

กายสัมผัส เขาก็อธิบายว่าเตะต้องภายนอก

กายวิปัสสนาก็ได้แค่ภายนอก

กายกัมมัญญตาเขาแปลว่า การงานอันเหมาะควร องค์ประชุมของการงานอันเหมาะควรมีทั้งอาชีพ การกระทำและจิตอันเหมาะควร ที่ออกไปทำงานเต็มรูปของอาชีพ

กายมุทุตา  เขาก็ยิ่งแปลไปอย่างไร แปลว่าจิตอ่อนไหวเร็วไว จิตเจโตปรับง่ายรู้เร็วไว ไม่ใช่กายที่ไปวิ่งเร็วว่องไว มันจึงสำคัญมั่นหมายกันคนละทิศ

กายวิการ แปลอย่างโลกๆก็เอาคนขาแข้งพิการมา ไม่ใช่ กายนี่คืออย่าง วิญญัติรูป มีลหุตา มุทุตา ตัวจิตถูกรู้ คืออุปาทายรูป 24 ถูกรู้นั่นเอง และมีแต่ปสาทรูป โคจรรูป ก็อยู่เนื่องกับภายนอก แต่ว่าจากนั้นไปก็เป็นนามทั้งนั้น


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:04:02 )

570624

รายละเอียด

570624_ธรรมาธรรมะสงครามที่สันติฯ เรื่อง นิโรธของพุทธต้องมีแสงสว่างรู้ “กาย”

เราคงต้องพูดกันอีกยาว เรากำลังพูดคำสำคัญที่ว่า “นิโรธ” พระพุทธเจ้าตรัสว่านิโรธของท่านไม่ได้เป็นนิโรธมืด การสอนของพระพุทธเจ้า มีการสอนตั้งแต่นิโรธหยาบ นิโรธ วิมุติไปตามลำดับ ศาลานี้ว่างจากช้างม้า แต่ไม่ได้ว่างจากเสา ศาลานี้ไม่มีคน มีแต่เสา มีแต่อะไรเล็กๆน้อยๆ ก็กลายเป็นสูญจากอีกอันหนึ่ง ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นอากาศ จนถึงวิญญาณ แล้วก็ตรวจสอบว่าธุลีละอองน้อยขนาดไหนก็ให้หมด ให้รู้ให้ครบ อากิญจัญฯ และต้องพ้นความไม่รู้ทั้งหมด คือเนวสัญญานาสัญญายตนะ พ้นให้ได้

 

รู้อกุศลจิตตั้งแต่หยาบ ไปหาละเอียด ถ้าไม่เป็นไปตามลำดับ คุณจะไปรู้ได้อย่างไร จะเร่ิมต้นตรงไหน วิญญาณคุณก็ไม่รู้ อากาศคุณก็ไม่รู้ ไม่เรียนรู้เปรียบเทียบความต่าง ตั้งแต่หยาบๆไป ให้สุดท้ายไม่มีจนเป็นนามธรรม

 

แต่ว่าการเข้าใจผิดไปดับทั้งหมด ก็เป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอน ไม่รู้ตั้งแต่หยาบๆไปจะไปรู้ละเอียดได้อย่างไร?

 

ต้องมีธาตุรู้ที่เห็นความว่างด้วย ว่างจากอะไรคุณก็ต้องรู้มาตั้งแต่หยาบ คือตั้งแต่ไม่มีอกุศลจิตหยาบๆมา การเข้าใจตั้งแต่ต้นว่านิโรธนั้นไปดับจิต ก็หมดทางแก้คนนั้นเลย เข้าใจว่านิโรธไปนั่งดับจิต ดับตัวรู้ก็ไม่มีทางบรรลุ ให้ทำไปอีกล้านชาติเลย แม้โสดาบันก็ไม่ได้ เพราะดับตั้งแต่ต้นทาง ไม่มีลำดับ

 

ในความไม่มีหรือนิโรธของพระพุทธเจ้าจะต้องมีสัญญา กำหนดรู้ องค์ประชุม ตั้งแต่หยาบไปของกาย แต่คำว่ากายเขาก็เข้าใจผิด ว่าเป็นดินน้ำไฟลม เป็นของนอก และเข้าไปข้างในก็ไม่ได้ เข้าใจว่า กายคือร่างข้างนอก ไปหาจิตวิญญาณไม่ได้เลยก็จบเห่เหมือนกัน ต้องเข้าใจว่า กายไม่ขาดความเป็นจิต แล้วก็ต้องศึกษาตั้งแต่มีความหยาบเป็นกาย อาตมาอธิบายว่าลืมตานี่แหละอยู่กับนรก กับโลก กับวงไพ่นี่แหละถ้าจิตเราหลุดพ้นก็นั่งกับวงไพ่แล้วจิตเราก็ไม่สนุกไปกับเขา หรือว่าไม่รู้สึกไม่ชอบ ก็ต้องเป็นจิตกลางๆเฉย

 

ในโลกอบายนี่หยาบ ชัดเจน แล้วเราว่างจากอบายหยาบนี่แหละ คือนิโรธ แล้วก็ว่างจากส่ิงละเอียดเข้าไป จนถึงนามธรรมบางเบา มันจะนิโรธ จะรู้ว่าไม่มีอย่างไร ไม่มีดูดผลักในจิตเรา มันจึงไม่รู้ความหมายที่ชัดเจนจึงไม่มีทางที่จะเป็นไปได้

 

วันนี้บัดนี้ อาตมาจะพูดกับพวกเราว่า มันไม่มีใครบรรลุนิโรธนิพพานของพระพุทธเจ้าเลย ไม่มีเลย อาตมาไม่เห็นใครซักคนเลย (นี่พูดกับพวกเรานะ) มันเหลืออาตมาต้องมากอบกู้ขึ้นมา แล้วก็ได้ขึ้นมาเรื่อยๆ ขนาดนั้นยังไม่ง่ายเลย ก็มาอธิบายเพิ่มในเป้าเลย ถ้าไม่รู้กายกับสัญญา ที่ระบุในสัตตาวาส 9 ถ้าไม่รู้จะบรรลุได้อย่างไร

 

อธิบายสัตว์โอปปาติกสัตว์ในสัมมาทิฏฐิมานานแล้ว จนมาตอนนี้ก็มาจับความเป็นสัตว์เต็มๆ เกิดการหลุดพ้นมาอย่างไร มีโลกนี้โลกหน้า มีสัตว์โลกุตระเป็นอย่างไร ถ้าเข้าใจคำว่าสัตว์ให้สัญญากำหนดรู้ให้ชัดว่า เกี่ยวข้องกับทั้งรูปและนาม

 

วิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ คือเอโกส่วนตน ต้องรู้ส่วนตน ทั้งนอกและใน สัมผัสรูปภายนอกจนถึงภายใน สัญญากำหนดรู้อรูป รู้ภายนอกถึงภายในทะลุเลย ถ้าเข้าใจข้อนี้ได้ก็จะเข้าใจองค์ประชุมทั้งนอกและในให้หลุดพ้นว่างๆๆไปตามลำดับ

 

สัญญาเวทนยิตนิโรธเป็นภูมิสูงสุดในโลกุตรธรรม 9 และนับในโลกุตรธรรม 46 เป็นขั้นสูงสุดของโลกุตรธรรม 46 คือนับรวมกับโพธิปักขิยธรรม 37 บวกไปอีก 9 ก็เป็นขั้นปลายสุดแล้ว พ้นทุกข์อาริยสัจสัมบูรณ์ ที่ต้องทำให้แจ้ง(สัจฉิ)ไม่ใช่แบบดับมืด กิณหะ ตามภาษาในวิญญาณฐีติ 7

 

พุทธกับพราหมณ์อย่างเดียวกันนั่นแหละ แต่วนกลับไปมา เป็นเจโตเต็ม หรือว่าวุ่นวาย จนพระพุทธเจ้าสร้างศาสนาใหม่ แล้วเป็นอเทวนิยมต่อมาเวียนกลับเป็นเทวนิยมอีก พระพุทธเจ้าก็ต้องกลับมาแก้อีก ตอนนี้เกือบไม่เหลือแล้วโพธิรักษ์ก็ต้องมาแก้อีก แย่แล้วยุคนี้

 

ผู้บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วได้บรรลุสูงสุดในตน รู้ได้ในตนเองแท้จึงจะรู้ว่าจริงแท้ ถ้าไม่รู้ตัวเองไม่ใช่ ต้องรู้ความหมดอาสวะแล้วไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่น

 

อรหันต์คือผู้มีอัตตาที่ไม่ลึกลับแล้ว อัตตาคุณต้องมี เปรียบเหมือนอุจจาระ คุณต้องมีอุจจาระ ไม่มีก็ตาย เป็นคนตาย ไม่กิน ก็ไม่มีอุจจาระ แล้วอัตตานี่ไม่ใช่ของเรา เราขี้ออกไปก็ไม่ใช่ของเรา เหมือนอัตตา เอาออกไปจากเราเราก็ไม่มีอัตตา แต่เราต้องอาศัยอัตตา ที่ไม่ลึกลับแล้ว อรหัตตาคืออรหันต์อาศัยอัตตาที่ไม่ลึกลับแล้ว

 

สัญญาเวทยิตนิโรธมีแต่ในพุทธ ในศาสนาอื่นไม่มีได้ ต้องมีหลักเกณฑ์ด้วย แต่ถ้าไม่มีหลักให้ศึกษาเลยก็อย่าไปฝัน

คุณทำนิโรธได้เป็นครั้งแรก เช่นเลิกบุหรี่ได้ แล้วได้นิโรธจากบุหรี่ ทำได้ก็ทำทวนทำซ้ำ ทำให้มากเป็นพหุลีกัมมัง เป็นการรักษาผล อนุรักขนาปธาน หรือสั่งสมอเนญชาภิสังขาร เป็นการสังขารที่ไม่ธรรมดา เป็นสังขารอย่างอภิ แปลว่ายิ่งใหญ่ ปรากฏจริง สมบูรณ์เต็มที่เลย ต้องรู้อาการของเวทนา 18 รู้เนกขัมมะที่ลดละ จากเคหสิตะ ทำอย่างกดข่มก็รู้ ทำอย่างวิปัสสนา พิจารณาให้เกิดจางคลาย ก็ตามรู้ ตามเห็นอนิจจานุปัสสี วนไปหาความไม่มีอยู่เรื่อยเป็นธรรมดาของไตรลักษณ์

 

อะไรที่มีแล้วก็ต้องเสื่อม แล้วอะไรไม่เสื่อม ก็คือที่ไม่มีอย่างถาวร คือนิพพาน แล้วนิพพานเกิดที่จิต อย่างอื่นไม่เที่ยง แม้แต่สสาร และพลังงานก็หมุนเวียนไปไม่สูญ ลักษณะไม่สูญ นี่คนเข้าใจผิดว่าไม่มีสูญ และนามธรรมนี่ละเอียดกว่าวัตถุ นามธรรมนิพพานเป็นปริโยสานก็หมดเลย

 

อุตุนิยามคือสสาร แต่พีชนิยามก็มีชีวะ แต่ไม่เกาะกุมสลายได้ง่าย แต่พอจิตนิยามนี่ไม่สลายได้ง่ายเลย เร่ิมเป็นจิตนิยามก็ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็สลายยากขึ้น เพราะเป็นตัวตน เป็นตัวกูของกู แต่ว่าสัตว์นี่หลุดจากอะไรหมดแล้วเป็นตัวเองไม่เกาะกับอะไรแล้ว แต่ถ้าพีชะต้องเกาะ กับดิน น้ำ อากาศ เป็นชีวะได้ อย่างแบคทีเรียเล็กก็อยู่กับอากาศ แต่ถ้าเป็นคนก็ไม่เกาะกับดินน้ำไฟลม แต่อาศัยดินน้ำไฟลม แต่ไม่ติดยึดดินน้ำไฟลมแล้ว แต่มาติดตัวเอง แล้วก็โง่ไปติดดินน้ำไฟลมใหม่ติดสารพัดติดใหม่ วนอยู่อย่างนี้

 

สรุปไปหาเป้า ต้องมีเวทนา แม้อุเบกขาคุณก็เคยมี ก็มาพักที่นี่ แต่ว่าอุเบกขาพระพุทธเจ้านั้นมีอภิสังขารด้วย กระทบสัมผัสสังขารด้วย จิตเราก็ลอยตัว คลุกคลีกับเขาอยู่แต่จิตเรากลางวางได้ เขาแปลว่าอสังสัคคะว่าไม่คลุกคลี คือหนีห่างไม่เกี่ยวข้องนี่ละคิดแบบเทวนิยม เป็นความบกพร่องแล้วเป็นโลกันต์หนีห่างสุดโลกเลย แต่ถ้าโลกุตระนั้นไม่หนีห่างแต่คลุกคลีด้วยเลย เวทนาเขาก็พอรู้ ว่าสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ทางเวทนา 6 เขาก็พอรู้แต่ว่าเขาไม่สามารถแยกแยะวิจัยวิจารว่าอะไรเป็นรูปอะไรเป็นนามอะไรเป็นสุขเป็นทุกข์อย่างไร ไม่ฝึกเขาก็ไม่ได้ก็จบเกมส์

 

เราทำการสั่งสมภาวะนิโรธ ทุกปัจจุบันให้สั่งสมเป็นอดีตที่เที่ยง เมื่อปัจจุบันเที่ยงไปตลอด อนาคตก็เที่ยงแท้แน่นอนว่ากิเลสสูญ เป็นสิ่งเที่ยงสิ่งเดียวในมหาจักรวาลนี้ นอกนั้นไม่มีอะไรเที่ยง ก็สั่งสมทั้งปริมาณและคุณภาพของนิโรธ เป็นภาวะที่ยั่งยืนตลอดกาล นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ทำให้กิเลสสูญได้ ทุกปัจจุบัน เป็นร้อยเป็นพัน หมื่น แสน ล้านครั้งสั่งสมเป็นอดีตที่เที่ยงแท้ กิเลสสูญ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนได้

 

ทางด้านเจโต องค์ทั้ง 3 ส่วนของความดับที่ตกผลึกคือ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ควบแน่นตกผลึกมากขึ้น เกิดเป็นคุณสมบัติ เป็นคุณนิธิ (คลังสมบัติ ) เป็นสมบัติของคุณวิเศษมากขึ้นๆ

 

อีกส่วนหนึ่งที่เป็นปัญญา จะรู้ร่วมกับเจโต กับมรรค และผลของนิโรธเป็นอย่างไรก็รู้รอบรู้ร่วมไปด้วย รู้เห็นของจริง สัมผัสความว่างอยู่ สัมผัสว่าเราประพฤติ สัมผัสความจางคลายอย่างไร มันเร็ว แตะปั๊ปก็สูญ เป็นญาณที่เจริญเป็นปฏิสัมภิทาญาณ สายปัญญาก็มีคุณราศี สายเจโตก็มีคุณนิธิ

 

คุณราศี คือคุณธรรมคุณวิเศษที่มีมาก จนแผ่พลังให้คนอื่นสัมผัสได้ มีมากเป็นนามธรรม แต่ประกอบอยู่กับ กายกรรม วจีกรรมได้ พระพุทธเจ้าเป็นฉัพพรรณรังสีเลย

 

ฝ่ายปัญญาก็เจริญ เป็นตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ขณะทำคุณก็ต้องมีตัวรู้ไปรู้ด้วย ร่วมรู้ทั้งสัมมามรรค สัมมาผล ในการทำจิต สัจจญาณ กิจญาณ กตญาณ

 

สัจจญาณ ตั้งแต่รู้ปริยัติ มาปฏิบัติรู้สภาวะ แล้วทำให้เป็นผล สั่งสมลงไป จนเต็มครบ จนคุณเห็นแล้วว่าแน่นอน คุณจึงมีกตญาณว่าจบกิจแล้ว พอแล้ว พิสูจน์หมดแล้ว ทุกปัจจุบันสั่งสมมา ทีเผลอทีไม่เผลอ ทุกท่าทุกขณะทุกเวลา ทุกๆอย่างเลย มันรู้แล้วสมบูรณ์แบบแล้วคุณก็ตัดสินได้ ผู้ไม่ประมาท ประมาทคือความตายเขายิ่งมีความรู้ว่าไม่ต้องอวดอ้าง สาเฐยยจิตไม่มีแล้วก็ไม่เห็นต้องอวด ไม่ต้องเปิด พอถึงเวลาวาระต้องเปิดเผยก็เปิดเผย กิจญาณคือทำให้สำเร็จผล กตญาณคือผลเต็มแล้ว

 

ผู้ปฏิบัติจะรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้ความจริงตามความเป็นจริง คำตอบนี้เขาสอบได้เปรียญไปเยอะแล้ว ปัญญาคือรู้ความจริงตามความเป็นจริง ความจริงแล้วต้องสัมผัสรูปและนามมาโดยตลอด องค์ประชุมของความจริงแห่งรูปและนาม มีมรรคผลสัมผัสเอง ครบทั้งกิจครบทั้งญาณ ถึงที่สุดมั่นใจว่าเที่ยงแท้แน่นอนสั่งสมลง อนาคตกาลคุณก็เป็นคนมีคุณวิเศษนี้อย่างประมาณเอง คุณทำมาจนมั่นใจว่าเพียงพอแล้ว จิตก็ต้องเป็นสูญอย่างแน่นอน อนาคตก็ต้องสูญอยู่แล้วจะมากี่ล้านครั้ง มาลีลาพิศดารขนาดไหนก็ทำกิเลสสูญได้ตลอดกาลโดยประการฉะนี้ การปฏิบัติอย่างนี้คือทำจิตที่ยิ่งใหญ่วิเศษเรียกว่า อภิสังขาร

 

อภิ จึงเป็นตัวกำหนดว่า เป็นการสังขารให้กิเลสลด คือปุญญาภิสังขาร คือทำบุญให้สำเร็จ น้อยนิดหนึ่งก็ตาม ถ้าทำลายกิเลสไม่ได้ไม่ชื่อว่าอภิสังขาร มันต้องมีของจริง เป็นทั้งรูปธรรมให้คนอื่นสัมผัสได้ด้วยไม่ใช่รู้แต่เรา จนหมดบุญไม่ต้องทำบุญอีก หมดกิเลสแล้วก็เป็นอปุญญาภิสังขาร แต่คุณก็ทำเพื่อรักษาผล อนุรักขนาปธาน เพื่อให้เกิดอเนญชาภิสังขาร คือความไม่หวั่นไหวให้แก่จิต สั่งสมความตั้งมั่นให้จิตที่เรียกว่า สัมมาสมาธิ ซึ่งเกิดเฉพาะแบบพระพุทธเจ้าไม่ทั่วไป ของพระพุทธเจ้าทำอยู่ทุกปัจจุบัน ปฏิบัติไปก็สัมฤทธิ์ผลไปทำให้มากพหุลีกัมมัง สั่งสมผลแห่งเนกขัมสิตอุเบกขา หรือฐานนิโรธ วิมุติ หลุดพ้น เจริญขึ้นเรื่อยๆ เป็นคุณสมบัติอุเบกขา ถ้าไม่มีสภาวธรรมก็ไม่สามารถอธิบาย องค์คุณอุเบกขา 5ได้

 

ปริสุทธาตา ก็บริสุทธิ์สะอาด ขาวรอบ

มุทุ เขาแปลว่าอ่อน

กัมมัญญา เหมาะควรแก่การงาน

ประภัสสรา เขาแปลว่าผุดผ่อง

ปริโยทาตา เขาแปลว่าผ่องแผ้ว

 

ส่วนอาตมาแปลโดยสภาวะเลย พวกเราก็เข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติได้เป็นอตริมนุสธรรม เป็นคุณวิเศษ เจริญขึ้นเป็นสังขารุเปกขาญาณ ญาณตัวนี้คือวิปัสสนาญาณข้อที่ 8 เราจะทนอยู่กับสังขารได้ดีขึ้น โลกเขาปรุงแต่งยั่วยุมอมเมาเราอย่างไรเราก็เฉยได้ ต้องมีสัมผัสอยู่เรื่อยๆ จะไปคิดเอาเองไม่ได้ ว่าเราสัมผัสแรงก็ได้ แต่ไม่เคยไปสัมผัสเลยอย่างพวกพระกัมมฐานที่อยู่ป่านิ่งสบาย พอออกมาในเมืองก็อาเจียนเลย เวียนหัว ไม่มีวิธีรับลูกเมื่อถูกกระแทกกระทุ้ง เวียนหัวต้องวิ่งเข้าป่าใหม่ อยู่ไม่ได้หรอก แม้แต่ประสาทร่างกายก็เอาไม่อยู่ จะไปพูดถึงจิตเลย เพราะว่าคุณสมบัติไม่เป็นพุทธแท้

 

สังขารุเปกขาญาณ เราเองปรุงเองอนุโลมร่วมกับคนอื่นเราก็ปรุงได้ แต่ปรุงมากตัวเองทรุดก็ไม่ได้ อนุโลมทั้งตัวเราตัวเขา เราจะร่วมกับโลกๆเขาอย่างไรก็ต้องประมาณ

 

การเจริญของสังขารุเปกขาญาณ กิเลสสูญทุกปัจจุบันสั่งสมผลมากพอทุกปัจจุบันเที่ยงแท้แน่นอน เป็นคุณวิเศษอันยิ่งใหญ่ ของคนผู้นี้ได้บรรลุผลสูงสุดแล้วหรือจะเรียกว่า สั่งสมผลวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จนมีผลจิตตั้งมั่นเที่ยงแท้  สั่งสมถึง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

แล้วสภาวะมันจะเรียงลำดับไปเลย  รู้จักความเป็นกาย ด้วยสัญญา ปฏิบัติธรรมต้องใช้สัญญา ไม่ใช้ไม่ได้ สัญญาเป็นตัวทำงาน แล้วมันก็รู้ แล้วมีทั้งภาคเก็บ มีทั้งภาคทำงานและภาคฮาร์ดดิสก์ คุณไม่จำมันก็จำ นอกจากคุณจะรู้ตัวเลยว่าอันนี้ไม่จำเลย จะลืม ใครปฏิบัติธรรมจะมีสภาวะที่ทิ้งลืมเก่งขึ้น แต่อันที่จำไว้แล้วมันจำแล้ว แต่อันที่จะทิ้งก็ทิ้งหมดอันใหม่นี่ไม่รับเพราะรู้ว่าเก็บมากๆไม่ดี จนกว่าจะรู้ว่าจำก็สักแต่ว่าจำสิ อย่ายึดมั่นถือมั่นจำไว้อาศัย อย่างอาตมาจำภาษามาบรรยายนี่ลืมก็ช่างมันก็ถามเอาก็ได้ แต่จะมีจิตยินดีนิดหนึ่งก็จำได้ แต่ถ้าไม่ยินดีเลยก็ไม่จำเลย

 

ต้องปฏิบัติให้มีวิญญาณฐีตินี่แหละ ต้องรู้ความเป็นสัตว์ ที่หลากหลายมากมาย สัตว์ข้อที่ 1 ก็คือโลกีย์ทั้งหมด กายต่างกัน สัญญาต่างกัน แล้วมันก็คิดขึ้นมาใหม่ให้คนยึดกายนั้นกายนี้หลอกกันเต็มบ้านเต็มเมืองยิ่งกว่ายุคพระพุทธเจ้ามากมาย

 

กายสุดท้ายที่ต้องรู้ของตนในตนคือนิโรธที่สำเร็จที่ต้องรู้แจ้งสัจฉิ ใสสว่างปรากฏอยู่ชัดเลย ไม่ใช่รู้แค่ในนิโรธดับจิต หมดสิ้นในธาตุรู้เขาเรียกไม่ผิดว่านิโรธ แต่คนละสภาวะ ไม่มีกายด้วย ไม่มีกายอย่างเดียวกันกับของพุทธและฤาษี แต่ความไม่มีของฤาษีไม่มีธาตุรู้ว่ามีหรือไม่มี แต่ของพุทธนั้นรู้เลยว่าไม่มีนั่นคือนิโรธ แต่ความมีตัวตนที่รู้นิโรธคือตัวเรา เช่นเราเป็นโสดาบัน ไม่มีสุขทุกข์กับอบายแล้ว นิโรธแล้วไม่มี แต่เจโตนี่เขาไม่ได้เรียนเขาก็ดับให้ไม่มี คือกายเหมือนกัน แล้วสัญญาว่าไม่มีก็เป็นนิโรธเหมือนกัน เป็นโชค สุภะ สำเร็จผลด้วยกัน แต่ของฤาษีเป็นสุภกิณหะ ไม่ใช่สัจฉิแบบพุทธที่มี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ขอฤาษีนั้นดับดิ่งดำมืด นิโรธแบบพุทธนั้นจะรู้อย่างชนิดที่สัมผัสเห็น ผุสติวา เห็นความเป็นนิโรธที่ตนได้ด้วย จักษุ ญาณ​ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรฯมากมาย

 

สงบของพระพุทธเจ้า นี้เป็นองค์ประชุมที่มีธาตุรู้ของความไม่มี สงบเพราะไม่มีตัวนั้น ก็เป็นกายปัสสัทธิ นิโรธทั่วไปที่เขาเรียนรู้กันก็น่าสงสาร พูดกันไม่รู้เรื่องเขาก็ไปดับ แต่ไม่ได้ดับอกุศลจิต แต่ไปดับจิต กดไว้ไม่ให้ทำงานไม่รู้เรื่อง ความไม่มีสุขทุกข์ในตอนนั้น นั่นคือ กาย ของรูปนามขณะนั้นไม่ทุกข์เลยเพราะดับเหตุ ไม่ใช่แค่กดข่มเท่านั้น แต่นี่เรารู้เลยว่าจิตอกุศลไม่มีมีแต่จิตกุศล ดับเหตุแห่งทุกข์ดับแล้วดับเลยถาวรเลย ต่างกับฤาษีที่ไม่รู้เรื่อง เก่งพักยก แต่ไม่หาย หมักหมกไว้ ดีไม่ดีแถมอุปกิเลสยินดีว่าเราได้บรรลุแต่แท้จริงสร้างความติดยึดเข้าไปอีก ไปชอบอะไรไว้ก็ไปเติมมันอีก

 

มันต้องทำอย่างสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็หมดสิ้น เพราะเห็นด้วยสัมมัปปัญญา ต้องยืนยันว่า ได้ขณะสัมผัสอยู่หลัดๆ จับฆ่าโจรได้ ไม่ใช้ฆ่าหมดทุกคน

 

กาย ในสัตตาวาส 9 วิญญาณฐีติ 7 และสักกายทิฏฐิก็ต้องเรียนรู้ ทั้งรูปและอรูปต้องครบครันในวิโมกข์

 

กายสังขาร กายปัสสัทธิ กายสัมผัส กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายมุทุตา(องค์ประชุมที่พิเศษ)

 

กายกัมมัญญตา คือความคล่องแคล่วของเจตสิก 3 (เวทนา สัญญา สังขาร) ไม่ได้เกี่ยวกับดินน้ำไฟลมเลย

 

กายวิเวก ถ้าคุณไปอยู่ที่ไม่มีกระทบสัมผัสมาก ให้ร่างนี้สงบ แทนที่จะเป็นวิเวก 3 (กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก)

 

กายวิเวก คือ ทั้งองค์ประชุมวิเวก จิตวิเวกคือส่วนจิตวิเวก ส่วนอุปธิวิเวก คือองค์ประชุมดับกิเลส

 

กายสักขี ก็หมายถึงตัวจริง อย่างผู้ปฏิบัติธรรมเป็นทักขิเณยบุคคลระดับที่ 5 กายสักขี ท่านมีองค์ประชุมของตัวพยานหลักฐานสักขี ว่าอาสวะบางอย่างหมดไปได้ เป็นองค์ประชุมของจิต เสร็จแล้วก็ต้องปฏิบัติให้ถูกวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะกายสักขีก็สงบอยู่แต่ส่วนใน ไม่เกี่ยวกับส่วนนอก ต้องมาสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มีอัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ

 

คำว่า กาย ไม่ใช่สรีระภายนอกเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่เกี่ยวกับภายนอก ขาดไม่ได้ด้วย แม้โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯก็ไม่หนีผัสสะภายนอก แต่ว่าชนะมาเรื่อยๆ ยิ่งอรหันต์ก็เด็ดขาดเลย แม้ที่สุดนิพพานท่านก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:06:05 )

570626

รายละเอียด

570626_ธรรมาธรรมะสงคราม ที่สันติฯ เรื่อง นิยามใหม่ “กาย” ไยต่างกัน

เมื่อต่างคนต่างทำ “ความดับ” หรือภาวะที่ “จิตใจไม่สุขไม่ทุกข์” อยู่ในขณะนั้นได้เป็น “ความดับ” หรือภาวะที่ “จิตใจไม่สุขไม่ทุกข์” ของตน ตามทีีคนกำหนดหมายนั้นๆ(สัญญา) ซึ่งไม่ว่าแบบพุทธและทั้งแบบที่มิจฉาทิฏฐิต่างก็ถือว่าเป็น “โชค” (สุภ) ของตน เป็นภาวะ “น่าพึงใจ” (สุภ) เป็นภาวะ “เจริญ(สุภ)_ดี(สุภ)” ตามที่ตนกำหนดหมาย จึงชื่ออย่างเดียวกัน

 

เช่น ผู้ปฏิบัติได้จนสามารถทำให้เกิด “องค์ประชุม” (กาย) ของความเป็น “นิโรธ” ที่นับกันว่าเป็นภาวะของพรหม โดยชื่อคือ พรหมชั้น “สุภกิณหะ”

 

พรหม “สุภกิณหา” นี้ ปราชญ์ท่านผู้รู้ให้ความหมายไว้ว่า พวกมีรัศมีสุกปลั่งซ่านไป

ต้องขออภัยเป็นอย่างมากจริงๆ ที่ได้นำหลักฐานนี้ของท่านผู้ที่อาตมาก็เคารพนับถือท่านอย่างยิ่ง มาอ้างอิง แต่มันเป็นการสาธยายขยายสัจธรรม เป็นวิชาการอยู่พอสมควร ก็จำเป็นต้องมีที่อ้างอิงมายืนยันบ้าง อาตมาได้อาศัยผลงานที่ท่านทำไว้อยู่มาในการศึกษาและทำงาน  ณโอกาสนี้ก็ต้องขออภัยท่านอย่างมากยิ่งจริงๆ และขอขอบพระคุณท่านไว้ในที่นี้อย่างสูง

 

ทั้ง 2 พรหมที่ยกตัวอย่างมานั้น  แสดงถึงความเข้าใจ(ทิฏฐิ) ในความเป็นพรหมหรือเป็น “สัตว์โอปปาติกะ”(สัตตา โออปาติกา  ที่อาตมายังเห็นว่า มีภาวะความเป็น “กาย” ที่หมายถึงธาตุอันเป็น “มหาภูตรูป” อยู่เท่านั้น 

 

“ความเป็นพรหมสัตว์” ที่ท่านหมาย ยังเป็นเพียงแสงสีรัศมี ซึ่งเป็นแค่ “รูปธรรม”

 

อาตมายังเห็นว่า หากกำหนดแค่แสงสีรัศมีเป็นเครื่องชี้ความเป็น “พรหม” ยังไม่ชัดเพียงพอว่าในความเป็น “นามธรรม” ของความเป็น “พรหม” หรือเทวดาผู้บริสุทธิ์ หรือยังแสดงภาวะความเป็น “รูปธรรม” ที่ยังไม่เข้าหาภาวะที่เป็น “ความรู้สึก” ร่วมอยู่ด้วยเลย อันยืนยันว่าเป็นภาวะแห่ง “นามธรรม”

 

เพราะความเป็น “สัตว์โอปปาติกะ” นั้นเป็น “นามธาตุ” ไม่ใช่เพียงแค่ “รูปธาตุ” เท่านั้น ที่ชี้บ่างความเป็นสัตว์โอปปาติกะ ไม่ว่าสัตว์นรกหรือสัตว์เทวดา หรือส้ัตว์พรหม

 

แสงสีเสียงนั้นยังเป็นภาวะ “รูปธาตุ” เฉพาะ “รูปธาตุ” ยังไม่พอที่จะชี้บ่างความเป็น “สัตว์โปปาติกะ” ต้องมี “นามธาตุ” เป็นหลักในความเป็น “สัตว์โอปปาติกะ”

 

ความเป็น “กาย” จึงต้องมี “นามธาตุ” ร่วมรับรู้ด้วยเสมอ ในคำว่า “กาย” ทุกกาย ขาด “นามธาตุ” เรียกว่า “กาย” ไม่ได้

 

หรือมีแต่ “รูปธาตุ” หรือ “มหาภูตรูป” เกาะกุมกันเป็น “รูปธาตุ”อยู่ เช่น แท่างก้อนของก้อนดิน กลุ่มหยดน้ำละออกงน้ำ กลุ่มธุลีลม ภาพของเปลวไฟ ให้เราสัมผัสรู้ได้ เราก็ไม่เรียกภาวะอย่างนั้นๆว่า กายดิน กายน้ำ กายลม กายไฟ แต่ “วิญญาณ หรือองค์ประชุมของวิญญาณ” นั้น เราเรียกว่า “กาย” นะ เคยได้ยินไหมล่ะ? “กายวิญญาณ” ไง

 

ดังนั้น “กาย” นี้แม้แต่เฉพาะ “ธาตุรู้” (นามธาตุ) เองเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับมหาภูตรูปเลยในความเป็นสัตว์ ไม่มี “รูปธาตุ” ข้างนอกสัมผัสสัมพันธ์ด้วยเลย มีแค่ “สัญญา” ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะที่ดึงเอา “ความจำ”(สัญญา)ออกมารู้ หรือตนเองกำลังใช้จิต ใช้เจตสิกทำงาน “กำหนดรู้อะไรๆอยู่” (สัญญา) มีองค์ประชุมเฉพาะของ “นามรูป” และ “นามธรรม” ในจิตเท่านั้น (มีแค่มนายตนะกับธรรมายตนะ) ทำงานอยู่ในภายในของจิต อย่างนี้ก็เรียกว่า “กาย”

 

คือ “กายวิญญาณ” นั่นเอง

 

ซึ่งฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ นั้นจะทำ “นิโรธ” ด้วยวิธีหลับตา เข้าไปอยู่ในภวังค์ที่จิตอยู่ในสภาพ “ดำมืด” (กิณหา) ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีแสงสว่าง (อาโลกา) ไม่มี “ตา” (จักษุ) เห็นอะไร อยู่ในภาวะ “ดับ” หรือไม่มี “ความรู้ความฉลาด” ใดๆหมด จึงเกิด “ญาณ ปัญญา”ใดๆก็ไม่ได้

 

เมื่อ ธาตุรู้” (วิญญาณ) ซึ่งหมายถึง “นามธาตุ” ไม่มีอะไร “รับรู้อยู่เลย” ในขณะนั้น

 

อย่างนี้แหละที่ชื่อว่า ไม่เป็น “วิญญาณฐิติ” ในขณะที่อยู่ใน “นิโรธ”นั้น

 

พระพุทธเจ้าจึงมีข้อแม้ว่า ต้องศึกษาความเป็น “สัตว์ทางจิตวิญญาณ” (โอปปาติกะ) ในขณะที่มี “วิญญาณฐิติ” จึงจะสามารถรู้จัก รู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์ได้บริบูรณ์สัมบูรณ์

 

“วิญญาณ” นั้นหมายถึง ธาตุรู้ หรือ ความรับรู้ ส่วน “ฐิติ” ก็หมายถึง การตั้งอยู่ ดำรงอยู่ ควาเป็นอยู่ (ยังไม่ตาย ยังทำหน้าที่ ยังไม่หายไป ยังไม่พัก เมื่อเป็นธาตุรู้ก็ยังทำหน้าที่รู้อยู่) 

 

“วิญญาณฐิติ” จึงหมายความว่า ยังมี “ธาตุรู้” ทำหน้าที่รู้อยู่ ดังนั้น “นิโรธ” แบบที่ไม่ใช่พุทธ ได้ทำให้ “ธาตุรู้” หรือ “ความรับรู้” ขณะนั้น มันไม่รู้อะไรใดๆเลย ตอนที่จิตตนเป็น “นิโรธ” ของตนนั้น กลายเป็น”อสัญญีสัตว์” (สัตว์ที่ไม่มีส่วนใดของจิตกำหนดรู้อะไรเลย)

 

เมื่อจิตถูก “ดับ” แบบหาวิธีบังคับไว้หรือหลอกมันออกไป “หลับหรือดับธาตุรู้” ลงชั่วขณะไม่ให้มันทำหน้าที่รับรู้อะไรเลย ในขณะนั้น ธาตุรู้ของผู้นี้จึงเจริญอะไรก็ไม่ได้

 

เพราะมันไม่ได้เรียนรู้อะไรในขณะนั้น มันจึงเพิ่มความฉลาดที่เป็นญาณเป็นปัญญา เป็นวิชชา อะไรไม่ได้

 

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า การรู้แจ้งนั้นต้องรู้ชนิดที่มี “จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง” ดังที่ได้ยกหลักฐานอ้างอิงผ่านมาแล้ว ก็ไม่ต้องไปพูดถึงเลย  เพราะมันไม่ได้เรียนรู้อะไร มันก็ไม่ฉลาดขึ้นได้ เป็นญาณ เป็นปัญญาอะไรกันก็ไม่ได้เลย

 

อย่ามาตะแบงเถียงนะ ว่า ก็ได้เรียนรู้ “ความดับดำมืด” นั้นๆอยู่ขณะนั้นไง

 

ได้เรียนอะไรกัน ในเมื่อขณะนั้น จิตมันหลับดับปี๋อยู่ ไม่รู้อะไรเลย แล้วจะอา “ธาตุรู้” ตัวไหนมา “รู้” มา “เรียน” กันเล่า? จึงจะเรียกได้ว่า เกิด “ความรู้” ให้แก่จิตขณะนั้น

 

“นิโรธ” ที่ ดับสัญญา อสัญญีแบบนี้ จึงไม่มีความรู้ ความเจริญในทางจิตใจเลย

 

ใน “วิญญาณฐิติ 7” ไม่มีคำว่า “อสัญญีสัตว์” กับ “เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์” แต่ใน “สัตตาวาส 9” นั้นมี

 

ก็หมายความว่า ทั้ง “อสัญญีสัตว์” และเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ เป็นภาวะที่ “ไม่มีความรับรู้”เลยในขณะที่ผู้ปฏิบัติตนสำเร็จเข้าไปเป็นอยู่ในสภาพทั้ง 2 นั้น

 

นั่นก็คือ “เนวสัญญานาสัญญายตนะ” นั้นก็เป็นการ “ดับความรับรู้” ให้แก่ตนเอง ตาม “ทิฏฐิ” ของการทำ “อรูปฌาน” แบบหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ ซึ่งกำหนด “อสัญญี” ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น “อากิญจัญญายตนฌาน” หรือ “เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน” แม้แต่ “สัญญาเวทยิตนิโรธ” ล้วนทำความ “ดำมืด” (กิณหะ) ในภวังค์ทั้งสิ้น

 

ที่จริงนั้น “สัญญาเวทยิตนิโรธ” นี้ไม่มีในศาสนาหรือลัทธิอื่นใด มีในศาสนาพุทธศาสนาเดียวเท่านั้น การทำ “อรูปฌาน”ในลัทธิอื่น จึงมีแค่ “เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน” เท่านั้นเป็นสูงสุด

 

แต่ชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิ ได้เรียนรู้คำว่า “สัญญาเวทยิตนิโรธ” ทว่ายัง “อวิชชา” ในความเป็น “นิโรธ”ของพุทธ ยังไม่สัมมาทิฏฐิ จึงโมเมปุโลปุเลเดาเอาว่า “อสัญญีสัตว์” เป็น “นิโรธ” ไปหมด ทั้ง “เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน” ทั้ง “สัญญาเวทยิตนิโรธ”

 

จึงปฏิบัติได้แค่ “อสัญญีสัตว์” ก็หลงว่า ตนบรรลุ “เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน” หรือ “สัญญาเวทยิตนิโรธ” เพราะมิจฉาทิฏฐิ

 

ผู้ที่มี “มิจฉาทิฏฐิ” หรือมี “สัญญา” กันอย่างนี้ เขาก็ “กำหนดหมายความเป็นิโรธ” กันอย่างนั้น เมื่อเขาได้ฝึกฝนปฏิบัติจนสำเร็จเป็น “มโนมยอัตตา” เขาก็ต้องได้ “กาย” ของพรหม หรือ “กาย” ของ “นิโรธ” อย่างที่เขามีกำหนดหมายของเขานั้น ก็เป็น “รูปที่สำเร็จด้วยจิต” หรือ “อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต” เกิดผลตาม “สัญญา” ของเขา เขาก็ถือว่า เป็น “โชค” (สุภ)ของเขา เป็นภาวะที่ “น่าพึงใจ” (สุภ)ของเขา

 

เช่นเดียวกับ ผู้ที่ “สัมมาทิฏฐิ” แบบพุทธ ก็มี “ทิฏฐิ” หรือมี “สัญญา” ว่า “นิโรธ” คือ ภาวะที่ “ดับ” หรือภาวะที่ “ไม่สุขไม่ทุกข์ในจิต” อย่างเดียวกัน

 

เมื่อปฏิบัติจนเกิดผล “นิโรธ” ซึ่งเป็น “สัญญาเวทยิตนิโรธ” ก็มีผลอย่างเดียวกันคือ มีภาวะที่ “ดับ” หรือภาวะที่ “ไม่สุขไม่ทุกข์” ในจิต ไม่ต่างกันเลย

 

จึงกล่าวได้ว่า “มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน”

 

ส่วนนัยสำคัญที่เป็น “ปรมัตถธรรม” นั้น นิโรธแบบมิจฉาทิฏฐิ ได้นิโรธในภาวะกิณหะ ที่เป็น อาการดับมืดดำ อยู่ในจิต

 

สำหรับปรมัตถธรรมที่สัมมาทิฏฐิ ของพุทธนั้น ได้ นิโรธ ในภาวะมี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง แจ้ง (สัชฉิ) อยู่ในจิต

 

ซึ่งแบบพุทธนั้น มีรูป มีนามอย่างวิเศษ ลึกล้ำที่มีนัยสำคัญคือ เป็นนิโรธ ที่มีเหตุปัจจัยของชีวิตที่พร้อมด้วย จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาประกาศแก่โลก ให้มนุษย์ได้เรียนรู้และปฏิบัติ นิโรธแบบนี้กัน

ซึ่งไม่ใช่ปฏิบัติด้วย วิธีหลบหรือหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ แต่เป็นนิโรธชนิดที่เรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ ที่เป็นแจ้ง(สัจฉิ)

 

ต้องเห็นว่าอกุศลจิตหรือกิเลสมันดับไป มันไม่มีในจิตขณะนั้นอยู่ชัดๆโต้งๆ แต่กต่างกับอีกภาวะหนึ่งที่ไม่ใช่พุทธ แบบหลับดับทวารทั้ง 6 ทำนิโรธให้ตนเองดำ ที่มืดมิด ไปหมด หลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดับ กิณหะ ไม่มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ให้รู้ใดๆกันเลย

 

ต้องทำความเข้าใจให้คมๆชัดๆ ในเรื่องนิโรธ ที่เป็น สัญญาเวทยิตนิโรธ แบบพระพุทธเจ้า กับนิโรธทั่วไป นั้น แม้มีสัญญาอย่างเดียวกัน คือกำหนดหมาย ไม่สุขไม่ทุกข์เหมือนกัน ซึ่งยังไม่ใช่หมายลึกไปถึง ตัวตนของกิเลส ที่ดับ แค่หมายถึงอารมณ์ทุกข์เท่านั้น

 

ความไม่มี อารมณ์ทุกข์หรือสุข ในขณะนั้น ก็คือ กาย หรือองค์ประชุม ของ “นามกาย” ในขณะนั้นของตนๆ มันจึงรู้สึกในขณะนั้นว่า ไม่ทุกข์เลย

 

ถ้าแบบพุทธสัมมาทิฏฐิ ก็จะดับกิเลส และผู้บรรลุนิโรธ จะ “รู้อยู่เห็นอยู่ สำเร็จอิริยาบถอยู่ เป็นปัจจุบันนั่นเทียว” (วิหารติ)

 

ซึี่งไม่ใช่่รู้แบบ “รูปกายไ แต่เป็นการรู้แบบ “นามกาย” ในตัวเราเอง(เวทนาในเวทนา) แลเป็นแค่ “องค์ประชุกันอยู่” (กาย)ให้รู้ได้ด้วย

 

เพราะ “รูป” ของกิเลสไม่มี “นาม” ที่เป็นทุกข์ก็ไม่มี เป็นความว่างเปล่า ทั้ง “รูป” ทั้ง “นาม” เลย สำหรับแบบพุทธ แต่มี “องค์ประชุม” ของอวัยวะที่ประกอบอยู่ เป็นภาวะที่ทำให้เกิด “นิโรธ” กันได้จริง ทั้งแบบพุทธ และทั้งแบบที่ไม่ใช่พุทธ นี่คือ “กายอย่างเดียวกัน” ทั้งของแบบมิจฉาทิฏฐิ และของสัมมาทิฏฐิ

 

อย่างเช่นมองดอกไม้ แล้วเรามีจิตนิโรธเราก็รู้ๆ ไม่มีสุขทุกข์เราก็รู้ เป็นความว่างเปล่าทั้งรูปและนาม

 

แต่มันมีนัยะแห่งสภาวธรรมที่เป็น “กาย”สำคัญยิ่ง ซึ่งมิใชวิสัยที่จะ “คาดเดา” เอาได้ด้วยตรรกะ (อตักกาวจรา) จริงๆ

 

ถ้าไม่สามารถ “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วย “กาย” สำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา” ก็ไม่ชื่อว่า บรรลุสูงสุดเป็น “สัญญาเวทยิตนิโรธ” อันเป็นสภาวธรรมที่อรหันต์ได้สัมผัสด้วยตน

 

เพราะ “กาย” ที่อยู่ในภาวะดำปี๋(กิณหะ) กับ กายที่อยู่ในภาวะแจ้ง ด้วยองค์ประชุมอันมี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชาแสงสว่าง นั้น มันมีความจริงที่วิเศษ คนละอย่างต่างกัน แม้จะมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน

 

จึงจะต้องเรียนรู้ กาย กันตั้งแต่คำว่า สักกาย ที่เป็น อัตตา ตัวแรกไปเลยทีเดียว ที่ตนเองต้องรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ว่า คือ ตัวตน (อัตต) ภาวะธรรมขั้นต้นของการพิสูจน์ญาณหยั่งรู้พุทธธรรม ซึ่งเป็น สังโยชน์ข้อแรกในสังโยชน์ 10 เลย ว่า คืออย่างไร?

 

และปฏิบัตยืนยันอธิบายได้ชัดเจนว่า สภาวะอย่างไร ขณะใด? ไฉน? คือการพันสักกายทิฏฐิสังโยชน์

 

เมื่อคุณรู้กิเลสแล้ว รู้ศีลพรตของคุณแล้ว แต่ว่าคุณก็ไม่เอาจริง เล่นๆหัวๆกับกิเลส ทั้งที่สัมมาทิฏฐิ ในศีลพรตนะก็เป็นศีลพตปรามาส  หรือมีศีลพรตที่ไม่สัมมาทิฏฐิ ก็จะทำศีลพตุปาทาน 

 

ต้่องกำจัดกิเลสให้จางคลาย เร่ิมจางคลายกิเลสก็พ้นสังโยชน์ 3 พ้นศีลพตปรามาส เป็นโสดาปัตติผลทันทีเลย เมื่อสามารถผ่านสังโยชน์ได้ 3 ข้อแรกก็เข้าโสดาปัตติผล แล้วก็ต้องทำซ้ำ ทำทวนตั้งแต่ อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี  นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี

 

เราจึงจะรู้กายอื่นๆอีกเยอะเลย ทั้ง “กาย” ในที่อื่นๆ ก็ต้องอธิบายสภาวะของธรรมนั้นๆได้ชัดเจน เช่น “กาย” ในวิญญาณฐิติ 7 หรือ สัตตาวาส 9 และคำว่า สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วย กาย หรือแม้แต่คำว่า กายสังขาร กายปัสสัทธิ กายสัมผัส (องค์ประชุมของสังขารทั้งนอกและใน) จนองค์ประชุมสงบ ก็ไม่ใช่ว่ากายแข็งทื่อ แต่เป็นองค์ประชุมของสังขารรูปนาม แล้วทำให้กิเลสออกไปหมด เป็นอภิสังขารถึงปุญญาภิสังขาร เป็นสังขารอย่างยิ่งใหญ่ ได้เป็นอปุญญาภิสังขารกิเลสหมดคุณก็ทำสั่งสมผลเป็น อเนญชาภิสังขาร องค์คุณอุเบกขาก็ยิ่งเจริญ เป็นปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสรา

 

กายานุปัสสนา คือตามเห็นองค์ประชุมต่างๆ

กายกัมมัญญตา คือกายที่ประกอบด้วยการงานอันเป็นโลกุตระ อัญญะ ทำงานด้วยไม่มีกิเลส กิเลสมาก็รู้ทำสะอาดได้เรื่อยๆ ก็เหมาะควรไปเรื่อยๆ

กายมุทุตา คือจิตมีทั้งสภาพเจโตทั้งปัญญา เป็นจอมยุทธที่มีทั้งปัญญา เร็วไว จัดแจงเป็นอย่างไรก็ได้ อ่อนไหวเร็วไว

กายลหุตา กายวิกาล กายวิเวก กายสุจิ กายสัญเจตนา ตัวสุดท้ายเป็น วิภวตัณหานะ

 

ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นกาย จึงอธิบายสภาวะในความเป็นกายเหล่านี้ได้ถูกต้อง จะไม่อธิบายให้เห็นไปในเชิงว่าเป็นสรีระภายนอก ร่างนอก

 

รูปธรรมนั้นไม่มีวิญญาณ​ไม่มีความรู้สึก รับรู้ไม่ได้ แม้แต่พืชก็มีแค่สังขาร และสัญญา ไม่มีวิญญาณไม่มีกรรมครอง แม้เป็นสัตว์ที่มีกรรม มีวิญญาณครองแล้ว เป็นจิตนิยามแล้ว แต่ไปเข้าใจผิดว่า เราจะศึกษาวิญญาณ ก็ไปรอเอาแต่ตอนหลังตายทางร่างกายแล้ว วิญญาณไม่อยู่ในร่างแล้ว แต่วิญญาณนั้นไร้ตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว ก็มีแต่วิญญาณล่องลอยไปไม่มีใครรู้ อย่างนั้นจะไม่สามารถรู้วิญญาณได้ ตัวเองยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าล่องลอยไป มันไม่เหมือนกับตอนเป็นๆสดๆ จับมั่นคั้นตายเลย มันต้องรู้วิญญาณขณะสัมผัสทวาร 6 โต้งๆหลัดๆแล้ววิญญาณเกิดให้เรียนรู้ได้จริงๆ

 

พระพุทธเจ้าจึงตรัสบริภาษ ภิกษุสาติ ในพระไตรฯล.12 ข.440 เป็นมิจฉาทิฏฐิที่ไปเที่ยวศึกษาวิญญาณนอกร่างกาย ตอนตายไปแล้ว วิญญาณล่องลอยไป อย่างกรณีสึนามิ ตายไปมากมาย หาศพไม่เจอ เจอแล้วก็ไม่รู้ว่าใคร ถ้าวิญญาณมาหากันได้ก็จะมาบอกเลยว่าฉันอยู่นี่ นี่คือฉัน หรือวิญญาณโกรธแค้นกันก็มาหากันได้ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย วิญญาณมาหาตลอดเวลาเลย


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:07:12 )

570626

รายละเอียด

570626_พ่อครูให้โอวาทนร.สันติฯ เนื่องในวันครู

หลวงปู่นี่ปีหนึ่งแทบจะได้พูดกับพวกเราครั้งหนึ่ง มีหน้าใหม่ๆมา ก็จำไม่ได้ หน้าเก่าๆก็อยู่บ้าง สู้ไม่ไหวออกไปบ้าง วันไหว้ครูก็ได้มาครั้งหนึ่ง ตั้งแต่เปิดแรกๆหลวงปู่จะสอนเลย แต่นานเข้าก็ได้อาทิตย์ละวัน นานเข้าได้เดือนละครั้ง ตอนนี้หลายเดือนครั้ง ตอนนี้ปีละครั้ง น่าเสียดาย แต่ก็มีผู้พูดแทนพี่ป้าน้าเอาคุรุ ได้ช่วยเลี้ยงดูประคบประหงม เราตั้งมาได้ 20 กว่าปีแล้ว ศีรษะอโศกเป็นที่แรก ตามมาด้วยอีกหลายที่ เป็นรร.ที่เราเจตนาให้อบรมสร้างลูกหลาน สร้างคนของประเทศ การสอนอย่างชาวอโศกเป็นรร.การเมือง ที่ไม่ได้ไปแย่งชิงอำนาจ แต่การเมืองเป็นงานช่วยบ้านช่วยเมือง ก็ช่วยพลเมืองเป็นหลัก การช่วยพลเมืองให้เป็นคนดี มีการศึกษาเป็นงานการเมืองโดยตรง ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย

 

เราทำงานการเมืองโดยตรง เพราะเราไม่ได้ทำการค้า ไม่เก็บเงิน เลี้ยงดูเอาใจใส่ เหมือนลูกแท้ๆ แต่ไม่ได้แสดงอัตตารักลูกต้องกอดต้องหอมอะไร เป็นส่วนของกิเลสของคน แต่เรารักพวกเรา รักอย่างลูกที่ไม่ได้มีกิเลส รักอย่างปรารถนาดี ต้องการให้เป็นคนดี มีความสุข ประเสริฐแท้จริง พูดไม่ได้เอาบุญคุณ แต่พูดสัจจะ ก็มีคุรุต่างๆมาช่วย ก็ขอบคุณที่ช่วยได้ ที่เกิดได้เพราะจิตใจได้รับการกล่อมเกลา ได้รอบรู้ในเรื่องคุณค่าประเสริฐดีงาม ร่วมมือกันจนได้ 8 รร.ของชาวอโศก จบไปปีหนึ่งไม่ถึงร้อย เวลาเข้ามาถึงร้อยแต่จบม.6 ไปไม่ถึงร้อย

 

ไม่ง่ายเพราะเราอบรมกันจริงๆ เด็กอโศกจบไปแล้วไปข้างนอก มีคุณภาพ คุณธรรม คุณสมบัติ คุณลักษณะ มีคุณค่าต่างๆหลายอย่าง ไม่ได้พูดเล่นหรือยกยอ แกล้งพูด คนเข้าใจยาก คนต้องมีปัญญารู้ว่าคนประเสริฐจริงๆต้องเป็นคนมีศีลมีธรรม มีจิตใจเจริญตามหลักของพระพุทธเจ้า เช่นไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ง่ายๆ จิตไม่มีจริงๆ ไม่โลภเห็นแก่ตัว ไม่โกรธเบียดเบียนใคร แล้วรู้โลก รู้ทันโลก รู้ว่าจะอยู่ร่วมอย่างไรให้เป็นประโยชน์คุณค่า อย่างไรผลาญไม่ทำ

 

ศาสนาจึงรวมทั้งเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา การรัฐศาสตร์ พุทธรู้อย่างวิเศษ ไม่เหมือนอย่างชาวโลกรู้ที่รู้อย่างกิเลส ที่รู้แล้วเห็นแก่ตัว มีกิเลสเห็นแก่พรรคพวก ลำเอียงกัน สังคมก็ไม่สงบ ลึกถึงจิตวิญญาณคือสะสมกิเลส คือสะสมบาป แต่ถ้าชำระกิเลสได้ก็ชำระบาป ชำระกิเลสได้หมดก็หมดบุญไม่ต้องทำบุญแล้ว เป็นอรหันต์แล้วคือผู้ไม่มีบุญไม่มีบาป

 

เรื่องธรรมะเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต จะเกิดกี่ชาติก็ธรรมะนี่แหละสำคัญที่สุดในชีวิต เรื่องจะไปล่าลาภยศสรรเสริญไม่ต้องไปล่าเลย ไม่ต้องไปโลภของใคร เราสร้างเองได้อย่างรู้ว่าอะไรควรสร้าง เป็นส่ิงสาระ เราก็กินใช้อาศัยสิ่งที่เราสร้าง ชีวิตก็อยู่รอด ดีกว่าเดรัจฉานทุกคน แต่ไปถูกหลอกในโลก ศาสนาสอนให้ไม่หลงกับสิ่งมอมเมาไร้สาระ หลวงปู่ฟังข่าว เด็กเล่นโทรศัพท์จนค่าโทร เดือนละหลายแสน โลกมันมอมเมาหลอกกัน พ่อแม่จะตายเลย พ่อแม่ตาเหลือกเลย ซื้อโทรศัพท์อย่างดีให้ลูก ลูกก็เลยอย่างดีเลย มันมอมเมากันจัดมากเลย ที่นี่เราไม่ให้มีโทรศัพท์ใช้ส่วนตัว จะใช้ก็มายืมจากผู้ใหญ่ แม้แต่แทบเล็ตต่างๆก็ต้องหัดฝึกให้ดีระวังให้ดี อย่างโทรศัพท์นี่หลวงปู่ดัดจริตไม่ใช้ไม่เป็น แกล้ง ไม่เรียน ชีวิตไม่ต้องมีโทรศัพท์ส่วนตัวก็เจริญได้ ก็ใช้เมื่อมีคนให้รับ มีเรื่องถึงหลวงปู่ก็มีคนรับแทนไว้ ไม่อย่างนั้นอะไรก็มาต่อถึงก็ตายพอดี

 

ที่นี่เจตนาให้ส่ิงที่ดีแท้ๆแก่ชีวิต แต่ถ้าไม่เอาก็โง่ เซ่อ พยายามพิจารณาให้ดี ที่นี่ไม่ได้สอนเพื่อให้พวกเราเป็นเหยื่อในการสร้างโลกธรรม แต่ว่าตั้งใจสร้างคนให้เป็นคนดีแก่โลก เลี้ยงดูให้เป็นลูกหลานจริงๆเลย เป็นแต่เพียงไม่ได้คลอดมาเท่านั้น และไม่ได้ทวงบุญคุณด้วย แม้จบไปไม่เหลียวแลที่นี่เลยก็ไม่เป็นไรเราได้สร้างคนดีแก่โลกก็พอแล้ว ใครจะอยู่ก็ยินดีต้องรับ

 

หลวงปู่เคยถามว่าสมบัติที่นี่เป็นของใคร พวกเราก็ตอบว่าของหลวงปู่ หลวงปู่ไม่มีสมบัติส่วนตัวอะไรแล้ว แต่แท้จริงของที่นี่ของพวกเราทั้งนั้น แต่ไม่ได้เป็นของส่วนตัว แต่ถ้าเราอยู่ที่นี่ก็ใช้ของที่นี่ไปจนตาย ตายไปแล้วไม่มีใครได้อะไรเป็นของๆตน ตายไปร่างเผา จิตก็ไปรับวิบากไป ไปใช้หนี้วิบากไปอีกนาน กว่าจะได้วนเวียนมาเกิดเป็นมนุษย์อีกทีก็นานจำกันไม่ได้แล้ว น้อยคนที่ตายไปแล้วจะกลับมาเป็นคนอีกโดยไม่ต้องผ่านไปเป็นเดรัจฉานก่อน เราเป็นหมูเป็นหมาก็อยู่ในฐานะต่างๆกันไปตามวิบาก

 

สมบัตินี้เป็นของเราถ้าเรามีคุณสมบัติ ดีไม่ดีพวกเราจะเป็นผู้จัดการมรดกที่นี่เลย ไม่ต้องไปจดทะเบียน ยกตัวอย่าง อาบุษดี อยู่การเงิน อยู่ตั้งแต่เป็นนักเรียน จนบัดนี้ดูแลกิจการ ดูแลสมบัติ ถ้าอาบุษ บอกว่าไม่ได้ ก็ไม่ให้ อาบุษอยู่ที่นี่จบม.5 เทียบม.6 ก็อยู่ที่นี่ต่อ แล้วเรียนต่อก็อยู่ที่นี่ได้ปริญญาตั้งหลายใบ

 

ที่นี่คบหาเลี้ยงดู สัมพันธ์กับคนในโลก ไม่เหมือนกับคนที่นี่คบ ทีนี่คบอย่างปรารถนาดี อย่างเป็นลูกหลาน เป็นคนตระกูลเดียวกันไม่แบ่งแยก เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก อย่างชาวอโศกเป็นเครือแห เป็นสมบัติอันเดียวกันทั้งหมด ไปที่ไหนๆของอโศกก็ไม่ต้องมีการคิดค่าอยู่ค่ากิน เป็นเรื่องลึกซึ้ง ทำได้กว้าง ไม่ได้แยกลูกเจ๊กลูกแขก ไม่แยกเชื้อชาติผิวพันธ์ อยู่กันไปจนตาย พึ่งแก่ เจ็บ ตายกันได้จริง เป็นหลักสูตรอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องประเสริฐที่สุด ต้องฟังดีๆเข้าใจดีๆ

 

หลวงปู่ทำมาได้ขนาดนี้ภาคภูมิใจ ถือเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ มีครอบครัวใหญ่ ทำให้การเมืองเป็นการเมืองที่ยอดเยี่ยม รวมหมด ทั้งปชต. คอมมิวนิสต์ เผด็จการ รวมหมด เป็นอย่างคอมมิวนิสต์แต่สุดยอดของคอมมิวนิสน์ โลกเขาเปิดอาเซี่ยน จะรวมเอเชีย รวมวัฒนธรรม คนเข้าใจกันหมดแล้วว่าการร่วมกันอย่างมีวินัย มีจิตวิญญาณดีๆเขาเข้าใจแต่ไล่ไม่ทันพุทธหรอก ถ้ารู้แล้วผู้มีปัญญาจะไม่ออกไปจากอโศก ไม่ได้พูดเลย เพราะเป็นแดนแห่งมนุษย์ประเสริฐ แล้วได้ใหญ่เป็นเครือแหขนาดนี้ก็เพราะประสิทธิภาพวิชาการของพระพุทธเจ้าที่หลวงปู่เอามาเปิดเผย แล้วเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณคนมีผลจริงจนได้เป็นหมู่กลุ่ม

 

วันนี้วันไหว้ครู ครูจริงๆก็คือพ่อแม่ ก่อนอื่น สอนให้ลูกดี ประเสริฐอยู่ในโลกอย่างไม่ทุกข์ ก็สอนตามภูมิ แต่ถ้าพ่อแม่เป็นอรหันต์จะสอนอย่างอโศกสอน หลวงปู่นี่มามีลูกหลานเป็นจำนวนพันเป็นเอนก หมายความว่ามากมายเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน แล้วจะไปมีลูกทางสายเลือดเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านไม่ได้หรอกตายก่อน แต่ทางธรรมนี่ทำได้จริงๆ และเป็นจริงกว่า ส่วนทางสายเลือดบางทีก็ฆ่าแกงกันอีก ลูกทางจิตวิญญาณยิ่งใหญ่กว่าลูกทางกาย โลกเขาก็เข้าใจแต่่ทำไม่ได้ ส่วนพุทธทั่วไปก็ทฤษฎีผิดอีก

 

พวกเราอยู่นานๆก็จะเข้าใจ อยู่ไปเถอะอย่ารีบตาย พวกเราอายุยังน้อยๆกัน หลวงปู่อยู่ 80 ปียังไม่มีแก่เลย ย่ิงใจแล้วยังหนุ่มอยู่นะ ใจมัน 18 จริงๆ ก็จะอยู่ไปอีก 71 ปีน่ะ มันก็น่าจะเร่ิมต้นเลข 0 นะ

 

ครูที่นี่ไม่ได้มาเอาเงินทอง ทำงานมาช่วยกันเลี้ยง สร้างคนด้วยกัน ก็ต้องขอบคุณที่ช่วยกัน ในที่นี่พี่ป้าน้าอาก็สอนกันทั้งนั้น ปรารถนาดีทั้งนั้นไม่มีใครอยู่ในนี้จะทำร้ายหาเรื่องแกล้งพวกเรา ถ้าทำอย่างนั้นไม่มีใครเอาไว้ เสียสังคม

 

ครูคือผู้ปรารถนาดีที่จะให้เจริญไปด้วยกัน คนอื่นเป็นอาริยะเป็นอรหันต์ก็เหมือนพ่อแม่ที่ปรารถนาดีต่อกันตลอดเวลา ยิ่งมาร่วมกันก็ย่ิงอบอุ่นสงบสุขเป็นไปด้วยดี ตั้งใจให้ดีเข้าใจให้ได้ว่ามาอยู่ที่นี่เหมือนครอบครัวไม่ได้เข้มงวดกวดขันมาแกล้งกัน เราพยายามพาทำให้อดทนฝึกฝนไม่ได้แกล้ง ที่ควรให้ก็ให้ที่ควรอดก็อด คำว่าครูคือผู้ให้ส่ิงประเสริฐแก่คน ให้รู้ความเป็นอาริยะ

 

ถ้าพูดกันจริงๆแล้ว ครูที่สอนฟรีมีคุณค่าประโยชน์แก่เรามากกว่าครูสอนเอาเงิน ยิ่งเป็นอาริยะให้ทั้งธรรมะและความรู้ก็ย่ิงมีคุณค่า ครูที่สอนฟรีต้องบูชาเคารพมากกว่าสอนเอาเงิน แต่ไม่ได้พูดให้เกลียดชังครูที่สอนหาเงินนะ เพราะเขาต้องเลี้ยงดูชีวิต แต่ครูในนี้มีระบบที่อยู่ไม่ต้องเอาเงินได้ และก็เป็นสัจธรรมด้วยที่ว่าครูที่ไม่ได้เอาเงินไม่ได้ทำเพื่อแลกอามิสก็มีคุณค่ากว่า ครูที่นี่ราคาถูกที่สุด แต่คุณค่าสูงสุด ดีไมีดีสอนแล้วถูกว่าด้วยก็สอนก็ปรับปรุง

ครูที่นี่อย่าดูถูกว่าเป็นครูไม่มีคุณค่าน่าเคารพ ไม่มีซีอะไรเลยไม่มียศชั้น เงินทองอะไร แต่ค่าสูง ฟังพอเข้าใจไหม นี่พูดสัจธรรมนะ

 

ให้ตั้งใจดีๆอย่างที่หลวงปู่ว่า สมบัตินี้เป็นของเรา เราตั้งใจทำเรียนรู้ฝึกฝนให้ดี ครูก็ดูแลสอนกัน ใครผิดพลาดก็ให้แก้ไขกัน มีผู้รู้เป็นชั้นๆ ช่วยเป็นหูเป็นตา จะบอกว่าไม่ผิดพลาดเลยก็ไม่ได้ มีบ้างแต่น้อยเพราะเราตั้งใจทำ ก็ให้พวกเราตั้งใจเรียนให้ดี ให้จบม.6กันทุกคน อย่าไปทำอ่อนแอท้อแท้ง่าย เป็นโชคดีสิ่งดีของเราที่ได้มาเป็นลูกอโศก พยายามทำความเข้าใจให้ดี ...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:09:08 )

570627

รายละเอียด

570627_ธรรมาธรรมะสงคราม ที่สันติฯ เรื่อง เปิดโลกเทดามารพรหม เจนจบ 20 ชั้น

พ่อครูว่า...อาตมาก็จะยังวนเรื่อง ความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ ถ้าเราไม่รู้เรื่องสัตว์ทางจิตวิญญาณเราก็ไม่พ้นความเป็นศีลพตปรามาส ต้องรู้เข้าใจแล้วปฏิบัติ กำหนดหมายตรวจสอบเพ่งรู้ให้เกิด วิตก วิจาร วิจัย วิจักขณ์

 

เรามาต่อกันเรื่อง สัตตาวาส 9

ข้อ 1 กายต่างกัน สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

 

ชื่อว่าเทวดาชื่อเดียวกันแต่ว่ากำหนดหมายต่างกัน เขาไปปั้นเองในจิต หรือไปเรียนรู้วิญญาณตอนตายแล้ว วิญญาณล่องลอยออกจากร่างอย่างภิกษุสาติ  ซึ่ง พระพุทธเจ้าว่าให้เรียนรู้จิตวิญญาณขณะสัมผัสอยู่ปัจจุบันขณะ  สัตว์ในที่นี้หมายถึง สัตว์ทางปรมัตถธรรม ไม่ใช่ดินน้ำไฟลมที่ประกอบกัน ไม่ใช่รูปธาตุแค่รูปธรรมทางฟิสิกส์ แล้วแม้นามก็เปลี่ยนมาเป็นรูป เรียกว่านามรูปได้อีก

 

ถ้ากระทบทางตาตอนนี้ก็เป็นวิญญาณ แต่มีสัญญาทำงานร่วมด้วย สัญญาเป็นเจตสิกทำงานให้แก่วิญญาณ แต่ถ้าหลับตาลง ก็จะเหลือเป็นความจำได้หมายรู้ เป็นสัญญาแล้ว หรือจะนึกมาใหม่อีกก็เป็นของแห้งแล้ว แต่ว่าถ้าสัมผัสสดๆ ก็เห็นวิญญาณสดๆ ปฏิบัติธรรมจึงต้องสัมผัสทางทวารนอก จึงจะเรียนรู้วิญญาณได้ แต่ถ้าตายไปแล้วก็ยิ่งยากมาก

 

ตายไปแล้วแยกไม่ออกว่าขณะใดจิตคุณเป็นสัญญา หากตกนรกก็ตกอยู่อย่างนั้นไม่รู้หรอก แต่ถ้าเราฝึกฝน ยิ่งเราแยกออกว่านี่คือรูปนี่คือนาม รู้นามรูปไหด้ แม้เวลาไม่มีสัมผัสนอก คุณต้องสั่งสมมาจากการเรียนรู้จากผัสสะภายนอกก่อน จึงจะเรียนรู้เข้าไปรู้นามรูปภายในได้

 

อย่างอาการกามวิตก เราผัสสะเราก็รู้ได้ เรารู้ขณะผัสสะสัมผัสสดๆทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เลย เราก็กระทำการกำจัดอาการกามวิตก จัดการเหตุคือกามนั้นได้ แล้วจึงจะสามารถเรียนรู้เมื่อไม่มีผัสสะภายนอกได้ คือเรียนรู้นามรูปภายใน ถ้าจัดการได้อย่างอนาคามี ถ้าได้กำหนดฝึกรู้ภายในเก่งก็จะอ่านได้ภายใน แต่ถ้าไม่ได้ฝึก คุณจะเป็นอนาคามีนานมาก แล้วแต่ฐานะ การไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายปฏิบัตินั้นปฏิบัติไม่ได้เต็มที่ อย่าง อันตราปรินิพพายี หรืออุปหัจปรินิพพายี ขึ้นอยู่กับคุณจะเป็นสสังขารหรืออสังขาร ถ้าสสังขาริ คุณก็ต้องปรุงมากหน่อย พยายามมากหน่อย แต่ถ้าเป็นอนาคามีระดับอสังขาริ คุณก็สบายหน่อยไม่ต้องปรุงมากก็เป็นอรหันต์ได้ แต่ถ้าเป็นระดับ อกนิษฐาฯ คือไม่เป็นน้องใครแล้ว

 

ถ้าผู้ใดไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง อาริยสัจในปัจจุบันได้ ถ้ากำหนดไม่เป็นแยกไม่ออกเลย ในนามธรรมต่างๆพวกนี้ จะเป็นเวทนาในเวทนา จิตในจิต(เจโตปริยญาณ 16 ) รู้มโนมปวิจาร 18 แยกเนกขัมมะกับเคหสิตะได้ ผู้ไม่มีทิฏฐิสัมมาก็จะไปกำหนดหมาย กายเป็นแค่รูปร่างเท่านั้นคุณจะไปเรียนรู้นามธรรมได้อย่างไร จนกว่าผู้นั้นจะมีความรู้ในตนอันสมควรแก่ปัญญา ตามรู้ มีปัญญานุรูปะ มีปัญญาตามรู้รูป ก็ทำได้ทำเป็นไปเรื่อยๆ ปัญญาสูงขึ้นดีขึ้นเป็นระดับปัญญาที่เป็นอัญญา จนถึง ระดับอัญญายะ รู้ทั่วแล้ว (บาลีนั้นท่านละเอียดมาก)

 

มันมีเหตุให้รู้ว่าทำไมเกิดสุขทุกข์ อย่างเห็นๆเลย แต่ผู้มิจฉาทิฏฐิ ก็ได้แต่กำหนดหมายในใจ อย่างกาย เขาก็กำหนดหมายแต่แค่ร่าง ก็ไม่กำหนดรู้อารมณ์สุขทุกข์ ไม่ทำเป็นกิจลักษณะ กำหนดกายเป็นแค่่ร่าง เช่นเห็นว่าเทวดาหรือสัตว์นรกเป็นรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ จะไปแยกอารมณ์ว่าสุข ทุกข์ หรือแยกโกรธ โลภได้ อ่านรู้ตัวเองไม่ได้ เพราะรูปธรรมมันไม่ได้มีความรู้สึก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่มีความรับรู้หรือวิญญาณ 

 

ยิ่งเข้าใจว่า สัตว์ที่มีวิญญาณ ร่างกายตายแล้ววิญญาณก็ออกจากร่าง ตายไปแล้วไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว พวกนี้จะมีแต่สัญญาเท่านั้น จะรู้วิญญาณครบไม่ได้เลย จะไม่รู้ตัวว่าเป็นสัตว์นรก เทวดาอย่างไร ตนเองอวิชชาก็เป็นอย่างนั้นไม่รู้ว่าตกนรก อยากออกอย่างไรก็อยู่อย่างนั้นจนกว่าจะหมดวิบาก จนกว่าจะมีวิชชารู้จึงปลดปล่อยได้

 

วิญญาณต้องเห็นขณะปัจจุบัน เป็นสัตว์เป็นเทวดาก็ตอนเป็นๆปัจจุบันเท่านั้น จึงจะแก้ความเป็นสัตว์ได้ ตายไปแล้วมีแต่องค์ประชุมของจิต ยิ่งไม่ได้เรียนรู้ฝึกฝนเลยก็ไม่มีสิทธิ์รู้ ต้องเรียนรู้ขณะมีชมพูทวีป มีสุรภาโว สติมันโต อิทธพรหมจริยวาโส เป็นที่จะบรรลุพรหมจรรย์ได้ ที่อื่นจะได้ก็ช้านานมาก

 

จริงๆแล้วคนที่เข้าใจว่า วิญญาณคือสิ่งที่ตายแล้ว เหมือนภิกษุสาติจะปฏิบัติไม่ได้มาก และไม่รู้จริง ถามใครก็ไม่ได้ ตายไปหมดแล้วไม่มีใครรู้ใคร เดาเอาว่ามีโลกแห่งวิญญาณอยู่ นี่คือความไม่รู้เลอะไปหมด เป็นนิยายต่อสู้กันหนังจีนเอาไปสร้างไม่รู้กี่เรื่อง วิญญาณจะแล่นไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ได้เท่าวิญญาณสดๆ ที่เกิดจากการสัมผัสทาง ทวาร 5 ขณะปัจจุบันนี่แหละ อย่าไปเถีียงพระพุทธเจ้า ต้องเรียนให้ตรงให้ชัด ฝึกให้ได้ คนไม่รู้นี่ไม่ฝึก อย่างศาสนาอื่นไม่รู้ เขาไม่เรียนรู้กระทบสัมผัสอย่างพระพุทธเจ้าสอนก็ยาก แม้เป็นพุทธปัจจุบันก็เพี้ยนไปมากแล้ว

 

พระพุทธเจ้าถึงได้บริภาษภิกษุสาติไว้มากเลย ที่บอกว่าวิญญาณล่องลอย ไม่ใช่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าว่าไม่มีเหตุปัจจัยแล้ววิญญาณไม่มี ถ้าจะศึกษาวิญญาณต้องเอาตอนสัมผัสเป็นๆนี่เลย ต้องมีเหตุปัจจัยสัมผัส ทางทวาร 5 แล้วเกิดเป็นวิญญาณ จึงจะเรียนรู้วิญญาณนั้นได้

 

วิญญาณมี เจตสิก 3 เป็นทหารเอก คือ เวทนา สัญญา สังขาร ที่ต้องเรียนรู้ ตัวสัญญาทำงานในปัจจุบัน และถ้ากำหนดปัจจุบันก็เป็นวิญญาณ แต่ถ้ากำหนดนึกไปอดีตก็เป็นสัญญา มันละเอียดต่างกันนิดเดียวระหว่างสัญญากับวิญญาณ แต่ภาวะสัญญามาระลึกเป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิตเป็นมโนมยอัตตา นั้น ไม่ใช่วิญญาณแม้เป็นรูปจริงก็เป็นสัญญาที่นึกขึ้นมาหรือเอามาปรุงแต่ง

 

ผู้เป็นอนาคามีจะรู้เลยว่ากระทบสัมผัสภายนอกก็ไม่เกิดกิเลสแล้ว แม้ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายเลยก็ยิ่งทำได้ดี ยิ่งหลับตาทำก็ทำได้ดี แต่ถ้าไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แม้ได้กายสักขีตายไปก็ควบคุมไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียนรู้จัดการกับกิเลส อาสวะมาเป็นขั้นเป็นตอน แม้แต่สัญญารู้วิญญาณ ผู้มีปัญญาจะแยกออกว่าอย่างใดคือสัญญา อย่างใดคือ วิญญาณ หรือแม้แต่สัญญาที่มีอุปาทานก็จะรู้ และจะรู้ว่าสัญญาที่ไม่มีอุปาทานร่วม หรือเวทนาก็จะกำหนดรู้ได้ว่ามีหรือไม่มีอุปาทานแล้ว รู้หมด แม้ในขันธ์ 5 ก็รู้ได้ว่าอุปาทานไม่มีในรูป ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าล้างเวทนา สัญญา สังขารได้หมดวิญญาณก็หมด

 

การทำให้วิญญาณหมดอุปาทาน ก็ไม่ใช่มัวไปหลงแค่ใช้สัญญา ไม่ได้ทำกับวิญญษณ พวกนั่งสมาธิหลับตานี่น่าสงสาร สัญญากับวิญญาณมีนัยต่างกันจริงๆ

สัตว์นรก มีชื่อเรียกเป็นภูมิต่างๆเป็นสภาวะต่างๆ

นิรยภูมิ คือนรก

ติรัจฉานโยนิ คือเดรัจฉาน

ปิตวิสยะ คือเปรต

อสุรกายะ (อสุระแปลว่าไม่กล้า) ถ้าไม่รู้อะไรก็ยิ่งไม่กล้า แม้รู้แล้วกลัวเสียโลกธรรมก็ไม่กล้าทำดี

 

เดรัจฉานคือสัตว์ที่ไม่มีภูมิไม่รู้ว่าอะไรคืออบายเลย มันขวางทางนิพพานคือโง่ไม่มีปัญญา

นิรยภูมิ คือตกนรกหนัก เหมือนคนติดยาดิ้นอย่างเดียว

เปรต คือแยกออกแล้วว่านี่คือ กาม คือตัณหา อุปาทาน เปรตจึงสูงกว่านรก

อสุรกาย หรือบางทีเรียกอติวินิบาต คำว่า วินิปาต คือตกต่ำจนไม่รู้ว่าจะต่ำอย่างไร

 

สรุปคือเป็นสัตว์นรกที่เกิดจากการมีกิเลสนั่นเอง อย่างปหาสะนรกนี่ คือนรกที่เป็นความบันเทิงเริงรมย์  ตนเองก็หลอกตนเอง แล้วไปหลอกคนอื่นด้วย อย่างไมเคิล แจ็คสันนี่ยอดสัตว์นรกเลย หรือได้กิน ได้เฮฮา ได้สนุก คำว่า ปหาสะ จึงร้ายกาจมาก เป็นรสที่หลอกให้หลง แต่เวลาลดต้องลดทีละขั้น เหมือนคนติดยาหนัก ถ้าไม่ให้มันก็ลงแดงตายเลยได้ แต่มันก็ยังไม่แรงเหมือนติดยาเสพติดที่มันติดถึงประสาท

 

ต้องรู้จักกิเลสให้ชัด ต้องล้างให้ได้ แต่เรื่องเทวดาสิยาก เพราะเป็นชั้นๆต้องอาศัยเทวดาด้วยไม่อาศัยไม่ได้หมดแรงเลย

 

ต่อไปเป็นเรื่อง พรหม 20 ชั้น

 

สวรรค์ หรือ เทวโลก มี 6 ชั้น ซึ่งเรียกว่า ฉกามาพจร มีดังนี้

1. จาตุมหาราชิกา  คือมีอำนาจบาทใหญ่ เป็นราชะ และมหาราชนี่ย่ิงใหญ่ มีสี่ทิศ คือโลกทั้งโลกต้องเป็นใหญ่ในโลกียะ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แย่งชิงเป็นใหญ่ ข่มคนอื่นหมด ต่างจะเป็นมหาราช มีท้าวสักกะเป็นใหญ่ สักกะแปลว่ากู ตัวกู ผู้ที่มืดเต็มไปด้วยจะต้องได้ลาภยศสรรเสริญสุข โดยไม่รู้แย่งได้เท่าไหรก็เอา ไม่มีอะไรอื่นเลย

 

2. ดาวดึงส์ แปลว่า 32 ในคนมีอาการ 32 คือกาย องค์รวมของอาการ 32 นี้แหละเทวดาจะพยายามทำให้สมบูรณ์ ให้สวยให้หล่อตั้งแต่ ผมขนเล็บ ฟันหนังกระดูก ทั้งหมดเลย ตับไตไส้พุง จะให้สวยให้หมด เป็นความหลง แม้อุจจาระปัสสาวะก็ให้สวยอีก รวมหมด รวม 32 คือกายคือดาวดึงส์ คือองค์ที่ 33 คือต้องใหญ่ครบองค์ ต้องสมบูรณ์ทุกอาการ 32

 

3. ยามา หมายถึงเวลา จะพยายามเสพสุขให้นานที่สุด แต่เสพสุขมันเร็ว แต่ทุกข์มันนาน แต่อยากจะได้สุขนานๆ ให้จำความรู้สึกดีๆนั้นไว้ ฝังไว้ โง่ แต่ไม่รู้ตัว กว่าจะล้างจึงไม่ง่าย เพราะเราไม่รู้ว่าเราฝังไว้เท่าไหร่

 

4. ดุสิต เป็นจุดพักยก เป็นจุดสงบ มีท้าว สันดุสิต เป็นหัวหน้า

 

5. นิมมานรดี คือ เนรมิตเอาเองเลย ไม่ว่าจะอยากได้อะไรก็เนรมิตเอาเองหมด

 

6. ปรนิมมิตวสวัตดี คือมีผู้อื่นคอยทำให้หมดเลย เป็นผู้ยิ่งใหญ่ แม้จะจุดบุหรี่ก็มีคนคอยจุดให้

คนก็ไปแย่งกันเป็นเทวาดา 6 ชั้นนี้แหละ แต่โลกุตระนั้นจะเข้าใจเป็นจริงได้ ก็อาศัยแต่พอควร พอเป็นไป

 

พรหมโลกมีทั้งหมด 20 ชั้น แบ่งเป็น รูปพรหม 16 ชั้น และ อรูปพรหม 4 ชั้น

รูปพรหม 16 ชั้น

1. พรหมปาริสัชชาภูมิ   คำว่า ปาริสะแปลว่าบริวาร

2. พรหมปุโรหิตาภูมิ คำว่าปุโรหิต คือผู้รู้ผู้เป็นครูเป็นหัวหน้า

3. มหาพรหมาภูมิ คำว่ามหาพรหมก็คือผู้ยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่านายใหญ่อีก

 

จากนั้นก็จะเป็นพรหมที่มีปัญญา เป็นแสงสว่างมากขึ้น ถ้าเป็นโลกุตระก็เป็นความเจริญ แต่ถ้าเป็นโลกียะก็เป็นพรหมแบบลิเกไปหมดเลย

 

4. ปริตตาภาภูมิ คำว่าปริแปลว่าน้อย  (เขาแปลว่ามีรัศมีน้อย)

5. อัปปมาณาภาภูมิ คำว่าอัปปมาณาแปลว่ามาก (เขาแปลว่ามีรัศมีมากประมาณไม่ได้)

6. อาภัสราภูมิ  คำว่า อาภา แปลว่าแสง  (เขาแปลว่าพวกมีรัศมีเป็นลำสุกปลั่ง)

 

7. ปริตตสุภาภูมิ คำว่า สุภา แปลว่าสว่าง ดีงาม  (เขาแปลว่ามีแสงสว่างเป็นลำรัศมีงามน้อย)

8. อัปปมาณสุภาภูมิ  (เขาแปลว่ามีรัศมีงามอย่างประมาณไม่ได้)

9. สุภกิณหาภูมิ (อันนี้จะอยู่ในสัตตาวาส 9 ที่เป็นได้ทั้ง โลกียะและโลกุตระ)  (เขาแปลว่าผู้มีรัศมีงามกระจ่างจ้า)

10. เวหัปผลาภูมิ คือแบบสว่าง เวหา คือไปหาท้องฟ้า แสงสว่างความใส

11. อสัญญีสัตตาภูมิ คือแบบมืดดำ

 

ต่อไปอาตมาจะอ่านคำแปลของท่านให้ฟังก่อน ...ซึ่งเขาแปลเป็นรูปธรรมไปหมด

พระพุทธเจ้าสมณโคดมท่านว่าท่านไม่เคยเกิดในสุทธาวาส ท่านฉลาดมาก

 

12. อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิ ท่านแปลว่าผู้ไม่เสื่อมไปจากสมบัติของตน ผู้อยู่นาน ก็คือผู้ยึดมั่นถือมัน ถ้าเป็นนามธรรม แม้สัมมาทิฏฐิก็ยึดไว้เสียเวลา ถ้าเป็นสายปัญญาแล้วก็ไม่ติด ไม่ต้องไปเสียเวลาอ้อยอิ่ง

13. อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ ท่านแปลว่าผู้ไม่ทำความเดือดร้อนใคร ก็เป็นผู้ดีแล้วไม่พยาบาท

14. สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ เป็นผู้งดงาม น่าทัสสนา เป็นตัวรูป

15. สุทัสสีสุทธาวาสพรหมภูมิ คือผู้มองเห็นดี ทัสนาแจ่มชัด เป็นตัวนาม เป็นผู้รู้ สูงกว่า

16. อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ คือผู้ไม่มีความด้อยน้อยกว่าใคร

 

อรูปพรหม 4 ชั้น

1. อากาสานัญจายตนภูมิ

2. วิญญาณัญจายตนภูมิ

3. อากิญจัญญายตนภูมิ

4. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

สี่ข้อนี้อธิบายมามากแล้ว

 

อปุญญาภิสังขาร ท่านแปลว่าเป็นความชั่ว เป็นสังขารที่ตรงข้ามกับบุญ ก็คือบาป ซึ่งอาตมาไม่เห็นด้วยเลย เพราะจะวนเวียนไม่ขึ้นสูงได้เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนไม่ได้เลย คำว่าบุญ มาจาก สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ คือชำระกิเลสสันดานให้หมดจด

 

เพราะไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้นแล้ว เช่นสัมมาทิฏฐิ ข้อ 1 ทาน ถ้าทานไม่เป็นบุญ​ไม่ชำระกิเลสก็ไม่เป็นผล เป็นนัตถิทินนัง สอนทานกันส่วนใหญ่เพ่ิมกิเลสโลภมากว่าเก่าทั้งนั้น เพราะประธานคือทิฏฐิ พามิจฉาไปแล้ว สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ วายามะ สติ ก็ผิดเพี้ยนไปหมด

 

ท่านก็แปลสัมมาทิฏฐิไม่ได้เข้าปรมัตถ์ แปลว่า ทานที่ให้แล้วมีผล ,ยัญพิธีที่บูชาแล้วมีผล,สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผล ซึ่งแปลไม่เข้าสภาวะเลย ซึ่ง 3​ข้อแรกของสัมมาทิฏฐิก็คือ ทาน ศีล ภาวนานั้นเอง สังเวยก็คือการเกิดผลในจิตเป็นภาวนานั่นเอง

 

อย่าง โลกนี้ โลกหน้าเขาก็ไม่เข้าใจว่าโลกนี้คือโลกียะ ส่วนโลกุตระก็คือโลกหน้า ไม่ใช่ว่าตายแล้วไปเกิดในโลกใหม่ อย่างนั้นพิสูจน์ได้ยาก แต่ว่าเอาเป็นๆปัจจุบันนี้เลยชัดกว่า รู้ความต่างความเป็นโลกุตระให้ได้

 

มาตา ปิตา สัตตาโอปปาติกา คือแม่ พ่อ สัตว์โอปปาติกะ ก็ไปแปลกันว่าหมู่กลุ่มของแม่พ่อมี มันไม่ใช่การละกิเลส ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่แม่พ่อที่ทำให้กิเลสลด เป็นพ่อแม่ของสัตว์โอปปาติกะ เขาไม่เข้าถึงภาวะของสัตว์โอปปาติกะ เขาอาจรู้ภาษาบัญญัติแต่ไม่เข้าถึงสภาวะ เพราะไม่รู้จักสมณะพรหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

 

เขาไม่รู้จัก แม้มีก็ไม่เห็นไม่รู้ได้ อย่างกามนิตหนุ่มคุยกับพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังไม่รู้ว่าได้พบอีก


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:10:47 )

570628

รายละเอียด

 570628_รายการเอื้อไออุ่น ที่สวนบุญผักพืช งานคืนสู่เหย้าเข้าคืนรัง นศ.ปธ. ครั้งที่ 11 เรื่อง ทฤษฎีงาน 19 ข้อ

คุณขวัญชนก(พิธีกร) ว่า.....ข้อสรุปที่ประชุม นศ.ปธ. ว่าจะขอจัดงานคืนสู่เหย้าเข้าคืนรังต่อไป นิมนต์พ่อครูล่วงหน้า นกพิราบมายึดครองสวนบุญ เพราะเราไปมีกิจกรรมที่ถ.ราชดำเนินหลายเดือน

 

พ่อครูมาถึงที่สวนบุญผักพืชตอนประมาณ 17.00 น. พอมาถึง ก็มากราบพระพุทธาภิธรรมนิมิตก่อนเลย ที่ศาลาส่วนกลาง

 

พ่อท่านแซวว่า ที่นี่ยากจนมาก แต่นาฬิกาไม่มีซักเรือน หลวงพ่อชัดแจ้งว่าให้มาตั้งหลายเรือนแล้ว อาขวัญชนกว่า ถ่านหมดก็เลยเอาพิงฝาไว้เสีย

 

ก็เป็นวันเวลาดีที่เราจะระลึกถึงกันและได้มารวมกัน มีเรื่องถามไถ่พูดคุย แบ่งปันกัน อย่างนี้ สวนเขามีผลหมากรากไม้อุดมสมบูรณ์มีฝีมือ ดูสิ ลองกองพูโตขนาดนั้น ทุเรียนลูกโต เป็นผลผลิตจากซำตาโตง ไร้สารพิษทั้งนั้นของพวกเราา ที่เกิดจากความชำนาญ ศึกษาฝึกฝนปฏิบัติ

 

คนเราต้องศึกษาเรียนรู้ การมาร่วมกันเราก็มายืนยันว่าเราเจริญอย่างนี้เป็นอย่างนี้ได้ ส่ิงยืนยันความก้าวหน้า เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเจริญ ซึงมีเจริญแบโลกีย์ เจริญ ลาภยศ สรรเสริญ กาม อัตตา นี่คือโลกีย์ที่เขาแย่งชิงกัน เขาไม่คำนึงถึงความเจริญทางคุณธรรม อันนี้น่าจะเอามาแสดงมาบอกให้รู้ว่าเราเจริญก้าวหน้าอย่างนี้ๆ

 

อาตมาทำงานศาสนารู้คุณค่าของธรรมะ ยิ่งทำงานยิ่งเห็นชัดว่าสังคมล้มเหลวเรพาะขาดการศึกษาที่จะได้ธรรมะ (มีชามตกเสียงดังพ่อครูว่าไม่ต้องพูดขานรับดังขนาดนั้นก็ได้) แล้วการได้ลาภยศสรรเสริญสุขมากเท่าใดยิ่งทำให้สังคมเลวลง เพราะตะกละ คนมีฝีมือมากก็เอาเปรียบมาก เอาชนะคะคาน แย่งชิงฆ่าแกงเดือดร้อนไปหมด ยิ่งเจริญโลกีย์มาก แต่ธรรมะไม่พัฒนาไม่เห็นไม่จริงไม่รู้ ก็เลยย่ิงทับถมรุนแรงซับซ้อน อาตมาจึงเห็นความจำเป็นที่ต้องเอาธรรมะมาสถาปนาเข้าไปในการเมือง ก็ต้องพูดวนเวียนซ้ำซากอยู่บ่อย ก็ต้องพูด เพราะเป็นสิ่งจำเป็นสำคัญที่ต้องยำ้ให้สำนึกและปฏิบัติ จะได้ช่วยกันทำให้คนมีคุณธรรมขึ้นมา

 

44 ปีแล้ว อาตมาบวชแล้วทำเรื่องนี้มา จนพัฒนาสถานที่สวนบุญผักพืช ที่มีอายุ 10 ปีแล้ว (เร่ิมปี 47) ก็ได้แต่สถานที่ แต่ผู้คนก็ยังไม่อบอุ่นมากมาย สถานที่เจริญมีต้นหมากรากไม้ ต้นไม้มันเจริญทางคุณธรรมไม่ได้ คุณธรรมจะเจริญในคน คนที่มารวมกันแล้วได้พัฒนากัน ก็จะเป็นอย่างโลกเขาเป็น ทำร้ายทำลายกัน

 

คนเรายิ่งเจริญทางธรรม คนทางโลกเขาก็ศึกษาให้มีความรู้ทางโลกมากก็มีสิ่งได้เปรียบมากแล้วกิเลสมันเห็นแก่ตัวก็ใช้เล่ใช้ความฉลาดเอาเปรียบคนมากขึ้น สังคมก็เดือดร้อน แม้ยุคพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร ถามสัญชัยเวลัทบุตร ว่าคนฉลาดหรือคนโง่มากกว่ากัน ก็คนโง่มากกว่าสิ เราก็จะอยู่กับคนโง่นี่แหละ ยิ่งยุคนี้คนโง่ยิ่งมาก ยิ่งเร่งรัดความฉลาดแบบมีกิเลสมากมันก็เลยเกิดแย่มากขึ้น เกิดก่อนหลักเกณฑ์ที่เอาเปรียบกัน เข้าใจว่าคนเราต้องแข่งกันเป็นคนอยู่ยอดปิรามิด ชนะด้วยโลกีย์ มันก็ยิ่งแย่เพราะคนได้เปรียบย่ิงได้มาก ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุรายมาก แต่คนที่ไม่มีก็ขาดแคลน วันนี้คสช.ก็พยายามปรับ ไม่เหมือนรบ.ที่แล้วยิ่งส่งเสริมให้ฉิบหาย เอาเปรียบผลาญพร่าเละเทะไปหมด นี่ก็ตั้งใจให้ดีขึ้นก็ขอให้ทำให้สำเร็จ ถ้าทำดี ก็ให้ทำต่อไปเลย หลายปีเลย นี่เศรษฐกิจเดือนเดียวก็กระเตื้องแล้ว แค่ห้ามกั้นส่ิงดีเดือนผลาญพร่า แค่นี้ตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้นทันที นี่ก็พยายามทำกันให้ดี ถ้าทำได้ก็ส่งเสริมเต็มที่เลย

 

การศึกษาถ้าทำให้ดีจริงๆก็พอรู้ แต่กิเลสมันไม่ยอม กิเลสมันสำคัญ กิเลสมันออกลายจนได้จะอวดดี ทำดีก็เพื่อให้คนอื่นเข้าใจผิด แล้วออกลายภายหลัง ถ้าไม่มีกิเลสก็ทำดีต่อเนื่อง พวกเราพยายามฝึกฝนให้มีคุณธรรม แม้มีความรู้ทางโลก เราก็ไม่ได้ไม่เอา เราก็ส่งเสริมกันทำ แต่มีหลักประกันว่า ถ้าจิตวิญญาณเรามีกิเลสน้อยหรือไม่มีกิเลส คุณจะสามารถฉลาดสร้างสรรเหมือนโลก รู้เหลี่ยมโกงด้วยแต่เราไม่ทำ จึงเป็นผู้ช่วยเหลือสังคมได้ อาตมาว่าพาชาวอโศกทำให้ดีขึ้น เป็นการศึกษาตรงข้ามกับทางโลก กระทรวงศึกษาธิการ หรือสายศาสนาเองก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่เสียผลเลย ยังพอมีการรู้เข้าใจอยู่บ้าง ทำไมอาตมาว่าพอรู้ได้

 

เพราะว่ามีสัญญาณพอให้เห็น คือ มีข่าวคราวมีการติดต่อ มีการเกี่ยวโยงมาแล้ว ทั้งๆที่ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ แต่มันมีลักษณะเชื่อมโยง ไม่ว่าทางด้านอาชีพ ช่วยคนด้านล่างก่อน เขาก็พยายามทำอันนี้ เช่นเรื่องข้าวเรื่องปุ๋ยก็มีสัญญาณ และมีการศึกษาก็มีผู้เชื่อมโยงต่อ มีอาจารย์ทางด้านการศึกษาอยู่ในสังคม แต่ไม่ใช่Activist ที่แสดงตัวมาก แต่ถ้าอาตมาบอกชื่อก็จะอ๋อกันเลย เพราะเขาทำงานอยู่ในประเทศไทย ว่าได้ประชุมร่วมกันคสช.ประจำ และได้ยืนยันว่าการศึกษาต้องเอาแบบอโศก ยืนยันอย่างนี้เลย ต้องเอาบุญนิยม แล้วอาจารย์คนนี้ก็ยืนยันมาแต่ไหนแต่ไร แล้วสังคมไม่รับ แต่เขาก็ไปทำเองจนมีผล จนคสช.ก็ดูๆเห็น ให้เป็นที่ปรึกษาไปประชุมมาพูดให้ฟัง

 

ก็น่าจะอบอุ่นใจ เมื่อคสช.คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนี้เรื่องการศึกษา เราก็ไม่ได้หยุด พัฒนามาตลอดตอนนี้ให้พัฒนาทางนิตินัยให้มีการรับใบปริญญาโท เอก กันมาพอสมควร เสร็จแล้วก็ย่ิงเห็นความสำคัญความเข้าใจ อาตมาก็พยายามฟอร์ม วิชชารามนาวาบุญนิยม

 

ตั้งแต่ม.วช. ส.สว. ว.บบบ. มาจนบัดนี้เกิด ว.นบ. หรือวิชชารามนาวาบุญนิยมจะเกิดขึ้นที่ ราชธานีอโศก ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก พอประกาศในงานอโศกรำลึก มีนศ.มาสมัคร 188 คน ไม่เคยเกิดอย่างนี้เลยในชาวอโศก อาตมาก็ยิ่งเห็นว่าดี ก็เลยเตรียมสร้างอาคารรองรับ ตอนแรกก็ยังไม่เกิด ว.นบ. เราก็ทำ ส.สว. ซึ่งไม่ได้สักที (สถาบันสัมมาสิกขาวิชชาราม) แล้วยังไม่ได้ เราก็มีคนไม่อยากรอ พวกเราจบป.เอกมาก็ฟิตสิ ทำหลักสูตรมา สรุปแล้วทำกันอย่างตั้งใจ จนกระทั่ง สถาบันอุดมศึกษาที่เขาได้รับใบอนุญาตมาแล้ว ที่อ.คนนี้ดูแลอยู่ ก็เลยรับรองพวกเรา ตั้งขึ้นมาเลย ว่าให้พวกเราเรียนแบบอโศกไปเลย ทำไปเลย ถ้าอยากได้ใบรับรองก็ทางโน้นจะออกให้ 4 ปีจบ ขอให้มีการบันทึกมีหน่วยกิจเองเลยร่างหลักสูตรเอง เน้นธรรมะเป็นหลัก อาตมาจะเป็นคุรุสอนเป็นหลัก แล้วเขาให้ตำแหน่ง วิชชาธิบดีเลย

 

ตำแหน่งอาจารย์ที่เราตั้งไว้คือ คุรุวิชช์ และคุรุชาญ คุรุวิชช์คือคุรุวิชาการ ส่วนคุรุชาญคือผู้เชี่ยวชาญพิเศษที่ชำนาญเฉพาะด้านไม่ต้องมีใบอะไรรับรองก็ได้

 

อาตมาก็เลยเบาใจชื่นใจมากที่จะทำอันนี้เต็มที่เลย ที่จะทำการศึกษาเพื่อผลิตคน คนเราฝึกฝนศึกษาก็เพื่อทำงาน เดรัจฉานมันหากินเป็นอย่างเดียว กินเสร็จก็พัก แล้วก็กิน หรือทำงานสร้างรวงรังบ้าง อย่างมดปลวก ผึ้งก็ทำงานสร้างรังเพื่อที่พักที่ออกลูก ที่เก็บอาหาร แต่คนทำมากกว่านั้น ทำได้เหมือนเดรัจฉาน แต่ได้มากกว่าคือทำมีคุณธรรม มีเกื้อกูลช่วยเหลือ ถ้าไม่มีคุณธรรมจะอาศัยหมู่เพื่อเอาเปรียบเอารัด แต่ถ้ามีคุณธรรมก็จะเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันยิ่งขึ้น

 

อาตมาได้เขียนหลักการนี้ในหนังสือสรรค่าสร้างคนไว้ ตั้งแต่ประมาณพศ. 2530 คือบทนี้ บททฤษฎีงาน

สิ่งที่มนุษย์ควรมีควรได้ คือ ปัญญา น้ำใจ ซื่อสัตย์ อุตสาหะ อาตมาประมวลแล้ว ได้สี่คำนี้ ที่เป็นคุณสมบัติสุดยอดของมนุษยชาติ ปัญญาต้องเป็นปัญญาโลกุตระ แล้วต้องให้มีน้ำใจ ช่วยเหลือตลอด และจะท้อไม่ได้ต้องอุตสาหะ แล้วต้องมีซื่อสัตย์ตลอดด้วย อย่าให้แซมความไม่ซื่อสัตย์เข้ามา ต้องจัดการออก ย่ิงมีทฤษฎีการงาน 19 ขั้นอีก อาตมาตั้งชื่อวิชชาที่จะสอนคือ 1.วิชชาสรรค่าสร้างคน ให้เรียนเลย 4 ปีให้จบ หัวกระทิอยู่ในนี้หมด กับอีกวิชชาคือ 2.พุทธชีวศิลป์

 

นี่บทที่ 1 นี่เลย ทฤษฎีงาน 19 ข้อ

1.หมวดทุน 2.หมวดความรู้ 3.หมวดพฤติกรรมดี 4.หมวดคุณธรรมคุณวิเศษ 5.หมวดคุณภาพอันเป็นบรมภาวะของสังคม

 

สองข้อสุดท้ายใน 19 ข้อ คือมีความเสียสละแท้ และมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน มันจะเป็นปึกแผ่นรวมกันทั้งประเทศเลยทั้งสังคมเลย ถ้าอยู่ในนี้ต้องมารวมเป็นปึกแผ่น นอกจากคุณนิสัยเสียเข้ามาไม่ได้ก็ส่วนตัวคุณ มาอยู่กับหมู่ร่วมกันก็เพื่อเสียสละเกื้อกูลช่วยเหลือ ย่ิงใครบรรลุสูงสุดก็ไม่มีความเป็นตัวกูของกู หมดเนื้อหมดตัวเลย นี่คือผลคุณวิเศษอันเป็นบรมภาวะของสังคม ถ้าเป็นเช่นนี้ได้ก็เป็นสังคมสุดยอดเลย

 

ในการศึกษานี้จะมีการขยายอายุขัยด้วย โดยเอาอาตมาเป็นตัวอย่างที่จะเป็นตัวนำการศึกษาด้านสุขภาพ ทางโลกเขาก็ว่า มนุษย์อยู่ 151 ปีได้ มีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า ถ้าชีวิตคนทำได้ปกติก็ 150​ปีก็ได้ปกติ อาตมาก็ว่าถ้าอย่างนั้นอาตมาได้ 200​ปีเลย เพราะอนาคตเขาก็สร้างอวัยวะมาต่อเชื่อมได้ด้วย ทางด้านสรีระเขาทำได้ 151 ปีได้อยู่แล้ว แล้วเรามีทางจิตวิญญาณด้วยก็จะได้ 200 ปีเลย นอกจากจะมีวิบากตัดรอนก็บังคับไม่ได้ ถ้าไม่มีวิบาก I will try. แปลว่ากระเสือกกระสนใช้ความพยายามนะ

 

7 ข้อแรกของทฤษฎีงานคือ

 

ทุนที่ดีที่เป็นทุนแท้   1.คนที่ดี 2.งานที่ดี 3.ความรู้ความสามารถดี (นี่คือทุนแท้ๆไม่ใช่ธนบัตร)

ทุนแถม คือมี 4.เวลาและโอกาส  5.วัตถุอุปกรณ์หรือทรัพย์สิน

 

ทุนเสริม คือ 6.สุขภาพและกำลังที่ดี 7.ขยันอุตาสาหะบากบั่น

 

คนทางโลกเขาศึกษากันมีเสริมอีก

8.หลักการระเบียบเป้าหมาย

9.การจัดสรร มีการจัดโครงการ

10 มีการแบ่งงานประสานเนื่องหนุน

ทางโลกเขาก็มีแต่เป็นโลกีย์ออกระเบียบมาเพื่อเอาเปรียบ เขามีอุตสาหะบากบั่นแต่เพื่อตัวเอง แต่เราอุตสาหะเพื่อส่วนรวม

 

11.กระจิตกระใจใส่ใจขวนขวายไม่ดูดาย

12 มีการปรับความเข้าใจเพื่อให้เกิดความสามัคคีเสมอ

13 .มีการขัดเกลาปฏิบัติละกิเลสเสมอ (โลกีย์ไม่ทำ)

14.มีความยินดีในการได้ประโยชน์

15.มีความเห็นจริงซาบซึ้งเชื่อมั่น

 

คุณวิเศษของคนของจิต (ข้อต่อไปนี้โลกีย์ไม่มี)

 

16.มีสติ ปฏิภาณ ปัญญา ซึ่งเป็นไปเพื่อกุศล เป็นโลกุตรปัญญา

17.ฌาณ สมาธิ อุเบกขา ซึ่งทางโลกเขาไม่ได้หรือมีก็เป็นมิจฉาฌาน สมาธิ อุเบกขา ไปหาป่าเขาถ้ำ

18.ความเสียสละแท้ ไม่ใช่ความเสียสละหลอก ซึ่งในโลกรู้ว่าเสียสละนี้ดี แต่หลอกไม่แท้

19.มีพลังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นเอกีภาวะ

 

 

ถ้าไทยเราทำได้อย่างทฤษฎีงาน 19 ข้อนี้จะเป็นมหาอำนาจเลย ไม่ใช่มหาอำนาจอย่างเบ่งใหญ่เช่นอเมริกา ซึ่งไทยก็หงอ ตอนนี้ก็ดูคสช.ก็ดูแข็งขืน เราก็เชียร์เลย พวกเรานี่แหละอาตมาว่าจะเป็นน้ำเป็นเนื้อของประเทศต่อไปในอนาคต แล้วก็พอรู้ซับซาบติดชิพ พระพุทธเจ้าไว้ทุกคนเหลือแต่จะเอามาใช้งาน แล้วจะพัฒนามีบทบาทสร้างสรร ตัวเองและประเทศก็จะก้าวหน้า

 

ตอนนี้เราต้องแข็งขัน เป็นโอกาส ถ้าอาตมาได้มวลขนาดนี้ ที่อยู่ที่นี่มีสักร้อยกว่าคนได้ ถ้ามีคุณสมบัติในตัว

 

คุณสมบัติของมนุษย์มีอยู่สองอย่าง

1.คุณนิธิ คำว่านิธิ แปลว่า คลังสมบัติ ที่รวมของทรัพย์สิน เป็นคุณสมบัติของคุณธรรม

2.คุณราศี คือ คุณสมบัติที่มีนั้นเปล่งรัศมีจนคนอื่นเห็นได้

 

ต้องมีจริงเป็นจริง สังเกตไหมว่าชาวอโศกมีคุณราศีบ้างแล้ว แต่เขายังไม่ยอมรับกว้างขวาง ที่ลึกๆคือมันขัดกับความเป็นจริงที่เขาเป็น เดี๋ยวเขาท้วงว่าเห็นว่าดีทำไมเป็นไม่ได้ แต่กระแสของการยอมรับมีอยู่โดยการเงียบไม่แสดงตัวมาก แต่ถ้ามาสัมผัสพวกเราก็จะว่าดี แต่ต่อหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้

 

ไม่เป็นไร เราศึกษาธรรมแล้วไม่มีปัญหา เขาจะด่าว่าติเตียนก็เพราะเขาไม่เข้าใจ เหมือนไก่ได้พลอย เห็นข้าวเปลือกก็จิกข้าวเปลือกชื่นใจ ไม่รู้ค่าเพชรพลอย อาตมาก็สงสารเขาว่าไม่รู้ส่ิงที่ควรรู้ไม่สนใจสิ่งที่ควรสนใจ เราก็อุตสาหะพากเพียรนำมาให้เขาเข้าใจต่อไป

 

ต่อไปเป็นการตอบคำถาม

 

  1. เวลาที่เราเห็นหน้าสัตว์นรกในตัวเราแต่เราควบคุมมันไม่ได้ทำอย่างไรจะควบคุมได้ ...ตอบ..ก็ต้องพยายามวิธีปฏิบัติ ก็ต้องปหาน สัตว์นรกหมายถึงจิตวิญญาณ ไม่ใช่สัตว์สองขาสี่ขา เรามีญาณรู้ชัดสัตว์นรกแล้วก็ต้องปหาน มีหลักสองอย่างคือ วิขัมภนปหาน ตทังคปหาน สมุจเฉทปหาน นิสรณปหาน ปฏิปัสสัทธิปหาน

วิกขัมภนปหานก็กดข่มไว้ เป็นโดยมารยาทสังคมทำเป็นทุกคน ไม่อยากขายหน้าเอาออกมา แต่ปริญญาที่จะทำให้แจ้งว่านี่สัตว์นรกนะ ต้องมีวิปัสสนาวิธี ต้องฝึกต้องเรียนแล้วให้พิจารณาว่าสัตว์นรกนี่เอ็งมาแสดงตัวนี่เอ็งไม่ใช่ข้า ข้าไม่ใช่ตัวเอ็ง เอ็งเป็นแขก และเอ็งไม่ได้อยู่กับข้าตลอดเวลา หมุนเวียนมาชั่วคราวแต่ว่าทำให้เราทำเลว แม้ไปสุขก็เป็นการเอาเปรียบเอารัดเขา จะเอาเปรียบโดยโลภ โดยโกรธก็ตามที ต้องการให้คนอื่นตกต่ำเป็นความคิดชั่ว ก็ต้องเห็นให้ได้ว่าไม่น่ามี แล้วก็จะเกิดปัญญา ชัดเจนมีประสิทธิภาพให้สัตว์นรกตายหายไปได้ นี่คือวิปัสสนาวิธี คู่กับวิกขัมภนปหาน ถ้าทำสองอย่างนี้ได้ก็เป็นสมุจเฉทปหานก็เก่งขึ้น ถ้าตัวไหนมาบ่อยเพราะเราคบกับมันมานานแล้ว

  1. ทำไมถึงไม่มีเครื่องแบบกับนักศึกษาที่พ่อครูกำลังจะสอนจะทำ..ตอบ..เราก็ออกแบบไว้แล้วนะ
  2. อโศกจะเป็นอย่างไรนับจากวันนี้  ตอบ..อโศกไม่ได้เจ็บป่วยก็ตอบได้ว่าจะแข็งแรงมีกำลังทำงานให้กับสังคมมากขึ้น นอกจากไม่ป่วยไข้แล้วก็ไม่โง่เง่า ไม่ชวนกันขี้เกียจ ชวนกันเสียสละสร้างสรร จะก้าวหน้าพัฒนาไปช่วยสังคมได้มากขึ้น เพราะอโศก 1.ไม่เป็นหนี้ 2.พึ่งตนเองรอด 3.มีอยู่มีกินใช้เกิน 4.ช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นได้
  3. พ่อท่านวางแนวทางไว้อย่างไรเมื่ออายุขัยเพิ่มขึ้น  ตอบ...วางไว้ตลอดเวลา ไปอ่านหนังสือสรรค่าสร้างคน
  4. ขอพ่อท่านเอาเป็ดหรือไก่มาปล่อยเพื่อเอามูลมาทำปุ๋ย ตอบ...ไม่จำเป็น การเอาสัตว์มาเลี้ยงแม้จะเอาขี้ก็ไม่ดีแล้ว อาศัยมัน เอาเปรียบมัน เป็นการแสดงว่าตนมีน้ำใจเอ็นดู เอาไว้อวดอ้างกันในสังคมไม่เข้าเรื่อง หรือเอาประโยชน์จากมัน ก็ไม่ดี ดีไม่ดีพอมันโตแล้วก็ฆ่ามันกิน คนนี่ยอดเลวร้ายจริงๆ เรื่องอจินไตย สัตว์มันเกิดมารับวิบาก แต่คุณเอามาเลี้ยงให้อาหารมันก็ไม่ได้ตัดวิบาก ยิ่งมันต้องต่อสู้คุณก็เอามาเลี้ยงไว้ก็กลับกัน คนทั้งโลกว่าเมตตาเอามาเลี้ยงแต่มันเสียนิสัยหมดเลย มันพึ่งตนเองไม่เชื่องหรอก แต่แมวหมาเอามาเลี้ยงนานจนเป็นยีนเปลี่ยนเป็นสัตว์บ้านแล้ว แล้วเอามาเลี้ยงเอาขี้ก็ไม่ค่อยได้ดูแลมันหรอก ไมเ่หมือนแมวหมาที่คนดูแลอย่างดี การเอามาเลี้ยงมันก็เกี่ยวข้องสัมพันธ์ ที่จริงเราไม่ควรไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ แค่คนนี่เราก็มีวิบากต่อกันมากมายแล้ว จะไปเพ่ิมเติมทำไม ถ้าอย่างมันมาเองก็ไม่เกี่ยวไม่ต่อวิบาก จะเอ็นดูช่วยชั่วคราวก็เป็นคุณธรรมของสัตว์โลกทุกชนิดต้องช่วยกันพึงทำนิดๆหน่อยๆ แต่อย่าไปทำอย่างเกี่ยวพัน ต่อไปวิบากเกี่ยวพันกัน เป็นเรื่องยากมากที่จะเข้าใจไม่จำเป็นต้องเลี้ยงให้เขาอยู่ของเขา ย่ิงไปฆ่ากินหรือไม่ฆ่าแต่กินก็มีวิบากต่อกัน
  5. ความรู้สึกติดแป้นแต่เราไม่ออกได้ เพิ่มไม่ได้แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรทุกข์กับภาวะนี้นานอยู่ ตอบ...หลักเกณฑ์มีคือมีอธิศีลอธิจิตอธิปัญญา เพ่ิมหลักเกณฑ์ ท่านเรียกว่ามีอภิสมาจาร คือเพ่ิมสิ่งดี หรือบาปสมาจารก็เพิ่มส่ิงงดเว้น การติดแป้นคือคุณได้ส่ิงดีแล้ว ก็ต้องตรวจสอบว่าได้แล้วอย่างไร ทำไมเราจะไม่รู้หรือว่าเราจะพัฒนาขึ้นอย่างไร อันไหนเลิกได้แล้วก็มีตัวทำดีย่ิงขึ้น ตั้งเลยจะทำดีอะไรเพิ่มให้ดี เพ่ิมอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ
  6. โยนิโสมนสิการจะทำใจอย่างไร?  ตอบ...แปลว่าไม่ฟังธรรมอาตมาหรือฟังไม่รู้เรื่อง เพราะที่ตอบทุกวันคือทำโยนิโนมนสิการทั้งสิ้น เช่นตอนนี้เน้นเรื่อง กุศล กับ บุญ ว่าต่างกันอย่างไร?
  7. ทำอย่างไรจะเลิกดื้อคะ จากดญ.ดูแล....ตอบ...แล้วก็บ่นว่าไม่อยากชื่อดูแลแล้ว เพราะตอนนี้ชักโตแล้วต้องดูแลน้อง ไม่อยากดูแลก็ต้องแลเลื่อนฟ้าสิ จำได้ไหมชื่อนี้แปลว่าอะไร?...แปลว่ามีวิสัยทัศน์มุ่งไปสู่ที่สูง แลก็คือมองหรือวิสัย เลื่อนก็คือไป ฟ้าก็คือที่สูง  ทำอย่างไรไม่ดื้อก็เวลาดื้อมาก็ถามตัวเองสิว่าดื้อนี่ดีไหม ไม่ดีใช่ไหมก็เลิกดื้อเสียสิ รู้ไหมว่าทำว่านอนสอนง่ายเป็นไหม ไม่ใช่ทำดื้อ จำไว้
  8. ที่พ่อครูบอกว่ากิเลสไม่ใ่ช่ตัวเราแล้วตัวเราคืออะไร?....ตอบ...เราก็ไม่ใช่กิเลสสิ หากเราเอากิเลสเป็นตัวเราเราก็โง่สิ ต้องเอากิเลสที่เป็นตัวปลอมออก ต้องมีวิธีปหานหรือเนกขัมมะ
  9. ที่เขากล่าวว่าต้องมีศีลก่อนแล้วสมาธิและปัญญาจะตามมา เราจะพัฒนา 3 อย่างพร้อมกันได้ไหม ตอบ..คนโง่เท่านั้นที่จะต้องทำให้เกิดทีละอย่างเราต้องทำให้เกิดผล 3 อย่างนี้ไปพร้อมๆกัน ถ้าตั้งศีลแล้วไม่ทำให้เกิดจิตที่ดีขึ้นพัฒนาขึ้นไม่เกิดปัญญาก็ผิดแล้ว ศีลต้องทำให้เกิดจิตลดกิเลสได้เกิดปัญญาที่ลดละกิเลสได้ ถ้าไปปฏิบัติศีลได้แต่กายวาจาไม่เกิดจิตลดกิเลสก็เป็นศีลพตปรามาสหรือศีลพตุปาทาน มันรู้แต่ว่าทำได้แต่ไม่เกิดปัญญาไม่ได้ปรมัตถธรรม
  10. หลวงปู่อยากมีอายุถึงกี่ปีครับ...ตอบ...หลวงปู่อยากจะมีอายุสัก 151 ปีไง แต่ถ้าจะไปได้ 152 หรือมากกว่าก็ได้นะ แต่ต้องอยู่อย่างแข็งแรงปกตินะ ถ้าอยู่อย่างนี้ได้ สักสองร้อยสามร้อยปีก็ได้นะ
  11. กินไข่ผิดศีลไหมคะ จาก ดญ.ข้าวจี่   ตอบ...หลวงปู่ตอบดญ.ดูแลไปทีแล้ว ไข่นี่เป็นลูกของสัตว์แล้วเอาไข่มากิน เอาลูกมันมากินก็เป็นสัตว์แต่เขาแย้งว่าไข่เดี๋ยวนี้ไม่มีเชื้อผสมไม่ฟักเป็นลูก แล้วถามว่าแม่มันรู้ไหมว่าไม่ใช่ลูกมัน แม่มันก็มีสัญชาตญาณหวงไข่มัน ก็มีวิบากบาปมันมี กินไข่ก็วิบากบาปมี หรือติดรสมันก็ละได้ไหม ปฏิบัติธรรมเถอะ ถ้าไม่ละก็ติดมันต่อถึงชาติหน้า ก็หาอันอื่นแทนได้
  12. ที่ว่าขอสักชาติได้ไหม?ขอรายละเอียด  ตอบ..ชีวิตหนึ่งมาเจออาตมาแล้วก็ขอสักชาติได้ไหม ไม่ได้ขอมาเป็นบริวาร แต่ขอให้มาปฏิบัติธรรม ไม่ได้ปฏิบัติให้อาตมาหรอก แต่ให้คุณเองลดกิเลส หรือจะทำให้อาตมามีกตัญญูก็ดี แต่ให้คุณลดกิเลสได้ไหมแค่นี้
  13. ปฏิบัติธรรมที่ใจหมายความว่าอย่างไร?...ตอบ..ภาษาบาลีเรียกมนสิกโรติ แปลว่าการทำใจในใจ ทำอย่างไร ก็ใจไม่มีรูปร่างแต่เราทำมันเป็น เช่นใจมันขี้เกียจ เราก็เปลี่ยนมันเป็นขยัน ถ้าเราบังคับมันเปลี่ยนเป็นขยัน มันไม่อยากทำก็บังคับมันทำ แต่ไม่ได้อ่านอาการขี้เกียจ รู้ อาการ ลิงค นิมิตว่าสภาวะเช่นนี้คือข้ีเกียจ ถ้าเราจะเปลี่ยนเป็นขยันก็ดูอาการฝืนแล้วขยันมันดีกว่าขี้เกียจ ขี้เกียจมันชั่วๆโง่ๆแล้วเราทำมันทำไม จะรู้ว่าวิกขัมภนะเป็นกดข่ม เราต้องใช้ปัญญา ถ้ามันอยากอันนี้แต่เราไม่ให้มัน เราเอาอย่างอื่นแทนแล้วตายไหมก็เห็นให้ได้ว่ามันไม่ตาย ดีไม่ดีเอาอย่างอื่นแทนก็ดีกว่าอีก เช่นไปติดเหล้า ก็ไปกินอื่นแทนดีกว่าเหล้าเยอะแยะเลย ไปติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมันก็เลิกเสีย พิจารณาถึงความจริงว่าอันไหนดีกว่า
  14. ญาติธรรมบางคน รักต้นไม้ รักสัตว์ รักธรรมชาติ แต่มีพฤติกรรมเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ควรจัดการอย่างไรกับคนอย่างนี้  ตอบ...ทำให้เขารู้ตัว ไม่ต้องไปตีเขา ทำให้เขารู้ว่าไปรักอย่างอื่นแต่ไม่รักคน ไปเบียดเบียนคนทำไม ถ้าเขารู้ว่าคุณรักสิ่งเหล่านั้นก็ดีแล้ว แต่ถ้าคุณรักคนด้วย แล้วรักคนที่ดี อาการรักคือไม่รังเกียจไม่ทำร้ายหรือปรารถนาให้เขาได้ดี ให้ศึกษาความรัก 10 มิติให้ดี ตั้งแต่รักแบบกาม มาเป็นรักครอบครัว รักญาติพี่น้อง รักสังคม รักประเทศ รักโลก แล้วก็เป็นรักแบบอาริยบุคคลจนเป็นอรหันต์
  15. คนกินเนื้อสัตว์เป็นคนหรือเดรัจฉานไหมคะ?  ตอบ...ถามดี คนกินเนื้อสัตว์คือคนไม่รู้ไม่ฉลาด ยังกินเนื้อสัตว์ให้เป็นวิบาก ถ้าเป็นคนโง่ก็เป็นเดรัจฉาน
  16. กินน้ำอัดลมผิดศีลไหมคะ ตอบ..ลมไม่พอหรือไง ก็กินน้ำอื่นดีกว่าน้ำผลไม้ดีกว่าเพราะน้ำอัดลมใส่สารเคมีส่วนมาก มันล่อให้เราหลง มันไม่ดีอย่าไปถูกหลอกเขาหลอกให้กินแต่เป็นโทษเรามีส่ิงดีมีคุณค่ามากกว่า
  17. ทำยังไงผมจะหายซนเหมือนลิง แล้วทำอย่างไรให้น้องอนุบาลหายดื้อ  ตอบ...เต้ิลต้องหายดื้อหยุดดื้อก่อนเพราะเป็นพี่เขาเป็นตัวอย่าง แล้วทำอย่างไรจะหายซนเหมือนลิง ซนมันอาการอย่างไร พอเราซนรู้ไหม พอรู้ก็อย่าทำ ให้หยุดรู้แล้วตอนนี้เราซน เราก็หยุด เปลี่ยนเป็นสุภาพเป็นคนดี
  18. เมื่อไหร่ FMTV จะได้ออกอากาศ​ดูช่องอื่นไร้สาระแถมมีแต่แข่งบอล...ตอบ...ตอนนี้ทางโลกเขาเห่อกัน เรื่องฟุตบอลโลก ตอบ...ตอนนี้เราก็พูดกันเสมอ อาตมาบอกเองว่าให้เราทำตามควรไม่ต้องไปดิ้นรนมากนัก
  19. คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด  แล้วคนฉลาดจะเป็นเหยื่อของใคร? ตอบ...คนฉลาดจริงไม่เป็นเหยื่อใคร มีแต่จะให้เขา การเต็มใจแล้วให้เขาคือเสียสละ แต่ไม่เต็มใจแล้วต้องให้เขาคือเสียรู้ แต่ถ้าสู้อยู่แต่ก็เสีย คือเสียเชิง แต่ถ้าแพ้ก็เสียท่า แล้วเราก็ไม่ใช่คนเสียรู้ เสียเชิง เสียท่า เพราะเราเสียสละให้เขาได้ เราไม่ใช่เหยื่อเขา
  20. ทำอย่างไรคะ จิตใจถึงจะเข้มแข็งเพราะที่ผ่านมา หนูรู้สึกว่าจิตใจอ่อนแอมาก เมื่อเจอปัญหาก็จะท้อมากถึงขั้นอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเอง อยากถามว่าการทำใจให้เข้มแข็งทำอย่างไร ตอบ ใจเข้มแข็งไม่ใช่ใจมะรื่อทื่อ แต่ว่าใจแข็งคือมีคุณสมบัติอ่อนโยนสุภาพมั่นคง ก็คือใจไม่มีกิเลส คนมีปัญญาไม่สู้ด้วยความแข็งแต่สู้ด้วยความสุภาพอ่อนโยนไม่แข็งกระด้างด้วย คนใจแข็งไม่กระด้างด้วย หรือแม้แต่ทนได้คือใจแข็งก็ไม่ใช่ คนใจแข็งคือคนไม่ต้องทน ใจไม่ต้องทนอะไรเลยมันสบายว่างๆเช่น คนเขาด่า เราก็ทนไม่ได้นั่นคือคนใจอ่อน ทีนี่คนเขาด่าเราทนได้ คือเราทนได้โดยไม่ต้องทน เขาด่าเราก็รู้ว่าเขาด่าเราอย่างไร เขาเอาคำไม่ดีมาด่าเรา เราก็เอามาพิจารณา เช่นเขาด่าเราว่าไอ้เหี้ย จริงๆเขาว่าเราไอ้ก็ไม่ใช่แล้ว ยิ่งด่าเราว่าเหี้ยเราก็ไม่ใช่ หรือเอาคุณสมบัติว่าเลวมาก เลวโกงไปฆ่าคน เราก็ไม่ทำ คนโง่อยู่ที่คนไม่รู้ความจริง ว่าด่าไม่ถูกตัว คนนั้นแหละโง่ ก็พิจารณาแล้วว่าไม่ถูกตัวเราสักหน่อยไม่ระคายอะไรเราเลย นี่คือสัจจะต้องพิจารณา แต่ถ้าเขาด่ามาถูกเปรี้ยงเลย กราบเขาซะ เขาด่ามาถูกเลย เราเหมือนเหี้ยจริงๆเราจะแก้ไข หรือเราซน เราโง่ เราเป็นอะไรที่ไม่ดีก็ดีที่เขาบอกให้เตือนสติ เราต้องขอบคุณเขา แต่ถ้าเราไม่มี คุณไม่รู้ ไม่มีข้อมูล หรือคนหาเรื่องก็ไม่ต้องไปโต้ตอบโกรธเขา เขาคนไม่ดี
  21. ความหงุดหงิดที่ไม่ได้ดูFMTV ดิฉันกลับไปที่ธรรมทัศน์สมาคม ไปหามาดูสิ พอมีเครื่องเปิดดูได้
  22. พ่อคะ การเพิ่มอธิศีล ถ้าเราไม่ทราบจะเพิ่มอะไรที่เหมาะกับตัวเองจะทำอย่างไร? ตอบ ...ถ้าปัญญาเรายังอ่อนด้อย ก็ถามคนอื่นว่าศีลเราทำอย่างนี้ได้ บริสุทธิ์หรือยัง ก็จะรู้ได้เมื่อสัมผัสคบคุ้นกัน ถ้าได้เต็มแล้วก็เพ่ิมเติม คุณไม่ทำร้ายใครก็เพ่ิมไปทำดีกับคนอื่นเพิ่มขึ้น การไม่เอาของเขา ไม่เอาแล้วเรากลับให้คนอื่นอีก เกื้อกูลมีน้ำใจเสียสละช่วยเขา แม้ไม่มีทรัพย์ก็ให้แรงงานเขา ทีนี่ข้อ 3 ยากหน่อย ราคะกิเลสกาม กามก็คือเรามีราคะเสพกามคุณ 5 ถ้าเป็นเรื่องเพศมันครบเลย เราก็มาดูว่าเราติดอะไรชอบอะไร มาลดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ให้ลดลง ตนเองจะรู้ว่าเราจัดอะไรมากอะไรก็ลดมา ส่วนพูดปด ส่อเสียด หยาบ เพ้อเจ้อก็พิจารณาว่าเราขาดอะไรก็เพ่ิมอันนั้นสิ พวกนักนสพ.นี่มักหาเรื่องให้ทะเลาะกัน สัมภาษณ์มาแล้วเขียนให้คนถือสาทะเลาะกันเราจะได้เขียนต่ออีก เป็นต้น อย่างเพ้อเจ้อคือไร้ประโยชน์คุณค่า หรือลึกๆคือเราเอาสารคดีมาพูดแต่คนไม่รู้เรื่อง หรือเอาธรรมะมาเทศน์แต่คนไม่รู้เรื่องรับไม่ได้คุณก็เพ้อเจ้อ ไม่มีสัปปุริสธรรมเลย


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:13:06 )

570629

รายละเอียด

570629_วิถีอาริยธรรมที่สันติฯ พ่อครูและส.เพาะพุทธ เรื่อง ทำไมคนต้องมาเอาระบบบุญนิยม

.เพาะพุทธว่า....ในช่วงแรกขอนำบทกวีที่ได้สรุปไว้ 7 บท เป็นเนื้อหาสาระที่พ่อครูได้แสดงธรรมไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

พระอรหันต์แทบทั้งหมดไม่ลดละ

เดินต่อภูมิ แห่งพุทธะ พระชินสีห์

ด้วยยืนยัน ความกตัญญู กตเวที

แต่เหนื่อยยากจึงมากมีพระรีไทน์

 

ความต้องการล้วนต้องมีของชีวิต

แม้พระอรหันต์ก็มีสิทธิ์ต้องการได้

กามตัณหา ภวตัณหา ล้วนปราชัย

วิภวตัณหา ยังคว้าไขว่ สร้างบารมี

 

โลกุตระ เราทั้งผอง ได้สองอย่าง

ได้ความว่างแห่งโลกุตระไม่ผละหนี

ได้ความเจริญ ก้าวหน้า แบบโลกีย์

ความสามัคคีสอดคล้องโลกสองใบ

 

ไม่ขัดแย้ง ทุนนิยม ต้านลมโลก

แต่ทุนนิยม ลมพัดโบก เรามิได้

ด้วยเรามี ที่กำบัง ระวังระไว

นายทุนใหญ่ ไม่ย่ำยี ไม่ยับเยิน

 

โลกขาดแคลน ธรรมะ ลดละกิเลส

ความวิเศษ ธรรมศาสตร์ นี้ขาดเขิน

ใกล้กลียุค ชนทั้งผอง มักมองเมิน

ธรรมะควร เป็นส่วนเกิน ที่จำเป็น

 

"สังขารุเปกขาญาณ" ทนทานได้

สังขารใหญ่ สังขารยาก ลำบากเข็ญ

คนอื่นปรุง ยุ่งยากหยอก แม้ยากเย็น

เรามองเห็น เป็นปลีกย่อย แล้วปล่อยวาง

 

เราอาจปรุง เพื่อคนอื่น เป็นหมื่นแสน

เพื่อดึงคน เข้าหาแก่น มิกร้าวกร่าง

มิเปรอปรุงเพื่อความคิดตนติดค้าง

คือปรุงอย่าง มีปัญญา สังขารุเปกขาญาณ

 

ที่พ่อครูได้อธิบายเรื่อง สังขารุเปกขาญาณ เป็นการปรุงเพื่อโลกไม่ใช่ปรุงเพื่อตนเอง เป็นอภิสังขาร

 

พ่อครูว่า...พระอรหันต์จะเจริญอภิสังขารเป็นอเนญชาภิสังขาร

ทุกวันนี้เดือดร้อนกันมาก ไม่มีทางออก ใครจะว่าอาตมาหลงศาสนาคลั่งไคล้เพ้อเจ้อก็แล้วแต่ แต่อาตมาว่าอาตมามีความสุขเย็นมาตลอด แม้ทำงานมาถูกด่าว่า ถูกฟ้องขึ้นศาล ต่อสู้คดี หกปีหกเดือนหกวัน ก็ตามทีตัดสินมาก็แพ้อีก แต่เขารอลงอาญา เขาไม่ได้จับไปติดคุกไปรร.ตำรวจบางเขน เปิดแอร์ให้อยู่ 1 วัน 1 คืน ก็ออกมา

 

ธรรมะพระพุทธเจ้า ขออภัย อาตมาว่าอาตมาได้ธรรมะพระพุทธเจ้า เรียกเป็นภาษา คือ บรรลุธรรม เข้าถึงคือจิตเราเข้าถึง จิตเราเป็น จิตเราลดกิเลสได้จนหมดไป เรียกว่าทำจิตเป็น เมื่อจิตเราไม่มีกิเลสก็ดได้อาศัย เป็นที่พึ่งอันเกษม ชีวิตเกิดมาถ้าไม่ได้ธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วไม่ควรเกิดเป็นคน

 

ทุกข์ก็คือความไม่สบายทั้งปวง แล้วศาสนาพุทธให้เราพ้นทุกข์ได้ แต่ไม่ใช่ว่าพ้นทุกข์ไปทุกอย่าง ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ เช่นปวดอุจจาระปัสสาวะ ก็ทุกข์ เลี่ยงไม่ได้ แต่ศาสนาพุทธสอนให้พ้นทุกข์อาริยสัจ ที่อธิบายก็เพื่อให้เห็นว่าสัจจะพระพุทธเจ้าพาพ้นทุกข์ และทุกข์ที่สำคัญคือ เกิดจากอวิชชา ความไม่รู้ ไปยึดมั่นว่านี่เป็นของเรา ทุกคนเลย การไปยึดเป็นของเรา ถ้าไม่อยู่กับเราพรากไปแหว่งไปลดน้อยไป เราต้องเอาเต็มๆหรือมากกว่าเดิม เป็นความตะกละของมนุษย์

 

เรามาเรียนรู้ตัวนี้แหละจะเอามาเป็นตัวกูของกู วิธีพระพุทธเจ้าคือมาเรียนรู้เป็นตัวๆ ฆ่าได้ตัวหนึ่งก็จะทำให้ตัวอื่นพลอดลดฤทธิ์ไปด้วย ฆ่าได้ตัวหนึ่งก็จะฆ่าได้อีกเป็นร้อยเป็นพัน เหมือนเป็นเครือแห ให้ฆ่าตัวสำคัญๆ พระพุทธเจ้าแยกไว้เป็นสังโยชน์ 10 ,อนุสัย 7 เป็นต้น

 

เราอยู่ร่วมกับดินน้ำไฟลม คน ก็สัมผัสสัมพันธ์ก็มีการติดยึด ตั้งแต่โลกอบาย เรามีกิเลสไปติดยึดก็เรียนรู้ก่อน เรียกว่าอันไหนที่เป็นตัวเรามากทำเราทุกข์สุด เรียกว่า สักกายะ เมื่อเรารู้ด้วยญาณ​ ก็ค่อยๆทำได้ แล้วทำมาจางคลาย จนหมดได้ก็ตามรู้ มันรู้ไม่ง่าย แต่เป็นนามธรรมที่เรารู้ได้ตอนกระทบสัมผัส แต่ว่าตอนที่ไม่กระทบสัมผัสไปนึกเอาก็เป็นแค่สัญญา

 

ต้องสัมผัสตั้งแต่ขั้นหยาบ เรียกว่า กามตัณหา พอหมดแล้วก็ไม่ต้องหลับตาปฏิบัติ ก็สัมผัสกามคุณ 5 อย่างมะม่วงนี่บนโต๊ะโตอย่างกับลูกฟัก มะม่วงน้ำดอกไม้ เมื่อกิเลสหยาบเราถูกดับจริง กระทบสัมผัสอย่างไรก็กิเลสไม่เกิด มีทั้งปัญญาและเจโตครบพร้อม ไม่ฟื้นคืนกลับ แต่กิเลสพวกภวตัณหา เป็นรูปราคะ อรูปราคะยังอยู่ ก็กระทบสัมผัสแต่เราอุเบกขา แต่เฉยแบบไม่โง่ รู้ว่าอันไหนควรไม่ควร แต่ไม่ปรุงแต่งเกินเฟ้อ ปรุงแต่งเป็นรสชอบชังไม่เกิด ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง

 

แม้คนเป็นอนาคามีกระทบทางทวารนอก ก็ไม่เกิิดกิเลส ไม่ทุกข์ไม่สุขแล้ว ไม่ขึ้นไม่ลง เมื่อสัมผัสทางทางวารนอกก็รู้จริงตามจริง ถ้ากิเลสลดจริงจะรู้ประมาณได้ดี เป็นเช่นนี้เอง ตถตา ไม่ใช่ตถตายถากรรมที่ตัดทิ้งปล่อยวางเฉยๆ  แต่อันนี้ไม่ใช่ตถตาที่อาตมาอธิบายนั้น ต้องตามรู้ว่ากิเลสเราเป็นเช่นนี้ อันนี้เป็นสักกายะ แล้วเราก็เรียนรู้ปหาน 5 ทำการกำจัดกิเลส เป็นวิธีกดข่มเป็นเช่นนี้ เราก็เรียนรู้ว่ามันทำให้เราทุกข์ มันไม่เที่ยง ถ้ากดข่มก็ได้ชั่วคราว แต่ถ้าเกิดญาณปัญญาเห็นจริงๆ อย่างวิปัสสนาญาณ 9 หรือโสฬสญาณ มีกำลังปัญญาปล่อยวาง มีนิพพิทาญาณ มุลจิตตุกัมยตาญาณ มีพลังทำลายกิเลสให้หายไปเลย มีฤทธิ์ของปัญญาทำลายกิเลส เมื่อทำได้ก็ไม่ทุกข์ก็อยู่กับโลกที่มีโลกธรรม คำว่าไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราเป็นเช่นนี้ อันนี้เป็นสมบัติของเราอันนี้คนรักเรา ก็จะรู้ว่าไม่มีจริง มันเป็นเรื่องกิเลส เราจะยึดให้ตาย ตายจากมันไปแล้วเขาจะเอาไปทำดีทำไม่ดีก็ไม่รู้แล้ว ไม่มีสิทธิ์จะไปรู้ มันไม่ใช่ของเรา ในขณะเราหวงแหนยึดถือ ยังไม่ตายเขาก็ยังมาแย่งได้เลย เราแย่งมาคืนไม่ได้ก็ทุกข์ เราไม่ต้องไปยึดอะไรเป็นเราเป็นของเราหรอก

 

มันมีวิบากอีกเยอะ เกี่ยวเนื่องกัน มาแก้แค้นกัน ใช้หนี้กัน มาแย่งเราทำอะไรเรามันจริง คนแย่งก็ไม่รู้ตัวหรอก มันก็ทำ อย่างมะม่วงที่นี่ก็มาแย่งได้ มะม่วงที่อื่นก็มีทำไมมาแย่งของเรา หรืออย่างชัดๆ รูปเขียนของคุณอังคาร กัลยาณพงศ์​ คนที่เขามีรสนิยมชอบอย่างนี้จะจึงจะมาประมูลมาเอา รูปเขียนของคนอื่นก็มีตั้งเยอะ แต่ทำไมมาแย่งเอาของคุณอังคาร อาตมาว่ารูปของคนอื่นเขียนได้เยอะแยะกว่าคุณอังคาร อีก

 

มันไม่ใช่ของเราหรอก ใครจะมาแย่งเราก็แย่งไป เราจะทำตามกฎหมายฟ้องร้องคืนได้ก็พอทำ ถ้ามันเดือดร้อนมาก แต่ถ้าไม่ถึงขั้นนั้น ไม่เดือดร้อนมากก็ปล่อยเขาเถอะใช้หนี้ไปเถอะ ส่ิงเหล่านี้จะมีเหตุปัจจัย หรือเขามาทำให้เจ็บใจบาดใจ หรือที่สุดลูกเราโตแล้วหมาเลียก้นไม่ถึงแล้ว ก็ดูแลพอควร ห้ามเท่าที่พอจทำได้ ถ้าถึงขีดก็พอ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่รู้จุดจบจุดหยุดหรอก แต่บางที่เราจู้จี้มากก็ไม่หยุด เลี้ยงลูกให้รู้จักพอ เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย (มีเสียงเด็กร้องดังพ่อครูว่าอัดไปขายเลย ส.เพาะพุทธว่า เสียงนี้บอกว่า ชาติปิทุกขา)การเกิดใดๆเป็นทุกข์ทั้งสิ้น

 

คนบางคนไปยึดแฟนมากกว่าลูก ไปยึดเพื่อนมากกว่าลูก ก็เป็นได้ ยึดมากก็ทุกข์มาก ถ้าไม่ยึดมากก็ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ อย่างอาตมาไม่มีลูก ก็เลี้ยงน้องอย่างลูก ไม่ยึดอะไรมากมาย ก็ทำหน้าที่อย่างดี เขาจะผิดจะถูกก็สอน เขาจะดื้อมากก็ต้องปล่อยไป สอนเท่าที่สอนได้ช่วยเขาเท่าที่ช่วยได้ จนสุดท้ายก็เป็นไปด้วยดีได้ทั้งนั้น จนโตช่วยตัวเองจนมีลูกเองก็ว่ากันไปตามลำดับ ถ้าอาตมายึดมาก น้องก็ยึดเป็นลูกได้ เจ็บปวดได้เหมือนกัน ยึดได้ทั้งนั้นเป็นตัวเราเป็็นของเรา อย่างยึดผัวเมียยึดยิ่งกว่าลูกอีก ก็มี มันอยู่ที่กิเลสไปยึดเอา บางคนรักวัตถุยิ่งกว่าคนอีก ยึดข้าวของ เงินทอง ของข้าใครอย่าแตะ กลีบกุหลาบนี้เธอให้มา ใครมาแตะให้บุบสลายว้ากเลย หรืออาจฆ่าเลย แค่กลีบกุหลาบก็บ้าได้

 

มีบางคนเป็นถึงอาจารย์สอนวิทยาลัย แต่ไปยึดเสลดอาจารย์ พออาตมาไปว่าเสลดอาจารย์เขาโกรธอาตมาเลยไม่มาอีกเลย อย่าว่าแต่เสลด บางทีอุจจาระ ผ้าเช็ด ชานหมาก ก็ยึดได้หมด เขายึดแม้ส่ิงไร้สาระก็ยึดได้ หรือส่ิงมีค่ากว่านั้นก็ยึดได้แต่จะไปยึดทำไม ก็ใช่ค่าตามที่ควรแค่นั้น เราเองต้องไม่ยึด พระพุทธเจ้าสอนอภิณหปัจจเวกขณ์ไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพรากจากเราไป ไม่พรากตอนนี้ยังไงเรา

 

แม้อารมณ์สุขทุกข์ก็ไม่ใช่ของเรา เราอ่านจริงๆว่าทำได้แล้ว ก็ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน ใครได้ก็ได้เป็นของจริง ไม่ใช่เดาเอา เรา

 

ทุกวันนี้ระบบทุนนิยมหลอกให้คนตายใจจนสนิท ต้องหาไปให้เขา แม้เขาร่ำรวยมากมายก็เอาไปให้เขาอีก คนเป็นทาสเช่นนี้ สรุปแล้วต้องแก้ปัญหาด้วยบุญนิยม ที่ทุกข์ร้อนกันทุกวันนี้ก็เพราะทุนนิยม ต้องมาเข้าใจทฤษฎีพระพุทธเจ้าที่ลดกิเลสได้จริงมีผลจริง น่าจะเอาไปใช้เป็นการศึกษาของประเทศเลย ถ้าสัมมาทิฏฐิ อาตมากล้าเอาหัวเป็นประกันเลยถ้าทำอย่างสัมมาทิฏฐิจะมีผลสำเร็จได้ ตัดคออาตมาได้เลย ถ้าศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิแล้วสังคมไปรอด สังคมต้องมาเอาบุญนิยม จะเอาทุนนิยมไปแก้ทุนนิยมไม่สำเร็จหรอก เป็นไปไม่ได้ ไปไม่รอด 

 

ความทุกข์ที่เกิดจากทุนนิยมนี้รวมไว้หมด แม้วิชาการทางนามธรรมก็เสริมกิเลสเพ่ิมขึ้นๆ มีแต่บุญนิยมจะถ่วงดุลไว้ได้ไม่บังคับด้วย คนมีภูมิปัญญาจะมาเอา และอาตมาเห็นว่าสังคมต้องหันมาเอา เพราะมันทุกข์ และไม่ต้านว่าจนหรือรวยก็มาศึกษาได้ทั้งนั้น ทุกชาติทุกภาษา ถ้าสมองพอ ร่างกายไม่เต็มพิการยังศึกษาได้เลย ไร้ความไว้วางใจ หวาดระแวงกันมากจึ้น ทุจริตหยาบมากขึ้น

 

เหตุที่คนต้องหันมาเอาระบบบุญนิยม เพราะ...

1.คนทุกข์มากขึ้นสาหัส เอาเปรียบกันมากขึ้น ไม่อบอุ่น ไร้ความไว้วางใจ หวาดระแวงกันมากขึ้น ทำร้ายกันรุนแรงยิ่งขึ้น ทุจริตหยาบมากขึ้น

2.ทรัพยากรของโลกร่อยหรอก ขาดแคลน จนไม่พอกันจริงๆ

คานธีจึงบอกว่าทรัพยากรในโลกนี้เพียงพอสำหรับทุกคน แต่ไม่เพียงพอสำหรับคนโลภเพียงคนเดียว

3.ไม่มีทางอื่นให้เลือกดีเท่านี้แล้ว ทางนี้ทางเดียว เอเสวมัคโค นัตถันโย

4.มีตัวอย่างของสังคม(บุญนิยม) ที่ไปรอดได้แล้วจริงๆให้ดู เป็นการยืนยัน

5.ระบบบุญนิยม เป็นระบบที่ยั่งยืนจริง พิสูจน์ดได้ด้วยกาละ จนคนต้องเชื่อในที่สุด

 

คนเราอวิชชาแล้วยึดทั้งนั้นแหละ รูปก็ยึด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ยึดทั้งนั้นแหละ พอยึดแล้วก็อยาก มันอยากทั้งนั้น พลังงานก็ถูกความอยากแจกจ่ายออกไปหมด เราเอาพลังงานของเราคืนมา ตั้งแต่อบาย พลังงานเราคืนมาอีกเป็นกอง พอถอนกามอีก พลังงานดีๆเรามาเต็มเลย พอถอนกิเลสหมด ก็มีพลังงานมากเต็มๆเลยเป็นพลังงานหม้อแบตเตอรี่นี้ทำเพื่อโลกไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย

 

สัญญา ไม่ใช่สังขาร สัญญาจะจำอะไรก็จำเวทนา จำสังขาร จำอารมณ์ดีๆ ความรู้สึกดีๆ กระซิบกันที่ข้างหู เสร็จแล้วสอนกันโง่ ก็ยึดไว้สิ ถ้าไม่ได้อย่างนี้ก็ทุกข์จะต้องหายไปก็ทุกข์ แต่ก่อนนี้เธอไม่เป็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เธอไม่เป็นเหมือนเดิม ก็ทุกข์

 

สรุปแล้วความยึด(อุปาทาน)ยึดตั้งแต่หยาบถึงละเอียด ก็ทำให้เกิด สังขาร ตั้งแต่ กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร

 

ทำไมเรียงอย่างนี้ จิตมาก่อน เพราะมโนปุพพังคมาธัมมา ก็มีจิตสังขารก่อน จิตเป็นตัวรู้ ตัวยึดตัวเสพจิตนี่เป็นเองหมด จึงต้องเรียนรู้ตามหลักสูตรพระพุทธเจ้า ก็จะแยกได้ จนองค์ประชุมของกระบวนทัศน์ที่ทำงาน คือองค์ประชุมของ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา

 

จิตสังขารมาก่อน แต่เกี่ยวข้องกับภายนอกด้วยมาประชุมก็ก่อทุกข์ ยิ่งไปยึดตัวนอกนี่แหละมันพรากจากเราไปได้ด้วยเราก็ทุกข์ทั้งที่เอาคืนไม่ได้ก็ยังยึด จิตสังขารแล้วก็มาเป็นกายสังขารเป็นองค์รวม แล้วจึงเรียนรู้ วจีสังขาร(สังกัปปะ 7)

 

เราทำการ วิตก วิจัย วิจาร วิมุติ วิจักขณ์

 

วิตกคือมันเร่ิมดำริ มีกามร่วมไหม? ถ้าอวิชชาก็ไม่รู้ มันสังขารเป็นผีเลย ปรุงแล้วยึดเลยทั้งนอกและใน แท้จริงมันยึดที่จิต เป็นหน้าที่ของจิตหมด ก็วิจัย วิจาร มีพฤติของจิตเป็นอย่างไร พิจารณาเวทนาในเวทนามันมีเหตุ เจอเหตุก็เป็นจารของกิเลส พฤติของกิเลส เรามีตาวิเศษ ด้วยญาณทัสนะวิเศษว่านี่คือกิเลสแท้ ก็กำจัดตัวนี้จนเป็นวิมุติ จนแจ้งก็เป็นวิจักขณ์

 

เมื่อทำได้ก็ต้องตรวจสอบ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เหมือนด่านตรวจของทหาร ก่อนจะออกมาเป็นวจีสังขาร คือเป็นภาษาพูดในใจ ที่ต้องศึกษาว่าปนกิเลสหรือไม่ ตัวสังขารนี้แหละประกอบเป็นวิญญาณ คุณต้องรู้ว่าอวิชชาหรือไม่ มันสังขารอย่างนั้น รู้วิธีจัดการกับกิเลส รู้ว่ากดข่มหรือใช้ปัญญาวิปัสสนาก็รู้ รู้ว่ากิเลสหมดก็รู้ สั่งสมเป็นฐานกำลัง อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ถ้ากำลังดีก็ตรวจสอบได้ กรองได้ไม่ให้ผ่านด่านได้ ถ้ากำลังไม่ดีก็เจอกิเลสที่มากก็ผ่านด่านมันได้ แต่ถ้าไม่มีเชื้อกิเลสแล้วจะตรวจอย่างไรก็ผ่านไม่ใช่ผ่านอย่างเบ่งโกง คุณต้องตรวจของตัวเอง จนคุณไม่ต้องตรวจแล้ว มันสะอาดอยู่แล้วกิเลสไม่มี ก็ผ่านได้

 

ตัววจีสังขาร เป็นสังขารที่ได้รับการทำใจในใจ มนสิกโรติ ต้องทำให้อย่างโยนิโนฯถ่องแท้แยบคายทำให้ถึงที่เกิด ตรงไหน? ก็ตรงที่เกิดกิเลส บอกตรงไหนไม่ถูก แต่ว่าทำให้กิเลสลดได้ ทำให้อาหารรูปมันเป็นเครื่องอาศัยที่ปราศจากกิเลส เห็นเลยว่ากามตัณหาเราไม่มี ภวตัณหาเราไม่เหลือแล้ว มีผัสสะก็ไม่มีตัณหา ล้างตัณหาหมดแล้ว เพราะเรารูนามรูป อายตนะ วิญญาณ​ ผัสสะ แยกเวทนา 108ได้ปฏิบัติจนกิเลสหมด ตรวจสอบด้วยอรูปฌาณได้ จิตก็เร็วไวขึ้น เป็นมุทุภูเต เป็นจิตที่เป็นชวนจิตที่เร็วทั้่งปัญญาปรับตัวได้เร็ว ล้อมรอบกิเลสเข้าไม่ได้ กิเลสมาแตะมาสัมผัสกลายเป็นบริวาร เป็นผู้ช่วยหมด แต่คุณต้องมีบารมีนะ กิเลสจะช่วย เพราะเขาอยากดีอยากให้สอน อยากได้อาริยะอยากได้อรหันต์ กิเลสเขามีด้วยนะ แต่เขาก็ไม่ทำให้เราเสียด้วย

 

คนไม่ดีลึกๆแล้วกลัวความดีต่อให้ถืออาวุธมาอย่างวันที่ 18 ที่ผ่านมา หัวหน้าสั่งมา แต่พอมาเจอความดีความสงบจริงแท้ ก็แพ้กลับไปเลย เราสู้ด้วยคุณงามความดี ทหารเอกคือคุณงามความดี ผู้ร้ายก็แพ้ แม้ผู้ร้ายมีมากกว่าก็ถอย นี่คือสัจจะที่พิสูจน์ได้ ถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้ก็ยกตัวอย่างได้

 

เรามาช่วยกันทำดีมากพอ แต่ต่อให้คณะคสช.ที่แม้ว่าจะมาทำร้ายสมมุตินะ แต่ถ้าเจอกับความดีที่มากพอก็ทำไม่ออกหรอก ตัวผู้บริหารมีความรู้ว่าอะไรดีชั่วเขาก็ทำไม่ได้ด้วยปัญญาความสำนึกรู้ว่าสู้ไม่ได้จริงๆ ถ้าขืน เมื่อพลังความดีมากกว่าเขาทำแล้วจะเป็นกบฎทันที นี่คือสัจจะ ไม่ได้พยากรณ์แต่มันจะเป็นเช่นนั้น ก็ช่วยกันทำดี ช่วยคสช.ทำดีต่อไป แต่ถ้าคนมาแฝงก็จะเจอดีเอง ในอนาคต

 

ถ้าคสช.ทำดีอย่างนี้ไม่ถึงปีครึ่งก็สำเร็จ คนดีๆจะมาช่วยด้วย อาตมาว่างวดนี้ไม่เหมือนทุกคราว เพราะชัดจริง คนดีจะกล้ามากกว่าคราวก่อน เพราะเหตุปัจจัยครบกว่า  อาตมาว่าลัทธินี้ไม่ฟื้นหรอก

 

เราต้องทำปุญญาภิสังขาร จนกิเลสหมดเป็นอปุญญาภิสังขาร แล้วสั่งสมเป็นอเนญชาภิสังขาร ก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ

 

.เพาะพุทธว่า...มีคนถามมาว่า เขาทำเกษตรอินทรีย์ จะทำอย่างไรให้เป็นบุญนิยม ?

 

พ่อครูว่า ...แล้วแต่คุณจะลดราคาต่ำกว่าราคาตลาดได้เท่าไหร่? ถ้าลดแล้วต่ำกว่าราคาตลาด แต่ว่าต่ำกว่าทุนคืออย่างไร ? ก็คือทางโลกเขาคิดต้นทุน บวกค่าแรง ค่าความสามารถเราด้วย ….ดังนั้นคุณก็มาลดค่าแรงงาน ถ้าคุณเก่งดีทำได้มาก ค่าแรงคุณก็มีมาก คุณก็ลดค่าแรงลงได้มากเท่าไหรก็เป็นการต่ำกว่าทุนได้เท่านั้น จะได้มากเท่าไหร่ก็เอาเท่าที่คุณพออยู่พอกิน ส่วนเกินที่เราขาดทุนได้ก็ไม่ได้กินที่ค่าวัสดุ แต่เราไปลดที่ค่าแรงต่างหาก

 

ทฤษฎีหลักนี่เป็นเศรษฐศาสตร์บทใหม่แก่โลก เป็นทฤษฎีบุญนิยม ไม่ได้คว่ำทุนนิยม แต่ไปช่วยทุนนิยมให้พ้นทุกข์ บรรเทาสังคมที่เดือดร้อน เราเหลือเจือจานคนอื่น เราช่วยทุนนิยมเลี้ยงมนุษย์ด้วย เรากระจายไปสู่ส่วนกลาง คุณก็ยังมาดูดเอาอีก คุณน่ะร้ายกาจ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:14:35 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์